ผิดที่ใคร [Right or Wrong]
เปิดเรื่อง 29-05-59
intro
ผมลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากรู้สึกมึนๆ หัวเล็กน้อย แต่แสงแดดที่ลอดผ่านม่านเข้ามาแยงตา ทำให้ผมต้องหรี่ตาพยายามปรับสายตาให้คุ้นเคย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ผมต้องเจอกับอาการเมาค้างอีกเป็นแน่ แท้เมื่อคืนคงดื่มหนักเกินไปอีกแล้ว และพอสายตาผมเริ่มคุ้นเคยกับแสง มันทำให้ผมต้องประหลาดใจเล็กน้อย ว่านี่มันไม่ใช่ห้องผม แต่ผมก็พอจะคุ้นๆ กับสภาพห้องว่าต้องเป็นที่ที่ผมรู้จัก ผมพยายามจะขยับตัวแต่กลับกลายเป็นยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ว่า มีคนสวมกอดผมไว้จากด้านหลัง
“อืม”มีเสียงบิดขี้เกียจเบาๆ จากเจ้าของอ้อมกอด และดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่ตื่นเต็มตา สมองผมเริ่มประมวลข้อมูล แล้วก็ใจหายแว๊บ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ผมดีดตัวออกจากอ้อมกอดพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไล่อาการมึนๆ ออกไปพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายที่เพิ่งรู้สึกตัว เราสองคนประสานสายตา แล้วแทบจะอ้าปากค้างพร้อมๆ กัน สภาพผมและอีกคน ไม่น่าจะต่างกันมาก คือเราต่างไม่ได้มีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายสักชิ้น ผมรีบดึงผ้าห่มคลุมท่อนล่างตามสัญชาตญาน
แต่การดึงผ้าห่มของผมกลับยิ่งเป็นการย้ำในสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นั่นคือ ถุงยางอนามัย ที่ผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างแน่นอน กระเด็นออกจากผ้าห่มและร่วงสู่พื้นห้อง สายตาอีกฝ่ายแสดงอาการตกใจ ไม่ได้ต่างจากผม
ผมแทบอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆสักที ทำไมผมปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วนี่ผมจะทำไงดีละทีนี้ ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้าสบตาตรงๆ กับคนข้างๆ นี้ ทั้งผมและอีกคนต่างฝ่ายต่างเงียบไปหลายนาที แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากของอีกฝ่าย
“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น”
คำถามที่ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ถ้าถามว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันเกิดอะไร จากสภาพเราสองคน ผมว่ามันแทบไม่ต้องถามก็เดาออก นอกเสียจากว่าไม่อยากจะยอมรับมัน เพราะยิ่งคิดภาพต่างๆ มันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมทำอะไรกันไปบ้าง ผมไม่รู้จะโทษอะไรดีที่ทำให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น โทษความเมาที่ทำให้เราขาดสติ โทษตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล โทษความเหงาของผมที่ไม่มีใครมานาน
“เรากลับก่อนดีกว่าแล้วกันเนอะ”ผมเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขากำลังโกรธผม เกลียดผมไปแล้ว หรืออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยๆ เค้าก็ไม่ได้ลุกมาต่อยผม ก็แสดงว่าเรื่องราวมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด ถ้าทั้งผมและเค้าแกล้งทำลืมๆ เรื่องนี้ไปซะ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว
“คิดเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน เราสองคนไม่พูดเรื่องนี้ก็จะไม่มีใครรู้”ผมย้ำในสิ่งที่คิดว่าเค้าอาจจะกำลังกังวลอยู่ แม้ผมจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่สำหรับผมที่เป็นเกย์อยู่แล้ว มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร คิดเสียว่ามันคือ one night stand ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้น
“อย่าคิดมากเลย”เมื่อเห็นอีกคนยังเงียบอยู่ ทำให้ผมต้องหาอะไรพูดอีก ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้เค้ารู้สึกดีขึ้นรึเปล่า เอาจริงๆ ชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ตัวผมเองรับบทเป็นผู้ถูกกระทำตลอด แต่ตอนนี้บทบาทนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แต่กลายเป็นผมต้องมาพูดปลอบใจ คนที่เป็นผู้กระทำนี่สิครับ
แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเป็นเกย์มีอะไรกับผู้ชายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อีกคนที่ไม่ใช่เกย์ แถมเพิ่งจับได้ว่าแฟนสาวสวมเขาให้ เรื่องนี้มันจะกลายเป็นว่าผมเข้ามาในจังหวะที่เค้าเสียศูนย์จนต้องมาเจอเรื่องนี้หรือเปล่า
“คงไม่ไปส่งนะ”หลังจากเงียบอยู่นานเค้าก็เปิดปากพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเค้านั้นอยู่ในโหมดไหนกันแน่ ตอนนี้ผมว่าทั้งเค้าและผมคงต้องให้เวลากับตัวเองในการปรับความความรู้สึก ให้มันกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือเดิม และลืมเรื่องนี้ไปซะ
************
สวัสดีคร๊าบบบ
มาแอบลงเรื่องใหม่หลังจากหายไปนาน (ซึ่งอาจไม่มีใครสน) 555
ก็ฝากติดตามติชม กันด้วยนะครับ
จะมาต่อเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง แต่คงไม่ถี่เท่าเรื่องก่อนๆ นะครับ
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในวัยทำงาน ซึ่งต้องติดตามว่าจะซับซ้อนกันขนาดไหน
ส่วนถามว่าสไตล์ของคนแต่งเป็นยังไงก็ลองแวะไปเปิดดูผลงานกากๆ เรื่องก่อนๆ ดูได้นะครับว่าควรจะติดตามต่อรึเปล่า 5555
แอบฝากงานเก่าแบบเนียนๆ :z3:
ใครว่างๆ กะลองอ่านดูได้นะครับ มีไม่กี่เรื่องครับ แหะๆ
- ระหว่างเราคือ??? เรื่องราวอิรุงตุงนังของคนที่เห็นแก่ตัวในความรักจนยากจะแก้ไข
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
-(ไม่)รักได้ไง เรื่องราวของเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเจอกัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
-45 วันพนัน(ไม่)รัก เรื่องของกลุ่มเพื่อนที่จับเพื่อนเกย์ 1 คน และเพื่อนที่เหมือนจะเกลียดเกย์ให้มาอยู่ด้วยกัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
ยังได้ติชมได้เต็มที่คร๊าบบบบ เขียนยังไม่ค่อยเก่ง แต่อยากเขียน :z3:
บทที่ 3
ความรู้สึกที่แปลกไป
หลังจากวันที่ผมไปทานข้าวกับเอมและอาร์ทในวันนั้น ผมก็ยังเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปเป็นสักขีพยานอีกหลายต่อหลายครั้ง จนเริ่มรู้สึกว่านี่ผมเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้หนักเข้าไปทุกที ผมทั้งไปเจอกลุ่มเพื่อนของอาร์ท จากการนัด Hang out บ่อยๆ แถมมันยังทำให้ผมได้รู้อีกว่า ในช่วงที่ชาร์ปไปทำงานต่างจังหวัด คืองานของชาร์ปจะมีต้องออกไปดูงานสาขาที่ต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว อาจจะวัน สองวัน หรือบางทีก็เป็นสัปดาห์ แม้จะไม่ได้ไปบ่อยๆ เฉลี่ยก็แค่เดือนละครั้ง หรือ 2 ครั้ง แต่นั่นก็เป็นเวลาที่ทำให้เอมสามารถไปไหนมาไหน กับอาร์ทได้มากขึ้น แถมไม่ต้องหนีบผมไปด้วยอีกต่อไป จากการประเมินของผมในตอนนี้ เหมือนเอมจะเอนเอียงมาทางอาร์มเสียแล้ว
คงเพราะอาร์มมีหลายๆ สิ่งที่เอมคิดว่าชาร์ปขาด ที่เห็นได้ชัดคงเป็นเรื่องเวลา จุดนี้จริงๆ ผมก็คิดว่าชาร์ปเองก็คงมีส่วนผิด ผมเคยคุยกะชาร์ปว่าทำไมทุ่มเทกับงานมากขนาดนี้ คำตอบของชาร์ปคือเค้าบอกว่าอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ถ้าแต่งงานมีลูกไปจะได้ไม่ลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ผมว่าการทุ่มเทให้กับงานแบบนี้ชาร์ปก็ต้องดูอีกคน ที่คิดจะร่วมใช้ชีวิตด้วยว่า เค้าแฮปปี้หรือเปล่า กับการที่ชาร์ปทุ่มเวลาให้กับงานขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเอมเองไม่ได้รู้สึกยินดีกับสิ่งที่ชาร์ปกำลังทำ เพราะหลายๆ ครั้งก็เป็นชาร์ปเองที่ละเลยชะเอม ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมเข้าข้างชะเอมนะครับ เพียงแต่บางเรื่องที่เห็น เราเองก็รู้สึกว่าชาร์ปเองก็ปรับได้ ถ้าเพียงแต่สังเกตชะเอมดูสักนิด
อีกประเด็นที่ผมว่าชัดเจนกับสิ่งที่ชาร์ปขาดและเอมต้องการ ก็คงไม่พ้นเรื่องการสังสรรค์นี่แหละครับ อย่างที่ผมรู้สึกตั้งแต่แรกว่าสองคนนี้มีความต่างกันมาก ชะเอมเป็นสาวเปรี้ยว สวยเฉี่ยว ชอบการเข้าสังคมยังคงสนุกกับการเที่ยวเตร่ แต่ชาร์ปกลับเป็นคนเรียบๆ ไม่ค่อยชอบเที่ยว แถมยังไม่ค่อยแต่งตัว หรือดูแลตัวเอง ทั้งที่จริงๆ ผมว่าชาร์ปเป็นคนหน้าตาดีคนนึง แต่อย่างนึงที่บดบังความหล่อของเค้าคือแว่นสายตาที่ชาร์ปใส่นั่นแหละครับ
“เหม่ออะไรเนี่ย”เสียงทักทายทำให้ผมหยุดความคิดทั้งหมดไว้ เพราะบุคคลที่เป็นตัวละครในความคิดผม คือคนที่เอ่ยทักทายขึ้น วันนี้ ผมนัดกับไอ้เหมามานั่งชิลๆ เหมือนเดิม แต่ไอ้เหมารอรับแพทอยู่ ผมเลยมารอที่ร้านก่อน แต่ไม่เห็นไอ้เหมาบอกว่าชาร์ปก็จะมาด้วย
“มาไงนิ”ผมไม่ได้ตอบคำทักทายที่เป็นคำถามกลายๆ ของเค้า แต่ผมเลือกที่จะย้อนคำถามกลับไปให้อีกฝ่าย แล้วยิ่งพยายามสอดส่ายสายตาดูแล้วว่า ชะเอม ไม่ได้มากับชาร์ปด้วย เพราะปกติถ้านัดเจอกันทุกครั้งที่ชาร์ปมา ชะเอมก็ต้องมาด้วยตลอด
“ขับรถมาไง เรามรถ เราขับรถเป็น”แหม ถ้าเป็นเพื่อนสนิทมากๆ แบบไอ้เหมาตอบแบบนี้ ผมคงชูนิ้วกลางใส่ไปแล้วครับ มุก 5 บาท 10 บาท ก็ยังจะเล่น แถมพอเล่นมุกแล้วยังมาทำหน้าระรื่นน่าหมั่นไส้ ใส่อีก อายุ 5 ขวบหรือไงพ่อคุณ
“ต้องขำไหม”แม้ในใจจะแอบอยากด่าไปแล้ว แต่อย่างที่บอก ตัวผมเองรู้สึกว่ายังไม่ได้สนิทกับเค้าขนาดที่จะเล่นหัวได้ทุกเรื่อง เลยทำเพียงตอบกลับ ยิ้มๆ แบบกวนๆ ส่งคืนไปเท่านั้น
“พอดีถูกเราถูกทิ้ง”ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงขอคำอธิบายเพิ่ม เพราะไม่มั่นใจว่านี่เค้าจะเล่นมุกอะไรอีกไหม หรือหมายความว่ายังไงกันแน่ จากหน้าระรื่นในตอนแรก ได้ถูกปรับโหมดเป็นหมาหง๋อยไปเรียบร้อยแล้วครับ
“ไม่ตกใจเลย เหรอ อุตส่าบอกว่าถูกทิ้งเลยนะเนี่ย ทำไมตี้ยังไม่เห็นสงสารเราเลย ไรว้า ไม่หนุกเลย”นั่นไงครับ บางทีไอ้บุคลิค เนิร์ดๆ ภายนอกนี่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเนิร์ดไปเสียทุกอย่างนะครับ อย่างหนุ่มแว่นคนนี้ดูมีความพยายามจะเป็นเนิร์ดสายตลก แต่ผมว่าเป็นแว่นตลกมุกแป้กเสียมากกว่านะครับ
“สรุปไปยังไง มายังไง นัดกับไอ้เหมาไว้ หรือยังไง”ผมส่ายหน้า ขำๆ ให้กับเค้าก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟ ขอแก้วเครื่องดื่มให้เค้า เพราะดูแล้วชาร์ป ก็คงมาร่วมโต๊ะกับผม และไอ้เหมานี่แหละครับ
“ก็ถูกทิ้งไง เอมเค้ากลับบ้านที่เหนือ เราเลยโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว โทรหาไอ้เหมาเพื่อนเลิฝมันเลยว่าให้มาที่นี่แหละ”นี่แค่แฟนกลับบ้านต่างจังหวัด ถึงขั้นอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เลยรึไงคุณแว่น
“อ๋อ”ผมรับคำสั้นๆ เพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ
“แล้วตกลงตอนเรามา ตี้เหม่ออะไรอ่ะ คิดถึงแฟนอยู่เหรอ”ดูหน้าตาคนถามนี่แลจะสนุกมากเลยนะครับ แถมสายตาเจ้าเล่ห์นั่นอีก บางทีก็นึกหมั่นไส้คุณแว่นนี่เหมือนกันนะครับ ดูเค้าเป็นคนมีความสุขตลอดเวลา แบบมีความสุขมากไปจนน่าหมั่นไส้ พอจะนึกภาพออกไหมครับ
“แฟนเฟินอะไรล่ะ ก็บอกแล้วว่าโสดมาตั้งนานแล้ว”ผมตอบออกไป แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย เพราะรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ กับสายตาของอีกฝ่าย
“นั่นแน่ บอกไม่มี แต่ หลบตา ดูมีพิรุธนะเนี่ย ตี้เองก็ออกจะดูดีขนาดนี้ หน้าตาจะมองว่าหล่อก็หล่อ ดูเป็นสไตล์พิมพ์นิยม รูปร่างก็ดูลีนๆ ไม่ได้ผอมบาง แต่ก็ไม่ได้ล่ำจนเกินไป ดูๆ แล้วตี้น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายลำดับต้นๆ ของวงการนี้นะ”เอ่อคุณแว่นครับ ถ้าวิเคราะห์ละเอียดอีกนิดนี่จะกลายเป็นกูรูด้านรูปร่างและรสนิยมของผมแล้วนะครับ
“พอๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว มาๆ ชนแก้วดีกว่า”ผมพยายามเปลี่ยนบทสนทนาเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาคุยเรื่องนี้กับคุณแว่นนี่
“เนี่ย ไหนหันหน้ามาตรงๆ ดิ ออกจะดูดีขนาดนี้”ผมรีบเอนตัวออกพร้อมเบี่ยงหน้าหลบ เพราะเจ้าของคำพูดเอื่อมมือมาเชยปลายคางผมให้หันหน้าหาเค้า โดยที่ตัวเค้าเองเตรียมจ้องผมอยู่แล้ว ผมบอกปัดอีกครั้งว่าไม่คุยเรื่องนี้แล้ว และไม่กล้ามองหน้าเค้าตรงๆ เนื่องจากตอนนี้สัมผัสได้ว่าใบหน้าของตัวผมเองเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา และมันคงเริ่มเปลี่ยนสีแล้วไม่มากก็น้อย
“เป็นไรเนี่ย หน้าแดงเชียว เขินเหรอ”เขินงั้นเหรอ ผมเขินคุณแว่นเนี่ยนะ ผมแค่รู้สึกแปลกๆ กับสายตาที่จ้องนั่นต่างหาก ผมไม่ได้เขิน
“เลิกพูดเล่นได้แล้ว”ผมพูดย้ำเสียงเรียบก่อนจะยกแก้วเบียร์ดื่มรวดเดียวหมด หวังให้ความเย็นของเครื่องดื่ม ให้ช่วยดับความร้อนภายในของผมตอนนี้ แต่อีกฝ่ายดูจะยังสนุก และหัวเราะน้อยๆ กับการกระทำของผม
“บอกแล้วว่าปาร์ตี้เนี่ยดูดีจะตายไป ยิ่งตอนเขินแบบนี้ยิ่งน่ารัก ถ้าเราเป็นเกย์นะเราจีบปาร์ตี้ไปแล้ว”คำพูดพร้อมสายตายิ้มๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องเว้นช่องว่างกับคุณแว่นนี้ให้มากขึ้น ผมรู้ว่านี่เค้าก็แค่แซวผมเล่นๆ แต่บางทีมันก็ต้องมีขอบเขต ขอบเขตที่จะไม่กระทบกับความรู้สึกของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นผมเองที่แหละอาจจะโดนแรงกระทบ เพราะงั้นผมเองนี่แหละที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง โดยการเพิ่มระยะปลอดภัยระหว่างผมกับคุณแว่นนี่
โชคดีของผมที่ไอ้เหมาและแพทมาถึงพอดี ทำให้ผมไม่ต้องทนกับความรู้สึกลำบากใจเมื่อสักครู่นานจนเกินไป แต่ผมลืมคิดไปว่า เหตุการณ์ต่อจากนี้มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างเดิมเท่าไหร่
“เอ้าไอ้เชี่ยชาร์ป ลุกสิว่ะ กูจะนั่งกะแพท มึงไปนั่งเป็นคู่เกย์กะไอ้ตี้โน่น”ถ้าปกติ ผมจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนี้ แต่ครั้งนี้มันกลับรู้สึกต่างออกไป ผมกลับรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ไอ้เหมาพูดออกมา
“เอ้า แล้วไมมึงไม่บอกตี้ให้เป็นฝ่ายย้ายมานั่งกะกูล่ะ ตี้มาๆ มาเป็นคู่เกย์กันฝั่งนี้ดีกว่า”ประโยคแรกที่คุณแว่นพูดกับไอ้เหมานี่ไม่เท่าไหร่นะครับ แต่ประโยคหลังที่เค้าหันมาพูดกับผมนี่สิครับ
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เดี๋ยวแพทนั่งกับตี้เอง ตัวเองก็นั่งเป็นคู่เกยยยย์...กับชาร์ปไปละกัน”แพทหันไปสั่งไอ้เหมาพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ผม แต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าไม่มาเน้นคำว่าเกย์เนี่ย วันนี้ดูทุกคนใช้คำนี้พร่ำเพรื่อกันเหลือเกิน จริงอยู่ที่ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์ หรือถูกเรียกว่าเกย์ แต่บางทีก็ไม่ค่อยอยากให้มาย้ำกันขนาดนี้
“ไม่เอาอ่ะ เค้าอยากนั่งกะตัวเอง”เพื่อนเหมาครับ เพื่อนคงคิดว่าสิ่งเพื่อนอ้อนแฟนนั้นมันดูน่ารักมุ้งมิ้งสินะ แต่เดี๋ยวผมคงต้องบอกมันแล้วละครับว่าไปมุ้งมิ้งกันที่บ้าน 2 คนจะดีกว่า เพราะผมเห็นมันทำแล้วแทบจะขนลุก ก็ผู้ชายตัวโตๆ หนวดเคราก็ไม่ค่อยจะโกน มันดูไม่เข้ากันเลยกับไอ้ที่มันทำตะกี้
“มึงส่ายหน้าทำไมไอ้ตี้ ลุกมาเลยให้ไวจะได้จบๆ”นั่นแหละครับ สรุปแล้วสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนที่ต้องย้ายที่นั่งไปหาคุณแว่น
“หายเขินแล้วใช่ไหม”พอผมนั่งลง คุณแว่นก็เอียงตัวมาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบให้ผมได้ยินแค่คนเดียว ซึ่งสิ่งที่เค้าถามมันทำให้ผมต้องขยับตัวให้ห่างจากเค้าเพิ่มขึ้นอีก แต่สิ่งที่คุณแว่นทำ ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของไอ้เหมา
“กระซิบอะไรกัน นี่แค่แฟนไม่อยู่มึงจะเล่นเพื่อนเลยเหรอไอ้ชาร์ป แค่มึงนั่งข้างกันเฉยๆ ก็เหมือนเป็นคู่เกย์แล้ว ไม่ต้องมากระซงกระซิบอะไรกันอีกหรอก”นี่ก็จะขยี้ไปถึงไหน เข้าใจนะครับว่าเพื่อนหยอกเล่นๆ แต่ทิ้งช่วงให้ผมปรับความรู้สึกนิดนึงจะได้ไหม
“เลิกเล่นกันได้แล้ว อ่ะเมนูจะกินอะไรก็สั่งมา จะได้เลิกพูดไร้สาระสักที”ผมยื่นเมนูให้ไอ้เหมาพร้อมกับมองคุณแว่นข้างๆ นี่ด้วยสายตาขวางๆ นิดๆ เป็นการปรามให้เค้าเลิกเล่นเช่นเดียวกัน แม้ตอนแรกจะยังมีรอยยิ้มกวนๆ อยู่บ้าง แต่พอไอ้เหมาเริ่มเปลี่ยนประเด็นในการพูดคุย บรรยากาศเลยกลับมาปกติอีกครั้ง เราทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยมีเสียงเพลงจากทางร้าน คลอๆ มาให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย สบายๆ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่ามีแจ้งเตือน facebook messenger จากหัวหน้าของผม จริงๆ ผมเป็นคนที่ปิดแจ้งเตือนโซเชี่ยลไว้แทบทุกอย่างนะครับ แต่ตัวนี้ปกติไม่ค่อยมีใครใช้สื่อสารกับผมเท่าไหร่ เลยไม่ได้ปิดไว้
คือเวลาอยู่กับเพื่อนแบบนี้ผมก็ไม่จับโทรศัพท์สักเท่าไหร่ เพราะทุกคนก็ไม่มีใครสนใจโทรศัพท์เช่นเดียวกัน คือทุกคนเห็นตรงกันว่าในเมื่อมาเจอกัน ก็ควรให้ความสำคัญกับคนตรงหน้ามากกว่าหน้าจอโทรศัพท์
“ตอบแชทพี่ชาญแปปนะ”ผมเอ่ยชื่อหัวหน้าเป็นการบอกทุกคนว่า ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าจอมากกว่าทุกคนตรงหน้านี้ แต่ผมมีเหตุผล ที่ทุกคนก็จะคุ้นชินกับเรื่องนี้ หัวหน้าผมมักจะชอบมาคุยเรื่องงานกับผมในเวลาที่เลิกงานแล้วแบบนี้ประจำ ซึ่งบางครั้งนี้ก็ไม่พ้นเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะเป็นเรื่อง เพราะพออ่านข้อความจบ ผมก็แทบจะมองบนแทบทันที
“อะไรอีกว่ะรอบนี้”ไอ้เหมาที่เห็นอาการหน่ายๆ ของผมเอ่ยถามขึ้น
“ขี้เกียจหาเมล ที่ออแกไนซ์ส่งมาให้อาทิตย์ก่อน แล้วเมลนี้กูก็ได้ไง เลยจะให้กูส่งให้เค้าใหม่ และจะเอาเดี๋ยวนี้”ผมบ่นไปแต่ มือก็กดดูอีเมลในมือถือไป คงต้องขอบคุณเทคโนโลยี ที่สมาร์ทโฟนสามารถทำให้ผมแก้ปัญหานี้ได้ ไม่งั้นผมคงต้องหงุดหงิด ที่ต้องวิ่งหาคอมพิวเตอร์ ส่งงานให้หัวหน้าสุดที่รัก ผมพยายามดับอารมณ์หงุดหงิดดด้วยการกดเข้าไปดูในแอพพลิเคชั่นยอดฮิตเพื่อดูความเคลื่อนไหว ของเพื่อนๆ ผมเลื่อนหน้าฟีดไปเรื่อยๆ แต่ต้องมาสะดุดกับภาพชุดนึง ที่เพิ่งอัพเดทไปเมื่อช่วงเย็นของวันนี้
“เป็นไร หาเมลไม่เจอเหรอ”คนที่นั่งข้างๆ หันมาถามผม ซึ่งผมตกใจจนต้องคว่ำหน้าจอมือถือลง
“ปะ ปะ เปล่า เจอแล้วกำลังจะส่งเนี่ย”ผมรีบกดหน้าจอออกจากแอพพลิเคชั่นดังกล่าว แล้วกดเข้าหน้าจออีเมลอีกครั้ง แม้นิ้วมือผมจะเลื่อนหน้าจออยู่ที่อีเมล แต่สมองผมกลับคิดถึงรูปที่เพิ่งผ่านตาเมื่อสักครู่
แวะมาต่อ ยังไงฝากติชมด้วยนะครับ
บทที่ 4
ความจริงใกล้เปิดเผย
“เอาไงว่ะ”ผมเอ่ยถามกับไอ้เหมาหลังจากให้มันดูรูปที่ผมกดเซฟมาจาก facebook ของชะเอม สิ่งที่ชะเอมบอกกับทุกคนคือ เธอกลับบ้านต่างจังหวัดที่เหนือ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือภาพชะเอมอยู่บนเรือยอร์ชที่ภูเก็ต ที่ข้างๆ กาย มีอาร์ทซึ่งดูมีความสนิทสนมมากกว่าเพื่อนธรรมดาแน่นอน สิ่งที่ผมยังไม่เข้าใจคือทำไมชะเอมกล้า ลงรูปนี้
แม้ชะเอมกับชาร์ปจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันบน facebook รวมถึงไอ้เหมากับแพท ที่โดนชะเอมลบออกจากลิสต์เพื่อนใน facebook ไปแล้วและเอมก็โพสต์ให้แค่คนเป็นเพื่อนเห็นก็เถอะ แต่ผมก็ยังเป็นหนึ่งคนที่ได้เห็น แล้วชะเอมมั่นใจได้ยังไงว่าผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับชาร์ป หรือชะเอมมั่นใจแล้วว่าจะเลือกอาร์ท เลยไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรชาร์ปอีก
“กูว่าคงต้องบอกไอ้ชาร์ปมันแหละว่ะ”ไอ้เหมาเป็นคน ตัดสินใจ แต่จริงๆ ผมเองก็ตั้งใจจะให้เหมามันเป็นคนบอกชาร์ปแหละครับ เพราะถ้าให้ผมบอกเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน แต่อย่างไอ้เหมาที่สนิทกันมานาน อาจจะมีวิธีการที่ดีกว่าผมแน่นอน แต่แล้วบทสนทนาของผมกับไอ้เหมาก็สะดุดลง เพราะสายโทรเข้าจากชะเอม จากที่เห็นการเคลื่อนไหวในโซเชียล ทำให้ผมรู้ว่าชะเอมกลับมาจากภูเก็ตแล้ว
“ว่าไงเอม”ผมกรอกเสียงลงไป ให้ดูปกติโดยมีไอ้เหมาที่พยายามแนบหูมาฟังบทสนทนา จนผมต้องเปลี่ยนเป็นเปิดลำโพงให้มันได้ยินด้วย
“พี่ตี้อยู่ไหน เอมไปหาได้ไหม”ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ผมหันหน้ามองไอ้เหมาเพื่อขอความเห็น
“พี่อยู่บ้านไอ้เหมา เอมเป็นไรหรือเปล่า”ผมตอบออกไปตามความจริง
“งั้นเดี๋ยวเอมไปหานะพี่”พูดจบชะเอมก็วางสายไป และเพียงครู่เดียว ก็เป็นชาร์ป ที่โทรหาไอ้เหมา ทำให้ผมกับไอ้เหมาได้รู้ว่า ชะเอมกับชาร์ปทะเลาะกัน แล้วเรื่องที่ทะเลาะกันนี่ มันดูไม่น่าเป็นเรื่องที่จะเอามาทะเลาะกันได้เลย คือคู่ทั้งคู่ไปกินซีฟู้ดด้วยกัน แล้วชาร์ปไม่ยอมแกะกุ้งให้ชะเอม คือฟังๆ แล้วมันก็พอให้เป็นเรื่องงอนกันนิดๆ หน่อยได้นะครับ แต่ถึงขั้นทะเลาะกันแล้ว ชะเอมลุกออกจากร้าน เรียกแทกซี่ออกมาเลยนี่ มันก็ดูจะเป็นอะไรที่ผมเข้าไม่ถึงสักเท่าไหร่แหละครับ
“ไอ้ชาร์ปบอกว่าเดี๋ยว เอมอารมณ์เย็นลงแล้วจะมารับ ยังไม่อยากคุยตอนกำลังงี่เง่า เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่”สิ่งที่ไอ้เหมาบอก ทำให้ผมรู้สึกว่านี่คงไม่บ่อยนักที่ชาร์ปกับชะเอมจะทะเลาะกัน เพราะตั้งแต่ผมรู้จักทั้งคู่มา ผมก็ไม่เคยเห็นคู่นี้ทะเลาะกันเลย อีกอย่างทุกทีก็เห็นชาร์ปยอมตามใจชะเอมตลอด
“กูเอารูปให้ไอ้ชาร์ปดูตอนนี้เลยไหมว่ะ”ไอ้เหมาหันมาขอความเห็นจากผม แต่ผมไม่ได้ออกความเห็นใดๆ อีก สรุปแล้วไอ้เหมาดันมาเกี่ยงให้ผมเป็นคนบอกชาร์ป โดยให้เหตุผลว่า ในเมื่อผมเป็นคนที่รับรู้ทุกอย่างมาทั้งหมด ผมก็ควรเป็นคนอธิบาย เรื่องราวเพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วน แต่ก็นั่นแหละครับ ท้ายที่สุดทั้งผมและไอ้เหมา ก็ไม่มีใครกล้าบอกชาร์ป
จริงๆ ผมเคยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยกับการที่จะบอกเรื่องนี้ แต่พอสถานการณ์มาถึงตอนนี้ กลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย เพราะผลที่จะตามมา มันดูไม่มีทางไหนออกมาดีเลย ถ้าชาร์ป รับได้กับเรื่องนี้ เอมยอมตัดขาดจากอาร์ท แล้วทั้งคู่คบกันต่อ ไม่ว่าจะผมหรือไอ้เหมาที่เป็นคนบอกก็คงเข้าหน้าชะเอมไม่ติดแน่นอน หรือถ้าชาร์ปเลือกที่จะเลิกกับเอม แล้วระหว่างเอมกับอาร์ทไปกันไม่รอด ผมว่าผมคงโดนชะเอมอาฆาตเลยละมั้ง ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าผลออกมาแบบนั้น ถึงผมจะมองว่ามันก็เป็นผลจากสิ่งที่เอมสร้างมาเอง แต่ก็อดที่จะเห็นใจเอมไม่ได้ เพราะนี่ก็กิน เที่ยวด้วยกันมาพอสมควร เอมก็เหมือนเพื่อนผมคนนึงแหละครับ
ผมเสียอีกที่ไม่รู้จักเตือนเอม ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง แต่กลับปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้
“มาแล้วมั้ง มึงรับหน้าไปก่อนเดี๋ยวกูไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับ”พูดจบไอ้เหมาก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยผมนั่งอยู่ที่ศาลาหน้าบ้านมัน เพื่อรอต้อนรับ ชะเอม
ชะเอม เข้ามาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าระหว่างทางมานี่ช่วยให้เจ้าตัวอารมณ์เย็นลง หรือว่าจริงๆ แล้วชะเอมแค่หาเรื่องชวนทะเลาะ เพื่อเหตุผลอื่น ชะเอมเล่าว่าไม่ชอบใจที่ชาร์ปขึ้นเสียงใส่ พ่อแม่เอมเองยังไม่เคยตวาดเอมเลย ซึ่งผมฟังแล้วก็แค่เออ ออ ตามเพราะฟังแล้ว สำหรับผมก็ยังรู้สึกว่ามันคือ เรื่องไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย
“ตกลงนี่โมโหแค่เรื่องนี้ หรือมีประเด็นอื่นอีกเนี่ย”ผมเลียบๆ เคียงๆ เพราะค่อนข้างปักใจไปแล้วว่าช่วงนี้เอมเอนเอียงไปทางอาร์ทมากแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ สงสัยประจำเดือนมาด้วย มันเลยหงุดหงิดอ่ะพี่”อ้าว สรุปแค่วันนั้นของเดือนหรอกเหรอ
“แล้วไปเที่ยวภูเก็ตมา เป็นไงบ้าง”ชะเอมดูชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมถาม
“ก็ดี ว่าแต่พี่ตี้เห็นรูปด้วยเหรอ”คราวนี้เป็นผมเองที่แปลกใจ ว่าทำไมเอมถึงคิดว่าผมจะไม่เห็นรูป หรือเอมแค่ถามออกมาแก้เก้อ
“พี่เหมาไม่รู้เรื่องที่เอมไปภูเก็ตใช่ไหม”คำถามต่อมาขอเอมทำให้ผม ต้องโกหกออกไป แล้วก็พยามให้ไม่มีพิรุธ บางทีผมก็เริ่มคิดนะ ว่าคนที่ไม่จริงใจที่สุด จริงๆ แล้วอาจจะคือผมเอง ผมเหมือนที่รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องกับแต่ละฝ่าย แต่ผมก็ยังเฝ้ามองเรื่ิองนี้ให้ดำเนินไปโดยที่ไม่ได้ ทำให้มันถูกต้อง
“เป็นไง ใจเย็นลงยัง จะได้ให้ไอ้ชาร์ปมันมารับ”ไอ้เหมาที่เดินออกมาพร้อมเหยือกน้ำเอ่ยทักทายชะเอม
“เค้าโทรมาฟ้องพี่เหมาเหรอ”ชะเอมถามกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงอนๆ
“อย่าเรียกว่าฟ้องเลย ก็แค่โทรมาระบายแหละ ปกติชาร์ปมันก็ยอมเอมตลอดนิ นี่เอมไม่ได้งี่เง่าอะไรใส่มันก่อนใช่ไหม”แม้ไอ้เหมาจะถามด้วยน้ำเสียงที่เล่นทีจริง แต่ดูจากสีหน้าชะเอมดูจะไม่ชอบใจกับประโยคนี้สักเท่าไหร่
“พี่ก็เข้าข้างแต่เพื่อนพี่อ่ะ”และไม่ทันที่ไอ้เหมาจะได้ตอบโต้อะไรกับเอมอีก เพราะโทรศัพท์ของเอมดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ผมสังเกตเห็นเอมชะงักนิดนึงตอนที่เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“ขอไปรับโทรศัพท์เพื่อนก่อนนะคะ”ชะเอมบอกก่อนจะเดินเลี่ยงห่างออกไป ห่างมากพอที่ทั้งผมแบะไอ้เหมาจะไม่ได้ยินบทสนทนาของเธอ
“มึงว่าเพื่อนจริงๆ หรือไอ้ผู้ชายในรูปนั่นวะ”และทันทีที่กะว่าเอมจะไม่ได้ยินบทสนทนาของเรา ไอ้เหมาก็เปิดประเด็นมาอีกรอบ
“กูจะรู้ไหมล่ะ”ผมตอบออกไปผ่านๆ ทั้งที่ในใจก็คิดแหละครับว่าคงเป็นอาร์ทนั่นแหละ ที่โทรมา
“กูว่าใช่ เพราะถ้าเพื่อน เอมคงคุยต่อหน้าเราไปแล้ว แต่นี่เดินไปคุยห่างขนาดนี้ ชัดเจนแบบไม่ต้องสืบแล้ว”ทางไอ้เหมาคงมั่นใจไปแล้วละครับ
“เดี๋ยวเพื่อนเอมจะมารับ คงไม่อยู่รบกวนแล้วนะคะ”หลังจากคุยโทรศัพท์เรียบร้อย ชะเอมก็กลับมาบอกด้วยน้ำเสียงที่กึ่งๆ ออกไปทางประชดประชันหน่อยๆ
“แล้วจะให้พี่บอกเพื่อนพี่ว่าน้องชะเอมคนสวยไปไหนดีละครับ เพื่อให้เพื่อนที่ไม่เป็นห่วง”ดูเหมือนไอ้เหมาเองก็มีการประชดประชันกลับไปเช่นเดียวกันเลยละครับตอนนี้
“ถ้าเค้าโทรมาก็บอกไปละกันค่ะ ว่าเอมไปกะเพื่อน เดี๋ยวสบายใจเมื่อไหร่จะให้เพื่อนไปส่งเอง”พูดจบชะเอมก็ดึงแขนผมมาอีกทาง เพื่อกระซิบบางอย่าง บางอย่างที่ผมแทบไม่ต้องเดา เพราะคนที่จะมารับชะเอม ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาร์ทนั่นเอง และที่เอมดึงผมแยกออกมาจากไอ้เหมา ก็เพราะจะกำชับไม่ให้ผมบอกไอ้เหมาว่า อาร์ทเป็นคนมารับ ซึ่งนี่คงเป็นครั้งแรกที่เอมกำชับผมแบบนี้ แสดงว่าตอนนี้เอมเองคงเริ่มตระหนักแล้วว่า อาจจะเชื่อใจผมไม่ได้อีกต่อไป ว่าผมจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่ให้ไปถึงหูของชาร์ปหรือคนรอบๆ ตัวชาร์ป
“ผู้ชายในรูปนั่นใช่ไหม”ไอ้เหมาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ชะเอมขึ้นรถไปกับอาร์ม ผมเริ่มคิดว่าจริงๆ แล้วการทะเลาะกันของชะเอมกับชาร์ปในวันนี้ เป็นแค่ฉาก ฉากนึงที่เอมสร้างขึ้นมาเพื่อหาทางออกไปกับอาร์ทรึเปล่า ส่วนการที่แวะมาหาผมนี่ก็อาจเป็นไปได้ที่เอมวางหมากบางอย่างเอาไว้ บางอย่างที่ใช้บอกกับอาร์ท หรืออาจเป็นไปได้อีกอย่างที่จะมากำชับผม ไม่ให้พูดอะไรที่ผลกระทบอาจเกิดกับตัวเธอ
“เอาว่ะ กูคงต้องบอกไอ้แว่นมันจริงๆ แล้วว่ะ คือถ้ามันรู้แล้วจะยังไงต่อก็อยู่ที่การตัดสินใจของมันแล้วแหละ”พอได้ยินไอ้เหมาพูดแบบนี้แล้วผมก็โล่งใจ ที่จะไม่ต้องมาทนแบกรับเรื่องนี้ไว้อีกต่อไป
“มึงว่าชาร์ปจะโกรธกูไหม ที่รู้เรื่องนี้มาตั้งนานแต่ไม่ได้บอกเค้าเนี่ย”แม้จะโล่งใจที่จะไม่ต้องทนเก็บเรื่องนี้ไว้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ก็เรื่องที่ไม่ได้บอกกับคุณแว่นนี่แหละครับ
“เอาน่า ยังไงซะ ก็ไม่ใช่มึงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้มานาน กูเองก็ใช่จะเพิ่งรู้ที่ไหนละ ถ้ามันจะโกรธก็คงไม่มากหรอกน่า”น้ำเสียงของไอ้เหมาเองก็ไม่ได้ดูมั่นใจสักเท่าไหร่หรอกครับ ว่างานนี้คุณแว่นจะไม่โกรธ
แวะมาต่ออีกนิดครับ
เจอจุดไหนผิดพลาด ฝากติชมด้วยนะครับ
บทที่ 9
รู้จักอย่างเป็นทางการ
“พี่ตี้ มีคนจากออแกไนซ์มาติดต่อบอกว่า นัดพี่ตี้ไว้อ่ะค่ะ”เสียงจากประชาสัมพันธ์คนสวย บอกผมมาผ่านเสียงโทรศัพท์
“พี่รบกวน พาเค้าไปห้อง meeting room 2 ที่พี่จองไว้ แล้วก็ฝากให้แม่บ้าน เสิร์ฟน้ำกับกาแฟให้ด้วย เดี๋ยวพี่ลงไป”เนื่องจากแผนกผมอยู่ชั้นบน และทางออแกไนซ์ก็มาก่อนเวลาเกือบ 20 นาที เลยต้องให้ทางนั้นต้อนรับไปก่อน ส่วนผมก็รีบโทรแจ้งทุกคนที่หลวมตัวเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้แหละครับ
วันนี้ผมจะได้เจอตัวเป็นๆ ของอีตาเซลล์ผู้กวนตีนนี่เสียที อยากรู้จริงๆ ว่าหน้าตาจะเป็นยังไง นี่ถ้าไม่เห็นข้อมูลเบื้องต้นที่ส่งมาพิจารณาก่อน ผมคงเปลี่ยนเลือกที่อื่นไปแล้ว อันนี้จริงๆ ก็ตัดสินใจเลือกแล้วแหละครับ แต่ก็แค่อยากเห็นรายละเอียดทั้งหมดด้วย และด้วยความหมั่นไส้อยากแกล้งด้วยอีกส่วนนึง
“ตี้ลงไปคุยกะเค้าก่อนก็ได้ ยังไงถึงเวลาพี่จะตามลงไป”เสียงจากหัวหน้าผมครับ วันนี้พี่แกได้รับมอบหมายให้เข้าไปดู และตัดสินใจแทนนายครับ ซึ่งเอาจริงๆ หัวหน้าผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอกครับ ถ้าคนไม่รู้จักแกจะรู้สึกว่าแกพูดมีหลักการน่าเชื่อถือ แต่ถ้าคนที่เคยร่วมงานกับแกบ่อยๆ จะรู้ว่าเวลาแกพูดนี่ มีแต่น้ำล้วนๆ ครับ ขี้โม้ไปเสียส่วนใหญ่ ผมรับคำหัวหน้าก่อนจะเตรียมอุปกรณ์ แล้วตรงไปยังห้องประชุมที่จองไว้
“สวัสดีครับคุณปรีติ”ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในห้องประชุม ก็มีเสียงทักทายผมขึ้น ซึ่งตอนนี้ในห้องเพิ่งมีคนอยู่แค่ 2 คนจากทีมออแกไนซ์ และคนที่กล่าวทักทายผม จากเสียงที่จำได้ก็คงไม่พ้น Sale Director ตาวีระเกียรติ คนที่สุดแสนจะกวนตีนนั่นเองครับ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นคนคนเดียวกับที่ขับรถปาดหน้าแย่งที่จอดผมไปเมื่อวันก่อน นี่มันจะโลกกลมเกินไปแล้ว นี่ผมเปลี่ยนทีมออแกไนซ์ตอนนี้ทันไหมเนี่ย
“เรียกปาร์ตี้หรือตี้เฉยๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนั้นก็ได้”แม้ในใจจะนึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าตานี่เอาเสียมากๆ แต่นี่มันเป็นงาน แถมเอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ทีมนี้ก็เข้ามาประชุมว่าเราต้องการรูปแบบงานแบบไหน พอรับไปเค้าก็เสนองานมาได้ตามวัตถุประสงค์ของเรา ที่สำคัญคือนายชอบทีมนี้ที่สุดนั่นแหละครับ
“ก็ยินดีที่ได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการ นะครับคุณปาร์ตี้ ผมวีระเกียรติ หรือเรียกอรรถก็ได้ครับ”ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าที่แอบเห็นแววตาเจ้าเล่ห์จากดวงตาของผู้ชายคนนี้ เค้ายื่นนามบัตรของเค้าแลกกับผม พร้อมทั้งน้องอีกคนที่มากับเค้า ที่เป็น Creative ของทีมและจะเป็นคนนำเสนองานในวันนี้
การนำเสนองานผ่านไปได้ด้วยดี เพราะดูทั้งคุณเซลล์มาดกวนกับน้อง Creative ค่อนข้างจะมืออาชีพมากเลยทีเดียว แม้คนนำเสนอจะดูยังอายุไม่มาก แต่เวลานำเสนอกลับดูลื่นไหล และน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างมาก ทางฝั่งบริษัทผมทุกคนที่เข้ามารับฟังในวันนี้ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าชอบมากทีเดียว แม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าคุณเซลล์มาดกวนนี่เท่าไหร่ แต่ในเรื่องงานผมก็ต้องยอมรับว่าเค้าทำได้ดีมาก และผมก็คงต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปในเวลางาน ไม่งั้นงานนี้คงล่มไม่เป็นท่า เพราะเค้าและผมต้องประสานงานกันอีกเยอะ กว่าจะจบงานก็อีกหลายเดือนเหมือนกัน
“เห็นผลงานแล้วคุณปาร์ตี้ ยังอยากจะเปลี่ยนไปใช้บริการที่อื่นอยู่หรือเปล่าครับ”ขอถอนคำพูดเมื่อสักครู่ได้ไหมครับ เพราะไอ้ท่าทางมั่นใจจนน่าหมั่นไส้นี่ มันดูยั่วโมโหเหลือเกิน รู้ว่าเก่ง แต่ถ่อมตัวสักนิดก็ไม่มีใครว่าหรอกพ่อคุณ แต่ในเมื่อผมก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเลย แค่ตอบกลับไปตามารยาทว่าคงไม่เปลี่ยนแล้ว
“ยังไงเราได้ทำความรู้จักกันแล้ว หวังว่าเราจะมีโอกาสไปนั่งดื่มด้วยกันสักวันนะครับ”พูดมาขนาดนี้ ผมเองก็เลยวัยใสใสมาพอควรแล้ว ก็พอเข้าใจนะครับว่าเค้าต้องการอะไร เพราะตั้งแต่วันก่อนที่เจอกันในร้านเหล้า เค้าก็พยายามจะเข้ามาทำความรู้จักกับผม แต่สำหรับผมคงยังไม่พร้อมที่จะลงสู่เกมเดียวกับเค้าหรอกครับ
“ตอนนี้ในเวลางาน ขอคุยแค่เรื่องงานแล้วกันนะครับ”ผมตอบออกไปอย่างที่พยายามจะรักษามารยาท แต่จริงๆ ก็อยากให้เค้าเข้าใจเจตนาของผมด้วยแหละครับว่า ขอติดต่อกับเค้าแค่เรื่องงานเท่านั้น
“แสดงว่านอกเวลางาน ผมคุยเรื่องส่วนตัวกับคุณได้ใช่ไหมครับ แต่วันนี้ผมต้องรีบไปแล้ว ยังไงไว้เจอกันนะครับคุณปาร์ตี้”และไม่รอให้ผมได้ปฏิเสธอะไรอีกเค้าก็หันหลังเดินออกไปเลย นี่ผมจะมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกรึเปล่า ซึ่งก็ไม่ต้องให้ผมได้รอนานครับ เพราะข้อความในไลน์ของผมแจ้งเตือนขึ้นมาแล้ว
“ผมอรรถเองนะครับ อันนี้ไลน์ผม ไว้เราจะได้ติดต่อกันสะดวกๆ”นึกโทษตัวเองที่ตั้งค่าในไลน์ให้เพิ่มเพื่อนอัตโนมัติจากเบอร์ได้เลย นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องติดต่องานกันอีกหลายเดือนผมคงกด block เค้าไปแล้ว
“คุยกะใครอ่ะ”ไอ้เหมาแย่งมือถือผมไปอ่านข้อความ ถึงจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับมือถือเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสมากหรอกครับ เพราะยิ่งกะเพื่อนอย่างไอ้เหมาผมก็ไม่ได้มีอะไรปิดบังมัน ยกเว้นเรื่องเดียว คือเรื่องผมกับชาร์ปนั่นแหละครับ
“สรุปมึงจะบอกกูได้ยังว่ามึงกับไอ้ชาร์ปมีอะไรต้องเคลียร์กัน”นั่นแหละครับบอกแล้วว่ามันเซนส์ดี แล้วนี่ที่มาอยากดูมือถือผมก็เพราะเรื่องนี้ด้วยนี่แหละครับ
“กูบอกไปร้อยรอบแล้วไหม ว่าชาร์ปก็แค่จะให้กูเลี้ยง เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ปิดบังเรื่องเอม”แม้จะเป็นเพียงคำโกหกแต่ผมก็คิดว่าผมโกหกแบบแนบเนียนแล้ว แถมพูดตั้งหลายรอบแล้ว แต่ไอ้เหมาก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี ไม่รู้จะเซนส์ดีอะไรนักหนา จากวันที่มันบังเอิญได้ยินผมกับคุณแว่นคุยกัน มันก็ปักใจมาตลอดว่าต้องมีอะไรมากกว่าการเลี้ยงไถ่โทษ
“ในเมื่อมึงไม่ยอมบอก งั้นมาคุยเรื่องคนชื่ออรรถนี่ เค้าเป็นครายยย บอกเพื่อนมาเลยครับน้องตี้”นั่นไงล่ะจากเรื่องนึงสู่อีกเรื่อง
“ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหมละครับ พี่เหมา”แม้จะบอกออกไปแบบนั้นสุดท้ายผมก็ต้องเล่าให้มันฟังอยู่ดีแหละครับว่านั่นคือใคร ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าไม่มีคำพูดกวนบาทาไม่น่าจะใช่ไอ้เหมาตัวจริงๆ บางทีชื่อมันนี้ก็นึกอยากจะตัดสระเอออกเสียจริงๆ เพราะปากมันบางทีก็กวนเกินไปจนใกล้เบอร์นั้นแล้วละครับ
“มีแลกลงแลกไลน์กันด้วย ไหนบอกไม่ชอบ ไหนว่าเค้ากวนตีนมึงไง พ่อหนุ่มเซลล์มึงเนี่ย หรือพอเจอตัวเป็นแล้วเกิดสเปค เลยป่ะ”ดูเอาเถอะครับว่านี่ขนาดแค่เพื่อนผมยังต้องรับมือขนาดนี้ แล้วจากนี้ผมจะปวดหัวขนาดไหนที่อาจจะได้รับการรบกวนจากตาเซลล์มาดกวนนั่นอีก
“กูก็แค่ต้องติดต่องานกับเค้าเฉยๆ ไหม”ผมรับโทรศัพท์คืนจากไอ้เหมา หลังจากที่มันซอกแซกดูทุกมุมแล้ว แต่คงต้องบอกว่าเสียใจกับมันด้วย เพราะถ้าเป็นเรื่องการแชทต่างๆ ผมไม่ค่อยเก็บสักเท่าไหร่
“ไหนๆ มึงก็โสดไม่ลองจีบเซลล์หน้าหล่อนี่ดูวะ หรือถ้าเค้าจีบมึงก็ตอบตกลงเป็นแฟนกับเค้าไปเลย จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาสักที”ยิ่งคุยกับไอ้นี่ยิ่งเลอะเทอะครับ เลยต้องรีบแนกตัว ต่างคนต่างกลับไปทำงานน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า แล้วพอมีอะไรให้ทำก็ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปไวเหลือเกิน ผมนั่งทำงานเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกงาน ผมกล่าวลาหัวหน้าที่ยังนั่งทำงานต่อ หัวหน้าผมชอบนั่งทำงานต่อตอนเย็นครับ เพราะกลางวันไม่ค่อยทำอะไร และอย่างที่บอกพอทำหลังเวลางานปกติ เวลาไม่รู้อะไร หรืออยากได้อะไร ก็มักจะสายตรงถึงผมนี่แหละครับ ที่ต้องลำบากจัดการให้
ระหว่างเดินไปยังมีจอดรถ โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งผมที่ใช้เบอร์ส่วนตัวนี้ใช้ในงานก็ต้องกดรับ เพราะถ้าเกิดเป็นเรื่องงานขึ้นมาแล้วไม่รับ เกิดมีปัญหาตามมา ก็ซวยอีก แต่ถ้าเป็นเบอร์หัวหน้าผม วันไหนเบื่อๆ หลังเวลางานแบบนี้ผมก็ไม่รับสายนะครับ ยกเว้นถ้ามีการโทรซ้ำ เพราะคงมีอะไรเร่งด่วนจริงๆ แต่หลังๆ หัวหน้าผมเหมือนรู้ทัน เลยโทรซ้ำมันเสียทุกครั้งไป
“เลิกงานรึยังครับเนี่ย”ทันทีที่ผมกดรับ ปลายสายก็เอ่ยทักทายผมด้วยคำถาม แม้จะรู้สึกคุ้นเคยในน้ำเสียง แต่ผมเองก็ยังคงถามซ้ำว่าปลายสายที่ผมกำลังคุยอยู่นี่คือใคร และการคาดเดาของผมก็ยังคงแม่นยำ เพราะคนที่โทรหาผมก็คือ อีตาเซลล์มาดกวนที่ผมเพิ่งได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการในวันนี้นั่นแหละครับ
“คุณอรรถมีธุระ อะไรหรือเปล่าครับ”แม้พอจะรู้ว่าเค้าต้องการอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าเค้าจะรุกผมเร็วขนาดนี้ แถมผมเองก็ว่าตัวเองแสดงออกชัดเจนแล้วว่า ไม่ได้คิดอยากจะร่วมเกมกับเค้า
“นี่นอกเวลางานแล้ว ถ้าเป็นธุระส่วนตัวนี่คุณปาร์ตี้พอจะมีเวลาให้ผมบ้างไหมครับ”อื้อหือ ฟังดูไม่เข้ากับบุคลิคกวนๆ นั่นสักนิด
“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าขอคุยแค่เรื่องงาน ถ้าไม่เกี่ยวกับงานผมคงต้องวางสายนะครับ”และไม่รอให้เค้าได้พูดต่อ ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าเค้าไม่ได้จะคุยเรื่องงาน ผมเลยถือโอกาสเสียมารยาทวางสายเอาดื้อๆ นั่นแหละครับ ถ้าเป็นเรื่องงานผมยินดีเต็มที่นะครับ งานก็คืองาน แต่นี่นอกเหนือเวลางานแถมไม่ใช่เรื่องงาน ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ
“ใจร้าย”ข้อความจากไลน์โชว์อยู่บนหน้าจอทันทีที่ผมกดเข้าไป ตามมาด้วยสติ๊กเกอร์ร้องไห้ ถูกส่งมาจากคนที่ผมเพิ่งวางสายไป
“อย่าเพิ่ง block ผมนะครับ เรายังต้องคุยงานกันอีกนาน”เหมือนจะอ่านความคิดของผมออก เพราะนี่กำลังตั้งใจจะ block เค้าชั่วคราว แล้วถึงเวลางานค่อยมาปลด lock อีกที แต่ก็ดูจะวุ่นวายมากเกินไป ผมเลยเลือกที่จะปิดแจ้งเตือนของบทสนทนานี้น่าจะง่ายกว่า
“อ่านแต่ไม่ตอบ อย่างน้อยก็เป็นลางดีว่ายังไม่ block”หลังจากได้อ่านผมก็จัดการกดพิมพ์ข้อความ เพื่อเตรียมที่จะส่งกลับไปเพราะถ้าปล่อยไว้ โดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย ฝั่งนั้นก็คงไม่เลิกราไปแน่ๆ
“นี่จีบผมอยู่ รึเปล่า??? ถ้าจีบอยู่แนะนำว่าอย่าเลย เสียเวลาเปล่าๆ ครับ”ผมส่งกลับไปเพื่อแสดงเจตนารมย์ของตัวเอง และก็จริงครับว่านายอรรถนี่บอกว่าจะจีบผม อาจจะด้วยวัยของเราทั้งคู่ที่แม้จะยังไม่ได้มากนัก แต่เราก็คงอยู่ในจุดที่ไม่ต้องมาอ้อมค้อมกันแล้ว เค้าเดาเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกให้เค้าเลิกจีบผมไปต่างๆ นานา ทั้งว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว มีแฟนเป็นตัวเป็นตน หรือยังไม่พร้อมคบใคร เมื่อผมตอบกลับไปว่าเหตุผลอะไรมันก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงเสียผมก็ให้เค้าเข้ามาในชีวิตได้แค่คนที่ร่วมงานกันเท่านั้น
“ถึงคุณจะปฏิเสธ แต่รอดูได้เลยครับ ว่าผมนี่แหละจะทำให้คุณเปิดใจให้ผมจนได้”ช่างเป็นข้อความที่หลงตัวเองเหลือเกินครับ เอ้าผมจะรอดูแล้วกันครับว่าเรื่องนี้เค้าจะเก่งเหมือนปากว่าหรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเปล่าประโยชน์จะพูดกับคนที่ดันทุรังแบบนี้
ผมกำลังจะกดออกจากไลน์ หากแต่ว่ามีข้อความจากอีกคนเข้ามาพอดี เป็นข้อความที่ผมรู้สึกว่ามันจะได้ช่วยคลี่คลายเรื่องระหว่างผมกับอีกคนให้มันดีขึ้นเสียที เรื่องราวระหว่างผมกับชาร์ป
“วันเสาร์นี้ ออกมาเจอกันหน่อยไหม จะได้คุยเรื่องที่ค้างคาอยู่เสียที”
วันนี้พาคุณเซลล์มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ตามที่คาดเดา ว่าเขาคือใคร
ขอบคุณที่ติดตามเหมือนเดิมครับ
บทที่ 10
เพื่อนเหมือนเดิม???
