พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: norita_boyV2 ที่ 29-05-2016 22:48:31

หัวข้อ: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-05-2016 22:48:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ 

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


...

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] เปิดเรื่อง 29-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-05-2016 22:53:55
ผิดที่ใคร [Right or Wrong]
เปิดเรื่อง 29-05-59

intro
ผมลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากรู้สึกมึนๆ หัวเล็กน้อย แต่แสงแดดที่ลอดผ่านม่านเข้ามาแยงตา ทำให้ผมต้องหรี่ตาพยายามปรับสายตาให้คุ้นเคย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ผมต้องเจอกับอาการเมาค้างอีกเป็นแน่ แท้เมื่อคืนคงดื่มหนักเกินไปอีกแล้ว และพอสายตาผมเริ่มคุ้นเคยกับแสง มันทำให้ผมต้องประหลาดใจเล็กน้อย ว่านี่มันไม่ใช่ห้องผม แต่ผมก็พอจะคุ้นๆ กับสภาพห้องว่าต้องเป็นที่ที่ผมรู้จัก ผมพยายามจะขยับตัวแต่กลับกลายเป็นยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ว่า มีคนสวมกอดผมไว้จากด้านหลัง

“อืม”มีเสียงบิดขี้เกียจเบาๆ จากเจ้าของอ้อมกอด และดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่ตื่นเต็มตา สมองผมเริ่มประมวลข้อมูล แล้วก็ใจหายแว๊บ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ผมดีดตัวออกจากอ้อมกอดพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไล่อาการมึนๆ ออกไปพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายที่เพิ่งรู้สึกตัว เราสองคนประสานสายตา แล้วแทบจะอ้าปากค้างพร้อมๆ กัน สภาพผมและอีกคน ไม่น่าจะต่างกันมาก คือเราต่างไม่ได้มีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายสักชิ้น ผมรีบดึงผ้าห่มคลุมท่อนล่างตามสัญชาตญาน

แต่การดึงผ้าห่มของผมกลับยิ่งเป็นการย้ำในสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นั่นคือ ถุงยางอนามัย ที่ผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างแน่นอน กระเด็นออกจากผ้าห่มและร่วงสู่พื้นห้อง สายตาอีกฝ่ายแสดงอาการตกใจ ไม่ได้ต่างจากผม

ผมแทบอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆสักที  ทำไมผมปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วนี่ผมจะทำไงดีละทีนี้ ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้าสบตาตรงๆ กับคนข้างๆ นี้ ทั้งผมและอีกคนต่างฝ่ายต่างเงียบไปหลายนาที แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น”

คำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ถ้าถามว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันเกิดอะไร จากสภาพเราสองคน ผมว่ามันแทบไม่ต้องถามก็เดาออก นอกเสียจากว่าไม่อยากจะยอมรับมัน เพราะยิ่งคิดภาพต่างๆ มันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมทำอะไรกันไปบ้าง ผมไม่รู้จะโทษอะไรดีที่ทำให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น โทษความเมาที่ทำให้เราขาดสติ โทษตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล โทษความเหงาของผมที่ไม่มีใครมานาน

“เรากลับก่อนดีกว่าแล้วกันเนอะ”ผมเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังโกรธผม เกลียดผมไปแล้ว หรืออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยๆ เค้าก็ไม่ได้ลุกมาต่อยผม ก็แสดงว่าเรื่องราวมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด ถ้าทั้งผมและเค้าแกล้งทำลืมๆ เรื่องนี้ไปซะ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว

“คิดเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน เราสองคนไม่พูดเรื่องนี้ก็จะไม่มีใครรู้”ผมย้ำในสิ่งที่คิดว่าเค้าอาจจะกำลังกังวลอยู่ แม้ผมจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่สำหรับผมที่เป็นเกย์อยู่แล้ว มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร คิดเสียว่ามันคือ one night stand ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้น

“อย่าคิดมากเลย”เมื่อเห็นอีกคนยังเงียบอยู่ ทำให้ผมต้องหาอะไรพูดอีก ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้นรึเปล่า เอาจริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ตัวผมเองรับบทเป็นผู้ถูกกระทำตลอด แต่ตอนนี้บทบาทนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แต่กลายเป็นผมต้องมาพูดปลอบใจ คนที่เป็นผู้กระทำนี่สิครับ

แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นเกย์มีอะไรกับผู้ชายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อีกคนที่ไม่ใช่เกย์ แถมเพิ่งจับได้ว่าแฟนสาวสวมเขาให้ เรื่องนี้มันจะกลายเป็นว่าผมเข้ามาในจังหวะที่เค้าเสียศูนย์จนต้องมาเจอเรื่องนี้หรือเปล่า

“คงไม่ไปส่งนะ”หลังจากเงียบอยู่นานเค้าก็เปิดปากพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเค้านั้นอยู่ในโหมดไหนกันแน่ ตอนนี้ผมว่าทั้งเค้าและผมคงต้องให้เวลากับตัวเองในการปรับความความรู้สึก ให้มันกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือเดิม และลืมเรื่องนี้ไปซะ


************
สวัสดีคร๊าบบบ

มาแอบลงเรื่องใหม่หลังจากหายไปนาน (ซึ่งอาจไม่มีใครสน) 555

ก็ฝากติดตามติชม กันด้วยนะครับ

จะมาต่อเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง แต่คงไม่ถี่เท่าเรื่องก่อนๆ นะครับ

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในวัยทำงาน ซึ่งต้องติดตามว่าจะซับซ้อนกันขนาดไหน

ส่วนถามว่าสไตล์ของคนแต่งเป็นยังไงก็ลองแวะไปเปิดดูผลงานกากๆ เรื่องก่อนๆ ดูได้นะครับว่าควรจะติดตามต่อรึเปล่า 5555

แอบฝากงานเก่าแบบเนียนๆ  :z3:

ใครว่างๆ กะลองอ่านดูได้นะครับ มีไม่กี่เรื่องครับ แหะๆ

- ระหว่างเราคือ??? เรื่องราวอิรุงตุงนังของคนที่เห็นแก่ตัวในความรักจนยากจะแก้ไข
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0

-(ไม่)รักได้ไง เรื่องราวของเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเจอกัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0

-45 วันพนัน(ไม่)รัก เรื่องของกลุ่มเพื่อนที่จับเพื่อนเกย์ 1 คน และเพื่อนที่เหมือนจะเกลียดเกย์ให้มาอยู่ด้วยกัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0

ยังได้ติชมได้เต็มที่คร๊าบบบบ เขียนยังไม่ค่อยเก่ง แต่อยากเขียน  :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] เปิดเรื่อง 29-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-05-2016 10:45:03
บทที่ 1
จุดเริ่มต้น

“มึงจะเครียดทำไมว่ะตี้ หัวหน้ามึงเค้าก็ทำแบบนี้บ่อยไป มึงควรชินได้แล้ว คิดไรมาก”เสียงเพื่อนร่วมงานของผม พูดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันครับค

วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่จริงๆ ผมต้องสบายได้ที่จะได้หยุดพักในวันเสาร์อาทิตย์ แต่พอดีวันนี้เรื่องานผมมีปัญหานิดหน่อย จริงๆ จะว่านิดหน่อยมันก็นิดหน่อย แต่บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ปัญหาเดิมๆ ที่ก็รู้สาเหตุของปัญหา แต่ก็ไม่แก้สักทีมันก็น่าเบื่อนะครับ ก็ได้แต่ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ไอ้เรามันลูกน้องเค้านิครับ ชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี่ เจอหัวหน้าดีกะดีไป แต่ใครมาเจอหัวหน้าอย่างผมกะคงเหนื่อยทั้งกายทั้งใจ

หัวหน้าผมเป็นยังไงนะเหรอครับ ก็แค่เป็นคนไม่ทำอะไรเลย แต่หน้าใหญ่ใจโตรับงานทุกอย่างเพื่อเอาหน้า แล้วใครที่ต้องเป็นคนทำ ก็ผมนี่แหละครับ ทำงกๆ ให้เค้าได้หน้า นี่ถ้าไม่ติดว่าที่นี่ให้เงินดี ผมคงออกไปแล้ว แต่จะว่าไปแกกะมีข้อดีของแกแหละครับ อย่างเรื่องปรับเงินเดือนหรือโบนัส หรือเรื่องการให้ผมลางาน อะไรพวกนี้ แกไม่เคยว่าอะไรผม ขอแค่ทำงานให้แกเสร็จ แล้วแกเป็นคนที่ประเภทที่เจ้านายชอบและก็ถ้ามีปัญหามาก็ออกรับก่อนตลอดแม้บางทีจะให้ผมโดนด่าฟรีก่อนก็เถอะ  ถึงจะเบื่อๆ เซ็งๆ แกบ้างแต่นี่ก็อยู่กับแกมาจะ 4-5 ปีแล้วแหละครับ

เอ้า พอๆ นี่เลิกงานแล้ว หมดเวลางานครับ มัวแต่บ่นเรื่องงานเลยลืมแนะนำตัว ผมชื่อปาร์ตี้ ครับ เพื่อนๆ เรียกสั้นๆ ว่าตี้ เรื่องนิสัยไม่ต้องสืบครับ แค่เห็นชื่อก็คงพอจะเดาได้ว่าผมชอบการสังสรรค์เป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้เลยเป็นคนที่ค่อนข้างจะเข้ากับคนง่าย ปัจจุบันก็เป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งนี่แหละครับ ส่วนไอ้คนที่ผมมาด้วยวันนี้ ชื่อไอ้เหมาครับ

ผมกับไอ้เหมาแม้จะทำงานกันคนละส่วน แต่เราสนิทกันเพราะ เข้ามาเริ่มงานพร้อมๆ กัน ช่วงเป็นเด็กใหม่ยังไม่สนิทกับใครเลยต้องสนิทกันเอง แถมพอรู้จักกันก็กลายเป็นว่า ผมกับไอ้เหมาเนี่ย เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เพียงแต่คนละคณะ แต่ตอนเรียนเราไม่เคยเจอกันเลย เพิ่งมารู้จักกันเอาตอนทำงานนี่แหละครับ

“แล้วเมื่อไหร่เพื่อนมึงจะมาเนี่ยไอ้เหมา”ผมยกแก้วน้ำสีอำพันธ์ขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปถามคนที่นั่งพ่นควันบุหรี่อยู่

“น่าจะใกล้ถึงแล้วมั้ง”ไอ้เหมาตอบแบบไม่ได้ใส่ใจนัก วันนี้หลังจากเซ็งๆ เรื่องงานเลยชวนไอ้เหมามานั่งดื่มเป็นเพื่อน แต่มันดันบอกว่านัดเพื่อนไว้ก่อนแล้ว แต่เพื่อนที่มันนัดเนี่ยเป็นเพื่อนสนิทมันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งหมายความว่าก็จบจากสถาบันเดียวกับผม ผมก็เลยขอติดสอยห้อยตามมันมาด้วยนี่แหละครับ

“นั่นไง ตายยากจริงมันเดินมาโน่นแล้ว”ผมมองตามที่ไอ้เหมาชี้ให้ดูพร้อมกับที่ไอ้เหมาลุกจากฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างผม เพราะเพื่อนของไอ้เหมา มากับหญิงสาวอีกคน ซึ่งน่าจะเป็นแฟนเค้านั่นแหละครับ

“กว่าจะมาได้นะมึง”เสียงไอ้เหมาทักทายเพื่อน ส่วนผมก็ยิ้มทักทายตามมารยาท พร้อมรับไหว้หญิงสาวอีกคนที่ยกมือไหว้ผม จริงๆ ผมไม่ชอบให้ใครไหว้เท่าไหร่นะครับ มีคนไหว้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองแก่ยังไงไม่รู้

“นี่ไอ้ปาร์ตี้ เพื่อนที่ทำงานกู ส่วนนี่ไอ้ชาร์ปเพื่อนสนิทกูตอนเรียน แล้วก็น้องชะเอมสุดสวยแฟนของไอ้ชาร์ปมัน”หลังจากไอ้เหมาแนะนำให้เราได้รู้จักกัน เราทั้ง 3 ต่างกล่าวทักทายกันอีกรอบ แต่สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นในความคิดผมคือ ชาร์ปกับน้องชะเอมนี่ดูมีความต่างกันสูงมาก แล้วมาคบกันได้ยังไงเนี่ย เพราะชาร์ปดูเป็นผู้ชายเรียบๆ ออกจะดูเนิร์ดเสียด้วยซ้ำ ใส่แว่น แต่งตัวเรียบๆ แต่น้องชะเอมนี่ลุคสาวเปรี้ยวเลยครับ หน้าผมมาเต็ม เสื้อผ้าก็เข็ดฟันเลยแหละครับ

“เออไอ้ชาร์ป ตี้มันก็จบจากที่เดียวกับเรา มึงคุ้นหน้ามันบ้างไหม”ไอ้เหมาถามชาร์ปแต่ก็หันมามองผมเป็นเชิง ให้ตอบด้วยเช่นกัน แต่จะว่าไปผมก็คุ้นๆ หน้าชาร์ปอยู่เหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกครับว่าเคยเจอกันรึเปล่า

“ปาร์ตี้ก็อยู่หอเดียวกับกูสมัยเรียนไง ตอนไปหอกูมึงไม่เคยเห็นเหรอ”หือผมอยู่หอเดียวกับเค้าเหรอ พอเค้าพูดแบบนี้ทำให้สมองน้อยๆ ของผมต้องประมวลผลอีกรอบ และในที่สุดผมก็นึกออกครับ แต่ตอนเรียนเราไม่เคยคุยกันเลยนะครับ ก็ไม่ได้รู้จักกันจะไปคุยอะไรกันละเนอะ

“เรียกตี้เฉยๆ ก็ได้นะ เราก็ว่าชาร์ปหน้าคุ้นๆ จริงๆ เราก็อยู่หอเดียวกัน 4 ปีเลยนี่เนอะ แต่ไม่เคยทักกันเลย”จริงๆ เค้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเรียนเท่าไหร่ เพียงแต่ผมกับเค้าไม่เคยทักทายหรือทำความรู้จักกันมันก็เลยไม่ได้ใส่ใจแหละครับว่าใครเป็นใคร

พอได้พูดคุยสักพัก พวกเราก็เหมือนจะสนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้สนิทยังไง ผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำถามนี้

“พี่ตี้เป็นเกย์หรือเปล่าคะ”คำถามจากน้องชะเอม แฟนของชาร์ป จริงๆ ผมก็ไม่ได้ถือสากับคำถามนี้นะครับ เพราะผมก็เป็นเกย์นั่นแหละ เพียงแต่ไม่คิดว่าคนเพิ่งรู้จักกันจะกล้าถามคำถามนี้

“เฮ้ยเอม เสียมารยาท ทำไมไปถามพี่เค้าแบบนั้นล่ะ”เป็นชาร์ปเองที่ติงแฟนสาวของเค้า จนน้องเอมออกจะไม่พอใจเหมือนกันที่โดนแฟนตัวเองดุ

“ไม่เป็นไร ถามได้ ว่าแต่นี่พี่ดูเกย์ชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับน้องเอม”ผมเอ่ยออกไปสบายๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ถือสาอะไรกับคำถามนั้นเท่าไหร่

“คือจริงๆ ตอนนี้มันก็ไม่ได้ดูชัดอะไรหรอกพี่ แต่เอมเคยเห็นพี่ตี้ไปเที่ยวกับผู้ชายในผับ อันนั้นนะเหมือนจะชัด แต่พี่อย่าเข้าใจหนูผิดนะ ที่ถามนี่คือ หนูเคยเห็นพี่ที่ไปเที่ยวบ่อยๆ เลยคิดว่าจะได้ขอไปด้วย พอดีพี่ชาร์ปไม่ค่อยชอบเที่ยวเท่าไหร่ แล้วถ้าไปกับพี่ตี้ พี่ชาร์ปจะได้สบายใจไง ไม่หาว่าหนูไปกับกิ๊กที่ไหนอีก”เดี๋ยวนะ ถ้าน้องเค้าเคยเจอกับผมในที่เที่ยวบ่อยๆ ทำไมผมไม่ยักกะเคยเจอ หรือผมไม่ได้ใส่ใจมองหว่า

“สรุปพี่ใช่...ใช่มั้ยคะ”ผมเพียงพยักหน้าตอบ น้องชะเอม แม้จะรู้สึกแปลกๆ นิดๆ แต่ก็ไม่อยากจะอะไรมากครับ

ก็อย่างที่ผมยอมรับไป ผมเป็นเกย์ที่ตอนนี้โสดครับ มันเหมือนเหนื่อยที่จะคบใครแล้ว แม้ผมจะยังเชื่อว่าสักวันจะได้เจอคนที่ผมรักเค้าและเค้าก็รักผมแล้วได้อยู่ดูแลกันและกัน เพียงแค่ตอนนี้มันยังไม่เจอเท่านั้นเองครับ ชีวิตโสดมันก็มีเหงาบ้างบางครั้ง เศร้าบ้างในบางที แต่ก็อยู่กับเพื่อนกับฝูงไป ทำงานเยอะๆ ไป ชวิตมันก็สนุกดีครับ

“ขอโทษแทนเอมอีกทีนะ”ผมค่อยๆ หันหน้าไปตามเสียง เพราะตอนนี้ผมเดินมาเข้าห้องน้ำ และกำลังยิงกระต่ายอยู่หน้าโถฉี่ แต่มีเสียงที่เหมือนจะพูดกับผมลอยมาจากโถฉี่ข้างๆ ผม

ซึ่งจากประโยคที่เค้าพูดจริงๆ ถึงผมไม่หันไปมองก็พอจะรู้แหละครับว่าคือคุณแว่นแฟนน้องชะเอม และสาบานได้ว่าผมแค่จะหันไปคุยกับเค้าเท่านั้น แต่ด้วยความที่ชาร์ปยืนเสียห่างโถขนาดนั้น สายตาผมมันเลยเหลือบเห็นบางอย่างโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมรีบเบือนหน้ากลับพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคงเฮือกใหญ่

“บะ...บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”ผมตอบโดยที่ไม่ได้หันไปทางเค้าอีก

“แล้วนี่ตี้เมายัง”ผมจำต้องหันไปหาเค้าอีกครั้งเพราะเหมือนชาร์ปจะยังไม่ยอมจบบทสนทนาง่ายๆ แต่อย่างที่บอกว่าเค้ายืนห่างโถฉี่เสียขนาดนั้น แม้ผมจะพยายามมองแค่หน้า แต่หางตาผมมันก็เห็นไอ้ที่เค้ากำลังสะบัดนั่นอยู่ดี

“นิดหน่อย ยังดื่มได้เรื่อยๆ แหละ”ผมตอบออกไปนิ่งๆ แม้ตอนนี้ใจจะเต้นแรงเพราะสิ่งที่ได้เห็นก็เหอะ เอาจริงๆ ปกติเวลาฉี่แบบนี้ผมก็เคยเห็นของเพื่อนผู้ชายบ้างแหละครับ แต่ผมกลับไม่เคยรู้สึกอะไร เพราะเพื่อนก็คือเพื่อน แต่นี่ทำไมครั้งนี้ ผมดันรู้สึกอะไรขึ้นมาได้เนี่ย ผมรีบทำธุระให้เสร็จ รูดซิปแล้วรีบเดินตรงไปที่อ่างล้างมือแทน

“ไม่เมาแล้วทำไมหน้าแดง หูแดงขนาดนี้ ไหวป่ะเนี่ย”ชาร์ปเดินตามมายืนล้างมือข้างๆ ผมพร้อมกับพูดยิ้มๆ ผมเงยหน้ามองเค้าในกระจกซึ่งเหมือนเค้าเองมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“เราเลือดสูบฉีดดีไง ดื่มนิดเดียวก็แดงแล้ว”ผมแถข้างๆ คูๆ ก็ว่าได้ครับ เพราะตอนนี้หน้าในกระจกผมมันแดงจนจะล้ำหน้าลูกตำลึงไปไกลแล้ว มันแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ส่วนนึงครับ แต่อีกส่วนและคงเป็นส่วนมาก มันมาจากไอ้คนข้างๆ นี่แหละครับ สิ่งที่ผมเห็นเมื่อสักครู่มันยังติดตาผมอยู่ แถมชัดเสียเหลือเกินด้วย ผมเลยรีบตัดบทสนทนาด้วยการรีบเดินกลับโต๊ะโดยด่วน

หลังจากวันนั้นผมก็แลกไลน์แลกเบอร์กับทั้งชาร์ปและเอม จนทั้งคู่กลายมาเป็นเพื่อนที่ได้พบปะสังสรรค์กันบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะนัดกันที่บ้านของไอ้เหมาบ้าง บ้านของชาร์ปบ้าง ส่วนผมกับน้องเอมก็ออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยขึ้น คือผมก็มีกลุ่มเพื่อนที่เที่ยวกลางคืนอีกหลายกลุ่ม ซึ่งน้องเอมก็ไปกับผมโดยที่ชาร์ปก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างที่ผมคาดแหละครับว่าชาร์ปกับน้องเอมมีความต่างกันแทบจะสุดขั้วไปเลย

แม้จะมีบ้างที่เวลาไปเที่ยวแล้วมีผู้ชายมาสนใจน้องเอม แต่ผมก็ไม่ได้ห้ามหรือกีดกันอะไรนะครับ เพราะรู้สึกว่าแค่คุยแล้วก็คงจบไปเพราะ หลังจากผับปิดผมก็เป็นคนไปส่งเอมถึงบ้านอยู่แล้ว มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร น้องเค้าอยากบริหารเสน่ห์ก็ไม่น่าจะเป็นไรมั้ง

คือเอมกับชาร์ปแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้แต่งงานกันแต่ ก็อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยาแหละครับ จากที่เคยคุยคือชาร์ปอยากเก็บเงินอีกสักพักค่อยแต่ง ตอนนี้ก็มีทั้งรถ ทั้งบ้านแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงได้แต่งแหละครับ นั่นคือความคิดของชาร์ปนะครับ แต่น้องเอมจากที่ได้เจอเวลาไม่ได้อยู่กับชาร์ปเหมือนน้องเอม ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้าย กับการแต่งงานเท่าไหร่ อาจจะด้วยอายุที่ยังไม่มาก และคงอยากเที่ยวอยากสนุก

เนื่องจากว่าถ้าแต่งงานชาร์ปอยากให้เอมออกมาเป็นแม่บ้าน พอมีลูกก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก ชาร์ปจะเป็นคนหาเลี้ยงเอง นั่นคือความฝันของชาร์ปครับ ที่อยากเป็นหัวหน้าครอบครัว และมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ดูๆ แล้วน้องเอมยังไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย


“พี่ตี้วันนี้ เอมมีพี่มาด้วยคนนึงนะ”ชะเอมตะโกนบอกผมแข่งกับเสียงเพลงที่ดังสนั่นหวั่นไหว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกับชะเอมออกมาเที่ยวด้วยกัน ซึ่งคำบอกเล่าของชะเอมก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจอะไร เพราะผมเคยเจอบรรดาเพื่อนๆ ของชะเอมหลายคนแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวเปรี้ยวเหมือนๆ กับเอมนั่นแหละครับ

“เอมบอกเค้าว่าพี่ตี้เป็นเพื่อนของพี่ชายเอมนะ”แต่ประโยคต่อมาทำให้ผมงงๆ ว่าหมายความว่ายังไง ผมเป็นเพื่อนของพี่ชายเอม หมายถึงผมเป็นเพื่อนกับชาร์ป อันนี้เข้าใจได้ แต่ให้คนที่มาด้วยเข้าใจว่าชาร์ปคือพี่ชายของชะเอมงั้นเหรอ แต่ผมก็ทำเพียงเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ

จนเมื่อมีผู้ชายอีกคนเข้ามาสบทบกับพวกเรา ผมก็พอจะมองออกแหละครับ ว่าผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาของชะเอมเสียแล้ว เพราะดูหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม

“พี่อาร์ทเค้ามาจีบเอม พี่เค้ารวยมากเลยนะมีธุรกิจหลายอย่างมาก”ผมไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากถาม แต่เป็นชะเอมเองที่เปิดปากเล่าให้ผมฟัง ในจังหวะที่อาร์ท ผู้ชายที่มากับเอมในวันนี้ไปเข้าห้องน้ำ ผมทำเพียงพยักหน้า รับทราบในสิ่งที่เอมบอก ผมไม่รู้ว่าทำเอมถึงกล้าทำแบบนี้

การที่จะแอบมีกิ๊กหรือแอบมีทางเลือก ผมมองว่าทุกวันนี้มันมีเยอะ จนเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แม้มันจะไม่ปกติก็เหอะ ถ้าเอมเป็นเพื่อนผม เรื่องนี้ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะมันเป็นเรื่องของเอม แต่มันติดตรงที่เอมเป็นแฟนของเพื่อนผม เอมเป็นแฟนชาร์ป แม้ผมจะเพิ่งรู้จักกับชาร์ปไม่นาน แต่การที่ผมมารู้เห็นเรื่องแบบนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

ผมจะไม่รู้สึกผิดเลยถ้านายอาร์ทนี่มาจีบเอมเฉยๆ แล้วเอมไม่ได้มีท่าทีสนใจ แต่นี่ดูเอมเองก็สนใจในตัวอาร์ทไม่น้อยเลยทีเดียว และอีกอย่างที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมเอมกล้าให้ผมมารับรู้เรื่องนี้ ถึงเอมจะมองว่าผมอาจไม่ได้สนิทกับชาร์ปมาก แต่เอมมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกชาร์ป หรือบุคลิกผม มันดูเป็นคนไม่จริงใจกับเพื่อนรึยังไงหว่า

“วันนี้พี่ตี้ไม่ต้องไปส่งเอมนะ เดี๋ยวเอมให้พี่อาร์ทเค้าไปส่ง”นั่นคือคำบอกลาก่อนที่ผมจะแยกกับเอม พอแยกผมก็ต้องมาคิดมากอีกว่าผมควรจะบอกเรื่องนี้กับชาร์ปดีไหม ถ้าบอกไปเกิดเอมปฏิเสธว่าไม่มีอะไร แบบนั้นผมจะไม่กลายเป็นหมาหรือไง แต่ถ้าเอมสวมเขาให้ชาร์ปจริงๆ แล้วผมไม่บอก ผมก็คงรู้สึกผิดมากเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 1 จุดเริ่มต้น 30-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 30-05-2016 12:21:45
ตื่นมาก็เจอกันบนเตียงซะแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 1 จุดเริ่มต้น 30-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-05-2016 15:04:06
บทที่ 2
คิดไม่ตก

“มึงเป็นอะไรเนี่ยไอ้ตี้ กูเห็นมึงนั่งถอนหายใจ จนคาร์บอนไดออกไซด์จะเต็มห้องทำงานกูอยู่แล้วเนี่ย มีอะไรก็ว่ามา งานการก็ไม่รู้จักไปทำ มานั่งหายใจอยู่แบบนี้หัวหน้ามึงไม่ว่ารึไง”ไอ้เหมาเริ่มจะหมดความอดทนกับผม ที่มาขลุกอยู่ห้องทำงานมันตั้งแต่เช้า และรบกวนสมาธิการทำงานของมันด้วยการถอนหายใจ ประมาณ แสนแปดรอบแล้วครับ

เรื่องของน้องชะเอมที่ผมได้เจอมามันรบกวนจิตใจผมจนแทบจะบ้าอยู่แล้วครับ เพราะตอนนี้ Devil กับ Angel ในตัวผมกำลังตีกันอย่างดุเดือด ว่าผมควรทำยังไงต่อ ฝั่งหนึ่งบอกกับผมว่าไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่อีกฝั่งก็บอกว่าผมไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

ผมคิดมาทั้งคืนแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ตอนนี้ผมมีอยู่ 3 ทางเลือกในใจ ว่าจะเลือกทางไหน ทางแรกคือปล่อยไปครับ ไม่ใช่เรื่องของผม อย่าไปยุ่งเลยจะดีกว่า ทางที่สองเล่าเรื่องนี้ให้ชาร์ปฟัง ส่วนผลจะเป็นยังไงก็คงต้องรอดูอีกที และอีกทางเลือกคือผมควรเตือนชะเอมว่าสิ่งที่เธอคิดจะทำหรือทำไปแล้วนั้นมันไม่เหมาะ

“กูถามอะไรหน่อยดิ”จริงๆ ผมก็ยังมีอีกทางเลือกแหละครับนั่นคือเอาเรื่องนี้ให้ไอ้เหมาช่วยตัดสินใจ เพราะจริงๆ ไอ้เหมาเองก็สนิทกับชาร์ปมากกว่าผม

“ว่ามา กูรอจะฟังจนเหงือกแห้งแล้วเนี่ย รีบๆ ถามจะได้แยกย้ายไปทำงานสักที บริษัทจ้างมึงมาทำงานไม่ได้จ้างมาอู้แบบนี้”แหมดูเพื่อนผมจะรักบริษัทเสียเหลือเกินเนอะ ที่เห็นตั้งหน้าตั้งตาทำงานเนี่ย ไม่ใช่ว่าขยันเสียเมื่อไหร่ แค่ดองงานไว้ต้องรีบเคลียร์เหอะ

“สมมตินะ ว่ากูรู้ว่าแฟนมึงแอบมีกิ๊ก แต่กูไม่บอกมึงปล่อยให้มึงโดนสวมเขา มึงจะโกรธกูไหมวะ”ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะครับว่าทำไมผมไม่ถามออกไปตรงๆ

“นี่แพทไปแอบคบใคร มึงรู้อะไรบอกกูมาให้หมด”ไอ้เหมารีบพุ่งมาเขย่าตัวผม เพราะดันเข้าใจผิดในคำพูดผมเข้าให้เสียแล้ว

“เดี๋ยวๆ มึงหยุดก่อน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแพท”ผมรีบท้วงก่อนที่จะโดนไอ้เหมาบีบคอ ไอ้นี่ก็คิดไปได้ แพทแฟนมันออกจะแสนดีขนาดนั้น แถมรักมันจะตายไป ยังจะกล้าคิดว่าเค้าจะคิดมีคนอื่นอีกหรือไง

“แล้วทำไมต้องมาสมมติเรื่องของกูด้วย กูตกใจแทบแย่ นึกว่าแพทจะทิ้งกูซะแล้ว”

“โอ๋ ขวัญเอ้ยขวัญมานะครับเพื่อนเหมา”ผมแกล้งทำเสียงปลอบมันเหมือนปลอบเด็กๆ

“ไอ้เชี่ยคราวหลัง ถ้าเป็นเรื่องคนอื่นไม่ต้องมาสมมติเป็นกูนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องกูมึงก็บอกมาตรงๆ เลย ถ้ามึงไม่บอกปล่อยให้กูโดนสวมเขา กูเอามึงตายแน่”ไอ้เหมาพูดน้ำเสียงจริงจังพร้อมชี้หน้าคาดโทษผม

“แสดงว่ามึงจะโกรธ ถ้ากูไม่บอกถูกไหม”ทั้งๆ ที่มันพูดเองว่าถ้าผมไม่บอกมันจะเล่นผมถึงตาย แต่พอผมถามย้ำอีก มันกลับทำท่าคิดหนักเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ

“ขึ้นอยู่กับว่าทำไมมึงถึงไม่ยอมบอก”คำพูดของไอ้เหมาทำให้ผมต้องคิดทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่า อะไรที่จะเป็นสาเหตุให้ผมไม่ยอมบอก แต่จริงๆ ถ้าเป็นเรื่องของไอ้เหมาผมว่าผมไม่น่าจะตัดสินใจยาก ผมคงบอกไอ้เหมาไปทุกอย่างที่ผมรู้มา แต่กับเรื่องของชาร์ป ผมกลับตัดสินใจไม่ได้

“เหตุผลที่จะไม่บอก ก็คงกลัว มึงไม่เชื่อกูไง เกิดแฟนมึงปฏิเสธขึ้นมาหาว่ากูใส่ร้ายเค้า ถึงตอนนั้นมึงจะเชื่อใครล่ะ กูว่ามึงอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่กูบอกก็เป็นได้ ถ้าเป็นงั้นกูก็หมาเลยสิ”นี่สินะคือเหตุผลที่ผมไม่กล้าบอกชาร์ปไปตรงๆ เพราะผมกลัวเค้าจะไม่เชื่อผม ผมกับเค้าไม่ได้สนิทกันมากขนาด ที่เค้าจะเชื่อใจผมมากกว่าแฟนเค้า อีกอย่างเรื่องที่ผมรับรู้มา ผมก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรมายืนยัน นอกจากสิ่งที่ผมบอกเล่าได้เท่านั้นเอง

“มึงยืนยันกับกูอีกที ให้กูมั่นใจหน่อยว่านี่ไม่ใช่เรื่องของกูกับแพท กูหวั่นๆ นะเนี่ย มึงเล่นพูดจริงจังเสียขนาดนี้”เห็นมันถามย้ำบ่อยๆ ตอนแรกกะจะแกล้งอำมันเหมือนกันนะครับ ว่ามันกำลังจะโดนสวมเขา แต่เห็นสีหน้าแล้วอำไม่ลงครับ ไอ้เหมากับแพทนี่คบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วครับ คบกันมาจะ 10 ปีแล้ว แถมเริ่มมีวางแผนเรื่องการแต่งงานไว้แล้วด้วย ถ้าเกิดเรื่องนี้เกิดกับมัน มันคงจะเสียใจไม่น้อย ผมเลยต้องรีบย้ำกับมันอีกครั้งว่า เรื่องที่ผมสมมติขึ้นมา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตรักของมันเลย

“มึงคิดว่าน้องชะเอมเป็นคนยังไง”ผมตัดสินใจหยั่งเชิง ลงไปกับเรื่องที่ผมรับรู้มา

“อย่าบอกนะว่านี่เอมมีกิ๊กอีกแล้ว”อีกแล้วงั้นเหรอ หมายความว่ายังไงกัน

“มึงเล่ามาเลยอย่าลีลาไอ้ตี้”พอไอ้เหมาเองก็น่าจะรู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน ผมเลยเล่าเรื่องที่ผมรับรู้มาให้กับไอ้เหมาฟังอย่างละเอียด แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมเล่าไปไม่ได้สร้างความประหลาดใจอะไรแก่ไอ้เหมาเลย

“สรุปควรทำยังไงต่อ”ผมถามย้ำไอ้เหมา เพราะเมื่อมันฟังผมจบ ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร หรือไม่ได้มีคำแนะนำใดๆ ต่อ ว่าควรจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ หรือควรจะบอกเรื่องนี้กับชาร์ปดี

“จริงๆ กูก็ไม่เชิงอยู่ในสถานการณ์เดียวกับมึงหรอก แต่มันเคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น เหมือนเอมคบซ้อนกับอีกคนตั้งแต่เริ่มคบกับชาร์ป มันแรกๆ แล้วพอชาร์ปรู้เค้าก็ยังคบกันเหมือนเดิม แล้วเอมบอกกะกูว่าไอ้ชาร์ปเป็นคนขอร้องไม่ให้เอมเลิกกะไอ้ชาร์ป ซึ่งจริงๆ กูไม่ค่อยจะเชื่อ แต่ชาร์ปมันก็ยังคบกับเอมต่อ กูเลยไม่ได้อะไร เพราะมันก็เรื่องของเค้าสองคน ให้มันตัดสินใจกันเอง แต่ก็มีอีกครั้งที่กูกับแพท เคยเตือนเรื่องการบริหารเสน่ห์ของเอม เพราะหลังจากทั้งสองกลับมาคบกัน เอมเองก็ยังมีคนใหม่เข้ามาติดพันอีก แถมเอมยังหาว่ากูกับแพทเสือกเรื่องของเค้าอีกตะหาก แม้ไม่ได้ว่าแบบตรงๆ แต่ความหมายที่เอมสื่ออกมาก็คือกูอย่าไปเสือกเรื่องของเค้าเลย”พอได้ฟังแล้วผมรู้สึกว่าดีที่ผมมาคุยกับไอ้เหมาก่อน เพราะจากที่ฟัง ชาร์ปเองคงรักเอมมากถึงได้ยอมเอมขนาดนี้ อย่างว่าแหละครับ มันชีวิตเค้า เค้าอาจจะรับได้ ในสิ่งที่เรารู้สึกรับไม่ได้ก็เป็นไป

“มึงก็บอกเองว่า เค้าเพิ่งเหมือนจีบๆ กันเฉยๆ มันอาจจะยังไม่ได้มีอะไรก็ได้ อย่าคิดมากเลยมึง”นั่นสิเนอะ ที่ผมเก็บเอามาคิดนี่ ผมคิดแทนเค้าทั้งนั้นเลย ในเมื่อชาร์ปยอมปล่อยให้เอมออกมาเที่ยวได้ ก็แสดงว่าชาร์ปก็ต้องยอมรับได้ระดับนึงที่ปล่อยแฟนมาเที่ยวคนเดียว อีกอย่างเค้าอยู่บ้านเดียวกันขนาดนั้นเอมจะกล้าคบคนอื่นอีกเหรอ ถ้าคบคนอื่นอีกเอมจะปลีกเวลาออกมาจากชาร์ปได้ยังไงละเนอะ

“เอมโทรมาว่ะมึง”ผมหยิบโทรศัพท์หันไปโชว์หน้าจอให้ไอ้เหมาดู นี่เหมือนน้องชะเอมจะมีญาณทิพย์รึเปล่าเนี่ย แค่พูดถึงแค่นี้ถึงกับต้องโทรมาแบบนี้ ผมกดรับสายด้วยน้ำเสียงปกติ และเหตุผลที่เอมโทรมาหาผมในวันนี้เพื่อจะชวนไปทานข้าวเย็น ซึ่งไม่ใช่ที่บ้านของชาร์ป แต่เอมนัดสถานที่เป็นร้านๆ นึง ที่ก็ไม่เชิงร้านอาหารเสียทีเดียว เพราะคนที่ไปนั่งร้านนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะไปนั่งดื่ม ชิลๆ กันทั้งนั้น

“ไปกะใครบ้างเนี่ย”ผมถามกลับไปตามความเคยชิน เพราะปกติเวลาเอมโทรมาชวนแบบนี้ เอมมักจะมีเพื่อนติดไปด้วย เอมเองก็เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะพอสมควร ซึ่งผมเองก็ได้เจอเพื่อนของเอมหลายคนแล้วเหมือนกัน แต่บางครั้งคนที่เอมพามาก็ไม่ใช่คนเดิมที่ผมเคยรู้จัก

“เอมไปกับพี่อาร์ทสองคน พี่ตี้จำพี่อาร์ทได้ใช่ไหม”ชื่อบุคคลที่เอมกล่าวถึงทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย นี่ถ้าผมไปกับเอมมันจะยิ่งไม่ตอกย้ำเข้าไปอีกเหรอว่าผมรู้เห็นเป็นใจให้เอมแอบมีกิ๊ก ผมว่าที่เอมกล้าชวนผมเพราะหนึ่ง เรื่องวันก่อนที่ผมเจอนายอาร์ทอะไรนี่ แล้วผมไม่ได้พูดไปให้ถึงหูของชาร์ป และอีกอย่างการมีผมไปด้วย ย่อมทำให้ชาร์ปวางใจยอมเอมมาตามลำพัง

“พี่ขอเช็คงานก่อนได้ไหมว่าวันนี้งานจะเสร็จเร็วรึเปล่า ยังไงเดี๋ยวพี่บอกอีกที”ผมตอบออกไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่อยากกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในเกมนี้สักเท่าไหร่

“โหพี่ตี้อ่ะ มาเหอะ นะๆ เดี๋ยววันนี้เอมเลี้ยงเอง”ชัดเลยครับ นี่กะเอาผมไปเป็นตัวการันตีกะชาร์ป แถมจะปิดปากผมด้วยการให้กินฟรีด้วย ผมยังคงบ่ายเบี่ยงว่าจะให้คำตอบอีกที เพื่อเป็นการไม่ปฏิเสธ ตรงๆ มากเกินไป ผมกะว่าช่วงใกล้เวลาคงจะโทรไปปฏิเสธอีกที เดี๋ยวอ้างเรื่องงานไปก็คงดูไม่จงใจจนเกินไป

“กูไม่ควรไปกับเค้าถูกไหมวะ”ผมถามไอ้เหมาหลังจากเล่าให้มันฟังว่าผมต้องไปเป็นตัวประกันให้กับน้องชะเอม เริ่มรู้สึกว่าทำไมผมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วย

“แต่กูว่านะ มึงไปก็ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยฝั่งผู้ชายเค้าก็อาจจะยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะยังไงเค้าก็คิดว่ามึงเป็นเพื่อนของพี่ชายเอม เค้าต้องคิดบ้างแหละว่าพี่ชายเอม ส่งเพื่อนมาคุมไรงี้ และประเด็นสำคัญที่สุด มึงต้องไปจับตาดูเอม ว่าจะเดินเกมไปทางไหน”แม้จะไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมควรจะทำ แต่ว่าผมก็เริ่มคล้อยตามกับสิ่งที่ไอ้เหมาบอกมา

และท้ายที่สุดผมก็มานั่งอยู่ตรงหน้าชะเอมและอาร์ทผู้ซึ่งชัดเจนว่าจีบชะเอมแน่ๆ แล้ว  ตอนนี้ความคิดผมมันตีกันไปหมดว่านี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทั้งๆ ที่พยายามคิดแล้วว่าอย่ากังวลอะไรให้มาก ยังไงก็แค่มาทานข้าว

“เอมขอรับโทรศัพท์พี่แปปนึงนะคะ”ชะเอมเอ่ยขึ้น เมื่อโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น แม้จะไม่ได้ตั้งใจมอง แต่ผมก็มองเห็นชื่อบนหน้าจอนั่นได้ เอมลุกออกไปคุยในจุดที่ไกลพอที่ทั้งผมและนายอาร์ทนี่จะไม่ได้ยินบทสนทนา สำหรับผม ผมทราบดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไรเอมถึงไม่คุยตรงนี้ แต่กับนายอาร์ทนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าจะคิดยังไง แต่จริงๆ อาจจะไม่ได้คิดอะไร เพราะคงมองว่าเป็นการปลีกออกไปรับโทรศัพท์ธรรมดา

“พี่ตี้ครับ พี่ชายเอมนี่เค้าหวงน้องสาวมากเลยเหรอครับ”เสียงอีกคนที่ยังเหลืออยู่ในโต๊ะ เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงสบายๆ แม้เราจะเพิ่งเจอกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่ดูเหมือนเค้าเองจะไม่ได้มีอาการเกร็งหรืออะไรที่จะพูดคุย กลับกลายเป็นผมเสียเองที่รู้สึกทำตัวไม่ถูก คงเพราะเอาจริงๆ ผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ได่รู้เรื่องอะไร อาจจะเข้าใจว่าเอมเองยังโสดอยู่ก็เป็นได้

“ทำไมถึงคิดงั้น”ผมถามกลับไปยิ้มๆ แต่ถ้าให้เดาคงไม่พ้นตรงที่เอมหนีบผมมาด้วยนี่แหละ เอมอาจจะบอกว่าพี่ชายต้องให้มีผมมาด้วย ถึงจะยอมให้มา ซึ่งพอได้คุยกัน มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นายอาร์ทนี่บอกว่าเอมให้เหตุผลที่ต้องมีผมมาด้วยเพราะพี่ชายไม่ยอมให้ไปไหน มาไหนกับผู้ชาย สองต่อสองเวลากลางคืน โอ้โห ดูเป็นสาวน้อยไร้เดียงสามากๆ เลย อย่างที่ใครๆ ว่า มารยาหญิงนี่มันร้อยเล่มเกวียนจริงๆ ตอนนี้เลยไม่รู้จะสงสารใครดี ทั้งชาร์ป ทั้งอาร์ท เนี่ย ตอนนี้ความรู้สึกผมเริ่มติดลบกับเอมหน่อยๆ แล้วล่ะครับ แม้ผมจะไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้เป็นคนมีศีลธรรมอะไรนักก็เหอะ แต่มันก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าเอมผิดที่ทำแบบนี้ แต่นี่มันก็แค่ในมุมของผม เพราะในมุมของเอม เอมอาจจะคิดว่าเธอก็คงต้องเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองอยู่แล้ว

จากการพูดคุยทำให้ผมรู้ว่าเอมรู้จักกับผู้ชายคนนี้เพราะมีเพื่อนของเพื่อนแนะนำให้รู้จักกันอีกที วันนี้เราก็ทานข้าวไปดื่มไปนิดหน่อย เอมก็มีการถ่ายรูปคู่กับผมเป็นการไปยืนยันกับชาร์ปว่ามากับผมจริงๆ นี่ไม่รู้ว่าชาร์ปเริ่มระแวงจนต้องทำแบบนี้ หรือว่าเอมเองที่ร้อนตัวสร้างเกราะป้องกันไว้ก่อน และแน่นอนตอนแยกย้าย อาร์ทขอเป็นคนไปส่งเอม และผมก็ไม่ได้ขัดอะไร แถมตอนจ่ายตังค์ผมจะช่วยจ่าย ฝั่งอาร์ทเองก็ไม่ยอมให้ผมจ่าย มันเลยยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่าผมนี่แหละอาจเป็นคนที่ร้ายที่สุด เพราะตอนนี้ผมเหมือนรู้เรื่องราวทั้งหมด ว่ามันเป็นยังไง แต่ก็ยังปล่อยให้เอมเดินเกมนี้ต่อไป ถ้าในตอนสุดท้ายที่เกมจบลง แล้วใครสักคนที่เอมไม่ได้เลือก คนนั้นคงจะเคืองผมอยู่ไม่น้อย

ถ้าเรื่องนี้จบลงที่เอมเลือกกลับไปหาชาร์ป แค่มาบริหารเสน่ห์กับอาร์ท ผมคงไม่รู้สึกอะไรมากเพราะก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอาร์ทอยู่แล้ว และผมคงปล่อยให้เหตุการณ์พวกนี้จางหายไป แต่ถ้าเกิดเอมตัดสินใจเลือกอาร์ท ชาร์ปเองจะยังยอมเป็นเพื่อนกับผมอยู่รึเปล่า

-------------
แวะมาต่อครับ

ช่วงแรกๆ คงยังไม่มีอะไรเท่าไหร่

เป็นช่วงเริ่มปูที่มาที่ไปของตัวละครครับ

ยังไงก็ฝากคิดตามด้วยนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 2 คิดไม่ตก 31-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-06-2016 17:49:23
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 2 คิดไม่ตก 31-5-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-06-2016 16:54:55
บทที่ 3
ความรู้สึกที่แปลกไป


หลังจากวันที่ผมไปทานข้าวกับเอมและอาร์ทในวันนั้น ผมก็ยังเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปเป็นสักขีพยานอีกหลายต่อหลายครั้ง จนเริ่มรู้สึกว่านี่ผมเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้หนักเข้าไปทุกที ผมทั้งไปเจอกลุ่มเพื่อนของอาร์ท จากการนัด Hang out บ่อยๆ แถมมันยังทำให้ผมได้รู้อีกว่า ในช่วงที่ชาร์ปไปทำงานต่างจังหวัด คืองานของชาร์ปจะมีต้องออกไปดูงานสาขาที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว อาจจะวัน สองวัน หรือบางทีก็เป็นสัปดาห์ แม้จะไม่ได้ไปบ่อยๆ เฉลี่ยก็แค่เดือนละครั้ง หรือ 2 ครั้ง แต่นั่นก็เป็นเวลาที่ทำให้เอมสามารถไปไหนมาไหน กับอาร์ทได้มากขึ้น แถมไม่ต้องหนีบผมไปด้วยอีกต่อไป จากการประเมินของผมในตอนนี้ เหมือนเอมจะเอนเอียงมาทางอาร์มเสียแล้ว

คงเพราะอาร์มมีหลายๆ สิ่งที่เอมคิดว่าชาร์ปขาด ที่เห็นได้ชัดคงเป็นเรื่องเวลา จุดนี้จริงๆ ผมก็คิดว่าชาร์ปเองก็คงมีส่วนผิด ผมเคยคุยกะชาร์ปว่าทำไมทุ่มเทกับงานมากขนาดนี้ คำตอบของชาร์ปคือเค้าบอกว่าอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ถ้าแต่งงานมีลูกไปจะได้ไม่ลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ผมว่าการทุ่มเทให้กับงานแบบนี้ชาร์ปก็ต้องดูอีกคน ที่คิดจะร่วมใช้ชีวิตด้วยว่า เค้าแฮปปี้หรือเปล่า กับการที่ชาร์ปทุ่มเวลาให้กับงานขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเอมเองไม่ได้รู้สึกยินดีกับสิ่งที่ชาร์ปกำลังทำ เพราะหลายๆ ครั้งก็เป็นชาร์ปเองที่ละเลยชะเอม ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมเข้าข้างชะเอมนะครับ เพียงแต่บางเรื่องที่เห็น เราเองก็รู้สึกว่าชาร์ปเองก็ปรับได้ ถ้าเพียงแต่สังเกตชะเอมดูสักนิด

อีกประเด็นที่ผมว่าชัดเจนกับสิ่งที่ชาร์ปขาดและเอมต้องการ ก็คงไม่พ้นเรื่องการสังสรรค์นี่แหละครับ อย่างที่ผมรู้สึกตั้งแต่แรกว่าสองคนนี้มีความต่างกันมาก ชะเอมเป็นสาวเปรี้ยว สวยเฉี่ยว ชอบการเข้าสังคมยังคงสนุกกับการเที่ยวเตร่ แต่ชาร์ปกลับเป็นคนเรียบๆ ไม่ค่อยชอบเที่ยว แถมยังไม่ค่อยแต่งตัว หรือดูแลตัวเอง ทั้งที่จริงๆ ผมว่าชาร์ปเป็นคนหน้าตาดีคนนึง แต่อย่างนึงที่บดบังความหล่อของเค้าคือแว่นสายตาที่ชาร์ปใส่นั่นแหละครับ

“เหม่ออะไรเนี่ย”เสียงทักทายทำให้ผมหยุดความคิดทั้งหมดไว้ เพราะบุคคลที่เป็นตัวละครในความคิดผม คือคนที่เอ่ยทักทายขึ้น วันนี้ ผมนัดกับไอ้เหมามานั่งชิลๆ เหมือนเดิม แต่ไอ้เหมารอรับแพทอยู่ ผมเลยมารอที่ร้านก่อน แต่ไม่เห็นไอ้เหมาบอกว่าชาร์ปก็จะมาด้วย

“มาไงนิ”ผมไม่ได้ตอบคำทักทายที่เป็นคำถามกลายๆ ของเค้า แต่ผมเลือกที่จะย้อนคำถามกลับไปให้อีกฝ่าย แล้วยิ่งพยายามสอดส่ายสายตาดูแล้วว่า ชะเอม ไม่ได้มากับชาร์ปด้วย เพราะปกติถ้านัดเจอกันทุกครั้งที่ชาร์ปมา ชะเอมก็ต้องมาด้วยตลอด

“ขับรถมาไง เรามรถ เราขับรถเป็น”แหม ถ้าเป็นเพื่อนสนิทมากๆ แบบไอ้เหมาตอบแบบนี้ ผมคงชูนิ้วกลางใส่ไปแล้วครับ มุก 5 บาท 10 บาท ก็ยังจะเล่น แถมพอเล่นมุกแล้วยังมาทำหน้าระรื่นน่าหมั่นไส้ ใส่อีก อายุ 5 ขวบหรือไงพ่อคุณ

“ต้องขำไหม”แม้ในใจจะแอบอยากด่าไปแล้ว แต่อย่างที่บอก ตัวผมเองรู้สึกว่ายังไม่ได้สนิทกับเค้าขนาดที่จะเล่นหัวได้ทุกเรื่อง เลยทำเพียงตอบกลับ ยิ้มๆ แบบกวนๆ ส่งคืนไปเท่านั้น

“พอดีถูกเราถูกทิ้ง”ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงขอคำอธิบายเพิ่ม เพราะไม่มั่นใจว่านี่เค้าจะเล่นมุกอะไรอีกไหม หรือหมายความว่ายังไงกันแน่ จากหน้าระรื่นในตอนแรก ได้ถูกปรับโหมดเป็นหมาหง๋อยไปเรียบร้อยแล้วครับ

“ไม่ตกใจเลย เหรอ อุตส่าบอกว่าถูกทิ้งเลยนะเนี่ย ทำไมตี้ยังไม่เห็นสงสารเราเลย ไรว้า ไม่หนุกเลย”นั่นไงครับ บางทีไอ้บุคลิค เนิร์ดๆ ภายนอกนี่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเนิร์ดไปเสียทุกอย่างนะครับ อย่างหนุ่มแว่นคนนี้ดูมีความพยายามจะเป็นเนิร์ดสายตลก แต่ผมว่าเป็นแว่นตลกมุกแป้กเสียมากกว่านะครับ

“สรุปไปยังไง มายังไง นัดกับไอ้เหมาไว้ หรือยังไง”ผมส่ายหน้า ขำๆ ให้กับเค้าก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟ ขอแก้วเครื่องดื่มให้เค้า เพราะดูแล้วชาร์ป ก็คงมาร่วมโต๊ะกับผม และไอ้เหมานี่แหละครับ

“ก็ถูกทิ้งไง เอมเค้ากลับบ้านที่เหนือ เราเลยโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว โทรหาไอ้เหมาเพื่อนเลิฝมันเลยว่าให้มาที่นี่แหละ”นี่แค่แฟนกลับบ้านต่างจังหวัด ถึงขั้นอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลยรึไงคุณแว่น

“อ๋อ”ผมรับคำสั้นๆ เพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ

“แล้วตกลงตอนเรามา ตี้เหม่ออะไรอ่ะ คิดถึงแฟนอยู่เหรอ”ดูหน้าตาคนถามนี่แลจะสนุกมากเลยนะครับ แถมสายตาเจ้าเล่ห์นั่นอีก บางทีก็นึกหมั่นไส้คุณแว่นนี่เหมือนกันนะครับ ดูเค้าเป็นคนมีความสุขตลอดเวลา แบบมีความสุขมากไปจนน่าหมั่นไส้ พอจะนึกภาพออกไหมครับ

“แฟนเฟินอะไรล่ะ ก็บอกแล้วว่าโสดมาตั้งนานแล้ว”ผมตอบออกไป แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย เพราะรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ กับสายตาของอีกฝ่าย

“นั่นแน่ บอกไม่มี แต่ หลบตา ดูมีพิรุธนะเนี่ย ตี้เองก็ออกจะดูดีขนาดนี้ หน้าตาจะมองว่าหล่อก็หล่อ ดูเป็นสไตล์พิมพ์นิยม รูปร่างก็ดูลีนๆ ไม่ได้ผอมบาง แต่ก็ไม่ได้ล่ำจนเกินไป ดูๆ แล้วตี้น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายลำดับต้นๆ ของวงการนี้นะ”เอ่อคุณแว่นครับ ถ้าวิเคราะห์ละเอียดอีกนิดนี่จะกลายเป็นกูรูด้านรูปร่างและรสนิยมของผมแล้วนะครับ

“พอๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว มาๆ ชนแก้วดีกว่า”ผมพยายามเปลี่ยนบทสนทนาเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาคุยเรื่องนี้กับคุณแว่นนี่

“เนี่ย ไหนหันหน้ามาตรงๆ ดิ ออกจะดูดีขนาดนี้”ผมรีบเอนตัวออกพร้อมเบี่ยงหน้าหลบ เพราะเจ้าของคำพูดเอื่อมมือมาเชยปลายคางผมให้หันหน้าหาเค้า โดยที่ตัวเค้าเองเตรียมจ้องผมอยู่แล้ว ผมบอกปัดอีกครั้งว่าไม่คุยเรื่องนี้แล้ว และไม่กล้ามองหน้าเค้าตรงๆ เนื่องจากตอนนี้สัมผัสได้ว่าใบหน้าของตัวผมเองเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา และมันคงเริ่มเปลี่ยนสีแล้วไม่มากก็น้อย

“เป็นไรเนี่ย หน้าแดงเชียว เขินเหรอ”เขินงั้นเหรอ ผมเขินคุณแว่นเนี่ยนะ ผมแค่รู้สึกแปลกๆ กับสายตาที่จ้องนั่นต่างหาก ผมไม่ได้เขิน

“เลิกพูดเล่นได้แล้ว”ผมพูดย้ำเสียงเรียบก่อนจะยกแก้วเบียร์ดื่มรวดเดียวหมด หวังให้ความเย็นของเครื่องดื่ม ให้ช่วยดับความร้อนภายในของผมตอนนี้ แต่อีกฝ่ายดูจะยังสนุก และหัวเราะน้อยๆ กับการกระทำของผม

“บอกแล้วว่าปาร์ตี้เนี่ยดูดีจะตายไป ยิ่งตอนเขินแบบนี้ยิ่งน่ารัก ถ้าเราเป็นเกย์นะเราจีบปาร์ตี้ไปแล้ว”คำพูดพร้อมสายตายิ้มๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องเว้นช่องว่างกับคุณแว่นนี้ให้มากขึ้น ผมรู้ว่านี่เค้าก็แค่แซวผมเล่นๆ แต่บางทีมันก็ต้องมีขอบเขต ขอบเขตที่จะไม่กระทบกับความรู้สึกของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นผมเองที่แหละอาจจะโดนแรงกระทบ เพราะงั้นผมเองนี่แหละที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง โดยการเพิ่มระยะปลอดภัยระหว่างผมกับคุณแว่นนี่

โชคดีของผมที่ไอ้เหมาและแพทมาถึงพอดี ทำให้ผมไม่ต้องทนกับความรู้สึกลำบากใจเมื่อสักครู่นานจนเกินไป แต่ผมลืมคิดไปว่า เหตุการณ์ต่อจากนี้มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างเดิมเท่าไหร่

“เอ้าไอ้เชี่ยชาร์ป ลุกสิว่ะ กูจะนั่งกะแพท มึงไปนั่งเป็นคู่เกย์กะไอ้ตี้โน่น”ถ้าปกติ ผมจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนี้ แต่ครั้งนี้มันกลับรู้สึกต่างออกไป ผมกลับรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ไอ้เหมาพูดออกมา

“เอ้า แล้วไมมึงไม่บอกตี้ให้เป็นฝ่ายย้ายมานั่งกะกูล่ะ ตี้มาๆ มาเป็นคู่เกย์กันฝั่งนี้ดีกว่า”ประโยคแรกที่คุณแว่นพูดกับไอ้เหมานี่ไม่เท่าไหร่นะครับ แต่ประโยคหลังที่เค้าหันมาพูดกับผมนี่สิครับ

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เดี๋ยวแพทนั่งกับตี้เอง ตัวเองก็นั่งเป็นคู่เกยยยย์...กับชาร์ปไปละกัน”แพทหันไปสั่งไอ้เหมาพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ผม แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าไม่มาเน้นคำว่าเกย์เนี่ย วันนี้ดูทุกคนใช้คำนี้พร่ำเพรื่อกันเหลือเกิน จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์ หรือถูกเรียกว่าเกย์ แต่บางทีก็ไม่ค่อยอยากให้มาย้ำกันขนาดนี้

“ไม่เอาอ่ะ เค้าอยากนั่งกะตัวเอง”เพื่อนเหมาครับ เพื่อนคงคิดว่าสิ่งเพื่อนอ้อนแฟนนั้นมันดูน่ารักมุ้งมิ้งสินะ แต่เดี๋ยวผมคงต้องบอกมันแล้วละครับว่าไปมุ้งมิ้งกันที่บ้าน 2 คนจะดีกว่า เพราะผมเห็นมันทำแล้วแทบจะขนลุก ก็ผู้ชายตัวโตๆ หนวดเคราก็ไม่ค่อยจะโกน มันดูไม่เข้ากันเลยกับไอ้ที่มันทำตะกี้

“มึงส่ายหน้าทำไมไอ้ตี้ ลุกมาเลยให้ไวจะได้จบๆ”นั่นแหละครับ สรุปแล้วสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนที่ต้องย้ายที่นั่งไปหาคุณแว่น

“หายเขินแล้วใช่ไหม”พอผมนั่งลง คุณแว่นก็เอียงตัวมาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบให้ผมได้ยินแค่คนเดียว ซึ่งสิ่งที่เค้าถามมันทำให้ผมต้องขยับตัวให้ห่างจากเค้าเพิ่มขึ้นอีก แต่สิ่งที่คุณแว่นทำ ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของไอ้เหมา

“กระซิบอะไรกัน นี่แค่แฟนไม่อยู่มึงจะเล่นเพื่อนเลยเหรอไอ้ชาร์ป แค่มึงนั่งข้างกันเฉยๆ ก็เหมือนเป็นคู่เกย์แล้ว ไม่ต้องมากระซงกระซิบอะไรกันอีกหรอก”นี่ก็จะขยี้ไปถึงไหน เข้าใจนะครับว่าเพื่อนหยอกเล่นๆ แต่ทิ้งช่วงให้ผมปรับความรู้สึกนิดนึงจะได้ไหม

“เลิกเล่นกันได้แล้ว อ่ะเมนูจะกินอะไรก็สั่งมา จะได้เลิกพูดไร้สาระสักที”ผมยื่นเมนูให้ไอ้เหมาพร้อมกับมองคุณแว่นข้างๆ นี่ด้วยสายตาขวางๆ นิดๆ เป็นการปรามให้เค้าเลิกเล่นเช่นเดียวกัน แม้ตอนแรกจะยังมีรอยยิ้มกวนๆ อยู่บ้าง แต่พอไอ้เหมาเริ่มเปลี่ยนประเด็นในการพูดคุย บรรยากาศเลยกลับมาปกติอีกครั้ง เราทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยมีเสียงเพลงจากทางร้าน คลอๆ มาให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย สบายๆ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่ามีแจ้งเตือน facebook messenger จากหัวหน้าของผม จริงๆ ผมเป็นคนที่ปิดแจ้งเตือนโซเชี่ยลไว้แทบทุกอย่างนะครับ แต่ตัวนี้ปกติไม่ค่อยมีใครใช้สื่อสารกับผมเท่าไหร่ เลยไม่ได้ปิดไว้

คือเวลาอยู่กับเพื่อนแบบนี้ผมก็ไม่จับโทรศัพท์สักเท่าไหร่ เพราะทุกคนก็ไม่มีใครสนใจโทรศัพท์เช่นเดียวกัน คือทุกคนเห็นตรงกันว่าในเมื่อมาเจอกัน ก็ควรให้ความสำคัญกับคนตรงหน้ามากกว่าหน้าจอโทรศัพท์

“ตอบแชทพี่ชาญแปปนะ”ผมเอ่ยชื่อหัวหน้าเป็นการบอกทุกคนว่า ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าจอมากกว่าทุกคนตรงหน้านี้ แต่ผมมีเหตุผล ที่ทุกคนก็จะคุ้นชินกับเรื่องนี้ หัวหน้าผมมักจะชอบมาคุยเรื่องงานกับผมในเวลาที่เลิกงานแล้วแบบนี้ประจำ ซึ่งบางครั้งนี้ก็ไม่พ้นเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะเป็นเรื่อง เพราะพออ่านข้อความจบ ผมก็แทบจะมองบนแทบทันที

“อะไรอีกว่ะรอบนี้”ไอ้เหมาที่เห็นอาการหน่ายๆ ของผมเอ่ยถามขึ้น

“ขี้เกียจหาเมล ที่ออแกไนซ์ส่งมาให้อาทิตย์ก่อน แล้วเมลนี้กูก็ได้ไง เลยจะให้กูส่งให้เค้าใหม่ และจะเอาเดี๋ยวนี้”ผมบ่นไปแต่ มือก็กดดูอีเมลในมือถือไป คงต้องขอบคุณเทคโนโลยี ที่สมาร์ทโฟนสามารถทำให้ผมแก้ปัญหานี้ได้ ไม่งั้นผมคงต้องหงุดหงิด ที่ต้องวิ่งหาคอมพิวเตอร์ ส่งงานให้หัวหน้าสุดที่รัก ผมพยายามดับอารมณ์หงุดหงิดดด้วยการกดเข้าไปดูในแอพพลิเคชั่นยอดฮิตเพื่อดูความเคลื่อนไหว ของเพื่อนๆ ผมเลื่อนหน้าฟีดไปเรื่อยๆ แต่ต้องมาสะดุดกับภาพชุดนึง ที่เพิ่งอัพเดทไปเมื่อช่วงเย็นของวันนี้

“เป็นไร หาเมลไม่เจอเหรอ”คนที่นั่งข้างๆ หันมาถามผม ซึ่งผมตกใจจนต้องคว่ำหน้าจอมือถือลง

“ปะ ปะ เปล่า เจอแล้วกำลังจะส่งเนี่ย”ผมรีบกดหน้าจอออกจากแอพพลิเคชั่นดังกล่าว แล้วกดเข้าหน้าจออีเมลอีกครั้ง แม้นิ้วมือผมจะเลื่อนหน้าจออยู่ที่อีเมล แต่สมองผมกลับคิดถึงรูปที่เพิ่งผ่านตาเมื่อสักครู่


แวะมาต่อ ยังไงฝากติชมด้วยนะครับ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 3 ความรู้สึกที่แปลกไป 03-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-06-2016 11:53:18
บทที่ 4
ความจริงใกล้เปิดเผย

“เอาไงว่ะ”ผมเอ่ยถามกับไอ้เหมาหลังจากให้มันดูรูปที่ผมกดเซฟมาจาก facebook ของชะเอม สิ่งที่ชะเอมบอกกับทุกคนคือ เธอกลับบ้านต่างจังหวัดที่เหนือ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือภาพชะเอมอยู่บนเรือยอร์ชที่ภูเก็ต ที่ข้างๆ กาย มีอาร์ทซึ่งดูมีความสนิทสนมมากกว่าเพื่อนธรรมดาแน่นอน สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจคือทำไมชะเอมกล้า ลงรูปนี้

แม้ชะเอมกับชาร์ปจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันบน facebook รวมถึงไอ้เหมากับแพท ที่โดนชะเอมลบออกจากลิสต์เพื่อนใน facebook ไปแล้วและเอมก็โพสต์ให้แค่คนเป็นเพื่อนเห็นก็เถอะ  แต่ผมก็ยังเป็นหนึ่งคนที่ได้เห็น แล้วชะเอมมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับชาร์ป หรือชะเอมมั่นใจแล้วว่าจะเลือกอาร์ท เลยไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรชาร์ปอีก

“กูว่าคงต้องบอกไอ้ชาร์ปมันแหละว่ะ”ไอ้เหมาเป็นคน ตัดสินใจ แต่จริงๆ ผมเองก็ตั้งใจจะให้เหมามันเป็นคนบอกชาร์ปแหละครับ เพราะถ้าให้ผมบอกเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน แต่อย่างไอ้เหมาที่สนิทกันมานาน อาจจะมีวิธีการที่ดีกว่าผมแน่นอน แต่แล้วบทสนทนาของผมกับไอ้เหมาก็สะดุดลง เพราะสายโทรเข้าจากชะเอม จากที่เห็นการเคลื่อนไหวในโซเชียล ทำให้ผมรู้ว่าชะเอมกลับมาจากภูเก็ตแล้ว

“ว่าไงเอม”ผมกรอกเสียงลงไป ให้ดูปกติโดยมีไอ้เหมาที่พยายามแนบหูมาฟังบทสนทนา จนผมต้องเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพงให้มันได้ยินด้วย

“พี่ตี้อยู่ไหน เอมไปหาได้ไหม”ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ผมหันหน้ามองไอ้เหมาเพื่อขอความเห็น

“พี่อยู่บ้านไอ้เหมา เอมเป็นไรหรือเปล่า”ผมตอบออกไปตามความจริง

“งั้นเดี๋ยวเอมไปหานะพี่”พูดจบชะเอมก็วางสายไป และเพียงครู่เดียว ก็เป็นชาร์ป ที่โทรหาไอ้เหมา ทำให้ผมกับไอ้เหมาได้รู้ว่า ชะเอมกับชาร์ปทะเลาะกัน แล้วเรื่องที่ทะเลาะกันนี่ มันดูไม่น่าเป็นเรื่องที่จะเอามาทะเลาะกันได้เลย คือคู่ทั้งคู่ไปกินซีฟู้ดด้วยกัน แล้วชาร์ปไม่ยอมแกะกุ้งให้ชะเอม คือฟังๆ แล้วมันก็พอให้เป็นเรื่องงอนกันนิดๆ หน่อยได้นะครับ แต่ถึงขั้นทะเลาะกันแล้ว ชะเอมลุกออกจากร้าน เรียกแทกซี่ออกมาเลยนี่ มันก็ดูจะเป็นอะไรที่ผมเข้าไม่ถึงสักเท่าไหร่แหละครับ

“ไอ้ชาร์ปบอกว่าเดี๋ยว เอมอารมณ์เย็นลงแล้วจะมารับ ยังไม่อยากคุยตอนกำลังงี่เง่า เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่”สิ่งที่ไอ้เหมาบอก ทำให้ผมรู้สึกว่านี่คงไม่บ่อยนักที่ชาร์ปกับชะเอมจะทะเลาะกัน เพราะตั้งแต่ผมรู้จักทั้งคู่มา ผมก็ไม่เคยเห็นคู่นี้ทะเลาะกันเลย อีกอย่างทุกทีก็เห็นชาร์ปยอมตามใจชะเอมตลอด

“กูเอารูปให้ไอ้ชาร์ปดูตอนนี้เลยไหมว่ะ”ไอ้เหมาหันมาขอความเห็นจากผม แต่ผมไม่ได้ออกความเห็นใดๆ อีก สรุปแล้วไอ้เหมาดันมาเกี่ยงให้ผมเป็นคนบอกชาร์ป โดยให้เหตุผลว่า ในเมื่อผมเป็นคนที่รับรู้ทุกอย่างมาทั้งหมด ผมก็ควรเป็นคนอธิบาย เรื่องราวเพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วน แต่ก็นั่นแหละครับ ท้ายที่สุดทั้งผมและไอ้เหมา ก็ไม่มีใครกล้าบอกชาร์ป

จริงๆ ผมเคยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยกับการที่จะบอกเรื่องนี้ แต่พอสถานการณ์มาถึงตอนนี้ กลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย เพราะผลที่จะตามมา มันดูไม่มีทางไหนออกมาดีเลย ถ้าชาร์ป รับได้กับเรื่องนี้ เอมยอมตัดขาดจากอาร์ท แล้วทั้งคู่คบกันต่อ ไม่ว่าจะผมหรือไอ้เหมาที่เป็นคนบอกก็คงเข้าหน้าชะเอมไม่ติดแน่นอน หรือถ้าชาร์ปเลือกที่จะเลิกกับเอม แล้วระหว่างเอมกับอาร์ทไปกันไม่รอด ผมว่าผมคงโดนชะเอมอาฆาตเลยละมั้ง ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าผลออกมาแบบนั้น ถึงผมจะมองว่ามันก็เป็นผลจากสิ่งที่เอมสร้างมาเอง แต่ก็อดที่จะเห็นใจเอมไม่ได้ เพราะนี่ก็กิน เที่ยวด้วยกันมาพอสมควร เอมก็เหมือนเพื่อนผมคนนึงแหละครับ

ผมเสียอีกที่ไม่รู้จักเตือนเอม ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง แต่กลับปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้

“มาแล้วมั้ง มึงรับหน้าไปก่อนเดี๋ยวกูไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับ”พูดจบไอ้เหมาก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยผมนั่งอยู่ที่ศาลาหน้าบ้านมัน เพื่อรอต้อนรับ ชะเอม

ชะเอม เข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าระหว่างทางมานี่ช่วยให้เจ้าตัวอารมณ์เย็นลง หรือว่าจริงๆ แล้วชะเอมแค่หาเรื่องชวนทะเลาะ เพื่อเหตุผลอื่น ชะเอมเล่าว่าไม่ชอบใจที่ชาร์ปขึ้นเสียงใส่ พ่อแม่เอมเองยังไม่เคยตวาดเอมเลย ซึ่งผมฟังแล้วก็แค่เออ ออ ตามเพราะฟังแล้ว สำหรับผมก็ยังรู้สึกว่ามันคือ  เรื่องไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย

“ตกลงนี่โมโหแค่เรื่องนี้ หรือมีประเด็นอื่นอีกเนี่ย”ผมเลียบๆ เคียงๆ เพราะค่อนข้างปักใจไปแล้วว่าช่วงนี้เอมเอนเอียงไปทางอาร์ทมากแล้ว

“ไม่รู้เหมือนกันพี่ สงสัยประจำเดือนมาด้วย มันเลยหงุดหงิดอ่ะพี่”อ้าว สรุปแค่วันนั้นของเดือนหรอกเหรอ

“แล้วไปเที่ยวภูเก็ตมา เป็นไงบ้าง”ชะเอมดูชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมถาม

“ก็ดี ว่าแต่พี่ตี้เห็นรูปด้วยเหรอ”คราวนี้เป็นผมเองที่แปลกใจ ว่าทำไมเอมถึงคิดว่าผมจะไม่เห็นรูป หรือเอมแค่ถามออกมาแก้เก้อ

“พี่เหมาไม่รู้เรื่องที่เอมไปภูเก็ตใช่ไหม”คำถามต่อมาขอเอมทำให้ผม ต้องโกหกออกไป แล้วก็พยามให้ไม่มีพิรุธ บางทีผมก็เริ่มคิดนะ ว่าคนที่ไม่จริงใจที่สุด จริงๆ แล้วอาจจะคือผมเอง ผมเหมือนที่รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องกับแต่ละฝ่าย แต่ผมก็ยังเฝ้ามองเรื่ิองนี้ให้ดำเนินไปโดยที่ไม่ได้ ทำให้มันถูกต้อง

“เป็นไง ใจเย็นลงยัง จะได้ให้ไอ้ชาร์ปมันมารับ”ไอ้เหมาที่เดินออกมาพร้อมเหยือกน้ำเอ่ยทักทายชะเอม

“เค้าโทรมาฟ้องพี่เหมาเหรอ”ชะเอมถามกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงอนๆ

“อย่าเรียกว่าฟ้องเลย ก็แค่โทรมาระบายแหละ ปกติชาร์ปมันก็ยอมเอมตลอดนิ นี่เอมไม่ได้งี่เง่าอะไรใส่มันก่อนใช่ไหม”แม้ไอ้เหมาจะถามด้วยน้ำเสียงที่เล่นทีจริง แต่ดูจากสีหน้าชะเอมดูจะไม่ชอบใจกับประโยคนี้สักเท่าไหร่

“พี่ก็เข้าข้างแต่เพื่อนพี่อ่ะ”และไม่ทันที่ไอ้เหมาจะได้ตอบโต้อะไรกับเอมอีก เพราะโทรศัพท์ของเอมดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ผมสังเกตเห็นเอมชะงักนิดนึงตอนที่เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา

“ขอไปรับโทรศัพท์เพื่อนก่อนนะคะ”ชะเอมบอกก่อนจะเดินเลี่ยงห่างออกไป ห่างมากพอที่ทั้งผมแบะไอ้เหมาจะไม่ได้ยินบทสนทนาของเธอ

“มึงว่าเพื่อนจริงๆ หรือไอ้ผู้ชายในรูปนั่นวะ”และทันทีที่กะว่าเอมจะไม่ได้ยินบทสนทนาของเรา ไอ้เหมาก็เปิดประเด็นมาอีกรอบ

“กูจะรู้ไหมล่ะ”ผมตอบออกไปผ่านๆ ทั้งที่ในใจก็คิดแหละครับว่าคงเป็นอาร์ทนั่นแหละ ที่โทรมา

“กูว่าใช่ เพราะถ้าเพื่อน เอมคงคุยต่อหน้าเราไปแล้ว แต่นี่เดินไปคุยห่างขนาดนี้ ชัดเจนแบบไม่ต้องสืบแล้ว”ทางไอ้เหมาคงมั่นใจไปแล้วละครับ

“เดี๋ยวเพื่อนเอมจะมารับ คงไม่อยู่รบกวนแล้วนะคะ”หลังจากคุยโทรศัพท์เรียบร้อย ชะเอมก็กลับมาบอกด้วยน้ำเสียงที่กึ่งๆ ออกไปทางประชดประชันหน่อยๆ

“แล้วจะให้พี่บอกเพื่อนพี่ว่าน้องชะเอมคนสวยไปไหนดีละครับ เพื่อให้เพื่อนที่ไม่เป็นห่วง”ดูเหมือนไอ้เหมาเองก็มีการประชดประชันกลับไปเช่นเดียวกันเลยละครับตอนนี้

“ถ้าเค้าโทรมาก็บอกไปละกันค่ะ ว่าเอมไปกะเพื่อน เดี๋ยวสบายใจเมื่อไหร่จะให้เพื่อนไปส่งเอง”พูดจบชะเอมก็ดึงแขนผมมาอีกทาง เพื่อกระซิบบางอย่าง บางอย่างที่ผมแทบไม่ต้องเดา เพราะคนที่จะมารับชะเอม ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาร์ทนั่นเอง และที่เอมดึงผมแยกออกมาจากไอ้เหมา ก็เพราะจะกำชับไม่ให้ผมบอกไอ้เหมาว่า อาร์ทเป็นคนมารับ ซึ่งนี่คงเป็นครั้งแรกที่เอมกำชับผมแบบนี้ แสดงว่าตอนนี้เอมเองคงเริ่มตระหนักแล้วว่า อาจจะเชื่อใจผมไม่ได้อีกต่อไป ว่าผมจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่ให้ไปถึงหูของชาร์ปหรือคนรอบๆ ตัวชาร์ป

“ผู้ชายในรูปนั่นใช่ไหม”ไอ้เหมาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ชะเอมขึ้นรถไปกับอาร์ม ผมเริ่มคิดว่าจริงๆ แล้วการทะเลาะกันของชะเอมกับชาร์ปในวันนี้ เป็นแค่ฉาก ฉากนึงที่เอมสร้างขึ้นมาเพื่อหาทางออกไปกับอาร์ทรึเปล่า ส่วนการที่แวะมาหาผมนี่ก็อาจเป็นไปได้ที่เอมวางหมากบางอย่างเอาไว้ บางอย่างที่ใช้บอกกับอาร์ท หรืออาจเป็นไปได้อีกอย่างที่จะมากำชับผม ไม่ให้พูดอะไรที่ผลกระทบอาจเกิดกับตัวเธอ

“เอาว่ะ กูคงต้องบอกไอ้แว่นมันจริงๆ แล้วว่ะ คือถ้ามันรู้แล้วจะยังไงต่อก็อยู่ที่การตัดสินใจของมันแล้วแหละ”พอได้ยินไอ้เหมาพูดแบบนี้แล้วผมก็โล่งใจ ที่จะไม่ต้องมาทนแบกรับเรื่องนี้ไว้อีกต่อไป

“มึงว่าชาร์ปจะโกรธกูไหม ที่รู้เรื่องนี้มาตั้งนานแต่ไม่ได้บอกเค้าเนี่ย”แม้จะโล่งใจที่จะไม่ต้องทนเก็บเรื่องนี้ไว้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ก็เรื่องที่ไม่ได้บอกกับคุณแว่นนี่แหละครับ

“เอาน่า ยังไงซะ ก็ไม่ใช่มึงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้มานาน กูเองก็ใช่จะเพิ่งรู้ที่ไหนละ ถ้ามันจะโกรธก็คงไม่มากหรอกน่า”น้ำเสียงของไอ้เหมาเองก็ไม่ได้ดูมั่นใจสักเท่าไหร่หรอกครับ ว่างานนี้คุณแว่นจะไม่โกรธ




แวะมาต่ออีกนิดครับ

เจอจุดไหนผิดพลาด ฝากติชมด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 4 ความจริงใกล้เปิดเผย 08-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-06-2016 20:18:10
ตามอ่านอยู่นะคะ

แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้ยรรยากาศนิยายวายเท่าไรเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 4 ความจริงใกล้เปิดเผย 08-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-06-2016 20:54:46
ทำไมเรารู้สึกว่าท่าทีของชาร์ปที่มีต่อตี้มันแปลกๆค่ะ
ไม่รู้สิเหมือนผีเห็นผีค่ะ   ชาร์ปใส่ใจกับตี้มากไป
จากบทนำเราคิดว่าหลังความจริงเปิดเผย ชาร์ปกับตี้เมาแล้วเลยเถิด  กลัวว่าคนจะมาว่าตี้ว่ารู้ทุกอย่างเรื่องเอมกับอาร์ทแล้วปิดไว้เพราะหวังในตัวชาร์ป   
เอมไปกับอาร์ทแบบนี้อาจจะดูว่าเข้ากัน  แต่ตามจริงอาณทเองก็ไม่รู้นี่ว่าเองมีผัวอยุ่แล้ว    ชอบผู้ชายแนวนี้ก็ต้องทำใจว่าคู่แข่งเยอะ

เชียร์ให้เหมาเล่มอยุ่นะเนี่ย   อยากให้เอมไปเสียที  เกรงแต่ว่าไปแล้ว หมดโปรก็จะคลานกลับมาหาชาร์ปอีกเท่านั้นแหละ

อ่านมาหลายตอนแล้วไม่ได้เมนท์สักที
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 4 ความจริงใกล้เปิดเผย 08-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 08-06-2016 22:57:04
 :call:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 4 ความจริงใกล้เปิดเผย 08-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 09-06-2016 06:09:07
รู้สึกตี้ยื้ดเยื้อเกินไป.. จริงๆควรบอกนานแล้วนะ

รอติดตามน๊าาาา..
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 4 ความจริงใกล้เปิดเผย 08-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-06-2016 07:56:06
บทที่ 5
ผู้หวังดี


“ทำไมดูอารมณ์บูดจังครับ คุณปาร์ตี้”น้ำเสียงกวนตีนจากไอ้เพื่อนเหมายิ่งมาเพิ่มความหงุดหงิดให้ผมอีกเป็นทวีคูณ

“ก็ไอ้เซลล์ของออแกไนซ์ที่จะมาจัดงานสัปดาห์สิ่งแวดล้อม อะไรนั่นไง งานกูก็ไม่ใช่ หัวหน้ากูก็ไปรับมา แถมเซลล์ก็กวนตีนกูอีก หงุดหงิดโว้ยยย”ผมแทบจะตะโกนใส่หน้าไอ้เหมาแล้วครับตอนนี้

“เซลล์ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ”คำถามพร้อมสายตาวิบวับแบบนี้ ยิ่งทำให้อารมณ์ผมยิ่งเดือดครับ เพราะรู้ว่ามันกำลังจะกวนตีนผมอย่างแน่นอน แม้จริงๆ ผมจะเป็นคนมีเหตุผลและเก็บอารมณ์ได้ดี แต่กับไอ้เหมานี่บางทีก็ไม่ต้องมีมารยาทกับมันมากหรอกครับ เพราะมันเองก็ไม่ค่อยมีมารยาทกับผมสักเท่าไหร่

“ผู้ชาย นี่ขนาดกูยังไม่เคยเจอหน้า กูยังไม่ชอบแล้วเลยเนี่ย”ผมยังคงใส่อารมณ์ให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในโหมดที่พร้อมจะเล่นกับมัน แต่ดูแล้วไอ้นี่จะยิ่งท้าทายอารมณ์ของผมเหลือเกิน

“มึงก็จีบเค้าเป็นแฟนไง จบๆ ไปจะได้ทำงานง่ายๆ”นั่นไงครับผมละแทบจะอยากบีบคอมัน กำลังจะลุกไปเตะมันสักทีแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งจะสังเกตเห็นอีกคนที่มากับไอ้เหมาด้วย เป็นคนที่ผมไม่คุ้นหน้าเลย พอไอ้เหมาเห็นสายตาผมมองผ่านมันไปถึงอีกคน มันเองก็คงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว

“ลืมเลย กูพาน้องใหม่มาแนะนำ นี่น้องปลามาช่วยงานกู ส่วนนี่ก็ไอ้ปาร์ตี้ ไม่ต้องไหว้มัน”ทั้งผมและน้องปลาต่างชะงักไปทั้งคู่กับคำห้ามของไอ้เหมา น้องปลาถึงกับยกมือค้าง ผมเองก็แทบจะรับไหว้ค้างกันทีเดียว

“หวัดดีคะพี่ ฝากตัวด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำหนูได้เลยนะคะ”แต่สุดท้ายน้องปลาก็ยกมือไหว้ผม โดยไม่ได้ฟังคำห้ามจากไอ้เหมา ส่วนไอ้เรื่องไม่ให้น้องไหว้ผมนี่ คงไม่ใช่เรื่องดีอีกแน่ๆ แหละครับ

“บอกว่าอย่าไปไหว้ มัน ไอ้นี่ไม่ได้น่าเคารพ ขนาดนั้น อีกอย่างแผนกเราไม่ค่อยต้องพึ่งพาอะไรแผนกมัน อย่าไปสนใจมันมาก”นี่ผมเป็นเพื่อนมันรึเปล่าเนี่ย ดูมันเถอะครับ บอกไปแบบนี้น้องจะเคารพผมไหมละเนี่ย

“น้องปลาอย่าไปสนใจอะไรมันมากนะ บางอย่างถ้ามันบอกอะไรแล้วรู้สึกแปลกๆ ก็มาถามพี่อีกทีได้ ไม่งั้นปลาโดนไอ้นี่แกล้งอำแน่นอน พี่เตือนไว้เลย”อย่าคิดว่ามึงจะให้ร้ายกูได้คนเดียวนะไอ้เหมา ว่าแต่น้องปลาจะรับมือไอ้เหมาไหวไหมละเนี่ย แถมมาเป็นลูกน้องของไอ้เหมาอีก คงเหนื่อยแน่ๆ น้องเอ้ย ยังไงพี่ก็เอาใจช่วยละกันเนอะ

“เออๆ พอเลย อย่ามาหวังใส่ร้ายกูเสียให้ยาก เพราะน้องปลาเนี่ยเป็นรุ่นน้องจากสาขากูเอง”โอ้โหถ้าบอกว่ามาจากสาขาเดียวกับไอ้เหมา ผมคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ น้องปลาคงไม่ใช่แนวใสใสไม่สู้คนอย่างแน่นอน

“พี่ปาร์ตี้ไม่ต้องห่วงว่าหนูจะโดนไอ้พี่เหมานี่แกล้งหรอกค่ะ หนูเป็นหลานรหัสพี่ชาร์ป ถ้ามีอะไรหนูจะฟ้องพี่ชาร์ปให้จัดการ”นั่นไงแสดงว่าความกวนของน้องปลาก็คงไม่น้อยหน้าเหมากับคุณแว่น เสียละมั้ง

พอได้รู้ว่าน้องปลาเป็นรุ่นน้องจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำให้ความรู้สึกสนิทใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จริงๆ บางครั้งการที่เรารับคนจบจากสถาบันเดียวกันเข้ามาทำงานด้วยจะถูกมองว่าเป็นการใช้เส้นสาย หรือกีดกันคนจากสถาบันอื่นที่มีความสามารถ ที่อาจจะดีกว่าอะไรแบบนั้น แต่บางทีเราเลือกคนที่จบจากที่เดียวกัน มันก็คุยกันง่ายกว่า ซึ่งบริษัทพวกผมเองก็ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะรับรุ่นพี่รุ่นน้องจากสถาบันเดียวกันอะไรนักหนาหรอกครับ ก็รับเหมือนทั่วๆ ไป มีการรับสมัคร สัมภาษณ์ปกติ ถ้ามาคุยแล้วโอเค ก็รับหมดแหละครับ ใครๆ ก็อยากร่วมงานกับคนที่มีความสามารถทั้งนั้น เพียงแต่บางทีการจะรับคนเพิ่ม คนภายในองค์กรเองก็จะรู้ก่อน ทำให้ใครที่รู้จักคนภายใน จะมีโอกาสได้เข้ามายื่นใบสมัครก่อน แค่นั้นเอง

น้องปลาที่บอกว่าเป็นหลานรหัสของชาร์ปก็คือ ปลากับชาร์ปอยู่ในสายรหัสนักศึกษาเดียวกัน ตอนปลาเข้าเรียนปี 1 พวกผมก็กำลังเรียนปี 3 การเรียกสายรหัสผมว่าแต่ละมหาวิทยาลัยก็คงเรียกคล้ายๆ กัน น้องปี 1 เรียกพี่ปี 2 ในสายรหัสว่า พี่รหัส ปี 3 ก็จะกลายเป็น ลุงหรือป้ารหัส ปี 4 ก็เป็นปู่กับย่ารหัสตามลำดับ ซึ่งกรณีนี้ ชาร์ปก็เป็นลุงรหัสของน้องปลานั่นเองครับ พอพูดถึงชาร์ปทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ไอ้เหมาบอกว่าจะเป็นคนไปคุยกับชาร์ป แต่จนถึงตอนนี้ผ่านมาจะเป็นอาทิตย์แล้ว ไอ้เหมาก็ยังไม่ได้บอกเลยครับ

“เหมา แล้วเรื่องชาร์ปตกลงมึงเอายังไงนิ”แม้จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผมน่าจะถามตอนอยู่กับไอ้เหมาลำพัง แต่ผมคิดว่าแค่เราคุยกัน โดยไม่ได้ลงรายละเอียดแบบนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องอยู่แล้วก็คงไม่เข้าใจ และ คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“งั้นหนูขอตัวไปดูรายละเอียดงานที่ห้องรอแล้วกันนะพี่”เหมือนน้องปลาจะรู้ว่าผมกับไอ้เหมาจะคุยอะไรที่เป็นส่วนตัว เลยขอแยกตัวออกไปก่อน

“เย็นนี้แหละ เจอกันร้านประจำกูนัดไอ้แว่นไว้แล้ว มึงไปด้วยนะเว้ย”นั่นไงไหนตอนแรกว่าจะไปคนเดียว

“กูน่าจะเลิกช้านะวันนี้ ยังไงกูตามไปทีหลังแล้วกัน”ผมบอกไปตามตรงเพราะวันนี้มีคิวประชุมหลายเรื่องไปหมด อย่างที่เคยบอกว่าหัวหน้าผมมักจะไปรับงาน มาเต็มไปหมด งานอะไรที่เป็นของส่วนรวมไม่มีคนรับก็รับมา นี่คงคิดว่าผมเป็นยอดมนุษย์ ทำได้ทุกอย่าง มาแรกๆ ผมก็เครียดไม่น้อย เพราะแบกรับมาทำคนเดียว แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีการจัดการกระจายงานออกไป แม้แผนกผมจะเป็นคนรับมา แต่มันก็ยังสามารถแบ่งออกไปให้คนอื่นช่วยทำได้ ซึ่งบางทีผมก็มัดมือชกนัดประชุม เอาผู้เกี่ยวข้องเข้ามาช่วย หรือบางทีก็บังคับให้แผนกอื่นๆ ส่งตัวแทนมาช่วย คงเพราะงานผมมันต้องติดต่อกับทุกแผนกในบริษัทอยู่แล้ว เลยไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะจัดการได้

หลังจากแยกกับไอ้เหมา ผมก็แทบไม่ได้พักเลย วันนี้ผมต้องประชุมจนแทบจะอ๊วกออกมาอยู่แล้ว แถมตอนนี้แม้ผมจะไม่มีประชุมต่อแล้ว เพราะเวลาล่วงเลยมาจนจะ 2 ทุ่มอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังมองนาฬิกาข้อมืออย่างเหนื่อยหน่าย เพราะยังเหลือภารกิจอีก 1 อย่างที่ผมต้องติดตาม นั่นคือเรื่องที่ทำผมหงุดหงิดเมื่อเช้า ในเรื่องการจัดซื้อ จัดจ้าง ออแกไนซ์ มาจัดกิจกรรมที่บริษัท จริงๆ งานก็เหลือเวลาอีกหลายเดือน แต่ทางผู้บริหารก็ต้องการความคืบหน้าว่าเตรียมงานไปถึงขั้นไหนแล้ว

จริงๆ งานนี้ผมโทรไปติดต่อเซลล์ 3-4 รอบแล้ว เพราะทางแผนกจัดซื้อเองก็ส่งเอกสารมาแจ้งผมตั้ง เกือบเดือนแล้วว่า เปิด PO หรือใบสั่งซื้อให้กับทางเซลล์ของออแกไนซ์ไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมติดต่อไป ทางเซลล์ก็ยังบอกว่าไม่ได้รับเอกสาร ซึ่งทางจัดซื้อเองก็ส่งอีเมล์ให้ผมดูแล้วว่า จริงๆ ทางเซลล์ก็ตอบรับกลับมาแล้วตั้งแต่วันแรกแล้ว ดันมาบอกผมว่าไม่ได้เอกสาร แถมจะให้ผมส่งเอกสารต้นฉบับไปให้อีก ก็อีกนั่นแหละ ผมสามารถให้ทางแผนกจัดซื้อดำเนินการให้ได้ แต่ความหมั่นไส้ ไอ้เซลล์ไม่ใส่ใจนั่นเลยอยากแกล้งกลับบ้าง คอยดูเถอะงานนี้เจอผมป่วนแน่ๆ

“เสร็จแล้วเนี่ย เหลือไปเอาเอกสารที่จัดซื้อแปปเดียว”ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ที่ไอ้เหมาน่าจะโทรมาเป็นสายที่ 20 แล้ว แต่ผมไม่สามารถรับได้จริงๆ อย่างที่บอก ว่าวันนี้ผมยุ่งเหลือเกิน อีกอย่างผมก็บอกมันไปแล้วว่าวันนี้ผมเลิกค่ำ มันจะอะไรกับผมนักหนาเนี่ย

“กูโทรหาตั้งแต่บ่าย ไลน์ก็ไม่ตอบกูเลย มึงรีบมารับความผิดเลย”อย่าบอกนะว่านี่มันบอกเรื่องของชะเอมกับคุณแว่นไปแล้ว แต่ไหนตกลงว่าจะบอกพร้อมกันตอนไปถึงไง

“เออๆ เดี๋ยวกูรีบไปเลย”ผมกดวางสาย พร้อมกับเปิดดูข้อความต่างๆ โดยเลือกแชทไลน์จากไอ้เหมาเป็นคนแรก จากข้อความที่ไอ้เหมาส่งมาทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย เพราะข้อความแรกที่ส่งถึงผม ตั้งแต่ประมาณบ่าย 2 และสิ่งที่ไอ้เหมาบอกคือ

“ไอ้ชาร์ปรู้เรื่องเอมกับผู้ชายคนนั้นแล้วว่ะ เอาไงดี”

หลังจากนั้นก็เป็นการ เร่งเร้าให้ผมติดต่อมันกลับเสียมากกว่า ถึงตรงนี้ทำให้ผมเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าชาร์ปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ผมไม่ได้เป็นคนบอก ไอ้เหมาก็ไม่ใช่ แล้วชาร์ปรู้มาจากใครกัน แต่ที่แน่ๆ จากข้อความอื่นที่ตามมาของไอ้เหมา บอกได้ว่าตอนนี้คุณแว่นยังรู้อีกด้วยว่า ผมกับไอ้เหมารู้เรื่องชะเอมมาพักใหญ่แต่ไม่ได้บอกเค้า

ผมใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฝ่าฝันการจราจรอันคับคั่งมาถึงร้านที่ไอ้เหมากับคุณแว่นอยู่ แถมพอมาถึงผมก็ต้องหงุดหงิดกับการหาที่จอดรถอีกรีบก็รีบ ยังต้องมาเสียเวลาอีก  คงเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งคงเป็นวันสังสรรค์ของใครหลายๆ คน ตอนนี้ผมวนรถจนจะสุดลานจอดอยู่แล้วยังหาที่จอดไม่ได้เลย แล้วบรรดาเด็กโบกรถวันนี้ก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด มาช่วยโบกผมทีเหอะว่าควรไปต่อทางไหน

“เชี่ยเอ้ย”ผมสบถอย่างหัวเสียเพราะกำลังขับชะลอๆ เพื่อมองหาที่จอด และผมก็มองเห็นแล้ว อีกแค่สัก 10 กว่าเมตรผมจะถึง ผมจึงเปิดไฟกระพริบเป็นสัญญานว่าจะจอด แต่แค่ชั่วจังหวะที่ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ เตรียมจะโทรบอกไอ้เหมาว่าถึงแล้วดันมีคนปาดหน้า ผมเข้าไปจอด

ผมหยุดรอดูหน้าคนที่บังอาจแย่งที่จอดผมไปหน้าด้านๆ แบบนี้ สมองผมรีบจดจำทะเบียนรถคันดังกล่าว ฝังลงไปในความจำ เจอที่ไหนจะขับปาดหน้าแม่ง นี่คือในความคิดนะครับ แต่คนดีๆ อย่างผมถึงเวลาผมก็ไม่ทำหรอกครับ เวลาอารมณ์มันปรี๊ด ความคิดมันก็แย่ตามไปทุกทีแบบนี้แหละครับ ผมรอ ไม่นานนักเจ้าของรถก็เดินลงมา และคงเห็นรถผมที่จอดนิ่ง เลยเดินตรงมาที่ผม

“ก๊อก ก๊อก”เสียงเคาะกระจกรถผมทำให้ผมต้องลดกระจกลงนิดนึง เพื่อดูว่าไอ้หมอนี่ต้องการอะไร

“โทษทีนะครับ ที่ตัดหน้า แต่ช่วยไม่ได้ที่คุณช้าเอง”ผมทำได้แค่อ้าปากค้างครับ ไม่คิดว่าจะเจอคนแบบนี้ หน้าตาก็กวนสุดๆ แต่ดูนิสัยจะกวนกว่าหลายเท่า นี่โตมายังไงถึงยังมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ปากแบบนี้น่าจะโดนตื๊บทุกวันมั้งเนี่ย  คือถ้ามาขอโทษนี่ผมจะไม่อะไรเลย เพราะผมเองก็ช้าเองด้วยส่วนนึง แต่นี่อะไรของมัน มาเยาะเย้ยผมเสร็จก็ เดินไปเลย ไม่รอฟังคำด่าจากผมเลย นี่มันวันอะไรของผม ผมรีบขับเข้าไปในสุดของลานจอดรถ โชคดีที่ยังมีที่ว่างให้ผมจอดอยู่บ้าง ไม่งั้นคงเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความหงุดหงิด

“เป็นไรมาอีกคนละมึง”ไอ้เหมาที่มายืนรอผม เอ่ยทักขึ้น

“ช่างเหอะ สถานการณ์เป็นไงบ้าง ความรุนแรงระดับไหน กูควรรู้อะไรก่อนบ้าง”ผมรีบไล่ความหงุดหงิดจากไอ้คนกวนทีนที่ลานจอดรถออกไป เพื่อเตรียมตั้งรับว่าตอนนี้คุณแว่นจะปล่อยพลังอะไรใส่ผมรึเปล่า นี่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนทำผิดตอนเด็กๆ แล้วโดนจับได้ไม่มีผิดเลยครับ

“มีผู้หวังดี ส่งอีเมลถึงไอ้ชาร์ป พร้อมแนบรูปที่มึงเคยให้กูดูอะแหละครบเซต เลยมึง ตอนแรกกูก็นึกว่ามึงเป็นคนทำ หรือมึงเป็นคนส่ง”อ้าวไอ้นี่ เมลคุณแว่นผมยังไม่มีเลย จะส่งไปได้ไง ว่าแต่คำบอกเล่าของไอ้เหมาทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย ว่าสรุปคือใครกันแน่ที่เป็นคนส่งรูปพวกนั้นให้คุณแว่นดู

“กูจะเอาเวลาไหนไปส่ง วันนี้เวลาจะรับโทรศัพท์มึงกูยังไม่มีเลย”ถ้าผมไม่ได้เป็นคนส่ง เหมาไม่ได้ส่ง แล้วใครกันเป็นคนส่ง

“จะใครส่งก็ช่างก่อน เอาเป็นว่าตอนนี้มึงกับกู ต้องไปรับโทษมันที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่บอกมัน”นั่นสินะ ดูๆ ไปแล้ว ผมเองก็เหมือนเป็นคนที่สมรู้ร่วมคิดกับชะเอมเลยแหละ ถึงตั้งใจจะบอกความจริงกับชาร์ป แต่ท้ายที่สุด เค้าก็รู้จากคนอื่นอยู่ดี

“ตกลงระดับความเดือดของอารมณ์ ชาร์ปนี่อยู่ระดับไหนแล้วว่ะ”ผมถามออกไปอย่างหวาดๆ ส่วนไอ้เหมาไม่ได้ตอบผม แต่ยกนิ้วขึ้นมาทำท่าปาดคอ ก่อนจะเดินนำผม เข้าร้านไป

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ

เนื้อเรื่องอาจจะยังเรื่อยๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า

 :bye2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 5 ผู้หวังดี 09-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 09-06-2016 08:06:49
คนที่ขับปาดหน้าใช่คุณเซลล์ออกาไนซ์รึเปล่าาาาา

ยังไม่เบื่อค่ะเรื่องน่าติดตาม ๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 5 ผู้หวังดี 09-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-06-2016 08:58:16
ความจริงเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ อย่างนี้มันพูดยากนะ แต่ตามความคิดเราตี้ควรจะบอกชาร์ปตั้งแต่ตอนแรก ๆ แล้ว
เพราะ
1. ชะเอมจงใจเอาตี้มาเป็นกันชนชัด ๆ ทีนี้พอเกิดเรื่องอะไรตี้ก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ (ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องของคนสองคน) แต่ในใจตี้ต้องรู้สึกผิดหรืออะไรบ้างล่ะ นี่เป็นจุดสำคัญนะ ที่เราคิดว่าตี้ไม่น่าตกปากรับคำให้ชะเอมไปเที่ยวด้วยเลย (แต่ตอนนั้นตี้ยังไม่รู้นิสัยนางนี่นะ)
2. การที่ชะเอมอ้างว่าไปเที่ยวกับตี้ ชาร์ปก็อาจจะไว้ใจในระดับหนึ่งว่ามีคนที่รู้จักไปด้วย พอเกิดเรื่องแบบนี้แล้วตี้ไม่ยอมบอกก็เหมือนหักหลังกันอยู่หน่อย ๆ ถ้าเราเป็นชาร์ปเราจะเสียความรู้สึกเอามาก ๆ เลย
ถ้าเราเป็นตี้ (ซึ่งเราไม่ใช่ตี้ ฉะนั้นก็ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของตี้ขณะนั้นอย่างถ่องแท้ เลยจะขอแสดงความเห็นแบบคนวงนอกสุด ๆ) เราจะบอกชาร์ปว่า มีผู้ชายคนหนึ่งมาสนใจเอมนะ แล้วเราก็จะบอกเอมด้วยว่ารู้สึกไม่ดีที่เอมเอาเรามาบังหน้าเวลาไปเจอผู้ชายคนอื่น (ที่เอมดูจะเอนเอียงไปหา) แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเราเป็นตี้จริง ๆ เราก็ไม่ไปกับเอมแต่แรกแน่ หรืออาจจะห่างออกมาหลังจากพบว่าเอมสนใจผู้ชายคนอื่น เพราะดูท่าการเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาของผัวเมียจะไม่ให้อะไรนอกจากเสียกับเสีย
วิจารณ์เสียยาว พอดีอารมณ์มันให้ ฮา
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจคนเขียน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 5 ผู้หวังดี 09-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-06-2016 08:10:55
บทที่ 6
ขอโทษ


“มานั่งฝั่งนี้สิ”น้ำเสียงเรียบๆ จากคุณแว่นเอ่ยกับผม ที่กำลังจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเค้า ตามไอ้เหมาที่นั่งไปแล้ว ท่าทีของเค้าตอนนี้ดูนิ่ง นิ่งจนยากจะคาดเดาว่าในใจตอนนี้เจ้าตัวรู้สึกยังไง ผมหันหน้ามองไอ้เหมา เหมือนเป็นการขอความเห็นว่าการนั่งฝั่งเดียวกับคุณแว่น ผมจะยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ ซึ่งไอ้เหมาก็ทำเพียงพยักหน้าอย่างสบายๆ ให้ผมนั่งลงข้างๆ ชาร์ป

“ตี้ยังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่ไหม”เจ้าของเสียงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามเดิม โดยไม่ได้หันมามองหน้าผม กลิ่นบุหรี่ที่เค้าพ่นออกมา แม้จะปล่อยออกไปทางอื่น แต่ด้วยทิศทางลม ทำให้กลิ่นนั้นย้อนกลับมาหาผม แม้จะได้มีปัญหากับบุหรี่ แต่ผมก็เผลอบีบจมูกตัวเองขยี้เล็กน้อยให้ ชินกับกลิ่นของบุหรี่

“เราขอโทษ”ผมเอ่ยในสิ่งที่คิดว่าควรพูดออกไปมากที่สุดในตอนนี้

“เราถามว่ายังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่ไหม!!!”น้ำเสียงกระแทกจนผมต้องถอยห่างออกด้วยความตกใจ แม้จะไม่ใช่เสียงตะโกนที่รุนแรงนัก แต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันแฝงไปด้วยความไม่พอใจ

“เฮ้...ใจเย็นสิวะ ไหนว่าอารมณ์เย็นลงแล้วไง”ได้ยินสิ่งที่ไอ้เหมาพูดออกมาแบบนี้ ผมว่าตอนไอ้เหมาบอกครั้งแรกว่าผมและไอ้เหมารู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว เนี่ย ไอ้เหมาอาจจะไม่ได้แค่โดนขึ้นเสียงใส่แบบผมอย่างแน่นอน

“กูไม่ได้โกรธนะ แค่เสียความรู้สึก เหมือนโดนเพื่อนหักหลัง”จุกครับ ยิ่งเค้าพูดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ จริงอยู่ที่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนดีอะไรมากมาย แต่เรื่องคราวนี้ตัวผมก็ดูแย่จริงๆ

“เราขอโทษจริงๆ นะชาร์ป เราจะไม่ขอให้ชาร์ปยกโทษให้ อยากจะโกรธ จะเกลียดเรา ได้หมดเลย ถ้ามันจะช่วยให้ชาร์ปรู้สึกดีขึ้น หรือถ้ามีอะไรที่เราสามารถทำให้ได้แล้วชาร์ป จะรู้สึกดีขึ้น บอกเรามาเลยนะ เรายินดีทำให้”ผมบอกออกไปตามความรู้สึก ถ้าเพียงแต่ผมไม่ปล่อยให้เรื่ิองราวมันบานปลายมาถึงขนาดนี้ ก็คงจะดี

“แน่ใจเหรอว่าจะทำให้เราได้ทุกอย่าง”ชาร์ปหันมามองผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้ไม่รู้ว่าเค้าจะให้ผมทำอะไร แต่ผมก็ตัดสินใจว่าจะทำหากเค้าจะรู้สึกดีขึ้น

“อือ”ผมรับคำพร้อมด้วยสายตาจริงจังจ้องมองไปในตาของอีกฝ่าย

“งั้นมาเป็นแฟนเราแทนเอมให้หน่อยได้ไหมล่ะ”

“ห๊ะ”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ช็อคกับประโยคนั้นเพราะว่า...

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”เสียงหัวเราะของอีกสองคนดังขึ้นแข่งกัน พร้อมชี้มาที่หน้าเหวอๆ ของผมอย่างสนุกสนาน

“กูบอกมึงแล้วว่าแกล้งตี้เนี่ยสนุกที่สุดแล้ว”นี่คือน้ำเสียงของคนที่ตีหน้าเศร้าเมื่อสักครู่เหรอเนี่ย ตกลงว่านี่เค้าเสียใจจนเพี้ยนหรือว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วดูสองเพื่อนซี้นี่จะยังคงสนุกกับการได้เห็นอาการไม่รู้เรื่องรู้ราวของผมเสียเหลือเกิน

“ตกลงคือ ยังไงเนี่ย งงไปหมดแล้ว”ผมถามพร้อมมองหน้าไอ้เหมากับชาร์ป สลับกันไปมา

สรุปว่าตอนชาร์ปรู้เรื่องนี้ ชาร์ปโทรหาไอ้เหมาเป็นคนแรก และไอ้เหมาเป็นคนไปรับชะเอมจากที่ทำงานเพื่อเผชิญหน้ากับชาร์ปที่บ้าน เมื่อจำนนต่อหลักฐาน ชะเอมก็ยังใช้น้ำตาเพื่ออ้อนวอนขอโอกาสในการปรับปรุงตัว แต่สิ่งที่ชาร์ปให้ชะเอมคือเวลาจนกว่าชาร์ปจะกลับเข้าบ้านในวันนี้ ข้าวของทุกอย่างของชะเอม และตัวของชะเอมเองจะต้องไม่อยู่ให้ชาร์ปเห็นอีกต่อไป

“ตอนเห็นรูปครั้งแรก มันเหมือนหน้าชา ตัวชาไปหมด เหมือนโลกทั้งโลกมันพังทลายลงมาจนหมด อนาคตที่เคยคิดว่าจะมี มันดับวูบไปจนไม่เหลือเลย”ชาร์ปพูดเสริมจากสิ่งที่ไอ้เหมาเล่า ว่าทำไมเค้าถึงได้ตัดสินใจไล่ชะเอมออกจากบ้าน นั่นเพราะเอมได้ทำลายความฝันทุกอย่างของเค้าไปหมดแล้ว ผมทำเพียงนั่งฟังนิ่งๆ พร้อมกับรอฟังว่าเรื่องนี้มันจะไปถึงจุดที่สองคนนร้อำผมได้ยังกัน

หลังจากเคลียร์เรื่องชะเอมจบสิ่งต่อมาที่ไอ้เหมาพยายามทำคือ ติดต่อผมเพื่อมาสารภาพกับชาร์ปว่ารู้เรื่องชะเอมมานานแล้ว และไม่ยอมบอกชาร์ป แต่เมื่อไม่สามารถติดต่อผมได้ ไอ้เหมาจึงเป็นคนที่สารภาพก่อนและก็เกือบจะโดนชาร์ปต่อยไปแล้วด้วย แถมโยนส่งมาที่ผมอีกว่าผมคือคนที่รู้รายละเอียดมากที่สุด เลยเป็นผมที่ต้องเล่ารายละเอียดในสิ่งที่ผมรับรู้เรื่องของชะเอม

“พอได้ยินแบบนี้แล้ว ความสงสารในตอนแรกที่เรายังพอมีเหลือ มันคงไม่มีอีกแล้ว”จากตอนแรกชาร์ปเองก็รู้สึกว่าทำรุนแรงไปที่ไล่ชะเอมออกจากบ้านกะทันหันแบบนี้ เพราะเอาจริงๆ ชาร์ปเองก็ยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้กับชะเอมอยู่นั่นแหละครับ แต่พอรับรู้ในสิ่งที่ผมเล่าให้ฟัง ดูจะกลายเป็นว่าจะมีความโกรธแค้นเข้ามาแทนที่

ส่วนเรื่องความผิดของผมกับไอ้เหมา เรื่องที่ปิดบังชาร์ปนั้น ความโมโห ไม่พอใจทุกอย่าง ชาร์ปได้ลงไปที่ไอ้เหมาจนสบายใจแล้ว และนั่นเป็นที่มาของการแกล้งอำผม เพื่อให้ผมสำนึกผิดด้วย เพราะในส่วนของผมไอ้เหมาเองก็เหมือนจะได้แก้ตัวไปให้ในทุกกรณีแล้ว อีกอย่างความผิดหวังในตัวของชะเอม มันมากเสียจนกลบความผิดหวังในเพื่อนแย่ๆ อย่างพวกผมไปแล้ว ชาร์ปให้เหตุผลว่าเพื่อนแย่ๆ อย่างพวกผมที่พยายามจะบอกความจริงแต่ก็ไม่ได้บอกเนี่ย อย่างน้อยก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระบายหรือที่ปรับทุกข์ได้

“ตกลงตี้จะมาดามใจคนถูกทิ้งอย่างเราป่ะเนี่ย”แม้จะเป็นคำพูดทีเล่นทีจริง พูดเล่นขำๆ แต่ผมว่าผมยังจับสังเกตแววตาของเค้าได้ว่าคงยังเสียใจอยู่ไม่น้อย แม้จะพยามทำให้ดูว่าไม่เป็นไร แต่คนคบกันมานานขนาดนี้ มันก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาแหละครับ ยิ่งชาร์ปดูวางแผนอนาคตไว้หมดแล้ว พอมันพังไปหมดแบบนี้้ ก็คงเสียศูนย์ไม่น้อย

“อ้าวไอ้ตี้ ถ้ามึงจะมองมันซึ้งขนาดนี้ ตอบตกลงเป็นแฟนมันเลยไหมล่ะ”นั่นไง ไอ้นี่ก็ กูอุส่าห์ไม่คิดอะไรแล้วนะ ไอ้นี่ก็เล่นก็จัง พอกันทั้งคู่ครับเพื่อนคู่นี้ รู้แหละครับว่าอยากพยายามให้ไม่เครียดกันมาก แต่แหย่ผมบ่อยๆ นี่เกิดผมหวั่นไหวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ

“ไปไหนอ่ะ”ทันทีที่ผมลุกขึ้น ข้อมือผมถูกฉุดไว้หลวมๆ จากคนข้างๆ จนผมต้องหันกลับไปมอง เห็นแล้วชักหมั่นไส้ขึ้นมาแล้วสิครับ ตอนแรกก็สงสารอยู่แหละที่ถูกทิ้งเนี่ย แต่ตอนนี้น่าหมั่นไส้มากกว่า แต่อย่างว่า ก่อนผมจะมาถึงสองคนนี้คงดื่มไปเยอะแล้วแหละครับ

“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำคร๊าบบบบ”ผมจงใจลากเสียงด้วยความหมั่นไส้

“อย่าไปนานนะ เราคิดถึง”จร้าพ่อคุณ อยากเล่นอะไรอีก จัดมาให้หมด วันนี้ยกให้คนถูกทิ้งวันนึงละกัน

“สาธุ ขอให้ผีผลัก ขอให้มึงสองคนได้กันจริงๆ”ไอ้เหมายกมือขึ้นไหว้เหมือนขอพร ก่อนจะเป่าพ่นลมมาที่ผมและคุณแว่น ซึ่งคุณแว่นก็ดูหัวเราะชอบใจใหญ่เชียวครับ ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกมาเพื่อตรงไปยังห้องน้ำ

วันนี้ดูร้านนี้ค่อนข้างจะคึกคัก คงเพราะนี่เป็นคืนวันศุกร์ ใครๆ ก็คงต่างมาสังสรรค์ แต่วันนี้ก็ดูจะคนเยอะเป็นพิเศษจริงๆ เพราะขนาดห้องน้ำชาย ปกติผมแทบไม่เคยได้รอคิวในการใช้โถฉี่ เพราะผู้ชายก็ทำธุระแบบนี้ได้เร็วและง่ายกว่าผู้หญิงเยอะ แต่ผมเองก็ยังไม่ได้ปวดมากขนาดนั้น เลยไม่ได้รีบร้อนอะไร รอเพียงไม่นานนัก โถฉี่ก็ว่าง ผมเดินไปโถฉี่ในสุด ที่ว่างอยู่ ผมก็ทำธุระของผมปกติ จนรู้สึกได้ว่า เหมือนมีคนมองผมอยู่

ผมหันมองด้านข้างตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่ามีคนแอบมอง แล้วผมก็ต้องรีบเบี่ยงตัวบังปาร์ตี้น้อยของผมเพราะไอ้คนที่ยืนฉี่ข้างๆ ผม คือไอ้คนไม่มีมารยาท ตัดหน้าแย่งที่จอดรถผม แถมตอนนี้ยังมาทำชำเลืองมองตี้น้อยผมอีก นี่เค้าสะกดคำว่ามารยาทไม่เป็นเลยรึไง

“วันนี้น้องสาวไม่มาด้วยเหรอครับ”ผมหันมองว่าตานี่คุยกับใคร แต่ตอนนี้เหมือนคนในห้องน้ำออกไปกันเกือบหมดแล้ว แล้วก็มีแค่ผมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับไอ้คนไม่มีมารยาทนี่ ผมรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วเดินมาล้างมือหน้ากระจก โดยไม่ได้ตอบคำถามใดๆ

“อ้าวคนเรา พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แบบนี้มันเสียมารยาทนะครับคุณ”กล้าพูด กล้าพูดมากๆ ว่าคนอื่นเสียมารยาท ทีตัวเองปาดหน้าแย่งที่จอด แถมยังมีการตามมาเยาะเย้ยด้วยนี่ มีมารยาทมากเลยครับ ผมหันไปมองหน้า พร้อมกับชี้ที่ตัวเอง เพื่อเป็นการถามว่า นี่คุยกับผมเหรอ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าไอ้คนไม่มีมารยาทนี่คุยกับผม แต่แค่ไม่อยากเสวนาด้วยเท่านั้นแหละครับ

“เรารู้จักกัน เหรอครับ ผมว่าคุณน่าจะทักคนผิดแล้วล่ะ เพราะผมเองไม่เคยมีน้องสาว”ผมหันไปตอบก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่าย เพื่อหากระดาษเช็ดมือ และเตรียมเดินให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ เพราะรู้สึกไม่อยากทำความรู้จักไปมากกว่านี้

“ก็น้องชะเอมไง เห็นมาด้วยกันบ่อยๆ เค้าบอกว่าคุณเป็นพี่ชายเค้านิ”แล้วตานี่ไปรู้จักกับชะเอมตั้งแต่เมื่อไหร่ละเนี่ย แต่ช่างเหอะเพราะมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมสักเท่าไหร่

“เอมรู้จักกับคุณ ไม่ได้แปลว่าผมรู้จักคุณ งั้นขอตัวนะครับ ไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้า”ผมตัดบทสนทนาเพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับหมอนี่สักเท่าไหร่ ยิ่งคุยเหมือนจะยิ่งหงุดหงิด

“งั้นไว้เจอกันคราวหน้าค่อยทำความรู้จักนะครับ วันนี้ดูคุณจะยังไม่พร้อมรู้จักผม เชิญครับ”หมอนี่พกความกวนตีนมาจากไหนมากมายครับเนี่ย แค่ท่าผายมือเชิญผมเดินออกจากห้องน้ำนี่ก็ยังมีความกวนตีนระดับ 12 แล้วอย่าคิดว่าเจอกันครั้งหน้าผมจะอย่กทำความรู้จักด้วยเลย แต่จริงๆ ต้องบอกว่าอย่าได้เจอกันอีกเลยน่าจะดีกว่าแหละครับ

“ไมช้านักว่ะมึง นึกว่าตกส้วมตายไปแล้ว”ไอ้เพื่อนนี่ก็จะเล่นอะไรดูหน้ากูก่อนไหม ดูอารมณ์กูนิดนึงเด้ หงุดหงิดโว้ย ทันทีที่นั่งลงผมยกแก้วเบียร์ ที่วางอยู่กระดกรวดเดียวหมดแก้ว เพื่อหวังให้ความหงุดหงิดที่มีอยู่เจอจางลงไปบ้าง แล้วน้องเด็กเสิร์ฟก็ช่างรู้หน้าที่ หมดปุ๊บ เติมปั๊บ และผมก็ยกรวดเดียวอีกครั้ง

“อ้าวๆ ใจเย็น ตกลงใครอกหักกันแน่วะเนี่ย อย่าเมานะเว้ยไอ้ตี้เดียวไม่มีคนขับรถ กูก็จะกลับแล้วเนี่ย”อ้าว จะกลับแล้วหมายความว่ายังไง นี่เพิ่งจะหัวค่ำอยู่เลย และสีหน้าผมคงทำงานได้ดี โดยที่ยังไม่ต้องถาม คำอธิบายจากปากไอ้เหมาก็สาธยายจัดแจงบอกผมเสร็จสรรพ

ไอ้เหมาต้องรีบไปรับแพท และคงไม่ได้ย้อนกลับมาที่นี่อีก แล้วมันดันจอดรถไว้ที่บ้านชาร์ป แล้วมาร้านนี้พร้อมกับชาร์ป ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ชาร์ปยังไม่อยากเข้าบ้าน ผมเลยต้องเปลี่ยนรถกับไอ้เหมา แล้วตอนกลับก็ให้ผมไปกับชาร์ปแล้วค่อยเอารถมาเปลี่ยนกับไอ้เหมาอีกที

“ฝากด้วยนะมึง อยู่เป็นเพื่อนมันหน่อย แต่ถ้ามีอะไรก็โทรหากูได้ตลอด แล้วมึงอย่าคิดมาก คิดเสียว่าดีแล้วที่เราจะได้เปิดรับ คนใหม่ๆ ที่ดีกว่าเข้ามาในชีวิต”ไอ้เหมาพูดจบก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นว่าแพทรอมาพักใหญ่แล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ติดอะไรนะครับที่จะนั่งดื่มเป็นเพื่อนคุณแว่นเนี่ย แต่อย่าเมาแล้วมาโหมดดราม่าแล้วกัน ผมคงไม่ไหวแน่ๆ ไม่ถนัดจริงๆ เรื่องปลอบคนเมาดราม่าเนี่ย

“ขอบใจนะตี้ที่ไม่ทิ้งเราไปอีกคน”


ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

ตอนนี้ตัวละครหลักๆ น่าจะปล่อยออกมาครบแล้ว

แม้บางตัวจะยังมาไม่ชัดเจนก็เหอะ 555+++

ยังไงก็ติชมได้ครับ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 6 ขอโทษ 10-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 10-06-2016 13:28:04
นี่สินะที่มาของฉากดเปิดตัว
พี่ชาร์ปอย่าเมินน้องตี้เลยน้าาาา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 6 ขอโทษ 10-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 10-06-2016 16:09:50
ถ้าหากว่าคนที่ขับรถปาดหน้ารถตี้รู้จักชะเอมด้วยก็คงเป็นคนในแวดวงคนรู้จักของอาร์ท
เราคิดว่าอาร์ทอาจจะไม่จริงจังกับชะเอมเหมือนที่นางคิด  ท่าทางคนที่มาทักตี้ก็ยียวนกวนตีนประมาณแบดบอยเสียเหลือเกิน

เหมือนที่บอกไว้ชาร์ปเล่นกับตี้เหมือนแฝงนัยยะตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 6 ขอโทษ 10-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-06-2016 10:51:12
 
บทที 7
ดื่มจนลืมตัว


“จอดรถ จอดรถ”ผมงงกับผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ที่อยู่ๆ ก็สั่งให้ผมบอกหยุดรถกะทันหัน แต่ผมยังไม่ทันได้ถามอะไรก็ได้คำตอบเมื่อเจ้าตัวเปิดประตูรถ วิ่งลงไปอาเจียนข้างถนน เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ว่า เวลาเราเองเมามากๆ จะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ผมหยิบขวดน้ำดื่มพร้อมกับเดินตามไปหาคนเมา

“เอ้า ล้างปากหน่อย”ผมยื่นขวดน้ำให้พร้อมกับยืนเป็นที่ยึดเกาะเพราะตอนนี้ชาร์ปแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว

“มึนหัวมากเลย นี่เราถึงไหนกันแล้ว”เป็นคำถามที่เหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ ผมเลยตอบผ่านๆ ว่าใกล้ถึงแล้ว ทั้งที่จริงๆ เพิ่งออกมาจากร้านได้นิดเดียว พอช่วยพยุงชาร์ปขึ้นรถพร้อมกับหาถุงพลาสติกภายในรถให้เค้าถือไว้หนึ่งถุง เพื่อใช้เป็นที่รองรับสิ่งที่อาจจะออกมาจากระเพาะของเค้าอีก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจอดรถบ่อยๆ และก็จริงๆ ที่ระหว่างทางชาร์ปอ๊วกใส่ถุงอีกหลายรอบ

“กุญแจบ้านอยู่ไหน”ผมสะกิดถามคนเมาที่ในมือถือถุงใส่อ๊วกตัวเองแล้วกำไว้เสียแน่น แถมหลับตาพริ้มแลดูมีความสุข สงสัยกำลังฝันดี แต่ผมคงปล่อยให้เค้าฝันต่อไม่ได้เพราะผมเองก็เริ่มจะมีอาการไม่ดีสักเท่าไหร่แล้ว

ด้วยความทุลักทุเล คนเมาน้อยและเมามากก็เข้าบ้านได้สำเร็จ แต่ผมก็ต้องมาคอยลูบหลังให้คนเมามากในห้องน้ำอีก สงสัยนี่กะจะเอาออกมาให้หมดเลยหรือไง เก็บไว้บ้างก็ได้ เสียดายนะเนี่ย

“ไหวป่ะเนี่ย”ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงจริงๆ เพราะในใจก็ยังรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนต้องเสียใจจนต้องมาดื่มเหล้าเมามายขนาดนี้ แม้ต่อหน้าผมกับไอ้เหมา ชาร์ปจะทำเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ผมว่าคนเราคบกันมาลึกๆแล้ว ยังไงมันก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดาแหละ

และไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวชาร์ปก็โผเข้ามาหาผมซบหน้าลงที่ไหล่ร้องไห้ออกมา จนผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก แม้จะคิดว่าเค้าคงเสียใจไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าจะมาร้องไห้ต่อหน้าผมแบบนี้ ไอ้ผมก็ปลอบคนไม่เป็นเสียด้วยสิ

“เราไม่ดีตรงไหน ทำไมเค้าทำกับเราแบบนี้ เราทำทุกอย่างเพื่อเค้า แต่ทำไม ทำไมเค้าทำเหมือนความรักเราไม่มีค่าเลย”อีกหลายคำพูดพรั่งพรูออกจากปากของชาร์ป พร้อมกับหยดน้ำตาของลูกผู้ชาย ผมทำได้แค่เงียบ เพราะคิดว่าคำปลอบไหนมันก็ไม่ได้ทำให้เค้าดีขึ้นหรอก อีกอย่างผมว่าเค้าแค่อยากระบายเท่านั้นแหละ จริงๆ ถ้าคนที่มาส่งเค้าเป็นไอ้เหมาอาจจะช่วยปลอบเค้าได้ดีกว่าผม แต่ผมทำได้เพียงปล่อยให้เค้าร้องจนเค้าหยุดไปเอง

“ขอบใจนะ...เรานี่น่าอายจังเลย”ชาร์ปพูดพร้อมกับเอามือปาดคราบน้ำตา ผมทำเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ตัวเค้าเองก็คงรู้สึกเสียฟอร์มไม่น้อยที่ตอนแรกทำเป็นว่าทำใจได้แต่สุดท้ายดันมาร้องไห้ให้ผมเห็นซะงั้น

เค้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตา ส่วนผมก็บอกไปว่าวันนี้คงต้องขอค้างที่นี่เพราะไม่มีกุญแจเข้าบ้าน เนื่องจากไอ้เหมาเอารถผมไปและกุญแจบ้านผมก็อยู่ในรถ  ชาร์ปก็โอเค บอกไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จนผ่านไปสักพักชาร์ปกลับมาในอาการที่เหมือนจะเริ่มสร่างเมา พร้อมกับขวดแก้วใสที่มีน้ำภายในอยู่เต็มขวด ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“มาดื่มกันต่อเถอะ”

“ไหวเหรอ”ผมถามอีกคนที่เพิ่งจะคอพับค่ออ่อนไปเมื่อสักครู่ แต่ดันถือขวด Vodka มาอีกแบบนี้

“ไหวสิ ขอเต็มที่สักวัน พรุ่งนี้เราจะเป็นคนใหม่”แม้ตัวผมเองจะรู้สึกว่านี่มันก็ดึกมาก และเราก็ดื่มกันมาเยอะ แถมเพลียมากๆ แล้วก็เหอะ แต่คิดว่าผมไม่ควรขัดเค้าในตอนนี้ เพราะเค้าคงกำลังเสียใจอย่างหนัก ผมอาจจะรู้จักชาร์ปได้ไม่นานนัก แต่ก็พอรู้ว่าชาร์ปเป็นผู้ชายที่ดีมากๆ คนนึง

เค้าเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน ซื้อบ้านซื้อรถ สร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อที่จะได้เป็นหัวหน้าครอบครับ เก็บเงินเพื่อจะแต่งงานกับเอม เค้าเก็บเงินเองทุกอย่างเอง โดยที่มีการวางแผนจะแต่งงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่สิ่งที่ชาร์ปทุ่มเททำ ก็อย่างที่บอกว่ามันกลับกลายเป็นว่าชเอม มองชาร์ปเป็นคนไม่ใส่ใจดูแลมัวแต่ทุ่มเทเวลาให้งาน อีกอย่างก็เพราะมีอาร์ทเข้ามาเป็นตัวเปรียบเทียบให้เอมเพิ่มนั่นแหละครับ

“อย่าเสียใจไปเลยน่า คนดีๆ อย่างชาร์ปสักวันต้องได้เจอคนดีๆเหมือนกันบ้างแหละ”ผมพยายามปลอบออกไปอย่างจริงใจ แถมด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ ที่ปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังมานานขนาดนี้

แล้ว Vodka ที่เค้าถือมาก็ถูกผมและเค้าผลัดกันดื่ม shot แล้ว shot เล่า เสียงเพลงเบาๆ ถูกเปิดคลอๆ ไปเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ของแอลกอออล์ทำให้เราเริ่มพูดคุยในเรื่องที่หลากหลายและเริ่มมีเรื่องใต้สะดือเข้ามาเกี่ยวข้อง

“แล้วเวลาผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกัน เค้าทำกันยังไง”ผมชะงักไปกับคำถามนี้ของเค้า เพราะแม้เค้าจะทราบดีว่าผมเป็นเกย์ แต่กับคำถามนี้ก็ออกจะแปลกๆ ออกสักหน่อยที่เค้าจะมาถามผม เพราะเวลาปกติ เราก็ไม่ได้คุยเรื่องทำนองนี้กันสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลยน่าจะถูกกว่า

“จะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย หรืออกหักจากผู้หญิงแล้วจะลองเปลี่ยนรสนิยม มาคบผู้ชายด้วยกัน”ผมเอ่ยถามออกไปอย่างติดตลก

“ก็น่าลองเหมือนกันนะ ตี้มาเป็นคู่ซ้อมให้เราหน่อยดิ”ผมไม่รู้ว่าคำพูดแบบนี้ และสายตาที่ท้าทายบวกกับแววที่บ่งบอกว่าเชิญชวนนี้ เป็นแค่การอำผมเล่น หรือเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ที่ทำให้เค้าพูดแบบนี้ออกมา

“กล้าหรือเปล่าเหอะ อย่ามาทำเป็นพูดดี”คำท้าทายของผมถูกกล่าวออกไป เพราะค่อนข้างมั่นใจว่า เค้าแค่อำผมเล่นแน่นอน แต่ผมคงประเมินประสิทธิภาพของแอลกอฮอล์ต่ำเกินไป

ผมรับรู้ได้ถึงลิ้นอุ่นที่แทรกเข้ามาในปาก ก่อนสติสัมปชัญะของผมจะทันได้ทำงาน เพราะเหมือนร่างกายมันตอบสนองไปเองโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกผิดชอบ ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือเพื่อน มันเหมือนไม่เหลือแล้ว










ผมลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากรู้สึกมึนๆ หัวเล็กน้อย แต่แสงแดดที่ลอดผ่านม่านเข้ามาแยงตา ทำให้ผมต้องหรี่ตาพยายามปรับสายตาให้คุ้นเคย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ผมต้องเจอกับอาการเมาค้างอีกเป็นแน่ แท้เมื่อคืนคงดื่มหนักเกินไปอีกแล้ว และพอสายตาผมเริ่มคุ้นเคยกับแสง มันทำให้ผมต้องประหลาดใจเล็กน้อย ว่านี่มันไม่ใช่ห้องผม แต่ผมก็พอจะคุ้นๆ กับสภาพห้องว่าต้องเป็นที่ที่ผมรู้จัก ผมพยายามจะขยับตัวแต่กลับกลายเป็นยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ว่า มีคนสวมกอดผมไว้จากด้านหลัง

“อืม”มีเสียงบิดขี้เกียจเบาๆ จากเจ้าของอ้อมกอด และดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่ตื่นเต็มตา สมองผมเริ่มประมวลข้อมูล แล้วก็ใจหายแว๊บ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ผมดีดตัวออกจากอ้อมกอดพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไล่อาการมึนๆ ออกไปพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายที่เพิ่งรู้สึกตัว เราสองคนประสานสายตา แล้วแทบจะอ้าปากค้างพร้อมๆ กัน สภาพผมและอีกคน ไม่น่าจะต่างกันมาก คือเราต่างไม่ได้มีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายสักชิ้น ผมรีบดึงผ้าห่มคลุมท่อนล่างตามสัญชาตญาน

แต่การดึงผ้าห่มของผมกลับยิ่งเป็นการย้ำในสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นั่นคือ ถุงยางอนามัย ที่ผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างแน่นอน กระเด็นออกจากผ้าห่มและร่วงสู่พื้นห้อง สายตาอีกฝ่ายแสดงอาการตกใจ ไม่ได้ต่างจากผม

ผมแทบอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆสักที  ทำไมผมปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วนี่ผมจะทำไงดีละทีนี้ ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้าสบตาตรงๆ กับคนข้างๆ นี้ ทั้งผมและอีกคนต่างฝ่ายต่างเงียบไปหลายนาที แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น”

คำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ถ้าถามว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันเกิดอะไร จากสภาพเราสองคน ผมว่ามันแทบไม่ต้องถามก็เดาออก นอกเสียจากว่าไม่อยากจะรอบรับมัน เพราะยิ่งคิดภาพต่างๆ มันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมทำอะไรกันไปบ้าง ผมไม่รู้จะโทษอะไรดีที่ทำให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น โทษความเมาที่ทำให้เราขาดสติ โทษตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล โทษความเหงาของผมที่ไม่มีใครมานาน

“เรากลับก่อนดีกว่าแล้วกันเนอะ”ผมเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังโกรธผม เกลียดผมไปแล้ว หรืออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยๆ เค้าก็ไม่ได้ลุกมาต่อยผม ก็แสดงว่าเรื่องราวมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด ถ้าทั้งผมและเค้าแกล้งทำลืมๆ เรื่องนี้ไปซะ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว

“คิดเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน เราสองคนไม่พูดเรื่องนี้ก็จะไม่มีใครรู้”ผมย้ำในสิ่งที่คิดว่าเค้าอาจจะกำลังกังวลอยู่ แม้ผมจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่สำหรับผมที่เป็นเกย์อยู่แล้ว มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร คิดเสียว่ามันคือ one night stand ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้น

“อย่าคิดมากเลย”เมื่อเห็นอีกคนยังเงียบอยู่ ทำให้ผมต้องหาอะไรพูดอีก ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้นรึเปล่า เอาจริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ตัวผมเองรับบทเป็นผู้ถูกกระทำตลอด แต่ตอนนี้บทบาทนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แต่กลายเป็นผมต้องมาพูดปลอบใจ คนที่เป็นผู้กระทำนี่สิครับ

แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นเกย์มีอะไรกับผู้ชายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อีกคนที่ไม่ใช่เกย์ แถมเพิ่งจับได้ว่าแฟนสาวสวมเขาให้ เรื่องนี้มันจะกลายเป็นว่าผมเข้ามาในจังหวะที่เค้าเสียศูนย์จนต้องมาเจอเรื่องนี้หรือเปล่า

“คงไม่ไปส่งนะ”หลังจากเงียบอยู่นานเค้าก็เปิดปากพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเค้านั้นอยู่ในโหมดไหนกันแน่ ตอนนี้ผมว่าทั้งเค้าและผมคงต้องให้เวลากับตัวเองในการปรับความความรู้สึก ให้มันกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือเดิม และลืมเรื่องนี้ไปซะ


แวะมาต่อครับ

แต่ตอนนี้ก็แค่ขยายจาก intro นิดหน่อย

 :z3:
ยังไงกะขอบคุณที่ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 11-06-2016 15:43:34
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: makemehappy ที่ 11-06-2016 16:06:55
 :mew3: :mew2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 11-06-2016 18:26:58
กำลังลุ้นเลยว่าจะยังไง โดนตัดจบ ฮื่ออออ
ชาร์ปคงได้เริ่มต้นใหม่จริงละเนอะ
ถึงจะข้ามขั้นไปแล้วก็วกมาจีบตี้ใหม่แล้วกัน ฮ่าๆ
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 11-06-2016 20:14:23
 :serius2: น่าสงสารตี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-06-2016 23:22:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 7 ดื่มจนลืมตัว 11-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-06-2016 15:54:28
บทที่ 8
ค้างคาในใจ

“สรุปก็อย่างที่อธิบายไปนะครับ คือทางเจ้านายผมเค้าอยากให้ทางคุณส่งคนเข้ามานำเสนองานอีกรอบ จะสะดวกไหมครับ แต่ถ้าไม่สะดวกผมจะได้หาบริษัทใหม่”จริงๆ วันนี้ไม่อยากต่อปากต่อคำกับไอ้เซลล์นี่เท่าไหร่นะครับ เพราะสมองผมยังคิดบางอย่างอยู่ไม่พร้อมสู้รบปรบมือกับตานี่มาก แต่ก็ขอนิดนึงละกันครับ จริงๆ ทางนายผมก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะจริงๆ ทางออแกไนซ์ก็เคยมาพรีเซนต์แล้วรอบนึง เพียงแต่คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ดันลาออกไปแล้ว และผมที่มารับงานนี้ต่อ มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจดำเนินการทุกอย่างได้ เพียงแต่ต้องแจ้งให้ทางนายรับทราบ เผื่อมีอะไรไม่ถูกใจนาย

แต่สิ่งที่เจ้านายของพวกผมให้ความสนใจมากสุดก็คงไม่พ้นเรื่องงบประมาณ หลายๆ คนชอบบ่นว่านายเคี่ยว ขออนุมัติอะไรยาก แต่สำหรับผม ผมว่าเค้าก็แค่ต้องการเหตุผลและความจำเป็นหรือความคุ้มค่าของเงินที่ต้องจ่ายออกไป เวลาผมจะขออนุมัติเรื่องงบประมาณผมก็เลยเตรียมข้อมูลสนับสนุนทุกอย่าง แจกแจงทุกรายละเอียดไปให้มากที่สุด ว่าเงินที่จะนำมาใช้มันคุ้มค่าที่จะให้มา ผมเลยได้รับอนุมัติตามที่ขอแทบจะทุกครั้ง หลายๆ คนเลยมองว่าผมเป็นลูกรักนาย แต่จริงๆ เปล่าเลยครับ ลูกรักนายนั่นหัวหน้าผม รายนั้นนายว่าไง เออออ ไปกะนายทุกอย่าง ไม่เคยขัด

“คุณปาร์ตี้ สบายใจได้เลยครับ ยังไงทางผมก็ยินดีเข้าไปพรีเซนต์อีกรอบ ได้แน่นอนครับ ไม่มีปัญหา”ผมว่าผมคุ้นๆ เสียงเซลล์คนนี้อย่างบอกไม่ถูก ว่าเคยได้ยินที่ไหนสักที แต่ก็ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น อีกอย่างวันนี้ตานี่ก็พูดดีกับผมมากกว่าทุกครั้งที่เคยคุยกันเลยก็ว่าได้

ผมกดวางสายก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อไปยังห้องครัว เพราะตอนนี้ร่างกายผมกำลังต้องการคาเฟอีนอย่างรุนแรง รู้สึกสมองมันตื้อๆ อย่างบอกไม่ถูก แถมเรื่องราวเมื่อคืนวันศุกร์นั่นก็ยังคงรบกวนจิตใจผมอยู่ แม้นี่จะผ่านมาจนวันจันทร์แล้ว มันก็ยังเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในความรู้สึก บางครั้งผมก็นั่งจ้องเบอร์โทรของอีกคน ว่าควรโทรไปเคลียร์เรื่องนี้กับเค้าไหม หรือข้อความที่ผมพิมพ์แล้วก็ลบ ลบแล้วก็พิมพ์ แต่สุดท้ายข้อความก็ไม่ได้ถูกส่งออกไป เบอร์นั่นก็ยังแน่นิ่งอยู่ในมือถือของผม

“เป็นไรวะมึง ทะเลาะกะเซลล์อีกแล้วเหรอ”เสียงทักจากไอ้เหมาทำให้ผมต้องหยุดความคิดทั้งหมดไว้ก่อน

“เปล่า แล้วทำไมมึงต้องคิดว่ากูทะเลาะกะเซลล์ด้วย”แม้จะไม่ได้ใส่ใจมากกับคำทักทายของมัน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ครับว่าทำไมมันถึงคิดว่าผมทะเลาะกับเซลล์ การทะเลาะกะเซลล์นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดประจำ จนสามารถเอามาคาดเดาได้เสียที่ไหน

“ก็ตะกี้เจอพี่ชาญ เลยถามหามึง หัวหน้าสุดที่ร๊ากกกของมึงเลยว่ามึงกำลังโทรเคลียร์งานกะเซลล์อยู่ พอมาเจอมึงทำหน้าหมดอาลัยตายอยากแบบนี้เลยคิดว่า คงทะเลาะกะเซลล์จนเกือบจะได้เค้าเป็นผัวแล้ว”นี่ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงด่ามันไปแล้วครับ แต่ตอนนี้อย่างที่บอกว่าไม่มีอารมณ์จะลับฝีปากกับใครครับ

ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรไอ้เหมาอีก ทำเพียงหมุนช้อนในถ้วยกาแฟ วนไปวนมา และนั่นคงทำให้ไอ้เหมาแปลกใจถึงกับต้องยื่นมือมาแตะหน้าผากผมก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

“ตัวก็ไม่ร้อน ไม่สบายรึเปล่า ทำไมไม่เหมือนปาร์ตี้ที่กูรู้จัก มึงเป็นใคร ออกไปจากร่างเพื่อนกูเดี๋ยวนี้”จร้า มึงเอารางวัลนาฏราช ไปเลยไหมถ้าจะเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ขนาดนี้ นี่ก็เขย่าตัวผมจะวิญญานจะออกจากร่างแล้วมั้งเนี่ย

“กูมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”ไอ้เหมาทำท่าตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินผมบอกออกไปแบบนั้น

“เฮ้ย นี่มันปัญหาใหญ่แล้ว ปกติคอนเซปต์มึงต้องไม่แคร์ทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้นี่นา”มันไปเอาความคิดว่าผมเป็นแบบนั้นมาจากไหน ในเมื่อคุยกับมันไปก็ไม่น่าจะช่วยอะไรผมได้ ผมเลยเดินหนีมันเอาเสียดื้อๆ อีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับชาร์ป ผมคงไม่สามารถเล่าให้มันฟังได้

แต่ผมเดินออกมาพ้นห้องครัวนิดเดียว ไอ้เหมาก็ตามหลังผมมาโดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับไปแผนกตัวเอง นี่คงกะอู้งานอีกแล้ว แล้วผมคงต้องทนฟังมันพูดอีกหลายนาทีเป็นแน่แท้ จริงๆ ผมกับไอ้เหมาเวลาทำงานเบื่อๆ ก็มักจะเดินไปห้องของอีกฝ่าย เพื่อเป็นการพักสมอง จริงๆ ก็คือการแอบอู้นั่นแหละครับ

“กูว่าเราต้องรีบหาแฟนใหม่ให้ไอ้แว่นแล้ววะ มันจะได้ดีขึ้น เมื่อวานกูแวะไปหามันที่บ้าน แมร่งดูไม่โอเคเลยวะ”ทั้งที่ผมกำลังพยายามจะไม่คิดเรื่องของคุณแว่น แต่ไอ้นี่กลับยิ่งมาสะกิดให้ผมยิ่งคิด ก็พอรู้ว่ามันเองก็คงห่วงเพื่อน ผมเองก็ห่วงเหมือนกัน แต่ขอเวลาให้ผมได้ปรับอารมณ์อีกสักนิดจะได้ไหม

“กูว่าให้เค้าหาเองไหม เราอย่าไปยุ่งเลย”ผมพยายามที่จะเลี่ยง ไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ไอ้เหมานี่คงไม่ละความพยายามแน่ๆ

“มึงมีเพื่อนโสดๆ นิสัยดีๆ แนะนำมันบ้างไหม”นี่มันฟังที่ผมพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย

“พี่เหมา อยู่นี่เองนี่ลืมใช่ไหมว่ามีประชุม”ไอ้เหมาทำท่าตกใจกับสิ่งที่น้องปลาเข้ามาบอก คงเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องประชุม แต่มันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากมาย แถมยังบอกให้น้องปลาไปก่อนได้เลย ส่วนมันจะตามไปทีหลัง ทั้งๆ ที่น้องปลากก็ย้ำแล้วว่าคนอื่นๆ มารอสักพักแล้ว

“เย็นนี้ไปกินข้าวกัน กูนัดไอ้แว่นไว้ล่ะ ไม่อยากให้มันฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว”ทำไมผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยพร้อมเผชิญหน้าคุณแว่นสักเท่าไหร่ แล้วนี่ตัวเค้าเองรู้รึเปล่าว่าไอ้เหมามาชวนผมไปด้วย

“กูไม่ว่างว่ะ เย็นนี้มีธุระ”ผมรีบปฏิเสธ อย่างที่บอกว่ายังไม่พร้อมเจอเค้าสักเท่าไหร่

“ธุระอะไรของมึง สำคัญขนาดไหน ว่ามาสิ”แม้ผมจะบ่ายเบี่ยง และเร่งให้มันไปประชุม เพื่อให้รีบรับคำปฏิเสธจากผม แต่ไอ้เหมาก็ยังคาดคั้นที่จะเอาคำตอบจากผม ว่าไอ้ธุระของผมมันคืออะไร ด้วยความที่ผมเองก็ไม่ได้มีธุระอะไรจริงจัง พอถูกมันเร่งเอาคำตอบ สิ่งที่ผมคิดขึ้นกะทันหันจึงมีเพียงการจะเอารถไปล้าง ไอ้เหมาแทบจะตบกะโหลกผม ว่าเรื่องแค่นี้ถึงกับจะให้ความสำคัญมากกว่าเพื่อนเหรอ

“สรุปเลิกงาน แล้วออกไปกะกู ทิ้งรถไว้นี่ พรุ่งนี้มาทำงานก็เดี๋ยวกูไปรับ”และไม่รอให้ผมได้มีโอกาสปฏิเสธ ไอ้เหมารีบเดินไปโดยไม่ฟังคำปฏิเสธใดๆ ของผมอีก แล้วนี่ผมจะเอาไงดี หรือจะแอบหนีกลับก่อนดี เพราะยิ่งคิดว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับคุณแว่น ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ใจนึงคือรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้น แต่อีกใจผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคืนนั้นผมก็รู้สึกดีเช่นกัน

ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดนั่นออกไป แล้วหันมาจดจ่อกับงาน เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีก จนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเลิกงาน ผมรีบเก็บกระเป๋า ออกจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยแกล้งทำเหมือนว่าลืมเรื่องที่ไอ้เหมานัดไว้ ผมรีบเดินพร้อมมองซ้าย มองขวา อย่างระแวง กลัวเจอไอ้เหมาระหว่างทางไปถึงรถ พอถึงผมรีบขึ้นรถสตาร์ททันที พร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ออกรถ

“เอารถมึงไปก็ดีเหมือนกัน”ไอ้นี่มันตัวอะไร โผล่เข้ามาในรถผมได้ยังไง อยากจะบีบคอตัวเองว่าตะกี้ทำไม่ล็อครถ ไม่งั้นผมคงรอดแล้ว

“กูเห็นตั้งแต่ มึงทำตัวลุกลี้ลุกลนออกมาแล้ว นี่คิดจะเบี้ยวกูใช่ไหม”ไอ้คนที่เพิ่งถือวิสาสะเปิดประตูรถผมขึ้นมานั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้น ผมเหมือนหมดทางจะปฏิเสธ เลยเปลี่ยนให้ไอ้เหมาเป็นคนขับแทน ผมปิดเปลือกตาลง พยายามไม่คิดอะไรอีก บางทีการเผชิญหน้ากับอีกคนอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิดก็เป็นได้



“ถึงนานยังวะมึง”เป็นไอ้เหมาที่เอ่ยทักทายชาร์ปที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนผมเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ ส่งไป ก่อนจะหลบสายตาที่เค้าจ้องมา ผมเลือกนั่งลงอีกฝั่งนึงข้างไอ้เหมา โชคดีที่วันนี้แพทไม่ได้มาด้วย เพราะถ้าแฟนไอ้เหมามาด้วย ก็คงเป็นผมที่ต้องนั่งข้างกับชาร์ป ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเค้านั้น กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย แม้ไอ้เหมาจะพูดจ้อไม่หยุด แต่ชาร์ปก็ตอบรับสั้นๆ ไม่เหมือนปกติ ที่ทั้งสองจะพูดคุยอย่างออกรสออกชาด

รวมถึงผมเองที่แทบจะไม่พูดอะไรเลย ผมทำในสิ่งที่ปกติผมคิดว่าไม่ค่อยเหมาะที่มาเจอกันแบบนี้ แต่เอาเวลาไปจ้องมือถือ แม้จะไม่ได้มีอะไรสำคัญ แต่ผมก็เลื่อนไป เลื่อนมา เข้าออก แทบทุก application ที่มีอยู่ กดมันอยู่อย่างนั้น แม้มันจะไม่ได้มีอะไรใหม่ขึ้นมา

“ทำไรวะ ไมมัวแต่กดโทรศัพท์เนี่ย”อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่พฤติกรรมปกติของผม ทำให้ไอ้เหมาซึ่งก็คงสังเกตได้ถึงความผิดปกติของผม ผมโกหกออกไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ว่าผมกำลังโดนหัวหน้าตามงานอยู่ แต่แล้วผมก็ต้องตกใจ เมื่อมีข้อความแชทส่งมาถึงผม

“เงยหน้าขึ้นมาคุยกันบ้างสิ”เป็นข้อความจากอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกะผม ผมเงยหน้ามองเจ้าของข้อความที่นั่งเยื้องไปนิดหน่อย เค้ากำลังวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ก่อนจะหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดก โดยไม่ได้หันมองมาทางผม ผมยอมรับว่าตอนนี้ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกันยังไง มันรู้สึกอึดอัดไม่สนิทใจเท่าไหร่

“ทำไมวันนี้พวกมึงสองคนดูเงียบๆ วะ”ในที่สุดไอ้เหมาก็ถามขึ้น เพราะคงสังเกตเห็นสักพักว่า บรรยากาศมันดูไม่ปกติสักเท่าไหร่ ทั้งผมและชาร์ปไม่ได้ตอบคำถามของไอ้เหมา แต่เราดันต่างคนต่างยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม

“ไอ้แว่นนี่กูพอเข้าใจได้นะ ว่าเพิ่งเลิกกะแฟน แต่มึงเนี่ยไอ้ตี้ เป็นไรเนี่ยวันนี้”กลับกลายเป็นผมคนเดียวที่โดนคาดคั้น แต่ผมก็ตอบกลับไปเพียงว่า วันนี้เพลียๆ เลยไม่ค่อยอยากคุยอะไรเท่าไหร่ แม้ไอ้เหมาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อคำพูดผม แต่มันก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรผมอีก จริงๆ ไอ้เหมาเป็นคนที่เซนส์บางอย่างดีเหลือเกิน คือถ้ามีอะไรสักเรื่อง ที่ปิดมันไว้ มันจะมีวิธีบีบอ้อมๆ ให้เราเล่าให้มันฟังเอง แต่คงไม่ใช่เรื่องนี้แน่ๆ

และแล้วช่วงเวลาที่ผมไม่อยากเจอก็มาถึง ไอ้เหมาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ทั้งผมและชาร์ปต่างเงียบ บรรยากาศชวนอึดอัดดีแท้ ผมพยายามคิดเรื่องที่จะคุยกับเค้า แต่ตอนนี้สมองผมดันคิดคำพูดอะไรไม่ออก แต่ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจที่จะพูด

“คือเรื่องคืนนั้น/คือเรื่องคืนนั้น”กลับกลายเป็นว่า เราต่างคนต่างจะเริ่มบทสนทนา แถมพูดออกมาพร้อมกัน รวมทั้งยังเป็นเรื่องที่ผมว่ามันก็ยังคงค้างคาในใจ ของเค้าเช่นเดียวกับผมนี่แหละ

“ชาร์ป พูดก่อน.../ ตี้ พูด...”เอาจริงๆ ตอนนี้พอมาจะแย่งกันพูดแบบนี้ มันทำให้ผมเองก็ เขินๆ เกร็งๆ ไม่รู้จะไปต่อยังไงเหมือนกันนะครับ

“คิดเหมือนกันใช่ไหมว่าเรามีอะไรที่ต้องเคลียร์กัน”ผมพยักหน้าตอบรับเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกคนพูด เพราะถ้าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างสนิทใจเหมือนเดิมให้ได้ ก็คงต้องเปิดอกคุยกันนั่นแหละครับ

“แล้วมึงสองคนมีอะไรต้องเคลียร์กัน”

แวะมาต่ออีกตอนครับ

ขอบคุณที่ติดตามกันเหมือนเดิมครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-06-2016 18:14:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-06-2016 19:54:36
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 15-06-2016 23:04:52
 :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 15-06-2016 23:05:20
#ทึมพี่เหมา เพราะอยากรู้ด้วยคนว่าเค้าจะเคลียร์กันยังไง o13
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-06-2016 05:30:22
ค้าง  :katai1:
ชาร์ป ตี้ ที่มีเหมาโผล่มา จะเคลียร์กันยังไง :ling1:
คนที่แย่งที่จอด แล้วไปคุยกับตี้ในห้องน้ำ
เป็นเซลล์แน่เลย ติดใจตี้แล้วมั้ง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 8 ค้างคาในใจ 15-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-06-2016 07:06:33
บทที่ 9
รู้จักอย่างเป็นทางการ

“พี่ตี้ มีคนจากออแกไนซ์มาติดต่อบอกว่า นัดพี่ตี้ไว้อ่ะค่ะ”เสียงจากประชาสัมพันธ์คนสวย บอกผมมาผ่านเสียงโทรศัพท์

“พี่รบกวน พาเค้าไปห้อง meeting room 2 ที่พี่จองไว้ แล้วก็ฝากให้แม่บ้าน เสิร์ฟน้ำกับกาแฟให้ด้วย เดี๋ยวพี่ลงไป”เนื่องจากแผนกผมอยู่ชั้นบน และทางออแกไนซ์ก็มาก่อนเวลาเกือบ 20 นาที เลยต้องให้ทางนั้นต้อนรับไปก่อน ส่วนผมก็รีบโทรแจ้งทุกคนที่หลวมตัวเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้แหละครับ

วันนี้ผมจะได้เจอตัวเป็นๆ ของอีตาเซลล์ผู้กวนตีนนี่เสียที อยากรู้จริงๆ ว่าหน้าตาจะเป็นยังไง นี่ถ้าไม่เห็นข้อมูลเบื้องต้นที่ส่งมาพิจารณาก่อน ผมคงเปลี่ยนเลือกที่อื่นไปแล้ว อันนี้จริงๆ ก็ตัดสินใจเลือกแล้วแหละครับ แต่ก็แค่อยากเห็นรายละเอียดทั้งหมดด้วย และด้วยความหมั่นไส้อยากแกล้งด้วยอีกส่วนนึง

“ตี้ลงไปคุยกะเค้าก่อนก็ได้ ยังไงถึงเวลาพี่จะตามลงไป”เสียงจากหัวหน้าผมครับ วันนี้พี่แกได้รับมอบหมายให้เข้าไปดู และตัดสินใจแทนนายครับ ซึ่งเอาจริงๆ หัวหน้าผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอกครับ ถ้าคนไม่รู้จักแกจะรู้สึกว่าแกพูดมีหลักการน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคนที่เคยร่วมงานกับแกบ่อยๆ จะรู้ว่าเวลาแกพูดนี่ มีแต่น้ำล้วนๆ ครับ ขี้โม้ไปเสียส่วนใหญ่ ผมรับคำหัวหน้าก่อนจะเตรียมอุปกรณ์ แล้วตรงไปยังห้องประชุมที่จองไว้

“สวัสดีครับคุณปรีติ”ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในห้องประชุม ก็มีเสียงทักทายผมขึ้น ซึ่งตอนนี้ในห้องเพิ่งมีคนอยู่แค่ 2 คนจากทีมออแกไนซ์ และคนที่กล่าวทักทายผม จากเสียงที่จำได้ก็คงไม่พ้น  Sale Director ตาวีระเกียรติ คนที่สุดแสนจะกวนตีนนั่นเองครับ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นคนคนเดียวกับที่ขับรถปาดหน้าแย่งที่จอดผมไปเมื่อวันก่อน นี่มันจะโลกกลมเกินไปแล้ว นี่ผมเปลี่ยนทีมออแกไนซ์ตอนนี้ทันไหมเนี่ย

“เรียกปาร์ตี้หรือตี้เฉยๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนั้นก็ได้”แม้ในใจจะนึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าตานี่เอาเสียมากๆ แต่นี่มันเป็นงาน แถมเอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ทีมนี้ก็เข้ามาประชุมว่าเราต้องการรูปแบบงานแบบไหน พอรับไปเค้าก็เสนองานมาได้ตามวัตถุประสงค์ของเรา ที่สำคัญคือนายชอบทีมนี้ที่สุดนั่นแหละครับ

“ก็ยินดีที่ได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการ นะครับคุณปาร์ตี้ ผมวีระเกียรติ หรือเรียกอรรถก็ได้ครับ”ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าที่แอบเห็นแววตาเจ้าเล่ห์จากดวงตาของผู้ชายคนนี้ เค้ายื่นนามบัตรของเค้าแลกกับผม พร้อมทั้งน้องอีกคนที่มากับเค้า ที่เป็น Creative ของทีมและจะเป็นคนนำเสนองานในวันนี้

การนำเสนองานผ่านไปได้ด้วยดี เพราะดูทั้งคุณเซลล์มาดกวนกับน้อง Creative ค่อนข้างจะมืออาชีพมากเลยทีเดียว แม้คนนำเสนอจะดูยังอายุไม่มาก แต่เวลานำเสนอกลับดูลื่นไหล และน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างมาก ทางฝั่งบริษัทผมทุกคนที่เข้ามารับฟังในวันนี้ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าชอบมากทีเดียว แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าคุณเซลล์มาดกวนนี่เท่าไหร่ แต่ในเรื่องงานผมก็ต้องยอมรับว่าเค้าทำได้ดีมาก และผมก็คงต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปในเวลางาน ไม่งั้นงานนี้คงล่มไม่เป็นท่า เพราะเค้าและผมต้องประสานงานกันอีกเยอะ กว่าจะจบงานก็อีกหลายเดือนเหมือนกัน

“เห็นผลงานแล้วคุณปาร์ตี้ ยังอยากจะเปลี่ยนไปใช้บริการที่อื่นอยู่หรือเปล่าครับ”ขอถอนคำพูดเมื่อสักครู่ได้ไหมครับ เพราะไอ้ท่าทางมั่นใจจนน่าหมั่นไส้นี่ มันดูยั่วโมโหเหลือเกิน รู้ว่าเก่ง แต่ถ่อมตัวสักนิดก็ไม่มีใครว่าหรอกพ่อคุณ แต่ในเมื่อผมก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเลย แค่ตอบกลับไปตามารยาทว่าคงไม่เปลี่ยนแล้ว

“ยังไงเราได้ทำความรู้จักกันแล้ว หวังว่าเราจะมีโอกาสไปนั่งดื่มด้วยกันสักวันนะครับ”พูดมาขนาดนี้ ผมเองก็เลยวัยใสใสมาพอควรแล้ว ก็พอเข้าใจนะครับว่าเค้าต้องการอะไร เพราะตั้งแต่วันก่อนที่เจอกันในร้านเหล้า เค้าก็พยายามจะเข้ามาทำความรู้จักกับผม แต่สำหรับผมคงยังไม่พร้อมที่จะลงสู่เกมเดียวกับเค้าหรอกครับ

“ตอนนี้ในเวลางาน ขอคุยแค่เรื่องงานแล้วกันนะครับ”ผมตอบออกไปอย่างที่พยายามจะรักษามารยาท แต่จริงๆ ก็อยากให้เค้าเข้าใจเจตนาของผมด้วยแหละครับว่า ขอติดต่อกับเค้าแค่เรื่องงานเท่านั้น

“แสดงว่านอกเวลางาน ผมคุยเรื่องส่วนตัวกับคุณได้ใช่ไหมครับ แต่วันนี้ผมต้องรีบไปแล้ว ยังไงไว้เจอกันนะครับคุณปาร์ตี้”และไม่รอให้ผมได้ปฏิเสธอะไรอีกเค้าก็หันหลังเดินออกไปเลย นี่ผมจะมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกรึเปล่า ซึ่งก็ไม่ต้องให้ผมได้รอนานครับ เพราะข้อความในไลน์ของผมแจ้งเตือนขึ้นมาแล้ว

“ผมอรรถเองนะครับ อันนี้ไลน์ผม ไว้เราจะได้ติดต่อกันสะดวกๆ”นึกโทษตัวเองที่ตั้งค่าในไลน์ให้เพิ่มเพื่อนอัตโนมัติจากเบอร์ได้เลย นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องติดต่องานกันอีกหลายเดือนผมคงกด block เค้าไปแล้ว

“คุยกะใครอ่ะ”ไอ้เหมาแย่งมือถือผมไปอ่านข้อความ ถึงจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับมือถือเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสมากหรอกครับ เพราะยิ่งกะเพื่อนอย่างไอ้เหมาผมก็ไม่ได้มีอะไรปิดบังมัน ยกเว้นเรื่องเดียว คือเรื่องผมกับชาร์ปนั่นแหละครับ

“สรุปมึงจะบอกกูได้ยังว่ามึงกับไอ้ชาร์ปมีอะไรต้องเคลียร์กัน”นั่นแหละครับบอกแล้วว่ามันเซนส์ดี แล้วนี่ที่มาอยากดูมือถือผมก็เพราะเรื่องนี้ด้วยนี่แหละครับ

“กูบอกไปร้อยรอบแล้วไหม ว่าชาร์ปก็แค่จะให้กูเลี้ยง เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ปิดบังเรื่องเอม”แม้จะเป็นเพียงคำโกหกแต่ผมก็คิดว่าผมโกหกแบบแนบเนียนแล้ว แถมพูดตั้งหลายรอบแล้ว แต่ไอ้เหมาก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี ไม่รู้จะเซนส์ดีอะไรนักหนา จากวันที่มันบังเอิญได้ยินผมกับคุณแว่นคุยกัน มันก็ปักใจมาตลอดว่าต้องมีอะไรมากกว่าการเลี้ยงไถ่โทษ

“ในเมื่อมึงไม่ยอมบอก งั้นมาคุยเรื่องคนชื่ออรรถนี่ เค้าเป็นครายยย บอกเพื่อนมาเลยครับน้องตี้”นั่นไงล่ะจากเรื่องนึงสู่อีกเรื่อง

“ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหมละครับ พี่เหมา”แม้จะบอกออกไปแบบนั้นสุดท้ายผมก็ต้องเล่าให้มันฟังอยู่ดีแหละครับว่านั่นคือใคร ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าไม่มีคำพูดกวนบาทาไม่น่าจะใช่ไอ้เหมาตัวจริงๆ บางทีชื่อมันนี้ก็นึกอยากจะตัดสระเอออกเสียจริงๆ เพราะปากมันบางทีก็กวนเกินไปจนใกล้เบอร์นั้นแล้วละครับ

“มีแลกลงแลกไลน์กันด้วย ไหนบอกไม่ชอบ ไหนว่าเค้ากวนตีนมึงไง พ่อหนุ่มเซลล์มึงเนี่ย หรือพอเจอตัวเป็นแล้วเกิดสเปค เลยป่ะ”ดูเอาเถอะครับว่านี่ขนาดแค่เพื่อนผมยังต้องรับมือขนาดนี้ แล้วจากนี้ผมจะปวดหัวขนาดไหนที่อาจจะได้รับการรบกวนจากตาเซลล์มาดกวนนั่นอีก

“กูก็แค่ต้องติดต่องานกับเค้าเฉยๆ ไหม”ผมรับโทรศัพท์คืนจากไอ้เหมา หลังจากที่มันซอกแซกดูทุกมุมแล้ว แต่คงต้องบอกว่าเสียใจกับมันด้วย เพราะถ้าเป็นเรื่องการแชทต่างๆ ผมไม่ค่อยเก็บสักเท่าไหร่

“ไหนๆ มึงก็โสดไม่ลองจีบเซลล์หน้าหล่อนี่ดูวะ หรือถ้าเค้าจีบมึงก็ตอบตกลงเป็นแฟนกับเค้าไปเลย จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที”ยิ่งคุยกับไอ้นี่ยิ่งเลอะเทอะครับ เลยต้องรีบแนกตัว ต่างคนต่างกลับไปทำงานน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า แล้วพอมีอะไรให้ทำก็ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปไวเหลือเกิน ผมนั่งทำงานเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกงาน ผมกล่าวลาหัวหน้าที่ยังนั่งทำงานต่อ หัวหน้าผมชอบนั่งทำงานต่อตอนเย็นครับ เพราะกลางวันไม่ค่อยทำอะไร และอย่างที่บอกพอทำหลังเวลางานปกติ เวลาไม่รู้อะไร หรืออยากได้อะไร ก็มักจะสายตรงถึงผมนี่แหละครับ ที่ต้องลำบากจัดการให้

ระหว่างเดินไปยังมีจอดรถ โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งผมที่ใช้เบอร์ส่วนตัวนี้ใช้ในงานก็ต้องกดรับ เพราะถ้าเกิดเป็นเรื่องงานขึ้นมาแล้วไม่รับ เกิดมีปัญหาตามมา ก็ซวยอีก แต่ถ้าเป็นเบอร์หัวหน้าผม วันไหนเบื่อๆ หลังเวลางานแบบนี้ผมก็ไม่รับสายนะครับ ยกเว้นถ้ามีการโทรซ้ำ เพราะคงมีอะไรเร่งด่วนจริงๆ แต่หลังๆ หัวหน้าผมเหมือนรู้ทัน เลยโทรซ้ำมันเสียทุกครั้งไป

“เลิกงานรึยังครับเนี่ย”ทันทีที่ผมกดรับ ปลายสายก็เอ่ยทักทายผมด้วยคำถาม แม้จะรู้สึกคุ้นเคยในน้ำเสียง แต่ผมเองก็ยังคงถามซ้ำว่าปลายสายที่ผมกำลังคุยอยู่นี่คือใคร และการคาดเดาของผมก็ยังคงแม่นยำ เพราะคนที่โทรหาผมก็คือ อีตาเซลล์มาดกวนที่ผมเพิ่งได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการในวันนี้นั่นแหละครับ

“คุณอรรถมีธุระ อะไรหรือเปล่าครับ”แม้พอจะรู้ว่าเค้าต้องการอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าเค้าจะรุกผมเร็วขนาดนี้ แถมผมเองก็ว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนแล้วว่า ไม่ได้คิดอยากจะร่วมเกมกับเค้า

“นี่นอกเวลางานแล้ว ถ้าเป็นธุระส่วนตัวนี่คุณปาร์ตี้พอจะมีเวลาให้ผมบ้างไหมครับ”อื้อหือ ฟังดูไม่เข้ากับบุคลิคกวนๆ นั่นสักนิด

“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าขอคุยแค่เรื่องงาน ถ้าไม่เกี่ยวกับงานผมคงต้องวางสายนะครับ”และไม่รอให้เค้าได้พูดต่อ ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าเค้าไม่ได้จะคุยเรื่องงาน ผมเลยถือโอกาสเสียมารยาทวางสายเอาดื้อๆ นั่นแหละครับ ถ้าเป็นเรื่องงานผมยินดีเต็มที่นะครับ งานก็คืองาน แต่นี่นอกเหนือเวลางานแถมไม่ใช่เรื่องงาน ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ

“ใจร้าย”ข้อความจากไลน์โชว์อยู่บนหน้าจอทันทีที่ผมกดเข้าไป ตามมาด้วยสติ๊กเกอร์ร้องไห้ ถูกส่งมาจากคนที่ผมเพิ่งวางสายไป

“อย่าเพิ่ง block ผมนะครับ เรายังต้องคุยงานกันอีกนาน”เหมือนจะอ่านความคิดของผมออก เพราะนี่กำลังตั้งใจจะ block เค้าชั่วคราว แล้วถึงเวลางานค่อยมาปลด lock อีกที แต่ก็ดูจะวุ่นวายมากเกินไป ผมเลยเลือกที่จะปิดแจ้งเตือนของบทสนทนานี้น่าจะง่ายกว่า

“อ่านแต่ไม่ตอบ อย่างน้อยก็เป็นลางดีว่ายังไม่ block”หลังจากได้อ่านผมก็จัดการกดพิมพ์ข้อความ เพื่อเตรียมที่จะส่งกลับไปเพราะถ้าปล่อยไว้ โดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย ฝั่งนั้นก็คงไม่เลิกราไปแน่ๆ

“นี่จีบผมอยู่ รึเปล่า??? ถ้าจีบอยู่แนะนำว่าอย่าเลย เสียเวลาเปล่าๆ ครับ”ผมส่งกลับไปเพื่อแสดงเจตนารมย์ของตัวเอง และก็จริงครับว่านายอรรถนี่บอกว่าจะจีบผม อาจจะด้วยวัยของเราทั้งคู่ที่แม้จะยังไม่ได้มากนัก แต่เราก็คงอยู่ในจุดที่ไม่ต้องมาอ้อมค้อมกันแล้ว เค้าเดาเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกให้เค้าเลิกจีบผมไปต่างๆ นานา ทั้งว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว มีแฟนเป็นตัวเป็นตน หรือยังไม่พร้อมคบใคร เมื่อผมตอบกลับไปว่าเหตุผลอะไรมันก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงเสียผมก็ให้เค้าเข้ามาในชีวิตได้แค่คนที่ร่วมงานกันเท่านั้น

“ถึงคุณจะปฏิเสธ แต่รอดูได้เลยครับ ว่าผมนี่แหละจะทำให้คุณเปิดใจให้ผมจนได้”ช่างเป็นข้อความที่หลงตัวเองเหลือเกินครับ เอ้าผมจะรอดูแล้วกันครับว่าเรื่องนี้เค้าจะเก่งเหมือนปากว่าหรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเปล่าประโยชน์จะพูดกับคนที่ดันทุรังแบบนี้ 

ผมกำลังจะกดออกจากไลน์  หากแต่ว่ามีข้อความจากอีกคนเข้ามาพอดี เป็นข้อความที่ผมรู้สึกว่ามันจะได้ช่วยคลี่คลายเรื่องระหว่างผมกับอีกคนให้มันดีขึ้นเสียที เรื่องราวระหว่างผมกับชาร์ป

“วันเสาร์นี้ ออกมาเจอกันหน่อยไหม จะได้คุยเรื่องที่ค้างคาอยู่เสียที”

วันนี้พาคุณเซลล์มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

ตามที่คาดเดา ว่าเขาคือใคร

ขอบคุณที่ติดตามเหมือนเดิมครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 9 รู้จักอย่างเป็นทางการ 17-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: makemehappy ที่ 17-06-2016 14:25:46
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 9 รู้จักอย่างเป็นทางการ 17-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 17-06-2016 15:29:50
อร๊ายตี้โดนจีบบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 9 รู้จักอย่างเป็นทางการ 17-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-06-2016 22:10:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 9 รู้จักอย่างเป็นทางการ 17-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-06-2016 09:31:04
บทที่ 10
เพื่อนเหมือนเดิม???

