พิมพ์หน้านี้ - ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่14] 22/12/18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: GoingSunny ที่ 29-11-2018 23:54:09

หัวข้อ: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่14] 22/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 29-11-2018 23:54:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม










✂ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐



#เมมโม่สีจาง



(https://sv1.picz.in.th/images/2018/11/30/3VoQuq.jpg)



▷MemorY◀

ความทรงจำสีจาง


"ไม่ยอมปล่อย และไม่ให้ใครได้ไป"

"เมื่อมันหายไปก็สร้างขึ้นมาใหม่ จะไม่ยอมให้ใครมาแทนที่เด็ดขาด"

"ความอดทนที่ใกล้สิ้นสุด อยากหลุดพ้นสักที"

"จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม"





✂ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐ ‐




Facebook / Twitter
GoingSunny
@GSFiction
#เมมโม่สีจาง



:mew1:




หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง [Intro]
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 00:31:57


INTRO


ภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งคุมโทนอย่างเรียบง่ายมีชายหนุ่มร่างสูงสองคนยืนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร มันเป็นปัญหาเดิมๆ ที่คุยเท่าไหร่ก็ไม่ลงตัวสักที ทั้งที่อีกไม่กี่นาทีคนตัวเล็กเพื่อนสมัยเด็กของพวกเขาก็จะมาถึงอยู่แล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทำเรื่องแบบนี้เลยสักนิด

“มึงเลิกบ้าสักทีได้มั้ย ไหนมึงบอกว่าเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วไง แล้วนี่มันหมายความว่าไงวะ” ในที่สุดคนตัวสูงที่ทนความเงียบต่อไปไม่ไหวจึงเปิดปากถามก่อนด้วยสีหน้าราบเรียบ ถึงแม้จะดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่คนฟังก็รับรู้ได้ว่าคนถามไม่พอใจกับการกระทำของตนขนาดไหน

“...” คนโดนถามไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น ร่างสูงมองผ่านเพื่อนสมัยเด็กตรงหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อเช็กอีเมลงานต่อแทน

“มึงอย่ามากวนประสาทกูได้มะ ถ้าตัวเล็กรู้จะทำยังไง” ถ้าไม่ติดว่าตัวเล็กใกล้มาถึงเขาคงพุ่งไปต่อยหน้าไอ้เพื่อนเวรนั่นสักทีแล้ว ทำไมชอบทำตัวให้มีปัญหาอยู่เรื่อยก็ไม่รู้

“เฮ้อ ถ้ามึงไม่พูดตัวเล็กก็ไม่รู้หรอก” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เครียดนะ การที่คนตรงหน้าจับได้ว่าเขายังคบกับแฟนอยู่ทำเอาเขาไปไม่ถูกเหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไง เรื่องหัวใจมันบังคับกันได้ที่ไหน เขาไม่ได้บ้าเท่าอีกคนสักหน่อย ที่ตัวเล็กสั่งอะไรก็ทำตามหมดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ตัวเล็กเป็นเพื่อนคนสำคัญก็จริง แต่นั่นก็แค่เพื่อน เขาก็จำเป็นต้องมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกันนะ

“...” คำตอบของเพื่อนสนิททำเอาคนฟังกัดฟันกรอดอย่างอดกลั้น แต่ก่อนร่างสูงไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ตั้งแต่ที่เข้ามหาลัยและเริ่มมีแฟน อีกฝ่ายก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยจนเขาจะอดทนต่อความเปลี่ยนแปลงนี่ไม่ไหวอยู่แล้ว

“มึงเลิกจ้องเหมือนจะฆ่ากูสักทีได้ปะวะ กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้ตัวเล็กไม่สบายใจ แต่มึงน่าจะเข้าใจกูบ้าง กูรักของกูจะให้กูเลิกกับเธอได้ไง” ร่างสูงหันมาสบตาเพื่อนสนิทพลางพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจจนคนฟังเริ่มผ่อนอารมณ์ลง แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายจะมีความลับและเมินต่อคำขอของตัวเล็กแบบนี้

“แล้วตัวเล็กล่ะ มึงจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้หรือไง กูไม่อยากเห็นตัวเล็กร้องไห้อีกหรอกนะ” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเพื่อนร่างสูงนะ แต่มันก็น่าจะจำเรื่องครั้งนั้นได้ไม่ใช่เหรอ ตอนที่ตัวเล็กรู้ว่าพวกเขามีแฟนแล้วสภาพตัวเล็กเป็นยังไงสิ่งเหล่านั้นยังติดตาเขาอยู่เลย ทำไมอีกคนถึงไม่รู้สึกอะไรบ้างนะ

“กูจำได้ แต่กูทิ้งหัวใจตัวเองไม่ลงจริงๆ ที่จริงกูต่างหากที่ต้องถามมึงว่ามึงยังจำตอนที่ตัวเองเลิกกับแฟนได้มั้ย มึงอย่ามาโกหกเชียวว่าไม่ได้รักเธอ เพราะหน้ามึงตอนเลือกจะปล่อยมือเธอไปเหมือนคนที่พังโลกทั้งใบของตัวเองลงเลย กูเข้าใจนะเว่ยว่าตัวเล็กเป็นเพื่อนคนสำคัญ แต่ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ อย่ายึดติดมากนัก มันมีแต่เจ็บกับเจ็บ” คำอธิบายพร้อมแววตาเจ็บปวดปนลำบากใจของร่างสูงทำให้คนฟังนิ่งเงียบพร้อมความสับสนที่ตียุ่งไปหมด

ใช่ ชายหนุ่มยอมรับว่าเขารักแฟนเก่ามาก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำอะไรหลายๆ อย่างให้เขา ถ้าตัวเล็กเปรียบเสมือนเพื่อนคนสำคัญ เธอคนนั้นก็คงเป็นโลกทั้งใบ แต่จะให้เขาทำยังไงในเมื่อตัวเล็กไม่ต้องการเธอ เพราะงั้นสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือต้องพังโลกทั้งใบด้วยน้ำมือของตัวเอง

“แต่กู...”

แอ๊ด

“ที่พูดมาหมายความว่ายังไงเหรอครับ” ประตูห้องที่ถูกเปิดออกพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือของคนมาใหม่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจ

“ตัวเล็ก.../เมมโม่” ทั้งคู่เอ่ยเรียกคนตัวเล็กอย่างคนทำตัวไม่ถูก ตอนนี้ใบหน้าหวานที่จ้องมองพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร เมมโม่คงได้ยินที่พวกเขาพูดเกือบทุกอย่างแล้วแน่เลย

“โคล์ว ลุกซ์ มันหมายความว่ายังไงครับ ที่พูดทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง” คนตัวเล็กเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ขาเรียวสวยก้าวเข้าไปหาเพื่อนร่างสูงทั้งสองอย่างเชื่องช้าพร้อมสบตาทั้งคู่ด้วยแววตาที่เจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด

“...” ทั้งคู่เลือกจะไม่ตอบอะไรแล้วหลบตาคู่สวยที่ส่งแต่ความเจ็บปวดทิ่มแทงมาให้แทน

ยังไงซะวันนี้ร่างสูงก็อยากเคลียร์ให้มันจบๆ ไป เขาไม่อยากตามใจจนคนตัวเล็กเสียคนอีกต่อไปแล้วและที่สำคัญเขาทำร้ายหัวใจตัวเองมากกว่าไปกว่านี้ไม่ได้แล้วเช่นกัน

“เราถามไม่ได้ยินเหรอครับ โคล์วกับลุกซ์ยังไม่เลิกกับผู้หญิงพวกนั้นใช่มั้ย” เมื่อไม่ได้รับคำตอบเมมโม่ก็ยังคงถามย้ำอยู่อย่างนั้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาคนทั้งสองเรื่อยๆ เพื่อคาดคั้นคำตอบ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ทั้งคู่ทิ้งเขาไปมีคนอื่นแน่!

ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด!!

“ตัวเล็ก อย่าเรียกแฟนเราว่าพวกนั้นสิ เธอเป็นคนที่เรารักนะ” เมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มพูดถึงแฟนสาวของตนในสรรพนามที่ไม่ควร ร่างสูงจึงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงกดต่ำแต่นั่นยิ่งทำให้คนตัวเล็กร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่

“ทำไมตัวเองถึงเห็นยัยพวกนั้นดีกว่าเรา!! ตั้งแต่รู้จักกันมาตัวเองไม่เคยดุเราเลยสักครั้ง! ฮึก! แต่ทำไม! ทำไมถึงดุเรา!” เมมโม่ร้องไห้พร้อมสะอื้นหนักเหมือนคนจะขาดใจทำให้คนตัวสูงที่ยืนเงียบเริ่มใจคอไม่ดีจนต้องเดินไปลูบหลังปลอบให้คนร้องไห้อยู่รีบหยุดซะ

“มึงเลิกบ้าแป๊บนึงได้ปะวะ เมมโม่ร้องอยู่ไม่เห็นหรือไง จะรักห่าไรก็มีขอบเขตหน่อยเหอะ” เขาพอเข้าใจว่าเพื่อนร่างสูงท่าจะรักแฟนคนนี้มากจริงๆ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันก็ควรหยวนๆ ก่อนปะวะ ชอบทำเรื่องให้มันวุ่นวายไม่หยุดหย่อนจริงๆ

“...” พอโดนเตือน ร่างสูงจึงหันหน้าหนีจากใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง

การที่เห็นคนตัวเล็กร้องไห้ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรนะ แต่จะให้เขาทนฟังเพื่อนเรียกคนรักตัวเองอย่างนั้นมันก็ใช่เรื่อง เมมโม่โดนตามใจมากเกินไปจนเสียคนแล้ว

“ตัวเอง ฮึก! ตัวเองเลิกกับผู้หญิงคนนั้นเถอะนะ ฮึก! ตัวเองมีแค่เค้าก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ฮึก! นะตัวเองนะ” เมมโม่ดันเพื่อนตัวสูงให้หลบออกจากตนก่อนจะเดินไปกอดแขนอีกคนที่เอาแต่หันหน้าหนีแล้วพูดอ้อนวอนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร

“...” ร่างสูงไม่แม้จะหันมองคนที่กอดแขนตนเลยสักนิด เขาเอาแต่ทำหน้าเฉยชาแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนปนสะอื้นนั้นเลย

“ตัวเอง ฮึกๆ! ตัวเองหันมาคุยกับเค้า หันมานะ เค้าขอร้อง” เมมโม่ยังคงพยายามอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ยิ่งเห็นท่าทางเฉยชาของร่างสูง หัวใจของคนโดนเมินก็เหมือนยิ่งถูกกรีดจนแทบไม่เหลือชิ้นดี

ทำไมล่ะ ทำไมเป็นเขาไม่ได้ เขาที่มาก่อน เขาที่อยู่เคียงข้างมานาน และเขาที่รักคนตรงหน้ามากกว่าใครๆ แต่ทำไม ทำไมกัน

“ไอ้...”

“มึงไม่ต้องพูด”

เมื่อเห็นเพื่อนร่างสูงเอาแต่เมินคนตัวเล็ก คนที่ยืนมองมานานก็ทนดูต่อไม่ไหวจึงจะเอ่ยเรียกเพื่อให้หยุดการกระทำบ้าๆ นั่นซะ แต่ก็ดันโดนอีกฝ่ายดักทางไว้ซะก่อน

“ตัวเอง...” เมมโม่เรียกคนตรงหน้าเสียงแผ่วอย่างคนจะขาดใจ เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนร่างสูงจะเอาเขามาเป็นเรื่องแรกของทุกอย่างแท้ๆ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกผู้หญิงคนนั้นล่ะ

“เฮ้อ เมมโม่ อย่าร้อง น้ำตามันไม่ช่วยอะไร เดี๋ยวก็หอบขึ้นอีกหรอก” ร่างสูงแกะแขนเพื่อนตัวเล็กออกก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาให้อีกคนเบาๆ แต่การกระทำนั้นก็ไม่ได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนเหมือนทุกที นั่นเลยยิ่งทำให้คนร้องไห้เจ็บปวดเข้าไปใหญ่

“ทำไม ทำไมตัวเอง ฮึก! ถึงทำแบบนี้ ตัวเองไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเรารู้สึกยังไง เราระ-”

“เมมโม่หยุด!”

“ไอ้สัด! มึงจะตะคอกทำเหี้ยอะไร!!”

ทุกอย่างเริ่มวุ่นวายมากกว่าเดิม คนตัวเล็กทรุดนั่งลงตรงพื้นพร้อมน้ำตาที่ไหลไม่หยุดในขณะที่เพื่อนทั้งสองพุ่งกระชากคอเสื้อกันด้วยความเดือดดาล เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาก่อน ไม่ว่าลับหลังทั้งคู่จะทะเลาะอะไรกันแต่ต่อหน้าเมมโม่พวกเขาไม่เคยมีเรื่องกันเลยสักครั้ง

และที่สำคัญคราวนี้คนตัวเล็กได้รับรู้แล้วว่าร่างสูงนั้นรู้ความรู้สึกของตนอยู่ก่อนแล้ว แต่คนๆ นั้นแค่เลือกจะเมินเฉยต่อมัน แถมยังไม่อยากได้ยินคำๆ นั้นจากปากเขาด้วยซ้ำ

ทรมาน...ทรมานเหลือเกิน

“พอแล้ว...พอได้แล้ว! ในเมื่อไม่มีใครต้องการเรา เราไม่อยู่ก็ได้!!” ความอดทนที่ขาดสะบั้นทำให้คนตัวเล็กตะโกนออกไปอย่างเหลืออดแล้วรีบหันหลังวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

“เมมโม่! /ตัวเล็ก!” พอเห็นเพื่อนตัวเล็กวิ่งออกไปชายร่างสูงทั้งสองที่พึ่งตั้งสติได้ก็รีบวิ่งตามไปทันที

“ตัวเล็กอย่าวิ่ง! หยุดก่อน!” คนวิ่งตามตะโกนเรียกคนที่วิ่งอย่างไม่หันหลังมามองด้วยความร้อนรนใจ เมมโม่ไม่ใช่คนที่มีร่างกายแข็งแรงนักพวกเขากลัวแต่อีกฝ่ายจะเป็นอะไรไปมากกว่า

“ฮึก ฮึก” ส่วนคนโดนตามก็ไม่คิดสนใจเสียงใดทั้งสิ้น ในหัวมีแต่ใบหน้าเฉยชาและใบหน้าลำบากใจของเพื่อนทั้งสองเท่านั้น ตอนนี้เมมโม่รู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าตัวถ่วงสมัยเด็กเท่านั้น

โลกทั้งใบของเมมโม่คือสองคนนั้น แต่ในโลกของสองคนนั้นไม่ต้องการเมมโม่เลย

คนตัวเล็กวิ่งเลยลิฟต์ไปทางบันไดหนีไฟอย่างคนสิ้นคิด รู้ว่ายังไงตัวเองก็คงวิ่งลงจากชั้นบนสุดของคอนโดนี้ไม่ไหว แต่จะให้หยุดหันไปมองคนใจร้ายพวกนั้นเขายอมเหนื่อยตายไปน่าจะดีกว่า

ไม่สิ ตายไปยังไงก็คงจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ทั้งความรู้สึก ทั้งความจริง ทั้งความเจ็บปวด ถ้าเลือกได้ อยากลืมทุกอย่างน่าจะดีกว่า ลืมทุกสิ่ง ลืมให้หมด...

หมับ!

“เลิกบ้าได้แล้วเมมโม่!” ในที่สุดคนตัวสูงก็ตามอีกฝ่ายทันสักที ไม่คิดว่าคนที่ไม่เคยลงเล่นกีฬาอย่างเมมโม่จะบ้าดีเดือดวิ่งลงบันไดมาถึง 5 ชั้นได้ นี่คิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย

“ปล่อย! ฮึก! ปล่อยเรานะ!” คนที่โดนคว้าแขนได้พยายามสะบัดตัวเองออกจากเพื่อนตัวสูงอย่างสุดความสามารถพลางมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาพร่าเลือนเพราะมีม่านน้ำตาบดบังไว้อยู่

ดูสิขนาดคนที่มาตามยังไม่ใช่คนๆ นั้นเลย เขาคงไม่ต้องการเราแล้วจริงๆ ไม่ต้องการเราเลย...

“เมมโม่หยุดดิ้นได้แล้ว ทำอะไรอยู่รู้ตัวมั้ยถ้าอาการกำเริบขึ้นมาจะทำยังไง!”

“ปล่อย! ฮึก! ปล่อยเรา!”

“เมมโม่!”

น้ำเสียงเรียกของคนตรงหน้าที่ดุดันขึ้นทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งตกใจจนหยุดดิ้น ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมามากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ การกระทำของพวกเขายิ่งตอกย้ำให้เมมโม่ได้รู้ว่าทุกอย่างที่พวกเขาทำมันคือความจำเป็นและหน้าที่ เพราะพ่อแม่เขาขอร้องไว้สินะทั้งคู่จึงต้องดูแลเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้

มันไม่ใช่ทั้งคู่ไม่ต้องการเขาแล้ว แต่มันคือทั้งคู่ไม่ได้ต้องการเขาตั้งแต่ต้น

“เฮ้อ กลับห้องกันเถอะ” พอเห็นอีกฝ่ายยอมหยุดดิ้น คนตัวสูงก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพลางดึงแขนเล็กที่ตนจับอยู่เป็นสัญญาณให้เดินตาม

“...” เมมโม่ยอมเดินตามอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ขาที่ก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นมันหนักอึ้งจนแทบไม่มีแรงขยับ

ไม่รู้จะให้เขากลับไปทำไม กลับไปทั้งที่ไม่มีใครต้องการอย่างนั้นเหรอ ปล่อยเขาไปน่าจะเป็นผลดีกว่าไม่ใช่หรือไง อย่าทำให้เขาไร้ค่าไปกว่านี้เลย

คิดได้ดังนั้นขาที่แทบไม่มีแรงเดินอยู่แล้วก็หยุดลง สร้างความแปลกใจให้อีกคนหันมามองอย่างนึกเป็นห่วง

“เมม-”

“ปล่อยเราเถอะ”

“หะ?”

เมมโม่ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายสงสัยนานนักคนตัวเล็กกระชากแขนตัวเองกลับอย่างรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว เมมโม่ที่คิดว่าคนตัวสูงคงจะออกแรงยื้อจึงไม่ได้ผ่อนแรงตอนดึงตัวกลับเช่นกันทำให้ร่างของตนเซถอยหลังอย่างทรงตัวไม่อยู่

“เมม!!!!!!” เจ้าของมือหนาตะโกนเรียกเพื่อนตัวเล็กด้วยความตกใจสุดขีด มืออีกข้างก็ยื่นออกไปเพื่อคว้าแขนคนตรงหน้าไว้ ภาพทุกอย่างดูเชื่องช้าจนน่ารำคาญแต่มันเป็นภาพติดตาที่ทำให้รู้ว่าเมมโม่เลือกจะปัดมือเขาออกอย่างไม่ลังเล!

พรึบ! ตุบ!

ถ้าไม่ได้เป็นคำขอที่มากเกินไป เขาอยากจะขอให้การหลับครั้งนี้ไม่ต้องตื่นอีกต่อไปจะได้หรือเปล่านะ...?

“เมมโม่!!!!!!!!!!!!” คนตัวสูงตะโกนเรียกเจ้าของร่างที่ร่วงลงไปด้านล่างดั่งคนเสียสติ ขายาวก้าวลงบันไดอย่างร้อนรนจนหวิดจะตกไปด้วยอีกคนก็หลายครั้งแต่เขาก็ไม่นึกสนใจ

พอถึงตัวของร่างเล็กที่อาบไปด้วยเลือด แขนแกร่งก็โอบประคองอีกฝ่ายไว้ด้วยดวงตาสั่นเครือ มือหนาอีกข้างล้วงหาโทรศัพท์ตัวเองเพื่อติดต่อขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน

"ทำไงดี ทำไงดี เบอร์ไรวะ แม่งเอ๊ย!!!! " ยิ่งร้อนรนยิ่งไปกันใหญ่ ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนไร้สติสักนิด

"ทำไมช้าจั-...ตัวเล็ก!!!!!!!!!!! " เพราะโดนเพื่อนตัวสูงไล่ให้ไปดักเมมโม่ทางลงลิฟต์เขาจึงไม่ได้วิ่งตามลงบันไดมาด้วย แต่เมื่อยืนรออยู่นานก็ไม่เห็นทั้งคู่มาสักทีเขาจึงกลับไปชั้นเดิมแล้วเดินลงบันไดตามมา แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ซะได้

"มึง มึง ทำไงดี ทำไงดี เมมโม่ กู กูขอโทษ" พอเห็นเพื่อนที่โอบประคองร่างเล็กที่อาบเลือดอย่างคนเสียสติเขาก็กระทืบอีกฝ่ายไม่ลง ที่จริงตอนนี้เขาก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากคนตรงหน้าสักนิด แต่ถ้าเขาเสียสติไปอีกคนเมมโม่คงไม่ต้องไปหาหมอกันพอดี

"มึงอุ้มเมมโม่ขึ้นก่อน เดี๋ยวลงบันไดไปขึ้นลิฟต์ชั้นใกล้ๆ นี้กัน กูจะเป็นคนขับรถเอง"

"อะ...อื้ม"

ตอนนี้อย่าถามถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรืออะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีสติพอจะงัดความรู้ที่มีมาใช้ตอนนี้แน่ๆ รู้สึกถึงความไร้ค่าของตัวเองสุดๆ เพราะพวกเขาแท้ๆ เมมโม่ถึงเป็นแบบนี้

"อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเป็นอะไร"

ถ้าไม่ได้เป็นคำขอที่มากเกินไป พวกเขาอยากขอให้เมมโม่ปลอดภัยทีเถอะ ขอแค่คนตัวเล็กไม่เป็นอะไร ไม่ว่าสิ่งใดพวกเขาก็จะแลกให้ทั้งหมดเลย...





TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่1] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 00:38:09


Chapter 1



"อรุณสวัสดิ์จ๊ะตัวเล็ก เช้านี้อากาศดีมากเลยนะ มะม๊าตื่นมาทำอาหารเองด้วย น้องเมมน่าจะได้เห็นสีหน้าของปะป๊าตอนเห็นมะม๊าอยู่ในครัว ตลกมากเลย" เสียงนุ่มอ่อนโยนของหญิงสาววัยกลางคนเอ่ยเล่าสรรพเพเหระข้างเตียงผู้ป่วยด้วยรอยยิ้มและดวงตาเหม่อลอย

มือเรียวสวยของคุณหญิงเอื้อมจับมือเล็กของคนบนเตียงที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอมพร้อมกับพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุดด้วยความสนุกสนาน

เพราะเธอได้แต่หวังว่าคนที่หลับอยู่จะรู้สึกสนุกไปกับมันแล้วยอมลืมตาตื่นขึ้นมาสักที

"...แล้วก็นะหนูเมม รู้มั้ย มะม๊าละเหนื่อยกับงานจริงๆ ดูสิ เดี๋ยวก็บินๆ แทบไม่ได้อยู่ติด...ฮึก...ที่...เลย มะม๊า ฮึก น่ะ ฮึก ฮึก! " เสียงที่ฟังดูสนุกสนานในตอนแรกเริ่มเบาลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงสะอื้นลงในที่สุด

คุณหญิงก้มจรดหน้าผากตนแตะมือบางของลูกชายด้วยความทรมานและเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ

ผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าแล้วแต่ลูกชายของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คนเป็นแม่อย่างเธอทนจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

"ฮืออออออออ ฮึก! หนู...เมม ฮือออออ" ไหล่บางสั่นเพราะอาการสะอื้นและร้องไห้อย่างหนักแบบที่ใครได้เห็นคงนึกไม่ถึงว่า 'คุณหญิงอภิรดี' ที่ขึ้นชื่อความใจยักษ์และบ้าอำนาจจะมีสภาพอย่างนี้

แต่เธอไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอกเพราะตอนนี้เงินตราและชื่อเสียงของ 'ธนพัฒน์โชคสกุล' ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเธอเลยสักนิด! ทั้งที่เธอทำทุกอย่างให้มีวันนี้เพื่อลูกชายคนเดียวแท้ๆ แต่มันจะไปมีค่าอะไรถ้าลูกชายคนเดียวของบ้านไม่ลืมตาตื่นมารับสิ่งที่เธอสร้างไว้ให้!!

"คุณหญิงใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปอีกหรอก" ผู้บริหารใหญ่ของทีพีกรุ๊ปเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับยื่นมือลูบหลังปลอบคนรักทั้งที่ใจตนก็ทรมานไม่ต่างไปจากผู้เป็นภรรยา

"คุณคะ ฮึก ลูกเรา ลูกเราจะฟื้นมั้ยคะ ฮืออออออ" คุณหญิงหันไปเอ่ยถามประโยคเดิมที่พร่ำถามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร ความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่ต้องมาเห็นลูกชายนอนนิ่งมาเป็นเวลานานมันบั่นทอนจิตใจจนเธอเกินจะรับไหวแล้วจริงๆ

"ฟื้นซิ หนูเมมไม่ใช่คนที่ชอบนอนติดเตียงนะ คุณก็รู้หนิ" ผู้เป็นสามีก็ได้แต่ตอบประโยคเดิมซ้ำๆ ไม่ต่างกัน

คำตอบเรียบง่ายที่ฟังเหมือนใช้ปลอบใจหญิงสาวผู้เป็นที่รักแต่ใครจะล่วงรู้ว่านั่นก็เป็นประโยคที่เขาเอาไว้ใช้ปลอบใจตัวเองอยู่ทุกนาทีไม่ต่างกัน

"ฉันทรมานเหลือเกิน ฮืออออออออ" คุณหญิงโผเข้ากอดสามีพลางร้องไห้ดั่งคนจะขาดใจ

เธอไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี ถ้าสมมุติสุดท้ายลูกชายผู้เป็นที่รักไม่ลืมตาตื่นขึ้นมา ต่อให้เธอจะโดนมองว่าเป็นหญิงใจมารเธอก็จะบดขยี้คนที่ทำให้ลูกชายตนเป็นแบบนี้ให้ไม่เหลือซากอยู่ดี


'ทำไมนายถึงทำแบบนี้! พวกเรารักกันด้วยความจริงใจและไม่เคยล้ำเส้นนายเลย แต่ทำไมนายถึงทำร้ายพวกเรา!! ' เสียงตัดพ้อของหญิงสาวปริศนาดังขึ้นในความมืด ทำให้คนที่ยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ต้องกวาดสายตามองหาต้นเสียงด้วยความมึนงง

'นายมันก็เป็นได้แค่ตุ๊ดไร้ค่า! ที่ยังคงมีคนอยู่รอบกายก็เพราะนายยังมีอำนาจมันก็เท่านั้น!! ' เสียงปริศนาของคนใหม่ดังเพิ่มขึ้นมาอีกเสียง ยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับคนได้ยินเข้าไปใหญ่

ทำไมเขาถึงถูกรุมต่อว่าล่ะ?

'... อย่าเรียกแฟนเราว่าพวกนั้นสิ เธอเป็นคนที่เรารักนะ' คราวนี้เป็นเสียงของผู้ชายดังขึ้นบ้าง น้ำเสียงที่พูดเจือไปด้วยความไม่พอใจและเหนื่อยหน่ายพอสมควร แตกต่างจาก 2 คนแรกที่ฟังดูแค้นใจต่อคู่สนทนาเหลือเกิน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงของใคร คนที่ต้องมายืนฟังเสียงพวกนั้นท่ามกลางความมืดมิดรอบตัวก็คงไม่รู้สึกอภิรมย์เท่าไหร่นักหรอก

'คนอย่างนายไม่มีใครรักหรอก จำไว้...เมมโม่' เสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นก่อนที่การรับรู้จะขาดหายไป เป็นเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูทรมานและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

เมมโม่งั้นเหรอ? เจ้าของชื่อนั้นเป็นคนแบบไหนกันนะถึงได้สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคนได้มากมายขนาดนี้...

เมมโม่? เขาเป็นใครกัน?

ท่ามกลางความมืดมิดของห้องพักผู้ป่วยขนาดใหญ่ มีร่างบางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงอย่างเช่นทุกวัน ทั้งห้องตกแต่งอย่างหรูหราสมกับเป็นโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองแอบลอบเข้ามาในห้องคืนนี้

หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็จะแอบลอบมาติดสินบนการ์ดหน้าห้องเพื่อเข้ามาส่องเพื่อนตัวเล็กของตนแบบนี้ทุกคืน

จะว่าพวกเขาหน้าด้านก็ได้เพราะที่เพื่อนตัวเล็กมีสภาพแบบนี้มันก็เป็นเพราะพวกเขาจริงๆ ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาจึงพากันเดือดร้อนกันไปหมด เพราะดันไปทำให้ผู้สืบสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของธนพัฒน์โชคสกุลเป็นแบบนี้ไปซะได้

"ตัวเล็ก จะไม่ตื่นจริงๆ เหรอครับ" ร่างสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพลางยื่นมือหนาออกไปหมายจะลูบหัวคนที่หลับอยู่แต่ก็หยุดความคิดแล้วชักมือกลับพร้อมสีหน้าหม่น

ไม่ได้ เขาไม่กล้าแตะตัวคนตรงหน้าจริงๆ

คนตัวสูงที่เห็นเพื่อนชักมือกลับก็ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ อย่าว่าแต่มันไม่กล้าแตะเลย ขนาดเขาจะพูดถามหรือส่งเสียงยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ เพราะคนตัวสูงกลัว กลัวว่าถ้าคนที่หลับอยู่ได้ยินเสียงของเขาแล้วจะเลือกหลับต่อไปทั้งอย่างนั้น ภาพที่คนตัวเล็กปัดมือเขาออกยังคงติดตามาจนถึงตอนนี้

เขากลัวจริงๆ

เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบชั่วโมงทั้งคู่ใช้มันไปกับการเฝ้ามองคนที่หลับอยู่เท่านั้น ไม่มีเสียงพูดหรือความเคลื่อนไหวใดๆ จากทั้งสองคนเลย

เสียงนาฬิกาเดินดังในห้องมืดและเงียบสงบบ่งบอกถึงเวลาที่ยังคงหมุนไปเรื่อยๆ และใกล้หมดลง คนทั้งสองเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะกลับจึงมองคนบนเตียงให้มากที่สุดก่อนจะพากันหันหลังออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

ประตูห้องถูกปิดลงพร้อมกับเปลือกตาของคนที่หลับมาเป็นเวลานานค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตากลมปรับโฟกัสของตนด้วยความสับสนและมึนงงอยู่ในที พอทุกอย่างเข้าที่คนป่วยก็กวาดสายตาสำรวจรอบห้องท่ามกลางความมืด

ห้องพักขนาดใหญ่ที่ตกแต่งซะจนคล้ายกับโรงแรมหรูชั้นนำ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแถมเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็ดูจะเป็นแบรนด์นอกซะอีก

นี่ถ้าไม่ติดว่าเห็นมีสายระโยงระยางและขวดน้ำเกลือที่ห้อยอยู่เหนือหัว เขาก็คงคิดว่าตัวเองมาเที่ยวพักร้อนเป็นแน่ แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะพึ่งผ่านเรื่องเฉียดตายมาเสียมากกว่า

"อึก" คนป่วยที่คิดว่าตนฟื้นดีแล้วจึงฝืนขยับตัวเพราะต้องการลุกไปเปิดไฟ แต่พอเจอความเจ็บที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตนนั้นไม่ควรอวดเก่งท่ามกลางความมืดในห้องคนเดียวแบบนี้

คิดได้ดังนั้นคนป่วยก็นอนนิ่งมองเพดานห้องอย่างหมดทางเลือก

เอาละ ในเมื่อเขาขยับไม่ได้งั้นก็มาเรียบเรียงความคิดก่อน สิ่งแรกที่เขาควรจะทำคืออะไร ระหว่าง ตกใจกับสภาพห้องที่น่าจะบ่งบอกฐานะของเขาได้เป็นอย่างดี กับ สมองที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเจือปนเลย

อืม...อย่างนี้เรียกว่าความจำเสื่อมสินะ

งานงอกแล้วสิ ตื่นมาสภาพกึ่งเดี้ยงไม่พอดันต้องมาจำอะไรไม่ได้อีก ที่สำคัญตื่นตอนไหนไม่ตื่นมาตื่นตอนกลางดึกที่ไม่มีใครอยู่ด้วยสักคนซะงั้น แล้วจะไปถามความจริงและขอน้ำกินจากใครละเนี่ย

เห็นไม่ทุกข์ร้อนอย่างนี้แต่เขาหิวน้ำมากนะ

คนป่วยกลอกตามองเพดานอย่างหมดหนทาง จะตีโพยตีพายก็ใช่ว่าความทรงจำจะกลับมาหรือได้น้ำกินสักหน่อย ยังไงก็คงต้องรอให้ใครสักคนเข้ามาเท่านั้นสินะ

พอตกลงกับตัวเองเสร็จสรรพคนป่วยก็คิดจะถ่างตารอให้ใครสักคนเข้ามาเพื่อจะได้ถามความเป็นไปและขอน้ำกินได้ในทันที แต่เขาคงจะดูถูกความเจ็บปวดและอาการง่วงงุนมากเกินไป เพราะใช้เวลาไม่นานดวงตาคู่สวยก็เริ่มหรี่ลงช้าๆ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด

เฮ้อ หิวน้ำชะมัดเลย





TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่2] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 00:41:52


Chapter 2


"เป็นไงบ้างตาพัฒน์ หนูเมมจะหายมั้ย แล้วมีส่วนไหนผิดปกติอีกหรือเปล่า นายตรวจถี่ถ้วนแล้วใช่มั้ย" คุณหมอหนุ่มที่พึ่งรับซองผลตรวจจากพยาบาลต้องส่งยิ้มเจื่อนให้พี่สาวของตนที่อยู่ไม่เป็นสุขตั้งแต่รับรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนดันตื่นมาจำอะไรไม่ได้

ตอนแรกทางโรงพยาบาลเกือบโดนฟ้องล้มละลายเพียงเพราะลูกชายของเธอแปลกไปจากเดิม ดีนะที่หลานของเขายังพอมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง ถึงจะจำอะไรไม่ได้แต่เด็กหนุ่มก็ยังช่วยพูดให้คุณหญิงอารมณ์เย็นลงจนยอมส่งตัวลูกชายเข้าตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

เกือบได้หางานใหม่แล้วมั้ยล่ะ

"พี่หญิงใจเย็นก่อนนะครับ ขอผมดูผลตรวจของน้องก่อนนะ" คุณหมอตอบคนตรงหน้าอย่างใจเย็นพลางปรายตามองเจ้าของผลตรวจที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยจนน่าประหลาด

ความจริงเคสที่เป็นแบบเมมโม่มีไม่บ่อยนักแต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลย ส่วนใหญ่เกิดมาจากการประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหรือช็อกจากการเจอเรื่องกระทบจิตใจแบบสาหัสจนมีผลกระทบต่อสมองและความทรงจำบ้าง อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ฟื้นมาแล้วรับรู้ว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้อีกต่อไปจะเกิดการคลุ้มคลั่งหรือถ้าหากร้ายแรงหน่อยก็ถึงกับเสียสติจนต้องเข้ารักษาระยะยาวกันเลยทีเดียว

ทั้งที่ความสูญเสียมันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่หลานชายของเขากลับสงบจนผิดวิสัยมาก เมมโม่ไม่กระวนกระวายหรือร้อนรนต่อสิ่งที่เผชิญเลย บุคลิกดูเปลี่ยนไปจากเดิมจนเหมือนกลายเป็นคนละคน เขาที่เป็นหมอดูแลมาหลายเคสก็พึ่งเคยเจอผู้ป่วยที่ยอมรับอาการตัวเองได้ง่ายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

ดันเกิดกับคนใกล้ตัวแบบนี้ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลใจดี

คุณหมอได้แต่กลัดกลุ้มในใจเพียงลำพังก่อนจะเปิดผลตรวจออกดูโดยมีทุกคนในห้องยืนลุ้นกันตัวโก่ง ยกเว้นก็แต่เจ้าของผลตรวจที่เอาแต่ดื่มน้ำไม่สนใจทางนี้เลยสักนิด

ดวงตาคมใต้กรอบแว่นเริ่มอ่านผลตรวจพร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ด้วยความสงสัย

จากรายละเอียดการตรวจสมองและร่างกายอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีส่วนไหนผิดปกติเลยสักอย่าง ทั้งภาพเอกซเรย์และผลตรวจต่างๆ มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าหลานชายของเขาไม่ได้ความจำเสื่อมเพราะเหตุผลทางกายภาพแต่อย่างใด

ถ้างั้นคงจะเหลือแค่สภาพจิตใจเท่านั้นแหละ เขาเองก็ไม่ได้ถนัดด้านนี้ซะด้วย คงต้องขอให้เพื่อนที่แผนกจิตเวชมาช่วยดูแลแทนแล้ว

"สรุปเป็นไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับหนูเมม มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ต้องส่งตัวหนูเมมไปรักษาที่ต่างประเทศมั้ย ถ้ามันจะช่วยหนูเมมได้ เท่าไหร่ฉันก็พร้อมจ่าย" คุณหญิงที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีนักของน้องชายก็ใส่คำถามไม่ยั้งอย่างร้อนรนใจ

ตอนนี้จิตใจของคุณหญิงอภิรดีย่ำแย่มาก เพราะสายตาที่ลูกชายมองเธอมันไม่ได้ดูออดอ้อนน่ารักเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

เมมโม่เปลี่ยนไปแบบนี้มันทำให้เธอกลัว...

เธอกลัวลูกชายจะไม่รักเธอเหมือนเมื่อก่อน ถ้าสุดท้ายหนูเมมจำอะไรไม่ได้แล้วทิ้งเธอไป เธอคงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แน่

"จากผลตรวจที่ผมเห็น น้องเมมไม่ได้สูญเสียความทรงจำเพราะเหตุผลทางกายภาพแน่นอนครับ อีกทางที่พอจะช่วยได้ คงต้องให้น้องลองพูดคุยกับนักจิตแพทย์ของทางโรงพยาบาลดู ผมมีเพื่อนที่พอจะ..."

"อย่ามาตลกนะ!!!!!!!!!!!!!! "

เสียงตะโกนลั่นของคุณหญิงอภิรดีดังขัดคำอธิบายของหมอพัฒน์ก่อนจะพูดจบ ใบหน้าสวยของหญิงผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดในวงการธุรกิจบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธจนแทบกลั้นไม่ไหว

จะไม่ให้เธอโมโหได้ไง ทั้งที่ตาพัฒน์เป็นน้าของหนูเมมแท้ๆ แต่ทำไมถึงคิดว่าหลานตัวเองบ้าจนต้องพบจิตแพทย์ด้วย หนูเมมประสบอุบัติเหตุเพราะไอ้พวกชั้นต่ำนั่น มันเกี่ยวอะไรกับที่ต้องกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตแบบนี้ ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!!!!!!!!!!

"คุณหญิงใจเย็นก่อน อย่าพึ่งใช้อารมณ์สิ ตาพัฒน์เขาเป็นหมอ เขารู้ว่าควรทำยังไงถึงดีต่อหนูเมมที่สุด" ชายภูมิฐานในชุดสูทราคาแพงเดินเข้าไปกอดปลอบภรรยาที่กำลังจ้องน้องชายตัวเองเหมือนจะกินเลือดเนื้อเพื่อเรียกสติ

"ก็คุณฟังที่ตาพัฒน์พูดสิ!! ทำยังกับหนูเมมเป็นบ้าแบบนี้จะให้ฉันทนได้ยังไงไหว!! ถ้าประเทศนี้จะห่วยแตกจนขนาดรักษาผู้ป่วยตกบันไดแค่นี้ไม่ได้ หญิงก็จะส่งลูกไปรักษาที่ต่างประเทศแทน!!! " คุณหญิงที่สภาพจิตใจไม่มั่นคงและกำลังสับสนจึงเกิดระแวงและกังวลมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว

ตอนนี้เธอไม่สามารถเชื่อมือใครได้เลย ขนาดฝากฝังเมมโม่ไว้กับคนที่ไว้ใจและเชื่อถือได้พวกนั้นยังทำให้ลูกชายตนเป็นหนักขนาดนี้ แล้วแบบนี้เธอยังจะเชื่ออะไรใครได้อีก!!

"พี่หญิงใจเย็นก่อนสิครับ ผมรู้ว่าพี่กังวลแต่ทางที่ผมเลือกเป็นทางที่ดีที่สุดแน่นอนครับ เชื่อผมสิ" หมอพัฒน์ที่เห็นท่าไม่ดีจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาพี่สาวของตนพร้อมเอ่ยอธิบายด้วยความใจเย็นและใบหน้าผ่อนคลายให้มากที่สุด

ตอนนี้พี่สาวเขากำลังเครียดจัดถ้าปล่อยให้อารมณ์นำพาแบบนี้ไปเรื่อยๆ เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองเป็นอย่างมาก เขาต้องรีบทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายให้ไวที่สุด

"ฉันจะเชื่อได้ไงว่านายจะรักษาหนูเมมได้จริงๆ! นายอาจจะอยากจบเคสลูกฉันไวๆ ก็ได้ เลยโบยว่าหนูเมมเป็นบ้าใช่มั้ยล่ะ!!!! " คุณหญิงยังคงปักใจต่อความคิดตัวเองอย่างถึงที่สูง ร่างเพรียวสวยที่ถูกสามีสวมกอดเริ่มดิ้นไปมาอย่างรุนแรงด้วยแรงอารมณ์ท่าทางคงจะไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แน่นอน

"งั้นลองถามเมมโม่ดูมั้ย ถ้าพี่หญิงกังวลต่อผลตรวจ ก็น่าจะลองปรึกษาลูกชายดูสิ พวกเรายังไม่ถามความเห็นจากน้องเลยใช่มั้ยล่ะ" คุณหมอที่หมดมุกจะเกลี้ยกล่อมจึงยกลูกชายคนสำคัญของพี่สาวที่เอาแต่นั่งนิ่งบนเตียงมาเป็นข้ออ้างแทน

"จริงด้วย..." พอคุณหญิงได้ฟังความคิดที่เข้าท่า เธอก็รีบสะบัดตัวออกจากสามีแล้วถลาเข้าไปนั่งข้างเตียงลูกชายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับยื่นมือลูบหัวคนตรงหน้าด้วยความทะนุถนอม

"หนูเมมลูก หนูอยากได้แบบไหนคะ ไม่ว่าจะทางไหนมะม๊าจะตามใจหนูทั้งหมดเหมือนที่เคยตามใจมาตลอด หนูเมมว่ายังไงคะ" พอได้ยินคำถามแสนเอาใจและสัมผัสจากมือที่ลูบหัวอยู่ ใบหน้าเรียวได้รูปจึงหันมองผู้เป็นแม่แล้วสบตาอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือแตะแก้มของคุณหญิงตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

"ผมเลือกทางไหนก็ได้ครับ เพราะผมเชื่อว่าแม่จะเลือกทางที่ดีที่สุดให้ผม" คำพูดเนือบนาบพร้อมสายตาสงบนิ่งที่สบกันทำให้คุณหญิงอภิรดีค่อยๆ ผ่อนแรงอารมณ์ลงพร้อมกับน้ำใสๆ ที่ไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที เสียงที่ยังคงดังอยู่เห็นจะเป็นนาฬิกาตัวเดิมที่ทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ ทุกอย่างจบลงอย่างง่ายดายเพียงเพราะประโยคสั้นๆ และความสงบที่แผ่อยู่รอบตัวของเด็กหนุ่ม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันทำให้ผู้ชมทั้งหลายรู้สึกประหลาดและประทับใจแปลกๆ

นี่ใช่ลูกชาย/หลานชายที่พวกเขารู้จักจริงๆ เหรอ?