“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น”
“มันบ้ามากเลย”ผมโพล่งออกไปหลังจากที่อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนา วันนี้คุณแว่นนัดผมออกมาเจอที่ร้านกาแฟ ร้านนึงซึ่งตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ใกล้ๆ กับบ้านของเค้า แม้จะตั้งใจมาแล้วว่าจะต้องสะสางเรื่องที่ค้างคาระหว่างเรา แต่พอเจอหน้ากัน เราทั้งคู่ก็ยังเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกันยังไง
“นั่นสินะ...มันบ้ามากจริงๆ”คุณแว่นขยับแว่นตาของตัวเองนิดนึงก่อนจะเอ่ยออกมาเนิบๆ เหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก แล้วเราสองคนก็ลืมๆ เรื่องนี้ไปซะ”ผมตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง หวังให้เค้าเข้าใจว่า ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น ไม่อยากให้เค้ามองว่าผมที่เป็นเกย์ ฉวยโอกาสตอนที่เค้ากำลังเสียศูนย์ และผมก็ยังอยากให้มิตรภาพ ความเป็นเพื่อนของเรายังคงอยู่
“แล้วยังไงต่อ”เขายังคงดูนิ่งเฉย นิ่งจนผมเองไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เค้าโกรธผมไหม หรือเค้ายังพร้อมจะเป็นเพื่อนกับผม เหมือนเดิมหรือเปล่า
“เราสองคนก็ทำเหมือนว่าเรื่องคืนนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น จากนี้เราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไง ชาร์ปโอเคหรือเปล่า”แว่นที่ตอนแรกถูกขยับให้เข้าที่ แต่ตอนนี้ถูกถอกออกวางลงข้างๆ แก้วกาแฟ ผมเผลอจ้องหน้าเค้าอย่างลืมตัว จนต้องรีบหลบตาลง เอาจริงๆ ผมก็ยอมรับนะครับว่า ชาร์ปเป็นเพื่อนที่บางครั้งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ได้ คือเหมือนมีบางแวบที่ผมรู้สึกหวั่นไหว ยิ่งเวลาเค้าถอดแว่น ผมว่าเค้ายิ่งมีเสน่ห์ แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ในเมื่อสถานะ เราคือเพื่อน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเค้ามากไปกว่านี้อยู่แล้ว
“แต่เรื่องมันก็เคยเกิดขึ้นจริงๆ จะให้คิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เราคงทำไม่ได้”ผมขมวดหิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดออกมา ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
“แล้วชาร์ปต้องการยังไง”เราสองคนต่างมองหน้ากันนิ่ง อย่างใช้ความคิด ผมเริ่มคิดไปต่างๆ นานา ถึงขั้นว่าหรือผมกับเค้าจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก แต่ถ้าเราหลบเลี่ยงกันตลอด วันนึงไอ้เหมาก็คงสงสัยอยู่ดีว่าเรามีปัญหาอะไรกัน แล้วทางไหนถึงจะจบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดกันนะ ตอนนี้สีหน้าของชาร์ปเองก็ดูตัดสินใจลำบากเช่นเดียวกัน
“ตามที่ตี้บอกแหละ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”อีกแล้วใช่ไหม ผมโดนอำอีกแล้วสินะ สรุปแค่แกล้งให้เครียด เป็นอันว่า เราสองคนเห็นตรงกัน จากนี้ทั้งผมและเค้าก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เรื่องที่เกิดขึ้น มันจะถูกฝังไปกับเราสองคน บรรยากาศตอนนี้กลับไปสบายๆ อย่างที่เคยเป็น พอได้เปิดใจคุยกันแล้วมันก็โล่งอก จริงๆ นั่นแหละครับ ถือว่าได้เคลียร์สิ่งที่ติดค้างอยู่ในความรู้สึก
“ชาร์ปโอเคจริงๆ ใช่ไหม”ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ว่าคุณแว่นจะไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรอีกกับการที่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน
“โอเค ดิ หรืออยากให้เราไม่โอเค”สายตาขี้เล่นจากอีกคนทำให้ผมรู้สึกว่า ผมน่าจะได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว เรายิ้มให้กันอย่างสนิทใจ
หลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว คุณแว่นถามว่าผมมีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า เพราะตัวเค้าอยากจะดูหนัง แต่ไม่อยากดูคนเดียวเลยจะให้ผมดูเป็นเพื่อน เป็นหนังแอคชั่นไซไฟเรื่องนึง ผมที่ก็ไม่ได้มีอะไรจะทำอยู่แล้ว เลยตอบตกลงไปแบบไม่ลังเล เพราะความที่เค้าเอ่ยปากว่าจะเลี้ยง
หลังจากดูหนังจบ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับหนังที่ดูจบอย่างออกรสออกชาด นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสดูหนังร่วมกับเค้า ปกติผมเป็นคนนึงที่พอดูหนังจบแล้วมักจะชอบวิเคราะห์เรื่องราวต่อ บางครั้งก็จะเข้าเวปบอร์ดเกี่ยวกับหนังเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับหนังเป็นประจำอยู่แล้ว พอได้มารู้ว่าอีกคนมีมุมนี้คล้ายๆ กันก็เหมือนมีอะไรคุยกันได้มากขึ้น
“ไปนั่งดื่มต่อกันไหม”ผมหันมองอีกคนที่เอ่ยชวน ซึ่งเค้าก็เพียงยักคิ้วเป็นเชิงถามผม แม้ผมจะมีอาการลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่นี่มันเย็นวันเสาร์แล้วผมก็ไม่มีนัดที่ไหน จะให้ไปติดแหงกอยู่ที่บ้านก็คงน่าเบื่อไม่ใช่น้อย ส่วนคุณแว่นเองก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ การไปดื่มกับเพื่อนก็ไม่น่าเลวร้ายอะไรนี่เนอะ
แม้ตอนนี้ตะวันเพิ่งจะตกดินไม่นาน การสังสรรในค่ำคืนวันเสาร์อาจจะยังไม่เริ่มสำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับพวกผมมันไม่ใช่ปัญหาเลย ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านนั่งชิลๆ ร้านประจำเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะตอนแรกไม่ได้กะจะไปไหนต่อเลยนั่งรถไฟฟ้าออกมาจากบ้าน กะว่าคุยธุระเสร็จก็จะกลับเลย กลายเป็นผมต้องติดรถคุณแว่นมาที่ร้าน ส่วนตอนกลับก็ค่อยเรียกแทกซี่ละกัน
บทสนทนาของเราระหว่างการดื่มเป็นเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่เรื่องราวการทำงาน หนัง เพลง อาหารที่ชอบ จนบางแวปผมแอบรู้สึกว่า นี่เราเริ่มเหมือนเรามาออกเดทกันไหมเนี่ย อย่างที่เคยบอกว่าผมคงต้องเว้นระยะห่างระหว่างผมกับคุณแว่นนี่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย เพราะงั้นจริงๆ วันนี้ผมไม่ควรที่จะอยู่กับเค้าสองคนแบบนี้
“ชวนไอ้เหมาออกมาดื่มด้วยดีไหม หลายๆ คนจะได้ยิ่งสนุก”แต่ข้อเสนอของผมกลับถูกคุณแว่นคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าอยากให้ไอ้เหมาได้มีเวลาอยู่กับแฟนบ้าง เดี๋ยวแฟนจะน้อยใจเอาว่าไม่มีเวลาให้ คุณแว่นไม่อยากให้ไอ้เหมามาซ้ำรอยเดียวกับตัวเอง
“เล่นเกมกันไหม”อยู่ๆ อีกคนก็ชวนผม และเกมที่เค้าชวนเล่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เล่นทายชื่อเพลงที่นักดนตรีกำลังเล่น หรือเพลงที่ทางร้านเปิด พอเพลงขึ้นมา ใครตอบชื่อเพลงได้ก่อนก็ชนะ ใครแพ้ ต้องยกเครื่องดื่มหมดแก้ว ส่วนคนชนะอยากดื่มหรือไม่ดื่มก็ได้ ดูจากที่เป็นคนชวนเจ้าตัวคงมั่นใจในเรื่องเพลงพอสมควร แต่ผมเองก็มั่นใจไม่ต่างกันหรอก ผมว่าผมออกจะได้เปรียบเสียด้วยซ้ำ เพราะผมมานั่งร้านนี้บ่อยกว่าเค้า แล้วเพลงที่ร้านเปิดในแต่ละวัน หรือที่นักดนตรีเล่น มันก็วนๆ ซ้ำๆ เพลงเดิม ซึ่งผมรู้จักแทบทุกเพลงอยู่แล้ว
ผ่านไป 20 เพลง ผมแทบจะชนะขาดลอยด้วยคะแนน 15:5 เพราะแม้เค้าเองจะรู้จักเพลงเช่นเดียวกัน แต่ผมมักจะนึกชื่อเพลงได้ก่อนเสมอ จนผมเริ่มรู้สึกว่านี่เค้าแอบอ่อนข้อให้ผมรึเปล่า แต่แบบนั้นจะได้อะไร เพราะเค้าต้องดื่มเบียร์ แก้วแล้วแก้วเล่า จนผมเองจากตอนแรกก็ดื่มตามเค้าบ้างแม้จะชนะ เพราะไม่อยากเสียเปรียบที่ได้ดื่มน้อยกว่า แต่ตอนนี้เริ่มยั้งตัวเอง เพราะคิดว่าผมน่าจะได้เป็นคนขับรถพาเขากลับเสียแล้ว ตอนนี้เวลาเริ่มล่วงเลยมาครึ่งค่อนคืน คนในร้านเริ่มแน่น จนเสียงพูดคุยกระจายไปทุกพื้นที่ เราเองก็ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่ ความเกร็งที่เหมือนจะมีในตอนแรกยิ่งหายไป แล้วยิ่งคุยถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของพวกเรา ซึ่งเป็นที่เดียวกัน เรื่องราวมันยิ่งดูสนุกสนานขึ้นไปอีก
“เฮ้ย ลุงแว่นหวัดดี พี่ตี้หวัดดีค่ะ”เสียงทักทายจากรุ่นน้องที่ทำงานทำให้เราสองคนหยุดบทสนทนาที่กำลังเถียงกันว่าเพลงที่กำลังเริ่มคือเพลงอะไรกันแน่ หญิงสาวที่เอ่ยทักทายเราคือน้องปลาผู้เป็นหลานรหัสของคุณแว่น และเป็นทีมงานในแผนกของไอ้เหมาด้วย เธอนั่งลงข้างลุงรหัสของเธอ ก่อนจะเอ่ยแซวคุณแว่นเรื่องที่เลิกกับชะเอม จริงๆ สำหรับผมมองว่าอาจจะเป็นการแซวที่แรงไป แต่ไม่เห็นคุณแว่นแสดงอาการที่ไม่พอใจออกมา เลยคิดว่าน่าจะด้วยความสนิทสนมในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องของทั้งคู่ คงสามารถพูดคุยเล่นกันได้เป็นเรื่องปกติ
“แล้วนี่พี่มากันสองคนเหรอ”หลังจากที่คุณแว่นเอ่ยปากชวนน้องปลานั่งด้วยกัน แต่น้องปลาปฏิเสธเพราะว่ามากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ น้องปลาเริ่มทำหน้ากรุ้มกริ่มเมื่อถามประโยคนี้ออกมา เห็นแบบนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าน้องปลาเป็นรุ่นน้องไอ้เหมากับคุณแว่น ดูมีความเจ้าเล่ห์และกวนตีนไม่แพ้กันเลย
“นั่นแน่ นั่นแน่”และเมื่อรู้ว่าพวกผมมากันสองคนก็ทำตาเล็กตาน้อย มองผมกับคุณแว่นสลับกันไปมา ก่อนจะลากให้คุณแว่นให้ลุกมานั่งข้างผม ผมกับคุณแว่นมองหน้ากันงงๆ กับการกระทำของรุ่นน้องคนนี้ แล้วจังหวะที่ผมกับคุณแว่นหันมองหน้ากัน ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังมาจากทางน้องปลา ซึ่งในมือถือโทรศัพท์ไว้บ่งบอกว่าเสียงเมื่อสักครู่มาจากไหน
“ทำไรเนี่ยยัยตัวแสบ”คุณแว่นหันไปถามพร้อมกับแย่งมือถือมาดู ซึ่งยื่นต่อให้ผมดูด้วย ก็เป็นรูปที่เราสองคนหันหน้าเข้าหากัน เป็นรูปหันข้าง มองเผินๆ ก็เหมือนกำลังจ้องตากัน ส่วนน้องปลาก็หัวเราะคิกคักพร้อมทำท่าเขินๆ จนผมเองหลุดขำท่าทีของน้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูจิ้นพี่สองคนแล้วเนี่ย”ผมเพียงยิ้มๆ กับคำพูดของน้องปลา เพราะพอจะรู้แล้วว่าน้องปลาคงเป็นสาววายแน่นๆ แต่อีกคนดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องปลาพูด จนต้องมีการอธิบายกันยกใหญ่ กว่าจะเข้าใจ ว่าอะไรคือการจิ้น คุณแว่นนี่บางมุมก็น่าเอ็นดูนะครับ ขนาดคู่จิ้น ดาราชายหญิง ทั่วๆไป คุณแว่นยังเพิ่งจะเข้าใจวันนี้เองครับว่าอะไรคือคู่จิ้น
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่จิ้นแล้วล่ะ”พอเข้าใจความหมายแล้วคุณแว่นก็เหมือนกำลังเล่นสนุกไปกับน้องปลาเพราะตอนนี้ ไหล่ผมถูกโอบจากเค้าพร้อมดึงให้ผมชิดเข้าหาตัวเค้า เพื่อให้น้องปลากดชัตเตอร์ รัวๆ
“ถ้ามัวแต่จิ้นให้ผู้ชายได้กัน ชาตินี้หนูก็ได้ขึ้นคานพอดีสิพี่”คำตอบของน้องปลา เรียกเสียงหัวเราะจากเราสองคนได้เป็นอย่างดี น้องปลานั่งพูดคุยอีกนิดก่อนจะขอแยกกลับไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน
“ปล่อยมือแล้วย้ายกลับไปนั่งฝั่งเดิมไหม”เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งทั้งที่น้องปลาก็ไม่อยู่จิ้นแล้ว แต่เค้าก็ทำเพียงลดมือลงจากการโอบไหล่ผม และขยับออกห่างเพียงนิดเดียว ไม่ได้ย้ายกลับไปนั่งฝั่งตรงข้าม เขากลับยกแก้วขึ้นดื่ม ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด แถมยังหันมายักไหล่ใส่ผม เค้าให้เหตุผลว่าฝั่งที่เค้านั่งมองไม่เห็นนักร้องทำให้เวลาเล่นเกม เค้าเลยตอบไม่ทันผมเลยขอย้ายมานั่งฝั่งเดียวกัน แต่พอผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งเค้าก็รีบห้ามว่าจะเป็นการเอาเปรียบผม แต่ว่าดูเหมือนพอเกมดำเนินไป ต่อให้ตอนนี้ผมต่อให้เค้าตอบก่อนสัก 10 เพลง เกมนี้ผมก็ยังชนะขาดลอยอยู่ดี เพราะตอนนี้ดูเค้าเริ่มเมาจนใกล้ไม่มีสติแล้วละครับ
“สรุปเราเป็นคู่จิ้นกันเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆ”เค้าหัวเราะพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู เป็นรูปใน Facebook ที่น้องปลา tag เค้ามา มันคือรูปที่เค้าโอบไหล่ผมและเป็นจังหวะที่เราหันมองหน้ากัน คือตอนมอง ผมก็แค่คิดว่าเราสองคนนั่งชิดกันเกินไป กำลังจะให้เค้าขยับออกห่างและหัวเราะกับคำพูดของน้องปลา แต่รูปที่ออกมา มันเหมือน เราสองคนกำลังหยอกล้อกันอยู่ สายตาผมเหลือบมองต่อที่ข้อความที่น้องปลาโพสต์
#ว่าจะไม่จิ้นแต่พอจิ้นเท่านั้นแหละฟินเลย
#ลุงรหัสของหนู
#ฝากแทกพี่ตี้
ยังไม่ทันที่ผมจะอ่านอะไรต่อ ก็มีข้อความแจ้งเตือนของผมเช่นกันว่ามีคนแทกรูปภาพมา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้เหมานั่นเองครับที่แทกผม พร้อมตามมาด้วยการคอมเม้นต์ใต้รูปของมัน
“มึงสองคน นี่ตกลงยังไง กูขอคำอธิบาย”ตามมาด้วยอิโมจิยิ้มเจ้าเล่ห์ จนผมต้องรีบแก้ตัว เอ้ย อธิบายว่านี่ผมก็แค่มาเลี้ยงคุณแว่นไถ่โทษเรื่องที่ผมปิดบังเรื่องชะเอม อย่างที่เคยบอกมันไปแล้ว ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเจอว่าอีกคนกำลังจะสั่งเบียร์เพิ่ม จนผมต้องรีบห้ามเพราะตอนนี้ตัวเค้าเองไม่น่าจะดื่มไหวแล้ว ส่สนตัวผมถ้าดื่มเข้าไปอีกเกรงว่าจะขับรถกลับไม่ไหว จึงรีบให้เด็กเสิร์ฟคิดตังค์และลากคุณแว่นออกจากร้าน ดูเวลาแล้วผมน่าจะขับรถไปส่งเค้าก่อน ค่อยนั่งแทกซี่กลับ อาจจะถึงบ้านช้าหน่อย แต่พรุ่งนี้ก็วันหยุด ไม่ได้ทำอะไร มีเวลานอนทั้งวันแหละ
“ค้างนี่แหละ ดึกแล้วหาแทกซี่ยาก”คนเมาเริ่มงอแงเมื่อมาถึงบ้าน ตอนนี้เค้ากึ่งลากกึ่งดึงมือผมเข้าบ้าน ไม่ยอมให้ผมกลับ ซึ่งจริงๆ ผมสามารถสะบัดหลุดได้ง่ายๆ เพราะดูเค้าก็ไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่แล้ว แต่ผมกลับเลือกลังเลที่จะอยู่ต่อ ผมเริ่มหาเหตุผลให้กับตัวเอง ว่าการค้างที่นี่ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องทนง่วงกลับไปถึงบ้าน
“เราไม่ปล้ำหรอกน่า”แหมเมาขนาดนี้ยังจะปากดีอีกนะครับคุณแว่น นี่ผมก็อุตส่าไม่คิดอะไรแล้วยังจะมาสะกิดให้ผมคิดอีก ก็เลยเป็นอันว่าผมตกลงค้างที่บ้านเค้า เราต่างคนต่างแยกกันอาบน้ำโดยผมใช้ห้องน้ำที่ชั้นล่างของบ้าน ส่วนคุณแว่นก็ใช้ห้องน้ำในห้องตัวเอง ผมเป็นคนที่อาบน้ำเสร็จก่อน และเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงบอกเซอร์ และเสื้อยืดตัวโคร่งของเจ้าของบ้าน ผมเลือกนอนริมฝั่งนึงของเตียง และปิดเปลือกตาลง แม้จะรู้สึกเพลีย แต่ผมกลับรู้สึกหลับไม่ลง เพราะอยู่ๆ ภาพที่มันเคยเกิดขึ้นที่ห้องนี้กลับฉายซ้ำไหลเวียนอยู่ในหัวของผม ผมรีบพลิกตัวหันหลังให้พื้นที่ว่างที่เหลือของเตียงเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก มีเสียงเดินไปเดินมาจากเจ้าของห้องสักพักก่อนจะสัมผัสได้ว่าพื้นที่เตียงที่ว่างอยู่ยุบลง
“หลับยังอ่ะ”เขาเอ่ยถาม หลังจากต่างคนต่างเงียบอยู่พักใหญ่ แต่เราทั้งสองก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ยังนอนไม่หลับ ดีไม่ดีผมว่าเรื่องที่มันรบกวนจิตใจของเราสองคนตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะตอนนี้ผมดันเกิดมีความต้องการขึ้นมาเสียด้วยสิ
“นอนเถอะ”ผมตอบออกไปโดยที่ไม่ได้ขยับตัว ยังคงนอนหันหลังให้อีกคน
“หันมาคุยกันก่อนดิ”พร้อมกับคำพูดนั้น ผมถูกแรงดึงจากอีกคนให้หันหน้าเผชิญกับเค้า เค้าจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองผมว่าสายตาเค้ามันเหมือนกำลังเว้าวอนขอบางอย่างจากผม
“จริงๆ เรื่องคืนนั้นมันก็ไม่ได้แย่ว่าไหม”สิ้นประโยคนั้นริมฝีปากของเค้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาผม กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ก็เริ่มลอยมากระทบจมูกผม สิ่งที่ผุดมาในหัวคือผมต้องปฏิเสธเค้า แต่สิ่งที่ผมทำกลับกลายเป็นการจูบตอบเค้า
แวะมาต่อครับ
ขอบคุณที่ติดตาม ยังไงติชมได้เรื่อยๆ เลยนะครับ
ส่วนตอนหน้าค่อย :hao6:
บทที่ 11
Friends with Benefits
เราผละหน้าออกจากกันเพื่อพักหายใจ สายตาที่มองกันตอนนี้มันบ่งบอกชัดเจนว่าเราต้องการอะไร เค้าโน้มหน้าเค้ามาจูบผมอีกครั้งอย่างดุดันซึ่งผมเองก็จูบตอบอย่างไม่ได้ยอมแพ้ สองมือของเค้าสอดเข้ามาในเสื้อตัวโคร่งของผม ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอก ก่อนจะลากต่ำลงไปบริเวณหน้าท้อง ผมแทบหยุดหายใจเมื่อมือของเค้า ล้วงเข้าไปในบอกเซอร์สัมผัสกับปาร์ตี้น้อย ที่ตื่นตัวรอนานแล้ว เค้าหัวเราะในลำคออย่างผู้มีชัยเมื่อเห็นร่างกายผมตอบสนองสัมผัสจากเค้าอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานเค้าก็รูดบอกเซอร์ผมออกไปอย่างรวดเร็ว ผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเค้าดูเชี่ยวชาญเหลือเกิน แม้นี่จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมมีอะไรกับเค้า แต่ถ้านับการมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันของเค้า มันไม่น่าจะเชี่ยวชาญขนาดนี้ แต่ความสงสัยผมก็อยู่เพียงครู่เดียว เมื่อเค้าจัดการเสื้อผ้าของเค้าเองลงไปกองข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
ผมมองไปที่กลางลำตัวของเค้าด้วยใจที่หวาดหวั่น แม้ผมจะเคยสัมผัสมาแล้ว แต่ก็ยังกลืนน้ำลายลงคงอย่างยากเย็น แม้จริงๆ เค้าจะดูตัวหนาและสูงกว่าผมไม่มากนัก แต่แกนกลางของเค้าในเวลาที่พร้อมใช้งานแบบนี้ ก็ดูใหญ่โตกว่าที่ผมเคยเจอมา แม้ผมเองจะเคยผ่านการมีแฟนมาบ้างแล้ว และมีบ้างที่เป็น one night stand แต่ทุกคนที่ผ่านมาก็ถือว่าเค้าเป็นสถิติใหม่ที่ผมเคยเจอก็ว่าได้
ผมจ้องมองแกนกลางนั้นได้เพียงครู่เดียว เพราะถูกเค้าจับให้พลิกคว่ำ แล้วยกสะโพกผมลอยขึ้น ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่แกนกลางลำตัวของเค้า เข้ามาในตัวผม ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ จนในที่สุดก็เข้ามาจนสุดได้ เค้าแช่ไว้อย่างนั้นครู่นึงพร้อมกับก้มลงมาฝังเขี้ยวเบาๆ ที่คอของผม จากนั้นเค้าค่อยๆ ขยับจังหวะเข้าออกช้าๆ จนเริ่มเห็นว่าผมพร้อมแล้ว จังหวะจึงถูกเร่งขึ้น และมันเริ่มเร่าร้อนจนผมต้องครางเป็นชื่อเค้าออกมา ซึ่งไม่รู้ว่าเค้าพอใจกับสิ่งที่ได้ยินหรืออย่างไรถึงได้กระแทกแรงขี้นทุกครั้งที่ผมเรียกชื่อเค้า
ความคิดที่เค้าดูช่ำชองการมีอะไรกับผู้ชายมากเกินไปแวบเข้ามาในหัวอีกครั้ง เพราะผมเองก็ไม่ใช่วัยใสไร้เดียงดา จนถึงกับแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เค้ามอบให้ผมมันจะเป็นการกระทำของคนที่เพิ่งเคยทำแบบนี้ หรือคนที่มีประสบการณ์มาแล้ว อีกอย่างคือผมสัมผัสได้ว่าเค้าดูไม่ได้รังเกียจที่จะมีอะไรกับเพศเดียวกัน และมันกลับยิ่งทำให้อารมณ์ของผมกระพือขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกว่าเค้าเองก็อยากที่จะมีอะไรกับผม มือของเค้าเร่งจังหวะการกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผม พร้อมกับที่เร่งจังหวะการเคลื่อนไหวเข้าออกในตัวผม จนในที่สุดผมก็ฉีดน้ำสีขาวขุ่นลงไปบนเตียงนอน แล้วเราจะนอนยังไงละนั่น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมตกใจเท่าสัมผัสในร่างกายที่รู้สึกได้ว่ามีน้ำอุ่นๆ ถูกฉีดเข้ามาในร่างกาย
“ระ..เราไม่ได้...ไม่ได้ใช้ถุงยาง”ผมพูดออกไปทั้งที่หอบ แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ และบอกว่ามั่นใจในตัวผมว่าไม่มีโรคร้ายอะไร ส่วนเค้าเองเพิ่งตรวจเลือดเมื่อไม่นาน เพราะจริงๆ กำลังคิดวางแผนเรื่องมีลูกกับชะเอม
“เมื่อกี้รู้สึกดีเปล่า”เค้าเอ่ยถามขณะที่เราทั้งคู่ยังเปลือยเปล่านอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เค้าเอื้อมมือมาเสยผม เปิดหน้าผากให้ผม ค่อยๆ ลากนิ้วเรียวยาวนั้นไปรอบๆ ใบหน้าของผม สายตาจ้องมาที่ผมอย่างรอคำตอบ และคงหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ตรงใจ
“ก็ดี...แต่...”ผมเว้นจังหวะ เงียบไปจนเค้าต้องขมวดคิ้ว และเร่งเอาคำตอบจากผมว่าแต่อะไร
“มันดูดีไหลลื่น เกินไป...จน”
“เราเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน”ยังไม่ทันที่ผมจะถามออกไปจนจบ สิ่งที่ค้างคาในใจของผมก็ไขกระจ่าง แต่ถ้าเค้าเคยมีอะไรกับผู้ชาย มาก่อนแบบนี้ และก็ไม่ต้องรอให้ผมได้เดา เพราะเค้าเป็นฝ่ายเปิดปากออกมาเอง
“สมัย ม.ปลาย เราเรียนโรงเรียนชายล้วน ก็ตามประสาที่อยากรู้อยากลอง ก็เลยมีเรื่องแบบนี้เข้ามาบ้าง แต่เราก็ยังชอบผู้หญิงนะ เรามองว่ามันคือประสบการณ์ทางเพศอย่างนึง”นั่นคือสิ่งที่เค้าคิดงั้นเหรอ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้
“แต่เวลาเราคบใคร เราก็คบทีละคนนะ และเราก็ยังอยากสร้างครอบครัว แต่งงาน มีลูก มีครอบครัวที่มีความสุข”ดูเค้ายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัว แต่ผมไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถ้าเกิดวันนึงเค้าได้แต่งงานขึ้นมา ผู้หญิงที่แต่งงานกับเค้าจะยอมรับเรื่องราวพวกนี้ได้หรือเปล่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับผม มันอาจจะเป็นความลับเพราะผมคงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร แต่กับคนอื่นละ ผมเกือบจะพลั้งปากแสดงความความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ออกไป แต่เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
“แล้วนี่ระหว่างเรา...”แม้ผมพอจะเดาออกว่าการที่เค้ายอมเล่าให้ผมฟังขนาดนี้ เพราะเค้าต้องการอะไร แต่ผมเองก็ไม่อยากจะแสดงออกชัดเจนจนเกินไป ผมยอมรับว่าสิ่งที่เราต่างมอบให้กันมันสร้างความติดใจให้ผมมากเลยทีเดียวก็ตาม แม้ผมจะเว้นระยะให้อีกฝ่ายเอ่ยความคิดเห็นออกมา แต่เค้ากลับทำเพียงยักคิ้วเป็นเชิงย้อนถามผม
“Sex friend งี้เหรอ”ผมหลุดปากออกไปในที่สุด ผมเข้าใจความสัมพันธ์แบบนี้ดี เพียงแต่ไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ ผมยอมรับว่าสามารถมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รักได้ แต่การมีความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวแค่ทางกายแบบนี้ ผมว่ามันไม่น่าจะโอเคเท่าไหร่ ทว่าตอนนี้ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากแล้วว่าสิ่งที่เกิดอยู่ระหว่างผมกับเค้ามันไม่ใช่ sex friend ต่อให้หยุดความสัมพันธ์ไว้แค่เพียงเท่านี้ มันก็คงลบภาพสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วไม่ได้
“ตี้คิดยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ หาความสุขร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ ไม่ผูกมัด ไม่หึงหวง ไม่ต้องทะเลาะ แค่เวลาเหงาก็มาเจอกัน”ผมคิดตามสิ่งที่เค้าพูด ความคิดในหัวผมกำลังตีกันว่าควรหยุดตั้งแต่ตอนนี้ หรือจะยอมรับความสัมพันธ์นี้ต่อไป ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลือกทางไหนไปแล้ว สุดท้ายถ้าความสัมพันธ์นี้จบลง ระหว่างผมกับเค้า เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อีกหรือเปล่า
“ถ้าวันนึงเราคนใดคนนึงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เราต้องยุติความสัมพันธ์นี้”ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเลือกที่จะพูดแบบนั้นออกไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมบอกออกไป เค้ายิ้มกว้าง และยอมรับข้อเสนอนี้
“ถ้าใครคนใดคนนึงเกิดมีความรู้สึกเกินเลยขึ้นมา หรือมีใครล้ำเส้นของอีกฝ่าย ก็ต้องหยุดเรื่องนี้เช่นกัน”
“กลัวชอบเราขึ้นมาจริงๆ เหรอ”เค้าหัวเราะชอบใจกับสิ่งที่ผมพูด แถมยังเอื้อมมือมาบีบจมูกผม ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะคุณแว่น
“ผมไม่ชอบคนใส่แว่น เพราะงั้นเสียใจด้วยนะครับคุณแว่น ที่เสน่ห์ของคุณคงทำอะไรผมไม่ได้”ผมเอ่ยออกไปอย่างท้าทาย ก่อนจะลุกขึ้น จะไปอาบน้ำชำระร่างกาย เค้าลุกตามผมมาทั้งที่ยังไม่มีอะไรพันกายเลยสักชิ้น ตกลงนี่คือคนเดียวกับเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ร้องไห้เพราะต้องเลิกกับแฟนจริงๆ เหรอ ดูเค้าไม่เหลือความเสียใจอะไรแล้ว
การอาบน้ำของเราผ่านไปด้วยความทุลักทุเล เพราะดันมีกิจกรรมเกิดขึ้นอีกครั้งในห้องน้ำ กว่าจะออกมา เปลี่ยนผ้าปูเตียงที่กลิ่นคละคลุ้งไปด้วยน้ำจากกามรมย์ของเราสองคน กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปเกือบเช้าแล้ว ผมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า รู้สึกวันนี้มันยาวนานเหลือเกิน ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ผมรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่รั้งผมเข้าไปหา อ้อมกอดที่เหมือนจะอบอุ่นแต่มันก็ยังเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าช่วยยืนยันว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้ฝันไป ผมกลายเป็น Sex friend กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นเพื่อไม่ให้อีกคนรู้ตัว ผมเอนหลังพิงกับหัวเตียง เพ่งมองคนที่ยังหลับตาพริ้ม ใบหน้าเค้าก็ดูดีเป็นตี๋พิมพ์นิยมทั่วไป และผมก็ยังยืนยันว่าเวลา เค้าไม่ใส่แว่นดูน่าหลงไหลมากกว่าเวลาใส่แว่น แต่เรื่องรูปร่างหน้าตาเค้าเนี่ย ผมไม่ได้ติดใจอะไรมากหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมกำลังคิดตอนนี้คือ สิ่งที่ผมเองเคยคิดว่าเค้าเป็น จากมุมผมที่รู้จักเค้าตอนแรก จนถึงตอนก่อนที่เค้าจะเลิกกับชะเอม ผมมองเค้าว่าคือคนตั้งใจทำงาน หวังสร้างครอบครัวกับคนที่เค้ารัก แต่อีกมุมที่ผมได้รับรู้เมื่อคืน มันทำให้ผมต้องคิดใหม่ว่าคนเรามันมีได้หลายมุม และเราจะได้เห็นมุมไหนก็คงออกมาจากสิ่งเค้าอยากให้เรารับรู้เท่านั้น
“ตื่นนานแล้วเหรอ”เค้าดันตัวขึ้นมาข้างๆ ผมเพียงยิ้มบางๆ ตอบเค้า แต่ต้องสะดุ้งเมื่อเค้าสอดมือเข้ามาใต้ผ้าห่ม จนผมต้องรีบคว้ามือของเค้าไว้ เพราะเดี๋ยววันนี้จะไม่ได้ทำอะไรกันพอดี ผมรีบลุกเพื่อเตรียมจะอาบน้ำกลับบ้าน เพราะขืนอยู่ต่อผมว่าเราสองคนคงใช้ชีวิตอยู่แค่บนเตียงนี่แหละครับ เราต่างคนต่างแยกย้ายกันอาบน้ำคนละห้อง เพื่อป้องกันการนอกลู่นอกทาง
“เดี๋ยวเราไปร้านกาแฟปากซอย แล้วกลับเลยนะ”หลังจากที่ผ่านคืนหนักๆ มาแบบนี้ ถ้าได้กาแฟสักแก้วจะช่วยดึงพลังงานชีวิตผมกลับมาได้มากเลยแหละ
“ไม่ต้องไปหรอกเดี๋ยวชงให้ แล้วเดี๋ยวเราไปส่ง พอดีจะออกไปธุระข้างนอกพอดี”ผมยักไหล่เป็นการตอบตกลง เพราะมีคนไปส่งก็คงดีกว่าต้องไปเรียกแทกซี่กลับเอง ว่าแต่กาแฟที่จะชงให้เนี่ย จะกินได้หรือเปล่าเนี่ย ผมมองเค้าเดินเข้าไปในครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกาแฟสองแก้ว แก้วนึงถูกส่งมาให้ผม ผมรับมาทำหน้าแหยงๆ พร้อมจิบอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะอยากจะแกล้งเค้า แต่พอได้ชิมเข้าไปจริงๆ รสชาดกาแฟที่เค้าชงมาก็ไม่เลวเลย
หลังจากดื่มกาแฟไปคนละแก้ว แต่ก็ดูเหมือนกระเพาะของเราจะยังต้องการอะไรมากกว่านั้น เพราะนี่ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว คุณแว่นเลยอาสาจะทำอะไรให้กิน ตอนแรกผมเซอร์ไพรส์ที่เค้าบอกว่าจะทำอาหารให้ทานเพราะไม่คิดว่าเค้าจะทำอาหารเป็น แต่พอเห็นสิ่งที่เค้าทำเสร็จแล้ว ก็นึกขำตัวเอง เพราะไอ้ที่เค้าถือออกมาจากครัวคือมาม่าชามใหญ่ แหม ไอ้เราก็นึกว่าจะทำอะไรที่ดูดีกว่านี้
“สรุปคือจะมาตัดแว่นใหม่เหรอ”หลังจากที่ทานอะไรเสร็จเรียบร้อย เขาก็พาผมออกจากบ้าน และ ผมก็ได้รู้ครับว่าธุระของเค้าที่จะต้องทำคืออะไร ตอนนี้เค้าเดินนำผมมาหยุดอยู่ที่ร้านแว่นในห้างสรรพสินค้าแห่งนึง ซึ่งผมเลือกที่จะแยกขอดูของอะไรรอข้างนอกจะดีกว่า เพราะตั้งแต่เกิดมานี่ผมแทบไม่เคยเข้าร้านแว่นสายตาเลย ก็สายตาผมมันไม่เคยมีปัญหาเลยนี่นา
“สายตาสั้นลงอีกเหรอ ถึงต้องเปลี่ยนแว่น”ผมเอ่ยถามหลังจากที่ขึ้นรถมาเพื่อมุ่งตรงไปส่งผมที่บ้าน เค้าไม่ได้ตอบผม ทำเพียงอมยิ้ม และหันไปมองถุงจากร้านแว่น ที่วางอยู่เบาะหลัง แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นเพิ่มคือ รถเค้าดูมีอุปกรณ์อะไรเยอะแยะไปหมดเลย
“นี่รถหรือบ้านหลังที่สองเนี่ย มีแม้กระทั่งชุดทำงาน”ผมแซวออกไปขำๆ แต่เค้าก็อธิบายว่าบางครั้งต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลยต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา
“ขอบใจที่มาส่งนะ ไว้เจอกัน”ผมบอกลาเมื่อถึงจุดหมาย แต่อีกคนกลับทำตัวอ้ำอึ้งเหมือนมีอะไรจะพูดสักอย่าง
“มีอะไรอีกรึเปล่า”ผมเอ่ยถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“เราขอค้างนี่ด้วยได้ไหม”
มาอัพต่อคร๊าบบบบ
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้ คือความติดใจในสิ่งที่ได้รับ
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อว่าสุดท้าย ความสัมพันธ์มันจะไปจบที่ตรงไหน
บทที่ 14
กลวิธีปกปิดความลับ
“มึงเนี่ยนะมีนัด”ไอ้เหมาทำท่าไม่เชื่อเมื่อผมปฏิเสธการไปดื่มกับมันในค่ำคืนวันศุกร์แบบนี้ จริงๆ ถ้ามันชวนผมวันอื่นๆ มันก็จะได้รับคำตอบแบบเดียวกันนี่แหละครับ เพราะช่วงนี้ผมเจอกับคุณแว่น แทบทุกวัน แต่ก็ไม่ได้นัดกันไปไหนหรอกนะครับ แค่สลับสับเปลี่ยนสถานที่ไม่บ้านผมก็บ้านเค้า จนตอนนี้ตู้เสื้อผ้าในห้องผมกับห้องเค้า เราต่างมีเสื้อผ้าของกันและกันอยู่ในนั้น หรือบางครั้งก็มีการหยิบเสื้อผ้าของอีกฝ่ายมาใส่ด้วย เพราะเราก็ใส่เสื้อผ้าไซส์ไม่ได้ต่างกันมาก
“แปลกตรงไหนที่กูมีนัด”ผมยังคงตั้งใจเปิดไฟล์งานเอกสารในคอมเหมือนเป็นงานด่วนที่ต้องรีบทำ หากแต่ถ้าไอ้เหมามันสังเกตสักนิดคงจะเห็นว่าไอ้ไฟล์ที่ผมเปิดอยู่นี่แค่เพียง copy สลับกันไปกันมาเฉยๆ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้มันมาวุ่นวายกับผมนานครับ และให้เลิกลาการตื้อของมันในการชวนผมไปดื่มเสียที
“ไม่แปลก ถ้ามึงมีแฟน แต่นี่มึงไม่ หรือมึงมีแฟนแล้วไม่บอกกู”ว่าแล้วว่าไอ้นี่มันเซนส์ดีครับ แต่มันก็ผิด ผิดตรงที่ผมไม่ได้นัดกับแฟน แต่เป็นนัดกับเพื่อน เพื่อนที่จริงๆ สนิทกับมันมาก่อนผมนั่นแหละครับ แต่จะให้ผมบอกกับมันได้ยังไงละครับ ว่าตอนนี้เพื่อนมันสองคน ได้กันแล้ว แต่ได้กันในฐานะ sex friends
“อย่ามาปิดบังเพื่อน บอกมาเลยว่ามึงนัดกับใคร”ดูเหมือนมันจะไม่ยอมลดล่ะ ที่จะตื้อผมครับ แต่เหมือนโชคเข้าข้างที่โทรศัพท์ผมดังขึ้นพอดี แต่คนที่ไวกว่าผมคือไอ้เหมาครับ มันคว้าโทรศัพท์ผมไปดูชื่อคนที่โทรเข้ามา
“ชะ ชะ ช่า นี่ใช่ไหมคนที่มึงนัด”เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมไอ้เหมาถึงทำท่าแบบนั้น เพราะเบอร์ที่โทรเข้ามาคือคุณเซลล์ เจ้าประจำ แต่นั่นก็ทำให้ผมได้ไอเดียบางอย่าง จากที่ตอนแรกกะว่าจะเดินไปคุยให้ห่างจากไอ้เหมาแต่ตอนนี้ ผมเลือกที่จะรับสายให้มันได้ยินผมพูดนี่แหละครับ
“ครับคุณอรรถ”นี่ผมว่าคงเป็นครั้งแรกที่ผมกับเค้าด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าหมั่นไส้ขนาดนี้ ขนาดผมพูดเองยังอดจะรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองไม่ได้เลยครับ มันคงจะฟังดูแปลก จนอีกฝั่งก็คงจับสังเกตได้ เพราะเค้าเองก็หลุดขำออกมา แม้เค้าจะชัดเจนว่าพยายามจะจีบผมแต่ผมเองก็ยังชัดเจนว่าไม่เล่นด้วย อีกอย่างในเวลางานแบบนี้ เค้าก็ยังทำตามที่ผมเคยบอกเอาไว้ ว่าขอคุยแค่เรื่องงานเท่านั้น
“เอาอย่างงั้นก็ได้ครับ”ไอ้เหมาพยายามที่จะเงี่ยหูเข้ามาฟังในโทรศัพท์ผม แต่ผมใช้มือยันมันไว้ ไม่ใช่กลัวมันละลาบละล้วงนะครับ แต่ เดี๋ยวแผนแตกมันจะรู้ว่านี่ผมคุยเรื่องงานอยู่
“ผมไม่ติดขัดอะไรครับ...ครับ...ตามที่คุณอรรถว่าเลยครับ...ครับ...ตามนั้นเลยครับ”
“แล้วเจอกันครับ”จริงๆ คุณเซลล์เค้ากดวางสายตั้งแต่ผมบอกว่า “ตามนั้นครับ” แล้ว แต่เพื่อความสมจริง ผมเลยต้องจบด้วยประโยคท้ายนั้น ให้ไอ้เหมามันเชื่อ อย่างสนิทใจ ซึ่งก็ดูได้ผลมากเลยทีเดียว ผมไม่ได้โกหกอะไรมันเลยนะครับ แค่มันเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น จริงๆ ผมก็แค่ตอบรับการแก้ไขรูปแบบงานที่จะจัดซึ่งเค้าก็ส่งอีเมลมาให้ผมดูแล้ว แค่โทรมายืนยันอีกรอบ