“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น”

“มันบ้ามากเลย”ผมโพล่งออกไปหลังจากที่อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนา วันนี้คุณแว่นนัดผมออกมาเจอที่ร้านกาแฟ ร้านนึงซึ่งตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ใกล้ๆ กับบ้านของเค้า แม้จะตั้งใจมาแล้วว่าจะต้องสะสางเรื่องที่ค้างคาระหว่างเรา แต่พอเจอหน้ากัน เราทั้งคู่ก็ยังเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกันยังไง

“นั่นสินะ...มันบ้ามากจริงๆ”คุณแว่นขยับแว่นตาของตัวเองนิดนึงก่อนจะเอ่ยออกมาเนิบๆ เหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า

“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก แล้วเราสองคนก็ลืมๆ เรื่องนี้ไปซะ”ผมตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง หวังให้เค้าเข้าใจว่า ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมที่เป็นเกย์ ฉวยโอกาสตอนที่เค้ากำลังเสียศูนย์ และผมก็ยังอยากให้มิตรภาพ ความเป็นเพื่อนของเรายังคงอยู่

“แล้วยังไงต่อ”เขายังคงดูนิ่งเฉย นิ่งจนผมเองไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เค้าโกรธผมไหม หรือเค้ายังพร้อมจะเป็นเพื่อนกับผม เหมือนเดิมหรือเปล่า

“เราสองคนก็ทำเหมือนว่าเรื่องคืนนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น จากนี้เราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไง ชาร์ปโอเคหรือเปล่า”แว่นที่ตอนแรกถูกขยับให้เข้าที่ แต่ตอนนี้ถูกถอกออกวางลงข้างๆ แก้วกาแฟ ผมเผลอจ้องหน้าเค้าอย่างลืมตัว จนต้องรีบหลบตาลง เอาจริงๆ ผมก็ยอมรับนะครับว่า ชาร์ปเป็นเพื่อนที่บางครั้งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ได้ คือเหมือนมีบางแวบที่ผมรู้สึกหวั่นไหว  ยิ่งเวลาเค้าถอดแว่น ผมว่าเค้ายิ่งมีเสน่ห์ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ในเมื่อสถานะ เราคือเพื่อน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเค้ามากไปกว่านี้อยู่แล้ว

“แต่เรื่องมันก็เคยเกิดขึ้นจริงๆ จะให้คิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เราคงทำไม่ได้”ผมขมวดหิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดออกมา ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

“แล้วชาร์ปต้องการยังไง”เราสองคนต่างมองหน้ากันนิ่ง อย่างใช้ความคิด ผมเริ่มคิดไปต่างๆ นานา ถึงขั้นว่าหรือผมกับเค้าจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก แต่ถ้าเราหลบเลี่ยงกันตลอด วันนึงไอ้เหมาก็คงสงสัยอยู่ดีว่าเรามีปัญหาอะไรกัน แล้วทางไหนถึงจะจบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดกันนะ ตอนนี้สีหน้าของชาร์ปเองก็ดูตัดสินใจลำบากเช่นเดียวกัน

“ตามที่ตี้บอกแหละ  เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”อีกแล้วใช่ไหม ผมโดนอำอีกแล้วสินะ สรุปแค่แกล้งให้เครียด เป็นอันว่า เราสองคนเห็นตรงกัน จากนี้ทั้งผมและเค้าก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เรื่องที่เกิดขึ้น มันจะถูกฝังไปกับเราสองคน บรรยากาศตอนนี้กลับไปสบายๆ อย่างที่เคยเป็น พอได้เปิดใจคุยกันแล้วมันก็โล่งอก จริงๆ นั่นแหละครับ ถือว่าได้เคลียร์สิ่งที่ติดค้างอยู่ในความรู้สึก

“ชาร์ปโอเคจริงๆ ใช่ไหม”ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ว่าคุณแว่นจะไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรอีกกับการที่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน

“โอเค ดิ หรืออยากให้เราไม่โอเค”สายตาขี้เล่นจากอีกคนทำให้ผมรู้สึกว่า ผมน่าจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว เรายิ้มให้กันอย่างสนิทใจ

หลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว คุณแว่นถามว่าผมมีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า เพราะตัวเค้าอยากจะดูหนัง แต่ไม่อยากดูคนเดียวเลยจะให้ผมดูเป็นเพื่อน เป็นหนังแอคชั่นไซไฟเรื่องนึง ผมที่ก็ไม่ได้มีอะไรจะทำอยู่แล้ว เลยตอบตกลงไปแบบไม่ลังเล เพราะความที่เค้าเอ่ยปากว่าจะเลี้ยง

หลังจากดูหนังจบ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับหนังที่ดูจบอย่างออกรสออกชาด นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสดูหนังร่วมกับเค้า ปกติผมเป็นคนนึงที่พอดูหนังจบแล้วมักจะชอบวิเคราะห์เรื่องราวต่อ บางครั้งก็จะเข้าเวปบอร์ดเกี่ยวกับหนังเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับหนังเป็นประจำอยู่แล้ว พอได้มารู้ว่าอีกคนมีมุมนี้คล้ายๆ กันก็เหมือนมีอะไรคุยกันได้มากขึ้น

“ไปนั่งดื่มต่อกันไหม”ผมหันมองอีกคนที่เอ่ยชวน ซึ่งเค้าก็เพียงยักคิ้วเป็นเชิงถามผม แม้ผมจะมีอาการลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่นี่มันเย็นวันเสาร์แล้วผมก็ไม่มีนัดที่ไหน จะให้ไปติดแหงกอยู่ที่บ้านก็คงน่าเบื่อไม่ใช่น้อย ส่วนคุณแว่นเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ การไปดื่มกับเพื่อนก็ไม่น่าเลวร้ายอะไรนี่เนอะ

แม้ตอนนี้ตะวันเพิ่งจะตกดินไม่นาน การสังสรรในค่ำคืนวันเสาร์อาจจะยังไม่เริ่มสำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับพวกผมมันไม่ใช่ปัญหาเลย ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านนั่งชิลๆ ร้านประจำเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะตอนแรกไม่ได้กะจะไปไหนต่อเลยนั่งรถไฟฟ้าออกมาจากบ้าน กะว่าคุยธุระเสร็จก็จะกลับเลย กลายเป็นผมต้องติดรถคุณแว่นมาที่ร้าน ส่วนตอนกลับก็ค่อยเรียกแทกซี่ละกัน

บทสนทนาของเราระหว่างการดื่มเป็นเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่เรื่องราวการทำงาน หนัง เพลง อาหารที่ชอบ จนบางแวปผมแอบรู้สึกว่า นี่เราเริ่มเหมือนเรามาออกเดทกันไหมเนี่ย อย่างที่เคยบอกว่าผมคงต้องเว้นระยะห่างระหว่างผมกับคุณแว่นนี่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย เพราะงั้นจริงๆ วันนี้ผมไม่ควรที่จะอยู่กับเค้าสองคนแบบนี้

“ชวนไอ้เหมาออกมาดื่มด้วยดีไหม หลายๆ คนจะได้ยิ่งสนุก”แต่ข้อเสนอของผมกลับถูกคุณแว่นคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าอยากให้ไอ้เหมาได้มีเวลาอยู่กับแฟนบ้าง เดี๋ยวแฟนจะน้อยใจเอาว่าไม่มีเวลาให้ คุณแว่นไม่อยากให้ไอ้เหมามาซ้ำรอยเดียวกับตัวเอง

“เล่นเกมกันไหม”อยู่ๆ อีกคนก็ชวนผม และเกมที่เค้าชวนเล่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เล่นทายชื่อเพลงที่นักดนตรีกำลังเล่น หรือเพลงที่ทางร้านเปิด พอเพลงขึ้นมา ใครตอบชื่อเพลงได้ก่อนก็ชนะ ใครแพ้ ต้องยกเครื่องดื่มหมดแก้ว ส่วนคนชนะอยากดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ ดูจากที่เป็นคนชวนเจ้าตัวคงมั่นใจในเรื่องเพลงพอสมควร แต่ผมเองก็มั่นใจไม่ต่างกันหรอก ผมว่าผมออกจะได้เปรียบเสียด้วยซ้ำ เพราะผมมานั่งร้านนี้บ่อยกว่าเค้า แล้วเพลงที่ร้านเปิดในแต่ละวัน หรือที่นักดนตรีเล่น มันก็วนๆ ซ้ำๆ เพลงเดิม ซึ่งผมรู้จักแทบทุกเพลงอยู่แล้ว

ผ่านไป 20 เพลง ผมแทบจะชนะขาดลอยด้วยคะแนน 15:5 เพราะแม้เค้าเองจะรู้จักเพลงเช่นเดียวกัน แต่ผมมักจะนึกชื่อเพลงได้ก่อนเสมอ จนผมเริ่มรู้สึกว่านี่เค้าแอบอ่อนข้อให้ผมรึเปล่า แต่แบบนั้นจะได้อะไร เพราะเค้าต้องดื่มเบียร์ แก้วแล้วแก้วเล่า จนผมเองจากตอนแรกก็ดื่มตามเค้าบ้างแม้จะชนะ เพราะไม่อยากเสียเปรียบที่ได้ดื่มน้อยกว่า แต่ตอนนี้เริ่มยั้งตัวเอง เพราะคิดว่าผมน่าจะได้เป็นคนขับรถพาเขากลับเสียแล้ว ตอนนี้เวลาเริ่มล่วงเลยมาครึ่งค่อนคืน คนในร้านเริ่มแน่น จนเสียงพูดคุยกระจายไปทุกพื้นที่ เราเองก็ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่ ความเกร็งที่เหมือนจะมีในตอนแรกยิ่งหายไป แล้วยิ่งคุยถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของพวกเรา ซึ่งเป็นที่เดียวกัน เรื่องราวมันยิ่งดูสนุกสนานขึ้นไปอีก

“เฮ้ย ลุงแว่นหวัดดี พี่ตี้หวัดดีค่ะ”เสียงทักทายจากรุ่นน้องที่ทำงานทำให้เราสองคนหยุดบทสนทนาที่กำลังเถียงกันว่าเพลงที่กำลังเริ่มคือเพลงอะไรกันแน่ หญิงสาวที่เอ่ยทักทายเราคือน้องปลาผู้เป็นหลานรหัสของคุณแว่น และเป็นทีมงานในแผนกของไอ้เหมาด้วย เธอนั่งลงข้างลุงรหัสของเธอ ก่อนจะเอ่ยแซวคุณแว่นเรื่องที่เลิกกับชะเอม จริงๆ สำหรับผมมองว่าอาจจะเป็นการแซวที่แรงไป แต่ไม่เห็นคุณแว่นแสดงอาการที่ไม่พอใจออกมา เลยคิดว่าน่าจะด้วยความสนิทสนมในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องของทั้งคู่ คงสามารถพูดคุยเล่นกันได้เป็นเรื่องปกติ

“แล้วนี่พี่มากันสองคนเหรอ”หลังจากที่คุณแว่นเอ่ยปากชวนน้องปลานั่งด้วยกัน แต่น้องปลาปฏิเสธเพราะว่ามากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ น้องปลาเริ่มทำหน้ากรุ้มกริ่มเมื่อถามประโยคนี้ออกมา เห็นแบบนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าน้องปลาเป็นรุ่นน้องไอ้เหมากับคุณแว่น ดูมีความเจ้าเล่ห์และกวนตีนไม่แพ้กันเลย

“นั่นแน่ นั่นแน่”และเมื่อรู้ว่าพวกผมมากันสองคนก็ทำตาเล็กตาน้อย มองผมกับคุณแว่นสลับกันไปมา ก่อนจะลากให้คุณแว่นให้ลุกมานั่งข้างผม ผมกับคุณแว่นมองหน้ากันงงๆ กับการกระทำของรุ่นน้องคนนี้ แล้วจังหวะที่ผมกับคุณแว่นหันมองหน้ากัน ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังมาจากทางน้องปลา ซึ่งในมือถือโทรศัพท์ไว้บ่งบอกว่าเสียงเมื่อสักครู่มาจากไหน

“ทำไรเนี่ยยัยตัวแสบ”คุณแว่นหันไปถามพร้อมกับแย่งมือถือมาดู ซึ่งยื่นต่อให้ผมดูด้วย ก็เป็นรูปที่เราสองคนหันหน้าเข้าหากัน เป็นรูปหันข้าง มองเผินๆ ก็เหมือนกำลังจ้องตากัน ส่วนน้องปลาก็หัวเราะคิกคักพร้อมทำท่าเขินๆ จนผมเองหลุดขำท่าทีของน้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูจิ้นพี่สองคนแล้วเนี่ย”ผมเพียงยิ้มๆ กับคำพูดของน้องปลา เพราะพอจะรู้แล้วว่าน้องปลาคงเป็นสาววายแน่นๆ แต่อีกคนดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องปลาพูด จนต้องมีการอธิบายกันยกใหญ่ กว่าจะเข้าใจ ว่าอะไรคือการจิ้น คุณแว่นนี่บางมุมก็น่าเอ็นดูนะครับ ขนาดคู่จิ้น ดาราชายหญิง ทั่วๆไป คุณแว่นยังเพิ่งจะเข้าใจวันนี้เองครับว่าอะไรคือคู่จิ้น

“แล้วทำไมตอนนี้ไม่จิ้นแล้วล่ะ”พอเข้าใจความหมายแล้วคุณแว่นก็เหมือนกำลังเล่นสนุกไปกับน้องปลาเพราะตอนนี้ ไหล่ผมถูกโอบจากเค้าพร้อมดึงให้ผมชิดเข้าหาตัวเค้า เพื่อให้น้องปลากดชัตเตอร์ รัวๆ

“ถ้ามัวแต่จิ้นให้ผู้ชายได้กัน ชาตินี้หนูก็ได้ขึ้นคานพอดีสิพี่”คำตอบของน้องปลา เรียกเสียงหัวเราะจากเราสองคนได้เป็นอย่างดี น้องปลานั่งพูดคุยอีกนิดก่อนจะขอแยกกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน

“ปล่อยมือแล้วย้ายกลับไปนั่งฝั่งเดิมไหม”เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งทั้งที่น้องปลาก็ไม่อยู่จิ้นแล้ว แต่เค้าก็ทำเพียงลดมือลงจากการโอบไหล่ผม และขยับออกห่างเพียงนิดเดียว ไม่ได้ย้ายกลับไปนั่งฝั่งตรงข้าม เขากลับยกแก้วขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด แถมยังหันมายักไหล่ใส่ผม เค้าให้เหตุผลว่าฝั่งที่เค้านั่งมองไม่เห็นนักร้องทำให้เวลาเล่นเกม เค้าเลยตอบไม่ทันผมเลยขอย้ายมานั่งฝั่งเดียวกัน แต่พอผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งเค้าก็รีบห้ามว่าจะเป็นการเอาเปรียบผม แต่ว่าดูเหมือนพอเกมดำเนินไป ต่อให้ตอนนี้ผมต่อให้เค้าตอบก่อนสัก 10 เพลง เกมนี้ผมก็ยังชนะขาดลอยอยู่ดี เพราะตอนนี้ดูเค้าเริ่มเมาจนใกล้ไม่มีสติแล้วละครับ

“สรุปเราเป็นคู่จิ้นกันเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆ”เค้าหัวเราะพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู เป็นรูปใน Facebook ที่น้องปลา tag เค้ามา มันคือรูปที่เค้าโอบไหล่ผมและเป็นจังหวะที่เราหันมองหน้ากัน คือตอนมอง ผมก็แค่คิดว่าเราสองคนนั่งชิดกันเกินไป กำลังจะให้เค้าขยับออกห่างและหัวเราะกับคำพูดของน้องปลา  แต่รูปที่ออกมา มันเหมือน เราสองคนกำลังหยอกล้อกันอยู่ สายตาผมเหลือบมองต่อที่ข้อความที่น้องปลาโพสต์

#ว่าจะไม่จิ้นแต่พอจิ้นเท่านั้นแหละฟินเลย
#ลุงรหัสของหนู
#ฝากแทกพี่ตี้

ยังไม่ทันที่ผมจะอ่านอะไรต่อ ก็มีข้อความแจ้งเตือนของผมเช่นกันว่ามีคนแทกรูปภาพมา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้เหมานั่นเองครับที่แทกผม พร้อมตามมาด้วยการคอมเม้นต์ใต้รูปของมัน

“มึงสองคน นี่ตกลงยังไง กูขอคำอธิบาย”ตามมาด้วยอิโมจิยิ้มเจ้าเล่ห์ จนผมต้องรีบแก้ตัว เอ้ย อธิบายว่านี่ผมก็แค่มาเลี้ยงคุณแว่นไถ่โทษเรื่องที่ผมปิดบังเรื่องชะเอม อย่างที่เคยบอกมันไปแล้ว ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเจอว่าอีกคนกำลังจะสั่งเบียร์เพิ่ม จนผมต้องรีบห้ามเพราะตอนนี้ตัวเค้าเองไม่น่าจะดื่มไหวแล้ว ส่สนตัวผมถ้าดื่มเข้าไปอีกเกรงว่าจะขับรถกลับไม่ไหว จึงรีบให้เด็กเสิร์ฟคิดตังค์และลากคุณแว่นออกจากร้าน ดูเวลาแล้วผมน่าจะขับรถไปส่งเค้าก่อน ค่อยนั่งแทกซี่กลับ อาจจะถึงบ้านช้าหน่อย แต่พรุ่งนี้ก็วันหยุด ไม่ได้ทำอะไร มีเวลานอนทั้งวันแหละ

“ค้างนี่แหละ ดึกแล้วหาแทกซี่ยาก”คนเมาเริ่มงอแงเมื่อมาถึงบ้าน ตอนนี้เค้ากึ่งลากกึ่งดึงมือผมเข้าบ้าน ไม่ยอมให้ผมกลับ ซึ่งจริงๆ ผมสามารถสะบัดหลุดได้ง่ายๆ เพราะดูเค้าก็ไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่แล้ว แต่ผมกลับเลือกลังเลที่จะอยู่ต่อ ผมเริ่มหาเหตุผลให้กับตัวเอง ว่าการค้างที่นี่ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องทนง่วงกลับไปถึงบ้าน

“เราไม่ปล้ำหรอกน่า”แหมเมาขนาดนี้ยังจะปากดีอีกนะครับคุณแว่น นี่ผมก็อุตส่าไม่คิดอะไรแล้วยังจะมาสะกิดให้ผมคิดอีก ก็เลยเป็นอันว่าผมตกลงค้างที่บ้านเค้า เราต่างคนต่างแยกกันอาบน้ำโดยผมใช้ห้องน้ำที่ชั้นล่างของบ้าน ส่วนคุณแว่นก็ใช้ห้องน้ำในห้องตัวเอง ผมเป็นคนที่อาบน้ำเสร็จก่อน และเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงบอกเซอร์ และเสื้อยืดตัวโคร่งของเจ้าของบ้าน ผมเลือกนอนริมฝั่งนึงของเตียง และปิดเปลือกตาลง แม้จะรู้สึกเพลีย แต่ผมกลับรู้สึกหลับไม่ลง เพราะอยู่ๆ ภาพที่มันเคยเกิดขึ้นที่ห้องนี้กลับฉายซ้ำไหลเวียนอยู่ในหัวของผม ผมรีบพลิกตัวหันหลังให้พื้นที่ว่างที่เหลือของเตียงเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก มีเสียงเดินไปเดินมาจากเจ้าของห้องสักพักก่อนจะสัมผัสได้ว่าพื้นที่เตียงที่ว่างอยู่ยุบลง

“หลับยังอ่ะ”เขาเอ่ยถาม หลังจากต่างคนต่างเงียบอยู่พักใหญ่ แต่เราทั้งสองก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ยังนอนไม่หลับ ดีไม่ดีผมว่าเรื่องที่มันรบกวนจิตใจของเราสองคนตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะตอนนี้ผมดันเกิดมีความต้องการขึ้นมาเสียด้วยสิ

“นอนเถอะ”ผมตอบออกไปโดยที่ไม่ได้ขยับตัว ยังคงนอนหันหลังให้อีกคน

“หันมาคุยกันก่อนดิ”พร้อมกับคำพูดนั้น ผมถูกแรงดึงจากอีกคนให้หันหน้าเผชิญกับเค้า เค้าจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองผมว่าสายตาเค้ามันเหมือนกำลังเว้าวอนขอบางอย่างจากผม

“จริงๆ เรื่องคืนนั้นมันก็ไม่ได้แย่ว่าไหม”สิ้นประโยคนั้นริมฝีปากของเค้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาผม กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ก็เริ่มลอยมากระทบจมูกผม สิ่งที่ผุดมาในหัวคือผมต้องปฏิเสธเค้า แต่สิ่งที่ผมทำกลับกลายเป็นการจูบตอบเค้า

แวะมาต่อครับ

ขอบคุณที่ติดตาม ยังไงติชมได้เรื่อยๆ เลยนะครับ

ส่วนตอนหน้าค่อย  :hao6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 10 เพื่อนเหมือนเดิม??? 22-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 22-06-2016 10:51:10
อะไรยังไงค่ะคุณแว่น
เหงาเมาเปลี่ยวใช่มั้ยเนี่ยะ
ตี้...หนูต้องระวังใจตัวเองนะคะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 10 เพื่อนเหมือนเดิม??? 22-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-06-2016 18:13:44
เราว่าผีเห็นผีนะ ถึงผีตัวหนึ่งมันจะะยายามปิดก็เถอะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 10 เพื่อนเหมือนเดิม??? 22-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 23-06-2016 09:19:12
บทที่ 11
Friends with Benefits

เราผละหน้าออกจากกันเพื่อพักหายใจ สายตาที่มองกันตอนนี้มันบ่งบอกชัดเจนว่าเราต้องการอะไร เค้าโน้มหน้าเค้ามาจูบผมอีกครั้งอย่างดุดันซึ่งผมเองก็จูบตอบอย่างไม่ได้ยอมแพ้ สองมือของเค้าสอดเข้ามาในเสื้อตัวโคร่งของผม ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอก ก่อนจะลากต่ำลงไปบริเวณหน้าท้อง ผมแทบหยุดหายใจเมื่อมือของเค้า ล้วงเข้าไปในบอกเซอร์สัมผัสกับปาร์ตี้น้อย ที่ตื่นตัวรอนานแล้ว เค้าหัวเราะในลำคออย่างผู้มีชัยเมื่อเห็นร่างกายผมตอบสนองสัมผัสจากเค้าอย่างรวดเร็ว  และเพียงไม่นานเค้าก็รูดบอกเซอร์ผมออกไปอย่างรวดเร็ว ผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเค้าดูเชี่ยวชาญเหลือเกิน แม้นี่จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมมีอะไรกับเค้า แต่ถ้านับการมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันของเค้า มันไม่น่าจะเชี่ยวชาญขนาดนี้ แต่ความสงสัยผมก็อยู่เพียงครู่เดียว เมื่อเค้าจัดการเสื้อผ้าของเค้าเองลงไปกองข้างเตียงอย่างรวดเร็ว

ผมมองไปที่กลางลำตัวของเค้าด้วยใจที่หวาดหวั่น แม้ผมจะเคยสัมผัสมาแล้ว แต่ก็ยังกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากเย็น แม้จริงๆ เค้าจะดูตัวหนาและสูงกว่าผมไม่มากนัก แต่แกนกลางของเค้าในเวลาที่พร้อมใช้งานแบบนี้ ก็ดูใหญ่โตกว่าที่ผมเคยเจอมา แม้ผมเองจะเคยผ่านการมีแฟนมาบ้างแล้ว และมีบ้างที่เป็น one night stand แต่ทุกคนที่ผ่านมาก็ถือว่าเค้าเป็นสถิติใหม่ที่ผมเคยเจอก็ว่าได้

ผมจ้องมองแกนกลางนั้นได้เพียงครู่เดียว เพราะถูกเค้าจับให้พลิกคว่ำ แล้วยกสะโพกผมลอยขึ้น ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่แกนกลางลำตัวของเค้า เข้ามาในตัวผม ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ จนในที่สุดก็เข้ามาจนสุดได้ เค้าแช่ไว้อย่างนั้นครู่นึงพร้อมกับก้มลงมาฝังเขี้ยวเบาๆ ที่คอของผม จากนั้นเค้าค่อยๆ ขยับจังหวะเข้าออกช้าๆ จนเริ่มเห็นว่าผมพร้อมแล้ว จังหวะจึงถูกเร่งขึ้น และมันเริ่มเร่าร้อนจนผมต้องครางเป็นชื่อเค้าออกมา ซึ่งไม่รู้ว่าเค้าพอใจกับสิ่งที่ได้ยินหรืออย่างไรถึงได้กระแทกแรงขี้นทุกครั้งที่ผมเรียกชื่อเค้า

ความคิดที่เค้าดูช่ำชองการมีอะไรกับผู้ชายมากเกินไปแวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง เพราะผมเองก็ไม่ใช่วัยใสไร้เดียงดา จนถึงกับแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เค้ามอบให้ผมมันจะเป็นการกระทำของคนที่เพิ่งเคยทำแบบนี้ หรือคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว อีกอย่างคือผมสัมผัสได้ว่าเค้าดูไม่ได้รังเกียจที่จะมีอะไรกับเพศเดียวกัน และมันกลับยิ่งทำให้อารมณ์ของผมกระพือขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกว่าเค้าเองก็อยากที่จะมีอะไรกับผม มือของเค้าเร่งจังหวะการกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผม พร้อมกับที่เร่งจังหวะการเคลื่อนไหวเข้าออกในตัวผม จนในที่สุดผมก็ฉีดน้ำสีขาวขุ่นลงไปบนเตียงนอน แล้วเราจะนอนยังไงละนั่น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมตกใจเท่าสัมผัสในร่างกายที่รู้สึกได้ว่ามีน้ำอุ่นๆ ถูกฉีดเข้ามาในร่างกาย

“ระ..เราไม่ได้...ไม่ได้ใช้ถุงยาง”ผมพูดออกไปทั้งที่หอบ แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ และบอกว่ามั่นใจในตัวผมว่าไม่มีโรคร้ายอะไร ส่วนเค้าเองเพิ่งตรวจเลือดเมื่อไม่นาน เพราะจริงๆ กำลังคิดวางแผนเรื่องมีลูกกับชะเอม

“เมื่อกี้รู้สึกดีเปล่า”เค้าเอ่ยถามขณะที่เราทั้งคู่ยังเปลือยเปล่านอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เค้าเอื้อมมือมาเสยผม เปิดหน้าผากให้ผม ค่อยๆ ลากนิ้วเรียวยาวนั้นไปรอบๆ ใบหน้าของผม สายตาจ้องมาที่ผมอย่างรอคำตอบ และคงหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ตรงใจ

“ก็ดี...แต่...”ผมเว้นจังหวะ เงียบไปจนเค้าต้องขมวดคิ้ว และเร่งเอาคำตอบจากผมว่าแต่อะไร

“มันดูดีไหลลื่น เกินไป...จน”

“เราเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน”ยังไม่ทันที่ผมจะถามออกไปจนจบ สิ่งที่ค้างคาในใจของผมก็ไขกระจ่าง แต่ถ้าเค้าเคยมีอะไรกับผู้ชาย มาก่อนแบบนี้ และก็ไม่ต้องรอให้ผมได้เดา เพราะเค้าเป็นฝ่ายเปิดปากออกมาเอง

“สมัย ม.ปลาย เราเรียนโรงเรียนชายล้วน ก็ตามประสาที่อยากรู้อยากลอง ก็เลยมีเรื่องแบบนี้เข้ามาบ้าง แต่เราก็ยังชอบผู้หญิงนะ เรามองว่ามันคือประสบการณ์ทางเพศอย่างนึง”นั่นคือสิ่งที่เค้าคิดงั้นเหรอ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้

“แต่เวลาเราคบใคร เราก็คบทีละคนนะ และเราก็ยังอยากสร้างครอบครัว แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่มีความสุข”ดูเค้ายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัว แต่ผมไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถ้าเกิดวันนึงเค้าได้แต่งงานขึ้นมา ผู้หญิงที่แต่งงานกับเค้าจะยอมรับเรื่องราวพวกนี้ได้หรือเปล่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับผม มันอาจจะเป็นความลับเพราะผมคงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร แต่กับคนอื่นละ ผมเกือบจะพลั้งปากแสดงความความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ออกไป แต่เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า

“แล้วนี่ระหว่างเรา...”แม้ผมพอจะเดาออกว่าการที่เค้ายอมเล่าให้ผมฟังขนาดนี้ เพราะเค้าต้องการอะไร แต่ผมเองก็ไม่อยากจะแสดงออกชัดเจนจนเกินไป ผมยอมรับว่าสิ่งที่เราต่างมอบให้กันมันสร้างความติดใจให้ผมมากเลยทีเดียวก็ตาม แม้ผมจะเว้นระยะให้อีกฝ่ายเอ่ยความคิดเห็นออกมา แต่เค้ากลับทำเพียงยักคิ้วเป็นเชิงย้อนถามผม

“Sex friend งี้เหรอ”ผมหลุดปากออกไปในที่สุด ผมเข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้ดี เพียงแต่ไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ ผมยอมรับว่าสามารถมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รักได้ แต่การมีความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวแค่ทางกายแบบนี้ ผมว่ามันไม่น่าจะโอเคเท่าไหร่ ทว่าตอนนี้ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากแล้วว่าสิ่งที่เกิดอยู่ระหว่างผมกับเค้ามันไม่ใช่ sex friend ต่อให้หยุดความสัมพันธ์ไว้แค่เพียงเท่านี้ มันก็คงลบภาพสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วไม่ได้

“ตี้คิดยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ หาความสุขร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ ไม่ผูกมัด ไม่หึงหวง ไม่ต้องทะเลาะ แค่เวลาเหงาก็มาเจอกัน”ผมคิดตามสิ่งที่เค้าพูด ความคิดในหัวผมกำลังตีกันว่าควรหยุดตั้งแต่ตอนนี้ หรือจะยอมรับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลือกทางไหนไปแล้ว สุดท้ายถ้าความสัมพันธ์นี้จบลง ระหว่างผมกับเค้า เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือเปล่า


“ถ้าวันนึงเราคนใดคนนึงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เราต้องยุติความสัมพันธ์นี้”ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเลือกที่จะพูดแบบนั้นออกไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมบอกออกไป เค้ายิ้มกว้าง และยอมรับข้อเสนอนี้

“ถ้าใครคนใดคนนึงเกิดมีความรู้สึกเกินเลยขึ้นมา หรือมีใครล้ำเส้นของอีกฝ่าย ก็ต้องหยุดเรื่องนี้เช่นกัน”

“กลัวชอบเราขึ้นมาจริงๆ เหรอ”เค้าหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ผมพูด แถมยังเอื้อมมือมาบีบจมูกผม ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะคุณแว่น

“ผมไม่ชอบคนใส่แว่น เพราะงั้นเสียใจด้วยนะครับคุณแว่น ที่เสน่ห์ของคุณคงทำอะไรผมไม่ได้”ผมเอ่ยออกไปอย่างท้าทาย ก่อนจะลุกขึ้น จะไปอาบน้ำชำระร่างกาย เค้าลุกตามผมมาทั้งที่ยังไม่มีอะไรพันกายเลยสักชิ้น ตกลงนี่คือคนเดียวกับเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ร้องไห้เพราะต้องเลิกกับแฟนจริงๆ เหรอ ดูเค้าไม่เหลือความเสียใจอะไรแล้ว

การอาบน้ำของเราผ่านไปด้วยความทุลักทุเล เพราะดันมีกิจกรรมเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องน้ำ กว่าจะออกมา เปลี่ยนผ้าปูเตียงที่กลิ่นคละคลุ้งไปด้วยน้ำจากกามรมย์ของเราสองคน กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปเกือบเช้าแล้ว ผมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า รู้สึกวันนี้มันยาวนานเหลือเกิน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่รั้งผมเข้าไปหา อ้อมกอดที่เหมือนจะอบอุ่นแต่มันก็ยังเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง








ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าช่วยยืนยันว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝันไป ผมกลายเป็น Sex friend กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ตัว ผมเอนหลังพิงกับหัวเตียง เพ่งมองคนที่ยังหลับตาพริ้ม ใบหน้าเค้าก็ดูดีเป็นตี๋พิมพ์นิยมทั่วไป และผมก็ยังยืนยันว่าเวลา เค้าไม่ใส่แว่นดูน่าหลงไหลมากกว่าเวลาใส่แว่น แต่เรื่องรูปร่างหน้าตาเค้าเนี่ย ผมไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้คือ สิ่งที่ผมเองเคยคิดว่าเค้าเป็น จากมุมผมที่รู้จักเค้าตอนแรก จนถึงตอนก่อนที่เค้าจะเลิกกับชะเอม ผมมองเค้าว่าคือคนตั้งใจทำงาน หวังสร้างครอบครัวกับคนที่เค้ารัก แต่อีกมุมที่ผมได้รับรู้เมื่อคืน มันทำให้ผมต้องคิดใหม่ว่าคนเรามันมีได้หลายมุม และเราจะได้เห็นมุมไหนก็คงออกมาจากสิ่งเค้าอยากให้เรารับรู้เท่านั้น

“ตื่นนานแล้วเหรอ”เค้าดันตัวขึ้นมาข้างๆ ผมเพียงยิ้มบางๆ ตอบเค้า แต่ต้องสะดุ้งเมื่อเค้าสอดมือเข้ามาใต้ผ้าห่ม จนผมต้องรีบคว้ามือของเค้าไว้ เพราะเดี๋ยววันนี้จะไม่ได้ทำอะไรกันพอดี ผมรีบลุกเพื่อเตรียมจะอาบน้ำกลับบ้าน เพราะขืนอยู่ต่อผมว่าเราสองคนคงใช้ชีวิตอยู่แค่บนเตียงนี่แหละครับ เราต่างคนต่างแยกย้ายกันอาบน้ำคนละห้อง เพื่อป้องกันการนอกลู่นอกทาง

“เดี๋ยวเราไปร้านกาแฟปากซอย แล้วกลับเลยนะ”หลังจากที่ผ่านคืนหนักๆ มาแบบนี้ ถ้าได้กาแฟสักแก้วจะช่วยดึงพลังงานชีวิตผมกลับมาได้มากเลยแหละ

“ไม่ต้องไปหรอกเดี๋ยวชงให้ แล้วเดี๋ยวเราไปส่ง พอดีจะออกไปธุระข้างนอกพอดี”ผมยักไหล่เป็นการตอบตกลง เพราะมีคนไปส่งก็คงดีกว่าต้องไปเรียกแทกซี่กลับเอง ว่าแต่กาแฟที่จะชงให้เนี่ย จะกินได้หรือเปล่าเนี่ย ผมมองเค้าเดินเข้าไปในครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกาแฟสองแก้ว แก้วนึงถูกส่งมาให้ผม ผมรับมาทำหน้าแหยงๆ พร้อมจิบอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะอยากจะแกล้งเค้า แต่พอได้ชิมเข้าไปจริงๆ รสชาดกาแฟที่เค้าชงมาก็ไม่เลวเลย

หลังจากดื่มกาแฟไปคนละแก้ว แต่ก็ดูเหมือนกระเพาะของเราจะยังต้องการอะไรมากกว่านั้น เพราะนี่ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว คุณแว่นเลยอาสาจะทำอะไรให้กิน ตอนแรกผมเซอร์ไพรส์ที่เค้าบอกว่าจะทำอาหารให้ทานเพราะไม่คิดว่าเค้าจะทำอาหารเป็น แต่พอเห็นสิ่งที่เค้าทำเสร็จแล้ว ก็นึกขำตัวเอง เพราะไอ้ที่เค้าถือออกมาจากครัวคือมาม่าชามใหญ่ แหม ไอ้เราก็นึกว่าจะทำอะไรที่ดูดีกว่านี้

“สรุปคือจะมาตัดแว่นใหม่เหรอ”หลังจากที่ทานอะไรเสร็จเรียบร้อย เขาก็พาผมออกจากบ้าน และ ผมก็ได้รู้ครับว่าธุระของเค้าที่จะต้องทำคืออะไร ตอนนี้เค้าเดินนำผมมาหยุดอยู่ที่ร้านแว่นในห้างสรรพสินค้าแห่งนึง ซึ่งผมเลือกที่จะแยกขอดูของอะไรรอข้างนอกจะดีกว่า เพราะตั้งแต่เกิดมานี่ผมแทบไม่เคยเข้าร้านแว่นสายตาเลย ก็สายตาผมมันไม่เคยมีปัญหาเลยนี่นา

“สายตาสั้นลงอีกเหรอ ถึงต้องเปลี่ยนแว่น”ผมเอ่ยถามหลังจากที่ขึ้นรถมาเพื่อมุ่งตรงไปส่งผมที่บ้าน เค้าไม่ได้ตอบผม ทำเพียงอมยิ้ม และหันไปมองถุงจากร้านแว่น ที่วางอยู่เบาะหลัง แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นเพิ่มคือ รถเค้าดูมีอุปกรณ์อะไรเยอะแยะไปหมดเลย

“นี่รถหรือบ้านหลังที่สองเนี่ย มีแม้กระทั่งชุดทำงาน”ผมแซวออกไปขำๆ แต่เค้าก็อธิบายว่าบางครั้งต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลยต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา

“ขอบใจที่มาส่งนะ ไว้เจอกัน”ผมบอกลาเมื่อถึงจุดหมาย แต่อีกคนกลับทำตัวอ้ำอึ้งเหมือนมีอะไรจะพูดสักอย่าง

“มีอะไรอีกรึเปล่า”ผมเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“เราขอค้างนี่ด้วยได้ไหม”

มาอัพต่อคร๊าบบบบ

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ คือความติดใจในสิ่งที่ได้รับ


ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อว่าสุดท้าย ความสัมพันธ์มันจะไปจบที่ตรงไหน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 11 Friends with Benefits 23-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 23-06-2016 10:48:01
หวายยยยยยย เรื่องมันชักจะถลำลึกไปเรื่อยแล้ว
ตี้ดูเป็นคนอ่อนไหว แล้วคุณแว่นดูเป็นคนเจ้าเล่ห์มารยาเยอะอ่ะ เริ่มเห็นเค้าลางของความวุ่นวาย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 11 Friends with Benefits 23-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 23-06-2016 15:13:36
กลัวน้องตี้ของเรานี่แหละ ว่าจะไปรักชาร์ปเข้า
เราว่าแล้วชาร์ปน่าจะเป็นไบหรือไม่ก็ไม่อยากเป็นเกย์เปิดเผย
พอมีปาร์ตี้เป็นคู่นอนแล้วมันก็สะดวกไง
ปาร์ตี้ไม่เรียกร้องอะไร  อาจจะรู้สึกผิดด้วยซ้ำที่ปิดเรื่องชะเอม
สะดวกมากๆเลยสำหรับชาร์ป
นึกๆสงสารปาร์ตี้ขึ้นมารำไรแล้วสิ
ไม่รู้ทำไมนึกถึงนังโอเล่ขึ้นมาตะหงิดๆเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 11 Friends with Benefits 23-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: hallowelt ที่ 24-06-2016 00:25:09
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาเฉยเลย
ขอให้คุณเซลล์จีบปาร์ตี้ติด ช่วยให้ปาร์ตี้จากสถานะอะไรแบบนี้ด้วยเถอะ สาธุ :call:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 11 Friends with Benefits 23-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-06-2016 09:09:11
บทที่ 12
ของฝาก


“ยังไงครับยังไง อธิบายมาเลยครับคุณปรีติ ตกลงนี่ผีผลักมึงสองคนแล้วใช่ไหม”ทันทีที่เจอหน้าผม ไอ้เหมาก็พุ่งเข้าแซว พร้อมยื่นรูปที่น้องปลาโพสต์ไปวันก่อน ยื่นมาจนจะทิ่มหน้าผมอยู่แล้ว นี่มันทั้งไลน์มาแซว โทรมาแซว เจอหน้ายังจะมาแซวเรื่องนี้อีก และผมก็ตอบไปเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่ารูปเนี่ยน้องปลา จัดฉากให้ล้วนๆ ซึ่งจริงๆ น้องปลาก็เล่าให้ไอ้เหมาฟังแล้วด้วยนะครับ

“มองตากันหวานเชื่อมขนาดนี้ ตกลงได้กันยัง”ผมแทบสำลักกาแฟที่กำลังดื่ม ไอ้นี่ก็แม่นยังกะตาเห็น ผมต้องรีบปฏิเสธไม่ให้มีพิรุธ แม้สิ่งที่ไอ้เหมามันเดาจะถูกก็เถอะ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นก็มีแค่เรื่องเซกซ์นั้น มันก็ดูไม่ได้น่าเอามาบอกคนอื่น และมันคงเป็นความลับไปตลอด

เมื่อวานคุณแว่นก็ค้างที่บ้านผม ซึ่งแน่นอนว่าเราสูญเสียพลังงานบนเตียงไปเยอะมาก จนเมื่อเช้าผมเกือบมาทำงานสาย เพราะลุกแทบไม่ไหว ส่วนอีกคนนั้น ตอนผมออกมา ยังไม่ยอมตื่น เพราะเช้านี้เค้าต้องเดินทางออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่ต้องเข้าบริษัทแต่เช้าเหมือนผม เลยแค่ฝากเค้าล็อคบ้าน พร้อมกับให้กุญแจสำรองไว้

ผมอยู่บ้านคนเดียวมานานแล้วครับ ด้วยความที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมก็อยู่กับแม่มาตลอด จนแม่ผมเสียไปเมื่อ 2 ปีก่อน พ่อเคยชวนผมไปอยู่ด้วยตอนที่แม่เสียแรกๆ แต่ผมมองว่าไม่อยากไปเป็นส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของพ่อ แม้จะไม่ได้บาดหมางหรือผิดใจอะไรกับครอบครัวใหม่ของพ่อ แต่ผมก็ไม่สะดวกใจที่จะไปอยู่กับเค้า เลยเลือกที่จะอยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่า

“เรื่องรูปนี่ตัดไป เพราะปลาเป็นคนจัดฉาก แต่ทำไมมึงไปกันสองคน ทำไมไม่ชวนกู”ไอ้เหมาเดินเข้ามาประชิดตัวผม พร้อมจ้องอย่างจับผิด แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมที่นัดกับอีกคนไว้แล้วว่าให้ตอบตรงกัน คือผมกับคุณแว่นบังเอิญเจอกันที่ห้างและผมที่เคยว่าจะเลี้ยงคุณแว่นไถ่โทษเรื่องชะเอม ส่วนที่ไม่ชวนไอ้เหมา อันนี้ไม่ต้องโกหกมัน เพราะเป็นเรื่องจริงที่ว่าอยากให้มันมีเวลาอยู่กับแฟน

“ไม่จริงอ่ะ อย่างมึงสองคนเนี่ยนะจะหวังดีให้กูสวีทกับแพท กูว่ามึงกลัวได้เลี้ยงกูกับแพทด้วยใช่ไหม”เออเนอะคนเรา บอกความจริงนี่ไม่เชื่อ แต่พอผมเออออกับสิ่งที่มันพูดมัน ดันเชื่อซะงั้น แล้วบทสนทนาของผมกับไอ้เหมาก็หยุดลง เพราะมือถือของไอ้เหมาดังขึ้น

“มึงไม่ได้เอามือถือมาเหรอ”หลังจากไอ้เหมารับสายก็หันมาถามผม คาดว่าคงมีคนตามหาผมถ้าให้เดาก็คงไม่พ้นหัวหน้าผมนั่นแหละแกก็พอรู้แหละว่าถ้าผมไม่อยู่ที่แผนก ผมจะไปอยู่ที่ไหน ปกติก็ตามผมได้ที่แผนกของไอ้เหมานี่ละครับ นี่สงสัยแกคงทั้งโทรหาผม โทรเข้าแผนกของไอ้เหมาแล้ว นี่ถ้าห้องครัวนี่มีโทรศัพท์แกก็คงโทรมาแล้ว

“อัญเชิญไปรับแขกที่ตึก 1 ครับคุณปาร์ตี้”ไอ้เหมาทำท่าล้อเลียนผม ก่อนจะเดินแยกตัวออกไป ว่าแต่วันนี้ผมไม่ได้นัดใครไว้นิ แล้วเมื่อกี้หัวหน้าผมได้บอกอะไรไหมละนั่น ตกลงว่าผมต้องไปเจอใครต้องเตรียมอะไรไหมละเนี่ย แขกผมหรือแขกหัวหน้าก็ไม่รู้เนี่ย ผมตัดสินใจเดินไปตึก 1 แล้วกะว่าค่อยเอาโทรศัพท์จากนั่นโทรถามหัวหน้าอีกทีเพราะถ้าให้ผมเดินกลับไปห้องแผนกก่อน คาดว่าแขกที่มาหาผมเนี่ย คงจะได้รออีกนาน

“สวัสดีครับคุณปรีติ”เสียงทักทายมาแทบจะทันทีเมื่อผมมาถึงหน้าห้องรับรองแขก ซึ่งคงไม่จำเป็นต้องโทรถามหัวหน้าแล้วละครับว่าแขกที่ว่านั่นคือใคร ผมพ่นลมหายใจอย่างหน่ายๆ ก่อนจะทักทายกลับที่อาจจะดูไม่รับแขกสักเท่าไหร่

“ไม่ยักกะจำได้ว่าเรานัดกันนะครับ”ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ อีตาเซลล์สุดกวนนั่นแหละครับ เท่าที่จำได้ผมว่าผมนัดให้ทีมเค้า เข้ามาเริ่มเตรียมสถานที่เดือนหน้านี่นา แล้วอีกอย่างตอนมาเตรียมสถานที่ เหมือนเค้าเองก็ไม่ต้องมานะ แล้วที่โผล่มานี่คืออะไร นอกจากไอ้ข้อความบ้าๆ บอๆ ที่เค้าส่งมาให้ผมทุกวันนั่นยังไม่รบกวนผมไม่พอใช่ไหมเนี่ยถึงต้องมารบกวนด้วยตัวเองถึงนี่

“พอดีทางผมเหมือนจะวัดพื้นที่จุดที่จะตั้งเวทีไปผิด ก็เลยจะขอเข้ามาวัดอีกรอบ ผมโทรหาคุณแล้ว แต่คุณไม่รับ เลยติดต่อมาทางคุณวิชาญแทนครับ”จริงๆ ผมคิดไปแล้วนะครับว่าเค้าเอาเรื่องงานมาอ้างเพื่อกวนผม เพราะหลังจากคุยรายละเอียดงานกันชัดเจนแล้ว ไม่ว่าเค้าจะไลน์มาหรือโทรมาผมก็ไม่ตอบ อย่าเพิ่งมองว่าผมแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกนะครับ เพราะถ้าเค้าไลน์มาเรื่องงานผมตอบทุกอัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เค้าเริ่มคุยเรื่องนอกงาน ผมก็จะเลือกที่จะไม่ตอบ

“งั้นก็ไปดูพื้นที่กันครับ”ผมเดินนำเค้าพร้อมกับทีมงานเค้าอีก 2 คน แม้จะไม่ค่อยอยากเชื่อว่าทางเค้าวัดพื้นที่ผิดจริงๆ แต่ก็ไม่อยากมองเค้าในแง่ร้ายจนเกินไปหรอกครับ

“ตกลงคุณจะคุยกับผมแค่เรื่องงานจริงๆ เหรอครับ”ผมเลือกที่จะเงียบแทนคำตอบครับ เพราะผมว่าผมบอกเค้าไปชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ว่าผมอยากปิดกั้นตัวเอง เพียงแต่ผมรู้สึกว่าเค้าเองก็ไม่ได้คิดจะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง แล้วถ้าเกิดเค้ามาแนวเดียวกันกับคุณแว่น ผมว่าผมคงยังไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบนั้นได้พร้อมกัน 2 คนในช่วงเวลาเดียวกันหรอกนะครับ

“คุณเองก็ยังไม่มีแฟน น่าจะลองรับผมไปพิจารณาบ้างน้า”เค้าพูดโดยไม่ได้หันหน้ามามองผม เพราะเราทั้งคู่ต่างจับจ้องอยู่ที่ทีมงานที่กำลังวัดพื้นที่อยู่ ผมหันมองหน้าเค้าที่ทำเป็นยิ้มอย่างท้าทายผมอยู่

“รู้ได้ไงว่าผมไม่มีแฟน”ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ตอบเค้าแล้วแต่พอมาพูดแบบนี้มันอดไม่ได้จริงๆ แม้เค้าจะเข้าใจถูกว่าผมไม่ได้มีแฟน แต่ผมเองก็ไม่อยากให้เค้ามาทำเหมือนรู้เรื่องผมดีแบบนี้

“แต่ก่อนเวลาเห็นคุณไปเที่ยว ก็มักจะเห็นคุณไปกับชะเอม หรือไม่ก็กลุ่มเพื่อนคุณ และเพื่อนคุณส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิง เพื่อนผู้ชายที่คุณคบเค้าก็มีแฟนกันหมดแล้ว เพราะงั้นตัดผู้ชายทุกคนที่คุณเคยไปด้วยออกได้เลย ว่าไม่ใช่แฟนคุณสักคน ส่วนผู้หญิงยิ่งตัดไปได้เลย เพราะคุณแทบไม่เคยมองผู้หญิงเลย”นี่เค้าไปสืบข้อมูลผมมา หรือเค้าแอบสังเกตผมขนาดนั้นเลยเหรอ

“ไม่เลว ไม่เลว ผมคงประเมินคุณต่ำเกินไป”มุมปากเค้ายกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราไปทำการบ้านเกี่ยวกับตัวผมมาขนาดนี้

“ผมรู้จักคุณนานแล้วละครับคุณปาร์ตี้ เพราะงั้นตอนนี้ผมจะเปิดโอกาสให้คุณได้รู้จักผมบ้าง จะได้ไม่ดูว่าผมเอาเปรียบคุณ”เดียวนะผมไม่ได้อยากรู้จักคุณขนาดนั้นไหมครับคุณเซลล์

“ถ้าคุณมีความสนใจในตัวผมขนาดนี้ ทำไมเพิ่งมาให้ผมรู้จักละครับ ทำไมไม่มาทำความรู้จักกันตั้งนานแล้ว”ผมหันไปสบตาเค้า เพื่อพยายามจับสังเกตว่าจริงๆ แล้วผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่ จะจีบผมเพราะเหตุผลอะไร เค้าสนใจในตัวผมจริงๆ หรือแค่เห็นผมเป็นเกมที่ต้องเอาชนะ

“เอาชัดๆ เลยไหมครับ เพราะคุณปาร์ตี้เองน่าจะอยากถามว่าทำไมผมเพิ่งจะมาจีบคุณตอนนี้”เค้าจ้องมาที่ผมด้วยท่าทีที่จริงจัง จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน

“ผมเพิ่งโสด”

ผมยังงงๆ กับสิ่งที่เค้าบอก แต่ก็ยังไม่ทันได้ถามอะไร เพราะทีมงานของเค้าที่วัดพื้นที่เสร็จแล้ว เดินกลับเข้ามาที่เราสองคน บทสนทนาถูกปรับเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องงานทันทีที่มีอีกสองคนเข้ามา ผมอธิบายย้ำรายละเอียดของการจัดพื้นที่อีกครั้ง แม้จริงๆ ทั้งหมดจะถูกชี้แจงทั้งในการประชุมและอีเมลแล้วก็ตาม

“คุณรอแปบนึงนะ”ขณะที่เรากำลังจะแยกกัน เค้ากลับบอกให้ผมยืนรอโดยที่เจ้าตัวเค้ารีบวิ่งไปยังที่จอดรถผู้มาติดต่อ ก่อนจะหิ้วถุงบางอย่างกลับมา ถุงใบใหญ่ที่ เค้าเดินถือกลับมายื่นให้ผม

“อ่ะ ของฝาก”ผมรับมาดูอย่างงงๆ ภายในถุงใบใหญ่นั้นมันเป็นแท่งทรงกระบอกสั้นๆ ป้อมๆ ห่อด้วยใบตอง หมูยอ มันคือ หมูยอนั่นเอง แม้ผมจะชอบกินของฟรี แถมหมูยอห่อใบตองแบบนี้ ผมเคยกินมันอร่อยไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าผมคงรับมันไว้ไม่ได้

“อย่าว่างั้นงี้เลยนะครับ ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”ผมยื่นถุงนั้นคืน แต่เค้ายังยืนยันที่จะให้ผมรับไว้ให้ได้ คือผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับของจากเค้าหรอกนะครับ เพียงแต่มันไม่เหมาะเท่านั้นเอง

“ตอนนี้ทางผมอยู่ในฐานะว่าจ้างทางคุณให้เข้ามาทำงานอยู่นะครับ ผมรู้ว่าคุณอาจไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ถ้ามีคนอื่นรู้เกรงว่ามันจะไม่เหมาะนะครับ”ถึงมันจะเป็นเรื่องที่บางคนอาจจะมองว่าไม่มีอะไร แต่เรื่องแบบนี้มันก็มองได้หลายแบบครับ เพราะผมเป็นผู้มีสิทธ์ตัดสินใจเลือกทีมที่จะเข้ามาจัดงานนี้ และผมเลือกทีมงานเค้า แล้วเค้าเอาของมาให้ผมแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการให้สินบน แม้มันจะไม่ใช่อะไรที่มูลค่า มากมาย แต่ถ้ามีคนที่คิดร้ายกับเรา เรื่องนี้มันสามารถกลายเป็นผลกระทบวงกว้างได้เหมือนกันแหละครับ

“คุณคิดมากไปเปล่า ผมก็แค่ไปเที่ยวต่างจังหวัดมา ก็แค่ซื้อของมาฝากคุณ เจ้านี้อร่อยมากนะคุณ ไม่อยากให้คุณพลาดของอร่อย”แม้ผมจะอธิบายไปแล้ว แต่เค้าก็ยังดึงดันที่จะให้ผมรับของฝากจากเค้าให้ได้

“เอางี้ คุณก็บอกไปว่าผมให้คุณในฐานะเพื่อน หรือจะเป็นแฟนดีล่ะ”นั่นแหละที่เป็นปัญหา เพราะผมกับเค้าไม่ได้เป็นอะไรกันสักอย่างเลยนี่สิ แต่ดูคนพูดไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยครับ

“ตกลงไหมครับคุณแฟน ทีนี้แฟนซื้อของมาฝากแฟนคงไม่มีอะไรผิดใช่ไหม”รอยยิ้มกวนๆ นั้นถูกส่งมาหาผมอย่างท้าทาย

“ผมรับไว้ก็ได้ ในฐานะเพื่อน...ร่วมโลก”

“โอเคครับ อย่างน้อยๆ เราก็ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว...เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนะครับ”เค้าขยับเข้ามาพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่ผมกับเค้าสองคน ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ ผมยกถุงของฝากขึ้นดู แล้วก็นึกขำ คนจีบกันเค้าซื้อของแบบนี้มาฝากกันเหรอครับ

“อะไรอ่ะ”ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะอยู่ๆ ไอ้เหมาก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ นี่มันมีการมีงานทำบ้างไหมเนี่ย ดูลอยไปลอยมาเหลือเกิน แถมนี่ยังถือวิสาสะหยิบของในมือผมไปดู และยังมีความเผือกอยากจะรู้อีกว่าผมได้มาจากไหน ซึ่งผมก็ตอบมันไปตามตรง

“แหมๆ มีของฝ่งของฝากให้กัน แถมให้อะไรเป็นแท่งๆ แบบนี้มีความหมายอะไรรึเปล่าน้า”ไอ้ โอ้ยไม่รู้จะด่ามันว่าอะไรดีครับ ก็ไม่ได้อยากจะคิดทะลึ่งนะครับ แต่ท่าทางที่มันใช้ประกอบคำพูดนี่ อยากให้ทุกคนได้มาดูด้วยตาจริงๆ ครับ ผมไม่อยากต่อปากต่อคำกับมันมากเลยรีบเดินแยกตัวออกจากมันครับ

พอกลับถึงโต๊ะทำงานสิ่งแรกที่ผมหยิบมาดูคือโทรศัพท์ มันขึ้นสายที่ไม่ได้รับอยู่หลายสายทั้งจากหัวหน้าของผม จากอีตาเซลล์นั่น แล้วก็มีของอีกคนที่สร้างความแปลกใจให้กับผม คุณแว่นนั่นเอง วันนี้ตามที่เค้าบอกผมคือเค้าต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดนี่นา แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรหาผม เพราะจริงๆ ผมกับเค้าเนี่ยต่างมีเบอร์กันนานแล้วแหละครับ ตั้งแต่ที่ไอ้เหมาแนะนำให้เรารู้จักกัน แต่ก็แทบไม่เคยโทรหาอีกฝ่ายเลย ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อหรือโทรกลับไป ก็มีข้อความนึงโชว์มาที่หน้าจอของผม

“เย็นนี้ว่างหรือเปล่าพอดีมีเรื่องจะรบกวนให้ช่วย ยังไงถ้าสะดวกแล้วขอคุยด้วยหน่อยนะ”


มาต่อคร๊าบบบ

อิเล่คงจะดีใจที่ยังมีคนคิดถึง 555

มารอดูกันว่าระหว่างคุณแว่นกะอิเล่ ใครจะได้รับเสียงก่นด่ามากกว่ากัน

 :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 24-06-2016 10:06:12
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นว่าตี้จะตกหลุมรักเมื่อไหร่กับใคร
น้องกลัวดราม่าไปหมดแล้วพี่จ๋าาาา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 24-06-2016 22:30:17
ตามมาอ่านเรื่องนี้ต่อ 555+
คือมันน่าติดตามมากครับ

ตี้กับคุณแว่นจะเป็นยังไงเนี่ย
Sex friends หรอ มันก็โอเคนะถ้ายินยอมทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้า..ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มที่จะตกหลุมรักขึ้นมานี่สิ จะแย่.. 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: naya-devil ที่ 24-06-2016 22:39:43
ติดตามต่อไปปปป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-06-2016 23:26:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-06-2016 14:02:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 25-06-2016 15:22:52
ลืมนิดนึง เพิ่งนึกได้
ปล. คนแต่งชอบกินเบียร์ใช่ไหมครับ 5555+
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 25-06-2016 20:24:44
พอถึงจุดๆนึง ที่เขาต้องไปแต่งงานแต้วตี้จะทำยังไง ...
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-06-2016 09:03:36
บทที่ 13
คุณแม่

ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเหมือนกัน ตอนนี้เป็นว่า 6 โมงเย็นหน่อยๆ  ผมเงยหน้ามองผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ในสนามบินแห่งนี้ ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินดอนเมือง วันนี้เลิกงานปุปผมก็ตรงดิ่งมาที่นี่ทันที และนี่คือสิ่งที่คุณแว่นรบกวนผมมานั่นเอง

“คือแม่เราจะมาหา แต่ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า เราจะรบกวนตี้ไปรับแม่ที่สนามบิน แล้วพาไปส่งที่บ้านให้หน่อยได้ไหม”นั่นคือสิ่งที่เค้าบอกกับผม แม้จะรู้สึกลำบากใจ เพราะผมเองยังไม่เคยเจอกับแม่ของเค้ามาก่อน กลัวว่าจะทำตัวไม่ถูก แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่ได้ปฏิเสธออกไป แถมตอนนี้ก็มารอคุณแม่อยู่ที่สนามบินแล้ว

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถ้าเค้ารบกวนไอ้เหมาน่าจะเหมาะกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะไอ้เหมาเองเคยไปบ้านคุณแว่นที่ภูเก็ตและเคยเจอทั้งพ่อทั้งแม่ของคุณแว่นแล้ว แต่ผมนี่สิยังไม่เคยเจอเลย ก่อนออกมาผมลองชวนไอ้เหมามาด้วยแล้ว แต่มันดันบอกว่าคุณแว่นไม่ได้ใช้มัน มันไม่มีความจำเป็นต้องมาด้วย ถึงมันจะบอกว่าแม่ของคุณแว่นใจดี แต่ผมก็ยังรู้สึกเกร็งๆ อยู่ดี และยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำใจต่อ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แม่ของคุณแว่นนั่นเองที่โทรเข้ามา

“ปาร์ตี้เหรอลูก นี่แม่มาถึงแล้วนะ ตอนนี้รอกระเป๋าอยู่ ยังไงหนูรอแปบนึงนะลูก”ผมทำได้เพียงตอบครับคำเดียวสั้นๆ เพราะคุณแม่เล่นไม่เว้นช่องให้ผมได้พูดเลย แล้วเรียกผมว่าหนูนี่คุณแม่จะให้ความเอ็นดูผมเกินไปไหมครับ อีกอย่างผมเป็นผู้ชายนะครับแม่ ผมเปิดดูรูปคุณแม่ ที่คุณแว่นส่งให้ดูอีกครั้ง พร้อมกับชะเง้อมองคนที่เดินออกมา ผ่านไปสักระยะ ที่คนทยอยออกมาจนเกือบหมดแล้ว แต่ทำไมคุณแม่ยังไม่ออกมาอีกเนี่ย ผมกำลังจะกดโทรหาแล้วถ้าไม่มีคนมาทักซะก่อน

“ปาร์ตี้หรือเปล่าลูก”ผมหันมองผู้หญิงตรงหน้าที่มาทักผม ก่อนจะค่อยๆ พิจารณาอีกครั้งพร้อมกับยกมือไหว้ อย่างตกใจ เพราะคุณแม่ดูสาวกว่าในรูปเยอะเลยทีเดียว ที่คุณแว่นไปเลือกรูปจากที่ไหนมาให้ผมดู ผมรีบกล่าวขอโทษที่ไม่เห็นคุณแม่เพราะตัวจริงคุณแม่ดูยังสาวกว่าในรูปมาก พอได้ยินแบบนั้น คุณแม่ก็ชอบอกชอบใจใหญ่

“ขอโทษทีนะลูก เลยต้องลำบากมารับแม่แทนเจ้าชาร์ปเลย”ผมตอบกลับไปว่าไม่ต้องเกรงใจ พร้อมกับช่วยลากกระเป๋า ระหว่างทางที่เดินไปลานจอดรถ คุณแม่ก็คุยแทบไม่หยุดเลยครับ จากตอนแรกที่ผมเกร็งไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับคุณแม่ แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลเพราะ แทบไม่มีช่องไฟให้ผมได้พูดเลยล่ะครับ คุณแม่บอกว่าตั้งใจจะมาอยู่เป็นเพื่อนชาร์ปสักระยะ ตั้งแต่รู้ว่า ชาร์ปกับชะเอมเลิกกัน แต่เพิ่งเคลียร์งานที่บ้านเพิ่งเสร็จ ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินก่อน แล้วถึงได้โทรหาชาร์ป แต่กลายเป็นว่าชาร์ปดันไปต่างจังหวัด กว่าจะมาก็คงพรุ่งนี้เย็นๆ ตอนแรกชาร์ปก็จะให้คุณแม่เลื่อนไฟลท์บิน แต่คุณแม่ดันไม่ยอมบอกเสียเงินที่จ่ายไปแล้ว ขนาดว่าชาร์ปจะออกค่าเครื่องให้ใหม่ คุณแม่ก็ไม่ยอม

“แม่ละดีใจ๊ดีใจ ที่ลูกแม่เลิกกับยัยชะเอมนี่ได้ อย่าหาว่าแม่เม้าท์เลยนะ ผู้หญิงอารายไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ แม่ละไม่ถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ นี่แม่เกือบเคยตัดแม่ตัดลูกกะเจ้าชาร์ปเพราะแม่นี่มาแล้ว แต่สุดท้ายแม่ก็รักลูกอะเนอะ ถ้าลูกเรายืนยันหนักแน่นแล้วว่าเลือกคนนี้ แม่ก็ไม่อยากขัดความสุขของลูก แต่ตอนแม่รู้ว่าสองคนนี้เลิกกันนะ แม่แทบจะจุดพลุฉลองเลย”ครับนี่คุณแม่ไม่ได้เม้าท์เลย นี่ดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกัน ว่าแม่ของคุณแว่น ไม่ชอบชะเอม

หลังจากออกจากสนามบินผมกะว่าจะแวะพาคุณแม่ทานข้าว แต่คุณแม่ดันให้ผมแวะซุปเปอร์มาเก็ต เพื่อซื้อของสดไปทำกินเองที่บ้าน คุณแม่บอกว่ากินที่ไหนก็ไม่ถูกใจเท่าที่ทำกินเองที่บ้าน คุณแม่แทบจะเหมาของจากซุปเปอร์มาเก็ต จนผมต้องรีบห้าม แต่คุณแม่บอกว่า แม่ยังอยู่อีกหลายวัน แล้วพรุ่งนี้ถ้าคุณแว่นกลับมา ก็จะชวนผมกับไปเหมาแล้วก็แพทไปทานข้าวกันที่บ้านด้วย

“ตี้ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหมลูก”พอได้ยินแบบนั้นผมต้องรีบปฏิเสธ เพราะถ้าขืนบอกอะไรเพิ่มไปอีก คาดว่าวันนี้คุณแม่จะอยู่จนซุปเปอร์ปิดเป็นแน่แท้ ขนาดของที่เพิ่งซื้อเสร็จเนี่ย คุณแม่บอกแปปเดียว ยังปาไปเป็นชั่วโมง ผมต้องหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังขึ้นรถ พอมาถึงบ้านคุณแว่นผมก็ต้องค่อยๆ ทยอยขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนคุณแม่ก็รีบเข้าครัว ซึ่งผมบอกไปแล้วว่าทำอะไรง่ายๆ สัก 2 อย่างก็พอ เพราะจะได้ไม่เหนื่อยมาก นี่คุณแม่ก็มาจากภูเก็ตผมว่าน่าจะได้พักผ่อนเร็วๆ น่าจะดีกว่าจริงๆ คุณแว่นก็บอกไว้แล้วว่าคุณแม่จะเป็นแบบนี้เรื่องกินข้าว ให้ผมยืนกรายพาไปกินที่ร้านจะได้ กินเสร็จมาส่งบ้านก็จะได้กลับเลย แต่ก็นั่นแหละครับ ผมแพ้ทางมนุษย์แม่ครับ ก็เลยต้องยอมตามใจ

“อย่าลืมทานหมูยอผมนะครับ ได้ลองแล้วจะติดใจ”ผมกดอ่านข้อความ ระหว่างที่กำลังขนของให้คุณแม่ นี่คุณเซลล์ กำลังแกล้งพูดจาสองแง่สองง่ามแน่ๆ เพราะไอ้สติ๊กเกอร์ที่ส่งตามมามันส่อเหลือเกิน ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงกดปิดไลน์ก่อนจะหยิบหมูยอนั้นลงจากรถเพื่อมาฝากไว้ในตู้เย็นบ้านคุณแว่น

“แม่ครับผมฝากหมูยอ ไว้ให้เผื่อเมนูพรุ่งนี้ด้วยนะครับ พอดีมีเพื่อนเอามาฝาก”คุณแม่รับคำก่อนจะเรียกให้ผมไปยกกับข้าวออกมาจากครัว ซึ่งทำเสร็จเร็วมาก แต่ส่วนนึงคงเพราะผมที่บอกคุณแม่ว่ากินสองคนก็ทำกับข้าวสองอย่างก็พอ โดยต่างคนต่างมีสิทธิ์เลือกได้ 1 เมนู ซึ่งสิ่งที่ผมเลือกมันคือ ไข่เจียว สุดแสนจะง่าย และใช้เวลาทำแค่แปปเดียว ส่วนอีกจานที่คุณแม่เลือกทำคือหน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง

หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ขอตัวกลับบ้าน แต่ไม่วายว่าคุณแม่กำชับให้ผมต้องมาทานข้าวกับคุณแม่อีกในวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอีกตามเคยแต่พรุ่งนี้ คงได้ไปทานข้าวด้วยกันทั้งผม ไอ้เหมา แล้วก็แพท เพราะดูเหมือนคุณแม่จะไม่ยอมให้ใครปฏืเสธคำชวนนี้

“ว่าไง”ผมกรอกเสียงไปกับสมอลทอล์ค หลังจากกดรับสายจากคุณแว่น เค้าขอบคุณผมยกยกใหญ่ที่วันนี้ไปรับแม่แทนเค้า แถมยังบอกอย่างตื่นเต้นว่าแม่เค้ารู้สึกถูกชะตากับผม

“ตะกี้คุยกะเรานะ มีการบอกอยากได้ตี้มาเป็นลูกชายแทนเราแล้ว เนี่ย สงสัยตี้จะกลายเป็นลูกรักแล้วเราคงเป็นหมาหัวเน่าแน่ๆ เลย”เค้าเล่าไปขำๆ อย่างไม่ได้จริงจังอะไรนัก ผมว่าส่วนนึงที่แม่ของคุณแว่นชอบผม คงเพราะผมโตมากับแม่ เลยพอจะเข้าใจหัวอกของบรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย แม้ในตอนแรกผมจะเกร็งๆ ก็เถอะ แต่แม่ของคุณแว่นก็คล้ายๆ กับแม่ผม เลยจับจุดเข้าหาได้ง่ายมั้งครับ

“งี้เราขอไปสมัครเป็นลูกชายของแม่ชาร์ปอีกคนแล้วกันนะ”ผมพูดแซวออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับสวนมาจนผมแทบไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว

“ตำแหน่งลูกชาย คงมาแย่งเราไม่ได้เพราะเราไม่ยอมแน่ๆ แต่ตำแหน่งลูกสะใภ้ของแม่เรายังว่างนะ สนใจยื่นใบสมัครไหม”

“บ้า”ผมตอบออกไปได้แค่นั้นจริงๆ เพราะเกิดอาการใบ้กินขึ้นมาเอาเสียดื้อๆ

“เขินเหรอ”ยิ่งเจอคำถามนี่เข้าไป ผมคงต้องรีบกดวางสายเพราะผมดันเขินขึ้นมาจริงๆ นี่แหละครับ คุณแว่นนี่ก็ยังจะมาหยอดอะไรกับผมเนี่ย ผมเปลี่ยนเรื่องคุยโดยบอกว่านี่ผมยังขับรถไม่ถึงบ้าน ยังไงไว้เจอกันอีกทีตอนเย็นพรุ่งนี้

“ถึงบ้านแล้วไลน์บอกด้วยนะ”เค้าบอกผมก่อนที่สายจะตัดไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเค้าเท่าไหร่ ว่าจะมาพูดคุยกับผมในทำนองหมาหยอกไก่นี่ทำไม ในเมื่อเราก็มีข้อตกลงกันแล้ว ว่าระหว่างเราสองคน ความสัมพันธ์ของเรามันอยู่ที่ตรงไหน

และแล้วก็ถึงเวลานัดทานข้าวเย็นที่บ้านของคุณแว่นอีกครั้ง ผมเป็นคนแรกที่มาถึงก่อนใคร เพราะเลิกงานปุปก็บึ่งตรงมาเลย ส่วนไอ้เหมาต้องวนไปรับแพทก่อน ส่วนคุณแว่นเจ้าของบ้านกำลังเดินทางกลับ น่าจะมาถึงพร้อมๆ กับไอ้เหมาพอดี ผมที่ถึงก่อนก็ทำหน้าที่เป็นลูกมือให้กับคุณแม่ครับ แต่เห็นรายการอาหารที่คุณแม่ทำแล้ว นี่คุณแม่คิดว่าทานกันกี่คนครับ กะเลี้ยงทั้งหมู่บ้านเลยรึไงเนี่ย

“เยอะขนาดนี้จะทานกันหมดไหมครับคุณแม่”อดที่จะแซวไม่ได้ครับ แต่คุณแม่ก็สวนกลับมาว่าถ้าไม่หมดวันนี้ไม่มีใครได้กลับบ้านแน่นอน ผมเลยย้อนไปอีกว่าบ้านยังมีห้องว่าง เดี๋ยวผมขอไปเตรียมที่นอนรอเลยแล้วกัน เราสองคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พอมาเจอแม่ของคุณแว่นแบบนี้ ผมเองก็อดที่จะคิดถึงแม่ของผมเองไม่ได้ ถ้าตอนนี้แม่ผมยังอยู่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย

“เป็นไรหรือเปล่าลูก”แม่ของคุณแว่นคงจับสังเกตได้ แต่ผมก็บอกปัดไปว่าไม่ได้เป็นอะไร แค่นึกถึงแม่นิดหน่อย แค่นั้นเอง แล้วก็เป็นจังหวะที่ไอ้เหมากับแพทมาถึงพอดี คุณแม่เลยไม่ได้ซักอะไรผมต่อ

“มาไอ้ตี้ เดี๋ยวให้แพทช่วยแม่ทำต่อ ส่วนมึงมาจิบเบียร์รอเป็นเพื่อนกูดีกว่า”ผมเลยได้ปลีกตัวออกมารอด้านนอกกับไอ้เหมา ไม่นานนักคุณแว่นก็กลับมาถึง พร้อมๆ กับที่อาหารเสร็จเรียบร้อย เราทุกคนช่วยกันยกอาหารออกมาวางที่โต๊ะกินข้าว ซึ่งทั้งคุณแว่นและไอ้เหมาก็คิดเหมือนผมว่า นี่จะกินหมดกันได้ยังไง

“เดี๋ยวนี้ไม่ใส่แว่นแล้วเหรอชาร์ป”คุณแม่เอ่ยทักคุณแว่น จนทุกคนต้องหันไปมอง ผมเองก็เพิ่งเกตว่าเค้าไม่ได้มีแว่นอยู่บนใบหน้า ตั้งแต่เข้าบ้านมาแล้ว แต่เค้าก็เพียงบอกผ่านๆ ว่าลืมหยิบแว่นจากในรถมา

“แล้วมึงมองเห็นเหรอว่ะ ปกติทุกทีไม่มีแว่นนี่มึงบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย”ไอ้เหมาเปิดประเด็นมาอีกแต่เจ้าตัวคนถูกถามก็ยังคงกอนข้าวไม่ได้ มีทีท่าสนใจอะไร ทั้งที่คนทั้งโต๊ะอาหารเนี่ยกำลังจ้องเค้าเป็นตาเดียวเพื่อรอคำตอบ

“กูใส่คอนแทค”คำตอบของเค้าทำเอาทุกคนแปลกใจ รวมทั้งผมด้วย เพราะจำได้ว่าไอ้เหมาเคยบอกผมว่าเค้าไม่ชอบการใส่คอนแทคเลนส์ เพราะยุ่งยากลำบาก เลยขอใส่แว่นดีกว่า และไอ้เหมาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ถามซ้ำไปอีกว่าทำไมเค้าถึงเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์

“มีคนไม่ชอบที่กูใส่แว่น”หือ นี่ไม่ได้หมายถึงผมใช่ไหม เพราะจำได้ที่เค้าแซวผมวันก่อนที่เรามีอะไรกัน เรื่องกลัวผมไปเผลอใจชอบเค้า แล้วผมบอกว่าไม่ชอบคนใส่แว่น คงไม่หรอกม้าง แต่พอเห็นสายตาพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เค้าทำแล้ว ผมก็ชักไม่แน่ใจ

“ใครว่ะ”ไอ้เหมายังคงทำหน้าที่เป็นคนซักต่อไป

“ก็ไม่มีอะไร แค่เวลาไปทำงานข้างนอกแล้วใส่แว่นมันไม่สะดวก ไม่ค่อยทะมัดทะแมง แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไร”ท่าทางการตอบของเค้าดูสบายๆ พร้อมกับกินข้าวไป แต่ผมว่าผมเห็นเค้าแอบอมยิ้ม อยู่แวปนึง แต่ก็ไม่ได้มีใครติดใจเรื่องเค้าใส่คอนแทคเลนส์อีก ว่าแต่ถ้าเค้าไม่ใส่แว่นแล้ว ผมจะยังควรเรียกเค้าว่าคุณแว่นอยู่อีกไหม

“เออ ไอ้ตี้เห็นหมูยอละนึกขึ้นได้ ตกลงอร่อยป่ะวะ”ไอ้เหมาตักยำหมูยอใส่จานตัวเองพร้อมกับทำท่าล้อเลียนผม เรื่องที่คุณเซลล์เอาหมูยอมาฝาก ผมเลยบอกไปว่าก็อันที่มันกำลังกินเนี่ยแหละ เพราะฝากคุณแม่ใส่ตู้เย็นไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“นั่นแน่ๆ”ไอ้เหมายังคงทำท่าล้อผมไม่หยุด นี่ถ้าไม่ติดว่าเกรงในคุณแม่จะลุกไปตบหัวมันสักทีแล้วครับ

“อะไรกันนิพวกมึงสองคน”ชาร์ปที่ไม่เข้าใจว่าผมสองคนแง่งๆ ใส่กันทำไมเอ่ยขัดขึ้น จนไอ้เหมาต้องอธิบาย แต่ไอ้คำอธิบายของมันนี่ก็นะ มันบอกว่าหมูยอเนี่ย แฟนผมเอามาฝาก แถมหัวเราะอย่างชอบใจ แถมทั้งแพททังคุณแม่ก็ดูจะชอบใจใหญ่ ที่ไอ้เหมาบอกว่าผมมีแฟน

“ไม่ยักรู้ว่าลูกตี้มีแฟน เห็นชาร์ปบอกยังโสด ถ้ารู้ว่ามีแฟนแล้วจะได้ชวนมาทานข้าวด้วยกัน หลายๆ คนสนุกดี”ไปกันใหญ่แล้วครับคุณแม่ นี่ได้ฟังที่ผมปฏิเสธไหมว่า อีตาเซลล์ที่ให้หมูยอผมมานี่ย เพื่อนกัน แถมเพื่อนห่างๆ แบบเพิ่งรู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่ดูคุณแม่จะเชื่อไอ้เหมามากกว่าผมแหละครับ

“แกร๊ก”เสียงวางช้อนที่ค่อนข้างดังทำไมทุกคนต้องหยุด แล้วหันมองเป็นตาเดียวกัน แต่คนที่วางช้อนเสียงดังนั้นกลับไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร เค้ายกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกโดยไม่ได้สนใจว่าทุกคนมองเค้าอยู่

“อิ่มแล้วเหรอลูก”เป็นคุณแม่ที่เอ่ยถามลูกชาย ทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น

“ไม่เห็นมึงกินหมูยอ แฟนไอ้ตี้มันบ้างเลย อร่อยนะมึงเนี่ยๆ ลองหน่อย”ไอ้เหมายื่นมือตักยำหมูยอ ส่งให้ทั้งชาร์ป แล้วก็ผมด้วย แต่อีกคนเลื่อนจานออกจากตัวนิดหน่อยเป็นการบอกว่าไม่ทานแล้ว

“เป็นไรละเรา เห็นเพื่อนมีแฟนหมด แล้วตัวเองโสดอยู่คนเดียว แล้วงอนเหรอลูกแม่”สิ้นคำพูดคุณแม่ทุกคนก็หัวเราะกันสนุกสนาน จนชาร์ปต้อง รีบปฏิเสธว่าไม่ได้งอน บรรยากาศกลับมาครื้นเครง ผมกับไอ้เหมาจัดการอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง อิ่มจนพุงแทบแตกกันเลยทีเดียว

หลังจากช่วยคุณแม่จัดเก็บประมาณนึง ทั้งผม ไอ้เหมากับแพทก็ขอตัวกลับ โดยมีชาร์ปออกมาส่งพวกผม ผมต้องให้เหมากับแพทออกไปก่อน เพราะรถของทั้งคู่จอดขวางรถผมอยู่ ระหว่างรอเลยเปิดดู ข้อความจากคุณเซลล์ ที่ก็ขยันส่งมาเหลือเกิน

“คุยกับแฟนเหรอ”คนที่ยืนรอส่งผมส่งเสียงมา ผมปฏิเสธไป อย่างที่ย้ำไปแล้วตอนทานข้าว แต่ดูไม่ค่อยมีใครยอมเชื่อผม ผมยิ้มให้กับข้อความในมือถือก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่จ้องผมอยู่แล้ว

“หึงเหรอ”ผมพูดเบาๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะเดินขึ้นรถ

“เปล่าซะหน่อย”เสียงของอีกคนตะโกนไล่หลังผมมา


แวะมาต่อคร๊าบบ

เรื่องราวก็ยังเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรมากนะครับของตอนี้ ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามเหมือนเดิมนะครับ

ปล.เรื่องดื่มเบียร์ คนแต่งชอบเบียร์สดมากครับ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-06-2016 11:07:23
ขุ่นแม่ อยากได้ลูกสะไภ้แบบปาร์ตี้ จัง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-06-2016 11:34:24
ชาร์ป ใส่คอนแทคเลนส์เพื่อปาร์ตี้แน่เลย
แถมเริ่มหึงหน่อยๆแล้ว
ติดตาม ชาร์ป ตี้ อย่างใจจดใจจ่อเลยล่ะ
ดีใจที่ไร้ท มาลงต่อ ชอบบบบ :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 26-06-2016 12:32:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 26-06-2016 15:33:55
สนุกค่ะๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 26-06-2016 16:02:11
หึงล่ะสิ  :m12:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 13 คุณแม่ 26-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 27-06-2016 08:16:59
บทที่ 14
กลวิธีปกปิดความลับ

“มึงเนี่ยนะมีนัด”ไอ้เหมาทำท่าไม่เชื่อเมื่อผมปฏิเสธการไปดื่มกับมันในค่ำคืนวันศุกร์แบบนี้ จริงๆ ถ้ามันชวนผมวันอื่นๆ มันก็จะได้รับคำตอบแบบเดียวกันนี่แหละครับ เพราะช่วงนี้ผมเจอกับคุณแว่น แทบทุกวัน แต่ก็ไม่ได้นัดกันไปไหนหรอกนะครับ แค่สลับสับเปลี่ยนสถานที่ไม่บ้านผมก็บ้านเค้า จนตอนนี้ตู้เสื้อผ้าในห้องผมกับห้องเค้า เราต่างมีเสื้อผ้าของกันและกันอยู่ในนั้น หรือบางครั้งก็มีการหยิบเสื้อผ้าของอีกฝ่ายมาใส่ด้วย เพราะเราก็ใส่เสื้อผ้าไซส์ไม่ได้ต่างกันมาก

“แปลกตรงไหนที่กูมีนัด”ผมยังคงตั้งใจเปิดไฟล์งานเอกสารในคอมเหมือนเป็นงานด่วนที่ต้องรีบทำ หากแต่ถ้าไอ้เหมามันสังเกตสักนิดคงจะเห็นว่าไอ้ไฟล์ที่ผมเปิดอยู่นี่แค่เพียง copy สลับกันไปกันมาเฉยๆ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้มันมาวุ่นวายกับผมนานครับ และให้เลิกลาการตื้อของมันในการชวนผมไปดื่มเสียที

“ไม่แปลก ถ้ามึงมีแฟน แต่นี่มึงไม่ หรือมึงมีแฟนแล้วไม่บอกกู”ว่าแล้วว่าไอ้นี่มันเซนส์ดีครับ แต่มันก็ผิด ผิดตรงที่ผมไม่ได้นัดกับแฟน แต่เป็นนัดกับเพื่อน เพื่อนที่จริงๆ สนิทกับมันมาก่อนผมนั่นแหละครับ แต่จะให้ผมบอกกับมันได้ยังไงละครับ ว่าตอนนี้เพื่อนมันสองคน ได้กันแล้ว แต่ได้กันในฐานะ sex friends

“อย่ามาปิดบังเพื่อน บอกมาเลยว่ามึงนัดกับใคร”ดูเหมือนมันจะไม่ยอมลดล่ะ ที่จะตื้อผมครับ แต่เหมือนโชคเข้าข้างที่โทรศัพท์ผมดังขึ้นพอดี แต่คนที่ไวกว่าผมคือไอ้เหมาครับ มันคว้าโทรศัพท์ผมไปดูชื่อคนที่โทรเข้ามา

“ชะ ชะ ช่า นี่ใช่ไหมคนที่มึงนัด”เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมไอ้เหมาถึงทำท่าแบบนั้น เพราะเบอร์ที่โทรเข้ามาคือคุณเซลล์ เจ้าประจำ แต่นั่นก็ทำให้ผมได้ไอเดียบางอย่าง จากที่ตอนแรกกะว่าจะเดินไปคุยให้ห่างจากไอ้เหมาแต่ตอนนี้ ผมเลือกที่จะรับสายให้มันได้ยินผมพูดนี่แหละครับ

“ครับคุณอรรถ”นี่ผมว่าคงเป็นครั้งแรกที่ผมกับเค้าด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ ขนาดผมพูดเองยังอดจะรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองไม่ได้เลยครับ มันคงจะฟังดูแปลก จนอีกฝั่งก็คงจับสังเกตได้ เพราะเค้าเองก็หลุดขำออกมา แม้เค้าจะชัดเจนว่าพยายามจะจีบผมแต่ผมเองก็ยังชัดเจนว่าไม่เล่นด้วย อีกอย่างในเวลางานแบบนี้ เค้าก็ยังทำตามที่ผมเคยบอกเอาไว้ ว่าขอคุยแค่เรื่องงานเท่านั้น

“เอาอย่างงั้นก็ได้ครับ”ไอ้เหมาพยายามที่จะเงี่ยหูเข้ามาฟังในโทรศัพท์ผม แต่ผมใช้มือยันมันไว้ ไม่ใช่กลัวมันละลาบละล้วงนะครับ แต่ เดี๋ยวแผนแตกมันจะรู้ว่านี่ผมคุยเรื่องงานอยู่

“ผมไม่ติดขัดอะไรครับ...ครับ...ตามที่คุณอรรถว่าเลยครับ...ครับ...ตามนั้นเลยครับ”

“แล้วเจอกันครับ”จริงๆ คุณเซลล์เค้ากดวางสายตั้งแต่ผมบอกว่า “ตามนั้นครับ” แล้ว แต่เพื่อความสมจริง ผมเลยต้องจบด้วยประโยคท้ายนั้น ให้ไอ้เหมามันเชื่อ อย่างสนิทใจ ซึ่งก็ดูได้ผลมากเลยทีเดียว ผมไม่ได้โกหกอะไรมันเลยนะครับ แค่มันเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น จริงๆ ผมก็แค่ตอบรับการแก้ไขรูปแบบงานที่จะจัดซึ่งเค้าก็ส่งอีเมลมาให้ผมดูแล้ว แค่โทรมายืนยันอีกรอบ

“แหม แหม แหม สรุปนี่ไปถึงขั้นไหนกันแล้วครับคุณปาร์ตี้ ครับ อย่างงั้น ครับอย่างงี้ พูดเพราะมากกกก”ดูท่าจีบปากจีบคอมันแล้วผมแทบอยากจะถีบสักทีครับ

“กลับไปทำงานได้แล้ว กูจะทำงานเนี่ย”ขนาดเอ่ยปากไล่ขนาดนี้มันยังไม่ขยับครับ เวลาหัวหน้าผมไม่อยู่ห้องทีไร ไอ้นี่เป็นต้องมาสิงไม่ยอมไปไหน อย่างนี้เสมอแหละครับ

“จะเขินอะไรวะ ถ้าจะคบเซลล์หน้าหล่อนี่ก็เปิดตัวไปเลย”กูไม่ได้เขินครับคุณเพื่อนเหมา เพราะกูไม่ได้คบกับเค้า อยากจะตะโกนบอกมันออกไปดังๆ แต่ก็นั่นแหละครับ คงจะทำไม่ได้ แถมนี่ก็ต้องขอโทษคุณเซลล์ด้วยอีกคนนะเนี่ย แม้จะเป็นการขอโทษในใจ เค้าก็คงจะไม่ถือโทษผมหรอกมั้ง

ในที่สุดผมก็สลัดไอ้เหมาหลุดสักทีครับ ผมพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว นี่ผมจะปิดเรื่องนี้ยังไงไม่ให้ไอ้เหมามันสงสัย หรือต้องแอบเจอกันเฉพาะวันธรรมดา เพราะถ้าวันปกติ ผมกับไอ้เหมาส่วนใหญ่ก็เจอกันแค่ที่ทำงาน







ผมขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ซึ่งมีรถอีกคันจอดอยู่ก่อนแล้ว เค้าคงมาถึงแล้วสินะ ผมก้าวลงจากรถ ยืนมองนิดนึงว่านี่ถ้าเกิดวันดีคืนดี ไอ้เหมาทะเล่อทะล่ามาหาผม โดยไม่บอกกล่าว มันจะเกิดอะไร ขึ้น ผมว่าตอนนี้หลายๆ อย่างทั้งผมและชาร์ปก็ดูปล่อยให้คนอื่นสังเกตได้ง่ายเกินไป แต่จะว่าคนอื่นกคงไม่ใช่เพราะคนที่น่ากลัวที่สุด คงมีแค่ไอ้เหมาคนเดียวนี่แหละ

“ทำไมมาช้าจังเลย”ทันทีที่ผมปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน อีกคนที่รออยู่แล้ว เข้ามาดักหน้า พร้อมประกบปากมาโดยไม่ให้ผมตั้งตัวเลย ผมต้องรอจังหวะให้เค้าถอนปากออก เพื่อผลักให้เค้าออกห่าง

“ขอคุยก่อนได้ไหม”ผมบอกเสียงเรียบในขณะที่อีกคน ยังพยายามสอดมือเข้ามาในเสื้อผม มันคงเป็นความเคยชินจนเกินไปแล้วที่ทุกครั้งของเราสองคน แค่มาเจอหน้ากัน ก็ไม่มีการพูดจาอะไรกัน มันมักจะเริ่มด้วยการถาโถมเข้าใส่กันอย่างเร่าร้อนก่อน แล้วเรื่องอื่นๆ ค่อยมาว่ากันทีหลัง แต่ครั้งนี้ผมอยากตกลงหลายๆ อย่างก่อน เพื่อป้องกันจะไม่ให้ไอ้เหมาล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคน

“วันนี้ไอ้เหมาชวนไปดื่มหรือเปล่า”เค้าพยักหน้าเป็นการตอบรับ ซึ่งผมก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเค้าก็ต้องถูกชวนเช่นกัน ซึ่งการปฏิเสธของเค้าอาจไม่ต้องยุ่งยากเช่นผม เพราะคุณแว่นไม่ได้ต้องเผชิญหน้ากับไอ้เหมา อย่างครั้งนี้ที่บอกไปแค่ว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็สามารถปฏิเสธได้แล้ว

แต่ถ้าทั้งผมและคุณแว่น เอ่อแม้ตอนนี้เค้าจะไม่ค่อยใส่แว่นแล้ว ผมก็ยังชอบที่จะเรียกเค้าว่าคุณแว่นนะครับ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้ไม่ชอบที่เค้าใส่แว่น ที่พูดไปคราวก่อนก็แค่อยากพูดข่มเค้าแค่นั้นเอง ต่อครับต่อ คือถ้าทั้งผมและคุณแว่นต่างปฏิเสธไอ้เหมาพร้อมกันบ่อยๆ มันก็ต้องผิดสังเกตแน่ๆ

“ต่อไปถ้าวันไหนไอ้เหมานัด เราต้องไปกับมันก่อน ถ้าเราไม่ได้ติดธุระที่อื่นจริงๆ”เรื่องนี้ก็ดูแก้ได้ไม่ยากครับ เพราะจริงๆ ผมกับคุณแว่นเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องเจอกันทุกวันขนาดนั้น ช่วงนี้เราสองคนอาจจะยังตื่นเต้นกับเพศรสที่มอบให้กัน แต่ผมว่าอีกสักพักเราสองคนอาจจะเริ่มเบื่อกันก็ได้

“ในรถของอีกฝ่าย เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เราเคลียร์ของในรถกัน”กรณีนี้กันไว้เผื่อวันไหนไอ้เหมาต้องขึ้นรถของพวกเราคนใดคนนึง เพราะตอนนี้ในรถคุณแว่นก็มีของของผมอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน และเช่นเดียวกันกับรถของผมที่มีข้าวของ ของคุณแว่นเช่นเดียวกัน

“มือถือ เอามือถือมาเปลี่ยนชื่อ เราสองเมมเบอร์เปล่าๆ กัน โดยไม่ต้องใส่ชื่ออีกคน”จากที่ผมโดนไอ้เหมาแย่งมือถือไปดูชื่อคนโทรเข้า มันทำให้ผมต้องกันเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน แม้คุณแว่นจะพยายามแย้งว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน โทรหากันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไร มันก็คงจะไม่แปลก ถ้าเราไม่ได้โทรหากันทุกวันแบบตอนนี้ เกิดวันไหนแจ๊คพอต โทรไปในวันเวลาที่ไม่เหมาะ ไม่ควรมันจะได้ไม่ผิดสังเกต นอกจากการเมมชื่อเบอร์แล้ว ผมยังจัดการตั้ง password line ให้เค้าด้วย พร้อมกำชับให้เค้าลบแชทที่เราคุยกัน หากอันไหนที่มันดูไม่เหมือนเพื่อนปกติคุยกัน

“นี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”เค้าทำท่าหน่ายๆ กับสิ่งที่ผมให้เค้าทำตาม

“ก็ถ้าเรายังอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับอยู่มันก็คงต้องทำแบบนี้แหละ”ผมย้ำกับเค้า เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่

“ไอ้เหมามันไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอกมั้ง”โหน้อยไปสิครับ ผมบอกกับเค้าว่าไม่ลองมาเจอไอ้เหมามันแทบทุกวันอย่างผม แล้วจะรู้สึก ว่าเรื่องแบบนี้มันฉลาดนักแล ยิ่งเดี๋ยวนี้มีน้องปลาเป็นผู้ช่วย งานการมันก็โยนให้น้องปลาเสียส่วนใหญ่ แล้วมันก็เอาเวลามายุ่งเรื่องชาวบ้านได้มากยิ่งขึ้น

“ครบหรือยังเนี่ย ไอ้กลวิธีปิดบังไอ้เหมาเนี่ย”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม เค้าเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมทีละเม็ด แล้วใช้นิ้วลากกรีดจากแผงอกของผม ลากต่ำลงไปจนถึงเข็มขัด มือเค้าคว้าที่เข็มขัดผมเพื่อใช้ดึงตัวผมให้ชิดเข้าหา

“ขออาบน้ำก่อนได้ไหม เหนียวตัวมากเลยเนี่ย”ผมคว้ามือที่กำลังจะล้วงเข้าไปในกางเกงนั้นไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีไม่พอใจ หากแต่มีสายตาวิบวับส่งกลับมาให้ผม แน่นอนว่าผมเข้าใจดีว่าสายตานั่นหมายความว่ายังไง เพราะเพียงไม่นาน ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคน ก็มาอยู่ใต้ฝักบัวเดียวกัน สายน้ำที่เย็นช่ำ ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนรุ่มของเราลดลงไปเลยแม้แต่น้อย

เราต่างมอบความหวาบหวามให้กัน มันยังเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และหอมหวานสำหรับเราทั้งสองคน ที่แม้เติมเต็มให้กันเท่าไหร่ก็ยังไม่อิ่มเสียที ความรู้สึกนี้ผมว่า ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว สังเกตได้จากการตอบสนองของอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ความรู้สึกนี้มันจะคงอยู่ยาวนานขนาดไหน วันนึงที่ความตื่นเต้น ความแปลกใหม่มันลดลง เราก็คงต้องจบความสัมพันธ์นี้

เมื่อถึงวันนั้น เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเดิมได้ไหม คงเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา แม้ในตอนแรกเราจะตกลงกันไว้แบบนั้น แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ มันจะเป็นยังไงก็คงต้องรอดูกันต่อไป

“นี่เราต้องหาตัวหลอก ไว้เหมือนตี้ด้วยไหมเนี่ย”หลังจากผ่านกิจกรรมใต้ฝักบัวแล้ว ตอนนี้เราทั้งคู่ก็มานอนคุยกันที่เตียงของผม เขาเล่าถึงเรื่องวันนี้ที่ไอ้เหมาเข้าใจผิด ว่าผมจะไปกับคุณเซลล์ แถมไอ้เหมาก็โทรไปเล่าให้คุณแว่นฟังเป็นตุเป็นตะว่าผมคบกับคุณเซลล์อย่างจริงจังแล้ว

“ก็แล้วแต่ชาร์ปสิ หรือจะจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว ก็จีบไปเลย แต่ถ้าตกลงคบกับใครจริงจังก็บอก เราจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะมันคือสิ่งที่เราตกลงกันตั้งแต่ต้น ส่วนเรื่องคุณเซลล์จริงๆ ผมก็ไม่ได้จะใช้เค้าเป็นตัวหลอกอะไรหรอกนะครับ เดี๋ยววันหลังคงต้องหาทางทำความเข้าใจกับไอ้เหมาใหม่แล้วละครับ

“ถ้าเราไปจีบใคร ตี้จะหึงเราป่ะ”เค้าถามพร้อมกลับพลิกตัวมาคร่อมผมไว้ ก่อนริมฝีปากนั้นจะโน้มมาบดลงที่ริมฝีปากของผม ลิ้นสากๆ ของเค้าถูกส่งเข้ามาในโพรงปากของผม ผมปล่อยให้ลิ้นของเราได้หยอกล้อกันสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเค้าออก

“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่หึง”

“สักนิดก็ไม่เลยเหรอ”เค้าก้มลงมากระซิบข้างๆ หูของผม พร้อมกับใช้ฟันขบเบาๆ ที่ติ่งหูของผม



มาต่อเหมือนเดิมคร๊าบบบบ

ขอบคุณที่ติดตามกันเช่ยเคยครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 14 กลวิธีปกปิดความลับ 27-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 27-06-2016 12:02:27
อะแฮ่มๆๆ อยากจะเห็นวันที่ทั้งสองยุติความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ
ดูสิใครจะรู้สึกอะไรก่อน หุหุ

Sex friend แบบนี้ระวังคนใดคนหนึ่งไปตกหลุมเข้าล่ะ เดี๋ยวถอนตัวไม่ขึ้น
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 14 กลวิธีปกปิดความลับ 27-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 27-06-2016 15:04:57
ชอบเหมา นางดูแสนรู้ จับผิดเก่งเหลือเกิ๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

อ่านไปลุ้นไป กลัวแจ็คพอตแตก  :katai1: :katai1: :katai1:

หลงใหลในความสัมพันธ์อันคลุมเครือนี้จัง แต่เรา #ทีมตี้ นะ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 14 กลวิธีปกปิดความลับ 27-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-06-2016 21:00:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 14 กลวิธีปกปิดความลับ 27-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-06-2016 22:41:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 14 กลวิธีปกปิดความลับ 27-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-06-2016 08:41:11
บทที่ 15
พนันกันหน่อย

“ทำไมมึงสองคนนั่งฝั่งเดียวกันวะ”ทันทีที่ไอ้เหมามาถึง ก็ทักทายผมกับคุณแว่นด้วยความสงสัย ซึ่งจริงๆ ผมก็บอกกับคุณแว่นแล้วว่า ไอ้เหมาต้องทักแน่ๆ วันนี้ผมกับคุณแว่นได้รับคำเชิญจากไอ้เหมาอีกแล้วครับ และแน่นอนว่าผมกับคุณแว่นมาถึงพร้อมกัน เพราะมารถคันเดียวกันนั่นแหละครับ พอมาถึงตอนแรกผมก็จะนั่งคนละฝั่งกับคุณแว่นนะครับ แต่เค้าให้เหตุผลว่า เดี๋ยวถ้าแพทมากับไอ้เหมา เราก็ต้องย้ายมานั่งฝั่งเดียวกันอยู่ดี

“1:0 เรานำ”ผมพูดลอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่ 2 คนกับคุณแว่น เพราะพอเถียงกันเรื่องที่นั่ง ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวเหมามันต้องสงสัย แต่เค้าแย้งว่าไอ้เหมาไม่สนใจแน่นอน ในเมื่อความเห็นไม่ตรงกัน การพนันก็ต้องเกิดสิครับงานนี้

“ก็นึกว่าแพทจะมากับมึงด้วยไง”คุณแว่นรีบอธิบายให้ไอ้เหมาฟัง แต่บังเอิญว่าไอ้เหมาดันมาคนเดียวนี่แหละครับ จริงๆ ปกติเวลานัดเจอกัน ถ้ามา 3 คนแบบนี้ผมมักจะนั่งข้างไอ้เหมา ไม่งั้นก็เป็นผมที่นั่งคนเดียว แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะนั่งข้างคุณแว่น ไอ้เหมาพยักหน้า เหมือนไม่ติดใจอะไรเรื่องนี้ ผมกำลังจะโล่งใจอยู่แล้วเชียวถ้ามันไม่หันมามองผมด้วยรอยยิ้มร้ายๆ แบบนั้น

“ไปเดทมาเป็นไงครับน้องตี้”นั่นไง พ้นจากเรื่องนึงก็มาอีกเรื่องนึงจนได้สิครับ ไอ้เหมายื่นมือมาทำท่าจ่อไมค์เหมือนจะสัมภาษณ์ผม แต่ผมเตรียมพร้อมมาแล้วกับคำถามนี้ ไม่ได้กินหรอกครับคุณเหมา

“ไม่เสือกสิครับคุณเหมา”ผมปัดมือมันออกพร้อมยิ้มอย่าง ผู้มีชัย ชัยชนะย่อมเป็นของผู้เตรียมพร้อมเสมอ และอีกชัยชนะที่ผมน่าจะได้รับในวันนี้ก็คือเรื่องที่พนันกับคุณแว่นนี่แหละครับ เพราะนี่ก็หนึ่งในเรื่องที่ผมพนันว่าไอ้เหมาจะพูดถึง ผมหันไปยักคิ้วให้คุณแว่นพร้อมกับทำปากพูดโดยไม่มีเสียงว่า “สองศูนย์” ซึ่งเค้าก็เอาคืนผมด้วยการเตะเบา เบามาที่หน้าแข้งผม แถมทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อีก

“จะมีแฟนแค่นี้ทำเป็นไม่อยากเล่าให้เพื่อนฟัง มึงไม่ใช่สาวน้อยอายุ 18 นะไอ้ตี้ อย่ามาทำสนิมสร้อย”ปากไอ้เหมานี่ผมพอจะรับได้นะครับ เพราะต่อปากต่อคำกันแทบจะทุกวัน แต่ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ผมนี่สิ จะขำอะไรขนาดนั้น

“ไว้รอกูได้กับเค้าก่อน แล้วจะมารายงานมึงแล้วกันนะ”ผมแกล้งพูดเน้นเสียง ให้มันหมั่นไส้เล่น เพราะนึกสนุกและไม่อยากยอมแพ้มัน

“พอเลยๆ ทั้งคู่ เถียงกันยังกะเด็กๆ มาเล่นเกมกันดีกว่า”คุณแว่นเป็นคนห้ามทัพ และมีข้อเสนอมาให้ เป็นเกมที่ผมเคยเล่นกับคุณแว่นนั่นคือการทายชื่อเพลง แต่ครั้งนี้ต่างไปตรงที่ คนแพ้ต้องวางเงินให้กองกลางสำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่มในคืนนี้ โดยคนที่แพ้ในแต่ละเพลง ต้องวางเงินให้กองกลางคนละ 50 บาท เท่ากับว่า 1 เพลงเราจะได้กองกลาง 100 บาท

“จัดไปสิครับ เซียนเพลงอย่างพี่เหมาคงได้กินฟรีแน่ๆ ครับคืนนี้”หลังจากไอ้เหมารับฟังกติกาก็ รับคำอย่างมาดมั่น จนผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้

“2:1 นะคร๊าบบบ”คุณแว่นหันมากระซิบผม เพราะก่อนมาเรานัดกันมาแล้วเรื่องเกมนี้ แต่ผมคิดว่าไอ้เหมาไม่น่าจะยอมเล่น เพราะไอ้นี่ร้องได้ทุกเพลงก็จริง แต่มันจำชื่อเพลงไม่ค่อยได้ เล่นไปก็มีแต่แพ้ นี่ยังงงอยู่เลยว่ามันเข้าใจกติกาไหม ว่าให้ทายชื่อเพลง ไม่ใช่ให้ร้องเพลง

“น้องๆ พี่ขอแก้วเปล่าใบนึงครับ”ดูกระตือรือร้นเหลือเกินนะครับเพื่อนเหมา งานนี้เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะหมดตัว เพื่อนก็เพื่อนเถอะครับ หลอกกินตังค์เพื่อนบ้าง คงไม่ว่ากันนะครับ

พอเด็กเสิร์ฟ เอาแก้วเปล่ามาวางให้ เราก็จัดการวางแก้วไว้กลางโต๊ะ พร้อมกับเริ่มเกม และไม่ต้องเดาครับ ผมชนะเพลงแรกไปอย่างง่ายดาย ทั้งไอ้เหมาและคุณแว่นต่างต้องเป็นคนวางตังค์ลงไปในแก้ว ไอ้เหมาลีลาว่ามีแค่แบงค์ 500 กะแบงค์ 1000 ผมเลยบอกให้มันใส่ลงไปทั้ง 500 บาทนั่นแหละเดี๋ยวก็หมดเอง

“กูแค่ต่อให้ก่อน อย่าเพิ่งได้ใจไปไอ้ตี้”ไอ้เหมาวางแบงค์ 500 ลงไป พร้อมชี้ให้ผมจับตาดูมันให้ดี แต่พอเกมดำเนินไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ผ่านไป 20 เพลง เงินในแก้วนั้นมีของผมแค่ 200 บาท ส่วนที่เหลือก็เป็นของไอ้เหมากับคุณแว่นอีกคนละ 900 บาท

“มึงโกงป่ะเนี่ยไอ้ตี้”ไอ้เหมาเริ่มโวยวาย ส่วนผมกับคุณแว่นหัวเราะกับท่าทีนั้นของเหมา คุณแว่นยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดูบางอย่าง มันเป็นข้อความท้าพนันระหว่างผมกับเค้าอีกข้อนึง ที่ว่าระหว่างเค้ากับไอ้เหมาเนี่ย ใครจะตอบชื่อเพลงได้มากกว่ากัน แน่นอนว่าเค้าเลือกตัวเอง ส่วนผมต้องเลือกไอ้เหมา แม้จะไม่เต็มใจเลือก แต่ผมก็ว่าพอฟัดพอเหวี่ยงละน่า ผมแตะมือกับเค้าเป็นอันตกลงว่าผมรับข้อเสนอ นี่ผมพนันทั้งบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ จนจะเบลอแล้วนะครับเนี่ย แถมวันนี้ดื่มกันไปเยอะเหมือนนะครับวันนี้

“มึงหนุงหนิงๆ อะไรกันวะ”เสียงไอเหมาดังขึ้น จนผมต้องหันหน้าไปมองและเห็นมันจ้องมาที่ผมกับคุณแว่น ที่ตอนนี้...ผมหันมองตัวเองกับคุณแว่น ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออก เพราะเรานั่งชิดกันเหลือเกิน ทั้งผมและคุณแว่นปฏิเสธว่าไม่มีอะไร พร้อมกับเฉไฉ ชวนไอ้เหมาดื่ม ไอ้เหมาบอกให้พักเล่นเกมก่อน เพราะมันจะขอตัวไปห้องน้ำกับสูบบุหรี่ พอไอ้เหมาลุกไป ผมนึกว่าคุณแว่นจะตามไปสูบบุหรี่ด้วย แต่คุณแว่นกลับยังนั่งนิ่งอยู่ข้างผม

“ชอบเหรอ”ผมหยุดการกิน พร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงให้คนถามช่วยขยายความในคำถาม เพราะไม่เข้าใจว่าเค้าถามถึงอะไรกันแน่

“หอมแดงไง อร่อยเหรอ”คุณแว่นชี้มาที่จานของผม ที่ผมเลือกตักแค่หอมแดง ออกมาจากยำวุ้นเส้น เรื่องนี้มีคนถามผมหลายคนแล้วเหมือนกัน ไอ้ผมก็ไม่นึกว่าคนเค้าไม่กินกันรึไง ผมว่ามันกินเพลินดีออก จนบางทีถ้าสั่งยำมา ผมมักจะเลือกกินหอมแดงก่อนเสมอ

“เลี้ยงง่ายนะเนี่ย อ่ะ เราช่วยตักให้”หลังจากได้รับคำตอบจากผม คุณแว่นก็ช่วยเลือกหอมแดงออกมาวางที่จานผม เหมือนกลัวใครจะมาแย่ง จนผมต้องร้องห้าม เพราะจริงๆ ดูเหมือนหอมแดงเนี่ยก็ไม่มีใครกินอยู่แล้ว ทั้งไอ้เหมา ทั้งเค้าเอง ใครจะมาแย่งผม

“เดี๋ยวนี้มึงสองคนดูสนิทกันมากไปป่ะเนี่ย”ทันทีที่ไอ้เหมามาถึง มันก็ทำผมชะงักอีกรอบ นี่มันจะเริ่มสงสัยอะไรอีกรึเปล่าเนี่ย

“แปลกตรงไหน กูก็สนิทกับตี้ เหมือนที่กูสนิทกับมึง ตี้ก็สนิทกับกู เหมือนที่เค้าสนิทกะมึง”ชาร์ปตอบกลับนิ่งๆ แต่ไอ้เหมายังทำตาเล็กตาน้อย มองคุณแว่น สลับกับผม ไปมา

“ไม่ใช่ว่ามึงสองคนไปแอบได้กันมาแล้วนะ”อะหือ แม้ท่าทีมันจะดูเหมือนแค่พูดเล่น แต่ก็ทำเอาผมแทบสำลักเบีบร์เหมือนกันนะครับ ไอ้นี่มันจะเซนส์ดีเกินไปแล้ว ผมว่าคงต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้วละครับ

“เออ กูได้กันแล้ว”แต่รอบนี้ผมสำลักเบียร์จริงๆ ครับ ที่อยู่ๆ คุณแว่นก็พูดขึ้นแบบนี้ด้วยใบหน้าที่จริงจัง  แถมยังขยับ เข้ามาโอบไหล่ผม ก่อนจะโน้มหน้ามาจุ๊บแก้ม ผมเบาๆ ตอนนี้ไอ้เหมามองผมสองคน ตาค้าง อ้าปาก หวอ ส่วนผมเองก็ตกใจ ไม่แพ้ไอ้เหมาหรอกครับ ตอนนี้ไอ้เหมาเอามือตบหน้าตัวเอง เหมือนคิดว่าตัวเองฝันไป

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พอแล้วไอเชี่ยเหมา มึงนี่หลอกง่ายชิบหาย กูทำแค่นี้ก็เชื่อแล้วเหรอ”เค้ายักคิ้วให้ผม ก่อนจะคลายมือที่โอบไหล่ผมออก นี่ใจผมยังเต้นโครมครามไม่หยุดเลย จะเล่นอะไรไม่เตี้ยมกันไว้ก่อนบ้างเลย เล่นเอาใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว ผมแกล้งหัวเราะไปกับคุณแว่น เพื่อให้ดูว่าผมรู้อยู่แล้วที่คุณแว่นกำลังแกล้งอำไอ้เหมาอยู่

“ไอ้เชี่ย ทำกูเกือบช็อค ไอ้ตี้มึงก็เล่นซะเนียนเชียว แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้ตี้นี่ไม่เท่าไหร่ มึง...ไอ้เชี่ยชาร์ป...ไอ้แว่น มึงแม่งลงทุนจุ๊บแก้มไอ้ตี้ ทำเอากูเชื่อสนิทเลย สาธุของให้แม่งพวกมึงผีผลักได้กันจริงๆ ทีเหอะ เพี้ยง”แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมากันทั้งสามคน ผมแอบเอามือหยิกขาไอ้คนที่นั่งข้างๆ นี่อย่างหมั่นไส้ เล่นอะไร ก็ไม่รู้

เราวกกลับมาเล่นเกมกันอีกรอบ ซึ่งก็ไม่ต่างจากรอบแรก ผมเสียอีกแค่ 300 บาท ส่วนทั้งสองคนก็สูสีใช้ได้ แต่ผมก็คือผู้ชนะพนันใต้โต๊ะระหว่างผมกับคุณแว่นด้วย เพราะไอ้เหมาได้ไปทั้งสิ้น 6 เพลง ในขณะที่คุณแว่นได้ 4 เพลง แสดงว่าเกมกับคุณแว่นผมก็ชนะ ขาดรอย 3:1

เราอยู่กันจนร้านปิด ถึงแยกย้ายกันกลับ ไอ้เหมายืนยันว่าขับรถไหว เพราะไม่ได้เมามาก ส่วนผมกับคุณแว่นวันนี้มารถคันเดียวกัน ดีที่ไม่ได้จอดรถใกล้กับไอ้เหมา ไม่งั้นมีหวังมันคงสงสัยอีกแน่ๆ ว่าทำไมเราสองคนถึงมาด้วยกันได้



“มานั่งนี่เดี๋ยวเช็ดให้”เสียงคนที่เตียง เรียกผมพร้อมตบที่ว่างใกล้ๆ เค้าเป็นเชิงเรียกให้เข้าไปหา เมื่อเห็นผม เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ วันนี้เค้าก็มาค้างบ้านผมอีกเหมือนเคย เพราะอย่างที่บอกว่าวันนี้เราไปดื่มด้วยรถคันเดียวกัน

“คราวหน้าจะแกล้งอะไรไอ้เหมา บอกกันล่วงหน้าหน่อยก็ดีนะ แบบวันนี้ไม่เอาอีกแล้วนะ ตั้งรับไม่ทัน”เค้ายังคงใช้ผ้าขยี้ที่หัวผม พร้อมกับที่หัวเราะ ในลำคอ อย่างอารมณ์ดี

“สนุกดีออก แกล้งทีเดียวได้ตั้งสองคน”ผมหันไปดึงผ้ามาเช็ดเองด้วยความหมั่นไส้ แต่โดนเค้าดึงให้นอนลง ที่เตียง พร้อมกับเค้าที่พลิกขึ้นมาคร่อมตัวผม

“ตี้ว่าถ้าไอ้เหมามันรู้ขึ้นมาจริงๆ ว่าเราสองคนมีอะไรกันแล้วมันจะรู้สึกยังไง”ไอ้เหมา เอาจริงๆ ถ้าสำหรับผมไอ้เหมามันคงไม่น่าจะแปลกใจอะไรมาก แต่กับคุณแว่นนี่มันคงช็อคแหละครับ มันคงคิดไม่ถึงว่าคนอย่างชาร์ปจะมามีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แต่สิ่งที่ไอ้เหมาอาจจะช็อคยิ่งกว่าคือสถานะ ของเราสองคนที่ตกลงกันนี่แหละครับ

“หยุดเรื่องไอ้เหมาไว้ก่อน กลับมาเรื่องที่เราพนันกันดีกว่า ลืมไปแล้วเหรอว่าตกลงกันว่ายังไง”ผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย ที่ผมชนะพนันเค้า เราตกลงกันว่าถ้าใครชนะ มีสิทธิ์ ขออะไรก็ได้จากอีกฝ่าย

“อยากได้อะไรว่ามาเลยครับคุณปาร์ตี้”เค้าพลิกตัวลงมานอนข้างๆ จ้องมาที่ผมอย่างรอคำตอบ แต่ผมยังไม่ทันคิดเลยว่าจะขออะไรจากเค้าดี เลยตกลงว่าให้เค้าค้างผมหนึ่งอย่าง ไว้คิดออกแล้วผมจะบอกอีกที

“นึกว่าจะขอให้เราจัดหนักให้ซะอีก นี่กะจัดให้ถึงเช้าเลยนะเนี่ย”

“เช้าไม่กลัว กลัวชาร์ปไม่ไหวมากกว่า”ผมตอบออกไปอย่างท้าท้าย และแน่นอนว่าคืนนี้ของเราสองคนคงอีกยาวไกล






แวะมาต่อคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 30-06-2016 09:03:47
นักสืบโคเหมา เราชอบบบบบ เดาแม่นมาก
แต่กลับโดนคุณแว่นหลอกง่ายๆ
ตอนนี้หวานๆน่ารักๆเหมือนคนแต่งเตรียมให้เราตายใจเพื่อเสิร์ฟมาม่าไงไม่รู้ 5555 ระแวงหมดแล้วเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-06-2016 10:30:13
เหมารู้คงช็อคจริงๆ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 30-06-2016 12:08:40
อ้างถึง
หยุดเรื่องไอ้การ์ดไว้ก่อน กลับมาเรื่องที่เราพนันกันดีกว่า

เหมาหรือเปล่าคะ?    เราว่าเดี๋ยวก็ต้องมีมาม่าแน่นอน   แต่จะมายังไงนั่นสิ    คุณเซลล์ หรือชาร์ปมีแฟนใหม่แต่ยังมานอนกับตี้หรือเปล่า?  หรือว่ากลับกันตี้มีแฟนแล้วก็ยังมาหาชาร์ป?     เราไม่ดื่มของมึนเมา  อ่านๆไปได้บรรยากาศคนดื่มเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 30-06-2016 12:54:52
บางทีก็อยากให้เหมารู้ไวๆๆ ว่าสองคนนี้ได้กันแล้ว 5555+
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Yysll ที่ 30-06-2016 15:53:36
กรี๊ดดดดดดดด :katai4: รีบมาต่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 15 พนันกันหน่อย 30-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-07-2016 09:03:58
บทที่ 16
เตรียมงาน

“นี่ต้องมาคุมงานเองเลยเหรอครับคุณอรรถ”ทั้งที่จริงเค้าไม่ต้องมาดูหรอกครับ เพราะทุกอย่างเราตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว อีกอย่างจากที่เห็นงานบางส่วนที่ส่งมาก่อนแล้ว ผมว่าทีมงานของเค้าเองก็ทำออกมาได้ตรงตามที่สั่งไป แทบไม่มีที่ติอยู่แล้ว และที่สำคัญสุดคือตำแหน่งเค้า ไม่ได้มีความจำเป็นต้องมาคอยดูงานนี่สิครับ

“ก็แค่อยากมาเจอ คนบางคน ที่ชวนไปไหนก็ไม่ยอมตกลงสักที”ผมอมยิ้มเล็กน้อยกับคำพูดนั้น จริงๆ ผมกับเค้านอกจากติดต่อประสานกันเรื่องงานก็มีคุยกันนอกงานอยู่พอสมควรแหละครับ แต่ผมก็ยังเว้นระยะห่างกับเค้าไว้อยู่ ก็เหมือนเป็นเพื่อนอีกคน ที่คุยแล้วก็สบายใจดีครับ

“ไว้จบงานนี้ก่อน ค่อยไปดื่มด้วยกันนะครับ”ผมเริ่มมองว่าการมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร แล้วผมก็ปฏิเสธการชวนของเค้ามาบ่อยแล้ว ทั้งการชวนไปกินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งชวนไปออกกำลังกาย แต่สิ่งที่น่าจะเป็นตัวผมมากที่สุด คงเป็นการไปนั่งดื่มนี่แหละครับ

“พูดจริงป่ะเนี่ย ไม่ใช่หลอกให้ผมดีใจ แล้วมาเบี้ยวผมทีหลังหรอกนะครับ”เค้าหันมามองหน้าผม หลังจากที่ตอนแรกเราต่างคุยโดยที่สายตาจับจ้องไปยังทีมงานที่จัดเตรียมอุปกรณ์อยู่

“ก็แค่ไปดื่มในฐานะเพื่อน ทำไมผมจะไม่ไปละครับ”ผมตอบออกไปอย่างที่คิด

“ฟังดูน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยทีเดียว”คุณเซลล์ตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยชวนว่าถ้าไม่รังเกียจ วันที่เสร็จงานของบริษัทผม เค้าจะพาทีมงานไปเลี้ยงฉลองอยู่แล้ว อยากจะชวนผมไปด้วย เพราะผมก็คุ้นเคยกับทีมงานของเค้าอยู่แล้ว ทีแรกผมก็ปฏิเสธเพราะรู้สึกว่ามันควรเป็นงานภายในของพวกเค้า ผมไปจะเป็นส่วนเกินเปล่าๆ แต่เค้ายืนยันว่าอยากให้ไปด้วยจริงๆ สุดท้ายผมเลยขอคิดดูก่อน ไว้ใกล้วันจริงๆ ให้คำตอบอีกที

“ว้า ไม่ทันไรก็ส่อแววจะเบี้ยวกันซะแล้ว”คำพูดที่เหมือนจะแซวเล่น แต่ผมกลับรู้สึกว่าโดนกดดันอยู่ในที สุดท้ายผมเลยยอมตกปากรับคำเค้าไปจนได้ ว่าในวันจัดเลี้ยงทีมงานของเค้า ผมจะไปร่วมสังสรรด้วยแน่นอน ผมคุยรายละเอียดงานกับเค้าอีกสักพัก แล้วจึงขอแยกกลับแผนกเพื่อไปจัดงานอื่นๆ ที่ค้างอยู่ เพราะช่วงนี้ผมต้องมาทุ่มให้กับกิจกรรมสัปดาห์สิ่งแวดล้อมนี่ เลยแทบทำอย่างอื่นไม่ทัน

ตอนนี้อะไรที่ไม่ด่วนมาก ผมก็คงต้องเลือกดองงานเอาไว้ก่อน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่ช่วงนี้หัวหน้าผมไม่โยนงานอะไรเพิ่มเติมมาอีก เพราะการจัดสัปดาห์สิ่งแวดล้อมของบริษัทในปีนี้ ทางนายผมค่อนข้างจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากปีนี้เข้าปีที่ 5 แล้วที่บริษัทของเราได้รับการรับรองว่าผ่านมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังมีพนักงานบางกลุ่มที่ยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือในเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่ ทางนายเลยอยากให้การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ช่วยกระตุ้นพนักงานให้ได้มากที่สุด

ผมก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ผมและตัวแทนจากทุกแผนกที่มาช่วยกันทำโปรเจกต์ในครั้งนี้สะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แหละครับ แต่ได้ทีมออแกไนซ์จากทางคุณอรรถนี่ก็ถือว่าช่วยได้เยอะเลยทีเดียวครับ หลายๆ อย่างเลยดูง่ายขึ้น ถ้าจัดเองทั้งหมดมีหวังเหนื่อยแน่ๆ ครับ แถมไม่รู้งานจะออกมายังไง

“สวัสดีครับ ตี้ครับ”ผมกรอกเสียงไปในโทรศัพท์ตั้งโต๊ะของผม ที่พอผมพูดจบ อีกฝั่งก็ส่งเสียงมาอย่างตกอกตกใจ ซึ่งดูท่าจะตกใจมาก จนพูดไม่รู้เรื่อง ผมต้องบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด

“ทีมงานออแกไนซ์ของพี่ ตกบันไดอ่ะพี่”เท่านั้นแหละครับ ผมรีบวางโทรศัพท์แล้วรีบพุ่งไปสถานที่จัดกิจกรรม ทันที พอถึงจุดเกิดเหตุ สิ่งที่ผมเห็นยิ่งทำให้แปลกใจกว่าเดิม เพราะคนที่พี่พยาบาลดูอาการอยู่ คือคุณเซลล์นั่นเอง ผมมองสถานที่เกิดเหตุ มีบันไดที่ใช้พาดสำหรับปีนขึ้นที่สูง วางอยู่ข้างๆ บันไดนี่น่าจะใช้ปีนขึ้นไปติดอุปกรณ์สักอย่าง แล้วคุณเซลล์ขึ้นไปทำไม กันละนั่น

“เป็นไงบ้างครับพี่”ผมเอ่ยถามพี่พยาบาล คือในบริษัทของพวกเราจะมีห้องปฐมพยาบาลอยู่ เผื่อพนักงานเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถมาเบิกยาหรือนอนพักได้ รวมถึงมีพยาบาล อยู่ประจำอีกด้วย เพื่อช่วยในการปฐมพยาบาลอะไรที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง

“น่าจะข้อเท้าเพลง แต่ยังไงก็คงต้องไปเช็คที่โรงพยาบาลนะคะ เผื่อมีกระดูกร้าวหรือจุดอื่นได้รับบาดเจ็บอีก”หลังจบคำพูดของพี่พยาบาล รถที่จะพาเค้าไปโรงพยาบาล ก็วิ่งเข้ามาจอดรออยู่ไม่ห่าง ที่แรกคุณเซลล์จะไม่ยอมไป บอกไม่เป็นอะไรมาก แต่เจอพี่พยาบาลดุไปชุดใหญ่เลยต้องยอมไป ผมรับหน้าที่เป็นตัวแทนของบริษัทตามไปที่โรงพยาบาลด้วย เพราะผมเป็นคนดูแลรับผิดชอบโปรเจกต์นี้อยู่

ผมโทรรายงานหัวหน้าระหว่างที่รอคุณเซลล์เข้าไปเอกซเรย์และพบคุณหมอ เหตุที่ต้องบอกหัวหน้าไว้ก่อนเพราะอีกเดี๋ยวนายคงโทรหาหัวหน้า เวลามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแบบนี้ คนที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรงก็ต้องแจ้งทางเจ้านายให้ทราบเบื้องต้น แต่ต้นสังกัดที่ดูแลคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ต้องได้รับการสอบถามจากนายอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น และจะมีผลกระทบอะไรไหม ยิ่งนี่มาเกิดกับโปรเจกต์นี้ ที่ใกล้จะถึงวันงาน กลับไปผมคงโดนสอบสวน แน่ๆ อยู่แล้ว แต่การสอบสวนก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างชื่อหรอกนะครับ ก็แค่ดูว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุเกิดจากอะไร เพื่อแค่จะเอามาป้องกันเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกแค่นั้นแหละครับ

“เป็นไงบ้างครับคุณอรรถ”คนถูกจับนั่งรถเข็นยังคงยิ้มแป้น ชูสองนิ้วว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เค้าไม่เป็นอะไรมากสรุปก็แค่ข้อเท้าแพลง แค่มีผ้ายืดอีลาสติกพันที่ข้อเท้าข้างนึง แล้วก็ได้ยาอีก 2-3 อย่าง ผมถามเค้าด้วยน้ำเสียงดุๆ เล็กน้อยว่าไปปีนบันไดทำไม ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของเค้าเลยที่ต้องไปทำอะไรเอง แต่เค้ากลับตอบหน้าตาเฉยว่าอยู่ว่างๆ เลยอยากช่วยทีมงาน นี่ถ้าเป็นเด็กคงต้องบอกว่าซนไม่เข้าเรื่อง แต่โตแล้วนี่ไม่รู้จะว่ายังไงดี

“ดีใจนะเนี่ย ที่คุณตี้ห่วงผม”แต่ดูท่าคงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ นั่นแหละครับ ดูสีหน้าแววตา ไม่ได้ดูเหมือนคนเจ็บอะไรเลย ไอ้เรารึก็เป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรมากเสียอีก

“ห่วงสิครับ คุณอรรถเป็นอะไรมา โปรเจกต์ผมล่มพอดี”ด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยแกล้งบอกออกไปอย่างไม่ได้จริงจังนัก ก่อนจะเข้าไปขอเป็นคนเข็นเค้า เพื่อไปรอขึ้นรถกลับ

“ไอ้เราก็นึกว่าห่วงเรา ที่ไหนได้ห่วงงานซะงั้น ไม่น่าสำคัญตัวเองผิดเลยไอ้อรรถเอ้ย”แหมทำเป็นตัดพ้อกับตัวเองก็ได้ครับผมเรา เห็นท่าทางของเค้าแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้

“ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วครับ”ผมบอกก่อนจะพาเค้าขึ้นรถ ที่มาจอดรอ ตอนแรกเค้าจะกลับไปเอารถที่บริษัทผม แต่จากสภาพแล้วเค้าคงไม่สามารถจะขับรถได้  ผมเลยให้พี่คนขับรถที่พาเรามาไปส่งเค้าที่บ้าน ส่วนรถเค้าก็ค่อยให้ทีมงานเค้าเอามาให้อีกที ดีที่เป็นช่วงเวลาที่รถไม่เยอะมากนักทำให้ไม่นานก็ถึงบ้านของเค้า

“นี่อยู่คนเดียวแบบนี้ เกิดมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมานี่ทำยังไงครับ”หลังจากช่วยประคองเค้าเข้ามาในบ้าน ทำให้เห็นว่าจากสภาพบ้าน เหมือนเค้าจะอยู่คนเดียว แล้วเวลาเจ็บป่วยแบบนี้จะทำยังไง แต่ผมเองก็ลืมไปนะครับว่าตัวผมเองก็อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกัน

“ที่ถามนี่อยากจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมรึเปล่าครับ”ไม่น่าถามเลยจริงๆ ครับ ลืมไปว่าคุณเซลล์นี่ก็หาช่องหยอดผมตลอดอยู่แล้ว แต่จริงๆ อาการเค้าก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอกนะครับ แค่ข้อเท้าแพลงข้างเดียว ไม่ได้เป็นปัญหามากมายอะไร เมื่อเห็นว่าเค้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วก็ได้แต่บอกให้เค้าพักผ่อน ส่วนผมก็ขอตัวกลับไปจัดการปัญหาต่างๆ ที่บริษัทต่อ


ทันทีที่ถึงบริษัทก็มีการนัดหมายว่าช่วงเย็นของวันนี้จะมีการสอบสวนอุบัติเหตุ เกิดขึ้น ซึ่งก็อย่างที่บอกแหละครับ มันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากังวลมาก แต่หัวหน้าผมดูกังวลมากทีเดียว เพราะนายโทรมาหาเค้าจริงๆ กว่าหัวหน้าผมจะใจเย็นลงได้ผมต้องทั้งอธิบาย ทั้งพาแกไปดูสถานที่ที่เตรียมการไว้หมดแล้ว แกถึงคลายกังวลในสิ่งที่นายถามเรื่องที่อุบัติเหตุครั้งนี้จะกระทบอะไรกับโปรเจกต์สัปดาห์สิ่งแวดล้อมรึเปล่า

“เย็นนี้มาหาได้ไหม”ข้อความแจ้งเตือนจากคุณแว่นส่งเข้ามาผมเลยขอแยกตัวจากหัวหน้าโดยบอกกับแกว่าจะไปสูบบุหรี่ ผมก้มลงอ่านข้อความอีกครั้ง แม้จะรู้สึกว่าผมอยากเจอกับเค้าเหมือนกัน แต่ด้วยงานที่ยังค้างหลายอย่างเหลือเกิน แถมวันนี้คงเลิกค่ำแน่ๆ คงเหนื่อยเกินไปที่ผมจะเจอเค้า เลยปฏิเสธไปว่าผมเหนื่อยกับงานมากจริงๆ ช่วงนี้คงไม่ได้เจอสักพัก

“ไปหาที่บ้านได้ไหม”เมื่อผมปฏิเสธการไปหาเค้า ข้อความใหม่ที่เค้าจะเป็นฝ่ายมาหาผม ก็ถูกส่งตามมา แต่ผมก็ยังคงปฏิเสธอีกครั้ง ขอให้ผมผ่านโปรเจกต์นี้ไปก่อน ค่อยเจอกัน เค้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก โทรศัพท์ผมจึงกลับไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนผมจะเร่งฝีเท้าตรงไปยังที่สูบบุหรี่ จริงๆ ก็ไม่บ่อยนักที่ผมจะสูบบุหรี่ เพราะผมไม่ได้รู้สึกติด เพียงแต่บางครั้ง เหนื่อยๆ เครียดๆ ผมก็มีสูบบ้างนิดหน่อย แต่นั่นก็ทำให้ผมพกบุหรี่ติดตัวไว้

“ไงมึง ได้ข่าวแฟนขาหัก นี่เครียดถึงกับต้องมานั่งพ่นควันอยู่นี่เลยเหรอวะ”ไม่ต้องสืบครับว่านี่เป็นคำพูดของใคร ไอ้เหมาเจ้าประจำนั่นเอง แล้วนี่มันไปเอาข่าวมาจากไหนว่าขาหัก ลำบากผมต้องอธิบายอีกว่าคุณเซลล์ก็แค่ขาแพลง ไม่ได้หักอย่างที่มันเข้าใจ

“มีไปส่งกันมาถึงบ้านด้วย อุ้ย อุ้ย”พอฟังผมเล่ารายละเอียดจบก็ตามประสามันแหละครับ พร้อมกวนตีน แต่ผมเหนื่อยจะสู้รบปรบมือกับมัน ผมพ่นควันใส่หน้ามัน ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้น โดยไม่สนใจเสียงบ่นตามหลังของมัน

ผมอยู่เคลียร์งานจนเย็น รวมถึงเข้าประชุมสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น แถมอยู่ดูแลทีมอออแกไนซ์ จนเรียกว่าดึกเลยทีเดียว เพราะนาฬิกาข้อมือผมตอนนี้บอกเวลา สี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมรีบเก็บข้าวของ บึ่งรถกลับบ้านเพราะอยากจะพักผ่อน ให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้ยังต้องมาลุยงานต่ออีก

“มาได้ไงนิ บอกแล้วไงว่าช่วงนี้เราไม่ว่าง แล้วนี่ทำไมไม่เข้าบ้าน”พอถึงบ้านผมก็ต้องแปลกใจที่เจอคุณแว่นมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้านผม และดูจากก้นบุหรี่ที่อยู่บนพื้น นี่เค้าน่าจะอยู่ตรงนี้นานแล้ว พอถามก็ได้ความว่าไม่นึกว่าผมจะเลิกดึกขนาดนี้ แถมลืมเอากุญแจบ้านที่ผมเคยให้ไว้มา มือถือก็แบตหมดอีก อะไรมันจะซวยขนาดนั้น เค้าเลยต้องยืนรอผมหน้าบ้านอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ

“เหนื่อยมากเหรอ”เค้าเอื้อมมือมาบีบที่ต้นคอผม ซึ่งตอนนี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดนอนเรียบร้อย จริงๆ ผมก็ไม่เชิงว่าเหนื่อยอะไรมากหรอกครับ แต่มันแค่รู้สึกล้า นิดหน่อย อาจจะเพราะวันนี้วิ่งวุ่นไปนู่นมานี่ทั้งวัน พอมีคนมาบีบนวดให้แบบนี้มันก็สบายอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน สบายจนผมรู้สึก เคลิ้ม จนในที่สุดแม้จะอยากพูดคุยกับเค้าต่อผมก็ทำไม่ได้ เพราะรู้สึกหนังตามันหนักอึ้ง เข้าไปทุกที แล้วผมก็ต้านทานความง่วงไม่ไหว




ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคร๊าบ

ส่วนจะมีดราม่าไหม จะแบบไหน

ต้องรอดูนะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 01-07-2016 13:28:55
คู่เซ็กเฟรนด์นี่เหมือนคู่แฟนกันเข้าไปทุกที  ผ่อนคลายโดยไม่ต้องอาศัย... แต่ที่คุณแว่นมาหาตี้เนี่ยะเพราะเหมาโคนันโทรไปรายงานสุ่มไฟอ้ะเปล่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 01-07-2016 19:28:05
ติดตามคะเมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันจริงๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-07-2016 22:55:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-07-2016 07:20:30
คุณแว่นก็แอบน่ารักอยู่นะ แต่แล้วไงล่ะ พอถึงเวลาอยากมีลูกมีเมียก็จะทิ้งไปเหรอ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-07-2016 10:54:02
ดูแล้วคุณแว่นคงชอบตี้มานานแล้วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-07-2016 12:30:26
ขำคุณเหมา ฮาก๊าก
“ไอ้เหมามันไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอกมั้ง”โหน้อยไปสิครับ ผมบอกกับเค้าว่าไม่ลองมาเจอไอ้เหมามันแทบทุกวันอย่างผม
แล้วจะรู้สึก ว่าเรื่องแบบนี้มันฉลาดนักแล ยิ่งเดี๋ยวนี้มีน้องปลาเป็นผู้ช่วย งานการมันก็โยนให้น้องปลาเสียส่วนใหญ่
แล้วมันก็เอาเวลามายุ่งเรื่องชาวบ้าน(เรื่องตี้คนเดียวนั่นแหละ)ได้มากยิ่งขึ้น
อ่านถึงตรงนี้ขำเลย :katai2-1:
นี่ถ้าเหมาไม่มีแฟน ต้องคิดว่าเหมาแอบชอบตี้แบบไม่รู้ตัวแน่เลย :katai1:
ชาร์ป ตี้ เข้ากันได้ดี ชาร์ปดูจะติดตี้มากขึ้น
ชอบบบบ รออออ  ไร้ท เขียนได้สนุกมากกกก   :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 02-07-2016 15:38:39
จะดราม่ามั้ยอะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-07-2016 21:10:37
ดูอยากเจอหน้าบ่อยเกิน sex friend นะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 16 เตรียมงาน 01-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-07-2016 21:31:31
บทที่ 17
จัดงาน

“อีกห้านาที ประธานพร้อมลงไปเปิดงานนะครับ”ผมแจ้งในวิทยุสื่อสารให้ทีมงานได้รับทราบ วันนี้ถึงวันงานสัปดาห์สิ่งแวดล้อมที่ผมรับผิดชอบแล้ว โดยงานจริงๆ จะจัดทั้งหมด 3 วันด้วยกัน นิทรรศการเกี่ยวกับการรณรงค์หรืออีกหลายอย่างที่สามารถ ให้พนักงานเรียนรู้ได้เองจะถูกตั้งแสดงไว้ตลอด 3 วัน แต่กิจกรรมต่างๆ ในสองวันแรกจะจัดช่วง 11 นาฬิกาถึง บ่ายโมง เพื่อไม่ให้กระทบกับงานมาก แต่ในวันสุดท้าย กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่ 11 โมงไปจนตลอดบ่าย

ในฐานะคนดูแลโปรเจกต์นี้ผมเลยต้องวิ่งวุ่นแทบทุกอย่าง อะไรขาดเหลือตรงไหน แม้จะมีทีมออแกไนเซอร์ช่วยแต่ผมก็ยังต้องมาร่วมจัดการด้วย เรียกได้ว่าจากนี้ไปจนครบ 3 วัน ผมแทบจะตัวติดกับคุณอรรถกันเลยทีเดียว ตอนนี้ผมอยู่หลังเวที เพื่อคอยดูแลความเรียบร้อย ส่วนคนเชิญนายมากล่าวเปิดงาน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหัวหน้าผมเองแหละครับ

นายกล่าวเปิดงานอย่างอารมณ์ดี เพราะภาพรวมของงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ หัวหน้าผมนี่ยิ้มหน้าบานเลยครับ แต่หลังจากนายกล่าวเปิดงานแล้ว ผมก็ต้องรีบเดินตามไปประกบหัวหน้า เพราะเป็นช่วงที่ทางเจ้านายจะเดินไปชมบูทต่างๆ ถึงผมจะอธิบายรายละเอียดให้หัวหน้าฟังหมดทุกอย่างแล้ว แต่ผมก็ต้องคอยประกบ เพื่อเสริมในส่วนที่หัวหน้าผมตกหล่นไป

หลังพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พนักงานก็เริ่มเข้าไปร่วมเล่นเกมกับบูทต่างๆ ที่มีรางวัลเล็กๆ น้อยๆ แจก ส่วนเวทีกลางที่เราจัดไว้ก็มีทั้งเกม และไว้สำหรับการประกาศรางวัลต่างๆ ที่เราได้ให้พนักงานร่วมกิจกรรมไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งการวาดรูปเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การแต่งคำขวัญส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้วันสุดท้าย ก็จะมีการประกวดชุดรีไซเคิล ที่แต่ละแผนก ถูกบังคับให้ส่งเข้าประกวด

แต่ที่น่าจะได้รับเสียงตอบรับจากพนักงานมากที่สุดคงไม่พ้นการแข่งร้องเพลง ที่ทุกแผนกต่างให้ความสนใจส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แม้การร้องเพลงจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายให้พนักงานด้วยอีกทาง และแต่ละแผนกก็จะครึกครื้นในการมาเชียร์คนในแผนกของตัวเองด้วย

“เหนื่อยไหมครับ”โค้กกระป๋องถูกส่งมาให้ผมพร้อมคำถามจากคนให้ คุณอรรถหรือคุณเซลล์ ที่เค้าเองก็น่าจะวุ่นไม่แพ้ผมเช่นกันแหละครับ วันนี้แม้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีติดขัดอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างน้ำอัดลมที่นำมาแจกในงานวันนี้ก็เกือบจะมาไม่ทัน เพราะคนส่งหาบริษัทผมไม่เจอ เล่นเอาใจหายใจคว่ำเหมือนกัน เพราะงานเราก็จัดนอกตัวอาคาร แม้จะมีร่มอยู่บ้าง แต่อากาศก็ร้อนใช่ย่อย

“น้องๆ ทีมงานของคุณอรรถน่าจะเหนื่อยกว่าผมมาก ยังไงฝากขอบคุณทีมงานด้วยนะครับ ยังไงก็สู้ด้วยกันอีก 2 วัน”ผมเหลือบมองข้อเท้าของเค้าที่ยังมีผ้าพันอยู่ ไม่รู้ยังเจ็บอยู่บ้างรึเปล่า เพราะตอนถาม เจ้าตัวก็บอกไม่เจ็บแล้ว แต่ถ้าไม่เจ็บแล้วจะยังพันผ้ามาอีกทำไมจริงไหมครับ

“ตี้ เดี๋ยวมาคุยรายละเอียดงานของพรุ่งนี้กับพี่หน่อย”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรเค้าต่อ หัวหน้าผมก็มาเรียก ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้งก่อนจะไปคุยกับหัวหน้า เพราะรายละเอียดทุกอย่างผมบอกกับแกไปหลายรอบแล้ว เอาเถอะอีกสักรอบจะเป็นไรไป



งานในวันแรกกับวันที่สองผ่านไปอย่างราบรื่นดี จนวันนี้วันสุดท้ายของกิจกรรมแล้ว ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ทั้งการประกาศผล แจกรางวัลต่างๆ รวมถึงแฟชั่นโชว์ชุดรีไซเคิลจากแผนกต่างๆ อีกด้วย ผมตรวจเช็คของรางวัลต่างๆ อีกครั้งว่ามีการจัดเตรียมมาไว้ครบถ้วนแล้ว

“พี่อรรถ ครับพี่อรรถ”หนึ่งในทีมงานของทางออแกไนซ์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาคุณอรรถ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผมนัก ด้วยลักษณะอาการของน้องที่วิ่งหน้าตื่นมาขนาดนี้ ทำเอาผมรู้สึกกังวลไม่น้อย เพราะดูเป็นสัญญาณของปัญหาบางอย่างแน่นอน

“น้อง MC รถเกิดอุบัติเหตุ”สิ่งที่ผมได้ยิน ทำเอาใจหายแวปเลยครับ ผมรีบเดินเข้าไปหาทีมออแกไนซ์เพื่อถามรายละเอียด โชคดีที่น้องผู้ชายที่จะมาเป็นพิธีกรที่ได้รับอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ก็คงไม่สามารถมารับหน้าที่ในวันนี้ได้แน่ๆ ทางทีมงานเลยต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยน้องผู้หญิงอีกคนรับหน้าที่เดี่ยวๆ เลยดีไหม ซึ่งสำหรับผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับการแก้ปัญหาแบบนี้ เพราะหากหาคนมาแทนตอนนี้อาจจะอธิบายรูปแบบงานไม่ทัน หรืออาจจะดำเนินไปไม่เข้าขากันอีก

“หรือถ้าผมรับหน้าที่ MC ฝั่งผู้ชายแทนทางคุณตี้จะขัดข้องไหมครับ”คุณอรรถเสนออีกหนึ่งทางเลือกให้ผม พร้อมให้เหตุผลว่ากลัวน้องผู้หญิงจะรับมือคำแซวของบรรดาพนักงานผู้ชายไม่ไหว เพราะ 2 วันที่ผ่านมาถ้าไม่มีพิธีกรฝ่ายชายเบรคไว้นี่น้องผู้หญิงก็คงรับมือหนักแน่ๆ แม้จากการประเมินแล้วผมว่าน้องพิธีกรหญิงก็รับมือไหวแหละครับ แต่หากมีกัน 2 คนอาจจะลื่นไหลกว่า

“จริงๆ ผมให้สิทธิ์ทางคุณอรรถตัดสินใจเลยดีกว่าครับ จากงานที่ผ่านมาทั้ง 2 วัน ผมว่าผมเชื่อมือของทางทีมคุณครับ”จริงๆ แล้วปัญหานี้มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้ซีเรียสมาก แม้ในข้อตกลงตอนแรกจะระบุว่าต้องมีพิธีกร 2 คนทั้ง 3 วัน แต่นี่มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผมคงไม่โหดขนาดคิดค่าปรับเค้าหรอกนะครับ

งานเริ่มไปโดยมีคุณอรรถเป็นพิธีกรร่วมด้วย ซึ่งเค้าดูคล่องแคล่ว พอๆ กับน้องอีกคนที่จัดในวันก่อนๆ เลยทีเดียว ผมแอบได้ยินกลุ่มพนักงานสาวๆ บางคนชมเค้าทั้งเรื่องความคล่องแคล่วในการรับหน้าที่พิธีกร แถมด้วยการชื่นชมหน้าตาของเค้าด้วย ถึงขั้นจะเตรียมขอเบอร์ ขอไลน์กันเลยทีเดียว ผมฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะจริงๆ คุณอรรถก็มาทุกวัน แต่อาจจะด้วยข้อเท้ายังไม่หายดีเท่าไหร่ และคอยดูแลเบื้องหลังด้วย เลยไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็น

พอนึกขึ้นได้ว่าจริงๆ เค้ายังไม่หายดีเรื่องข้อเท้าแพลง แล้วไปยืนบนเวทีนานๆ แบบนี้จะเป็นอะไรมากกว่าเดิมรึเปล่าเนี่ย นั่นไงผมว่าผมสังเกตเห็นนะว่าเค้าน่าจะเริ่มเจ็บบ้างแล้ว เพราะดูเค้าเดินน้อยลง และยืนทิ้งน้ำหนักตัวไปที่เท้าอีกข้างมากกว่า

“ไหวไหมครับเนี่ย”ผมรีบเข้ามาถามไถ่ในช่วงที่พักกิจกรรมของเวที พร้อมชี้ที่ข้อเท้าให้เค้าเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร ผมบอกเค้าไปว่าถ้าไม่ไหวก็ให้น้องผู้หญิงอีกคนทำหน้าที่คนเดียวไปเลยก็ได้ เพราะเกิดเป็นอะไรขึ้นมามันจะไม่คุ้มเอา

“แค่รู้ว่าคุณห่วงผม ให้ยืนอีกจนค่ำก็ไหวครับ”เค้ายิ้มแป้น ตอบผมกลับมาก่อนจะเดินขึ้นไปเตรียมตัวที่เวทีอีกครั้ง ผมเดินเลี่ยงออกจากจุดที่จัดงาน เพื่อไปห้องพยาบาล เพื่อหาอะไรสักอย่างที่น่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บข้อเท้าของคุณอรรถได้

ดีที่งานวันนี้นอกจากเรื่องพิธีกร แล้ววันนี้ก็ถือว่าทุกอย่างราบรื่นดี นี่ก็ใกล้จะจบงานแล้วด้วย เรียกว่าหน้าที่ผมแทบจะสิ้นสุดแล้วก็ว่าได้ ผมเดินมาขอคำแนะนำจากพี่พยาบาลซึ่งให้คำแนะนำผมว่าจริงๆ ข้อเท้าแพลผ่านมา 2-3 วันแล้วควรใช้วิธีประคบร้อน พร้อมให้ถุงน้ำร้อนผมมาด้วย แต่ถ้าข้อเท้ามีอาการบวม ให้ประคบเย็นแทนเพื่อลดอาการเจ็บกับบวม

ผมกลับมาที่บริเวณจัดงานอีกครั้ง ทุกๆ มารวมตัวที่บริเวณหน้าเวทีเพราะเป็นช่วงมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายก็เป็นการกล่าวปิดงาน จากทางนาย พร้อมให้ข้อคิดว่าทำไมถึงจัดงานนี้ขึ้นมา รวมถึงความคาดหวังที่อยากจะได้รับจากพนักงานทุกคน เป็นอันว่าจบงานนี้ไปได้อย่างสวยงาม ดูนายก็ชอบการจัดงานครั้งนี้ พนักงานทุกคนก็ดูให้การตอบรับที่ดี เห็นแบบนี้คนทำงานก็หายเหนื่อยครับ


“ขอดูข้อเท้าหน่อยสิคุณ”ผมเดินเข้าหาคนที่นั่งพักอยู่หลังเวที เค้ารีบปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แต่ด้วยความไม่เชื่อเลยบังคับให้เค้าถอดรองเท้าข้างที่ ข้อเท้าเจ็บออก ชัดเจนครับ แม้จะไม่ได้ดูเป็นอะไรมาก แต่มันก็ดูบวมแดงนิดหน่อย ดีที่ผมหยิบมาทั้งถุงน้ำร้อน และผ้าเย็น พอเห็นว่าข้อเท้าเค้าบวมแดงแบบนี้ เลยแกะผ้าเย็น พร้อมนั่งลง เพื่อพันไว้ที่ข้อเท้าเค้า

“คุณตี้ไม่น่าต้องลำบากเลย ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”ตอนแรกก็นึกว่าเกรงใจผมนะครับที่ได้ยินแบบนั้น แต่พอเงยหน้ามาเจอสายตาวิบวับ แพรวพราวของเค้าเนี่ย ชักจะรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมานะครับเนี่ย ถ้าไม่เห็นว่าวันนี้ทำงานออกมาดี จนนายผมชอบเนี่ย จะแอบบีบข้อเท้าให้เจ็บซะเลยเนี่ย

“ถ้าจะดูแลดีขนาดนี้ ขอเก็บกลับไปให้ช่วยดูแลที่ด้วยจะได้ไหมครับ”ดูท่าคงไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ นั่นแหละครับ ไอ้เราก็อุตส่าเป็นห่วง เห็นทุ่มเทกับงานขนาดนี้

“แหมพูดยังกะผมเป็นลูกแมวจรจัดจะได้เก็บกลับบ้านได้เลย”ผมแกล้งตอบกลับไป ขำๆ เราทั้งสองต่างหัวเราะให้กัน ผมรู้สึกโล่งอก ที่งานนี้ผ่านไปได้ด้วยดี เย็นนี้ผมจะนอนให้อืดกันไปข้างเลย แม้นี่จะเป็นคืนวันศุกร์ แต่ผมคงไม่มีเรี่ยวแรงไปปาร์ตี้ที่ไหนต่อ เมื่อบ่ายก็เพิ่งจะปฏิเสธไอ้เหมาไป เพราะรู้สึกล้าเต็มที ส่วนปาร์ตี้กับทีมออแกไนซ์นี่ ถ้ายังจัดวันนี้ตามเดิม ผมก็คงปฏิเสธเป็นแน่ แต่จากที่วันนี้มีน้อง MC เกิดอุบัติเหตุ ทุกคนเลยว่าจะไปเยี่ยม ส่วนเรื่องปาร์ตี้ ขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้

“พรุ่งนี้คุณตี้ไม่เบี้ยวจริงๆ ใช่ไหมครับ”นี่ก็กลัวผมไม่ไปเหลือเกินครับ ผมต้องยืนยันอีกครั้งว่าไปแน่นอนครับ จะได้ไม่เสียน้ำใจ ร่วมงานกันมาแม้จะแค่เป็นโปรเจกต์ไม่ได้ยาวมาก แต่ผมก็ประทับใจในความเป็นมืออาชีพของทีมนี้ไม่น้อยครับ ผมคุยกับคุณอรรถอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกตัวออกมา เพราะนี่ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว กะว่าจะรีบกลับบ้านนอนให้เต็มอิ่มครับ


ทันทีที่ถึงบ้าน ความง่วง และเพลียจากที่พักผ่อนน้อย มาหลายวัน ทำให้ผมต้องรีบอาบน้ำเพราะกลัวจะเผลอหลับไปก่อนที่จะได้อาบ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดนอนเสร็จ ผมหยิบโทรศัพท์ตั้งใจจะปิดเสียง ปิดแจ้งเตือนทุกอย่าง เพื่อป้องกันการรบกวนการนอนของผม แต่มีสายไม่ได้รับ เป็นเบอร์ที่แม้ไม่ได้เมมชื่อไว้ แต่ผมก็คุ้นเคย เป็นอย่างดี ผมกดเข้าไปดูในไลน์ ก็เห็นว่าเค้าคงทักผมมาก่อนแล้วแต่ผมไม่ได้ตอบ นั่นเลยทำให้เค้าโทรมา จากครั้งก่อนที่เค้ามารอผมหน้าบ้าน ทำให้เราต้องทำข้อตกลงกันเพิ่มว่าห้ามไปบ้านอีกฝ่าย หากยังไม่ได้รับการยืนยันจากอีกฝ่าย ว่าอนุญาต แม้ว่าผมจะรู้สึกอยากเจอเค้าเช่นกัน แต่ว่าผมง่วงเหลือเกิน กำลังจะพิมพ์ข้อความบอกเค้าว่าเจอกันวันอื่น แต่เค้าโทรกลับเข้ามาเสียก่อน

“ไว้เจอกันวันอื่นนะ ตอนนี้กำลังจะนอนแล้ว”

“อ้าวไหนว่าเสร็จงานวันนี้จะเจอกันได้ไง”น้ำเสียงที่ผมได้ยินเหมือนจะมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย จริงอยู่ว่าผมเป็นคนบอกเองว่าหลังเสร็จโปรเจกต์นี้จะไปเจอเค้า เพราะหลายวันมานี้เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันเลย แต่เท่าที่จำได้ผมบอกแค่ว่าหลังเสร็จงาน ไม่ได้บอกว่าคือวันนี้นี่นา ตกลงผมหรือเค้ากันแน่ที่เข้าใจผิดไป

“วันหลังละกันนะ วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ”ผมยังคงบอกอย่างใจเย็น แม้จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจก็ตามที ซึ่งก็ไม่รู้เค้าจะไม่พอใจอะไรทำไม ในเมื่อเราก็ไม่ได้นัดอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เค้าถามต่อว่าวันพรุ่งนี้ผมสะดวกที่จะเจอเค้าไหม แต่ผมก็ตอบออกไปตามตรงว่ามีนัดกับทีมออแกไนซ์ของคุณอรรถ ซึ่งน้ำเสียงของเค้าที่ตอบกลับมาดูจะยิ่งเพิ่มความไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม

“เราไม่ใช่แฟนกันนะชาร์ปที่จะต้องมาเถียงอะไรกันแบบนี้ แล้วก็ใช่ว่าเราจำเป็นจะต้องเจอกันทุกวัน”ด้วยความที่รู้สึกง่วงมากจนเริ่มหงุดหงิดทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะวางสาย แล้วล้มตัวลงนอน

แวะมาต่อครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเช่นเคยครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 17 จัดงาน 05-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-07-2016 21:41:48
ชาร์ป  หุหุ  เศร้าเลย  อดเจอเลย  อิอิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 17 จัดงาน 05-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-07-2016 22:11:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 17 จัดงาน 05-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-07-2016 22:40:26
ตี้ก็พูดซะตรงเชียว สงสารชาร์ปง่ะ คึคึ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 17 จัดงาน 05-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 05-07-2016 23:55:02
อยากเจอเค้าตอนไหนก็ได้นี่ต้องชัดเจนนะพี่ชาร์ป  :mew3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 17 จัดงาน 05-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-07-2016 11:20:44
บทที่ 18
สังสรรค์


“พี่ตี้เลือกเพลงเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ”เสียงน้องๆ ในทีมของคุณอรรถ ที่เร่งให้ผมกดเลือกเพลงเพื่อร้องคาราโอเกะ วันนี้เป็นวันนัดกับทีมออแกไนซ์ครับ เค้าพากันมาที่ร้านเหล้าร้านนึง เป็นร้านใหญ่พอสมควร แถมร้านถูกแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกันประกอบไปด้วยโซนสำหรับนั่งสบายๆ มีเปิดเพลงเบาๆ สลับกับดนตรีสด เน้นเพลงสไตล์ Easy Listening อีกโซนเป็นผับไว้เอาใจขาแดนซ์โดยเฉพาะ และสุดท้ายก็ที่พวกผมอยู่ตอนนี้ เป็นห้องคาราโอเกะ

ทางทีมงานออแกไนซ์เลือกห้องที่จุได้เกือบ 20 คน แต่ที่มาจริงๆ แค่ 10 คนนิดๆ เองครับ อาหารเครื่องดื่มถูกสั่งมาจนเกือบจะเต็มโต๊ะ ดูทุกคนสนุกสนานกันสุดๆ แต่ก็ยังถามไถ่ผมเป็นระยะ คงเพราะกลัวผมเกร็งที่เป็นคนนอกคนเดียวที่มาร่วมปาร์ตี้กับพวกเค้าในครั้งนี้ แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกเกร็งอะไรนะครับ เพราะก็คุ้นหน้าคุ้นตากับทุกคนจากการร่วมงานกันมาหมดแล้ว

“แต่เราก็...หากันจนเจอ มันนานแค่ไหนที่รอเธอมา”เสียงร้องเพลงจากน้องๆ ชายหญิงคู่นึง ที่ร้องไปพร้อมกับเดินมาทำไม้ทำมือที่ผมกับคุณอรรถ ตามมาด้วยเสียงโห่แซวจากคนอื่นๆ ที่เหลือ แต่ทั้งผมและคุณอรรถก็ทำเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะเขิน หรืออาจทำตัวไม่ถูก แต่ตั้งแต่รู้จักเหมา ผมว่าผมคงหน้าด้านหน้าทนขึ้นเยอะครับ เรื่องแซวแค่นี้จิ๊บๆ ครับ

“เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน”เมื่อเพลงแรกไม่ได้ผล เพลงที่สองก็ตามมาครับ แต่ดูจะยังทำอะไรผมไม่ได้เท่าไหร่ น้องๆ เค้าเลยจัดเมดเลย์งานแต่งชุดใหญ่มาให้ผมเลยครับ ผมก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ดื่มเบียร์ไป หัวเราะไป หรือร้องด้วยบางท่อนที่เค้าส่งไมค์มาให้แหละครับ

“นี่คุณอรรถจ้างน้องๆ มากันคนละเท่าไหร่ครับ จัดเต็มกันเหลือเกิน”ผมเอ่ยถามอีกคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ผมเดินตามเค้าออกมาสูบบุหรี่ เพราะนึกสนุกอย่างแซวเค้านิดหน่อยครับ คิดว่าถ้าเค้าไม่ได้พูดอะไรไว้ น้องๆ ในทีมเค้าไม่น่าจะมาจัดเมดเลย์เพลงให้ผมขนาดนี้

“คุณตี้อย่าไปถือสาพวกมันเลยครับ พวกนี้ก็กวนๆ แบบนี้แหละครับ”เค้าไม่ได้ตอบรับหือปฏิเสธ นี่แสดงว่าน้องๆ ในห้องนั้นคงรู้หมดแล้วว่าเค้าคิดจะจีบผม ผมเพียงยิ้มตอบอย่างไม่ได้ถือสา ก่อนจะกดบุหรี่ลงในที่เขี่ย เราหันสบตากันแล้วก็หัวเราะออกมาทั้งคู่

ผมไม่รู้ว่าระหว่างผมกับเค้าจะพัฒนาไปต่อมากกว่าความเป็นเพื่อนหรือเปล่า แต่ถ้าผมคิดจะเปิดใจกับเค้า ผมคงต้องหยุดความสัมพันธ์กับอีกคน มันจะได้ไม่เป็นการเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป จริงๆ ผมก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นเรื่องเป็นราวกับใครมานานแล้วเหมือนแหละครับ ชีวิตช่วง 4-5 ปีมานี่ก็มีแต่อยู่กับเพื่อน ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขดี อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป จนผมเกือบลืมไปแล้วว่า ความรู้สึกการมีแฟนมันเป็นยังไง

คิดมาตลอดว่าถ้าไม่มีใครเข้ามาผมก็คงอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเคยพูดเล่นๆ ขำๆ กับไอ้เหมาว่า ถ้าวันนึงมันแต่งงานมีลูกไป ให้ผมเป็นพ่อทูนหัวลูกๆ ของมันด้วย ถึงตอนแก่ตัวมาจะได้ให้ลูกๆ มันดูแลผมด้วย แต่อีกใจผมก็เคยคิดนะครับว่าถ้าชีวิต จะมีใครอีกคนเข้ามาแล้วอยู่เป็นเพื่อนกันไปจนแก่เฒ่า มันก็อาจจะดี แต่ที่ผ่านมามันก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ครั้งไหนจะยืนยาวสักเท่าไหร่

คงเพราะเมื่อก่อน แต่ละคนที่ผมเคยคบก็ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่หลงในรูปลักษณ์ภายนอก คบกันแค่ฉาบฉวย พอเบื่อไม่มีอะไรตื่นเต้น เร้าใจก็ไปหาคนใหม่ที่ดูเร้าใจกว่า ซึ่งตัวผมเองก็เป็นหนึ่งคนที่เคยอยู่ในวังวนนั้น จนมาวันนึงมันก็รู้สึกอิ่มตัวไปเฉยๆ อันนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับ หากแต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ที่ผมมีกับคุณแว่นตอนนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากความสัมพันธ์ฉาบฉวยของผมอย่างเมื่อก่อน

“คุณอรรถ เคยมีแฟนมาแล้วกี่คนครับ”แม้จะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเปิดใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ครั้งนี้ไหม แต่ผมว่าผมก็มีสิทธิ์ที่จะถามคำถามนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

“นี่แสดงว่าเริ่มสนใจผมแล้วใช่ไหมครับ”ผมยกไหล่เล็กน้อย พร้อมกับยิ้มให้เค้า แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเค้าออกไป แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกับเค้าอีก ผมมองหน้าจอมือถือที่โชว์เบอร์ของไอ้เหมา ถ้าเป็นปกติผมคงไม่ต้องเดาว่ามันคงจะชวนผมไปดื่มแน่ๆ แต่นี่มันก็รู้ว่าผมออกมากับทีมออแกไนซ์นี่นา

“ออกมาทักทายเพื่อนหน่อยสิครับไอ้ตี้”นั่นปะไร นี่แสดงว่ามาดื่มที่นี่เหมือนกัน พอถามก็ได้คำตอบว่าไอ้เหมากับคุณแว่นมานั่งดื่มกันที่โซนชิลๆ ของที่นี่ พอมันบอกว่านั่งตรงไหน ผมก็ขอปลีกตัวจากคุณอรรถ เพื่อออกไปเจอมัน ผมมองหาเพียงไม่นานก็เห็นไอ้เหมาโบกมือเป็นสัญญานให้ผม ผมตรงเข้าไปทักทายทั้งไอ้เหมา และอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับไอ้เหมา

จากในตอนแรก ผมเกือบจะนั่งลงฝั่งเดียวกับคุณแว่นแล้ว แต่ยั้งตัวไว้ทัน เพื่อไม่ให้ไอ้เหมาสงสัยอะไรด้วย ผมเลยเลือกที่จะนั่งลงข้างไอ้เหมา ผมแอบเห็นว่าคุณแว่นเหมือนตั้งท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่พูด

“มากะผู้ชายแล้วไม่สนใจเพื่อนเลยนะมึง”ไอ้เหมาแซวพร้อมกับรินเบียร์ยื่นมาให้ผม ผมรับมาชนแก้วกับทั้งไอ้เหมาและคุณแว่น แต่สังเกตว่าคุณแว่นกำลังเมินผม เป็นไรละนั่น เลยกลายเป็นผมกับไอ้เหมาคุยกันอยู่สองคน

“นั่งด้วยได้ไหมครับ”เราทั้งสามหันไปตามเสียงแทบจะพร้อมกัน คุณอรรถมายืนยิ้มอยู่ข้างๆ โต๊ะผม ไม่รู้ว่าเพราะผมหายออกมานานจนเค้ามาตามหา หรือเค้าบังเอิญเห็นผมนั่งอยู่ก็ไม่รู้

“เชิญครับ ว่าแต่นี่กลัวเพื่อนผมหายจนต้องออกมาตามเลยเหรอครับ”ไอ้เหมากล่าวเชื้อเชิญให้คุณอรรถนั่ง ก่อนจะลุกย้ายไปนั่งข้างคุณแว่นเพื่อให้คุณอรรถได้นั่งข้างผม กับไอ้เหมาผมไม่ต้องแนะนำให้รู้จักกัน เพราะเคยเจอกันที่บริษัทแล้ว เหลือแค่คุณแว่นที่ผมต้องแนะนำให้รู้จักกัน ทั้งคู่ต่างกล่าวทักทายกันพอเป็นพิธี

“คุณชาร์ปนี่ใช่พี่ชาย...”คุณอรรถพูดยังไม่ทันจบ ผมก็รีบถามสวนขึ้นว่าจะดื่มอะไรไหม ก็คำถามของคุณอรรถนี่อาจจะทำให้บรรยากาศกร่อยได้ เพราะคุ้นๆ ว่าคุณอรรถเคยบอกผมว่าชะเอมบอกกับเค้าว่าผมเป็นเพื่อนกับพี่ชายของชะเอม ผมเองก็ไม่เคยคุยเรื่องนี้กับเค้าอีกเลย เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณอรรถรับรู้เรื่องราวของชะเอมมามากไหน

“ไม่เอาอะไรดีกว่าครับ แวะมาทักทายเฉยๆ เดี๋ยวก็กลับเข้าไปสมทบกับน้องๆ แล้วครับ”เค้าตอบกลับผมมา ผมเลยตัดสินใจว่าควรชวนเค้ากลับไปหาลูกทีมเค้าคงดีกว่า ขืนปล่อยให้อยู่ตรงนี้นานๆ เกรงว่าเรื่องของชะเอมจะกลายมาเป็นประเด็นให้คุณแว่นไม่สบายใจเปล่าๆ ผมไม่รู้ว่าเค้าทำใจได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ก็รู้สึกไม่อยากให้เค้ากลับไปเศร้าหรือคิดมากอีก

“เดี๋ยวครับ”จังหวะที่ผมกับคุณอรรถ กำลังจะลุกจากโต๊ะ คุณแว่นก็เรียกให้เราทั้งสองคนต้องหยุดรอฟัง และก็อย่างที่ผมกังวล เพราะคุณแว่นถามคุณอรรถว่า ที่บอกว่าเค้าเป็นพี่ชายนี่ เค้าคิดว่าคุณแว่นเป็นแฟนใคร คุณอรรถที่ดูงงๆ กับคำถามนี้ เพราะตามความเข้าใจเค้าคงคิดว่าชะเอมกับคุณแว่นเป็นพี่น้องกัน พอมาเจอคำถามนี้ก็ต้องไม่เข้าใจเป็นธรรมดา

“งั้นเหรอครับ”คุณแว่นบอกพร้อมยิ้มเหยียดๆ เมื่อได้รู้คำตอบจากคุณอรรถว่าชะเอมบอกใครๆ ว่าคุณแว่นคือพี่ชายของเธอ ผมรีบพาคุณอรรถออกจากโต๊ะ เพราะไม่อยากให้เค้าพูดอะไรเกี่ยวกับชะเอมมากไปกว่านี้

“คุณชาร์ปกับน้องชะเอมไม่ใช่พี่น้องกันเหรอครับ”เมื่อเราสองคนเดินปลีกตัวออกมาที่สูบบุหรี่ คุณอรรถคงเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ผมเพียงพยักหน้าเป็นเชิงตอบ ก่อนจะตั้งคำถามว่าคุณอรรถเนี่ยรู้จักชะเอมได้ยังไง คุณอรรถเริ่มเล่าว่าเค้ารู้จักกับอาร์ม เพราะอาร์มเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องที่เค้าสนิท และก็รู้จักชะเอมในฐานะ แฟนของอาร์ม แต่ตัวเค้าก็เคยเห็นชะเอมที่มีออกมาเที่ยวกับผม หรือมีที่บางครั้งคุณแว่นก็มาด้วย ซึ่งชะเอมก็บอกกับทุกๆ คน รวมถึงอาร์มนั่นแหละว่าคุณแว่นเป็นพี่ชายเค้า แต่คุณอรรถเนี่ยตอนแรก เข้าใจว่าผมเป็นพี่ชายชะเอม แต่พอมารู้จักผมและรู้ว่าผมไม่ใช่พี่ชายชะเอม เค้าก็เดาได้ว่า พี่ชายที่ชะเอมหมายถึง คือใคร ผมไม่ต้องเล่ารายละเอียดต่อ คุณอรรถก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

“ฟู่”ผมพ่นควันบุหรี่ออก พร้อมกับถอนหายใจยาว รู้สึกกังวล อดห่วงอีกคนไม่ได้ ไม่รู้จะยังคิดมากอะไรอีกรึเปล่า

“5 คนครับ”ผมหันไปมองหน้าคนที่สูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ก็คำตอบไงครับ ที่คุยค้างไว้ว่าผมเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”เค้ายิ้มตอบกวนๆ จริงๆ พอรู้จักเค้าแล้วเค้าก็ไม่ได้กวนประสาทอะไรมากมายนะครับ ไม่เหมือนตอนที่ยังไม่รู้จักกันจริงจัง ตอนนั้นผมรู้สึกเค้ากวนกว่านี้เยอะครับ

“นี่แอบตัดออกบ้างรึเปล่าเนี่ย”ผมแกล้งถาม อย่างไม่ได้จริงจังนัก ซึ่งเค้าก็รีบออกตัวว่าถ้าคนที่คบกันจริงจังก็มีแค่นี้แหละ ผมขำกับท่าทีที่รีบอธิบายของเค้า จนผมต้องบอกไปว่าแกล้งแซวเฉยๆ อีกอย่างก็ไม่ได้อยากรู้จริงจังสักเท่าไหร่

“เวลาผมคบใครก็จริงจังทุกครั้ง อยากคบนานๆ ตลอดแหละครับ แต่พอคบไปแล้วไม่ใช่มันก็ต้องถอยออกมา”ผมฟังเค้าอธิบายต่อว่าเค้าเองก็มีทั้งถูกทิ้ง หรือเป็นฝ่ายทิ้งก่อน

“สนใจมาเป็นแฟนคนที่ 6 ผมไหมละครับ”ผมส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมตอบเค้าไปว่าขอเป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อน อีกอย่างเราสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ยังไม่รู้จักกันดีพอ ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปดีกว่า พอพูดคุยกันแบบนี้มันก็เหมือนผมตอบตกลงว่าจะศึกษากับเค้าดูรึเปล่า แล้วความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นมันควรจะเป็นยังไงต่อ

เรากลับเข้าไปสมทบกับคนอื่นๆ ในห้องคาราโอเกะ น้องๆ ก็ยังแซวผมเหมือนเดิม ก็ทั้งร้องทั้งดื่มกันจนเต็มที่ ก็แยกย้ายกันกลับ ผมบอกลาคุณอรรถ เค้ากำชับผมว่าถึงบ้านให้ไลน์บอกเค้าด้วยเพราะผมก็ดื่มไปไม่น้อย ผมมองหาไอ้เหมากับคุณแว่นแต่ไม่เจอ สงสัยคงกลับกันไปแล้ว แต่พอมาถึงรถ กลับเจอคนนั่งฟุบอยู่ใกล้ๆ รถผม

“ชาร์ป...ชาร์ป ทำไมมาอยู่ตรงนี้”เค้างัวเงียหันมามองผม ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วลุกขึ้นเดินอ้อมไปเปิดประตูข้างคนขับ เข้าไปนั่งโดยไม่ตอบอะไรผม ผมมองไปรอบๆ ที่จอดรถว่ามีรถเค้าจอดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่เจอ แล้วนี่เค้ามายังไง ทำไมไม่กลับไปพร้อมไอ้เหมา แล้วนี่บอกไอ้เหมาว่ายังไง ถึงมารออยู่ข้างรถผม เมื่อเค้าไม่พูดอะไร ผมเองก็เงียบตลอดทางจนถึงบ้านผม

“เราตกลงกันแล้ว ไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มาบ้านอีกฝ่ายหากยังไม่ได้รับอนุญาต”แม้ผมจะไม่ได้ซีเรียสมาก แต่การกลับมาถึงบ้านแล้วเห็นรถเค้าจอดอยู่ที่บ้านผม นี่มันก็ทำให้รู้สึกว่าเค้าเริ่มจะล้ำเส้นที่ผมขีดไว้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้ามาจอดรถแบบนี้ ไปร้านเดียวกะที่ผมไป มารอกลับกะผม ทั้งหมดนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“ว่าไง”เมื่อเค้าไม่ตอบอะไร เอาแต่นั่งนิ่ง ผมเลยต้องถามย้ำอีกครั้ง

“ตี้เองก็ไม่ได้ต่างจากชะเอมนักหรอก”เค้าหันมาพูดพร้อมยิ้มเหยียดๆ ให้ผม แม้จะพอคิดได้นะครับว่าวันนี้คำพูดของคุณอรรถอาจไปสะกิดเรื่องชะเอมขึ้นมา และตอนนี้เค้าก็ดูเมาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าผมจะยินดีที่เค้ามาพูดแบบนี้กับผม

“ทำไม เราเหมือนชะเอมตรงไหน”น้ำเสียงผมเองก็ชัดเจนเหมือนกันว่าเริ่มไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ผมรู้ว่าเค้ากำลังจะหมายถึงอะไร นี่คงจะหมายถึงเรื่องที่ผมไปกับคุณอรรถ แต่เค้าลืมไปหรือเปล่า ว่าระหว่างผมกับเค้าข้อตกลงมันคืออะไร

“อย่าลืมสิว่าเราสองคน ไม่ได้เป็นอะไรกัน”ผมย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเราให้เค้าได้คิด ว่าตอนนี้เค้าเริ่มจะล้ำเส้นแล้ว

“ไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นเหรอ”สิ้นคำพูดเค้าก็ถาโถมเข้ามาหาผมอย่างรุนแรง แต่ผมว่านี่มันไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้ เค้าก็เมา แถมยังอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะมีอะไรกับเค้าตอนนี้ ผมพยายามขัดขืน แน่เค้าก็ยังไม่หยุด

“ไม่ใช่ตอนนี้”ผมผลักเค้าออกเต็มแรงก่อนจะลุกขี้น

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”ผมหยิบกุญแจรถทั้งของผมและของเค้า ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อแยกไปนอนอีกห้อง ส่วนที่ต้องเก็บกุญแจรถมาด้วยเพราะกลัวว่าเค้าจะหุนหันออกไป ทั้งที่ยังเมาอยู่ขนาดนี้

“เราขอโทษ”เค้าพูดตามหลังผมมา แต่ผมไม่ได้หันไปตอบอะไร ผมว่าตอนนี้เราทั้งคู่ต่างเมา คงยังไม่เหมาะที่จะคุยอะไรกัน เลยเลือกที่จะแยกออกไปนอนอีกห้องจะดีกว่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 12-07-2016 11:46:25
เครื่องเรารวนหรือป่าว ทำไมถึงสั้น รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-07-2016 12:04:38
รบกวน ไร้ท ช่วยลงใหม่ด้วยนะ มีลงไม่กี่บรรทัดเอง
เกิดอะไรกับชาร์ป สงสัยชาร์ปติดใจ ชอบตี้แล้วแน่เลย
 :L1: :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-07-2016 13:19:39
แก้แล้วนะคร๊าบ โทษที ลงแล้วไม่ได้ดู

แหะๆ หายไปหลายวันเลยรอบนี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-07-2016 16:36:45
ขอบคุณค่ะ ไร้ท  :pig4: :pig4: :pig4:
ชาร์ป คิดกับตี้เกินกว่าที่ตกลงกัน แล้วหึงอรรถแน่
เลยทำตัวตามติดตี้
อรรถก็รุกตี้มากขึ้นแสดงว่าตี้มีเสน่ห์ ต้องตาทั้งชาร์ปทั้งอรรถ
รอตอนใหม่ ชอบมากกกกก :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-07-2016 16:43:06
แอบมาฝากเรื่องใหม่ครับ


คำตอบที่ว่างเปล่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0

เป็นแนวที่พยายามอยากฉีกออกไปเขียนแนวอื่นๆ ที่เคยเขียน

รู้สึกยังฉีกออกไปได้ไม่มาก ออกมาได้ไม่ค่อยดี แต่เขียนเพราะชอบส่วนตัวล้วนๆ 5555

ยังไงลองไปติชมเพิ่มเติมให้ด้วยนะครับ
 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-07-2016 19:48:45
ชะเอมคบซ้อนมาตลอดเลยสินะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-07-2016 21:19:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-07-2016 22:47:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 13-07-2016 02:45:00
อิพี่ชาร์ปปปปป ชอบเค้าก็บอกไป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 18 สังสรรค์ 12-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-07-2016 11:00:09
บทที่ 19
ทานข้าวกันไหม


“เป็นไรป่าววะมึง”ผมหันไปมองไอ้เหมาที่เดินเข้ามาทัก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร ยังคงใช้ช้อนชงกาแฟหมุนวนในแก้วต่อไป สมองผมกำลังคิดถึงเรื่องของคุณแว่น นี่ก็ 2 อาทิตย์ได้แล้วมั้งที่ผมไม่ได้เจอกับเค้า ตั้งแต่วันนั้นที่ผมบอกกับเค้าไปแบบนั้น



“เราหยุดทำแบบนี้กันสักพักไหม”ผมบอกกับคุณแว่นหลังจากที่ได้ทบทวนมาทั้งคืน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกดีนะครับ ที่มีเค้าเข้ามาในชีวิต แม้ความสัมพันธ์เรามันจะไม่ปกติเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่า เราควรลองเว้นระยะห่างจากกัน

“หมายความว่ายังไง”ผมว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดนะ แต่ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าผมต้องการแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า ผมอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า อยากให้เราต่างคน ต่างได้ลองไปเปิดรับความสัมพันธ์ ที่จริงจังกับคนอื่นบ้าง ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราวันนึงมันก็ต้องจบลง