ผู้บริหารใหญ่และคุณหมอหนุ่มได้แต่เอ่ยสงสัยอยู่ในใจพลางมองเมมโม่อย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปไม่นานคุณหญิงอภิรดีก็ร้องไห้จนหลับคามือลูกชายตัวเอง ชายผู้เป็นสามีจึงเข้าไปหวังจะอุ้มหญิงผู้เป็นที่รักไปนอนพักที่เตียงเสริมใกล้ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลูกชายตัวเองลงจากเตียงซะก่อน

"อุ้มคุณแม่ขึ้นไปนอนบนเตียงผมก็ได้ครับ เตียงเสริมมันแข็งเดี๋ยวท่านจะนอนไม่สบายเอา" เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มทำทุกคนตกตะลึง ไม่ให้พวกเขาตกใจได้ไงไหว การที่จะได้เห็นเมมโม่ยอมสละความสบายของตัวเองมันเป็นไปไม่ได้เลยนะ

เมื่อก่อนร่างบางเป็นเด็กอ่อนแอขี้อ้อนและเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก ด้วยความที่คุณหญิงตามใจทุกอย่างเด็กหนุ่มจึงไม่มีจิตสำนึกของการรอและเสียสละ ไม่ว่าอะไรถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะโวยวายและทำลายข้าวของ ทุกสิ่งที่เมมโม่จะได้รับมันต้องดีที่สุด จะให้มาเห็นอะไรแบบนี้เป็นไปไม่ได้หรอก

"มีอะไรกันหรือเปล่าครับ" คนป่วยที่รู้สึกว่าตนโดนการ์ดและคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อกับน้าชายจ้องเหมือนเป็นตัวประหลาดจึงเอ่ยถามขึ้น

"ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ให้แม่นอนที่เตียงเรา แล้วเราจะทำอะไรต่อล่ะ" ผู้บริหารใหญ่เอ่ยถามลูกชายในชุดคนป่วยพลางอุ้มคุณหญิงขึ้นนอนบนเตียงอย่างแผ่วเบา

"ทุกคนอยากถามความเห็นผมไม่ใช่เหรอครับ งั้นเราไปนั่งที่โซฟาแล้วช่วยกันคิดหาทางเป็นไงครับ" ร่างบางตอบชายผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มบางเบาอย่างอบอุ่นก่อนจะหันหลังเดินไปนั่งรอที่โซฟาชุดของห้องพัก

"นี่ฉันได้ลูกชายคนใหม่มาหรือไงนะ" ท่านประธานใหญ่ได้แต่พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาแต่มันก็ดังพอให้คุณหมอที่ยืนอยู่ข้างกายได้หลุดขำเบาๆ ไปด้วย

พอตั้งสติกันได้พวกเขาทั้งสองก็เดินไปนั่งกับร่างบางที่เป็นลูกชายและหลานชายของตนทันที อีกฝ่ายที่เห็นทั้งคู่มาถึงก็ส่งยิ้มเล็กๆ ให้ก่อนจะหันไปสบตากับคุณหมอประจำตัวเพื่อรอฟังความเห็น

"สำหรับน้า น้าอยากให้น้องเมมได้ลองพูดคุยกับเพื่อนน้าดูก่อน การที่เราพบหมอด้านนั้นไม่ได้แปลว่าต้องเป็นอย่างที่พี่หญิงบอกเสมอไปหรอก น้าไม่รู้ว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุเราเจออะไรกระทบจิตใจไปบ้าง ถ้าได้คุยกับแพทย์เฉพาะทางน่าจะดีไม่น้อย" คุณหมอพัฒน์อธิบายความคิดเห็นของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยื่นผลตรวจของเมมโม่ที่ตนถือไว้ให้กับทั้งสองคนได้ดูไปด้วย

"ตามผลตรวจทางกายภาพ น้องเมมไม่มีอะไรผิดปกติเลย การที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะสูญเสียความทรงจำถ้าไม่ใช่ผลจากทางกายภาพก็ต้องเป็นด้านจิตใจเท่านั้น ยังไงลองคุยกับเพื่อนน้าดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไรจริงมั้ย" ร่างบางฟังคำอธิบายของคุณหมอด้วยความเงียบพลางหยิบผลตรวจต่างๆ ขึ้นดูไปด้วย และถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผลตรวจทุกอย่างก็น่าจะปกติตามที่อีกฝ่ายบอก

"ถ้าคุณหมอเห็นควรแบบนั้นผมก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังไงก็รบกวนคุณหมอติดต่อเพื่อนให้ด้วยนะครับ" คำตอบของหลานชายทำเอาหมอพัฒน์ทั้งดีใจและเหงาใจไปพร้อมๆ กัน เล่นโดนเรียกซะห่างเหินขนาดนั้นถึงแม้จะเพราะจำอะไรไม่ได้แต่มันก็อดเหงานิดๆ ไม่ได้อยู่ดี

"ลูกคิดว่าแบบนี้ดีแล้วแน่เหรอ ถ้าแม่ตื่นมาไม่เป็นเรื่องใหญ่กันหรือไง" ชายกลางคนที่เป็นทั้งพ่อและสามีของบุคคลในประโยคเอ่ยขัดด้วยความแคลงใจ จะว่าเขาเป็นพวกตามใจภรรยากับลูกจนเกินควรก็ได้ แต่อะไรที่ทำให้ดวงใจของเขาไม่พอใจเขาขอไม่เห็นด้วยเด็ดขาด

"ผมว่าคุณแม่ต้องเข้าใจครับ ยังไงสุดท้ายท่านต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ผมอยู่แล้ว" เมมโม่ตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าผ่อนคลายจนทำให้ผู้คนรอบข้างที่เห็นรู้สึกสงบและโอนอ่อนได้โดยง่าย

"น้าละทึ่งเราจริงๆ ไม่รู้ควรจะดีใจหรือกังวลใจกับนิสัยใหม่ของเราดี" คุณหมอพูดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามที่ร่างบางต้องการไปซะหมด ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กมหาลัยแถมสูญเสียความทรงจำแต่กลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกอยากเชื่อคำพูดและปกป้องอย่างน่าประหลาด

ถึงจะเหงาที่ร่างบางไม่เข้ามาอ้อนเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็รู้สึกประทับใจกับนิสัยนี้ของหลานชายพอสมควรเลย

"นิสัยใหม่อะไรกันครับ ผมแค่วางตัวให้อยู่ตรงกลางให้มากที่สุดก็เท่านั้น เมื่อไหร่ที่จำทุกอย่างได้เดี๋ยวก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมเองแหละ" คนป่วยตอบคุณหมอด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มบางเบาอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ ทำให้คนที่มองรอยยิ้มนั้นพาลยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว

"น้าก็หวังว่าเราจะจำทุกอย่างได้เร็ววัน น้าเหงานะที่ไม่มีใครวิ่งมากอดเอวแล้วพูดว่าจะแต่งงานด้วยแบบนั้นอะ" คำพูดหยอกเย้าของคุณหมอทำเอาคนฟังที่จำอะไรไม่ได้เผลอแสดงหน้าเหวอกับนิสัยเก่าของตนแบบเก็บอาการไม่อยู่

นี่เขาอยู่มหาลัยแน่เหรอ มีเด็กมหาลัยที่ไหนจะไปอ้อนน้าชายของตัวเองว่าอยากแต่งงานด้วยแบบนั้น นี่ตัวเขาสมัยก่อนรู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นผู้ชายเนี่ย

"นั่นสิน๊า พ่อก็คิดถึงเสียงเล็กๆ ที่เรียกปะป๊ามะม๊าเหมือนกัน โดนมองด้วยสายตาเรียบนิ่งแถมเรียกพ่อซะห่างเหินแล้วปวดใจจริงๆ " เมื่อท่านประธานเห็นสีหน้าลูกชายดูจะช็อกกับสิ่งที่ฟังจึงนึกอยากแกล้งอีกฝ่ายบ้างจึงเอ่ยสมทบกับน้องชายภรรยาอย่างนึกสนุก

ส่วนทางคนโดนแกล้งพอได้ฟังเพิ่มอีกเรื่องก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้นไปอีก เขาจำอะไรแบบนั้นไม่ได้จริงๆ แถมตอนนี้เขาชักไม่อยากจำอะไรได้ขึ้นมาแล้วสิ

"อะแฮ่ม เอ่อ...เดี๋ยวผมก็คงกลับไปเป็นแบบนั้นเองละ...มั้งครับ" คนป่วยกระแอมไอแก้ขัดพร้อมพูดด้วยใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความอับอาย ยิ่งได้รับรู้นิสัยเมื่อก่อนของตนมากเท่าไหร่เขายิ่งไม่อยากจำอะไรได้เข้าไปทุกที

"ฮ่าๆ น่ารักจริงๆ เลยนะเราเนี่ย ถ้าโคล์วกับลุกซ์มาเจอแบบนี้เข้าคงทำตัวไม่ถูกกันแน่ๆ " คุณหมอที่รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเขินอายอย่างเก็บฟอร์มของหลานชายจึงเอ่ยแซวพร้อมเผลอพลั้งปากพูดชื่อของบุคคลใหม่ที่คนป่วยไม่คุ้นขึ้นมาด้วย เลยได้รับสายตาดุจากพี่เขยเข้าเต็มๆ

"โคล์ว? ลุกซ์? ใครกันครับ? " พอคุณหมอหนุ่มเอ่ยชื่อบุคคลปริศนาที่ไม่คุ้นหู อยู่ๆ บรรยากาศรอบตัวของทุกคนก็หนักอึ้งขึ้นมาซะเฉยๆ

ดูท่าจะเป็นเรื่องไม่ดีซะแล้วสิ

"ไม่มีอะไรหรอก เราอย่าใส่ใจเลย เดี๋ยวอีกไม่นานก็ถึงเวลากินยานอนพักแล้วนะ นอนเตียงเสริมได้แน่ใช่มั้ย ถ้าไม่ได้ก็บอกนะเดี๋ยวน้าเปลี่ยนเตียงให้" คำตอบที่พยายามเลี่ยงกันโต้งๆ แบบนี้ก็คงเหนื่อยเปล่าที่จะคาดคั้นอะไรต่อ ถ้าทุกคนเลือกจะไม่บอกแสดงว่ามันไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ งั้นเขาก็จะทำเป็นไม่สนใจอย่างที่ทุกคนต้องการแล้วกัน

"ไม่เป็นไรครับ ผมนอนเตียงเสริมได้ งั้นผมขอตัวนะครับ" เมมโม่เอ่ยตอบชายทั้งสองตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนอนพักที่เตียงเสริมอย่างว่าง่าย สร้างความโล่งใจและรู้สึกผิดให้กับคนทั้งสองที่มองตามแผ่นหลังบางนั่นไม่น้อยเลย

ขอโทษนะ ถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วนายจะได้รู้ทุกอย่างเอง




TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่3] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 14:44:59


Chapter 3



ประตูรั้วบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นสวนหน้าบ้านอันสวยงามและถนนลาดยาวเข้าไปด้านใน โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม รถยนต์แบรนด์นอกคันหรูเคลื่อนตัวเข้าสู่คฤหาสน์ตะกูลธนพัฒน์โชคสกุลอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ผู้โดยสารที่พึ่งออกจากโรงพยาบาลได้ชมวิวข้างทางสะดวกขึ้น

ใบหน้าเรียวคมของผู้สืบสกุลตะกูลดังหันมองรอบตัวที่กำลังเคลื่อนไปช้าๆ ด้วยสายตาสงบนิ่ง มือสวยยกเท้าคางตัวเองพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งมันเป็นกิริยาง่ายๆ ที่ดูสงบและเพลินตาของผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่คุณหญิงอภิรดีที่นั่งข้างกายลูกชายมาตลอดทาง

วันนี้เป็นวันแรกที่เมมโม่ได้กลับมาอยู่บ้านหลังจากพักที่โรงพยาบาลมานานเกือบเดือน คุณหญิงยอมหยุดงานแล้วปล่อยให้ท่านประธานจัดการทุกอย่างเพื่อที่ตนจะได้เอาเวลามาดูแลลูกชายได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้เธอไม่กล้าละสายตาไปจากเมมโม่นานนัก เพราะความพลาดพลั้งจากการเชื่อใจคนอื่น ลูกชายของตนถึงได้เป็นแบบนี้

ใช้เวลาไม่นานรถคันหรูก็เคลื่อนจอดหน้าประตูบ้านอย่างนิ่มนวล สมาชิกในชุดกระโปรงยาวสีดำพร้อมผ้าขาวสะอาดตาที่คาดไว้ตรงเอวบ่งบอกถึงหน้าที่ในบ้านได้เป็นอย่างดี ทุกคนมายืนรอต้อนรับคุณหนูของบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่หนึ่งในแม่บ้านผู้อาวุโสของตะกูลจะเดินตรงเข้ามาเปิดประตูรถให้กับเจ้านายทั้งสองของตนพร้อมรับกระเป๋าและสัมภาระต่างๆ จากผู้เป็นนายส่งให้สาวใช้คนอื่นๆ เอาไปเก็บให้

"ยินดีต้อนรับกลับนะคะ คุณหนูใหญ่" สรรพนามเรียกจากหญิงสูงวัยตรงหน้าทำให้เมมโม่เกือบแสดงสีหน้าเหยเกใส่ ดีที่ยังเบรกตัวเองไว้ทันก่อนจะส่งยิ้มกลับอย่างเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด

คุณหนูใหญ่งั้นเหรอ ตัวเขาสมัยก่อนมีรสนิยมเห่ยใช่ได้เลยนะเนี่ย

"คุณสุดา เดี๋ยวเตรียมของว่างก่อนอาหารเที่ยงให้คุณหนูใหญ่ด้วยนะ ฉันจะพาคุณหนูใหญ่ขึ้นไปพักผ่อนก่อน ถ้าเสร็จแล้วยกขึ้นไปให้ที่ห้องด้วย" คุณหญิงอภิรดีเอ่ยสั่งสาวใช้ประจำตะกูลด้วยน้ำเสียงเรียบและหยิ่งผยองทำให้ผู้ฟังที่ยืนข้างกายต้องขมวดคิ้วเล็กๆ กับน้ำเสียงของแม่ตน

"รับทราบค่ะคุณผู้หญิง" สุดารับคำเจ้านายพร้อมก้มหัวเปิดทางให้คนทั้งสองเดินเข้าบ้านไปด้วยความนอบน้อม เมมโม่หันมองหญิงสูงวัยอย่างลำบากใจก่อนจะก้มหัวนิดหน่อยพร้อมส่งรอยยิ้มขอโทษกับกิริยาของผู้เป็นแม่แล้วเดินตามคุณหญิงเข้าบ้านไปติดๆ

สุดาเบิกตายืนนิ่งมองแผ่นหลังบางด้วยความตกใจกับการกระทำของคุณหนูใหญ่ อย่าว่าแต่สุดาแปลกใจเลย คนที่ยืนอยู่รอบๆ ที่เห็นการกระทำเมื่อกี้ก็พากันตกใจไม่ต่างกัน

ถ้าทุกคนดูไม่ผิด คุณหนูใหญ่เธอก้มหัวและยิ้มขอโทษให้ใช่มั้ย? หรือนี่จะเป็นเกมลงโทษแบบใหม่ของคุณหนูใหญ่กัน?

การกระทำอันแปลกประหลาดนี้ทำให้สาวใช้ทั้งหลายหวาดระแวงกันยกใหญ่ ดูท่าวันนี้คงต้องห้ามทำเรื่องให้คุณหนูไม่พอใจซะแล้วสิ น่ากลัวจริงๆ



แอ๊ด

"นี่ห้องของลูกนะจ๊ะ แม่ให้คนมาทำความสะอาดให้แล้ว ขาดเหลืออะไรบอกได้นะ" ประตูห้องนอนบานหรูถูกเปิดออกพร้อมคำอธิบายของคุณหญิงอภิรดี เมมโม่กวาดสายตามองรอบห้องอย่างเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กับสภาพห้องของตัวเอง

ห้องนอนขนาดใหญ่จนเกินควร ใช้โทนห้องเป็นแบบสีสว่าง ตกแต่งด้วยไฟประดับและของจุกจิกน่ารักเต็มไปหมด ที่กลางห้องมีเตียงคิงไซต์และม่านขาวซีทรูลายลูกไม้ที่ยังคงถูกรวบมัดไว้ที่เสาเตียง ผ้าปูที่นอนเป็นสีหวานพร้อมกับมีตุ๊กตาน้อยใหญ่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะมองยังไง นี่มันก็ห้องนอนของผู้หญิงชัดๆ

เฮ้อ เมมโม่ชักอยากจะจับเมมโม่มานั่งคุยปรับทัศนคติการใช้ชีวิตซะแล้วสิ

"หนูเมมถอนหายใจทำไมลูก ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ไม่พอใจอะไรบอกมะม๊าได้เลยนะคะ ถ้าห้องไม่ถูกใจมะม๊ารื้อใหม่ให้ก็ได้ เดี๋ยวมะม๊าไล่คนที่จัดห้องแบบนี้ออกให้ด้วยเลย อยากได้อะไรบอกมะม๊ามาเลยนะ" พอเห็นปฏิกิริยาของลูกชายที่ลอบถอนหายใจขณะสำรวจห้อง คุณหญิงก็ร้องตกใจพร้อมกับยื่นมือลูบหัวลูบหลังร่างบางยกใหญ่

ความจริงการตกแต่งห้องแบบนี้เป็นฝีมือของเมมโม่สมัยก่อนเลือกเองทั้งนั้น แต่ถ้าตอนนี้มันไม่ถูกใจลูกชายสุดรักของเธอแล้ว เธอก็จะรื้อทิ้งให้หมดและจะลงโทษพวกที่มาจัดห้องให้ด้วย เพราะไม่ว่าอะไรเมมโม่ต้องได้สิ่งที่ชอบและดีที่สุดเท่านั้น!

"มะ...ไม่เป็นไรครับๆ! ผมถอนหายใจเพราะเหนื่อยเฉยๆ พักอีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้นครับ" พอได้ยินว่าคุณหญิงจะลงโทษคนอื่นเมมโม่จึงรีบปฏิเสธด้วยรอยยิ้มทันที

ตอนนี้เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครไปมากกว่านี้แล้ว ยังไงนี่ก็แค่ห้องนอนเอาไว้ใช้นอนหลับก็คงพอ ไม่ต้องใส่ใจการตกแต่งนักหรอก

ถึงแม้ในใจอยากจะร้องไห้กับคิตตี้บนเตียงก็ตาม

"เหนื่อยเหรอคะ ไหวหรือเปล่า ให้มะม๊าเรียกตาพัฒน์มาตรวจมั้ย เห็นมั้ยมะม๊าบอกแล้วว่าควรส่งหนูเมมไปต่างประเทศมากกว่า ไม่รู้จะรอเพื่อนตาพัฒน์ไปทำไม เห็นว่าเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลด้วยหนิ เลยทำวางท่าไม่เคยมาดูหนูเมมเลยสักครั้ง นัดยากเหลือเกิน" พอได้พูดถึงหมอประจำตัวลูกชายของตน คุณหญิงก็อดแขวะไปถึงทางเลือกที่น้องชายเสนอมาให้ไม่ได้ เธอเห็นว่าหนูเมมอยากลองดูก่อนหรอกนะถึงได้ตามใจ ไม่งั้นเธออาละวาดโรงพยาบาลพังไปนานแล้ว

"ใจเย็นสิครับคุณแม่ เพื่อนของคุณน้าคงจะงานยุ่งแหละ ไหนจะเป็นทั้งหมอประจำโรงพยาบาลแถมยังเป็นผู้บริหารอีก การที่ท่านเลือกจะทำตามระบบมากกว่ามาสนใจผมแค่คนเดียวก็บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพพอสมควรเลยนะครับ" เมมโม่ที่เห็นคุณหญิงเตรียมอารมณ์ขึ้นจึงเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางเหมือนทุกทีพร้อมกับโอบไหล่คนใจร้อนให้เดินไปนั่งพักที่เตียงด้วย

"เฮ้อ ตามใจละกัน มะม๊าเชื่อหนูเมมนะคะ แต่หนูเมมต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยนะ ถ้าได้พบเพื่อนตาพัฒน์แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นหนูเมมต้องเข้ารักษาในแบบที่มะม๊าเลือกบ้าง" ยังไงคุณหญิงก็ยังคิดว่าการแพทย์ในประเทศนี้มันตกต่ำอยู่ดี ขนาดลูกชายเธอแค่ตกบันได แต่ทางโรงพยาบาลกลับไม่สามารถรักษาให้เป็นปกติได้เลย แล้วมาโทษว่าดวงใจของเธอเป็นบ้าจนต้องพบจิตแพทย์อีก

ถ้าสุดท้ายหนูเมมไม่ดีขึ้น ก่อนส่งตัวหนูเมมไปต่างประเทศเธอจะทำลายโรงพยาบาลนั้นให้ไม่เหลือซากเลย!

"โอเค ผมจะทำตามสัญญาแน่นอนครับ" เมมโม่รับคำผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงเรียบและรอยยิ้มบางเบาทำให้คุณหญิงที่เห็นรอยยิ้มนั้นต้องพลอยยิ้มตามไปอย่างไม่รู้ตัว

ถึงแม้หนูเมมจะไม่ขี้อ้อนเหมือนเมื่อก่อนแต่น้ำเสียงและรอยยิ้มพร้อมกับบรรยากาศสงบที่แผ่รอบตัวของลูกชายก็ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่อยู่ใกล้จริงๆ

"ถ้างั้นแม่ไม่กวนแล้วดีกว่า หนูเมมบอกว่าเหนื่อยด้วยหนิ พักผ่อนเถอะนะคนดี ถ้าอยากได้อะไรโทรบอกพวกข้างล่างหรือโทรหาแม่ได้เลยนะจ๊ะ" คุณหญิงที่เห็นว่าควรปล่อยลูกชายได้พักผ่อนจึงเอ่ยกับคนข้างกายอย่างอ่อนโยนก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอื้อมมือลูบหัวดวงใจของตนด้วยความรักใคร่

"ครับ" เมมโม่รับคำคุณหญิงอย่างว่าง่าย คนได้ฟังจึงยิ้มพอใจแล้วเดินออกจากห้องไปในที่สุด

Rrrrrr

ประตูห้องนอนลูกรักถูกปิดลงพร้อมกับเสียงโทรศัพท์เครื่องหรูของคุณหญิงอภิรดีดังขึ้นมาพอดี มือเรียวสวยยกมองเบอร์โทรเข้าก่อนจะแย้มยิ้มมุมปากแล้วกดรับสายสำคัญทันที

"ว่าไง...ก็ดีหนิ...ช่างหัวมันสิ ฉันไม่สนใจหรอก...พังให้หมด!!! ...อย่าให้ฉันรู้ว่าแกใจอ่อนอีก...ฉันรอฟังข่าวดีอยู่นะ หึ" พูดธุระของตนเสร็จคุณหญิงก็กดตัดสายแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้เช่นเดิมก่อนจะเดินลงไปด้านล่างด้วยใบหน้าอิ่มเอม

บอกไปแล้วหนิว่าไม่ว่าอะไร ลูกชายเธอต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น!



เวลาล่วงเลยจนใกล้เที่ยง เจ้าของห้องนอนใหญ่ที่เกินพอดีเอาแต่นั่งนิ่งบนกลางเตียงด้วยความเบื่อหน่าย ที่จริงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมีคนนำของว่างมาให้เขาแล้ว แต่พอจะถามสถานที่นั่งเล่นบรรยากาศดีๆ สักหน่อยอีกฝ่ายดันสะดุ้งหน้าซีดตัวสั่นเป็นลูกนกซะงั้น เห็นแบบนั้นตนจึงไม่กล้ายื้อไว้ต่อ

เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ถึงต้องพากันกลัวขนาดนั้น

"เฮ้อ" เมมโม่ถอนหายใจอย่างปลงตก ท่าทางตัวเขาสมัยก่อนจะทำแสบไว้หลายเรื่อง แบบนี้คงเข้าหน้าคนอื่นลำบากแน่ๆ

ดวงตากลมกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้งเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาและเผื่อตัวเองอาจจะสะดุดตาหรือสะกิดใจจากของในห้องบ้าง แต่ดูท่าจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่

เมมโม่สอดส่องสายตามองไปเรื่อยจนมาหยุดที่ตุ๊กตาน่ารักสามตัวที่วางเรียงกันอยู่บนชั้นตกแต่งใกล้ชั้นวางทีวี ร่างบางลุกขึ้นเดินเข้าไปหาพวกมันแล้วจับตุ๊กตาหนึ่งในนั้นขึ้นมองพร้อมขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว

เมมโม่ไม่คุ้นกับตุ๊กตาพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ไม่ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ แต่อะไรบางอย่างทำให้เมมโม่คุ้นเคยกับชั้นวางตรงนี้เป็นอย่างมาก

แสดงว่าเมื่อก่อนสิ่งที่วางอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตุ๊กตาแต่เป็นอย่างอื่น

มือเรียววางตุ๊กตาไว้ที่เดิมด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ ถ้าสมมุติตรงนี้ไม่ใช่ที่วางตุ๊กตาตามที่เขาคิดแล้วมันเป็นที่วางของอะไรล่ะ ที่สำคัญทำไมต้องเอาออกไปด้วย?

เจ้าของห้องเริ่มคิดว่าการจัดห้องครั้งนี้ดูท่าจะไม่ใช่แค่ทำความสะอาดอย่างเดียวซะแล้ว ดูเหมือนทุกคนน่าจะกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับเขาอยู่เป็นแน่

คิดได้ดังนั้นเมมโม่ก็เริ่มเดินรอบห้องเพื่อสำรวจอย่างถี่ถ้วนในทันที เขาจับได้ว่ามีของที่มาวางแทนที่ใหม่อยู่หลายจุด มันไม่มีคราบฝุ่นเก่าหรือล่องลอยอะไรทิ้งไว้ให้ได้เห็นแบบแน่ชัดนัก แต่ความรู้สึกที่มองแต่ละจุดมันบ่งบอกได้ว่าที่ตรงนั้นเคยเป็นอย่างอื่นมาก่อน และดูเหมือนจะเป็นของสำคัญซะด้วย

"คงไม่ใช่รูปแฟนเก่าอะไรเทือกๆ นั้นใช่มั้ย" เมมโม่พึมพำกับตัวเองเมื่อจับได้อีกจุดในครั้งที่13 นี่มันจะมีมากเกินไปแล้วนะโว้ย ถ้าเป็นรูปแฟนจริงๆ ก็เข้าขั้นหลงหัวปักหัวปำแล้วนะเนี่ย

"ว่าแต่แฟนผู้หญิงหรือผู้ชายวะนั่น" มือที่กำลังจะคว้าจุดที่14 ต้องหยุดชะงักเมื่อเริ่มเอะใจกับข้อสันนิษฐานมั่วๆ ของตัวเอง

จะว่าไงดีละ การที่เมมโม่ได้รับรู้นิสัยและสภาพห้องก่อนสูญเสียความทรงจำแบบนี้ เขาก็นึกภาพตนที่มีแฟนเป็นผู้หญิงไม่ออกเลย

เอาจริงดิ

เมมโม่วางของจุดที่14 ไว้ที่เดิมพร้อมรอยยิ้มแหย ตอนนี้เขายังไม่ต้องการรับรู้ความจริงในระดับนั้นเลยสักนิด ถ้าคุณแม่เก็บทุกอย่างออกไปแบบนี้ก็คงไม่ใช่ของสำคัญอะไรหรอกมั้ง

ร่างบางยกเลิกการค้นหาความจริงในห้องอย่างรวดเร็ว เมมโม่คิดว่าเปลี่ยนเป้าหมายไปสำรวจรอบบ้านแทนน่าจะดีกว่า พอคิดได้ดังนั้นเขาก็เดินออกจากห้องของตัวเองไปทันที

แบบนี้เรียกว่าหนีความจริงได้หรือเปล่านะ

เมมโม่เดินลงมาชั้นล่างเพื่อเริ่มการสำรวจ เขาเริ่มจากห้องนั่งเล่นที่อยู่เยื้องทางเข้าบ้านและบันไดขึ้นชั้นสอง แต่ในนั้นดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ทั้งห้องถูกตกแต่งไปด้วยของหรูหราราคาแพงไว้เต็มไปหมด เขาเดินอยู่ในห้องนั้นได้ไม่นานก็ออกไปสำรวจที่อื่นต่อ ระหว่างทางเจอแม่บ้านกำลังวุ่นวายเตรียมอาหารเที่ยงกันอยู่ด้วย มีบางคนอาสาจะเป็นไกด์นำทัวร์ให้ แต่เป็นการอาสาที่ดูกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ เมมโม่จึงเอ่ยปฏิเสธไปแล้วขอเดินสำรวจคนเดียวดีกว่า

เมื่อเห็นว่าด้านในบ้านไม่มีอะไรน่าสนใจ ร่างบางจึงเลือกออกมาสูดอากาศข้างนอกต่อแทน ถ้ายังคงสำรวจภายในบ้านน่าจะเจอแต่แค่พวกของมีราคาและความหรูหราเท่านั้นแหละ เขาไม่ค่อยชอบอะไรแบบนั้นซะด้วยสิ

เมมโม่เดินชมสวนหน้าบ้านไปเรื่อยเปื่อยมีทักทายกับคนสวนบ้างเล็กน้อย จึงทำให้เขารู้ว่าด้านหลังคฤหาสน์มีศาลาเล็กๆ กับสวนดอกไม้บรรยากาศดีให้นั่งเล่นอยู่

พอได้ข้อมูลน่าสนใจลูกชายคนเดียวของบ้านก็รีบตรงไปที่สวนนั่นทันที เมมโม่เผยรอยยิ้มพอใจตลอดทางที่เดินผ่านมา เพราะทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติและสดชื่นสุดๆ

เดินมาได้สักพักดวงตากลมก็มองเห็นศาลาสีขาวอยู่ไม่ไกล เมมโม่เดินตรงไปที่ศาลาอย่างไม่รีบร้อนเพราะถึงแม้จะใกล้เที่ยงแต่แดดกลับไม่ได้แรงนักจึงสามารถเดินชมบรรยากาศได้เรื่อยๆ

อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมาเกือบเดือนเจออะไรแบบนี้บ้างก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ

อีกไม่กี่ก้าวเมมโม่ก็จะถึงศาลาอย่างที่หวังแต่ขาที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดลงเมื่อเจอแผ่นหลังของคนไม่คุ้นตากำลังนั่งอ่านอะไรสักอย่างในศาลาเพียงลำพัง

คนโดนจ้องก็รับรู้ได้ถึงการมาของใครบางคนใบหน้าคมหันมองบุคคลมาใหม่อย่างนึกสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็เผลอตกใจไปแวบนึงก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งเช่นเดิม

"..."

ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นสำหรับคนทั้งสอง ท่ามกลางความเงียบภายในสวนและศาลาสีขาวสะอาดตา ทั้งคู่ได้แต่จ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น

ลมพัดหอบเอากลีบดอกไม้และกลิ่นหอมลอยผ่านแต่พวกเขาก็ไม่นึกสนใจ ในใจของคนทั้งสองได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างเงียบๆ

'เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? '

'ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?'





TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่4] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 17:35:20


Chapter 4



ในที่สุดชายหนุ่มปริศนาก็เป็นคนเริ่มเคลื่อนไหวก่อน ร่างเพรียวหันไปเก็บข้าวของของตัวเองยกขึ้นแนบอก ก่อนจะเดินออกจากศาลาผ่านร่างเมมโม่ที่เอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่เอ่ยทักใดๆ

เมื่อเห็นว่าอีกคนออกไปแล้ว ร่างบางจึงค่อยก้าวเข้าไปนั่งที่ศาลาแทน เมื่อครู่ที่เมมโม่เลือกไม่ทักเพราะบรรยากาศรอบตัวของคนคนนั้นให้ความรู้สึกที่ไม่อยากให้เข้าใกล้

ถ้าเปรียบบรรยากาศรอบตัวเมมโม่เป็นความสงบที่ทำให้รู้สึกสบายใจ บรรยากาศของคนคนนั้นก็คงเป็นความเงียบงันที่ดูโดดเดี่ยวและไม่น่าเข้าใกล้เป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าจะยังไงชายคนนั้นก็น่าสงสัยอยู่ดี ดูจากการแต่งตัวและหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ เขาคนนั้นต้องไม่ใช่คนงานหรือลูกชายของแม่บ้านคนไหนแน่ๆ

แล้วทำไมบ้านหลังนี้ถึงมีเด็กคนอื่นนอกจากเขาล่ะ? ไหนทุกคนบอกว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านไง

อ่า...ชักเริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่โดนปิดบังมันมากขึ้นทุกทีแล้วสิ

เมมโม่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติพลางทอดสายตาออกไปให้ไกลที่สุดแล้วปล่อยทุกอย่างวางลงเพื่อผ่อนคลายตัวเอง ณ.เวลานี้เขาคงพอจะแสดงสีหน้าทุกข์ทรมานเงียบๆ คนเดียวได้บ้างสินะ

ความจริงแล้วการที่เด็กผู้ชายที่อายุยังไม่ถึงเบญจเพสต้องมาประสบอุบัติเหตุจนนอนติดเตียงไปหลายสัปดาห์ แล้วพอตื่นมาก็ดันจำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง เรื่องแบบนี้มันหนักมากสำหรับเด็กผู้ชายคนนึงเลยนะ

ใจจริงเขาอยากจะร้องไห้แล้วถามทุกสิ่งที่หลงลืมไปเช่นกัน อยากรู้ทุกอย่างที่ทุกคนปิดบังและระบายความอัดอั้นจนแทบขาดใจ แต่ถ้าเขาทำแบบนั้นคนที่ทุกข์มันจะไม่ใช่แค่เขาน่ะสิ เมมโม่ไม่อยากให้ปัญหาของตัวเองต้องไปสร้างความลำบากใจให้ใครอีก

ในเมื่อทุกคนไม่อยากบอก เขาก็จะไม่ถาม ถ้าทุกคนกวาดทุกอย่างทิ้ง เขาก็จะไม่ค้นมัน หรือต่อให้ทุกคนซ่อนอะไรไว้และไม่อยากให้เขาเข้าใกล้สิ่งนั้น เขาก็จะทำตามมันอย่างที่ทุกคนต้องการ

ทุกอย่างทำเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจในขณะที่ตัวเองต้องแกล้งโง่ต่อไปทั้งอย่างนี้

เมมโม่ยกยิ้มมุมปากกับความเป็นจริงที่ตัวเองเผชิญพลางนึกขำอยู่ในใจ พอเอาเข้าจริงก็ไม่ยักอยากจะร้องไห้อย่างที่ต้องการซะงั้น บางทีเขาก็แอบสงสัยเหมือนกันนะว่าทำไมนิสัยตัวเองถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

แต่ดีแล้วล่ะที่เปลี่ยน ถ้ายังเป็นเหมือนเดิมเขาคงไปโดดบันไดลงอีกรอบแน่ๆ

ร่างบางสูดอากาศชมวิวไปเพลินๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกชายปริศนาที่พึ่งเดินสวนออกไปแอบมองอยู่ ชายหนุ่มนึกแปลกใจกับท่าทีของเมมโม่จึงแอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ แต่พอได้เห็นบรรยากาศรอบตัวและใบหน้าที่แย้มยิ้มบางเบานั้นก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยกับตัวตนของคนตัวเล็กเข้าไปใหญ่

คนคนนั้นใช่เมมโม่แน่เหรอ?

คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งตัวเองที่เผชิญ เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าเมมโม่เกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่คนเราจะเปลี่ยนไปเพราะแค่บาดเจ็บได้ด้วยเหรอ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างบางแน่ๆ

"หนูเมม! หนูเมมอยู่ไหนลูก! หนูเมม!! " เสียงตะโกนเรียกชื่อลูกชายของคุณหญิงประจำบ้านดังมาแต่ไกลด้วยความร้อนรน ชายหนุ่มละสายตาจากร่างบางเพื่อรีบหาทางเลี่ยงเข้าบ้านให้ไวที่สุด แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้อยู่ดี

"นี่แก!!! ใครใช้ให้แกออกมาจากห้องหะ!!! ไม่มีใครบอกหรือไงว่าวันนี้หนูเมมกลับบ้านน่ะ!!! " พอมาเห็นคนที่ไม่อยากเจอ อารมณ์คุณหญิงก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ใบหน้าสวยที่ไม่สมชายของคนตรงหน้ามันทำให้คนมองรู้สึกสะอิดสะเอียนและเกลียดใบหน้านั้นเป็นอย่างมาก ไม่รู้กล้าเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในคฤหาสน์ได้ยังไง หน้าด้านจริงๆ

"ขอโทษครับ ผมกำลังจะกลับห้องแล้ว" ชายหนุ่มทราบดีว่าวันนี้ลูกชายคนเดียวของบ้านจะกลับมา แต่เขาไม่นึกว่าเมมโม่ผู้ที่เคยพูดว่าสวนดอกไม้เป็นแค่ขยะจะมาเดินเล่นในสวนที่ตนรังเกียจแบบนี้ ถ้าเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะมาใช้เขาคงไม่ออกมาหรอก

"เดี๋ยว! หนูเมมได้เห็นแกหรือเปล่า" ร่างเพรียวที่กำลังจะก้มตัวผ่านคุณหญิงเพื่อเข้าบ้านต้องชะงักกับคำถามที่ได้ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยไว้ได้แล้วตอบตามความจริงไปอย่างปกติ

"เห็นครับ"

เพียะ!!