“แหม แหม แหม สรุปนี่ไปถึงขั้นไหนกันแล้วครับคุณปาร์ตี้ ครับ อย่างงั้น ครับอย่างงี้ พูดเพราะมากกกก”ดูท่าจีบปากจีบคอมันแล้วผมแทบอยากจะถีบสักทีครับ
“กลับไปทำงานได้แล้ว กูจะทำงานเนี่ย”ขนาดเอ่ยปากไล่ขนาดนี้มันยังไม่ขยับครับ เวลาหัวหน้าผมไม่อยู่ห้องทีไร ไอ้นี่เป็นต้องมาสิงไม่ยอมไปไหน อย่างนี้เสมอแหละครับ
“จะเขินอะไรวะ ถ้าจะคบเซลล์หน้าหล่อนี่ก็เปิดตัวไปเลย”กูไม่ได้เขินครับคุณเพื่อนเหมา เพราะกูไม่ได้คบกับเค้า อยากจะตะโกนบอกมันออกไปดังๆ แต่ก็นั่นแหละครับ คงจะทำไม่ได้ แถมนี่ก็ต้องขอโทษคุณเซลล์ด้วยอีกคนนะเนี่ย แม้จะเป็นการขอโทษในใจ เค้าก็คงจะไม่ถือโทษผมหรอกมั้ง
ในที่สุดผมก็สลัดไอ้เหมาหลุดสักทีครับ ผมพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว นี่ผมจะปิดเรื่องนี้ยังไงไม่ให้ไอ้เหมามันสงสัย หรือต้องแอบเจอกันเฉพาะวันธรรมดา เพราะถ้าวันปกติ ผมกับไอ้เหมาส่วนใหญ่ก็เจอกันแค่ที่ทำงาน
ผมขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ซึ่งมีรถอีกคันจอดอยู่ก่อนแล้ว เค้าคงมาถึงแล้วสินะ ผมก้าวลงจากรถ ยืนมองนิดนึงว่านี่ถ้าเกิดวันดีคืนดี ไอ้เหมาทะเล่อทะล่ามาหาผม โดยไม่บอกกล่าว มันจะเกิดอะไร ขึ้น ผมว่าตอนนี้หลายๆ อย่างทั้งผมและชาร์ปก็ดูปล่อยให้คนอื่นสังเกตได้ง่ายเกินไป แต่จะว่าคนอื่นกคงไม่ใช่เพราะคนที่น่ากลัวที่สุด คงมีแค่ไอ้เหมาคนเดียวนี่แหละ
“ทำไมมาช้าจังเลย”ทันทีที่ผมปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน อีกคนที่รออยู่แล้ว เข้ามาดักหน้า พร้อมประกบปากมาโดยไม่ให้ผมตั้งตัวเลย ผมต้องรอจังหวะให้เค้าถอนปากออก เพื่อผลักให้เค้าออกห่าง
“ขอคุยก่อนได้ไหม”ผมบอกเสียงเรียบในขณะที่อีกคน ยังพยายามสอดมือเข้ามาในเสื้อผม มันคงเป็นความเคยชินจนเกินไปแล้วที่ทุกครั้งของเราสองคน แค่มาเจอหน้ากัน ก็ไม่มีการพูดจาอะไรกัน มันมักจะเริ่มด้วยการถาโถมเข้าใส่กันอย่างเร่าร้อนก่อน แล้วเรื่องอื่นๆ ค่อยมาว่ากันทีหลัง แต่ครั้งนี้ผมอยากตกลงหลายๆ อย่างก่อน เพื่อป้องกันจะไม่ให้ไอ้เหมาล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคน
“วันนี้ไอ้เหมาชวนไปดื่มหรือเปล่า”เค้าพยักหน้าเป็นการตอบรับ ซึ่งผมก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเค้าก็ต้องถูกชวนเช่นกัน ซึ่งการปฏิเสธของเค้าอาจไม่ต้องยุ่งยากเช่นผม เพราะคุณแว่นไม่ได้ต้องเผชิญหน้ากับไอ้เหมา อย่างครั้งนี้ที่บอกไปแค่ว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็สามารถปฏิเสธได้แล้ว
แต่ถ้าทั้งผมและคุณแว่น เอ่อแม้ตอนนี้เค้าจะไม่ค่อยใส่แว่นแล้ว ผมก็ยังชอบที่จะเรียกเค้าว่าคุณแว่นนะครับ เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้ไม่ชอบที่เค้าใส่แว่น ที่พูดไปคราวก่อนก็แค่อยากพูดข่มเค้าแค่นั้นเอง ต่อครับต่อ คือถ้าทั้งผมและคุณแว่นต่างปฏิเสธไอ้เหมาพร้อมกันบ่อยๆ มันก็ต้องผิดสังเกตแน่ๆ
“ต่อไปถ้าวันไหนไอ้เหมานัด เราต้องไปกับมันก่อน ถ้าเราไม่ได้ติดธุระที่อื่นจริงๆ”เรื่องนี้ก็ดูแก้ได้ไม่ยากครับ เพราะจริงๆ ผมกับคุณแว่นเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องเจอกันทุกวันขนาดนั้น ช่วงนี้เราสองคนอาจจะยังตื่นเต้นกับเพศรสที่มอบให้กัน แต่ผมว่าอีกสักพักเราสองคนอาจจะเริ่มเบื่อกันก็ได้
“ในรถของอีกฝ่าย เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เราเคลียร์ของในรถกัน”กรณีนี้กันไว้เผื่อวันไหนไอ้เหมาต้องขึ้นรถของพวกเราคนใดคนนึง เพราะตอนนี้ในรถคุณแว่นก็มีของของผมอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน และเช่นเดียวกันกับรถของผมที่มีข้าวของ ของคุณแว่นเช่นเดียวกัน
“มือถือ เอามือถือมาเปลี่ยนชื่อ เราสองเมมเบอร์เปล่าๆ กัน โดยไม่ต้องใส่ชื่ออีกคน”จากที่ผมโดนไอ้เหมาแย่งมือถือไปดูชื่อคนโทรเข้า มันทำให้ผมต้องกันเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน แม้คุณแว่นจะพยายามแย้งว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน โทรหากันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกอะไร มันก็คงจะไม่แปลก ถ้าเราไม่ได้โทรหากันทุกวันแบบตอนนี้ เกิดวันไหนแจ๊คพอต โทรไปในวันเวลาที่ไม่เหมาะ ไม่ควรมันจะได้ไม่ผิดสังเกต นอกจากการเมมชื่อเบอร์แล้ว ผมยังจัดการตั้ง password line ให้เค้าด้วย พร้อมกำชับให้เค้าลบแชทที่เราคุยกัน หากอันไหนที่มันดูไม่เหมือนเพื่อนปกติคุยกัน
“นี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”เค้าทำท่าหน่ายๆ กับสิ่งที่ผมให้เค้าทำตาม
“ก็ถ้าเรายังอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับอยู่มันก็คงต้องทำแบบนี้แหละ”ผมย้ำกับเค้า เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่
“ไอ้เหมามันไม่ฉลาดขนาดนั้นหรอกมั้ง”โหน้อยไปสิครับ ผมบอกกับเค้าว่าไม่ลองมาเจอไอ้เหมามันแทบทุกวันอย่างผม แล้วจะรู้สึก ว่าเรื่องแบบนี้มันฉลาดนักแล ยิ่งเดี๋ยวนี้มีน้องปลาเป็นผู้ช่วย งานการมันก็โยนให้น้องปลาเสียส่วนใหญ่ แล้วมันก็เอาเวลามายุ่งเรื่องชาวบ้านได้มากยิ่งขึ้น
“ครบหรือยังเนี่ย ไอ้กลวิธีปิดบังไอ้เหมาเนี่ย”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม เค้าเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมทีละเม็ด แล้วใช้นิ้วลากกรีดจากแผงอกของผม ลากต่ำลงไปจนถึงเข็มขัด มือเค้าคว้าที่เข็มขัดผมเพื่อใช้ดึงตัวผมให้ชิดเข้าหา
“ขออาบน้ำก่อนได้ไหม เหนียวตัวมากเลยเนี่ย”ผมคว้ามือที่กำลังจะล้วงเข้าไปในกางเกงนั้นไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีไม่พอใจ หากแต่มีสายตาวิบวับส่งกลับมาให้ผม แน่นอนว่าผมเข้าใจดีว่าสายตานั่นหมายความว่ายังไง เพราะเพียงไม่นาน ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคน ก็มาอยู่ใต้ฝักบัวเดียวกัน สายน้ำที่เย็นช่ำ ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนรุ่มของเราลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
เราต่างมอบความหวาบหวามให้กัน มันยังเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และหอมหวานสำหรับเราทั้งสองคน ที่แม้เติมเต็มให้กันเท่าไหร่ก็ยังไม่อิ่มเสียที ความรู้สึกนี้ผมว่า ผมคงไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว สังเกตได้จากการตอบสนองของอีกฝ่ายก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ความรู้สึกนี้มันจะคงอยู่ยาวนานขนาดไหน วันนึงที่ความตื่นเต้น ความแปลกใหม่มันลดลง เราก็คงต้องจบความสัมพันธ์นี้
เมื่อถึงวันนั้น เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเดิมได้ไหม คงเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา แม้ในตอนแรกเราจะตกลงกันไว้แบบนั้น แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ มันจะเป็นยังไงก็คงต้องรอดูกันต่อไป
“นี่เราต้องหาตัวหลอก ไว้เหมือนตี้ด้วยไหมเนี่ย”หลังจากผ่านกิจกรรมใต้ฝักบัวแล้ว ตอนนี้เราทั้งคู่ก็มานอนคุยกันที่เตียงของผม เขาเล่าถึงเรื่องวันนี้ที่ไอ้เหมาเข้าใจผิด ว่าผมจะไปกับคุณเซลล์ แถมไอ้เหมาก็โทรไปเล่าให้คุณแว่นฟังเป็นตุเป็นตะว่าผมคบกับคุณเซลล์อย่างจริงจังแล้ว
“ก็แล้วแต่ชาร์ปสิ หรือจะจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว ก็จีบไปเลย แต่ถ้าตกลงคบกับใครจริงจังก็บอก เราจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้”ผมบอกออกไปตามตรง เพราะมันคือสิ่งที่เราตกลงกันตั้งแต่ต้น ส่วนเรื่องคุณเซลล์จริงๆ ผมก็ไม่ได้จะใช้เค้าเป็นตัวหลอกอะไรหรอกนะครับ เดี๋ยววันหลังคงต้องหาทางทำความเข้าใจกับไอ้เหมาใหม่แล้วละครับ
“ถ้าเราไปจีบใคร ตี้จะหึงเราป่ะ”เค้าถามพร้อมกลับพลิกตัวมาคร่อมผมไว้ ก่อนริมฝีปากนั้นจะโน้มมาบดลงที่ริมฝีปากของผม ลิ้นสากๆ ของเค้าถูกส่งเข้ามาในโพรงปากของผม ผมปล่อยให้ลิ้นของเราได้หยอกล้อกันสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวเค้าออก
“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่หึง”
“สักนิดก็ไม่เลยเหรอ”เค้าก้มลงมากระซิบข้างๆ หูของผม พร้อมกับใช้ฟันขบเบาๆ ที่ติ่งหูของผม
มาต่อเหมือนเดิมคร๊าบบบบ
ขอบคุณที่ติดตามกันเช่ยเคยครับ
บทที่ 20
แปรงสีฟันจุดประเด็น
“เฮ้ย ชาร์ปตื่น ตื่นเร็วเข้า”ผมรีบปลุกอีกคน เพราะนี่จะบ่าย 2 อยู่แล้ว แต่ทั้งผมและเค้ายังไม่ได้ลุกจากเตียงกันเลย ก็เมื่อคืนเล่นดื่มกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว แถมไอ้คนที่มาค้างบ้านผมนี่ก็ไม่ได้ยอมนอนดีๆ เมื่อคืนผมไปดื่มกับไอ้เหมาและคุณแว่น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่วันนี้ก็นัดกันจะมาทำปิ้งย่างอะไรกันที่บ้านผม แต่เมื่อคืนก็ยังจะไปดื่มอีก
“นี่มันคืนวันศุกร์แห่งชาติทั้งที มึงจะนอนอยู่บ้านดูละครหลังข่าวหรือไงไอ้ตี้ มันต้องจัดโว้ย”และนั่นเหมือนการบังคับกลายๆ ให้ทั้งผมและคุณแว่น ต้องไปชนแก้วกับมัน แก้วแล้วแก้วเล่าจนสุดท้ายไอ้เหมาก็เมาพับ ขับรถกลับไม่ไหว แต่ที่มันกล้าดื่มหนักขนาดนี้ คงเพราะวันนี้แพทมาด้วย และมันคงกะให้แพทขับรถพากลับบ้าน แต่มันไม่ดูเลยว่าตัวขนาดมันเนี่ยแพทจะลากไหวไหม ลำบากผมกับคุณแว่นต้องแบกมาส่งถึงรถ
“ยังไงฝากชาร์ปไปส่งตี้ด้วยนะ แพทไม่อยากอ้อมไปอ้อมมา”แพทบอกอย่างรู้สึกผิด เพราะวันนี้ผมให้ไอ้เหมากับแพทแวะรับก่อนออกมา เพราะไอ้เหมาต้องขับรถไปรับแพททำงาน ก่อนจะมาที่ร้านอยู่แล้ว แถมเป็นทางผ่านบ้านผม เลยถือโอกาสติดรถมาด้วย
“ได้ๆ ว่าแต่แพทจะพาไอ้หมา เอ้ยไอ้เหมานี่เข้าบ้านยังไง”คุณแว่นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะขนาดพวกผมสองคนแบกมันมาที่รถยังถึงขั้นหอบ แล้วตัวเล็กๆ อย่างแพทจะทำยังไง
“ถ้าถึงบ้านแล้วปลุกไม่ตื่นก็จะ เปิดกระให้นอนในรถนี่แหละ ให้ยุงกัดซะให้เข็ด ดื่มอะไรไม่รู้จักประมาณตัวเอง”นี่คือมนุษย์เมียของแท้เลยครับเนี่ย นี่ขนาดไอ้เหมาเมาหลับยังบ่นได้ขนาดนี้ ถ้าตื่นมาจะโดนสวดยับขนาดไหน
“ไปแล้ว เจะกันพรุ่งนี้บ่าย 3 ที่บ้านตี้นะหนุ่มๆ เออถ้าชาร์ปไม่ไหว แพทว่าค้างบ้านตี้ไปเลยก็ดีนะ ยังไงพรุ่งนี้เราก็นัดกันที่บ้านตี้อยู่แล้ว”พูดจบแพทก็สตาร์ทรถออกไปด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมไว้กับคุณแว่นสองคน เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกเพราะระหว่างทางกลับบ้านผมก็เลือกที่จะพักสายตา แม้จะไม่ได้หลับแต่ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเค้าเลยเลือกปิดเปลือกตาไว้จะดีกว่า
“ไม่เข้าบ้านเหรอ”เมื่อถึงบ้านผม เค้าสะกิดปลุกผมพร้อมด้วยกลับรถเตรียมพร้อมที่จะกลับออกไป ผมเลยต้องถามออกไปด้วยความแปลกใจเพาะนึกว่าคืนนี้เค้าจะค้างที่นี่กับผม
“ก็เจ้าของบ้านยังไม่ชวนเลย เราจะเข้าไปได้ไง ขนาดจะมาเรายังต้องรอคำอนุญาตจากเค้าก่อนเลย”แหมคุณแว่น ดูพูดเข้าเดี๋ยวนี้มีงอนด้วย ผมยิ้มขำๆ กับอาการน้อยใจเหมือนเด็กๆ ของเค้า
“เชื่อฟังคำพูดเราขนาดนั้นเชียว ป่ะ เข้าบ้านเดี๋ยวเราเปิดประตูให้เอารถเข้าไปจอดในบ้าน”ทำเป็นอิดออดเหมือนจะไม่ค้างบ้านผม แต่ถึงเตียงนอนก่อนผมอีกครับ แล้วก็เป็นไปเหมือนเดิม พอถึงเตียง เราต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไร ทั้งฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แถมไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่มันยิ่งทำให้เราทั้งสองต่างช่วยกันสนองความต้องการของอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
พอตัดสินใจว่าจะอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อนจะได้นอนสักทีเพราะนี่เราก็มอบความสุขให้กันหลายต่อหลายรอบแล้ว แต่เหมือนเราทั้งสองต่างยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม เลยเกิดกิจกรรมในห้องน้ำเพิ่มขึ้นอีก
“คราวหลังอย่าหายไปแบบนี้อีกนะ”ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากขาดการติดต่อจากเค้านานๆ แบบนี้อีก ทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกคนจะเข้าใจไปอีกแบบ
“ตี้เป็นคนบอกให้เราห่างไปเองไม่ใช่เหรอ”เค้าบอกยิ้มๆ พร้อมกับเอื้อมมือสอดเข้ามาที่เส้นผมด้านข้างของผมเพื่อปัดส่วนที่ตกลงมาปิดหน้า
“ต่อไปเราพูดอะไร ไม่ต้องเชื่อนะ”ผมตอบกลับไป ก่อนจะปิดเปลือกตาลง เพราะฝืนต่อสู้กับความง่วงและความอ่อนเพลียต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่มันจะ 6 โมงเช้าอยู่แล้ว
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แพทก็รู้นิว่าเราค้างที่นี่ ไม่ต้องกลัวใครสงสัยอะไรหรอก”เหมือนเค้าจะรู้ว่าผมกังวลเรื่องอะไร เลยแย้งผมมา แต่เค้าลืมไปหรือเปล่า ว่าถึงแม้แพท และอาจรวมถึงไอ้เหมา อาจจะรู้แล้วว่าคุณแว่นค้างที่นี่ แต่ แต่ แต่ สภาพของทั้งผมและคุณแว่นตอนนี้มันควรอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยกันดีกว่าไหม เพราะคนอย่างไอ้เหมา ถ้ามาถึงอาจจะพรวดพราดเข้ามาถึงห้องนอนนี่ก็เป็นได้ แล้วถ้าเกิดมันมาเห็นว่าพวกผมอยู่ด้วยกันในสภาพหมิ่นเหม่อย่างตอนนี้ คงความแตกกันพอดี
“ไปอาบน้ำ ได้แล้ว”ผมลุกขึ้นเขย่าตัวอีกคนเพื่อปลุกให้เค้าลุก แต่เค้ากลับลุกพรวดขึ้น พร้อมกับเอาผ้าห่มคลุมม้วนเอาตัวผมเข้าไปด้วย ทำให้ตัวของเราแนบติดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง หน้าผากชนกัน ปลายจมูกแทบจะบี้กันอยู่แล้ว
“เล่นอะไรเนี่ย เดี๋ยวก็อาบน้ำแต่งตัวไม่ทันเพื่อนมากันพอดี”ผมพูดพร้อมกับพยายามขืนตัวออก แต่แทบขยับไม่ได้ เพราะเค้าล็อคตัวผมไว้ และแรงของเค้าก็ดูจะเยอะกว่าผมมาก
“อาบพร้อมกันดิจะได้เสร็จเร็วๆ”เค้าคลายอ้อมกอดออกหลวมๆ แล้วค่อยๆ เลื่อนมือมาประคองหน้าผม สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ผม ผ้าห่มค่อยๆ เลื่อนตกลงไป พร้อมๆ กับใบหน้าของเค้าที่โน้มมาใกล้ๆ ผม ไม่นานริมฝีปากนั้นก็ประกบลงมา แต่ผมตั้งสติได้ก่อนว่าถ้าปล่อยไปมากกว่านี้มีหวังคนอื่นมาถึงก่อนเราอาบน้ำแต่งตัวแน่ๆ ผมรีบผละจากเค้าแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“ให้เราเข้าไปอาบด้วยดิจะได้เสร็จเร็ว”เค้าตะโกนผ่านประตูเข้ามา
“ลงไปใช้ห้องน้ำข้างล่างเลย”ผมตอบกลับไป แล้วก็ไม่สนใจเค้าอีก แต่เสียงเงียบไปแล้ว น่าจะลงไปข้างล่างแล้ว
ไม่นานนักทั้งผมและเค้าก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย และก็ถือว่าโชคดีมากๆ ที่พวกผมแต่งตัวทันเวลา เพราะแพทกับไอ้เหมามาถึงบ้านผม หลังจากพวกผมแต่งตัวเสร็จแค่ 10 นาทีเอง เรียกว่าฉิวเฉียดมากเลยทีเดียว แพทมาไอ้เหมามาเร็วกว่าเวลานัดนิดหน่อย เพราะทั้งคู่เป็นคนอาสาไปซื้อของสดที่เราต้องใช้ในวันนี้
“หลีกๆๆ”ขณะที่เรากำลังช่วยกันยกของ จัดเตรียมสถานที่ ไอ้เหมาผู้ซึ่งอาการไม่สู้จะดีนักเพราะเมื่อคืนหนักมากไปหน่อย มันรีบวิ่งแหวกทาง มุ่งไปยังห้องน้ำ ไม่ต้องสืบครับมันแฮงค์หนักและแพทยังบอกอีกว่า มันอ๊วกจนจะหมดไส้หมดพุงอยู่แล้ว นี่แหละพวกกินไม่รู้ลิมิตตัวเอง
“ว่าไงครับ ไอ้อ่อน”ไอ้เหมาหันมามองผมตาขวางอย่างเคืองๆ แต่แล้วมันยิ้มร้ายๆ ออกมาพร้อมกับสายตาวิบวับเหมือนมีเรื่องสนุกให้มันเล่น มันค่อยเดินตบไหล่ผม และหัวเราะในลำคอ ตอนนี้ทั้งคุณแว่นทั้งแพทต่างก็มองดูอาการของไอ้เหมาว่าตกลงมันแฮงค์จนเพี้ยนหรือมันเป็นอะไรกันแน่
“น้องตี้จ๊ะ เดี๋ยวนี้ริอาจพาผู้ชายมาค้างอ้างแรมที่บ้านเหรอจ๊ะ”ก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าจะแซวแค่เรื่องคุณแว่นมาค้างบ้านผม เรื่องนี้มันมีเหตุผลอันควรรองรับแล้ว และก็มีพยานรู้เห็นอีกต่างหาก มันจะเอามาแซวผมทำไม
“ก็ชาร์ปไง เมื่อคืนตัวเองเมามากแพทเลยให้ชาร์ปมาส่งตี้ อีกอย่างเห็นว่าดึกแล้วเลยแนะนำว่าให้ชาร์ปค้างที่นี่เลย ยังไงวันนี้เราก็นัดกันที่นี่อยู่แล้ว”ผมไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรเลยครับ เพราะแฟนไอ้เหมาเล่าไปหมดแล้ว ผมยักไหล่อย่างผู้มีชัย ที่ไอ้เหมาแพ้ไปในยกนี้ว่าแต่ถ้าแพทยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง แล้วทำไมมันถึงคิดว่าผมมีคนมาค้างด้วยล่ะ ทีแรกผมนึกว่ามันรู้จากแพทแล้วเลยมาแกล้งแซวผม แต่นี่มันยังไม่รู้แล้วทำไมถึงมาแซว
“งั้นแปรงสีฟันที่มีสองอันในห้องน้ำนั่น อีกอันก็ของไอ้แว่นสิ ว้าไม่สนุกเลย”เกือบไปแล้วไง นี่ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง เพราะห้องน้ำทั้งสองห้องในบ้านมันมีแปรงสีฟัน 2 อันทุกห้องเลยนี่สิ นี่ถ้าพลาดมาเจอตอนที่ทุกคนไม่รู้ว่าคุณแว่นมาค้างนี่ซวยแน่ๆ
“ว่าแต่ถ้าไอ้แว่นค้างที่นี่”พอหาอะไรเล่นผมไม่ได้ตอนนี้มันเริ่มหันไปหาคุณแว่นแล้วครับ ไอ้เหมาเข้าไปจับดูเสื้อผ้าของคุณแว่น มีการดมกลิ่นด้วย นี่มันจะเล่นอะไรของมันอีก
“นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของไอ้ตี้”แล้วไอ้เหมาก็เดินกลับมาดมที่ผมด้วยอีกคน
“ก็เสื้อกูเองแล้วมันแปลกตรงไหนไอ้เหมา”คุณแว่นถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมมึงค้างที่นี่แต่มีเสื้อผ้าตัวเองเปลี่ยน มึงทิ้งเสี้ยผ้าไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ บอกมา”เชร็ดอะไรมันจะแม่นขนาดนั้น นี่มันเก็บรายละเอียดขนาดนี้เลยเหรอนี่
“มึงลืมไปแล้วเหรอว่ากูมีเสื้อผ้าติดรถไว้ประจำอยู่แล้ว”ผมยิ้มขำกับการแก้เกมของคุณแว่น จริงอยู่ที่เค้ามีเสื้อผ้าในรถ แต่ไอ้ตัวที่ใส่นั่นมันชุดที่เค้าทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าผมชัดๆ เอาเถอะยังไงก็ถือว่าแก้เกมได้ดี
“ไม่อ่ะกลิ่นเสื้อที่ทิ้งไว้ในรถกับกลิ่นที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามันต่างกัน พวกมึงสองคนปิดบังอะไรกูอยู่หรือเปล่า”ไอ้นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย มันแยกกลิ่นได้จริงๆ หรือมันแกล้งพูดมั่วๆ ไปเองแค่นั้นละเนี่ย แต่ถ้ามันเดานี่ถือว่าเดาได้แม่นมากเลยทีเดียว
“แบบนี้ต้องมีการพิสูจน์”ผมเกลียดรอยยิ้มของไอ้เหมาตอนนี้เหลือเกิน จากที่คิดว่าวันนี้จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้มัน แต่ตอนนี้ผมจะแก้เกมมันยังไงดี สมองน้อยๆ ของผมคิดไม่ทันแล้วตอนนี้
“กูจะไปเปิดตู้เสื้อผ้ามึงดู”ชิปหาย ทำยังไงดี ทำยังไงดี ผมกับคุณแว่นสบตากันนิดนึงแต่พยายามเก็บอาการไม่แสดงพิรุธอะไรมาก แต่ถ้าไอ้เหมาบุกไปดูตู้เสื้อผ้าผมจริงๆ นี่ ด้วยความไม่ปกติของไอ้เหมาซึ่งอาจจะจำเสื้อผ้าของผมและคุณแว่นที่เคยใส่ได้ ต่อให้ผมแถว่าในตู้นั้นทั้งหมดมันเป็นของผมเอง แต่ก็ยังมีอีก 1 ชุดที่ผมแถไม่ได้แน่ๆ ก็คุณแว่นเล่นทิ้งยูนิฟอร์มชุดทำงานไว้ด้วยนี่สิ
“พอ เลิกเล่นได้แล้ว มโนเป็นเรื่องเป็นราว ไร้สาระจริงๆ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น มาช่วยกันเตรียมของนี่ เห็นไหมหมูก็ยังไม่หมัก กุ้งก็ยังไม่ล้าง ถ่านก็ยังไม่จุด ทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่มัวแต่เล่น แล้วรอเมาอย่างเดียว”โอ้แม่นางฟ้ามาโปรดของผม ต้องขอบคุณแพทที่เข้ามาแก้เกมนี้ได้ทัน แม้แพทจะไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่การดึงหูแฟนไปช่วยงานแบบนี้นับว่าเป็นผลดีกับพวกผมอย่างยิ่ง เสียงหัวเราะเยาะจากผมและคุณแว่นพุ่งไปทิ่มแทงไอ้เหมาแทบจะทันทีที่มันต้องไปรับคำสั่งจากแพท
“เราเชื่อแล้วว่าประมาทไอ้เหมามันไม่ได้จริงๆ”คุณแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมพูดขึ้น แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่พอแพทเดินเข้าไปหยิบของในบ้านเพิ่ม ไอ้เหมาก็ได้ทีเดินกลับมาหาพวกผมอีกครั้ง พร้อมกับคำถามใหม่
“มึงสองคนนอนห้องเดียวกันหรือแยกกันนอน”มันยังไม่จบครับ
“ทำไม ก็นอนห้องเดียวกันนี่แหละ เพื่อนกันนอนห้องเดียวกันมันแปลกตรงไหน”คุณแว่นชิงตอบตัดหน้าผม
“มันก็ไม่แปลก เพราะกูก็เคยนอนเตียงเดียวกับไอ้ตี้ แต่ระหว่างมึงสองคนกูสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง”นี่มันจะเป็นเหมา ญาณทิพย์รึไงเนี่ย
“มึงนี่มันเพ้อเจ้อ จินตนาการกว้างไกลเหลือเกินนะ กลับไปทำหน้าที่ของมึงต่อเลยไม่งั้นกูจะฟ้องแพทให้ดึงหูมึงจนหูยานเลย”ผมคาดโทษมันก่อนที่จะโดนมันไล่ต้อนพวกผมไปมากกว่านี้
“เรื่องนี้กูอาจจะเพ้อเจ้อ แต่เรื่องจริงของมึงมาแล้วโน่น เซลล์รูปหล่อมึงมาแล้ว”ทั้งผมและคุณแว่นหันกลับไปมองที่ประตูบ้าน ผมส่งยิ้มทักทายให้คุณอรรถที่เพิ่งมาถึง ซึ่งเหมือนเค้าจะยิ้มมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว
TBC
โทษทีหายไปหลายวันเลย
แหะๆ
ขอบคุณที่ติดตามเช่นเคยนะคร๊าบบบ
บทที่ 24
ยุติความสัมพันธ์
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง มือผมควานหาโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงอยู่ เมื่อเห็นเบอร์ที่คุ้นเคย ทำให้ผมกดรับ วางโทรศัพท์ไว้ที่หูก่อนจะหลับตาลง ไม่ได้สนใจนักเพราะยังรู้สึกเพลียอยู่
“อย่าบอกนะว่ายังนอนอยู่”ผมมองหานาฬิกาก่อนจะเห็นว่าตอนนี้ เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว ผมตอบอีกฝ่ายกลับไปว่าตื่นนานแล้ว
“ออกไปหาอะไรกินก่อนเลยนะ สงสัยวันนี้จะดึก”ปลายสายบอกกลับมาก่อนจะวางสายไป แล้วนี่ผมจะถ่อมาถึงที่นี่ทำไมเนี่ย ผมถอนหายใจให้กับตัวเอง ตอนนี้ผมอยู่ที่ระยองครับ ทำไมผมถึงมาโผล่ที่นี่นะเหรอครับ ก็ไอ้ประโยคคำถามของคุณแว่นเมื่อคืนนั่น ผมไม่ยอมตอบ มันเลยทำให้เค้าโชว์ฝีมือเสียจนผมแทบจะไม่เหลือน้ำในร่างกาย นี่ผมยังงงว่าเค้าตื่นเพื่อเตรียมตัวมาทำงานต่างจังหวัดแบบนี้ไหวได้ยังไง ผมเองตื่นพร้อมเค้าในตอนเช้า แต่แค่กะว่าจะตื่นมาโทรลางาน แล้วจะนอนต่อเท่านั้น
“ไหนๆ ตี้ก็ลางานแล้ว นั่งรถไประยองเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ”ผมควรที่จะปฏิเสธหลังจากได้ยินประโยคนี้ แต่การที่ผมมาอยู่ที่โรงแรม ในจังหวัดระยองแบบนี้ ชัดเจนเลยครับว่าผมไม่ได้ปฏิเสธเค้า ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยอมมากับเค้าถึงที่นี่ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ทำแบบนี้กับเค้าอีก ทั้งที่รู้แล้วว่าเค้าเริ่มจีบผู้หญิงคนนึงอยู่ และทั้งที่ผมตกลงเป็นแฟนกับคุณอรรถแล้ว แม้หลังจากกลับมาจากหัวหิน เค้าจะไม่โทรหาผม ไม่ไลน์มาหาเลยก็ตามที แต่ผมก็เข้าใจเค้านะครับว่าคงเสียเซลฟ์จากเหตุการณ์ที่หัวหิน เค้าอาจจะต้องการเวลาในการปรับความรู้สึก
ผมสลัดเรื่องต่างๆ ออกจากหัว ไหนๆ ก็มาแล้วผมลุกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปหาอะไรกิน แม้จะไม่คุ้นเคยหรือชำนาญพื้นที่มากนัก แต่ก็ต้องขอบคุณโลกนี้ที่มีอินเตอร์เน็ตและกูเกิ้ล ที่พร้อมช่วยเหลือผมทุกปัญหา กูเกิ้ลพาผมมาถึงตลาดโต้รุ่งแห่งนึงที่เกือบจะหาที่จอดรถไม่ได้ คุณแว่นทิ้งรถไว้ให้ผมใช้ครับ ส่วนเค้าให้ผมเข้าไปส่งที่ทำงานตอนที่มาถึง ส่วนตอนกลับโรงแรมเค้าจะให้รถของที่ทำงานมาส่งอีกที
“โอ๊ย”เสียงของเด็กผู้ชายคนนึงที่วิ่งมาชนผม ร้องขึ้นเพราะแรงชนทำให้ตัวเด็กคนนั้นล้มลง ก็แน่ละเด็กอายุน่าจะ 4-5 ขวบมาชนผู้ใหญ่อย่างผมก็แน่นอนว่าผมคงไม่ใช่คนที่ล้ม ผมกำลังจะเอื้อมมือไปช่วย แต่เจ้าตัวลุกขึ้นเสียก่อน พร้อมกับหญิงดูมีอายุคนนึง ที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม วิ่งเข้ามาหา
“ยายบอกแล้วใช่ไหมครับน้องแมทว่าอย่าซน เห็นไหมชนน้าเค้าเลยเนี่ย ขอโทษหน้าเค้ารึยัง”เด็กน้อยยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวขอโทษผม ตามด้วยผู้เป็นยายที่ขอโทษผมด้วยอีกคน ผมรีบบอกว่าไม่เป็นไรเพราะดูท่าน้องแมทจะเจ็บกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
“น้องแมทเดินไปหาคุณแม่ตรงนู้นก่อนนะครับ เดี๋ยวยายซื้อผลไม้แล้วจะตามไป”ผมมองตามเด็กน้อยที่เดินไปหาแม่ก่อนจะสบตากับหญิงสาวที่ยายของน้องแมทบอกว่าเป็นแม่ของน้องแมท หญิงสาวที่ทำให้ผมแปลกใจ
“แพท”ผมเรียกชื่อของเธอ แพทที่ดูจะตกใจไม่น้อยที่เจอผมที่นี่ แพทที่ผมรับรู้จากไอ้เหมาว่ามาเยี่ยมแม่ที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล แพทที่ทั้งผมหรือไอ้เหมาเองไม่เคยรู้ว่าเธอมีลูกแล้ว คำถามผุดขึ้นในหัวของผมมากมาย
“ตี้...มาได้ยังไง”เอาแล้วไงละจากที่กำลังจะเป็นคนซักเค้าเรื่องลูก ไหงกลายเป็นผมจะโดนซักแทนหรือเปล่าเนี่ย
“เอ่อ...พอดีขี้เกียจทำงานเลยลาหยุดนะ”ผมตอบออกไป แม้จะไม่ได้พูดทั้งหมดแต่ผมก็ไม่ได้โกหกละน่า
“แล้วนี่...เอ่อ”ผมหันมองน้องแมทที่กำลังเรียกแพทว่าแม่ ก่อนจะวิ่งหาผู้เป็นยาย ซึ่งเดินมาหาพวกผมพอดี ผมยกมือไหว้พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนกับแพท แต่ตอนนี้ผมกับแพทมองหน้ากันอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่ผมจะต้องมารับรู้ความลับอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย แพทบอกให้แม่พาน้องแมทกลับบ้านไปก่อน เพราะมีธุระที่ต้องคุยกับผม
“ไอ้เหมายังไม่รู้ใช่ไหม”ผมเอ่ยถามในสิ่งที่คาใจทันทีที่เหลือกัน 2 คนกับแพท
“ไปคุยกันที่อื่นไหม”ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพาแพทเดินมาที่ตรงผมจอดรถทิ้งไว้ โดยลืมไปว่ารถที่ผมเอามามันไม่ใช่รถผม
“เอ่อ...คือพอดีชาร์ปมาทำงานที่นี่ และเห็นว่าเราลาหยุด พอดีเลยชวนมาเที่ยวด้วย ก็..เท่านั้น”ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับแพทที่ยิ้มมุมปากอยู่ก่อนแล้ว แพทพาผมมานั่งที่ร้านริมน้ำร้านนึง เราสั่งอาหารนิดหน่อย ก่อนแพทจะเริ่มเล่าอย่างเครียดๆ ว่าน้องแมทเป็นลูกของแพทกับแฟนคนก่อนที่จะมาคบกับไอ้เหมา แต่พอแพทท้องพ่อของน้องแมทกลับขอให้แพททำแท้ง เพราะไม่พร้อมรับผิดชอบ ทำให้แพทต้องกลายเป็นคนท้องไม่มีพ่อ แต่แพทก็เก็บน้องแมทไว้และมียายเป็นคนคอยช่วยเลี้ยงดูน้องแมท และที่แพทกลับมาระยองวันนี้เพราะน้องแมทเปิดเทอม วันแรก
ถึงตรงนี้เหตุการณ์ชักเริ่มจะคุ้นๆ อีกแล้วสิครับ แม้เหตุการณ์จะต่างกัน แต่สถานการณ์แทบไม่ต่างเลย ชะเอมแอบสวมเขาให้คุณแว่น ผมก็เป็นคนรับรู้ แพทปิดบังไอ้เหมาผมก็ยังมารับรู้ แต่ความรู้สึกของผมต่อสองเหตุการณ์นี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้ผมเห็นใจแพท แพทไม่ผิดที่เคยพลาดท้องก่อนแต่ง แพทไม่ผิดที่มีลูกแล้ว ถ้าจะผิด ก็ผิดที่แพทปิดบัง
“ทำไมแพทไม่บอกไอ้เหมามันตั้งแต่แรก”นั่นคือสิ่งที่แพทผิดเต็มๆ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้เหมาจะรับได้หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าถ้ามันรู้ทีหลังแบบนี้ มันคงรู้สึกแย่กว่าการรับรู้มาตั้งแต่ต้นแน่นอน
“เราก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนท้องไม่มีพ่อ”แพทเริ่มน้ำตาคลอตอนที่พูดออกมา แสดงว่าเรื่องนี้มันคงเป็นปมในใจอย่างนึงของแพท แพทถึงไม่เคยให้ใครที่กรุงเทพฯ รับรู้เรื่องนี้เลย การที่แพทไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก็คงเพราะอยากหลีกหนีจากสายตา หรือคำนินทาของคนที่นี่
“แพท คนเราทุกคนมันก็เคยก้าวพลาดด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนี้เรามองว่าแพทกำลังลดคุณค่าในตัวเองเพราะอดีตที่แพทเคยพลาดมา ทั้งที่ความจริง คุณค่าในตัวแพทมันก็ยังเท่าเดิม ถ้าตัวเราเองยังไม่เห็นค่าของตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นมาเห็นค่าของเราได้ยังไง”ผมรู้จักทั้งไอ้เหมาทั้งแพทมานาน แล้วก็คิดว่าแพทเองจริงๆ ก็คงไม่ได้ตั้งใจจะหลอกไอ้เหมา
“เราจะยังไม่บอกเรื่องนี้กับไอ้เหมานะ แต่แพทต้องรีบบอกเรื่องนี้กับมันให้เร็วที่สุด”แพทเช็ดน้ำตาพร้อมกับบอกขอบคุณที่ผมเข้าใจเธอ เราคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนผมจะไปส่งแพทที่บ้าน
“ตี้...ถ้าเล่าให้ชาร์ปฟังก็กำชับชาร์ปให้ด้วยละ ว่าขอให้เราได้เป็นคนบอกเหมาเอง”
“ทำไมถึงคิดว่าเราจะเล่าให้ชาร์ปฟังล่ะ”ผมเผลอเกาหัวอย่างลืมตัว เหมือนคนโดนจับผิดได้ เพราะรอยยิ้มของแพทที่พูดถึงผมกับคุณแว่น มันดูเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่า เค้ากำลังรู้บางอย่างอยู่ ซึ่งแน่นอนแพทอาจจะสงสัยเหมือนที่ไอ้เหมาเคยสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับคุณแว่น แต่ตราบใดที่แพทไม่พูดออกมา และไม่ได้มีหลักฐานอะไรมามัดตัว ผมว่าผมก็ยังปฏิเสธเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำอยู่ดี
“ชาร์ปว่าไอ้เหมามันจะรู้สึกยังไง”ผมถามออกไปหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เค้าฟัง
“ไม่มีใครตอบแทนตัวมันได้หรอก แต่เราว่ามันก็คงรู้สึกไม่ต่างจากที่เราเคยรู้สึก ว่าทำไมเพื่อนรู้แล้วถึงไม่ยอมบอก”เอาแล้วไง นี่เรื่องนี้กลับมาจี้จุดอีกรึไงเนี่ย แต่ผมว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เมื่อครั้งชะเอมกับคุณแว่น ผมไม่ได้บอกหรือพูดให้ชะเอมบอกความจริง แต่ครั้งนี้ถ้าแพทไม่ยอมบอกสักทีผมก็คงต้องคุยกับแพทอีกรอบว่าหากไม่ยอมบอกผมจะเป็นคนบอกเอง
“แล้วนี่ไอ้เหมาไม่รู้แล้วเหรอว่าเรามาด้วยกัน”เค้าพูดขำๆ ล้อเลียนผมที่แต่ก่อน พยายามปิดเรื่องระหว่างผมกับเค้าไม่ให้ไอ้เหมารู้
“เป็นเพราะชาร์ปแหละที่ลากเรามานี่ ถ้าไม่มาก็ไม่ต้องมารับรู้เรื่องแพท ไม่ต้องมากังวลว่าไอ้เหมาจะสงสัยอะไรอีก โอ้ยไม่น่ามาเล้ย”ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด พร้อมมองอีกคนอย่างเคืองๆ
“ไอ้เหมารู้ว่าเรามาด้วยกันอ่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าคุณอรรถของตี้รู้ว่า เรามาด้วยกัน แถมเราซ้ำรอยเค้าไปทุกจุดแล้วขนาดนี้ น่าจะเรื่องใหญ่กว่านะ”เค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่ผมเงียบและมองเค้าด้วยสายตาที่ไม่พอใจ ที่เค้าพูดแบบนั้น
“โกรธเหรอ”เมื่อเห็นทีท่าของผม ทำให้น้ำเสียงของเค้าอ่อนลง แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดี ผมไม่ได้โกรธเค้า
“เราโกรธตัวเอง โกรธที่ทำผิดกับคนที่เราได้ชื่อว่าเป็นแฟนกับเค้าแล้ว โกรธตัวเองที่ทำผิดต่อคนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย”ผมรู้สึกผิด ผิดหวังกับตัวเองที่ปล่อยให้มันเกิดเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ ผมหยิบมือถือเดินลุกออกไปยืนริมระเบียง คุณแว่นทำท่าจะลุกลามผมออกมา แต่ผมบอกว่าขอคิดอะไร คนเดียวสักหน่อย ผมมองออกไปนอกระเบียง จากตรงนี้มองเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล ทะเลที่มีแต่ความมืดปกคลุม ไม่มีใครรู้ว่ามันสงบนิ่งหรือบ้าคลั่ง ก็คงเหมือนผมกับคุณแว่น ที่มีความสัมพันธ์กันโดยไม่ให้ใครรู้ ผมเลื่อนโทรศัพท์กดโทรหาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผม
“ขอโทษ”นั่นคือคำแรกที่ผมพูดทันทีที่เค้ารับสาย เค้าอาจจะคิดว่าผมขอโทษเรื่องวันที่ไปหัวหิน แต่สำหรับผม มันคือขอโทษในทุกเรื่องที่ผมไม่ได้บอกเค้า โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณแว่น ผมอาจยังไม่ได้รู้สึกชอบคุณอรรถเท่าคุณแว่น แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรทำลับหลังเค้าแบบนี้
“ขอโทษเหมือนกัน”ยิ่งเค้าพูดมาแบบนี้ผมยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่ ผมไม่น่ามานี่เลยจริงๆ
“พรุ่งนี้เจอกันหน่อยไหม”ผมถามพร้อมกับยิ้มเยาะตัวเองอยู่ในที นี่ผมกลายเป็นพวกนอกใจแฟนไปแล้วสินะ