“ตี้จะคบกับเซลล์คนนั้นเหรอ”เค้าเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ก็แค่ลองคุยๆ กันดู ยังไม่รู้หรอกว่าจะออกมายังไง”ผมตอบออกไปตามตรง แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของผม เพราะผมก็ยังกังวลอีกเรื่องที่ผมกลัวคือ ถ้าเรายังเจอกันบ่อยๆ แบบนี้ วันนึงผมเองอาจกลายเป็นคนที่จะเคยชินกับการมีเค้าอยู่ เกิดพอวันนึงที่เค้าคิดจะมีครอบครัวขึ้นมา ถึงตอนนั้นมันคงไม่ดีแน่ ผมเลยต้องเว้นระยะห่างของเราเพิ่มขี้นให้มันเหลือแค่ความสัมพันธ์ทางกาย แต่ไม่ให้ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง

“อยากให้เราลองไปจีบคนอื่นใช่ไหม”ผมพยักหน้ารับ นี่มันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว

“เอางั้นก็ได้”เค้าตอบก่อนจะหันหลังเดินออกไป และตั้งแต่วันนั้นผมก็ยังไม่ได้เจอเค้าอีกเลย รวมทั้งการติดต่อช่องทางอื่นๆ ก็ไม่มีเช่นเดียวกัน มันทำให้ผมก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ทั้งที่เป็นคนบอกกับเค้าเองให้เว้นระยะห่างแต่ก็ไม่นึกว่าเค้าจะหายไปเลยขนาดนี้




“มึงโอเคไหมเนี่ย”เสียงไอ้เหมาเข้ามาหยุดความคิดผมอีกครั้ง ผมเพียงตอบปฏิเสธว่าไม่เป็นไร บอกแค่ว่านอนน้อยเลยไม่ค่อยสดชื่น เดี๋ยวได้กาแฟไปก็ดีขึ้นเอง

“ช่วงนี้ไม่ได้ไปดื่มกันเลยเนอะ มึงก็งานยุ่ง ว่างก็ไปกับแฟน”

“ยัง กูกับคุณอรรถยังไม่ได้เป็นแฟนกัน”ผมรีบแย้งเพราะแม้เราจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น แต่ผมก็ยังคงสถานะกับเค้าไว้แค่เพื่อน จริงๆ เค้าเองก็ไม่ได้พูดออกมาว่าสถานะของเราตอนนี้คืออะไร

“ไม่ใช่แฟน แต่ไปกินข้าว ดูหนัง ซื้อของ ด้วยกันบ่อยๆ นี่เค้าเรียกว่าอะไรกันนะ”ไอ้เหมาเน้นเสียงเพื่อแซวผม

“ก็เป็นเพื่อนไง”ผมตอบออกไปอย่างไม่ถือสา ไอ้เหมาพยักหน้าทำเป็นเชื่ออย่างขอไปที

“มึงก็ไม่ค่อยว่าง ไอ้แว่นช่วงนี้ก็ออกงานต่างจังหวัด นี่ถ้ามันกลับมา มึงต้องปลีกตัวจาก “เพื่อน...สนิท” ของมึงมาให้เวลากับพวกกูด้วยนะ”ผมไม่ได้สนใจเนื้อหาอื่นในคำพูดของไอ้เหมาเลย ที่ผมสนใจมีเพียงสิ่งที่ไอ้เหมาบอกว่าคุณแว่นไปทำงานต่างจังหวัด หรือเพราะเค้าไปต่างจังหวัดนี่ด้วย ถึงไม่ได้ติดต่ออะไรผมมาเลย

“อือ”ผมตอบรับไอ้เหมาก่อนจะเดินกลับแผนก ผมเริ่มคิดเรื่องคุณแว่นอีกครั้งว่า สิ่งที่เราต้องหยุดคือการมีเซกส์กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ติดต่อกันเลยนี่นา ผมควรจะทักเค้าไปก่อนดีไหม หรือจะโทรไปทักทาย พอถึงโต๊ะทำงานผมก็เอาแต่จ้องมือถือของตัวเองว่าจะเอายังไงดี ยังไงซะเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน จะถามสารทุกข์สุขดิบกัน มันก็ไม่ได้แปลกนี่นา ผมกับไอ้เหมาก็ยังโทรปรึกษาอะไรกันบ่อยๆ คิดแบบนั้น ผมเลยกะว่าจะโทรหาเค้าสักหน่อยเพื่อทักทาย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดโทรออก ผมก็ต้องสะดุ้งกับเสียงมือถือของตัวเองที่ดังขึ้น

“ครับคุณอรรถ”กลับกลายเป็นอีกคนที่ช่วงนี้ผมได้คุยกับเค้าบ่อยขึ้น เรียกว่าออกจะบ่อยเกินไปด้วยซ้ำครับ ถ้าคิดในแง่ว่า เราเป็นเพื่อนกัน แต่ก็อย่างว่า ผมเองก็รู้ว่าเค้าไม่ได้คิดกับผมแค่เพื่อน เพียงแค่ผมยังไม่ยอมรับเค้าในฐานะอื่นก็แค่นั้น จริงๆ ความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆ ของผมมันก็ไม่ค่อยมีช่วงศึกษากันแบบนี้สักเท่าไหร่ เรียกได้ว่า คุยกันเจอกันไม่เท่าไหร่ ก็รีบตกลงเป็นแฟนกัน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันไป แต่ก็นั่นแหละ ไปไม่ค่อยรอดมันเสียแทบทุกครั้ง

“เย็นนี้ดูหนังกันไหมครับ เห็นเรื่องที่คุณตี้บอกอยากดูเข้าแล้ว”จริงๆ ผมก็ว่างนะครับ แต่วันนี้รู้สึกไม่ค่อยอยากดูหนังสักเท่าไหร่ เลยบอกออกไปตามตรง คือผมเป็นคนที่ถ้าจะไปดูหนังเราก็รู้สึกอยากเต็มที่ไปกับเนื้อเรื่อง แต่ตอนนี้ผมเหมือนมีอะไรให้คิด เลยกลัวว่าถ้าไปดูหนังก็จะพาลไม่สนุกไปด้วย

“งั้นไปหาอะไรกินกันไหมครับ”พอรู้แหละครับว่าเค้าอยากเจอ ซึ่งผมเองก็เห็นว่าการมีเพื่อนกินข้าวด้วย มันก็น่าจะดีกว่าการต้องนั่งเหงากินข้าวคนเดียว ผมเลยตอบรับเค้าไป พร้อมนัดแนะว่าจะไปเจอกันที่ไหน หลังเลิกงาน



“ตี้รีบไปไหนรึเปล่า”เสียงหัวหน้าผมทักขึ้นตอนที่กำลังจะถึงเวลาเลิกงาน เค้าเพิ่งประชุมกับผู้บริหารเสร็จ และกลับเข้าในแผนก ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาเหลืออีกไม่ถึง 10 นาทีจะเลิกงาน แต่ประโยคที่หัวหน้าผมถามนี่แสดงว่าน่าจะมีงานด่วนให้ผมช่วยทำอีกเป็นแน่ และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็มีอีกหนึ่งคน ตามหัวหน้าผมเข้ามา

“ลุยเลยไหมคะพี่ตี้”น้องปลาจากแผนกของไอ้เหมา นี่แสดงว่าหัวหน้าผมกะไม่ให้ผมมีทางเลือกอยู่แล้วสินะ ว่ายังไงผมก็ต้องทำ แม้จะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ถามถึงรายละเอียดที่ผมต้องทำ ถึงได้รู้ว่างานชิ้นนี้ต้องพร้อมนำเสนอนายภายใน 9 โมงเช้าพรุ่งนี้ จริงๆ มันจะไม่กระชั้นชิดขนาดนี้ถ้าหัวหน้าผมไม่ไปรับปากว่าสามารถทำทัน

สิ่งที่ผมต้องทำคืองานนำเสนอรูปแบบ อาคารจัดเก็บขยะหรือของเสียที่เกิดขึ้นภายในบริษัท เพื่อรอส่งกำจัด ซึ่งหัวหน้าผมเสนอเป็นอาคารอเนกประสงค์ ใช้งานได้หลากหลายในตัว ซึ่งทางนายอยากเห็นภาพชัดๆ ว่ามันคุ้มค่าที่จะทำจริงๆ รึเปล่า แน่นอนผมต้องเป็นคนทำไฟล์นำเสนอ ส่วนน้องปลามาแทนไอ้เหมา เพราะหัวหน้าผมจะอาศัยความสนิทสนมของผมกับไอ้เหมา มาขอร้องให้ไอ้เหมาเป็นคนเขียนแบบทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติ นี่หัวหน้าผมคิดว่าทุกอย่างมันเสร็จได้ในชั่วพริบตารึไงเนี่ย

ไอ้เหมาชิงตัดช่องน้อยบอกไม่ว่าง ส่วนน้องปลายังไม่เคยเจอลูกตื้อของหัวหน้าผม เลยใจอ่อนยอมมาช่วย ดูจากปริมาณงาน ส่วนของผมอาจใช้เวลาไม่มาก แต่ของน้องปลานี่สิ แต่หลังจากคุยรายละเอียด น้องปลาก็บอกสัก 3 ชั่วโมงน่าจะพอไหว ไอ้ผมก็ไหวนะครับ แต่มีนัดนี่สิ แม้จะไม่สบอารมณ์กับหัวหน้านัก แต่ผมก็รับคำ ก่อนจะต้องโทรไปบอกคุณอรรถว่าคงต้องเลื่อนนัดเป็นวันอื่น

“งั้นผมทำอะไรให้ทานไหม เดี๋ยวกลับไปทำรอที่บ้าน เสร็จงานค่อยแวะมาบ้านผม”ทันทีที่ผมบอกปฏิเสธไป เค้าก็มีข้อเสนอใหม่มาให้ผม ทีแรกผมก็เกรงใจและปฏิเสธ แต่ดูอีกฝ่ายจะตั้งใจเสียเหลือเกินในการคะยั้นคะยอผม เลยตอบตกลงไปเพราะไม่อยากให้เค้าเสียน้ำใจ

ผมเริ่มทำงานในส่วนที่ผมสามารถใส่ข้อมูลได้ก่อน พร้อมกับอธิบายถึงรายละเอียดเพิ่มเติม ที่อยากให้น้องปลาใส่เข้าไปในแบบ นอกเหนือจากที่ทางหัวหน้าผมได้ ฟรีแฮนด์ มาเบื้องต้น ส่วนหัวหน้าผมสั่งงานเสร็จเรียบร้อยก็ปัดตูดกลับบ้านครับ อยากจะแกล้งทำงานไม่เสร็จให้แกจริงๆ อยากรู้แกจะทำยังไง แต่โชคดีที่น้องปลาทำงานออกมาได้อย่างรวดเร็ว เพียง 2 ชั่วโมงเศษๆ งานทุกอย่างก็เรียบร้อย

“น้องปลากลับไงอ่ะ”ผมเอ่ยถามเพราะคุ้นๆ ว่าน้องไม่ได้เอารถมาเอง และถ้าจำไม่ผิด คอนโดน้องปลาก็อยู่ทางเดียวกับที่ผมจะไปบ้านคุณอรรถ และไม่รอให้น้องปฏิเสธ ผมอาสาจะไปส่งน้องที่บ้าน จริงๆ อยากจะเลี้ยงข้าวขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ที่อยู่ช่วยงานวันนี้ ติดตรงที่ ผมมีนัดแล้วนี่สิ

น้องปลาปฏิเสธในทีแรก แต่ผมใช้อภิสิทธิ์ของการเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบัน เป็นการบังคับ แต่ไม่ได้จริงจังมาก น้องเลยยอมให้ผมไปส่ง

“ครอก แคร๊ก”ทั้งผมและน้องปลาหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงกระเพาะของเราทั้งคู่ประท้วงขึ้นมา เพราะนี่ก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว แถมรถก็เคลื่อนตัวช้าเหลือเกิน จริงๆ อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านคุณอรรถแล้ว ถ้าผมพาน้องปลาไปทานข้าวด้วยนี่จะเป็นไรไหมนะ ไวเท่าความคิด ผมกดเบอร์พร้อมใส่สมอลทอล์ค ต่อสายหาคุณอรรถ ว่าขอพาน้องสาวไปฝากท้องด้วยหนึ่งคน ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ย้อนไปย้อนมา และถือโอกาสเลี้ยงข้าวน้องด้วย แม้จะไม่ใช่ผมเลี้ยงแต่ก็ถือว่าเป็นโปรโมชั่นให้น้องก่อนผมเลี้ยงจริงอีกรอบแล้วกัน

จะเพราะคุณอรรถไม่กล้าปฏิเสธคำขอของผม หรือน้องปลาที่ติดรถผมมาอย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายผมก็พาน้องปลามาถึงบ้านคุณอรรถ โต๊ะอาหารถูดจัดไว้สำหรับ 3 คน เรียบร้อยพร้อมทาน

“ตามสบายนะครับน้องปลา แต่ไม่รู้ฝีมือพี่จะพอทานได้หรือเปล่า”คุณอรรถออกตัวหลังจากที่ผมแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน ดีที่น้องปลาก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เลยไม่ต้องกังวลว่าบรรยากาศจะเกร็งหรือกร่อย อาหารที่คุณอรรถเตรียมไว้เป็นสปาเก้ตตี้ผัดขี้เมา ซึ่งน้องปลาก็ออกมาชมว่าอร่อยมาก ยิ่งฟรีแบบนี้ยิ่งอร่อย แทบอยากมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ เลย

“หนูก็อุส่าห์จิ้นพี่ตี้กับพี่รหัสหนู สุดท้ายพี่ตี้ก็ชิงมีแฟนดับต่อมจิ้นหนูซะงั้น”เดี๋ยวๆ เท่าที่จำได้หนูบอกจะไม่จิ้นนะน้องปลา

“เพื่อน น้องปลา เพื่อน”ผมต้องพูดพร้อมแอบส่งสายตาพิฆาตให้น้องปลา แต่ดูน้องไม่ได้เกรงตัวสายตาผมเลย แถมดูคุณอรรถก็ชอบอกชอบใจ กับคำพูดน้องปลา จนหัวเราะออกมาเสียดังเชียว

“ว่าแต่นี่น้องปลาไปจิ้นตี้เค้ากับใครเหรอครับ พี่เคยเจอไหม”แล้วจะมาอยากรู้ทำไมละครับนั่น เดี๋ยวก็ได้มาจับสังเกตเรื่องผมกับคุณแว่นเหมือนไอ้เหมาอีกหรอก

“พี่ชาร์ปไง คุณอรรถน่าจะเคยเจอแล้วมั้ง”น้องปลาพูดไปพลางดูดเส้นสปาเกตตี้ไป อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แต่คนฟังอย่างคุณอรรถ หันมามองผมด้วยแววตาสงสัย แม้จะไม่รู้ว่าเค้าจะสงสัยอะไรรึเปล่า แต่ผมว่าคงต้องระวังตัวความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นเอาไว้ก่อน แม้ผมกับเค้าจะยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน แต่ผมก็รู้สึกว่าเค้าคงอาจจะจับตาดูคุณแว่นกับผมเป็นพิเศษขึ้นแน่นอน

“น้องปลาก็แค่จิ้นขำๆ ใช่ไหมปลา”ผมสะกิดปลาเพื่อให้เงยหน้าขึ้นมาช่วยผมพูดอะไรบ้าง เพราะดูคุณอรรถจะเริ่มมีสายตาแปลกๆ แต่เค้าก็คงไม่เดาอะไรแม่นขนาดนั้นมั้ง เพราะเค้าก็น่าจะพอรู้แล้วว่าคุณแว่นก็คือแฟนเก่าชะเอม

“นั่นแน่ ไหนว่าเป็นเพื่อนกัน อย่าบอกนะว่ามีหึงมีงอนกันเนี่ย”คำพูดน้องปลาทำเอาเจ้าของบ้านยิ้มเก้อๆ นี่ผมไม่ค่อยเห็นมุมแบบนี้เค้าสักเท่าไหร่นะเนี่ย อีกทั้งเรื่องทำอาหารนี่อีก ไม่คิดว่าคนอย่างเค้าจะมีมุมอะไรแบบนี้ด้วย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาสนุกสนานอีกครั้ง น้องปลากับคุณอรรถดูจะพูดคุยรับส่งมุกกันอย่างถูกคอ

“เออ นี่ไงอาทิตย์หน้าที่พี่ชาร์ปบอกจะชวน ทำไรกินกัน พี่ตี้ก็ชวนพี่อรรถเค้าไปด้วยสิ หลายๆ คนจะได้สนุก”ผมเลิกคิ้วสงสัยเพราะ จำไม่ได้ว่ามีนัดกับคุณแว่นด้วยเหรอ ตั้งแต่วันนั้น ก็ยังไม่ได้คุยกันเลย แต่นี่น้องปลาพูดเหมือนกับว่ามีการนัดแนะ และมีชื่อผมที่จะไปร่วมแล้ว

“ก็ที่พี่ชาร์ปชวนไง วันนี้ปลายังคุยกับพี่เหมาอยู่เลย ว่าจะจัดที่บ้านพี่ตี้”เดี๋ยวนะ จะจัดปาร์ตี้ที่บ้านผม แต่เจ้าของบ้านอย่างผมยังไม่รู้เลย นี่มันหมายความว่ายังไง แต่ผมก็เออ ออ กับน้องปลาไป พร้อมเอ่ยปากชวนคุณอรรถไปร่วมด้วย เพราะแม้จะมีแต่เพื่อนๆ กัน แต่ถ้าจะจัดที่บ้านผม ผมก็คงมีสิทธิ์ที่จะชวนเค้าจริงไหมครับ อีกอย่างก็เพื่อเป็นการตอบแทนอาหารมื้อนี้ของเค้าด้วย

หลังจากทานเสร็จน้องปลาอาสาเก็บจานไปล้าง คงเพราะอยากเปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับคุณอรรถนั่นแหละครับ

“วันนี้โทษทีนะครับ ทั้งเบี้ยวนัดแล้วยังมารบกวนให้ลำบากอีก”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะก็รู้สึกเกรงใจเค้าอยู่ไม่น้อย

“ผมเต็มใจ ไว้ให้ผมไปบ้านคุณบ้างไง”เค้าตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี เราพูดคุยกันอีกพัก ผมกับปลาก็ขอตัวกลับ เพราะไม่อยากให้ดึกมาก กว่าผมจะไปส่งน้องปลาอีก

พอถึงบ้าน จากคำพูดน้องปลา ทำให้ผมต้องมาพิมพ์ข้อความหาอีกคน

“นัดกันบ้านเราเหรอ”ผมพิมพ์ข้อความส่งไป

“ไม่ติดปัญหาอะไรใช่ไหม??”เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ก็แฝงไปด้วยความเผด็จการว่าต้องได้ตามที่เค้าขอ






มาต่อคร๊าบบบ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเช่นเคยนะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-07-2016 11:54:06
เชียร์คุณแว่นอ่ะ  รอดูคุณแว่นจะมีกลยุทธ์พิชิตใจอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 16-07-2016 13:44:39
เชียร์คุณแว่น หวังว่าคราวนี้คงเดินเครื่องเต็มกำลังแล้วนะ ต่างฝ่ายต่างเริ่มหวั่นไหวในระยะแรกรักแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-07-2016 18:33:29
คุณแว่นจะเริ่มลุยอย่างเต็มที่รึยัง
เดี๋ยวตี้หลงความดีจองคุณอรรถพอดี
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-07-2016 00:51:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 17-07-2016 01:28:16
สนุกครับ ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-07-2016 07:36:44
แน่ะ ชาร์ปแอบเผด็จการกับตี้ ซะด้วย
ที่ห่างไปคงรู้ว่าขาดตี้ไม่ได้แน่ๆ
กับชาร์ป เคมีทาง......เข้ากันกับตี้
และตี้ก็ดูจะชอบชาร์ปแต่แรกแล้ว
ส่วนคุณอรรถ ก็ดูดีนะ  :เฮ้อ:
รอ.... อย่างใจจดจ่อ   :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 17-07-2016 15:45:46
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 23-07-2016 11:31:04
บทที่ 20
แปรงสีฟันจุดประเด็น


“เฮ้ย ชาร์ปตื่น ตื่นเร็วเข้า”ผมรีบปลุกอีกคน เพราะนี่จะบ่าย 2 อยู่แล้ว แต่ทั้งผมและเค้ายังไม่ได้ลุกจากเตียงกันเลย ก็เมื่อคืนเล่นดื่มกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว แถมไอ้คนที่มาค้างบ้านผมนี่ก็ไม่ได้ยอมนอนดีๆ  เมื่อคืนผมไปดื่มกับไอ้เหมาและคุณแว่น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่วันนี้ก็นัดกันจะมาทำปิ้งย่างอะไรกันที่บ้านผม แต่เมื่อคืนก็ยังจะไปดื่มอีก

“นี่มันคืนวันศุกร์แห่งชาติทั้งที มึงจะนอนอยู่บ้านดูละครหลังข่าวหรือไงไอ้ตี้ มันต้องจัดโว้ย”และนั่นเหมือนการบังคับกลายๆ ให้ทั้งผมและคุณแว่น ต้องไปชนแก้วกับมัน แก้วแล้วแก้วเล่าจนสุดท้ายไอ้เหมาก็เมาพับ ขับรถกลับไม่ไหว แต่ที่มันกล้าดื่มหนักขนาดนี้ คงเพราะวันนี้แพทมาด้วย และมันคงกะให้แพทขับรถพากลับบ้าน แต่มันไม่ดูเลยว่าตัวขนาดมันเนี่ยแพทจะลากไหวไหม ลำบากผมกับคุณแว่นต้องแบกมาส่งถึงรถ

“ยังไงฝากชาร์ปไปส่งตี้ด้วยนะ แพทไม่อยากอ้อมไปอ้อมมา”แพทบอกอย่างรู้สึกผิด เพราะวันนี้ผมให้ไอ้เหมากับแพทแวะรับก่อนออกมา เพราะไอ้เหมาต้องขับรถไปรับแพททำงาน ก่อนจะมาที่ร้านอยู่แล้ว แถมเป็นทางผ่านบ้านผม เลยถือโอกาสติดรถมาด้วย

“ได้ๆ ว่าแต่แพทจะพาไอ้หมา เอ้ยไอ้เหมานี่เข้าบ้านยังไง”คุณแว่นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะขนาดพวกผมสองคนแบกมันมาที่รถยังถึงขั้นหอบ แล้วตัวเล็กๆ อย่างแพทจะทำยังไง

“ถ้าถึงบ้านแล้วปลุกไม่ตื่นก็จะ เปิดกระให้นอนในรถนี่แหละ ให้ยุงกัดซะให้เข็ด ดื่มอะไรไม่รู้จักประมาณตัวเอง”นี่คือมนุษย์เมียของแท้เลยครับเนี่ย นี่ขนาดไอ้เหมาเมาหลับยังบ่นได้ขนาดนี้ ถ้าตื่นมาจะโดนสวดยับขนาดไหน

“ไปแล้ว เจะกันพรุ่งนี้บ่าย 3 ที่บ้านตี้นะหนุ่มๆ เออถ้าชาร์ปไม่ไหว แพทว่าค้างบ้านตี้ไปเลยก็ดีนะ ยังไงพรุ่งนี้เราก็นัดกันที่บ้านตี้อยู่แล้ว”พูดจบแพทก็สตาร์ทรถออกไปด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมไว้กับคุณแว่นสองคน เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเพราะระหว่างทางกลับบ้านผมก็เลือกที่จะพักสายตา แม้จะไม่ได้หลับแต่ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้าเลยเลือกปิดเปลือกตาไว้จะดีกว่า

“ไม่เข้าบ้านเหรอ”เมื่อถึงบ้านผม เค้าสะกิดปลุกผมพร้อมด้วยกลับรถเตรียมพร้อมที่จะกลับออกไป ผมเลยต้องถามออกไปด้วยความแปลกใจเพาะนึกว่าคืนนี้เค้าจะค้างที่นี่กับผม

“ก็เจ้าของบ้านยังไม่ชวนเลย เราจะเข้าไปได้ไง ขนาดจะมาเรายังต้องรอคำอนุญาตจากเค้าก่อนเลย”แหมคุณแว่น ดูพูดเข้าเดี๋ยวนี้มีงอนด้วย ผมยิ้มขำๆ กับอาการน้อยใจเหมือนเด็กๆ ของเค้า

“เชื่อฟังคำพูดเราขนาดนั้นเชียว ป่ะ เข้าบ้านเดี๋ยวเราเปิดประตูให้เอารถเข้าไปจอดในบ้าน”ทำเป็นอิดออดเหมือนจะไม่ค้างบ้านผม แต่ถึงเตียงนอนก่อนผมอีกครับ แล้วก็เป็นไปเหมือนเดิม พอถึงเตียง เราต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไร ทั้งฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แถมไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่มันยิ่งทำให้เราทั้งสองต่างช่วยกันสนองความต้องการของอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร

พอตัดสินใจว่าจะอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อนจะได้นอนสักทีเพราะนี่เราก็มอบความสุขให้กันหลายต่อหลายรอบแล้ว แต่เหมือนเราทั้งสองต่างยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม เลยเกิดกิจกรรมในห้องน้ำเพิ่มขึ้นอีก

“คราวหลังอย่าหายไปแบบนี้อีกนะ”ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากขาดการติดต่อจากเค้านานๆ แบบนี้อีก ทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกคนจะเข้าใจไปอีกแบบ

“ตี้เป็นคนบอกให้เราห่างไปเองไม่ใช่เหรอ”เค้าบอกยิ้มๆ พร้อมกับเอื้อมมือสอดเข้ามาที่เส้นผมด้านข้างของผมเพื่อปัดส่วนที่ตกลงมาปิดหน้า

“ต่อไปเราพูดอะไร ไม่ต้องเชื่อนะ”ผมตอบกลับไป ก่อนจะปิดเปลือกตาลง เพราะฝืนต่อสู้กับความง่วงและความอ่อนเพลียต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่มันจะ 6 โมงเช้าอยู่แล้ว



“ไม่เห็นเป็นไรเลย แพทก็รู้นิว่าเราค้างที่นี่ ไม่ต้องกลัวใครสงสัยอะไรหรอก”เหมือนเค้าจะรู้ว่าผมกังวลเรื่องอะไร เลยแย้งผมมา แต่เค้าลืมไปหรือเปล่า ว่าถึงแม้แพท และอาจรวมถึงไอ้เหมา อาจจะรู้แล้วว่าคุณแว่นค้างที่นี่ แต่ แต่ แต่ สภาพของทั้งผมและคุณแว่นตอนนี้มันควรอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยกันดีกว่าไหม เพราะคนอย่างไอ้เหมา ถ้ามาถึงอาจจะพรวดพราดเข้ามาถึงห้องนอนนี่ก็เป็นได้ แล้วถ้าเกิดมันมาเห็นว่าพวกผมอยู่ด้วยกันในสภาพหมิ่นเหม่อย่างตอนนี้ คงความแตกกันพอดี

“ไปอาบน้ำ ได้แล้ว”ผมลุกขึ้นเขย่าตัวอีกคนเพื่อปลุกให้เค้าลุก แต่เค้ากลับลุกพรวดขึ้น พร้อมกับเอาผ้าห่มคลุมม้วนเอาตัวผมเข้าไปด้วย ทำให้ตัวของเราแนบติดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง หน้าผากชนกัน ปลายจมูกแทบจะบี้กันอยู่แล้ว

“เล่นอะไรเนี่ย เดี๋ยวก็อาบน้ำแต่งตัวไม่ทันเพื่อนมากันพอดี”ผมพูดพร้อมกับพยายามขืนตัวออก แต่แทบขยับไม่ได้ เพราะเค้าล็อคตัวผมไว้ และแรงของเค้าก็ดูจะเยอะกว่าผมมาก

“อาบพร้อมกันดิจะได้เสร็จเร็วๆ”เค้าคลายอ้อมกอดออกหลวมๆ แล้วค่อยๆ เลื่อนมือมาประคองหน้าผม สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ผม ผ้าห่มค่อยๆ เลื่อนตกลงไป พร้อมๆ กับใบหน้าของเค้าที่โน้มมาใกล้ๆ ผม ไม่นานริมฝีปากนั้นก็ประกบลงมา แต่ผมตั้งสติได้ก่อนว่าถ้าปล่อยไปมากกว่านี้มีหวังคนอื่นมาถึงก่อนเราอาบน้ำแต่งตัวแน่ๆ ผมรีบผละจากเค้าแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ให้เราเข้าไปอาบด้วยดิจะได้เสร็จเร็ว”เค้าตะโกนผ่านประตูเข้ามา

“ลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่างเลย”ผมตอบกลับไป แล้วก็ไม่สนใจเค้าอีก แต่เสียงเงียบไปแล้ว น่าจะลงไปข้างล่างแล้ว

ไม่นานนักทั้งผมและเค้าก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และก็ถือว่าโชคดีมากๆ ที่พวกผมแต่งตัวทันเวลา เพราะแพทกับไอ้เหมามาถึงบ้านผม หลังจากพวกผมแต่งตัวเสร็จแค่ 10 นาทีเอง เรียกว่าฉิวเฉียดมากเลยทีเดียว แพทมาไอ้เหมามาเร็วกว่าเวลานัดนิดหน่อย เพราะทั้งคู่เป็นคนอาสาไปซื้อของสดที่เราต้องใช้ในวันนี้

“หลีกๆๆ”ขณะที่เรากำลังช่วยกันยกของ จัดเตรียมสถานที่ ไอ้เหมาผู้ซึ่งอาการไม่สู้จะดีนักเพราะเมื่อคืนหนักมากไปหน่อย มันรีบวิ่งแหวกทาง มุ่งไปยังห้องน้ำ ไม่ต้องสืบครับมันแฮงค์หนักและแพทยังบอกอีกว่า มันอ๊วกจนจะหมดไส้หมดพุงอยู่แล้ว นี่แหละพวกกินไม่รู้ลิมิตตัวเอง

“ว่าไงครับ ไอ้อ่อน”ไอ้เหมาหันมามองผมตาขวางอย่างเคืองๆ แต่แล้วมันยิ้มร้ายๆ ออกมาพร้อมกับสายตาวิบวับเหมือนมีเรื่องสนุกให้มันเล่น มันค่อยเดินตบไหล่ผม และหัวเราะในลำคอ ตอนนี้ทั้งคุณแว่นทั้งแพทต่างก็มองดูอาการของไอ้เหมาว่าตกลงมันแฮงค์จนเพี้ยนหรือมันเป็นอะไรกันแน่

“น้องตี้จ๊ะ เดี๋ยวนี้ริอาจพาผู้ชายมาค้างอ้างแรมที่บ้านเหรอจ๊ะ”ก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าจะแซวแค่เรื่องคุณแว่นมาค้างบ้านผม เรื่องนี้มันมีเหตุผลอันควรรองรับแล้ว และก็มีพยานรู้เห็นอีกต่างหาก มันจะเอามาแซวผมทำไม

“ก็ชาร์ปไง เมื่อคืนตัวเองเมามากแพทเลยให้ชาร์ปมาส่งตี้ อีกอย่างเห็นว่าดึกแล้วเลยแนะนำว่าให้ชาร์ปค้างที่นี่เลย ยังไงวันนี้เราก็นัดกันที่นี่อยู่แล้ว”ผมไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรเลยครับ เพราะแฟนไอ้เหมาเล่าไปหมดแล้ว ผมยักไหล่อย่างผู้มีชัย ที่ไอ้เหมาแพ้ไปในยกนี้ว่าแต่ถ้าแพทยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง แล้วทำไมมันถึงคิดว่าผมมีคนมาค้างด้วยล่ะ ทีแรกผมนึกว่ามันรู้จากแพทแล้วเลยมาแกล้งแซวผม แต่นี่มันยังไม่รู้แล้วทำไมถึงมาแซว

“งั้นแปรงสีฟันที่มีสองอันในห้องน้ำนั่น อีกอันก็ของไอ้แว่นสิ ว้าไม่สนุกเลย”เกือบไปแล้วไง นี่ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง เพราะห้องน้ำทั้งสองห้องในบ้านมันมีแปรงสีฟัน 2 อันทุกห้องเลยนี่สิ นี่ถ้าพลาดมาเจอตอนที่ทุกคนไม่รู้ว่าคุณแว่นมาค้างนี่ซวยแน่ๆ

“ว่าแต่ถ้าไอ้แว่นค้างที่นี่”พอหาอะไรเล่นผมไม่ได้ตอนนี้มันเริ่มหันไปหาคุณแว่นแล้วครับ ไอ้เหมาเข้าไปจับดูเสื้อผ้าของคุณแว่น มีการดมกลิ่นด้วย นี่มันจะเล่นอะไรของมันอีก

“นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของไอ้ตี้”แล้วไอ้เหมาก็เดินกลับมาดมที่ผมด้วยอีกคน

“ก็เสื้อกูเองแล้วมันแปลกตรงไหนไอ้เหมา”คุณแว่นถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมมึงค้างที่นี่แต่มีเสื้อผ้าตัวเองเปลี่ยน มึงทิ้งเสี้ยผ้าไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกมา”เชร็ดอะไรมันจะแม่นขนาดนั้น นี่มันเก็บรายละเอียดขนาดนี้เลยเหรอนี่

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ากูมีเสื้อผ้าติดรถไว้ประจำอยู่แล้ว”ผมยิ้มขำกับการแก้เกมของคุณแว่น จริงอยู่ที่เค้ามีเสื้อผ้าในรถ แต่ไอ้ตัวที่ใส่นั่นมันชุดที่เค้าทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าผมชัดๆ เอาเถอะยังไงก็ถือว่าแก้เกมได้ดี

“ไม่อ่ะกลิ่นเสื้อที่ทิ้งไว้ในรถกับกลิ่นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามันต่างกัน พวกมึงสองคนปิดบังอะไรกูอยู่หรือเปล่า”ไอ้นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย มันแยกกลิ่นได้จริงๆ หรือมันแกล้งพูดมั่วๆ ไปเองแค่นั้นละเนี่ย แต่ถ้ามันเดานี่ถือว่าเดาได้แม่นมากเลยทีเดียว

“แบบนี้ต้องมีการพิสูจน์”ผมเกลียดรอยยิ้มของไอ้เหมาตอนนี้เหลือเกิน จากที่คิดว่าวันนี้จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้มัน แต่ตอนนี้ผมจะแก้เกมมันยังไงดี สมองน้อยๆ ของผมคิดไม่ทันแล้วตอนนี้

“กูจะไปเปิดตู้เสื้อผ้ามึงดู”ชิปหาย ทำยังไงดี ทำยังไงดี ผมกับคุณแว่นสบตากันนิดนึงแต่พยายามเก็บอาการไม่แสดงพิรุธอะไรมาก แต่ถ้าไอ้เหมาบุกไปดูตู้เสื้อผ้าผมจริงๆ นี่ ด้วยความไม่ปกติของไอ้เหมาซึ่งอาจจะจำเสื้อผ้าของผมและคุณแว่นที่เคยใส่ได้ ต่อให้ผมแถว่าในตู้นั้นทั้งหมดมันเป็นของผมเอง แต่ก็ยังมีอีก 1 ชุดที่ผมแถไม่ได้แน่ๆ ก็คุณแว่นเล่นทิ้งยูนิฟอร์มชุดทำงานไว้ด้วยนี่สิ

“พอ เลิกเล่นได้แล้ว มโนเป็นเรื่องเป็นราว ไร้สาระจริงๆ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น มาช่วยกันเตรียมของนี่ เห็นไหมหมูก็ยังไม่หมัก กุ้งก็ยังไม่ล้าง ถ่านก็ยังไม่จุด ทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่มัวแต่เล่น แล้วรอเมาอย่างเดียว”โอ้แม่นางฟ้ามาโปรดของผม ต้องขอบคุณแพทที่เข้ามาแก้เกมนี้ได้ทัน แม้แพทจะไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่การดึงหูแฟนไปช่วยงานแบบนี้นับว่าเป็นผลดีกับพวกผมอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะเยาะจากผมและคุณแว่นพุ่งไปทิ่มแทงไอ้เหมาแทบจะทันทีที่มันต้องไปรับคำสั่งจากแพท

“เราเชื่อแล้วว่าประมาทไอ้เหมามันไม่ได้จริงๆ”คุณแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมพูดขึ้น แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่พอแพทเดินเข้าไปหยิบของในบ้านเพิ่ม ไอ้เหมาก็ได้ทีเดินกลับมาหาพวกผมอีกครั้ง พร้อมกับคำถามใหม่

“มึงสองคนนอนห้องเดียวกันหรือแยกกันนอน”มันยังไม่จบครับ

“ทำไม ก็นอนห้องเดียวกันนี่แหละ เพื่อนกันนอนห้องเดียวกันมันแปลกตรงไหน”คุณแว่นชิงตอบตัดหน้าผม

“มันก็ไม่แปลก เพราะกูก็เคยนอนเตียงเดียวกับไอ้ตี้ แต่ระหว่างมึงสองคนกูสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง”นี่มันจะเป็นเหมา ญาณทิพย์รึไงเนี่ย

“มึงนี่มันเพ้อเจ้อ จินตนาการกว้างไกลเหลือเกินนะ กลับไปทำหน้าที่ของมึงต่อเลยไม่งั้นกูจะฟ้องแพทให้ดึงหูมึงจนหูยานเลย”ผมคาดโทษมันก่อนที่จะโดนมันไล่ต้อนพวกผมไปมากกว่านี้

“เรื่องนี้กูอาจจะเพ้อเจ้อ แต่เรื่องจริงของมึงมาแล้วโน่น เซลล์รูปหล่อมึงมาแล้ว”ทั้งผมและคุณแว่นหันกลับไปมองที่ประตูบ้าน ผมส่งยิ้มทักทายให้คุณอรรถที่เพิ่งมาถึง ซึ่งเหมือนเค้าจะยิ้มมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว


TBC




โทษทีหายไปหลายวันเลย

แหะๆ

ขอบคุณที่ติดตามเช่นเคยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-07-2016 12:15:12
เราว่าแพทมองออก นางต้องเป็นสาววายแน่ๆ 555555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-07-2016 12:16:48
ชอบบบบ ชาร์ป ตี้   :mew1: :mew1: :mew1:
“คราวหลังอย่าหายไปแบบนี้อีกนะ”  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชาร์ป ตี้ เคมีเข้ากั๊น เข้ากัน :ling1: :ling1: :ling1:
หมาเหมา ญานทิพย์ จมูกสัมผัสจริงๆ
ชาร์ป จะหึง ตี้ อรรถ มั้ย นะ :mew5:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-07-2016 19:31:26
เชียร์คุณแว่นค่ะ  รออ่านตอนหน้า 
หนุ่มแว่นจะหึงออกนอกหน้ารึป่าว  อิอิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 24-07-2016 07:17:10
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 24-07-2016 19:41:27
ชอบ ๆ กันแล้ว ก็เป็นแฟนกันเถอะครับ ^_^
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 20 แปรงสีฟันจุดประเด็น 23-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 26-07-2016 08:27:53
บทที่ 21
หยุดไว้หรือไปต่อ



 “พี่อรรถอยากรู้เรื่องหลุดๆ ของใครเพิ่มอีกไหมคะ เรื่องของทั้งสามคนนี้ปลาเก็บรายละเอียดไว้หมดแล้ว”เสียงรุ่นน้องสาวเจื้อยแจ้ว ตอนนี้ทั้งไอ้เหมาและน้องปลากำลังแข่งกันขุดเรื่องน่าอายของพวกผมมาเล่าให้คุณอรรถฟังครับ ไอ้เรื่องของไอ้เหมากะคุณแว่นนี่ผมไปแปลกใจเท่าไหร่นะครับที่น้องปลารู้เพราะน้องปลาก็เรียนคณะเดียวกับคุณแว่นและไอ้เหมา แต่เรื่องผมนี่สิ ผมไม่น่าหลวมตัวเล่าให้ไอ้เหมามันฟังเลย นี่มันคงไปเล่าให้น้องปลาฟังอีกทอดแน่ๆ

นี่เป็นอีกกิจกรรมเวลาเรามีปาร์ตี้เล็กๆ แบบนี้ครับ พออาหาร เครื่องดื่มพร้อม มันก็ต้องมีบทสนทนาในวงเหล้าครับ ซึ่งปกติก็จะมีเรื่องสัพเพเหระมาคุยกัน แต่อะไรก็ไม่สนุกเท่าคุยเรื่องความหลังครับ ยิ่งพวกผมจบจากสถาบันเดียวกัน คุยเรื่องสมัยเรียนมันยิ่งช่วยให้แต่ละคนเห็นภาพและอินกับเรื่องราวได้ไม่ยาก

วันนี้ปาร์ตี้เล็กๆ ของพวกเรามีสมาชิกที่แตกต่างไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย เมื่อก่อนจะเป็น ผม เหมา แพท คุณแว่นกับชะเอม มีบ้างที่น้องปลามาด้วย หรือพี่ชาญหัวหน้าผม แต่วันนี้มีคุณอรรถเพิ่มมาด้วยอีกหนึ่งคน จริงๆ ปาร์ตี้แบบนี้ของพวกเราก็ถี่บ้าง ห่างบ้างแล้วแต่ว่าสะดวกกันขนาดไหน แล้วก็ยินดีหากใครจะชวนสมาชิกอื่นๆ มาทำความรู้จักกันเพิ่มเติม เพราะงั้นวันนี้ผมเลยชวนคุณอรรถมาด้วย

แม้ทุกคนจะรู้จักคุณอรรถกันอยู่แล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องมาร่วมสังสรรกันแบบนี้ ทำให้ทุกๆ คนต่างพยายามพูดคุยกับคุณอรรถเพื่อไม่ให้ ตัวคุณอรรถเกร็งหรือไม่สนุก ก็หายห่วงเพราะดูวันนี้ทั้งคุณอรรถและทุกคนดูสนุกสนาน เข้ากันได้ดี ยกเว้น...ก็แต่ คุณแว่น ที่ดูจะไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่ จากที่ผมแอบลอบมองเค้าหลายที วันนี้เค้าดูนิ่งผิดปกติ ทุกทีถ้าอยู่ครบสามศรีพี่น้อง คุณแว่น ไอ้เหมา และน้องปลา ทั้งสามต้องแย่งกันพูดจนคนอื่นฟังไม่ทันเลยทีเดียว

“ไม่เห็นต้องถามเลยว่าคุณอรรถจะอยากรู้เรื่องใคร จริงไหมครับคุณอรรถ”พูดจบไอ้เหมากับน้องปลาก็ทำเสียงวี๊ดวิ้วกันสองคน แน่นอนว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องมีคุณแว่นอีกคนที่จะผสมโรงไปด้วย แล้ววันนี้เค้าเป็นอะไรของเค้านะ ตอนแรกก็เห็นดีๆ อยู่นี่นา แม้จะสงสัยแต่ผมก็คงต้องเก็บความสงสัยไว้คนเดียวก่อน ผมหันมองคุณอรรถที่นั่งข้างๆ ผม เค้าไม่ต้องตอบรับหรือปฏิเสธ คำถามของไอ้เหมา เค้าแค่ยิ้มมุมปากเลยน้อย พร้อมกับเอากุ้งเผาที่เห็นเค้านั่งแกะอยู่พักใหญ่แล้ว มาวางใส่จานผม ผมบอกขอบคุณออกไป รู้สึกแปลกๆ นิดๆ เพราะไม่ค่อยชินกับการมีคนมาทำอะไรแบบนี้ให้

“เรื่องไอ้ตี้นะครับคุณอรรถมันเคยต้องวิ่งออกจากห้องเรียนไปอ๊วก เพราะเมาค้าง”นั่นไงปฏิบัติการแฉ เริ่มอีกแล้ว แต่เรื่องนี้สำหรับผมมันจิ๊บๆ ครับ ไม่สะทกสะท้านเพราะมันมีคนหนักกว่าผมในเรื่องนี้

“แต่ของมึงนี่ได้ข่าวว่าอ๊วกคาห้องเรียนนะ เรียกว่าเป็นบุรุษในตำนานให้กล่าวขานรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียว”เจอสวนดอกนี้เข้าไปไอ้เหมาถึงกับไปไม่เป็นแถมแยกเขี้ยวใส่ผมอีก

“ใคร ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้ตี้ฟัง”สะใจครับ เพราะมันคงคิดว่าผมไม่รู้เรื่องอะไรของมันตอนสมัยเรียนมากนัก เพราะมันก็หลุดเล่ามาบ้างแค่บางส่วน แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ผมรับรู้มาจากคุณแว่น คุณแว่นที่วันนี้เป็นอะไรของเค้าเนี่ย เค้าทำตัวผิดปกติ ผิดปกติจนผมรู้สึกหงุดหงิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมต้องรู้สึกหงุดหงิด แต่ผมไม่ชอบที่เค้าเป็นแบบนี้เลย

แม้จะรู้สึกหงุดหงิดไปบ้างแต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเพราะไม่อยากให้ทุกคนหมดสนุก ผมยังคงแย่งกันขุดเรื่องบ้าๆ บอๆ ของไอ้เหมามาทำสงครามกับมันอย่างไม่ลดล่ะ ตอนนี้บทสนทนาเลยกลายเป็นเรื่องของผมกับไอ้เหมาไปโดยปริยาย คนอื่นๆ ดูจะขำไปกับเรื่องที่คุยกัน ผิดกับคุณแว่นที่นานๆ จะพูดออกมาสักคำแล้วก็เอาแต่ดื่ม

“คุณชาร์ปดูดื่มหนักขนาดนี้ จะขับรถกลับไหวรึเปล่าครับเนี่ย”คุณอรรถเอ่ยถามขึ้น คงเพราะเห็นเหมือนทุกคนเห็นนั่นแหละครับว่าวันนี้คุณแว่นดื่มหนักจริงๆ เรียกว่ายกเอา ยกเอา จนน้องปลาที่ทำหน้าที่ริน รินให้ไม่ทัน ทั้งไอ้เหมาทั้งน้องปลาต่างก็ หันมาย้ำคำถามเดียวกันกับคุณอรรถ

“ถ้ากลับไม่ไหวก็คงค้างที่นี่เหมือน “เมื่อวาน” แหละครับ”คุณแว่นตอบมานิ่งๆ แต่เน้นคำว่าเมื่อวานอย่างจงใจ จนทุกคนเงียบไปกับคำพูดของเค้า เพราะทุกคนคงรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของประโยคนี้ ยิ่งคุณอรรคยิ่งดูชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนทั้งไอ้เหมา แพทที่รู้อยู่แล้วว่าคุณแว่นค้างที่นี่ ก็มีอาการไม่เข้าใจกับสิ่งที่คุณแว่นพูดเช่นกัน แน่นอนมันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเพื่อนมานอนค้างกับผมที่บ้าน และก็จะไม่แปลกอีกเช่นกันถ้าคุณแว่นพูดประโยคนี้อย่างปกติ แต่นี่น้ำเสียงที่เค้าใช้ มันทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกว่ามันต้องมีอะไร ผมกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย แต่คุณแว่นเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อนผม

“อ๋อคือเมื่อวานพวกผมไปดื่มด้วยกันมานะครับ แล้วตี้ไม่ได้เอารถไป ผมเลยมาส่ง แล้วก็เห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยขอค้างที่นี่ อีกอย่างวันนี้เราก็นัดกันที่นี่อยู่แล้วด้วย”เค้าปรับน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางมาพูดเหมือนปกติ ทั้งแพททั้งไอ้เหมาต่างช่วยรีบเสริมว่าเมื่อวานเหตุการณ์มันเป็นยังไงบ้าง เหมือนกับว่าตอนนี้ทุกคนกลัวคุณอรรถเข้าใจผิดเรื่องผมกับคุณแว่นกันอยู่

“งั้นแบบนี้ถ้าผมเมาแล้วกลับไม่ไหว ตี้จะให้ผมค้างที่นี่ด้วยบ้างได้รึเปล่าน้า”เค้าทำเป็นพูดเล่น กับไอ้เหมา แต่หันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม จนไอ้เหมาและน้องปลาโห่แซว ผมเลยตอบกลับไปอย่างนึกสนุก

“ค้างได้สิครับ บ้านผมมีหลายห้อง”

“นอนห้องเดียวกันก็ได้ครับ จะได้ไม่ลำบากต้องจัดห้องให้ใหม่”พอคุณอรรถพูดจบ เสียงไอ้เหมากับน้องปลาก็ตามมาอีกเช่นเดิมครับ

“แต่ผมนอนดิ้นนะครับ”ผมแกล้งตอบกลับไปขำๆ อย่างไม่ได้คิดอะไร

“ตี้ไม่เห็นจะนอนดิ้นเลย”ทุกคนหันไปมองคุณแว่นเป็นตาเดียว เพราะถ้าให้ตีความจากคำพูดของเค้ามันก็ตีความได้ไม่ยากว่าไอ้ที่เค้าพูดหมายถึงการที่เค้านอนค้างบ้านผมนั้น เค้านอนเตียงเดียวกับผมชัดๆ

“ใช่ไอ้ตี้ มึงอย่าไปอำคุณอรรถดิ ตอนกูมาค้างกับมึงไม่เห็นมึงจะนอนดิ้นอะไรเลย กูเห็นนิ่งยังกะนอนตาย”ถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง นี่ผมกำลังคิดว่าไอ้เหมากำลังช่วยแก้สถานการณ์นี้ให้ผมอยู่ เพราะดูบรรยากาศตอนนี้มันเริ่มอึมครึมแปลกๆ ตอนนี้เลยเหมือนทุกคนพยายามเปลี่ยนบทสนทนา ชวนกันคุยเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการนอนของผม คุณอรรถเองแม้จะดูยังคาใจกับคำพูดของคุณแว่น แต่ดูคุณอรรถก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรอีก

“ผมว่าเรายังขาดเสียงเพลง เเรามาเพิ่มบรรยากาศกันอีกหน่อยดีกว่า”ไอ้เหมาเสนอก่อนจะ ลุกไปเปิดรถ หยิบกีตาร์ติดมือกลับมาด้วย

“จัดมาครับใครอยากร้อง อยากฟังเพลงอะไรวันนี้พี่เหมาจัดให้ได้ทุกเพลงครับ”บรรยากาศกลับมาสนุกสนานอีกครั้ง เรื่องเล่นกีตาร์นี่ต้องยกให้ไอ้เหมามันครับ เล่นได้แทบทุกเพลงจริงๆ ขอแค่เป็นเพลงที่มันเคยผ่านหู หรือถ้ามันไม่เคยฟัง แต่ถ้าเราสามารถฮัมเพลงนั่นให้มันจับจังหวะได้ ไอ้เหมาก็สามารถครับ เล่นได้หมด แต่อย่าไปบอกชื่อเพลงให้มันเล่นนะครับ ไอ้นี่ไม่ค่อยจำชื่อเพลง แต่ถ้าบอกเนื้อร้องขึ้นมามันจะรู้จักทันที

ไอ้เหมารับหน้าที่เล่นกีตาร์เป็นหลักครับ ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันประสานไปมาอย่างสนุกสนาน จบเพลงบ้าง ล่มกลางเพลงบ้าง เล่นได้แค่ท่อนฮุคบ้าง ก็ขำๆ กันไป

“คุณอรรถลองสักเพลงไหมครับ”ไอ้เหมายื่นกีตาร์ให้คุณอรรถ ซึ่งตอนแรกคุณอรรถออกตัวปฏิเสธว่าเล่นไม่เก่งเท่าไอ้เหมา แถมไม่ได้เล่นมานานแล้ว แต่ไอ้เหมาขอร้องแกมยัดเยียดเพราะมันปวดฉี่ ต้องไปเข้าห้องน้ำ คุณอรรถเลยรับไปอย่างเสียไม่ได้ แต่คุณอรรถต้องขอตัวช่วยเพิ่มนิดหน่อย เป็นไอแพดของผมเอง เพื่อไปกูเกิ้ลหาคอร์ด เพลงที่คุณอรรถจะร้อง

“...สุดท้ายแล้วเราจะเป็นคนรักหรือเป็นแค่คนรู้จัก
ช่วยบอกสักครั้ง บอกให้ฉันหยุดทรมาน
จุดหมายของเราที่เดียวกันไหม หรือเพียงร่วมทางแค่ชั่วคราว
โปรดบอกกันทีว่าควรจะหวัง...ได้แค่ไหน..”

“ฝีมือขนาดนี้ไม่น่าถ่อมตัวเลยนะครับคุณอรรถ”ไอ้เหมาที่มาทันท่อนสุดท้ายของเพลงพอดี กล่าวชมขึ้นก่อนจะรับกีตาร์ที่คุณอรรถส่งคืนให้

“ว่าแต่เพลงที่จบไปเนี่ย เป็นการขอคำตอบใครรึเปล่าครับ”จนได้สิเนี่ยไอ้เหมา ผมอุตส่าห์พยายามไม่คิดแล้วเชียว ยังจะมาย้ำอีก ตอนแรกก็ไม่อะไรนะครับ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ คุณอรรถแม่งก็จ้องผมด้วยสายตาแฝงความนัยเหลือเกิน นี่ถ้าไอ้เหมาอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบเพลงนี้ มีหวัง บิ้วผมมากกว่านี้แน่ๆ คุณอรรถไม่ได้ตอบคำถามของไอ้เหมา เค้าเพียงยิ้มรับโดยไม่ได้ปฏิเสธเท่านั้นเอง

“เฮ้ยกูเล่นบ้างดิ”คุณแว่นที่วันนี้ดูไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับปาร์ตี้วันนี้สักเท่าไหร่ เอ่ยขึ้นแล้วเค้าก็เอื้อมมือไปแย่งกีตาร์จากไอ้เหมา ก่อนจะเริ่มเล่น เค้าเลือกเล่นเพลงเก่าที่ดูเค้าจะอินกับเพลงเป็นพิเศษ

“...สองรัก ฉันรับไม่ไหว เธอมีหนึ่งใจ ให้ไปตั้ง
สองรัก ทั้งเขาและฉัน ฝันไปหรือเธอ
มีใคร ยอมทนบ้างไหม ลืมตาตื่นมาสักทีเถอะ
สองหัวจิตหัวใจอย่างนี้ เลือกสักทีเถอะ เอาสักทาง...”

“เพื่อนชาร์ป นี่ไม่ใช่ชีวิตจริงถูกม่ะ เลิกกันไปแล้วก็หาใหม่ อย่าเก็บมาคิดให้เสียเวลาอีกเลยว่ะ”ไอ้เหมาบอกยิ้มๆ อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถึงแม้จะคิดว่าเพลงนี้คุณแว่น ร้องเพื่อมอบให้ชะเอม แต่มันก็เป็นเรื่องที่จบไปนานพอควร จนผมเองก็คงคิดไม่ต่างกับไอ้เหมาที่คิดว่าคุณแว่นน่าจะทำใจได้แล้ว แต่คุณแว่นกลับทำหน้าเรียบเฉยก่อนจะขอตัว แยกออกไปสูบบุหรี่ ให้ห่างจากที่พวกเรานั่งกันอยู่

“มึงตามไปดูหน่อยดิไอ้เหมา”ผมบอกไอ้เหมา ที่ชี้หน้าตัวเองพร้อมทำปากว่า “ทำไมต้องเป็นกู” แต่สุดท้ายมันก็หยิบบุหรี่ตามไป

“ตี้จะนั่งกันต่ออีกเปล่า พอดีเราว่าอีกสักพักจะกลับแล้ว ไม่อยากให้ดึกมาก”ผมยกข้อมือดูนาฬิกาทันทีที่แพทถามผม นี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เลยตัดสินใจว่าสลายตัวน่าจะดีกว่าเพราะถ้าแพทกลับ นั่นหมายความว่าไอ้เหมาต้องกลับ แถมด้วยน้องปลาอีกคนที่ไอ้เหมาต้องไปส่ง

ผมเดินออกมาส่งคุณอรรถที่บอกลาแพทกับน้องปลา แล้วมาบอกไอ้เหมากะคุณแว่น

“ขับรถไหว แน่นะครับ”ผมถามเพื่อความชัวร์เพราะเค้าก็ดื่มไปพอสมควรเหมือนกัน แต่เค้าก็ยืนยันว่าขับไหว แน่นอน แต่อาการเค้าเองก็ไม่ได้ดูเมาเท่าไหร่หรอกครับ

“ขอบคุณนะครับที่ชวนมาด้วย วันนี้ แล้วก็อย่าลืมคิดทบทวนกับเพลงที่ผมร้องให้วันนี้นะครับ ไว้จะขอคำตอบอีกที”พูดจบก็เดินออกไป ไม่รอให้ผมได้ตั้งตัวอะไรเลย ผมได้แต่ตะโกนบอกให้เค้าขับรถดีๆ ถ้าถึงแล้วก็ไลน์มาบอกด้วย ว่าแต่ไอ้ที่เค้าจะขอคำตอบผมนี่ หรือมันถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินในเรื่องนี้แล้ว

ผมยังไม่ทันได้คิดอะไรอีกเพราะต้องส่งคนอื่นๆ กลับอีก ผมบอกแพทกับน้องปลาที่ยังช่วยกันเก็บแก้ว ช้อน จาน ชาม ว่าไว้ให้ผมทำเองพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะถ้าปล่อยให้สาวๆ เก็บจนเสร็จคงจะยิ่งดึกเข้าไปอีก

“ขับรถดีๆ เจอกันๆ”ผมบอกลาพวกไอ้เหมา ก่อนจะหันมามองอีกคนที่เดินขึ้นรถไป ทีแรกผมนึกว่าเค้าจะค้างที่นี่เสียอีก แต่ถ้าค้างจริงๆ ก็คงต้องอธิบายให้ไอ้เหมาฟังอีกยาวแน่นอนครับ ผมมองรถของคุณแว่นที่ออกไปเป็นคันสุดท้าย ก่อนจะปิดรั้ว เดินเข้าบ้าน กะว่าคงจะอาบน้ำแล้วนอนเลย

ในระหว่างที่ผมกำลังจะอาบน้ำ ก็ได้ยินเหมือนเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน ทำให้ผมต้องสวมเสื้อคลุมเดินไปเปิดม่านดู สิ่งที่ผมเห็นทำเอาแปลกใจนิดหน่อย ที่เห็นคุณแว่นกำลังเปิดประตูรั้ว ก่อนจะขับรถเข้ามาจอดในบ้าน

“ทำไมเปลี่ยนใจกลับมา”ผมถามออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“ไม่ได้คิดจะกลับตั้งแต่แรก แค่ออกไปเพื่อไม่ให้ไอ้เหมามันสงสัยเฉยๆ”ว่าแต่ผมกังวลมากไปที่กลัวไอ้เหมาจะรู้เรื่องระหว่างเรา แต่เค้าก็ระแวงกลัวไอ้เหมารู้เหมือนกันแหละ

เค้าถอดเสื้อ กางเกง จนเหลือแต่บอกเซอร์ก่อนจะเดินมาหาผม แล้วก้มกระซิบข้างๆ หู “อาบน้ำกัน” ผมรู้ในทันทีว่ามันคงไม่ใช่แค่การอาบน้ำเฉยๆ แน่นอน มันเหมือนหลายๆ ครั้งที่เราอาบด้วยกัน เราต่างถึงจุดหมายกันไปคนละหนึ่งครั้งในห้องน้ำ และอีกคนละหนึ่งที่เตียงนอน

“ทำไมวันนี้ต้องพูดแปลกๆ ด้วย”ผมถามออกไปตามตรง แม้ไม่ได้อธิบายให้ละเอียดแต่ผมคิดว่าเค้าใจ ว่าผมหมายถึงสิ่งที่เค้าพยายามพูดให้คุณอรรถเข้าใจผิด หรือจริงๆ อาจจะเข้าใจถูกก็เป็นได้ เค้าไม่ได้ตอบผมแต่เอื้อมมือมาลูบที่ต้นแขนผม ตอนนี้ร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน มีผ้าห่มผืนนึงคลุมตั้งแต่ช่วงเอวของเราลงไป

“ไม่อยากให้เราคบกับคุณอรรถเหรอ”ผมไม่อยากจะทึกทักเอาเองหรอกนะครับ ว่านี่เค้ากำลังหวงผม

“แล้วตี้ตัดสินใจแล้วเหรอว่าจะคบคุณเซลล์นี่”คำถามของผมไม่ได้รับคำตอบ แต่กลับได้รับการตั้งคำถามจากเค้าแทน สายตาเค้ายังจ้องมองผมนิ่ง แต่มือของเค้าค่อยๆ เลื่อนจากต้นแขนมาที่ลำคำ พลิกหลังมือถูที่แก้มผมเบาๆ ถูซ้ำไปซ้ำมา

“ชาร์ปละ ช่วงนี้ได้คุยๆ กับใครอยู่บ้างหรือเปล่า”ดูเหมือนตอนนี้ทั้งผมและเค้ากำลังเล่นเกมกันอยู่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับแข่งกันตั้งคำถามกลับไปกลับมา เค้าละมือจากใบหน้าผมเปลี่ยนเป็นใช้มือดึงร่างผมให้ชิดเข้าหาเค้ามากกว่าเดิม จนตอนนี้ตัวเราแทบจะแนบกัน จมูกชนจมูก

“ตี้จะรู้สึกยังไง ถ้ารู้ว่าเราคุยๆ กับคนอื่นอยู่”และเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบจากผม เพราะเค้ากดริมฝีปากของเค้าเองมาประกบที่ปากผม ก่อนจะค่อยๆ ดันลิ้นเข้ามาในปากของผม ลิ้นพยายามเข้ามาพันเกี่ยวกับลิ้นของผม แล้วมีเหรอที่ผมจะยอมแพ้ ผมจูบตอบอยู่เนินนาน มันเป็นจูบที่ให้ความรู้สึก ปนเปกันอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้ว่าเราต่างต้องการความสุขทางกายร่วมกัน แต่บางครั้งผมก็คิดว่าผมจะทำได้จริงๆ เหรอ ที่จะไม่คิดอะไรเลย ไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่เราสองคนกำลังทำอยู่ ความสัมพันธ์ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันดีแล้ว จริงๆ เหรอ

“ที่ร้องเพลงวันนี้เพราะยังนึกถึงชะเอมอยู่เหรอ”หลังจากเค้าถอนปากออกและสูดอากาศเข้าไปจนหายใจได้ปกติ ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับเค้าอีกครั้ง

รอบนี้เค้าไม่ได้ตั้งคำถามกลับมาแต่เค้ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ ว่าไม่ใช่อย่างที่ผมถาม มือเค้าที่กอดกระชับร่างผม ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ จนถึงบั้นท้ายผม ก่อนขย้ำเบาๆ สองสามทีพร้อมๆ กับที่ปลายจมูกของเค้าที่ค่อยๆ กดลงมาที่ซอกคอผม แน่นอนว่าไม่มีคำถามโต้กลับไปมาระหว่างเราอีก เพราะภาษากายของเรากำลังจะเริ่มขึ้นอีกรอบแล้ว






แวะมาต่อคร๊าบ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ใกล้จะถึงจุดเปลี่ยนเข้าไปทุกทีแล้ววว


หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 26-07-2016 13:05:53
ไม่น่ารอดนะเอาจิงงง  :sad4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-07-2016 21:19:38
สงสารคุณแว่นอ่ะ  เพลงที่คุณแว่นร้อง  สะเทือนใจมาก
เมื่อไหร่ตี้กับคุณแว่นจะยอมรับกันซะที  ว่าความผูกพันมันกลายเป็นความรักแล้ว
เชียร์คุณแว่นอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: จั๊กหล่ะ ที่ 27-07-2016 23:19:44
ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Wanatsuda ที่ 28-07-2016 08:22:32
ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ มากๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-07-2016 09:29:08
คุณแว่น ตี้ คุยกันจริงๆจังๆ เถอะ
คุยกันนอกรอบ นอกเวลาสกินชิพ
น่าจะรู้ใจตัวเองกันแล้ว แต่ไม่แน่ใจอีกฝ่าย
เชียร์ ชาร์ป ตี้
แต่่คุณอรรถ ก็รุกตลอด น่าจะมีบทบาทมากกว่านี้อีก
คงเฉลียวใจคุณชาร์ป ตี้แล้วล่ะ
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 21 หยุดไว้หรือไปต่อ 26-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-07-2016 15:01:57
บทที่ 22
ฝืน




“กูว่าไอ้แว่นแม่งต้องกำลังจีบใครแน่ๆ”ผมคนถ้วยกาแฟในมือ พลางคิดถึงอีกคนที่ไอ้เหมาพูดถึง อีกคนที่ผมไม่ได้เจอมาพักใหญ่แล้ว จากวันที่ผมถามคำถามนั้นออกไป



“ชาร์ปยังอยากแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกใช่ไหม”แม้ผมจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องถามย้ำเค้าออกไป ซึ่งแน่นอนว่าเค้าพยักหน้าตอบรับกับคำถามของผม ผมมองเค้าที่ยืนอยู่ริมระเบียง ในมือคีบบุหรี่ สายตาทอดมองไกลออกไปเหมือนกำลังใช้ความคิด

“แล้วตอนนี้เริ่มมองใครรึยัง”เค้าเงียบไม่ตอบอะไรผม โดยที่ยังยืนพ่นควันอยู่ที่เดิม ผมเริ่มคิดทบทวนในความสัมพันธ์ของเราสองคน เพราะตอนนี้ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับเค้า จริงอยู่ที่ผมสามารถมีเซกส์ได้โดยไม่ได้รักใคร แต่การที่มีอะไรกันซ้ำๆ บ่อยๆ แบบนี้แทนที่มันจะทำให้ผมเบื่อ มันกลับกลายเป็นว่าผมเริ่มมีความผูกพันธ์ เพราะทั้งผมและคุณแว่นแม้หลักๆ เวลาเราเจอกันจะด้วยเรื่องเซกส์เป็นหลัก ทว่าแต่ละครั้งที่ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน บางครั้งมันก็ทำให้ผมเผลอลืมตัวไปว่า เราใช้ชีวิตด้วยกันที่ไม่ใช่แค่ sex friends ผมรู้สึกมาพักนึงแล้ว เพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับเท่านั้นเอง

“เราหยุดทำแบบนี้กันเถอะ”เค้าเพียงหันมายิ้มมุมปากให้ผม อย่างไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของผม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดในลักษณะนี้ ผมเคยบอกแบบนี้มาแล้วแต่สุดท้าย ผมกับเค้าก็ยังคงทำแบบเดิม แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว

“เราว่าจะลองคบกับคุณอรรถ”ใช่แล้วครับผมควรเลือกในเส้นทางที่มันเหมาะกับผมจะดีกว่า แม้ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณอรรถมากนัก หรือถ้าลองคบแล้ววันนึงมันไม่ใช่จริงๆ ผมว่าผมเองน่าจะทำใจยอมรับได้ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่น ผมว่ายิ่งผมถลำลึกลงไปมากเท่าไหร่ ก็คงจะมีแค่ผมเองที่จะยิ่งเจ็บ

“รอบนี้ เราต้องเชื่อไหม”เค้าเดินกลับเข้ามานั่งลงข้างๆ ผม จ้องมองหน้าผมยิ้มๆ เหมือนยังไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของผม นี่ผมกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“รอบนี้พูดจริงๆ ซีเรียสด้วย”เค้าพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

“เราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันธรรมดา เหมือนเดิม”ผมย้ำ อีกครั้ง บางแวปผมก็อยากให้เค้าแย้งคำพูดของผมบ้างนะครับแม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราก็ตกลงทำความเข้าใจกันตั้งแต่แรก เค้ายอมรับสิ่งที่ผมบอกได้อย่างง่ายดาย



“วันก่อน แม่งโทรมาถามแพทเรื่องเลือกรองเท้าผู้หญิง”เสียงของไอ้เหมา ดึงผมกลับมาสู่ปัจจุบัน แม้ในใจจะรู้สึกหวิวๆ อยู่บ้างที่ได้ยินไอ้เหมาพูดแบบนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่แล้ว ว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ความสัมพันธ์ sex friends ของเราทั้งคู่คงจบลงแค่นี้ ก็ดีเหมือนกันที่ผมจะไม่ถลำไปมากกว่านี้

“กูละอยากรู้จริงๆ ว่ามันกำลังจีบใคร”เรื่องชาวบ้านคืองานของเหมาโดยแท้ครับ ผมทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีของไอ้เหมา เพราะไม่รู้จะแสดงความเห็นอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้น ผมยังไม่ได้เจอเค้าเลย นี่ก็เกือบจะสองเดือนแล้ว คุณแว่นเองที่ทำงานต่างจังหวัดบ่อยขึ้นในช่วงนี้ หรือผมเองที่หลังๆ มักจะให้เวลากับคุณอรรถมากกว่าเพื่อนๆ มันเลยทำให้ทั้งผมและเค้าสวนกันแทบทุกครั้งที่ไอ้เหมาชวนไปดื่ม หรือสังสรรค์กัน

“แล้วมึงละ เป็นไง ไปถึงไหนกันแล้วกับคุณเซลล์หน้าหล่อของมึง”ผมกับคุณอรรถเหรอครับ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นยังไง คือเราก็มีไป กินข้าว ดูหนัง เดินห้าง หรือทำอาหารกินที่บ้านเค้าบ้าง มันก็ดี แต่มันดีจนราบเรียบไปหมด ดูมันไม่มีปัญหา อุปสรรคอะไรเลย ผมเคยคิดนะว่าถ้ามีแฟนแล้วไม่งี่เง่าง๊องแง้งใส่กันมันต้องดีมากๆ แน่ๆ แต่ตอนนี้ผมได้เจอแบบนั้นแล้ว รู้สึกได้เลยว่ามันดูเป็นชีวิตที่น่าเบื่อไม่น้อยเลยทีเดียว

“ก็ดีมั้ง”ผมยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ บอกกับไอ้เหมาไป แต่ไอ้เหมาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย ก็แน่ละสิ ปากผมบอกไปว่าก็ดี แต่หน้าตาผม มันไม่ได้รู้สึกว่าดีตามคำพูด

“ไม่เวิร์คเหรอวะ”ไอ้เหมาหันมาถามอย่างสนใจ

“บอกไม่ถูกวะ คือเค้าก็ดีแหละ ดีกับกูทุกอย่าง ดีจนกูรู้สึกว่ามากไป  ถ้าเป็นแบบตอนแรกๆ ที่เค้ากวนตีนกู อาจจะดีกว่า”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เค้าดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง อยู่หรือเปล่า

“มึงนี่ก็เยอะ แต่ก่อนกูจำได้ว่ามึงเคยบ่นแฟนเก่าๆ มึงให้ฟังว่าทนนิสัยแย่ๆ ของพวกนั้นไม่ได้ มาตอนนี้จะไม่ชอบแฟนที่ดีเกินไปอีก เลือกเอาสักทางไหมครับคุณเพื่อน”มันก็จริงอย่างไอ้เหมาว่าแหละครับ ปัญหามันอาจมาจากผมเองนี่แหละ

“ช่างเหอะ”ผมบอกปัด

“งั้นกลับมาเรื่องไอ้แว่น เสาร์นี้นัดมันดื่มดีไหม จะได้เค้นมันเรื่องสาว”ผมส่ายหน้าหน่ายๆ ให้กับไอ้เหมา ช่วงก่อนหน้านี้ก็จับผิดผมกับคุณแว่น พอมาตอนนี้คุณแว่นจะมีแฟนก็ยังเหมือนเดิมที่จะต้องสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเค้าอีก

“เค้าพร้อมเมื่อไหร่ เค้าก็พามาแนะนำเองแหละ จะไปเค้นเค้าทำไม”พอพูดถึงเค้าทีไร ไม่รู้ทำไมภาพเวลาที่ผมและเค้าอยู่ด้วยกันมักจะผุดขี้นมาในหัวทุกที แต่ถ้าตอนนี้เค้าจะมีแฟนมันก็ดีแล้วแหละ ผมเองก็ตัดสินใจคบคุณอรรถแล้ว เราก็จะได้กลับไปเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจขึ้น แม้ระหว่างเราสองคนอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยก็เถอะ

“แล้วตกลงไปไหม เสาร์นี้อ่ะ”เหมือนไอ้เหมาจะไม่ได้สนใจ คำพูดของผมสักเท่าไหร่

“ไม่ว่างวะ กูนัดกะอรรถเค้าไว้ ว่าจะไปทะเลกัน”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะเสาร์นี้ผมนัดกับคุณอรรถไว้แล้ว และผมก็หวังว่าการไปทะเลครั้งนี้จะทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้ามันจะดีขึ้น

“มีแฟนละลืมเพื่อนตลอด”ไอ้เหมาแซวอย่างไม่จริงจังนักก่อนเราสองคนจะแยกย้ายกันกลับไปทำงาน






แล้วเวลาที่ผมกังวลก็มาถึง วันนี้ผมกับคุณอรรถเดินทางมาที่หัวหิน เราถึงกันตั้งแต่บ่ายแล้ว เช็คอินเข้าโรงแรง เล่นน้ำกันนิดหน่อย ตกเย็นก็ทานข้าว ดื่มกันไปอีกคนละนิด จนตอนนี้ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนอยู่ที่เตียงเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกคนยังอยู่ในห้องน้ำ ก็รู้นะครับว่าเป็นแฟนกันแล้ว และผมยอมมาค้างกับเค้าขนาดนี้มันหมายความว่ายังไง

ผมนอนตะแคงหันหลังให้ฝั่งที่ว่างของเตียง ไม่นานนักผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงข้างๆ ผม แขนของเค้าเอื้อมมากอดผม ผมสูดลมหายใจก่อนจะค่อยๆ พลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเค้า ซึ่งตอนนี้ระยะห่างระหว่างผมกับเค้าก็เพียงนิดเดียว นิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกคน

“อือ..อึม”ผมส่งเสียงออกมาเล็กน้อยเมื่อเค้าประกบริมฝีฝากเข้ามา แต่แทนที่ผมจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มกับรสจูบนี้ ผมกับไม่รู้สึกหวาบหวามอะไรเลย ทั้งที่บรรยากาศก็เป็นใจ ผู้ชายตรงหน้านี้ก็ไม่ได้มีที่ติอะไร แต่ทำไมผมไม่มีอารมณ์เลยละเนี่ย ที่ผมทำได้ตอนนี้คือพยายามจูบตอบเค้า ในเมื่อผมตกลงคบกับเค้าแล้วผมก็ไม่อยากให้เค้ารู้สึกแย่กับครั้งแรกระหว่างเรา

แน่นอนว่าเค้าต้องมีความต้องการเรื่องนี้อยู่แล้ว ผมเองก็ไม่ใช่คนไร้เดียงสาอะไร ใช่ว่าจะเพิ่งเคยมีเซกส์เสียเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเกร็ง เกร็งเพราะไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ มือของเค้าเริ่มสอดเข้ามาใต้เสื้อของผม เค้าพลิกขึ้นมาคร่อมผมไว้ เค้ารวบข้อมือผมขึ้นก่อนจะดึงเสื้อผมตามออกไป ทำให้ตอนนี้ ด้านบนผมเปลือยเปล่า ส่วนเค้าเองเหมือนว่าภายใต้ชุดคลุมนั้น น่าจะไม่ได้ใส่อะไรอีก

เค้าก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง พร้อมกับดึงเสื้อคลุมของตัวเค้าเองออก ผมหลับตานิ่ง เริ่มคิดว่าผมควรหยุดแค่นี้หรือปล่อยให้เค้าทำให้มันจบๆ ไป เค้าถอนริมฝีปากออก ก่อนจะย้ายมากดลงที่ซอกคอผม ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ยอดอก ตอนนี้มือของเค้ากำลังเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ ลูบวนที่ท้องน้อย ต่ำลง ต่ำลงจนถึงขอบกางเกงนอนขอบผม

“พอเถอะ”ผมคว้ามือเค้าไว้ก่อนที่จะล้วงเข้าไปใต้กางเกงของผม เค้าชะงักไปเล็กน้อย และคงกำลังไม่เข้าใจปฏิกิริยาของผม

“ทำไม”ผมค่อยๆ ดันตัวเค้าออกเพื่อลุกขึ้นนั่ง และหันหน้าหนีจากเค้าที่แทบจะเปลือยทั้งตัวก็ว่าได้

“มันเร็วไปเหรอ”เค้าหันมาถามอีกครั้งเสียงราบเรียบ มันไม่ใช่เร็วไปหรือช้าไป เพราะการที่ผมยอมมามันก็เหมือนการยินยอมที่จะให้เหตุการณ์นี้เกิดขี้นอยู่แล้ว ตอนนี้ในใจของผมมันกลับรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ผิดที่ตกลงเป็นแฟนกับเค้า ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ให้ใจเค้าไปเต็มที่ แถมยังรู้สึกว่ามีอีกคนเข้ามาติดค้างในใจอีกต่างหาก

“ขอโทษ...”ผมจบคำพูดไว้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดคำไหนออกไป กลัวว่ายิ่งพูดสถานการณ์มันจะยิ่งแย่ หรือไปทำร้ายความรู้สึกของเค้ามากไปกว่านี้ เค้าหยิบเสื้อคลุมมาสวม หยิบฉวยบุหรี่ที่วางอยู่ใกล้ๆ เดินออกไปที่ระเบียง ผมถอนหายใจยาวเอื้อมมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ทำไมผมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่ชอบที่เป็นแบบนี้เลย

ผมมองอีกคนที่คงกำลังจัดการกับอารมณ์ของตัวเค้าเอง ใจนึงก็อยากเดินออกไปคุยกับเค้า อยากช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้น แต่อีกใจก็รู้สึกว่าเค้าอาจจะต้องการพื้นที่ส่วนตัว ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมนั่งมองแผ่นหลังของเค้าจากตรงนี้ เค้ายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกจุดและกดทิ้งลงในที่เขี่ย

“อรรถ...โอเครึเปล่า”ผมเอ่ยถามทันทีที่เค้าเดินกลับเข้ามา เค้ายิ้มจางๆ ให้ผม แต่ดูเป็นยิ้มที่ซ่อนความผิดหวังเอาไว้

“นอนเถอะ...ดึกแล้ว”เค้าก้าวขึ้นเตียงนอน จัดหมอนทั้งสองใบให้เข้าที่ ตบเบาๆ ที่หมอนของผม เป็นการเรียกให้ผมล้มตัวลงนอน เราทั้งคู่นอนลงโดยหันหน้าเข้าหากัน

“อรรถรอได้”เค้าบอกพร้อมกับยิ้มให้ผมอีกครั้ง แต่กลับเป็นผมเองที่ยิ่งรู้สึกผิดกับเค้า ผมค่อยๆ ขยับชิดเข้าหาเค้า ซบลงที่หน้าอก ก่อนจะปิดเปลือกตาลง มือของเค้าเอื้อมมากอดกระชับผมเข้าหา แล้วผมก็หลับไปกับอ้อมกอดนั้น



เช้านี้ผมตื่นมาพบว่าอีกคนลุกออกจากห้องไปแล้ว มีเพียงโน้ตแปะไว้ว่า ขอลงไปเดินเล่นที่ชายหาด เห็นผมหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก ผมลุกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย คุณอรรถกลับขึ้นมาหลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เราสองคนลงไปทานอาหารเช้าของทางโรงแรมที่จัดไว้ให้ จากนั้นก็เก็บของมุ่งตรงกลับเข้ากรุงเทพฯ จากที่ผมคิดว่าการมาครั้งนี้จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของเราสองคน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันกลับยิ่งแย่ลงไปอีก ระหว่างทางของการเดินทางกลับผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัดเล็กๆ ของเราทั้งคู่ ผมถึงบ้านในช่วงบ่ายๆ รู้สึกไม่อยากอยู่คนเดียวเลยให้ตายสิ และเหมือนเพื่อนอย่างไอ้เหมาจะมีญาณทิพย์จริงๆ เพราะข้อความในไลน์ที่มันส่งมาถึงผม

“กลับจากฮันนีมูนรึยังครับเพื่อนตี้ เย็นนี้กูนัดดื่มกับไอ้แว่น ถ้ามาไหวก็เจอกันนะ”
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Melonlove ที่ 28-07-2016 15:11:52
มัยมันซ้ำ หว่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-07-2016 15:56:29
มีลงเรื่องซ้ำตอนแรกๆ อยู่ประมาณ 20 ช่วงย่อหน้านะ :mew1: :mew1: :mew1:
"ชาร์ปยังอยากแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกใช่ไหม”
ถึง “มีแฟนละลืมเพื่อนตลอด”

ชาร์ป ไม่ได้เป็นเกย์ตั้งแต่แรก
ไม่ผิดที่ตัวชาร์ป  ยังอยากแต่งงาน มีครอบครัว มี ลูก
แต่ก็ยังจะคบตี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่แฟร์กับตี้
ตี้ ทำถูกแล้ว ที่บอกชาร์ปตรงๆ ว่า จะลองคบ อรรถ
เพราะตี้ เริ่มไหวหวั่นกับชาร์ปไปแล้ว ยิ่งนานจะยิ่งเจ็บ เจ็บคนเดียว :katai1: :katai1: :katai1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-07-2016 16:19:17
แก้แล้วนะคร๊าบบบบ

โทษที พอดีไม่ได้เช็คไฟล์

ตอนนี้ตี้หวั่นไหวแล้ว

แต่ชาร์ปจะคิดยังไงในใจ ก็ต้องรอติดตามกันต่อนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-07-2016 21:29:09
ปวดหัวแทนตี้กับชาร์ปจริงๆ
งื้ออออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 28-07-2016 23:39:41
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 29-07-2016 00:30:23
หมั่นไส้อิคุณแว่นนนน
จะรักหรือจะกั๊กก ฮึ่ยๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 22 ฝืน 28-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-07-2016 10:40:30
บทที่ 23
เปรียบเทียบ



“เมื่อวานมึงก็นัดกันไม่ใช่เหรอ”นั่งไปสักพัก ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมปฏิเสธคำชวนในคืนวันเสาร์ เพราะผมไปค้างหัวหินแล้วคืนวันอาทิตย์แบบนี้ ยังจะมานัดกันซ้ำอีกทำไม ตอนนี้ผมมานั่งที่ร้านประจำของพวกเรากับไอ้เหมาเป็นที่เรียบร้อย ไอ้เหมาฉายเดี่ยวเพราะแพทกลับไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัด ส่วนอีกคนยังมาไม่ถึง

“เมื่อวานไอ้แว่นแม่งเบี้ยวกู สงสัยแม่งมีสาวแล้วจริงๆ ชัวร์ แต่นัดวันนี้ก็ดี วันอาทิตย์ร้านเค้ามีโปรเบียร์สด 1 แถม 1 แต่ต้องสั่งก่อนสี่ทุ่ม เพราะงั้นสปีดให้ไวเลยนะมึง”คุณแว่นมีสาวแล้ว มันก็ดีแล้วนี่เนอะ ยังไงเค้าก็ต้องเลือกทางนี้อยู่แล้วนิ ผมย้ำกับตัวเองให้ไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่านี้ ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มยิ้มขำกับตัวเอง ขำที่เคยมั่นใจว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้า ขำที่เป็นคนเอาตัวเองเข้าไปเล่นกับความรู้สึกแบบนี้

“เดี๋ยวๆ กูไม่ได้ให้มึงยกแก้วชนแก้วขนาดนี้ เดี๋ยวแม่งพรุ่งนี้ก็ไปทำงานไม่ไหวหรอกมึง”ไอ้เหมาที่ตอนแรกให้ผมเร่งสปีดการดื่ม แต่ตอนนี้กลับมาปรามไม่ให้ผมดื่มหนักมากซะงั้น

“ไปไม่ไหวก็ลาสิครับเพื่อนเหมา ช่วงนี้งานกูไม่ค่อยมีไร แถมวันลาก็เหลือเยอะ”ผมตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี เพราะนี่ก็กะว่าจะลางานอยู่เหมือนกัน รู้สึกอยากนอนพักนิ่งๆ สักวัน

“เมื่อไหร่ไอ้แว่นจะมาสักทีว่ะ นี่ไม่ใช่แอบเบี้ยวอีกนะเนี่ย”ไอ้เหมาเริ่มบ่นอีกคน ที่ผมเห็นแล้วว่ากำลังเดินมาทางด้านหลังของไอ้เหมา เค้าหันมาสบตาพร้อมยิ้มทักทายผม ผมยิ้มตอบจนไอ้เหมาต้องหันกลับไปมอง เค้ากล่าวทักทายผมและไอ้เหมา ก่อนจะเลิกนั่งลงฝั่งเดียวกับไอ้เหมา

“อ่ะ อ่ะ อ่ะ พอต่างคนต่างมีแฟนนี่ไม่ยอมนั่งข้างกันเหมือนแต่ก่อนเลยน้า”ไอ้เหมาเอ่ยแซวตามประสา แต่ก็ทำเอาผมชะงักไปนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไรกับไอ้เหมา ผมยกแก้วขอชนกับอีกสองคน ก่อนจะดื่มจนหมดแก้ว

“พร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้ว ทีนี้ก็มาถึงช่วงล้วงลับชีวิตรักของพวกมึง เริ่มจากมึงก่อนเลยไอ้ตี้”ไอ้เหมาพูดพร้อมกับเดินอ้อมมานั่งข้างผม ผมถอยห่างออกอย่างระแวง เพราะไม่คิดว่าการที่มันย้ายมานั่งข้างผมจะมาแค่ตั้งคำถามเฉยๆ

“ไอ้เชี่ย ทำไรเนี่ย”ผมรีบผลักมันออก เพราะไอ้เหมาเล่นมาดึคอเสื้อผม

“ชัดเลย ไม่ต้องสืบต่อ”ผมแทบจะรู้ทันทีว่าไอ้เหมา มันเห็นอะไร จริงอยู่ว่าผมไม่ได้มีอะไรกับคุณอรรถลึกซึ้ง แต่รอยจูบทั้งแถวๆ ซอกคอ ตามตัวผม มันก็ยังพอมองเห็นอยู่ ตอนอาบน้ำผมก็พอเห็นแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมาเปิดดูใต้ร่มผ้าของผมขนาดนี้

“มึงนี่แมร่ง ไม่รักนวลสงวนตัวเลย คบกะเค้าไม่นานก็เสร็จเค้าซะแล้ว”ป่วยการที่จะปฏิเสธครับ ยิ่งมีร่องรอยขนาดนี้ ยิ่งยากที่ผมจะปฏิเสธ แต่ก็ดีเหมือนกันครับ ผมจะได้รีบย้ำสถานะกับคุณแว่น ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่มีผลอะไรกับเค้าก็เป็นได้ เพราะตอนนี้เค้าเองก็คงมีคนที่คบแล้ว ผมมองหน้าเค้าที่ก็หันมองผมแวปนึงก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง

“ทีนี้ตามึงไอ้แว่น บอกมาว่ามึงจีบใครอยู่”เมื่อมันได้คำตอบจากผม แถมเป็นคำตอบที่มันทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ มันก็กลับไปนั่งข้างคุณแว่น เค้าหันมาสบตาผมเล็กน้อยทั้งที่ผมไม่ได้เป็นคนถามเค้า

“ไว้ถ้ากูคบกันจริงๆ แล้วจะบอกละกัน ตอนนี้ยังไม่ได้คบ”เค้าบอกเรียบๆ แต่ไอ้เหมาดูจะฟึดฟัดพอสมควรที่ไม่ได้คำตอบอย่างที่ต้องการ มันเลยหยิบบุหรี่ลุกออกจากโต๊ะไป

“เหมือนเราไม่เจอกันนานเลยเนอะ”ทันทีที่ไอ้เหมาลุกออกไป เค้าก็เอ่ยถามขึ้น ผมเพียงตอบรับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้าเหมือนกัน แล้วเราก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่

“แล้วนี่ไปทะเลมาสนุกไหม”เค้าเริ่มถามต่ออีกครั้ง

“ก็ดี”ผมตอบผ่านๆ เพราะการไปหัวหินของผมมันก็ไม่ได้น่าประทับใจสักเท่าไหร่

“เป็นไรรึเปล่า”และเค้าคงจับสังเกตได้จากน้ำเสียง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรเพิ่มเติม ไอ้เหมาก็เดินกลับเข้ามาทำให้เราต้องจบบทสนทนาเพียงแค่นั้น เราดื่มกันต่อจนเกือบเที่ยงคืน จึงตกลงแยกย้ายกันกลับ เพราะต่างคนต่างต้องทำงานในตอนเช้า แต่ผมกะว่าจะลาหยุดอยู่แล้วเลยไม่ได้ซีเรียสมาก

“พวกมึงจอดรถตรงไหนกัน”ไอ้เหมาที่ถึงรถแล้วเพราะตอนมา มาถึงเร็วกว่าใครเพื่อน มันหันมาถามผมกับคุณแว่น

“ข้างในโน่นเลย”ผมชี้ไปด้านในของลานจอดรถ

“เหมือนกัน”อีกคนตอบ ไอ้เหมาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขึ้นรถขับออกไป ผมกับคุณแว่นก็เดินกันต่อเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนมาถึงรถผม

“เราไม่ได้เอารถมา กลับด้วยนะ”นั่นไง ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่บอกว่ารถจอดแถวๆ เดียวกับผมแล้ว เค้าแย่งกุญแจรถในมือผม แล้วชิงขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ปฏิเสธ นี่เค้าจะทำอะไรอีก ในเมื่อเราก็ตกลงกันแล้วว่าจะเลิกความสัมพันธ์แบบเดิม แต่ไอ้การที่เค้าจงใจไม่เอารถมาและจะมากลับพร้อมผมแบบนี้

“เดี๋ยวไปส่งชาร์ปที่บ้านก่อน แล้วเราค่อยกลับละกัน”ผมว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เค้าไม่ได้แย้งอะไรผม แต่การที่ผมยอมให้เค้าได้ถือกุญแจรถนี่เป็นสิ่งที่ผมพลาดมากๆ เพราะพอถึงบ้านเค้า เค้าดันไม่ยอมคืนกุญแจรถให้ผม

“เราตกลงกันแล้วนะชาร์ป ขอกุญแจรถคืน เราจะกลับบ้าน”ผมแสดงสีหน้าให้เค้ารู้ว่าไม่เล่นเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว

“มันดึกมากแล้ว ค้างที่นี่แหละ มันอันตราย เราไม่ทำอะไรหรอกน่า แค่เป็นห่วงจริงๆ”ผมจ้องมองเค้าที่มีท่าทีจริงจัง พยายามมองให้ดีว่านี่เค้ามีอะไรแอบแฝงอีกรึเปล่า เพราะถ้าต้องค้างกับเค้าจริงๆ ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นได้หรือเปล่า

เมื่อวิเคราะห์แล้วว่าเค้าคงไม่ปล่อยผมกลับบ้านแน่ๆ และคงไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นจากการตกปากรับคำของเค้า ผมตัดสินใจค้างที่บ้านเค้า เราต่างคนต่างแยกกันอาบน้ำ ผมเกือบลืมไปเลยว่านี่ผมยังมีเสื้อผ้าหลงเหลืออยู่ที่บ้านเค้าด้วย ตั้งแต่วันที่เราตกลงว่าจะหยุดความสัมพันธ์แบบ sex friends ผมก็ยังไม่ได้มาบ้านเค้า เค้าก็ยังไม่ได้ไปบ้านผมอีก เพราะงั้นข้าวของ ของทั้งผมและเค้าก็ยังมีอยู่ที่บ้านของอีกฝ่าย ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี เค้าไม่ได้รุ่มร่ามหรือมาวอแวอะไรกับผม แต่แค่ผมหลับตาลง

“ทำอะไรเนี่ย”ผมลืมตาขึ้นมองคนที่ขึ้นมาคร่อมทับตัวผม ผมกำลังจะลุกขึ้น แต่โดนเค้าจู่โจม โน้มหน้าลงจูบผม ผมพยายามขัดขืน แต่เหมือนแรงผมจะสู้เค้าไม่ได้ มือที่พยายามดันเค้าออก ถูกเค้าใช้มือเดียวรวบข้อมือผมไปไว้เหนือศีรษะ พร้อมกับร่างของเค้าที่กดทับ เบียดมาที่ผม จนผมขยับหนีไม่ได้ ผมพยายามจะพูดกับเค้าแต่ปากผมก็ถูกบดเคล้าจากปากของเค้าอย่างเร่าร้อน ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากของผม มืออีกข้างของเค้าตอนนี้สอดเข้ามาในเสื้อตัวบางของผม ก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้แผงอก ลากลงไปที่หน้าท้อง

“อย่าทำแบบนี้”ผมพูดขึ้นทันทีที่เค้าถอนริมฝีปากออก พยายามฝืนพูดออกไปเผื่อเค้าจะหยุดการกระทำนี้ เพราะเรี่ยวแรงตอนนี้ผมสู้เค้าไม่ได้อยู่แล้ว แถมร่างกายผมมันก็ตอบรับสัมผัสของเค้าเสียจนผมรู้สึกเกลียดตัวเอง

“เฮือก”ผมสะดุ้งทันทีที่เค้าลากมือจากท้องน้อย ล้วงเข้าไปใต้กางเกงของผมอย่างรวดเร็ว เค้ากอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมรูดขึ้นลงโดยไม่ได้ขออนุญาต แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ร่างกายของผมกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม ผมบิดตัวเพราะความหวาบหวาม และเผลอครางออกมา จนต้องกัดริมฝีปากตัวเอง แต่อีกคนเหมือนจะยิ่งได้ใจ เพราะเค้าส่งเสียงในลำคออย่างผู้มีชัยเล็กน้อย ก่อนจะขบลงเบาๆ ที่ยอดอกของผม

“ยะ..หยุ..หยุด..เถอะ”แม้สติผมจะเริ่มกระเจิดกระเจิง แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายามที่จะปฏิเสธเค้า เค้าหยุดดูดเม้มยอดอกผม เลื่อนหน้าขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผม

“ตี้เคยบอกเราว่า อย่าเชื่อที่ตี้พูด จำได้ไหม”เค้าพูดก่อนจะหัวเราะในลำคอ

“ตรงไหนที่แฟนตี้ทำรอยไว้ เราจบทำรอยใหม่ทับไปให้หมด”พูดจบริมฝีปากเค้าก็เริ่มพรมจูบ ดูด กัด ตั้งแต่ต้นคอ ไล่ไปจนจะทั่วตัว เหมือนกำลังสร้างร่องรอยทิ้งไว้ในทุกพื้นผิวของผม ส่วนมือของเค้าที่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมไว้ก็เร่งจังหว่ะ ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ฝืนร่างกายไว้ไม่ไหว ปล่อยเสียงครางออกมา

“มะ...ไม่...ไม่ไหวแล้ว...”ผมส่งเสียงออกไปแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่จะทำให้อีกคนได้ยิน เค้าเร่งจังหวะมือกระชั้นชิดขึ้น พร้อมกับเลื่อนขึ้นมาประกบปาก บดขยี้เข้ามาอย่างหนักหน่วง ผมเกร็งกระตุกปล่อยน้ำสีขาวขุ่น ที่คงเลอะเต็มฝ่ามือของเค้า ผมพยายามขืนตัวออกเพื่อให้หลุดจากจูบที่ดูดดื่มของเค้า

“แฮ่กๆ”ผมหอบหายใจ สูดอากาศเข้าปอด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้สูดหายใจเข้าเต็มปอดก็รู้สึกว่าขาผมถูกแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบที่ช่องทางด้านล่าง นี่เค้าจะไม่ให้ผมหายใจหายคอเลยหรือยังไง ผมเกร็งตัวทันทีที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายสอดนิ้วเข้ามา ผมเงยหน้ามองอีกคนที่ยิ้มหื่นมาที่ผม ผมต้องบิดตัวพร้อมกับบีบไหล่เค้าอย่างแรงเมื่อนิ้วของเค้าคว้านเข้ามาโดนจุดเร้าของผม คุณแว่นยิ้มพอใจก่อนจะก้มมากระซิบข้างหู

“รู้สึกดีใช่ไหม”ผมไม่ตอบแต่เอื้อมมือดึงศีรษะของเค้าเข้ามาหา ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบเค้า แววตาเค้าดูมีความพึงพอใจอย่างมากที่เห็นปฏิกิริยาของผม

“อยากให้เราใส่เข้าไปรึยัง”เค้าดึงมือผมไปจับแกนกลางลำตัวของเค้าที่ตอนนี้มันร้อนจนเหมือนพร้อมจะแผดเผามือของผม ผมพยักหน้าตอบรับอย่างยอมแพ้ ท้ายที่สุดผมก็ทำอย่างที่พูดไม่ได้

“เฮือก”ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเค้าใส่แกนกลางนั้นรวดเดียวเข้ามาในตัวผม จนผมต้องจิกเล็กลงบนแผ่นหลังของเค้า ผมยั้งเค้าไว้ยังไม่ให้ขยับ เพื่อรอให้ผมคุ้นเคยกับสิ่งที่เค้าใส่เข้ามา

เค้าค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ จนผมเริ่มคุ้นชินแล้ว จังหวะการเคลื่อนตัวเข้าออกของเค้าก็เริ่มเร็วขึ้น ผมเองก็ขยับไปตามจังหวะของเค้า เสียงกายกระทบกันของเราส่งเสียงตามจังหวะ แม้อุณหภูมิในห้องจะถูกปรับให้เย็นฉ่ำ แต่เม็ดเหงื่อของเราทั้งคู่ก็ยังพรั่งพรูออกมา เราต่างไม่มีใครยอมใคร

“ตี้...ตี้...อื้อ...อา”เค้าส่งเสียงเรียกชื่อผม พร้อมกับโหมกระหน่ำจังหวะเข้าหาผมอย่างหนักหน่วง แต่ผมกัดริมฝีปากแน่น บิดตัว ขาเกร็ง ปลายเท้าแทบจะจิกลงบนที่นอน และเมื่อเค้าเร่งจังหว่ะขึ้นอีก ผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกรอบ เค้ากระแทกเข้ามาในตัวผมอีก สามสี่ครั้ง ก่อนผมจะรู้สึกอุ่นวาบจากน้ำรักที่เค้าปล่อยเข้ามาในตัวผม

ผมทิ้งตัวลงนอนหอบที่เตียง คุณแว่นค่อยๆ ถอนกายออกจากตัวผมช้าๆ ก่อนจะก้มลงมาพรมจูบที่ใบหน้าของผม เสียงหายใจกระเซ่าของเค้าบอกผมว่าคืนนี้มันคงยังไม่จบแค่นี้แน่ๆ เค้าล้มตัวลงนอนข้างๆ ดึงผมเข้าไปหา พร้อมพูดเสียงแผ่วเบา

“ระหว่างเรากับแฟนตี้ใครทำให้ตี้รู้สึกดีมากกว่ากัน”




TBC


มาต่อคร๊าบบบ

คาดว่าน่าจะมีคนหมั่นไส้ทั้งคุณแว่นและตี้



หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-07-2016 13:08:57
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 30-07-2016 19:03:00
ไมพี่แว่นทำงี้อ่าาา ฮือออ
ง้อดีๆไม่ได้เหรอออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-07-2016 21:56:05
โหยยยยยย มั่นใจมากเลยนะคุณแว่น
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 30-07-2016 23:34:56
อ่านแล้วหน่วงในใจมาก
ชาร์ปทำแบบนี้ทำไม ก็รู้ว่าตี้เป็นแฟนกับอรรถ
คืออยากเอาชนะหรืออยากจะทำให้ตี้รู้สึกอะไร
แต่ถึงจะอะไรก็เถอะแต่ตัวเองก็ยังไม่เคยให้คำตอบตี้เลย

ผมว่าแบบนี้ก็ไม่แฟร์กับคุณอรรถอ่ะ ตี้บอกกับคุณอรรถไปตรงๆเถอะ
สงสารคนที่ไม่รู้เรื่อง

หน่วงๆมากๆๆ อ่านแล้วลุ้นตลอดเลยครับว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 31-07-2016 08:47:18
พอกลายมาเป็นความสัมพันธ์ต้องห้ามแล้วตื่นเต้นใช่ไหมตี้กับแว่น 55
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 31-07-2016 12:41:16
 :katai1:  ชอบเขา ทำไมไม่ขอคบอ่าาา ทำไมต้องมาแอบหึงทีหลังด้วย!!!! แต่แอบชอบแบบชาร์ปนะ หื่นดี 55.  อยากให้เปิดตัวคบกันเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 23 เปรียบเทียบ 30-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-07-2016 14:00:12
บทที่ 24
ยุติความสัมพันธ์





ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง มือผมควานหาโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงอยู่ เมื่อเห็นเบอร์ที่คุ้นเคย ทำให้ผมกดรับ วางโทรศัพท์ไว้ที่หูก่อนจะหลับตาลง ไม่ได้สนใจนักเพราะยังรู้สึกเพลียอยู่

“อย่าบอกนะว่ายังนอนอยู่”ผมมองหานาฬิกาก่อนจะเห็นว่าตอนนี้ เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว ผมตอบอีกฝ่ายกลับไปว่าตื่นนานแล้ว

“ออกไปหาอะไรกินก่อนเลยนะ สงสัยวันนี้จะดึก”ปลายสายบอกกลับมาก่อนจะวางสายไป แล้วนี่ผมจะถ่อมาถึงที่นี่ทำไมเนี่ย ผมถอนหายใจให้กับตัวเอง ตอนนี้ผมอยู่ที่ระยองครับ ทำไมผมถึงมาโผล่ที่นี่นะเหรอครับ ก็ไอ้ประโยคคำถามของคุณแว่นเมื่อคืนนั่น ผมไม่ยอมตอบ มันเลยทำให้เค้าโชว์ฝีมือเสียจนผมแทบจะไม่เหลือน้ำในร่างกาย นี่ผมยังงงว่าเค้าตื่นเพื่อเตรียมตัวมาทำงานต่างจังหวัดแบบนี้ไหวได้ยังไง ผมเองตื่นพร้อมเค้าในตอนเช้า แต่แค่กะว่าจะตื่นมาโทรลางาน แล้วจะนอนต่อเท่านั้น

“ไหนๆ ตี้ก็ลางานแล้ว นั่งรถไประยองเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ”ผมควรที่จะปฏิเสธหลังจากได้ยินประโยคนี้ แต่การที่ผมมาอยู่ที่โรงแรม ในจังหวัดระยองแบบนี้ ชัดเจนเลยครับว่าผมไม่ได้ปฏิเสธเค้า ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยอมมากับเค้าถึงที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ทำแบบนี้กับเค้าอีก ทั้งที่รู้แล้วว่าเค้าเริ่มจีบผู้หญิงคนนึงอยู่ และทั้งที่ผมตกลงเป็นแฟนกับคุณอรรถแล้ว แม้หลังจากกลับมาจากหัวหิน เค้าจะไม่โทรหาผม ไม่ไลน์มาหาเลยก็ตามที แต่ผมก็เข้าใจเค้านะครับว่าคงเสียเซลฟ์จากเหตุการณ์ที่หัวหิน เค้าอาจจะต้องการเวลาในการปรับความรู้สึก

ผมสลัดเรื่องต่างๆ ออกจากหัว ไหนๆ ก็มาแล้วผมลุกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปหาอะไรกิน แม้จะไม่คุ้นเคยหรือชำนาญพื้นที่มากนัก แต่ก็ต้องขอบคุณโลกนี้ที่มีอินเตอร์เน็ตและกูเกิ้ล ที่พร้อมช่วยเหลือผมทุกปัญหา กูเกิ้ลพาผมมาถึงตลาดโต้รุ่งแห่งนึงที่เกือบจะหาที่จอดรถไม่ได้ คุณแว่นทิ้งรถไว้ให้ผมใช้ครับ ส่วนเค้าให้ผมเข้าไปส่งที่ทำงานตอนที่มาถึง ส่วนตอนกลับโรงแรมเค้าจะให้รถของที่ทำงานมาส่งอีกที

“โอ๊ย”เสียงของเด็กผู้ชายคนนึงที่วิ่งมาชนผม ร้องขึ้นเพราะแรงชนทำให้ตัวเด็กคนนั้นล้มลง ก็แน่ละเด็กอายุน่าจะ 4-5 ขวบมาชนผู้ใหญ่อย่างผมก็แน่นอนว่าผมคงไม่ใช่คนที่ล้ม ผมกำลังจะเอื้อมมือไปช่วย แต่เจ้าตัวลุกขึ้นเสียก่อน พร้อมกับหญิงดูมีอายุคนนึง ที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม วิ่งเข้ามาหา

“ยายบอกแล้วใช่ไหมครับน้องแมทว่าอย่าซน เห็นไหมชนน้าเค้าเลยเนี่ย ขอโทษหน้าเค้ารึยัง”เด็กน้อยยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวขอโทษผม ตามด้วยผู้เป็นยายที่ขอโทษผมด้วยอีกคน ผมรีบบอกว่าไม่เป็นไรเพราะดูท่าน้องแมทจะเจ็บกว่าผมเสียด้วยซ้ำ

“น้องแมทเดินไปหาคุณแม่ตรงนู้นก่อนนะครับ เดี๋ยวยายซื้อผลไม้แล้วจะตามไป”ผมมองตามเด็กน้อยที่เดินไปหาแม่ก่อนจะสบตากับหญิงสาวที่ยายของน้องแมทบอกว่าเป็นแม่ของน้องแมท หญิงสาวที่ทำให้ผมแปลกใจ

“แพท”ผมเรียกชื่อของเธอ แพทที่ดูจะตกใจไม่น้อยที่เจอผมที่นี่ แพทที่ผมรับรู้จากไอ้เหมาว่ามาเยี่ยมแม่ที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล แพทที่ทั้งผมหรือไอ้เหมาเองไม่เคยรู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำถามผุดขึ้นในหัวของผมมากมาย

“ตี้...มาได้ยังไง”เอาแล้วไงละจากที่กำลังจะเป็นคนซักเค้าเรื่องลูก ไหงกลายเป็นผมจะโดนซักแทนหรือเปล่าเนี่ย

“เอ่อ...พอดีขี้เกียจทำงานเลยลาหยุดนะ”ผมตอบออกไป แม้จะไม่ได้พูดทั้งหมดแต่ผมก็ไม่ได้โกหกละน่า

“แล้วนี่...เอ่อ”ผมหันมองน้องแมทที่กำลังเรียกแพทว่าแม่ ก่อนจะวิ่งหาผู้เป็นยาย ซึ่งเดินมาหาพวกผมพอดี ผมยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนกับแพท แต่ตอนนี้ผมกับแพทมองหน้ากันอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่ผมจะต้องมารับรู้ความลับอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย แพทบอกให้แม่พาน้องแมทกลับบ้านไปก่อน เพราะมีธุระที่ต้องคุยกับผม

“ไอ้เหมายังไม่รู้ใช่ไหม”ผมเอ่ยถามในสิ่งที่คาใจทันทีที่เหลือกัน 2 คนกับแพท

“ไปคุยกันที่อื่นไหม”ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพาแพทเดินมาที่ตรงผมจอดรถทิ้งไว้ โดยลืมไปว่ารถที่ผมเอามามันไม่ใช่รถผม

“เอ่อ...คือพอดีชาร์ปมาทำงานที่นี่ และเห็นว่าเราลาหยุด พอดีเลยชวนมาเที่ยวด้วย ก็..เท่านั้น”ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับแพทที่ยิ้มมุมปากอยู่ก่อนแล้ว แพทพาผมมานั่งที่ร้านริมน้ำร้านนึง เราสั่งอาหารนิดหน่อย ก่อนแพทจะเริ่มเล่าอย่างเครียดๆ ว่าน้องแมทเป็นลูกของแพทกับแฟนคนก่อนที่จะมาคบกับไอ้เหมา แต่พอแพทท้องพ่อของน้องแมทกลับขอให้แพททำแท้ง เพราะไม่พร้อมรับผิดชอบ ทำให้แพทต้องกลายเป็นคนท้องไม่มีพ่อ แต่แพทก็เก็บน้องแมทไว้และมียายเป็นคนคอยช่วยเลี้ยงดูน้องแมท และที่แพทกลับมาระยองวันนี้เพราะน้องแมทเปิดเทอม วันแรก

ถึงตรงนี้เหตุการณ์ชักเริ่มจะคุ้นๆ อีกแล้วสิครับ แม้เหตุการณ์จะต่างกัน แต่สถานการณ์แทบไม่ต่างเลย ชะเอมแอบสวมเขาให้คุณแว่น ผมก็เป็นคนรับรู้ แพทปิดบังไอ้เหมาผมก็ยังมารับรู้ แต่ความรู้สึกของผมต่อสองเหตุการณ์นี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้ผมเห็นใจแพท แพทไม่ผิดที่เคยพลาดท้องก่อนแต่ง แพทไม่ผิดที่มีลูกแล้ว ถ้าจะผิด ก็ผิดที่แพทปิดบัง

“ทำไมแพทไม่บอกไอ้เหมามันตั้งแต่แรก”นั่นคือสิ่งที่แพทผิดเต็มๆ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้เหมาจะรับได้หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้ามันรู้ทีหลังแบบนี้ มันคงรู้สึกแย่กว่าการรับรู้มาตั้งแต่ต้นแน่นอน

“เราก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนท้องไม่มีพ่อ”แพทเริ่มน้ำตาคลอตอนที่พูดออกมา แสดงว่าเรื่องนี้มันคงเป็นปมในใจอย่างนึงของแพท แพทถึงไม่เคยให้ใครที่กรุงเทพฯ รับรู้เรื่องนี้เลย การที่แพทไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก็คงเพราะอยากหลีกหนีจากสายตา หรือคำนินทาของคนที่นี่

“แพท คนเราทุกคนมันก็เคยก้าวพลาดด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้เรามองว่าแพทกำลังลดคุณค่าในตัวเองเพราะอดีตที่แพทเคยพลาดมา ทั้งที่ความจริง คุณค่าในตัวแพทมันก็ยังเท่าเดิม ถ้าตัวเราเองยังไม่เห็นค่าของตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นมาเห็นค่าของเราได้ยังไง”ผมรู้จักทั้งไอ้เหมาทั้งแพทมานาน แล้วก็คิดว่าแพทเองจริงๆ ก็คงไม่ได้ตั้งใจจะหลอกไอ้เหมา

“เราจะยังไม่บอกเรื่องนี้กับไอ้เหมานะ แต่แพทต้องรีบบอกเรื่องนี้กับมันให้เร็วที่สุด”แพทเช็ดน้ำตาพร้อมกับบอกขอบคุณที่ผมเข้าใจเธอ เราคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนผมจะไปส่งแพทที่บ้าน

“ตี้...ถ้าเล่าให้ชาร์ปฟังก็กำชับชาร์ปให้ด้วยละ ว่าขอให้เราได้เป็นคนบอกเหมาเอง”

“ทำไมถึงคิดว่าเราจะเล่าให้ชาร์ปฟังล่ะ”ผมเผลอเกาหัวอย่างลืมตัว เหมือนคนโดนจับผิดได้ เพราะรอยยิ้มของแพทที่พูดถึงผมกับคุณแว่น มันดูเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่า เค้ากำลังรู้บางอย่างอยู่ ซึ่งแน่นอนแพทอาจจะสงสัยเหมือนที่ไอ้เหมาเคยสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับคุณแว่น แต่ตราบใดที่แพทไม่พูดออกมา และไม่ได้มีหลักฐานอะไรมามัดตัว ผมว่าผมก็ยังปฏิเสธเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำอยู่ดี



“ชาร์ปว่าไอ้เหมามันจะรู้สึกยังไง”ผมถามออกไปหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เค้าฟัง

“ไม่มีใครตอบแทนตัวมันได้หรอก แต่เราว่ามันก็คงรู้สึกไม่ต่างจากที่เราเคยรู้สึก ว่าทำไมเพื่อนรู้แล้วถึงไม่ยอมบอก”เอาแล้วไง นี่เรื่องนี้กลับมาจี้จุดอีกรึไงเนี่ย แต่ผมว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เมื่อครั้งชะเอมกับคุณแว่น ผมไม่ได้บอกหรือพูดให้ชะเอมบอกความจริง แต่ครั้งนี้ถ้าแพทไม่ยอมบอกสักทีผมก็คงต้องคุยกับแพทอีกรอบว่าหากไม่ยอมบอกผมจะเป็นคนบอกเอง

“แล้วนี่ไอ้เหมาไม่รู้แล้วเหรอว่าเรามาด้วยกัน”เค้าพูดขำๆ ล้อเลียนผมที่แต่ก่อน พยายามปิดเรื่องระหว่างผมกับเค้าไม่ให้ไอ้เหมารู้

“เป็นเพราะชาร์ปแหละที่ลากเรามานี่ ถ้าไม่มาก็ไม่ต้องมารับรู้เรื่องแพท ไม่ต้องมากังวลว่าไอ้เหมาจะสงสัยอะไรอีก โอ้ยไม่น่ามาเล้ย”ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พร้อมมองอีกคนอย่างเคืองๆ

“ไอ้เหมารู้ว่าเรามาด้วยกันอ่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าคุณอรรถของตี้รู้ว่า เรามาด้วยกัน แถมเราซ้ำรอยเค้าไปทุกจุดแล้วขนาดนี้ น่าจะเรื่องใหญ่กว่านะ”เค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่ผมเงียบและมองเค้าด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ที่เค้าพูดแบบนั้น

“โกรธเหรอ”เมื่อเห็นทีท่าของผม ทำให้น้ำเสียงของเค้าอ่อนลง แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดี ผมไม่ได้โกรธเค้า

“เราโกรธตัวเอง โกรธที่ทำผิดกับคนที่เราได้ชื่อว่าเป็นแฟนกับเค้าแล้ว โกรธตัวเองที่ทำผิดต่อคนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย”ผมรู้สึกผิด ผิดหวังกับตัวเองที่ปล่อยให้มันเกิดเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ผมหยิบมือถือเดินลุกออกไปยืนริมระเบียง คุณแว่นทำท่าจะลุกลามผมออกมา แต่ผมบอกว่าขอคิดอะไร คนเดียวสักหน่อย ผมมองออกไปนอกระเบียง จากตรงนี้มองเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล ทะเลที่มีแต่ความมืดปกคลุม ไม่มีใครรู้ว่ามันสงบนิ่งหรือบ้าคลั่ง ก็คงเหมือนผมกับคุณแว่น ที่มีความสัมพันธ์กันโดยไม่ให้ใครรู้  ผมเลื่อนโทรศัพท์กดโทรหาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผม

“ขอโทษ”นั่นคือคำแรกที่ผมพูดทันทีที่เค้ารับสาย เค้าอาจจะคิดว่าผมขอโทษเรื่องวันที่ไปหัวหิน แต่สำหรับผม มันคือขอโทษในทุกเรื่องที่ผมไม่ได้บอกเค้า โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณแว่น ผมอาจยังไม่ได้รู้สึกชอบคุณอรรถเท่าคุณแว่น แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรทำลับหลังเค้าแบบนี้

“ขอโทษเหมือนกัน”ยิ่งเค้าพูดมาแบบนี้ผมยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ ผมไม่น่ามานี่เลยจริงๆ

“พรุ่งนี้เจอกันหน่อยไหม”ผมถามพร้อมกับยิ้มเยาะตัวเองอยู่ในที นี่ผมกลายเป็นพวกนอกใจแฟนไปแล้วสินะ

“คิดถึงอรรถละซี้”เค้าถามกลับมาอย่างอารมณ์ดีเราพูดคุยเรื่องสรรพเพเหระ ตามประสา ทั้งที่จริงเราก็แค่ไม่ได้คุยกันแค่วันสองวัน แต่เรากลับมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย แม้ผมจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องระหว่างผมเค้าและคุณแว่น อีกทั้งเรื่องไอ้เหมาอีก ที่ผมก็กังวลอยู่ไม่น้อย แต่การได้คุยกับคุณอรรถ ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง

“โอเคเปล่า”เสียงคนที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยถามหลังจากที่ผมกดวางสายจากคุณอรรถแล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง ผมว่าครั้งนี้เราคงต้องคุยกันอย่างจริงจังเสียที ในเมื่อเค้าเองก็เริ่มจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว และผมเองก็ตกลงคบกับคุณอรรถไปแล้ว เรื่องนี้มันก็ควรจบจริงๆ เสียที

“ชาร์ป ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ นะ เราไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ”ผมบอกเค้าด้วยท่าทีจริงจัง ซึ่งครั้งนี้เค้าก็ดูตั้งใจฟัง โดยที่ไม่ได้มีอาการไม่เชื่อในคำพูดของผมเหมือนครั้งก่อนๆ

“ตี้ชอบคุณอรรถเค้าจริงๆ ใช่ไหม”เค้าลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผม พร้อมกับตั้งคำถาม สายตาเค้าจ้องมองมาที่ดวงตาของผม เหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง

“ชอบสิ ไม่ชอบเราจะคบกับเค้าทำไมละ”แม้ในใจจริงผมจะยังไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น แต่เพื่อจบความสัมพันธ์ sex friends ของเราอย่างเด็ดขาดผมว่าผมควรยืนยันกับเค้าให้ชัดเจน

“งั้นเราขอกอดครั้งสุดท้ายได้ไหม”



TBC
แวะมาต่อคร๊าบบบ

ใครเชียร์คุณแว่นกับปาร์ตี้นี่คงลุ้นกันเหนื่อยหน่อย

เพราะไรท์ใจร้าย 555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-07-2016 19:25:28
อ่านตอนนี้  เห็นว่าตี้ทำถูกต้องแล้วที่ยุติความสัมพันธ์กับชาร์ปอย่างเป็นจริงเป็นจังซะที
เหอๆๆ  ไม่ชอบชาร์ปที่คิดเอาชนะตี้ด้วยวิธีแบบนี้เลยอ่ะ
ชาร์ปน่าจะเปิดใจ  คบจริงจังกับตี้ไปเลยนะ  ชิส์  หนุ่มแว่น

แต่ถึงยังไงเราก็เชียร์หนุ่มแว่นไม่เปลี่ยนแปลงนะจ๊ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-07-2016 20:05:08
แต่ละคนมีเรื่องปิดบังกันทั้งนั้นเลย เห้อออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 31-07-2016 20:28:30
เจอประโยคสุดท้าย ทำเอาลุ้นต่อไม่ขึ้นเลยอ่ะ. แต่สงสารอรรค 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 31-07-2016 22:46:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-07-2016 23:32:22
คุณแว่นเคยบอกว่ายังไม่ได้ขอ(ใครคนนั้น)คบอย่างจริงจัง
รอให้ตัวเองมั่นใจซะก่อน..แล้วถึงจะบอกให้รู้

ยังไม่ได้มีคำพูดไหนเลยที่บ่งบอกว่าคุณแว่นคุยกับหญิงสาวอยู่
คนนั้นอาจจะเป็นตี้ก็ได้..เพียงแต่ตี้ไม่ได้คาดเดาไว้ เข้าใจผิดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้
หุหุ


มันหนุกมาก
ชอบเรื่องนี้

บวกหนึ่งบวกเป็ดให้เลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 31-07-2016 23:57:26
ว่าจะเชียร์ตาแว่นซะหน่อยแต่ทำตัวไม่ได้ดั่งใจเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 24 ยุติความสัมพันธ์ 31-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-08-2016 10:40:47
บทที่ 25
ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก



“เหมา”เจ้าของชื่อหันมามองผม เพื่อรอฟังว่าผมจะพูดอะไร ตอนนี้เราอยู่ในห้องกาแฟ ที่ประจำของเราเวลาพักเบรค ปกติคนอื่นๆ ก็จะมาชงกาแฟ แล้วก็ถือกลับไปที่โต๊ะทำงานบ้าง แต่เราสองคน อาจจะด้วยความอยู่คนละแผนกเลยจะอยู่พูดคุยกันที่ตรงนี้สักพัก คงเป็นความเคยชินตั้งแต่แรกที่เราเข้ามาทำงานที่นี่ แล้วตอนนั้นเรายังไม่ค่อยรู้จักใคร เป็นเด็กใหม่ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร คิดแล้วก็ขำ

“เป็นอะไรมองหน้ากูแล้วยิ้มเนี่ย กูขนลุกนะมึง”มันทำท่าแขยงผมด้วยท่าทางรังเกียจเสียเต็มประดา แต่ผมไม่ถือสาหรอกครับเพราะรู้ว่ามันไม่ได้จริงจัง ผมยังคงมองหน้ามันนิ่งอย่างตัดสินใจ การที่มันยังปกติอยู่แบบนี้แสดงว่าแพทคงยังไม่ได้บอกเรื่องลูกกับมัน ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้ามันได้รู้ มันจะรู้สึกยังไง แต่คนอย่างไอ้เหมาถ้ารู้แล้วมันคงมาปรึกษาไม่ผมก็คุณแว่นไปแล้ว เห็นมันแบบนี้เวลาตัดสินใจอะไรยังต้องมาถามพวกผม แต่ก็เหมือนถามไปงั้นๆ เพราะสุดท้ายมันก็เลือกตามความคิดของมันเองอยู่ดี

“ไม่มาทำงาน 2 วันนี้คิดถึงกูขนาดต้องมาจ้องกูแบบนี้เลยเหรอวะ เดี๋ยวปั๊ดกูเคลิ้มแล้วจะเรื่องใหญ่นะมึง”ผมหัวเราะเบาๆ ออกมา ตามที่ผมรับปากแพทไว้ ผมก็คงต้องรอให้แพทเป็นคนบอกเองสินะ

“ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเคยทำผิดอะไรให้มึงไม่พอใจกูบ้างปะวะ”ผมปรับท่าทีให้ดูสบายๆ ไม่อยากให้มันคิดไปไกลว่าผมมีเรื่องอะไรใหญ่โตมาพูดกับมัน ไอ้นี่ยิ่งประหนึ่งเป็นญาติกับคุณเจน ญานทิพย์อยู่ด้วย

“นี่มึงยังต้องถามอีกเหรอ กูว่ามันนับไม่ถ้วนเลยนะ เวลามีผัวก็ทิ้งกูไปกับผัวตลอด มีเพื่อนสวยๆ ก็ไม่ยอมแนะนำให้กู เวลาไปดื่มแมร่งหารก็เท่ากันทั้งที่มึงแดกเยอะกว่ากู”มันตอบกลับมาขำๆ อย่างไม่ได้จริงจังเท่าไหร่

“เอาดีๆ ดิ”ผมถามย้ำไปใหม่ จนไอ้เหมามีสีหน้าสงสัย จนต้องย้อนถามผมว่าซีเรียสขนาดไหน แต่ผมก็บอกกลับไปว่าไม่ได้ซีเรียสมาก แค่ขอคำตอบเป็นจริงเป็นจังหน่อย เอาอะไรที่มันรู้สึกไม่โอเคกับผมจริงๆ

“เมื่อก่อนกูเคยไม่ชินกับบางคำพูดมึง บางครั้งมึงก็พูดแรงจนกูเก็บไปนอยด์ก็มี แต่พอสนิทกันมากขึ้นกูก็โอเคนะ เพราะเริ่มรู้ว่ามึงปากหมา อีกอย่างกูเองก็หมากับมึงเหมือนกัน ก็เลยถือว่าเจ๊าๆ กันไป”มันตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มให้ผม เป็นยิ้มจริงใจ ที่ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นเพื่อนที่หวังดีกับผมจริงๆ คนนึง ซึ่งผมเองก็หวังดีกับมันเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้ ถ้ามันรู้จากปากของแพทเอง มันก็น่าจะดีกว่า

“กูขอโทษนะ สำหรับทุกเรื่องที่เคยทำไม่ดี”ขอโทษที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่ยอมบอกมึง ประโยคหลังผมได้แต่พูดกับตัวเองในใจ

“เป็นไรป่ะเนี่ย ไมวันนี้พูดจาแปลกๆ”มันตบไหล่ผมเบาๆ สองที พร้อมยักคิ้วเป็นเชิงถาม

“รู้สึกเฟลนิดหน่อย”จริงๆ ตอนนี้ในหัวผมมันไม่ใช่แค่เรื่องไอ้เหมาหรอกครับ เพราะไหนจะเรื่องคุณแว่น คุณอรรถอีก มันเหมือนทุกอย่างมันพร้อมใจกันเข้ามาในเวลาเดียวกัน

“แล้วนี่หยุดไปตั้งสองวัน ไม่ดีขึ้นบ้างเลยรึไง”ผมบอกเหตุผลการไม่มาทำงานกับไอ้เหมาไปว่าแค่เซ็งๆ เบื่อๆ เลยขอหยุด นี่ก็ยังไม่รู้ว่าถ้าแพทบอกเรื่องลูก แล้วต่อด้วยการบอกว่าเจอผมไปกับคุณแว่นด้วย ไม่รู้มันจะเซอร์ไพรส์สองต่อเลยหรือเปล่า

“งั้นเย็นนี้ไปดื่มกัน จะได้ลืมเรื่องแย่ๆ เดี๋ยวชวนไอ้แว่นด้วย”ถ้าไปดื่มพร้อมคุณแว่นอีกเนี่ยผมว่ามันอาจกลายเป็นยิ่งแย่กว่าเดิม เสียด้วยซ้ำ ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะบอกเหตุผล

“วันนี้กูนัดกับอรรถเค้าไว้”ไอ้เหมาเบ้ปากใส่ผม

“นัดกับแฟน แล้วยังจะมาทำซังกะตาย....หรือว่า”ไอ้เหมาเว้นวรรค พร้อมกันหันมามองผมที่ถอนหายใจออกมายาวๆ

“สรุปที่ว่าเฟลๆ นี่คือทะเลาะกะผัว กูก็นึกว่าเรื่องอะไร”เอิ่มเพื่อนเหมาครับ เข้าใจว่าเราสนิทกัน แต่นี่ที่ทำงาน จะมาพูดเรื่องผมมีผัวนี่มันก็ดูไม่ค่อยเหมาะกระมั้ง อีกอย่างก็เป็นแค่แฟน ยังไม่ได้กันด้วยซ้ำ

“มันก็ส่วนนึง แต่กูไม่ได้ทะเลาะกับเค้า กูแค่...”ผมหยุดไว้แค่นั้น เพราะคงไม่เหมาะที่จะพูดรายละเอียดทั้งหมดให้มันฟัง เวลาพักเบรคหมดลงพอดี ทำให้เราทั้งคู่ต้องแยกย้ายกันกลับแผนกของตัวเอง เพื่อไปทำงานต่อ





“เอ่อ...คือ”คุณอรรถเงยหน้ามามองผมที่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไรสักที ตอนนี้เราอยู่ในร้านอาหารแห่งนึงหลังจากที่ช่วงบ่ายเราได้ตกลงว่จะออกมาเจอกันหลังเลิกงาน และทั้งที่คิดมาแล้ว ว่าผมจะคุยกับเค้าตรงๆ แต่พอมาเจอ ผมกลับพูดไม่ออกซะงั้น

“ถ้าเป็นเรื่องที่หัวหิน...อย่าคิดมากเลย อรรถไม่เร่งรัดตี้หรอก”เค้าเอื้อมมือมาแตะที่ผม ก่อนจะยิ้มให้

“คือมันก็ไม่เชิงว่าเรื่องนั้น...มันเอ่อ...เริ่มยังไงดีละ”ยิ่งเค้าดีกับผมเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม เค้ายังคงมองมาที่ผมเพื่อรอฟังในสิ่งที่ผมยังคงอ้ำอึ้ง

“เราชอบอรรถนะ”ผมเว้นจังหวะพ่นลมหายใจ เค้ายังคงยิ้มให้ผมเหมือนเดิม

“เราเคยคิดว่าถ้าไม่มีแฟนเราก็คงไม่ไขว่คว้า อยู่คนเดียวก็มีความสุขดี ดีกว่าคบๆ เลิกๆ ขออยู่กับเพื่อนยังจะสบายใจเสียกว่า จนอรรถเข้ามา เราคิดว่าถ้าเจอคนที่คิดเหมือนๆ กัน คิดว่าอยากจะคบใครไปนานๆ นั่นคือเหตุผลที่เราตกลงยอมคบกับอรรถ”เค้ายังคงยิ้มเช่นเดิม แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับเค้ามันยังไม่ได้หมดแค่นี้

“แต่เราไม่อยากเอาเปรียบอรรถ”รอยยิ้มของเค้าค่อยๆ จางลง จางลงเรื่อยๆ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย ไม่เข้าใจ

“นี่ตี้กำลังจะบอกอะไร”ผมพ่นลมหายใจอีกครั้งพร้อมกับกุมมือเค้าแน่น

“เรากลับมาเป็นแค่เพื่อนกันก่อนได้ไหม”

“ทำไมล่ะ ตี้จะไปคบคนอื่นเหรอ”เค้าสวนขึ้นมาอย่างเร็วจนผมต้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนที่เค้าจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

“เราไม่ได้จะคบใคร หรือมีใคร เพียงแต่ตอนนี้ในใจเรามันมีคนอื่นเข้ามารบกวน เราอยากเคลียร์ความรู้สึกตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าขืนดันทุรังคบกันไปต่อ เราก็จะรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับตัวเองที่คบกับคนนึง แต่ในความรู้สึกกลับยังมีอีกคนอยู่ในนั้นด้วย”ผมไม่ได้หวังให้เค้าเข้าใจผม แต่ผมแค่อยากบอกออกไป เพื่อให้ตัวผมเองรู้สึกดีขึ้น ผมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนนึงแหละครับ คนเห็นแก่ตัวที่ทำเพื่อตัวเอง

“สรุปคือเราต้องเลิกกัน”เค้าพูดออกมาเสียงแผ่ว โดยไม่ได้โวยวาย ไม่ได้มีท่าทีว่าโกรธเคืองผม แต่อย่างใด

“เราขอโทษนะ มันไม่ใช่ความผิดอะไรของอรรถเลย ผิดที่เราเอง...เราผิดที่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้”ใช่ผมผิด ผิดที่ดันไปเกิดความรู้สึกมากเกินกว่าที่ตกลงไว้กับอีกคน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ กับคนที่เค้ายังคิดจะแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์

“อรรถจะรอนะ”ผมรีบยกมือขึ้นห้าม เพราะไม่อยากให้เค้ามาปิดกั้นตัวเองเพราะผม ผมไม่รู้ว่าผมเองต้องใช้เวลาอีกนานขนาดไหนในการที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง รู้ตัวอีกทีภาพใบหน้าของอีกคน ก็มักจะเข้ามาในหัวของผมเสมอ

“งั้นอรรถจะไม่บอกว่ารอ แต่อรรถขอตี้อย่างนึงว่าไม่ต้องบอกให้อรรถไปมองคนอื่น ตี้เองยังเคลียร์ใครบางคนออกจากใจไม่ได้ แล้วตี้คิดว่าอรรถจะเคลียร์ตี้ออกจากใจได้ง่ายๆ เหรอ”คำพูดเค้าทำเอาผมพูดไม่ออก ทำไมนะ ทำไมผมไม่รู้สึกกับเค้าอย่างที่รู้สึกกับอีกคน ไม่งั้นเรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้

“ถ้างั้น...ก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไป เวลาอาจจะช่วยให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ก็เป็นได้”ถ้ารู้อนาคตได้ก็คงจะดีนะครับ ถ้ารู้ก่อนเราจะได้ไม่ต้องทำอะไรที่จะเป็นวาเหตุให้เกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เราก็คงต้องยอมรับและเผชิญกับสิ่งที่เราเคยทำไว้

“อรรถถามได้ไหม ว่าใครที่รบกวนจิตใจตี้อยู่”แม้จะดูไม่ได้จริงจังกับคำถามมากนัก แต่แววตาที่เค้ามองมา มันก็ทำให้ผมลำบากใจเหมือนกันที่จะตอบ ผมไม่อยากจะโกหกเค้า แต่ก็ไม่ได้อยากพูดออกไปว่าคนที่ผมอ้างถึง คือใคร เพราะผมเองก็ตั้งใจไว้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นคงปล่อยให้มันเป็นแค่ความลับระหว่างผมกับเค้าเท่านั้น

“พี่ตี้ พี่อรรถ สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย”เสียงใสของหญิงสาวคนนึงขัดจังหวะ ความคิดของผม ไม่รู้ผมจะขอบคุณหรือตกใจก่อนดี ทั้งผมและคุณอรรถรับไหว้จากสองคนที่เข้ามาทักทาย

ชะเอมหญิงสาวที่ผมคิดว่าไม่น่าจะได้เจอกันอีก เพราะตั้งแต่ที่มีผู้หวังดีส่งรูปของเธอให้คุณแว่นตาสว่าง ชะเอมก็ตัดการติดต่อกับผมทุกช่องทาง เพราะเธอคิดว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในการทำลายชีวิตรักของเธอ แต่วันนี้เธอกลับเป็นคนเข้ามาทักผมก่อน ดูเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ทีแรกเอม มองไม่เห็น ถ้าพี่อาร์ทไม่ชี้ให้ดูคงไม่ได้เข้ามาทักแล้วเนี่ย”แสดงว่าจริงๆ ชะเอมก็คงไม่ได้อยากเข้ามาทักทายผมสักเท่าไหร่สินะ แต่คงอาจต้องรักษาภาพพจน์ตอนอยู่ต่อหน้าอาร์ท มันเลยทำให้ผมนึกอยากแกล้งแหย่เธอเล่นสักหน่อย โดยการบอกกับเธอว่าไม่เจอกันตั้งนานแบบนี้ ขอถ่ายรูปคู่ด้วยหน่อยสิ

“จะถ่ายไปให้ใครดูป่ะเนี่ย”ชะเอมพูดลอดไรฟันขณะที่มานั่งชิดกับผมเพื่อถ่ายรูป แวปแรกที่ผมบอกจะขอถ่ายรูปผมว่าผมเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของเธออยู่เหมือนกัน แต่มันก็แค่แปปเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ผมปฏิเสธคำถามของเธอ เพราะใครที่เธอหมายถึง ก็คงเป็นคุณแว่น และแน่นอนว่าผมคงไม่เอารูปนี้ไปอวดคุณแว่นหรอกครับ อย่างที่บอกผมแค่อยากจะแหย่เธอเล่นเฉยๆ

“แล้วเพื่อนพี่ตี้ สบายดีไหม มีแฟนใหม่ไปยัง”กลับกลายเป็นผมเองที่ชะงักไปกับคำถามของชะเอม แม้จะรู้ว่าที่ชะเอมถามมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม แต่พอนึกถึงสิ่งที่ผมต้องตอบมันกลับรู้สึกใจมันโหวงๆ แปลกๆ

“ก็มีคนที่ดูๆ กันอยู่มั้ง น่าจะใกล้เปิดตัวเร็วๆ นี้แหละ”ผมตอบออกไปตามตรงเท่าที่ผมได้รับรู้มา แต่ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเองด้วยว่า ต้องรีบเคลียร์เค้าออกจากความรู้สึกของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด เพราะอีกไม่นานเค้าคงได้เจอคนที่พร้อมจะเดินร่วมทางกับเค้าแล้ว

“ดีแล้ว เค้าจะได้ไม่เหงา”ชะเอมตอบรับอย่างไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่รับรู้ คงเพราะตอนนี้ชะเอมก็ไปกันได้ด้วยดีกับอาร์ทแล้ว ระหว่างชะเอมกับคุณแว่น มันก็คงแค่อดีต ผมก็ได้แต่หวังว่าวันนึงผมคงทำได้อย่างชะเอมที่ปล่อยเรื่องราวในอดีตทิ้งไป แล้วเริ่มต้นใหม่กับปัจจุบัน ชะเอมกับอาร์ทขอตัว แยกออกไปนั่งโต๊ะที่จองไว้ ทำให้ตอนนี้ระหว่างผมกับคุณอรรถ เกิดความเงียบเข้ามาแทนที่

เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราคุยเรื่องอะไรค้างกันไว้อยู่ ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบเค้าออกไปยังไงดี แต่เค้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เหมือนตอนนี้เราต่างคนต่างรอให้อีกคนพูดก่อน จริงๆ วันนี้ผมแค่อยากจะมาตกลงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าแค่นั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะต้องบอกถึงความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะผมเองที่เป็นคนอ้างถึงบุคคลอื่นอีก

“คุณชาร์ปหรือเปล่า”

“ห๊ะ”ผมเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่พยายามเก็บอาการไว้

“ก็อีกคนที่อยู่ในใจตี้ คือคุณชาร์ปใช่ไหม”เค้าบอกพร้อมกับยิ้มให้ผม แต่เป็นยิ้มขื่นๆ เหมือนฝืนยิ้มเสียมากกว่า

“คน คนนั้นจะเป็นใคร ก็ไม่สำคัญหรอก เพราะระหว่างเรากับเค้า มันจบไปแล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ”



TBC
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคร๊าบบบ

แค่เห็นมีคนชอบก็ปลื้มมากแล้ว

ตอนนี้มีใครสงสารเฮียอรรถของเราบ้างไหมน้า


 :bye2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-08-2016 12:56:08
ตี้บอกเหมาไปเถอะ แพทไม่บอกแน่ๆ เรื่องลูกอ่าา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 03-08-2016 15:40:39
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-08-2016 17:20:25
ทำผิดซ้ำซ้อนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-08-2016 17:33:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 03-08-2016 18:07:36
มันก็ดีที่ตี้ไปพูดกับอรรถตรงๆ ปล่อยไว้ก็คงรู้สึกอึดอัดกับตัวเอง
ตี้คงรู้สึกอะไรกับคุณแว่นแล้วละ ก็นะถึงเริ่มต้นแบบ sex friend แต่มันก็ทำให้ผูกพันกันมากอยู่
จะทำไงละนี่ เฮ้อๆๆ สงสารอรรถ เหมือนรักสามเศร้าเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 03-08-2016 21:44:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-08-2016 22:02:29
มั่นใจว่าตี้เคลียร์ชาร์ปออกไปจากใจไม่ได้
ยังไงๆ อรรถก็ต้องผิดหวัง

เชื่อดิ
หุหุ
 :z1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 25 ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก 03-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-08-2016 11:19:23
บทที่ 26
ชัดเจน




“ไอ้ตี้ มึงมานี่ ควิกๆ”ไอ้เหมาทำท่ากวักมือเรียกผมอย่างมีลับลมคมใน เหมือนมีเรื่องน่าตื่นเต้นอยากจะเล่า แต่ดูท่าทางคงไม่ใช่เรื่องที่แพทไม่ยอมให้ผมบอกมันแน่ๆ พูดถึงเรื่องแพทนี่ผมก็ยังกังวลไม่หาย แต่ผมยื่นคำขาดกับแพทไปแล้ว ว่าภายในอาทิตย์นี้ ถ้าแพทยังไม่ยอมบอกไอ้เหมา ผมจะเป็นคนบอกเอง

“มึงดูนี่ มึงดูนี่”ไอ้เหมาทำเสียงสูงพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ผม แต่ผมยังไม่ได้รับมาดู เพราะสองมือไม่ว่างเลย มือนึงถือจานข้าว อีกมือก็ถือแก้วน้ำ ตอนนี้เป็นช่วงพักกลางวันทานข้าว ตอนนี้เราอยู่กันที่ร้านข้าวแกงใกล้ๆ บริษัทนี่แหละครับ

“อะไรของมึง”ผมวางจานข้าวกับแก้วน้ำ ก่อนจะหยิบมือถือจากไอ้เหมามา มันให้ผมเลื่อนดูรูป รูปที่ทุกอย่างบ่งบอกความเป็นคู่ มีรูปมือของคนสองคนที่กุมมือกัน รูปรองเท้าที่วางคู่กัน แก้วเครื่องดื่มที่วางคู่กัน และอีกหลายๆ รูปลักษณะนี้

“แล้วยังไง”ผมเงยหน้าขึ้นถามเพราะไม่เข้าใจว่ามันจะเอารูปพวกนี้มาให้ผมดูทำไม หรือถ้าในรูปนี้คือคนที่ผมรู้จัก กูพูดๆ มาให้รู้เรื่องรู้ราว ไม่ต้องมาทำเป็นลับลมคมในแบบนี้

“มึงดูดีๆ มึงไม่คุ้นๆ มือ รองเท้าอะไรพวกนั้นบ้างเหรอ มือใคร เท้าใคร ติ๊กตอกติ๊กตอก”ผมเลื่อนดูรูปอีกครั้ง อย่างละเอียด จริงสินะทีแรกไม่ได้คิดอะไรผมเลยไม่ได้สังเกต มองแค่ผ่านๆ เพราะคิดว่าคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม

“ชาร์ป???”รู้สึกเหมือนในใจมันกระตุกเบาๆ

“ถูกต้องละคร๊าบบบ เนี่ยมึงดูกูจำรองเท้ามันได้ จำ...”ไอ้เหมายังคงพูดอวดความสำเร็จในการเผือกของมัน ที่เก่งยิ่งกว่านักสืบพันธ์ ดูภูมิใจที่ไขความลับได้ แต่สิ่งที่มันพูด ดูล่องลอยผ่านไป ไม่ได้เข้ามาในโสตประสาทของผมเลย ผมรู้สึกตื้อๆ ยังไงบอกไม่ถูก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเค้ากำลังเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับใครสักคน ทั้งที่เราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนกัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ “เจ็บ”

“...แล้วยิ่งไปกว่านั้นนะมึง...ไอ้ตี้...ไอ้ตี้!!! มึงฟังกูปะเนี่ย”ผมดึงสติให้กลับมาอยู่ที่ไอ้เหมา ก่อนจะบอกกับมันว่าฟังอยู่

“มึงรู้ไหมว่ากูเอารูปพวกนี้มาจากไหน”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับก้มลงเขี่ยข้าวในจาน ทำไมความรู้สึกผมมันกลายเป็นแบบนี้ ยิ่งพยายามไม่รู้สึก มันกลับยิ่งรู้สึก จริงๆ เรื่องที่ไอ้เหมากำลังอยากเล่าเนี่ย ผมว่าแค่รับรู้ว่าเค้าเริ่มต้นกับใครสักคนไปแล้ว ชัดเจนแบบนี้มันก็เพียงพอแล้ว ผมไม่ได้อยากจะรู้รายละเอียดลงลึกไปมากกว่านี้ แต่อย่างว่า ไอ้เหมาคงต้องยัดเยียดให้ผมรู้ทุกเรื่องที่มันรับรู้มาให้ผมทั้งหมดอยู่แล้ว

“กูเอารูปทั้งหมดมาจากเฟซบุ๊คน้องปลาเว้ย”น้องปลางั้นเหรอ ทำไมมันกลายมาเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นที่ผมไม่ได้รู้จักมันก็น่าจะดีกว่านี้

“มึงไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซปลาใช่ไหม กูนี่เห็นมานานล่ะ ทีแรกกะคิดแค่ว่าน้องมันมีแฟน กูก็แซวก็เค้นอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ยอมบอกกูสักที วันนี้แหละกูจะต้อนให้จนมุมทั้งปลาทั้งไอ้แว่นเลยคอยดู”ไอ้เหมาดูมาดมั่นเหลือเกินในการจะให้คนทั้งคู่ยอมรับ แต่สำหรับผม แค่นี้มันก็ชัดเจนเพียงพออยู่แล้ว

ไอ้เหมานั่งกินข้าวพร้อมกับใบหน้ายิ้มร้าย ส่วนผมก็กินข้าวด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไอ้เหมาเสนอว่าเย็นนี้จะต้องนัดทั้งคู่ไปดื่มสักหน่อย พร้อมสอบสวน ส่วนผมกำลังคิดหาเรื่องปฏิเสธ แต่ไม่รู้จะสำเร็จไหม



สุดท้ายพอเลิกงานผมโล่งใจที่ไอ้เหมาหว่านล้อมน้องปลาไม่สำเร็จ ทำให้ผมอาจไม่ต้องไปเผชิญกับสถานการณ์ลำบากใจ เพราะผมเองก็หาเหตุผลปฏิเสธไอ้เหมามันไม่ได้

“นี่ไม่ใช่คำชวน นี่เป็นคำสั่ง”แต่ดูไอ้เหมายังไม่ลดความพยายามครับ มันยังคงกักตัวน้องปลาไม่ให้กลับ ทั้งที่น้องก็บอกแล้วว่ามีธุระจริงๆ

“น้องเค้าไม่ว่างจริงๆ มึงจะบังคับเค้าทำไมเนี่ยไอ้เหมา เราก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญขนาดนั้นสักหน่อย”ผมเสริมเข้าไป เพราะกะว่าในเมื่อน้องปลาไม่ไป ผมเองก็จะปฏิเสธไม่ไปแล้วเช่นเดียวกัน

“ไม่สำคัญที่ไหน นี่มันเรื่องสำคัญมาก”ทั้งผมและน้องปลามองหน้ากันอย่างเหนื่อยหน่าย จนในที่สุดน้องปลาก็ทนไม่ไหว ถามกลับว่าไอ้เรื่องสำคัญนี่มันเรื่องอะไร ถ้ามันสำคัญจริงๆ ปลาจะยอมไปด้วย ไอ้เหมาเลยหยิบมือถือออกมาส่งรูปที่เคยให้ผมดู

“หนูบอกพี่ไปแล้วไง ว่าถ้าทั้งหนูและเค้าพร้อมเมื่อไหร่ หนูจะบอกพี่เอง ถ้าเรื่องนี้หนูขอตัวกลับละกัน”น้องปลาทำท่าไม่สนใจกับสิ่งที่ไอ้เหมาบอกว่าสำคัญนักหนา

“ถ้าพี่บอกว่าอีกคนคือไอ้แว่น และพี่นัดไอ้แว่นไว้แล้ว ทีนี้จะยอมไปกะพี่ยัง”ไอ้เหมายิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งเป็นยิ้มที่ผมอยากจะเกลียดมันจริงๆ น้องปลาดูตกใจเล็กน้อย ก่อนใบหน้าของน้องจะค่อยๆ แดงขึ้นด้วยความเขินอาย

“หนูเป็นผู้หญิงนะ จะมาเค้นอะไรจากหนู พี่ก็ไปถามเพื่อนพี่สิ”น้องปลาก้มหน้าพูด คงเพราะด้วยความเขิน ก่อนจะวิ่งหนีไอ้เหมากับผมไปอย่างรวดเร็ว

“เอาไงละทีนี้”สำหรับผมอาการของน้องปลาก็เป็นคำตอบอยู่แล้วแหละครับว่าเค้าคบหาดูใจกันแล้ว หวังว่านี่ไอ้เหมาก็ได้คำตอบแล้ว น้องปลาก็หนีกลับไปแล้ว ผมคงไม่ต้องไปตามนัดเพื่อเจออีกคนหรอกนะ

“เอาไง เราก็ไปเหมือนเดิมไง กูต้องไปซักฟอกไอ้แว่น ว่าหันมากินหลานรหัสตัวเองได้ยังไงกัน รู้จักกันมาตั้งนาน ทำไมเพิ่งจะมากิ๊กกั๊กอะไรกันตอนนี้ เรื่องชาวบ้านคืองานของกู เพราะงั้นกูต้องรู้ทุกเรื่อง”อยากจะบอกเหลือเกินว่าเอาเรื่องของมึงก่อนไหม ถ้ารู้เรื่องของแพทนี่มันจะเป็นยังไงบ้างนะ

“แพทไปด้วยไหมวันนี้”ผมถามหยั่งเชิงไว้ เพราะนี่อีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดที่ผมตกลงกับแพทแล้ว ว่าให้บอกเรื่องลูกกับเหมา ถ้าถึงวันแพทไม่ยอมบอก ผมเองคงต้องเป็นคนต้องบอก และเตรียมรับมือกับผลที่จะตามมาด้วย

“ไม่ว่ะ ช่วงนี้แพทเป็นไรไม่รู้วะ ดูเครียดๆ เหมือนมีอะไรในใจ แต่ไม่ยอมเล่าให้กูฟัง ถามทีไรก็บอกไม่มีอะไร นี่ไม่ใช่วันดีคืนดี มาเซอร์ไพร์สกูว่าท้องงี้ บันเทิงเลยนะมึง”มันบอกอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าแพทท้องจริงๆ นี่มึงโอเคปะวะ”แม้การมีลูกของมันเองกับการที่จะมีลูกเลี้ยง อาจจะเป็นคนละความรู้สึกกัน แต่ถ้ามันโอเคกับการมีลูก เรื่องนี้อาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อย่างที่แพทกังวลก็เป็นได้

“โอเคสิวะ ถึงจะดูว่ากูทำตัวแบบนี้ แต่การสร้างครอบครัว ผมก็พร้อมนะ เรื่องแต่งงานกูก็คุยกับแพทตั้งนานแล้ว รอแค่แพทแหละพร้อม ถ้าท้องนี่หาฤกษ์แต่งเลย มึงเตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้เลย”ผมยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่มั่นใจว่า พอเรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบที่มันคิด มันจะเอายังไงต่อกับการที่จะมีชีวิตคู่ของมัน



“ช่ะ ช่ะ ช่า มารอก่อนซะด้วยนะครับพ่อคนมีความรัก”ไอ้เหมาทักทายคุณแว่นก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับคุณแว่น ส่วนผมเลือกนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับเค้า ตอนนี้พวกเราก็อยู่ร้านประจำของเราเรียบร้อยแล้ว

“เล่ามา”ทันทีที่ไอ้เหมานั่งลงก็ไม่รอให้เสียเวลาแต่อย่างใด ผมหยิบเมนูจากเด็กเสิร์ฟมาดู เพราะไม่ค่อยจะอยากรู้เรื่องของเค้าสักเท่าไหร่ จริงๆ ผมยังไม่ควรมาเจอหน้าเค้าด้วยซ้ำ ผมอยากรอให้ในใจผมมันนิ่งกว่านี้ก่อน แต่ผมต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ คุณแว่นลุกพรวดขึ้น ข้ามมานั่งข้างๆ ผม

“กูไม่เล่า ตี้ช่วยเราหน่อยนะ”เค้าจับไหล่ผม เพื่อผลักไปให้เหมือนเป็นกำบังจากไอ้เหมา ผมไม่ได้หันไปมองเค้าแต่ขืนตัวและ ขยับออก พร้อมกับหันมาสั่งอาหารกับเด็กเสิร์ฟแทน

“ไม่เล่า งั้นตอบคำถามกู”ไอ้เหมาจ้องหน้าคุณแว่นอย่างจับผิด แต่คุณแว่นกลับเองหลังพิงพนักเก้าอี้ อย่างสบายๆ เค้ากางแขนออก วางจนเลยไหล่ผมไป ผมเหลือบหันมองเค้าเล็กน้อยก่อนจะมองดูไอ้เหมา ว่ามันจะเล่นอะไรอีก

“มึงแค่พยักหน้าถ้าใช่ และส่ายหน้าถ้าไม่ใช่ แค่นี้เอง ง่ายๆ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงจริงไหม”คุณแว่นไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในข้อเสนอของไอ้เหมา แต่เค้ากลับทำเหมือนไม่สนใจ ยกแก้วเบียร์ ยื่นมาชนแก้วกับผม จนไอ้เหมาต้องย้ำอีกรอบ

“กูก็แค่คบกับน้องปลาแล้ว แค่นั้น พอใจยัง”คุณแว่นบอกกับไอ้เหมาอย่างสบายๆ ก่อนจะหันมามองผม ผมยิ้มให้กับเค้าพร้อมกับบอกตัวเองในใจ ว่าผมโอเค ผมต้องยินดีกับเค้าสิ จากนี้ความฝันที่จะสร้างครอบครัวของเค้า ก็คงมีโอกาสเป็นไปได้แล้ว น้องปลาเองก็น่ารัก นิสัยดี ถ้ามองภาพรวมก็เป็นคนที่เหมาะกับคุณแว่นมากว่าชะเอมเยอะเลยทีเดียว

“ไม่พอ มึงกับปลารู้จักกันมาตั้งนาน อยู่ๆ มาสปาร์คกันได้ยังไง กูขอรายละเอียด”เอาครับงานเผือกนี่ขอให้บอกเหมา

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่พอดีได้คุย ได้ปรึกษากันหลายๆ เรื่อง คุยกันแล้วก็ดูเข้ากันได้ ก็คบกันดู”ในขณะที่เค้าพูดไป ผมรู้สึกได้ถึงมือของเค้าที่ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณแผ่นหลังของผม ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยว...ขอตัวไปห้องน้ำแปปนะ”ผมลุกขึ้น เพื่อเลี่ยงจากสถานการณ์นี่สักพัก แม้จะพยายามไม่รู้สึกอะไร แต่ใจมันก็ยังไม่นิ่งสักที  ผมลุกออกจากโต๊ะตรงไปยังห้องน้ำ

ขณะที่กำลังยืนทำธุระที่โถฉี่ คุณแว่นกลับเดินเข้ามา ในห้องน้ำตอนนี้ไม่ได้มีคนอื่นอีก ทำให้ตอนนี้มีแค่ผมกับเค้า สองคน ผมไม่เข้าใจว่าเค้าต้องการอะไร ถึงได้จงใจตามผมมาแบบนี้ เพราะนี่เค้าไม่ได้มาฉี่หรือทำอะไร แต่เดินมาหยุด อยู่ข้างๆ ผม จนผมต้องเบี่ยงตัวบังเพื่อทำธุระส่วนตัว

“จะปิดทำไม มากกว่านี้เราก็เคยเห็นแล้ว”เค้าพูดอย่างอารมณ์ดี แม้จะเข้าใจว่าเราเคยตกลงกันมีความสัมพันธ์ทางกาย แต่ตอนนี้เราหยุดความสัมพันธ์นั้นไปแล้ว ผมว่าเราทั้งคู่ก็ไม่ควรที่จะพูดถึงความสัมพันธ์นี้อีก ผมรีบทำธุระส่วนตัว ก่อนจะเดินหลบเค้ามาล้างมือที่อ่างล้างหน้า

“ตี้กับแฟน เป็นไงบ้างอ่ะ”เค้าเดินตามผมมา พร้อมกับที่เราสบตากันในกระจก ต่างคนต่างมอง สายตาของเค้าที่ผมเองคงยากที่จะคาดเดาว่าเค้าคิดอะไรอยู่

“ก็ดี”ผมตอบเลี่ยงๆ เพราะผมยังไม่ได้บอกใครว่า ผมกับคุณอรรถลดความสัมพันธ์กันลงเหลือแค่เพื่อนในตอนนี้

“กับน้องปลานี่จริงจังแล้วใช่ไหม”ผมรู้ว่าไม่ควรถามแบบนี้ เพราะดูจะละลาบละล้วงเค้ามากเกินไป แต่ปากผมมันดันไวกว่าความคิด คุณแว่นดูมีสีหน้า จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่กล้าที่จะไม่จริงจัง”






TBC

ยิ่งนานวัน

สถานการณ์ยิ่งเหมือนจะยุ่งยากขึ้นไปอีก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 05-08-2016 16:24:33
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-08-2016 19:27:14
 :o12: :เฮ้อ: :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 05-08-2016 21:48:25
แว่นคบกับคนนี้จริงดิ ทำไมใกล้ตัวมาก แอบอึ้งเหมือนกัน
นี่จะลองใจตี้หรือจริงจังเนี้ยพี่แว่น

ตี้เอ้ย รู้สึกแบบนี้ชอบแว่นจริงๆละใช่ไหม
เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-08-2016 23:21:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-08-2016 23:37:09
เล่นกับไฟ ไหม้ไฟ ไม่เหลือซาก
เล่นกับไฟ ดับยาก ซากไม่เหลือ
เล่นกับใจ ใจไหม้ ให้คลุมเคลือ
เล่นกับใจ ยากเชื่อ ไม่เหลือใจ

วางยาเบื่อ เมื่อหนู สิงรูอยู่
วางยาเบื่อ เมื่อรู้ หนูอยู่ไหน
วางกับดัก เหยื่อล่อ รอใจใคร
วางกับดัก คนใด ให้ได้มา

หุหุ
+1 โดนใจจริงเรื่องนี้
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-08-2016 23:47:18
เล่นกับไฟ ไหม้ไฟ ไม่เหลือซาก
เล่นกับไฟ ดับยาก ซากไม่เหลือ
เล่นกับใจ ใจไหม้ ให้คลุมเคลือ
เล่นกับใจ ยากเชื่อ ไม่เหลือใจ

วางยาเบื่อ เมื่อหนู สิงรูอยู่
วางยาเบื่อ เมื่อรู้ หนูอยู่ไหน
วางกับดัก เหยื่อล่อ รอใจใคร
วางกับดัก คนใด ให้ได้มา

หุหุ
+1 โดนใจจริงเรื่องนี้
 :mew1:

ชอบกลอน
ขอบคุณนะคร๊าบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-08-2016 00:00:33
แว่น กับ น้องปลา วางแผนอะไรกันอยู่
น้องปลา สาววาย คงเริ่มจับอะไรๆ ได้?
ชาร์ป ทำตัวเหมือนเดิมกับตี้ นะ
เอาให้แน่ ชาร์ป ปากก็ยังยืนยันว่า ชอบผู้หญิง อยากแต่งงาน มีลูก
แต่พฤติกรรม กับตี้ มันไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย เอาซะเลย
ปาก อย่างหนึ่ง ใจอย่างหนึ่ง ใช่มั้ย :z6: :z6: :z6:
รอ ใจจดจ่อ :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 06-08-2016 14:15:15
อิแว่นนนนนน นึกว่าโกหกอ่าาาา เง้ออออ
เสียใจ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 26 ชัดเจน 05-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-08-2016 14:15:55
บทที่ 27
ปลอบเพื่อน



“มึงรู้อยู่แล้วใช่ไหม”ไอ้เหมาเอ่ยถามเมื่อเห็นผมไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ วันนี้ผมเพิ่งยื่นคำขาดกับแพทไป ว่าถ้ายังไม่ยอมบอกเรื่องลูกกับไอ้เหมา ผมจะชิงบอกก่อน ซึ่งเป็นอันว่าแพทเลือกที่จะเป็นคนบอกเอง หลังไอ้เหมารู้ มันไม่ได้โวยวายอะไร แต่มันเงียบ เงียบจนแพทเองก็ตกใจ แพทโทรมาบอกผมหลังจากที่ไอ้เหมาออกจากบ้าน เพราะเป็นห่วง แต่ผมก็บอกให้แพทใจเย็นๆ เพราะไอ้เหมาโทรหาผม ก่อนแล้วว่าจะแวะเข้ามาหาผมที่บ้าน

ผมไม่รู้หรอกว่าจะปลอบหรือให้คำแนะนำมันยังไง รู้แค่ว่าผมอยู่เป็นเพื่อนมันได้ บางทีคนเราเวลาเจอปัญหา หรือทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ ก็คงไม่ได้ต้องการคำแนะนำเสียทั้งหมดหรอก อย่างไอ้เหมาเอง ผมรู้ว่ามันมีคำตอบของตัวเองในใจแล้ว แต่มันแค่ต้องการเวลา เวลาที่จะยอมรับในการตัดสินใจของตัวเอง

“ก็รู้ก่อนมึงไม่นานหรอก”ผมบอกพร้อมกับยื่นแก้วเบียร์ส่งให้ไอ้เหมา เหล้าเบียร์มันไม่ใช่ทางออกหรอกนะครับ แต่จะให้มานั่งเครียดกันเฉยๆ ก็ดูจะไม่ใช่ทางของพวกเราสักเท่าไหร่

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมึง มึงเข้าใจกูใช่ไหม”ไอ้เหมาพยักหน้ารับ อย่างไม่ได้ถือสาอะไรนักที่ผมรู้เรื่องก่อนแล้วไม่ได้บอกมัน

“กูควรรู้สึกยังไงดีวะ”ดูมันคงสับสนอยู่ไม่น้อยแหละครับ

“กูต้องแสดงความเห็นไหม”ผมพยายามถามยิ้มๆ ไม่อยากให้มันเครียดมาก

“ถ้าเป็นมึง มึงจะทำไงวะ”มันก็กล้าถามเนอะ ทั้งที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ ชีวิตนี้ผมคงไม่มีทางจะได้เจอสถานการณ์แบบนี้แน่นอน

“กูคงตอบมึงไม่ได้หรอก ชาตินี้กูคงไม่มีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้กูแนะนำอะไรไป มันก็คือมุมมองกู ความรู้สึกกู มึงต้องตัดสินใจจากความรู้สึกของมึงเอง”ผมก็คงบอกมันได้เท่านี้ จริงๆ ไอ้เหมามันก็รักแพทมากแหละครับ ขนาดมีการวางแผนถึงการแต่งงานขนาดนี้แล้ว

“ถ้ากูคบเค้าเหมือนเดิมนี่ กูจะดูเป็นคนโง่มากไหมวะ”อ้าวไหงมันคิดอะไร ไปไกลขนาดนี้ละเนี่ย

“โง่เชี่ยไรละมึง เค้าไม่ได้สวมเขามึง ไม่ได้แอบคบใครระหว่างที่คบมึง เค้าแค่มีลูกกับแฟนเก่า แค่นั้นเอง สิ่งที่เค้าผิดมีเรื่องเดียว คือเค้าปิดบังมึงเรื่องนี้ เอาเป็นว่ากูพูดแค่นี้นะ ที่เหลือมึงต้องตัดสินใจเอาเอง ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจยังไง กูก็ยังเป็นเพื่อนมึงเหมือนเดิม”ผมก็คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละครับ คงต้องให้เวลากับไอ้เหมาในการตัดสินใจสักพัก

เราต่างนั่งดื่มกันเงียบๆ ดีที่วันนี้เป็นวันหยุด ไม่งั้นทั้งผมและไอ้เหมาคงได้ลางานเป็นแน่ ทั้งเบียร์ทั้งน้ำแข็งพร้อมขนาดนี้ คืนนี้คงไม่ได้นอนกันง่ายๆ คาดว่ากว่าจะได้เลิกดื่มคงต้องมีใครเมาพับไปก่อนนั่นแหละครับ เพราะวันนี้ไอ้เหมาก็คงค้างที่บ้านผม และอาจจะค้างอีกหลายวัน จากที่มันพูดนะครับ แต่บางทีถ้ามันตัดสินใจได้เร็วก็คงอยู่บ้านผมไม่กี่วัน

“กูกำลังคิดว่า ถ้าวันนึงกูกับแพทมีลูกด้วยกันขึ้นมา”หลังจากนั่งเงียบไปนานไอ้เหมาก็พูดขึ้น ผมมองหน้ามันรอฟังว่ามันจะพูดอะไรต่อ

“ถ้ากูมีลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง จริงๆ กูจะรักลูกเค้าได้เท่าลูกของกูเองหรือเปล่า”ถ้าไอ้เหมาพูดมาแบบนี้ ผมว่ามันคงตัดสินใจแล้วแหละครับ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับแพทจะไปต่อยังไง

“แสดงว่ามึงได้คำตอบแล้ว”ผมย้อนถามพร้อมกับยิ้มให้มัน

“ช่างเหอะ ตอนนี้ขอดื่มให้เมาพับ ไม่อยากคิดอะไรแล้ว ชนๆ”แก้วอยู่ในมือผมและไอ้เหมากระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้ผมเริ่มจะตึงๆ แล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่ถึงกับเมาหรอกครับ นี่ยังดื่มเป็นเพื่อนมันได้อีกพักใหญ่

“อ้าว...อ้ายแว่น ทามมายเพิ่งมาเอาป่านนน เน้”เสียงไอ้เหมาเอ่ยทักทายอีกคนที่มาใหม่ อีกคนที่ไอ้เหมาเป็นคนโทรไปตามมา เค้าเดินไปหาแก้วจากในครัวก่อนจะกลับมานั่งร่วมวงกับผมสองคน ตอนนี้เรื่องของไอ้เหมากับแพทสำคัญกว่า จนทำให้ผมปล่อยผ่านเรื่องความรู้สึกของตัวผมเองต่อคุณแว่น

“แปลกดีเนอะ ครั้งก่อนกูเป็นคนที่รู้เรื่องคนสุดท้ายทั้งที่เป็นเรื่องของตัวเอง มารอบนี้ก็เป็นมึงที่รู้เป็นคนสุดท้าย กูไม่ขอโทษนะ ถือว่ากูกับมึงหายกัน”คุณแว่นบอกกับไอ้เหมา นี่เค้าเองก็คงพูดเพื่ออยากให้ไอ้เหมามันสบายใจขึ้น

“เพื่อนเลว แทนที่จะมาปลอบกู”ไอ้เหมาหันมาว่าคุณแว่นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนเราทั้งสามจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“หัวเราะไปเถอะไอ้ตี้ กูว่าสักวันต้องกลายเป็นมึงที่พวกกูต้องมานั่งปลอบแบบนี้”สุดท้ายก็วนมาที่ผม แต่ผมก็ยิ้มเยาะกลับไป เพราะผมคงไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องให้ทั้งสองมาปลอบแน่ๆ

“เอ้าหมดแก้ว แด่เพื่อนเหมาที่กำลังจะเมาเป็นหมา”ผมยกแก้วชูขึ้นเพื่อให้อีกสองคนมาชนแก้ว แล้วบรรยากาศการดื่มก็ดำเนินไปเรื่อยๆ เราไม่ได้พูดถึงเรื่องของแพทกับไอ้เหมาอีกเลย ซึ่งก็อย่างที่ผมคิด ไอ้เหมามันคงมีคำตอบในใจมาอยู่แล้ว ตอนนี้มันอาจแค่ต้องการเพื่อนที่มานั่งดื่มกับมันในคืนนี้ก็เท่านั้น ไอ้เหมาเป็นคนที่พับหลับไปก่อนเป็นคนแรก และมันยึดโซฟาตัวยาวหน้าทีวีของผมไปเรียบร้อย บอกให้ลุกไปนอนในห้องก็ไม่ไป

“ถ้าง่วงทำไมไม่ไปนอนในห้องละ”ผมกำลังจะเป็นอีกคนที่พับตามไอ้เหมาไป ผมนอนหันหัวชนกับไอ้เหมา เพราะยังมีพื้นที่โซฟาอีกด้าน ด้วยความที่โซฟาบ้านผมมันเป็นรูปตัวแอล จริงๆ ผมก็อยากไปขึ้นไปนอนบนห้องสบายๆ นะครับ ถ้าไม่ติดว่ามีอีกคนที่จะค้างที่นี่ด้วย แล้วดื่มกันไปหนักขนาดนี้ ผมว่าผมนอนหัวชนไอ้เหมาแบบนี้ น่าจะเป็นการดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็การันตีได้ว่า มันจะไม่มีเรื่องอื่นเกิดขึ้น

ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เพราะเริ่มฝืนร่างกายไม่ไหวแล้ว เสียงขวดแก้วกระทบกันส่งเสียงให้ผมรู้ว่าอีกคนที่ยังไม่พับเหมือนผมกับไอ้เหมา กำลังเก็บเศษซาก ที่เกิดจากการดื่มของพวกเรา ทั้งที่ผมก็บอกไปแล้วว่าค่อยเก็บพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ผมง่วงเกินกว่าจะเอ่ยปากห้าม แล้วผมก็ผลอยหลับไป



ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นหลังจากที่หลับไปสักพักเพราะรู้สึกปวดฉี่ ผมค่อยๆ งัวเงียลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบของใครอีกคนอยู่ห่างจากผมเพียงไม่กี่เซน เค้าเองก็ดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นผมลืมตาขึ้นมา

“ทำอะไร”ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่าเค้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

“แค่จะปลุกลงมานอนนี่”เค้าชี้ตรงที่นอนปิกนิคที่ถูกปูไว้ข้างโซฟา โต๊ะกลางที่เคยอยู่ตรงนั้นถูกย้ายออกไปที่อีกมุมนึง ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นอย่างยากลำบากเพราะมีอาการมึนๆ หัวจากการที่ดื่มไปเสียเยอะ เหลือบมองนาฬิกาทำให้รู้ว่าผมเพิ่งหลับไปไม่น่าจะเกิน 20 นาที ผมรีบลุกไปห้องน้ำโดยไว และจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย

“ตี้นอนนั่นแหละ จะได้นอนสบายๆ เดี๋ยวเรานอนโซฟาเอง”พอกลับมาจากห้องน้ำ พื้นที่โซฟาของผมก็ถูกคุณแว่นจับจองไปเรียบร้อย ในเมื่อไม่เห็นความจำเป็นที่จะโต้เถียง ผมเลยเลือกที่จะนอนลงบนที่นอนปิกนิคที่เค้าปูไว้ ก่อนจะหลับไปในที่สุด


ผมตื่นอีกครั้งตอนเกือบจะ 10 โมงเช้าไอ้เหมายังนอนอยู่ที่เดิม แต่คุณแว่นไม่อยู่ตรงโซฟาแล้ว ผมลุกเพื่อจะเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา กลิ่นหอมของบางอย่างทำให้ผมต้องเดินตามกลิ่นไปถึงห้องครัว

“อ้าวตื่นแล้ว เหรอไปล้างหน้าล้างตาดิ จะได้มากินข้าวต้ม”คุณแว่นที่น่าจะตื่นมาพักใหญ่แล้วบอกพร้อมกับมาดันหลังให้ผมออกจากห้องครัว เพื่อไปล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากผมล้างหน้าแปรงฟันพอเป็นพิธี ก็ทำการปลุกไอ้เหมา เพราะตอนนี้ข้าวต้มฝีมือคุณแว่น พร้อมเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว

“ปวดหัวชิบหาย แถมยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว”เสียงไอ้เหมาโอดโอยทันทีที่มานั่ง

“บ้านกูก็มีที่ให้หลับให้นอนดีๆ มึงก็ไม่นอนดันจะนอนโซฟา ตื่นมาแล้วก็ยังจะบ่นอีก ใครเค้าบังคับมึงเหรอครับเพื่อนเหมา”ผมบ่นมันกลับก่อนจะส่งถ้วยข้าวต้มให้กับมัน

“ไอ้แว่นนี่มึงเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ลุกมาทำข้าวต้มให้พวกกูกินด้วย”ไอ้เหมาหรี่ตามองคุณแว่นด้วยความสงสัย แต่สำหรับผม จริงๆ หลายๆ ครั้งที่เค้ามาค้างบ้านผม เค้าก็มักจะตื่นมาทำอะไรให้ผมทานเสมอ ผมพยายามหยุดความคิดตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับเค้า

“มึงแดรกๆ ไปเหอะไม่ต้องพูดมาก”เค้าพูดกับไอ้เหมาผ่านๆ แต่หันมาส่งยิ้มจางๆ ให้ผม บางทีผมก็คิดนะว่าเค้าเองก็คงทำตัวปกติ คงมีแต่ผมที่ดันหวั่นไหวจนเริ่มคิดเกินเลยไปเอง อย่างเช่นเรื่องลุกมาทำอาหารเช้าแบบนี้ มันก็แสดงให้เห็นว่าที่เค้าเคยทำให้ผมมันอาจไม่ได้พิเศษอะไร อยู่กับเพื่อนปกติอย่างวันนี้เค้าก็ทำ

“พวกมึงจากนี้ไปเรามาตกลงกันไหม”ต่างคนต่างทานกันเงียบๆ สักพัก ไอ้เหมาก็พูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง จนทั้งผมและคุณแว่นต้องหยุดการตักข้าวต้มเข้าปากแล้วหันมองหน้ามัน

“ว่า”ผมและคุณแว่นเอ่ยถามขึ้นพร้อมๆ กัน

“ต่อไปมีเรื่องอะไร เราต้องบอกให้กันรู้ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอกให้รู้”จะว่าไปทั้งเรื่องของชะเอม เรื่องของแพท ในพวกเรา 3 คนก็มีคนรู้เรื่องก่อนตลอด แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เกี่ยวข้องดันรู้หลังสุดทุกรอบ ตอนเรื่องชะเอม อันนั้นคงเป็นผมเองแหละที่ผิด ตอนแรกก็ผิดที่ไม่ห้ามชะเอม จากนั้นก็ผิดที่ไม่ยอมบอกคุณแว่น

“กรณีมึง มันคนอื่นที่ไหนละไอ้เหมา แพทก็แฟนมึง แถมมีแผนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”แต่ในกรณีไอ้เหมากับแพท ผมว่าอันนี้มันเหมาะแล้วที่แพทควรจะเป็นคนบอกเรื่องนี้ ถึงแม้แพทเองจะไม่เต็มใจบอกด้วยตัวเองตั้งแต่แรกก็เถอะ

“นั่นสิกูว่ามันก็ต้องแล้วแต่กรณี”คุณแว่นกล่าวเสริมความเห็นของผม แต่ดูเหมือนไอ้เหมาจะยังไม่ยอมแพ้

“ไม่รู้แหละ แต่จากวันนี้ไปเราสามคนจะไม่มีความลับต่อกันอีก เพราะงั้นวันนี้ใครมีความลับอะไรเปิดออกมาให้หมด วันนี้ถือเป็นวันเปิดใจของเราทั้ง 3 คน”ไอ้เหมาทำเสียงขรึมหน้าตาจริงจัง แต่ดูๆ แล้วไม่เข้ากับบุคลิคมันเท่าไหร่ แถมผมว่าบางเรื่องมันก็ต้องเว้นพื้นที่ส่วนตัว ให้เป็นความลับกันบ้าง อย่างเรื่องระหว่างผมกับคุณแว่น เป็นต้น

“งั้นกูเริ่มคนแรก กูเป็นเกย์นะรู้ยัง”ผมบอกออกไปขำๆ เพื่อเบรคอารมณ์ของไอ้เหมา

“ไอ้เชี่ย อันนี้ไม่น่าใช่ความลับแล้วมั้ง”ไอ้เหมาทำท่าฟึดฟัดใส่ผมก่อนจะมองผมกับคุณแว่นสลับกันไปมา

“สรุปพวกมึงไม่มีอะไรปิดบังกูใช่ไหม”มันหรี่ตามองพวกผมอย่างจับผิด ทั้งผมและคุณแว่นต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพูดออกมาพร้อมๆ กัน

“ไม่มี”





TBC

ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรนะคร๊าบบบ

แค่เอาเพื่อนๆ มาปลอบใจพี่เหมาเค้าเฉยๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 06-08-2016 14:25:26
เหมาไปรู้ทีหลัง นางจะงอนไหมเนี่ยยยย. โถ่วววว... แอบโมโหอิแว่น!!!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-08-2016 14:28:37
ทำไมถึงมาลดสปีดการเดินเรื่องตรงจุดที่แย่สุดแบบนี้ครับ แกล้งคนอ่านใช่ไหมนี่ 55
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-08-2016 15:07:09
ทำไมถึงมาลดสปีดการเดินเรื่องตรงจุดที่แย่สุดแบบนี้ครับ แกล้งคนอ่านใช่ไหมนี่ 55

ไรท์ไม่ใจร้ายขนาดนั้นคร๊าบบบบ

แต่ไรท์ร้ายกว่านั้น  :z6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-08-2016 15:33:08
รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 06-08-2016 15:48:11
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 06-08-2016 19:14:24
 :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-08-2016 00:03:25
ใครจะนิ่งกว่ากัน
จากการเล่นเกมเดียวกัน
บอกว่ามีแฟนแล้ว

ใครจะเป็นคนทำให้อีกฝ่ายสติหลุดก่อน
แล้วยอมเปิดปากสารภาพออกมาว่าคบกันเหอะ

ปากแข็งทั้งคู่ทั้งที่รูฉ่ำกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-08-2016 00:19:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 07-08-2016 02:04:25
อ้างถึง
ผมว่าผมนอนหัวชนไอ้การ์ดแบบนี้
เหมาหรือเปล่าคะ?