และก็เป็นไปตามคาด ใบหน้าสวยถูกฟาดอย่างแรงจนรู้สึกถึงรสชาติและกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในปาก ความแสบแผ่ซ่านไปทั่วแก้มซ้ายแต่เขาไม่นึกบ่นหรือต่อว่าอีกฝ่ายเลยสักนิด

"ไอ้ขยะ! แกกล้าดียังไงถึงเสนอหน้าไปให้หนูเมมเห็นหะ!!! ไสหัวเข้าไปอยู่ในห้องแกเลยนะ แล้ววันนี้ห้ามกินอะไรด้วย!!!!! " ตอนนี้หญิงผู้กุมอำนาจในบ้านกำลังโกรธจนแทบคลั่ง ดีแค่ไหนแล้วที่เธอยังแค่ตบ ที่จริงคนชั้นต่ำอย่างมันไม่ควรค่าจะให้มือเธอแตะตัวด้วยซ้ำ เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกจริงๆ

"ครับ" ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับก้มหัวให้อีกฝ่ายแต่คุณหญิงก็ไม่คิดจะสนใจแล้วมองผ่านการกระทำนั้นพร้อมกับรีบเดินเข้าไปในสวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เธอกังวลเรื่องลูกชายของเธอมากกว่า

ร่างเพรียวมองตามแผ่นหลังเล็กของคุณหญิงด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาโค้งให้กับคนที่ไม่คิดหันมามองอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้านเพื่อไปอยู่ในที่ของตนตามคำสั่ง

"หนูเมม! หนูเมมลูก ทำไมอยู่ที่นี่ละคะ มะม๊าหาหนูไปทั่วเลยรู้มั้ย" คุณหญิงที่ตามหาลูกชายของตนจนเจอรีบถลาเข้าไปจับร่างบางหันซ้ายขวาเพื่อสำรวจว่าดวงใจของตนได้บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีแผลอะไรก็ถอนหายใจแล้วดึงมากอดไว้อย่างหวงแหนทันที

"ผมขอโทษครับที่ไม่ได้บอกก่อนออกมา" เมมโม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงปนขำที่เห็นความร้อนรนของแม่ตัวเองก่อนจะยกแขนกอดตอบคนตรงหน้าพร้อมกับลูบหลังปลอบเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

"ครั้งหน้าจะไปไหนบอกมะม๊าหรือเอาการ์ดติดตัวไป 2-3 คนด้วยนะคะ ไม่งั้นมะม๊าคงตายเพราะเป็นห่วงหนูเมมแน่ๆ ตอนเปิดเข้าไปไม่เจอหนูในห้อง มะม๊าหัวใจจะวายเลยรู้มั้ยคะ" ตอนที่รู้ว่าลูกชายหายไปคุณหญิงแทบสิ้นสติเรียกถามคนทั้งบ้านด้วยความร้อนรนยกใหญ่ บางคนก็โดนลูกหลงจากแรงอารมณ์ของคุณหญิงจนเจ็บตัวกันไปไม่น้อย นี่ยังดีที่คนสวนจำได้ว่าแนะนำหนูเมมให้มาเดินเล่นแถวนี้ไม่งั้นเธอคงได้อาละวาดจนบ้านพังไปข้างแน่ๆ

"ครับ ครั้งหน้าผมจะระวังนะครับ" เมมโม่รับคำเสียงนุ่มพลางดันแม่ของตนออกห่างแล้วลูบแขนอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ชอบทำอยู่บ่อยครั้ง พอคุณหญิงเห็นรอยยิ้มและบรรยากาศเดิมๆ ที่ให้ความรู้สึกสงบ อารมณ์ก็พลอยเย็นลงแล้วยิ้มตามเหมือนทุกที

"ดีมากค่ะ เอาละ ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว เราเข้าไปทานอาหารกันเลยมั้ย ปะป๊าบอกจะกลับมาร่วมโต๊ะด้วยนะ" พออารมณ์คงที่คุณหญิงก็เอ่ยชวนลูกชายกลับไปทานมื้อเที่ยงที่สั่งแม่บ้านจัดไว้ให้ ในที่สุดครอบครัวก็ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที เธอชอบเวลาแบบนี้ที่สุดเลย

"โอเคครับ งั้นเราเข้าบ้านกันเถอะ" เมมโม่ตอบรับก่อนจะโอบประคองคุณหญิงของบ้านเดินกลับคฤหาสน์ด้วยบรรยากาศครึกครื้นของแม่ลูกที่หยอกล้อกัน



อาหารเที่ยงมื้อแรกของบ้านธนพัฒน์โชคสกุล เมมโม่ก็พอทำใจมาบ้างว่าคงต้องเว่อร์อยู่ระดับนึงแน่ แต่เขาคงสบประมาทความเห่อของคุณหญิงที่อยากเอาใจลูกชายมากไปหน่อย เพราะตอนนี้ในห้องอาหารไม่ได้มีแค่ 3 คนพ่อแม่ลูกเท่านั้น แต่ยังมีแม่บ้านและเชฟจากทั้งในและต่างประเทศยืนกันหน้าสลอนเต็มห้องไปหมด

เอาละ ไปให้สุด

"อื้ม ซุปนี้รสชาติดี เชฟคนไหนทำละเนี่ย" ท่านประธานใหญ่ที่ตักซุปชิมถ้วยที่ 3 พึ่งเอ่ยปากชมเป็นครั้งแรก ไม่นานเจ้าของซุปหน้าตาคมคายก็ก้มโค้งรับคำชมด้วยกิริยาที่สมบูรณ์แบบ สร้างความประทับใจให้แก่คุณหญิงและคุณท่านเป็นอย่างมาก

ยกเว้นก็แต่ลูกชายของบ้านที่แทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบสุดๆ ในใจเมมโม่อยากลุกไปต้มมาม่ากินให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่เขากลับทำได้แค่ส่งยิ้มเจื่อนๆ แล้วตักนู่นนี่กินไปเรื่อย และถึงแม้จะไม่อยากบ่นแต่รสชาติอาหารไม่มีอะไรถูกปากเขาสักอย่าง

คิดถึงโจ๊กง่ายๆ ของคุณหมอพัฒน์ชะมัดเลย

พิธี (?) ทานอาหารกลางวันจบลงในช่วงบ่ายพร้อมความอิ่มเอมของท่านผู้บริหารใหญ่และภรรยาของเขา แต่เป็นช่วงแห่งความทรมานจิตใจและท้องไส้ของลูกชายสุดๆ

เมมโม่กินไปได้น้อยมากและรู้สึกไม่ชอบอะไรสักอย่างในนั้นเลย แต่เท่าที่รู้มากิจกรรมนี้ตัวเขาสมัยก่อนเป็นคนเสนอขึ้นมาและคัดสรรเชฟด้วยตัวเองด้วย

ยิ่งรู้จัก ยิ่งเกลียดตัวเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ

"คุณพ่อครับ ผมขอเวลาสักเดี๋ยวนึงได้มั้ยครับ" ในขณะที่คุณหญิงกำลังพูดคุยกับเชฟและสั่งงานแม่บ้านอยู่ เมมโม่จึงใช้โอกาสที่พ่อของตนอยู่ตามลำพังเพื่อคุยธุระที่เขาคิดมาได้สักพักกับอีกฝ่ายทันที

"หืม ว่าไง ลูกอยากได้อะไรเหรอ" ท่านประธานใหญ่ขานรับลูกชายด้วยความเอ็นดูพลางยื่นมือลูบหัวคนตรงหน้าอย่างรักใคร่

"ผมว่าจะถามคุณพ่อเรื่องเรียนหน่อยน่ะครับ ยังไงผมก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่ใช่มั้ยล่ะ อุตส่าห์ออกจากโรงพยาบาลทั้งทีจะไม่ไปเรียนก็ยังไงๆ อยู่" เมมโม่เอ่ยสิ่งที่ตนคิดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามแบบฉบับ ดวงตากลมที่มองกลับมายังผู้เป็นพ่อดูสงบและมั่นคงต่อความคิดมาก จนคนฟังไม่กล้าตอบปฏิเสธหรือบอกปัดเลย

การที่เมมโม่เลือกเอาเรื่องนี้มาคุยกับพ่อมากกว่าจะเป็นฝั่งของคนแม่เพราะร่างบางรู้ดีว่าคุณหญิงคงไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยกับการที่เขาอยู่ห่างสายตาเท่าไหร่นัก ถึงแม้สุดท้ายแม่อาจจะตามใจเขา แต่อย่างน้อยเมมโม่ก็อยากมีคนที่สนับสนุนเขาจริงๆ สักคนเหมือนกัน

"เดี๋ยวพ่อจัดการให้แล้วกัน แต่ขอเป็นอาทิตย์หน้านะ พ่ออยากให้เราได้พักผ่อนก่อน" คำตอบของชายภูมิฐานตรงหน้าไม่ทำให้ร่างบางผิดหวังจริงๆ เมมโม่แย้มยิ้มกับการสนับสนุนของพ่อก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม

ท่านผู้บริหารและคนอื่นๆ ที่เห็นการกระทำของคุณหนูใหญ่ของบ้านก็พากันตกตะลึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาเอ็นดูกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะสุดาที่รู้สึกหลงรักบรรยากาศและแววตาที่ดูสงบของคุณหนูเป็นอย่างมาก

"สองพ่อลูกมาไหว้อะไรกันเนี่ย คุณได้บังคับให้ลูกทำอะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ" คุณหญิงที่เห็นการกระทำแปลกๆ ของทั้งสองคนจึงเดินเข้ามาถามพลางมองหน้าพ่อลูกสลับไปมาอย่างจับผิด

ไม่ใช่ว่าเธออยากให้ลูกเป็นเด็กไม่มีสัมมาคารวะหรอกนะ แต่มันก็ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องบังคับให้ทำสักหน่อย อะไรที่หนูเมมไม่ชอบหรือไม่สบายใจ เธอไม่อยากให้ลูกฝืนใจทำมัน

"ฮ่าๆ ผมไม่ได้บังคับลูกสักหน่อย หนูเมมทำด้วยตัวของแกเองต่างหาก" สามีที่โดนใส่ร้ายซึ่งๆ หน้าพูดปนขำพลางเอื้อมมือยีหัวลูกชายสุดรักด้วยความมันเขี้ยว

"อย่ายีหัวลูกสิ เดี๋ยวลูกก็เจ็บหรอก" คุณหญิงตีมือของชายผู้เป็นที่รักเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรังแกลูกรักของตนต่อหน้าต่อตา

"โอเคครับๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้" คุณผู้ชายของบ้านยกมือยอมแพ้กับโหมดหวงลูกชายของคนตรงหน้าด้วยท่าทางหยอกล้อ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ จากแม่บ้านและลูกชายได้เป็นอย่างดี

บรรยากาศอบอุ่นลอยฟุ้งไปทั่วคฤหาสน์ธนพัฒน์โชคสกุล สมาชิกได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแถมลูกชายคนเดียวของบ้านก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูซะอีก ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี โดยที่เมมโม่ไม่รู้เลยว่ายังมีคนที่ไร้ตัวตนและหนทางในบ้านหลังนี้อยู่เหมือนกัน



กลางดึกในห้องนอนใหญ่ห้องเดิม เจ้าของห้องนอนมองเพดานกับเสียงท้องร้องของตัวเองอย่างสิ้นหวัง เพราะวันนี้ทั้งวัน ทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นไม่มีอะไรที่ถูกปากเมมโม่เลยสักอย่างเดียว

ถึงจะเกรงใจแต่พรุ่งนี้เมมโม่คงต้องกลั้นใจบอกความจริงซะแล้วแหละ ไม่งั้นเขาได้ตายจริงๆ แน่งานนี้

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังเรียกสติที่กำลังจะล่องลอยออกจากร่างให้กลับมาสนใจคนที่มาหายามวิกาลแทน เมมโม่ลุกจากเตียงด้วยร่างกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงแล้วเดินไปเปิดประตูพร้อมใบหน้าที่ปั้นนิ่งให้ได้มากที่สุด

แอ๊ด

"คุณสุดา? " ร่างบางเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ แต่สงสัยได้ไม่นานก็เหลือบไปเห็นจานแซนด์วิชและอาหารว่างในมือของอีกฝ่ายในเวลาต่อมาแทน

นี่มันนางฟ้ามาโปรดชัดๆ

"ดิฉันเห็นคุณหนูใหญ่ทานอาหารไปได้น้อย เลยทำอะไรมาให้ทานมื้อดึกเพิ่มน่ะค่ะ" สุดาบอกเจตนาที่มารบกวนเจ้านายยามวิกาลพลางส่งจานอาหารในมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู

"อ่าาาา ขอบคุณมากครับ คุณสุดาช่วยชีวิตผมไว้ได้มากเลย" เมมโม่พูดขอบคุณแล้วรับอาหารมาก่อนจะส่งยิ้มสมทบให้อีกที

"ไม่เป็นไรค่ะ ทานเสร็จวางจานไว้ในห้องเลยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าดิฉันจะมาเก็บให้" สุดาเอ่ยตอบรับผู้เป็นนายอย่างนอบน้อมแล้วโค้งนิดหน่อยเป็นพิธีจนเมมโม่ต้องรีบโค้งกลับทำให้สุดายิ่งเอ็นดูความน่ารักของเขาเข้าไปใหญ่

ทั้งคู่คุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่สุดาจะขอตัวกลับบ้านพักของคนงานไป ร่างบางยืนส่งอีกฝ่ายจนลับสายตาก่อนจะเดินถือจานอาหารเข้าห้องด้วยความดีใจจนเก็บไม่มิด คืนนี้เมมโม่ไม่หิวตายแล้ว อาหารและแซนด์วิชที่สุดานำมาให้ยิ่งกว่าทำให้หายหิวซะอีก ถ้ากินหมดน่าจะจุกตายแทนได้เลย

มือเรียววางจานบนโต๊ะชุดโซฟาในห้องเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ลงมือกินแซนด์วิชชิ้นแรกทันที ด้วยความเร่งร้อนและอาการหิวจนแสบท้อง ทำให้แซนด์วิชคำแรกที่กลืนลงไปฝืดคอของเขาเป็นอย่างมาก

เอาแล้วสิ ในห้องไม่มีน้ำซะด้วย

เมมโม่นึกเซ็งกับความเร่งรีบของตนไม่น้อย ก่อนจะลุกออกจากห้องเพื่อไปหาน้ำดื่มในครัวด้านล่างแทน ดึกปานนี้แล้วคงไม่มีใครอยู่หรอก...มั้ง

กุก กัก

พอเดินลงมาถึงด้านล่างหน้าทางเข้า เสียงกุกกักที่ดังจากในครัวของบ้าน ทำให้ขาเรียวยาวชะงักเล็กน้อยแต่ร่างบางก็เดินต่อไปอย่างไม่ได้นึกกลัวอะไรสักนิด

ถ้าไม่ใช่ผีก็คงเป็นคนนั่นแหละ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง

และก็เป็นไปตามคาด เมมโม่มองแผ่นหลังเดิมที่เห็นเมื่อช่วงเที่ยงกำลังหันหลังเปิดหาน้ำในตู้เย็นดื่มอยู่ ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวว่ามีคนเพิ่มเข้ามาในนี้นะเนี่ย

ชายหนุ่มที่กำลังยกน้ำดื่มแก้หิวหันหลังกลับมาช้าๆ เพื่อหวังจะปิดประตูตู้เย็นไปด้วย แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอกำลังยืนจ้องเขาอยู่ท่ามกลางความมืด

"พรวด! แค่กๆ! "

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ร่างเพรียวสำลักน้ำเพราะความตกใจที่เห็นอีกฝ่ายยืนจ้องตนอยู่ด้านหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เมมโม่ที่ไม่ทันตั้งตัวจึงรับผลกรรมจากน้ำที่ชายหนุ่มพ่นออกมาใส่เต็มๆ

"แค่กๆ ฉะ...แค่ก ฉันขอโทษๆ " ชายหนุ่มขอโทษไปพลางสำลักน้ำตาไหลไปพลาง เมมโม่ไม่ตอบอะไรแล้วยกมือลูบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำด้วยความรู้สึกหลากหลาย

จะว่าโกรธก็ไม่ใช่จะว่าขำก็ไม่เชิง

"นาย-"

โครกกกกกกกกกก

เสียงท้องร้องที่ดังไม่รู้เวล่ำเวลาขัดคำที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นอย่างน่าโมโห ร่างเพรียวยกมือกุมท้องตัวเองพร้อมใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงด้วยความอับอาย

ตั้งนานไม่เห็นร้อง ไม่รู้จะมาร้องอะไรตอนนี้!

"..."

"..."

เกิดเดดแอร์ระหว่างคนทั้งสองขึ้นอีกครั้ง เมมโม่ไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรดี ส่วนอีกคนก็ไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่ายต่อเช่นกัน เล่นพ่นน้ำใส่แถมท้องร้องกลบคำพูดอีก เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

โครกกกกกกก

เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้งทำให้คนที่กำลังก้มหน้ากุมท้องตัวเองอยู่ต้องเผลอขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ คราวนี้เสียงที่ดังไม่ใช่ของร่างเพรียวแน่ๆ แต่คนอย่างเมมโม่ก็ไม่น่าจะอดอยากจนขนาดท้องร้องได้เลยหนิ

แล้วถ้างั้นมันเป็นของใครกัน?

"เอ่อ...ขอน้ำให้ผมสักขวดได้มั้ยครับ" ความสงสัยยังไม่ถูกคลี่คลายดีร่างบางที่ยืนเงียบมานานก็เอ่ยขึ้นพร้อมชี้ไปที่ตู้เย็นด้านหลังชายหนุ่มเพื่อบอกเจตนาของตน

"อะ...อ่า ได้สิ โทษทีนะ" ร่างเพรียวรับคำอย่างงงๆ ก่อนจะรีบหลบทางให้อีกคนเข้าไปเอาน้ำตามที่ต้องการได้อย่างสะดวก

เมมโม่เข้าไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำสองขวดด้วยสภาพกึ่งเปียก พอได้สิ่งที่ตนต้องการก็หันหลังเตรียมเดินกลับขึ้นห้องโดยมีอีกคนมองตามแผ่นหลังด้วยความไม่เข้าใจ

ทั้งที่เขาพ่นน้ำใส่แถมแอบมากินน้ำตอนกลางดึกอีก แต่ทำไมเมมโม่ถึงไม่ว่าอะไรนะ แปลกจริงๆ

ร่างบางเดินไปใกล้จะพ้นประตูห้องครัวอยู่ๆ ก็หยุดก้าวขาซะเฉยๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนมองได้ไม่น้อย

หรือว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจแล้ว?

"คือ..." ริมฝีปากหยักได้รูปของร่างบางเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังคงหันหลังให้คู่สนทนาอยู่ ชายหนุ่มที่รอฟังยิ่งรู้สึกกดดันแต่ก็ยังคงตีสีหน้านิ่งได้เหมือนปกติ

ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะโดนอะไร เขาจะไม่เป็นไร

"คือ...ถ้าคุณไม่กังวลเรื่องนอนดึกมากนัก จะขึ้นไปกินแซนด์วิชด้วยกันมั้ยครับ" เมมโม่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมหันใบหน้าเรียวได้รูปของตนมองกลับอีกฝ่ายด้วยบรรยากาศสงบที่เป็นเอกลักษณ์

"..."

"..."

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาอีกครั้ง อาจจะเพราะต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจเจตนาของคนตรงหน้าเลยแสดงออกไม่ค่อยถูกนัก

เมมโม่ไม่รู้ว่าคนที่ตนเอ่ยชวนเป็นใครมาจากไหนและเขาควรจะปฏิบัติต่อคนคนนั้นอย่างไร ทั้งที่ไม่น่าไว้ใจแต่เขากลับชวนอีกฝ่ายขึ้นห้องซะอย่างนั้น ส่วนชายหนุ่มยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่เข้าใจเจตนาของเมมโม่สักนิด บางทีร่างเพรียวก็แอบคิดเล็กๆ ว่าคนตรงหน้ากำลังจะเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่หรือเปล่า

"อืม รบกวนด้วยนะ" และถึงแม้เขาจะระแวงและไม่เข้าใจแต่กลับรับคำอีกฝ่ายไปง่ายๆ ยังกับคนโง่ เมมโม่ที่ได้ยินคู่สนทนาตอบตกลงก็แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำชายหนุ่มแปลกหน้าขึ้นห้องไปอย่างง่ายดาย

เป็นคืนที่ความหิวทำคนเป็นบ้าได้จริงๆ สินะ

ว่าแต่ แซนด์วิชงั้นเหรอ เอาจริงดิ?





TBC.

//เธอๆ ไปกินแซนวิชที่ห้องเรามั้ย
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่5] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 20:45:30
Chapter 5



"หนูเมมแน่ใจเหรอคะว่าหนูจะไม่เอาการ์ดไปด้วย มะม๊าว่าเอาไปสักคนก็ไม่เสียหายนะคะ" เมมโม่ส่งยิ้มเจื่อนกับประโยคเดิมที่คุณหญิงพูดรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในเช้าวันนี้

ตอนแรกที่คุณแม่ผู้หวงลูกชายรู้ว่าดวงใจของตนจะกลับไปเรียน คุณหญิงก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข จะขัดใจลูกก็ไม่กล้าเลยได้แต่ขอให้หนูเมมยอมให้บอดิการ์ดติดตามไปเรียนด้วย แต่ดูท่าจะไม่เป็นผล

"ผมแค่ไปเรียนเองนะครับ ไม่จำเป็นต้องเอาพวกพี่ๆ เขาไปดูแลก็ได้ ผมไม่เป็นไรหรอก คุณแม่สบายใจเถอะนะครับ" ทางร่างบางก็ได้แต่เอ่ยตอบประโยคเดิมเช่นกัน

ยังไงหัวเด็ดตีนขาดเมมโม่ก็ไม่เอาคนติดตามไปด้วยแน่ ไม่งั้นการที่เขาไปเรียนจะมีความหมายอะไรถ้าสุดท้ายตัวเขายังอยู่ในสายตาของคุณหญิงตลอดแบบนี้

"แน่ใจนะคะ มะม๊ารู้สึกไม่สบายใจเลย ความจริงหนูเมมไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้นะ มันเสียเวลาและอันตรายด้วย มะม๊าว่า..."

"คุณหญิง ให้ลูกไปเรียนเถอะ"

ท่านผู้บริหารใหญ่ที่เห็นคุณหญิงเอาแต่เหนี่ยวรั้งลูกชายจนแทบจะสายในวันแรกอยู่รอมร่อเลยต้องพูดขัดความขี้หวงของภรรยาตนด้วยน้ำเสียงปนขำและเอือมระอานิดๆ

"คุณละก็! เพราะคุณเลยนะหนูเมมถึงได้ไปเรียนเนี่ย! " พอโดนอีกฝ่ายขัดแถมลูกชายก็ดันไม่รับข้อเสนอเธออีก หญิงสาวคนเดียวของบ้านจึงพาลใส่สามีด้วยความหงุดหงิดและน้อยใจ

"อ้าว โดนงอนซะงั้น" คนโดนเหวี่ยงเอ่ยอย่างขำขันพลางหันสบตาลูกชายที่ได้แต่ทำหน้าเจื่อนและก้มหัวเบาๆ เป็นการขอโทษที่ตนสร้างปัญหาให้

"เข้าใจแล้วครับ ถ้าคุณแม่ไม่อยากให้ผมไป ผมไม่ไปก็ได้ครับ" เมื่อเมมโม่เห็นว่าความต้องการของตนกลายเป็นปัญหาของคนรอบข้างไปทั่ว ร่างบางจึงตัดสินใจล้มเลิกความคิดแล้วเอ่ยบอกกับผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและใบหน้าไร้อารมณ์

พอคุณหญิงได้ยินคำตอบที่ตนต้องการ ริมฝีปากสวยก็ยกยิ้มอย่างยินดีพร้อมกับเงยหน้าสบตาลูกชาย แต่พอได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้ายังไงรอยยิ้มของคุณหญิงจึงพลอยหุบลงอย่างช้าๆ

เมมโม่ไม่ได้มีทีท่าโกรธ งอน หรือ ดื้อรั้นเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน บรรยากาศที่แผ่รอบตัวคนตรงหน้ายังคงสงบเช่นเดิมแต่มันไม่ใช่ความสงบอย่างสบายใจเหมือนทุกครั้ง มันเป็นความสงบที่รู้สึกกดดันและเย็นวาบไปทั้งตัว

คุณหญิงได้แต่มองลูกชายของตนด้วยสายตาสั่นไหว ไม่ใช่เพราะว่าเธอกลัวแต่เธอรับรู้ได้ถึงความกดดันและเหนื่อยล้าจากคนตรงหน้าต่างหาก สำหรับคนที่รักลูกชายยิ่งกว่าชีวิตพอเห็นอีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นเธอก็แทบขาดใจ ถึงแม้คุณหญิงจะกังวลที่ลูกต้องห่างสายตา แต่ถ้าต้องคอยรับความรู้สึกเหนื่อยล้าและกดดันจากอีกฝ่ายไปตลอด เธอยอมให้ลูกชายทำตามใจดีกว่า

"มะม๊าขอโทษ มะม๊าจะไม่เอาแต่ใจแล้ว หนูเมมไปเรียนเถอะค่ะ มะม๊าขอโทษน๊า" คุณหญิงเอ่ยขอโทษเสียงสั่นพร้อมกับดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดอย่างหวงแหน

ไม่เป็นไร ลูกชายเธอต้องไม่เป็นไร เมมโม่จะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่ๆ

"ขอบคุณครับ" คนถูกกอดพูดขอบคุณแล้วยกแขนกอดกลับผู้เป็นแม่พร้อมลูบหลังปลอบอีกฝ่ายเบาๆ ไปด้วย

ทุกการกระทำของคนทั้งสองอยู่ในสายตาท่านประธานใหญ่ทั้งหมด ชายผู้ขับเคลื่อนวงการธุรกิจได้แต่มองลูกชายที่กำลังกอดปลอบภรรยาของตนด้วยสายตาเรียบนิ่งทั้งที่ในใจเกิดคำถามและความสับสนวุ่นวายตีมั่วกันไปหมด

การที่เมมโม่เปลี่ยนไปขนาดนี้ไม่รู้จะเป็นผลร้ายหรือผลดีต่อตัวร่างบางกันแน่ ความกังวลที่เกาะกินหัวใจของคนเป็นพ่อมันคืออะไรกันแน่นะ



เมมโม่ใช้เวลาในช่วงเช้ากับคุณหญิงไปร่วมหลายชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็ได้นั่งบนรถที่กำลังเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ธนพัฒน์เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศตามคำสั่งเจ้านาย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ คันหรูที่โดยสารลูกชายตะกูลดังเคลื่อนพ้นรั้วใหญ่ของคฤหาสน์พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากของร่างบางที่ออกมาจากเซฟโซนได้สำเร็จ

ถึงเวลาเผชิญความจริงอีกระดับของตัวเองแล้ว!

เมมโม่เท้าคางทอดสายตาไปนอกหน้าต่างเพื่อมองวิวข้างทางที่กำลังเคลื่อนไปช้าๆ ด้วยความว่างเปล่าและเหม่อลอย

แต่เมื่อใกล้จะถึงเส้นทางหลักอยู่ๆ ดวงตากลมก็ปะทะเข้ากับแผ่นหลังคุ้นตาของร่างเพรียวสูงที่กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปยันถนนใหญ่ด้วยอาการหอบโยน

"ลุงครับๆ จอดดักหน้าผู้ชายคนนั้นหน่อย" คำสั่งของผู้เป็นนายดังขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ฟังไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นคำสั่งของคนด้านหลังต้องมาก่อนความสงสัย ชายสูงวัยจึงหักพวงมาลัยดักทางของคนที่กำลังวิ่งอยู่ทันที

"เชี่ย! " คนที่กำลังรีบเร่งจู่ๆ ก็โดนรถคันหรูขับปาดหน้าซะเฉยๆ ริมฝีปากหยักอุทานขึ้นพร้อมโดดหลบไปด้านหลังตามสัญชาตญาณก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิด

"คุณ! ขึ้นรถ" ยังไม่ทันได้ถามอะไรกับคนขับกระจกด้านหลังก็ถูกลดลงพร้อมเสียงและใบหน้าที่คุ้นเคยยื่นออกมาตะโกนเรียกเขาให้ขึ้นรถ

"จะบ้าเหรอ ถ้าฉันไปกับนายได้ตายกันพอดี อย่าทำอะไรแบบนี้สิ เดี๋ยวฉันไปไม่ทันรถเมล์นะ" ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมสีหน้าเอือมระอาปนเอ็นดู

หลายวันที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมากจนแถมจะเรียกว่าสนิทกันได้เลย

ตั้งแต่วันที่ขึ้นไปกินแซนด์วิชในห้องคืนนั้นพวกเขาก็ยังคงแอบนัดไปเจอบนห้องของเมมโม่อยู่บ่อยๆ อาจจะมีกินขนม อาหาร หรือติวหนังสือกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะนั่งเงียบๆ กันเสียมากกว่า และที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมมโม่ไม่เคยถามว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน หรือชื่ออะไรแม้แต่ครั้งเดียว

เรื่องที่เมมโม่สูญเสียความทรงจำชายหนุ่มได้รับรู้จากคนในบ้านมาบ้างแล้ว ร่างเพรียวจึงอดทึ่งไม่ได้ที่เห็นอีกฝ่ายใช้ชีวิตโดยไม่พยายามค้นหาความจริงเลยทั้งที่เมมโม่จะคาดคั้นเอากับเขาก็ได้แท้ๆ

เชื่อเขาเลยจริงๆ

"ไม่เป็นไรหรอกน๊า นี่มันสายมากแล้วนะ ไปรอขึ้นรถเมล์ตอนนี้ก็ไปไม่ทันคาบแรกพอดี เรียนหมอไม่ใช่ไง เวลาเป็นสิ่งสำคัญนะ! " นี่คงเป็นประโยคแรกที่เมมโม่พูดยาวและร้อนรนกับชายหนุ่มขนาดนี้ ดูท่าร่างบางจะเป็นเดือดเป็นร้อนต่อเรื่องเรียนของเขามากเลย

"แต่ว่า..."

"ไม่มีแต่! จะขึ้นมาดีๆ หรือจะให้ฉันลงไปอุ้ม! "

"ลักพาตัวมันผิดกฎหมายนะ! "

"ขึ้นรถซะทีสิ! "

"เออ! ขึ้นก็ขึ้น! "

นี่พวกเขามาตะโกนทะเลาะเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย แถมสุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องมาแพ้ต่อความเอาแต่ใจของเมมโม่อยู่ดีอีก แม้จะสูญเสียความทรงจำแต่นิสัยเอาแต่ใจมันฝังลึกสินะ

ไอ้เด็กแสบ!

ร่างเพรียวรีบก้าวเร็วๆ ไปเปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับแต่มันกลับถูกล็อกไว้ซะอย่างนั้น พอหันไปมองตัวการด้านหลัง อีกฝ่ายก็ดันยักคิ้วกวนประสาทแล้วชี้ลงข้างๆ ตัวเองพร้อมขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า

'ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนี้ครับ'

เออ! ให้มันได้อย่างนี้สิ เอาแต่ใจสุดๆ เลยไอ้เด็กบ้า!

ชายหนุ่มได้แต่ตะโกนด่าคนตรงหน้าภายในใจแล้วเปลี่ยนไปเปิดประตูด้านหลังตามที่เมมโม่ต้องการเพื่อตัดปัญหาให้มันจบๆ

ยังไงเขาก็คงไม่ชนะอยู่แล้ว รู้ตัวดี

พอผู้โดยสารคนใหม่นั่งประจำที่เรียบร้อย รถคันหรูก็ออกเคลื่อนตัวอีกครั้ง

ไม่มีบทสนทนาอะไรภายในรถสักคำ ทุกคนต่างเงียบและจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แต่บรรยากาศก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

ดูเหมือนทั้งคู่ไม่ใช่คนที่ชอบพูดไร้สาระไปเรื่อย พวกเขาถนัดนั่งเงียบๆ และคงไม่ชอบพวกพูดมากน่ารำคาญเหมือนกันด้วย

ชายแก่ที่ลอบมองคนทั้งสองผ่านกระจกรถได้แต่แอบยิ้มกับความปากแข็งและดื้อรั้นของคนทั้งคู่ ทำเหมือนไม่มีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ แต่กลับลอบสังเกตกันและกันตลอด

ให้ความรู้สึกเหมือนพี่น้องกันจริงๆ

ถ้าเมื่อไหร่ที่บ้านธนพัฒน์โชคสกุลจบความแค้นและบาดหมางลงได้ ชายอายุใกล้ปลดเกษียณคนนี้ก็ได้แต่หวังว่าภาพแบบนี้คงได้เห็นกันโดยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป



ใช้เวลาไปร่วมชั่วโมงในที่สุดเมอร์เซเดส-เบนซ์ คันหรูก็มาจอดเทียบหน้าคณะแพทย์ก่อนถึงเวลาคาบแรกได้สำเร็จ

ถึงแม้ผู้โดยสารทั้งคู่จะเถียงกันเรื่องควรไปส่งใครก่อนตลอดทางมาก็เถอะ

"คุณเลิกเรียนกี่โมง" เมมโม่เอ่ยถามขณะลดกระจกลงเพื่อจะมองส่งอีกฝ่ายเข้าคณะไปด้วย

"ฉันกลับเองได้" เรื่องอะไรเขาจะบ้ากลับไปด้วยอีกล่ะ แค่ขามาก็แทบนั่งไม่ติดเบาะจะแย่ ชายหนุ่มยังไม่อยากมีปัญหาตามมาที่หลังหรอกนะช่วงนี้ปี 4 ยิ่งเรียนหนักอยู่ด้วย อะไรที่เสี่ยงจะก่อปัญหาให้ เขาขอเลี่ยงไว้ก่อนดีกว่า

"ตามใจ ถ้าเปลี่ยนใจไลน์หาฉันนะ" ความจริงเมมโม่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อีกคนมากนัก แต่อะไรบางอย่างในใจเขาไม่สามารถละสายตาหรือปล่อยให้คนตรงหน้าลำบากได้เลยจริงๆ

"ฉันไม่มีโทรศัพท์หรอก ขอตัวนะ" ร่างเพรียวพูดจบก็ไม่คิดอยู่ฟังความเอาแต่ใจของคนในรถต่อ ชายหนุ่มรีบหันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าคณะไปทันที ปล่อยให้คนฟังมองตามหลังปริบๆ พร้อมปากที่กำลังจะอ้าพูดแต่ไม่ทันอีกฝ่ายซะงั้น

ให้มันได้อย่างนี้สิ

"เฮ้อ" เมมโม่ถอนหายใจพลางส่ายหัวเบาๆ อย่างนึกขันก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นแล้วหันไปส่งสัญญาณกับลุงคนขับให้เคลื่อนรถไปยันคณะของตนต่อ

ใช้เวลาไม่นานรถที่โดยสารคุณหนูคนสำคัญก็จอดเทียบหน้าคณะบริหารอย่างนิ่มนวล เมมโม่เอ่ยขอบคุณชายสูงวัยที่มาส่งก่อนจะรวบข้าวของจำเป็นเดินลงรถเพื่อเข้าคณะตนทันที

เมื่อร่างของคนที่ไม่ได้มาเรียนร่วมเดือนปรากฏสู่สายตาคนทั้งคณะก็เกิดเสียงเซ็งแซ่และคำพูดซุบซิบนินทาตลอดทางที่เมมโม่ก้าวผ่าน

ไม่แปลกที่ทุกคนจะตื่นตัวกับการมาของร่างบางในวันนี้ ชื่อเสียงของลูกชายตะกูลธนพัฒน์โชคสกุลดังกระฉอนไปทั่ว จึงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ที่สำคัญไม่ได้เลื่องลือกันแค่ภายในคณะบริหารเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ในมหาลัยนี้รู้จักชายร่างบางเป็นอย่างดีกันทั้งนั้น

ทั้งในเรื่องร้ายและเรื่องเลว

เมมโม่พยายามเมินทุกสายตาที่เสียดแทงเวลาตนเดินผ่าน ความจริงเขาก็คิดไว้แล้วว่าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่ไม่คิดว่าจะรุนแรงจนขนาดสัมผัสได้ตรงๆ กันอย่างนี้เลย

ให้ตายสิ ตัวเขาสมัยก่อนทำบ้าอะไรไปบ้างเนี่ย

มือเรียวสวยล้วงหาตารางเรียนในกระเป๋าเพื่อเช็กห้องที่ต้องไปอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พอมั่นใจกับรหัสที่เห็นขายาวก็ออกเดินมุ่งไปยังห้องเรียนด้วยความเยือกเย็น

แม้ว่าจะโดนอะไรเขาก็จะไม่หนีมัน การที่เมมโม่ตัดสินใจกลับมาเรียนอีกครั้งเพราะการนั้นโดยเฉพาะเลย



แอ๊ด

เสียงเสียดสีกันของกลอนประตูเรียกความสนใจให้คนทั้งห้องหันมองผู้มาใหม่ ร่างที่เข้ามาปรากฏเรียกเสียงฮือฮาและใบหน้าเหยเกของทั้งหญิงและชายได้เป็นอย่างดี

รับรู้ได้ถึงความรังเกียจอย่างไม่ปกปิด

เมมโม่กวาดสายตามองรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ดูเหมือนส่วนใหญ่คนในห้องจะเกลียดขี้หน้าเขาเป็นอย่างมากเลย การเรียนครั้งนี้คงลำบากไม่น้อยแน่ๆ

ร่างบางหามุมดีๆ ที่ไม่ค่อยมีคนนั่งแล้วเดินไปประจำที่ด้วยความไม่ทุกข์ร้อน ใบหน้าที่ฉาบไปด้วยความเฉยชาและไม่สนใจใครเรียกความสนใจและแปลกใจจากชายหนุ่มร่างสูงที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนได้ไม่น้อย

"ไทม์มองไรอะ" เสียงน่ารักที่ไม่สมชายของเพื่อนสมัยเด็กที่นั่งข้างร่างสูงเอ่ยถามอย่างนึกสงสัยพลางหันมองตามสายตาอีกฝ่ายไปด้วย

"ไม่มีอะไร ก็แค่ขยะ" ไทม์ตอบเสียงเรียบแล้วละสายตาจากร่างนั้นโดยเร็ว เหมือนสิ่งที่ตนมองอยู่เป็นของชั้นต่ำที่ไม่ควรดึงสายตาไว้นานนัก

"เห ไรอะ นึกว่าจะมีเรื่องสนุกๆ ไรซะอีก แต่เมื่อกี้นายนึกแปลกใจที่เมมโม่ไม่ส่งยิ้มยั่วยวนให้สินะ" ต่อให้ปิดบังยังไงคนที่รู้จักไทม์มาตั้งแต่เด็กอย่างซองอึนก็ดูอาการของเพื่อนตัวเองออกเป็นอย่างดี

ตอนแรกซองอึนก็กะรอแซวตอนที่เมมโม่จะส่งยิ้มยั่วยวนให้กับคนข้างกายเขาเหมือนทุกทีเช่นกัน แต่อีกฝ่ายที่หายไปเป็นเดือนพึ่งโผล่มาเรียนกลับทำแค่กวาดสายตานิ่งๆ แล้วหามุมนั่งอย่างเงียบเชียบเรียบร้อยซะงั้น

ทำเอาเขาอดแกล้งไทม์เลย

"หุบปากน่าซองอึน มันไม่ทำก็ดีแล้วหนิ" อุตส่าห์เลิกสนใจแล้วเชียวแต่ไอ้เพื่อนตัวดีของเขายังมาตอกย้ำเรื่องขยะแบบนั้นอีก น่ารำคาญชะมัด

"ฮ่าๆ โอเคๆ อย่าทำหน้าเครียดนักสิ เดี๋ยวสาวๆ ก็กลัวหรอก" ซองอึนยกมือยอมแพ้พร้อมเสียงหัวเราะใส เรียกรอยยิ้มขำจากพวกสาวๆ ที่กำลังรายล้อมร่างสูงได้เป็นอย่างดี

เพราะมีซองอึนที่เป็นแบบนี้ไงพวกเธอถึงอยู่ใกล้ๆ ไทม์ได้อย่างสบายใจ ถ้าสมมุติสุดท้ายในกลุ่มพวกเธอไม่มีใครได้ไทม์ไป พวกเธอก็หวังว่าคนที่ได้หัวใจของลูกชายบริษัท SUMSUM ที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลกจะเป็นซองอึนผู้แสนดีคนนี้

โดยไม่มีใครรู้เลยว่าความคิดแสนหวังดีนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว




TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่6] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 30-11-2018 23:01:56


Chapter 6



"โอเค วันนี้พอแค่นี้ละกัน อย่าลืมตามงานที่ให้ไปกันด้วยล่ะ"

"คร้าบ/ค่า"

เสียงเอ่ยจบคลาสและคำตอบรับของคนทั้งห้องเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเวลาพักของนักศึกษาคณะบริหารได้เป็นอย่างดี ทุกคนต่างบิดไล่ความเมื่อยขบและเริ่มจับกลุ่มหารือถึงงานที่อาจารย์พึ่งพูดไปอย่างสนุกสนาน

ยกเว้นก็แต่ชายหนุ่มร่างบางที่กำลังเผชิญปัญหาเข้าขั้นวิกฤตเพียงคนเดียวเท่านั้น!

เมมโม่ก้มมองหนังสือและเลคเชอร์ที่ว่างเปล่าของตนด้วยสีหน้าเป็นกังวลแบบไม่ปกปิด สิ่งที่ฟังในคาบเรียนทั้งวันแทบไม่มีอะไรเข้าหัวเขาเลยสักอย่าง ด้วยความที่ร่างบางสูญเสียความทรงจำแถมไม่ได้มาเรียนตั้งเดือนกว่า ทำให้การจะเรียนตามคนอื่นให้ทันมันเป็นไปไม่ได้เลย

แบบนี้มีหวังได้ลงเรียนปี1 ใหม่แหงแซะ

"เฮ้อ" เมมโม่ลอบถอนหายใจอย่างคนกลัดกลุ้มพลางเก็บหนังสือและข้าวของต่างๆ ใส่กระเป๋าเป้เพื่อออกไปหาอะไรกินแก้เครียด

ขืนนั่งอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะคอยเป็นเป้าให้คนทั้งห้องทิ่มแทงทางสายตาเท่านั้นแหละ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยไปหาทางคุยกับอาจารย์แต่ละท่านในเรื่องงานอีกทีก็แล้วกัน

เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มือเรียวก็คว้ากระเป๋าขึ้นพาดบ่าก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดจาท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่มองตามแผ่นหลังบางนั้นไป

"เหอะ น่ารังเกียจชะมัด ทำเป็นไม่แคร์ไม่สนใจใคร ยิ่งใหญ่มากหรือไงนะ"

"จริงด้วย หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีมันบรรยากาศในการเรียนดีขึ้นตั้งเยอะ ไม่รู้จะกลับมาทำไม"

"ที่ออกไปก็คงไปวิ่งไล่ตามสองเพื่อนรักเหมือนเคยนั่นแหละ เกิดมาก็พึ่งเคยเห็นตุ๊ดแรดขนาดนี้"

"ฮ่าๆ ตุ๊ดแรดเลยเหรอวะ แต่เข้ากับแม่งดีนะ"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ "

เสียงติฉิมนินทาและด่าทอดังขึ้นอย่างสนุกปากหลังจากบุคคลที่พวกเขาเอ่ยถึงได้ออกจากห้องไปได้ระยะนึงแล้ว

ไทม์ลืมตามองผู้คนทั้งหลายด้วยสายตาราบเรียบปนรำคาญในที ชายหนุ่มแอบงีบมาตลอดคาบแต่ต้องมาตื่นเพราะคำปรามาศของพวกดีแต่ปาก มันน่ารำคาญมั้ยล่ะ

ร่างสูงลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าติดหงุดหงิดก่อนจะเตะเก้าอี้เพื่อนสนิทที่กำลังงีบอยู่ข้างๆ เพื่อให้ตื่น จะได้ออกจากห้องที่มีแต่เสียงดังยังกับนกกระจอกนี่สักที

"ฮ้าววว จบคลาสแล้วอ่อ อื้มมม ไปหาไรกินดี" ซองอึนลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพร้อมกับบิดขี้เกียจเป็นสิ่งปิดท้าย

ไทม์ไม่ตอบอะไรเพื่อนตัวเล็กแล้วเดินนำออกจากโต๊ะไปแทน ทำให้คนมองได้แต่ยักไหล่อย่างรู้งานก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ

"เอ่อ...ซองอึน ขอพวกเราไปกินข้าวด้วยได้มั้ย" แล้วก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา จะมีหญิงสาวหรือชายหนุ่มใจสาวทั้งหลาย แห่แหนกันมาดักทางเขาเพื่อขอให้พาพวกตนไปด้วยเกือบตลอด

เป็นเพื่อนกับคนเนื้อหอมนี่ลำบากชะมัดเลย

"ขอโทษนะคนสวยทั้งหลาย ผมพาไปด้วยไม่ได้จริงๆ ไทม์มันขี้รำคาญอะ แค่ผมพยายามให้มันไม่ปรี๊ดใส่ทุกคนได้ในเวลาเรียนก็เหนื่อยจะแย่ เห็นใจเค้าหน่อยนะ" ซองอึนเอ่ยตอบพร้อมกับยกมือไหว้แตะริมฝีปากอย่างน่ารักก่อนจะขยิบตาข้างนึงเป็นสิ่งตบท้าย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูและเสียงกรี๊ดเบาๆ ของพวกผู้หญิงได้เป็นอย่างดี

"โอเคๆ พวกเราเข้าใจแล้ว ฝากดูแลไทม์ด้วยนะ" หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวตอบกลับอย่างถือสิทธิ์คิดว่าตนคือคนที่เข้าใกล้ชายหนุ่มทั้งสองมากที่สุด ทุกคนจึงยอมถอยให้ซองอึนตามคำพูดเธอแต่โดยดี

"คัมซามิดา ^^" ริมฝีปากสีสดพูดขอบคุณภาษาบ้านเกิดพร้อมแจกยิ้มน่ารักก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อนตัวต้นเหตุไป

"แงง ซองอึนน่ารักชะมัดเลย"

"ฉันเกือบวูบ กรี๊ด"

ถึงแม้จะออกมาระยะนึงแล้วแต่คนตัวเล็กก็ได้ยินเสียงไล่หลังของทุกคนได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากสีสวยยกยิ้มมุมปากอีกครั้งกับประโยคเยินยอของทุกคน

เพราะตนมีประโยชน์ต่างหากถึงได้น่ารักในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะชนชาติไหน ทุกคนก็ต้องชมชอบผู้ที่มีประโยชน์ต่อตนทั้งนั้นแหละ

ไม่ว่าใคร...ไม่ว่าใครก็ตาม



หลังจากเดินวนเป็นคนโง่อยู่หลายนาทีในที่สุดเมมโม่ก็มายืนอยู่หน้าห้องน้ำชายในตึกคณะนิเทศจนได้

เมื่อครู่หลังจากร่างบางทานอาหารเสร็จแล้วตอนกำลังจะเดินกลับคณะของตน ดันมีผู้หญิงที่มัวแต่คุยเล่นกับเพื่อนจนไม่มองทางเดินจึงมาชนเขาเข้าอย่างจังจนน้ำแดงในมือเธอหกรดเสื้อเขาเปื้อนไปหมด

ตอนแรกมันก็ชวนหงุดหงิดอยู่หรอกแต่พออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นเขาก็หน้าซีดตัวสั่นยกมือไหว้ขอโทษยกใหญ่ เจอแบบนั้นเข้า ใครจะไปกล้าว่าอะไรต่อได้ล่ะ เลยต้องมาเข้าห้องน้ำในคณะนิเทศที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อเช็ดรอยเปื้อนตามคำแนะนำของพวกเธอแทน

"เฮ้อ" เมมโม่ถอนหายใจกับความซวยของตัวเองก่อนจะผลักประตูห้องน้ำเข้าไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ภายในห้องน้ำที่มีแสงส่องสว่างจากด้านนอกดูโล่งสะอาดและไร้ผู้คนจนเขานึกแปลกใจอยู่นิดหน่อย แต่ด้วยความเร่งรีบเพราะมีเรียนต่อและอยากเช็ดคราบเหนียวเหนอะบนเสื้อที่เริ่มติดร่างกายไวๆ จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

มือเรียวแกะกระดุมเสื้อแขนยาวสีขาวของตนออกแล้วถอดจับรอยเปื้อนไปรองใต้ก๊อกก่อนจะเปิดน้ำเบาๆ เผื่อขยี้คาบน้ำหวานสีแดงออกอย่างช้าๆ

แอ๊ด

เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งโดยกลุ่มผู้ชายแปลกหน้า3-4คน ทั้งหมดเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของร่างบางที่กำลังซักเสื้อพร้อมใบหน้าที่ชวนทะเลาะอย่างเห็นได้ชัด

เมมโม่มองกลุ่มคนแปลกหน้าผ่านภาพสะท้อนในกระจกด้วยสีหน้าราบเรียบ คนโดนล้อมไม่พูดอะไรทั้งสิ้นแล้วยกเสื้อบิดน้ำก่อนจะสวมใส่ทั้งที่ยังหมาดๆ โดยไม่คิดสนใจพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว

"เหอะ ท่าทางกวนตีนอย่างที่คนเขาลือกันจริงๆ ด้วย" พอเห็นปฏิกิริยาไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย หนึ่งในกลุ่มชายแปลกหน้าจึงพูดขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

"ตอนแรกพวกกูเห็นมึงไม่มาเรียนเป็นเดือนเลยกะจะไม่ยุ่งกับมึงแล้ว เสือกเสนอหน้ามาทำตัวไม่ทุกข์ร้อนทั้งที่ทำลายครอบครัวคนอื่นจนย่อยยับได้อีกนะ" ชายคนเดิมเอ่ยต่อด้วยความคับแค้นใจพร้อมมองใบหน้าใสที่ยังคงนิ่งเฉยจนพวกเขาแทบเดือดดาล

"อย่ามาทำเป็นเมินพวกกูนะ!! ห้ามพูดว่าลืมไปแล้วด้วย! มึงพังชีวิตพวกกูไม่เหลือชิ้นดี แล้วคิดจะมีความสุขง่ายๆ งั้นเหรอ คิดตื้นเกินไปแล้ว!! " เสียงตวาดพร้อมใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างเคืองแค้นไม่ได้ทำให้เมมโม่นึกสนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ใบหน้าเรียวหันมองรอบข้างเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความใจเย็นและไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด

ตอนนี้อยู่ไปก็มีแต่แย่กับแย่ ร่างบางพึ่งออกจากโรงพยาบาลได้แค่อาทิตย์กว่า ร่างกายยังไม่ปกติดีด้วยซ้ำ แถมพื้นฐานแรงกำลังก็อ่อนแออยู่แล้วอีก สกิลป้องกันตัวหรือวิธีทะเลาะวิวาทก็ไม่มีสักอย่าง ตอนนี้คำตอบเดียวที่ควรทำจึงเป็น...