“คิดถึงอรรถละซี้”เค้าถามกลับมาอย่างอารมณ์ดีเราพูดคุยเรื่องสรรพเพเหระ ตามประสา ทั้งที่จริงเราก็แค่ไม่ได้คุยกันแค่วันสองวัน แต่เรากลับมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย แม้ผมจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องระหว่างผมเค้าและคุณแว่น อีกทั้งเรื่องไอ้เหมาอีก ที่ผมก็กังวลอยู่ไม่น้อย แต่การได้คุยกับคุณอรรถ ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง
“โอเคเปล่า”เสียงคนที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยถามหลังจากที่ผมกดวางสายจากคุณอรรถแล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง ผมว่าครั้งนี้เราคงต้องคุยกันอย่างจริงจังเสียที ในเมื่อเค้าเองก็เริ่มจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว และผมเองก็ตกลงคบกับคุณอรรถไปแล้ว เรื่องนี้มันก็ควรจบจริงๆ เสียที
“ชาร์ป ขอให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ นะ เราไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ”ผมบอกเค้าด้วยท่าทีจริงจัง ซึ่งครั้งนี้เค้าก็ดูตั้งใจฟัง โดยที่ไม่ได้มีอาการไม่เชื่อในคำพูดของผมเหมือนครั้งก่อนๆ
“ตี้ชอบคุณอรรถเค้าจริงๆ ใช่ไหม”เค้าลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผม พร้อมกับตั้งคำถาม สายตาเค้าจ้องมองมาที่ดวงตาของผม เหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง
“ชอบสิ ไม่ชอบเราจะคบกับเค้าทำไมละ”แม้ในใจจริงผมจะยังไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น แต่เพื่อจบความสัมพันธ์ sex friends ของเราอย่างเด็ดขาดผมว่าผมควรยืนยันกับเค้าให้ชัดเจน
“งั้นเราขอกอดครั้งสุดท้ายได้ไหม”
TBC
แวะมาต่อคร๊าบบบ
ใครเชียร์คุณแว่นกับปาร์ตี้นี่คงลุ้นกันเหนื่อยหน่อย
เพราะไรท์ใจร้าย 555
บทที่ 25
ขอเวลาจัดการกับความรู้สึก
“เหมา”เจ้าของชื่อหันมามองผม เพื่อรอฟังว่าผมจะพูดอะไร ตอนนี้เราอยู่ในห้องกาแฟ ที่ประจำของเราเวลาพักเบรค ปกติคนอื่นๆ ก็จะมาชงกาแฟ แล้วก็ถือกลับไปที่โต๊ะทำงานบ้าง แต่เราสองคน อาจจะด้วยความอยู่คนละแผนกเลยจะอยู่พูดคุยกันที่ตรงนี้สักพัก คงเป็นความเคยชินตั้งแต่แรกที่เราเข้ามาทำงานที่นี่ แล้วตอนนั้นเรายังไม่ค่อยรู้จักใคร เป็นเด็กใหม่ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร คิดแล้วก็ขำ
“เป็นอะไรมองหน้ากูแล้วยิ้มเนี่ย กูขนลุกนะมึง”มันทำท่าแขยงผมด้วยท่าทางรังเกียจเสียเต็มประดา แต่ผมไม่ถือสาหรอกครับเพราะรู้ว่ามันไม่ได้จริงจัง ผมยังคงมองหน้ามันนิ่งอย่างตัดสินใจ การที่มันยังปกติอยู่แบบนี้แสดงว่าแพทคงยังไม่ได้บอกเรื่องลูกกับมัน ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้ามันได้รู้ มันจะรู้สึกยังไง แต่คนอย่างไอ้เหมาถ้ารู้แล้วมันคงมาปรึกษาไม่ผมก็คุณแว่นไปแล้ว เห็นมันแบบนี้เวลาตัดสินใจอะไรยังต้องมาถามพวกผม แต่ก็เหมือนถามไปงั้นๆ เพราะสุดท้ายมันก็เลือกตามความคิดของมันเองอยู่ดี
“ไม่มาทำงาน 2 วันนี้คิดถึงกูขนาดต้องมาจ้องกูแบบนี้เลยเหรอวะ เดี๋ยวปั๊ดกูเคลิ้มแล้วจะเรื่องใหญ่นะมึง”ผมหัวเราะเบาๆ ออกมา ตามที่ผมรับปากแพทไว้ ผมก็คงต้องรอให้แพทเป็นคนบอกเองสินะ
“ตั้งแต่รู้จักกันมา กูเคยทำผิดอะไรให้มึงไม่พอใจกูบ้างปะวะ”ผมปรับท่าทีให้ดูสบายๆ ไม่อยากให้มันคิดไปไกลว่าผมมีเรื่องอะไรใหญ่โตมาพูดกับมัน ไอ้นี่ยิ่งประหนึ่งเป็นญาติกับคุณเจน ญานทิพย์อยู่ด้วย
“นี่มึงยังต้องถามอีกเหรอ กูว่ามันนับไม่ถ้วนเลยนะ เวลามีผัวก็ทิ้งกูไปกับผัวตลอด มีเพื่อนสวยๆ ก็ไม่ยอมแนะนำให้กู เวลาไปดื่มแมร่งหารก็เท่ากันทั้งที่มึงแดกเยอะกว่ากู”มันตอบกลับมาขำๆ อย่างไม่ได้จริงจังเท่าไหร่
“เอาดีๆ ดิ”ผมถามย้ำไปใหม่ จนไอ้เหมามีสีหน้าสงสัย จนต้องย้อนถามผมว่าซีเรียสขนาดไหน แต่ผมก็บอกกลับไปว่าไม่ได้ซีเรียสมาก แค่ขอคำตอบเป็นจริงเป็นจังหน่อย เอาอะไรที่มันรู้สึกไม่โอเคกับผมจริงๆ
“เมื่อก่อนกูเคยไม่ชินกับบางคำพูดมึง บางครั้งมึงก็พูดแรงจนกูเก็บไปนอยด์ก็มี แต่พอสนิทกันมากขึ้นกูก็โอเคนะ เพราะเริ่มรู้ว่ามึงปากหมา อีกอย่างกูเองก็หมากับมึงเหมือนกัน ก็เลยถือว่าเจ๊าๆ กันไป”มันตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มให้ผม เป็นยิ้มจริงใจ ที่ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นเพื่อนที่หวังดีกับผมจริงๆ คนนึง ซึ่งผมเองก็หวังดีกับมันเหมือนกัน เพียงแต่เรื่องนี้ ถ้ามันรู้จากปากของแพทเอง มันก็น่าจะดีกว่า
“กูขอโทษนะ สำหรับทุกเรื่องที่เคยทำไม่ดี”ขอโทษที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่ยอมบอกมึง ประโยคหลังผมได้แต่พูดกับตัวเองในใจ
“เป็นไรป่ะเนี่ย ไมวันนี้พูดจาแปลกๆ”มันตบไหล่ผมเบาๆ สองที พร้อมยักคิ้วเป็นเชิงถาม
“รู้สึกเฟลนิดหน่อย”จริงๆ ตอนนี้ในหัวผมมันไม่ใช่แค่เรื่องไอ้เหมาหรอกครับ เพราะไหนจะเรื่องคุณแว่น คุณอรรถอีก มันเหมือนทุกอย่างมันพร้อมใจกันเข้ามาในเวลาเดียวกัน
“แล้วนี่หยุดไปตั้งสองวัน ไม่ดีขึ้นบ้างเลยรึไง”ผมบอกเหตุผลการไม่มาทำงานกับไอ้เหมาไปว่าแค่เซ็งๆ เบื่อๆ เลยขอหยุด นี่ก็ยังไม่รู้ว่าถ้าแพทบอกเรื่องลูก แล้วต่อด้วยการบอกว่าเจอผมไปกับคุณแว่นด้วย ไม่รู้มันจะเซอร์ไพรส์สองต่อเลยหรือเปล่า
“งั้นเย็นนี้ไปดื่มกัน จะได้ลืมเรื่องแย่ๆ เดี๋ยวชวนไอ้แว่นด้วย”ถ้าไปดื่มพร้อมคุณแว่นอีกเนี่ยผมว่ามันอาจกลายเป็นยิ่งแย่กว่าเดิม เสียด้วยซ้ำ ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะบอกเหตุผล
“วันนี้กูนัดกับอรรถเค้าไว้”ไอ้เหมาเบ้ปากใส่ผม
“นัดกับแฟน แล้วยังจะมาทำซังกะตาย....หรือว่า”ไอ้เหมาเว้นวรรค พร้อมกันหันมามองผมที่ถอนหายใจออกมายาวๆ
“สรุปที่ว่าเฟลๆ นี่คือทะเลาะกะผัว กูก็นึกว่าเรื่องอะไร”เอิ่มเพื่อนเหมาครับ เข้าใจว่าเราสนิทกัน แต่นี่ที่ทำงาน จะมาพูดเรื่องผมมีผัวนี่มันก็ดูไม่ค่อยเหมาะกระมั้ง อีกอย่างก็เป็นแค่แฟน ยังไม่ได้กันด้วยซ้ำ
“มันก็ส่วนนึง แต่กูไม่ได้ทะเลาะกับเค้า กูแค่...”ผมหยุดไว้แค่นั้น เพราะคงไม่เหมาะที่จะพูดรายละเอียดทั้งหมดให้มันฟัง เวลาพักเบรคหมดลงพอดี ทำให้เราทั้งคู่ต้องแยกย้ายกันกลับแผนกของตัวเอง เพื่อไปทำงานต่อ
“เอ่อ...คือ”คุณอรรถเงยหน้ามามองผมที่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไรสักที ตอนนี้เราอยู่ในร้านอาหารแห่งนึงหลังจากที่ช่วงบ่ายเราได้ตกลงว่จะออกมาเจอกันหลังเลิกงาน และทั้งที่คิดมาแล้ว ว่าผมจะคุยกับเค้าตรงๆ แต่พอมาเจอ ผมกลับพูดไม่ออกซะงั้น
“ถ้าเป็นเรื่องที่หัวหิน...อย่าคิดมากเลย อรรถไม่เร่งรัดตี้หรอก”เค้าเอื้อมมือมาแตะที่ผม ก่อนจะยิ้มให้
“คือมันก็ไม่เชิงว่าเรื่องนั้น...มันเอ่อ...เริ่มยังไงดีละ”ยิ่งเค้าดีกับผมเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม เค้ายังคงมองมาที่ผมเพื่อรอฟังในสิ่งที่ผมยังคงอ้ำอึ้ง
“เราชอบอรรถนะ”ผมเว้นจังหวะพ่นลมหายใจ เค้ายังคงยิ้มให้ผมเหมือนเดิม
“เราเคยคิดว่าถ้าไม่มีแฟนเราก็คงไม่ไขว่คว้า อยู่คนเดียวก็มีความสุขดี ดีกว่าคบๆ เลิกๆ ขออยู่กับเพื่อนยังจะสบายใจเสียกว่า จนอรรถเข้ามา เราคิดว่าถ้าเจอคนที่คิดเหมือนๆ กัน คิดว่าอยากจะคบใครไปนานๆ นั่นคือเหตุผลที่เราตกลงยอมคบกับอรรถ”เค้ายังคงยิ้มเช่นเดิม แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับเค้ามันยังไม่ได้หมดแค่นี้
“แต่เราไม่อยากเอาเปรียบอรรถ”รอยยิ้มของเค้าค่อยๆ จางลง จางลงเรื่อยๆ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย ไม่เข้าใจ
“นี่ตี้กำลังจะบอกอะไร”ผมพ่นลมหายใจอีกครั้งพร้อมกับกุมมือเค้าแน่น
“เรากลับมาเป็นแค่เพื่อนกันก่อนได้ไหม”
“ทำไมล่ะ ตี้จะไปคบคนอื่นเหรอ”เค้าสวนขึ้นมาอย่างเร็วจนผมต้องรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนที่เค้าจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“เราไม่ได้จะคบใคร หรือมีใคร เพียงแต่ตอนนี้ในใจเรามันมีคนอื่นเข้ามารบกวน เราอยากเคลียร์ความรู้สึกตัวเองให้ได้ก่อน เพราะถ้าขืนดันทุรังคบกันไปต่อ เราก็จะรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับตัวเองที่คบกับคนนึง แต่ในความรู้สึกกลับยังมีอีกคนอยู่ในนั้นด้วย”ผมไม่ได้หวังให้เค้าเข้าใจผม แต่ผมแค่อยากบอกออกไป เพื่อให้ตัวผมเองรู้สึกดีขึ้น ผมก็แค่คนเห็นแก่ตัวคนนึงแหละครับ คนเห็นแก่ตัวที่ทำเพื่อตัวเอง
“สรุปคือเราต้องเลิกกัน”เค้าพูดออกมาเสียงแผ่ว โดยไม่ได้โวยวาย ไม่ได้มีท่าทีว่าโกรธเคืองผม แต่อย่างใด
“เราขอโทษนะ มันไม่ใช่ความผิดอะไรของอรรถเลย ผิดที่เราเอง...เราผิดที่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้”ใช่ผมผิด ผิดที่ดันไปเกิดความรู้สึกมากเกินกว่าที่ตกลงไว้กับอีกคน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ กับคนที่เค้ายังคิดจะแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์
“อรรถจะรอนะ”ผมรีบยกมือขึ้นห้าม เพราะไม่อยากให้เค้ามาปิดกั้นตัวเองเพราะผม ผมไม่รู้ว่าผมเองต้องใช้เวลาอีกนานขนาดไหนในการที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไง รู้ตัวอีกทีภาพใบหน้าของอีกคน ก็มักจะเข้ามาในหัวของผมเสมอ
“งั้นอรรถจะไม่บอกว่ารอ แต่อรรถขอตี้อย่างนึงว่าไม่ต้องบอกให้อรรถไปมองคนอื่น ตี้เองยังเคลียร์ใครบางคนออกจากใจไม่ได้ แล้วตี้คิดว่าอรรถจะเคลียร์ตี้ออกจากใจได้ง่ายๆ เหรอ”คำพูดเค้าทำเอาผมพูดไม่ออก ทำไมนะ ทำไมผมไม่รู้สึกกับเค้าอย่างที่รู้สึกกับอีกคน ไม่งั้นเรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้
“ถ้างั้น...ก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไป เวลาอาจจะช่วยให้ทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ก็เป็นได้”ถ้ารู้อนาคตได้ก็คงจะดีนะครับ ถ้ารู้ก่อนเราจะได้ไม่ต้องทำอะไรที่จะเป็นวาเหตุให้เกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เราก็คงต้องยอมรับและเผชิญกับสิ่งที่เราเคยทำไว้
“อรรถถามได้ไหม ว่าใครที่รบกวนจิตใจตี้อยู่”แม้จะดูไม่ได้จริงจังกับคำถามมากนัก แต่แววตาที่เค้ามองมา มันก็ทำให้ผมลำบากใจเหมือนกันที่จะตอบ ผมไม่อยากจะโกหกเค้า แต่ก็ไม่ได้อยากพูดออกไปว่าคนที่ผมอ้างถึง คือใคร เพราะผมเองก็ตั้งใจไว้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณแว่นคงปล่อยให้มันเป็นแค่ความลับระหว่างผมกับเค้าเท่านั้น
“พี่ตี้ พี่อรรถ สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย”เสียงใสของหญิงสาวคนนึงขัดจังหวะ ความคิดของผม ไม่รู้ผมจะขอบคุณหรือตกใจก่อนดี ทั้งผมและคุณอรรถรับไหว้จากสองคนที่เข้ามาทักทาย
ชะเอมหญิงสาวที่ผมคิดว่าไม่น่าจะได้เจอกันอีก เพราะตั้งแต่ที่มีผู้หวังดีส่งรูปของเธอให้คุณแว่นตาสว่าง ชะเอมก็ตัดการติดต่อกับผมทุกช่องทาง เพราะเธอคิดว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในการทำลายชีวิตรักของเธอ แต่วันนี้เธอกลับเป็นคนเข้ามาทักผมก่อน ดูเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทีแรกเอม มองไม่เห็น ถ้าพี่อาร์ทไม่ชี้ให้ดูคงไม่ได้เข้ามาทักแล้วเนี่ย”แสดงว่าจริงๆ ชะเอมก็คงไม่ได้อยากเข้ามาทักทายผมสักเท่าไหร่สินะ แต่คงอาจต้องรักษาภาพพจน์ตอนอยู่ต่อหน้าอาร์ท มันเลยทำให้ผมนึกอยากแกล้งแหย่เธอเล่นสักหน่อย โดยการบอกกับเธอว่าไม่เจอกันตั้งนานแบบนี้ ขอถ่ายรูปคู่ด้วยหน่อยสิ
“จะถ่ายไปให้ใครดูป่ะเนี่ย”ชะเอมพูดลอดไรฟันขณะที่มานั่งชิดกับผมเพื่อถ่ายรูป แวปแรกที่ผมบอกจะขอถ่ายรูปผมว่าผมเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของเธออยู่เหมือนกัน แต่มันก็แค่แปปเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ผมปฏิเสธคำถามของเธอ เพราะใครที่เธอหมายถึง ก็คงเป็นคุณแว่น และแน่นอนว่าผมคงไม่เอารูปนี้ไปอวดคุณแว่นหรอกครับ อย่างที่บอกผมแค่อยากจะแหย่เธอเล่นเฉยๆ
“แล้วเพื่อนพี่ตี้ สบายดีไหม มีแฟนใหม่ไปยัง”กลับกลายเป็นผมเองที่ชะงักไปกับคำถามของชะเอม แม้จะรู้ว่าที่ชะเอมถามมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม แต่พอนึกถึงสิ่งที่ผมต้องตอบมันกลับรู้สึกใจมันโหวงๆ แปลกๆ
“ก็มีคนที่ดูๆ กันอยู่มั้ง น่าจะใกล้เปิดตัวเร็วๆ นี้แหละ”ผมตอบออกไปตามตรงเท่าที่ผมได้รับรู้มา แต่ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเองด้วยว่า ต้องรีบเคลียร์เค้าออกจากความรู้สึกของตัวเองให้ได้เร็วที่สุด เพราะอีกไม่นานเค้าคงได้เจอคนที่พร้อมจะเดินร่วมทางกับเค้าแล้ว
“ดีแล้ว เค้าจะได้ไม่เหงา”ชะเอมตอบรับอย่างไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่รับรู้ คงเพราะตอนนี้ชะเอมก็ไปกันได้ด้วยดีกับอาร์ทแล้ว ระหว่างชะเอมกับคุณแว่น มันก็คงแค่อดีต ผมก็ได้แต่หวังว่าวันนึงผมคงทำได้อย่างชะเอมที่ปล่อยเรื่องราวในอดีตทิ้งไป แล้วเริ่มต้นใหม่กับปัจจุบัน ชะเอมกับอาร์ทขอตัว แยกออกไปนั่งโต๊ะที่จองไว้ ทำให้ตอนนี้ระหว่างผมกับคุณอรรถ เกิดความเงียบเข้ามาแทนที่
เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราคุยเรื่องอะไรค้างกันไว้อยู่ ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่รู้ว่าจะตอบเค้าออกไปยังไงดี แต่เค้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม เหมือนตอนนี้เราต่างคนต่างรอให้อีกคนพูดก่อน จริงๆ วันนี้ผมแค่อยากจะมาตกลงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้าแค่นั้น ไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะต้องบอกถึงความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะผมเองที่เป็นคนอ้างถึงบุคคลอื่นอีก
“คุณชาร์ปหรือเปล่า”
“ห๊ะ”ผมเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ แต่พยายามเก็บอาการไว้
“ก็อีกคนที่อยู่ในใจตี้ คือคุณชาร์ปใช่ไหม”เค้าบอกพร้อมกับยิ้มให้ผม แต่เป็นยิ้มขื่นๆ เหมือนฝืนยิ้มเสียมากกว่า
“คน คนนั้นจะเป็นใคร ก็ไม่สำคัญหรอก เพราะระหว่างเรากับเค้า มันจบไปแล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเสียด้วยซ้ำ”
TBC
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคร๊าบบบ
แค่เห็นมีคนชอบก็ปลื้มมากแล้ว
ตอนนี้มีใครสงสารเฮียอรรถของเราบ้างไหมน้า
:bye2:
PART II บทที่ 1
คุ้มค่าแก่การรอ
Aut’s Part
ผมเกลี่ยนิ้วไปตามใบหน้าที่ยังคงหลับตาพริ้ม แม้นี่จะผ่านมาเกือบปีแล้วที่ผมได้มีโอกาสมองใบหน้านี้เวลาหลับ แต่ผมก็ยังชอบที่จะตื่นมาก่อนเค้า แล้วจ้องมองเค้าแบบนี้ รอเวลาเค้าลืมตาตื่นขึ้นมา ผมยิ้มให้กับปฏิกิริยาของเค้าที่นิ่วหน้า คิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะคงรู้สึกรำคาญนิ้วมือผมที่เกลี่ยไปรอบใบหน้าของเค้า ตั้งแต่เราตกลงคบกัน ผมก็กลายเป็นนาฬิกาปลุกของเค้าไปโดยปริยาย
“อือ”เค้าขยับตัว พร้อมหรี่ตามองมาที่ผม ผมยิ้มให้เค้าเหมือนทุกๆ เช้า ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หลงไหลเค้าได้ขนาดนี้ ทั้งที่ตอนแรกผมเองก็เกือบถอดใจในความสัมพันธ์ของเรา นี่ถ้าวันนั้นผมไม่กดดันให้เค้าตัดสินใจ ก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะมาถึงจุดนี้ได้หรือเปล่า แต่วันนั้นก็เป็นวันที่ผมใจหายใจคว่ำเหมือนกัน เพราะคิดว่าเค้าจะปฏิเสธผม ภาพความทรงจำในวันนั้นค่อยๆ ชัดขึ้นในความคิดของผมอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับ จะสั่งอาหารเลยหรือเปล่าครับ”พนักงานเดินมาถามผมอีกครั้ง เพราะนี่ผมนั่งมาสองชั่วโมงแล้ว แต่มีเพียงน้ำเปล่าแก้วเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมพยักหน้าให้กับพนักงาน ก่อนจะสั่งอาหารไป 2-3 อย่าง แม้ไม่รู้ว่าอีกคนจะมาไหม แต่ผมก็ให้พนักงานจัดจานช้อนเพิ่มไว้อีกชุดนึงสำหรับเค้า ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมให้เค้าเลือกในวันนี้มันจะดีหรือไม่ดี
ทั้งที่ผมเคยบอกว่ารอเค้าได้ ไม่ว่าเค้าจะให้ผมรอนานแค่ไหน แต่พอเห็นว่าเค้าเองก็ทำเหมือนให้ความหวังกับผม คนเราทุกคนก็คงต้องการความชัดเจน รวมถึงตัวผมเองได้ แม้จะทำใจมาบ้างแล้วว่าเค้าอาจจะไม่มา ทว่าพอมานั่งรอเค้า 2 ชั่วโมงแล้วแบบนี้ก็ใจแป้วไปเหมือนกันแหละครับ ผมมารอตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนตอนนี้ 2 ทุ่มแล้ว อาหารที่ผมสั่งเริ่มถูกนำมาวางที่โต๊ะ แม้ผมคงกินไม่ลงจนกว่าเค้าจะมา แต่จะให้ไม่สั่งอะไรแล้วมานั่งในร้านเค้าเฉยๆ เจ้าของร้านคงได้ไล่ผมออกจากร้านเป็นแน่
ผมรู้สึกอยากให้เวลามันเดินช้าลงอีกสักนิด เพราะตอนนี้เวลาของผมมันลดน้อยลงไปทุกที กับข้าวที่หน้าตายังเหมือนเดิมจากที่พนักงานเอามาเสิร์ฟในตอนแรก สิ่งที่เปลี่ยนไปคืออาหารทั้งหมดคงเย็นชืดจนหมดแล้ว แก้วน้ำเปล่าของผมถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสีอำพันเรียบร้อย ทั้งที่กะว่าจะไม่ดื่ม แต่ความกดดันจากเวลาที่ผมอาจจะต้องรอเก้อ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ
นี่ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว แน่นอนว่าเค้ายังไม่มา และอาจจะไม่มาแล้วเพราะชื่อของเค้ากำลังปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผม ผมเลือกที่จะไม่กดรับสาย เลือกที่จะไม่ยอมรับ ไม่อยากรับรู้ว่าเค้าจะโทรมาเพื่อบอกกับผมว่าไม่ต้องรอแล้ว ผมยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่นิ่งไปแล้ว ขึ้นมากดปิดเครื่อง หากเค้าจะไม่มาผมก็ขอเวลาให้หลอกตัวเองต่ออีกสักหน่อย ไม่อยากให้เค้ามาตัดความหวังของผมเร็วจนเกินไป
แต่ความหวังของผมมันก็ริบหรี่ลงไปทุกที ผู้คนภายในร้านเริ่มหายไปทีละโต๊ะ ทีละโต๊ะ เหลือเวลาอีกไม่นานร้านก็จะได้เวลาปิด ท้ายที่สุดแล้วผมก็คงเข้าไปแทนที่ใครคนนึงในใจของเค้าไม่ได้สินะ ผมคงไม่โทษเค้าที่จะไม่ยอมรับความรักจากผม เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้นี่เนอะ ถ้าความรู้สึกคนเรามันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ผมเองก็คงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้อย่างตอนนี้ ถ้ามันเปลี่ยนกันได้อย่างใจนึก ผมคงไปคบคนอื่นแล้ว
ในที่สุดเค้าก็ไม่มา ผมเช็คบิลเป็นโต๊ะสุดท้าย พนักงานถามผมด้วยความสงสัยว่าอาหารของทางร้านมันไม่อร่อยมากขนาดนั้นเลยเหรอผมถึงไม่แตะอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ผมทำได้เพียงขอโทษทางร้านไปว่า ผมเพียงทานไม่ลงเพราะคนสำคัญที่ผมนัดไว้ไม่มา ผมเดินคอตกออกจากร้าน ตอนนี้เที่ยงคืน 15 นาทีแล้ว แม้จะทำใจมาบ้างประมาณนึงว่าเค้าคงไม่มา แต่จะบอกว่าไม่หวังเลยมันก็คงไม่ใช่ เพราะคนที่น่าจะเป็นคู่แข่งคนเดียวของผมก็มีคู่หมั้นคู่หมายไปแล้ว
ผมทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ที่หน้าร้าน นึกสมเพชตัวเองอยู่ในที เหมือนผมแพ้ทั้งที่ไม่มีคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ นี่ผมเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย บอกตรงๆ ว่าตั้งแต่เคยมีแฟนหรือชอบใครมา ผมยังไม่เคยรู้สึกเจ็บเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ทำไมเค้าถึงมีอิทธิพลกับชีวิตผมได้ขนาดนี้
“ร้านปิดแล้ว ทำไมยังไม่กลับ”ผมไม่ได้หูแว่วไปใช่ไหม ทำไมเสียงที่ผมได้ยินมันเหมือน...ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก็แทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง คนที่ผมนั่งรอมาตลอดหลายชั่วโมง นั่งรอจนร้านปิด ตอนนี้เค้ามายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าผม นี่ผมไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปหาและหยุดยืนประชิดตัวเค้า
“รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม”เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมๆ กันหลังจากคำพูดของผม
“ขอโทษที่มาช้า”ผมดึงตัวเค้าเข้ามากอดกระชับ เค้าไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลย มีแต่ผมสิที่ต้องขอบคุณเค้า ขอบคุณที่เค้าเลือกผม แม้บางทีในใจเค้าอาจจะยังมีคนอื่นตกค้างอยู่บ้าง ผมก็เชื่อว่าวันนึงผมคงเบียดเข้าไปยึดครองพื้นที่ในใจของเค้าได้หมดแน่นอน และจากวันนั้นมาถึงวันนี้ นี่ก็จะครบปีแล้วที่เราตกลงเป็นแฟนและมาใช้ชีวิตร่วมกัน
“หิวแล้ว วันนี้คุณแฟนจะทำอะไรให้ทานครับ”เค้าพูดพร้อมกับมุดหน้าเข้าหาอกกว้างของผม ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าทำเป็นประจำทุกวัน แรกๆ เค้าก็ทำเพราะเขินซึ่งตอนนั้นเราเพิ่งคบกันใหม่ๆ และเป็นของกันและกันครั้งแรกในตอนที่ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน แต่พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆ มันกลับกลายเป็นความเคยชินจนติดเป็นนิสัยของเค้าไปแล้วที่จะทำแบบนี้ในทุกๆ เช้า
“กินอรรถก่อนเลยไหมละ พร้อมเสิร์ฟเลย”ผมแกล้งถามยั่วเค้า รู้หรอกครับว่าเค้าคงไม่หลงกลผม แต่ผมชอบเวลาเค้าเขิน ยิ่งเห็นหน้าเค้าแดงขึ้นๆ ผมยิ่งชอบ เพราะเวลาเค้าเขินนี่น่ารักอย่าบอกใครเชียวครับ
“ไม่คุยด้วยแล้ว อาบน้ำดีกว่า”เค้าเด้งตัวขึ้นจากเตียงก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไป ผมอมยิ้มกับท่าทีของเค้าที่ดูไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากวันแรกที่เราย้ายมาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ทั้งผมและเค้าย้ายมาอยู่บ้านผมครับ ส่วนบ้านของเค้าก็ปิดไว้แต่ก็แวะไปค้างบ้างเดือนละ 2-3 ครั้ง ก็ไปดูแลบ้านดูนู้นนี่นั่นแหละครับ ตอนแรกผมเสนอเค้าให้ปล่อยเช่า แต่เจ้าตัวกลัวคนมาเช่าไม่ดูแลบ้าน กลัวบ้านจะโทรม เลยกลายเป็นปล่อยว่างๆ ไว้ แต่ข้าวของเครื่องใช้อุปกรณ์ก็ยังอยู่ครบนะครับ ถ้าวันไหนจะไปค้างก็ไปได้เลย
ผมออกจากห้องนอน เพื่อมาล้างหน้าแปรงฟันที่ชั้นล่าง ก่อนจะตรงเข้าครัว ดูว่าสามารถทำอะไรทานได้บ้าง วันนี้เป็นวันหยุดทั้งผมและเค้าไม่ได้มีแพลนจะออกไปไหน มื้อเช้าแบบนี้ผมเลยต้องเป็นคนโชว์ฝีมือในการทำอาหาร ซึ่งผมก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถ้าวันทำงานปกติ ด้วยต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลาและการจราจร ทำให้เราต้องต่างคนต่างหาทานกันเอง ส่วนตอนเย็นวันไหนมีเวลาก็ทำกินเองบ้าง แล้วแต่สะดวก
“สปาเก็ตตี้”ผมพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นวัตถุดิบที่มีอยู่ และเมนูที่พอจะทำได้ แต่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมตอนนี้เป็นเมนูแรกที่ผมเคยทำให้เค้าทาน “สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา” มันทำให้ผมนึกถึงอีกคนที่มากับปาร์ตี้ในวันนั้นไม่ได้ แถมยังทำให้ผมนึกไปถึงอีกคนที่ตี้เคยมีความสัมพันธ์ด้วย แม้เรื่องราวจะผ่านมาเกือบปีแล้วก็ตาม แต่สองคนนี้ก็เป็นเหมือนบุคคลต้องห้ามที่เราทั้งสองจะไม่พูดถึง
“เหม่อแบบนี้เมื่อไหร่จะได้กินเนี่ย”เสียงของเค้าสะกิดให้ผมหยุดคิดเรื่องในอดีต ผมยิ้มจางๆ ให้กับเค้าก่อนจะดึงตัวเค้ามา เพื่อสูดกลิ่นหอมจากผมของเค้าที่อาบน้ำสระผมมาจนหอมฟุ้ง
“ออกไปรอข้างนอกไป เดี๋ยวจะรีบทำอย่างรวดเร็วไปเสิร์ฟนะครับคุณแฟน”ผมดันตัวให้เค้าออกไปรอด้านนอก แต่เค้ายังหันมาถามถึงเมนูที่ผมกำลังจะทำว่าคืออะไร
“สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศ”ผมตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ไม่ได้เหมือนกับครั้งนั้นตรงๆ ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวในอดีตของเค้ากับคุณชาร์ปจะยังรบกวนจิตใจเค้าอยู่ไหม แต่ในเมื่อเค้าไม่พูดถึง ผมเองก็ไม่พูดถึง มันก็เลยเหมือนจะไม่มีอะไร แต่บางครั้งผมก็คิดนะครับ ว่าถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ เราก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้ได้ อย่างไม่รู้สึกอะไร แต่การที่ไม่พูดถึงแบบนี้ย่อมเป็นไปได้ว่ายังรู้สึกอะไรบางอย่าง
ผมหยุดความคิดตัวเองไว้เพราะการที่เค้าตกลงมาคบกับผมและอยู่ด้วยกันมาจนเกือบปีแบบนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว และผมเองก็ต้องเชื่อใจเค้า ผมหันมาสนใจการทำอาหารต่อ
“เราหิว เราหิว เราหิว เราหิว”เค้าแกล้งตบโต๊ะเป็นจังหวะพร้อมตะโกน แต่ไม่ดังมากนักในตอนที่ผมถือจานสปาเก็ตตี้ออกมา ผมวางจานลงตรงหน้าเค้าก่อนจะเอื้อมมือไปบีบจมูกของเค้าอย่างหมั่นเขี้ยว ตอนรู้จักแรกๆ นี่นึกว่าเป็นคนนิ่งๆ เสียอีก แต่พอมาเป็นแฟนนี่ผมได้เห็นเค้าอีกหลายมุมเลยครับ
“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับน้องตี้”ผมแกล้งแซวเพราะยิ่งอยู่ด้วยกันเค้ายิ่งทำตัวเด็กลงๆ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ อ้อนๆ น่ารักๆ แบบนี้มีเหรอผมจะไม่ชอบ เค้าบึนปากใส่ผมก่อนจะหันไปสนใจสปาเก็ตตี้ สงสัยจะหิวจริงๆ ครับ ดูตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดไม่จาเลยทีเดียว
“จ้องกันขนาดนี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งสปาเก็ตตี้เนี่ย กินเราเลยไหมละ”เค้าหันมาส่งสายตาดุๆ ใส่ผมที่เอาแต่จ้องดูเค้าแทนที่จะจัดการสปาเก็ตตี้อีกจานที่เป็นของผม ก็ผมยังไม่ค่อยหิวนี่นา อีกอย่างผมชอบมองเค้าแบบนี้ เค้าเป็นคนที่กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมด แถมเป็นคนที่กินทุกอย่างในอาหาร อย่างอะไรที่บางทีคนอื่นเค้าไม่ค่อยกินแต่ปาร์ตี้ จัดการเรียบครับ เค้าบอกว่า ทุกอย่างที่ใส่มาในอาหารมันก็กินได้หมดแหละ ถ้ากินไม่ได้ใครเค้าจะใส่มา ซึ่งมันก็จริงของเค้าแหละครับ แต่บางอย่างที่ผมว่าเค้าคงใส่ในอาหารให้มันมีกลิ่นหอมหรือแค่เพิ่มรสชาด ยิ่งประเภทหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอม พวกนี้ละของชอบเค้าเลยครับ ชาวบ้านไม่ค่อยกิน แต่ปาร์ตี้กินครับ
“กินตอนนี้ได้ด้วยเหรอ”ไม่ลืมที่จะรับมุกเค้าหน่อยครับ เผื่อฟลุ๊ค เผื่อเค้าเผลอให้ผมกิน แต่ไม่เป็นผลครับ เค้าตีมึนทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเนียนยื่นช้อนมาตักหอมใหญ่จากจานผมเฉยเลย ปกติทำสปาเก็ตตี้แบบนี้หอมใหญ่ต้องหั่นชิ้นเล็กๆ หน่อย แต่พอรู้ว่าเค้าชอบกินแถมไม่ชอบชิ้นเล็กๆ เลยจัดให้เค้าหน่อยครับ
“เดี๋ยวหยิบให้กินต่อเถอะ”เสียงโทรศัพท์ของเค้าดังขึ้น แต่มันวางอยู่แถวๆ หน้าทีวี เห็นเค้ากำลังเอนจอยกับการกิน เลยไม่อยากให้การกินของเค้าสะดุดครับ ผมเลยอาสาหยิบให้ ไม่ใช่ว่าอยากจะเช็คนะครับว่าใครโทรหาเค้า เพราะตั้งแต่คบมาเค้าก็ไม่ได้ปิดบังอะไรผม อนุญาตให้ผมดูหรือเช็คโทรศัพท์ เค้าได้ทุกซอกทุกมุมเสียด้วยซ้ำ แต่คงเพราะรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรแบบนั้น เค้าเองยังไม่เช็คผม ผมเองก็เลยไม่ได้เช็คอะไรเค้าเช่นกัน
“ใครโทรมาอ่ะ”เค้าร้องถามเมื่อเห็นว่าผมหยิบโทรศัพท์มาแล้ว เค้าบอกให้ผมรับเลยเมื่อรู้ว่าเหมาเป็นคนที่โทรเข้ามา แต่ผมก็รีบหยิบมาให้เค้าเป็นคนรับจะดีกว่า เพราะในเมื่อเพื่อนเค้าโทรมาหาเค้า ผมก็ควรเว้นความเป็นส่วนตัวไว้ให้เค้ากับเพื่อนบ้าง
เค้ารับสายคุยสบายๆ จากที่ฟัง นี่ผมไม่ได้แอบฟังนะครับ แต่เค้านั่งคุยต่อหน้าให้ผมฟังเอง ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องสังสรรเฮฮาตามประสาเพื่อนของเค้านั่นแหละครับ ผมก็ห่วงเค้าบ้างนะครับเรื่องดื่ม เพราะบางครั้งเค้าก็ดื่มหนักใช่เล่น ก็ไม่ถึงกับห้ามเค้าหรอกครับ แค่ปรามให้เพลาๆ ลงบ้าง แต่เหมือนวันนี้บทสนทนาที่ผมได้ยินเค้าคุยกับเพื่อนนั้น ดูเหมือนเค้าจะปฏิเสธซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างแปลก เพราะเปอร์เซนต์การปฏิเสธของเค้าโดยปกติมันน้อยเหลือเกิน
“ปฏิเสธเพื่อนด้วย เกิดอะไรขึ้นนา”ผมไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะครับ แต่ก็มีแอบหวังนิดๆ ว่าเค้าอาจจะอยากอยู่กับผมมากกว่าการไปเจอเพื่อน
“ก็ไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่กับแฟนนน”เค้าทำเสียงอ้อนผม ผมรีบยิ้มกว้างให้กับเค้า พูดขนาดนี้ผมก็เป็นปลื้มสิครับ แฟนใครเนี่ยทำตัวน่ารักเกินไปแล้ว เราทานสปาเก็ตตี้ต่อจนเสร็จ เค้าอาสาเป็นคนเก็บจานไปล้าง ตามปกติที่ผมเป็นคนทำอาหารแล้วเค้าจะขอเป็นคนล้างจาน
“ไปกับเพื่อนก็ได้ อรรถไม่ได้ห้ามซะหน่อย แค่ขอว่าอย่าดื่มเยอะแค่นั้นเอง”ผมยื่นข้อเสนอให้เค้า เพราะไม่อยากให้เพื่อนเค้ามองว่าพอเค้ามีแฟนแล้วจะเลิกสนใจเพื่อน หรือมองว่าผมงี่เง่าไม่ให้เค้าไปเจอเพื่อน แต่เค้าก็ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม ผมไม่ได้เซ้าซี้อะไรเค้าอีกเพราะคิดว่าเค้าคงตัดสินใจแล้ว อีกอย่างนี่ผมก็จะได้ใช้เวลาวันหยุดกับเค้าได้เต็มที่ ผมกำลังจะลุกไปอาบน้ำแล้ว แต่เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือของเค้าเรียกความสนใจผมไว้
ด้วยความที่โทรศัพท์ของเค้าวางอยู่ในมุมที่สายตาผมมองเห็นพอดี ข้อความพรีวืวจากไลน์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอของเค้า เป็นข้อความจากเพื่อนของเค้าที่เพิ่งโทรมา แต่สิ่งที่สิ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดมองข้อความนั้น เพราะผมกำลังคิดว่าการที่เค้าปฏิเสธเพื่อนอาจไม่ได้เพราะผม แต่มันอาจจะเป็นเพราะ คนที่เค้าอาจจะต้องไปเจอ ข้อความที่ผมเพิ่งเห็นบอกกับผมว่า ไม่ได้มีแค่คุณเหมากับแฟนที่เค้าจะได้เจอหากเค้าไม่ได้เลือกที่จะปฏิเสธ
TBC
พาร์ท 2 มาแว้วววว
พาร์ทนี้คือเรื่องราวต่อจากพาร์ทแรก ประมาณเกือบๆ ปี
แต่เรื่องราวจะมีเล่าย้อนหลังบ้างว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ยังไงก็ฝากติดตามคอมเม้นต์ให้กำลังใจด้วยคร๊าบบบ
PART II บทที่ 12
ตัดไม่ขาด
Sharp’s Part
“ชาร์ป...ชาร์ป...ลูก ทำไมมานอนตรงนี้”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ พยายามปรับสายตาอย่างงงๆ ตอนนี้ผมนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกที่บ้าน ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวเรียกสติตัวเอง ขวดเหล้าและแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะถัดออกไป ทำให้ไม่ต้องสืบว่าสภาพที่เป็นอยู่ของผม มันเกิดจากอะไร
“เมาจนหลับตรงนี้สิเนี่ย มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าลูก ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านแม่ไม่เคยเห็นว่าเราดื่มหนักขนาดนี้นิ”แม่นั่งลงข้างๆ ผม มองมาที่ผมอย่างห่วงใย นี่ผมคงเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ อายุขนาดนี้แล้วยังต้องทำให้แม่เป็นห่วงอยู่อีก
“ไม่มีอะไรครับ เดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะครับจะได้ออกไปดูงานด้วย”ถึงจะรู้ว่าผมโกหกแม่ไม่ได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธออกไปว่าไม่มีอะไร เพราะแม่ผมก็เป็นคนที่จะไม่เซ้าซี้อะไรมากมาย แม่จะรอให้ผมเป็นฝ่ายมาเล่าเองเสียมากกว่า ถึงจะเป็นห่วงผมแต่แม่เคยบอกว่าอยากให้ผมลองได้ตัดสินใจเองก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ อยากคุยอยากปรึกษา ค่อยมาคุยกับแม่อีกที
“ถ้าไม่ไหว ก็พักก่อนก็ได้นะ แม่เป็นห่วง งานนะมันเข้าที่เข้าทางแล้ว ปล่อยเด็กๆ ดูกันเองก็ได้ ส่วนเรานะเอาเวลาไปหาลูกสะใภ้ให้แม่จะดีกว่า”สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้ครับ ผมเลยต้องรีบลุกก่อนที่จะโดนลากไปเจอลูกสาวเพื่อนๆ แม่อีก แต่ผมคงหนีแบบนี้ได้อีกไม่นานแน่ๆ เพราะนี่เป็นเรื่องเดียวที่แม่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผม และผมคงต้องหาจังหวะเปิดใจคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที
ผมกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง แต่ยังไม่ได้คิดจะอาบน้ำอย่างที่บอกกับแม่ ผมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยทั้งกายและใจ การดื่มหนักมากจนเกินไปเมื่อคืนทำให้ตอนนี้ร่างกายผมเพิ่งฟื้นตัวไม่น่าจะเกิน 25% ผมว่าผมคงหลับไปยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง เพื่อดูเวลา แต่สิ่งที่โชว์ที่หน้าจอ ทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายที่ไม่ได้รับจากกลิ้ง 2 สาย โทรมาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ซึ่งคงเป็นช่วงที่ผมเพิ่งหลับไปไม่นาน นอกจากสายที่ไม่ได้รับแล้วก็ยังมีข้อความที่ส่งมาถึงผมอีกด้วย
“อย่าลืมคิดทบทวน เรื่องที่เราบอกเมื่อคืนนะ”ผมถอนหายใจยาวๆ อีกครั้งนี่ผมไม่น่าให้เบอร์เค้าไปเลย ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากติดต่ออะไรกันอีกนะครับ ในฐานะเพื่อนผมยังให้เค้าได้เสมอ แต่ในฐานะอื่นผมว่าผมก็บอกเค้าไปชัดเจนแล้ว ถึงอย่างนั้นจะไปโทษเค้าฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก ในเมื่อผมเองก็ปล่อยให้อะไรมันเกิดขึ้นจนกลิ้งเองรู้สึกว่าน่าจะมีความหวังกับผม แม้เมื่อคืนเราสองคนไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นมีอะไรกัน แต่ผมก็ยังจูบกับเค้าแม้จะปฏิเสธในตอนหลัง มันก็ยังพอมีน้ำหนักให้ตัวเค้าคิด
“ลงมาตั้งนาน แต่ยังอยู่ตรงนี้ชาร์ปจะให้เราตีความว่ายังไงดีเนี่ย”เหตุการณ์จากเมื่อคืนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง หลังจากที่ผมลงมาจากห้องเค้า และวางสายจากปาร์ตี้กะจะพักสายตาสักหน่อยก่อนกลับ จู่ๆเค้าก็มาเคาะกระจกรถผม แล้วก็เดินอ้อมมาที่ประตูรถอีกฝั่งข้างคนขับ เปิดขึ้นมานั่งโดยไม่ได้รอคำอนุญาตใดๆ จากผม แต่ก็นั่นแหละครับผมพลาดเองที่ไม่ได้ล็อครถ
“กลับขึ้นไปพักที่ห้องเราก่อนไหม ดูแล้วชาร์ปจะขับรถกลับไม่ไหว”ผมหันมองหน้าเค้าที่จ้องผมพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม สายตาที่เค้ามองมาทำให้รู้ว่าเค้าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ผมปฏิเสธก่อนที่จะออกมาจากห้องของเค้า ผมเหลือบตามองที่หน้าขาตัวเองทันทีที่รู้สึกได้ว่ามือของเค้ากำลังลูบเบาๆ ที่ขาของผม
“กลิ้ง”ผมเรียกชื่อเค้าเสียงเรียบ และจับข้อมือของเค้าไว้ให้หยุดในสิ่งที่เค้ากำลังทำอยู่ แต่เค้ากลับหัวเราะเบาๆ และส่งยิ้มมาให้ผมอย่างท้าทาย
“อย่าเพิ่งปฏิเสธเรา”นิ้วเรียวของเค้าถูกยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากผม เพื่อห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ เหมือนจะรู้ได้ว่าผมกำลังจะบอกอะไรกับเค้า เค้าบอกกับผมต่อ ว่าก่อนที่จะปฏิเสธเค้า ขอให้เค้าได้พูดอะไรก่อนแล้วค่อยทบทวนดูอีกครั้ง ใจจริงผมอยากจะบอกเค้าว่า เค้าพูดอะไรมาก็คงไม่เปลี่ยนความตั้งใจผมแน่นอน แต่เพื่อเห็นแก่ความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กันในตอนเด็ก ผมเลยปล่อยให้เค้าได้พูดในสิ่งที่เค้าต้องการก่อน
“วันนี้ จริงๆ เราดีใจมากนะที่ได้มาเจอชาร์ป แล้วก็ดีใจมากด้วยที่ชาร์ปตกลงมาดื่มต่อกับเรา”เค้าเริ่มพูดด้วยท่าทีที่ผมรู้สึกว่า กลิ้งคนเดิมในวัยเด็ก คนที่ผมเคยรู้จักได้กลับมาอีกครั้ง ผมนั่งเงียบรอฟังในสิ่งที่เค้าอยากจะบอก
“แล้วยิ่งรู้ว่าตอนนี้ชาร์ปไม่ได้มีใคร มันยิ่งสร้างความหวังบางอย่างให้กับเรา สิ่งที่เราจะพูดมันอาจจะดูน่าสมเพชนะ แต่เราก็ไม่สนหรอก ถ้ามันจะทำให้เราได้มีความสุข”คำพูดของเค้าสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ไม่น้อย เราไม่เจอกันมานานมาก แต่เค้าพูดเหมือนกับว่าเค้ายังมีความรู้สึกพิเศษให้กับผมอยู่ ทีแรกที่ผมเข้าใจคือเค้าต้องการมีความสัมพันธ์ทางกายกับผมเฉยๆ แค่นั้น ไม่ได้นึกว่าจะมีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น
“เราเคยคบใครต่อหลายคน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไร เพราะเราไม่เคยลืม เรื่องระหว่าง เราสองคนได้เลย ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ เราคิดมาตลอดว่ามันคงไม่มีทางเป็น อย่างที่ตัวเองหวังได้ แต่พอมาเจอชาร์ปวันนี้ เราก็คิดนะว่าต่อให้เป็นแค่ คู่ขา
คู่นอน หรืออะไรก็ได้ที่ชาร์ปจะให้เราได้ เรายินดีทั้งนั้น วันนี้เราถึงได้แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นออกไป ว่าต้องการมีอะไรกับชาร์ป เผื่อว่าความสัมพันธ์ทางกายของเราที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราไปอยู่ในจุดที่ใกล้กับชาร์ปมากขึ้น”น้ำเสียงสั่นๆ ของเค้า ทำให้ผมเอื้อมมือไปบีบเบาๆ ที่ไหล่ของเค้า นี่การกระทำที่ไม่ทันคิดอะไรของผม ในตอนนั้น มันส่งผลต่อคนๆ นึงมากขนาดนี้ ผมเองแค่พอรู้สึกว่าไม่โอเคกับความสัมพันธ์ก็แค่หยุดไว้ แต่นี่อีกคนกลับฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
“ฟังดูบ้าดีเนอะ”เค้าพูดพร้อมหัวเราะออกมา แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ดูไม่ได้มีความสุขเอาเสียเลย
“เราขอโทษ ถ้าเป็นเราคือสาเหตุให้กลิ้งต้องรู้สึกแบบนี้”ผมคงทำอะไร หรือพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรที่ผมพอจะทำได้เพื่อให้เค้าหลุดพ้นจากสิ่งที่เค้ายังฝังใจอยู่
“ถ้าอยากขอโทษเราจริงๆ ชาร์ปมาคบกับเราได้ไหมล่ะ”คำขอของเค้าคงเป็นสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน หากแต่ผมจะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจ และไม่ทำให้เค้ารู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป เสียงหัวเราะที่แสดงความเย้ยหยันในตัวเองของเค้าก็ดังขึ้น
“ไม่ได้สินะ ถ้าการคบเป็นแฟนมันสร้างความลำบากใจให้ชาร์ปมากเกินไป เราขอเป็นแค่ Sex friends ได้ไหมล่ะ”ผมนึกขำในโชคชะตา สิ่งที่กลิ้งเสนอมามันทำให้ผมนึกถึงปาร์ตี้ ที่เราเคยตกลงสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ท้ายที่สุดถ้าความสัมพันธ์แบบนี้จบลง มันอาจจะมีสักคนที่ต้องเจ็บ จากการที่คิดเกินเลย ผมกับกลิ้งในวัยเด็กก็ชัดเจนแล้วว่า กลิ้งยังฝังใจกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ถ้าเราจะมาสร้างความสัมพันธ์แบบเดิม มันก็คงจบไม่ต่างจากครั้งแรกของเราทั้งคู่ หรืออย่างจุดจบความสัมพันธ์ของผมกับปาร์ตี้ สุดท้ายมันก็ไม่ได้สวยงาม และผมเองก็ยังต้องอยู่กับความรู้สึกที่ดันคิดเกินเลยกับเค้า
“เราว่า...อย่าทำแบ...”คำพูดผมถูกห้ามโดยมือของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาปิดปากผม
“ถ้าชาร์ปไม่ได้มีใคร ก็อย่าเพิ่งปิดความหวังของเราเลย ลองเก็บเอาไปคิดดูอีกที”กลิ้งหันมายิ้มให้พร้อมก่อนจะเปิดประรถ ออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ผมอยากจะพูดออกไปตรงๆ ว่าผมคงให้เค้าเป๋นอย่างอื่นนอกเหนือจากเพื่อนไม่ได้แน่ๆ แต่ตอนนี้เค้าคงจะไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ผมพูด นี่นอกจากปัญหาเดิมของผมแล้ว วันนี้ผมยังมาสร้างเรื่องราวให้กับคนอื่นอีกหรือเปล่าเนี่ย
ผมวางโทรศัพท์ลง และค่อยๆ ปิดเปลือกตา ไม่อยากที่จะคิดอะไรอีก ถ้าคนเราหลับไปแล้วตื่นมาสามารถเลือกได้ว่าไม่อยากจะจำอะไรก็คงจะดี หรือแต่ละวันเราสามารถตื่นมาเจอชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องสนใจเรื่องก่อนหน้านั้นก็คงจะดี ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น เสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น หากแต่ผมไม่ได้สนใจปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น จนเงียบเสียงไปเอง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ละความพยายาม จนผมต้องควานมือหาโทรศัพท์ เพื่อหยิบมาดูว่าใครที่ต้องการติดต่อผม
“ไอ้เหมา”ผมขมวดคิ้ว แปลกใจกับชื่อคนที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ เพราะถึงแม้เราจะติดต่อพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผมที่เป็นคนโทรไปถามข่าวคราวของตี้เสียมากกว่า ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ไอ้เหมามักจะไม่ค่อยโทรมาหาผมสักเท่าไหร่ อีกอย่าง ในไลน์ เราก็มีการพูดคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว
“รับช้าจังวะ ทำไรอยู่เนี่ยมึง”ทันทีที่ผมกดรับสาย ไอ้เหมาก็ส่งเสียงไม่พอใจมาตามสาย นี่มันไปหงุดหงิดอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย
“กูนอนอยู่เนี่ย มีอะไรก็ว่ามา”ผมตอบออกไปด้วยเสียงงัวเงีย ให้มันรับรู้ว่ากำลังรบกวนการพักผ่อนของผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้จริงจังหรอกนะครับ ดีเหมือนกันที่ไอ้เหมาโทรมาตอนนี้ ผมจะได้ระบายสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ให้มันร่วมกังวลด้วย
“กูมีเรื่องอึดอัดใจวะ”
“หยุด มึงไม่ต้องพูดต่อ กูไม่อยากรับรู้ แค่เรื่องของกูเองก็เกินจะแก้ไขแล้ว มึงอย่าหาเรื่องให้กูต้องเครียดเพิ่มเลย”ผมแกล้งทำเสียงจริงจัง เหมือนจะไม่ยอมรับฟังมัน แต่จริงๆ ก็แค่อยากอำมันนั่นแหละครับ นานๆ ทีไอ้เหมาจะมีเรื่องให้เครียด นี่ตั้งแต่รู้จักมันมาก็เพิ่งเห็นเรื่องแพทนั่นแหละมั้งครับ ที่พอจะทำให้มันเครียดขึ้นมาบ้าง
“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้กูเล่า เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ตี้”แหม ตั้งแต่รู้ความรู้สึกผมเนี่ย ดูไอ้เหมาทำตัวเป็นต่อ ถือไพ่เหนือผมตลอดเลยครับ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องเค้าจะเลิกกับแฟนก็ไม่ต้องมาเล่า กูไม่อยากรู้”ผมแกล้งทำเสียงเรียบเหมือนไม่ได้สนใจ ทั้งที่จริงๆ ก็อยากรู้แหละครับว่ามีอะไรเกี่ยวกับปาร์ตี้ แต่เมื่อคืนที่ผมโทรไปหาเค้า ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่นา นอกจากที่เค้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากคุยกับผม
“เมื่อคืนกูเจอคุณอรรถเค้าไปดื่มกับแฟนเก่า ทีนี้จะฟังต่อไหม”สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมหูผึ่ง เพราะเมื่อคืนที่ผมโทรไป เค้าบอกกับผมว่าแฟนเค้าไปเลี้ยงลูกค้านี่นา หรือว่าแฟนเก่าเค้าคือลูกค้า หรือว่าแฟนตี้มีเรื่องปิดบัง
“รีบว่ามาสิมึง”ผมเอ่ยปากเร่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นมันยังเงียบไม่ยอมเล่าต่อว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ ไอ้เหมาเริ่มเล่าว่าตอนนี้ แฟนเก่าของคุณอรรถเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของตี้กับอรรถ เริ่มจากเข้ามาขออยู่ในบ้านด้วย จนตี้กับแฟนต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านตี้กันชั่วคราว แต่เห็นว่าตี้เองก็เป็นคนที่มีส่วนยินยอมให้แฟนเก่าคนนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน เพราะไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา
“แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่า ตี้ยังไม่รู้เรื่องนี้”สิ่งที่ไอ้เหมาอึดอัดคือ อยากจะบอกเรื่องที่คุณอรรถไปดื่มกับแฟนเก่า ถึงแม้จริงๆ เค้าอาจจะแค่ไปดื่มกันไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่คุณอรรถทำไมต้องปิดปาร์ตี้ แน่นอนจากเมื่อคืนที่ผมโทรไปหาเค้า เค้าบอกว่าแฟนไปเลี้ยงลูกค้า แปลว่าแฟนเค้าโกหก แต่ในเมื่อแฟนเค้าเจอกับไอ้เหมาแล้ว ยังมีเหตุผลอะไรที่จะไม่รีบบอกกับปาร์ตี้ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
“กูลองเลียบๆ เคียงๆ ดูแล้วมันยังไม่รู้เว้ย กูยังแปลกใจว่าแฟนมันคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่บอก เพราะยังไงตี้ก็อาจจะรู้จากกูอยู่แล้ว”ไม่ว่าแฟนของตี้จะมีเหตุผลอะไร แต่เรื่องนี้ถ้าถามผมจากประสบการณ์โดยตรงของผมจากเรื่องชะเอม เรื่องนี้ไอ้เหมาควรบอกให้ตี้ได้รับรู้ ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะครับว่า ในส่วนลึกด้านมืดของจิตใจ ผมก็มีบางแวปที่อยากให้เค้าเลิกกัน เผื่อผมจะมีโอกาสขึ้นมาบ้าง แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากให้ตี้เค้าต้องเสียใจจากการเลิกราใดๆ
“มึงจำที่มึงเคยพูดได้ไหม ว่าระหว่างเราสามคน จะไม่มีเรื่องปิดบังกัน นั่นแหละคำตอบที่มึงถามว่าควรเล่าให้ตี้ฟังไหม”ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ถ้าถามผม ผมว่าควรต้องบอกตี้ให้รับรู้เอาไว้ ถ้ามันมีอะไรจริงๆ ตี้จะได้รู้ทัน แต่ถ้ามันไม่ได้มีอะไรพอเคลียร์กันจบเค้าสองคนก็ยังคบกันต่อได้ตามปกติ ส่วนเรื่องจะกังวลว่าตี้จะหาว่าพวกผมใส่ร้ายแฟนเค้าไหมนี่ ผมว่าตี้ต้องเข้าใจสถานการณ์นี้อยู่แล้วเพราะระหว่าง ผม ไอ้เหมา และตี้ ผ่านสถานการณ์แบบนี้กันมา 2 รอบแล้ว เค้าน่าจะเข้าใจเจตนาของผมและไอ้เหมาดี
“แหมทำเป็นมายกคำพูดกู งั้นกูบอกมันด้วยเลยไหมว่ากูรู้แล้วว่ามึงสองคนเคยได้กัน”ผมชะงักไปนิดหน่อยกับสิ่งที่ไอ้เหมาพูดมา แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ระหว่างผมกับเค้าเราเคยตกลงกันไว้แล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถ้าเค้ารู้ว่าผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ไอ้เหมาฟัง เค้าคงไม่พอใจเป็นแน่
“อย่าเลย ไม่อยากให้เค้าลำบากใจมากไปกว่านี้”อีกอย่างถ้าเค้ารู้ว่าไอ้เหมามันรู้ทุกอย่าง ผมว่ามันคงมีความกระอักกระอ่วนกันไม่น้อยเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน เพราะงั้นผมว่าปล่อยให้เค้าเข้าใจว่าไอ้เหมายังไม่รู้นี่แหละครับน่าจะดีที่สุดแล้ว
“เออๆ กูแค่พูดไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากจะให้ตี้มันเขว”คำว่าเขวของไอ้เหมานี่คือมันต้องการจะสื่อว่าอะไร หมายถึงถ้าไอ้เหมาไปบอกกับเค้าว่ารู้เรื่องที่เราเคยมีอะไรกัน และบอกความรู้สึกของผมที่มีต่อเค้าให้เค้าฟัง แล้วเค้าจะเกิดหวั่นไหวกับสิ่งที่ได้รับรู้อย่างงั้นเหรอ ผมว่ามันคงไม่ใช่เพราะการแสดงออกของเค้าก็ชัดเจนออกปานนั้นว่าเค้าก็รักแฟนเค้า และไม่ต้องการให้ผมไปใกล้เค้าเสียด้วยซ้ำ
“แต่เมื่อคืนกูโทรหาเค้า”ผมหลุดปากบอกออกไปเพราะก็อยากระบายเรื่องนี้กับใครสักคนเช่นกัน แล้วเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้เนี่ย ผมแทบจะคุยกับใครไม่ได้เลย ที่พอจะมีให้เล่าพูดคุยได้ก็แค่ไอ้เหมากับแพทนี่แหละครับ
“อ้าว เชี่ยโทรไปทำไมวะ”น้ำเสียงไอ้เหมาเจือไปด้วยทั้งความแปลกใจ และเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ได้รับฟังจากผม พอมันเป็นคนที่ผมสามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ มันเลยกลายเป็นว่าต้องทนฟังผม เวลาที่อยากระบายเรื่องนี้ตลอด แต่ทุกครั้งก็จะมีแต่คำสมเพช และสมน้ำหน้าให้กับผมเสมอ ถึงมันจะเป็นเพื่อนผมมันก็ไม่ได้เข้าข้างผมเลย แต่มันกลับย้ำกับผมเสมอว่าคุณอรรถเหมาะกับปาร์ตี้มากกว่าผมในทุกด้าน
“กูก็แค่...คิดถึงเค้า”จริงๆ ต้องบอกว่าเพราะผมเมามากกว่า เรื่องคิดถึงนี่ผมก็คิดถึงเค้าตลอดแหละครับ เพียงแต่ว่าผมรู้ตัวว่าเค้ามีแฟน เลยไม่ได้วุ่นวายกับชีวิตของเค้า แต่พอสติสัมปชัญญะ มันหายไปความกล้าที่จะทำอะไรที่ไม่ควรทำมันก็จะมากขึ้น อย่างเช่นการโทรไปหาเค้าเนี่ยแหละครับ
“มึงนี่นา ไอ้แว่นเอ้ย”
TBC
มาช้าอีกแล้ว
ยังไงอย่าเพิ่งหายกันน้า
อยู่ด้วยกันก่อน
และก็ขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามให้กำลังใจนะคร๊าบบ
:bye2:
PART II บทที่ 13
วันครบรอบ
Aut’s Part
“เพื่อนตี้เล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม”ผมเอ่ยถามถึงเหตุการณ์จากคืนก่อนที่เพื่อนของเค้าไปเจอผมกับหนุ่ยไปนั่งดื่มด้วยกัน แน่นอนว่าแม้ผมจะบอกว่าเป็นการไปดื่มตามประสาคนรู้จัก แต่ทีท่าของเพื่อนเค้าก็ยังมีความสงสัยและไม่เชื่อคำพูดของผมสักเท่าไหร่ แถมสิ่งที่ผมบอกกับตี้ไว้ในทีแรกก็เป็นการบอกว่าผมนั้นไปเลี้ยงลูกค้า ที่ผมเลือกจะโกหกเพราะไม่อยากจะต้องให้มีเรื่องมารบกวนความรู้สึกของเรามากขึ้นไปอีก แค่ที่มีอยู่ตอนนี้มันก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว
หลังจากที่ดื่มกับหนุ่ยจนลืมเวลา เพราะจากที่ร้านก็นั่งกันจนเกือบตี 2 พอออกจากร้านผมก็ขับรถมาส่งหนุ่ย ด้วยความที่ยังไม่อยากกลับเลยนั่งดื่มกันต่ออีกนิดหน่อย กว่าจะตัดสินใจกลับก็ปาเข้าไปตี 3 กว่าๆ แล้ว
“กลับดึกขนาดนี้ ก็อธิบายให้เค้าเข้าใจดีๆ ละ ยิ่งเพื่อนเค้าไปเจอเราไปกันสองต่อสองอีก เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่”หนุ่ยที่เดินออกมาส่งผม บอกกำชับอย่างเป็นห่วง ซึ่งจริงๆ ถึงแม้เค้าไม่พูดผมก็ตั้งใจว่าจะบอกอยู่แล้ว แต่สุดท้ายกว่าผมจะกลับถึงบ้าน ทั้งง่วงทั้งเพลีย ทั้งเมาอีกด้วย จะให้ผมปลุกเค้าขึ้นมาฟังสิ่งที่ผมอยากบอกก็คงไม่ใช่เวลา ผมเลยเลือกที่จะล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า แล้วเค้าเองก็เพียงงัวเงียรับรู้ว่าผมกลับมาแล้ว แค่นั้น พอตอนเช้า เค้าก็ออกจากบ้านไปก่อนที่ผมจะตื่น มันเลยทำให้ผมยังไม่ได้เล่าให้เค้าฟัง และผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเค้ารู้เรื่องนี้จากคนอื่นมาก่อน เค้าจะรู้สึกยังไง
จนถึงตอนนี้ เรามาอยู่กันที่ร้านเดิม ร้านที่ผมกับเค้าได้เป็นแฟนกันอย่างแท้จริง เมื่อปีก่อนผมมานั่งรอเค้าที่นี่จนร้านปิด และวันนี้ก็คือวันครบรอบ 1 ปีของเราสองคน แม้ผมจะยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างที่วันก่อนได้ยินเค้าหลุดปากเรียกชื่อคนอื่น แต่ผมก็ยังอยากให้วันนี้ของเรามันยังมีความพิเศษ ยังไงผมก็คือคนที่เค้าเลือก และเราก็อยู่ด้วยกันมาจนครบปีแล้ว สิ่งที่ผมพอจะทำได้ในเวลากระชั้นชิดแบบนี้เลยได้เพียงจองโต๊ะร้านนี้กับซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เค้าเท่านั้น ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะชอบและ ให้ผมมีพื้นที่ในใจเค้ามากขึ้น
“อรรถอยากเล่าไหม”เค้าพยักหน้าตอบรับในคำถามของผม ก่อนจะย้อนกลับมาด้วยคำถาม ผมไม่รู้ว่าเพื่อนเค้าเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนไหน วันนี้ทั้งวันเราก็เพิ่งจะมาเจอกัน ก่อนมาเค้าก็ยังพูดคุยทางโทรศัพท์กับผมตามปกติ จนถึงตอนนี้น้ำเสียง สีหน้าของเค้าก็ดูไม่ได้แสดงอะไรผิดสังเกตออกมา นี่ผมยังไม่รู้เลยว่า ถ้าผมไม่เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เค้าจะเอ่ยถามผมตรงๆ ไหม จะมีสักนิดหรือเปล่าที่เค้าจะหึงผมกับหนุ่ยที่เป็นแฟนเก่า
“ก็น่าจะไม่ได้ต่างจากที่เพื่อนของตี้เล่า อรรถไปนั่งดื่มกับหนุ่ยมา ตี้โกรธอรรถรึเปล่าล่ะ”ผมถามกลับไปเรียบๆ เช่นกัน วันครบรอบของเราทั้งทีกลับเริ่มต้นการฉลองด้วยเรื่องที่ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศสักเท่าไหร่ อีกอย่างนี่เค้าก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้มีความพิเศษอะไร แต่เรื่องครบรอบผมไม่ค่อยซีเรียสที่เค้าจำไม่ได้สักเท่าไหร่หรอกครับ เพราะปกติเค้าก็ไม่ค่อยจะจำวันพิเศษอะไรเลยสักอย่างอยู่แล้ว
“ไม่โกรธหรอก อรรถจะไปกับใครยังไง เราก็ยังมั่นใจว่าเชื่อใจอรรถได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปิดเราไม่บอกตรงๆ เราสองคนคบกันอยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ มีเรื่องอะไรก็บอกกับเราตรงๆ ได้”ฟังจากน้ำเสียงที่พูดครั้งนี้ดูเหมือนเค้าก็คงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง ถ้าให้ตีความจากสิ่งที่เค้าบอกแสดงว่าเค้าไม่ติดใจเรื่องที่ผมไปกับหนุ่ยแต่น่าจะเคืองในส่วนที่ผมไม่บอกเค้าตรงๆ นี่ผมควรเปิดใจคุยกับเค้าไปตรงๆ เลยดีไหมว่าผมกำลังน้อยใจอะไรเค้าอยู่ ถ้าผมพูดอะไรออกไป สิ่งที่ตั้งใจจะเซอร์ไพร์สเค้าในวันนี้ มันจะกร่อยไหม
“อรรถแค่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย”ตอนนี้ภายในใจผมเหมือนกำลังเลือกว่าจะพูดกับเค้าตรงๆ หรือปล่อยไว้อย่างนี้ กับเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเค้ายังมีคุณแว่นอยู่ในใจ แม้ผมเองพอจะมีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าถามออกไปมันอาจจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงชัดขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งผลมันก็อาจจะออกมาได้ทั้งดีและไม่ดี
“มันเป็นเรื่องที่เล่าให้เราฟังไม่ได้เหรอ”แม้จะไม่ได้เป็นคำถามที่คาดคั้น แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าเค้าเองก็คงรู้สึกนิดๆ แหละว่าทำไมผมถึงไม่บอกเค้า
“มันก็ไม่เชิงหรอก”ผมเองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะคุยเรื่องนี้กับเค้าไหม ผลดีผลเสียจากการถามเรื่องนี้อะไรมันมีมากกว่ากัน หรือนี่มันจะเป็นจุดหักเหของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้า เราต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยสายตาที่ต่างมีคำถาม คำถามที่คงต้องมีสักคนที่ต้องตัดสินใจถามออกมาก่อน
“รู้ไหมทำไมวันนี้อรรถนัดมาที่นี่”แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าเค้าคงจำไม่ได้ แต่ผมเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ที่เอ่ยถามเค้านี่ก็แค่เกริ่นนำเข้าเรื่องเพียงเท่านั้นแหละครับ เค้าส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด
“เราสองคนตกลงคบกันที่ร้านนี้ จำได้ใช่ไหม”พอผมบอกออกไป เค้าเองก็เหมือนจะเริ่มนึกออกแล้วละครับว่าวันนี้มีอะไรพิเศษ การที่ผมยกประเด็นนี้ขี้นมาอาจจะช่วยกลบสิ่งที่เป็นคำถามของเราทั้งคู่ลงไปได้ แต่คงแค่ชั่วคราว
“วัน...ครบรอบเหรอ”น้ำเสียงและสีหน้าของเค้าฉายแววรู้สึกผิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมเลือกที่จะยิ้มกลับไปให้เค้ารับรู้ว่าไม่เป็นไรที่เค้าจำไม่ได้ ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปกุมมือเค้า บอกย้ำกับเค้าอีกครั้งว่าไม่เป็นไรที่เค้าจำไม่ได้ เพราะผมเองก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน กล่องเล็กๆ ที่ผมซ่อนไว้ถูกหยิบขึ้นมาวางตรงหน้าเค้า
“สุขสันต์วันครบรอบนะ”ถึงแม้มันจะดูไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้ แต่ระยะเวลา 1 ปีมันก็อาจจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น การที่เราจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า มันคงต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากเลยทีเดียว จากที่ตั้งแต่คบกันมาผมคิดมาตลอดว่าคู่ของเราก็มีความสุขกันดี แทบไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เพียงระยะเวลาไม่นานในช่วงนี้ บททดสอบกลับพร้อมใจกันพุ่งเข้าหาความสัมพันธ์ของเราสองคนจนแทบจะตั้งรับไม่ทัน
“ขอโทษ”เค้ารับกล่องของขวัญไปอย่างรู้สึกผิด นี่การเซอร์ไพรส์เค้าอาจจะไม่ใช่วิธีที่เหมาะสักเท่าไหร่เสียแล้ว หรือที่วันนี้ของเราสองคนออกมาเหมือนไม่ได้เป็นวันพิเศษที่มีความสุข นี่เพราะสิ่งที่อยู่ในใจของเราทั้งคู่ ผมเองก็ยอมรับแหละครับว่ามีบางแวปก็แอบคิดไปถึงขั้นว่าท้ายที่สุดแล้ว ระหว่างผมกับเค้ามันจะยืนยาวไปตลอดกรือเปล่า
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เปิดดูสิ ชอบรึเปล่า”ยังไงเสียผมก็คงยังไม่ถอดใจ คงทำให้ดีที่สุดในความสัมพันธ์ครั้งนี้ ตี้เป็นคนแรกที่ผมคาดหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าจริงๆ คนอื่นๆ ที่ผมเคยคบผมก็จริงใจ เต็มที่กับทุกคนนะครับ เพียงแต่ทุกๆ ครั้งผมก็ยังเผื่อใจไว้ว่ามันอาจมีวันที่จบลง แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่ได้คิดเหมือนทุกครั้ง
“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทั้งของขวัญ แล้วก็ขอบคุณที่ดูแลกันมาตลอด 1 ปีนี้ ขอโทษอีกทีที่ไม่ได้มีอะไรมาให้”เค้าเปิดกล่อง ก่อนจะหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาใส่โชว์ผม ที่ผมเลือกนาฬิกาเป็นของขวัญวันครบรอบให้เค้าก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ อย่างแรกคือเวลากระชั้นชิด และนี่ก็เป็นสิ่งที่เค้าชอบอยู่แล้ว ก็เลยได้นาฬิกามาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
“บอกแล้วไง ว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากหรอก”ดูจากสีหน้าแล้ว เค้าเองก็คงยังรู้สึกแย่อยู่บ้างที่กลายเป็นผมฝ่ายเดียวที่ทำอะไรให้เค้าแบบนี้ ผมเลยต้องย้ำกับเค้าอีกครั้ง เพื่อไม่อยากให้เค้าต้องกังวล แล้วก็พยายามเปลี่ยนประเด็นให้เค้าสนใจกับอาหารตรงหน้าที่เพิ่งมาเสิร์ฟจะดีกว่า เพราะตอนนี้อาหารที่เราสองคนสั่งไปก็เริ่มทยอยออกมาเรียงรายที่โต๊ะ เกือบครบแล้ว อาหารแต่ละอย่างก็เป็นของโปรดเค้าแทบทั้งนั้นแหละครับ วันพิเศษทั้งทีก็อยากเห็นเค้ามีความสุข ทานอะไรที่เค้าชอบ ส่วนผมเองแค่เห็นเค้าชอบผมก็มีความสุขแล้วครับ นี่สินะที่เคยมีคนบอก ว่าการได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย
“ไม่ได้หรอก เอางี้อรรถอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวเราจัดให้”ผมนั่งยิ้ม มองเค้า ความรู้สึกกังวล น้อยใจที่เคยเกิดขึ้นค่อยๆ จางหายไป แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วแหละ ผมเคยมีความสุขที่ได้มีเค้าเข้ามาในชีวิต ตั้งแต่ได้รู้จัก ได้จีบเค้า จนเค้าปฏิเสธและรับรู้ว่าเค้ามีคนอื่นในใจ แต่มันก็เป็นผมเองที่เลือกจะยังอยู่ข้างๆ เค้า จนสุดท้ายเค้าเลือกที่จะมาอยู่เคียงข้างผม มันก็ควรเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
“ตี้ให้อะไรมา อรรถก็ชอบหมดแหละ”ผมฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม อดีตที่อยู่ในใจเค้าจะให้มันลบหายไปจนหมดอาจต้องใช้เวลา แล้วถ้าเวลาที่เค้าต้องใช้ในการลืมอดีต มันจะยาวนานแต่เค้าเลือกที่จะให้ผมรอไปข้างๆ เค้า มันก็อาจจะเพียงพอแล้วก็เป็นได้
“อรรถ ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมาสำหรับเราอรรถเป็นแฟนที่ดีมาก แต่ไม่รู้ว่าสำหรับอรรถเราดีพอหรือยัง”ผมส่ายหน้ายิ้มๆ คือผมเองก็ไม่ได้ดีมากมายอะไรนักหรอกครับ และสำหรับผม เค้าเองตั้งแต่คบกันมาเค้าก็ดีกับผมเช่นกันนั่นแหละ มันก็มีบ้างเล็กๆ น้อยที่เราต่างอาจเห็นไม่ตรงกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ทานข้าวดีกว่าจะได้รีบกลับไปฉลองต่อที่บ้าน”ผมส่งสายตายที่แฝงความนัยไปให้เค้า จนเค้าต้องเอื้อมมือมาตีมือผม เบาๆ ก่อนเราจะขำออกมาเบาๆ ด้วยกันทั้งคู่ แบบนี้สิค่อยเหมาะกับบรรยากาศฉลองวันครบรอบของเราสองคนหน่อย เราต่างฝ่ายต่างแย่งกันตักอาหารใส่จานของอีกฝ่าย บรรยากาศกำลังดี จนผมเองเกือบจะลืมเรื่องที่คลางแคลงใจไปแล้ว ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมสนทนาของเค้า ดังขึ้นมา
ด้วยความที่โทรศัพท์มือถือของเค้า วางอยู่ด้านข้างเค้าบนโต๊ะที่เรานั่ง สายตาผมดันมองไปที่หน้าจอพอดี แม้ผมจะไม่สามารถอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาได้ เพราะมองจากฝั่งผมมันเป็นการมองหน้าจอแบบกลับหัว หากแต่ว่าผมกับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชื่อของคนที่ส่งข้อความถึงเค้าคือใคร
“Sharp” นั่นคือชื่อที่ผมเห็นโชว์อยู่บนหน้าจอของเค้า
ผมเงยหน้ามองเค้า และก็เห็นว่าเค้าก็หันมองผมอยู่เช่นกัน แน่นอนว่าเค้าคงเห็นแล้วว่าผมลากสายตามาจากไหน ผมเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับเค้าโดยไม่ได้พูดอะไร จากที่ผมแทบจะไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว แต่ทำไมผมยังต้องมารับรู้อะไรเพิ่มอีก การที่ได้ยินเค้าหลุดเรียกชื่ออีกคน แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกดี แต่ก็ยังพยายามทำใจได้ว่า มันก็แค่อดีต แต่ครั้งนี้จะไม่ให้ผมคิดอะไรเลยมันก็คงไม่ใช่ นี่มันวันครบรอบของเรา แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง เค้ายังติดต่อกันอยู่งั้นเหรอ แล้วในฐานะอะไรล่ะ เพื่อนงั้นเหรอ
โอเคมันอาจจะเป็นไปได้ที่คนสองคน เคยมีความสัมพันธ์กัน และจากกันไปแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ หรืออย่างผมเองกับหนุ่ยเราเคยเป็นแฟนกัน เลิกรากันไป แต่ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่ระหว่างตี้กับคุณแว่น สำหรับคุณแว่นนั่นผมคงไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไร ยังไงกับตี้ แต่ตี้เองการที่ผมเพิ่งได้ยินเค้าหลุดเรียกชื่อคุณแว่นออกมา เมื่อไม่กี่วันนี่เอง จะให้ผมเชื่อว่าเค้าจะคุยกันแบบเพื่อนได้อย่างสนิทใจ
มันคงทำใจให้เชื่อได้ยากอยู่เหมือนกัน
“คือ...”เค้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็อ้ำอึ้งแล้วก็เงียบไป ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าผมเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาแล้วหรือยัง แถมตอนนี้เหมือนข้อความจะเด้งเข้ามาอีก 2-3 ครั้ง เค้าทำหน้าลำบากใจ พร้อมกับกดปิดหน้าจอโดยไม่ได้เปิดอ่านหรือมีทีท่าว่าจะตอบกลับข้อความนั่น ใจนึงผมก็อยากเอ่ยถามไปตรงๆ ว่าเค้ากับคุณแว่นมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกัน
“มีอะไร...ที่อยากจะบอกกับอรรถหรือเปล่า”ผมยังบอกกับเค้าด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม แต่มันอาจจะเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆ ถ้าผมยังเป็นคนที่เค้าเลือกก็ขอแค่ให้เค้าพูดออกมา พูดอะไรก็ได้ให้ผมเข้าใจว่าผมยังเป็นคนที่เค้ายังอยากจะเดินเคียงข้าง ต่อให้มันจะเป็นคำโกหกผมก็อาจจะยังยินดี เพราะพอมาถึงตอนนี้ถ้าเค้าเลือกการยุติความสัมพันธ์กับผม มันก็คงเป็นผมเองนี่แหละที่จะยอมรับไม่ได้ ทำไมผมถึงกลายมาเป็นคนคิดมากกังวลอะไรได้ขนาดนี้ ใจนึงก็อยากคุยกับเค้าตรงๆ ให้มันชัดเจน แต่อีกใจผมก็อ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับได้ หากว่าผลมันไม่ได้ออกมาอย่างที่ผมหวัง สายตาที่เค้ามองมา เค้าเองก็คงจับสังเกตได้ว่าผมมีความคลางแคลงใจบางอย่าง เค้าเองเหมือนหยุดคิดบางอย่าง ก่อนจะพูดกับผมด้วยท่าทางจริงจัง
“อรรถฟังเรานะ เราอาจจะไม่ใช่แฟนที่ดี เรารู้ว่าเรามีข้อเสียอยู่เยอะ แต่ก็อยากให้อรรถรู้ว่าอรรถคือคนที่เราเลือก และอยากจะใช้ชีวิตไปด้วยกัน ถ้ามีอะไรที่มันทำให้อรรถรู้สึกไม่มั่นใจ หรือกังวลในตัวเรา เราอยากให้อรรถเลิกคิดมันไปได้เลย เพราะเราก็ยังยืนยันคำเดิม เหมือนกับ 1 ปีก่อน”สิ่งที่เค้าพูดตรงหน้าผมตอนนี้ มันดังสลับตัดภาพไปมา กับวันที่เค้านอนบนโซฟา แล้วหลุดเรียกชื่ออีกคนออกมา ทั้งที่คิดว่าถ้าเค้าพูดอย่างที่เพิ่งจะจบไป ผมจะสบายใจขึ้น แต่มันเปล่าเลย พอเรามีจุดขัดแย้งในใจเกิดขึ้นมาแล้ว มันเลยทำให้เป็นการยากที่จะให้ใจมันยอมรับได้แบบเดิม
“อยากให้อรรถมั่นใจ ไม่ว่ายังไงอรรถก็คือคนที่เราเลือกนะ”ท่าทีที่จริงจังของเค้า ทำให้ผมเชื่อได้ไม่ยากครับ ว่าผมคือคนที่เค้าเลือกจริงๆ นั่นแหละ ผมคงไม่ค้านเค้าในจุดนี้เพราะมันก็ชัดเจนมาเป็นปีแล้ว เค้าเอื้อมมือมากุมมือผม ผมก้มมองสองมือของเค้าที่จับมือผมอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้า เค้ายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่เหมือนทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเค้ายังเหมือนเดิม เหมือนเดิมไม่ได้ต่างจาก 1 ปีก่อนเลย ผมค่อยๆ ละสายตาจากเค้า เบนสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือของเค้า
“อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอรรถจะเป็นคนที่ตี้รักใช่ไหม?”
TBC
มาต่อแว้วววว
เรื่องราวก็ยังดูไม่คลี่คลายไปทางไหนเลย
ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคร๊าบบบ
PART II บทที่ 14
ตอบหรือดื่ม
Aut’s Part
“ตื่นได้แล้ว”ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก ตามด้วยสัมผัสเบาๆ ที่แก้มของผม เค้ายิ้มรอผมอยู่แล้ว รอยยิ้มนั้นทำให้ผมต้องยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ เค้าสวมเสื้อยืดตัวเดิมจากเมื่อคืน คงเพราะเค้าก็เพิ่งตื่นไม่นาน และคงคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆ มาใส่ก่อนอย่างลวกๆ ส่วนผมที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มนี่คงยังไม่ได้สวมอะไร ซึ่งก็เป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนเรามีค่ำคืนที่เร่าร้อนมาด้วยกัน ผมใช้สองแขนฉวยโอกาสที่เค้าเผลอโอบร่างของเค้า แนบเข้าหาตัว แล้วค่อยๆ พลิกให้เค้ามาอยู่บนตัวผม
“เล่นอะไรเนี่ย ลุกได้แล้ว”เค้าพยายามดิ้น แต่สู้แรงผมไม่ได้ ผมแกล้งเค้าอีกเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เค้าลุกออกจากตัวผม เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายหันมาชี้ผมอย่างคาดโทษ แต่ผมก็ไม่ได้สลดหรอกนะครับ ผมแกล้งส่งยิ้มกวนๆ กลับไปให้เค้า หลังจากเค้าปิดประตูเข้าห้องน้ำ ผมก็พ่นลมหายใจออกมา เหมือนย้ำกับตัวเองว่าแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ผมกับเค้าอยู่กันที่โรงแรมในหัวหิน โรงแรมเดิมที่ผมเคยมากับเค้า ที่ผมและเค้าเกือบจะมีอะไรกันครั้งแรก แต่สุดท้ายเค้ากลับปฏิเสธผม เล่นเอาผมเสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว ในตอนนั้น
เหตุที่ตอนนี้ผมกับเค้ามาอยู่ที่หัวหินนี่ก็เป็นผลมาจากคืนวันที่เราไปฉลอง วันครบรอบนั่นแหละครับ หลังจากที่เค้าบอกกับผมว่า ให้ผมมั่นใจ แต่จนถึงตอนนี้เรื่องต่างๆ มันก็ยังคงรบกวนจิตใจผมอยู่เช่นเดิม ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนจะวิ่งกลับเข้ามาในความคิดผมอีกครั้ง
“อยากให้อรรถมั่นใจ ไม่ว่ายังไงอรรถก็คือคนที่เราเลือกนะ”ท่าทีที่จริงจังของเค้า ทำให้ผมเชื่อได้ไม่ยากครับ ว่าผมคือคนที่เค้าเลือกจริงๆ นั่นแหละ ผมคงไม่ค้านเค้าในจุดนี้เพราะมันก็ชัดเจนมาเป็นปีแล้ว เค้าเอื้อมมือมากุมมือผม ผมก้มมองสองมือของเค้าที่จับมือผมอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเค้า เค้ายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่เหมือนทุกๆ ครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเค้ายังเหมือนเดิม เหมือนเดิมไม่ได้ต่างจาก 1 ปีก่อนเลย ผมค่อยๆ ละสายตาจากเค้า เบนสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือของเค้า
“อรรถเป็นคนที่ตี้เลือก...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอรรถจะเป็นคนที่ตี้รักใช่ไหม?”นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป เพราะยังไม่พร้อมรับในผลที่อาจจะตามมา หากว่าผมพูดออกไปแบบนั้น ผมกลับทำเพียงรับคำ แล้วก็ยิ้มให้เค้าเท่านั้นเอง
“งั้นเราไปต่างจังหวัดกันไหม ไปพักผ่อน ค้างคืน เราไม่ได้ไปเที่ยวกันนานแล้ว ถือโอกาสรวบยอดเลยดีไหม อรรถว่าไง”เค้าเสนอซึ่งผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยไม่น้อยเลยทีเดียว การได้ไปใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันมันอาจจะช่วยให้ผมเองรู้สึกดีขึ้น ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้น ผมเองก็เริ่มไม่มั่นใจว่าผมจะรับกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
กว่าเราสองคนจะจัดการกับธุระของตัวเองเสร็จก็เลยเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว ทั้งผมและเค้าอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสบายๆ กับกางเกงขาสั้น เราเลือกที่จะทานอาหาร ที่โรงแรมเพราะไม่อยากเสียเวลาออกไปหาร้านอีก นี่ก็หิวกันจนไส้จะกิ่วกันอยู่แล้ว ดีที่โรงแรมนี้อยู่ติดกับชายหาด ทำให้เราได้นั่งทานมื้อเที่ยงไปพร้อม ดื่มด่ำกับเสียงคลื่น แม้แดดจะแรง แต่ก็มีลมเบาๆ ทำให้วันนี้ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่
“เบียร์หน่อยไหม”เสียงเค้าเอ่ยถามหลังจากอาหารบนโต๊ะถูดจัดการโดยเราสองคนไปจนเกลี้ยง ว่าแต่นี่เพิ่งจะบ่าย นี่เค้าจะดื่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอเนี่ย ผมถามย้ำว่าเค้าไม่อยากไปทำอย่างอื่นเหรอ อย่างเล่นน้ำทะเล หรือกิจกรรมอะไรริมหาด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ว่าร้อน ขอนั่งจิบเบียร์ฟังเสียงคลื่นแบบนี้จะดีกว่า สุดท้ายผมก็ต้องดื่มเบียร์เป็นเพื่อนเค้า เบียร์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งผ่านลำคอของเราทั้งคู่ พร้อมๆ กับบทสนทนาต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาประกอบการดื่ม
บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวระหว่างเรา ตั้งแต่ผมเคยสนใจเค้าแต่ตอนนั้นผมยังคบกับหนุ่ยอยู่ เรื่อยมาจนได้ทำงานด้วยกัน ได้ทำความรู้จัก จนพัฒนาความสัมพันธ์ แม้จะมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ดูมีความหมายกับเราสองคน แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ส่งผลให้ผมนึกถึงความสัมพันธ์ของเค้ากับอีกคนด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่เรารู้จักกันแรกๆ มันก็มีหลายเหตุการณ์ที่ผมได้รับรู้ระหว่างเค้ากับคุณแว่น แถมตอนนี้ผมก็ยังรับรู้ได้ว่าเค้าพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงคุณแว่นตรงๆ มันทำให้ความกังวลของผมที่เหมือนจะหายไป กลับมาอีกครั้ง
“เมาแล้วเหรอ ทำไมดูนิ่งๆ ไป”คงเพราะเห็นอาการที่แปลกไปของผม ทำให้เค้าเอ่ยถามออกมา เค้ายังคงถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ผมส่งยิ้มจางๆ กลับให้เค้าและส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะถึงจะดื่มไปพอสมควร แต่มันก็ยังไม่ได้มากขนาดจะทำให้เมาอะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันมีความรู้สึกเหนื่อยใจแทรกเข้ามาในความรู้สึกของผม ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมช่วงนี้ ผมต้องมากังวลอะไรขนาดนี้กับความรู้สึกของเค้าที่มีต่อคุณแว่น ทั้งที่ก่อนมานี่ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก
อยากมาใช้เวลาร่วมกับเค้า ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาวุ่นวายใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนผมจะทำไม่ได้ จริงๆ เรื่องของคนอื่นที่ว่าตอนนี้ก็มีอยู่ 2 คน ที่ผมมองว่าเป็นปัญหากับความสัมพันธ์ของผมและปาร์ตี้ คนแรกก็หนุ่ย ซึ่งรายนี้แม้ทีแรกผมมีความกังวลอยู่มากเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมว่ามันเหลือแค่ความรำคาญใจมากกว่า หนุ่ยดูไม่น่าจะมาสร้างปัญหาใหญ่อะไรกับผม ส่วนอีกคนก็คุณแว่นที่ดูแล้วตอนนี้มีอิทธิพลกับเราทั้งคู่ กับตี้เค้าคือคนที่ตี้ยังลบออกจากใจไม่ได้ ส่วนกับผมเค้าคงเป็นคู่แข่งที่หน้ากลัว เป็นคู่แข่งที่เหมือนพร้อมที่จะเขี่ยตัวจริงอย่างผมออกไปได้ทุกเวลา
“เล่นเกมกันไหม”ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของผม ซึ่งไม่รู้ว่าที่ผมตัดสินใจจะทำต่อจากนี้มันจะส่งผลดีกับความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่า
“เอาดิ ว่าแต่เกมอะไร”เค้าดูมีท่าทีสนใจในสิ่งที่ผมชวน ผมอธิบายเกมง่ายๆ ที่ไม่มีอะไรซับซ้อน เกมที่จะทำให้ผมได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น มันไม่ได้มีอะไรมากก็แค่ผลัดกันถามตอบ แต่ต้องตอบตามความจริง ห้ามโกหกถ้าคำถามไหนไม่อยากตอบก็ดื่มให้หมดแก้ว แน่นอนถ้าเค้าซื่อสัตย์พอและตอบตามความจริงทุกอย่าง ผมคงได้รู้อะไรเพิ่มขึ้น หรือต่อให้เค้าเลือกไม่ตอบโดยเลือกการดื่มแทน มันก็คงทำให้ผมเดาคำตอบได้ไม่ยาก
“จูบแรกตอนอายุเท่าไหร่”หลังจากเค้าเข้าใจกติกาแล้วผมเป็นฝ่ายเริ่มตั้งคำถามก่อน ผมเลือกที่จะถามอะไรที่เป็นเรื่องไม่สำคัญก่อน ส่วนคำถามที่ผมตั้งใจอยากรู้จริงๆ คงเก็บไว้ทีหลัง ไม่ให้ดูจงใจมากเกินไป และดูเหมือนปาร์ตี้เองก็คงยังไม่เอะใจอะไรกับเกมที่กำลังเริ่มขึ้นนี้
“อย่าว่าเราแก่แดดนะ”เค้ายิ้มเขินๆ ก่อนจะเกริ่นออกมาว่าเลือกที่จะตอบคำถามของผม ท่าทางของเค้าทำเอาผมแทบจะรอฟังไม่ไหวว่าเค้าเคยจูบครั้งแรกตั้งแต่ตอนไหน ถ้าให้ผมเดาจากอาการนี่คงสัก ม.ต้น แน่ๆ
“9 ขวบ”
“ห๊ะ”ผมเบิกตาโพลง 9 ขวบ ตอนนั้นผมยังวิ่งไล่เตะกับเพื่อนอยู่เลย แต่เค้าเคยจูบแล้วอะไรจะรวดเร็วปานนั้น
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่การจูบในแบบที่อรรถเข้าใจแน่ๆ แต่มันก็คงเรียกว่าจูบแหละ คือเรากับเพื่อนแค่มีความอยากรู้ ตามประสาเด็กแหละ แล้วมีเพื่อนเรามันมาชวนว่าลองจูบกันดูไหม แบบที่เคยเห็นในทีวี ไอ้เราก็ด้วยความอยากรู้ ก็เออออไป ทีแรกก็ปากแตะๆ กัน แล้วก็...”เค้าหยุดเล่าหันมามองผม เหมือนถามความเห็นว่าจะให้เล่าต่อไหม แน่นอนว่าผมให้เค้าเล่าต่อ เพราะดูๆ ไปสมัยเด็กนี่เค้าคงแสบใช่ย่อย
“ก็...ดูดปากกัน แต่พอลิ้นแตะกันเท่านั้นแหละ ผละออกจากกันแทบไม่ทัน มันเป็นความรู้สึกแหยะๆ ของเด็ก 9 ขวบที่ได้ลิ้มรสน้ำลายคนอื่นเป็นครั้งแรก”เค้าพูดพร้อมทำท่าขนลุกจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะฟังดูจูบแรกของเค้ามันไม่ได้โรแมนติค จนทำให้ผมรู้สึกอิจฉาหรือหึงคนที่ได้จูบแรกของเค้าไปเลย
“แล้วได้สานสัมพันธ์กันต่อไหม”ผมแกล้งถามเค้ากลั้วเสียงหัวเราะ
“สานสัมพันธ์อะไรละ ยังเด็กกันขนาดนั้น แถมตอนงานแต่งไอ้เพื่อนคนนี้ ยังมีคนขุดเรื่องนี้มาแฉในงานแต่งให้คนเอ็นดูกันทั้งงาน เรางี้อายจนแทบจะมุดใต้โต๊ะ แล้วใครแฉรู้ไหม เจ้าสาวที่ก็เป็นเพื่อนเราตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เอามาเล่าขำๆ ให้แขกฟังทั้งงาน”โหนี่ถือเป็นประสบการณ์จูบแรกที่เค้าคงไม่มีทางลืมจริงๆ แต่ผมก็ยังหยุดขำไม่ได้ นี่ไม่อยากคิดเลยว่าแขกในงานแต่งเพื่อนเค้านี่จะขำวีรกรรมในวัยเด็กของเค้าขนาดไหน
“หยุดขำเลย ตาเราถามบ้าง อรรถเคยมีอะไรกับผู้หญิงหรือเปล่า”แหมทำเป็นหรี่ตามองผม คงคิดว่าผมเคยคบแต่ผู้ชาย เลยจะมาบลัฟผมหรือเปล่าเนี่ย เพราะเราต่างคนก็ต่างเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าของกันและกันให้อีกฝ่ายฟัง แน่นอนเราทั้งคู่ต่างเคยมีแฟนเป็นผู้ชายกันมาเท่านั้น แต่ในเรื่องของเซกส์ เราก็ไม่เคยลงรายละเอียดถามเรื่องของอีกฝ่ายเลย
“เคย...คำถามต่อไปนะ”ผมตอบไปตามตรง พร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ ใส่เค้า พร้อมเตรียมจะถามคำถามใหม่กับเค้า แต่เค้าทำท่าตกใจที่ผมไม่เล่าอะไรต่อจากคำถามที่ตอบไป แน่นอนเค้าทักท้วงผมไว้ ยังไม่ให้จบประเด็น
“เฮ้ย...ได้ไงอธิบายก่อนดิ ทีเรายังอธิบายจูบแรกเลยว่าเป็นมายังไง”
“อ้าวอรรถก็ไม่ได้ขอให้ตี้อธิบายนิ ตี้เป็นคนพูดออกมาเองนะ”ผมยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า ที่จริงมันก็ไม่ใช่คำถามซีเรียสอะไรนะครับ ผมเพียงแค่อยากแกล้งเค้าแค่นั้นแหละครับ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ความรู้สุกผม ไม่วกกลับไปกังวลเรื่องอื่น แต่มาโฟกัสที่การเล่นสนุกกับเค้าแทน
“โหยขี้โกงอ่ะ”เค้าทำท่าไม่พอใจ มองผมตาขวาง จนผมต้องเป็นฝ่ายยอมเค้า อธิบายรายละเอียดประเด็นนี้อีกรอบ
“อ่ะๆ โอเคเล่าก็ได้ แม้ว่าอรรถจะรู้ตัวนะว่าชอบผู้ชายด้วยกันมากกว่าที่จะชอบผู้หญิง แต่ตอนวัยรุ่นมันก็มีความอยากรู้อยากลองตามประสานั่นแหละ จนตอนจบ ม.ปลายเพื่อนมันก็ชวนกันทั้งกลุ่ม ไปขึ้นครูเพื่อยืนยันว่าทุกคนได้เปิดซิงกันหมดแล้ว อรรถก็ไปกับเค้าแค่นั้นแหละ”ผมเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ที่ก็ดูไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอกนะครับ แถมไม่ได้ดูว่าควรเอาเป็นเหยี่ยงอย่างด้วย แต่ด้วยวัย ณ ตอนนั้นที่ยังติดเพื่อน เพื่อนว่าไงว่ากัน ก็ถือว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างนึงที่เคยผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรนะครับ
“หูวนี่เล่นครูบาอาจารย์เลยเหรอ”เค้าแกล้งทำท่าตกใจแบบโอเวอร์ล้อเลียนผมอย่างน่าหมั่นไส้
“นั่นมุกเหรอ คนที่มี First kiss ตั้งแต่ 9 ขวบนี่ไม่น่าจะไม่เข้าใจคำว่าขึ้นครูนะ”ผมแกล้งแหย่เค้ากลับ และเหมือนจะได้ผล เพราะพ่ออดีตนักรักปากสว่านวัย 9 ขวบ ส่งค้อนให้ผมเสียวงใหญ่จนหลบแทบไม่ทัน ก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันอย่างสนุกสนาน คำถามดำเนินไปเรื่อยๆ โดยแต่ละคำถามก็ยังไม่ได้เข้าประเด็นในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้อย่างในทีแรก จนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะยังถามในแบบที่ตั้งใจไว้ หรือปล่อยเป็นเกมสนุกๆ ต่อไปแบบนี้
“อ่ะตาอรรถถามแล้ว คำถามสุดท้ายแล้วกันเนอะ เพราะเรานั่งกันนานจนเบียร์เค้าจะหมดแล้วเนี่ย ขนาดเลือกตอบกันทุกคำถามนะเนี่ย”อย่างที่เค้าบอกแหละครับ แม้จะไม่มีใครเลือกดื่ม แต่การเลือกตอบทุกครั้งของเรา ก็ยังยกแก้วดื่มกันจนลืมเวลา นี่ก็บ่ายคล้อยจนพระอาทิตย์จะตกอยู่แล้ว ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งอย่างตัดสินใจ ว่าควรจะถามสิ่งที่อยู่ในใจหรือไม่
“ว่าไงไม่ถามแล้วเหรอ”เค้าเร่งผมอีกครั้ง แต่ก็ดูไม่ได้จริงจังมากนัก ผมทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่าควรถามออกไปไหม ถ้าถามไปแล้ว ผมจะพร้อมรับคำตอบนั้นหรือเปล่า หรือถ้าผมปล่อยไว้ให้มันค้างคาในใจแบบนี้ อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผมก็ได้คำตอบให้ตัวเอง
“ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเราตี้จะเลือกใคร”แม้จะไม่ใช่คำถามตรงๆ อย่างที่คิดจะถามในครั้งแรก แต่ผมว่าคำถามนี้ก็คงให้ผมได้กระจ่างในบางอย่าง และอาจช่วยให้ผมได้ใช้ในการตัดสินใจอะไรหลังจากนี้ก็เป็นได้ ผมจ้องมองเค้าด้วยสายตาจริงจัง เค้าเองก็มองกลับมาที่ผม เหมือนกำลังครุ่นคิดเช่นกัน
คำถามนี้ของผม ทำให้ปฏิกิริยาของเค้าเปลี่ยนไปจากคำถามก่อนๆ จากปกติเค้าจะตอบแทบในทันที ผิดกับคำถามนี้ที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตอบคำถามผม อย่างตรงไปตรงมา หรือจะเลือกดื่มเบียร์ที่วางอยู่ตรงหน้าเค้า เค้าเหลือบสายตามองแก้วเบียร์ ก่อนจะหันมาสบตาผมอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือหยิบแก้วเบียร์ ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
“คำถามนี้เราขอเลือกดื่มแล้วกันนะ”
TBC
ก่อนอื่นต้องขอโทษก่อนเลย หายไปนานเป็นเดือนเลย
เก๊าขอโต้ดดดด ทั้งติดขัดเรื่องเวลา (ข้ออ้าง)
พอว่างก็ฟีลไม่มา แต่จากนี้จะไม่หายนานขนาดนี้อีก แน่นอนฮ่ะ (เชื่อได้ไหม)
ยังไงกะขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามให้กำลังใจ
ติชมได้เช่นเดิม หรือจะด่า เชิญลงที่ ตี้หรือคุณแว่น
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคร๊าบ
:bye2:
PART II บทที่ 15
พ่อแม่ลูก
Sharp’s Part
“ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด 1 ปี อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปนานๆนะ”ผมไม่รู้ว่าตัวเองจ้องประโยคนี้อยู่นานแค่ไหนแล้ว ประโยคที่มีรูปของผู้ชายสองคนยืนกอดคอกันและฉากหลังเป็นท้องทะเล ผู้ชายสองคนที่ดูเหมาะสมกัน และเค้าใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว 1 ปีเต็ม เค้าทั้งคู่ไม่ใช่ใครที่ไหนหนึ่งคนก็ปาร์ตี้ เพื่อนผม เพื่อนที่ผมคงใช้คำนี้ได้ไม่เต็มปากสักเท่าไหร่ ส่วนอีกคนก็แฟนเค้า ไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน เพราะอีกหลายคอมเมนต์ใต้รูปนี้ต่างแสดงความยินดีกับทั้งคู่แทบทั้งสิ้น
“รูปใครละลูก”เสียงผู้เป็นแม่ที่ดังมาจากหลังผม ทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติที่สุด ก่อนวางโทรศัพท์มือถือในมือและหันไปส่งยิ้มให้กับผู้เป็นแม่ที่มายืนอยู่หลังผม ผมกางแขนออกโอบเอวของผู้เป็นแม่เข้ามาในอ้อมกอด ซบหน้าอ้อนกับเอวของแม่เหมือนเด็กๆ แม่ผมคงแปลกใจที่เห็นผมทำแบบนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มโต จากบ้านไปเรียนที่อื่นจนทำงาน ผมก็แทบไม่เคยได้กอดแม่อีกเลย
“เหงาเหรอลูก”สัมผัสแผ่วเบาลูบที่ศีรษะของผม แม่ลูบเบาๆ เลื่อนมาที่ท้ายทอยก่อนจะตบที่บ่าของผม ให้เงยหน้ามองแม่ที่รอให้ผมตอบคำถามที่เพิ่งเอ่ยกับผม
“มันก็มีบ้างแหละครับ แต่บอกไว้ก่อนว่าบรรดาลูกสาวเพื่อนๆ แม่ผมขอเว้นไว้ก่อนนะครับ”ผมรีบออกตัวเพราะเกรงว่าแม่ผมจะจัดสาวๆ ชุดใหญ่ส่งมาให้ผมดูตัวอีก เสียงหัวเราะเบาๆ จากแม่ถูกส่งออกมาด้วยความเอ็นดูลูกชายอย่างผม แม้ผมจะโตจนสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้แล้ว แต่ผมก็ยังคงเป็นลูกน้อยของแม่เสมอ เวลาอยู่กับแม่ทีไรมันเหมือนกลับไปเป็นเด็กเสียทุกครั้ง ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นอาจจะไม่เท่าไหร่ เพราะกำลังโหยหาการใช้ชีวิตอิสระของตัวเอง หรือตอนมีคนรักก็เช่นกัน ผมเองตอนคบกับชะเอมก็มีปัญหากับแม่จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แถมตอนนั้นผมดันเข้าข้างฝั่งแฟนมากกว่าแม่ตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานกับเค้าบ้างเนี่ย”แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่จริงจังนัก แต่ผมก็สัมผัสได้นะครับว่าแม่ก็คงอยากเห็นผมเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัว มีหลานตัวเล็กๆ ให้ท่านได้ชื่นใจ จริงๆ และแม่ก็คงเห็นความรู้สึกผิดในแววตาผมเช่นกัน เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่น
“เห็นรูปแวปๆ ใช่ปาร์ตี้กับแฟนหรือเปล่าที่ชาร์ปดูรูป”แต่เรื่องที่แม่พยายามเบี่ยงประเด็นนี่มันดูไม่ได้ช่วยปรับความรู้สึกผมสักเท่าไหร่เลย แม่หยิบมือถือของผมไปดูหน้าจอที่ยังค้างอยู่ที่โพสต์ของปาร์ตี้ แม่ผมค่อนข้างเอ็นดูปาร์ตี้ เพราะเค้าเป็นคนที่ช่างเอาใจคนแก่ หาเรื่องคุยได้ถูกอกถูกใจแม่ผมมากเชียวแหละครับ แม่ผมยังเคยแอบพูดเล่นกับผมว่า นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิงคงให้ผมจีบเค้าไปแล้ว
“คู่นี้เค้าก็ดูน่ารักดีเนอะ ไม่ชวนเค้ามาเที่ยวบ้านเราบ้างละ”นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่แม่ให้ผมชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อย่างไอ้เหมากับแพทคงได้มาอีกเป็นแน่ แต่กับปาร์ตี้ผมไม่มั่นใจว่าเค้าจะยินดีมาหรือเปล่า
“รอบนี้เค้าไปฉลองวันครบรอบกับแฟน ก็คงอยากสวีทกัน ถ้ามาบ้านเราเดี๋ยวแม่ก็ไปเป็น กขค เค้าอีกเอาไว้คราวหน้าผมจะชวนเพื่อนๆ มาถล่มบ้านเราให้ครบทีมเลยแล้วกันนะครับ ทั้งไอ้เหมา ทั้งแพท ทั้งปาร์ตี้กับแฟน ชวนมากันให้หมดเลยดีไหมครับ”ผมทำตัวให้ดูร่าเริงขึ้นเป็นปกติ ตอบออกไป เพื่อไม่ให้แม่จับสังเกตได้อีกว่าผมกำลังมีเรื่องที่คิดไม่ตก
“อ้าวนี่แม่จะมาตามเราไปทานข้าวเย็น คุยนู่นนี่นั่นเสียลืมเลย ป่ะๆ พ่อเค้ารอแย่แล้ว”พอนึกขึ้นได้ว่าที่จริงมาตามผมไปกินข้าว แม่ผมก็ลากผมมายังโต๊ะกินข้าวด้วยความรวดเร็ว อาหารหน้าตาน่าทานถูกวางเรียงรายส่งกลิ่นยั่วน้ำลายมาแต่ไกล ตรงหัวโต๊ะมีคนหน้าบึ้งหนึ่งคนที่ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ พ่อผมเองแถมดูเหมือนตอนนี้จะเริ่มโมโหหิวเสียแล้ว
“มาๆ กับข้าวจะเย็นหมดแล้วเนี่ย มัวไปตามกันถึงไหนปล่อยพ่อรอตั้งนาน”พ่อผมบอกเสียงดุหน่อยๆ แต่พ่อผมก็ทำขรึมไปอย่างนั้นแหละครับ จริงๆ ไม่มีอะไร บางครั้งก็วางฟอร์มให้ดูเป็นผู้นำต่อหน้าลูกน้อง หารู้ไม่ว่าลูกน้องเค้ารู้กันทั่วว่าเมียพ่อ หรือแม่ผมนี่แหละ ใหญ่สุดของที่นี่แล้ว
“ทำเรื่องโปรโมทเรือแล้ว เป็นไงบ้างละชาร์ป ผลตอบรับดีไหม”จริงๆ เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันเท่าไหร่นะครับ ช่วงแรกๆ ที่ผมกลับมาอยู่บ้านก็ยังทานพร้อมหน้าพร้อมตาอยู่หรอกครับ แต่พอให้ผมเริ่มดูในส่วนธุรกิจเรือยอร์ช ผมก็ต้องทุ่มเวลาให้กับตรงนั้น จนบางทีกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา เลยไม่อยากให้พ่อกับแม่รอ ส่วนเรื่องงานพอเริ่มเข้าที่เข้าทางพ่อกับแม่ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งในส่วนที่ให้ผมรับผิดชอบอีก จะมีก็แต่ถามไถ่บ้างเป็นครั้งคราวเหมือนตอนนี้เท่านั้นแหละครับ
“ก็ดีครับ สมัยนี้สื่อออนไลน์มันไปเร็ว พอจับจุดถูกมันก็จะไหลไปของมันเอง ตอนนี้ยอดจองเรือเราวันเสาร์-อาทิตย์ตอนนี้เต็มยาวไปถึงปีหน้าแล้วครับ”ผมบอกเล่าผลลัพท์ในสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงทุนไป พ่อเองก็มีสีหน้าพอใจอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดตอนแรกพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำกับการที่ใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโปรโมทธุรกิจ เพราะค่าลงทุนค่อนข้างสูงและอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ตอนนี้ผลตอบรับมันออกมาแล้ว ทำให้พ่อเองก็เริ่มเปิดใจกับวิธีการทำงานของผมมากขึ้น ทีแรกพ่อก็จะสอนวิธีบริหารงานในแบบของพ่อแหละครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากท่าน เพราะผมก็ไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่บางอย่างผมก็อยากจะปรับให้มันเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บางอย่างที่พ่อเคยใช้ในอดีต บางอย่างมันก็ต้องมาประยุกต์ให้เหมาะกับยุคนี้เท่านั้นเองครับ
“งานก็ลงตัวแล้ว แฟนละทีนี้ นี่อายุอานามเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บรรดาสาวๆ ที่แม่เค้าใส่พานมาให้เลือกนั่นไม่สนใจบ้างเหรอ”ผมแทบหลุดขำกับสิ่งที่พ่อพูด ทีแรกก็เหมือนจะกดดันผมอยู่หรอกนะครับ แต่ประโยคหลังนั่นแอบประชดแม่ผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย เพราะแม่ผมก็เอื้อมมือไปตีแขนพ่อเบาๆ อย่างงอนๆ เหมือนกันครับ
บรรยากาศการทานข้าวของครอบครัวเราวันนี้ดูจะอบอุ่นกว่าทุกวัน นี่สินะที่เป็นตัวอย่างครอบครัวที่ผมเคยคิดไว้ อาจเพราะแบบนี้ผมเลยฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นจะสร้างครอบครัวให้ได้เหมือนพ่อกับแม่ของผม
“พ่อกับแม่มารักกันได้ยังไงครับ”ทั้งคู่หันมามองผมแทบจะพร้อมกัน คงจะงงที่อยู่ๆ ทำไมผมถึงถามแบบนี้ แต่ผมก็แค่อยากรู้ว่าความรักของทั้งคู่เป็นมายังไง นี่ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่ยักกะจำได้ว่าทั้งสองเคยเล่าให้ฟัง หรือเคยเล่าตอนเด็กๆ แล้วผมจำไม่ได้ ส่วนตอนโตผมก็สนใจอย่างอื่นเสียมากกว่า เลยไม่ได้มาสนใจในเรื่องนี้
“แม่เค้าหนีตามพ่อมา”พูดจบก็หัวเราะออกมาจนแม่ผมเอื้อมมือไปฟาดที่แขนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะบอกผมว่าที่พ่อพูดมามันไม่ใช่ความจริง ให้แม่เป็นคนเล่าจะดีกว่า ผมก็ตั้งใจรอฟัง
“จริงๆ แล้วพ่อเค้าฉุดแม่มา”เอาเข้าไปครับพ่อกับแม่ผมจะเอาฮากันไปถึงไหน แล้วก็ดูหัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ สนุกกันมากสินะครับเนี่ยกับการได้อำลูก จนผมต้องถามย้ำอีกรอบว่าจริงจังกันหน่อย
“พ่อกับแม่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ก็เพื่อนของเพื่อนอีกที ทีแรกก็ไม่ได้สนิทกัน แต่แม่ไม่ค่อยชอบหน้าพ่อเค้าเท่าไหร่ตอนนั้นเค้าเจ้าชู้”แม่เริ่มเล่าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พ่อก็อมยิ้มฟังสิ่งที่แม่กำลังเล่า ทั้งสองคงมีความสุขที่ได้ย้อนคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยมีร่วมกัน
“จนมีโอกาสได้ไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน ไปกันกลุ่มใหญ่เลย แรกๆ ก็เดินขึ้นพร้อมๆ กัน แต่พอเริ่มเหนื่อยก็เริ่มกระจายกันเรื่อยๆ พวกเพื่อนๆ ที่แม่สนิทดันแข็งแรงกันเหลือเกินปล่อยให้แม่รั้งท้าย เพราะไม่เคยเดินไกลขนาดนั้นมาก่อน ก็ได้พ่อนี่แหละช่วยถือของ ช่วยลากแม่ขึ้นไปจนถึงข้างบน ก็เลยเริ่มสนิทและคุยกันมากขึ้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงกับชอบนะ แค่ประทับใจเฉยๆ อีกอย่างตอนนั้นพ่อเค้ามีสาวๆ เข้ามาพัวพันเยอะ”พูดมาถึงตรงนี้แม่ก็หันไปมองพ่ออย่างหมั่นไส้ เป็นภาพที่ผมว่าน่ารักดีครับ
“จริงๆ พ่อเริ่มสนใจแม่เค้าตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ แล้วแหละ”พ่อผมพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“คือรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ดูไม่พอใจอะไรเราอยู่ เลยกลายเป็นสังเกตเค้าจนเผลอชอบไปอย่างไม่รู้ตัว พอกลับจากภูกระดึงก็เลยคิดจะจีบแม่เค้าจริงจัง ตอนนั้นเลิกคุยกะคนอื่น แต่จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด”ผมนั่งฟังไปยิ้มไป จริงๆ มันก็ดูเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาวจีบกันะครับ แต่พอมาเป็นเรื่องราวที่เป็นจุดกำเนิดของเรา มันทำให้ดูพิเศษขึ้นมาในทันที เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จัก รักกันและทำให้เราได้เกิดมา
“แม่เริ่มใจอ่อนจริงๆ ตอนรู้ว่าพ่อเค้าชอบไปบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนั้นเหมือนเรามองภาพเค้าเป็นคนเจ้าสำราญ เที่ยวเล่นไปวันๆ พอมารู้อีกมุมมันเลยแบบว้าว แต่ก็ยังไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์นะ จนเรียนจบแยกย้ายไปทำงาน ก็คิดว่าคงไม่เจอกันอีกแล้วแหละ จนวันนึงต้องไปงานแต่งของเพื่อนในกลุ่ม ก็เจอกัน พ่อเค้าก็เดินมาคุย คุยกันเยอะมากตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน จนวนมาเรื่องที่ต่างคนต่างยังไม่มีใคร แม่ก็ถามว่าทำไมเค้าถึงยังไม่มีใคร และเพราะคำตอบในวันนั้นทำให้เราอยู่ด้วยกันมาถึงทุกวันนี้”เล่ามาถึงตรงนี้แม่ผมเริ่มน้ำตาคลอ แต่มันคงเป็นน้ำตาแห่งความสุขแหละครับ
“พ่อตอบว่าไงเหรอครับ”ผมหันไปหาผู้เป็นพ่อแทน ซึ่งพ่อเองก็ยิ้มรออยู่แล้ว
“ก็บอกไปว่าแม่คือคนที่ใช่สำหรับพ่อแล้ว เลยไม่คิดมองใครอีกและก็เชื่อว่าวันนึงจะต้องได้กลับมาเจอกัน”คนที่ใช่งั้นเหรอ แล้วเราทุกคนจะรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าใครคือคนที่ใช่สำหรับเราแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะเจอคนที่ใช่และใครคนนั้นก็มองว่าเราคือคนที่ใช่เช่นกัน
“พ่อครับ แม่ครับ ถ้าในที่สุดแล้วผมไม่สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างพ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวผมไหม”ผมถามออกไปเสียงนิ่ง แม้ผมไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่ามุมมองของผมมันเริ่มเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าจากนี้ผมจะได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่า ภาพใบหน้าของใครคนนึงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวผม เค้าเป็นคนที่เข้ามาทำให้ผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองอีกครั้ง
ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมปาร์ตี้ถึงเข้ามามีอิทธิพลกับความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ผมเคยมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในเรื่องที่จะสร้างครอบครัว แต่พอผมเป๋จากชะเอม มันก็ไม่น่าทำให้ผมเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดมันเป็นเพียงการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากสังคมรอบข้าง ที่มันไม่ได้มาจากความรู้สึกของผมจริงๆ
“ยังไงที่ลูกคิดว่ามันจะไม่สมบูรณ์”แม่ผมหันมาถามอย่างสบายๆ แต่ท่าทีของแม่ก็ทำเอาผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่าจริงๆ แม่คิดยังไงกับคำถามของผม
“ก็สมมติผมอาจจะอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน ไม่มีใครอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีหลานตัวเล็กๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้ม”ผมปรับการพูดให้ดูไม่จริงจังนัก แต่ยังอยากพยามจะหยั่งเชิงถึงบางอย่างว่าพ่อกับแม่ผมจะมีมุมมองกับสิ่งที่ผมกำลังตัดสินใจ ซึ่งมันก็เป็นแค่การตัดสินใจอีกรูปแบบนึงแค่นั้น
“พูดเหมือนมีใครอยู่ในใจ หรือกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า”พ่อผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับมาบ้าง แต่สิ่งพ่อผมถามมาจะว่ามันใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ได้ ความรู้สึก ณ ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรอใครไหม และหมายถึงปาร์ตี้ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่อีกใจผมก็รู้ว่าเค้าอยู่กับคนที่เหมาะสม และคนที่เค้าเลือกแล้ว อีกอย่างเค้าเองก็อาจไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก มันทำให้ผมแทบไม่มีหวังที่จะรอ หรือจะให้เข้าไปแทรกกลางระหว่างเค้าและคนของเค้ายิ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ
“หรือถ้าท้ายที่สุดคนที่ผมเลือกจะเดินเคียงข้าง ไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่จะผิดหวังไหมครับ”ผมไม่ได้ตอบคำถามของพ่อ แต่ตั้งคำถามกลับไป คำถามที่ผมยังยึดเอาปาร์ตี้มาเป็นส่วนประกอบของคำถาม ทั้งที่เรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันไม่ได้จะสามารถมาพัฒนาอะไรต่อได้อีกเลย
“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมต้องย้ำกับการที่คิดว่าแม่กับพ่อจะผิดหวังในตัวลูกขนาดนี้”แววตาสงสัยฉายชัดมาจากแม่ของผม บางครั้งผมก็คิดนะครับว่าหรือควรพูดตรงๆ กับท่านทั้งคู่ถึงความสัมพันธ์กับแต่ละคนของผม รวมทั้งปาร์ตี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แน่นอนผมยังค่อนข้างมั่นใจว่าท่านทั้งสองจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่
“เปล่าครับ ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเลยลองถามๆ ดู”ผมว่าคงต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจน่าจะดีกว่า ตั้งแต่เรื่องราวของผมกับน้องปลาตอนนั้นทั้งคู่ก็เสียใจกับการกระทำของผมมากพอแล้ว
“นี่แม่กดดันเรามากไปหรือเปล่า ชาร์ปฟังแม่นะ แม่ยอมรับว่าก็อยากมีหลาน อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ถามว่าถ้าไม่เป็นแบบนั้นแม่จะเสียใจไหม ผิดหวังไหม มันก็ต้องมีแหละ แต่ถ้าลูกแม่ตัดสินใจทำอะไร เลือกอะไรแล้วมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วยอยู่แล้ว ลูกจำไม่ได้เหรอตอนชะเอม ทีแรกแม่ไม่อยากยอมรับเค้า แต่เพราะลูกรักเค้า อยู่กับเค้าแล้วมีความสุข แม่ก็ยินดี หรือตอนถอนหมั้นกับน้องปลา ไม่เคยโทษลูกเลย ในเมื่อมันไม่ใช่ ก็ดีกว่าฝืนอยู่ด้วยกันไปแล้วมาเลิกราทีหลัง สรุปแม่แค่อยากเห็นลูกแม่มีความสุข ถ้าชาร์ปมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขแล้ว และไม่เคยผิดหวังในตัวลูกชายคนนี้เลย”ผมว่านี่ผมคงโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านทั้งคู่
“ขอบคุณนะครับแม่ พ่อด้วย”ผมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พร้อมกับคิดว่าจากนี้ผมต้องไม่ทำอะไรให้ทั้งพ่อและแม่เสียใจอีก
TBC
ตอนนี้อาจไม่มีอะไรมากนะครับ
แค่มาขยายให้เห็นว่าชาร์ปจะตัดสินใจต่อไปทางไหน
PART II บทที่ 17
คนแปลกหน้า
Aut’s Part
“เราเป็นแฟนกัน”ผมทวนประโยคเดิมอีกครั้งกับคนที่เค้าบอกกับผมว่าเค้าคือคนรักของผม แถมคนอื่นๆ ยังช่วยยืนยันว่ามันคือเรื่องจริง ตอนแรกผมยังคิดว่าทุกคนรวมหัวกันอำผมเสียอีก แต่พอได้รับการยืนยันจากคุณหมอ พร้อมด้วยผลสแกนสมองของผม มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ผมเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
“จากข้อมูลที่ได้ตอนนี้ อาการของคุณคือสูญเสียความทรงจำบางส่วน ถ้าจะพูดให้ชัดคือความความทรงจำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของคุณหายไปเกือบหมด สาเหตุก็เกิดจากตอนที่เกิดอุบัติเหตุคงมีการกระแทกที่ศีรษะ จากผลการสแกนสมองจะเห็นว่ามีเลือดออกในสมองนิดหน่อย แต่น้อยมากจนเกือบจะไม่เห็น”นั่นคือสิ่งที่คุณหมออธิบายให้ผมฟัง ผมได้แต่มึนๆ งงๆ กับเรื่องราวที่ได้รับฟัง ใครจะไปคิดว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้
“แล้วผมจะหายไหมครับ”สิ่งที่เป็นใครก็คงต้องถาม ว่าท้ายที่สุดไอ้เรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อเนี่ยมันจะยังมีปาฏิหารย์ขึ้นได้อีกหรือเปล่า
“โดยปกติแล้วการสูญเสียความทรงจำในลักษณะนี้ไม่ได้ทิ้งรอยโรคไว้ในสมอง ก็ถือว่ามีโอกาสที่จะหาย เพียงแต่อาจต้องใช้เวลา ซึ่งหมอเองก็ตอบไม่ได้ว่านานแค่ไหน 1 เดือน ครึ่งปี หรืออาจจะ 2-3 ปี 10 ปีมันเป็นไปได้หมด สมองคนเราบางทีก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ แต่บางครั้งก็อัศจรรย์จนเราคาดไม่ถึง”นี่ผมควรจะรู้สึกยังไงดี ไอ้ความทรงจำที่หายไปนี่มันมีอะไรสำคัญๆ บ้างละเนี่ย
“การฟื้นความจำก็คงต้องอาศัยคนใกล้ชิดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ พยายามอย่ากดดันให้นึกในสิ่งที่ยังจำไม่ได้ ควรหากิจกรรมที่แปลกใหม่ทำเพื่อเป็นการฝึกสมอง แต่ทั้งนี้ก็แทรกเรื่องราวเก่าๆ หรือรูปถ่ายให้ดูบ้างเพื่อเป็นการกระตุ้น”คุณหมออธิบายอะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังอีก บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าผมจะหาย เพราะชีวิตจริงมันคงไม่เหมือนละคร ที่หัวกระแทกความจำเสื่อม พอโดนกระแทกอีกทีแล้วจำได้ ซึ่งแน่นอนข้อนี้หมอก็ยกตัวอย่างให้ผมฟังเหมือนกัน และถ้าจะหายจริงๆ มันก็มีวิธีการรักษาที่ใช้ไฟฟ้าในการกระตุ้นสมอง ซึ่งในเคสของผม หมอไม่แนะนำ เพราะยังไงผมก็ยังมีความทรงจำที่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติ
“เราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบ 1 ปีไปไม่กี่วันนี่เอง”เสียงของอีกคนเรียกให้ผมหันไปสนใจเค้า ผมละความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหมอบอก และหยิบโทรศัพท์มือถือที่เค้ายิ่นมาให้ผม บนหน้าจอแสดงรูปคนสองคนพร้อมข้อความที่โพสต์ลงสู่โซเชียลเน็ตเวิร์คบอกว่าเป็นวันครบรอบอย่างที่เค้าบอกจริงๆ และในนั้นก็เป็นรูปผมกับเค้า ผมว่าจุดนี้แหละที่ดูจะเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตมากที่สุด ผมไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว และจากที่ฟังผมกับคนตรงหน้านี้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันแล้วด้วย
ผมมองหน้าเค้าอีกครั้งพยายามนึกให้ออก แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย ผมยอมรับนะครับว่าเค้าเป็นคนที่น่ารัก ถ้าผมไม่มีแฟนผมคงจีบเค้าแล้ว แต่ในความทรงจำที่ผมมีตอนนี้คือผมเป็นแฟนกับหนุ่ย แม้ผมกับหนุ่ยจะไม่ได้รักกันหวานหยดอะไรแต่ผมก็คงไม่คิดจะนอกใจคนที่ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนอยู่ ทว่าอยู่ๆ วันนึงผมกลับตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเลิกกับหนุ่ยแล้ว และมีอีกคนมาเป็นแฟน
“ผมกับคุณ...เอ่อ...ตี้ใช้ไหมครับ”เค้ามีสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ผม ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่กำลังไม่รู้จะเอายังไงต่อไป ผมที่ต้องมามีแฟนซึ่งเราเหมือนไม่รู้จักเค้าเลย กับเค้าที่มีแฟนที่จำเค้าไม่ได้ ขนาดชื่อเค้าผมยังต้องถามย้ำ ถ้าบอกว่าเราสองคนเป็นแฟนกันผมคงเป็นแฟนที่แย่มากเลยสินะเนี่ย
“เราสองคนมาคบกันได้ยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่านี่เค้ามาจีบผม หรือผมไปจีบเค้ากัน ส่วนหนึ่งก็อยากทำตามคำแนะนำของคุณหมอด้วยแหละครับ เผื่อว่าเรื่องราวในอดีตจะช่วยกระตุ้นให้ผมนึกอะไรออกบ้าง จริงๆ ผมอยากจะให้เค้าแนะนำตัวเองใหม่เลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้เค้าก็คือคนแปลกหน้าสำหรับผม เค้าเป็นใครมาจากไหนผมก็จำไม่ได้ ทำไมเราสองคนถึงมาเจอกันได้ หรือทำไมผมถึงเลิกกับหนุ่ย เค้ารู้จักหนุ่ยไหม ผมควรถามเรื่องหนุ่ยกับเค้าหรือเปล่า การถามเรื่องแฟนเก่าจากคนที่เป็นแฟนใหม่อาจจะดูเหมาะ ผมมีคำถามที่ตีกันอยู่ในหัวมากมายไปหมด
“เริ่มจากตรงไหนดีละ”เขาดึงเก้าอี้มานั่งที่ข้างๆ เตียงที่ผมนอนอยู่ ทำท่าครุ่นคิด พอได้สังเกตเค้าใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่น่ารักมากๆ เลยครับ เค้าไม่ได้บอบบางน่าทะนุถนอมอะไรแบบนั้นนะครับ จะว่าหล่อก็หล่อแหละครับ แต่ผมว่าเค้าน่ารักมากกว่า ดูบุคลิกต่างจากหนุ่ยอยู่มากเลยทีเดียว นี่ผมเปลี่ยนสเปคได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เท่าที่ผมจำได้ตอนที่คบกับหนุ่ยผมก็ไม่ได้มองใครอื่นอีกหรอกครับ แสดงว่าผมคงเลิกกับหนุ่ยไปสักพักแล้วค่อยมาคบกับเค้า
ผมพิจารณาใบหน้าเรียวของเค้าจนลืมไปว่ารอให้เค้าเล่าเรื่องการมาคบกันของเราอยู่ ผมเผลอมองริมฝีปากของเค้าที่ก็เกิดคำถามตามมาว่า ผมเคยสัมผัสริมฝีปากนั้นมาแล้วใช่ไหม หรือผิวหน้าเรียบเนียนของเค้านั้นผมเคยลูบไล้หรือเปล่า แล้วถ้าผมขอสัมผัสเค้าทั้งที่ผมยังจำเค้าไม่ได้นี่เค้าจะยอมหรือเปล่า หรือเค้าจะคิดว่าผมฉวยโอกาส แต่เราสองคนเป็นแฟนกันนี่นา แถมย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้ว เราคงไม่ใช่แค่นอนจับมือกันใสใสแบบวันแรกรุ่นหรอกมั้ง
“ถ้าเอาแบบรู้จักกันอย่างเป็นทางการก็คงเริ่มจากการที่เราเป็นลูกค้าอรรถ”เสียงของเค้าหยุดความคิดผมไว้ก่อนที่มันจะยิ่งไปไกลกว่านี้ เค้าเป็นลูกค้าผมงั้นเหรอ แสดงว่าคงเป็นโปรเจคที่ใช้ระยะเวลาพอสมควร ถึงทำให้ผมกับเค้าพัฒนาความสัมพันธ์มาจนถึงจุดที่ใช้คำว่าแฟนได้ ว่าแต่เค้าบอกว่ารู้จักอย่างเป็นทางการ แสดงว่าผมกับเค้าเคยเจอกันมาก่อนที่จะมาทำงานด้วยกันหรือยังไงกันนะ ผมกำลังจะเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เราทั้งคู่ต่างหันไปมองทางประตูว่าเป็นใคร เค้าไม่ได้ลุกไปดู เพราะการเคาะประตูในโรงพยาบาลแบบนี้ถ้าห้องไม่ได้ล็อคทุกคนก็คงเปิดเข้ามาเลยอยู่แล้ว
ผู้มาใหม่เป็นชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งผมไม่รู้จักแต่ดูเหมือนตี้จะรู้จักผู้มาใหม่ เพราะต่างกล่าวทักทายกัน ผมเดาว่าสองคนที่มานี้คงเป็นแฟนกัน และคงไม่ใช่เพื่อนผม แต่จริงๆ ตี้เค้าก็เหมือนรู้จักเพื่อนร่วมงานผมทุกคน แล้วถ้าคนที่ทำงานผมเพิ่งเข้ามาใหม่ในช่วงที่ความทรงจำผมหายไป นี่ผมก็จะจำเค้าไม่ได้ด้วยสินะ กลุ่มที่ผมเจอตอนฟื้นขึ้นมานั่นก็มีแต่คนเก่าๆ หรือสองคนนี้จะเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักไม่นาน
“เป็นไงบ้างครับคุณอรรถ”ชายหนุ่มผู้มาใหม่เข้ามาถามไถ่ผม จากสรรพนามที่ใช้ให้ผมเดาสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนตี้เสียมากกว่า
“นอกจากจำแฟนตัวเองไม่ได้ และก็นึกไม่ออกว่าเคยรู้จักพวกคุณ ที่เหลือก็ปกติดี”พูดจบแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ผมพูดจากวนเค้ามากไปหรือเปล่า อีกอย่างสีหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผมก็ยิ่งเจื่อนลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่จะให้ทำยังไงได้ละครับ ก็ในความรู้สึกผมตอนนี้ทั้งสามคนตรงหน้าดูเป็นใครก็ไม่รู้สำหรับผม ความหงุดหงิดเล็กๆ ในใจผมมันเลยส่งคำพูดที่ออกจะกวนบาทานิดๆ นั่นออกมา แล้วอีกอย่างกับตี้ถึงแม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่าเค้าน่ารัก แต่ความรู้สึกจริงๆ เค้าก็เป็นคนที่ผมเพิ่งรู้จักวันนี้ จะให้รักเค้ากะทันหันอย่างนี้ผมก็คงยังทำให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ แถมด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่ฝังในหัวผมตอนนี้คือผมเป็นแฟนหนุ่ย ถ้ารักกับตี้ตอนนี้ ผมก็จะรู้สึกว่านอกใจหนุ่ย นี่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะขอให้เค้าตามหนุ่ยมายืนยันกับผมต่อหน้าเสียด้วยซ้ำ ว่าระหว่างผมกับหนุ่ยมันจบไปแล้ว
“สงสัยคงต้องทำความรู้จักกันใหม่ ผมเหมาครับแล้วนี่ก็แพทแฟนผม เราสองคนเป็นเพื่อนกับปาร์ตี้”จากคำแนะนำตัวทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดว่าแฟนผมชื่อปาร์ตี้ ไม่ใช่ตี้เฉยๆ ส่วนสองคนที่เป็นเพื่อนเค้าเนี่ยผมรู้จักมักจี่พวกเค้าขนาดไหนกันนะ แต่ดูจากที่เพื่อนๆ ฝั่งผมดูรู้จักมักคุ้นกับปาร์ตี้มากพอสมควร ผมเองก็คงคุ้นเคยกับเพื่อนๆ ของเค้าเช่นกันแหละมั้ง แล้วแบบนี้ผมจะต้องเจอเพื่อนเค้าอีกหลายคนหรือเปล่าเนี่ย มันดูเป็นความรู้สึกที่ดูพิลึกพิลั่นเหมือนกันนะครับ ที่จะมีคนแปลกหน้ามาเยี่ยมเรา นี่ก็ไม่รู้ว่าหมอจะให้ผมอยู่นี่อีกกี่คืน
หลังจากเพื่อนของปาร์ตี้แนะนำตัวเสร็จก็เข้าสู่สเต็ปการเยี่ยมคนป่วยแหละครับ ส่งมอบของเยี่ยม ปลอบคนป่วยอวยพรให้หายไวๆ ซึ่งเค้าก็ทำถูกแหละครับไม่ได้ผิดอะไร แต่แค่ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะดีขึ้นอย่างที่พวกเค้าอวยพร นี่ไม่รู้เพราะอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดกว่าที่เคยเป็น ตอนนี้ทั้งสามคนพูดอะไรผมก็ได้แค่เออๆ ออๆ ไปผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจหรือคิดตาม บางแวปก็อยากให้เค้ารีบๆ กลับไปสักที ซึ่งนี่มันดูไม่ใช่อารมณ์ปกติหรือนิสัยของผมเลย ปกติผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนะครับ ยิ่งอาชีพการงานของผมแล้ว การมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับทุกๆ ดูจะมีผลดีกับอาชีพของผม และเท่าที่จำได้ผมก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด คงเพราะเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้แหละ ทำให้ผมมีอาการหงุดหงิดอย่างที่เป็นอยู่
ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แต่ไม่ได้ง่วงหรือจะนอนหรอกนะครับ แค่จะแกล้งหลับให้คนเยี่ยมไข้เกิดความเกรงใจและกลับไปสักที อีกอย่างที่หลับตานี่ก็เพื่อสงบสติด้วยแหละครับ ผมพยายามตัดสิ่งที่ทั้งสามกำลังพูดคุยออกไป แต่ใบหน้าของปาร์ตี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผม ใบหน้าที่ตกใจ และถามย้ำผมซ้ำไป ซ้ำมาว่าผมจำเค้าไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ครั้งแรกที่เค้ารู้ว่าผมจำเค้าไม่ได้ เค้าเหมือนจะร้องไห้ นั่นสินะเค้าก็คงเสียใจเป็นธรรมดา ที่ตอนนั้นผมจำทุกคนได้ยกเว้นเค้าซึ่งควรจะเป็นคนสำคัญที่สุดของผมด้วยซ้ำ เค้าคงรักผมอยู่มากทีเดียวแหละ แต่จากนี้ผมละ ผมจะรักเค้าได้เหมือนเดิมที่เคยรู้สึกกับเค้าหรือเปล่า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมรักเค้ามากขนาดไหนกันนะ มันจะเหมือนที่ผมเคยรู้สึกกับหนุ่ยหรือเปล่า ความคิดผมหยุดลงเมื่อภาพของหนุ่ยซ้อนทับเข้ามาแทนภาพของปาร์ตี้
“อ้าวเราก็คุยกันเพลินจนแฟนมึงหลับไปแล้วเนี่ย งั้นยังไงกูกลับก่อนดีกว่าเนอะ”ผมหันมาสนใจบทสนทนาของปาร์ตี้กับเพื่อนของเค้าอีกครั้ง โดยที่ยังไม่ได้ลืมตา นี่อีกเดี๋ยวเค้าก็คงกลับกันแล้วสินะ
“ยังไงก็ขอบใจนะมึงที่มาเยี่ยม แพทด้วย แล้วก็อย่างที่บอก ฝากบอกพี่วิชาญอีกรอบว่ากูขอเวลาดูอรรถเค้าก่อน แค่ถ้ามีงานด่วนอะไรก็สายตรงหากูได้ตลอดเดี๋ยวกูทำส่งไปให้”เสียงพูดคุยเหมือนกำลังห่างออกไป ผมค่อยๆ หรี่ตามองก็เห็นทั้งสามคนกำลังเดินไปทางประตู ผมค่อยๆ พ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก
“มึงโอเคแน่นะ ยังไม่ทันได้เคลียร์กันดีๆ ก็ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”ผมหูผึ่งในสิ่งที่กำลังได้ยิน ทั้งที่บทสนทนาเกิดขึ้นห่างจากผมออกไปพอควรด้วยคงไม่อยากให้ผมรับรู้ด้วยหรือเปล่า ว่าแต่มีอะไรต้องเคลียร์ หมายถึงเรื่องระหว่างผมกับปาร์ตี้หรือเปล่า
“เอาจริงๆ กูยอมให้เค้าทำตัวเหมือนเว้นระยะห่างกับกูแล้วกูมีตัวตนกับเค้า มันก็คงดีกว่าการที่กูกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเค้าไปแบบนี้”เว้นระยะห่างงั้นเหรอ ผมเนี่ยนะทำตัวเหินห่างกับเค้า แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องทำแบบนั้น ไหนว่าเราเพิ่งไปฉลองวันครบรอบกันมา ตกลงว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้ามันคือยังไงกันแน่ สถานการณ์ตอนนี้คือเรายังรักกันดีหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ แว่วมาจากจุดที่พวกเค้าคุยกัน คงเป็นปาร์ตี้ที่ร้องไห้ เค้าร้องเพราะผมจำเค้าไม่ได้ หรือว่ามีเหตุผลอื่นอีกที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อสักครู่ ที่ทำให้เค้าต้องร้องไห้ออกมา
“เข้มแข็งไว้สิวะมึง หมอก็บอกแล้วว่ามีโอกาสหาย”ความรู้สึกสับสนในหัวของผมพุ่งระดับสูงมากขึ้นไปอีก ถ้าผมจำเรื่องราวทั้งหมดได้เร็วๆ ก็ดีสินะ จะได้ไม่ต้องมาคิดมากให้ปวดหัวแบบนี้ เสียงพูดคุยเบาลง เหมือนเป็นการปลอบโยนของเพื่อนๆ เค้า ซึ่งผมฟังไม่ค่อยชัดแล้ว ผ่านไปสักพักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เพื่อนของปาร์ตี้คงไปแล้ว เสียงเท้าของเค้าเดินกลับมาหาผม และก็มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง
“เราสองคนยังรักกันดีอยู่หรือเปล่า”ผมยิงคำถามที่สงสัยออกไป โดยเป็นการบอกใบ้ว่าผมได้ยินในสิ่งที่เค้าคุยกับเพื่อน เค้าสูดหายใจเข้าฟอดใหญ่ก่อนจะเดินมาข้างๆ เตียง เค้าเอื้อมมือข้างหนึ่งมาประสานกับมือของผม ก่อนที่สายตาของเค้าจะประสานมาที่สายตาของผม
“บอกแล้วไงว่าเราสองคนเพิ่งฉลองวันครบรอบกันไป”เหมือนเค้าจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ผมก็ไม่ได้ค้านอะไรเค้า เค้าค่อยๆ ยกมือที่ประสานกับมือผมอยู่ขึ้นไปแนบที่ใบหน้าของเค้า ใบหน้าที่ตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเค้า เค้าคงรักผมมากจริงๆ สินะผมว่าผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เค้าไม่ยอมบอกกับผม
“ตลอดเวลาที่คบกันผมเป็นแฟนที่ดีไหม”แม้จะมั่นใจว่าตัวผมเองก็ทำตัวเป็นแฟนที่ดีทุกครั้งเวลาที่สร้างความสัมพันธ์กับใคร แต่สิ่งที่ผมได้ยินเค้าคุยกับเพื่อน มันทำให้ผมเขว เพราะในสิ่งที่เพื่อนเค้าพูดรวมถึงสิ่งที่ออกจากปากเค้า มันเหมือนกับว่าผมเองก็มีส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีปัญหา เค้าพยักหน้าแทนคำตอบ แถมด้วยน้ำตาของเค้าที่ดูเหมือนมันจะยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม โดยที่เค้าไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีก ผมค่อยๆ แกะมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเค้า ผมใช้สองมือของตัวเองปาดเช็ดน้ำตาบนหน้าเค้า แต่ยิ่งผมเช็ดเค้ากลับยิ่งร้องมากกว่าเดิมเสียอีก
“ผมทำให้คุณเสียใจบ้างหรือเปล่า”เค้าส่ายหน้าปฏิเสธคำถามของผม โดยที่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล
“งั้นการที่ผมจำคุณไม่ได้นี่คงเป็นเรื่องแรกสินะที่ผมทำให้คุณเสียใจ”ทั้งที่ตั้งใจจะปลอบเค้า แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงได้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันจะยิ่งไปตอกย้ำในสิ่งที่เค้ากำลังเสียใจอยู่ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เอื้อมมือดึงเค้าให้ซบลงมาที่ไหล่ของผม จากนี้ทั้งผมและเค้าคงต้องเจอเรื่องที่ยากลำบากอีกมาก และไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย
“อย่างน้อยการที่ผมจำคุณไม่ได้แต่ยังปลอดภัย มันก็คงดีกว่าการที่คุณไม่ได้เจอผมอีกเลย จริงไหม”
TBC
สงสารทุกคนเลย
:o12:
ขอบคุณทุกคนที่คิดตามเช่นเคยนะฮ่ะ
เรื่องราวจะอิรุงตุงนังกันยังไงต่อ รอติดตามกันนะคร๊าบ
PART II บทที่ 20
ยุ่งเหยิง
Sharp’s Part
“เอาตรงๆ นะกลิ้ง เราไม่ค่อยสะดวก อย่าหาว่าเสียมารยาทเลยนะ ยังไงเดี๋ยวเราเลี้ยงข้าวขอบคุณแทนวันหลังละกันนะที่มาส่งเนี่ย”พอรู้แหละครับว่าเจตนาของเค้าคืออะไร และผมคงต้องบอกกับเค้าตรงๆ แสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยจะได้ไม่เป็นการให้ความหวัง เพราะถ้าปล่อยไปมันก็จะเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย
“เท่าที่รู้ตอนนี้ชาร์ปก็ไม่มีใครนิ จะปฏิเสธเราทำไม เราไม่ได้ขอเป็นแฟนซะหน่อย แค่ขอนอนด้วย หมายถึงนอนค้างเฉยๆ ไม่ต้องมองแรงขนาดนี้ก็ได้”ดูเหมือนเค้าจะกำลังสนุกกับการกระทำทีเล่นทีจริงนี้ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเต็มที ทั้งเพลียทั้งง่วง นี่คงต้องรีบสลัดเค้าให้หลุดโดยเร็ว อาจจะดูเสียมารยาทหน่อย ก็อย่างที่บอกแหละครับ ว่าไม่อยากให้เค้ามามีความหวังอะไรในตัวผมอีก
“อย่าทำแบบนี้เลยกลิ้ง เราให้ได้แค่ความเป็นเพื่อนจริงๆ กลิ้งเข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อนที่เราบอกใช่ไหม”ผมย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียง สีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าจริงจังสุดๆ เมื่อก่อนเราสองคนอาจเคยใช้คำว่าเพื่อนที่มันดูไม่ปกติ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลาหรือถลำลึกกับผม มากไปกว่านี้อีกแล้ว
“โอเคๆ เรายอมแพ้ กลับก็ได้ แต่ว่าก่อนชาร์ปกลับภูเก็ตต้องเลี้ยงมื้อเย็นเรา มื้อนึงตกลงไหม”นั่นแหละครับกลิ้งถึงยอมกลับไปแต่โดยดี แต่ทั้งสีหน้า คำพูด รอยยิ้มของเค้าดูไม่ได้ยอมรับกับสิ่งที่ผมบอกสักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะผมอยู่นี่แค่ไม่กี่วัน ผมกับเค้าคงไม่ได้มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะเจอคนอื่นที่ดีกว่าผม หรือไม่ก็ให้เค้าเลิกหวังในตัวผมโดยไว
ทว่าการอยู่กรุงเทพฯ ไม่กี่วันของผมเนี่ยคงจะไม่ได้สงบสุขเป็นแน่ นี่กลิ้งเค้าได้นอนกี่ชั่วโมงกัน เมื่อคืนกว่าจะยอมกลับไปนั่นก็จะตี 2 อยู่แล้ว แถมเช้าวันนี้ผมตื่นมา ก็อาจไม่เรียกว่าเช้ามาก แต่เค้ามาจอดรถที่หน้าบ้านผมแล้ว หรือว่าเค้าไม่ได้กลับคอนโดกันแน่
“มาทำไรแต่เช้า หรือไม่ได้กลับ”หลังจากมองเห็นผ่านหน้าต่างว่าเค้ามาจอดรถหน้าบ้าน ผมเลยลงมาเปิดประตูพาเค้าเข้าบ้าน ผมตั้งคำถามพร้อมมองเค้าด้วยสายตาจับผิด แต่เค้ากลับยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย และผมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพชุดที่ดูจะหมิ่นเหม่นิดหน่อย ด้วยความที่อยู่คนเดียวผมก็ใส่แค่บอกเซอร์นอน นี่ก็แค่หยิบเสื้อกล้ามใส่ลวกๆ เดินลงจากห้องนอนมาเลยเพราะไม่ได้คิดอะไร แต่พอเจอสายตาจากกลิ้งที่มองผมอย่างมีเลศนัย ก็ทำเอารู้สึกแปลกๆ จนต้องดึงชายเสื้อตัวเองให้ต่ำลงอีกนิด
“วันนี้เราว่าง เห็นว่าชาร์ปจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล แล้วชาร์ปก็ไม่มีรถ เลยจะมาอาสาขับรถให้ไง”ดูท่าว่ากลิ้งจะไม่ยอมถอยง่ายๆ เสียแล้ว ไอ้ผมที่เพิ่งตื่นสมองก็ยังทำงานไม่เต็มที่ เลยไม่รู้จะแก้เกมเค้ายังไงดี นี่คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนละกัน
“งั้นก็ตามสบายแล้วกัน ขอเราไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวลงมา”ผมรีบกลับขึ้นชั้นสอง อาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอย่าเรียกว่าแต่งตัวเลย เพราะผมเลือกเสื้อผ้าชุดสบายๆ หัวก็ปล่อยให้ยุ่งๆ ไปแบบไม่ต้องเซ็ตอะไร กะว่าให้เป็นชุดที่ดูไม่พร้อมจะไปไหนต่อให้ มากที่สุด เพราะถ้ากลิ้งออกตัวมาขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่กะจะไปส่งผมโรงพยาบาลหรอกครับ คงกะพาผมไปที่อื่นต่อด้วยแน่ๆ
“ขอเราขึ้นไปคนเดียวแล้วกันนะ”เมื่อถึงที่หมายและเห็นว่ากลิ้งเหมือนจะตามผมไปด้วย ทั้งที่ตอนนั่งมาในรถผมก็บอกแล้วว่าให้เค้ามาส่งเฉยๆ เดี๋ยวผมนั่งแทกซี่กลับเอง แน่นอนว่ากลิ้งไม่ฟังผมหรอกครับ ตอนนี้อันดับแรกคงต้องไม่ให้เค้าตามผมขึ้นไปเยี่ยมคุณอรรถ จากนั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ผมก็คงไม่ขนาดแอบหนีเค้ากลับหรอกครับ อันนั้นก็จะดูแย่ไป
ยังดีที่กลิ้งยอมรอข้างล่าง ผมปลีกตัวเพื่อจะหาลิฟท์ขค้นไปยังห้องพักฟื้นตามที่เหมาได้บอกไว้ แต่พอเข้าตึกโรงพยาบาลมา ยังไม่ทันที่ผมจะหาลิฟท์เจอ สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นคนป่วยที่ผมกำลังจะมาเยี่ยม คุณอรรถนั่งคุยกับใครสักคน น่าจะพื่อนเค้าแหละครับ ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปทักไหม กลัวจะเป็นการเสียมารยาท แต่สังเกตุดูก็ไม่น่าจะคุยธุระสำคัญอะไร อีกอย่างถ้าขึ้นห้องไปตอนนี้ผมก็ไม่เจอคนที่จะมาเยี่ยม และอาจจะต้องอึดอัดกับการอยู่กับปาร์ตี้ 2 คน หรือถ้าปาร์ตี้ไม่อยู่ คุณอรรถก็น่าจะจำผมไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจว่าทักเค้าน่าจะดีกว่า
และก็จริงที่เค้าจำผมไม่ได้ แถมมองผมหัวจรดเท้าอีก รู้หรอกครับว่าไม่ได้แต่งตัวดี แต่เล่นมองกันแบบนี้ก็ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปเหมือนกันนะครับเนี่ย อีกอย่างการเข้ามาทักอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือของผม เหมือนจะสร้างความไม่พอใจให้คุณอรรถอยู่บ้างเหมือนกัน แล้วพอผมมาทักเพื่อนเค้าก็ขอตัวกลับเลย ทั้งที่เหมือนจะยังคุยกันไม่จบ
ระหว่างทางจากร้านกาแฟ ที่เดินคุยกันมา เรียกว่าผมพูดเป็นส่วนมากจะถูกกว่า ทั้งที่ฟังจากไอ้เหมามาบ้างแล้วแต่ก็ยังอดใจหายแทนปาร์ตี้ไม่ได้ ดูคุณอรรถจะไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับปาร์ตี้เลย รวมทั้งคนรอบข้างปาร์ตี้อย่างพวกผม แล้วแบบนี้ทั้งสองจะคบกันต่อยังไง ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงห้องพักฟื้นของคุณอรรถ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป คงเพราะเสียงเปิดประตูทำให้คนที่อยู่ในห้องอย่างปาร์ตี้ เดินมาดูพอดี เค้าดูชะงักเล็กน้อยที่เห็นผมมาด้วย เพราะผมเองก็ไม่ได้บอกไว้ก่อนว่าจะมาวันนี้
“หวัดดีตี้”ชัดเลยว่าอาการผมไม่ปกติ มันเหมือนทำตัวไม่ถูกที่มาเจอเค้า ทั้งที่คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้วแท้ๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณอรรถจะทันสังเกตุเห็นไหม นี่ผมก็รีบปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติอย่างเร็วแล้ว จริงๆ ตอนคุยกันมาผมก็มีหลุดพูดว่าห่วงปาร์ตี้ด้วยแหละครับ แต่เห็นว่าคุณอรรถก็ไม่ได้ทักท้วงหรือถามอะไรผม ผมเลยนิ่งๆ ไว้
“ไม่เห็นบอกว่าขึ้นมากรุงเทพฯ”เค้าเดินมาจูงมือคุณอรรถไปนั่งที่เตียง พร้อมพูดถามไถ่ผมไปด้วย
“พอดีมาต้องมาติดต่องานกะทันหัน เลยแวะมานี่แหละ”ผมจงใจโกหกออกไป เพราะถ้าบอกออกไปตรงๆ ว่าตั้งใจมานี่มันก็คงจะแปลกๆ อยู่สักหน่อย ทั้งในมุมของคุณอรรถและปาร์ตี้เองด้วย
“แม่เราฝากมาเยี่ยมด้วยนะ แถมฝากบอกอีกว่าให้ตี้กับคุณอรรถ ไปเที่ยวพักผ่อนที่โรงแรม มีการบอกจะเป็นสปอนเซอร์ให้ด้วย ยังไงถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ยินดีต้อนรับนะ คุณอรรถด้วยนะครับ”ผมบอกกับทั้งคู่ แต่ดูคุณอรรถจะยิ้มฝืนๆ ยังไงบอกไม่ถูกครับ หรือว่าเค้าอยากจะพักผ่อนกันละเนี่ย ผมเลยพูดคุยถามไถ่อาการอีกเล็กน้อย ก็กะว่าจะขอตัวกลับ
“ยังไงก็หายไวๆ แล้วกันนะครับ เอาใหม่ดีกว่า ยังไงก็จำปาร์ตี้ให้ได้ไวๆ นะครับ ถ้ามีโอกาสคงได้ไปดื่มด้วยกันเหมือนแต่ก่อน”ผมบอกก่อนจะขอตัวกลับ
“คุณไปส่งเพื่อนหน่อยดีกว่า ผมอยู่คนเดียวได้”ผมหันไปจะปฏิเสธ แต่คุณอรรถก็ยังยืนยันวันให้ปาร์ตี้เดินออกมาส่งผม ผมได้แต่หันไปยิ้มให้คุณอรรถอีกครั้ง ยิ่งได้ฟังสรรพนามที่เค้าใช้คุยกับปาร์ตี้ ยิ่งทำให้ผมนึกห่วงความรู้สึกของปาร์ตี้ ผมกับปาร์ตี้เดินคู่กันออกมาเงียบๆ เงียบจนเริ่มรู้สึกว่าจะอึดอัด
“ตี้/ชาร์ป”พอจะหาเรื่องคุยก็ดันพูดขึ้นมาพร้อมกันเสียนี่ ทั้งผมและเค้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กัน ผมเลยเปิดโอกาสให้เค้าเป็นฝ่ายพูดก่อน เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญจะพูดอยู่แล้ว ผมก็แค่หาเรื่องจะคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันดูอึดอัดก็เท่านั้น
“ยังไงก็ขอบใจอีกทีนะที่อุตส่าห์มา จริงๆ ไม่ต้องลำบากบินมาก็ได้ เราเกรงใจ”แม้น้ำเสียงจะดูจริงจังแต่ท่าทีของตี้เองก็ดูผ่อนคลายขึ้น ผมหันไปยิ้มจางๆ ให้เค้า แต่เค้าเองกลับหลบสายตาผมทำเป็นมองไปทางอื่น
“ไม่เป็นไรหรอก พอดีต้องมาติดต่องานด้วยแหละ”เค้าหันมามองผมเหมือนไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แน่ละก็ผมโกหกนี่นา เรื่องงานที่ผมใช้เป็นข้ออ้างยังไม่ได้มีแผนจริงจังอะไรเลยในตอนนี้
“แล้วนี่ไปติดต่องานมาแล้ว หรือจะไปติดต่องานด้วยชุดนี้ล่ะ”แล้วผมกับเค้าก็ต่างหัวเราะออกมา ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกจะไม่ปฏิเสธการคาดเดาของเค้า เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของเค้าผมก็แทบลืมทุกอย่าง บางทีการได้เห็นเค้ามีความสุข ผมก็คงเป็นสุขเช่นเดียวกับเค้านั่นแหละครับ
“แล้วเมื่อกี้ชาร์ปจะพูดอะไรเหรอ”เราเดินคุยกันจนมาใกล้จะถึงทางออกแล้ว จริงๆ เค้าไม่จำเป็นจะต้องให้เค้าเดินมาถึงนี่ แต่ผมก็ปล่อยให้เค้าเดินคุยมา เพราะผมเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่กับเค้าอีกสักนิด แม้จะเพิ่มมาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ
“เราแค่จะบอกว่าเราเอาใจช่วย ชีวิตคนเราก็คงต้องเจอบททดสอบที่ผ่านเข้ามากันทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น”ผมพยายามบอกเค้าด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดเพราะอยากให้เค้ารู้สึกดีขึ้น แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกล่าวลาจริงๆ สักทีเราเดินมาจนสุดทางแล้ว ผมและเค้าหยุดมองหน้ากัน ผมตัดสินใจก้าวเข้าหาเค้า ก่อนจะสวมกอดเข้าไปโดยที่เค้าไม่ทันตั้งตัว
“เข้มแข็งไว้นะ”ผมตบเบาๆ ที่ไหล่เค้า 2 ทีก่อนจะคลายอ้อมก่อน เค้าดูเหวอไปนิดๆ คงเพราะไม่คิดว่าผมจะกอด ผมโบกมือให้เค้าอีกครั้งก่อนจะหันหลัง เดินตรงไปยังจุดที่กลิ้งจอดรอผมอยู่ ผมไม่ได้หันกลับไปมองเค้าอีก และเค้าเองก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรกับผมอีกเช่นกัน ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ได้ ผมยังทำใจเป็นแค่เพื่อนกับเค้าไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันนึงผมจะทำได้
“คนนี้หรือเปล่าคือคุณหอมแดงของชาร์ป”แสดงว่ากลิ้งเห็นที่ปาร์ตี้เดินมาส่งผม และคงเห็นที่ผมกอดลานั่นแล้วด้วย แถมนับว่าเดาเก่งเสียด้วยว่าปาร์ตี้คือใคร หรือว่าผมแสดงออกชัดไปว่ารู้สึกยังไง เค้าเคยไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยาก ผมไม่ได้ตอบคำถามของกลิ้ง แต่เปลี่ยนเป็นบอกจุดหมายปลายทางต่อไปของผมให้เค้ารู้แทน
“เค้าก็ดูปกติดีนิ ไหนว่าป่วย”กลิ้งยังคงวนเวียนกับคำถามเดิม และคิดว่าต่อให้ผมเลี่ยงยังไงเค้าก็คงต้องถามผมเช่นเดิมแน่ๆ
“แฟนเค้าโดนรถชน”ผมตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้
“อย่างงี้นี่เอง”กลิ้งพูดเหมือนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดีแล้ว ผมเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยเลือกที่จะเงียบ จุดหมายปลายทางของผมต่อไปคือบ้านไอ้เหมา ที่จริงวันนี้ก็เป็นวันทำงานของมันนะครับ แต่เห็นว่าใกล้สิ้นปีแล้ววันหยุดเหลือก็เลยลาอยู่บ้านเฉยๆ ทีแรกมันก็ว่าจะไปเจอผมที่โรงพยาบาลแหละครับ แต่ผมอยากใช้มันเป็นตัวสลัดกลิ้งเลยให้มันรออยู่บ้าน เพราะคิดว่ากลิ้งคงไม่ถึงขนาดจะเฝ้าผมที่บ้านของไอ้เหมาหรอกครับ
“ตกลงใครมาส่งมึงว่ะ ทำไมมึงต้องทำหน้าเหมือนหนีผีมาขนาดนี้”ไอ้นี่ก็ปากหมาพูดซะผมดูแย่เลย อีกอย่างกลิ้งก็ไม่ได้เหมือนผีสักหน่อย นี่ผมต้องยืนยันนะครับว่าจะไม่เบี้ยวนัดเลี้ยงข้าวเค้าเย็นนี้ถึงยอมถอยทัพกลับไปตั้งหลัก ส่วนผมนะเหรอครับ คาดว่าเย็นนี้ต้องลากไอ้เหมาไปเป็นไม้กันหมาด้วยแหละครับ ไม่งั้นคืนนี้ผมไม่รอดแน่นอน ผมรีบบอกไอ้เหมาว่าไม่ต้องรีบร้อน ยังไงซะคืนนี้มันก็ต้องได้รู้จักกลิ้งอยู่แล้ว
“แล้วไปเยี่ยมแฟนไอ้ตี้มาเป็นไงมั่ง”ผมอธิบายรายละเอียดตั้งแต่กลิ้งไปรับผมที่บ้านมาส่งโรงพยาบาล เจอคุณอรรถนั่งคุยกับเพื่อน อ๋อผมเพิ่งรู้จากไอ้เหมาว่าเพื่อนคุณอรรถที่ชื่อหนุ่ยคือ แฟนเก่าของคุณอรรถที่ตอนนี้เช่าบ้านคุณอรรถอยู่ ก็ดูมีความซับซ้อนอยู่เหมือนกัน แถมที่ไอ้เหมาเคยเล่าให้ฟังด้วยว่าเคยเห็นคุณอรรถกับแฟนเก่าไปนั่งดื่มด้วยกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ปาร์ตี้เคลียร์กับคุณอรรถไปรึยัง
“ไอ้เชี่ยแว่นนี่มึงไปกอดแฟนเค้าแล้วเค้าจะไม่คิดว่ามึงเป็นชู้กับแฟนเค้ารึไงว่ะ”แต่พอผมเล่าถึงช่วงท้ายๆ ไอ้นี่ก็เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์มาเลยครับ
“มึงฟังกูไหมเนี่ยไอ้บ้า กูบอกแล้วไงว่ากอดให้กำลังใจแบบเพื่อน อีกอย่าง กูไปกอดต่อหน้าเค้าที่ไหนกันล่ะ”ผมว่าผมก็บอกชัดไปแล้วนะครับว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง โอเคผมอาจจะยังไม่ได้กอดแบบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจเต็มร้อย แต่ผมก็ยังไม่ได้ขนาดจะคิดให้เค้าสองคนมีปัญหาหรอกนะครับ
“เออๆ ว่าแต่มึงจะอยู่กี่วันเนี่ย นี่ๆ มึงรอเดี๋ยว นี่กูเตรียมของไว้ต้อนรับมึงด้วย”ไอ้เหมาหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วเบียร์วุ้น ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมบอกว่าแก้วเบียร์วุ้น ถ้านึกไม่ออกนะครับว่าแก้วเบียร์วุ้นเป็นยังไง ให้นึกถึงแก้วที่มีโลโก้เบียร์แล้วใส่น้ำที่ก้นแก้วแช่ช่องฟรีซ ให้ที่ก้นแก้วเป็นน้ำแข็งนั่นแหละครับ ตามด้วยการแช่เบียร์ให้เย็นมากๆ เช่นกันทีนี้ตอนเปิดขวดก็ใช้เหรียญเคาะที่ก้นขวด ตอนเทออกมาเบียร์ก็เป็นวุ้นพร้อมดื่มอย่างเย็นชื่นใจ แต่ว่าคนธรรมดาที่ไหนเค้าทำกันละครับแบบนี้
“มึงนี่เข้าขั้นแอลกอฮอลิซึ่มไหมเนี่ย ถึงขั้นทำขนาดนี้”ผมบอกมันพร้อมส่ายหน้าหน่ายๆ อีกอย่างนะครับ ดูเวลานี่ยังไม่เที่ยงเลยด้วยซ้ำ ละมันชวนผมดื่มตั้งแต่ตอนนี้เนี่ยนะ
“ดื่มให้กับความโสดของกู”จากที่ตอนแรกผมยังคิดจะห้ามไอ้เหมานะครับ แต่ตอนนี้ผ่านมาจนบ่ายคล้อย เรียกว่าเย็นแล้วจะถูกกว่าครับ ผมกับไอ้เหมาพลัดกันดื่มไปแก้วแล้วแก้วเหล้า แต่ดูเหมือนเบียร์มันผุดขึ้นมาเองรึไงไม่รู้ ดื่มไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด นี่ไอ้เหมามันเหมาเบียร์มาทั้งห้างหรือไงเนี่ย
“แต่ของกู ดื่มสละโสดโว้ยยย”ไอ้เหมาบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ เพราะเริ่มเมามากแล้ว คิดๆ แล้วก็ชักอิจฉามันอยู่นะครับ จากที่ตอนแรกเหมือนผมจะเป็นคนได้แต่งงานก่อน แต่สุดท้ายผมอาจจะไม่ได้แต่งเลย ส่วนไอ้เหมากับแพทจะแต่งในอีกไม่ช้านี้
แล้วผมกับไอ้เหมาก็ดื่มกันจนเรียกว่าเมาหัวราน้ำแล้วครับ ตอนนี้แทบจะไม่มีสติอยู่แล้วครับ นี่ผมไม่ได้เมาแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะเนี่ย ทีแรกก็ว่าจะไม่ดื่มมากมายอะไรขนาดนี้นะครับ แต่พอเริ่มสตาร์ทแถมด้วยหลายๆ เรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ยิ่งได้พูดได้คุยกับไอ้เหมา เราทั้งคู่ก็ดันยิ่งดื่มกันเพลิน
“ทำไมเละเทะกันขนาดนี้เนี่ย”เสียงของแพทแว่วๆ ออกมาเพราะผมเมาจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว และดูเหมือนไอ้เหมาเองก็สภาพไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่ นี่แพทจะโมโหหรือเปล่าเนี่ย ที่ไอ้เหมาลางานมาสำมะเลเทเมากับผมเนี่ย
“แบบนี้ไม่น่าจะไปทานข้าวกันได้แล้วละค่ะ”นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีก
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาด้วยความมึนๆ รู้สึกหนังตามันหนักเหลือเกิน ไม่น่าดื่มหนักขนาดนั้นเลย แต่เดี๋ยวก่อนทำไมฝ้าเพดานบ้านไอ้เหมามันเหมือนบ้านผมจังเลยเนี่ย ผมค่อยๆ กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง นี่มันห้องนอนที่บ้านผมนี่นา แล้วผมกลับมาที่นี่ได้ยังไง แถม
“เฮ้ย”ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้นเลย ใครมาส่งผมละเนี่ย แล้วถอดเสื้อผ้าผมทำไม จะว่าไอ้เหมาก็ไม่น่ามีสติพาผมมาถึงบ้านได้ จะว่าแพทก็คงแบกผมไม่ไหว แล้วนี่มาถึงบ้าน ผมละเมอถอดเสื้อผ้าตัวเอง หรืออะไรเนี่ย งงไปหมดแล้ว แต่ความสงสัยของผมก็กำลังจะได้รับคำตอบ เพราะประตูห้องน้ำเปิดออกมาพร้อมกับ
“กลิ้ง”ผมรู้สึกใจหายแว๊ปขึ้นมาทันที นี่มันคงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นอย่างที่ผมกำลังคิดใช่ไหม กลิ้งเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ และอยู่ในสภาพที่หมิ่นเหม่ ไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะตัวเค้าก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันกายอยู่เพียงผืนเดียว
“เมื่อคืน...เราสองคน”ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างอยู่ในถังขยะข้างๆ เตียง
“เราสองคนมีเซกส์กัน”สมองผมตื้อขึ้นมาแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากกลิ้ง
TBC
ถ้าคิดว่าที่ผ่านมามันยุ่งยากแล้ว
ขอบอกว่าคุณคิดผิดฮ่ะ :a5:
PART II บทที่ 23
ช่างมันเถอะ
Aut's Part
“อรรถ อรรถ”ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เค้าพยายามหาเรื่องมากมายมาคุยกับผม แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอยากคุยอะไรกับเค้าสักเท่าไหร่ นี่ผมก็กำลังคิด คิดว่าผมเคยชอบ หรือเคยรักผู้ชายคนนี้เพราะอะไร ครั้งแรกที่ผมรู้จักเค้า เค้าเป็นแบบนี้ไหม ทำไมผมถึงไม่สนใจเค้าในแบบนั้นอีกครั้ง นี่ก็ 1 เดือนมาแล้ว 1 เดือนที่ผมประสบอุบัติเหตุ 1 เดือนที่ผมต้องมาทำความรู้จักเค้าใหม่
วันนี้เค้าชวนผมมาทานข้าว หลังจากที่ปฏิเสธเค้ามาหลายครั้ง จะปฏิเสธอีกก็คงจะไม่ได้แล้ว ผมพยายามแล้วที่จะนึกเรื่องราวระหว่างเค้ากับผมให้ออก แต่ 1 เดือนที่ผ่านมานี่มันดูไม่มีวี่แววอะไร จนผมเริ่มจะถอดใจแล้วจริงๆ ทีแรกผมก็ยังมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับตัวเค้าอยู่บ้าง แต่มันคงไม่สำคัญอะไรอีกแล้วเพราะผมคงไม่มีวันจำได้ แล้วถ้าให้ผมกลับไปคบกับเค้าทั้งที่ผมยังจำเค้าไม่ได้ ผมก็คงยังทำแบบนั้นไม่ได้
“ผมว่าเราคงต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเสียที”ผมบอกออกไปเสียงเรียบ เค้าเองดูมีสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วค่อยๆ พ่นลมออกมา มันก็ลำบากใจเหมือนกันนะครับที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ แต่ผมก็ยังไม่เห็นทางที่ดีกว่านี้ เค้าเองยังนิ่งรอฟังสิ่งที่ผมจะพูด
“เราสองคนลดสถานะลงมาเป็นเพื่อนกันเถอะ”เค้าดูจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่นัก อาจคงเพราะการกระทำของผมเองในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี่มันก็คงชี้มาทางนี้อยู่แล้วด้วยมั้งครับ แม้ตัวเค้าจะพยายามทำตัวในแบบที่คู่รักพึงจะทำ แต่สำหรับผม เรียกว่าทำตรงข้ามกับเค้าแทบทุกอย่าง นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนี้ ผมว่ามันคงไม่แฟร์กับเค้าที่จะต้องรอผม ที่ไม่รู้จะจำเค้าได้เมื่อไหร่ หรือผมจะรักเค้าอีกครั้งได้ไหม ผมรู้สึกนะครับว่าเค้าเองก็พยายามมากทีเดียว แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรนี่สิ แล้วจะให้ฝืนความรู้สึกผมก็ทำไม่ได้นี่สิ
“มันต้องจบแบบนี้จริงๆ เหรอ”เค้าเบือนหน้าหนีผม แล้วค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นเหมือนพยายามกลั้นน้ำตา นี่เล่นเอาผมชักจะรู้สึกผิดขึ้นมาแล้วสิเนี่ย ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ผมว่าเราทั้งคู่ฝืนกันไปอย่างนี้ได้ไม่นานหรอก
“ผมรู้ว่า มันไม่ควรจบแบบนี้ เอางี้ถ้าวันนึงผมจำคุณได้ และคุณยังอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผมเราค่อยกลับมาคบกันเหมือนเดิม”ถ้าพูดกันตามตรง ผมก็ไม่คิดว่าผมจะได้ความทรงจำช่วงนั้นกลับมาหรอกนะครับ แต่พอเห็นสีหน้าของเค้าแล้วมันทำให้ผมต้องพูดออกไปแบบนั้น
“รู้ไหมตอนรู้จักกันทีแรก เราเป็นคนปฏิเสธอรรถ แต่อรรถบอกกับเราว่าจะทำให้เราเปิดใจกับอรรถให้ได้ แล้วอรรถก็ทำได้จริงๆ แต่พอถึงตาที่เราต้องทำให้อรรถเปิดใจ เรากลับทำมันไม่ได้”น้ำเสียงของเค้าดูเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที ถ้านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผม สุดท้ายถ้ามันจะส่งผลยังไงตามมา ผมก็ยินดีที่จะยอมรับมัน
“รู้ไว้เถอะว่าคุณเองทำดีที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ถ้าคุณเชื่อว่าผมจะจำคุณได้ คุณก็แค่รอให้ถึงวันที่ผมจะจำคุณได้ แต่ถ้าคุณรอไม่ไหว ผมก็จะไม่โทษคุณเลย”ผมว่าผมจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของผมในวันนี้ เพราะผมเป็นคนเลือกมันเอง ตอนนี้ผมยังมั่นใจว่าผมไม่มีวันจำเรื่องราวที่ขาดหายไปได้ แต่ถ้าเกิดวันนึงผมจำได้ขึ้นมา ผมก็จะไม่เสียใจที่เลือกแบบนี้
“เฮ้อ...ที่จริงเราอาจจะเป็นคนผิดตั้งแต่แรกก็เป็นได้”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ”ผมถามพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจเค้า แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกกับเค้าอย่างที่เค้าต้องการ หรืออย่างที่ผมเคยรู้สึกแล้วจำไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่า ที่เรื่องราวทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะความผิดของเค้า
“ช่างมันเหอะ...เอาเป็นว่าจากนี้เราสองคนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันใช่ไหม”เขาหันมาสบตาผม พร้อมรอยยิ้มที่ออกจะดูฝืนๆ สักหน่อย ผมเอื้อมมือไปกุมมือของเค้าเป็นการปลอบใจ นี่คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดแล้ว
“เพื่อนกันจนกว่า...ผมจะจำคุณได้”แม้ผมจะไม่เชื่อว่าจะมีวันนั้น และผมเชื่อว่าการพูดอย่างตรงไปตรงมามันคงดีกว่า แต่ว่าบางทีการโกหกให้อีกฝ่ายสบายใจมันก็คงไม่แน่จนเกินไปนัก
“จนกว่าอรรถจะจำเราได้”และนั่นคือการจบความสัมพันธ์ อีกครั้งของผม ผมกับเค้าแยกย้ายกันกลับ แต่ทั้งที่ผมเป็นคนเลือกเอง ทำไมพอกลับมาบ้านมันถึงได้มีความกังวลใจแปลกๆ แบบนี้กันนะ มันเหมือนมีอะไรค้างคาสักอย่างอยู่ในใจ มันคืออะไรกันนะ ผมนั่งจ้องข้อความต่างๆ ที่เคยสนทนากับเค้า นิ้วผมแตะที่หน้าจอแล้วเลื่อนไปทางซ้าย
“delete”ปุ่มสีแดง แสดงข้อความขึ้นมา ผมชั่งใจอยู่พักนึงก่อนจะค่อยๆ แตะนิ้วลงบนคำนั้น ในเมื่อสมองผมมันลบเค้าออกไปหมดแล้ว ผมเองก็ตัดสินใจพักความสัมพันธ์กับเค้าแล้ว ผมคงไม่ต้องเก็บข้อความต่างๆ พวกนี้เอาไว้อีก
“เป็นไรอ่ะ หน้าจ๋อยเชียวแล้วนี่ไปดินเนอร์มาเป็นไงบ้าง”หนุ่ยที่เพิ่งเข้าบ้านมาเอ่ยทักผม ในมือหอบของพะรุงพะรังก่อนจะวางลงที่โต๊ะตรงหน้าผม เห็นว่าวันนี้ไปคุยงานกับลูกค้า จากที่เห็นไอ้ของที่วางมีไวน์อยู่ด้วย 2 ขวด ถ้าจะให้เดาไม่ได้งานใหญ่มา ก็คงไม่สบอารมณ์กับลูกค้าจนต้องกลับมาดื่มสงบสติอารมณ์ตามนิสัย ซึ่งดูจากสีหน้าผมว่าอย่างหลัง
“หอบไวน์กลับมาแบบนี้ ไปทะเลาะกับลูกค้ามาอีกไหมเนี่ย”ผมถามออกไปขำๆ แกล้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เค้าเอ่ยถามผมก่อน
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาว แต่เอาเรื่องดินเนอร์ของอรรถก่อน เล่ามาๆ”อาการแบบนี้รู้เลยครับว่าเค้าเองก็มีเรื่องกังวลใจเหมือนกัน นิสัยเค้าดูไม่เปลี่ยนเท่าไหร่เลย พยายามทำตัวร่าเริง กลบเกลื่อนความกังวลเอาไว้ เค้าเดินเข้าครัวไปก่อนจะออกมาพร้อมแก้ว 2 ใบ เค้าจัดการเปิดไวน์อย่างคล่องแคล่ว รินอย่างชำนาญ ผมยังคงจับจ้องการกระทำของเค้าอยู่เงียบๆ เช่นเดิม
“เล่าดิ รออยู่นะเนี่ย หน้าจ๋อยขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่”แก้วไวน์ถูกส่งมาให้ผม โดยไม่ได้รอความเห็นของผมเลยว่าผมอยากดื่มหรือเปล่า
“เลิกกันแล้ว”ผมรับแก้วไวน์และบอกเสียงเรียบ
“ถามจริง”เค้าถามเสียงสูง ทำหน้าตกใจจนเกินจริง เกินไปจนรู้ว่าแกล้งทำ
“ไม่เนียนๆ”ผมยื่นแก้วไปชนกับเค้าพร้อมบอกขำๆ เค้าดูไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่ผมบอกเลยสักนิด ตรงกันข้ามเหมือนคิดไว้อยู่แล้วมากกว่าว่ามันจะเป็นแบบนี้
“ฮ่าๆ เราสองคนก็รู้จักกันมาพอที่จะจับทางอีกคนได้แล้วละน่า ดูอาการอรรถช่วงนี้ก็พอเดาออกแหละ ว่าจะตัดสินใจยังไง”มันก็จริงของเค้า มันไม่ได้มีแค่ผมที่อ่านเค้าออก เค้าเองก็อ่านผมออกเช่นกันสินะ ผมส่งแก้วเปล่าให้เค้ารินไวน์เพิ่มอีก
“หนุ่ยว่าอรรถ ตัดสินใจถูกไหม”แม้จะรู้ว่าหนุ่ยเองก็มีเรื่องกังวลใจ แต่ในเมื่อเค้าเปิดโอกาสให้ผมได้ระบายเรื่องราวก่อน ผมก็ควรเคลียร์ประเด็นของผมให้จบไปเลย ยังไงเสีย ผมก็มีเวลาคุยเรื่องของหนุ่ยต่อได้ทั้งคืน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของผมอยู่แล้ว ส่วนหนุ่ยเองจากการที่ถือไวน์กลับบ้านมาขนาดนี้คงไม่ได้กะจะนอนเร็วนักหรอกครับ
“มันไม่มีถูกมีผิดหรอก มันก็แค่เลือกในสิ่งที่ตัวเราเองรู้สึก นี่ก็ชีวิตอรรถถ้าอรรถตัดสินใจเลือกแบบนี้ จะให้เราตัดสินว่าถูกหรือผิดมันก็คงไม่ใช่ จริงไหม”เลือกในสิ่งที่เรารู้สึกงั้นเหรอ ผมพยักหน้าเหมือนเข้าใจในสิ่งที่เค้าบอก
“โอเค อรรถไม่ควรต้องกังวลกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วสินะ”ผมชูแก้วยกขึ้นดื่มอีกครั้ง เป็นอันส่งสัญญาณว่าเรื่องของผมจบแล้ว เราจะได้ไม่ต้องเอามาพูดถึงกันอีก
“อรรถนี่ไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”ไม่เปลี่ยนงั้นเหรอ เราหันสบตากันแวปนึงก่อนที่ต่างคนจะต่างหลบตากัน แล้วอยู่ๆ ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน
“เออ แล้วตกลงไปคุยงานมาเป็นไงเนี่ย”ผมรีบนึกหาบทสนทนาทำลายความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา จริงๆ พักหลังมันก็มักจะมีจังหวะชะงักแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ทั้งผมและหนุ่ยเองเลือกจะลืมๆ มันไปไม่พูดถึง ต่างคนต่างทำเหมือนว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน
“ก็...ยังไงดีละ ลองทายดูไหม”ทั้งผมและเค้าเริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไร
“อืมม ไวน์ 2 ขวดนี่คงลูกค้ารายใหญ่ แต่ลูกค้ารายนี้คงเป็นคนเรื่องมากไม่น้อย หนุ่ยคงอยากเหวี่ยงและไม่รับงานให้รู้แล้วรู้รอด แต่คาดว่าคงเงินดีเลยทนทำต่อ”ผมลองวิเคราะห์ สายตาก็ยังมองที่คนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ครั้งนี้หนุ่ยไม่หลบสายตาผม แต่เค้ามองกลับมาอย่างท้าทาย เหมือนไม่ยอมแพ้ นี่ผมเริ่มชักสงสัยแล้วว่าตกลง เราสองคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“ถูกแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว จะว่ายังไงดีล่ะ”หนุ่ยเว้นจังหวะการพูดยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ทำท่าคิด ผมเผลอยิ้มออกมากับอาการของเค้าดูเค้าจริงจังมากกับการจะอธิบายให้ผมฟังว่าลูกค้าเค้าเป็นยังไง
“ถ้ามันพูดอยากขนาดนั้น เปิดไวน์อีกขวดก่อนค่อยพูดกะได้นะ”ผมแกล้งแหย่อย่างไม่ได้จริงจังนัก แต่นี่เราสองคนดื่มกันไปขวดนึงแล้วเหรอนี่ เหมือนเพิ่งนั่งคุยกันเอง นี่เราดื่มกันเร็วไปหรือเปล่า หนุ่ยเองก็เพิ่งเห็นว่าไวน์หมดไป 1 ขวดแล้ว
“งานนี้เป็นงานที่จะส่งผลกับอีกหลายๆ งาน ถ้างานออกมาดีลูกค้าชอบก็จะมีงานเข้ามาอีกหลายชิ้น แต่ไอ้ลูกค้าคนนี้กวนโมโหมาก คือถ้าเรื่องเยอะกับงาน จะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ชอบมาเยอะใส่แบบไร้สาระ เวลาเจอนะแทบอยากจะอยากเอาแฟ้มฟาดหน้าสักที แต่ต้องอดทน ท่องไว้ว่านั่นลูกค้า โอ้ยพูดแล้วขึ้น ชนๆ”นั่นไงจะไม่ให้ไวน์มันหมดเร็วได้ยังไงกัน เอะอะชน เอะอะชนอยู่นี่แหละ
“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนอรรถว่าหนุ่ย ฟาดไปแล้วม้าง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน”เท่าที่จำได้นะครับ คบกันแรกๆ หนุ่ยทำงานเหมือนเป็นงานอดิเรกเสียมากกว่า เงินก็มีที่บ้านช่วยซัพพอร์ทตลอด แต่เท่าที่ฟังตอนนี้เหมือนเค้าจริงจังมากขึ้น
“ตอนนี้ไม่อยากใช้ตังค์ที่บ้านแล้วอ่ะ เบื่อฟังเค้าบ่น แค่ทนลูกค้างี่เง่านิดหน่อย ทนแล้วได้เงินก็ทนแหละ นี่กะว่าถ้าอยู่ตัวแล้วจะเลิกใช้ตังค์ที่บ้านละ”เค้าดูโตขึ้นนะเนี่ย มันสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่บ้าง แต่จริงๆ ช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป หนุ่ยเองก็คงไปเจออะไรมาไม่น้อย กว่าจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง เค้าก็คงมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างแหละ
“มาๆ เอาแก้วมา รีบดื่ม รีบเมา รีบนอน พรุ่งนี้จะได้รีบปั่นงานให้เสร็จไวๆ”เค้าเอื้อมมือมาหยิบแก้วในมือผมไปรินให้อีกรอบ
“เฮ้ย โทษที”ผมรีบลุกจากโต๊ะเพราะเค้าทำแก้วไวน์หก ไวน์ไหลมาที่ผมเต็มๆ ดีที่ไม่โดนกางเกงเปียก แต่เสื้อนี่โดนเต็มๆครับไม่รอด เพราะพอแก้วลม วิถีการกระเด็นมันมาที่ผมโดยตรงเลย
“เมาป่ะเนี่ย มือไม้อ่อนเชียว”ผมแซวออกไปขำๆ ส่วนคนต้นเหตุรีบลุกหาทิชชู่มาเช็ดให้ผม ปากก็บอกแต่ขอโทษๆ ผมได้แต่ขำท่าทีของเค้า แค่เสื้อโดนไวน์แค่นี้จะเป็นไรไป แถมนี้อยู่บ้านก็แค่ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จบแล้ว ผมปล่อยให้เค้าเช็ดไป แต่เหมือนเค้าจะเข้ามาใกล้ผมมากเกินไป ตอนนี้ผมว่าเราสองคนยืนชิดกันเกินไปแล้ว
“เสร็จ...เสร็จแล้ว”และตัวหนุ่ยเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผมเผลอจ้องหน้าเค้าโดยไม่รู้ตัว สายตาผมดันจับจ้องที่ริมฝีปากของเค้าที่กำลังจะขยับพูดบางอย่าง
“ไปเปลี่ยนเสื้อไหม”เค้าก้าวถอยห่างออกจากผม แต่อาการตึงๆ จากการดื่มไว้ไปเกือบ 2 ขวดของเราทำให้ผมก้าวเดินตามการถอยของเค้า หนุ่ยถอยหลังได้ไม่ถึงสองก้าวเต็มด้วยซ้ำ หลังเค้าก็ชนกับขอบโต๊ะแล้ว
“เป็นไรเนี่ย ตกลงใครเมา ทำไมอรรถดูแปลกๆ นะ เมาป่ะเนี่ย แล้วนี่จะทำอะไร”เค้าเงยหน้าขึ้นมาและพยายามพูดให้เหมือนปกติ ทั้งที่จริงๆ ตัวเค้าเองก็รู้แหละว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติแล้ว
“ก็แค่กำลังเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก”ทันทีที่พูดจบผมก็กดริมฝีปากของผมเอง ลงที่ริมฝีปากของอีกคน ไม่รู้เพราะความเมา ที่จริงๆ ก็ไม่ได้เมากันขนาดนั้น หรือความเหงา ความใกล้ชิด ความเผลอไผล ไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่จูบ แล้วทุกอย่างมันก็จบลงที่ห้องนอนของผม จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็คงไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่รอบเดียว มันดันมีรอบสองตามมา แต่พอหลังจากแอลกอฮอล์ในร่างกายเริ่มเจือจางลงไป บรรยากาศระหว่างเราสองคนมันก็
“คือ...”ผมคิดไม่ออกว่าผมจะพูดอะไร ผมเพิ่งเลิกกับแฟน ยังไม่ข้ามวันด้วยซ้ำ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่ เพราะเป็นแฟนที่ผมเองจำเค้าไม่ได้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ แม้มันจะเกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจของเราทั้งคู่ แล้วจากนี้ความสัมพันธ์ของเรามันจะยังไงต่อ เราคือแฟนเก่าของกันและกัน คือเพื่อนในตอนนี้ หนุ่ยเองก็เคยบอกกับผมว่าไม่คิดจะกลับมาคบกับผม
“มันก็แค่เซกส์ เราทั้งคู่ก็อาจจะห่างมันมาสักพัก และเราอาจจะแค่อารมณ์เปลี่ยว แค่นั้นจริงไหม”หนุ่ยที่นั่งหันหลังให้ผม พูดออกมาเสียงเรียบ เค้าเอื้อมมือไปหยิบบางอย่างที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ที่เดิม
“ช่างมันเถอะ คิดเสียว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นแล้วกัน”ผมเหมือนเป็นใบ้ที่พูดไม่ออก ได้แต่มองหนุ่ยหยิบเสื้อผ้าใส่ลวกๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ผมมองตามจนประตูปิด ก่อนจะหันกลับมา สายตามองไปที่ตรงจุดหนุ่ยนั่งเมื่อสักครู่ ผมรู้แล้วว่าสิ่งที่เค้าหยิบมาดูมันคืออะไร กรอบรูปที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียง ในรูปนั้นคนนึงคือผม ส่วนอีกคนคือคนที่ผมเพิ่งบอกเลิกไป
TBC
อย่าเพิ่งเบื่อความยุ่งยากวุ่นวายของเรื่องนี้กันนะคร๊าบ
อีก 7-8 ตอนกะคงจบแล้ว หลังจากจบกะว่าคงขอห่างกับแนวนี้สักพัก
ขอไปหาแนวสบายๆ บ้างแล้ว 555
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ยังติดตามกันนะคร๊าบ ใกล้ปีใหม่แล้ว ไปเที่ยวไหนกันบ้าง
ขอให้สนุกกับวันหยุดพักผ่อนนะคร๊าบบ
PART II บทที่ 25
เวลาคือคำตอบ
Aut's Part
“เพราะเรื่องคืนนั้นเหรอ”ผมค่อนข้างแน่ใจว่าสาเหตุที่หนุ่ยย้ายออกมันคงมาจากคืนนั้นที่เรามีอะไรกัน แม้เค้าจะยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ และเก็บของต่อไปเงียบๆ ผมเองก็ยังคงยืนพิงประตูดูเค้าเก็บของ ซึ่งดูเหมือนเป็นการโกยทุกอย่างลงกระเป๋า ยัดๆ เข้าไปอย่างเร่งรีบ ใจนึงผมก็อยากรั้งให้เค้าอยู่ต่อไปเหมือนเดิม แต่จากที่ผมเอ่ยปากแล้ว และเค้ายังคงยืนยันจะย้ายออก แล้วผมแองก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมารั้งเค้า เราสองคนเลิกกันแล้ว เลิกกันตั้งนานแล้วด้วยจุดนั้นผมรู้ดี ก็แค่ผมจำไม่ได้แค่นั้นเองถึงตอนที่เราเลิกกัน แถมด้วยการจำอีกคนไม่ได้ว่าผมไปรักอีกคนได้ยังไง
“บอกแล้วไง ว่าแค่ถึงเวลาต้องกลับไปอยู่บ้านแล้ว”นี่ยิ่งฟังดูไม่ใช่เหตุผลของหนุ่ยเลยสักนิด จริงอยู่ว่าเค้าอาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมายแบบหนักๆ กับที่บ้าน แต่หนุ่ยเองก็ทนชีวิตที่ต้องเดินตามกรอบไม่ค่อยได้อยู่แล้ว
‘ตอนนี้ในเวลางาน ขอคุยแค่เรื่องงานแล้วกันนะครับ’อยู่ๆภาพที่ผมกำลังคุยกับปาร์ตี้คุยกันก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมและดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องราวก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุเสียด้วย
‘5 คนครับ’ ‘ก็คำตอบไงครับว่าผมมีแฟนมาแล้วกี่คน’คำพูดที่ดูไม่ปะติดปะต่อกันสักเท่าไหร่เริ่มผุดเข้ามาจนผมเริ่มรู้สึกมึนๆ แล้วจากนั้นอาการปวดก็แล่นเข้ามา ผมยกมือขึ้นกุมศีรษะพร้อมกับลุกขึ้นยืนทั้งที่คิดว่าตัวเองคงยืนไม่ตรงแน่ๆ
“อรรถ อรรถเป็นอะไร”หนุ่ยเรียกผมด้วยความตกใจ
“ปวด...หัว”ผมบอกออกไปติดๆ ขัดๆ หนุ่ยรีบเข้ามาพยุงผมและจับให้ผมนั่งลงกับที่ ไม่นานนักอาการผมก็ทุเลาลง ผมพยายามคิดถึงสิ่งที่กลับเข้าในหัวผม มันเหมือนจะเป็นเรื่องราว แต่เรื่องราวที่เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อยังไม่เสร็จ มันเหมือนขาดหายไปเป็นช่วงๆ ราวกับว่ามีเรื่องราวแต่ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกในเรื่องราวนั้น
ผมถูกหนุ่ยบังคับให้มาโรงพยาบาลหลังจากที่พักได้ครู่นึง พอถึงโรงพยาบาลผมถูกจับเข้าสแกน เอกซเรย์ แถมท้ายด้วยการที่ถูกจับแอดมิดเป็นคนไข้ไปเรียบร้อยครับ
“เห็นไหม บอกแล้วให้มาหาหมอก็ไม่เชื่อ”คนที่พาผมมาเริ่มบ่น
“นี่ความทรงจำเราจะกลับมาจริงๆ เหรอ”ผมตอบเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า แม้ตอนนี้ผมจะยังจำอะไรไม่ได้ แต่หมอก็บอกว่าอาการที่ผมเพิ่งเป็นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานผมอาจจะจำทุกอย่างได้ แต่คำว่าอีกไม่นานนั่นก็ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่จะจำได้”เสียงของหนุ่ยดูไม่ได้ยินดีกับสิ่งที่บอกกับผมสักเท่าไหร่ เช่นเดียวกันกับตัวผมเอง ผมไม่รู้ว่าถ้าจำได้ขึ้นมาจริงๆ ผมจะมีความสุขหรือเปล่า
“เราต้องนอนโรงพยาบาลอย่างนี้ หนุ่ยอย่าเพิ่งย้ายออกไปได้ไหม”มันดูเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่ผมจะรั้งเค้าไว้ และหนุ่ยเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมว่าหลังออกจากโรงพยาบาลผมก็คงยังรั้งเค้าให้อยู่ต่อด้วยอาการของผมที่เป็นอยู่ตอนนี้
หนุ่ยขอกลับไปเตรียมอุปกรณ์ เพื่อมานอนเฝ้าผม ซึ่งอาจจะต้องค้าง 2-3 คืน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรแจ้งที่ทำงานว่าผมต้องลางาน ก็ย้ำไปว่าไม่ต้องแห่กันมาเยี่ยมเพราะผมไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังวางสายเสร็จผมก็เลื่อนหารายชื่อของใครคนนึง เสียงเพลงรอสายดังอยู่พักนึงก่อนที่เค้าจะกดรับสาย
“ฮัล...โหล”ผมพูดออกไปเสียงแผ่ว เพราะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมโทรหาเค้าเพราะอะไร
“หวัดดี มีอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงที่ตอบกลับมา เป็นเสียงที่ยากจะคาดเดาว่าเค้ารู้สึกยังไง
“คือ...โอ้ย”ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไป เพราะอยู่ๆ ความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง โทรศัพท์ในมือผมร่วงลงข้างลำตัวแล้ว ผมไม่ได้สนใจจะเอื้อมไปหยิบแต่อย่างใด ตอนนี้มือผมกำลังพยายามควานหาปุ่มกดเรียกพยาบาล พอเจอผมก็กดค้างก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ผมงอตัวเข้าหวังเพียงว่าจะช่วยทุเลาอาการปวดลงไปได้บ้าง
ทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด หลังมีพยาบาลเข้ามาหาผมในทีแรก จากนั้นอีกหลายก็หลายคนก็กรูเข้ามาที่ผม ผมเริ่มจะหูอื้อ ตาลาย มันเหมือนทุกอย่างเบลอไปหมด จนผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก จนในที่สุดสติผมก็ขาดหายไป
‘ร้านปิดแล้วทำไมยังไม่กลับ’
‘รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม’
เสียงหัวเราะที่ประสานกันดังก้องอยู่ในหัวผม เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข ของคนสองคน คนสองคนที่ต่างยิ้ม หัวเราะให้กัน ทั้งดูช่างดูมีความสุข มีความสุขจริงๆ สินะ ครั้งนึงเราเคยมีความสุขด้วยกัน ผมจำได้ ผมจำได้แล้ว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก
“อรรถ อรรถฟื้นแล้ว เดี๋ยวเราตามหมอก่อนนะ”หนุ่ยคือคนที่บอกกับผม ไม่นานนักคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาผมก็เข้ามาดูอาการและซักถามผม ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลับไปถึง 2 วันเต็มๆ แต่เรื่องอื่นๆ ผมแทบไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่หมอพูดเลย มีเพียงนิดเดียวที่มันดึงดูดความสนใจของผม นั่นคือคำพูดของหมอที่บอกว่าสมองคนเรามันช่างน่าอัศจรรย์ และซับซ้อนจนคาดไม่ถึง
ใช่แล้วมันอัศจรรย์เกินไปจนผมอยากให้ความทรงจำของตัวเองหายไปอีกครั้ง นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ อะไรลงไปบ้างเนี่ย ผมบอกเลิกปาร์ตี้คนที่ผมรักสุดหัวใจ แต่กลับผลักไสเค้าอย่างไม่ใยดี หนำซ้ำผมยังมีความสัมพันธ์กับกนุ่ยอีกด้วย จะโทษความเมาอย่างเดียวก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ ความรู้สึกผิด สับสน มันตีกันในหัวของผมเต็มไปหมด
กับปาร์ตี้แม้ผมจะยังคลางแคลงใจ เรื่องระหว่างเค้ากับคุณแว่น แต่ผมก็ควรให้เค้าได้ตัดสินใจด้วยตัวของเค้าเอง ต่อให้เค้าจะเลือกผมเพราะผมรักเค้า มันก็คือผมเองนี่นาที่ยอมรับในเรื่องนั้นตั้งแต่ต้น แล้วสิ่งที่ผมปฏิบัติต่อเค้าในช่วงที่ผมจำเค้าไม่ได้นี่มันถูกต้องแล้วเหรอ ส่วนเรื่องระหว่างผมกับหนุ่ยละ นี่ผมทำอะไรลงไป
“ขอโทษ”นั่นคือคำแรกที่ผมพูดกับหนุ่ย ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงผมกับเค้าแค่สองคน หนุ่ยยิ้มจางๆ ให้ผม ยิ่งเห็นอาการของเค้ามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมว่าผมเห็นความผิดหวังในแววตานั้น
“เดี๋ยวคุณตี้กำลังมานะ ที่จริงเค้ามาแล้วรอบนึงแหละแต่อรรถยังไม่ฟื้น เห็นว่าเค้าเพิ่งกลับจากงานแต่งเพื่อน เราเลยให้ไปพักผ่อนก่อน”ถ้าความทรงจำของผมกลับมาแล้วมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ ถ้าเลือกได้ ผมขอเลือกไม่สูญเสียความทรงจำตั้งแต่แรกมันคงจะดีกว่านี้
“อย่าเพิ่งไป...ได้ไหม อย่าเพิ่งย้ายออกเลย”ผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงบอกออกไปแบบนั้น
“เฮ้ย เราได้กันครั้งเดียว มันไม่ได้แปลว่าจะต้องกลับมาคบกันนะ ในเมื่อตอนนี้อรรถจำทุกอย่างได้แล้ว อรรถก็ควรกลับไปมีความสุขกับแฟนสิ”ทำไมกันนะ ทำไมเรื่องราวมันถึงกลายมาเป็นยุ่งยากขนาดนี้ ความรู้สึกผมตอนนี้ผมรู้ว่าผมเคยรักปาร์ตี้ขนาดไหน แต่ความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้นกับหนุ่ย ระหว่างที่ผมจำปาร์ตี้ไม่ได้ มันก็ไม่ได้หายไป
“ขอร้อง อย่าเพิ่งไปไหน”ผมขอร้องออกไปจนเค้าเองก็แปลกใจกับท่าทีของผม สีหน้าเค้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด หนุ่ยถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะหันมองออกไปทางอื่นไม่ได้สบตาผมอีก
“เพื่ออะไรเหรออรรถ”เค้าพูดออกมาเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ สักเท่าไหร่ เค้าเองเหมือนอยากให้เรื่องระหว่างผมกับเค้าจบไปเสียที แต่ผมกลับรู้สึกว่า การกระทำเค้าสื่อออกมาแบบนั้นก็จริง แต่ในใจเค้าผมว่ามันยังขัดแย้งกันอยู่ ต่อให้เค้าปกปิดไว้คนที่เคยคบกันมานานอย่างผม มันก็พอจะจับสังเกตได้อยู่แล้ว
“ขอเวลาอีกสักหน่อยนะ”จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้นะครับ แต่ผมก็ยังไม่พร้อมตัดสินใจจริงๆ ว่าตอนนี้ผมควรทำยังไงต่อ หรือเลือกใคร ใครกันแน่ที่ผมต้องการจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงไม่ยากที่ผมจะตัดสินใจ หนุ่ยเริ่มมีความลังเลกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป
“มันไม่ได้มีความจำเป็นอะ...”
“อะไรเลย”เสียงของหนุ่ยขาดช่วงไปเพราะใครอีกคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว หนุ่ยเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่อยู่ๆ ปาร์ตี้ก็พุ่งพรวดเข้ามาแบบนี้ ผมเพียงหันมองเค้าแวบนึงก่อนจะหันมองอีกคนที่ผมยังคุยด้วยไม่จบ ทำไมกันนะ ทำไมเรื่องราวมันถึงต้องเดินมาเจอจุดแบบนี้
“อรรถเป็นไงบ้าง”เค้าตรงเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกผิดแล่นเข้าหาผมแทบจะทันที ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนผลักไสเค้าไปแต่ดูเค้าไม่ได้ถือโทษโกรธผมเลยสักนิด แล้วนี่ถ้าเค้าได้รับรู้ในสิ่งที่ผมได้ทำลับหลังเค้า เค้าจะยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมหรือเปล่า
“งั้นเดี๋ยวขอตัว ไปข้างนอกก่อนแล้วกันนะ คุยกันตามสบายเลย”ผมมองแผ่นหลังของหนุ่ยที่เดินออกไปโดยไม่แม้จะหันมามองผมสักนิด นี่ผมกลายเป็นคนโลเลไปแล้วหรือนี่ ทั้งหนุ่ยที่เพิ่งเดินออกไป แล้วก็คนที่ยืนตรงหน้าผมนี่อีก แต่มันไม่ใช่แค่ผมหรอกครับที่ต้องตัดสินใจเลือก
“อรรถจำเราได้แล้วใช่ไหม”เค้าเอ่ยถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมเพียงพยักหน้ารับและยิ้มตอบเค้าจางๆ เค้าเข้ามายืนข้างเตียงและกุมมือของผมไว้ ผมสบตาเค้าอย่างตัดสินใจ
“คือ”เค้ายังคงจ้องมองที่ผมรอฟังว่าผมจะพูดอะไรกับเค้า มันค่อนข้างลำบากใจมากๆ สำหรับผมกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกไป ทั้งเรื่องที่ผมยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของเค้าที่มีต่อผม แต่มันคงไม่น่าหนักใจเท่าความรู้สึกผิดที่ผมมีต่อเค้าในตอนนี้
“เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”ผมหลบตาเค้าหันมองไปทางอื่น ยอมรับว่าผมขี้ขลาด ขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกให้เค้าได้รับรู้ มันเหมือนตอนเด็กๆ ที่เราทำความผิดแล้วไม่กล้าสารภาพกับผู้ใหญ่ เพราะกลัวจะถูกทำโทษ แต่โทษตอนนี้มันคงรุนแรงกว่าตอนเด็กเยอะ
“อย่าเพิ่งเลย”เค้ามีแววตาไม่เข้าใจตาใสของเค้าเริ่มมีน้ำเอ่อขึ้นมานิดหน่อย ขอโทษ ผมเพียงคิดอยู่ในใจ ผมมันโง่เองนั่นแหละที่มัวแต่คิดไม่มั่นใจในตัวเค้า ทั้งที่เค้าเลือกผมแล้ว แล้วนี่เค้าจะเจ็บแค่ไหนที่โดนผมลืม แถมพอจำได้ผมก็ก่อปัญหาเอาไว้จนยากที่จะแก้ไขแบบนี้
“ทำไมละ”เค้าถามกลับมาเสียงแผ่ว
“อรรถว่า เราคงต้องเปิดอกคุยกัน”ผมบอกออกไปอย่างจริงจัง มันถึงเวลาแล้วแหละ ที่ทั้งผมและเค้าจะได้พูดอะไรให้มันตรงไปตรงมาเสียที ผมอาจจะดูเลวที่ตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องอะไรก่อน แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วเค้าจะโกรธ จะเกลียดผม มันก็คงผิดที่ผมเองนี่แหละที่ตัดสินใจทำแบบนี้ เราสองคนหันกลับมามองหน้ากันนิ่งๆ
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”เค้าดูกังวลเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“ตี้เลือกอรรถไม่ใช่เพราะตี้รักอรรถ แต่เพราะตี้เลือกจะอยู่กับคนที่รักตี้ ไม่ใช่คนที่ตี้รัก”เค้าตกใจที่ผมหยิบประเด็นนี้มาพูด แต่เค้าคงพอรู้แหละว่าผม รับรู้เรื่องนี้แล้วเพราะเค้าเป็นคนบอกกับผมเองในเรื่องนี้ ที่ยกมาพูดตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมจะโทษให้เค้าเป็นคนผิด เพียงแต่ผมอยากให้เค้าคิดดีๆ ว่าแท้จริงแล้วเค้าตัดสินใจถูกหรือผิดที่เลือกผม เค้ามีความสุขหรือเปล่าที่อยู่กับผม แต่ผมก็ไม่ได้อธิบายทุกอย่างออกไปอย่างที่คิด
“มันไม่ใช่อย่าง...”น้ำตาเค้าเริ่มไหลออกมาจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นเช็ด ทั้งที่อยากลุกขึ้นไปกอดเค้าเอาไว้ให้แน่น อยากบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเค้า แต่ผมก็ละอายเกินไปที่จะทำอย่างนั้น เพราะถ้าเค้าเคยโลเลในการตัดสินใจ ตอนนี้ผมเองก็ไม่ต่างจากเค้าเลยสักนิด
“ตี้ยังไม่ต้องตอบอรรถตอนนี้ก็ได้ ตี้ลองกลับไปคิดทบทวนดูดีๆ ตอบตัวเองให้ได้ว่าตอนนี้ใครสำคัญกับตี้มากที่สุด”ผมรู้ว่าเค้าเองก็ให้ความสำคัญกับผมไม่น้อย เพียงแต่มันคงยังมีใครที่สำคัญกับเค้ามากกว่า
“คือเรา...”ไม่ชอบเลยที่ผมดันทำให้เค้าเหมือนกำลังรู้สึกว่าตัวเค้าเป็นคนผิด ทั้งที่ผมเองก็ทำผิดมาเช่นเดียวกัน
“ยังมีอีกเรื่องนึง”ผมรีบชิงพูดขึ้นไม่ให้เค้าได้พูดอะไรต่อ
“ฟู่ว”ผมพ่นลมหายใจออกอย่างตัดสินใจ นี่สินะความรู้สึกของคนที่ต้องสารภาพผิด
“คืออรรถมีอะไรกับหนุ่ย หลังจากที่อรรถบอกเลิกกับตี้”เค้านิ่ง นิ่งจนน่าใจหาย สีหน้าเค้าดูเรียบเฉย แม้น้ำตาเค้าจะเอ่อขึ้นมาบ้าง แต่เหมือนเค้าพยายามจะกดเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“ขอโทษ”ผมบอกออกไปเสียงเบา ตอนนี้ผมว่าผมเห็นความผิดหวังในแววตาของเค้า และเค้าก็ยังรับฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดแสดงความเห็นอะไรให้ผมได้รู้เลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
“อรรถจะไม่โทษว่าเป็นเพราะอรรถจำตี้ไม่ได้ เพราะช่วงนั้นอรรถดันมีความรู้สึกกับหนุ่ยแถมมาถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็ยังอยู่”แม้ผมจะรักเค้า แต่มันก็พูดได้ไม่เต็มปากอีกแล้ว ว่าผมรักเค้าทั้งใจ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงช่วยให้เค้าตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น ผมคงเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกเลิกกับเค้า ผมยอมรับว่ายังหวังลึกๆ ว่าเค้าอาจจะยังเลือกผมในตอนท้าย แต่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะตัดอีกคนออกจากใจได้ไหม
“หมายความว่าอรรถไม่ได้รักเราแล้ว อย่างนั้นเหรอ”เค้าถามออกมาอย่างเลื่อนลอย
“อรรถไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ อรรถไม่ได้บอกว่าเราต้องเลิกกัน อรรถแค่อยากให้เราสองคนได้ให้เวลากับตัวเองได้ทบทวนคำตอบให้กับตัวเอง”ตอนนี้ทั้งผมและเค้า คงต้องการเวลาด้วยกันทั้งคู่
“ทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้”ต่างคนต่างเจ็บไม่ต่างกัน ก็ได้แต่หวังว่าเวลามันจะช่วยเยียวยาพวกเราทุกคน ผมมองปาร์ตี้ที่เดินออกไป เค้าหันมามองผมอีกครั้ง ผมได้แต่ฝืนยิ้มให้กับเค้า พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา หนุ่ยเดินสวนกลับเข้ามา
“โอเคไหม”เค้าเอ่ยถามผม ผมเพียงแค่ยิ้มให้เค้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป
TBC
หายไปพักใหญ่พอดีว่าป่วยคร๊าบ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องวุ่นๆ ของปาร์ตี้ ก็ใกล้จะเข้าสู่บทสรุปแล้ว
PART II บทที่ 26
ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม
Sharp's Part
“มาถามคู่บ่าวสาวกันหน่อยดีกว่าครับว่ารู้จักกันได้ยังไง”ผมนั่งมองภาพที่น่ายินดีของเพื่อน ขนาดผมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้นความสุขมันยังแผ่กระจายมาถึงตรงนี้ ผมยิ้มจนหุบไม่ลง คำถามเบสิคถูกป้อนให้บ่าวสาวตอบ ทั้งเรื่องน่าประทับใจ และเรื่องหลุดๆ ที่ทั้งคู่เคยได้สร้างไว้ ก่อนที่จะเอ่ยขอบคุณคนที่มาร่วมงาน
“จูบเลยๆ”เสียงตะโกนจากเพื่อนๆ เมื่อพิธีการได้จบลง แต่จริงๆ นี่ก็เป็นงานเลี้ยงช่วงเย็นที่จัดริมชายหาด สบายๆ อยู่แล้ว นี่หรือเปล่านะที่ผมเคยต้องการ
“ยิ้มขนาดนี้ไม่หาเจ้าสาวแต่งเองบ้างละชาร์ป”เสียงจากคนที่นั่งข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง เหมือนวันนี้เค้าจะดื่มหนักอยู่ไม่น้อยและนี่คงตึงๆ เสียแล้วด้วยสิถึงได้เป็นฝ่ายแซวผมก่อนแบบนี้
“แต่งกับผมไหมละครับคุณปรีติ”ผมแกล้งแซวกลับจนไม่รู้ว่าเค้าหน้าแดงเพราะแอลกอฮอล์หรือแดงจากเขินในสิ่งที่ผมพูดกันแน่ ในเมื่อเค้าเองก็เลิกกับแฟนแล้ว ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรุกเค้าได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรนี่นา
“เราไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”เค้าตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ แต่ผมเองทำเป็นไม่สนใจยกแก้วชนกับเค้า สงสัยคืนนี้ได้เมากันทั้งคู่แน่ๆ ครับ แถมคืนนี้ผมต้องนอนห้องเดียวกับเค้าสองต่อสองเสียด้วยสินะ ก็คืนนี้ไอ้เหมาต้องถูกส่งตัวเข้าหอนี่เนอะ
“คืนนี้อยู่กันสองคนอย่าเมาจนลุกขึ้นมาปล้ำเราล่ะ”การที่ได้มาอยู่ด้วยกันระยะนึงตอนนี้ และรู้ว่าเค้าอยู่ในสถานะโสดมันทำให้ผมกล้าหยอดเค้าแบบนี้ครับ และแน่นอนแอลกอฮอล์ยิ่งมีผลให้ผมกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ตี้หันมองหน้าผมหน่ายๆ ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นกระดกอีกครั้ง ไม่นานนักโลกส่วนตัวของผมกับเค้าก็จบลง เพื่อนๆ คนอื่นเลิกสนใจคู่บ่าวสาวหันมาพูดคุย สังสรรค์กันต่อ บรรยากาศกลับมาคึกคัก จนเวลาล่วงเลยใกล้จะเที่ยงคืน แขกเริ่มทยอยกลับเกือบหมดแล้ว พวกเพื่อนๆ เองก็เช่นกัน บ่าวสาวก็ร่ำลาแขกที่ทยอยกลับที่พัก
“กลับไปอาบน้ำนอนไหม”ผมถามคนที่ยังนั่งนิ่ง ไร้วี่แววว่าจะอยากกลับไปพักผ่อนแต่อย่างใดเค้าส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
“กลัวที่ต้องอยู่กับเราสองต่อสองหรือไง”เค้าเหลือบมองผมด้วยหางตาง แล้วก็ผลักผมที่เข้าไปกระซิบข้างหูเค้าออก ด้วยอาการรำคาญที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปฏิเสธกันเข้าไปเถอะ ถ้าเกิดคืนนี้เมาแล้วอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาอย่ามาง้อผมแล้วกัน
“เฮ้ยพวกมึงจะเที่ยงคืนแล้ว ใครจะแดกกลับไปแดกต่อที่ห้อง กูแจ้งเค้าใช้สถานที่ไว้แค่ถึงเที่ยงคืน”ไอ้เหมาตะโกนกลับมาน้ำกับกลุ่มพวกผมเพราะเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วที่ยังอยู่ริมหาด ทุกคนเลยช่วยกันหยิบอุปกรณ์ จัดแจงเตรียมไปดื่มต่อที่ห้องพักครับ เพราะไอ้พวกเพื่อนๆ ผมดูจะยังดื่มไม่จุใจ
“ไปก่อนเลย เราว่าจะเดินเล่นริมหาดสักพัก”คนที่ต้องกลับไปนอนห้องเดียวกับผม หันมาบอกนี่ตกลงว่าเค้ากลัวการจะนอนห้องเดียวกับผมจริงๆ หรือไงเนี่ย ผมอดที่จะอมยิ้มนึกเอ็นดูเค้าไม่ได้ จะมากลัวผมทำไมใช่ว่าผมจะบังคับขืนใจเค้าเสียหน่อย ถ้าเค้าไม่ยอมซะอย่างผมก็ไม่บังคับอยู่แล้ว ว่าแต่ว่านี่ผมคิดไปถึงขั้นนั้นแล้วหรือไงเนี่ย
“ป่ะ พร้อมแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน พร้อมจับแขนเค้า
“อะไร”เค้าทำหน้างง
“ก็เดินเล่นริมหาดไง เราเดินเป็นเพื่อนจะได้ไม่เหงา”ผมเดินจูงมือเค้าเดินโดยไม่ได้สนใจท่าทีขัดขืนและการพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายเค้าก็ยอมเดินตามผมมาโดยไม่คัดค้านอะไรอีก ไม่มีคำพูดหรือบทสนทนาใดๆ ระหว่างเราสองคนอีกมีเพียงเสียงคลื่นที่ซักเข้ามากระทบกับผืนทรายที่เราเดินย่ำกันอยู่
“กลัวที่ต้องนอนกับเราสองคนเหรอ”ผมหยุดเดินและเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างเรา สายตาผมจับจองไปในท้องทะเลสีดำที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันก็คงไม่ต่างกับจิตใจของคนข้างๆ ผมตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่ เค้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้จากเค้าคือความรู้สึกที่เค้ามีต่อผม
“เปล่า”เค้าตอบเสียงเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เค้ามักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าเค้าตั้งตัวไว้ปาร์ตี้มักจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่แสดงออกมา เพราะแบบนี้ผมเลยตั้งใจว่าต้องแกล้งให้เค้าตั้งตัวไม่ทัน เค้าจะได้เผลอแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง บางครั้งผมก็มีแอบคิดเข้าข้างตัวเองนะครับ ว่าเค้าเองก็คงมีเผลอใจให้ผมบ้างแหละน่า แต่จะทึกทักเอาเองออกตัวแรงไปก็กลัวจะเงิบครับ
“หรือว่ากลัวห้ามใจตัวเองไม่ไหว”
“บ้าเหรอ”อันนี้ได้ผลครับ เค้ารีบปฏิเสธด้วยอาการไม่ปกติแล้ว ผมหันไปมองเค้ายิ้มๆ แม้จะอยู่ในความมืดแต่แสงจากพระจันทร์ก็พอมองออกว่าเค้ากำลังเขิน ผมอาศัยจังหวะที่เค้าไม่ทันตั้งตัว โอบไหล่เค้าแล้วค่อยๆ เลื่อนเป็นกอดคอ เพราะสายตาขวางๆ ที่จ้องมองผมกลับมา
“กอดคอ แบบเพื่อนไง เราเพื่อนกันนิเนอะ”ผมแกล้งทำตีเนียนไม่ยกแขนออก ค้างไว้อย่างนั้น
“กลับห้องเถอะ”เค้าขยับตัวออกจากผม แล้วเดินนำตรงกลับห้องพักของเรา ผมยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินตามเค้า
พอถึงห้องเค้าจัดแจงแบ่งเขตแดนเตียงนอนด้วยหมอนข้างใบใหญ่ ตอนนี้ห้องพักของเราทั้งคู่ถูกไอ้เหมาเปลี่ยนมาเป็นห้องสำหรับ 2 คนแถมแกล้งไม่เลือกแบบเตียงแยกให้เราสองคนนะครับ จัดมาให้นอนเตียงเดียวกันยังกับรู้ใจผม ส่วนปาร์ตี้นะเหรอครับ รายนั้นพอรู้ก็ขอเปลี่ยนแหละครับ แต่ห้องดันเต็มหมด เลยต้องอยู่ในภาวะจำยอมครับ เมื่อเห็นเค้ายังไม่พอใจกับการแบ่งเขตการนอน ผมเลยขอเป็นคนอาบน้ำล้างตัวก่อน
หลังผมอาบเสร็จก็เป็นปาร์ตี้ที่เข้าไปอาบต่อ ส่วนผมกำลังมองเตียงนอนอย่างนึกขำ นี่เค้าเอาอะไรมากั้นเราสองคนบ้างเนี่ย จริงๆ ถ้าจะทำขนาดนี้บอกผมนอนโซฟา หรือให้ไปขอนอนกับเพื่อนคนอื่นดีกว่าไหม ผมส่ายหน้าขำๆ กับภาพตรงหน้า หูผมตั้งใจฟังว่าเค้าจะออกจากห้องน้ำตอนไหน พอเสียงน้ำเงียบไป ผมเองรีบล้มตัวลงนอนกะว่าจะแกล้งหลับครับ ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกมา ผมแกล้งทำลมหายใจให้สม่ำเสมอเหมือนคนหลับแล้วให้เนียนที่สุด จะแกล้งกรนก็กลัวเค้าจับได้ เพราะผมก็ไม่ใช่คนนอนกรน และเค้าเองก็รู้ในข้อนั้น เสียงเท้าของเค้าเดินมาทางผม นี่สงสัยกะมาเช็คว่าผมหลับแล้วจริงๆ หรือเปล่า เสียงเดินของเค้าห่างออกจากผมอีกครั้ง
ผมแอบหรี่ตามองนิดๆ เห็นเค้ากำลังทาโลชั่นก่อนนอนอยู่ นี่คงคิดว่าผมหลับแล้วจริงๆ สินะ เดี๋ยวก็รู้ ผมพึมพำอยู่ในใจ และรอแค่ไม่นานเสียงสวิตซ์ไฟที่ถูกปิดก็ดังขึ้น ตามด้วยน้ำหนักตัวของเค้าที่ทิ้งลงบนเตียงอีกข้างนึง ผมค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก จนเมื่อแน่ใจว่าเค้านอนนิ่งๆ แล้ว ผมรีบดีดตัวอย่างรวดเร็ว เอาหมอนข้างออกและดึงตัวเค้าเข้ามากอดโดยไม่ให้เค้าทันตั้งตัว
“อย่าทำแบบนี้ชาร์ป”หลังจากพยายามดิ้นแล้วไม่เป็นผล เค้าก็หยุดและพูดออกมาเสียงเย็น ผมยังคงกอดเค้าไว้หลวมๆ ที่จริงผมเองก็อยากจะรุกเค้าให้มากกว่านี้นะครับ แต่อีกใจก็กลัวจะทำให้เค้ากลายเป็นเกลียดผมไปเสียก่อนนี่สิ อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าเค้ายังรักคุณอรรถอยู่มากแค่ไหน
“ขอแค่อยู่แบบนี้ได้ไหม พรุ่งนี้เราก็ต้องแยกย้ายกันไป ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก”ผมกระซิบที่ข้างหูของเค้า เค้าเองพลิกตัว หันมาเผชิญหน้ากับผม แม้จะอยู่ในความมืดไม่ได้มีแสงไฟ แต่เราก็ยังจ้องมองกันและกัน
“เพื่ออะไรเหรอชาร์ป”ผมไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะขยับตัวชิดเข้าหาเค้ามากขึ้น ริมฝีปากของเค้าคือเป้าหมายของผม ผมถือวิสาสะลิ้มรสมันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เค้าดูตกใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรผม ทำให้ผมยิ่งได้ใจสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวานนั้นอย่างไม่เกรงใจ มือผมเองเริ่มรุกล้ำเข้าใต้เสื้อตัวบางของเค้า
“หยุดเถอะ”ข้อมือผมถูกห้ามโดยมือของอีกฝ่าย เค้าขยับตัวออกจากผมทันที สายตาผมยังคงมองเค้าด้วยความเว้าวอน
“ตกลงกันแล้วไงว่าเราสองคนจะไม่ทำแบบนี้กันอีก”เค้าขยับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ผมควรหยุดไว้แค่นี้หรือไปต่อดีละ
“ถ้าไม่นอน เราจะออกจากห้องตอนนี้แหละ”ท่าทางจริงจังของเค้าทำให้ผมไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีก ผมพยักหน้าเป็นสัญญานให้เค้าว่าจะไม่ล้ำเส้นอะไรอีก จะนอนเฉยๆ แล้ว
“ไหนบอกว่านอนไง”เสียงเค้าตวาดทันทีที่ผมสวมกอดเค้าอีกครั้ง
“แค่กอดเฉยๆ นะ”เค้าดูเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของผมเต็มทน แต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ แต่โดยดี ผมอมยิ้มปิดเปลือกตาลง คืนนี้ผมคงฝันดีแน่ๆ ไม่นานเราทั้งคู่ก็หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด
“ไอ้อ่อนเอ้ย กูอุตส่าห์วางแผนช่วยทุกอย่าง แกล้งเมาให้ได้นอนเตียงเดียวกันก็แล้ว ปล่อยอยู่กันสองต่อสองก็แล้ว ยังปล่อยมันกลับไปหาแฟนเก่าอีก กูควรด่ามึงดีไหมเนี่ยแว่น”เสียงไอ้เหมาตะคอกใส่ผมมาตามสายโทรศัพท์ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ภูเก็ตแล้วละครับ และนี่ก็กำลังนัดแนะกับไอ้เหมาเรื่องที่มันจะมาฮันนีมูนที่นี่โดยมีผมเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ข้อแม้คือมันต้องพาปาร์ตี้มาด้วยให้ได้
ก็ไอ้ผมก็ไม่คาดคิดว่าวันนั้นที่เราหลับไปในอ้อมแขนกัน ตื่นเช้ามาฝันหวานของผมจะหายไปในพริบตา ผมตื่นมาไม่พบปาร์ตี้ เพราะเค้าแอบกลับ กรุงเทพฯ โดยไม่บอกใครสักคำ เค้าบอกกับไอ้เหมาทีหลังว่าคุณอรรถเข้าโรงพยาบาล แต่นั่นยังไม่เลวร้ายพอสำหรับผม เพราะอีกไม่กี่วันต่อมา ดันได้รับรู้ว่าความทรงจำของคุณอรรถกลับมาแล้วด้วยนี่สิครับ นี่ถ้าคืนนั้นผมรวบหัวรวบหางปาร์ตี้ซะ ผมอาจจะเป็นต่อขึ้นมาบ้าง
“กูนึกว่ามึงจะบอกมันไปแล้วเสียอีกว่ารู้สึกยังไง แต่ตอนนี้มันคงไม่เหมาะแล้ว มึงก็รอดูเค้าคืนดีกันไปแล้วกันนะ”อ้าวไอ้นี่เยาะเย้ยผมเสร็จก็วางสายไปเลยครับ ผมได้แต่นั่งถอนหายใจ ก็ไอ้สิ่งที่ไอ้เหมาเพิ่งพูดมันทำให้ผมต้องเก็บมาคิด ก็ถ้าผมบอกความรู้สึกตัวเองออกไปแต่ปาร์ตี้เองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
“เพื่อนๆ มากันวันไหนละลูก”เสียงของแม่ดังมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปโอบแม่ไว้พร้อมแกล้งซบ ก่อนจะหอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่
“มาถึงเย็นๆ พรุ่งนี้ครับ”ผมบอกเสียงอ้อนๆ
“ไปงานแต่งเหมามาเนี่ย ไปเจอใครมาหรือเปล่า”ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในคำถามของแม่
“ก็เห็นกลับมาละ ทำตัวยังกับคนอกหัก แม่ก็นึกว่าไปเจอชะเอม หรือน้องปลา อะไรแนวนั้นมาหรือเปล่า”โหแม่ผมคิดไปได้ยังไงเนี่ย ว่าแต่ผมเหมือนคนอกหักตรงไหนเนี่ย ก็แค่ซึมๆ ไปบ้าง ข้าวปลามันก็ไม่ค่อยมีเวลากินเท่านั้นเอง ก็งานมันเยอะนิครับ จะให้ทำไง
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวรอเล่นกับหลานดีกว่า แพทเค้าพาน้องแมทมาด้วยนะครับ”ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้แม่มากังวลกับเรื่องของผม ส่วนเหมากับแพทนี่ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าจะจัดห้องที่โรงแรมให้แบบดีๆ ดันจะอยากมาพักที่บ้าน ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ แต่แค่เห็นว่าเพื่อนมาฮันนีมูน แล้วการมาอยู่บ้านผมเนี่ยมันเหมือนฮันนีมูนตรงไหนเนี่ย
“แล้วตกลงเหมา แพท กับน้องแมทมากันแค่ 3 คนเองเหรอ ปาร์ตี้ละลูก”ไม่ใช่แค่แม่หรอกครับที่อยากให้เค้ามาผมเองก็อยาก
“แฟนเค้า เข้าโรงพยาบาลนะครับแม่”ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปทำงาน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อของคนที่อยู่ในบทสนทนาของผมกับแม่เมื่อสักครู่ ผมลังเลที่จะกดเบอร์อยู่ครู่นึงสุดท้ายก็ กดปิดไป ยังไงเค้าก็ไม่มาอยู่ดีแล้วผมจะโทรไปให้ตัวเองยิ่งเจ็บทำไมละเนี่ย ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าอย่างที่เคยเป็น
พอถึงวันนัดกับไอ้เหมา ผมมารอที่สนามบินก่อนเวลาเครื่องลงนิดหน่อยจนพอถึงเวลาผมก็เข้ามายืนรอที่ผู้โดยสารฝั่งขาเข้า ผมมองที่หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ที่บอกเวลา ว่าพวกไอ้เหมามาถึงแล้ว รออยู่พักนึงก็เริ่มเห็นคนทยอยเดินกันออกมา และแล้วผมก็ต้องแปลกใจก็คนที่จูงมือน้องแมทออกมานั่นมัน
“กูก็เพิ่งรู้ก่อนจะมาแบบฉิวเฉียดนี่แหละ”ไอ้เหมาเดินมาพูดเบาๆ ให้ผมได้ยินแต่ผมไม่ได้สนใจมันครับ ผมแทบจะเดินผ่านมันไปหาอีกคน
“ลุงแว่นหวัดดีฮ่ะ”เด็กน้อยยกมือไหว้ผม ก่อนจะจับมือปาร์ตี้เช่นเดิม นี่สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ตอนอยู่งานแต่งผมยังไม่เห็นว่าจะสนิทกันเลย ผมกับเค้าแค่ยิ้มทักทายกัน ก่อนผมจะฉวยเอากระเป๋าของเค้ามาช่วยถือ เราทุกคนต่างช่วยกันเก็บกระเป๋าขึ้นรถ มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของผม เพราะอาหารเครื่องดื่มเตรียมพร้อมรอพวกเราอยู่แล้ว
บรรยากาศภายในรถดูสนุกสนาน โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ แถมเพื่อนซี้เค้าก็ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหลือเกิน ไม่รู้เด็กโตเกินวัยหรือผู้ใหญ่ลดอายุไปหาใครกันแน่ครับ แต่ก็ดูน่ารักดี ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นมุมแบบนี้ของปาร์ตี้เค้าเท่าไหร่
“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วมากินข้าวกัน กำลังร้อนๆ เลย อ้าวปาร์ตี้ลูก นึกว่าไม่มานี่ชาร์ปหลอกอำแม่หรือเปล่า”แม่ผมออกมาต้อนรับ และทักทายรับไหว้จากทุกคน ผมให้เด็กในบ้านช่วยยกกระเป๋าพาทุกคนเอาของไปเก็บ
“แล้วตัวเล็กนี่ใครเอ่ย”เอาแล้วครับแม่ผม สงสัยอาการอยากมีหลานกำเริบอีกแล้ว ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่นก็ดูจะขี้อ้อนไม่น้อยทีเดียว
“หวัดดีฮ่ะ นี่น้องแมทเอง”แม่ผมดูตาเป็นประกายเชียวครับ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะผมคงมีหลานอย่างที่แม่หวังไม่ได้เสียแล้ว
หลังเก็บของกันเรียบร้อยเราก็กลับมาทานมื้อค่ำกัน ดูวันนี้จะเป็นมื้อใหญ่สำหรับบ้านเราทีเดียวครับ นานแล้วที่ไม่ค่อยมีแขกมาพักที่บ้าน เพื่อนๆ ของพ่อกับแม่ส่วนใหญ่ถ้ามาก็มักไปพักที่โรงแรมกันหมด บรรยากาศมื้อค่ำของเราวันนี้เลยดูอบอุ่นกันเป็นพิเศษ
“แล้วนี่มาฮันนีมูนกัน กะมีน้องให้แมทกันเลยหรือเปล่าเนี่ย”แม่ผมเอ่ยแซว เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ
“ดูเพื่อนเป็นตัวอย่างบ้างสิชาร์ป นี่พ่อกับแม่ก็รออุ้มหลานกันจนเหงือกแห้งแล้ว”พ่อผมพูดออกมาขำๆ อย่างไม่จริงจัง แต่ผมก็เหมือนโดนสะกิดให้ฉุกคิดอีกแล้วแหละครับ
“เดี๋ยวฝากลูกแพทเป็นหลานชั่วคราวไปก่อนแล้วกันนะคะ”แพทบอกกลับพร้อมหันมามองผมอย่างให้กำลังใจ การทานข้าวผ่านไปด้วยความสุขใจของทุกๆ คน จะมีก็แต่หนึ่งคนที่แม้จะดูยิ้มแย้มแต่ก็พูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังทานข้าวเสร็จแพทก็พาน้องแมทไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน โดยแม่ผมขอน้องแมทไปนอนด้วย นี่ตกลงแม่ผมจะกดดันอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย สรุปวันนี้ด้วยความที่ดึกมากแล้วจากแผนเดิมที่ว่าจะดื่มกันของพวกผมเลยเหมือนจะถูกพับไปโดยปริยาย แล้วทุกคนก็ยังอยู่อีกหลายวัน พรุ่งนี้ผมก็จะพาทุกคนไปล่องเรือด้วยแม่เลยไม่อยากให้พวกผมนอนดึกกันมากนัก
“มันยังไม่คืนดีกับคุณอรรถ จะทำอะไรก็รีบทำ”คำพูดที่ไอ้เหมาบอกกับผมเบาๆ ก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อน ทำให้ตอนนี้ผมซึ่งอยู่ในชุดนอน มีเสื้อคลุมทับอย่างสบายๆ มายืนอยู่หน้าห้องของใครบางคน พร้อมไวน์อีก 1 ขวด นี่เค้าคงยังไม่หลับหรอกมั้งเพราะดูยังมีแสงไฟลอดออกมาจากห้องของเค้าอยู่
“ก๊อกๆ”ผมเคาะไปที่ประตูห้อง ผมพยายามฟังเสียงว่าเค้าเดินมาเปิดประตูให้ผมหรือเปล่า แต่เหมือนจะยังเงียบอยู่ผมเลยงื้อมือเตรียมเคาะอีกรอบ โชคดีที่ยั้งมือไว้ทันเพราะคนในห้องดันเปิดประตูออกมาพอดี นี่มือผมแทบจะเคาะที่หน้าผากเค้าอยู่แล้ว เค้ามองผมแทบจะหัวจรดเท้า แล้วตัวเค้าเองก็ขยับเสื้อคลุมของตัวเองให้ชิดขึ้น ผมไม่ได้รอให้เค้าอนุญาต ก็นี่มันบ้านผม ผมเลยรีบเบียดตัวผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรเนี่ย”เค้าถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปิดประตูล็อคอย่างดี จนผมอดยิ้มไม่ได้ตอนนี้สำหรับผมมันเหมือนความรู้สึกเก่าๆ ในช่วงที่เราเคยอยู่ด้วยกันมันกลับมา ความรู้สึกที่ผมว่า ผมกำลังมีความสุข ที่จริงผมอาจจะเผลอรักเค้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ผมเองไม่อยากจะยอมรับ
“เรารู้ว่าตี้มีเรื่องไม่สบายใจอยากระบาย เราให้ตี้ระบายออกมาจนกว่าไวน์ขวดนี้จะหมด ถ้าหมดเมื่อไหร่เราจะกลับห้องทันที ไม่รบกวนอะไรตี้เด็ดขาด”ผมยกขวดไวน์พร้อมแก้วไว้ตรงหน้าเค้า ผมชู 3 นิ้วเหมือนให้คำปฏิญาน เค้าหยิบแก้วไปไว้ในมือหนึ่งใบ พร้อมเอียงคอเป็นการตอบตกลง ผมรีบจัดการเปิดไวน์รินให้เราทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“เล่าดิ”ผมรีบคะยั้นคะยอเมื่อเค้ายังคงจิบไวน์เงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดอะไรให้ผมฟัง
“เล่าไร เราไม่ได้เป็นไร”ไม่อยากจะบอกเลยว่ารอบนี้เค้าโกหกโคตรจะไม่เนียน แต่เอาเถอะในเมื่อยังไงเค้าขนาดเปลี่ยนใจตามไอ้เหมามานี่ผมก็ต้องมีหวังบ้างล่ะ ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรเค้าอีก ถ้าเค้าอยากเล่าเค้าก็คงเล่าออกมาเอง เค้าหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ ที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดดู ดูเหมือนจะเป็นรูปตอนเด็กๆ ของผม พอเห็นความน่ารักในวัยเด็กของผมทำให้เค้ายิ้มออกมา และบรรยากาศในห้องดูจะผ่อนคลายขึ้น นั่นส่งผลให้ไวน์ขวดนึงหมดลงอย่างรวดเร็ว เค้าชี้ให้ผมดูเพื่อเป็นการเตือนว่าเวลาของผมหมดแล้ว
“เราขอพิสูจน์อะไรหน่อยได้ไหม”ถ้าผมพลาดวันนี้ผมอาจจะไม่มีโอกาสอีกเลยก็เป็นได้ ผมค่อยๆ โน้มตัวเค้าไปหาเค้าเพื่อลิ้มรสริมฝีปากที่เตือรสชาดของแอลกอฮอล์นั้น
“ถ้าตี้รู้สึกเหมือนกันกับเราก็อย่าปฏิเสธเราเลย”ผมรีบบอกก่อนที่เค้าจะปฏิเสธผม เค้าหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะดึงหน้าผมเข้าไปจูบ ไม่ว่ามันจะหมายความว่ายังไง ผมก็จะไม่ยอมปล่อยเค้าไปอีกแล้ว มันไม่มีคำพูดใดๆ ของเราทั้งคู่อีกผมเองเหมือนกำลังกระหายแทบจะอยากกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งตัว เราต่างถาโถมเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร รอบแล้วรอบเล่าจนเราทั้งคู่ต้องหอบหายใจเพราะหมดแรง
“เรารักตี้นะ”ผมกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของเค้า ผมบอกออกไปแล้ว แต่เค้ากลับเงียบไม่ตอบอะไรหรือแสดงความเห็นใดๆ กลับมา แต่เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธผมนี่เนอะ ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้เค้าคงไม่หายไปไหนอีกนะ ตอนนี้จะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ว่าได้ครับ เค้ายอมผมขนาดนี้แล้ว ยังเหลืออีกตั้งหลายวันผมต้องทำให้เค้าพูดออกมาจนได้แหละครับว่าคิดยังไงกับผมกันแน่
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านเข้ามา มือผมควานหาอีกคนทันที แต่แล้วผมก็ต้องรีบดีดตัวขึ้น นี่เค้าจะหนีผมไปไหนอีกหรือเปล่าเนี่ย ผมรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าใส่ลวกๆ เปิดดูในห้องน้ำ แล้วรีบออกจากห้อง ตอนนี้ชักจะใจไม่ดีแล้วครับ
“อ้าวชาร์ปตื่นแล้วเหรอลูก แล้วนี่ไปไหนมาทำไมมาจากทางนั้น”ผมไม่มีเวลาอธิบายให้แม่ฟังแล้วครับเพราะตอนนี้กำลังร้อนใจ แต่ก็ยังหวังว่ามันจะไม่มีอะไร เพราะแพทก็อยู่ตรงนี้ แต่ไอ้เหมาไม่อยู่ตี้อาจจะไปไหนกับไอ้เหมาก็เป็นได้
“แพทเห็นตี้ไหม”ผมรีบถามอย่างร้อนใจ แพทพยักหน้ารับทำให้ผมเริ่มรู้สึกสบายใจไปนิดนึง
“เค้าโดนหัวหน้าโทรตามแต่เช้า กลับกรุงเทพฯไปแล้วแหละ แม่พูดยังไงก็จะไปให้ได้ หัวหน้าของตี้นี่ก็ไม่รู้ยังไง ให้ลามาแล้วจะมาเรียกกลับกะทันหันแบบนี้ได้ยังไง”แม่ผมพูดอะไรอีกบ้างผมแทบไม่ได้ฟัง นี่มันหมายความว่ายังไง เมื่อคืนทุกอย่างมันก็เหมือนจะจบด้วยดีแล้วนี่นา หรือผมเองคนเดียวที่คิดแบบนั้น
“เราขอโทษนะแพท เดี๋ยวเราจะให้คนมาดูแลแพทกับไอ้เหมาตามทริปที่คุยกันไว้ แต่เราคงไปด้วยไม่ได้ เราจะไปกรุงเทพฯ”
TBC
อย่างที่เคยบอกนะครับว่าคงจบที่ตอน 30
4 ตอนสุดท้ายก็จะเป็นการเล่าในมุมของปาร์ตี้แล้วนะครับ
คนที่จะเป็นคนจบเรื่องราวทั้งหมด ตี้คิดยัง และตี้จะเลือกใคร
อดใจรออีกแค่ 4 ตอนครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเช่นเคยนะครับ
Norita_Boy
norita_boyV2
ฝากนิยายด้วยนะครับ
เรื่องที่จบแล้ว
เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ
เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย
เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง
เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ
เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ
เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย
เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท
เรื่องที่กำลังออนแอร์
เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน
เรื่องที่ 2 : Drunk in Love
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์
ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
o13
[/b]