ห้ามมีความลับต่อกัน   
เขาแอบกินกันเองจนคายออกมาแล้วจะกินกันรอบสองแล้ว เหมาเอ๊ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 07-08-2016 10:20:03
อ้างถึง
ผมว่าผมนอนหัวชนไอ้การ์ดแบบนี้
เหมาหรือเปล่าคะ?

ห้ามมีความลับต่อกัน   
เขาแอบกินกันเองจนคายออกมาแล้วจะกินกันรอบสองแล้ว เหมาเอ๊ย


ขอบคุณคร๊าบบบ
รู้สึกจะผิด 2 รอบ แล้ว กับเหมา-การ์ดเนี่ย 555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 07-08-2016 19:50:25
อยากอ่านต่อ  อยากรู้การตอบสนองของอิแว่น ถ้ารู้ว่าตี้ไม่มีแฟน. ทีมตี้หรือเหมาดี  ไม่อยากทีมชาร์ป เชอะๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 27 ปลอบเพื่อน 06-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-08-2016 10:33:19
บทที่ 28
โอกาส


“ขอบใจมากนะตี้”เสียงปลายสายบอกกับผม หลังจากที่ไอ้เหมาปรับความเข้าใจกับแพทได้ วันนี้ก็ได้ฤกษ์ที่ แพทพาไอ้เหมาไปเจอกับน้องแมท แม้จะเป็นการได้เจอกันครั้งแรก แล้วก็ยังดูไอ้เหมาเกร็งๆ อยู่ไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี แพทเลยโทรมาเล่าให้ผมฟังพร้อมขอบคุณอีกรอบ จากที่เคยบอกขอบคุณผมแล้วตอนไอ้เหมาตัดสินใจเดินหน้าต่อในความสัมพันธ์ ผมคุยกับแพทต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสายไป

ผมนั่งมองตัวเองในกระจก แล้วก็อดคิดไม่ได้ คนอื่นเค้าก็ดูแฮปปี้กันหมดแล้ว แต่ผมละ ไอ้เหมากับแพทก็ลงเอยกันด้วยดี คุณแว่นกับน้องปลาก็ดูท่าจะไปกันได้ด้วยดี ผมไม่ได้เจอกับคุณแว่นอีกเลยตั้งแต่วันที่ไอ้เหมามาค้างด้วย แต่ก็พอได้รับรู้เรื่องราวของเค้าผ่านทางไอ้เหมาโดยตลอด แม้จะไม่อยากรับฟังก็ตามที

“ครืด...ครืด”เสียงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ ทำให้ผมต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่าน ชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะตั้งแต่วันที่ผมบอกขอลดความสัมพันธ์กับเค้า เค้าก็เงียบหายไปเลย ไม่ได้ติดต่อผมมาอีก

“อรรถว่าไง”ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ และพยายามปรับเสียงให้ดูร่าเริง เค้าเอ่ยทักทายสารทุกข์สุกดิบทั่วๆ ไป ก่อนจะเอ่ยปากชวนผมออกไปทานข้าวด้วย

“ก็ไม่ได้ติดธุระ อะไรที่ไหนนะ ไปได้ ว่าแต่กินข้าวอย่างเดียวเหรอ ดื่มด้วยได้ไหม”อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจกับคำพูดของผม จะว่าไปคนเรานี่ก็แปลกนะครับ คนที่เค้ามาชอบเรา ดีกับเราขนาดนี้กลับไม่เลือกเค้า แต่กับคนที่เราก็รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เรากลับสลัดเค้าออกไปจากความรู้สึกไม่ได้

“งั้นสักสองทุ่มอรรถไปรับนะ”ผมตอบรับก่อนจะวางสายไป ก่อนจะอมยิ้มให้กับโทรศัพท์ ผมยังมีเค้าสินะถ้าเค้ายังรอผมได้ วันนึงผมอาจเปิดรับเค้าเข้ามาได้อย่างเต็มใจ




เราถึงร้านที่ตกลงกันไว้ในตอนเกือบๆ 3 ทุ่ม ก็ร้านประจำที่ผมมักจะมากับไอ้เหมาและคุณแว่นนั่นแหละครับ บางทีเจอร้านที่ถูกใจแล้วก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะไปลองร้านอื่น จริงไหมครับ วันนี้เป็นคืนวันเสาร์ คนเลยค่อนข้างจะเยอะพอสมควร โชคดีที่ผมโทรมาจองไว้ก่อนแล้ว คุณอรรถเป็นคนสั่งอาหาร ส่วนผมก็แน่นอนว่าสั่งเครื่องดื่ม การได้ออกมาแบบนี้ก็สบายใจดีนะครับ แม้เราจะลดความสัมพันธ์จากการเป็นแฟนลงแล้ว สำหรับผมที่ไม่มีปัญหากับการเป็นเพื่อนกับเค้าอยู่มันก็ย่อมไม่มีผลอะไร อีกอย่างเค้าก็รับรู้ในเหตุผลของผมแล้ว ฉะนั้นเค้าจะอยากคบผมในฐานะไหนต่อไป มันก็อยู่ที่เค้าเลือกอยู่แล้ว

“กับข้าวยังไม่มา นี่รีบจัดยอดข้าวก่อนเลยเหรอ ใจเย็นๆ ก็ได้”เค้ารีบปรามผม เพราะไม่อยากให้ผมดื่มตอนท้องว่าง ไอ้ผมก็ลืมตัว ปกติมากับไอ้เหมาเนี่ย กับข้าวแทบไม่ใช่สิ่งจำเป็น ถ้าเป็นกับแกล้มก็ว่าไปอย่าง

“รถก็ไม่ต้องขับ มากับอรรถแบบนี้ ขอเมาให้สุดไปเลยแล้วกันนะ”ผมไม่ได้ฟังคำทัดทานจากเค้า แถมยังยกเบียร์ดื่มจนหมดแก้ว โชว์ให้เค้าดูอีกต่างหาก

“เกิดเมาแล้ว อรรถลากไปทำมิดีมิร้ายละ ไม่กลัวเหรอ”เค้าแกล้งยื่นหน้ามายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม

“ลากไม่กลัว กลัวไม่ลากมากกว่า”ผมย้อนกลับไปอย่างท้าทาย ก่อนจะฉุกคิดได้ว่า ผมพูดแบบนี้ออกไปจะยิ่งเป็นการให้ความหวังเค้าไว้ หรือเค้าจะคิดว่าผมให้ท่าเค้ารึเปล่าเนี่ย แต่ช่างเหอะตอนนี้เค้าจะคิดยังไงผมว่าผมไม่ซีเรียสแล้วละครับ ตอนนี้ เพราะถ้าจะไม่อยากทำร้ายเค้า ไอ้การที่ผมปฏิเสธเค้าตอนไปหัวหินนั่น ผมก็ทำร้ายเค้าไปแล้วนิ

“ปากดีแบบนี้ เดี๋ยวพากลับบ้านด้วยเลยดีไหมเนี่ย”ผมหัวเราะกับคำพูดของเค้า รู้สึกว่าตอนนี้เค้าเริ่มกลับมาเหมือนคนเดิมที่ผมรู้จักแรกๆ ก่อนที่ผมจะตกลงเป็นแฟนกับเค้าแล้วนะ

“ถามไรหน่อยดิ”จริงๆ ก็เคยคิดจะถามเค้าตั้งแต่ตอนยังเป็นแฟนกันแล้วนะครับ แต่พอนึกได้แล้วก็ลืมทุกที อีกอย่างเราสองคนก็อยู่ในสถานะแฟน แค่ช่วงเวลาไม่นานมาก เรียกว่าช่วงเวลาที่ลองคุยๆ กัน นั่นยังมากกว่าช่วงที่ใช้คำว่าแฟนอีกมั้ง

“แลกกันไหมละ”ผมเลิกคิ้ว เอียงคอนิดนึงเพราะไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของเค้า ก่อนเค้าจะอธิบายต่อว่าแลกกันคำถามต่อคำถาม ถ้าผมถามหนึ่งคำถาม เค้าก็มีสิทธิ์ถามผมกลับหนึ่งคำถาม เช่นกัน ผมตอบตกลง เพราะตอนนี้ไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องปิดบังเค้าอีก ขนาดเรื่องคนที่ติดค้างในใจผม เค้ายังเดาได้ ผมคงไม่เหลืออะไรต้องปิดแล้วมั้งครับ

“ทำไม ตอนแรกที่ตี้รู้จักอรรถ อรรถกวนตีนมากๆ แต่พอมาเริ่มคุยๆ กันจนตกลงเป็นแฟน อรรถดี๊ดี ดีกับเรา จนเรารู้สึกว่าดีเกินไป”ผมเป็นคนเริ่มตั้งคำถามก่อน ตามข้อตกลง

“สรุปที่เลิกกะอรรถ เพราะตี้ชอบคนเลวใช่ไหมนิ”พูดจบก็หัวเราะใส่ผม จนผมต้องมองค้อนที่ถูกแซวว่าชอบคนเลว

“ไม่รู้สิ จริงๆ อรรถก็ไม่ใช่คนกวนอะไรมากนะ”

“ไม่มากอะไรละ ตอนแรกนี่เราปรี๊ดมาก หมั่นไส้ตั้งแต่ตอนยังไม่เจอ หมั่นไส้ตั้งแต่แค่คุยเรื่องงานผ่านโทรศัพท์แล้ว”ผมรีบแย้งเค้า จนเค้าหัวเราะว่าตกลงยังจะอยากฟังเหตุผลจากเค้าอยู่ไหม เพราะผมเล่นแย่งเค้าพูดแบบนี้

“ตอนยังไม่รู้จัก อันนั้นแค่รู้สึกอยากแกล้งเฉยๆ แต่พอเจอหน้าและได้คุย อันนี้ยอมรับว่าพยายามกวนตีนเพื่อเป็นการเข้าหา อยากให้ตี้สนใจบ้างไง”สนใจความกวนตีนเนี่ยนะ ก็พอจำได้นะครับว่าเค้าสนใจในตัวผมตั้งแต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ แต่การเข้าหาด้วยการกวนตีนเนี่ย มันจะได้ผลรึไง แต่จะว่าไปก็เพราะความกวนตีนของเค้าในตอนแรก มันก็นำพาเราทั้งคู่มาจนถึงจุดนี้นี่นา งั้นแสดงว่าเป็นวิธีที่ประสบผลสำเร็จนะเนี่ย

“แต่พอได้เริ่ม รู้จักกัน ได้ลองคุยๆ กัน อรรถก็อยากทำดีกับตี้ อยากดูแล เทคแคร์ เอาใจใส่ อยากให้ความสัมพันธ์มันออกมาดี ก็เลยกลายเป็นคนดีเกินไป ไม่ทันได้คิดว่าคุณปรีติจะชอบคนเลว”แหมได้ทีนี่ประชดประชันใหญ่เลยนะครับ

“เคลียร์ไหม”เค้าถามผมยิ้มๆ ส่วนผมก็พยักหน้าตอบพร้อมกับยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

“งั้นทีนี้ ตาอรรถถามบ้าง ว่าแต่ถามได้ทุกเรื่องแน่นะ”เค้าเว้นจังหวะ พร้อมรอฟังคำอนุญาตจากผม ซึ่งผมก็เพียงพยักหน้าให้เค้าตามเดิม จริงๆ ผมว่าผมก็พอเดาได้แหละครับ ว่าเค้าจะถามผมเรื่องอะไร

“ความสัมพันธ์ของตี้กับคุณชาร์ป ไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาใช่ไหม”แม้จะคิดไว้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเค้าจะถามตรงขนาดนี้ ผมยิ้มให้เค้า พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

“ตามข้อตกลง ไม่มีสิทธิ์ขอเปลี่ยนคำถาม”เมื่อเห็นผมยังเงียบอยู่ อีกฝ่ายก็เอ่ยออกมาอย่างติดตลก ไม่ได้จริงจังเท่าใดนัก

“มันเริ่มต้นจากที่เราเมาด้วยกันทั้งคู่”ผมพูดออกไปในที่สุด แม้จะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดว่าคืออะไร แต่ผมรู้ว่าคุณอรรถเองก็เข้าใจได้ว่าผมหมายความว่ายังไง ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมเค้าถึงอยากรู้เรื่องนี้ แต่ในเมื่อเค้ากล้าถามผมก็คงกล้าที่จะเล่า กรณีของเค้าไม่เหมือนกับไอ้เหมา เพราะถ้าไอ้เหมารู้เรื่องมันอาจจะยุ่งยากมากกว่านี้ อีกอย่างกับอรรถผมว่าถ้าย้ำกับเค้าว่า ไม่ให้ไปบอกกับคนอื่นเรื่องนี้ ผมว่าจากที่รู้จักเค้ามาผมไว้ใจเค้าได้

“Sex friends???”เค้าถามย้ำผมอีกครั้ง เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไรต่อ ผมก็ยังคงทำเพียงพยักหน้ารับเช่นเดิม

“แล้วสถานะตอนนี้???”ผมย้อนเค้ากลับไปว่านี่มันเกินหนึ่งคำถามแล้วหรือเปล่า แต่เค้าก็แย้งว่านี่มันยังอยู่ในคำถามเดิม ผมผิดเองที่ไม่อธิบายรายละเอียด

“ทุกอย่างจะยุติลงหากฝ่ายใดฝ่ายนึง เริ่มมีความสัมพันธ์ที่จริงจังกับคนอื่น”ซึ่งจริงๆ มันควรจบตั้งแต่ผมตกลงเป็นแฟนกับอรรถ แต่ผมก็ยังปล่อยให้ตัวเองมีความสัมพันธ์ต่อ เค้าถามย้ำกับผมว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่น จบไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ผมว่าจริงๆ เค้าคงอยากจะถามว่าความสัมพันธ์นั้นมันจบก่อนที่ผมจะเริ่มคบกับเค้าหรือเปล่า แค่ในเมื่อเค้าไม่ได้ถามออกมาตามตรง ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องลงลึกไปในรายละเอียดอีก เพราะมันอาจจะทำให้ทั้งผมและเค้ารู้สึกแย่ขึ้นมาอีกก็เป็นได้ ผมขอร้องให้เค้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ซึ่งเค้าก็รับปากกับผม แถมยังบอกอีกว่า ก็ไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟังอยู่แล้ว

“แล้วตี้ไม่อยากลองมาเป็น sex friends กะอรรถบ้างเหรอ”เค้าพูดพร้อมยื่นหน้ามาหาผมอย่างเจ้าเล่ห์ จนผมต้องเอื้อมมือไปผลักไหล่เค้าให้ถอยกลับไปนั่งดีๆ

“อะ แฮ่ม ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ”ทั้งผมและอรรถหันไปตามเสียงกระแอมนั่น ก็ทำให้ผมต้องตกใจเพราะไม่คิดว่าคนที่อยู่ในบทสนทนาของเราเมื่อสักครู่จะมาโผล่ที่นี่ พร้อมกับหญิงสาวอีกคน

“พี่ตี้ พี่อรรถ สวัสดีค่ะ”น้องปลาทักทายพวกผมทั้งสอง ก่อนคุณแว่นจะเอ่ยปากขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกผม เพราะตอนนี้ไม่มีโต๊ะว่างและทั้งคู่ไม่ได้จองโต๊ะไว้ แม้จะรู้สึกลำบากใจแต่ผมก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ ผมหันไปสบตากับอรรถซึ่งเค้าก็พยักหน้า พร้อมเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ เค้า เป็นอันว่าผมต้องนั่งเผชิญหน้ากับคุณแว่น แต่จะว่าไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงเสียวันนึงผมก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ให้ได้ อรรถวางมือลงบนต้นขาของผม ก่อนจะบีบเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ผมวางมือทับไปที่มือของเค้าเป็นการบอกนัยๆ ว่าผมไม่เป็นไร

“พี่ตี้กับพี่อรรถนี่ดูรักกันดีนะคะ ตอนเข้ามาทีแรก เห็นมุ้งมิ้งกันจนเกือบไม่กล้าเข้ามาขอนั่งด้วยเลย กลัวขัดจังหวะ”ผมเพียงฉีกยิ้มก่อนจะหันหน้ามองอรรถซึ่งเค้าเองก็ฉีกยิ้มและหันมองผมเช่นกัน ผมเองก็ไม่ได้บอกกับเค้าว่าเรื่องการลดความสัมพันธ์ของเราสองคนนั้น ผมยังไม่ได้บอกกับคนอื่น แต่จากการหันมายักคิ้วของเค้านี่ผมว่าเค้าคงเข้าใจแล้วว่าหมายความว่ายังไง ทั้งผมและอรรถปฏิเสธว่าการที่น้องปลากับคุณแว่นมานั่งด้วยไม่ได้เป็นการรบกวนอะไรเลย มีกันหลายๆ คนแบบนี้จะได้ยิ่งสนุก

“คุ้นๆ ว่าน้องปลา เป็นเอ่อ...เค้าเรียกอะไรนะ สาววายใช่ไหม”ผมหันมองอรรถเพราะไม่แน่ใจว่าเค้าจะพูดอะไร แต่เค้าตีที่เข่าผมเบาๆ เหมือนจะสื่อว่าให้ผมนิ่งๆ ไว้

“ประมาณนั้นมั้งคะ แบบเวลาเห็นผู้ชายมุ้งมิ้งกันหนูจะฟินมาก เมื่อก่อนนี่เป็นหนักเลย ทั้งการ์ตูน นิยายชาย-ชาย บ้าหนักมาก แต่พอมาทำงานก็ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้วค่ะ”น้องปลาตอบอย่างยิ้มแย้ม ส่วนคนที่นั่งข้างๆ ดูวันนี้จะเงียบๆ หงอยๆ อยู่เล็กน้อย น้องปลาถามอะไรเค้าก็ตอบกับยิ้มอย่างเดียว

“งั้นสมมตินะ ถ้าแฟนของน้องปลาเคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน ปลาจะรู้สึกยังไง”ไม่คิดว่าอรรถเค้าจะเล่นอะไรแรงขนาดนี้ แม้จะตกใจที่เค้าถามแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามากนัก ส่วนคุณแว่นเหมือนจะมองมาทางผม แต่ผมก็ทำเหมือนไม่เห็นสายตาของเค้า ไม่ว่าเค้าจะคิดยังไงกับบทสนทนานี้ ความคิดของเค้ามันก็ไม่มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว

“โห ตอบยากอ่ะพี่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูโอเคเลยนะ ฟินดี ฮ่าๆ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ก็คงคิดนิดนึงอ่ะ แต่ถ้าเค้าจริงใจกับเราแล้วไม่หันไปสนใจผู้ชายคนอื่นอีก ผู้หญิงอื่นด้วย ก็คงรับได้แหละ”ฟังคำตอบของน้องปลาแล้ว ผมว่าปลาก็คงเป็นคนที่เหมาะกับคุณแว่นแล้วละครับ เพราะถ้าผู้หญิงคนอื่นอาจจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคุณแว่นไม่พูด ผมเองไม่พูด เพิ่มอรรถอีกคนนึงละกัน ก็คงไม่มีใครรู้เรื่องที่เค้าเคยมีอะไรกับผู้ชายหรอก

“หรือพี่ชาร์ปจะเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน บอกมานะพี่หนูจะได้ตัดสินใจได้จากสถานการณ์จริง ไม่ต้องสมมติ”ผมก็นึกว่าบทสนทนานี้จะจบแค่นี้ แต่น้องปลากลับยังหันไปพูดเล่นกับคุณแว่นอีก

“บ้าเหรอ!!!”แต่กลับกลายเป็นว่าคุณแว่นพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว จนทั้งผม อรรถ น้องปลาต่างตกใจ

“หนูก็แค่ล้อเล่น เป็นไรเนี่ย”น้องปลายังคงบอกอย่างสบายๆ เหมือนไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนคุณแว่นก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ

ผมกับอรรถนั่งต่ออีกสักพัก โดยให้เหตุผลว่าอรรถต้องขับรถ ไม่อยากดื่มมาก เลยฝากตังค์ไว้ให้น้องปลากับคุณแว่นที่จะนั่งต่อเป็นคนจ่ายตังค์ ถ้าขาดหรือไม่พอยังไง ก็ค่อยไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับผมที่ออฟฟิศอีกที

“ขับรถไหวแน่นะ ไม่ไหวค้างนี่ก็ได้นะ”เพราะเห็นว่าเค้าเองก็ดื่มไปพอสมควร แถมจากบ้านผมไปบ้านเค้าก็ระยะทางไม่น้อยเท่าไหร่ เลยถามด้วยความเป็นห่วง

“อ่อยเราปะเนี่ย”เค้ายิ้มเจ้าเล่ห์บอกกับผม

“แล้วแต่จะคิด”ผมยิ้มบอกอย่างท้าทาย อาจด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ด้วย และความรู้สึกอยากมีใครสักคนไว้ยึดเหนี่ยวด้วย มันเลยทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น เค้าปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ออกจากตัวก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาหาผม ริมฝีปากเค้าค่อยๆ ประกบมาที่ริมฝีปากของผม กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ที่ออกมาทางลมหายใจ ช่วยกระตุ้นความรู้สึกบางอย่าง จนผมยอมเปิดปากให้อีกคนสอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวพันกับลิ้นของผม เราต่างลิ้มรส รสจูบของอีกฝ่ายเนิ่นนาน ก่อนเค้าจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากผมอย่างช้าๆ

“อรรถไม่อยากฉวยโอกาส ตอนที่ตี้กำลังรู้สึกแย่ เพราะงั้นตี้เข้าบ้านไปเถอะ ยังไงซะ ตอนนี้เราก็มั่นใจแล้วว่าโอกาสของตัวเอง มีมากกว่าคนอื่นแน่นอน”



TBC

คุณแว่นเอ้ย ดูภาพลักษณ์แย่ลงเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 08-08-2016 12:40:20
อิแว่นนนนนนน หึยยย!!!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-08-2016 14:01:16
ตี้ คงลบเลือนชาร์ปจากใจยากหน่อย :เฮ้อ:
เพราะเป็นคนในกลุ่มเดียวกัน เห็นกันตลอด  :hao7:
อรรถ ขอรอให้ตี้พร้อม :mew1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 08-08-2016 15:21:03
สมควร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 08-08-2016 19:16:13
โอ้ย อึน ตี้ต้องไปจากชาร์ปให้ไกลเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-08-2016 21:44:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 08-08-2016 22:20:04
พี่แว่น!!! ถ้าตอบแบบนี้ไม่ต้องตอบก็ได้นะเห้ย!!

ตี้คงรู้สึกจุกอยู่ข้างใน ถ้ายังเจอหน้ากันแบบนี้คงตัดใจยากแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-08-2016 22:45:48
ดูละคร เริ่มตอนหนึ่ง จึงคิดขบ
แต่ถ้าย้อน รู้ตอนจบ พบอวสาน
ไยต้องยื้อ แถมดื้อรั้น ให้มันนาน
รู้ทั้งรู้ มุ่งแต่งงาน ไม่เลือกเรา

หรือจะคิด แอบกิน สิ้นคุณค่า
ไร้ราคา หาไม่ได้ ให้อายเขา
ใจหมกมุ่น ครุ่นแต่เซ็กส์ เล็กไม่เอา
รู้ได้ไง ใหญ่กว่าเขา เราไม่เจอ

ลุ้นให้อรรถหญ่ายยยยยยยย
ลึงค์เร้า
กร๊ากกกกก

ถีบให้ไอ่แว่นกระเด็นตกไซส์ไป
ฮ่าฮ่า
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-08-2016 03:39:01
กระโดดถีบอก  ซอมเมอร์ซอลท์ฟาดหางจระเข้ 3 ที  ให้อิแว่น

อย่าให้เห็นเชียวนะว่ามาด้อมๆมองๆแถวตี้

นึกแล้วเชียว อิแว่นเอ๊ย  แอ๊บหาชะนีนั่นเอง 

เจออิเล่แล้วมาเจออิชาร์ปอีกคน   โอยยย   โมโห
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 09-08-2016 06:20:48
ไอแว่นเอ๊ย
ถ้าจะรังเกียจความเป็นเกย์ของตัวเองขนาดนี้ ก็อย่ามายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: CIndY59 ที่ 09-08-2016 13:43:34
คือคุณแว่นยิ่งอยู่ยิ่งเพลียอ่ะ....ต่อให้จะคบกับปลาประชด หรือคบจริง
เราว่าไม่โอเคแล้วอ่ะ ถ้าตี้จะกลับไป...

คืออรรถภาษีดีมากกกกกกกกก คือเป็นคนที่ฝากฝังชีวิตได้
คบไป คือชีวิตดี๊ดี มีความสุขแน่นอน (แต่นี่มันบทพระรองชัดๆ)

ตอนแรกชอบคุณแว่น ให้รู้จักแม่ มีหยอด มีหึงหวง
แต่พอมาตอนนี้มันก็แค่คนหวงก้างอ่ะ ดูไม่ได้รักตี้ แถมไม่ยอมรับตัวเองด้วย
เคยชอบคุณแว่นมาก แต่ไปแล้วไปลับเลยนะคะ


#อรรถfc  5555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 09-08-2016 23:06:03
เอาจริงๆคือสงสารตี้อ่ะ มันแบบหวั่นไหวใจใครจะบังคับได้
แต่แว่นนี่แบบมึงงงง มึงแม่งง นี่จะเอายังไงจะรู้สึกยังไง
อรรถนี่ให้ประโยค ผญชอบคนเลว แต่เคสนี้เป็นผชอ่ะ
เฟลแทนตี้ คนที่ชอบดันทำตัวเหมือนไม่มีเยื่อใย แถมมีความฝันอันสูงสุดที่ไม่มีตัวเองเป็นองค์ประกอบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 10-08-2016 09:28:17
เบื่ออิแว่น อย่ามายุ่งกับตี้อีกนะ เชียร์ให้ตี้ได้กับอรรถไปเลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 28 โอกาส 08-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-08-2016 18:10:03
บทที่ 29
จุดสิ้นสุด



“ตอนเย็นไปพร้อมกันเลยป่ะวะ”ไอ้เหมาเอ่ยถาม เพราะเย็นนี้พวกเราต้องไปบ้านคุณแว่น เนื่องจากคุณแม่ของคุณแว่นมาจากภูเก็ต ซึ่งจริงๆ น่าจะอยากมาดูตัวลูกสะใภ้นั่นแหละครับ ผมอยากจะเลี่ยงไม่ไปเหมือนทุกครั้ง แต่คุณแม่ดันเป็นคนโทรมาชวนผมเอง เลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เรียกว่านี่เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างผมกับคุณแว่นในรอบหลายเดือนก็ว่าได้

จากวันที่บังเอิญเจอกันตั้งแต่ครั้งนั้น ผมก็พยายามเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเค้ามาโดยตลอด ดีที่ไอ้เหมาเองก็ไม่ค่อยว่างนัดสังสรรเหมือนแต่ก่อน ส่วนคุณแว่นเองก็คงไปกับน้องปลาเสียส่วนใหญ่ และทุกครั้งที่มีการนัดกันเกิดขึ้น ผมก็มักจะใช้อรรถเป็นข้ออ้างในการปลีกตัวเสมอ แม้ความสัมพันธ์ของผมกับอรรถจะยังไม่ได้ขยับสถานะ ขึ้นมาเป็นแฟน แต่ตอนนี้ก็เรียกว่าเค้าคืออีกคนที่ผมสนิทมาก พูดคุยได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องคุณแว่น ที่หลังจากรู้รายละเอียดไปแล้วในวันนั้น เค้าก็ขอผมว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณแว่นให้เค้าฟังอีก

“เดี๋ยวกูไปพร้อมอรรถแล้วกัน”อรรถเป็นอีกคนที่แม่ของคุณแว่นอยากเจอ เพราะทุกคนก็ยังเข้าใจว่าผมกับอรรถเป็นแฟนกันอยู่ ซึ่งเรื่องนี้อรรถเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร จริงๆ ผมก็เคยคุยกับเค้านะว่าให้ผมบอกความจริงกับทุกคนก็ได้ว่าสถานะระหว่างเราคืออะไร แค่เค้าเองกลับให้ผมปล่อยไว้แบบนี้ ให้คนอื่นๆ เข้าใจว่าเราคือแฟนกัน

“โอเค ไว้เจอกันที่บ้านไอ้แว่นเลยแล้วกัน”ไอ้เหมาบอกก่อนเราจะแยกย้ายกันกลับไปทำงาน พอเลิกงานปุป ผมก็มุงตรงกลับบ้าน เพื่อนเอารถไปเก็บ พร้อมเตรียมตัวรอให้อีกคนมารับ

“พร้อมนะ”ผมเอ่ยถามอีกคนที่มาด้วยกัน ตอนนี้ทั้งผมและอรรถ ถึงบ้านคุณแว่นแล้ว จากรถที่จอดอยู่ทำให้อนุมานได้ว่า ไอ้เหมากับแพทคงมาแล้ว พวกผมสองคนก็คงเป็นสองคนสุดท้าย เพราะคนที่มาวันนี้ก็มีแค่ผม อรรถ ไอ้เหมา แพท แล้วก็น้องปลา

“อรรถน่าจะเป็นคนต้องถามตี้มากกว่านะ”เค้าถามผมยิ้มๆ กลับมา ก่อนเราจะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน

ผมทั้งสองคนเข้าบ้านมาในจังหวะที่ คนอื่นๆ กำลังช่วยกันยกอาหารออกมาวางที่โต๊ะกินข้าว ผมและอรรถยกมือไหว้แม่ของคุณแว่น ก่อนจะทักทายคนอื่นๆ ไอ้เหมาออกปากแซวว่าผมมาถูกเวลาเหลือเกิน มาถึงก็จะได้กินเลย

“เห็นมีคู่กันทุกคนแบบนี้แม่ก็ดีใจ”คุณแม่พูดอย่างมีความสุข พร้อมกับมองพวกผมทุกคน ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้คุณแม่ ผมพยายามเลี่ยงที่จะไม่หันมอง อีกคนที่ตอนนี้นั่งตรงข้ามผมพอดี

“ได้ข่าวว่าเหมากับแพท เห็นว่าคุยเรื่องแต่งงานกันแล้วใช่ไหมลูก”การทานอาหารดำเนินไปพร้อมเรื่องสรรพเพเหระที่ ยกมาพูดคุยกัน แต่หลักๆ เหมือนคุณแม่จะเน้นมาที่เรื่องความรักของพวกเราแต่ละคน

“ก็คุยๆ ไว้แต่คงอีกพักใหญ่แหละครับ”ไอ้เหมากับแพทหันมองหน้ายิ้มให้กันก่อนไอ้เหมาจะเป็นคนตอบคำถาม เห็นแบบนี้ผมก็อดจะอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ เห็นทั้งสองคบกันมานาน ผมเองก็อยากเห็นทั้งคู่มีความสุขแหละครับ งานแต่งก็คงเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงแทบทุกคนอยู่แล้วรวมถึงตัวแพทเอง แต่มันก็คงไม่เฉพาะผู้หญิง ขนาดคุณแว่นเองยังมีความฝันที่อยากจะแต่งงานสร้างครอบครัว

“จริงๆ ที่แม่ชวนทุกคนมาทานข้าวที่บ้านวันนี้ ก็เพราะคิดว่าทุกๆ คนก็เป็นเพื่อนที่สนิทกับชาร์ปเค้า เลยอยากให้มาฟังข่าวดีพร้อมๆ กัน”ข่าวดีงั้นเหรอคุณแม่เป็นคนพูดขนาดนี้คิดว่าคงเดาไม่ยากว่าข่าวดีที่ว่ามันคืออะไร  ผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้จะอยากรู้สึกแบบนี้เลย แต่มันก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะรู้สึกยินดี แต่ในใจผมกลับหวัง หวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้

“คือเราสองคน กำลังจะหมั้นกัน”มือของคนที่นั่งข้างๆ ผมเอื้อมมาจับมือผม มือที่อาจจะเย็นไปหมดแล้ว อรรถบีบมือผมเบาเบา ผมหันมองหน้าเค้าพร้อมกับยิ้มให้ เพื่อให้รู้ว่าผมไม่เป็นอะไร ผมพยายามปรับสีหน้า อารมณ์ให้รู้สึกเหมือนคนยินดี แม้ข้างในผมจะยังรู้สึกขัดแย้ง แต่ผมว่าการแสดงออกของผม น่าจะแนบเนียนพอให้ทุกคนไม่รู้สึกผิดสังเกตุ

ทั้งไอ้เหมา แพท อรรถและผม ต่างก็กล่าวแสดงความยินดีกับทั้งคู่ ผมเฝ้าบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่าผมต้องยินดีกับทั้งคู่ เค้าดูเหมาะสมกันแล้ว ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือทุกคนดูมีความสุข ไอ้เหมากับแพทดูยินดีจากใจจริงกับทั้งคู่ คุณแม่ที่ดูจะปลื้มจนหุบยิ้มไม่ได้ แน่นอนคนเป็นพ่อแม่ก็คงอยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา น้องปลาก็ดูมีความสุขกับความรักครั้งนี้ คุณแว่นก็เช่นกัน แม้ทั้งคู่จะคบหาดูใจในฐานะแฟนได้ไม่นาน แต่การที่ทั้งคู่รู้จักกันมานาน คงไม่เป็นการยากที่จะตัดสินใจหมั้นกันไว้ก่อน

“นี่กูต้องรีบแต่งซะแล้วมั้ง เดี๋ยวโดนไอ้แว่นแซงตัดหน้า”คำพูดจากไอ้เหมาเรียกเสียงหัวเราะให้ทุกคน ทุกคนต่างมีความสุข เพราะงั้นผมเองก็ควรจะมีความสุข ผมหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ความสุขของผมมันอาจจะไม่ต้องไปขวนขวายแสวงหาให้มันยุ่งยาก แค่ผมยอมรับในสิ่งที่อีกคนอยากจะมอบให้ ก็ได้แต่หวังว่าผมจะยอมรับสิ่งนี้ได้ในเร็ววัน

 “ถ้าเหมาแต่ง เดี๋ยวแม่จัดแพคเกจฮันนีมูนให้เลย ภูเก็ตยินดีต้อนรับเสมอ”คุณแม่พูอย่างอารมณ์ดี จริงๆ ครอบครัวของคุณแว่นมีธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่แล้ว นี่ถ้าเกิดเค้าแต่งงานแล้วอาจจะต้องกลับไปช่วยธุรกิจของครอบครัว นี่คงเป็นอีกเหตุผลที่คุณแม่เค้าดีใจ เพราะคุณแว่นเองบอกกับที่บ้านว่าขอออกมาใช้ชีวิตก่อน ถ้าแต่งงานแล้วจะกลับไปอยู่ภูเก็ต แต่เหตุผลที่เค้าซื้อบ้านในกรุงเทพฯ ก็เพราะตอนที่คบกับชะเอม ชะเอมยืนยันว่าจะไม่ยอมไปใช้ชีวิตที่ภูเก็ตนั่นเอง

“ตี้ก็เหมือนกันนะลูก ว่างๆ แวะไปเที่ยวที่ภูเก็ตได้ บอกชาร์ปเค้าก็ได้แม่จะได้จัดเตรียมไว้ให้”คุณแม่หันมาบอกกับผม ก่อนพวกเราทุกคนจะร่ำลาคุณแม่และแยกย้ายกันกลับ ผมรู้สึกโล่งใจที่ออกจากตรงนั้นมาได้ เพราะไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าจะคุมความรู้สึกไว้ได้นานแค่ไหน แม้จะไม่ใช่ความรู้สึกที่ชัดเจนมาก แต่ผมก็กลัวจะแสดงอะไรที่ผิดสังเกตุออกไป

“โอเคหรือเปล่า”คนที่ขับรถมาส่งผมถึงบ้าน เอ่ยถาม

“โอเคสิ เราสบายดี ไม่ต้องห่วงหรอก”ผมพยายามทำตัวร่าเริงไม่อยากให้เค้าต้องเป็นห่วง แต่จริงๆ ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกยังไง เสียใจไหม มันก็ไม่เชิง เพราะความรู้สึกข้างในมันยังขัดแย้งกันอยู่ ด้านนึงอาจจะรู้สึกเสียใจ แต่อีกด้านมันบอกให้รู้สึกยินดี

“นี่ละน้า บอกให้มาคบกันก็ไม่ตกลงสักที ไม่งั้นเราก็ แฮป...ปี้ กันแล้ว”เค้าพูดพร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนจะหัวเราะออกมา ผมส่ายหน้าขำๆ กับสิ่งที่เค้าทำ พร้อมกับบอกขอบคุณเค้าที่มาส่ง ก่อนจะลงรถ เพื่อให้เค้าออกรถกลับบ้านจะได้ถึงบ้านไม่ดึกมาก

“ตี้”ผมหันหลังกลับไปมองตามเสียง เค้าลดกระจกรถลง เรียกผม

“ไม่สบายใจ หรืออยากระบายอะไรโทรหาอรรถได้ตลอดนะ”เค้าบอกก่อนยกมือขึ้นแตะคิ้วทำท่าตะเบ๊ะ ส่งมาให้ผม ผมส่งยิ้มกลับไปให้ ก่อนจะหยุด ยืนมองรถของเค้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนลับตา ผมเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกโหวงๆ จากชั้นล่าง ขึ้นชั้นบน เข้าห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าทุกชุดที่ไม่ใช่ของผมออกมา

ผมหยุดยืนมองเสื้อผ้าที่ผมหยิบออกมาวางที่เตียง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างผมกับเจ้าของเสื้อผ้านี้ ค่อยๆ ไหลเวียนเข้ามาในหัวผม ผมเผลอยิ้มกับเสื้อผ้าพวกนี้ แต่มันคงเป็นการยิ้มเยาะให้กับตัวผมเอง ผมปลดเสื้อผ้าทุกตัวออกจากไม้แขวน เพื่อพับและเก็บทุกตัวลงไปในถุงกระดาษใบใหญ่ แม้ไม่รู้จะมีโอกาสคืนให้กับเค้าตอนไหน แต่ผมก็คงไม่ปล่อยไว้ในตู้เสื้อผมอีกต่อไป ส่วนของๆ ผมที่ยังอยู่บ้านเค้าก็คงแล้วแต่เค้าจะจัดการยังไง ความคิดต่างๆ ของผมถูกขัดจังหวะจากเสียงโทรศัพท์ของผมเองที่ดังขึ้น

ผมจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ที่ผมจำขึ้นใจ จริงๆ ผมควรกลับมาบันทึกชื่อเค้าแบบปกติแล้ว เพราะเราก็ไม่ได้มีอะไรกันแล้ว และไม่ได้กังวลว่าไอ้เหมาจะมาจับผิดอะไรเราสองคนอีกแล้ว ผมลังเลเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะกดรับสาย

“ยังไม่นอนใช่ไหม”น้ำเสียงราบเรียบของเค้าทำให้ยากที่ผมจะคาดเดาว่า เค้ามีจุดประสงค์อะไรในการโทรหาผม วันนี้ที่บ้านของเค้า เราสองคนแทบจะเรียกได้ว่าไม่ได้คุยกันเลย

“มีธุระอะไรหรือเปล่า”ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นกัน

“คือ...เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ก็อยากคุยด้วย อยากอธิบาย”อธิบายงั้นเหรอ มีเหตุผลอะไรที่เค้าต้องมาอธิบายให้ผมฟัง

“ไม่ต้องหรอกชาร์ป เราเข้าใจทุกอย่างดี แล้วก็ยินดีด้วยที่ชาร์ปจะได้มีจุดเริ่มต้นในการสร้างครอบครัว”ผมบอกออกไปตามตรง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องการจะสื่อ แต่ผมว่าควรจบบทสนทนากับเค้าให้ได้เร็วที่สุด

“แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม”น้ำเสียงที่ดูหม่นลงเล็กน้อย ทำให้ผมสูดลมหายใจยาว เพราะความสับสนในใจผมมันเพิ่มขึ้นไปอีก นี่เค้ากำลังทำอะไร มาพูดเหมือนขอความเห็นหรือขอนุญาตผม ทั้งที่เค้าก็ตัดสินใจลงไปแล้ว

“ขอขึ้นไปเจอได้ไหม”คำพูดของเค้าทำเอาผมแปลกใจ จนต้องเดินมาแง้มผ้าม่านดู ภาพที่เห็นยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้ผม เค้าจะมาหาผมถึงที่นี่อีกทำไม ระหว่างเราถึงมันจะเคยมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น แต่ในด้านความรู้สึกมันคงมีแค่ผมที่รู้สึกไปคนเดียว เค้าไม่ควรมาทำแบบนี้ให้ผมไขว้เขว เค้ากับผมควรที่จะต้องเว้นระยะห่างจากกันมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

“รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวเราลงไปหา”หรือการพูดคุยทำความเข้าใจให้ชัดเจนจะเป็นทางที่ดีกว่า มันถึงทำให้ผมตอบเค้าออกไปอย่างนั้นก่อนจะวางสาย ผมหยิบของที่เพิ่งเก็บเรียบร้อยไปเมื่อครู่ติดมือลงไปยังด้านล่างด้วย ผมเดินมาจนถึงประตู้รั้วบ้าน แต่ไม่ได้เปิดประตูให้เค้าแต่อย่างใด

“เราจะคุยกันผ่านประตูแบบนี้เหรอ”เค้าทำท่าจะใช้กุญแจ ที่ผมเคยให้ไว้ไขประตูเข้ามา แต่ผมทักท้วง และเอื้อมมือออกไปหยิบเอากุญแจนั้นมาถือไว้เอง

“กุญแจบ้านเรา เราขอคืนนะ ส่วนนี่กุญแจบ้านชาร์ปทั้งหมด เราคืนให้”ผมยื่นกุญแขนลอดผ่านประตูออกไป เพื่อส่งกุญแจให้เค้า

“ตี้โอเคใช่ไหม”เค้าจะถามแบบนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าเค้าจับความรู้สึกผมได้ไหม ว่ามันเริ่มคิดเกินเลยกับเค้า แต่ต่อให้เค้ารู้หรือไม่รู้ การมาถามผมแบบนี้ เค้าต้องการให้ผมตอบว่ายังไง เพราะสำหรับผมไม่ว่าผมจะรู้สึกยังไง เค้าก็ตัดสินใจ ตามที่เค้าตั้งใจไว้อยู่แล้ว ตอนนี้ผมแค่ต้องการจบการเผชิญหน้ากับเค้าแบบนี้ให้เร็วที่สุด

“ทำไมเราจะไม่โอเคละ”ผมสูดลมหายใจสุดแรงก่อนจะพูดต่อ

“เราตกลงกันตั้งแต่ต้นแล้ว ข้อตกลงเป็นยังไง เราเข้าใจดี ตอนนี้ข้อตกลงของเรามันแค่เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ชาร์ปก็ไปในเส้นทางของชาร์ป แต่งงานสร้างครอบครัวในแบบที่ชาร์ปเคยฝัน ส่วนเราก็แค่เริ่มต้นจริงจังกับอรรถเค้า เราสองคนก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”สิ่งที่ผมพูดไม่ใช่แค่การบอกกับเค้า แต่มันคือการย้ำกับตัวผมเองด้วยว่า จากนี้ไปผมควรเลือกเดินในเส้นทางที่ผมควรเลือก

“เราแค่รู้สึก...”ผมหยุดรอฟังสิ่งที่เค้าจะพูด แต่คำพูดของเค้าเงียบลงแค่นั้น

“ขอโทษ...ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน ว่าจะหมั้น”เค้าบอกพร้อมกับจ้องมาที่ผม

“หึ”ผมหัวเราะเบาเบาในลำคอกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่เค้ากำลังทำอะไรอยู่ เค้ากำลังทำเหมือนการมาบอกเลิกผม เพื่อไปแต่งงานกับคนอื่น แต่เค้าจะมาทำแบบนี้ทำไม ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราสองคนมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าคบกันเลยสักนิด

“ชาร์ป...ชาร์ปไม่จำเป็นต้องขอโทษ หรือทำแบบนี้เลย เราก็แค่เพื่อนชาร์ปคนนึง เพื่อนเหมือนกับไอ้เหมา เหมือนแพท ชาร์ปจะหมั้น จะแต่งงาน ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาถามหรือบอกเราก่อนเลย”ผมพูดพร้อมยิ้มให้เค้า แม้ในใจผมจะสับสน แต่ผมก็ฝืนแสดงออกมาให้มันชัดเจนว่า ผมไม่เป็นไร ผมยังคงจะเป็นเพื่อนกับเค้าต่อไปได้

“เรา...”เหมือนจะพูดอะไร แต่เค้าก็เพียงจ้องมองหน้าผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ ผมยื่นถุงกระดาษที่หิ้วลงมาด้วยส่งให้กับเค้า แล้วก็ไม่รอให้เค้าสงสัย ผมรีบบอกว่ามันคือเสื้อผ้าของเค้า ผมเก็บมาให้หมดแล้ว

“ส่วนเสื้อผ้าเราที่บ้านชาร์ป เอาทิ้งไปเลยก็ได้นะ จะได้ไม่มีคนสงสัย”ผมบอกก่อนจะหันหลังกลับเพราะคิดว่าไม่มีอะไรต้องพูดกับเค้าอีก ผมว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปมันชัดเจนในตัวของมันทุกคำพูดแล้ว

“ตี้”ผมหยุดรอฟัง แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง ยังคงยืนหันหลังให้เค้า

“แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม”เป็นคำถามที่ผมเองก็คงตอบไม่ได้ ว่าแบบไหนมันดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นทางที่ผมเลือก ซึ่งเค้าคงไม่เลือกมาเดินในเส้นทางเดียวกับผม และแน่นอนว่าผมเองก็คงไปอยู่ในเส้นทางของเค้าไม่ได้ด้วยเช่นกัน

“อือ”ผมเลือกที่จะตอบรับสั้นๆ และก้าวเดินไปข้างหน้า ผมต้องรีบเดินให้เร็วขึ้นเมื่อรู้สึกว่าน้ำในตาผม มันเริ่มปริ่มขึ้นมาแล้ว




เขียนมาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าคนที่ร้ายที่สุดในเรื่องก็ไรท์เนี่ยแหละ

ทำร้ายทุกคนในเรื่องเลย :z3:

ยังไงก็ฝากติดตามกันนะคร๊าบบบ ขอบคุณทุกกำลังใจ

คงมาอัพอีกทีหลังวันหยุดเลย ใครหยุดหลายวันก็ขอให้แฮปปี้กับวันหยุดนะคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-08-2016 18:26:01
โอ๊ยยยยยยยยย สงสารตี้ ทำไมแว่นตัดสินใจไวแบบนี้ เพิ่งคบกันเิงไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องรีบหมั้นไวแบบนี้หรือไปทำปลาเขาท้องแล้ว แต่เอ๊ะ!! ถ้าท้องมันต้องแต่งเลยนิ โอ๊ยยยยยย ไม่เข้าใจต่างคนก็ต่างปากแข็งไม่พูดออกมาซักที ไรท์ใจร้ายมากกกกกกทำเราน้ำตาซึมเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 10-08-2016 19:38:38
จะมาอาลัยอาวรณ์ทำไมอิแว่น ถ้าจะทำอะไรก็รีบทำได้แล้ว ถ้าหมั้นแล้วจะกลับมาหาตี้อีกไม่ได้หรอกนะ รับไม่ได้ เชียร์อรรถดีกว่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 10-08-2016 20:06:00
ตอนแรกแอบคิดนะว่าที่ปลากะแว่นเป็นแฟนกันนี่คือจัดฉากอยากให้ตี้รู้ใจตัวเองไรงี้
พอตอนนี้กระทั่งหมั้น บอกผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องหวังอะไรแล้วล่ะ
เขาไม่รักก้ปล่อยเขาไป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 10-08-2016 20:22:00
เอานะเจ็บตอนนี้แต่ตี้เคลียร์แล้ว   มีอรรถที่สามารถพูดคุยได้แบบเปิดเผย
เปิดใจรับอรรถก็ไม่น่าจะยากอะไร   ของขวัญบางครั้งได้มาเพราะคนอยากให้ก้รับเสียไม่ต้องไปตั้งคำถามว่าให้เพราะอะไร ยังไง มีจุดประสงค์อะไร 

คนที่หนักกว่าน่าจะเป็นอิแว่น  เพราะนางเริ่มเอียงมาทางนี้แต่รีบคบชะนีเพื่อปัดเส้นทางที่กำลังจะเบี่ยงออก   คนที่อกจะแตกตายไม่ใช่ตี้หรอก อิแว่นนั่นแหละ

แบบนี้ก็เหมือนอิเล่เลยค่ะ   โดยเฉพาะถ้าหากว่ามันกลับวอแวกับตี้นะ   คนมันเคยได้กินได้ลองติดใจข่างหลังไปแล้ว  กลับไปกินข้างหน้าก็ไม่มีทางลืมได้หรอก เผลอๆไม่อิ่มด้วยซ้ำ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-08-2016 20:51:18
เราก็งงกับชาร์ปมาก
ดันคุณอรรถขึ้นมาเป็นพระเอกแทนดีกว่า ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 10-08-2016 21:04:51
จริงค่ะ ร้ายมาก. นี่เข้ามาดูทุกวัน แล้วอัพแค่นี้อ่ะ อย่างน้อยขออีกสักตอนก่อนหยุดยาวสิ อยากร้องไห้เลย เง้อออออ แถมอิแว่นจะหมั้นอีก คือถ้าลังเลก็ไม่ควรป่ะ ตัวเองอยากแต่งงานมีลูกแล้วจะมีถามตี้อีกทำไมอ่ะ. ถ้าตี้ตอบไม่ดี เรามาคบกันจริงๆจังๆเถอะแว่นจะยอมหรอ????
ปล. ขออีกสักตอนเถอะนะ อย่างน้อยๆความรู้สึกอิแว่นตอนนี้ก็ยังดี :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2016 21:39:46
 :z3: :z3: :z3:
แว่นเอ๊ย.......ตามมาดูว่าอรรถจะมาอยู่กับตี้ใช่เปล่า?
นี่ถ้าแว่นรู้ว่าตี้เป็นแค่เพื่อนกับอรรถ
จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า
งง กับแว่น นะ
แว่น ยังสับสน สินะ
ก็ เคมีระหว่างตี้กับชาร์ป เข้ากั๊น เข้ากัน นี่นะ
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 10-08-2016 22:17:26
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-08-2016 22:47:16
ขนาดนี้แล้วตี้ก็ลองเปิดใจคบคุณอรรถดู ส่วนคนอื่นก็ปล่อยให้หลอกตัวเองไร้ความสุขตลอดชีวิตไป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-08-2016 23:10:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-08-2016 00:20:18
จะคร่ำครวญ หวนไห้ เพื่อไรหรือ
มาคร่ำครวญ หารือ คือสงสัย
อย่ามาบ้า หน้าด้าน คนจัญไร
อย่ามาใช้ น้ำตา เข้าหากู

มึงทำเศร้า หรือกู ที่ต้องเศร้า
มึงเผาเอา เผาเอง เร่งสวยหรู
มึงคนเล่น เป็นไป ให้กูดู
ใครกันแน่ น่าอดสู กูหรือมึง

ไอ้เหี้ยแว่น..สันดานดอก
ดอกมากกกกก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 11-08-2016 01:11:24
ถ้าเรื่องนี้พระเอกคือชาร์ป ก็เป็นพระเอกที่ห่วยแตกมาก
ให้อรรถเป็นพระเอกยังจะดีกว่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 11-08-2016 10:06:36
เครียด หน่วงหนักมาก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 11-08-2016 11:58:27
ทำเพื่อประชดเรียกร้องความสนใจจากตี้ใช่ไหม. ตี้น่าจะบอกไป มันดีที่สุดแล้ว เพราะทั้งหมด ชาปเลือกเอง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 29 จุดสิ้นสุด 10-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-08-2016 17:08:20
บทที่ 30
ทางที่เลือก


“โ ทรมาทำไมแต่เช้าเนี่ยไอ้เหมา”ผมตอบรับปลายสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา เพราะยังรู้สึกไม่พร้อมที่จะมีสติ ตอนนี้ผมยังรู้สึกอยากหลับต่อ เพราะปวดหัวเหลือเกิน ผลพวงจากเมื่อคืนโดยแท้ นี่กลับมาถึงโรงแรมได้อย่างปลอดภัยได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว



“คุณเพื่อนครับ บ้านมีนาฬิกาไหมครับ”เมื่อไม่เห็นว่ามันจะพูดจุดประสงค์ในการโทรมาของมัน ผมเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่ต่อปากต่อคำกะว่าจะนอนต่อเนี่ยแหละครับ



“ไอ้เชี่ยมึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย หรือหลับไปแล้ว ไอ้ตี้ ไอ้ปาร์ตี้ ไอ้ปรีติ ตื่นมาคุยกะกูก่อน”เล่นตะโกนมาเสียทุกชื่อขนาดนี้ ใครจะไปนอนต่อได้ละครับ



“มีอะไรก็ว่าไป”ผมตอบสนองมันด้วยน้ำเสียงงัวเงียอย่างชัดเจน เพื่อให้มันรีบพูด เสร็จแล้วผมจะได้นอนต่อ



“ข้อแรก ขณะนี้เวลา 11 นาฬิกา 59 นาที 20 วินาที นั่นหมายความว่าอีก 30 วินาทีจะเที่ยงแล้ว ซึ่งที่กูพูดกับมึงอยู่ตอนนี้อนุมานได้ว่า นี่เที่ยงวันแล้ว ขอคุณเพื่อนจงทำความเข้าใจใหม่ว่ากูไม่ได้โทรมาแต่เช้า”ผมพยายามลืมตา ควานหานาฬิกาข้อมือที่วางอยู่ข้างเตียงมาดู โอเคเที่ยงแล้วอย่างที่ไอ้เหมามันบอก แต่แล้วไงอ่ะ ผมเพิ่งกลับมานอนตอนเช้านี่เอง



“แต่เรื่องเวลา นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือวันนี้ วันอะไร มึงลืมไปหรือเปล่า”นี่ถ้ามันเป็นแฟนผม ผมคงคิดว่าผมลืมวันสำคัญอะไรสักอย่าง ประเภทวันครบรอบ วันเกิด หรือวันที่มีความพิเศษสำหรับการเป็นแฟน แต่นี่เราเป็นเพื่อนกัน เพราะงั้น



“วันอะไรวะมึง กูขอโทษ กูลืม ตอนนี้ไม่ทันแล้วใช่ไหม กูต้องทำไงดี มึงโกรธกูหรือเปล่า”ผมแกล้งทำเสียงโอเวอร์ เล่นใหญ่จนยิ่งกว่ารัชดาลัยเธียเตอร์ ก่อนจะหลุดขำออกมา จนไอ้เหมามันถอนหายใจใส่ผม



“มึงตลกพอรึยัง”และดูว่าเพื่อนเหมาของผมจะไม่ขำด้วยสักเท่าไหร่



“ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่างานเค้าไม่ได้จัดทางการ มีแต่ญาติๆ เราไม่ต้องไปก็ได้ แล้วนี่จะมาบ่นอะไรกู”เมื่อพอจะรู้แล้วว่าไอ้เหมาโทรมาทำไม ผมหลับตาลงสูดลมหายใจ วันนี้คือวันหมั้นของคุณแว่นกับน้องปลา แต่อย่างที่บอกครับว่าเค้าไม่ได้จัดพิธีการอะไรมาก เหมือนแค่มีญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอ แล้วก็หมั้นหมายกันไว้แค่นั้น



“ก็ถูก แต่ตอนเย็นเรามีปาร์ตี้สละโสดให้ไอ้แว่นมันนะ และถ้ามึงยังจำได้ เราตกลงกันว่าจะช่วยกันจัดงานนี้ให้ไอ้แว่นมัน”ผมถอนหายใจอีกครั้ง จนคนที่นอนอยู่ข้างๆ เริ่มขยับ ผมหันหน้าไปมองซึ่งเค้าเองก็มองผมอยู่เช่นกัน เราแค่ยิ้มให้กันเฉยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันเพราะผมยังติดสายอยู่กับไอ้เหมา



“และถ้ามึงจำได้เช่นกันนะเพื่อนเหมา กูบอกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าไม่ว่าง และถ้าจะจำให้ได้อีก กูว่ากูบอกแล้วว่ากูมาพัทยาตั้งแต่เมื่อวาน และถ้าจะจำได้อีกสักอย่างนึง เรื่องสละโสดเนี่ยเราแจ้งทางร้านไปแล้วว่าอยากได้คอนเซปต์แบบไหน ร้านเค้าก็บอกแล้วว่าจัดให้ได้”ผมอธิบายย้ำเพื่อให้มันเข้าใจ จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้หรอกนะครับ แต่ติดที่ไอ้เหมานี่แหละที่เจ้ากี้เจ้าการ แน่นอนมันไม่ยอมแพ้ผม เพราะยังหาเหตุผล ร้อยแปดมาแย้งผมอยู่ดีว่า ผมควรรีบกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปช่วยมันดูสถานที่และความเรียบร้อย



“คนที่ไปเค้าแค่อยากไปกินเหล้าแค่นั้นแหละมึง จะคิดมากทำไม เจอกันเย็นนี้ละกัน”ผมชิงตัดสายก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมตะแคงตัวมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งเค้าก็ตะแคงมองผมอยู่เช่นกัน ผมมาที่นี่กับเค้าตั้งแต่เมื่อคืน เค้าพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองที่พัทยา ส่วนผมแค่ติดสอยห้อยตามมา เพราะอยากเลี่ยงบางอย่าง



“เสียดายเมื่อคืนเมามากไปหน่อย”นิ้วเรียวยื่นมาเกลี่ยไปตามใบหน้าของผม ผมยิ้มเยาะให้กับเค้า เพราะคำพูดที่เค้าหมายถึงมันตีความหมายจากแววตาหื่นๆ นั่นได้ แต่ระหว่างเราสองคนเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น ก็จะให้มีอะไรได้ยังไงเมาพับกันทั้งคู่ขนาดนั้น พากันกลับมาถึงโรงแรมได้นี่ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว เล่นอยู่กันจนสว่างขนาดนั้น เรียกว่าเป็นการเที่ยวที่สุดเหวี่ยงมากๆ ของผมอีกครั้งในรอบหลายปีเลยทีเดียว ไม่ได้ทำอะไรสุดๆ หลุดๆ แบบนี้ตั้งแต่เรียนจบแล้วละครับ



“ปากดี”ผมบอกกับเค้าอย่างท้ายทาย แม้ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นแฟนกับเค้าแต่ตอนนี้ผมก็ปล่อยให้เค้าเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวทีละน้อย ทีละน้อย



“ใครกันแน่ที่ปากดี”และไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวเค้าขยับขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้ สายตาเราประสานกัน ก่อนเค้าจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม ผมหลับตาลงพร้อมกับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาที่เปลือกตาของผม ก่อนผมจะต้องสะดุ้งลืมตาเพราะแรงกัดที่ซอกคอผม แม้จะไม่ได้รุนแรงมากแต่มันก็รู้สึกได้ว่ารอยคงชัดมากแน่ๆ



“ขออะไรอย่างได้ไหม”เค้าทิ้งน้ำหนักตัว นอนทับกับตัวของผม แล้วกระซิบที่ข้างหู ผมรู้ว่าเค้าจะไม่ทำอะไรผมมากไปกว่านี้ เพราะเราตกลงกันไว้แล้วว่า ถ้าวันนึงเราจะมีความสัมพันธ์ทางกายที่มันลึกซึ้ง วันนั้นสถานะของเราต้องไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว แม้จริงๆ สิ่งที่เราทำกันอยู่มันจะเกินขอบเขตคำว่าเพื่อนมาแล้วก็ตามที แต่สิ่งที่ผมขอไว้คือถ้าผมยอมรับเค้าในฐานะแฟนอีกรอบเมื่อไหร่ นั่นแสดงว่าผมพร้อมที่จะรับเค้าเข้ามาในชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว



“ขอเป็นแฟนเหรอ”ผมแกล้งแหย่



“เป็นปะละ โปรโมชั่นพิเศษ เป็นแฟนวันนี้ดูแลฟรีตลอดชีวิตเลยนะ”เค้าพลิกตัวลงนอนข้างๆ พร้อมบอกกับผมยิ้มๆ บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าเค้าจะทนผมที่เป็นแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน ตัวเค้าเองทั้งรูปร่างหน้าตา การทำงานที่ดูมั่นคง เรียกว่าน่าจะมีคนพร้อมเป็นแฟนกับเค้าเยอะแยะ ที่ไม่ต้องมาทนเสียเวลารอคนอย่างผม



“สรุปจะขอไร”ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงดึงชุดนอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะถามย้ำ เพราะเค้าคงมีเรื่องจะขอ ที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมแหย่ไป ผมว่าส่วนนึงที่เค้ายังรอผมอยู่แบบนี้มันก็คงเพราะผมเองนี่แหละ ที่มีส่วนทำตัวให้ความหวังเค้า



“เย็นนี้...งานสละโสดอะไรนั่น ตี้ไม่ไปได้ไหม”ผมหันมองเค้าอย่างสงสัย ปกติเค้าแทบไม่เคยอะไรกับการไปไหนมาไหนของผม อาจจะมีถามบ้าง แต่ก็ไม่เคยว่าอะไรเลย



“อรรถรู้ว่า เรายังไม่ใช่แฟนกัน อรรถไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายเรื่องของตี้กับเพื่อน แต่ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...ได้ไหม”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก็พอรู้ว่าเค้าคงไม่สบายใจที่ผมจะไปเจอคุณแว่น แม้ผมจะยืนยันกับเค้าไปแล้วว่าระหว่างผมกับคุณแว่น มันไม่มีทางที่จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้ชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์กับอรรถ เค้าก็คงต้องมีความไม่มั่นใจในตัวผมอยู่บ้าง ผมก็เข้าใจเค้านะครับ แต่ถ้างานนี้ผมไม่ไป คนขี้สงสัยอย่างไอ้เหมา คงจับสังเกตุอะไรได้อีกแน่นอน



“คือ...เรา”ผมไม่รู้จะตอบกับเค้าว่ายังไง ใจจริงผมก็ไม่อยากไปหรอกนะครับ เพียงแต่ไม่อยากให้คนอื่นผิดสังเกตุ



“งั้นอรรถขอใหม่ ไม่ว่าตี้จะไปหรือไม่ไปงานสละโสดอะไรนี่ก็แล้วแต่ แต่อรรถจะไปรอตี้ที่ร้านเดิม ที่เราไปด้วยกันบ่อยๆ ถ้าตี้ไปเจออรรถที่ร้านนั่นหมายความว่าตี้ยอมตกลงเป็นแฟนกะอรรถ แต่ถ้าตี้ไม่มาอรรถจะไม่มากวนใจตี้อีก”นี่เค้ากำลังให้ผมตัดสินใจใช่ไหม มันคงมาถึงจุดที่เค้าอยากได้ความชัดเจนจากผมแล้ว ถ้าผมตัดสินใจจะเดินต่อ เค้าก็คงพร้อมจะเดินไปพร้อมผม แต่หากผมยังไม่พร้อม ผมเองก็คงไม่มีสิทธิ์ ที่จะเหนี่ยวรั้งเค้าเอาไว้



“ค่อยๆ คิด แต่ถ้าไม่อยากให้อรรถรอนานตี้ก็ไปตั้งแต่ร้านเปิดเลยนะ”เค้าบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมว่าจริงๆ ในใจเค้าก็คงกังวลไม่น้อยหรอกครับ เพราะถ้าเค้าไม่คิดจะจริงจังกับผมคงไม่ยอมรอผมแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าในใจผมยังมีบางคนตกค้างอยู่



เราอาบน้ำแต่งตัวเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ก่อนจะหาอะไรทาน จากนั้นก็มุ่งตรงกลับเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างทางผมแทบจะเงียบมาตลอดทาง เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะตัดสินใจยังไง ผมเลือกที่จะหลับตาลงเหมือนนอนหลับ ทั้งๆ ที่ความจริงยังคงรับรู้ทุกอย่าง แต่เค้าก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผม จนถึงบ้าน



“เจอกันคืนนี้นะ”เค้าบอกพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนจะขับรถออกไป ผมยกนาฬิกาข้อมมือขึ้นดู นี่ก็บ่าย 3 กว่าๆ แล้ว ผมมีเวลาอีกประมาณไม่ถึง 10 ชม.ในการตัดสินใจ เพราะร้านที่เค้านัดผมปิดตอนเที่ยงคืน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เหมาเจ้าเก่า เจ้าเดิมอีกนั่นแหละครับ



“กูจะถึงบ้านมึงแล้วนะ พร้อมยัง”เดี๋ยวนะครับ คืออะไรใครพร้อมอะไร แล้วมันมาบ้านผมทำไม นี่ผมยังไม่เปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำ อย่าบอกว่าผมต้อง ออกไปกับไอ้เหมาต่อนะเนี่ย ดูเหมือนการคาดเดาของผมจะแม่นเหลือเกินเมื่อสิ่งที่ไอ้เหมาบอกผมคือ มันจะมารับผมไปที่ร้านที่จะจัดปาร์ตี้สละโสดให้กับคุณแว่นในคืนนี้ แม้ผมจะบ่ายเบี่ยงว่าเพิ่งมาถึงบ้าน และตอนนี้ก็เหนื่อยมาก แต่มันก็ไม่ฟังผมเลย สุดท้ายผมก็มาอยู่ที่ร้านกับมันเป็นที่เรียบร้อย



ร้านที่ไอ้เหมาเป็นคนเลือกเป็นร้านอาหารที่แบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน และมีในส่วนที่ไว้สำหรับจัดปาร์ตี้ส่วนตัว ห้องที่เราอยู่ตอนนี้เป็นห้องที่น่าจะจุคนได้สัก 30 คน ถูกตกแต่งด้วยโลโก้ทีมฟุตบอลทีมต่างๆ ตามที่ระบุกับทางร้านไว้ นอกจากนี้ยังมีลูกฟุตบอล ประตูฟุตบอล เป็นพรอพประกอบในห้องด้วย ส่วนคนที่จะมาปาร์ตี้สละโสดให้กับคุณแว่นในวันนี้ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพื่อนสมัยเรียน มีบ้างที่เป็นคนที่ทำงานเดียวกัน และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดคอนเซปต์ของงาน ไอ้เหมาเตรียมชุดนักฟุตบอลไว้ให้คนที่จะมาในวันนี้ด้วย เพราะกะว่าต้องมีคนที่ไม่ยอม แต่งตามธีมที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็จริงเพราะผมคนนึงแหละที่ไม่ได้ ไปหาชุดนักฟุตบอลมาใส่



“อ่ะชุดมึง เปลี่ยนซะ”ชุดบอลถูกโยนให้กับผม ตอนนี้ยังไม่ 5 โมงเย็นเสียด้วยซ้ำ แต่ไอ้เหมาคงไม่ปล่อยผมออกจากร้านแล้ว มันว่าผมกับมันต้องช่วยกันต้อนรับเพื่อนๆ ของคุณแว่นที่จะมาในวันนี้ ดูไอ้เหมามันจริงจังกับงานนี้ มากครับ คงเพราะคุณแว่นเป็นเพื่อนรักของมันคนนึง ผมมัวแต่วุ่นวายอยู่กับไอ้เหมา จนเกือบจะลืมสิ่งที่ต้องตัดสินใจในคืนนี้ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง



ทีแรกเค้าขอให้ผมไม่มาที่นี่ แต่ตอนนี้ผมก็มาติดอยู่ที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วตอนนี้ผมยังไม่ทันได้ตัดสินใจคิดอย่างถี่ถ้วนเลยว่า ผมจะเอายังไงกับนัดของอรรถ



“อ่ะ เรามาก่อนต้องรีบล่วงหน้ากันก่อน”ไอ้เหมาส่งแก้วเครื่องดื่มสีอำพันให้กับผม พอเวลาเลยมาจน 6 โมงก็เริ่มมีคนมาที่ร้าน อาหารเครื่องดื่มถูกทยอยออกมาจัดวาง หลายๆ คนต่างทักทายกันอย่างสนุกสนานเพราะการจะได้มารวมตัวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผมกับไอ้เหมากลายเป็นพ่องานอย่างเสียไม่ได้ ใครขาดเหลืออะไรเป็นต้องมาถามที่เราสองคน ตอนนี้คุณแว่นเองก็มาที่นี่แล้ว แต่เจ้าของงานอย่างเค้าก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยคนที่อยากจะร่วมแสดงความยินดี



การดื่มกิน พูดคุยดำเนินไปเรื่อยๆ รวมทั้งการสับเปลี่ยนกันร้องเพลงอย่างสนุกสนาน และที่ขาดไม่ได้กับการแยกปาร์ตี้แบบนี้ ในเมื่อคู่หมั้นของอีกฝ่ายไม่ได้มา และคนที่ในวันนี้ก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย ไอ้เหมาเลยจัดให้มีโชว์พิเศษจากพริตตี้สาวสวยมาด้วย เวลาล่วงเลยมาจนจะ 4 ทุ่ม ไม่ใช่ว่าผมลืมนัดกับอรรถนะครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่สามารถตัดสินใจได้



ผมเดินออกจากห้องมากดโทรศัพท์หาอรรถ แม้ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วผมจะไปหาเค้าหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ควรทิ้งเค้าไว้คนเดียวแบบนี้ แต่เค้าไม่รับโทรศัพท์ผม แสดงว่าเค้าคงยังรอผมอยู่



“มายืนทำไรวะมึง”ไอ้เหมาที่เดินถือบุหรี่ออกมาเอ่ยถาม แต่ผมไม่ได้ตอบ ผมฉวยหยิบบุหรี่จากมือของมันเดินตรงไปยังที่สูบบุหรี่ มันไม่ได้ถามอะไรผมอีกแต่เดินตามผมมา



“กูถามไรหน่อยดิ”ผมตัดสินใจเอ่ยถามไอ้เหมาออกไป ซึ่งไอ้เหมาก็พยักหน้าตอบรับอย่างสบายๆ พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา



“ถ้าให้มึงเลือกระหว่าง คนที่มึงรู้สึกดีๆ ด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าคิดยังไงกับเรากันแน่ กับอีกคนที่ดีกับเรามากๆ แต่เราเองก็ยังไม่ได้รู้สึกกับเค้าเท่าคนแรก เป็นมึง มึงจะเลือกใคร”จริงๆ ผมก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากมันหรอกครับ เพียงแค่อยากพูดคุยกับใครสักคน เพื่อคลายความกังวลลงบ้างแค่นั้น



“เรื่องนี้เกี่ยวกับ...”



“อะไร”เมื่อเห็นมันไม่พูดต่อ ผมเลยต้องถามกลับไปอย่างสงสัย ซึ่งมันปฏิเสธว่าไม่มีอะไรในทีแรก แต่สุดท้ายมันก็บอกว่า ที่มันจะถามนี่คือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผมกับอรรถหรือเปล่า และสิ่งที่มันแนะนำผมก็เหมือนเอาคำพูดผมตอนแนะนำมันเรื่องแพท มาย้อนผมเลยก็ว่าได้ ผมหยุดทบทวนกับตัวเองอีกพัก วันนี้ที่ผมยังอยู่ที่นี่เพราะผมยังหวังอะไรรึเปล่า หวังในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ผมควรหันไปสนใจในสิ่งที่มันดีกว่านี้ไหม



“กูไปก่อนนะ พอดีมีนัด”ผมวิ่งออกจากร้าน พร้อมยกข้อมือขึ้นดูเวลา ทำไมผมเพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้ ผมมัวทำอะไรอยู่กันเนี่ย ผมเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง ที่จะไปให้ทันก่อนร้านจะปิด แล้วแทกซี่นี่ก็เป็นอะไรไปกันหมดโบกกี่คันต่อกี่คัน ก็ไม่ไป ถ้าจะไม่อยากรับผู้โดยสารก็จอดไว้บ้านไหมครับ



“ขับเร็วกว่านี้อีกไม่ได้เหรอครับพี่”ทันทีที่ผมขึ้นแทกซี่ได้ ผมก็เร่งให้พี่คนขับ ให้ขับเร็วขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้เวลาที่เหลืออยู่แทบจะฉิวเฉียดกันเลยก็ว่าได้ แต่ออกมาได้ไม่เท่าไหร่ กลับกลายเป็นเจอรถติดซะงั้น ดึกดื่นขนาดนี้ทำไมถึงรถติดได้เนี่ย ผมเริ่มร้อนใจเพราะกลัวจะไปไม่ทันเวลา แถมอีกคนที่ผมนัดไว้ก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าปิดเครื่องหรือแบตหมด



“มีอุบัติเหตุ รถชนเสาไฟฟ้าล้มขวางถนนครับ คงจะเคลียร์ถนนอีกพักใหญ่”พี่แทกซี่หันมาบอกกับผมซึ่งจริงๆ ผมก็ได้ยินที่แกคุยวิทยุแล้วแหละครับ นี่มันอะไรกัน มีใครเล่นตลกกับผมรึไงเนี่ย นี่ถ้าผมไปไม่ทัน เค้ายังจะรับคำตอบรับจากผมอยู่หรือเปล่านะ ผมเริ่มรู้โทษตัวเองที่มัวไปเสียเวลากับอะไรไม่รู้อยู่ตั้งนาน



ผมตัดสินใจให้พี่แทกซี่ขับอ้อมไปอีกทาง แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าคงไปถึงไม่ทันแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากไปให้ถึงจุดหมาย ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง เที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมมองเห็นร้านที่เรานัดกันแล้ว แต่ร้านปิดไฟไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเลยเวลาเปิดบริการของร้านแล้ว ผมจ่ายค่าแทกซี่ก่อนจะเดินเข้าไปที่หน้าร้าน ทั้งที่รู้ว่าผมมาไม่ทัน แต่ผมก็ยังหวัง หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์









“ร้านปิดแล้ว ทำไมยังไม่กลับ”ผมเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มรอคนที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าร้าน ผมฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเค้ายังรอผมอยู่ จริงๆ ถ้าอยากมีความสุข ผมก็ควรเลือกเค้าตั้งนานแล้ว ทำไมนะทำไมผมถึงปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ เค้าลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าผม เค้าขยับเข้ามายืนชิดจนจมูกเราจะชนกันอยู่แล้ว



“รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม”สิ้นคำพูดของเค้า เราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน







THE END [PART I]







เห็นชื่อตอนแล้วตกใจกันรึเปล

อะไรคือจบแล้ว 555

เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็มาต่อเหมือนเดิมครับ

แต่ที่เลือกตัดแบ่งพาร์ท เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาส่วนที่ลงไปแล้วเนี่ยมันมีบทสรุปของมันแล้ว

ส่วนที่จะลงต่อจากนี้ก็จะเป็นอีกบทสรุปนึง และตั้งแต่ตอนหน้าจะมีการปรับ

การเล่าเรื่อง ที่ไม่ได้เล่าผ่านปาร์ตี้แค่คนเดียวแล้ว

ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะคร๊าบบบ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-08-2016 18:22:28
โหยยยยยย รอต่อไปว่าบทสรุปจริงๆ ของความอิรุงตุงนังจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 11-08-2016 19:12:21
อ่านจบตอนน้ำตาซึม มีความสุขกับอรรถที่ยังรอตี้
กับตี้ถึงจะมาช้า สุดท้ายก็เลือกอรรถ อยากให้อรรถดีกับตี้ ตลอดไป และเป็นพระเอกตัวจริงของเรื่องนี้ อย่าให้ชาร์ปเป็นพระเอกเลยค่ะ 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-08-2016 19:30:54
มีแบ่งพาร์ทด้วย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ตี้ ไปหาอรรถ ไม่อยู่ต่อที่งาน
ถือเป็นการตัดสินใจของตี้แล้ว
คิดว่าตี้ คิดถูกต้องนะ
ชาร์ป เลือกผู้หญิง ก็ปล่อยชาร์ปไป
ตี้ ปล่อยวางเรื่องชาร์ป คงทำให้ตี้มีความสุขนะ
อรรถ มีตี้ รอตี้คนเดียว  :mew1: :mew1: :mew1:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 11-08-2016 19:56:39
เราว่าตี้ทำถูกแล้วค่ะ   เอาสมองมาก่อนหัวใจ
ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายเลือกไปแล้ว

ภาค 2 นี่ตี้น่าจะคบกับอรรถ
อิแว่นน่าจะทนชีวิตแต่งงานไป
บางทีอดคิดไม่ได้ว่า
ชะเอมอาจจะไม่ได้นอกใจไปหาคนอื่นเพียงแค่ว่าคนใหม่รวยกว่าหรอกนะ
ตอนนั้นชาร์ปยังไมไ่ด้เดินหน้ากับตี้เลย
มาตอนนี้ชาร์ปเคยได้กินแล้วต้องมางด
น้องปลามีหรือจะไม่สังเกตุ
เซ็นส์สาววายมันแรงนะ
ยังไงก็อย่าได้กลับมาวอแวกับตี้อีกเลยนะ อิแว่นเอ๊ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 11-08-2016 20:20:01
แอบเห็นชื่อตอนก็แอบตกใจนิดนึง 555+
จบ part 1 ได้สวยงามครับ

อ่านจบแล้วแอบซึ้งอะ ตี้เลือกที่จะมีความสุขกับคนที่จะทำให้ตัวเองไม่ทุกข์ใจ
อรรถคนที่ดีกับตี้มากๆๆ

ต่อไปคงเป็นเรื่องที่ดำเนินต่อจากนี้สินะ แอบกลัวๆเหมือนกันว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง
ตี้กับแว่น ต่างคนต่างก็เลือกทางเดินให้ตัวเองแล้ว



หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Tinton ที่ 11-08-2016 20:49:05
Very Good
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-08-2016 22:32:11
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-08-2016 22:50:35
คิดเดินหน้า อย่าละล้า ละลังหลัง
ชีวิตพัง ถ้าคงยัง วิ่งตามหา
ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย เคยเป็นมา
สร้างใจแกร่ง ให้แข็งกล้า ก้าวหน้าเดิน

เชียร์อรรถ..หัวทิ่มจิ้มสุดรู
ตี้ทำดีแล้ว

ตัดหาง(หมา)ปล่อยวัด
เขวี้ยงแว่นไป..ชิ้วๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 11-08-2016 22:54:06
รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 11-08-2016 23:06:56
ดีใจอ่ะ  อ่านตอนนี้  พอเห็นตี้มีความสุขแล้วรู้สึกแบบ  โล่งเลย  อ่านแล้วแอบจิกหมอนเบาๆ  เมือนใจก็เชียร์อรรถอยู่ละมั้ง  555 :mew1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Wanatsuda ที่ 12-08-2016 03:08:19
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: เราอยากให้ตี้คู่กับชาร์ปปปป เศร้าเลยยยอะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-08-2016 04:48:09
ดีแล้วที่เลือกอรรถ อรรถดีที่สุดแล้ว ณ. ตอนนี้เพราะมั่นคงกับตี้ที่สุด ส่วนพี่แว่นเราว่าแกนะใจโลเลจะสารภาพก็ไม่ จะพูดก็ไม่พูดอัั้มอึ้งอยู่นั้นให้แม่งหมั้นๆ ไปเถอะ ก็ไอ้พี่แว่นมันเป็นคนตัดสินใจเองจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องรับผิดชอบไป แต่เอาตรงๆ นะเกลียดไอ้แว่นว่ะถามจริงเอ็งนะรักปลาจริงๆ เหรอถึงไปขอเขาหมั้นคิดอะไรไม่เข้าท่านึกหรือว่าตี้มันจะห้าม เราว่าอย่างตี้นะคงไม่ห้ามหรอกเพราะในเมื่อตี้มันรู้ว่าไอ้แว่นมันต้องการแต่งงาน มีลูกแบบนี้ เราว่าไอ้แว่นแม่งคิดผิดแล้วที่เลือกหมั้นเนี่ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-08-2016 06:23:13
สนุกมากๆ ชอบๆ เล่าเรื่องได้ดีมากๆคับ ประทับใจมากเลย
 ความจริงคุณแว่นก็รักปาร์ตี้นี่ เพียงเพราะคุณแว่นบอกว่ายังอยากมีลูก มีครอบครัว เลยมีกำแพงมากั้น2คนนี้ทำให้เกิดเนื้อเรื่องตามมา ถ้าหากปาร์ตี้พูดว่าเขารักคุณแว่นแต่ไม่สามารถมีลูกได้ เรื่องจะดำเนินไปยังไง ก็ไม่รู้แต่สุดท้ายทั้งแว่นทั้งปาร์ตี้ก็เลือกหนทางของตัวเองจนได้
 สนุกมากคับ รออ่านตอนจบคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-08-2016 00:48:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 13-08-2016 01:24:39
โอ๊ย รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 13-08-2016 15:24:46
ลงชื่อรออ่านตอนจบค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 30 ทางที่เลือก ตอนจบ END [PART I] 11-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-08-2016 08:40:05
PART II บทที่ 1
คุ้มค่าแก่การรอ


Aut’s Part
ผมเกลี่ยนิ้วไปตามใบหน้าที่ยังคงหลับตาพริ้ม แม้นี่จะผ่านมาเกือบปีแล้วที่ผมได้มีโอกาสมองใบหน้านี้เวลาหลับ แต่ผมก็ยังชอบที่จะตื่นมาก่อนเค้า แล้วจ้องมองเค้าแบบนี้ รอเวลาเค้าลืมตาตื่นขึ้นมา ผมยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเค้าที่นิ่วหน้า คิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะคงรู้สึกรำคาญนิ้วมือผมที่เกลี่ยไปรอบใบหน้าของเค้า ตั้งแต่เราตกลงคบกัน ผมก็กลายเป็นนาฬิกาปลุกของเค้าไปโดยปริยาย

“อือ”เค้าขยับตัว พร้อมหรี่ตามองมาที่ผม ผมยิ้มให้เค้าเหมือนทุกๆ เช้า ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หลงไหลเค้าได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตอนแรกผมเองก็เกือบถอดใจในความสัมพันธ์ของเรา นี่ถ้าวันนั้นผมไม่กดดันให้เค้าตัดสินใจ ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะมาถึงจุดนี้ได้หรือเปล่า แต่วันนั้นก็เป็นวันที่ผมใจหายใจคว่ำเหมือนกัน เพราะคิดว่าเค้าจะปฏิเสธผม ภาพความทรงจำในวันนั้นค่อยๆ ชัดขึ้นในความคิดของผมอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ จะสั่งอาหารเลยหรือเปล่าครับ”พนักงานเดินมาถามผมอีกครั้ง เพราะนี่ผมนั่งมาสองชั่วโมงแล้ว แต่มีเพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมพยักหน้าให้กับพนักงาน ก่อนจะสั่งอาหารไป 2-3 อย่าง แม้ไม่รู้ว่าอีกคนจะมาไหม แต่ผมก็ให้พนักงานจัดจานช้อนเพิ่มไว้อีกชุดนึงสำหรับเค้า ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมให้เค้าเลือกในวันนี้มันจะดีหรือไม่ดี

ทั้งที่ผมเคยบอกว่ารอเค้าได้ ไม่ว่าเค้าจะให้ผมรอนานแค่ไหน แต่พอเห็นว่าเค้าเองก็ทำเหมือนให้ความหวังกับผม คนเราทุกคนก็คงต้องการความชัดเจน รวมถึงตัวผมเองได้ แม้จะทำใจมาบ้างแล้วว่าเค้าอาจจะไม่มา ทว่าพอมานั่งรอเค้า 2 ชั่วโมงแล้วแบบนี้ก็ใจแป้วไปเหมือนกันแหละครับ ผมมารอตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนตอนนี้ 2 ทุ่มแล้ว อาหารที่ผมสั่งเริ่มถูกนำมาวางที่โต๊ะ แม้ผมคงกินไม่ลงจนกว่าเค้าจะมา แต่จะให้ไม่สั่งอะไรแล้วมานั่งในร้านเค้าเฉยๆ เจ้าของร้านคงได้ไล่ผมออกจากร้านเป็นแน่

ผมรู้สึกอยากให้เวลามันเดินช้าลงอีกสักนิด เพราะตอนนี้เวลาของผมมันลดน้อยลงไปทุกที กับข้าวที่หน้าตายังเหมือนเดิมจากที่พนักงานเอามาเสิร์ฟในตอนแรก สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาหารทั้งหมดคงเย็นชืดจนหมดแล้ว แก้วน้ำเปล่าของผมถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสีอำพันเรียบร้อย ทั้งที่กะว่าจะไม่ดื่ม แต่ความกดดันจากเวลาที่ผมอาจจะต้องรอเก้อ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ

นี่ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว แน่นอนว่าเค้ายังไม่มา และอาจจะไม่มาแล้วเพราะชื่อของเค้ากำลังปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผม ผมเลือกที่จะไม่กดรับสาย เลือกที่จะไม่ยอมรับ ไม่อยากรับรู้ว่าเค้าจะโทรมาเพื่อบอกกับผมว่าไม่ต้องรอแล้ว ผมยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่นิ่งไปแล้ว ขึ้นมากดปิดเครื่อง หากเค้าจะไม่มาผมก็ขอเวลาให้หลอกตัวเองต่ออีกสักหน่อย ไม่อยากให้เค้ามาตัดความหวังของผมเร็วจนเกินไป

แต่ความหวังของผมมันก็ริบหรี่ลงไปทุกที ผู้คนภายในร้านเริ่มหายไปทีละโต๊ะ ทีละโต๊ะ เหลือเวลาอีกไม่นานร้านก็จะได้เวลาปิด ท้ายที่สุดแล้วผมก็คงเข้าไปแทนที่ใครคนนึงในใจของเค้าไม่ได้สินะ ผมคงไม่โทษเค้าที่จะไม่ยอมรับความรักจากผม เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้นี่เนอะ ถ้าความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ผมเองก็คงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้อย่างตอนนี้ ถ้ามันเปลี่ยนกันได้อย่างใจนึก ผมคงไปคบคนอื่นแล้ว

ในที่สุดเค้าก็ไม่มา ผมเช็คบิลเป็นโต๊ะสุดท้าย พนักงานถามผมด้วยความสงสัยว่าอาหารของทางร้านมันไม่อร่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอผมถึงไม่แตะอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ผมทำได้เพียงขอโทษทางร้านไปว่า ผมเพียงทานไม่ลงเพราะคนสำคัญที่ผมนัดไว้ไม่มา ผมเดินคอตกออกจากร้าน ตอนนี้เที่ยงคืน 15 นาทีแล้ว แม้จะทำใจมาบ้างประมาณนึงว่าเค้าคงไม่มา แต่จะบอกว่าไม่หวังเลยมันก็คงไม่ใช่ เพราะคนที่น่าจะเป็นคู่แข่งคนเดียวของผมก็มีคู่หมั้นคู่หมายไปแล้ว

ผมทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ที่หน้าร้าน นึกสมเพชตัวเองอยู่ในที เหมือนผมแพ้ทั้งที่ไม่มีคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ นี่ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่เคยมีแฟนหรือชอบใครมา ผมยังไม่เคยรู้สึกเจ็บเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ทำไมเค้าถึงมีอิทธิพลกับชีวิตผมได้ขนาดนี้

“ร้านปิดแล้ว ทำไมยังไม่กลับ”ผมไม่ได้หูแว่วไปใช่ไหม ทำไมเสียงที่ผมได้ยินมันเหมือน...ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก็แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง คนที่ผมนั่งรอมาตลอดหลายชั่วโมง นั่งรอจนร้านปิด ตอนนี้เค้ามายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผม นี่ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหาและหยุดยืนประชิดตัวเค้า

“รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม”เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมๆ กันหลังจากคำพูดของผม

“ขอโทษที่มาช้า”ผมดึงตัวเค้าเข้ามากอดกระชับ เค้าไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลย มีแต่ผมสิที่ต้องขอบคุณเค้า ขอบคุณที่เค้าเลือกผม แม้บางทีในใจเค้าอาจจะยังมีคนอื่นตกค้างอยู่บ้าง ผมก็เชื่อว่าวันนึงผมคงเบียดเข้าไปยึดครองพื้นที่ในใจของเค้าได้หมดแน่นอน และจากวันนั้นมาถึงวันนี้ นี่ก็จะครบปีแล้วที่เราตกลงเป็นแฟนและมาใช้ชีวิตร่วมกัน

“หิวแล้ว วันนี้คุณแฟนจะทำอะไรให้ทานครับ”เค้าพูดพร้อมกับมุดหน้าเข้าหาอกกว้างของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าทำเป็นประจำทุกวัน แรกๆ เค้าก็ทำเพราะเขินซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งคบกันใหม่ๆ และเป็นของกันและกันครั้งแรกในตอนที่ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน แต่พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆ มันกลับกลายเป็นความเคยชินจนติดเป็นนิสัยของเค้าไปแล้วที่จะทำแบบนี้ในทุกๆ เช้า

“กินอรรถก่อนเลยไหมละ พร้อมเสิร์ฟเลย”ผมแกล้งถามยั่วเค้า รู้หรอกครับว่าเค้าคงไม่หลงกลผม แต่ผมชอบเวลาเค้าเขิน ยิ่งเห็นหน้าเค้าแดงขึ้นๆ ผมยิ่งชอบ เพราะเวลาเค้าเขินนี่น่ารักอย่าบอกใครเชียวครับ

“ไม่คุยด้วยแล้ว อาบน้ำดีกว่า”เค้าเด้งตัวขึ้นจากเตียงก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป ผมอมยิ้มกับท่าทีของเค้าที่ดูไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากวันแรกที่เราย้ายมาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ทั้งผมและเค้าย้ายมาอยู่บ้านผมครับ ส่วนบ้านของเค้าก็ปิดไว้แต่ก็แวะไปค้างบ้างเดือนละ 2-3 ครั้ง ก็ไปดูแลบ้านดูนู้นนี่นั่นแหละครับ ตอนแรกผมเสนอเค้าให้ปล่อยเช่า แต่เจ้าตัวกลัวคนมาเช่าไม่ดูแลบ้าน กลัวบ้านจะโทรม เลยกลายเป็นปล่อยว่างๆ ไว้ แต่ข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์ก็ยังอยู่ครบนะครับ ถ้าวันไหนจะไปค้างก็ไปได้เลย

ผมออกจากห้องนอน เพื่อมาล้างหน้าแปรงฟันที่ชั้นล่าง ก่อนจะตรงเข้าครัว ดูว่าสามารถทำอะไรทานได้บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดทั้งผมและเค้าไม่ได้มีแพลนจะออกไปไหน มื้อเช้าแบบนี้ผมเลยต้องเป็นคนโชว์ฝีมือในการทำอาหาร ซึ่งผมก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าวันทำงานปกติ ด้วยต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลาและการจราจร ทำให้เราต้องต่างคนต่างหาทานกันเอง ส่วนตอนเย็นวันไหนมีเวลาก็ทำกินเองบ้าง แล้วแต่สะดวก

“สปาเก็ตตี้”ผมพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นวัตถุดิบที่มีอยู่ และเมนูที่พอจะทำได้ แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมตอนนี้เป็นเมนูแรกที่ผมเคยทำให้เค้าทาน “สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา” มันทำให้ผมนึกถึงอีกคนที่มากับปาร์ตี้ในวันนั้นไม่ได้ แถมยังทำให้ผมนึกไปถึงอีกคนที่ตี้เคยมีความสัมพันธ์ด้วย แม้เรื่องราวจะผ่านมาเกือบปีแล้วก็ตาม แต่สองคนนี้ก็เป็นเหมือนบุคคลต้องห้ามที่เราทั้งสองจะไม่พูดถึง

“เหม่อแบบนี้เมื่อไหร่จะได้กินเนี่ย”เสียงของเค้าสะกิดให้ผมหยุดคิดเรื่องในอดีต ผมยิ้มจางๆ ให้กับเค้าก่อนจะดึงตัวเค้ามา เพื่อสูดกลิ่นหอมจากผมของเค้าที่อาบน้ำสระผมมาจนหอมฟุ้ง

“ออกไปรอข้างนอกไป เดี๋ยวจะรีบทำอย่างรวดเร็วไปเสิร์ฟนะครับคุณแฟน”ผมดันตัวให้เค้าออกไปรอด้านนอก แต่เค้ายังหันมาถามถึงเมนูที่ผมกำลังจะทำว่าคืออะไร

“สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ”ผมตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ไม่ได้เหมือนกับครั้งนั้นตรงๆ ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวในอดีตของเค้ากับคุณชาร์ปจะยังรบกวนจิตใจเค้าอยู่ไหม แต่ในเมื่อเค้าไม่พูดถึง ผมเองก็ไม่พูดถึง มันก็เลยเหมือนจะไม่มีอะไร แต่บางครั้งผมก็คิดนะครับ ว่าถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ เราก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้ได้ อย่างไม่รู้สึกอะไร แต่การที่ไม่พูดถึงแบบนี้ย่อมเป็นไปได้ว่ายังรู้สึกอะไรบางอย่าง

ผมหยุดความคิดตัวเองไว้เพราะการที่เค้าตกลงมาคบกับผมและอยู่ด้วยกันมาจนเกือบปีแบบนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว และผมเองก็ต้องเชื่อใจเค้า ผมหันมาสนใจการทำอาหารต่อ

“เราหิว เราหิว เราหิว เราหิว”เค้าแกล้งตบโต๊ะเป็นจังหวะพร้อมตะโกน แต่ไม่ดังมากนักในตอนที่ผมถือจานสปาเก็ตตี้ออกมา ผมวางจานลงตรงหน้าเค้าก่อนจะเอื้อมมือไปบีบจมูกของเค้าอย่างหมั่นเขี้ยว ตอนรู้จักแรกๆ นี่นึกว่าเป็นคนนิ่งๆ เสียอีก แต่พอมาเป็นแฟนนี่ผมได้เห็นเค้าอีกหลายมุมเลยครับ

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับน้องตี้”ผมแกล้งแซวเพราะยิ่งอยู่ด้วยกันเค้ายิ่งทำตัวเด็กลงๆ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ อ้อนๆ น่ารักๆ แบบนี้มีเหรอผมจะไม่ชอบ เค้าบึนปากใส่ผมก่อนจะหันไปสนใจสปาเก็ตตี้ สงสัยจะหิวจริงๆ ครับ ดูตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดไม่จาเลยทีเดียว

“จ้องกันขนาดนี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งสปาเก็ตตี้เนี่ย กินเราเลยไหมละ”เค้าหันมาส่งสายตาดุๆ ใส่ผมที่เอาแต่จ้องดูเค้าแทนที่จะจัดการสปาเก็ตตี้อีกจานที่เป็นของผม ก็ผมยังไม่ค่อยหิวนี่นา อีกอย่างผมชอบมองเค้าแบบนี้ เค้าเป็นคนที่กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมด แถมเป็นคนที่กินทุกอย่างในอาหาร อย่างอะไรที่บางทีคนอื่นเค้าไม่ค่อยกินแต่ปาร์ตี้ จัดการเรียบครับ เค้าบอกว่า ทุกอย่างที่ใส่มาในอาหารมันก็กินได้หมดแหละ ถ้ากินไม่ได้ใครเค้าจะใส่มา ซึ่งมันก็จริงของเค้าแหละครับ แต่บางอย่างที่ผมว่าเค้าคงใส่ในอาหารให้มันมีกลิ่นหอมหรือแค่เพิ่มรสชาด ยิ่งประเภทหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม พวกนี้ละของชอบเค้าเลยครับ ชาวบ้านไม่ค่อยกิน แต่ปาร์ตี้กินครับ

“กินตอนนี้ได้ด้วยเหรอ”ไม่ลืมที่จะรับมุกเค้าหน่อยครับ เผื่อฟลุ๊ค เผื่อเค้าเผลอให้ผมกิน แต่ไม่เป็นผลครับ เค้าตีมึนทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเนียนยื่นช้อนมาตักหอมใหญ่จากจานผมเฉยเลย ปกติทำสปาเก็ตตี้แบบนี้หอมใหญ่ต้องหั่นชิ้นเล็กๆ หน่อย แต่พอรู้ว่าเค้าชอบกินแถมไม่ชอบชิ้นเล็กๆ เลยจัดให้เค้าหน่อยครับ

“เดี๋ยวหยิบให้กินต่อเถอะ”เสียงโทรศัพท์ของเค้าดังขึ้น แต่มันวางอยู่แถวๆ หน้าทีวี เห็นเค้ากำลังเอนจอยกับการกิน เลยไม่อยากให้การกินของเค้าสะดุดครับ ผมเลยอาสาหยิบให้ ไม่ใช่ว่าอยากจะเช็คนะครับว่าใครโทรหาเค้า เพราะตั้งแต่คบมาเค้าก็ไม่ได้ปิดบังอะไรผม อนุญาตให้ผมดูหรือเช็คโทรศัพท์ เค้าได้ทุกซอกทุกมุมเสียด้วยซ้ำ แต่คงเพราะรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรแบบนั้น เค้าเองยังไม่เช็คผม ผมเองก็เลยไม่ได้เช็คอะไรเค้าเช่นกัน

“ใครโทรมาอ่ะ”เค้าร้องถามเมื่อเห็นว่าผมหยิบโทรศัพท์มาแล้ว เค้าบอกให้ผมรับเลยเมื่อรู้ว่าเหมาเป็นคนที่โทรเข้ามา แต่ผมก็รีบหยิบมาให้เค้าเป็นคนรับจะดีกว่า เพราะในเมื่อเพื่อนเค้าโทรมาหาเค้า ผมก็ควรเว้นความเป็นส่วนตัวไว้ให้เค้ากับเพื่อนบ้าง

เค้ารับสายคุยสบายๆ จากที่ฟัง นี่ผมไม่ได้แอบฟังนะครับ แต่เค้านั่งคุยต่อหน้าให้ผมฟังเอง ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องสังสรรเฮฮาตามประสาเพื่อนของเค้านั่นแหละครับ ผมก็ห่วงเค้าบ้างนะครับเรื่องดื่ม เพราะบางครั้งเค้าก็ดื่มหนักใช่เล่น ก็ไม่ถึงกับห้ามเค้าหรอกครับ แค่ปรามให้เพลาๆ ลงบ้าง แต่เหมือนวันนี้บทสนทนาที่ผมได้ยินเค้าคุยกับเพื่อนนั้น ดูเหมือนเค้าจะปฏิเสธซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างแปลก เพราะเปอร์เซนต์การปฏิเสธของเค้าโดยปกติมันน้อยเหลือเกิน

“ปฏิเสธเพื่อนด้วย เกิดอะไรขึ้นนา”ผมไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะครับ แต่ก็มีแอบหวังนิดๆ ว่าเค้าอาจจะอยากอยู่กับผมมากกว่าการไปเจอเพื่อน

“ก็ไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่กับแฟนนน”เค้าทำเสียงอ้อนผม ผมรีบยิ้มกว้างให้กับเค้า พูดขนาดนี้ผมก็เป็นปลื้มสิครับ แฟนใครเนี่ยทำตัวน่ารักเกินไปแล้ว  เราทานสปาเก็ตตี้ต่อจนเสร็จ เค้าอาสาเป็นคนเก็บจานไปล้าง ตามปกติที่ผมเป็นคนทำอาหารแล้วเค้าจะขอเป็นคนล้างจาน

“ไปกับเพื่อนก็ได้ อรรถไม่ได้ห้ามซะหน่อย แค่ขอว่าอย่าดื่มเยอะแค่นั้นเอง”ผมยื่นข้อเสนอให้เค้า เพราะไม่อยากให้เพื่อนเค้ามองว่าพอเค้ามีแฟนแล้วจะเลิกสนใจเพื่อน หรือมองว่าผมงี่เง่าไม่ให้เค้าไปเจอเพื่อน แต่เค้าก็ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม ผมไม่ได้เซ้าซี้อะไรเค้าอีกเพราะคิดว่าเค้าคงตัดสินใจแล้ว อีกอย่างนี่ผมก็จะได้ใช้เวลาวันหยุดกับเค้าได้เต็มที่ ผมกำลังจะลุกไปอาบน้ำแล้ว แต่เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือของเค้าเรียกความสนใจผมไว้

ด้วยความที่โทรศัพท์ของเค้าวางอยู่ในมุมที่สายตาผมมองเห็นพอดี ข้อความพรีวืวจากไลน์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอของเค้า เป็นข้อความจากเพื่อนของเค้าที่เพิ่งโทรมา แต่สิ่งที่สิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดมองข้อความนั้น เพราะผมกำลังคิดว่าการที่เค้าปฏิเสธเพื่อนอาจไม่ได้เพราะผม แต่มันอาจจะเป็นเพราะ คนที่เค้าอาจจะต้องไปเจอ ข้อความที่ผมเพิ่งเห็นบอกกับผมว่า ไม่ได้มีแค่คุณเหมากับแฟนที่เค้าจะได้เจอหากเค้าไม่ได้เลือกที่จะปฏิเสธ



TBC

พาร์ท 2 มาแว้วววว
พาร์ทนี้คือเรื่องราวต่อจากพาร์ทแรก ประมาณเกือบๆ ปี
แต่เรื่องราวจะมีเล่าย้อนหลังบ้างว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ยังไงก็ฝากติดตามคอมเม้นต์ให้กำลังใจด้วยคร๊าบบบ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 16-08-2016 08:51:24
อย่ากลับไปนะ


 :katai1:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 16-08-2016 09:27:59
ชาร์ปจะหย่าเหรอ 555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 16-08-2016 10:55:57
ผู้ชายที่โลเลแบบแว่นอย่าไปสนใจเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2016 11:19:37
ชาร์ป มีปัญหาอะไร?
ยังไงตี้ ก็มีอรรถที่แสนจะรักตี้ ตลอด
ตี้ ทำให้ตัวเองพ้นจากปัญหาของชาร์ป นะ
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 16-08-2016 11:23:59
รักกันนานๆ นะ อรรถ เอาใจช่วยค่ะ
ส่วนชาร์ปไปดีแล้ว อย่ากลับมานะคะ หายไปเลย ได้ยิ่งดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-08-2016 12:52:06
ชาร์ปไม่ต้องกลับมาจะดีกว่าาา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 16-08-2016 13:24:51
แอบคิดแบบอรรถว่า  ถ้าไม่คิดอะไรก็ต้องพูดถึงได้สิ   :hao5:
ถ้าสะกิดแล้วตี้จะเจ็บ  ก็ดีกว่าทำเหมือนไม่มีอะไรแล้วทำให้อรรถ อึดอัดใจแทนอ่าาา  อ่านแล้วสงสาร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-08-2016 13:35:30
หนึ่งปีนี้คุณแว่นมีความสุขกับการตัดสินใจหมั้นไหมค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 16-08-2016 20:59:57
คู่นี้ก็น่ารักดีนะ อรรถรักและเอาใจใส่ใส่ตี้มาก
ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นเลย สงสาร

ไม่รู้ว่าพี่แว่นจะเป็นไงบ้าง หลังจากหมั้นกัน หึหึ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-08-2016 21:10:38
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-08-2016 22:26:53
ขีดเส้นตรง สองเส้น เน้นความห่าง
ให้พุ่งตรง หว่างกลาง ทางขนาน
ไม่ต้องพบ บรรจบกัน ตลอดกาล
ความสัมพันธ์ เลิกกล่าวขาน นานจนตาย

เข้าใจตรงกันนะ
ไปแล้ว..ไปเลย

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-08-2016 22:37:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 1 คุ้มค่าแก่การรอ 16-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-08-2016 15:31:57
PART II บทที่ 2
เส้นขนาน


Sharp’s Part
“เสร็จยังเอม นี่กว่าเราจะไปถึง เพื่อนๆ พี่คงกลับหมดแล้วมั้ง”ผมพูดอย่างหน่ายๆ ผมนั่งรอเธอแต่ตัวมาจะเป็นชั่วโมงแล้วแหละครับ ทุกทีก็ไม่ค่อยเห็นจะอยากไปกับผมสักเท่าไหร่ เวลาผมนัดกับเพื่อนแบบนี้ เห็นว่าวันนี้ไอ้เหมามีเพื่อนที่ทำงานไปด้วยอีกคน

“ขอเอมสวยนิดนึงดิ แล้วดูแต่งตัวอะไรเนี่ยพี่ชาร์ป”นั่นไงครับนอกจากแฟนผมจะแต่งตัวเปรี้ยวจนเข็ดฟันแล้ว ก็เริ่มจะลามมาที่การแต่งตัวของผมแล้วละครับ แต่ผมก็ไม่ยอมเสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าตามใจเธออีกรอบหรอกนะครับ การไปสังสรรกับเพื่อนแบบนี้ผมว่าผมแต่งสบายๆ ก็โอเคแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่ได้นัดกันที่ร้านหรูหรือเป็นทางการอะไรขนาดนั้น

ในที่สุดผมก็ถึงร้านที่นัดกับไอ้เหมา ไอ้เหมาแนะนำให้ผมรู้จักกับปาร์ตี้ คนที่ผมรู้สึกว่ามีแรงดึงดูดแปลกๆ เกิดขึ้นระหว่างผมกับเค้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอเค้า เพราะจริงๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยู่หอเดียวกับเค้าตลอด 4 ปี แม้จะไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่ก็เคยเห็นหน้าค่าตากันมาบ้างแล้ว เค้าเองก็น่าจะคงพอคุ้นหน้าผมอยู่บ้าง

หลังจากพูดคุยทักทาย ทำความรู้จักกัน ชะเอมก็เอ่ยถามในสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาท เพราะเล่นถามเรื่องที่ปาร์ตี้เป็นเกย์ ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเนี่ยนะ แม้เรื่องนี้ผมเองจะพอรู้อยู่แล้วจากคำบอกเล่าของไอ้เหมา ซึ่งจริงๆ ตั้งแต่อยู่หอสมัยเรียนผมก็พอจะรู้นะครับ เพียงแต่การเพิ่งจะมารู้จักกันเป็นทางการแบบนี้ แล้วจะมาเอ่ยปากพูดอะไรแบบนี้ก็คงไม่ได้เหมาะสักเท่าไหร่

แต่ดูเจ้าตัวเค้าก็ไม่ได้คิดมาก หรือซีเรียสอะไรนะครับ อีกอย่างเค้าก็ดูไม่ได้ปิดบังอยู่แล้วว่ามีรสนิยมทางเพศแบบไหน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกอยากจะขอโทษเค้าที่ชะเอมถามอะไรที่เสียมารยาทแบบนั้นออกมา ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปห้องน้ำ หลังจากเค้าเล็กน้อย ผมเดินตามไปยืนที่โถฉี่ข้างๆ เค้า พร้อมกับรู้สึกอยากจะแกล้งยั่วเค้าเล่นๆ สาบานว่าผมไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นจริงๆ ครับ แค่รู้สึกอยากแกล้งเค้าเฉยๆ แต่พอเห็นปฏิกิริยาของเค้ามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกสนุก

“ไม่เมาแล้วทำไมหน้าแดง หูแดงขนาดนี้ไหวป่ะเนี่ย”ผมจงใจเดินตามไปล้างมือข้างๆ เค้าพร้อมกับแกล้งถามอย่างจับผิด เพราะผมมั่นใจว่าไอ้ที่เค้ากำลังเขินจนหน้าแดงขนาดนี้ คงเพราะสิ่งที่ผมตั้งใจแกล้งให้เค้าเห็นตอนยืนฉี่นั่นแหละครับ แต่เค้าเองก็ปฏิเสธแหละครับ ผมว่าอาการเขินของเค้าก็น่ารักดีแหละครับ

และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด คืนนั้นหลังจากแยกย้ายกันกลับ ผมกับชะเอมก็มีอะไรกันเหมือนปกติ แต่สิ่งที่มันไม่ปกติสำหรับผมก็คือในตอนที่ผมจะปลดปล่อยออกมา ใบหน้าของเพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักอย่างเป็นทางการกลับผุดขึ้นมาในหัวของผม ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความเขินอายนั่น กลับทำให้อารมณ์ผมพุ่งไปถึงขีดสุด

ผมไม่ได้แปลกใจกับตัวเองนัก เพราะสมัยเรียนมัธยมผมก็เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน แต่มันก็แค่เซกส์ ก็แค่ประสบการณ์ทางเพศอย่างนึง ผมก็แค่อยากรู้อยากลองไปตามวัย แม้จะไม่ได้รังเกียจการมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน แต่ผมก็ยังต้องการมีชีวิตครอบครัว แต่งงานมีลูก ซึ่งพอผมได้เจอกับชะเอม และตกลงคบหาดูใจกัน ผมก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอีก ทั้งผมกับชะเอมเราเข้ากันได้เป็นอย่างดีในเรื่องบนเตียง แต่เรื่องอื่นๆ เราแทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง

ทั้งทัศนคติ ไลฟ์สไตล์ เพราะความต่างนี้ทำให้ความรักของเราเกือบไปไม่รอดหลายครั้งแต่เราทั้งคู่ก็ผ่านจุดนั้นมาด้วยกัน จากความรักนานวันเข้ามันก็กลายเป็นความผูกพันธ์ ผมเริ่มมองถึงอนาคตการสร้างครอบครัวร่วมกับชะเอมแต่แล้ววันนึงชีวิตผมก็ต้องเจอกับจุดพลิกผัน

“ดูอะไรอยู่เหรอลูก”เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยทักผมจากด้านหลัง ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผม

“ชะเอมเค้าเป็นยังไงบ้างละ ได้ติดต่อกันอีกบ้างไหม”หลังจากเห็นว่าภาพที่โชว์อยู่คือผมชะเอม ไอ้เหมาและปาร์ตี้ เป็นภาพวันที่ผมรู้จักกับปาตี้ครั้งแรก ภาพนี้ถูกไอ้เหมาโพสต์ขึ้น facebook ตั้งแต่วันนั้น แล้วตั้งแต่ผมย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ การนั่งดูรูปเก่าๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปเสียแล้ว ถ้าว่างจากงานเป็นต้องมาเปิดดูรูปพวกนี้ทุกที พอเห็นรูป ความทรงจำเกี่ยวกับรูปพวกนั้นก็มักจะฉายซ้ำให้ผมได้ตอกย้ำบางอย่าง

“คงใกล้แต่งงานแล้วมั้งครับ ก็ดูมีความสุขดีกับแฟนเค้านะครับ”แม้ระหว่างผมกับชะเอมจะจากกันด้วยไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ได้เรียนรู้ว่าสาเหตุที่เราทั้งคู่ต้องเลิกกัน มันคงจะโทษชะเอมฝ่ายเดียวไม่ได้ ผมเองก็คงมีส่วนผิดด้วย ที่ตอนนั้นมัวแต่ทุ่มเทให้กับงานจนมากเกินไป

“ชาร์ปละลูก เมื่อไหร่จะมีแฟนสักที เรื่องนั้นมันก็เกือบปีแล้วนะ”เรื่องนั้นที่แม่ผมพูดถึง ก็คือเรื่องระหว่างผมกับผู้หญิงอีกคน อีกคนที่ผมตัดสินใจทุกอย่าง อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนทุกอย่างมันก็พังลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

“ขอโทษนะครับแม่”ผมรู้ดีว่าเรื่องราวระหว่างผมกับปลา มันสร้างผลกระทบกับทุกๆ คน ทั้งตัวปลาเองและครอบครัวของเค้า แน่นอนฝั่งครอบครัวของผมเองก็คงทั้งเสียใจ และไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น อะไรเป็นสาเหตุให้ผมกับปลาตัดสินใจถอนหมั้นกันทั้งที่เพิ่งหมั้นกันไปได้ไม่ถึงเดือน

“ปลามีอะไรจะบอก”ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจุดเริ่มต้นของประโยคธรรมดาๆ แบบนั้นจะกลายมาเป็นบทสรุปอย่างทุกวันนี้

“ในเมื่อเราก็หมั้นกันแล้ว ปลาก็ไม่อยากปิดบังอีก ว่าผู้หวังดีที่ส่งอีเมลหาพี่เรื่องชะเอมคือปลาเอง”ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ได้ยินแบบนั้น ไม่ใช่ไม่แปลกใจนะครับ เพียงแต่เรื่องนี้มันไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว ปลาเล่าต่อว่ารูปภาพต่างๆ ที่ส่งให้ผมในตอนนั้นก็ได้มาจากไอ้เหมา แต่เห็นไอ้เหมาไม่ทำอะไรสักทีเลยตัดสินใจเป็นคนส่งเอง

และที่ต้องแอบส่งเพราะกังวลว่าจะมีคนมองว่าเค้าตั้งใจทำลายความรักระหว่างผมกับชะเอม แล้วหวังผลอย่างอื่น ซึ่งอย่างอื่นที่ว่านั่นก็คือตัวผม ปลาเองเพิ่งมาสารภาพกับผมก่อนที่เราจะตัดสินใจคบกันว่าเค้าแอบชอบผมมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ตอนนั้นผมก็คบกับชะเอมแล้ว เธอเลยไม่ได้แสดงออกมาว่ารู้สึกยังไง

“แล้วพี่ชาร์ปมีอะไรที่อยากบอกกับปลาไหม”และนี่คือจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เมื่อผมตัดสินใจที่จะเล่า เรื่องที่ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าผู้หญิงอย่างปลาจะรับได้ จริงๆ สำหรับผมแล้วระหว่างผมกับปลา ดูจะมีอะไรที่เข้ากันได้มากกว่าชะเอม อันนี้พูดถึงในเรื่องทัศนคติ หรือไลฟ์สไตล์นะครับ นั่นทำให้ผมคิดว่าระหว่าง เราสองคนมันต้องไปกันได้ดีแน่ๆ แต่ผมคิดผิดถนัด

“พี่เคยมีอะไรกับผู้ชาย”ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดเรื่องนี้ออกมา หรือเพราะผมรู้ว่าปลาเป็นสาววายที่น่าจะเปิดใจยอมรับกับสิ่งที่ผมเคยทำลงไป แต่ผมคงคิดผิด ตอนนี้ปลามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม”ผมตอบออกไปตามตรง ตอนนี้บอกเลยว่าผมเองก็ไม่มั่นใจว่าอยากให้ผลที่ตามมามันเป็นยังไงกันแน่ ทั้งที่เคยคิดว่ายังไงผมก็ต้องแต่งงานสร้างครอบครัว แต่พอมาวันนี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเลย

“แล้วที่มาบอกปลาเนี่ย พี่หวังอยากให้ปลารู้สึกยังไง”น้ำเสียงของปลาเปลี่ยนไป

“พี่คิดว่าปลาจะโอเคกับเรื่องนี้เหรอ คิดว่าปลาจะแต่งงานกับพี่ได้โดยไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้นเหรอ”ผมเริ่มรู้แล้วว่าผมได้ตัดสินใจผิดพลาดไป มันไม่ใช่แค่ผิดพลาดที่มาบอกเรื่องนี้กับปลา แต่มันอาจจะผิดตั้งแต่ผมดึงปลาเข้ามาในชีวิตผม หรือจริงๆ ผมอาจจะผิดตั้งแต่เผลอไปมีอะไรกับปาร์ตี้แล้วเสียอีก

“พี่พูดมาขนาดนี้ ปลาก็ชักจะเริ่มคิดแล้วละ ว่าระหว่างพี่กับพี่ตี้ มันคงมีอะไรเกินเลยไปแล้วใช่ไหม”น้ำตาของปลาเริ่มไหลออกมา แต่เธอไม่ได้ฟูมฟายหรือสะอื้นแต่อย่างใด ผมไม่ได้ยอมรับ หรือปฏิเสธในสิ่งที่ปลาคาดเดา

“ถ้าพี่จะยังสับสนในชีวิตของพี่ ปลาว่าเราก็ไม่ควรจะปล่อยความสัมพันธ์ของเราให้มันดำเนินต่อเลย หยุดมันไว้แค่นี้แหละ”พูดจบปลาก็เดินจากผมไป ผมรู้สึกละลายเกินกว่าที่จะรั้งเธอไว้ ละอายแม้กระทั่งจะขอโทษเธอในทันที

ผมไปกราบขอโทษพ่อแม่ขอเธอหลังจากนั้น โดยยอมรับผิดทุกอย่างว่าสาเหตุมันเกิดมาจากผมเอง แม้พ่อกับแม่ของปลาจะไม่ยอมรับการขอโทษจากผม แต่ผมก็คิดว่ามันสมควรแล้ว หลังจากถอนหมั้นกับปลาผมเลือกที่จะลาออกจากงาน และย้ายกลับมาช่วยงานที่บ้าน แม้พ่อกับแม่ของผมจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เรื่องที่ผมถอนหมั้น แต่ผมรู้ว่าพวกท่านเองก็เสียใจไม่น้อย เพราะความโลเลของผมเองมันถึงได้ทำให้เรื่องราวทั้งหมดมันกลายเป็นแบบนี้

ผมสับสนเกินกว่าจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วผมต้องการอะไรกันแน่ ผมคงโทษใครไม่ได้เพราะทุกอย่างมันก็ผิดที่ผมเอง สุดท้ายผมก็เป็นได้แค่คนที่ยอมแพ้กับทุกอย่าง อะไรที่มันดูจะยุ่งยากวุ่นวาย ผมก็เลือกที่จะหลีกหนี หนีให้ห่างจากปัญหาเหล่า

“แม่ถามจริงๆ นะ ที่ชาร์ปถอนหมั้นกับหนูปลาเค้าเพราะชาร์ปมีคนอื่นในใจหรือเปล่าลูก”แม่ผมขยับมายืนข้างๆ พร้อมกับลูกหัวผมเบาๆ เหมือนผมเป็นเด็กๆ ในสายตาคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ว่าลูกจะโตขนาดไหน ก็อาจยังมองเราไม่เปลี่ยนไปจากเดิมหรอก นี่ถ้าผมเป็นเด็กเล็กๆ ก็คงจะดี ทำอะไรผิดพลาดมาก็อาจจะแค่โดนดุนิดหน่อย แต่นี่โตแล้ว ยังสร้างเรื่อง ทำอะไรผิดๆ ให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับแม่”ผมบอกแม่ออกไปตามตรง เพราะผมก็ไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับอีกคนคืออะไร ตกลงผมชอบเพศไหนกันแน่ หรือผมอาจจะตอบตัวเองได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่อยากจะยอมรับเท่านั้น แน่นอนว่าผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าตัวเองคือผู้ชายแท้ๆ ร้อยเปอร์เซนต์ มีรสนิยมชอบเพศตรงข้ามเท่านั้น

ผมปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพศเดียวกัน เพียงผมอาจจะเคยกดความรู้สึกพวกนั้นไว้ จนมาเจอกับอีกคน งั้นผมก็คงจัดอยู่ในกลุ่มไบเซกชวล น่าจะตรงที่สุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ ที่ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากสร้างความสัมพันธ์กับใครเลย มันเหมือนยังมีบางอย่างค้างคาอยู่ในจิตใจของผม

“ไม่เป็นไรลูก เอาเป็นว่าแม่จะไม่เร่งรัดอะไร เรื่องนี้แล้ว วันนึงถ้าเราจะเจอเนื้อคู่มันก็คงเจอเองแหละเนอะ”เนื้อคู่งั้นเหรอครับ มันจะมีสักกี่คนกันเชียวที่มีคู่แท้ ทุกวันนี้ผมเห็นต่างคนต่าง คบๆ เลิกๆ กันอย่างง่ายดาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเลิกกับชะเอม เลิกกับน้องปลา หรือแม้กระทั่ง เลิกความสัมพันธ์กับปาร์ตี้ แล้วแบบนี้ผมจะมีโอกาสได้เจอเนื้อคู่อย่างที่แม่ผมบอกหรือเปล่า

“แล้วนี่ที่จะไปคุยงานที่กรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้จัดกระเป๋าอะไรเรียบร้อยหรือยัง”แม่เอ่ยถามถึงการเดินทางในวันพรุ่งนี้ของผม ตอนนี้ผมมาช่วยธุรกิจของที่บ้านอย่างเต็มตัวซึ่ง ธุรกิจที่บ้านผมก็แบ่งเป็นสองส่วนคือในส่วนของโรงแรม กับอีกส่วนคือเรือยอร์ช ส่วนที่ผมรับผิดชอบหลักๆ ตอนนี้ก็เป็นในส่วนของเรือยอร์ช โดยตอนนี้ผมกำลังขยายตลาดให้ดูว่าใครๆ ก็มานั่งเรือยอร์ชเที่ยวได้ ด้วยแพคเกจ สบายกระเป๋า การไปกรุงเทพฯ ของผมในครั้งนี้ก็เป็นการไปตกลง เลือกพรีเซนเตอร์ที่จะมาโปรโมทให้กับเรานี่แหละครับ

“เรียบร้อยแล้วครับ ก็คงอยู่นั่นสัก 3-4 วัน ถือโอกาสไปดูบ้านด้วย ไม่รู้ไอ้เหมาขนเฟอร์นิเจอร์ไปขายหมดยัง”ตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่นี่ผมก็ไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ อีกเลย บ้านก็ปล่อยไว้เฉยๆ นานๆ ทีไอ้เหมาจะแวะเข้าไปดูให้ครับ ว่าไปก็คิดถึงบ้านหลังนั้นเหมือนกันนะครับ ผมก็อยู่นั่นตั้งหลายปี แถมมีหลายๆ อย่างเกิดขึ้นที่นั่นด้วย

“นานๆ จะได้ไปเจอเพื่อนๆ ที่ก็ถือว่าไปพักผ่อน อยู่หลายๆ วันก็ได้ลูก ช่วงนี้งานที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากด้วย”จริงๆ ก็อยากอยู่หลายวันกว่านั้นนะครับ แต่อยู่ไป เพื่อนๆ ก็ทำงานกัน คงไม่ได้มีเวลาว่างเจอเราหลายวัน ผมเลยเลือกที่จะไปไม่กี่วัน

“แล้วอย่าลืมชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านเราบ้างละ ฝากบอกเหมา แพท ตี้ด้วยว่าแม่คิดถึง”ไม่ใช่แต่แม่หรอกครับ ที่คิดถึงเค้า ผมเองก็คิดถึง เพียงแต่อีกคนเค้าคงไม่ได้อะไรกับผม ผมเคยคิดนะครับว่าตอนที่มีความสัมพันธ์กัน เค้าจะรู้สึกหวั่นไหวกับผมบ้างหรือเปล่า แต่ตอนนี้คงไม่สำคัญแล้ว เพราะเค้าเองก็คงมีความสุขดีกับแฟนของเค้า ทางของเรามันแทบจะเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน





TBC

จัดมาเลยคร๊าบบบ ใครอยากจะเหยียบย่ำ ซ้ำเติม หรือเพิ่มความหมั่นไส้ให้กับพี่แว่น

ใส่มาเลยไม่ต้องยั้งคร๊าบ

สรุปว่าพาร์ทนี้ 2 ตัวละครหลักๆ ที่จะใช้เล่าเรื่องคือ คุณอรรถ กับ คุณแว่น เนอะ

คนนึงคือเรื่องปัจจุบัน อีกคน คือเรื่องอดีต ส่วนทั้งสองเรื่องจะมาบรรจบกันไหม ต้องลุ้นไปพร้อมๆ กันนะคร๊าบ

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของไรท์เลยที่แต่งมาแล้วไม่หลุดจากพลอตเริ่มต้นที่วางไว้ 555

ปกตินี่แต่งๆ ไปมักจะพาตัวละครหลุดพลอตตลอด

ยังไงฝากติดตามให้กำลังใจด้วยนะคร๊าบ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-08-2016 15:52:03
สมมมมมม
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-08-2016 16:12:06
บอกตามตรงเราสงสารคุณอรรถนะ ถ้าแว่นกับตี้จะกลับมาคบกันอ่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 17-08-2016 16:46:56
เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะ   ถ้าตี้จะกลับไปหาอิแว่น   พาร์ทนี้  คนเขียนอาจจะอยากให้ดูเศร้า  ให้เห็นใอิแว่น  แต่ไม่เลยอ่าาา เราอ่านละรู้สึก  เหอะ  อิแว่นเอ้ยยยยย  งี้อ่าาา  5555   รีบๆมาต่อนะคะ  !!!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 17-08-2016 17:07:51
ไม่สงสารชาร์ปค่ะ ทำตัวเองทั้งสิ้น รับกรรมไปเถอะ
นักเขียนค๊าาา ไม่เอาอิแว่นนะคะ
สงสารอรรถ เชียร์อรรถสุดใจ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-08-2016 18:19:29
อืมม.... เข้าใจชาร์ปเพิ่มขึ้นอีก
นางเป็นไบ นี่เอง  :ling1: :ling1: :ling1:
ถึงว่า เคยมีอะไรกับเพศเดียวกันตอนเรียนมัธยม
เมื่อมามีอะไรๆ กับตี้ ก็คุ้นเคย สินะ
เคมี ระหว่างชาร์ป ตี้ นอกจากทางกาย ยังมีทางใจด้วย
เพียงแต่ไม่เคยคุยเรื่องหวั่นไหวทางใจกัน
เอาไงล่ะทีนี้ เป็นสามเส้าของ ชาร์ป-ตี้-อรรถ
ชักเริ่มคิดเรื่อง 3p ซะแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 17-08-2016 18:38:04
ถามชาร์ปว่า ที่มันเป็นแบบนี้....ผิดที่ใคร?

หึๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: aornarak ที่ 17-08-2016 18:46:04
อยากให้ปาร์ตี้เลือกอรรถ เพราะแว่นมันโลเล ติดแต่ความคิดว่าต้องแต่งกับผญ
ต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์. แบบว่าหัวโบราณอ่เ แถมยังเป็นคนที่ทิ้งปาร์ตี้ไปหมั้นกับผญอีก
ไม่เอานะถ้าพระเอกเป็นชาร์ปอ่า สงสารอรรถ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-08-2016 20:09:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 17-08-2016 20:52:58
เนื้อเรื่องของพาร์ท 2 นี่เริ่มตรงกับชื่อเรื่องแล้ว ผิดที่ใคร  :mew5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-08-2016 22:57:45
ยากเกินแก้ไข..มันผิดที่ใคร
ลองใช้ใจและสมอง..ไตร่ตรองดู

คิดเอาเองนะไอ่คุณแว่น
ในเล้านี้คงไม่มีใครเค้าช่วยคิดให้
คิดเก่งหนิ
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 17-08-2016 23:50:36
ไม่บรรจบก็ขอให้ไม่บรรจบกันจริงนะ
ไม่เชียร์และไม่อยากให้อิแว่นเป็นพระเอก
แต่ถ้าเป็นก็ขอบาย เพราะคงไม่อินแน่นเน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-08-2016 03:44:53
ยังไงก็คงจะมาบรรจบแน่นอน
อรรถคือคนปัจจุบัน
ชาร์ปคือคนของอดีต
ถ้าหากว่าตี้มีความสุขกับอรรถเราก็โอเคนะ
กับชาร์ปนี่พุดยากเพราะต่อให้เป็นคนที่ใช่
แต่ชาร์ปไม่มั่นคงเลย
ชาร์ปยังคงอยากมีครอบครัว
น่าจะอยากมีลูกเพื่อพ่อแม่ด้วย
ยังไงก็ขอให้ตี้อย่าลังเล
เพราะท่าทางชาร์ปก็จะลังเลแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คำสาปของคนที่เป็นไบ

เรื่องของปลานี่กล้ากว่าที่คิด
คือไปบอกคนอื่นเรื่องอีกฝ่ายนอกใจ
ปลาเองก็น่าจะเล็งชาร์ปไว้
แต่รับไม่ได้ที่ชาร์ปเป็นไบ
ตัวเองเป็นสาววายก็ย้อนแย้งดี
ไม่ได้หมายความไปในทางลบนะ
คือเป็นสาววายจิ้นหนุ่มกับหนุ่มได้กันเอง
ตราบใดที่ไม่ใช่แฟนตัวเอง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-08-2016 22:52:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 2 เส้นขนาน 17-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-08-2016 16:00:05
PART II บทที่ 3
หึง



AUT’s Part
“พี่อรรถ พี่อรรถ”ผมหันไปตามเสียงของรุ่นน้องที่สะกิดผม ก่อนจะรู้สึกตัวว่านี่ผมกำลังประชุมกับลูกค้าอยู่ แต่นี่ผมดันเหม่อจนสติไม่อยู่กับการประชุมเสียได้

“ลูกค้าถามว่า ถ้าจะขอเปลี่ยนรูปแบบงาน ค่าใช้จ่ายมันจะเป็นไง”รุ่นน้องคนเดิม แอบกระซิบผม ผมสังเกตุเห็นว่ามีลูกค้าในห้องนี้บางคนส่ายหน้า เล็กน้อย แต่โทษเค้าไม่ได้หรอกครับที่จะไม่พอใจ เพราะผมดันแสดงความไม่เป็นมืออาชีพออกไปให้เค้าเห็นเอง ผมรีบสลัดเอาเรื่องส่วนตัวออกจากหัว ก่อนจะอธิบายรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการให้เค้าฟัง ดีที่ผมพอจะรู้รายละเอียดอยู่ก่อนแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้ไม่ติดขัดสักเท่าไหร่ แต่กว่าจะตกลงกันได้ ก็เล่นเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันครับ

“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ยพี่ หรือพักผ่อนน้อย ผมละใจหายแวปเลย ตอนลูกค้าจี้แล้วพี่ดันเงียบ นี่ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เห็นพี่เป็นงี้เนี่ย ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างนะพี่ เป็นห่วงวะ”เสียงเพื่อนรุ่นน้องบอกกับผม แต่จริงๆ ผมไม่ได้เหนื่อยหรือพักผ่อนน้อยหรอกครับ เพียงแต่ตอนมาถึงตึกนี้ก่อนจะขึ้นมาพบลูกค้า ที่ร้านกาแฟด้านล่าง ผมบังเอิญเจอคน คนนึงเข้านี่สิ

“อ้าวคุณอรรถ ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะครับ”ผมหันไปตามเสียงทักทาย ก่อนจะเจอกับชายหนุ่มใส่แว่นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แม้ผมจะรู้จากข้อความในโทรศัพท์ของตี้ในวันก่อน ว่าเค้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าโลกมันจะกลม แล้วความบังเอิญมันจะเป็นไปได้ขนาดนี้ ผมยิ้มตอบพร้อมกล่าวทักทาย

“สบายดีครับ แล้วคุณชาร์ปละครับเป็นไงบ้าง เห็นตี้พูดอยู่เหมือนกันว่าคุณชาร์ปมาติดต่องานที่กรุงเทพฯ”ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าเค้าก็แค่เพื่อนของแฟนผม ส่วนเรื่องในอดีตระหว่างเค้ากับตี้ผมจะไม่เก็บเอามาเป็นประเด็นสำคัญอะไรกับชีวิตรักในปัจจุบันของผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด แต่พอมาเจอเค้าจังๆ แบบนี้ ผมกลับนึกอยากจะโกหกออกไป โกหกให้เค้ารับรู้ว่าระหว่างผมกับตี้ไม่ได้มีความลับต่อกัน ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าแท้จริงแล้ว ตัวเค้าเองรู้สึกยังไงกับแฟนผมกันแน่ แต่การที่เค้าเคยถอนหมั้นกับน้องปลานั่น มันคงมีสาเหตุอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกไม่อยากจะวางใจเค้าสักเท่าไหร่

และผมว่าผมตัดสินใจถูกที่บอกกับเค้าออกไปแบบนั้น เพราะผมว่าผมแอบเห็นอาการชะงักเล็กๆ ของเค้าเหมือนกันตอนที่ผมพูดถึงปาร์ตี้ แม้จะเป็นแวปเดียว แต่ผมที่จ้องมองเค้าอยู่แล้วเลยสังเกตได้ทัน

“นี่ก็เพิ่งคุยเรื่องงานเสร็จแหละครับ พรุ่งนี้เย็นๆ ก็กลับภูเก็ตแล้วครับ เย็นนี้ว่าจะชวนคุณอรรถกับตี้ไปทานข้าวด้วยกันอยู่พอดี ผมนัดกับไอ้เหมาแล้วก็แพทไว้แล้ว วันก่อนเห็นว่าคุณอรรถกับตี้ไม่สะดวก วันนี้ไปด้วยกันนะครับ ไม่ได้สังสรรด้วยกันนานแล้ว”ในใจก็อยากจะหนักแน่นนะครับ ว่าผมคือตัวจริงคนปัจจุบันของตี้ แต่การที่เค้าไม่พูดถึงเรื่องคุณแว่นนี่เลย มันทำให้ผมเริ่มรู้สึก เค้าไม่บอกผมว่าคุณแว่นมากรุงเทพฯ ไม่บอกสาเหตุที่ปฏิเสธนัดกับเพื่อนในวันก่อน ว่าที่เค้าเลือกจะไม่ไป เพราะไม่อยากเจอคุณแว่นนี่

ถ้าจะบอกว่าสาเหตุที่เค้าปิดผม เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก กลัวผมไม่สบายใจ มันก็ไม่ใช่เพราะเรื่องระหว่างคุณแว่นนี่กับเค้า ผมก็รับรู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เค้าไปเจอเพื่อน เพราะผมเชื่อใจเค้า แม้เพื่อนคนนั้นจะคือคุณแว่นนี่ผมก็ยังจะเชื่อใจเค้า ถ้าเค้าบอกผมตรงๆ แต่พอเค้าเลือกที่จะปิดบังผม ความไว้ใจที่ผมเคยมีให้มันอาจจะลดลงก็เป็นได้

“ผมคงต้อง ขอตัวนะครับพอดีเย็นนี้ติดเลี้ยงลูกค้าจริงๆ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ส่วนตี้ยังไงลองถามเค้าดูเองแล้วกันนะครับ ไม่ได้เจอเพื่อนตั้งนานแล้วเค้าน่าจะไปแหละครับถ้าว่าง”ผมจงใจเน้นคำว่าเพื่อน แม้จะไม่รู้ว่าเค้าจะรู้หรือเปล่าว่าผมรู้เรื่องราวระหว่างเค้ากับตี้ แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่าไม่ควรจะคิดมาแทรกกลางระหว่างเรา นี่ถ้าไม่ติดว่าผมต้องไปเลี้ยงลูกค้า ผมคงจะเป็นคนพาตี้ไปให้รู้แล้วรู้รอดครับ

“คุณอรรถไม่ไปแบบนี้ สงสัยปาร์ตี้จะเบี้ยวพวกผมอีกละม้างเนี่ย”ก็อยากจะให้เป็นอย่างที่เค้าพูดนะครับ เพราะชักเริ่มไม่อยากจะให้เค้าทั้งคู่ได้เนอกันนอกสายตาผมเสียแล้ว

“ยังไงลองชวนเจ้าตัวเค้าดูแล้วกันครับ ผมต้องไปแล้วพอดีนัดลูกค้าไว้”ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะขอปลีกตัวจากเค้า

“ไว้เจอกันครับ ยังไงว่างๆ ก็ชวนตี้ไปเที่ยวที่ภูเก็ตได้นะครับ เดี๋ยวผมเป็นไกด์นำเที่ยวให้”ผมรับคำก่อนจะเดินออกมา และนั่นคือสาเหตุที่วันนี้ผมเกือบจะทำงานพลาด ผมไม่ได้กังวลที่เจอคุณแว่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ ตี้เค้าจะไปตามนัดของคุณแว่นหรือเปล่า แต่ส่วนที่ผมเก็บมากังวลมากที่สุดคือ เค้าจะบอกผมหรือเปล่า ถ้าเค้าจะไป

ผมว่าการไปแล้วบอก มันก็คงดีกว่าการไม่บอกและเราไม่รู้เลยว่าตกลงเค้าไปหรือไม่ไป หรือกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในใจของอีกคนคิดอะไรอยู่ ถามว่าระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมามันทำให้ผมมั่นใจในตัวของตี้ไหม ถ้าก่อนที่คุณแว่นมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ ผมพูดได้เต็มปากว่าผมมั่นใจในตัวเค้า แต่พอมาวันนี้ ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึก ระแวง หรือหึงหวงได้ถูกไหมครับ แต่ผมก็คงไม่ทำอะไรที่ออกนอกหน้า หรืองี่เง่าจนเกินไป เพราะถ้าเกิดมันไม่มีอะไรเลย จะกลายเป็นว่าผมอาจจะมีปัญหากับตี้เสียเปล่าๆ

“ตะกี้เจอคุณแว่...”ผมหยุดการพิมพ์ข้อความไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนใจลบแล้วพิมพ์ใหม่

“วันนี้ยุงทั้งวันอรรถคงไม่ได้โทรหา เย็นนี้ก็ต้องกลับดึก อยู่คนเดียวอย่าเหงาล่ะ”ผมพยายามส่งข้อความให้ดูเป็นปกติ จริงๆ เวลาทำงานเราก็ไม่ค่อยได้โทรหากันหรอกครับ อาจจะมีตอนพักกลางวันบ้าง ส่วนใหญ่จะทิ้งข้อความไว้ในไลน์มากกว่า นอกจากจะมีอะไรด่วนจริงๆ ผมไม่ได้รอดูข้อความตอบกลับของเค้า เพราะก็ต้องทำงานต่อ วันนี้เป็นวันที่คิวงานผมหนาแน่นเหลือเกิน แน่นจนแทบไม่มีเวลาจะเช็คข้อความส่วนตัวอีก

“พี่อรรถ ซวยแล้ว ลูกค้าจะขอเปลี่ยนร้าน”เพื่อนน้องหันมาบอกผมหน้าตาตื่น หลังรับสายจากลูกค้า เคยได้ยินคำว่าลูกค้าคือพระเจ้าไหมครับ ถ้าเคยอาจจะพอเข้าใจความรู้สึกของพวกผมบ้างแหละครับ แต่สำหรับผมแค่พระเจ้านี่ไม่เท่าไหร่นะครับ ต้องรุ่นพ่อพระเจ้า แม่พระเจ้า หรือปู่ย่าตายายของพระเจ้าครับ อย่างกรณีล่าสุดนี่ เรื่องร้านรับรองลูกค้าไม่ใช่ว่าลูกค้าเพิ่งจะทราบเมื่อเช้าที่ไหนกันว่าจะไปร้านไหน

แจ้งกันล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ร้านก็จองล่วงหน้าไว้แล้ว อาหารเครื่องดื่มก็สั่งไปแล้ว แล้วนี่จะขอเปลี่ยนร้านก่อนเวลานัดไม่ถึงชั่วโมง แต่นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ ประเภทไปถึงร้าน นั่งแล้วด้วย อาหารเครื่องดื่มเสิร์ฟมาแล้ว ขอเปลี่ยน ก็ต้องยอมครับ เพราะลูกค้าที่กล้าทำขนาดนั้นคือลูกค้ารายใหญ่มาก ทางบริษัทผมก็ได้ผลกำไรจากพวกเค้าไม่น้อยก็ต้องยอมๆ กันไปแหละครับ แม้บางทีจะหมั่นไส้บ้างก็ตามที

“ติดต่อทางร้านที่เราจองไว้ อาหารถ้าอันไหนทำเสร็จแล้วให้เค้าห่อ เครื่องดื่มขอคืน แต่ถ้าไม่คืนก็เก็บมาเลย ถ้าร้านจะคิดค่าเสียโอกาสในการเสียลูกค้าอะไรก็ดูตามสมควร แล้วส่งคนไปรับของที่ร้าน อย่าลืมใบเสร็จด้วย อาหารก็ให้คนที่ออฟฟิศจัดกันไปตามสบาย แต่เครื่องดื่ม ไม่เน่าไม่เสียถ้าเค้าไม่ให้คืน ก็เก็บไว้เลี้ยงลูกค้ารายอื่น”ผมอธิบายให้น้องไปประสานงานต่อ เพราะฝั่งผมคงต้องคุยกับทางลูกค้าที่จะเปลี่ยนร้านนี่แหละครับ ว่าจะเอายังไง

“แล้วเราจะหาร้านใหม่ทันเหรอพี่”เล่นเปลี่ยนกันกระทันหันขนาดนี้ ผมว่านี่คงมีร้านในใจกันอยู่แล้วละครับ ผมบอกน้องไปว่าไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจัดการเอง ผมโทรหาทางลูกค้าของเรา และก็จริงครับที่ทางเค้ามีร้านในใจอยู่แล้ว แถมบอกว่าผมไม่ต้องลำบากติดต่อร้าน ก็แน่ละครับ จัดแจงมาขนาดนี้ ทางผมก็มีหน้าที่แค่ไปจ่ายตังค์สินะ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดดูข้อความ ที่ผมรู้สึกกังวลมาตลอดทั้งวัน ซึ่งก็ทำให้ผมต้องแปลกใจกับข้อความของเค้า ผมมั่นใจว่าคุณแว่นน่าจะชวนตี้ หรือไม่เหมาก็ต้องเป็นคนชวนอยู่แล้ว และถ้าชวนแล้วตี้จะไปหรือไม่ไป เค้าน่าจะต้องบอกอะไรผมบ้าง เพราะเค้าน่าจะรู้จากเพื่อนเค้าแล้วว่าวันนี้ผมบังเอิญเจอใคร หรือคุณแว่นไม่ได้บอกว่าเจอผม

“เสร็จแล้วรีบกลับนะ”นั่นคือข้อความที่เค้าส่งถึงผม จากเวลาส่งที่ขึ้น เพิ่งจะผ่านมาแค่ครึ่งชั่วโมง ซึ่งเลยเวลาเลิกงานแล้ว เรื่องที่คุณแว่นจะนัดตี้ไปกินข้าวน่าจะมีการพูดคุยกันเกิดขึ้นแล้ว หรือตี้ไม่ไป เลยไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้กับผม ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยติดใจอยู่นาน ผมว่าผมควรถามเค้าออกไปตรงๆ เลยจะได้ไม่ต้องกังวลอยู่แบบนี้

“ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้”ผมกดย้ำอยู่หลายรอบทั้งที่ ก็รู้ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่เค้าแบตหมด หรือว่าปิดเครื่องกันนะ ปกติแล้วเค้าก็ไม่ค่อยปล่อยให้มือถือแบตหมดนี่นา ถ้าผมจะโทรหาเพื่อนเค้านี่ผมจะดูงี่เง่าเกินไปไหมนะ

“พี่อรรถลูกค้าเร่งแล้ว ไปยังพี่”ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนิ ผมรีบปรับอารมณ์และสีหน้า แม้จะรู้สึกกังวลเรื่องส่วนตัว แต่ในเมื่องานผมยังไม่เสร็จผมก็คงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อให้เรียบร้อย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ผมอาจจะคิดมากไปเอง

การเลี้ยงรับรองลูกค้าครั้งนี้แม้จะมีทีมงานของผมมาด้วย แต่ตัวหลักที่ต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าก็ยังเป็นผมอยู่ดี บรรยากาศก็สนุกสานดีนะครับ สำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับผมแม้จะยังทำหน้าตายิ้มแย้มอยู่ แต่ในใจนี่อยากให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ เหลือบมองนาฬิกาครั้งแล้ว ครั้งเล่า เกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว ไม่มีการติดต่อกลับจากตี้มาถึงผม ผมทิ้งข้อความไว้แล้วว่าให้เค้าโทรหาผมด้วย นั่นทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า เค้าน่าจะไปทานข้าวกับเพื่อน

ผมตัดสินใจปลีกตัวจากลูกค้า ออกมาโทรศัพท์ แน่นอนว่าเบอร์โทรของแฟนผมยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม ผมเลือกที่จะกดเบอร์เพื่อนของเค้า แต่ผมก็มีเบอร์เพื่อนเค้าแค่คนเดียว คือเหมา แต่ผมกดโทรออกอยู่ 2 ครั้งและรอจนสายตัดไป ก็ไม่มีคนรับสาย จากที่ว่าจะไม่ระแวงมันก็อดไม่ได้จริงๆ ผมกำลังจะกลับเข้าไปบอกลูกค้าว่าคงต้องขอกลับก่อน แล้วให้น้องๆ ดูแลลูกค้าต่อ แต่มีสายเรียกเข้ามาเสียก่อน

“สวัสดีครับ”ผมกรอกเสียงลงไป อย่างสุภาพเพราะเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก

“อรรถ ตี้เองนะ”เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาผมโล่งใจว่าอย่างน้อยก็ติดต่อเค้าได้แล้ว

“อยู่ไหนเนี่ย เราติดต่อตี้ไม่ได้เลยอ่ะ งอนแล้วเนี่ย”แม้จะรู้สึกอารมณ์ตึงๆ ไปบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากให้เรื่องมันไปกันใหญ่เลยพยายามปรับเสียงให้ดูเป็นการพูดแซวเค้าแค่นั้น

“เรามาทานข้าวกับพวกเหมา”เป็นคำตอบที่ไม่ได้ต่างจากที่ผมคาดเดาไว้

“โทษที ที่ไม่ได้โทรบอกนะ พอดีแบตเราหมด แล้วโดนไอ้เหมามันหักคอบังคับมา รถก็ไม่ได้เอามาเนี่ย”ผมพยายามจะยอมรับนะครับว่าทุกอย่างคือเหตุผล คือคำอธิบาย แต่ในใจส่วนลึกมันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นข้ออ้างหรือเปล่า

“แล้วกลับยังไง ให้อรรถไปรับเปล่า”ผมลองหยั่งเชิงดูครับ แต่คิดว่าเค้าคงปฏิเสธแน่นอน และก็จริง เค้าปฏิเสธไม่ให้ผมไปรับ โดยให้เหตุผลว่าเหมากับแพทจะเป็นคนมาส่ง

“แล้วนี่ไปกันกี่คนเนี่ย”จริงๆ อยากจะถามตรงๆ ไปเลยว่าคนที่ผมเจอเมื่อกลางวันนั่นไปด้วยหรือเปล่า แทบไม่ต้องเดาคำตอบแล้วครับว่าไปด้วยอยู่แล้ว แต่ที่ทำเอาผมเริ่มรู้สึกอยากไปรับเค้าด้วยตัวเองคือเจ้าของเบอร์ที่เค้าใช้โทรมาหาผมในตอนนี้ ทำไมเค้าไม่ใช้เบอร์เหมา เบอร์แพท โทรมาหาผม ตอนนี้ผมแทบจะอยากให้เค้าเปิดกล้องคุยกับผมให้รู้แล้วรู้รอดว่าเค้าไม่ได้อยู่กันสองคน แต่ผมก็ทำได้เพียงบอกเค้าว่าอย่ากลับดึกมาก แล้วค่อยเจอกันที่บ้าน

ผมกลับเข้าไปร่วมโต๊ะกับทางลูกค้าอีกครั้ง แต่รอบนี้ผมดื่มเยอะขึ้น ผมว่าผมเคยเป็นคนหนักแน่นกว่านี้ แต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงคิดเล็กคิดน้อยไปหมด ผมกลับกลายเป็นคนคิดมาก ว่ามันจริงไหมที่มือถือเค้าแบตหมด จริงไหมที่เค้าติดรถไปกับเหมา จริงหรือเปล่าที่เค้าบอกว่าทั้งเหมาและแพทไม่ได้หยิบมือถือลงมาจากรถ เค้าถึงต้องใช้มือถือของนายแว่นนั่นโทรหาผม


ผมกลับถึงบ้านตอนตี 1 กว่าแล้ว ดีที่ปาร์ตี้กลับมาแล้ว ไม่งั้นผมคงฟุ้งซ่านยิ่งกว่ากว่าเดิม ผมเดินตรงไปยังห้องนอนของเราสองคน เค้านอนตะแคงอยู่ฝั่งเดิมเหมือนทุกคืน ผมถอดถุงเท้า กางเกงและเสื้อทิ้งไป เหลือเพียงกางเกงบอกเซอร์ตัวบางก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า ปาร์ตี้ยังคงหลับโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัว ผมสอดมือเข้าไปสวมกอดเค้าจากด้านหลัง

ริมฝีปากผมกดลงที่ซอกคอเค้าจากด้านหลัง สองมือผมเริ่มป่ายสะเปะสะปะ จากแผ่นอกลากต่ำลงมาที่หน้าท้อง แล้วก็ค่อยๆ ต่ำลงไปเรื่อยๆ ตามด้วยตัวของผมที่เบียดชิดเค้าเข้าไปเรื่อยๆ ผมแค่อยากรู้สึกว่าคนๆ นี้ยังเป็นของผมอยู่ จะด้วยความคิดมาก คิดไปเองของผม หรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ผมแค่ต้องการความมั่นใจ

“กลับมาแล้วเหรอ”เค้าตอบผมเสียงงัวเงียพร้อมกับมือเค้าที่จับข้อมือผมให้หยุดการเคลื่อนเข้าไปในกางเกงนอนของเค้า ผมไม่ได้พูดจาตอบโต้อะไรเค้า เพราะริมฝีปากผมยังไม่หยุดปฏิบัติการฝากรอยไว้ที่ผิวเนียนของเค้า และตามด้วยรอยเขี้ยวที่กัดลงไปเบาเบา

“เดี๋ยวก่อนอรรถ”เค้าพยายามขืนตัวออกจากผม พร้อมกับหันมาเผชิญหน้า แต่ผมก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรกับเค้า เป้าหมายต่อไปของผมคือริมฝีปากอิ่มนั่น แต่ผมถูกหยุดด้วยแรงผลักของอีกฝ่าย

“เป็นไรเนี่ย ดื่มมาเยอะเหรอ กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”ผมจับข้อมือเค้ายกขึ้น พร้อมๆ กับพลิกตัวคร่อมร่างเค้าไว้

“โทษฐานที่ทำให้เราหึง”แน่นอนว่าผมไม่คิดจะอธิบายคำพูดของตัวเอง เพราะต้องรีบอาศัยจังหวะที่เค้าเผลอ เพื่อเริ่มการสำเร็จโทษคนตรงหน้าโดยไม่ปล่อยให้เค้าได้ขัดขืนอีก





TBC


มาต่อแล้ววววว

ฝากติดตามกันด้วยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-08-2016 16:21:17
แบบนี้ก็น่าหึงอยู่หรอก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 19-08-2016 18:35:05
ตี้ก็นะ...เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-08-2016 18:42:29
เห้อออ ไม่รู้จะสงสารใครดี แต่ที่แน่ๆ ไม่สงสารคุณแว่นแน่นอน
เราว่าอรรถกับตี้ถึงจะดูเคมีไม่ตรงกัน แต่เวลาอยู่ด้วยกันก็น่ารักดี
ส่วนคุณแว่นเราไม่โอเคเลยยยยย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-08-2016 20:10:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-08-2016 20:20:47
เกลียดอีชาร์ปเหลือเกิน  งือ
ออรถต้องหนักแน่นนะครับ  ตี้ก็อย่าหวั่นไหวนะครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 19-08-2016 20:36:15
ดูๆไปก็น่าหวั่นใจเนาะ  บอกไม่ได้ว่าเรื่องน่าจะเป็นยังไง  แต่ลุ้นมากกกก กลัวใจตี้    :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 19-08-2016 22:31:24
ตัดแล้วก็ตัดให้ขาดสิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 19-08-2016 22:58:43
ไม่แปลกที่จะคิดมากนะอรรถ

กลัวใจตี้จริงๆ รู้สึกมันมีอะไรลึกๆ อยู่อ่ะ


หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 20-08-2016 02:19:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-08-2016 21:53:12
ถ้าบทของนายอรรถเด่นกว่านี้ก็อยากเชียร์ให้อรรถได้กับปาร์ตี้นะ แต่ว่าบทของแว่นมาเด่นกว่าคุณอรรถเห็นๆเลยเชียร์ให้แว่นได้กับปาร์ตี้เลย 555 ภาคนี้คงถึงทีบทของอรรถแล้ว
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-08-2016 22:24:15
ก็น่าทำให้อรรถกังวลนะ
ตี้ ไม่ปกติ ไม่พูดเรื่องชาร์ป
แล้วยังติดต่อไม่ได้
แต่เหมา ก็ชอบบังคับหักคอเพื่อนประจำ
คงไม่ยอมให้ติดต่ออรรถ
ถ้าจะยืมมือถือแพท ก็ได้
แต่คิดว่า ชาร์ปไวกว่ายื่นส่งให้เลยไม่รับก็ผิดสังเกต
นี่ถ้า ตี้ยังไม่มีอรรถ
ชาร์ป ต้องตามตี้มาด้วยแน่ๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 3 หึง 19-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-08-2016 10:54:15
PART II บทที่ 4
ระแวง




Aut’s Part
“ครับพี่ เดี๋ยวบ่ายผมเข้าไปครับ”เจ้าของเสียงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมคุยโทรศัพท์ไปด้วย และจ้องมองผมด้วยสายตาคาดโทษไปด้วย แต่ผมก็ยังทำสีหน้ากวนๆ ส่งกลับไป เค้ากำลังคุยกับหัวหน้าของเค้าเรื่องลางานวันนี้ จริงๆ เค้าก็โทรไปลาตั้งแต่เช้าแล้วแหละครับ แต่นี่หัวหน้าเค้าโทรมาตาม ขอให้ไปทำงานในช่วงบ่าย เพราะมีงานค้างที่เค้าต้องส่งภายในวันนี้ แล้วดันไม่มีใครทำแทนได้เลย

ส่วนที่เค้ากำลังมองผมด้วยสายตาคาดโทษอยู่นี้เพราะสาเหตุที่ทำให้เค้าสายนั้นมันเพราะผมเอง ที่เมื่อคืนความหึงมีมากไปหน่อยเลยไม่ยอมปล่อยเค้านอนง่ายๆ กว่าจะพากันนอนก็เล่นเอาเกือบเช้า ทั้งผมและเค้าเลยต้องลางานในวันนี้ ยอมรับนะครับว่าเมื่อคืนผมคิดมากไปไกล คิดถึงขั้นว่าตี๊ฟอาจจะไปกับคุณชาร์ปสองต่อสอง และอาจมีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น

แต่พอได้สำรวจร่างกายเค้าทุกซอกทุกมุมแล้ว ผมก็มั่นใจว่าคงไม่ได้มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น และเป็นผมเองที่คิดมากไปเอง ทว่าความหึงที่ระดับมันพุ่งสูงขึ้นไปแล้ว จะให้ผมหายเฉยๆ มันก็คงไม่ใช่ ผมเลยจัดเต็มชุดใหญ่ให้เค้า

“เห็นไหมเนี่ย เสียการเสียงานหมดเลยเนี่ย”เค้าบ่นผมอีกครั้ง แถมทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมอีก แต่เวลาเค้าโกรธแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ จะว่าไปเค้าทำหน้าแบบไหนผมก็ชอบหมดแหละครับ

“ก็คนมันหึง”ผมเดินอ้อมไปกอดเค้าจากด้านหลัง หวังให้เค้าเข้าใจผมบ้างว่าผมหวงเค้าขนาดไหน

“หึงอะไร ไหนบอกมาสิ”เค้าถามด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยพอใจ ทั้งที่ผมก็อธิบายไปแล้วนะครับว่าทำไมผมถึงหึง ซึ่งแน่นอนเค้ากลับออกจะดูโกรธผมเสียด้วยซ้ำที่ไม่ไว้ใจเค้า แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อสถานการณ์มันพาให้คิดขนาดนั้น โอเคผมเชื่อว่าระหว่างเค้ากับนายแว่นนั่นไม่มีอะไรเกินเลย จากการที่ผมสำรวจทุกซอกมุมเค้าแล้ว แต่ผมยอมรับนะครับว่ายังติดใจเรื่องที่เค้าขาดการติดต่อกับผม คือถ้ามันไม่มีอะไรอย่างที่เค้าว่า แล้วทำไมต้องทำให้เหมือนว่ามันมีอะไรด้วย

“เราทำอะไรให้ไม่มั่นใจเหรอ”แต่นั่นแหละครับ ตอนนี้เหมือนเรากำลังมองกันคนละมุม ถ้าผมจะยิ่งดันทุรังทำเป็นแข็งใส่เค้า ก็ดูเหมือนจะยิ่งกลายเป็นต่างคนต่างแข็งใส่กัน มีแต่จะแย่ไปใหญ่ ในเมื่อคนนึงร้อนอีกคนก็ควรจะเย็น

“งั้นอรรถขอได้ไหม ว่าต่อไปเราจะบอกกันทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องคุณชาร์ป”ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะก็กังวลเหมือนกันว่าสิ่งที่ผมพูดอาจไปสะกิดเรื่องราวบางอย่างในใจเค้า อ้อมแขนผมกระชับดึงร่างเค้าแน่นขึ้น หวังให้ความรู้สึกในใจผมส่งผ่านถึงเค้าบ้าง

“อืม”เค้ารับคำสั้นๆ แต่มันสั้นและนิ่งจนผมไม่รู้จะสบายใจหรือกังวลใจเพิ่มมากกว่ากัน

“งั้นตี้ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวอรรถไปส่งที่ทำงาน”เค้าไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ขยับตัวเป็นสัญญาณให้ผมคลายวงแขนออก ก่อนเค้าจะเดินเงียบๆ เพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว ผมมองตามแผ่นหลังของเค้าด้วยความรู้สึกกังวล ความรู้สึกกังวลที่ก่อตัวอยู่ในใจผม ตอนนี้มันเริ่มขยายมากขึ้นเรื่อยๆ


“โกรธไรป่ะเนี่ย”ผมอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ เพราะนี่ตลอดระยะทางที่ผมขับรถมาส่งเค้าถึงบริษัท เค้าแทบจะไม่พูดอะไรกับผมเลย บรรยากาศระหว่างผมกับเค้า เหมือนมันอึมครึมแปลกๆ แต่เค้าก็แค่ส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมบอกว่าแค่เหนื่อยๆ เพลียๆ แค่นั้น

“งั้นเย็นนี้อยากทานอะไร ไหนๆ อรรถก็หยุดแล้ว เดี๋ยวไปซื้อของทำของอร่อยๆ รอ”ผมบอกก่อนจะฉีกยิ้มให้เค้า หวังให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่คำตอบของเค้าก็เพียงแค่ว่าให้แล้วแต่ผมเลย อยากทำอะไรก็ทำ นี่ผมเริ่มงงว่าผมควรจะเป็นคนงอนหรือเปล่ากับเรื่องที่มันเกิดขึ้น แต่ทำไมมันดันสลับตำแหน่งกันแบบนี้ นี่เค้างอนอะไรผมเนี่ย สรุปว่าไปๆ มาๆ นี่ผมต้องเป็นคนง้อเหรอเนี่ย

“ตี้...”ผมเรียกเค้าไว้ก่อนที่เค้าจะลงรถไป เค้าหันมามองผมพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“อรรถรักตี้นะ”ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมอยากบอกรักเค้าตอนนี้ แต่มันแค่อยากพูดอะไรกับเค้าสักอย่างให้เค้าเข้าใจผม หรือถ้าสิ่งที่เค้ากำลังไม่พอใจผม คือเรื่องที่ผมคิดไม่ไว้ใจเค้า ก็อยากให้เค้ารู้ว่าทำไมผมถึงคิดแบบนั้น ถ้าผมไม่รัก ไม่ชอบ ผมจะหึง จะหวงเค้าทำไม จริงไหมครับ

“อืม...รู้แล้ว แล้วก็...ขอโทษที่ทำให้คิดมาก...เราไปทำงานก่อนนะ”พูดจบเค้าก็เดินลงจากรถไป คำพูดของเค้าที่เพิ่งบอกกับผม ผมไม่รู้เลยว่านั่นคือเค้าไม่โกรธ ไม่งอนผมแล้ว หรือรู้สึกยังไงกันแน่ แม้จะมีรอยยิ้มจางๆ จากเค้าส่งมาให้ แต่มันดูเป็นอะไรที่ยากจะคาดเดาเหลือเกิน ตอนนี้มันเหมือนทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่ผมต้องเก็บมาคิดหมดเลย แต่เอาเถอะ ยังไงซะวันนี้นายแว่นนั่นก็จะกลับภูเก็ตแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างมันก็คงจะดีขึ้น

แต่เดี๋ยวก่อน สายตาผมพลันเห็นรถของปาร์ตี้วิ่งออกมาจากบริษัท นั่นเค้าจะไปไหน ผมคัดสินใจขับตามเค้าห่างๆ ความระแวงในใจผมมันเริ่มสั่งให้คิดอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าวันนี้นายแว่นจะนั่งเครื่องกลับบ่ายๆ นี้ แล้วเค้าจะไปส่งหรอกนะ ผมกดสายโทรออกหาเค้าทันที

“อ๋อ ไอ้เหมายืมรถออกไปข้างนอกนะ”นั่นคือคำตอบของเค้า แต่ผมก็ยังไม่วางใจเลยขับตามต่อ ด้วยระยะห่างขนาดนี้ทำให้ผมไม่เห็นว่าคนในรถคือเหมา เพื่อนเค้าจริงๆ หรือเปล่า แต่ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคนในรถไม่ใช่เหมา อย่างที่เค้าบอก และคงรู้ตัวแล้วว่าผมตาม คนในรถนั่นจะทำยังไง อีกอย่างเส้นทางที่กำลังวิ่งอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเส้นทางที่มุ่งไปสนามบินได้เช่นกัน

ผมขับตามมาจนถึงสนามบิน รถจอดที่ Gate นึงที่อาคารผู้โดยสารขาออก ภาพคนที่ยืนรออยู่ทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้จะอยู่ในระยะไกลพอควร แต่ผู้ชายที่ยืนรออยู่ก็คือนายแว่นไม่ผิดแน่ ผมภาวนาให้คนในรถเป็นเหมาอย่างที่ตี้บอกกับผม ประตูรถฝั่งคนขับค่อยๆ แง้มออกมา พร้อมกับคนในรถที่ก้าวลงมา

“ฟู่”ผมพ่นลมหายใจก่อนจะหัวเราะกับสิ่งที่ผมทำ นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ความระแวงทำให้ผมกลายเป็นขนาดนี้แล้วเหรอนี่ ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มมองภาพนั้น เค้าไม่ได้หลอกผม คนที่ขับรถของเค้ามาคือเพื่อนเค้าจริงๆ นี่สินะที่ทำให้เค้าเคืองผม เค้าอาจไม่ได้ทำอะไร มีแต่ผมที่ไม่ไว้ใจไปเอง ผมขับรถวนออกจากตรงนั้น เดี๋ยวคงต้องรีบไปซื้อของสด ไว้ทำอาหารอร่อยๆ รอง้อเค้า เย็นนี้อีกรอบแล้วละครับ นายแว่นก็กลับภูเก็ตไปแล้ว ทีนี้ก็คงไม่มีอะไรมาทำให้ความรักของเราสั่นคลอนอีก แล้วก็สาบานเลยถ้านายแว่นนี่มากรุงเทพฯ อีก ผมจะตามติดตี้ ชนิดไม่เปิดโอกาสให้ตี้ได้ไปเจอเค้าโดยไม่มีผมเด็ดขาด

พออารมณ์ดีขึ้น ผมก็เลือกซื้อวัตถุดิบ ในการทำอาหารเย็นวันนี้อย่างสนุกสนาน จริงๆ ผมเองก็ไม่ใช่คนทำอาหารเก่งอะไรหรอกนะครับ แต่ก็อยากทำให้คนที่เรารักทาน แล้วยิ่งเห็นคนกินชอบ คนทำอย่างเราก็ยิ่งมีความสุข ผมคิดเมนูที่คาดว่าเค้าจะชอบ การง้อด้วยของอร่อยๆ นี่ก็ไม่เลวเท่าไหร่นะครับ อีกอย่างปาร์ตี้นี่ก็กินเก่งใช่เล่นนะครับ ขนาดว่าฝีมือทำกับข้าวผมไม่ได้สักเท่าไหร่ เค้ายังจัดการเกลี้ยงทุกครั้งไป

ไก่นึ่งซีอิ้ว และ ห่อหมกทะเลคือ สองเมนูที่ผมเลือกซื้อวัตถุดิบพร้อมแล้ว จริงๆ ทั้งสองเมนูนี่ผมยังไม่เคยทำหรอกนะครับ แต่กะว่าไม่น่าจะเกินความสามารถ ถ้ากินไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ ผมก็มีแผนสำรองครับ แผนสำรองผมก็ไม่ซับซ้อนครับ แค่เจียวไข่ให้เค้าทานแค่นั้นเอง ฮ่าๆ ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถ่ายรูปวัตถุดิบพร้อมชื่อเมนูที่จะทำส่งไปให้เค้าดู

“หวังว่าวันนี้คงไม่จบที่ไข่เจียวนะ”นั่นไงครับ คุณแฟนผม รู้ทันอีก โดนท้าทายแบบนี้มีหรือผมจะยอมแพ้ วันนี้คงต้องโชว์สุดฝีมือ สุดความสามารถหน่อยแล้ว

ระหว่างที่กำลังจะไปจ่ายเงินเพราะกะว่าซื้อของครบแล้ว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น “หมูยอ” ยิ่งทำให้ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นไปอีก เพราะนี่คืออีกอย่างที่ผมเคยใช้จีบเค้า คิดแล้วก็ขำดีเหมือนกันครับ ตอนนั้นไปต่างจังหวัดแล้วซื้อหมูยอมาฝากเค้า ยังตลกตัวเองอยู่เลยว่าคิดได้ยังไงกับการเอาหมูยอมาฝากเค้าเนี่ย

“ถ้าเมนูหลักไม่สำเร็จ ยังไงวันนี้ก็มีหมูยอสื่อรักนะ”ผมพิมพ์ข้อความส่งไปพร้อมกับรูปหมูยอ ก่อนจะตามด้วยสติ๊กเกอร์ยิ้มเจ้าเล่ห์  เค้าหัวเราะกลับมาก่อนจะขอตัวทำงานต่อ

ผมกลับมาถึงบ้าน จัดเตรียมข้าวของ อะไรที่จะทำก็จัดวางไว้ที่ครัว ส่วนบางอย่างที่ยังไม่ได้จะใช้ก็จัดเก็บใส่ตู้เย็นไว้ ผมเปิดเพลงพร้อมฮัมเพลงไปกับการลงมือทำแต่ละอย่าง อย่างมีความสุข ผมว่าการทำอาหารหากเราทำด้วยใจรัก รสชาดมันคงออกมาดีกว่าปกติแน่นอน ผมเหลือบดูนาฬิกา ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือให้ผมได้ทำทุกอย่าง ด้วยความพิถีพิถัน ผมอยากให้วันนี้มันพิเศษกว่าทุกๆ วัน อยากให้วันนี้ทำให้เรา เข้าใจกันและรักกันมากขึ้นไปอีก

ผมจัดเตรียมทั้งสองเมนูเรียบร้อย เหลือแค่นึ่งให้สุก ก็น่าจะพอดีกับเวลาที่ตี้จะกลับมาถึงบ้าน ที่เลือกสองเมนูนี้เพราะสามารถนึ่งให้สุกพร้อมกันได้นี่แหละครับ จะได้ประหยัดเวลาด้วย ทีนี้ก็เหลือหมูยอสื่อรักของผม ทีแรกก็กะว่าทำสองอย่างคงพอ แต่ในเมื่อจะให้เป็นวันพิเศษทั้งทีก็ขอเพิ่มเป็นมื้อใหญ่เลยแล้วกัน

“ติ๊งหน่อง”ผมเงี่ยหูฟัง เพราะรู้สึกเหมือนมีคนกดกริ่งที่หน้าบ้าน ผมเดินไปเบาเสียงเพลง เพื่อตั้งใจฟังอีกครั้งว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง

“ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง”เสียงกดย้ำอีกครั้ง ทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติไม่ค่อยมีใครมาหาที่บ้านโดยไม่ได้บอกไว้ก่อน แถมนี่ก็วันทำงานของผมด้วย และแน่นอนว่าคงไม่ใช่ตี้ เพราะเค้าก็มีกุญแจบ้านที่เปิดเข้ามาได้เลย อีกอย่างตี้น่าจะกำลังเดินทางกลับมากว่า

“มีธุระอะไรหรือเปล่า”ผมเอ่ยถามคนที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตู คนที่ผมไม่ได้เจอมาน่าจะ 2 ปีกว่าแล้ว

“อรรถจะปล่อยให้หนุ่ยยืนคุยนอกบ้านแบบนี้เหรอ”เค้าตอบกลับผมมาด้วยท่าทีเอาแต่ใจเหมือนเดิม เค้าเป็นใครนะเหรอครับ เค้าคือแฟนเก่าผมเอง แฟนเก่าคนก่อนที่ผมจะมาคบกับตี้ เราคบกันได้เกือบๆ 2 ปี ก่อนความรักของเราเหมือนจะจืดจางกันไป แต่เราก็จากกันด้วยดีนะครับ เราเปิดใจคุยกันว่าต่างฝ่ายต่างหมดรักกันแล้ว ก็ต่างคนต่างไป ทางใครทางมัน ช่วงแรกๆ ก็ยังมีติดต่อกันบ้างแหละครับ ในฐานะเพื่อน อีกอย่างตอนคบกัน เค้าก็มาอยู่กับผมที่บ้านหลังนี้ พอเค้าย้ายออกไป ข้าวของก็ไม่ได้เอาออกไปทั้งหมด เลยยังต้องแวะเวียนมาขนของที่บ้านผมอยู่บ้าง

ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกับเค้าก็คือ เค้าเป็นคนบอกว่าจะไม่ติดต่อกับผมอีก เพราะแฟนเค้าหึงไม่อยากให้เค้าติดต่อกับแฟนเก่าอย่างผม ซึ่งผมก็โอเคนะครับ เพราะก็จบกันไปแล้ว ถ้าคนของเค้าไม่สบายใจเราเองก็ไม่ควรไปวุ่นวาย แต่ตอนนี้เค้ามายืนอยู่หน้าบ้านผมแบบนี้ พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมอยากจะคิดนะครับว่าเค้าเพิ่งกลับจากเที่ยวต่างประเทศ แล้วเผอิญซื้อของมาฝากแฟนเก่าอย่างผม แต่มันคงไม่ใช่

“แล้วทำไมไม่ไปพักโรงแรม”หลังจากฟังเค้าสาธยายเหตุผลว่าทำไมถึงลากกระเป๋ามาอยู่หน้าบ้านผม ซึ่งผมคงคิดผิดที่ปล่อยเค้าเข้ามาในบ้าน เพราะตอนนี้เค้าบอกอย่างชัดเจนว่าจะขอพักที่บ้านผม แน่นอนว่าคนใจดีมีเมตตาอย่างผม คงต้องปฏิเสธ ถ้าเป็นเพื่อนธรรมดาผมคงยินดีช่วย แต่นี่แฟนเก่า แถมตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียว ผมอยู่กับแฟนคนปัจจุบันด้วย ถึงระหว่างผมกับหนุ่ยไม่มีอะไรกันแล้ว และคงไม่รื้อฟื้นอะไรกันอีก แต่ตี้จะคิดยังไงถ้าผมพาแฟนเก่าเข้ามาอยู่ในบ้าน

“ก็ไอ้บ้านั่นมันโยนเอกสารเราทุกอย่างลงจากชั้น 18 ทั้งบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต บัตรประชาชน พาสปอร์ต ป่านนี้คงอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว”ผมไม่รู้ว่าเค้าใส่สีหรือเพิ่มความเข้าข้างตัวเองไปขนาดไหนนะครับ เพราะหนุ่ยเนี่ยด้วยความเป็นลูกคนเล็ก เลยโดนตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจมากๆ ปกติก็พอจะเป็นคนมีเหตุผลนะครับ แต่ถ้าโกรธใครสักคน คนๆ นั้นจะถูกกล่าวถึงเป็นมุมลบในความคิดของเค้าทั้งหมด

วันนี้เค้ามาหาผม เพราะบอกว่าเลิกกับแฟนแล้ว เพราะแฟนนอกใจเลยทะเลาะกันใหญ่โต เค้าขนของจำเป็นออกจากคอนโดแฟน ซึ่งก็คือคนที่คบหลังจากเลิกกับผมนั่นแหละ แล้วไม่มีที่ไป จริงๆ ก็มีบ้านแหละครับ แต่เค้าให้เหตุผลว่าไม่อยากกลับไปทะเลาะกับที่บ้าน ขอตั้งหลักสักพัก แล้วค่อยไปเอาเอกสารอะไรที่บ้านไปติดต่อ ทำบัตรทั้งหลายใหม่ ผมเลยกลายเป็นตัวเลือกที่เค้านึกถึง

“เราให้ยืมตังก่อนเอาไหม”ผมยื่นข้อเสนอ เพราะไม่อยากจะมีเรื่องวุ่นวายในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ก็อย่างที่บอกว่าหนุ่ยมีความแต่ใจสูง ยิ่งถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไง ก็จะดันทุรังเอาจนได้

“แค่อยู่ไม่กี่วันเองนะอรรถนะ ให้เราอยู่ด้วยเถอะ เดี๋ยวเราทำเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย และหาที่อยู่ใหม่ได้ เราจะรีบย้ายออกเลย”เค้าพยายามขยั้นขยอเมื่อผมปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่สะดวกที่จะให้เค้าอยู่ด้วย

“เราไม่ได้อยู่คนเดียวนะหนุ่ย เรากลัวแฟนเข้าใจผิด ยังไงถ้าจะไปพักโรงแรมก่อนหรือจะกลับบ้านเรายินดีช่วยโอเคไหม”ผมย้ำออกไปให้ชัดว่าเพราะอะไรถึงไม่อยากให้เค้ามาอยู่ที่นี่ อีกอย่างผมรู้ดีว่าถ้าให้เค้าอยู่มันคงไม่ใช่แค่วันสองวันแน่ๆ เค้าก็ดูชะงักไปนิดหน่อยนะครับ พอผมบอกว่าอยู่กับแฟน

“ทำไมต้องกลัวเข้าใจผิด เราสองคนบริสุทธิ์ใจต่อกันนิ แฟนอรรถต้องเข้าใจสิ อีกอย่างบ้านอรรถก็มีตั้งหลายห้อง แค่ให้เราอาศัยวันสองวันจะเป็นไรไป”หนุ่ยก็ยังเป็นหนุ่ยครับ ยังไงก็จะเอาตามใจตัวเองอยู่ดี

“หนุ่ยจำไม่ได้เหรอว่า เราสองคนหยุดติดต่อกันด้วยเหตุผลอะไร หนุ่ยเคยขอให้เราเลิกติดต่อเพราะแฟนหนุ่ยหึง ตอนนี้เราก็จะขอหนุ่ยแบบนั้นเหมือนกัน ได้หรือเปล่าล่ะ”เค้ามีสีหน้าไม่พอใจ แต่คงหาเหตุผลมาแย้งผมไม่ได้ ผมยังยื่นข้อเสนอเดิมให้เค้า คือยินดีช่วยหากเค้าจะไปพักโรงแรมหรือกลับบ้านพ่อแม่

“อ้าว โทษทีไม่รู้ว่าอรรถมีแขก”บทสนทนาระหว่างผมกับหนุ่ยหยุดลง ทันทีที่ตี้เข้ามา ตี้ยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร แต่อีกคนนี่สิครับ ผมว่ารอยยิ้มของหนุ่ย มันกำลังจะพาเรื่องราวยุ่งๆ และวุ่นวาย เข้ามาในชีวิตผม



TBC

เรื่องคุณแว่นยังไม่ค่อยเคลียร์

มีเรื่องหนุ่ยเข้ามาอีก

อรรถกับตี้จะผ่านไปได้ไหมน้า

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-08-2016 11:13:36
นี่แหละชีวิตเจงๆ
ไม่ว่าทางไหน ก็เกิดเรื่องได้ทั้งนั้น
ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน
เลิกกันอย่างดีๆ แท้ๆ ยังไม่วาย
หนุ่ย นี่จอมเหวี่ยง มาทำลายชีวิตอรรถแน่ๆ
ถึงว่า ถ้าคนที่อยู่ด้วยเลิกกัน
ต้องคืนกุญแจ ไม่ก็เปลี่ยนแม่กุญแจใหม่ไปเลย
รอ อรรถ จะแก้ปัญหาหนุ่ยได้ไหม
ไม่ใช่หนุ่ยเข้ามา เข้าทางให้ชาร์ปมีคะแนน นะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-08-2016 16:24:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-08-2016 18:00:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 22-08-2016 18:27:20
มาเจอแบบนี้นี่ สรุปอิแว่นจะเป็นพระเอกใช่ไหมอ่าาาา  รึไง  โถ่วววววว  :a5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-08-2016 18:51:56
เอาเข้าไป  เฮ้อ  ไปทำบุญกันบ้างนะ  คุณตี้  คุณอรรถ
อุปสรรคมีไว้พุ่งชนจ้า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-08-2016 19:48:04
มันอลวนกันไปหมดเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 22-08-2016 21:18:57
อรรถต้องแก้ปัญหาให้ได้นะ อย่าให้อิหนุ่ยทำทุกอย่างพังลง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-08-2016 21:44:57
พายุมินดูเล กำลังก่อตัว
ยังไม่รู้ระดับความรุนแรงจะถึงขั้นไหน

พังพาบ
หรือเปล่า
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 23-08-2016 21:34:36
จับชาร์ปกับหนุ่ยคู่กันเลย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 23-08-2016 21:59:39
กำลังถึงจุดที่สนุกและลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-08-2016 22:29:34
หนุ่ยแฟนเก่าหรอ หึหึ
จะมาวุ่นวายอะไรอีกไหมนี่

แล้วช่วงนี้ยังพี่แว่นอีก หึหึ
หวังว่าอรรถจะเอาอยู่นะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-08-2016 08:26:06
PART II บทที่ 5
สายเกินไป


Sharp’s Part
ผมเดินสำรวจดูบ้านที่ผมไม่ได้มาเกือบปี ทุกๆ อย่างยังเหมือนเดิม แทบไม่เปลี่ยนไปเลย ผมไม่ได้ขนย้ายข้าวของอะไรกลับไปภูเก็ตสักเท่าไหร่ อาจเพราะผมตัดสินใจกลับไปอย่างกระทันหัน และอาจเพราะผมไม่อยากเอาเรื่องราวจากที่นี่ติดไปด้วย แต่ผมก็คิดผิด แค่การทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้ มันไม่ได้ช่วยให้ผมสลัดทิ้งความรู้สึกอื่นๆ ออกไปด้วยเลย

ผมเปิดตู้เสื้อผ้า มองดูมุมนึงของตู้นั้น มีเสื้อผ้าของใครคนนึง เสื้อผ้าที่ผมตั้งใจไม่เอาไปคืนเค้า และก็ไม่ได้ทิ้งไปตามที่เค้าบอก ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวของเค้าออกมาห้อยไว้ที่ตรงที่เปิดตู้เสื้อผ้า กลิ่นอับของผ้าที่ถูกเก็บอยู่ในตู้เป็นเวลานาน โชยมาเตะจมูกผม ผมถอยหลังนั่งลงที่เตียงนอนตัวเก่า ดีที่ไหว้วานให้ไอ้เหมามาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน แถมแพทยังใจดี ทำความสะอาดห้องนอนให้ผมอีก เย็นนี้เลยถือโอกาสว่าจะเลี้ยงข้าวทั้งคู่ และเป็นการพบปะสังสรรตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน

สายตาผมยังจับจ้องที่เชิ้ตตัวเดิม ก่อนจะค่อยๆ ละสายตาและล้มตัวลงนอน ผมกำลังคิดว่าจะยกเลิกนัดในเย็นนี้กับไอ้เหมาและแพท เพราะเจ้าของเสื้อตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เค้าไม่ยอมออกมาเจอผม เลยกะว่าจะเลื่อนนัดกับไอ้เหมาออกไปก่อน เผื่อใช้เป็นข้ออ้าง ในการชวนเค้าอีกรอบ ผมรู้ครับว่าตอนนี้เค้ามีแฟนแล้ว และดูความรักของเค้าก็ดูจะราบรื่นดี ผมก็ไม่ได้อยากจะไปสร้างความร้าวฉานอะไรแบบนั้นให้เค้าทั้งคู่หรอกนะครับ ผมก็แค่...อยากเจอเค้า ในฐานะ...เพื่อนคนนึง ก็เท่านั้น

“กูบอกแล้วว่ามันไม่ยอมมาเจอมึงหรอก ชื่อมึงมันยังไม่เคยพูดถึงเลย”นั่นคือสิ่งที่ไอ้เหมาบอกกับผม หลังจากที่ลองชวนเค้าออกมาทานข้าวด้วยกัน ทั้งๆ ที่ไอ้เหมาก็บอกแล้วว่าให้เค้าชวนแฟนมาได้ ผมไม่คิดว่าระหว่างผมกับเค้ามันจะกลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกันแบบนี้ไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่ตอนจบความสัมพันธ์ เราตกลงกันแล้วว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้

คงเพราะผมเองที่เกิดความสับสนในตัวเอง ว่าเริ่มมีความรู้สึกกับเค้ามากกว่าที่ตกลงกันไว้ และตอนนั้นผมเองก็ตัดสินใจคบปลาไปแล้ว แม้ตอนหลัง ผมจะเลิกกับปลาไปแล้ว ผมก็รู้สึกไม่กล้าที่จะติดต่อกับเค้าเหมือนเดิม ยิ่งรู้จากไอ้เหมาว่า เค้าไม่เคยพูดถึงผมเลยด้วยซ้ำ มันเลยทำให้ผมไม่กล้าทักทายเค้า แม้แต่ในโซเชียลมีเดีย แต่ตอนนี้พอมีโอกาศมาที่นี่อีกครั้ง ความคิดถึงที่ผมพยายามซ่อนมันอยู่ในใจ แค่ขอได้เจอหน้าเค้าก็ยังดี แม้เค้าจะมากับคนรักก็ตามที

“กูถามตรงๆ เลยนะว่าที่มึงถอนหมั้นกับน้องปลาเนี่ย”ความทรงจำเมื่อวันที่ผมไปกล่าวลาไอ้เหมา ก่อนกลับไปอยู่ภูเก็ต ค่อยๆ แทรกเข้ามาในความคิดของผม หลังจากตัดสินใจลาออกจากงานอย่างกะทันหัน และตั้งใจทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ ผมเลือกจะไปบอกลาแค่ไอ้เหมากับแพท ส่วนอีกคนผมทำได้เพียงไปจอดรถบอกลากับหลังคาบ้านเค้า ผมไม่อยากให้เค้าลำบากใจกับผม หากผมไปพูดอะไรที่มันไม่ชัดเจนออกไป เพราะผมเองก็ยังไม่มีความชัดเจนให้กับตัวเองเลยในตอนนั้น

“เกี่ยวกับไอ้ตี้มันไหมวะ”คำถามของไอ้เหมาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจมากนัก เพราะขนาดน้องปลายังตั้งคำถามนี้กับผมได้ แล้วไอ้เหมาที่สนิทกับเราทั้งคู่ทำไมจะไม่สงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคน แถมไอ้เหมาก็เคยพยายามจับผิดทั้งผมและตี้อยู่แล้ว เพียงแต่ผมไม่คิดว่าไอ้เหมาจะถามออกมาตรงๆ และจริงจังขนาดนี้

“ทำไมมึงถามแบบนี้”ผมย้อนถามเพื่อหยั่งเชิงว่ามันมั่นใจในระดับไหน แม้ผมไม่คิดจะปิดบังมันแล้ว แต่อีกคนละเค้าพร้อมจะเปิดเผยเรื่องระหว่างผมกับเค้าให้คนอื่นรู้หรือเปล่า ยิ่งตอนนี้เค้าตกลงปลงใจคบคนอื่นเป็นแฟนแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าพร้อมให้แฟนเค้ารับรู้เรื่องนี้หรือเปล่า

“กูเป็นเพื่อนมึงทั้งสองคนนะ ทำไมกูจะไม่รู้สึกว่าระหว่างมึงสองคนมันแปลกไป ตอนแรกกูก็คิดว่า คงเพราะมึงโสด ไอ้ตี้มันก็โสด พวกมึงเลยสนิทกันมากขึ้นตามประสาคนโสด แม้จะรู้สึกตะหงิดๆ บ้าง แต่พอเห็นไอ้ตี้มันก็มีคุณอรรถเข้ามา จนมึงเองก็คบกับน้องปลา กูเลยว่ากูอาจจะคิดมากเกินไปเรื่องมึงสองคน”ผมไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงรอฟังว่าไอ้เหมามันจะวิเคราะห์เรื่องของผมไปถึงจุดไหน

“จนมาเรื่องพวกมึงไประยองกันสองคน”เรื่องนี้ก็พอรู้นะครับว่ายังไงแพทคงเล่าให้มันฟังอยู่แล้ว แต่พอไม่เห็นมันพูดถึง ทั้งผมและตี้เองก็เลยไม่ได้ พูดถึงอีกเช่นเดียวกัน

“และที่กูไม่เข้าใจที่สุด คือวันที่พวกมึงอยู่เป็นเพื่อนกูบ้านไอ้ตี้ วันที่กูรู้เรื่องแพทมีลูก สิ่งที่กูเห็นในวันนั้น ใจนึงกูก็อยากถามว่ามึงสองคนทำอะไรกันอยู่ แต่อีกใจก็ไม่อยากไปยุ่งเรื่องของพวกมึง เพราะเห็นว่าต่างคนก็ต่างมีคนของตัวเองแล้ว ต้องให้กูพูดไหมว่าคืนนั้นกูเห็นอะไร”ผมค่อยๆ คิดถึงเรื่องวันนั้น ถ้าจะมีอะไรที่ไอ้เหมาเห็นและรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ไม่ปกติ ก็คงจะเป็น...