เผ่นให้ไวที่สุด!

เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกทำให้คนที่แอบมาคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำด้านในสุดต้องขมวดคิ้วหงุดหงิดกับเรื่องยุ่งยากที่ได้ยิน

พาพวกยกโขยงมาเป็นฝูงเพื่อมาซ้อมคนคนเดียว? เป็นบทละครที่เห่ยฉิบหายเลย

"กวนตีนนักเหรอมึง! เฮ้ย! ล้อมไอ้ลูกคุณชายธนพัฒน์ไว้!! " มือหนาที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูเพื่อออกจากห้องน้ำต้องชะงักหยุดเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหูของผู้เคราะห์ร้ายด้านนอกจากปากพวกหมาหมู่เข้า

"หึ" ไทม์ยกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุกก่อนจะถอยหลังพิงผนังห้องน้ำพร้อมกอดอกเพื่อรอฟังบทละครแสนเห่ยที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อ

อีกด้านของผู้เคราะห์ร้าย เมมโม่ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างนึกแค้นใจที่ตนไม่คิดออกกำลังกายหรือเรียนศิลปะป้องกันตัวมาก่อน ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตของแท้แล้ว เล่นล้อมกันอย่างนี้อย่าว่าแต่โดนรุมเลย เผลอๆ แรงของพวกมันแค่คนเดียวเขาก็เดี้ยงได้แล้วเหอะ

"จำไว้! แล้วอย่าคิดไปกดหัวใครอีก ไอ้สวะ!! " ชายร่างหนาที่อยู่ตรงหน้าเมมโม่ตะคอกจบก็ยกเท้าถีบท้องอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง

"อึก! " คนที่แทบไม่มีแรงและร่างกายยังไม่ฟื้นดีต้องถอยไป2-3ก้าวจากแรงถีบแล้วทรุดนั่งลงทันทีด้วยความจุกและเจ็บจนแน่นไปหมด

"เฮ้ย อย่ารุนแรงนักสิวะ เดี๋ยวแม่งไปฟ้องพ่อกับแม่มันอีกหรอก" ชายร่างสูงหนึ่งในกลุ่มเตือนสติเพื่อนตัวเองที่กำลังโกรธหน้ามืดตามัวเพื่อไม่ให้ทำเสียเรื่องจนเกินควร

"กูรู้น่า ขอเอาคืนนิดหน่อยมันไม่ตายหรอก โดนแค่นี้ยังน้อยไป กูไม่ทำที่หน้ามันให้โดนจับได้แน่" ชายหนุ่มตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงกดต่ำพร้อมกับที่ดวงตาคมจ้องมองไปยังคนที่นั่งทรุดอยู่ตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น

"เรามาเริ่มสนุกกันต่อดีกว่า" น้ำเสียงหยอกล้อของคนที่ถือไผ่เหนือกว่าทำให้คนฟังรู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบอ้วก

ขายาวในกางเกงสเล็คสีดำก้าวเข้าไปใกล้คนที่นั่งกุมท้องตัวเองด้วยแววตาเป็นประกายก่อนจะยกขึ้นเตะซ้ำใส่อีกฝ่ายไปที่ท้องและกลางหลังอย่างรุนแรง

ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!

"อัก! อึก! แค่กๆ " เมมโม่ร้องกระอักอย่างสุดแสนทรมาน ลมหายใจเริ่มติดขัดเพราะรับความเจ็บแทบไม่ไหวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนโดนซ้อมก็ไม่มีทีท่าจะเอ่ยขอร้องหรือร้องไห้ออกมาสักนิด

"กูละเกลียดสีหน้าตอนนี้ของมึงจริงๆ เมมโม่!!!! " พอเห็นใบหน้าที่ดูเฉยชาและดวงตาเรียบนิ่งของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงการโดนดูถูกจนแทบกลั้นอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่

ในเมื่ออวดเก่งนัก เขาก็จะทำให้ใบหน้านั้นแสดงความอวดเก่งไม่ได้อีก!!

"เฮ้ย! ไอ้เชี่ยแม็กอย่านะโว้ย! " เพื่อนทั้งหลายที่เห็นว่าชายหนุ่มสติแตกจนขนาดจะเล็งเตะไปที่ใบหน้าของร่างบาง ทุกคนจึงร้องตะโกนห้ามแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว

"ปล่อยกูนะโว้ย!! กูจะฆ่ามัน!! " คนโดนรั้งไว้กระชากเสียงพร้อมสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของเพื่อนๆ ด้วยแรงอารมณ์

ตอนนี้เขาอยากทำลายดวงตานั้น ทำลายดวงตาที่มองเขาอยากเหยียดหยาม ทำลายให้ไม่เหลือซาก!!

"ใจเย็นสิวะ! มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!! " หนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่รั้งแขนแม็กไว้เอ่ยเรียกสติอีกฝ่าย แต่ดูท่าจะไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่นัก

"ปล่อยกู!! "

แอ๊ด

เสียงเปิดประตูห้องน้ำด้านในทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักก่อนที่ทุกสายตาจะหันมองคนที่กำลังก้าวออกมาด้วยดวงตาเบิกโพลง

นั่นไทม์ คณะบริหารหนิ!

ชื่อเสียงของชายร่างสูงที่กำลังเดินตรงมายังพวกเขาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนนั้นดังและเลื่องลือพอๆ กับอีกคนที่นอนกองอยู่ด้านล่างเลย

ไม่สิ อาจจะดังกว่าด้วยซ้ำ มีใครไม่รู้จักลูกชายของเจ้าพ่ออุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงและขับเคลื่อนโลกอย่าง SUMSUM บ้าง ในแวดวงธุรกิจ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และการเงิน ใครๆ ก็รู้ว่าไม่ควรมีเรื่องกับคนตระกูลนี้เป็นอย่างมาก

"สัดแม็ก ถอยก่อน พวกนั้นอยู่คณะเดียวกันนะโว้ย มึงจะทะเลาะกับใครกูไม่ว่า แต่กับไอ้หมอนั่น กูขอเถอะ กลับกันก่อน" เพื่อนที่เกาะแขนชายหนุ่มเอ่ยด้วยความรีบเร่งและไม่คิดสนใจคำตอบของผู้ฟังด้วย ทุกคนพร้อมใจกันถอยแล้วลากคนใจร้อนออกจากห้องน้ำไปทันที

พอทุกคนหายไปเหลือแค่เมมโม่ที่นอนกุมท้องตัวเองเพราะอาการบาดเจ็บ ร่างสูงก็ไม่ได้แม้แต่ปรายตามองเลยสักนิด ไทม์เดินล้วงกระเป๋าข้ามร่างของคนที่นอนกองอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แยแส ส่วนคนที่นอนอยู่ก็ไม่คิดเอ่ยขอร้องเช่นกัน

"อึก แฮ่ก แฮ่ก" เมื่อเห็นเท้าของคนสุดท้ายออกจากห้องน้ำไป เมมโม่จึงรวบรวมแรงทั้งหมดลุกขึ้นนั่งพิงผนังอย่างหมดสภาพ

มาเรียนวันแรกก็ถูกรับน้องจัดหนักเลยแฮะ เอาไงต่อดีละทีนี้

ในขณะที่เมมโม่กำลังนั่งพิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง อีกด้านนึงของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองก็กำลังวิ่งวุ่นตามหาคนตัวเล็กจนเหงื่อโทรมกายไปหมด

"เป็นไงบ้างวะ มึงเจอตัวเล็กบ้างมั้ย" ลุกซ์เอ่ยถามเพื่อนสนิทหน้าตายที่หอบหายใจเบาๆ พร้อมยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อทั้งที่สายตายังสอดส่องไปทั่วไม่ยอมหยุด

"ไม่" โคล์วตอบสั้นห้วนตามแบบฉบับก่อนจะยกโทรศัพท์ดูความเคลื่อนไหวของเพจมหาลัยอีกครั้ง เขาหวังว่ามันจะมีข่าวของคนที่พวกเขาตามหาขึ้นมาในเพจอีก

ลุกซ์ที่เห็นอีกฝ่ายเข้าหน้าเพจมหาลัยจึงยืนรออย่างใจเย็น ก็เพราะเพจนี่แหละพวกเขาถึงรู้ว่าเมมโม่กลับมาเรียนแล้ว

เมื่อเที่ยงที่ผ่านมาหลังจากเข้าเรียนช่วงเช้าเสร็จ อยู่ๆ เพื่อนในคณะก็ส่งรูปของคนตัวเล็กที่โดนแอบถ่ายหน้าคณะตนเมื่อตอนเช้าให้ดู พร้อมถามว่าเมมโม่มาส่งใครที่หน้าคณะแพทย์

นั่นสิ ลุกซ์ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนตัวเล็กของเขามาส่งใคร ที่สำคัญทำไมมาเรียนแต่ไม่ติดต่อบอกพวกเขาเลยสักนิด ทั้งที่พวกเขาพยายามหาทางติดต่อเมมโม่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็โดนขัดขวางทุกที

หรือเพื่อนตัวเล็กจะไม่ให้อภัยพวกเขาแล้ว

"ห้องน้ำชั้น1 ตึกB คณะนิเทศ" ประโยคห้วนๆ ที่ไม่มีที่มาที่ไปของคนข้างกายทำให้ลุกซ์หลุดจากภวังค์แล้วรีบวิ่งตามหลังเพื่อนหน้าตายที่แทบจะวาปทันทีหลังพูดจบ

ตึกคณะนิเทศเหรอ? คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดมั้ง





TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่6] 30/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 30-11-2018 23:40:36
เจนสัมผัสได้ว่าอาจจะมีใครมาอยู่ในร่างของเมมโมก็เป็นได้ แล้วก็ฟามจำเสื่อมกันทั้งร่างกายและวิญญาณ
55555555555
เดานะ มาต่อด่วน  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่7] 1/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 01-12-2018 12:02:58


Chapter 7



ขายาวของชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองก้าววิ่งด้วยความร้อนรนพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเมื่อนึกถึงจุดมุ่งหมายที่พวกตนกำลังจะไป

หญิงสาวมากมายที่เห็นบุคคลผู้โด่งดังของเพจมหาลัยวิ่งผ่านตาเข้ามาในคณะนิเทศจึงพากันมองตามอย่างนึกสงสัยพร้อมกรี๊ดไล่หลังเบาๆ ที่เดือนคณะแพทย์และเดือนมหาลัยจากวิศวะย่างกรายมาในคณะแห่งนี้พร้อมกัน

"กูไปซ้าย"

"กูขวา"

เมื่อมาถึงตึกที่เป็นจุดหมาย พวกเขาก็แยกย้ายหาห้องน้ำชั้น1 ในตึกคณะนิเทศตามที่ได้รับข่าวมาทันที ทั้งคู่ไม่นึกสนใจกล้องโทรศัพท์ที่แอบถ่ายหรือเสียงเรียกอย่างคลั่งไคล้ของใครทั้งสิ้น ในหัวของคนทั้งสองมีแต่เรื่องเพื่อนตัวเล็กอยู่เต็มไปหมด พวกเขาอยากจะคุยและขอโทษกับสิ่งที่เกิดให้ไวสักวินึงก็ยังดี ไม่รู้เพราะอะไรแต่ในใจพวกเขาได้แต่คิดว่าถ้าพลาดการเจอครั้งนี้ไป อาจจะไม่ได้เจอคนตัวเล็กอีกตลอดไปเลยก็เป็นได้

ในขณะที่โคล์วกับลุกซ์ไล่ตามหาเมมโม่อย่างร้อนรน เจ้าตัวต้นเหตุกลับนั่งแหมะหมดแรงข้าวต้มในห้องน้ำอย่างน่าอนาถ

ไม่รู้วันนี้เป็นแจ็คพอตอะไร เพราะตั้งแต่กลุ่มคนพวกนั้นออกไปก็ไม่มีใครเข้าห้องน้ำมาอีกเลย นี่ร่างบางคงไม่ได้หลุดมาอยู่อีกมิตินึงหรอกใช่มั้ย?

ริมฝีปากหยักยกยิ้มขำกับความคิดไร้สาระของตนพร้อมกับประสานมือกดลงที่ท้องแรงขึ้นเพราะเริ่มรับรู้ถึงอาการเจ็บเสียดขึ้นมาเป็นระลอกอีกครั้ง

ดูท่าคราวนี้หากมีใครเข้ามาเขาคงต้องเอ่ยขอความช่วยเหลือซะแล้วแหละ ปล่อยไว้แบบนี้อีกไม่นานคงได้นอนเป็นผักในห้องน้ำทั้งชาติแน่ๆ

แอ๊ด

เหมือนพระเจ้าจะทรงเห็นใจ ในที่สุดก็มีคนเข้ามาใช้ห้องน้ำจนได้ แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะปวดหนักเอาการเพราะร่างสูงในเสื้อช็อปสีสดถึงกับวิ่งหืดขึ้นคอแถมมีเหงื่ออาบใบหน้าคมสันอย่างชัดเจน

เมมโม่ชักหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจที่เห็นชายร่างสูงหน้าตาดีใส่ช็อปมาใช้ห้องน้ำในคณะนิเทศแบบนี้ สรุปห้องน้ำคณะนี้กลายเป็นแหล่งมั่วสุมของคนต่างคณะไปแล้วงั้นเหรอ?

"เอ่อ..."

"ตัวเล็ก!!! "

หะ? ตัวเล็ก? ใครละนั่น?

สมองของร่างบางเหมือนถูกช็อตอย่างรัวๆ เพราะยังไม่ทันได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออะไร อีกฝ่ายก็ตะโกนเรียกเขาแบบแปลกๆ แล้วพุ่งมากอดซะอย่างนั้น

เอาไงต่อละที่นี้

"ตัวเล็กบาดเจ็บตรงไหนมั้ย ลุกไหวหรือเปล่า" ร่างสูงผละกอดจากเพื่อนคนสำคัญพร้อมใบหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด มือหนาลูบไล้ไปตามหัวไหล่และแขนของคนตรงหน้าด้วยความทะนุถนอมพร้อมสอดส่องสายตาหาบาดแผลบนตัวร่างบางไปด้วย

เดือนมหาลัยผู้แสนปากหนักที่ปกติพูดแบบนับคำได้พอเป็นเรื่องของคนตรงหน้าโคล์วก็ไม่เคยเก็บอาการใดๆ ของตัวเองได้เลย

"ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เสียดท้องนิดหน่อยเลยลุกเดินไม่ไหวน่ะ" เมมโม่เอ่ยตอบด้วยท่าทางเรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มแห้งเพราะรู้สึกแย่ที่ต้องบอกเล่าถึงความอ่อนหัดของร่างกายตนให้คนแปลกหน้าฟัง

ถึงแม้ร่างบางจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่เขากลับมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำร้ายตนแน่นอน

คำตอบเรียบง่ายและรอยยิ้มที่กลบเกลื่อนความเจ็บปวดของเพื่อนตัวเล็กสร้างความแปลกใจและไม่คุ้นเคยให้กับคนมองเป็นอย่างมาก

โคล์วยกมือเอื้อมไปลูบแก้มใสพร้อมสบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตาสั่นเครือ ใบหน้าเรียวไม่ได้ถอยห่างแต่อย่างใด เมมโม่ปล่อยให้มือหนาทำตามใจชอบดั่งคนไม่คิดมาก ปฏิกิริยาที่ดูเฉยชาและดวงตากลมที่ฉายความเงียบสงบทำให้ความรู้สึกของคนมองพังครืดลงมาเหมือนตึกที่ไร้สิ่งค้ำยัน

ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ตัวเล็ก คนคนนี้เป็นใครกัน

แอ๊ด

ขณะที่โคล์วกำลังสับสนกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้า ประตูห้องน้ำบานเดิมก็ถูกเปิดออกอย่างรีบร้อนอีกครั้งด้วยฝีมือของว่าที่คุณหมอที่กำลังหอบหายใจมาแต่ไกล

"ตัวเล็ก!! ไอ้โคล์ว!! " พอลุกซ์เห็นบุคคลทั้งสองอยู่ด้วยกัน ความกังวลทั้งหลายก็เริ่มเบาบางลงทันที แต่ไม่นานก็โดนแทนที่ด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนร่างสูงที่ฉายความรู้สึกเหมือนตึกที่ตนสร้างพังถลายลงต่อหน้าต่อตายังไงยังงั้น

เมมโม่ที่เห็นบุคคลใหม่มาเพิ่มก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมส่งยิ้มเจื่อนอย่างเหนื่อยอ่อน พอต้องการคนช่วยก็ดันมาไม่รู้จักหยุดเลย แต่ดันไม่มีใครรีบพาเขาออกจากห้องน้ำสักคน นี่จะนั่งคุยกันต่อเลยหรือเปล่าเนี่ย

"พาตัวเล็กออกไปกันเถอะ คนเริ่มมาทางนี้เยอะแล้ว เดี๋ยวจะวุ่นวายเอา" ลุกซ์ที่ตั้งสติได้ดีที่สุดเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปหาร่างบางที่นั่งกดท้องตัวเองอยู่

ดูท่าจะโดนทำร้ายร่างกายมาสินะ

แขนแกร่งของลุกซ์สอดใต้ข้อพับขาเพื่อหวังอุ้มคนตัวเล็กไปเหมือนทุกครั้งที่เมมโม่บาดเจ็บ แต่คราวนี้ต้องหยุดชะงักเพราะมือเรียวของร่างบางดันแขนเขาไว้ด้วยรอยยิ้มแกนๆ

"พยุงผมก็พอครับ" คำพูดที่ฟังดูห่างเหินของเพื่อนตัวเล็กเรียกใบหน้างุงงงพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของว่าที่คุณหมอได้ในทันที

ลุกซ์ปรายตามองเพื่อนตัวสูงอีกคนที่ยืนนิ่งเพื่อขอคำอธิบาย แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่หันหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนคนไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น

ก่อนที่เขาจะมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

เมมโม่มองเสี้ยวหน้าของชายร่างสูงที่โดนตนเบรกเรื่องอุ้มชะงักค้างไปซะเฉยๆ จึงได้แต่ลอบถอนหายใจก่อนจะขยับร่างกายหวังลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง

"อะ! ตัวเล็ก! อย่าขยับยืนมั่วซั่วสิครับ เดี๋ยวเจ็บกว่าเดิมหรอก" ลุกซ์ที่รู้สึกตัวเพราะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของคนข้างกายต้องรีบเอ่ยห้ามแล้วคว้าเอวบางเข้าประชิดตัวพร้อมกับจับแขนข้างนึงพาดบ่าตัวเองไปด้วย

ในเมื่อคนเจ็บไม่ต้องการให้อุ้มก็คงต้องทำตามใจเท่านั้นแหละ

แต่พอได้ลองพยุงจริงๆ ก็ดูเหมือนทางเลือกนี้จะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ด้วยความที่ส่วนสูงของทั้งคู่ต่างกันพอสมควรจึงลำบากเป็นอย่างมากในการเดินแบบนี้

โคล์วมองสภาพสูงพยุงเตี้ยอย่างนึกอนาถพร้อมถอนหายใจกับความลำบากของคนทั้งสองก่อนจะตัดสินใจนั่งย่อลงตรงหน้าเพื่อนตัวเล็กที่พยายามเดินอย่างทุลักทุเลลงในที่สุด

เมมโม่กับลุกซ์หยุดเท้าที่กำลังเดินในสภาพทุเรศพลางมองแผ่นหลังกว้างที่นั่งย่อลงพร้อมกับยื่นแขนแกร่งมาข้างหลังด้วยแววตาฉงน

"จะขึ้นไม่ขึ้น ลีลาเดี๋ยวก็มีคนมาหรอก" คำพูดห้วนๆ ที่ไม่เหมือนในครั้งแรกเมื่อเจอกัน เรียกรอยยิ้มขำของเมมโม่ได้เป็นอย่างดี

ลุกซ์ลอบมองเพื่อนสนิททั้งสองด้วยความไม่เข้าใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มของคนข้างกาย ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายโอเคกับการขึ้นหลังโคล์ว ว่าที่คุณหมอจึงละทิ้งความสงสัยของตนแล้วช่วยพยุงเมมโม่เกาะหลังคนที่นั่งรอรับอย่างเบามือ

เมื่อโคล์วรับรู้ถึงน้ำหนักที่โถมลงมา แขนแกร่งจึงสอดใต้ข้อพับขาทั้งสองข้างด้วยความระมัดระวังก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในเวลาต่อมา

"เบาฉิบหาย" ชายหน้าตายเอ่ยบ่นกับน้ำหนักคนบนหลังที่แทบไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรได้เลย ปกติก็ผอมจะตายอยู่แล้วยิ่งพึ่งออกจากโรงพยาบาลน้ำหนักคงลดไปเยอะเลยมั้ง

"พูดมาก รีบเดินสักที" เมมโม่ที่โดนพูดเหน็บก็ไม่ยอมอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ร่างบางตอบกลับอย่างหมั่นไส้พลางยกแขนกอดคอคนปากเสียแน่นขึ้นเพื่อเอาคืนนิดหน่อย

"เหอะ เจ็บแล้วยังอวดดี"

"หน้าตากวนตีนก็พอ ปากไม่ต้อง"

"พูดมาก จับโยนลงแม่งเลยดีมะ"

"เหอะ นายไม่กล้าหรอก"

"หึ"

ประโยคเถียงกันของคนทั้งสองพร้อมกับร่างสูงที่แบกเพื่อนตัวเล็กเดินออกไปเรื่อยๆ ทำให้คนมองจากด้านหลังเกิดความสับสนและไม่เข้าใจปนเปกันไปหมด

ลุกซ์รู้สึกเหมือนตนพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญไป เพราะคำพูดและการปฏิบัติต่อกันของพวกเขาทั้งคู่มันไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด แล้วแบบนี้ชายหนุ่มต้องทำตัวยังไงต่อไปดีล่ะ

ไม่เห็นเข้าใจเลยจริงๆ



จากเหตุการณ์เดือนมหาลัยแบกคนดังคณะบริหารโดยมีเดือนแพทย์หน้าใสเดินขนาบข้างท่ามกลางสายตาคนนับร้อยจนมาถึงห้องพยาบาล ไม่นานหลังจากนั้นข่าวและภาพของคนทั้งสามก็ถูกแชร์ว่อนหน้าเพจมหาลัยไปอย่างรวดเร็ว

โดยที่ตัวการของเรื่องไม่รู้อะไรเลยแม้แต่คนเดียว

เมมโม่ถูกปฐมพยาบาลและถอดเสื้อทาแผลฟกช้ำตามตัวที่ได้มาจากการโดนทำร้ายภายใต้การดูแลของลุกซ์ที่พยายามสะกดอารมณ์โกรธตอนเห็นแผลอย่างสุดความสามารถ ส่วนโคล์วโดนบังคับให้รออยู่นอกม่าน รายนั้นเก็บอารมณ์ไม่เก่งเดี๋ยวอาละวาดเอา

"เรียบร้อยครับ แต่ถ้าให้ดีไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยนะ เผื่อมีอะไรผิดปกติ" ลุกซ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพพร้อมกับเก็บอุปกรณ์ทำแผลต่างๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งจนดูน่าขนลุก

"ขอบคุณครับ" เมมโม่ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายโมโหอะไร แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่ช่วยตนแถมทำแผลให้อีกต่างหาก

พรืด

เสียงเปิดม่านกั้นดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงของคนหน้าตายจะเดินเข้ามาพิงผนังข้างเตียงรอร่างบางติดกระดุมอย่างเงียบๆ ใจจริงโคล์วก็อยากแอบมองรอยฟกช้ำนั่นอยู่หรอก แต่อีกใจก็ไม่กล้าพอ กลัวระงับตัวเองไม่อยู่จริงๆ

"เอาละ จะเริ่มเรื่องไหนก่อนดี..." เมื่อลุกซ์เห็นว่าทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันครบแล้ว จึงเปิดประเด็นขึ้นเพื่อจะได้เคลียร์ให้มันรู้เรื่องกันไปสักที

"...ระหว่าง เรื่องใครทำร้ายตัวเล็ก หรือ เกิดอะไรขึ้นกับนายหลังจากที่ฟื้นกันแน่..." ลุกซ์เอ่ยเว้นวรรคด้วยน้ำเสียงกดต่ำพร้อมจ้องมองคนบนเตียงที่สบตาพวกเขากลับโดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดให้จับผิดได้เลย

"...เอาเรื่องไหนก่อนดีล่ะ เมมโม่? "




TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่7] 1/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 01-12-2018 15:54:53
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่8] 1/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 01-12-2018 21:10:14


Chapter 8



ท่ามกลางความมืดสลัวในห้องชุดของที่ไหนสักแห่ง มีร่างชายหนุ่มสองคนที่แสนคุ้นตากำลังเคลื่อนไหวภายใต้ความมืดและหมอกขาวจางๆ ที่บดบังทัศนียภาพอยู่

คิ้วได้รูปและดวงตากลมสวยของร่างบางผู้เห็นเหตุการณ์ขมวดเข้าหากันพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อพยายามเพ่งมองสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าอย่างคลุมเครือ

พอสายตาเริ่มชินกับหมอกบ้างแล้วร่างบางจึงจับเค้าร่างได้คร่าวๆ ว่ามีชายร่างสูงคนนึงนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างบางอีกคนที่กำลังขึ้นคร่อมคนนอนหลับพลางยื่นมือลูบไล้ไปตามโครงหน้าคมสันของคนไม่รู้สึกตัวอยู่อย่างหลงใหล

'ตัวเอง เค้ารักตัวเองมากนะ' ประโยคบอกรักแสนหวานจากน้ำเสียงที่ผู้ฟังจำได้ขึ้นใจ ทำให้คนยืนมองอยู่ไม่ไกลยิ่งประหลาดใจกับสิ่งที่พบเจอเข้าไปใหญ่

ขาเรียวของผู้สังเกตการณ์ที่กำลังยืนชมภาพแสนประหลาดพยายามจะก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปหาและมองหน้าคนทั้งสองให้ชัดแจ้ง แต่ร่างกายและแข็งขากลับไม่ทำตามคำสั่งสร้างความหงุดหงิดใจให้เจ้าของร่างเป็นอย่างมาก

'ตัวเอง ตัวเองต้องเป็นของเค้า ของเค้าแค่คนเดียวตลอดไปเลยนะ' ยังไม่ทันได้ตั้งสติอะไรดี คำพูดต่อมาของคนที่คร่อมชายที่หลับใหลอยู่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมช็อกเท่ากับการกระทำต่อมา

เจ้าของประโยคแสนวางอำนาจยื่นใบหน้าลงประชิดคนที่อยู่ใต้ร่างก่อนจะทาบทับริมฝีปากของตนพลางส่งมือเรียวสวยล้วงเข้าไปในเสื้อและกางเกงของคนที่หลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยู่อย่างถือวิสาสะ

บัดซบ!!!

ผู้ชมที่ได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเพราะตนขยับตัวไม่ได้ ถึงกับเอ่ยสบทขึ้นให้กับสิ่งที่พบเห็นด้วยความรู้สึกสมเพชและขยะแขยง

'อึก อ่าส์ อ่าส์ ระ...รัก'

เหตุการณ์แสนอุบาทว์ยังคงดำเนินต่อไปจนคนด้านบนสำเร็จความใคร่ให้ทั้งตนและคนใต้ร่าง ทุกอย่างอยู่ในสายตาของร่างบางที่พยายามจะหันหน้าหนีอยู่หลายครั้ง แต่ร่างกายก็ไม่ฟังคำสั่งจึงได้แต่ยืนมองการกระทำแสนทุเรศนั่นจนจบ

'แฮ่ก แฮ่ก เค้ารักตัวเองนะ' เสียงหอบหายใจที่บ่งบอกถึงกิจกรรมที่พึ่งจบไปทำให้ประโยคบอกรักที่เอ่ยต่อจากนั้นฟังดูเย้ายวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมจำเป็นคนนี้ต้องการรับรู้ ทั้งเสียง เหตุการณ์ สัมผัส กลิ่นอาย ทุกอย่างที่ลอยฟรุ้งอยู่ทำให้คนที่รับรู้เรื่องราวตรงหน้าได้แต่นึกสมเพชและขยะแขยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

ทำไมกัน ทำไมถึงทำแบบนี้...เมมโม่

พรึบ!

"แฮ่ก แฮ่ก" เมมโม่สะดุ้งตื่นเด้งตัวลุกขึ้นนั่งจากฝันอันน่าขยะแขยงพลางหอบหายใจอย่างหนักพร้อมกับที่มีเหงื่อผุดพรายอยู่ตามขมับและกรอบใบหน้า

มือเรียวสวยยกขึ้นลูบใบหน้าและดวงตาของตนเพื่อตั้งสติแล้วพยายามสงบหัวใจที่เต้นแรงประหนึ่งวิ่งทางไกลให้เข้าสู่ภาวะปกติ

แอ๊ด

เสียงเปิดประตูเข้ามาของหมอประจำตัวทำให้คนที่กำลังจะประสาทเสียต้องรีบปั้นหน้าให้กลับมาเป็นธรรมชาติโดยเร็วก่อนจะส่งยิ้มต้อนรับให้กับคนมาใหม่ทันที

"ตื่นแล้วเหรอ พี่กำลังจะปลุกให้มากินข้าวเช้าก่อนกินยาพอดี" คุณหมอหนุ่มหล่อพูดขึ้นพร้อมส่งยิ้มตอบกลับคนป่วยแล้วเดินเข้าไปหาก่อนจะยกมือลูบหัวอีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดู

ย้อนความไปเมื่อวานที่คุณหมอพัฒน์ได้รับเคสด่วนจากสองชายหนุ่มโคล์วลุกซ์ที่แบกหลานของตนขึ้นหลังมาด้วยสีหน้าตื่น ตอนนั้นเขาก็ตกใจมากเหมือนกันที่เห็นเมมโม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดแถมหอบหายใจหนักขนาดนั้น

หลังจากรับตัวหลานชายให้บุรุษพยายามนำเข้าเช็กร่างกาย คุณหมอหนุ่มจึงหันไปสืบสาวคราวเรื่องกับอีกสองคนแทน จึงได้ความว่าเมมโม่โดนทำร้ายร่างกายมา คนโดนทำร้ายในคราแรกไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรแต่เมื่อผ่านไปสักพักกลับทรุดลงแล้วร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน

พอได้รับรู้เหตุการณ์เรียบร้อย คุณหมอพัฒน์จึงบอกให้ทั้งสองใจเย็นแล้วรออยู่ด้านนอกก่อนจะวิ่งตามไปตรวจอาการของหลานชายตนทันที

เบื้องต้นมีรอยฟกช้ำตามตัวอยู่หลายแห่งแต่เนื่องจากผิวของเมมโม่ขาวและบอบบางมากทำให้รอยนั้นดูน่ากลัวกว่าคนทั่วไปพอสมควร ยังดีที่ดูเหมือนคนทั้งสองก่อนจะพามาส่งได้ปฐมพยาบาลให้ไปบ้างแล้ว

ถึงแม้หนึ่งในสองคนนั้นจะเรียนแพทย์แต่ก็เป็นแค่นิสิตปี1 จะตื่นตกใจกับอาการที่อยู่ภายในที่ตนตรวจสอบไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลก ดีซะอีกที่อย่างน้อยยังพอปฐมพยายามและเลือกวิธีการเคลื่อนย้ายคนเจ็บที่สะดวกรวดเร็วและกระทบกระเทือนน้อยที่สุดได้

ให้ความสำคัญต่อเพื่อนตัวเล็กกันมากเลยสินะ

คุณหมอพัฒน์เลิกคิดไร้สาระแล้วเริ่มตรวจร่างกายคนที่พยายามกลั้นเสียงร้องด้วยใบหน้าเหยเกต่อ แต่พอตรวจเสร็จเขาก็อยากจะถอดเสื้อกาวน์ท้าต่อยไอ้พวกเวรที่มาทำร้ายหลานชายของตนสุดๆ

เล่นใส่ไม่ยั้งเฉพาะจุดบอดเลย ดีนะที่อวัยวะภายในไม่ได้รับความเสียหาย ถ้าเตะเข้าม่าม ตับ หรือจุดตายได้ด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย หลานชายเขาไม่รอดแน่ๆ

พอนึกย้อนถึงเรื่องเมื่อวานก็พาลทำให้หมอหนุ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาอีก ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนั้นหลานชายเขากลับขอร้องให้ตนอย่าบอกพี่สาวกับพี่เขยฟังซะอย่างนั้น แถมดันประจวบเหมาะโชคดีที่ทั้งสองบินไปดูงานที่เกาหลีซะอีก

อะไรจะเข้าล็อกขนาดนี้

แต่อย่างว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตอนแรกคุณหมอพัฒน์ก็ค้านหัวชนฝา เขาไม่ยอมให้หลานชายเจ็บตัวฟรีแน่ แต่พอเห็นสายตาเรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มลำบากใจก็ทำเอาคุณหมอดื้อแพ่งต่อไม่ออก เลยได้แต่ยอมตามใจโดยมีข้อแม้กันเล็กน้อย

"ครับ เมมตื่นได้สักพักแล้ว พี่พัฒน์เข้าเวรเช้าเหรอครับ" นี่แหละข้อแม้ของเขา คุณหมอหนุ่มแสนเจ้าเล่ห์ขอให้หลานชายเรียกตนว่าพี่แล้วแทนตัวอีกฝ่ายด้วยชื่อ

ตอนแรกคุณหมอพัฒน์ก็ไม่คิดว่าเมมโม่จะยอมรับข้อเสนอหรอกเพราะบุคลิกใหม่ของร่างบางดูเป็นผู้ใหญ่เงียบๆ วางมาดน่าเคารพ คงไม่กล้าพูดคำน่ารักและออดอ้อนใครได้ แต่น้าชายอย่างเขาคงมองพลาดไป เพราะหลังจากฟังข้อเสนอจบ อีกฝ่ายก็แค่ยกยิ้มมุมปากนิดๆ แล้วรับคำง่ายๆ อย่าง

'ได้ครับ พี่พัฒน์'

ทำเอาคนที่ยื่นข้อเสนออย่างชายพัฒน์แทบเข่าทรุดกับสรรพนามที่ตนเป็นคนขอ

หลานใครไม่รู้น่ารักฉิบหายเลย

"ครับ พี่เลยราววอร์ดโดยการมาดูเราคนแรกไง" คุณหมอพัฒน์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหยอกล้อปนเอ็นดูพร้อมกับยื่นมือบิดจมูกอีกฝ่ายอย่างนึกมันเขี้ยว

"ขอบคุณครับ"

แอ๊ด

ประโยคขอบคุณของเมมโม่ยังไม่ทันจบดีประตูห้องพักบานเดิมก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองที่เดินถือถุงอาหารพร้อมสะพายเป้ขนาดกลางที่บ่ากันมาด้วย

ดูแล้วคงไม่แคล้วนอนค้างกันชัวร์

"ตัวเล็กตื่นนานแล้วเหรอครับ กินข้าวหรือยัง เราซื้ออาหารมาเพียบเลยนะ" ลุกซ์เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะเดินนำของต่างๆ ไปวางที่ครัวในห้องพักโดยมีโคล์วตามหลังไปติดๆ

ส่วนเรื่องในห้องพยาบาลที่มหาลัยเมมโม่ได้เล่าความจริงทุกอย่างให้ทั้งสองคนฟังหมดแล้ว ทั้งคู่ดูช็อกมาก หลังจากได้สติลุกซ์ก็เอาแต่พูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่หยุด เมมโม่ที่ไม่เข้าใจจึงกะจะถามเรื่องก่อนเกิดเหตุต่อ แต่ก็ดันเจ็บเสียดที่ท้องขึ้นมาซะเฉยๆ เลยชวดโอกาสนั้นไป

"สองแสบมาแล้ว งั้นพี่ไปเดินดูคนไข้ต่อนะ มีอะไรไลน์หาพี่แล้วกัน เดี๋ยวบ่ายๆ เพื่อนที่พี่เคยแนะนำอาจมาเยี่ยมด้วย" คุณหมอหนุ่มเมื่อเห็นว่าองครักษ์ของหลานชายมาแล้วจึงวางใจให้ทั้งสองดูแลเมมโม่ต่อ

ช่วงนี้พี่สาวตนไม่อยู่คุณหมอเลยปล่อยเบลอได้บ้าง ยังไงพัฒน์ก็เห็นสองแสบนั่นตั้งแต่เด็ก จะมาให้กีดกันพวกเขาก็นึกสงสาร ปล่อยให้เด็กๆ จัดการกันเองเถอะ

เมื่อคุณหมอประจำตัวออกจากห้องไปเพื่อนร่างสูงทั้งสองก็เข็นโต๊ะที่จัดอาหารไว้อย่างเรียบร้อยมาให้ต่อทันที

"แป๊บนะ เดี๋ยวเราปรับเตียงให้" ลุกซ์ปล่อยโต๊ะให้โคล์วเป็นคนเข็นต่อก่อนจะถลาตัวเข้าไปปรับที่นอนให้ร่างบางได้นั่งสะดวกขึ้น

"ขอบคุณ" เมมโม่เงยหน้าสบตาพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายก่อนจะละสายตาหันไปมองอาหารที่โคล์วเลื่อนมาไว้ให้ตรงหน้าต่อ

"ต้องป้อนมะ" คำถามห้วนๆ ชวนตีของชายหน้าตายได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบางจากคนป่วย

"อยากได้อะไรเพิ่มบอกได้นะ" ลุกซ์เอ่ยสมทบพลางจัดแจงนู่นนี่ที่อยู่รอบตัวเมมโม่เพื่อให้อีกฝ่ายนั่งทานอาหารได้สบายที่สุด

"ขอบคุณ" จบการพูดขอบคุณครั้งสุดท้ายเมมโม่ก็เริ่มทานข้าวเงียบๆ โดยมีสองหนุ่มนั่งมองอยู่ข้างเตียงเพื่อคอยดูแลและหยิบจับอะไรที่คนป่วยต้องการให้

หลังจากทานข้าวเช้าและยาเสร็จเมมโม่ก็ใช้เวลาไปร่วมเกือบชั่วโมงในการไล่ให้ทั้งสองคนกลับไปเรียนต่อ กว่าเพื่อนหัวแข็งจะเข้าใจแล้วยอมถอยทัพให้ก็เล่นเอาคนป่วยต้องงัดคำขู่สารพัดมาใช้จนเหนื่อย

ไม่รู้ตัวเขาสมัยก่อนเป็นคนแบบไหนกันแน่ ทำไมคนรอบข้างเขาถึงต้องคอยเอาใจขนาดนี้ ปกติเพื่อนผู้ชายก็ไม่น่าเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามว่าตัวเล็กกันหรอก

แถมคงไม่จูบและสำเร็จความใคร่กับอีกฝ่ายด้วย

นึกถึงเรื่องนี้ก็พาลทำให้ใบหน้าได้รูปเครียดเกร็งพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันดั่งคนคิดไม่ตก

ถ้าเมมโม่มองไม่ผิด รู้สึกคนในความฝันที่อยู่ด้านบนเป็นตัวเขาแน่ๆ แต่คนที่กำลังหลับใหลไม่รู้เรื่องราวเป็นใครกันล่ะ?

ให้เดาคงไม่พ้นเพื่อนสมัยเด็กคนใดคนนึงในนั้นแน่นอน และถ้าให้เดาอีกคือต่อให้ไปถามก็คงโดนบ่ายเบี่ยงชัวร์

"เฮ้อ" เมมโม่ถอนหายใจพลางล้มตัวลงนอนมองเพดานอย่างคนไร้ทางออก

ถึงแม้ร่างบางจะเคยคิดว่าต่อให้ไม่รู้อะไรก็ไม่เป็นไรก็เถอะ แต่นี่มันต่างกัน ความทรงจำที่ปะติดปะต่อไม่ได้ในคราแรกกำลังหลั่งไหลเข้ามาเป็นจิ๊กซอชิ้นเล็กๆ ให้ได้เรียบเรียง หากเขาได้รับจิ๊กซอชิ้นต่างๆ จากคนรอบกายไปด้วยทุกอย่างก็อาจจะเร็วขึ้น แต่ดูทุกคนจะไม่อยากให้เขารับรู้อะไรเลยนี่สิ

ลำบากชะมัด

เมมโม่ใช้เวลาช่วงเช้าที่เหลือหมดไปกับการนอนคิดสะระตะไปเรื่อย จนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงพยาบาลสาวก็นำอาหารและยามาให้คนเจ็บทานตามที่หมอกำชับ

ก๊อก ก๊อก

เมื่อจัดการอาหารและยาไปได้สักพัก ยังไม่ทันได้บ่ายดีก็มีคนแวะมาหาเมมโม่อีกครั้ง

"เข้ามาได้ครับ" เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตพลางลุกขึ้นนั่งรอต้อนรับคนมาใหม่ที่ตนยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

แอ๊ด

"รบกวนด้วยนะครับ" บุคคลรูปร่างสูงหนาภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตาประดับรอยยิ้มอ่อนโยนได้เปิดประตูเข้ามาพูดทักทายคนไข้เคสพิเศษของตน

"สวัสดีครับ ตามสบายเลยครับ" เมมโม่ยกมือไหว้ทักทายกลับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มด้วยเช่นกัน สร้างความประทับใจในแรกเห็นให้กับคุณหมอได้ไม่น้อย

"ผมชื่อนิวัติ หรือจะเรียกหมอวัติก็ได้ เป็นเพื่อนของน้าชายคุณและจะเป็นหมอประจำตัวคุณนับตั้งแต่วันนี้ไป" หมอวัติแนะนำตัวพร้อมกับเดินมานั่งข้างเตียงคนเจ็บด้วยท่าทางสบายๆ มันเป็นพื้นฐานของการคุยกับผู้ป่วยด้านจิตใจ ต้องไม่ให้อีกฝ่ายเกร็งหรือระแวงตน

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ ข้อมูลของผมคุณหมอคงทราบดีแล้ว ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ" คำตอบรับพร้อมรอยยิ้มง่ายๆ ไร้แววกังวลใจสร้างความประหลาดใจให้หมอหนุ่มเล็กน้อย

จากที่นิวัติได้ฟังมาจากเพื่อนสนิทเห็นว่าหลานชายสูญเสียความทรงจำและนิสัยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกเขาฟังก็ไม่ได้นึกสนใจอะไรมากนัก แต่พอได้มาเห็นก็ทำเอาแปลกใจเป็นระยะเลย

เด็กหนุ่มตรงหน้าดูไม่เหมือนคนอายุยังไม่ย่างเลขสองเลยสักนิด ทั้งความสงบ ความใจเย็น การอ่านสถานการณ์และสภาพจิตใจที่ยอมรับความผิดปกติของตัวเองมันดูง่ายดายและไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย

ทั้งน่าสนใจและน่าประทับใจจริงๆ

"โอเค งั้นวันนี้เราลองมาเล่าเรื่องที่ตัวเมมโม่จำได้เท่าที่จะนึกออกกันดูดีมั้ย เอาเท่าที่กล้าพูดก็พอ อันไหนไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า" คุณหมอเริ่มเอ่ยเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงง่ายๆ เหมือนชวนเพื่อนคุยดินฟ้าอากาศ มันเป็นการปฏิบัติปกติที่จะทำให้ผู้ป่วยวางใจและไม่เกร็งต่อคุณหมอของเขา

ที่จริงการเริ่มชวนคุยหรือเล่าเรื่องมันต้องใช้ระยะเวลาและการทำความคุ้นเคยกันมากกว่านี้ก่อน คุณหมอด้านนี้ต้องใช้ความเชื่อใจ จิตวิทยา และการหลอกล่อเพื่อตะล่อมถามเหตุการณ์ไปทีละนิดจนกว่าผู้ป่วยจะยอมเล่าทั้งหมดให้ฟัง

แต่ในกรณีเคสนี้ สภาพจิตใจเมมโม่มั่นคงมากจนไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเลย หมอวัติจึงลองโยนหินถามทางด้วยการเข้าเรื่องให้อีกฝ่ายเล่าสิ่งที่พอจำได้ให้เขาฟังดู

"เท่าที่ผมนึกออกก็มีแค่คำพูดด่าทอนะครับ เหตุการณ์จะวนๆ อยู่ที่เพื่อนสมัยเด็กสองคนซะส่วนใหญ่ และล่าสุดพึ่งฝันว่าเห็นตัวเองกำลังลักหลับเพื่อนผู้ชายหนึ่งในสองคนนั้นจนสำเร็จความใคร่ แต่ไม่ถึงกับสอดใส่นะครับ ตัวผมในฝันแค่จูบ ดูด คลึง และใช้มือช่วยเท่านั้น" คำบอกเล่าของผู้ป่วยถูกถ่ายทอดออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่ปกปิด คุณหมอหนุ่มที่นั่งข้างเตียงได้แต่ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทางรังเกียจผู้ป่วยของตนเลยสักนิด

"อื้ม...เหมือนว่ากุญแจสำคัญจะอยู่ที่เพื่อนทั้งสองของเรานะ ลองได้พูดคุยกันบ้างหรือยัง" พอฟังจบคุณหมอจึงออกความคิดเห็นพร้อมเงยหน้าสบตาคนบนเตียงที่ก้มมองเขาอยู่เช่นกัน

"ยังครับ พวกเขาเหมือนพยายามบ่ายเบี่ยงอยู่ตลอดเลย" เมมโม่ตอบไปตามจริงพร้อมสีหน้าผ่อนคลายที่ได้เล่าสิ่งที่ตนอึดอัดอยู่ในใจให้ใครสักคนได้ฟังสักที

"หมอว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยนะ ลองตะล่อมถามดูก่อนเป็นไง พวกเขาอาจจะหลุดมาสักเรื่องสองเรื่องก็ได้นะ" คำพูดที่ฟังดูเจ้าเล่ห์พร้อมมือหนาที่ยกขึ้นลูบคางตัวเองทำให้คนมองหลุดยิ้มกับท่าทางของคุณหมอที่ทำตัวเลียนแบบตัวร้ายในละคร

"นั่นสินะครับ งานนี้คงต้องหลอกล่อกันหน่อยแล้ว" เมมโม่รับคำพร้อมระบายยิ้มที่ชอบทำบ่อยๆ ให้คุณหมอเผลอยิ้มตามกับบรรยากาศเงียบสงบและดูเรียบง่ายจนเผลอยกมือลูบหัวคนตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว

"อะ! ขอโทษทีพอดีเราเหมือนคนที่หมอเคยรู้จักน่ะ เลยลืมตัวไปหน่อย" หมอวัติที่รู้สึกตัวว่าตนถูกเนื้อต้องตัวผู้ป่วยโดยพลการจึงรีบชักมือกลับแล้วยกมือลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ

ให้ตายสิ ผ่านมาหลายปีแล้วยังไม่ลืมอีกเหรอวัติ

"ไม่เป็นไรครับ" เมมโม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเสหน้าหันมองไปทางอื่นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้ตนมองตอนที่กำลังสับสนแบบนี้แน่ๆ

"เฮ้อ นี่สรุปใครเป็นหมอใครเป็นผู้ป่วยกันแน่เนี่ย เล่นมาหมดท่าต่อหน้าคนที่ต้องดูแลแบบนี้สถาบันการแพทย์ป่นปี้หมด" หมอวัติที่ตั้งสติได้แล้วจึงเอ่ยติดตลกพลางมองอีกคนที่พึ่งหันกลับมายิ้มปลอบตน

"ถ้าหมอวัติบังคับให้หมอพัฒน์ปล่อยผมกลับพรุ่งนี้ได้ ผมจะถือว่าไม่เห็นเรื่องเมื่อกี้ก็ได้นะครับ"

"นี่ขู่เหรอ"

"ครับ"

"เด็กแสบ"

จบคำพูดเอ่ยว่าของคุณหมอวัติ ทั้งคู่ก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องเพื่อเข้าสู่การรักษาเมมโม่ต่อ แต่มันก็ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่หนัก ดังนั้นบทสนทนาของทั้งสองจึงเป็นเรื่องทั่วไปซะส่วนใหญ่

"งั้นพี่ไปดูคนไข้คนอื่นต่อนะ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย" หลังจากอยู่คุยด้วยกันสักพักใหญ่สรรพนามที่เอ่ยเรียกกันจึงเริ่มเปลี่ยนไปด้วย

"ครับ อยู่ได้ครับ" เมมโม่รับคำด้วยรอยยิ้มทำให้หมอวัติพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด

พอแพทย์ด้านจิตของตนออกไป เมมโม่ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่รู้สึกอึดอัดลำบากใจเหมือนตอนแรกแล้ว พอได้เล่าได้ปลดปล่อยก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

เมมโม่นอนมองเพดานอย่างเหม่อลอยพร้อมกับที่เหตุการณ์ตอนโดนทำร้ายผุดเข้ามาในหัวขึ้นมาซะเฉยๆ

นั่นสินะ ต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยสิ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฝ่ายนั้นคงมาทำร้ายตนไม่หยุดแน่ แต่ถ้าให้ครอบครัวจัดการมันก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแถมอาจสร้างศัตรูมากขึ้นอีกด้วย

ทางเดียวที่จะทำให้เรื่องนี้ยุติ คือฝ่ายนั้นต้องเกรงในตัวของเมมโม่ ไม่ใช้กลัวในด้านครอบครัวของเขา

ถึงเวลาแมวป่วยต้องลอกคราบเป็นเสือป่าแล้ว!




TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่8] 1/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-12-2018 04:31:48
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่9] 2/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 02-12-2018 20:50:46


Chapter 9



"ในกรณีถูกจับข้อมือ ให้คุณหนูยกแขนข้างที่โดนจับขึ้นตั้งฉาก แล้วกระตุกแขนเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้แขนอีกข้างยกศอกขึ้นเสยปลายคางคนตรงหน้าแบบเน้นๆ ได้เลยครับ" คำอธิบายของชายในชุดสูทสีดำดังขึ้นพร้อมกับร่างกายที่ผ่านประสบการณ์มากมายขยับเคลื่อนไหวตามประโยคที่ตนพูดโดยมีลูกน้องในความดูแลของตนเป็นคู่มือให้

"โหย ลูกพี่เพลาๆ หน่อยสิครับ พี่เคลื่อนไหวกะฆ่าแบบนี้ผมหลบศอกพี่ไม่ทันหรอกนะ" ชายหนุ่มผู้โชคร้ายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าศอกของคนตรงหน้าอยู่ห่างปลายคางของตนไม่กี่มิล

"อย่าบ่นมากความต่อหน้าคุณหนูใหญ่ได้มั้ย ฉันไม่ได้เสยปลายคางแกจริงๆ สักหน่อย ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้" คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกดต่ำพลางผลักหัวคู่ซ้อมในวันนี้อย่างนึกรำคาญ

ถ้าไม่ติดว่าหัวหน้าการ์ดกลุ่มเอมีติดภารกิจต้องบินตามคุณท่านและคุณหญิงของบ้านไปดูงานต่างประเทศ จ้างให้ชายร่างหนาก็ไม่คิดเอาลูกน้องใต้อาณัติมาเป็นคู่ซ้อมแบบนี้แน่ๆ

นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วนับตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่ของบ้านเข้ามาขอให้เขาช่วยสอนวิธีการป้องกันตัวแบบง่ายๆ ให้ ครั้งแรกที่โดนขอร้องแบบนั้นเขารู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมากลางกบาลแบบจัดหนักเลย

จะไม่ให้เขารู้สึกแย่ได้ไง ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงบอดี้การ์ด แต่คุณหนูคนสำคัญที่เป็นเป้าหมายควรปกป้องกลับมาขอให้เขาช่วยสอนการปกป้องตัวซะงั้น เจอแบบนั้นเข้าไป ไม่ให้คิดว่าทำงานผิดพลาดก็คงเป็นเพราะตัวเขาที่พึ่งพาไม่ได้นั่นแหละคุณหนูถึงอยากดูแลตัวเองแบบนี้

แต่ก่อนที่บอดี้การ์ดหน้าโหดขี้กังวลจะคิดมากไปไกลถึงขอบโลก คุณหนูใหญ่ก็อธิบายเจตนาของตนที่อยากเรียนรู้วิธีป้องกันตัวให้ฟังจนหมดเปลือก เมมโม่ไม่ได้โกหกว่าที่อาจารย์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ร่างบางเล่าทุกอย่างให้ฟังแม้กระทั่งเรื่องโดนซ้อม ซึ่งนั่นทำหัวหน้าการ์ดอย่างเขาของขึ้นสุดๆ

ตอนฟังจบครั้งแรกบอดี้การ์ดหน้าโหดก็แทบพุ่งไปฆ่าไอ้พวกเวรนั่นทันที เหนื่อยให้เจ้านายตัวเล็กกับพวกลูกน้องทั้งหลายมาช่วยยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นานสองนาน กว่าจะสงบก็ตอนที่หัวหน้าการ์ดกลุ่มเอมาฟาดกะโหลกเข้าให้นั่นแหละถึงนิ่งลงได้

พอได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของคุณหนูใหญ่และหน้านิ่งๆ ของเจ้าของฝ่ามือพิฆาต คนใจร้อนเลยพอสงบลงได้บ้าง

ใช้เวลาไปพอสมควร จนในที่สุดชายร่างหนาหน้าโหดก็ยอมรับข้อเสนอที่จะสอนวิธีป้องกันตัวให้ โดยมีหัวหน้าการ์ดกลุ่มเอเป็นคู่ฝึกด้วยอีกคน

แต่อย่างว่าจะสอนทั้งทีเรื่องอะไรเขาต้องสอนวิธีง่ายๆ อย่างบิดข้อมือแล้วสะบัดออกแรงๆ เพื่อให้มีเวลาวิ่งหนีได้ทันแบบนั้นด้วยล่ะ

เหอะ ฝันไปเถอะ

สอนทั้งทีเขาก็หวังให้ฝ่ายนั้นได้แผลเหมือนกันละวะ! มาทำร้ายเจ้านายของเขาแบบนี้คิดว่าจะอยู่ครบสามสิบสองเหรอ รอก่อนเถอะ! คุณหนูใหญ่เผลอเมื่อไหร่เขาบุกกระทืบพวกเวรนั่นเละแน่!!

"พี่รุจ พี่รุจ! พี่รุจครับ!!! " เสียงเรียกของนักเรียนคนเก่งทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังคิดแผนการชั่วร้ายต้องหลุดจากภวังค์แล้วหันมาโค้งรับคำคุณหนูของบ้านที่กำลังเรียนรู้วิธีที่ตนสอนอย่างตั้งใจ

และดูท่าจะตั้งใจดีมากซะด้วย

รุจเหลือบสายตามองศิษย์ที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อยกำลังทำให้ลูกน้องใต้อาณัติของเขาตาโตมองศอกที่ห่างปลายคางตนอยู่ไม่กี่มิลเหมือนอย่างที่โดนจากลูกพี่ตัวเองมาแบบเป๊ะๆ

"โอ้ คุณหนูเก่งมากเลยครับ" รุจเงยหน้ามองผลงานลูกศิษย์คนเก่งด้วยแววตาชื่นชมอย่างจริงใจ

เห็นแบบนี้รุจก็เคยเป็นหน่วยพิเศษในกรมตำรวจมาก่อนนะ ชายหนุ่มจริงจังในเรื่องงานพอสมควร การจะให้มานั่งปั้นคำชมปลอมๆ หรือเอาใจเด็ก แบบนั้นเขาไม่ถนัดหรอก หากเขาชมคือมันดีจริงๆ

และที่สำคัญคุณหนูของเขาเรียนรู้ได้ไวมาก อาจจะไม่ไวเท่ามือขวาของรุจหรือพวกบอดี้การ์ดชั้นหัวหน้า แต่ก็ไวพอให้ลูกน้องใต้อาณัติอย่างนนท์ที่ทำงานบอดี้การ์ดมาเกือบหนึ่งปีรับมือไม่ทันแล้วกัน

"ขอบคุณครับ ว่าแต่พี่รุจจะพักก่อนมั้ย ทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วยังต้องมาสอนผมต่ออีก ขอโทษนะครับ" เมมโม่ลดศอกจากคู่ซ้อมตรงหน้าแล้วหันไปพูดคุยกับอาจารย์หน้าโหดของตนด้วยความรู้สึกผิด

อาทิตย์กว่าที่ผ่านมานี้ร่างบางได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลย ประจวบเหมาะกับที่พ่อแม่ของเขากำลังติดพันเรื่องจะลงทุนอะไรสักอย่างกับทางเกาหลีพอดี ทำให้เมมโม่ไม่ถูกตรวจความเคลื่อนไหวเท่าช่วงแรกๆ การจะทำอะไรในช่วงนี้จึงสะดวกเป็นอย่างมาก

และที่สำคัญตั้งแต่ที่โดนซ้อมไปคราวนั้นพวกบ้านั่นก็ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นอีกเลย สงสัยคิดว่าตนบอกทางผู้ใหญ่ไปมั้ง เลยพากันซุกหัวเก็บตัวกันยกแก๊ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่เข้าทางเขาสุดๆ

พอพูดถึงเรื่องหายหัว ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเมมโม่ก็ไม่เห็นโคล์วกับลุกซ์เลยเช่นกัน ถ้านับดูก็น่าจะเกือบอาทิตย์เข้าให้แล้ว ดูผิดวิสัยของพวกคนห่วงเพื่อนไร้สาระอย่างสองคนนั้นมาก

ซึ่งถ้าถามว่า เห็นแปลกไปแบบนี้แล้วเมมโม่ติดต่อไปหาพวกนั้นบ้างมั้ย ตอบตรงนี้เลยว่า...

ไม่!

อยู่เงียบๆ แบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด เรื่องไรจะหาเรื่องให้ตัวเองปวดหัวเพิ่มล่ะ บ้าดิ

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอะไร คุณหนูเถอะยังไหวมั้ยครับ เราจะย้ายไปซ้อมในโรงฝึกกันต่อนะ วันนี้ผมจะให้นนท์เป็นคู่มือให้ ถ้าคุณหนูทุ่มนนท์ไม่ถึงห้าครั้งผมจะไม่ให้พักนะครับ" นี่คือสิ่งที่ทำให้เมมโม่ตัดสินใจเลือกรุจเป็นครูสอน

ถ้าเป็นคนอื่นคงเกร็ง กลัวทำให้ตัวเขาบาดเจ็บ หรือต่อให้ไปเรียนเป็นครอสที่โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวอย่างดี แต่ถ้าวันนึงครูผู้สอนรู้ว่าเมมโม่เป็นใครก็คงไม่กล้าลงไม้ลงมือมากเกินไปอีกเช่นกัน

ซึ่งแตกต่างจากรุจ ชายร่างหนาหน้าโหดเป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายมาก แต่ในเรื่องงานและเรื่องการฝึกมันต่างกัน รุจเข้มงวดและจริงจังกับงาน เขาไม่มีทางมาอ้อมมืออ้อมแรงเพียงแค่เพราะคู่ซ้อมหรือลูกศิษย์ของตนเป็นเจ้านายแน่นอน

"รับทราบครับอาจารย์" เมมโม่รับคำของชายหน้าโหดด้วยรอยยิ้มมุมปาก บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสองให้ความรู้สึกสยองและน่ากลัวในสายตานนท์เป็นอย่างมาก

บางทีนนท์ก็อยากร้องไห้กับเงื่อนไขทุ่มห้าครั้งซะจริงๆ นี่จะไม่ลองถามความสมัครใจกันบ้างเลยหรือไงนะ

ดูท่าจบงานนี้มียอกแน่ๆ ซวยจริงๆ ไอ้นนท์เอ๊ย!



"ไปดีมาดีนะคะ" เสียงเอ่ยส่งของแม่บ้านคนสนิทดังขึ้นพร้อมแววตาอบอุ่นที่มองคล้อยตามรถยุโรปคันหรู เจ้าของใบหน้าเรียวคมเท้าคางมองนอกหน้าต่างรถพลางส่งยิ้มบางให้หญิงสูงวัยที่ยืนมองส่งตนด้วยความเคารพจนหายลับสายตา

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เลี้ยวออกถนนใหญ่เคลื่อนตัวอย่างนิ่มนวลไปในเส้นทางเดิมอันแสนคุ้นเคย เมื่อถึงจุดหมายก็ตีไฟเลี้ยวหยุดจอดหน้าป้ายรถเมล์ที่ประจำโดยมีชายร่างสูงโปร่งดีกรีนักศึกษาแพทย์ปี4 ยืนหมดสภาพมองรถเจ้าปัญหาด้วยความเหนื่อยอ่อน

"เฮ้อ" ชายหนุ่มถอนหายใจท่ามกลางสายตาของผู้คนที่ยืนรอรถอยู่ ก่อนจะตัดสินใจก้าวขาเดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย

ขัดขืนไปก็ดีแต่จะทำให้ตัวเองอายซะเปล่าๆ ขึ้นซะ จะได้จบๆ ไป

เมื่อรับผู้โดยสารครบทุกคนแล้ว ชายสูงวัยผู้มีหน้าที่ส่งคนสำคัญทั้งสองก็ยกยิ้มเอ็นดูกับภาพเดิมๆ แล้วเริ่มเคลื่อนรถออกสู่ถนนใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยันจุดหมายเดิมอย่างเช่นทุกวัน



หลังจากส่งนักศึกษาแพทย์สภาพใกล้เหลือแต่กายหยาบเสร็จ รถยุโรปคันสวยสะดุดตาก็มาหยุดลงอย่างช้าๆ ตรงหน้าคณะบริหาร คราวนี้ถึงคิวของคุณหนูใหญ่ที่ต้องรีบเข้าเรียนคลาสแรกให้ทันเวลาบ้างแล้ว

"ขอบคุณครับ" เมมโม่เอ่ยขอบคุณลุงคนขับดั่งเช่นทุกวันก่อนจะคว้าข้าวของและกระเป๋าเป้คู่ใจขึ้นพาดบ่าแล้วลงจากรถเดินเข้าคณะอย่างไม่ทุกข์ร้อน

ตั้งแต่เมมโม่กลับมาเรียน นี่ก็ผ่านมาได้เกือบอาทิตย์กว่าแล้ว ปฏิกิริยาของคนรอบข้างส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยจนใกล้เป็นปกติ แต่มันก็มีบางส่วนอยู่บ้างที่ยังคงจับกลุ่มมองมาที่เขาเหมือนเห็นเศษขยะเดินได้ แต่เมมโม่ก็ไม่คิดสนใจ ตราบใดที่ไม่เข้ามาหาเรื่องกัน อยากจะมองจนเห็นถึงตับไตก็ตามสบายเลยเถอะ



แอ๊ด

เสียงเปิดประตูบานเดิมดังขึ้นเหมือนวันแรกที่ร่างบางก้าวเข้ามา ปฏิกิริยาของคนทั้งห้องก็เหมือนถูกจับวางดั่งเช่นวันวานที่ผ่านมาอย่างน่าขบขัน

เจ้าของร่างที่มักสร้างเสียงฮือฮาเงยใบหน้าขึ้นกวาดสายตาหาจุดที่จะทำให้ตัวตนของเขาจืดจางในห้องเพื่อเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์เหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้ดวงตาคู่สวยต้องหยุดชะงักลงกลางห้องเมื่อสบเข้ากับคู่กรณี 3-4 คนที่ตนจำได้ติดตา

แหม มาหาเรื่องได้ถูกจังหวะเวลากันจริงๆ

นักศึกษาแปลกคณะทั้งสี่เหยียดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นเป้าหมายของตนมาเข้าเรียนตามปกติ ชายหนุ่มร่างสูงที่เคยฝากความเจ็บปวดไว้ที่ร่างกายผอมบางยกขาขึ้นพาดโต๊ะพร้อมเลิกคิ้วข้างนึงส่งให้คนที่มองมาอย่างกวนอารมณ์ แต่การตอบสนองที่ทำเหมือนตนเป็นธาตุอากาศแล้วมองเลยผ่านไป กลับทำให้คนที่จะไปยั่วโมโหชาวบ้านต้องรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาแทน

"ใจเย็นสิวะแม็ก มันเก่งได้ก็แค่ตอนนี้แหละ" เพื่อนในกลุ่มคว้าไหล่คนใจร้อนที่ทำท่าจะพุ่งลงไปกระทืบคนตัวเล็กอยู่รอมร่อเพื่อไม่ให้ทำเสียเรื่องเหมือนคราวที่แล้วอีก

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นพวกเขาทั้งหลายก็อยู่ไม่เป็นสุขกันสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพราะความคึกคะนอง แต่ยังไงมันก็ลบความจริงเรื่องที่พวกเขาทำร้ายคุณชายตระกูลธนพัฒน์โชคสกุลไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้อาทิตย์กว่าที่ผ่านมาทุกคนจึงอยู่ในความหวาดระแวงตลอดทั้งสัปดาห์

แต่พอผ่านไปสักระยะความหวาดหวั่นทั้งหลายก็สิ้นสุดลง เพราะทั้งที่ผ่านมานานพอสมควรพวกเขาทั้งหมดกลับไม่มีใครโดนเก็บหรือเกิดปัญหาด้านครอบครัวกันเลยสักคน

ซึ่งนั่นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าอีกฝ่ายกลัวพวกเขาจนขนาดไม่กล้าฟ้องพ่อแม่ ในเมื่อได้โอกาสงามๆ มาแบบนี้ แล้วทำไมจะไม่จัดต่อล่ะ คราวนี้ถึงทีพวกเขากระชากเจ้าชายที่ยืนบนหอคอยสูงเฉียดฟ้าตกลงมาอยู่ใต้เท้าพวกเขาบ้างแล้ว!!

"หึ! หลังจบคลาสนี้กูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำเก่งต่อไปได้สักแค่ไหน" เจ้าของชื่อที่โดนเอ่ยเตือนตอบกลับเพื่อนอย่างนึกอารมณ์ดี

จะช้าจะเร็วยังไงไอ้ขยะนั่นก็ไม่พ้นมือพวกเขาอยู่แล้ว ที่สำคัญพอได้เห็นปฏิกิริยาของคนทั้งคลาสชายหนุ่มก็ยิ่งอยากหลุดขำ

ขนาดเพื่อนคณะเดียวกันยังรังเกียจมันเลยคิดดู

เมมโม่ส่ายหัวระอาพลางกลอกตาอย่างนึกเบื่อหน่ายก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะว่างมุมห้องที่ปลีกวิเวกอยู่ไกลๆ เพียงลำพัง

ดูจากสีหน้าและท่าทาง ทำไมร่างบางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่เอาเถอะ พูดมากก็ใช่ว่าจะดี เมมโม่ไม่ใช่พวกที่ชอบเห่าเป็นฝูงแล้ววิ่งหนีซะด้วยสิ

ไหนๆ ก็อยากเอาคืนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาลองสักตั้งกันหน่อยเป็นไงJ



เสียงจับกลุ่มพูดคุยของนักศึกษาทั้งหลายบ่งบอกว่าถึงเวลาสิ้นสุดคลาสเรียนช่วงเช้าของนิสิตคณะบริหารได้เป็นอย่างดี

ผู้คนบางจำนวนที่จับเค้าลางความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าได้คร่าวๆ ก็พากันทยอยออกจากห้องตามหลังอาจารย์ไปติดๆ แต่บางคนที่รอดูเรื่องสนุกก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่พลางมองไปยังแผ่นหลังบางของคนต้นเรื่องที่กำลังเก็บข้าวของอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่

ซึ่งในจำนวนนั้นรวมถึงไทม์และซองอึนด้วย

เมมโม่ถอนหายใจกับความบ้าบอของจิตใจมนุษย์ ก่อนจะจับกระเป๋าเป้พาดบ่าหวังเดินออกจากห้องแล้วให้พวกนั้นตามมาเพื่อไปเคลียร์กันที่อื่น แต่ดูเหมือนสมองของพวกนั้นจะกลวงกว่าที่คิดไว้มากโขจึงทำให้แผนของเขาล่มไปหมด

"จะรีบไปไหนล่ะคุณหนูเมมโม่" คำถามที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ของชายร่างสูงที่เคยทำร้ายตนคว้าเข้าที่ข้อมืออย่างถือวิสาสะ

เมมโม่ปรายตามองมือของอีกฝ่ายที่บีบข้อมือตนไว้แน่นจึงเผยรอยยิ้มมุมปากพลางช้อนสายตามองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย

"มะ-"

พรึบ! ผลัวะ! ตุบ!

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไร ข้อมือเล็กที่อยู่ในกำมือก็ถูกยกขึ้นตั้งฉากอย่างรวดเร็ว แขนที่ดูไร้เรี่ยวแรงกระชากร่างสูงหนาเข้าหาตัวพร้อมกับยกศอกอีกข้างสวนเข้าเสยปลายคางชายหนุ่มแบบเน้นๆ

แม็กยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวหรือทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งนึงที่ทำให้ตัวเขามั่นใจว่าทุกอย่างเป็นความจริงคือกลิ่นคาวเลือดและความปวดหนึบที่กระจายไปทั่วกรามและปลายคาง

"แม็ก!!! " หลังจากหายตกตะลึง พวกพ้องที่เหลือก็ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนของตนพร้อมกับวิ่งไปดูคนที่นั่งเลือดกบปากอยู่ตรงพื้นทันที

ทั้งสามก้มมองแม็กที่ยกมือปิดปากด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พอเห็นมือของเพื่อนใจร้อนคลายออกก็พากันตาโตกับจำนวนเลือดที่ไหลอยู่เต็มฝ่ามือ

มันจะมากไปแล้ว! ตอนแม็กแกล้งมัน ยังไม่ทำถึงกับเลือดตกยางออกเลยแท้ๆ สันดานต่ำจริงๆ!!

"เมมโม่! มึง!! " พอเห็นเพื่อนเจ็บหนักหนึ่งในนั้นก็เกิดฟิวส์ขาด พวกเขาลุกขึ้นหมายจะพุ่งใส่ร่างของอีกคนที่ยืนหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อนเพื่อเอาคืนแทนเพื่อน

ฟิ้ว! ตุบ!

เท้าที่ก้าวไปได้แค่ครึ่งก้าวต้องถอยหลังแทบทันทีเมื่อจู่ๆ หนังสือเล่มหนาถูกปามาตรงกลางระหว่างกลุ่มพวกเขาและคนร่างบางอย่างพอดิบพอดี

"เอาละ พอแค่นั้นเลยนะ" เสียงใสจากเจ้าของหนังสือเล่มหนาดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กของซองอึนลุกยืนเต็มความสูงพลางส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับพวกกลุ่มคนตรงหน้า

"พวกนายคงไม่คิดว่าพวกเราจะนั่งเฉย ดูเพื่อนร่วมคณะถูกรุมทำร้ายแบบหมาหมู่อย่างนั้นหรอกใช่มั้ย ^^" ซองอึนเอ่ยต่อด้วยแววตาหยอกล้อพร้อมริมฝีปากสีสวยที่แย้มยิ้มอย่างน่ารัก แต่มันกลับทำให้คนมองรู้สึกเย็นยะเยือกจนไม่อาจพูดหาเรื่องกลับไปได้

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาทันที แต่นั่นก็เป็นคำตอบให้ผู้บุกรุกได้เป็นอย่างดีว่าถ้าหากพวกเขาทำอะไรขึ้นมาอีก ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่อยู่เฉยอีกต่อไปแน่

"กลับกันก่อนเหอะ พาไอ้แม็กไปหาหมอด้วย" เมื่อเห็นว่าพวกตนเริ่มเสียเปรียบ หนึ่งในนั้นจึงคิดว่าควรรีบถอยทัพ พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ทุกคนจึงเห็นด้วยกับความคิดนั้น

พวกเขาลุกขึ้นพยุงคนเจ็บที่พยายามขัดขืนแล้วพากันกลับออกไปโดยไม่สบตาใครทั้งสิ้น

เมมโม่ไม่นึกสนใจกลุ่มคนพวกนั้นที่เดินผ่านร่างตนไปแม้แต่น้อย เจ้าของเหตุการณ์อันน่าตกตะลึงเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนาก่อนจะนำกลับไปยื่นคืนให้กับเจ้าของที่ตัวเล็กกว่าด้วยใบหน้านิ่งเหมือนทุกที

"ขอบคุณ" ซองอึนมองหนังสือที่ถูกส่งคืนมาด้วยสีหน้าตกตะลึงจนดูโอเว่อร์ มือเรียวเล็กคว้าไหล่เพื่อนสนิทที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างกายเขย่าอย่างตื่นเต้นสุดๆ

"ไทม์ๆ ๆ ๆ ๆ! ดูดิ ดู๊! หนูเมมขอบคุณฉันด้วยแถมหนูเมมไม่มองหน้านายสักนิด โหย!!!! น่าสนใจเป็นบ้า!! ถ้านายไม่เอา ฉันขอนะ!! " ประโยคแปลกๆ ที่เอ่ยออกมาเหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจ ทำให้ผู้ฟังอย่างเมมโม่ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

ตัวเขาไม่ใช่สิ่งของนะ และไอ้ชื่อหนูเมมเนี่ย แค่แม่เขาเรียกคนเดียวก็เกินพอแล้วมั้ง!

"เฮ้อ" เมมโม่พยายามนับเลขในใจเพื่อบรรเทาอารมณ์อย่างสุดความสามารถพลางถอนหายใจกับท่าทางเหมือนเด็กของซองอึนที่เอาแต่เขย่าไหล่คนข้างกายเพื่อขอคำตอบโดยไม่คิดถามเขาเลยสักนิด

ถ้าจะเมินกันขนาดนี้ก็ช่างเถอะ

เมมโม่วางหนังสือไว้ที่โต๊ะตรงหน้าซองอึนแล้วเตรียมหันหลังเดินกลับ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาก็ถูกดึงคอเสื้อจากด้านหลังให้ต้องหยุดชะงักลงซะก่อน

ใบหน้าเรียวคมเอี่ยวหันไปมองเจ้าของมือพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่คว้าคอเสื้อเขาไว้กลับไม่พูดอะไรแล้วเอาแต่นั่งใช้มืออีกข้างเท้าคางมองหน้าเขากลับซะงั้น

"โหยยยย นี่เป็นคำตอบอ่อ! ฉันอุตส่าห์เป็นคนช่วยหนูเมมไว้นะ ไทม์แม่งขี้โกง" ซองอึนที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทก็รู้เจตนาคนข้างกายทันที เล่นคว้าคอเสื้อขนาดนี้ใครจะกล้าแย่งต่ออีกเล่า

"เสร็จธุระยัง" เมื่อเห็นว่าคู่เพื่อนปวดประสาทคุยกันจบแล้ว เมมโม่จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ติดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยพลางปรายตามองหวังให้อีกฝ่ายปล่อยคอเสื้อตนเร็วๆ

ไทม์ไม่ตอบกลับอะไร มือหนาละจากคอเสื้ออีกฝ่ายพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างนึกพอใจกับท่าทางของคนตรงหน้า

แตกต่างจริงๆ ไม่เหมือนกับเมมโม่ที่เคยรู้จักเลย น่าสนใจชะมัด

คนโดนก่อกวนกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดหันไปสนใจเสียงพูดคุยถึงตนที่ดังไล่หลังหรือคำพูดเอ่ยแซวของซองอึนแม้แต่น้อย

เมมโม่ปิดประตูห้องเรียนด้วยความละเหี่ยใจแล้วออกเดินหวังไปหาข้าวกินเพื่อเติมพลัง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปได้ไกลก็โดนคว้าไหล่จากข้างหลังอีกครั้ง

พรึบ

"เมมโม่!!!!! "

เพียะ!!!

เสียงใสของคนที่ไม่รู้จักดังขึ้นพร้อมกับโดนคว้าไหล่ให้หันไปรับแรงเหวี่ยงจากฝ่ามือเล็กจนใบหน้าเรียวหันไปตามแรงตบอย่างไม่ทันตั้งตัว

"ทำไม!!! ทำไมนายทำแบบนี้!!!! ทำไม!!!! " คนโดนตบหันกลับมามองหญิงสาวร่างเล็กที่เอาแต่ทุบอกเขาพลางร้องไห้ดั่งคนจะขาดใจด้วยความงุนงง

ใบหน้าที่แดงจากการถูกตบเงยขึ้นหวังหาใครสักคนอธิบายเหตุการณ์ แต่กลับเจอแค่ผู้หญิงอีกคนที่สูงไล่เลี่ยกับตนยืนมองมาด้วยแววตาเจ็บปวดปนโกรธเคืองเท่านั้น

"ทั้งที่ฉันปล่อย ฮึก! ปล่อยเขาให้ ฮึก!! ให้นายไปแล้ว!!! แล้วทำไม!! ฮึก! ทำไม!! ทำไมนายถึงทำร้ายพวกเขาอีก!!!!! " หญิงสาวร่างเล็กที่ไม่รู้จักเอ่ยตะคอกปนสะอื้นอย่างคับแค้นใจ ใบหน้าหวานใสเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร กำปั้นเล็กของเธอก็คอยแต่ทุบอกคนตรงหน้าเพื่อระบายความโกรธเคือง

เมมโม่ก้มมองคนประทุษร้ายตนด้วยความไม่เข้าใจ แต่เขาก็เลือกยืนนิ่งให้อีกฝ่ายทุบตีพลางยกมือลูบหลังปลอบโยนไปด้วย

"ฮึก! ฮืออออออออออออออออออออออ" คนโดนปลอบสับสนกับสัมผัสอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่เพราะตอนนี้ตัวเองเจ็บปวดและอ่อนแอจึงเลือกจะไม่หาคำตอบแล้วปล่อยโฮให้อีกฝ่ายปลอบตนทั้งอย่างนั้น

เมมโม่ขมวดคิ้วแน่นอย่างงุนงงเข้าไปใหญ่เหมือนยิ่งปลอบหญิงสาวยิ่งร้องอย่างไม่สิ้นสุด พอเงยหน้าหวังให้คนที่น่าจะมาด้วยกันช่วยหยุดให้ แต่ฝ่ายนั้นกลับมองมาที่เขาเหมือนกำลังคิดว่าทักคนผิดซะอย่างงั้น

เอาละสิ ข้าวก็ยังไม่ได้กินแล้วยังต้องมาปลอบคนที่ตบตัวเองอีก ชีวิตหลังสูญเสียความทรงจำจะหรรษาไปหน่อยแล้วมั้ง




TBC.