หลังจากที่ผมจัดเก็บเศษซากจากการดื่มของเราทั้งสามคนจนเสร็จเรียบร้อย และทั้งไอ้เหมากับตี้ หลับกันไปแล้วทั้งคู่ บนโซฟา ผมรู้สึกว่าไม่อยากให้เค้านอนลำบากเลยปูที่นอนปิคนิคให้กับเค้า เพราะรู้ว่าเค้าไม่ยอมไปนอนที่ห้องแน่ๆ เนื่องจากคงกลัวการเกินเลยจากผมและเค้านั่นแหละ แล้วในตอนที่จะปลุกเค้าจากโซฟาลงมานอนที่เตียง พอมองหน้าเค้าใกล้ๆ ผมก็เผลอจรดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากของเค้า

“มึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเค้าใช่ไหม”ผมเลือกที่จะตั้งคำถามกับไอ้เหมาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าควรเล่าเรื่องนี้ให้มันฟังหรือเปล่า ไอ้เหมาส่ายหน้าแทนคำตอบให้กับผม

“งั้นกูขออะไรมึงอย่าง ถ้าจะให้กูเล่าให้มึงฟัง มึงอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดหรือถามกับตี้เค้าอีกเด็ดขาด ให้เรื่องที่กูจะเล่าให้มึงฟังมันจบแค่ตรงนี้”ผมกำชับอย่างจริงจัง เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ไปรบกวนความสัมพันธ์ของตี้กับแฟนของเค้าอีก

แล้วผมก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ไอ้เหมาฟัง ว่าข้อตกลงระหว่างผมกับตี้คืออะไร ไอ้เหมารับฟังอย่างเงียบๆ จนจบ มันไม่ได้แสดงท่าทีตกใจออกมาให้เห็น มันถามเพียงว่าความสัมพันธ์ ของเราทั้งคู่จบลงตอนไหน ก่อนหรือหลังที่ต่างคนต่างจะตัดสินใจคบคนอื่น

“พวกมึงก็ขี้โกงกันทั้งคู่”มันพูดเชิงต่อว่าผม เมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งตี้กับคุณอรรถ และผมกับน้องปลา มันเริ่มก่อนที่ผมจะหยุดความสัมพันธ์กับตี้ ผมอาจจะเป็นคนที่ผิดมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่รู้ว่าตี้เริ่มคบกับคุณอรรถ และตี้พยายามที่จะหยุดความสัมพันธ์ แต่ผมกลับรู้สึกไม่อยากจะหยุด แถมผมยังพยายามปิดความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปลา ไม่ให้เค้ารู้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปเพราะอะไร

“แล้ว มึงรู้สึกยังไงกับมัน”เป็นคำถามที่ผมเองก็ยังตอบไม่ได้และในวันนี้ ผมก็ไม่มีคำตอบให้กับไอ้เหมา พอมาวันนี้ต่อให้ผมหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี

ผมพลิกตัวนอนตะแคงที่เตียง อย่างที่เคยทำเวลาที่อีกคนมาค้างที่บ้าน หากแต่ตอนนี้พื้นที่ตรงข้างๆ ที่ผมมองมันว่างเปล่า ผมอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงวันแรกที่เราทั้งสองมีอะไรกันครั้งแรก วันนั้นผมเสียใจเรื่องชะเอมและดื่มจนเมามาย แถมยังต้องให้เค้าขับรถพามาส่งถึงบ้าน ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันอาจจะไม่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่ชวนเค้าดื่มต่อที่บ้านหลังนี้ ในวันที่ผมกำลังรู้สึกเคว้งคว้าง ผมแค่ต้องการใครสักคนไว้ยึดเหนี่ยว ผมมีสติดีตอนที่ดึงเค้าเข้าสู่บทสนทนาที่หล่อแหลม ระหว่างผมกับเค้า และเหมือนเค้าจะตกหลุมพรางของผมอย่างง่ายดาย แต่หลังจากค่ำคืนนั้นผ่านไป แทนที่ผมจะรู้สึกเศร้ากับการเลิกลากะชะเอม ผมก็เสียใจนะครับ เพียงแต่มันกลายเป็นว่าภาพคืนอันเร่าร้อนระหว่างผมกับเค้ามันส่งผลกับผมมากกว่า

ทีแรกผมคิดว่าตี้เองอาจจะคิดเหมือนที่ผมคิดว่าคืนนั้นของเรามันดีจนลืมไม่ลง แต่เปล่าเลย เพราะเค้าบอกกับผมว่ามันเป็นแค่เรื่องบ้าๆ ที่อยากให้เราทั้งคู่ลืมๆ มันไปซะ แต่บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นผมยังต้องการสัมผัสร่างกายเค้าอีก สุดท้ายผมก็หาทางจนให้เค้ามาค้างที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองแล้วจากนั้นข้อตกลงของเราก็เกิดขึ้น ข้อตกลงที่ทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเองอยู่บ่อยครั้ง

เราใช้เวลาด้วยกันมากเสียจนบางครั้งผมก็เผลอคิดไปว่าจริงๆ ผมอยากดูแลเค้า อยากทำให้เค้าประทับใจในตัวผม เหมือนเรากำลังคบกันอยู่ แต่พอเริ่มที่จะรู้สึกมากไป ผมก็ต้องดึงความรู้สึกตัวเองออกมาว่าผมยังต้องการแต่งงานมีครอบครัว ความรู้สึกสองอย่างนี้มันตีกันอยู่นับครั้งไม่ถ้วน จนท้ายที่สุดเรื่องราวมันก็ดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด

“ตี้มันจะรู้สึกกับมึงมากกว่าเพื่อน หรือไม่ได้คิดอะไรเกินกว่านั้น แต่กูว่ามันก็คิดถูกแล้วที่เลือกคุณอรรถ เพราะถ้ามึงยังคิดจะอยากมีครอบครัว หรืออยากแต่งงาน กูว่ามึงไม่ควรไปทำแบบนี้กับไอ้ตี้หรือผู้ชายคนอื่นด้วยซ้ำ”คำพูดทิ้งท้ายของไอ้เหมายังคอยย้ำเตือนผมมาตลอด 

ผมตัดสินใจโทรหาไอ้เหมาเพื่อยกเลิกนัดที่ตกลงกันไว้ และขอนัดมันใหม่ในวันพรุ่งนี้ หลังจากมันเลิกงาน พร้อมทั้งขอให้มันช่วยบางอย่าง บางอย่างที่มันอาจจะผิด แต่ก็คงผิดไม่มาก

“แล้วทำไมกูต้องช่วยมึง”ไอ้เหมาย้อนถามผมอย่างไม่เต็มใจจะช่วยสักเท่าไหร่ ผมรู้ว่าการชวนตี้ตรงๆ ให้ออกมาเจอกันเค้าอาจจะปฏิเสธ แต่ผมมั่นใจว่าคนอย่างไอ้เหมาสามารถพาตี้มาเจอผมได้ ผมก็แค่อยากเจอเฉยๆ ไม่ได้คิดจะทำอะไรมากไปกว่านั้นอีกอย่างทั้งไอ้เหมากับแพทก็ไปด้วย

“เพราะกูเป็นเพื่อนมึง และกูก็แค่อยากเจอเค้าเฉยๆ ไม่ได้จะขอให้เค้าเลิกกะแฟนซะเมื่อไหร่”ใครได้ยินเค้าคงหาว่าผมบ้า ว่าผมจะทำแบบนี้ไปทำไม แต่บางทีคนเราก็ทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลเยอะแยะไปจริงไหมครับ ไอ้เหมาบอกว่าไม่รับปากว่าจะชวนตี้ไปด้วยได้ไหม แต่ก็จะลองดู

ท้ายที่สุด พอถึงเวลานัดผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าจะมาไหม วันนี้ตั้งแต่เช้า ผมก็ไปคุยงาน ซึ่งก็ราบรื่นดี ไม่มีปัญหา แถมผมยังบังเอิญได้เจอคุณอรรถแฟนตี้อีก ก็เลยได้ทักทายกันปกติ จากที่ได้คุยกับเค้าผมว่าความสัมพันธ์ของเค้าทั้งคู่ก็ดูราบรื่นดี ผมเอ่ยปากชวนเค้ามาในเย็นนี้ด้วย แต่เค้าก็ปฏิเสธไป นั่นทำให้ผมกังวลอยู่เหมือนกันว่าพอคุณอรรถไม่มาแล้วตี้จะมาหรือเปล่า ยอมรับนะครับว่าอยากให้ตี้มาคนเดียวมากกว่า แต่ในเมื่อเค้าเป็นแฟนกัน ถ้าจะมาด้วยกันผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเค้าอยู่แล้ว

“หวัดดีชาร์ป มานานยัง”แพทเป็นคนแรกที่มาสมทบกับผม เพราะที่ทำงานของแพทใกล้ร้านที่เรานัดกันที่สุดเลยนั่งแทกซี่มาก่อน ส่วนผมคุยงานเสร็จตั้งแต่เช้า แทบจะมารอตั้งแต่ร้านเปิดแล้วครับ ใจมันลุ้นอยากเจออีกคน แพทยืมมือถือผมโทรหาไอ้เหมาเพื่อบอกให้รู้ว่ามาถึงแล้ว เพราะมือถือของแพทแบตหมดไปแล้ว

รอไม่นานนักไอ้เหมาก็มา ผมยิ้มกว้างให้คนที่เดินมากับไอ้เหมา ไม่ว่าเค้าจะเต็มใจมาเองหรือไอ้เหมาบังคับมา ตอนนี้ผมก็ไม่สนแล้ว ยังไงตอนนี้เค้าก็มาแล้ว เค้ายังดูเหมือนเดิม แต่ออกจะมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิม อย่างว่าก็เค้าอยู่กับแฟนนี่เนอะ คงมีความสุขจนอิ่มเอิบ เป็นธรรมดา

“หวัดดีตี้”

“หวัดดีชาร์ป”

ทั้งผมและเค้าดูเก้ๆ กังๆ ที่ต้องนั่งข้างๆ กัน มันเหมือนต่างคนต่างเกร็งจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก โชคดีที่ไอ้เหมากับแพทช่วยแก้สถานการณ์ด้วยการชวนคุยให้ดูปกติ นี่ถ้าไอ้เหมาไม่ได้รับรู้เรื่องระหว่างผมกับตี้มาก่อน ผมว่าบรรยากาศมันอาจจะอึดอัดมากกว่านี้ก็เป็นได้ ผมรู้สึกว่าเค้าเองก็พยายามรักษาระยะห่างของเค้ากับผมไว้มากอยู่เช่นกัน

เราพูดคุยอัพเดทเรื่องราวชีวิต ของกันและกัน ทั้งผม ไอ้เหมา แพท และปาร์ตี้ เอาจริงๆ ก็เหมือนผมอัพเดทชีวิตให้ปาร์ตี้ฟังเสียมากกว่า เพราะกับไอ้เหมาผมก็ได้คุยกับมันบ่อยๆ อยู่แล้ว

“เออ เมื่อกลางวันเราเจอคุณอรรถด้วย เสียดายที่ไม่ว่างมาด้วยกันเนอะ”ผมเห็นเค้าชะงักไปเล็กน้อย ที่ได้ยินผมพูดถึงแฟนของเค้า หรือว่าเค้ายังไม่รู้ว่าวันนี้ผมบังเอิญเจอแฟนของเค้า

“ลืมเลยไอ้เหมา เห็นไหมเนี่ยกูบอกแล้วว่าขอโทรบอกอรรถก่อนค่อยมา แล้วนี่แบตกูก็หมด เอามือถือมึงมายืมดิ”เค้าหันไปคุยกับไอ้เหมาอย่างฉุนๆ แต่ไอ้เหมาดันไม่ได้เอามือถือลงมาจากรถ ส่วนแพทก็แบตหมดไปแล้ว

“ใช้ของเราก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเอามือถือไอ้เหมาที่รถ”ผมรีบบอกเค้าที่ทำท่าจะลุกไปเอามือถือที่รถของไอ้เหมา เค้าหยุดคิดแปปนึงก่อนจะรับมือถือของผมแล้วเดินออกไป

“น้อยๆ หน่อยมึง นี่มองมันตาละห้อยขนาดนี้คงไม่ใช่คิดจะไปแย่งไอ้ตี้มันจากคุณอรรถใช่ไหม”ทันทีที่ตี้ออกจากโต๊ะไป ไอ้เหมาก็เริ่มกัดผมทันที ผมยอมรับนะครับว่าวันนี้ผมเผลอมองเค้าบ่อยๆ จริงๆ อยากจะยื่นมือไปสัมผัสเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะรู้ว่ามันไม่ควร เลยทำให้ผมทำได้เพียงเก็บภาพเค้าในวันนี้ด้วยสายตาของผมให้มากที่สุด

ไม่นานนักตี้ก็เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ เค้าออกปากว่าไม่อยากกลับดึกมาก ซึ่งทั้งแพทและไอ้เหมาก็เห็นด้วย เพราะพรุ่งนี้ทุกคนต่างก็ต้องทำงาน ส่วนผมในช่วงบ่ายพรุ่งนี้ก็คง เดินทางกลับเช่นกัน

“กูไปส่งตี้ให้ก็ได้ พวกมึงจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา”เมื่อเห็นช่องทางที่จะสามารถให้ผมได้อยู่กับเค้ามากขึ้น ผมเลยเลือกที่จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ทั้งไอ้เหมาทั้งแพทต่างมองผมอย่างรู้ทัน แม้ตี้จะดูไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมรู้ครับว่าเค้ายังเข้าใจว่าทั้งไอ้เหมาและแพท ยังไม่รู้เรื่องระหว่างเราสองคน เค้าเลยเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลยเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

“แม่เราฝากบอกว่าคิดถึงตี้นะ แล้วก็ถ้าว่างๆ ไปเที่ยวบ้านเราได้ พร้อมต้อนรับเสมอ”ผมเริ่มบทสนทนาเมื่ออยู่กับเค้าบนรถเพียงลำพัง

“อื้ม”เค้าเพียงตอบผมสั้นๆ แล้วก็เงียบไปเหมือนเดิม พอไม่มีไอ้เหมากับแพท เค้าก็กลายเป็นคนไม่ค่อยพูดขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนคุยกันที่ร้านเค้ายังพูดคุยได้เป็นปกติ แม้จะเกร็งๆ บ้างในช่วงแรกก็เถอะ

“แล้ว...ตี้กับคุณอรรถ ไปกันได้ดีไหม”

“อื้ม”ผมว่าผมควรหยุดบทสนทนา เพราะดูท่าอีกคนไม่ค่อยอยากจะคุยกับผมสักเท่าไหร่ เราต่างปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถ จนกระทั่งถึงจุดหมาย

“ขอบใจที่มาส่งนะ”เค้าบอกพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัย เตรียมจะลงจากรถ แต่ผมคว้าข้อมือเค้าไว้ก่อน เค้าหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเค้า ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ

“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”ผมถามออกไปแผ่วเบา





TBC

 :z3:



หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-08-2016 09:35:19
สรุปแว่นคือพระเอก ม๊ายยยยย  :serius2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-08-2016 10:01:30
ไม่เอาแว่นได้มั้ย สงสารคุณอรรถจังถ้าต้องเลิกกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 24-08-2016 11:33:06
อ่านความในใจอิแว่นละยิ่งเซ็ง ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจากความโลเล และเห็นแก่ตัว. คบปลาแต่ไม่กล้าบอกตี้  รักตี้แต่ก็ไม่กล้าจิงจัง....เห้ออออ  ให้มันโสดเลย.  แต่ตอนนี้อรรถก็มีคนเข้ามาอีกเนี่ยยยย   :katai1: :katai1:
มาสักวันละตอนได้ม้ายยยยยย  555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 24-08-2016 12:53:20
เหมาพูดถูกนะที่ว่าถ้าชาร์ปยังคิดถึงการแต่งงานและมีครอบครัวก็ไม่ควรทำแบบนี้กับตี้
เราว่าชาร์ปเห็นแก่ตัวเกินไป เชียร์คุณอรรถมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 24-08-2016 16:40:27
สรุปแว่นคือพระเอกอ้อ ?  งั้นบายจ้า
จริงๆพระเอกไม่จำเป็นต้องเลวก็ได้นะ
เสียดายคนดีดีแฮะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-08-2016 21:42:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-08-2016 22:08:27
อืมมม.... สมชื่อเรื่องจริงๆ
มองฝั่ง ตี้ ชาร์ป ทำไม่ถูก ชาร์ปมีสัมพันธ์กับตี้  แต่ยังอยากมีครอบครัว
แน่นอน ตี้ชอบชาร์ปไปแล้ว เคมีก็ตรงกันอีก ตี้ เจ็บแน่ๆ
มองฝั่งชาร์ป ชาร์ปเป็นไบ ชาร์ปสับสน อยากมีครอบครัว  พอตี้บอกเลิก
ชาร์ป ใจจริงไม่อยากเลิก แต่ก็ยอมเลิก แล้วไปคบปลา
แถมชาร์ป ยังสารภาพกับปลา ว่าเคยมีอะไรกับผู้ชาย ปลากับชาร์ป ก็จบกัน
ตอนนี้ ชาร์ป หายสับสน คิดถึงตี้ อยากพบตี้ ขอแค่เป็นเพื่อน
แต่ตี้ ให้ได้หรอ เพราะชาร์ปเป็นเหมือนฝีที่ตี้มีอยู่
ยังไม่ถูกขุดเชื้อหนองออกไป ฝีหนองมันปะทุขึ้นมาได้
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: aukuzt ที่ 24-08-2016 22:19:29
ไม่จริงใช่ไหม แว่นเป็นพระเอกเหรอ?

ไม่เอาน่า ยังไงก็เชียร์อรรถจร้า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 24-08-2016 22:31:22
จริงๆ ไม่แปลกที่พี่แว่นจะคิดลังเล สับสนต่างๆนาๆก่อนหน้านั้น
ลืมคิดไปว่าพี่แว่นเป็นไบนี่หว่า
พูดถึงตอนนี้มันก็สายไปแล้วจริงๆ แหละ เพราะตี้เลือกจะคบกับอรรถแล้ว
ถ้าพี่แว่นแค่อยากเป็นเพื่อนตี้จริงๆ ก็คงไม่ผิดอะไร

ที่เหลือก็อยู่ที่ใจตี้  แอบเห็นใจตี้นะ ลึกๆคงยังรู้สึกอะไรแน่ๆ
เพราะถ้าปกติ คนไม่คิดอะไรก็น่าจะพูดได้คุยได้ทำตัวปกติ

คู่นี้ถึงแม้ยังไม่ได้เป็นแฟนกันแต่พอจบกันไป แล้วไม่คุยกัน
นี้สินะที่เขาว่ากันว่าถ้าคนที่เลิกกันไปแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้


ถ้าไม่เกลียดกัน..ก็ยังรักอยู่
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-08-2016 01:12:11
ไม่สายเกินไปหรอกชาร์ป คู่กันแล้วไม่แคล้วต้องได้กัน คนคิดมากขี้ระแวงแบบอรรถแถมแฟนเก่ากลับมาอีกมันก็ต้องมีเรื่องงอนๆกันบ้างล่ะ 
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 25-08-2016 02:18:05
ถ้ามันใช่มันก็ไม่ลังเลหรอกค่ะ
มาลังเลกับคนที่ไม่ใช่นี่ก็คือหาเรื่องเข้าตัวเอง

จนป่านนี้เราก็ยังไม่ชัวร์กับอิแว่นอยู่ดีค่ะ
ปัญหาก็คือทางอรรถก็มีแฟนเก่าเดินกลับเข้ามาด้วย
ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ปลื้มกับชาร์ปยังไง
อรรถก็ยังปล่อยให้แฟนเก่ารุกล้ำเข้ามาได้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-08-2016 00:37:37
อ่านทั้งหมดนั่น
ก็ยังเห็นว่าคุณแว่นเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ดี

เพ้อพร่ำเพรื่อ..ไม่เลิก
อยู่อย่างตัวคนเดียว
ไม่มีใครน่ะ..สมควรแล้ว
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 5 สายเกินไป 24-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-08-2016 17:33:08
PART II บทที่ 6
แฟนเก่า




Aut’s Part
“แฟนอรรถเหรอ”ทันทีที่หนุ่ยเห็นตี้เค้ามาในบ้านก็มีรอยยิ้มบางอย่างฉายขึ้นมาทันที ผมแทบจะรู้เลยว่าเค้าจะทำอะไรต่อ เพราะในเมื่อคงเห็นแล้วว่าผมจะไม่ยอมให้เค้าอยู่ที่นี่ ทีนี้คงจะหาคำพูดมาหว่านล้อมตี้แน่ๆ ผมต้องรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องราวมันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้

“ขอคุยกันส่วนตัวสักครู่นะ”ผมบอกกับหนุ่ย และรีบคว้าข้อมือของตี้ที่กำลังงง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผมไม่มีเวลาจะอธิบายอะไรมากนัก ต้องรีบบอกกับตี้ก่อนว่าให้ยืนยันปฏิเสธทุกอย่างถ้าหนุ่ยจะขออยู่ที่นี่

“เดี๋ยวสิ”แต่มีเหรอครับคนอย่างหนุ่ยจะยอมปล่อยโอกาสให้ผมได้เตี๊ยมกับตี้ เค้าวิ่งมาดักหน้าผมกับตี้ อย่างไม่ได้นึกเลยว่าที่ทำอยู่มันเสียมารยาทขนาดไหน ผมมองเค้าด้วยสายตาตำหนิ และแน่นอนว่าดูเค้าไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด

“ยังไม่แนะนำตัวกันเลย เราหนุ่ยนะ เป็น...อะไรดีน้า ตอนนี้ก็คงเป็นเพื่อนแหละ แต่เมื่อก่อนเป็น...แฟน”

“แฟนเก่า”ผมรีบสวน เพราะเริ่มจะไม่ไหวกับท่าทีของหนุ่ยแล้ว นี่ขนาดไม่ยอมให้เข้ามาอยู่ด้วย ยังขนาดนี้ถ้าผมยอมนี่ ชีวิตผมคงบรรลัยแน่ๆ ครับ ตี้หันมองหน้าผมสลับไปมากับหนุ่ย ผมไม่เคยเล่าเรื่องหนุ่ยให้เค้าฟังมาก่อน เพราะมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเล่า และไม่คิดด้วยว่าวันนึงหนุ่ยจะวนกลับเข้ามาในชีวิตผม

“แฟนเก่าก็แฟนเก่า...แล้วนี่”ด้วยกริยาอาการของหนุ่ยตอนนี้ผมรู้เลยว่า คงไม่ถูกชะตากับตี้สักเท่าไหร่ นิสัยเสียอย่างนึงของหนุ่ยคือตัดสินคนไปก่อนที่จะได้รู้จักตัวตนของเค้า ถ้าใครที่เค้าเห็นแล้วไม่ถูกชะตาการแสดงออกต่อคนคนนั้นก็จะเป็นอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ กลับกันถ้าคนไหนเค้าถูกชะตา คำพูดกับการปฏิบัติจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนที่เราคบกันผมก็ต้องคอยปรามอยู่บ่อยๆ ไม่งั้นหนุ่ยคงมีเรื่องกับเค้าไปทั่ว บางคนเค้าไม่ได้ทำอะไรให้ หนุ่ยก็พาลเกลียดเค้าแค่เพราะไม่ถูกชะตาก็มี

“ปาร์ตี้ครับ เรียกตี้เฉยๆ ก็ได้ครับ เป็นแฟนอรรถ”คำพูดของตี้ทำเอาผมแปลกใจ จนต้องหันมองเพราะเค้าเน้นคำที่บอกว่าเป็นแฟนกับผมอย่างจงใจ ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ไม่คิดว่าเค้าจะรับมือกับหนุ่ยได้ เพราะปกติผมไม่เคยเห็นตี้ในมุมแบบนี้เลย หนุ่ยเองก็ดูชะงักไปเหมือนกัน แต่ก็ยังปั้นหน้ายิ้มเหยียดกลับมา

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...แฟนเก่า”โอ้โห นี่แฟนผมมาแนวไหนครับเนี่ยเล่นเอาหนุ่ยอ้าปากค้างเลยทีเดียว แถมตี้เองยังเป็นคนลากผม เดินหลบหนุ่ย ตรงมายังห้องครัวนี่อีก ผมอดที่จะขำกับสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ นี่หึงผมรึเปล่าเนี่ย

“ขำไรละ ไหนว่ามีเรื่องจะคุย”เค้าบอกพร้อมทำหน้าไม่สบอารมณ์ เห็นแบบนี้ผมก็เริ่มคลายกังวลเรื่องหนุ่ยไปได้บ้างเพราะดูๆ แล้วตี้คงช่วยผมรับมือได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ครับ ยังไงซะก็คงต้องรีบให้หนุ่ยออกจากบ้านไปให้เร็วที่สุด

“คือหนุ่ยจะมาขออยู่ชั่วคราว แต่อรรถบอกไปแล้วแหละว่าไม่ให้อยู่ ตอนแรกกลัวตี้ใจอ่อนให้หนุ่ยอยู่ด้วย เลยกะจะมาย้ำว่าตี้ต้องยืนยันว่าไม่ยอม แต่ตอนนี้ดูท่ายังไง ตี้ก็ไม่ยอมอยู่ใช่ไหมล่ะ หึงอรรถออกจะชัดขนาดนี้”ผมฉีกยิ้มให้เค้า แต่เค้ากลับแยกเขี้ยวใส่ผม

“นี่มันบ้านอรรถ อรรถจะให้ใครอยู่ ไม่อยู่ก็เป็นสิทธิ์ของอรรถแหละ ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย”ดูพูดเข้า มันจะไม่เกี่ยวยังไงละแฟนจ๋า บ้านผมก็เหมือนบ้านเค้าแหละจริงไหมครับ ว่าแต่พอมาห้องครัวกลิ่นอาหารที่ผมทำไว้ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกเลยทีเดียวเชียวครับ สองเมนูที่ผมนึ่งไว้นั่นคงพร้อมทานแล้ว ส่วนหมูยอที่ผมทำค้างไว้อาจจะต้องพับเก็บเมนู นี่ถ้าไม่มีหนุ่ยมาวุ่นวาย ผมกับตี้คงได้ทานมื้อเย็นกันแล้ว

“งั้นเดี๋ยวเราไปเคลียร์กับหนุ่ยก่อนละกัน เราจะได้มาทานข้าวกัน ได้กลิ่นเปล่ากับข้าวฝีมือเราส่งกลิ่นหอมรอตี้แล้ว รอแปปนึงนะ”ผมชี้ให้เค้าดู กับข้าวที่ผมทำไว้ เค้าเลยอาสาจะจัดเตรียมใส่จาน แล้วบอกว่าให้ผมกลับไปพูดกับหนุ่ยให้เรียบร้อย

“ตกลงให้เราอยู่ด้วยแล้วใช่ไหม”ทันทีที่ผมโผล่หน้ามาให้เห็นหนุ่ยที่ยิ้มรออยู่แล้วก็ พูดขึ้นแทบจะทันที และแน่นอนว่าผมปฏิเสธเช่นเดิม พร้อมยืนยันหนักแน่นว่ายินดีช่วย หากเค้าจะไปพักโรงแรม

“ก็บอกแล้วไงว่าเราไม่มีอะไรติดตัวเลย จะให้เราเอาอะไรไปเช็คอินโรงแรม ถือเงินไปเปล่าๆ ไม่มีบัตรอะไรยืนยันตัวตน เค้าจะให้พักไหม”เค้าเริ่มหาเหตุผล ยกมาว่ายังไงก็จะอยู่ที่นี่ให้ได้ ผมละอยากจับเค้าลากไปส่งโรงแรมให้รู้แล้วรู้รอด

“งั้นหยิบกระเป๋าเลย เดี๋ยวเราไปจัดการให้ ทั้งเช็คอินโรงแรม จ่ายตังค์ให้ก่อนด้วย หรือหนุ่ยจะยืมตังค์ติดตัวไว้เท่าไหร่ ก็ว่ามาเราจะจัดการให้”นี่ผมว่าผมยื่นข้อเสนอดีมากๆ ให้แล้วนะครับเนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นนี่ผมไม่รู้ว่าจะมีใครยอมช่วยเค้าขนาดนี้ไหม

“กำลังจะทานข้าวกันเหรอ กำลังหิวพอดีเลย ไหนมีอะไรกินบ้าง”ผมจะบ้าตาย ตกลงที่ผมบอกเค้าเนี่ย เค้าสนใจคิดตามบ้างไหมเนี่ย แทนที่จะมาตกลงข้อเสนอจากผม พอเค้าเห็นตี้เดินถือกับข้าวออกมาจากห้องครัว เตรียมจัดโต๊ะอาหาร เค้าก็เดินตรงเข้าไปหาตี้ทันที โดยที่ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรต้องคุยกับผมแล้ว

“หนุ่ย”ผมเรียกเค้าเสียงแข็งแต่ดูเหมือนเค้าจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

“กินข้าวกันก่อนดีกว่า ค่อยคุยกันอีกทีเนอะ คุณตี้คงไม่รังเกียจนะครับ ถ้าผมจะขอทานข้าวด้วย”อย่าคิดว่าเค้าจะล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ นะครับ ตอนนี้เค้ากำลังใช้คำพูดกดดันกับตี้ เพราะคงโน้มน้าวผมไม่สำเร็จแล้ว แต่อย่าคิดว่าจะใช้ตี้มากดดันผมเสียให้ยาก ยังไงซะผมก็จะยังยืนกรานตามความตั้งใจของผมแน่นอน

“งั้นอรรถเข้าไปทำหมูยอเพิ่มให้เสร็จ แล้วก็เจียวไข่เพิ่มอีกอย่างละกัน”กะไว้อยู่เหมือนกันแหละครับว่าตี้อาจจะใจอ่อนมาแนวนี้

“อรรถไม่ทำอะไรเพิ่มทั้งนั้นแหละ”ผมบอกเสียงเรียบ พร้อมเดินตรงเข้าไปหาทั้งคู่ และหยุดมองหน้าหนุ่ย

“พอเถอะหนุ่ย อย่าให้เราต้องเสียมารยาทไปมากกว่านี้เลย”ผมยังคงพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งเช่นเคย หนุ่ยเองก็หน้าเสียไปเหมือนกันแววตาของเค้าจากที่แข็งกร้าว เริ่มอ่อนลง จนผมเริ่มรู้สึกว่าหรือผมจะใจร้ายกับเค้ามากเกินไป

“เอาน่าอรรถ เข้าครัวไปเถอะ เดี๋ยวเราคุยกับคุณหนุ่ยเอง”ผมพยายามจะค้านอีก แต่ตี้ดันไม่ยอมให้ผมได้ออกความเห็นอีก ผมโดนผลักเข้าครัวอย่างไม่เต็มใจนัก ในเมื่อโดนผลักเข้าครัวมาแล้วผมก็ต้องรีบทำเวลาให้รวดเร็วที่สุด เพราะไม่อยากปล่อยตี้ไว้กับหนุ่ยนานๆ ถึงโดยพื้นฐานหนุ่ยจะเป็นคนดี ไม่ผิดหรอกครับจริงๆ หนุ่ยไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่มีข้อเสียอยู่บ้าง แน่นอนสายตาหม่นๆ ของเค้าที่ผมเห็นก่อนจะถูกผลักไสให้เข้ามาอยู่ในครัวเนี่ย มันเป็นไปได้ทั้งเค้ารู้สึกผิดจริงๆ ที่เหมือนจะมาวุ่นวายที่บ้านผม หรืออีกอย่างก็คือเค้าแกล้งทำ

ตอนที่เค้าคบกับผม ผมเคยตกลงกับเค้าไว้แล้วว่าให้แสดงความจริงใจต่อกัน เพราะงั้นส่วนใหญ่ตอนที่เราสองคนคบกันอยู่ทุกอย่างที่เค้าแสดงออกมามันคือความรู้สึกจริงๆ ของเค้า แต่ก็นั่นแหละครับ มันคือส่วนใหญ่ ก็เลยยังมีส่วนน้อย ที่บางครั้งเวลาเค้าไม่พอใจผมมากๆ หรือมีความเห็นอะไรที่ไม่ตรงกัน และเค้ามั่นใจว่าความคิดเค้าถูก ผมก็เคยโดนเค้าตีหน้าเศร้าเพื่อเอาชนะ มาบ้างเช่นกัน

ผมเดินถือจานไข่เจียวกับยำหมูยอ ออกมาที่โต๊ะอาหาร แต่ไม่ทันได้ยินว่าทั้งสองคุยกันว่ายังไง ข้าวสวยถูกตักใส่จานวางไว้ 3 จานเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับข้าวอีก 2 อย่างที่ออกมาก่อนแล้ว ผมเลือกนั่งลงที่ข้างตี้ ส่วนหนุ่ยก็นั่งอยู่ตรงข้ามกับตี้ บรรยากาศตอนนี้ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จริงๆ การกลับมาเจอกันระหว่างผมกับหนุ่ยเนี่ยมันไม่ควรจะจบลงด้วยการเสียมารยาทใส่กันแบบนี้ เพราะเราทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรบาดหมางกัน

“งั้นเราก็ทานข้าวกันก่อนแล้วกันเนอะ เดี๋ยวจะเย็นชืดซะก่อน”ตี้เป็นคนพูดขึ้น เพื่อทำลายบรรยากาศ น่าอึดอัดนี่ ส่วนหนุ่ยดูเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้ว่านี่ทั้งหนุ่ยและตี้คุยอะไรกันระหว่างที่ผมเข้าครัวไป แล้วท่าทีของหนุ่ยตอนนี้ผมก็ฟันธงไม่ได้ว่าคือความจริงหรือแกล้งทำ แน่นอนว่าการที่คบเค้ามานาน ผมก็พอดูออก และสิ่งที่เห็นตอนนี้ถ้าให้ตัดสินจากคนที่เคยคบกันมาก่อน ผมคงต้องบอกว่ามันคือความรู้สึกจริงๆ ของเค้า แต่ผมก็ยังมี 0.01% ที่เหลือไว้ เพราะบางครั้งหนุ่ยก็แสดงได้แนบเนียนจนแทบจะไม่ต่างจากของจริง

“ดีใจนะ ที่ได้มากินกับข้าวฝีมืออรรถอีกครั้ง ยังอร่อยไม่เปลี่ยนไปเลย”หนุ่ยบอกพร้อมกับหันมายิ้มให้ผม แต่ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอื้อมมือไปวางที่ต้นขาของตี้ เพราะกังวลว่าเค้าจะคิดอะไรหรือเปล่าที่แฟนเก่าผมมานั่งทานข้าวด้วย แถมพูดออกมาแนวนี้อีก ตี้วางมือข้างนึงของเข้ามาบีบเบาๆ ที่มือผมก่อนจะยิ้มออกมาเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่า เค้าโอเคกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าผมก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เพราะทีแรกที่เจอทั้งคู่ก็เหมือนพูดจาโต้ตอบกันอยู่นิดหน่อยด้วยนี่สิ

“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะครับ”ตี้หันไปบอกกับหนุ่ยพร้อมยิ้มอย่างจริงใจให้ไปด้วย ส่วนหนุ่ยก็ยิ้มกลับมาอย่างจริงใจเช่นกัน ตกลงนี่ทั้งคู่ญาติดีกันแล้วรึไงเนี่ย ผมชักจะงงๆ แต่ก็ไม่อยากขัดขึ้นตอนนี้ เพราะถึงขัดตอนนี้ผมอาจจะได้นอนนอกห้องโทษฐานที่พูดไม่เข้าหูแฟน เลยตัดสินใจที่จะนั่งทานไปเงียบๆ โดยมีเสียงพูดคุยระหว่างหนุ่ยกับตี้บ้างประปรายเป็นระยะ

“งั้นยังไง เราคงต้องขอตัวก่อนแล้วกันเนอะ จะได้ไม่รบกวนมาก แต่ก็คงต้องรบกวนอรรถไปเช็คอินโรงแรมให้ กับขอยืมตังค์ติดตัวไว้ด้วยนะ ขอโทษจริงๆ ที่ต้องรบกวน”หนุ่ยพูดขึ้นหลังจากทานข้าวเสร็จ แต่เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง แต่ผมก็ไม่สนใจแล้วว่าอันไหนหนุ่ยแสดงออกมาจริงๆ หรืออะไรที่หนุ่ยแกล้งทำ เพราะตอนนี้ผลลัพธ์สุดท้ายก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับผม แค่หนุ่ยยอมที่จะไม่ค้างที่นี่จะให้ผมพาไปส่งที่ไหนยังไงผมยอมหมดแหละครับ

“อ้าว บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไหร หนุ่ยก็ค้างที่นี่แหละ จะได้ไม่ลำบากออกไปหาโรงแรมอีก นี่ก็ค่ำแล้ว พักผ่อนดีกว่าจะได้ใช้เวลาทบทวนว่าจะเอายังไงต่อ”ผมหันมองตี้แทบจะทันที ในเมื่อเจ้าตัวเค้ายินดีจะไปอยู่แล้ว ยังจะเหนี่ยวรั้งทำไมอีก แถมนี่คำพูดที่ตี้คุยกับหนุ่ยผมก็สังเกตตั้งแต่ระหว่างกินข้าวแล้วว่า มันดูเพิ่มความสนิทสนมมากกว่าเดิม นี่แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ผมเข้าครัวไป หนุ่ยพูดหว่านล้อมอะไรตี้เนี่ย

“แต่เราเกรงใจ แค่นี้ก็รู้สึกรบกวนมากแล้ว”

“งั้นก็ป่ะ รีบไปเดี๋ยวอรรถไปส่งจะได้ไม่เสียเวลา”ผมชิงรวบรัดตัดตอน ไม่อยากให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ตอนนี้ความคิดที่ผมว่าหนุ่ยแกล้งตีหน้าเศร้า สัดส่วนมันเริ่มเปลี่ยนแล้วครับ จาก 0.01% ตอนนี้ผมว่ามันชักจะ 50:50 เสียแล้ว

“หยุดเลยอรรถ อย่าให้มันต้องยุ่งยากสิ บ้านเราก็มีตั้งหลายห้อง เพื่อนลำบากมาอะไรพอช่วยได้ เราก็ควรช่วยจริงไหม”ลำบากอะไรละ ทางเลือกอื่นก็มี กลับบ้านตัวเองก็ได้ ทำไมไม่ไป แล้วตอนคุยกันในห้องครัว ตี้ก็บอกเองนิว่านี่บ้านผม แล้วแต่ผมจะตัดสินใจไม่ใช่เหรอ งั้นผมก็คงต้องขอใช้สิทธิ์เจ้าของบ้านเป็นการจบเรื่องนี้เสียแล้ว

“แต่ในเมื่อนี่คือบ้านอรรถ อรรถขอตัดสินใจที่จะไม่ให้หนุ่ยค้างที่นี่ แต่อรรถยินดีช่วยเหลือเรื่องที่พักข้างนอกให้”ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนจะมองไปที่หนุ่ย ซึ่งหนุ่ยก็ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจอะไร แต่พอหันมองกลับมาที่ตี้ กลับกลายเป็นว่าสีหน้าเค้าดูไม่พอใจผมอย่างชัดเจน

“ได้ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ได้”น้ำเสียงของตี้เริ่มฟังดูแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่เรากำลังจะมีปัญหากันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง แถมเป็นเรื่องของคนอื่นอีกหรือเปล่าเนี่ย

“ในเมื่อบ้านนี้ เป็นบ้านอรรถ สิทธิ์การตัดสินใจ มันก็เป็นของอรรถอยู่แล้วนิ งั้นเดี๋ยวเราพาหนุ่ยไปค้างบ้านเราก็ได้”นี่มันชักจะไปกันใหญ่เสียแล้ว นี่ทำไมเค้าต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนกับคนที่เพิ่งเจอกันขนาดนี้ ผมเสียอีกที่เป็นแฟนเก่ายังไม่อะไรมาก ไม่ใช่ว่าผมใจดำไม่ยอมช่วย แต่ผมก็บอกไปแล้วว่ายินดีที่จะช่วยตามที่ผมเสนอ

“มีเหตุผลหน่อยสิตี้ อย่ามางี่เง่าแบบนี้”ด้วยความรู้สึกไม่พอใจทำให้ผมหลุดปากว่าเค้าออกไปด้วยน้ำเสียงที่ก็คงฟังดูไม่น่าจะรื่นหูสักเท่าไหร่ แต่ผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“ใครกันแน่ที่งี่เง่า”เค้าเองก็สวนกลับผมมาอย่างไม่ยอมแพ้ ผมว่าตอนนี้เราทั้งคู่คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องเสียแล้วไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่กลับกลายเป็นว่า ส่งผลให้เราสองคนเหมือนจะทะเลาะกันเสียแล้ว




TBC

หายไปหลายวันเลยโทษทีคร๊าบ
วันนี้มาต่อเรื่องระหว่าง ตี้อรรถหนุ่ย ที่ก็ยังเป็นปัญหา
มาเอาใจช่วยให้ตี้กะอรรถกันด้วยนะคร๊าบบ


หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 29-08-2016 18:39:04
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2016 18:40:03
โอย......จะจบปัญหาได้แล้ว
ตี้ ก็ทำให้เป็นปัญหาขึ้นมาซะอีก
งงๆ กับตี้  ตั้งแตชวนทานข้าว เรื่องให้พักด้วย
ทั้งที่บอกว่าเป็นบ้านอรรถ แล้วแต่อรรถ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 29-08-2016 20:51:42
ตี้ก็ชักจะเยอะไปล่ะ แบบ...เริ่มน่ารำคาญตี้ละ เอาจริงๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 29-08-2016 20:57:45
งี่เง่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-08-2016 21:06:35
ถ้าคิดแบบไม่ดีก็จะเดาว่า ตี้หาเรื่องทะเลาะกับแฟนเพื่อจะหาข้ออ้างไปเจอกิ๊กเก่า 55
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 29-08-2016 21:38:18
 o22 ตี้เป็นบ้าอะไร ????
งงไปหมด  ชวนทะเลาะทำไม   ทำไมต้องหงุดหงิด  ???
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-08-2016 22:16:02
งี่เง่าจริงๆนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-08-2016 22:17:47
ถ้าคนนี้เปลี่ยนเป็นชาร์ป
แล้วปลาหรือชะเอม
..มาขอค้างคืนด้วยซักคืนสองคืน..

ตี้จะกล้างี่เง่า
แบบนี้หรือเปล่า

อยากรู้ง่ะ
หุหุ
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-08-2016 22:19:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-08-2016 22:25:09
เรามีความงงในตัวละคร หมายถึงแบบ ไม่เข้าใจใครซักคน 55555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 29-08-2016 22:39:45
ต้องมีอะไรแน่ๆ อยากรู้ตี้คุยไรกับแฟนเก่าอรรถตอนที่อรรถไปทำอาหารเพิ่ม
อยู่ๆ พออรรถมา ก็ทำใจดีเฉย 555+




หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-08-2016 23:18:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-08-2016 23:28:48
ต่างคนก็ต่างเจตนาล่ะ อรรถไม่อยากให้แฟนเก่ามาทำลายความรักของแฟนใหม่ แต่ปาร์ตี้อยากแสดงน้ำใจต่อแฟนเก่า เรื่องสนุกล่ะสิ จะทะเลาะกันหนักมั้ย รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Wanatsuda ที่ 29-08-2016 23:41:44
 :mew2: :mew2: :mew2: ทีมชาร์ป ค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-09-2016 11:02:42
เรามีความงงในตัวละคร หมายถึงแบบ ไม่เข้าใจใครซักคน 55555


ชอบตรง ไม่เข้าใจใครสักคน 555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 6 แฟนเก่า 29-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-09-2016 11:06:10
PART II บทที่ 7
เหนื่อย


Aut’s Part


“อ้าว ไหนว่าจะไปค้างบ้านตี้กันไม่ใช่เหรอ”เสียงทักทายจากแฟนเก่า ที่ทำเอาผมกับตี้เกือบจะทะเลาะกันเข้าให้แล้ว แถมตอนนี้ก็ยึดบ้านผมยังกะบ้านตัวเองไปแล้ว ตั้งโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ต่อปริ้นเตอร์เสร็จสรรพ นั่งทำงานสบายใจเชียวครับ ผมละอยากจะยกข้าวของเขวี้ยงออกนอกบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด ผมกะไว้แล้วเชียวว่าสิ่งที่หนุ่ยแสดงออกมามันต้องมีการเสแสร้งแกล้งเศร้าผมสมเข้าไป ทำไมนะเหรอครับ ก็ไอ้เหตุการณ์เมื่อวันก่อนนั่นนะสิครับ

“เดี๋ยวๆ หยุดก่อนเลยทั้งสองคน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน แค่เรามารบกวนก็เกรงใจจะแย่แล้ว อย่าให้เราต้องรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยการเป็นต้นเหตุให้คนรักกันต้องมาทะเลาะกันเลยนะ”หนุ่ยเข้ามาห้ามทัพระหว่างผมกับตี้ที่ตอนนี้ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามนับ 1 ถึง 10 ในใจหวังให้อารมณ์ตัวเองเย็นลง ผมจะไม่ปล่อยให้เราต้องมาทะเลาะกัน แต่อารมณ์ผมตอนนี้มันก็ยังครุกรุ่นอยู่ จะทำยังไงดีละเนี่ย ตี้เองก็ยังมองมาที่ผมอย่างไม่ยอมแพ้

“โอเค ห้องนอนแขกที่ชั้น 2 ไปถูกใช่ไหม”ผมบอกอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็น่าจะพอช่วยคลี่คลายสถานการณ์ไปได้บ้าง พูดจบผมก็เดินขึ้นบันไดตรงเข้าห้องนอนเลย ยอมรับครับว่ายังหงุดหงิดอยู่ แต่ไม่อยากจะเถียงกับตี้ต่อ เพราะตอนนี้ความคิดและเหตุผลของผมกับเค้ามันคงสวนทางกันอยู่ ผมเลือกที่จะยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลาย แต่ผมจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนี้นานแน่ๆ

ผมหยิบผ้าเช็ดตัว เข้าห้องน้ำเพื่อหวังใช้การอาบน้ำช่วยผ่อนคลายให้ผมอารมณ์เย็นลงบ้าง ผมพยายามคิดว่าทำไมตี้ถึงคล้อยตามหนุ่ย หรือเห็นใจหนุ่ยได้ขนาดนี้ โอเคตี้อาจจะเป็นคนจิตใจดี อยากช่วยเหลือคนอื่น แต่นี่ผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่ยอมช่วยเหลือเลย แสดงว่าหนุ่ยต้องพูดโน้มน้าวตี้ด้วยอะไรสักอย่างซึ่ง คงมีน้ำหนักมากพอให้ตี้ออกปากชวนหนุ่ยค้างที่นี่

สายน้ำจากฝักบัว ช่วยบรรเทาความร้อนในอารมณ์ของผม ลงไปได้พอสมควร ทำให้มีสติพอจะคิดทบทวน และรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมไม่ควรจะเอาไม้แข็งไปสู้กับตี้ ดูภายนอกเค้าอาจจะไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่จากที่คบกันมา ผมว่าเค้าเป็นคนที่ดื้อเงียบ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมคงต้องเป็นฝ่ายที่เย็นลงและคุยกับเค้าด้วยเหตุผล

ผมปิดน้ำจากฝักบัว เช็ดตัวหมาดๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง อย่างหลวมๆ ออกจากห้องน้ำ พอเปิดประตูออกจากห้องน้ำ ผมก็พบว่าอีกคนเข้าห้องมาแล้ว เค้านั่งหย่อนขาอยู่ที่ปลายเตียง เค้าหันมามองผม ด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าตอนอยู่ด้านล่าง แสดงว่าเค้าเองก็คงอารมณ์เย็นลงแล้ว เช่นเดียวกัน ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ เค้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“ขอโทษ”เป็นเค้าที่เอ่ยขึ้นก่อน

“อรรถโกรธเรารึเปล่า”ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเค้าไว้ ไอ้โกรธ ทีแรกมันก็โกรธอยู่แหละครับ แต่พอเค้ามาพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ แบบนี้ผมจะไปใจแข็งกับเค้าได้ยังไงละครับ อีกอย่างผมเองก็มีส่วนที่แสดงอาการไม่พอใจกับเค้าเหมือนกัน

“ไม่โกรธแล้ว แต่ขอฟังเหตุผลหน่อย ว่าทำไมตี้ถึงอยากให้หนุ่ยค้างที่นี่”

“ก็เห็นหนุ่ยบอกว่ากำลังเสียใจที่เลิกกับแฟน ถ้าไปอยู่โรงแรมคนเดียวในเวลาที่อ่อนแอแบบนี้อาจจะเผลอทำอะไรบ้าๆ”ชัดเลยครับ หนุ่ยแผลงฤทธิ์อีกแล้ว คนอย่างหนุ่ยไม่มีทางทำร้ายตัวเองเด็ดขาด คือถ้าบอกว่าหนุ่ยเสียใจที่ต้องเลิกรากับแฟนอันนี้พอเป็นไปได้ แต่หนุ่ยเป็นคนที่รักตัวเองมากๆ คนนึงเช่นกัน การที่หนุ่ยจะคิดทำอะไรบ้าๆ นั่นมันแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยสักนิด

“แล้วเค้าก็บอกว่าอรรถคงกังวล ว่าเค้าจะมาทำให้ความรักของเรามีปัญหา”แล้วที่เห็นอยู่ตอนนี้เรียกว่ามีปัญหาได้หรือยังละครับ ผมจะไม่โทษตี้หรอกนะครับว่าเชื่อคนง่าย เพียงเพราะแค่คำพูดไม่กี่นาทีของหนุ่ย เพราะผมทราบดีว่าหนุ่ยมีทักษะในการพูดให้คนคล้อยตามเป็นเลิศมากทีเดียว

“หนุ่ยพูดใช่ไหมว่าถ้าเราสองคนเชื่อใจกันและกัน ก็ไม่เห็นต้องกังวลว่าเค้าจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคนได้”พอผมพูดจบตี้ก็พยักหน้า ตอบรับ ชัดเลยครับ ผมว่าไอ้เรื่องกลัวหนุ่ยคิดทำอะไรบ้าๆ นั่นตี้เองก็คงไม่ได้ปักใจเท่าไหร่ แต่ไอ้การท้าทายของหนุ่ยมากกว่า ที่มันทำให้ตี้รู้สึกอยากเอาชนะ ผมเชื่อได้เลยว่าหนุ่ยคงไม่ได้พูดท้าทายออกมาตรงๆ แต่คงพูดอ้อมไปเรื่อยๆ ให้คนฟังคิดตามได้เอง และแน่นอนว่าตี้คงติดกับและเดินตามเกมของหนุ่ยเสียด้วย และผมเองก็พลาดที่มองเกมหนุ่ยไม่ออกตั้งแต่แรก ถ้าพูดไปตอนนี้ก็ไม่รู้ตี้จะยอมฟังผมหรือเปล่า เพราะหนุ่ยคงกะไว้อยู่แล้วว่าผมต้องยืนยันไม่ให้เค้าค้าง มันเลยยิ่งเหมาะจะใส่ไฟเข้าไปอีกว่าผมเองไม่มีความมั่นใจในความสัมพันธ์ นี่คือสิ่งที่ผมคาดเดา แต่ผมคงไม่จำเป็นจะต้องถามรายละเอียดอะไรจากตี้อีกแล้ว

ยังไงตอนนี้ผมคงต้องดึงตี้ให้ออกห่างจากหนุ่ยให้ได้มากที่สุดเสียแล้วครับ เพราะดูท่าแล้ว หนุ่ยคงมีจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ คนเลิกกันไปตั้งนานอย่างผม ถ้าไม่มีจุดประสงค์อะไร เค้าคงไม่ลงทุนมาหาผมถึงบ้านแบบนี้หรอกครับ

“โอเค งั้นก็ปล่อยให้หนุ่ยอยู่นี่ไป ในระหว่างที่ เค้าเคลียร์ตัวเอง อรรถว่าเราไปอยู่บ้านตี้กันชั่วคราวไหมอ่ะ”ผมว่านี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถ้าผมกับตี้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หนุ่ยก็จะมาวุ่นวายอะไรกับเราไม่ได้อีก อยากรู้เหมือนกันว่าหนุ่ยจะทำอะไรต่อ

“อรรถก็แค่ต้องการความเป็นส่วนตัว ระหว่างเราแค่นั้นเอง อีกอย่างเราก็ไม่ได้ไปค้างบ้านตี้นานแล้ว จะได้ถือโอกาสไปดูแลบ้านด้วยไง”ไม่ว่าเค้าจะคิดยังไงผมไม่สนแล้วครับ ยังไงขอพาตัวเค้าออกห่างจากหนุ่ยก่อนแล้วกัน ป้องกันไม่ให้หนุ่ยมาปั่นหัวเค้าอีก

“ถ้ามันจะทำให้อรรถสบายใจขึ้น ก็ตามนั้น พรุ่งนี้ไปค้างบ้านโน้นกัน”นั่นแหละครับ อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจได้บ้างที่ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับหนุ่ยให้เป็นกังวล ยังไงหนุ่ยก็คงไม่ปักหลักอยู่บ้านผมนานหรอกน่า นั่นคือความคิดของผมเมื่อคืน แต่ตอนนี้

“ไปหาเอกสารยืนยันตัวตนที่บ้านมาหรือยัง”ผมย้อนถามคนที่นั่งวุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเค้า วันนี้ผมกับตี้ตกลงกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าวันนี้จะไปค้างบ้านตี้ชั่วคราว ซึ่งข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้าอะไร เราก็ไกต้องเตรียมอะไรมาก เพราะปกติก็ไปค้าง อย่างน้อย เดือนละครั้งอยู่แล้ว ซึ่งตี้เลิกงานก็คงเข้าไปเลย ส่วนผม จริงๆ ก็ตั้งใจจะไปเลยเหมือนกันแหละครับ แต่ดันลืมงานลูกค้าไว้ที่บ้านนี่สิ

“นี่ไง เพิ่งปริ้นตะกี้”เค้าชี้ให้ผมดูสำเนาบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านของเค้าที่วางอยู่ข้างๆ เครื่องปริ้นท์

“ใครส่งมาให้ละ”ผมตั้งคำถามด้วยการคาดเดาว่านี่เค้าคงให้ที่บ้านหรือใครสักคนสแกนแล้วส่งมาให้ทางอีเมล ผมกำลังนึกขอบคุณคนที่ส่งมา เพราะหนุ่ยจะได้ไปติดต่อทำเอกสารของตัวเองให้เสร็จๆ และย้ายออกจากบ้านผมไปสักที

“เปล่า มีในแลปทอปอยู่แล้ว”เจ้าของคำพูดตอบออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วนี่ในเมื่อเค้าก็มีเอกสารสำรองของตัวเองอยู่แล้วแบบนี้ ถึงมันจะไม่ใช่ของจริงก็เถอะ ยังจะมาทำเหมือนไม่มีที่พึ่งที่บ้านผมแบบนี้ทำไมอีกเนี่ย

“ต้องการอะไร”ทั้งที่รู้สึกหงุดหงิดกับคนตรงหน้านี่แล้ว แต่ผมก็ยังพยายามที่จะข่มอารมณ์เอาไว้ คนอย่างหนุ่ยถ้าเราตั้งสติไม่ดี ก็จะหลุดไปตามเกมของเค้าได้ เค้าไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจตอบคำถามของผม จนผมต้องถามย้ำอีกรอบ เค้าเงยหน้าจากจอคอม มองผมด้วยหางตา เหมือนผมผิดที่รบกวนเค้า ทั้งๆ ที่นี่มันบ้านผม แล้วเค้าต่างหากที่เป็นคนมารบกวนผม

“อย่าเพิ่งยุ่งได้ไหมอรรถ ลูกค้าตามงานเนี่ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ส่งงานเสร็จ จะไปแจ้งความบัตรหาย ทำบัตรประชาชน บัตรเครดิต โอเคไหม”พูดจบเค้าก็ก้มลงทำงานของเค้าต่อ ตกลงนี่เห็นผมเป็นอากาศ ธาตุ หรือไงเนี่ย ผมตัดสินใจไม่คุยอะไรกับเค้าต่อ เพราะอย่างน้อย เค้าก็ออกตัวมาแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปดำเนินการเรื่องเอกสาร และถ้าเอกสาร ของเค้าเสร็จเรียบร้อยก็คงไม่มีข้ออ้างอะไรอีก ที่จะเอามาใช้ในการอยู่บ้านผม

ผมเดินไปหยิบเอกสารที่ลืมไว้ ก่อนจะมาหยุดมองเค้าอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจเบาเบา เอาน่าคงอีกแค่ไม่กี่วันผมก็คงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วหนุ่ยอาจจะแค่ต้องการที่พักชั่วคราวเฉยๆ ก็เป็นได้ หรืออาจะบอกเรื่องอยากเอาชนะผมที่ไม่ยอมให้เค้าอยู่ในทีแรก

“ไปนะ ฝากบ้านด้วย ไม่ใช่เรียกพรรคพวกที่ไหนมายกเค้าบ้านอรรถล่ะ”พูดจบผมก็เดินออกจากบ้าน พร้อมๆ กับหยิบโทรศัพท์เพื่อกดหาแฟนสุดที่รักของผม

“อรรถออกมายังอ่ะ เราคงถึงช้าหน่อย พอดีแวะซื้อพวกขอสด ไปใส่ตู้เย็นไว้หน่อย เผื่อเราอยู่กันหลายวัน”แค่ได้ยินเสียงเค้าก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้วครับ แค่คิดว่าเดี๋ยวก็ได้เห็นรอยยิ้มของเค้าแล้ว แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับหวังว่าพ้นจากเรื่องของหนุ่ยไปแล้วเนี่ย จะไม่มีอะไรมาบั่นทอนความสัมพันธ์ของเราอีก นี่ตั้งแต่คุณแว่นกลับเข้ามาสะกิดนี่ ทำเอาผม ระแวงโน่นนี่นั่นไปหมด

“น่าจะถึงพอๆ กันแหละ อรรถก็เพิ่งจะออกจากบ้านเหมือนกัน”ผมวางสาย ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน วันนี้รถก็ยังหนาแน่นเหมือนๆ ทุกวันแหละครับ ช่วงเวลาหลังเลิกงานแบบนี้ ใครๆ ก็คงเดินทางกลับบ้านกันทั้งนั้น แต่ก่อนผมก็เคยหงุดหงิดนะครับ กับการจราจรของกรุงเทพฯ แต่พอเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ง่ายๆ เลยก็ทำใจครับ ทำใจให้ชิน เพราะต่อให้เราเผื่อเวลาไว้ขนาดไหน บทจะติดมันก็ติดอยู่ดีนั่นแหละครับ และดูสถานการณ์แล้ว ผมคงถึงช้ากว่าตี้แน่นอน

ตามคาดครับ วันนี้ดูรถจะติดเป็นพิเศษ นี่กว่าผมจะถึงบ้านตี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้ป่านนี้สุดที่รักผม หิวไส้กิ่วขนาดไหนแล้ว ผมรีบจอดรถรีบเข้าบ้าน อยากจะรีบทำกับข้าวให้เค้าทาน แต่พอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็พบว่า สุดที่รักของผม หลับไปแล้ว ผมอมยิ้มมองภาพตรงหน้า นี่คงเหนื่อยจากงานมาสินะ เห็นช่วงนี้บ่นๆ เรื่องงานอยู่เหมือนกันว่าเหนื่อย นี่คงนั่งรอผมที่โซฟานี่จนผลอยหลับไป

ผมค่อยๆ นั่งลงข้างเค้า ผมชอบมองเวลาเค้านอนหลับแบบนี้ ดูน่าหลงไหล จนตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าเปลี่ยนจากกินข้าวมากินเค้าซะดีไหมเนี่ย ผมเอื้อมวางหลังมือแตะลงที่แก้มของเค้า ลากวนไปอย่างนึกสนุกที่ได้เล่นกับผิวเนียนของเค้า

“มาแล้วเหรอ...ชาร์ป”ผมชะงักมือกับสิ่งที่ได้ยิน เค้าขยับตัวเพียงเล็กน้อย แต่ยังหลับตาพริ้มอยู่เหมือนเดิม สงสัยแค่ละเมอ แต่สิ่งที่เค้าละเมอมันทำใจผมกระตุกวูป ตั้งแต่เค้าย้ายไปอยู่กับผม ผมไม่เคยได้ยินชื่อของผู้ชายคนนี้อีกเลย จนเจ้าของชื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง และพวกเค้าได้เจอกัน แถมบ้านหลังนี้ ก็คงมีเรื่องระหว่างเค้าสองคนเกิดขี้นไม่มากก็น้อย

สรุปว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ในใจของเค้าก็ยังมีอีกคนอยู่จริงๆ สินะ ไม่ใช่ผมไม่รู้นะครับว่าในตอนที่ตกลงคบกัน ในใจเค้ายังตัดอีกคนออกไปไม่ได้ แต่ผมก็หวังว่าวันนึงคนๆ นั้นจะหมดไปจากใจเค้า และเกือบจะเชื่อไปแล้วว่าผมเป็นคนได้ครอบครองเค้าทั้งตัวและใจแล้ว แต่มันไม่ใช่เลย กับสิ่งที่ผมได้เจอตอนนี้ ดูมันชัดเจนเหลือเกิน ผมค่อยๆ ยกมือออกจากแก้มของเค้า และลุกออกจากโซฟาให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้เค้าตื่น

“เฮ้อ”ผมหยุดยืนถอนหายใจอยู่ที่ห้องครัว มันเหมือนสมองตื้อๆ เบลอๆ ไปหมด นี่ผมควรจะรู้สึกยังไง เศร้า เสียใจ น้อยใจ หึง หวง ผมว่าผมคงมีครบทุกความรู้สึกแล้วละครับในตอนนี้ ผมเปิดตู้เย็นดูของสดด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ความรู้สึกมันจุกๆ เหมือนไม่มีทางระบายออกมา ผมมองหม้อหุงข้าวที่ตี้คงหุงทิ้งไว้ ก่อนจะเลือกทำอะไรง่ายๆ เพราะสภาพตัวผมเองตอนนี้ไม่พร้อมจะทำอะไรที่ซับซ้อน

“อรรถมานานแล้วเหรอ”เสียงของเค้าดังมาจากด้านหลังของผม ผมไม่ได้หันไปมองเค้า ทำเพียงตอบรับสั้นๆ ผมอยากหันไปทักทายเค้าให้เหมือนปกตินะครับ แต่ตอนนี้มันบังคับตัวเองให้ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ

“ทำไม ไม่ปลุกเราละ แล้วนี่ทำอะไรให้กิน ไหนดูซิ”เค้าเดินเข้ามาเกาะที่ไหล่ผม ชะโงกดูสิ่งที่ผมกำลังทำ ผมหันมองดูเค้าพยายามบังคับตัวเองให้ยิ้มออกมา แต่มันคงเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆ ซึ่งเค้าอาจจะมองไม่ออก หรืออาจจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะเค้ายังยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีมาให้ผม

“กะว่าทำเสร็จแล้วค่อยไปปลุก ตี้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิ จะได้มากินข้าว แต่วันนี้อรรถทำแค่ ยำปลากระป๋อง กับ ไข่เจียวนะ กลัวจะรอนานเลยทำอะไรง่ายๆ”เค้าพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะผละออกจากผมไป ผมพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าในเมื่อเค้าเลือกผมแล้ว ผมควรต้องรอ รอเวลาให้เค้าตัดอีกคนออกไปจากใจ

“ทำไมไม่กินอ่ะ”หลังจากยกกับข้าวมาวาง ตักข้าวใส่จาน ตั้งใจว่าจะทานข้าวทำตัวให้ปกติ แต่มันกินไม่ลงจริงๆ ครับ เลยกลายเป็นว่าผมเอาแต่นั่งมองเค้าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยความสงสัย

“ตี้ทานเถอะ อรรถไม่ค่อยหิว”ผมบอกกับเค้าด้วยอาการเหนือยๆ ตอนนี้ผมเหมือนคนเสียสมดุล ที่พยายามปรับอารมณ์แล้วแต่มันก็ยังไม่นิ่ง

“เป็นไรหรือเปล่า”เค้าเอ่ยถามผมด้วยท่าทีเป็นห่วง ผมรู้นะครับว่าเค้าคงต้องรู้สึกอะไรกับผมบ้างแหละถึงได้ยอมคบกับผม และเค้าก็เป็นแฟนที่ดีคนนึง เพียงแต่ตอนนี้ผมต้องการเป็นที่ 1 ในใจเค้า ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ 2 รองจากคนอื่น

“ตี้”ผมเรียกชื่อเค้า เสียงเบาจนเหมือนจะหายไปในลำคอ แต่เจ้าของชื่อก็จ้องมองผม รอฟังว่าผมจะพูดอะไร

“ตี้รักอรรถไหม”




TBC

มาต่อแว้ววว
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 01-09-2016 14:35:06
อยากให้อรรถหนักแน่นเข้าไว้เพื่อข้ามผ่านมันไปให้ได้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-09-2016 14:39:28
มาแล้ว มาแล้ว อาการความรู้สึกและอารมณ์ของอรรถ ปาร์ตี้จะทำไง อรรถจะพูดไรต่อ ลุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป อยากอ่านต่อคับ
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-09-2016 14:46:18
ตี้ อะไรจะใจดีกับแฟนเก่าของตัวเองขนาดนี้
แสดงว่า ตี้รักอรรถน้อย หรือไม่รักเลยหรือเปล่า :katai1:
ขนาดอรรถเอง ยังไม่ยินดีต้อนรับหนุ่ยเลย
แต่ตี้กลับออกหน้าเพื่อให้หนุ่ยอยู่ จนเกือบทะเลาะกับอรรถ
ชาร์ป ยังมีตัวตนอยู่ในใจตี้
ตี้ ละเมอชื่อชาร์ป ออกมาให้อรรถได้ยิน
แน่ละ คนรักละเมอชื่อแฟนเก่าออกมา
ใครจะไม่รู้สึกรู้สา เป็นไปไม่ได้
อรรถ ต้องจิตตกอยู่แล้ว
รอคำตอบของตี้
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-09-2016 15:54:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 01-09-2016 16:16:06
เบื่อตี้จัง :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-09-2016 16:27:37
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 01-09-2016 18:14:25
เบื่อตี้จัง :katai5:

คิดเหมือนกันเลยค่ะ กับผู้ชายอย่างแว่นมีอะไรดีนักหนา ทำอะไรเพื่อตี้บ้าง ยังจำฝังจิต ฝังใจ ส่วนอรรถที่อยู่ข้างๆ แสนดี ทำเพื่อตี้ ทุกอย่าง

ยอมตี้จริงๆ เบื่อ และ รำคาญ ตี้ แล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-09-2016 18:38:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 01-09-2016 20:05:44
โอ้ยยยย  สงสารอรรถอ่ะ :katai1: :mew6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: jokerluna ที่ 01-09-2016 21:46:49
ไม่ไหวค่ะ.....ตอนตี้ละเมอชื่อชาร์ปนี้้เราแบบ U_U สงสารอรรถมากค่ะ ถ้าเกิดคุณแว่นจะเป็นพระเอกจริงๆก็ช่วยโผล่มาเร็วๆทีเถอะ แบบนี้มันเจ็บปวดจริงๆ สงสารอรรถ :o12:

#ความรักที่มั่นคงไม่สามารถสร้างได้ด้วยตัวคนเดียว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 7 เหนื่อย 01-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-09-2016 21:37:30
PART II บทที่ 8
คู่รัก





Sharp’s Part
“เรียบร้อยดีใช่ไหม”ผมเอ่ยถามลูกน้องที่ผมสั่งให้ไปเตรียมเรือสำหรับลูกค้าในวันนี้ เพราะวันนี้มีลูกค้าเหมาลำเรือของเราครับ ปกติส่วนใหญ่ช่วงนี้จะเป็นทริป ที่เราขายไปต่อคนมากกว่า เพราะตอนนี้เราเน้นขยายตลาดการท่องเที่ยวแนวนี้ของเราอยู่และจากที่เรามีการใช้พรีเซนเตอร์เข้ามาก็ถือว่าได้ผลตอบรับดีมากเลยทีเดียว ยอดจองแพคเกจของเรา ในวันหยุดนี่เต็มยาวข้ามปีไปแล้ว ยุคนี้มันเป็นยุคของโซเชียลอย่างแท้จริง พอจับจุดตรงนี้แล้วเอามาขยายผลต่อ ถือว่าที่ทางเราได้รับกลับมาคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มเลยครับ

“ชาร์ป ตาชาร์ปลูก วันนี้จะออกไปกับเรือเองเลยเหรอ ทำไมไม่ให้เด็กๆ เค้าจัดการละลูก”คุณแม่ผมตามมาถามไถ่ผมถึงท่าเรือ นี่สงสัยมีคนไปบอกแน่ๆ ว่าผมจะออกไปกับเรือ เพราะวันนี้แม่ผมมีเพื่อนมาเยี่ยม ซึ่งผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของแม่ผมหรอกครับที่แม่นัดเพื่อนมาเจอ หากแต่เพื่อนแม่ทุกคนที่มาช่วงนี้ ล้วนแล้วแต่มีลูกสาวทั้งนั้น ว่าง่ายๆ ก็เหมือนจับผมดูตัวนั่นแหละครับ นี่ขนาดยุคโซเชียลแล้ว ผมยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก ทั้งที่คิดว่าเรื่องนี้มีแต่ในละคร ดันมาเจอกับตัวเองเสียได้

“วันนี้มีแขกพิเศษครับแม่ ลูกค้าเหมาเรือยอร์ชเรา ไปกัน 2 คนเป็นคู่รักมาฮันนีมูน ผมไม่อยากให้มีอะไรพลาดเลยว่าจะออกไปด้วยครับ”ผมตอบออกไปอย่างอารมณ์ดี แต่นี่ก็นึกขอบคุณลูกค้าคนนี้นะครับ ที่เลือกวันได้เหมาะเจาะให้ผมใช้เป็นข้ออ้างในการหลบการจัดฉากดูตัวของแม่ผมได้อย่างแนบเนียน

“ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้เหรอ เด็กเราทำงานดีๆ เชื่อมือได้ก็มีตั้งหลายคน ชาร์ปอยู่เจอเพื่อนแม่ดีกว่าเนอะ”ผมรู้ครับว่าแม่คงอยากให้ผมมีครอบครัวลงหลักปักฐาน ช่วงแรกๆ ก็บอกผมว่าไม่เป็นไร ไม่เร่งรัด แต่ช่วงนี้ไม่รู้ไปทำอะไรมา ถึงได้พยายามแนะนำให้ผมรู้จักสาวๆ เยอะแยะไปหมด

“แม่ครับ ลูกค้าคนนี้ผมเป็นคนประสานงานเองมาตลอด ผมก็อยากเทคแคร์ให้ดีที่สุด อีกอย่างเค้ามาฮันนีมูนด้วย เผื่อผมเห็นเค้าสวีทกันแล้วจะได้อยากหาลูกสะใภ้ ให้แม่บ้างไงครับ”ผมพยายามหว่านล้อมทำเสียงอ้อน พร้อมกับเดินเข้าไปคล้องแขนประจบ

“ให้มันจริงเถอะ สนใจแต่งานขนาดนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานสักที”แม่ผมว่าอย่างงอนๆ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะผมอาจจะไม่มีโอกาสมีหลานให้กับแม่ก็เป็นได้

“แล้วนี่แม่นัดเพื่อนไว้กี่โมงครับ ไม่รีบไปเดี๋ยวเพื่อนรอนะครับ”ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะยังไม่พร้อมจะคุยกับแม่เรื่องนี้สักเท่าไหร่

“กำลังจะไปนี่แหละ เสียดายที่ชาร์ปไม่ได้ไปเจอเพื่อนแม่”เสียดายที่ผมไม่ได้ไปเจอลูกสาวเพื่อนแม่สิไม่ว่า จริงๆ บรรดาลูกสาวเพื่อนของแม่ผมนี่ก็โปรไฟล์ดีๆ กันทั้งนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องให้บรรดาแม่ๆ ต้องอยากจับลูกๆ มาดองกันเองด้วย ผมละไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมไม่ปล่อยให้ลูกๆ หาคู่ครองเอง

แม่ผมแยกออกไปแล้ว ส่วนผมก็เข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยบนเรือ อีกครั้งว่าอาหารเครื่องดื่ม รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ภายในเรือว่าเรียบร้อยดีหรือยัง งานนี้ถ้าลูกค้าประทับใจ ก็คงมีการแนะนำต่อๆ กันไปอีก ผมรออยู่พักใหญ่ลูกค้าที่ผมนัดไว้ก็มา

“สวัสดีครับคุณเชษฐ์ ทางเรายินดีอย่างยิ่งที่ให้เกียรติทางเราได้เป็นส่วนหนึ่งในทริปฮันนีมูนของคุณนะครับ”คุณเชษฐ์ที่ตอนแรกผมนึกว่าจะอายุเยอะกว่าผมพอสมควร แต่ดูๆ แล้วอายุเค้าก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม เค้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกคนนึง น่าจะเป็นเพื่อนที่มาส่งเค้า เพราะที่เค้าแจ้งผมไว้คือจะไปล่องเรือสองคนกับภรรยา

“แล้วนี่ภรรยาคุณเชษฐ์ ยังมาไม่ถึงเหรอครับ”ผมเอ่ยถาม เพราะอยากให้เรือได้ออกไปตามเวลาที่กำหนด เพื่อจะได้กลับมาในเวลาที่เหมาะสม แต่เหมือนผมจะถามอะไรผิดไปหรือเปล่า เพราะผู้ชายที่มากับคุณเชษฐ์ เหมือนจะหลุดขำออกมากับสิ่งที่ผมถาม

“นี่ไงครับ ภรรยาผม”สิ่งที่เค้าบอกทำเอาผมตกใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่คุยผ่านโทรศัพท์มา ผมก็เข้าใจมาตลอดว่าภรรยาที่คุณเชษฐ์หมายถึงเป็ยผู้หญิง ไม่คิดว่าจะเป็นชายหนุ่มที่มาด้วยกันแบบนี้

“เอ่อ...ขอโทษทีครับ ขอโทษจริงๆ ที่เสียมารยาท”ผมรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ที่เข้าใจผิด ก่อนจะแนะนำตัวกันเป็นทางการอีกครั้ง แฟนคุณเชษฐ์ชื่อตี๊ฟครับ ผมเพิ่งได้มีโอกาสสังเกตว่าแฟนคุณเชษฐ์นี่เวลายิ้มนี่น่ารักมากเลยทีเดียว และเค้าทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอีกคน การมาอาสาขับเรือให้กับคู่รักในวันนี้ เรียกว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมหลายอย่างเลยทีเดียว อย่างแรกคือคู่รักที่ผมมาเจอเป็นคู่ชายชาย แทนที่จะเป็นชายหญิง อย่างที่สองคือทั้งคู่ที่ดูภายนอกก็เป็นผู้ชายปกติทั่วๆ ไป แต่เป็นคู่รักชายชายที่เปิดเผย แถมดูมีความสุขกันมากๆ เสียด้วย

เห็นทั้งคู่แล้วมันก็ทำให้ผมต้องย้อนคิดถึงตัวเอง เมื่อก่อนผมเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่าความสุขของผมคือการแต่งงานมีลูก สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่วันนี้สิ่งที่ผมเคยคิด มันคงไม่ถูกไปเสียหมด คำว่าครอบครัวมันคงไม่ได้จำกัดแค่ในสิ่งที่สังคมกำหนด คุณเชษฐ์กับแฟนนี่คงเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดสำหรับผมแล้ว ว่าความสุขมันอยู่ที่เราเลือกเอง แต่ตอนนี้ผมคงเลือกในสิ่งที่ใจต้องการไม่ได้แล้ว

“เรียบร้อยดีนะครับ”ผมเดินเข้าไปทักทายทั้งคู่ ตอนนี้เรือออกมาได้พักใหญ่แล้ว แต่แดดยังแรงอยู่ ทั้งคู่เลยนั่งพูดคุยจิบเครื่องดื่มอยู่ภายในเรือ

“คุณเชษฐ์กับคุณตี๊ฟนี่คบกันมานานรึยังครับเนี่ย”แม้ว่าจะฟังดูเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใด คุณตี๊ฟ ก็ดูไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจผมแต่อย่างใด เพราะก็ยังดูยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับผมเหมือนเดิม แต่ดูคุณเชษฐ์จะออกอาการหึงผมหน่อยๆ

“คุณชาร์ปมีอะไรหรือเปล่าครับ ดูสนใจเรื่องราวความรักของเราสองคนเป็นพิเศษเลย”คุณเชษฐ์เองคงกำลังเข้าใจเจตนาของผมผิดไปอยู่แน่ๆ

“ผมต้องขอโทษ ที่ละลาบละล้วงนะครับ แค่พอดีเห็นพวกคุณสองคนแล้วทำให้ผมนึกถึงคนๆ นึงครับ”ผมรีบอธิบายให้ทั้งคู่ได้เข้าใจ ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมอยากพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ คุณตี๊ฟเป็นคนเริ่มเล่าอย่างขำๆ ถึงจุดเริ่มต้นในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ พอได้ฟังเรื่องราวของทั้งคู่แล้ว ผมนับถือในตัวคุณเชษฐ์เลยครับกับการทุ่มเท ทำหลายอย่างจนได้เป็นแฟนกันในที่สุด แถมทั้งคู่ยังช่วยกันฟันฝ่าบททดสอบต่างๆ มาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ที่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว เทียบกับทั้งคู่แล้ว ผมเองยังไม่เคยทำอะไรเพื่อใครขนาดนี้เลย

“มีอะไรอยากระบาย ก็เล่าได้นะครับ”พอพูดคุยเรื่องของทั้งคู่จบลง คุณตี๊ฟก็เอ่ยถามผมขึ้น อาจเพราะทั้งคู่เองก็ยินดีเล่าเรื่องราวของพวกเค้าให้ผมฟัง มันเลยทำให้ผมกล้าที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้เค้าฟังเช่นกัน แม้ทั้งผมและพวกเค้าเพิ่งจะเคยเจอกัน แต่ผมก็เล่าเรื่องราวให้พวกเค้าฟังอย่างไม่ได้นึกจะปกปิด ตั้งแต่รสนิยมทางเพศของผม ที่ได้ทั้งเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน และผมเคยตัดสินใจเลือกไปแล้วว่าจะเดินในทางสายไหน ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เคยเป็นความใฝ่ฝันของผม คือการแต่งงานมีลูก สร้างครอบครัว

จนมาถึงจุดเปลี่ยนระหว่างผมกับชะเอม และมีปาร์ตี้เข้ามาในชีวิตของผม คนที่ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าชีวิตผมจะเดินไปทางไหน แต่ท้ายที่สุดผมก็ยังเลือกทางเดิม นั่นคือการตัดสินใจคบกับน้องปลา

“ผมว่าคุณรักเค้า”คุณเชษฐ์พูดขึ้นหลังจากที่ฟังความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์ตี้ ความสัมพันธ์แรกเริ่มมันถูกตกลงให้เป็นแค่ทางกาย และผมก็เคยมั่นใจว่ามันจะไม่มีทางเกิดความรู้สึกอื่นขึ้นมาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นผมเองอีกนั่นแหละที่คิดผิด

“มันไม่สำคัญแล้วละครับ เพราะตอนนี้เราทั้งคู่ต่างเลือกในทางเดินของตัวเองไปแล้ว”ผมบอกไปตามที่เป็นอยู่เพราะความที่ผมอยากสร้างครอบครัวเลยเลือกปลา ส่วนตี้ก็เลือกคนที่พร้อมจะเดินไปกับเค้า เรื่องราวมันควรจะจบด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย แต่เปล่าเลย ทางที่ผมเลือกมันพังตั้งแต่ยังมาเริ่มด้วยซ้ำ

“คุณชาร์ปครับ รักมันก็คือรัก อย่าไปจำกัดหรือแบ่งแยกเลยครับว่าจะต้องเป็นใครหรือเพศไหน ถามใจตัวเองดูว่าอะไรมันคือความสุขที่ตัวเราเองต้องการ”ผมยิ้มให้กับคำพูดนั้นก่อนจะลุกออกมา ถึงทั้งคู่ไม่พูดตอนนี้ผมก็รู้ครับว่าอะไรที่จะทำให้ผมมีความสุข เพียงแต่ผมไม่มีโอกาสที่จะแก้ไขอีกแล้ว เท่านั้นเอง ผมปลีกตัวออกมาให้ทั้งคู่ได้มีเวลาส่วนตัว

ยิ่งมองภาพของทั้งคู่ ผมกลับยิ่งนึกถึงอีกคนจับใจ แต่ก็ทำได้เพียงดูความเคลื่อนไหวของเค้า จาก facebook เท่านั้นแม้บางครั้งการที่ผมเปิดเข้าไปดูแล้วจะต้องเห็นเค้าอยู่กับคนอื่น แต่อย่างน้อยขอให้ผมได้เฝ้ามองเค้าอยู่ห่างๆ แบบนี้มันก็คงดีที่สุดแล้ว

ผมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วมองดูคู่รักที่น่าอิจฉาอีกครั้ง ผมมองเห็นภาพผมและตี้ซ้อนทับกับภาพของทั้งคู่ ผมโอบตี้ไว้ในอ้อมกอดนั่งทอดสายตาออกไปในท้องทะเลกว้าง หยอกล้อหัวเราะกันอย่างมีความสุข แต่แล้วภาพก็ค่อยๆ จางหายไป ความเป็นจริงตรงหน้าย้ำเตือนกับผมว่าสิ่งที่ผมคิดในมโนภาพ คงไม่มีวันเป็นจริงไปได้

เวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า เราหันหัวเรือเตรียมกลับเข้าฝั่งแล้ว ส่วนคุณเชษฐ์กับแฟนก็ยังสวีทกันอยู่ ผมยิ้มกับภาพที่เห็นเค้าคลอเคลียกันอย่างมีความสุข แต่แล้วหลังจากที่เห็นเค้ากระซิบกันไปมา เสียงตะโกนของคุณตี๊ฟก็ดังขึ้น

“ไอ้หื่นนนนน”ผมแอบหัวเราะเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาได้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ก็เค้ามาฮันนีมูนกันนี่เนอะ แต่สิ่งที่ได้ยินนั้นก็เหมือนเป็นการปลุกความรู้สึกบางอย่างของผม ใช่แล้วครับ “เซกส์” นี่ผมไม่ได้มีอะไรกับใครมานานขนาดไหนแล้ว นี่ก็ตั้งแต่ผมกับปาร์ตี้ยุติความสัมพันธ์กันนั่นแหละครับ แต่ถ้าเรื่องการช่วยตัวเองมันก็มีบ้างเป็นธรรมดาแหละ ครับเพื่อเป็นการปลดปล่อยและผ่อนคลาย ผมยอมรับว่ายังต้องการเซกส์อยู่ แต่มันรู้สึกไม่อยากมีกับใครในตอนนี้ ผมเลยเลือกที่จะใช้จินตนาการเข้าช่วยเสียมากกว่า มันคงจะไม่ผิดอะไรที่ผมยังใช้ปาร์ตี้ในจินตนาการของผม

“ขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีโอกาสสนใจอยากมาอีกก็ยินดีต้อนรับเสมอนะครับ”ผมกล่าวขอบคุณทั้งคู่เมื่อมาถึงฝั่ง ทั้งคู่บอกลาผมก่อนจะกอดคอกันเดินไปยังรถที่จอดไว้ ผมมองแผ่นหลังของทั้งคู่อีกครั้งด้วยความอิจฉา แต่ก็มีความสุขที่เห็นทั้งคู่ได้เจอรักแท้ ถึงขั้นได้แต่งงานอยู่ด้วยกัน แม้มันจะเป็นการแต่งงานในแบบที่จัดขึ้นมาเองและไม่ได้มีกฎหมายรองรับก็เถอะ

ผมสั่งงานลูกน้องอีกเล็กน้อย ก่อนจะกลับบ้าน คิดว่าวันนี้คงออกไปหาที่นั่งดื่มสักหน่อย ตั้งแต่ผมกลับมาบ้านที่ภูเก็ตผมก็แทบไม่ค่อยได้ออกไปดื่มที่ไหนเลย เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนดื่ม เพื่อนๆ ที่เคยสนิทกันตอนนี้ในวัยอย่างผมเค้าก็เริ่มมีครอบครัวกันแล้ว ก็ไม่ค่อยจะสะดวกในการออกไปนั่งดื่มเหมือนตอนยังโสดสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ผมเลยเลือกที่จะดื่มคนเดียวที่บ้านเสียมากกว่า ก็มีบางครั้งที่พ่อมาดื่มเป็นเพื่อน แต่ด้วยอายุที่มากแล้วพ่อผมก็ไม่ค่อยดื่มสักเท่ไหร่แล้ว

วันนี้ที่ผมตัดสินใจจะออกไปนั่งดื่มข้างนอกเพราะไม่อยากฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว การออกไปข้างนอกแม้จะไปคนเดียวแต่มันก็ยังดูมีอะไรให้ได้เปลี่ยนมุมมองดูบ้าง ผมอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน ถึงร้านประมาณเกือบๆ จะ 3 ทุ่ม ร้านที่ผมเลือกเป็นร้านนั่งชิลๆ บรรยากาศ สบายๆ เรียกว่าคล้ายๆ ร้านประจำที่ผมกับไอ้เหมาและตี้ เคยไปประจำตอนที่อยู่กรุงเทพฯ วันนี้ผมดูบางตาแต่ก็ไม่ถือว่าน้อยมาก หรืออาจเพราะยังไม่ดึกมากคนเลยยังน้อยอยู่ก็ไม่รู้

ก็เขินๆ นิดๆ นะครับกับการมานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้ แต่ในเมื่ออย่างอื่นเรายังทำคนเดียวได้ แค่มานั่งร้านเหล้าคนเดียวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกครับ ผมสั่งเบียร์สดทาวเวอร์นึงพร้อมกับแกล้มอีก 3 อย่าง น้องคนรับออเดอร์ถามย้ำว่าเบียร์นี่เป็นเหยือกหรือเป็นทาวเวอร์ คงเพราะผมบอกว่ามาคนเดียว แต่ผมก็ยืนยันไปตามเดิม กะว่าผมน่าจะพอไหว ดื่มหมดนี่ก็คงกลับไปพักผ่อน

“ครับแม่ พอดีออกมาผ่อนคลายข้างนอกนิดหน่อยครับ คงกลับดึกแม่ไม่ต้องรอนะครับ โทษทีมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้บอกว่าออกมาข้างนอก”ผมบอกกับผู้เป็นแม่ที่โทรมาถามไถ่ ผมเองก็เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เลยไม่ค่อยได้บอกแม่เวลาไปไหนมาไหน แถมตั้งแต่กลับมาอยู่นี่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วย แต่พ่อแม่ ต่อให้เราอายุมากแค่ไหนก็คงยังมองเราเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาเค้าแหละครับ ก็คงห่วงเป็นธรรมดา นี่ก็กำชับผมว่าไม่ให้ดื่มมาก ถ้ากลับไม่ไหวก็ให้โทรหาเด็กที่โรงแรมออกมารับ ผมก็ต้องรับคำอย่างหนักแน่นและครับ เพื่อให้เค้าสบายใจ

รอเพียงไม่นานเบียร์ก็มาตั้งที่โต๊ะ บรรยากาศเก่าๆ ก็เข้ามาในความรู้สึกผมอีกแล้ว นี่ไม่ว่าผมจะทำอะไร ไปที่ไหนก็ยังคิดถึงแต่เค้าอยู่ดี ยิ่งวันนี้ผมได้เจอคู่รักอย่างคุณเชษฐ์คุณตี๊ฟ มันยิ่งทำให้ผมคิดถึงเค้า แต่ก็เท่านั้นเพราะเค้าก็มีใครอีกคนอยู่แล้ว ผมหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อหวังให้ลืมเค้าไปบ้างแม้ชั่วขณะก็ตามที

“ชาร์ป”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียง ก่อนจะพบใครคนนึงยืนยิ้มให้ผมอยู่ ใครคนนึงที่ผมไม่ได้เจอมานาน และเกือบจะลืมเค้าไปแล้วเสียด้วยซ้ำ


TBC

ถ้าใครไม่รู้จักเชษฐ์ตี๊ฟลอง ไปอ่าน 45 วันพนัน(ไม่)รัก ของไรท์นะฮ่ะ อิอิ (ขายของ)

แต่ถ้ารู้จักคู่นี้แต่สงสัยว่าเค้าไปฮันนีมูนกันตอนไหน

ก็เป็นตอนพิเศษที่แต่งไว้ แต่ยังไม่เคยลงฮ่ะ 555

ส่วนใครที่โผล่มาตอนท้าย ต้องรอตอนหน้านะคร๊าบบบบ

ขอบคุณที่ติดตามนะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-09-2016 22:34:52
ใครอะมาตอนท้าย คู่ขาเก่า แฟนเก่า
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-09-2016 22:47:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-09-2016 23:20:26
ไม่ใช่ตี้

 :m14:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-09-2016 02:19:15
^
^
 o13  ให้ข้างบนนั่น

น้องปลาหรือเปล่า? ไม่น่าใช่เหมานะ

ดีใจเห็นเชษฏ์กับตี๊ฟ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 03-09-2016 10:10:40
ชะเอม?
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 03-09-2016 14:46:57
อยากให้ชาร์ปแต่งงานมีลูกสร้างครอบครัวไปซะ
ไม่ต้องไปยุ่งกับตี้ ไม่อยากให้ตี้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะคนไม่มั่นคง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2016 15:34:48
ใคร กันนะ  :katai1: :katai1: :katai1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 03-09-2016 23:25:09
เอม?
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-09-2016 14:21:02
คู่ซ้อมย้อนเวลา
กางเกงน้ำเงินขาสั้น
ชายล้วน

เอาเลยชาร์ป
แก้อยาก..กระชากตูด
ดีออก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2016 16:38:59
ไม่น่าจะใช่ตี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 8 คู่รัก 02-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-09-2016 23:06:36
PART II บทที่ 9
คนแรก




Sharp’s Part
“ชาร์ป”ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียง ก่อนจะพบใครคนนึงยืนยิ้มให้ผมอยู่ ใครคนนึงที่ผมไม่ได้เจอมานาน และเกือบจะลืมเค้าไปแล้วเสียด้วยซ้ำ

“กลิ้ง...หวัดดี”ผมเอ่ยทักทายกลับไปพร้อมกับเชื้อเชิญให้เค้านั่ง เค้าคือใครนะเหรอครับ เค้าเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนมัธยม และเป็นคนที่ผมเคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางเพศด้วย หรือจะบอกว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเคยมีอะไรด้วยก็ว่าได้ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาไปมากกว่านั้น หลังจากเรียนจบมัธยม ต่างคนก็ต่างเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนละที่ ผมก็ไม่ได้เจอและติดต่อเค้าอีกเลย

“นี่ชาร์ปมาคนเดียวเหรอ”เค้าถามด้วยความสงสัย ทันทีที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม เค้าดูเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนเค้าดูเป็นเด็กเรียน ขี้อาย พูดน้อย ดูเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ แต่วันนี้เค้าดูเป็นสไตล์ผู้ชายออฟฟิศ ที่ท่าทางกระฉับกระเฉง ดูไม่เหนียมอายอย่างแต่ก่อน ก็คงไม่แปลกที่เค้าจะเปลี่ยนไป คนเราพอโตขึ้น ได้เจออะไรหลายๆ อย่าง เจอสังคมใหม่ๆ มันก็คงต้องเปลี่ยนไปบ้างตามกาลเวลา แล้วนี่ผมก็ไม่ได้เจอเค้าจะเป็น 10 ปีแล้วด้วย

จริงๆ ในตอนนั้นที่เรามีความสัมพันธ์ทางกายเกินเลยกันมากกว่าเพื่อน มันก็มาจากผมนี่แหละครับ ตอนนั้นการเรียนของผมมีอยู่วิชานึงที่ค่อนข้างย่ำแย่ เรียกว่าห่วยที่สุดในห้อง นั่นคือวิชาภาษาอังกฤษ ทั้งที่วิชาอื่นๆ โดยเฉพาะพวกวิชาคำนวณผมทำได้ดีมาก ผมเลยปรึกษากับอาจารย์ประจำชั้นในตอนนั้นว่าจะทำยังไงดี คือผมไม่อยากเรียนพิเศษที่เป็นทางการอะไรมาก อาจารย์เลยเสนอให้ผมหาบัดดี้ที่เก่งภาษาอังกฤษ แน่นอนครับ กลิ้งคือคนที่ผมเลือกและขอให้อาจารย์ช่วยพูดให้เค้ายอมช่วยติวผม

ตอนแรกเค้าก็ไม่อยากยุ่งกับผมสักเท่าไหร่ และเราก็ไม่ได้สนิทกันมาก จนตอนแรกผมคิดว่าเค้าเกลียดขี้หน้าผมหรือเปล่า แต่พอได้มาสนิทกับเค้าจริงๆ ทำให้ผมเริ่มสังเกตบางอย่าง จนรู้ว่าเค้าเป็นเกย์ และเขินที่จะต้องใกล้ชิดหรือทำตัวสนิทสนมกับผม พอผมรู้แบบนั้นผมกลับยิ่งนึกสนุก อยากแกล้งเค้า ผลจากการที่ผมแกล้งทำเป็นหมากยอกไก่กับเค้าบ่อยๆ มันกลายเป็นว่าเค้าเกิดชอบผมขึ้นมาจริงๆ

ทีแรกเค้าก็ไม่ได้พูดออกมา แต่การแสดงออกของเค้ามันชัดเจนจนผมเองก็รู้สึกได้ ส่วนความรู้สึกของผมในตอนนั้น แม้จะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมมีความรู้สึกทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย แต่ระหว่างผมกับกลิ้งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับเค้าขนาดนั้น เพียงแต่ว่าความอยากรู้อยากลองมันทำให้ผมกับเค้ามีอะไรเกินเลยกันไป ซึ่งมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่นานนักเพราะผ่านไปสักพัก กลิ้งกลับต้องการที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนกับผม เค้าต้องการใช้คำว่าแฟนกับผม

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าเลยจบลง เค้าไม่ยอมคุยกับผมอยู่เกือบปี แต่สุดท้ายเราก็ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ว่าผมให้เค้ามากกว่าเพื่อนไม่ได้ และวันนึงผมก็ยังคิดที่จะแต่งงาน แม้เราจะเหมือนเข้าใจกันแล้ว แต่ส่วนนึงที่เค้ากับผมไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังจากเรียนจบ ก็คงมีเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุก็เป็นได้

“เอ้า ว่าไง มัวแต่เหม่อคิดอะไรเนี่ย”เค้าถามผมย้ำอีกครั้ง ผมได้แต่ยิ้มแก้เก้อ เพราะมัวแต่คิดไปถึงเรื่องในอดีตของเราทั้งคู่

“เรามาคนเดียว มีอะไรให้คิดนิดหน่อย เลยอยากออกมาผ่อนคลายบ้าง แล้วนี่กลิ้งมากะใครอ่ะ”ผมย้อนถามกลับ

“เรามากะเพื่อนที่ทำงาน พอดีเพื่อนๆ อยากมาเที่ยวภูเก็ต เลยบังคับให้เราพามา พรุ่งนี้เย็นๆ ก็กลับกรุงเทพฯ แล้ว”เค้าตอบพร้อมชี้ไปที่โต๊ะอีกด้านนึงของร้านที่มีคนนั่งอยู่ประมาณ 5-6 คน เค้ายังบอกอีกว่าตอนนี้เค้าทำงานที่โรงแรมอยู่ในกรุงเทพฯ ผมเองก็บอกเล่าในส่วนของผมไปเช่นกันว่ากลับมาอยู่ที่ภูเก็ตนี่เกือบปีแล้ว

“แล้วนี่โสดเหรอถึงต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวเนี่ย”ผมยิ้มรับแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปขอจานช้อนและแก้วจากเด็กเสิร์ฟ ที่ยกอาหารมาวางที่โต๊ะ

“ว่าไงตกลงโสดหรือไม่โสด ถ้าไม่โสดเราจะได้กลับไปนั่งกับเพื่อน”ถ้าเป็นเมื่อก่อนคำพูดแนวทีเล่นทีจริงแบบนี้จะออกมาจากปากผม แล้วเค้าเองที่จะเป็นฝ่ายเงียบ และเขิน แต่ตอนนี้แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกเขินอะไร ทว่ากลับกลายเป็นเค้าที่มาพูดเล่นแบบนี้ เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนไปอย่างที่ใครๆ ว่าสินะ

“ก็ตั้งแต่โดนถอนหมั้นนี่ก็ เกือบปีแล้วมั้งที่โสด”ผมตอบกลับไปสบายๆ

“ถอนหมั้น”เค้าขมวดคิ้วถามผมกลับ ผมเริ่มเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับชะเอม ว่าเลิกรากันเพราะอะไร ตามด้วยเรื่องราวระหว่างผมกับน้องปลาแต่ผมเลือกที่จะเล่าข้ามในส่วนความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้  กลิ้งไม่ได้แสดงความเห็นอะไรออกมาเค้ารับฟังผมอย่างตั้งใจจนกระทั่ง

“แล้วทำไมชาร์ปถึงบอกเรื่องที่เคยมีอะไรกับผู้ชายให้เค้าฟังละ”แน่นอนว่าถ้าผมอยากแต่งงานจริงๆ ก็คงปิดบังเรื่องนี้ไว้ ซึ่งมันก็คงไม่มีใครรู้ หากแต่ตอนนั้นในใจผมคิดอะไรถึงพูดอออกไป ผมยังไม่เข้าใจตัวเอง แต่ถ้าถามตอนนี้ผมคงตอบตัวเองได้แล้วว่าเป็นเพราะปาร์ตี้ นี่ถ้าผมเล่าเรื่องตี้ให้กลิ้งฟังเค้าก็คงจะ ไม่เอ่ยถามคำถามนี้กับผม เพราะคงเดาได้อยู่แล้ว

ผมไม่ได้ตอบคำถามกลิ้ง แต่หันมาสนใจจานยำวุ้นเส้นที่วางอยู่ตรงหน้ามาพักนึงแล้ว ผมเลือกตักเฉพาะหอมแดง ออกมาวางที่จานของผม ผมจำได้ว่าอีกคนที่ผมกำลังนึกถึงอยู่ตอนนี้ เค้าชอบกินและผมเคยช่วยตักให้เค้า ซึ่งเป็นการชอบกินอะไรที่ดูแปลกมากสำหรับผม เพราะผมว่ามันไม่เห็นจะอร่อยเลยสักนิด

ผมตักหอมแดงที่อยู่ในจานเข้าปาก มันไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ แต่ทำไมผมถึงได้ยิ้มออกมาเวลาที่รับรู้ถึงรดชาดของหอมแดง ตอนนี้เค้าจะทำอะไรอยู่ เค้ากับแฟนมีความสุขดีอยู่หรือเปล่า บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าอยากจะลองแย่งเค้า หรือทำให้เค้ากับแฟนเลิกกัน ซึ่งผมก็เกือบทำไปแล้วจริงๆ ตอนล่าสุดที่ผมได้เจอกับเค้า แล้วไปส่งเค้าที่บ้านครั้งนั้น

“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”คำพูดที่บอกกับเค้าแผ่วเบานั้น ผมไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะผมที่สัมผัสใบหน้าเค้าอยู่ ค่อยๆ เลื่อนไปที่ท้ายทอยของเค้าดึงให้หน้าของเค้าชิดเข้ามาหาผม จนหน้าผากเราชนกัน จมูกของเราทั้งคู่เบียดไปมา จนรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย เขาพยายามจะขืนตัวออก

“อย่าทำแบบนี้”น้ำเสียงเค้าเบาหวิว จนผมไม่ได้รู้สึกว่าเค้าจะปฏิเสธอย่างจริงจัง ผมออกแรงเพิ่มอีกเพียงนิดเดียวก็สามารถรั้งให้ริมฝีปากของเค้าและผมสัมผัสกันแล้ว เค้าพยายามขัดขืนแต่แล้วสุดท้ายผมก็รู้สึกได้ว่าเค้าตอบรับรสจูบของผม แต่ความรู้สึกผมมันก็ตีกันปนเปไปหมด ผมรู้ว่าตัวเองทำผิด เพราะตอนนี้เค้ามีเจ้าของอยู่ แต่ผมก็โหยหาสัมผัสที่เคยมีกับเค้า

“พอเถอะ”เค้าผลักผมออกอย่างแรงจนเกือบกระแทกประตูรถ เค้ามองผมด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา และตอนนี้เองที่ผมได้สติว่าไม่ควรทำแบบนี้ ผมควรรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก

“ขอโทษ”ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิดจริงๆ

“เพื่อนกันเค้าไม่ทำอะไรกันแบบนี้หรอกนะ ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ก็อย่าล้ำเส้นแบบนี้อีก”พูดจบเค้าก็เปิดประตูรถเดินลงไปทันทีโดยไม่ได้รอให้ผมได้พูดอะไร ผมมองเค้าเดินจากไปก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา มันคงต้องจบลงแบบนี้จริงๆ สินะ

“ชอบเหรอ”เสียงของคนที่นั่งตรงข้ามผมปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ผมเลิกคิ้วมองกลิ้งอย่างไม่เข้าใจว่าเค้าหมายถึงอะไร เพราะเมื่อสักครู่ผมไม่ได้ฟังที่เค้าพูด มัวแต่นึกถึงอีกคนอยู่

“หอมแดงนั่นไง ไม่ยักรู้ว่าชาร์ปชอบกิน เมื่อก่อนจำได้ว่าเขี่ยทิ้งตลอดนิ”ผมก้มมองหอมแดงในจานแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง

“ไม่ได้ชอบหรอก เราว่ามันไม่อร่อยเลยสักนิด แต่เวลากินแล้วมันทำให้นึกถึงคนๆ นึงที่เค้าชอบกิน”ผมตอบพร้อมยิ้มให้กับคนถาม ก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม นี่ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นเค้าก็คงดี ทั้งบรรยากาศแบบนี้ มีแอลกอฮอล์แบบนี้ แถมยังมีอะไรที่เค้าชอบกินมันยิ่งทำให้ผมคิดถึงเค้า

“เราขอเดานะ ว่าคนที่ชอบทานหอมแดงเนี่ย ไม่ใช่ ทั้ง 2 คนที่ชาร์ปเลิกไป”กลิ้งคาดเดาพร้อมยิ้มแปลกๆ มายังผม

“ทำไมคิดงั้นละ”

“ก็เวลาชาร์ปพูดถึงแฟนเก่าที่เล่าให้เราฟัง กับพูดถึงคุณหอมแดงนี่ แววตาชาร์ปมันดูต่างกันชัดมาก”เค้าโน้มตัวเข้ามาหาผมเหมือนพยายามจับสังเกตบางอย่างก่อนจะบอก  ว่าแต่นี่ผมแทบยังไม่ได้พูดถึงคนชอบกินหอดแดงนี่เลยด้วยซ้ำ แค่บอกว่ามีคนชอบกินแค่นั้น แต่เค้าสังเกตรายละเอียดผมได้มากขนาดนั้นเชียว

“คุณหอมแดงนี่ไม่ใช่ผู้หญิงใช่ไหม”นี่ผมเป็นคนดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ หรือว่าเค้าเดาเก่งกันแน่ แต่ผมเลือกที่จะเงียบ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรออกไป เรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้ ผมคิดว่าคงให้คนรู้น้อยเท่าไหร่คงจะยิ่งดี เพราะผมเองก็คิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ได้อยากให้ใครรู้สักเท่าไหร่

“ชักรู้สึกอยากจะรู้จักคุณหอมแดงนี่ขึ้นมาแล้วสิ”เค้าพูดออกมาขำๆ แล้วก็ไม่ได้เซ้าซี้ผมอีก บทสนทนาของเรากลับมาที่เรื่องชีวิตการทำงาน หรือถามไถ่ถึงเพื่อนเก่าๆ ของพวกเรา ผมก็ไม่รู้ว่าการที่ได้เจอกลิ้งวันนี้เป็นผลดีหรือผลเสียกับผมมากกว่ากันแน่ จากตอนแรกส่วนที่ดีคือผมไม่ต้องฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว แต่ส่วนที่มันแย่ตามมาก็คือ กลิ้งดันทำให้ผมยิ่งคิดถึงอีกคนมากขึ้นไปอีก แถมด้วยอาการตึงๆ จากการดื่มเข้าไปเยอะนี่อีก

“ยังไม่รีบกลับใช่ไหม เดี๋ยวขอไปคุยกับเพื่อนแปป เดี๋ยวมานั่งด้วย”เราคุยกันเรื่อยเปื่อยจนผมเองก็ลืมไปแล้วว่าเค้าไม่ได้มาคนเดียว หากแต่มีกลุ่มเพื่อนมาด้วยอีกหลายคน ผมบอกให้เค้าไปนั่งกับเพื่อนตามสบายได้เลย แม้เค้าจะชวนผมไปร่วมโต๊ะด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมอยากรู้จักใครเพิ่มสักเท่าไหร่หรอกครับ กลิ้งเลยเดินกลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะเพียงคนเดียว ส่วนผมขอเสียมารยาทที่ไม่แม้แต่จะเดินไปทำความรู้จักกับเพื่อนของเค้า

“พี่สูบบุหรี่ตรงนี้เลยได้ใช่ไหม”ผมเอ่ยถามจากเด็กเสิร์ฟ เพราะตอนแรกผมก็กะจะลุกไปหาทีสูบบุหรี่เหมือนกัน แต่เห็นมีบางโต๊ะที่นั่งสูบที่โต๊ะเลย ก็เลยลองถามดู เผื่อจะได้ไม่ต้องลุกไปไกล ซึ่งเด็กเสิร์ฟก็อนุญาตนะครับว่าสูบบุหรี่ที่โต๊ะได้ แต่ผมดันเหลือบเห็นสายตาจากโต๊ะที่ถัดไปจากผมเล็กน้อย มองผมด้วยสายตาที่ไม่ได้พอใจสักเท่าไหร่ ที่กำลังจะจุดบุหรี่ ผมเลยตัดสิน ไม่สูบเสียดีกว่า

ผมหันมาสนใจกับเครื่องของผม พยายามดื่มด่ำกับเสียงเพลงสบายๆ จากทางร้าน ผมเผลอพูดชื่อเพลงออกมาทุกครั้งที่ เสียงเพลงจบลงและมีเพลงใหม่ขึ้นมา ประหนึ่งว่าตอนนี้ผมกำลังเล่นเกมทายเพลงกับใครบางคนอยู่ คนที่รู้จักเพลงเยอะแยะไปหมด จนบางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เค้าเอาเวลาที่ไหนไปฟังเพลงเยอะแยะขนาดนั้น แต่หลังจากที่ได้รู้จักตัวเค้ามากขึ้น และได้เข้าไปในชีวิตของเค้ามากขึ้นถึงได้รู้ว่า เสียงเพลงแทบจะอยู่ในทุกลมหายใจของเค้าเลยมั้ง ตั้งแต่ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ขับรถ หรือบางทีทำงาน ยังเห็นเค้าใส่หูฟัง แถมเค้าเป็นคนความจำดีสุดๆ

“ต้องหมกหมุ่นขนาดไหนถึงจะจำรายละเอียดได้ขนาดนี้”ผมเคยแกล้งแซวเค้าเรื่องนักร้องคนนึง ที่ผมแค่จะถามว่าใครเป็นคนร้องเพลงๆ นึง ปรากฏว่าเค้าเล่าให้ผมฟังได้หมดเลยว่าเจ้าของเพลงนั้น เป็นใครมาจากไหน มีผลงานอะไร คบใครอยู่บ้าง สนิทกับใคร นั่นแหละครับ คนเราต้องหมกหมุ่นขนาดไหนถึงจะรู้ละเอียดได้ขนาดนั้น ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงเวลาที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ผมว่าเค้าดูมีความสุขที่ได้เล่า แม้บางทีสิ่งที่เค้าเล่าผมฟังแล้วจะจำไม่ค่อยได้ก็เถอะ ก็คนเรามันมีอะไรที่สนใจไม่เหมือนกันนี่เนอะ แต่ผมก็ชอบฟังเค้าพูดนะครับ

“ยิ้มอะไร คนเดียวนิ”กลิ้งกลับมาที่โต๊ะผมอีกครั้ง พร้อมกับกระเป๋าสายใบเล็กๆ ของเค้า และเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนๆ ของเค้าที่มาด้วยกัน กำลังทยอย ออกจากร้าน สงสัยจะพากันกลับแล้ว

“จะกลับกันแล้วเหรอ”ผมทำปากบุ้ยใบไปทางกลุ่มเพื่อนของเค้าที่กำลังออกจากร้าน

“เพื่อนเรา อยากพักผ่อนกัน แต่เราอยากไปต่อ”เค้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ครับ ถ้าแค่เพื่อนๆ เค้ากลับแล้วตัวเค้าไม่กลับนั่นอาจจะดูไม่มีอะไร คงแค่เหมือนจะนั่งดื่มกับเพื่อนเก่าอย่างผมต่อ แต่การที่เค้าชวนผมไปต่อด้วยน้ำเสียงและสายตาที่แฝงความนัย แถมตามมาด้วยเท้าเค้าที่ยื่นมาเขี่ยเท้าผมอยู่ใต้โต๊ะนี่อีก มันชัดเจนเหลือเกินว่าเค้าจะสื่ออะไร

“กลิ้งไม่เห็นบอกเลย ว่าตอนนี้โสดหรือไม่โสด”ผมถามกลับไปด้วยท่าทางไม่ได้ต่างจากเค้าอย่างท้าทาย

“ทำไม ถ้าไม่โสดจะไม่ยอมไปต่อกับเราหรือไง”พูดจบเค้าก็ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ย้ายมานั่งข้างๆ ผมหันมองรอดูว่าเค้าจะทำอะไร เค้ายิ้มเหมือนคนที่เป็นต่อ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้ามาหาผม แล้วก็กระซิบที่ข้างหูผม

“ไม่เจอกันตั้งนาน เราน่าจะไปรื้อฟื้นอะไรกันสักหน่อยดีไหม”







TBC



ตอนนี้เพิ่มตัวละครเข้ามาอีก 1
ไม่รู้ว่าจะจบง่ายขึ้น หรือยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม
ยังไงฝากติดตามด้วยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-09-2016 23:27:06
กลิ้งไม่ธรรมดา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 06-09-2016 23:27:29
ดูท่าอิแว่นอาจจะยอมตามไป  แล้วเปลี่ยนใจทีหลังนะเนี่ย !!!!  :katai1:
ปล.ปกติสองวันอัพที   คราวนี้ ไม่รู้กี่วัน  แต่รู้สึกนานจัง!!!
ปล.2ไม่ได้ทวง ไม่ได้บ่นน้า   แค่เปรยๆ  :hao7:
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-09-2016 00:11:03
  ตอนหน้ากลิ้งกับชาร์ป กินตับกันแน่ๆ ชาร์ห่างไปนานแล้ว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 07-09-2016 02:48:37
ชาร์ปจะโดนกลิ้งเอาคืนหรือเปล่า?

แต่ก็นะถ้ากลิ้งไม่ติดใจอะไรกับชาร์ปเป็นคู่นอนเฉยๆก็เข้าที่เข้าทางแล้ว แต่คิดว่าไม่น่าจะโอเค
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-09-2016 05:22:27
ตอนจบความสัมพันธ์กับกลิ้ง
ท่าทีของชาร์ป ไม่ได้เหมือนอยากจบแค่เพื่อนนะ
หรือชาร์ป อยากมีอะไรต่อกับกลิ้ง
แต่ไม่อยากเป็นแฟน
แต่ตอนนี้ กลิ้งรู้แล้วว่าชาร์ปชอบผู้ชาย
กลิ้ง อาจทำให้ชาร์ป ชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเองยิ่งขึ้น
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 07-09-2016 11:05:22
เหอะ !!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 07-09-2016 11:25:06
ชาร์ปมั่ว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 07-09-2016 12:39:39
ชาร์ปได้กับกลิ้งก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-09-2016 21:29:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-09-2016 14:15:03
เซกส์เฟรนด์
อีกครั้ง

ชาร์ปชอบ
มั่วได้อะไรได้

แก้เงี่ยนได้ดีกว่า
จะมานอนซักผ้าเอง

เอาเหอะ
น่า..นะ ตะเอง

เขินเป็นด้วยเหรอ ไอ่แว่น
ก๊ากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 11-09-2016 05:09:13
รอๆ เมื่อไหร่จะมาต่อ รอดูอิชาร์ปมันจะทำยังไง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 9 คนแรก 06-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-09-2016 16:45:54
PART II บทที่ 10
ที่สอง



Aut’s Part

“ไม่ไล่เราแล้วเหรอ”หนุ่ยเอ่ยถามขึ้น ทั้งที่ทีแรกไม่ได้สนใจการมาของผม เหมือนวันก่อนๆ ตอนนี้เค้ายึดบ้านผมไปหลายวันแล้วละครับ จากทีแรกบอกจะรบกวนแค่วันสองวัน แต่นี่จะสองอาทิตย์ก็แล้ว ยังไม่ยอมย้ายออก ช่วงนี้ผมเลยทั้งมากดดัน ทั้งไล่ หรือบางวันก็พูดดีๆ แต่ไม่ว่าจะวิธีไหน เค้าก็ยังหน้ามึนไม่ยอมออกไป

“อรรถกับแฟน ก็ไปอยู่บ้านโน้นแล้ว หลังนี้ก็ให้เราเช่าดิ จะคิดเดือนเท่าไหร่ก็ว่ามา”เค้าเริ่มพูดแบบนี้ตั้งแต่ยึดบ้านผมไปประมาณ 3-4 วัน ซึ่งผมก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะไม่ได้อยากปล่อยบ้านให้ใครเช่า อีกอย่างหนุ่ยเอง ก็ใช่ว่าจะหาที่อื่นไม่ได้แล้ว

“ให้เวลาแค่พรุ่งนี้นะ จัดการให้เรียบร้อย ไม่งั้นเราจะมาขนของหนุ่ยโยนออกไปเอง”ผมบอกเสียงดุ แต่สิ่งที่ผมพูดไปมันคงไม่ได้เข้าหูหนุ่ยเลย เค้าก็ทำงานของเค้าไป ทำเหมือนผมเป็นธาตุ อากาศที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจเค้าได้

“งานเรามันติดพันจริงๆ อรรถ ขออีกวันนะ”และนี่คือคำบ่ายเบี่ยงที่คงแค่ผลัดวันไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เค้าก็เอ่ยขอเช่าบ้านผมนี่แหละครับ

“เอาจริงๆ นะหนุ่ย ทำแบบนี้ต้องการอะไร พูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า อรรถเบื่อที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้แล้ว”ผมเดินเข้าหาเค้าพร้อมดึงมือเค้าให้หยุดทำงาน แล้วคุยกับผม เค้าเงยหน้ามองผม ด้วยสายตาที่ทำเหมือนผมเป็นคนผิด มาขวางการทำงานของเค้า แต่ว่า นี่เค้ามีสิทธ์อะไรจะมามองผมแบบนี้ นี่มันบ้านผม

“ถ้าเราบอกตรงๆ อรรถจะให้เราอยู่ที่นี่ต่อใช่ไหม ให้เราเช่า ค่าเช่าเท่าไหร่ไม่เกี่ยงเลย”คำพูดไหนที่ผมหมายความแบบนั้นกัน แล้วไอ้ที่บอกว่าไม่เกี่ยงค่าเช่า ถ้าผมบอกคิดเดือนละล้านเนี่ย เค้าจะยังพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่า

“ว่าไป”ผมปล่อยมือเค้า แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเค้า ถึงผมจะมีคำตอบอยู่แล้วว่า ไม่ให้เค้าอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อเค้ายังจะมีข้ออ้างอะไรอีกก็ให้เค้าอ้างไปครับ

“ข้อแรก เราไม่ได้คิดจะวุ่นวายกับชีวิตรักของอรรถกับแฟน ไม่ได้จะอยากแย่งอรรถกลับมาหรืออะไรทั้งนั้น เพราะงั้นประเด็นนี้สบายใจได้”ที่จริงประเด็นนี้ต่อให้เค้าคิด ผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว แต่ที่บอกว่าไม่คิดวุ่นวาย ตอนนี้ผมว่ามันก็วุ่นวายไปแล้วนะ

“ข้อสอง เราไม่อยากกลับบ้านพ่อกับแม่ ไม่อยากให้ที่บ้านมองว่าเราหมดทางไปแล้ว”อันนี้เค้าเคยพูดแล้ว และผมก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรที่เค้าจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ในเมื่อตอนนี้บัตรต่างๆ ของเค้าก็ทำใหม่เสร็จเรียบร้อย และไอ้งานที่ผมเห็นเค้าทำอยู่ ก็เหมือนเพิ่งจะได้เงินก้อนใหญ่มาอยู่ แถมเค้าเพิ่งบอกผมมาหมาดๆ ว่าเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเค้า ฟังดูก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่เค้าจำเป็นจะต้องมาอยู่ที่นี่

“ข้อสาม เราไม่อยากรู้สึกแพ้ ไอ้นั่นพอมันเลิกกับเรา มันพาแฟนเก่าเข้ามาอยู่ด้วย”อย่าบอกนะว่านี่คือเหตุผลจริงๆ ตรรกะบ้าบออะไรเนี่ย แฟนพาแฟนเก่ามาอยู่ด้วย แล้วมันจำเป็นตรงไหนที่เค้าจะต้องมาอยากอยู่บ้านผม ที่เป็นแฟนเก่าเค้าแบบนี้

“แสดงว่ายังแคร์เค้าอยู่งั้นสิ”หลังฟังจบ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น คนเราถ้าคิดจะเลิกกัน คงไม่เก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาให้มีผลกับชีวิตตัวเองจริงไหมครับ นอกเสียจากยังแคร์อีกฝ่ายอยู่ หนุ่ยเองก็เพิ่งเลิกกับแฟนไม่นาน คงยังตัดใจไม่ได้

“ไม่ได้แคร์ แต่ไม่อยากรู้สึกแพ้”แล้วไอ้ที่ทำอยู่เนี่ย มันดูเป็นฝ่ายชนะตรงไหนกัน ถ้าอยากจะชนะ ทำไมไม่เอาชนะตัวเอง ข้ามผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ได้

“สรุปเลยนะ ข้อแรกกะข้อสอง ไม่มีน้ำหนักอะไรที่หนุ่ยจะต้องอยากมาอยู่บ้านอรรถ ส่วนข้อสามนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นเหตุผลที่งี่เง่ามากเพราะงั้นหนุ่ยรีบไปหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วที่สุดแล้วกันนะ เอาตามนี้”ความจริงแม้เค้าจะมีเหตุผลอะไรมาอ้างที่ดูน่าเห็นใจกว่านี้ผมก็ตั้งใจปฏิเสธอยู่แล้วแหละครับ ว่ายังคงปฏิเสธเค้าอยู่ดี ทว่าหนุ่ยเองก็ยังดึงดัน จนมาถึงวันนี้แหละครับ วันที่ผมมีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่า จนไม่ได้สนใจแล้วว่าเค้าจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ หรือจะยอมย้ายออกไปหรือเปล่า

“อรรถ เฮ้ เป็นไรเนี่ย”เค้าหันมาถามผมอีกครั้งด้วยแววตาสงสัย ก็แน่นอนแหละครับ เพราะวันนี้ผมมาถึง ไม่ได้เอ่ยปากพูดเรื่องเค้าที่จะย้ายออก แต่ผมมาถึง ผมก็นั่งทำหน้าเซ็งๆ วันนี้ผมแค่ยังไม่อยากกลับบ้านไปเจอตี้ก็เท่านั้น

“ทะเลาะกับแฟนรึไง”เค้าหันมาถามย้ำเมื่อผมไม่ได้ตอบเค้า แต่ผมก็ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธทุกคำถาม เพราะผมก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกับปาร์ตี้ เพียงแต่ผมแค่รู้สึกบางอย่าง


“ตี้รักอรรถไหม”คำถามที่ผมเองเริ่มไม่แน่ใจ ว่าเค้ารู้สึกกับผมยังไง ผมรู้ว่าในตอนเริ่มต้น เค้าอาจแค่รู้สึกดีกับผม แต่การอยู่ด้วยกันมาเกือบปี เราก็มีความสุขกันดี และเค้าก็เคยบอกว่ารักผม แม้มันจะเป็นการบอกรักด้วยคำถามของผมก็ตาม แต่ตอนนี้ตั้งแต่คุณแว่นนั่นมาเจอกับตี้อีกครั้ง มันทำให้ผมเริ่มคิดถึงหลายๆ อย่างที่ผมพยายามมองข้ามไป

อย่างเรื่องการบอกรัก แม้ผมจะไม่ได้คาดหวังอยากได้ยินคำว่ารักทุกวัน หรือซีเรียสอะไรขนาดนั้นนะครับ ด้วยวัยด้วยอะไรแล้วผมก็มองแหละครับว่าการกระทำหรือการแสดงออก มันสำคัญกว่า แต่ไอ้การแสดงออกนี่แหละครับ ที่ทำผมกังวลขึ้นอีก ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เค้าเจอคุณแว่นครั้งนี้ เค้าบ่ายเบี่ยงเรื่องการมีอะไรกับผม จริงๆ ก่อนหน้านั้นตอนเราอยู่ด้วยกันแรกๆ เค้าก็มีบ่ายเบี่ยงบ้างนะครับ แต่จะว่ายังไงดีละ มันดูไม่จงใจอย่างในตอนนี้ ก็พยายามจะคิดนะครับ ว่ามันไม่มีอะไร และเป็นผมเองที่คิดมากไป แต่ในใจผมมันก็รู้สึกไม่สงบอยู่ดี

“รักสิ”นั่นคือคำตอบที่เค้าให้กับผม แม้มันจะไม่ได้ทำให้ผมเชื่อเต็มร้อย แต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้เค้าอีก ผมเลือกที่จะยิ้มให้เค้า และมองดูเค้าทานข้าวต่อ เก็บความรู้สึกที่คลางแคลงใจนั้นไว้ ปลอบใจตัวเองว่ายังไงเค้าก็เลือกผม ซึ่งสิ่งที่ผมเก็บไว้ในใจมันกลับยิ่งสะสมขึ้นเรื่อยๆ เพราะ...

“วันนี้เหนื่อยจริงๆ ไว้วันหลังนะ”นี่คือสิ่งที่เค้าใช้ปฏิเสธผมบ่อยๆ มันก็ไม่ถึงกับว่าเราไม่มีไรกันเลยนะครับ แต่ถ้าเลี่ยงได้ ดูเค้าจะเลี่ยงตลอด บางครั้งก็เข้าใจว่าเค้าเหนื่อยเรื่องงาน แต่ทำไมช่วงนี้เค้าดูห่วงงานเป็นพิเศษ

“อยากระบายไหม”เสียงของหนุ่ยแทรกเข้ามาอีกครั้ง นี่สภาพผมมันคงดูไม่ไหวแล้วจริงๆ เค้าถึงได้มาให้ความสนใจผมขนาดนี้ ทั้งที่ครั้งก่อนๆ แทบจะมองผมเป็นธาตุเป็นอากาศ เสียด้วยซ้ำ

“สมมตินะ”ผมตัดสินใจจะคุยเรื่องนี้กับหนุ่ย ถึงแม้ว่าผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดทั้งหมด แต่การได้พูดออกมาบ้างอาจทำให้ผมสบายใจขึ้นบ้าง ก็เป็นได้ หนุ่ยหันมามองผมอย่างตั้งใจจะฟัง

“สมมติว่าคนที่เราคบอยู่ ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นได้แค่ที่สองในใจเค้า เป็นหนุ่ย หนุ่ยจะรู้สึกยังไง”นี่คือสิ่งที่รบกวนความรู้สึกผมมาตลอดหลายวัน ผมว่าผมก็ทุ่มเทให้กับปาร์ตี้แบบเทหน้าตักไปแล้ว แต่สำหรับเค้า แม้จะดีกับผม มันก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่รั้งเค้าไว้ไม่ให้เทความรู้สึกทั้งหมดมาที่ผม แล้วผมก็ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าสิ่งที่รั้งเค้าไว้คืออะไร

“ไม่ทำไง เพราะเราไม่เคยลดค่าตัวเอง ว่าเป็นสองรองใคร คนคบกันก็แสดงว่าเค้าเลือกเรา เราก็คือที่หนึ่งอยู่แล้ว ถ้ามีคนอื่นที่เหนือกว่าเราเค้าก็คงเลือกคนอื่นไปแล้วไง”มันก็ถูกของหนุ่ยนะครับทอีกอย่าง ตัวเค้าก็มั่นใจในตัวเองสูงอยู่แล้ว  เพียงแต่กรณีผม ผมว่าตั้งแต่แรกตี้คงเลือกผม ทั้งที่ในใจเค้า ผมเป็นรองคุณแว่นอยู่

“หรือถ้ารู้สึกว่าด้อยกว่าใคร เป็นเรา เราก็จะเอาชนะอีกคนจนเป็นที่หนึ่งให้ได้อยู่ดี”หนุ่ยออกความเห็นเพิ่ม ตามประสาคนมั่นใจในตัวเอง และเป็นคนชอบเอาชนะ ส่วนผม ใช่ว่าจะไม่พยายามนะครับ ผมไม่ถึงขนาดว่าอยากจะแข่งกับคุณจริงจัง เพียงแค่ผมอยากทำดีกับตี้ให้มากที่สุด เคยคิดว่ารักครั้งนี้มันจะต้องออกมาดี ครั้งแรกที่ตกลงคบกัน แล้วเค้าขอเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นเพื่อน อะไรที่เค้าไม่ชอบผมก็ปรับ จนมาครั้งนี้ทุกอย่างมันก็ดูไปได้ดีแล้วเชียว

“งั้นเหรอ”ผมบอกออกไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมก็ไม่ได้ต้องการคำแนะนำอย่างจริงจังเท่าใดนัก ผมเพียงอยากคุยเรื่องนี้กับใครสักคนแค่นั้น

“แฟนอรรถ เค้ายังไม่ลืมแฟนเก่าเหรอ หรือยังไง”ผมถอนหายใจ พร้อมๆ กับส่ายหน้าปฏิเสธ แต่จริงๆ มันก็คงปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเสียทีเดียว เพราะความสัมพันธ์ระหว่างปาร์ตี้ที่เคยเกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่แฟน แต่มันก็เกินเลยคำว่าเพื่อนไปไกลแล้วเหมือนกัน

“แต่เท่าที่เห็น เค้าก็ดูรักอรรถดีนิ อะไรทำให้อรรถรู้สึกแบบนั้น”

“ช่างเหอะ อรรถอาจจะคิดมากไปเอง”ผมคงไม่ลงรายละเอียดให้เค้าฟังไปมากกว่านี้แล้ว แค่ได้พูดออกมาให้ตัวเองคลายความอึดอัดลงไปบ้างแบบนี้ ก็ถือว่าดีแล้ว

“งั้น...ไปหาไรดื่มกันหน่อยไหม”ผมจ้องมองอย่างจับผิดว่าเค้าไม่ได้มีอะไรแอบแฝงอย่างอื่น ที่ชวนผมไปดื่มแบบนี้ ถ้าเวลาปกติผมคงปฏิเสธไปโดยไม่ต้องคิดอะไร แต่ตอนนี้ในเวลาที่ผมอยากจะปรับความรู้สึกตัวเองสักหน่อย ยังไม่อยากกลับไปเจอปาร์ตี้ตอนนี้ ผมชั่งใจนิดหน่อย ก่อนจะตอบตกลง

จากการมาพูดคุยให้หนุ่ยย้ายออกจากบ้านผม กลับกลายเป็นว่านอกจากผมจะเจรจาไม่สำเร็จแถมยัง ออกมานั่งดื่มกับแฟนเก่าอย่างหนุ่ยด้วยอีกต่างหาก ผมเลือกร้านสบายๆ ที่ปาร์ตี้ชอบมานั่ง นี่ขนาดรู้สึกไม่ค่อยอยากเจอเค้าตอนนี้ แต่ไม่วายยังมาในที่ที่เค้ามาประจำอีก วันนี้ผมบอกกับเค้าไปแล้วว่าอาจจะกลับช้าหน่อย ซึ่งเค้าก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผม คงเพราะคิดว่าผมไปกับลูกค้าตามปกติ บางครั้งผมก็เคยคิดนะครับว่าอยากให้เค้าหึงผมบ้าง นี่ตั้งแต่คบกันมา เพิ่งจะมีครั้งที่เค้าเจอกับหนุ่ย วันแรกนั่นแหละ ที่ดูมีอาการใกล้เคียงคำว่าหึงมากที่สุด นอกนั้นก็ไม่เคยมีอีกเลย

“แล้วตกลงเรื่องของหนุ่ยกับแฟนนี่ยังไง เลิกจริงจังเด็ดขาดแล้วหรืออยู่ในช่วงรอคืนดี”หลังจากสั่งอาหาร และเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย ผมเป็นฝ่านเริ่มบทสนทนา สบายๆ ถามไถ่เรื่องของเค้าบ้าง แม้เค้าจะเปิดๆ มาบ้างแล้วตอนที่ใช้อ้างกับผมเรื่องจะขอเช่าบ้าน แต่ผมก็ยัง 50:50 นะครับว่านั่นเค้าพูดจริงหรือว่าแกล้งสร้างเรื่องให้ผมเขวก็ไม่รู้

“โอ้ย...รอคืนดีอะไรละ มันพาแฟนเก่ากลับเข้ามาอยู่ด้วยขนาดนั้นแล้ว อย่างเราต้องหาใหม่ให้ได้ดีกว่าเดิม ของเก่ามีปัญหาไปแล้ว เราไม่เสียเวลากลับไปซ่อมหรอก สู้หาของใหม่ เร้าใจกว่าเยอะ แต่ตอนนี้งานมันรุมเร้า ไม่มีเวลาหาใหม่ ก็เลยมาอยู่บ้านอรรถนี่แหละ ไม่อยากให้ไอ้นั่นคิดว่าเราไม่มีใครเอา”หนุ่ยก็ยังเป็นหนุ่ย พูดเหมือนไม่แคร์อะไร แต่จริงๆ ก็แคร์นั่นแหละครับ อย่างเรื่องนี่แม้จะไม่สนเรื่องการเลิกรา แต่ก็ยังแคร์เรื่องที่อีกฝ่ายจะมองตัวเองยังไง

“แล้วไม่รู้สึกอยากมีความสัมพันธ์แบบยืนยาว คบใครสักคนอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่างี้บ้างเหรอ”เค้าหัวเราะกับสิ่งที่ผมพูด เหมือนเห็นมันเป็นแค่เรื่องตลกเรื่องนึง

“ไม่ได้ไม่เชื่อนะ ว่าความรักของคนเพศเดียวกันจะยืนยาวได้ เพียงมันอาจไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก”การบอกออกมาแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการไม่เชื่อในเรื่องนี้หรอกครับ จริงๆ เรื่องนี้ตอนผมกับเค้าคบกันก็เคยคุยกันนะครับ ซึ่งวันนึงเราทั้งคู่ก็รู้ว่าระหว่างเรามันเป็นแบบนั้นไม่ได้

“ถ้าอรรถคิดว่าอยากให้รักครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก็ต้องผ่านบททดสอบ ที่จะเข้ามาให้ได้ นี่แค่ปีแรกอรรถยังมีเรื่องมารบกวนจิตใจ แล้วถ้าคบกันไปเรื่อยๆ มันก็คงมีบททดสอบเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกันแหละ ผ่านไปให้ได้แล้วกัน เผื่อเราจะได้เอาคู่ของอรรถเป็นต้นแบบบ้าง”นั่นสินะ ถ้าจะคบกันมันก็คงมีอีกหลายอย่างที่ผมกับเค้าจะต้องเจอ ชีวิตคู่ของทุกคู่มันก็ต้องมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น คู่ผมเองก็กำลังจะครบปี เดี๋ยวนะ ครบปี แย่แล้ว เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นๆ ในหัว ทั้งเรื่องคุณแว่น เรื่องหนุ่ยกับบ้าน เลยลืมไปเลยว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันครบรอบที่ผมกับปาร์ตี้ ตกลงเป็นแฟนและย้ายมาอยู่ด้วยกันครบ 1 ปีแล้ว

จากที่คิดว่าจะทำอะไรเซอร์ไพรส์เค้าเสียหน่อย แต่นี่คงไม่ทันแล้วมั้ง เอาไงดีละทีนี้ แต่ก็ยังดีที่นึกออกนะเนี่ย เกิดลืมจนผ่านไปแล้วคงไม่ดีแน่ แม้ตี้จะไม่ใช่คนให้ความสำคัญอะไรเป็นพิเศษกับวันอะไรพวกนี้ก็เถอะ แต่ผมก็อยากให้มันมีอะไรต่างจากวันปกติบ้าง

“หวัดดีครับคุณอรรถ”เสียงทักทายดังขึ้น และเจ้าของเสียงก็ทำให้ผมตกใจนิดหน่อย เพราะคนที่มาทักผมคือเหมา เพื่อนของปาร์ตี้ เค้ามองผมสลับไปมากับหนุ่ย นี่คงไม่ได้เข้าใจผิดอะไรหรอกนะ




TBC
ช่วงนี้มาช้านหน่อยนะคร๊าบบ

ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามกันนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-09-2016 17:56:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 11-09-2016 18:04:39
ยุ่งอิรุงตุงนังเรียกว่าเจอแฟนเก่ากันทุกคนนนนนเลย เฮ้อออ..วุ่นวายดีนะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-09-2016 18:24:53
คิดใหม่ได้แล้วอรรถ คิดมากแบบนั้น ปาร์ตี้ก็จะไปหาชาร์ปสักวัน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-09-2016 19:22:18
แต่ละคน แต่ละคู่ มีอะไรซับซ้อนไปหมดเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-09-2016 13:54:11
ใครจะแดกใคร
แดกกันยังไง
ตูไม่เกี่ยว


 :z2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: Who ที่ 12-09-2016 17:49:03
สุดท้ายอรรถก็ไปลงเอยกับแฟนเก่า
อิแว่นก็ไปกับแฟนเก่า
ตี้เลยโดนทิ้งไม่เหลือใคร

ถ้าเป็นแบบนั้นนี่เลิกอ่านเลยนะ
จิตตกตั้งแต่อิโอเล่แล้ว
ถ้าตี้ก็มีจุดจบเดียวกันนี่ไม่กล้าอ่านนิยายที่คุณคนเขียนแต่งแน่ๆ
ถึงคุณคนเขียนจะบอกว่าตี้จบแฮปปี้ก็ตาม
แต่อินี่กลัวไปไกลแล้วไง :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-09-2016 18:05:28
ติง นังๆ ตัง นิง ...........ยุ่งเป็น อีลุงตุงนัง
แฟนเก่าๆ ของแต่ละฝ่าย เปิดตัวกันน่าดู
ก็น่าที่อรรถจะคิดมากเรื่องตี้
แต่คิดมากแล้วไปปรึกษากับแฟนเก่า
ไปกินกับแฟนเก่า เหมาเห็นอีก
นี่.... :m16:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 13-09-2016 00:36:36
สุดท้ายอรรถก็ไปลงเอยกับแฟนเก่า
อิแว่นก็ไปกับแฟนเก่า
ตี้เลยโดนทิ้งไม่เหลือใคร

ถ้าเป็นแบบนั้นนี่เลิกอ่านเลยนะ
จิตตกตั้งแต่อิโอเล่แล้ว
ถ้าตี้ก็มีจุดจบเดียวกันนี่ไม่กล้าอ่านนิยายที่คุณคนเขียนแต่งแน่ๆ
ถึงคุณคนเขียนจะบอกว่าตี้จบแฮปปี้ก็ตาม
แต่อินี่กลัวไปไกลแล้วไง :katai1:


555
มีแต่เรื่องเล่กับแฟ้มเองนะฮ่ะที่จบแบบนั้น

เรื่องอื่นๆ ที่แต่งก็ออกจะแฮปปี้ นะคร๊าบบ

เล่กับแฟ้มเรื่องมันบรรจบกันยากจริงๆ อ่ะเนอะ แต่วันนึงเมื่ออะไรมันดีขึ้น

ทั้งคู่อาจได้มีความสุขกันก็เป็นไป

กลับมาที่ปาร์ตี้คนมีดีเทลของเรา ตี้คงไม่รันทดเท่าแฟ้มแน่นอน

แต่คุณแว่นกับคุณอรรถ แน่นอนว่าคงมีคนเดียวที่จะได้สมหวัง

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 16-09-2016 18:32:20
มันสนุกตรงที่ ความสัมพันมันเริ่มซับซ้อนนี่แหละ
ใครเคยได้ใคร ใครแฟนเก่าใคร เดี๋ยวคงรู้จักกันหมด 555+

นี่เหมาเพื่อนตี้มาละ 5555+
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-09-2016 21:37:14
จะรออ่านตอนของไอ่แว่น
กลับไปแดกคนแรก


เก่าเกิ๊นนนนน
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 17-09-2016 07:29:35
เมื่อไหร่จะมาต่อคับ พี่รู้ไหม ฉันเข้ามารออ่านทุกวันเลยนะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-09-2016 18:11:16
รวดเดียวจบ เป็นอะไรที่ชอบมากแนวนี้ อ่านไปหน่วงไป

วุ่นวายไปหมด ต้องตามมม!!

รีบมาต่อน้า
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 20-09-2016 20:33:25
รอๆ เข้ามาดูทุกวัน อยากอ่านต่อแล้วิ :ling1: :ling1: คนเขียนไปไหนนนน 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-09-2016 22:36:10
ไอ่แว่น#ทำอะไรอยู่เหรอ#กลับไปแดกของเก่าไม่ต้องอาย#เล่ามาซะดีดี
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 10 ที่สอง 11-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-09-2016 21:48:51
PART II บทที่ 11
ความเมา


Sharp’s Part
“เมายัง”เสียงกระซิบที่ข้างหู ที่ดูจะเรียกว่าเสียงตะโกนเสียมากกว่า ตอนนี้ผมกับกลิ้งอยู่ที่ผับแห่งนึง โดยกลิ้งเป็นคนเลือก ก็ไม่รู้ว่าจะมาเบียดเสียดแออัดกันทำไมในนี้ แถมคุยกันก็ไม่ได้ยิน ต้องตะโกนใส่หูกันไปกันมา และแน่นอนว่าผมเริ่มไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่แล้ว ตอนแรกที่ตัดสินใจมาดื่มต่อกับเค้าก็คิดว่าคงไปนั่งดื่มสบายๆ แต่เค้ากลับบอกว่าถ้าจะนั่งแบบนั้นก็นั่งร้านเดิม ไม่เห็นต้องย้ายเลย และสุดท้ายเค้าก็เลือกร้านนี้ เพื่อจะได้ครึกครื้นหน่อย

“เดี๋ยวออกไปสูบบุหรี่แปปนะ”ผมเอียงหน้าเข้าไปใกล้ๆ เค้าพร้อมตะโกนบอก แล้วก็เดินเบียดผู้คนที่กำลังขยับตามจังหวะเสียงเพลง ดูแต่ละคนที่มาที่นี่จะกำลังสนุกที่ได้ปลดปล่อยกับการดื่มจนเมาแล้วเต้นบ้าๆ บอ โดยไม่ต้องคิดอะไรอีก ด้วยความที่คนแน่นมากกว่าผมจะเบียดออกมาได้นี่แทบจะหายเมาเลยทีเดียว แต่จริงๆ ผมก็ยังไม่ได้เมาอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ทีแรก เข้าไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ เพราะเด็กเสิร์ฟบอกกับผมว่าสูบในห้องน้ำได้ พอเข้าไปจริงๆ นี่โอ้โห คือต่างคนต่างเข้ามาสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ควันบุหรี่ กลิ่นบุหรี่ที่ไม่มีทางจะระบายออก ก็ตลบอบอวลอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละครับ ถ้าใครไม่ชอบบุหรี่นี่คงเข้าห้องน้ำที่นี่ไม่ไหวแน่ๆ ขนาดผมเองเป็นคนสูบบุหรี่ เข้าไปยังแทบจะอ๊วกเพราะเมากลิ่นบุหรี่เลยครับ

“ฟู่”ผมพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอกหลังจากได้สูดอากาศข้างนอก จนเต็มปอด ผมเดินมาหยุดอยู่ที่บริเวณที่สูบบุหรี่ จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วก็เริ่มคิดว่านี่ผมมาทำอะไรที่นี่กันนะ นี่ถ้าผมชิ่งกลับก่อน จะดูเป็นการเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า ผมมาเพราะแค่อยากมาดื่มกับเพื่อนเก่า หรือที่ผมมานี่เพื่อหวังอะไรบางอย่าง คำพูดของกลิ้ง ที่ชวนผมมานี่แม้จะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ มันก็พอจะเดาออกว่าจะสื่อความหมายยังไง แล้วนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ

ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูโซเชี่ยลมีเดียว่าเพื่อนๆ ที่ผมรู้จักมีการอัพเดทอะไรกันบ้าง จริงๆ ก็เพื่อที่จะฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะยังไม่อยากกลับเข้าไปเบียดเสียดกับคนข้างในนั้นอีก ผมกดเข้า facebook และเข้า timeline ของใครคนนึงด้วยความเคยชิน แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหว ใหม่ๆ อะไร แต่ผมก็ยังคงเลื่อนดูรูปของเค้า ซ้ำไปซ้ำมา ตอนแรกที่ผมรู้จักเค้า เค้าเป็นคนที่อัพเดทอะไรบ่อยพอสมควร แต่หลังๆ มานี้ดูเค้าไม่ค่อยจะโพสต์อะไรมากนัก ไม่รู้ว่าเพราะเค้ามีความสุขในชีวิตจริงจนไม่มีเวลาจะมาอัพเดทโลกโซเชียล หรือว่าเริ่มไม่อยากให้คนอื่นรับรู้เรื่องส่วนตัวกันแน่ คนอื่นนี่ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ คงหมายถึงผมนี่แหละ

“ชาร์ป”เสียงของกลิ้งทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ ก่อนจะรีบปิดหน้าจอ เพราะกลิ้งเหมือนจะกำลังจ้องมองที่หน้าจอมือถือผม ว่าผมกำลังดูอะไรอยู่

“ตะกี้ดูอะไรอยู่อ่ะ”เค้าถามยิ้มๆ เหมือนกำลังจับผิดบางอย่างอยู่

“เปล่า”ผมไม่รู้ว่าเค้าทันได้มองเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอมือถือของผมชัดขนาดไหน แต่ผมเลือกที่จะปฏิเสธไว้ก่อน เพราะไม่คิดจะให้เค้ารับรู้ถึงเรื่องราวของปาร์ตี้เท่าไหร่นัก

“หายมานานขนาดนี้นึกว่าหนีกลับไปแล้วเสียอีก”เค้าบอกสบายๆ พร้อมเดินเข้ามาขอบุหรี่จากผม จุดขึ้นสูบ สายตาเค้ายังคงจ้องมองผมโดยที่แววตาของเค้า มันบ่งบอกชัดเจนเหลือเกินว่าตอนนี้คิดอะไรอยู่ แต่ผมยังคงแสร้งทำเหมือนไม่รู้ว่าสิ่งที่เค้าสื่อออกมามันคืออะไร

“ข้างในคนแน่น หายใจไม่ค่อยออกเลยออกมาพักข้างนอกนี่แหละ กำลังว่าจะเข้าไปพอดีเลย”แม้ใจจริงผมจะไม่อยากอยู่ต่อแล้ว แต่มันก็คงจะเสียมารยาทมากไปถ้าผมจะชิ่งกลับก่อนตอนนี้ เพราะงั้นเลยคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเค้าอีกสักพักแล้วกัน กลิ้งเหมือนคิดนิดนึงก่อนจะคัดสินใจ

“กลับไหมล่ะ ดูชาร์ปไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่”สงสัยผมจะแสดงสีหน้าชัดเจนเกินไปว่าไม่ค่อยชอบที่นี่ แต่ก็ดีครับ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเข้าไปอยู่แล้ว ว่าแต่นี่ผมกับเค้าจะแยกย้ายกันแค่นี้งั้นเหรอ จากสายตาที่เค้าส่งมาอย่างไม่ปกปิดนั่น คืนนี้มันไม่น่าจะจบแค่นี้นี่นา แต่ความสงสัยของผมก็อยู่แค่ไม่นานเค้าเอ่ยประโยคถัดมา

“หรือไปกินต่อที่ห้องเราดี”รอยยิ้ม น้ำเสียง แววตา ทุกอย่างที่ส่งมา เค้าไม่มีการปกปิดเลยว่าต้องการอะไร จริงๆ ตั้งแต่ผมตัดสินใจมาดื่มต่อกับเค้า ผมก็รู้อยู่แล้วแหละครับ ว่าคืนนี้มันจะไปจบที่ไหน เพียงแต่ตอนนี้ ผมยังต้องการอย่างนั้นอยู่ไหม ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้ผมเริ่มลังเล

“เอาดิ”ทั้งความเหงา และฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ผมเลือกที่จะตอบรับคำเชิญชวนนั้น กลิ้งยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะการตอบรับของผมมันก็คงทำให้เค้าตีความได้ว่ามันไม่ได้หมายถึงแค่การไปดื่มต่อที่ห้องพักของเค้า แต่มันทีความนัยแฝงมากกว่านั้น เราทั้งคู่ออกจากผับ และตรงไปยังโรงแรมที่เค้าพัก โดยไม่ลืมที่จะแวะซื้อเครื่องดื่มติดมาด้วย

พอถึงห้องพัก ผมสังเกตว่าห้องของเค้าน่าจะไม่ได้พักคนเดียว ซึ่งก็คงไม่แปลกเพราะเห็นเค้าก็มากับกลุ่มเพื่อน แต่ตอนนี้เพื่อนคนที่พักห้องนี้กับกลิ้ง คงโดนจัดแจงไปนอนห้องอื่นเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเลือกนั่งลงที่โซฟาซึ่งวางอยู่มุมนึงของห้อง  แก้วเหล้าเพียวๆ 2 ใบที่เพิ่งรินเสร็จถูกยื่นให้ผมหนึ่งแก้ว และเค้าถือไว้อีกแก้ว เราต่างคนต่างยื่นแก้วมากระทบกันก่อนจะยกดื่มรวดเดียว

“ถามไรหน่อยดิ”เค้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ผม พร้อมยื่นแก้วเหล้าให้ผมอีกรอบ มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วของเค้าวางลงที่ต้นขาของผม และเริ่มลูบไปมาเบาๆ เมื่อเห็นผมไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสจากเค้า รอยยิ้มของเค้าก็ยิ่งเพิ่มความพึงพอใจมากขึ้นไปอีก

“คุณหอมแดงกับ คนในรูปที่ชาร์ปดูที่หน้าผับนั่น คนเดียวกันใช่ไหม”ผมไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่เค้าเดาถูก แต่ผมก็ไม่ได้ยอมรับตรงๆ ผมเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย การไม่ปฏิเสธของผมก็คงทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแล้วแหละว่าคนคนนั้นคือใคร

“และคงเป็นคนที่มีส่วนทำให้ชาร์ปต้องถอนหมั้นด้วยถูกไหม”เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ได้จะต้องการคำตอบ เพราะพอจบประโยค เค้าก็ก้าวขึ้นมานั่งที่ตักของผม ใบหน้าของเค้าโน้มเค้ามาหาผมชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของทั้งผมและเค้า กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากลมหายใจของเราทั้งคู่ ส่งกลิ่นให้ได้รับรู้และกระตุ้นอารมณ์ที่อยู่ภายใน

นิ้วเรียวของเค้าถูกยกขึ้นมาเกลี่ยไปกับใบหน้าผม แว่นผมค่อยๆ ถูกถอดออกไปวางไว้ด้านข้าง ใบหน้าผมเงยขึ้นเล็กน้อยตามแรงมือของเค้าที่สอดดึงไปตามแนวไรผม ของผม ริมฝีปากของเค้าค่อยๆ เลื่อนลงมาหาผมที่ไม่ได้ปฏิเสธการกระทำของเค้า ผมเปิดปากแล้วจูบตอบเค้าอย่างไม่ยอมแพ้ จะด้วยความเมา หรือความเหงาความเปล่าเปลี่ยนก็ไม่ทราบได้ มันทำให้ผมไม่ได้ปฏิเสธเค้า ทั้งที่ในใจยังคงมีความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง

กระดุมเสื้อผมเริ่มถูกปลดทีละเม็ด ทีละเม็ด การไม่ได้เจอกันนานเวลามันทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปมากจริงๆ กลิ้งที่เมื่อก่อนจะเขินอายในการเป็นฝ่ายเริ่มอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้เค้ากลับดูช่ำชองเปลี่ยนเป็นคนละคนไปแล้ว เค้าผละจากตัวผมเพื่อถอดเสื้อของตัวเค้าเอง ก่อนจะกลับมาแลกลิ้นกับผมอีกครั้ง

ผมยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกหวาบหวามที่ผมห่างหายมานาน แต่ผมกลับไม่ได้นึกถึงคนตรงหน้านี่เลย ภาพของใครอีกคนซ้อนทับเข้ามา จนผมเริ่มรู้สึกลังเลที่จะให้เรื่องนี้ดำเนินต่อ ผมเริ่มนิ่งพยายามตั้งสติเพราะอารมณ์ของผมตอนนี้มันก็เริ่มจะกระเจิงไปแล้วเหมือนกัน ผมเริ่มขืนตัวและผลักอีกคนออกเบาๆ

“พอเถอะ”และผมก็พูดออกไปในที่สุด ผมทำไม่ได้ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเซกส์สำหรับผมมันคงแค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่ตอนนี้ทั้งที่ผมก็ห่างหายมานาน และมีความต้องการเช่นกัน แต่ความรู้สึกของผมกลับต่อต้านกันเองอยู่ภายใน

“ทำไมล่ะในเมื่อ...”สายตาเค้าที่มองผม เหมือนไม่เชื่อในการปฏิเสธของผม มือของเค้ายังคงวนเวียนอยู่ที่แผงอกของผม และค่อยๆ ลากต่ำลงไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าท้อง จนผมต้องรีบดึงมือนั้นไว้ก่อนทุกอย่างมันจะถลำไปมากกว่านี้ กลิ้งจ้องมองผมด้วยแววตาไม่เข้าใจ

“เราเป็นเพื่อนกัน มันก็ไม่ควรจะเกินเลยไปมากกว่านี้”นี่คือสิ่งที่ผมควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ควรคิดตั้งแต่ก่อนที่จะเลยเถิดกับปาร์ตี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ปล่อยให้อารมณ์กับความใคร่อยู่เหนือเหตุผล เรื่องทุกอย่างอาจจะไม่ได้ เลยมาถึงจุดนี้ ระหว่างผมกับปาร์ตี้เราก็คงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่

“เมื่อก่อนเราก็เป็นเพื่อนกันเราก็ยังทำแบบนี้กันได้ ไม่เห็นชาร์ปจะมีปัญหาอะไรนิ”

“ตอนนี้ความคิด มุมมองของเรามันอาจจะเปลี่ยนไปมั้ง เมื่อก่อนเราอาจจะเคยคิดว่าเซกส์มันก็แค่คนสองคนที่มีความต้องการ หาความสุขร่วมกัน แต่พอเวลาผ่านไป เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ถ้ามันเป็นเซกส์กับคนที่เราชอบ คนที่เราคบเป็นแฟน มันเป็นอะไรที่แตกต่าง และมันดีกว่ามาก”ถ้าจะเอาให้ชัดผมคงต้องบอกว่าการมีอะไรกับคนที่เรารัก มันต้องมีความสุขมากกว่าอยู่แล้ว ผมน่าจะเอะใจให้ได้ตั้งแต่ตอนที่มีความสัมพันธ์กับปาร์ตี้ ไม่งั้นป่านนี้ ผมก็ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้

“งั้นเรามาคบกันไหมละ”นี่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ผิดไป

“เราขอตัวกลับก่อนน่าจะดีกว่า”ผมไม่ได้ตอบอะไรเค้า หากแต่ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าอย่างลวกๆ เพื่อออกจากห้องนี้ก่อนที่เรื่องราวมันจะยุ่งยากไปมากกว่านี้ กลิ้งพยายามจะรั้งผมไว้ เค้าดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำ แน่นอนว่าการที่ผมยอมมากับเค้าในคืนนี้มันก็เหมือนเป็นการตอบตกลงไปแล้วว่าคืนนี้มันจะต้องจบลงที่เตียงนอน แต่แล้วผมกลับมาปฏิเสธเอาในตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

“ขอโทษนะ แต่เราทำไม่ได้จริงๆ”ผมกล่าวกับเค้าอีกครั้ง ก่อนจะหยิบแว่นที่ถูกถอดออกมาสวมและ ออกจากห้อง กลิ้งไม่ได้ตามมายื้อหรืออะไรผมอีก หวังว่าเค้าคงจะเข้าใจผม หรือถ้าเค้าจะโกรธ เกลียดผมอีกครั้ง ผมก็คงไปห้ามเค้าไม่ได้ ผมกดลิฟต์ลงจากชั้นที่อยู่ ตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ผมสตาร์ทรถ หากแต่ยังไม่ได้ขับออกไป

ความว้าวุ่นในใจทำให้ผมยังนั่งจ้องมองโทรศัพท์อย่างตัดสินใจ เวลาที่ปรากฏบนหน้าจอตอนนี้เกือบจะตี 1 แล้ว ผมค่อยๆ เลื่อนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมแชทขึ้นมา เลื่อนหาชื่อคนที่ผมกำลังรู้สึกอยากคุยกับเค้า ใจจริงอยากจะโทรไปเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเวลาแล้วไม่รู้ป่านนี้เค้านอนไปรึยัง หรือจะไปรบกวนเวลาของเค้ากับแฟนด้วยก็อาจเป็นไปได้อีก ขนาดข้อความที่จะพิมพ์หาเค้าผมยังพิมพ์แล้วลบ อยู่หลายรอบ ด้วยความไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นประโยคคุยกับเค้ายังไง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เค้าจะตอบหรือคุยกับผมหรือเปล่า

“นอนยัง”เป็นข้อความที่ผมว่าพอจะเปิดประเด็นได้ดีที่สุดในเวลานี้ ผมตัดสินใจส่งไปด้วยความหวังว่าเค้าจะยังไม่นอนและตอบกลับผม นี่ถ้าเวลาปกติผมคงไม่กล้าที่จะติดต่อเค้าแบบนี้ แต่นี่ผมเมา และผมถือว่ามันคงเป็นข้ออ้างที่เพียงพอที่จะทักทายเค้าด้วยข้อความ คนเมาสามารถทำอะไรในสิ่งที่คนปกติไม่ทำ และถ้ามีผลอะไรตามมาก็ใช้ความเมานี่แหละในการบอกว่าทำไปด้วยความขาดสติ ผมรู้ว่ามันฟังดูแย่ ดูนิสัยไม่ดี แต่ผมคิดถึงเค้า และผมยินดีที่จะลองเสี่ยงรับกับผลที่จะตามมา

ผมยิ้มกว้างเมื่อข้อความที่ผมส่งไป แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว แต่ไม่นานผมก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววว่าข้อความจากอีกฝั่งจะตอบกลับมา ถ้าเค้าอ่านแสดงว่าคงยังไม่นอน คนที่นอนแล้วคงไม่ตื่นเพียงเพราะเสียงแจ้งเตือนจากข้อความแชทแน่นอน ผมตัดสินใจกดหาเบอร์โทรของเค้าก่อนจะกดโทรออก ถือว่าโชคดีที่แม้เค้าเหมือนจะไม่ได้อยากติดต่อกับผมตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่เค้าก็ไม่ได้ถึงขนาดบล็อคเบอร์หรือช่องทางการติดต่ออื่นๆ จากผม แม้จะคิดไว้ว่าเค้าอาจจะไม่รับสายจากผม แต่ในใจลึกๆ ก็ยังหวังว่าเค้าจะรับสายจากผม เสียงรอสายที่ดังในแต่ละวินาทีมันทำให้ผมลุ้นเสียยิ่งกว่าอะไร ภาวนาอย่าให้เค้ากดตัดสาย หรือสัญญาณตัดไปเฉยๆ

“มีอะไรหรือเปล่า”เค้ารับ เค้ายอมรับสายผม แถมฟังจากน้ำเสียงแล้วเค้าน่าจะยังไม่นอน แต่น้ำเสียงของเค้านิ่งเสียจนผมเดาอารมณ์ไม่ถูกว่าตอนนี้เค้ารู้สึกยังไง แล้วประโยคทีเค้าถามผมนี่เหมือนบอกว่าถ้าไม่มีอะไรสำคัญโทรมาดึกขนาดนี้ผมอาจคอขาดได้

“ฮัลโหล ชาร์ป ได้ยินหรือเปล่า”ผมมัวแต่ตื่นเต้นที่เค้ายอมรับสาย จนพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น

“ได้ยินๆ เราโทรมารบกวนหรือเปล่า”ผมรีบบอกก่อนที่เค้าจะวางสายไปเสียก่อน

“ถ้าคิดว่ารบกวนแล้วจะโทรมาทำไม หรือถ้าเราบอกว่ารบกวนนี่จะวางไหมละ”โอ้โห สงสัยจะไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่แล้วมั้งเนี่ย แม้จะเผื่อใจมาแล้วนะครับว่าเค้าอาจจะไม่ได้อยากคุยกับผม เหมือนที่ผมอยากคุยกับเค้า แต่พอมาเจอสถานการณ์จริง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บเบาเบาครับ

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวาง แล้วนี่ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอ”ผมยังคงพยายามคุยกับเค้าด้วยน้ำเสียงปกติ ทำเป็นไม่สนใจว่าเค้าไม่ได้อยากคุยกับผม แค่เค้ายอมรับสายผมนี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ไม่รู้ว่าเค้ากลัวผมไปทำลายความสัมพันธ์ของเค้ากับแฟนหรือเปล่า แต่ถึงเค้าจะคิดแบบนั้นก็คงไม่แปลก เพราะคงไอ้ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ เพื่อนที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน เค้าคงไม่ทำกัน

“ถ้านอนแล้วจะคุยได้ไหมละ”คงเป็นผมที่บ้าอยู่ฝ่ายเดียวแหละครับ ตอนนี้น้ำเสียงของเค้ามันเหมือนรำคาญผมเสียเต็มประดาเสียแล้ว แต่มีหรือที่คนเมาอย่างผมจะยอมละความพยายาม บอกแล้วครับว่าคนเมาทำได้ทุกอย่างแหละ ที่คนปกติเค้าไม่ทำกัน

“โห ถามแค่นี้ทำไมต้องทำเสียงดุด้วย แล้วนี่...แฟนตี้นอนหรือยัง”ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงขับรถไปบ้านเค้าแล้ว ไม่ต้องมาถามถึงคนอื่นแบบนี้ แต่ตอนนี้ต่อให้ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็คงไปหาเค้าไม่ได้ เพราะเค้าไม่ใช่คนโสดเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

“ไปเลี้ยงลูกค้า ยังไม่กลับเลย ตกลงโทรมาดึกขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า”เค้าคงเริ่มรู้สึกแล้วว่าผมไม่ได้มีเรื่องราวสำคัญอะไรในการโทรมาหาเค้าตอนนี้ แต่ถ้าจะเอาคำตอบจริงๆ จากผม ผมก็พอจะมีให้นะครับ ว่าผมโทรหาเค้าทำไม

“คือเรา...เราแค่...”ผมอ้ำอึ้งเพราะรู้ว่ามันไม่สมควรพูดออกไป

“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ เราวางสายนะ”และเค้าคงจะหมดความอดทน ในการคุยกับผมแล้ว

“เราแค่คิดถึงตี้”คงต้องโทษความเมาที่ทำให้ผมพูดออกไปในที่สุด ผมรู้ว่ามันผิด รู้ว่าตอนนี้มันสายเกินไปที่จะทำแบบนี้ แต่ผมขอแค่วันนี้ ตอนนี้ให้ผมได้ทำในสิ่งที่ อาจไม่ได้ถูกต้องกับการที่มาคิดถึงคนมีเจ้าของแบบนี้

“ชาร์ป...เราบอกแล้วไง ว่าถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันก็อย่าล้ำเส้นเราอีก”คงมีแค่คนเมาอย่างผมนี่แหละครับที่จะคิดหรือพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไป ส่วนคนที่ยังมีสติดีอย่างปาร์ตี้ในตอนนี้ ที่จริงเค้าอาจไม่ได้คิดเรื่องถูกหรือผิด เพียงแต่เค้าคงไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกก็เท่านั้นเอง

“เราก็แค่คิดถึง แบบเพื่อน โทรหาแบบเพื่อน...ไม่ได้เหรอ”ผมยังคงตีมึนแถไปอย่างข้างๆ คูๆ ไม่เคยคิดว่าวันนึงผมจะกลายมาเป็นคนทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ คิดๆแล้ว ผมตอนนี้ก็คงไม่ได้ต่างจากคนที่พยายามเป็นชู้กับแฟนคนอื่น มันก็ตลกดีนะครับ ที่คนเคยโดนสวมเขาอย่างผม จากที่เคยโดนชะเอมทำไว้กับผม แล้วผมเองก็ไม่ชอบที่ตัวเองโดนหลอก แต่สิ่งที่ผมทำตอนนี้มันแทบไม่ต่างกันเลยก็ว่าได้ ต่างก็เพียงอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยกับผม

“อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ถือว่าเราขอร้อง”ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เพราะอีกฝ่ายชิงวางสายไปแล้วเรียบร้อย ผมถอนหายใจอย่างนึกสมเพชตัวเอง จะโทรไปอีกครั้งก็คงไม่เหมาะแล้ว ผมเลยเลิกที่จะพิมพ์ข้อความส่งไปขอโทษเค้าแทน

“เราขอโทษ อย่าถือสาเลยนะ วันนี้เราคงดื่มหนักไปหน่อย”หลังจากส่งข้อความไปและคิดว่าเค้าคงไม่ตอบอะไรผมกลับมา ผมก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง กะว่าขอพักสายตาสักนิดแล้วค่อยขับรถกลับ

“ก๊อกๆ”เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นหลังจากที่ผมหลับตาลงแค่ไม่นาน และพอลืมตาขึ้นมาก็ต้องแปลกใจ กับสิ่งที่เห็น กลิ้งในชุดนอนที่สวมเสื้อคลุมทับอีกที ยืนรอให้ผมเลื่อนเปิดกระจกอยู่ข้างๆ รถ

“ทำไมยังอยู่นี่ละ”




TBC


ขอโต๊ดที่หายไปหลายวันนะคร๊าบบบ

แอบหนีไปเที่ยว แถมภารกิจก็เยอะคร๊าบช่วงนี้

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-09-2016 23:05:57
เชื่อล่ะ
กลิ้ง..มันอยากโดนเยะจริงๆ

พี่แว่นจัดให้ซักดอกสองดอก
คิดซะว่าได้บุญ

#บุญเพิ่มคือความมันส์
 o13
ก๊ากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 21-09-2016 23:11:42
อิกลิ้งยังลงมาตามอีก ชาร์ปจะเปลี่ยนใจขึ้นไปอีกมั๊ยเนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-09-2016 00:20:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-09-2016 00:40:01
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-09-2016 04:28:40
 :เฮ้อ: ชาร์ปเอ๊ย.....จะขับรถไปก่อนแล้ว โทร ก็ได้  :เฮ้อ:
กลิ้ง ยิ่งอยากมีอะไรกับชาร์ป อยู่
อ่อยหนัก ขนาดขึ้นนั่งตักแล้ว
คราวนี้ติดหนึบ ไม่ปล่อยไปง่ายๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 24-09-2016 21:28:34
สนุกดี
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-09-2016 13:03:21
สนุกมากๆ ชาร์ปโทรไปหาตี้ ตี้ก็คงจะคิดถึงชาร์ปบ้างล่ะ
รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 11 ความเมา 21-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-09-2016 22:18:11
PART II บทที่ 12
ตัดไม่ขาด



Sharp’s Part
“ชาร์ป...ชาร์ป...ลูก ทำไมมานอนตรงนี้”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ พยายามปรับสายตาอย่างงงๆ ตอนนี้ผมนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกที่บ้าน ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวเรียกสติตัวเอง ขวดเหล้าและแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะถัดออกไป ทำให้ไม่ต้องสืบว่าสภาพที่เป็นอยู่ของผม มันเกิดจากอะไร

“เมาจนหลับตรงนี้สิเนี่ย มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าลูก ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านแม่ไม่เคยเห็นว่าเราดื่มหนักขนาดนี้นิ”แม่นั่งลงข้างๆ ผม มองมาที่ผมอย่างห่วงใย นี่ผมคงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ อายุขนาดนี้แล้วยังต้องทำให้แม่เป็นห่วงอยู่อีก

“ไม่มีอะไรครับ เดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะครับจะได้ออกไปดูงานด้วย”ถึงจะรู้ว่าผมโกหกแม่ไม่ได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธออกไปว่าไม่มีอะไร เพราะแม่ผมก็เป็นคนที่จะไม่เซ้าซี้อะไรมากมาย แม่จะรอให้ผมเป็นฝ่ายมาเล่าเองเสียมากกว่า ถึงจะเป็นห่วงผมแต่แม่เคยบอกว่าอยากให้ผมลองได้ตัดสินใจเองก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ อยากคุยอยากปรึกษา ค่อยมาคุยกับแม่อีกที

“ถ้าไม่ไหว ก็พักก่อนก็ได้นะ แม่เป็นห่วง งานนะมันเข้าที่เข้าทางแล้ว ปล่อยเด็กๆ ดูกันเองก็ได้ ส่วนเรานะเอาเวลาไปหาลูกสะใภ้ให้แม่จะดีกว่า”สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้ครับ ผมเลยต้องรีบลุกก่อนที่จะโดนลากไปเจอลูกสาวเพื่อนๆ แม่อีก แต่ผมคงหนีแบบนี้ได้อีกไม่นานแน่ๆ เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวที่แม่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผม และผมคงต้องหาจังหวะเปิดใจคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที

ผมกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แต่ยังไม่ได้คิดจะอาบน้ำอย่างที่บอกกับแม่ ผมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยทั้งกายและใจ การดื่มหนักมากจนเกินไปเมื่อคืนทำให้ตอนนี้ร่างกายผมเพิ่งฟื้นตัวไม่น่าจะเกิน 25% ผมว่าผมคงหลับไปยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง เพื่อดูเวลา แต่สิ่งที่โชว์ที่หน้าจอ ทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายที่ไม่ได้รับจากกลิ้ง 2 สาย โทรมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ซึ่งคงเป็นช่วงที่ผมเพิ่งหลับไปไม่นาน นอกจากสายที่ไม่ได้รับแล้วก็ยังมีข้อความที่ส่งมาถึงผมอีกด้วย

“อย่าลืมคิดทบทวน เรื่องที่เราบอกเมื่อคืนนะ”ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้งนี่ผมไม่น่าให้เบอร์เค้าไปเลย ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากติดต่ออะไรกันอีกนะครับ ในฐานะเพื่อนผมยังให้เค้าได้เสมอ แต่ในฐานะอื่นผมว่าผมก็บอกเค้าไปชัดเจนแล้ว ถึงอย่างนั้นจะไปโทษเค้าฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก ในเมื่อผมเองก็ปล่อยให้อะไรมันเกิดขึ้นจนกลิ้งเองรู้สึกว่าน่าจะมีความหวังกับผม แม้เมื่อคืนเราสองคนไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นมีอะไรกัน แต่ผมก็ยังจูบกับเค้าแม้จะปฏิเสธในตอนหลัง มันก็ยังพอมีน้ำหนักให้ตัวเค้าคิด

“ลงมาตั้งนาน แต่ยังอยู่ตรงนี้ชาร์ปจะให้เราตีความว่ายังไงดีเนี่ย”เหตุการณ์จากเมื่อคืนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง หลังจากที่ผมลงมาจากห้องเค้า และวางสายจากปาร์ตี้กะจะพักสายตาสักหน่อยก่อนกลับ จู่ๆเค้าก็มาเคาะกระจกรถผม แล้วก็เดินอ้อมมาที่ประตูรถอีกฝั่งข้างคนขับ เปิดขึ้นมานั่งโดยไม่ได้รอคำอนุญาตใดๆ จากผม แต่ก็นั่นแหละครับผมพลาดเองที่ไม่ได้ล็อครถ

“กลับขึ้นไปพักที่ห้องเราก่อนไหม ดูแล้วชาร์ปจะขับรถกลับไม่ไหว”ผมหันมองหน้าเค้าที่จ้องผมพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม สายตาที่เค้ามองมาทำให้รู้ว่าเค้าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ผมปฏิเสธก่อนที่จะออกมาจากห้องของเค้า ผมเหลือบตามองที่หน้าขาตัวเองทันทีที่รู้สึกได้ว่ามือของเค้ากำลังลูบเบาๆ ที่ขาของผม

“กลิ้ง”ผมเรียกชื่อเค้าเสียงเรียบ และจับข้อมือของเค้าไว้ให้หยุดในสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่ แต่เค้ากลับหัวเราะเบาๆ และส่งยิ้มมาให้ผมอย่างท้าทาย

“อย่าเพิ่งปฏิเสธเรา”นิ้วเรียวของเค้าถูกยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากผม เพื่อห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ เหมือนจะรู้ได้ว่าผมกำลังจะบอกอะไรกับเค้า เค้าบอกกับผมต่อ ว่าก่อนที่จะปฏิเสธเค้า ขอให้เค้าได้พูดอะไรก่อนแล้วค่อยทบทวนดูอีกครั้ง ใจจริงผมอยากจะบอกเค้าว่า เค้าพูดอะไรมาก็คงไม่เปลี่ยนความตั้งใจผมแน่นอน แต่เพื่อเห็นแก่ความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กันในตอนเด็ก ผมเลยปล่อยให้เค้าได้พูดในสิ่งที่เค้าต้องการก่อน

“วันนี้ จริงๆ เราดีใจมากนะที่ได้มาเจอชาร์ป แล้วก็ดีใจมากด้วยที่ชาร์ปตกลงมาดื่มต่อกับเรา”เค้าเริ่มพูดด้วยท่าทีที่ผมรู้สึกว่า กลิ้งคนเดิมในวัยเด็ก คนที่ผมเคยรู้จักได้กลับมาอีกครั้ง ผมนั่งเงียบรอฟังในสิ่งที่เค้าอยากจะบอก

“แล้วยิ่งรู้ว่าตอนนี้ชาร์ปไม่ได้มีใคร มันยิ่งสร้างความหวังบางอย่างให้กับเรา สิ่งที่เราจะพูดมันอาจจะดูน่าสมเพชนะ แต่เราก็ไม่สนหรอก ถ้ามันจะทำให้เราได้มีความสุข”คำพูดของเค้าสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ไม่น้อย เราไม่เจอกันมานานมาก แต่เค้าพูดเหมือนกับว่าเค้ายังมีความรู้สึกพิเศษให้กับผมอยู่ ทีแรกที่ผมเข้าใจคือเค้าต้องการมีความสัมพันธ์ทางกายกับผมเฉยๆ แค่นั้น ไม่ได้นึกว่าจะมีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น

“เราเคยคบใครต่อหลายคน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไร เพราะเราไม่เคยลืม เรื่องระหว่าง เราสองคนได้เลย ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ เราคิดมาตลอดว่ามันคงไม่มีทางเป็น อย่างที่ตัวเองหวังได้ แต่พอมาเจอชาร์ปวันนี้ เราก็คิดนะว่าต่อให้เป็นแค่ คู่ขา
คู่นอน หรืออะไรก็ได้ที่ชาร์ปจะให้เราได้ เรายินดีทั้งนั้น วันนี้เราถึงได้แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นออกไป ว่าต้องการมีอะไรกับชาร์ป เผื่อว่าความสัมพันธ์ทางกายของเราที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราไปอยู่ในจุดที่ใกล้กับชาร์ปมากขึ้น”น้ำเสียงสั่นๆ ของเค้า ทำให้ผมเอื้อมมือไปบีบเบาๆ ที่ไหล่ของเค้า นี่การกระทำที่ไม่ทันคิดอะไรของผม ในตอนนั้น มันส่งผลต่อคนๆ นึงมากขนาดนี้ ผมเองแค่พอรู้สึกว่าไม่โอเคกับความสัมพันธ์ก็แค่หยุดไว้ แต่นี่อีกคนกลับฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

“ฟังดูบ้าดีเนอะ”เค้าพูดพร้อมหัวเราะออกมา แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ดูไม่ได้มีความสุขเอาเสียเลย

“เราขอโทษ ถ้าเป็นเราคือสาเหตุให้กลิ้งต้องรู้สึกแบบนี้”ผมคงทำอะไร หรือพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรที่ผมพอจะทำได้เพื่อให้เค้าหลุดพ้นจากสิ่งที่เค้ายังฝังใจอยู่

“ถ้าอยากขอโทษเราจริงๆ ชาร์ปมาคบกับเราได้ไหมล่ะ”คำขอของเค้าคงเป็นสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน หากแต่ผมจะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจ และไม่ทำให้เค้ารู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป เสียงหัวเราะที่แสดงความเย้ยหยันในตัวเองของเค้าก็ดังขึ้น

“ไม่ได้สินะ ถ้าการคบเป็นแฟนมันสร้างความลำบากใจให้ชาร์ปมากเกินไป เราขอเป็นแค่ Sex friends ได้ไหมล่ะ”ผมนึกขำในโชคชะตา สิ่งที่กลิ้งเสนอมามันทำให้ผมนึกถึงปาร์ตี้ ที่เราเคยตกลงสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ท้ายที่สุดถ้าความสัมพันธ์แบบนี้จบลง มันอาจจะมีสักคนที่ต้องเจ็บ จากการที่คิดเกินเลย ผมกับกลิ้งในวัยเด็กก็ชัดเจนแล้วว่า กลิ้งยังฝังใจกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ถ้าเราจะมาสร้างความสัมพันธ์แบบเดิม มันก็คงจบไม่ต่างจากครั้งแรกของเราทั้งคู่ หรืออย่างจุดจบความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้ สุดท้ายมันก็ไม่ได้สวยงาม และผมเองก็ยังต้องอยู่กับความรู้สึกที่ดันคิดเกินเลยกับเค้า

“เราว่า...อย่าทำแบ...”คำพูดผมถูกห้ามโดยมือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาปิดปากผม

“ถ้าชาร์ปไม่ได้มีใคร ก็อย่าเพิ่งปิดความหวังของเราเลย ลองเก็บเอาไปคิดดูอีกที”กลิ้งหันมายิ้มให้พร้อมก่อนจะเปิดประรถ ออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ผมอยากจะพูดออกไปตรงๆ ว่าผมคงให้เค้าเป๋นอย่างอื่นนอกเหนือจากเพื่อนไม่ได้แน่ๆ แต่ตอนนี้เค้าคงจะไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ผมพูด นี่นอกจากปัญหาเดิมของผมแล้ว วันนี้ผมยังมาสร้างเรื่องราวให้กับคนอื่นอีกหรือเปล่าเนี่ย

ผมวางโทรศัพท์ลง และค่อยๆ ปิดเปลือกตา ไม่อยากที่จะคิดอะไรอีก ถ้าคนเราหลับไปแล้วตื่นมาสามารถเลือกได้ว่าไม่อยากจะจำอะไรก็คงจะดี หรือแต่ละวันเราสามารถตื่นมาเจอชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องสนใจเรื่องก่อนหน้านั้นก็คงจะดี ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น หากแต่ผมไม่ได้สนใจปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น จนเงียบเสียงไปเอง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ละความพยายาม จนผมต้องควานมือหาโทรศัพท์ เพื่อหยิบมาดูว่าใครที่ต้องการติดต่อผม

“ไอ้เหมา”ผมขมวดคิ้ว แปลกใจกับชื่อคนที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ เพราะถึงแม้เราจะติดต่อพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผมที่เป็นคนโทรไปถามข่าวคราวของตี้เสียมากกว่า ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ไอ้เหมามักจะไม่ค่อยโทรมาหาผมสักเท่าไหร่ อีกอย่าง ในไลน์ เราก็มีการพูดคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว

“รับช้าจังวะ ทำไรอยู่เนี่ยมึง”ทันทีที่ผมกดรับสาย ไอ้เหมาก็ส่งเสียงไม่พอใจมาตามสาย นี่มันไปหงุดหงิดอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย

“กูนอนอยู่เนี่ย มีอะไรก็ว่ามา”ผมตอบออกไปด้วยเสียงงัวเงีย ให้มันรับรู้ว่ากำลังรบกวนการพักผ่อนของผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้จริงจังหรอกนะครับ ดีเหมือนกันที่ไอ้เหมาโทรมาตอนนี้ ผมจะได้ระบายสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ให้มันร่วมกังวลด้วย

“กูมีเรื่องอึดอัดใจวะ”

“หยุด มึงไม่ต้องพูดต่อ กูไม่อยากรับรู้ แค่เรื่องของกูเองก็เกินจะแก้ไขแล้ว มึงอย่าหาเรื่องให้กูต้องเครียดเพิ่มเลย”ผมแกล้งทำเสียงจริงจัง เหมือนจะไม่ยอมรับฟังมัน แต่จริงๆ ก็แค่อยากอำมันนั่นแหละครับ นานๆ ทีไอ้เหมาจะมีเรื่องให้เครียด นี่ตั้งแต่รู้จักมันมาก็เพิ่งเห็นเรื่องแพทนั่นแหละมั้งครับ ที่พอจะทำให้มันเครียดขึ้นมาบ้าง

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้กูเล่า เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ตี้”แหม ตั้งแต่รู้ความรู้สึกผมเนี่ย ดูไอ้เหมาทำตัวเป็นต่อ ถือไพ่เหนือผมตลอดเลยครับ

“ถ้าไม่ใช่เรื่องเค้าจะเลิกกับแฟนก็ไม่ต้องมาเล่า กูไม่อยากรู้”ผมแกล้งทำเสียงเรียบเหมือนไม่ได้สนใจ ทั้งที่จริงๆ ก็อยากรู้แหละครับว่ามีอะไรเกี่ยวกับปาร์ตี้ แต่เมื่อคืนที่ผมโทรไปหาเค้า ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา นอกจากที่เค้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากคุยกับผม

“เมื่อคืนกูเจอคุณอรรถเค้าไปดื่มกับแฟนเก่า ทีนี้จะฟังต่อไหม”สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมหูผึ่ง เพราะเมื่อคืนที่ผมโทรไป เค้าบอกกับผมว่าแฟนเค้าไปเลี้ยงลูกค้านี่นา หรือว่าแฟนเก่าเค้าคือลูกค้า หรือว่าแฟนตี้มีเรื่องปิดบัง

“รีบว่ามาสิมึง”ผมเอ่ยปากเร่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นมันยังเงียบไม่ยอมเล่าต่อว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ ไอ้เหมาเริ่มเล่าว่าตอนนี้ แฟนเก่าของคุณอรรถเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของตี้กับอรรถ เริ่มจากเข้ามาขออยู่ในบ้านด้วย จนตี้กับแฟนต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านตี้กันชั่วคราว แต่เห็นว่าตี้เองก็เป็นคนที่มีส่วนยินยอมให้แฟนเก่าคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน เพราะไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา

“แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่า ตี้ยังไม่รู้เรื่องนี้”สิ่งที่ไอ้เหมาอึดอัดคือ อยากจะบอกเรื่องที่คุณอรรถไปดื่มกับแฟนเก่า ถึงแม้จริงๆ เค้าอาจจะแค่ไปดื่มกันไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่คุณอรรถทำไมต้องปิดปาร์ตี้ แน่นอนจากเมื่อคืนที่ผมโทรไปหาเค้า เค้าบอกว่าแฟนไปเลี้ยงลูกค้า แปลว่าแฟนเค้าโกหก แต่ในเมื่อแฟนเค้าเจอกับไอ้เหมาแล้ว ยังมีเหตุผลอะไรที่จะไม่รีบบอกกับปาร์ตี้ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

“กูลองเลียบๆ เคียงๆ ดูแล้วมันยังไม่รู้เว้ย กูยังแปลกใจว่าแฟนมันคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่บอก เพราะยังไงตี้ก็อาจจะรู้จากกูอยู่แล้ว”ไม่ว่าแฟนของตี้จะมีเหตุผลอะไร แต่เรื่องนี้ถ้าถามผมจากประสบการณ์โดยตรงของผมจากเรื่องชะเอม เรื่องนี้ไอ้เหมาควรบอกให้ตี้ได้รับรู้ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะครับว่า ในส่วนลึกด้านมืดของจิตใจ ผมก็มีบางแวปที่อยากให้เค้าเลิกกัน เผื่อผมจะมีโอกาสขึ้นมาบ้าง แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากให้ตี้เค้าต้องเสียใจจากการเลิกราใดๆ

“มึงจำที่มึงเคยพูดได้ไหม ว่าระหว่างเราสามคน จะไม่มีเรื่องปิดบังกัน นั่นแหละคำตอบที่มึงถามว่าควรเล่าให้ตี้ฟังไหม”ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ถ้าถามผม ผมว่าควรต้องบอกตี้ให้รับรู้เอาไว้ ถ้ามันมีอะไรจริงๆ ตี้จะได้รู้ทัน แต่ถ้ามันไม่ได้มีอะไรพอเคลียร์กันจบเค้าสองคนก็ยังคบกันต่อได้ตามปกติ ส่วนเรื่องจะกังวลว่าตี้จะหาว่าพวกผมใส่ร้ายแฟนเค้าไหมนี่ ผมว่าตี้ต้องเข้าใจสถานการณ์นี้อยู่แล้วเพราะระหว่าง ผม ไอ้เหมา และตี้ ผ่านสถานการณ์แบบนี้กันมา 2 รอบแล้ว เค้าน่าจะเข้าใจเจตนาของผมและไอ้เหมาดี

“แหมทำเป็นมายกคำพูดกู งั้นกูบอกมันด้วยเลยไหมว่ากูรู้แล้วว่ามึงสองคนเคยได้กัน”ผมชะงักไปนิดหน่อยกับสิ่งที่ไอ้เหมาพูดมา แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ระหว่างผมกับเค้าเราเคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้าเค้ารู้ว่าผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ไอ้เหมาฟัง เค้าคงไม่พอใจเป็นแน่

“อย่าเลย ไม่อยากให้เค้าลำบากใจมากไปกว่านี้”อีกอย่างถ้าเค้ารู้ว่าไอ้เหมามันรู้ทุกอย่าง ผมว่ามันคงมีความกระอักกระอ่วนกันไม่น้อยเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน เพราะงั้นผมว่าปล่อยให้เค้าเข้าใจว่าไอ้เหมายังไม่รู้นี่แหละครับน่าจะดีที่สุดแล้ว

“เออๆ กูแค่พูดไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากจะให้ตี้มันเขว”คำว่าเขวของไอ้เหมานี่คือมันต้องการจะสื่อว่าอะไร หมายถึงถ้าไอ้เหมาไปบอกกับเค้าว่ารู้เรื่องที่เราเคยมีอะไรกัน และบอกความรู้สึกของผมที่มีต่อเค้าให้เค้าฟัง แล้วเค้าจะเกิดหวั่นไหวกับสิ่งที่ได้รับรู้อย่างงั้นเหรอ ผมว่ามันคงไม่ใช่เพราะการแสดงออกของเค้าก็ชัดเจนออกปานนั้นว่าเค้าก็รักแฟนเค้า และไม่ต้องการให้ผมไปใกล้เค้าเสียด้วยซ้ำ

“แต่เมื่อคืนกูโทรหาเค้า”ผมหลุดปากบอกออกไปเพราะก็อยากระบายเรื่องนี้กับใครสักคนเช่นกัน แล้วเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้เนี่ย ผมแทบจะคุยกับใครไม่ได้เลย ที่พอจะมีให้เล่าพูดคุยได้ก็แค่ไอ้เหมากับแพทนี่แหละครับ

“อ้าว เชี่ยโทรไปทำไมวะ”น้ำเสียงไอ้เหมาเจือไปด้วยทั้งความแปลกใจ และเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ได้รับฟังจากผม พอมันเป็นคนที่ผมสามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ มันเลยกลายเป็นว่าต้องทนฟังผม เวลาที่อยากระบายเรื่องนี้ตลอด แต่ทุกครั้งก็จะมีแต่คำสมเพช และสมน้ำหน้าให้กับผมเสมอ ถึงมันจะเป็นเพื่อนผมมันก็ไม่ได้เข้าข้างผมเลย  แต่มันกลับย้ำกับผมเสมอว่าคุณอรรถเหมาะกับปาร์ตี้มากกว่าผมในทุกด้าน

“กูก็แค่...คิดถึงเค้า”จริงๆ ต้องบอกว่าเพราะผมเมามากกว่า เรื่องคิดถึงนี่ผมก็คิดถึงเค้าตลอดแหละครับ เพียงแต่ว่าผมรู้ตัวว่าเค้ามีแฟน เลยไม่ได้วุ่นวายกับชีวิตของเค้า แต่พอสติสัมปชัญญะ มันหายไปความกล้าที่จะทำอะไรที่ไม่ควรทำมันก็จะมากขึ้น อย่างเช่นการโทรไปหาเค้าเนี่ยแหละครับ

“มึงนี่นา ไอ้แว่นเอ้ย”




TBC
มาช้าอีกแล้ว

ยังไงอย่าเพิ่งหายกันน้า

อยู่ด้วยกันก่อน

และก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามให้กำลังใจนะคร๊าบบ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-09-2016 22:39:41
โอ้ยย แต่ละคน
เม้นไม่ถูกเลย ฮ่าาาาาา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 28-09-2016 23:08:33
ฟังเพื่อนไม่จริงอยู่ มันโคตรเข้ากัน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 28-09-2016 23:31:33
3P จบ !!  :angry2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-09-2016 00:52:13
ตี้เลิกกับอรรถไวๆนะ มาหาแว่น เเว่นก็บอกแม่เร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-09-2016 02:20:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-09-2016 04:08:12
ชาร์ป คิดถึงแต่ตี้
แถมกลิ้งยังตามพัวพัน :katai1: :katai1: :katai1:
ที่แน่ๆ แก้ปัญหาเรื่องกลิ้งก่อน
ที่จะตามไปสานต่อกับตี้
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-09-2016 04:42:52
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 29-09-2016 08:23:19
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 29-09-2016 17:45:25
ชาร์ปกว่าจะรู้ใจตัวเองก็ผ่านไปเป็นปี
อรรถถ้าจะรีเทริ์นก็รีบเลย ตี้จะได้เป็นอิสระเสียที
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-10-2016 00:29:39
ผิดที่ใจโลเล

ปัจจุบัน อนาคต
ก็ยังเชื่อใจยาก

เสี่ยงสูงที่จะถูกเปลี่ยนใจ
กลับไปกลับมา
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 12 ตัดไม่ขาด 28-09-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-10-2016 14:36:36
PART II บทที่ 13
วันครบรอบ




Aut’s Part
“เพื่อนตี้เล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม”ผมเอ่ยถามถึงเหตุการณ์จากคืนก่อนที่เพื่อนของเค้าไปเจอผมกับหนุ่ยไปนั่งดื่มด้วยกัน แน่นอนว่าแม้ผมจะบอกว่าเป็นการไปดื่มตามประสาคนรู้จัก แต่ทีท่าของเพื่อนเค้าก็ยังมีความสงสัยและไม่เชื่อคำพูดของผมสักเท่าไหร่ แถมสิ่งที่ผมบอกกับตี้ไว้ในทีแรกก็เป็นการบอกว่าผมนั้นไปเลี้ยงลูกค้า ที่ผมเลือกจะโกหกเพราะไม่อยากจะต้องให้มีเรื่องมารบกวนความรู้สึกของเรามากขึ้นไปอีก แค่ที่มีอยู่ตอนนี้มันก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว

หลังจากที่ดื่มกับหนุ่ยจนลืมเวลา เพราะจากที่ร้านก็นั่งกันจนเกือบตี 2 พอออกจากร้านผมก็ขับรถมาส่งหนุ่ย ด้วยความที่ยังไม่อยากกลับเลยนั่งดื่มกันต่ออีกนิดหน่อย กว่าจะตัดสินใจกลับก็ปาเข้าไปตี 3 กว่าๆ แล้ว

“กลับดึกขนาดนี้ ก็อธิบายให้เค้าเข้าใจดีๆ ละ ยิ่งเพื่อนเค้าไปเจอเราไปกันสองต่อสองอีก เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่”หนุ่ยที่เดินออกมาส่งผม บอกกำชับอย่างเป็นห่วง ซึ่งจริงๆ ถึงแม้เค้าไม่พูดผมก็ตั้งใจว่าจะบอกอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกว่าผมจะกลับถึงบ้าน ทั้งง่วงทั้งเพลีย ทั้งเมาอีกด้วย จะให้ผมปลุกเค้าขึ้นมาฟังสิ่งที่ผมอยากบอกก็คงไม่ใช่เวลา ผมเลยเลือกที่จะล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า แล้วเค้าเองก็เพียงงัวเงียรับรู้ว่าผมกลับมาแล้ว แค่นั้น พอตอนเช้า เค้าก็ออกจากบ้านไปก่อนที่ผมจะตื่น มันเลยทำให้ผมยังไม่ได้เล่าให้เค้าฟัง และผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเค้ารู้เรื่องนี้จากคนอื่นมาก่อน เค้าจะรู้สึกยังไง

จนถึงตอนนี้ เรามาอยู่กันที่ร้านเดิม ร้านที่ผมกับเค้าได้เป็นแฟนกันอย่างแท้จริง เมื่อปีก่อนผมมานั่งรอเค้าที่นี่จนร้านปิด และวันนี้ก็คือวันครบรอบ 1 ปีของเราสองคน แม้ผมจะยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างที่วันก่อนได้ยินเค้าหลุดปากเรียกชื่อคนอื่น แต่ผมก็ยังอยากให้วันนี้ของเรามันยังมีความพิเศษ ยังไงผมก็คือคนที่เค้าเลือก และเราก็อยู่ด้วยกันมาจนครบปีแล้ว สิ่งที่ผมพอจะทำได้ในเวลากระชั้นชิดแบบนี้เลยได้เพียงจองโต๊ะร้านนี้กับซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เค้าเท่านั้น ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะชอบและ ให้ผมมีพื้นที่ในใจเค้ามากขึ้น

“อรรถอยากเล่าไหม”เค้าพยักหน้าตอบรับในคำถามของผม ก่อนจะย้อนกลับมาด้วยคำถาม ผมไม่รู้ว่าเพื่อนเค้าเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนไหน วันนี้ทั้งวันเราก็เพิ่งจะมาเจอกัน ก่อนมาเค้าก็ยังพูดคุยทางโทรศัพท์กับผมตามปกติ จนถึงตอนนี้น้ำเสียง สีหน้าของเค้าก็ดูไม่ได้แสดงอะไรผิดสังเกตออกมา นี่ผมยังไม่รู้เลยว่า ถ้าผมไม่เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เค้าจะเอ่ยถามผมตรงๆ ไหม จะมีสักนิดหรือเปล่าที่เค้าจะหึงผมกับหนุ่ยที่เป็นแฟนเก่า

“ก็น่าจะไม่ได้ต่างจากที่เพื่อนของตี้เล่า อรรถไปนั่งดื่มกับหนุ่ยมา ตี้โกรธอรรถรึเปล่าล่ะ”ผมถามกลับไปเรียบๆ เช่นกัน วันครบรอบของเราทั้งทีกลับเริ่มต้นการฉลองด้วยเรื่องที่ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศสักเท่าไหร่ อีกอย่างนี่เค้าก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้มีความพิเศษอะไร แต่เรื่องครบรอบผมไม่ค่อยซีเรียสที่เค้าจำไม่ได้สักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะปกติเค้าก็ไม่ค่อยจะจำวันพิเศษอะไรเลยสักอย่างอยู่แล้ว

“ไม่โกรธหรอก อรรถจะไปกับใครยังไง เราก็ยังมั่นใจว่าเชื่อใจอรรถได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปิดเราไม่บอกตรงๆ เราสองคนคบกันอยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ มีเรื่องอะไรก็บอกกับเราตรงๆ ได้”ฟังจากน้ำเสียงที่พูดครั้งนี้ดูเหมือนเค้าก็คงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ถ้าให้ตีความจากสิ่งที่เค้าบอกแสดงว่าเค้าไม่ติดใจเรื่องที่ผมไปกับหนุ่ยแต่น่าจะเคืองในส่วนที่ผมไม่บอกเค้าตรงๆ นี่ผมควรเปิดใจคุยกับเค้าไปตรงๆ เลยดีไหมว่าผมกำลังน้อยใจอะไรเค้าอยู่ ถ้าผมพูดอะไรออกไป สิ่งที่ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สเค้าในวันนี้ มันจะกร่อยไหม

“อรรถแค่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย”ตอนนี้ภายในใจผมเหมือนกำลังเลือกว่าจะพูดกับเค้าตรงๆ หรือปล่อยไว้อย่างนี้ กับเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเค้ายังมีคุณแว่นอยู่ในใจ แม้ผมเองพอจะมีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าถามออกไปมันอาจจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงชัดขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งผลมันก็อาจจะออกมาได้ทั้งดีและไม่ดี

“มันเป็นเรื่องที่เล่าให้เราฟังไม่ได้เหรอ”แม้จะไม่ได้เป็นคำถามที่คาดคั้น แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าเค้าเองก็คงรู้สึกนิดๆ แหละว่าทำไมผมถึงไม่บอกเค้า

“มันก็ไม่เชิงหรอก”ผมเองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะคุยเรื่องนี้กับเค้าไหม ผลดีผลเสียจากการถามเรื่องนี้อะไรมันมีมากกว่ากัน หรือนี่มันจะเป็นจุดหักเหของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้า เราต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยสายตาที่ต่างมีคำถาม คำถามที่คงต้องมีสักคนที่ต้องตัดสินใจถามออกมาก่อน

“รู้ไหมทำไมวันนี้อรรถนัดมาที่นี่”แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าเค้าคงจำไม่ได้ แต่ผมเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ที่เอ่ยถามเค้านี่ก็แค่เกริ่นนำเข้าเรื่องเพียงเท่านั้นแหละครับ เค้าส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด

“เราสองคนตกลงคบกันที่ร้านนี้ จำได้ใช่ไหม”พอผมบอกออกไป เค้าเองก็เหมือนจะเริ่มนึกออกแล้วละครับว่าวันนี้มีอะไรพิเศษ การที่ผมยกประเด็นนี้ขี้นมาอาจจะช่วยกลบสิ่งที่เป็นคำถามของเราทั้งคู่ลงไปได้ แต่คงแค่ชั่วคราว

“วัน...ครบรอบเหรอ”น้ำเสียงและสีหน้าของเค้าฉายแววรู้สึกผิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมเลือกที่จะยิ้มกลับไปให้เค้ารับรู้ว่าไม่เป็นไรที่เค้าจำไม่ได้ ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือเค้า บอกย้ำกับเค้าอีกครั้งว่าไม่เป็นไรที่เค้าจำไม่ได้ เพราะผมเองก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน กล่องเล็กๆ ที่ผมซ่อนไว้ถูกหยิบขึ้นมาวางตรงหน้าเค้า

“สุขสันต์วันครบรอบนะ”ถึงแม้มันจะดูไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้ แต่ระยะเวลา 1 ปีมันก็อาจจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น การที่เราจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า มันคงต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากเลยทีเดียว จากที่ตั้งแต่คบกันมาผมคิดมาตลอดว่าคู่ของเราก็มีความสุขกันดี แทบไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เพียงระยะเวลาไม่นานในช่วงนี้ บททดสอบกลับพร้อมใจกันพุ่งเข้าหาความสัมพันธ์ของเราสองคนจนแทบจะตั้งรับไม่ทัน

“ขอโทษ”เค้ารับกล่องของขวัญไปอย่างรู้สึกผิด นี่การเซอร์ไพรส์เค้าอาจจะไม่ใช่วิธีที่เหมาะสักเท่าไหร่เสียแล้ว หรือที่วันนี้ของเราสองคนออกมาเหมือนไม่ได้เป็นวันพิเศษที่มีความสุข นี่เพราะสิ่งที่อยู่ในใจของเราทั้งคู่ ผมเองก็ยอมรับแหละครับว่ามีบางแวปก็แอบคิดไปถึงขั้นว่าท้ายที่สุดแล้ว ระหว่างผมกับเค้ามันจะยืนยาวไปตลอดกรือเปล่า

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เปิดดูสิ ชอบรึเปล่า”ยังไงเสียผมก็คงยังไม่ถอดใจ คงทำให้ดีที่สุดในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ตี้เป็นคนแรกที่ผมคาดหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าจริงๆ คนอื่นๆ ที่ผมเคยคบผมก็จริงใจ เต็มที่กับทุกคนนะครับ เพียงแต่ทุกๆ ครั้งผมก็ยังเผื่อใจไว้ว่ามันอาจมีวันที่จบลง แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่ได้คิดเหมือนทุกครั้ง

“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทั้งของขวัญ แล้วก็ขอบคุณที่ดูแลกันมาตลอด 1 ปีนี้ ขอโทษอีกทีที่ไม่ได้มีอะไรมาให้”เค้าเปิดกล่อง ก่อนจะหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาใส่โชว์ผม ที่ผมเลือกนาฬิกาเป็นของขวัญวันครบรอบให้เค้าก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ อย่างแรกคือเวลากระชั้นชิด และนี่ก็เป็นสิ่งที่เค้าชอบอยู่แล้ว ก็เลยได้นาฬิกามาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ

“บอกแล้วไง ว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากหรอก”ดูจากสีหน้าแล้ว เค้าเองก็คงยังรู้สึกแย่อยู่บ้างที่กลายเป็นผมฝ่ายเดียวที่ทำอะไรให้เค้าแบบนี้ ผมเลยต้องย้ำกับเค้าอีกครั้ง เพื่อไม่อยากให้เค้าต้องกังวล แล้วก็พยายามเปลี่ยนประเด็นให้เค้าสนใจกับอาหารตรงหน้าที่เพิ่งมาเสิร์ฟจะดีกว่า เพราะตอนนี้อาหารที่เราสองคนสั่งไปก็เริ่มทยอยออกมาเรียงรายที่โต๊ะ เกือบครบแล้ว อาหารแต่ละอย่างก็เป็นของโปรดเค้าแทบทั้งนั้นแหละครับ วันพิเศษทั้งทีก็อยากเห็นเค้ามีความสุข ทานอะไรที่เค้าชอบ ส่วนผมเองแค่เห็นเค้าชอบผมก็มีความสุขแล้วครับ นี่สินะที่เคยมีคนบอก ว่าการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย

“ไม่ได้หรอก เอางี้อรรถอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวเราจัดให้”ผมนั่งยิ้ม มองเค้า ความรู้สึกกังวล น้อยใจที่เคยเกิดขึ้นค่อยๆ จางหายไป แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วแหละ ผมเคยมีความสุขที่ได้มีเค้าเข้ามาในชีวิต ตั้งแต่ได้รู้จัก ได้จีบเค้า จนเค้าปฏิเสธและรับรู้ว่าเค้ามีคนอื่นในใจ แต่มันก็เป็นผมเองที่เลือกจะยังอยู่ข้างๆ เค้า จนสุดท้ายเค้าเลือกที่จะมาอยู่เคียงข้างผม มันก็ควรเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ

“ตี้ให้อะไรมา อรรถก็ชอบหมดแหละ”ผมฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม อดีตที่อยู่ในใจเค้าจะให้มันลบหายไปจนหมดอาจต้องใช้เวลา แล้วถ้าเวลาที่เค้าต้องใช้ในการลืมอดีต มันจะยาวนานแต่เค้าเลือกที่จะให้ผมรอไปข้างๆ เค้า มันก็อาจจะเพียงพอแล้วก็เป็นได้

“อรรถ ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมาสำหรับเราอรรถเป็นแฟนที่ดีมาก แต่ไม่รู้ว่าสำหรับอรรถเราดีพอหรือยัง”ผมส่ายหน้ายิ้มๆ คือผมเองก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรนักหรอกครับ และสำหรับผม เค้าเองตั้งแต่คบกันมาเค้าก็ดีกับผมเช่นกันนั่นแหละ มันก็มีบ้างเล็กๆ น้อยที่เราต่างอาจเห็นไม่ตรงกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ทานข้าวดีกว่าจะได้รีบกลับไปฉลองต่อที่บ้าน”ผมส่งสายตายที่แฝงความนัยไปให้เค้า จนเค้าต้องเอื้อมมือมาตีมือผม เบาๆ ก่อนเราจะขำออกมาเบาๆ ด้วยกันทั้งคู่ แบบนี้สิค่อยเหมาะกับบรรยากาศฉลองวันครบรอบของเราสองคนหน่อย เราต่างฝ่ายต่างแย่งกันตักอาหารใส่จานของอีกฝ่าย บรรยากาศกำลังดี จนผมเองเกือบจะลืมเรื่องที่คลางแคลงใจไปแล้ว ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมสนทนาของเค้า ดังขึ้นมา

ด้วยความที่โทรศัพท์มือถือของเค้า วางอยู่ด้านข้างเค้าบนโต๊ะที่เรานั่ง สายตาผมดันมองไปที่หน้าจอพอดี แม้ผมจะไม่สามารถอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาได้ เพราะมองจากฝั่งผมมันเป็นการมองหน้าจอแบบกลับหัว หากแต่ว่าผมกับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชื่อของคนที่ส่งข้อความถึงเค้าคือใคร

“Sharp” นั่นคือชื่อที่ผมเห็นโชว์อยู่บนหน้าจอของเค้า
 
ผมเงยหน้ามองเค้า และก็เห็นว่าเค้าก็หันมองผมอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าเค้าคงเห็นแล้วว่าผมลากสายตามาจากไหน ผมเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับเค้าโดยไม่ได้พูดอะไร จากที่ผมแทบจะไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว แต่ทำไมผมยังต้องมารับรู้อะไรเพิ่มอีก การที่ได้ยินเค้าหลุดเรียกชื่ออีกคน แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกดี แต่ก็ยังพยายามทำใจได้ว่า มันก็แค่อดีต แต่ครั้งนี้จะไม่ให้ผมคิดอะไรเลยมันก็คงไม่ใช่ นี่มันวันครบรอบของเรา แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง เค้ายังติดต่อกันอยู่งั้นเหรอ แล้วในฐานะอะไรล่ะ เพื่อนงั้นเหรอ

โอเคมันอาจจะเป็นไปได้ที่คนสองคน เคยมีความสัมพันธ์กัน และจากกันไปแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ หรืออย่างผมเองกับหนุ่ยเราเคยเป็นแฟนกัน เลิกรากันไป แต่ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่ระหว่างตี้กับคุณแว่น สำหรับคุณแว่นนั่นผมคงไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไร ยังไงกับตี้ แต่ตี้เองการที่ผมเพิ่งได้ยินเค้าหลุดเรียกชื่อคุณแว่นออกมา เมื่อไม่กี่วันนี่เอง จะให้ผมเชื่อว่าเค้าจะคุยกันแบบเพื่อนได้อย่างสนิทใจ
มันคงทำใจให้เชื่อได้ยากอยู่เหมือนกัน

“คือ...”เค้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อ้ำอึ้งแล้วก็เงียบไป ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าผมเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาแล้วหรือยัง แถมตอนนี้เหมือนข้อความจะเด้งเข้ามาอีก 2-3 ครั้ง เค้าทำหน้าลำบากใจ พร้อมกับกดปิดหน้าจอโดยไม่ได้เปิดอ่านหรือมีทีท่าว่าจะตอบกลับข้อความนั่น ใจนึงผมก็อยากเอ่ยถามไปตรงๆ ว่าเค้ากับคุณแว่นมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกัน

“มีอะไร...ที่อยากจะบอกกับอรรถหรือเปล่า”ผมยังบอกกับเค้าด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม แต่มันอาจจะเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆ ถ้าผมยังเป็นคนที่เค้าเลือกก็ขอแค่ให้เค้าพูดออกมา พูดอะไรก็ได้ให้ผมเข้าใจว่าผมยังเป็นคนที่เค้ายังอยากจะเดินเคียงข้าง ต่อให้มันจะเป็นคำโกหกผมก็อาจจะยังยินดี เพราะพอมาถึงตอนนี้ถ้าเค้าเลือกการยุติความสัมพันธ์กับผม มันก็คงเป็นผมเองนี่แหละที่จะยอมรับไม่ได้ ทำไมผมถึงกลายมาเป็นคนคิดมากกังวลอะไรได้ขนาดนี้ ใจนึงก็อยากคุยกับเค้าตรงๆ ให้มันชัดเจน แต่อีกใจผมก็อ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับได้ หากว่าผลมันไม่ได้ออกมาอย่างที่ผมหวัง สายตาที่เค้ามองมา เค้าเองก็คงจับสังเกตได้ว่าผมมีความคลางแคลงใจบางอย่าง เค้าเองเหมือนหยุดคิดบางอย่าง ก่อนจะพูดกับผมด้วยท่าทางจริงจัง

“อรรถฟังเรานะ เราอาจจะไม่ใช่แฟนที่ดี เรารู้ว่าเรามีข้อเสียอยู่เยอะ แต่ก็อยากให้อรรถรู้ว่าอรรถคือคนที่เราเลือก และอยากจะใช้ชีวิตไปด้วยกัน ถ้ามีอะไรที่มันทำให้อรรถรู้สึกไม่มั่นใจ หรือกังวลในตัวเรา เราอยากให้อรรถเลิกคิดมันไปได้เลย เพราะเราก็ยังยืนยันคำเดิม เหมือนกับ 1 ปีก่อน”สิ่งที่เค้าพูดตรงหน้าผมตอนนี้ มันดังสลับตัดภาพไปมา กับวันที่เค้านอนบนโซฟา แล้วหลุดเรียกชื่ออีกคนออกมา ทั้งที่คิดว่าถ้าเค้าพูดอย่างที่เพิ่งจะจบไป ผมจะสบายใจขึ้น แต่มันเปล่าเลย พอเรามีจุดขัดแย้งในใจเกิดขึ้นมาแล้ว มันเลยทำให้เป็นการยากที่จะให้ใจมันยอมรับได้แบบเดิม

“อยากให้อรรถมั่นใจ ไม่ว่ายังไงอรรถก็คือคนที่เราเลือกนะ”ท่าทีที่จริงจังของเค้า ทำให้ผมเชื่อได้ไม่ยากครับ ว่าผมคือคนที่เค้าเลือกจริงๆ นั่นแหละ ผมคงไม่ค้านเค้าในจุดนี้เพราะมันก็ชัดเจนมาเป็นปีแล้ว เค้าเอื้อมมือมากุมมือผม ผมก้มมองสองมือของเค้าที่จับมือผมอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้า เค้ายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่เหมือนทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเค้ายังเหมือนเดิม เหมือนเดิมไม่ได้ต่างจาก 1 ปีก่อนเลย ผมค่อยๆ ละสายตาจากเค้า เบนสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือของเค้า

“อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอรรถจะเป็นคนที่ตี้รักใช่ไหม?”




TBC
มาต่อแว้วววว

เรื่องราวก็ยังดูไม่คลี่คลายไปทางไหนเลย

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 08-10-2016 16:06:39
คำถามแลงมากกกก ไม่นะไม่เลิกนะม่ายยยยย :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-10-2016 19:08:45
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2016 19:16:02
เป็นประเด็นต่ออีก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
"อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก แต่ไม่ใช่คนที่ตี้รัก"
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 08-10-2016 23:20:27
เรื่องนี้ในช่วงแรกมีการดำเนินเรื่องที่ธรรมดานะครับ แต่มันมาน่าสนใจเอามากๆในช่วงหลัง(Part 2) เนี่ยแหละครับ

นึกไม่ออกจะพูดอะไร เพราะทุกอย่างมันละเอียดอ่อนและตรรกะใกล้เคียงความจริงมาก โครงสร้างความสัมพันธ์ดั้งเดิมของปาร์ตี้กับชาร์ปเองก็อ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นการที่เมื่อเค้าหยุดความสัมพันธ์แล้วตัดสินใจมาเริ่มต้นกับอรรถ มันเป็นอะไรที่ผมประทับใจมากนะ ย้ำว่ามาก เพราะการ overlook sexual need ที่เกี่ยวพันกับ deep inner (นิยาม : การลดละหรือยกเลิกความสัมพันธ์ที่มีการข้องเกี่ยวกันด้วยกิจกรรมทางเพศ และทำให้เกิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน เช่น ความรัก) มันเป็นอะไรที่ยากมากในความเป็นจริง แต่ปาร์ตี้ตัดสินใจที่จะทำ มันทำให้ผมมองว่าพฤติกรรมคุณอรรถนี่น่านับถือครับ แล้วเค้าก็ไม่ผิดที่จะข้องใจในตอนนี้ เพราะมันปีนึงแล้วแหละ มันถึงเวลาที่เราอยากมองคุณให้ลึกลงไปสุดใจ ว่าสุดท้ายแล้วคุณเองพร้อมรึเปล่า และเวลา ‘ช่วย’ คุณไหมในเรื่องนี้

ความชอบที่หนักแน่นมาก บางทีมันฝังรากลึก ลึกจนทำให้มนุษย์เกิดสิ่งที่เรียกว่า False Hope ครับ ยกตัวอย่างเช่น คนที่เราแอบรักยังไม่มีแฟน ถึงเราจะหยุดยุ่งกับเค้าสักพักจริงๆ แต่เราก็มักหวังเสมอว่าจะมี ‘เหตุการณ์’ ที่บังเอิญทำให้เราได้มารักกัน นี่เป็นสิ่งที่ถือว่า ‘อันตราย’ ไม่ว่าจะในทางทฤษฏี หรือในทางปฏิบัติครับ มันล็อกคุณไม่ให้เปิดสัมพันธ์คนใหม่ๆ แต่ในส่วนของคุณชาร์ป ผมว่าเค้าไม่ควรมาหยิบปาร์ตี้ออกไปจากอรรถนะ ชาร์ปต้องการคนที่จะสามารถ ‘เปลี่ยน’ ทัศนคติของเขาในด้านความรักได้

ชาร์ปต้องการที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ปัญหาคือคำว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์ มันละเอียดอ่อน และแตกต่างกันตามแต่ดุลยพินิจส่วนบุคคลครับ ถ้าคิดว่าครอบครัวที่สมบูรณ์คือมีภรรยา มีลูกที่เรารักและทะนุถนอม การจะไปเปลี่ยนมุมมองของเค้าว่าการมีแฟนเป็นผู้ชายมันก็ได้เหมือนกัน ได้ครอบครัวสมบูรณ์เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ และไม่ควรจะทำครับ เพราะนิยามความรักและความสุขของแต่ละคนมันแตกต่างกัน ถ้าเราจะทำให้ชาร์ปมองเรื่องครอบครัวที่สมบูรณ์ต่างจากเดิม อาจต้องใช้ตัวละครอื่นเข้ามาแทนที่ปาร์ตี้ เพราะผมมองปาร์ตี้คุณสมบัติไม่พอที่จะทำให้ชาร์ปมองโลกเปลี่ยนไปจากเดิมนะ ชาร์ปแค่ชอบปาร์ตี้ แต่การ ‘ชอบ’ มันไม่ช่วยอะไรในการ ‘มอง’ โลกของมนุษย์ครับ ผมเลยรู้สึกว่าไลน์เรื่องชาร์ปน่าสนใจในแง่อนาคต แต่ไลน์เรื่องของปาร์ตี้น่าสนใจในแง่บุคลิกและมิติของความรู้สึก โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีนะครับ น่าติดตามเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 09-10-2016 11:36:24
อยากให้ชีวิตของตี้และอรรถเดินหน้าต่อไป ส่วนอดีตทิ้งไปเถอะ
ไม่เช่นนั้นมันจะอยู่ในวังวนของความทุกข์ไม่จบสิ้น
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 09-10-2016 12:34:45
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 13 วันครบรอบ 08-10-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-11-2016 18:48:47
PART II บทที่ 14
ตอบหรือดื่ม


Aut’s Part
“ตื่นได้แล้ว”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก ตามด้วยสัมผัสเบาๆ ที่แก้มของผม เค้ายิ้มรอผมอยู่แล้ว รอยยิ้มนั้นทำให้ผมต้องยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ เค้าสวมเสื้อยืดตัวเดิมจากเมื่อคืน คงเพราะเค้าก็เพิ่งตื่นไม่นาน และคงคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆ มาใส่ก่อนอย่างลวกๆ ส่วนผมที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มนี่คงยังไม่ได้สวมอะไร ซึ่งก็เป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนเรามีค่ำคืนที่เร่าร้อนมาด้วยกัน ผมใช้สองแขนฉวยโอกาสที่เค้าเผลอโอบร่างของเค้า แนบเข้าหาตัว แล้วค่อยๆ พลิกให้เค้ามาอยู่บนตัวผม

“เล่นอะไรเนี่ย ลุกได้แล้ว”เค้าพยายามดิ้น แต่สู้แรงผมไม่ได้ ผมแกล้งเค้าอีกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เค้าลุกออกจากตัวผม เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายหันมาชี้ผมอย่างคาดโทษ แต่ผมก็ไม่ได้สลดหรอกนะครับ ผมแกล้งส่งยิ้มกวนๆ กลับไปให้เค้า หลังจากเค้าปิดประตูเข้าห้องน้ำ ผมก็พ่นลมหายใจออกมา เหมือนย้ำกับตัวเองว่าแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันที่โรงแรมในหัวหิน โรงแรมเดิมที่ผมเคยมากับเค้า ที่ผมและเค้าเกือบจะมีอะไรกันครั้งแรก แต่สุดท้ายเค้ากลับปฏิเสธผม เล่นเอาผมเสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว ในตอนนั้น

เหตุที่ตอนนี้ผมกับเค้ามาอยู่ที่หัวหินนี่ก็เป็นผลมาจากคืนวันที่เราไปฉลอง วันครบรอบนั่นแหละครับ หลังจากที่เค้าบอกกับผมว่า ให้ผมมั่นใจ แต่จนถึงตอนนี้เรื่องต่างๆ มันก็ยังคงรบกวนจิตใจผมอยู่เช่นเดิม ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนจะวิ่งกลับเข้ามาในความคิดผมอีกครั้ง

“อยากให้อรรถมั่นใจ ไม่ว่ายังไงอรรถก็คือคนที่เราเลือกนะ”ท่าทีที่จริงจังของเค้า ทำให้ผมเชื่อได้ไม่ยากครับ ว่าผมคือคนที่เค้าเลือกจริงๆ นั่นแหละ ผมคงไม่ค้านเค้าในจุดนี้เพราะมันก็ชัดเจนมาเป็นปีแล้ว เค้าเอื้อมมือมากุมมือผม ผมก้มมองสองมือของเค้าที่จับมือผมอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้า เค้ายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่เหมือนทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเค้ายังเหมือนเดิม เหมือนเดิมไม่ได้ต่างจาก 1 ปีก่อนเลย ผมค่อยๆ ละสายตาจากเค้า เบนสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือของเค้า

“อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอรรถจะเป็นคนที่ตี้รักใช่ไหม?”นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป เพราะยังไม่พร้อมรับในผลที่อาจจะตามมา หากว่าผมพูดออกไปแบบนั้น ผมกลับทำเพียงรับคำ แล้วก็ยิ้มให้เค้าเท่านั้นเอง

“งั้นเราไปต่างจังหวัดกันไหม ไปพักผ่อน ค้างคืน เราไม่ได้ไปเที่ยวกันนานแล้ว ถือโอกาสรวบยอดเลยดีไหม อรรถว่าไง”เค้าเสนอซึ่งผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยไม่น้อยเลยทีเดียว การได้ไปใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันมันอาจจะช่วยให้ผมเองรู้สึกดีขึ้น ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น ผมเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าผมจะรับกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

กว่าเราสองคนจะจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จก็เลยเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว ทั้งผมและเค้าอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสบายๆ กับกางเกงขาสั้น เราเลือกที่จะทานอาหาร ที่โรงแรมเพราะไม่อยากเสียเวลาออกไปหาร้านอีก นี่ก็หิวกันจนไส้จะกิ่วกันอยู่แล้ว ดีที่โรงแรมนี้อยู่ติดกับชายหาด ทำให้เราได้นั่งทานมื้อเที่ยงไปพร้อม ดื่มด่ำกับเสียงคลื่น แม้แดดจะแรง แต่ก็มีลมเบาๆ ทำให้วันนี้ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่

“เบียร์หน่อยไหม”เสียงเค้าเอ่ยถามหลังจากอาหารบนโต๊ะถูดจัดการโดยเราสองคนไปจนเกลี้ยง ว่าแต่นี่เพิ่งจะบ่าย นี่เค้าจะดื่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอเนี่ย ผมถามย้ำว่าเค้าไม่อยากไปทำอย่างอื่นเหรอ อย่างเล่นน้ำทะเล หรือกิจกรรมอะไรริมหาด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ว่าร้อน ขอนั่งจิบเบียร์ฟังเสียงคลื่นแบบนี้จะดีกว่า สุดท้ายผมก็ต้องดื่มเบียร์เป็นเพื่อนเค้า เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งผ่านลำคอของเราทั้งคู่ พร้อมๆ กับบทสนทนาต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาประกอบการดื่ม

บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวระหว่างเรา ตั้งแต่ผมเคยสนใจเค้าแต่ตอนนั้นผมยังคบกับหนุ่ยอยู่ เรื่อยมาจนได้ทำงานด้วยกัน ได้ทำความรู้จัก จนพัฒนาความสัมพันธ์ แม้จะมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ดูมีความหมายกับเราสองคน แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ส่งผลให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของเค้ากับอีกคนด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่เรารู้จักกันแรกๆ มันก็มีหลายเหตุการณ์ที่ผมได้รับรู้ระหว่างเค้ากับคุณแว่น แถมตอนนี้ผมก็ยังรับรู้ได้ว่าเค้าพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงคุณแว่นตรงๆ มันทำให้ความกังวลของผมที่เหมือนจะหายไป กลับมาอีกครั้ง

“เมาแล้วเหรอ ทำไมดูนิ่งๆ ไป”คงเพราะเห็นอาการที่แปลกไปของผม ทำให้เค้าเอ่ยถามออกมา เค้ายังคงถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมส่งยิ้มจางๆ กลับให้เค้าและส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะถึงจะดื่มไปพอสมควร แต่มันก็ยังไม่ได้มากขนาดจะทำให้เมาอะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันมีความรู้สึกเหนื่อยใจแทรกเข้ามาในความรู้สึกของผม ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมช่วงนี้ ผมต้องมากังวลอะไรขนาดนี้กับความรู้สึกของเค้าที่มีต่อคุณแว่น ทั้งที่ก่อนมานี่ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก

อยากมาใช้เวลาร่วมกับเค้า ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาวุ่นวายใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนผมจะทำไม่ได้ จริงๆ เรื่องของคนอื่นที่ว่าตอนนี้ก็มีอยู่ 2 คน ที่ผมมองว่าเป็นปัญหากับความสัมพันธ์ของผมและปาร์ตี้ คนแรกก็หนุ่ย ซึ่งรายนี้แม้ทีแรกผมมีความกังวลอยู่มากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมว่ามันเหลือแค่ความรำคาญใจมากกว่า หนุ่ยดูไม่น่าจะมาสร้างปัญหาใหญ่อะไรกับผม ส่วนอีกคนก็คุณแว่นที่ดูแล้วตอนนี้มีอิทธิพลกับเราทั้งคู่ กับตี้เค้าคือคนที่ตี้ยังลบออกจากใจไม่ได้ ส่วนกับผมเค้าคงเป็นคู่แข่งที่หน้ากลัว เป็นคู่แข่งที่เหมือนพร้อมที่จะเขี่ยตัวจริงอย่างผมออกไปได้ทุกเวลา

“เล่นเกมกันไหม”ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม ซึ่งไม่รู้ว่าที่ผมตัดสินใจจะทำต่อจากนี้มันจะส่งผลดีกับความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่า

“เอาดิ ว่าแต่เกมอะไร”เค้าดูมีท่าทีสนใจในสิ่งที่ผมชวน ผมอธิบายเกมง่ายๆ ที่ไม่มีอะไรซับซ้อน เกมที่จะทำให้ผมได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น มันไม่ได้มีอะไรมากก็แค่ผลัดกันถามตอบ แต่ต้องตอบตามความจริง ห้ามโกหกถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็ดื่มให้หมดแก้ว แน่นอนถ้าเค้าซื่อสัตย์พอและตอบตามความจริงทุกอย่าง ผมคงได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น หรือต่อให้เค้าเลือกไม่ตอบโดยเลือกการดื่มแทน มันก็คงทำให้ผมเดาคำตอบได้ไม่ยาก

“จูบแรกตอนอายุเท่าไหร่”หลังจากเค้าเข้าใจกติกาแล้วผมเป็นฝ่ายเริ่มตั้งคำถามก่อน ผมเลือกที่จะถามอะไรที่เป็นเรื่องไม่สำคัญก่อน ส่วนคำถามที่ผมตั้งใจอยากรู้จริงๆ คงเก็บไว้ทีหลัง ไม่ให้ดูจงใจมากเกินไป และดูเหมือนปาร์ตี้เองก็คงยังไม่เอะใจอะไรกับเกมที่กำลังเริ่มขึ้นนี้

“อย่าว่าเราแก่แดดนะ”เค้ายิ้มเขินๆ ก่อนจะเกริ่นออกมาว่าเลือกที่จะตอบคำถามของผม ท่าทางของเค้าทำเอาผมแทบจะรอฟังไม่ไหวว่าเค้าเคยจูบครั้งแรกตั้งแต่ตอนไหน ถ้าให้ผมเดาจากอาการนี่คงสัก ม.ต้น แน่ๆ

“9 ขวบ”

“ห๊ะ”ผมเบิกตาโพลง 9 ขวบ ตอนนั้นผมยังวิ่งไล่เตะกับเพื่อนอยู่เลย แต่เค้าเคยจูบแล้วอะไรจะรวดเร็วปานนั้น

“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่การจูบในแบบที่อรรถเข้าใจแน่ๆ แต่มันก็คงเรียกว่าจูบแหละ คือเรากับเพื่อนแค่มีความอยากรู้ ตามประสาเด็กแหละ แล้วมีเพื่อนเรามันมาชวนว่าลองจูบกันดูไหม แบบที่เคยเห็นในทีวี ไอ้เราก็ด้วยความอยากรู้ ก็เออออไป ทีแรกก็ปากแตะๆ กัน แล้วก็...”เค้าหยุดเล่าหันมามองผม เหมือนถามความเห็นว่าจะให้เล่าต่อไหม แน่นอนว่าผมให้เค้าเล่าต่อ เพราะดูๆ ไปสมัยเด็กนี่เค้าคงแสบใช่ย่อย

“ก็...ดูดปากกัน แต่พอลิ้นแตะกันเท่านั้นแหละ ผละออกจากกันแทบไม่ทัน มันเป็นความรู้สึกแหยะๆ ของเด็ก 9 ขวบที่ได้ลิ้มรสน้ำลายคนอื่นเป็นครั้งแรก”เค้าพูดพร้อมทำท่าขนลุกจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะฟังดูจูบแรกของเค้ามันไม่ได้โรแมนติค จนทำให้ผมรู้สึกอิจฉาหรือหึงคนที่ได้จูบแรกของเค้าไปเลย

“แล้วได้สานสัมพันธ์กันต่อไหม”ผมแกล้งถามเค้ากลั้วเสียงหัวเราะ

“สานสัมพันธ์อะไรละ ยังเด็กกันขนาดนั้น แถมตอนงานแต่งไอ้เพื่อนคนนี้ ยังมีคนขุดเรื่องนี้มาแฉในงานแต่งให้คนเอ็นดูกันทั้งงาน เรางี้อายจนแทบจะมุดใต้โต๊ะ แล้วใครแฉรู้ไหม เจ้าสาวที่ก็เป็นเพื่อนเราตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เอามาเล่าขำๆ ให้แขกฟังทั้งงาน”โหนี่ถือเป็นประสบการณ์จูบแรกที่เค้าคงไม่มีทางลืมจริงๆ แต่ผมก็ยังหยุดขำไม่ได้ นี่ไม่อยากคิดเลยว่าแขกในงานแต่งเพื่อนเค้านี่จะขำวีรกรรมในวัยเด็กของเค้าขนาดไหน

“หยุดขำเลย ตาเราถามบ้าง อรรถเคยมีอะไรกับผู้หญิงหรือเปล่า”แหมทำเป็นหรี่ตามองผม คงคิดว่าผมเคยคบแต่ผู้ชาย เลยจะมาบลัฟผมหรือเปล่าเนี่ย เพราะเราต่างคนก็ต่างเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าของกันและกันให้อีกฝ่ายฟัง แน่นอนเราทั้งคู่ต่างเคยมีแฟนเป็นผู้ชายกันมาเท่านั้น แต่ในเรื่องของเซกส์ เราก็ไม่เคยลงรายละเอียดถามเรื่องของอีกฝ่ายเลย

“เคย...คำถามต่อไปนะ”ผมตอบไปตามตรง พร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ ใส่เค้า พร้อมเตรียมจะถามคำถามใหม่กับเค้า แต่เค้าทำท่าตกใจที่ผมไม่เล่าอะไรต่อจากคำถามที่ตอบไป แน่นอนเค้าทักท้วงผมไว้ ยังไม่ให้จบประเด็น

“เฮ้ย...ได้ไงอธิบายก่อนดิ ทีเรายังอธิบายจูบแรกเลยว่าเป็นมายังไง”

“อ้าวอรรถก็ไม่ได้ขอให้ตี้อธิบายนิ ตี้เป็นคนพูดออกมาเองนะ”ผมยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า ที่จริงมันก็ไม่ใช่คำถามซีเรียสอะไรนะครับ ผมเพียงแค่อยากแกล้งเค้าแค่นั้นแหละครับ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ความรู้สุกผม ไม่วกกลับไปกังวลเรื่องอื่น แต่มาโฟกัสที่การเล่นสนุกกับเค้าแทน

“โหยขี้โกงอ่ะ”เค้าทำท่าไม่พอใจ มองผมตาขวาง จนผมต้องเป็นฝ่ายยอมเค้า อธิบายรายละเอียดประเด็นนี้อีกรอบ

“อ่ะๆ โอเคเล่าก็ได้ แม้ว่าอรรถจะรู้ตัวนะว่าชอบผู้ชายด้วยกันมากกว่าที่จะชอบผู้หญิง แต่ตอนวัยรุ่นมันก็มีความอยากรู้อยากลองตามประสานั่นแหละ จนตอนจบ ม.ปลายเพื่อนมันก็ชวนกันทั้งกลุ่ม ไปขึ้นครูเพื่อยืนยันว่าทุกคนได้เปิดซิงกันหมดแล้ว อรรถก็ไปกับเค้าแค่นั้นแหละ”ผมเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ที่ก็ดูไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอกนะครับ แถมไม่ได้ดูว่าควรเอาเป็นเหยี่ยงอย่างด้วย แต่ด้วยวัย ณ ตอนนั้นที่ยังติดเพื่อน เพื่อนว่าไงว่ากัน ก็ถือว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างนึงที่เคยผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรนะครับ

“หูวนี่เล่นครูบาอาจารย์เลยเหรอ”เค้าแกล้งทำท่าตกใจแบบโอเวอร์ล้อเลียนผมอย่างน่าหมั่นไส้

“นั่นมุกเหรอ คนที่มี First kiss ตั้งแต่ 9 ขวบนี่ไม่น่าจะไม่เข้าใจคำว่าขึ้นครูนะ”ผมแกล้งแหย่เค้ากลับ และเหมือนจะได้ผล เพราะพ่ออดีตนักรักปากสว่านวัย 9 ขวบ ส่งค้อนให้ผมเสียวงใหญ่จนหลบแทบไม่ทัน ก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันอย่างสนุกสนาน คำถามดำเนินไปเรื่อยๆ โดยแต่ละคำถามก็ยังไม่ได้เข้าประเด็นในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้อย่างในทีแรก จนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะยังถามในแบบที่ตั้งใจไว้ หรือปล่อยเป็นเกมสนุกๆ ต่อไปแบบนี้

“อ่ะตาอรรถถามแล้ว คำถามสุดท้ายแล้วกันเนอะ เพราะเรานั่งกันนานจนเบียร์เค้าจะหมดแล้วเนี่ย ขนาดเลือกตอบกันทุกคำถามนะเนี่ย”อย่างที่เค้าบอกแหละครับ แม้จะไม่มีใครเลือกดื่ม แต่การเลือกตอบทุกครั้งของเรา ก็ยังยกแก้วดื่มกันจนลืมเวลา นี่ก็บ่ายคล้อยจนพระอาทิตย์จะตกอยู่แล้ว ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งอย่างตัดสินใจ ว่าควรจะถามสิ่งที่อยู่ในใจหรือไม่

“ว่าไงไม่ถามแล้วเหรอ”เค้าเร่งผมอีกครั้ง แต่ก็ดูไม่ได้จริงจังมากนัก ผมทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่าควรถามออกไปไหม ถ้าถามไปแล้ว ผมจะพร้อมรับคำตอบนั้นหรือเปล่า หรือถ้าผมปล่อยไว้ให้มันค้างคาในใจแบบนี้ อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมก็ได้คำตอบให้ตัวเอง

“ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเราตี้จะเลือกใคร”แม้จะไม่ใช่คำถามตรงๆ อย่างที่คิดจะถามในครั้งแรก แต่ผมว่าคำถามนี้ก็คงให้ผมได้กระจ่างในบางอย่าง และอาจช่วยให้ผมได้ใช้ในการตัดสินใจอะไรหลังจากนี้ก็เป็นได้ ผมจ้องมองเค้าด้วยสายตาจริงจัง เค้าเองก็มองกลับมาที่ผม เหมือนกำลังครุ่นคิดเช่นกัน

คำถามนี้ของผม ทำให้ปฏิกิริยาของเค้าเปลี่ยนไปจากคำถามก่อนๆ จากปกติเค้าจะตอบแทบในทันที ผิดกับคำถามนี้ที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตอบคำถามผม อย่างตรงไปตรงมา หรือจะเลือกดื่มเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าเค้า เค้าเหลือบสายตามองแก้วเบียร์ ก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือหยิบแก้วเบียร์ ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

“คำถามนี้เราขอเลือกดื่มแล้วกันนะ”





TBC



ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลย หายไปนานเป็นเดือนเลย

เก๊าขอโต้ดดดด ทั้งติดขัดเรื่องเวลา (ข้ออ้าง)

พอว่างก็ฟีลไม่มา แต่จากนี้จะไม่หายนานขนาดนี้อีก แน่นอนฮ่ะ (เชื่อได้ไหม)

ยังไงกะขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามให้กำลังใจ

ติชมได้เช่นเดิม หรือจะด่า เชิญลงที่ ตี้หรือคุณแว่น

ขอให้สนุกกับการอ่านนะคร๊าบ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 03-11-2016 19:00:17
 o22 เลือกดื่มแบบนี้....ควรคิดว่าไงอ่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 03-11-2016 19:17:12
อ่านแล้วหน่วง....กำลังคิดว่าจะทนอ่านต่อได้ไหม ฮืออออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-11-2016 01:39:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-11-2016 02:44:49
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-11-2016 03:53:21
คำตอบตี้ ที่เลือกดื่มแทน
ถึงตี้ไม่ตอบ มันก็ตอกย้ำอรรถอยู่ดี
คิดอีกแง่ อรรถก็ยังได้อยู่กับตี้ ได้ใกล้ชิด
คราวนี้ก็อยู่ที่อรรถแล้ว
ว่าจะยังไงต่อ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 04-11-2016 07:56:17
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: จั๊กหล่ะ ที่ 04-11-2016 22:03:32
อยากรู้ตี้จะลงเอยกะใคร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 14 ตอบหรือดื่ม 03-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-11-2016 11:18:21
PART II บทที่ 15
พ่อแม่ลูก


Sharp’s Part
“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด 1 ปี อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปนานๆนะ”ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องประโยคนี้อยู่นานแค่ไหนแล้ว ประโยคที่มีรูปของผู้ชายสองคนยืนกอดคอกันและฉากหลังเป็นท้องทะเล ผู้ชายสองคนที่ดูเหมาะสมกัน และเค้าใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว 1 ปีเต็ม เค้าทั้งคู่ไม่ใช่ใครที่ไหนหนึ่งคนก็ปาร์ตี้ เพื่อนผม เพื่อนที่ผมคงใช้คำนี้ได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ ส่วนอีกคนก็แฟนเค้า ไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะอีกหลายคอมเมนต์ใต้รูปนี้ต่างแสดงความยินดีกับทั้งคู่แทบทั้งสิ้น

“รูปใครละลูก”เสียงผู้เป็นแม่ที่ดังมาจากหลังผม ทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติที่สุด ก่อนวางโทรศัพท์มือถือในมือและหันไปส่งยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ที่มายืนอยู่หลังผม ผมกางแขนออกโอบเอวของผู้เป็นแม่เข้ามาในอ้อมกอด ซบหน้าอ้อนกับเอวของแม่เหมือนเด็กๆ แม่ผมคงแปลกใจที่เห็นผมทำแบบนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มโต จากบ้านไปเรียนที่อื่นจนทำงาน ผมก็แทบไม่เคยได้กอดแม่อีกเลย

“เหงาเหรอลูก”สัมผัสแผ่วเบาลูบที่ศีรษะของผม แม่ลูบเบาๆ เลื่อนมาที่ท้ายทอยก่อนจะตบที่บ่าของผม ให้เงยหน้ามองแม่ที่รอให้ผมตอบคำถามที่เพิ่งเอ่ยกับผม

“มันก็มีบ้างแหละครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าบรรดาลูกสาวเพื่อนๆ แม่ผมขอเว้นไว้ก่อนนะครับ”ผมรีบออกตัวเพราะเกรงว่าแม่ผมจะจัดสาวๆ ชุดใหญ่ส่งมาให้ผมดูตัวอีก เสียงหัวเราะเบาๆ จากแม่ถูกส่งออกมาด้วยความเอ็นดูลูกชายอย่างผม แม้ผมจะโตจนสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว แต่ผมก็ยังคงเป็นลูกน้อยของแม่เสมอ เวลาอยู่กับแม่ทีไรมันเหมือนกลับไปเป็นเด็กเสียทุกครั้ง ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะกำลังโหยหาการใช้ชีวิตอิสระของตัวเอง หรือตอนมีคนรักก็เช่นกัน ผมเองตอนคบกับชะเอมก็มีปัญหากับแม่จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แถมตอนนั้นผมดันเข้าข้างฝั่งแฟนมากกว่าแม่ตัวเองเสียด้วยซ้ำ

“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานกับเค้าบ้างเนี่ย”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่จริงจังนัก แต่ผมก็สัมผัสได้นะครับว่าแม่ก็คงอยากเห็นผมเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัว มีหลานตัวเล็กๆ ให้ท่านได้ชื่นใจ จริงๆ และแม่ก็คงเห็นความรู้สึกผิดในแววตาผมเช่นกัน เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น

“เห็นรูปแวปๆ ใช่ปาร์ตี้กับแฟนหรือเปล่าที่ชาร์ปดูรูป”แต่เรื่องที่แม่พยายามเบี่ยงประเด็นนี่มันดูไม่ได้ช่วยปรับความรู้สึกผมสักเท่าไหร่เลย แม่หยิบมือถือของผมไปดูหน้าจอที่ยังค้างอยู่ที่โพสต์ของปาร์ตี้ แม่ผมค่อนข้างเอ็นดูปาร์ตี้ เพราะเค้าเป็นคนที่ช่างเอาใจคนแก่ หาเรื่องคุยได้ถูกอกถูกใจแม่ผมมากเชียวแหละครับ แม่ผมยังเคยแอบพูดเล่นกับผมว่า นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิงคงให้ผมจีบเค้าไปแล้ว

“คู่นี้เค้าก็ดูน่ารักดีเนอะ ไม่ชวนเค้ามาเที่ยวบ้านเราบ้างละ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่แม่ให้ผมชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อย่างไอ้เหมากับแพทคงได้มาอีกเป็นแน่ แต่กับปาร์ตี้ผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะยินดีมาหรือเปล่า

“รอบนี้เค้าไปฉลองวันครบรอบกับแฟน ก็คงอยากสวีทกัน ถ้ามาบ้านเราเดี๋ยวแม่ก็ไปเป็น กขค เค้าอีกเอาไว้คราวหน้าผมจะชวนเพื่อนๆ มาถล่มบ้านเราให้ครบทีมเลยแล้วกันนะครับ ทั้งไอ้เหมา ทั้งแพท ทั้งปาร์ตี้กับแฟน ชวนมากันให้หมดเลยดีไหมครับ”ผมทำตัวให้ดูร่าเริงขึ้นเป็นปกติ ตอบออกไป เพื่อไม่ให้แม่จับสังเกตได้อีกว่าผมกำลังมีเรื่องที่คิดไม่ตก

“อ้าวนี่แม่จะมาตามเราไปทานข้าวเย็น คุยนู่นนี่นั่นเสียลืมเลย ป่ะๆ พ่อเค้ารอแย่แล้ว”พอนึกขึ้นได้ว่าที่จริงมาตามผมไปกินข้าว แม่ผมก็ลากผมมายังโต๊ะกินข้าวด้วยความรวดเร็ว อาหารหน้าตาน่าทานถูกวางเรียงรายส่งกลิ่นยั่วน้ำลายมาแต่ไกล ตรงหัวโต๊ะมีคนหน้าบึ้งหนึ่งคนที่ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ พ่อผมเองแถมดูเหมือนตอนนี้จะเริ่มโมโหหิวเสียแล้ว

“มาๆ กับข้าวจะเย็นหมดแล้วเนี่ย มัวไปตามกันถึงไหนปล่อยพ่อรอตั้งนาน”พ่อผมบอกเสียงดุหน่อยๆ แต่พ่อผมก็ทำขรึมไปอย่างนั้นแหละครับ จริงๆ ไม่มีอะไร บางครั้งก็วางฟอร์มให้ดูเป็นผู้นำต่อหน้าลูกน้อง หารู้ไม่ว่าลูกน้องเค้ารู้กันทั่วว่าเมียพ่อ หรือแม่ผมนี่แหละ ใหญ่สุดของที่นี่แล้ว

“ทำเรื่องโปรโมทเรือแล้ว เป็นไงบ้างละชาร์ป ผลตอบรับดีไหม”จริงๆ เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันเท่าไหร่นะครับ ช่วงแรกๆ ที่ผมกลับมาอยู่บ้านก็ยังทานพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่หรอกครับ แต่พอให้ผมเริ่มดูในส่วนธุรกิจเรือยอร์ช ผมก็ต้องทุ่มเวลาให้กับตรงนั้น จนบางทีกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา เลยไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ ส่วนเรื่องงานพอเริ่มเข้าที่เข้าทางพ่อกับแม่ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในส่วนที่ให้ผมรับผิดชอบอีก จะมีก็แต่ถามไถ่บ้างเป็นครั้งคราวเหมือนตอนนี้เท่านั้นแหละครับ

“ก็ดีครับ สมัยนี้สื่อออนไลน์มันไปเร็ว พอจับจุดถูกมันก็จะไหลไปของมันเอง ตอนนี้ยอดจองเรือเราวันเสาร์-อาทิตย์ตอนนี้เต็มยาวไปถึงปีหน้าแล้วครับ”ผมบอกเล่าผลลัพท์ในสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงทุนไป พ่อเองก็มีสีหน้าพอใจอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดตอนแรกพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำกับการที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโปรโมทธุรกิจ เพราะค่าลงทุนค่อนข้างสูงและอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ตอนนี้ผลตอบรับมันออกมาแล้ว ทำให้พ่อเองก็เริ่มเปิดใจกับวิธีการทำงานของผมมากขึ้น ทีแรกพ่อก็จะสอนวิธีบริหารงานในแบบของพ่อแหละครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากท่าน เพราะผมก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่บางอย่างผมก็อยากจะปรับให้มันเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางอย่างที่พ่อเคยใช้ในอดีต บางอย่างมันก็ต้องมาประยุกต์ให้เหมาะกับยุคนี้เท่านั้นเองครับ

“งานก็ลงตัวแล้ว แฟนละทีนี้ นี่อายุอานามเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บรรดาสาวๆ ที่แม่เค้าใส่พานมาให้เลือกนั่นไม่สนใจบ้างเหรอ”ผมแทบหลุดขำกับสิ่งที่พ่อพูด ทีแรกก็เหมือนจะกดดันผมอยู่หรอกนะครับ แต่ประโยคหลังนั่นแอบประชดแม่ผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย เพราะแม่ผมก็เอื้อมมือไปตีแขนพ่อเบาๆ อย่างงอนๆ เหมือนกันครับ

บรรยากาศการทานข้าวของครอบครัวเราวันนี้ดูจะอบอุ่นกว่าทุกวัน นี่สินะที่เป็นตัวอย่างครอบครัวที่ผมเคยคิดไว้ อาจเพราะแบบนี้ผมเลยฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นจะสร้างครอบครัวให้ได้เหมือนพ่อกับแม่ของผม

“พ่อกับแม่มารักกันได้ยังไงครับ”ทั้งคู่หันมามองผมแทบจะพร้อมกัน คงจะงงที่อยู่ๆ ทำไมผมถึงถามแบบนี้ แต่ผมก็แค่อยากรู้ว่าความรักของทั้งคู่เป็นมายังไง นี่ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่ยักกะจำได้ว่าทั้งสองเคยเล่าให้ฟัง หรือเคยเล่าตอนเด็กๆ แล้วผมจำไม่ได้ ส่วนตอนโตผมก็สนใจอย่างอื่นเสียมากกว่า เลยไม่ได้มาสนใจในเรื่องนี้

“แม่เค้าหนีตามพ่อมา”พูดจบก็หัวเราะออกมาจนแม่ผมเอื้อมมือไปฟาดที่แขนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะบอกผมว่าที่พ่อพูดมามันไม่ใช่ความจริง ให้แม่เป็นคนเล่าจะดีกว่า ผมก็ตั้งใจรอฟัง

“จริงๆ แล้วพ่อเค้าฉุดแม่มา”เอาเข้าไปครับพ่อกับแม่ผมจะเอาฮากันไปถึงไหน แล้วก็ดูหัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ สนุกกันมากสินะครับเนี่ยกับการได้อำลูก จนผมต้องถามย้ำอีกรอบว่าจริงจังกันหน่อย

“พ่อกับแม่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็เพื่อนของเพื่อนอีกที ทีแรกก็ไม่ได้สนิทกัน แต่แม่ไม่ค่อยชอบหน้าพ่อเค้าเท่าไหร่ตอนนั้นเค้าเจ้าชู้”แม่เริ่มเล่าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พ่อก็อมยิ้มฟังสิ่งที่แม่กำลังเล่า ทั้งสองคงมีความสุขที่ได้ย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกัน

“จนมีโอกาสได้ไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน ไปกันกลุ่มใหญ่เลย แรกๆ ก็เดินขึ้นพร้อมๆ กัน แต่พอเริ่มเหนื่อยก็เริ่มกระจายกันเรื่อยๆ พวกเพื่อนๆ ที่แม่สนิทดันแข็งแรงกันเหลือเกินปล่อยให้แม่รั้งท้าย เพราะไม่เคยเดินไกลขนาดนั้นมาก่อน ก็ได้พ่อนี่แหละช่วยถือของ ช่วยลากแม่ขึ้นไปจนถึงข้างบน ก็เลยเริ่มสนิทและคุยกันมากขึ้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงกับชอบนะ แค่ประทับใจเฉยๆ อีกอย่างตอนนั้นพ่อเค้ามีสาวๆ เข้ามาพัวพันเยอะ”พูดมาถึงตรงนี้แม่ก็หันไปมองพ่ออย่างหมั่นไส้ เป็นภาพที่ผมว่าน่ารักดีครับ

“จริงๆ พ่อเริ่มสนใจแม่เค้าตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ แล้วแหละ”พ่อผมพูดแทรกขึ้นมาบ้าง

“คือรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ดูไม่พอใจอะไรเราอยู่ เลยกลายเป็นสังเกตเค้าจนเผลอชอบไปอย่างไม่รู้ตัว พอกลับจากภูกระดึงก็เลยคิดจะจีบแม่เค้าจริงจัง ตอนนั้นเลิกคุยกะคนอื่น แต่จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด”ผมนั่งฟังไปยิ้มไป จริงๆ มันก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวจีบกันะครับ แต่พอมาเป็นเรื่องราวที่เป็นจุดกำเนิดของเรา มันทำให้ดูพิเศษขึ้นมาในทันที เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จัก รักกันและทำให้เราได้เกิดมา

“แม่เริ่มใจอ่อนจริงๆ ตอนรู้ว่าพ่อเค้าชอบไปบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนั้นเหมือนเรามองภาพเค้าเป็นคนเจ้าสำราญ เที่ยวเล่นไปวันๆ พอมารู้อีกมุมมันเลยแบบว้าว แต่ก็ยังไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์นะ จนเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน ก็คิดว่าคงไม่เจอกันอีกแล้วแหละ จนวันนึงต้องไปงานแต่งของเพื่อนในกลุ่ม ก็เจอกัน พ่อเค้าก็เดินมาคุย คุยกันเยอะมากตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน จนวนมาเรื่องที่ต่างคนต่างยังไม่มีใคร แม่ก็ถามว่าทำไมเค้าถึงยังไม่มีใคร และเพราะคำตอบในวันนั้นทำให้เราอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้”เล่ามาถึงตรงนี้แม่ผมเริ่มน้ำตาคลอ แต่มันคงเป็นน้ำตาแห่งความสุขแหละครับ

“พ่อตอบว่าไงเหรอครับ”ผมหันไปหาผู้เป็นพ่อแทน ซึ่งพ่อเองก็ยิ้มรออยู่แล้ว

“ก็บอกไปว่าแม่คือคนที่ใช่สำหรับพ่อแล้ว เลยไม่คิดมองใครอีกและก็เชื่อว่าวันนึงจะต้องได้กลับมาเจอกัน”คนที่ใช่งั้นเหรอ แล้วเราทุกคนจะรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าใครคือคนที่ใช่สำหรับเราแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเจอคนที่ใช่และใครคนนั้นก็มองว่าเราคือคนที่ใช่เช่นกัน

“พ่อครับ แม่ครับ ถ้าในที่สุดแล้วผมไม่สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างพ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวผมไหม”ผมถามออกไปเสียงนิ่ง แม้ผมไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่ามุมมองของผมมันเริ่มเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าจากนี้ผมจะได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่า ภาพใบหน้าของใครคนนึงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม เค้าเป็นคนที่เข้ามาทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองอีกครั้ง

ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมปาร์ตี้ถึงเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ผมเคยมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในเรื่องที่จะสร้างครอบครัว แต่พอผมเป๋จากชะเอม มันก็ไม่น่าทำให้ผมเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดมันเป็นเพียงการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากสังคมรอบข้าง ที่มันไม่ได้มาจากความรู้สึกของผมจริงๆ

“ยังไงที่ลูกคิดว่ามันจะไม่สมบูรณ์”แม่ผมหันมาถามอย่างสบายๆ แต่ท่าทีของแม่ก็ทำเอาผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่าจริงๆ แม่คิดยังไงกับคำถามของผม

“ก็สมมติผมอาจจะอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีใครอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีหลานตัวเล็กๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้ม”ผมปรับการพูดให้ดูไม่จริงจังนัก แต่ยังอยากพยามจะหยั่งเชิงถึงบางอย่างว่าพ่อกับแม่ผมจะมีมุมมองกับสิ่งที่ผมกำลังตัดสินใจ ซึ่งมันก็เป็นแค่การตัดสินใจอีกรูปแบบนึงแค่นั้น

“พูดเหมือนมีใครอยู่ในใจ หรือกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า”พ่อผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับมาบ้าง แต่สิ่งพ่อผมถามมาจะว่ามันใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ได้ ความรู้สึก ณ ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรอใครไหม และหมายถึงปาร์ตี้ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่อีกใจผมก็รู้ว่าเค้าอยู่กับคนที่เหมาะสม และคนที่เค้าเลือกแล้ว อีกอย่างเค้าเองก็อาจไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก มันทำให้ผมแทบไม่มีหวังที่จะรอ หรือจะให้เข้าไปแทรกกลางระหว่างเค้าและคนของเค้ายิ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ

“หรือถ้าท้ายที่สุดคนที่ผมเลือกจะเดินเคียงข้าง ไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังไหมครับ”ผมไม่ได้ตอบคำถามของพ่อ แต่ตั้งคำถามกลับไป คำถามที่ผมยังยึดเอาปาร์ตี้มาเป็นส่วนประกอบของคำถาม ทั้งที่เรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันไม่ได้จะสามารถมาพัฒนาอะไรต่อได้อีกเลย

“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมต้องย้ำกับการที่คิดว่าแม่กับพ่อจะผิดหวังในตัวลูกขนาดนี้”แววตาสงสัยฉายชัดมาจากแม่ของผม บางครั้งผมก็คิดนะครับว่าหรือควรพูดตรงๆ กับท่านทั้งคู่ถึงความสัมพันธ์กับแต่ละคนของผม รวมทั้งปาร์ตี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แน่นอนผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าท่านทั้งสองจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่

“เปล่าครับ ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเลยลองถามๆ ดู”ผมว่าคงต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจน่าจะดีกว่า ตั้งแต่เรื่องราวของผมกับน้องปลาตอนนั้นทั้งคู่ก็เสียใจกับการกระทำของผมมากพอแล้ว

“นี่แม่กดดันเรามากไปหรือเปล่า ชาร์ปฟังแม่นะ แม่ยอมรับว่าก็อยากมีหลาน อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ถามว่าถ้าไม่เป็นแบบนั้นแม่จะเสียใจไหม ผิดหวังไหม มันก็ต้องมีแหละ แต่ถ้าลูกแม่ตัดสินใจทำอะไร เลือกอะไรแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วยอยู่แล้ว ลูกจำไม่ได้เหรอตอนชะเอม ทีแรกแม่ไม่อยากยอมรับเค้า แต่เพราะลูกรักเค้า อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข แม่ก็ยินดี หรือตอนถอนหมั้นกับน้องปลา ไม่เคยโทษลูกเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ก็ดีกว่าฝืนอยู่ด้วยกันไปแล้วมาเลิกราทีหลัง สรุปแม่แค่อยากเห็นลูกแม่มีความสุข ถ้าชาร์ปมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขแล้ว และไม่เคยผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้เลย”ผมว่านี่ผมคงโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งคู่

“ขอบคุณนะครับแม่ พ่อด้วย”ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก






TBC


ตอนนี้อาจไม่มีอะไรมากนะครับ

แค่มาขยายให้เห็นว่าชาร์ปจะตัดสินใจต่อไปทางไหน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 15 พ่อแม่ลูก 05-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 05-11-2016 12:06:15
สายไปแล้วหรือเปล่า?

 :เฮ้อ:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 15 พ่อแม่ลูก 05-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-11-2016 17:01:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 15 พ่อแม่ลูก 05-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-11-2016 19:47:04
อ้างถึง
ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก

ดีใจด้วยนะชาร์ป ที่ตัดสินใจได้แล้ว
อย่าไปพรากคู่รักเค้ามาเลย..มันจะเป็นบาปติดตัว

เอาใจช่วยให้ชาร์ปได้เจอแม่ของลูก เร็วๆนะ
ชาร์ปจะได้เลิกเหงาซะที
 o13

ด้านปาร์ตี้กับอรรถคงจะไม่มีอะไรแล้วนะ
เอ๊ะ หรือว่า..จะมีจากหนุ่ย
 
ตี้คงเศร้าตายเลย
ถ้าเรื่องนี้ นายเอกมีแต่ทุกข์โศก

100 แล้วนะ
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 15 พ่อแม่ลูก 05-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-11-2016 11:19:22
PART II บทที่ 16
ใคร



Aut’s Part
“อรรถ อรรถ ฟังอยู่ป่ะเนี่ย”เสียงคนที่อยู่ข้างๆ แว่วเข้ามาในหู ผมกำลังคิดถึงสิ่งที่เค้าไม่ยอมตอบคำถามของผมอยู่เลยไม่ได้ฟังในสิ่งที่เค้าพูด แม้ผมจะเผื่อใจไว้แล้วบ้าง แต่พอมาเจอสถานการณ์จริงแบบนี้ มันก็รู้สึกแย่นิดหน่อยแหละครับ การที่เค้าไม่ตอบผมว่ามันก็คือคำตอบนั่นแหละครับ เพราะถ้าเค้าเลือกอยู่กับคนที่รัก และคนนั้นคือผม มันจะมีเหตุผลอะไรที่เค้าจะไม่ตอบคำถามผม แต่พอเค้าไม่ตอบก็แสดงว่าเค้าเลือกผมเพราะผมรักเค้า

“ตี้ว่าไงนะ”ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะไม่รู้เลยว่าเค้าพูดอะไรกับผม ตอนนี้เราอยู่ที่ชายหาดกันครับ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เราสองคนนั่งบนพื้นทรายเงียบๆ กันมาสักพักแล้ว เหมือนต่างฝ่ายต่างกำลังใช้ความคิด หรืออาจจะเป็นผมเองคนเดียวที่กำลังคิดเรื่องระหว่างเรา ส่วนเค้าดูทำเหมือนไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เหมือนไม่ได้สังเกตว่าอาการผมแปลกไปหรือเปล่า

“ขึ้นไปอาบน้ำไหม จะได้ไปทานมื้อเย็นกัน”ผมพยักหน้า พยายามปรับอารมณ์และสีหน้าให้มันดูปกติ เรามานี่เพื่อฉลองวันครบรอบ มันควรเป็นวันที่มีความสุข ผมควรจะมีความสุขสิ ผมค่อยๆ ยิ้มให้กับเขา ไม่รู้ว่าผมฝืนทำได้ดีแค่ไหนแต่กะคงไม่ได้แย่เพราะดูอีกฝ่ายก็ยังยิ้มกลับมาให้ผมเช่นกัน เราทั้งคู่กลับขึ้นห้องอาบน้ำแต่งตัว และกลับลงมาทานมื้อเย็นริมทะเล ฟังเสียงคลื่น ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าจะโรแมนติก และผมเองก็แสร้งทำตัวว่ามีความสุขกับบรรยากาศในคืนนี้นะครับ

แต่ในใจริงๆ กลับสับสนวุ่นวายไปหมด เวลาที่เคยผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลับดูว่าเดินช้าลงอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกับความรู้สึกของผม แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือเหมือนตี้กำลังพยายาม พยายามที่จะทำดีกับผม แม้เค้าจะพยายามทำตัวปกติ แต่ผมก็พอจะมองออกว่าเค้าเอาใจผมมากกว่าเดิม วันนี้เราไม่ได้ดื่มกันมากนัก เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ แล้ว

จากการทานมื้อค่ำที่เหมือนจะโรแมนติก ต่อเนื่องมาถึงค่ำคืนที่ร้อนแรงของเรา ที่มันยิ่งชัดเจนว่าตี้พยายามทำให้ผมประทับใจ เค้าแทบจะใช้ทุกอย่างที่มีมาให้ผมพอใจ นี่ถ้าเป็นเวลาปกติผมก็คงมีความสุขมากๆ เลยทีเดียว แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง ผมยอมรับนะครับว่าเรื่องเซกส์มันก็ยังมีผลกับความสัมพันธ์ แต่เมื่อถึงจุดนึงความรู้สึกที่มีให้กันต่างหากที่มันสำคัญกว่า และเป็นอันว่าทริปหัวหินครั้งนี้ เหมือนความรู้สึกตีกลับไปคล้ายครั้งแรกที่ผมเคยมากับเค้า ครั้งนั้นเค้าทำผมเสียความมั่นใจ ที่อยู่ๆ เค้าก็ปฏิเสธผมกลางคัน มาครั้งนี้แม้เค้าจะไม่ได้ปฏิเสธผม แต่มันกลับให้ความรู้สึกแย่กว่าครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ

“พี่อรรถ พี่อรรถครับ”ผมค่อยๆ หันไปตามแรงเขย่า ถึงได้รู้สึกตัวว่าสายตาแทบทุกคู่ในห้องประชุมกำลังมองมาที่ผม นี่ผมเผลอเหม่อในการประชุมอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย รุ่นน้องที่เป็นคนเขย่าแขนผมทำท่าบุ้ยใบ้ให้ผมหันไปยังหัวโต๊ะ แน่นอนว่าเจ้านายกำลังมองมาที่ผมด้วยเช่นกัน ผมทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกผิดที่มัวแต่คิดเรื่องส่วนตัวในเวลาทำงานจนไม่มีสมาธิ

“นี่ผมใช้งานคุณหนักเกินไปหรือเปล่า วีระเกียรติ ลูกค้าก็ชอบเจาะจงมาเสียจริงว่าเป็นไปได้อยากจะขอมือดีอย่างคุณ ช่วงนี้ก็หนักคงไม่ค่อยได้พักผ่อนสิเนี่ย”อ้าวนายผมก็มองไปมุมนั้นอีก แม้งานผมจะค่อนข้างเหนื่อยบ้าง แต่เรียกว่าผมออกจะชินแล้วมากกว่าครับ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นผลกระทบจากงานโดยตรงเท่าไหร่

“ไม่หรอกครับ”ผมรีบบอกปัด

“อย่ามาปฏิเสธเลย ผมดูรายงานเดือนนี้แล้ว คุณรับโปรเจกต์ซ้อนหลายงานเลยทีเดียว เรียกว่ารับแทบจะทุกงานที่ลูกค้าเจาะจงมา”อันนี้ก็พูดเกินไปครับ เพราะหลายๆ งานก็มีคนอื่นรับผิดชอบหลักๆ อยู่แล้ว ผมแค่เข้าไปช่วยดูนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่ก็ยอมรับว่ามีบ้างที่ผมรู้สึกอยากอยู่กับเพื่อนร่วมงานมากกว่าที่จะอยากรีบกลับไปเจอปาร์ตี้ ยิ่งเรายังอยู่กันที่บ้านเค้า ผมยิ่งรู้สึกอคติกับบ้านที่เค้าเคยให้อีกคนทิ้งความทรงจำไว้ จะว่าผมงี่เง่าผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ถ้าเป็นเรื่องของคุณแว่นเนี่ยผมทำตัวเป็นคนมีเหตุผลไม่ได้จริงๆ อีกอย่างปาร์ตี้เองก็ไม่ได้ให้ความมั่นใจกับผมเลยในเรื่องนี้

แล้วถามว่าทำไมผมไม่ชวนเค้ากลับไปอยู่บ้านผม ก็อย่างที่รู้ว่าบ้านผมหนุ่ยได้ยึดครองไปแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็ผิดที่ผมเองด้วยแหละครับ ไม่ยอมบอกเค้าให้เด็ดขาดว่าไม่ให้อยู่ มาตอนนี้มันเลยยุ่งยากไปแล้ว อีกอย่างที่ผมเลิกไล่หนุ่ยคงเพราะตัวหนุ่ยเองก็ชัดเจนว่าไม่ได้จะมาสร้างความวุ่นวายให้ความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้ ส่วนที่มันวุ่ยวายอยู่ตอนนี้คงเพราะพวกผมสองคนเสียเอง หรือไม่แน่อาจมีแค่ผมที่ร้อนรนอยู่คนเดียว
“ยังไงก็พักผ่อนเยอะๆ แล้วกัน อะไรปล่อยให้น้องๆ ทำได้คุณก็ให้เด็กๆ ทำกันไปก็ได้ ร่างกายคนเรามันมีลิมิตเจ็บไข้ได้ป่วยไป มันจะไม่ดี ลาหยุดไปพักผ่อนบ้างก็ได้”ผมไม่ได้แย้งอะไรอีก เพราะคนอื่นๆ ในที่ประชุมก็ช่วยกันเสริมมาหมดว่าควรทำงานหนักเกินไป บ้างก็แซวผมว่ามัวทำแต่งานเดี๋ยวแฟนก็งอนหรอก ผมชะงักนิดหน่อยพอมีคนพูดถึงปาร์ตี้ แต่ก็พยายามไม่ให้ผิดสังเกตมาก ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมันกระทบกับงานอีก จากนี้ผมคงต้องพยายามตัดเรื่องส่วนตัวออกไปให้หมดแล้วละครับในตอนที่ทำงาน

การประชุมดำเนินต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะสรุปว่าใครต้องไปปรับปรุงหรือแก้ไข อะไรในเดือนที่ผ่านมา ก็เป็นอันจบการประชุมสรุปงานประจำเดือนนี้ ประชุมจบทันเวลาเลิกงานพอดีเป๊ะ แต่ก็ยังมีบางคนที่ต้องเคลียร์งานต่อ หรือบางคนที่ต้องไปเลี้ยงลูกค้า ส่วนผมหลังจากโดนนายพูดขนาดนั้น แทบจะโดนดึงงานออกไปทั้งหมด เลยว่างแหละครับ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความถึงปาร์ตี้ซึ่งมีข้อความจากเค้าส่งถึงผมอยู่ก่อนแล้ว

“กลับบ้านกี่โมง ให้รอกินข้าวหรือเปล่า”ผมเปิดอ่านข้อความแต่ยั้งมือที่กำลังจะพิมพ์ตอบว่าเสร็จงานแล้วไว้ก่อน ผมเงยหน้ามองกลุ่มรุ่นน้อง 3-4 คนที่กำลังจะออกไปเลี้ยงลูกค้า ก่อนจะเลือกบอกปาร์ตี้ว่า วันนี้ผมคงกลับดึกเพราะต้องไปเลี้ยงลูกค้า อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยอยากเจอเค้ามากนัก ซึ่งมันก็เลี่ยงได้ยากเพราะเราก็อยู่บ้านเดียวกัน ที่พอทำได้ก็อย่างที่ผมทำอยู่ตอนนี้ คือกลับตอนเค้าหลับ และตื่นตอนเค้าออกจากบ้านแล้ว ปาร์ตี้เองก็คงสังเกตได้ และกำลังพยายามเป็นฝ่ายขยับเข้าหาเพื่อลดช่องว่างที่ผมสร้างไว้

เดิมทีผมพร้อมไล่ตามเค้าเสมอ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อย ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมเลิกรักเค้าหรือผมอยากจะเลิกกับเค้านะครับ ผมเพียงแค่อยากพักตั้งหลักนิดหน่อย แล้วค่อยลุยต่อ ขอเพียงไม่นานที่ผมจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ผมเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามกลุ่มรุ่นน้องไป

“พี่อรรถนี่ก็นะ นายเพิ่งจะบ่นไปว่าให้พักผ่อนยังจะตามพวกผมมาอีก”บรรดารุ่นน้องของผมเริ่มบ่นเมื่อโดนผมใช้ตำแหน่งที่สูงกว่าห้ามทุกคนปฏิเสธไม่ให้ผมมาเลี้ยงลูกค้าด้วย

“เอาน่านี่ลูกค้าวีไอพี พี่ต้องมารับรองเป็นพิเศษ แถมรายนี้ซื้องานเพราะพี่มาหลายรอบแล้ว เค้าคงแฮปปี้ที่พี่มาด้วยแหละน่า”ผมเริ่มอวดอ้างสรรพคุณตัวเองเพื่อให้น้องๆ ไม่มีข้อโต้แย้งในการที่ผมจะร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย แม้จะยังมีการบ่นกระปอดกระแปดอยู่บ้าง แต่พอลูกค้ามา พวกเราก็ปรับโหมด ให้บรรยากาศสนุกสนานเพื่อให้โดนใจลูกค้าให้มากที่สุดแหละครับ เพราะการเลี้ยงรับรองลูกค้าของพวกเราก็มีผลตามมาหลายอย่าง แต่หลักๆ ก็เรื่องยอดขายนี่แหละครับ

บรรยากาศครึกครื้นเริ่มแผ่วลง เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนเกือบถึงเวลาที่ร้านจะปิด หลายๆ คนโดนฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำพิษ ทั้งเมาทั้งหลับ ผมเลยจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่าย และจัดแจงทีมงานฝั่งพวกผมว่าใครจะไปส่งใครจะกลับยังไง ส่วนบรรดาลูกค้าเค้ามีรถตู้มารับเรียบร้อยหายห่วง

“ขับรถดีๆ พี่เจอกันพรุ่งนี้”รุ่นน้องคนที่สติยังดีที่สุดบอกลาผมก่อนจะขับรถออกไป ส่วนผมไม่ได้ดื่มมากเท่าไหร่ เรียกว่าแทบไม่ดื่มเลยด้วยซ้ำครับ เพราะไม่ได้อยากเมาและรู้ว่าต้องขับรถกลับ ผมยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา นี่ก็ตี 2 กว่าแล้วป่านนี้ปาร์ตี้คงหลับไปแล้ว ผมเองตอนนี้ก็ง่วงเต็มที คงต้องรีบกลับไปพักผ่อน การที่นอนดึกแทบทุกวัน แม้จะตื่นสายได้ แต่ร่างกายก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่านอนไม่พอ มันเป็นอาการที่ผมเองก็ไม่ชินสักที ทั้งๆ ที่ใช้ชีวิตเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว ผมเลิกคิดเรื่องต่างๆแล้วขับรถออกจากร้านที่ใช้เป็นสถานที่รับรองลูกค้า แต่ออกมาได้เพียงนิดเดียวผมก็ต้องแปลกใจกับสายที่โทรหาผม

“ปาร์ตี้”ผมมองชื่อที่โชว์บนหน้าจอ ปกติถ้าผมบอกว่ากลับดึกเค้าจะไม่เคยโทรหาผมแบบนี้ หรือจะเป็นผมเองที่ทำผิดในครั้งนี้ ผิดที่ทำเป็นเย็นชาใส่เค้า

“อรรถใกล้จะกลับยัง”น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยของเค้าทำให้ผมแทบจะลืมทุกเรื่องที่ขุ่นข้องอยู่ในใจ อย่าบอกว่าเค้ายังไม่นอนเพราะยังรอผมกลับนะ เพราะตัวเค้าต้องทำงานแต่เช้า ไอ้ผมกลับดึก นอนดึกแต่ตื่นสายได้ เพราะเข้างานตอนไหนก็ได้ ถ้าไม่ได้มีนัดกับลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะนัดลูกค้าช่วงบ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว

“อรรถกำลังกลับ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอน บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ”น้ำเสียงผมบอกออกไปดุๆ นิดหน่อย แต่ที่พูดไปก็เพราะห่วงเค้านั่นแหละครับ ผมถอนหายใจเบาๆ โดยพยายามปิดไม่ให้เค้าได้ยิน ที่ถอนหายใจนี่คือกำลังคิดว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ ความสัมพันธ์ของเรามันควรไปกันได้ด้วยดีสิ ผมจะมาทำให้มันยิ่งแย่ไปทำไม

“เรานอนแล้ว แต่ตื่นมาเข้าห้องน้ำเห็นว่าอรรถยังไม่กลับเลยโทรถามดู”ผมตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ ซึ่งผมรู้ทันทีว่าเค้าพูดไม่จริง เพื่อให้ผมสบายใจแค่นั้น เราอยู่ด้วยกันมาเป็นปีทำไมผมจะไม่รู้ว่าเค้าไม่เคยตื่นมาระหว่างคืนแบบนี้เลย

“อือ ยังไงนอนต่อเลยนะ อีกเดี๋ยวอรรถก็ถึงแล้ว”ผมตอบกลับเค้าไปด้วยความห่วงใย ผมอมยิ้มกับตัวเองเริ่มผ่อนคลายขึ้น กับสิ่งที่กังวลอยู่ในใจ ผมคือคนที่เค้าเลือกแล้ว และจากที่สังเกตได้เค้าก็พยายามเช่นกันที่จะประคับประคองความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ให้ไปต่อได้ สิ่งที่ผมต้องให้เค้าคือเวลาสินะ การจะลบใครไปจากใจจนหมดสิ้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าลองเป็นผมเองจะให้ตัดเค้าไปจากใจ มันก็คงไม่ง่ายเช่นกัน

“ขับรถดีๆ นะ”เค้าบอกก่อนจะวางสายไป และไม่ทันตั้งตัวผมรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงจากทางด้านหลัง ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงวัตถุปะทะกันดังก้องในหัวผม ความรู้สึกเหมือนผมกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ ดับลงเป็นความมืด



“พี่อรรถ พี่อรรถฟื้นแล้ว เฮ้ยทุกคนพี่อรรถฟื้นแล้ว ใครเรียกหมอที”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อของผม บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างมายืนรายล้อมผมที่นอนอยู่บนเตียง ผมมองทุกคนงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จากสภาพแวดล้อมที่เห็นผมน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วนี่ผมเป็นอะไร ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีรุ่นน้องคนนึงช่วยประคอง และปรับเตียงขึ้น ผมเริ่มสำรวจตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่นา ดูมีรอยถลอกนิดหน่อย แต่ทำไมที่ทำงานผมแห่กันมาเยอะขนาดนี้ แถมนั่นเจ้านายผมก็มาด้วย

“ผมบอกแล้วว่าให้พักผ่อนเยอะๆ นี่พูดยังไม่ทันข้ามคืนก็เกิดอุบัติเหตุจนได้ แต่ก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกัน ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก”เจ้านายเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ ว่าแต่ผมเกิดอุบัติเหตุงั้นเหรอ ผมค่อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าว่าผมไปทำอะไรมา

“ครับ”ผมรับคำเจ้านายพร้อมกับที่สมองกำลังพยายามนึกถึงอุบัติเหตุที่เจ้านายผมพูดถึง แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อรุ่นน้องคนนึงก็พูดขึ้น

“คิดแล้วก็เหมือนปาฏิหารย์เนอะ โดนสิบล้อเบรคแตกชนจนกระเด็นไปมุดใต้รถพ่วงอีกที สภาพรถเยินขนาดนั้น แต่ตัวพี่อรรถมีแค่รอยถลอกนิดหน่อย นี่พี่แขวนพระอะไนเนี่ย จะได้ไปหามาแขวนบ้าง”สิ้นคำพูดของรุ่นน้อง ทุกคนในห้องก็หัวเราะออกมา แต่ตัวผมกับต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะกำลังงงว่าทำไมผมนึกเหตุการณ์ที่ทุกคนกำลังพูดถึงไม่ได้

“เป็นไรหรือเปล่าพี่ ทำไมหน้าเครียดๆ”รุ่นน้องคนเดิมเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นอาการของผม คนอื่นๆ ก็เงียบและหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน ผมบอกกับทุกคนออกไปว่าผม นึกไม่ออกกับเหตุการณ์ที่ทุกคนกำลังพูดถึงว่าสาเหตุที่ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ยังไง ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ผมพูด และต่างพากันชี้ตัวเองถามกับผมว่าจำพวกเค้าได้ไหม แน่นอนว่าผมจำทุกคนได้ จำตัวเองได้ รวมถึงข้อมูลส่วนตัวของตัวเองก็จำได้ทุกอย่าง ที่ผมจำไม่ได้คือที่ทุกคนบอกว่าเมื่อวานผมไปเลี้ยงลูกค้ากับพวกรุ่นน้อง และเกิดอุบัติในตอนที่กำลังกลับบ้าน

“เดี๋ยวหมอก็มา ค่อยลองคุยกับหมอดูอีกทีก็ได้ อย่าเพิ่งกังวลเลยพี่ ผมเคยมีเพื่อนคนนึงมอไซต์ล้มหัวฟาดฟุตบาท มันก็จำเหตุการณ์วันที่ตัวเองเกิดอุบัติเหตุไม่ได้เหมือนกัน มันบอกว่าเหมือนความทรงจำช่วงนั้นมันหายไป จำได้แค่ตอนฟื้นที่โรงพยาบาลแล้ว”ตอนแรกผมก็กังวลนะครับ แต่พอได้ฟังแบบนี้มันก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงแล้วแหละมั้ง รอแค่ให้หมอมาดูอาการของผมอีกครั้ง

ทุกคนต่างเข้ามาให้กำลังใจผม และส่วนใหญ่ก็บอกว่าดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมากถือว่าฟาดเคราะห์ ทุกคนลงความเห็นว่าจะรอคุณหมอมาดูอาการผมก่อนค่อยจะแยกย้ายกันกลับ นี่ก็เห็นว่ามากันตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ตอนนี้ก็จะ 8 โมงเช้าแล้ว ส่วนผมก็ให้แฟนผมดูแลต่อ จริงสิมัวแต่คุยกับทุกคนที่นี่จนลืมไปว่าเค้าตกใจหรือเปล่าที่ผมเกิดอุบัติเหตุ แต่เห็นว่าลงไปซื้อของเตรียมมาอยู่เฝ้าผมเดี๋ยวก็คงขึ้นมา

เสียงเปิดประตูห้องทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง ทีแรกผมก็นึกว่าเป็นคุณหมอที่จะมาดูอาการผม แต่คนที่เดินเข้ามากลับเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก เค้าเดินตรงมาที่เตียงพร้อมกับยิ้มให้ผม

“พี่ตี้มาเป็นพยาบาลให้แบบนี้ พี่อรรถอาจจะอยากอยู่โรงพยาบาลยาวหรือเปล่านา”ผมมองหน้าผู้มาใหม่พร้อมกับความไม่เข้าใจที่ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้จักเค้าเป็นอย่างดี แต่ทำไมผมไม่ยักกะจำได้ว่าเค้าเป็นใคร


TBC

มาต่อคร๊าบบ

ฝากติดตามกันต่อด้วยนาอย่าเพิ่งทิ้งกันกลางทาง

เรื่องอาจจะลากเข้าดราม่าไปบ้าง กะอาจต้องเตรียมใจกันนิดนึง เหอๆ

เพราะคงอึนๆ กันไปอีกหลายตอน
 :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 16-11-2016 12:38:33
อรรถจำตี้ไม่ได้ดีแล้ว ชาร์ปจะได้ไปหาตี้เอง อรรถจำได้แต่หนุ่ยเท่านั้น
  รอ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 16-11-2016 14:37:18
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-11-2016 19:28:33
แรงกระแทกที่ศีรษะ ทำให้อรรถจำตี้ไม่ได้
อรรถ คงหายเครียดเรื่องตี้ไปเลย
อาจจะคิดว่ายังรักกับหนุ่ยอยู่
เข้าล็อก จับคู่หรือเปล่านะ
ตี้ เลยลอยออกจากอรรถ โดยอัตโนมัติ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: จั๊กหล่ะ ที่ 16-11-2016 20:26:49
อร๊ายยย นานๆมาต่อทียังมาทำให้ค้างอีก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 16-11-2016 21:11:26
ห๊าาา จำตี้ไม่ได้ ไปกันใหญ่ละแบบนี้ สงสารอรรถอะ ได้ตัวแต่ไม่เคยได้ใจ ม๊ายยยยยยยยยย
เอาจริงๆ นะ ถ้าอรรถต้องเลิกกับตี้ แล้วให้ตี้กลับไปมีความสุขกับคุณแว่น คงตลกน่าดูอะ เหอะ !!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 16-11-2016 21:16:15
อรรถจำตี้ไม่ได้หรอ!!! แย่แล้ว ตี้จะทำยังไงละนี่
เฮ้อออ~
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 16-11-2016 23:40:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 16 ใคร 16-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2016 22:42:22
PART II บทที่ 17
คนแปลกหน้า



Aut’s Part
“เราเป็นแฟนกัน”ผมทวนประโยคเดิมอีกครั้งกับคนที่เค้าบอกกับผมว่าเค้าคือคนรักของผม แถมคนอื่นๆ ยังช่วยยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง ตอนแรกผมยังคิดว่าทุกคนรวมหัวกันอำผมเสียอีก แต่พอได้รับการยืนยันจากคุณหมอ พร้อมด้วยผลสแกนสมองของผม มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ผมเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

“จากข้อมูลที่ได้ตอนนี้ อาการของคุณคือสูญเสียความทรงจำบางส่วน ถ้าจะพูดให้ชัดคือความความทรงจำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของคุณหายไปเกือบหมด สาเหตุก็เกิดจากตอนที่เกิดอุบัติเหตุคงมีการกระแทกที่ศีรษะ จากผลการสแกนสมองจะเห็นว่ามีเลือดออกในสมองนิดหน่อย แต่น้อยมากจนเกือบจะไม่เห็น”นั่นคือสิ่งที่คุณหมออธิบายให้ผมฟัง ผมได้แต่มึนๆ งงๆ กับเรื่องราวที่ได้รับฟัง ใครจะไปคิดว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้

“แล้วผมจะหายไหมครับ”สิ่งที่เป็นใครก็คงต้องถาม ว่าท้ายที่สุดไอ้เรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อเนี่ยมันจะยังมีปาฏิหารย์ขึ้นได้อีกหรือเปล่า

“โดยปกติแล้วการสูญเสียความทรงจำในลักษณะนี้ไม่ได้ทิ้งรอยโรคไว้ในสมอง ก็ถือว่ามีโอกาสที่จะหาย เพียงแต่อาจต้องใช้เวลา ซึ่งหมอเองก็ตอบไม่ได้ว่านานแค่ไหน 1 เดือน ครึ่งปี หรืออาจจะ 2-3 ปี 10 ปีมันเป็นไปได้หมด สมองคนเราบางทีก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ แต่บางครั้งก็อัศจรรย์จนเราคาดไม่ถึง”นี่ผมควรจะรู้สึกยังไงดี ไอ้ความทรงจำที่หายไปนี่มันมีอะไรสำคัญๆ บ้างละเนี่ย

“การฟื้นความจำก็คงต้องอาศัยคนใกล้ชิดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ พยายามอย่ากดดันให้นึกในสิ่งที่ยังจำไม่ได้ ควรหากิจกรรมที่แปลกใหม่ทำเพื่อเป็นการฝึกสมอง แต่ทั้งนี้ก็แทรกเรื่องราวเก่าๆ หรือรูปถ่ายให้ดูบ้างเพื่อเป็นการกระตุ้น”คุณหมออธิบายอะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังอีก บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าผมจะหาย เพราะชีวิตจริงมันคงไม่เหมือนละคร ที่หัวกระแทกความจำเสื่อม พอโดนกระแทกอีกทีแล้วจำได้ ซึ่งแน่นอนข้อนี้หมอก็ยกตัวอย่างให้ผมฟังเหมือนกัน และถ้าจะหายจริงๆ มันก็มีวิธีการรักษาที่ใช้ไฟฟ้าในการกระตุ้นสมอง ซึ่งในเคสของผม หมอไม่แนะนำ เพราะยังไงผมก็ยังมีความทรงจำที่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติ

“เราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบ 1 ปีไปไม่กี่วันนี่เอง”เสียงของอีกคนเรียกให้ผมหันไปสนใจเค้า ผมละความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหมอบอก และหยิบโทรศัพท์มือถือที่เค้ายิ่นมาให้ผม บนหน้าจอแสดงรูปคนสองคนพร้อมข้อความที่โพสต์ลงสู่โซเชียลเน็ตเวิร์คบอกว่าเป็นวันครบรอบอย่างที่เค้าบอกจริงๆ และในนั้นก็เป็นรูปผมกับเค้า ผมว่าจุดนี้แหละที่ดูจะเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตมากที่สุด ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว และจากที่ฟังผมกับคนตรงหน้านี้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันแล้วด้วย

ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งพยายามนึกให้ออก แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย ผมยอมรับนะครับว่าเค้าเป็นคนที่น่ารัก ถ้าผมไม่มีแฟนผมคงจีบเค้าแล้ว แต่ในความทรงจำที่ผมมีตอนนี้คือผมเป็นแฟนกับหนุ่ย แม้ผมกับหนุ่ยจะไม่ได้รักกันหวานหยดอะไรแต่ผมก็คงไม่คิดจะนอกใจคนที่ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนอยู่ ทว่าอยู่ๆ วันนึงผมกลับตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเลิกกับหนุ่ยแล้ว และมีอีกคนมาเป็นแฟน

“ผมกับคุณ...เอ่อ...ตี้ใช้ไหมครับ”เค้ามีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ผม ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่กำลังไม่รู้จะเอายังไงต่อไป ผมที่ต้องมามีแฟนซึ่งเราเหมือนไม่รู้จักเค้าเลย กับเค้าที่มีแฟนที่จำเค้าไม่ได้ ขนาดชื่อเค้าผมยังต้องถามย้ำ ถ้าบอกว่าเราสองคนเป็นแฟนกันผมคงเป็นแฟนที่แย่มากเลยสินะเนี่ย

“เราสองคนมาคบกันได้ยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่านี่เค้ามาจีบผม หรือผมไปจีบเค้ากัน ส่วนหนึ่งก็อยากทำตามคำแนะนำของคุณหมอด้วยแหละครับ เผื่อว่าเรื่องราวในอดีตจะช่วยกระตุ้นให้ผมนึกอะไรออกบ้าง จริงๆ ผมอยากจะให้เค้าแนะนำตัวเองใหม่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้เค้าก็คือคนแปลกหน้าสำหรับผม เค้าเป็นใครมาจากไหนผมก็จำไม่ได้ ทำไมเราสองคนถึงมาเจอกันได้ หรือทำไมผมถึงเลิกกับหนุ่ย เค้ารู้จักหนุ่ยไหม ผมควรถามเรื่องหนุ่ยกับเค้าหรือเปล่า การถามเรื่องแฟนเก่าจากคนที่เป็นแฟนใหม่อาจจะดูเหมาะ ผมมีคำถามที่ตีกันอยู่ในหัวมากมายไปหมด

“เริ่มจากตรงไหนดีละ”เขาดึงเก้าอี้มานั่งที่ข้างๆ เตียงที่ผมนอนอยู่ ทำท่าครุ่นคิด พอได้สังเกตเค้าใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่น่ารักมากๆ เลยครับ เค้าไม่ได้บอบบางน่าทะนุถนอมอะไรแบบนั้นนะครับ จะว่าหล่อก็หล่อแหละครับ แต่ผมว่าเค้าน่ารักมากกว่า ดูบุคลิกต่างจากหนุ่ยอยู่มากเลยทีเดียว นี่ผมเปลี่ยนสเปคได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เท่าที่ผมจำได้ตอนที่คบกับหนุ่ยผมก็ไม่ได้มองใครอื่นอีกหรอกครับ แสดงว่าผมคงเลิกกับหนุ่ยไปสักพักแล้วค่อยมาคบกับเค้า

ผมพิจารณาใบหน้าเรียวของเค้าจนลืมไปว่ารอให้เค้าเล่าเรื่องการมาคบกันของเราอยู่ ผมเผลอมองริมฝีปากของเค้าที่ก็เกิดคำถามตามมาว่า ผมเคยสัมผัสริมฝีปากนั้นมาแล้วใช่ไหม หรือผิวหน้าเรียบเนียนของเค้านั้นผมเคยลูบไล้หรือเปล่า แล้วถ้าผมขอสัมผัสเค้าทั้งที่ผมยังจำเค้าไม่ได้นี่เค้าจะยอมหรือเปล่า หรือเค้าจะคิดว่าผมฉวยโอกาส แต่เราสองคนเป็นแฟนกันนี่นา แถมย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว เราคงไม่ใช่แค่นอนจับมือกันใสใสแบบวันแรกรุ่นหรอกมั้ง

“ถ้าเอาแบบรู้จักกันอย่างเป็นทางการก็คงเริ่มจากการที่เราเป็นลูกค้าอรรถ”เสียงของเค้าหยุดความคิดผมไว้ก่อนที่มันจะยิ่งไปไกลกว่านี้ เค้าเป็นลูกค้าผมงั้นเหรอ แสดงว่าคงเป็นโปรเจคที่ใช้ระยะเวลาพอสมควร ถึงทำให้ผมกับเค้าพัฒนาความสัมพันธ์มาจนถึงจุดที่ใช้คำว่าแฟนได้ ว่าแต่เค้าบอกว่ารู้จักอย่างเป็นทางการ แสดงว่าผมกับเค้าเคยเจอกันมาก่อนที่จะมาทำงานด้วยกันหรือยังไงกันนะ ผมกำลังจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เราทั้งคู่ต่างหันไปมองทางประตูว่าเป็นใคร เค้าไม่ได้ลุกไปดู เพราะการเคาะประตูในโรงพยาบาลแบบนี้ถ้าห้องไม่ได้ล็อคทุกคนก็คงเปิดเข้ามาเลยอยู่แล้ว

ผู้มาใหม่เป็นชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักแต่ดูเหมือนตี้จะรู้จักผู้มาใหม่ เพราะต่างกล่าวทักทายกัน ผมเดาว่าสองคนที่มานี้คงเป็นแฟนกัน และคงไม่ใช่เพื่อนผม แต่จริงๆ ตี้เค้าก็เหมือนรู้จักเพื่อนร่วมงานผมทุกคน แล้วถ้าคนที่ทำงานผมเพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วงที่ความทรงจำผมหายไป นี่ผมก็จะจำเค้าไม่ได้ด้วยสินะ กลุ่มที่ผมเจอตอนฟื้นขึ้นมานั่นก็มีแต่คนเก่าๆ หรือสองคนนี้จะเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักไม่นาน

“เป็นไงบ้างครับคุณอรรถ”ชายหนุ่มผู้มาใหม่เข้ามาถามไถ่ผม จากสรรพนามที่ใช้ให้ผมเดาสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนตี้เสียมากกว่า

“นอกจากจำแฟนตัวเองไม่ได้ และก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จักพวกคุณ ที่เหลือก็ปกติดี”พูดจบแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ผมพูดจากวนเค้ามากไปหรือเปล่า อีกอย่างสีหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมก็ยิ่งเจื่อนลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่จะให้ทำยังไงได้ละครับ ก็ในความรู้สึกผมตอนนี้ทั้งสามคนตรงหน้าดูเป็นใครก็ไม่รู้สำหรับผม ความหงุดหงิดเล็กๆ ในใจผมมันเลยส่งคำพูดที่ออกจะกวนบาทานิดๆ นั่นออกมา แล้วอีกอย่างกับตี้ถึงแม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่าเค้าน่ารัก แต่ความรู้สึกจริงๆ เค้าก็เป็นคนที่ผมเพิ่งรู้จักวันนี้ จะให้รักเค้ากะทันหันอย่างนี้ผมก็คงยังทำให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ แถมด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่ฝังในหัวผมตอนนี้คือผมเป็นแฟนหนุ่ย ถ้ารักกับตี้ตอนนี้ ผมก็จะรู้สึกว่านอกใจหนุ่ย นี่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะขอให้เค้าตามหนุ่ยมายืนยันกับผมต่อหน้าเสียด้วยซ้ำ ว่าระหว่างผมกับหนุ่ยมันจบไปแล้ว

“สงสัยคงต้องทำความรู้จักกันใหม่ ผมเหมาครับแล้วนี่ก็แพทแฟนผม เราสองคนเป็นเพื่อนกับปาร์ตี้”จากคำแนะนำตัวทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดว่าแฟนผมชื่อปาร์ตี้ ไม่ใช่ตี้เฉยๆ ส่วนสองคนที่เป็นเพื่อนเค้าเนี่ยผมรู้จักมักจี่พวกเค้าขนาดไหนกันนะ แต่ดูจากที่เพื่อนๆ ฝั่งผมดูรู้จักมักคุ้นกับปาร์ตี้มากพอสมควร ผมเองก็คงคุ้นเคยกับเพื่อนๆ ของเค้าเช่นกันแหละมั้ง แล้วแบบนี้ผมจะต้องเจอเพื่อนเค้าอีกหลายคนหรือเปล่าเนี่ย มันดูเป็นความรู้สึกที่ดูพิลึกพิลั่นเหมือนกันนะครับ ที่จะมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมเรา นี่ก็ไม่รู้ว่าหมอจะให้ผมอยู่นี่อีกกี่คืน

หลังจากเพื่อนของปาร์ตี้แนะนำตัวเสร็จก็เข้าสู่สเต็ปการเยี่ยมคนป่วยแหละครับ ส่งมอบของเยี่ยม ปลอบคนป่วยอวยพรให้หายไวๆ ซึ่งเค้าก็ทำถูกแหละครับไม่ได้ผิดอะไร แต่แค่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะดีขึ้นอย่างที่พวกเค้าอวยพร นี่ไม่รู้เพราะอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดกว่าที่เคยเป็น ตอนนี้ทั้งสามคนพูดอะไรผมก็ได้แค่เออๆ ออๆ ไปผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจหรือคิดตาม บางแวปก็อยากให้เค้ารีบๆ กลับไปสักที ซึ่งนี่มันดูไม่ใช่อารมณ์ปกติหรือนิสัยของผมเลย ปกติผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนะครับ ยิ่งอาชีพการงานของผมแล้ว การมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับทุกๆ ดูจะมีผลดีกับอาชีพของผม และเท่าที่จำได้ผมก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด คงเพราะเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้แหละ ทำให้ผมมีอาการหงุดหงิดอย่างที่เป็นอยู่

ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แต่ไม่ได้ง่วงหรือจะนอนหรอกนะครับ แค่จะแกล้งหลับให้คนเยี่ยมไข้เกิดความเกรงใจและกลับไปสักที อีกอย่างที่หลับตานี่ก็เพื่อสงบสติด้วยแหละครับ ผมพยายามตัดสิ่งที่ทั้งสามกำลังพูดคุยออกไป แต่ใบหน้าของปาร์ตี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผม ใบหน้าที่ตกใจ และถามย้ำผมซ้ำไป ซ้ำมาว่าผมจำเค้าไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ครั้งแรกที่เค้ารู้ว่าผมจำเค้าไม่ได้ เค้าเหมือนจะร้องไห้ นั่นสินะเค้าก็คงเสียใจเป็นธรรมดา ที่ตอนนั้นผมจำทุกคนได้ยกเว้นเค้าซึ่งควรจะเป็นคนสำคัญที่สุดของผมด้วยซ้ำ เค้าคงรักผมอยู่มากทีเดียวแหละ แต่จากนี้ผมละ ผมจะรักเค้าได้เหมือนเดิมที่เคยรู้สึกกับเค้าหรือเปล่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมรักเค้ามากขนาดไหนกันนะ มันจะเหมือนที่ผมเคยรู้สึกกับหนุ่ยหรือเปล่า ความคิดผมหยุดลงเมื่อภาพของหนุ่ยซ้อนทับเข้ามาแทนภาพของปาร์ตี้

“อ้าวเราก็คุยกันเพลินจนแฟนมึงหลับไปแล้วเนี่ย งั้นยังไงกูกลับก่อนดีกว่าเนอะ”ผมหันมาสนใจบทสนทนาของปาร์ตี้กับเพื่อนของเค้าอีกครั้ง โดยที่ยังไม่ได้ลืมตา นี่อีกเดี๋ยวเค้าก็คงกลับกันแล้วสินะ

“ยังไงก็ขอบใจนะมึงที่มาเยี่ยม แพทด้วย แล้วก็อย่างที่บอก ฝากบอกพี่วิชาญอีกรอบว่ากูขอเวลาดูอรรถเค้าก่อน แค่ถ้ามีงานด่วนอะไรก็สายตรงหากูได้ตลอดเดี๋ยวกูทำส่งไปให้”เสียงพูดคุยเหมือนกำลังห่างออกไป ผมค่อยๆ หรี่ตามองก็เห็นทั้งสามคนกำลังเดินไปทางประตู ผมค่อยๆ พ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก

“มึงโอเคแน่นะ ยังไม่ทันได้เคลียร์กันดีๆ ก็ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”ผมหูผึ่งในสิ่งที่กำลังได้ยิน ทั้งที่บทสนทนาเกิดขึ้นห่างจากผมออกไปพอควรด้วยคงไม่อยากให้ผมรับรู้ด้วยหรือเปล่า ว่าแต่มีอะไรต้องเคลียร์ หมายถึงเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้หรือเปล่า

“เอาจริงๆ กูยอมให้เค้าทำตัวเหมือนเว้นระยะห่างกับกูแล้วกูมีตัวตนกับเค้า มันก็คงดีกว่าการที่กูกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเค้าไปแบบนี้”เว้นระยะห่างงั้นเหรอ ผมเนี่ยนะทำตัวเหินห่างกับเค้า แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องทำแบบนั้น ไหนว่าเราเพิ่งไปฉลองวันครบรอบกันมา ตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้ามันคือยังไงกันแน่ สถานการณ์ตอนนี้คือเรายังรักกันดีหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ แว่วมาจากจุดที่พวกเค้าคุยกัน คงเป็นปาร์ตี้ที่ร้องไห้ เค้าร้องเพราะผมจำเค้าไม่ได้ หรือว่ามีเหตุผลอื่นอีกที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อสักครู่ ที่ทำให้เค้าต้องร้องไห้ออกมา

“เข้มแข็งไว้สิวะมึง หมอก็บอกแล้วว่ามีโอกาสหาย”ความรู้สึกสับสนในหัวของผมพุ่งระดับสูงมากขึ้นไปอีก ถ้าผมจำเรื่องราวทั้งหมดได้เร็วๆ ก็ดีสินะ จะได้ไม่ต้องมาคิดมากให้ปวดหัวแบบนี้ เสียงพูดคุยเบาลง เหมือนเป็นการปลอบโยนของเพื่อนๆ เค้า ซึ่งผมฟังไม่ค่อยชัดแล้ว ผ่านไปสักพักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เพื่อนของปาร์ตี้คงไปแล้ว เสียงเท้าของเค้าเดินกลับมาหาผม และก็มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง

“เราสองคนยังรักกันดีอยู่หรือเปล่า”ผมยิงคำถามที่สงสัยออกไป โดยเป็นการบอกใบ้ว่าผมได้ยินในสิ่งที่เค้าคุยกับเพื่อน เค้าสูดหายใจเข้าฟอดใหญ่ก่อนจะเดินมาข้างๆ เตียง เค้าเอื้อมมือข้างหนึ่งมาประสานกับมือของผม ก่อนที่สายตาของเค้าจะประสานมาที่สายตาของผม

“บอกแล้วไงว่าเราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบกันไป”เหมือนเค้าจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ผมก็ไม่ได้ค้านอะไรเค้า เค้าค่อยๆ ยกมือที่ประสานกับมือผมอยู่ขึ้นไปแนบที่ใบหน้าของเค้า ใบหน้าที่ตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเค้า เค้าคงรักผมมากจริงๆ สินะผมว่าผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เค้าไม่ยอมบอกกับผม

“ตลอดเวลาที่คบกันผมเป็นแฟนที่ดีไหม”แม้จะมั่นใจว่าตัวผมเองก็ทำตัวเป็นแฟนที่ดีทุกครั้งเวลาที่สร้างความสัมพันธ์กับใคร แต่สิ่งที่ผมได้ยินเค้าคุยกับเพื่อน มันทำให้ผมเขว เพราะในสิ่งที่เพื่อนเค้าพูดรวมถึงสิ่งที่ออกจากปากเค้า มันเหมือนกับว่าผมเองก็มีส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีปัญหา เค้าพยักหน้าแทนคำตอบ แถมด้วยน้ำตาของเค้าที่ดูเหมือนมันจะยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม โดยที่เค้าไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีก ผมค่อยๆ แกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเค้า ผมใช้สองมือของตัวเองปาดเช็ดน้ำตาบนหน้าเค้า แต่ยิ่งผมเช็ดเค้ากลับยิ่งร้องมากกว่าเดิมเสียอีก

“ผมทำให้คุณเสียใจบ้างหรือเปล่า”เค้าส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของผม โดยที่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล

“งั้นการที่ผมจำคุณไม่ได้นี่คงเป็นเรื่องแรกสินะที่ผมทำให้คุณเสียใจ”ทั้งที่ตั้งใจจะปลอบเค้า แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันจะยิ่งไปตอกย้ำในสิ่งที่เค้ากำลังเสียใจอยู่ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เอื้อมมือดึงเค้าให้ซบลงมาที่ไหล่ของผม จากนี้ทั้งผมและเค้าคงต้องเจอเรื่องที่ยากลำบากอีกมาก และไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย

“อย่างน้อยการที่ผมจำคุณไม่ได้แต่ยังปลอดภัย มันก็คงดีกว่าการที่คุณไม่ได้เจอผมอีกเลย จริงไหม”





TBC

สงสารทุกคนเลย

 :o12:

ขอบคุณทุกคนที่คิดตามเช่นเคยนะฮ่ะ

เรื่องราวจะอิรุงตุงนังกันยังไงต่อ รอติดตามกันนะคร๊าบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-11-2016 22:55:34
ชาร์ปยังว่าง..อยู่ไหม
อรรถเค้าไม่รักปาร์ตี้แล้ว
เอาแต่จะกลับไปหาหนุ่ยอย่างเดียวเลย

เออ..อยู่คนเดียวก็ได้ว้อยยยย
ไม่เห็นจะตาย
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-11-2016 23:58:44
บททดสอบของปาร์ตี้ อรรถกับหนุ่ย ชาร์ปก็มาปลอบใจปาร์ตี้เร็วๆนะ ฮ่าๆ
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 18-11-2016 00:06:07
หนูจะตายแล้วววว :mew4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-11-2016 00:07:16
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 19-11-2016 00:38:10
ก็อย่างที่ว่า ถึงจำไม่ได้แต่รู้ว่าปลอดภัยมันก็ดีกว่าอยู่แล้ว

อีกเรื่องคือจะทำยังไง ถ้ายื้ออยู่แบบทั้งที่อีกฝ่ายยังจำไม่ได้
คือถ้าอีกฝ่ายสมัครใจมันก็ดีไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนใจอรรถไม่ได้อยากจำเกี่ยวกับตี้ได้เลยแฮะ
อีกทางก็คือปล่อยอรรถไป ตี้ก็อยู่จฃของตี้เริ่มต้นใหม่

เห้อ เศร้า..
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 19-11-2016 07:13:56
เหมือนอรรถ ไม่อยากจำ  แต่แบบนี้ดีกว่าตายอีก  สงสาร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-11-2016 07:34:46
สมองเราช่างมหัศจรรย์
กลไกทางสมองของอรรถ ปกป้องอรรถ
โดยการลบความทรงจำที่ทำให้อรรถ เจ็บปวด
ตี้ ก็คงเจ็บปวดกับการที่รู้ว่าอรรถ ลืมตี้เพราะเหตุใด
แต่แบบนี้ ก็คงดีกว่าฟื้นขึ้นมา
แล้วยังเศร้าที่ตี้ไม่รัก
อาจถึงเวลาที่ตี้ ทบทวนตัวเอง
ว่าควรพูดกับอรรถ ตรงๆ ได้แล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-11-2016 20:23:26
TT
พันกันไปหมดดดดดด
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 19-11-2016 20:30:07
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-11-2016 15:52:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 17 คนแปลกหน้า 17-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-11-2016 20:13:54
PART II บทที่ 18
ห่วง


Sharp’s Part
ผมตัดสินใจอยู่นานหลังจากรู้ข่าวเรื่องแฟนของปาร์ตี้ ว่าจะโทรหาเค้าดีไหม ในส่วนของรายระเอียดผมก็ทราบจากไอ้เหมาเกือบหมดแล้วละครับ ฟังแล้วก็หนักเหมือนกัน ถึงแฟนเค้าไม่ได้มีบาดแผลอะไรตามร่างกายที่รุนแรง แต่กลับมีปัญหาที่ความทรงจำ นี่ถ้าเป็นผมอยู่ๆ ถูกคนที่ตัวเองรักจำไม่ได้ ก็คงไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันแหละครับ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและฟังดูเหลือเชื่อ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องยอมรับ ผมอยากจะโทรไปให้กำลังใจเค้าในฐานะเพื่อนคนนึง แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำได้แค่นั่งจ้องมองโทรศัพท์มาครึ่งค่อนวันแล้ว

“ตี้เค้าเป็นไงบ้างละลูก”คุณแม่ที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดินเข้ามาถามไถ่ผม แต่ถ้าแม่สังเกตสักนิดจะรู้ว่านี่ผมยังนั่งอยู่ที่จุดเดิม ตั้งแต่เช้าที่แม่ออกไปโรงแรม จนตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ไปไหน ถ้าถามว่าทำไมผมไม่โทรไปหาเค้าเลยก็จบ ไม่เห็นมีอะไรยาก แต่สำหรับผม มันยากที่จะพูดยังไงให้เค้ารู้สึกว่าเราแค่ให้กำลังใจกับเค้าแค่ในฐานะเพื่อน เพราะในใจผมก็ยังมองเค้าเป็นเพื่อนอย่างสนิทใจไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับเค้าอย่างเดิมให้ได้

บางเสี้ยวนาทีผมก็คิดนะครับ คิดแบบไม่สนใจความถูกผิด ว่าการที่แฟนตี้จำเค้าไม่ได้มันก็ดี อาจจะทำให้เค้าสองคนเลิกกันก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นความคิดไม่ดีในมุมเล็กๆ ของจิตใจด้านมืด แต่ผมคงยังเลวขนาดนั้นไม่พอ เพราะถ้ามองให้ถ้วนถี่การที่มันเป็นอย่างตอนนี้ตี้เค้าก็คงเสียใจมากพออยู่แล้ว

“เห็นเหมาบอกว่าไม่สู้ดีเท่าไหร่ครับ”ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากให้แม่จับผิดว่าทำไมผมยังไม่โทรไปถามไถ่เพื่อน แม่ผมเดินมานั่งลงข้างๆ ผม พร้อมสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ก็อย่างที่เคยบอกแหละครับว่าแม่ผมเอ็นดูปาร์ตี้อยู่พอสมควร ยิ่งมาทราบเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างเค้ากับแฟนเลยยิ่งนึกเป็นห่วง

“ไม่น่ามาเกิดเรื่องแบบนี้เลยเนอะ นี่ถ้าวันนึงเกิดพ่อเค้าจำแม่ไม่ได้ขึ้นมา แม่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงต่อ ยังไงลูกก็ให้กำลังใจเพื่อนเยอะๆ นะ ฝากบอกด้วยว่าแม่เองก็เอาใจช่วยให้แฟนเค้าหายเร็วๆ หรือมีอะไรอยากให้เราช่วยก็ไม่ต้องเกรงใจนะบอกมาได้เลย”แม่กุมมือผมพูดพร้อมด้วยน้ำตาเริ่มปริ่มๆ แต่พยายามกลั้นเอาไว้ แม่ถามเรื่องทั่วๆ ไปกับผมอีกเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปเตรียมเข้าครัว เพื่อทำอาหารเย็น

ผมจ้องมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง จ้องชื่อคนที่เพิ่งอยู่ในบทสนทนาของผมกับแม่เมื่อสักครู่ จริงๆ ผมจำเบอร์ของเค้าได้ตั้งแต่ตอนที่เราเคยตกลงว่าจะไม่บันทึกชื่อของอีกฝ่ายในตอนนั้น เพื่อป้องกันการจับผิดจากไอ้เหมา แต่หลังจากที่เราไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกันอีกแล้ว ผมก็กลับมาบันทึกเบอร์เป็นชื่อเค้า แบบปกติเหมือนเดิม ผมค่อยๆ แตะนิ้วลงไปที่หน้าจอสัมผัส สัญญาณบ่งบอกว่าสายได้เชื่อมต่อไปยังเค้าแล้ว ทำให้ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู เสียงรอสายดังอยู่นาน นานจนผมนึกว่าเค้าคงจะไม่รับสายผม แต่ในที่สุดเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น

“ว่าไงชาร์ป”แต่พอเสียงเค้ารับสาย ผมดันชะงักเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเตรียมคำพูดมาดีแล้ว ที่จะคุยกับเค้าพอเอาเข้าจริงดันพูดไม่ออกซะงั้น

“ฮัลโหล ได้ยินหรือเปล่า”เค้าถามย้ำอีกครั้ง แม้ช่วงเวลาที่ผมเงียบจะยังไม่ได้กินเวลานาน แต่มันก็คงผิดปกติของการที่เป็นฝ่ายโทรมาแล้วยังเงียบเสียงอยู่

“ดะ..ได้ยิน ได้ยิน”ผมบอกออกไปตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบปรับอาการตัวเองให้เป็นปกติ ได้แต่นึกขำตัวเองว่ากลายเป็นคนที่ประหม่าแบบนี้ไปตั้งแต่เมื้อไหร่ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนรู้จักเค้าทีแรก เป็นผมเสียอีกที่พูดจาหยอกเย้าเค้าโดยไม่ได้เคอะเขิน และเป็นเขาที่เหมือนจะเขินกับสิ่งที่ผมทำ ทว่าตอนนี้มันกลับ สลับกันโดยสิ้นเชิง เค้าดูนิ่ง น้ำเสียงที่ผมได้ยินยากที่จะคาดเดาว่าเค้ารู้สึกอย่างไร ถ้าจากที่ไอ้เหมาบอกกับผมมา เค้าคงกำลังทำตัวให้ปกติ พยายามกดความเสียใจไว้ไม่แสดงออกมามากนัก

“คุณอรรถเป็นยังไงบ้าง”นี่คงเป็นคำถามที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้นบทสนทนาในครั้งนี้ พอบทสนทนาเริ่มก็รู้สึกว่าผมจะกังวลทำไมอยู่ตั้งนานเพราะต่อให้ผมจะรู้สึกยังไงกับเค้า หรือโทรมาในฐานะอะไร สำหรับเค้าผมก็คงแค่เพื่อนคนนึง เพื่อนที่เหมือนกับความรู้สึกของผมที่ให้กับกลิ้ง แม้จะเคยมีสัมพันธ์ทางกายกัน กลิ้งอาจจะมีความรู้สึกให้ผมมากกว่าเพื่อน แต่ผมไม่ได้รู้สึกมากกว่านั้น เช่นกันกับผมที่ความรู้สึกกับปาร์ตี้ มันเปลี่ยนไปจากแค่ sex friends เกินเลยมากกว่านั้น ส่วนปาร์ตี้กลับคงไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับผม

“ก็อาจต้องอยู่โรงพยาบาลอีก 2-3 วันเพื่อตรวจซ้ำแล้วก็รอผลอีกบางส่วน ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงแล้วแหละ ยกเว้น...”เสียงเค้าเงียบลงและหยุดไป มันก็คงเป็นเรื่องที่ทำใจยากอยู่ไม่น้อยแหละครับ กับสิ่งที่เค้ากำลังเผชิญอยู่ แน่นอนว่าคุณอรรถเองก็น่าสงสารไม่แพ้กัน แต่ถ้าตามความรู้สึกส่วนตัว ผมก็ต้องเห็นใจปาร์ตี้มากกว่าอยู่แล้ว

“เรารู้เรื่องมาจากไอ้เหมาบ้างแล้วแหละ ตี้ไม่ต้องกังวลมากหรอก หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามีโอกาสหาย เราเชื่อนะว่ายังไงคุณอรรถจะต้องหาย”ไม่ใช่ว่าผมพูดไปเพียงเพราะให้ดูดี หรือให้เค้ารู้สึกดีแค่นั้นนะครับ ผมพูดเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคุณอรรถหาย ปาร์ตี้เองก็ไม่ต้องมาเศร้าแบบนี้ การเห็นเค้ามีความสุขมันก็ย่อมดีกว่าเห็นเค้าทุกข์ใจอยู่แล้วจริงไหมครับ

“อื้อ เราก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”เค้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจะยังเป็นกังวลอยู่ ผมนึกถึงใบหน้าของเค้าว่าตอนนี้ สีหน้าเค้าจะกำลังเศร้าแค่ไหน ผมยากปลอบเค้านะครับ แต่ไม่รู้คำพูดหรือความรู้สึกที่ผมอยากจะสื่อออกไป มันจะไปถึงเค้าหรือเปล่า

“เฮ้ย คุณอรรถเค้ารักตี้จะตายไป อีกไม่นานยังไงเค้าต้องจำตี้ได้แหละ”แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปมันจะเป็นจริงหรือเปล่า ผมก็แค่อยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้นนี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเดินเข้าไปกอดให้กำลังใจเค้าแล้ว จริงๆ ถ้ากลายมาเป็นผมที่จำเค้าไม่ได้ทุกอย่างมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ผมเองก็ไม่ต้องมารู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เค้าเองก็อาจจะไม่ต้องลำบากใจเวลาเจอผม เค้ากับแฟนก็ยังรักกันด้วยดีต่อไป

“ขอบใจนะ”น้ำเสียงที่เค้าตอบกลับมาฟังดูผ่อนคลายขึ้น ทำให้ผมเองก็พลอยเผลออมยิ้มออกมา อย่างน้อยการที่ได้คุยกับผมแล้วเค้าสบายใจขึ้นบ้าง แบบนี้ผมก็รู้สึกดีแล้วครับ ระหว่างผมกับเค้าให้มันเป็นแบบนี้ก็คงดีที่สุดแล้ว ผมคงต้องทำใจยอมรับให้ได้อย่างจริงจังเสียที การได้เป็นเพื่อนที่คอยห่วงใยกันมันก็เกินพอแล้ว

“เออ แม่เราฝากบอกด้วยว่า ขอให้คุณอรรถเค้าหายไวๆ แล้วก็ถ้ามีอะไรอยากให้พวกเราช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ”ผมบอกเล่าเกี่ยวกับแม่ผมอีกเล็กน้อยให้เค้าฟัง ซึ่งเค้าเองก็ฝากขอโทษแม่ผมที่ตัวเค้าบ่ายเบี่ยงคำชวนของแม่ผม ให้มาเที่ยวที่บ้านหลายครั้งแล้ว แต่ละครั้งแม่ผมก็คงเข้าใจว่าปาร์ตี้เค้าไม่ว่างติดงาน ไม่มีเวลา แต่จริงๆ แล้วทั้งผมและเค้าเองน่าจะรู้อยู่ลึกๆ ว่าเหตุผลที่เค้าไม่ยอมมาสักที มันน่าจะมาจากตัวของผมนี่แหละ

“เดี๋ยวเราลองคุยกับอรรถดูก่อนแล้วกันนะ เพราะคิดไว้เหมือนกันแหละว่าต้องหาเวลาพาเค้าไปพักผ่อน ให้สมองได้ผ่อนคลายอย่างที่คุณหมอแนะนำ ลองไปที่ใหม่ๆ ดูบ้างเผื่ออะไรๆ มันอาจจะดีขึ้น”ก็ไม่รู้เค้าตอบกลับตามมารยาทหรือเปล่า เพราะผมเสนอให้เค้าพาแฟนมาพักผ่อนที่ทางโรงแรมของที่บ้านผม แถมด้วยการมาเจอแม่ผมด้วย ที่เสนอแบบนี้ผมไม่ได้คิดอะไรมากกว่าให้เค้ากับแฟนได้มาพักผ่อนนะครับ ผมให้กำลังใจเค้าอีกนิดหน่อย ก่อนจะวางสาย แล้วคิดทบทวนบางอย่าง

“คุยกับตี้เค้าเหรอลูก”แม่ผมที่ไม่รู้มาตั้งแต่ตอนไหนเอ่ยทักผมขึ้น เพราะกำลังคิดอะไรอยู่ผมเลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครเข้ามา ผมพยักหน้ารับคำผู้เป็นแม่

“เห็นว่าคุณแรรถเค้าต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล อีก 2-3 วันนะครับ”ผมเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ทราบมาให้ผู้เป็นแม่ฟัง

“งั้นชาร์ปไม่ไปเยี่ยมเพื่อนหน่อยละ”เป็นสิ่งที่ผมเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันแหละครับ แต่ก็ยังกังวลทั้งเรื่องงานของผมเองที่รับผิดชอบอยู่ รวมทั้งเรื่องที่ติดค้างในใจของผมด้วย เลยไม่มั่นใจว่าผมควรไปเขอเค้าหรือเปล่า

“ก็คิดๆ อยู่และครับ แต่คงต้องดูงานก่อนว่าช่วงนี้ติดอะไรหรือเปล่า”ผมตอบออกไปตามตรง คือตอนแรกก็ยังลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี พอแม่มาพูดอย่างนี้ผมก็คงตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแหละครับ

“แหม ทำยังกะพ่อกับแม่จะดูแทนไม่ได้ ไปไม่กี่วัน ฝากพ่อกับแม่ดูก็ได้ ลูกก็ไปเยี่ยมเพื่อน ไปดูบ้านที่กรุงเทพฯ ด้วย หรือถ้ายังบ้างานอีกก็ เอางานที่ต้องไปประสานกับลูกค้าที่ทำสัญญากับเราไว้ไปติดต่อที่กรุงเทพฯ ด้วยก็ได้”อันนี้เริ่มออกแนวประชดแล้วครับแม่ผม ไอ้ผมก็ไม่ได้บ้างานอะไรขนาดนั้น เพียงแต่การใช้ชีวิตที่นี่ผมก็มีแต่งาน มันก็ไม่รู้จะเอาเวลาไปทุ่มให้กับอะไร อีกอย่างพอได้ทำงานมันก็ทำให้เลิกคิดเรื่องของอีกคนไปได้บ้าง

“แม่ดีใจนะที่เห็นลูกตั้งใจ ทำงาน แต่บางทีก็ไม่ต้องโหมให้มันหนักมากก็ได้”พอผมไม่ตอบโต้ ไม่ปฏิเสธก็ยิ่งย้ำเข้าไปอีก นี่ถ้าคุยกันต่อคงไม่พ้นโยงเข้าเรื่องหาแฟนให้ผมอีกเป็นแน่ ผมเลยต้องรีบชิ่งขอตัว บอกกับแม่ว่าจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ผมปลีกตัวไปจัดการงานต่างๆ ที่คาดว่าจะต้องฝากให้คนอื่นดูในช่วงที่ไม่อยู่ ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะอย่างที่แม่ผมบอกว่างานแทบทุกอย่าง พ่อกับแม่ผมก็จัดการได้อยู่แล้ว

เป็นอันว่าผมจัดการเคลียร์งานทุกอย่างด้วยความรวดเร็วพร้อมด้วยการจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายของวัน ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินเรียบร้อย เหลืออีกประมาณ 30 นาทีก็จะถึงเวลาเครื่องออก ผู้คนดูไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ คงเพราะไม่ค่อยมีใครเลือกขึ้นเครื่องดึกขนาดนี้

“มึงไม่ได้คิดอะไร ไม่ดีใช่ไหม”ไอ้เหมาที่พอรู้ว่าผมจะขึ้นเครื่องไปกรุงเทพฯ ก็ตั้งคำถามกับผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในเจตนาดีของผม แต่ก็ว่ามันไม่ได้หรอกครับ จากสิ่งที่มันรับรู้เกี่ยวกับผม มันก็คงอดที่จะคิดแบบนั้นไม่ได้ ไอ้เหมาเสนอตัวที่จะมารับผมที่สนามบินเมื่อถึงกรุงเทพฯ แต่ผมปฏิเสธ เพราะกว่าจะถึงก็ปาเข้าไปตี 1 แล้ว ผมกลับแทกซี่เห็นจะสะดวกกว่า

“แล้วพรุ่งนี้ให้กูไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหรือเปล่า”จริงๆ ก็ไม่ได้ซีเรียสนะครับกับการไปเผชิญหน้าเค้า เพราะผมก็ตั้งใจจะไปหาเค้าอย่างบริสุทธิ์ใจ ไปในฐานะเพื่อนคนนึงแค่นั้น ผมบอกไอ้เหมาออกไปว่า พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที ถ้ามันสะดวกจะไปได้ก็ไป แต่ถ้าติดธุระหรืออะไร ผมไปเองคนเดียวกะได้

หลังวางสายจากไอ้เหมาไม่นานก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เที่ยวบินรอบดึกวันนี้คนดูเบาบางพอควร ผมเดินผ่านพนักงานต้อนรับ ตรงไปยังที่นั่งตามที่ระบุอยู่ในตั๋วโดยสาร ยกกระเป๋าเก็บเรียบร้อยผมก็นั่งลงคาดเข็มขัด ข้างๆ ผมเป็นที่ว่างยังไม่มีใครมา ด้วยความที่ผมเลือกที่นั่งด้านในสุดเลย ค่อยๆ หลับตาลงเพราะเริ่มรู้สึกง่วงอยู่เหมือนกัน แม้จะใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงนิดๆ แต่ก็พอให้พักสายตาได้บ้างเหมือนกันแหละครับ ขอพักเอาแรงสักนิดละกัน ผมผลอยหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนเครื่องกำลังจะลง

“ตื่นแล้วเหรอ”ผมที่ยังตื่นไม่เต็มตาหันมองเจ้าของเสียงที่ทักทายผมอย่างงงๆ จำได้ว่าตอนจะหลับไม่ได้มีใครนั่งอยู่ข้างๆ แต่พอตื่นมาก็พบว่าที่นั่งข้างๆ ผมมันไม่ว่างแล้ว

“อ้าวกลิ้ง มาไงเนี่ย”ผมเอ่ยทักทายคนที่โผล่มาแบบผมไม่ได้คาดคิด

“พอดีไปทำธุระที่ภูเก็ตนิดหน่อยนะ ส่วนที่มานั่งตรงนี้ ทีแรกเรานั่งอีกที่แต่เห็นว่าเป็นชาร์ป และที่นั่งก็ว่างอยู่เลยขอแอร์ย้ายมานั่งตรงนี้ เห็นหลับอยู่เลยไม่อยากรบกวน”เค้าอธิบายเสียยืดยาว

“อ๋อ”ผมรับรู้อย่างมึนๆ เพราะยังเหมือนตื่นไม่เต็มตา และไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้าด้วยแหละครับ

“แล้วนี่ชาร์ปมากรุงเทพฯ ทำอะไรเหรอ”ดูเป็นคำถามที่เค้าไม่ได้อยากรู้คำตอบอย่างจริงจังสักเท่าไหร่ เพราะสายตาเค้าที่มองมายังผม มันดูเต็มไปด้วยความหมายอื่น แถมมือของเค้าที่วางลงบนหน้าขาของผมอีก เค้าค่อยๆ ขยับมือที่วางอยู่บนขาผมลูบไปมาช้าๆ

“เรามาเยี่ยมเพื่อนนะ พอดีเพื่อนประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาล”ผมคงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดถึงขั้นว่า มาเยี่ยมแฟนของเพื่อนอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ และดูกลิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจอยากรู้รายละเอียดนั้นสักเท่าไหร่ด้วย มือเค้ายังวางอยู่ที่ขาผมเหมือนเดิม สายตาก็มองผมไม่กระพริบ นี่ที่ผมพยายามปฏิเสธเค้าครั้งก่อน มันคงไม่เป็นผลสินะ

“แล้วนี่ชาร์ปอยู่กรุงเทพฯ กี่วันเหรอ”เค้ายังคงถามคำถามผมต่อแม้จะชะงักไปเล็กน้อยที่ผมจับมือเค้าออกจากหน้าขาของผม ผมเริ่มรู้สึกว่าการมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ของผมคงวุ่นวายกว่าทุกครั้งเสียแล้ว หลังจากเครื่องลงจอดแล้ว แทนที่ผมจะได้แยกย้ายกับกลิ้ง เค้าดันเอารถมาจอดที่สนามบินและอาสาจะไปส่งผมที่บ้าน แม้ผมจะปฏิเสธยังไงก็ไม่ฟัง สุดท้ายไอ้ผมก็เลยต้อง ปล่อยเลยตามเลยให้เค้ามาส่งที่บ้าน แถมระหว่างทางเค้าก็พยายามจะให้ผมหาเวลานัดทานข้าวกับเค้าสักมื้อในระหว่างที่ผมอยู่กรุงเทพฯ นี่ถ้าวันนี้ผมลืมความเกรงใจและให้ไอ้เหมามารับ เรื่องอาจจะไม่ยุ่งยากขนาดนี้ก็เป็นได้ แต่ยังไงเสียผมก็ยังไม่ตกปากรับคำอะไรกับที่เค้าเสนอมาสักอย่างแหละน่า

“ขอบคุณที่มาส่งนะ ขับรถกลับดีๆ ละ”ทันทีที่ถึงบ้านผมรีบหยิบกระเป๋าและลงจากรถ กล่าวลาเค้าอย่างรวบรัดตัดตอน

“ชาร์ป”เสียงเรียกชื่อผมทำให้ต้องหันกลับไปมอง แม้จะไม่อยากพูดคุยอะไรต่อสักเท่าไหร่ กลิ้งเดินลงจากรถตรงมาหาผมที่กำลังไขกุญแจรั้วบ้าน

“นี่ก็ดึกมากแล้ว คอนโดเราก็อยู่ไกล ขอค้างที่นี่สักคืนได้ไหม”





TBC

อิรุงตุงนังกันต่อไป

ขอบใจที่ยังติดตามนะคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 28-11-2016 23:13:28
วุ่นวายแน่นวนนน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-11-2016 23:42:14
เริ่มวุ่นๆซะแล้วชาร์ปเอ้ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-11-2016 00:20:07
เฮ้ออออ.   อะไรจะบังเอิญไปซะทุกเรื่อง.  อย่าดราม่าเยอะสิ.   
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 29-11-2016 00:28:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 29-11-2016 07:48:59
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 18 ห่วง 28-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-11-2016 14:49:46
PART II บทที่ 19
สงสัย



Aut’s Part
“ก็อย่างที่หมอเคยบอกนะครับว่ามีโอกาสที่ความทรงจำของคนไข้จะกลับมา แต่หมอไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเมื่อไหร่”ผมนั่งนิ่งฟังผู้เป็นหมอตอบคำถามของปาร์ตี้ หรือคนที่บอกว่าเป็นแฟนผมนั่นแหละครับ เค้าดูอยากให้ความทรงจำผมกลับมามากๆ ซึ่งก็คงอยากให้ผมจำเค้าได้นั่นแหละครับ มันก็คงจะแปลกอยู่ไม่น้อยถ้าเรายังจะคบกันต่อโดยที่ผมยังรู้สึกว่าเค้าเป็นคนแปลกหน้าอยู่

คุณหมออธิบายอะไรอีกนิดหน่อยก่อนจะปลีกตัวออกไป ปาร์ตี้เดินมาหยุดตรงหน้าผม เค้าไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กำลังมองผมนิ่ง นี่เค้าคงไม่ร้องไห้อีกหรอกนะ จริงๆ ก็ไม่อยากเห็นเค้าเศร้าหรอกนะครับแต่บอกตามตรงว่าพอผมจำเค้าไม่ได้ ความรู้สึกว่าผมรักเค้า หรือความรู้สึกที่ว่าเค้ารักผม มันเลยเหมือนเท่ากับศูนย์ ในเมื่อพอผมไม่รู้สึกทุกอย่างที่เค้าแสดงออกมาผมเลยมองว่ามันไม่จริง แล้วยิ่งเหมือนเค้ามีบางอย่างที่ไม่ได้บอกผม เลยยิ่งทำให้ผมมีแต่ความสงสัยและไม่เข้าใจในตัวเค้า ปกติเวลาผมคบกับใคร สิ่งหนึ่งที่มักเป็นข้อตกลงในการคบกันของผมคือ ความจริงใจ และพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง

“สมมติถ้าผมจำคุณไม่ได้”ผมตัดสินใจลองถามออกไป เพราะถึงคุณหมอจะบอกว่าผมมีโอกาสที่จะจำได้ ซึ่งมันก็แค่โอกาสมันไม่ได้ยืนยันว่าผมจะจำได้ และจากที่นั่งคิดนอนคิดผมไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตผมเองจะมีปัญหากับการที่สูญเสียความทรงจำบางส่วนนั่นไป เรียกว่าถ้าผมไม่มีทางจำได้ขึ้นมา ผมว่าผมก็คงไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร หรือต่อให้คนตรงหน้าผมเนี่ยจะขอเลิกกับผม ผมก็คงไม่น่าจะต้องตัดสินใจยากอะไร เพราะยังไงผมก็ไม่รู้จักเค้าอยู่แล้ว ถ้าจะมีใครที่ต้องเสียใจกับการที่ผมจำเรื่องราวไม่ได้ก็คงมีแค่ปาร์ตี้ แค่คนเดียว

“อรรถไม่อยากจำเราได้เหรอ”เค้าถามผมกลับมาเสียงสั่น ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลง จะว่าเห็นใจเค้าไหมผมก็เห็นใจนะครับ แต่ถ้าผมยังจำเค้าไม่ได้แล้วเราสองคนคบกันต่อไป แล้วให้เค้าทนอยู่กับผมที่ในตอนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกรักเค้า และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะรักเค้า หรือผมอาจไม่มีความรักให้เค้าเลย สู้ยอมให้เค้าเจ็บเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีกว่าหรือ นี่เป็นสิ่งที่ผมเองก็แค่คิดกับตัวเองนะครับ เพราะจะให้พูดออกไปมันก็ดูจะกระทันหันไปสำหรับเค้า

“มันก็...”

“ก็ดูแข็งแรงดีนิ นึกว่าจะมาเจอสภาพแขนหัก ขาเดี้ยง ซี่โครงทะลุซะอีก”เสียงของผู้มาใหม่พูดแทรกขึ้น บทสนทนาระหว่างผมกับปาร์ตี้จำต้องหยุดลง บุคคลที่มาใหม่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ผมเท่าไหร่ ผมคลี่ยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่ก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน แต่ทว่าปาร์ตี้กลับดูหน้าเจื่อนๆ ลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผมละสายตาจากปาร์ตี้หันไปมองหนุ่ย คนที่ในความทรงจำบอกว่าเค้าคือแฟนผม

“หวัดดีตี้”เค้าหันไปทักทาย ซึ่งปาร์ตี้เองก็พยักหน้าทักทายแบบผ่านๆ นี่แสดงว่าสองคนนี้รู้จักกัน แล้วทั้งสองคนนี้ไปรู้จักกันได้ยังไง ผมแนะนำให้รู้จักกันเหรอ แฟนเก่ากับแฟนใหม่ ผมยังนึกภาพไม่ออกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ต้องมาแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน แต่ก็นั่นแหละครับ ขนาดว่าผมเลิกกะหนุ่ยตอนไหนหรือคบกับปาร์ตี้ตอนไหนผมยังไม่รู้เลยนี่เนอะ

“อย่ายิ้มให้แบบนี้ได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”หนุ่ยเดินเข้ามาหาผมพร้อมบอก ส่วนปาร์ตี้ขยับถอยออกไปเล็กน้อย ว่าแต่รอยยิ้มผมมันผิดปกติตรงไหนทำไมหนุ่ยต้องทำท่าขนลุกขนาดนั้นด้วย

“เราเลิกกันแล้วใช่ไหม”ผมถามย้ำกับหนุ่ยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่หนุ่ยกลับยิ้มขำๆ พร้อมหันไปมองปาร์ตี้ ผมเห็นปาร์ตี้พยักหน้าส่งสัญญาณให้หนุ่ย แสดงว่าก่อนมานี่หนุ่ยกับปาร์ตี้คงคุยกันเรื่องอาการของผมมาบ้างแล้วสินะ

“เลิกกันจนเราสองคนต่างฝ่ายต่างมีคนใหม่แล้ว”นั่นสินะ จริงๆ ถ้าตามความจริงมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมผมถึงรู้สึกใจหวิวๆ แปลกๆ ที่มาได้ยินจากปากของหนุ่ยเอง หรือผมยังหวังอะไรอยู่

“เฮ้ย ซึมอะไรละ แค่ความทรงจำหาย เดี๋ยวก็ดีขึ้น เดี๋ยวก็จำได้เองแหละน่า”ผมส่งยิ้มแห้งๆ กลับให้หนุ่ยเพราะผมไม่ได้กังวลเรื่องความจำเท่าไหร่เลย แต่ที่ผมกำลังรู้สึกคือมันยังมีความรู้สึกตกค้างในใจเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างผมกับหนุ่ยนี่สิ

“แค่รู้สึกเบื่อๆ การอยู่โรงพยาบาลแล้วแค่นั้นแหละ นี่ก็แข็งแรงดีแล้วไม่รู้ทำไมไม่ให้ออกสักที อยากกลับบ้าน อยากไปทำงานแล้วเนี่ย”ผมรีบปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริง หรือผมต้องคิดใหม่เสียแล้วกับสิ่งที่ว่าการสูญเสียความทรงจำมันไม่มีผลอะไรกับผม อย่างน้อยความรู้สึกตอนนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผมคงต้องเจอเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดอีกมากตามมาแน่ๆ

“คุณหมอไม่ได้ห้ามออกนอกห้องใช่ไหม”หนุ่ยเหมือนถามผมแต่หันไปรอคำตอบจากปาร์ตี้ เค้าก็พยักหน้ารับอย่างงงๆ นิดหน่อยว่าหนุ่ยถามทำไม

“งั้นไปเดินทัวร์โรงพยาบาลกัน”หนุ่ยหันมาฉีกยิ้ม พร้อมเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินตาม ซึ่งปาร์ตี้เองก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผมเดินตามออกมาเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าระหว่างผมกับหนุ่ยตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันขนาดไหน แถมที่เค้าบอกว่าเราต่างคนต่างมีแฟนใหม่หลังจากเลิกกัน แสดงว่าตอนนี้เค้าเองก็คงมีคนของเค้าอยู่

“หยุดทำไม เป็นอะไรหรือเปล่า”เค้าหันกลับมามองผมที่หยุดเดิน ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ค่อยๆ แกะมือเค้าออกจากข้อมือของผม

“อรรถเดินเองได้”ผมตอบออกไปเสียงเรียบ เค้าส่งเสียงหัวเราะน้อยๆพร้อมรอยยิ้มขำๆ กลับมาที่ผม ก่อนจะเริ่มเดินหน้าต่อ ผมว่าบรรยากาศโรงพยาบาลมันมีอะไรน่าจรรโลงใจให้มาเดินเล่นหรือไงเนี่ย ก็เห็นมีแต่คนป่วย บรรยากาศออกจะน่ากระอักกระอ่วนเสียด้วยซ้ำ เค้าเดินนำผมไปเรื่อยๆ จนถึงร้านกาแฟ ใช่ครับผมก็เพิ่งรู้ว่าในตัวอาคารของโรงพยาบาลมีร้านกาแฟด้วย ก็เหมือนร้านกาแฟเล็กๆ ที่ไม่ได้ต่างจากข้างนอกมากนักหรอกครับ มีโต๊ะให้ลูกค้านั่ง 4-5 ตัวเห็นจะได้ เราสองคนเลือกที่นั่งมุมนึงด้านในของร้าน ก่อนเค้าจะเดินไปสั่งกาแฟกับพนักงาน ส่วนผมปฏิเสธ เพราะไม่มั่นใจว่าสภาพร่างกายผมควรดื่มกาแฟได้หรือยัง นี่ยังใส่ชุดคนไข้อยู่เลย แค่พยาบาลยอมปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านนี่ก็ดีมากแล้วมั้ง

“น่าจะมีอะไรอยากคุยกับเราใช่ไหม”ผมพยักหน้าตอบรับ เพราะจริงๆ ก็มีคำถามมากมายที่อยากจะรู้ระหว่างผมกับเค้า จริงๆ ออกจะมากกว่าคำถามที่ผมมีกับปาร์ตี้เสียอีก คงเพราะกับปาร์ตี้ผมไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเค้าอยู่แล้ว มันเลยไม่รู้สึกที่จะอยากรู้อะไร แต่กับหนุ่ยมันเหมือนค้างคาอยู่หลายอย่างเหลือเกิน

“ทำไมเราสองคนถึงเลิกกัน ทะเลาะกัน หรือใครมีคนอื่นเหรอ”ผมตั้งคำถาม เพราะก็ยังนึกเหตุผลของการเลิกราระหว่างเราไม่ออก หนุ่ยมองผมยิ้มๆ เหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่าง

“เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้เลิกเพราะใครไปมีคนใหม่ เราสองคนจากกันด้วยดี เพียงแค่วันนึงเราสองคนถึงจุดอิ่มตัว และไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้ว เราก็ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตส่วนตัว”ต่างคนต่างหมดรักกันอย่างนั้นเหรอ ผมยอมรับว่าเราก็ไม่ได้รักกันหวานหยด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกับเหตุผลการเลิกกันของเราสองคนสักเท่าไหร่

“แล้วหนุ่ยกับแฟน ไปกันได้ดีไหม”เค้าหัวเราะให้กับคำถามของผม  แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แปลกออกไป

“เลิกกันแล้ว”ผมค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยกับคำตอบ เพราะดูท่าทีที่แสดงออกมาของหนุ่ย ดูไม่ได้เสียใจอะไรกับสิ่งที่กำลังบอกว่าเลิกกับแฟน แม้ผมจะรู้ว่าหนุ่ยไม่ค่อยแคร์หรือใส่ใจอะไรมากนัก แต่ถ้ายังมีความรู้สึกดีๆ กับคนที่พูดถึงอยู่อาการของหนุ่ยจะไม่ออกมาแบบนี้ แสดงว่าคงจบกันด้วยไม่ดีสักเท่าไหร่

ความสงสัยผมค่อยๆ คลี่คลายเมื่อหนุ่ยเริ่มเล่าว่า เค้ากับผมเพิ่งกลับมาเจอและติดต่อกันใหม่เมื่อไม่นานนัก โดยสาเหตุมาจากการที่หนุ่ยทะเลาะและเลิกกับแฟนนั่นแหละครับ เลยมาขออยู่บ้านผมชั่วคราวเลยทำให้หนุ่ยรู้จักกับปาร์ตี้ด้วย ออกจะฟังเป็นเรื่องแปลกๆ อยู่สักหน่อยที่ผมยอมให้แฟนเก่าและแฟนใหม่มาอยู่ร่วมกันได้

“ก็ตอนนี้อรรถกับแฟน ไม่ได้อยู่บ้านอรรถไง”เค้าแย้งผม เมื่อผมแสดงความเห็นว่าถ้าผมคบกับคนนึงอยู่ ผมคงไม่ยอมให้คนเก่าเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมอีก แม้จะบริสุทธิ์ใจ แต่มันก็ต้องให้เกียรติคนปัจจุบันของเราเองด้วย หรือว่านี่คือเรื่องที่ผมได้ยินปาร์ตี้คุยกับเพื่อนของเค้า หรือผมยังมีใจให้หนุ่ย เลยทำตัวเว้นระยะห่างจากเค้างั้นเหรอ

“เราสองคนไม่ได้มีการเขี่ยถ่านไฟเก่าใช่ไหม”ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยค้างคา ดูหนุ่ยเองก็ตกใจกับคำถามของผมเหมือนกัน คงไม่คิดว่าผมจะถามอะไรแบบนี้ออกมา

“เฮ้ย ไม่มีเราเคยบอกแล้วไงว่าไม่มีทางคิดย้อนกลับไปหาอะไรที่เดินออกมาแล้ว”เคยบอกแล้วตอนไหนละ ตอนที่อยู่ในช่วงความทรงจำผมหาย แล้วไอ้การที่เค้ามาขออยู่บ้านแฟนเก่าอย่างผมเนี่ยก็ดูย้อนแย้งกับสิ่งที่เค้าบอกผมอยู่นะ แต่ถ้าเค้าปฏิเสธ แล้วระหว่างผมกับปาร์ตี้มีอะไรอีกที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น

“แล้ว...ระหว่างอรรถกับแฟนละ เรารักกันดีไหม”หนุ่ยนิ่งลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังได้ยินคำถามของผม ถึงหนุ่ยจะเพิ่งมารู้จักกับปาร์ตี้ แต่การที่เค้าเข้ามาอยู่ในบ้านของผม แล้วผมกับปาร์ตี้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังนี่ หนุ่ยก็คงพอจะมีอะไรเล่าให้ผมฟังบ้างแหละที่ตัวเค้าสังเกตได้ ผมรู้ว่าหนุ่ยเก็บรายละเอียดของคนอื่นได้ดีในระดับหนึ่ง มันเป็นความสามารถของเค้าที่จะว่าดีก็ดี แต่บางครั้งก็เป็นความสามารถที่ไว้ใช้หาประโยชน์ใส่ตัวเองเสียมากกว่า

“ทำไมถามแบบนี้”แค่เค้าย้อนถามผมแบบนี้มันก็เหมือนจะชัดแล้วนะว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมเลิกคิ้ว รอให้เค้าพูดต่อ แต่พอดีกับจังหว่ะที่กาแฟมาเสิร์ฟที่โต๊ะ หนุ่ยหันไปรับแก้วมาและยกขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ จนผมต้องถามย้ำให้เค้าเล่าในมุมมองของเค้าว่า เห็นความสัมพันธ์ของผมกับแฟนเป็นยังไงบ้าง

“อรรถกับแฟนก็...รักกันดีนะ พูดตามตรงเรารู้สึกว่าอรรถแคร์เค้ามาก คงรักมากด้วยแหละ ส่วนแฟนอรรถเราก็ว่าเค้านิสัยดี ดูเค้าก็รักอรรถนะ แต่ว่า...”

“คุณอรรถ เอ่อหวัดดีครับ”บทสนทนาของผมกับหนุ่ยถูกขัดจังหว่ะโดยใครคนนึง คนที่คงรู้จักผม แต่ผมมองแล้วผมไม่รู้จักเค้าแน่ๆ ชายหนุ่มที่สูงพอๆ กับผม ใบหน้าดูได้รูปจัดว่าดูดีทีเดียวแต่ติดตรงที่ใส่แว่น และการแต่งตัวสบายๆ ทำให้เค้าดูดีแบบจืดๆ ไปหน่อย ผมไม่ใช่คนที่ชอบตัดสินคนจากการแต่งตัวหรอกนะครับ เพียงแต่มันติดเป็นนิสัยจากการที่ผมเองต้องติดต่อกับคนค่อนข้างเยอะ เลยชอบมองรายละเอียดการแต่งตัวของแต่ละคน

“เรารู้จักกันเหรอครับ”ผมถามออกไปตามตรงพร้อมหันไปขอความเห็นจากหนุ่ย ว่ารู้จักผู้ชายคนนี้ไหม แต่หนุ่ยเองก็ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่รู้จักเช่นกัน

“อ๋อโทษที ลืมแนะนำตัว ผมชาร์ปครับ เป็นเพื่อนกับตี้ จะมาเยี่ยมคุณอรรถแหละครับ กะลังจะขึ้นไปห้องพักผู้ป่วยใน แต่บังเอิญเห็นก่อนเลยเข้ามาทักนี่แหละครับ”เพื่อนของปาร์ตี้งั้นเหรอ นี่มีเพื่อนเค้าคนไหนบ้างที่รู้จักกับผมเนี่ย แล้วนี่ผมต้องกลับขึ้นไปห้องผู้ป่วยให้เค้าเยี่ยมใช่ไหมครับเนี่ย

“เอ่อ คุณชาร์ปใช่ไหมครับ ผมหนุ่ยนะครับเป็นเพื่อนอรรถเค้า ยังไงฝากอรรถเค้ากลับขึ้นห้องไปด้วยแล้วกันครับ คุณตี้อยู่ข้างบนแหละครับ ผมกำลังว่าจะกลับพอดีเลย ยังไงขอตัวก่อนนะอรรถ”อ้าวไหงงี้ละเนี่ย อยู่ๆ หนุ่ยก็พูดเองเออเอง เตรียมตัวจะกลับไปเสียดื้อๆ นี่ผมกับเค้ายังคุยกันไม่จบเสียด้วยซ้ำ แถมดูมีอะไรที่หนุ่ยกำลังจะบอกผมเสียด้วย

“งั้นก็กลับดีๆ ละกันนะ ไว้มีอะไรอยากถามแกจะโทรไปละกัน นี่อรรถมีเบอร์หนุ่ยแล้วใช่ไหม”ผมถามย้ำเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังมีเบอร์ติดต่อหนุ่ยหรือเปล่า พอเห็นหนุ่ยพยักหน้าก็ค่อยโล่งใจ เพราะคงมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะถาม

“ไปเลยไหมครับ”ผมหันมองนายแว่นที่มาขัดจังหว่ะบทสนทนาระหว่างผมกับหนุ่ย นี่ผมชักจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนี่หน่อยๆ แล้วสิ ระหว่างทางกลับห้องพักฟื้นเค้าก็ถามไถ่อาการผม เหมือนกับที่คนอื่นๆ ที่มาเยี่ยมผมนั่นแหละครับ เค้าคือกลุ่มเพื่อนสนิทกับคนที่มาเยี่ยมผมวันก่อน ที่เป็นแฟนกัน แต่ที่ผมแปลกใจคือ เค้าอยู่ที่ภูเก็ต แต่มาเยี่ยมผมถึงนี่ นี่ผมกับเค้าสนิทกันขนาดนั้นเหรอ แม้เค้าจะบอกว่าเมื่อก่อนทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่ก็เถอะ

“พอดีขึ้นมาติดต่องานที่กรุงเทพฯ ด้วยแหละครับ เลยแวะมาเยี่ยม อีกอย่างก็เป็นห่วงตี้เค้าด้วย”ถ้าแค่บอกว่ามาทำงานเลยถือโอกาสมาเยี่ยมผม มันก็ไม่แปลกนะครับ แต่ที่บอกว่าห่วงแฟนผม ทำไมผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ หรือผมคิดมากไป เค้าเป็นเพื่อนกัน แถมเพื่อนดันโดนแฟนจำไม่ได้อีก ก็คงต้องห่วงกันเป็นธรรมดา ไม่น่าจะมีอะไรหรอกมั้ง ผมพยายามบอกกับตัวเอง

“หวัดดีตี้”พอเปิดประตูเข้ามาในห้อง ไอ้ความรู้สึกที่ผมคิดว่าแปลกมันกลับยิ่งรู้สึกชัดขึ้น ดูปาร์ตี้มีอาการตกใจเล็กน้อยที่เจอผู้ชายคนนี้ ก่อนจะรีบปรับตัวให้ดูปกติ ส่วนคนที่มาพร้อมผม ก็ดูเกร็งๆ แปลกๆ เหมือนกันตอนทักทาย มันให้ความรู้สึกต่างจากเพื่อนคนก่อนของปาร์ตี้ที่มาเยี่ยมผม นี่ระหว่างสองคนนี้มันมีอะไรหรือเปล่านะ




TBC

แวะมาต่ออีกตอนคร๊าบบบบ

แต่เนื้อเรื่องก็ยังวนๆ ไม่ไปไหนเท่าไหร่

 :z3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 30-11-2016 17:47:04
ไม่รู้จะเอาใจช่วยใครเลย

 :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 30-11-2016 18:28:43
อรรถคงสังเกตอะไรได้แน่นอน
เพราะตี้จะมีอาการแปลกๆ เวลาเจอชาร์ป

เอาไงต่อดีล่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 30-11-2016 23:23:38
 :a5: อ่านแล้วติดงอมแงม.




ปล...... คนแต่งอย่าใจร้ายกับตี้นักเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 30-11-2016 23:28:38
ไม่ไปไหนเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-12-2016 00:05:59
สงสารปาร์ตี้ แต่อรรถก็จำอะไรไม่ได้ อรรถคิดระแวงความสัมพันธ์ของชาปกับตี้แล้ว
  รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-12-2016 12:51:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 02-12-2016 18:34:16
สงสาร ตี้จัง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 19 สงสัย 30-11-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-12-2016 18:22:47
PART II บทที่ 20
ยุ่งเหยิง




Sharp’s Part
“เอาตรงๆ นะกลิ้ง เราไม่ค่อยสะดวก อย่าหาว่าเสียมารยาทเลยนะ ยังไงเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวขอบคุณแทนวันหลังละกันนะที่มาส่งเนี่ย”พอรู้แหละครับว่าเจตนาของเค้าคืออะไร และผมคงต้องบอกกับเค้าตรงๆ แสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยจะได้ไม่เป็นการให้ความหวัง เพราะถ้าปล่อยไปมันก็จะเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย

“เท่าที่รู้ตอนนี้ชาร์ปก็ไม่มีใครนิ จะปฏิเสธเราทำไม เราไม่ได้ขอเป็นแฟนซะหน่อย แค่ขอนอนด้วย หมายถึงนอนค้างเฉยๆ ไม่ต้องมองแรงขนาดนี้ก็ได้”ดูเหมือนเค้าจะกำลังสนุกกับการกระทำทีเล่นทีจริงนี้ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเต็มที ทั้งเพลียทั้งง่วง นี่คงต้องรีบสลัดเค้าให้หลุดโดยเร็ว อาจจะดูเสียมารยาทหน่อย ก็อย่างที่บอกแหละครับ ว่าไม่อยากให้เค้ามามีความหวังอะไรในตัวผมอีก

“อย่าทำแบบนี้เลยกลิ้ง เราให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนจริงๆ กลิ้งเข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อนที่เราบอกใช่ไหม”ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียง สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าจริงจังสุดๆ เมื่อก่อนเราสองคนอาจเคยใช้คำว่าเพื่อนที่มันดูไม่ปกติ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลาหรือถลำลึกกับผม มากไปกว่านี้อีกแล้ว

“โอเคๆ เรายอมแพ้ กลับก็ได้ แต่ว่าก่อนชาร์ปกลับภูเก็ตต้องเลี้ยงมื้อเย็นเรา มื้อนึงตกลงไหม”นั่นแหละครับกลิ้งถึงยอมกลับไปแต่โดยดี แต่ทั้งสีหน้า คำพูด รอยยิ้มของเค้าดูไม่ได้ยอมรับกับสิ่งที่ผมบอกสักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะผมอยู่นี่แค่ไม่กี่วัน ผมกับเค้าคงไม่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเจอคนอื่นที่ดีกว่าผม หรือไม่ก็ให้เค้าเลิกหวังในตัวผมโดยไว

ทว่าการอยู่กรุงเทพฯ ไม่กี่วันของผมเนี่ยคงจะไม่ได้สงบสุขเป็นแน่ นี่กลิ้งเค้าได้นอนกี่ชั่วโมงกัน เมื่อคืนกว่าจะยอมกลับไปนั่นก็จะตี 2 อยู่แล้ว แถมเช้าวันนี้ผมตื่นมา ก็อาจไม่เรียกว่าเช้ามาก แต่เค้ามาจอดรถที่หน้าบ้านผมแล้ว หรือว่าเค้าไม่ได้กลับคอนโดกันแน่

“มาทำไรแต่เช้า หรือไม่ได้กลับ”หลังจากมองเห็นผ่านหน้าต่างว่าเค้ามาจอดรถหน้าบ้าน ผมเลยลงมาเปิดประตูพาเค้าเข้าบ้าน ผมตั้งคำถามพร้อมมองเค้าด้วยสายตาจับผิด แต่เค้ากลับยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย และผมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพชุดที่ดูจะหมิ่นเหม่นิดหน่อย ด้วยความที่อยู่คนเดียวผมก็ใส่แค่บอกเซอร์นอน นี่ก็แค่หยิบเสื้อกล้ามใส่ลวกๆ เดินลงจากห้องนอนมาเลยเพราะไม่ได้คิดอะไร แต่พอเจอสายตาจากกลิ้งที่มองผมอย่างมีเลศนัย ก็ทำเอารู้สึกแปลกๆ จนต้องดึงชายเสื้อตัวเองให้ต่ำลงอีกนิด

“วันนี้เราว่าง เห็นว่าชาร์ปจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล แล้วชาร์ปก็ไม่มีรถ เลยจะมาอาสาขับรถให้ไง”ดูท่าว่ากลิ้งจะไม่ยอมถอยง่ายๆ เสียแล้ว ไอ้ผมที่เพิ่งตื่นสมองก็ยังทำงานไม่เต็มที่ เลยไม่รู้จะแก้เกมเค้ายังไงดี นี่คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนละกัน

“งั้นก็ตามสบายแล้วกัน ขอเราไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวลงมา”ผมรีบกลับขึ้นชั้นสอง อาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอย่าเรียกว่าแต่งตัวเลย เพราะผมเลือกเสื้อผ้าชุดสบายๆ หัวก็ปล่อยให้ยุ่งๆ ไปแบบไม่ต้องเซ็ตอะไร กะว่าให้เป็นชุดที่ดูไม่พร้อมจะไปไหนต่อให้ มากที่สุด เพราะถ้ากลิ้งออกตัวมาขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่กะจะไปส่งผมโรงพยาบาลหรอกครับ คงกะพาผมไปที่อื่นต่อด้วยแน่ๆ

“ขอเราขึ้นไปคนเดียวแล้วกันนะ”เมื่อถึงที่หมายและเห็นว่ากลิ้งเหมือนจะตามผมไปด้วย ทั้งที่ตอนนั่งมาในรถผมก็บอกแล้วว่าให้เค้ามาส่งเฉยๆ เดี๋ยวผมนั่งแทกซี่กลับเอง แน่นอนว่ากลิ้งไม่ฟังผมหรอกครับ ตอนนี้อันดับแรกคงต้องไม่ให้เค้าตามผมขึ้นไปเยี่ยมคุณอรรถ จากนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ผมก็คงไม่ขนาดแอบหนีเค้ากลับหรอกครับ อันนั้นก็จะดูแย่ไป

ยังดีที่กลิ้งยอมรอข้างล่าง ผมปลีกตัวเพื่อจะหาลิฟท์ขค้นไปยังห้องพักฟื้นตามที่เหมาได้บอกไว้ แต่พอเข้าตึกโรงพยาบาลมา ยังไม่ทันที่ผมจะหาลิฟท์เจอ สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นคนป่วยที่ผมกำลังจะมาเยี่ยม คุณอรรถนั่งคุยกับใครสักคน น่าจะพื่อนเค้าแหละครับ ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปทักไหม กลัวจะเป็นการเสียมารยาท แต่สังเกตุดูก็ไม่น่าจะคุยธุระสำคัญอะไร อีกอย่างถ้าขึ้นห้องไปตอนนี้ผมก็ไม่เจอคนที่จะมาเยี่ยม และอาจจะต้องอึดอัดกับการอยู่กับปาร์ตี้ 2 คน หรือถ้าปาร์ตี้ไม่อยู่ คุณอรรถก็น่าจะจำผมไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจว่าทักเค้าน่าจะดีกว่า

และก็จริงที่เค้าจำผมไม่ได้ แถมมองผมหัวจรดเท้าอีก รู้หรอกครับว่าไม่ได้แต่งตัวดี แต่เล่นมองกันแบบนี้ก็ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปเหมือนกันนะครับเนี่ย อีกอย่างการเข้ามาทักอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือของผม เหมือนจะสร้างความไม่พอใจให้คุณอรรถอยู่บ้างเหมือนกัน แล้วพอผมมาทักเพื่อนเค้าก็ขอตัวกลับเลย ทั้งที่เหมือนจะยังคุยกันไม่จบ

ระหว่างทางจากร้านกาแฟ ที่เดินคุยกันมา เรียกว่าผมพูดเป็นส่วนมากจะถูกกว่า ทั้งที่ฟังจากไอ้เหมามาบ้างแล้วแต่ก็ยังอดใจหายแทนปาร์ตี้ไม่ได้ ดูคุณอรรถจะไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับปาร์ตี้เลย รวมทั้งคนรอบข้างปาร์ตี้อย่างพวกผม แล้วแบบนี้ทั้งสองจะคบกันต่อยังไง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงห้องพักฟื้นของคุณอรรถ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป คงเพราะเสียงเปิดประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องอย่างปาร์ตี้ เดินมาดูพอดี เค้าดูชะงักเล็กน้อยที่เห็นผมมาด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้บอกไว้ก่อนว่าจะมาวันนี้

“หวัดดีตี้”ชัดเลยว่าอาการผมไม่ปกติ มันเหมือนทำตัวไม่ถูกที่มาเจอเค้า ทั้งที่คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้วแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณอรรถจะทันสังเกตุเห็นไหม นี่ผมก็รีบปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติอย่างเร็วแล้ว จริงๆ ตอนคุยกันมาผมก็มีหลุดพูดว่าห่วงปาร์ตี้ด้วยแหละครับ แต่เห็นว่าคุณอรรถก็ไม่ได้ทักท้วงหรือถามอะไรผม ผมเลยนิ่งๆ ไว้

“ไม่เห็นบอกว่าขึ้นมากรุงเทพฯ”เค้าเดินมาจูงมือคุณอรรถไปนั่งที่เตียง พร้อมพูดถามไถ่ผมไปด้วย

“พอดีมาต้องมาติดต่องานกะทันหัน เลยแวะมานี่แหละ”ผมจงใจโกหกออกไป เพราะถ้าบอกออกไปตรงๆ ว่าตั้งใจมานี่มันก็คงจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย ทั้งในมุมของคุณอรรถและปาร์ตี้เองด้วย

“แม่เราฝากมาเยี่ยมด้วยนะ แถมฝากบอกอีกว่าให้ตี้กับคุณอรรถ ไปเที่ยวพักผ่อนที่โรงแรม มีการบอกจะเป็นสปอนเซอร์ให้ด้วย ยังไงถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ยินดีต้อนรับนะ คุณอรรถด้วยนะครับ”ผมบอกกับทั้งคู่ แต่ดูคุณอรรถจะยิ้มฝืนๆ ยังไงบอกไม่ถูกครับ หรือว่าเค้าอยากจะพักผ่อนกันละเนี่ย ผมเลยพูดคุยถามไถ่อาการอีกเล็กน้อย ก็กะว่าจะขอตัวกลับ

“ยังไงก็หายไวๆ แล้วกันนะครับ เอาใหม่ดีกว่า ยังไงก็จำปาร์ตี้ให้ได้ไวๆ นะครับ ถ้ามีโอกาสคงได้ไปดื่มด้วยกันเหมือนแต่ก่อน”ผมบอกก่อนจะขอตัวกลับ

“คุณไปส่งเพื่อนหน่อยดีกว่า ผมอยู่คนเดียวได้”ผมหันไปจะปฏิเสธ แต่คุณอรรถก็ยังยืนยันวันให้ปาร์ตี้เดินออกมาส่งผม ผมได้แต่หันไปยิ้มให้คุณอรรถอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังสรรพนามที่เค้าใช้คุยกับปาร์ตี้ ยิ่งทำให้ผมนึกห่วงความรู้สึกของปาร์ตี้ ผมกับปาร์ตี้เดินคู่กันออกมาเงียบๆ เงียบจนเริ่มรู้สึกว่าจะอึดอัด

“ตี้/ชาร์ป”พอจะหาเรื่องคุยก็ดันพูดขึ้นมาพร้อมกันเสียนี่ ทั้งผมและเค้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กัน ผมเลยเปิดโอกาสให้เค้าเป็นฝ่ายพูดก่อน เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญจะพูดอยู่แล้ว ผมก็แค่หาเรื่องจะคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูอึดอัดก็เท่านั้น

“ยังไงก็ขอบใจอีกทีนะที่อุตส่าห์มา จริงๆ ไม่ต้องลำบากบินมาก็ได้ เราเกรงใจ”แม้น้ำเสียงจะดูจริงจังแต่ท่าทีของตี้เองก็ดูผ่อนคลายขึ้น ผมหันไปยิ้มจางๆ ให้เค้า แต่เค้าเองกลับหลบสายตาผมทำเป็นมองไปทางอื่น

“ไม่เป็นไรหรอก พอดีต้องมาติดต่องานด้วยแหละ”เค้าหันมามองผมเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แน่ละก็ผมโกหกนี่นา เรื่องงานที่ผมใช้เป็นข้ออ้างยังไม่ได้มีแผนจริงจังอะไรเลยในตอนนี้

“แล้วนี่ไปติดต่องานมาแล้ว หรือจะไปติดต่องานด้วยชุดนี้ล่ะ”แล้วผมกับเค้าก็ต่างหัวเราะออกมา ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกจะไม่ปฏิเสธการคาดเดาของเค้า เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเค้าผมก็แทบลืมทุกอย่าง บางทีการได้เห็นเค้ามีความสุข ผมก็คงเป็นสุขเช่นเดียวกับเค้านั่นแหละครับ

“แล้วเมื่อกี้ชาร์ปจะพูดอะไรเหรอ”เราเดินคุยกันจนมาใกล้จะถึงทางออกแล้ว จริงๆ เค้าไม่จำเป็นจะต้องให้เค้าเดินมาถึงนี่ แต่ผมก็ปล่อยให้เค้าเดินคุยมา เพราะผมเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่กับเค้าอีกสักนิด แม้จะเพิ่มมาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ

“เราแค่จะบอกว่าเราเอาใจช่วย ชีวิตคนเราก็คงต้องเจอบททดสอบที่ผ่านเข้ามากันทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น”ผมพยายามบอกเค้าด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดเพราะอยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้น แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกล่าวลาจริงๆ สักทีเราเดินมาจนสุดทางแล้ว ผมและเค้าหยุดมองหน้ากัน ผมตัดสินใจก้าวเข้าหาเค้า ก่อนจะสวมกอดเข้าไปโดยที่เค้าไม่ทันตั้งตัว

“เข้มแข็งไว้นะ”ผมตบเบาๆ ที่ไหล่เค้า 2 ทีก่อนจะคลายอ้อมก่อน เค้าดูเหวอไปนิดๆ คงเพราะไม่คิดว่าผมจะกอด ผมโบกมือให้เค้าอีกครั้งก่อนจะหันหลัง เดินตรงไปยังจุดที่กลิ้งจอดรอผมอยู่ ผมไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก และเค้าเองก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรกับผมอีกเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ได้ ผมยังทำใจเป็นแค่เพื่อนกับเค้าไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันนึงผมจะทำได้

“คนนี้หรือเปล่าคือคุณหอมแดงของชาร์ป”แสดงว่ากลิ้งเห็นที่ปาร์ตี้เดินมาส่งผม และคงเห็นที่ผมกอดลานั่นแล้วด้วย แถมนับว่าเดาเก่งเสียด้วยว่าปาร์ตี้คือใคร หรือว่าผมแสดงออกชัดไปว่ารู้สึกยังไง เค้าเคยไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยาก ผมไม่ได้ตอบคำถามของกลิ้ง แต่เปลี่ยนเป็นบอกจุดหมายปลายทางต่อไปของผมให้เค้ารู้แทน

“เค้าก็ดูปกติดีนิ ไหนว่าป่วย”กลิ้งยังคงวนเวียนกับคำถามเดิม และคิดว่าต่อให้ผมเลี่ยงยังไงเค้าก็คงต้องถามผมเช่นเดิมแน่ๆ

“แฟนเค้าโดนรถชน”ผมตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้

“อย่างงี้นี่เอง”กลิ้งพูดเหมือนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดีแล้ว ผมเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยเลือกที่จะเงียบ จุดหมายปลายทางของผมต่อไปคือบ้านไอ้เหมา ที่จริงวันนี้ก็เป็นวันทำงานของมันนะครับ แต่เห็นว่าใกล้สิ้นปีแล้ววันหยุดเหลือก็เลยลาอยู่บ้านเฉยๆ ทีแรกมันก็ว่าจะไปเจอผมที่โรงพยาบาลแหละครับ แต่ผมอยากใช้มันเป็นตัวสลัดกลิ้งเลยให้มันรออยู่บ้าน เพราะคิดว่ากลิ้งคงไม่ถึงขนาดจะเฝ้าผมที่บ้านของไอ้เหมาหรอกครับ

“ตกลงใครมาส่งมึงว่ะ ทำไมมึงต้องทำหน้าเหมือนหนีผีมาขนาดนี้”ไอ้นี่ก็ปากหมาพูดซะผมดูแย่เลย อีกอย่างกลิ้งก็ไม่ได้เหมือนผีสักหน่อย นี่ผมต้องยืนยันนะครับว่าจะไม่เบี้ยวนัดเลี้ยงข้าวเค้าเย็นนี้ถึงยอมถอยทัพกลับไปตั้งหลัก ส่วนผมนะเหรอครับ คาดว่าเย็นนี้ต้องลากไอ้เหมาไปเป็นไม้กันหมาด้วยแหละครับ ไม่งั้นคืนนี้ผมไม่รอดแน่นอน ผมรีบบอกไอ้เหมาว่าไม่ต้องรีบร้อน ยังไงซะคืนนี้มันก็ต้องได้รู้จักกลิ้งอยู่แล้ว

“แล้วไปเยี่ยมแฟนไอ้ตี้มาเป็นไงมั่ง”ผมอธิบายรายละเอียดตั้งแต่กลิ้งไปรับผมที่บ้านมาส่งโรงพยาบาล เจอคุณอรรถนั่งคุยกับเพื่อน อ๋อผมเพิ่งรู้จากไอ้เหมาว่าเพื่อนคุณอรรถที่ชื่อหนุ่ยคือ แฟนเก่าของคุณอรรถที่ตอนนี้เช่าบ้านคุณอรรถอยู่ ก็ดูมีความซับซ้อนอยู่เหมือนกัน แถมที่ไอ้เหมาเคยเล่าให้ฟังด้วยว่าเคยเห็นคุณอรรถกับแฟนเก่าไปนั่งดื่มด้วยกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ปาร์ตี้เคลียร์กับคุณอรรถไปรึยัง

“ไอ้เชี่ยแว่นนี่มึงไปกอดแฟนเค้าแล้วเค้าจะไม่คิดว่ามึงเป็นชู้กับแฟนเค้ารึไงว่ะ”แต่พอผมเล่าถึงช่วงท้ายๆ ไอ้นี่ก็เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มาเลยครับ

“มึงฟังกูไหมเนี่ยไอ้บ้า กูบอกแล้วไงว่ากอดให้กำลังใจแบบเพื่อน อีกอย่าง กูไปกอดต่อหน้าเค้าที่ไหนกันล่ะ”ผมว่าผมก็บอกชัดไปแล้วนะครับว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง โอเคผมอาจจะยังไม่ได้กอดแบบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจเต็มร้อย แต่ผมก็ยังไม่ได้ขนาดจะคิดให้เค้าสองคนมีปัญหาหรอกนะครับ

“เออๆ ว่าแต่มึงจะอยู่กี่วันเนี่ย นี่ๆ มึงรอเดี๋ยว นี่กูเตรียมของไว้ต้อนรับมึงด้วย”ไอ้เหมาหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วเบียร์วุ้น ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมบอกว่าแก้วเบียร์วุ้น ถ้านึกไม่ออกนะครับว่าแก้วเบียร์วุ้นเป็นยังไง ให้นึกถึงแก้วที่มีโลโก้เบียร์แล้วใส่น้ำที่ก้นแก้วแช่ช่องฟรีซ ให้ที่ก้นแก้วเป็นน้ำแข็งนั่นแหละครับ ตามด้วยการแช่เบียร์ให้เย็นมากๆ เช่นกันทีนี้ตอนเปิดขวดก็ใช้เหรียญเคาะที่ก้นขวด ตอนเทออกมาเบียร์ก็เป็นวุ้นพร้อมดื่มอย่างเย็นชื่นใจ แต่ว่าคนธรรมดาที่ไหนเค้าทำกันละครับแบบนี้

“มึงนี่เข้าขั้นแอลกอฮอลิซึ่มไหมเนี่ย ถึงขั้นทำขนาดนี้”ผมบอกมันพร้อมส่ายหน้าหน่ายๆ อีกอย่างนะครับ ดูเวลานี่ยังไม่เที่ยงเลยด้วยซ้ำ ละมันชวนผมดื่มตั้งแต่ตอนนี้เนี่ยนะ

“ดื่มให้กับความโสดของกู”จากที่ตอนแรกผมยังคิดจะห้ามไอ้เหมานะครับ แต่ตอนนี้ผ่านมาจนบ่ายคล้อย เรียกว่าเย็นแล้วจะถูกกว่าครับ ผมกับไอ้เหมาพลัดกันดื่มไปแก้วแล้วแก้วเหล้า แต่ดูเหมือนเบียร์มันผุดขึ้นมาเองรึไงไม่รู้ ดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด นี่ไอ้เหมามันเหมาเบียร์มาทั้งห้างหรือไงเนี่ย

“แต่ของกู ดื่มสละโสดโว้ยยย”ไอ้เหมาบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ เพราะเริ่มเมามากแล้ว คิดๆ แล้วก็ชักอิจฉามันอยู่นะครับ จากที่ตอนแรกเหมือนผมจะเป็นคนได้แต่งงานก่อน แต่สุดท้ายผมอาจจะไม่ได้แต่งเลย ส่วนไอ้เหมากับแพทจะแต่งในอีกไม่ช้านี้

แล้วผมกับไอ้เหมาก็ดื่มกันจนเรียกว่าเมาหัวราน้ำแล้วครับ ตอนนี้แทบจะไม่มีสติอยู่แล้วครับ นี่ผมไม่ได้เมาแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะเนี่ย ทีแรกก็ว่าจะไม่ดื่มมากมายอะไรขนาดนี้นะครับ แต่พอเริ่มสตาร์ทแถมด้วยหลายๆ เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ยิ่งได้พูดได้คุยกับไอ้เหมา เราทั้งคู่ก็ดันยิ่งดื่มกันเพลิน

“ทำไมเละเทะกันขนาดนี้เนี่ย”เสียงของแพทแว่วๆ ออกมาเพราะผมเมาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว และดูเหมือนไอ้เหมาเองก็สภาพไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่ นี่แพทจะโมโหหรือเปล่าเนี่ย ที่ไอ้เหมาลางานมาสำมะเลเทเมากับผมเนี่ย

“แบบนี้ไม่น่าจะไปทานข้าวกันได้แล้วละค่ะ”นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีก




ผมรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความมึนๆ รู้สึกหนังตามันหนักเหลือเกิน ไม่น่าดื่มหนักขนาดนั้นเลย แต่เดี๋ยวก่อนทำไมฝ้าเพดานบ้านไอ้เหมามันเหมือนบ้านผมจังเลยเนี่ย ผมค่อยๆ กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง นี่มันห้องนอนที่บ้านผมนี่นา แล้วผมกลับมาที่นี่ได้ยังไง แถม

“เฮ้ย”ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้นเลย ใครมาส่งผมละเนี่ย แล้วถอดเสื้อผ้าผมทำไม จะว่าไอ้เหมาก็ไม่น่ามีสติพาผมมาถึงบ้านได้ จะว่าแพทก็คงแบกผมไม่ไหว แล้วนี่มาถึงบ้าน ผมละเมอถอดเสื้อผ้าตัวเอง หรืออะไรเนี่ย งงไปหมดแล้ว แต่ความสงสัยของผมก็กำลังจะได้รับคำตอบ เพราะประตูห้องน้ำเปิดออกมาพร้อมกับ

“กลิ้ง”ผมรู้สึกใจหายแว๊ปขึ้นมาทันที นี่มันคงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นอย่างที่ผมกำลังคิดใช่ไหม กลิ้งเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ และอยู่ในสภาพที่หมิ่นเหม่ ไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะตัวเค้าก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันกายอยู่เพียงผืนเดียว

“เมื่อคืน...เราสองคน”ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในถังขยะข้างๆ เตียง

“เราสองคนมีเซกส์กัน”สมองผมตื้อขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากกลิ้ง




TBC

ถ้าคิดว่าที่ผ่านมามันยุ่งยากแล้ว

ขอบอกว่าคุณคิดผิดฮ่ะ  :a5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 03-12-2016 19:33:34



 :เฮ้อ:


อะไรกันนักหนาเนี่ย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-12-2016 21:01:21
เฮ้ออ.  อีกลิ้งนี้น่ารำคาญจริงๆ ส่วนคนแต่วนี้น่าโมโหอะไร ดราม่าไปนะ. ดราม่ามากเกินจริงอะ.  แล้วเรื่องจะจบลงยังไง เฮ้อ.  ยิ่งอ่านยิ่งท้อ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2016 21:20:07
กลิ้ง นี่ตื๊อจริงๆ น่ารำคาญมากๆ
ชาร์ป จะมีเซ็กส์กับกลิ้ง จริงหรือไม่จริง
รู้สึกชาร์ป ไม่น่าต้องรับผิดชอบ
เพราะเป็นความตั้งใจของกลิ้งฝ่ายเดียว
ชาร์ปเมา แล้วกลิ้งเสนอตัวเองเข้าหา
แล้วชาร์ป ก็บอกกลิ้ง ชัดเจนว่าคิดแค่เพื่อน
เอาละสิ ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-12-2016 00:29:43
ชาร์ปเอ้ยย 555 กลิ้งก็ไม่ยอมง่ายๆ คนแรกของกลิ้งนี่ลืมยากใช่มั้ย
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Who ที่ 04-12-2016 07:14:53
อีกลิ้งเป็นบุคคลที่โคตรน่ารำคาญเลย
เอาจริงๆขนาดผู้หญิงอย่างเรายังมองว่าแม่งโครตแรด
มันจะเงี่_นอะไรขนาดนั้น...เงี่_นมากก็ไปซื้อกินสิ
นี่ผู้เขาก็ไม่เอายังเสนอตัวอยู่นั่น
หนักสุดดักปล่ำตอนเมาอีก ไม่รุ้แม่งมีโรคอะไรป่าว
ไปตรวจเลือดเลยแว่น
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-12-2016 16:35:28
เสียตัว..เสียใจ
 :ling2:

ทำแว่นยังงี้ได้ไงฮ้าาาา..กลิ้ง
ฮ่าฮ่า
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 07-12-2016 22:36:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 08-12-2016 12:41:28
วุ่นวายจนน่ารำคาญ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 08-12-2016 23:57:29
ไม่ชอบกลิ้งเลยอ่ะ น่ารำคาญ แล้วจะยังไงต่อเนี่ย
ปาร์ตี้ก็กำลังเครียดเรื่องอรรถเลย เฮ้อ ยุ่งเหยิงจริง

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 20 ยุ่งเหยิง 03-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-12-2016 16:07:13
PART II บทที่ 21
เลือก




Aut’s Part
“ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ครับให้ผมกลับไปทำงานเถอะครับ นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อมากเลยนะครับ”ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้สัปดาห์กว่าแล้วครับ แต่เจ้านายผมไม่ยอมให้ผมกลับไปทำงาน บอกอยากให้ผมพักต่ออีกสักหน่อย ทั้งที่ผมก็ดูแข็งแรง ปกติดีแล้ว

“งั้นผมให้คุณพักจนครบ 2 สัปดาห์แล้วค่อยมาทำงานปกติ ดีไหม งานนะปล่อยให้น้องๆ มันยุ่งมันเหนื่อยกันบ้าง ส่วนคุณก็พักให้เยอะๆ ก่อน ไม่ต้องรีบหรอกผมยังมีงานให้คุณทำอีกนาน”พอเจ้านายพูดมาขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะเถียงอะไรต่อแล้วละครับ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน และผมก็รู้สึกอึดอัดกับการมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงการต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับ “คนอื่น”

“คนอื่น” ที่จริงๆ คือแฟนของผม ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนยากหรือมนุษยสัมพันธ์แย่นะครับ แต่การจะทำใจยอมรับคนที่ผมเพิ่งมีความทรงจำร่วมกับเค้าแค่ไม่กี่วันว่าเป็นแฟน สำหรับผมมันลำบากใจมาก ผมไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงความรู้สึกมันขัดแย้งกันไปหมด หนักสุดคือเราต้องนอนร่วมเตียงกันนี่แหละครับ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันแต่ละคืน มันดูประดักประเดิดไม่น้อยเลยทีเดียว

ตลอดหลายวันมานี้ผมเอาแต่พยายามนึก นึกถึงเรื่องราวที่ผมจำไม่ได้  ทั้งดูรูปทั้งดูประวัติการแชทต่างๆ เรียกว่าผมใช้ทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยกระตุ้นความจำของผมได้แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย ผมยังคงจำไม่ได้

หลังวางสายจากเจ้านายผมก็นั่งดูข้อความเก่าๆ เหมือนทุกวัน อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้ทุกประโยคแล้ว บทสนทนาที่เกิดขึ้นทุกวันระหว่างผมกับปาร์ตี้ ทุกข้อความที่พูดคุยผมสัมผัสได้จากตัวอักษรว่าผมคงรักผู้ชายคนนี้มาก แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่แปลกๆ อยู่ แม้ผมจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้ แต่มันเหมือนผมน้อยใจ หรือมีเรื่องกังวลอยู่ในแทบทุกตัวอักษรที่ส่งถึงกัน ยิ่งช่วงหลังๆ ก่อนที่ผมจะเกิดอุบัติเหตุ มันยิ่งดูมีอะไรให้น่าสงสัย นี่ระหว่างผมกับปาร์ตี้มันมีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ ผมควรถามเค้าตรงๆ ดีไหมนะ แต่เท่าที่พูดคุยกันตอนนี้และสิ่งต่างๆ ที่เค้าเล่าให้ผมฟัง ผมว่าเค้าเองยังดูจงใจปิดบังบางอย่างกับผมอยู่ อีกอย่างที่ผมยังติดใจก็คือเรื่องคุณแว่นเพื่อนของเค้านั่นแหละครับ

“ทานข้าว ทานยาด้วยนะ”ข้อความใหม่เด้งขึ้นมา ผมเลือกตอบรับเพียงสั้นๆ ให้เค้ารู้ว่าผมรับรู้แล้ว ในทีแรกปาร์ตี้จะลางานอยู่ดูแลผม แต่ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แน่ขนาดต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แล้วก็อยากที่บอกว่าถ้าต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงมันคงอึดอัดมากๆ เป็นแน่ ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ค่อยๆ หลับตาลงพยายามไม่คิดอะไรอีก แต่ว่าผมว่างขนาดนี้ผมจะห้ามสมองตัวเองไม่ให้คิดโน่นนี่ได้ยังไงกันละ

ผมอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกจากบ้าน ตอนนี้ผมไม่มีรถใช้เพราะคันเดิมที่ใช้อยู่ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ดีไม่ดีไม่รู้จะซ่อมได้หรือเปล่า สภาพยับเยินขนาดนั้น แต่เห็นว่าที่ทำงานจัดรถคันใหม่ไว้ให้ผมใช้ทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนตอนนี้ก็คงต้องพึ่งแทกซี่ไปก่อน และแล้วผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ มันคือบ้านของผมเองเนี่ยแหละ แม้จะรู้ว่าตอนนี้หนุ่ยเช่าบ้านผมอยู่ ผมก็ไม่ได้กดกริ่งแต่อย่างใด ผมถือวิสาสะใช้กุญแจที่มีเปิดเข้าบ้านเองเพื่อไม่ต้องเสียเวลาให้หนุ่ยมาเปิดประตู

จากประตูรั้ว ผ่านเข้าประตูบ้าน ภาพที่ผมเห็นทำให้ต้องส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม นี่หนุ่ยคงทำงานจนดึกแล้วเผลอหลับไปอีกแล้วสินะ ผมเดินเข้าไปสะกิดเบาๆ เพื่อให้เค้ารู้สึกตัว ภาพเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่คล้ายๆ แบบนี้ระหว่างผมกับเค้าผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมเองกลับดึกเพราะไปเลี้ยงลูกค้าบ่อยๆ ส่วนเค้าก็นั่งทำงานจนดึกดื่น และมักจะหลับรอผมที่ตรงนี้ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่ได้รอผม แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อเค้าเลยสักครั้งเช่นกัน

“มาได้ไงเนี่ย”คนเพิ่งตื่นคิ้วขมวด ถามผมด้วยเสียงงัวเงีย

“ไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาไป เดี๋ยวทำอะไรให้ทาน”ผมไม่ได้ตอบคำถามของเค้า แต่รีบดึงตัวเข้าลุกก่อนจะพลักให้ไปอาบน้ำ เพราะมั่นใจว่าเค้ายังไม่ได้กินอะไรแน่นอน เค้าแย้งผมอย่างที่ผมคุ้นว่าไม่หิว แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว ผมยิ้มขำให้กับคำพูดของเค้า แม้เค้าจะมีท่าทีแปลกใจกับการมาและการกระทำของผม แต่ผมมั่นใจว่าเค้าเองก็คงนึกถึงเหตุการณ์เดียวกันกับที่ผมนึกถึงอย่างแน่นอน ด้วยความที่หนุ่ยไม่ได้ทำงานประจำ เพราะงั้นงานเค้าจะไม่ค่อยเป็นเวลา วันทำงานปกติผมจะไม่ค่อยได้ดูแลเค้า แต่ถ้าวันหยุดก็จะเป็นแบบวันนี้เลย ปลุกเค้าไปอาบน้ำและเตรียมอาหารเช้าให้เค้า

หนุ่ยยอมไปอาบน้ำอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนผมเดินเข้าครัวอย่างคุ้นเคย จะไม่คุ้นได้ยังไงก็นี่มันบ้านผมนี่เนอะ โชคดีที่เปิดตู้เย็นแล้วยังพอมีอะไรให้ทำได้บ้าง แม้หนุ่ยจะไม่ใช่คนชอบทำกับข้าว แต่ผัก หมู ไข่ ก็มักจะมีติดอยู่เสมอ ซึ่งเค้าคงติดจากคำแนะนำของผมที่เคยบอกกับเค้านั่นแหละ แต่ก่อนเค้าชอบอ้างว่าทำกับข้าวไม่เป็นเลยขอกินอะไรง่ายๆ อย่างบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งมันขัดแย้งกับวิถีคนชอบทำกับข้าวอย่างผมมาก เลยต้องพบกันครึ่งทาง ถ้าผมไม่อยู่หรือไม่ว่างแล้วเค้าจะต้มมาม่าอะไรแบบนี้ ให้เอาหมู ผัก ไข่ อะไรพวกนี้ใส่ไปด้วย หรือยกระดับขึ้นมาหน่อยก็ให้เค้าต้มสุกี้ ซึ่งไม่ได้ทำยาก แค่โยนทุกอย่างลงหม้อต้ม ใส่ซุปก้อน เป็นอันจบ น้ำจิ้มก็ใช้ที่เป็นขวดไม่ต้องทำเอง นั่นคือสิ่งที่ผมเคยได้แนะนำแกมบังคับให้เค้าปรับเปลี่ยนวิธีการกิน ผมลงมือทำกับข้าวไปพร้อมคิดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่นานนักผมก็ทำอาหารอย่างง่ายๆ เสร็จ พร้อมๆ กับที่หนุ่ยอาบน้ำแต่งตัวลงมาจากชั้นสอง

“โหแค่ข้าวไข่เจียวหมูสับเองเหรอ ไอเราก็นึกว่าจะมีเมนูอะไรพิเศษให้เสียอีก”หนุ่ยบอกทีเล่นทีจริง เพราะเค้าก็รู้อยู่แล้วว่าในตู้เย็นมันมีอะไรอยู่บ้าง และก่อนที่เค้าจะซักไซ้ผมอีกว่ามาที่นี่ทำไม ผมรีบบอกให้เค้ากินให้เสร็จก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ส่วนผมที่ทานก่อนที่จะมานี่เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งมองเค้ากินอยู่เงียบๆ

“อย่ามองแบบนี้ได้ไหม”เค้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพร้อมบอกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ หันหลบสายตาของผม นี่สายตาที่ผมมองเค้ามันแปลกหรือยังไง เค้าถึงบอกผมแบบนี้ แต่ผมก็ยังมองเค้าต่อไปเหมือนเดิม จนเค้าทานเสร็จรวบช้อนส้อมวาง และเงยหน้ามามองผมอีกครั้ง

“สรุปวันนี้มา มีอะไรหรือเปล่า แล้วก็หยุดมองด้วยสายตาที่น่าขนลุกนี่ได้แล้ว เพื่อนกันเค้าไม่มองกันแบบนี้นะ”ผมชะงักไปกับคำพูดของหนุ่ย เพราะทำให้ผมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มันไม่ใช่แค่ระหว่างผมกับหนุ่ย เมื่อกี้อาจด้วยความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ผมเผลอมองหนุ่ยด้วยสายตาที่มากเกินเพื่อนไปบ้าง แต่ที่ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกอย่างคือสายตาของคุณแว่นที่มองปาร์ตี้

“เฮ้ย เป็นไรเนี่ยอยู่ๆ ก็ตีหน้าเศร้า”หนุ่ยเรียกสติให้ผมกลับมาสู่บทสนทนา แต่ผมว่าผมไม่ได้เศร้านะ ผมแค่กำลังใช้ความคิดและไม่เข้าใจบางอย่างแค่นั้นเอง

“วันนั้นที่โรงพยาบาล เหมือนหนุ่ยจะพูดอะไรสักอย่างใช่ไหม”ผมนึกย้อนไปถึงวันที่คุณแว่นเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของผมกับหนุ่ย มันเหมือนมีบางอย่างที่หนุ่ยกำลังจะเล่าให้ผมฟัง

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่มีวันนึงอรรถมาระบายให้ฟัง ว่าตัวเองรู้สึกเป็นได้แค่ที่สองอะไรนี่แหละ แต่อรรถก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเท่าไหร่”ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่สองเนี่ยนะ แล้วที่สองของผมนี่เทียบกับใคร ตามที่รู้ตอนนี้ผมคบกับปาร์ตี้มาเป็นปีแล้ว ทำไมผมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นละ ปาร์ตี้เองเค้าก็คบผมมาเป็นปีแล้วแต่ยังไม่ลืมแฟนเก่าหรือไง แล้วใครคือแฟนเก่าของเค้ากันล่ะ

“คุณแว่นที่เราเจอที่โรงพยาบาลครั้งก่อน คือแฟนเก่าปาร์ตี้หรือเปล่า”ผมตั้งคำถามออกไป แต่หนุ่ยเองก็ให้คำตอบผมไม่ได้ เพราะหนุ่ยก็เพิ่งจะเคยเจอคุณแว่นครั้งแรกในวันนั้นเอง

“แต่ไม่น่าใช่หรอก คุณแว่นเค้ารู้จักอรรถไม่ใช่เหรอ แสดงว่าก่อนอรรถเกิดอุบัติเหตุ อรรถก็ต้องรู้จักเค้า ถ้าเค้าเป็นแฟนเก่าของแฟนอรรถจริงๆ อรรถน่าจะเล่าให้เราฟังตั้งแต่วันที่มาระบายตอนนั้นแล้ว”ความเห็นของหนุ่ยก็น่าสนใจ แต่ผมก็ยังคาใจเรื่องคุณแว่นนั่นอยู่ดี

“แล้วใครคือคนที่อรรถจะรู้สึกเป็นรองล่ะ”ผมพึมพำกับหนุ่ยแต่ก็เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบอย่างจริงจัง

“ทำไมถึงมาคิดเรื่องนี้เนี่ย ตอนนี้ไม่มีความสุขเหรอ”นั่นสินะ ผมมีความสุขหรือเปล่ากับชีวิตตอนนี้ ตอนฟื้นขึ้นมาทีแรกผมคิดว่าความทรงจำของผมที่หายไปมันไม่มีผลกระทบอะไรกับผมหรอก แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่แล้วล่ะ

“เอาตรงๆ คือมันรู้สึกอึดอัดที่ต้องใช้ชีวิตในฐานะแฟน กับคนที่เหมือนเพิ่งรู้จักกัน”ผมบอกออกไปตามตรง หลังจากได้ฟังความรู้สึกผม หนุ่ยเองก็ดูลำบากใจที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยเลือกที่จะเปลี่ยนบทสนทนาเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะผมเองพอจะมีในใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อในเรื่องนี้

ผมเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกับหนุ่ยเป็นการอัพเดทชีวิตของเค้าหลังจากที่เลิกรากับผม ว่าเป็นยังไงบ้าง ผมขอเค้าว่าวันนี้ขออยู่นี่จนกว่าปาร์ตี้จะเลิกงาน เพราะผมบอกกับปาร์ตี้ไปแล้วว่าอยู่บ้านคนเดียวมันเบื่อ ขอออกมาหาเพื่อนคุย และขอมาดูบ้านตัวเองด้วย เป็นอันว่าทั้งวันผมกับหนุ่ยก็นั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตของหนุ่ยหลังจากที่เราสองคนเลิกกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ผมยังไม่เคยรู้มาก่อน หลังๆ มันเลยกลายเป็นว่ารากลับมาพูดคุยถึงช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันเสียมากกว่า

“แฟนอรรถมาแล้วมั้ง ไปดูดิ”เวลาล่วงเลยมาจนเย็น เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น นี่ผมคุยเรื่องราวจิปาถะกับหนุ่ยเสียจนลืมเวลาไปเลย เท่าที่คุยกับหนุ่ย ผมว่าส่วนหนึ่งที่เราสองคนเลิกกันมันคงเพราะเรื่องเวลาว่างด้วย การที่ลักษณะงานที่ต่างกันของเรา เวลาว่างหรือเวลาที่จะให้กันมันเลยไม่มี แล้วเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะปรับอะไรเข้าหากัน มันเลยจบลงไปอย่างง่ายๆ

“อ้าว อรรถ ไปเปิดประดูดิ เหม่ออะไรเนี่ย”หนุ่ยเรียกสติผมอีกครั้ง คงเพราะมัวแต่คิดอะไรในหัวทำให้ช่วงนี้ดูจะเหม่อบ่อยเป็นพิเศษ หวังว่าพอกลับไปทำงานผมจะไม่ทำให้งานเสีย

เป็นปาร์ตี้จริงๆ ที่กดกริ่ง เค้ายืนยิ้มรอผมอยู่แล้ว ผมส่งยิ้มกลับไปตามมารยาท พร้อมตรงไปเปิดประตูรั้วให้เค้า เค้ารีบถามไถ่ผมถึงอาการของผมในวันนี้ ซึ่งผมก็บอกไปตามตรงว่าไม่ได้ต่างจากทุกๆ วัน ดีหน่อยก็วันนี้ไม่เบื่อเท่าทุกวัน

“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”ผมรั้งเค้าไว้ ก่อนที่จะเข้าบ้าน เพราะอยากจะคุยอะไรกับเค้าตามลำพังสักหน่อย เราสองคนเลยยังนั่งอยู่ที่สวนด้านหน้าบ้าน เค้ามีสีหน้าสงสัยอย่างชัดเจนว่าผมจะคุยอะไรกับเค้า ผมคิดเรื่องนี้มาวันสองวันแล้วละครับ

“ผมอยากย้ายกลับมาอยู่บ้านนี้”เค้าดูไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจกับสิ่งที่ผมบอก หรือว่าเค้าเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกผิดไป

“นึกว่าเรื่องอะไร ของใช้เราสองคนก็มีอยู่นี่อยู่แล้ว แต่ถ้าวันนี้เลยคงยังไม่ได้นะ เรามีบางอย่างที่ต้องกลับไปเอาที่บ้านนู้นอีก”นั่นไง เค้ากำลังเข้าใจว่าผมชวนเค้าย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ที่ผมกำลังจะบอกคือผมจะแยกกันอยู่กับเค้า ก่อนมานี่ผมยังแค่ลังเลนะครับ จนพอได้มาคุยกับหนุ่ย เรื่องที่หนุ่ยบอกว่าผมเคยระบายว่ารู้สึกตัวเองเป็นแค่ที่ 2 ไม่ใช่ที่ 1 ในใจของปาร์ตี้

“ผมหมายถึง แค่ตัวผมคนเดียว”ผมบอกออกไปตามตรง ซึ่งมันก็ทำให้เค้าหน้าเสียไปเหมือนกัน ผมรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ อาจจะดูว่าผมเห็นแก่ตัวที่เอาความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าลำบากต้องมาพะวงกับผม หรือถ้าเอาแบบแย่สุดๆ คือถ้าผมไม่มีวันจำเรื่องราวที่หายไปได้ ซึ่งผมว่ามันมีแววจะเป็นแบบนั้น เค้าเองก็คงไม่มีความสุขที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเค้าอย่างผม

“นี่ไม่ใช่การบอกเลิกใช่ไหม”เค้าถามผมเสียงแผ่ว ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นการทำร้ายเค้า แน่นอนนี่ไม่ใช่การบอกเลิก แต่ผมก็ไม่อยากให้เราทั้งคู่ผูกมัดกันไว้ จากนี้ไปเราอาจยังดูแลกันและไปมาหาสู่กัน ที่ต่างไปก็แค่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมอธิบายกับเค้าอย่างที่ได้คิดไว้

“แล้วทำไมต้องแยกกันด้วย”ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องปิดบังความรู้สึก ผมบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าผมรู้สึกอึดอัดใจยังไง แต่เรื่องคุณแว่นที่ผมสงสัยหรือเรื่องความรู้สึกที่ผมเคยมาระบายกับหนุ่ย ผมเลือกที่จะไม่พูดออกไป เพราะแม้จะมีผลกับการตัดสินใจของผมแต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นหลักสำหรับการตัดสินใจ เค้ายังดูจะยังไม่ค่อยอยากยอมรับกับสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป

“งั้นผมขอถามคุณว่า ระหว่างคนที่คุณรักกับคนที่รักคุณคุณจะเลือกอยู่กับใคร”ผมแค่อยากเปรียบให้เค้าเห็นภาพว่าสำหรับผม ผมคงเลือกอยู่กับคนที่ผมรัก เพราะถ้าฝืนอยู่กับคนที่ผมไม่ได้รักผมก็ไม่รู้ว่าวันนึงจะรักเค้าได้หรือเปล่า ผมรู้ว่ามุมมองเค้าอาจจะไม่เหมือนกับผม ก็แค่อยากให้เค้าเข้าใจในมุมของผมเท่านั้นเอง

“รู้อะไรไหม คำถามนี้อรรถเคยถามเราแล้วครั้งนึง และเราเลือกที่จะไม่ตอบ”เค้าตอบคำถามของผมด้วยประโยคที่ย้อนบอกเรื่องราวในอดีตกับผม แล้วทำไมผมถึงต้องถามคำถามนี้กับเค้ากันนะในครั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้นทำไมเค้าถึงเลือกที่จะไม่ตอบผม

“แล้วถ้าผมขอให้ตอบในครั้งนี้ คุณจะเลือกอยู่กับใคร”เค้ายิ้มฝืนๆ กลับมาที่ผม

“ถ้าเป็นเรา เราเลือกอยู่กับคนที่รักเรา”ผมไม่รู้ว่านี่เค้าตอบแบบนี้เพราะอยากให้ผมอยู่กับเค้าเหมือนเดิม หรือว่านี่คือสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ แล้วตอนเค้าตัดสินใจคบกับผม เค้ารักผมหรือเลือกคบเพราะแค่ผมรักเค้ากันนะ

ปาร์ตี้กลับไปแล้ว โดยที่ไม่ได้เข้าบ้านมาเจอหนุ่ยด้วยซ้ำ แม้เค้าจะไม่เห็นด้วยกับผมในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายผมก็ขอให้เค้าเคารพในการตัดสินใจของผม และอีกอย่างเราสองคนก็ยังคงสถานะแฟนไว้เหมือนเดิม เพียงแต่แยกกันอยู่แค่นั้นเอง ผมว่าทั้งผมและเค้าคงต้องการเวลาในการทบทวนหลายๆ อย่างว่าเราสองคนควรเดินไปในทิศทางไหนต่อ

“อ้าว แฟนอรรถล่ะ”หนุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ผมเข้าบ้านมาเพียงลำพัง

“กลับไปแล้ว”ผมตอบเสียงเรียบ

“หมายความว่ายังไง”หนุ่ยรีบเข้ามาถามอย่างตกใจ จนผมต้องบอกให้ใจเย็นๆ และเล่าเรื่องที่ผมเพิ่งพูดกับปาร์ตี้ไป หลังจากฟังจบดูหนุ่ยจะกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หนุ่ยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจแบบนี้ของผม เค้ารีบต่อสายถึงปาร์ตี้โดยไม่ได้สนใจจะฟังคำอธิบายจากผมอีก

“คุณตี้ใจเย็นๆ นะครับ ถ้าไม่สบายใจยังไงผมจะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วที่สุด”ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่โดนหนุ่ยชี้มือให้เงียบไว้ทำให้ผมทำได้เพียงนั่งฟังเงียบๆ

“เอาแบบนั้นเหรอครับ”เหมือนทั้งคู่กำลังตกลงอะไรบางอย่าง แต่ผมก็คงต้องรอฟังจากหนุ่ยอีกที

“ไม่ใช่หรอกครับ...ถึงเค้าจะจำคุณไม่ได้ แต่คุณก็รู้จักเค้านิครับ คุณก็แค่ต้องมาทำให้เค้ารู้จักคุณใหม่แค่นั้นเอง มันอาจต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณรักเค้ามากพอ ผมว่ามันไม่น่าจะเกินความสามารถของคุณ ที่จะทำให้เค้าตกหลุมรักคุณอีกครั้ง”ว้าว นี่ถ้าไม่ได้ยินกับหู ผมคงไม่เชื่อว่านี่คือคำพูดของหนุ่ย ก็รู้นะครับว่าเค้าก็ไม่ถึงขนาดกับไม่แคร์คนรอบข้างเลย แต่สิ่งที่เค้ากำลังทำ มันดูขัดกับบุคลิกที่เคยคุ้น

“เค้าว่าไงบ้าง เค้าจะกลับมาทำให้เราตกหลุมรักเค้าใหม่ไหม”ผมแกล้งแซวหนุ่ยขำๆ แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ขำกับผมเลย เพราะเล่นมองผมด้วยสาตาเขียวปัดขนาดนี้

“ไม่ตลก”นี่โหมดกำลังไม่พอใจจริงๆ สินะ

“เราก็มีเหตุผลของเราไง”หนุ่ยถอนหายใจ พร้อมกับเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ เค้าไม่เห็นจำเป็นต้องทำเหมือนโมโหผมขนาดนี้เลยนี่นา

“เราบอกว่าจะย้ายออก เพราะไม่อยากให้เค้าคิดมากที่เราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่เค้าอยากให้เราอยู่ต่อเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลืออรรถได้ เค้าไม่อยากให้อรรถอยู่คนเดียว”หนุ่ยเล่าไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

“เอาน่าเดี๋ยวทุกอย่างมันต้องดีขึ้น”ผมบอกออกไปเพื่อให้หนุ่ย ไม่เป็นกังวลนัก

“กลัวว่าทุกอย่างมันจะยิ่งแย่นี่สิ คุณตี้ก็คงกำลังเสียใจไม่น้อย น้ำเสียงที่คุยตะกี้ก็ฟังสั่นๆ เชียว แยกกันอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างกับเลิกกันหรอกนะอรรถ”




TBC

มาต่อคร๊าบบบ

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร๊าบบบ

ติชมได้เหมือนเดิม

นี่ก็เรียกว่าเข้าสู่ช่วงปลายๆ เรื่องแล้ว

ถ้าไม่คลาดเคลื่อน PART II ก็คงมี 30 ตอนเท่ากับ PART แรก

อีกนิดก็จะจบแล้ว แต่ แต่ กว่าจะขุดมาแต่ละตอนก็นะ  :z3:

ยังไงก็รอติดตามกันต่อหน่อยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 12-12-2016 16:47:50
แยกกันอยู่แบบนี้ก็อาจจะดีนะ
บางทีจะได้ติดอะไรๆให้มันชัดขึ้น

ตอนนี้เริ่มเข้าใจชื่อเรื่องล่ะผิดที่ใคร นั่นสิ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครผิด
บางทีอาจจะไม่มีคนผิดก็ได้

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-12-2016 17:11:56
แยกกันอยู่แบบนี้ก็อาจจะดีนะ
บางทีจะได้ติดอะไรๆให้มันชัดขึ้น

ตอนนี้เริ่มเข้าใจชื่อเรื่องล่ะผิดที่ใคร นั่นสิ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครผิด
บางทีอาจจะไม่มีคนผิดก็ได้
อืมม.....คิดเหมือนกัน
อยากให้คิดได้ทั้งสองคน
่เอ๊ยยย.........สี่คน สิ
อรรถ ตี้ ชาร์ป และกลิ้ง(ตื๊อชาร์ปเหลือเกินน่ารำคาญ)
ชาร์ป ใจแข็งซะที ต้ดกลิ้งอกจากวงโคจร ณ บัดนาว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-12-2016 17:21:47
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: AuyAaiz ที่ 12-12-2016 17:54:36
มัวหมอง :seng2ped:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 12-12-2016 18:04:02
เศร้าใจกับตี้ เจอแบบนี้ก็ช็อคนะ จบๆ ไปก็ดีไหมกับอรรถ ดูแล้วก็คงยังไม่ใช่แน่ๆ อ่ะ
กลับไปโสดให้คนเสียดายเล่นดีกว่าตี้ แต่อรรถคนนี้ไม่เหมือนคนที่เราเคยรู้จักเลย
เราอาจไม่ชินกับความเย็นชสลาห่างเหินของเค้ามั้ง สงสารตี้นะ เลิกๆๆ
หนุ่ยดูมีเหตุผลมากขึ้น เป็นไปได้ที่อรรถอาจจะกลับไปคลิกกับหนุ่ย

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-12-2016 19:33:22
ตอนนี้สนุกจัง อ่านแล้วมันชวนให้คิดต่อว่าจะเป็นยังไง สุดท้ายก็ต้องรออ่านอีกที  ชาร์ปกับตี้มีลุ้นกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 12-12-2016 19:35:16
สงสารน้องตี้อ่ะเห้ออออออ :mew5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: onewanneverdie ที่ 12-12-2016 20:15:35
เดาว่าสุดท้าย ไม่มีใครคู่ใคร :L3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 12-12-2016 20:57:02
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-12-2016 23:41:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 13-12-2016 00:27:40
คือจะยังไง? ให้สถาณการณ์บังคับให้เลือกงั้นเหรอ? กับชาร์ปตี้ก้เลือกที่จะไม่เอาแล้วเพราะชาร์ปมันไม่ยอมโผล่จากเปลือก ต่อให้รักแค่ไหนมันก็เป็นไปไม่ได้    อรรถตอนนี้เลือกหนุ่ยเพราะจำไม่ได้   ตี้อาจจะรู้สึกรักอรรถมากๆตอนที่จำไม่ได้   แต่อย่าลืมนะว่าพออรรถมันลืมมันก็ไปเลย   สงสัยตี้คงอยุ่คนเดียว  ต่างคนต่างก็อยู่คนเดียวเพราะรู้สึกจี๊กซอว์อันนี้มันเข้ากันไม่พอดี

แล้ววันหนึ่งอรรถจำได้ก็จะมาหาตี้งั้นหรือ?   เกิดตี้มีคนอื่นแล้วล่ะ?
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 21 เลือก 12-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 18-12-2016 22:48:20
PART II บทที่ 22
อ้อมกอด



Sharp’s Part
“ก็กะว่าอีกวันสองวันก็คงกลับแหละครับแม่ ยังไงฝากงานอีกนิดนะครับแม่”จากตอนแรกที่กะว่าจะอยู่กรุงเทพฯ แค่สักระยะ เต็มที่อาจจะสักอาทิตย์นึง แต่นี่ก็กินเวลาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว และทีแรกก็ว่าจะกลับวันนี้แหละครับ แต่ไอ้เหมาโทรมานัดเสียก่อน ว่าปาร์ตี้ชวนไปดื่ม พูดถึงปาร์ตี้ผมก็ไม่ได้เจอหรือโทรไปถามไถ่ เค้าอีกเลยตั้งแต่วันที่ผมไปเยี่ยมแฟนเค้าที่โรงพยาบาลวันนั้น วันที่เกิดเรื่องราว จนส่งผลให้ผมอยู่กรุงเทพฯ หลายวันขนาดนี้

“เมื่อคืนมันยอดเยี่ยมมากเลยว่าไหม”ภาพในวันนั้นแวปเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง หลังจากที่กลิ้งบอกว่าผมและเค้ามีอะไรกัน เค้าก็เดินมานั่งลงที่ข้างๆ เตียงของผม ผมกำลังงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่อยากจะยอมรับว่ามันคือเรื่องจริง เพราะผมจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ภาพถุงยางอนามัยใช้แล้ว ที่อยู่ก้นถังขยะพร้อมน้ำขาวขุ่นในนั้นที่ผมเหลือบเห็น มันคงยากที่จะปฏิเสธ จะว่ามันคือของกลิ้ง ผมก็ยังรู้สึกปกติที่ด้านหลังอยู่

“เราจำอะไรไม่ได้เลย”ผมบอกออกไปตามตรง และขยับตัวออกห่างจากเค้า ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง อยากจะคิดว่ามันก็แค่เซกส์ เซกส์ที่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ทำไมในใจผมมันกลับรู้สึกแย่ไปหมดแบบนี้

“ถ้าชาร์ปจำไม่ได้ เราก็ลองใหม่อีกสักรอบไหมละ”ผมใช้มือดันตัวเค้าที่กำลังจะขยับเข้ามาหาผมเอาไว้ เพราะสภาพเราทั้งคู่ตอนนี้มันล่อแหลมเหลือเกิน แค่เรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ตั้งใจผมก็รู้สึกแย่มากอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้จะมีอะไรเลยเถิดอีก ผมคงยิ่งแย่กว่าเดิมเป็นแน่

“กลิ้งกลับไปก่อนได้ไหม”เค้าตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ผมย้ำอีกครั้ง ถึงจะเป็นคำพูดขอร้องแต่น้ำเสียงที่พูดออกไป ผมก็ไม่ได้กะว่าจะขอความเห็นจากเค้าหรอกนะครับ เค้าลุกไปใส่เสื้อผ้าแต่งตัวอย่างไม่ได้เต็มใจนัก ส่วนผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ผมไม่ได้หันไปมองกลิ้งหรือพูดคุยอะไรกับเค้าอีก ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าเค้ารู้สึกยังไง ขนาดตอนเค้าบอกว่าจะออกไปแล้วผมยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นพูดอะไรกับเค้า ผมเพียงโบกมือให้เห็นว่าให้เค้าออกไปเลย

ผมรู้ว่าดูเสียมารยาทแต่สภาพจิตใจผมตอนนี้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นผมคงโทษคนอื่นไม่ได้เพราะตัวผมเองที่ดื่มจนเมามายไม่ได้สติ ต่อให้เป็นใครก็ตามมาส่งผม มันคงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นถ้าผมไม่เมาขนาดนั้น และที่แย่ไปกว่านั้น ผมดันรู้สึกว่าผมกำลังนอกใจ แต่นอกใจใครล่ะในเมื่อผมเองก็ไม่ได้มีใคร หรือคบใครอยู่ มันอาจจะฟังดูตลก แต่ผมดันมีความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ มันเหมือนเราทำผิดต่อคนที่ตัวเองรัก จนเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“มึงยังมีชีวิตอยู่ไหมแว่น กูเนี่ยปวดหัวชิบ”ผมกดรับสายจากไอ้เหมาที่โทรเข้าพอดี ทีแรกว่าจะไม่รับแล้ว แต่ผมว่าถ้าจะปรึกษาใครเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ไอ้เหมาน่าจะเป็นคนที่รับฟังผมได้มากที่สุด

“ก็ยังไม่ตาย ว่าแต่เมื่อคืนทำไมกูกลับมากะเพื่อนได้ว่ะ”ผมลองหยั่งเชิงถามดู เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง แต่คิดว่ากลิ้งคงกะไปรับผมตามที่ตกลงไว้ว่าจะไปกินข้าวนั่นแหละ ซึ่งก็จริงครับ แพทเล่าให้ไอ้เหมาฟังว่าเจอกลิ้งที่น่าบ้านพอดี และกลิ้งบอกว่านัดทานข้าวกับผมไว้ แต่พอเห็นสภาพผมกับไอ้เหมา กลิ้งเลยอาสาพาผมมาส่งบ้าน แพทเองก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่ากลิ้งบอกว่าเป็นเพื่อนที่ภูเก็ตของผม

“เย็นนี้มึงว่างไหม มาหากูที่บ้านหน่อยสิ”อธิบายทางโทรศัพท์อาจจะยังไม่เห็นภาพ และไม่เข้าใจความรู้สึกของผมทั้งหมดผมเลยเลือกที่จะขอให้ไอ้เหมามาหาที่บ้าน โดยมีข้อเสนอว่าจะเลี้ยงอาหาร เครื่องดื่ม ทั้งมันและแพท อยากกินอะไรจัดมาเลยแล้วค่อยมาเก็บตังค์ที่ผม หลังวางสายจากไอ้เหมา ด้วยความเพลียจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เลยทำให้ผมผลอยหลับไปอีกรอบ จริงๆ ส่วนหนึ่งก็ตั้งใจหลับด้วยแหละครับ เพราะไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายครั้งจนใกล้เวลานัดกับไอ้เหมาผมถึงลุกอาบน้ำอาบท่า

ส่วนกลิ้งก็ยังคงโทรมา ทักผมมาทุกช่องทาง แต่ผมเลือกที่จะส่งข้อความถึงเค้าว่าขอเวลาผมสักพัก ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมคุยจริงๆ แต่เหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเพราะเค้าก็ยังจะพยายามติดต่อผมเหมือนเดิม ผมเลยวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนห้องนอน ปิดเสียงปิดสั่นทุกอย่างไว้

“สรุปมีเรื่องอะไรครับไอ้คุณแว่น”ทันทีที่ไอ้เหมามาถึงก็เปิดปากถามด้วยความสงสัยโดยไม่รอช้า แต่โดนแพทปรามๆ ไว้เลยได้แค่เข้ามากระซิบกระซาบผมด้วยความอยากรู้

“งั้นเดี๋ยวแพทเอาอาหารไปจัดใส่จานให้เรียบร้อยก่อนละกัน สองหนุ่มก็จิบเบียร์คุยกันไปก่อนนะ”เหมือนแพทจะอยากปล่อยให้ผมได้คุยกับไอ้เหมาสองคน ที่จริงผมก็ไม่ได้จะปิดแพทหรอกนะครับ เพราะนี่กลับบ้านไปเดี๋ยวไอ้เหมาก็คงเล่าให้แพทฟังอยู่ดี แต่บางเรื่องให้ผมเล่าต่อหน้าแพทมันก็ยังไงๆ อยู่แหละครับ ซึ่งจุดนี้แพทก็คงคิดคล้ายๆ ผมนั่นแหละ ถึงได้ขอปลีกตัวออกไป

ผมกับไอ้เหมาหยิบกระติกน้ำแข็ง แก้วเบียร์ เดินออกมานั่งที่ศาลาหน้าบ้าน ก่อนผมจะเริ่มเกริ่นอ้อมโลก เพราะไม่รู้จะเริ่มพูดเรื่องนี้ที่ตรงจุดไหน

“มึงจะเริ่มได้ยังไอ้แว่น นี่มึงพูดอ้อมโลกขนาดนี้ เดี๋ยวแพทยกอาหารออกมา มึงก็จะไม่เล่าอีก หรือนี่แค่อยากเลี้ยงข้าวกูเฉยๆ”และไอ้เหมาคงสังเกตได้แหละครับ ว่าผมไม่ยอมพูดตรงๆ สักที

“กูพลาดมีอะไรกับคนที่รับกูมาส่งบ้านเมื่อคืน”ไอ้เหมาย่นคิ้วเข้าหากันทันทีที่ผมบอก

“เมาขนาดนั้น มึงยังบ๊ะ โอ บ๊ะ บะ ได้ด้วยเหรอว่ะ หรือเค้ารุกมึง”ผมง้างเท้าเตรียมถีบมันทันที พร้อมปฏิเสธว่าผมไม่ได้โดนใครรุกมาทั้งนั้นแหละ

“กูจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”ผมยกแก้วเบียร์กระดกก่อนจะเริ่มเล่าต่อว่าผมตื่นมาในสภาพไหน ยังไง ตามด้วยคำพูดของกลิ้งที่บอกกับผม รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับกลิ้งที่เคยเกิดขึ้นด้วย ว่าเป็นมายังไง

“นี่เค้ากะปล่อยท้องแล้วรวบหัวรวบหางมึงหรือเปล่าว่ะ”ไอ้นี่ก็เอาแต่พูดเล่นอยู่ได้ครับ

“แต่ที่ฟังมาเนี่ยกูว่าเค้าหลอกมึง มึงเมาขนาดนั้น จะไปทำไรใครได้ว่ะ อีกอย่างถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มึงต้องจำได้สักนิดสักหน่อยสิวะ หรือตั้งแต่เกิดมาเนี่ยมึงเคยมีเซกส์ครั้งไหนที่จำอะไรไม่ได้เลยแบบครั้งนี้ไหม”มันก็จริงของไอ้เหมาอยู่นะครับ แต่มันดันมีหลักฐานคาตาผมนี่แหละครับ อีกอย่างอะไรที่เรายังไม่เคยเจอก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

“มันมีหลักฐานในที่เกิดเหตุนี่สิมึง”ดูสิว่าถ้ามีถุงยางใช้แล้วอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยแบบนี้ อาจารย์เหมาของผมจะตีความไปทางไหนอีก

“แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่าในถุงยางนั่นคือของจริง หรือของมึงหรือเปล่า มึงได้ตรวจสอบดูไหม นี่ยังอยู่หรือเปล่า”ใครจะไปบ้าทำอย่างที่มันพูดกันละครับ นี่ผมก็เก็บไปทิ้งเรียบร้อยแล้วด้วย

“โอเค สมมติว่ามึงได้กับเค้าแล้วจริงๆ ปัญหาหนักอกหนักใจของมึงคืออะไร ไหนเล่ามาสิ ว่าไอ้ขนาดลงทุนเลี้ยงข้าวเลี้ยงเบียร์กูขนาดนี้มันจะเครียดขนาดไหนกัน”ไอ้เหมาพูดมาซะขนาดนี้ ถ้าผมบอกความรู้สึกจริงๆ ออกไปนี่มันต้องว่าผมปัญญาอ่อนแน่ๆ เลย

“ขอกูลองเดาหน่อยสิ จากที่เล่ามา กลัวโรคคงไม่ใช่เพราะมีถุงยาง ท้องก็ไม่ท้องแน่ๆ เสียใจที่โดนเปิดซิงก็คงไม่ใช่ หรือเค้าตื้อมึงให้รับผิดชอบ”ไอ้เหมาดีดนิ้ว เหมือนถูกรางวัลที่คิดออก แต่แล้วมันก็ว่าไม่ใช่อีกเพราะถ้าโดนตื้อผมไม่น่าจะเครียดอะไรขนาดนั้น

“เรื่องตื้อเค้าก็ตื้อแหละ แต่กูก็กะว่าคงต้องเคลียร์กับเค้าจริงๆ จังๆ อยู่เหมือนกัน ส่วนที่กูรู้สึกอยู่ตอนนี้คือรู้สึกผิด ผิดที่ไปมีอะไรกับคนอื่น”ผมไม่รู้จะใช้คำไหนอธิบายกับไอ้เหมาดีครับ

“มีอะไรกับคนอื่น มึงใช้คำว่าคนอื่น มึงมีแฟนเหรอแว่น พูดยังกะรู้สึกผิดที่นอกใจแฟน”ผมค่อยๆ พยักหน้า ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับแต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ผมดันรู้สึกแบบนั้น ไอ่เหมาแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ผมอย่างชัดเจน

“กูจะด่ามึงว่าอะไรดี ไอ้บ้า ไอ้เพี้ยน ไอ้มโน กูคงไม่ต้องเดาใช่ไหมว่าแฟนมโนของมึงนี่ใคร”หลังจากวันนั้นผมแทบจะอยู่บ้านไอ้เหมาตลอดเลย เพราะกลิ้งดูจะไม่ฟังการปฏิเสธของผมเลย ว่าเรื่องระหว่างผมกับเค้ามันไปต่อไม่ได้ ผมว่าผมก็บอกชัดเจนไปแล้ว แต่พอเค้าไม่ฟังผมเลย มันเลยทำให้ผมเลือกหลบหน้าเค้า ซึ่งไม่ได้จะหลบไปตลอดนะครับ แค่เว้นระยะให้เค้าได้คิดทบทวนสักหน่อย ว่าสิ่งที่เค้ากำลังทำ เค้ามีความสุขแล้วเหรอ

จากทีแรกที่ว่าจะมาเก็บของที่บ้านแล้วบินกลับภูเก็ต พอไอ้เหมาบอกว่าปาร์ตี้ชวนดื่ม แผนเลยเปลี่ยน ผมมาถึงร้านเป็นคนแรก ร้านเดิมที่เคยเป็นร้านประจำของพวกเรา ที่แรกที่ผมได้ทำความรู้จักปาร์ตี้อย่างเป็นทางการ บรรยากาศเก่าๆ ฉายซ้ำเข้ามาเรียกรอยยิ้มจากผม เวลาผ่านไป ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปหมดจริงๆ จากครั้งนั้นผมเป็นแฟนกับชะเอม จนเลิกรา และผมเกินเลยกับปาร์ตี้ จนตอนนี้ เหมือนผมเหลือแค่ความว่างเปล่า

“มาเร็วเชียวนะมึง”ไอ้เหมาที่เดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามกับผมทักทายด้วยน้ำเสียงจงใจแซวหน่อยๆ ผมไม่ได้ตอบอะไรมันเพียงแค่พยักหน้าให้มันนิดนึง ไม่ค่อยมีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับมันสักเท่าไหร่ครับ

“แล้วนี่แฟนมโนมึงยังไม่มาอีกเหรอ”ไอ้นี่ก็ยังจะเล่นอีกนะครับเนี่ย ผมยังไม่ตอบอะไรมันเช่นเดิม แค่ส่ายหน้าหน่ายๆ ให้มัน ซึ่งดูไอ้เหมาเองก็ไม่ได้ใส่ใจผมสักเท่าไหร่หรอกครับ ดูมันจะสนใจการสั่งอาหารและเครื่องดื่มเสียมากกว่า

“นี่ก็ไม่พูดไม่จา เอางี้มาพนันกันดีกว่า”ผมเงยหน้ามองไอ้เหมา แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวผมคือ การพนันระหว่างผมกับปาร์ตี้มากกว่า แถมมันเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่เสียด้วยนี่สิ

“ว่าไป”ผมบอกเป็นเชิงรับคำท้าจากไอ้เหมา แม้รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะมีดวงด้านนี้ แต่ไอ้การท้าพนันแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องเสีย มากมายหรอกครับ อย่างมากก็ต้องกลายเป็นเจ้าภาพมื้อนี้แค่นั้นแหละครับ สิ่งที่ไอ้เหมาจะพนันกับผม ก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมเคยเล่นกับปาร์ตี้สักเท่าไหร่ เพราะมันแค่ให้เลือกว่า คนมาทีหลังอย่างปาร์ตี้จะเลือกนั่งข้างใคร โดยทำการโยนเหรียญหัวก้อยว่าใครจะได้เลือกก่อน จริงๆ ถ้าพนันแบบนี้ไม่ต้องเดาก็ตอบได้ครับ ว่ายังไงตี้เค้าก็เลือกนั่งข้างไอ้เหมาอยู่แล้ว เพราะแพทไม่ได้มาด้วย ผลการโยนหัวก้อย ไอ้เหมามีสิทธิ์เลือกก่อน

“จริงๆ แค่โยนหัวก้อยก็ตัดสินเลยไหม ยังไงเค้าก็นั่งข้างมึงอยู่ดี”ผมบอกกับไอ้เหมาอย่างเซ็งๆ เพราะคงแพ้พนันครั้งนี้แน่ๆ

“งั้นกูเลือกว่ามันจะนั่งข้างมึงก็ได้ไอ้แว่น ตกลงไหม”แม้จะรู้สึกว่ามันต้องเล่นตุกติกอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ผมก็เอาตามนั้นแหละครับ ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนิ แถมถ้าผมแพ้ก็หมายความว่าตี้ต้องเลือกนั่งข้างผม ถ้าชนะตามข้อตกลงก็ไม่ต้องจ่ายตังค์ในวันนี้

หลังเราตกลงกันไม่นานตี้ก็เดินเข้ามาในร้าน เค้ามองหาผมสองคนอยู่ครู่นึงก่อนจะเดินตรงมาที่พวกผมอยู่ และผมก็ต้องแปลกใจที่เค้านั่งลงข้างผม อย่างไม่ได้ลังเลอะไรเลย ไอ้เหมาหันมายักคิ้วให้ผม อย่างผู้มีชัย แต่ผมมั่นใจว่ามันเล่นไม่ซื่อแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรครับ ยังไงเสียผมก็ได้นั่งข้างๆ ปาร์ตี้

“มาด้วยกันแบบนี้คิดถึงเมื่อก่อนเนอะ นี่นานแค่ไหนแล้วที่เรา 3 คนไม่ได้มาดื่มด้วยกันที่นี่”สิ่งที่ไอ้เหมาพูดขึ้นทำให้ทั้งผมและตี้หันมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามีอาการประดักประเดิดเกิดขึ้นนิดหน่อย แน่ละครับมันคงไม่ใช่แค่ผมที่ดันนึกเหตุการณ์เก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ได้ ตี้รีบรับแก้วเบียร์จากเด็กเสิร์ฟอย่างรวดเร็วก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด ดูเป็นการเริ่มต้นสังสรรค์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ ผมยื่นเท้าลอดโต๊ะแอบยันไอ้ตัวต้นเหตุที่นั่งตรงข้ามอย่างเหลืออด คือผมเคยขอไอ้เหมาไว้แล้วว่ามันจะล้อจะประชดประชันผมเรื่องตี้ยังไงก็ได้ แต่กับตี้ขอให้มันพยายามเลี่ยงพูดอะไรที่ทำให้เค้านึกถึงเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด

“กูจะรู้ไหมว่าประโยคธรรมดาแค่นี้จะไปจี้จุดมัน”นี่คือสิ่งที่ผมอ่านได้จากสายตาของไอ้เหมา ซึ่งจะว่าไปก็คงจริง ดูๆ แล้วหรือว่าตี้จะมีเรื่องอย่างอื่นในใจถึงได้รีบดื่มขนาดนี้

“งั้นเรามาเล่นเกมเหมือนเมื่อก่อนไหม”เป็นผมที่เสนอความเห็น เพราะเกมที่ว่าตี้มักเป็นคนชนะเสมอ เค้ารู้ชื่อเพลงมากมาย มากกว่าผมและไอ้เหมา และคนแพ้เกมจะเป็นคนที่ต้องดื่มหมดแก้ว ซึ่งนั่นแปลว่าเค้าจะไม่ได้โอกาสในการทำเหมือนแก้วรั่วแบบนี้อีกแล้ว

“มึงฝีมือตกไปนะเนี่ยไอ้ตี้”เหมือนผมจะคิดผิด เพราะต่อให้เค้าตอบชื่อเพลงได้ แต่เค้าเลือกที่จะไม่ตอบ หรือแกล้งตอบได้นิดหน่อย จริงๆ ผมควรจะเข้าใจตั้งแต่รู้ว่าเค้าชวนผมกับไอ้เหมามาดื่มแล้ว ว่ามันต้องมีเรื่องรบกวนจิตใจเค้า และมันคงเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย เค้าถึงยอมเลือกให้ผมมาด้วยแบบนี้ ทั้งที่ปกติแทบไม่อยากเจอผมเลย

“มีปัญหากับคุณอรรถเหรอ”ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาสักเท่าไหร่ เค้าถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มอีกแล้ว

“ถ้ามึงอยากเล่า พวกกูสองคนก็พร้อมจะฟัง แต่ถ้ามึงแค่อยากเมา เรา 3 คนก็จะเมาหัวทิ่มไปด้วยกัน”คำพูดของไอ้เหมากูฟังดูไม่เลวเท่าไหร่ครับ แล้วตี้ก็เริ่มเล่า เค้าค่อนข้างจะมีหลายอย่างที่อยากระบาย และหนักที่สุดคือแฟนของเค้าขอแยกกันอยู่ เค้าเล่าไปฝืนยิ้มไป ผมรู้ว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่แย่สำหรับเค้ามากๆ

“เชื่อเราสิ ว่าคุณอรรถเค้าต้องจำตี้ได้”ผมคงทำได้ดีที่สุดเท่านี้ ทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นคำพูดผม คำพูดไอ้เหมา หรือใครก็ตามเถอะ ให้มาพูดกับเค้าตอนนี้เค้าก็คงไม่รู้สึกดีขึ้นมาหรอก แต่จริงๆ พอมาเจอเรื่องเค้าแบบนี้ไอ้เรื่องของผม ที่กังวลอยู่ เรื่องของหนุ่ยนั่นแหละครับ พอมาเทียบปัญหากับตี้ เรื่องผมดูจะจิ๊บจ๊อยไปเลย

“อืม...แล้วนี่แพทไม่มาแล้วเหรอ”เค้าดูจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองอยู่ แต่เรื่องที่เค้าเอามากลบนี่ทำให้ผมได้รู้ว่าทำไมเค้าเลือกนั่งลงข้างผมในวันนี้ เพราะไอ้คนยิ้มแหยๆ ตรงข้ามผมคงหลอกเค้าว่าวันนี้แพทจะมาด้วย แต่ช่างเถอะครับนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว

ผมกับไอ้เหมาดูจะเป็นผู้ปลอบที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่เป็นเพื่อนดื่มที่ค่อนข้างดี และนับว่าโชคดีที่วันนี้ไม่มีใครขับรถมาเองเลย ร้านใกล้ปิดเต็มทีและตอนนี้เราทั้ง 3 ก็เมาค่อนข้างหนักทีเดียว ผมรีบเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อนลากอีก 2 คนที่เหลือออกจากร้านมาเรียกแทกซี่ นับว่ายังมีดวงอยู่บ้างที่ไม่โดนแทกซี่ปฏิเสธ

ถ้าต้องรอนานมากไปกว่านี้คงไม่ดีแน่ ทีแรกก็กะว่าต่างคนต่างเรียกแทกซี่กลับ แต่ดูจากสภาพตอนนี้ ผมว่าคงต้องกลับคันเดียวกัน แถมพอขึ้นรถได้ไอ้เหมาก็เฝ้าพระอินทร์เป็นคนแรก พี่แทกซี่คงกำลังคิดในใจว่าพลาดแล้วที่รับพวกผม ไอ้เหมาที่ถูกจับยัดไว้เบาะหน้าหลับไปและเริ่มส่งเสียงคำราม ส่วนตี้ที่นั่งอยู่เบาะหลังข้างผมอาการก็ดูไม่สู้ดีนัก เหมือนพร้อมจ่ายค่าล้างอ้วกในรถให้พี่แทกซี่ตลอดเวลา ผมบอกทางไปบ้านตี้เป็นคนแรก ส่วนผมกะว่าคงต้องกลับไปค้างบ้านไอ้เหมาอีกรอบ

“ไหวหรือเปล่า”ผมปลุกเค้าเมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านของเค้าแล้ว เค้างัวเงียลืมตาขึ้นอย่างงงๆ และขยับหัวออกจากไหล่ของผม ผมบอกกับพี่แทกซี่ว่าให้รอเดี๋ยวก่อนจะลงรถเดินตามตี้ที่กำลัง ยุ่งกับการหากุญแจบ้าน

“ให้ช่วยไหม”ความมีน้ำใจของผมถูกปฏิเสธกลับด้วยการชูกุญแจบ้านพร้อมยิ้มให้ผมดู

“ตี้”ผมเดินเข้าไปชิดเค้าอีกหน่อย และเค้าเองก็หยุดหันมามองผมด้วยความสงสัย

“เดี๋ยวพอมันผ่านไป แล้วทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”ผมไม่รู้ว่าเค้าต้องการไหม แต่ผมอยากให้ ให้อ้อมกอดของผมส่งความห่วงใย และเป็นกำลังใจให้เค้า เค้ายืนนิ่งโดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าเค้ากำลังรู้สึกยังไง แต่สองแขนของผมก็ยังคงกอดเค้าไว้แน่นก่อนจะตบเบาๆ ที่ไหล่ของเค้าแล้วคลายอ้อมกอดนั้นออก






TBCขอบคุณที่ติดตามกันเช่นเคยนะคร๊าบ

มาลองเดาดูนะฮ่ะว่าจะจบยังไง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 18-12-2016 23:44:51
ชวนกันไปเมาจริงๆแล้วเรื่องกลุ้มๆก็ไม่หายไป ชาร์ปกับตี้จะได้มารักกันมั้ยนะ ลุ้นคู่นี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-12-2016 23:45:22
Happy Ending สิ

แค่คู่กับเหมากับแพทนะ นอกนั้นทางใครทางมัน


  :katai5:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-12-2016 00:32:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-12-2016 01:41:34
เดาไม่ออกว่าจะจบยังไงอะ   :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-12-2016 05:37:49
ไม่อยากจะว่ากลิ้งเลย  :z3: :z3: :z3:
แต่กลิ้งก็เหลือเกิน ตื๊อจนน่าเกลียด
ชาร์ปปฏิเสธแล้วหลายครั้ง ก็ยังตื๊อไม่เลิก
สะท้อนใจเลย ที่ชาร์ปรู้สึกผิดเหมือนนอกใจแฟน
ทั้งที่แค่รักตี้ อยู่ในใจฝ่ายเดียว
ชาร์ปคงต้องจริงจังเกินร้อย กับการปฏิเสธกลิ้ง
กลิ้งกลมสมชื่อจริ้งจริง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
รอการตกตะกอนของอรรถ ตี้
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 20-12-2016 01:01:29
ชาร์ปปาร์ตี้สิฮะ ชาร์ปก็ดูโตขึ้นละ ด้านความรักนะ ส่วนน้องตี้ เฮ้อ น่าสงสาร
ปล่อยอรรถไปตามเวรตามกรรมเหอะ ช้ำเกิ้น

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Newtun_td ที่ 21-12-2016 00:53:14
สงสารทั้งตี้ ทั้งชาร์ป ให้รักกันสักทีเถอะ สงสาร อยากให้สองคนมีความสุขสักที กรี๊สสสสสส อินจัดคะ ขอบคุณที่มาต่อนะค้าาา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 22 อ้อมกอด 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-12-2016 11:12:50
PART II บทที่ 23
ช่างมันเถอะ



Aut's Part


“อรรถ อรรถ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เค้าพยายามหาเรื่องมากมายมาคุยกับผม แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากคุยอะไรกับเค้าสักเท่าไหร่ นี่ผมก็กำลังคิด คิดว่าผมเคยชอบ หรือเคยรักผู้ชายคนนี้เพราะอะไร ครั้งแรกที่ผมรู้จักเค้า เค้าเป็นแบบนี้ไหม ทำไมผมถึงไม่สนใจเค้าในแบบนั้นอีกครั้ง นี่ก็ 1 เดือนมาแล้ว 1 เดือนที่ผมประสบอุบัติเหตุ 1 เดือนที่ผมต้องมาทำความรู้จักเค้าใหม่

วันนี้เค้าชวนผมมาทานข้าว หลังจากที่ปฏิเสธเค้ามาหลายครั้ง จะปฏิเสธอีกก็คงจะไม่ได้แล้ว ผมพยายามแล้วที่จะนึกเรื่องราวระหว่างเค้ากับผมให้ออก แต่ 1 เดือนที่ผ่านมานี่มันดูไม่มีวี่แววอะไร จนผมเริ่มจะถอดใจแล้วจริงๆ ทีแรกผมก็ยังมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับตัวเค้าอยู่บ้าง แต่มันคงไม่สำคัญอะไรอีกแล้วเพราะผมคงไม่มีวันจำได้ แล้วถ้าให้ผมกลับไปคบกับเค้าทั้งที่ผมยังจำเค้าไม่ได้ ผมก็คงยังทำแบบนั้นไม่ได้

“ผมว่าเราคงต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเสียที”ผมบอกออกไปเสียงเรียบ เค้าเองดูมีสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆ พ่นลมออกมา มันก็ลำบากใจเหมือนกันนะครับที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่เห็นทางที่ดีกว่านี้ เค้าเองยังนิ่งรอฟังสิ่งที่ผมจะพูด

“เราสองคนลดสถานะลงมาเป็นเพื่อนกันเถอะ”เค้าดูจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่นัก อาจคงเพราะการกระทำของผมเองในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี่มันก็คงชี้มาทางนี้อยู่แล้วด้วยมั้งครับ แม้ตัวเค้าจะพยายามทำตัวในแบบที่คู่รักพึงจะทำ แต่สำหรับผม เรียกว่าทำตรงข้ามกับเค้าแทบทุกอย่าง นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนี้ ผมว่ามันคงไม่แฟร์กับเค้าที่จะต้องรอผม ที่ไม่รู้จะจำเค้าได้เมื่อไหร่ หรือผมจะรักเค้าอีกครั้งได้ไหม ผมรู้สึกนะครับว่าเค้าเองก็พยายามมากทีเดียว แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรนี่สิ แล้วจะให้ฝืนความรู้สึกผมก็ทำไม่ได้นี่สิ

“มันต้องจบแบบนี้จริงๆ เหรอ”เค้าเบือนหน้าหนีผม แล้วค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นเหมือนพยายามกลั้นน้ำตา นี่เล่นเอาผมชักจะรู้สึกผิดขึ้นมาแล้วสิเนี่ย ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ผมว่าเราทั้งคู่ฝืนกันไปอย่างนี้ได้ไม่นานหรอก

“ผมรู้ว่า มันไม่ควรจบแบบนี้ เอางี้ถ้าวันนึงผมจำคุณได้ และคุณยังอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผมเราค่อยกลับมาคบกันเหมือนเดิม”ถ้าพูดกันตามตรง ผมก็ไม่คิดว่าผมจะได้ความทรงจำช่วงนั้นกลับมาหรอกนะครับ แต่พอเห็นสีหน้าของเค้าแล้วมันทำให้ผมต้องพูดออกไปแบบนั้น

“รู้ไหมตอนรู้จักกันทีแรก เราเป็นคนปฏิเสธอรรถ แต่อรรถบอกกับเราว่าจะทำให้เราเปิดใจกับอรรถให้ได้ แล้วอรรถก็ทำได้จริงๆ แต่พอถึงตาที่เราต้องทำให้อรรถเปิดใจ เรากลับทำมันไม่ได้”น้ำเสียงของเค้าดูเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที ถ้านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผม สุดท้ายถ้ามันจะส่งผลยังไงตามมา ผมก็ยินดีที่จะยอมรับมัน

“รู้ไว้เถอะว่าคุณเองทำดีที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ถ้าคุณเชื่อว่าผมจะจำคุณได้ คุณก็แค่รอให้ถึงวันที่ผมจะจำคุณได้ แต่ถ้าคุณรอไม่ไหว ผมก็จะไม่โทษคุณเลย”ผมว่าผมจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของผมในวันนี้ เพราะผมเป็นคนเลือกมันเอง ตอนนี้ผมยังมั่นใจว่าผมไม่มีวันจำเรื่องราวที่ขาดหายไปได้ แต่ถ้าเกิดวันนึงผมจำได้ขึ้นมา ผมก็จะไม่เสียใจที่เลือกแบบนี้

“เฮ้อ...ที่จริงเราอาจจะเป็นคนผิดตั้งแต่แรกก็เป็นได้”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ”ผมถามพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจเค้า แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกกับเค้าอย่างที่เค้าต้องการ หรืออย่างที่ผมเคยรู้สึกแล้วจำไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่า ที่เรื่องราวทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะความผิดของเค้า

“ช่างมันเหอะ...เอาเป็นว่าจากนี้เราสองคนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่ไหม”เขาหันมาสบตาผม พร้อมรอยยิ้มที่ออกจะดูฝืนๆ สักหน่อย ผมเอื้อมมือไปกุมมือของเค้าเป็นการปลอบใจ นี่คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดแล้ว

“เพื่อนกันจนกว่า...ผมจะจำคุณได้”แม้ผมจะไม่เชื่อว่าจะมีวันนั้น และผมเชื่อว่าการพูดอย่างตรงไปตรงมามันคงดีกว่า แต่ว่าบางทีการโกหกให้อีกฝ่ายสบายใจมันก็คงไม่แน่จนเกินไปนัก

“จนกว่าอรรถจะจำเราได้”และนั่นคือการจบความสัมพันธ์ อีกครั้งของผม ผมกับเค้าแยกย้ายกันกลับ แต่ทั้งที่ผมเป็นคนเลือกเอง ทำไมพอกลับมาบ้านมันถึงได้มีความกังวลใจแปลกๆ แบบนี้กันนะ มันเหมือนมีอะไรค้างคาสักอย่างอยู่ในใจ มันคืออะไรกันนะ ผมนั่งจ้องข้อความต่างๆ ที่เคยสนทนากับเค้า นิ้วผมแตะที่หน้าจอแล้วเลื่อนไปทางซ้าย

“delete”ปุ่มสีแดง แสดงข้อความขึ้นมา ผมชั่งใจอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ แตะนิ้วลงบนคำนั้น ในเมื่อสมองผมมันลบเค้าออกไปหมดแล้ว ผมเองก็ตัดสินใจพักความสัมพันธ์กับเค้าแล้ว ผมคงไม่ต้องเก็บข้อความต่างๆ พวกนี้เอาไว้อีก

“เป็นไรอ่ะ หน้าจ๋อยเชียวแล้วนี่ไปดินเนอร์มาเป็นไงบ้าง”หนุ่ยที่เพิ่งเข้าบ้านมาเอ่ยทักผม ในมือหอบของพะรุงพะรังก่อนจะวางลงที่โต๊ะตรงหน้าผม เห็นว่าวันนี้ไปคุยงานกับลูกค้า จากที่เห็นไอ้ของที่วางมีไวน์อยู่ด้วย 2 ขวด ถ้าจะให้เดาไม่ได้งานใหญ่มา ก็คงไม่สบอารมณ์กับลูกค้าจนต้องกลับมาดื่มสงบสติอารมณ์ตามนิสัย ซึ่งดูจากสีหน้าผมว่าอย่างหลัง

“หอบไวน์กลับมาแบบนี้ ไปทะเลาะกับลูกค้ามาอีกไหมเนี่ย”ผมถามออกไปขำๆ แกล้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เค้าเอ่ยถามผมก่อน

“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาว แต่เอาเรื่องดินเนอร์ของอรรถก่อน เล่ามาๆ”อาการแบบนี้รู้เลยครับว่าเค้าเองก็มีเรื่องกังวลใจเหมือนกัน นิสัยเค้าดูไม่เปลี่ยนเท่าไหร่เลย พยายามทำตัวร่าเริง กลบเกลื่อนความกังวลเอาไว้ เค้าเดินเข้าครัวไปก่อนจะออกมาพร้อมแก้ว 2 ใบ เค้าจัดการเปิดไวน์อย่างคล่องแคล่ว รินอย่างชำนาญ ผมยังคงจับจ้องการกระทำของเค้าอยู่เงียบๆ เช่นเดิม

“เล่าดิ รออยู่นะเนี่ย หน้าจ๋อยขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่”แก้วไวน์ถูกส่งมาให้ผม โดยไม่ได้รอความเห็นของผมเลยว่าผมอยากดื่มหรือเปล่า

“เลิกกันแล้ว”ผมรับแก้วไวน์และบอกเสียงเรียบ

“ถามจริง”เค้าถามเสียงสูง ทำหน้าตกใจจนเกินจริง เกินไปจนรู้ว่าแกล้งทำ

“ไม่เนียนๆ”ผมยื่นแก้วไปชนกับเค้าพร้อมบอกขำๆ เค้าดูไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่ผมบอกเลยสักนิด ตรงกันข้ามเหมือนคิดไว้อยู่แล้วมากกว่าว่ามันจะเป็นแบบนี้

“ฮ่าๆ เราสองคนก็รู้จักกันมาพอที่จะจับทางอีกคนได้แล้วละน่า ดูอาการอรรถช่วงนี้ก็พอเดาออกแหละ ว่าจะตัดสินใจยังไง”มันก็จริงของเค้า มันไม่ได้มีแค่ผมที่อ่านเค้าออก เค้าเองก็อ่านผมออกเช่นกันสินะ ผมส่งแก้วเปล่าให้เค้ารินไวน์เพิ่มอีก

“หนุ่ยว่าอรรถ ตัดสินใจถูกไหม”แม้จะรู้ว่าหนุ่ยเองก็มีเรื่องกังวลใจ แต่ในเมื่อเค้าเปิดโอกาสให้ผมได้ระบายเรื่องราวก่อน ผมก็ควรเคลียร์ประเด็นของผมให้จบไปเลย ยังไงเสีย ผมก็มีเวลาคุยเรื่องของหนุ่ยต่อได้ทั้งคืน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผมอยู่แล้ว ส่วนหนุ่ยเองจากการที่ถือไวน์กลับบ้านมาขนาดนี้คงไม่ได้กะจะนอนเร็วนักหรอกครับ

“มันไม่มีถูกมีผิดหรอก มันก็แค่เลือกในสิ่งที่ตัวเราเองรู้สึก นี่ก็ชีวิตอรรถถ้าอรรถตัดสินใจเลือกแบบนี้ จะให้เราตัดสินว่าถูกหรือผิดมันก็คงไม่ใช่ จริงไหม”เลือกในสิ่งที่เรารู้สึกงั้นเหรอ ผมพยักหน้าเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เค้าบอก

“โอเค อรรถไม่ควรต้องกังวลกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วสินะ”ผมชูแก้วยกขึ้นดื่มอีกครั้ง เป็นอันส่งสัญญาณว่าเรื่องของผมจบแล้ว เราจะได้ไม่ต้องเอามาพูดถึงกันอีก

“อรรถนี่ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”ไม่เปลี่ยนงั้นเหรอ เราหันสบตากันแวปนึงก่อนที่ต่างคนจะต่างหลบตากัน แล้วอยู่ๆ ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน

“เออ แล้วตกลงไปคุยงานมาเป็นไงเนี่ย”ผมรีบนึกหาบทสนทนาทำลายความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา จริงๆ พักหลังมันก็มักจะมีจังหวะชะงักแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ทั้งผมและหนุ่ยเองเลือกจะลืมๆ มันไปไม่พูดถึง ต่างคนต่างทำเหมือนว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน

“ก็...ยังไงดีละ ลองทายดูไหม”ทั้งผมและเค้าเริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไร

“อืมม ไวน์ 2 ขวดนี่คงลูกค้ารายใหญ่ แต่ลูกค้ารายนี้คงเป็นคนเรื่องมากไม่น้อย หนุ่ยคงอยากเหวี่ยงและไม่รับงานให้รู้แล้วรู้รอด แต่คาดว่าคงเงินดีเลยทนทำต่อ”ผมลองวิเคราะห์ สายตาก็ยังมองที่คนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ครั้งนี้หนุ่ยไม่หลบสายตาผม แต่เค้ามองกลับมาอย่างท้าทาย เหมือนไม่ยอมแพ้ นี่ผมเริ่มชักสงสัยแล้วว่าตกลง เราสองคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

“ถูกแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว จะว่ายังไงดีล่ะ”หนุ่ยเว้นจังหวะการพูดยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ทำท่าคิด ผมเผลอยิ้มออกมากับอาการของเค้าดูเค้าจริงจังมากกับการจะอธิบายให้ผมฟังว่าลูกค้าเค้าเป็นยังไง

“ถ้ามันพูดอยากขนาดนั้น เปิดไวน์อีกขวดก่อนค่อยพูดกะได้นะ”ผมแกล้งแหย่อย่างไม่ได้จริงจังนัก แต่นี่เราสองคนดื่มกันไปขวดนึงแล้วเหรอนี่ เหมือนเพิ่งนั่งคุยกันเอง นี่เราดื่มกันเร็วไปหรือเปล่า หนุ่ยเองก็เพิ่งเห็นว่าไวน์หมดไป 1 ขวดแล้ว

“งานนี้เป็นงานที่จะส่งผลกับอีกหลายๆ งาน ถ้างานออกมาดีลูกค้าชอบก็จะมีงานเข้ามาอีกหลายชิ้น แต่ไอ้ลูกค้าคนนี้กวนโมโหมาก คือถ้าเรื่องเยอะกับงาน จะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ชอบมาเยอะใส่แบบไร้สาระ เวลาเจอนะแทบอยากจะอยากเอาแฟ้มฟาดหน้าสักที แต่ต้องอดทน ท่องไว้ว่านั่นลูกค้า โอ้ยพูดแล้วขึ้น ชนๆ”นั่นไงจะไม่ให้ไวน์มันหมดเร็วได้ยังไงกัน เอะอะชน เอะอะชนอยู่นี่แหละ

“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนอรรถว่าหนุ่ย ฟาดไปแล้วม้าง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน”เท่าที่จำได้นะครับ คบกันแรกๆ หนุ่ยทำงานเหมือนเป็นงานอดิเรกเสียมากกว่า เงินก็มีที่บ้านช่วยซัพพอร์ทตลอด แต่เท่าที่ฟังตอนนี้เหมือนเค้าจริงจังมากขึ้น

“ตอนนี้ไม่อยากใช้ตังค์ที่บ้านแล้วอ่ะ เบื่อฟังเค้าบ่น แค่ทนลูกค้างี่เง่านิดหน่อย ทนแล้วได้เงินก็ทนแหละ นี่กะว่าถ้าอยู่ตัวแล้วจะเลิกใช้ตังค์ที่บ้านละ”เค้าดูโตขึ้นนะเนี่ย มันสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่บ้าง แต่จริงๆ ช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป หนุ่ยเองก็คงไปเจออะไรมาไม่น้อย กว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง เค้าก็คงมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างแหละ

“มาๆ เอาแก้วมา รีบดื่ม รีบเมา รีบนอน พรุ่งนี้จะได้รีบปั่นงานให้เสร็จไวๆ”เค้าเอื้อมมือมาหยิบแก้วในมือผมไปรินให้อีกรอบ

“เฮ้ย โทษที”ผมรีบลุกจากโต๊ะเพราะเค้าทำแก้วไวน์หก ไวน์ไหลมาที่ผมเต็มๆ ดีที่ไม่โดนกางเกงเปียก แต่เสื้อนี่โดนเต็มๆครับไม่รอด เพราะพอแก้วลม วิถีการกระเด็นมันมาที่ผมโดยตรงเลย

“เมาป่ะเนี่ย มือไม้อ่อนเชียว”ผมแซวออกไปขำๆ ส่วนคนต้นเหตุรีบลุกหาทิชชู่มาเช็ดให้ผม ปากก็บอกแต่ขอโทษๆ ผมได้แต่ขำท่าทีของเค้า แค่เสื้อโดนไวน์แค่นี้จะเป็นไรไป แถมนี้อยู่บ้านก็แค่ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จบแล้ว ผมปล่อยให้เค้าเช็ดไป แต่เหมือนเค้าจะเข้ามาใกล้ผมมากเกินไป ตอนนี้ผมว่าเราสองคนยืนชิดกันเกินไปแล้ว

“เสร็จ...เสร็จแล้ว”และตัวหนุ่ยเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผมเผลอจ้องหน้าเค้าโดยไม่รู้ตัว สายตาผมดันจับจ้องที่ริมฝีปากของเค้าที่กำลังจะขยับพูดบางอย่าง

“ไปเปลี่ยนเสื้อไหม”เค้าก้าวถอยห่างออกจากผม แต่อาการตึงๆ จากการดื่มไว้ไปเกือบ 2 ขวดของเราทำให้ผมก้าวเดินตามการถอยของเค้า หนุ่ยถอยหลังได้ไม่ถึงสองก้าวเต็มด้วยซ้ำ หลังเค้าก็ชนกับขอบโต๊ะแล้ว

“เป็นไรเนี่ย ตกลงใครเมา ทำไมอรรถดูแปลกๆ นะ เมาป่ะเนี่ย แล้วนี่จะทำอะไร”เค้าเงยหน้าขึ้นมาและพยายามพูดให้เหมือนปกติ ทั้งที่จริงๆ ตัวเค้าเองก็รู้แหละว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติแล้ว

“ก็แค่กำลังเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก”ทันทีที่พูดจบผมก็กดริมฝีปากของผมเอง ลงที่ริมฝีปากของอีกคน ไม่รู้เพราะความเมา ที่จริงๆ ก็ไม่ได้เมากันขนาดนั้น หรือความเหงา ความใกล้ชิด ความเผลอไผล ไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่จูบ แล้วทุกอย่างมันก็จบลงที่ห้องนอนของผม จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็คงไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่รอบเดียว มันดันมีรอบสองตามมา แต่พอหลังจากแอลกอฮอล์ในร่างกายเริ่มเจือจางลงไป บรรยากาศระหว่างเราสองคนมันก็

“คือ...”ผมคิดไม่ออกว่าผมจะพูดอะไร ผมเพิ่งเลิกกับแฟน ยังไม่ข้ามวันด้วยซ้ำ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่ เพราะเป็นแฟนที่ผมเองจำเค้าไม่ได้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ แม้มันจะเกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจของเราทั้งคู่ แล้วจากนี้ความสัมพันธ์ของเรามันจะยังไงต่อ เราคือแฟนเก่าของกันและกัน คือเพื่อนในตอนนี้ หนุ่ยเองก็เคยบอกกับผมว่าไม่คิดจะกลับมาคบกับผม

“มันก็แค่เซกส์ เราทั้งคู่ก็อาจจะห่างมันมาสักพัก และเราอาจจะแค่อารมณ์เปลี่ยว แค่นั้นจริงไหม”หนุ่ยที่นั่งหันหลังให้ผม พูดออกมาเสียงเรียบ เค้าเอื้อมมือไปหยิบบางอย่างที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ที่เดิม

“ช่างมันเถอะ คิดเสียว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นแล้วกัน”ผมเหมือนเป็นใบ้ที่พูดไม่ออก ได้แต่มองหนุ่ยหยิบเสื้อผ้าใส่ลวกๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ผมมองตามจนประตูปิด ก่อนจะหันกลับมา สายตามองไปที่ตรงจุดหนุ่ยนั่งเมื่อสักครู่ ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่เค้าหยิบมาดูมันคืออะไร กรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียง ในรูปนั้นคนนึงคือผม ส่วนอีกคนคือคนที่ผมเพิ่งบอกเลิกไป




TBC

อย่าเพิ่งเบื่อความยุ่งยากวุ่นวายของเรื่องนี้กันนะคร๊าบ

อีก 7-8 ตอนกะคงจบแล้ว หลังจากจบกะว่าคงขอห่างกับแนวนี้สักพัก

ขอไปหาแนวสบายๆ บ้างแล้ว 555

ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ยังติดตามกันนะคร๊าบ ใกล้ปีใหม่แล้ว ไปเที่ยวไหนกันบ้าง

ขอให้สนุกกับวันหยุดพักผ่อนนะคร๊าบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 24-12-2016 11:25:12
ไปลุ้นคุณแว่นแล้วกัน

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 24-12-2016 12:29:07
เลิกกันแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องอยู่สถานะที่มันไม่ชัดเจน
ตี้ก็พักใจก่อนนะ เฮ้อ

แอบลุ้นตี้กับชาร์ปเหมือนกันนะนี่ 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 24-12-2016 13:02:46
ดีแล้วล่ะที่ตี้เลิกกะอรรถ แต่ก็ไม่อยากเชียร์ชาร์ป
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ammie_mn ที่ 24-12-2016 13:23:14
แหม่เลิกกะอีกคนปั้บได้ใหม่เลย ดีๆละที่ตี้ไม่มีอะไรติดค้างกะอรรถอีกต่อไป ถึงจำได้ก็ขอร้องว่าอย่ากลับมาหาตี้อีกเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-12-2016 16:15:50
กลัวแต่ว่าพอเลิกไปแล้วคั่วกับหนุ่ยแล้ว    ตี้มีคนใหม่แล้วจำได้จะกลับมาหาตี้สิเรื่องของเรื่องน่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-12-2016 18:39:14
เฮ้ออออออ.    เป็นเรื่องที่วุ่นวายดีแท้. ไม่รู้จะเชียร์ใครดี.  แต่อรรถนี้แย่มากๆเลยอะ. ทั้งที่ตอนแรกพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ตีมา.      แต่แค่จำไม่ได้กลับไม่พยายามอะไรเลย.     ถ้าวันนึงเราจำใครไม่ได้เราจะพยายามทำให้จำได้ให้ได้หรือถ้าจำไม่ได้ก็จะสร้างความจำกันใหม่
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 24-12-2016 21:09:35
ถึงจะบอกว่าจำไม่ได้แต่การที่เลิกับอีกคนไม่กี่ชั่วโมงแล้วมาล่อกับแฟนเก่าที่กลายมาเป็นเพื่อนไม่ไหวนะแบบนี้ :m16:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-12-2016 21:41:55
เลิกกันดีแล้ว
อยู่ไป อรรถก็จำไม่ได้
จำได้ขึ้นมาก็เจ็บช้ำ เพราะตี้ไม่ได้รักอรรถ
ตี้ ก็ไม่ต้องพยายามรักอรรถอีก
อรรถ หนุ่ย จะไปต่อด้วยกัน ก็ดีกับทั้งคู่
ว่าแตชาร์ป จะทำให้กลิ้งหายไปจากวงจร
หรือเป็นแค่เพื่อน คนรู้จักได้หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-12-2016 22:42:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 25-12-2016 01:03:07
ว่าแล้ว ว่าคู่นี้ต้องกลับมาสปาร์คกันอีก เสียใจกับอรรถว่ะค่ะ ดูไม่ยินดียินร้ายดีนะ บอกเลิกกันงี้เลย
ก็ขอให้มีความสุขกับทางที่เลือก เขาไม่ผิด แค่ไม่ถูกใจเรา เพราะเรา #ทีมตี้
แต่ก็ดี เราก็อยากให้ตี้เลิกเหมือนกัน อึดอัดมานานละ ปล่อยวาง แล้วหาใหม่ดีกว่า

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-12-2016 11:04:14
อ่านทันแล้ว

อรรถใจร้ายไปนะ
หรือจริงๆที่ไม่ปฏิเสธหนุ่ยแบบจริงจัง
เพราะตัวเองก็ยังตัดใจไปจากหนุ่ยไม่ได้กันล่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 26-12-2016 12:57:00
สงสารตี้อ่ะ :o12:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-12-2016 23:27:43
เพราะทั้งจิตใต้สำนึก
และจิตที่สำนึกรับรู้

จริงๆแล้ว มันยังอยู่ที่หนุ่ย
ใช่ไหม

อรรถ
เมิง-เชี้ยยยย-มาก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-12-2016 01:31:05
รออ่านตอนต่อไปคับ  อรรถ-หนุ่ย ชาร์ป-ตี้อะดีแล้ว รอดูชาร์ปตี้จะจีบกันมั้ย
   
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 23 ช่างมันเถอะ 24-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-01-2017 07:17:36
PART II บทที่ 24
ฝันดี




Sharp’s Part
“จะให้ทบทวนอีกกี่ครั้ง คำตอบเรามันก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละกลิ้ง”วันนี้ผมคงต้องจบเรื่องนี้อย่างจริงจังสักที ซึ่งจริงๆ ผมก็ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่าระหว่างผมกับเค้ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ดูเค้ายังไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่าที่จริงเข้าใจ แต่แค่ไม่อยากจะยอมรับ

“ที่ชาร์ปบอกว่ารู้สึกแย่กับเรื่องวันนั้น ไอ้การมีอะไรกับเรามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”น้ำเสียงติดจะดูประชดประชันนิดหน่อย แววตาของกลิ้งดูอ่อนลงจากปกติ จากเดิมที่ผมมักจะเห็นความมั่นใจในแววตานั้น กลับกลิ้งคนปัจจุบันนี้ ส่วนสายตาเค้าในวันนี้มันเกือบจะเหมือนกับตัวเค้าในวัยเด็ก

“คือมันไม่ใช่...”

“เราน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”ยังไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายเค้าก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน เรื่องของความสัมพันธ์นี่ทำไมมันต้องยุ่งยากขนาดนี้กันนะ ถ้าเราสั่งหัวใจตัวเองได้ก็คงจะดี อยากจะให้รักใคร เลิกรักใครก็ทำได้ง่ายๆ อย่างใจนึกอะไรแบบนั้นมันคงไม่มีใครต้องเจอกับความเสียใจ แต่มันทำไม่ได้นี่สิ ผมเองก็ไม่ได้อยากเห็นกลิ้งเค้าเสียใจ ทว่าผมก็คงทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้ ผมคงต้องให้เค้าตัดใจจากความคิดที่อยากเริ่มต้นกับผม ให้มันเด็ดขาดเสียที

“กลิ้งไม่ได้น่ารังเกียจหรอก เราแค่รู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกแย่ที่ตัวเองกลายมาเป็นแบบนี้”ผมเองก็ไม่อยากรู้สึกแบบนี้นักหรอกครับ แต่ผมเองก็คงต้องทำใจยอมรับในทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะทุกอย่างมันก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ผมเคยทำไว้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องระหว่างผมกับกลิ้งถ้าตั้งแต่ตอนเรียน ผมไม่ทำอะไรที่เกินเลยลงไปเรื่องราวในวันนี้ก็คงไม่เกิด หรือเรื่องราวระหว่างผมกับน้องปลามันก็เกิดจากอุดมคติผิดๆ ของผมเอง รวมถึงเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้ ถ้าผมรู้จักหักห้ามความต้องการตั้งแต่แรก เรื่องราวมันก็คงไม่มาถึงจุดนี้

“กลิ้งฟังเรานะ กลิ้งไม่ได้ผิด ไม่ได้แย่อะไรเลย เพียงแค่เราไม่ได้รู้สึกกับกลิ้งในแบบนั้น ต่อให้กลิ้งทำยังไงระหว่างเราสองคนมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”ผมหวังว่าครั้งนี้เค้าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกเสียที ถ้าเค้ายอมรับที่จะตัดใจจากผมได้ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นผลดีกับตัวเค้าเองนั่นแหละครับ

“ไม่ได้จริงๆ สินะ เข้าใจแล้ว เราเข้าใจแล้ว”เค้าพึมพำ พร้อมกับเดินจากผมไป ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าวันไหนเค้าจะดีขึ้น แต่ผมว่าคนเราทุกคนก็ต้องเคยจัดที่แย่กันมาแล้วทั้งนั้น และผมก็เชื่อว่าทุกคนต่างมีวิธีจัดการกับช่วงเวลานั้นของตัวเอง ผมมองแผ่นหลังของกลิ้งที่ค่อยๆ ลับตาไป

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมไอ้คาสโนว่าสี่ตา มึงนี่ดูหล่อมาก บอกเลิกคนนั้นทีคนนี้ที”ไอ้เหมาที่ยืนรอผมอยู่ห่างๆ เดินเข้ามาตบไหล่ผม หลังจากที่กลิ้งออกไปแล้ว

วันนี้ผมเดินทางมากรุงเทพฯ อีกครั้งเพราะอีกไม่กี่วันงานมงคลสมรสของไอ้เหมาและแพทกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และพอรู้ว่าผมจะเข้ามากรุงเทพฯ กลิ้งก็มาดักรอผมที่สนามบินนี่แหละครับ แต่กลิ้งมาก็ดีแล้วครับ จะได้จบเรื่องระหว่างผมกับเค้าเสียที ไอ้เหมาเดินมากอดคอผมก่อนที่เราสองคนจะเดินมุงตรงไปยังลานจอดรถ

“ไหนว่าช่วงใกล้วันแต่งงาน มึงจะไม่ขับรถแล้วนี่ทำไมยังขับมารับกูอีกละ”ผมเอ่ยแซวระหว่างทางที่จะเดินไปยังที่จอดรถ ก็เห็นไอ้เหมามันบอกนะครับว่าช่วง 7 วันอันตรายก่อนงานแต่งอะไรของมันนี่แหละครับ มันว่าทางผู้หลักผู้ใหญ่เค้าถือ ไม่อยากให้เดินทาง แต่ถ้าจำเป็นก็ห้ามขับรถเอง

“กูกะมีพนักงานขับรถกิตติมศักดิ์สิครับ”ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เพราะถ้ามันพูดแบบนี้คนที่ขับรถพามันมาไม่น่าจะใช่ใครอื่น แต่มันบอกกับผมเองนี่ว่าให้ผมรีบมาก่อนวันงานแต่งของมันหลายวันหน่อย จะได้มาช่วยมันเตรียมงานด้วย เนื่องจากว่าตี้เองลางานหลายวันมาช่วยมันไม่ได้

“แหม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่รู้แล้วเหรอว่ากูหมายถึงใคร”ไอ้เหมาผลักด้วยความหมั่นไส้ จนผมเกือบจะหน้าคะมำ ถึงมันไม่บอกผมก็มองเห็นแล้วละครับว่ารถใครที่จอดรอพวกผมอยู่ ผมรีบเดินมุ่งตรงไปหารถโดยไม่สนใจไอ้เหมาที่ตามหลังมา นี่ก็เดือนกว่าแล้วที่ผมไม่ได้เจอเค้า แล้วนี่เค้าเองก็เพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

ผมเก็บกระเป๋า แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ส่วนไอ้เหมานั่งที่ข้างคนขับ ผมกับปาร์ตี้เอ่ยทักทายกันนิดหน่อย ดูๆ แล้วแม้เค้าจะยังยิ้มแย้ม แต่ผมว่ามันยังเป็นยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้าอยู่มากทีเดียว มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเค้าเท่าไหร่กับการที่ต้องมาเจอสถาณการณ์อย่างในตอนนี้ ตั้งแต่อยู่ๆ แฟนที่คบกันมาเป็นปีดันจำเค้าไม่ได้ แถมตามมาด้วยการต้องเลิกราทั้งๆ ที่เค้าก็ยังรักกันอยู่

“แผนวันนี้มีไรบ้างไอ้เหมา”จริงๆ ก็พอจะรู้คร่าวๆ มาแล้วบ้างละครับเพียงอยากถามเพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป

“เดี๋ยวต้องไปเอาชุดของพวกมึงสองคน ไปรับของชำร่วย เสร็จแล้วก็มุ่งตรงสู่ระยองฮิได้เลย”นี่มันไม่เหมือนที่บอกกับผมไว้ในตอนแรกนี่นา จากเดิมเหมือนเราจะต้องปาร์ตี้สละโสดให้ไอ้เหมามันก่อน แล้วเย็นๆ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางไประยองกันนี่นา

“นั่นคือเหตุผลที่ไอ้ตี้มัน ลางานมาตั้งแต่วันนี้ มึงสองคนต้องปาร์ตี้สละโสดกับกูที่ระยอง แต่งานนี้จะมีเพื่อนๆ สมัยเรียนมาด้วยอีกนิดหน่อยนะ ไม่กี่คนหรอก เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่าง จะไปแค่วันงานกัน”ไอ้เหมาอธิบายต่อ เมื่อเห็นว่าผมมีแววตาสงสัย ผมลอบมองปาร์ตี้เป็นระยะๆ สังเกตได้ว่าวันนี้เค้าไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่ ซึ่งทั้งผมและไอ้เหมาก็พยายามชวนคุยอย่างรู้กัน เพื่อให้บรรยากาศดูครึกครื้นขี้น พวกเราพากันตระเวนกันไปตามแพลนที่ไอ้เหมาวางไว้จนเสร็จเรียบร้อย

จากนั้นก็มุ่งตรงสู่จังหวัดระยอง เราถึงกันช่วงบ่ายคล้อยแล้ว พวกเราแวะไปบ้านแพทกันก่อน เพราะชุดของน้องแมทที่ต้องใส่ในวันงานด้วย เป็นไอ้เหมานี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ แต่งปุ๊บลูกก็โตปั๊บเลย จริงๆ ที่แรกแพทเองบอกว่าแค่มาผูกข้อไม้ข้อมือก็พอ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก เพราะแพทเองก็เหมือนแม่ม่ายลูกติด แต่ไอ้เหมาว่า ก็จัดกลางๆ แล้วกันเชิญเพื่อนๆ ญาติที่สนิทกันมา ให้ดูเป็นทางการสักนิดนึง

“อย่าดื่มกันให้มากนักละ”แพทย้ำกับพวกผม หลังจากพูดคุยกันสักพักพวกผมก็เตรียมไปเช็คอินที่โรงแรม คืนนี้เห็นว่าปาร์ตี้เป็นคนจองร้านสำหรับงานสละโสดให้ไอ้เหมาเอาไว้ จากที่ไอ้เหมาบอกก็จะมีเพื่อนๆ สมัยเรียนของผมกับไอ้เหมามาสมทบด้วยอีก 4 คน นั่นหมายความว่าห้องพักที่เปิดไว้ตอนนี้ จะมี 3 ห้อง 4 คนนั้นก็อยู่ไปห้องละ 2 คน ส่วนพวกผม 3 คนนอนห้องเดียวกัน

“กูขอนอนคนเดียวเตียงนี้ละกัน ส่วน 2 คนก็เตียงใหญ่ไปละกัน”ทันทีที่ถึงห้องโรงแรมและเห็นว่าห้องสำหรับ 3 คนมันไม่ใช่แยกกันคนละเตียงอย่างที่ไอ้เหมาบอกไว้แต่แรก มันกลายเป็นเตียงใหญ่ 1 เตียงสำหรับ 2 คน และ เล็ก 1 เตียง ผมหันมองไอ้เหมาอย่างจับผิดเพราะไม่รู้ว่ามันแอบคิดอะไรหรือเปล่า หรือเป็นผมที่คิดมากไปเอง

“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้น ถ้าจะคิดว่ากูวางแผน แผนกูมันต้องดีกว่านี้”ไอ้เหมาหันมาพูดกับผมหลังจากที่ตี้เดินเข้าน้ำไป พอไอ้เหมาว่ามาแบบนี้ นี่ผมชักหวั่นๆ นะครับว่าวันนี้มันจะแกล้งเล่นอะไร พิเรนทร์หรือเปล่า สงสัยคงต้องเตรียมตั้งรับไว้หน่อยแล้วละครับ

เราทั้งสามต่างอาบน้ำทำธุระส่วนตัว เสร็จเรียบร้อย ส่วนเพื่อนๆ อีก 4 คนก็มาเช็คอินเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลานัดพวกเราทั้ง 7 คนก็ออกจากโรงแรมมุ่งตรงไปยังร้านที่จองเอาไว้

“วันนี้ไม่เมาเหมือนหมาอย่าเรียกกูว่าไอ้เหมา”เจ้าของงานวันนี้บอกอย่างอารมณ์ดี แต่เท่าที่จำได้มันเพิ่งรับปากกับว่าที่ภรรยาว่าจะไม่ดื่มหนักนะครับ แต่ยกให้มันวันนึงแล้วกันครับ ผมหันไปมองปาร์ตี้ที่เป็นคนเดียวที่จะไม่ได้สนิทกับคนอื่นๆ นอกจากผมและไอ้เหมา ทว่ามันก็ดูไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเค้าสักเท่าไหร่หรอกครับ เค้าเองเป็นคนที่อัธยาศัยดีอยู่แล้ว อีกอย่างปาร์ตี้เองก็เคยเจอพวกที่เหลือแล้วครั้งนึงครับ ก็ตอนที่จะจัดสละโสดให้ผมครั้งที่ผมเกือบได้แต่งงานนั่นแหละครับ

“ไอ้แว่นมึงจะซึมทำไมว่ะ นึกถึงงานล่มของตัวเองหรือไงวะ”เสียงเอ่ยแซวผมดังขึ้นซึ่งก็เรียกความครื้นเครงกับทุกคนได้ไม่น้อยครับ ผมก็ไม่ได้ถือสาเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ใครจะล้อก็ล้อไปครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ผมยกแก้วขึ้นดื่มตามคนอื่นๆ อาหารเครื่องดื่มต่างถูกทยอยส่งเข้ามาในห้อง วีไอพีที่เราจองไว้ เสียงเพลงที่ฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง ถูกขับขานโดยบรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวที่เริ่มเมากันแล้ว ส่วนไอ้ว่าที่เจ้าบ่าว อย่าต้องให้พูดครับ ผมว่าอีกสักพักคงได้เก็บศพมันแน่ๆ

“ไปไหน”ผมคว้าข้อมือคนที่นั่งข้างๆ วันนี้ผมกับเค้าไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ ที้งที่นั่งอยู่ติดกัน เค้าชูบุหรี่กับไฟแช็คให้ผมดูแทนคำตอบ ที่ผมเอ่ยถาม ผมค่อยๆ คลายมือออกพยักหน้า ปล่อยเค้าลุกออกไป ผมมองเค้าเดินออกไปอย่างตัดสินใจบางอย่าง ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนว่าขอตัวไปสูบบุหรี่

“นึกว่าตี้เลิกสูบไปนานแล้ว”ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆ เค้าและถือวิสาสะหยิบซองบุหรี่มาจากมือเค้า จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วแหละครับว่าเค้าเป็นคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ประจำ แค่สูบเป็นครั้งคราว เวลาเหนื่อย เครียดหรือมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ที่ผมทักออกไปแบบนั้น เพราะไม่รู้จะเริ่มคุยกับเค้ายังไงนั่นแหละครับ ระหว่างเราผมว่ามันยังมีกำแพงบางๆ อยู่นั่นแหละครับ จากความสัมพันธ์แปลกๆ ของเราในอดีต จะให้เค้ามองผมเป็นเพื่อนอย่างสนิทใจมันก็คงยาก ส่วนผมเองไม่ต้องพูดถึง ผมไม่ได้มองเค้าในแบบเพื่อนมานานแล้ว

“ก็ไม่เคยติด จะให้เลิกยังไง”เค้าบอกยิ้มๆ ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำตอบของเค้า ผมจ้องมองหน้าของเค้าพยายามประเมินดูว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเค้าเป็นยังไง พอมองใบหน้าของเค้านานๆ มันกลับกลายเป็นว่าผมละสายตาจากเค้าไม่ได้เสียอย่างนั้น ใบหน้าเรียวได้รูปที่ผมเคยสัมผัส ดวงตาคู่นั้นที่ผมเคยได้เห็นความเร่าร้อน ซอกคอที่ผมเคยฝากรอยเขี้ยวเอาไว้ ให้ตายสิผมอยากจูบเค้า เหมือนขาของผมมันจะขยับไปเองโดยอัตโนมัติ เค้าเองก็ก็หันมามองผม สายตาของเราประสานกันอยู่ครู่นึง แล้วเค้าเองที่เป็นฝ่ายหลบตา และขยับออกห่างจากผม

“ยังไม่ค่อยโอเคเหรอ”ผมรีบดึงสติตัวเองกลับมา ถามเค้าออกไปด้วยความเป็นห่วง ความเป็นห่วงที่พยายามให้มันเป็นแค่การห่วงเพื่อนคนนึง เค้ายังคงหันมองไปทางอื่น

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน”ดูเป็นคำตอบที่ค่อนข้างกำกวมไม่น้อย

“ไอ้แว่น อยู่นี่เอง กูว่ามึงรีบไปพาไอ้เหมามันกลับจะดีกว่า ดูท่าเริ่มจะไม่ไหวแล้ว”เพื่อนผมออกมาตามด้วยความตกใจ ผมกับตี้หันมองหน้ากันก่อนจะรีบกลับไป ทันทีที่เห็นสภาพก็ไม่รู้จะเรียกอะไรดีครับ ไอ้เหมาบอกไม่ไหวแล้วจะนอนท่าเดียว แต่ไอ้การจะนอนมันนี่คือการพยายามมุดใต้พรมที่ปูอยู่ นี่สินะที่มันบอกจะเมาเหมือนหมา ดูจากปริมาณเครื่องดื่มที่หมดไป และดูสภาพคนอื่นๆ ผมว่ามันคงดื่มคนเดียวมั้งครับถึงได้เมาขนาดนี้

“ตี้ไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วกัน แล้วเราสองคนค่อยมาหารครึ่งตามที่ตกลง”ผมหันไปบอกตี้ เพราะคิดว่าผมเป็นคนลากไอ้เหมาไปดูจะเหมาะกว่า แล้วไอ้นี่ขนาดเมาแต่แรงยังเยอะเหลือเกิน กว่าเพื่อนๆ จะช่วยลากมาขึ้นรถได้เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ

“กูยังม่ายมาว ปล่อยกู”ผมผลักมันอีกครั้งให้เข้ารถไป นี่ไม่บ่อยนักนะครับที่มันจะเป็นสภาพแบบนี้ หรือนี่มันกะส่งท้ายให้เต็มที่แล้วจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกหรือเปล่า

“ถ้าเอามันไปเก็บแล้ว อยากกลับมาต่อก็ได้นะ ฝากชวนตี้ด้วย รอบหลังนี่เดี๋ยวพวกกูรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง”พวกเพื่อนๆ สงสัยจะยังไม่เต็มที่กันสักเท่าไหร่สินะ แต่ผมคงไม่กลับมาต่อแล้วละครับ ผมรอไม่นานนักปาร์ตี้ก็ตามมา เรามุงตรงกลับโรงแรมทันที กว่าจะช่วยกันลากไอ้เหมาถึงหน้าห้องได้นี่แทบหมดพลังงานกันเลย ไอ้บ้านี่ก็กินอะไรเข้าไปถึงได้เมาขนาดนี้

“ปล่อยกู กูไม่เมา”ไม่เมาอะไรละ นี่ผมกับปาร์ตี้ทั้งแบกทั้งลากขึ้นมา พอเปิดประตูห้องได้ไอ้เหมาก็วิ่งไปกระโดดใส่เตียงเลยครับ แต่เตียงที่มันโดดใส่นั่นมันเตียงของปาร์ตี้นี่สิครับ

“กูจะนอนตรงนี้อย่ามายุ่ง ถ้ามึงพวกมึงสะกิดตัวกูอีกที อ๊วกกูพุ่งแน่ๆ เพราะงั้นปล่อยกูนอนตรงนี้”ไอ้เหมาที่นอนคว่ำหน้าอยู่พูดอู้อี้โดยไม่สนใจ ที่พวกผมสองคนจะย้ายมันมานอนอีกเตียง อีกเตียงที่ผมกับปาร์ตี้มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของกันและกันกับเตียงที่ยังว่างอยู่

“เอาไงละทีนี้”ตอนนี้ความลำบากใจในการต้องนอนร่วมเตียง ทั้งของผมและปาร์ตี้ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่ แค่ของปาร์ตี้จะแสดงออกมาให้สังเกตได้ชัดมากกว่าผม

“ก็...”

“ตี้ลำบากใจที่จะนอนเตียงเดียวกับเราเหรอ”ไม่รู้ทำไมยิ่งพอเค้าแสดงออกมาว่าลำบากใจเพิ่มขึ้น มันกลับค่อยๆ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและเริ่มสนุกที่อยากจะแกล้งเค้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“มันก็ไม่...”และเหมือนจะได้ผลเสียด้วยสิครับ

“กลัวเราหรือไง”ผมแกล้งบอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เค้า ใกล้เข้าเรื่อยๆ จนเค้าต้องนั่งลงที่เตียง ผมยังคงยืนจ้องมองและรอคำตอบของเค้า ด้วยความสนุกที่ยิ่งเพิ่มขึ้นไป

“ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”นั่นนะสิ อันที่จริงมันไม่ได้มีอะไรให้กลัวเลย ไอ้เหมาก็อยู่ในห้องด้วยทั้งคน ถึงมันจะเมาก็เถอะ แต่ผมจะไปกล้าทำอะไรเค้าที่ไหนกันเล่า ก็แค่อยากแกล้งเค้าเล่นแค่นั้นเอง ก็มีแต่ตัวเค้านั่นแหละที่ปากบอกไม่กลัว แต่สีหน้าแววตานั่นบอกออกมาชัดเชียวว่ากำลังเป็นกังวลอยู่

“งั้นก็อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา นอน”ผมก้มหน้าลงไปใกล้ๆ เค้าก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ใกล้ตัวเค้าเพื่อเตรียมจะอาบน้ำ แต่เค้ากลับบอกว่าขอเค้าอาบก่อน ผมก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไร ผมถือโอกาสสูบบุหรี่ระหว่างที่เค้าอาบน้ำ  ไม่นานก็เป็นทีของผมที่ต้องอาบน้ำ ส่วนเค้าก็เดินตัวหอมขึ้นเตียงรอผมแล้ว เอ้ย มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แค่เราต้องนอนเตียงเดียวกันเฉยๆ

“หลับยัง”หลังจากอาบน้ำออกมา ก็พบว่าเค้านอนชิดจนจะตกขอบเตียงอีกด้าน ปล่อยพื้นที่ว่างไว้เสียจนเหมือนผมนอนคนเดียว เค้าทำยังกับว่าไม่เคยนอนเตียงเดียวกับผมอย่างนั้นแหละ ภาพวันเก่าๆ มันผุดขึ้นมาในหัวของผม ทั้งเตียงนอนในบ้านของเค้า และบ้านของผม ซึ่งเรียกรอยยิ้มให้กับตัวผมเอง แต่ก็เพียงไม่นานเพราะสถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว

“ขยับมาอีกก็ได้ นอนชิดขนาดนั้นเดี๋ยวก็ตกเตียงหรอก ไหนบอกไม่กลัวเราทำไมต้องนไปอนเสียห่างขนาดนั้น”ผมแกล้งแซวเค้าอีกรอบ ดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เค้าขยับเข้ามาอีกนิดหน่อยแต่เพื่อนที่ว่างสำหรับผมก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี ผมล้มตัวลงนอนแผ่กางแขนกางขา กะให้เค้าเห็นว่าที่มันยังเหลือเยอะขนาดไหน

“ก็เผื่อชาร์ปนอนดิ้นไง”เค้าตอบเหมือนตัดบทให้จบๆ ไป

“ตี้ก็รู้นิว่าเราไม่ใช่คนนอนดิ้น”ก็ไม่รู้อะไรทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันต้องทำให้เราทั้งคู่คิดถึงเรื่องเมื่อก่อน ผมพลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าหาเค้า เค้าเองก็หันมามองผม ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น ไฟจากหัวเตียงที่ยังไม่ปิดทำให้ผมเห็นทุกอากัปกิริยาของเค้า คำพูดของผมทำให้เค้าไม่พูดอะไรอีกเลย

ผมอยากจะโทษแอลกอฮอล์แล้วทำอะไรที่ขาดสตินะครับ แต่วันนี้ผมดันไม่เมาเลยนี่สิ ตัวเค้าเองก็เหมือนกัน เรียกได้ว่าตอนนี้เรายังมัสติด้วยกันทั้งคู่ แต่เอาวะตีมึนสักนิดจะเป็นไรไป ผมขยับตัวตั้งท่าเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวเค้าให้เข้ามาในอ้อมกอด

“ทำอะไรเนี่ย”เค้าดูตกใจแต่ก็ยังพูดด้วยเสียงกระซิบ และแม้จะพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของผม เค้าก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่ดี ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าทำไมผมทำแบบนี้ บางทีคนเราก็ทำอะไรโดยไม่ได้สนใจเหตุผลหรือความเหมาะสมอยู่แล้วนิ

“ก็ที่เหลือตั้งเยอะจะไปนอนขอบเตียงทำไม นอนเถอะน่าไอ้เหมาก็อยู่เราไม่ทำอะไรหรอก”เมื่อเห็นว่าสู้แรงผมไม่ได้เค้าก็ค่อยๆ คลายการเกร็งตัว แต่ก็นานเหมือนกันกว่าที่เค้าจะหายใจสม่ำเสมอ ส่งสัญญาณให้รู้ว่าเค้าหลับไปแล้ว ผมคลายอ้อมกอดเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียง ก่อนจะหันกลับมากดริมฝีปากลงที่หน้าผากของเค้า

“ฝันดีนะ”





TBC

หายไปหลายวันเลย

เพิ่งฟื้นจากการฉลองปีใหม่ ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังทุกคนด้วยนะคร๊าบบบ

ปีใหม่ก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต สุขสมหวังไปทั้งปีเลย o13

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจเช่นเดิมนะคร๊าบงบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-01-2017 10:52:47
ใจจริง อยากให้อรรถจำตี้ได้ตอนที่ตี้ยังไม่มีใคร
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตี้รออรรถ
อยากให้อรรถรู้สึกบ้าง
ว่าทำอะไรกับตี้ไว้บ้าง
ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ
ตี้ก็คงได้ดำเนินชีวิตแบบสุขๆสักที
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-01-2017 12:27:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2017 14:07:59
ใจจริง อยากให้อรรถจำตี้ได้ตอนที่ตี้ยังไม่มีใคร
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตี้รออรรถ
อยากให้อรรถรู้สึกบ้าง
ว่าทำอะไรกับตี้ไว้บ้าง
ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ
ตี้ก็คงได้ดำเนินชีวิตแบบสุขๆสักที
จริงๆ ตี้ ยอมอรรถแล้ว อรรถเองก็รับได้ตั้งแต่แรก
แล้วอรรถมาสติแตกเอง
ถ้าอรรถจำได้จะเป็นอย่างไรนะ
เพราะไปยุ่งกับแฟนเก่าอีกซะด้วย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-01-2017 14:18:38
ถ้าเกิดลม พัดหวน ทวนมาหา
อยากรู้ว่า มันจะร้อน ก่อนเย็นไหม
หรือว่ายัง จะพัดหมุน ให้วุ่นไป
มันมาใกล้ หรือยังไกล ใจบอกที

ลุ้นนะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-01-2017 15:02:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-01-2017 15:18:56
  ชอบฉากลากตี้มากอดอ่ะ ตรงใจผมมากๆ ชอบเลย  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-01-2017 23:30:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 10-01-2017 00:16:14
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-01-2017 23:09:40
เชียร์คู่นี้สุดใจ ชาร์ปดูกล้าทำตรงกับที่คิดมากขึ้น ซึ่งดี

ขอบคุณต่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-01-2017 00:42:07
เห้อออ!! เห็นละเหนื่อยใจแทน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: [อินทรีขาหัก] ที่ 11-01-2017 00:48:04
--- “กลิ้งฟังเรานะ กลิ้งไม่ได้ผิด ไม่ได้แย่อะไรเลย เพียงแค่เราไม่ได้รู้สึกกับกลิ้งในแบบนั้น ต่อให้กลิ้งทำยังไงระหว่างเราสองคนมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”---
ประโยคนี้โหดร้ายมาก :mew6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 11-01-2017 10:29:39
ยาวไปๆๆ

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 23-01-2017 07:57:03
คิดถึงเรื่องนี้อ่ะ
มาต่อเถอะนะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 24 ฝันดี 08-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-01-2017 08:15:56
PART II บทที่ 25
เวลาคือคำตอบ



Aut's Part


“เพราะเรื่องคืนนั้นเหรอ”ผมค่อนข้างแน่ใจว่าสาเหตุที่หนุ่ยย้ายออกมันคงมาจากคืนนั้นที่เรามีอะไรกัน แม้เค้าจะยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ และเก็บของต่อไปเงียบๆ ผมเองก็ยังคงยืนพิงประตูดูเค้าเก็บของ ซึ่งดูเหมือนเป็นการโกยทุกอย่างลงกระเป๋า ยัดๆ เข้าไปอย่างเร่งรีบ ใจนึงผมก็อยากรั้งให้เค้าอยู่ต่อไปเหมือนเดิม แต่จากที่ผมเอ่ยปากแล้ว และเค้ายังคงยืนยันจะย้ายออก แล้วผมแองก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมารั้งเค้า เราสองคนเลิกกันแล้ว เลิกกันตั้งนานแล้วด้วยจุดนั้นผมรู้ดี ก็แค่ผมจำไม่ได้แค่นั้นเองถึงตอนที่เราเลิกกัน แถมด้วยการจำอีกคนไม่ได้ว่าผมไปรักอีกคนได้ยังไง

“บอกแล้วไง ว่าแค่ถึงเวลาต้องกลับไปอยู่บ้านแล้ว”นี่ยิ่งฟังดูไม่ใช่เหตุผลของหนุ่ยเลยสักนิด จริงอยู่ว่าเค้าอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายแบบหนักๆ กับที่บ้าน แต่หนุ่ยเองก็ทนชีวิตที่ต้องเดินตามกรอบไม่ค่อยได้อยู่แล้ว

‘ตอนนี้ในเวลางาน ขอคุยแค่เรื่องงานแล้วกันนะครับ’อยู่ๆภาพที่ผมกำลังคุยกับปาร์ตี้คุยกันก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมและดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องราวก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุเสียด้วย

‘5 คนครับ’ ‘ก็คำตอบไงครับว่าผมมีแฟนมาแล้วกี่คน’คำพูดที่ดูไม่ปะติดปะต่อกันสักเท่าไหร่เริ่มผุดเข้ามาจนผมเริ่มรู้สึกมึนๆ แล้วจากนั้นอาการปวดก็แล่นเข้ามา ผมยกมือขึ้นกุมศีรษะพร้อมกับลุกขึ้นยืนทั้งที่คิดว่าตัวเองคงยืนไม่ตรงแน่ๆ

“อรรถ อรรถเป็นอะไร”หนุ่ยเรียกผมด้วยความตกใจ

“ปวด...หัว”ผมบอกออกไปติดๆ ขัดๆ หนุ่ยรีบเข้ามาพยุงผมและจับให้ผมนั่งลงกับที่ ไม่นานนักอาการผมก็ทุเลาลง ผมพยายามคิดถึงสิ่งที่กลับเข้าในหัวผม มันเหมือนจะเป็นเรื่องราว แต่เรื่องราวที่เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อยังไม่เสร็จ มันเหมือนขาดหายไปเป็นช่วงๆ ราวกับว่ามีเรื่องราวแต่ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกในเรื่องราวนั้น

ผมถูกหนุ่ยบังคับให้มาโรงพยาบาลหลังจากที่พักได้ครู่นึง พอถึงโรงพยาบาลผมถูกจับเข้าสแกน เอกซเรย์ แถมท้ายด้วยการที่ถูกจับแอดมิดเป็นคนไข้ไปเรียบร้อยครับ

“เห็นไหม บอกแล้วให้มาหาหมอก็ไม่เชื่อ”คนที่พาผมมาเริ่มบ่น

“นี่ความทรงจำเราจะกลับมาจริงๆ เหรอ”ผมตอบเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แม้ตอนนี้ผมจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่หมอก็บอกว่าอาการที่ผมเพิ่งเป็นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานผมอาจจะจำทุกอย่างได้ แต่คำว่าอีกไม่นานนั่นก็ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่จะจำได้”เสียงของหนุ่ยดูไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่บอกกับผมสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกันกับตัวผมเอง ผมไม่รู้ว่าถ้าจำได้ขึ้นมาจริงๆ ผมจะมีความสุขหรือเปล่า

“เราต้องนอนโรงพยาบาลอย่างนี้ หนุ่ยอย่าเพิ่งย้ายออกไปได้ไหม”มันดูเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่ผมจะรั้งเค้าไว้ และหนุ่ยเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมว่าหลังออกจากโรงพยาบาลผมก็คงยังรั้งเค้าให้อยู่ต่อด้วยอาการของผมที่เป็นอยู่ตอนนี้

หนุ่ยขอกลับไปเตรียมอุปกรณ์ เพื่อมานอนเฝ้าผม ซึ่งอาจจะต้องค้าง 2-3 คืน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรแจ้งที่ทำงานว่าผมต้องลางาน ก็ย้ำไปว่าไม่ต้องแห่กันมาเยี่ยมเพราะผมไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังวางสายเสร็จผมก็เลื่อนหารายชื่อของใครคนนึง เสียงเพลงรอสายดังอยู่พักนึงก่อนที่เค้าจะกดรับสาย

“ฮัล...โหล”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว เพราะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมโทรหาเค้าเพราะอะไร

“หวัดดี มีอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงที่ตอบกลับมา เป็นเสียงที่ยากจะคาดเดาว่าเค้ารู้สึกยังไง

“คือ...โอ้ย”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไป เพราะอยู่ๆ ความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง โทรศัพท์ในมือผมร่วงลงข้างลำตัวแล้ว ผมไม่ได้สนใจจะเอื้อมไปหยิบแต่อย่างใด ตอนนี้มือผมกำลังพยายามควานหาปุ่มกดเรียกพยาบาล พอเจอผมก็กดค้างก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ผมงอตัวเข้าหวังเพียงว่าจะช่วยทุเลาอาการปวดลงไปได้บ้าง

ทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด หลังมีพยาบาลเข้ามาหาผมในทีแรก จากนั้นอีกหลายก็หลายคนก็กรูเข้ามาที่ผม ผมเริ่มจะหูอื้อ ตาลาย มันเหมือนทุกอย่างเบลอไปหมด จนผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก จนในที่สุดสติผมก็ขาดหายไป




‘ร้านปิดแล้วทำไมยังไม่กลับ’
‘รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม’

เสียงหัวเราะที่ประสานกันดังก้องอยู่ในหัวผม เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข ของคนสองคน คนสองคนที่ต่างยิ้ม หัวเราะให้กัน ทั้งดูช่างดูมีความสุข มีความสุขจริงๆ สินะ ครั้งนึงเราเคยมีความสุขด้วยกัน ผมจำได้ ผมจำได้แล้ว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก

“อรรถ อรรถฟื้นแล้ว เดี๋ยวเราตามหมอก่อนนะ”หนุ่ยคือคนที่บอกกับผม ไม่นานนักคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาผมก็เข้ามาดูอาการและซักถามผม ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลับไปถึง 2 วันเต็มๆ แต่เรื่องอื่นๆ ผมแทบไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่หมอพูดเลย มีเพียงนิดเดียวที่มันดึงดูดความสนใจของผม นั่นคือคำพูดของหมอที่บอกว่าสมองคนเรามันช่างน่าอัศจรรย์ และซับซ้อนจนคาดไม่ถึง

ใช่แล้วมันอัศจรรย์เกินไปจนผมอยากให้ความทรงจำของตัวเองหายไปอีกครั้ง นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ อะไรลงไปบ้างเนี่ย ผมบอกเลิกปาร์ตี้คนที่ผมรักสุดหัวใจ แต่กลับผลักไสเค้าอย่างไม่ใยดี หนำซ้ำผมยังมีความสัมพันธ์กับกนุ่ยอีกด้วย จะโทษความเมาอย่างเดียวก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ ความรู้สึกผิด สับสน มันตีกันในหัวของผมเต็มไปหมด

กับปาร์ตี้แม้ผมจะยังคลางแคลงใจ เรื่องระหว่างเค้ากับคุณแว่น แต่ผมก็ควรให้เค้าได้ตัดสินใจด้วยตัวของเค้าเอง ต่อให้เค้าจะเลือกผมเพราะผมรักเค้า มันก็คือผมเองนี่นาที่ยอมรับในเรื่องนั้นตั้งแต่ต้น แล้วสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อเค้าในช่วงที่ผมจำเค้าไม่ได้นี่มันถูกต้องแล้วเหรอ ส่วนเรื่องระหว่างผมกับหนุ่ยละ นี่ผมทำอะไรลงไป

“ขอโทษ”นั่นคือคำแรกที่ผมพูดกับหนุ่ย ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงผมกับเค้าแค่สองคน หนุ่ยยิ้มจางๆ ให้ผม ยิ่งเห็นอาการของเค้ามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมว่าผมเห็นความผิดหวังในแววตานั้น

“เดี๋ยวคุณตี้กำลังมานะ ที่จริงเค้ามาแล้วรอบนึงแหละแต่อรรถยังไม่ฟื้น เห็นว่าเค้าเพิ่งกลับจากงานแต่งเพื่อน เราเลยให้ไปพักผ่อนก่อน”ถ้าความทรงจำของผมกลับมาแล้วมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้ ผมขอเลือกไม่สูญเสียความทรงจำตั้งแต่แรกมันคงจะดีกว่านี้

“อย่าเพิ่งไป...ได้ไหม อย่าเพิ่งย้ายออกเลย”ผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงบอกออกไปแบบนั้น

“เฮ้ย เราได้กันครั้งเดียว มันไม่ได้แปลว่าจะต้องกลับมาคบกันนะ ในเมื่อตอนนี้อรรถจำทุกอย่างได้แล้ว อรรถก็ควรกลับไปมีความสุขกับแฟนสิ”ทำไมกันนะ ทำไมเรื่องราวมันถึงกลายมาเป็นยุ่งยากขนาดนี้ ความรู้สึกผมตอนนี้ผมรู้ว่าผมเคยรักปาร์ตี้ขนาดไหน แต่ความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้นกับหนุ่ย ระหว่างที่ผมจำปาร์ตี้ไม่ได้ มันก็ไม่ได้หายไป

“ขอร้อง อย่าเพิ่งไปไหน”ผมขอร้องออกไปจนเค้าเองก็แปลกใจกับท่าทีของผม สีหน้าเค้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด หนุ่ยถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะหันมองออกไปทางอื่นไม่ได้สบตาผมอีก

“เพื่ออะไรเหรออรรถ”เค้าพูดออกมาเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ สักเท่าไหร่ เค้าเองเหมือนอยากให้เรื่องระหว่างผมกับเค้าจบไปเสียที แต่ผมกลับรู้สึกว่า การกระทำเค้าสื่อออกมาแบบนั้นก็จริง แต่ในใจเค้าผมว่ามันยังขัดแย้งกันอยู่ ต่อให้เค้าปกปิดไว้คนที่เคยคบกันมานานอย่างผม มันก็พอจะจับสังเกตได้อยู่แล้ว

“ขอเวลาอีกสักหน่อยนะ”จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะครับ แต่ผมก็ยังไม่พร้อมตัดสินใจจริงๆ ว่าตอนนี้ผมควรทำยังไงต่อ หรือเลือกใคร ใครกันแน่ที่ผมต้องการจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงไม่ยากที่ผมจะตัดสินใจ หนุ่ยเริ่มมีความลังเลกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป

“มันไม่ได้มีความจำเป็นอะ...”

“อะไรเลย”เสียงของหนุ่ยขาดช่วงไปเพราะใครอีกคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว หนุ่ยเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่อยู่ๆ ปาร์ตี้ก็พุ่งพรวดเข้ามาแบบนี้ ผมเพียงหันมองเค้าแวบนึงก่อนจะหันมองอีกคนที่ผมยังคุยด้วยไม่จบ ทำไมกันนะ ทำไมเรื่องราวมันถึงต้องเดินมาเจอจุดแบบนี้

“อรรถเป็นไงบ้าง”เค้าตรงเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกผิดแล่นเข้าหาผมแทบจะทันที ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนผลักไสเค้าไปแต่ดูเค้าไม่ได้ถือโทษโกรธผมเลยสักนิด แล้วนี่ถ้าเค้าได้รับรู้ในสิ่งที่ผมได้ทำลับหลังเค้า เค้าจะยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมหรือเปล่า

“งั้นเดี๋ยวขอตัว ไปข้างนอกก่อนแล้วกันนะ คุยกันตามสบายเลย”ผมมองแผ่นหลังของหนุ่ยที่เดินออกไปโดยไม่แม้จะหันมามองผมสักนิด นี่ผมกลายเป็นคนโลเลไปแล้วหรือนี่ ทั้งหนุ่ยที่เพิ่งเดินออกไป แล้วก็คนที่ยืนตรงหน้าผมนี่อีก แต่มันไม่ใช่แค่ผมหรอกครับที่ต้องตัดสินใจเลือก

“อรรถจำเราได้แล้วใช่ไหม”เค้าเอ่ยถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมเพียงพยักหน้ารับและยิ้มตอบเค้าจางๆ เค้าเข้ามายืนข้างเตียงและกุมมือของผมไว้ ผมสบตาเค้าอย่างตัดสินใจ

“คือ”เค้ายังคงจ้องมองที่ผมรอฟังว่าผมจะพูดอะไรกับเค้า มันค่อนข้างลำบากใจมากๆ สำหรับผมกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกไป ทั้งเรื่องที่ผมยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของเค้าที่มีต่อผม แต่มันคงไม่น่าหนักใจเท่าความรู้สึกผิดที่ผมมีต่อเค้าในตอนนี้

“เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”ผมหลบตาเค้าหันมองไปทางอื่น ยอมรับว่าผมขี้ขลาด ขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกให้เค้าได้รับรู้ มันเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราทำความผิดแล้วไม่กล้าสารภาพกับผู้ใหญ่ เพราะกลัวจะถูกทำโทษ แต่โทษตอนนี้มันคงรุนแรงกว่าตอนเด็กเยอะ

“อย่าเพิ่งเลย”เค้ามีแววตาไม่เข้าใจตาใสของเค้าเริ่มมีน้ำเอ่อขึ้นมานิดหน่อย ขอโทษ ผมเพียงคิดอยู่ในใจ ผมมันโง่เองนั่นแหละที่มัวแต่คิดไม่มั่นใจในตัวเค้า ทั้งที่เค้าเลือกผมแล้ว แล้วนี่เค้าจะเจ็บแค่ไหนที่โดนผมลืม แถมพอจำได้ผมก็ก่อปัญหาเอาไว้จนยากที่จะแก้ไขแบบนี้

“ทำไมละ”เค้าถามกลับมาเสียงแผ่ว

“อรรถว่า เราคงต้องเปิดอกคุยกัน”ผมบอกออกไปอย่างจริงจัง มันถึงเวลาแล้วแหละ ที่ทั้งผมและเค้าจะได้พูดอะไรให้มันตรงไปตรงมาเสียที ผมอาจจะดูเลวที่ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องอะไรก่อน แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วเค้าจะโกรธ จะเกลียดผม มันก็คงผิดที่ผมเองนี่แหละที่ตัดสินใจทำแบบนี้ เราสองคนหันกลับมามองหน้ากันนิ่งๆ

“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”เค้าดูกังวลเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

“ตี้เลือกอรรถไม่ใช่เพราะตี้รักอรรถ แต่เพราะตี้เลือกจะอยู่กับคนที่รักตี้ ไม่ใช่คนที่ตี้รัก”เค้าตกใจที่ผมหยิบประเด็นนี้มาพูด แต่เค้าคงพอรู้แหละว่าผม รับรู้เรื่องนี้แล้วเพราะเค้าเป็นคนบอกกับผมเองในเรื่องนี้ ที่ยกมาพูดตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมจะโทษให้เค้าเป็นคนผิด เพียงแต่ผมอยากให้เค้าคิดดีๆ ว่าแท้จริงแล้วเค้าตัดสินใจถูกหรือผิดที่เลือกผม เค้ามีความสุขหรือเปล่าที่อยู่กับผม แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายทุกอย่างออกไปอย่างที่คิด

“มันไม่ใช่อย่าง...”น้ำตาเค้าเริ่มไหลออกมาจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นเช็ด ทั้งที่อยากลุกขึ้นไปกอดเค้าเอาไว้ให้แน่น อยากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเค้า แต่ผมก็ละอายเกินไปที่จะทำอย่างนั้น เพราะถ้าเค้าเคยโลเลในการตัดสินใจ ตอนนี้ผมเองก็ไม่ต่างจากเค้าเลยสักนิด

“ตี้ยังไม่ต้องตอบอรรถตอนนี้ก็ได้ ตี้ลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ ตอบตัวเองให้ได้ว่าตอนนี้ใครสำคัญกับตี้มากที่สุด”ผมรู้ว่าเค้าเองก็ให้ความสำคัญกับผมไม่น้อย เพียงแต่มันคงยังมีใครที่สำคัญกับเค้ามากกว่า

“คือเรา...”ไม่ชอบเลยที่ผมดันทำให้เค้าเหมือนกำลังรู้สึกว่าตัวเค้าเป็นคนผิด ทั้งที่ผมเองก็ทำผิดมาเช่นเดียวกัน

“ยังมีอีกเรื่องนึง”ผมรีบชิงพูดขึ้นไม่ให้เค้าได้พูดอะไรต่อ

“ฟู่ว”ผมพ่นลมหายใจออกอย่างตัดสินใจ นี่สินะความรู้สึกของคนที่ต้องสารภาพผิด

“คืออรรถมีอะไรกับหนุ่ย หลังจากที่อรรถบอกเลิกกับตี้”เค้านิ่ง นิ่งจนน่าใจหาย สีหน้าเค้าดูเรียบเฉย แม้น้ำตาเค้าจะเอ่อขึ้นมาบ้าง แต่เหมือนเค้าพยายามจะกดเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

“ขอโทษ”ผมบอกออกไปเสียงเบา ตอนนี้ผมว่าผมเห็นความผิดหวังในแววตาของเค้า และเค้าก็ยังรับฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดแสดงความเห็นอะไรให้ผมได้รู้เลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่

“อรรถจะไม่โทษว่าเป็นเพราะอรรถจำตี้ไม่ได้ เพราะช่วงนั้นอรรถดันมีความรู้สึกกับหนุ่ยแถมมาถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ยังอยู่”แม้ผมจะรักเค้า แต่มันก็พูดได้ไม่เต็มปากอีกแล้ว ว่าผมรักเค้าทั้งใจ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงช่วยให้เค้าตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น ผมคงเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกเลิกกับเค้า ผมยอมรับว่ายังหวังลึกๆ ว่าเค้าอาจจะยังเลือกผมในตอนท้าย แต่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะตัดอีกคนออกจากใจได้ไหม

“หมายความว่าอรรถไม่ได้รักเราแล้ว อย่างนั้นเหรอ”เค้าถามออกมาอย่างเลื่อนลอย

“อรรถไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ อรรถไม่ได้บอกว่าเราต้องเลิกกัน อรรถแค่อยากให้เราสองคนได้ให้เวลากับตัวเองได้ทบทวนคำตอบให้กับตัวเอง”ตอนนี้ทั้งผมและเค้า คงต้องการเวลาด้วยกันทั้งคู่

“ทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้”ต่างคนต่างเจ็บไม่ต่างกัน ก็ได้แต่หวังว่าเวลามันจะช่วยเยียวยาพวกเราทุกคน ผมมองปาร์ตี้ที่เดินออกไป เค้าหันมามองผมอีกครั้ง ผมได้แต่ฝืนยิ้มให้กับเค้า พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา หนุ่ยเดินสวนกลับเข้ามา

“โอเคไหม”เค้าเอ่ยถามผม ผมเพียงแค่ยิ้มให้เค้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป


TBC



หายไปพักใหญ่พอดีว่าป่วยคร๊าบ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องวุ่นๆ ของปาร์ตี้ ก็ใกล้จะเข้าสู่บทสรุปแล้ว
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 24-01-2017 08:55:56
อะไรๆ มันคงจะดีขึ้น ใช่มั้ย?

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 24-01-2017 10:41:46
ตี้เลิกไปเถอะ รำคาญอิอรรถมากกกกก ขอบอก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-01-2017 11:17:49
อรรถ ถ้านายจะเป็นคนแบบนี้
นายไปยุ่งวุ่นวายกับตี้ตั้งแต่ต้นทำไม
เราว่าจริงๆแล้วนายไม่เคยรักตี้หรอก
ตอนนี้กล้าพูดกล้าถามแล้วเหรอว่าตี้รักตัวเองมั้ย
ก็แน่ล่ะซิเพราะตัวเองไม่ต้องแคร์ตี้ แต่แคร์หนุ่ย
นายคงแค่อยากเอาชนะ เพราะในใจนายมีแต่หนุ่ย
ซึ่งดูๆแล้วน่าจะมีความเลวพอๆกัน อรรถหนุ่ย
ขอให้ทั้งคู่สมหวังในความเลวที่ร่วมกันทำนะ
เราเป็นตี้ เราจะไม่บอกเลิกอรรถหรอก เพราะไม่ได้คบกัน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-01-2017 12:39:29
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย  ไม่ไหวแล้ว ขอบทสรุปเร็วๆเลยได้ไหม สงสารตี้อะ เฮ้อออออ อีอรรถเห็นแก่ตัวมากๆเลย ตี้ไม่น่าตกลงคบกะมันตั้งแต่แรกเลย ไหนตอนแรกรับได้ไงว่าต่อให้ไม่รักแต่เลือกที่จะอยู่ด้วยก็รับได้ ทีนี้มาพูดแบบนี้  :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-01-2017 12:54:24
ปาร์ตี้...อยู่คนเดียว เริ่ดๆ เชิดๆ ไปเถอะ ทั้งอรรถที่คิดว่าดี แต่ตอนนี้คืออะไร อย่าให้พูดถึงอิแว่น อยู่คนเดียวถึงจะเหงา แต่ก็สบายใจดีนะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-01-2017 13:40:51
หลังจากกลับมาเยกันอีกครั้ง
ถึงกับติดใจไม่เลิกเลยเหรอ

หุหุ
ง่ายไปไหม

ไอ่อรรถ
ห่าลากลงไปกินในน้ำ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-01-2017 18:32:30
 :pig4: :pig4 :3123:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-01-2017 00:37:04
ดีใจมากๆคิดว่าจะไม่ได้อ่านต่อพอเห็นอัพเดท ดีใจสุดๆ ดูแลสุขภาพด้วยนะคับผู้แต่ง
    คราวนี้เลิกกันจริงๆสินะ ปาร์ตี้  ชาร์ปทำคะแนนด่วนเลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: MOMAMi_96 ที่ 25-01-2017 03:04:13
ถ่านไฟเก่ามันร้อนจริงๆนี่นา
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2017 07:25:31
อรรถ ได้ความทรงจำกลับคืนมา
แต่ก็มีอะไรกับหนุ่ยไปแล้ว
ที่จริงไม่เห็นจะต้องโทร.ไปหาตี้เลยช่วงที่จำได้
มันไม่ช่วยอะไรอรรถอีก เพราะอรรถก็ระแวงตี้ไปตลอดแหละ
ถ้าอรรถคิดได้จริง ควรไปคุยกับหนุ่ยจริงจัง
ที่หนุ่ยย้อนมาหา มาอยู่บ้านอรรถ ทั้งที่จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้
มันก็บอกได้ว่าหนุ่ยอยากกลับมาคืนดีกับอรรถ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 25 เวลาคือคำตอบ 24-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 25-01-2017 14:32:33
PART II บทที่ 26
ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม


Sharp's Part


“มาถามคู่บ่าวสาวกันหน่อยดีกว่าครับว่ารู้จักกันได้ยังไง”ผมนั่งมองภาพที่น่ายินดีของเพื่อน ขนาดผมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้นความสุขมันยังแผ่กระจายมาถึงตรงนี้ ผมยิ้มจนหุบไม่ลง คำถามเบสิคถูกป้อนให้บ่าวสาวตอบ ทั้งเรื่องน่าประทับใจ และเรื่องหลุดๆ ที่ทั้งคู่เคยได้สร้างไว้ ก่อนที่จะเอ่ยขอบคุณคนที่มาร่วมงาน

“จูบเลยๆ”เสียงตะโกนจากเพื่อนๆ เมื่อพิธีการได้จบลง แต่จริงๆ นี่ก็เป็นงานเลี้ยงช่วงเย็นที่จัดริมชายหาด สบายๆ อยู่แล้ว นี่หรือเปล่านะที่ผมเคยต้องการ

“ยิ้มขนาดนี้ไม่หาเจ้าสาวแต่งเองบ้างละชาร์ป”เสียงจากคนที่นั่งข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง เหมือนวันนี้เค้าจะดื่มหนักอยู่ไม่น้อยและนี่คงตึงๆ เสียแล้วด้วยสิถึงได้เป็นฝ่ายแซวผมก่อนแบบนี้

“แต่งกับผมไหมละครับคุณปรีติ”ผมแกล้งแซวกลับจนไม่รู้ว่าเค้าหน้าแดงเพราะแอลกอฮอล์หรือแดงจากเขินในสิ่งที่ผมพูดกันแน่ ในเมื่อเค้าเองก็เลิกกับแฟนแล้ว ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรุกเค้าได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรนี่นา

“เราไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”เค้าตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ แต่ผมเองทำเป็นไม่สนใจยกแก้วชนกับเค้า สงสัยคืนนี้ได้เมากันทั้งคู่แน่ๆ ครับ แถมคืนนี้ผมต้องนอนห้องเดียวกับเค้าสองต่อสองเสียด้วยสินะ ก็คืนนี้ไอ้เหมาต้องถูกส่งตัวเข้าหอนี่เนอะ

“คืนนี้อยู่กันสองคนอย่าเมาจนลุกขึ้นมาปล้ำเราล่ะ”การที่ได้มาอยู่ด้วยกันระยะนึงตอนนี้ และรู้ว่าเค้าอยู่ในสถานะโสดมันทำให้ผมกล้าหยอดเค้าแบบนี้ครับ และแน่นอนแอลกอฮอล์ยิ่งมีผลให้ผมกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ตี้หันมองหน้าผมหน่ายๆ ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นกระดกอีกครั้ง ไม่นานนักโลกส่วนตัวของผมกับเค้าก็จบลง เพื่อนๆ คนอื่นเลิกสนใจคู่บ่าวสาวหันมาพูดคุย สังสรรค์กันต่อ บรรยากาศกลับมาคึกคัก จนเวลาล่วงเลยใกล้จะเที่ยงคืน แขกเริ่มทยอยกลับเกือบหมดแล้ว พวกเพื่อนๆ เองก็เช่นกัน บ่าวสาวก็ร่ำลาแขกที่ทยอยกลับที่พัก

“กลับไปอาบน้ำนอนไหม”ผมถามคนที่ยังนั่งนิ่ง ไร้วี่แววว่าจะอยากกลับไปพักผ่อนแต่อย่างใดเค้าส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

“กลัวที่ต้องอยู่กับเราสองต่อสองหรือไง”เค้าเหลือบมองผมด้วยหางตาง แล้วก็ผลักผมที่เข้าไปกระซิบข้างหูเค้าออก ด้วยอาการรำคาญที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปฏิเสธกันเข้าไปเถอะ ถ้าเกิดคืนนี้เมาแล้วอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาอย่ามาง้อผมแล้วกัน

“เฮ้ยพวกมึงจะเที่ยงคืนแล้ว ใครจะแดกกลับไปแดกต่อที่ห้อง กูแจ้งเค้าใช้สถานที่ไว้แค่ถึงเที่ยงคืน”ไอ้เหมาตะโกนกลับมาน้ำกับกลุ่มพวกผมเพราะเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วที่ยังอยู่ริมหาด ทุกคนเลยช่วยกันหยิบอุปกรณ์ จัดแจงเตรียมไปดื่มต่อที่ห้องพักครับ เพราะไอ้พวกเพื่อนๆ ผมดูจะยังดื่มไม่จุใจ

“ไปก่อนเลย เราว่าจะเดินเล่นริมหาดสักพัก”คนที่ต้องกลับไปนอนห้องเดียวกับผม หันมาบอกนี่ตกลงว่าเค้ากลัวการจะนอนห้องเดียวกับผมจริงๆ หรือไงเนี่ย ผมอดที่จะอมยิ้มนึกเอ็นดูเค้าไม่ได้ จะมากลัวผมทำไมใช่ว่าผมจะบังคับขืนใจเค้าเสียหน่อย ถ้าเค้าไม่ยอมซะอย่างผมก็ไม่บังคับอยู่แล้ว ว่าแต่ว่านี่ผมคิดไปถึงขั้นนั้นแล้วหรือไงเนี่ย

“ป่ะ พร้อมแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน พร้อมจับแขนเค้า

“อะไร”เค้าทำหน้างง

“ก็เดินเล่นริมหาดไง เราเดินเป็นเพื่อนจะได้ไม่เหงา”ผมเดินจูงมือเค้าเดินโดยไม่ได้สนใจท่าทีขัดขืนและการพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายเค้าก็ยอมเดินตามผมมาโดยไม่คัดค้านอะไรอีก ไม่มีคำพูดหรือบทสนทนาใดๆ ระหว่างเราสองคนอีกมีเพียงเสียงคลื่นที่ซักเข้ามากระทบกับผืนทรายที่เราเดินย่ำกันอยู่

“กลัวที่ต้องนอนกับเราสองคนเหรอ”ผมหยุดเดินและเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างเรา สายตาผมจับจองไปในท้องทะเลสีดำที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันก็คงไม่ต่างกับจิตใจของคนข้างๆ ผมตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่ เค้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้จากเค้าคือความรู้สึกที่เค้ามีต่อผม

“เปล่า”เค้าตอบเสียงเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เค้ามักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าเค้าตั้งตัวไว้ปาร์ตี้มักจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่แสดงออกมา เพราะแบบนี้ผมเลยตั้งใจว่าต้องแกล้งให้เค้าตั้งตัวไม่ทัน เค้าจะได้เผลอแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง บางครั้งผมก็มีแอบคิดเข้าข้างตัวเองนะครับ ว่าเค้าเองก็คงมีเผลอใจให้ผมบ้างแหละน่า แต่จะทึกทักเอาเองออกตัวแรงไปก็กลัวจะเงิบครับ

“หรือว่ากลัวห้ามใจตัวเองไม่ไหว”

“บ้าเหรอ”อันนี้ได้ผลครับ เค้ารีบปฏิเสธด้วยอาการไม่ปกติแล้ว ผมหันไปมองเค้ายิ้มๆ แม้จะอยู่ในความมืดแต่แสงจากพระจันทร์ก็พอมองออกว่าเค้ากำลังเขิน ผมอาศัยจังหวะที่เค้าไม่ทันตั้งตัว โอบไหล่เค้าแล้วค่อยๆ เลื่อนเป็นกอดคอ เพราะสายตาขวางๆ ที่จ้องมองผมกลับมา

“กอดคอ แบบเพื่อนไง เราเพื่อนกันนิเนอะ”ผมแกล้งทำตีเนียนไม่ยกแขนออก ค้างไว้อย่างนั้น

“กลับห้องเถอะ”เค้าขยับตัวออกจากผม แล้วเดินนำตรงกลับห้องพักของเรา ผมยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินตามเค้า

พอถึงห้องเค้าจัดแจงแบ่งเขตแดนเตียงนอนด้วยหมอนข้างใบใหญ่ ตอนนี้ห้องพักของเราทั้งคู่ถูกไอ้เหมาเปลี่ยนมาเป็นห้องสำหรับ 2 คนแถมแกล้งไม่เลือกแบบเตียงแยกให้เราสองคนนะครับ จัดมาให้นอนเตียงเดียวกันยังกับรู้ใจผม ส่วนปาร์ตี้นะเหรอครับ รายนั้นพอรู้ก็ขอเปลี่ยนแหละครับ แต่ห้องดันเต็มหมด เลยต้องอยู่ในภาวะจำยอมครับ เมื่อเห็นเค้ายังไม่พอใจกับการแบ่งเขตการนอน ผมเลยขอเป็นคนอาบน้ำล้างตัวก่อน

หลังผมอาบเสร็จก็เป็นปาร์ตี้ที่เข้าไปอาบต่อ ส่วนผมกำลังมองเตียงนอนอย่างนึกขำ นี่เค้าเอาอะไรมากั้นเราสองคนบ้างเนี่ย จริงๆ ถ้าจะทำขนาดนี้บอกผมนอนโซฟา หรือให้ไปขอนอนกับเพื่อนคนอื่นดีกว่าไหม ผมส่ายหน้าขำๆ กับภาพตรงหน้า หูผมตั้งใจฟังว่าเค้าจะออกจากห้องน้ำตอนไหน พอเสียงน้ำเงียบไป ผมเองรีบล้มตัวลงนอนกะว่าจะแกล้งหลับครับ ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกมา ผมแกล้งทำลมหายใจให้สม่ำเสมอเหมือนคนหลับแล้วให้เนียนที่สุด จะแกล้งกรนก็กลัวเค้าจับได้ เพราะผมก็ไม่ใช่คนนอนกรน และเค้าเองก็รู้ในข้อนั้น เสียงเท้าของเค้าเดินมาทางผม นี่สงสัยกะมาเช็คว่าผมหลับแล้วจริงๆ หรือเปล่า เสียงเดินของเค้าห่างออกจากผมอีกครั้ง

ผมแอบหรี่ตามองนิดๆ เห็นเค้ากำลังทาโลชั่นก่อนนอนอยู่ นี่คงคิดว่าผมหลับแล้วจริงๆ สินะ เดี๋ยวก็รู้ ผมพึมพำอยู่ในใจ และรอแค่ไม่นานเสียงสวิตซ์ไฟที่ถูกปิดก็ดังขึ้น ตามด้วยน้ำหนักตัวของเค้าที่ทิ้งลงบนเตียงอีกข้างนึง ผมค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก จนเมื่อแน่ใจว่าเค้านอนนิ่งๆ แล้ว ผมรีบดีดตัวอย่างรวดเร็ว เอาหมอนข้างออกและดึงตัวเค้าเข้ามากอดโดยไม่ให้เค้าทันตั้งตัว

“อย่าทำแบบนี้ชาร์ป”หลังจากพยายามดิ้นแล้วไม่เป็นผล เค้าก็หยุดและพูดออกมาเสียงเย็น ผมยังคงกอดเค้าไว้หลวมๆ ที่จริงผมเองก็อยากจะรุกเค้าให้มากกว่านี้นะครับ แต่อีกใจก็กลัวจะทำให้เค้ากลายเป็นเกลียดผมไปเสียก่อนนี่สิ อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าเค้ายังรักคุณอรรถอยู่มากแค่ไหน

“ขอแค่อยู่แบบนี้ได้ไหม พรุ่งนี้เราก็ต้องแยกย้ายกันไป ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก”ผมกระซิบที่ข้างหูของเค้า เค้าเองพลิกตัว หันมาเผชิญหน้ากับผม แม้จะอยู่ในความมืดไม่ได้มีแสงไฟ แต่เราก็ยังจ้องมองกันและกัน

“เพื่ออะไรเหรอชาร์ป”ผมไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะขยับตัวชิดเข้าหาเค้ามากขึ้น ริมฝีปากของเค้าคือเป้าหมายของผม ผมถือวิสาสะลิ้มรสมันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เค้าดูตกใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรผม ทำให้ผมยิ่งได้ใจสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวานนั้นอย่างไม่เกรงใจ มือผมเองเริ่มรุกล้ำเข้าใต้เสื้อตัวบางของเค้า

“หยุดเถอะ”ข้อมือผมถูกห้ามโดยมือของอีกฝ่าย เค้าขยับตัวออกจากผมทันที สายตาผมยังคงมองเค้าด้วยความเว้าวอน

“ตกลงกันแล้วไงว่าเราสองคนจะไม่ทำแบบนี้กันอีก”เค้าขยับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ผมควรหยุดไว้แค่นี้หรือไปต่อดีละ

“ถ้าไม่นอน เราจะออกจากห้องตอนนี้แหละ”ท่าทางจริงจังของเค้าทำให้ผมไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีก ผมพยักหน้าเป็นสัญญานให้เค้าว่าจะไม่ล้ำเส้นอะไรอีก จะนอนเฉยๆ แล้ว

“ไหนบอกว่านอนไง”เสียงเค้าตวาดทันทีที่ผมสวมกอดเค้าอีกครั้ง

“แค่กอดเฉยๆ นะ”เค้าดูเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของผมเต็มทน แต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ แต่โดยดี ผมอมยิ้มปิดเปลือกตาลง คืนนี้ผมคงฝันดีแน่ๆ ไม่นานเราทั้งคู่ก็หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด

“ไอ้อ่อนเอ้ย กูอุตส่าห์วางแผนช่วยทุกอย่าง แกล้งเมาให้ได้นอนเตียงเดียวกันก็แล้ว ปล่อยอยู่กันสองต่อสองก็แล้ว ยังปล่อยมันกลับไปหาแฟนเก่าอีก กูควรด่ามึงดีไหมเนี่ยแว่น”เสียงไอ้เหมาตะคอกใส่ผมมาตามสายโทรศัพท์ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ภูเก็ตแล้วละครับ และนี่ก็กำลังนัดแนะกับไอ้เหมาเรื่องที่มันจะมาฮันนีมูนที่นี่โดยมีผมเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ข้อแม้คือมันต้องพาปาร์ตี้มาด้วยให้ได้

ก็ไอ้ผมก็ไม่คาดคิดว่าวันนั้นที่เราหลับไปในอ้อมแขนกัน ตื่นเช้ามาฝันหวานของผมจะหายไปในพริบตา ผมตื่นมาไม่พบปาร์ตี้ เพราะเค้าแอบกลับ กรุงเทพฯ โดยไม่บอกใครสักคำ เค้าบอกกับไอ้เหมาทีหลังว่าคุณอรรถเข้าโรงพยาบาล แต่นั่นยังไม่เลวร้ายพอสำหรับผม เพราะอีกไม่กี่วันต่อมา ดันได้รับรู้ว่าความทรงจำของคุณอรรถกลับมาแล้วด้วยนี่สิครับ นี่ถ้าคืนนั้นผมรวบหัวรวบหางปาร์ตี้ซะ ผมอาจจะเป็นต่อขึ้นมาบ้าง

“กูนึกว่ามึงจะบอกมันไปแล้วเสียอีกว่ารู้สึกยังไง แต่ตอนนี้มันคงไม่เหมาะแล้ว มึงก็รอดูเค้าคืนดีกันไปแล้วกันนะ”อ้าวไอ้นี่เยาะเย้ยผมเสร็จก็วางสายไปเลยครับ ผมได้แต่นั่งถอนหายใจ ก็ไอ้สิ่งที่ไอ้เหมาเพิ่งพูดมันทำให้ผมต้องเก็บมาคิด ก็ถ้าผมบอกความรู้สึกตัวเองออกไปแต่ปาร์ตี้เองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร

“เพื่อนๆ มากันวันไหนละลูก”เสียงของแม่ดังมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปโอบแม่ไว้พร้อมแกล้งซบ ก่อนจะหอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่

“มาถึงเย็นๆ พรุ่งนี้ครับ”ผมบอกเสียงอ้อนๆ

“ไปงานแต่งเหมามาเนี่ย ไปเจอใครมาหรือเปล่า”ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในคำถามของแม่

“ก็เห็นกลับมาละ ทำตัวยังกับคนอกหัก แม่ก็นึกว่าไปเจอชะเอม หรือน้องปลา อะไรแนวนั้นมาหรือเปล่า”โหแม่ผมคิดไปได้ยังไงเนี่ย ว่าแต่ผมเหมือนคนอกหักตรงไหนเนี่ย ก็แค่ซึมๆ ไปบ้าง ข้าวปลามันก็ไม่ค่อยมีเวลากินเท่านั้นเอง ก็งานมันเยอะนิครับ จะให้ทำไง

“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวรอเล่นกับหลานดีกว่า แพทเค้าพาน้องแมทมาด้วยนะครับ”ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้แม่มากังวลกับเรื่องของผม ส่วนเหมากับแพทนี่ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าจะจัดห้องที่โรงแรมให้แบบดีๆ ดันจะอยากมาพักที่บ้าน ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ แต่แค่เห็นว่าเพื่อนมาฮันนีมูน แล้วการมาอยู่บ้านผมเนี่ยมันเหมือนฮันนีมูนตรงไหนเนี่ย

“แล้วตกลงเหมา แพท กับน้องแมทมากันแค่ 3 คนเองเหรอ ปาร์ตี้ละลูก”ไม่ใช่แค่แม่หรอกครับที่อยากให้เค้ามาผมเองก็อยาก

“แฟนเค้า เข้าโรงพยาบาลนะครับแม่”ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปทำงาน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อของคนที่อยู่ในบทสนทนาของผมกับแม่เมื่อสักครู่ ผมลังเลที่จะกดเบอร์อยู่ครู่นึงสุดท้ายก็ กดปิดไป ยังไงเค้าก็ไม่มาอยู่ดีแล้วผมจะโทรไปให้ตัวเองยิ่งเจ็บทำไมละเนี่ย ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าอย่างที่เคยเป็น

พอถึงวันนัดกับไอ้เหมา ผมมารอที่สนามบินก่อนเวลาเครื่องลงนิดหน่อยจนพอถึงเวลาผมก็เข้ามายืนรอที่ผู้โดยสารฝั่งขาเข้า ผมมองที่หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ที่บอกเวลา ว่าพวกไอ้เหมามาถึงแล้ว รออยู่พักนึงก็เริ่มเห็นคนทยอยเดินกันออกมา และแล้วผมก็ต้องแปลกใจก็คนที่จูงมือน้องแมทออกมานั่นมัน

“กูก็เพิ่งรู้ก่อนจะมาแบบฉิวเฉียดนี่แหละ”ไอ้เหมาเดินมาพูดเบาๆ ให้ผมได้ยินแต่ผมไม่ได้สนใจมันครับ ผมแทบจะเดินผ่านมันไปหาอีกคน

“ลุงแว่นหวัดดีฮ่ะ”เด็กน้อยยกมือไหว้ผม ก่อนจะจับมือปาร์ตี้เช่นเดิม นี่สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ตอนอยู่งานแต่งผมยังไม่เห็นว่าจะสนิทกันเลย ผมกับเค้าแค่ยิ้มทักทายกัน ก่อนผมจะฉวยเอากระเป๋าของเค้ามาช่วยถือ เราทุกคนต่างช่วยกันเก็บกระเป๋าขึ้นรถ มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของผม เพราะอาหารเครื่องดื่มเตรียมพร้อมรอพวกเราอยู่แล้ว

บรรยากาศภายในรถดูสนุกสนาน โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ แถมเพื่อนซี้เค้าก็ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหลือเกิน ไม่รู้เด็กโตเกินวัยหรือผู้ใหญ่ลดอายุไปหาใครกันแน่ครับ แต่ก็ดูน่ารักดี ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นมุมแบบนี้ของปาร์ตี้เค้าเท่าไหร่

“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วมากินข้าวกัน กำลังร้อนๆ เลย อ้าวปาร์ตี้ลูก นึกว่าไม่มานี่ชาร์ปหลอกอำแม่หรือเปล่า”แม่ผมออกมาต้อนรับ และทักทายรับไหว้จากทุกคน ผมให้เด็กในบ้านช่วยยกกระเป๋าพาทุกคนเอาของไปเก็บ

“แล้วตัวเล็กนี่ใครเอ่ย”เอาแล้วครับแม่ผม สงสัยอาการอยากมีหลานกำเริบอีกแล้ว ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่นก็ดูจะขี้อ้อนไม่น้อยทีเดียว

“หวัดดีฮ่ะ นี่น้องแมทเอง”แม่ผมดูตาเป็นประกายเชียวครับ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะผมคงมีหลานอย่างที่แม่หวังไม่ได้เสียแล้ว

หลังเก็บของกันเรียบร้อยเราก็กลับมาทานมื้อค่ำกัน ดูวันนี้จะเป็นมื้อใหญ่สำหรับบ้านเราทีเดียวครับ นานแล้วที่ไม่ค่อยมีแขกมาพักที่บ้าน เพื่อนๆ ของพ่อกับแม่ส่วนใหญ่ถ้ามาก็มักไปพักที่โรงแรมกันหมด บรรยากาศมื้อค่ำของเราวันนี้เลยดูอบอุ่นกันเป็นพิเศษ

“แล้วนี่มาฮันนีมูนกัน กะมีน้องให้แมทกันเลยหรือเปล่าเนี่ย”แม่ผมเอ่ยแซว เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ

“ดูเพื่อนเป็นตัวอย่างบ้างสิชาร์ป นี่พ่อกับแม่ก็รออุ้มหลานกันจนเหงือกแห้งแล้ว”พ่อผมพูดออกมาขำๆ อย่างไม่จริงจัง แต่ผมก็เหมือนโดนสะกิดให้ฉุกคิดอีกแล้วแหละครับ

“เดี๋ยวฝากลูกแพทเป็นหลานชั่วคราวไปก่อนแล้วกันนะคะ”แพทบอกกลับพร้อมหันมามองผมอย่างให้กำลังใจ การทานข้าวผ่านไปด้วยความสุขใจของทุกๆ คน จะมีก็แต่หนึ่งคนที่แม้จะดูยิ้มแย้มแต่ก็พูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

หลังทานข้าวเสร็จแพทก็พาน้องแมทไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน โดยแม่ผมขอน้องแมทไปนอนด้วย นี่ตกลงแม่ผมจะกดดันอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย สรุปวันนี้ด้วยความที่ดึกมากแล้วจากแผนเดิมที่ว่าจะดื่มกันของพวกผมเลยเหมือนจะถูกพับไปโดยปริยาย แล้วทุกคนก็ยังอยู่อีกหลายวัน พรุ่งนี้ผมก็จะพาทุกคนไปล่องเรือด้วยแม่เลยไม่อยากให้พวกผมนอนดึกกันมากนัก

“มันยังไม่คืนดีกับคุณอรรถ จะทำอะไรก็รีบทำ”คำพูดที่ไอ้เหมาบอกกับผมเบาๆ ก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อน ทำให้ตอนนี้ผมซึ่งอยู่ในชุดนอน มีเสื้อคลุมทับอย่างสบายๆ มายืนอยู่หน้าห้องของใครบางคน พร้อมไวน์อีก 1 ขวด นี่เค้าคงยังไม่หลับหรอกมั้งเพราะดูยังมีแสงไฟลอดออกมาจากห้องของเค้าอยู่

“ก๊อกๆ”ผมเคาะไปที่ประตูห้อง ผมพยายามฟังเสียงว่าเค้าเดินมาเปิดประตูให้ผมหรือเปล่า แต่เหมือนจะยังเงียบอยู่ผมเลยงื้อมือเตรียมเคาะอีกรอบ โชคดีที่ยั้งมือไว้ทันเพราะคนในห้องดันเปิดประตูออกมาพอดี นี่มือผมแทบจะเคาะที่หน้าผากเค้าอยู่แล้ว เค้ามองผมแทบจะหัวจรดเท้า แล้วตัวเค้าเองก็ขยับเสื้อคลุมของตัวเองให้ชิดขึ้น ผมไม่ได้รอให้เค้าอนุญาต ก็นี่มันบ้านผม ผมเลยรีบเบียดตัวผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรเนี่ย”เค้าถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปิดประตูล็อคอย่างดี จนผมอดยิ้มไม่ได้ตอนนี้สำหรับผมมันเหมือนความรู้สึกเก่าๆ ในช่วงที่เราเคยอยู่ด้วยกันมันกลับมา ความรู้สึกที่ผมว่า ผมกำลังมีความสุข ที่จริงผมอาจจะเผลอรักเค้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ผมเองไม่อยากจะยอมรับ

“เรารู้ว่าตี้มีเรื่องไม่สบายใจอยากระบาย เราให้ตี้ระบายออกมาจนกว่าไวน์ขวดนี้จะหมด ถ้าหมดเมื่อไหร่เราจะกลับห้องทันที ไม่รบกวนอะไรตี้เด็ดขาด”ผมยกขวดไวน์พร้อมแก้วไว้ตรงหน้าเค้า ผมชู 3 นิ้วเหมือนให้คำปฏิญาน เค้าหยิบแก้วไปไว้ในมือหนึ่งใบ พร้อมเอียงคอเป็นการตอบตกลง ผมรีบจัดการเปิดไวน์รินให้เราทั้งคู่อย่างรวดเร็ว

“เล่าดิ”ผมรีบคะยั้นคะยอเมื่อเค้ายังคงจิบไวน์เงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดอะไรให้ผมฟัง

“เล่าไร เราไม่ได้เป็นไร”ไม่อยากจะบอกเลยว่ารอบนี้เค้าโกหกโคตรจะไม่เนียน แต่เอาเถอะในเมื่อยังไงเค้าขนาดเปลี่ยนใจตามไอ้เหมามานี่ผมก็ต้องมีหวังบ้างล่ะ ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรเค้าอีก ถ้าเค้าอยากเล่าเค้าก็คงเล่าออกมาเอง เค้าหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ ที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดดู ดูเหมือนจะเป็นรูปตอนเด็กๆ ของผม พอเห็นความน่ารักในวัยเด็กของผมทำให้เค้ายิ้มออกมา และบรรยากาศในห้องดูจะผ่อนคลายขึ้น นั่นส่งผลให้ไวน์ขวดนึงหมดลงอย่างรวดเร็ว เค้าชี้ให้ผมดูเพื่อเป็นการเตือนว่าเวลาของผมหมดแล้ว

“เราขอพิสูจน์อะไรหน่อยได้ไหม”ถ้าผมพลาดวันนี้ผมอาจจะไม่มีโอกาสอีกเลยก็เป็นได้ ผมค่อยๆ โน้มตัวเค้าไปหาเค้าเพื่อลิ้มรสริมฝีปากที่เตือรสชาดของแอลกอฮอล์นั้น

“ถ้าตี้รู้สึกเหมือนกันกับเราก็อย่าปฏิเสธเราเลย”ผมรีบบอกก่อนที่เค้าจะปฏิเสธผม เค้าหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะดึงหน้าผมเข้าไปจูบ ไม่ว่ามันจะหมายความว่ายังไง ผมก็จะไม่ยอมปล่อยเค้าไปอีกแล้ว มันไม่มีคำพูดใดๆ ของเราทั้งคู่อีกผมเองเหมือนกำลังกระหายแทบจะอยากกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งตัว เราต่างถาโถมเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร รอบแล้วรอบเล่าจนเราทั้งคู่ต้องหอบหายใจเพราะหมดแรง

“เรารักตี้นะ”ผมกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของเค้า ผมบอกออกไปแล้ว แต่เค้ากลับเงียบไม่ตอบอะไรหรือแสดงความเห็นใดๆ กลับมา แต่เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธผมนี่เนอะ ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้เค้าคงไม่หายไปไหนอีกนะ ตอนนี้จะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ว่าได้ครับ เค้ายอมผมขนาดนี้แล้ว ยังเหลืออีกตั้งหลายวันผมต้องทำให้เค้าพูดออกมาจนได้แหละครับว่าคิดยังไงกับผมกันแน่



ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านเข้ามา มือผมควานหาอีกคนทันที แต่แล้วผมก็ต้องรีบดีดตัวขึ้น นี่เค้าจะหนีผมไปไหนอีกหรือเปล่าเนี่ย ผมรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าใส่ลวกๆ เปิดดูในห้องน้ำ แล้วรีบออกจากห้อง ตอนนี้ชักจะใจไม่ดีแล้วครับ

“อ้าวชาร์ปตื่นแล้วเหรอลูก แล้วนี่ไปไหนมาทำไมมาจากทางนั้น”ผมไม่มีเวลาอธิบายให้แม่ฟังแล้วครับเพราะตอนนี้กำลังร้อนใจ แต่ก็ยังหวังว่ามันจะไม่มีอะไร เพราะแพทก็อยู่ตรงนี้ แต่ไอ้เหมาไม่อยู่ตี้อาจจะไปไหนกับไอ้เหมาก็เป็นได้

“แพทเห็นตี้ไหม”ผมรีบถามอย่างร้อนใจ แพทพยักหน้ารับทำให้ผมเริ่มรู้สึกสบายใจไปนิดนึง

“เค้าโดนหัวหน้าโทรตามแต่เช้า กลับกรุงเทพฯไปแล้วแหละ แม่พูดยังไงก็จะไปให้ได้ หัวหน้าของตี้นี่ก็ไม่รู้ยังไง ให้ลามาแล้วจะมาเรียกกลับกะทันหันแบบนี้ได้ยังไง”แม่ผมพูดอะไรอีกบ้างผมแทบไม่ได้ฟัง นี่มันหมายความว่ายังไง เมื่อคืนทุกอย่างมันก็เหมือนจะจบด้วยดีแล้วนี่นา หรือผมเองคนเดียวที่คิดแบบนั้น

“เราขอโทษนะแพท เดี๋ยวเราจะให้คนมาดูแลแพทกับไอ้เหมาตามทริปที่คุยกันไว้ แต่เราคงไปด้วยไม่ได้ เราจะไปกรุงเทพฯ”







TBC

อย่างที่เคยบอกนะครับว่าคงจบที่ตอน 30

4 ตอนสุดท้ายก็จะเป็นการเล่าในมุมของปาร์ตี้แล้วนะครับ

คนที่จะเป็นคนจบเรื่องราวทั้งหมด ตี้คิดยัง และตี้จะเลือกใคร

อดใจรออีกแค่ 4 ตอนครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเช่นเคยนะครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 25-01-2017 14:51:21
ลุ้น ๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 25-01-2017 15:15:14
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 25-01-2017 18:41:33
ด่านสำคัญของชาร์ป..ไม่ใช่ตี้

แต่อยู่ที่พ่อแม่ของชาร์ป ตะหาก
ว่าจะฝ่าด่านนี้ไปได้อย่างไร

ลุ้นกันตัวโก่ง
หุหุ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-01-2017 18:47:06
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-01-2017 19:35:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-01-2017 22:09:08
ตี้มีสิทธิ์เลือกจริงเหรอ
ถ้าตี้รักอรรถก็ใช่ว่าจะเลือกอรรถได้
เพราะผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่เคยรักตี้เลย
เหมือนๆจะมีเชื้อเลวๆติดอยู่มากด้วยนะนั่น
พูดอีกก็โมโหอีก ยุบหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 55555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2017 22:24:04
ชาร์ป ตี้  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ตี้ รู้ใจชาร์ปแล้ว
และตัวเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอรรถแล้ว
ที่หนีไปนี่คงกลัวชาร์ป หลอกเล่น
ชาร์ป รีบตามไปง้อให้ชนะใจตี้ซะที
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-01-2017 23:32:21
  เอ้า ตี้ ทำไมไม่ลองเผชิญหน้ากับชาร์ปสักตั้งล่ะ ไหนๆก็ยอมรับแล้วว่ารู้สึกกับชาร์ปจนหลวมตัวไปล่ะหลายยกเลย
  รอ รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 26-01-2017 00:13:59
อรรถออกตัวแรงขนาดนี้ก็คงไม่มีไรกลับไปเหมือนเดิมได้แล้วล่ะ
กลับไปก็เหมือนไปขวางทางรักเขา เลิกๆๆๆ ค่ะปาร์ตี้
คนที่รักเราก็ยังมี

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 26-01-2017 00:18:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-01-2017 23:41:32
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 27-01-2017 16:31:17
PART II บทที่ 27
ยอมแพ้



Party's Part

“เรารักตี้นะ”ผมยอมรับว่าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าคนที่ซบหน้าลงมาตรงซอกคอผมจะพูดคำนี้ออกมา จริงๆ ผมไม่น่าปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาขนาดนี้ด้วยซ้ำ ที่ผมมาที่นี่ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาทำแบบนี้กับเค้าเลย ผมแค่อยากมาให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ผมจะเลือกทางไหนเพื่อเดินต่อ ทั้งที่เคยตัดสินใจและตั้งใจแล้วว่าผมเลือกอรรถ แต่มันก็เหมือนโชคชะตามาเล่นตลก

และผมก็อ่อนแอเกินไปที่จะตัดสินใจลงไป ส่วนคุณแว่นบอกตามตรงว่าผมไม่เคยมีความคิดที่จะกลับมามีความสัมพันธ์กับเค้าอีกไม่ว่าจะทางใจหรือทางกาย ผมอาจจะโกหกไม่ได้ว่ายังมีความรู้สึกดีๆ กับเค้าอยู่มาก แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันละในเมื่อเค้าเองก็คงยังมีความฝันเช่นเดิม ความฝันที่เค้าอยากจะแต่งงานมีครอบครัว ยิ่งผมได้เห็นแววตาเค้าที่มองไอ้เหมากับแพทที่งานแต่ง หรือวันนี้ที่เห็นพ่อแม่ของเค้าเอ็นดูน้องแมท ผมว่ามันยิ่งตอกย้ำว่ามันไม่มีที่สำหรับผมในชีวิตของเค้า นอกจากแค่คำว่าเพื่อน หรือถ้าจะมากกว่านั้นมันก็คงแค่ “เพื่อนนอน”

แต่ถามว่าทำไมผมถึงมา มันก็คงหัวใจของผมเองนี่แหละครับที่มันยังดื้อด้าน ผมบังคับมันมานานแล้ว เพราะไม่อยากเจ็บ ผมควรรักคนที่รักผมซึ่งมันก็มาถึงจุดที่ผมหลอกตัวเองแบบนั้นไม่ได้อีก ในวันที่อรรถเองก็กำลังมีอีกคนกลับเข้ามา ผมคงไม่โทษเค้าเพราะผมเองแม้จะพยายามให้เค้าเต็มร้อยตอนที่คบกัน แต่ผมก็ยังรู้ดีว่ามันไม่เต็มหรอก  พอตอนนี้ผมก็แค่อยากทำอะไรโง่ๆ โดยการพาตัวเองมาเจ็บที่นี่ก่อนจะตัดสินใจโสดอีกครั้ง

แล้วพอมาได้ยินแบบนี้มันเหมือนสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด เค้าพูดออกมาเพียงเพราะอยากให้ผมรู้สึกดี และยอมเค้าหรือเค้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมยังไม่อยากคิดอะไรในตอนนี้ ผมแค่อยากเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ ในเมื่อหัวใจผมมันยังต้องการเค้า ผมก็ควรปล่อยให้มันได้ตักตวงความสุขนี้ ผมขยับชิดเข้าหาอ้อมกอดของเค้าและหลับตาลง

ผมตื่นขึ้นในตอนเช้า อีกคนยังคงหลับสนิทผมค่อยๆ ขยับตัวลุกออกจากเค้า นี่สินะคนที่ผมยังคงโหยหาถ้าผมจะลองเสี่ยงดูกับเค้าอีกสักรอบมันจะเป็นไรไหมนะ ผมใช้นิ้วเกลี่ยไปตามใบหน้าของเค้า เค้าขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจที่ถูกรบกวนการนอน ถ้าผมกับเค้าได้ตื่นขึ้นมาด้วยกันแบบนี้ทุกวันมันก็คงจะดีเหมือนกัน ผมปล่อยให้เค้านอนต่อเพราะไม่อยากรบกวน ส่วนผมว่าจะไปสูดอากาศยามเช้าเสียหน่อย

“อ้าวตี้ ตื่นเช้าจังนะ”แพทที่เดินมากับน้องแมททักผม ตอนนี้ผมล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนใส่ชุดสบายๆ กะว่าจะไปเดินเล่นชายหาดเสียหน่อย พอดีกับที่มาเจอ 2 คนแม่ลูกเข้า น้องแมทดูสนุกกับทุกอย่าง วิ่งนำหน้าเราสองคนที่เดินเรื่อยๆ ตามหลัง

“เคลียร์กันหรือยัง”ผมหันมองแพทเพราะไม่เข้าใจกับคำถามที่แพทกำลังพูด

“เมื่อคืนเราบังเอิญเห็นตอนชาร์ปเข้าไปในห้องตี้นะ เราไม่ได้ละลาบละล้วงอะไรนะ ไม่สะดวกเล่าก็ไม่ต้องเล่า แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจอยากระบายก็ได้เต็มที่”ที่จริงผมก็เคยสงสัยว่าแพทจะคิดยังไงกับเรื่องของผมกับคุณแว่น เพราะแพทเองก็เคยรู้ว่าผมไปต่างจังหวัดกับคุณแว่นแบบไม่ได้มีเหตุจำเป็นอะไร ซึ่งผมเองเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะแพทไม่เคยพูดถึงอีก และไอ้เหมาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมเลย ซึ่งผิดวิสัยของไอ้เหมามาก ยิ่งตั้งแต่ผมคบกับอรรถ ไอ้เหมาก็ไม่ค่อยพูดอะไรเกี่ยวกับคุณแว่นอีกเลย ขนาดเรื่องการถอนหมั้นของคุณแว่นกับน้องปลา มันยังไม่พูดถึงรายละเอียดอะไรเลย

“ก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย”ผมตอบแพทออกไปพร้อมหันหน้ามองไปที่น้องแมท ก็ใครจะไปกล้าหันมองแพทละครับ การที่ผมพูดออกไปแบบนี้แพทก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าคุณแว่นที่เข้าห้องผมไปทั้งคืน แต่เรายังไม่ได้คุยอะไรกัน แล้วเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น แพทเองคงไม่ต้องเดาอะไร

“คิดยังไง รู้สึกยังไง ก็พูดมันออกไปเลย เราว่าการพูดอะไรที่มันตรงกับใจอะไรๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ”ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าแพทรู้อะไรมา หรือว่าแพทคิดยังไง แต่ที่รู้แน่ๆ คือผมคิดผิดมาตลอดว่าแพทกับไอ้เหมาไม่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ในอดีตของผมกับคุณแว่น จากที่ฟังนี่ผมว่าคงรับรู้มานานแล้ว

“นี่ไอ้เหมามันก็...”ผมหยั่งเชิงเพื่อความมั่นใจ

“ถ้าเรื่องเมื่อคืนเหมาไม่รู้หรอก แต่เรื่องก่อนหน้านี้มันก็มีบ้าง”ไม่ต้องรอให้ผมอธิบายอะไรมาก แพทก็ช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมต้องการ แสดงว่าทุกคนคงพอรู้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณแว่นไม่มากก็น้อยแล้วสินะ แล้วใครกันที่ทำให้เหมากับแพทปักใจเชื่อในเรื่องนี้ คุณแว่นงั้นเหรอที่เป็นคนเล่าเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้แพทกับไอ้เหมาฟัง

“ไม่เห็นเหมามันคุยเรื่องนี้กับเราเลย”ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ไอ้เหมากับแพทนี่ก็เก่งมากนะครับที่หลอกผม ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้ตั้งนาน

“เรื่องบางเรื่องมันก็ยากที่จะพูดออกไปจริงไหม”มันก็จริงนะครับ อีกอย่างในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นมันก็คงไม่เหมาะจะเอามาพูดสักเท่าไหร่นั่นแหละครับ

“แพทรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรากับชาร์ปนานหรือยังเนี่ย”ผมตัดสินใจถามออกไปตรงๆ เพราะตอนนี้ไม่น่ามีอะไรจะต้องปิดบังกันอีกแล้ว แต่นี่ผมยังนึกไม่ออกกับการคุยเรื่องนี้ต่อหน้าไอ้เหมา ผมคงทำตัวไม่ถูก การที่กลายเป็นแพทที่มาพูดกับผมก่อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ

“เอาจริงๆ เราเองกับเหมาก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างนานแล้วแหละ แต่ตอนนั้นทั้งตี้เองก็มีคุณอรรถ ชาร์ปเองก็มีน้องปลา ไอ้เราสองคนผัวเมียก็คุยกันว่าหรือเราจะคิดมากกันไปเอง จนตอนชาร์ปถอนหมั้นกับน้องปลานั่นแหละ”กับไอ้เหมาเรื่องการสังเกตุนี่ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้วละครับ เพราะตอนนั้นผมก็ใจหายใจคว่ำกับมันไปหลายทีแล้ว แต่เรื่องน้องปลาถอนหมั้นนี่มันเข้ามามีส่วนกับเรื่องราวของผมด้วยอย่างนั้นเหรอ

“เกี่ยวอะไรกับเรื่องการถอนหมั้นครั้งนั้น”ผมถามออกไปอย่างที่สงสัย

“เอาเป็นว่าปลาเองเค้ารับในสิ่งที่ชาร์ปเป็นไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ”แสดงว่านี่คุณแว่นพูดเรื่องที่เคยมีอะไรกับผู้ชายให้น้องปลาฟังอย่างงั้นเหรอ แล้วเค้าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

“แล้วอยู่ๆ ชาร์ปก็มาเล่าให้เหมากับแพทฟังเหรอ”ผมเริ่มสงสัยว่าทำไมแพทดูรู้รายละเอียดค่อนข้างมากทีเดียว ซึ่งก็แปลว่าไอ้เหมาเองก็คงรู้เท่าๆ กัน แต่ทั้งที่ผมกับไอ้เหมาก็เจอกันตลอด แต่มันไม่มีหลุดอะไรมาให้ผมได้รับรู้บ้างเลย

“ไม่ใช่อย่างนั้น เหมาต่างหากที่นิสัยเสียไปถามแกมบังคับให้ชาร์ปเล่า”การที่คุณแว่นยอมเปิดใจเล่าเรื่องระหว่างผมกับเค้าให้เหมากับแพทฟัง เพราะเค้าคิดอย่างที่พูดกับผมเมื่อคืนอย่างนั้นเหรอ แต่คนที่อยากแต่งงานสร้างครอบครัวอย่างเค้าจะยอมทิ้งความฝันนั้นได้จริงๆ เหรอ ผมเองไม่คิดว่าตัวผมเองจะมีความสำคัญมากพอให้เค้าตัดสินใจเลือกแบบนั้น

“เราไม่รู้นะว่าตอนนี้ตี้อะไรอยู่ แต่อะไรที่ทำแล้วตี้มีความสุขก็ทำไปเถอะ ในฐานะเพื่อนคนนึงเราก็แค่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข เท่านั้นแหละ”ผมรู้ครับ รู้ว่าทั้งแพทรวมถึงไอ้เหมาด้วย หวังดีกับผมเสมอ แต่ถ้าผมทำตามใจตัวเอง ผมจะมีความสุขจริงๆ ใช่ไหม

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก แพทหันไปเล่นกับน้องแมท ส่วนผมก็เดินคิดอะไรไปเงียบๆ คนเดียว เราใช้เวลาที่ชายหาดสักพักก็เดินกลับ น้องแมทดูสนุกไม่น้อยเลย เป็นเด็กนี่ก็ดีเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องมาคิดมากกับเรื่องราวในชีวิตแบบนี้

“โหใครโทรมาแต่เช้าขนาดนี้”แพทหันมาพูดแบบไม่ได้จริงจังนักเมื่อมือถือผมส่งเสียงขึ้นมา ผมหยิบขึ้นมาดูก่อนจะส่ายหน้าหน่ายๆ เพราะชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ

“หัวหน้าสุดที่รัก คิดถึงเราทุกครั้งที่เราไม่ไปทำงาน”ผมบอกขำๆ ก่อนแยกกับแพทให้แพทเข้าบ้านไปก่อนเลย

“ครับพี่”ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูไม่รำคาญจนเกินไป ถึงผมจะเบื่อหัวหน้าไปบ้างแต่ผมก็ยังเคารพแกอยู่นะครับ

“ตี้ พี่รบกวนหน่อยพอดีพี่หารายงานการประชุมครั้งล่าสุดไม่เจอ นายจะเรียกคุยเช้านี้ด้วย”นั่นไง คิดแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หัวหน้าผมก็แบบนี้แหละครับกลัวทำอะไรไม่ถูกใจนาย

“เดี๋ยวผม forward e-mail ให้อีกทีครับ”ผมพูดคุยกับแกอีกนิดหน่อยพร้อมบอกว่าถ้ามีอะไรด่วนก็โทรหาผมได้ตลอด นี่บางครั้งก็คิดนะครับ ตกลงใครเป็นหัวหน้า ใครเป็นลูกน้องเนี่ย

หลังจากวางสายผมก็เดินเข้าบ้าน เสียงพูดคุยดังแว่วออกมา มันทำให้ผมหยุดเดิน เพราะบทสนทนาที่คนทั้งคู่กำลังพูดคุยดูจะเรียกความสนใจของผมไม่น้อยเลยทีเดียว

“แม่ก็รอเนี่ยไม่รู้ เมื่อไหร่จะได้อุ้มหลานสักที”เสียงแม่ของคุณแว่นที่กำลังคุยกับแพท จริงสินะตั้งแต่มาถึงที่นี่คุณแม่ก็เอ็นดูน้องแมทเป็นพิเศษ แถมพูดย้ำอีกตั้งหลายครั้งว่ารออุ้มหลานจากคุณแว่น ผมหัวเราะหึ ในลำคอ นึกขำตัวเองตอนที่เดินอยู่ที่ชายหาดกับแพท ผมเผลอนึกไปว่าผมอาจจะได้เป็นมากกว่าเพื่อนกับคุณแว่น

“แล้วนี่ชาร์ปเค้ามีเกริ่นเรื่องแฟน หรือคนที่คบอยู่ให้คุณแม่ฟังบ้างไหมคะ”ผมยังคงยืนนิ่งหลบฉากไม่ได้แสดงตัวว่าเข้ามารับฟังบทสนทนาระหว่างคุ๊แม่กับแพท

“แม่ก็ไม่อยากกดดันเค้าหรอก แต่ก็ตามประสาพ่อแม่เนอะ อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา มีคนที่อยู่ด้วยกันดูแลกันไป สร้างครอบครัวด้วยกัน มีหลานมาให้แม่ช่วยเลี้ยง ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่มันก็มีเท่านี้แหละ แม่ว่าแพทก็เข้าใจแหละจริงไหม อย่างตอนนี้แพทเลี้ยงน้องแมทมาก็คงอยากเห็นเค้าเติบโต ไปเจอสิ่งที่ดีๆ จริงไหม”ผมคิดว่าผมเข้าใจสิ่งที่คุณแม่พูดนะครับ และคุณแว่นเองก็คงไม่ได้คิดจะทำให้แม่ของเค้าต้องผิดหวัง ส่วนผม ผมก็คงต้องอยู่ในที่ที่ผมควรอยู่

“นี่แม่ก็ยื่นคำขาดไปแล้วว่าถ้าชาร์ปไม่พาแฟนมาแสดงตัวสักที แม่จะเลือกให้แล้วเนี่ย”เสียงหัวเราะของหญิงสูงวัยมันเจือไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้พูดถึงลูกชายคนเดียวอย่างคุณแว่น แล้วผมจะเก็บเอาคำพูดที่คุณแว่นพูดออกมาหลังมีอะไรกันแบบนั้น มาเป็นตัวที่อาจจะสร้างความเสียใจให้กับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง คำพูดของคุณแว่นเมื่อคืนมันอาจแค่ออกมาเพาะอารมณ์อ่อนไหว หรือเผลอไปกับสิ่งที่เรามอบให้กัน ชั่วครั้งชั่วคราวแค่นั้นก็เป็นได้

“อ้าวตี้ หัวหน้าโทรมาทำอารมณ์บูดอีกแล้วเหรอ หน้าเครียดเชียว”แพทหันมาพูดกับผมที่เพิ่งเดินเข้ามาให้เห็น

“ต้องบินกลับกรุงเทพฯ ด่วนนะ”ผมบอกหน้าเครียด มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อ ยิ่งผมตัดใจได้เร็วเท่าไหร่มันก็น่าจะยิ่งดีกับผมเอง ที่จริงผมก็ฝืนหัวใจตัวเองมาได้ตั้งเป็นปี ผมก็ยังอยู่ได้ แค่ผมจะทำมันอีกครั้งทำไมผมจะทำมันไม่ได้ แต่ครั้งนี้ผมคงไม่ดึงใครเข้ามาข้องเกี่ยวอีกแล้ว เพราะการฝืนใจไม่รักใครก็คงมีแค่ตัวเราเองที่เจ็บ แต่การฝืนใจตัวเองให้รักคนอื่นมันคงมีผลกระทบตามมาอีกมากมาย

ผมเป็นคนเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ผมก็คงต้องเป็นคนยุติมันเสียที ถ้าในวันนั้นผมไม่เผลอตัวไปตามอารมณ์จนมีอะไรกับคุณแว่นในวันนั้น หรือไม่พยายามฝืนหัวใจตัวเองเพื่อจะรักอรรถ เรื่องราวทุกอย่างมันก็คงไม่เลยมาไกลขนาดนี้ โดยเฉพาะอรรถ ผมเองก็รู้สึกดีกับเค้ามากนะครับ และผมก็เคยคิดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับเค้าไปได้ตลอด

“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอลูก เพิ่งมาถึงยังไม่ทันเที่ยวเลย งานอะไรจะด่วนขนาดนั้น”คุณแม่หันมาหาผมอย่างเสียดาย ผมยิ้มแห้งๆ ให้ทั้งคุณแม่แล้วก็แพท

“เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าก่อนนะครับ เดี๋ยวไม่ทันไฟลท์เช้านี้”ผมบอกพร้อมแยกตัว ตรงไปยังห้องพัก ผมเปิดประตูอย่างเบามือ เค้ายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอน ผมเดินเข้าไปมองเค้าใกล้ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันไหลออกมาซะงั้น ผมค่อยๆปาดน้ำตาที่ไหลออกมา พยายามกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้มันออกมามากกว่านี้ ผมเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของเค้าอย่างเบามือที่สุด ไม่อยากจะให้เค้ารู้สึกตัว

“เรารักชาร์ปนะ”ผมบอกออกไปแผ่วเบา ก่อนจะดึงมือกลับ ผมมองใบหน้าที่ยังหลับตาพริ้มนั้นอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋า โชคดีที่ผมยังไม่ได้หยิบอะไรออกมาจากกระเป๋ามากนัก เลยใช้เวลาในการจัดการเพียงไม่นาน ผมทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดเพราะไม่อยากให้อีกคนตื่นขึ้นมาเจอ

“มันด่วนขนาดนั้นเลยเหรอตี้”แพทถามย้ำกับผมอีกครั้งอย่างไม่ค่อยจะเชื่อผมสักเท่าไหร่ ผมพยักหน้ารับพร้อมตอบอย่างเลี่ยงๆ เพราะผมเองก็รู้ดีว่ากำลังโกหกอยู่

“งั้นเดี๋ยวแม่เรียกเด็กให้ไปส่งที่สนามบินนะ แต่น่าเสียดายชาร์ปยังไม่ได้พาเที่ยวเลย”คุณแม่เข้ามาบอกกับผม

“ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ คงได้มาอีก”แม้ผมไม่คิดว่าจะมาที่นี่อีกแต่การโกหกให้ผู้ใหญ่สบายใจมันก็ดีกว่า จริงไหมครับ คุณแม่เดินไปหยิบโทรศัพท์โทรเรียกให้คนมาพาผมไปสนามบิน เหลือเพียงผมกับแพท แพทเดินเข้ามาหาผมด้วยสายตาจับผิดอย่างเห็นได้ชัด จนผมเองต้องหลบสายตา

“กลับไปเพราะเรื่องงานจริงๆ ใช่ไหม”คำถามที่ออกจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่ ผมก็ได้แต่ยืนยันกลับไปว่าเพราะเรื่องงานจริงๆ อีกอย่างแพทก็เห็นว่าหัวหน้าผมโทรมาจริงๆ ซึ่งผมใช้จุดนี้มาช่วยยืนยันได้ แม้จะพอรู้ว่าถ้าไอ้เหมาตื่นขึ้นมา มันต้องโทรหาหัวหน้าผมเพื่อเช็คเรื่องนี้แน่นอน เพราะงั้นก่อนขึ้นเครื่องผมก็คงต้องโทรไปให้พี่เค้าช่วยอะไรผมสักหน่อยแล้วละ

“เคยได้ยินที่เค้าพูดกันไหมตี้ มีอยู่คำๆ นึงที่เค้าว่ากันว่าถ้าเราไม่ยอมลงสนามแข่งเราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่ถ้าเราลงแข่งแม้โอกาสจะมีแค่ 1% มันก็ยังมีโอกาสจริงไหม”บางทีแพทก็ดูจะคาดเดาอะไรได้ดีจนเกินไป

“เราแค่ต้องกลับไปทำงานนะแพท ไม่มีเรื่องอื่น”ผมย้ำอีกครั้งด้วยการโกหก

“ถ้าเพราะงานจริงๆ ก็เดินทางปลอดภัยนะ ถึงแล้วก็ส่งโทรมาบอกคนทางนี้ด้วย เสียดายนะเนี่ย นึกว่าจะได้เที่ยวด้วยกัน”ผมบอกลาทั้งแพท น้องแมทและแม่ของคุณแว่น ก่อนจะขึ้นรถและไกลจากตรงนั้นออกมาเรื่อยๆ ผมตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม นี่คือคำถามที่ผมกำลังหาคำตอบให้กับตัวเอง อย่างที่แพทบอกผมคงยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มสินะ





TBC

จะจบอยู่แล้วก็ยังไม่มีใครลงเอยกันเสียทีเนอะ

อย่าเพิ่งถอนหายใจกันนะครับ 5555 อีก 3 ตอนก็จบแล้ว อดทนอ่านกันอีกนิด

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 27-01-2017 17:19:51
ขอให้ตี้สมหวังซักที
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-01-2017 17:51:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-01-2017 18:37:22
โอยยยยย.   อีก3 ตอนๆๆๆๆๆๆ อึบไว้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-01-2017 18:53:51
ตี้ คิดดีๆ อย่าให้เรื่องเก่าๆมาหลอน
ถามตัวเองอย่างที่แพท บอกตี้ก็ดีนะ
ทำตามหัวใจบอก
อะไรที่ทำให้ตี้มีความสุขกันแน่
คุยกับชาร์ปให้รู้เรื่อง
อย่ายอมแพ้ โดยที่ไม่ได้ต่อสู้เลยสักนิด
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-01-2017 20:17:16
  แค่ได้ยินที่แม่ชาร์ปพูด ตี้ก็ยอมแพ้เลยเหรอ เป็นใครได้ยินแบบนี้ก็คิดแบบตี้ล่ะ
  รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 27-01-2017 20:20:07
ตี้ดูอ่อนแอ ขี้ขลาดแบบนางเอกยุคเก่าอะ บางทีก็น่าเบื่อไปนะ
ทีบางเรื่องนางเอกแร๊ง แรง มาเจอนางเอกเรื่องนี้  :angry2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-01-2017 20:56:37
เราเข้าใจตี้นะ ที่ตัดสินใจแบบนี้เรื่องชาร์ป
เพราะชาร์ปไม่ได้บอกชัดเจน ไม่ได้มีการยืนยัน
ถ้าชาร์ปยืนยันว่ารักตี้และเลือกตี้ ้ชื่อว่าอย่างตี้ไม่ถอยหรอก
ขนาดกับอรรถแค่รู้สึกดีด้วย ตี้ยังยอมสู้ ยอมให้โอกาศตัวเอง และให้โอกาศอรรถ(เลวด้วย) ได้ศึกษาได้คบหากันมาปีๆ เพื่อให้แฟนเก่าอย่างหนุ่ย(นี่ก็แอบเลว)มาสร้างไฟเก่าเลย จะดีมากถ้าแฟนเก่าหนุ่ยอีกคนมาพัวพัน
รู้สึกรังเกียจอรรถมากมาย รองลงมาคือหนุ่ย ชิส์
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 27-01-2017 21:49:35
มันก็น่าคิดน่าลังเลหรอก ถ้ามีกันแค่สองคนโลกนี้ก็คงง่าย คือตี้ก็คิดมากอยู่ละเจอแม่เข้าไปอีกยิ่งคิดมาก
รวมกับนิสัยชาร์ปที่ผ่านมา

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-01-2017 22:37:28
ให้โอกาสกับตัวเองเหอะตี้
เท่ากับว่าให้โอกาสกับชาร์ปไปด้วย

สู้เหอะนะ
อย่าไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 28-01-2017 04:42:44
เป็นเราๆก็ไม่กลับไปหาชาร์ปอีก
ชาร์ปไม่ชัดเจนเลย
กับแม่ก็ยังไม่บอก
แม่ถึงยังไม่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นยังไง
ไ่ม่ก็รู้แต่ตีเนียนค่อยๆกำจัดอึปสรรคไปงั้นแหละ
รักและเอ็นดูในฐานะเพื่อนลุกไม่เหมือนกับมารักาเอ็นดูในฐานะสะใภ้นะ
ชาร์ปต้องเคลียร์ตัวเองก่อนที่จะมาตามตี้
ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนามบางทีมันคุ้มค่ากว่าการลงสนามไปสู้แบบหน้ามืดตามัวนะ
ถึงกลับมาคบกันตราบใดที่ชาร์ปไม่เคลียร์ตัวเองก็ไม่มีค่าอะไรเลย

อยากให้อรรถกลับไปคบกับแฟนเก่านะ
แล้วระหว่างที่มีกำลังอยู่ด้วยกันขอให้นึกออกขึ้นมาว่าตัวเองเคยรักตี้ขนาดไหน
แล้วตัวเองเป็นคนผลักไสตี้ออกไปจากตัว

มาอิหรอบนี้อยู่คนเดียวไปเรื่อยๆก็ไม่แย่นักหรอกตราบใดที่ตัวเลือกที่มีอยู่ยังเป็นของต่ำคุณภาพแบบนี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-01-2017 14:16:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 28-01-2017 17:19:27
เอาเถอะ จะทำอะไรก็เอาเลย

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: Newtun_td ที่ 29-01-2017 02:18:17
เมื่อไหร่สองคนนี้จะมีความสุขสักทีนะ สงสารอ่ะ ไอ้เราอ่านไปเศร้าไป คือจริงจังมากคะ เหอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 27 ยอมแพ้ 27-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-01-2017 02:15:49
PART II บทที่ 28
เปิดใจ

Party's Part




“มึงรับโทรศัพท์กูเลยนะ พี่วิชาญสารภาพแล้วว่ามึง ไม่ได้ไปทำงาน”ผมจ้องมองข้อความจากโปรแกรมสนทนา ที่จริงก็คิดนะครับว่าอยากปิดเครื่องไปให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่คิดดูดีๆ ยังไงผมก็ต้องเผชิญกับความจริงเข้าสักวันแหละครับ เพียงแต่วันนี้ผมยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับอีกคนแค่นั้นเอง ผมรู้ครับว่าผมหนีไปไม่ได้ตลอด

“อือ”ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เพราะถ้าไม่รับ ไอ้เหมาคงไม่ยอมปล่อยผมอยู่อย่างสงบเป็นแน่ ตอนนี้ผมถึงกรุงเทพฯ แล้วยังไงซะ มันก็คงยังไม่ตามมาคาดคั้นอะไรผมถึงนี่ตอนนี้หรอกครับ

“มึงเป็นไรวะ”เสียงของไอ้เหมาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทั้งที่ทีแรกผมนึกว่ามันจะด่าผมเสียอีก เพราะเห็นโทรกระหน่ำมาทั้งตัวมันเองและก็คุณแว่นด้วย

“ขอเวลากูอีกนิดนะ ตอนนี้กูอาจจะกำลังอ่อนแอเกินไปที่จะเผชิญกับทุกอย่างได้”ผมตอบออกไป แต่เลี่ยงที่จะพูดตรงๆ และคิดว่ามันก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกเพราะมันก็รู้เรื่องราวระหว่างผมกับคุณแว่นแล้ว

“มึงรู้แล้วใช่ไหมว่าเรื่องระหว่างมึงกับไอ้แว่น...”

“อือรู้แล้ว”ผมไม่ปล่อยให้มันพูดจนจบเพราะยังไม่อยากคุยเรื่องนี้สักเท่าไหร่

“แล้วนี่อยู่บ้านแล้วใช่ไหม”

“เปล่า กูมาหาแม่”ผมบอกออกไปตามตรง เวลาไม่สบายใจแบบนี้ผมก็ชอบมาที่นี่ครับ ไม่รู้ทำไมเวลามาทีไรผมก็ดีขึ้นทุกครั้ง สงสัยเพราะที่นี่มีแม่ผมอยู่

“อะไรนี่มึงถึงจะขนาดจะฆ่าตัวตายเลยเหรอวะ”ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ นี่ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ผมคงตบหัวมันไปแล้ว แต่ก็รู้แหละครับว่ามันพูดไปเพื่อให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“คิดแล้วใช่ไหมที่พูดเนี่ย กูแค่มาวัด”

“อ้าวก็แม่มึงเสียแล้ว กูก็นึกว่ามึงคิดมากจนอยากไปอยู่กับแม่แล้วซะอีก”ดูมันครับ ก็ยังจะกวนผมอีก

“ไม่ตลก”ผมตอบกลับมันเสียงเรียบ บ่งบอกว่าไม่มีอารมณ์เล่นกับมันสักเท่าไหร่

“เออๆ กูไม่กวนแล้วก็ได้ แต่มึงก็อย่าเพิ่งคิดมากละ อยู่ๆ หนีกลับแบบนี้อย่ามาโกหกกูว่าไม่มีอะไร ถ้าสบายใจหรืออยากเล่าอะไรเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใคร มึงก็เหมือนคนในครอบครัวกูคนนึงนะไอ้น้องชาย”เกือบดีแล้วแล้วครับถ้ามันไม่หัวเราะตอนท้ายเนี่ย ผมขอบใจมันก่อนจะวางสายไป

ผมเดินตรงไปยังจุดที่คุ้นเคย สุดท้ายก็มาหยุดยืนมองรูปของแม่ผม แม่ยังคงยิ้มให้ผมทุกครั้ง นี่ถ้าแม่ยังอยู่ก็คงดี แม่คือคนที่รับฟังและเข้าใจผมในทุกเรื่อง

“ผมควรทำยังไงต่อไปดีครับแม่”ผมนึกถึงวันเก่าๆ ที่เรามีกันสองคนแม่ลูก นี่ถ้าแม่ยังอยู่แม่คงมีคำแนะนำดีๆ ให้กับผมบ้าง ผมค่อยๆ ทรุดนั่งลงคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง จากนี้ไปผมควรต้องไปจัดการสะสางกับปัญหาทุกอย่างให้มันจบเสียที การได้มาไหว้แม่นี่ผมว่าที่ทำให้ผมสบายใจขึ้น อีกส่วนนึงอาจเป็นเพราะที่นี่มันเงียบสงบและทำให้ผมได้มีเวลาคิดทบทวนทุกอย่างมากขึ้นนั่นเอง ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดจนเกือบลืมเวลา นี่ผมนั่งอยู่ที่วัดจนเย็นเลยเหรอเนี่ย คงถึงเวลากลับแล้วสินะ พอกลับมาถึงรถที่จอดไว้ผมก็ต้องตกใจเพราะคนที่ผมอุตส่าห์ หลบหน้าเค้ากลับมากรุงเทพฯ กลับมายืนอยู่ที่ข้างรถผม

ผมสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาเค้า ในเมื่อเค้ามองเห็นผมแล้ว จะให้หลบอีกมันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็คิดไว้นะครับว่าต้องเผชิญหน้ากับเค้าสักวัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องเดาว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่ เพราะคนที่รู้ว่าผมอยู่นี่ก็มีแค่ไอ้เหมาแค่คนเดียว

“เราต้องคุยกัน”เค้าเอ่ยทันทีที่ผมเดินมาหยุดตรงหน้าเค้า ผมมองก้นบุหรี่ที่อยู่บนพื้นตรงที่เค้ายืน ดูจากปริมาณก้นบุหรี่แล้วแสดงว่านี่เค้ายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว การที่เค้าลงทุนบินตามผมมาขนาดนี้ เพียงเพื่อต้องการมาคุยกับผมเท่านั้นเหรอเนี่ย ผมสำคัญขนาดที่เค้าต้องรีบตามมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ

“เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านนะ คุยกันไปบนรถก็ได้”ผมกำลังจะไปเปิดประตูรถแต่โดนเค้าฉวยคว้าข้อมือผมไว้

“ตี้คิดยังไงกับเรา”เค้าจ้องมองที่ผมด้วยสายตาแน่วแน่ จนผมต้องหลบสายตานั้น นี่เค้ารักผมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ แต่คำพูดที่ผมได้ยินคุณแม่ของเค้าคุยกับแพทก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผม และคำพูดเหล่านั้นก็ยังย้ำเตือนกับผมว่าผมควรจะทำยังไง

“เราคิดยังไงมันไม่สำคัญหรอกชาร์ป ยังไงเรื่องระหว่างเรามันก็คงไปไกลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับเค้าพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทำไมละ”

“ข้อแรกนะเรากับอรรถยังไม่ได้จบกัน”ผมไม่ได้โกหกเพราะระหว่างผมกับอรรถเราก็ยังไม่ได้เคลียร์กันอย่างเด็ดขาด แม้ผมจะคิดเอาไว้ว่าคงต้องรีบไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยและผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับไปคบกับอรรถอีก แต่อย่างน้อยอรรถก็ยังเป็นตัวช่วยให้เรื่องระหว่างผมกับคุณแว่นให้จบได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

“งั้นไป”เอาดึงกุญแจรถจากมือผมก่อนจะขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับโดยไม่พูดอะไรอีก ผมตามขึ้นรถไปอย่างงงๆ แต่พอรถวิ่งออกจากวัดได้ไม่นานผมก็พอรู้แล้วว่าเค้าตั้งใจจะไปไหน

“คิดจะทำอะไรเนี่ย”ผมเริ่มร้อนใจเพราะคิดว่านี่มันอาจทำให้เรื่องราวยิ่งไปกันใหญ่

“ไปบ้านคุณอรรถไง ไปบอกกับเค้าว่าที่จริงตี้รักเราไม่ได้รักเค้า”ผมหันควับมองหน้าเค้าทันทีกับสิ่งที่เค้าพูด นี่เค้ามั่นใจได้ยังไงว่ามันเป็นอย่างที่เค้าพูดออกมาก

“เราบอกตอนไหนว่าเรารักชาร์ป”เค้าเหยียบเบรคจนผมเกือบหัวทิ่มทันทีที่ผมพูดจบ เค้าหันมามองผมด้วยสายตาไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่

“หรือตี้จะบอกว่าไม่ได้รักเรา พูดมาสิว่าไม่ได้รักเรา พูดออกมาจากใจจริงๆ โดยที่ไม่ได้หลอกตัวเอง”เค้าออกรถอีกครั้งเมื่อผมเงียบแทนที่จะตอบคำถามของเค้า ผมหันหน้ามองทางอื่น ก่อนจะพูดออกมาลอยๆ

“บางทีคนเราก็ไม่ได้เลือกคนที่ตัวเองรักมากที่สุดหรอกนะชาร์ป”เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนรถมาจอดที่หน้าบ้านของอรรถ คุณแว่นเป็นคนลงไปกดกริ่งหน้าบ้าน ไม่นานนักอรรถก็ออกมาเปิดประตูให้เราทั้งคู่ อรรถเองก็ดูสงสัยไม่น้อยว่าทำไมทั้งผมและคุณแว่นถึงมาบ้านเค้าพร้อมกันแบบนี้

“เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ”หลังทักทายแล้วเข้ามานั่งเผชิญหน้ากันในห้องรับแขก คุณแว่นก็เป็นคนเริ่มเปิดบทสนทนา

“ผมรักตี้ และก็มั่นใจว่าตี้เองก็รักผม เพราะงั้นคืนเค้าให้ผมนะครับ”

“ชาร์ป”ผมเรียกเค้าเสียงดังจนเกือบจะตวาด เพราะตกใจกับสิ่งที่เค้าพูด ผมไม่คิดว่าเค้าจะมาพูดอะไรแบบนี้กับอรรถ

“หึ เรื่องนั้นผมว่าผมเองก็พอจะทราบแล้วแหละครับ แต่ไม่นึกว่าคุณชาร์ปจะบุกมาบอกกับผมถึงนี่”ผมว่าตอนนี้บรรยากาศมันชักจะกระอักกระอ่วนเสียแล้ว

“ชาร์ปไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม ขอเราคุยกับอรรถตามลำพังสักเดี๋ยว”คุณแว่นหันมามองผมอย่างไม่เข้าใจ และไม่ค่อยเต็มใจที่จะออกไปรอผมข้างนอก แต่ผมก็ขอร้องจนเค้ายอมออกไปรอข้างนอกจนได้ เพราะผมว่าถ้าปล่อยให้คุณแว่นพูดต่อมันคงไม่ดีแน่

“จบจริงๆ แล้วสินะ”อรรถบอกกับผมเสียงแผ่วพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ

“ขอโทษที่วันนี้มารบกวนแบบนี้นะ”ผมกล่าวขอโทษจากใจจริงๆ เพราะวันนี้อยู่ๆ ก็โผล่มากะทันหัน อีกอย่างจากคำพูดของคุณแว่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดกับอรรถอยู่ไม่น้อยเลย

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วแหละ อรรถเข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่จริงระหว่างเราสองคนมันอาจจะเป็นแค่เรื่องผิดพลาดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”เค้าพูดมาขนาดนี้ทำเอาผมเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันแหละครับ

“มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดหรอก การที่เราตัดสินใจเลือกอรรถเพราะตอนนั้นเราคิดทบทวนดีแล้ว และตั้งใจจะใช้ชีวิตกับอรรถไปจนแก่เฒ่า อรรถเองก็เป็นแฟนที่ดีมาตลอดในช่วงที่เราคบกัน เรามีความสุขนะที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกับอรรถ”ผมบอกเค้าจากใจจริง

“ขอบคุณนะที่เคยให้โอกาสอรรถ แต่ตอนนี้เราทั้งคู่ก็เห็นแล้วว่าผลมันเป็นยังไง กับสิ่งที่เราทั้งคู่เลือก”นั่นสินะ ผมเลือกเค้าทั้งที่ตอนนั้นก็ยังมีอีกคนอยู่ในใจ ส่วนเค้าก็เลือกผมทั้งที่รู้ว่าในใจผมเป็นยังไง จากนี้ไประหว่างเราสองคนก็คงเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้นสินะ เค้าเดินออกมาส่งผมที่หน้าบ้านซึ่งทีอีกคนที่รอผมอยู่

“คุณชาร์ปครับ ผมคงคืนตี้ให้คุณอย่างที่ขอไม่ได้”คุณแว่นชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินอรรถพูดแบบนั้น แต่อรรถกลับยิ้มบางๆ ให้เราทั้งคู่

“เพราะใจของปาร์ตี้ไม่เคยเป็นของผมเลย ในใจเค้ามันเป็นของคุณมาตลอด”อรรถยิ้มให้พวกผมอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป ผมกับคุณแว่นก็กลับขึ้นรถ เค้ามองหน้าผมพร้อมยิ้มกว้าง แต่ผมยังคงนิ่งเฉย

“สรุปตี้รักเราใช่ไหม บอกให้เราฟังชัดๆอีกทีได้ไหม”เค้าถามผมยิ้มๆ ผมหันมองเค้าและเพียงส่งยิ้มจางๆ กลับไป

“เรารักชาร์ปนะ แต่ระหว่างเราสองคนมันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ เราดีใจที่ได้ยินชาร์ปบอกว่ารักเราเหมือนกัน แต่ถ้าวันนึงเกิดชาร์ปอยากแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก ถ้าวันนั้นมาถึงระหว่างเรามันก็ต้องจบอยู่ดี แล้วจะให้เรารอเวลานั้นมาถึงเหมือนรอระเบิดเวลาอย่างนั้นเหรอ สู้เรายอมหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้มันน่าจะดีกว่า”ผมบอกสิ่งที่อยู่ในใจให้เค้ารับฟัง อยากให้เค้าเองคิดทบทวนให้ดี ว่าเค้าตัดสินใจถูกแล้วหรือยัง ผมเองก็ไม่อยากถลำลึกไปมากกว่านี้อีกแล้ว หากเค้ายังไม่มั่นใจกับเป้าหมายในชีวิตของเค้า

“ตี้ฟังเรานะ”เค้าจอดรถ เอื้อมมือมากุมมือผมไว้

“ถึงเราจะเคยคิดอยากมีลูก อยากมีครอบครัว ซึ่งมันคือกรอบที่เราเคยยึดติดเท่านั้นเอง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าชีวิตต้องการอะไร เราอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับตี้นะ ถ้ายังไม่เชื่อหรือไม่มั่นใจในตัวเรา ตี้ลองคิดดูนะว่าตั้งแต่เราถอนหมั้นกับน้องปลาเราไม่เคยมองใครหรืออยากจะคบกับใครอีกเลย ตี้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราเป็นแบบนั้น”เค้าหยุดพูดและโน้มหน้าเค้ามาหาผม ใบหน้าผมถูกเค้าประคองและดึงเข้าไปหา ริมฝีปากเค้าประกบลงมาที่ริมปากของผมอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล

“เพราะตี้ไงละ”เค้าถอนริมฝีปากออก พร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของผม

“แล้วพ่อกับแม่ชาร์ปละ ท่านรับได้เหรอที่ลูกชายคนเดียวของพวกท่านจะมารักกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้”ชีวิตมันไม่ได้มีแค่ผมรักเค้า เค้ารักผมเสียเมื่อไหร่กันละ ชีวิตเรามันยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อีกมากมาย และส่วนประกอบที่สำคัญของเค้าตอนนี้ก็คือครอบครัว ครอบครัวที่คงคาดหวังกับการได้เห็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ได้แต่งงานสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ก่อนจะเป็นผู้ดูแลสืบทอดกิจการที่มีอยู่

“เราอาจจะยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่ตรงๆ ว่าเราคิดกับตี้ยังไง แต่การที่เราบินตามตี้มาแบบนี้ทั้งพ่อและแม่เราคงเริ่มสงสัยแล้ว เราอยากให้ตี้เชื่อใจ และมั่นใจในตัวเรา ตี้กลับไปภูเก็ตกับเราได้ไหม เราจะพาตี้ไปไหว้พ่อกับแม่อีกครั้งในฐานะแฟนของเรา”ผมก็อยากมั่นใจในตัวเค้านะครับ เพราะตอนนี้ใจผมมันเริ่มลดกำแพงที่เคยตั้งไว้ลงแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของเค้าเสียใจ

“แล้วถ้าพ่อกับแม่ชาร์ปไม่ยอมรับเรื่องนี้”ผมถามออกไปอย่างกังวล

“เรามั่นใจนะว่าพ่อกับแม่เรามีเหตุผลมากพอ และพร้อมจะรักคนที่เรารักด้วย”เค้าตอบมาอย่างมั่นใจ ทำให้ผมเริ่มคิดหนักว่าจะเอายังไงดี

“ตกลงกลับไปภูเก็ตกับเรานะ”เค้าเร่งเร้าเมื่อเห็นผมยังคงนิ่งเงียบ เรื่องนี้ถ้ามันจะผิดก็คงผิดที่ผมเองนี่แหละ ที่ดันเผลอใจไปรักเค้า และผมก็บังคับใจของตัวเองไม่ได้ แม้จะอยากทำตามเหตุผลว่าควรจบเรื่องนี้เสียตรงนี้ ทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง แต่ผมกลับพยักหน้าตอบตกลงที่จะไปภูเก็ตกับเค้าอีกครั้ง





TBC

เหลืออีก 2 ตอนก็จะจบแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจมาตลอดนะครับ

ตอนหน้าก็ลุ้นกันว่าพ่อแม่คุณแว่นจะว่าไง

ปล.ถ้าตี้จะยอมกลับไปง่ายขนาดนี้ จะหนีมาทำไมตั้งแต่แรก 555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-01-2017 02:45:24
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-01-2017 05:16:14
ใจตี้คงตกตะกอนแน่ชัดว่า ตี้รักชาร์ป /ชาร์ปรักตี้
อยู่กับชาร์ปแล้วมีความสุข
เพียงแต่ไม่มั่นใจเรื่องพ่อแม่ชาร์ป
จะยอมรับเรื่องนี้ ยังอยากได้หลาน
ตี้ ก็กล้าๆ เผชิญปัญหาไปเลย
มีเจ้าตัวปัญหา เป็นหัวหอกนำทาง
ที่พร้อมที่จะสู้ด้วยกัน
คนอ่าน อยากเห็นชาร์ป ตี้ หวานๆ สดชื่นซะที
(แฮ่......จริงๆ อยากอ่าน NC กร๊ากกกกก)
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 31-01-2017 06:24:30
รอลุ้นที่บ้านว่าไง


 :z10:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-01-2017 12:40:30
เสียดายค่าเครื่องบิน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 31-01-2017 13:11:15
ทำเป็นพูดดีไปนะอรรถ จริงๆคงบิงโลดอยู่ล่ะซิ

รอลุ้นว่าความสุขของตี้อยู่ที่ไหนกับใคร
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 31-01-2017 14:17:43
  คุณแว่นก็ทำได้ดี จะดีมากๆก็ตอนที่พาตี้ไปหาพ่อแม่ว่าพวกท่านจะทำยังไง ยอมรับตี้ได้มากแค่ไหน
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-01-2017 16:46:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-01-2017 23:03:13
ทำเป็นพูดดีไปนะอรรถ จริงๆคงบิงโลดอยู่ล่ะซิ

ฮ่าฮ่า คงจะเกลียดไอ่นี่ฝังหุ่นเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่า..หนุ่ยมาอยู่อย่างถาวรแล้ว แต่บังเอิญนอนพักอยู่ในห้องนอนเลยไม่ได้ลงมาให้เห็นตัว

จริงดิ อรรถ ใช่เหรอ เป็นคนดีขนาดนี้เลย
ทำเป็นคนเข้าใจง่าย เหมือนเป็นคนดี แต่กลับโยนความผิดให้

หุหุ ที่แท้ก็..เหี้ยยยยยยยยย ชนิดแรร์ไอเท็ม

เสี่ยงเป็นเสี่ยงกันไปเลย
ดูดิว่าพ่อแม่จะรับได้มากน้อยแค่ไหน

บอกไปเลย..ยังไงก็จะคบกัน
นะจ๊ะ พ่อแม่
อิอิ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 31-01-2017 23:13:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 01-02-2017 15:41:05
ในทีสุดก็ลงตัวซะที(รึป่าว?)
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-02-2017 15:44:57
มาอ่านยาว ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 01-02-2017 21:12:20
เอาใจช่วยทั้งคู่เลยฮะ ขอให้ทางสะดวก

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 28 เปิดใจ 31-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-02-2017 15:45:26
PART II บทที่ 29
สุขสม


Party's Part


ทั้งพ่อและแม่ของคุณแว่นนั่งเงียบไม่พูดอะไรเลยหลังจากที่คุณแว่นพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จบ คุณพ่อนั่งนิ่งใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา ส่วนคุณแม่มองพวกผมสองคนสลับกันไปมาก่อนจะหันไปมองคุณพ่อ อย่างตัดสินใจ

“ขอแม่คุยกับตี้ตามลำพังได้ไหม”คุณแม่พูดขึ้นเสียงเรียบ เรียบจนยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คุณแว่นหันมามองผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบมือผมเบาๆ ผมพยักหน้าให้เค้าว่าไม่เป็นไร เพราะเค้าดูกังวล แถมดูเหมือนไม่อยากให้ผมอยู่ลำพังกับแม่เค้าสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายคุณแว่นก็ต้องเดินเลี่ยงออกไปพร้อมกับคุณพ่อ

“ตี้คิดดีแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจจะคบกับลูกชายแม่”คุณแม่ถอนหายใจก่อนยิ้มจางๆ และพูดออกมา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นบ้าง

“ครับ”ผมตอบรับสั้นๆ

“คงถึงเวลาที่แม่ต้องยอมรับจริงๆ สินะ”ผมชักเริ่มงงๆ กับสิ่งที่คุณแม่กำลังจะพูด

“แม่รู้ตั้งแต่ที่ชาร์ปเค้าถอนหมั้นกับปลาแล้วแหละ ทีแรกก็แค่อยากรู้ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้ลูกชายแม่ดูสับสน ทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนั้นลงไป ก็เลยลองสืบดูว่าใครทำให้เค้าเป็นแบบนั้น แต่พอรู้ ทั้งพ่อกับแม่ก็คิดว่ามันคงเป็นแค่อารมณ์สับสนในช่วงชีวิตนึง ทั้งพ่อและแม่เลยแกล้งเป็นไม่รู้เรื่องอะไร แล้วในใจลึกๆ ก็หวังแหละว่าชาร์ปเค้าจะยังแต่งงานมีครอบครัวได้”ผมรับฟังเงียบๆ ไม่คิดว่าที่จริงแล้วคุณแม่ก็รับรู้เรื่องของชาร์ป มานานแล้ว

“แล้วถ้าสมมติว่าแม่ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ตี้จะทำยังไง”ผมเงยหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง ว่าตกลงคุณแม่ต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่

“ผมก็คงต้องพยายามเอาชนะใจคุณแม่ให้ได้ครับ แม้มันจะยากลำบากแต่ผมจะไม่มีทางยอมแพ้อีกแล้วครับ”ผมจะไม่หนีอีกแล้ว ไม่ว่าคุณแม่จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

“รักชาร์ปจริงๆ ใช่ไหม”

“ครับ”ผมยังตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“งั้นก็ดีแล้ว เพราะแม่ไม่อยากเห็นลูกชายแม่เสียใจอีก”

“หมายความว่า...”ยิ่งคุยคุณแม่ก็ยิ่งทำให้ผมสับสนนะครับเนี่ยว่าตกลงคุณแม่จะยอมรับในความรักของผมกับคุณแว่นหรือเปล่า

“สำหรับชาร์ปนะแม่มั่นใจแล้วว่าเค้าคงเลือกตี้แน่นอน เพราะตั้งแต่ย้ายกลับมาอยู่บ้านเค้าก็ไม่เคยสนใจสาวคนไหนอีกเลย ทั้งที่แม่ก็พยายามหามาให้เค้าเลือก นั่นทำให้แม่มั่นใจว่าเค้าคงอยากใช้ชีวิตกับตี้จริงๆ แต่แม่ก็อยากมั่นใจเหมือนว่าตี้จะไม่ทำให้ลูกชายแม่เสียใจ”ผมลุกขึ้นเดินไปหาคุณแม่ใกล้ๆ ก่อนจะพนมมือแล้ววางลงบนตักของคุณแม่

“ผมรักชาร์ปครับ และจะไม่มีวันเลิกรัก ขอบคุณที่คุณแม่ไม่รังเกียจผมนะครับ จากนี้ไปผมขอฝากตัวเป็นลูกของคุณแม่อีกคนนะครับ”ผมบอกไปด้วยน้ำตาคลอๆ มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากที่กังวลว่าพ่อกับแม่ของคุณแว่นจะไม่ยอมรับ ตอนนี้มันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกครับ พอคุณแม่คุยกับผมเสร็จก็เรียกคุณแว่นกับคุณพ่อเข้ามาอีกครั้ง

“ทำไมแม่ไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้ครับ ปล่อยให้ผมทั้งเครียดทั้งกดดันมาตั้งนาน กลัวว่าจะทำพ่อกับแม่ผิดหวัง”คุณแว่นบอกพร้อมเข้าไปกอดคุณแม่หลังจากได้ฟังในสิ่งที่คุณแม่บอกกับผมก่อนหน้า

“แม่เคยบอกแล้วไง ว่าสำหรับแม่ไม่ว่าลูกจะเลือกใคร อยู่กับใครแล้วมีความสุข แม่ก็รักคนที่ลูกรักอยู่แล้ว”ภาพตรงหน้าทำเอาผมน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง นี่ถ้าแม่ผมยังอยู่ก็คงดี แม่คงมีความสุขถ้าเห็นผมได้เจอคนที่ผมรักและเค้าก็รักผม

“แล้วพ่อละครับ โอเคไหมกับลูกสะใภ้คนนี้”คำพูดของคุณแว่นทำเอาผมทำตัวไม่ถูก มันก็เกร็งๆ เหมือนกันนะครับที่มาพูดอะไรต่อหน้าพ่อกับแม่เค้าแบบนี้

“แม่เค้าว่ายังไงพ่อก็ว่างอย่างนั้นแหละ”คุณพ่อบอกยิ้มๆ

“แล้วนี่วางแผนกันไว้ว่าจะยังไงกันต่อ ตี้จะย้ายมาอยู่กับแม่ที่นี่ใช่ไหม”ผมกับคุณแว่นมองหน้ากัน เพราะเราก็ยังไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องนั้นกันเลย

“ยังไม่ได้คุยกันเลยครับ”ผมบอกออกไปตามตรง

“คุณก็อย่าเพิ่งไปเร่งเด็กๆ เค้าเลย ปล่อยให้เค้าค่อยๆ ตกลงกันก่อน”มันดูเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะครับสำหรับผม ถ้าจะต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ไหนจะทั้งเรื่องงาน หรือการใช้ชีวิตต่างๆ อีก

เราพักการตัดสินใจไว้ก่อนเพราะคุณแม่บอกขอฉลองมื้อใหญ่ให้กับผมและคุณแว่น สำหรับมื้อเย็นของวันนี้ ซึ่งนอกจากคุณพ่อ คุณแม่ ผมกับคุณแว่นแล้ว ก็ยังมีไอ้เหมา กับแพท และน้องแมท ที่เพิ่งกลับมาจากการไปล่องเรือ นี่ผมเกือบลืมไปแล้วว่าไอ้เหมายังอยู่ที่นี่

“เดี๋ยวแม่กับพ่อไปพักผ่อนก่อนแล้วกันนะ จะดื่มกันต่อก็ตามสบายแล้วกันนะ”หลังจากบรรยากาศทานข้าวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นผ่านไป พ่อกับแม่ก็แยกตัวไปพักผ่อน แพทก็พาน้องแมทไปนอน เหลือแค่ผมคุณแว่น แล้วก็ไอ้เหมา

“ลงเอยกันสักทีนะพวกมึง กว่าจะรักกันได้ทำเอากูลุ้นแทบตาย”ไอ้เหมายกแก้วขึ้นดื่มพร้อมมองพวกผมอย่างหมั่นไส้ แต่ก็น่าให้ไอ้เหมามันหมั่นไส้อยู่หรอกครับ ก็ไอ้คนข้างๆ ผมนี่ทำหน้าตาระรื่นออกหน้าออกตาเสียเหลือเกิน แล้วยังแขนที่เอื้อมมาโอบผมนี่อีก

“คิดถึงเมื่อก่อนเนอะ ที่เราสามคนนั่งดื่มด้วยกันแบบนี้”ผมอมยิ้มที่นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ นี่เราก็ผ่านเรื่องราวอะไรกันมามากเหมือนกันนะเนี่ย

“เมื่อก่อนที่พอดื่มเสร็จมึงสองคนก็ไปได้เสียกันต่อแล้วไม่บอกกูอะนะ”

“แค่กๆ”คำพูดไอ้เหมาทำเอาผมสำลักเบียร์เลยทีเดียว ไอ้บ้านี่ก็ไม่นึกถึงเวลาอื่นบ้าง ลากลงไปใต้สะดือตลอด

“ทำเป็นสำลักนะมึงไอ้ตี้ นี่กูจะบอกให้ถ้าพวกมึงเล่าให้กูฟังตั้งแต่ตอนนั้น พวกมึงไม่ต้องรอมาจนป่านนี้หรอก กูจัดให้พวกมึงได้กันอย่างเป็นทางการนานแล้ว”ไอ้เหมาพูดอย่างมั่นใจ

“กูก็ได้กันตั้งนานแล้วนะ”ผมเอื้อมมือไปตีคนข้างๆ เบาๆ ก็เล่นพูดอะไรไม่ได้อายเพื่อนเลยหรือไงเนี่ย แต่นอกจากคนข้างๆ นี่จะไม่สำนึกแล้วยังดึงผมเข้าไปหาแล้วหอมแก้มผมอีก

“หมั่นไส้วะ”สิ้นคำพูดไอ้เหมาเราสามคนก็หัวเราะออกมา เราดื่มต่อกันอีกสักพักก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะไอ้เหมาเองต้องตื่นแต่เช้า ไปกับแพทในวันพรุ่งนี้ ส่วนผมวันนี้ถูกย้ายจากห้องนอนแขกมาเป็นห้องนอนของคุณแว่น หลังจากการอาบน้ำที่แสนทุลักทุเล ทีแรกผมเกือบไม่ได้อาบอย่างสงบสุข เพราะอีกคนดื้อจะขออาบพร้อมกันให้ได้

สุดท้ายผมก็ต่อรองอาบคนเดียวจนได้ หลังผมอาบเสร็จระหว่างรอเค้าอาบน้ำ ผมออกมายืนคิดอะไรเงียบๆ ที่นอกระเบียง ผมนึกถึงสิ่งที่แม่ของคุณแว่นพูด ในเมื่อผมตัดสินใจจะคบกับคุณแว่นแล้วผมก็คงต้องคุยเรื่องอนาคตจากนี้กับเค้าให้จริงจัง

“ออกมาทำอะไรตรงนี้”อ้อมแขนที่โอบผมมาจากด้านหลัง พร้อมการเกยคางที่ไหล่ผม ทำให้รู้ว่าอีกคนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“คิดอะไรนิดหน่อย”ผมตอบออกไปเบาๆ ก่อนจะเอียงคอหนี เพราะคนที่โอบอยู่ขบเบาๆ ที่ติ่งหูของผม

“เรื่องที่แม่เราพูดว่าให้ย้ายมาอยู่นี่ใช่ไหม”เค้ากระซิบถามพร้อมแนบหน้ามาถูที่แก้มของผม ผมตอบรับเบาๆ ในลำคอว่าคิดถึงเรื่องที่เค้าเข้าใจนั่นแหละ

“เราไม่ได้ทำให้ตี้ลำบากใจใช่ไหม ถ้าจะขอให้ย้ายมาอยู่กับเราที่นี่ตลอดไป เพราะถ้าตี้ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ เราคงได้หมดตัวแน่ๆ”ผมเอียงคอแนบหน้าไปชิดกับเค้ามากขึ้น ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจว่าถ้าผมยังอยู่กรุงเทพฯ ต่อแล้วเค้าจะหมดตัวได้ยังไง

“ก็เราคงต้องนั่งเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ทุกวันนะสิ อุตส่าห์ได้คบกันจริงๆ สักทีเราก็อยากเจอแฟนทุกวันสิ”เค้าทำเสียงอ้อนๆ บอกกับผม อ้อนเกินไปจนน่าหมั่นไส้

“ขอเวลาสักพักนะ”ผมตอบออกไปตามตรง เพราะอันดับแรกคงต้องเคลียงานก่อน จะให้ผมตัดสินใจแล้วออกปุบปับก็คงไม่ได้

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราว่า”เค้าจับตัวผมให้หันมาเผชิญหน้าก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาที่ผมอย่างแรงโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมเปิดปากรับลิ้นอุ่นๆ ของอีกคนโดยไม่ได้ขัดขืน มือผมถูกจับไปวางที่หน้าท้องของอีกคน ก่อนเจ้าตัวจะพยามยามลากมือผมให้ต่ำลงไปเรื่อยๆ ผมถอนปากออกจะร้องห้าม เพราะนี่เราอยู่กันที่ระเบียง แต่คำพูดผมต้องถูกกลืนลงไปในลำคอเพราะถ้าผมอ้าปากพูดกลัวว่าจะกลายเป็นเสี่ยงอื่นที่ออกไปด้วย

ก็ตอนนี้คนตรงหน้าเล่นกัดลงที่ซอกคอของผม มันไม่ได้เจ็บอะไรเพราะเค้าแค่กัดเบาๆ แต่การที่กัดแล้วลากปลายลิ้นไปตามลำคอผมเนี่ย มันสร้างความปั่นป่วนให้ผมมากเลยทีเดียว ลมหายใจร้อนๆ ของเค้าเป่ารดต้นคอของผม แล้วปากเค้าก็ลากไปงับขบเบาๆ ที่ติ่งหูผม แถมตอนนี้มือของผมก็สู้แรงเค้าไม่ได้โดนลากเข้าไปในกางเกงนอนตัวบางของเค้าเรียบร้อยแล้ว

“มะ..ไม่...ใช่ ตรงนี้”ผมเชิดหน้าขึ้นบอกเสียงสั่น เพราะรู้สึกร่างกายตอนนี้มันร้อนผ่าวไปหมด ทั้งที่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้รับสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ แต่ทุกครั้งสัมผัสของเค้าก็ส่งผลกับผมไม่ต่างกันเลย ผมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านเค้าเลย

“ว่าไงครับ”เค้าแกล้งทำเสียงล้อๆ ผม แต่สายตาที่จ้องมองก็ยังเต็มไปด้วยความปรารถนา แถมไอ้ที่อยู่ใต้กางเกงเค้าที่บังคับมือผมให้กอบกุมไว้นี่ก็ร้อนจนเหมือนจะเผามือผมอยู่แล้ว

“ไม่เอาตรงนี้”ผมก้มหน้าบอกออกไปเสียงแผ่ว ก็นี่มันระเบียงถึงจะไม่ได้เปิดไฟ แต่ผมก็ไม่พร้อมจะนุ่งลมห่มฟ้าหรอกนะครับ

“แล้วจะให้เอาตรงไหนครับเมีย”เค้าดึงตัวผมเข้าหากอดกระชับ สองมือเลื่อนต่ำลงมาขย้ำที่แก้มก้นผมอย่างแรง จนผมต้องมองค้อนที่เค้าแกล้งผม เค้าก้มหน้าลงมาดูดปากกับผมแล้วดันให้ผมเดินเข้าห้องทั้งที่ปากเรายังไม่แยกจากกัน เค้าดันผมจนถึงปลายเตียงก่อนจะผลักผมให้ล้มลงที่เตียงนอน กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทั้งจากอีกคนและจากผมเองยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น ยิ่งเพิ่มความหวาบหวามของผมที่มีมากขึ้นไปอีก

คุณแว่นถอดเสื้อและกางเกงทิ้งลงพื้นอย่างรวดเร็ว ผมต้องเบือนสายตาไปอีกทางรู้สึกเกลียดร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเค้าที่มองมาเหลือเกิน มันเหมือนสายตาของผู้ล่าที่กำลังจะเขมือบผมเข้าไปทั้งตัว เค้าตามขึ้นมาคร่อมบนตัวผมอย่างรวดเร็ว เสื้อตัวบางของผมถูกถอดขึ้นทิ้งไปทางหัวเตียงอย่างง่ายดาย

“อื้อ”ผมส่งเสียงออกมาเบาๆ ทั้งที่ริมฝีปากถูกอีกคนบดขยี้ลงมาอย่างไม่รู้จักอิ่ม แถมด้วยมือของเค้าที่ลากวนอยู่ที่ท้องน้อยของผมแต่ไม่ยอมเลื่อนต่ำลงไปมากกว่านั้น เค้าค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ลากตามลำคอของผมลงมาที่หน้าอก ขบเบาๆที่ยอดอกทั้งสองฝั่งของผม จนต้องบิดตัวด้วยความร้อนรุ่ม มือผมคว้าไปที่ท้ายทอยของอีกคนอย่างหาจุดยึดเหนี่ยว

“คืนนี้ขอกินทั้งตัวเลยนะ”เค้าเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมตาเยิ้ม ผมเม้มปากก่อนจะเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ลิ้นอุ่นๆ ของเค้าลากต่ำลงไปเรื่อยๆ จนถึงท้องน้อย เค้าลากลิ้นวนอย่างอ้อยอิ่งจนผมเริ่มทนไม่ไหว เป็นฝ่ายดึงร่นกางเกงของตัวเองออก เค้าหัวเราะในลำคออย่างพอใจ เมื่อเห็นส่วนอ่อนไหวของผมที่ตั้งตรงขึ้นมา มือหนาของเค้าเอื้อมไปกอบกุมส่วนนั้นของผมไว้ และรูดขึ้นลงช้าๆ

“อ๊ะ..อ๊า”ผมพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ไม่อยากร้องออกมามากนัก และต้องขยุ้มมือทั้งสองข้างกับผ้าปูเตียง เมื่อเค้าเลื่อนลงไปครอบปากลงที่ส่วนนั้นของผม ผมบิดเอี้ยวตัวเพราะความเสียวซ่านที่อีกคนมอบให้ แต่แล้วผมก็เหมือนถูกปล่อยไว้ที่ปากเหวเมื่ออีกคนหยุดขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วขยับขึ้นมามองหน้าผมอย่างไม่น่าไว้วางใจ

“จะกลั้นเสียงไว้ทำไม ถ้ายังไม่ยอมร้องอีกเราจะปล่อยให้ค้างอยู่แบบนี้แหละ”เค้าก้มลงมาบอกผมที่ข้างหู และยังคงนิ่งไม่ขยับทำอะไรต่อ

“อือ”ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ายอมที่จะทำตามเค้าบอก เค้ายิ้มอย่างพอใจแล้วเลื่อนลงไปมอบความสุขให้ผมอีกครั้ง

“ซี๊ด อ่า ชะ...ชาร์ป”ผมครางออกมาอย่างที่เค้าต้องการ และก็เหมือนเค้าจะยิ่งได้ใจดูดเม้มที่ส่วนปลายของผมอย่างแรง ผมต้องงอตัวเพราะความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น มือเอื้อมไปจับที่ผมหน้าของเค้าเพื่อจะดันให้เค้าผ่อนจังหวะลง แต่เหมือนเค้ายิ่งอยากแกล้งผม เค้าดูดกลืนส่วนนั้นของผมลึกลงไปอีก แถมเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นอีก จนผมทนไม่ไหว

“ชาร์ป ยะ...หยุด ก่อน”ผมรีบผลักเค้าออกแต่ก็ไม่ทัน เมื่อผมกลั้นไว้ไม่อยู่ เหมือนเค้าจะดูดกลืนทุกอย่างลงไปจนหมด ผมหอบหายใจอย่างแรง

“กลืนลงไป...ทำ...ทำไม”ผมบอกเสียงสั่นเพราะยังหอบอยู่

“ก็บอกแล้วว่าคืนนี้จะกินทั้งตัว”เค้าบอกกับผมเสียงหื่นๆ แล้วจับขาผมแยกออก นี่เค้าจะไม่ให้ผมได้หายใจหายคอเลยหรือยังไงเนี่ย

“ขอพักก่อนได้ไหม”แม้รู้ว่าคำขอของผมจะไม่ได้ผล แต่ผมก็ยังบอกออกไป

“เราจะทนไม่ไหวแล้ว อย่าทรมานเราเลยนะ”เค้ากระซิบเสียงแตกก่อนจะค่อยๆ แยกขาผมออกอีกเล็กน้อย ผมสัมผัสได้ที่ความร้อนที่จ่อเข้ามาตรงปากทาง ความเจ็บแล่นขึ้นมานิดหน่อยทันทีที่เข้าแทรกตัวเข้ามา และผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเค้าดันเข้ามาในตัวผมอย่างรวดเร็วจนสุด

“เฮ้ๆ ใจเย็นหน่อย มันจุก”ผมโอบคอเค้ารั้งให้ตัวเองขยับลุกขึ้นกอดกระชับเค้าไว้ไม่ให้เค้าขยับตัวอีก เพราะผมยังไม่ชินกับสิ่งที่เข้ามาในร่างกายโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

“มันอดใจไม่ไหวนี่นา เมียอยากทำตัวน่ากินทำไมละครับ”เค้าบอกเสียงพร่า แล้วงับลงที่ไหล่ของผม

“ช้าๆ ก่อนนะ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เช่นกัน เอาจริงๆ นอกจากวันที่ผมมีอะไรกับเค้าวันนั้นก่อนหนีกลับไปกรุงเทพฯ ช่วงก่อนหน้านั้นผมก็ห่างหายกับเรื่องนี้ไปนาน มันเลยทำให้เหมือนรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง

“อ่า..”เค้าครางอย่างพอใจเมื่อเริ่มขยับกายเข้าออกในตัวผม

“แน่นดีเหลือเกิน อ่า”จังหวะเริ่มขยับเร็วขึ้น จนผมต้องจิกเล็บลงที่แผ่นหลังของเค้า ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลง ความเจ็บไม่เหลือแล้วตอนนี้เหลือแต่ความสุขสมที่เกิดขึ้น จนผมเริ่มไม่มีสติ

“อ๊ะ...ตรงนี้ ยะ...อย่า”ผมบอกเสียงสั่นกอดกระชับเค้าแน่น เพราะเค้ากระทุ้งเข้ามาโดนจุดที่ผมแทบจะขาดใจ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เค้ายิ้มร้ายก่อนจะกระแทกซ้ำจุดเดิมเข้ามาให้ผมร้องเหมือนแทบจะขาดใจ ถ้ามีกระจกตอนนี้ให้เห็นใบหน้าของตัวเองหน้าผมคงบิดเบี้ยวไปแล้วแน่ๆ ผมจับต้นแขนของอีกคน จิกเล็บลงไปหวังให้เค้าหยุดทรมานผม แต่คนตรงหน้าที่ตอนนี้มีเม็ดเหงื่อเต็มใบหน้า ยิ้มหื่นๆ อย่างพอใจ แถมไม่ยอมลดจังหวะความเร็วที่กระแทกเข้ามาเลยสักนิด

“พร้อมกันนะครับคนดี”เค้าบอกผมก่อนจะเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนร่างกายส่วนล่างพร้อมจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันตึงเขม็งไปหมด แล้วผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้งทั้งที่ไม่ได้สัมผัสส่วนนั้นของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ความอุ่นวาบในช่องท้องเพราะมีน้ำอุ่นๆ ฉีดตามเข้ามาติดๆ ผมหอบหายใจถี่มองคนที่จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว

“รู้ตัวหรือเปล่าว่าหน้าตาตอนตี้สุขถึงขีดสุดนี่มันเซกส์ซี่สุดๆ ไปเลย”เค้าก้มลงมากระซิบบอกผม โดยที่ไม่ยอมถอนกายออกไป ผมเริ่มได้สติและพยายามผลักเค้าที่ยังทับอยู่บนตัวผมออก

“อะไร เมื่อกี้ยังกอดแน่นอยู่เลย ตอนนี้จะผลักไสกันแล้วเหรอ”เค้ายังคงไม่ขยับตัวและบอกผมด้วยสายตาหื่นๆ

“ขอต่ออีกรอบก่อนได้ไหม”ผมตาโตหลังได้ยินสิ่งที่เค้าพูด แถมไม่พูดเปล่า เพราะผมสัมผัสได้ว่าไอ้ที่ยังอยู่ในตัวผมเหมือนจะยังไม่อ่อนตัวลงสักนิด และเค้าก็เริ่มขยับเข้าออกอีกแล้ว นี่คืนนี้ผมจะได้นอนไหมละครับเนี่ย



TBC

อันดับแรกขอออกตัวก่อนเลย

ว่าไม่ถนัดกับ NC เลยจริงๆ รู้สึกแต่งทีไรมันขัดๆ ดูไม่สมูท

เลยเลี่ยงๆ มาตลอดแทบทักเรื่องที่แต่งเลย จะใส่มานิดๆ หน่อยๆ

ตัดเข้าเพดาน โคมไฟ ตลอด 555 แต่อันนี้อยากให้คุณแว่นกับปาร์ตี้ เค้าสมหวังกัน

ก็เป็น NC กากๆ ไปแล้วกันเนอะ ตอนนี้ก็คงสรุปแล้วว่าจะจบยังไง

อีก 1 ตอนสุดท้ายก็คงไม่หักมุมอะไรแล้ว ก็คงเป็นบทส่งท้ายสรุปความสัมพันธ์ ให้ลงตัวอย่างสมบูรณ์

ก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดเลยนะครับ

ยังไงรอติดตามตอนสุดท้ายด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 02-02-2017 16:47:46
 ในที่สุด.....

:m2:

หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-02-2017 18:25:38
 :hao5:      :mc4:    จุดฉลองเลย ชอบมาก  รออ่านตอนจบคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-02-2017 18:50:33
ในที่สุดก็ถูกที่ถูกทางซะที
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 02-02-2017 20:08:43
คุณพ่อคุณแม่ชาร์ปน่ารักมาก ดีใจอ่ะ เขาได้เป็นคนรักกันแล้ว ลุ้นมานาน

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-02-2017 20:41:22
น่าจุดพลุ ฉลองซะจริง จุดประทัดแทนละกัน :mc4: :mc4: :mc4:
ชาร์ป ตี้  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ชาร์ป คิดถึงตี้ ตี้ก็ห่างหายเรื่องนี้นานและ  :hao6:
ปล่อยๆ ชาร์ปกินตี้ไปเถ้อ  :ling1: :ling1: :ling1:
คนอ่านชอบบบ  :z1: :pighaun: :haun4:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-02-2017 20:44:48
มันทั้งสุขสม
และสมสุข

ตอนท้าย
ยิ่งสุขมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 02-02-2017 21:08:32
เค้ามารักกันช้าเนาะ.....รักกันแค่สองตอนสุดท้ายเอง  .... แต่ในที่สุด!!! ตี้ก็ได้รักกับชาร์ป ลุ้นจนเครียดแทนละ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-02-2017 01:22:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 04-02-2017 05:42:50
เหอะ  ลงเอยกันสักที

เรื่องนี้อรรถนี่เป็นตัวที่น่าผิดหวังที่สุดเลย
ขึ้นต้นอย่างพระเอก ลงท้ายอย่างหมา

ทั้งๆที่ตอนก่อนจะความจำหายไปรักและหวงตี้ยังกะอะไร
สำหรับเราคิดว่ามันลงเอยง่ายไปหน่อย คือเขียนให้มันลงตัว

สาธุ  ขอให้มันอยู่กับแฟนใหม่ไปแล้ววันหนึ่งก็จำขึ้นมาได้ว่ารักตี้ขนาดไหน
แล้วก็จำได้ว่าตัวเองเป็นคนปล่อยเขาไป

แว่นได้เป็นพระเอกก็เพราะตี้รักเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-02-2017 01:12:00
ลุ้นแว่นกับตี้จนเหนื่อย ในที่สุดก็สมหวังเสียที  อ่าน 29ตอนรวดเลยค่ะ เยอะดีจัง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-02-2017 10:55:02
PART II บทที่ 30
ครอบครัว


Party's Part

ผมหันมองนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะนี่มันเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว แต่จะลุกออกไปตอนนี้ก็คงไม่ได้เพราะนี่คือการประชุมประจำไตรมาส มีแต่ระดับผู้บริหารเต็มไปหมด ซึ่งผมก็ไม่ใช่ระดับบริหารอะไรกับเค้าหรอกนะครับ ที่ต้องเข้ามานี่เพราะหัวหน้าผมบังคับให้เข้ามาด้วย ป้องกันเวลาแกตอบอะไรไม่ได้หรืออะไรที่แกลืม แกไม่เข้าใจ นั่นแหละครับ

ไอ้ที่ผมกังวลนี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ก็ไอ้คนจากภูเก็ตนั่นแหละ ป่านนี้เครื่องน่าจะใกล้ลงแล้ว ผมก็นึกว่าครั้งก่อนเค้าพูดเล่นที่ว่าจะบินไปกลับมาหาผมบ่อยๆ ในช่วงที่ผมยังไม่ย้ายไปอยู่กับเค้า ดันทำจริงๆ ก็ยังดีอยู่บ้างที่ไม่ได้มาทุกวันจริงๆ อย่างที่พูดในทีแรก เพราะเค้าก็ต้องทำงานทำการเหมือนกัน แต่ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่วันว่างของเค้ามันคือวันทำงานของผม แล้วนี่อีกแค่อาทิตย์เดียว ก็จะครบกำหนดที่ผมยื่นใบลาออกไว้ล่วงหน้า 1 เดือนแล้วแท้ๆ วันนี้ก็ยังจะดื้อดึงมาให้ได้อีก

“ไม่รู้แหละถ้าเราถึงบ้านก่อนแล้วยังไม่เจอตี้ คืนนี้อย่าคิดว่าจะได้นอน พรุ่งนี้ก็เตรียมลางานไว้ได้เลย”นั่นแหละครับคำขู่ของเค้า แม้เรื่องลางานมันจะไม่สำคัญอะไรกับผมเท่าไหร่ เพราะยังไงก็จะออกอยู่แล้ว แต่ไอ้เรื่องจะไม่ให้ผมนอนนี่สิครับ

“ก็ชดเชยวันที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันไง”ข้ออ้างในการแถเพิ่มรอบสำหรับการขอมีอะไรกับผมของเค้าแหละครับไม่รู้จะหื่นไปถึงไหน

ทันทีที่การประชุมเสร็จ ผมรีบลุกโดยไม่ได้สนใจใครอีกเลย นี่เกินเวลาเลิกงานมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และเค้าก็ส่งข้อความมาบอกผมแล้วเช่นกันว่าลงเครื่องเรียบร้อย ผมรีบคำนวณเวลา ถ้าผมรีบออกตอนนี้น่าจะถึงบ้านก่อนเค้าได้แบบฉิวเฉียด นี่คงต้องรีบแล้วสินะเนี่ย ผมคว้าข้าวของเตรียมออกตัววิ่ง แต่ก็เกือบล้มเพราะดันโดนแรงดึงสายกระเป๋าสะพายของผม

“อะไรของมึงไอ้เหมา”ผมถามอย่างไม่ค่อยพอใจ เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนรั้งผมเอาไว้

“แดกเบียร์กันไหมมึง”ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลาอีกครั้งอย่างเป็นกังวล ก่อนจะมองหน้าไอ้เหมาอย่างเคืองๆ

“วันนี้ชาร์ปมา กูไปละนะ”ผมรีบตัดบทปฏิเสธ

“แหม นี่คิดถึงสามีจนต้องรีบขนาดนี้เลยเหรอวะ”ที่จริงถ้ายังมีเวลาก็จะอยู่ลับฝีปากกับมันอยู่หรอกนะครับ แต่นี่รีบจริงๆ ผมยังอยากมีเวลาเหลือนอนพักในคืนนี้บ้าง ไม่ใช่โดนอีกคนจับกดจนไม่ได้นอนเพราะถึงบ้านช้ากว่าเค้านี่แหละครับ ผมย้ำกับไอ้เหมาอีกรอบว่าจะไปแล้ว

“เดี๋ยวไอ้ตี้”ไอ้เหมาเรียกผมไว้ พร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แถมกวักมือเรียกผมกลับเข้าไปหาใกล้ๆ อีกด้วย นี่มันจะลีลาอะไรเยอะแยะนักหนา ไอ้ผมก็ยิ่งรีบๆ อยู่

“มึงไม่ต้องรีบ เพราะยังไงมึงก็ไปถึงทีหลังแว่นมันอยู่แล้ว”ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ไอ้เหมาเพิ่งบอก ส่วนตัวคนบอกก็ยังคงวางท่าอย่างน่าหมั่นไส้

“อะไร”ผมเดินย้อนกลับมายืนตรงหน้ามัน เพราะรู้สึกว่าคงมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

“ผัวมึงอ่ะ มันลงเครื่องตั้งแต่บ่าย 2 แล้ว”ไอ้เมาพูดเบาๆ ในทีแรกก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วสุดท้ายผมก็ได้รู้ว่าไอ้คนที่รอผมอยู่บ้านนั่นกะหลอกผมว่าจะมาถึงเวลาไล่เลี่ยกับที่ผมเลิกงาน แต่จริงๆ ตัวเองมาก่อนเวลาตั้งเยอะ เพื่อหวังเอาข้อตกลงมาให้ผมแพ้แล้วต่อรองจะหื่นใส่ผมทั้งคืนนั่นแหละครับ

“1 เมาคือค่าปิดปากกูที่มันให้ไว้ กูก็หวังว่ามึงจะให้กูมากกว่านี้นะเพื่อนเลิฝ”

“กูให้ 3 เมาเลย แต่ไอ้คนเจ้าแผนการนั่นแหละจะเป็นคนจ่าย”ผมบอกก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ก็ไม่ต้องรีบอะไรมากแล้ว แต่เดี๋ยวกลับไปพ่อคนเจ้าเล่ห์ที่บ้านนั่นเจอผมแน่

“มาช้าแบบนี้ รู้ใช่ไหมครับว่าที่รักจะโดนอะไร”ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าบ้านอีกคนก็มาทักทายผมพร้อมด้วยคำขู่เล็กๆ และทำท่าหื่นๆ ใส่ผม

“แล้วนี่มานานมากแล้วเหรอ เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำขนาดนี้ นึกว่าเปิดมาสัก 3 ชั่วโมงแล้ว”ผมบอกยิ้มๆ จ้องมองอีกคนด้วยสายตาจับผิด แต่เค้ายังคงสงวนท่าทีไม่ออกอาการมากนัก

“เพิ่งมานี่แหละ แต่แอร์ยี่ห้อนี้มันดีไง เปิดแปปเดียว เย็นชื่นใจ”นั่นไงทำเป็นพูดดี แต่ไม่ยอมสบตา

“ให้โอกาสตอบใหม่ ไม่งั้นคืนนี้นอนแยกห้อง”ผมบอกอย่างเป็นต่อ เค้ามองกลับมาที่ผมอย่างชั่งใจ ผมยักคิ้วให้เค้าเป็นการย้ำว่าถ้าโกหกอีกละก็ผมเอาจริงแน่นอน

“ก็ได้ๆ รู้เรื่องจากไอ้เหมามาแล้วใช่ไหมเนี่ย”ผมพยักหน้าตอบรับ เค้าทำหน้าเซ็งๆ บ่นอุบอิบถึงไอ้เหมานิดหน่อย แล้วเดินหน้างอมาดึงผมเข้าไปกอด

“ขอโทษที่โกหก แต่จะมาโทษเราไม่ได้นะ ก็เราคิดถึงตี้นี่นา”ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ปลงให้กับตัวเองนะครับพอเจอลูกอ้อนนิดหน่อยแบบนี้ผมก็ใจอ่อนทุกทีสิเนี่ย จะทำไงได้ละครับก็รักเค้าไปแล้วนี่สิ แต่ว่าจะยอมเค้าตลอดก็จะเหลิงเกินไปผมก็คงต้องขัดๆ เค้าบ้างแหละครับ

“อีกอาทิตย์เดียวก็จะย้ายไปอยู่ด้วยแล้วนี่ไง พออยู่ด้วยกันทุกวันอย่ามาเบื่อเราละกัน”ผมกระชับวงแขนกอดตอบเค้า ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง

“ใครจะไปเบื่อลงละครับ น่ารักขนาดนี้”มือหนายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะประคองใบหน้าของผมขึ้น พรมจูบลงมาที่หน้าผากของผม

“คร๊อกแคร๊ก”เสียงน้ำย่อยในกระเพาะของผมประท้วงออกมาเพราะนี่มันได้เวลามื้อเย็นแล้ว ทำเอาเราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน แล้วไม่นานนักอาหารฝีมือเราสองคนที่ช่วยกันทำอย่างทุลักทุเลก็พร้อมบนโต๊ะอาหาร

“แล้วเรื่องที่แม่เราถาม ตี้ว่ายังไง”เค้าถามขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังทานข้าวอยู่ ผมเงยหน้ามองเค้าด้วยความลำบากใจ สิ่งที่เค้ากำลังถามถึงมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย สำหรับผม เพียงแต่ว่าผมกังวลกับผลที่จะตามมาในอนาคตมากกว่า ผลกระทบที่มันไม่ใช่แค่ผมกับคนตรงหน้า

“ยังไม่ต้องตอบก็ได้ เราก็แค่ถามดู ถ้าวิธีนี้ตี้ไม่โอเค เรามาหาวิธีใหม่ไปคุยกับแม่เราก็ได้”เค้าเอื้อมมือมากุมที่มือผม ลูบเบาๆ เป็นการปลอบใจ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องยากที่ทุกคนเห็นตรงกันหมดแล้ว และเหลือผมเพียงคนเดียวที่ต้องมาเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้าย ผมฝืนยิ้มให้เค้าซ่อนความกังวลไว้ในใจ เราทานข้าวกันต่อจนเสร็จเรียบร้อย ต่างคนต่างอาบน้ำเพื่อเข้านอน

“วันนี้ไม่ทำได้ไหม”ผมบอกอีกคนที่พอถึงเตียงนอนก็เริ่มพรมจูบลงที่ซอกคอของผม ตอนนี้ผมยังกังวลกับสิ่งที่เค้าเอ่ยถามผมตอนทานข้าวจนรู้สึกว่าตัวเองน่าจะไม่มีอารมณ์ร่วมในสิ่งที่เค้ากำลังจะทำ เค้าหยุดการกระทำก่อนจะยันตัวขึ้นไปนั่งพิงกับหัวเตียง พร้อมกับดึงตัวผมให้หนุนลงที่ตักของเค้า

“ยังเครียดอยู่เหรอ”เค้าลูบหัวผมแผ่วเบา ผมพยักหน้าเบาๆ โดยไม่ปฏิเสธ ที่จริงเรื่องนี้ผมก็คิดมาพักนึงแล้ว ตั้งแต่ตกลงว่าจะย้ายไปอยู่กับเค้าที่ภูเก็ต แต่ผมก็เลี่ยงที่พูดถึงมาตลอด

“เราเข้าใจทั้งพ่อแม่ชาร์ป นะที่อยากมีหลาน และเราก็รู้ว่าชาร์ปเองก็คงจะอยากมีลูก แต่ทำแบบนี้มันจะดีจริงๆ เหรอ”นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมกังวล ผมรู้ครับว่าปัจจุบันคู่รักเพศเดียวกันก็มีลูกกัน ซึ่งมันก็มีหลากหลายวิธีที่แต่ละคนเลือกใช้ ง่ายๆ เลยก็รับเลี้ยงอุปการะเด็กสักคนมาเป็นลูก หรือไม่ก็เรื่องของการอุ้มบุญ ซึ่งแน่นอนว่าพ่อกับแม่ชาร์ปจะเลือกวิธีนี้เพราะอยากได้หลานที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของชาร์ปจริงๆ

ไอ้ขั้นตอนวิธีการอะไรพวกนี้ผมไม่ติดหรอกนะครับ อีกอย่างถ้าการมีลูก มีหลานมันจะทำให้ทั้งชาร์ปและครอบครัวเค้ามีความสุขผมก็ยินดีแหละครับ แต่เรื่องของเด็กที่จะเกิดมาละ วันนึงถ้าเค้าถามว่าแม่เค้าคือใคร หรือทำไมเค้ามีพ่อสองคนหรืออีกหลายๆ อย่างที่มันจะมีผลตามมา ผมไม่รู้ว่าเราทั้งคู่จะรับมือเรื่องนี้ได้ดีขนาดไหน จะทำยังไงให้เค้าเติบโตมาแล้วไม่รู้สึกแปลกแยก หรือรู้สึกว่าตัวเองต่างจากคนอื่น

“เราไม่รู้นะว่าตี้กังวลเรื่องอะไรบ้าง แต่เราอยากให้ตี้มีความสุขกับตอนนี้ เรื่องของอนาคตถ้ามันมีอะไรมา เราก็ค่อยช่วยกันแก้ไข ไปด้วยกัน”นิ้วเรียวของเค้าเกลี่ยตามไรผมลากลงมาที่ใบหน้าของผม ถึงเค้าจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ก็คนมันกังวลไปแล้วนี่นา

“งั้นเราค่อยให้คำตอบที่ภูเก็ตแล้วกันนะ”ผมรู้ครับว่าสุดท้ายตัวผมเองก็คงไม่ขัดในความต้องการของเค้าหรอกครับ เพียงแต่ขอเวลาให้ผมทำใจยอมรับอีกสักพัก

“เอางี้เราสองคนก็รักกัน พ่อกับแม่ก็รักพวกเราทั้งคู่ เพราะงั้นเรามั่นใจนะว่าครอบครัวเราจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความรัก เพราะงั้นการจะมีอีกชีวิตที่เกิดมา เค้าก็ต้องมีความสุขที่ได้มาอยู่กับพวกเราจริงไหม”ผมคิดตามที่เค้าพูด มันก็จริงแหละครับ ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย

“โอเค งั้นนอนกันดีกว่าเนอะ”ผมบอกพร้อมขยับตัวออกจากเค้า แต่ยังไม่ทันที่หัวผมจะถึงหมอนดี เค้าก็พลิกตัวตามมาคร่อมผมไว้อย่างรวดเร็ว

“ก็สบายใจแล้ว ทีนี้ก็ต่อจากเมื่อกี้ไง”ผมส่ายหน้าอย่างเอือมๆ กับคนตรงหน้า ตกลงที่พูดเมื่อสักครู่นี่แค่ให้ผมเลิกกังวลแล้วจะได้หื่นใส่ผมหรือเปล่าเนี่ย

“ถ้าวันนี้บ่ายเบี่ยง พรุ่งนี้จะโดนจัดหนักกว่าเดิมนะ เตือนไว้ก่อนเลย”เค้าก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม ผมหัวเราะหึในลำคอ ไหนๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้แล้วสองมือผมเลยรั้งที่ท้ายทอยเค้าไว้แล้วค่อยๆ ประคองศีรษะเค้าเข้ามาหาเพื่อประกบริมฝีปากลงไป

“กลัวที่ไหนละ”ผมบอกออกไปอย่างท้าทายหลังเค้าถอนริมฝีปากออก ทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเค้าผุดขึ้นมาทันที เห็นท่าคืนนี้ผมจะไม่ได้นอนง่ายๆ เสียแล้ว








Sharp’s Part


3 ปีกว่าๆผ่านไป

ผมมองภาพที่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ภาพเด็กน้อยวัย 2 ขวบกว่าๆ 2 คนกับอีก 1 คนที่ผมได้เลือกมาเป็นคู่ชีวิตกำลังหยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับว่านั่นคือใครบ้าง พวกเค้าคือครอบครัวของผมนี่แหละครับ ปาร์ตี้คนรักของผมและลูกแฝดของเรา ถึงจะเป็นลูกแฝดแต่ทั้งคู่ก็ต่างกันแทบทุกอย่างเลยทีเดียว ทั้งนิสัยและหน้าตา แต่ก็น่ารักไปคนละแบบแหละครับ

“ป่อจ๊าบ โต้บอกพ่อตี้แล้วว่าคืนนี้โต้กับน้องจะไปนอนห้องคุณปู่คุณย่า แต่น้องจะไม่ยอมไปฮ่ะ น้องบอกจะนอนกะป่อตี้ฮ่ะ”ผมเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายคนโตอย่างเอ็นดู ปอร์โต้เป็นคนเดียวที่ผมเพิ่งจะดึงมาเป็นพวกได้ครับ ก็สุดที่รักของผมนะสิครับทีแรกตอนคุยเรื่องว่าจะมีลูกก็ดูกังวลนู่นนี่นั่นไปหมด แต่พอมีเจ้าหนูสองคนนี้ออกมานี่แทบไม่ให้ใครแตะต้องดูแลเองยิ่งกว่าไข่ในหินอีกครับ

ไอ้การที่เค้ารักลูกนี่ผมก็ชอบนะครับ แต่เค้าเล่นโอ๋ จนเด็กๆ ติดเค้าแจแบบนี้ผมก็แทบจะไม่มีเวลากุ๊กกิ๊กกับเค้าเลยนี่สิ ผมเลยต้องให้พ่อกับแม่ช่วยครับ คือจันทร์ถึงศุกร์เนี่ยให้เด็กๆ นอนกับพวกผม ส่วนเสาร์อาทิตย์ให้ไปนอนกับปู่แล้วก็ย่า แต่แค่นั้นมันจะไปพอได้ยังไงละครับ คนอย่างผมมันก็ต้องมีติดสินบนลูกบ้างสิครับ ทำให้ลูกอยากไปนอนห้องปู่กับย่าเอง แม้จะไปเพราะกลอุบายของผมก็เถอะครับ

“งั้นพี่โต้ไปบอกน้องชาร์ลมาหาพ่อชาร์ปหน่อยนะครับ”ผมหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ด้วยความหมั่นเขี้ยว ปอร์โต้นี่สินบนหาไม่ยากเลยครับ ผมจับทางได้แล้วแค่เอาของเล่นกับของกินกับของเล่นมาล่อก็ได้ผลแล้ว แต่เจ้าตัวเล็กชาลีน้อย หรือชาร์ลของพ่อตี้นี่แหละครับดูจะติดปาร์ตี้จนผมแกะไม่ออก ขนาดเสาร์อาทิตย์ต้องไปนอนกับปู่และย่านี่ก็กล่อมกันอยู่นานกว่าจะยอม

“พ่อชาร์ปมีไรเหรอฮ่ะ”เด็กน้อยเดินมาใกล้ๆ พร้อมชูแขนให้ผมอุ้ม ผมเอื้อมแขนไปจับเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักอย่างรวดเร็ว ปาร์ตี้หันมามองผมอย่างสงสัย คงเริ่มคิดแล้วว่าผมจะทำอะไรสักอย่างเพราะงั้นผมต้องรีบก่อนที่เค้าจะจับได้ว่าผมอยากให้ลูกไปนอนกับคุณปู่คุณย่า

“น้องชาร์ลไม่อยากไปนอนห้องคุณปู่คุณย่าเหรอครับ ไม่รักคุณปู่คุณย่าแล้วเหรอ”เด็กน้อยทำหน้ายู่พร้อมมองผมด้วยสายตาสงสัย คงกำลังไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องพูดแบบนี้

“ก็ไปทุกเสาร์อาทิตย์อยู่แล้วนี่ฮ่ะ วันอื่นๆ ก็ต้องอยู่กับพ่อตี้สิฮ่ะ”นี่ผมจะหลอกล่อลูกชายตัวน้อยนี่ยังไงดีละครับเนี่ย

“งั้นเอาเป็นว่าพ่อขอให้คืนนี้ไปนอนกับคุณปู่คุณย่าเพิ่มละกันตกลงไหมครับ คนเก่ง เดี๋ยวคุณปู่กับคุณย่าเสียใจนะที่น้องชาร์ลไม่ไปนอนด้วยบ่อยๆ แล้วนี่วันนี้พี่โต้ก็ไปนอนห้องคุณปู่คุณย่าด้วย น้องชาร์ลจะไม่คิดถึงพี่โต้เหรอถ้าไม่ได้นอนด้วยกัน”ผมเริ่มกล่อมให้ลูกชายคิดตาม แต่เหมือนจะยังไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่

“ถ้าคืนนี้น้องชาร์ลยอมไปนอนห้องคุณปู่คุณย่านะ น้องชาร์ลอยากได้อะไรพ่อหาให้ทุกอย่างเลย”เด็กน้อยทำท่าคิด ทำให้ผมเริ่มมีหวังขึ้นมาบ้างแล้วครับ

“ชาร์ลไม่อยากได้ไรเพิ่มฮ่ะ เพราะพ่อตี้ให้ทุกอย่างที่ชาร์ลอยากได้อยู่แล้ว”คำพูดลูกชายทำเอาผมใกล้หมดหนทาง แล้วผมจะทำยังไงดีละเนี่ย นี่ถ้าตี้เป็นคนขอลูกผมมั่นใจว่าลูกๆ ต้องยอมแน่ๆ แต่ตี้คงไม่ทำตั้งแต่ผมบอกแล้วครับ แถมดีไม่ดีอาจคาดโทษผมอีกต่างหาก ที่จริงผมน่าจะให้ปอร์โต้อ้อนตี้ ให้ตี้กล่อมชาร์ล ผมก็ดันลืมคิดไป ถ้าเรียกปอร์โต้มาตอนนี้แล้วปล่อยชาร์ลกลับไปหาปาร์ตี้ ผมว่าแผนการผมแตกแน่นอนครับ

“มันไม่มีสักอย่างเลยเหรอที่พ่อตี้เค้าห้ามน้องชาร์ล ทั้งที่น้องชาร์ลอยากทำ”ผมถามออกไปอย่างยังมีหวัง

“ที่จริงก็มีฮ่ะ”ผมหูผึ่งรีบยกเจ้าตัวเล็กหันหน้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว

“อะไรครับ เดี๋ยวพ่อจัดการให้”ผมรีบบอกอย่างตื่นเต้น

“อันนี้ฮ่ะ น้องชาร์ลขอทีไรพ่อตี้ไม่เคยให้เลย”ผมมองตามมือเล็กๆ ที่ชี้ไปยังแก้วเครื่องดื่มของผมที่วางอยู่ข้างๆ ความหวังของผมที่พุ่งไปแตะเพดานเมื่อสักครู่ ตอนนี้หล่นลงพื้นแทบทะลุเมืองบาดาลแล้วครับ ก็ไอ้ที่เจ้าตัวเล็กอยากลองนี่มันเบียร์นะสิครับ แต่เดี๋ยวก่อนสมองอันชาญฉลาดของผมได้ผุดไอเดียบางอย่างขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที

“เดี๋ยวน้องชาร์ลไปบอกพ่อตี้ได้เลยว่าคืนนี้จะนอนห้องคุณปู่คุณย่า ส่วนแก้วนี้พ่อจะไปเตรียมจากในบ้านมาให้ แล้วเป็นความลับของเราห้ามบอกพ่อตี้ เดี๋ยวอดลองของอร่อย ตกลงไหมครับ”นี่ลูกใครเนี่ยมาอยากดื่มเบียร์ตั้งแต่ 2 ขวบกว่าแบบนี้ไม่รู้เลือดพ่อคนไหนแรงกว่ากันนะครับเนี่ย

เด็กน้อยชูนิ้วก้อยเล็กๆ มาเกี่ยวกับนิ้วของผมก่อนจะรีบวิ่งกลับไปหาพี่ชายกับคุณพ่อสุดที่รักอีกคนของเค้า ส่วนผมนะเหรอครับ รีบวิ่งเข้าบ้านตรงดิ่งหาตู้เย็นทันทีเลยครับ ไม่นานนักผมก็หาสิ่งที่ต้องการเจอ อะไรนะเหรอครับ ก็ชามะนาวไงครับ แม้สีมันจะเพี้ยนๆ ไม่ตรงกับเบียร์สักเท่าไหร่ แต่เด็ก 2 ขวบอย่างลูกชายผมไม่น่าจะแยกออกหรอกน่า อีกอย่างถ้าไม่ยอมเชื่อเดี๋ยวผมนี่แหละจะแถต่อเอง

“กู๊ดไนท์ฮ่ะ”เจ้าตัวเล็กทั้งสองบอกกับผมและตี้หลังจากทานมื้อเย็นอาบน้ำ แปรงฟันก่อนนอนเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ตอนนี้ก็ถึงเวลาส่งตัวทั้งคู่ให้ปู่กับย่ารับช่วงต่อแล้วครับ นี่เพราะแผนการอันชาญฉลาดของผมเลยนะครับเนี่ย

“รบกวนด้วยนะครับ แต่ถ้ามีอะไรแม่มาเรียกได้ตลอดนะครับ นี่ก็ไม่รู้ทำไมถึงอยากมากวนปู่กับย่าแบบนี้”แหมแฟนผมนี่ก็จะเกรงใจอะไรนักหนา พ่อกับแม่ผมออกจะดีใจที่หลานๆ มานอนด้วย

“รบกวนอะไรกัน พูดยังกะคนอื่นคนไกล เราเป็นครอบครัวเดียวกันมากี่ปีแล้วเนี่ยตี้ ไปๆ ไปนอนกันได้แล้วทำยังกับว่าหลานๆ ไม่เคยมานอนนี่งั้นแหละ”แม่ผมรีบบอกพร้อมหันมามองผมยิ้มๆ อย่างรู้ทัน

“ไปพูดอะไรกับลูกๆ ทำไมเด็กๆ ถึงพร้อมใจกันอยากไปนอนห้องปู่กับย่าแบบนี้”เมียใครครับเนี่ย ฉลาดจริงๆ เลย แต่มีเหรอครับที่ผมจะยอมรับ ผมตีมึนเดินเข้าไปโอบเค้าจากด้านหลังโดยไม่พูดอะไร

“อย่ามาเนียนนะชาร์ป”เค้าบอกด้วยน้ำเสียงดุๆ หน่อย สงสัยต้องง้อแล้วละครับเนี่ย

“ก็ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้กุ๊กกิ๊กกันเลย ตี้ขอไม่ให้แยกห้องลูกๆ เราก็ยอมแล้ว แต่การที่ตี้ให้เวลาเราแค่สัปดาห์ละสองวัน มันน้อยไปอ่า”ผมทำเสียงอ้อนๆ หวังให้เค้าเห็นใจผมบ้าง ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมหื่นจนเอาแต่ผลักไสลูกๆ

“เฮ้อ...ชาร์ป ลูกๆ นะเดี๋ยวก็โต พอตอนนั้นเค้าก็จะไม่ค่อยสนใจเราสองคนเท่าไหร่แล้ว เราก็แค่อยากใช้เวลากับพวกแกให้มากที่สุด ให้ความรักเอาใจใส่ให้มาก เพราะมันคงมีอีกหลายอย่างที่พอเริ่มเรียนรู้พวกแกสองคนอาจมีความไม่เข้าใจขึ้นมาได้”เอาอีกแล้วครับ นี่ผมนึกว่าเค้าเลิกกังวลเรื่องนี้ไปแล้วเสียอีกนะครับเนี่ย

“ตี้ว่าลูกๆ เราตอนนี้มีความสุขไหม เรารู้ว่าตี้อยากเลี้ยงลูกๆ ให้ดีที่สุด ตี้อยากเป็นให้ได้ทั้งพ่อและแม่ของเด็กๆ ซึ่งเราบอกเลยว่าตี้ทำได้ดีแล้ว”ผมไม่รู้จะพูดยังไงให้เค้าเลิกกังวล ผมรู้ว่าเค้ารักลูก หวังดีกับลูก และทำหน้าที่ของเค้าได้ดีแล้วกับหน้าที่พ่อ หรือกระทั่งแม่ แต่บางทีผมก็รู้สึกนะครับว่าคนที่เค้าเริ่มไม่ให้ความสำคัญ หรือให้ความสำคัญน้อยลง มันคือผมนี่แหละครับ ไม่ใช่ผมไม่รักลูก ไม่ใช่ว่าผมหื่นจนไม่สนใจอะไร แต่ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัวมันก็ต้องควบคู่ไปด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ

“เรารู้ว่าตี้ก็คงเหนื่อยที่ต้องทั้งช่วยเราทำงาน แล้วยังต้องดูแลลูกๆ อีก แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะยังอยากให้ตี้แบ่งเวลาให้เราบ้าง ขอแค่ช่วงกลางคืนแบบนี้ก็ได้”ผมไม่ได้ออกตัวชัดเจนเกินไปใช่ไหมครับ เพราะนี่ผมต้องอยู่ในโหมดจริงจังอยู่ เค้าหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะเงยหน้ามามองผม เค้านิ่งครุ่นคิด นิ่งเสียจนผมเริ่มรู้สึกผิด ที่คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว

“แต่เราคง เอาแต่ใจตัวเองมากไปทั้งที่ตอนนี้ก็เป็นพ่อคนแล้ว เราขอโทษนะ สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก นอนเถอะ”ผมพรมจูบที่หน้าผากเค้าแผ่วเบา บางทีผมคงต้องลดความต้องการของตัวเองลงบ้าง แม้มันจะยากสักหน่อย แต่ก็คงต้องทำ

“เราอาจเป็นคนที่ต้องขอโทษหรือเปล่า เราเอาแต่พยายามทำเพื่อลูกๆ พยายามจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้พวกแก แต่เรากลับลืมอีกหนึ่งหน้าที่ คือหน้าที่ของคนรัก”เค้าบอกกับผมเสียงหม่นๆ นี่ตกลงผมกับเค้าจะมาขอโทษกันไปมาทำไมเนี่ย

“หน้าที่เมียอะเหรอ”ผมแกล้งแหย่เพื่อให้เค้ารู้สึกดีขึ้น

“ยังจะมาพูดเล่นอีก”เค้าตีแขนผมเบาๆ ผมหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนจะดึงเค้าเข้ามากอด ที่จริงเรื่องระหว่างเรามีอะไรมันก็ควรจะพูดกันตรงๆ เปิดอกคุยกันแบบนี้แหละจริงไหมครับ ชีวิตคู่มันก็คงไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสียหมด นี่เราก็เพิ่งจะอยู่ด้วยกันมา 3 ปีกว่าๆ เอง การจะอยู่ด้วยกันไปตลอดมันก็คงมีอีกหลายอย่างต้องปรับต้องจูนกันอีก

“เอาเป็นว่าเรายอมเพิ่มให้ลูกๆ ไปนอนกับคุณปู่คุณย่าได้ อาทิตย์ละ 3 วัน แต่ถ้าลูกๆ ไม่ยอมก็อีกเรื่องนะ”แหม ถ้าเรื่องลูกๆ ผมว่าผมจับจุดได้แล้วนะ เอาวะเพิ่มเวลาให้ผมอีกวันแบบนี้ก็ยังดีครับ

“ส่วนเรื่องแยกห้องให้เด็กๆ ก็รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยแล้วกันนะ”ผมดึงเค้าเข้ามากอด แถมหอมแก้มเค้าไปฟอดใหญ่ถ้ารู้ว่าเมียจะยอมให้ผมขนาดนี้ ผมคุยเรื่องนี้ไปนานละครับเนี่ย

“ว่าแต่วันนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอจัดหนักเลยแล้วกันนะครับเมีย”ผมพลิกตัวขึ้นคร่อมเค้าด้วยความรวดเร็ว จ้องมองเค้าด้วยความหลงไหล ไม่รู้ทำไมผมถึงรักเค้าได้ขนาดนี้ ผมค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหาเค้า

“ก๊อกๆ ชาร์ปตี้หลับกันหรือยังลูก”ทั้งผมและปาร์ตี้ต่างชะงักเพราะเสียงเคาะประตูเรียกจากแม่ผมเรารีบผละออกจากกันจัดเสื้อผ้าแบบลวกๆ ให้เข้าที่ ก่อนเดินมาเปิดประตู

“ชาร์ลฝันร้ายบอกยังไงก็จะมาหาตี้นะลูก”แม่ผมที่ส่งเจ้าตัวเล็กให้กับปาร์ตี้ บอกพร้อมหันมามองผมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ส่วนเจ้าตัวเล็กก็ก้มหน้างุดๆ มุดเข้าหาปาร์ตี้

“แล้วปอร์โต้ละครับแม่”ผมถามถึงลูกชายอีกคน

“รายนั้นหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวน้องชาร์ลผมดูต่อเองครับแม่”ปาร์ตี้บอกพร้อมอุ้มเจ้าตัวเล็กไปที่เตียง แม่ผมเอื้อมมือมาแตะผมอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินกลับห้องไป ผมเดินตามไปที่เตียง

“พ่อตี้ปิดหูก่อนนะฮ่ะ น้องชาร์ลมีความลับต้องคุยกับพ่อชาร์ป”เด็กน้อยพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมมองหน้าพวกผมสองคนสลับไปมา ปาร์ตี้แกล้งเอามือปิดหู ซึ่งก็น่าจะยังได้ยินเสียงอยู่ดีนั้นแหละครับ

“ว่าไงครับน้องชาร์ลคนเก่ง”ผมล้มตัวลงนอนข้างๆ ลูกชายคนเล็กพร้อมถามอย่างเอ็นดู

“น้องชาร์ลขอโทษฮ่ะ ที่ผิดสัญญา”เด็กน้อยกระซิบบอกผมเบาๆ ผมยิ้มตอบด้วยความเอ็นดูเพราะเริ่มรู้แล้วว่าลูกชายตัวน้อยขอโทษเรื่องอะไร

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้น้องชาร์ลฝันร้ายนิ รีบนอนเถอะไว้เราค่อยตกลงสัญญากันใหม่นะครับ”ผมลูบหัวลูกชายเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคนที่เอาใอปิดหูแต่มองผมกับลูกยิ้มๆ

“นี่พ่อตี้เลิกปิดหูได้หรือยังนา”ตี้พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงบอกว่าเดี๋ยวเค้าจัดการต่อเอง ผมเลยลุกจากเตียงหันไปคว้าบุหรี่กับไฟแช็คเดินออกไปริมระเบียง เสียงพูดคุยของสองพ่อลูกแว่วเบาๆ ให้ผมได้ยินเป็นระยะ ผมพ่นควันบุหรี่เหม่อมองออกไปในความมืด ผมอมยิ้มกับตัวเองนี่สินะครอบครัวที่ผมเคยใฝ่ฝัน แม้อาจจะไม่เหมือนครอบครัวของใครหลายๆ คน แต่แบบนี้ผมก็มีความสุขแล้ว ได้เห็นทุกคนที่ผมรักมีความสุขนี่มันก็สุขตามไปด้วยแหละครับ

“ลูกหลับแล้วเหรอ”ผมถามคนที่ตามผมออกมาริมระเบียง เค้าเดินมาพิงที่ไหล่ของผม ผมดึงเค้ากอดกระชับเข้าหา

“ชาร์ป”

“หือ”ผมหันไปหาคนรักที่อยู่ข้างๆ

“ชาร์ปจะไม่เบื่อเราใช่ไหม”คิดมากอะไรอีกละครับเนี่ยเมียผม

“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่ารักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วเนี่ย”ผมกดก้นบุหรี่ลงที่เขี่ย แล้วดึงเค้าเข้ามากอดเต็มวงแขน

“เราก็แค่กลัว ที่พักหลังเรามีอะไรกันน้อยลง เรากลัวว่าชาร์ปจะเบื่อ”นั่นไง นี่ผมคงต้องลดแสดงออกให้เค้าเห็นแล้วว่าหื่นเกินไปเนี่ย

“ตี้ ถึงเราจะดูหื่น ถึงเราจะยอมรับว่าเซกส์ก็สำคัญสำหรับชีวิตคู่ แต่เราก็รู้ว่าชีวิตมันไม่ได้มีแค่นั้น ตี้ฟังเรานะ เราอยากจะแก่ไปพร้อมๆ กับตี้ อยากเห็นลูกๆ ของเราเติบโต เฝ้ามองทุกช่วงชีวิตของลูกๆ จนวันนึงเรากลายเป็นปู่ แต่ตี้เป็นยายดีกว่าเนอะ ฮ่าๆ”เค้าตีแขนผมเบาๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก

“ขอบคุณนะ ที่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวชาร์ป”นี่สินะความสุขในแบบที่ผมเคยใฝ่ฝัน

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นลงบัญชีไว้ให้เราจัดหนักได้ไหม”แกล้งกระเซ้าเค้าหน่อยครับ

“ตรงนี้เลยไหมละ”แหนะมีการท้าทายด้วยครับ

“อย่าท้านะ”ผมบอกก่อนที่เราทั้งคู่จะหัวเราะออกมา ก็ได้แต่หวังนะครับว่าวันข้างหน้าของเราสองคน และลูกๆ ด้วย จะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขแบบนี้ไปตลอด


END




จบแล้วครับ

ชาร์ปตี้ก็แฮปปี้กันไป ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ที่ติดตามอ่านนะครับ

อ่านทุกคอมเม้นต์ แม้จะไม่ได้ตอบกลับ แต่ก็มีความสุขที่เห็นว่ามีคนชอบเรื่องนี้

เรื่องนี้ก็ยังมีหลายๆ จุดที่รู้สึกว่าต้องแก้ไข ยังไงใครอยากฝากติจุดไหนก็ติมาได้นะครับ

ไว้จะได้ไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไป ยังไงถ้ามาเรื่องใหม่ออกมาก็ฝากติดตามด้วยนะคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 09-02-2017 12:02:27
ขอบคุณครับ

 o13
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-02-2017 12:13:58
ใจหายเลย เรื่องนี้จบไปแล้ว ประทับใจอีกเรื่องอ่านมาตั้งแต่ภาคแรกจนจบอวสานจริงๆ
  ขอบคุณผู้แต่งที่แบ่งปันจินตนาการเป็นนิยายให้อ่าน ขอบคุณนะคับ
  แล้วผู้แต่งยจะมีนิยายเรื่องอื่นอีกมั้ยคับ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-02-2017 13:23:26
 :pig4: :3123: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-02-2017 15:06:01
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 09-02-2017 15:50:15
เป็นครอบครัวอบอุ่นเหมือนที่ชาร์ปอยากได้เลย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-02-2017 17:04:46
รอรุ่นลูกต่อดีมั้ย 55555
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-02-2017 22:17:21
ขอบคุณค่ะ  สนุก  น่ารัก  และอบอุ่นมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-02-2017 22:36:49
ฝ่าฟันจนมาเป็นผัวเมียกันได้ในที่สุด
แต่เหนื่อยหน่อยนะ กว่าจะมายืนตรงจุดนี้กันได้

ชาร์ป..พระเอกตัวจริงเสียงจริง
ทิ้งงานแต่งมาตั้งสองครั้ง
ก็เพราะจะต้องได้มาอยู่กับปาร์ตี้

เรื่องนี้..พระเอก แรว๊งงงงงงงงง
ฮ่าฮ่า เอาจนได้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 22:43:15
อู้.....ชาร์ปมีลูกแฝด กับอีกหนึ่งคน ยอดเลย
แถมเด็กๆติดตี้อีก ดีมากๆเลย  :hao5: :hao5: :hao5:
ครอบครัวมีสุข  :mew1: :mew1: :mew1:
แม้ลูกๆจะกวนเวลาชาร์ปไปบ้าง ก็ต้องยอมนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 10-02-2017 01:15:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 10-02-2017 06:39:26
สมใจกันทุกฝ่ายแล้วนะ
ตี้ก็เลิกกังวลได้แล้ว
ทำทุกอย่างดีที่สุดแล้วนี่
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 10-02-2017 23:21:11
สนุกมากๆ เลยค่ะ  ครอบครัวสุขสันต์ในเมื่อชาร์ปอยากมีลูก ตี้ก็ยอมให้มี  แถมพ่อแม่ก็เข้าใจ ดีจัง
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: Glitterycandy ที่ 22-02-2017 17:16:17
อ่านไปปวดตับไป ดีใจที่ตี้มีความสุขนะฮะ

แต่อรรถคือแบบ จบอย่างเลวววว

โชคดีนะอรรถ ขอให้หนุ่ยไปนอนกับแฟนเก่าและกลับไปบ้าง

อยู่คนเดียวไป๊!!!!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-03-2017 18:29:44
จบแล้ว มีเวลาตามอ่านซะที
ลุ้นตี้กับชาร์ปมากบอกเลย ก่อนที่อรรถจะความจำเสื่อมชั่วคราว
มันรู้สึกนะ ว่าความสัมพันธ์มันดูอึดอึด ก็อย่างว่าแหละนะ ตี้ยังรักชาร์ป
จนมาตอนนี้ ก็คงมีความสุขกันจริงๆแล้วเนอะ
เด็กแฝดน่ารักกกอ่ะ 555+

ขอบคุณคนแต่งมากครับสำหรับนิยายสนุกๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 25-03-2017 00:48:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 12-09-2017 08:37:49
รู้ละ ว่าเรื่องนี้ผิดที่ใคร ผิดที่...แอลกอฮอล์!
เห็นนรกมาเยือนเพราะเมา เกือบทุกเหตุหายนะเลยมั้ง สปาร์คกันวุ่นวายไปหมด
ชาร์ปตี้เมาเลยได้กัน ชาร์ปเมาเจอกลิ้งจัดฉาก อรรถหนุ่ยเมาก็ได้กัน พังเพถ้วนหน้า - -"

จริงๆชอบพาร์ทแรกมากนะ ก็ว่าจบสวยแล้วเชียว เสียดายที่ยังไม่ใช่จบบริบูรณ์
อรรถ-ตี้ กับความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาๆ ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากเซ็กส์ ความใคร่ และความเมา
พอเข้าพาร์ทสอง ก็หนังคนละม้วนเลยจ้า นี่สรุปว่า...สมควรรับผิดกันไปทุกตัวละคร!
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-09-2017 20:41:20
อ่านแล้วอึดอัดมากเลยเรื่องนี้
แต่ก็อ่านจนจบเพราะอยากรู้บทสรุปของเรื่อง
ตั้งแต่อ่านมาเราไม่ชอบนิสัยเหมาเลย คือขี้เผือกมากๆ
เผือกจนน่ารำคาญ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 17-09-2017 19:47:44
หน่วงมากกกก

กว่าจะลงเอยกันได้

ทรหดสุดๆ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 18-09-2017 00:03:12
ลุ้นอยู่นานมากกลัวเขาไม่ได้คู่กันค่ะ ชอบบบบ ถึงตอนแรกจะหน่วงจิตไปนิดหน่อยก็เถอะ

ลูกแฝดสองคนนั้นเอามาฝากไว้ก่อนได้นะคะ อยากให้กุ้กกิ้กๆ กันปิดท้าย

ไม่ได้หื่นนะคะ จริงๆ 555555555  :hao6:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 23-09-2017 22:20:26
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ อีกเรื่องครับ จะติดตามผลงานในเรื่องต่อ ๆ ไปนะครับ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 16-10-2017 19:12:01
มีความสุข ชอบมากค่ะ สนุกมากๆ ขอบคุณนะคะ  :3123: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 30 ครอบครัว (ตอนจบ) 09-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 24-10-2017 14:28:27
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่แต่งให้อ่านนะ
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-10-2017 19:54:57
บทพิเศษ
เรื่องของเด็กๆ



ลมทะเลพัดมาเบาๆ ช่วยบรรเทาความร้อนของอากาศที่อุณหภูมิสูงจนแทบจะไปแตะ 40 องศาเซลเซียสแล้ว ภาพของเด็กน้อยวัย 7 ขวบสองพี่น้องฝาแฝดที่กำลังวิ่งไล่กันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน เด็กชายผู้พี่กำลังวิ่งหนีด้วยความสนุกที่ได้แกล้งน้องสาวฝาแฝดของตัวเอง ส่วนแฝดผู้น้องกำลังวิ่งตามด้วยความโมโห

“ไอ้พี่อั๋นหยุดเดี๋ยวนี้นะ”เสียงเด็กหญิงที่พูดด้วยสำเนียงที่แปร่งๆ ไปนิดหน่อยเพราะการไปใช้ชีวิตในต่างแดนได้กว่า 3 ปีแล้ว เด็กหญิงหยุดวิ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองวิ่งตามผู้เป็นพี่ไม่ทันแล้ว ใบหน้าแดงก่ำที่เป็นผลพวงจากทั้งอุณหภูมิที่ร้อนระอุ บวกกับความโกรธที่พุ่งขึ้นแทบจะร้อนกว่าอากาศแล้ว เด็กหญิงหันหลังกลับเดินไปหาผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่กับชายหนุ่มอีกคน

“อาแฟ้มอั๋นแกล้งอิ๋งอีกแล้ว”ทั้งที่ในทีแรกกะว่าจะมาอ้อนพ่อตัวเอง แต่พอประเมินสถานการณ์ดูแล้ว อ้อนคนรักของพ่อจะได้ผลกว่า เธอเรียนรู้จากทุกครั้งที่ได้เจอคุณอาผู้ใจดี ผู้ที่เธอคิดว่าคงมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่เด็กอย่างเธอไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ ของพ่อ แม่และ อาแฟ้มคนนี้ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่กีดกันอะไร เพราะทราบดีว่าพ่อกับแม่ของเธอเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ใครที่พ่อหรือแม่ของเธอรัก เด็กหญิงคนนี้ก็พร้อมจะรักไปด้วยเช่นกัน

“งั้นทำโทษอั๋นยังไงดีน้า ตัดโควต้าบาบีคิวเย็นนี้ดีไหม”ชายหนุ่มในวัย 30 ต้นๆ เจ้าของชื่อแฟ้มบอกพร้อมลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู สายตามองด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับผู้เป็นพ่อของอิ๋งเลย แต่ผู้เป็นพ่อจะมีความหมั่นไส้ลูกสาวตัวเองอยู่หน่อยๆ

“เราไปแกล้งพี่เค้าก่อนไม่ใช่เหรอยัยตัวแสบ แฟ้มเองก็ด้วยอย่าให้ท้ายกันนักเลย เดี๋ยวก็ได้นิสัยเสียกันพอดี”โอเล่พ่อของอั๋นและอิ๋ง เอ่ยกับคนรักอย่างไม่ได้จริงจังนักเพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองก็ไม่ได้จะตามใจลูกตัวเองมากนัก แต่แค่เพียงเตือนแกมหยอกไปเพียงเท่านั้น

ด้านเด็กชายแฝดผู้พี่พอวิ่งไปและรู้ว่าน้องสาวไม่ได้ตามแล้วก็เปลี่ยนเป็นเดินเล่นไปตามแนวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง สายตาของเค้าก็มองไปเห็นภาพของเด็กผู้ชาย 2 คนที่เล่นกันอยู่ไม่ไกล หนึ่งคนหน้าตาออกไปทางตะวันตกแต่ก็ยังมีความเป็นเอเชียผสมอยู่บ้างเล็กน้อย อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของสายตาที่กำลังมองอยู่ ส่วนเด็กน้อยอีก 1 คนอายุน่าจะประมาณสัก 3 ขวบ จากที่ดูแม้ทั้งคู่จะสนิทสนมเล่นหัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็คงไม่ใช่พี่น้องกันอย่างแน่นอน เพราะคนโตดูหน้าออกไปทางฝรั่งขนาดนั้น ส่วนคนเล็กที่น่าจะเด็กไทยนั่น ดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ในความคิดของอั๋น

“พี่แอช”คนตัวเล็กร้องเรียกพี่ชายตัวโตที่หันหลังให้กับผู้มาใหม่ เพราะตอนนี้ผู้มาใหม่อย่างอั๋นได้ลงมือ ไม่สิ เรียกว่าลงเท้าน่าจะถูกกว่า อั๋นเตะปราสาททรายที่คนตัวเล็กร่วมกันก่อกับพี่แอช หรือแอชตั้นของเค้า เสียพังไม่มีชิ้นดี แถมคนที่มาพังยังทำหน้ากวนอย่างไม่รู้สึกผิดอีกด้วย

คนตัวเล็กทำท่าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นผลงานที่ตัวเองสร้างขึ้นถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา และเมื่อแอชตั้นเห็นน้องน้อยสุดที่รักเสียใจขนาดนั้นก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า ก้าวเข้าไปหาคนหน้ากวนที่ยังยืนเป็นท้องไม่รู้ร้อน

“ขอโทษน้องชาร์ลเดี๋ยวนี้”แอชตั้นกระชากคอเสื้ออั๋น ด้วยท่าทางเอาเรื่อง แม้จะพยายามทำเสียงเข้มแล้ว แต่ฝั่งอั๋นเองกลับยังรู้สึกขบขันในน้ำเสียง เพราะแอชตั้นเองก็เกิดและเติบโตที่ต่างประเทศ มีโอกาสมาอยู่เมืองไทยก็แค่ช่วงเวลาไม่นาน แอชตั้นยังคงจ้องมองอั๋นด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

“ทำไมต้องขอโทษ ไม่ได้ทำผิดไรเสียหน่อย”อั๋นที่ไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่าย เพราะขนาดตัวที่ไม่ได้ต่างกันมากนะ แม้น้ำเสียงที่บอกออกไปจะไม่ค่อยชัดด้วยสาเหตุเดียวกะน้องสาวฝาแฝด แต่น้ำเสียงของอั๋นก็ยังแฝงไปด้วยความกวน และท้าทาย

“พี่แอช อย่ามีเรื่องพ่อตี้บอกว่าคนต่อยตีนิสัยไม่ดี เราอย่ายุ่งกับคนเกเร”เด็กน้อยผู้หลบอยู่หลังแอชตั้นกระตุกชายเสื้อผู้เป็นพี่ ทำให้แอชตั้นคลายมือที่ดึงคอเสื้ออั๋นออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แอชตั้นหันไปหาเด็กชายตัวเล็ก ปัดเศษทรายที่ติดตามตัวผู้เป็นน้อง ก่อนจะจูงมือน้องชายตัวเล็กมุ่งกลับโรงแรม โดยไม่สนใจอั๋นที่ยังยืนงงๆ กับสถานการณ์

“ป๊อดนี่หว่า”อั๋นยืนกอดอก ตะโกนไล่หลังทั้งคู่ด้วยอารมณ์อยากหาเรื่อง แม้เจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองจะทำไปทำไม แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังอยากแกล้งเจ้าตัวเล็กนั่น ยังไม่อยากให้เดินจากไปแบบนี้ ทั้งแอชตั้นและชาร์ลต่างหยุดเดินและหันกลับมามองอั๋นด้วยสายตาที่ไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน

เป็นคนตัวเล็กสุดที่ดึงข้อมมือน้อยๆ ของตัวเองจากพี่แอชของเค้า ก่อนจะเดินย้อนไปหาอั๋น ทั้งอั๋นและแอชตั้นต่างมองด้วยความไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กจะทำอะไร แล้วด้วยความที่งงๆ อยู่นั้นทำให้อั๋นไม่ทันระวังตัว

“ไอ้คนเกเร”พอเดินเข้าไปในจุดที่ใกล้พอแล้วเจ้าตัวเล็กก็ใช้มือเล็กๆ ของตัวเองกำทรายเต็มสองมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเล็งและขว้างไปที่หน้าของอั๋น ซึ่งฝีมือของเจ้าตัวเล็กก็ดีเสียด้วย ทรายโดนหน้าอั๋นเต็มๆ เข้าทั้งปาก ทั้งจมูก ทั้งตา แถมขว้างเสร็จเจ้าตัวเล็กก็วิ่งปรู๊ดหนีไปเลย ไม่สนใจแม้แต่พี่แอชของตัวเองที่ยืนหัวเราะกับเหตุการณ์ตรงหน้า

“ไอ้เปี๊ยก ไอ้ตัวแสบ”อั๋นรีบขยี้ตาเตรียมจะวิ่งตามเจ้าตัวเล็กด้วยความโมโห

“จะไปไหน”แอชตั้นยืนขวางอีกคนไว้ไม่ให้ตามเจ้าตัวเล็กไป แม้แอชตั้นจะรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กมีส่วนผิดอยู่บ้างที่ทำแบบนี้ แต่ไอ้คนที่โดนนี่ก็เข้ามาหาเรื่องพวกเค้าก่อน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

“ปล่อยสิวะไอ้ฝรั่ง”อั๋นผลักคนที่ขวางไว้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ยอม ต่างฝ่ายต่างผลัก ขวางกันไปมา จนในที่สุดอั๋นก็เป็นฝ่ายที่หมดความอดทนก่อน ปล่อยหมัดใส่แอชตั้น จนเซถอยหลังไป ฝ่ายแอชตั้นเมื่อตั้งหลักได้ก็สวนคืน แล้วทั้งคู่ก็แลกหมัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งเหตุการณ์ตะลุมบอนของเด็กชายทั้งคู่นั้น ผู้เป็นพ่อของอั๋นสังเกตเห็นแล้ว รวมทั้งปาร์ตี้พ่อสุดที่รักของชาร์ล ที่ชาร์ลไปตามมาช่วยพี่แอชของเค้าด้วย

“อั๋นหยุด/แอชตั้นหยุดลูก”ผู้ใหญ่สองคนต่างวิ่งมาแยกเด็กในปกครองของตัวเองออกจากกัน สภาพของเด็กทั้งคู่ตอนนี้สะบักสะบอมไม่แพ้กันเลย ทั้งอั๋นและแอชตั้นยังคงมองหน้ากันด้วยความแค้นเคือง

“ไปทำแผลที่ลอบบี้ก่อนดีกว่านะครับ”ปาร์ตี้เป็นคนเสนอความเห็นให้แก่อีกฝ่ายเพราะจำได้ว่าคู่กรณีเป็นแขกในโรงแรมของพวกเค้า

ไม่นานทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ลอบบี้ของโรงแรม ทั้งฝั่งของอั๋น ที่ประกอบด้วย อิ๋ง น้องสาวฝาแฝดของเค้า รวมทั้งพ่อและคนรักของพ่อ ส่วนฝั่งของแอชตั้นตอนนี้นอกจากลุงปาร์ตี้พ่อของชาร์ล เจ้าตัวเล็กชาร์ล ก็ยังมีพี่ชายฝาแฝดของชาร์ล นั่นคือปอร์โต้อีกคน ผู้ปกครองทั้ง 3 ต่างช่วยกันทำแผลให้เด็กทั้งสอง ที่ตอนนี้ถูกจับให้นั่งข้างกัน

“สมน้ำหน้า”อิ๋งทำปากพูดแบบไม่มีเสียง พร้อมเบ้ปากใส่พี่ชายฝาแฝด อั๋นเองแม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ทำได้เพียงส่งสายตาเคืองๆ กลับไปแค่นั้น เจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่เข้าไปหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน แต่จะให้ยอมรับง่ายๆ ก็เสียฟอร์มแย่ เค้ารู้ดีว่าหลังทำแผลเสร็จ พวกผู้ใหญ่ต้องสอบสวนเค้าและไอ้ฝรั่งข้างๆ นี่แน่ๆ ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน

“พี่ชื่อไรอ่ะ เก่งมากเลยที่สู้พี่แอชได้ นี่โต้อยากโตเร็วๆ บ้างจะได้สู้พี่แอชบ้าง ตอนนี้โต้แพ้พี่แอชตลอดเลย”เหมือนปอร์โต้จะไม่สนใจความบาดหมางระหว่างอั๋นและแอชตั้นที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะเข้าไปทักทายอีกคนที่ยังไม่ได้รู้จักอย่างชื่นผม สร้างรอยยิ้มให้บรรดาผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

“พี่โต้มานี่”เจ้าตัวเล็กร้องเรียกพี่ชายตัวเอง แม้ทั้งคู่จะเป็นแฝดกัน แต่ก็เป็นแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบทำให้ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยเรียกว่าต่างกันแทบทุกอย่าง ปอร์โต้ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของน้องชาย แต่เค้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอิ๋ง เด็กหญิงรุ่นพี่อีกคน

“ทำไมเป็นเป็นผู้หญิง”คำถามของปอร์โต้ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะขำกันออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่ปอร์โต้ก็แค่สงสัยว่าทุกคนเป็นผู้ชายหมด แล้วคนๆ นี้ทำไมถึงเป็นผู้หญิง ตั้งแต่เกิดมาผู้หญิงคนเดียวที่ปอร์โต้คุ้นเคยที่สุดก็คงมีแต่คุณย่าของเค้าทำให้ปอร์โต้ที่ได้เจอเด็กผู้หญิงใกล้ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกดูจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยทีเดียว

“ก็สวยไงเลยต้องเป็นผู้หญิง มีอะไรไหมเด็กอ้วน”อิ๋งตอบอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนจะหยิกแก้มเด็กชายรุ่นน้องอย่างเอ็นดู การกระทำของเด็กทั้งคู่ช่างน่าเอ็นดูสำหรับผู้ใหญ่ที่มองอยู่

“เอาละ ทีนี้ใครจะเป็นเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”ปาร์ตี้เป็นคนเปิดประเด็นเสียงเรียบพร้อมมองแอชตั้น เค้ารู้ว่าแม้แอชตั้นจะดื้อไปบ้างแต่ก็มีเหตุผลพอ ที่จะไม่ไประรานใครก่อน แต่ก็ไม่ได้จะด่วนตัดสินโดยไม่ฟังความจากอีกฝั่ง แม้แอชตั้นจะไม่ใช่ลูกหลานหรือญาติแท้ๆ ของครอบครัวเค้า แต่ก็เห็นและรู้จักกับแอชตั้นมาตั้งปอร์โต้และชาร์ลยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ

ความสนิทสนมของครอบครัวปาร์ตี้กับพ่อของแอชตั้นค่อนข้างจะเกือบเป็นครอบครัวเดียวกัน การเดินทางมาที่ภูเก็ตทุกๆ ปี ของพ่อที่เลี้ยงดูแอชตั้นมา ทำให้ทั้งสองครอบครัวได้ทำความรู้จักกัน จนทำให้ลูกๆ ได้เป็นเพื่อนกัน สนิทถึงขั้นพ่อของแอชตั้นอนุญาตให้ลูกชายเดินทางมาอยู่ที่ภูเก็ตกับครอบครัวนี้เพียงลำพังได้ ในช่วงซัมเมอร์แบบนี้

“ผมดึงคอเสื้อเค้าก่อนครับ”แอชตั้นบอกอย่างสำนึกผิด เพราะก่อนมานี่เค้ารับปากกับพ่อไว้แล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องให้ลุงตี้กับลุงแว่นวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องจนได้ แม้จะคิดว่าเค้าเองไม่ได้ผิดมากแต่ก็คงผิดที่ต่อยอีกคนกลับ หลังจากที่โดนต่อยก่อน

“งั้นแสดงว่าอั๋น เราเป็นคนต่อยเค้าก่อนถูกไหม”โอเล่ผู้เป็นพ่อถามอย่างรู้ทันลูกชายตัวเองที่ยังคงนั่งเงียบ อั๋นเองก็ไม่สามารถปฏิเสธพ่อตัวเองได้ เพราะเค้าคือคนที่เปิดฉากปล่อยหมัดก่อนจริงๆ แต่ที่ทำไปเพราะไอ้ฝรั่งนี่มาขวางไม่ให้เค้าตามเจ้าตัวแสบนั่น

“ก็ฝรั่งมาขวางอั๋น ไม่ให้ตามเจ้าแสบนั่น”อั๋นชี้ไปที่ชาร์ล ซึ่งทำตัวลุกลี้ลุกลน กลัวจะโดนดุที่เป็นคนขว้างทรายเข้าตาพี่ชายเกเรในความคิดของเจ้าตัวแสบ และเหมือนสวรรค์จะเป็นใจให้เจ้าตัวแสบ เค้ามองเห็นคนที่จะช่วยเค้าแล้ว ขาสั้นๆ นั้นรีบวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พ่อชาร์ปอุ้ม”เด็กน้อยไม่สนใจทุกคนที่นั่งค้นหาต้นตอของการทะเลาะกัน วิ่งหาพ่ออีกคนของเค้าหวังให้ช่วยเป็นเกราะกำบังไม่ให้โดนดุ ชาร์ลรู้ดีว่าพ่อตี้ของเค้าใจดีเสมอเวลาเค้าทำตัวเป็นเด็กดี แต่เวลาทำความผิด คนที่จะช่วยเค้าได้ก็มีแต่พ่อแว่นของเค้านี่แหละครับ

“โอเคผมว่าผมพอจะรู้แล้วว่าสาเหตุ น่าจะมาจากเจ้าตัวแสบที่วิ่งหนีไปนั่น”ปาร์ตี้เอ่ยออกมาพร้อมชี้ไปที่ลูกชายตัวเล็กที่เพิ่งวิ่งหนีไป

“ตัวแสบของเราไปสร้างเรื่องอะไรหรือเปล่า อ้าวแอชไปทำอะไรมาละนั่น”ชาร์ปหรือพ่อแว่นของทั้งปอร์โต้และชาร์ล อุ้มลูกชายคนเล็กกลับเข้ามาอย่างแปลกใจ สุดท้ายแอชตั้นก็เป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนฟัง รวมทั้งวีรกรรมของเจ้าตัวแสบด้วย

“พี่ชายเกเรมาเตะกองทรายของชาร์ลก่อน ไม่งั้นชาร์ลไม่ทำหรอก”เจ้าตัวแสบบอกพร้อมหน้างอๆ ในใจก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้พี่ชายเกเรนี่เลย

ผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนได้แต่มองลูกๆ ตัวเองด้วยความเอ็นดู แต่ก็รู้ว่าต้องสอนให้เด็กๆ เรียนรู้การให้อภัย รวมถึงไม่ใช้กำลังแก้ปัญหา และที่ขาดไม่ได้คือมิตรภาพ แอชตั้นและอั๋นถูกให้กอดคอสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกัน ส่วนปอร์โต้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่อยากสนิทกับทุกคน รวมถึงพี่สาวหนึ่งเดียว ที่เค้าได้รู้จักวันนี้ด้วยก็เข้าไปจะจับมือกอดคอกับทุกคน

จะมีก็แต่ชาร์ลีน้อยที่ยอมเปิดปากขอโทษ แต่ก็ยังคิดว่าไม่อยากญาติดีกับไอ้พี่อั๋นนี่อยู่ดี เจ้าตัวเล็กคิดว่าเค้ามีพี่แอชตั้นคนเดียวก็พอแล้ว

ตกเย็นทั้งสองครอบครัวได้สังสรรค์ร่วมกันที่ชายหาด เป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวเล็กๆ ผู้ใหญ่ทั้ง 4 พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ เรื่องราวต่างๆ อย่างออกรสออกชาด ส่วนเด็กๆ ทั้ง 5 นั่งล้อมวงกินบาร์บีคิวกันอย่างเอร็ดอร่อย ต่างแย่งกันชิมน้ำหวานหลากสีสันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่เวลาปกติ เด็กๆ มักถูกห้ามไม่ให้กินน้ำหวานมากเกินไปนัก แต่วันนี้เป็นวันที่เด็กๆ ได้รับอนุญาตให้กินได้ตามใจชอบ

“พี่อิ๋งมีแฟนรึยังฮ่ะ”เด็กชายตัวกลมเอ่ยถามเด็กหญิงรุ่นพี่อย่างแก่แดดตามที่เคยเห็นผ่านๆ ในจอทีวี เพราะรู้สึกอยากมีแฟนแบบนั้น ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าคำว่าแฟนมันคืออะไร

“โตก่อนค่อยมาถามนะน้องอ้วน”เด็กหญิงรุ่นพี่บอกพร้อมดึงมือไปหยิกแก้มน้องชายตัวอ้วนอย่างหมั่นเขี้ยว ด้านอั๋นที่พยายามอยากคุยกับเจ้าตัวแสบโดยมีแอชตั้นช่วยอีกแรงก็ดูจะไม่เป็นผล เจ้าตัวแสบก็ยังคุยด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เปี๊ยกเคยนั่งเครื่องบินป่าว”อั๋นพยายามจะชวนคุยในสิ่งที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ก็ยังพูดด้วยฟอร์มที่ยังกวนๆ อยู่

“ก็เคย ถามไมอ่ะ”ตามความคิดของอั๋นนึกว่าเจ้าตัวเล็กจะอยู่แค่ที่ภูเก็ตนี่ ไม่เหมือนตัวเองที่ต้องบินไปต่างประเทศด้วย นึกว่าจะได้อวดคนตัวเล็กให้สนใจเรื่องที่ตัวเองพูดบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ดูแล้วในโลกของเจ้าเปี๊ยกนี่มีแต่พี่แอชตั้น จนอั๋นเริ่มจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีก คราวนี้ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กจะคุยอะไรกับแอชตั้น อั๋นจะคอยขัดตลอด

หลังจากวันนั้นเด็กๆ ก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง ณ ที่แห่งนี้ มิตรภาพความเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ก่อตัวขึ้นระหว่างทั้ง 5 คน แม้จะมีไม้เบื่อไม้เมาในกลุ่มอย่าง อั๋นและชาร์ล แต่เค้าทั้ง 5 ก็รักกันดี ต่างตกลงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แม้ระยะทางจะทำให้ทั้งหมดต้องอยู่ห่างกันบ้าง แต่แท้จริงแล้ว ทั้งแอชตั้น อั๋น อิ๋ง นั้นก็ได้รู้หลังจากวันนั้นว่าทั้ง 3 พักอาศัยอยู่ในละแวกเดี๋ยวกัน นั่นทำให้ ทั้ง 3 สนิทกันอย่างรวดเร็ว จนอั๋นและแอชตั้นเติบโตมาเป็นเพื่อนรักกัน

“ว่าไงตัวแสบ เตรียมตัวพร้อมยัง”แอชตั้นทักทายน้องชายต่างสายเลือดผ่านหน้าจออย่างเอ็นดู เค้ารู้จักคนตรงหน้าตั้งแต่ยังแบเบาะ จนตอนนี้น้องชายตัวน้อยของเค้าอายุ 16 แล้ว และกำลังทำเรื่องย้ายมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศกับเค้า น้องชายที่อยากตามมาตั้งนาน แต่คุณพ่อทั้งสองก็ห่วงลูกชายจนไม่ยอมปล่อยมาสักที

“คิดถึงพี่แอชจังเลย เสียดายพ่อน่าจะยอมให้ไปตั้งนานแล้วจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่นี่พี่แอชก็เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เสียดายเนอะ”ชาร์ลบอกเสียงอ่อยๆ เค้าเป็นเด็กกระตือรือร้นที่อยากเจออะไรใหม่ๆ เลยอยากไปเรียนต่างประเทศ แต่ผู้เป็นพ่อกลับไม่อยากให้ลูกไปอยู่ไกลตัว เลยยอมแค่ให้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แล้วในระดับอุดมศึกษา หรือตอนเรียนมหาวิทยาลัยค่อยให้ไปเรียนได้เต็มตัว ถ้ายังต้องการอยู่

“ไอ้แอชคุยกับแฟนอีกแล้วเหรอ”ภาพอีกคนที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ชาร์ลต้องเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ พี่ชายอีกคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเค้า แม้ไม่ถึงขนาดกับเกลียดกัน แต่ชาร์ลก็ไม่ค่อยชอบการกวนประสาทของอีกฝ่ายมากนัก โดยเฉพาะการแซวว่าเค้ากับพี่แอชเป็นแฟนกันนี่แหละ แม้เค้าจะรักพี่แอชมากแต่ก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ในแบบนั้นแน่นอน

“ไอ้เชี่ยพี่อั๋น หวัดดีจะไปไหนก็ไป เกะกะลูกตา”แม้เค้าจะอายุน้อยกว่าอีกฝ่ายหลายปี แต่คนทำตัวแบบไอ้พี่อั๋นก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าเคารพมากนักหรอก

“อ้าวเปี๊ยก พูดจาแบบนี้เดี๋ยวมาถึงจะจับตีตูดเสียให้เข็ด”ชาร์ลส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ไม่ตอบโต้อะไรอีก เค้าได้เรียนรู้แล้วว่าการจะตัดบทกับพี่ชายจอมกวนได้คือต้องเงียบและไม่ตอบโต้ใดๆ เดียวอีกฝ่ายจะรามือไปเอง แต่บ่อยครั้งที่เป็นเค้าเองที่อดจะต่อปากต่อคำไม่ได้

“โตแล้ว ใครจะไปยอมพี่ละไอ้เชี่ยพี่อั๋น”เป็นอีกครั้งที่เค้าเผลอพึมพำออกมาจนอั๋นคิดว่าเป็นการต่อปากต่อคำกับพี่ชายสุดกวนอย่างเค้า

“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วเปี๊ยกว่าให้เรียก โอลิเวอร์ มาเรียกอั๋นอะไรเช้ยเชย”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชาร์ลรู้สึกหมั่นไส้ ก็พอเข้าใจว่าการใช้ชีวิตในต่างประเทศ อาจต้องมีชื่อที่ให้เพื่อนๆ เรียกได้ง่ายๆ แต่กับเค้าที่รู้จักและคุ้นเคยกับชื่อนี้ ยังจะมาบังคับให้เรียกแบบนี้อีก

“หน้าตาก็ไม่ได้ฝรั่งสักนิด ทำมาเป็นให้เรียกชื่อฝรั่ง”คนตัวเล็กทำแลบลิ้นปลิ้นตากวนอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าอีกคนคงทำอะไรเค้าไม่ได้อยู่แล้ว อั๋น หรือตอนนี้ ใครๆ ที่รู้จักต่างก็เรียกว่าโอลิเวอร์ อยากจะยื่นมือเข้าไปในจอแล้วบิดแก้มอีกคนให้หายหมั่นเขี้ยวเสียให้ได้ แต่ก็เพียงคิดได้ในใจ กะว่าเจ้าเด็กแสบนี่มาเมื่อไหร่ได้โดนดีแน่ๆ

“จะไปไหนก็ไปสักทีสิวะ ไอ้โอลิเวอรรร์”แอชตั้นผลักเพื่อนสนิทออกอย่างรำคาญพร้อมแกล้งทำเสียงเรียกชื่ออย่างจงใจเน้นคำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว อั๋นยอมหลบออกจากหน้าจอ แต่ก็ชี้หน้าจอคาดโทษอีกคนว่าถ้าเจอกันต้องโดนดีแน่ๆ

ทั้งแอชตั้นและชาร์ลอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มดีใจของอีกคนที่เดิน ออกจากห้องมา รอยยิ้มที่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ายิ้มกว้างขนาดไหน เค้ารู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่พี่ชายคนโปรดของน้อง เหมือนอย่างแอชตั้น นั่นทำให้เค้าได้แต่คอยปากเสีย และพูดจากวนประสาทแทรกไปเวลาสองพี่น้องนั่นคุยกัน แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะเอ็นดู แล้วน้องก็น่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่

“เดี๋ยวเจอกันนะไอ้เปี๊ยก”







END


แวะเอาบทพิเเศษที่เคยแต่งไว้มาลง

จริงๆ มันเป็นโครงการที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะดึงตัวละครรุ่นลูกๆ จากแต่ละเรื่องมาแต่งเป็นเรื่องยาว

แต่ยังไม่มีเวลา เลยตัดมาได้แค่สั้นๆ เหมือนเป็นบทนำเกริ่นไว้ก่อน ไว้เคลียร์เรื่องที่ค้างๆ อยู่ จบเมื่อไหร่ก็จะหยิบมาแต่งต่อ

ส่วนตัวละครรุ่นลูกที่จะหยิบมาใช้ก็จะมี

อั๋น/อิ๋ง สองพี่น้องฝาแฝดลูกๆ ของโอเล่ จากเรื่อง ระหว่างเราคือ...?
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0

นอกจากนี้สองแฝดก็เคยไปป่วนในตอนจบของเรื่อง (ไม่)รักได้ไง มาด้วย
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0

ชาร์ล/ปอร์โต้ ลูกชายฝาแฝดของชาร์ปกับปาร์ตี้ จาก ผิดที่ใคร นี่เอง

แล้วก็สุดท้ายคือแอชตั้น ลูกชายที่ ข้าวฟ่างเลี้ยงดูมา จากเรื่อง พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0

ถ้าใครอยากรู้ที่มาที่ไปของเด็กๆ แต่ละคนก็ลองอ่านเรื่องเก่าๆ ดูได้ครับ

หัวข้อ: Re: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-10-2017 13:04:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2017 16:35:58
Norita_Boy
norita_boyV2

ฝากนิยายด้วยนะครับ

เรื่องที่จบแล้ว

เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ

เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย

เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง

เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ

เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ

เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย


เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท



เรื่องที่กำลังออนแอร์


เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน

เรื่องที่ 2 : Drunk in Love

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์




ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
 o13
[/b]
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว]ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ (24-10-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 28-02-2020 23:50:33
งู้ย เราชอบนะคะ55555 คาแรคเตอร์แต่ละคนนี่เทาๆดีค่ะ ไม่มีคนดีที่สุดแต่ก็ไม่แย่ที่สุดเช่นกัน

ถ้าพูดถึงอรรถ เราไม่เกลียดอรรถเลยและรู้สึกว่าน่าสงสารด้วยซ้ำ ลองถามตัวเองดูว่าเราจะอยู่กับคนแบบปาร์ตี้เป็นปีๆได้โดยที่เค้าพยายามรักอรรถก็จริง(แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รักสักหน่อย) เป็นคุณ คุณจะแฮปปี้มั้ยที่เขาเลือกอยู่ด้วยเพราะเรารักเค้าแต่เค้าแค่เห็นว่าคุณแค่ดีและอยู่ด้วยได้ ประเด็นนี้ก็แล้วแต่มุมมองเนอะ แต่เราไม่โอเคไง รักไม่ได้ก็ปล่อยกันไปเถอะ


ชาร์ปกับตี้ลงเอยกันด้วยดี ก็เป็นเวลาที่ใช่ จังหวะที่ถูกต้องด้วย ถ้าสองคนนี้คบกันเร็วกว่านี้ก็คงเจ็บหนักเพราะชาร์ปก็ยังยึดติดกับคัลเจอร์เดิมๆ แต่งงานเมียลูกวนไป ส่วนตี้นี่น่าจะเป็นคนที่ตามน้ำที่สุดละนะ ไหลไปตามน้ำไรงี้

สรุปชอบนะคะ สนุกดี ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 12 ของฝาก 24-06-59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 28-11-2020 23:20:33
ใครก็ได้ช่วยพาเหมาไปโรงพยาบาลที
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ให้หมอช่วยผ่าหมาออกจากปากด้วย
 
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] บทที่ 19 ทานข้าวกันไหม 16-07-59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-11-2020 01:53:17

“ทำไมมึงค้างที่นี่แต่มีเสื้อผ้าตัวเองเปลี่ยน มึงทิ้งเสี้ยผ้าไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกมา”เชร็ดอะไรมันจะแม่นขนาดนั้น นี่มันเก็บรายละเอียดขนาดนี้เลยเหรอนี่

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ากูมีเสื้อผ้าติดรถไว้ประจำอยู่แล้ว”ผมยิ้มขำกับการแก้เกมของคุณแว่น จริงอยู่ที่เค้ามีเสื้อผ้าในรถ แต่ไอ้ตัวที่ใส่นั่นมันชุดที่เค้าทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าผมชัดๆ เอาเถอะยังไงก็ถือว่าแก้เกมได้ดี

“ไม่อ่ะกลิ่นเสื้อที่ทิ้งไว้ในรถกับกลิ่นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามันต่างกัน พวกมึงสองคนปิดบังอะไรกูอยู่หรือเปล่า”ไอ้นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย มันแยกกลิ่นได้จริงๆ หรือมันแกล้งพูดมั่วๆ ไปเองแค่นั้นละเนี่ย แต่ถ้ามันเดานี่ถือว่าเดาได้แม่นมากเลยทีเดียว

“แบบนี้ต้องมีการพิสูจน์”ผมเกลียดรอยยิ้มของไอ้เหมาตอนนี้เหลือเกิน จากที่คิดว่าวันนี้จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้มัน แต่ตอนนี้ผมจะแก้เกมมันยังไงดี สมองน้อยๆ ของผมคิดไม่ทันแล้วตอนนี้

“กูจะไปเปิดตู้เสื้อผ้ามึงดู”ชิปหาย ทำยังไงดี ทำยังไงดี ผมกับคุณแว่นสบตากันนิดนึงแต่พยายามเก็บอาการไม่แสดงพิรุธอะไรมาก แต่ถ้าไอ้เหมาบุกไปดูตู้เสื้อผ้าผมจริงๆ นี่ ด้วยความไม่ปกติของไอ้เหมาซึ่งอาจจะจำเสื้อผ้าของผมและคุณแว่นที่เคยใส่ได้ ต่อให้ผมแถว่าในตู้นั้นทั้งหมดมันเป็นของผมเอง แต่ก็ยังมีอีก 1 ชุดที่ผมแถไม่ได้แน่ๆ ก็คุณแว่นเล่นทิ้งยูนิฟอร์มชุดทำงานไว้ด้วยนี่สิ
เราเกลียดไอ้เหมาจังเลย เสือกทุกเรื่อง ปากก็เสีย
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 4 ระแวง 22-08-59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-11-2020 05:35:13
“และที่กูไม่เข้าใจที่สุด คือวันที่พวกมึงอยู่เป็นเพื่อนกูบ้านไอ้ตี้ วันที่กูรู้เรื่องแพทมีลูก สิ่งที่กูเห็นในวันนั้น ใจนึงกูก็อยากถามว่ามึงสองคนทำอะไรกันอยู่ แต่อีกใจก็ไม่อยากไปยุ่งเรื่องของพวกมึง เพราะเห็นว่าต่างคนก็ต่างมีคนของตัวเองแล้ว 
ไม่เชื่อนะ ที่คนขี้เสือกอย่างเหมาจะไม่ยุ่งเรื่องของเพื่อน
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 26 ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม 25-01-60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-11-2020 23:12:41

ถึงจะอ่านไม่จบ แต่สรุปได้เลยว่าคนผิดคือตี้
-ไปตั้งกฎโง่สำหรับ sex friend โดยเฉพาะข้อที่บอกว่าถ้ามีความรู้สึกเกินเพื่อนต้องหยุด จุดนี้ทำให้ทุกอย่างมันออกมาทุเรศยุ่งไปหมดอย่างที่เห็น
-ตี้โลเลหนีความจริง เอาอรรถมาทดแทนชาร์ป
-ตี้เป็นคนงี่เง่าไม่มีเหตุผล ปากอย่างใจอย่าง บอกชาร์ปว่าเป็นเพื่อนกันต่อไป แต่ปฎิเสธทุกการติดต่อจากชาร์ป มันคือเลวว่ะ
-มีอะไรไม่พูด ข้อนี้แสดงถึงนิสัยน่ารังเกียจไม่จริงใจ ล่าสุดทุกอย่างเกือบดีแล้ว ติดเรื่องชาร์ปเคยอยากแต่งงานมีลูก เรื่องนี้ทำไมไม่ถามไม่เคลียร์ให้จบๆไป
เราว่าตี้เป็นคนที่เริ่มทุกอย่าง ถ้าจะจบเราอยากให้ตี้อยู่คนเดียวไร้คู่ เราสงสารคนที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอย่างตี้
หัวข้อ: Re: ผิดที่ใคร [Right or Wrong] PART II บทที่ 29 สุขสม 02-02-60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 29-11-2020 23:34:43
“เราก็แค่กลัว ที่พักหลังเรามีอะไรกันน้อยลง เรากลัวว่าชาร์ปจะเบื่อ”
นี่ก็อีกหนึ่งในความงี่เง่าของตี้ รู้ปัญหาแต่ไม่แก้ ผิดหวังนะที่จบแบบตี้มีความสุข คนแบบตี้ไม่สมควรได้รับอะไรแบบนี้เลย