//เป็นตอนที่ยาววววววมาก
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่9] 2/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 03-12-2018 04:55:41
ขออีกหลายๆตอนเลยยยยย อยากอ่านอีกจ้า  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่9] 2/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 03-12-2018 05:25:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่9] 2/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 03-12-2018 16:17:18
 :z13: :katai2-1: :hao3:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่10] 9/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 09-12-2018 20:49:19

Chapter 10


ภายในโรงอาหารขนาดใหญ่ของคณะนิเทศ มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่ไปมากันอยู่เหนืองแน่น เจ้าของร่างผอมบางต่างคณะนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวยาวตรงใจกลางโรงอาหาร โดยมีผู้หญิงแปลกหน้าทั้งสี่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตนพลางมองมาอย่างเงียบๆ

"พวกคุณมีเรื่องจะคุยกับผมใช่มั้ยครับ" เมมโม่ที่ทนต่อความเงียบและสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อไปไม่ไหว จึงเอ่ยถามทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้อย่างนึกเหนื่อยอ่อนในใจ

ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ชายหนุ่มพึ่งโดนหญิงสาวตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามตนตบมาฉาดใหญ่โดยที่ไม่รู้เหตุผลจากการกระทำเหล่านั้นเลย แถมทั้งที่ตนเป็นผู้เสียหายกลับต้องมายืนปลอบคนตบตัวเองอยู่เป็นนานสองนาน ผู้หญิงอีกคนที่น่าจะมาด้วยกันก็ดันไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งซะอย่างงั้น

ใช้เวลาปรับอารมณ์กันอยู่พอสมควรจนทุกอย่างกำลังจะเข้าสู่ความสงบ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงอีกสองคนโผล่เข้ามาเพิ่ม พวกเธอดูตกใจและโมโหเป็นอย่างมากที่เห็นหญิงสาวตัวเล็กในอ้อมแขนเมมโม่ร้องไห้จนตัวโยน

และมันก็ลงอีหรอบเดิม คือผู้มาใหม่ไม่ถามไถ่อะไรทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเมมโม่แล้วดึงตัวหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาออกก่อนจะฟาดฝ่ามือซ้ำลงมาที่แผลเก่าเข้าเต็มๆ

เมื่อเสียงตบดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวที่เมมโม่คาดว่ากลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปแล้วก็ได้สติขึ้นมาทันที เธอคว้าแขนห้ามเพื่อนตัวเองไว้ไม่ให้ตบซ้ำอีกรอบจนเกิดความวุ่นวายอยู่สักพักใหญ่ ทุกอย่างไม่ลงตัวสักทีจนเด็กบริหารเริ่มทยอยกันออกมา

เมมโม่คิดว่าถ้าหากพวกนั้นมาเห็นแบบนี้เข้าสถานการณ์คงจะยุ่งเหยิงมากกว่าเดิมแน่ๆ เลยคว้าตัวผู้หญิงทั้งสี่ออกจากตรงนั้นทันที แต่ไม่รู้ไปไงมาไงถึงพากันมาโผล่ที่คณะโจทก์เก่าแบบนี้ได้

เวรกรรมไอ้เมมชัดๆ

"เอ่อ...ใช่ค่ะ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเมมโม่เองแหละ" หญิงสาวตัวเล็กเจ้าของรอยตบคนแรกเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับก้มหน้าประสานมือตัวเองไว้บนตักด้วยความประหม่า

พอได้ร้องไห้ระบายทุกอย่างอารมณ์เธอจึงเริ่มเย็นลงไปหลายระดับ ทำให้เธอสำนึกได้ว่าตนทำสิ่งที่ไม่สมควรไปซะแล้ว ไม่ว่าจะโมโหแค่ไหนเธอก็ไม่ควรทำร้ายคนอื่นแบบนั้นจริงๆ

"เฌอแตมแกจะไปพูดดีกับมันทำไม! อย่างมันโดนตบยังน้อยไปด้วยซ้ำ! " ประโยคแดกดันที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังของหญิงสาวเจ้าของฝ่ามือตบที่สองดังแทรกขึ้นพลางหันไปจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งใดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

ยิ่งเห็นแบบนี้เธอยิ่งเกลียดมัน!! ไอ้พวกผิดเพศไร้ยางอาย!!

"ไม่เอาหน่าเมย์ ใจเย็นหน่อย ปล่อยเฌอจัดการด้วยตัวเอง" หญิงสาวใบหน้าสวยคมที่สูงไล่เลี่ยกับเมมโม่เอ่ยเบรกเพื่อนใจร้อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังดูเด็ดขาด

ดวงตาคมเฉี่ยวเคลื่อนสายตาหันมองชายหนุ่มตรงข้ามที่ดูเงียบสงบผิดปกติอย่างนึกแปลกใจพร้อมกับยกมือแตะแผ่นหลังเล็กของเฌอแตมให้เริ่มพูดต่อ

คนโดนห้ามทำสีหน้าไม่พอใจก่อนจะหันหน้าหนีไปซบบ่าเพื่อนที่อยู่ข้างกายแล้วปล่อยอีกฝ่ายลูบหลังปลอบตนเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบลงแล้ว เฌอแตมจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าอีกครั้ง โดยที่ฝั่งคนรอฟังอย่างเมมโม่ไม่ได้กดดันหรือเร่งร้อนอะไร ชายหนุ่มแค่นั่งมองหญิงสาวทั้งสี่เงียบๆ พร้อมบรรยากาศสงบที่ทำให้คนอึดอัดอยู่รู้สึกผ่อนคลายและกล้าพูดกับเขาได้ง่ายขึ้น

"อันดับแรก ฉันขอโทษที่ตบนายนะ" เฌอแตมเอ่ยขึ้นพร้อมก้มหัวขอโทษเล็กน้อยกับการกระทำของตน

"อืม" เมมโม่รับคำง่ายๆ แล้วรอฟังอีกฝ่ายพูดเข้าเรื่องต่อเพราะไม่อยากให้เสียเวลานัก เห็นนิ่งๆ แบบนี้แต่ที่จริงตอนนี้เขาหิวข้าวมากนะ

"เฮ้อ งั้นเข้าเรื่องเลยนะ วันนี้ที่ฉันมาหานายเพราะต้องการจะถามเรื่องโคล์วกับลุกซ์น่ะ" ประโยคเกริ่นนำถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สร้างความงุนงงและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของผู้ฟังได้ในทันที

"เรื่องโคล์วกับลุกซ์?" เมมโม่ทวนคำอย่างคนคิดไม่ตก ล่าสุดที่เจอกันก็ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลอาทิตย์ก่อน หลังจากนั้นเมมโม่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวหรือเจอหน้าพวกนั้นอีกเลย แล้วทำไมถึงมาถามเรื่องพวกนั้นกับเขาได้ล่ะ

"ใช่ ฉันไม่รู้ว่านายรู้เรื่องมั้ยแต่หลังจากวันแรกที่นายขาดเรียนไป ทางบริษัททีพีกรุ๊ปก็ประกาศถอนหุ้นออกจากโรงพยาบาลของบ้านลุกซ์และบริษัทนำเข้าส่งออกอะไหล่รถยนต์ของบ้านโคล์วทันที เรื่องในคราวนั้นเป็นข่าวใหญ่โตทั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เพราะปกติไม่ว่าทีพีกรุ๊ปจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นที่จับตามองอยู่แล้วแถมนี่ถึงขนาดถอนหุ้นออกจากตระกูลที่สร้างอะไรมาด้วยกันตั้งหลายสิบปีอย่างภักดีวัชรสกุลและอัศวรักษ์โกศลเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่..." เฌอแตมเว้นวรรคเรื่องที่กำลังเล่าเพื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับกลืนก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาลงคอเพื่อไม่ให้ร้องไห้จนเสียเรื่องอีก

เมมโม่นั่งเงียบตั้งใจฟังอีกฝ่ายโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำหน้าแบบไหนกับเรื่องที่ฟังอยู่

ภายในโต๊ะเงียบอยู่สักพักจนเมื่อเฌอแตมตั้งสติตัวเองได้อีกครั้งจึงเริ่มเล่าทุกอย่างต่อ

"...แต่มันก็ยังไม่จบแค่นั้น หลังจากทีพีกรุ๊ปถอนหุ้น ผู้ลงทุนรายอื่นก็เริ่มขายหุ้นออกกันระนาว คู่ค้าที่ติดต่อกับทางบริษัทเพื่อลงทุนก็แคนเซิลกันจนเสียหายไปหมด ทีพีกรุ๊ปไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ในเรื่องนี้แล้วเงียบหายไป ทางสองครอบครัวจึงพยายามกอบกู้ทุกอย่างด้วยความสามารถที่มีในตอนนั้น ทางบ้านฉันกับบ้านอลิสก็พยายามช่วยทุกทางเท่าที่จะช่วยได้ แต่ก็รู้สึกจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์อะไรมากนัก เพราะตอนนั้นจะให้ทำอะไรประเจิดประเจ้อมากก็ไม่ดีถ้าไปสะดุดตาทีพีกรุ๊ปเข้าก็คงพากันซวยไปหมด..." พอเล่ามาถึงจุดนี้หญิงสาวร่างเล็กก็หยุดหลับตาสูดหายใจอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำสีใสที่เอ่อคลอในดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังผู้ฟังฝั่งตรงข้ามที่นั่งเงียบเพื่อให้ตนได้เล่าต่อ

"...แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นอีก!! ทั้งที่พวกเขาพยายามกันถึงขนาดนั้นแล้ว แต่เมื่ออาทิตย์ที่พึ่งผ่านมาทางทีพีกรุ๊ปกลับเคลื่อนไหวอีกครั้ง!! อยู่ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ประกาศลงทุนกับโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อและแนะนำบริษัทอะไหล่รถยนต์แบรนด์ใหม่พร้อมกับบอกว่าทางบริษัทให้ความสนับสนุนกับนักธุรกิจที่ดีและไฟแรงเท่านั้น!! นี่ไม่ต่างอะไรกับดิสเครดิตของทางสองตระกูลนั้นเลย!! พอเป็นแบบนี้ทุกอย่างเลยยิ่งแย่ลง ข่าวหน้าธุรกิจใส่สีตีไข่เรื่องทางบ้านสองคนนั้นจนเละ ทีพีกรุ๊ปใช้อำนาจบีบจนพวกเขาไม่มีที่จะยืนแล้ว!! ตอนนี้ทางภักดีวัชรสกุลและอัศวรักษ์โกศลได้แค่นับวันรอฟังการโดนฟ้องล้มละลายเท่านั้นแหละ!!!!!! " ความจริงที่ถูกถ่ายทอดออกมาจนหมดจบลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มใสและร่างกายเล็กที่สั่นอย่างน่าสงสาร

เมมโม่หลับตาถอนหายใจดั่งคนสับสนปนลำบากใจ หลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดไปตัวเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทางบ้านตนทำแบบนี้ไปทำไม แถมครั้งนี้ดูท่าจะเล่นแรงมากซะด้วย

หญิงสาวหน้าสวยคมนามอลิสที่นั่งข้างกายเฌอแตมยกมือลูบหลังปลอบเพื่อนด้วยใบหน้าเรียบนิ่งทั้งที่ใจว้าวุ่นไม่ต่างกัน

ถึงแม้เธอกับเฌอแตมจะเลิกกับสองคนนั้นไปได้สักพักแล้วแต่พวกเธอก็ยังคงมีความหวังดีและความจริงใจมอบให้เสมอ ตอนนี้คนที่พวกเธอรักกำลังลำบากจะให้รู้สึกสบายใจในสถานการณ์แบบนี้คงทำไม่ได้หรอก

"เฌอไม่ร้องนะ ฉันกับเมเปิ้ลก็จะช่วยหาทางอีกแรง โอ๋ๆ นะเด็กดี" เมย์ที่เห็นเพื่อนตัวเล็กร้องไห้อย่างน่าสงสารจึงรีบเอ่ยปลอบแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดตามคนในอ้อมกอดไปด้วย

"ฮึก! ฮือออ ฮึก" เฌอแตมสะอื้นฮักจนคนมองทั้งหลายรู้สึกหดหู่ จมูกรั้นเล็กและดวงตากลมสวยแดงก่ำบ่งบอกถึงความเจ็บปวดกับสิ่งที่เธอพึ่งถ่ายทอดออกมา มือขาวสวยของหญิงสาวคว้ากำเสื้อตรงหน้าอกของเพื่อนตรงหน้าเพื่อระบายความทรมาน

เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเมมโม่ทั้งหมด ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งและนับถือกับความรักของเธอ เพราะตั้งแต่ที่เขาตื่นมาพร้อมกับความว่างเปล่า ในหัวหรือจิตใจของชายหนุ่มไม่เคยมีความรู้สึกรักชอบหรือทรมานจากการช่วยคนที่รักไม่ได้เลยสักครั้ง

ทุกวันเมมโม่ใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย ไม่ตามหาความจริง ไม่โหยหาความรัก ไม่ต้องการเพื่อน ไม่เป็นห่วงเมื่อใครหายไป ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและไม่วุ่นวายกับใครให้ได้มากที่สุด

ถึงแม้สุดท้ายจะมีคนเอาเรื่องมาหาเขาไม่หยุดก็เถอะ

"ถ้าการที่ฉันช่วยสองคนนั้นแล้วทำให้เธอหยุดร้องไห้ได้ ฉันจะทำ" เมมโม่เอ่ยแทรกเสียงสะอื้นของเฌอแตมขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะแย้มยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ เรียกความสนใจและประหลาดให้หญิงสาวทั้งสี่ได้เป็นอย่างดี

"ฮึก มะ...หมายความ ฮึก! ว่าไง" เฌอแตมที่รู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินประโยคไม่น่าเชื่อเข้าจึงผละออกจากอ้อมกอดเมย์แล้วหันไปถามชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามพร้อมใบหน้าฉงนที่เต็มไปด้วยน้ำตา

"ผมบอกว่า ถ้าผมช่วยพวกเขาแล้วทำให้คุณหยุดร้องไห้ได้ ผมจะทำมัน" เมมโม่พูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นทำให้ผู้ฟังเบิกตาโพลงอย่างคนไม่เชื่อหูตัวเองพลางยื่นมือไปคว้าจับมืออีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นแบบไม่รู้ตัว

"จะ...จริงนะ! ฮึก! เมมโม่จะช่วย ฮึก! จะช่วยจริงๆ นะ" เฌอแตมถามซ้ำละล่ำละลักดั่งคนทำตัวไม่ถูก มือที่คว้าจับอีกฝ่ายไว้ก็บีบแน่นขึ้นเพราะความตื่นเต้นเรียกรอยยิ้มจางๆ ให้เจ้าของมือได้เป็นอย่างดี

"อืม" เมมโม่รับคำง่ายๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือตนบีบอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายตางุนงงปนสับสนของอีกสามคนแทน

"ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณนะ ขอบคุณ" เฌอแตมพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่ยอมหยุด ใบหน้าหวานก้มหน้าผากจรดลงมือของตัวเธอที่กุมอีกฝ่ายไว้ดั่งคนหมดแรง

เมมโม่มองภาพนั้นอย่างเงียบๆ ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้วเมื่อสายตาเบนไปเห็นรอยแผลเป็นขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่เด่นชัดที่ตรงขมับซ้ายของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มดึงมือขวาของตนออกอย่างแผ่วเบาทำให้คนที่ก้มหน้าทับมืออีกฝ่ายอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นอย่างนึกแปลกใจ แต่ไม่นานก็ถูกกระจ่างเมื่อมือของฝ่ายตรงข้ามเอื้อมแตะที่แผลตรงขมับซ้ายของเธอเข้า

"จะทำอะไรน่ะ! " เมย์ที่เห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของชายหนุ่มจึงรีบคว้าตัวเพื่อนสาวออกจากรัศมีมือของอีกฝ่ายทันที

"แผลนั่น...ผมเป็นคนทำใช่มั้ย" เมมโม่เอ่ยถามเสียงเรียบพลางมองไปยังแผลที่ถูกเมย์จับผมยาวสลวยของเจ้าของแผลดึงมาปิดไว้

"ถามโง่ๆ แผลนี้พึ่งได้มาจากนายไม่กี่เดือนก่อนเอง อย่าทำเป็นลืมนะ! " พอเมย์ได้ยินคำถามที่ดูไร้สาระจึงตวาดใส่อีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ ร้อนให้เมเปิ้ลที่นั่งอยู่ข้างกายคว้าไหล่ลูบหลังปลอบเพื่อให้ใจเย็นลง

เมมโม่ไม่พูดอะไรตอบกลับ มือเรียวเอื้อมไปยังใบหน้าหวานของเฌอแตมอย่างช้าๆ เมย์ที่เห็นดังนั้นจึงทำท่าจะคว้าไหล่เพื่อนสาวให้หลบแต่โดนอลิสส่ายหน้าห้ามไว้ซะก่อนจึงได้แต่กระฟัดกระเฟียดจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย

เฌอแตมมองมือเรียวสวยของคนตรงข้ามที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าตนเรื่อยๆ ด้วยหัวใจเต้นระรัว หญิงสาวตัดสินใจหลับตาลงแน่นเพื่อหนีความหวาดกลัว แต่ภาพที่ตนเคยโดนอีกฝ่ายผลักล้มจนฟาดขอบโต๊ะอย่างรุนแรงกลับฉายชัดมาในความมืดจนอดตัวสั่นไม่ได้

เมมโม่มองร่างกายที่สั่นน้อยๆ ของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด นิ้วเรียวยาวเกลี่ยผมเงาสวยของเฌอแตมเหน็บหูเผยให้เห็นแผลที่ขมับซ้ายอย่างเด่นชัดก่อนจะเคลื่อนปลายนิ้วเย็นแตะไปที่แผลเป็นนั้นแล้วลูบมันด้วยความทะนุถนอม

สัมผัสแผ่วเบาที่แตะลูบไล้ไปตามแผลเป็นตรงขมับสร้างความอุ่นวาบในใจหญิงสาวจึงทำให้ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นช้าๆ แล้วสบเข้ากับดวงตาของคนตรงหน้า

เฌอแตมเหมือนถูกหยุดเวลาไปดื้อๆ เธอนั่งนิ่งให้อีกฝ่ายแตะไล้แผลเป็นของตนอย่างว่าง่าย ส่วนเมมโม่ที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งเป็นหินก็ระบายยิ้มอ่อนก่อนจะละมือออกจากใบหน้าของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า

"ผมขอโทษที่ทำให้ใบหน้าสวยมีแผลเป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ" เมมโม่เอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มทำให้คนฟังน้ำตาเอ่อคลอก่อนจะแย้มยิ้มแล้วพยักหน้ารับกับคำขอโทษของอีกฝ่าย

นี่ใช่เมมโม่ที่พวกเธอรู้จักแน่เหรอ เขาเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปมากจริงๆ



ภายในคฤหาสน์ตระกูลธนพัฒน์โชคสกุล มีบุตรชายคนโปรดของบ้านนั่งหน้าเครียดจนการ์ดและแม่บ้านไม่กล้าเข้าหน้าอยู่ที่ห้องรับรองอย่างเงียบๆ

มือเรียวยังคงกดโทรออกหาเบอร์เดิมซ้ำๆ ด้วยท่าทางไม่เร่งร้อนแต่จากการที่ได้รู้จักคุณหนูใหญ่มาได้สักพักพวกเขาก็รู้ได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทั้งเร่งรีบและหงุดหงิดสุดๆ

"เธอเข้าไปสิ"

"เธอนั่นแหละเข้าไป"

"เธอสิเข้าไป"

"เธอต่างหาก"

สาวใช้ที่ถูกแม่บ้านสุดาบอกให้เอาของว่างมาเสิร์ฟคุณหนูใหญ่เริ่มเกี่ยงกันอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย

ก็ตั้งแต่คุณหนูใหญ่กลับมาอยู่บ้านพึ่งเคยเห็นหงุดหงิดขนาดนี้ จะไม่ให้กลัวได้ไงเล่า

"ทะเลาะอะไรกันอยู่" หัวหน้าการ์ดที่เดินผ่านมาเห็นท่าทางแปลกๆ ของสาวใช้ทั้งสองจึงเดินเข้ามาถามพลางมองตามสายตาทั้งสองเข้าไปในห้องรับรอง

"อุ๊ย! คุณรุจ เอ่อ คือ พวกเราไม่กล้าเอาของว่างไปให้คุณหนูใหญ่น่ะค่ะ คุณหนูเธอหงุดหงิดอะไรไม่รู้ น่ากลัวมากเลย" หนึ่งในสาวใช้รวบรวมความกล้าตอบกลับหัวหน้าการ์ดด้วยรอยยิ้มแห้งพร้อมยกถาดของว่างในมือให้อีกฝ่ายดูด้วย

"เฮ้อ มะ เดี๋ยวฉันเอาไปให้เอง พวกเธอไปทำอย่างอื่นเถอะ" รุจที่เห็นอารมณ์คุณหนูใหญ่ตอนนี้ก็พอเข้าใจสาวใช้ทั้งสอง จึงเอ่ยอาสาแล้วเอื้อมมือรับถาดของว่างมาถือแทน

"ขอบคุณมากค่ะ" สาวใช้ทั้งสองพูดขอบคุณขึ้นอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะรีบก้มตัวเดินออกจากตรงนั้นทันที

รุจมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองพลางส่ายหัวอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินถือถาดของว่างเข้าไปหาตัวการที่นั่งหงุดหงิดกดโทรศัพท์ในมือไม่ยอมหยุด

"ระวังโทรศัพท์พังก่อนโทรติดนะครับ" เมื่อถึงตัวอีกฝ่ายรุจจึงเอ่ยแซวขึ้นพร้อมกับวางถาดของว่างไว้ที่โต๊ะตรงหน้าคุณหนูใหญ่

"เฮ้อ สวัสดีครับพี่รุจ" เมมโม่ที่เห็นว่าเป็นใครที่เข้ามาทักก็ผ่อนลมหายใจและตั้งสติไม่ให้อารมณ์นำพาไปมากกว่านี้

"หงุดหงิดอะไรเหรอครับ สาวใช้กลัวกันทั้งบ้านแล้วเนี่ย" รุจโค้งตัวรับคำทักทายของเจ้านายเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยืนข้างโซฟาที่เมมโม่นั่งแล้วเอ่ยถามต่อ

"ผมติดต่อโคล์วกับลุกซ์ไม่ได้น่ะครับ กะว่าจะคุยเรื่องสำคัญด้วยสักหน่อย อุตส่าห์ติดต่อให้แม่กลับไทยพรุ่งนี้ได้แล้วแท้ๆ" เมมโม่ตอบอีกฝ่ายเสียงเนือยพลางเงยหน้าขึ้นยกมือลูบหน้าตัวเองเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ไปด้วย

"ถ้าเป็นเรื่องสำคัญทำไมไม่ไปหาที่บ้านล่ะครับ" พอเห็นอาการเครียดๆ ของคุณหนูใหญ่รุจจึงเสนอทางเลือกเพิ่มให้

"ไม่ได้หรอก สถานการณ์ตอนนี้ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่อยากให้ใครไปหาเหมือนกัน ยิ่งไปหาเพราะต้องการช่วยเหลือยิ่งแล้วใหญ่" เมมโม่เอ่ยตอบอย่างเหม่อลอยพร้อมยกมือนวดขมับตนอย่างคนคิดไม่ตก

ถ้าเขาไปหาตามที่รุจแนะนำคงได้เป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมแน่ เพราะมันคงไม่มีผู้ชายคนไหนพอใจที่จะโดนช่วยเหลือจากคนที่ทำลายตนหรอก

เมมโม่ถอนหายใจแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างคนเหนื่อยอ่อน ใบหน้าเคร่งเครียดปนเบื่อหน่ายที่ฉายมาจากคุณหนูใหญ่เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้คนมองได้เป็นอย่างดี แตกต่างจากเจ้าของใบหน้าที่แทบจะประสาทกินขึ้นทุกวัน

ในเมื่อฝั่งนั้นไม่ต้องการให้ติดต่อเขาก็คงต้องปล่อยไปแล้วจัดการคนของตัวเองแทน

นี่ถ้าไม่ติดว่าเมมโม่ไม่อยากเห็นเฌอแตมร้องไห้อีก คงช่างแม่งทุกอย่างไปละ อะไรก็ไม่รู้ มีแต่เรื่องให้วุ่นวายเข้ามาไม่หยุด! เหนื่อยใจชะมัด!

เฮ้อ!







TBC.

//หากบรรยายแปลกๆ ยังไงบอกได้นะคะ

บางประโยคเราพิมพ์เองยังงงเองเลยแต่ไม่รู้จะแก้ยังไง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่10] 9/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 10-12-2018 16:37:00
 :mew2: :katai2-1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่10] 9/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-12-2018 17:44:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่11] 12/12/18 [ลงใหม่]
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 12-12-2018 22:20:52

Chapter 11


ห้องทำงานเพดานสูงภายในถูกตกแต่งด้วยสไตล์คลาสสิคที่ให้ความเรียบง่ายแต่ยังคงหรูหราและสวยงาม เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งรวมทั้งพื้น ผนัง และประตูใช้ไม้คัดสรรที่มีอายุเก่าแก่อย่างดี ซึ่งเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของความคลาสสิค ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าของห้องทำงานนี้มีเซนส์ในการตกแต่งมากขนาดไหน

แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ นี่คงไม่ใช่เวลาที่จะมาชื่นชมห้องเท่าไหร่นัก

คุณหญิงอภิรดีที่อยู่ในชุดดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นสาวนักธุรกิจนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้หรูด้วยใบหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันหลังจากที่ฟังคำขอร้องของดวงใจตรงหน้าตนจบไป

ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน เธอได้รับสายโทรศัพท์จากลูกชายสุดที่รักว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยด้วย ผู้หญิงบ้างานอย่างเธอจึงยอมทิ้งนัดกินข้าวกับคู่ค้าคนสำคัญแล้วซื้อตั๋วขากลับเที่ยวที่เร็วที่สุดเพื่อมาหาคนปลายสายที่แสนคิดถึง แต่สิ่งที่เธอได้รับคือคำขอร้องให้ช่วยชีวิตไอ้เศษขยะพวกนั้นเนี่ยนะ?!

ตลกจนขำไม่ออกเลย

"เฮ้อ หนูเมมคะ มะม๊ายังไม่เห็นประโยชน์ที่หนูจะได้รับจากการที่ต้องมาขอร้องอะไรแบบนี้กับมะม๊าเลยนะคะ" คุณหญิงพูดขึ้นทำลายความอึดอัดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน เธอพึ่งบินกลับมาถึงไม่กี่นาทีก่อนนี่เองแต่ลูกชายไม่ถามไถ่อะไรเธอเลยสักนิด เอาแต่ห่วงเรื่องพวกบ้านั่นอยู่ได้ คนเป็นแม่ก็น้อยใจเป็นนะ

"ผมจำเป็นต้องได้ประโยชน์จากเรื่องที่ขอให้เราเลิกทำร้ายครอบครัวคนอื่นด้วยเหรอครับ" เมมโม่ตอบกลับเสียงเรียบแต่ยังคงไว้ด้วยความนอบน้อมเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังทำตัวหยาบกระด้างใส่

"แต่มะม๊าไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ มะม๊าเป็นนักธุรกิจก็แค่ทำงานในแบบที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง มะม๊าไปป่าวประกาศบีบคั้นหรือใช้อำนาจให้พวกเขาเดือดร้อนเหรอ? ก็ไม่ ถ้ามะม๊าทำจริงคงมีข่าวหนาหูไปแล้วสิคะ" เมมโม่ถอนหายใจกับคำพูดของคนเป็นแม่อย่างจนปัญญาจะเถียง คุณหญิงอภิรดีเป็นสาวยุคใหม่หัวธุรกิจที่เดินเกมฉลาดในแวดวงแบบนี้

มันเป็นอย่างที่เธอว่ามาทุกอย่าง คุณหญิงไม่ได้ลงมือทำอะไรเองเลย แต่ก็สามารถบีบนักลงทุนหรือธุรกิจต่างๆ เหมือนขยำกระดาษเล่นโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย

ใครๆ ถึงบอกว่าเธอใจยักษ์ยังไงล่ะ

ความหมายของคำนั้นไม่ใช่ใจใหญ่หรือใจกว้างแต่อย่างใด แต่สื่อถึงเธอคือผู้หญิงเลือดเย็นที่บดขยี้ได้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่เพื่อนที่ร่วมสร้างอะไรมาด้วยกันหลายสิบปี

"คุณแม่รังเกียจผมในตอนนี้หรือเปล่าครับ" ประโยคคำถามที่เอ่ยเปลี่ยนเรื่องขึ้นดื้อๆ ของเมมโม่ทำให้ผู้ฟังเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกแปลกใจก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มหวานเพื่อเอาใจคนฟังตรงหน้า

"ไม่มีทางค่ะ มะม๊าจะรังเกียจหนูทำไมคะคนดี ไม่ว่าหนูเป็นยังไงมะม๊าก็รักที่สุดอยู่แล้ว" คำตอบแสนเอาใจของคุณหญิงสร้างรอยยิ้มมุมปากให้ผู้ฟังได้เล็กน้อยก่อนที่ร่างผอมบางจะเดินเข้าไปประชิดโต๊ะทำงานตรงหน้ามากขึ้น

"งั้นมันมีปัญหาตรงไหนอีกละครับ ถ้าคุณแม่ไม่รังเกียจที่ผมพูดน้อยลง ไม่ขี้อ้อนเหมือนเมื่อก่อน ไม่ชอบตุ๊กตา ไม่ปากหวาน ไม่สนุกกับการนั่งมองเชฟจากหลายๆ แห่งห้อมล้อม ไม่น่ารักเอาใจ แล้วมันคืออะไรที่ทำให้คุณแม่ตัดสินใจทำลายครอบครัวคนอื่นเหมือนพลิกฝ่ามือได้อีกละครับ" ดูท่าเรื่องเดินเกมต้อนคนของคุณหญิงจะถูกถ่ายทอดให้ลูกชายไปเต็มๆ ซะแล้วมั้ง

หญิงหัวธุรกิจผู้เก่งเรื่องการเดินหมากในเกมต่างๆ ยกริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีสดขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าตนโดนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเล่นให้ซะแล้ว

"ผมไม่ได้ขอร้องให้มะม๊ากลับไปลงทุนกับพวกเขาหรือช่วยกอบกู้อะไรเลย ขอแค่ให้มะม๊าหยุดกับสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ก็เท่านั้น แค่พวกเราไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ" เมมโม่เมื่อเห็นว่าแม่ของตนนิ่งไปแวบนึงจึงพูดสมทบต่อด้วยน้ำเสียงติดอ้อนพร้อมกับใช้สรรพนามเอาใจอีกฝ่ายเพิ่มเข้าไปอีก

คุณหญิงที่เห็นลูกชายถึงขนาดยอมพูดอ้อนเอาใจ คนเป็นแม่อย่างเธอก็หัวแข็งต่อไปไม่ออก ตั้งแต่เมมโม่กลายเป็นเด็กพูดน้อยเธอยอมรับเลยว่าเหงามาก การที่ได้ฟังคำอ้อนหวานๆ และสรรพนามที่เคยเรียกกันมันทำให้เธอใจอ่อนได้อย่างง่ายดายจริงๆ

"เฮ้อ ก็ได้ค่ะ มะม๊าจะไม่ยุ่งกับพวกเขาอีกแล้วก็ได้" ประโยครับปากที่เอ่ยจากคุณหญิงอภิรดีทำให้ชายหนุ่มสูดหายใจได้เต็มปอดอีกครั้งก่อนจะระบายยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าการเจรจาของตนเป็นผลสำเร็จ

"ขอบคุณนะครับ" เมมโม่พูดขอบคุณพลางเดินอ้อมโต๊ะไปกอดเอวคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเอาใจ ถึงแม้จะเป็นการกระทำเพราะประจบหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ทำให้คุณหญิงพอใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

"ร้ายนักนะเรา" คนโดนกอดถึงแม้จะชอบแต่ก็อดเหน็บลูกชายของตนไม่ได้ มือเรียวสวยยกลูบกลุ่มผมนิ่มของคนช่างเอาใจด้วยความรักใคร่พร้อมบ่นกระปอดกระแปดที่ตนต้องเสียรู้อีกฝ่ายไม่หยุด

"ถ้างั้นผมขอไปเรียนเลยนะครับ สายมากแล้วด้วย คุณแม่ก็พึ่งมาถึงควรพักผ่อนเหมือนกัน" เมมโม่เงยหน้าขึ้นพูดกับคุณหญิงทั้งที่แขนยังคงกอดเอวเล็กไว้หลวมๆ

"แหม พอมะม๊าหมดประโยชน์ก็ทิ้งไปเรียนเลยนะ" คุณหญิงเอ่ยแซวน้ำเสียงกระเง้ากระงอดให้ลูกชายคิ้วตกกอดรัดเอวเล็กของเธอแน่นกว่าเดิมเพื่อเอาใจ

"ไม่ใช่นะครับ ตอนบ่ายผมมีสอบเลยโดดอยู่ด้วยไม่ได้ ไม่โกรธนะครับ" ความจริงเมมโม่ก็อยากอยู่ดูแลคนเป็นแม่อยู่เหมือนกันเพราะพอท่านมาถึงไทยก็ถูกเขาลากมาคุยทันทีโดยที่ยังไม่ได้พักเลย แต่จะให้ทำไงได้ช่วงบ่ายร่างบางดันติดสอบจริงๆ จะทิ้งก็ยังไงอยู่

"ฮ่าๆ มะม๊าล้อเล่นจ๊ะ หนูเมมไปเรียนเถอะ เดี๋ยวช่วงบ่ายมะม๊าก็บินกลับเกาหลีแล้ว เลขาหาไฟต์ของวันนี้ได้แค่ช่วงบ่ายเท่านั้น คงอยู่ทานข้าวกับหนูไม่ได้นะคะ" คำตอบเกลื้อหัวเราะของคุณหญิงทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้วเข้ามากันจนแทบผูกเป็นปมก่อนจะเงยหน้าขึ้นสำรวจใบหน้าและดวงตาของผู้เป็นแม่ทันที

พอถูกอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองริมฝีปากสีสดของคุณหญิงก็แย้มยิ้มให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความรักใคร่แต่ถึงยังงั้นมันก็บดบังความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจากการโหมงานหนักไม่ได้เลย

"ผมขอโทษนะครับ" เมมโม่เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วพลางซุกหน้าลงไปที่ท้องแบนราบของผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจ

ร่างบางรู้ตัวดีว่าตนพูดว่าอย่าโหมงานหนักหรือพักหยุดบ้างไม่ได้หรอกเพราะตัวเขาไม่รู้ว่าการดำเนินงานของมารดาเป็นยังไงหรือทำอะไรอยู่ สิ่งเดียวที่พูดจึงเป็นแค่คำขอโทษที่ตนไร้ความสามารถ ได้แต่มองคนที่รักเหน็ดเหนื่อยโดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย

คุณหญิงระบายยิ้มบางพร้อมดวงตาสั่นไหวกับคำพูดและความรู้สึกของลูกชายที่ถ่ายทอดออกมา มือสวยเคลื่อนไปลูบแผ่นหลังเล็กของคนที่กอดเอวเธอไว้อย่างรักใคร่โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

เมมโม่หลับตาสูดกลิ่นหอมจากหน้าท้องที่ตนซุกอยู่เพื่อซึมซับทุกอย่าง ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเฌอแตมบ้างแล้วว่าการได้แต่ยืนมองคนที่รักเหนื่อยและเจ็บปวดโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยมันเป็นยังไง



เสียงพูดคุยเจี้ยวจ้าวดังจากหลังประตูห้องบ่งบอกว่าตอนนี้นักศึกษาคณะบริหารทั้งหลายมากันเกือบครบทุกคนแล้ว

เมมโม่ยืนถอนหายใจเมื่อคิดว่าตนต้องไปเผชิญกับอะไรที่หลังประตูบานนี้ ในใจอยากกลับหลังหนีซะให้มันจบๆ แต่ก็ดันเป็นเด็กดีเกินจนไม่อยากโดดเรียนซะอย่างงั้น จึงได้แต่ภาวนาขอให้พวกนั้นลืมเรื่องเมื่อวานไปแล้วปล่อยเขาเป็นอากาศธาตุไว้เหมือนเดิม

แอ๊ด

หลังจากยืนทำใจเกือบร่วมนาทีในที่สุดเมมโม่ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าห้องไปจนได้ ทุกคนหันมองคนมาใหม่อย่างเป็นปกติ ไม่ได้หยุดคุยหรือสนใจอะไรในตัวเขาเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้เมมโม่รู้สึกดีเป็นบ้า!

"หนูเมม! มาแล้วเหรอ! มานั่งนี่สิ! " โอเค ขอถอนคำพูด

ซองอึนลุกขึ้นตะโกนเรียกคนที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมโบกมือไปมาอย่างสดใสร่าเริง ริมฝีปากสีสวยเป็นธรรมชาติแย้มยิ้มกว้างอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ ส่งไปยังเพื่อนใหม่หวังให้อีกฝ่ายตกหลุมรักเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เคยโดน

เมมโม่มองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบก่อนจะถอนหายใจกับท่าทางแสนน่ารักของซองอึนอย่างปวดประสาท

ดูก็รู้ว่าคงจะกำลังคิดสนุกบ้าบออะไรสักอย่างโดยที่ไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนแน่นอน คนไหนที่หลงกลรอยยิ้มและท่าทางน่ารักนั่นเข้าไปคงได้เหมือนตกอยู่ในกำมืออีกฝ่ายแน่ๆ

ซึ่งเขาขอบายเป็นคนแรก ทุกวันนี้ขนาดอยู่เงียบๆ ไม่วุ่นวายกับใครยังมีเรื่องเข้ามาไม่หยุดเลยเนี่ย -_-

ร่างบางไม่คิดสนใจซองอึนอีกต่อไป ดวงตากลมสวยสอดส่องหาที่นั่งเงียบๆ เหมือนดั่งเช่นทุกวัน พอเห็นมุมไกลผู้คนที่น่าพอใจก็เดินไปนั่งโดยไม่หันไปพูดจาทักทายกับใครทั้งสิ้น ทำให้คนที่โดนเมินอย่างซองอึนหลุดทำหน้างอทันที

"โหย ไทม์ดูดิ หนูเมมไม่สนใจฉันเลยอะ! " พอไม่ได้ดั่งใจซองอึนจึงกระแทกตัวนั่งลงแล้วหันไปบ่นกับเพื่อนสนิทที่เอาแต่เท้าคางมองเหม่อไม่สนใจผู้คนที่ห้อมล้อมตนอยู่

พอเห็นแบบนี้ซองอึนก็อดคิดไม่ได้ว่าสองคนนี้เหมือนกันจนน่าหมั่นไส้จริงๆ

"เขาไม่มาก็ไปหาแทนสิ" ไทม์ตอบปัดอย่างนึกรำคาญพลางปรายตามองไปยังตัวต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนร่างเล็กของเขาอารมณ์บูดก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

"จริงด้วย! นายนี่ฉลาดจริงๆ " ซองอึนรับคำเสียงใสก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับคว้าข้าวของและเพื่อนข้างกายให้เดินตามตนโดยไม่ถามความเห็นใดๆ ท่ามกลางสายตางุนงงของหญิงสาวและชายหนุ่มทั้งหลายที่ห้อมล้อมอยู่

ครืด

เสียงลากเก้าอี้เลคเชอร์ดังขึ้นไม่ไกลจากตัวของชายหนุ่มที่หวังปลีกวิเวกให้ต้องหันมองตามเสียงอย่างนึกแปลกใจ

ซองอึนยัดข้าวของทุกอย่างให้ไทม์เป็นคนถือไว้โดยที่ตัวเขาลากเก้าอี้เลคเชอร์สองตัวเข้าไปหาเมมโม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขสุดๆ

ร่างบางเผลอทำหน้าเหวอไปเสี้ยววิก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติแล้วมองผู้ก่อกวนทั้งสองด้วยแววตารำคาญอย่างไม่คิดปกปิด

"หนูเมมนั่งคนเดียวคงเหงาแย่ เค้านั่งด้วยคนนะ" ไม่คิดรอฟังคำตอบใดๆ ซองอึนลากเก้าอี้ตัวนึงประชิดติดกับของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะแทรกตัวนั่งลงแล้วหันไปส่งยิ้มหวานให้เป็นสิ่งตบท้าย

ไทม์มองเพื่อนตัวป่วนของตนพลางนึกขำอยู่ในใจ ร่างสูงส่งข้าวของที่ตนหอบมาให้วางไว้ที่โต๊ะเพื่อนตัวเล็กก่อนจะอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่ติดกับเมมโม่อีกฝั่งนึงแทน

ความจริงซองอึนไม่จำเป็นต้องลากเก้าอี้มาด้วยหรอก แต่ที่คนตัวเล็กทำแบบนั้นเพราะอยากกวนประสาทและเรียกร้องความสนใจจากเมมโม่เท่านั้นแหละ

"เฮ้อ" คนโดนก่อกวนได้แต่ถอนหายใจพลางกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย จะหนีไปนั่งที่อื่นหรือไล่ทั้งสองคนไปมันก็ใช่เรื่อง เมมโม่ไม่ชอบเป็นจุดสนใจก็จริงแต่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายมากกว่า คนอย่างซองอึนถ้าเขายิ่งหนีคงยิ่งไล่ตามแน่ๆ ปล่อยให้ทำตามใจชอบอีกเดี๋ยวก็คงเบื่อไปเองแหละ

"ซองอึนจะย้ายที่ก็ไม่บอก พวกเราจะได้ช่วยถือของ อยู่ๆ ลุกเดินมาซะเฉยๆ พวกเราตกใจหมด"

"จริงด้วย ครั้งหน้าบอกพวกเราก่อนสิ"

เป็นอีกครั้งที่เมมโม่อยากถอนคำพูด นี่ทุกคนในห้องเป็นปลาสวายกันหรือไง ทำไมถึงกรูตามสองคนนี้ยังกับเห็นขนมปังงั้นอะ มากันเกือบครึ่งห้องเลยมั้งเนี่ย

ให้ตายเหอะ! อึดอัดชะมัด!

"อ่า ขอโทษน๊า เค้ารีบไปหน่อย ไม่โกรธกันเนาะ" ซองอึนยกมือพุ่มไหว้แตะริมฝีปากพร้อมพูดขอโทษเสียงหวานแล้วตบท้ายด้วยการขยิบตาอย่างที่ชอบทำ เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ และหน้าแดงซ่านจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

โทษทีนะ นี่เขาควรมีรีแอคชั่นกับภาพตรงหน้ายังไงเหรอ?

"ไทม์ไปนั่งติดกำแพงแบบนั้นไม่อึดอัดหรือไง ข้างซองอึนเหลือที่อีกเยอะเลยนะ เปลี่ยนที่ดีมั้ย" เสียงหวานใสของหญิงสาวใบหน้าสวยคมดังขึ้นตรงหน้าชายร่างสูงที่เอาแต่ก้มหน้านอนหลับไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆ

ไทม์ไม่ตอบกลับและไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมาเลยสักนิด ทั้งที่มันเป็นการกระทำที่เสียมารยาทแต่หญิงสาวกลับไม่แสดงสีหน้าโกรธเคืองหรือคิดเซ้าซี้อะไรต่อ เธอแค่ยิ้มบางๆ แล้วหันกลับไปมองหน้าชั้นอย่างเงียบๆ เท่านั้น

หญิงสาวรู้จุดที่ควรเข้าและควรหยุดดี เพราะงั้นเธอจึงเป็นผู้หญิงคนเดียวในมหาลัยที่เคยไปนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับสองชายหนุ่มคนดัง เพราะการวางตัวที่ไม่น่ารำคาญทำให้เธอสนิทกับพวกเขามากที่สุด

เมมโม่มองเหตุการณ์รอบๆ ด้วยสีหน้าอ่อนใจ ครั้นจะลุกหนีไปก็โดนคนอื่นนั่งห้อมหน้าห้อมหลังเต็มไปหมด จึงได้แต่ตัดใจแล้วพยายามเมินเสียงน่ารำคาญให้ได้มากที่สุด

ไม่รู้สองคนนี้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้ไปได้ยังไง อย่างซองอึนน่ะไม่เท่าไหร่รายนั้นดูสนุกด้วยซ้ำ แต่ไทม์นี่สินอนไปได้ไงวะนั่น เป็นเขาคงสติแตกไปนานแล้ว สุดยอดจริงๆ

"เอาละๆ เงียบๆ หน่อย! แหม ไปกองกันที่เดียวเหมือนเคยเลยนะ" ความวุ่นวายทุกอย่างถูกหยุดลงด้วยเสียงแหลมของอาจารย์เจ้าของคลาสที่เดินเข้ามาพร้อมหอบข้าวของพะรุงพะรังแต่ก็ยังไม่วายเอ่ยเหน็บมาทางกลุ่มก้อนที่อยู่ตรงมุมห้องเช่นเคย

ดูเหมือนวันนี้จะย้ายไปอยู่ซะไกลเหมือนกันนะเนี่ย ปกติตัวต้นเหตุทั้งสองคนจะเลือกนั่งตรงกลางห้องเพื่อไม่ให้เป็นที่ลำบากกับทุกคนและอาจารย์ที่เข้าสอน แต่อย่างที่รู้คราวนี้พวกเขาเลือกทำตามใจตัวเองบ้าง เลยเกิดเป็นภาพกลุ่มก้อนมนุษย์ไปแออัดอยู่มุมห้องไกลๆ อย่างที่เห็น

"เอาเถอะ อยากทำอะไรกันก็เชิญขอแค่ส่งงานฉันครบก็พอ" อาจารย์สาวร่างท้วมเอ่ยเสียงแหลมอีกครั้งพลางเปิดกล่องแว่นตาขึ้นมาใส่เพื่อเริ่มคลาสสอนของตนโดยไม่คิดสนใจกลุ่มก้อนมนุษย์นั้นอีกต่อไป

เมมโม่ถอนหายใจกับทัศนียภาพตรงหน้าอย่างปวดจิต คนที่มานั่งห้อมล้อมส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครสนใจเรียนกันนัก พวกเขาจึงนั่งระเกะระกะกันเต็มไปหมด เดือดร้อนคนที่หวังเรียนให้ทันเพื่อนอย่างเมมโม่ติดร่างแหมองไม่เห็นสไลด์ข้างหน้าไปด้วย

"//ให้ตายสิ//" ร่างบางบ่นพึมพำอย่างหัวเสียโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนข้างกายที่ฟลุบหน้าหลับอยู่กำลังลอบสังเกตตน

ไทม์ลอบมองใบหน้าเรียวที่ฉายความหงุดหงิดอย่างนึกขำในใจ คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันจนชายหนุ่มอยากยื่นนิ้วไปจิ้มให้มันคลายออก ริมฝีปากหยักเม้มเข้าแล้วคลายออกอยู่หลายคราเหมือนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะทำอะไรอากัปกิริยาของร่างบางข้างกายเขาก็ดูน่าสนใจจนละสายตาไปไม่ได้เลย

เมื่อโดนมองนานๆ เข้าคนถูกจ้องก็เริ่มรู้สึกตัว เมมโม่ปรายสายตามองกลับคนข้างกายพร้อมเลิกคิ้วข้างนึงเป็นคำถามเพื่อต้องการเหตุผลของการโดนสำรวจจากอีกฝ่าย

ไทม์ไม่ตอบอะไร เขาแค่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นยกแขนเท้าคางมองกลับร่างบางด้วยท่าทางยียวน

เมมโม่ถอนหายใจกับท่าทางกวนประสาทของคนตรงหน้าก่อนจะหันหน้าหาทางมองสไลด์ต่อโดยไม่คิดสนใจคนข้างกายอีก ซึ่งนั่นทำให้คนถูกเมินรู้สึกขำเข้าไปใหญ่

ไทม์มองเสี้ยวหน้าของร่างบางที่พยายามสอดส่องหามุมเพื่อมองสไลด์อย่างยากลำบาก ทั้งที่เมมโม่เลือกจะโวยวายใส่พวกคนตรงหน้าไปเลยก็ได้แต่กลับไม่ทำ ร่างบางจึงต้องมานั่งหงุดหงิดเองอยู่อย่างนี้ไง จะไม่ให้คนมองอย่างเขานึกขำได้ไงไหว

ใช้ความพยายามอยู่สักพักในที่สุดเมมโม่ก็ถอดใจที่จะมองสไลด์ต่อ ร่างบางรู้ดีว่าหลังจบคลาสตนสามารถไปขอสรุปได้ แต่ถ้าหากมันได้เรียนพร้อมกับอาจารย์ในคลาสเลยก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้วหนิจะไม่ให้เขาหงุดหงิดได้ไงล่ะ

"ไม่ยืดคอต่อเหรอ" เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกทำคอยืดคอยาวแล้ว ไทม์ก็อดเอ่ยปากกวนประสาทออกไปไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงอยากแหย่อยากแกล้งอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะอยากเห็นใบหน้าเรียวคมนั่นแสดงสีหน้าอื่นนอกจากเฉยชากับรำคาญให้ได้เห็นละมั้ง

"แล้วนายล่ะไม่นอนต่อเหรอ" เมมโม่ตอบกลับเสียงเรียบทั้งที่ไม่หันไปมองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ ทำให้คนโดนเมินรู้สึกยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่

"โต๊ะมันแข็ง จะให้ยืมตักปะละ" ทั้งที่เป็นประโยคพูดที่ไม่ได้ดังมากมายอะไรแต่มันกลับทำให้คนที่ห้อมล้อมอยู่ได้ยินกันถ้วนหน้าจนต้องพากันหันมาสนใจบทสนทนาของคนทั้งคู่ทันที

"ช่วยอย่าหาเรื่องเพิ่มให้ฉันได้มะ มันน่ารำคาญรู้เปล่า" คราวนี้คู่สนทนาหันมองหน้าชายร่างสูงด้วยความหงุดหงิดทันที คนโดนเหวี่ยงกลายๆ จึงยกยิ้มมุมปากที่ทำอีกฝ่ายหลุดมาดได้อย่างนึกพอใจ

"ถ้างั้นยืมมือก็ได้ ให้ได้มั้ย...ครับ" ไทม์เอ่ยต่ออย่างนึกสนุกพลางแบมือตนยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่ายเพื่อยืนยันเจตนา

เมมโม่ปรายตามองมือที่ยื่นมาด้วยความอ่อนใจ ร่างบางไม่ปัดไล่หรือยื่นตอบรับกับคำขอของคนตรงหน้าทั้งสิ้น เพราะตัวเขารู้ดี ไม่ว่าตนจะเดินตามเกมหรือไม่ฝั่งนั้นก็สนุกหมดนั่นแหละ

ไทม์ที่เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งจึงเขย่ามือตัวเองเร่งรัดพร้อมกับเลิกคิ้วข้างนึงยียวนตบท้าย เรียกเสียงกรี๊ดเบาๆ และใบหน้าแดงซ่านของผู้คนที่มองได้เป็นอย่างมาก

นานๆ ทีได้เห็นไทม์นอกจากหน้านิ่งกับนอนไม่สนโลกแบบนี้ ยิ่งกว่าได้ของดีอีกเหอะ

"เฮ้อ" เมมโม่ถอนหายใจพร้อมกับทำท่ายื่นมือออกไปทำให้คนมองทั้งหลายตาโตลุ้นว่าร่างบางจะตอบรับหรือปฏิเสธอีกฝ่ายกันแน่

ภาพตรงหน้าดูเชื่องช้าจนคนมองทั้งหลายหงุดหงิดใจแต่ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างให้สมกับที่อยากรู้ อยู่ๆ ก็มีหนังสือเล่มหนาวางลงบนมือไทม์ตัดหน้ามือเรียวสวยของเมมโม่เข้าซะก่อน

"ไทม์อย่ากวนเมมโม่สิ ตอนนี้ทุกคนไม่สนใจฟังอาจารย์จนท่านโวยวายแล้วนะ" หญิงสาวหน้าสวยที่นั่งเก้าอี้ด้านหน้าไทม์หันมาขวางเหตุการณ์ระทึกด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงหวานที่ทำให้ผู้ชายทั้งหลายยอมศิโรราบต่อเธอ

ยกเว้นก็แต่ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้นแหละที่ไม่เคยมีปฏิกิริยาอะไรต่อมันเลย

เมมโม่ไหวไหล่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยใส่ไทม์ก่อนจะหันไปเท้าคางมองหน้าชั้นโดยไม่คิดช่วยหรือสนใจชายหนุ่มข้างกายสักนิด

ไทม์ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตอบกลับหญิงสาวก่อนจะยื่นหนังสือที่เธอวางใส่มือคืนกลับไปแล้วใช้แขนตนรองใบหน้าหลับบนโต๊ะตัดรำคาญแทน

หญิงสาวมองคนฟลุบหน้าลงหลับด้วยแววตาขบขันก่อนจะหันไปสบตาเข้ากับชายร่างบางที่หันหน้ามาพอดี สาวสวยจึงส่งยิ้มให้เล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจสไลด์ต่อ

"เธอชื่อพิ้งค์อย่าคิดจีบเชียวเพราะเธอไม่สนใจใครนอกจากไทม์หรอก" ซองอึนที่ลอบมองเหตุการณ์ทุกอย่างมาได้สักพักจึงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเตือนเมมโม่ที่มองตามแผ่นหลังหญิงสาวให้รู้สึกตัว

"อืม" ร่างบางตอบรับง่ายๆ แล้วละสายตาจากพิ้งค์ทันทีทำเอาคนที่คิดว่าจะมีเรื่องสนุกต้องยู่ปากใส่อย่างขัดใจแล้วขยับกลับมานั่งเรียบร้อยในที่ตัวเองเหมือนเดิม

เมมโม่ส่ายหน้าระอาเบาๆ กับความเด็กของคนข้างกายก่อนจะยกมือเท้าคางมองเหม่อท่ามกลางเสียงผู้คนที่รายล้อมหยอกล้อกับซองอึนอยู่

ถ้าไม่เป็นการขอที่มากเกินไป เขาขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะวุ่นวายกับคนพวกนี้ได้หรือเปล่านะ

น่ารำคาญเป็นบ้าเลย





TBC.

//ขอโทษที่เราลงตอน11 ใหม่นะคะ
พอดีเราเผลอกดลบไป
ตอนแรกกะแค่เข้ามาแก้เนื้อหาเฉยๆ ความอ๋องนี้ TT
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่11] 12/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 13-12-2018 14:04:43
 :hao3: :z13:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่12] 15/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 15-12-2018 18:06:52

Chapter 12

 

โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้บรรยากาศดีแถวหน้าคณะบริหาร มีคนดังที่คุ้นหน้าคุ้นตาของคนทั้งมหาลัยนั่งทำงานอยู่เพียงลำพังโดยไม่คิดสนใจคนรอบข้างที่หันมองตนยามเดินผ่านเลยแม้แต่น้อย

ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านใบหน้าขาวใสเรียกรอยยิ้มบางเบาอย่างนึกพอใจของเมมโม่ได้เป็นอย่างดี ดวงตากลมหลับลงสูดหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าปฏิกิริยาที่ดูเพลินตาของตนทำให้จำนวนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหยุดมองเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน

หญิงสาวจากคณะนิเทศที่รู้ข่าวลือเรื่องก่อนและหลังเมมโม่เปลี่ยนไปทำให้เธอรู้สึกสนใจชายหนุ่มร่างบางเป็นอย่างมาก เธอยืนหยุดมองแล้วเผลอยิ้มตามคนที่นั่งไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นจุดใจด้วยแววตาหลงใหล

ตั้งแต่เมมโม่กลับมาเรียนอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มีความเป็นสุภาพบุรุษและใจดีกับผู้หญิงขึ้นเยอะมาก ทำให้หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเมมโม่โดนคนแอบถ่ายรูปส่งลงเพจ Cool Boy ของมหาลัยแทบทุกวัน

มีทั้งรูปตอนเมมโม่เดินชนกับผู้หญิงจนตัวเองเปื้อนน้ำหวานแต่กลับไม่โกรธแล้วส่งยิ้มให้ รูปตอนเมมโม่ส่งสายตาเอื้ออารีและลูบแผลเป็นของผู้หญิงคณะมนุษยศาสตร์ และไหนจะรูปตอนผู้หญิงมากมายที่เป็นแฟนคลับของไทม์สร้างความลำบากใจให้ แต่เมมโม่กลับไม่บ่นว่าแถมยังช่วยอุ้มหญิงสาวหนึ่งในนั้นที่ขาแพลงไปส่งห้องพยาบาลอีก

โหย ยิ่งนึกยิ่งหลง คนอะไรเท่ชะมัด!!

ถ้าเทียบกับผู้ชายทั่วไปเมมโม่อาจดูผอมบางและหน้าสวยเกินกว่าจะฮอตในหมู่สาวๆ ได้ แต่ยุคสมัยนี้ผู้ชายหน้าตาดีแถมบ้านรวยและสุภาพบุรุษครบครัน ต่อให้หน้าสวยกว่าผู้หญิงสักสิบเท่าก็ไม่มีสาวคนไหนแคร์หรอก ใครจะว่าไม่เหมาะสมยังไงก็ช่างแต่ขอให้ได้พ่อพันธุ์ชั้นเริ่ดมาครองเธอก็พร้อมสู้ไม่ถอยแน่!

ซึ่งความคิดนี้เริ่มแผ่เป็นวงกว้างมาได้สักพักแล้ว และไม่ใช่แค่กลุ่มสาวๆ เท่านั้นที่คิด แต่ฝั่งชายหนุ่มทั้งมาดแมนและอ้อนแอ้นทั้งหลายก็เพ่งเล็งอยู่เช่นเดียวกัน

"หนูเมมรอนานมั้ย เค้าซื้อน้ำเปล่ามาให้ตัวเองด้วยนะ" เสียงหวานใสของซองอึนและร่างสูงหนาที่เดินหน้าตายเข้าไปหาชายหนุ่มร่างบางเรียกสติกลุ่มคนที่ยืนหยุดมองเมมโม่ให้รีบกระจายตัวกันทันที

สิ่งนึงที่ทำให้เมมโม่ไม่รู้ตัวว่าตนกลายเป็นคนฮอตก็เพราะสองคนนี้นี่แหละ ขยันขัดขวางกันซะจริง!

"เฮ้อ ขอบใจ" เมมโม่ถอนหายใจเบาๆ กับคำเรียกของซองอึนที่นับวันจะทำเขาปวดประสาทเข้าไปทุกที

นี่ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่สองคนนี้คอยวนเวียนอยู่รอบตัวเขาไม่ไปไหน ทั้งคู่ไม่ได้ทำตัวแย่หรือกลั่นแกล้งอะไรหรอก แต่เมมโม่แค่รู้สึกไม่ชินกับการมีคนตามติดและการถูกสกินชิพจากซองอึนสักเท่าไหร่

ช่วงแรกๆ ที่โดนซองอึนนัวเนียบอกตามตรงว่าเมมโม่อยากร้องไห้เป็นบ้า แล้วไม่ต้องพูดถึงว่าขอให้ไทม์ช่วยเลยนะ รายนั้นสนุกซะอีกที่เห็นร่างบางลำบากแบบนั้น กว่าจะเริ่มปรับตัวและปล่อยวางได้ก็ต้องไปถ่างตาดูคลิปพวกไอดอลแดนกิมจิอยู่หลายคืน

คิดซะว่าเป็นวัฒนธรรมบ้านเขาละกัน พวกนั้นทนกันได้ เมมโม่ก็ต้องทนได้ละวะ!

"ใบไม้ติดหัว" ไทม์เอ่ยแทรกเสียงเรียบพร้อมกับเอื้อมมือหยิบใบไม้จากศีรษะของร่างบางก่อนจะก้มลงสบตาอีกฝ่ายที่เงยขึ้นมองตนอยู่พอดี

"อ่า ขอบใจ" เมมโม่ตอบกลับเสียงไร้อารมณ์ไม่ต่างกันพลางยกมือปัดหัวตัวเองซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเหลือบนหัวอีก

"โหย หนูเมม ตอบกลับได้โคตรไม่น่ารักเลยอะ" ซองอึนที่นั่งตรงข้ามคนทั้งคู่เอ่ยแซวขึ้นพลางยกมือทั้งสองข้างเท้าคางแล้วยู่ปากใส่กับปฏิกิริยาที่โคตรเฉยชาของเพื่อนร่างบางอย่างนึกอ่อนใจ

อุตส่าห์หน้าตาน่ารักแท้ๆ หัดทำตัวให้สมกับหน้าตาหน่อยสิ

"เฮ้อ แล้วทำไมฉันต้องตอบกลับให้น่ารักด้วยล่ะ" บางทีเมมโม่ก็งงกับความคิดของซองอึนจริงๆ ชอบยัดเยียดตรรกะแปลกๆ ให้เขาทุกที เดี๋ยวก็บอกให้หอมแก้มกลับบ้างล่ะ ให้ทำตัวน่ารักบ้างล่ะ ให้ออดอ้อนบ้างล่ะ อย่างตอนนี้ก็มาติกับท่าทางตอบกลับของเขาอีก

ปวดหัวชะมัด

"ทำไมหนูเมมไม่ฉลาดเลยล่ะครับ หัดใช้ทรัพยากรที่มีติดตัวให้เป็นประโยชน์บ้างสิ ถ้าหนูเมมทำหน้าตาน่ารักสักนิด พูดจาหวานๆ อีกหน่อย คราวนี้ต่อให้หนูเมมชี้นกเป็นขอนไม้ ไอ้คุณไทม์ก็คงตอบเออออกับนายอย่างไม่มีปากมีเสียงแน่นอน" ซองอึนตอบคำถามเพื่อนชายตรงหน้าด้วยหน้าตาที่เก็บงำความนึกสนุกอย่างปิดไม่มิด เมมโม่มองท่าทางของคนที่ชอบเล่นไปเรื่อยอย่างนึกเหนื่อยใจ ไม่รู้จะติดเล่นไปถึงไหน ให้ตายสิ

"ซองอึนอย่าสอนอะไรแปลกๆ ให้คุณชายเขาสิ สำหรับฉันเมื่อกี้ก็น่ารักพอแล้ว" ถ้าเมมโม่จับไอ้เพื่อนกวนเบื้องล่างทั้งสองมัดรวมกันแล้วโยนลงอ่าวไทยมันจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมั้ยนะ

"แหมมมมมมม เดี๋ยวนี้มีหยอดด้วย" ซองอึนแซวเสียงเล็กเสียงน้อยพลางล้วงน้ำแข็งในแก้วตัวเองปาใส่เพื่อนร่างสูงไปด้วย

"เลิกเล่นกันได้แล้ว ฉันจะทำงาน" เมมโม่เอ่ยเบรกการหยอกล้อของเพื่อนสูงเตี้ยทั้งสองด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วคว้างานที่กองบนโต๊ะมาทำต่อโดยไม่นึกสนใจคนทั้งคู่อีก

พอโดนดุเข้าหน่อยสองชายหนุ่มแดนกิมจิก็ปิดปากเงียบแล้วถลึงตากวนกันพักนึง ก่อนที่ซองอึนผู้ติดเล่นจะทนอยู่เฉยไม่ไหวจึงย้ายตัวไปหยอกล้อตรงโต๊ะของสาวๆ ที่อยู่ไม่ไกล แล้วปล่อยให้คนที่ชอบเงียบทั้งสองอยู่กันตามลำพัง

เมมโม่ไล่ทำงานค้างช่วงที่ตนขาดไปโดยไม่พูดจาหรือคิดสนใจไทม์แม้แต่น้อย ชายร่างสูงที่โดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบยกยิ้มมุมปากแล้วเท้าคางมองใบหน้าด้านข้างของคนตั้งใจทำงานอย่างเงียบๆ

บรรยากาศรอบๆ ของคนทั้งคู่ถึงแม้จะไร้บทสนทนาแต่มันกลับไม่เคยอึดอัดหรือขัดเขินแต่อย่างใด ความรู้สึกที่ชัดเจนในใจไทม์เวลามองชายหนุ่มข้างกายมันทั้งสงบ น่าสนใจ และสนุกเมื่อได้กลั่นแกล้งอีกฝ่ายให้ปวดหัวเล่นในเวลาเดียวกัน

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ไทม์รู้สึกสนใจร่างบางข้างกายได้ถึงขนาดนี้ ไม่แน่อาจจะตั้งแต่วันแรกที่เมมโม่เดินเข้ามาในห้องหลังจากที่หายไปนานแล้วก็ได้ ช่วงเวลาที่สบตากันแล้วเหมือนถูกดึงดูดสายตาให้มองตามไป บางทีในตอนนั้นไทม์อาจจะโดนชายร่างบางคนนี้ชักนำโดยไม่รู้ตัวไปแล้วก็เป็นได้ ใครจะรู้ล่ะ

 

"ไทม์วันนี้เรียนรู้เรื่องมั้ย เอาสรุปจากฉันก็ได้นะ"

"ไทม์จะไปกินข้าวไหน เราไปด้วยได้มั้ย"

"ซองอึนวันนี้ฉันเปลี่ยนสีผมใหม่เข้ากับหน้าหรือเปล่า"

"นี่ ซองอึนจะไปกินข้าวที่ไหนเหรอ"

หลังจากอาจารย์เจ้าของคลาสเดินออกจากห้องไป ปลาสวาย(?)ทั้งหลายก็กรูเข้าใส่ขนมปัง(?)ก้อนทั้งสองแทบทันที ทำเอาเมมโม่ที่ยืนอยู่กับคนทั้งคู่โดนเบียดจนเกือบจะล้มลงกับพื้นเข้าให้ ดีนะที่เก็บข้าวของไวแล้วแทรกตัวออกมาได้ทัน ไม่งั้นได้ตายก่อนวัยอันควรไปแล้ว

ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายอาทิตย์ช่างมีค่าจริงๆ

เมมโม่หันมองกลุ่มคนที่ห้อมล้อมซองอึนกับไทม์ด้วยใบหน้าเหยเก ดูเหมือนคนทั้งคู่ก็ยังคงไม่รู้ตัวว่าเมมโม่หลุดจากวงโคจรนั้นออกมาได้แล้ว งั้นใช้จังหวะนี้ชิ่งมันทั้งหมดนี่แหละ ขอเขาอยู่สบายสักวันละกัน

ไทม์ที่โดนเบียดไปมาใช้สายตาสอดส่องหาชายร่างบางที่มักอยู่ข้างกายอย่างนึกหงุดหงิด ตัวเขาไม่แน่ใจนักว่าทำไมตัวเองถึงงุ่มง่ามเวลาอีกฝ่ายไม่อยู่ในสายตาแบบนี้ แต่ชายหนุ่มไม่คิดหาคำตอบหรอกเพราะตอนนี้สิ่งที่ควรหาก่อนคือตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองมากกว่า

"เมมโม่!!" เมื่อหาไม่เจอไทม์จึงตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่น ทำให้คนที่เบียดเสียดวุ่นวายทั้งหลายหยุดนิ่งไม่เว้นแม้แต่ซองอึนและเจ้าของชื่อที่กำลังตีเนียนจนใกล้จะถึงประตูทางออกอยู่แล้ว

"ไทม์..." ซองอึนเรียกชื่อเพื่อนสนิทเสียงแผ่วพลางยื่นมือตบบ่าเพื่อให้ร่างสูงมีสติขึ้นแล้วพยายามดันคนอื่นๆ ให้ออกห่างช่วยไทม์อีกแรง

เมมโม่ยกมือกุมขมับกับท่าทางที่โคตรเอาแต่ใจของไทม์ก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนกลับไปอย่างไร้ทางเลือก

บอกไปแล้วหนิว่าเมมโม่ไม่ชอบการเป็นจุดสนใจก็จริง แต่เมมโม่เกลียดเรื่องยุ่งยากมากกว่า และสัญชาตญาณของร่างบางบอกว่าถ้าเขาไม่ย้อนกลับไปมันจะยิ่งกว่ามีเรื่องยุ่งยากตามมาแน่ๆ

เมมโม่เดินแหวกผู้คนจนไปถึงตัวของชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่กลางวงล้อมด้วยอารมณ์แตกต่างกันสุดๆ คนนึงยืนจับบ่าเพื่อนหน้าเครียดส่วนอีกคนก็ยืนทำหน้าจะแดกหัวคนที่เข้าใกล้ได้ตลอดเวลา พอเห็นปฏิกิริยาแบบนี้ยิ่งทำให้เมมโม่รำคาญใจเข้าไปใหญ่

"เฮ้อ ทำหน้าดีๆ หน่อยไทม์" ประโยคราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์และการออดอ้อนแต่กลับทำให้ชายร่างสูงที่พร้อมแดกหัวคนในคราแรกยอมผ่อนสีหน้าลงตามคำพูดอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

"หนูเมมฝากไทม์หน่อยนะ เดี๋ยวเค้าเก็บข้าวของตามไปทีหลัง" ซองอึนที่เห็นเพื่อนเริ่มอารมณ์เย็นลงจึงวางใจดันคนตรงหน้าให้กับชายหนุ่มร่างบางช่วยดูแลต่อ

"ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ไปพร้อมกันนี่แหละ" ไทม์เอ่ยแก้ตัวเสียงเรียบแล้วยืนนิ่งไม่เดินออกจากกลุ่มคนล้อมเพื่อรอเพื่อนตัวเล็กไปพร้อมกัน

"นายน่ะหุบปากแล้วตามเมมโม่ไปเงียบๆ เลย ฉันจะเคลียร์กับสาวๆ ก่อนด้วย ให้เลือกระหว่างนายกับสาวสวยที่ขวัญเสีย ฉันเลือกสาวสวยว่ะ ที่สำคัญให้เมมโม่รอนานๆ เดี๋ยวเขาก็ทิ้งนายหนีหายไปอีกหรอก" พอได้ยินคำว่าหนีหายไทม์จึงเผลอหันมองหาร่างบางทันทีเรียกรอยยิ้มขำจากซองอึนที่เห็นปฏิกิริยาเพื่อนสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"ฉันจะรอที่หน้าห้อง นายเคลียร์กับสาวๆ เสร็จก็ตามมาแล้วกัน" เมมโม่เอ่ยตัดปัญหาให้แทน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกใจซองอึนเท่าไหร่นัก

"พวกนายไปก่อนเลย เชื่อฉันเถอะ" ซองอึนยังคงยืนยันความคิดของตัวเองอย่างหนักแน่น

"ฉันจะรอหน้าห้อง เร็วๆ ล่ะ" เมมโม่ไม่คิดสนใจกับคำพูดของซองอึนแล้วย้ำเจตนาตนอีกครั้งก่อนจะเดินแหวกกลุ่มคนออกไปรอหน้าห้องทันที

"ก็ตามนั้นแหละ พวกฉันจะไปรอหน้าห้องละกัน" ไทม์พูดย้ำอีกคนพลางยื่นมือขยี้หัวเพื่อนตัวเล็กแล้วเดินตามหลังเมมโม่ออกไป

"ให้ตายสิ ไอ้พวกซื่อบื้อเอ๊ย" ซองอึนพึมพำพลางมองตามจุดที่ทั้งสองคนเดินออกไปด้วยรอยยิ้มบางเบาก่อนจะกลับมาปั้นหน้ายิ้มแย้มหยอกล้อสาวๆ อีกครั้งเพื่อปลอบเรื่องที่ไทม์เผลอใส่อารมณ์ไปเมื่อกี้ต่อแทน

 

เมมโม่ยืนพิงกำแพงนอกห้องรอซองอึนโดยมีไทม์ยืนขนาบข้างอยู่เงียบๆ ทั้งคู่ไม่มีใครเอ่ยถามหรือพูดถึงเหตุการณ์เมื่อกี้เลยสักคน อาจเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องพูดเลยปล่อยผ่านไปซะ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองเรียกชื่อกันและกัน

ด้วยความที่เมมโม่ไม่ใช่คนช่างพูด ส่วนไทม์ก็ติดหยอกกวนประสาทมากกว่าชวนคุย คนทั้งคู่จึงไม่เคยเอ่ยชื่ออีกฝ่ายเลยสักครั้ง

แต่ต่อให้รู้สึกตัวขึ้นมาทั้งสองคนก็คงมองเป็นเรื่องไร้สาระอยู่ดีนั่นแหละ ไร้ซึ่งความโรแมนติกจริงๆ

"อ้าวไทม์ รอซองอึนอยู่เหรอ" ท่ามกลางความเงียบระหว่างคนทั้งสองในที่สุดก็มีผู้กล้าหน้าสวยเดินเข้ามาทักร่างสูงด้วยรอยยิ้มหวาน

"อืม พิ้งค์จะไปกินข้าวเหรอ" คำตอบกลับตามด้วยประโยคคำถามของไทม์สร้างความแปลกใจให้ผู้ฟังอย่างเมมโม่ได้เล็กน้อย เพราะปกติร่างสูงจะเมินทุกคำทักและไม่สนสารทุกข์สุกดิบของใครทั้งนั้นน่ะสิ

"ใช่ งั้นเราขอก่อนตัวนะ" พิ้งค์ตอบไทม์ด้วยน้ำเสียงใสแล้วหันไปส่งยิ้มทักทายเมมโม่นิดหน่อยก่อนจะหันหลังเตรียมละตัวจากไป

"เดี๋ยว อย่าบอกไทม์นะว่าจะไปกินคนเดียวน่ะ" ไทม์เอ่ยรั้งหญิงสาวด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยทำให้พิ้งค์ต้องหันกลับมาแย้มยิ้มขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

"ไทม์อย่าหงุดหงิดสิ แค่กินข้าวเอง พิ้งค์ไปกินคนเดียวได้" หญิงสาวตอบกลับเสียงนุ่มพลางยื่นมือแตะแขนเพื่อให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง

เธอรู้สึกดีทุกครั้งเวลาชายหนุ่มเป็นห่วงแบบนี้ ไม่เสียแรงที่วางตัวไว้ไม่ให้น่ารำคาญ พิ้งค์จึงได้กลายเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ไทม์ใส่ใจแบบนี้ไง

"ทนหิวอีกนิดได้มั้ย รอซองอึนแป๊บนึงแล้วไปกินพร้อมไทม์" คำชักชวนของไทม์ทำให้รอยยิ้มหญิงสาวกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบถูกปรับมาให้อยู่ในระดับเดิมอย่างสงวนท่าทีพร้อมกับที่ใบหน้าสวยพยักหน้ารับเบาๆ เป็นคำตอบ

พิ้งค์เดินเข้าไปยืนแทรกกลางระหว่างไทม์กับเมมโม่อย่างแนบเนียน แต่ก็ไม่วายชนไหล่เมมโม่เข้าอย่างไม่จริงจังนัก

"อะ! เราขอโทษนะเมมโม่ เจ็บหรือเปล่า" หญิงสาวรีบหันไปขอโทษขอโพยชายหนุ่มร่างบางยกใหญ่ มือขาวสวยเอื้อมไปลูบตามไหล่ตามแขนอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนที่ตนทำให้คนอื่นบาดเจ็บ

"ไม่เป็นไรครับ อย่าใส่ใจเลย" เมมโม่จับมือหญิงสาวตรงหน้าที่ลูบคลำตนให้หยุดแล้วดันกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะทิ้งตัวกอดอกพิงกำแพงหันหน้ามองไปทางประตูห้องเรียนอีกครั้ง

พิ้งค์ขบริมฝีปากล่างตัวเองเล็กน้อยพร้อมความคุกรุ่นที่แผ่ไปทั่วอก หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อบรรเทาอารมณ์ก่อนจะหลับตาปรับสีหน้าแล้วหันกลับไปส่งยิ้มหวานพูดคุยกับไทม์แทน

ผ่านไปได้สักพักในที่สุดซองอึนก็เดินออกมาจากห้องเรียนได้สักที ชายหนุ่มตัวเล็กเดินเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองที่รออยู่ แต่พอไปถึงก็ต้องนึกแปลกใจเมื่อเห็นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกคน

คนที่เก่งติดเล่นอย่างซองอึนเห็นดังนั้นก็อ่านสถานการณ์ออกได้ในทันที เดาได้ไม่ยากว่าตอนที่ตนไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงส่งสายตาเห็นใจไปให้เมมโม่พร้อมกับตบบ่าเบาๆ ทั้งที่อีกคนไม่นึกสนใจหรือเดือดร้อนอะไรเลย

เมื่อมากันครบแล้ว ทุกคนจึงออกเดินเพื่อไปหาอะไรกินกันต่อ โดยมีเสียงของซองอึนและพิ้งค์พูดเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง

"เมม! เมม! เมมโม่! รอก่อน! " เดินมาจนถึงหน้าคณะอยู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังของพวกเขาดังขึ้น เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าลงแล้วหันมองตามเสียงเรียกจึงพลอยทำให้คนอื่นๆ หยุดเดินตามไปด้วย

"เฌอแตม?" เมื่อหันไปสังเกตอีกฝ่ายชัดๆ เมมโม่ก็จำได้ในทันที ชายหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้าที่กำลังยืนค้ำเข่าหอบหายใจหน้าแดงเหงื่อซึมอย่างนึกแปลกใจ

"แฮ่ก ขอบ แฮ่ก ขอบคุณที่จำกันได้นะ แฮ่ก เฮ้อ!" เฌอแตมตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดหอบจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง เมมโม่เห็นดังนั้นก็ยิ้มขำกับความป้ำๆ เป๋อๆ ของเธอแล้วยกมือพัดช่วยคนตรงหน้าอีกแรง

"แล้วมาดักรอผมที่หน้าคณะมีธุระอะไรเหรอ จะมาทำร้ายร่างกายกันอีกหรือไง" พอเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจะหายใจคล่องแล้วจึงเอ่ยถามอย่างหยอกล้อทำให้คนฟังเผลอยู่ปากใจอย่างนึกขัดใจที่โดนแกล้ง

"ใช่ที่ไหนเล่า! เรามาขอร้องให้เมมโม่ช่วยต่างหาก" เฌอแตมรู้ดีว่าหลังจากที่ชายหนุ่มช่วยไปขนาดนั้นแล้วเธอไม่ควรแบกหน้ามาขอร้องอะไรอีก แต่ตอนนี้เธอไม่รู้จะไปขอร้องใครได้แล้วจริงๆ

เมมโม่ที่เห็นว่าหญิงสาวน่าจะคุยเรื่องสำคัญจึงหันไปหาอีกสามคนที่ยืนรออยู่เพื่อบอกให้ไปกันก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกันสักเท่าไหร่นัก

"ฉันรอได้" ไทม์ยังคงยืนยันคำเดิมหนักแน่น สร้างความลำบากใจให้เมมโม่เข้าไปใหญ่ คนที่น่าจะพึ่งได้อย่างซองอึนก็ดันหัวดื้อตามไปอีก

นี่จะเผือกกันให้ได้เลยใช่มั้ย

"ไม่เป็นไร เราคุยได้" เฌอแตมที่เห็นว่าเมมโม่ดูลำบากใจจึงพูดขึ้นเพื่อตัดปัญหา เพราะยังไงคนที่มาขอร้องอย่างเธอก็ไม่มีสิทธิ์เรื่องมากอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

"อืม ขอโทษนะ" เมมโม่รับคำก่อนจะเอ่ยขอโทษแล้วรอฟังคนตรงหน้าพูดเรื่องที่จะขอร้องอย่างเงียบๆ

เฌอแตมหลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าก่อนจะลืมตาขึ้นสบกับอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่เพื่อให้ชายหนุ่มตรงหน้ารับรู้ว่าเธอจริงจังมากแค่ไหน

"เมมโม่...ไปหาโคล์วเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ"

นี่ชีวิตเขาจะต้องวนเวียนกับผู้ชายพวกนี้ไปถึงไหนกันนะ ให้ตายสิ!

 


TBC.

//คิดว่าตอนที่แล้วยาวแล้วนะ

เจอตอนนี้เข้าไปอ่านตาแฉะอะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่12] 15/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 15-12-2018 19:44:06
นู๋เนมความจำจะกลับมาไหม?? แล้วใครคือพระเอ๊กกกกก :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่12] 15/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-12-2018 20:12:55
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao4:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่12] 15/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 15-12-2018 22:36:02
วนลูปอยู่กับพวกนี้จริงๆ แถมชะนีเรื่องนี้โครตเยอะ
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่12] 15/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 16-12-2018 17:55:35
 :call: :katai5: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่13] 17/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 17-12-2018 20:58:05


Chapter 13



"เฮ้อ" หลังจากฟังคำขอร้องของสาวร่างเล็กตรงหน้าจบ ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเรียวสวยก็ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้ชมทั้งสามที่ยืนฟังอยู่อีกครั้ง

"โทษที คราวนี้พวกนายต้องไปกันก่อนจริงๆ แล้วแหละ ขอฉันคุยกับผู้หญิงคนนี้เป็นการส่วนตัวนะ" พูดจบเมมโม่ก็ไม่รอฟังความเห็นของใครทั้งสิ้น ร่างบางเอื้อมมือคว้าแขนเฌอแตมแล้วเดินจากไปทันที ทิ้งให้ไทม์มองตามแผ่นหลังบางอย่างนึกหงุดหงิดในใจ

ดวงตาคมละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วหันหลังเดินไปอีกทางอย่างที่อีกฝ่ายต้องการโดยมีซองอึนและพิ้งค์เดินตามมาอย่างเงียบๆ

ในเมื่อโดนไล่ขนาดนั้นร่างสูงก็คงไม่บ้าพอจะตามตื๊ออีกต่อไป แค่ของเล่นไม่อยู่ในสายตาไม่กี่นาที ตัวเขาไม่คิดสนใจหรอก อยากทำอะไรก็เชิญ



เมมโม่เดินจับแขนเฌอแตมไม่พูดจาจนมาถึงโต๊ะหินอ่อนแถวหน้าคณะที่ตนนั่งเล่นไปเมื่อเช้า ดวงตากลมสอดส่องหาโต๊ะว่างอยู่สักพักเมื่อเจอก็พาหญิงสาวเดินตรงไปนั่งก่อนจะทิ้งตัวลงที่ตรงข้ามอีกฝ่ายในเวลาต่อมา

"ผมต้องการคำอธิบายที่มีน้ำหนักพอจากคำขอร้องเมื่อกี้" เมมโม่เปิดประเด็นเสียงเรียบแล้วเงียบรอฟังคำตอบของคนตรงหน้าอย่างไม่เร่งร้อน

เฌอแตมสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะสบตาตอบคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจังละคนเคร่งเครียดกับเรื่องที่จะเล่าพอสมควร

"อันดับแรก เราขอบคุณนะที่เมมโม่ช่วยเรื่องทางบ้านของสองคนนั้นให้" เฌอแตมเอ่ยขอบคุณในประโยคแรกพร้อมกับส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายที่แค่พยักหน้ารับเบาๆ เท่านั้น

"งั้นเข้าเรื่องเลยนะ คือหลังจากที่จบเรื่องนั้นไป ทั้งลุกซ์และโคล์วก็ยังวุ่นวายจนไม่ได้มาเรียนบ่อยนัก สองคนนั้นกำลังพยายามช่วยงานทางบ้านโดยที่พวกเราสี่คนคอยช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้..." เฌอแตมพูดเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ติดกังวล วันนี้เธอตั้งใจจะไม่อ่อนแอและร้องไห้ต่อหน้าเมมโม่เด็ดขาด

"...แต่มันก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก ในโลกของธุรกิจการเสียความเชื่อมั่นและความไว้ใจไปแล้ว พอจะกู้กลับคืนมานั้นยากมาก ทุกอย่างเลยไม่ลงตัวสักที ทั้งสองคนจึงทำงานกันหนักสุดๆ พวกเราเองก็ช่วยจนแทบไม่ได้พักเลย..." เล่ามาถึงจุดนี้หญิงสาวก็หยุดเว้นวรรคสูดหายใจแล้วหลับตาเพื่อตั้งสติก่อนจะค่อยๆ ลืมตาสบกับคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างจริงจังและเต็มไปด้วยความอ้อนวอนปนขอร้องอย่างถึงที่สุด

"...และเมื่อไม่กี่วันก่อน อยู่ๆ โคล์วก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้ไปซะเฉยๆ ลุกซ์บอกว่าอาจแค่หายไปพักที่คอนโดใกล้มอ แต่เรากังวลมากจริงๆ เพราะก่อนที่โคล์วจะหายไปเขาดูอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอจะขอคีย์การ์ดจากลุกซ์ รายนั้นก็ยุ่งมากจนขนาดอลิสต้องไปนอนเฝ้าเพราะหมอนั้นทำงานไม่ยอมกินข้าวกินปลา เราเลยไม่อยากรบกวนลุกซ์ไปมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นห่วงโคล์วอยู่ดี จะให้ไปหาโคล์วด้วยตัวเองก็ดันเข้าไม่ได้เพราะไม่มีคีย์การ์ด คนเดียวที่เรานึกถึงในตอนนั้นก็คือเมมโม่ เมมโม่นายเคยไปพักที่คอนโดของสองคนนั้นใช่มั้ย นายก็น่าจะมีคีย์การ์ดและพาเราเข้าไปได้ ขอร้องล่ะ ช่วยเราหน่อยเถอะนะ เรากังวลมากจริงๆ" คำอธิบายพรั่งพรูที่เต็มไปด้วยความร้อนรนและกังวลใจของเฌอแตมจบลงพร้อมกับใบหน้าของหญิงสาวที่พยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ

เมมโม่หลับตาถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายปนอึดอัดกับการที่ตนต้องไปวุ่นวายเรื่องของสองคนนั้นอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าร่างบางรังเกียจคนทั้งคู่หรอกนะ เพราะยังไงสองคนนั้นก็เป็นเพื่อน แถมยังเคยช่วยเหลือเขาตอนลำบากอีก แต่เมมโม่แค่ไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวายเท่าไหร่นัก และทุกครั้งที่มีเรื่องยุ่งยากทีไรส่วนใหญ่จะมาจากสองคนนั้นทุกที ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อและน่ารำคาญสุดๆ

"เฮ้อ งั้นเอางี้ เดี๋ยวผมกลับไปหาคีย์การ์ดที่บ้านดูแล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามาให้คุณ โอเคมั้ย" เมมโม่เสนอทางเลือกที่น่าจะวินวินทั้งสองฝ่ายขึ้น

"วันนี้! เราอยากไปวันนี้! ขอร้องนะเมมโม่ เราขอร้องจริงๆ จะให้เราทำอะไรก็ยอม ให้เรากราบเลยก็ได้!" พูดจบเฌอแตมก็เตรียมก้มลงจะทำตามคำพูดของตัวเองเพื่อขอร้องอีกฝ่ายทันที ร้อนให้ชายหนุ่มต้องรีบคว้าตัวหญิงสาวพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างนึกยุ่งยากใจ

เล่นใหญ่ขนาดนี้ถ้าเมมโม่ยังดื้อแพ่งจะค้านอีกก็ใจไม้ไส้ระกำเกินไปแล้วแหละ

"โอเคๆ เข้าใจแล้ว! งั้นผมจะกลับไปหาคีย์การ์ดแล้วเอามาให้ที่มหาลัยแล้วกัน แต่ถ้าเธอรีบมากก็กลับไปพร้อมกันกับผะ-"

"ไม่ค่ะ! เราจะไปเจอกันที่คอนโดโคล์ว! "

"หะ?"

เมมโม่ที่ยังพูดไม่จบประโยคดีก็ถูกคนตรงหน้าเอ่ยสวนขึ้นมาซะก่อน ทำเอาชายหนุ่มขานรับเสียงหลงด้วยความลืมตัว

"ถ้าไปๆ มาๆ มันเสียเวลาค่ะ เมมโม่กลับไปเอาคีย์การ์ด แล้วเราค่อยไปเจอกันที่คอนโดโคล์วทีเดียวเลยน่าจะเร็วกว่า" นี่ประเทศไทยมีรางวัลแฟนสาวยอดเยี่ยมหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีเขาจะได้จัดทำเองและมอบเองซะเลย ยอมใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ทุ่มเทสุดๆ

"เฮ้อ เข้าใจแล้วครับ เอาตามนั้นก็ได้ ส่งโลเคชั่นคอนโดนั้นให้ผมด้วยละกัน" ค้านไปก็เสียเวลาเปล่า ผู้หญิงเมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วก็ไม่คิดฟังใครหรอก งั้นก็ทำตามใจคุณเธอให้มันจบๆ ไปละกัน

เฌอแตมพอเห็นว่าอีกฝ่ายยอมช่วยเหลือก็เผยรอยยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ก่อนจะรับโทรศัพท์เครื่องหรูจากชายหนุ่มที่ยื่นมาให้แอดไลน์ตนแล้วส่งแผนที่คอนโดให้โดยไม่นึกเอะใจเลยว่าทำไมคนที่ไปคอนโดโคล์วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างเมมโม่ถึงจำทางไม่ได้

เมมโม่รับโทรศัพท์คืนพร้อมถอนหายใจอีกรอบเมื่อคิดว่าวันนี้ต้องทำเรื่องวุ่นวายเพราะชายหนุ่มคู่เดิมอีกครั้ง จบความยุ่งยากนี่ได้เมื่อไหร่ร่างบางจะไปทำบุญขอพรให้ไม่ต้องมาวนเวียนกับพวกผู้ชายกลุ่มนี้ทั้งชาตินี้และชาติหน้าเลย! คอยดูสิ!



15:35 น.

คอนโดชื่อดังตั้งสูงตระหง่านไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ภายในสำหรับต้อนรับแขกมีพื้นที่โอ่อ่าถูกแต่งอย่างเรียบหรูพร้อมเปิดแอร์เย็นฉ่ำให้ผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนหรือติดต่อธุระได้นั่งรอพักผ่อนด้วยความสะดวกสบาย

เมมโม่เอนตัวนั่งพิงโซฟาชุดรอบุคคลที่นัดหมายตนอยู่ที่ฟอร์นของคอนโดมาเป็นเวลาเกือบ 30 นาทีแล้ว ข้อความล่าสุดจากหญิงสาวถูกส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าอีกฝ่ายยังคงติดเรียนอยู่อาจจะมาถึงช้าหน่อย

แต่สำหรับชายหนุ่มนี่คงไม่ได้เรียกว่าหน่อยแล้วละมั้ง

ดวงตากลมหลับลงพร้อมถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันนี้อย่างปวดจิต ขนาดกลับไปเอาคีย์การ์ดที่บ้านเสียเวลาตามหาไปตั้งนานยังต้องมารอธุระที่ไม่ใช่เรื่องของตนต่ออีก

ผู้หญิงนี่น่ากลัวชะมัดเลยแฮะ

เมมโม่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยรอเฌอแตมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ครั้นจะฝากคีย์การ์ดกับแผนกต้อนรับก็ดันโดนคนในแชทบ่นนอยด์ใส่อีก เลยตัดปัญหารอซะจะได้จบๆ บางทีร่างบางก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตัวเองจะตามใจอีกฝ่ายมากไปหน่อยแล้วละมั้ง

16:00 น.

เวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง หญิงสาวตัวต้นเหตุก็ไม่ยักโผล่มาจนเมมโม่เหนื่อยจะรอ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่แผนกต้อนรับเพื่อฝากคีย์การ์ดไว้กับทางคอนโด คราวนี้ต่อให้จะโดนบ่นโดนนอยด์เมมโม่ก็ไม่สนละ ตัวเขาไม่ได้บ้าพอจะนั่งรอเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ทั้งวันหรอกนะ

Tru.. Tru..

ขณะที่กำลังติดต่อพูดคุยกับทางคอนโดอยู่นั้น เสียงโทรเข้าจากแอพพริเคชั่นสีเขียวก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์เครื่องหรูที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง

มือเรียวล้วงเครื่องมือสื่อสารที่สั่นไม่หยุดจากการโทรเข้าขึ้นดู พอเห็นชื่อที่โทรมาก็ทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะกดรับสาย

[เมมโม่! เราขอโทษนะ อาจารย์เรียกเราแก้งานอะ! น่าจะเสร็จเย็น กว่าจะถึงก็คงค่ำเลย!] คำบอกเล่าของปลายสายทำให้ผู้ฟังกลอกตาแล้วถอนหายใจซ้ำอีกที

ปล่อยให้เขารอได้ตั้งนาน ให้ตายสิ!

"งั้นผมฝากคีย์กะ-"

[เมม! ขึ้นไปดูโคล์วให้หน่อยนะ!!] นั่นไง! ว่าแล้วต้องมามุขนี้ ก็ว่าทำไมตอนนั่งรอตาขวาถึงกระตุกไม่หยุด มีเรื่องยุ่งยากเพิ่มขึ้นมาจริงๆ ด้วย

"ไม่" ชายหนุ่มตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องคิด แค่เขามาบ้านั่งรอเป็นชั่วโมงก็มากเกินพอแล้วเหอะ เรื่องอะไรต้องขึ้นไปอีกล่ะ

[เมมโม่ เราขอร้องจริงๆ ถ้าปล่อยโคล์วไว้คนเดียวเกิดอะไรขึ้นมาแย่เลย โคล์วเคยดูแลนายมาตั้งมากมายไม่ใช่เหรอ แค่ขึ้นไปดูเขาสักหน่อยจะเป็นไรไป] น้ำเสียงติดน้อยใจพร้อมประโยคจี้จุดที่ดังจากปลายสายทำเอาคนฟังยกมือลูบหน้าตัวเองอย่างปวดประสาททันที

[น๊า เมมโม่ เราขอร้อง นะ ขึ้นไปดูให้หน่อย] เฌอแตมที่เห็นว่าชายหนุ่มเงียบไปจึงเอ่ยขอร้องซ้ำด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

"เฮ้อ 5 นาที ผมจะขึ้นไปดูแค่ 5 นาทีเท่านั้น"

[เยส! ขอบใจมากนะ ไปชั้นบนสุดห้อง1517 ฝากดูแลด้วยล่ะ]

สั่งเสีย เอ่อ ฝากฝังเสร็จหญิงสาวก็ตัดสายไปพร้อมน้ำเสียงสดใสทันที ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างบางผละโทรศัพท์จากหูตัวเองมาก้มมองด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาซะเฉยๆ

รับประกันเลย ว่าถ้าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เมมโม่จะไปทำบุญแน่นอน!!



"เฮ้อ" ชายหนุ่มผู้โชคร้ายถอนหายใจที่หน้าห้องเจ้าปัญหาอย่างนึกปลดปลง มือเรียวล้วงเอาคีย์การ์ดแตะไปที่แป้นสแกนด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะกดตรงที่จับประตูแล้วดันเปิดเข้าไปในห้องอย่างเงียบเฉียบ

ห้องสูทขนาด 40 ตรม. ถูกตกแต่งสไตล์โมเดิร์นที่ดูเรียบง่ายและทันสมัย สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดเข้ามาคือห้องนั่งเล่นที่ดูสะอ้าดสะอาดพร้อมกับที่ร่างกายของผู้มาใหม่สัมผัสถึงความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นบ่งบอกว่ามีผู้อาศัยอยู่อย่างแน่นอน

เดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นมีโซฟาชุดอย่างดีและทีวีจอใหญ่พร้อมโฮมเทียเตอร์ครบครัน ขวามือเป็นห้องน้ำแล้วถัดออกไปก็ห้องนอนที่ถูกปิดอยู่ ที่แยกออกว่าห้องไหนเป็นห้องไหนเพราะบานประตูของแต่ละห้องบ่งบอกได้เป็นอย่างดี

ดวงตากลมกวาดสายตามองรอบห้องอย่างพินิจพิเคราะห์ปนชอบใจกับการตกแต่งเล็กน้อยก่อนจะหยุดชะงักตรงที่ประตูเลื่อนบานใสของส่วนครัวที่อยู่เยื้องกับห้องนอน

ด้านหลังประตูเลื่อนบานใสปรากฏภาพเลือนรางที่มาจากความทรงจำ เป็นภาพชายร่างสูงคุ้นตาที่ถูกชายหนุ่มตัวเล็กกว่าโอบกอดจากด้านหลังอย่างสนิทชิดเชื้อ เหตุการณ์ตรงหน้าสร้างความปวดหนึบไปทั่วดวงตาและหัวของเมมโม่จนต้องหลับตายกมือกุมขมับตัวเองอย่างทรมาน

ร่างบางยืนตั้งสติหายใจเข้าออกด้วยอาการหอบหนักอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆ ลืมตามองรอบห้องอีกครั้งแต่ทุกอย่างก็มีแต่ความว่างเปล่า

น่ากลัว...

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจของเมมโม่ที่ได้มาสัมผัสความหลังเข้าอย่างจังเด่นชัดมากจนน่าหวาดหวั่น ช่วงเวลาที่ผ่านมาชายหนุ่มไม่เคยขวนขวายหาอดีตของตัวเองจึงไม่เคยลิ้มรสความเจ็บปวดและทรมานเมื่อต้องมาพบเจอเรื่องราวเก่าๆ

แสดงว่าที่แห่งนี้มีความหลังของตัวเขามากกว่าที่บ้านอีกงั้นสิ?

ทางที่ดีเขาควรรีบออกไปจากที่นี่น่าจะดีกว่า

โครม! ตุบ!

เสียงดังลั่นจากห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลทำให้คนที่กำลังสับสนดึงสติตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ไปยังห้องที่มาของเสียงทันที

แอ๊ด

เมื่อห้องนอนถูกเปิดออกความเย็นจากด้านในก็ปะทะใส่ร่างบางจนต้องห่อไหล่เข้าหาตัวเล็กน้อย ดวงตากลมกวาดสายตาหาที่มาของเสียงจนเจอร่างสูงเจ้าของห้องที่นอนหอบหายใจอยู่บนพื้นโดยมีข้าวของหล่นเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด

โคล์วเงยหน้ามองบุคคลเข้ามาใหม่ด้วยสายตาพร่าเลือน พิษไข้ทำให้ชายหนุ่มปวดหัวจนแทบระเบิด ดวงตาและลมหายใจร้อนระอุดั่งจะมอดไหม้ร่างกายเขาจากภายใน แอร์ที่เปิดจนแทบจะแช่แข็งได้ทุกอย่างกลับไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อใบหน้าหล่อคมและร่างกายกำยำยังคงมีเหงื่อผุดพรายอยู่ตลอดเวลา

"ฮู้ว ฮ่า แฮ่ก" โคล์วหอบหายใจอย่างทรมานพร้อมกับค่อยๆ ใช้มือดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าด้วยดวงตาพร่าเลือนที่ฉายความคิดถึงและรักใคร่อย่างเด่นชัด

"แฮ่ก ฮู้ว เฌอ..." โคล์วเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเพ้อเพราะพิษไข้พร้อมกับคว้าร่างบางตรงหน้ามากอดแล้วซุกใบหน้าเข้าที่ไหล่เล็กก่อนจะค่อยๆ ไล่จมูกโด่งขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดที่ซอกคอขาวแล้วกดจูบแผ่วเบาพร้อมกับสูดกลิ่นหอมที่แสนคิดถึงของคนตรงหน้าอย่างเต็มที่

เมมโม่ยืนตัวแข็งเกร็งกับการกระทำของชายร่างสูงที่จู่โจมตนอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเรียวกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเพื่อเตือนสติไม่ให้ตัวเองเผลอถีบคนป่วยอย่างสุดความสามารถ

โคล์วที่ยังไม่รู้สึกตัวก็เอาแต่กอดร่างกายแบบบางพร้อมซุกหน้าเข้าซอกคอคนตัวเล็กไม่ยอมละไปไหน เมมโม่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายแค่ยืนกอดนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเพิ่มก็ลดอาการเกร็งลงแล้วยกมือกอดประคองอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะออกก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนขาร่างสูงประชิดเตียงแล้วผลักคนตรงหน้าลงนอนอย่างไม่นึกแยแส

ร่างสูงล้มลงบนเตียงอย่างแรงพร้อมกับหมดสติหลับไปทันที เมมโม่มองคนป่วยตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบทั้งที่ในใจอยากฆ่าอีกฝ่ายแทบใจขาดดิ้น

"บ้าฉิบ!" พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ก็พาลทำให้รู้สึกขนลุกจนต้องยกมือลูบคอตัวเองแรงๆ เพื่อลบรอยที่อีกฝ่ายกดจูบลงมา

"ปล่อยให้แม่งตายไปดีมั้ยเนี่ย" เมมโม่พึมพำพลางทำท่าจะเดินละจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกคนนอนหลับคว้าปลายเสื้อไว้ซะก่อน

โอ้โห เหตุการณ์นิยายเป็นบ้า!

"แฮ่ก แค่ก! ฮึก ฮึก" เสียงหอบหายใจทางปากพร้อมใบหน้าคมคายที่ขึ้นสีแดงระเรื่อมีเหงื่อผุดพรายไปทั่วดูทรมานทำให้คนมองผ่อนแรงอารมณ์ลงแล้วถอนหายใจกับสภาพใกล้ตายของโคล์วเบาๆ

"แม่งเอ๊ย! คนดีเหลือเกินนะกูเนี่ย เบื่อชะมัดเลย! " เป็นครั้งแรกที่ร่างบางสบทหัวเสียอะไรได้ขนาดนี้ ตัวเขาที่เกลียดความยุ่งยากแต่ต้องมาเจอความยุ่งยากแบบไม่สิ้นสุดอย่างนี้ จะไม่ให้หงุดหงิดได้ไงไหว

"ฉันละเกลียดพวกนายจริงๆ!" พูดจบมือเรียวก็กระชากมืออีกฝ่ายที่ดึงปลายเสื้อตัวเองไว้ออกอย่างแรงก่อนจะเดินไปหากะละมังใบเล็กใส่น้ำและผ้าสะอาดเพื่อมาเช็ดตัวคนป่วยเหงื่อท่วมให้

เมมโม่ถือกะละมังพร้อมผ้าเข้ามาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะคุกเข่าลงข้างเตียงพลางคว้าเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ จับผู้ป่วยหันหน้ามาแล้วลงมือเอาผ้าซับใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

"อืมมมมม" ความเย็นที่ถูกแตะแต้มไปตามดวงตาและใบหน้าทำให้คนป่วยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ปรือตามองคนที่ดูแลตนด้วยสายตาพร่าเลือน

"เฌอ?" โคล์วเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างไม่แน่ใจนัก เมมโม่ไม่ตอบกลับอะไรแล้วเลื่อนผ้าขึ้นพาดทับดวงตาของคนป่วยไว้ ทำให้ร่างสูงต้องนอนหลับตาไปเงียบๆ โดยไม่คิดพูดอะไรอีก

เมื่อใช้ผ้าผืนนั้นปิดดวงตาไปเมมโม่จึงหาผ้าผืนใหม่มาเช็ดตัวแทน มือเรียวจับผ้าเช็ดย้อนรูขุมขนพร้อมกับมีเสียงครางในลำคออย่างนึกพอใจของคนหลับดังขึ้นเป็นระยะ

เมื่อเช็ดให้ทั้งด้านบนด้านล่างเสร็จ ร่างบางจึงเพิ่มแอร์ขึ้นเพื่อไม่ให้หนาวเกินไปนักก่อนจะถอดเสื้อผ้าโคล์วออกทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่กางเกงในแล้วหาตัวใหม่เปลี่ยนให้โดยไม่ได้สนใจว่าจะแมทหรือไม่ คนป่วยจะใส่สบายหรือเปล่า เพราะแค่เขาทำให้ขนาดนี้ก็บุญมากแล้ว

พอเสร็จทุกอย่างเมมโม่ก็มายืนกอดอกยกยิ้มมุมปากมองผลงานตัวเองอย่างนึกขบขันกับชุดที่อีกฝ่ายใส่

ที่ทำให้ขนาดนี้เขามีเหตุผลอยู่สองข้อใหญ่ๆ คือ

1. โคล์วเคยดูแลเขามาอย่างดีโดยตลอด ถือว่าทั้งหมดที่ดูแลไปนี่เป็นค่าตอบแทนจะได้ไม่ติดค้างกันอีก

และ

2. คนที่จะมาดูแลโคล์วต่อจากเขาเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง เธอคงไม่กล้าพอจะทำอะไรแบบนี้แน่ แต่จะปล่อยให้คนที่ตัวเองรักแสดงสีหน้าใกล้ตายก็คงไม่ได้ งั้นตัดปัญหาโดยการที่เมมโม่ทำแทนไปเลยแล้วกันจะได้จบกันไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เมมโม่คอยตามใจเฌอแตมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพราะอยากจะไถ่โทษเรื่องที่ตนทำให้ใบหน้าสวยมีแผลเป็นได้บ้างไม่มากก็น้อย

ซึ่งสำหรับเขาเรื่องที่ทำไปเมื่อกี้ถือว่าไถ่โทษไปได้มากเชียวแหละ เหนื่อยฉิบหายเลย!

เมมโม่ถอนหายใจพร้อมปาดเหงื่อตัวเองนิดหน่อยก่อนจะก้มหยิบผ้าผ่มโยนใส่ผู้ป่วยที่หลับอยู่อย่างไม่ใส่ใจนัก ถ้าจะตายเพราะแค่ผ้าห่มปิดหน้าก็กรรมของคุณมึงแล้วละครับ

ไอ้ตัวปัญหาเอ๊ย!





TBC.

//เป็นตอนที่แต่งอย่างป่วงๆ มาก

หากเราอธิบายไม่เข้าใจหรือไม่สนุกต้องขอโทษด้วยนะคะ

นี่แต่งลบแต่งลบมาหลายวันละ เลยลงซะให้มันจบๆ เหนื่อย ฮ่าๆ


หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่13] 17/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-12-2018 01:25:49
อยากให้เนมคู่กับไทม์จัง
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่13] 17/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 18-12-2018 16:37:16
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่13] 17/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 19-12-2018 20:56:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่14] 22/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: GoingSunny ที่ 22-12-2018 18:25:17

Chapter 14



พรึบ! ตึง!

"คุณหนูลงแรงที่ขามากไปครับ! ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ใส่แรงตอนทุ่มไปที่สะโพกด้วย ต้องให้ประคองช่วยมั้ยครับถึงจะเข้าใจ!!"

"ขอโทษครับ!"

"ไอ้นนท์! มึงเข้าหาคุณหนูแบบกล้าๆ กลัวๆ อย่างนั้น เมื่อไหร่จะได้พัก! มึงอยากให้คุณหนูโดนยืดเวลาซ้อมหรือไงหะ!!!"

"ขอโทษครับ!"

"เริ่มใหม่!! คราวนี้ใครเสียแต้มเยอะกว่าต้องโดนอีกฝ่ายทุ่ม 10 ที!!!!"

"ครับ!!"

เสียงตหวาดลั่นของบอดี้การ์ดหนุ่มหน้าโหดดังกึกก้องไปทั่วโรงฝึกขนาดใหญ่ของตระกูลธนพัฒน์โชคสกุล ทำให้เหล่าลูกน้องคนอื่นๆ ที่มารายล้อมนั่งดูเพื่อนร่วมงานและคุณหนูคนสำคัญฝึกซ้อมกันอยู่ลอบกลืนน้ำลายกันเป็นทิวแถว

ไม่แปลกที่ทุกคนในบ้านจะสามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ เพราะปกติโรงฝึกแห่งนี้ถูกสร้างไว้สำหรับให้บอดี้การ์ดทั้งหลายใช้ฝึกฝนกัน ภายในจึงถูกตกแต่งให้โล่งโปร่งสบายเพื่อระบายอากาศได้ดี ที่พื้นปูด้วยไม้ขัดเงาอย่างดีและคอยตรวจเช็กซ่อมแซมตลอด ที่ตรงใจกลางโรงฝึกมีฟูกหนาขนาดใหญ่ปูซ้อนไว้สำหรับใช้ฝึกศิลปะต่อสู้ที่ต้องประชิดตัว

และตอนนี้ฟูกนั้นก็ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ซะด้วย

พรึบ! ตึง!

พรึบ! ตึง!

พรึบ! ตึง!

"ซี๊ดดดดดดด" เสียงล้มตึงและใบหน้าหวานที่แสดงความเจ็บปวดทุกครั้งเวลาโดนประชิดตัวทำให้คนมองทั้งหลายต่างสูดปากพร้อมปิดหน้าปิดตากันยกใหญ่

ในสายตาของรุจ นนท์อาจเป็นลูกน้องปลายแถวฝีมืออ่อน แต่สำหรับเด็กผู้ชายผอมแห้งแรงน้อยแถมมีโรคประจำตัวมากมายอย่างเมมโม่การที่เข้าต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับคนที่มีชั้นเชิงมากกว่าก็ไม่ต่างอะไรกับวิ่งไปให้ฆ่าชัดๆ เลย

"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก" ร่างบางที่นอนแผ่บนฟูกจากการโดนทุ่มรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เริ่มหอบหายใจเอาอากาศเข้าทางปากอย่างนึกเจ็บใจ

ผ่านมาจะเดือนกว่าแล้วถ้าไม่นับว่ามีเต้ที่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดกลุ่มเอมาเป็นคู่ฝึกให้บางครั้งบางคราว เมมโม่ก็เคยประชิดตัวทำแต้มและทุ่มนนท์ได้แค่11ครั้งเท่านั้น! แถมทุกครั้งร่างบางใช้เล่ห์เหลี่ยมและไหวพริบตลอด จนอีกฝ่ายตามมุขทันทุกอย่างหมดแล้ว ตอนนี้ตัวเขาจึงไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกที่ยืนนิ่งรอให้คนตรงหน้าจัดการเลยสักนิด

นนท์ก้มมองคุณหนูที่นอนหอบหายใจด้วยสายตาสั่นไหวพลางกัดริมฝีปากล่างดั่งคนคิดไม่ตก ความจริงชายหนุ่มไม่อยากทำรุนแรงและอยากแสร้งออมมือยอมให้อีกฝ่ายประชิดตัวเหมือนทุกที แต่เมื่อไม่นานมานี้การแสดงโง่ๆ ของนนท์โดนหัวหน้าใจมารจับได้เข้าให้ จึงโดนขู่ว่าถ้าทำแบบนั้นอีกรุจจะเลิกสอนเมมโม่ซะ วันนี้นนท์จึงเข้าหาคุณหนูอย่างไม่เต็มที่จนโดนด่า สุดท้ายชายหนุ่มเลยต้องกัดฟันจัดการคุณหนูให้เร็วที่สุด เพราะถ้ายังปล่อยยืดเยื้อร่างบางก็จะยิ่งเจ็บตัวมากและนานขึ้น

เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ

รุจกอดอกยืนมองคนทั้งสองที่มีอาการขณะฝึกซ้อมต่างกันราวฟ้ากับเหวด้วยสายตาราบเรียบ นนท์ถึงแม้จะไก่อ่อนแต่ยังไงก็ถูกฝึกอย่างหนักมาโดยตลอดจึงไม่มีอาการหอบ แถมคู่ซ้อมเป็นแค่เด็กผู้ชายร่างบางและอ่อนแอ เหงื่อเลยแทบไม่ออกเช่นกัน

ว่าง่ายๆ สำหรับนนท์ เมมโม่เป็นคู่ซ้อมเรียกเหงื่อยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่นนท์ไก่อ่อนยังไงก็ยังเป็นนนท์ไก่อ่อนอยู่วันยังค่ำ บอดี้การ์ดไร้ประสบการณ์เสี่ยงตายอย่างหมอนั้นคงไม่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของหมาจนตรอกหรอก

รุจยกยิ้มมุมปากมองสายตาและใบหน้าของคนที่นอนแผ่หมดสภาพอย่างนึกสนุก เอาสิครับ คุณหนูผู้เย่อหยิ่ง ลองหาทางเอาตัวรอดให้ดูหน่อยเป็นไง

เมมโม่ลอบสังเกตปฏิกิริยาของนนท์ที่เริ่มดูร้อนรนเมื่อเห็นตนไม่ยอมลุกขึ้น ร่างสูงโปร่งขยับเดินเข้ามาใกล้คนนอนแผ่อยู่ด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่นึกระวังตัว สร้างรอยยิ้มให้คนที่นอนรอจังหวะอยู่ได้ในทันที

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ในระยะที่คาดการณ์แล้วเมมโม่จึงขยับมือขวาแนบไปที่พื้นก่อนจะตะแคงหันข้างตามมือที่แนบลงแล้วถีบตัวสไลด์พร้อมใช้มือออกแรงยันจนตัวเองลุกขึ้นกึ่งนั่งก่อนจะใช้ขาซ้ายเตะไปที่ข้อพับขาอีกฝ่ายเต็มแรงอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่กำลังลงแรงเดินไปที่เท้าต้องคุกเข่าลงด้วยความตกใจ จึงเป็นจังหวะให้เมมโม่รีบคว้าปกเสื้อคนที่ยังไม่ทันตั้งตัวให้กระแทกนอนแผ่ก่อนที่ตนจะตามขึ้นค่อมนั่งลงตรงอกนนท์แล้วกำหมัดพุ่งไปที่หน้าคนเสียท่าอย่างรวดเร็ว

นนท์หลับตาแน่นรอรับความเจ็บพร้อมหัวใจเต้นระรัว แต่เวลาผ่านไปหลายวินาที ตนก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความนึกแปลกใจ

ภาพที่แสดงตรงหน้าคือกำปั้นของคนที่นั่งอยู่บนอกห่างจากปลายจมูกตนไปไม่กี่มิล ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงหน้ามองอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มบางมาให้อย่างนึกชื่นชม

ไม่ใช่ว่าท่าเมื่อกี้นนท์ป้องกันไม่ได้ แต่นนท์ไม่คิดว่าคุณหนูแสนบอบบางของตนจะทำได้ต่างหาก

ผู้ชมทั้งหลายต่างนิ่งเงียบเหมือนถูกสตาฟ ถ้าพวกเขาจำไม่ผิด ท่านี้คือท่าที่หัวหน้าบอดี้การ์ดกลุ่มเอเคยใช้ล้มหัวหน้าการ์ดใจมารอย่างรุจตอนที่ชายหนุ่มพ่ายแพ้ให้รุจนับครั้งไม่ถ้วนไม่ใช่เหรอนั่น

รุจมองร่างบางที่เอาท่าแห่งความหลังอันเจ็บปวดมาใช้ก็นึกเข่นเขี้ยวในใจกับความเจ้าเล่ห์ของคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

ให้สอนลูกศิษย์เขาไม่กี่ทีแอบถ่ายทอดวิชามารให้กันด้วยเหรอเนี่ย ร้ายกาจ!

แปะ แปะ แปะๆ

"วี๊ดวิ๊ว! คุณหนูเจ๋งมากครับ"

"ไอ้นนท์ไอ้กระจอก!"

"ค้างท่านี้แป๊บนะครับ ผมจะถ่ายไว้ล้อไอ้นนท์ยันลูกบวชเลย!"

"คุณหนูเท่ที่สุด!"

หลังจากที่ทุกคนได้สติก็พากันเป่าปากส่งเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วโรงฝึก ทำให้คนโดนแซวทั้งสองเผยสีหน้าเอือมพร้อมรอยยิ้มบางก่อนจะลุกขึ้นผละออกจากกัน

"โอเค วันนี้พอแค่นี้แหละ คุณหนูไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะครับ" รุจพูดแทรกเสียงโห่ขึ้นพลางหยิบผ้าขนหนูเดินไปส่งให้ร่างบางที่เหงื่อถ่วมซับ

"ไม่ลงโทษเหรอครับ" เมมโม่ไม่รับผ้าจากอาจารย์หน้าโหดแล้วเอ่ยถามกลับด้วยใบหน้าราบเรียบที่ติดฉงนอยู่เล็กน้อย

"ถ้านับจากที่นนท์ทุ่มคุณหนูไป ผมว่ามันเกินบทลงโทษที่ตั้งไว้ไปมากโขอยู่นะครับ ที่สำคัญคุณหนูมีนัดกับหมอนิวัติต่อด้วย ผมเกรงว่าถ้าให้โดนลงโทษเพิ่มอีกคงได้เปลี่ยนแผนกหมอที่ต้องไปพบเอาน่ะครับ" คำตอบราบเรียบที่ดูไม่มีอารมณ์อะไรเจือปนแต่ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บจี๊ดได้ไม่น้อย ร่างบางจึงถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มแล้วเอื้อมมือรับผ้ามาซับเหงื่ออย่างช่วยไม่ได้

"งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ ถ้าเสร็จแล้วผมจะเป็นคนไปบอกลุงคนขับเอง พี่รุจไม่ต้องตามไปโรง'บาลด้วยหรอก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักบ้างนะครับ ผมขอตัวละ" เมมโม่พูดรวบรัดเสร็จสรรพโดยไม่สนสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายที่จะเอ่ยขานอยู่หลายคราก่อนจะหันหลังเอาผ้าพาดบ่าเดินออกจากโรงฝึกไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้บอดี้การ์ดหน้าโหดมองตามแผ่นหลังบางตาละห้อย

"ทำใจนะพี่ คุณหนูอยู่ในช่วงต่อต้าน ตามติดมากๆ ระวังเธอเกลียดขี้หน้าเอานะครับ" นนท์เดินเข้าไปตบบ่าพร้อมพูดเหมือนเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ(?)เสียเต็มประดา ทำให้คนโดนแซวหัวคิ้วกระตุกเลยยกเท้าถีบอีกฝ่ายเข้าให้เพื่อระบายอารมณ์

"เกลียดขี้หน้าพ่อง! ไปทำงานเลยไป๊! พวกมึงก็ด้วยยืนมุงดูห่าอะไรกัน! แยกย้ายสิวะ!!" พอเห็นหัวหน้าใจมารองค์ลง ลูกน้องทั้งหลายจึงรีบพากันสลายตัวอย่างรวดเร็ว

แบบนี้ละน้า โดนทิ้งแล้วพาล เหนื่อยใจคนระดับล่างอย่างพวกเขาจริงๆ



เมอร์ซิเด้น-เบนซ์ คันหรูเจ้าประจำเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปส่งผู้โดยสารคนสำคัญทั้งสองตามกำหนดนัดหมอประจำเดือน

ภายในรถไร้บทสนทนาเหมือนทุกที แต่คราวนี้มีบรรยากาศมาคุจากนักศึกษาแพทย์ปี4 ให้คนขับชายชราได้ลอบยิ้มเหนื่อยใจกับความแสบของคุณหนูใหญ่ของบ้านเล็กน้อย

ชายหนุ่มร่างเพรียวถอนหายใจพลางยกมือเท้าคางทอดสายตาไปนอกหน้าต่างรถอย่างนึกปลงตก ช่วงหลายเดือนมานี้ชายหนุ่มมีสอบและเตรียมเข้าศึกษางานในคลินิกและโรงพยาบาลจนแทบไม่มีเวลานอน อีกไม่นานก็จะได้เริ่มราววอร์ดแต่ก็ยังไม่วายต้องพะวงเรื่องเลคเซอร์และงานต่างๆ อีก

ปีนี้อย่าถามถึงเรื่องปิดเทอมเลย ถามว่าจะได้นอนบ้างหรือเปล่าดีกว่าเหอะ

ทั้งที่ชีวิตประจำวันของเขาก็แทบจะยืมอายุไขจากอนาคตตัวเองมาใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทนที่มีวันหยุดแบบนานๆ ครั้ง ชายหนุ่มจะได้หลับเต็มอิ่มแต่กลับต้องโดนลากขึ้นรถโดยฝีมือปีศาจแรงช้างอย่างงงๆ แถมไม่อธิบายอะไรเลยสักคำ

นี่ถ้าพาเขาไปฆ่าก็จบกันเลยนะเนี่ย

เมมโม่ลอบมองคนข้างกายที่หันหน้าออกนอกหน้าต่างพร้อมแผ่รังสีฟาดฟันอย่างนึกขบขัน ที่ร่างบางลากชายหนุ่มมาด้วยไม่ใช่อยากกลั้นแกล้งหรืออะไรหรอก รู้ว่าเป็นนักศึกษาแพทย์มันเหนื่อยแต่ชายหนุ่มก็ควรผ่อนคลายบ้าง เมมโม่เลยกะว่าหลังพบหมอนิวัติเสร็จจะพาอีกฝ่ายไปเลี้ยงข้าวเดินเที่ยวตามภาษาวัยรุ่นสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าที่คุณหมอคงอยากทิ้งตัวลงเตียงซะมากกว่า งั้นก็ถือซะว่าได้ประสบการณ์เที่ยวแบบลืมไม่ลงไปเลยก็แล้วกัน



ใช้เวลาฝ่ารถติดของประเทศไทยมาเกือบชั่วโมง ในที่สุดรถยุโรปคันหรูก็เลี้ยวเข้าโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแล้วจอดลงด้านหน้าทางเข้าอย่างนิ่มนวล

ผู้โดยสารโชคร้ายที่โดนลากมาโดยไม่รู้จุดหมายในคราแรกพอเห็นว่ารถหยุดจอดที่ไหนก็เผยสีหน้ากังวลไปชั่วขณะนึงก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติแต่ยังคงขมวดคิ้วนั่งนิ่งไม่ยอมลงรถ

"ไม่ลงเหรอคุณ ผมขอเวลาคุยกับหมอแป๊บเดียวไปรอด้านในด้วยกันก็ได้นะ" เมมโม่ที่เห็นอีกฝ่ายไม่ขยับลงตาม ตนจึงก้มหน้ามองเข้าไปในรถถามร่างเพรียวอย่างนึกแปลกใจ

"นายไปจัดการธุระเถอะ ฉันรอแถวนี้ได้" ชายหนุ่มตอบปัดแล้วเดินลงตามไป เขาคงต้องไปหาที่นั่งรอเงียบๆ โดยไม่เข้าใกล้บริเวณโรงพยาบาลให้มากที่สุด

"แล้วผมจะติดต่อคุณยังไง โทรศัพท์ที่ผมซื้อให้คุณก็ไม่เอา ผมใช้โทรจิตไม่ได้หรอกนะ คุณรู้ใช่มั้ย" เมมโม่เอ่ยถามพลางขมวดคิ้วงงกับท่าทางของคนตรงหน้าที่ดูร้อนรนแปลกๆ

"งั้นฉันรอที่สวนข้างโรงพยาบาลแล้วกัน เสร็จแล้วไปหาฉันที่นั่นนะ" พูดจบชายหนุ่มก็ส่งยิ้มบางปนลำบากใจเล็กน้อยแล้วรีบเดินไปยังจุดหมายที่ตนบอกไว้กับอีกฝ่ายทันที

เมมโม่มองตามแผ่นหลังอย่างนึกสงสัยก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปพยักหน้าบอกลุงคนขับให้ตามไปดูแลร่างเพรียวแทนตน

ชายชราโค้งรับคำสั่งคุณหนูของบ้านเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินตามคนที่เดินหายไปได้สักพักอย่างไม่เร่งร้อน

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเมมโม่ก็เดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำธุระของตัวเองต่อ ดูท่าวันนี้จะมีเรื่องให้คิดเยอะเหมือนกันนะเนี่ย



"โอเค วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน อย่าลืมทานยาตามที่พี่จัดให้หมดก่อนถึงกำหนดครั้งหน้าด้วยล่ะ" หมอหนุ่มรูปหล่อเอ่ยขึ้นหลังจากได้นั่งพูดคุยและถามความคืบหน้าอาการของคนป่วยเคสพิเศษของตนได้สักระยะแล้ว

อาการสูญเสียความทรงจำของเมมโม่ไม่ได้ร้ายแรงจนขนาดใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ แถมตัวผู้ป่วยเองก็ดูไม่รีบเร่งหรืออยากรู้ความทรงจำสมัยก่อนของตัวเองเท่าไหร่นัก คนเป็นหมอเลยลำบากนิดหน่อยเพราะร่างบางไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการรักษาเท่าที่ควร

"ขอบคุณมากครับ" เมมโม่เอ่ยตอบคุณหมอพร้อมรอยยิ้มบาง ทำให้หมอที่หัวหมุนทั้งวันรู้สึกผ่อนคลายได้ในทันที

คิดถึงรอยยิ้มแบบนี้จัง

"แล้วนี่เราจะไปไหนต่อเหรอ ถ้าพี่ไม่ติดคนไข้ต่อก็อยากชวนไปกินข้าวด้วยเหมือนกันนะเนี่ย" หมอวัติพูดพลางลุกขึ้นตามคนไข้ตรงหน้าที่ยืนเก็บของเตรียมออกจากห้องของตน

"ผมกะจะพาว่าที่คุณหมอไปผ่อนคลายสักหน่อยน่ะครับ" หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ เมมโม่จึงตอบหมอหนุ่มพร้อมรอยยิ้มแล้วหันมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อเตรียมบอกลา

"ว่าที่คุณหมอ? งี้ก็เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่น่ะสิ พามาด้วยหรือเปล่า พี่ขอเจอได้มั้ย เผื่อเป็นเพชรเม็ดงามจะได้จีบมาเป็นหมอที่โรง'บาลตั้งแต่เนิ่นๆ"

"ฮ่าๆ เอาสิครับ เขารอที่สวนข้างโรงพยาบาลนี่เอง พี่วัติจะได้เดินเล่นสูดอากาศด้วย"

"โอเค งั้นรอพี่บอกพยาบาลแป๊บนะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน"

"ครับ"

พอตกลงกันได้เมมโม่จึงปล่อยให้นิวัติจัดการธุระต่ออีกเล็กน้อยก่อนที่คุณหมอจะไปแจ้งพยาบาลว่าตนออกไปเดินเล่นข้างโรงพยาบาลมีอะไรเร่งด่วนให้ไปตามที่นั่น พอเรียบร้อยทุกอย่างทั้งคู่ก็ออกเดินไปยังจุดหมายพร้อมพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง



สวนนั่งเล่นบรรยากาศดีที่สร้างไว้ให้ผู้ป่วยได้มายืดเส้นรับลม มีชายหนุ่มร่างเพรียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวสีขาวใต้ร่มไม้ด้วยใบหน้าผ่อนคลายพร้อมระบายยิ้มบางอย่างนึกชอบใจ

ถ้าไม่โดนเมมโม่ลากมาก็คงอุดอู้นอนแผ่ไม่ไปไหนแน่ๆ ให้เครดิตหน่อยก็แล้วกัน

คนที่โดนนินทาในใจเดินมากับคุณหมอหนุ่มพลางสอดส่องสายตาหาคนที่นัดไว้ก่อนจะสะดุดเข้ากับแผ่นหลังเพรียวคุ้นตาที่นั่งหันหลังแกว่งขาบนม้านั่งอย่างอารมณ์ดี

ดูเหมือนการลากออกมาข้างนอกครั้งนี้จะได้ผลดีไม่น้อยเลย

"เจอแล้ว ไปกันครับ" เมมโม่เอ่ยบอกคนข้างกายก่อนจะเดินนำร่างสูงที่เดินตามไปอย่างเงียบๆ พร้อมรอยยิ้มเอ็นดู

"คุณ รอนานมั้ย แล้วลุงหายไปไหน ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ" พอถึงตัวเป้าหมายเมมโม่ก็เอ่ยถามอย่างนึกแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่ามีแค่ชายหนุ่มร่างเพรียวนั่งอยู่คนเดียวเท่านั้น

"อ่า ไม่นาน ลุงแกไปซื้อน้ำ เดี๋ยวคะ...คง...มา" ท้ายประโยคของคนโดนถามขาดห้วงไปพร้อมกับลมหายใจที่สะดุดและหัวใจเต้นระรัวเมื่อเห็นว่าร่างบางพาใครอีกคนมาด้วย

นิวัติมองใบหน้าสวยตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความห่วงหาอาธรณ์โดยไม่ปกปิด ต่างจากอีกฝ่ายที่นอกจากความตกใจแล้วก็ไม่ฉายอะไรอีกเลย แถมยังติดดูเย็นชาเสียด้วยซ้ำ

เมมโม่มองชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนมองหน้ากันนิ่งเหมือนถูกหยุดเวลาไปดื้อๆ ด้วยความงุนงง แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ไม่คิดเอ่ยถามอะไรแล้วขยับถอยหลังไปเงียบๆ เพราะคิดว่าคนทั้งคู่คงอยากจะพูดคุยกันบ้าง

"เมมโม่! รีบไปกันเถอะ ฉันอยากกลับแล้ว" เป็นชายหนุ่มร่างเพรียวที่ดึงสติได้ก่อน ดวงตามีเสน่ห์ละจากใบหน้าอีกฝ่ายและไม่คิดปรายตามองพร้อมกับเอ่ยเร่งร่างบางแล้วเดินนำออกไปที่รถอย่างรวดเร็ว

เมมโม่ถอนหายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหันไปก้มหัวขอโทษคุณหมอเล็กน้อยแล้วเดินตามร่างเพรียวไปอย่างเงียบๆ

นิวัติหลับตาลงพลางยกมือบีบสันจมูกเพื่อตั้งสติและบังคับตัวเองไม่ให้มองตามแผ่นหลังเพรียวจนคิดสั้นวิ่งตามไปฉุดรั้งเหมือนคนบ้าอีก

คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน เขาคงไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกแล้วใช่มั้ย...

"//คัตเตอร์//"




TBC.
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่14] 22/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: เบลม็อท ที่ 24-12-2018 16:09:57
 :call: :katai2-1: :mew3:
หัวข้อ: Re: ✎MemorY ความทรงจำสีจาง #เมมโม่สีจาง Up! [ความทรงจำที่14] 22/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 18-01-2019 15:24:43
 o13 :pig4: