พิมพ์หน้านี้ - [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:07:23

หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:07:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:10:10
สวัสดีค่ะ...เรื่องนี้เป็นนิยายYเรื่องแรกที่เขียนค่ะ (แล้วก็ยังเขียนอยู่....)

เนื้อหาเกี่ยวกับคนข้างห้องสองคนที่มีวิถีชีวิตอยู่คนละโลกแต่บังเอิญมีเหตุให้มาพัวพันกันด้วยเรื่องราวหลายๆ อย่างค่ะ (คนข้างห้องที่ยาวเป็นมหากาพย์)

เนื้อหาหลักสำหรับเรื่องนี้จบไปแล้วนะคะ (เตือนไว้ก่อนว่ายาวมาก) เอามาลงประเดิมก่อนห้าตอนแรกค่ะ

เรื่องนี้มีรวมเล่มแล้วนะคะ ทั้งหมด9เล่มค่ะ (8เล่มจบ อีกเล่มเป็นตอนพิเศษค่ะ)

**อนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายรัก แต่เป็นนิยายลุ้นว่าเมื่อไหร่จะรักกันได้(?) และติดจะซีเรียสหน่อยๆ ถึงซีเรียสมากนะคะ เหมาะสำหรับคนชอบอะไรหนักๆ (เพราะยาวจริงๆ)

------------------------------------------------
บทที่1 คนข้างห้อง
   เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังแหวกความเงียบภายในห้องพักขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างประณีต ผู้อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมคอมพิวเตอร์แบบพกพาสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้า หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ กรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง
   “Привет!” ภาษาต่างชาติถูกกล่าวออกมาด้วยสำเนียงเจ้าของ เสียงปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ใคร่จะร่าเริงเท่าไหร่นัก คนพูดปิดโป๊ะไฟบนโต๊ะ พยุงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่หน้าต่างแหวกม่านยาวสีโอลด์โรสออก แสงแดดยามเย็นที่ส่องผ่านม่านเข้ามาส่องให้เห็นรูปร่างสูงใหญ่และสันทัดแบบคนยุโรปในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกางเกงขาสั้นสีดำ ชายหนุ่มขยับหน้าต่างให้เปิดออก ในขณะที่เสียงปลายสายดังอู้อี้
   ไอร้อนจากท่อไอเสียบนถนนและเสียงเครื่องยนต์คำรามลอยขึ้นมากระทบใบหน้าและหู จนรู้สึกร้อนผ่าว ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังมีแก่ใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“Well, If you think like that. I will throw it out.” กล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ ปอยผมสีดำสนิทซอยสั้นพลิ้วไหวไปตามสายลมอุ่นร้อนที่พัดขึ้นมา เสียงปลายสายดูจะไม่ตลกด้วย แต่คนพูดยังคงทำท่าทีไม่ทุกข์ร้อน   
“We work together for long, didn’t trust me? Oh don’t say that, you know who I am.”
   บทสนทนายังดำเนินต่ออยู่อีกพักหนึ่งจึงยุติ โดยจบที่คำพูดเย้าแหย่อย่างสนิทสนม ชายหนุ่มระบายลมหายใจด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง หย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ทอดสายตาลงไปเบื้องล่าง ขบวนรถจอดติดไฟแดงเรียงรายกันราวกับของเล่น เมื่อมองลงมาจากชั้นสิบเอ็ด  แสงสีส้มสุดท้ายของวันกำลังทาบทาบนท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน บ่งบอกว่าอีกไม่นานความมืดจะมาเยือน
   ร่างสูงสมส่วนถอนหายใจอีกรอบ พาตัวเองกลับเข้ามาในห้องที่ถูกปรับอุณหภูมิเอาไว้ด้วยเครื่องปรับอากาศ เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาอนาทร คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่อยู่บนโต๊ะเข้าสู่โหมดรักษาหน้าจอไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง ขยับเมาส์เบาๆ ภาพถ่ายและเนื้อหาที่เป็นทั้งลายมือเขียน และไฟล์ดิจิตอลปรากฏขึ้นมา แสงของมันสะท้อนอยู่ในดวงตาสีแปลก
   อ่านต่อไปอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ มัดกล้ามเนื้อบนลำแขนเรียงกันเป็นระเบียบได้รูป เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ เขาจัดแจงเก็บคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเข้ากระเป๋า ก่อนจะสอดไว้ใต้ที่นอน บิดขี้เกียจอีกรอบหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าสบายๆ ไปยังประตูห้อง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ถึงจะไม่หิวเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องนั่งจ้องข้อมูลพิสดารแบบนี้ เลือกลงไปเพิ่มน้ำหนักดูจะเป็นทางเลือกที่แทบไม่ต้องคิดเลย
   แสงไฟสีส้มอ่อนๆ ของดวงไฟทางเดินส่องทาบทาใบหน้าซึ่งเปิดประตูออกมา เผยให้เห็นเครื่องหน้าได้รูป คิ้วเรียวดกดำ จมูกโด่งอย่างชาวยุโรป ริมฝีปากหนาพองาม นัยน์ตาเรียวแผงความขี้เล่นเอาไว้เล็กๆ และส่วนที่สะดุดตาที่สุด ดูจะเป็นสีของนัยน์ตาคู่นั้น ข้างซ้ายหนึ่งเป็นสีเขียวแกมน้ำตาล ขณะที่อีกข้างหนึ่งเป็นสีเทาน้ำข้าว
   เสียงวัตถุหนักกระทบกับผิวคอนกรีตทำให้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแปลกเบือนหน้าไปมองอย่างไม่ตั้งใจ มันดังมาจากห้องติดกันนี่เอง เขามองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังพยายามจะดันกล่องใส่ของขนาดใหญ่แทบจะพอดีกับประตูเข้าไปในห้องพัก ท่าทางจะเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่
   หลังจากดูท่าว่าเจ้าตัวคงจะเอาเข้าไปคนเดียวไม่ไหวแน่ หนุ่มต่างชาติจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา “Let me help?”
   ผู้ถูกเอ่ยถามสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองอย่างงุนงง ดวงตาใต้แว่นตาหนาเตอะดูจะแดงเรื่อผิดปกติ เขากะพริบตาอยู่พักหนึ่งอย่างคนตัดสินใจอะไรไม่ถูก หนุ่มต่างชาติเลยก้มลงขยับกล่องนั้นให้พอดีกับประตูด้วยเรี่ยวแรงที่ชวนให้แปลกใจสำหรับเจ้าของกล่อง ก่อนจะช่วยกันเคลื่อนมันเข้าไปในห้องได้สำเร็จ
   “Thank you” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยอย่างประหม่า พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า และพลาดปาดเอาแว่นตาด้วย คนมาช่วยยิ้มอย่างใจดี
   “Never mind. อืม...ผมพูดไทยได้”
   อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนบอกขอบคุณอีกครั้ง และหันไปขนของอย่างอื่นต่อ แต่แล้วเขาก็งุนงงมากขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายช่วยหอบข้าวหอบของเข้ามาราวกับเป็นเพื่อนสนิทกัน หรือไม่ก็ถูกวานมาให้ช่วย ขณะที่อ้าปากจะพูดอะไร ทางนั้นก็เหมือนจะเดาความคิดของเขาออก
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง ช่วยๆ กันเดี๋ยวก็เสร็จ”
   สำเนียงแม้แปร่งอยู่บ้าง แต่ก็ฟังชัดเจนและคล่องแคล่วพอตัว คนถูกช่วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้า ปล่อยให้คนข้างห้องที่ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อช่วยขนสัมภาระของตนเข้าไปไว้ในห้องพัก   
“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ผู้ย้ายมาใหม่กล่าวพลางขยับแว่นให้เข้าที่อีกครั้ง คราวนี้เขาปาดเหงื่อโดยไม่พลาดไปโดนแว่นตาอีก แต่กระนั้นขอบตาก็ยังแดงระเรื่ออยู่ แถมใบหน้าออกจะดูซีดๆ เหมือนคนกำลังป่วย
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” หนุ่มร่างสูงยิ้มอีกครั้ง โบกมือไม่ใส่ใจ “เอ้อ.. ถ้ายังไง ลงไปทานอาหารด้วยกันไหมครับ นี่ก็ค่ำแล้ว”
   ฝ่ายถูกถามอึ้งไปอีกพักใหญ่ สีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่ในที่สุดก็ตอบตกลง
   “กะ..ก็ได้ครับ”

   เสียงคำรามของเครื่องยนต์จากเหล่าบรรดายวดยานบนถนนดังหึ่งๆ มากระทบโสตประสาท ขณะที่ทั้งคู่เดินมาถึงแผงขายบะหมี่ ซึ่งจอดขายอยู่ตรงซอยด้านหน้าทางเข้าคอนโดที่พัก  หนุ่มต่างชาติสั่งอาหารเป็นภาษาไทยอย่างคล่องแคล่วจนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจ
   “มาอยู่เมืองไทยนานแล้วหรือครับ?” ผู้ถูกชวนเอ่ยปากถาม ขณะที่ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกซึ่งคั่นกลางตัวโต๊ะเหล็กสีน้ำเงิน ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม จะหยิบตะเกียบขึ้นมาเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่ และส่งให้ผู้ร่วมโต๊ะ
   “ก็เคยมาสองสามครั้งน่ะครับ พอดีแม่ผมเป็นคนไทย”
   “อ้อ…. ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายกล่าว ยื่นมือออกไปรับช้อนและตะเกียบ “เป็นคนที่ไหนหรอครับ”
   “รัสเซียน่ะครับ  เอ้อ..ผม รูฟัส เวสธ์ แล้วคุณ...”
   “เอ้อ.. อภิวัฒน์ครับ เรียกฟ่งก็ได้”
   เวลาผ่านมาตั้งนาน เพิ่งนึกจะแนะนำตัวกันตอนกินข้าว รูฟัสอมยิ้ม มองดูใบหน้าคนนั่งตรงข้ามและกล่าวต่อ “อ้อ..คนจีนสินะครับ”
   “พ่อกับแม่น่ะครับ” ฟ่งตอบ เขาเป็นชายหนุ่มอายุคงราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้า สูงสักร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ รูปร่างผอมอยู่พอสมควรสำหรับคนส่วนสูงเท่านี้ นอกจากสวมแว่นสายตาหนาเตอะแล้ว เรือนผมดำออกสีน้ำตาลยาวปรกต้นคอก็ดูยุ่งๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะสางให้ดี หัวคิ้วมนยาวจรดหางตาเรียว ที่ดูออกจะโตกว่ามาตรฐานเชื้อสายชาวจีนอยู่บ้าง จมูกไม่หนาไม่บาง แต่ริมฝีปากดูตกเหมือนคนกำลังอมทุกข์ตลอดเวลา เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แดงระเรื่อขึ้นมาในบางระยะ คงมีเรื่องอะไรอยู่ในใจที่บอกใครไม่ได้
   “เอ่อ..ตานั่น..เป็นมาแต่เกิดหรอครับ” ฟ่งเอ่ยถาม หลังจากตั้งสติมองหน้าคนที่จู่ๆ ก็เข้ามาช่วยยกของและชวนมากินข้าวได้อย่างชัดๆ ตอนแรกเขานึกระแวงเหมือนกันว่าจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ แต่คงไม่มีสิบแปดมงกุฎคนไหนชวนคนที่จะต้มลงมากินแผงบะหมี่ข้างทางแบบนี้หรอก
รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ครับ ติดมาจากพ่อน่ะครับ”
   บทสนทนายุติลงเมื่อเด็กหนุ่มยกชามบะหมี่เข้ามา

   “ขอบคุณที่ชวนทานข้าวนะครับ” ฟ่งเอ่ยขึ้น ขณะที่ทั้งคู่เดินกลับมายังห้องพัก
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่า กินข้าวคนเดียวน่ะเหงาจะตายไป” รูฟัสพูดยิ้มๆ โดยไม่ได้สังเกตว่าคู่สนทนาเงียบไป
   “แล้วเจอกันนะครับ” ชายหนุ่มตาสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง ขณะที่ผลักประตูห้องพักเข้าไป
   “เอ้อ ครับ” ฟ่งรับคำแบบงงๆ ก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไปเช่นกัน
   ทันที่ที่ประตูปิดลง ชายหนุ่มโยนทุกอย่างลงกับพื้น กระแทกตัวลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยไม่สนใจจะจัดวางข้าวของให้เข้าที่ก่อน
   “ดา..” ฟ่งพึมพำกับตัวเอง ขณะที่น้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
----------------------------------
   เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้น ฟ่งกะพริบตา รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านความฝันแสนเศร้า หลังจากควานหาแว่นที่หลุดหล่นอยู่บนโซฟาพักหนึ่งและพบว่ามันไม่ได้เสียรูป เขาจึงสวมมันกลับไปบนหน้า ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ สิบโมงเช้าแล้วหรือนี่
   ชายหนุ่มถอดแว่นเพื่อขยี้ตาอีกรอบ รีบเดินไปเปิดประตูโดยไม่ทันมองลอดตาแมว
   “สวัสดีครับ.... รบกวนรึเปล่า” คนมาเคาะเอ่ยทักทายพลางยิ้ม เป็นหนุ่มนัยน์ตาสองสีข้างห้องที่เจอเมื่อวานนี่เอง
   “มีธุระอะไรหรือครับ” ฟ่งถาม สีหน้ายังคงงงๆ
   “อ้อ คือจะมาชวนไปทานข้าวน่ะครับ แต่..เอ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอโทษด้วย”
ดูท่าฝ่ายนั้นจะเปลี่ยนความคิดเพราะเห็นสารรูปดูไม่ได้ของเขาแน่ๆ
   “อ้อ..ไม่เป็นไร  รอแป๊บนึงนะครับ”
   ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดของคนข้างห้อง ฟ่งเลยรู้สึกผิดไปด้วย ชายหนุ่มรีบผลุนผลันกลับเข้าไป  เปิดก๊อกน้ำล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกๆ และคุ้ยเสื้อที่ยังพับอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่ขนมาเมื่อวานขึ้นมาใส่แบบรีบร้อนเต็มที่
   “ขอโทษที่ให้รอนะครับ” ฟ่งเปิดประตูออกมาในสภาพที่ดีกว่าตอนแรกเล็กน้อย เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีครีมอ่อน กางเกงสแลคสีน้ำตาล ซึ่งยับยู่ยี่ทั้งคู่ ใบหน้าเหมือนคนอดนอน แถมผมก็ยังไม่ได้หวี
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองต้องขอโทษด้วยที่มารบกวน” รูฟัสพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ คนมองพยายามแค่นยิ้มตอบอย่างยากลำบาก
   ทั้งคู่เดินลงไปทานข้าวที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกสองซอย รูฟัสพยายามจะหาบทสนทนาระหว่างนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฟ่งแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ
   อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างค่อนข้างจืดชืด ในที่สุด ฟ่งก็ลุกขึ้น
   “ขอโทษนะครับ ผมขอตัวก่อน”
   ชายหนุ่มพาใบหน้าเซียวๆ ออกจากร้าน ทิ้งให้รูฟัสนั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่คนเดียว
-----------------------------
   เครื่องปรับอากาศส่งเสียงหึ่งๆ ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นลง  ฟ่งนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกองข้าวของ  นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อลอย น้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากร่องหางตา
   “ฟ่ง” เสียงใสๆของหญิงสาวที่เขาคุ้นหูดังล่องลอยอยู่ในหัว  น้ำตายิ่งไหลออกมาเรื่อยๆ  ภาพในอดีตย้อนกลับเข้ามาเหมือนภาพยนตร์ที่เล่นซ้ำ
   พิฌาดา หญิงสาววัยยี่สิบสามที่รักเขาและเขาก็รักเธอ ตลอดเวลาหกปีที่คบกัน เธอไม่เคยทำอะไรไม่ถูกต้องเลย เขาต่างหาก  เขานั่นแหละที่ทำสิ่งเลวร้ายกับเธอ
   น้ำตาไหลออกจากดวงตาดั่งทำนบแตก  ฟ่งใช้ท่อนแขนปิดหน้า สะอื้นเบาๆ
   เขาไม่อาจทนเห็นเธอร้องไห้ได้อีก ดาต้องหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ และโมโหใส่เธอ มันไม่ใช่ความผิดของดาเลยสักนิด แต่เป็นตัวเขาเองที่ไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้  ฟ่งรู้ดีว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และดาจะต้องเจ็บปวดมากขึ้น  เขาจึงตัดสินใจบอกเลิกเธอในวันครบรอบการคบกันในปีที่หก
   ดาร้องไห้ ร้องไห้อย่างเสียใจที่สุดตั้งแต่ทั้งคู่คบกันมา น้ำตาแต่ละหยดกรีดแทงหัวใจเขาให้เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกคมมีดเสียดแทงเสียอีก ชายหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ครั้งที่แหละจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ดาจะเสียน้ำตาให้กับเขา
   หลังจากที่เขายังยืนกรานหนักแน่น ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมแพ้  ดาปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย
   “ถ้าฟ่งคิดแบบนั้น ดาคงช่วยอะไรฟ่งไม่ได้  ดาเสียใจ เสียใจที่ช่วยฟ่งไม่ได้ ดาเสียใจจริงๆ” หญิงสาวร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง  ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง พยายามสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้  ดาพยายามจะหยุดร้องไห้ เธอบีบผ้าเช็ดหน้าซึ่งเปียกชุ่ม ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก “ฟ่งไม่ต้องเป็นห่วงดาหรอกนะ ดาทำใจได้”
   เธอหยุดสะอื้นพักหนึ่ง “ดาหวังว่าฟ่งจะเจอคนที่ช่วยฟ่งได้ ดารักฟ่ง ดาเสียใจจริงๆ ดาขอโทษ”
   ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอด เธอสะอื้นไห้  ส่วนตัวเขาเองก็ปล่อยให้ธารน้ำตาไหลรินลงมาอาบร่องแก้ม
   นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาพบกับดา หลังจากนั้นสามวัน ฟ่งตัดสินใจย้ายที่อยู่ เขาทนกับสภาพและบรรยากาศเดิมๆ ไม่ได้ มันช่างเจ็บปวดเมื่อภาพเหตุการณ์เก่าๆยังคงวนเวียนอยู่รอบกาย
ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง เขาจะรับมืออย่างไรกับความเจ็บปวดเช่นนี้ ฟ่งหลับตา ปล่อยให้หัวใจจมลงสู่ห้วงแห่งความเศร้า

   นัยน์ตาสีน้ำตาลกะพริบสองสามครั้ง  ฟ่งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศและอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนขนลุกทำให้เขาทราบว่าเผลอหลับอีก ชายหนุ่มขยับตัวควานหาแว่นตาบนเตียงอีกพักหนึ่ง พอตื่นเต็มตาก็รู้สึกท้องไส้โหวงเหวง  ร่างผอมพยายามยันตัวลุกขึ้น ร่างกายเริ่มเรียกร้องหาสิ่งที่เรียกว่าอาหาร  ฟ่งรู้ดีว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะแย่กับตัวเอง  เขาไม่อยากให้ใครต้องเสียใจอีก หากรู้ว่าตนเป็นอะไรไป
   ชายหนุ่มเดินแหวกข้าวของฝ่าความมืดเพื่อควานหาสวิตไฟ แสงจากหลอดฟูออเรสเซนต์สว่างวาบขึ้นทันที เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชิน ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ
ทุ่มครึ่ง
   เขาคงหลับไปนานพอดู ชายหนุ่มพลันนึกถึงคนที่เขาทิ้งไว้ที่ร้านอาหาร ผู้ชายต่างชาติคนนั้น
   ฟ่งถอดเสื้อออก คุ้ยผ้าเช็ดตัวจากกระเป๋าใบหนึ่ง เดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำเย็นจากฝักบัวทำให้หัวของเขาดีขึ้น แต่จิตใจกลับหนักอึ้ง
   นี่เขาคงแสดงกริยาไม่ดีออกไปแน่ๆ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมาชวนด้วยความหวังดีแท้ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจ ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นในความคิด  เขาหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาเปลี่ยน  ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู
------------------
   รูฟัสชะงักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น  เขารีบเก็บมันสอดไว้ที่เดิม  ก่อนจะเดินไปมองลอดช่องตาแมว และรู้สึกแปลกใจกับภาพที่ปรากฏ
   “เมื่อกลางวันต้องขอโทษด้วยนะครับ” นั่นเป็นคำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม ตอนที่เขาเปิดประตูออกไป
   ฟ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเทาอ่อน กางเกงขายาวสีน้ำเงิน ผมหวีเรียบร้อย หน้าตาดูดีขึ้นกว่าตอนที่เดินออกไปจากร้านอาหาร ถึงกระนั้นก็ยังปรากฏริ้วรอยแห่งความหม่นหมองอยู่อย่างชัดเจน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต่างหากที่รบกวน”
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป รูฟัสจึงเริ่มบทสนทนาต่อ “อาการดีขึ้นแล้วหรือครับ?”
   “อ่า...ครับ” ฟ่งพยายามจะยิ้ม แต่เหมือนมุมปากถูกถ่วงไว้ด้วยตุ้มเหล็ก “คือจะมาชวนไปทานข้าวน่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าว หลังจากเค้นรอยยิ้มออกมาไม่ได้ซักที
   “ดีเลยครับ ผมกำลังจะลงไปพอดี” รูฟัสพูดพลางยิ้มกว้าง เลยพลอยทำให้ฟ่งแอบอมยิ้มออกมาด้วย
   “ขอเวลาสักครู่นะครับ” รูฟัสหันกลับไปยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ แม้จะเพียงแวบเดียว แต่รอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของฟ่งเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
   ไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีปัญหาเรื่องอะไร  แต่การที่เห็นใบหน้าอมทุกข์แบบนั้น ทำให้เขานึกถึงตัวเองในสมัยเด็ก
   รูฟัสรู้สึกว่าเขาต้องช่วยเหลือ อย่างน้อยถ้าตอนนี้มีใครอยู่ข้างๆ ซักคน ฟ่งคงดีขึ้นในไม่ช้า
--------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:10:45
   เสียงเมโลดี้แบบไลท์มิวสิกดังเบาๆ ประกอบกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในร้านอาหารกึ่งผับที่คนไม่พลุกพล่านนัก ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น ทั้งคู่เลือกนั่งตรงมุมข้างหน้าต่าง ร้านอาหารแห่งนี้เปิดอยู่ฝั่งตรงข้ามคอนโด แน่นอนว่าผู้ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่มักเป็นชาวต่างชาติ รูฟัสให้เหตุผลง่ายๆว่า เขาไม่ต้องการเผชิญกับฝุ่นควันและยุงในช่วงหัวค่ำ  ซึ่งกรณีหลังฟ่งรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
   “ทำงานแถวนี้หรอครับ” รูฟัสเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน หลังจากบริกรเดินออกไปแล้ว
   “เปล่าหรอกครับ” ฟ่งพยายามพูดโดยมองหน้าคู่สนทนา แสงไฟสีส้มอ่อนๆ จากหลอดไฟที่ติดอยู่เหนือโต๊ะ ยิ่งทำให้ใบหน้าคมเข้มนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูด
“เอ้อ...” ชายหนุ่มพยายามจะพูดต่อ เมื่อถูกนัยน์ตาสองสีคู่นั้นจ้องกลับมา “ผมทำฟรีแลนซ์เกี่ยวกับพวกออกแบบน่ะครับ”
“ออกแบบบ้านหรือครับ?” อีกฝ่ายถามอย่างสนใจ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกตกแต่งภายใน นิทรรศการ บางทีก็งานกราฟฟิกนิดหน่อย”
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าออฟฟิศสินะครับ” รูฟัสพูด พอดีกับที่บริกรยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ
“บางทีก็ต้องเข้าไปเหมือนกันน่ะครับ แล้วแต่บริษัท” ฟ่งยกแก้วน้ำที่เพิ่งถูกวางลงมาใหม่ขึ้นมาจิบน้ำ เพื่อบรรเทาอาการปั่นป่วนภายในช่องท้อง เขารู้สึกดีที่มีคนมาทานอาหารเป็นเพื่อน แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างเพราะเพิ่งเจอกัน แต่ดูท่าทางรูฟัสไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายอะไรนัก
   “แล้วคุณล่ะครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นบ้าง
   “มาติดต่อธุระกิจน่ะครับ” รูฟัสตอบ แล้วก็หัวเราะขึ้นมา “พูดให้หรูไปแบบนั้นแหละครับ  จริงๆ แล้วผมกำลังหางานอยู่”
   “เอ๋?” ฟ่งส่งเสียงแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายยิ้มกว้าง และหัวเราะเบาๆ
   “ตกใจหรอครับ ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอก พอดีมีสมบัติเก่าเหลือติดตัวนิดหน่อย เลยคิดว่าจะลองมาหากินที่นี่ดู”
   เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยของฟ่ง รูฟัสจึงรีบพูดต่อ
   “ผมไม่ได้มาทำงานไม่ดีนะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด จริงๆ แม่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับประเทศนี้บ่อยมาก ผมเลยอยากจะมาลองอยู่น่ะครับ”
   “อ้อ  ครับ  จริงๆประเทศนี้ก็น่าอยู่สำหรับชาวต่างชาตินะครับ”
   ฟ่งพูด น้ำเสียงเหมือนประชดนิดๆ เล่นเอารูฟัสทำหน้าไม่ถูก อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่าไม่สมควร เลยรีบพูดต่อ “แล้วทางบ้านล่ะครับ”
   “เสียหมดแล้วน่ะครับ”
   “อ่า..ขอโทษด้วยนะครับ” ฟ่งทำหน้าสลด รู้สึกตัวเองพูดไม่ดีเอาเสียเลย แต่รูฟัสรีบโบกมือห้าม
   “ขอโทษทำไมล่ะครับ คุณไม่ผิดซักหน่อย แล้วมันก็เรื่องนานมาแล้ว เอ้อ พรุ่งนี้ว่างรึเปล่าครับ?” อีกฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
   “ทำไมหรือครับ?”
   “เอ้อ.. ฮ่ะๆ” รูฟัสหัวเราะเขินๆ “อาจจะดูเป็นการรบกวนมากไปหน่อยนะครับ คือผมอยากไปเที่ยวในเมืองน่ะครับ แต่ว่าไม่ค่อยรู้จักเส้นทาง ก็เลย...”
   “อ๋อ..” ฟ่งพูด แล้วหยุดไป เพราะบริกรยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟพอดี
   “ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาหรอกครับ ทางผมเองก็ยังไม่มีงานเหมือนกัน”
   รูฟัสยิ้มกว้าง หน้าตาดีใจทีเดียว
   “ขอบคุณมากๆนะครับ ตอนนี้ทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด”
   ฟ่งนึกขำ กับวิธีการพูดเป็นงานเป็นการของอีกฝ่าย

   หลังทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาก อย่างน้อยกระเพาะของเขาก็ไม่ก่อปัญหาอีกซักระยะ ทั้งคู่นั่งสนทนากันต่อถึงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ดูเหมือนรูฟัสจะสนใจเส้นทางที่จะไปสนามหลวงเป็นพิเศษ เขาถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ และร้านอาหารแถวนั้น ดังนั้นเป้าหมายการไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้นจึงเป็นสนามหลวง
   ฟ่งกลับมาถึงห้องตอนสามทุ่มเศษ  รูฟัสไม่ได้ขึ้นมาด้วยกัน  ชายหนุ่มตาสองสีขอแยกตัวไปทำธุระตอนออกจากร้าน
   ห้องมืดสนิท ฟ่งเอาคีย์การ์ดสอดเข้าไปในช่องที่ติดอยู่ตรงผนังข้างประตู ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศทำงานทันที  ชายหนุ่มกวาดตามองข้าวของที่กองอยู่รอบๆ ห้อง  ความหดหู่เข้ามาครอบงำอีกครั้ง เขาพยายามบอกตัวเองดั่งเช่นที่แม่เคยพร่ำสอน
   เราต้องอยู่คนเดียวได้
   ปรากฏรอยยิ้มรันทดขึ้นมาบนใบหน้าซีดๆ ชายยกมือขยี้ตาที่เริ่มแดงเรื่อ ก่อนจะเดินไปแกะกล่อง ยกเอาเครื่องเสียงขนาดเล็กออกมาเสียบปลั๊ก แล้วหยิบแผ่นซีดีที่ใส่รวมอยู่ในกล่องเดียวกันใส่ลงไปในเครื่องเล่น
   แผ่นซีดีสีทองเลื่อนหายเข้าไปในเครื่อง  สักพักเสียงเพลงป๊อบแจ๊สที่มีท่วงทำนองสนุกสนานก็ดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มขยับตัวไปยังกระเป๋าสองใบที่วางอยู่บนพื้น หยิบเสื้อและไม้แขวนออกมา ค่อยๆ ทยอยจัดใส่ตู้เสื้อผ้าอย่างใจเย็น
-----------------------------
   รูฟัสรู้สึกหัวเสีย ขณะย่ำเท้าผ่านแอ่งน้ำสรกปรก ซึ่งขังตัวอยู่ระหว่างรอยยุบของถนนในตรอกแคบๆ แสงไฟสลัวๆ ที่ส่องลอดเข้ามาจากภายนอกสว่างพอแค่ให้รู้ว่าตรอกนี้ยังทอดตัวต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นสภาพภายในตรอกอย่างชัดเจนนัก กลิ่นเหม็นอับของน้ำครำประกอบกับขยะสดที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาดบนลอยมาแตะจมูก ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างตรอกที่ขนาบด้วยอพาร์ตเม้นต์แบบเก่าทรุดโทรมขนาดสี่ชั้นและโรงหนังซึ่งใกล้จะปิดทำการ  มันเป็นทางลัดเชื่อมระหว่างถนนใหญ่และตลาดซึ่งอยู่ในซอยถัดไป
   ชายหนุ่มไม่ได้หัวเสียเพราะความสกปรกของพื้นที่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาหัวเสียคือผืนบ้าใบสีฟ้าขนาดยาวราวสองเมตร ซึ่งขึงพาดอยู่เหนือศีรษะ รูฟัสถึงกับสบถออกมาเมื่อเดินมาพบสิ่งนี้ มันทำให้เขาพลาดมุมเหมาะๆ ในการเฝ้าดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในห้องพักชั้นสามในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
   หนุ่มตาสองสีหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเลยออกไปจากบริเวณนั้นอีกประมาณห้าหกเมตร  ล้วงเอาวัตถุเล็กๆ สีดำ ลักษณะคล้ายปืนที่มีปากเป็นรูปท่อออกมา อาศัยจังหวะเสียงเร่งเครื่องของรถบรรทุกที่ดังมาจากอีกฟากของถนน กดปุ่มเล็กๆ บนท่อทรงกระบอกนั้น ฉมวกสีดำสนิทพุ่งตรงแหวกอากาศตรงไปยังคานคอนกรีตที่ยื่นออกมาจากดาดฟ้า เสียงกระแทกดังขึ้นเบาๆ หัวฉมวกจมลึกเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปในมุมืดข้างถังขยะซึ่งวางระเกะระกะอยู่ รอจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครได้ยินเสียงเมื่อครู่ รูฟัสเคลื่อนกายออกมาจากมุมมืด ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าจุดที่ยิงไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากที่คิดเท่าไหร่นัก เขาดึงสายสลิงสีดำที่เชื่อมกับตัวตะขอเพื่อตรวจดูความมั่นคง  จากนั้นหยิบอุปกรณ์ลักษณะคล้ายที่จับหรือ สต๊อปเปอร์สอดเข้าไประหว่างสาย ก่อนจะเอาปลายเกี่ยวเข้ากับเข็มขัดที่เอว  ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นไปจนอยู่ห่างจากหน้าต่างห้องพักที่ต้องการไม่ถึงสองเมตร  รูฟัสมองลงมาเบื้องล่าง อย่างน้อยถ้าเขาร่วงลงไป ผ้าใบเจ้ากรรมผืนนั้นคงช่วยรองรับไว้ได้  แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหตุการณ์แบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น
   ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากพื้นดินราวๆ ห้าเมตรโดยปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวนอกจากสายสลิงสีดำบางๆ เส้นนั้น เสื้อยืดสีน้ำตาลดำที่มีลายเลอะๆ กับกางเกงขายาวสีหม่นๆ ซึ่งเขาซื้อมาจากข้างทางประกอบกับเงาดำของโรงหนังที่พาดลงมา ทำให้ยากที่จะสังเกต
   ชายหนุ่มพบเส้นทางนี้เมื่อสองวันที่แล้ว แน่นอน เขามั่นใจว่าไม่ใช่คนแรกที่คิดถึงมัน
   ในที่สุดไฟในห้องพักห้องนั้นก็สว่างขึ้น พร้อมกับเสียงพูดคุยเบาๆ รูฟัสพยายามเงี่ยหูฟัง
   เสียงพูดคุยนั้นเบาจนน่าหงุดหงิด  และดูเหมือนคนในห้องบางคนจะคิดเช่นเดียวกับเขา ไม่นาน เสียงการพูดโต้ตอบก็ค่อยๆ ดังขึ้น
   “อั๊วะรู้ว่าตำรวจคอยตามติดเราแจ  แต่ก็นั้นแหละ พวกมันไม่มีทางได้ของไปหรอก” เสียงที่พูดดังที่สุดเหมือนจะเป็นของชาวจีน ไม่นานก็มีเสียงถามอย่างไม่ค่อยสบายใจ
   “พวกลื้อไม่ต้องวิตก แค่พวกลื้อทำตัวให้ตำรวจสนใจต่อไป รับรองปลอดภัย”
   “แล้วสถานที่ต่อไปล่ะเฮีย” อีกเสียงซึ่งคาดว่าเป็นคนไทย ถามขึ้นมาอีก
   “ลื้อหยุดถามก่อนน่า...” เสียงนั้นตอบแบบรำคาญๆ “สิ่งที่ต้องทำตอนนี้มีแค่....”
   เสียงหน้าต่างถูกเปิดออก เสียงคล้ายนกหวีดต่ำๆ ดังขึ้นเบาๆ รูฟัสรีบแนบตัวเข้ากับกำแพง  กล่องสี่เหลี่ยมขนาดประมาณครึ่งฟุตคูณครึ่งฟุตห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ถูกโยนลงมา  เงาร่างสีดำร่างหนึ่งที่โผล่พรวดจากมุมหนึ่งของตึกออกมารับกล่องนั้นไว้อย่างพอดิบพอดี ก่อนจะเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รูฟัสรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นี่คงเป็นการนัดแนะกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คนคนนั้นมาอยู่ตรงนั้นเมื่อไหร่กันนะ เขามั่นใจว่าตรวจสอบรอบๆเรียบร้อยแล้ว หรือว่าจะมาจากโรงหนัง?
   ชายหนุ่มมองร่างนั้นเดินหายลับไปในความมืด  แม้จะสวมเสื้อและกางเกง แต่รูฟัสมั่นใจว่าผู้ที่โผล่ออกมาจากมุมมืดเป็นผู้หญิงแน่นอน จากลักษณะการเดิน เขารู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางแบบนี้อยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
   เสียงบทสนทนาในห้องพักดึงความสนใจไปอีกครั้ง แม้จะได้ยินเพียงแผ่วเบา แต่ก็ทำให้รูฟัสยิ้มออกมา..
   ชื่อของสถานที่นัดพบแห่งต่อไป
------------------------
   กว่าจะกลับมาถึงห้องพักก็เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนไปแล้ว รูฟัสอดไม่ได้ที่จะหันไปมองประตูห้อง1127  ขณะที่เดินผ่าน
   เด็กคนนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ
   เขาคิดด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเดินไปที่ห้องของตน
----------------------------------------------   
   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ  เสียงรอสายโทนเดียวดังเป็นจังหวะอยู่พักหนึ่ง ระหว่างที่รอสายเขาใช้ผ้าขนหนูสีขาวเช็ดผม น้ำหยดลงจากเรือนผมสีดำไล้เลียไปตามแผงอกกว้างอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ หุ่นของชายหนุ่มจัดว่าอยู่ในระดับนายแบบแถวหน้าได้สบายๆ รูฟัสอยู่ในสภาพเกือบเปลือย อากาศที่นี่ร้อนกว่าที่ที่เคยอยู่มากนัก  ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะหาเสื้อผ้าใส่ อีกอย่างนี่ก็เป็นห้องส่วนตัวของเขา คงไม่ต้องกังวลว่าใครจะแอบมอง และถึงแอบมองเขาก็ไม่หวงอะไร
   ในที่สุดท้างโน้นก็รับสาย
   “สวัสดีครับ” รูฟัสทักขึ้นก่อน เสียงตอบรับฟังดูแปลกใจ
   “เรื่องที่ให้สืบ ผมได้มาแล้วนะครับ” ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่เพิ่งพบเมื่อครูให้อีกฝ่ายฟัง แต่ไม่ได้พูดเรื่องคนที่มารับของว่าเป็นผู้หญิง บางทีเขาอาจจะคาดผิดไป รูฟัสไม่กล้ายืนยัน
   “ถ้ามันสำเร็จ ผมจะช่วยเรื่องที่คุณขอแล้วกัน” ทางโน้นตอบกลับมาเรียบๆ
   “ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ท่านผบ.” รูฟัสทำเสียงเหย้าแหย่ เล่นเอาปลายสายต้องรีบเอ็ดขึ้นมา ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป
------------------------
   ฟ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ออกจากลิฟต์มายังล็อบบี้ชั้นล่างของคอนโด  เขาตื่นสายกว่าเวลานัดไปพอสมควร การหักโหมจัดห้องเมื่อคืนทำให้เขาเผลอหลับเป็นตาย หนำซ้ำตื่นเช้ามายังทำมีดโกนบาดหน้าอีก เลยมีพลาสเตอร์สีน้ำตาลใต้คางไปเป็นของแถมด้วย
   รูฟัสนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษอยู่บนโซฟาในล็อบบี้ ชายหนุ่มใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสั้นสีขาวแบบมีเส้นสีดำพาดด้านข้าง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วไป เขาพกกระเป๋าเป้สีดำที่ใส่ขวดน้ำดื่มไว้ด้านข้างด้วย
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ โบกมือให้ผู้ที่กำลังเดินเข้ามา
   ฟ่งรู้สึกประหม่าและเสียหน้าที่มาสาย เลยทำให้หน้าแดงออกไปโดยไม่รู้ตัว เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตหลวมๆ แขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวสีสนิม และสวมรองเท้าผ้าใบ สิ่งที่พกติดตัวมีแค่โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์
   ชายหนุ่มโบกมือตอบรับ พยายามดันแว่นให้เข้าที่
   “เอ้อ ต้องขอโทษจริงๆนะครับ พอดีว่าผมตื่นสาย” เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า รูฟัสทั้งขำทั้งสงสารกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของชายหนุ่ม
   “Never mind.... อย่าสนใจไปเลยครับ เรารีบไปกันดีกว่า” รูฟัสยิ้ม พร้อมกับลุกขึ้นยืน  ฟ่งยกมือปาดเหงื่อ ขยับแว่นอีกครั้ง
------------------------
   ฟ่งเสนอให้นั่งแท็กซี่ แต่รูฟัสยืนกรานอยากที่จะนั่งรถเมล์ ทั่งคู่เลยมาถึงที่หมายในเวลาเกือบจะเที่ยง
   อากาศที่สนามหลวงร้อนจนแทบจะเอาเสื้อที่เพิ่งซักมาใส่ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหวัด  ฟ่งพารูฟัสเดินไปตามทางเท้าเล็กๆ ข้างมหาวิทยาลัยชื่อดังซึ่งมีผู้คนจอแจ ชายหนุ่มทำท่าจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านขายข้าวมันไก่ซึ่งดูคนบางตา แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนใจ หันไปเข้าร้านขายข้าวหน้าเป็ดที่คนพลุกพล่านแทนโดยให้เหตุผลว่า ร้านนี้อร่อยกว่า
   เพราะมากันแค่สองคน ทั้งคู่เลยหาที่นั่งได้ง่าย ฟ่งเรียกเด็กในร้านเข้ามาสั่งน้ำและอาหาร ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อซึ่งผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าราวกับเม็ดฝน แต่เพราะใส่แว่น ท่าทางเลยดูเก้ๆ กังๆ เข้าไปอีก รูฟัสแอบอมยิ้ม ตัวเขาเองก็รู้สึกร้อนไม่แพ้กัน ชายหนุ่มล้วงผ้าขนหนูผืนเล็กๆ จากกระเป๋าออกมาซับเหงื่อ ไอแดดทำให้หน้าของเขาแดงระเรื่อ
   ในร้านแม้จะเต็มไปด้วยลูกค้า แต่กลับใช้เวลารออาหารไม่นานนัก และคงเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากน้ำตั้งแต่เช้า สุดท้ายเลยสั่งเพิ่มอีกคนละจาน
   สองคนออกจากร้านอาหารในเวลาเที่ยงกว่าๆ และตรงไปยังวัดพระแก้ว ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   ท่าทางรูฟัสจะดูตื่นตากับสถาปัตยกรรมที่ได้พบเจอมาก เขาร้องอุทานหลายหน และถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ในขณะที่ฟ่งอ้าปากหาววอดๆ อากาศและแดดที่ร้อนทำให้เขานึกด่าตัวเองว่าควรจะเอาหมวกมา ในขณะที่รูฟัสเตรียมตัวมาอย่างดี
   ชายหนุ่มขยับหมวกแก๊ปสีขาวให้เข้าที่ ขณะพยายามถ่ายรูปยอดเจดีย์ทรงระฆังสีทองอร่าม ฟ่งอดขำไม่ได้เมื่อเห็นรูฟัสพยายามจะย่อตัวเพื่อเก็บภาพให้หมด
   “ถ่ายรูปให้ไหมครับ” หนุ่มสวมแว่นถาม หลังจากที่เดินไปดื่มน้ำบริเวณตู้น้ำเย็นที่ติดตั้งเอาไว้ภายในวัด รูฟัสหันหน้ามามองอย่างแปลกใจ แก้มของเขาแดงระเรื่อเพราะความร้อน ก่อนจะสั่นศีรษะ พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ชอบรูปถ่ายตัวเองน่ะ”
   “อ่อ ครับ” ฟ่งพูด สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย  ก่อนจะเดินไปนั่งใต้ต้นไม้  รูฟัสดูเหมือนจะรู้ตัว เลยเดินตามเข้ามา
   “คือเพิ่งนึกได้นะครับ ว่าเพื่อนเค้าอยากเห็นซักรูปหนึ่ง เค้าไม่เชื่อว่าผมจะมาอยู่ประเทศนี้น่ะ”
   “ครับ” ฟ่งรับคำ สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที อย่างน้อยเขาก็มีอะไรทำบ้าง
   ท่าทางชายหนุ่มจะพอใจกับภาพที่ถ่ายออกมาอยู่ไม่น้อย เขาเอ่ยปากชม และซักถามเกี่ยวกับวิธีจัดภาพ
   ท้ายที่สุดเลยกลายเป็นว่า มีภาพของรูฟัสเต็มกล้องไปหมด

   “ผมเพิ่งเคยถ่ายรูปตัวเองเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรกนะนี่”
   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในร้านพิซซ่าบริเวณถนนข้าวสาร ฟ่งหัวเราะแหะๆ พยายามปิดพลาสเตอร์ที่กำลังลอกออก
   “ผมเรียนมานิดหน่อยน่ะครับ”
   “ดีจัง ผมอยากเรียนแบบนี้บ้าง” เขาพูด พลางหยิบเมนูขึ้นมาเปิด
   “แล้วคุณเรียนทางไหนมาหรือครับ” ฟ่งถามขึ้นบ้าง  ขณะเอามือเขี่ยเมนูเล่น
   “ทางเศรษฐศาสตร์น่ะครับ แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” รูฟัสเงยหน้าขึ้นจากเมนู พูดยิ้มๆ นัยน์ตาสองสีคู่นั้น มองกี่ครั้งก็ยังดูน่าสนใจเสมอ
   “รังเกียจอเมริกันแชร์ไหมครับ” ชายหนุ่มถามต่อ พลางพลิกเมนู
   “อ่อ ไม่เลยครับ”    ฟ่งรีบพูด ทั้งคู่เลยช่วยกันเลือกรายการอาหาร  โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอีกคู่หนึ่งกำลังมองดูอยู่
----------------------------
   “วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยจริงๆ นะครับ” รูฟัสพูด ขณะที่ทั้งคู่เดินออกมาจากลิฟต์ ฟ่งยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   หนุ่มตาสองสียิ้มตอบ “ถ้ามีเรื่องอะไร เรียกได้นะครับ”
   เขาพูด ก่อนจะเข้าห้องไป  ฟ่งปิดประตู ยิ้มเศร้าๆ
   เราต้องอยู่คนเดียวให้ได้...
-------------------
   “ไง.. วันนี้ไปเที่ยวสนุกไหม” เสียงค่อนแคะเป็นภาษารัสเซียลอดออกมาจากโทรศัพท์  รูฟัสหัวเราะอย่างร่าเริง เขากดดูรูปถ่ายที่อยู่ในกล้อง
   “ผมบังเอิญถ่ายรูปตัวเองมาเพียบเลย ไว้จะส่งให้ดูซักรูปนะ”
   เสียงอุทานอย่างไม่ค่อยพอใจดังมาจากอีกฟาก  ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง “ไม่ต้องตกใจน่า เดี๋ยวผมจะลบ”
   “ไม่เสียดายรึไง เด็กคนนั้นอุตส่าห์ถ่ายให้เชียวนะ”    ทางโน้นพูดแหย่ รูฟัสไม่ตอบ เขาสั่งลบรูปถ่ายตัวเองทั้งหมดจากเมมโมรี่ในกล้อง
   “หวังว่าคงไม่ไปหลงรักเข้าหรอกนะ” ปลายสายพูดต่อ เมื่อเห็นคู่สนทนาเงียบไป ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า ราฟี่ ผมมาทำงานนะ นี่คุณตามดูผมอยู่ตลอดใช่ไหมเนี่ย”
   “ก็ยังอีกแค่วันสองวันนี้แหละ จะมาพบกันได้เมื่อไหร่ล่ะ?”
   “พรุ่งนี้เลยก็ได้ งานใกล้เสร็จแล้วรึ?”
อีกฝ่ายรับคำในลำคอ
   “งั้นตกลงพรุ่งนี้ แหมเสียดายจัง ไม่ได้เอารูปถ่ายให้คุณดู”
   “ไม่ต้องหรอก เบื่อหน้าแกจะแย่อยู่แล้ว รีบๆ มาล่ะไอ้ตัวแสบ”
   รูฟัสหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะวางสายไป
--------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:12:06
บทที่2 คนอ่อนโยนที่ไร้หัวใจ
   รูฟัสก้าวพ้นอากาศร้อนของกรุงเทพเข้ามาในร้านอาหารฝรั่งเศสที่ถูกตกแต่งไว้อย่างหรูหรา เขาพยักหน้าให้พนังงานเปิดประตู ก่อนจะสืบเท้าเดินไปด้านใน พนักงานต้อนรับสาวที่ยืนอยู่ข้างประตูทักขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นลูกค้า
   “Could I help you?” หล่อนพูด ชายหนุ่มผู้เดินเข้ามาใหม่หันมายิ้มให้หล่อน
   “ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ” เป็นภาษาไทยที่ชัดเจนพอสมควรสำหรับคนต่างชาติ หญิงสาวหน้าแดงเล็กๆ แอบเหลือบมองใบหน้าคมเข้ม โดยเฉพาะดวงตาสองสีที่ดูดึงดูดคู่นั้น  ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านไป
   “มาสายนะ” ผู้ที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยปากขึ้นเป็นภาษาฮังกาเรียน เมื่อรูฟัสนั่งลงที่เก้าอี้บุหนังที่วางอยู่ตรงข้าม
   “ติดธุระนิดหน่อย ก็โทรมาบอกแล้ว” ผู้โดนถามตอบกลับเป็นภาษาฮังกาเรียนเช่นกัน แต่อีกฝ่ายยังไม่วายพูดต่อ
   “ติดธุระพาหนุ่มไปทานข้าวสินะ”
   “เลิกแหย่ผมซักทีเถอะน่า ราฟี่” รูฟัสพูดแบบรำคาญ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายถูกใจมากขึ้น ถึงขนาดระเบิดหัวเราะออกมา
   ราฟาแอล หรือราฟี่ที่เป็นชื่อเรียกเล่นๆ เป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ผมสีบลอนด์ยาวประบ่า นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเล ใบหน้าดูสบายๆ ออกเหลี่ยมเล็กน้อย ไว้เคราสั้นๆ แบบแฟชั่น มุมปากมีร้อยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เขาอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีน้ำเงินปกขาวกับสแลคสีน้ำตาล ดูเหมือนดวงตาสีเขียวคู่นั้นจะสังเกตเห็นอาการของพนักงานหญิงในร้าน จึงหันมาพูดกับผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาอีก
   “นี่ไปโปรยเสน่ห์อะไรใส่แม่สาวๆ พวกนั้นอีกล่ะ?”
   “หืม?” รูฟัสเลิกคิ้ว หันหลังกลับไปมอง สองสาวเห็นเข้าก็รีบหลบมุมทันที
   “อันนี้ไม่ใช่ความผิดผมนะ” เขาหันกลับมายกมือโบกไปโบกมาอย่างขอการอโหสิ อีกฝ่ายหัวเราะ
   “แล้วไม่พามาด้วยกันล่ะ เด็กคนนั้นน่ะ”
   “อา....” นัยน์ตาสองสีหรี่ลงก่อนลากเสียงยาวด้วยความระอา “หยุดล้อเล่นซักทีเถอะ นี่ถ้าพามาจริง คุณคงยิ้มไม่ออกแน่ๆ”
   ราฟาแอลหัวเราะอีก “ท่าทางน่ารักดีออก”
   รูฟัสหันไปสั่งอาหารกับบริกร ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ “ไม่ยักรู้มาก่อนว่าคุณมีรสนิยมพรรณนี้ด้วย”
   อีกฝ่ายยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมาราวกับจะปรามคนนั่งตรงข้าม
   “ก็ไม่เลวนักหรอก ถ้าเทียบกันแกน่ะนะ”
   “โห...ผมไม่อยากถูกรสนิยมของคุณนักหรอก ถ้าเกิดคุณดันกลายเป็นตาแก่ตันหากลับขึ้นมา ผมก็แย่เอาน่ะสิ!” รูฟัสลากเสียงอย่างยียวนกวนประสาท ราฟาแอลยกมือขึ้นห้ามอีกฝ่าย
   “พอๆ มาว่าเรื่องธุระของเราดีกว่า”
   พูดพลางล้วงมือไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ   เป็นแฮนดรีไดรฟ์สีดำตัวหนึ่ง รูฟัสรับมาและใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง
   “แล้วเรื่องที่ที่จะให้ผมไปแฝงตัวล่ะ?” รูฟัสพูดต่อ ราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที นัยน์ตาสีเขียวหรี่มองคนนั่งตรงข้ามอย่างใช้ความคิด
   “นี่ รูฟัส แกพูดภาษาไทยคล่องขึ้นมากมั้ยหลังจากไปไหนมาไหนกับเด็กคนนั้นน่ะ”
   คนถูกทักขมวดคิ้วยุ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมราฟาแอลถึงได้วกเข้าเรื่องคนข้างห้องที่เขาแค่ชวนไปกินข้าวเฉยๆ ทุกที ชายหนุ่มตอบคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
   “ผมพูดคล่องกว่าคุณแล้วกัน”
   คนถามหัวเราะอีก เหมือนว่ารูฟัสทำอะไรสำหรับเขาตอนนี้ก็ขบขันทั้งนั้น คนนั่งตรงข้ามตีหน้าบึ้งใส่อย่างไม่สงวนท่าที
   “เฮ้ย อย่าทำหน้าดุแบบนั้น ปกติแกชอบยิ้มโปรยเสน่ห์ไม่ใช่เหรอ? ที่ที่จะให้แกเข้าไปใช้ต้องอาศัยความมีเสน่ห์ของแกนะ”
   “พูดงี้แปลว่างานนี้ผมต้องจีบสาวอีกล่ะสิ” รูฟัสกล่าวอย่างรู้ทัน งานที่เขาทำส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องแบบนี้มาพ่วงด้วย ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เขาทำงานแบบคนปกติธรรมดาที่ไหนล่ะ
   ราฟาแอลพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันโม้เรื่องแกกับหล่อนไว้เยอะ เพราะฉะนั้น อย่าให้เสียราคาคุยล่ะ”
   รูฟัสยักไหล่อย่างไม่แยแส “เรื่องของคุณสิ ถ้ากลัวเสียหน้ามากขนาดนี้ จีบสาวแข่งกับผมดูไหมล่ะ?”
   “ริอาจจะมาจีบหญิงแข่งกับฉันยังเร็วไปร้อยปี” คนถูกท้าพูด “แต่ตอนนี้ฉันไม่ว่างรับคำท้าของแกหรอก คนของเบื้องบน เรียกตัวฉันยิกๆ แล้ว”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีทำหน้าแปลกใจ “นี่ผมคิดว่าคุณจะรีบกลับไปหลีสาวต่อที่ฮังการีเสียอีกนะเนี่ย เบื้องบนเรียกตัวคุณไปทำไมกัน? ยังมีงานอีกเหรอ?”
   ราฟาแอลผงกศีรษะ พลางกล่าว “เห็นว่ายังไม่แน่ใจว่างานนี้จะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นอีกไหม ฉันคงต้องไปจีนกับอเมริกาสักพักหนึ่งเพื่อเช็คข่าวน่ะ”
   “โห..ไหนตอนแรกบอกงานเล็กๆ ไง ผมน่ะยังมึนกับข้อมูลของมิสเตอร์ ดี เอ็น แอล อยู่เลย ไอ้เรื่องเคมีน่ะพอรู้มาบ้างหรอกนะ แต่ละเอียดขนาดนี้มันชวนปวดหัวยังไงไม่รู้”
   “ตรวจสอบก่อนแค่คร่าวๆ ก็พอ ยังไงคนของเบื้องบนก็ต้องตรวจสอบอีกทีอยู่แล้ว
   “คร่าวๆ ของคุณกับของเบื้องบนมันไม่เหมือนกันน่ะสิ”
   รูฟัสสวนคำ ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความจริงเขาเองก็ไม่ได้อยากจะรับงานของเบื้องบนนักหรอก แต่เพราะเป็นเบื้องบนนี่แหละ ถึงไม่อยากรับก็ต้องจำใจรับอยู่ดี ช่วยไม่ได้ ทำงานแบบนี้มันก็ต้องหาอำนาจหลายแบบในการคุ้มนี่ และรูฟัสเองก็ดูจะเข้าใจความจำเป็นนี้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มยักไหล่
   “ช่างเบื้องบนก่อน ตะกี้คุณพูดถึงที่ที่จะให้ผมไป อืม.. หล่อนเป็นสาวแบบไหนกันน่ะ?”
   ราฟาแอลหรี่ตา ยิ้มยียวน
“แกทำตัวเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะไหวไหมล่ะ?”
------------------
   เสียงคลิ๊กๆ ดังแทรกเสียงวิทยุที่เปิดเอาไว้เบาๆเป็นระยะ  ฟ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์  พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้นึกถึงเรื่องในอดีต แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก  เขาใช้นิ้วปาดหยดน้ำตาที่เอ่อออกมา  พลางเหลือบมองนาฬิกา
   ทุ่มครึ่ง...
   ชายหนุ่มถอดแว่นออกมาเช็ด นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องเหลือบมองดูนาฬิกาบ่อยๆด้วย แล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้น
   ฟ่งสะดุ้งแทบจะทำแว่นหลุดมือ  เขาปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรีบเดินไปที่ประตู แววดีใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเซียวๆนั้น
----------------
   รูฟัสออกจากที่พักอีกครั้งตอนสามทุ่มเศษ  เขาโบกมือเรียกแท็กซี่  ชายหนุ่มนึกถึงใบหน้าของผู้ที่เขาเพิ่งทานอาหารด้วย ขณะนั่งลงตรงเบาะหลัง  ฟ่งดูดีขึ้นกว่าวันแรกที่พบกันมากทีเดียว  หนุ่มตาสองสีอมยิ้ม เขารู้สึกดีที่มีส่วนช่วยในเรื่องนี้
   แสงไฟจากรถและหลอดนีออนที่ติดตามป้ายข้างทางลอดเข้ามาในรถ  รูฟัสบอกให้แท็กซี่จอดหน้าถนนซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีขึ้นชื่อของกรุงเทพ  ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงิน ชายหนุ่มเดินทอดน่องผ่านร้านต่างๆ มาเรื่อยๆ จนเข้ามาหยุดหน้าไนต์คลับแห่งหนึ่ง  เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดลำลองแขนยาวสีกรมท่าขลิบขอบด้วยสีฟ้าเข้ม กางเกงยีนส์สีสนิม ผมสีดำหวีปัดให้เป็นทรงแปลกออกไปจากปกตินิดหน่อย ชายหนุ่มมองดูภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกตัดแสงสีดำแล้วนึกขำตัวเองเล็กๆ
   คนอายุยี่สิบปลายๆ เกือบสามสิบแบบเขาจะกลายเป็นเด็กหนุ่มวัยขบเผาะไปได้ยังไง ใครมันจะบ้าจี้ทำตามคำราฟาแอลไปหมดทุกอย่างกันล่ะ
   รูฟัสทำงานกับราฟาแอลมานานจนพอจะรู้นิสัยอยากเอาคืนของเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง ความจริงเขาก็ไม่ค่อยได้แกล้งอะไรฝ่ายนั่นบ่อยนัก ทำไมพอมีโอกาสถึงได้อยากจะดึงขาเขาทุกที ชายหนุ่มตัดสินใจจะมาในมาดสบายๆ จริงๆ แล้วคำพูดของราฟาแอลก็ใช่ว่าจะตอหลดตอแหลไปเสียหมด คนที่เขาจะต้องเข้าหาคงชอบอะไรสดใสๆ นั่นแหละ รูฟัสหวังอย่างเดียว ขออย่าให้เป็นยายแก่เหนียงยานหรือตาแก่ตันหากลับเลย ถ้าเป็นสองอย่างนี่เขาจะกลับไปฆ่าราฟาแอลทิ้งกับมือ แล้วจะเอาศพไปแขวนไว้ที่บ้านพักคนชราไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
   ชายหนุ่มค่อยๆ ผลักประตูกระจกสีดำบานนั้นเข้าไป เขาถูกตรวจค้นอาวุธโดยชายฉกรรจ์สองคน  ก่อนจะส่งสัญญาณให้พนักงานเปิดประตูซึ่งอยู่ถัดเข้าไป
   ในที่สุดเขาก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งถูกตกแต่งด้วยไฟหลากสี และเสียงเพลงดิสโก้ดังอยู่เป็นจังหวะ  ตรงกลางเป็นเวทีซึ่งกำลังมีการแสดงมายากล  ล้อมรอบด้วยโต๊ะสีดำขนาดกะทัดรัดที่มีโซฟาหนังล้อมไว้ครึ่งหนึ่ง แบ่งสัดส่วนระหว่างโต๊ะได้อย่างลงตัว ผู้คนดูไม่เยอะและไม่บางตาจนเกินไป  และส่วนใหญ่มักเป็นชาวต่างชาติ
   ชายหนุ่มเดินตรงไปยังส่วนที่เรียกว่าบาร์ เขารู้ดีว่าไนต์คลับแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะเข้ามาเที่ยว  รูฟัสสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ที่ประจำอยู่  สักพัก ของเหลวไม่มีสีในแก้วคริสตัลใสก็ถูกวางลงตรงหน้า เขาจรดมันเข้ากับริมฝีปาก ก่อนซดลงไปรวดเดียว
   รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเกิดไปขณะหนึ่ง น่าแปลกอยู่สักหน่อยที่ยังมีของแบบนี้ขายในเมืองที่ร้อนแทบตาย ความรู้สึกร้อนวาบไหลผ่านลำคอลงไปถึงกระเพาะ แต่ด้วยอุณหูภูมิที่ลดต่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้เขารู้สึกไม่อึดอัดนัก ถ้ามีหัวบีตรูต อกูร์ซึย*(แตงกวาเล็ก กินกับวอดก้า) ด้วยคงดีพิลึก
   “Oh! You‘re newbie?”
   เสียงใสๆ เสียงหนึ่งร้องทักขึ้น  รูฟัสหันไปตามเสียง หญิงสาวคนหนึ่ง สูงราวร้อยหกสิบกว่าๆ ในชุดราตรีสายเดี่ยวสีดำหยุดยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มแบบไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาทันที
   “คุณคงเป็นมาดามของที่นี่สินะครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้น โค้งให้เธอครั้งหนึ่ง  หญิงสาวร้องอุ๊ย
“พูดไทยได้หรือคะเนี่ย เก่งจัง”
   รูฟัสรู้มาจากฟาราแอลว่า หล่อนอายุเกินสามสิบห้าแล้ว แต่ที่เขาเห็น ดูคล้ายหญิงสาวอายุราวยี่สิบปลายๆ เท่านั้นเอง  ผมดำที่ดัดเป็นลอนพอสวยงามสยายตามไหล่ขาวผ่องที่ใครเห็นก็อดมองไม่ได้ ใบหน้ารูปไข่ นัยน์ตาไม่โตมากนัก ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงได้รูป  โดยเฉพาะไฝเม็ดเล็กๆที่ใต้ตาซ้าย ยิ่งทำให้หล่อนมีเสน่ห์ดึงดูด และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รูฟัสจดจำหล่อนได้
   หญิงสาวโปรยยิ้มหวาน รอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้แรกแย้ม ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะมีหนุ่มหลายคนหลงรักหล่อนในเสี้ยววินาทีแรกที่พบกัน รูฟัสยิ้มตอบ หนึ่งในนั้นคงไม่ใช่เขาแน่นอน
   “ถ้าไม่รังเกียจ ไปนั่งคุยกับดิฉันสักหน่อยที่โต๊ะตรงโน้นดีไหมคะ?” หล่อนพูด ส่งสายตาเชิญชวน
   “ไม่เลยครับ ด้วยความยินดี” ชายหนุ่มรีบตอบ เขารู้จุดเด่นของตัวเองดี ตอนนี้หน้าของเขาคงแดงปลั่งเพราะพิษวอดก้าเมื่อครู่อยู่แน่ๆ หล่อนพาเขามานั่งที่โต๊ะส่วนตัวที่อยู่ตรงมุมใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ เรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม ก่อนจะหันมายิ้มหวาน
   “ใครแนะนำมาหรือคะ”
   “เพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะครับ” รูฟัสตอบ ก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มบ้าง
   “แหม อยากรู้จังนะคะว่าใคร อุตส่าห์แนะนำหนุ่มรูปหล่อแบบคุณมาถึงที่นี่”
   “เขาไม่อยากให้บอกนะครับ คงกลัวคุณจับตี”
   หญิงสาวหัวเราะร่วน  ร่างเล็กๆสั่นเบาๆ “แหม... ช่างพูดเล่นนะคะ ดิฉันคงไม่ไปตีใครหรอกค่ะ  แต่ก็ไม่แน่นะคะ ถ้าเป็นหนุ่มๆแบบคุณ อาจจะทำให้ดิฉันคันไม้คันมือขึ้นมาบ้างก็ได้”
   รูฟัสหัวเราะ หญิงสาวกวาดสายตามองชายหนุ่มตรงหน้า หน้าตาเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นเพอเฟกซ์ แล้วยังรู้จักเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองอย่างร้ายกาจ ลำพังแค่หัวเราะออกมาก็แทบจะทำให้คนหัวใจละลายอยู่แล้ว ใครบ้างจะไม่หลงเพ้อ
   “ชอบดื่มแบบแรงๆ เหรอคะ คุณ เอ้อ...”
   “อยากเรียกผมว่าอะไรล่ะครับ มาดาม”
   ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ อีกฝ่ายหัวเราะเอียงอาย
   “เลิกเรียกดิฉันว่ามาดามเถอะค่ะ ดิฉันชื่อเมี่ยง”
   “เมี่ยง?” รูฟัสทวนคำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ คำที่เขาออกเสียงไปดูแปร่งๆนิดหน่อย หญิงสาวหัวเราะชอบใจ
   “แปลกใจหรือคะ สามีดิฉันก็เคยพูดว่าไม่เหมาะ แต่ดิฉันออกจะชอบชื่อนี้นะคะ จำง่ายดี”
   ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม “เจ้าของร้านแบบคุณลงทุนมาต้อนรับผมด้วยตัวเองแบบนี้ ผมออกจะรู้สึกเกรงใจอยู่มากเลยเชียวครับ”
   หญิงสาวยิ้มตอบ หยิบแก้วคอกเทลสีแดงสดที่เพิ่งถูกนำมาวางขึ้นมาจิบเล็กน้อย
   “แหม เราต้องรักษาลูกค้านี่คะ ยิ่งเป็นลูกค้าน่ารักๆแบบคุณ ยิ่งไม่น่าปล่อยให้หลุดมือไปหรอกค่ะ”
   รูฟัสยิ้มอีกครั้ง คำพูดของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเด็กๆ
“ฉันควรเรียกคุณว่าอะไรดีคะเนี่ย” เมี่ยงกล่าว พลางเอานิ้วจิ้มจมูกอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู รูฟัสหัวเราะอีก
“คุณยังไม่รู้ชื่อผมจริงๆ หรือครับ?”
เขาย้อนถาม เมี่ยงพยักหน้า เอ่ยเสียงใส
“แหม..ก็พวกคุณเคยใช้ชื่อจริงกับเขากันที่ไหนล่ะคะ คุณอยากให้ฉันเรียกคุณชื่อไหนดี”
“เรียกรูฟัสก็ได้ครับ เพราะตอนนี้ผมใช้ชื่อนี้อยู่”
“ว้า...ตอนนี้หรือคะ งั้นนี่ก็ยังไม่ใช่ชื่อจริงสินะคะ แหม.. ฉันได้ยินมาด้วยน่ะค่ะ ว่าสีตาคุณไม่เสมอ”
รูฟัสยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเองอย่างเคยชิน และเพิ่งนึกได้ว่าใส่คอนแทคเลนสี จริงๆ คือเขาใส่มันเป็นประจำเวลาทำงานอยู่แล้ว ชายหนุ่มยิ้มออกมา
“ให้ผมเดินไปเดินมากับตาสีประหลาดไม่ค่อยจะดีมั้งครับ ถ้าคุณอยากเห็น เราไปหาที่เงียบๆ ว่านี้กันดีกว่า แล้วผมจะถอดให้คุณดู” พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม คนฟังจึงหยิกเข้าให้ทีหนึ่ง แต่ก็ไม่แรงมาก เรียกว่าหยิกแก้เก้อน่าจะได้
“แหม.. ทะลึ่งจังเลยนะคะ ว่าแต่ที่พูดว่าจะถอดนี่ พูดจริงไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมคะ?”
“พิสูจน์ดูไหมล่ะครับ”
ชายหนุ่มกล่าวพลางยุดข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ หล่อนจึงยกมือขึ้นผลักอกเขาเบาๆ
“ตายล่ะ ราฟี่ส่งตัวร้ายมาให้ฉันจริงๆ ด้วย”
-----------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:12:51
   เสียงถอนหายใจอย่างมีความสุขดังขึ้นเบาๆ ภายในห้องสีโอลด์โรสที่ถูกตกแต่งคล้ายห้องสวีท  หญิงสาวเบียดกายเข้าหาชายหนุ่มอีกครั้ง ร่างของหล่อนสั่นน้อยๆ
   “หนาวหรือครับ”
   รูฟัสใช้มือรวบร่างเปลือยเปล่าที่แสนจะบอบบางเข้ามาแนบตัว ก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
   “อ่อนโยนจังนะคะ” เมี่ยงยิ้ม  ยกมือขึ้นลูบใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่ม มองลึกลงไปในดวงตาต่างสีคู่นั้น
   “ตาคุณสวยมากจริงๆ ดีใจจังที่ได้เห็น”
   “อืม...คงมีแต่คุณเท่านั้นล่ะครับที่ชมผมแบบนี้ เพื่อนๆ ผมชอบหาว่าผมตาพิการอยู่เรื่อย” รูฟัสพูด ทำหน้าอย่างคนทุกข์โศกเสียเต็มประดา หญิงสาวหัวเราะร่วน
   “ไม่เชื่อหรอกค่ะ ตาคุณออกจะมีเสน่ห์ขนาดนี้ ถ้าให้เลือกได้ ฉันอยากมองแบบนี้ทุกวันเลยค่ะ”
   “ถ้าคุณชอบ ผมมาให้คุณมองทุกวันเลยดีไหมครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างยั่วเย้า พลางไล้มือบนใบหน้าของหญิงสาว “คนสวยๆ แบบคุณ ผมยอมให้มองไปจนตายเลยล่ะครับ”
   คนถูกยอยกมือขึ้นแตะปากชายหนุ่ม และยิ้มขัดเขิน
   “อย่าโปรยเสน่ห์บ่อยๆ ได้ไหมคะ ระวังเดี๋ยวดิฉันจะหลงเอาจริงๆ นะคะ พ่อหนุ่มคาสโน
วา”
   รูฟัสตัดสินใจไม่รุกหล่อนต่อ จุดประสงค์ของเขาแค่เพื่อให้อีกฝ่ายพอใจเท่านั้น ไม่ใช่จะให้หลงหัวปักหัวปำ และเมี่ยงก็เป็นคนที่รู้พื้นเพของเขาอยู่
   “คุณพอจะผสมเครื่องดื่มได้หรือเปล่าคะ?”
   รูฟัสพยักหน้า หญิงสาวยิ้มและพูดต่อ
   “งั้นดีเลยค่ะ ฉันจะให้คุณทำงานตำแหน่งบาร์เทนเดอร์ จะได้ไม่ดูสะดุดตา แล้วก็มีโอกาสสังเกตคนที่คุณต้องการหา ดีไหมคะ?”
   “ผมต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ นะครับ” ชายหนุ่มกล่าวและยกมือหล่อนขึ้นมาจูบเบาๆ เมี่ยงยิ้มอย่างพอใจ
   “มีคุณมาทำงาน ลูกค้าสาวๆ ฉันคงเพิ่มขึ้นเพียบแน่ๆ เลยค่ะ จริงสิคะ ถ้าคุณเจอคุณราฟาแอล ฝากบอกเขาด้วยนะคะ ว่าดิฉันเข็ดแล้ว”
   “เห?” รูฟัสเอ่ยอย่างแปลกใจ เมี่ยงหยิกเขาเบาๆ ทีหนึ่งและพูดต่อ
   “แหม.. ก็เขาเล่าให้ฉันฟังว่าคุณเป็นคนน่ารัก เสน่ห์แรง ฉันเลยอยากจะลองดูสักทีหนึ่ง”
   “ลองแล้วเป็นไงล่ะครับ?” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ คนถูกถามหยิกเขาอีกที
   “ลองแล้วไม่อยากลองซ้ำเลยล่ะค่ะ กลัวจะติด” หล่อนว่า และหัวเราะอีก
   “ฉันว่าจะทำเคาน์เตอร์บาร์ใหม่อยู่พอดี คงรออีกพักหนึ่งนั่นแหละค่ะ คุณไม่รีบใช่ไหมคะ?”
   “ตามสะดวกเลยครับ ผมทำอย่างอื่นรอไปพลางๆ ก็ได้” คนถูกถามตอบและก้มลงจุมพิตหน้าผากหญิงสาวเบาๆ เมี่ยงยกมือขึ้นไล้ใบหน้าเขา
   “ต้องมีคนน้ำตาเช็ดหัวเข่ากับคุณมาเยอะแล้วแน่ๆ เลยค่ะ คุณเคยชอบใครจริงๆ จังๆ บ้างรึเปล่าคะเนี่ย?”
   รูฟัสสั่นศีรษะแทนคำตอบ เรื่องนั้นสำหรับเขาเหมือนเป็นเรื่องในจินตนาการเสียมากกว่า ชายหนุ่มใช้ชีวิตแบบนี้มานานจนลืมเรื่องอ่อนไหวพวกนั้นไปหมดแล้ว
---------------------------------   
   แสงแดดยามสายลอดมาจากช่องที่ถูกทำด้วยกระจกเพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า  ราฟาแอลหยิบมือถือที่ดังขึ้นมาแนบหู ขณะพาตัวและกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆเดินพ้นประตูเลื่อนทรงกลมขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งอยู่หน้าทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ
   “Привет!” ประโยคทักทายแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนโทรมาเป็นใคร ชายหนุ่มผมบล็อนด์ตอบกลับเสียงงึมงำ อีกฝ่ายกรอกเสียงต่อ
   “ผมไปเจอคุณเมี่ยงมาแล้วล่ะ”
   “อ้อ..เป็นไงล่ะ?” ราฟาแอลเอ่ยถามพลางก้าวเท้าไปตามทางเดินยาวเหยียดตรงไปยังประตูทางขึ้นเครื่อง รูฟัสพูดตอบ “ก็ดี ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าเป็นยายแก่จิตกลับจะแว้บไปซัดคุณสักเปรี้ยง”
   “อืม...ฉันไม่คบกับผู้หญิงที่อายุเกินสามสิบห้าที่หาความสวยไม่ได้หรอกนะ”    ราฟาแอลเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี รูฟัสทำเสียงค่อนแคะ
   “ผมคิดว่าขอให้ไม่มีหาง คุณก็หน้ามืดหมดเสียอีก”
   “น้อยๆ หน่อย” อีกคนปรามพลางพูดต่อ “คุณเมี่ยงเป็นเพื่อนฉัน ฟังแล้วแกจะแปลกใจ แต่ฉันยังไม่เคยขั้วกับเธอหรอกนะ”
   “คุณต้องไปบอกคลาวเดียแล้วล่ะ เธอต้องไม่เชื่อยิ่งกว่าผมแน่ๆ” คนปลายสายย้อน ราฟาแอลหัวเราะลงลูกคอ
   “ไว้จะเร่งงานแล้วจะรีบกลับไปบอก”
   “ฝากความคิดถึงถึงคลาวเดียด้วยแล้วกัน ท่าทางรอบนี้ผมจะอยู่ยาว คุณอยู่สนามบินแล้วใช่ไหม”
   ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงตอบรับ พลางย่นคิ้วมองทางเดินที่ดูเหมือนจะยาวไม่มีที่สิ้นสุด
   “ฉันล่ะไม่เคยเห็นสนามบินที่ไหนต้องเดินยาวๆ แบบนี้มาก่อนเลย”   เขาบ่นพึมพำและได้รับการปลอบประโลมที่ชวนให้นึกคันมืออยากซ้อมคู่สาย
   “แหม...คุณจะขี้เกียจเดินไปไหนกันนะ เดี๋ยวผมซื้อพวกรองเท้าติดล้อแบบที่เด็กๆ ชอบเล่นไปให้คุณดีกว่า คลาวเดียน่าจะชอบถ้าเห็นคุณใส่ของพวกนี้”
   “พอเลยๆ นี่แกคิดจะกวนประสาทฉันไปอีกนานมั้ย?” ราฟาแอลเอ็ด ขณะยกกระเป๋าผ่านเครื่องสแกนที่ติดตั้งอยู่ก่อนถึงประตูออกไปขึ้นเครื่อง ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ
   “แค่นี้ก่อนนะครับ มีอะไรฉุกเฉินผมจะติดต่อไป ได้เวลาทานข้าวแล้วล่ะ”
   “อ้อ...กับเด็กข้างห้องคนนั้นอีกล่ะสิ อย่าถึงขั้นติดอกติดใจจนไม่เป็นอันทำงานล่ะ” ราฟาแอลค่อนแคะ คนปลายสายหัวเราะอีก
   “คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง แค่นี้ก่อนนะครับ ไว้เจอกัน”
   รูฟัสวางโทรศัพท์ ก่อนจะบิดขี้เกียจ และเดินไปเปิดประตู เขาหันไปยิ้มให้คนข้างห้องที่เปิดประตูออกมาเช่นกัน วันนี้ฟ่งมีรอยยิ้มให้เขานิดหน่อย ชายหนุ่มรู้สึกพอใจที่เห็นรอยยิ้มนั้น แต่นี่มันยังห่างไกลจากเรื่องที่ราฟาแอลกังวลอีกหลายร้อยเท่า เขาไม่ติดใจคนข้างห้องหน้าตาธรรมดาๆ ที่พาไปกินข้าวด้วยทุกวันหรอก
   หัวใจของเขาไม่ได้มีไว้สำหรับเรื่องแบบนี้ เพราะเขาลืมมันไปนานแล้ว
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:14:11
บทที่3 ซินเดอเรลล่า
   เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  ฟ่งวางมือจากคอมพิวเตอร์ พยายามค้นหาแหล่งที่มาของเสียงจากกองข้าวของระเกะระกะในห้อง  ท้ายที่สุดก็พบมันวางอยู่ใต้กองหนังสือหน้าบนโต๊ะที่เขารื้อออกมาเพื่อหาข้อมูล ชื่อที่แสดงบนจอมือถือทำให้ชายหนุ่มชะงักไปอย่างลังเล  แต่ในที่สุดก็กดรับสาย
   “ฟ่ง.. นี่ดาเองนะ” เสียงที่ดังลอดออกมาทำให้เขารู้สึกดีใจระคนตกใจนิดๆ  นับตั้งแต่วันที่เลิกกันก็ผ่านมากว่าเดือนแล้ว ทั้งเขาและดาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
   “ฟ่ง เป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าคู่สายเงียบเสียงไป
   “อ๊ะ! เปล่าจ้ะ” ฟ่งรีบพูด แก้มแดงแดงระเรื่อด้วยความตื้นตัน อย่างน้อยน้ำเสียงของดาก็ไม่ได้รังเกียจเขา
   “ดีใจจัง ที่ฟ่งยังรับโทรศัพท์ดา” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มอดหวั่นไหวไม่ได้
   “ดาสบายดีหรือ?” เขาถาม ในสมองตื้อตันจนเค้นคำพูดออกมาได้ยาก
   “ค่ะ” หญิงสาวตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ฟ่งคะ ฟ่งย้ายไปไม่บอกแบบนี้ดาเป็นห่วงมากเลย ดาคิดว่าฟ่งจะเป็นอะไรไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงฟ่งแบบนี้ดาก็ดีใจล่ะ”
   “ฟ่งดีใจที่ดาโทรมานะ….”   เขาพูด พยายามจะรักษาระดับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด แต่วรรคสุดท้ายก็ถูกกลืนหายไปในลำคอที่ตีบตันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งจนคู่สายต้องพูดขึ้น
   “ฟ่ง ดาไม่เป็นไรหรอกนะ ฟ่งอย่าคิดมากนะคะ ดาแค่อยากรู้ว่าฟ่งสบายดี ไว้เดี๋ยววันหลังเราค่อยคุยกันใหม่นะ”
   คนฟังยังเงียบไปอีกนาน กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ “อืม..จ้ะ”
   น้ำเสียงของเขายังคงหายเข้าไปในลำคออย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ตัดสินใจวางสายไป ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ วางโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะ พลางสูดหายใจลึก ก่อนจะระบายออกมา
   ดีแล้ว แบบนี้ดีแล้ว ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้
   ชายพยายามปลอบใจตัวเอง  บางครั้งเขาก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญอารมณ์แบบนี้  ฟ่งเดินไปเปิดตู้เย็นที่วางอยู่ข้างอ่างล้างจาน หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่คงดื่มเร็วไปหน่อย เลยสำลักน้ำ ฟ่งปล่อยให้ตัวเองสำลักจนน้ำหูน้ำตาไหล ดวงตาของชายหนุ่มเป็นสีแดงเรื่อ
--------------------------------------------
   ไฟสีแดงกะพริบไปอยู่ที่ตำแหน่งWarmบนกาต้มน้ำไฟฟ้า นิ้วมือยาวกดปุ่มสีแดงด้านบน น้ำเดือดไหลลงสู่ภาชนะที่รองอยู่เบื้องล่าง  ไอสีขาวลอยกรุ่นท่ามกลางอุณหภูมิห้องที่ถูกปรับจนต่ำลง รูฟัสหยิบซองชาสีขาวหย่อนลงไป ก่อนจะหยิบแก้วเซรามิคสีเบจไปที่โต๊ะ  ชายหนุ่มนั่งลงจรดปากกาลงในสมุดโน้ตสีน้ำเงินเล่มเล็กๆ ด้วยภาษาและตัวอักษรต่างๆ เขาจำเป็นต้องทำบันทึกการทำงานเอาไว้ เผื่อในกรณีที่มองข้ามอะไรไปบางอย่าง แน่นอนว่าภาษาที่ใช้จดไม่ใช่ภาษาที่คนปกติจะสามารถถอดความหมายที่ซ่อนอยู่ได้ รูฟัสจดบันทึกด้วยลายมือละเอียดสวยงามเสมอ แม้ว่าสมุดบันทึกแบบนี้จะมีแต่เขาที่เป็นผู้อ่านอยู่คนเดียวก็ตาม บางทีคงเป็นความเคยชินไปแล้ว ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยหวังให้ใครหยิบมันไปอ่านต่อ เพราะหลังจากจบงาน เขาก็ต้องเผามันทิ้งอยู่ดี
   ชายหนุ่มวางปากกาลงเมื่อชาพร่องไปครึ่งถ้วย เก็บสมุดบันทึกเล่มเล็กไว้กับตัว และเปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ตารางข้อมูลที่เขาทำการคัดแยกเอาไว้ก่อนหน้านี้เด้งพรึบออกมาอย่างละลานตาทันทีที่เปิดมันออก ชายหนุ่มตรวจเช็คอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข้ารหัสป้องกัน และส่งมันผ่านระบบเครือข่ายเฉพาะที่สงวนไว้สำหรับคนที่เกี่ยวข้อง พลางนึกย้อนไปถึงตอนเริ่มต้นที่เพื่อนเขารับงานชิ้นนี้
   มันเป็นงานที่แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรชัดเจนเลย มีแค่เบาะแสเล็กๆ น้อยๆ จากคนที่ใช้ชื่อแฝงว่า มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล แต่กระนั้นดูเหมือนเบื้องบนจะให้ความสนใจกับข้อมูลเลือนรางนี้อยู่พอสมควร แม้จะออกหน้าเองไม่ได้เพราะข้อมูลไม่พอ แต่ก็ยังอุตส่าห์หาคนมาจ้างวานพวกเขาให้ช่วยสืบเรื่องนี้ ถ้าไม่ติดว่าคนที่มาติดต่อเป็นคนรู้จักเก่าแก่ เขาคงยุให้ราฟาแอลปฏิเสธไปแล้ว ทำงานกับเบื้องบนทีไรปวดหัวทุกที แถมยังจ่ายช้าอีกต่างหาก ราฟาแอลเองก็คงคิดเหมือนกัน แต่ติดที่เป็นคนรู้จักและเป็นการไหว้วานจากเบื้องบนนี่แหละ ต่อให้ไม่อยากทำแค่ไหนก็ต้องจำใจทำอยู่ดี ใครมันใช้ให้เบื้องบนใหญ่ขนาดนั้นกันล่ะ แล้วถ้ามีการคุ้มครองจากเบื้องบน ชีวิตของพวกเขาก็ง่ายขึ้น ปัญหาคือตอนนี้รูฟัสรู้สึกชีวิตตัวเองไม่ง่ายเลย
   ชายหนุ่มนึกทบทวนแผนงานของตัวเองและข้อมูลที่มีอยู่เงียบๆ พลางคิดว่างานนี้จะมีอะไรอย่างที่เบื้องบนคาดการจริงๆ หรือ? เรื่องมันดูเหลือเชื่อจนไม่น่าเชื่อ คงต้องรอราฟาแอลที่ไปสืบข้อมูลติดต่อกลับมาอีกที ระหว่างนี้เขาคงต้องทำตามแผนเดิมไปก่อน
   เที่ยงคืนสี่สิบห้า….
   เขาเดินตรงไปที่หน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ เปิดมันออก สูดอากาศยามดึกสงัดเพื่อพักสมองจากข้อมูลวุ่นวายที่เขาใช้เวลาคัดแยกมาตลอดบ่าย แม้จะดึกมากแล้ว แต่ท้องถนนยังคงมีรถวิ่งให้เห็นพอสมควร คนที่อยู่บนรถพวกนั้นทำอะไรอยู่ เพิ่งกลับจากการหาความสนุก หรือกำลังออกไปหาความสนุกในชีวิตกันแน่ กับชีวิตง่ายๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายมากนัก แค่ทำงาน หาเงิน หาความสุขไปวันๆ
   ชีวิตธรรมดา...
   รูฟัสถอนหายใจ ปล่อยเสียงให้ลอยไปกับสายลมที่พัดผ่าน สำหรับเขาชีวิตธรรมดาแบบนี้ช่างดูห่างไกล เหมือนความธรรมดากลายเป็นความไม่ธรรมดาไปนานแล้ว นานเท่าไรนั้น รูฟัสเองก็ขี้เกียจจะนึก ยังไงนี่ก็เป็นชีวิตของเขา และเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ถึงอย่างนั้นบางทีในชีวิตพิสดารก็ยังมีเรื่องง่ายๆ อยู่บ้าง เรื่องง่ายๆ เช่นการชวนคนข้างห้องไปทานอาหาร ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีการวางแผนเค้นอะไร แค่ไปทานข้าว ง่ายๆ แค่นี้เอง
   นัยน์ตาสองสีหลับพริ้มลง มุมปากมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสีหน้าที่สดชื่นขึ้นของคนข้างห้อง
   บางทีเรื่องง่ายๆ ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
--------------------------------
   ปากกาเน้นคำหลากหลายสีถูกเสียบไว้ในตะกร้าวางเรียงราวกับสายรุ้ง  รูฟัสมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ด้วยอาการแบบคนทำอะไรไม่ถูก
   วันนี้คนข้างห้องทำให้เขาแปลกใจด้วยการเสนอให้มาทานอาหารกลางวันในห้าง  ทั้งๆ ที่ปกติฟ่งมักจะเลือกร้านข้างทาง ไม่ก็ร้านที่ตั้งอยู่แถวๆคอนโด
   “ผมจะเข้าไปซื้อของมาไว้ทำงานน่ะครับ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
   ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีหงิมๆ เช่นเคย  เมื่อถูกถามในตอนเช้า  ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจของเขาจะกลับเป็นปกติแล้ว  แต่เหมือนความเคยชิน รูฟัสตอบตกลงไปอย่างง่ายๆ
   ตอนนี้ชายหนุ่มต้องมาผจญกับโลกที่เขาไม่รู้จัก  อุปกรณ์เครื่องเขียนนานาชนิดวางเรียงรายอยู่ทุกมุมทุกกระเบียดนิ้ว  ฟ่งบอกเขาว่าร้านขายเครื่องเขียนที่นี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้างด้วยกัน  รูฟัสยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เมื่ออยู่ตรงหน้าเหล่าบรรดาปากกาหลากสีที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องผลิตออกมามากมายขนาดนี้
   ดูเหมือนคนข้างห้องจะมีความสุขเมื่ออยู่ท่ามกลางอุปกรณ์ประหลาดเหล่านี้  ฟ่งก้มๆ เงยๆ หยิบปากกาแบบโน้นแบบนี้ใส่ตะกร้า  ก่อนจะเดินไปตามล็อคต่างๆ  รูฟัสมองตามหลังเพื่อนข้างห้องที่คล้ายหลุดเข้าไปในดินแดนพิศวง แล้วตัดสินใจพาตัวเองลงไปโซนขายซีดีบริเวณชั้นหนึ่ง เขาหยุดยืนดูภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในทีวีขนาดยี่สิบเอ็ดนิ้วซึ่งวางอยู่ใกล้บันไดเลื่อน  มีคนไทยสองสามคนยืนดูอยู่หนึ่งในนั้นคงเป็นพนักงานของร้านเมื่อดูจากเครื่องแบบ คิดว่าคงเป็นหนังตลก ดูจากประโยคคำพูดและลักษณะของตัวแสดง รูฟัสไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ขันของคนไทยนัก ดังนั้นเขาจึงเดินต่อไปยังส่วนที่ขายซีดีคลาสสิก ซึ่งตัวเองพอมีความรู้อยู่บ้าง
ส่วนนี้ตั้งแยกออกไปจากแผงขายซีดีและวีซีดี รูฟัสหยิบกล่องซีดีขึ้นมาดูรายชื่อ  เสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอไว้เบาๆ ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเพลงต่างๆ
   เทปเพลงและซีดีกองมหึมากองอยู่หน้าเครื่องเล่น เขาต้องจำรายละเอียดต่างๆและแยกประเภทของเพลงต่างๆ ให้ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จำเป็นในอาชีพของเขา
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงคืนวันเก่าๆ แม้บางทีอาจจะดูโหดร้ายและเข้มงวดไปบ้าง แต่ อเล็กเซก็เป็นคนดึงเขาออกมาจากปลักโคลน
   ในที่สุดชายหนุ่มก็ซื้อซีดีออกมาแผ่นหนึ่ง  เขากลับมายืนรออยู่หน้าร้านชั้นสอง ไม่นานฟ่งก็หอบถุงใสสกรีนชื่อร้านใบใหญ่ออกมา
   “ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มรีบเอ่ยปาก ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายยืนรออยู่แล้ว
   “Не за что!  เอ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสรีบแก้คำ เมื่อรู้ตัวว่าพูดภาษาบ้านเกิดออกไป อีกฝ่ายมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
   “เอ่อ ไปทานข้าวกันเถอะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
   ฟ่งขยับแว่น ก่อนจะเดินนำหน้าไป  รูฟัสมองดูถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยม้วนกระดาษและถุงใบเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ข้างใน อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก พลางเดินตามไปเงียบๆ
   ดูเหมือนห้างจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน รูฟัสมองดูรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าห้างในประเทศไทย  ชายหนุ่มนึกเปรียบเทียบกับห้างที่เขาเคยเจอ มันก็ดูไม่เล็กเลยทีเดียว  เขารู้สึกชอบส่วนทางเดินที่เป็นกระจก นอกจากจะต้องใช้ไฟในช่วงกลางวัน ยังทำให้เห็นทัศนียภาพภายนอกด้วย  ฟ่งพาเขาเดินลัดเข้าไปตามซอกเล็กๆ ก่อนจะไปโผล่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง  จริงๆ รูฟัสอยากจะเข้าร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตรงที่เดินผ่านมามากกว่า แต่เพราะอีกฝ่ายบอกว่าจะเลี้ยง เขาเลยไม่อยากเสียมารยาท
   พนักงานต้อนรับสาวเดินมาส่งเมนู ก่อนจะเอาถาดใส่ผ้าเช็ดมือสีขาวซึ่งฆ่าเชื้อมาด้วยความร้อนมาวางให้ ทั้งคู่หันไปบอกขอบคุณพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ พนักสาวอมยิ้ม สองหนุ่มหัวเราะแห้งๆ เปิดเมนูขึ้นมาสั่งอาหาร  พนักงานอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับรายละเอียดของอาหารเซ็ตต่างๆ  ฟ่งสั่งข้าวหน้าปลาทูน่าสด ในขณะที่รูฟัสเลือกจะสั่งอาหารเซ็ตของร้าน เพราะเห็นว่าแปลกดี
   “เอ้อ คุณรูฟัสเป็นคนรัสเซียสินะครับ” ฟ่งเอ่ยขึ้น หลังจากสั่งอาหารไปแล้ว
   “ครับ” รูฟัสตอบ  ฟ่งพูดต่อ
   “อยากลองไปเที่ยวจัง ผมยังไม่เคยเห็นโดมรูปหัวหอมของจริงเลยซักครั้ง”
   “อ่อ ที่เซร์กีเยฟ โปซัด สินะครับ”
   สำเนียงแปลกหูจนคนฟังต้องขมวดคิ้ว ฟ่งอ้าปากถามต่อ
   “มันเรียกแบบนั้นหรือครับ ผมเคยเห็นภาพตอนสมัยยังเรียนมหาลัย”
   “อ๋อ อันนั้นเป็นชื่อเมืองน่ะครับ ที่นั่นเรียกกว่าทรินีตี-เซนต์เซร์จีอุส หรือว่าบางทีคุณอาจจะหมายถึงซาโบร์ วาซิเลีย บลาเซนนาวา”
   “อะไรนะครับ?” ฟ่งทวนคำ  คงเพราะความไม่คุ้นเคยกับภาษา บวกกับคนที่พูดเป็นเจ้าของภาษา การฟังจึงยากลำบาก ความจริงเขาก็ไม่อยากขัดนักหรอก แต่มันฟังแทบจะไม่รู้เรื่องจริงๆ
   “ทรินีตี-เซนต์เซร์จีอุส กับ ซาโบร์ วาซิเลีย บลาเซนนาวา ครับ” รูฟัสพูดซ้ำอีกครั้ง พยายามสะกดช้าๆ ให้อีกฝ่ายฟังง่ายๆ ฟ่งจำเป็นต้องพยักหน้าด้วยความจำใจ เพราะขืนให้พูดอีกเขาคงต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษารัสเซียเป็นแน่
   “แต่อากาศที่โน่นหนาวมากนะครับ ถ้าคุณไปคงปรับตัวลำบากทีเดียว” รูฟัสกล่าวพลางมองคนนั่งตรงข้ามและยิ้ม เขากำลังจินตนาการถึงฟ่งตอนที่ใส่หมวกกับเสื้อขนสัตว์ คงดูแปลกพิลึกสำหรับคนตัวผอมๆ แบบนี้ ชายหนุ่มพลันนึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีขนปุกปุย
   “ฮ่ะๆ นั่นสินะครับ ก็ที่นี่มันร้อนเสียขนาดนี้” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะ  ก่อนจะถามต่อ
   “แล้วงานคุณ เป็นยังไงบ้างครับ”
   “อ้อ...” รูฟัสเอามือเกาหลังหู แล้วยิ้มแห้งๆ “ยังหาอยู่เลยครับ”
   “เอ...” อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่าง
   “ไม่ลองเป็นครูสอนภาษาดูล่ะครับ” ฟ่งเสนอ  คนได้ยินได้ยินหัวเราะร่วน
   “โอ๊ย ไม่ไหวหรอกครับ ผมไม่ได้เรียนดีอะไร อีกอย่าง ใครที่ไหนจะมาสนใจภาษารัสเซีย”
   “ไม่แน่นะครับ เดี๋ยวนี่คนไทยออกจะนิยมภาษาต่างชาติ” คนเสนอตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าจริงจัง รูฟัสอมยิ้ม
   “ไว้ถ้าคุณจะไปรัสเซียเมื่อไหร่ ผมจะเปิดสอนให้แบบคิดพิเศษแล้วกันนะครับ”
   ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ  ก่อนจะยกมือไปช่วยรับถาดอาหารที่พนักงานเสิร์ฟยกมาเสิร์ฟพอดี
---------------
   รูฟัสกลับมาถึงห้องในช่วงบ่าย  ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ฟ่งพาไปทำอาหารได้ไม่เลวทีเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับรสชาตินัก ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดโทรทัศน์ เดินมานั่งตรงโซฟา รายการเกมโชว์ช่วงบ่ายปรากฏขึ้น
   ผู้เป็นเจ้าของห้องอ้าปากหาวเมื่อรายการเกมโชว์จบลง  เขาเดินไปหยิบกระบอกน้ำจากตู้เย็น รินใส่แก้ว แล้วกลับมานั่งที่โซฟาอีกรอบ  คราวที่นี้รายการต่อไปเป็นละครยามบ่าย รูฟัสนึกสงสัยเกี่ยวกับตัวละครที่ดูท่าทางคล้ายแม่บ้านซึ่งโดนดูถูกอยู่มาก ชายหนุ่มนึกถึงแม่บ้านที่เขาพบในคอนโดก็ไม่เห็นจะเป็นแบบในละคร  หรือว่าจะเป็นเฉพาะในบ้านของเศรษฐี คงต้องลองถามใครซักคน
   ในที่สุดสิ่งที่ชายหนุ่มเฝ้ารอก็มาถึง รายการข่าวต้นชั่วโมง  รูฟัสกดรีโมทเพื่อเร่งเสียงให้ดังขึ้น
   “ข่าวด่วน ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมขบวนการค้ายาข้ามชาติ เมื่อเที่ยงวันนี้  โดยเมื่อเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการบุกเข้าจับกุมนายเส็งทอง และพวก รวมแปดคน ในคอนโดมิเนียมหรู บริเวณถนนสาธร โดยมีของกลางเป็นเฮโรอีน จำนวนห้ากิโลกรัม ประเมินมูลค่าเบื้องต้นประมาณสิบล้านบาท”
   รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม งานยากลำบากของเขาเสร็จไปชิ้นหนึ่งล่ะ
------------------
   เสียงเพลงที่ขาดๆ หายๆ ทำให้ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเดินไปยังเครื่องเสียง ดีดแผ่นที่กำลังเล่นอยู่ออกมา พลิกดูพลางขมวดคิ้วกับรอยข่วนมากมายที่อยู่บนแผ่น ชายหนุ่มเก็บมันใส่กล่อง ก่อนจะสอดไว้ในถุงก๊อบแก๊บที่วางอยู่ข้างๆ
   ฟ่งหยิบแผ่นซีดีแผ่นอื่นที่สอดอยู่ในชั้นใส่เข้าไปแทบที่ ก่อนจะกดปุ่มะเล่น เสียงเพลงระรื่นหูค่อยๆ ดังแว่วขึ้น ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เสียงเพลงกระตุกแบบนั้นเป็นใครก็คงหงุดหงิดล่ะ เขาเดินกลับไปที่โต๊ะเขียนแบบสีดำขนาดเอศูนย์ที่เพิ่งกางมันออกมา หยิบกระดาษขาวที่วางแผ่อยู่บนพื้นขึ้นวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้เทปกาวแบบพิเศษสีครีมติดที่ขอบด้านข้าง ฟ่งขยับไม้บรรทัดใสที่วางขวางอยู่ โดยที่ปลายสองข้างมีเชือกสอดอยู่ เพื่อตรวจสอบว่ามันตั้งฉากและขยับได้อยู่หรือไม่  เขาก้มลงไปแกะเชือกเส้นเล็กๆ ที่พันอยู่กับตะขอที่ปลายโต๊ะ แล้วผูกมันใหม่ ลอง
ขยับทีสไลต์อีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนมันจะใช้การได้ดี
   ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดโป๊ะไฟที่ติดอยู่กับโต๊ะ แสงสีขาวนวลสาดลงมาบนกระดาษสีขาว เขาหยิบดินสอขึ้นมา และเริ่มลงมือลากเส้น
   แม้จะมีโปรแกรมช่วยในการเขียนแบบ แต่บางครั้งฟ่งก็ยังชอบเขียนแบบด้วยมือ คงเป็นความเคยชินมาจากตอนเรียนมหาวิทยาลัย และเวลาอยู่บนกระดาษ ความคิดของเขาแล่นได้ดีกว่านั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
   เสียงบทสนทนาของเพื่อนๆ และอาจารย์เมื่อครั้งยังเรียนแว่วขึ้นในหัว  ใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคืนวันเก่าๆ
   เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลุกเขาจากภวังค์ ฟ่งรีบวางมือจากกระดาษเขียนแบบซึ่งเขาเพิ่งขึ้นโครงร่างไปเพียงบางส่วน เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางชาร์ตแบ็ตเตอรี่อยู่ข้างเตียง
   “สวัสดีครับ ครับ ใช่ครับ” ฟ่งนิ่งฟังเสียงปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
   “ครับ งั้นพรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ ผมจะเข้าไปนะครับ ครับ ได้ครับ สวัสดีครับ” ฟ่งวางโทรศัพท์ เดินกลับมาที่โต๊ะเขียนแบบอีกครั้ง เขามองดูผลงานตัวเอง แล้วนึกขำ มันเป็นเพียงแค่การเตรียมตัวเพื่อรับงานเท่านั้น  ชายหนุ่มปิดสวิตไฟ ก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ เขาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนแขนยาวกับกางเกงสแลคสีน้ำตาลเข้มออกมา ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:14:39
   แสงไฟนีออนจากร้านซักรีดพอจะทำให้ตรอกแห่งนี้สว่างขึ้นมาบ้าง แม้ว่าตัวคอนโดเองจะเปิดไฟไว้ตลอด แต่พอตกช่วงหัวค่ำ ไฟตรงส่วนลอบบี้ที่เป็นกระจกก็ถูกดับลง ทำให้บริเวณทางเข้าดูมืดลงไปถนัด เนื่องจากเป็นที่ส่วนบุคคล
   ฟ่งนึกโมโหตัวเองที่ไม่ได้ใส่กางเกงขายาวลงมา เขายืนตบยุงอยู่หน้าร้านซักรีด โดยที่อีกมือหนึ่งถือไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อและกางเกงแขวนอยู่ ท่าทางทุลักทุเล ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านซักรีดจะออกไปทำธุระข้างนอกแต่คงไปไม่นาน เพราะไม่ได้เขียนป้ายติดไว้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะยืนรอ ขณะที่กำลังยืนตบยุงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาก็เหลือบไปเห็นเงาคนเดินออกมาจากคอนโด ร่างสูงใหญ่นั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ฟ่งทำท่าจะร้องทัก แต่เสียงอีกเสียงก็ดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อน
   “ตายจริง มารอนานแล้วหรือคะ” หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวสกรีนลายมัดผมม้าด้านหลัง ที่กำลังเดินเข้ามาจากต้นซอยร้อง ก่อนจะรีบเปิดประตูร้าน
   “ทำอะไรคะ?”
   “รีดเสื้อน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบ พลางยกเสื้อผ้าส่งให้ทางช่องสี่เหลี่ยมที่เจาะไว้เหมือนหน้าต่าง หญิงสาวรับเสื้อผ้าไปแขวนไว้ที่ราวด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาถามรายละเอียด
   “เอาวันไหนดีคะ”
   “พรุ่งนี้ ซักก่อนเที่ยงได้ไหมครับ”
   “ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำ  ฟ่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไป  ไม่มีวี่แววของรูฟัส ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่พลาดการทักทายกับคนข้างห้อง เอาเถอะ ทางนั้นคงรู้แหละว่าเขาทำธุระ ไม่ใช่ว่าเขาเมินไม่สนใจเสียหน่อย
------------------------
   รูฟัสกระโดดขึ้นรถเมล์ครีมแดงเบอร์เดียวกับที่ฟ่งเคยพาเขาขึ้นตอนที่เจอกันวันแรก  กระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาเก็บค่าโดยสารพร้อมมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ  ชายหนุ่มล้วงเศษเงินจากกระเป๋ากางเกงจำนวนพอดีกับค่าโดยสาร ยื่นให้กับพนักงาน ก่อนจะรับตั๋วมาสอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ  เขาใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีสีเทาแก่กางเกงสแลคสีกรม สวมรองเท้าหนังสีดำ นัยน์ที่เคยมีสองสีตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาล หวีผมแสกขวา รูฟัสนึกดีใจที่ฟ่งไม่ได้หันมาทักเขา  เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นเขาในตอนนี้
   ชายหนุ่มกดกริ่งลงป้ายก่อนจะรถเมล์จะเลี้ยวเข้าไปยังส่วนของมหาวิทยาลัย เขาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน ผ่านต้นมะขามที่ปลูกรายล้อมอยู่บริเวณนั้น  กลิ่นของเสียที่มีคนมาถ่ายทิ้งไว้ตามต้นมะขามลอยมาแตะจมูกเป็นระยะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เท่ารถยนต์คันหนึ่งที่จอดเทียบเข้ามาในระยะประชิด
   “น้อง เท่าไหร่?” หนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ในรถเชฟโรเลตสีดำไขกระจกลงมา พร้อมกับยิงคำถาม  รูฟัสเกาศีรษะ  ก่อนจะยกมือชูสัญลักษณ์เพศชายให้แทบคำตอบ รถยนต์คันนั้นรีบขึ้นกระจกขึ้นขับออกไปทันที  ชายหนุ่มมองตามด้วยสายตาสะใจเล็กๆ ก่อนจะออกเดินต่อ
   มีหญิงสาวเดินอยู่ประปรายแถวนั้น บางแต่งชุดนักศึกษา บ้างก็แต่งตัวในชุดลำลอง แบบกางเกงสาสั้น สายเดี่ยว รูฟัสสังเกตเห็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นเดินปะบนอยู่ด้วย  รถยนต์หลายคันแล่นโฉบเข้ามา หลังจากคุยกับครู่หนึ่ง เขาหรือเธอเหล่านั้นก็ก้าวขึ้นไปบนรถ ก่อนจะวิ่งฉิวออกไป
   หญิงสาวผมยาวประบ่าคนหนึ่งยืนแอบอยู่ตรงเสาไฟฟ้าที่ประดับลวดลายตรงฐานครอบ  ท่าทางไม่ค่อยอยากให้ใครมาเห็น  รูฟัสตัดสินใจเดินเข้าไปหา
   “รอใครหรือครับ?” เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยประโยคธรรมดาที่สุด เธอสะดุ้งโหยง รีบพูดขึ้น
   “คะ?”
   รูฟัสสังเกตเครื่องแต่งกายของหญิงสาว เธออยู่ในชุดที่เขาคิดว่าคงเป็นชุดนักศึกษา แต่ได้ติดกระดุมหรือเข็มที่แสดงเครื่องหมายสถาบันเอาไว้  ชายหนุ่มถามต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูก
   “ถามชื่อได้ไหมครับ”
   เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยอาการประหม่า  แสงไฟสีส้มทำให้มองสีไม่ค่อยชัด แต่พอเดาได้ว่าเป็นชาวต่างชาติ
   “เจนค่ะ” เธอตอบ ก่อนจะก้มหน้าเอามือบิดชายเสื้อไปมา ชายหนุ่มยิ้มละไม
   “โอเคครับเจน  ถ้าไม่รังเกียจ ไปทานข้าวกับผมนะครับ”
   หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กๆ
-------------------------------------------
   บรรยากาศกลางคืนในถนนข้าวสารคึกคักไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เสียงจากจอโทรทัศน์ที่ฉายภาพยนตร์อยู่ในร้านอาหารดังแว่วออกมาเป็นระยะๆ เจนซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีชมพูสด และกางเกงยีนส์ขาสั้น เดินตามชายหนุ่มชาวต่างชาติซึ่งแนะนำตัวว่าชื่อเจฟฟรีย์  เขาบอกว่าเธอควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน  โชคดีที่เจนพกเสื้อลำลองมาในกระเป๋าถือของหล่อนมาด้วย
   รูฟัสชะลอฝีเท้า ยื่นแขนให้หญิงสาว เธอเกาะแขนเขาอย่างเขินๆ ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านอาหารที่ดูคล้ายบาร์เบียร์ ชายหนุ่มเลือกที่นั่งบริเวณมุมหนึ่งของร้าน เขาเชิญให้เธอนั่งก่อน จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ  บริกรสาวเดินมาถามรายการอาหารเป็นภาษาอังกฤษ รูฟัสซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่าเจฟฟรีย์หันมาถามเจน “อยากทานอะไรครับ?”
   หญิงสาวลนลานหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดู ทั้งหมดเขียนด้วยภาษาอังกฤษ หล่อนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้รายการอาหารให้บริกรดู  ชายหนุ่มแอบยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดสั่งอาหารเป็นภาษาอังกฤษ
   “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับ” รูฟัสพูดขึ้นหลังจากที่บริกรเดินออกไป  เขาสังเกตเห็นหญิงสาวนั่งนิ่ง
   “เอ่อ..ขอโทษค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ ทำตัวตามสบายนะครับ ผมไม่ได้เจตนาอะไรไม่ดีหรอกครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม พลางชวนคุย แม้จะไม่ค่อยเชื่อใจนัก แต่เจนก็อดทึ่งไปกับทักษะการพูดภาษาไทยของเขาไม่ได้
   “มาอยู่เมืองไทยนานแล้วหรือคะ?” ในที่สุดเธอก็ถามขึ้น  รูฟัสพยักหน้า
   “ครับ หลายปีอยู่”
   “อ้อ มิน่า คุณดู อืม..พูดภาษาไทยคล่องมากเลยน่ะค่ะ” หญิงสาวว่า แอบเหลือบมองใบหน้าของชายหนุ่ม  เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มองหน้าของเขาชัดๆ แสงไฟในร้านนั้นดูดีกว่าไฟข้างถนนมากนัก เจนพบว่าชาวต่างชาติที่พาเธอมานั้น หน้าตาดีกว่าที่คิดไว้มากเลยทีเดียว  ความรู้สึกนี้ทำให้หญิงสาวผ่อนคลายขึ้น
   ในที่สุด อาหารที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มให้เกียรติเธอก่อนเช่นเคย ถึงตอนนี้เจนลดอาการประหม่าลงได้มากจนเริ่มเป็นฝ่ายชวนคุยแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่รูฟัสต้องการ
   เขากำลังสังเกตชายวัยกลางคนชาวตะวันตกวัยกลางคนรูปร่างท้วม ที่มีผมสีน้ำตาลแซมเทาเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับหญิงสาวสวยในชุดแขนกุดรัดรูปและชายฉกรรจ์ชาวตะวันตกอีกสองคน  ทั้งหมดนั่งลงตรงโต๊ะที่ทางร้านเพิ่งจัดให้เป็นพิเศษ อยู่ในแนวทแยงจากโต๊ะที่รูฟัสนั่งอยู่พอดี
   ชายหนุ่มตอบคำถามหญิงสาว พลางชำเลืองมองออกไปยังโต๊ะเป้าหมายในขณะที่เธอเผลอ เขานึกขอบคุณการจัดโต๊ะของทางร้านที่ทำให้การสังเกตการณ์ครั้งนี้สะดวกกว่าที่คาดไว้
   ชายที่รูฟัสจับตามองคือ ดอน ฟาบิโอ หนึ่งในเจ้าพ่อวงการธุรกิจใต้ดินของอิตาลี่ หรือที่เรียกกันอีกนัยหนึ่งว่า มาเฟีย   ดูเหมือนทางฝ่ายโน้นจะไม่ได้ระวังตัวอะไรมากนัก ฟาบิโอ สั่งอาหารกับพนักงาน พร้อมกับหันไปถามลูกน้อง
   “เอ้อ เจฟคะ” เสียงของหญิงสาวดึงให้เขาต้องหันมาทางหล่อนอีกครั้ง
   “คุณแต่งงานแล้วยังคะเนี่ย?”
แก้มของเจนแดงระเรื่อ  เธอสั่งเบียร์ต่อจากอาหาร บางทีอาจจะเพื่อย้อมใจ รูฟัสไม่ได้ขัดใจหล่อน การที่หญิงสาวเมาบ้างย่อมเป็นเรื่องดี แต่เขาไม่ต้องการให้เจนเมาแอ๋ ดังนั้นเขาจึงแอบรินน้ำเปล่าลงไปแทนที่บ้าง
   “ผมยังโสดนะครับ” รูฟัสตอบคำถาม หญิงสาวหัวเราะ
   “แหม โกหกรึเปล่า ท่าทางอย่างคุณเนี่ยนะคะ”
   “ผมจะโกหกคุณทำไมล่ะ” รูฟัสพูดยิ้มๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ
   “ก็คุณออกจะหล่อขนาดนี้ มันจะรอดไปได้ยังไงล่ะคะ หรือว่าคุณชอบใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแบบนี้?”
   ชายหนุ่มหัวเราะกับคำถาม “ก็ไม่แน่นะครับ ผมยิ่งเป็นพวกชอบค้ากำไร”
   หญิงสาวหัวเราะขึ้นบ้าง “ปากดีจังนะ”
   รูฟัสแอบเทเบียร์ที่เหลืออยู่ใส่แก้วตัวเองจนหมด ก่อนที่จะยกขึ้นมาจิบ
   “ปกติกินเหล้าบ่อยเหรอ?” เจนถามต่อ
   “ก็มีบ้าง เอ้อ” ชายหนุ่มแกล้งอุทาน เขาเห็นคนของฟาบิโอกำลังทยอยลุกออกไป
   “ขอโทษนะครับ” รูฟัสหันมาพูดกับหญิงสาว “เหมือนผมจะเห็นเพื่อนเก่าแวบๆตะกี้ ผมมีธุระอยากคุยกับเขานิดหน่อย  ถ้ายังไง ช่วยรอที่นี่ก่อนได้ไหมครับ”
   หญิงสาวพยักหน้าอย่างงงๆ หวั่นเหมือนกันว่าคนที่พาเธอมาจะชักดาบหนี แต่อาจจะดีก็ได้ ลำพังค่าเครื่องดื่มแค่นี้เธอจ่ายเองได้อยู่แล้ว ที่สำคัญ ผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้แสดงพฤติกรรมอะไรที่ควรจะทำกับเธอเลย ชายหนุ่มอมยิ้ม “ช่วยอย่าเมาก่อนที่ผมจะกลับมานะครับ”
   เธอหัวเราะเบาๆ พยักหน้าอีกครั้ง
   รูฟัสลุกจากโต๊ะ เดินไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงาน ก่อนที่จะก้าวเท้าอย่างรีบร้อนออกไปนอกร้าน ทำให้ชนเข้ากับลูกน้องของฟาบิโออย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มรีบพูดขอโทษโดยไม่ได้หันมามอง ก่อนจะก้าวเท้าออกไปอย่างเร่งร้อน เหมือนกำลังตามใครบางคน
-------------------------------------------
   รูฟัสกลับเข้ามาในร้านหลังจากฟาบิโอไปได้ไม่นาน เขาอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ เจนร้องทักเขาอย่างดีใจ
   “คิดว่าจะชิ่งหนีแล้วเสียอีก เจอไหม?”
   ชายหนุ่มแบมือออกสองข้าง พร้อมกับยักไหล่
   “บ้าชะมัด ไม่รู้มันหายไปไหนแล้ว ไวจริงๆ เลย” เขาบ่น หญิงสาวหัวเราะ
   “เขาเป็นหนี้คุณรึไง?”
   “ยิ่งกว่านั้นอีก” รูฟัสแสร้งทำเป็นหงุดหงิด เขายกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
   “ช่างมันเถอะ เรากลับกันดีกว่า”
   เจนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย  ชายหนุ่มเรียกบริกรมาชำระเงิน ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกไป
---------------------------------
   “เราจะไปไหนกันต่ออีกรึเปล่าคะ?” หญิงสาวถาม เมื่อทั้งคู่เดินออกมาพ้นถนนข้าวสารแล้ว ตอนนี้เธอเดินเกาะแขนชายหนุ่มโดยไม่เขินอายอีก รูฟัสดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาว
   “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้วนะ สาวน้อย”
   “ล้อเล่นรึเปล่าคะ” เธอหัวเราะ เบียดตัวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยิ้ม
   “ไม่ได้ล้อเล่นหรอก เจ้าหญิงน้อย บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ ผมไปส่ง”
   “ใจดีจัง ฉันทำให้คุณหมดอารมณ์รึเปล่า?” เธอพูด น้ำเสียงเจือความผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับมากนัก
   “ไม่ใช่หรอก พรุ่งนี้ผมต้องตื่นไปทำงานตอนเช้า”
   เจนหัวเราะ “อืม..เข้าใจล่ะ คุณเป็นซินเดอเรลล่านี่เอง พอถึงเที่ยงคืนก็ต้องกลับแล้ว แล้วยังไงคะ หลังเที่ยงคืนแล้ว จากหนุ่มรูปหล่อ จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดรึเปล่า?”
   ชายหนุ่มหัวเราะบ้าง “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ ใครจะไปรู้”
   เขาโบกแท็กซี่ โชคดีที่บ้านของเจนอยู่ไม่ไกลมากนัก เธอบอกเขาว่าอยู่หอพัก

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” หญิงสาวกล่าว หลังจากที่ลงจากรถแล้ว ดูเหมือนเธอจะได้สติมากขึ้น  รูฟัสยิ้ม
   “ผมไม่ห้ามถ้าคุณจะทำอาชีพแบบนี้หรอกนะครับ แต่ผมว่าคนสวยอย่างคุณยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ”
   เธอยิ้มแห้งๆ “ขอโทษจริงๆค่ะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ หวังว่าคงไม่เจอคุณในที่แบบนั้นอีกนะครับ”
   “ไม่หรอกค่ะ” เธอรีบพูด “โชคดีนะคะ พ่อหนุ่มซินเดอเรลล่า”
เจนโบกมือลา มองดูแผ่นหลังของชายหนุ่มหายลับไปในความมืด  เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกนึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เธอพบกับคนดีๆ แบบเจฟฟรีย์ โชคดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอ เห็นทีพรุ่งนี้ต้องไปยกเลิกเกมบ้าๆนี่กับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเสียที
-----------------------
   รูฟัสหยิบอุปกรณ์รูปทรงคล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หลังจากที่พาตัวเองเข้ามาในรถแท็กซี่  จอแอลซีดีขนาดเล็กบอกเส้นทางและชื่อถนน มีจุดสีแดงกะพริบอยู่ เมื่อครู่ตอนชนเข้ากับลูกน้องของฟาบิโอ เขาได้แอบติดเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กเข้าไปใต้ชายเสื้อ ชายหนุ่มต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะไม่รู้ว่าเครื่องส่งสัญญาณจะถูกตรวจพบเมื่อไหร่ เขาคาดว่าฟาบิโอคงอยู่ที่โรงแรมที่ไหนซักแห่ง
   เป็นไปตามคาด ในที่สุดแท็กซี่ก็พามาหยุดอยู่หน้าโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มจ่ายเงินค่ารถ และแถมค่าเสียเวลาให้คนขับอีกพอสมควร
   เขาเดินไปที่ลอบบี้ของโรงแรม ตกลงเช่าห้องคืนหนึ่ง โดยใช้ชื่อว่าแฟรงค์ รูฟัสเลือกห้องที่อยู่ชั้นเจ็ดซึ่งเป็นชั้นบนสุด ปัญหาคือ ฟาบิโอพักอยู่ชั้นไหนกันแน่ 
โชคดีที่เป็นตอนดึกและไม่ใช่หน้าเทศกาล ดังนั้นคนมาใช้บริการในช่วงดึกจึงน้อยมาก ชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟต์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองตัว รูฟัสยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกเข้าลิฟต์ตัวทางขวา เขาพิจารณาดูปุ่มกดบอกชั้นทั้งเจ็ดปุ่ม เพื่อหาว่ารอยกดอันไหนใหม่ที่สุด รูฟัสจดเบอร์ชั้นต่างๆ เรียงลงในสมุด ก่อนจะออกไปที่ลิฟต์อีกตัวหนึ่ง  แล้วทำเหมือนกับลิฟต์ตัวแรก แล้วเขาก็สุ่มกดหมายเลขของชั้นแรกที่ได้จากลิฟต์ตัวทางขวาก่อน
   เขาไม่พบห้องที่ดูว่าน่าจะใช่ในชั้นนั้น รูฟัสเลือกชั้นใหม่ คราวนี้ไม่ต้องใช้เวลาหานาน  เขาพบลูกน้องของฟาบิโอสองคนยืนคุยกันอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง ชายหนุ่มแอบยิ้ม 
ถึงเจ้านายใจดียังไง ลูกน้องก็ต้องทำหน้าที่ลูกน้องอยู่วันยันค่ำ
   รูฟัสเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายทันที เขายิ้มอย่างเป็นมิตร เมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างแปลกใจ ก่อนจะชกเข้าเต็มกรามของชายฉกรรจ์ผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ด้านซ้าย ชายผู้ถูกชกใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวเซถลาออกไปชนกับประตู  แรงกระแทกตรงกรามส่งผลให้ระบบประสาทรับรู้ชะงักไปชั่วขณะ นานพอพอที่รูฟัสจะจัดการกับชายอีกคนหนึ่ง
   ดูเหมือนฟาบิโอจะรู้สึกถึงความผิดปกติด้านนอก ชายวัยกลางคนส่งเสียงถามออกมาเป็นภาษาอิตาลี รูฟัสลากร่างของชายฉกรรจ์สองคนที่หมดสติมาพิงไว้ข้างฝา ก่อนจะคลานไปนั่งสบายๆ หน้าประตู  เขาไม่ต้องการให้ฟาบิโอเห็นอะไรผ่านตาแมว ชายหนุ่มลงมือเคาะประตู เป็นจังหวะ หรือที่เรียกกันว่ารหัสมอส หลังจากเสียงของฟาบิโอเงียบลง เสียงต๊อก ต๊อก ต๊อกดังขึ้นเบาๆ สื่อความหมายถึงคนที่ยังอยู่ในห้อง
   “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
   สักพักมีเสียงเคาะตอบมาจากอีกฝ่าย
   “คุณเป็นใคร?”
   รูฟัสเคาะตอบไป
   “ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ กรุณาตอบคำถามของผม”
   “จะถามเรื่องอะไร?”
   เสียงเคาะฟังดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเคาะต่อ
   “Tezcatlipoca(เทซกาลิโพกา)”
   ความเงียบที่ชวนอึดอัดก่อตัวขึ้นทันที  รูฟัสเฝ้ารอคำตอบอย่างรอคอย  ในที่สุด เสียงเคาะเสียงแรกที่ทำลายความเงียบ ก็มาจากฟาบิโอ
   “คุณรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้?”
   “ใช่”
   “แล้วคุณต้องการถามอะไรกันแน่?” อีกฝ่ายเคาะถามด้วยอาการร้อนรน
   “พวกคุณนัดประชุมกันที่ไหน?” รูฟัสถาม คราวนี้เสียงเคาะดังขึ้นแทบจะทันที สั้นๆ และแสดงเจตนาชัดเจน
   “ไม่” เป็นคำตอบที่สั้นและหนักแน่น ชายหนุ่มสูดหายใจ ก่อนจะเคาะกลับไป
   “คุณมีเวลาคิด” เขาเว้นจังหวะก่อนจะเคาะต่อ“ก่อนที่ผมจะหาวิธีเข้าไปถามคุณในห้อง”
   หยุดไปอีกครั้ง
   “ผมเชื่อว่าคุณไม่โง่ที่จะเสียเวลารอเรื่องแบบนั้น”
   อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเจ็ดปีกำลังประเมินสถานการณ์ของตัวเองและฝ่ายตรงข้าม  รูฟัสเริ่มเคาะอีกครั้งเพื่อช่วยให้ฟาบิโอตัดสินใจง่ายขึ้น
   “ผมอุตส่าห์มาหาคุณถึงที่ไม่ใช่เพราะอยากให้คุณรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้เฉยๆ หรอกนะ”
เสียงจากอีกด้านของประตูยังคงเงียบ
   “คุณคงรู้ว่าผมหวังคำตอบ”
   รูฟัสเว้นช่วงยาว
   “ผมมาหาคุณถึงนี่ได้ผมก็เข้าไปได้ อย่าให้ผมรอนานจะดีกว่า”
   อีกอึดใจหนึ่ง ก็มีเสียงเคาะตอบกลับมา
   “ก็ได้”
   เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง
   “แต่ถึงผมจะบอก คุณก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี”
   “ผมอยากให้คุณตอบคำถาม ไม่ใช่บอกผมว่าเข้าไปยังไง”
   ในที่สุด เมื่อเห็นว่าหมดวิธีต่อรองแล้ว ฟาบิโอจึงยอมบอกสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ
   “พวกคุณวางแผนจะทำอะไรกัน?” เสียงเคาะถาม หลังจากบอกความลับไปแล้ว
   “...................................”
   รูฟัสเงียบ เขากำลังปลดเครื่องส่งสัญญานออกจากชายเสื้อของหนึ่งในชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่
   “ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถามคุณ”   เขาเคาะกลับอย่างยียวน และเคาะซ้ำอีกครั้ง
   “ผมส่งลูกน้องของคุณเข้านอนชั่วคราว ราตรีสวัสดิ์ ขอให้ฝันดี”
   ฟาบิโอยกมืออูมๆ ขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลโทรมใบหน้าขัดกับอากาศเย็นในห้องหลังจากเสียงเคาะเงียบไปพักใหญ่ โชคยังดีที่ทางนั้นไม่ได้คิดถึงขั้นจะฆ่าจะแกง แต่มีใครบางคนรู้ถึงโปรเจคลับนี้แล้ว และคงไม่ได้อยากรู้เพื่อจะขอการสนับสนุนแน่ๆ เขาโบกมือให้หญิงสาวที่กำลังจะอ้าปากถามเงียบ  ชายวัยกลางคนผู้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากเกือบห้าทศวรรษ กำลังเค้นสมองคิดถึงรายชื่อบุคคลที่กล้าพอจะทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ได้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่รำพึงออกมา
   “ช่างเป็นผีห่าซาตานที่สุภาพจริงๆ”
--------------------
   รูฟัสกลับมานั่งอยู่บนรถแท็กซี่อีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเขาคือการกลับที่พัก ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งเข็มที่ไปที่เลขสี่ พลางอมยิ้มเล็กๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของหญิงสาว
   ซินเดอเรลล่า...
   น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ไม่ใช่รองเท้าแก้ว แต่เป็นความรู้สึกพรั่นพรึงและเรื่องน่าปวดหัวต่างหาก
-------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:18:01
บทที่4 ผู้มาทีหลัง
   เสียงเคาะประตูตอนเช้าตรู่ทำให้คนที่นอนอยู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด  ชายหนุ่มคลำหาแว่นที่ถอดเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนเดินสะลึมสะลือไปที่ประตูพลางนึกด่าคนที่มาเคาะในใจ แต่ทันทีที่เห็นผู้มาเยือนจากช่องตาแมว ฟ่งรีบเปิดประตูอย่างไม่รอช้า
   “เจ๊ มาได้ไงเนี่ย?” เขาส่งเสียงอย่างดีใจ ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาววัยราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าของห้องอย่างเห็นได้ชัด เธอมีผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวเข้ารูปแบบผู้หญิงกับกางเกงยีนส์ยืดสีน้ำเงินเข้ม
   “ขับรถมาสิยะ” อีกฝ่ายตอบ พลางยกถุงใบใหญ่ขึ้นมา คนในห้องรีบรับเอาไว้ทันที
   “ซื้อของกินมาฝากด้วยหรือ?” ฟ่งถาม เปิดประตูให้กว้างขึ้นพลางแบะถุงดูอย่างใคร่รู้
   “รื้อออกมาสิ เดี๋ยวจะทำให้กิน” หญิงสาวตอบ ขณะก้มลงถอดรองเท้าบูทสั้นสีน้ำตาลออก หล่อนวางมันไว้บนชั้นวางรองเท้าแล้วก็หยิบรองเท้าของน้องชายที่วางระเกะระกะอยู่ยัดกลับเข้าไปด้วย
   “รักเจ๊จัง” ฟ่งพูดหลังจากดูของในถุงแล้ว ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างจาน รื้อของจากถุงอย่างอารมณ์ดี ลืมความง่วงเป็นปลิดทิ้ง
   “ไม่ต้องมารักฉันตอนนี้เลย” พี่สาวพูด เอาเข่าถองตะโพกน้องชายเบาๆ
   “ย้ายที่อยู่ทำเอาวุ่นวายไปทั่ว หม๊าเป็นห่วงใหญ่”
   ฟ่งเอามือลูบก้น หัวเราะแห้งๆ หันไปมองหน้าพี่สาวอย่างรู้สึกผิด
   “เจ๊ช่วยพูดให้ล่ะ ว่าเธออาจจะยังช็อคอยู่ คงยังไม่อยากคุยกับใครตอนนี้”
   หญิงสาวกล่าวพลางเปิดตู้เย็น หยิบกระบอกน้ำมาเทใส่แก้ว ก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์
   “หม๊าบ่นเสียดายอาดา เจ๊เลยบอกว่า เธอคงมีเหตุผลที่ทำอย่างนั้น เอ๊ะ! นี่คงไม่ไปสะกิดต่อมหรอกนะ”
   “ไม่หรอก” ฟ่งพูด รู้สึกสะอึกนิดหน่อย พอมีใครพูดถึงเรื่องดาทีไร เขารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทุกที แต่วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาทำได้แล้ว
   “ผมโทรหาหม๊าดีกว่า” ชายหนุ่มเดินมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ขึ้นมากดเบอร์
“ไม่ต้องก็ได้ ถ้าเธอยังไม่พร้อม” ฝ่ายที่นั่งอยู่พูดขึ้น มองหน้าน้องชายด้วยความเป็นห่วง ฟ่งยิ้มให้หล่อน
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมออกจะดีใจ เจ๊อุตส่าห์มาหา โทรไปหาหม๊าให้ชื่นใจด้วยเลยดีกว่า”เขากดโทรศัพท์ ก่อนจะหันมาบอกพี่สาว
   “เออ..เจ๊ รื้อของเสร็จแล้วนะ”
   ผู้โดนเรียกแค่นหัวเราะ “แหม... ทีเรื่องกินล่ะไวเชียวนะ มันน่าจะปล่อยให้อดดูจริงๆ”
   ฟ่งหัวเราะร่วน
“กว่าเจ๊จะมา ผมอดไปหลายมื้อแล้วนา...” ชายหนุ่มทำเสียงอ้อน ขณะที่หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปที้เคาน์เตอร์ครัวข้างอ่างล้างจาน
   “โหลว หม๊าหรอครับ เป็นไงบ้าง”
   เสียงตอบจากปลายสายถูกเสียงโหวกเหวกดังขึ้นด้านหลังรบกวนจนฟังไม่ถนัด
   “เฮ้ย!ฟ่ง หม้ออยู่ไหน?”
   “อยู่ในตู้ขวาบนน่ะเจ๊” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะหันมาคุยโทรศัพท์ต่อ
   “ครับหม๊า  เจ๊เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เองครับ ทำกับข้าวอยู่ครับ”
   เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟ่งตัดสินใจเดินออกไปคุยตรงระเบียง
-----------------------------------------
   “หม๊างอนรึเปล่า?” หญิงสาวถาม ทันทีที่เห็นน้องชายเดินเข้ามา
   “เปล่า” คนถูกถามตอบ ขณะยกเท้าเขี่ยประตูกระจกบานเลื่อนให้ปิดลงโดยไม่หันกลับไปมอง
   “หม๊าบอกว่าว่างให้แวะไปเยี่ยมบ้าง แล้วก็บ่นว่าระวังเล้งมันจะได้แต่งงานก่อน”
   คนเป็นพี่สาวหัวเราะชอบใจ ฟ่งทำหน้าบูด
   “หัวเราะไร  ว่าแต่เจ๊เหอะ เมื่อไหร่จะแต่ง ทำตัวเหมือนสาวโสดอยู่ทุกที ระวังเฮียโชคเค้าหลุดมือไปนะ” ชายหนุ่มพูดแหย่  พลางเดินเข้ามาทำท่าชะโงกดูสิ่งที่อยู่บนเตา
   “โห...นั่นปากรึ อย่ากินเลยดีไหม มื้อนี้”
   หญิงสาวหันกลับมาถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ฟ่งรีบยกมือทำท่ายอมแพ้
   “ล้อเล่นคร๊าบ  เออเจ๊ ทำกับข้าวไว้เยอะรึเปล่า?” ชายหนุ่มถาม ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
   “ก็พอสมควร ทำไมหรือ?”
   “ก็ว่าจะไปชวนเพื่อนห้องข้างๆ มากิน”
   คนได้ฟังทำตาโต ราวกับได้ยินเรื่องสัตว์ประหลาดในห้องข้างๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างแปลกใจ
   “เดี๋ยวนี้หัดคุยกับคนข้างห้องแล้วรึ? พัฒนานี่ เอาสิ ชวนมาเลยก็ได้ แต่อาบน้ำก่อนก็ดีนะ”
   ประโยคสุดท้ายทำให้ฟ่งรู้สึกตัว เขาอยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายแขนสั้นกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน ผมไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งลุกจากที่นอน แถมฟันยังไม่ได้แปรงอีก ชายหนุ่มรีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราว และเดินเข้าห้องน้ำ  ผู้เป็นพี่สาวมองตามหลัง ถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
---------------------------------------
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนห้องข้างๆ  เขาก้าวเท้าเข้ามาในสภาพหัวเปียกนิดหน่อย แน่นอนว่าเขาเองก็ตื่นสายเอาการ เป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อมูลนรกแตกที่ถูกส่งเข้ามาเพิ่มเมื่อคืนนั่นแหละ
   “เจ๊ นี่รูฟัส เพื่อนข้างห้องผมเอง” ฟ่งแนะนำผู้มาเยือนกับพี่สาวที่กำลังล้างมืออยู่ตรงอ่างล้างจาน เธอหันมาแล้วทำหน้าตกใจ  
   “เอ่อ.. นั่นเจ๊ผิง พี่สาวผม” ฟ่งหันมาแนะนำ รูฟัสยกมือไหว้  ผิงรีบยกมือไหว้ตอบ  พลางคิดในใจว่า ตัวเองดูแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ
   “สวัสดีครับ” เขาพูด  ผิงเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา   
   “โอ๊ะ!! พูดไทยได้ ดีจัง ฮ่ะๆ” พี่สาวพูดพลางท่าทางโล่งใจอย่างจริงๆ จังๆ จนน้องชายอดหัวเราะไม่ได้ เขาหันมาพูดกับเพื่อนข้างห้อง
   “เจ๊เขาเป็นโรคกลัวฝรั่งน่ะ”
   “หืม?” รูฟัสส่งเสียงด้วยความสงสัย  ผิงรีบพูดขึ้น
   “ไม่ได้กลัวย่ะ ฉันแค่ไม่ชอบพูดเท่านั้นแหละ” เธอตอบอย่างพยายามรักษามาด นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหัวเราะหนักขึ้นไปอีก
   “แหม เจ๊ จริงๆ แล้วรูฟัสเพิ่งหัดพูดภาษาไทยได้ไม่กี่คำเอง”
   “หา!!” หญิงสาวร้องเสียงหลง มองดูคนต่างชาติในห้องขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะรีบเดินปราดๆเข้ามาคว้าแขนน้องชาย
   “ไอ้ฟ่ง พามาแล้วก็แปลด้วยแล้วกัน เจ๊ไม่พูดภาษาอังกฤษหรอกนะ!”
   ฟ่งหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผิงดูท่าทางเอาเรื่อง ทำให้รูฟัสไม่ค่อยสบายใจ
   “เอ่อ...ผมทำให้รู้สึกแย่รึเปล่าครับ?”
   “อ้อ ไม่ใช่หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบพูดต่อ เธอเขม่นมองน้องชายที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนยกมือขึ้นฟาดก้นเจ้าตัวเสียงดับป๊าบ ฟ่งร้องโอ๊ย รูฟัสยืนอึ้งไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือขบขันกับเรื่องตรงหน้าดี เหมือนจะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นชีวิตครอบครัวที่สนิทชิดเชื้อกันแบบนี้
   “อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ เข้ามานั่งก่อนสิ” ผิงเอ่ยปาก พลางพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตร รูฟัสพยักหน้าและยิ้มตอบ ขณะที่ฟ่งลูบก้นป้อยๆ และทำหน้าบูด
   “เจ๊ตีผมทำไม นี่ถ้าผมเจ็บจนพูดไม่ออก ใครจะมาแปลภาษาให้เจ๊ฟังล่ะ?”
   เสียงป้าบดังขึ้นอีกแทนคำตอบ ฟ่งครางเสียงอ่อย พลางลูบก้นป้อยๆ ก่อนเดินหนีไปที่โต๊ะ และโวยวายเรื่องที่ผิงเอาโต๊ะไฟมาทำโต๊ะกินข้าว แต่หญิงสาวไม่สนใจคำร้องเรียนดังกล่าว
   “ก็มันไม่มีโต๊ะว่างแล้วนี่”   เธอให้เหตุผล ฟ่งทำหน้าเศร้า แต่ก็ยอมหยิบจานมาตักข้าว รูฟัสมองดูพฤติกรรมของสองพี่น้องแล้วอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในใจ
   ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี่อบอุ่นดีจริงๆ
   ดูเหมือนว่าผิงจะไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรชาวต่างชาติข้างห้องนัก คงเป็นเพราะรูฟัสพูดภาษาไทยได้ ดูท่าทางหญิงสาวจะสนุกที่ได้ถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับตัวเขา โดยมีฟ่งพูดแทรกบ้างเป็นระยะๆ ที่สำคัญ ฝีมือทำอาหารของเธอจัดว่าเยี่ยมทีเดียว
   “อาหารอร่อยมาก เลยครับ ขอบคุณที่ชวนมาทานนะครับ”   รูฟัสพูดตบท้ายด้วยความจริงใจ เขาเพิ่งช่วยเก็บจานไปส่งให้ฟ่งล้าง ชายหนุ่มพูดคำชมออกมาเป็นครั้งที่หกตั้งแต่เริ่มต้นมื้ออาหาร เล่นเอาคนถูกชมยิ้มแก้มแทบปริ
   “แหม...เล็กๆ น้อยๆ น่ะค่ะ” ผิงกล่าว พลางหัวเราะเขินๆ ดูมีความสุขที่ได้เห็นคนกินรู้สึกอร่อยกับอาหารที่ตัวเองทำ
   “ชมมากระวังเจ๊เค้าลอยติดเพดานนะครับ” ฟ่งที่กำลังล้างจานอยู่พูดแทรก  รูฟัสได้แต่ยิ้มงงๆ เขาไม่เข้าใจความหมายของคำเย้าแหย่นั้น แต่ฟ่งคงพยายามจะพูดให้มันดูตลกนั่นแหละ ผลคือเขาถูกพี่สาวตีก้นอีกรอบ คนถูกตีทำหน้าบู้บี้ หันกลับไปล้างจานต่อ คราวนี้รูฟัสดันรู้สึกขำขึ้นมาจริงๆ เขาขำหน้าฟ่ง ขำที่เจ้าตัวยังพยายามจะแหย่พี่สาว ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะโดนตีอยู่ทุกที การอยู่ท่ามกลางบรรยากาศพี่น้องที่ไม่มีอะไรแอบแฝงเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน
   บ้านที่เขาจากมา และครอบครัวที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
------------------------------------------
   หลังจากคุยสัพเพเหระต่อกันอีกพักหนึ่ง รูฟัสก็ขอตัวกลับ
   “ความจริงผมมีธุระช่วงบ่าย ตอนแรกกะจะออกไปกินข้าวด้านนอกแล้วเลยไปเลย ขอบคุณจริงๆ นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างจริงใจขณะบอกลาเพื่อนข้างห้องและพี่สาว ผิงยิ้มกว้าง
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงฝากดูแลน้องชายตัวยุ่งของฉันด้วยนะคะ”
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ มองดูฟ่งซึ่งยืนสั่นศีรษะพลางกระตุกเสื้อพี่สาวด้านหลัง และส่งเสียงพึมพำว่าผมโตแล้วนะ อย่างเอ็นดู
   “ได้สิครับ ยังไงก็อยู่ห้องติดกันอยู่แล้ว” เขาว่าก่อนจะเอ่ยคำอำลาสั้นๆ แล้วเดินกลับห้องไป ผิงหันหลังเดินกลับมาหาน้องชายที่ยืนทำหน้าบูดอยู่ด้านหลัง
   “เดี๋ยวนี้พัฒนาหัดมีเพื่อนเป็นฝรั่งแล้วนี่” หล่อนกล่าวพลางยิ้ม ฟ่งได้ทีหยอกอีก
   “ไว้คราวหลังผมจะหาแบบพูดภาษาไทยไม่ได้มาคุยกับเจ๊ดีกว่า ท่าทางน่าสนุกดี”
   หญิงสาวเดินเข้ามาฟาดก้นน้องชายอีกรอบ
   “โอ๊ย เจ๊ เดี๋ยวก็นั่งไม่ได้พอดี” ฟ่งโวยยกมือลูบก้นป้อยๆ วันนี้เขาโดนตีไปกี่หนแล้วล่ะนี่ ชายหนุ่มหันมองพี่สาวที่เดินกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ในห้อง
   “เจ๊จะกลับล่ะหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้า น้องชายมีสีหน้าแปลกใจ
   “รีบกลับจัง”
   “ตอนบ่ายต้องไปธุระต่อน่ะ”
   “ออ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก นึกดีใจที่พี่สาวอุตส่าห์แวะมา แต่ก็นึกใจหายที่ไม่นานก็ต้องไปแล้ว ผิงเดินมาหาน้องชายและโอบกอดเบาๆ
   “ดูแลตัวเองดีๆหน่อยนะ” เธอพูดพร้อมกับลูบศีรษะน้องชายด้วยความเอ็นดู
   “เจ๊ก็ด้วยนะ” ฟ่งกอดพี่สาวแน่นด้วยความรัก  เธอเป็นพี่สาวคนเดียวของเขา และเป็นคนที่เขารักมากที่สุด

   “แล้วเจ๊จะแวะมากวนใหม่”
   ผิงโบกมือลาผ่านกระจกรถ  ฟ่งโบกมือตอบ เขาตัดสินใจเดินมาส่งพี่สาวด้านล่าง ชายหนุ่มมองดูฮอนด้าซีวิคสีบรอนด์คันนั้นแล่นฉิวออกไปจากลานจอดรถจนสุดสายตา พยายามบอกกับตัวเองไม่ให้รู้สึกใจหายมากนัก พลางก้าวเท้ากลับขึ้นคอนโด เขาสวนกับรูฟัสตรงล็อบบี้   หนุ่มลูกครึ่งรัสเซียอยู่ในชุดเสื้อทีเชิ๊ตกางเกงขาสั้นอีกเช่นเคย เขาสะพายเป้ใบเดิม      ฟ่งโบกมือทักทันทีพลางนึกถึงวันที่พบกันแรกๆ รูฟัสดูจะชอบออกไปเที่ยวมากกว่าหางานทำจริงๆ จังๆ เสียอีก นี่คงเพราะมีสมบัติเก่าติดตัวไม่เหมือนเขาที่ต้องปากกัดตีนถีบไปวันๆ ล่ะมั้ง
   “พี่สาวกลับแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเป็นมิตรเช่นเคย ฟ่งมองดูดวงตาสีแปลกของรูฟัสแล้วนึกขำ คนคนนี้คงไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครจำได้ไม่ได้หรอก ก็สีตาออกจะเด่นขนาดนี้
   “ครับ” ฟ่งตอบ รูฟัสยิ้มเหมือนทุกวัน ก่อนจะโบกมือลาพลางเดินลงบันไดไป  ฟ่งทำท่าเหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง ส่งเสียงเรียกชายหนุ่มไว้
   “เอ้อ  รูฟัส เย็นนี้ผมไม่อยู่นะครับ”
   รูฟัสหันกลับมาทำหน้าแปลกใจแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า ฟ่งยิ้มแหยๆ ให้เขา ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์
------------------------------
   อากาศตอนบ่ายสามในวันที่แดดร้อนเปรี้ยงของประเทศไทยนั้นแย่พอๆ กับการเข้าไปเดินในเตาอบเลยทีเดียว รูฟัสยกผ้าเช็ดหน้าขนหนูสีขาวขึ้นมาซับเหงื่อไหลหยดอย่างกับเพิ่งอาบน้ำ ก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม เขาเพิ่งลงจากรถเมล์ และกำลังมองหาประตูทางเข้าตามรั้วเหล็กสีเขียวเข้มที่งอกสูงขึ้นมาจากฐานคอนกรีตฉาบหินกรวดบดละเอียด แบ่งอาณาเขตระหว่างพื้นผิวการจารจรที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันจากท่อไอเสีย และพื้นที่ที่เรียกกันว่าปอดของกรุงเทพมหานคร
   ในที่สุด หลังจากเดินเลียบขอบรั้วมาพักหนึ่ง เขาก็พบประตูที่มีผู้คนเดินเข้าออกพลุกพล่าน ผู้คนมากมายต่างพาครอบครัวมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์  รูฟัสมองดูกลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ปั่นจักรยานสามตอนแข่งกันผ่านหน้าไปด้วยความสนใจ  เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทำเช่นนี้เลย ท่าทางมันคงสนุกน่าดู เขาพยามนึกชื่อคนที่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้กับเขาได้ แต่แล้วก็ต้องทำหน้าย่น เมื่อคนแรกที่นึกถึงคือราฟาแอล หมอนั่นคงไม่มาเล่นอะไรแบบนี้กับหนุ่มๆ อย่างเขาหรอก แต่ถ้าเป็นสาวๆ ชวนคงวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดอะไรเลยเป็นแน่ รูฟัสถอนหายใจอย่างนึกขำกับความคิดตัวเอง ชีวิตของเขาไม่เอื้ออำนวยจะให้ทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้ง
   เด็กหญิงวัยหกเจ็ดขวบในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมกางเกงขาสั้นสีขาว  มองดูว่าวสีเขียวรูปงูหางยาวที่ติดอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะของเธอด้วยสายตาละห้อย และพยายามจะดึงมันลงมา แต่ยิ่งดึงเหมือนจะยิ่งติด ขณะที่เด็กหญิงกำลังพยายามจัดการกับว่าวอย่างสุดความสามารถ ร่างสูงชะลูดก็เดินเข้ามาเอื้อมมือขึ้นไปดึงมันลงมาให้  เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประทับใจและรับว่าวจากมือชายหนุ่ม
   “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ คนมาช่วยยิ้มตอบ พอดีกับที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
   “ตาขา พี่คนนั้นเขาช่วยเก็บว่าวให้หนูด้วยค่ะ”   เด็กหญิงวิ่งเข้าไปหาคุณตาของเธอ  เขาเป็นชายวัยกลางคน มีผมเรียบสั้นสีดำมีหงอกแซมเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน ผู้เป็นตาเบือนหน้ามาตามที่หลานสาวบอก ชายหนุ่มชาวต่างชาติลุกขึ้นโบกมือให้ ตาจูงหลานเดินเข้าไปหา
   “Thanks very much” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพจริงใจ แม้สำเนียงติดออกจะแปร่งไปบ้าง ชาวต่างชาติผู้นั้นยิ้มเล็กน้อย
   “ไม่เป็นไรครับ”
   เด็กหญิงกระตุกขากางเกงของคุณตาอย่างตื่นเต้น
   “พี่เขาพูดภาษาไทยได้ด้วย เหมือนในหนังเลย”
   ตาก้มลงมองหลานด้วยความเอ็นดู “แล้วเราบอกขอบคุณพี่เขาหรือยัง”
   เด็กหญิงพยักหน้า  ตาเลยพูดต่อ
   “พี่คนนี้เขาใจดีอุตส่าห์ช่วย เราวิ่งไปบอกคุณยายว่าขอแบ่งส้มใส่ถุงมาให้พี่เขาหน่อยได้ไหม”
   “ค่ะ” เด็กน้อยรับคำรับคำ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ออกไป เขาหันมาหาผู้ที่ยืนอยู่
   “เธอ...คือ รูฟัสสินะ” ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “ผมมาขอคำยืนยันเรื่องการช่วยเหลือน่ะครับ ผมทำตามที่คุณขอแล้ว ส่งข้อมูลให้คุณไม่ขาดสักหนึ่งพยางค์” เขาพูด  ชายกลางคนรับคำในลำคอ
   “ก็ใช่อยู่ แต่เราจับคนที่เป็นคนส่งยาไม่ได้ มันแทงคนของเราบาดเจ็บไปสองคน”
   “เอ๊ะ?” ชายหนุ่มอุทานอย่างแปลกใจ
   “ไม่ได้ลงไว้ในข่าวทีวีล่ะสิ คุณไม่สังเกตหรือว่ามันมีพวกมาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นผู้หญิงด้วยล่ะมั้ง” อีกฝ่ายพูดขึ้น และเหลือบตาขึ้นมองเขาราวกับจะถามว่าที่เขาพูดออกมาเป็นจริงทั้งหมดรึเปล่า รูฟัสจ้องตากลับ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ในที่สุดอีกฝ่ายก็เบือนหน้าออกและถอนหายใจ
   “เอาเถอะ ผมจะถือว่าคุณทำงานสำเร็จ อย่างน้อยคุณก็ให้ข้อมูลที่เป็นประโยคมาก”
   รูฟัสยิ้มออกมา ทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงหนึ่งทำให้เขาต้องหยุดปากตัวเองเอาไว้
   “ตาจ๋า” เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังแว่วมาแต่ไกล ดึงความสนใจของทั้งคู่ เธอหิ้วถุงพลาสติกสีขาวขุ่นที่ดูเหมือนจะใส่ส้มเอาไว้ข้างในสามถึงสี่ลูก
   “ไหน ยายใส่อะไรมาบ้าง ขอตาดูหน่อยซิ?”
   ผู้เป็นตาขอถุงจากหลานสาว ขณะรับมาเขาแอบสอดอะไรลงไปบางอย่างก่อนจะส่งถุงคืนให้หลานสาว
   “เอาไปให้พี่เขาสิ อย่าลืมบอกขอบคุณด้วยนะ” พูดพลางลูบศีรษะหลานด้วยความเอ็นดู เด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะเดินเข้ามา
   “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มพูด ขณะย่อตัวลงรับของ
   “ขอบคุณค่ะ ตาพี่แปลกจัง ทำไมคนละสีกันล่ะคะ?” เธอถามด้วยความสงสัย เขายิ้มกับคำพูดของเด็กหญิง เธอคงคิดว่าเขาสวมคอนแทคเลนส์ส์สีแปลกอะไรแนวนั้นอยู่ล่ะมั้ง รูฟัสชอบที่จะแสดงตาสีประหลาดของเขาในชีวิตทั่วไป เพราะรู้ว่าคนทั่วไปจะจำตาของเขาได้ก่อนจะจำหน้าเสียอีก เหมือนคนที่มีไฝเม็ดใหญ่อยู่บนหน้านั่นแหละ ใครๆ ก็จำได้ว่าเป็นคนมีไฝ แต่พอเอาไฝออก คนก็จำไม่ได้ทันที กรณีของเขาก็เช่นเดียวกัน แทนที่คนจะสนใจจำหน้าเขา ก็จะจำได้แค่ตาสีแปลกเท่านั้น พอเขาเปลี่ยนสีตา ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว  ชายหนุ่มยกมือลูบหัวเด็กน้อย
   “มันเป็นมาแต่เกิดน่ะ พี่ก็มองเห็นเหมือนเรานี่แหละ” เขาว่า เด็กหญิงยิ้มตอบ
   “พี่ไปเล่นว่าวกับหนูมั้ยคะ เดี๋ยวหนูจะแบ่งให้พี่เล่นก่อนเลย” รูฟัสหัวเราะอย่างเอ็นดู ขณะที่ผู้เป็นตาเดินเข้ามาใกล้ และส่งเสียงปราม
   “แพรว อย่าไปรบกวนพี่เค้าสิลูก”
เด็กหญิงมองหน้าคุณตา และหันไปมองชายหนุ่มอย่างอ้อนวอนหาเพื่อนเล่น รูฟัสยิ้มอย่างใจดีและสั่นศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“พี่ต้องรีบไปแล้วล่ะ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้” เขาว่า ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นตา
   “ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับส้มนะ” เขาโบกมือให้สองตาหลาน ก่อนจะเดินแยกออกมา  เด็กหญิงคว้าแขนคุณตา
   “ตาคะ พี่คนตะกี้เขาต้องเป็นดาราแน่ๆ เลยค่ะ”
   “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ” คนเป็นตาถาม
   “ก็พี่เค้าหล่อกว่าคนในทีวีอีกนี่คะ” ชายวัยกลางคนหัวเราะกับคำตอบ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเกือบจะไม่เชื่อตัวเองว่าเพิ่งได้เจอกับคนที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่ตาสีแปลกแบบนั้นคงไม่ผิดตัวแน่ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นที่ต้องการเพราะใบหน้าหรือสีตา แต่เพราะสิ่งที่เขาทำต่างหาก
   ผู้เป็นตาจูงมือหลานกลับไปหาภรรยาที่นั่งจัดตะกร้าใส่อาหารอยู่ พลางนึกถอนใจ บางทีสิ่งที่เขาให้ไปพร้อมกับส้มอาจจะไม่ถูกใช้เลยก็ได้ แต่หากถูกใช้ เรื่องราวใหญ่โตก็คงรออยู่เบื้องหน้า เขาควรเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้สำหรับกรณีนี้
------------------------
บทที่6-10 >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25824.0
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:19:23
   รูฟัสเสียบการ์ดเข้ากับช่องข้างประตู  เสียงทำงานของเครื่องปรับอากาศดังขึ้นทำลายความเงียบในห้อง ชายหนุ่มถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้า คว้านมือลงไปในถุงใส่ส้ม หยิบซองกระดาษสีขาวเล็กๆ ที่ใส่อยู่ด้านใน ก่อนจะวางถุงลงบนเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มถือซองกระดาษเดินมานั่งที่โซฟา ค่อยๆ แกะซองอย่างระมัดระวัง ด้านในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง จดด้วยลายมือหวัดๆ เป็นตัวเลขสามชุด ชายหนุ่มพลิกกระดาษใบนั้นอีกรอบ ดูจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรอีก จึงหันไปดูที่ตัวซอง ก่อนจะเก็บทั้งสองอย่างไว้เหมือนเดิมและใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บติดไว้กับสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่เขาพกติดตัวเสมอ
   เขาจะต้องส่งเลขรหัสชุดนี้ไปยังฐานข้อมูลที่เบื้องบนดูแลอยู่ ให้ตายสิ งานนี้มันจะลึกลับอะไรนัก เพราะข้อมูลที่มีมันเบาบางมากเหลือเกิน กระทั่งเบื้องบนไม่อยากออกหน้าเอง เลยใช้ให้เขากับราฟาแอลเป็นนายหน้าซ้อนนายหน้าอีกทีหนึ่ง แถมนอกจากเป็นนายหน้าแล้ว ยังต้องทำงานเองอีกด้วย รูฟัสนึกสงสัยว่าจบงานนี้เบื้องบนจะจ่ายโบนัสให้พวกเขาบ้างรึเปล่า แต่ขอแค่ให้จ่ายเงินให้ตรงเวลาก็ดูจะเป็นเรื่องอัศจรรย์แล้ว อย่าไปหวังถึงขั้นโบนัสเลยดีกว่า
   อุณหภูมิในห้องค่อยๆ ลดต่ำลง  รูฟัสรอจนเหงื่อแห้งจึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ  เสียงละอองน้ำกระทบกับผิวกายดังสะท้อนอยู่ในห้องน้ำที่บุกระเบื้องสีเบจ ชายหนุ่มปล่อยให้สายน้ำไหล่ผ่านศีรษะราวกับจะล้างความร้อนที่ได้รับมาทั้งวันออกจากร่างกาย เขาคร้านจะแช่น้ำ การแช่น้ำเย็นก็ไม่ใช่การผ่อนคลาย มันเหมือนนอนนิ่งๆ ให้ตัวเปื่อยในน้ำมากกว่า รูฟัสขยี้แชมพูลงไปบนศีรษะอย่างไม่เร่งร้อน วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องรีบมาก เพราะคนข้างห้องไม่อยู่ และเขานัดทานอาหารเย็นกับคนอื่นไว้แล้ว ซึ่งยังอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลา พอนึกถึงฟ่ง รูฟัสก็อดอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งดูดีขึ้นกว่าวันแรกๆ มากจริงๆ ยิ่งได้เห็นท่าทางสดชื่น และการพูดคุยหยอกล้อกับพี่สาวในวันนี้ คงพูดได้เต็มปากว่าฟ่งเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว คงได้เวลาที่เขาจะปลีกตัวเสียที ถึงอย่างนั้นรูฟัสกลับรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ การได้ทานข้าวโดยไม่มีเรื่องใดแอบแฝงกับคนข้างห้องเหมือนเป็นกิจวัตรหนึ่งของเขาไปแล้ว มันทำให้เขาสบายใจอย่างประหลาด เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว แต่ความสัมพันธ์แบบนี้อาจเป็นที่สะกิดตาของใครเข้าก็ได้ เกิดฟ่งซวยเพราะดันมารู้จักกับเขา รูฟัสคงรู้สึกผิดมากจริงๆ เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนในตอนที่ผู้ชายคนนั้นมีแผลใจ ในเมื่อหายดีแล้ว ก็คงถึงเวลาที่จะต้องร่ำลากันเสียที
   รูฟัสหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่พาดอยู่บนราวในห้องน้ำขึ้นมาเช็ดศีรษะ พลางนึกหาเหตุผลในการบ่ายเบี่ยงการร่วมมื้ออาหารกับคนข้างห้องอย่างไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตนัก ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งๆที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ ปล่อยให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบกับร่างกาย พลางคิดถึงสิ่งที่ต้องทำในคืนนี้
   ชายหนุ่มเดินไปหยิบแผ่นซีดีเพลงคลาสสิกที่เขาซื้อมาวันก่อน พนักงานที่นั่นเลือกกระดาษห่อของได้ไม่เลวเลย มันดูเรียบร้อยและภูมิฐานอยู่ในตัว สมกับสิ่งที่ห่อ เขานึกโล่งใจที่ไม่ต้องไปหาซื้อกระดาษมาห่อเอง แต่ก็ทำให้มีเวลาว่างเหลือมากขึ้น รูฟัสคร้านที่จะเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำงานในตอนนี้ แม้จะมีเวลาเหลือ แต่คงไม่มากพอจะใช้อ่านข้อมูลหฤโหดพวกนั้น เอาไว้กลับมาแล้วค่อยจัดการดีกว่า ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ หยิบตลับใส่คอนแทคเลนส์ส์ที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้าขึ้นมา ใช้นิ้วเขี่ยแผ่นเลนส์สีน้ำผึ้งขึ้นมา
   ในบางเวลา เขาจำเป็นต้องอำพรางตาสีแปลกนี้บ้างเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากไปนัก
--------------------------
   ฟ่งขยับตัวด้วยความกระวนกระวาย ขณะนั่งอยู่บนโซฟาหนังสีครีมอ่อนที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ  ผู้ที่ว่าจ้างต้องการให้เขาออกแบบส่วนต่อเติมของเคาน์เตอร์บาร์  ซึ่งการคุยกันในรายละเอียดต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจที่ลูกค้าไม่ได้พยายามยัดเยียดรสนิยมของตัวเองเข้ามามากนัก แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดคือการต้องมานั่งทานข้าวในสถานที่ปิดแบบนี้ เสียงดนตรีที่หนักไปทางเบสและกลิ่นน้ำหอมทำให้รู้สึกเวียนหัวเล็กๆ ความจริงฟ่งไม่ค่อยได้เข้ามาในสถานที่ทำนองนี้บ่อยนักนัก เพราะไม่ชอบการต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาในสถานที่แคบๆ ที่สำคัญเขาแพ้กลิ่นน้ำหอม
   ชายหนุ่มจามฟาดใหญ่เกือบจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดไม่ทัน เขาเช็ดจมูกที่เริ่มกลายเป็นสีแดงเรื่องพลางนึกดีใจที่วันนี้ไม่ลืมพกผ้าเช็ดหน้ามามา ฟ่งเหลียวมองไปรอบๆ บรรยากาศในคลับแห่งนี้ถือว่าดีทีเดียวหากมองในสายตาคนทั่วไป เขาสั่งน้ำมูกดังพรืด พลางนึกเสียดายที่ไม่ลากลับไปก่อน แต่คำชักชวนและท่าทีที่สุภาพของผู้จ้างงานสาวสวยทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง ชายหนุ่มยกน้ำฝรั่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม ความรู้สึกที่ของเหลวเย็นๆ ไหลผ่านลำคอลงไป ทำให้หัวเขาโล่งขึ้นบ้าง
   จริงๆ นี่ก็สมควรจะได้เวลาอาหารแล้ว แต่เจ้าของงานดูเหมือนจะติดธุระกระทันหันเลยบอกให้เขาทานไปก่อน ฟ่งตัดสินใจจะรักษามารยาทจึงตกลงที่จะรอ แต่ก็ไม่ลืมที่จะปฏิเสธเสียงแข็งเรื่องบริกรหญิงที่จะมานั่งเป็นเพื่อน  ในที่สุดคนที่เขารอก็เดินเข้ามาในคลับ พร้อมกับชายอีกคนหนึ่ง แวบแรกที่ฟ่งมองเห็น เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย   ร่างนั้นดุคุ้นตามากทีเดียว แต่เสียงหวานๆ ของหญิงสาวที่เดินนำหน้ามาดึงความสนใจไปเสียก่อน
   “ขอโทษจริงๆ นะคะที่ต้องให้รอ ดิฉันมีแขกมาเพิ่มน่ะค่ะ”   สาวสวยในชุดกระโปรงเข้ารูปสีน้ำเงินแขนสั้นเอ่ยปากขึ้น ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ติดกัน
   “คิดว่าคุณคงไม่รังเกียจ ถ้าหากจะมีคนร่วมโต๊ะเพิ่มนะคะ”
   ฟ่งยิ้มให้หล่อน “ไม่เป็นไรครับ”
   แต่แล้วเขาก็ต้องชะงัก เมื่อหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมานั่งลง แสงไฟสีขาวส้มจากหลอดอินแคนเดสเซนต์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ส่องให้เห็นใบหน้าคมสันนั้น
   “รูฟัส!!”   ฟ่งอุทานขึ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะอุทานขึ้นเช่นกัน
   “อ้าว รู้จักหรือคะเนี่ย?” หญิงสาวพูดอย่างแปลกใจ  รูฟัสพยักหน้า เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอคนข้างห้องที่นี่ ส่วนอีกทางนั้นถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว ในที่สุดเสียงหัวเราะใสๆ ของหญิงสาวที่มีชื่อค่อนข้างจะไม่เหมาะสมกับตัวดังขึ้นทำลายความเงียบ
   “แหม...ดิฉันนี่ก็จุดไต้ตำตอจริงๆ เป็นเพื่อนกันสินะคะ”
   รูฟัสฝืนยิ้ม ฟ่งต้องสังเกตเห็นถึงสีตาที่เปลี่ยนไปของเขาแน่ๆ ดูจากสายตาที่แสดงความสงสัยนั้น เขาอุตส่าห์ใส่คอนแทคเลนส์ส์สีมาเพื่อไม่ให้เตะตาคนอื่นแท้ๆ แต่ดันกลายเป็นมาเจอคนข้างห้องเสียได้ รูฟัสพยายามเค้นหาคำแก้ตัวที่น่าเชื่อถือหากถูกถามอะไรแปลกๆ หลังจากนี้ ได้ยินจากเมี่ยงว่าหล่อนนัดคนออกแบบเคาน์เตอร์บาร์คนใหม่เอาไว้ รูฟัสเห็นว่าไม่น่ามีอะไรเสียหายเลยตกลงตามมาด้วย แต่ดูเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
   “เอ่อ...ก็อยู่ห้องติดกันน่ะครับ” ในที่สุดผู้มาทีหลังก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน  ฟ่งรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าห้องติดกัน เขากะพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป เมี่ยงที่ตอนแรกตั้งใจจะแนะนำคนทั้งคู่ให้รู้จักกันคร่าวๆ ถึงกับมึนไปด้วยเหมือนกัน เธอไม่รู้ว่าฟ่งรู้จักรูฟัสมากแค่ไหน แต่รูฟัสคงไม่ได้เปิดเผยตัวเองกับเพื่อนข้างห้องคนนี้หรอก ดูจากแววตาที่แสดงความสงสัยนั่นก็รู้ หญิงสาวคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อเบนความสนใจของฟ่งที่มีต่อคนข้างห้อง จึงเรียกบริกรสาวที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามา
   “สั่งอาหารกันเถอะค่ะ คุณฟ่งคงหิวแล้ว  ดิฉันก็ด้วยค่ะ”
   “เอ้อ ครับ” ฟ่งรับเมนูมาอย่างงงๆ ลืมเรื่องแพ้น้ำหอมเสียสนิท เขานึกสงสัยเรื่องตาที่เปลี่ยนสีไปของรูฟัส บางทีฝ่ายโน้นอาจนึกอายเรื่องตาสีแปลกของตัวเองก็ได้ ฟ่งยอมรับว่าสีตารูฟัสดูแปลกและจำง่ายมากจริงๆ เขาจำผู้ชายคนนี้ได้เพราะสีของดวงตานี่แหละ คงเพราะแบบนี้ด้วยมั้ง พอใส่คอนแทคเลนส์ส์สีแล้วทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนละคนกันเลย ฟ่งพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก ก็แค่เพื่อนข้างห้องมาเจอกันโดยบังเอิญ ความจริงเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้มาเจอคนรู้จักในสถานที่แบบนี้ แต่ทำไมรูฟัสต้องมาที่คลับแบบนี้ด้วย เห็นเมี่ยงบอกว่าคลับที่นี่รับเฉพาะสมาชิกนี่นา หรือรูฟัสจะเป็นสมาชิก แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขานี่
   รูฟัสรับเมนูมาเปิด และแทบอยากจะเอามันบังหน้าตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าฟ่งมองหน้าเขาพลางขมวดคิ้วอย่างงุนงงสงสัย เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่ แถมเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาจริงๆ อีก หนำซ้ำยังเป็นคนข้างห้องที่เขาพาไปกินข้าวทุกวัน ชายหนุ่มภาวนาให้ฟ่งไม่สงสัยอะไรมาก เขาอธิบายเรื่องคอนแทคเลนส์ส์สีได้ อธิบายเรื่องการมาที่นี่ได้ ทุกอย่างดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกกังวลกับแววตาสีน้ำตาลคู่นั้นมากนักนะ
   การเลือกอาหารแค่ไม่กี่อย่างดูจะกินเวลาเนิ่นนานในความรู้สึกของคนข้างห้องที่บังเอิญมาเจอกัน แม้แต่เมี่ยงเองก็พลอยรู้สึกอึดอัดไปด้วย หล่อนไม่คิดว่าคนอย่างรูฟัสจะมีท่าทีกระวนกระวายแบบนี้ ถึงจะออกมานิดหน่อยทางแววตาก็เถอะ สังเกตว่าชายหนุ่มเลือกที่จะหลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างจงใจ หรือว่าสองคนนี่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนข้างห้องกัน
   บริกรหญิงจดรายการอาหารลงบนเครื่องปาล์ม ก่อนจะโค้งตัวแล้วเดินออกไป รูฟัสรู้สึกว่าตัวเขาแปลกออกไป ทำไมเขาต้องกระวนกระวายกับคนข้างห้องที่แทบจะไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมายแบบนี้ด้วย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบังเอิญได้เจอคนที่ไม่อยากเจอในสถานที่ที่ไม่น่าจะเจอ แต่ทุกครั้งเขาก็ผ่านมันมาได้อย่างเรียบร้อย คราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน ที่สำคัญ ฟ่งดูจะเชื่อถือเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับไปถึงห้องปั้นเรื่องนิดๆ หน่อยๆ ฝ่ายนั้นก็คงไม่สงสัยหรอก ที่สำคัญ เขามาที่คลับแบบนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมทางนั้นถึงได้ดูมีสีหน้าแปลกใจมากมายขนาดนั้นนะ อย่างกับไม่คิดว่าคนแบบเขาจะมาในที่แบบนี้งั้นแหละ
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าตัวเองคิดเรื่องคนข้างห้องมากไปแล้ว เขาไม่ควรจะเสียเวลาไปกับเรื่องไม่คาดคิดแบบนี้ เดิมทีรูฟัสตั้งใจจะหาพยานว่าเขากำลังตีสนิทกับเมี่ยง เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตนักในการเข้ามาทำงานในที่แบบนี้ อีกทั้งยังกันเจ้าหล่อนออกจากวงต้องสงสัยหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นด้วย ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะทำตามแผนเดิม ได้ฟ่งมาเป็นพยานก็ดี เขาจะได้หาข้ออ้างในการปลีกตัวเวลาอยู่ที่ห้องได้ง่ายขึ้น
   “คุณเมี่ยงครับ ผมมีอะไรมาเซอร์ไพรส์คุณนิดหน่อย” รูฟัสพูดพลางยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยตามเรื่อง แต่ก็ไม่วายเหลือบตาไปมองคนข้างห้องอยู่ดี พลางนึกสงสัยว่าทำไมฟ่งทำหน้าเหมือนหงุดหงิดแบบนั้น เมี่ยงมองดูรูฟัสและเข้าใจทันทีว่าฝ่ายนั้นยังคงทำตามแผนเดิม ถึงจะดูกังวลจนน่าแปลกใจอยู่บ้าง แต่ระดับนี้แล้วคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
   “เอ..เซอร์ไพรส์อะไรหรือคะ?” หล่อนกล่าวพลางยิ้มหวาน ร่วมเล่นละครไปกับชายหนุ่มด้วย แต่ก็ยังสังเกตเห็นว่ารูฟัสเหลือบมองเพื่อนข้างห้องของเขาอยู่บ่อยๆ รูฟัสยังคงปั้นหน้าเล่นละครต่อ โดยพยายามบอกตัวเองให้หยุดกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องสักที
   “ไม่มีราคาค่างวดอะไรนักหรอกครับ” เขาว่าพลางหยิบเอากล่องใส่ซีดีที่ห่อเรียบร้อยมายื่นให้อีกฝ่าย จงใจจับมือของเมี่ยงให้ฟ่งเห็น หญิงสาวยิ้มกว้างกว่าเดิม
   “แหม...อะไรกันคะเนี่ย ฉันแกะดูเลยได้ไหมคะ?”
   “ได้สิครับ ผมอยากเห็นคุณตอนทำหน้าแปลกใจ” รูฟัสกล่าวด้วยสีหน้าปลื้มอกปลื้มใจอย่างเต็มที่ เขาพยายามไม่เหลือบมองฟ่ง ไม่ว่าเจ้าตัวจะทำสีหน้าแบบไหนก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด เดี๋ยวกลับไปห้องค่อยอธิบายทีหลังก็ได้
   ฟ่งรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพอสมควร เขาเพิ่งรู้ว่าคนข้างห้องรู้จักกับนายจ้างคนใหม่ของเขา แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ดูไม่ธรรมดา อืม..ถึงจะน่าแปลกใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินี่นา เมี่ยงก็เป็นสาวสวย และรูฟัสก็เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ถ้าสองคนนี่จะคบกันเขาก็ควรจะเห็นดีเห็นงาม แต่ไม่รู้ทำไม ท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยของรูฟัสตอนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกไม่สบใจนัก บางทีคงเพราะเขารู้สึกว่ารูฟัสเป็นผู้ชายเรียบร้อยก็ได้ ใช่สิ เขาไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา ฝ่ายนั้นจะมาทำเจ้าชู้กับเขาทำไมล่ะ ในเมื่อสองคนกำลังจีบกันอยู่ เขาก็ไม่ควรจะนั่งเป็นก้างขวางคอ ยิ่งเห็นรูฟัสเหลือบตามองเขาบ่อยเท่าไหร่ เหมือนกับเป็นสัญญาณไล่ให้เขาเดินออกไปก่อนนั่นแหละ ฟ่งพอเข้าใจอารมณ์ของผู้ชายเวลากำลังจีบผู้หญิงดี เพราะเขาเองก็เคยเป็นมาก่อน แม้จะดูไม่ชำนาญอย่างรูฟัสก็เถอะ แต่อาหารยังไม่มา การที่เขาจะลากลับก่อนก็ใช่ที่ ดังนั้นฟ่งจึงตัดสินใจปลีกตัวไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ โดยให้เหตุผลว่าเขาจะได้รู้สึกถึงความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไรยังไงบ้าง เมี่ยงพยักหน้า และยิ้มหวานให้เขา ขณะที่รูฟัสเหมือนจะปั้นรอยยิ้มส่งเขาได้นิดหนึ่ง
   ชายหนุ่มเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวใจแบบแปลกๆ รูฟัสจีบเมี่ยงต่อหน้าเขาแบบนี้ก็หมายความว่าอนาคตเขาสองคนก็คงไม่ได้สนิทกันแบบก่อนอีกแล้ว ผู้ชายยามทุ่มเทจีบผู้หญิงสักคนหนึ่ง ไม่มีใครหน้าไหนสนใจจะให้เวลากับเพื่อนฝูงหรอก ตัวเขาเองเป็นผู้ชายก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนี่นา อีกอย่าง รูฟัสก็แค่คนข้างห้อง ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่คบกันมานานจนตัวติดกันเสียหน่อย
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเคาน์เตอร์บาร์ตัวเก่า พยายามมองหาข้อดีข้อเสียของมัน แต่สมองกลับนึกวนเวียนเรื่องคนข้างห้องอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเก็บมาคิดเลยสักนิด ในเมื่อไม่สามารถมีสมาธิอยู่กับงานได้ และขวดเครื่องดื่มหลากสีที่วางเรียงรายกันอยู่ก็ดูน่าทดลอง ฟ่งจึงตัดสินใจสั่งเครื่องดื่มบางอย่างมาทาน เผื่อสมองเขาจะทำงานเป็นปกติขึ้นบ้าง
   “รูฟัสคะ?” เมี่ยงเอ่ยเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่ใกล้หล่อน รูฟัสหันมามองอย่างงงๆ
   “ทำไมหรือครับ?” เขาถาม เมี่ยงมองหน้าเขาและกะพริบตาปริบๆ
   “คุณกับคุณอภิวัฒน์ รู้จักกันแบบไหนหรือคะ?”
   “เขาอยู่ห้องข้างๆ ผม อืม...ก็เคยไปกินข้าวด้วยกันน่ะ” รูฟัสตอบ โดยเลี่ยงจะพูดเรื่องจริงว่าเขากับฟ่งไปกินข้าวกันแทบทุกมื้อ ไม่ใช่แค่ทุกวัน พอมาคิดดู ณ จุดนี้ รูฟัสรู้สึกกระดากตัวเองมากจริงๆ เขาไม่เคยพาใครไปกินข้าวด้วยกันบ่อยขนาดนี้มาก่อน บ่อยจนน่าจะผิดปกติด้วยซ้ำ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนนี่นา เมี่ยงมองหน้าเขาอย่างตั้งคำถาม
   “แค่นั้นจริงๆ หรือคะ? คือฉันไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวคุณหรอกนะคะ แต่ถ้าเป็นแค่คนรู้จักผิวเผินแบบนั้น คุณไม่น่าจะดูกระวนกระวายอะไรนี่คะ หรือว่าคุณกลัวว่าเขาจะสงสัยคุณ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะทันที “ผมจะกลัวเขาสงสัยไปทำไมล่ะครับ เขาไม่รู้เรื่องผมหรอก แล้วผมเองก็เตรียมคำแก้ตัวดีๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
   หญิงสาวยังคงเอียงคอนั่งมองเขา ดูไกลๆ เหมือนสองคนกำลังคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่
   “แต่คุณดูจะระวังสายตาเขาอยู่มากนี่คะ ปกติฉันไม่เคยเห็นคุณลุกลี้ลุกลนแบบนี้” เมี่ยงกล่าว พลางคิดว่าถ้ารูฟัสดูลนลานแบบนี้ทุกครั้งคงไม่รอดมาได้ถึงขนาดนี้หรอก นั่นทำให้เธอสงสัยว่าเขากับฟ่งอาจจะมีสัมพันธ์อะไรมากกว่าแค่เพื่อนข้างห้อง รูฟัสสั่นศีรษะ ทำหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ผมก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนอะไรมากนี่...” ชายหนุ่มกล่าวและรู้สึกขึ้นมาในตอนนั้นว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองพูด เขาลุกลี้ลุกลนอย่างที่เมี่ยงตั้งข้อสังเกตจริงๆ รูฟัสเหลือบมองฟ่งที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์อย่างห้ามตัวเองไม่ได้อีกครั้ง ดูเหมือนฟ่งจะสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลผสมอยู่ ไม่รู้ว่าตั้งใจจะดื่มประชดเขารึเปล่า แล้วทำไมฟ่งจะต้องประชดเขาด้วยล่ะ?
ขณะที่กำลังพยายามมองหาเหตุผลที่ตัวเองรับได้เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนข้างห้อง เสียงของเมี่ยงก็ดังขึ้นอีก
“คุณจะเดินไปหาเขาก็ได้นะคะ”
ชายหนุ่มหันมามองอย่างงุนงงทันที เมี่ยงยิ้มพลางถอนหายใจ
“ก็คุณดูเป็นห่วงเขาเสียขนาดนั้น ไปเคลียร์กันให้เข้าใจก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยมาว่าธุระกันอีกที ฉันไม่อยากเสียคนร่างแปลนฝีมือดีไปเพราะเข้าใจผิดกันหรอกนะคะ”
“เปล่าเข้าใจผิดอะไรนี่ครับ ผมกับเขาก็แค่อยู่ห้องข้างๆ กัน” รูฟัสปฏิเสธเสียงแข็ง เขาจะสนใจเรื่องฟ่งมากไปทำไม ยังไงเขาก็ตั้งใจจะหยุดความสัมพันธ์แบบสนิทสนมไว้แต่แรกอยู่แล้ว ดูเหมือนเมี่ยงจะยังไม่วางใจ ดูจากสายตาที่จ้องมองมายังเขา รูฟัสจำต้องยืนยันหนักแน่นกว่าเดิม ราวกับตอกย้ำตัวเองไปด้วย
“ผมไม่ได้สนใจอะไรเขามากขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่คนรู้จักกันผ่านๆ เฉยๆ”
“อ้อ..” เมี่ยงลากเสียงยาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตากลมโต และอุทานออกมา “ตายจริง!”
รูฟัสหันไปมองตามหล่อนทันที วินาทีนั้นเขาถึงกับขาดสติไปโดยสมบูรณ์ ภาพของฟ่งที่ล้มฟุบไปบนเคาน์เตอร์บาร์ทำให้สมองของรูฟัสเหมือนถูกระเบิด กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็กำลังหิ้วปีกคนข้างห้องออกมาด้านนอกคลับแล้ว
   เมี่ยงตามออกมาส่งด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูหรือสงสารดี หล่อนเห็นแล้วว่าฟ่งดื่มเหล้าเข้าไปมาก แถมยังไม่ได้ทานอาหารเย็นก่อน การที่จะเมาฟุบก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา แต่ปัญหาคือทำไมฟ่งต้องดื่มเหล้าเข้าไปมากขนาดนั้น แล้วทำไมรูฟัสถึงได้ดูกระวนกระวายนัก ถึงเจ้าตัวจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่พอถึงจุดนี้รูฟัสคงพูดอะไรไม่ออกอีก สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนคนถูกทุบหัว ทั้งงุนงง ทั้งโมโหอยู่บ้าง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่หล่อนเจอก่อนหน้านี้ ตอนนี้รูฟัสเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มรู้สึกพิเศษกับใครสักคนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวมาก่อน
   “ระวังตัวด้วยนะคะ” เมี่ยงกล่าวขณะที่รูฟัสพยายามลากฟ่งขึ้นรถ ซึ่งเจ้าตัวแม้จะพาสังขารไม่รอดแล้วแต่ก็ยังมีแรงพอจะอาละวาดเปะปะ รูฟัสพยักหน้าหน่อยๆ ด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หญิงสาวโบกมือให้หลังจากแท็กซี่เคลื่อนออกไปแล้ว พลางภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องราวอะไรไปมากกว่านี้
   ภาวนาอย่าให้สองคนนี่ถลำลึกกันไปมากกว่านี้เลย
-----------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:19:51
   ความจริงฟ่งไม่ได้ตั้งใจจะกินเหล้าประชดใคร แต่จู่ๆ เขาดันเกิดอยากลองเครื่องดื่มพวกนั้นขึ้นมา และเพราะท้องว่างมาตั้งแต่บ่าย อาการที่เรียกว่าเมาเลยมาถึงตัวเขารวดเร็วเหลือเกิน คนเราพอเมาแล้วขาดสติอย่างที่พระท่านว่าจริงๆ และตอนนี้เขากำลังอาละวาดโวยวายใส่คนข้างห้องที่พยายามพาเขากลับห้องแทนที่จะเอ่ยขอบคุณ
   “ปล่อยผมได้แล้ว!” ฟ่งโวย พยายามจะปัดมือรูฟัสที่ทั้งพยุงทั้งลากเขาออก ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่รูฟัสดูจะจับตัวเขาลากอย่างไม่เกรงใจ อย่างกับโกรธอยู่นั่นแหละ ในความไร้สติ ฟ่งถึงกับนึกพาลใส่อีกฝ่ายว่ารูฟัสจะโกรธอะไรอีก เขาสิสมควรจะโกรธมากกว่า ความคิดนั้นยิ่งทำให้ฟ่งอาละวาดหนักขึ้น ถึงกับผลักร่างสูงออกอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปชนเข้ากับประตูห้องตรงข้าม เดือดร้อนถึงรูฟัสต้องเดินไปลากตัวเขาออกมาและกล่าวขอโทษขอโพยเจ้าของห้องนั้นอยู่พักใหญ่
   ฟ่งอาละวาดหนักเอาเรื่อง ทั้งเตะทั้งต่อยตอนที่รูฟัสเข้าถึงตัวอีกหน ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงต่อยคว่ำไปแล้ว จะจัดการกับคนเมาแล้วอาละวาดก็คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น ถ้าไม่ฟาดให้สลบก็คงต้องทนรำคาญไปอีกนาน รูฟัสมีประสบการณ์จัดการกับคนเมาในรูปแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ในกรณีของฟ่ง เขากลับทำใจต่อยเพื่อนข้างห้องให้สลบไม่ลง แต่ปล่อยให้อาละวาดแบบนี้ก็ไม่สนุกอีกเหมือนกัน ครั้นจะให้เข้าห้องไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเมาอาละวาดออกมาทุบประตูห้องคนอื่นอีกรึเปล่า หรืออาจจะไปล้มฟาดอยู่ในห้องน้ำโดยที่ไม่มีใครเห็นก็ได้ ในที่สุดหลังจากคิดพลางพยายามหยุดการอาละวาดที่ดูจะหนักข้อขึ้นทุกทีของคนข้างห้อง รูฟัสก็ตัดสินใจจะพาฟ่งไปสงบสติอารมณ์และสงบความเมาในห้องเขาก่อน ชายหนุ่มเปิดประตูห้อง และถอดรองเท้าคั่นเอาไว้ ก่อนจะลากตัวคนข้างห้องเข้ามาใกล้
   “หือ!” หนุ่มสวมแว่นร้องเสียงแปลกเมื่อร่างกายถูกยกลอยจากพื้น หยุดการเตะเปะปะไปชั่วคราว แต่ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น พอพยุงตัวได้สิ่งแรกที่ฟ่งทำคือดิ้นจนรูฟัสแทบจะปล่อยให้เจ้าตัวหล่นลงไปกระแทกพื้น เป็นคนอื่นคงตวาดใส่ไปแล้ว แต่การตวาดกับคนเมาแบบนี้มีแต่จะทำให้ยิ่งอาละวาดมากขึ้น รูฟัสใช้ความอดทนอย่างที่สุด อุ้มฟ่งที่ดิ้นอย่างเหลือร้ายเข้าไปในห้อง ก่อนจะกึ่งวางกึ่งโยนเจ้าตัวลงบนโซฟา ได้ยินเสียงทางนั้นร้องโอ๊ยขึ้นมาคำหนึ่ง คงจะตกใจเสียมากกว่าเจ็บล่ะมั้ง เพราะเขาก็ดูแล้วว่าหัวคงไม่น่าจะไปกระแทกอะไร ความตกใจและความงุนงงทำให้ฟ่งหยุดอาละวาดไปหลายนาที นานพอที่รูฟัสจะเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาเทลงแก้วและส่งให้
   “Take it!” เขาสั่งด้วยอารมณ์ที่ต้องบอกว่าขุ่นเคืองอยู่พอสมควรเลยจริงๆ รูฟัสไม่เข้าใจว่าฟ่งจะกินเหล้าจนเมาไม่ได้สติขนาดนี้เพื่ออะไร และที่ดูน่าหงุดหงิดกว่านั้น ทำไมตัวเขาต้องมาเดือดร้อนใจกับเรื่องนี้ด้วย ฟ่งถลึงตาที่ดูยังไงก็ไม่ได้สติมองเขาอย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน และดื้อแพ่งไม่ยอมรับน้ำไปดื่ม คนเมากับคนไม่เมาจ้องตากันอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดในฐานะคนที่สติสมบูรณ์กว่า รูฟัสจึงพูดต่อ
   “ดื่มน้ำเข้าไปหน่อยเถอะนะครับ” ชายหนุ่มพยายามลดน้ำเสียงลงจนแทบจะขอร้อง และคิดว่าถ้าฟ่งยังดื้ออยู่อีกเขาจะทุบให้สลบไปเลย โชคดีที่ฟ่งดูจะฟังคำพูดแบบอ่อนโยนรู้เรื่อง เจ้าตัวรับแก้วน้ำมาอย่างเสียไม่ได้ และดื่มลงไป รูฟัสจึงเทน้ำให้อีกแก้วหนึ่ง คราวนี้ฟ่งรับมันไปและดื่มเหมือนถูกตั้งโปรแกรม
   หลังจากกินน้ำเข้าไปหลายแก้ว อีกฝ่ายก็ดูจะได้สติมากขึ้น ฟ่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมลงพลางพูดอ้อมแอ้ม
   “ขอโทษ”
   คำนี้ทำให้รูฟัสยิ้มออกมาได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่กำลังคิดว่าฟ่งคงรู้สึกตัวขึ้นบ้างแล้ว เสียงพูดต่ออย่างหงุดหงิดก็ทำให้เขาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
   “ผิดที่คุณนั่นแหละ!”
   คนถูกโบ้ยใส่อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่มองดูคนพูดอย่างงุนงงทันที ฟ่งตอนนี้ตาแดงก่ำ ไม่สนใจจะบัดแว่นที่เบี้ยวอยู่บนหน้าให้เข้าที่ดีๆ ด้วยซ้ำ หน้าที่ปกติดูเซียวๆ ก็แดงเรื่อขึ้นมาเพราะพิษแอลกอฮอล นัยน์ตาสีน้ำตาลถลึงใส่เขาอย่างจ้องจะเอาผิดให้ได้
   “ทำไมคุณต้องจีบคุณเมี่ยงต่อหน้าผมด้วย อยากจะจีบกันก็ไปจีบกันที่อื่นสิ!”
รูฟัสอ้าปากค้าง สรุปแล้วฟ่งกินเหล้าประชดเขาเรื่องนี้? คำพูดแก้ตัวที่คิดเอาไว้พลันดูโง่เง่าไปหมด หลังจากยืนอึ้งอยู่นานหลายนาที หนุ่มสวมแว่นก็ลุกพรวดขึ้น ทำเอารูฟัสต้องรีบคว้าแขนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวปัดมันออกอย่างไม่แยแส
   “ไม่ต้องยุ่ง! ผมจะไปเข้าห้องน้ำ” ฟ่งกล่าวเสียงขุ่น พลางเดินตุบตัดตุบเป๋เข้าห้องน้ำด้วยท่าทางชวนหวาดเสียว แล้วก็ชนเข้ากับประตูห้องน้ำโครมใหญ่ จนรูฟัสอดไม่ได้ต้องถลันเข้าไปหมายจะช่วยประคองอีกรอบ แต่ก็ถูกปัดมือทิ้งทันที
   ท้ายที่สุด ฟ่งก็เข้าห้องน้ำไปทั้งๆ ที่ยังทรงตัวได้ไม่ดีนั่นแหละ ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่พอได้ยินเสียงกดชักโครกและเสียงเปิดประตู รูฟัสก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ฟ่งโผล่ออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แว่นตาเอียงกระเท่เร่ไปอีกข้างหนึ่ง เหมือนพยายามจะปัดให้เข้าที่แต่คงปัดแรงไป กางเกงที่ควรจะรูดซิปเรียบร้อยก็ดันรูดไปได้ครึ่งๆ กลางๆ แถมตะขอก็ไม่ยอมจะติด เจอคนเมาหนักขนาดนี้ รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรืออะไรกันแน่ เขายืนมองฟ่งเดินโซซัดโซเซกลับมานั่งแผละที่โซฟาด้วยสายตาบอกไม่ถูก ก่อนที่จะได้อ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็คว้าแก้วน้ำกับขวดน้ำในมือของเขาไป พยายามจะเทน้ำลงในแก้วด้วยตัวเอง แต่ด้วยอารามเมา น้ำเลยหกล้นออกจากแก้วใส่ตักของเขาจนเปียก ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง มองขวดน้ำ สลับกับแก้วในมือ ก่อนจะยกขึ้นดื่มอักๆ ผลคือเสื้อเชิ้ตของเขาก็พลอยเปียกน้ำไปด้วย รูฟัสจึงคว้าแก้วน้ำกับขวดกลับคืนมาก่อนที่เพื่อนข้างห้องของเขาจะทำอะไรเลอะเทอะไปกว่านี้ ฟ่งถลึงตามองเขาอีกรอบ คราวนี้รูฟัสจำเป็นต้องพูดบ้าง
   “คุณโมโหผม?”
   คนถูกถามหรี่นัยน์ตาสีน้ำตาลราวกับกำลังพินิจพิจารณาคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะแค่นเสียง “เออ”
   “คุณโมโหผมทำไม? คุณชอบคุณเมี่ยง?”
   “เหอ........” ฟ่งลากเสียงยาว จนคนได้ยินขมวดคิ้วบ้าง
   “ผมเพิ่งเจอคุณเมี่ยงวันนี้ ผมจะไปชอบเธอทำไม? ใช่สิ! คุณจะจีบใครมันก็เรื่องของคุณนี่ เชิญแสดงฝีมือให้เต็มที่เลย ไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปขัดความสุขคุณหรอก” หนุ่มสวมแว่นกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ขณะที่รูฟัสพยายามจะอ้าปากเพื่อกล่าวคำแก้ตัว ฟ่งก็ยกมือขึ้นโบกอย่างรำคาญ
   “พอๆ ไม่ต้องพูดล่ะ ผมง่วงแล้ว” ไม่รอให้ใครพูดอะไรต่อ ร่างผอมไถลตัวลงนอนบนโซฟา หลับตาลงอย่างไม่อยากรับรู้อะไรอีก รูฟัสได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองดูร่างของเพื่อนข้างห้องที่นอนแผ่หลาอย่างไม่เกรงใจ นึกไม่ออกเลยว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากมองดูเสื้อเชิ้ตที่แนบลงไปบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายเพราะความเปียกชื้น รูฟัสจึงตัดสินใจเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว นั่งลงข้างๆ ร่างที่นอนอยู่ ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก เรือนร่างที่กลายเป็นสีแดงเรื่อเพราะพิษเหล้าปรากฏออกมาต่อสายตา รูฟัสซับผ้าเช็ดตัวไปบนร่างผอมและตัดสินใจถอดกางเกงที่เปียกของฟ่งออกด้วย จริงๆ เขาปล่อยให้ฟ่งหลับไปทั้งที่ตัวเปียกแบบนี้ก็ได้ แต่ก็ดันนึกเป็นห่วงว่าจะเป็นหวัดอีก รูฟัสเช็ดตัวเพื่อนข้างห้องไปพลางนึกสงสัยตัวเองอยู่เงียบๆ ทำไมเขาถึงได้เป็นห่วงเป็นใยคนข้างห้องที่เพิ่งรู้จักกันมากขนาดนี้ ที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะทำหรือ?
โชคดีที่ฟ่งเหมือนจะหลับไปแล้ว รูฟัสจึงจัดการเช็ดตัวและเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาเปลี่ยนให้ เพราะฟ่งตัวเล็กกว่าเขามาก สวมแค่เสื้อก็ปิดลงมาจนเกือบถึงเข่า ชายหนุ่มพลิกร่างคนข้างห้องให้นอนให้เรียบร้อย เขาถอดแว่นตาที่แทบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่นั้นออกจากใบหน้าที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง พลางมองร่างผอมในเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบผ้าห่มมาห่มให้ผู้ที่นอนอยู่
หนุ่มตาสองสีกะพริบตามองร่างที่นอนหลับสนิทอย่างไม่รับรู้อะไรอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นอีกครั้ง ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในสมองเกิดคำถามมากมาย
ทำไมฟ่งถึงต้องโมโหเขาเรื่องเมี่ยง?
ทำไมเขาถึงได้ใส่ใจคนข้างห้องที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกันเลยมากมายขนาดนี้?
ทำไมตอนนี้เขาถึงได้กระวนกระวายใจนัก?
รูฟัสตัดสินใจเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาอีกขวด ดื่มมันลงไปจนเกือบหมด ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
บางทีเขาเองอาจจะกำลังเมาอยู่
-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:21:42
บทที่5 กำแพง
   อาการปวดปัสสาวะแบบสุดขีดปลุกให้ชายหนุ่มต้องลุกขึ้น ฟ่งหรี่ตาเมื่อเจอกับแสงสว่างที่ส่องผ่านผ้าม่านสีโอลด์โรสที่ปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง ก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เขาปัดผ้าห่มออก รู้สึกปวดศีรษะ ชายหนุ่มรีบเดินไปเข้าห้องน้ำจนไม่ทันสังเกตตัวเองและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง จนกระทั่งทำธุระเสร็จ เขาถึงเพิ่งเห็นว่าตัวเองสวมแค่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มแขนยาวตัวเดียว แถมยังใหญ่โคร่งจนไม่น่าใช่เสื้อผ้าของเขาเอง ชายหนุ่มเปิดประตูออกมา หรี่ตาดูรอบๆ
   นี่ไม่ใช่ห้องของเขา!!
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ แม้ว่าการตกแต่งจะใกล้เคียงกันแต่นี่ไม่ใช่ห้องเขาแน่นอน ชายหนุ่มพยายามจะนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะหลับอย่างตั้งใจท่ามกลางอาการปวดหัวตุบๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
   “Мто случилорь?” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีแปลกโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องนอน ดวงตาสองสีหรี่มองเขาอย่างง่วงงุน ปะปนกับความสงสัย ฟ่งมองกลับด้วยสายตาสงสัยปะปนงุนงงไม่แพ้กัน รูฟัสกะพริบตาสองสามครั้งจึงพูดต่อ
   “What’s happen? Um  มีอะไร?” ท่าทางจะสับสนด้านภาษาพอดู ฟ่งกะพริบตาบ้าง มองดูหน้ารูฟัสอยู่นานโดยไม่พูดอะไร จนอีกฝ่ายทักขึ้น
   “Are you OK?”
   ฟ่งยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบและไม่แสดงท่าทีอะไร เขากำลังลำดับเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อวานเขาไปเจอรูฟัสโดยบังเอิญที่คลับของเมี่ยง นายจ้างคนใหม่ของเขา และเพราะเหมือนรูฟัสจะไม่อยากให้เขานั่งเป็นก้างขวางคอ เขาเลยจำต้องหาข้ออ้างไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ ทดลองชิมนั่นชิมนี่ไปตามเรื่องจนกระทั่ง.....
   ฟ่งมีสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงตอนนี้ เสไปมองทางอื่น ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงค่อย “แว่นผมล่ะ?”
   รูฟัสมองดูผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะชี้มือไปที่โต๊ะข้างโซฟา ฟ่งเดินไปเงียบๆ และหยิบแว่นที่ตั้งอยู่มาสวม ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่พาดอยู่ขึ้นมา รูฟัสทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อฟ่งก้าวพรวดๆ ไปที่ประตู และเดินราวกับจะวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวแบบนั้น
   เหมือนจะได้ยินเสียงรูฟัสแว่วมาด้านหลังแต่ฟ่งไม่สนใจ เขารีบเดินจ้ำอ้าวมาถึงหน้าห้องและควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกง โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาในตอนนั้น ฟ่งผลักประตูเข้าไปและปิดอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวอากาศภายนอกจะเข้า ก่อนหอบหายใจเสียงหนัก ร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว นึกอยากจะทุบหัวตัวเองสักยี่สิบรอบ เมื่อคืนเขาทำอะไรลงไป!?
ฟ่งยกมือขึ้นลูบหน้า ภาวนาให้รูฟัสไม่คิดอะไรมากนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายอมรับว่าเสียมารยาทมากๆ จริงๆ ที่ไปรบกวนทางนั้นจนเดือดร้อนแล้วยังผลุนผลันออกมาแบบนี้ แต่ฟ่งไม่กล้าทนยืนอยู่ในห้องนั้นนานๆ อีก ไม่กล้ายืนมองหน้าของอีกฝ่ายที่คงได้ยินทุกอย่างที่เขาพูดออกไปเมื่อวาน ฟ่งถอดเสื้อผ้าซึ่งก็น่าจะเป็นของรูฟัสโยนใส่ตะกร้า ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้หยิบผ้าเช็ดตัว ด้วยจิตใจร้อนรุ่มและกระวนกระวาย
   ชายหนุ่มเปิดฝักบัวจนสุด สายน้ำที่กระแทกศีรษะและไหล่ของเขาช่วยเรียกเอาสติกลับมาได้บ้าง ฟ่งยกมือลูบหน้า อยากจะต่อยตัวเองหนักๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืน
   มันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรซักอย่างนั่นแหละ.... เขาไม่ได้ตั้งใจจะเมา แล้วรูฟัสก็ดันถามในตอนที่เขาเมา เขาจะรักษาสติตอบไปได้ยังไง ความคิดคนเมาเชื่อถือได้ที่ไหน.....
   ฟ่งภาวนาให้รูฟัสอย่าถือสากับคำพูดของเขาเมื่อคืน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไรเหมือนกัน ก็คงเพราะเหล้าเข้าปากนั่นแหละ ชายหนุ่มเดินเปลือยออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ฟ่งไม่อยากถูกรูฟัสเกลียดขี้หน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดขอโทษอีกฝ่ายอย่างไรดี เขาคงต้องอธิบายเหตุผลให้รูฟัสฟังก่อนว่ามันเป็นเพราะเหตุเข้าใจผิด แต่สำหรับสมองที่ปวดตุ๊บๆ เพราะพิษเหล้าแบบนี้คงจะสรรค์หาคำพูดอะไรดีๆ ออกมาพูดไม่ได้แน่
   หนุ่มสวมแว่นเช็ดตัวลวกๆ ก่อนจะหยิบเสื้อนอนออกมาจากตู้และใส่มันด้วยอาการเหม่อลอยอย่างคนที่ยังเมาค้าง ในที่สุด หลังจากพยายามลำดับสติอยู่นาน ฟ่งก็ยอมแพ้ เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงโดยไม่สนใจจะติดกระดุมเสื้อให้ครบเม็ด และไม่สนใจกระทั่งหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่ม ชายหนุ่มผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
----------------------------
   รูฟัสยังคงยืนอึ้งอยู่อีกพักใหญ่หลังจากที่ฟ่งวิ่งออกไปแล้ว เขาได้ยินเสียงปิดประตูดังปึงมาจากห้องข้างๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง พยายามขบคิดยังไงก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
   ฟ่งที่ตื่นมาแล้วก็เดินหนีออกไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนอาละวาดโวยวายใส่เขาแทบตาย หรือว่าจะรู้สึกตัวว่าพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา?
   เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนบางคนเวลารู้สึกกระดากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมักมีปฏิกิริยาแปลกๆ แต่การวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ใส่เสื้อไม่ครบชิ้นแบบนี้เขาเพิ่งเคยเห็น ที่สำคัญคนทำเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ด้วย ชายหนุ่มภาวนาไม่ให้มีใครผ่านมาเห็นฟ่งตอนนั้น เขาคงทำใจลำบากหากต้องลงไปกินข้าวกับคนข้างห้องที่ถูกมองจากคนอื่นๆ ว่าใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวเดินไปเดินมา
   นี่เขายังอยากจะไปทานข้าวกับฟ่งอยู่อีกหรือ?
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ เขาตัดสินใจพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวราดลงบนศีรษะ ความคิดของเขาชักจะไม่เข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคืนหลังจากฟ่งสงบไปแล้ว ตัวเขาเองดันเกือบนอนไม่หลับ การกระทำและคำพูดของทางนั้นวนเวียนอยู่ในหัว
   ฟ่งโมโหเขาเพราะเขาจีบเมี่ยงต่อหน้า แต่ฟ่งไม่ได้ชอบเมี่ยง แล้วอย่างนั้น.....?
   ชายหนุ่มบีบแชมพูใส่ฝ่ามือ ขยี้มันลงบนศีรษะ ก่อนจะล้างออก รูฟัสคิดว่าเขาควรจะสระผมกับน้ำแข็ง เผื่อจะทำให้สมองของเขาเป็นปกติกว่านี้ กระทั่งถูสบู่จนเช็ดตัวเสร็จ ความคิดแปลกประหลาดพิสดารก็ยังคงไม่หายไปจากห้วงคำนึง
   ให้ตายสิ คนข้างห้องที่ไม่ได้มีผลอะไรกับงานของเขาเลยแบบนั้น จะไปสนใจให้มากมายทำไมกัน จะชอบใครเกลียดใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
   รูฟัสเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เขาเดินตรงไปยังโซฟา หยิบผ้าห่มที่พาดอยู่ขึ้นมา พลางนึกว่าควรจะส่งซักเลยหรือว่าอย่างไรดี กลิ่นกายอ่อนๆ ชอนไชเข้าสู่นาสิกอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นกลิ่นกายเฉพาะของคนข้างห้องของเขาไม่ผิดแน่ รูฟัสมักจำกลิ่นต่างๆ ได้ดีเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และกลิ่นของฟ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ทำไมตอนนี้หัวใจของเขาถึงได้เต้นแรงผิดปกติ
   ราวกับว่าคนข้างห้องกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขา
   รูฟัสขมวดคิ้ว กะพริบตาปริบๆ
   บ้า...เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
   ชายหนุ่มโยนผ้าห่มกลับไปบนโซฟา เดินไปหยิบเสื้อที่แขวนอยู่ในตู้ออกมาใส่ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
----------------------------------------
   เสียงกดชักโครกดังขึ้น ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ยกมือกดขมับ ทั้งปวดหัวทั้งเวียนหัวอันเป็นอาการไม่พึงปรารถนาที่เรียกกันว่าเมาค้าง ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะนอนต่อหรือลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูโดยลืมที่จะดูผ่านช่องตาแมว
   ผู้ที่มาเคาะประตูดันเป็นคนข้างห้องที่เขาเพิ่งวิ่งหนีออกมาตอนเช้า ฟ่งยืนอึ้ง ไม่คิดว่ารูฟัสจะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน ดูจากสีหน้าแล้วบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าโกรธหรืออะไรกันแน่ ดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดเสียมากกว่า เมื่อเห็นเจ้าของห้องเงียบไปนาน รูฟัสจึงพยายามจะคลี่ยิ้มและพูดขึ้นก่อน “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ?”
   แม้จะรู้สึกกระอักกระอวน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอะไร ฟ่งจึงพยักหน้าและเปิดประตูให้คนข้างห้องเข้ามา
   “ผมซื้อข้าวมาให้ คิดว่าคุณคงยังไม่ได้ทาน” รูฟัสกล่าว พยายามจะปั้นสีหน้าให้ปกติธรรมดาที่สุด เขามองสบดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น เพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเอง แล้วก็พบว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่ฟ่งก็ดูเหมือนอย่างทุกวันนั่นแหละ หรือถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น อาจจะดูแย่กว่าทุกวันด้วยซ้ำ เพราะนอกจากสีหน้าอิดโรยอันเป็นผลมาจากอาการเมาค้างแล้ว ผมยังยุ่งไม่เป็นทรง แถมยังใส่เสื้อนอนไม่เรียบร้อยอีกต่างหาก
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก รับถุงใส่กล่องอาหารจากมือของรูฟัส นึกซาบซึ้งใจที่ทางนั้นยังมีแก่ใจเป็นห่วงเป็นใยเขา ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาก่อเรื่องเอาไว้มากมายแท้ๆ ชายหนุ่มพยายามกวาดข้าวของลงจากโต๊ะรับแขก และวางกล่องข้าวลงบนนั้น ก่อนจะเชื้อเชิญให้คนข้างห้องทานข้าวด้วยกัน เพราะโซฟามีตัวเดียว รูฟัสจึงต้องนั่งลงข้างๆ ฟ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ กลิ่นอายที่เขาสมควรจะคุ้นชินนานแล้วลอยเข้าแตะนาสิก
   ตลอดอาหารมื้อนั้น รูฟัสแทบจะไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย เหมือนจมูกและสมาธิทั้งหมดทุ่มเทไปกับการแยกแยะกลิ่นกายกรุ่นของคนข้างห้อง กลิ่นตัวของฟ่งหอมอ่อนๆ เหมือนเป็นกลิ่นสบู่ผสมเข้ากับยาสระผม รูฟัสไม่เคยนึกพิจารณาเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่าฟ่งเป็นผู้ชายที่ไม่ใส่น้ำหอม แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นตัว เอาเข้าจริงผู้ชายคนนี้ก็มีกลิ่นตัว แถมเป็นกลิ่นที่น่าพึงใจอีกด้วย หนุ่มนัยน์ตาสองสีแทบสำลักอาหารที่เคี้ยวอยู่ นี่เขากำลังคิดอะไรกับคนข้างห้องกันนะ
   ฟ่งทานอาหารอย่างรู้สึกโล่งอก เขากลัวแทบตายว่ารูฟัสจะโกรธเขาจนไม่อยากมองหน้า แต่ดูฝ่ายนั้นจะไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดในยามเมาของเขามากนัก ชายหนุ่มนึกนับถือเพื่อนข้างห้องจากใจจริง ด้วยความคิดนี้หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาจึงหันไปยิ้มกับรูฟัสอย่างไม่ได้ตั้งใจ
   รูฟัสเกือบสำลักออกมาจริงๆ เขาห้ามตัวเองไม่ให้เหลือบมองฟ่งระหว่างที่กินกำลังทานอาหารกันอยู่ กระนั้นสายตาเจ้ากรรมก็ยังเหล่มองทั้งปากทั้งจมูก ทั้งหลังใบหู ทั้งท้ายทอยที่มีเรือนผมสีน้ำตาลปรกอยู่บางๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เขาไม่เคยทำมาก่อน หากรูฟัสอยากใช้สายตาและเล็มใครสักคน เขาจะทำมันอย่างเปิดเผย ไม่ใช่มาเหลือบๆ มองๆ แบบนี้ ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าสมองเขาคงทำงานผิดปกติเข้าทุกที และพอฟ่งหันมายิ้มแบบนั้น ความคิดของรูฟัสถึงขั้นกระเจิดกระเจิง
   เกิดมาเขายังไม่เคยหัวใจเต้นกับรอยยิ้มของใครแบบนี้มาก่อนเลย
   หลังจากตั้งสติได้ รูฟัสเดินตามฟ่งไปด้วยอาการสงสัย เขาเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของฟ่งมาหลายหน แม้ไม่บ่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะน่าประทับใจขนาดที่ทำให้หัวใจเขาแทบกระดอนออกมาได้ แล้วทำไมจู่ๆ วันนี้เขาถึงได้รู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ?
   ฟ่งเอากล่องอาหารใส่ถุงและเอาไปวางไว้ข้างประตู เผื่อตอนออกไปจะได้หิ้วไปทิ้ง เขาเดินกลับมาเพื่อล้างมือ และเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนข้างห้องที่ยืนล้างมืออยู่ก่อน
   “ขอบคุณนะครับ เมื่อคืนผมต้องขอโทษมากจริงๆ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสพูดพลางมองดูใบหน้าสำนึกผิดด้วยความรู้สึกแปลกไปจากทุกวัน ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็ผละไปหยิบน้ำมารินให้เขา
   “คุณใจดีกับผมจัง” ฟ่งพูดและยิ้มอย่างไม่คิดอะไร ขณะยื่นแก้วออกไป เขาหมายความตามที่พูดและรู้สึกแบบนั้นจากใจจริง รูฟัสใจดีกับเขาเสียเหลือเกิน จนเขารู้สึกผิดที่ทำให้ทางนั้นเดือดร้อน รูฟัสก้มรับแก้วน้ำ มองหน้าคนที่ยืนอยู่อย่างชั่งใจ ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าคนข้างห้องของเขาจะดูน่ารักขนาดนี้ เวลายิ้มแล้วยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
   “ฟ่งครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณสักหน่อย” รูฟัสตัดสินใจพูดออกมาหลังจากดื่มน้ำเสร็จแล้ว ฟ่งหันมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองผู้พูดอย่างงุนงง
   “เรื่องอะไรเหรอ?”
   “นั่งก่อนสิครับ” ชายหนุ่มกล่าว และเดินไปนั่งที่โซฟา อีกฝ่ายเลยต้องนั่งตามไปด้วย แต่เหมือนจะจงใจเว้นระยะห่างมากกว่าตอนที่นั่งทานข้าวด้วยกันอยู่ หนุ่มสวมแว่นรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่ารูฟัสเพิ่งนึกจะไล่เบี้ยเรื่องเมื่อคืนกับเขาหรอกนะ
   “อืม....” หนุ่มตาสองสีครางในลำคอ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเริ่มต้นตรงไหน เขาหันไปมองหน้าคนข้างห้อง และพบว่าทางนั้นพยายามหลบสายตาเขาอยู่
   “Я.....”
   ภาษาและการออกเสียงที่แปลกทำให้ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดอีกรอบ และต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของรูฟัสแดงก่ำ เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้หน้าแดงมาก่อน หัวใจของฟ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นขณะทางนั้นขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
   “I….um…..I didn’t know how I can say about this.” รูฟัสเปลี่ยนเป็นภาษาที่อีกฝ่ายฟังง่ายขึ้น เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นว่าอย่างไร ยิ่งถ้าต้องถอดความเป็นภาษาไทยก่อนคงไม่ได้พูดอะไรแน่ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรแบบนี้กับคนอื่น คำพูดแบบที่เขาไม่เคยคิดและรู้สึกอยากจะพูดมาก่อน
   “Um…You know? You made me crazy last night. I have never been feeling like this before.”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสด้วยความตกใจ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
   “ผมขอโทษ ผมรับรองว่าจะไม่ทำอีก”
   สีหน้าสำนึกผิดของฟ่งทำเอารูฟัสต้องยิ้มออกมา ทำไมกันนะ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกเลยว่าคนข้างห้องคนนี้เป็นคนมีเสน่ห์ ในความรู้สึกเขาฟ่งเป็นแค่ผู้ชายอายุยี่สิบกว่าๆ ที่ดูจะมีปัญหาหัวใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าฟ่งนั้นดูน่ารักไปหมด ไม่ว่าจะตอนเดิน ยืน หรือว่านั่ง จะทำอะไรก็ดูน่ามองทั้งนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ช้อนมองทำให้รู้สึกวูบวาบในหัวใจ
   ฟ่งทำให้เขาเป็นบ้าได้จริงๆ
   “ผมไม่โกรธคุณหรอก” รูฟัสกล่าว พยายามจะเค้นสมองให้มากที่สุดเพื่อประดิษฐ์คำพูดต่อเป็นภาษาไทย “ผมหมายถึง คำพูดที่คุณพูดกับผมเมื่อคืนต่างหาก”
“คุณ...คุณไม่ควรจะถือสากับคำพูดของคนเมา” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าเลิกลั่ก เดาไม่ออกว่ารูฟัสคิดยังไงกันแน่ อาจจะโกรธ หรือจะอย่างอื่น ชายหนุ่มตัวชาวาบเมื่อคิดถึงแนวโน้มความเป็นไปได้ เขาขอให้รูฟัสโกรธเขาดีกว่าที่จะให้เป็นอย่างนั้น ฟ่งรีบพูดต่อ
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปหรอกนะ ผมขอโทษคุณแล้วกัน คุณจะโกรธผมก็ได้”
   “Um….” หนุ่มตาสองสีครางในลำคอ พยายามนึกหาคำพูดภาษาไทยที่ฟ่งฟังได้ง่ายๆ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่เขานึกออกคือภาษาบ้านเกิด ที่อย่างมากก็ได้แค่ถอดความออกมาเป็นภาษาอังกฤษอีกที รูฟัสก้มลงมองดวงหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าของฟ่งที่ดูประหม่าร้อนตัวยิ่งทำให้ดูน่ารักหนักเข้าไปอีก แก้มเซียวๆ นั่นดูจะแดงปลั่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
   “I don't quite understand it myself, but I think I love you.”
ฟ่งตัวชาวูบ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม สมองเหมือนถูกระเบิดจนขาวโพลนไปหมด ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัว เมื่อมือเรียวยาวยื่นขึ้นมาแตะใบหน้า หนุ่มสวมแว่นพยายามจะขยับหนี แต่ใบหน้ากลับถูกรั้งเอาไว้ เขาเห็นดวงตาสองสีที่มองตรงมา พร้อมกับรอยยิ้มละมุนบนใบหน้า
   “My heart falling, Can you take it? Pleas….”
ฟ่งอ้าปากพยายามจะพูดอะไรออกไป แต่กลับพบว่าใบหน้าของรูฟัสเลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขามองดวงตาสีแปลกนั้นไม่เห็นอีก ความรู้สึกต่อมาคือริมฝีปากหนาที่ขยับมาแนบกับริมฝีปากของเขา
   ฟ่งขยับตัวหนีทันที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะปล่อย แขนทรงพลังนั้นกลับรั้งตัวเขาเข้ามาแนบอก ข้างหนึ่งช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ ขยับริมฝีปากให้แนบแน่นขึ้น ฟ่งตกใจจนตัวแข็งทื่อขณะที่ปลายลิ้นร้อนล้วงเข้าในในช่องปากของเขาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เหมือนว่าอัดอั้นความต้องการเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะโดนผู้ชายที่เป็นเพื่อนข้างห้องจูบ
   จูบของผู้ชายด้วยกัน!
   ความจริงรูฟัสคิดว่าตัวเองควรจะรอให้ฟ่งพูดอะไรออกมาก่อน เขามาที่นี่เพื่อที่จะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง และฟังคำยืนยันความรู้สึกนั้นจากคนข้างห้อง คำพูดของฟ่งเมื่อคืนทำเอาใจเขาปั่นป่วนมาจนถึงเมื่อครู่ รูฟัสพยายามจะยับยั้งตัวเองอย่างมากตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้ เขาอยากจะจูบฟ่งก่อนหน้านี้ตั้งหลายหน ซึ่งไม่เคยมีคนไหนเลยที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกต้องการมากมายจนเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ ท้ายที่สุด เขาก็รอให้ฟ่งพูดไม่ไหว ริมฝีปากที่คุ้นชินสายตานั้น ยามนี้เพียงแค่เผยออ้าออกนิดหน่อยก็ฉุดสติที่พยายามยับยั้งการกระทำให้หลุดลอยไปไกล รูฟัสห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ยิ่งพบว่าใบหน้าของฟ่งร้อนผ่าวเมื่อถูกปลายนิ้วสัมผัสถูกยิ่งอยากจะสัมผัสให้มากขึ้น เขาแนบริมฝีปากลงไปด้วยอาการแทบจะเรียกได้ว่าหิวกระหาย ไม่น่าแปลกเลยหากอีกฝ่ายจะตกใจจนแสดงอาการขัดขืนอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งเคยถูกผู้ชายด้วยกันจูบรึเปล่า แต่เรียวลิ้นที่พยายามเบี่ยงหนีอยู่นั้นไม่ไร้เดียงสาขนาดพูดได้ว่าเป็นจูบแรก มันคงเกิดจากความตกใจเสียมากกว่า ชายหนุ่มตัดสินใจรุกไล่หนักขึ้น เขากวาดปลายลิ้นไปทั่วโพรงปากนั้นอย่างตื่นเต้น เกี่ยวดึงเรียวลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาขบกัดเบาๆ ร่างบางในอ้อมกอดถึงกับสะดุ้งจนตัวโยน อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ ยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเขาพุ่งสูง
ฟ่งรู้สึกหูอื้อ จูบนี้ของคนข้างห้องต่อให้ไม่คิดอะไรเลยก็คงต้องคิด มันไม่ใช่จูบแบบธรรมดาทั่วไปที่เพื่อนควรจะมีให้กันแน่ๆ ความประสงค์ถูกแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดในการกระทำนี้ หนุ่มสวมแว่นพยายามจะต่อต้านอย่างเต็มที่ เขาไม่คุ้นชินกับการถูกจูบแบบนี้ หนำซ้ำยังเป็นจูบจากผู้ชายด้วยกัน ที่ไม่กระโดดต่อยใส่ก็ถือว่าแปลกมากแล้ว แต่การต่อต้านที่เขาแสดงออกไปช่างปวกเปียกจนน่าหงุดหงิด เขายกสองมือพยายามจะผลักร่างสูงใหญ่นั้นออก แต่ก็ผลักได้ไม่เต็มที่ เพราะเรี่ยวแรงคล้ายถูกชั้นเชิงการจูบที่ชำนิชำนาญดูดดึงไปจนหมด สองมือที่ตอนแรกพยายามจะผลักไส ตอนนี้ทำได้เพียงเกาะไหล่กว้างของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับกลัวตัวเองจะหล่นลงไป การต่อต้านในช่องปากนั้นแทบจะเรียกได้ว่าพ่ายแพ้เต็มรูปแบบ ยิ่งเขาพยายามจะป้องกลับมากเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนกระตุ้นให้ทางนั้นรุกเพิ่มมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนตวัดไล่ไปทั่วโพรงปากของเขา สยบการต่อต้านและสร้างความหฤหรรษ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับจากผู้ชายด้วยกัน ฟ่งครางเสียงหนักในลำคอ ตาพร่าไปหมด ตอนนี้เขาทำได้เพียงประคองสติไม่ให้ขาดหายไปเพราะรสจูบรุนแรงที่อีกฝ่ายกระทำลงมา สองมือบีบลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายแน่นจนปลายนิ้วชาไปหมด ร่างกายร้อนวูบวาบเหมือนมีกระแสน้ำร้อนไหลผ่าน
รูฟัสเปิดโอกาสให้คนข้างห้องได้พักหายใจบ้างนิดหน่อย ใบหน้าสีชมพูระเรื่อกับริมฝีปากที่แดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดยิ่งทำให้ฟ่งดูเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ เสียงหายใจหอบกระเส่าปลุกเร้าอารมณ์ความต้องการที่มีสูงอยู่แล้วให้พุ่งสูงเข้าไปอีก
ฟ่งเงยมองหน้าคนข้างห้องอย่างขอความเมตตา หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก ชายหนุ่มคิดจะใช้สายตาวิงวอนให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำก่อนที่มันจะเลยเถิดออกไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่เขาสบด้วยคือดวงตาสองสีที่ฉ่ำวาวบ่งบอกความปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ความร้อนพุ่งวาบขึ้นมาในร่างกายทันที รูฟัสโน้มหน้าเข้ามาใกล้อีก และประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้งด้วยอาการที่เรียกได้ว่ากระหายเต็มที่ สติของฟ่งหลุดออกจากร่าง เกือบจะไม่รับรู้แล้วว่ากำลังถูกจูบโดยผู้ชายด้วยกัน ชั้นเชิงของรูฟัสดีเยี่ยมจนเขารู้สึกดีไปหมด วงแขนผอมบางเกี่ยวกระหวัดรอบร่างสูงที่โอบกอดตนเองอยู่อย่างลืมตัว ปลายลิ้นที่เคยถอยหนีกลับตอบรับอีกฝ่ายอย่างอดทนทนไม่ได้ รูฟัสบดริมฝีปากและขยี้ปลายลิ้นหนักขึ้นจนได้ยินเสียงครางหนักๆ การตอบสนองของฟ่งยังผลให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้น
นี่ถือเป็นการตอบรับคำขอของเขาด้วยรึเปล่า?
   การถอนริมฝีปากออกกะทันหันทำให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอย่างตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ความจริงตอนแรกรูฟัสตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ถามคำยืนยันจากฟ่งอีกครั้ง แต่พอเห็นแววตาแบบนั้น ความคิดเดิมก็พลันกระเจิดกระเจิงไปอีกหน ชายหนุ่มโน้มหน้าลง ปรนเปรอจูบวาบหวามให้ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างไม่ต้องการจะคิดอะไรให้ยุ่งยากอีก
   ฟ่งร้อนวาบไปทั่วทั้งตัว ฝ่ามือร้อนผ่าวที่เดิมประคองร่างของเขาให้รับการจูบเริ่มขยับไปต่ามส่วนต่างๆ ทั้งแผ่นหลัง เอว ตะโพก โดยมีเพียงแค่ชุดนอนเนื้อบางที่เขาสวมอยู่คั่นกลางเอาไว้ และไม่นานความร้อนผ่าวบนฝ่ามือนั้นก็สัมผัสเข้ากับร่างกายของเขาโดยตรง ฟ่งสะท้านกายเฮือก ความร้อนวูบแผ่ขยายไปตลอดเรือนร่างซึ่งสั่นสะท้านน้อยๆ
   อาการสั่นน้อยๆ เรียกความต้องการให้เพิ่มขึ้นได้อีกมากโข รูฟัสโลมลูบร่างผอมบางนั้นอย่างดุดัน สอดมือทั้งสองข้างผ่านขอบกางเกงลงไปคลึงเค้นตะโพกแน่นที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง เล็บของฟ่งจิกแน่นลงมาอีก ในขณะที่ลำคอส่งเสียงครางหนัก
   การถูกสัมผัสอย่างค่อนข้างจะคุกคามบริเวณนั้นทำให้สติของฟ่งกลับคืนมา เขาพยายามปัดป่ายมือไม้ของอีกฝ่ายที่ขยับไปมาอย่างซุกซนออก เมื่อซอกคอถูกสัมผัสด้วยปลายจมูก ร่างจึงบางพยายามเค้นเสียงที่มีทั้งหมดกล่าวคำพูดออกมา
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:22:33
“อย่า!! อ๊า!!”
   คำร้องห้ามเปลี่ยนแปรเป็นเสียงร้องครางในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อรูฟัสตวัดปลายลิ้นเล็มเลียหลังใบหู และกดร่างของเขาลงบนโซฟา ฟ่งดิ้นขลุกขลักขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้นทาบลงมา มือใหญ่ที่ประโลมลูบร่างผอมบางอย่างหิวกระหาย ทำให้ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่คู่สัมผัสเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่บางสิ่งบางอย่างในร่างกายก็เริ่มแสดงความต้องการออกมาบ้างแล้ว
   ร่างที่แนบสนิทชิดกันทำให้รูฟัสทราบถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบนร่างกายที่นอนหงายอยู่ส่วนแข็งขึงที่เริ่มดุนดันหน้าขาของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ เขาเลื่อนริมฝีปากต่ำลงมา ไล้ผ่านลำคอขาว ขบกระดูกไหปราร้าของอีกฝ่ายเบาๆ ฟ่งผงะร่างอย่างตระหนก ก่อนจะสะดุ้งจนตัวลอยเมื่อยอดอกสีอ่อนถูกดูดดึงเข้าไปในช่องปากร้อนผ่าว
   ปลายลิ้นเปียกชื้นบดเบียดยอดอกอุ่นอย่างยั่วเย้า ตวัดเลียตลอดปลายยอดและขบกัดเบาๆ ดูดดึงจนปุ่มเนื้อที่เคยอ่อนหยุ่นเริ่มแสดงอาการแข็งขืน เสียงครางอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ดังลอดขึ้นมาเป็นระยะ ผิวกายขาวละเอียดบัดนี้กลายเป็นสีชมพูซ่าน
   ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหน้าอกของตัวเองจะเป็นจุดที่ไวสัมผัสมากเหมือนของผู้หญิง ชายหนุ่มจิกเล็บลงบนเบาะโซฟาด้วยความเสียวกระสันขณะที่ปลายยอดสีชมพูถูกทางนั้นใช้ทั้งลิ้นและปลายนิ้วหยอกเย้านวดคลึงจนตั้งชัน ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ยังพอจะหลงเหลือสติว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง เขาจึงพยายามจะส่งเสียงห้ามปรามออกไปอีกครั้ง
   “อย่า..รูฟัส! ผมไม่ใช่ผู้ห.. อ๊า!!!”
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือกจนได้ยินเสียงแผ่นหลังกระแทกกับเบาะ เมื่อกางเกงนอนของเขาถูกมือใหญ่ดึงร่นลงต่ำ ก่อนที่ส่วนอ่อนไหวกลางหว่างขาจะถูกดูดกลืนเข้าไปในโพรงปากร้อนระอุ ชายหนุ่มร้องไม่เป็นภาษา ลืมเลือนสิ่งที่ตัวเองคิดไปจนหมด ริมฝีปากและปลายลิ้นปรนเปรอส่วนนั้นของเขาอย่างเชี่ยวชาญและช่ำชองจนแทบจะเรียกได้ว่าส่งขึ้นสวรรค์ ฟ่งครางเสียงสั่น แอ่นร่างให้อีกฝ่ายอย่างไม่คำนึกถึงศักดิ์ศรี ชั้นเชิงของรูฟัสทำเอาเขาแทบเป็นบ้า เรียวขาอ่อนขาวแบะอ้าออกอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด เพียงเพราะต้องการให้อีกฝ่ายสัมผัสกับส่วนที่แข็งขืนสะดวกขึ้น รูฟัสผละริมฝีปากออก จูบเย้าปลายยอดสีชมพูที่เปรอะไปด้วยเมือกลื่น ก่อนจะก้มลงพรมจูบไปทั่วขาอ่อน เสียงครางอ่อนหวานยิ่งและเรียวขาที่แบะอ้ามากขึ้นทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่ ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความต้องการออกมาให้เห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ไหนเลยจะหักใจเอาไว้ได้อีก รูฟัสก้มใบหน้าลงต่ำ สัมผัสกับช่องทางปิดสนิทด้านหลัง ความตึงแน่นราวกับไม่เคยผ่านการใช้งานนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว หลังจากสร้างความเปียกชื้นให้ส่วนนั้นอยู่พักหนึ่ง ปลายนิ้วเรียวก็ค่อยๆ สอดผ่านช่องทางเร้นลับเข้าไปสำรวจด้านใน
   ร่างบางสะท้านกายเฮือก สัมผัสนี้ดึงสติเขากลับมาได้อีกบางส่วน ฟ่งรับรู้ว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาจะหยุดยั้งเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ร่างบางอ้าปาก พยายามจะกล่าวคำพูดออกไปอีกครั้ง แต่โพรงปากอุ่นร้อนที่จู่ๆ ก็ขยับพรวดเข้ามาห่อหุ้มส่วนอ่อนไหวที่ยังคงผงาดชูชันอยู่กลางลำตัวลงไปและดูดดึงอย่างตะกรุมตะกรามทำเอาคำพูดทั้งหมดหลุดกลับเข้าไปในคอ พร้อมกับสติที่แทบจะถูกกระชากออกจากร่าง ฟ่งหลุดเสียงครางออกมา แอ่นร่างไม่อาจต้านทานกับความต้องการที่ถูกกระตุ้นจนจวนเจียนจะถึงขีดสุด
   รูฟัสถอนริมฝีปากออกแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ของเหลวร้อนผ่าวพุ่งทะลักออกมา ฟ่งหอบหายใจหนัก ทั้งใบหน้าและร่างกายเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลปรือมองร่างสูงที่ขึ้นคร่อมเขาอย่างงุนงง ความรู้สึกสุขสมเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงและสติที่จะต่อต้านการกระทำที่รุกคืบมากขึ้น ประกอบกับอาการเมาค้างที่มีอยู่ก่อน ฟ่งปล่อยให้รูฟัสรั้งตะโพกของเขาสูงขึ้นโดยไม่แสดงอาการขัดขืน จวนจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ร้อนผ่าวซึ่งจ่อประชิดเข้ามาตรงแอ่งเว้า จึงได้สติอีกครั้ง ชายหนุ่มยกมือที่เกือบจะสิ้นเรี่ยวแรงขึ้นผลักไส แต่ก็ถูกรวบกดลงบนโซฟา รูฟัสหอบหายใจถี่หนัก นัยน์ตาสองสีมองดูร่างที่นอนราบอยู่เบื้องล่างด้วยแววตาแสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง มือข้างหนึ่งขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อที่ยังเหลือติดอยู่ไม่กี่เม็ดออก ก่อนจะดึงแว่นตาที่เอียงกระเท่เร่บนใบหน้าแดงซ่านโยนลงไปบนพื้น ก้มลงประโลมจูบริมฝีปากแดงก่ำเบื้องล่างอีกครั้ง พร้อมกับดุนดันส่วนนั้นเข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
   ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่น ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นชัดอยู่แล้ว การเล้าโลมของรูฟัสทำเอาตาพร่าไปหมด แต่พอถูกถอดแว่นตาออกแบบนี้ เรียกได้ว่าแทบจะมองอะไรไม่ออกเลยจริงๆ เขารับรู้ได้เพียงรสสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ กลายเป็นว่าเมื่อถูกจำกัดการรับรู้อยู่เพียงเท่านี้ ห้วงอารมณ์ความต้องการของฟ่งกลับถูกกระตุ้นให้พุ่งสูงขึ้น สัมผัสร้อนเร่าที่อีกฝ่ายมอบลงมาบนเรือนร่างอีกครั้งทำให้เขาแยกขาออกกว้างมากขึ้นอย่างไม่รู้สติ ตอบรับส่วนร้อนผ่าวที่รูฟัสเลื่อนเข้ามาใกล้ ช่องทางหลืบเร้นที่ถูกกระตุ้นจนขยายกว้างออกก่อนหน้านี้ถูกดุนดันอย่างเหลือความอดทนน้อยเต็มที รูฟัสถอนริมฝีปากออก ก้มลงขบกัดยอดอกของร่างที่นอนอยู่อีกรอบ เลื่อนมือทั้งสองข้างของตัวเองลงมาประคองตะโพกตึงแน่นให้จ่อรับกับส่วนแข็งขึงของตนเอง ก่อนจะออกแรงดันอีกครั้ง
   ฟ่งอ้าปากกว้างด้วยความตระหนก เสียงครางหลุดหายเข้าไปในลำคอเมื่อความร้อนผ่าวชำแรกเข้ามาในร่าง ไม่อยากเชื่อว่าปากทางจะถูกนวดคลึงจนขยายกว้างพอจะตอบรับสิ่งใหญ่โตนั้นเข้ามาโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สมควรจะเป็นมากนัก ถึงกระนั้นหยาดน้ำตาก็ยังไหลทะลักออกมาอยู่ดี รูฟัสขยับตัวเข้าๆ ออกๆ อีกหลายครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงครางเสียงต่ำๆ ดื่มด่ำรสชาติของความวาบหวามในความทรมานอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ท้ายที่สุดเมื่อท้องน้อยอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งแตะเข้ากับตะโพกเปียกชื้น การขยับอย่างรุนแรงร้ายกาจจึงเริ่มต้นขึ้น
   ร่างบางหลุดเสียงครางออกมาอย่างไม่อาจยับยั้ง ตะโพกที่ถูกกระแทกกระทั้นด้วยกำลังแรงยังความรู้สึกเสียวซ่านผ่านเข้ามาจนถึงแกนสมอง ตลอดร่างคล้ายถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้น  รูฟัสกระแทกตัวใส่เขาอยู่ในท่านั้นพักใหญ่ ก่อนจะจับร่างอ่อนปวกเปียกพลิกขึ้น ทิ้งตัวลงไปบนโซฟา ประคองฟ่งให้นั่งอยู่บนหน้าขาของตนเอง โดยที่สองส่วนยังคงเชื่อมประสานกันแนบแน่น ร่างบางแทบจะหมดสติ เขาปล่อยให้รูฟัสประคองร่างเอาไว้ด้วยสองมือร้อนผ่าวขณะที่ถูกกระแทกกระทั้นอย่างต่อเนื่องอยู่บนตัก ความรู้สึกวาบหวามประเดประดังเข้ามาจนของเหลวขุ่นคลักไหลทะลักออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ อีกฝ่ายเปิดโอกาสให้เขาได้พักหายใจเพียงครู่เดียวก็ผุดลุกขึ้น ฟ่งตวัดแขนและขาโอบรัดร่างสูงด้วยสัญชาตญาณ ก่อนจะครางเสียงพร่าเมื่อรูฟัสอุ้มเขาเดินไปทั้งแบบนั้น ทุกจังหวะก้าวเดินยังความสุขสมเข้ามาในร่างจนขาสั่นไปหมด
   รูฟัสวางร่างผอมบางลงบนเตียง รั้งเรียวขาขาวทั้งสองข้างขึ้นและขยับตะโพกสานต่อจังหวะเมื่อครู่ในระดับที่ลึกกว่าเดิม ฟ่งครางกระเส่า บิดร่างด้วยความเสียวสะท้านอย่างไม่อาจอดรนทนได้ ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนร้อนผ่าวของรูฟัสเคลื่อนเข้าออกในร่างกายเขาด้วยจังหวะที่เรียกได้ว่ารุนแรงเจียนจะคลั่ง ริมฝีปากหนาพรมจูบลงมาอย่างหลงใหล ขบกัดเรือนร่างที่สั่นไหวด้วยอารมณ์วาบหวาม เสียงหอบหายใจและเสียงครางดังถี่ตามห้วงอารมณ์ที่พุ่งสูง ในยามที่สติพร่าเลือนอย่างเต็มที่ ฟ่งรู้สึกถึงลมหายใจปั่นป่วนของอีกฝ่ายที่ดังอยู่ตรงข้างใบหู กับเสียงกระซิบถ้อยคำอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“Я вас люốлю”
   ความร้อนผ่าวราวกับจะลวกแล่นเข้ามาในร่าง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลือนหายไป
-----------------------------------------------
   ชายหนุ่มผมสีตาลขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะบริเวณตะโพก ฟ่งพลิกตัวและดึงท่อนแขนหนาหนักที่โอบรัดร่างของเขาเอาไว้ออกอย่างรำคาญ ก่อนจะถูกรวบตัวเข้าไปกอดเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีน้ำตาลกะพริบถี่อย่างรู้สติแทบจะในทันที
   ความเจ็บปวดบนร่างกายถูกบดบังด้วยอาการชาวูบ ฟ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาที ระลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะที่รูฟัสยังคงกอดก่ายเขาเอาไว้ พลางแนบริมฝีปากได้รูปเข้ากับแก้มของเขาเบาๆ ชายหนุ่มคลำเปะปะไปบนหัวเตียง พยายามควานหาอะไรบางอย่าง และถูกวงแขนแกร่งรวบร่างลงไปอีกครั้ง ฟ่งหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว รูฟัสโน้มหน้าลงแตะริมฝีปากของตนเองเข้ากับริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนจะหยิบแว่นตาที่วางอยู่บนหัวเตียงมาสวมให้อีกฝ่าย พลางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
   “Доốрое утро“
   ฟ่งมองรูฟัสผ่านเลนส์แว่นด้วยสีหน้าของคนที่พูดอะไรไม่ออก ท่อนบนของรูฟัสเปลือยเปล่า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาเห็นดวงตาสองสีที่มองลงมาอย่างหลงใหล และได้ยินคำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา
   “Hurt?”
   เมื่อเห็นว่าฟ่งไม่กล่าวอะไรนอกจากมองตาค้างอยู่แบบนั้น รูฟัสจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู พลางถอนหายใจ
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้กับคุณมาก่อน แต่คุณทำให้ผม อืม...รู้สึก...เอ่อ...” เว้นระยะไปพักหนึ่งเหมือนกับพยายามจะลำดับคำพูด ในที่สุดอีกฝ่ายก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ”ผมชอบคุณนะฟ่ง ผมรักคุณ”
คำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มตื้นที่เอ่อท้นขึ้นมาจากใจจริง หลังจากคำพูดของฟ่งในคืนก่อน และภายหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน รูฟัสแน่ใจความรู้สึกที่ตัวเองมีอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่เขาน่าจะลืมไปนานแล้ว แต่กลับถูกผู้ชายที่อยู่ในอ้อมแขนดึงกลับออกมาอย่างช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว และในตอนนี้เขาก็พร้อมที่จะมอบมันให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ อีก
ฟ่งรู้สึกเย็นวาบตลอดปลายมือปลายเท้า เหมือนถูกโยนลงไปในทุ่งน้ำแข็ง อาการชาที่มีมาแต่เมื่อครู่ยิ่งดูจะรุนแรงขึ้น สมองของเขาหมุนคว้าง ตาพร่า ลมหายใจติดขัดขึ้นมาในทันที รูฟัสยังมีรอยยิ้มอ่อนหวาน เหมือนโลกทั้งโลกสว่างสดใสไปหมด เขาพูดต่อโดยไม่ได้สนใจอาการที่ผิดแปลกไปของผู้ที่อยู่ในอ้อมแขน
“ตอบรับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากฟังจากปากคุณ”
หน้าของฟ่งที่ปกติซีดเซียวอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งซีดหนักกว่าเก่า ลมหายใจขาดห้วงเป็นระยะ ชายหนุ่มใช้เวลาขยับปากอยู่นาน กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้
“ออกไป..”
คำพูดแม้ไม่ดังมาก แต่เนื้อหารุนแรงพอจะทำให้สีหน้าของรูฟัสแปรเปลี่ยน เขามองดูร่างผอมบางในอ้อมแขนอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งก้มหน้านิ่ง ตลอดร่างเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
“ออกไป” ฟ่งพูดอีกครั้ง และรู้สึกถึงมือของรูฟัสที่ขยับเข้ามาจับใบหน้าของเขาไว้
“ฟ่ง?!” ชายหนุ่มตาสองสีพูดค้างเมื่อเห็นหยดน้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาคู่งาม ฟ่งเม้มปากแน่น สะกดกลั้นทำนบน้ำบนดวงตาไม่ให้ปริแตกออก เค้นเสียงออกไปอย่างยากลำบาก
“ออกไป!” หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาอย่างไม่อาจห้ามได้อีก เขาปัดมือของอีกฝ่ายออก กระชากเสียงจนแทบจะตะโกน
“ไปให้พ้น!!”
รูฟัสรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเอามีดแทงทะลุหน้าอก ทั้งงุนงงทั้งเจ็บปวด ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าและออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ฟ่งก็ร้องไห้ออกมา
--------------------------
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกลับมาถึงห้องพักด้วยสภาพจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เขาได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากห้องข้างๆ หัวใจของรูฟัสปวดแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
   ทำไมกัน เขาทำอะไรพลาดตรงไหน?
   ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาอาจจะรีบร้อนไปหน่อยที่ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายพูดจาแสดงความรู้สึกออกมาก่อนที่จะทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่ตอนนั้นฟ่งดูยั่วยวนจนเขาห้ามใจไม่อยู่ แล้วอีกอย่างระหว่างทำก็เหมือนอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือเต็มที่ ดูจะพอใจอยู่มากด้วยซ้ำ เขายังจำได้ดีถึงเสียงครางที่บ่งบอกถึงความสุขสมอย่างเต็มที่ รวมถึงวงแขนที่โอบรัดร่างเขาเอาไว้ในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าไม่พอใจจริงๆ ใครมันจะโอนอ่อนขนาดนี้กันล่ะ แต่ท่าทีของฟ่งตอนที่ไล่เขาออกมาทำเอารูฟัสนึกเข้าข้างตัวเองต่อไม่ออก
   หรือว่าฟ่งเข้าใจผิดว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะความอยากเฉยๆ
   เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนก่อนฟ่งแสดงอาการเหมือนจะหึงเขาที่ทำท่าทางเหมือนจีบเมี่ยง รูฟัสรู้สึกพลาดถนัด เพราะเขาไม่ได้คิดแบบนั้นกับเมี่ยงจริงๆ จึงลืมไปเลยว่าฟ่งอาจจะยังคงรู้สึกค้างคาเรื่องนั้นอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงยาว
   สิ่งที่รูฟัสรู้สึกกับฟ่งก่อนหน้านี้คือ อยากจะช่วยให้ผู้ชายคนนี้มีรอยยิ้มสดใส ผ่านเวลาร้ายๆ ในชีวิตไปได้อย่างมีใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน แต่เขากลับทำให้ฟ่งต้องร้องไห้อีกครั้ง
   น้ำตานั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฟ่งคงไม่ต้องหลั่งมันออกมา
   รูฟัสไม่แน่ใจแล้วว่าเขาควรจะอธิบายเรื่องนี้กับคนข้างห้องยังไง การเดินไปเคาะประตูห้องฟ่งอีกครั้งในตอนนี้รังแต่เขาจะถูกไล่กลับออกมาอีกเท่านั้น ฟังจากเสียงสะอื้นที่ดังให้ได้ยินแผ่วๆ นั้นแล้วยิ่งทำให้หัวใจของรูฟัสปวดแปลบ เขาไม่อยากสูญเสียคนข้างห้องไปในสภาพแบบนี้ สภาพที่ยังไม่ได้พูดจาทำความเข้าใจอะไรกันเลย
   ไม่อยากสูญเสียความรักไปอีกแล้ว
ความรู้สึกปวดมวนแล่นสูงขึ้นมาจากกระเพาะอาหาร รูฟัสเดินไปที่ห้องน้ำ สำรอกเมือกเหลวสีเขียวออกมาก้อนใหญ่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า นานมากแล้วจริงๆ ที่เขาไม่มีอาการทางร่างกายแบบนี้ เหมือนฟ่งดึงทั้งความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกเลวร้ายที่เขาลืมไปแล้วทั้งสองอย่างกลับมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกันจนน่าตกใจ รูฟัสเดินไปหยิบน้ำออกมาจากตู้เย็น ดื่มมันเข้าไปอึกสองอึก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบ เขาตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ารสชาติขมเฝื่อนของน้ำย่อยที่ถูกขย้อนออกมากับความรู้สึกที่กำลังเกาะกินในจิตใจอะไรแย่กว่ากัน
----------------------------------------------
   ทั้งอาการเมาค้างและการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้ศีรษะของฟ่งยังคงหนักอึ้ง ชายหนุ่มร้องไห้จนหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาความรู้สึกหดหู่ก็เข้าครอบงำหัวใจของเขาทันที หยาดน้ำตาอุ่นไหลหยดลงบนหมอนหนุนที่เขาดึงขึ้นมากอดเอาไว้ สำหรับเขา รูฟัสคือเพื่อนคนเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ ผู้ชายคนนั้นใจดีกับเขา คอยปลอบโยนห่างๆ เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากในช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอทางจิตใจ แต่แล้ว.....
   ใบหน้าเซียวซุกลงไปบนหมอน หลับนัยน์ตาลง เขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้รูฟัสพูดกับเขาแบบนั้น อาจจะเพราะฝ่ายนั้นอยากขอโทษเขาในเรื่องเมื่อคืนวาน ถ้าอย่างนั้นรูฟัสแปลเจตนาในคำพูดนั้นของเขาไปในแนวทางไหนกันล่ะ? ฟ่งไม่อยากจะคิด ในคลับของเมี่ยง รูฟัสเหมือนกลายเป็นผู้ชายที่ดูเจ้าชู้ต่างจากคนที่เขารู้จัก นี่อาจจะเป็นนิสัยจริงๆ ของผู้ชายคนนั้นก็ได้ คงเคยผ่านมาทั้งผู้ชายและผู้หญิง ฟ่งขบริมฝีปากอย่างปวดร้าว แม้จะรู้อย่างนั้น แต่ความรู้สึกที่ตกค้างมาจากเมื่อคืนยังหลงเหลืออยู่บนร่างกายเขา ความอบอุ่น น้ำเสียง และคำพูดหวานหูนั้นเหมือนความฝัน ฟ่งรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ
   สุดท้ายเขาก็สูญเสียเพื่อนคนเดียวที่เขามีในตอนนี้ไปเพราะความอ่อนไหวชั่ววูบของตัวเอง
   ฟ่งปล่อยให้หยดน้ำตารินไหล ในความเงียบงัน เหมือนได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจเต้น สภาพเตียงยังคงยุ่งเหยิง ผ้าปูที่นอนยับย่นและกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตอกย้ำให้หวนคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น เดินอย่างเลื่อนลอยไปยังห้องน้ำ
   ฟ่งยังคงสวมเสื้อนอนตัวเดิม เขาใส่มันหลังจากรูฟัสออกไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังค่อยๆ เปลื้องมันออก รอยจ้ำสีชมพูจำนวนมากบนร่างกายปรากฏให้เห็นในเงาสะท้อนของกระจก อาการชาวูบแล่นจากไขสันหลังไล่ไปตามปลายมือปลายเท้า สัมผัสลึกซึ้งที่อีกฝ่ายมอบให้เมื่อคืนคล้ายแจ่มชัดขึ้นมาในจินตนาการ ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าออกจากกระจก ก้าวเท้าอย่างเร่งร้อนไปยังอ่างอาบน้ำ และรู้สึกชาวูบอีกครั้ง เมื่อของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากช่องเปิดที่ถูกบุกรุก ฟ่งยกมือขึ้นปิดหน้า น้ำตาแทบจะไหลออกมา เขาเปิดฝักบัวด้วยอาการร้อนรน สายน้ำเย็นช่วยชำระล้างคราบอารมณ์บางส่วนบนร่างกายออกไป แต่ใจหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังของความรู้สึก
----------------------------------------------
เสียงหัวเราะครืนจากรายการตลกยามค่ำคืนทางโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดรายการหนึ่ง  ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ที่นั่งดูอยู่เลยแม้แต่น้อย แววตาสีน้ำตาลใต้แว่นนั้นดูเลื่อนลอย ฟ่งกอดหมอนคู้ตัวอยู่บนโซฟา ยังคงรู้สึกตึงๆ หลงเหลืออยู่ตรงสะโพก เสียงใครบางคนเดินผ่านหน้าประตูห้องทำให้เขาขยับตัวอย่างตื่นเต้น ก่อนจะดูหงอยไปถนัดเมื่อเสียงนั้นทอดยาวออกไป ไม่มีเสียงเคาะประตูอย่างที่เคยเป็นเช่นทุกวัน
เหมือนเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หากเขาไม่ลงไปเอง รูฟัสก็มักจะมาเคาะประตูและชวนเขาออกไปทานอาหารด้วยกันเกือบตลอด แม้เรื่องราวจะเลยเถิดมาจนถึงจุดนี้ เขายังกลับหวังให้ทางนั้นกลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่
   ฟ่งหัวเราะสมเพสความคิดตัวเอง มันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร ในเมื่อความรู้สึกดีๆ ทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว ใบหน้านั้นซุกลงกับหมอนโดยไม่ยอมถอดแว่น เขายังไม่อยากไปที่เตียง เพราะกลิ่นอายแห่งค่ำคืนก่อนยังคงตกค้างอยู่ แต่การนั่งบนโซฟาก็ใช่ว่าจะทำให้ลืมไปได้ เพียงแต่หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยสายตานั้นมีน้อยมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนเตียงนอน ฟ่งหรี่นัยน์ตา พยายามตั้งสมาธิกับรายการรอบดึกบนโทรทัศน์
   ร่างสูงค่อยๆ เดินมาทางด้านข้าง ทรุดตัวลงนั่งใกล้ หลังมือใหญ่สัมผัสกับพวงแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน ฟ่งแนบใบหน้าเข้ากับหลังมือนั้น ก่อนจะเบือนสายตาขึ้นมอง
   รูฟัส!
   เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือที่กระแทกกับเคาน์เตอร์ไม้ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากภวังค์   เขาแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่
   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มพยายามทำเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด บางทีอาจจะเป็นลูกค้าที่มาติดต่อใหม่ เพราะเป็นเบอร์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
   “สายคุณอภิวัฒน์ครับ”
   “พูดอยู่ครับ” ฟ่งตอบ ท่าทางจะเป็นลูกค้าใหม่ เพราะเสียงแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ เหมือนจะเป็นเสียงของผู้ชายอายุราวๆ สักสามสิบขึ้น เสียงนั้นแม้สุภาพแต่แฝงความดุดันเอาไว้อย่างงำไม่อยู่
   “ผมมีงานอยากจะให้คุณช่วยออกแบบน่ะครับ” ทางนั้นกล่าว ฟ่งขมวดคิ้วทันที โดยปกติถ้าเป็นลูกค้าใหม่ก็ควรจะแนะนำตัวเองก่อน อย่างน้อยควรบอกให้เขารู้ว่าใครเป็นคนแนะนำ ไม่ใช่จู่ๆ ก็มาพูดจาห้วนๆ แบบนี้
   “ขอทราบชื่อกับรายละเอียดงานด้วยครับ” ฟ่งพูดสวนไป พยายามรักษาความสุภาพในน้ำเสียง ทางนั้นร้องเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “อ้อ ครับ เรียกผมว่ารัตน์ก็ได้ ผมอยากให้คุณช่วยออกแบบห้องให้ผมสักหน่อย”
   “เป็นห้องแบบไหนล่ะครับ?” ฟ่งถาม เตรียมกระดาษกับดินสอมาเพื่อจดรายละเอียด พลางนึกทบทวนว่าเขาเคยเจอใครที่ชื่อรัตน์และเป็นผู้ชายวัยกลางคนบ้างรึเปล่า ทำไมทางนั้นถึงพูดราวกับว่ารู้จักเขาดิบดี
   “อธิบายยากอยู่น่ะครับ คุณว่างช่วงไหนครับ ผมอยากคุยโดยตรง”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดที่ดูไม่ค่อยจะเกรงใจของคู่สนทนา แม้จะอายุห่างกันมาก แต่ในฐานะคนทำงาน ฟ่งต้องการการเคารพในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มกล่าวตอบด้วยเสียงห้วนขึ้น “ผมต้องทราบรายละเอียดมากกว่านี้ก่อนจะนัดเจอนะครับ”
   ฝ่ายนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนคิดทบทวนว่าควรจะพูดต่อหรือวางสายดี ฟ่งถือสายรออย่างอดทน เกือบเดือนที่ผ่านมา เขาเพิ่งได้งานมาแค่หนึ่งชิ้น หากได้งานเพิ่ม ย่อมต้องดีกับชีวิตการเป็นอยู่ของเขา และที่สำคัญ เขาจะได้หยุดคิดเรื่องคนข้างห้องเสียที
   “เป็นงานออกแบบห้องนอนครับ” ฝ่ายนั้นตอบกลับมาในที่สุด ฟ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น เขานิ่งไปบ้าง
   “ผมไม่ถนัดออกแบบห้องนอน ทำไมคุณไม่ไปจ้างคนอื่นล่ะครับ” 
   ปลายสายเงียบไปอีก คงคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดแบบนี้
   “ผมไม่รับงานจากลูกค้าที่พูดจาไม่เคลียร์นะครับ” ฟ่งพูดต่อ และคิดว่ากำลังจะวางหู เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงหัวเราะลอดออกมา
   “โอเค จะอย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้บ่ายสามผมจะไปหาคุณ ทำตัวให้ว่างไว้นะ”
   ทางนั้นกล่าว และชิงวางสายไปก่อน ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างขัดเคือง บางทีเขาอาจจะเจอโทรศัพท์โรคจิต ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มล้มตัวลงบนโซฟา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาเหมือนกดเทป ทำให้หยดน้ำเปรอะขนตาอีกครั้ง เขาถอดแว่นออก มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา
   เรามันบ้า!!!
----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:23:02
   รูฟัสวางขวดยาสีขาวลงบนโต๊ะข้างตัว ความเจ็บปวดในช่องท้องทำให้ใบหน้าของเขาซีดกว่าปกติ ชายหนุ่มเอนหลังพิงโซฟา หลับตาลงพยายามข่มใจหยุดคิดเรื่องที่ทำให้กระเพาะปั่นป่วน
   ทำไมเขาถึงไม่หักห้ามใจให้มากกว่านี้...
   ภาพนัยน์ตาสีน้ำตาลย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง แววตาแฝงความเศร้าที่มองมายังเขาอย่างงุนงง ขัดเขิน เอียงอาย รูฟัสนึกไม่ออกว่าในสภาพแบบนั้นเขาจะห้ามตัวเองได้อย่างไร เขาคงคิดหาเหตุผลจะอธิบายให้ฟ่งฟังได้เกี่ยวกับเรื่องเมี่ยง หวังเพียงแต่ตัวเขาเองจะไม่ตีความคำพูดและการกระทำของฟ่งในคืนนั้นผิด
   เพียงหวังว่าฟ่งจะมีความรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา
-------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหลังที่แย่กว่าเมื่อวาน ไม่รู้ว่าเพราะนอนบนโซฟาหรือเพราะการถูกโหมใช้งานแบบไม่เคยเป็นมาก่อนกันแน่ ชายหนุ่มหยิบแว่นขึ้นมาใส่ เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่มือยังกดบริเวณบั้นเอวอยู่  หลังเสร็จธุระ เขาเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ หยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมากดเบอร์ เขาควรจะจัดการกับเตียงนอนแทนที่จะมานอนบนโซฟาแบบนี้ ฟ่งแจ้งให้ทางคอนโดส่งแม่บ้านขึ้นมารับผ้าปูที่นอนไปทำความสะอาด ก่อนจะโทรไปสั่งอาหารจานด่วน แบบส่งให้ถึงห้อง เพราะเขาไม่ต้องการจะออกไปเผชิญหน้ากับคนข้างห้องในตอนนี้
   ไม่รู้ว่ารูฟัสคิดกับเขายังไง แต่ที่แน่ๆ ตัวเขาคงไม่อาจกลับไปรู้สึกเหมือนเก่าได้อีกแล้ว
--------------------
   รูฟัสยังคงนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้เหมือนเช่นทุกวัน หนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศสองฉบับที่แขวนอยู่ตรงชั้นวางถูกอ่านจนแทบจะไม่เหลืออะไรไว้ให้อ่านอีก เขานั่งอยู่ตรงนั้นมากว่าสองชั่วโมงแล้ว และดูตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคนเดินลงมาจากชั้นบน
   แต่สุดท้ายคนที่เขารอก็ไม่ลงมา
   รูฟัสไม่กล้าจะเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ ด้วยกลัวว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่าย เขาควรปล่อยให้ฟ่งสงบสติอารมณ์สักพัก ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หายโกรธ ไม่ก็อาจจะยังไม่สะดวกออกไปไหนมาไหน เขาตัดสินใจผุดลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอกอย่างเศร้าๆ สวนทางกับพนักงานส่งพิซซ่าที่เดินเข้ามา
--------------------
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พิซซ่ามาก่อนแม่บ้าน เขาจ่ายเงินให้กับพนักงานก่อนจะเอากล่องไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ ชายหนุ่มหยิบพิซซ่าออกมากินได้สองคำก็รู้สึกเบื่อ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ย้ายมาที่เขาต้องทานอาหารคนเดียว ความรู้สึกหดหู่เริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจ
   หรือจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเฉยๆ?
   ความคิดนี้ถูกปฏิเสธแทบจะทันที ใครมันจะเฉยๆ กับเรื่องแบบนี้ได้กันล่ะ แถมเขายังเป็นฝ่ายถูกกระทำอีก แค่คิดว่าต้องเงยหน้ามองผู้ชายที่ปลุกปล้ำเขาในห้องก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น...ทำไมเขาถึงได้......
   เสียงเคาะประตูหยุดความคิดฟุ้งซ่าน ฟ่งเดินไปเปิดประตู แม่บ้านหญิงวัยกลางคนหอบผ้าปูที่นอนชุดใหม่เข้ามา เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาท่ามกลางกองหมอน  ไม่นานนักเธอก็หอบผ้าปูชุดเก่าออกมา ฟ่งตัดสินใจยกพิซซ่าให้ทั้งกล่องเป็นของแถมไปด้วย เขาไม่รู้สึกอยากทานมันอีก
   ชายหนุ่มล้มตัวลงบนที่นอนที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูใหม่ด้วยความรู้สึกอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่นอนเพียงอย่างเดียว ร่างบางดีดตัวขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่ซ้อนกันอยู่ตรงชั้นวางใส่เครื่องเล่น ด้วยหวังว่ามันคงจะบรรเทาอารมณ์หดหู่ที่เกิดขึ้นได้บ้าง
-----------------------------------
   รูฟัสไม่ได้กลับเข้าคอนโดทันทีที่ทานอาหารเสร็จ เขาแวะร้านยาใกล้ๆ เพื่อซื้อยาเคลือบกระเพาะแบบเม็ด ก่อนจะเดินไปตามฟุตบาทไปจนถึงย่านธุรกิจที่รายล้อมด้วยห้างขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
   ชายหนุ่มเอาใบปลิวที่เขาเผลอรับมาตลอดทางใส่เข้าไปในถังขยะ เสียงโห่ร้องดังแว่วมาดึงความสนใจ เขาเดินไปยังส่วนที่เรียกว่าเกมเซนเตอร์ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี กำลังเล่นเกมที่ใช้ปืนอินฟราเรด เป็นอุปกรณ์ด้วยท่าทีราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ท่ามกลางกลุ่มผู้คนที่แวะมาหยุดดู รูฟัสอมยิ้ม ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานกับเกมที่เขาเล่นไปด้วย
   เสียงปรบมือด้วยความประทับใจดังขึ้นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตกด้วยปืนบาซูกา ในท่วงท่าลีลาที่ดูสมจริงสมจัง ก่อนที่เกมจะจบลง ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง รูฟัสนึกถึงราฟาแอล ถ้าผู้ชายคนนั้นมาด้วยบางทีเขาอาจจะต้องโดนลากให้ไปเล่นเกมพวกนี้ก็ได้  ชายหนุ่มถอนหายใจเดินกลับไปทางโซนที่เป็นโรงภาพยนตร์ หลังจากยืนดูตารางฉายอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อตั๋วภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่มีนักแสดงนำหน้าตาค่อนข้างแปลกพอดู ท่าทางเหมือนจะเป็นภาพยนตร์แนวแอคชั่น
----------------------------------------------------------------
   เรื่องราวในภาพยนตร์ดำเนินมาจนใกล้ถึงบทสรุป ภาพตัวละครเอกทรุดนั่งลงบนพื้นหิมะสีขาวโพลน ถูกขัดจังหวะโดยเสียงโทรศัพท์ภายใน ฟ่งกดหยุดชั่วคราว ก่อนจะเดินไปรับสาย
   “สวัสดีค่ะ คุณอภิวัฒน์ คุณรัตน์รอพบคุณที่ล็อบบี้ค่ะ”
   ฟ่งนิ่งนึกชื่อของผู้ที่มาพบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปอย่างงงๆ   “เอ่อ ครับ เดี๋ยวผมจะลงไปนะครับ”
   ชายหนุ่มเดินไปกดหยุดก่อนจะดีดแผ่นดีวีดีออกมาเก็บใส่กล่องไว้เหมือนเดิม เขาหยิบเสื้อเชิ้ตสีครีมจากตู้ออกมาเปลี่ยน พลางนึกสงสัยในใจ
-----------------------------------
   ผู้ที่มารอพบเป็นชายวัยกลางคนผิวสองสีติดไปทางคล้ำ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าเสิร์จสีน้ำเงินเข้ม ตัดผมสั้นเรียบร้อย ใบหน้ารูปเหลี่ยมเห็นสันกรามนูนออกมาเล็กน้อย ที่ดูจะเด่นสะดุดตาคงเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้ตาขวา เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นฟ่งเดินเข้ามา
   “เอ่อ คุณอภิวัฒน์ใช่ไหมครับ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ “สวัสดีครับ”
ฝ่ายนั้นยกมือไหว้ตอบก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่ง
   “ผม รัตน์ ที่โทรมาเมื่อคืน คงจำได้นะครับ”
   “ครับ” ชายหนุ่มนั่งลงโซฟาขนาดสามที่นั่งที่วางอยู่ตรงข้าม คั่นกลางด้วยโต๊ะกระจกใสที่ด้านล่างเป็นตู้ปลาสวยงาม เขามองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าไม่วางใจ ชายวัยกลางคนยิ้มเหมือนรู้ทัน
   “ผมมีธุระสำคัญและเป็นความลับมาก ถ้ายังไงเราไปคุยกันที่อื่นที่สะดวกกว่านี้ดีไหมครับ”
   “คุยที่นี่แหละครับ” ฟ่งยืนยัน รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจากสีหน้าของอีกฝ่าย
   “งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
   ชายฉกรรจ์สองคนในชุดเสื้อคอโปโลสีขาวและสีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามา ก่อนจะนั่งลงขนาบข้าง ความเย็นเยียบจากปากกระบอกโลหะของอาวุธที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดถูกส่งผ่านสีข้างขึ้นมาถึงสมอง
   “จะไปกันได้หรือยังครับ” ฝ่ายโน้นถาม กวาดตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม และยิ้มอย่างผู้ชนะ
   “ผมจะคุยที่นี่ครับ” ฟ่งพูดยิ้มตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องกลับอย่างไม่หวั่นไหว ชายกลางคนที่อ้างตัวว่าชื่อรัตน์ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้น
   “ไม่เอาน่า คุณไม่ใช่คนโง่นี่นา”
   “ครับ ผมไม่โง่” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้ายังคงยิ้มอยู่ “คุณเป็นลูกค้าที่ผมไม่ได้นัด ที่สำคัญคุณยังไม่บอกรายละเอียดงานเลย การที่ผมลงมานั่งคุยด้วยแบบนี้ถือว่าเกินมามากแล้วนะครับ”
   กระบอกปืนถูกขยับเข้ามาอีกอย่างคุกคาม แต่สีหน้าของฟ่งยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายโดยไม่หลบเลี่ยง ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะถอนหายใจ
   “ยอด ยอดมาก นอกจากคุณจะดูเด็กกว่าที่ผมคิดแล้วยังมีลูกบ้าอีกด้วย” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “แต่อย่าคิดว่าแค่ลูกบ้าจะต่อรองกับผมได้นะ”
   ฟ่งหัวเราะ เขาหัวเราะอยู่นานจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
   “ขำอะไร?”
   ชายหนุ่มยกมือห้าม พยายามหยุดหัวเราะ “ขอโทษนะครับ บางทีผมก็มารยาทไม่ดี แต่ว่าคุณเองมีอะไรมาต่อรองกับผมหรือครับ?”
   อีกฝ่ายชะงัก นักออกแบบหนุ่มขยับแว่น
   “ถ้าคุณอยากจะจ้างผมจริงๆ เราน่าจะคุยกันดีๆ ดีกว่าไหมครับ? คุณคงรู้ใช่ไหมว่าคนตายทำงานไม่ได้”
   “ครับผมรู้ คุณคงไม่อยากเป็นคนตาย”
   “อ้อ..ครับ แต่รู้ไว้อีกอย่างนะครับ ผมพอใจจะรับงานจากคนที่พูดดีๆ มากกว่าคนที่พูดไม่รู้เรื่อง ตกลงคุณอยากจะจ้างผม หรืออยากจะเก็บผมกันแน่ล่ะ?
   รันต์นิ่งไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณ ปืนทั้งสองกระบอกเลื่อนออกจากสีข้างของคู่สนทนา ฟ่งพูดต่อ
   “ขอบคุณครับ แล้วก็...ช่วยเอาคนของคุณออกไปด้วย ผมไม่ชอบให้คนไม่รู้จักมานั่งใกล้ๆ หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”
   ชายฉกรรจ์สองคนขยับตัว มีทีท่าเหมือนกำลังจะทำอะไรซักอย่าง แต่ชายวัยกลางคนกลับพยักหน้าง่ายๆ “ตกลง”
   แม้จะมีทีท่าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ทั้งสองคนก็ยอมลุกไปนั่งโซฟาที่นั่งเดียวที่อยู่ตรงหัวโต๊ะทั้งสองข้าง ฟ่งถือโอกาสแอบสังเกต
   ชายที่นั่งอยู่ขวามือมีผิวสีคล้ำ ผมหยิก ท่าทางเหมือนคนทางใต้ นัยน์ตาดุดัน ส่วนอีกคนที่สวมเสื้อสีน้ำตาลเป็นหนุ่มผิวขาวแบบคนจีน ผมหยักศก ยาวประบ่า หน้าตาสวยคล้ายผู้หญิง อายุคงพอๆกับเขา นัยน์ตาเป็นประกายเย็นเย็บคู่นั้นจับจ้องมา ฟ่งรู้สึกแปลกใจระคนโล่งใจเล็กน้อย ดีที่หัวหน้ามีสมอง ไม่งั้นท่าทางเขาจะแย่เสียเอง
   “พอใจหรือยัง?”   ชายวัยกลางคนถาม ฟ่งเอนหลังพิงโซฟา ไขว่ห้าง เอามือวางบนหน้าตัก
   “อันนั้นต้องถามคุณล่ะครับ ว่าต้องการอะไร”
   ผู้อ้างตัวว่าชื่อรัตน์ถอนหายใจ “ผมต้องการให้คุณออกแบบห้องให้ห้องหนึ่ง เป็นห้องนิรภัย แบบหนาแน่นที่สุด”
   “ก็ธรรมดานี่ครับ ทำไมถึงลำบากมาจ้างผม มีคนอื่นที่มีประสบการณ์เยอะแยะกับการออกแบบห้องอย่างนั้น” ฟ่งพูด แต่ในความรู้สึกแปลกใจ เขากลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง คนถูกถามคลี่ยิ้มที่ดูจะคุกคามมากกว่าปลอบใจ ก่อนจะพูดต่อ
   “ห้องนิรภัยที่ผมพูดถึงนี่ คงมีคุณคนเดียวเท่านั้นแหละครับที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ ผมเคยเห็นงานเก่าๆ ของคุณแล้ว นักออกแบบที่มีความคิดพิสดารแบบนี้หาไม่ง่ายในเมืองไทยเลยนะครับ”
   ฟ่งพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงสีหน้าอะไรออกไปมากนัก เขายอมรับว่าเคยออกแบบอะไรแปลกๆ เอาไว้ และโพสมันลงในอินเตอร์เน็ตอย่างไม่คิดอะไร ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีใครสนใจงานแบบนั้นของเขาด้วย แถมยังเป็นคนที่ดูไม่น่าไว้ใจอีก
   “ผมจำไม่ได้ว่าคุณไปเอาเรื่องมาจากไหนนะครับ เท่าที่รู้ ผมไม่เคยประกาศตัวในเรื่องแบบนี้ อีกอย่างคุณจะทำห้องแปลกๆ ไปทำไม จะจัดโชว์ของแปลกหรือครับ?”
   “เอาล่ะ” ฝ่ายตรงข้ามทำท่าเหมือนจะหมดความอดทน “พวกผมได้เห็นงานออกแบบทุกอย่างของคุณแล้ว เอาว่า เราสืบข้อมูลของคุณมามากกว่าที่คุณคิด และลงความเห็นกันว่าคุณเหมาะสมที่จะทำงานนี้มากที่สุด สำหรับเรื่องราคา เรายอมจ่ายเท่าที่คุณเรียกร้อง”
   “ก็คงมากจริงๆ ล่ะครับ” ฟ่งพูด เขาจำได้ว่าตั้งแต่ย้ายออกจากที่เก่า ยังไม่เคยปริปากบอกใครเลยว่าย้ายมาอยู่ที่นี่ คนพวกนี้ทำยังไงถึงได้รู้ที่อยู่เขานะ เขามองหน้าคู่สนทนาที่มีแผลเป็นใต้ตาและประเมินสถานการณ์ของตัวเองเงียบๆ
   “คุณแน่ใจได้ยังไงว่าผมจะทำงานนี้ได้”
   นักออกแบบเปลี่ยนทีท่ามานั่งหลังตรง ก้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ชายหนุ่มทราบว่าเขาต้องตัดสินใจแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคงไม่ใช่คนที่ทำอาชีพปกติธรรมดาแน่ๆ คนธรรมดาไม่มีใครเขาเปิดการเจรจาด้วยปากกระบอกปืนกันหรอก ฟ่งพยายามหาช่องทางที่จะเอาตัวรอดจากปัญหานี้ แม้จะเห็นว่ามันดูเหลือน้อยเต็มที
   “เพราะคุณเป็นคนเดียวที่สามารถจะออกแบบห้องที่แม้แต่เทวดาก็ไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้น่ะสิ” รัตน์กล่าว และยิ้มกว้าง ฟ่งฝืนหัวเราะออกมา ช่องทางน้อยนิดเหมือนถูกหินถล่มปิดไปในบัดดล
   “ผมเป็นคนนะครับ จะไปสู้รบปรบมือกับเทวดาได้ไง แต่ถ้าเป็นคนด้วยกันล่ะก็พอไหวอยู่”
   นัยน์ตาของอีกฝ่ายเป็นประกายทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
   “เป็นอันว่าตกลง?”
   ชายหนุ่มนิ่งคิดไปอีกพักหนึ่ง คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คงเป็นผู้มีอิทธิพลอะไรซักอย่าง และดูเหมือนว่างานออกแบบนี้จะมีความสำคัญมากทีเดียว ถ้าหากปฏิเสธออกไป โอกาสที่จะถูกฆ่าปิดปากมีสูงเพราะเขาทราบถึงรายละเอียดบางอย่างแล้ว  ถ้ารับงาน เขายังมีโอกาสต่อรองอยู่
   “ครับ”
   แววตายินดีฉายอยู่ในแววตาที่กร้านโลกนั้นอย่างเห็นได้ชัด
   “ไม่ทราบว่าเริ่มงานอย่างเร็วที่สุดได้เมื่อไรครับ”
ฟ่งยิ้มอีกครั้ง “อีกสักสองอาทิตย์ครับ พอดีผมมีงานอื่นค้างอยู่”
   “แล้วผมจะติดต่อมาอีกที” ชายวัยกลางคนพูด ทำท่าจะลุกขึ้น ชายหนุ่มรีบโบกมือ
   “ไม่ครับ ผมจะติดต่อกลับไปเอง สะดวกบอกเบอร์รึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามชะงักไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็พยักหน้า “ใช้เบอร์ที่โทรมาเมื่อคืนก็ได้ ขอบคุณที่ยอมรับงานนะครับ คุณอภิวัฒน์”
   รัตน์ยิ้มอย่างผู้มีชัย ฟ่งยิ้มตอบ มองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
   “ครับ หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
   “เช่นกัน หวังว่าคงเป็นเรื่องไว้เป็นความลับนะ แต่คนอย่างคุณไม่ต้องอธิบายก็คงพอเข้าใจ”
   สายตาแข็งกร้าวนั้นมองเข้ามาราวกับจะเจาะทะลุเข้าไปในจิตใจ ฟ่งไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่หัวเราะในลำคอ
-----------------------------
   รูฟัสผลักประตูเข้ามาในคอนโด อากาศที่ถูกปรับอุณหภูมิให้ต่ำลงกระทบร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาเพิ่งเดินกลับมาจากห้าง ตอนจบของภาพยนตร์ที่ดูเหมือนจะเป็นการทะเลาะกันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชายหนุ่มเผลอมองไปยังบริเวณโซฟาในล็อบบี้แล้วก็ต้องใจเต้น ผู้ชายที่นั่งตรงกลางคือฟ่งไม่ใช่หรือ เขาจำรูปร่างและทรงผมยุ่งๆ นั้นได้ รูฟัสอยากจะเดินเข้าไปทักแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคุยธุระอยู่ เขาเลยตัดสินใจเดินผ่านไปอย่างเงียบๆ
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสียกผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดศีรษะที่เปียกชุ่ม ขณะกดน้ำร้อนลงแก้วเพื่อชงชา เขาสวมเพียงแค่กางเกงขาสั้นสีดำ รูฟัสจิบชาพลางเปิดประตูออกไปตรงระเบียง การจราจรเบื้องล่างไม่แออัดเหมือนช่วงกลางวันแต่ก็ยังดูหนาตาอยู่ จู่ๆ หนุ่มผู้ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงเสี่ยงภัยมาตลอดกลับรู้สึกอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาบ้าง 
ถ้าได้ไปเที่ยวกับคนข้างห้องคนนั้นซักวัน คงมีความสุขพิลึก
รูฟัสรู้สึกหัวใจเต้นแรง เขาต้องหาโอกาสไปปรับความเข้าใจกับคนข้างห้องให้ได้
---------------------------------------------------
คนข้างห้องที่ว่าตอนนี้อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงเมตร เพียงแต่ฝาผนังตรงระเบียงกั้นอยู่เท่านั้น
ฟ่งใช้มือซ้ายค้ำราวระเบียง ขณะที่มือขวาถือแก้วเซรามิคสีขาวที่มีหูจับสองหู โกโก้ร้อนในแก้วส่งกลิ่นหอมกรุ่น แต่จิตใจของเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง ชายหนุ่มรู้สึกพ่ายแพ้ การคุกคามนั้นแย่จนไม่อยากคิดถึงมันอีก อย่างน้อยชีวิตเขาน่าจะยังปลอดภัยจนกว่างานจะเสร็จ แต่หลังเสร็จงานแล้ว ฟ่งแน่ใจว่าทางโน้นต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่นอน ในเมื่อมันดูจะเป็นความลับและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้มีอิทธิพล
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ
   อยากจะคุยกับใครซักคน แต่ว่า...ใครล่ะ?
   ฟ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เขายกแก้วโกโก้ขึ้นมาดื่ม น้ำใสๆ หยดจากดวงตาลงไปในแก้ว
---------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 20:29:11
บทที่6 เค้าลางแห่งพายุ
   เด็กชายผมสีดำตัดสั้น วัยราวๆ สักเจ็ดแปดปี ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวเอี๊ยมสีน้ำตาลเข้ม กำลังโบกมือให้กับเด็กหญิงผมสีบลอนด์ตัวเล็กๆ อายุประมาณสี่ปีที่นั่งอยู่บนตักมารดาในรถเก๋งสีน้ำเงิน มีชายหนุ่มผมสีเดียวกันอายุราวๆ ยี่สิบแปดปีเป็นคนขับ  หญิงสาวผมดำยาวสลวยที่อุ้มเด็กหญิงอยู่จับมือเล็กๆ นั้นโบกให้เด็กน้อย รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนริมฝีปากน้อยน่ารัก เด็กชายยิ้มตอบ พลางโบกมือให้เด็กหญิงตัวน้อย ทันใดนั้น รอยยิ้มและมือน้อยๆ นั้นพลันอันตรธานหาย รถบรรทุกสีดำคันใหญ่ก็วิ่งเข้ามา บดขยี้ทุกคนในรถคันนั้นไปต่อหน้าต่อตาเด็กชาย
   นัยน์ตาสีเขียวและเทาคู่นั้นพลันเบิกโพลง  เม็ดเหงื่อผุดออกมาทั่วใบหน้าและหลัง ทั้งๆ ที่อุณหภูมิลดต่ำลงถึงสิบแปดองศา ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตึกภายนอกเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาตามช่องที่ผ้าม่านปิดไม่ถึง  ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า ก่อนจะเดินสะเปะสะปะไปที่ตู้เย็น แสงไฟสีส้มจากดวงไฟหลอดเล็กๆ ส่องให้เห็นใบหน้าที่ซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือด  เขากินน้ำเข้าไปสองแก้ว ก่อนจะยกมือปาดเหงื่อ  นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาตีสาม  ร่างสูงล้มตัวลงไปบนเตียงอีกครั้ง พยายามข่มตาให้หลับ  แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล  ภาพความฝันเลวร้ายตามมาหลอกหลอนทุกครั้งที่หลับตา  ชายหนุ่มพลิกตัวด้วยความทรมาน สองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้ทำอะไร นอกจาก รอ รอ และรอ เขาใช้เวลาครึ่งเช้าของทุกวันไปกับการนั่งรอที่ล็อบบี้ แต่ละนาทีที่ผ่านไปดูยาวนานราวกับชั่วโมง แม้จะรู้สึกทรมานกับการเฝ้ารอที่ไร้ความหมาย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจอีกฝ่าย ตรงกันข้าม ความรู้สึกเป็นห่วงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งที่เขาอยากจะยกมือขึ้นเคาะประตูที่ปิดสนิทบานนั้น แต่ทุกครั้ง ความรู้สึกบางอย่างกลับทำให้เขาเดินผ่านไปเฉยๆ
   ถ้าหากประตูบานนั้นไม่ยอมเปิด...
   ถ้าหากคนคนนั้นไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป....
   ถ้าหากคนคนนั้นพูดคำว่า ไปให้พ้น...
   รูฟัสยกมือขึ้นกุมหน้าอก รู้สึกปวดแปลบ ชายหนุ่มกำมือแน่น
   นี่เขากำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่....
   ถ้าหากว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้านั้นอีก….
   มือที่กุมหน้าอกกำแน่น กำอยู่ตรงตำแหน่งของหัวใจที่ปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงอรุณยามเช้าช่างมาถึงเชื่องช้าเหลือเกิน.....
------------------------------
   ฟ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนแบบ มองกระดาษร้อยปอนด์ขนาดเอหนึ่งที่ยังคงขาวสะอาด ปราศจากเส้นใดๆ นอกจากเส้นกรอบด้วยสายตาเหม่อลอย แสงแดดยามสายส่องทะลุช่องผ้าม่าน ทาบลงบนพื้นพรมดูคล้ายเสาออโรร่าเล็กๆ เมี่ยงเพิ่งโทรศัพท์เข้ามาถามไถ่ข่าวคราวด้วยความเป็นห่วง แม้จะไม่ได้พูดถึงเรื่องงาน แต่ฟ่งก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขายังไม่ได้ออกแบบอะไรที่มันดูเป็นชิ้นเป็นอันเลย ชายหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาไปกับการดูภาพยนตร์เก่าๆ ที่ซื้อเก็บไว้และอ่านหนังสือ ทุกครั้งที่เขาจับดินสอหรือเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อจะเริ่มทำงาน ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากก็พุ่งเข้าครอบงำจิตใจ ฟ่งรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเอง ยอมรับว่าไม่มีปัญญาที่จะทำงานในสภาวะอารมณ์แบบนี้ บางทีเขาอาจจะต้องยกเลิกสัญญากับเมี่ยง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแย่ เมี่ยงเป็นลูกค้าที่ดีทีเดียว เขารู้สึกประทับใจหล่อน ไม่ใช่เรื่องเลยที่เขาจะยกเลิกสัญญาเพราะอารมณ์แปรปรวนของตัวเอง
   จู่ๆ ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มมืดครึ้ม แสงแดดค่อยๆ จางหาย ลมพัดกรรโชกมาเป็นระยะๆ ชายหนุ่มเดินออกไปเก็บชั้นในที่ตากอยู่ตรงระเบียงมาโยนเอาไว้บนเตียง ความรู้สึกหดหู่ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น เขาทรุดนั่งลงบนโซฟา เหม่อมองเมฆฝนดำทะมึนที่เริ่มตั้งเค้าขึ้น รู้สึกเหมือนเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่ขังตัวเองอยู่ในกล่อง เฝ้ารอความตาย
   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง ชายหนุ่มสะบัดหัวอย่างรุนแรงเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ออก ก่อนจะเดินไปที่ประตู
   !!
   ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ เมื่อมองผ่านช่องมองออกไป ผู้ที่มาเคาะเป็นคนที่เขาทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอมากที่สุด ฟ่งไม่ได้สังเกตสีหน้าของรูฟัส เพราะทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร เขาก็แทบอยากจะหลับตาลงทันที
   ฟ่งตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ารู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกและดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ผู้เป็นเจ้าของห้องมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด ในความสับสน ฟ่งกระชากประตูให้เปิดออกเตรียมจะตะโกนใส่หน้าผู้มาเยือน แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าดีใจที่เหมือนดังสุนัขได้พบเจ้าที่ฝ่ายนั้นแสดงออกมา เขาแทบจะร้องไห้
   “ช่วยเลิกยุ่งกับผมเสียที” ฟ่งพูดเสียงสั่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลทะลักออกมา รูฟัสไม่ได้พูดอะไรตอบ เพียงมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนระคนเจ็บปวดใจ รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป ฟ่งไม่อาจจะทนมองต่อไปได้อีก เขาปิดประตูใส่หน้าของรูฟัส วิ่งไปที่เตียงนอน น้ำตาไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
----------------------------------------------------
   รูฟัสยืนนิ่งอยู่หน้าประตู รอยยิ้มเศร้าๆ ยังคงค้างคาบนใบหน้า
-----------------
   ฟ่งค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกปวดร้าวไปทั้วกระบอกตา ชายหนุ่มพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อมองนาฬิกา
   สี่โมงเย็น
   เขาคงร้องไห้จนเผลอหลับไป บรรยากาศภายนอกยังคงมืดครึ้ม เม็ดฝนโปรยปรายให้เห็นเป็นละอองเล็กๆ ชายหนุ่มเดินโซเซมาที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวในห้องน้ำมาเช็ด ฟ่งมองดูตัวเองในกระจกรู้สึกเหมือนดวงตาจะบวมอยู่พอสมควร  ชายหนุ่มก้าวเท้าออกมานอกห้องน้ำ ความอ้างว้างครอบคลุมไปทั่วห้อง แม้ฝนจะตก แต่เขากลับมีความรู้สึกอยากจะออกไปเดินเล่น เพราะอย่างน้อยมันคงดีกว่าจับเจ่าอยู่ในห้องแบบนี้ อาจจะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง  ฟ่งหยิบร่มที่แขวนอยู่ข้างชั้นวางหนังสือ เดินไปเปิดประตูห้อง ทันใดนั้นตลอดร่างของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง
   ร่างสูงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาสองสีที่มองสวนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู กับรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ฉายอยู่บนใบหน้า ทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
   “คิดว่าคุณจะไม่ยอมเปิดอีกแล้ว” น้ำเสียงนั้นยังคงสุภาพ และนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกวัน
   “ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่?” ฟ่งโพล่งออกมา เสียงพร่าไปเล็กน้อย
   “ผมอยู่รอพบคุณ”
   คำตอบที่ได้รับทำเขารู้สึกว่าลิ้นของตัวเองนั้นช่างขยับยากเสียเหลือเกิน “คะ..คุณนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้า?”
   รูฟัสพยักหน้า ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น นัยน์ตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์คู่นั้นมองตรงเข้ามา เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง
   “ผมอยากคุยกับคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไร ผมยินดีที่จะรออยู่แบบนี้ต่อไป จนกว่าคุณจะพร้อม”
   ฟ่งก้มหน้า เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสบสายตาที่มองมาด้วยความมุ่งมั่นแบบนั้น ชายหนุ่มกำหมัดแน่นความรู้สึกสับสนประดังเข้ามา เขาอยากจะชกหน้าคนพูดซักเปรี้ยง
   “คุณมันบ้า บ้า บ้ากันไปหมดแล้ว” ฟ่งพึมพำด้วยความโกรธ ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามา รูฟัสคิดว่าเขาคงโดนชก นัยน์ตาสองสีคู่นั้นปิดลง
เอาเถอะ โดนชกก็ยังดี
น้ำหนักตัวของผู้ชายที่โตเต็มที่เข้าใส่โดยไม่มีการออมแรง ชายหนุ่มเซไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างตกใจ
“บ้าที่สุด” เสียงพูดเบาๆดังขึ้นข้างหู วงแขนผอมบางโอบรัดอยู่รอบคอ รูฟัสรู้สึกเหมือนได้ของล้ำค่า รีบรวบร่างนั้นเข้ามาแนบตัวราวกับกลัวว่าจะหนีหายไปอีก
คล้ายโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง ร่างบางๆนั้นสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอด หัวไหล่ด้านขวาของรูฟัสเปียกชุ่ม
ในที่สุด ฟ่งก็ค่อยๆผลักอีกฝ่ายออกเบาๆ
“เข้าไปคุยในห้องเถอะ ผมกลัวใครผ่านมาเห็น”
รูฟัสยิ้มบางๆ ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปใต้แว่น เช็ดน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าซึ่งเขาเฝ้าคิดถึงมาตลอด
---------------------------------
   เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานเบาๆ ฟ่งยื่นแก้วน้ำสแตนเลสให้รูฟัสที่นั่งอยู่บนโซฟา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย  เขาแอบเหลือบมองใบหน้าเรียวที่กำลังจิบน้ำอยู่ข้างๆ ก่อนจะหลบตาเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมา  รูฟัสยิ้มเล็กน้อย ลุกเอาแก้วน้ำไปวางที่โต๊ะข้างโซฟา และเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเจ้าของห้อง
   รูฟัสก้มหน้า ราวกับเป็นอัศวินที่รอรับการลงโทษจากพระราชา  การกระทำของเขาเหนือความคาดหมายเสียจนอีกฝ่ายแทบจะสำลักน้ำ ฟ่งละล่ำละลักพูดขึ้น
   “เดี๋ยว คุณทำอะไรน่ะ?”
   ผู้ถูกถามก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น “ผมอยากขอโทษคุณ”
   ฟ่งรู้สึกงง เขาไม่เข้าใจว่ารูฟัสขอโทษเรื่องอะไร ขณะที่กำลังจะถามอีกครั้ง ร่างสูงใหญ่ที่คุกเข่าอยู่นั้นก็เริ่มพูดต่อ
   “ผมยอมรับว่าเรื่องเมื่อวานผมไม่ได้ตั้งใจจะทำมาก่อน แต่...ผมชอบคุณจริงๆ นะครับ”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมอง ฟ่งรู้สึกร้อนบริเวณใบหน้า เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายขอโทษเรื่องอะไร
   “ระ...เรื่องนั้น” ฟ่งพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอวนเต็มที่ เรื่องเมื่อคืนวานเป็นอะไรที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึงอีก จริงๆ แล้วเขาไม่ควรจะอนุญาตให้รูฟัสเข้ามาในห้องอีกรอบด้วยซ้ำ แต่....พิษความเหงาและความโดดเดี่ยวทารุณจิตใจเขาเสียเหลือเกิน เขาไม่แน่ใจว่ารูฟัสพูดความจริงรึเปล่า ไม่รู้ด้วยว่ารูฟัสรออยู่แบบนั้นตลอดเลยจริงๆ ไหม แต่เพราะความอ้างว้างและจิตใจที่อ่อนแอ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้ากับดวงตาที่มองมาอย่างอาทรนั้นอีกครั้ง ฟ่งก็ทนไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ยังอยากจะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ และก็ดูจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นในสถานการณ์แบบนี้
   ฟ่งพ่ายแพ้กับความอ่อนแอของหัวใจและยินยอมรับคนข้างห้องของเขากลับมาโดยไม่ยอมคำนึงถึงเหตุผลและความเป็นจริงที่จะดำเนินต่อไป
   เขาแค่อยากมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ เท่านั้น
   “ผะ...ผม...ผมไม่ได้โกรธคุณมากหรอก เพียงแต่...คุณไม่ควรจะทำอย่างนั้น ผมไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์”
   “ผมไม่ได้รู้สึกว่าคุณเป็นผู้หญิงหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ” รูฟัสพูดตอบแทบจะในทันที เขาฉวยมือฟ่งขึ้นมากุมเอาไว้ ชายหนุ่มสะดุ้ง และทำท่าจะดึงมือกลับ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยง่ายๆ รูฟัสพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
   “ที่ผมทำลงไปอย่างนั้น เพราะผมชอบคุณจริงๆ นะครับ ถ้าผมแค่คิดชั่ววูบกับคุณ ผมไม่มาง้อคุณแบบนี้หรอก ได้โปรดเถอะครับฟ่ง ตอบรักความรักของผมนะครับ”
   ถ้อยคำอาจจะดูเหมือนเคยพูดมาแล้ว แต่ความรู้สึกที่รูฟัสใส่ลงไปในตอนนี้เป็นความจริงทั้งหมด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อนเลย ฟ่งมองลงมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ทั้งความสับสน อ่อนไหวดูปนเปกันไปหมดในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ท้ายที่สุดฝ่ายนั้นก็เบือนหน้าหนีไปเสียเฉยๆ
   “ฟ่ง?” รูฟัสเอ่ยเรียกชื่อคนข้างห้องอีกครั้ง และพบว่าแก้มของฟ่งเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
   ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่ไม่ดีใจหากถูกใครสักคนบอกรัก ยิ่งเป็นคนที่น่าพอใจแบบนี้ด้วยแล้ว การห้ามหัวใจไม่ให้เต้นแรงขึ้นมาคงจะเป็นไปไม่ได้ ฟ่งพร่ำบอกตัวเองว่ารูฟัสเป็นผู้ชาย ถึงฝ่ายนั้นอาจจะมีรสนิยมที่ผิดปกติแต่ตัวเขาไม่ใช่ ฟ่งไม่เคยมีอารมณ์กับผู้ชายหน้าไหนมาก่อน เขาก็เป็นเหมือนคนหนุ่มทั่วไป ชอบมองผู้หญิง ชอบสาวๆ สวยๆ ถึงอย่างนั้นแล้ว..ทำไม.....
   มือที่ถูกรูฟัสกุมอยู่เหมือนมีไอร้อนแผ่ขยายเข้ามาในร่างกาย คำบอกรักที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จก็ทำให้หัวใจเขาอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก แต่ฟ่งต้องการแค่คนที่จะอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่คนที่จะรักเขา
   เขาไม่ต้องการให้ใครรักเขาอีกแล้ว
   ตั้งแต่ตัดสินใจเลิกกับดาเมื่อกว่าเดือนก่อน ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาตอกย้ำตัวเองมาโดยตลอด ฟ่งจำต้องข่มใจตอกย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง แม้ว่าหัวใจของเขายามนี้จะอ่อนไหวบอบบางมากมายเหลือเกิน
   “ผมไม่น่ารักหรอก” ชายหนุ่มกล่าว รู้สึกเบาหวิวไปทั้งตัว ถ้าเขาพูดจบแล้วรูฟัสจากไป เขาจะทำอย่างไรกันนะ ความอ่อนแอสับสนทำให้ฟ่งเผลอบีบมือลงไปบนมือแกร่งที่กุมอยู่อย่างลืมตัว
   “ผมนิสัยไม่ดีหรอก ทั้งเอาแต่ใจ ขี้โวยวาย แถมยัง...เห็นแก่ตัว” ฟ่งพูดไปนึกสะท้อนใจตัวเองไป การที่ยอมให้รูฟัสกุมมือแบบนี้ก็คงเรียกว่าเห็นแก่ตัวด้วย เขาไม่อยากเชื่อถือคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆ เอาไว้ ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ
   “อย่าชอบผมเลย....”
   คำตอบที่รูฟัสมอบให้กับฟ่งคือการยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ เขาอยู่มาเกือบสามสิบปี ผ่านอะไรๆ มามาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งได้ยินคนที่ถูกบอกรักตอบปฏิเสธความรักทั้งๆ ที่ยังกุมมือกันอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองลงมาอย่างตระหนก แววตาที่เหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ดูจะตื่นกลัวไปเสียทุกอย่าง ความปวดร้าวฉายลึกอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งผ่านเหตุการณ์อะไรมากันแน่ ถึงได้ดูจะหวาดกลัวกับการจะรักใครสักคนแบบนี้ เขายังคงกุมมือข้างนั้นแนบแน่น และฟ่งก็ดูไม่มีท่าทีจะดึงออก นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่นาน ท้ายที่สุดฟ่งก็ยังเป็นฝ่ายที่เบือนหน้าหนี
   “เดือนที่แล้วผมเพิ่งเลิกกับแฟน” ฟ่งกล่าวและขบริมฝีปากอย่างเจ็บปวด ความจริงเขาไม่ควรจะพูดเรื่องพวกนี้ให้รูฟัสฟังเลย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักนิด แต่ฟ่งอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่า ตัวเขาไม่ได้มีดีอะไรพอที่จะได้รับคำพูดหรือการกระทำเช่นนี้ เขาแค่หวังว่าหลังจากรู้เรื่องราวของเขาแล้วรูฟัสจะยุติการกระทำดังกล่าว ฟ่งคิดว่าตนเองทนรับความรักจากใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยความจริงใจ หรือเสแสร้งก็ตาม
   รูฟัสขยับตัวฟังอย่างตั้งใจ เขาอยากฟังอดีตของฟ่ง แม้จะรู้สึกปวดจี๊ดที่ได้ยินว่าฟ่งเคยมีแฟนมาแล้ว อาการซึมเศร้าแบบนั้นถ้าไม่อกหักจะเรียกว่าอะไรได้อีก รูฟัสไม่เคยมีประสบการณ์อกหัก เขาไม่เคยรักใคร และไม่เคยแคร์คนอกหักด้วย เพียงแต่อาการโศกเศร้าของฟ่งทำให้เขานึกถึงความโศกเศร้าของตัวเองในอดีต หากเป็นแค่อาการอกหัก ทำไมฟ่งถึงได้ฝังจิตฝังใจมากมายขนาดนี้
   “ผมคบกับเธอมาหกปี” ฟ่งกล่าวต่อ เมื่อนึกถึงดา น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “หกปีที่ผมไม่เคยทำให้เธอมีความสุขเลย ผม....”
   รูฟัสมองดูหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาเริ่มมองเห็นเค้าลางต้นตอของความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้แล้ว ดูท่าฟ่งจะเป็นคนที่ไม่เคยยอมให้อภัยความผิดพลาดของตัวเองเลย
   “ผม...ผมเป็นคนรักให้คุณไม่ได้หรอก ผม...ผมไม่ดีพอ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสกล่าวและยกมือข้างนั้นขึ้นมาจูบอีกรอบ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างงุนงง
   “รูฟัส ผมเป็นคนบอกเลิกกับแฟนคนเก่าเองนะ ผม..ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้แหละ” ร่างบางโพล่งออกมา ด้วยร่างกายที่สั่นเทา และเผลอบีบมือลงไปบนมือของอีกฝ่ายแน่น รูฟัสช้อนตามองดูทางนั้นด้วยความเอ็นดูระคนสงสาร การกระทำกับคำพูดของฟ่งดูจะผิดกันไปไกลลิบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเจตนาอย่างที่พูดจริงๆ แต่ความอ่อนไหวก็ถูกแสดงออกมาในทางพฤติกรรมด้วย ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกรึเปล่าที่ตกหลุมรักคนที่สับสนอ่อนไหวเช่นนี้ แต่เรื่องรัก ใครจะห้ามได้ล่ะ และหากฟ่งไม่ได้สับสน ไม่ได้อ่อนไหว ไม่มีความรู้สึกอะไรที่ทำให้เขาสะทกสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนี้ เขาจะสนใจผู้ชายคนนี้หรือ
   แม้หลุมรักจะลึก จะดูไร้ก้นบึ้ง แต่รูฟัสตัดสินใจร่วงลงไปแล้ว เขาจะไม่ตะกายกลับขึ้นมาอีก
   รักก็คือรัก
   “แต่คุณก็ยอมรับผมไม่ใช่หรือครับ?” รูฟัสพูดขึ้นบ้าง เขาเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย โดยหวังว่าฟ่งจะยอมหันมาสบตากับเขาบ้าง นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นเหลือบมาแวบหนึ่งแล้วก็หลุบลงไปอีก ร่างผอมบางเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด
   “ผมแค่...แค่อยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ” ฟ่งสารภาพออกมาในที่สุด เขาเบือนหน้ากลับมามองคู่สนทนา หยาดน้ำตารินไหลออกมาอีกสาย
   “คุณทำให้ผมหวั่นไหว คุณ...ไม่น่ามาเจอผมเลย”
   รูฟัสยันตัวลุกขึ้น โน้มร่างเข้าไปใกล้ฝ่ายที่นั่งอยู่ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนพวงแก้มนั้นเบาๆ ฟ่งสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยม่านน้ำตาหันมองเขาอีกครั้ง รูฟัสใช้มือจับใบหน้าของฝ่ายนั้นไว้เบาๆ
   “ผมดีใจที่ได้พบคุณ ฟ่ง” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย พร้อมรอยยิ้ม รูฟัสมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ในความปนเปสับสน ยิ่งเหมือนดึงดูดให้เขารู้สึกรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก ภายในอกแน่นไปด้วยความรู้สึก ชายหนุ่มกล่าวต่อ
   “คุณทำให้ผมเรียนรู้ที่จะรัก คุณทำให้ผมรู้สึกถึงสิ่งที่เกือบจะลืมไปแล้ว” เว้นระยะไปพักหนึ่งจึงกล่าวต่อ “อย่าทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างอีกเลยนะครับ เปิดใจให้ผมเถอะ เรารักกันได้”
   ฟ่งหลับนัยน์ตาลงอย่างปวดร้าว หยาดน้ำตาระอุอุ่นไหนซึมออกมาอีกรอบ เขารู้ว่าความรักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่ารูฟัสจะจริงใจกับเขาหรือไม่ก็ตาม ฟ่งรู้ตัวดีว่าเขารักใครไม่ได้ เขาเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะรักใครได้อีก เขาเป็นเพียงแค่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวและสับสนปนเปคนหนึ่ง ริมฝีปากที่มักบูดบึ้งอยู่เสมอมเม้มแน่น เขาควรจะตอบปฏิเสธรูฟัสอย่างไรดี ในเมื่อมือของเขาก็ยังกุมอยู่กับผู้ชายคนนี้ ยังรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ผู้ชายคนนี้มอบให้ ฟ่งรู้สึกตีบตันในลำคออย่างแท้จริง เขาต้องพยายามเอาชนะความอ่อนแอนี้
   ชายหนุ่มพยายามดึงมือที่ถูกกุมอยู่ออก แต่อีกฝ่ายก็ออกแรงดึงเอาไว้อย่างจริงจัง เหมือนไม่ยอมให้จากไปง่ายๆ ฟ่งลืมตาขึ้น เขาจำต้องอธิบายให้รูฟัสเข้าใจอีกรอบว่าเขาไม่สมควรจะได้รับความรู้สึกแบบนี้ แต่พอลืมตาขึ้นมา สิ่งที่พบคือดวงตาสองสีที่มองมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกดีๆ ดวงตาที่มองมาด้วยความรัก น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวคำพูดออกมา
   “ผมรักคุณนะ”
   กำแพงความรู้สึกและสามัญสำนึกทุกอย่างของฟ่งพังทลายลงในบัดนั้น นัยน์ตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์ที่จ้องมองมาอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก ดึงทึ้งสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้ความผิดถูกของเขาไปจนหมด เหมือนถูกระเบิด สิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในความรู้สึกส่วนลึกคือเขาอยากให้ผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ
   “อา....” ฟ่งทำได้เพียงแต่เผยอปากและส่งเสียงที่ฟังไม่เป็นภาษาออกมาจากลำคอ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรในวินาทีนี้ รูฟัสโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอบอุ่น นัยน์ตาสองสีมองตรงมาอย่างอ่อนโยน เหมือนท่าทีของเขาได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายนั้นเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากหนาแนบลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะสนิทแน่นมากขึ้น พร้อมกับอ้อมกอดที่เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ฟ่งปล่อยให้หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันไหลซึมออกมาจากร่องหางตา
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:17:57
จูบครั้งที่สองผ่านไปอย่างอบอุ่น
   รูฟัสถอนริมฝีปากออก คลี่ยิ้มมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเอ็นดู ฟ่งช้อนตาขึ้นมองเขา และเหมือนได้สติ ร่างบางยกมือขึ้นปิดปาก พวงแก้มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสขยับเข้ามาใกล้เข้ามากขึ้น สองมือเลื่อนเข้ามาโอบร่างผอมบางเข้าไปแนนชิดอีกครั้ง คราวนี้ฟ่งผลักเขาออกอย่างจริงจัง
   “ยังโกรธผมอยู่หรือครับ?” รูฟัสพูด พลางทำหน้าเศร้า หยุดการผลักไสได้อย่างชะงัก ฟ่งนิ่งค้าง เหมือนนึกอะไรไม่ออก ระหว่างนั้นก็ถูกขโมยจูบ
   “อ๊ะ!” คนถูกจูบเขินจนหน้าแดง พยายามจะถอยออกแต่ก็ยังถูกรั้งเอาไว้อย่างแน่นหนา รูฟัสโน้มหน้าเข้ามา นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด ฟ่งรีบยกมือยันหน้าอีกฝ่ายไว้
   “อย่า! รูฟัส ผมเป็นผู้ชายนะ”
   รูฟัสหัวเราะหึๆ ในลำคอ อ้าปากเลียนิ้วมือที่ฝ่ายนั้นยันเข้ามา ฟ่งสะดุ้งเฮือก
   “ผู้ชายแล้วไงล่ะครับ ผมชอบคุณ รักคุณ คุณจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงผมไม่สนหรอก”
   คนได้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว นิ้วมือของเขาถูกอีกฝ่ายดูดดึงเข้าไปในช่องปาก เรียวลิ้นร้อนเล็มเลียไปทั่ว แจ้งความต้องการได้อย่างไม่ต้องไต่ถามอีก ฟ่งรู้สึกตัวทันทีว่าถ้าปล่อยให้ทางนั้นรุกไล่ไปเรื่อยๆ เรื่องต้องลงเอยแบบเมื่อคืนวานอีก แต่ปัญหาคือเขาไม่มีเรี่ยวแรงพอจะดึงมือออก
   “รูฟัส! ถึงคุณไม่รังเกียจแต่ใช่ว่าผมจะชอบเรื่องแบบนี้นะ!” ฟ่งพยายามพูดเสียงเด็ดขาด ขณะกล้ำกลืนเสียงครางลงไปอย่างเต็มที่ ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจึงฟังดูตะกุกตะกัก รูฟัสช้อนตามองเขาเหมือนจะท้าทาย แต่พอเห็นสีหน้าแดงก่ำที่ออกไปในทางโทสะแล้วก็ยอมจะหยุดการกระทำ
   “ขอโทษนะครับ แต่คุณน่ารักจนผมหยุดตัวเองไว้ไม่อยู่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว คิดว่าจะไม่ได้คุยกับคุณอีกแล้ว ผม...ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ”
   ฟ่งไม่ตอบ ได้แต่เบือนหน้าหนี เขารู้สึกตัวแล้วว่ารูฟัสรุกเร้าคนได้เก่งจริงๆ
   “ให้อภัยผมเถอะนะครับ” ฝ่ายนั้นกล่าวต่อ ฟ่งเบือนหน้ากลับมามองอย่างงุนงง เขาไม่ได้โกรธขึงอะไรรูฟัสมากมาย ก็แค่...เสียใจเท่านั้น พอเห็นใบหน้าวิงวอนจนดูน่าสงสาร ฟ่งก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ความจริงเขาควรจะพูดกับรูฟัสให้รู้เรื่องเสียในตอนนั้นแทนที่จะไล่อีกฝ่ายไป แต่...ในสถานการณ์แบบนั้นใครมันจะทันคิดกันล่ะ
   “ผม...ผมไม่โกรธคุณหรอก” ร่างบางกล่าวเสียงค่อย ด้วยคิดว่าคงจะพอทำให้อีกฝ่ายเลิกทำหน้าอ้อนแบบนั้นเสียที รูฟัสยิ้มอย่างดีใจและรวบตัวฟ่งขึ้นไปนั่งบนตัก ร่างบางสะดุ้งเฮือก เขาจำได้ดีว่าครั้งแรกที่นั่งบนตักรูฟัสเกิดอะไรขึ้น
   “ปล่อยผม!” ฟ่งโวยวาย ออกอาการขัดขืนอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสพยายามปลอบประโลมด้วยการกอดอีกฝ่ายแน่น
   “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกครับ ผมแค่อยากกอดคุณเอาไว้เฉยๆ” หนุ่มร่างสูงกล่าวและยืนยันคำพูดโดยการรัดวงแขนเข้าหากันแน่น ชนิดที่เกือบทำให้คนในอ้อมแขนอึดอัดตาย ฟ่งร้อนวูบไปทั้งตัว
   “ผมหายใจไม่ออก!” ร่างบางแค่นเสียงออกมาอย่างยากเย็น ครั้งนี้รูฟัสยอมผ่อนปรนท่าทีลงบ้าง ทันทีที่ขยับตัวได้ ฟ่งหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนด้านหลังอย่างรวเร็ว
   “รูฟัส คุณเข้าถึงตัวคนอื่นแบบนี้ด้วยทุกคนรึเปล่า?” คำถามพ่วงด้วยใบหน้าขึงขังทำให้รูฟัสอึ้งไปพักใหญ่ ชายหนุ่มนึกทบทวนตัวเอง เขาไม่เคยเข้าหาใครแบบจริงจังอย่างนี้มาก่อน หนุ่มตาสองสีสั่นศีรษะไปตามความรู้สึก คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากัน
   “วันก่อนคุณยังจีบคุณเมี่ยงต่อหน้าผมอยู่เลย ก่อนหน้านี้คุณอาจจะทำตัวเรียบร้อย แต่ตอนนี้คุณหลอกผมแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
   แทนที่จะสำนึกผิด หรือตกใจ สิ่งที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรูฟัสคือรอยยิ้มแบบที่พยายามจะกลั้นยังไงก็กลั้นไม่อยู่ สุดท้ายเขาเลยปล่อยให้ตัวเองยิ้มกว้าง มองดูคนในอ้อมแขนอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ฟ่งรู้สึกตัวเหมือนทำอะไรพลาดไปสักอย่าง เขาพูดเสียงตะกุกตะกัก
   “ยิ้มอะไรของคุณ?”
   “ผมคงบ้า” รูฟัสพูด แต่ยังยิ้มอยู่ เขาช้อนตามองฟ่งอย่างมีเลสนัย “ผมกำลังดีใจที่เห็นคุณหึงผม”
   “ใครจะไปหึงคุณ!” ฟ่งสวนกลับทันที ก่อนจะรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า ขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่าย รูฟัสยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ไม่บอกก็รู้ว่าไม่ได้ประสงค์ดีกับตัวเขาแน่ ฟ่งผลักใบหน้านั้นออกและโวยวายซ้ำ
   “คุณมันเจ้าชู้น่าดู!”
   เป็นปกติ หากถูกใครโวยวายใส่แบบนี้ รูฟัสคงรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเจ้าชู้ เพราะเขาไม่เคยนึกอยากมีเจ้าของ แต่ตอนนี้ความรู้สึกกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หัวใจของรูฟัสอิ่มเอิบเมื่อถูกคนข้างห้องแสดงอาการหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด ช่วยให้เขาแน่ใจว่าไม่ได้ตีความหมายความรู้สึกของฟ่งผิดไป รูฟัสดึงมือที่พลักไสเขาขึ้นมาจูบ
   “ผมเปล่าเจ้าชู้นะครับ” เขาแก้ตัว ฟ่งถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อ รูฟัสรีบฉวยโอกาสพูดต่อ
   “ผมไม่ได้จีบคุณเมี่ยง ผมแค่ทำตามมารยาท ผมกำลังจะไปทำงานในคลับของเธอน่ะครับ” รูฟัสแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ ซึ่งประกอบด้วยความจริงแบบเกินครึ่ง แต่คำแก้ตัวตามความเป็นจริงที่ดูขุ่นคลั่กแบบนี้ ใครมันจะยอมเชื่อกันล่ะ ถึงอย่างนั้น อารมณ์ของฟ่งดูเหมือนจะสงบลงไปบ้าง
   “พูดจริงๆ หรือ?” ชายหนุ่มถามอย่างไม่แน่ใจ รูฟัสส่งเสียงรับคำแข็งขัน ฟ่งเบือนหน้าไปทางอื่นอีกรอบ
   “ผมขอโทษนะ อืม... ผมไม่ควรซักไซ้เรื่องส่วนตัวคุณแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณเองก็ดีกับผมมาก”
   ชายหนุ่มพยักหน้า รู้สึกงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลยกับอาการหึงหวงที่ฟ่งแสดงออกเมื่อครู่ ออกจะพอใจมากด้วยซ้ำ แต่พอเห็นอีกฝ่ายหงอยไปแบบนี้ รูฟัสก็พลอยหงอยไปด้วย
   “ทำไมคุณถึงสนใจผม” จู่ๆ ฟ่งที่เงียบไปนานก็เอ่ยถามขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองอย่างสงสัยใคร่รู้ รูฟัสกลืนน้ำลาย เขาจะเริ่มตอบคำถามนี้ยังไงดี ชายหนุ่มนึกลำดับอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
   “ผมเคยมีครอบครัว” เขาเริ่มต้นเล่า มองดูดวงตาสีน้ำตาลที่นิ่งฟังอย่างรู้สึกสุขในหัวใจ
   “ เป็นครอบครัวของผมเองน่ะครับ มีพ่อแม่ แล้วก็น้องสาว” เสียงของรูฟัสพร่าลง
   “ตอนนั้นผมเรียนอยู่ เอ่อ..คงซักเกรดหก น้องสาวผมเพิ่งอายุได้สี่ปี น่ารักเหมือนตุ๊กตาเลยล่ะ ผมจำดวงตาสีดำสนิทเหมือนอัญมณีนั้นได้ดี” รูฟัสหยุดกลืนน้ำลาย ฟ่งรู้สึกว่าร่างสูงใหญ่สั่นเล็กน้อย “วันหนึ่ง ตอนที่ทุกนขับรถมาส่งผมที่โรงเรียน รถบรรทุกคันหนึ่งก็พุ่งเข้ารถของพวกเขา อุบัติเหตุน่ะครับ ทุกคนตายต่อหน้าผม ตอนนั้นผมเลยนึกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีก”
   นัยน์ตาของฟ่งไหววูบ เรื่องเล่าจากอดีตของรูฟัสดูน่าสลดจนเขารู้สึกเสียใจที่ถามออกไป ฟ่งบีบมือรูฟัสที่กุมอยู่เบาๆ ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เขาอีกครั้ง และเล่าต่อ
   “ความเศร้าสร้อยในแววตาของคุณที่ผมเจอวันแรก ทำให้ผมนึกถึงตัวเองในตอนนั้น ผมเลยอยากจะช่วยคุณ แต่ว่า...ผมไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขนาดนี้หรอกนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะจีบคุณ แต่ผมก็หลงรักคุณแล้ว”
   ฟ่งเบือนหน้าหนีออกไปอีกครั้งทันที เขากำลังนึกสงสารรูฟัส แต่แล้วทางนั้นก็ยังฉวยโอกาสสร้างความเขินอายให้เขาจนได้ รูฟัสยิ้มกริ่ม พลางโน้มหน้าลงจูบพวงแก้มที่แดงระเรื่อ ฟ่งหันกลับมาทันที
   “คุณจะไปทำงานอะไรที่คลับของคุณเมี่ยงน่ะ” ร่างบางหันมาไล่เบี้ยกับเขาเรื่องเดิมอีกรอบ รูฟัสดีใจที่ฟ่งแสดงอาการหึงหวงเขาแบบนี้ จนนึกสนุกอย่างยั่วอีกฝ่ายต่อ
   “ไม่บอกคุณได้ไหมครับ ทีคุณยังไปที่นั่นเลย”
   “ผมไปทำงาน คุณเมี่ยงเขาจ้างผมให้ออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ใหม่” ฟ่งตอบกลับ สะบัดหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง “ไม่บอกก็ช่างคุณสิ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผม”
   “ไม่ง้อผมหน่อยหรือครับ?” ฝ่ายนั้นทำเสียงอ้อน ฟ่งหันมาถลึงตาใส่ทันที “ทำไมผมต้องง้อคุณด้วย !!” ร่างบางถึงกับต้องกลืนคำพูดลงไป เมื่อเห็นสายตาหวานเยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ รูฟัสยื่นหน้าขึ้นจูบปากเขาเบาๆ อีกรอบ ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมชอบให้คุณหึงผมแบบนี้นะ ผมจะได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกรักคุณข้างเดียว”
   “บะ..บ้าเหรอ ผมเนี่ยนะหึงคุณ!?” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะพยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย “ปล่อยผมนะ!”
   รูฟัสไม่ยอมปล่อยตามคำขอ เขารั้งตัวฟ่งแน่นเข้ามาอีก ขโมยหอมพวงแก้มแดงเรื่อนั่นอีกหลายครั้ง ขณะถูกอีกฝ่ายผลักไสอย่างเอาเรื่อง
   “ผมจะไปเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นั่น” รูฟัสยอมตอบในที่สุด เพราะฟ่งเริ่มทุบตีเขาอย่างหนักมือขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางหยุดมือทันที
   “พูดจริงๆ เหรอ?” คนถูกถามพยักหน้า และได้ทีพูดต่อ “พูดจริงสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณเมี่ยงเขาจะพาผมไปเจอคุณทำไม เขาบอกผมว่าเผื่อผมอยากได้อะไรเพิ่มเติมจะได้คุยกับคนออกแบบเลย”
   “อ้อ..” ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจในที่สุด ท่าทีดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
   “อืม... คุณอยากได้อะไรเพิ่มล่ะ” เขาเอ่ยถาม รูฟัสยิ้มกริ่ม พลางยื่นหน้าเข้ามาขโมยจูบอีกรอบ ฟ่งยกมือขึ้นผลักไสเขาออกทันที
   “ปล่อยผมเลยนะ ผมหิวข้าวแล้ว” ร่างผอมบางโวยวาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ฟ่งจึงหันกลับมาสบตาโดยตรง เน้นคำพูด
   “รูฟัส...ผมหิวแล้วน่ะ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
   เจอแบบนี้ แม้ใจอยากจะกอดไปจนถึงเย็น แต่รูฟัสก็ต้องยอมปล่อย ฟ่งดีดหัวหนีเขาทันที จนรู้สึกเหมือนถูกเย็นชาใส่ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง จังหวะนั้นเองที่ฟ่งหันมามองเขา ไม่รู้อะไรดลใจ แวบหนึ่ง ใบหน้าของฟ่งโฉบเข้ามาใกล้ ริมฝีปากแตะกับริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าตัวจะถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
   “ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ฟ่งกล่าว ขณะที่หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ เขามองดูคนตรงหน้า อยากที่จะกลืนกินลงไปแทนอาหารเย็นเสียจริงๆ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างสงสัย ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
   “เลิกชอบผมตอนนี้ยังทันนะ”
   รูฟัสดีดตัวลุกขึ้น เขาตอบคำถามของฟ่งโดยการดึงตัวฝ่ายนั้นเข้ามาหอมแก้มและจูบลงไปอีกหลายครั้ง
-------------------------------------------
   ฟ่งนอนลืมตาท่ามกลางความมืด ลมหายใจอุ่นๆ ที่สัมผัสท้ายทอยทำให้เขาไม่อาจข่มตาลงได้ หลังจากทานข้าว รูฟัสยืนกรานจะขอค้างด้วย แม้จะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่คำยืนยันหนักแน่นที่ว่าจะไม่ทำอะไรรอบแล้วรอบเล่าทำให้ชายหนุ่มใจอ่อน มานึกดูตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ควรทำแบบนั้น หนุ่มรัสเซียผู้มีนัยน์ตาสองสีนอนอยู่เบื้องหลัง ใช้มือสองข้างกอดเขาไว้หลวมๆ ลมหายใจสม่ำเสมอของอีกฝ่ายทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะหลับไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่สายลมอุ่นๆ นั้นสัมผัสโดนร่างกาย หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ รสจูบและสัมผัสในคืนนั้นยังคงตกค้างอยู่ในความทรงจำ ส่วนลึกกำลังเรียกร้องโหยหาความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง ฟ่งรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ขยายขึ้นมาจากท้องน้อย หงุดหงิดที่อีกฝ่ายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ร่างบางขยับตัวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แต่นั่นเพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่นอนกอดเขาอยู่รู้สึกตัว
   “นอนไม่หลับหรือครับ?” รูฟัสกระซิบถาม พลางขยับตัวเข้ามา ฟ่งพยายามที่จะแสร้งทำเป็นหลับ แต่เสียงเรียกร้องนั้นทวีขึ้นในจิตใจจนเขาต้องหันมาเผชิญหน้ากับผู้อยู่ด้านหลัง
   “รูฟัส คุณสัญญากับผมอีกครั้งได้ไหม ว่าจะไม่ทำอะไร” ฟ่งพูด แววตาดูวิงวอนอย่างถึงที่สุด แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่รูฟัสก็รับปากอีกครั้ง
   “จริงๆ นะ ผมไว้ใจคุณนะ”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ประกบเข้ามาอย่างกระหาย รูฟัสจับร่างนั้นไว้แน่น ปลายลิ้นที่สอดสัมผัสเข้ามานั้นทำให้เขารู้สึกตกใจ ฟ่งเบียดตัวเข้ามา ร่างกายสั่นน้อยๆ ทว่าการรุกรานภายในปากยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลังจากที่เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รูฟัสก็เริ่มรุกกลับ จนทำให้อีกฝ่ายถึงกับผงะ ฟ่งดันตัวเองออก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเบาๆ
   “สัญญานะ รูฟัส” เสียงพูดนั้นแทบจะเป็นเสียงคราง รูฟัสรู้สึกถึงความร้อนจากร่างของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนกับคำพูด
   “กอดผม” ฟ่งกระซิบอีกครั้ง ลมหายใจร้อนผ่าวระลอกแล้วระรอกเล่าสัมผัสกับแผงอก รูฟัสรวบร่างนั้นเข้ามา ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากที่เผยอขึ้นรอรับ เสียงครางลอดออกมาจากลำคอของอีกฝ่าย ขณะที่ร่างบางนั้นเริ่มบิดไปมา พร้อมกับวงแขนที่เกี่ยวรัด รูฟัสรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่หลัง ฟ่งใช้เล็บข่วนเบาๆ ก่อนจะผละออกไป เสียงครางแสนรัญจวนดังลอดออกมาอีกครั้ง ก่อนที่การเคลื่อนไหวจะสงบลง พร้อมกับเสียงถอนหายใจ
รูฟัสแทบคลั่ง เขามองดูร่างบางที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอด ด้วยความไม่รู้ว่าสมควรจะทำอย่างไรต่อไป ลมหายใจนั้นเริ่มมีจังหวะสม่ำเสมอ ชายหนุ่มพยายามระงับความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้เขากลายเป็นฝ่ายที่นอนไม่หลับเสียเอง
--------------------------
   เสียงเพลงแจ๊สจากสเตอริโอที่ดังขึ้นเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว รูฟัสกะพริบตาเพื่อให้ชินกับแสงสว่าง ก่อนจะยันร่างขึ้นจากเตียง
   “หนวกหูรึเปล่า?” เสียงคุ้นหูถามขึ้น ฟ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเช่นเคย เขาไม่ได้ติดกระดุมด้านหน้า เผยให้เห็นแผงอกเรียบเนียน สวมกางเกงขาสั้นสีเทาอ่อน
   “เปล่า” รูฟัสตอบ พลางขยี้ตา เขามองเห็นเรียวขาขาวๆ เดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียง เดินออกมาด้านนอก ร่างบางยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์กำลังชงอะไรบางอย่าง
   “นอนหลับรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งหันกลับมาถาม สีหน้าไร้เดียงสานั้นทำเอารูฟัสปวดหัวอีกครั้ง เขาอยากจะกดร่างบางๆ นั้นลงกับเคาน์เตอร์ เอาคืนเรื่องเมื่อคืนเสียให้เข็ด แต่แววตาที่ดูเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราวใดๆ ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ครางอืมในลำคอ
   “อาบน้ำก่อนไหมครับ ผมชงโกโก้ร้อนไว้เผื่อ ถ้าคุณไม่รังเกียจ..”
   “ไม่เลยครับ” รูฟัสรีบตอบ ความรู้สึกไม่พอใจที่ติดมาจากเมื่อคืนหายไปราวกับโดนล้าง
   “วันนี้คุณว่างรึเปล่า?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างงง “ทำไมหรือ?”
   “ไปเที่ยวกับผมได้ไหม?”
   “ได้สิ” ฟ่งยิ้ม ทำให้รูฟัสอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มขาวๆนั้นอีกครั้ง
----------------------------
   ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบร่างกาย ขณะที่สองหนุ่มยืนมองดูตารางภาพยนตร์อยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋ว ฟ่งขมวดคิ้วยุ่งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะ
   “ผมไม่ดูดีกว่า” เขาว่าพลางทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างสุดแสน รูฟัสได้แต่ยิ้ม เสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวที่ฟ่งใส่ออกมาทำให้ดูน่ามองกว่าทุกวัน ความจริงเขาแค่อยากออกมาเดินเล่นกับฟ่งเฉยๆ แค่ได้เดินใกล้ๆ พูดคุยกันเรื่องมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว แต่ดูเหมือนฟ่งจะจริงจังกับการมาเที่ยวครั้งนี้มาก เมื่อหาภาพยนตร์ที่อยากดูไม่ได้ หนุ่มสวมแว่นจึงพยายามมองหาอย่างอื่นแทน
   “ไปเล่นเกมกัน” เขาว่า ก่อนจะเดินตัวปลิวนำหน้าไป พลอยทำให้รูฟัสต้องจ้ำตามไปด้วย ฟ่งวนดูเครื่องเกมส์ต่างๆ ที่วางอยู่ในเกมเซนเตอร์อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปที่เคาน์เตอร์แลกเหรียญ แล้วเดินมาหยุดหน้าตู้เกมHouse of Dead 4 ฟ่งหัวเราะ ก่อนจะวางเหรียญที่แลกมาไว้ข้างตู้หยอด
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:18:26
“ดีจังที่วันนี้ไม่ค่อยมีคน คุณเคยเล่นไหม?”
   รูฟัสส่ายหน้า พลางมองกองเหรียญที่ฟ่งกองไว้ด้วยความสงสัย ท่าทางจะหลายบาทอยู่
   “มันเป็นเกมที่เราจะต้องไล่ยิงผีไปเรื่อยๆ น่ะ พอถึงบอสมันจะมีจุดอ่อนมาให้ ก็ยิงตรงนั้น แค่นั้นแหละ” หนุ่มสวมแว่นอธิบาย ทั้งๆ ที่รูฟัสเป็นคนชวนมาแท้ๆ แต่พอถึงตรงนี้ ดูเหมือนฟ่งจะยึดเอาตารางการเดทไปจัดการเองจนหมด อาการกระตือรือร้นของฟ่งทำให้รูฟัสอดรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
   “เล่นบ่อยหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องหน้าจอตู้เกมอย่างจริงจัง ฟ่งส่ายหน้า
   “เปล่า ผมเล่นเกมพวกนี้ห่วยมาก แต่ก็อยากเล่นน่ะ” หนุ่มสวมแว่นตอบ พลางหยิบปืนอินฟาเรทที่วางอยู่ส่งให้รูฟัส หนุ่มรัสเซียรับไปอย่างงงๆ ร่างบางก้มลงหยอดเหรียญลงไปด้านละเหรียญ หยิบปืนขึ้นมาถือแบบเก้ๆ กังๆ ท่าทางนั้นทำให้รูฟัสเผลอยิ้มออกมา
   แล้วเขาก็เข้าใจว่าทำไมฟ่งถึงต้องแลกเหรียญมาเยอะแยะ ความแม่นยำในการเล็งเป้าหมาย และความไวสายตาของฟ่งอยู่ในระดับแย่ แม้ว่าจะพยายามช่วยแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังรักษาแต้มที่ใช้เล่นต่อไม่ได้อยู่ดี
   “โอ๊ย ฮ่ะฮ่ะ”
   ฟ่งหัวเราะ ตอนที่ตะเกียงไฟในจออันสุดท้ายหายไป เพราะขวานที่ลอยมาจากตรงไหนซักแห่งของฉาก เหรียญที่กองเอาไว้หมดพอดี รูฟัสมัวแต่หันมามองอากัปกิริยาของอีกฝ่าย จนพลอยโดนสับไปด้วย
   “เสียดายจัง” ร่างบางพูด ขณะที่อีกฝ่ายขึ้นContinueมาเช่นกัน รูฟัสยิ้มพลางถามอย่างเอ็นดู “จะเล่นต่อรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “คุณเล่นสิ ผมคอยลุ้น”
   รูฟัสยักไหล่ พลางแบมือ ทำหน้าสยดสยอง “ไม่เอาล่ะครับ ผมไม่ชอบอะไรผีๆ”
   ฟ่งหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของอีกฝ่าย “คุณต้องอำผมแน่ๆ ขนาดไม่ชอบคุณยังยิงแม่นขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะเล่นครั้งแรก”
   รูฟัสหัวเราะอีกครั้ง พลางคิดว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาทำอะไรมาบ้างคงหัวเราะไม่ออกแน่ๆ ฟ่งมีสีหน้าครุ่นคิด และเงียบไปอีกพักหนึ่ง
   “เอ..ไปไหนต่อดี?” ในที่สุดเขาก็หันมาถาม หลังจากที่เดินออกมาจากเกมเซนเตอร์
   “โยนโบวลิ่งไหมล่ะครับ?” รูฟัสเสนอ เขาเห็นลานอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนนัก ฟ่งทำหน้าเหลอหลา “ผมโยนไม่เป็นนะ”
   “เอาน่า ผมสอนให้” รูฟัสยิ้มกว้าง ก่อนจะคว้ามือของอีกฝ่ายเดินเข้าไปในลานโบวลิ่ง เล่นเอาคนถูกจูงพูดไม่ออก
   อากาศในลานโบวลิ่งดูเหมือนจะถูกปรับให้มีอุณหภูมิต่ำลงจากบริเวณปกติ เสียงลูกบอลไฟเบอร์กลาสตันๆ กระแทกกับพื้นไม้ขัดมันดังทึบ ตามด้วยเสียงพินที่ถูกกระแทกล้มกราว ดังขึ้นเป็นระยะๆ ฟ่งถือโอกาสขณะที่รูฟัสจ่ายเงินค่าชั่วโมงสลัดมือออกอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆ พลางนึกถึงตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัย เขาเคยมาลานโบวลิ่งครั้งหนึ่งเพราะคำชวนของเพื่อนต่างคณะ จำได้ว่าตอนนั้นมีเพียงสามคนที่เล่นไม่เป็น และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสคุยกับดาเป็นการส่วนตัว
   ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ ภาพความหลังค่อยๆ ย้อนมาอีกครั้ง เขาพยายามสูดหายใจลึก หยาดน้ำบางๆ เคลือบอยู่บนขนตางอนนั้นเล็กน้อย ชายหนุ่มยกมือปาดออก เป็นจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเดินเข้ามาพอดี
   “ฟ่ง” เสียงทุ้มๆ ที่เรียกมาทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง ฟ่งหันตัวไปทางเสียงเรียก รูฟัสนั้นเป็นผู้ชายรูปร่างสูง นอกจากหน้าตาดีแล้ว รูปร่างก็ดูดีมากจริงๆ ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขายาวธรรมดาก็ดูเด่นจนใครๆ ก็หันมองแล้ว ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไป รู้แต่รูฟัสก้มลงมองเขาและขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
   ร่างบางรีบสั่นศีรษะ ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป
   “ผมไม่เคยเล่นเลยนะ” ฟ่งตอบเสียงอ่อยๆ รูฟัสยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
   “เล่นไม่อยากหรอกครับ สอนแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เป็น”
   ว่าแล้วก็ฉวยมือของอีกฝ่ายจูงไปที่ล็อกเกอร์เก็บรองเท้า
------------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกเหมือนหัวไหล่จะหลุดตอนเดินออกมาจากลานโบวลิ่ง เขานึกดีใจที่พนักงานไม่มาต่อว่า พลางคิดว่าพื้นในลานกะเทาะไปกี่จุด รูฟัสรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินคลำไหล่ป้อยๆ
   “เจ็บหรือครับ?” เขาถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งหันมายิ้มแห้งๆ
   “ก็นิดหน่อย ผมไม่ถนัดเล่นกีฬาน่ะ แต่ก็สนุกดี แล้วก็..เอ่อ... คราวหลังถ้าจะจับมือบอกก่อนได้ไหมครับ ผมอาย”
   รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ ใจจริงเขาอยากจะกุมมือนั้นไว้ตลอดเวลาด้วยซ้ำ ฟ่งยกมือขึ้นดันแว่น มองไปรอบๆ ตัว เนื่องจากนานๆ ทีเขาจะได้ออกกำลังกาย จึงทำให้รู้สึกเหนื่อยไม่ใช่น้อย ชายหนุ่มอยากจะนั่งหย่อนก้นสบายๆ เพื่อพักแขนและขาอันเมื่อยล้า ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนขึ้นก่อน
   “ทานไอศกรีมไหม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่ารูฟัสจะมีสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินคำตถาม บางทีอาจจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะชวนเข้าร้านไอศกรีม ถึงกระนั้นร่างสูงใหญ่ก็ยังคงตอบตกลงอย่างว่าง่าย
   ทั้งคู่เดินเข้าไปในร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่ติดกับร้านขายขนมปังทำมือ ฟ่งเลือกที่นั่งตรงริมมุมร้าน หยิบเมนูส่งให้รูฟัส ชายหนุ่มรับเมนูมา แต่สายตากลับจับจองใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม อย่างไม่วางตา ความจริงเขาเองก็ชอบทานไอศกรีมอยู่ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ากลับชวนให้สนใจมากกว่า ชายหนุ่มนั่งเหม่อจนอีกฝ่ายทักขึ้น
   “ไม่สั่งหรือครับ?” ฟ่งถาม รูฟัสรู้สึกตัวจากภวังค์ พลางยิ้มเขินๆ
   “เอาฟัจน์บราวนี่ที่หนึ่งครับ” เขาหันไปสั่งกับพนักงานสาว ซึ่งดูเหมือนจะมายืนรออยู่ครู่หนึ่งแล้ว
   “ช็อกโกแลต มูส รอยัล ที่หนึ่งด้วย” ฟ่งหันไปสั่งต่อ หญิงสาวจดรายการลงในเมนู ก่อนจะพูดทวนอย่างรวดเร็ว รูฟัสพยักหน้า พลางหันมาถามคนนั่งตรงข้าม
   “ชอบทานช็อกโกแลตหรือครับ?”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับปาก ก่อนจะเกาหัวแกรกกราก เมื่อเห็นพนักสาวที่เพิ่งจดเมนูออกไป แอบอมยิ้มพร้อมกระซิบกระซาบกับเพื่อนพนักงานอีกคนหนึ่ง แล้วโบ้ยหน้ามาทางโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ รูฟัสคงรู้สึกถึงความผิดปกติจากใบหน้าของฟ่ง จึงหันไปมองบ้าง
   ทั้งคู่ได้แต่ฝืนยิ้มให้กัน บรรยากาศอึดอัดเริ่มก่อตัวขึ้น ฟ่งไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อไอศกรีมมาถึง เขาก็ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับจะไปแข่งชิงแชมป์โลก รูฟัสคิดว่าควรต้องทำอะไรซักอย่างกับเหตุการณ์แบบนี้ ถูกหรอกว่าเขาไม่ค่อยจะใส่ใจกับเสียงกระซิบกระซาบของคนทั่วไปมากนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นที่สนใจของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถ้ามันทำให้คู่เดทรู้สึกอึดอัดแบบนี้ รูฟัสก็เริ่มมีโมโหแล้วเหมือนกัน ขณะที่กำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหา เสียงทักของใครบางคนก็ดังขึ้น
   “ฟ่ง ใช่ฟ่งรึเปล่า?” ฟ่งชะงักมือ พลางเงยขึ้นมองเจ้าของเสียง ทำให้รูฟัสต้องหันไปมองตามด้วย เจ้าของเสียงเป็นสาวร่างสูง ผิวสีแทน ผมสีน้ำตาลยาวสลวย หล่อนสวมเสื้อสายเดี่ยวสีเขียวดำ ยีนส์ขาสั้นโชว์เรียวขาเรียบเนียน  สวมร้องเท้าส้นสูงสีขาว มือข้างขวาหิ้วถุงกระดาษใบเล็กๆ คงเป็นเครื่องสำอางที่ซื้อจากร้านใดร้านหนึ่ง
   หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ หล่อนหันไปบอกขอโทษขอโพยรูฟัสที่รบกวน ก่อนจะหันมามองฟ่ง “ใช่นายจริงๆ ด้วย”
   ฟ่งยิ้มเฝื่อนๆ ยกมือดันแว่นให้เข้าที่ พยายามนึกว่าเคยเจอสาวสวยคนนี้ที่ไหน แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก
   “ฉันเอง พงษ์ไง” เธอพูดยิ้มๆ แล้วหันไปบอกขอบคุณรูฟัสที่ยกเก้าอี้ให้  ฟ่งอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนปลาขาดออกซิเจน
   “ไอ้พงษ์!!!” ในที่สุดชายหนุ่มก็ครางออกมา คนชื่อพงษ์หัวเราะหึหึ ฟ่งยกลูบหน้า ก่อนจะพูดต่อ   “ไปผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วเรอะ”
   คนถูกถามพยักหน้า พลางลุกขึ้น “ฉันไปก่อนล่ะ ไว้เจอกัน”
   “อ่าว เพิ่งเจอกันแล้วจะรีบไปไหนน่ะ?” ฟ่งพูดอย่างงุนงง พงษ์หันกลับมา “ก็นายคุยธุระกับลูกค้าอยู่นี่”
   ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจ เขาหันไปมองรูฟัส แล้วก็หัวเราะขึ้นมา
   “คนนี้ไม่ใช่ลูกค้าหรอก นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มกล่าว อดีตเพื่อนที่เคยเป็นชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง หล่อนหันมามองหน้ารูฟัส แล้วหันกลับไปมองเพื่อน
   “พงษ์ นี่รูฟัสนะ แล้วก็นี่พงษ์ เพื่อนตอนสมัยเรียนมหาลัยของผม” ฟ่งแนะนำทั้งคู่ รูฟัสยิ้มให้พงษ์เล็กน้อย คนถูกแนะนำพูดทักทายอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะหันไปพูดกับฟ่ง
   “จริงๆ ฉันเปลี่ยนชื่อแล้วด้วยนะ เปลี่ยนเป็นพัช”
   “อ้อ จะไปเป็นนักร้องหรือไง” ฟ่งแซว พงษ์หรือพัชหัวเราะเบาๆ
   “บ้า แล้วตาฝรั่งนี่ใครน่ะ?” พัชเอ่ยถาม พลางหันหน้าไปมองคนร่วมโต๊ะที่ถูกแนะนำให้รู้จักอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป รูฟัสฝืนยิ้ม เขารู้ตัวว่าอาจจะอยู่ไม่ถูกที่นักสำหรับการพบกันของเพื่อนเก่า พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
   “ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ร่างสูงพูดพลางผุดลุกขึ้น ฟ่งพยักหน้าน้อยๆ รูฟัสยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เดินเนิบๆ ออกไปด้านนอกร้าน
   ทันทีที่ร่างสูงเดินลับออกไป พัชลากฟ่งเข้ามาใกล้ๆ ทันที
   “ตาย พูดภาษาไทยได้ด้วย ฉันล่ะเกือบจะนินทาไปแล้วเชียว คนอะไร หน้าตาดีเป็นบ้า หุ่นก็สุดยอด นี่เขาเป็นอะไรกับนายน่ะ?”
   “เพื่อนข้างห้องน่ะ” ฟ่งตอบแบบไม่คิดอะไร ได้ยินเสียงเพื่อนพูดต่อ
   “เออ เดี๋ยวนี้นายพาคนข้างห้องมากินไอติมด้วยกันสองต่อสองเหรอ? นี่นายคงไม่ได้เลิกกับดาเพราะฝรั่งคนนี้หรอกนะ?”
   ฟ่งพ่นไอศกรีมที่กำลังกินอยู่ออกมาละล่ำละลักพูดขึ้น “จะบ้าเรอะ!!”
   พัชมองหน้าเพื่อนอีกครั้งด้วยสายตาไม่เชื่อถือ คนถูกมองทำหน้ายุ่ง “ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”ร่างบางย้ำอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ
   “ฉันเลิกกับดาเพราะเรื่องเดิมๆน่ะแหละ ไม่เกี่ยวกับหมอนั่นหรอก”
   เมื่อเอ่ยถึงแฟนเก่า ฟ่งมีสีหน้าสลดลง พัชตบไหล่เป็นเชิงปลอบ “โทษที ก็มันชวนให้คิดนี่นา คนธรรมดาที่ไหนเขาชวนกันออกมากินไอติมกันสองต่อสองบ้างล่ะ หรือนายจะบอกว่ายังมีเพื่อนคนอื่น?”
   ฟ่งได้แต่นิ่งเงียบ ตอบไม่ออก ดวงตาของเพื่อนเป็นประกายทันที “มากันสองคนจริงๆ งั้นสิ แค่คนข้างห้องแน่เร้อ”
   “บอกว่าข้างห้องก็ข้างห้องสิฟ่ะ” ฟ่งตอบอย่างมีอารมณ์ พัชพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็ไม่วายตั้งข้อสังเกตต่อ
   “งั้นทำไมมากันแค่สองคนล่ะ นายชวนเขาหรือเขาชวนนายฮึ?”
   “ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้นายหัดทำตัวเป็นพ่อแม่ฉันแล้ว” ฟ่งพูดสวนทันที แต่แทนที่เพื่อนเก่าจะสำนึกตัว กลับจีบปากจีบคำพูดต่อ
   “ต๊าย! ถามแค่นี้ก็ไม่ได้หรือไง หรือว่าไม่อยากจะตอบ นี่ไม่ใช่ว่าเคยนอนด้วยกันแล้วหรอกนะ?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนไอศกรีมติดคอ เขาเงยหน้ามองเพื่อนด้วยความรู้สึกแน่นหน้าอก เห็นอีกฝ่ายทำตาโต อุทานเสียงแปลก “เฮ้ย! ฟ่ง.. หน้าแดง...ฟ่งหน้าแดง”
   คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ได้ เขาจ้องหน้าเพื่อน พยายามกล้ำกลืนไอศกรีมเข้าไปในคอ ถลึงตาใส่คนพูดอย่างเอาเรื่อง พอเห็นคนถูกล้อมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น คนล้อเลยยอมสงบปากสงบคำลงนิดหน่อย
   “แหม...เรื่องแบบนี้จริงๆ ไม่ต้องปิดกันหรอก มีอะไรกับคนหล่อๆ แบบนี้ฉันไม่ถือสานายหรอกนะ”
   “ฉันไม่ใช่เกย์!” ฟ่งแค่นเสียง เพิ่งเคยเจอเม็ดอัลมอนเม็ดใหญ่ขนาดนี้ในไอศกรีม เขาถึงกับต้องคว้าน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วถึงจะรู้สึกว่ามันไหลลงคอไป สีหน้าจริงจังจนออกแนวมีโมโหทำให้อีกฝ่ายยอมเปลี่ยนเรื่อง
   “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่..อืม...เจอนายก็ดีแล้ว ขอเบอร์โทรหน่อยสิ มือถือเครื่องเก่าฉันหาย เบอร์ก็เลยปลิวไปด้วยน่ะ” พัชพูดและอธิบายเหตุผลเสร็จสรรพ ฟ่งพยักหน้า ก่อนจะบอกเบอร์มือถือตัวเองออกไป
   “วันที่ยี่สิบแปดนี้มีงานมีตติ้งที่คณะ ยังไม่มีใครบอกนายสินะ?” ฟ่งสั่นศีรษะ อีกฝ่ายจึงพูดต่อ
   “โอเค งั้นฉันบอกเลย หกโมง..ที่คณะ เตรียมตังไปด้วยล่ะ งานนี้ไม่ฟรีหรอกนะ น้องๆ เค้าจัด” ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็กะพริบตาปริบๆ งานมิตติ้ง? ดาจะไปด้วยรึเปล่า?
   ฟ่งยังนึกไม่ออกว่าจะทำหน้ายังไงหากได้เจอแฟนเก่า ขณะที่กำลังจะบอกเพื่อนว่าอาจจะไปไม่ได้ พัชก็ชิงลุกขึ้น
   “ฉันไปก่อนล่ะ ไม่อยากอยู่ขัดความสุขพวกนาย เออ..แล้วงานมีตติ้งน่ะ...ไปให้ได้ล่ะ อย่าให้ฉันต้องถ่อไปลากคอนายออกมา” น้ำเสียงช่วงหลังถูกขยายขึ้นเหมือนจงใจขู่ ฟ่งได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เอาเถอะ ถึงวันนั้นเขาคงคิดวิธีจะเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองได้ พัชโบกมือให้เขา และก้าวออกไปอย่างมาดมั่น ฟ่งพลันนึกสงสัยตัวเองว่า เขาคบเพื่อนแบบนี้มาได้ยังไงตั้งหลายปี แต่นอกจากอาการผิดเพศแล้ว พัชหรือพงษ์ก็ไม่ได้นิสัยแย่อะไร และที่เขาคบกับเพื่อนคนนี้มาได้หลายปี เพราะเจ้าหมอนี่ไม่เคยแสดงอาการอยากจะแตะตัวเขาหรืออะไรที่มันเกินกว่าความเป็นเพื่อนด้วยแหละ
   จู่ๆ ฟ่งก็เกิดอาการขนลุก แล้วรูฟัสล่ะ คนข้างห้องที่รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ก็ถึงเนื้อถึงตัวเขาจนเลยเถิด คนแบบนี้สมควรที่เขาจะคบต่อหรือ ขณะที่กำลังขบคิดอย่างจริงจัง เสียงของรูฟัสก็ดังขึ้น
   “เพื่อนกลับแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนโยน พอเห็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูห่วงใยบนใบหน้าคมสันนั้นแล้ว ฟ่งก็ขี้เกียจจะคิดอะไรให้มากอีก เขายิ้มตอบรูฟัส ก่อนจะพยักหน้า
   “จะไปไหนต่อรึเปล่า?” คนถูกถามสั่นศีรษะ พลางล้วงเงินออกมาจ่ายค่าไอศกรีม
   “ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”
--------------------------------------------
   สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้า รูฟัสยกมือเสยผม ท้องฟ้าในกรุงเทพเต็มไปด้วยหมอกควันเสียจนไม่อาจจะมองเห็นดวงดาวได้ถนัด ความจริงคืนนี้เขาจะตั้งจะง้องอดขอนอนกับคนข้างห้องอีกคืน แต่โทรศัพท์ที่เข้ามาเมื่อช่วงเย็นทำให้หัวใจของรูฟัสหนักอึ้ง
   เว่ยเฟิงปิงกำลังจะมาประเทศไทย
   นั่นคือข้อความที่ราฟาแอลโทรมาแจ้ง สายลมพัดรุนแรงขึ้น เค้าเมฆสีแดงก่อตัวมาจากท้องฟ้าทางทิศเหนือ  ชายหนุ่มหลับตาลง ภาพของนัยน์ตาสีฟ้าที่เต็มไปด้วยความแค้นผุดขึ้นในจิตสำนึก รูฟัสถอนหายใจ เขาลืมตาขึ้นมองหมู่เมฆทะมึนนั้นอีกครั้ง
---------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy ตอนที่1-5
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 23-05-2011 21:18:50
ยาวสะใจ แนวสายลับชอบครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ  :L2:

อ้าวเวรกรรม ขออภัยที่มาปาดหน้าครับ นึกว่าหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:23:08
บทที่7 เว่ยเฟิงปิง
   เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังขึ้นเป็นระยะๆ ชายวัยกลางคนร่างท้วม ผิวสีน้ำผึ้ง สวมเสื้อซาฟารีหลวมๆ นั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาดที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงของสปาแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา สายลมอ่อนๆ พัดเอาควันจากซิการ์ที่อยู่ในมือซ้ายฟุ้งหายออกไป ฟาบิโอขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
   ผู้มาเยือนเป็นบุรุษหนุ่ม อายุคงราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ผมรองทรงสีดำยาวถึงบริเวณกกหู หวีแสกขวา ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆสีเทาอ่อน กางเกงสแลคสีขาวปลอด ตัดกับรองเท้าหนังสีดำสนิทที่ถูกขัดจนมันปลาบคู่นั้น ริมฝีปากบางกล่าวคำทักทายเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างชัดเจน ผิดกับใบหน้าที่ติดไปทางเอเชียแบบชาวจีน
   นี่เป็นครั้งแรกฟาบิโอได้พบกับบุตรชายคนที่เจ็ดของตระกูลเว่ย หนึ่งในตระกูลผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง ผู้มีนามว่าเว่ยเฟิงปิง
   ใบหน้าเรียวยาวนัยน์ตาหรี่เล็กและรอยยิ้มที่ดูปั้นแต่ง ทำให้ดอนแห่งอิตาลีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก มันทำนึกถึงงูตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
   ผู้ที่ติดตามมาด้านหลังเป็นคนที่เขาจำได้ดี ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผู้มีผมยาวสีดำสนิทมัดรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าคมสันได้รูป มาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกับกางเกงสีดำสนิท ชายคนนี้มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยน หนึ่งในนักฆ่าระดับพระกาฬของตระกูลเว่ย ซื่อเยี่ยนเคยทำงานให้ฟาบิโอครั้งหนึ่ง ซึ่งฝีมือเป็นที่ประทับใจจนเขาแทบจะเอ่ยปากขอตัวให้ไปทำงานด้วย
   คนของฟาบิโอรีบยกเก้าอี้เข้ามา เว่ยเฟิงปิงหย่อนกายลงนั่งอย่างไว้เชิง ก่อนจะยกมือปฏิเสธซิการ์ที่ฟาบิโอยื่นให้อย่างสุภาพ
   “จะเริ่มคุยธุระได้รึยังครับ?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเป็นฝ่ายพูดก่อน ฟาบิโอโบกมือให้ลูกน้องของตนกลับเข้าไปในตัวตึก เฟิงปิงหันไปมองซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มเอ่ยภาษาจีนขึ้นมาสองสามประโยค ก่อนที่จะโดนสายตาคมกริบกดดันให้ต้องถอยออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ผู้มีดวงตาเหมือนพญางูใหญ่หันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ทำให้คนเห็นเกิดความสบายใจเลย ฟาบิโอกระแอมไอ ก่อนจะเคาะขี้เถ้าซิการ์ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ดินเผารูปแมวที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆ “ได้ยินว่าคุณตามล่าสายลับคนหนึ่งอยู่”
   เฟิงปิงพยักหน้า ฟาบิโอสังเกตเห็นว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์นั้นเป็นสีฟ้าอ่อน ช่างขัดกับหน้าตาเสียจริงเชียว
   “มิสเตอร์เว่ย เรื่องนี้เป็นความลับที่สุด เมื่อไม่นานมานี้ผมคิดว่าได้เจอกับคนที่คุณตามหา”
   “ครับ” เฟิงปิงรับคำ สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “คุณทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ผมตามหา?”
   ประกายตาเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอีกครั้ง ฟาบิโอถอนหายใจ ก่อนจะพูดเรียบๆ
   “บอกคุณตามตรง ผมไม่ได้เห็นหน้าตาหรือรูปร่าง หรือแม้แต่เสียงของเขาเลย”
   สีหน้าของเฟิงปิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงกระนั้น ก็ยังคงรักษาท่าทีอันสง่างามเอาไว้ได้
   “แต่ลูกน้องของผมได้เห็นเขาแวบหนึ่ง คุณอยากจะคุยด้วยตัวเองไหมล่ะ?”
   เฟิงปิงโบกมือ “ไม่ล่ะครับ เขาคงเล่าให้คุณฟังหมดแล้ว อีกอย่าง ผมไม่ค่อยชินกับภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลี่ยนเสียด้วยสิ”
   ประโยคสุดท้ายคล้ายเหน็บแนมเล็กๆ ฟาบิโอฝืนยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “คนที่พวกเขาเห็นเป็นชายหนุ่มผมสีดำ สูงราวๆ ร้อยแปดสิบกว่าๆ แข็งแรงพอสมควรเลยล่ะ”
   “สีตาล่ะครับ?” จู่ๆ เฟิงปิงก็ถามขึ้น น้ำเสียงเจือความร้อนรนจนจับได้
   “ไม่เห็นหรอก” ฟาบิโอแบมือออก มองหน้าเรียวๆ ของฝ่ายสนทนาอย่างรู้ทัน ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว
   “ตาแบบนั้นใครเห็นก็จำได้ เขาคงไม่โง่”
   “ครับ” น้ำเสียงของเฟิงปิงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ฟาบิโอยกซิการ์ขึ้นมาสูบอีกครั้ง
   “ผมควรจะเสี่ยงกับคำบอกเล่าแค่นี้ของคุณหรือครับ” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ ดอน ฟาบิโอ อมยิ้มเล็กๆ
   “เสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมันก็แล้วแต่คุณ คุณคงไม่บินจากฮ่องกงมาที่นี่โดยเชื่อแค่สิ่งที่ผมบอกหรอกนะ”
   เฟิงปิงหัวเราะในลำคอ “ใครจะไปรู้ล่ะครับ บางทีผมอาจจะบ้าแบบที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้”
   นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ราวงูนั้นหรี่เล็กลง
   “คุณเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้ละเอียดดีกว่าครับดอน ถ้าคุณไม่เล่าให้หมด มันก็ไม่คุ้มค่าเสี่ยงของผม” ริมฝีปากบางนั้นหยุดยิ้มเล็กน้อย “ผมรู้ว่าคุณหวังจะใช้ผมเป็นหมาล่าเนื้อ แต่ผมไม่ยอมโดนใช้ฟรีหรอกนะครับ เล่ามาดีกว่าว่าเขามาเค้นความลับอะไรจากคุณ”
   ชายร่างท้วมฝืนยิ้ม เขาวางซิการ์ลงบนที่เขี่ย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
   “หนุ่มๆ สมัยนี้บ้าคลั่งกันดีนะ พวกคุณทำให้ผมเหมือนกลายเป็นสุนัขแก่ๆ”
   เฟิงปิงยิ้มอีกครั้ง พลางโบกมือ
   “ไม่หรอกครับ ผมน่ะเคารพผู้ใหญ่ อีกอย่างผมพอจะเดาได้ว่าเขามาหาคุณเพราะเรื่องอะไร”
   ฟาบิโอเลิกคิ้วสูง มองดูนัยน์ตาหรี่เล็กสีฟ้าคู่นั้นด้วยความหวาดหวั่น
   “Tezcatlipoca(เทซคาทลิโพคา)”
   เฟิงปิงพูดจบแล้วก็หัวเราะ ในขณะที่ฟาบิโอหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
   “คุณพ่อผมทราบเรื่องแล้ว ท่านฝากบอกคุณมาว่าคิดถึงให้ไปเยี่ยมบ้าง”
   ฟาบิโอหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะถามขึ้นบ้าง “อย่างนั้นคุณก็มาเพราะเรื่องนี้ด้วยสินะ”
   “ไม่ใช่หรอกหรับครับ คุณพ่อบอกปัดเรื่องนี้ไปแล้ว ผมมาเพราะเรื่องอื่น แต่ก็ไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่ เราทั้งหมดเหมือนฝูงแมลงวันเลยนะครับ ตอมได้ไม่เลือก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสกปรกขนาดไหน” ริมฝีปากบางนั้นคลี่ยิ้มอีกครั้ง ช่างเป็นรอยยิ้มที่ทิ่มแทงและเย้ยหยันเสียนี่กระไร ฟาบิโอได้แต่ฝืนยิ้มตอบ
   “ดอนครับ เห็นแก่ที่คุณกับคุณพ่อผมเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมจะทำงานนี้ให้คุณ ถือว่าเป็นภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างอยู่นี่แล้วกันครับ คงไม่รังเกียจ ถ้าจะขอของตอบแทนเป็นงานศิลปะสักสองสามชิ้นที่คุณเก็บสะสมอยู่ผมอยากได้มันมาประดับที่สำนักงาน”
   ฟาบิโอยกมือขึ้นลูบคางอูมๆ คิ้วสีบรอนด์หนาเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ช่างต่อรองดีนะ เอาเถอะ ฉันให้ ทำงานให้สำเร็จแล้วกัน”
   “แหม.. พูดจาเหมือนเป็นเจ้านายผมเลยนะครับ” เฟิงปิงกระแนะกระแหน “แต่อะไรที่ทำให้คุณคิดว่า คนที่คุณเจอเป็นคนคนนั้นล่ะครับ?”
   ฟาบิโอโคลงศีรษะ พูดเนิบนาบ “มีคนบ้าไม่มากหรอกนะที่จะทำเรื่องแบบนี้ ฉันมานั่งนึกทบทวนดูแล้ว จากลักษณะและรูปแบบการทำงาน คงไม่พ้นต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ”
   เว่ยเฟิงปิงผงกศีรษะ ชื่อชื่อหนึ่งหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ
   “รูฟัส เวสธ์”
---------------------------
   รูฟัส เวสธ์
   ซื่อเยี่ยนรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่นึกถึงชื่อนี้ ก่อนหน้านี้เขาทำงานให้กับหน่วยงานที่มีไว้กำจัดสายลับและคนทรยศของตระกูลเว่ย หรือที่เรียกกันว่าหน่วยดำ ซึ่งขึ้นตรงกันเว่ยชิง ผู้เป็นเจ้านายใหญ่และเป็นบิดาของเว่ยเฟิงปิง เขาย้ายเข้ามาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้เฟิงปิงตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ในช่วงที่แก๊งกำลังระส่ำระสายเพราะมีการโจรกรรมข้อมูลสำคัญภายในแก๊งออกไปขายให้กับแก๊งคู่แข่ง และผู้ที่ให้การช่วยเหลือการโจรกรรมกลับไม่ใช่ใครอื่น นอกจากลูกชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิงที่เพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษ
   อดีตหน่วยดำยังจำได้ดีถึงวันที่เฟิงปิงรับสารภาพต่อหน้าสมาชิกแก๊งเกือบแทบทุกระดับ ว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เว่ยชิงไม่ลังเลที่จะลงโทษบุตรชายของตนเพื่อที่จะไม่ให้สมาชิกคนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง แน่นอนว่าเขาลงมือด้วยตัวเอง ไม่มีเสียงห้าม ไม่มีใครกล้ากะพริบตา วิธีการลงโทษนั้นช่างเรียบง่ายและโบราณ แต่ความทารุณนั้นกลับไม่อาจดูแคลนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระทำของพ่อตัวเอง แส้หนังที่ติดหนามเล็กๆไว้ตลอดเส้นหวดโบยลงบนร่างของเด็กหนุ่มซึ่งมีวัยเพียงสิบแปดปี โดยไม่มีการยั้งมือ สร้างรอยแผลแตกยับไว้เต็มร่าง เสียงร้องโหยหวนตอนที่น้ำเกลือถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่าง ทำให้ทุกคนในที่นั้นเบือนหน้า
   เว่ยชิงยื่นข้อเสนอให้กับบุตรชายซึ่งหายใจรวยรินในตอนนั้น ว่าถ้าหากอยากจะกลับเข้ามาในแก๊งก็จงคลานขึ้นมาจากระดับล่างสุด แต่หากไม่ต้องการก็จงหายหน้าไปให้พ้นจากฮ่องกง แล้วให้เลิกใช้แซ่เว่ย นั่นคล้ายเป็นคำสั่งอัปเปหิออกจากตระกูลกลายๆ เฟิงปิงเลือกข้อแรก ถึงกระนั้นการลงโทษก็ยังคงไม่หยุดลง เว่ยชิงออกคำสั่งห้ามทุกคนในแก๊งให้การสนับสนุนเฟิงปิง หากใครฝ่าผืน จะถูกลงโทษจากหน่วยดำทันที นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซื่อเยี่ยนได้เข้ามาสัมผัสกับเส้นทางชีวิตของชายผู้มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   เขาได้รับคำสั่งลับๆ จากเว่ยชิงให้คอยจับตาดูเฟิงปิงหลังจากการพักฟื้น และแน่นอนว่ารวมไปถึงการจัดการกับผู้ขัดคำสั่งทั้งหลายด้วย หลังจากการปฏิบัติการระดับมาตรฐานของหน่วยดำสองสามครั้ง ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือเฟิงปิงอีก
   บางทีเฟิงปิงอาจจะไม่ทราบ การที่เว่ยชิงแอบส่งเขามาคอยเฝ้าดูนั้น เป็นการยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายตัวเองแบบเงียบๆ  ชื่อเยี่ยนให้รับอนุญาตให้ช่วยเหลือเฟิงปิงได้ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการช่วยให้พ้นมือแก๊งคู่อริต่างๆ แต่นั้นก็ต้องรอจนถึงระดับอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น
   หนึ่งปีให้หลัง เฟิงปิงกลับมาผงาดในแก๊งด้วยผลงานที่มากมายเสียจนทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ ลูกงูหางขาดที่ถูกทิ้งลงไปในโคลนเลน จะกลับกลายมาเป็นมังกรได้อีกครั้ง ซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งให้เป็นบอดี้การ์ดประจำตัวในวันที่เฟิงปิงถูกรับกลับเข้าตระกูลอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ได้ให้ความสนใจเขาเท่าใดนัก แต่ซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกดีใจ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในการคอยปกป้องบุตรชายคนนี้ของหัวหน้าอีกต่อไป
   หลังจากวันที่เว่ยเฟิงปิงรับตำแหน่ง เขาพยายามช่วยเหลือกิจการของตระกูลที่เสียหายจากการกระทำของตนอย่างสุดความสามารถ และจุดมุ่งหมายในการตามล่าผู้ที่กระทำการโจรกรรมนั้น ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในปีที่สามหลังจากรับตำแหน่ง ก็ไม่มีใครข้องใจกับจุดประสงค์ของเว่ยเฟิงปิงอีก เมื่อเขาประกาศกับพ่อตัวเองว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำเอาตัวสายลับคนนั้นกลับมาให้ได้
   รูฟัส เวธส์
-------------------------
   รูฟัสจามออกมาฟืดใหญ่ ทำเอาฟ่งซึ่งนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต้องหันกลับมามอง
   “สงสัยใครนินทามั้งครับ” ฟ่งพูด รูฟัสยกมือขึ้นลูบจมูก สูดหายใจแรง พลางทำหน้าสงสัย หนุ่มผู้นั่งปุอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จึงอธิบายต่อ
   “ที่นี่เค้าถือกันว่า ถ้าจามหนึ่งครั้งแปลว่ามีคนคิดถึง ถ้าจามสองครั้งแปลว่ามีคนนินทาครับ”
   “แล้วถ้าจามสามครั้งล่ะ” รูฟัสถามต่อ ฟ่งอมยิ้ม “แบบนั้นแปลว่าเป็นหวัดครับ”
   หนุ่มร่างใหญ่หัวเราะ พลางถือจานใส่เงาะมาวางตรงโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ฟ่งหันหน้าไปมองเขาอย่างสงสัย
   “ผมไม่ได้จามลงไปหรอกน่า” รูฟัสพูด ฟ่งยกมือเกาคิ้ว
   “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คือผมคงไม่สะดวกจะกินเงาะตอนนี้น่ะ”
   “เอ.. ไม่ใช่ว่ากินได้เลยหรอกรึ?” สีหน้าที่ดูจริงจังนั้น ทำให้ฟ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้
   “มันต้องใช้มีดผ่าน่ะครับ”
   ว่าแล้วร่างบางก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ไปหยิบมีดปอกผลไม้ที่เสียบอยู่ตรงเคาน์เตอร์มาจัดการกับเงาะในจาน “แบบนี้ครับ”
   รูฟัสมองดูเนื้อเงาะสีขาวที่โผล่พ้นขอบเปลือกที่เหลืออยู่ในมือของฟ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ
   “อ้าปาก” ฟ่งพูด ก่อนจะบีบเงาะเข้าปากรูฟัสไป ร่างบางหัวเราะอีก เมื่อเห็นใบหน้าแปลกใจของอีกฝ่าย รวมถึงแก้มที่ตุ่ยออกมาข้างหนึ่ง
   “มีเม็ดนะครับ” รูฟัสพยักหน้า เดินไปตรงถังขยะหลังเคาน์เตอร์เพื่อบ้วนเมล็ดเงาะออก ก่อนจะเดินกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
   “Вкусно” ฟ่งหันไปมองหน้าเขาอย่างงงๆ รูฟัสยิ้มแก้เก้อ “เอ้อ ผมหมายถึง อร่อยดีครับ”
   ฟ่งยิ้มกว้าง ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก “ถ้าจะกินก็หยิบได้เลยนะครับ”
   พลางกลับไปนั่งทำงานต่อ  รูฟัสหยิบเงาะขึ้นมาทานอีกผล ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือขนาดต่างๆ ก่อนจะมาหยุดที่เจ้าของห้อง ซึ่งยังคงง่วนอยู่กับงานตรงหน้า
   “งานใหม่หรือครับ?” รูฟัสเดินอ้อมมาด้านหลัง หยุดดูฟ่งใส่ตัวเลขเข้าไปในช่องโปรแกรม ซึ่งกำลังประมวลผลตัวเลขดังกล่าวออกมาเป็นโครงสร้างต่างๆ
   “ครับ” ฟ่งรับคำงึมงำอยู่ในลำคอ
   “ผมแวะไปดูเคาน์เตอร์ของคุณมาแล้วนะครับ สวยดีทีเดียวครับ”
   “ขอบคุณครับ”
   รูฟัสยิ้มให้กับใบหน้าที่เงยขึ้นมา จากวันที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ข้ามพ้นความเป็นเพื่อนก็ผ่านมาได้สามอาทิตย์แล้ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบพวงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ฟ่งสะดุ้ง รีบเบือนหน้ากลับไปทันที รูฟัสถอนหายใจ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย สามสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งคู่แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ยกเว้นตอนทานข้าว ดูเหมือนว่าฟ่งจะมีงานยุ่งและตัวเขาเองก็ไม่ได้ต่างไปนัก
   การมาของเว่ยเฟิงปิง ทำให้เขาต้องทำงานด้วยความระมัดระวังมากขึ้น ดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาตามสืบด้วย มันทำให้รูฟัสรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะจากข้อมูลที่ได้รับในตอนแรก ตระกูลเว่ยได้ถอนรายชื่อออกไปแล้ว ที่เว่ยเฟิงปิงมาเมืองไทยในคราวนี้อาจจะด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง อาจจะมาเพราะคำสั่งลับจากผู้เป็นพ่อ  รูฟัสหวนนึกถึงใบหน้าของชายวัยหกสิบเศษผู้มีร่างกายแข็งแรงและกระฉับกระเฉงเหมือนคนอายุสี่สิบกว่าๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันน่าเกรงขาม เว่ยชิงใจกว้างกับทุกคน ทำให้หุ้นส่วนและลูกน้องต่างเคารพนับถือ แต่นั่นไม่ใช่กับบุตรชายคนที่เจ็ดที่มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   รูฟัสพบเว่ยเฟิงปิงครั้งแรกตอนที่มารายงานผลเรื่องการขยายอาณาเขตการคุ้มครอง เด็กหนุ่มผมยาววัยสิบแปดสิบเก้าปีที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยในช่วงสามเดือนที่เข้ามาเป็นสมาชิกแก๊ง เว่ยเฟิงปิงโผล่พรวดออกมาจากห้องทำงานของเว่ยชิง ก่อนใช้ไหล่ชนเขาอย่างแรงแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาขอโทษ รูฟัสได้รู้หลังจากนั้นไม่นานว่าจริงๆ แล้วเด็กหนุ่มตั้งใจชนเพราะรังเกียจชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวยุโรป และดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะเกลียดเขาอย่างจริงๆ จังๆ เด็กหนุ่มวางแผนสารพัดเพื่อให้เขาหลุดไปออกจากแก๊ง แม้กระทั่งกุเรื่องขึ้นว่าเขาเป็นสายลับ ซึ่งทำให้รูฟัสต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่นั่นกลับกลายเป็นผลดีเพราะทำให้เว่ยชิงไว้ใจเขามากขึ้น หากเรื่องเป็นแบบนี้รูฟัสเองคงไม่ต้องหนักใจเมื่อต้องพบกับเฟิงปิงอีก อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องลังเลใจหากจะต้องปลิดชีพอีกฝ่ายเพื่อรักษาความมั่นคงในการทำงาน
   ใบหน้าของเฟิงปิงในครั้งสุดท้ายที่พบกันเป็นสิ่งที่รูฟัสไม่อยากนึกถึง ยิ่งเรื่องราวหลังจากนั้น เขายิ่งไม่อยากนึก ตอนนั้นรูฟัสอายุราวยี่สิบสามปี เขาได้รับมอบหมายให้แฝงตัวเข้าไปในตระกูลเว่ย เพื่อขโมยข้อมูลลับทางธุรกิจและเส้นทางการค้า หลังจากที่โดนเฟิงปิงกลั่นแกล้งจะแทบจะต้องประมือกับหน่วยดำ จู่ๆ ท่าทีของเฟิงปิงก็เริ่มเปลี่ยนไป เด็กหนุ่มเริ่มทำดีกับเขามากขึ้น ในตอนแรกรูฟัสคิดว่าเฟิงปิงงัดกลยุทธ์แบบใหม่ออกมาจัดการกับเขา ดังนั้นเขาเลยแกล้งเออออห่อหมกด้วย และอาศัยช่วงจังหวะเหล่านั้นขโมยข้อมูล จนถึงตอนนี้รูฟัสก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วเขาหลอกใช้เว่ยเฟิงปิงหรือเปล่า
   มันเป็นคืนหนึ่งในฤดูฝน ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ภายในห้องพักขนาดเล็กของโรงแรมชั้นเลวในฮ่องกง รูฟัสถอดแว่นสีชาวางลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบจดหมายจากซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียงนอนขึ้นมาอ่าน
   ข้อความในจดหมายไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเหมือนจดหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบที่คนทั่วไปเขียนถึงกัน แต่สำหรับรูฟัสแล้ว ทุกคำในนั้นคือรหัสลับ แน่นอนว่ามันเป็นการนัดแนะช่องทางในการหลบหนี รูฟัสหันไปมองนาฬิกาติดผนังซึ่งชี้บอกเวลาสี่ทุ่มสิบแปดนาที เขาเหลือเอกสารบางอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้กำลังในการเข้าไปขโมย ชายหนุ่มจ่อกระดาษจดหมายเข้าไปในไฟตะเกียงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะวางลงบนจานเขี่ยบุหรี่ที่ทำจากเหล็กหยาบๆ นัยน์ตาสองสีคู่นั้นสะท้อนเปลวไฟวูบวาบ
   รูฟัสเขี่ยเศษขี้เถ้าสีดำในถ้วยให้กระจายออกจากกัน หยิบเสื้อคลุมสีเทาอ่อนที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาพาดบ่า เหลือเวลาอีกแปดชั่วโมงก่อนที่คนของราฟาแอลจะมารับ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงหนี่จั่มมอซั่ว(รักกะล่อน)ดังขึ้นเบาๆ เขาไม่อยากให้คนในโรงแรมรู้ตัวเร็วนักว่าเขาไม่ได้อยู่ห้องในคืนนี้
   รูฟัสเหน็บปืนพกเข้ากับสายคาดที่รัดอยู่กับเสื้อเชิ้ตตัวใน ก่อนจะขยับเสื้อคลุมสีเทาให้เข้าที่ เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปเบื้องล่าง มันอยู่สูงจากพื้นดินราวๆ ห้าเมตร ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสำรวจว่ามีคนผ่านไปผ่านมาในเส้นทางนั้นบ้างรึเปล่า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   คิ้วสีดำเรียวยาวคู่นั้นขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ปกติไม่เคยมีใครมาหาเขาในเวลาดึกแบบนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง รูฟัสนึกสบถ เขาคงต้องเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนสักหน่อย และบางทีเขาอาจจะต้องขอให้คนคนนั้นนอนอยู่ในห้องนี้ไปตลอดกาล
   ชายหนุ่มเดินไปบิดลูกบิดประตู แวบแรกที่เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน รูฟัสแทบคิดว่าตัวเองเปิดประตูผิด
   “ขอผมเข้าไปหน่อย” เสียงนั้นเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ปลายเสียงแฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น รูฟัสคลายมือที่จับประตูออก ร่างบางรีบเบียดตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสงไฟกระทบกับเส้นผมสีดำสลวยยาวประบ่าที่รวบไว้อย่างหลวมๆ รวมทั้งประกายตาสีฟ้าใสราวกับน้ำทะเลที่มองลอดผ่านปอยผมที่ปรกหน้าคู่นั้น
   “คุณชายเจ็ด ทำไม...?”
ร่างบางเสยผมที่เปียกชื้นขึ้น ริมฝีปากบางแดงคลี่ยิ้มออกมา “แปลกใจที่เป็นผมหรือ?”
   รูฟัสพยักหน้า เขาคาดไม่ถึงว่าบุตรชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิงจะมาหาเขาในสภาพแบบนี้ บางทีเฟิงปิงอาจจะมีแผนอะไรบางอย่าง รูฟัสไม่ค่อยไว้ใจเด็กหนุ่มคนนี้มากนัก แม้ในช่วงหลังเฟิงปิงจะหันมาทำดีกับเขาแบบไม่น่าเชื่อ แต่นั้นยิ่งเพิ่มความคลางแคลงใจให้รูฟัสหนักเข้าไปอีก
   “ตัวคุณเปียกฝนนี่” รูฟัสพูด เมื่อสังเกตเห็นเฟิงปิงตัวสั่นเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวบางเปียกให้เห็นเป็นหย่อมๆ เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนเก้าอี้ ส่งให้เด็กหนุ่ม
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:23:48
“ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงรับผ้าเช็ดตัวสีเทาผืนนั้นมาเช็ดหน้า พลางเหลือบตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างสนใจใคร่รู้
   “กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ” เด็กหนุ่มถาม พร้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่เปียกออก  รูฟัสรีบเดินไปหยิบเสื้อของตัวเองที่แขวนอยู่ส่งให้ทันที
   “อ๊ะ ขอบใจ” เฟิงปิงยิ้มอย่างดีใจ  ขณะที่เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อเชิ้ตสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเองอยู่พอสมควร รูฟัสเลื่อนเข้าอี้มาให้เฟิงปิงนั่ง เขารู้สึกกระอักกระอวนเวลาต้องเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผู้นี้
   “คุณรีบหรือเปล่า” เสียงนั้นถามขึ้นมาอีก รูฟัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะรั้งตัวเฟิงปิงเอาไว้สักพัก
   “เปล่า” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอน เพราะเก้าอี้ในห้องมีเพียงตัวเดียว
   “ถ้าไม่รีบ ทำไมคุณไม่ถอดเสื้อคลุมออกก่อนล่ะ?”    เฟิงปิงยิ้มอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กๆ แต่กลับทำให้รูฟัสรู้สึกใจหาย
   “ผมช่วย” ร่างบางผุดลุกจากเก้าอี้ตรงเข้ามาแทบจะทันที นิ้วเรียวยาวสอดเข้าไประหว่างอกเสื้อของอีกฝ่าย รูฟัสพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปัดมือนั้นออกอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ เมื่อปลายนิ้วของเว่ยเฟิงปิงสัมผัสโดนโลหะทรงกระบอกเย็นเยียบที่ซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุม
   เด็กหนุ่มชะงักมือ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาสีฟ้านั้นฉายแววแตกตื่นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
   “กำลังจะออกไปทำเรื่องไม่ดีสินะ?” เฟิงปิงถามเสียงพร่า รูฟัสฝืนยิ้ม
   “ครับ ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   คิ้วของเฟิงปิงขมวดเข้าหากัน ก่อนจะถอนหายใจยาว
   “ปีเตอร์” เขาเรียกชื่อของอีกฝ่าย  ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ รูฟัสหันมามองด้วยสายตาไม่ค่อยไว้ใจเท่าใดนัก ปีเตอร์เป็นชื่อที่รูฟัสใช้อยู่ตอนนี้ เฟิงปิงหันมามองสบตากับรูฟัสก่อนจะพูดต่อ
   “ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้ชื่อปีเตอร์หรอก ใช่ไหม?”
   นัยน์ตาสองสีฉายแววอำมหิตขึ้นมาแวบหนึ่ง เฟิงปิงฝืนยิ้ม “ผมไม่ได้เดาผิดไปสินะ”
   รูฟัสหลับตา พยายามหาวิธีที่ละมุนละม่อมที่สุดในการจัดการกับปัญหาตรงหน้า
   “คุณชายเจ็ด คุณคงไม่มาหาผมกลางดึกเพราะเรื่องตลกแบบนี้หรอกนะครับ”
   “อืม..” เด็กหนุ่มรับคำ พลางขยับตัวเข้ามาใกล้
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาแกล้งคุณหรอก ผมแค่เอาสิ่งที่คุณอยากได้มาให้” ซองกระดาษยับย่นซองหนึ่งถูกดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกง เจ้าตัวยื่นมันให้รูฟัส ชายหนุ่มรับมาเปิดออกดูอย่างงงๆ แล้วก็ต้องเบิ่งตาค้างด้วยความตกใจ
   มันคือเอกสารที่เขาตั้งใจจะเข้าไปขโมยในคืนนี้
   รูฟัสหันกลับมามองเฟิงปิงอย่างไม่เชื่อสายตา โดยที่มือของเขายังกำซองกระดาษซองนั้นอยู่ เฟิงปิงยิ้มเหมือนเด็กๆ ที่กำลังจะอ้อนขอรางวัล
   “เอามาถูกใช่ไหมล่ะ?” พลางขยับตัวเข้ามาใกล้ จนปลายจมูกของทั้งคู่แทบจะชนกัน รูฟัสกลืนน้ำลาย พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
   “ต้องการอะไร?”   ชายหนุ่มพูดพร้อมกับผลักร่างของอีกฝ่ายออกไปเบาๆ เฟิงปิงมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่คำตอบของอีกฝ่ายก็แสดงให้เขาเห็นว่าทางนั้นไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเสียเลยทีเดียว
   “ผมอยากรู้ชื่อจริงของคุณ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว สายตาของเฟิงปิงที่มองมาทำให้เขารู้สึกแปลกๆ “คุณชายเจ็ด คุณรู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไร”
   เฟิงปิงพยักหน้า “ผมรู้ว่าคุณเป็นสายลับ คุณ เอ้อ..”
   รูฟัสเพ่งพินิจพิจารณาเด็กผู้ชายตรงหน้า ยังไงเสียเขาก็จะหนีไปในคืนนี้อยู่แล้ว ทิ้งชื่อเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สำหรับพวกเขา ชื่อไม่ได้หมายถึงหน้า แต่เป็นเครื่องหมายการค้าในการทำงานต่างหาก ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับช้าๆ
   “รูฟัส”
   นัยน์ตาของเฟิงปิงเป็นประกาย เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ “รูฟัส........... พาผมหนีไปด้วยได้ไหม?”
   รูฟัสเบิ่งตากว้าง พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ริมฝีปากแดงบางของอีกฝ่ายกลับเบียดแนบเข้ามาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสองสีเบิ่งโพล่งอย่างตกใจ ปลายลิ้นเรียวรุกไล่เข้ามาในช่องปาก เขาพยายามดันใบหน้านั้นออก
   “ผมชอบคุณนะ ชอบมากๆ เลย” เฟิงปิงกระซิบ วงแขนผอมบางเลื่อนมาโอบรอบลำคอ นัยน์ตาสีฟ้านั้นมองมาอย่างลุ่มหลง รูฟัสรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามใบหน้าของตน  เขานึกไม่ออกว่าเฟิงปิงจะมาไม้ไหน แต่สายตาที่มองมานั้นทำให้รูฟัสรู้สึกกระอักกระอวน ดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ได้โกหก
   “ผมพาคุณไปด้วยไม่ได้” รูฟัสใช้มือทั้งสองข้างจับหัวไหล่ของเฟิงปิง แล้วผลักออกจากตัวเบาๆ เด็กหนุ่มมีสีหน้าผิดหวังชัดเจน แต่ก็ยังพยายามส่งเสียงออดอ้อน
“พาผมไปด้วยเถอะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมเกลียดพ่อ”
   หางเสียงของเฟิงปิงเกรี้ยวกราดขึ้นเมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย รูฟัสกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเฟิงปิงมีเรื่องอะไรกับเว่ยชิง แต่การจะพาเด็กคนนี้ไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องราวอะไรของเขาเลย
   “ไม่ได้หรอก คุณควรจะอยู่ที่นี่” รูฟัสพูดย้ำอีกครั้ง พยายามให้น้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
   “ทำไมกันล่ะ ก็ผมทำทุกอย่างที่คุณต้องการแล้วนี่!” เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียง คล้ายกับเด็กที่ไม่ได้ของตามต้องการ
   “ผมต้องไปแล้ว” รูฟัสพูดพลางลุกขึ้น เฟิงปิงรีบฉุดปลายเสื้อคลุมยาวนั้นไว้
   “ไม่นะ คุณต้องพาผมไปด้วย” เขากล่าว พลากระชากปลายเสื้อของอีกฝ่ายด้วยกำลังแรง รูฟัสหันตัวไปคว้าข้อมือบางนั้นเอาไว้
   “ไม่.. คุณจะต้องอยู่ที่นี่ คุณอาจจะอ้างว่าโดนผมหลอกมาหรืออะไรก็ได้ แต่คุณต้องอยู่ที่นี่”
   หยดน้ำใสไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีฟ้าใสที่แทบจะถลนออกมาจากเบ้า เฟิงปิงเบิ่งตากว้าง ขบริมฝีปากแน่น
   “รูฟัส!”
   นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเฟิงปิงที่รูฟัสได้ยิน ก่อนที่เขาจะใช้สันมือกระแทกท้ายทอยของอีกฝ่ายให้สลบไป คำพูดที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และความอาฆาตแค้น
--------------------------------
   “รูฟัส?”   ฟ่งเรียกชื่อของหนุ่มชาวรัสเซียที่ยืนเหม่ออยู่หน้าเคาน์เตอร์เป็นรอบที่สาม ดูเหมือนร่างสูงจะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมา “Что?”
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาคิ้ว พลางคิดว่าอีกหน่อยเขาอาจจะต้องไปหัดเรียนภาษารัสเซีย
   “ดูหนังรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มถาม แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าแปลกใจ
   “เอ้อ Do you want to watch movie?”
   “Yes, which one?”
   “อืม... มาลองเลือกดูไหมครับ” ฟ่งพูด พลางขยับตัวลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังโต๊ะวางโทรทัศน์ เขารู้สึกเกรงใจรูฟัสอยู่บ้างที่จู่ๆ ก็เรียกมาอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ ชายหนุ่มรื้อดีวีดีภาพยนตร์ที่ซื้อเก็บเอาไว้ออกมาจากชั้น พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเผชิญมาเมื่อสองวันก่อน
   รถยนต์ยี่ห้อนิสสัน เซฟีโร่สีดำขับเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของคอนโดเพื่อรับตัวเขา ความจริงน่าจะเรียกว่าการขู่บังคับให้ขึ้นรถเสียมากกว่า ชายหนุ่มหน้าสวยที่มากับรัตน์เมื่อคราวก่อนเป็นคนผลักเข้าขึ้นไปบนรถ ก่อนจะเบียดตัวเข้ามานั่งข้างๆ ภายในรถมีชายวัยฉกรรจ์อีกสองคนซึ่งฟ่งไม่เคยเห็น คนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถ ส่วนอีกคนนั่งขนาบเขาอีกด้านหนึ่ง ฟ่งทราบในภายหลังว่าหนุ่มหน้าสวยคนนั้นมีชื่อว่า เดช
   ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ เขาถูกใส่กุญแจมือและผูกผ้าปิดตาทันที ฟ่งรู้สึกโมโห แต่วัตถุแข็งทรงกระบอกที่พอจะเดาเอาได้จากสัมผัสว่าเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพทำลายล้างในระยะประชิด ที่มาจ่ออยู่บริเวณสีข้างทำให้เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดเอาไว้ ตลอดเวลาราวหนึ่งชั่วโมงของการเดินทางนั้นเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจ
   ชายหนุ่มถูกผลักลงจากรถอีกครั้ง ก่อนจะถูกจูงผ่านพื้นหญ้าหยาบๆ ที่ชื้นแฉะ ไปยังพื้นที่คิดว่าน่าจะเป็นหินขัดหรือหินอ่อน ผ้าคาดตาถูกปลดออก หลังจากที่เขาก้าวผ่านสิ่งที่คิดว่าเป็นลิฟต์ออกมาได้ซักสามสิบก้าว สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือ อุโมงค์ดินขนาดมโหฬารที่โครงสร้างผิวนอกถูกค้ำยันไว้ด้วยโครงสร้างเหล็กชิ้นบางๆ เท่าท่อพีวีซีขนาดสองหุนครึ่ง ฟ่งยืนตกตะลึง ลืมเรื่องที่ทำให้โมโหเมื่อครู่ชั่วคราว โครงสร้างเหล็กพวกนี้เป็นผลพวงมาจากนาโนเทคโนโลยีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเหล็กบางๆ เหล่านี้จะรับน้ำหนักดินจำนวนหลายตันที่กองถมอยู่โดยรอบได้ กับนวัตกรรมแบบนี้บางทีอาจจะเหมาะกับงานออกแบบของเขาก็ได้
   คนงานที่สวมชุดสีขาวตัดกับสีชั้นของดิน ง่วนอยู่กับการทำงานโดยไม่สนใจผู้ที่มาใหม่ ฟ่งกวาดสายตาดูโดยรอบ คนงานทั้งหมดมีราวๆ ยี่สิบ ท่าทางเหมือนกำลังจัดเตรียมของบางอย่าง บางส่วนกำลังตกแต่งพื้นผิวของอุโมงค์ รัตน์เดินออกมาจากกลุ่มคนงานกลุ่มหนึ่ง ดู
เหมือนเขาจะเพิ่งเสร็จจากการสั่งงาน
   “ดีใจที่คุณมาถึงที่นี่ได้นะครับ” เขาพูดพลางล้วงกุญแจดอกเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ปลดล็อคกุญแจมือที่คล้องอยู่ออก ฟ่งลูบข้อมือตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป รัตน์จึงพูดต่อ
   “นี่เป็นสถานที่ที่เราจะทำเป็นห้องน่ะครับ คุณเห็นว่าไง?”
   “ไม่เห็นบอกผมมาก่อนเลยว่าอยู่ใต้ดิน” ฟ่งพูดเรียบๆ พยายามรักษาสภาพอารมณ์ในอยู่ในระดับปกติ
   “คือ เราอยากให้คุณเห็นสถานที่จริงเอง บอกไปอาจจะไม่ชัดเจน”
   ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคอ พลางเงยมองด้านบนสุดของอุโมงค์ มันคงจะสูงราวๆ ยี่สิบสามสิบเมตร
   “ผมอาจจะต้องออกแบบระบบระบายอากาศด้วย ตอนนี้คุณมีแค่เครื่องทำออกซิเจนสินะ”
   “ครับ จริงๆทางเราก็อยากจะทำเรื่องระบบระบายอากาศให้เสร็จก่อน”
   “อืม ผมคงต้องขอทราบรายละเอียดทั้งหมดของอุโมงค์นี้หน่อยนะครับ พวกความลึก ความกว้างอะไรพวกนี้”
   “มาทางนี้เลย” รัตน์พูด พลางเดินนำออกไป ฟ่งเดินตามโดยมีเดชเดินคู่ไปด้วย รัตน์พาเขาเลี้ยวเข้าไปในมุมหนึ่งของอุโมงค์ ที่นั่นมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง หรือถ้าจะพูดตามภาพที่เห็นน่าจะเรียกกว่ากล่องกล่องหนึ่งเสียมากกว่า มันเป็นกล่องสีขาวขนาดราวๆ สี่คูณห้าเมตร ที่ออกแบบคล้ายห้องพัก ชายวัยกลางคนบิดลูกบิดประตูสีเงิน พาทั้งหมดเข้าไปในห้อง
   ห้องนั้นถูกตกแต่งไว้อย่างง่ายๆ แต่ดูมีระเบียบ มีโต๊ะเขียนแบบ ห้องน้ำ เตียงนอน คอมพิวเตอร์ระบบแมคอินทอช โต๊ะทำงาน และเก้าอี้
   “ข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการเราได้รวบรวมมาไว้ในนี้แล้ว” รัตน์ผายมือไปยังกองเอกสารขนาดต่างๆที่วางกองอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพูดเสริม “หรือคุณจะดูเอาจากโน้ตบุ๊คเครื่องนั้นก็ได้”
   ฟ่งมองไปยังโน้ตบุ๊คเครื่องสีดำที่วางอยู่ใกล้ๆ กับกองเอกสาร ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดดูเอกสารทั้งหมดแบบผ่านๆ
   “คุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้าผมจะเอาเอกสารพวกนี้กลับไปด้วย” ชายหนุ่มพูด ขณะหยิบเอาเอกสารที่ดูคล้ายพิมพ์เขียวของอุโมงค์ขึ้นมาดู
   “อันนั้นเห็นทีว่าจะทำไม่ได้ล่ะครับ” รัตน์พูด
   “แล้วผมจะทำงานได้ยังไง” เสียงของฟ่งมึนตึงขึ้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมามองหน้าของอีกฝ่าย
   “คุณก็ทำงานที่นี่ไง” รัตน์พูด น้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่นั้นทำให้ฟ่งวางเอกสารลงและหันหน้ามาทันที
   “ผมไม่ทำ” น้ำเสียงนั้นแม้จะไม่ดังมาก แต่แข็งกร้าวและแฝงแววรั้นเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด รัตน์ถอนหายใจ บางทีเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังรับมือกับเด็กที่พยายามจะเอาแต่ใจคนหนึ่ง
   “ไม่เอาน่า คุณอภิวัฒน์ คุณก็รู้ว่าข้อมูลของเราเป็นความลับ จะให้เอาออกไปคงทำไม่ได้หรอก”
   ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “คุณรัตน์ ผมจะพูดให้คุณฟังชัดๆ อีกครั้ง ผมไม่ทำ! วิธีการตั้งแต่ที่คุณไปเจรจากับผม รวมกับวิธีที่คนของคุณพาผมมาที่นี่ นั่นก็ทำให้ผมแทบจะเหลืออดอยู่แล้ว นี่คุณยังจะมาให้ผมต้องทำงานในสถานที่อุดอู้ใต้ดินที่ไม่รู้เดือนรู้ตะวันนี่อีก ผมทำไม่ได้ คุณเข้าใจรึเปล่า?!”
   เสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ รัตน์หน้าเครียดขึ้น
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:25:18
“คุณอภิวัฒน์ ไม่ว่าคุณจะอ้างเหตุผลยังไงก็ตาม ตอนนี้คุณได้มาอยู่ที่นี่แล้ว คุณไม่มีสิทธิ์จะต่อรองอะไรกับผมทั้งนั้น คุณจะต้องทำงานอยู่ที่นี่!”
   “คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม!” ฟ่งพูดสวนขึ้นทันที น้ำเสียงแทบจะตะโกน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
   “คนอย่างคุณคงไม่รู้สึกจนกว่าจะโดนจริงๆ สักครั้งสินะ” รัตน์พูดเสียงเรียบๆ แต่แผงไว้ด้วยความอำมหิต เขาเดินเข้ามาใกล้ “ตอนนี้ผมอาจจะตัดขาคุณ ทำให้คุณเดินไม่ได้ หรือฉีดยาเสพติดให้คุณ จนคุณติดจนถอนตัวไม่ขึ้น คุณอภิวัฒน์ ยังมีเรื่องเลวร้ายอีกหลายอย่างที่คุณคิดไม่ถึง”
   “อย่างนั้นก็เชิญคุณทำเลย ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ตอนผมขาขาด ยังจะมีอารมณ์ทำงานให้คุณอีกรึเปล่า” ฟ่งใช้มือกวาดเอกสารทั้งหมดลงจากโต๊ะ แทบจะพรัอมกับที่พูดจบ รัตน์อ้าปากค้าง ก่อนจะตบหน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธ ร่างบางเสียหลักเล็กน้อย ก่อนจะชกกลับ หมัดนั้นโดนใบหน้าคู่สนทนาเข้าอย่างถนัดถนี่ จนพวกคนงานที่ทำงานอยู่ต้องวิ่งมาดึงตัวชายหนุ่มเอาไว้
   รัตน์เช็ดเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปาก ก่อนจะหันมามองคู่กรณีที่โดนล็อกตัวอยู่ เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากมุมปากของฟ่ง นัยน์ตาสีดำคู่นั้นลุกโพลงด้วยความโกรธเกรี้ยวและบ้าคลั่ง เหมือนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่อะไรก็ได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง
   “บ้าชิบ”   ชายวันกลางคนสบถ ก่อนจะต่อยเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างแรง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาขุ่นแค้น ก่อนจะหมดสติไป
----------------------------------------
   ชายหนุ่มรู้สึกตัวเองอีกทีตอนที่นอนอยู่บนเตียงสีขาว มีผ้าชุบน้ำเย็นโปะอยู่ตรงแก้ม ผู้ชายผมสีดำแซมขาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบเตียง ฟ่งผุดลุกขึ้น ชายคนนั้นรีบยื่นมือเข้ามาช่วยพยุง
   “ต้องขอโทษแทนคนของผมมากๆจริงๆครับ” เสียงที่กล่าวออกมาดูสุภาพและถ่อมตัว ฟ่งพยายามหรี่ตามมองหน้าของอีกฝ่าย แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก เพราะเขาไม่ได้สวมแว่นตา ดูเหมือนชายคนนั้นจะยิ้มเล็กน้อย เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อน
   “แว่นของคุณเดี๋ยวผมจะคืนให้นะครับ ส่วนรายละเอียดงาน ผมให้คนเอาใส่โน้ตบุ๊คไว้ให้คุณแล้ว” น้ำเสียงที่เรียบง่ายและดูเป็นกันเองทำให้ฟ่งผ่อนคลายลง
   “ขอบคุณครับ คุณ..”
   “ทวีศักดิ์” อีกฝ่ายช่วยต่อคำพูดให้ ก่อนจะพูดเสริม “คุณอยากจะกลับเลยหรือเปล่าครับ หรือว่าจะอยู่ดูรายละเอียดสถานที่ต่ออีกหน่อย”
   ฟ่งมีทีท่าอึกอัก ความจริงเขาอยากจะกลับออกไปไวๆ ด้วยซ้ำ แต่ทีท่าของคนที่พูดคุยอยู่กับเขาตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเกรงใจขึ้นมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาออก
   “ผมทราบเรื่องของคุณแล้ว ต้องขอโทษอีกทีจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จะชดใช้ให้คุณยังไง เอาเป็นว่า ผมส่งคุณกลับเลยดีกว่า แล้วถ้าเกิดมีปัญหายังไง คุณค่อยติดต่อกลับมา ดีไหมครับ”
   “ก็ดีครับ” ชายหนุ่มตอบ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง
   “คุณอยากได้อะไรเพิ่มเติมไหมครับ จำพวกรายละเอียดวัสดุ อะไรพวกนี้”
   เสียงนั้นถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะรีบพูดขึ้นเพราะนึกได้ “เอ่อ ถ้าไม่รบกวนมากไปนัก ผมขอตัวอย่างเหล็กที่ใช้ค้ำยันพวกนั้นด้วยได้ไหมครับ มันดูน่าสนใจมากเลย”
   “ได้สิครับ เดี๋ยวผมจะให้คนเตรียมไว้ให้ มันจะอยู่ในกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คตอนที่คุณกลับขึ้นไปแล้วน่ะครับ แต่ผมคงต้องรบกวนคุณอีกรอบนะครับ คุณต้องปิดตาก่อนจะกลับขึ้นไป โอเคไหมครับ”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ “ได้ครับ แต่ไม่ต้องล็อกกุญแจมือผมหรอก”
   “อ่า” น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีทีท่าสำนึกผิด “เรื่องนั้นผมได้กำชับเอาไว้แล้วนะครับ ขอโทษมากๆ จริงๆ”
   ชายผู้ที่เรียกตัวเองว่าทวีศักดิ์มาส่งถึงบริเวณหน้าลิฟต์ ก่อนที่ฟ่งจะโดนปิดตาและกลับขึ้นไปด้านบน เขากลับมาถึงคอนโดในตอนหัวค่ำโดยรถคันเดิม แต่คราวนี้มีเพียงเขาและคนขับอีกหนึ่งคน ซึ่งไม่พูดไม่จาอะไรตลอดทาง
--------------------------------------
   ฟ่งสะดุ้งเมื่อลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสหลังใบหู รูฟัสยื่นหน้ามาจบแทบจะชิดกับใบหน้าของเขา ก่อนจะมองข้ามไหล่ไปยังกองดีวีดีที่ถูกรื้อออกมา
   “ซื้อเก็บไว้เยอะเลยนะครับ”
   “ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ฟ่งยิ้มฝืนๆ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้เขาทำตัวไม่ถูก สองวันทีผ่านมา ฟ่งไม่สามารถบังคับตัวเองให้มีสมาธิกับงานได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอุโมงค์นั้นทำให้เขารู้สึกแย่ ฟ่งยอมรับอย่างจำใจว่าเขาต้องการที่พึ่ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตามรูฟัสมาที่ห้องในวันนี้
   การมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนทำให้ฟ่งรู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่เขายังทำตัวไม่ถูกเวลาที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับหนุ่มรัสเซียคนนี้อยู่ดี
   “แล้วคุณจะมาดูกับผมรึเปล่า?” รูฟัสถาม เขายังคงมองข้ามไหล่ของอีกฝ่าย ฟ่งนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง มันออกจะดูไม่มีมารยาทอยู่สักหน่อยที่เขาจะปลีกตัวไปทำงานต่อ และเขาก็นั่งทำงานติดกันมาหลายชั่วโมงแล้ว ลุกมายืดเส้นยืดสาย พักสมองบ้างก็ดี ชายหนุ่มผงกศีรษะ
   “งั้นผมไม่ดูล่ะ” รูฟัสพูด พลางรวบร่างบางเข้ามากอด ฟ่งตกใจจนเผลอทำกล่องดีวีดีหลุดมือ
   “ทำอะไรน่ะ?!”
   เสียงกล่องกระแทกของกล่องพลาสติกดังขึ้นในจังหวะเดียวชายหนุ่มเสียหลักหงายหลังตกเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
   “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรล่ะ?” รูฟัสกระซิบ พลางขบใบหูของอีกฝ่ายเบาๆ
   “อ๊ะ!” ฟ่งร้องอุทาน รู้สึกร้อนวาบไปทั่วตัว เขาพยายามแกะมือที่เกาะกุมอยู่ออก
   “ผมต้องทำงานนะ” ร่างบางพยายามดิ้นรนขณะที่มือของรูฟัสเลื่อนเข้าไปในอกเสื้อ
   “ก็คุณเพิ่งบอกผมว่าจะมานั่งดูด้วยกัน”
   “แต่คุณไม่ได้ดูแล้วนี่” ฟ่งโวยวายสุดฤทธิ์ เขาผลักใบหน้าของอีกฝ่ายที่เบียดเข้ามาออก
   “รังเกียจผมเหรอ?” รูฟัสพูดเสียงละห้อย ลมหายใจอุ่นๆ ตรงหลังใบหู ทำเอาฟ่งปรับอารมณ์ไม่ถูก
   “ปะ..เปล่า” ร่างบางพูดเสียงค่อย ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา คนฟังอมยิ้ม
   “รู้หรือเปล่า สามสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ผมคิดถึงคุณแค่ไหน?” รูฟัสพูดพลางไถใบหน้าไปตามลำคอของอีกฝ่าย ฟ่งหลับตาปี๋ขณะที่ถูกหอมแก้ม เขาไม่มีเวลาจะคิดหาคำตอบกับคำถามนั่นมากนัก รูฟัสลูบไล้ฝ่ามือลงบนร่างผอมบาง อ้าปากขบกัดใบหูที่เป็นสีแดงเรื่อเบาๆ ฟ่งสยิวร่างอย่างทนไม่ได้ สัมผัสนี้ทำให้เขารู้สึกวูบวาบ
   หนุ่มตาสองสีซุกหน้าเข้ากับซอกคออุ่น ไซ้มันจากด้านหลัง จูบขบติ่งหูและเริ่มประทับรอยรักลงบนผิวขาวผ่อง สองมือที่โลมลูบอยู่เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ห่อหุ้มร่างบอบบางโดยไม่ต้องใช้ตามองให้ยุ่งยาก ไม่นานนัก หัวไหล่เรียบเนียนก็ปรากฏขึ้นเมื่อรูฟัสดึงเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมไปบางส่วนออก ชายหนุ่มฝังจูบลงไปบนหัวไหล่นั้นและดูดดุนมันอย่างเอาแต่ใจ
   ฟ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงที่ถูกดูด เขามองไม่เห็นหน้ารูฟัส เนื่องจากฝ่ายนั้นอยู่ด้านหลัง ที่รู้สึกคือไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายสูงใหญ่ และสัมผัสเชิงลวนลามที่ส่อเจตนาเอาไว้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นเขากลับไม่มีแรงพอจะส่งเสียงห้าม ได้แต่ขยับหนีไปมาอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง ซึ่งยังไงก็คงหนีไม่พ้นอยู่ดี
   การรุกเร้าของรูฟัสหนักข้อขึ้นเมื่อเสื้อเชิ้ตถูกดึงรั้งจนลงไปกองที่แขน ปลายนิ้วมืออุ่นโลมไล้ผ่านไหล่กว้าง ไล่ไปตามเนินอก หยุดตรงยอดปลายสีอ่อน เพียงสะกิดเบาๆ ก็พอจะทำให้ร่างผอมบางสะดุ้ง ชายหนุ่มจูบขบเนินหัวไหล่ขาว ขณะที่สองมือบีบดึงยอดถันอุ่นอ่อน ฟ่งยันสองมือเข้ากับหน้าขาแกร่ง แอ่นร่างอย่างทนไม่ได้ เขาเม้มปากแน่น ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าพอถูกผู้ชายคนนี้สัมผัสแล้ว ทำไมร่างกายถึงได้ตอบสนองไวแบบนี้
   ท่าทางที่ฟ่งแสดงออกมาทำให้หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ขึ้น ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะคิดเรื่องฟ่งอยู่ตลอด คิดถึงค่ำคืนที่มีสัมพันธ์กันลึกซึ้ง คิดถึงผิวละเอียดที่ได้สัมผัส คิดถึงเสียงครางกระเส่าที่อีกฝ่ายเปล่งออกมายามไปถึงจุด คิดถึงทุกๆ อย่างในตัวของคนข้างห้องคนนี้ ท่าทีเย็นชาในบางเวลาของฟ่งทำให้รูฟัสใจหาย เหมือนฟ่งจะไม่ชอบให้เขาทำตัวใกล้ชิด แต่ให้อยู่ใกล้กันแบบนี้ โดยไม่ได้แตะต้องเลยมันก็ดูจะทรมานตัวเขามากเกินไป รูฟัสยอมรับว่าเขาไม่มีรสนิยมเรื่องการขืนใจใครมาก่อน โดยปกติทุกคนก็วิ่งเข้าหาเขาจนคร้านจะหาเปลี่ยนได้รายวัน แต่กับฟ่งนั้นผิดกัน รูฟัสเป็นฝ่ายต้องการก่อน แถมยังต้องการเอามากๆ ด้วย ถึงขนาดถ้าใช้กำลังฝืนบังคับหัวใจกันได้ เขาคงจะทำไปแล้ว แต่เขาไม่อยากเห็นฟ่งร้องไห้อีก ดังนั้นรูฟัสจึงจำต้องหาโอกาสเหมาะๆ ทดลองเข้าหาคนข้างห้องดูอีกครั้ง
   ดูท่าฟ่งเองก็คงไม่ได้รังเกียจรังงอนเรื่องแบบนี้เท่าไหร่
   ร่างผอมบางสะดุ้งอีกครั้ง เมื่ออุ้งมืออุ่นล้วงผ่านสายเข็มขัดลงไปปลดตะขอกางเกงก่อนจะเลื่อนผ่านขอบชั้นในลงไปแตะส่วนปิดเร้นที่ซ่อนอยู่ เขาหันหน้ากลับไปมองรูฟัสด้วยความตกใจทันที ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้ามาผนึกริมฝีปากของเขาเอาไว้โดยไม่ยอมเปิดโอกาสใดๆ
   ฟ่งส่งเสียงครางหนักในลำคอ จูบของรูฟัสในคราวที่แล้วเมื่อเทียบกับคราวนี้ความรู้สึกกลับแตกต่างกันออกไป ครั้งที่แล้วรูฟัสจูบเขาแต่ละทีล้วนแต่เป็นการจูบที่ดุดันและรุกไล่อย่างไม่ยอมเปิดโอกาส แต่ครั้งนี้รูฟัสดูจะเปิดโอกาสมากขึ้น บางครั้งทำทีหยอกเย้าให้เขารุกกลับ ขณะที่กำลังนึกหาวิธีรับมือกับเรื่องดังกล่าว รูฟัสก็ถอดกางเกงของเขาออกจนไปกองอยู่ที่หัวเข่าแล้ว ร่างบางส่งเสียงเอะอะในลำคออีกครั้ง คล้ายจะโวยวายเรื่องกางเกงที่ถูกถอดออกไป รูฟัสจึงผละริมฝีปากออก จังหวะที่ฟ่งพยายามจะอ้าปากพูดหลังจากสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้ว ร่างของเขาก็ถูกจับพลิก ขณะที่กางเกงที่กองอยู่ถูกดึงพ้นขาและโยนไปข้างๆ ฟ่งหันมาเผชิญหน้ากับรูฟัสด้วยท่อนล่างเปลือยเปล่า และท่อนบนที่เกือบจะเปลือยจนหมด ขาสองข้างพาดเลยไปบนหน้าขาแกร่ง หนั่นตะโพกจึงวางอยู่บนตักของรูฟัสพอดิบพอดี ฟ่งรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางที่ดุนดันตะโพกของเขาอยู่ ความร้อนพุ่งวาบขึ้นมาจากท้องน้อยทันที ใบหน้าของเขาแทบจะชนกับใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสองสีมองมาอย่างเป็นประกาย ขณะที่ริมฝีปากได้รูปมีรอยยิ้มเล็กๆ ฟ่งรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เขายกมือขึ้นเพื่อผลักรูฟัสออกด้วยความเขินอาย แต่กลับถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือไว้ และเริ่มดูดดึงปลายนิ้วของเขาเข้าไปในปาก
   เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าการสัมผัสตามนิ้วมือสามารถปลุกอารมณ์รักได้ แต่ฟ่งไม่เคยคิดว่ามันจะใช้ได้จริงๆ จนรูฟัสทำกับเขาเมื่อหลายวันก่อน แค่ไม่กี่วินาทีหัวใจของเขาก็เบาหวิว ไม่ต้องเทียบกับที่ทำให้ในคราวนี้ รูฟัสใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ฟ่งส่งเสียงครางแรกออกมาได้ นี่เพิ่งเริ่มแค่นิ้วมือเท่านั้นเอง ร่างบางสะท้านกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับอีกฝ่ายดูดดึงพลังชีวิตของเขาออกไปโดยผ่านปลายนิ้ว รูฟัสถอนริมฝีปากออก ก่อนจะยืนหน้าไปจูบริมฝีปากที่เผยออ้าอย่างเคลิบเคลิ้มนั้นอีกรอบ จูบครั้งนี้ดุดันจนฟ่งต้องตะกายมือขึ้นกอดหัวไหล่กว้างเอาไว้ด้วยความตกใจ ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ ขณะดื่มด่ำรสจูบวาบหวามที่ทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
   รูฟัสเพิ่งรู้ว่าฟ่งนอกจากจะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวแล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ยังอ่อนไหวมากอีกด้วย เพียงแต่แตะเบาๆ ทางนั้นก็สะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะแตะต้องมากขึ้นไปอีก เขาผละออกจากริมฝีปากอุ่น ไล้จูบไปตามพวงแก้ม ซอกคอ เลยมาจนถึงเนินอกต่ำ ระหว่างนั้นฟ่งสะดุ้งแทบจะตลอด และเมื่อเขาดูดดึงยอดอกสีอ่อนที่ถูกกระตุ้นด้วยนิ้วมือเอาไว้ก่อนหน้า ร่างผอมบางก็สะดุ้งจนตัวโยน จิกเล็บลงมาบนไหล่ของเขาแทบจะในทันทีทันใด รูฟัสดูดดึงยอดอกนั้นจนอีกฝ่ายตัวสั่น ขณะที่ฝ่ามืออุ่นประโลมลูบท่อนล่างเปลือยเปล่าอย่างดุดัน ทั้งบีบทั้งขยำหนั่นตะโพกแน่น ฟ่งร้องครางเสียงพร่า รู้สึกเหมือนรูฟัสจะกลืนกินยอดอกของเขาเข้าไป ทั้งกัดทั้งดูดจนคัดตึงไปหมด ไม่ใช่แค่ข้างเดียว รูฟัสจัดการให้มันคัดตึงเท่ากันเกือบทั้งสองข้าง คราวนี้แค่เอาปลายนิ้วลูบผ่านๆ ฟ่งก็สะดุ้งจนแทบจะหน้าหงายแล้ว
   ร่างบางครางเสียงสั่น ยอดอกที่ถูกดูดดึงจนรู้สึกดียังไม่หนักหนาสาหัสเท่าส่วนกลางลำตัวที่กำลังถูกอุ้งมืออุ่นกอบเอาไว้ อุ้งมือและปลายนิ้วที่ขยับอย่างคล่องแคล่ว เรียกอาการคัดตึงจากส่วนนั้นของเขาได้ไม่ยาก ไม่นานนักฟ่งก็เริ่มหายใจติดขัด จังหวะและองศาในการดึงรูดที่รูฟัสใช้สมบูรณ์แบบ เผลอๆ จะดีเสียกว่าตอนที่เขาทำให้ตัวเองเสียอีก ประกอบกับจุดไวความรู้สึกบริเวณอกที่ถูกกระตุ้นต่อเนื่อง ฟ่งถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ด้วยอาการกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ร่างบางซบหน้าลงบนไหล่กว้างขณะที่หยาดหยดแห่งความสุขเปรอะเลอะบนเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
   รูฟัสถอนหายใจอย่างเอ็นดู ยกมือข้างที่ไม่เปื้อนลูบเรือนผมยุ่งเหยิงของอีกฝ่าย ฟ่งที่หอบหายใจฮั่กๆ และตัวร้อนผ่าวดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เขารอจนฝ่ายนั้นหายใจสงบลง จึงค่อยคืบปลายนิ้วที่เปรอะเปื้อนเข้าไปในช่องสงวนด้านหลัง
   ฟ่งเงยศีรษะขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาเห็นผ่านเลนส์แว่นพร่าเลือนคือใบหน้าได้รูปที่กำลังยิ้มกริ่ม รูฟัสยื่นหน้าขึ้นมาหอมแก้มเขา และจัดแจงดึงแว่นตาที่เอียงกระเท่เร่ออก ฟ่งสะดุ้งเมื่อรูฟัสจับร่างของเขายกขึ้น ส่วนแข็งขืนและร้อนผ่าวจ่อประชิดแอ่งตะโพกทันที ร่างบางร้อนวาบไปทั้งตัว เขามองหน้ารูฟัสไม่ชัด ไม่รู้ว่าทางนั้นทำสีหน้าอย่างไร แต่ในท่าทางแบบนี้ ทางนั้นคงเห็นเขาชัดเจนแทบทุกอย่าง ฟ่งอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รูฟัสก้มลงเล็มเลียหน้าท้องของอีกฝ่ายเบาๆ ผิวละเอียดทีเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อยิ่งทำให้ความต้องการเขาเขาพุ่งสูง ฟ่งนั้นดูน่ารักมากจริงๆ ในเวลาที่ร่วมรักกันแบบนี้ ความเขินอายและอาการสั่นกระตุกทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ กระตุ้นห้วงอารมณ์วาบหวามของผู้กระทำได้อย่างน่าตกใจ
   ส่วนร้อนผ่าวคัดตึงถูกดุนดันเข้ามาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บนยอดอก ฟ่งขาสั่น ถ้าไม่มีมือของรูฟัสช่วยประคองเขาคงจะทรุดลงไปแล้ว มือแกร่งประคองตะโพกของเขาอย่างมั่นคงและกดลงไปอย่างช้าๆ ส่วนร้อนระอุค่อยๆ แทรกเข้าไปในช่องเปิดที่ถูกนวดคลึงจนขยายกว้าง ด้วยน้ำหนักตัวที่เป็นแรงกดอยู่แล้วส่วนหนึ่ง รูฟัสจึงสอดใส่เข้าไปจนสุดความยาวในเวลาไม่นานนัก แต่กลับทำให้ฟ่งส่งเสียงครางหนักแทบจะตลอดเวลา เทียบกันแล้วครั้งนี้ดูหนักหน่วงกว่าครั้งก่อนหน้าพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงกับเจ็บมาก ร่างบางสั่นสะท้านไปตลอดทั้งตัว แค่อีกฝ่ายขยับร่างเพื่อให้ร่างกายได้สมดุลขึ้น เขาก็หลุดเสียงร้องครางออกมาแล้ว และเมื่อรูฟัสเริ่มต้นขยับจริงๆ ฟ่งก็แทบขาดใจตาย
   ไม่รู้ว่าอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ รู้เพียงว่ากว่าที่รูฟัสจะยอมเปลี่ยนท่า ร่างผอมบางก็หอบจนสั่นไปหมด ร่างสูงช้อนร่างสั่นเทาในอ้อมกอดวางลงบนพื้นพรม รั้งขาข้างหนึ่งขึ้นและกระแทกกระทั้นเข้ามาอีกรอบ ฟ่งร้องเสียงหลง ความวาบหวามรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าแทบจะพาสติของเขาให้โบยบิน ในบทเพลงรักที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้อยคำพร่าเลือนถูกกระซิบออกมา
“Я вас люốлю”
-------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:26:59
บทที่8 YOU’RE MY HOME.
   รูฟัสโถมน้ำหนักทับร่างที่นอนอ้าขาอย่างหมดสภาพ หอบหายใจถี่หนัก ก่อนจะจูบเคลียพวงแก้มชื้นเหงื่อ ฟ่งปรือนัยน์ตาจนเกือบจะหลับ เรียวแรงเหมือนถูกสูบไปจนหมด เขาปล่อยให้รูฟัสซุกไซ้ไปตามใบหน้าและลำคออย่างแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด สองคนนอนซบกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ขณะที่หยาดความสุขอุ่นร้อนไหลเอื่อยอยู่ในร่าง ท้ายที่สุด ยังคงเป็นรูฟัสที่ขยับตัวได้ก่อน
   “อ๊ะ!!” ฟ่งหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อส่วนที่เชื่อมประสานหลุดออกจากกัน สีเลือดฝาดที่จางไปแล้วกลับมาอยู่บนเรือนร่างอีกครั้ง ขณะที่ของเหลวอุ่นระอุไหลเยิ้มออกมาอาบร่องตะโพก รูฟัสก้มลงมองเรือนร่างสีชมพูที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะจูบริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยออ้าอยู่อย่างรักใคร่ พลางใช้นิ้วมือหยอกเย้ายอดอกที่ยังคงตั้งชัน เหมือนต้องการจะเปิดฉากรักฉากใหม่อีกครั้ง ฟ่งสะดุ้ง พยายามส่งเสียงพูดกระก่อนกระแท่น
   “พะ...พอก่อน” น้ำเสียงถึงแม้จะเบา ก็ยังฟังได้ความหมายชัดเจน แต่ดูเหมือนคนอยู่ด้านบนจะไม่สนใจ ริมฝีปากร้อนก้มลงดูดดึงยอดอกสีอ่อนอีกครั้ง ฟ่งบิดกายอย่างอ่อนล้า แม้จะรู้สึกดีอยู่ แต่ร่างกายเขาทนรับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวแล้ว
   “พอ...พอเถอะ....” ฟ่งยกมือไร้เรี่ยวแรงผลักศีรษะรูฟัสออก กระท่อนกระแท่นพูดอีกรอบ “พอเถอะ พอ...ผม..ขอร้องล่ะ”
   เสียงอ้อนวอนแผ่วเบาสิ้นเรี่ยวแรงฟังดูน่าสงสาร แต่กระนั้นฝ่ายกระทำก็ยังไม่ยอมหยุดมือ ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น ไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย เขาพยายามจะปัดมือของรูฟัสออก และเมื่อไม่ได้ผล ฟ่งก็ใช้วิธีคำรามในลำคออย่างไม่พอใจแทน
ไม้นี้ดูเหมือนจะได้ผล อีกฝ่ายยอมละริมฝีปากออกในที่สุด แต่ก็ยังไม่วายพรมจูบไปทั่วเรือนร่างผอมบางและจุมพิตริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง ฟ่งพยายามใช้มือปกปิดส่วนสงวนของตัวเอง เขายังต้องใช้เวลาหอบหายใจอีกสักพัก ถึงจะเรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมาได้ ขณะที่รูฟัสยังคงคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง
   นอนนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ ฟ่งถึงมีแรงลุกขึ้นมาได้ รูฟัสหยิบแว่นส่งให้ และช่วยประคองร่างที่ยังทรงตัวไม่มั่นไปยังห้องน้ำ ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลหันกลับมาแกะมือนั้นออกในตอนที่เดินไปถึงประตูห้องน้ำ
   “ผมอาบน้ำคนเดียวได้”
   รูฟัสได้แต่ยิ้มแห้งๆ ขณะที่ประตูถูกปิดดังปัง ไม่รู้ว่าฟ่งจงใจปิดประตูใส่หน้าเขาด้วยรึเปล่า ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งบนโซฟา ยอมรับว่าเขาเองอาจจะต้องการมากไปหน่อยจริงๆ แต่ฟ่งน่ารักขนาดนี้ใครจะไปทนไหว รูฟัสถอนหายใจยืดยาว หวังว่าฟ่งคงจะงอนไม่นาน เขาไม่อยากถูกเจ้าตัวเมินใส่แบบในครั้งแรกอีก ร่องรอยความวาบหวามยังคงเปรอะอยู่บนเสื้อผ้า คงต้องรอให้ทางนั้นอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยไปล้างออก
---------------------------------------------
   ร่างบางพาดผ้าเช็ดตัวกับราวในห้องน้ำ แล้วเดินมาเปิดฝักบัวด้วยขาที่ยังสั่นเทา สายน้ำเย็นตกกระทบศีรษะ ฟ่งยกมือขึ้นลูบตะโพก ล้างเอาคราบรอยแห่งอารมณ์ที่ยังคงสดใหม่อยู่ออก ขายังคงสั่นอยู่ แม้จะรู้สึกดีจนเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกอับอายและหงุดหงิด ที่ยอมให้ผู้ชายด้วยกันมีอะไรด้วย แถมยังเป็นฝ่ายรับอีก ฟ่งรู้สึกเสียศักดิ์ศรีความเป็นชายอย่างไรพิกล
   หลังจากชำระล้างร่างกายจนเป็นที่พอใจแล้ว ฟ่งก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว ปล่อยให้น้ำหยดจากศีรษะลงบนพรม เขาเหลือบไปมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน ทั้งๆ ที่รูฟัสเองก็ดูไม่มีความผิดอะไร ขณะที่กำลังนึกประชดในใจว่าดีจริงๆ ที่ทางนั้นไม่ต้องล้างคราบอะไรให้ยุ่งยาก สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยเปรอะบนชายเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่าย ฟ่งหน้าแดงวูบ รอยเยอะขนาดนั้น ของเขาเองทั้งหมดเลยหรือ?
   “ผะ..ผมเอาเสื้อมาให้คุณเปลี่ยนดีกว่า” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก พลางถอดแว่นที่เลอะหยดน้ำจากเรือนผมออกมาเช็ดกับปลายผ้าเช็ดตัวแก้เขิน ฟ่งจำไม่ได้ว่าตัวเองถึงจุดไปกี่ครั้ง แต่อย่างน้อยๆ คงไม่ต่ำกว่าสอง คิดถึงตรงนี้ร่างกายก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ได้ยินเสียงรูฟัสพูดอ่อนโยน
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอาก็ได้”
   ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลพยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังก้มเช็ดแว่นอยู่ รูฟัสต้องพยายามห้ามตัวเองอย่างหนัก ร่างของฟ่งที่เต็มไปด้วยรอยจูบ แถมยังเปลือยท่อนบน ลำพังแค่ผมเปียกน้ำก็ดูเซ็กซี่แทบตายแล้ว เจ้าตัวดันจะมาถกปลายผ้าเช็ดตัวขึ้นเช็ดแว่นอีก ไม่รู้เลยหรือว่าคนที่เขายืนมองขาขาวๆ อยู่จะรู้สึกยังไง รูฟัสตัดใจหลับหูหลับตาเดินเข้าห้องน้ำ เพราะขืนอยู่คุยต่อเขาคงมีอันต้องหน้ามืดอีกครั้งหนึ่งแน่ๆ
   รูฟัสกลับออกมาจากห้องน้ำและรู้สึกโล่งใจที่ฟ่งสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา แต่กลับได้รับสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งเป็นการตอบแทน
   หรือฟ่งยังมีเรื่องอะไรไม่พอใจเขาอีก?
   ความจริงฟ่งไม่ได้ไม่พอใจรูฟัส เพียงแต่รู้สึกกระอักกระอวนที่ถูกฝ่ายนั้นกด แล้วตัวเขาเองก็ดันยอมง่ายๆ ทั้งๆ ที่ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยมีรสนิยมผิดเพศแบบนี้มาก่อน คิดมาคิดไปยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของรูฟัส ความหงุดหงิดนั่นก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง ฟ่งขัดใจส่วนนี้ของตัวเองจริงๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ
   “โกรธผมหรือครับ?” รูฟัสเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสองสีที่มองมาอย่างวิงวอนขอความเมตตาทำเอาฟ่งต้องก้มหน้าหลบพร้อมกับสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นพูดขึ้นต่อ
   “งั้นมองผมหน่อยสิครับ” ฟ่งตอบรับคำขอนั้นด้วยการเหลืองตาขึ้นมองคนพูดแวบหนึ่ง และก็ถูกวงแขนแกร่งรวบเอาไว้ทันที รูฟัสก้มลงมองใบหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศอย่างนึกสนุก ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
   “หัวเราะอะไร?” คนมีรูปร่างผอมบางกว่าส่งเสียงถามอย่างสงสัย รูฟัสยิ้มกริ่ม ยกมือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น โน้มหน้าไปใกล้ แก้มของฟ่งที่ยิ่งแดงอยู่แล้วแดงเข้าไปอีกเมื่อสัมผัสกับลมหายใจอุ่น ริมฝีปากได้รูปของหนุ่มตาสองสีเอ่ยคำพูดแผ่วเบา
   “เวลาคุณอาย น่ารักจัง”
   ฟ่งอ้าปากค้าง พูดไม่ออกแล้วจริงๆ เมื่อเจอประโยคตอบแบบนี้ ระหว่างนั้นคนข้างห้องก็ขโมยจูบเขาอีกรอบ หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นปิดปาก ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง
   “ปล่อยผมนะ!” คนถูกกอดโวยวายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือ รูฟัสทำหน้าน่าสงสารก่อนกล่าวสืบเนื่อง
   “สัญญาก่อนสิครับว่าจะไม่โกรธผม”
   ฟ่งถลึงตาใส่อีกฝ่ายทั้งที่แก้มยังแดงระเรื่อ ก่อนจะพูดเร็วปรื๋อ “ถ้าคุณยังไม่ปล่อย ผมจะโกรธคุณเดี๋ยวนี้แหละ”
   รูฟัสหัวเราะในลำคออีกครั้ง แต่ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ทันทีที่หลุดออกมาได้ ฟ่งรีบยันตัวถอยกรูดจนติดพนักพิงโซฟา เหลือบตาขึ้นมองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ พอสบเข้ากับนัยน์ตาสีแปลก ก็เฉไปมองทางอื่น
   “ลงไปซื้อข้าวให้ผมหน่อยสิ” ร่างบางเอ่ย ปกติเขาไม่ใช่คนที่อยากออกคำสั่งหรือใช้ให้ใครทำอะไรให้ แต่ครั้งนี้เห็นที่จะต้องให้รูฟัสรับผิดชอบการกระทำตัวเองบ้าง ขาของเขาที่ตอนนี้ยังสั่นกึ่กๆ ก็เพราะทางนั้นเป็นต้นเหตุ จะให้เดินลงไปทั้งๆ ที่ตัวยังเบาหวิวอย่างนี้คงไม่แคล้วได้เข่าอ่อนระหว่างทางแน่ๆ
   รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขาฉวยมือเรียวของผู้ที่นั่งอยู่ขึ้นมา จุมพิตลงไปเบาๆ ก่อนเอ่ยสั้นๆ “As you wish, my lord.”
--------------------------------------------
   เสียงปิดประตูไม่ได้ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ริมระเบียงสนใจหรือแม้แต่จะหันมามอง ลมทะเลพัดสาดเข้ามาในห้อง พร้อมกับกลิ่นบางอย่างที่ทำให้ผู้เดินเข้ามาใหม่ขมวดคิ้ว
   “สูบบุหรี่อีกแล้วหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยทักเจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงเคาะก้นกรองบุหรี่ที่จำจากเงินลงบนราวสเตนเลสเบาๆ ขี้เถ้าสีขาวปลิวไปตามแรงลม ก่อนจะยกขึ้นมาจรดริมฝีปาก ควันสีขาวลอยละล่องไปบนอากาศก่อนจะม้วนตัวหายไป ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่จัดนัก เขามักจะสูบในเวลาที่รู้สึกกดดันหรือมีเรื่องน่าหนักใจให้ต้องขบคิด  จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ ทำท่าจะอ้าปากห้าม แต่แล้วก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดไว้ เพราะรู้ดีว่ามันจะไม่มีผลต่อเจ้านายของเขาแต่อย่างใด นอกจากจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น
   “ถ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ก็กลับออกไปซะ” เว่ยเฟิงปิงพูด พลางเดินกลับเข้ามาในห้อง ขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลที่วางอยู่บนโต๊ะ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ที่ยืนอยู่กลางห้อง จางซื่อเยี่ยนรอให้เฟิงปิงจัดการกับก้นบุหรี่จนเสร็จ เขาชินชากับคำพูดที่ไม่แยแสสนใจแบบนี้ของเจ้านายเสียแล้ว แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะทำให้เขารู้สึกน้อยใจและเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่เทียบกับสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงเคยเผชิญมา
   “มีโทรศัพท์จากเจ้านายใหญ่ถึงคุณ”
   “คุณพ่อน่ะรึ?” เสียงของเว่ยเฟิงปิงกระด้างขึ้น จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือให้ ผู้เป็นเจ้านายยื่นมือเรียวขาวออกมารับ ก่อนจะยกขึ้นแนบหู
   ซื่อเยี่ยนถอยฉากหลบออกจากห้อง ไม่ใช่เรื่องสมควรนักที่เขาจะยืนอยู่ระหว่างที่คนทั้งคู่สนทนากัน

   “คุณพ่ออยากได้ข้อมูลลับของ ริเวิล” เว่ยเฟิงปิงก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ขณะยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา
   “ทำอย่างกับว่าฉันจะได้ตัวหมอนั่นแน่นอนงั้นแหละ” เสียงนั้นขึ้นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจนัก จางซื่อเยี่ยนสอดมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
   “เข้ามาก่อนสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” เว่ยเฟิงปิงผลักประตูให้เปิดออก เดินกลับเข้าไปในห้อง จางซื่อเยี่ยนเดินตามเข้ามา ผู้เป็นเจ้านายนั่งปุลงบนเก้าอี้บุนวมที่วางอยู่ข้างโต๊ะ นัยน์ตาสีฟ้านั้นวาวโรจน์ราวกับสัตว์ร้าย
   “ฉันจะกลับเข้ากรุงเทพพรุ่งนี้ นายช่วยจัดการเรื่องการเดินทางด้วย”
---------------------------
   แสงจันทร์สีเงินยวงสาดลงมาต้องร่างเพรียวบางที่อยู่ตรงระเบียงในเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาว ไฟสีแดงตรงปลายบุหรี่สว่างวาบเป็นพักๆ ควันสีขาวลอยขึ้นบนอากาศก่อนจะม้วนหายไปกับสายลม ดูเหมือนลมทะเลจะทำให้บุหรี่ไหม้เร็วขึ้น คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยก้าวเท้ากลับเข้ามาในห้อง ขยี้บุหรี่ในมือลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มจนแทบจะล้น ก่อนจะเปิดกล่องใส่บุหรี่ที่ทำจากเงินอันวางอยู่บนโต๊ะออก และพบว่ามันว่างเปล่าเสียแล้ว เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ มีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาสูบบุหรี่จัดขนาดนี้ แน่นอนว่าแทบทุกครั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่มีชื่อว่ารูฟัส
   ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะหาบุหรี่มาสูบต่อ เพราะรู้ดีว่าลูกน้องตัวดีคงจะจัดการเอาไปซ่อนหมดแล้ว โดยปกติจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่แสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวบ่อยนัก หลายครั้งที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่คุยด้วย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสั่งงานกับหุ่นยนต์ที่ไม่เคยตอบสนองต่ออารมณ์ใดๆ แต่ถึงกระนั้นซื่อเยี่ยนก็ยังไม่เคยทำงานพลาดเลยสักครั้ง นั่นยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงอยากจะเรียกเขาเสียใหม่ว่า มิสเตอร์โรบอท บางทีการที่จางซื่อเยี่ยนชอบขัดเวลาที่เขาสูบบุหรี่ อาจจะเป็นเพราะคำสั่งของผู้ที่เขาเรียกว่า คุณพ่อ ก็เป็นได้
   เฟิงปิงหันมาเปิดตู้เย็น ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อพบว่าเหล้าที่แช่ไว้ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหมด ร่างบางแค่นหัวเราะ ก่อนจะหยิบแก้วที่วางอยู่หลังตู้เย็นมารินน้ำลงไป ถึงเขาจะโทรไปต่อว่าจางซื่อเยี่ยนตอนนี้ ก็คงไม่พ้นได้รับคำตอบว่า
ผมไม่อยากแบกคุณขึ้นรถพรุ่งนี้
   ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พลางเดินกลับออกไปตรงระเบียง
   กรุงเทพ สถานที่ที่เขาผ่านตอนที่ลงจากเครื่องบิน สถานที่ที่เขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เฟิงปิงทราบจากจางซื่อเยี่ยนว่ากรุงเทพนั้นกว้างและอันตรายกว่าฮ่องกง วันพรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะไปยืนอยู่ในเมืองเดียวกับชายที่เขาตามหามากว่าห้าปี
   ถ้าหากบังเอิญเดินสวนกันคนคนนั้น เขาจะทำตัวยังไงนะ
   เฟิงปิงแค่นหัวเราะ
   นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลย เขาควรจะกังวลเรื่องการสืบหาที่อยู่ของรูฟัสมากกว่า
   ริมฝีปากบางเรียบปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน น้ำตาหยดเล็กๆไหลซึมออกมาจากดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น
------------------------------
   กว่าจางซื่อเยี่ยนจะกลับมาถึงที่พักก็เป็นเวลาเกือบๆ ตีหนึ่ง การหาเช่ารถไปกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
   “อ้าว พี่จาง” เสียงคุ้นเคยร้องทัก ซื่อเยี่ยนโบกมือให้เด็กหนุ่มวัยราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ผู้ที่เฟิงปิงเรียกว่า อาเง็ก เพราะปานเขียวที่คอของเขา
   “พี่หิวหรือเปล่า อาโจวมันเพิ่งลงไปหาซื้อของกิน พี่จะรอกินด้วยกันเลยไหม”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า ก่อนจะถามขึ้น “คุณชายล่ะ?”
   “คงนอนแล้วล่ะครับ เห็นเข้าห้องไปตั้งแต่หัวค่ำ”
   “อืม...พวกนายเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วหรือ?”
   อาเง็กพยักหน้า
“รถออกบ่ายสองนะ ฉันให้เข้ามาที่นี่เลย”
   “ครับ” อาเง็กพยักหน้า ก่อนจะมองดูซื่อเยี่ยนเดินหายลับไป เขาอดทึ่งกับการทำงานราวกับหุ่นยนต์ของชายคนนี้ไม่ได้

   จางซื่อเยี่ยนเดินมาหยุดหน้าห้องของผู้เป็นนาย ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง แสงไฟสีส้มแดงจากโคมไฟเหนือหัวนอนทาบลงบนร่างเพรียวบางที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่  เสื้อคลุมอาบน้ำที่คาดไว้หลวมๆ ทำให้เห็นสัดส่วนต่างๆ ของเรือนร่างนั้นค่อนข้างชัดเจน จนคนมองอดใจเต้นไม่ได้
   “มีอะไร?” เว่ยเฟิงปิงถามเสียงเรียบๆ เมื่อเห็นว่าผู้เข้ามาไม่ยอมพูดอะไรซักที
   “ผมมาเรียนว่า พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันตอนบ่ายโมง ขอให้คุณเตรียมตัวด้วยครับ”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงขานรับในลำคอ ยังคงไม่ละสายตาจากหนังสือที่อ่าน ดูเหมือนมันจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทย จางซื่อเยี่ยนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีคำสั่งอะไรแน่แล้ว จึงถอยกลับออกไป

   ภาพเรือนร่างของเฟิงปิงเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จางซื่อเยี่ยนหอบหายใจ ขณะที่ของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมากองอยู่ตรงหว่างขา ชายหนุ่มเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ เสียงถอนใจดังขึ้น
   เขาไม่ควรคิดแบบนี้กับเว่ยเฟิงปิง
   เขาไม่ควรจะคิดเรื่องบ้าบอแบบนี้กับลูกชายของผู้มีพระคุณกับชีวิตของเขา
   จางซื่อเยี่ยนเอามืออีกข้างก่ายหน้าผาก ถอนหายใจยืดยาว
   ถึงจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ไม่อาจจะลบภาพนั้นออก ยิ่งไม่อาจลบความรู้สึกที่มีต่อเฟิงปิงได้ แม้ว่าความฝันเหล่านั้นไม่มีวันจะเป็นจริงเลยก็ตาม
------------------------------------------------
   ฟ่งล้มตัวลงนอนบนโซฟา พร้อมด้วยความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง เขาเพิ่งส่งงานส่วนที่สองไปเมื่อวาน  เป็นส่วนของโครงสร้างภายนอก และระบบป้องกันชั้นที่หนึ่ง เป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์แล้วที่เขารับทำงานชิ้นนี้ ตอนแรกฟ่งยอมรับว่ารู้สึกกดดัน และไม่ค่อยพอใจนัก แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เขากลับพบว่าตัวเองสนุกกับการออกแบบโครงสร้างที่น่าประหลาด และยากแก่การเข้าถึงนี้โดยไม่รู้ตัว เขานึกอยากเห็นหน้าคนที่จะมาทำลายระบบป้องกันเหล่านี้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกกลัวว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่แย่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ ถ้าหากตำรวจจะต้องบุกเข้าไปจับกุมคนในห้องนี้ล่ะก็...
   ชายหนุ่มไม่อยากคิดต่อ มันพาลจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคประสาท ตอนนี้เขากลัวการที่จะต้องออกไปไหนมาไหนคนเดียว และเริ่มรู้สึกหวาดกลัวคนแปลกหน้า ได้แต่ชวนให้รูฟัสออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนด้วย ฟ่งคิดไม่ออกว่าหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้วเขาจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง หรือว่าตัวเขายังจะรักษาชีวิตอยู่ได้อีกหรือไม่
   เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ กดปุ่มรับสาย เสียงดัดๆ ที่ฟังดูแปลกหูดังแทบจะทะลุลำโพงออกมา
   “เฮ้ย! ฟ่ง นี่ฉันเองนะ พงษ์”
   “เออ มีอะไร” ฟ่งกรอกเสียงลงไป การได้ยินเสียงของเพื่อนเก่าอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้น
   “อย่าบอกนะว่าลืม ห๊ะ?!” เสียงปลายสายแว๊ดขึ้นมาทันที ฟ่งยกมือเกาหู พลางนึกว่าเขาลืมอะไร
   “โทษที พักนี้ทำงานจนเบลอน่ะ”
   เสียงสบถดังขึ้นนิดหน่อย ก่อนอีกฝ่ายจะพูดต่อ “วันพฤหัสนี้มางานเลี้ยงรุ่นที่คณะด้วย ลืมได้ไงเนี่ย?!”
   “อ้อ โทษทีๆ” ฟ่งพูดขึ้นอย่างนึกได้ เขาลืมไปเสียสนิท วันพฤหัสนี้เป็นกำหนดส่งงานวันสุดท้ายเสียด้วย ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
   “นายเอาเอารถมารับฉันได้ไหม ฉันไม่มีรถ”
   “ได้ๆ เดี๋ยวฉันจะโทรนัดนายอีกที รักษาสุขภาพด้วยล่ะ อย่าตรากตรำมาก เดี๋ยวจะตายก่อนแก่”
   ฟ่งแหะๆ กับคำเตือน ก่อนที่อีกฝ่ายจะว่างสายไป เขาวางโทรศัพท์ลงที่เดิม ย้ายตัวเองไปหยุดตรงหน้าคอมพิวเตอร์ กดปุ่มเปิดเครื่อง แล้วนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ หยิบเอาท่อทรงกระบอกสีเงินที่มีความยาวราวๆ สิบห้าเซ็นติเมตรที่วางอยู่บนโต๊ะวางจอขึ้นมาพลิกดู มันเป็นตัวอย่างวัสดุค้ำยันที่เขาขอมาจากทวีศักดิ์เมื่อตอนที่ไปรับงาน แม้ภายนอกมันจะดูเหมือนอลูมิเนียม แต่ผิวสัมผัสของมันเรียบลื่นเหมือนแก้ว ค่อนข้างจะโปร่งแสง ที่สำคัญมันสามารถยืดหยุ่นได้ในระดับหนึ่ง
   จู่ๆ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยิบค้อนออกมาจากกล่องเครื่องมือ วางวัตถุทรงกระบอกนั้นบนพรม แล้วฟาดค้อนลงไปอย่างแรง ความรู้สึกชาวูบเข้าสู่ฝ่ามือที่กำค้อนอยู่ ฟ่งก้มลงไปมองท่อทรงกระบอกนั้น มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เขาสะบัดมือไล่ความเจ็บปวด แล้วจึงเดินเอาค้อนไปเก็บ  ความคิดพิสดารผุดขึ้นในหัวสมอง
   น่าจะลองเอาไปให้รถเหยียบ
   ฟ่งนึกภาพตัวเองยืนซุ่มอยู่ข้างถนนรอให้รถมาเหยียบท่อแล้วอดขำไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว กลับมาให้ความสนใจกับโปรเจคงานที่ยังคงทำค้างอยู่
   ลองมีวัสดุแบบนี้ ห้องพิสดารที่เขาเคยวาดฝันไว้คงจะปรากฏรูปโฉมในความเป็นจริงได้ไม่ยาก
-------------------------------
   เสียงเพลงWILL ALWAYS LOVE YOU ดังแว่วท่ามกลางเสียงพูดคุยเบาๆ ของบรรดาแขกเหรื่อซึ่งล้วนแต่เป็นสมาชิกระดับวีไอพีทั้งสิ้น มีทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล หรือแม้กระทั่งดารานักแสดง
   อิทธิเดช หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่าเดช ขยับแก้วไวน์ในมือช้าๆ สีแดงกุหลาบของลาเกรนโรซาโต ทำให้เขานึกถึงคนที่เคยเรียกว่าแม่ แม่เป็นคนชอบดอกกุหลาบ ทุกมุมของบ้านมักจะมีดอกกุหลาบประดับไว้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันที่แม่ยิงตัวตาย ท่ามกลางกองกุหลาบ ในห้องนอนสีกุหลาบของตัวเอง ทิ้งหนี้สินมหาศาลไว้ให้เขาซึ่งในเวลานั้นเป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยมต้นเป็นผู้รับผิดชอบ อิทธิเดชไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะเสียไปตั้งแต่เขาเกิด ในบ้านไม่มีรูปของพ่อเลย แม่คงจะทำลายทิ้งไปหมด  เหลือแต่ดอกกุหลาบ นั่นถือเป็นตัวแทนของพ่อกระมัง
   อิทธิเดชยกไวน์ขึ้นจิบช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไป เขาพอใจรสชาติเครื่องดื่มของที่นี่ แม้ว่าเจ้าของซึ่งเป็นหญิงสาวสวยพริ้งคนนั้นจะทำให้เขารู้สึกนึกถึงแม่อยู่บ้าง

   เมี่ยงชำเลืองมองหนุ่มวัยยี่สิบสามผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายผู้หญิงที่นั่งจิบไวน์อยู่ที่โต๊ะเยื้องกับเคาน์เตอร์บาร์ที่เพิ่งทำใหม่แวบหนึ่ง จริงๆ หล่อนควรจะเดินเข้าไปพูดคุยกับเขาเหมือนแขกคนอื่น แต่เมี่ยงพอจะดูออกว่า อิทธิเดชคงไม่รู้สึกชอบใจตนนัก หล่อนจึงเพียงแค่เอ่ยทักตอนเข้าร้านพอเป็นพิธีเท่านั้น อิทธิเดชไม่ได้มาที่ร้านของหล่อนเป็นประจำ แต่ลักษณะเฉพาะตัวของเขาทำให้เมี่ยงจำได้แม่นยำ ที่สำคัญชายหนุ่มหน้าสวยคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บาร์เทนเดอร์ของหล่อนกำลังตามสืบอยู่
   เมี่ยงมองดูบาร์เทนเดอร์ที่เพิ่งมาทำงานได้หนึ่งอาทิตย์ด้วยสายตาเสียดายเล็กๆ ชายหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบแปดปี ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาสวมทำด้วยเสื้อกั๊กสีดำแบบบาร์เทนเดอร์ทั่วไป กำลังผสมเครื่องดึ่มให้กับลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ถึงจะพยายามทำตัวให้ธรรมดาขนาดไหน แต่ใบหน้าคมสันได้รูปนั้นก็ยังเป็นที่สะดุดตาอยู่ดี แม้ว่าสีตาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วก็ตาม สังเกตได้จากบรรดาลูกค้าสาวๆ ซึ่งดูเหมือนจะเลือกไปนั่งที่เคาน์เตอร์กันมากขึ้น เมี่ยงถอนหายใจ หล่อนแอบคิดถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาที่มีให้ในวันแรกที่พบกัน การที่จะหวังให้มีช่วงเวลานั้นอีกครั้งคงเป็นไปไม่ได้ เมื่อหล่อนลองถามเลียบๆ เคียงๆ ดูถึงความสัมพันธ์ของเขากับคนข้างห้องหลังจากเหตุการณ์ที่บาร์ในวันนั้น  ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหัวเราะเบาๆ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเหมือนเด็กๆ แม้จะไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เมี่ยงก็พอจะเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร อภิวัฒน์เป็นเด็กน่ารัก แม้จะดูรั้นและเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการทำงานและความสุภาพนอบน้อมของเขาทำให้หล่อนรู้สึกประทับใจ  หญิงสาววัยสามสิบสี่เศษถอนหายใจยาวอีกครั้ง หวังว่าทั้งคู่คงไม่จริงจังกันมากนัก เพราะสุดท้ายบทสรุปสุดท้ายอาจจบลงด้วยความเจ็บปวด
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:28:34
   “What would you like to drink, madame?.” รูฟัสเอ่ยถามหญิงสาวในชุดเสื้อคอเต่าแขนกุดสีดำที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะวางใบสะระแหน่ลงบนแก้วคอคเทล ก่อนจะบรรจงส่งให้กับหญิงสาวอีกนางที่โปรยยิ้มหวานมาให้
   “What your name?” หญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่เพิ่งยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบเอ่ยถาม
   “เชน (Shayne) ครับ”
   “พูดไทยได้ด้วย ดีจัง แล้วมีแฟนหรือยังคะเนี่ย?”
   รูฟัสอมยิ้ม ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเจอคำถามลักษณะนี้นับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มต้องคอยตอบคำถามของเหล่าบรรดานักเที่ยวราตรีทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ ที่แวะเวียนมาที่บาร์มากขึ้นกว่าปกติ
   “บอกไม่ได้หรอกครับ” เขาพูดอ้อมๆ พลางยื่นมือขึ้นไปหยิบมาร์ตินี่ที่วางอยู่ในชั้นด้านบนลงมา นึกชมคนออกแบบที่จัดวางส่วนที่เป็นช่องเก็บของต่างๆให้หยิบได้สะดวกและใกล้มือ รูฟัสเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าบูดๆ ของเจ้าของงานออกแบบเคาน์เตอร์บาร์ชิ้นนี้
   “แอบคิดถึงใครอยู่รึเปล่าคะ?” เสียงใสๆของเมี่ยงถามขึ้น หล่อนก้าวเข้ามานั่งตรงมุมอีกด้านหนึ่ง รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ การมาของหล่อนดึงความสนใจของทุกคนไปได้จังหวะหนึ่ง เปิดโอกาสให้เขาได้ลอบสังเกตพฤติกรรมของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยราวกับหญิงสาวที่ยังคงนั่งจิบไวน์อยู่

   คิ้วเรียวบางของอิทธิเดชขยับเข้าหากันเล็กน้อย เสียงคุยจ๊อกแจ๊กที่ดังมาจากบาร์ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงดูมีความสุขกันง่ายนัก
   “ไวน์รสชาติแย่หรือไง”
   อิทธิเดชสะดุ้ง หันหน้าไปหาที่มาของเสียง เด็กหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ โดยไม่บอกกล่าว ผมซอยสั้นสีดำแบบสมัยนิยมที่ถูกแต่งทรงด้วยแว๊กซ์ดูเข้ากับใบหน้าห้าวๆ นั้นอย่างลงตัว อิทธิเดชขยับหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้มือรั้งไว้
   “เธอมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ชายหนุ่มหน้าสวยพูด พลางพยายามแกะมือที่โอบไหล่นั้นออก
   “ผมอายุยี่สิบแล้วนะ” ผู้ที่มาใหม่ขยับมือหนีจากหัวไหล่ลงมาอยู่ที่ปั้นเอว ก่อนจะเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มกับบริกรสาวสวยที่เดินเข้ามา
   “ปล่อยนะ ฉันจะไปคุยกับเจ้าของร้าน” อิทธิเดชโวยวาย แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมทำตาม
   “ผมเป็นสมาชิกที่นี่แล้วน่า ทำไมช่วงนี้คุณถึงหลบหน้าผม”
   “ฉันน่ะรึหลบหน้าเธอ?”
   เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้   “งั้นทำไมคุณจะต้องตกใจตอนเจอผมที่นี่ด้วยล่ะ คุณเข้าใจว่าผมจะเข้ามาไม่ได้ใช่ไหม?”
   “วรุต!!” อิทธิเดชขึ้นเสียงพลางจ้องเขม็ง จนอีกฝ่ายต้องล่าถอยออกไป
   “เรียกเสียเต็มยศเลยนะ คุณคิดจะเบี้ยวสัญญาหรือไง”
   “เธอ!!”
   เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าวรุตยิ้มอย่างผู้ชนะ เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีอึกอัก
   “ไม่คิดจะปล่อยให้ฉันได้พักบ้างหรือไง” อิทธิเดชพยายามจะต่อรอง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
   “ผมปล่อยคุณมาหลายวันแล้วนะ ได้ข่าวว่าคุณกับอารัตน์โดนคุณพ่อดุ สถาปนิกคนนั้นอาละวาดมากเลยหรือไง?”
   “สนใจด้วยหรือ” อิทธิเดชเมินใส่ หันไปยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ วรุตทำคิ้วย่นพลางถอนหายใจ หยิบเบียร์ที่บริกรสาวเพิ่งเอามาวางขึ้นมาจิบบ้าง อิทธิเดชชายตามองการกระทำของเด็กหนุ่ม
   “ผมไม่เมาหรอก” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเหมือนรู้ใจ คิ้วบางคู่นั้นขมวดเข้าหากัน ก่อนจะหันหน้าหนี วรุตหัวเราะในลำคอ “จะกลับกี่โมงล่ะ หรือจะค้างที่นี่ ได้ข่าวว่าห้องพักก็ไม่เลวทีเดียว เผื่อคุณอยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
   “หยุดพูดจากับฉันแบบนี้ซักที” อิทธิเดชโพล่งออกมาอย่างทนไม่ได้ แต่วรุตทำเป็นไม่สนใจ
   “ทำไมล่ะ หรืออยากให้ผมพูดมากกว่านี้ เวลาที่คุณ..”
   “เธอจะเอายังไงกับฉัน” อิทธิเดชพูดสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเด็กหนุ่ม “คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ คนสวย”
   อิทธิเดชปัดมือที่ยื่นมาเชยคางออก ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานมาคิดราคาค่าเครื่องดึ่ม วรุตหยิบเงินออกมาจ่ายค่าเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย อิทธิเดชหันมามองอย่างไม่ค่อยพอใจ
   “ไม่เอาน่า ผมไม่คิดจะซื้อตัวคุณด้วยเงินแค่นี้หรอก” วรุตกล่าว พลางฉุดมือของอิทธิเดชจูงออกจากคลับไป ทั้งหมดนี้ไม่รอดพ้นสายตาของรูฟัสไปได้

   “เอ.. คุณเชนวันนี้ไม่กลับหรือคะ เห็นบอกว่าติดธุระ” จู่ๆ เมี่ยงก็พูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนาของสาวๆ ที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ รูฟัสหันไปมองนาฬิกาแล้ว แล้วหัวเราะเขินๆ “นั่นสินะครับ ผมก็มัวแต่คุยเสียเพลินเลย ทุกคนน่ารักมากจริงๆ”
   เมี่ยงขยิบตาให้รูฟัสอย่างรู้กัน ชายหนุ่มพูดเสริมต่อ “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็คุณติดธุระสำคัญนี่นา เดี๋ยวฉันจะให้เด็กอีกคนมาทำแทนนะคะ”
   “ขอบคุณมากครับ มาดาม”
   สาวๆ ที่นั่งอยู่ทำท่าเสียดาย รูฟัสยิ้มให้พวกหล่อน ก่อนจะก้มลงเก็บของแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องสำหรับพนักงานที่อยู่ด้านหลัง
   ชายหนุ่มกลับออกมาทันเห็นเป้าหมายทั้งคู่กำลังขึ้นรถพอดี เสียงเถียงกันดังแว่วมาในอากาศ ก่อนที่อิทธิเดชจะก้าวขึ้นรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยูคันสีดำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก รูฟัสทำทีเดินเข้าไปจะถอยรถคันที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วทำกุญแจหล่น ถือจังหวะนั้นแอบติดเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กใต้ท้องรถ เขาเงยหน้าขึ้นมาขณะที่บีเอ็มคันนั้นถอยออกไปพอดี  ชายหนุ่มรอให้รถเป้าหมายขับไกลออกไปพอสมควร ก่อนจะเดินออกมาโบกแท็กซี่ตรงถนนด้านหน้าอย่างใจเย็น
---------------------------
   เสียงกดล็อกประตูดังบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอิทธิเดช เขาเดินเลี่ยงเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาหา วรุตโอบแขนรอบเอวของผู้ที่กำลังเดินหนี ก่อนจะรั้งเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
   “ไม่อาบน้ำหรือไง?” อิทธิเดชถาม ขณะที่อีกฝ่ายก้มลงไซ้ไปตามซอกคอ
   “แล้วแต่คุณสิ อยากอาบน้ำก่อนรึ?” วรุตตอบโดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา อิทธิเดชขยับตัวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “เธอไปอาบก่อนแล้วกัน” เขาพูด วรุตนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เด็กหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวที่พาดอยู่ เดินเข้าห้องน้ำไป  อิทธิเดชทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หวายที่วางอยู่ในห้องถอนหายใจหนักหน่วง ห้องพักแห่งนี้เคยเป็นที่ส่วนตัวที่เขารู้สึกผ่อนคลาย จนกระทั่งเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าวรุตก้าวเข้ามาในชีวิต
   วรุตเป็นลูกโทนของเจ้านายที่เขาทำงานให้อยู่ ทวีศักดิ์ ชายผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาจากภาวะล้มละลายอันมีผลมาจากมารดาผู้ล่วงลับ อิทธิเดชได้รู้ถึงเหตุผลของการช่วยเหลือในครั้งนี้เมื่อวันครบรอบวันเกิดปีที่สิบเจ็ด ทวีศักดิ์ขอร่วมรักกับเขาเป็นครั้งแรก อิทธิเดชไม่ได้รังเกียจชายผู้มีวัยมากกว่า ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกดีที่มีโอกาสตอบแทนความช่วยเหลือนั้น แม้จะเป็นไปในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก ชายหนุ่มยอมรับว่าตัวเองไม่มีอารมณ์กับผู้หญิง ดังนั้นเขาจึงตอบรับข้อเสนอนั้นไปโดยง่าย แต่หลังจากนั้น ทวีศักดิ์ไม่ได้แตะต้องเขาอีกเลย ดูเหมือนเจ้าตัวจะตัดสินใจมีสัมพันธ์เชิงอย่างนั้นกับเขาด้วยเหตุผลส่วนตัวอะไรบางอย่าง แม้ไม่ได้มีอะไรกันอีกแล้ว ทวีศักดิ์ก็ไม่ได้เขี่ยเขาทิ้ง ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงินและความช่วยเหลือต่างๆ เสมอมา อิทธิเดชรู้สึกกระอักกระอวนกับเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจขอทำงานให้ทวีศักดิ์แลกกับความช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตกลง นั่นทำให้อิทธิเดชยังคงเคารพในตัวเจ้านายของเขาอยู่เสมอมา
   อิทธิเดชไม่เคยพบลูกชายของเจ้านายตัวเองมาก่อน จนกระทั่งเมื่องานวันครบรอบวันเกิดปีที่สี่สิบห้าของทวีศักดิ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทวีศักดิ์เปิดตัวลูกชายของเขาที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน คืนนั้นเองที่วรุตแอบตามอิทธิเดชมาถึงห้อง และลงมือข่มขืนเขาจนสำเร็จ ชายหนุ่มไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้มากนัก เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของเจ้านายผู้มีพระคุณ หนำซ้ำยังวรุตถ่ายรูปเอาไว้แบลคเมล์อีกด้วย
   ผ้าเช็ดตัวที่ถูกโยนมาทำให้อิทธิเดชตื่นจากภวังค์ เขาดึงมันออกจากศีรษะ ก่อนจะหันหลังกลับไป
   “ไปอาบสิ ผมรอ” เด็กหนุ่มที่นุ่งผ้าครึ่งตัวกล่าว พลางนั่งปุลงบนเตียง อิทธิเดชลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างเสียมิได้
   ชายหนุ่มปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านศีรษะลงไปอย่างช้าๆ ขณะหยิบสบู่ขึ้นมาถูตัวอย่างเหม่อลอย อิทธิเดชไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับวรุต ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความปรารถนาที่ไม่เคยพอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องคอยหลบหน้าเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เสมอมา
   ร่างผอมบางค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ ราวกับกลัวว่าจะมีใครเห็น อิทธิเดชหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดผม พยายามเดินเลี่ยงจากเตียงไปตู้เสื้อผ้า แต่กลับถูกมือของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาราวกับงูร้าย ฉุดรั้งจนหงายหลังลงไปบนเตียง
   “คุณนี่ชอบทำอะไรไร้ประโยชน์จังนะ คิดว่าจะหลบผมได้หรือไง แต่นั่นแหละที่ทำให้ผมชอบคุณ”
   “เงียบเถอะ” อิทธิเดชขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ขณะที่วรุตขึ้นคร่อมเหนือร่าง เด็กหนุ่มก้มตัวลงมาพร้อมร้อยยิ้มประสงค์ร้าย
   “คุณนี่พูดจาน่ารักๆไม่เป็นหรือไงนะ เวลาคุณนอนกับคุณพ่อผม คุณพูดอะไรบ้าง”
   “วรุต!!!”   อิทธิเดชพยายามผลักร่างที่ขึ้นคร่อมอยู่ให้ออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล วรุตรวบแขนของอีกฝ่ายขึ้นไปเหนือหัว ก่อนจะผูกมันเข้าด้วยกันกับผ้าขนหนูที่ตกอยู่
   “ทำให้ผมพอใจสิ บางทีผมอาจจะยอมปล่อยคุณไปซักวัน ว่าไงล่ะ หรือว่าคุณร้องครางเป็นอย่างเดียว”
   “ฉันเกลียดคนอย่างเธอที่สุด” อิทธิเดชพูดใส่หน้า ดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจอยู่มาก แววตาของวรุตจ้องมาราวจะกินเลือดกินเนื้อ
   “งั้นผมจะทำให้คุณเกลียดชนิดที่ขาดผมไม่ได้เลย”
   ก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากลงมาพร้อมกับเปิดฉากรุกรานอย่างรุนแรงจนอิทธิเดชดิ้นพราด เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้จงเกลียดจงชังจนต้องทำกันถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มกล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้ในอก หยดน้ำใสๆ ไหลซึมเป็นทางออกมาจากหางตา เวลาแห่งคำคืนอันแสนทรมานนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
-------------------------
   รูฟัสมองท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีเทาหม่น ก่อนจะอ้าปากหาว ชายหนุ่มเคยผ่านการอดหลับอดนอนนับเป็นสัปดาห์ เมื่อครั้งเข้าร่วมกับกองทหารรับจ้างในสงครามเรื้อรังของเชสเนีย โดยการชักชวนปนขู่บังคับของแฟรงค์และราฟาแอล อัตราการเต้นของหัวใจและระดับการหลั่งของอะดรีนาลีนในเลือดเมื่อคราวนั้น เทียบไม่ได้กับตอนนี้แม้แต่นิดเดียว รูฟัสหาวหวอดอีกรอบ แม้จะถูกฝึกมาให้อดหลับอดนอนเพื่อรอคอยได้ถึงสามวัน แต่ความน่าเบื่อนั้นบางทีก็แย่พอๆ กับการต้องคอยผวาตื่นเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ในสนามรบเลยทีเดียว เสียแต่ที่มันแย่แบบตรงกันข้ามเท่านั้น
   ในตอนนี้รูฟัสต้องพยายามหาอะไรที่ทำให้เขาผวาตื่น ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่บังเอิญมีโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากอพาร์ตเม้นที่เป็นเป้าหมายไม่ไกลนัก เขาเลยได้ใช้เวลาแห่งการรอคอยอยู่ในสถานที่ที่ดูสะดวกสบายและสงบกว่าตามสุมทุมพุ่มไม้อยู่มากโข สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกขัดลูกกะตามากที่สุดตอนนี้เห็นจะเป็นเตียงนอนสีขาวที่วางอยู่ในห้อง เขาอยากจะยกมันออกไปให้พ้นๆ การต้องมาทนอดนอนทั้งๆ ที่มีเตียงนอนโล่งๆ วางอยู่ข้างๆ มันช่างดูน่าทรมานเหมือนการไม่ได้กินข้าวทั้งๆ ที่มีกับข้าวแสนอร่อยวางอยู่ตรงหน้า  ยิ่งพอนึกเดาถึงเหตุที่ทำให้เป้าหมายของเขากลับเข้าที่พักอย่างกะทันหันแล้ว รูฟัสยิ่งรู้สึกหงุดหงิดกับเตียงนอนที่วางอยู่มากขึ้น เวลานี้เขาน่าจะได้นอนอยู่บนเตียงกับคนข้างห้องมากกว่า เมื่อนึกถึงใบหน้าเวลาเขินอายของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปเปิดม่านให้กว้างขึ้น แสงสีทองเริ่มจับที่ขอบฟ้า เวลาแห่งการรอคอยของเขาคงสิ้นสุดลงในไม่ช้า

   วรุตก้มมองร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นราวกับหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่ข้างตัวแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และกลับออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิม เขามองร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะลบความจริงที่ว่า ชายผู้นี้เคยตกเป็นของพ่อของเขามาก่อน วรุตก้มลงจุมพิตหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบผมหยักเป็นลอนด้วยความรัก เด็กหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วผละออกจากห้องไป
   วันนี้เขาคงต้องลางานให้อิทธิเดชอีกวัน

   รูฟัสนั่งอยู่บนรถแท็กซี่  ผู้ที่เขาหมายตาไม่ใช่ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าเดช แต่เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังขับรถบีเอ็มคนนี้ต่างหาก รูฟัสรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นคนทั้งคู่ลงมาด้วยกันในตอนเช้า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก การที่เด็กหนุ่มออกมาคนเดียวทำให้เขาสามารถติดตามได้ง่ายขึ้น
   วรุต วินทร์วีรยะ เป็นลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ วินทร์วีรยะ นักธุรกิจผู้นำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ทางเคมีรายใหญ่รายหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการประชุมที่มีชื่อเรียกกันอย่างลับๆว่า เทสการิโพกา รูฟัสไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของชายผู้นี้มากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีธุรกิจผิดกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุเคมีและวัสดุทางเคมีภัณฑ์อีกหลายอย่าง และมีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจผลิตยาของสหรัฐและเยอรมัน ชายหนุ่มทราบจากฟาบิโอว่าการประชุมจะเริ่มจัดขึ้นราวๆ อีกสองเดือน ระหว่างนี้ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่างๆ จะค่อยๆ ทยอยเดินทางเข้ามา เพื่อไม่ให้ตัวเลขการเดินทางเป็นที่สะดุดตามากนัก
   ทวีศักดิ์นั้นค่อนข้างจะเก็บตัวและออกสังคมน้อยมาก รอบตัวของเขารายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกัน ยากแก่การเข้าถึง ตรงข้ามกับลูกชาย ซึ่งดูเหมือนว่าจะติดพันสมาชิกในแก๊งคนหนึ่ง และไม่ค่อยมีการป้องกันเท่าใดนัก จึงง่ายแก่การติดตาม
   คนขับแท็กซี่มองมาที่ชายหนุ่มชาวต่างชาติที่แต่งตัวเหมือนนักธุรกิจ ซึ่งกำลังก้มมองสิ่งที่ดูคล้ายคอมพิวเตอร์มือถือในมืออย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยปากถาม
   “คุณจะไปไหนหรือครับ?”
   “ขับไปตามที่ผมบอกก็พอ” รูฟัสตอบโดยไม่เงยหน้า เขากำลังจดรายชื่อถนนที่รถบีเอ็มคันนั้นแล่นผ่าน เพื่อทำแผนที่ โดยไม่ได้สังเกตว่าคนขับรถแท็กซี่เหลือบมองไปกระเป๋าหนังที่เขาวางไว้ข้างตัวอย่างไม่วางตา
   “จะไปไหน?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเครื่องติดตามเมื่อรู้สึกว่ารถเลี้ยวไปคนละทางกับเส้นทางที่ตนบอก คนขับรถแท็กซี่ ซึ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์รีบตอบคำถาม
   “ผมจะพาคุณไปทางลัดน่ะ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว ดูเหมือนรถจะวิ่งออกไปในทางตรงข้ามกับเป้าหมายออกไปทุกที ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปบางทีเขาอาจจะคลาดกับบีเอ็มคันนั้นก็ได้
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:29:22
   “เลี้ยวรถกลับเดี๋ยวนี้” เขาสั่ง แต่ดูเหมือนคนขับรถจะทำทีเป็นไม่ได้ยิน รูฟัสยกมือขึ้นเสยผมบนหัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ บางทีเขาอาจจะกำลังถูกโกงมิตเตอร์ หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็คงถูกปล้น นั่นหมายถึงเขากำลังจะเสียเวลา รูฟัสตัดสินใจยุติปัญหาด้วยวิธีสามัญแบบที่ราฟาแอลใช้เป็นประจำ
   “กลับรถ” รูฟัสสั่งอีกครั้ง คราวนี้คนขับรถแท็กซี่ปฏิกิริยาตอบโต้ทันที “มะ มันเป็นทางวันเวย์น่ะครับท่าน”
รูฟัสชายตามองสภาพถนนด้านข้างซึ่งค่อนข้างจะโล่งพอสมควร ก่อนจะขยับปลายปลายกระบอกปืนสีเงินวาวในมือชิดกับศีรษะของคนขับรถมากขึ้น
   “ก็ฝ่าไปสิ”
   คนขับแท็กซี่เหลือบตามองผู้โดยสารของเขาในกระจกมองหลัง ก่อนจะตัดสินใจเลี้ยวรถกะทันหัน และขับย้อนศรทวนขึ้นไปในทิศทางที่หลุดออกมา
   “ขอบคุณครับ แล้วก็ขับไปเรื่อยๆตามที่ผมบอก คงเข้าใจนะครับ”
   คนขับแท็กซี่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่ง ขับกลับไปตามเส้นทางเดิม รูฟัสเอนหลังลงพลางถอนหายใจ ตอนนี้เขาหวังว่าจะไม่คลาดกับบีเอ็มคันนั้นไปเสียก่อน
   วิธีการแบบราฟี่ใช้ได้ผลทุกครั้งจริงๆ
------------------------------------------------
   วรุตเลี้ยวรถผ่านป้อมยามด้านหน้าโดยไม่ต้องตรวจบัตร บีเอ็มดับเบิลยูสีดำแล่นฉิวผ่านถนนซีเมนที่ตัดผ่านสนามหญ้าเตียนโล่ง เข้าไปในตัวอาคารสีขาวขนาดราวสิบสี่ไร่ สูงสี่ชั้นลักษณะคล้ายอาคารโรงงาน เด็กหนุ่มลงจากรถ  กดนิ้วเข้ากับเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ก่อนจะเปิดประตูกระจกนิรภัยเข้าไปในตัวตึก
   “อ้าว วิน นึกไงมาที่นี่เนี่ย?” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อซาฟารีสีฟ้าอ่อนเอ่ยปากทัก เมื่อเห็นวรุตเดินเข้ามา เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกผ่าย พลางมองดูรอบๆตัวอาคารที่ถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ เชี่ยมโยงกันด้วยบันไดวนและลิฟต์ขนของ เสียงเครื่องจักรทำงานดังหึ่งๆ ที่นี่เป็นโรงงานผลิตยาแห่งหนึ่งของทวีศักดิ์ ที่ผลิตทั้งยาที่ถูกและผิดกฎหมาย
   “สวัสดีครับอารัตน์ คุณพ่ออยู่หรือเปล่า?”
   “อยู่ จะให้พาไปหาไหม?”
   “ครับ” วรุตพยักหน้า ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายลึกเข้าไปในโรงงาน
   “ได้ข่าวว่าอาทะเลาะกับคุณพ่อหรือครับ?”
   รัตน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมามองเด็กหนุ่มเป็นเชิงถาม วรุตเลยพูดต่อ “ก็เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับสถาปนิกที่จะมาทำงานให้เรานี่ครับ”
   “อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรือ” รัตน์ทำหน้าโล่งใจ ขณะกดลิฟต์ลงไปชั้นใต้ดิน
   “ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก อาแค่ทำรุนแรงไปหน่อย พี่เค้าเลยเตือนน่ะ”
   “เอ๋? อาเนี่ยนะครับ ทำรุนแรง ผมเห็นปกติอาใจดีจะตาย คนคนนั้นเขาวุ่นวายมากหรือไงครับ”
   “ก็ไม่เชิงหรอก จะว่าไป อาก็มีส่วนผิดอยู่” รัตน์พูด พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ เด็กคนนั้นบ้าดีเดือดเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหวจริงๆ
   “พ่อเธออยู่ในห้องทำงานน่ะ จะให้อารอเป็นเพื่อนไหม?”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมาก” วรุตพูด พลางยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปตามทางเดินหินแกรนิตสีขาว ที่ทอดไปสู่ห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ
   “ท่านครับ คุณวรุตมาพบครับ” เสียงเลขาหนุ่มดังมาจากลำโพงเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ทวีศักดิ์พูดตอบกลับไป ก่อนจะกดปุ่มเปิดประตู เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปี ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูเข้ารูปผ่าอกเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้ทักทาย
   “มีเรื่องอะไรถึงมาที่นี่ล่ะ จะทานอะไรหรือเปล่า?” ผู้เป็นพ่อถาม ขณะทำท่าจะกดปุ่มเรียกเลขา วรุตส่ายหน้า ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมทรงตัวแอลที่วางอยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงาน
   “ผมมาลางานให้พี่เดช”
   “ทำไม เมื่อคืนเล่นหนักมือไปหรือไง?”
   วรุตไม่ตอบคำถาม ผู้เป็นพ่อถอนหายใจ “อย่าหมกมุ่นกับเดชให้มากนักเลย อนาคตลูกยังอีกไกล”
   เด็กหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ ทวีศักดิ์รู้ว่าป่วยการที่จะพูดต่อ ลองนิ่งแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมฟังเหตุผลแน่ เขาเข้าใจถึงความดื้อรั้นของลูกชายคนนี้ดี
   “ว่าแต่ มีใครตามลูกมาบ้างรึเปล่า?”
   “ไม่มีนี่ มีอะไรหรือ?” วรุตมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย ทวีศักดิ์ตอบเสียงเรียบๆ
   “เพื่อนพ่อที่เพิ่งมาจากฮ่องกงเค้าเล่าเรื่องสายลับให้ฟังน่ะ พ่อว่าลูกระวังๆ ไว้หน่อยก็ดี”
   “ใครเขาจะสนใจผม ถ้ามีก็ดีสิ ผมว่าน่าตื่นเต้นดีออก” เด็กหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะรีบหุบปากลงเมื่อถูกปราม
   “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้ามีมาจริงรับรองว่าขำไม่ออกแน่”
   สายตาของวรุตส่อแววไม่พอใจเล็กน้อย ทวีศักดิ์นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดต่อ จึงเอ่ยถามขึ้น “ลูกคงไม่ได้มาที่นี่แค่เพราะมาลางานให้คนอื่นหรอกนะ บอกซิว่ามีเรื่องอะไรอีก”
   วรุตแสดงท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ผมจะมาขอเลื่อนเรื่องเรียนต่อไปเป็นปีหน้า” สีหน้าของทวีศักดิ์เครียดขึ้นทันที วรุตรีบพูดต่อ “มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องพี่เดชหรอกนะพ่อ ผมยังไม่อยากรีบไปตอนนี้ ผมเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่เดือนเอง”
   “แล้วพ่อจะรู้ได้ยังไงว่าลูกจะไปเรียนต่อปีหน้าแน่ๆ ถ้าเกิดลูกหลงเดชจนหน้ามืดแล้วไม่ยอมไปล่ะ”
   วรุตขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ “พ่อไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลาผมจะพาพี่เดชไปด้วย”
   “วิน!!!” ทวีศักดิ์ตวาดใส่ลูกชาย วรุตหันมาจ้องหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่หวั่นเกรง
   “ผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้แหละ” เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเปิดประตูออกไปโดยไร้คำร่ำลา ทวีศักดิ์ถอนหายใจ เขาไม่น่าให้ลูกชายคนนี้มาพบกับอิทธิเดชเลย
------------------------------
   รูฟัสตกอยู่ในสภาพขำไม่ออก แต่ก็ไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือเปล่า เขาสั่งให้รถแท็กซี่จอดส่งห่างไกลจากบริเวณที่เป้าหมายหยุดพอสมควร  แล้วก็ต้องเกาหัวแกรกๆ เมื่อพบกับกำแพงสีขาวตระหง่าน หุ้มอาคารที่ถูกล้อมด้วยทุ่งหญ้าโล่งเตียน หนำซ้ำยังมียามเดินตรวจการณ์โดยรอบ รูฟัสค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือสถานที่ที่เขาตามหา แต่จะเข้าไปพิสูจน์ข้างในอย่างไรดี ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนโล่งๆ พลางนึกข้อแก้ตัวหากมีคนเดินเข้ามาถาม รูฟัสมองหาช่องโหว่ตามขอบกำแพงที่ด้านบนขึงไว้ด้วยลวดสลิงที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงปล่อยออกมาตลอดเวลา นึกสาปแช่งคนที่ออกแบบอาคารหลังนี้ แม้จะฝ่าด่านกำแพงเข้าไปได้ เขายังต้องเผชิญกับพื้นที่ว่างโล่งที่ไร้เครื่องกำบังใดๆ นั่นอีก  บางที่สถานที่โล่งแจ้งก็อันตรายที่สุดสำหรับผู้ที่มีอาชีพที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างเขา ชายหนุ่มเริ่มเกิดอาการท้อใจ ประกอบกับความง่วงงุ่นและแสงแดดที่แผดร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูฟัสอยากจะกลับไปนอนพักแล้วค่อยกลับมาอีกทีในช่วงค่ำ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้เขาจัดการกับเรื่องนี้ให้เสร็จๆ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจใช้กระเป๋าหนังต่างฉนวนไฟฟ้า ปีนกระย่อยกระแย่งขึ้นไปบนรั้ว ก่อนจะพาดกระเป๋าเข้ากับลวดสลิง ใช้มันต่างฐานรองมือบนบาร์กระโดดข้ามรั้วนั้นลงไปที่พื้นเบื้องล่าง มหกรรมเสี่ยงตายเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องบอกว่ารูฟัสโปรดปรานมันเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไปมาก เขารู้สึกรักชีวิตตัวเองมากขึ้น อย่างน้อยก็มีคนที่อยากจะกลับไปหา
   รูฟัสเก็บกระเป๋าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดีที่เขาย้ายปืนเข้าไปไว้ในอกเสื้อแล้ว กระเป๋าเลยว่างเปล่า ชายหนุ่มรีบถอดรองเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงย่ำเท้าบนพื้นหญ้าของยามใกล้เข้ามา เหมือนกิจกรรมเล่นซ่อนหา รูฟัสกึ่งวิ่งกึ่งย่องผ่านมุมตึกหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง ก่อนจะหลบเข้าไปตรงเงามืดระหว่างเสา โชคดีที่ยามคนนี้ไม่ช่างสังเกตนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องเสียเวลาไปกับการซ่อนศพ ชายหนุ่มโผล่ออกมาจากที่ซ่อนหลังจากที่ยามเดินผ่านไปแล้ว ก่อนจะไปพบความจริงอันน่าตระหนก เมื่อหนทางเดียวที่จะเข้าไปในตัวอาคารนั้นได้คือการต้องผ่านประตูกระจกที่ใช้ระบบสแกนนิ้วมือ  หลังจากลำดับความคิดอยู่พักใหญ่ รูฟัสตัดสินใจว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งในคราวหลัง การลอบเข้าไปแบบปุ๊บปั๊บอาจก่อจะให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ชายหนุ่มกลับออกมาด้านนอกด้วยวิธีการเดิม ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่บนถนนว่างเปล่าท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุยามสายเพื่อมองหารถแท็กซี่ซักคัน
------------------------------
   เสียงตวาดแวดของตัวอิจฉาในละครช่วงบ่ายกระตุ้นให้ชายหนุ่มผู้มีผมกระเซอะกระเซิง รีบเดินไปกดปิดโทรทัศน์ด้วยความหงุดหงิด หลายวันมานี่ฟ่งเหมือนถูกบีบบังคับกลายๆ ให้ทำงานอยู่แต่ในห้อง ทางด้านรูฟัสดูเหมือนจะมีธุระยุ่ง การที่ต้องทำงานคนเดียวภายใต้สภาวะการบีบบังคับเช่นนี้ทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกขณะ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินฉับๆออกไปที่ประตู วันนี้แหละเขาจะต้องขอเบอร์มือถือของคนข้างห้องให้ได้
   ฟ่งเปิดประตูออกไปในจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเพิ่งออกมาจากลิฟต์พอดี
   “Hi, miss you so much.” อีกฝ่ายส่งเสียงทักขึ้นก่อน ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำทักทายนั้นดีรึเปล่า เขาสังเกตว่าสีหน้าของรูฟัสดูเซียวๆ ผิดไปจากปกติ เหมือนเพิ่งผ่านการตรากตรำร่างกายมาอย่างหนัก
   “ไม่สบายรึเปล่าครับ?” หนุ่มสวมแว่นถามด้วยความเป็นห่วง รูฟัสยิ้มแหย่ๆ การได้เห็นหน้าอาทรแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นโขแล้ว
   “นิดหน่อยน่ะครับ คุณมาอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ  แม้จะรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ท่าทางของรูฟัสก็ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ รูฟัสยิ้มด้วยความดีใจ ขณะที่ไขประตูห้องเข้าไป
   เป็นครั้งที่สองที่ฟ่งมีโอกาสได้เข้ามาในห้องของชายที่เอ่ยปากบอกรักเขา ห้องของรูฟัสนั้นเรียบร้อยเหมือนเพิ่งย้ายมาใหม่ มีเพียงของใช้เล็กๆ น้อยๆ วางอยู่บนเคาน์เตอร์
   “ผมชงชาให้นะครับ” รูฟัสพูดพลางหยิบชาถุงออกมาจากชั้นบนอ่างล้างจาน ฟ่งรีบห้าม “ไม่ต้องหรอกครับ คุณไปอาบน้ำดีกว่า”
   “ครับ” รูฟัสรับคำ พลางเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย ฟ่งถอนหายใจ พลางคิดว่าเขาควรจะชวนรูฟัสไปห้องตัวเองมากกว่า
   
   หนุ่มร่างใหญ่นอนแผ่สองสลึงบนเตียงในห้องโดยสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำขนหนูสีครีมไว้หลวมๆ ฟ่งนอนอยู่ข้างๆ ใช้มือลูบผมสีดำสลวยนั้นเบาๆ รูฟัสคว้ามืออีกข้างของฟ่งเข้ามาจุมพิต
   “คุณทำให้ผมอยากกลับบ้าน”
   “คุณอยากกลับรัสเซียหรือครับ?” ฟ่งถามอย่างงงๆ รูฟัสยิ้มเหมือนเด็กๆ
   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมอยากกลับมาหาคุณ คุณเป็นเหมือนบ้านของผม”
   ฟ่งหน้าแดงเล็กๆ เขาไม่รู้ว่าจะต่อคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไรดี
   “จริงๆนะครับ” รูฟัสพูดย้ำ ก่อนจะกุมมือของฟ่งไปวางไว้บนหน้าอก “ผมรบกวนคุณมากรึเปล่า?”
   นัยน์ตาสีเทาเขียวนั้นมองมาเหมือนลูกสุนัขที่ขอความรักจากเจ้าของ ฟ่งระบายลมหายใจเบาๆ ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
   “ไม่หรอกครับ”
   นัยน์ตาสองสีคู่นั้นค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆ ไม่นานนักก็เข้าสู่ภวังค์นิททรา ฟ่งลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ใบหน้าของรูฟัสยามหลับนั้นดูเหมือนเด็กๆ ท่าทางเขาจะอดนอนมาทั้งคืน ฟ่งชักอยากรู้ว่าชายคนนี้ทำงานอะไรกันแน่ ชายหนุ่มสังเกตว่าอีกฝ่ายมักจะใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาอยู่บ่อยๆ แค่เป็นบาร์เทนเดอร์ ไม่เห็นจะต้องอายกับสีตาแปลกๆ นั่นเลยนี่นา แถมก็ดูไม่น่าจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนหน้าเซียวแบบนี้ หรือว่ารูฟัสจะมีอาชีพเสริมอื่น?
   เอาเถอะ ไว้เขาตื่นมาค่อยถามแล้วกัน
   ฟ่งคิด พลางก้มลงจุมพิตเบาๆ บนแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยกัน
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:30:56
บทที่9 นิยามของความรัก
   กลิ่นหอมของอาหารบางชนิดลอยมาแตะจมูก ฟ่งพลิกตัวช้าๆ ก่อนจะยกมือขยี้ตา พลางควานหาแว่นจนมือไปชนกับแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างโต๊ะเสียงดังเคร้ง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันไม่ได้หล่นลงไปบนพื้น ฟ่งวางแก้วน้ำไว้ที่เดิม แล้วหยิบแว่นตาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาสวม เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของห้องเดินเข้ามาในห้องพอดี
   “Доốрое утро  อรุณสวัสดิ์ครับ”
   ฟ่งสะดุ้ง รู้สึกกระดากใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่าเขาเผลอหลับยาวจนมาตื่นในรุ่งขึ้นของอีกวัน
   “ผมขอโทษ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็กลับอุทานออกมาเป็นประโยคทีฟ่งไม่เข้าใจ ก่อนจะผลุนผลันออกไป
   “ทำกับข้าวหรือครับ?” ฟ่งทัก เมื่อเดินตามออกมาเห็นรูฟัสกำลังง่วนอยู่หน้าเตา หนุ่มรัสเซียรับคำงืมงำในลำคอ ก่อนจะใช้ตะหลิวพลิกขนมปังในกระทะอย่างคล่องแคล่ว
   “ความจริงคุณไม่ต้องพูดขอโทษก็ได้ ผมไม่เห็นว่าคุณจะทำผิดอะไรเลยนี่” รูฟัสพูดขณะหยิบจานใส่ขนมปังทอดกับไข่ดาวยื่นให้ฟ่ง ชายหนุ่มผู้สวมแว่นตาหนาเตอะรับจานมาพร้อมกับหัวเราะแหะๆ
   “โทษทีครับ พอดีผมพูดจนติดแล้วน่ะ เอ้อ..”
   “คุณพูดขอโทษอีกแล้ว พูดบ่อยๆ มันไม่ดีนะครับ”
   “ขอโทษ..”
   “ฟ่ง...”
หนุ่มร่างบางทำหน้าย่นเมื่อถูกอีกฝ่ายต้อนคำพูดจนจนมุม รูฟัสยิ้มแห้งๆ ยกมือขึ้นลูบหัวยุ่งๆ นั้น
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าคุณ”
   “คุณก็พูดเหมือนกันล่ะน่า” ฟ่งพูดพร้อมยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ รูฟัสถอนหายใจยกมือยอมแพ้ เขายอมรับว่าเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ถูก ทางที่ดีอย่าทำให้อารมณ์เสียเลยจะดีกว่า 
   ฟ่งหยิบขนมปังขึ้นมากัด แอบรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่รูฟัสมีแก่ใจลุกขึ้นมาทำอาหารให้
   “คุณชอบทำอาหารหรือ?”
   “ไม่เชิงหรอกครับ แค่ทำบ่อยเท่าเท่านั้นเอง”
   “อ่อ..เอ่อ...” ฟ่งมีท่าทางลังเล จนรูฟัสต้องหันมามอง
   “มีอะไรหรือ?”
   “คุณทำงานเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ที่ผับคุณเมี่ยงจริงๆ หรือครับ?”
   คำถามนี้ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับอึ้ง ปกติฟ่งไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวของเขามากนัก ดูท่าจะสงสัยสภาพของเขาเมื่อวานนี้แน่ๆ รูฟัสเลือกไม่ถูกว่าเขาสมควรจะโกหก หรือบอกความจริงดี ถ้าหากว่าฟ่งรู้ความจริงแล้วความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาจะเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า รูฟัสยอมรับว่าเขาคงไม่อาจโกหกได้ตลอด แต่ในช่วงเวลานี้เขาไม่อยากให้ฟ่งรู้สึกไม่สบายใจ
   “ครับ ผมทำที่นั่นที่เดียว แต่บางทีเจอลูกค้ามีปัญหาก็อาจจะต้องอยู่ดึกสักหน่อย”
   สายตาของฟ่งที่มองมาดูแปลกใจอยู่มากทีเดียว รูฟัสภาวนาขอให้อีกฝ่ายอย่านึกสงสัยให้มากกว่านี้เลย
   “สาบานได้นะครับ ผมไม่แอบไปนอนกับใครหรอก”
   หนุ่มสวมแว่นอึ้งไปพักใหญ่ เขาแค่อยากรู้ว่ารูฟัสทำงานพิเศษอื่นอีกรึเปล่า แต่ไม่ถึงว่าทางนั้นจะหยอดคำพูดแบบนี้กลับมา สีหน้าจริงจังกับคำพูดนั้นของรูฟัสทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาถามต่อ บางทีรูฟัสอาจจะต้องทำบางอย่างที่บอกเขาไม่ได้ ฟ่งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   “เอ่อ....ผมขอเบอร์โทรศัพท์คุณได้มั้ย?”
   “....” แววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแวบหนึ่ง แต่ก็นานพอที่จะสังเกตเห็น ฟ่งหน้าสลดลงทันที
   “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   “ม่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” รูฟัสรีบพูด ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด เขาไม่คิดว่าฟ่งจะขอเบอร์โทรศัพท์ สำหรับรูฟัสโทรศัพท์มีความสำคัญในแง่อุปกรณ์ส่งข่าวสาร ซึ่งเขาใช้มันอย่างจำเพาะเจาะจง และเป็นความลับ จึงไม่เคยเปิดเผยเบอร์โทรเข้าของมันให้ใครได้รู้มาก่อนเลย รูฟัสจำต้องใช้เวลาชั่งใจอยู่อีกพักหนึ่งในเรื่องนี้ เขาควรจะให้เบอร์โทรกับฟ่งรึเปล่า ฟ่งไว้ใจได้มากแค่ไหน แต่พอเห็นอีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกๆ ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “เอาโทรศัพท์มาสิครับ ผมจะจดเบอร์ให้”
   ฟ่งหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงส่งให้อีกฝ่าย รูฟัสรับไปกดเบอร์โทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา
   “โทรมาได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ผมจดเบอร์คุณไว้แล้ว” ชายหนุ่มพูด พลางส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ ฟ่งรับมาพร้อมกับก้มลองมองดูหมายเลขโทรศัพท์ที่มีชื่อกำกับว่า Rufus ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ แล้วพยักหน้า
   “ขนมปังอร่อยดีครับ แต่ผมคงต้องกลับห้องแล้วล่ะ”
   “เดี๋ยวสิครับ” รูฟัสฉวยข้อมือของร่างบางที่ผุดลุกขึ้นอย่างลืมตัว ฟ่งหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ อีกครั้ง
   “ทำไมหรือ?”
   รูฟัสพูดตอบไม่ออก เขารู้สึกถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งแววตาและน้ำเสียงของฟ่งเปลี่ยนไป บางทีฟ่งอาจจะรู้สึกแล้วก็ได้ว่าเขากำลังปิดบังบางอย่าง นั่นทำให้รูฟัสรู้สึกไม่ดี
   ฟ่งมองดูใบหน้าของรูฟัสที่ดูจะสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
   “รูฟัส คืนนี้ลงมารับผมที่หน้าคอนโดตอนเที่ยงคืนได้ไหม?”
   ชายหนุ่มรู้สึกงงกับคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะไม่เข้าใจเหตุผล แต่เขาก็ตอบตกลงทันที
   “ขอบคุณครับ” ฟ่งยิ้ม ก่อนจะปลดมือของรูฟัสออกอย่างสุภาพ แล้วเดินกลับห้อง
--------------------------
   รูฟัสวางจานที่ล้างเสร็จเรียบร้อยแล้วบนชั้นวางข้างอ่าง ก่อนจะเดินมาล้มตัวลงนั่งบนโซฟา  แววตาของฟ่งที่มองมายังคงตกค้างอยู่ในความรู้สึก ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   เขาไม่อยากโกหก แต่ถ้าหากพูดความจริงออกไปแล้วล่ะก็....
   รูฟัสเพิ่งสำนึกได้ว่า ความรักนั้นประคับประคองไว้ยากเย็นเพียงไร ร่างสูงเอนหลังพิงกับโซฟา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่เพิ่งจดลงไปเมื่อครู่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจตัดสายทิ้ง ผุดลุกเดินไปที่ประตู ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลังเล
   หากว่าความจริงนั้น ทำให้อีกฝ่ายถอยห่างไป
   หากว่าความจริงนั้น ทำให้เวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงความฝัน
   รูฟัสลดมือห่างออกจากลูกบิดประตู เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกกลัวที่จะพูด
   ในเวลาแบบนี้ ทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ช่างเลวร้ายไม่ต่างกันเลย
-------------------------------
   ฟ่งไม่ได้อาบน้ำในทันทีที่กลับถึงห้อง เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกซ้าย
   รูฟัสกำลังปิดบังบางอย่างกับเขาอยู่
   จากแววตาและการแสดงออกนั้น ฟ่งมั่นใจว่ารูฟัสไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเอง
   ผู้ชายคนนั้นทำงานอะไรกันแน่ บางทีเขาอาจจะเป็นอาชญากรที่กำลังหลบหนี หรือบางทีอาจจะเป็นพวกมาเฟียต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจ
   ฟ่งคว้าหมอนข้างที่วางอยู่ใกล้ๆ มากอด ภายในเวลาไม่กี่นาทีที่ประโยคสนทนาเหล่านั้นดำเนินผ่านไป กลับเปลี่ยนความรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจที่ผ่านมาให้กลายเป็นความห่างเหินและหวาดระแวง
   ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองใจง่ายจนไม่น่าให้อภัย ผู้ชายโง่ๆ คนหนึ่ง ที่ยอมปล่อยตัวให้ผู้ชายด้วยกันที่ไม่ได้รู้จักกันลึกซึ้งมีอะไรด้วยถึงสองครั้ง อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกยังไงกับเขากันนะ
   กับคนที่ใจง่ายยิ่งกว่าโสเภณีที่ขายตัวอยู่ตามท้องถนน เพียงแค่ป้อนคำหวาน ก็ได้มาครอบครองอย่างง่ายๆ
   ฟ่งรู้สึกนัยน์ตาพร่า เมื่อนึกถึงคำสารภาพรักของรูฟัส ความอบอุ่นที่ได้รับ ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน
   หยดน้ำตาเล็กๆ ไหลซึมออกมาตามร่องหางตา เขาหวังว่ารูฟัสจะลงมารับในคืนนี้ แล้วอธิบายเรื่องทุกอย่าง
   แม้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องโกหก
   แม้ว่าหมดนี้เป็นเพียงแค่การหลอกลวง
   แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยากจะเชื่อใจผู้ชายคนนี้ ชายผู้ที่ตอนนี้กลายเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเขา
   รูฟัส
--------------------------------------
   “พี่ชายคะ...” เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงที่ดังขึ้นในหัวทำให้รูฟัสสะดุ้งตื่นจากภวังค์  ชายหนุ่มหันไปมองรอบห้องก่อนจะกลั้นหัวเราะด้วยความสมเพส
   นานแล้วที่เสียงจากอดีตไม่ตามมาหลอกหลอนเขา
   รูฟัสกดรีโมทปิดโทรทัศน์ ก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้อาจจะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายที่คลับของเมี่ยง รูฟัสคาดว่าผู้ชายที่มีชื่อว่าเดชอาจจะไม่กลับไปที่นั่นอีก จากคำบอกเล่าของเมี่ยง ว่าเดชมาที่นี่เพราะต้องการจะหลบหน้าเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าวรุต ซึ่งเธอเองก็ทราบเรื่องนี้แต่แรก และก็เป็นคนที่รับรองวรุตให้เข้ามาเป็นสมาชิก เพื่อให้เข้ากับแผนการของรูฟัส ชายหนุ่มรู้สึกเกรงใจเมื่อทราบว่าอาจจะเป็นต้นเหตุให้หญิงสาวสูญเสียลูกค้า แต่เมี่ยงมีท่าทีไม่ค่อยแยแสนัก
   “แค่ลูกค้าสองคนจะเป็นไรไปคะ อีกอย่าง ดิฉันก็ไม่ได้ทำผิดกฎอะไรด้วย ถ้าคุณรู้สึกผิดนักล่ะก็ ชดใช้ด้วยการมาเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ฉันซักปีหนึ่งไหมล่ะคะ”
   รูฟัสอมยิ้ม เมื่อนึกถึงคำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงสาว  เขาคงจะใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกไม่นานนัก  ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง โดยที่ไม่ลืมจะหยิบปากกาสีเงินที่วางอยู่ข้างๆ ติดไปด้วย
--------------------------------------
   สีดำของรถบีเอมดับเบิลยูตัดกับสีขาวของเสาลานจอดรถในตึกซึ่งอิทธิเดชทำงานอยู่ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหญิงสาวก้าวถอยหลังออกไปอย่างลืมตัว เมื่อรถคันนั้นขับมาจอดตรงหน้า ก่อนจะลดกระจกลง
   “ได้ยินว่าจะไปเอาของ ขึ้นรถสิ” เด็กหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินลายดำเอ่ยปากทัก อิทธิเดชไม่สามารถมองเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ถนัดนัก เพราะมีแว่นกันแดดสีน้ำตาลอ่อนซ้อนทับอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เคยไว้ใจบุคคลผู้นี้อยู่แล้ว
   “ฉันต้องไปกับอรุณ”
   “จะไปทำเรื่องไม่ดีกันอีกล่ะสิ” คำพูดดักคอของวรุตทำให้อิทธิเดชเริ่มอารมณ์เสีย
   “เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับเธอ”
   “เกี่ยว!” วรุตพูดโดยไม่สนใจทีท่าของฝ่ายตรงข้าม “คุณจะไปกับผม หรือจะให้ผมไปฉุดขึ้นมา”
   “ฉันบอกว่าฉันต้องไปกับอรุณ” อิทธิเดชยังคงยืนยันคำพูดเดิม  วรุตถอนหายใจ ขยับตัวห่างออกจากพวงมาลัยเล็กน้อย  ก่อนจะพูดตอบกลับไป “ผมคุยกับอารัตน์แล้วให้คุณไปกับผมแทน ไม่เชื่อลองโทรไปถามสิ”
   อิทธิเดชกดโทรศัพท์โทรออกแทบจะในทันที ระหว่างที่ฟังเสียงปลายสายของอีกฝ่ายสีหน้าของเขาก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น
   “ว่าไง?” วรุตถามทันทีที่อิทธิเดชวางสายด้วยสีหน้าอย่างคนที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ชายหนุ่มหน้าสวยไม่ตอบคำถามได้เพียงแต่เม้มปาก แล้วเดินฉับๆไปเปิดประตูหลัง ก่อนจะพบว่ามันล็อค และดูเหมือนว่าคนในรถจะไม่ยอมปลดล็อคให้เสียด้วย เขาจึงจำต้องเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับแทน วรุตมองดูใบหน้าสวยๆ ที่ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหยียบคันเร่ง พาบีเอ็มดับเบิลยูคันนั้นแล่นออกไป

   “ปล่อยไปแบบนี้จะดีหรือครับ” ชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นใต้ตา หันมาถามผู้เป็นนายซึ่งนั่งอ่านเอกสารอยู่ตรงโต๊ะทำงานสีขาวในห้องที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ
   “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าวินมันก็นิสัยแบบนั้นแหละ ห้ามไปก็คงไม่ฟัง แล้วอีกอย่าง..” ทวีศักดิ์วางเอกสารลงบนโต๊ะ มองผ่านแว่นตากรอบสีทองที่สวมอยู่ออกมายังรัตน์ด้วยสายตาคมกริบ
   “พักนี้เดชไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นบ่อยเกินไป รอให้เรื่องซาลงหน่อยค่อยจัดการก็ได้ บอกอรุณด้วยนะว่าให้คอยจับตาสถาปนิกคนนั้นไว้ให้ดี ถ้าคิดจะหนีล่ะก็ให้จัดการได้เลย”
   รัตน์พยักหน้า สายตาที่เด็ดขาดและอำมหิตของทวีศักดิ์นั้นไม่ต่างไปจากเมื่อสามสิบปีก่อนเลยจริงๆ
------------------------------------------------
   ความเงียบสนิทเข้าปกคลุมไปทั่วรถ มีเพียงเสียงเครื่องทำความเย็นดังอยู่เบาๆ วรุตที่ประคองพวงมาลัยให้รถวิ่งตรงไปข้างหน้า เหลือบมามองอิทธิเดชที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านข้างคนขับเป็นระยะๆ ในที่สุดจึงเอ่ยปากถามขึ้น
   “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือไง?”
   “.....................”   ไม่มีเสียงโต้ตอบจากอีกฝ่าย วรุตยังคงไม่ละความพยายาม
   “คุณกับพี่อรุณคิดจะไปทำอะไรกับสถาปนิกคนนั้น ลักพาตัว หรือฆ่าทิ้งกันล่ะ?”
   “เรื่องแบบนั้นคนอย่างเธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” อิทธิเดชพูดตัดบทเสียงเรียบๆ แต่ดูเหมือนว่าวรุตจะไม่พอใจกับคำตอบ
   “ทำไมล่ะ ผมไม่มีสิทธิ์จะรู้หรือไง ฆ่าคนไปกี่คนแล้วล่ะ คุณทำงานพวกนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อคุณพ่องั้นหรือ?”
   “เธอขับรถอยู่นะ” อิทธิเดชพูดเตือนสติ เมื่อเห็นว่าเสียงของวรุตเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ พยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบลง
   “วันนี้คุณไม่ต้องทำตามแผนที่วางไว้กับพวกคุณพ่อหรอก ผมล้มมันหมดแล้ว”
   “มันล่มตั้งแต่ที่เธอมาแทนอรุณแล้วล่ะ” อิทธิเดชตอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา วรุตแค่นหัวเราะ
   “ถ้าแบบนั้นให้ผมมาแทนตลอดไปเลยไหม คุณจะได้เลิกทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ซักที”
   “อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย เธอมันก็แค่เด็กที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องนั่นแหละ”
   วรุตหักเลี้ยวกะทันหัน จนศีรษะของอิทธิเดชกระแทกกับกระจกรถ
   “วรุต!!” อิทธิเดชเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ ขณะยกมือขึ้นลูบศีรษะ แต่ดูเหมือนวรุตจะไม่แยแสต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   “ถึงแล้ว ที่นี่หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบๆ อิทธิเดชพยายามสะกดความไม่พอใจที่ทวีมากขึ้น ก่อนจะมองออกไปนอกรถ
   
   เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหินแกรนิตขัดมันดังทึบๆ ชายหนุ่มร่างสูงมีเค้าโครงติดไปทางยุโรปก้าวเท้าจากบันไดส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์ติดต่อลงมายังโถงรับแขกด้านหน้าคอนโด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ต้องสะดุดกับร่างของชายหนุ่มสองคนที่เปิดประตูกระจกบานใหญ่ด้านหน้าเข้ามา
   วรุตกับอิทธิเดช!
   รูฟัสเก็บความรู้สึกพิศวงปนตกใจเอาไว้ ก่อนจะทำทีเดินไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตรงโซฟาที่ถูกจัดไว้ในโถง
   
   อิทธิเดชรู้สึกแปลกใจอยู่พอสมควร เมื่อพบว่าคนที่เขาต้องการตัวไม่ได้มารออยู่ด้านล่างมีแค่ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ลงมาอ่านหนังสือพิมพ์ ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นกล่องทรงกระบอกที่ใช้ใส่กระดาษเขียนแบบ กับดีวีดีสองแผ่น ทั้งหมดถูกปิดผนึกด้วยเทปใสแล้วปิดด้วยกระดาษแผ่นบางๆ อีกชั้นหนึ่ง ป้องกันการแอบเปิด
   วรุตมองดูของที่อิทธิเดชรับมาแล้วก็นึกชื่นชมคนทำอยู่ลึกๆ ฝ่ายโน้นเองก็คงจะพอรู้ตัวอยู่บ้างแล้วว่าจบงานชิ้นสุดท้ายแล้วตัวเองจะเป็นยังไง เด็กหนุ่มไม่เคยพบหน้าสถาปนิกคนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาชักไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคนคนนี้เสียแล้ว วรุตรู้สึกเสียดาย เขาน่าจะลองคุยกับพ่อ ดูเหมือนคนที่พ่อเค้าต้องการจะกำจัดทิ้งหลังจากเสร็จงานจะสามารถทำอะไรได้อีกหลายๆ อย่าง
   ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคลายผู้หญิงรับของที่ถูกฝากไว้ทั้งหมดด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำงานพลาด แต่ก็นั่นแหละ แผนการทั้งหมดมันพังไปตั้งแต่เขาถูกสั่งให้มากับวรุตแล้ว
   อิทธิเดชไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้ พฤติกรรมของวรุตที่มีต่อเขานั้นแสนจะเลวร้าย ในขณะที่พฤติกรรมที่มีกับคนอื่นนั้นดูเหมือนจะเรียบร้อยและให้ความสำคัญ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ทำไมมีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่โดนทำร้าย ทำไมเขาถึงต้องโดนลูกชายของคนที่เขาให้ความเคารพและสำคัญมากที่สุดเกลียด หลังจากที่ยุติการมีสัมพันธ์กับทวีศักดิ์ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีประโยชน์กับผู้ชายคนนั้นอยู่คือการทำงานแบบลับๆนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าวรุตกำลังจะทำให้มันหมดความหมาย
   เด็กหนุ่มคนนี้ต้องการจะบดขยี้ชีวิตของเขาให้ป่นปี้จนไม่มีชิ้นดี

   รูฟัสเหลือบตามองตามเสียงรองเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิดเดินกลับลงมาจากเคาน์เตอร์ ในมือมีถุงใส่อุปกรณ์อะไรบางอย่าง  รูฟัสรู้สึกคุ้นตากับวัตถุทรงกระบอกสีดำที่ใส่อยู่ในถุง เหมือนกับว่าเค้าเคยเห็นจากที่ไหนซักแห่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นราดใส่หลัง
   นั่นเป็นของที่เขาเคยเห็นในห้องของฟ่ง
--------------------------------
   พงษ์หรือตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นพัช เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพกระโจมอก มองดูร่างของเพื่อนเก่าซึ่งนอนหลับแผ่หลาอยู่บนโซฟาในห้อง เสียงกรนเบาๆ นั้นชวนให้คิดว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งผ่านช่วงเวลาวิกฤติบางอย่างมา
   พัชเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รู้สึกแปลกใจอยู่มาก เมื่อฟ่งส่งข้อความมาให้ทางอินเตอร์เน็ตว่า ให้ช่วยมารับในตอนบ่ายครึ่ง ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่นัดไว้ก่อนหน้าถึงสี่ชั่วโมง โดยไม่ได้บอกสาเหตุ และผลลัพธ์ที่ได้คือ ชายหนุ่มต้องเข้ามานั่งแกร่วอยู่ในห้องพักของเขาโดยที่ไม่มีอะไรทำ แล้วลงเอยด้วยการนอนในที่สุด
   ผู้เป็นเจ้าของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเข้ารูปสีแดงกับกางเกงสีดำ ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ขึ้นมาเช็ดผม
   นอนไม่เกรงใจกันเลย พัชคิด ขณะเดินผ่านโซฟาที่ฟ่งนอนอยู่ เขารู้จักกับฟ่งตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มัธยม เพราะเข้าเรียนวิชาวาดเส้นสถาปัตย์ในกลุ่มเดียวกัน และยังบังเอิญสอบเข้าได้มหาลัยเดียวกันและคณะเดียวกันอีกด้วย พัชยอมรับว่าตอนที่ฟ่งบอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันนั้นทำให้เขาดีใจมาก เพราะลำพังตัวฟ่งเองมีความสามารถที่จะสอบติดมหาวิทยาลัยที่คะแนนสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศได้อย่างสบายๆ ฟ่งให้เหตุผลว่าเขาอยากที่จะเข้าเรียนที่นี่เพราะสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นกันเองมากกว่า นั่นทำให้พัชพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสอบเข้าที่นี่ให้ได้ แล้วมันก็ประสบผล
   เพราะฟ่งไม่เคยแสดงท่าทีจะรังเกียจ ทั้งในตอนที่พัชเริ่มมีอาการเบี่ยงเบนจากเด็กหนุ่มไปในทางออกหญิง และแม้แต่ในตอนนี้ ฟ่งปฏิบัติตัวกับเขาเช่นเดิมเสมอมา พัชคิดมาตลอดว่าฟ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา จนกระทั่งวันที่ได้รู้ว่าฟ่งแอบชอบดา ซึ่งเป็นเพื่อนที่อยู่ในคณะเดียวกัน
   พัชเองก็ค่อนข้างจะสนิทกับดาอยู่มาก และเพราะเขาเองที่ทำให้คนทั้งคู่ได้มาพบกัน ในตอนนั้นเองที่พัชได้รู้ว่าเธอคิดกับฟ่งเกินกว่าความเป็นเพื่อน จึงใช้จังหวะที่คนทั้งคู่กำลังเริ่มคบกันตีตัวออกห่างจากฟ่ง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่น
   พัชตัดสินใจวางกรอบตัวเองให้เป็นแค่เพื่อนของฟ่งต่อไป การที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานทำให้เขารู้ว่านิสัยแบบฟ่งนั้นไม่น่าจะเป็นแฟนที่ดีได้เท่าเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่มองฟ่งกับดาทีไร หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบได้ทุกที
   ใบหน้าที่นอนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นของชายหนุ่มทำให้เพื่อนสนิทรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ ฟ่งจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าเพื่อนคนนี้คิดกับเขาไปไกลแค่ไหน พัชก้มลงมองริมฝีปากที่ดูซีดๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรนั้นแล้วรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อนึกได้ว่าริมฝีปากนี้อาจจะถูกลิ้มรสด้วยปากของผู้ชายมาแล้ว
   ในตอนแรกที่พบฟ่งกับหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้น พัชตั้งใจแค่จะหยอกเล่น แต่ท่าทางของฟ่งกลับแสดงออกให้เห็นว่าความสัมพันธ์กับชายคนนั้นน่าจะเกินระดับปกติ นั่นเป็นสิ่งที่พัชไม่คาดคิดมาก่อน เขายังคงเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ฟ่งบอกเลิกดา
   ก่อนหน้านี้พัชไม่เคยคิดจะล่วงเกินฟ่ง แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปนิดหน่อย เมื่อรู้ว่าฟ่งเองก็เดินข้ามเส้นมาเช่นกัน
   เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสริมฝีปากของร่างที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟาอย่างแผ่วเบา
   รสชาติของริมฝีปากที่เคยได้แต่มองนี้จะเป็นยังไงกันนะ
   แล้วพัชก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะ

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:31:44
   ฟ่งสะดุ้งตื่นเมื่อถูกมือเรียวสะกิด
   “โทรศัพท์ย่ะ” พัชพูดใส่หน้า ชายหนุ่มขยี้ตา พลางเอื้อมมือไปหยิบแว่นที่ถอดวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทร
   “โหล!” ฟ่งกรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยพอใจนักเพราะโดนปลุก แต่เสียงที่ดังมาจากปลายสายทำให้เขาตาสว่างทันที
   “คุณอยู่ไหนน่ะ?!” ผู้ที่โทรมากลายเป็นคนที่เขาเพิ่งขอเบอร์โทรไปเมื่อเช้า น้ำเสียงของรูฟัสดูร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
   “อยู่ห้องเพื่อน มีอะไรหรือ?”
   “ปลอดภัยดีรึเปล่า?” ประโยคต่อมายิ่งทำให้ฟ่งรู้สึกงงเข้าไปอีก
   “ครับ ทำไมหรือ”
   “อ๋อ เปล่า คุณจะกลับมาตอนเที่ยงคืนใช่ไหม?”
   “ครับ”
   “ผมจะรอรับนะ”
   ฟ่งรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้อีกฝ่ายโทรเข้ามา แต่คืนนี้เขาคงได้รับคำตอบในเรื่องที่ค้างคาใจอยู่
   “แฟนโทรมาหรือไง?” พัชเอ่ยทักออกมาจากด้านในห้องซึ่งเป็นส่วนโต๊ะเครื่องแป้ง ฟ่งรีบสั่นศีรษะทันที
   “แล้วนี่นายเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหรือเปล่า?” เพื่อนเอ่ยถามต่อขณะที่แต่งผมอยู่หน้ากระจก ฟ่งสั่นศีรษะ
   “เห็นฉันเอาอะไรมาบ้างล่ะ”
   พัชหน้าเบ้ นึกถึงสภาพฟ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแขนสั้นธรรมดากับกางเกงสแล๊กแล้วรู้สึกหงุดหงิด
   “เมื่อไรนายจะพัฒนาการแต่งตัวกับเขาบ้างนะ แล้วแบบนี้จะมีสาวๆ มามองไหม”
   “ฮ่ะๆ พูดจาเหมือนผู้หญิงเข้าทุกวันแล้วนะนายเนี่ย ฉันเป็นของฉันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว เรื่องผู้หญิงน่ะช่างมันเถอะ”
   “นั่นสินะ ลืมไปว่านายมีแฟนเป็นผู้ชาย”
   ฟ่งนิ่วหน้าทันที
   “ไอ้พงษ์ ถ้าขืนล้ออีกฉันจะต่อยปากนาย”
   “อ๊าย น้องพัชกลัวจังเลยฮ๊า” พัชทำเสียงสะดิ้ง เล่นเอาฟ่งอยากจะเดินเข้าไปต่อยปากจริงๆ
----------------------------
   ลานกว้างใต้ตึกของคณะยังคงดูมืดทึม เหมือนเมื่อปีก่อนไม่มีเปลี่ยน ยิ่งโดยเฉพาะฝูงยุงที่ออกอาละวาดทันทีที่พระอาทิตย์ใกล้จะดับแสงนั้นยังมีจำนวนมหาศาลอย่างที่เคยเป็นมา พิฌาดานึกดีใจที่ตัวเองไม่ลืมที่จะพกโลชั่นกันยุงติดตัวมาด้วย หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปี ผมสีดำยาวสลวยถึงกลางหลังเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณใต้โถงอาคารด้วยความรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก เธอยกนิ้วขึ้นป้ายหยดน้ำตาที่ไหนซึมออกมาบนใบหน้าที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์น่ารักน่ามอง แม้จะไม่ได้เข้าประกวดดาวมหาลัย แต่ทุกคนก็พร้อมใจยกให้เธอเป็นดาวประจำคณะไปอย่างไม่มีใครคัดค้าน
   พิฌาดานั่งปุลงบนม้านั่งหินอ่อน เหม่อมองออกไปเบื้องหน้าซึ่งถูกขุดเป็นบึงขนาดเล็ก ตกแต่งด้วยต้นไม้และบัวพันธุ์ต่างๆ ม้านั่งตัวนี้เคยเป็นที่ที่ผู้ชายคนหนึ่งมานั่งอยู่เป็นประจำ ผู้ชายที่เธอเคยรักจนหมดหัวใจ อภิวัฒน์หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่าฟ่ง
   ฟ่งไม่เคยรู้หรอก ว่าเธอเองก็เคยแอบมองเขาตอนที่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ ผู้ชายที่ดูท่าทางไม่ค่อยสนใจตัวเอง และมักจะทำตัวเปิ่นๆ อยู่เสมอคนนั้น กลับดูน่ารักในสายตาของเธอ ในช่วงที่เรียนอยู่ ทุกคนต่างคิดว่าเธอกับฟ่งคงจะไปกันได้ด้วยดีจนถึงขั้นแต่งงาน ซึ่งตัวเธอเองก็คิดเช่นนั้น  แม้ว่าฟ่งจะเป็นคนมีอารมณ์ไม่คงที่ และบางทีก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล แต่เธอก็พยายามทำใจยอมรับ ด้วยหวังว่าซักวันหนึ่ง เขาจะปรับปรุงตัว และอยู่ร่วมกับเธอได้โดยไม่มีปัญหา แต่แล้วทุกอย่างก็ไปไม่รอด ถึงตอนนี้เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะพูด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเมื่อแรกเจอ หรือทุกอย่าง มันสูญสลายไปพร้อมกับการจากลานั้นแล้ว พิฌาดาเข้าใจซึ้งแล้วว่า ความรักนั้นแม้ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พยายามด้วย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการไต่เชือกด้วยมือเพียงข้างเดียว ท้ายที่สุดก็ต้องหมดแรงและร่วงหล่นลงไปอยู่นั่นเอง
   “ดา” พิฌาดาหันไปมองตามเสียงเรียก หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูเดินตัวปลิวมาตามทางเดินเลียบบึง พร้อมด้วยกระเป๋าถือขาวอมชมพู
   “รอนานไหม พอดีว่ากุญแจมันตกลงบนใต้พรมน่ะ กว่าจะหาเจอ ขอโทษทีนะ”
   “ไม่เป็นไรหรอก หาเจอก็ดีแล้ว” พิฌาดาพูดยิ้มๆ เพื่อนสาวยิ้มตอบ “ไปที่งานกันเถอะ พวกพลอยคงรอแย่แล้ว”
   “จ้ะ”
   งานเลี้ยงรุ่นถูกจัดขึ้นที่ลานด้านหน้าอาคารเรียนรวม โดยเป็นการรวมเฉพาะศิษย์เก่าที่เพิ่งจบไปเมื่อสองปีที่แล้ว  เพื่อนๆ ต่างทยอยกันเข้ามาจนเกือบจะครบครึ่งหนึ่งแล้ว พิฌาดาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สนามเหล็ก ท่ามกลางเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เธอเอ่ยปากทักทายพวกหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหม่อมองไปรอบๆ
   “มองหาใครหรือ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น แต่กลับโดนเพื่อนที่ใส่ชุดสีชมพูใช้ศอกกระทุ้งดักคอเอาไว้ พิฌาดาหันมายิ้มแห้งๆ “เปล่า”
   “จริงสิ วันนี้ฟ่งไม่ได้มาด้วยกันหรือ?” เพื่อนอีกคนทักขึ้นบ้าง  หญิงสาวในชุดสีชมพูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
   “ไม่เป็นไรหรอกแจน คือ ฉันเลิกกับฟ่งแล้วนะ”
   “จริงดิ?” แทบจะทั้งโต๊ะพูดขึ้นพร้อมกัน พิฌาดาพยักหน้า  เพื่อนคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง
   “แล้วเธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า เอ่อ คือ พวกเราขอโทษด้วยจริงๆนะ”
   “ขอโทษอะไรกัน ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พวกเธอไม่ต้องคิดมาก วันนี้เรานัดรวมรุ่นกันนี่นะ ควรจะคุยเรื่องอะไรที่มันสนุกๆ สิ” พิฌาดาพูด พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อดที่จะสอดส่ายสายตาไปรอบๆไม่ได้ ในที่สุด เธอก็พบบุคคลที่ต้องการ
   ชายหนุ่มที่เดินเก้ๆ กังๆ มากับหญิงสาวสวยพริ้ง คนทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดหญิงสาวสวยคนนั้นก็หยุดยืนตรงโต๊ะที่เธอนั่งอยู่
   “ไงย๊ะ ไม่เจอกันตั้งนาน”
   เสียงคุยจ๊อกแจ๊กด้วยความแปลกใจดังขึ้นทั้งโต๊ะทันที
   “ต๊าย พงษ์ ไม่เจอกันปีเดียวสวยเช้งเลยนะ หมดไปกี่แสนกัน”
   “ไม่เยอะหรอกย่ะ ฉันสวยอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง ต่อไปนี้เรียกฉันว่าพัชนะ”
   ระหว่างที่สมาชิกในโต๊ะกำลังทักทายกับผู้ที่มาใหม่อยู่นั้น พิฌาดาก็เงยหน้าขึ้นมองร่างซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังของพงษ์ ชายหนุ่มสวมแว่นในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ยิ้มแหย่ๆ ให้หล่อนเหมือนเช่นที่เคย
   นี่คือการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ตั้งแต่เลิกกันไปเมื่อเกือบสามเดือนก่อน
   พิฌาดายิ้มตอบพร้อมกับถอนหายใจ “จริงๆ เลยนะ ฟ่งไม่คิดจะแต่งตัวให้มันดีกว่านี้บ้างหรือไง”
   ฟ่งได้แต่ยิ้ม เขาตอบไม่ถูก ดายังคงน่ารักเหมือนเดิม รอยยิ้มนั้นเหมือนเมื่อหกปีก่อน ฟ่งรู้สึกหวั่นไหว แน่นอนว่าเขายังคงรักผู้หญิงคนนี้อยู่
   “ฟ่ง” พิฌาดาเรียกชื่ออดีตคนรักเสียงหวาน เธอแทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนไปจนหมดสิ้น ตอนนี้เพียงต้องการให้เขาเข้ามานั่งใกล้ๆ ได้พูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อน ฟ่งยิ้มตอบ เดินเข้าไปหาตามเสียงเรียก แต่โดนพัชรั้งเอาไว้
   “ไม่เป็นไรแน่นะ?” เพื่อนถามด้วยความเป็นห่วง ฟ่งส่ายหน้า “ไม่หรอก ฉันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร”
   พัชมองหน้าเพื่อนพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงบ้าง ไม่นานนักบรรยากาศในโต๊ะก็เริ่มตลบอบอวลไปด้วยความทรงจำเก่าๆ และการเล่าความหลังสลับกับประสบการณ์ในการทำงานหลังจากจบไป

   “เอ่อ.. ขอโทษเถอะนะ ดา นี่เธอเลิกกับฟ่งแล้วจริงๆ น่ะเหรอ”
   เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น หลังจากที่ฟ่งและพัชขอตัวออกไปนั่งคุยกับโต๊ะอื่น พิฌาดาหันมามองเพื่อน ก่อนจะยิ้มเศร้าๆ “อือ”
เธอมองตามร่างของชายหนุ่มซึ่งเดินไปคุยกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันซึ่งนั่งแยกไปอีกโต๊ะหนึ่งแล้วถอนหายใจ พิฌาดายอมรับว่า เพียงแค่ได้เห็นหน้าในครั้งแรก เธอก็รู้สึกดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว เธอคิดว่าฟ่งจะไม่ยอมมางานนี้เสียด้วยซ้ำ ผู้ชายที่อ่อนไหว และเดาอารมณ์ยากคนนั้น หญิงสาวพอจะเข้าใจว่าในขณะที่เธอกำลังทรมานเพราะถูกทิ้ง อีกฝ่ายก็คงรู้สึกทรมานไม่ต่างกัน
   ผู้ชายที่พร้อมที่จะให้อภัยทุกคนยกเว้นตัวเอง ผู้ชายที่มักจะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาช่วยเหลือ ผู้ชายที่ปิดตัวเองอยู่ในโลกใบเล็กๆ
   มันคือเหตุผลที่ทำให้เธอรักและสงสารเขาหมดหัวใจ และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องทิ้งเธอไป
   ฟ่งกำลังยืดอกรับฟังคำประณามของเพื่อนในโต๊ะซึ่งเคยอยู่กลุ่มเดียวกันในสมัยเรียน เรื่องที่เขากล้าหน้าด้านไม่ส่งงานอาจารย์ถึงสามชิ้น แต่ดันได้เอ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอยู่ปีหนึ่ง
   “ขนาดฉันทั้งส่งครบทั้งแก้ยังได้แค่บีบวกเลย นี่แกแอบใส่ยาเสน่ห์ลงไปในไส้ดินสอหรือไง”
   “เค้าเรียกว่าโปรไง” ฟ่งตอบกวนประสาท เพื่อนอีกคนหนึ่งปรบมือ “โปรจริงๆ ว่ะ  ปีสองนี่ทำเอาพวกเราคิดว่าแกจะโดนรีไทน์เลยทีเดียว”
   เสียงฮาครืนดังขึ้นทั้งโต๊ะ ฟ่งยกมือขึ้นเกาหัว เพื่อนอีกคนพูดขึ้นบ้าง
   “ฟ่ง แกเลิกกับดาแล้วจริงดิ? ขอเอาบาทาแนบหน้าหน่อยได้มั้ย?!! ถ้ารู้ว่าเป็นงี้ฉันแย่งจีบดาตอนสมัยเรียนก็ดี”
   “โหว หน้าอย่างแกเนี่ยนะเต้ หาทางเข้าวัดให้ได้ก่อนดีกว่าว่ะ” พัชพูดดักคอ เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก ฟ่งยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดอยู่พอสมควร เขาอาจจะทำลายช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพิฌาดาไปแล้วก็ได้ การที่เธอคบกับเขาถึงหกปีนั้น ไม่รู้ว่าพลาดโอกาสที่จะเจอคนอื่นไปเท่าไหร่ ฟ่งถอนหายใจ เรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว เขาไม่ควรจะคิดมากอีก
   “ดีจ้ะ” เสียงใสๆ เอ่ยทักเหล่าหนุ่มๆ รอบโต๊ะที่กำลังคุยกันออกรส
   “ดีจ้า” บรรดาหนุ่มๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน พิฌาดายิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางฟ่ง
   “เราขอยืมตัวฟ่งแป๊บนึงได้หรือเปล่า?”
   “เอาไปเล้ย มีมันอยู่หนักโต๊ะ” เพื่อนๆ เฮละโลกันไล่ส่ง จนฟ่งพูดเถียงไม่ออก ชายหนุ่มหันไปมองหน้าหญิงสาว
   “ฟ่งอยากไปกับดาหรือเปล่า?”
   ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินตามออกไป
-------------------------------
   “Hi ดิฉันคิดว่าคุณจะไม่มาแล้วเสียอีก” เมี่ยงร้องทักทันทีที่เห็นรูฟัสก้าวเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อ ชายหนุ่มหัวเราะแก้เก้อ
“พอดีรถติดน่ะครับ”
   “นั่งก่อนสิ ไม่ต้องรีบหรอก ดิฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณสักหน่อย”
   “เรื่องอะไรหรือครับ” รูฟัสถาม ขณะวางกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์ เมี่ยงมีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “อาจจะดูไม่สมควรอยู่บ้างนะคะ แต่ดิฉันคิดว่าควรจะต้องพูดเรื่องนี้กับคุณ  คุณคิดยังไงกับเด็กที่ชื่ออภิวัฒน์”
   “ฟ่งน่ะหรือครับ?” รูฟัสทวนคำ หญิงสาวพยักหน้า
   “ดิฉันยังไม่เคยคุยเรื่องนี้กับอภิวัฒน์หรอกนะคะ แต่ดูจากทีท่าของคุณแล้ว คิดว่าคุณสองคนคงมีความสัมพันธ์กันเกินกว่าเพื่อนร่วมคอนโดแล้วสินะคะ”
   “จะพูดว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” รูฟัสยอมรับ ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หุ้มเบาะสีน้ำตาลแดงไร้พนักที่วางอยู่ในห้อง
   “ทำไมหรือครับ?”
   “คุณคิดจะจริงจังกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า?” คำถามของเมี่ยงเหมือนพะเนินเหล็กที่หล่นปุลงใส่หัวใจของเขา รูฟัสนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
   “ครับ ผมจริงจัง”
   หญิงสาวลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งข้างๆ ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาสองสี่คู่นั้น ราวกับต้องการอ่านใจ
   “รูฟัสคะ ดิฉันถามจริงๆ นะคะ คุณกับเด็กคนนั้นรู้จักกันมากแค่ไหน เขารู้เรื่องของคุณหรือเปล่า?”
   “เปล่า ผมไม่ได้บอก” รูฟัสรู้สึกเหมือนตัวเองพ่นเข็มออกจากปาก ความเงียบเข้ามาแทรกระหว่างการสนทนาอีกครั้ง ในที่สุด เมี่ยงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “อภิวัฒน์เป็นเด็กมีอนาคตนะคะ แกเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ฝีมือการทำงานก็จัดว่าเยี่ยม  ที่สำคัญแกไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับคนในวงการนี้เลย”
   “กำลังจะบอกผมว่าอะไรหรือครับ?”
   รูฟัสถามเสียงเรียบๆ รู้สึกเหมือนอากาศในห้องร้อนขึ้นมาถนัด เมี่ยงมองหน้าของรูฟัสแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่พอใจแล้ว
   “กรุณาอย่าทำลายอนาคตของแกเลยนะคะ”
   แววตาสองสีไหววูบ รูฟัสรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรซักอย่างมาจุกที่คอ เขาพูดตอบไม่ออก ดูเหมือนว่าเมี่ยงจะเดาความรู้สึกของชายหนุ่มออก หล่อนจึงรีบพูดต่อ
“ดิฉันอาจจะพูดแรงไปหน่อย แต่ที่พูดมาทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงคุณทั้งคู่นะคะ  สถานภาพของคุณกับเด็กคนนั้นต่างกันเกินไป  คุณคงเข้าใจนะคะ  ถ้าหากว่าคุณรักเด็กคนนั้นล่ะก็  กรุณาปล่อยแกไปเถอะค่ะ”
   คำพูดแต่ละคำของเมี่ยง เป็นเหมือนมีดที่เสียบทะลุเข้าไปในหัวใจ รูฟัสกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
   “คุณกำลังจะบอกว่า คนอย่างผมไม่สมควรจะไปรักใครงั้นสินะครับ”
   “ไม่ได้หมายความขนาดนั้นหรอกค่ะ” เมี่ยงรีบพูดแก้ ในขณะเดียวกันก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้ ตัวเธอเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากชายหนุ่มเลย ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในฐานะที่ไม่อาจจะรักใครได้
   “ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ”
   “รูฟัส!” เมี่ยงพูดอย่างไม่เชื่อหู รูฟัสยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
   “ผมเข้าใจว่าคุณมีเจตนาดีครับ ผมเองก็เห็นด้วย แต่ คุณเมี่ยงครับ” สีหน้าของรูฟัสแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมันและจริงจัง “ผมรักเด็กคนนั้น และผมจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด”
   เมี่ยงมองหน้ารูฟัสอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
   “คำพูดของคุณขัดกับการกระทำนะคะรูฟัส ถ้าคุณจริงจังกับเด็กคนนั้น คุณก็ควรจะให้เขารู้ว่าคุณเป็นอะไร ความรักน่ะตั้งอยู่บนการหลอกลวงไม่ได้หรอกนะคะ”
   ความรู้สึกกระอักกระอวนใจกลับมาอีกครั้ง รูฟัสอ้ำอึ้ง ตัดสินใจไม่ถูก
   “ผมคงรอจนเสร็จงานก่อน แล้วค่อยบอก”
   เมี่ยงเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างสูง ก่อนจะฝืนยิ้ม
   “ดิฉันเตือนคุณแล้วนะคะ” หล่อนพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้รูฟัสนั่งจมอยู่ในห้วงความคิดอันหนักอึ้ง
---------------------------
   แสงจันทร์ข้างแรมที่แหว่งไปครึ่งหนึ่ง สาดทอลงมากระทบพื้นน้ำสีดำสนิทเป็นประกายเรื่อเรืองในความมืด เสียงพูดคุยจากงานเลี้ยงดังแว่วมาเป็นระยะๆ ฟ่งยกมือขึ้นตบยุงเสียงดังเพี๊ยะ ก่อนจะมองดูซากยุงประมาณห้าหกตัวที่แบนราบอยู่ในฝ่ามือ
   “เอายากันยุงไหม?” พิฌาดาถาม พลางหยิบขวดโลชั่นกันยุงออกมาจากกระเป๋าถือ ฟ่งส่ายหน้า แต่ก็ไม่แสดงท่าที่ปฏิเสธ เมื่อหญิงสาวทาโลชั่นให้ตามแขน
   “ตอนนั้นฟ่งก็ตบยุงแบบนี้เหมือนกัน” เธอเริ่มต้นระลึกถึงความหลัง ชายหนุ่มอมยิ้ม
   “อือ ตอนนั้นลืมนึกถึงเรื่องยากันยุงกันเสียสนิทเลยนี่นะ”
   “ฟ่งถอดเสื้อมาคลุมขาให้ดา ยุงเลยกัดหลังฟ่งเต็มไปหมด”
   ฟ่งนึกขำตัวเอง เมื่อนึกถึงช่วงเวลาตอนนั้น ตอนที่เขาบอกรักดา
   “วันนั้นฟ่งกลับไปห้อง ต้องให้พงษ์มันทายาหม่องให้ หลังงี้คันจนแทบจะนอนไม่ได้ แต่ถึงไม่คันฟ่งก็นอนไม่หลับอยู่ดี หลับตาก็เห็นแต่หน้าของดา”
   พิฌาดายิ้มหวาน  เธอหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ที่กำลังหันมามองเธอเช่นกัน
   “เหมือนฝันเลยนะฟ่ง ตอนนั้นน่ะ”
   “อือ”
   “แต่มันก็จบลงแล้ว เราสองคนไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นอีก”
   ฟ่งพูดต่อไม่ออก ความรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาอีกครั้ง พิฌาดายื่นมือมากุมมือของเขาเอาไว้
   “ฟ่งอย่าคิดมากนะ ดาไม่เคยนึกเสียดายเวลาที่ได้อยู่กับฟ่งเลย จนถึงวันนี้ ดาก็ยังมีความสุขที่ได้พบกับฟ่ง”
   ฟ่งก็เหมือนกัน
นั่นเป็นแค่เสียงที่ดังอยู่ในความคิด ฟ่งได้แต่ยิ้มตอบให้หญิงสาว ทั้งๆที่ในหัวใจเต็มไปด้วยคำเรียกร้อง
   อยากที่จะรักผู้หญิงคนนี้ต่อไป
   อยากที่จะมีเธอไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง
   แต่อ้อมกอดของเขานั้นมีแต่จะทำให้เธอเจ็บปวด  ฟ่งถอนหายใจ “ดา..”
   ดวงตากลมโตอันชวนให้ลุ่มหลงของหญิงสาวจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา กระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกของชายหนุ่ม  ฟ่งยกมือลูบใบหน้าและเส้นผมของพิฌาดาเบาๆ สัมผัสอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย  สายลมยามค่ำคืนพัดมาเบาๆ กลิ่นน้ำหอมที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำลอยมาแตะจมูก ชายหนุ่มค่อยๆ โน้มใบหน้าลงช้าๆ ริมฝีปากแดงอวบอิ่มของหญิงสาวที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ดึงดูดให้นึกถึงสัมผัสแห่งความสุขในวันเวลาเก่าๆ
   “ฟ่งขอโทษ!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ขณะยั้งตัวเองไม่ให้แนบริมฝีปากลงไป แววตาแห่งความงุนงงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพิฌาดาแวบหนึ่ง แล้วเธอก็หัวเราะออกมา
   “ตกใจหมดเลย  ฟ่งมีแฟนใหม่แล้วสินะ”
   “เอ๋?”
   ประโยคคำถามที่หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงเช่นกัน   “จริงๆ ดาอยากคุยกับฟ่งเรื่องนี้แหละ พงษ์เล่าให้ดาฟังแล้ว ฟ่งมีแฟนเป็นผู้ชายใช่ไหม?”
   “เดี๋ยวสิ ดา ฟ่งไม่ได้...” ฟ่งรู้สึกตกใจ ปนโมโหเล็กน้อย นึกไม่ออกว่าเขาไปมีแฟนเป็นผู้ขายตั้งแต่เมื่อไหร่ พงษ์เล่าเรื่องบ้าอะไรให้ดาฟังกันนะ
   “ฟ่งไม่ต้องอายดาหรอก ตอนแรกดาก็ตกใจมากๆ เหมือนกัน บอกตรงๆ ว่าดาช็อคไปเลย ดาไม่เคยคิดเลยว่าฟ่งจะ..เอ้อ..จะชอบผู้ชาย”
   “ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชายนะ!” ฟ่งปฏิเสธเสียงแข็ง พิฌาดานิ่วหน้าเล็กน้อย
   “พงษ์บอกว่าฟ่งมีแฟนเป็นฝรั่ง”
   “อ๋อ” ฟ่งนึกขึ้นมาได้ทันที พงษ์คงหมายถึงรูฟัส ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
   “เขาไม่ใช่แฟนฟ่งหรอก” ฟ่งตอบเสียงอ่อยๆ พิฌาดาพยายามมองหน้าคนรักเก่าที่ดูจะยุ่งยากใจอยู่ไม่น้อย
   “ถ้าเขาไม่ใช่แฟนแล้วเป็นอะไรกับฟ่งล่ะ”
   ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยาก ระหว่างเขากับรูฟัสควรจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบไหนดี
   “ไม่รู้”
   “ฟ่ง!” พิฌาดาเรียกชี่อคนรักเก่าอีกครั้ง แล้วถอนหายใจ “แปลว่า พงษ์ไม่ได้หลอกอำดา  ฟ่งคบอยู่กับผู้ชายจริงๆ ใช่ไหม”
   “ฟ่งไม่รู้” ชายหนุ่มตอบเสียงพร่า รู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งใบหน้า ทำไมดาต้องถามเรื่องนี้กับเขาด้วย จริงๆ แล้วเขากับรูฟัสก็แค่..
   “ตอบดาได้รึเปล่า?”
   “ฟ่งไม่รู้ ดาหยุดถามได้แล้ว!” ฟ่งโพล่งออกมาแทบจะเป็นเสียงตะโกน ทำเอาหญิงสาวหน้าเสีย ชายหนุ่มหันมามองหน้าอดีตคนรักเก่าด้วยสีหน้าตกใจ
   “ฟ่งขอโทษ ฟ่งขอโทษดา ฟ่งขอโทษ” ฟ่งละล่ำละลักน้ำเสียงสั่นเครือ  พิฌาดาบีบมือของอีกฝ่ายแน่น ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยดี  มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกปวดร้าวทุกครั้ง
   “ไม่เป็นไรนะฟ่ง ใจเย็นๆ ดาขอโทษ ถ้าฟ่งไม่อยากเล่าไม่ต้องเล่าก็ได้”
   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า พยายามปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปกติ หญิงสาวรอคอยอย่างเงียบๆ
   “ขอโทษนะดา” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด
   “ฟ่งไม่รู้จริงๆ ว่าฟ่งกับเขาเป็นอะไรกันแน่ ฟ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลย ฟ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าคิดยังไงกับฟ่ง”
   “ฟ่ง..” พิฌาดาพูดต่อไม่ออก รู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งเป็นห่วงอดีตคนรัก เธอเข้าใจว่าอภิวัฒน์เป็นคนอ่อนไหวง่าย  เรื่องทั้งหมดคงเกิดขึ้นในช่วงที่เขาบอกเลิกกับเธอเป็นแน่ หญิงสาวคิดว่าควรจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น จึงพยายามยิ้มออกไป
   “ทำเอาดาพูดต่อไม่ออกเลย ยังไงดีล่ะ ดาแค่จะบอกฟ่งว่า ดาเป็นห่วงฟ่งนะ อยากให้ฟ่งดูแลตัวเอง ระวังตัวบ้าง”
   “ขอบคุณจ้ะ” ฟ่งตอบยิ้มๆ เขารู้สึกแย่ที่เมื่อครู่ตะโกนใส่พิฌาดาไปแบบนั้น แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ติดใจอะไร ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
   “ดา อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ฟ่งไม่อยากโดนใครหาว่าเป็นเกย์ ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชาย”
   “อือ  ให้ดาพูดว่าเข้าใจคงไม่ได้ แต่คนนี้เป็นกรณีพิเศษของฟ่งสินะ”
   ชายหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ หญิงสาวบีบมือเขาเบาๆ
   “ไม่ต้องห่วงนะ ดาไม่บอกใครหรอก  บางทีแบบนี้อาจจะดีกับฟ่งก็ได้นะ”
   “ไม่รู้สิ” ฟ่งยกมือเกาหัวอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นเช่นไร ได้แต่หวังว่าเที่ยงคืนนี้คงได้รับคำตอบอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้น
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:32:57
บทที่10  สิ่งสำคัญ
   เสียงเพลงป๊อปแด๊นซ์ที่ถูกบรรเลงโดยวงดนตรีฝีมือเยี่ยม กระตุ้นให้ผู้คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ ลุกขึ้นมาขยับร่างกายตามจังหวะเพลง พื้นที่ที่ถูกจัดเป็นฟลอร์เต้นรำด้านหน้าเวที เริ่มมีผู้คนเข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อวาดลีลาการเต้นที่บางรายเข้าถึงระดับมืออาชีพ รูฟัสเขย่ากระบอกผสมเครื่องดื่มด้วยอารมณ์เหม่อลอย แม้บรรยากาศรอบข้างจะดูครึกครื้น แต่จิตใจของเขากลับรู้สึกหดหู่ 
   คำพูดของเมี่ยงดังก้องอยู่ในหัว
   ควรแล้วหรือที่คนอย่างเขาจะเก็บความรักครั้งนี้เอาไว้
   ชายหนุ่มเม้มปากอย่างลืมตัว ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับฟ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา นับตั้งแต่เหตุการณ์สะเทือนขวัญในวัยเด็ก  แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขนั้นมักจะสั้น
เที่ยงคืนนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี  ควรจะบอกความจริง หรือจะโกหกต่อไป
   “คุณเชนเป็นอะไรไปคะ ดูเหม่อๆ พิกล?” หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทักขึ้น รูฟัสรีบตอบปฏิเสธ
   “คุณนี่หน้าตาดีนะคะ ก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไรหรือคะ เป็นดาราหรือเปล่า?” หญิงสาวถามต่อ รูฟัสไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอถามเช่นนั้น
   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ  ทำงานเกี่ยวกับบัญชีน่ะ” รูฟัสตอบยิ้มๆ พลางมองดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ จะเที่ยงคืน  เขาควรจะรีบกลับไปรอรับฟ่ง รูฟัสไม่รู้ว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงได้อยากให้เขาลงไปรับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งขอร้องเขาตรงๆ ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรปฏิเสธ อีกอย่าง เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล หลังจากที่ได้เห็นสิ่งของในมือของอิทธิเดชในตอนกลางวัน  บางทีฟ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาตามสืบอยู่
   รูฟัสภาวนาให้ตัวเองเดาผิด เขาไม่อยากให้ฟ่งเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มตระหนักถึงความหมายที่เมี่ยงต้องการจะบอกเขาแล้ว แต่จิตใจส่วนลึกของเขายังดื้อรั้น อยากจะคว้าเอาคนคนนั้นมาเป็นของตัวเองให้ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย
   “หรือครับ ผมคิดว่าก่อนหน้านี้คุณทำงานเป็นสายลับเสียอีก” เสียงนั่นเอ่ยเป็นภาษาจีนอย่างช้าๆและชัดเจน แววตาของรูฟัสเปลี่ยนเล็กน้อย ผู้ที่เอ่ยคำพูดเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าๆ ไว้ผมยาวมัดรวบด้านหลัง ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า นัยน์ตาเรียวเล็กสีดำที่เหมือนกับกาจ้องมองมาราวกับใบมีด รูฟัสหัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ
   “Can you speak English, please?”
   “ยินดีที่ได้พบ คุณรูฟัส” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจคำขอ เขายังคงพูดภาษาจีนเช่นเดิม รูฟัสฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “I can’t understand you”
   “ไม่เป็นไร ผมจะพูดไปเรื่อยๆ” ชายหนุ่มยังคงยืนยันเป็นภาษาจีน รูฟัสหันไปมองหน้ากับหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ ซึ่งก็มีท่าทีงุนงงอยู่เช่นกัน
   ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ อีกฝ่ายคงยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาเป็นใคร ลักษณะการพูดเหมือนกับการสุ่มตัวอย่างจับพิรุธ นัยน์ตาสีอีกานั้นจ้องเขม็งมาอย่างคุกคาม
   “คิดว่าคุณคงรู้จักกับ คุณเฟิงปิง”   อีกฝ่ายยังคงพูดต่อ โดยไม่สนใจแม้แต่จะสั่งเครื่องดื่ม รูฟัสยื่นเครื่องดื่มให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงมุมเคาน์เตอร์ โดยไม่แสดงทีท่าใส่ใจคำพูดนั้น การที่ชายหนุ่มปริศนาเอ่ยชื่อเฟิงปิงขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจมากนัก รูฟัสเชื่อว่าไม่นานเว่ยเฟิงปิงคงจะทราบเรื่องราวของเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาตรงจังหวะขนาดนี้  ชายหนุ่มรินเครื่องดื่มลงไปในแก้วค็อกเทลอย่างใจเย็น ชายคนนี้คงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยเฟิงปิง  เขาอดรู้สึกนับถือความสามารถในการสืบหาและคาดเดาของเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสไม่ได้  สิ่งที่เฟิงปิงเอามาอ้างอิงในการคาดเดานั้นไม่ใช่เรื่องหวือหวา แต่ที่น่ากลัวคือ วิธีการคิด เด็กคนนั้นมักจะคิดในแง่มุมที่คนอื่นมองข้ามเสมอ  รูฟัสนึกไม่ออกว่าเขามองข้ามอะไรไป แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายก็ได้แค่คาดเดา ขอเพียงแค่ไม่มีพิรุธ ไม่นานอีกฝ่ายก็คงเลิกไปเอง ที่สำคัญชายหนุ่มปริศนาคนนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกของคลับ ไม่ว่าเขาจะเข้ามาด้วยวิธีการใด แต่ก็คงอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานนัก
   แล้วก็เป็นอย่างที่คาด หญิงสาวสวยในชุดสีม่วงเลื่อมดำเดินนวยนาดเข้ามาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง พร้อมด้วยชายหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนในชุดสูทสีกรมท่า
   “กรุณาไปกับดิฉันหน่อยได้ไหมคะ คุณผู้ชาย” หล่อนพูดเป็นภาษาจีน ชายหนุ่มแปลกหน้ายิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นโบก “ขอผมพูดอีกหน่อยนะครับ”
นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นหันกลับไปจับจ้องที่รูฟัสอีกครั้ง  ราวกับจะจับทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแม้แต่ลมหายใจ ริมฝีปากนั้นค่อยๆ เอ่ยคำพูดออกมา ช้าและชัดเจน
   “คุณเฟิงปิงเจ้านายของผม เขาดูจะสนใจเพื่อนคุณคนหนึ่งเป็นพิเศษ คนที่ชื่ออภิวัฒน์น่ะครับ”
   คราวนี้แววตาของรูฟัสกระด้างขึ้นมาทันที เขาเกือบจะหลุดปากถามออกไปทันทีที่ได้ยินชื่ออภิวัฒน์
   อภิวัฒน์  ฟ่ง... นี่เฟิงปิงรู้อะไรขนาดไหนกันแน่?
 ชายหนุ่มพยายามจะสะกดอารมณ์ที่เริ่มจะพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลนัก ความร้อนใจมีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหันไปมองหน้าเมี่ยง ซึ่งพยายามซ่อนความรู้สึกตื่นตระหนกเอาไว้ได้อย่างน่าชมเชย
   บ้าชะมัด รูฟัสคิด เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงจับพิรุธของเขาได้แล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกกังวลกับมันมากนัก เมื่อชื่อที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมานั้นดูน่าเป็นห่วงกว่า
   ชายหนุ่มผมยาวมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามแสดงปฏิกิริยาออกมาแล้ว การคาดเดาของเจ้านายของเขาแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ
   “ออกไปคุยกันข้างนอกไหม?”
   ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถาม รูฟัสยอมรับกับตัวเองว่าเขาได้เผยจุดอ่อนที่ไม่น่าจะมีที่สุดออกมาเสียแล้ว
    ปัญหาแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน  แม้เขาจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงและผู้ชายมามาก แต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกร้อนใจนัก หากอีกฝ่ายโดนจ้องทำร้ายหรือหมายชีวิต แต่ในกรณีนี้ต่างกัน
   ความกังวลใจถ่าโถมเข้าใส่หัวใจรูฟัส เขาอยากจะโทรศัพท์หาฟ่ง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสืบทราบความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟ่งมากเท่าไร การที่โทรศัพท์ต่อหน้าชายคนนี้อาจจะเป็นการเผยจุดอ่อนมากขึ้น ตอนนี้เขาต้องพยายามแสดงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า บุคคลที่ชื่อว่าอภิวัฒน์ไม่ได้มีความสำคัญกับเขามากอย่างที่คิด อีกอย่าง เขาควรจะใช้โอกาสนี้สะสางเรื่องราวของเฟิงปิงให้เสร็จ
   รูฟัสพยักหน้ากับชายหนุ่มปริศนา ก่อนจะหันมายิ้มให้เมี่ยง
   “เห็นทีผมจะต้องขอตัวก่อนล่ะครับ”
   “เอ่อ.. ค่ะ ระวังตัวนะคะ” เมี่ยงพูดกระท่อนกระแท่น ขณะมองดูคนทั้งคู่เดินออกไป
---------------------------
   ฟ่งก้าวฉับๆ ข้ามสะพานปูนที่ตัดผ่านส่วนคอดของบ่อ กลับเข้าไปยังบริเวณงานเลี้ยง ด้วยความรู้สึกเหมือนจะพ่นไฟ
   “เฮ้ย! ฟ่ง ช่วยที” พัชร้องเรียกทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน หนุ่มวัยยี่สิบสี่ที่สวมแว่นตาหนาเตอะต้องกล้ำกลืนคำพูดที่จะต่อว่าต่อขานกลับเข้าไปในปากเมื่อเห็นสภาพเพื่อน ก่อนจะถามกลับ
   “เป็นอะไร?”
   “ก็ไอ้พวกนี้น่ะสิ มันจะมอมเหล้าช้านนน ช่วยด้วย!” พัชชี้ไปยังกลุ่มเพื่อนๆ ที่ดวดเหล้ากันจนหน้าเริ่มแดงได้ที่ ฟ่งถอนหายใจ
   “พวกแกระวังเมาไม่ได้กลับ”
   “หยวนๆ น่า กลับไม่ไหวนอนบ้านไอ้กิจก็ได้ อยู่หลังมหาลัยเอง” เพื่อนคนหนึ่งตอบ พลางยกแก้วขึ้นเชิญชวน
   “โทษที แต่ฉันต้องกลับคืนนี้ แล้วฉันก็ขับรถไม่เป็น เพราะฉะนั้น ไอ้พงษ์ แกห้ามเมา!”
   “ประโยคแกดูเท่มาก ไอ้ฟ่ง โตเป็นควายแล้วทำไมไม่หัดขับรถว่ะ”
   “เรื่องของฉัน!” ฟ่งนิ่วหน้าตอบ พัชหันมาพูดเสียงอ่อยๆ “ฟ่ง ฉันว่ากลับกันก่อนดีไหม อยู่ต่อไปมีหวังได้นอนบ้านไอ้กิจจริงแน่”
   “นั่นแน่ แกก็เปรี้ยวปากเหมือนกันล่ะสิ บอกแล้วว่านอนบ้านไอ้กิจกัน นานๆจะเจอกันซักที”
   ฟ่งมองดูสถานการณ์โดยรวมแล้วมุ่นคิ้ว
   “พอดีพรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องทำตอนเช้า คงนอนค้างไม่ได้หรอก พงษ์กลับๆ”
   “อื้อ” สีหน้าของพัชดีใจเหมือนหลุดออกมาจากดงรถติด เจ้าตัวรีบผุดลุกขึ้น โบกมือลาเพื่อน “ไปก่อนนะจ๊ะ พระเอกมาช่วยแล้ว”
   ฟ่งถลึงตาใส่ทันที พัชเลยต้องรีบเดินออกมา

   “แน่ใจนะว่าไม่เมา?” ฟ่งถามหวาดๆ ขณะที่พัชไขกุญแจสตาร์ทรถ
   “ก็เกือบๆ แหละ ดีที่นายมาขัดจังหวะ อย่างทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่เมาหรอก” พัชย้ำเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือของเพื่อน
   “ถ้าฉันเมาล่ะจับนายปล้ำไปแล้ว”
   “ไม่ขำนะ!” ฟ่งว่า ขณะที่พัชเหยียบคันเร่งออกตัวรถ
   “กลับก่อนกำหนดเป็นอะไรรึเปล่า?” คนเป็นเพื่อนถาม เมื่อสังเกตว่าฟ่งดูเป็นห่วงเรื่องเวลาแปลกๆ
   “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เออ ว่าแต่ แกไปเล่าอะไรให้ดาฟัง”
   “เอ๋..อ๋อ” พัชทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “ทำไม? ฉันคิดว่าดาควรจะรู้เอาไว้หน่อย รู้รึเปล่าว่าเค้ายังตัดใจจากนายไม่ได้”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าสมควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร พัชมองหน้าเพื่อน พลางถอนหายใจ “ฉันรู้ว่านายคงไม่ยอมบอก นึกถึงจิตใจคนอื่นบ้างสิ ฉันคิดว่าถ้าดารู้ว่านายเป็นอะไรก็คงทำใจได้ง่ายขึ้น”
   “ให้ทำใจว่าแฟนเก่าเป็นเกย์หรือไง?”
   “หรือไม่จริง” พัชตอกกลับ ฟ่งมองหน้าเพื่อนก่อนจะถอนหายใจยาว
   -----------------------------------
   เสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นซีเมนต์ขัดหยาบดังสะท้อนกับเสาปูนเปลือยดังสะท้อนไปทั่วส่วนล่างของตึกที่ถูกใช้เป็นลานจอดรถ รูฟัสอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลกสีดำ เดินคู่มากับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำสนิท
   ดูราวกับการเดินแถวหน้ากระดานในงานสวนสนาม ต่างผ่ายต่างไม่ยอมให้อีกฝั่งคลาดสายตา บรรยากาศอึดอัดทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่รองเท้าหนังสีดำของทั้งสองกระทบกับพื้น
   “มีธุระอะไรกับผม?” ในที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเป็นภาษาจีนขึ้นก่อน บุรุษแปลกหน้าไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาหันหน้ามามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปพูดเสียงเรียบๆ
   “เจ้านายผมมีธุระกับคุณ”
   “เฟิงปิงน่ะหรือ?” รูฟัสถามกลับ แววตาของบุรุษลึกลับไหววูบเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อของผู้เป็นนาย
   “ได้ยินว่าคุณเคยทำงานอยู่ที่ฮ่องกง เรื่องภาษาคงไม่เป็นปัญหาสินะ”
   “เปล่า” ร่างสูงตอบ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามของฝ่ายตรงข้าม บุรุษแปลกหน้าเงียบไปอีกพักหนึ่ง เสียงฝีเท้ายังคงดังกระทบพื้น
   “ความจริงเจ้านายผมอยากพบคุณมาก เขาอยากให้ผมพาคุณกลับไป”
   “อย่างนั้นหรือ ตอนนี้เจ้านายคุณอยู่ที่ไหนกันล่ะ”
   “ผมจะพาคุณไปเอง” บุรุษแปลกหน้ากล่าวพลางเว้นช่วงคำพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากต่อด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “คุณไม่อยากรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่คุณทิ้งไปเมื่อหกปีก่อน”
   “มีอะไรงั้นรึ?”
   รูฟัสรู้สึกแปลกใจ เขาไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ คนถูกถามชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะหันหน้ามามอง
   “ความจริงผมอยากจะให้คุณเห็นเจ้านายผมด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
   “เกิดอะไรขึ้นกับเฟิงปิง?” รูฟัสถาม แต่สายตายังคงจับจ้องการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ชายหนุ่มปริศนาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ก่อนจะดึงสายลวดสีเงินเส้นเล็กๆ ออกมาจากแหวนที่สวมอยู่ตรงนิ้วกลางด้านขวา
   “ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง หวังว่าคุณจะอยู่ฟังจนถึงตอนจบนะ”
   นัยน์ตาที่สวมคอนแทคเลนสีน้ำผึ้งของรูฟัสเบิ่งกว้าง เสียงลวดบางเฉียบแหวกผ่านอากาศดังหวืดหวือ แสงไฟนีออนสะท้อนเพียงเงาสีเงินรางๆ ชายหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลัง เสียงเชี๊ยะดังขึ้นเบาๆ
   สิ่งที่ทำให้รูฟัสรู้สึกตระหนกไม่ใช่อาวุธพิสดารที่ชายหนุ่มปริศนากำลังใช้อยู่ แต่กลับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ใช้อาวุธชิ้นนี้ต่างหาก
   รูฟัสยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลข้างแก้ม เพียงแค่การโจมตีแรกก็สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้แล้ว สายลับหนุ่มกระโดดหลบไปด้านหลังเสา เขาต้องการเวลาสักเล็กน้อยในการทำความเข้าใจกับการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
   ในตอนที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลเว่ย รูฟัสจำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมือสังหารของหน่วยดำที่ใช้ลวดเป็นอาวุธ ในตอนนั้นเขายังคิดอยากจะเห็นการใช้อาวุธแบบนั้นดูสักครั้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเผชิญมันด้วยตนเอง
   เสียงลวดบาดคอนกรีตทำเอารูฟัสต้องกลืนน้ำลายเฮือก นี่ถ้าลองโดนจังๆ สักทีหนึ่ง คงไม่โสภาแน่ๆ ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางคิดหาแผนรับมือกับอาวุธประหลาดชิ้นนี้
   “กำลังรอฟังอยู่รึ?” น้ำเสียงเย็นชาปนประชดประชันทำให้รูฟัสรู้สึกหงุดหงิดหู ทันใดนั้นวัตถุสีเงินลักษณะคล้ายๆ หัวฉมวกก็ถูกเหวี่ยงเข้ามา
   หนุ่มตาสองสีถอยหลังหลบโดยสัญชาติญาณ และพบว่ามงคลสีเงินวงหนึ่งกำลังจะคล้องเข้าที่ศีรษะ ชายหนุ่มหงายหลังลงกับพื้น แอ่นตัวเตะท่อนแขนที่ถลันเข้ามาอย่างจัง ก่อนจะกลิ้งหลบออกไป
   “รีบๆเล่ามาได้แล้ว!” รูฟัสพูดพร้อมกับดีดตัวขึ้น  เมื่อนึกว่าคนของหน่วยดำมาทำงานให้เฟิงปิงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่พอสมควร รูฟัสยอมรับว่าเมื่อครู่เขารู้สึกเป็นห่วงเว่ยเฟิงปิงแว๊บหนึ่ง แต่ตอนนี้มันคงไม่ใช่อย่างที่คิด
   บุรุษแปลกหน้าเหยียดนิ้วมือข้างที่โดนเตะเข้าออก แรงเตะเมื่อครู่คงทำให้รู้สึกชาอยู่บ้าง ในมือของเขาตอนนี้เพิ่มเส้นลวดที่มีปลายเป็นหัวฉมวกขนาดยาวราวนิ้วชี้ขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่ง ช่างเป็นอาวุธที่พิสดารจนออกแนวเลวร้ายเลยทีเดียว
   “ใจเย็นๆสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย” การโจมตีอีกระลอกประดังเข้ามาพร้อมกับคำพูด รูฟัสได้แต่กระโดดหลบไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เขายังคิดวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ออก
   “ผมชื่อจางซื่อเยี่ยน เป็นอดีตคนของหน่วยดำ คิดว่าเรื่องนี้คุณคงทราบแล้ว”
   รูฟัสกัดฟันกรอด ขณะก้มลงหลบเส้นลวดที่ม้วนตัวเข้ามา แล้วยังต้องกระโดดหลบฉมวกสีเงินที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาติดๆ กันอีก หมอนี่คิดจะถ่วงเวลาไปถึงไหนกัน
   “ครับ ทราบแล้ว แต่เห็นทีผมคงต้องบังคับให้คุณพูดเข้าเรื่องซักที” สายลับหนุ่มกล่าว ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการกระทำของฝ่ายตรงข้าม คนที่ทำให้ชีวิตของเจ้านายของเขาต้องเหลวแหลกน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
   อดีตหน่วยดำรั้งลวดสีเงินกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรจงวาดบ่วงคล้องลงบนศีรษะของอีกฝ่าย
   “ลาก่อน” คำพูดหลุดออกมาพร้อมกับเส้นลวดที่ถูกดึงให้ม้วนเข้าหากัน ก่อนจะบาดลงบนกล้ามเนื้อคอ
   “สวัสดีต่างหากล่ะ!”
   จางชื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้าง นัยน์ตาที่สวมคอนแทคเลนส์สีน้ำผึ้งที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าดูราวกับดวงตาของปิศาจ ก่อนที่จะทันได้คิดว่าอะไรเป็นอะไร ศีรษะของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาเต็มดั้งจมูก เล่นเอาเขาเซถลาไปหลายก้าว จางชื่อเยี่ยนไม่คิดจะโดนเฮดบัดกันดื้อๆ ที่แย่กว่านั้นคือ กำปั้นที่ประเคนเข้ามาอีกระลอกใหญ่  กว่าที่เขาจะรั้งลวดกลับเข้ามาป้องกันตัวได้ ก็โดนเข้าไปหลายดอก
   “ผมต้องขออภัยจริงๆ ที่ประเมินคุณต่ำไป” อดีตหน่วยดำพูด พลางปาดเลือดออกจากจมูก ตอนนี้ใบหน้าของเขาเปรอะไปด้วยเลือด
   “โชคดีที่เพื่อนผมไว้ใจได้น่ะ” รูฟัสกล่าว ขณะที่ถอยออกมาตั้งหลัก ห่วงสุดท้ายเมื่อครู่เกือบทำเอามือขาด ดีที่ฝ่ายนั้นเสียกระบวนไปพอสมควรเพราะความเจ็บปวด  ชายหนุ่มเสียบปลอกปากกาเข้ากับด้านท้ายของปากกาสีเงินที่เขาล้วงออกมาจากอกเสื้อ จางชื่อเยี่ยนถ่มเลือดลงกับพื้น พลางมองดูแท่งสีเงินระยับในมือฝ่ายตรงข้าม
   “ใช้ปากการับลวดผมหรือ?”
   “ครับ แต่จะเรียกว่าปากกาก็คงไม่ถูกนัก มันใช้เขียนไม่ค่อยได้หรอก” รูฟัสพูด พลางสะบัดมือ ปลายแหลมของปากกาพุ่งตัวออกกลายเป็นแท่งสีเงินขนาดเล็กความยาวประมาณหนึ่งเมตร  เขานึกขอบคุณราฟาแอลที่หาอุปกรณ์แบบนี้มาให้ อย่างน้อยมันก็ไม่โดนเส้นลวดสีเงินนั่นตัดขาด
   “เรเปียหรือ? มีอาวุธแปลกๆ เหมือนกันนี่”
   สายลับหนุ่มหัวเราะ “มันคงเป็นเรเปียที่บางที่สุดในโลกล่ะมั้ง” เขาไม่ได้พูดเกินเลยไปนัก เพราะขนาดของมันเล็กเท่าๆ กับใส้ในปากกาเท่านั้นเอง  จางซื่อเยี่ยนพลอยหัวเราะขึ้นด้วย
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 23-05-2011 21:37:34
มาเจิมจ้า~  :mc4:
โหยคุณ juon
ลงยาวสะใจมาก :a5:
 พึ่งอ่านไปได้นิดเดียวเอง มีรวมเล่มแล้วเหรอคะ หาซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ
เป็นกำลังใจให้คร่า :L2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 23-05-2011 21:39:02
เข้ามากดบวก ๑ ให้คุณจูออนค่ะ

ลงทีเดียวยาวเลย เอาเป็นว่าขอตัวไปซุ่มเงียบอ่านก่อนนะคะ อิอิ เป็นคนสมาธิสั้นมาก ต้องอ่านไปทีละน้อย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:40:24
“คุณชายเจ็ดถูกอัปเปหิออกจากกลุ่มหลังจากที่คุณออกไป รู้รึเปล่า?”
   จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตรึงเครียด เส้นลวดในมือถูกขึงขึ้นอีกครั้ง รูฟัสถอยฉากออกมาก้าวหนึ่ง เขารู้ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่เรื่องราวของเฟิงปิงก็กระตุ้นความสนใจของเขาเช่นกัน
   “ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงไม่ฆ่าเขา แต่เอาเถอะ คุณชายยอมรับผิดทุกอย่างต่อท่านหัวหน้า เลยโดนลงโทษอย่างหนัก ผมคงอธิบายไม่ได้ แต่มันเลวร้ายเสียจนกระทั่งพวกเรา หน่วยดำยังต้องเบือนหน้า การที่พ่อลงโทษลูกชายเลวร้ายขนาดนั้นมีให้เห็นไม่บ่อยนักหรอก”
   รูฟัสนิ่งอึ้ง นี่เฟิงปิงรับผิดทั้งหมดงั้นหรือ ทำไมกัน ไม่น่าเป็นไปได้ เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อนัก แต่อีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรกันที่จะโกหกเขา ทำให้รู้สึกผิดงั้นหรือ ไม่น่าใช่...
   “ลูกนกเวลาตกรังแล้วมันปีนขึ้นมาลำบากนะ แต่เขาก็ปีนกลับขึ้นมาได้” จู่ๆ จางชื่อเยี่ยนก็ถอนหายใจ ปลายฉมวกในมือถูกเหวี่ยงแรงขึ้น “น่าเสียดายนะ ตอนแรกผมคิดจะฆ่าคุณแท้ๆ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยคุณชายของผมก็อยากเจอคุณตัวเป็นๆ  ความจริงผมอยากอยู่ทดลองอาวุธของคุณสักพัก แต่เวลาคงหมดแล้วล่ะ”
   ปลายฉมวกสีเงินถูกเหวี่ยงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เอี้ยวตัวหลบ ทันใดนั้นปลายของมันก็แตกออก กลายเป็นฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายไปทั่ว สายลับหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดจมูก
   “อย่าคิดที่จะตามผม  ทางที่ดีกลับไปที่ของคุณจะดีกว่า บางทีสิ่งที่คุณปกป้องอาจจะยังปลอดภัยอยู่ก็ได้”
   นั่นคือคำพูดสุดท้ายของจากชื่อเยี่ยนที่รูฟัสได้ยิน ก่อนจะควันสีขาวจะจางหายไปพร้อมกับการจากไปของอดีตหน่วยดำ
-------------------------------
   “โชคดีนะ มีอะไรโทรหาฉันก็ได้” พัชพูดผ่านกระจกที่ถูกลดลง ฟ่งยิ้มแห้งๆ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าคอนโดของตัวเอง นาฬิกาบอกเวลา ห้าทุ่มเกือบๆ เที่ยงคืน
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ก่อนจะโบกมือลาเพื่อน พัชมองฟ่งด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนจะถอนหายใจแล้วถอยรถออกไป
   ฟ่งมองดูรถของเพื่อนเลี้ยวลับไปตรงหัวโค้งหน้าซอย ก่อนจะเดินเข้าไปในคอนโด ไฟสีเหลืองจากเคาน์เตอร์ส่องลอดเข้ามาในห้องโถงที่ปิดไฟมืดสนิท ทำให้เห็นเงาร่างร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
   แวบแรกฟ่งรู้สึกดีใจที่รูฟัสลงมาคอยเขาตามสัญญา แต่อีกวินาทีต่อมาเขาต้องรีบบอกกับตัวเองว่านั่นเป็นเพียงการเข้าใจผิด เมื่อร่างนั้นผุดลุกขึ้น
   “Hello, I've been waiting for you.” เจ้าของร่างนั้นเตี้ยกว่ารูฟัสพอสมควร ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยทักยังเป็นน้ำเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟ่งก้าวถอยหลังไปตามสัญชาติญาณ เขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
   “Don't be afraid. we won't harm you” เสียงนั้นดูนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ฟ่งรู้แน่ว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่จริง เขาถอยหลังไปอีกก้าวแล้ววิ่งออกไปทางประตู แต่ก่อนที่จะได้สัมผัสกับบานผลัก ร่างของเขาก็โดนกดลงกับพื้น โดยชายอีกสองคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ฟ่งร้องโอ๊ยคำหนึ่ง ในตอนที่ใบหน้าของเขากระแทกกับพื้นหินแกรนิตเย็นเยียบ ชายหนุ่มรู้สึกถึงการคุกคามที่ก้าวเข้ามา เมื่อบุรุษแปลกหน้าที่เอ่ยทักเขาในตอนแรกเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
   “Got you!”
---------------------------------
   รูฟัสแทบจะกระโดดออกจากรถแท็กซี่ทันทีที่มันวิ่งมาถึงหน้าคอนโด เขาโยนเงินให้กับคนขับ ก่อนจะผลักประตูออกมาอย่างเร่งร้อนโดยไม่สนใจเงินทอน  สิ่งแรกที่เขาเห็นคือคนยามที่นั่งหลับอยู่
   “บ้าชิบ!” รูฟัสสบถ ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไป และพบเพียงความว่างเปล่า เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นตามใบหน้า ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกา
   เที่ยงคืนสิบห้า
   เขาล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะกดโทรออก พวกรีเซปเตอร์กลับกันหมดแล้ว ไม่เหลือใครไว้ให้ถามอะไรอีก เสียงตื๊ดของโทรศัพท์แต่ละรอบยาวนานราวกับไม่มีวันจบ รูฟัสภาวนาให้ฟ่งรับสายแล้วต่อว่าเขาเรื่องที่มาสาย หรือไม่ก็บอกว่ายังอยู่กับเพื่อน และแล้วเสียงกดรับโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับความหวัง
   “สวัสดี รูฟัส ไม่เจอกันเสียนานนะ” เสียงตอบรับที่ลอดออกมาทำเอารูฟัสแทบหัวใจสลาย เขายืนอึ้งไปครู่หนึ่ง  น้ำเสียงนั้นแม้จะเปลี่ยนไปบ้างแต่เขาก็ยังจดจำได้ดี เสียงที่เขาไม่ได้ยินมาถึงหกปี
   “เฟิงปิง!!”
   “ดีใจจังที่ยังจำกันได้นะ” อีกฝ่ายตอบ เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาด้วย รูฟัสรู้สึกอารมณ์เดือนพล่าน
   “เธออยู่ไหน?!” เขาถาม แทบจะเป็นเสียงตะคอก เฟิงปิงจุ๊ปากเป็นเชิงปราม
   “ไม่เอาน่า อย่าขู่ผมสิ คุณเพิ่งเจอกับลูกน้องของผมไปไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้บอกหรือไงว่าผมอยู่ไหน”
   “อย่ามาลูกไม้นะเฟิงปิง บอกมาว่าเธออยู่ไหน!”
   “ใจร้อนจังนะ” เสียงนั้นตอบกลับมาอย่างใจเย็น รูฟัสกำโทรศัพท์แน่น แทบจะขยี้มันแหลกคามือ
   “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าอยู่ที่ไหน เพราะผมเพิ่งมาไทยครั้งแรก แต่ว่านะ รูฟัส ผมคิดว่าผมอยู่กับคนที่คุณอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ อยากได้ยินเสียงหมอนั่นหน่อยไหมล่ะ?” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางยื่นโทรศัพท์ให้ฟ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขนาบด้วยลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่ง ตอนนี้คนทั้งหมดอยู่ในรถซึ่งเว่ยเฟิงปิงได้เช่ามา และกำลังมุ่งหน้าไปสนามบิน ฟ่งไม่ได้รับโทรศัพท์ เพราะมือของเขาถูกมัดไพล่อยู่ด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงเลยต้องเอาโทรศัพท์มาจ่อหูเขาแทน
   “Speak!” หนุ่มชาวฮ่องกงสั่ง ฟ่งเม้มปากแน่น เสียงของรูฟัสที่ลอดเข้ามาทำให้ลำคอของเขาตีบตัน เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดี
   “ฟ่ง คุณอยู่ที่นั่นรึเปล่า? พูดกับผมหน่อย” เสียงของรูฟัสดูร้อนรนและห่วงใย แต่เขาพูดไม่ออก ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความเศร้า ความเสียใจ หรือว่าความกลัวประดังเข้ามาในจิตใจ ฟ่งยังคงเม้มปากแน่น
   “You don't want to? Alright, I'll help!" เว่ยเฟิงปิงพูด ก่อนจะตบเข้าที่ใบหน้าของฟ่งฉาดใหญ่ เสียงนั้นคงทะลุถึงหูของอีกฝ่าย ฟ่งได้ยินรูฟัสเรียกชื่อของตนอีกครั้ง แต่เขายังคงปิดปากแน่น เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากเป็นทางยาว ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ทั้งนั้น เฟิงปิงกระชากผมของอีกฝ่ายจนหน้าหงายไปด้านหลัง
   “SPEAK!!”
   เขาสั่ง แต่ฟ่งยังคงเงียบ เฟิงปิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผลักศีรษะนั้นไปกระแทกกับเบาะหน้า ฟ่งหลับตาแน่น รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
   “Good boy I'll give you something”
   จู่ๆ เฟิงปิงก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฟ่งสังเกตเห็นนัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าน้ำทะเลที่ดูเจ้าเล่ห์ราวกับงูนั้น กลอกเล็กน้อย ริมฝีปากบางนั้นกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูแสยะจนไม่น่ามอง
   “โอ๊ย!!” ฟ่งร้องเสียงลั่น ก่อนจะม้วนตัวลงไปจนแทบจะถึงพื้นที่นั่ง ใบหน้าแดงก่ำ เฟิงปิงหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
   “ได้ยินรึเปล่า รูฟัส”
   “แกทำอะไร!?” เสียงของอีกฝ่ายที่ลอดออกมาเต็มไปด้วยความโกรธ  แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงหัวเราะ “ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่บีบลูกกระแป๋งเพื่อนนายเล่นแค่นั้นเอง”
   “ฉันจะฆ่าแก!!” ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือของเขาสั่นระริก ร่างบางกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดต่อ
   “มาสิ ฉันจะรอนายอยู่ที่ฮ่องกง” เขาพูด ก่อนจะวางสายไป
   “เดี๋ยว!” รูฟัสตะโกนกรอกหูโทรศัพท์ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก นอกจากเสียงตื๊ดถี่ๆ แสดงสถานะขาดการติดต่อ ชายหนุ่มพยายามต่อสายอีกครั้ง แต่ถูกตัดทิ้ง และในที่สุดเขาก็พบว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องหนี
   “โธ่เว้ย!” เขารู้สึกโมโหจนแทบอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง ชายหนุ่มเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น เขาพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ฟ่งคงไม่เจอเรื่องร้ายแรงมากนัก เพราะอยู่ในฐานะตัวประกัน  แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ตาม คู่ต่อสู้อีกฝ่ายคือเว่ยเฟิงปิง ชายที่สามารถตามหาตัวเขาจนพบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตามแต่ รูฟัสรู้สึกไม่ไว้วางใจชายคนนี้แบบที่สุด บางทีเฟิงปิงอาจจะทำอะไรบ้าๆ กับฟ่งก็ได้ แค่คิดว่าเมื่อครู่ฟ่งโดนทำอะไรไปบ้างเขาก็แทบคลั่ง
   ต้องรีบพาฟ่งกลับมาให้เร็วที่สุด  แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ ไหนจะงานที่เขากำลังทำอยู่อีก
   งานบ้าบออะไรกัน!!!
   รูฟัสยกมือขึ้นกระชากประตูให้เปิดออก ก่อนจะก้าวพรวดๆ ลงบันใดไป
--------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองชายที่กระทำการอันน่าอับอายกับเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะเค้นเสียงสบถอย่างยากลำบาก “ไอ้โรคจิต!”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมองมาเล็กน้อย แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของฟ่ง แต่ร่างบางก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงด่าเขาอยู่ ใบหน้าเรียวราวกับพญางูยื่นเข้ามาอีกครั้ง
   “I hate you”
   ฟ่งขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาไม่เคยรู้จักกับชายคนนี้มาก่อน จู่ๆ ก็โดนจับตัวมา แถมต้องมาโดนทำร้ายร่างกายอีก เขาสิน่าจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นมากกว่า
   “ผมสิน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า!” แทบจะเร็วเท่าใจคิด ฟ่งเผลอปากพูดออกไปทันที  เฟิงปิงขมวดคิ้วบางด้วยความแปลกใจ
   “พูดจีนได้รึ?”
   ฟ่งก้มหน้าเงียบ รู้สึกไม่อยากพูดต่อ เฟิงปิงจับใบหน้าของฟ่งให้เงยขึ้น ทำให้เขาต้อง มองนัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นโดยไม่ค่อยเต็มใจนัก
   “นายเป็นอะไรกับรูฟัสกันแน่?” นัยน์ตาสีฟ้านั้นจ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฟ่งสะบัดหน้าหนี
   “แล้วคุณล่ะ เป็นอะไรกับเขา?” ฟ่งถามกลับ เฟิงปิงมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม
   “ไม่รู้หรอกหรือ นี่นายไม่รู้อะไรเลยหรอกหรือ” น้ำเสียงของเฟิงปิงทำให้ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนแกล้ง นี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า นัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นเยียบปนเย้ยหยันเอ่ยขึ้นช้าๆ “ฉันเป็นเมียเขา”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งหล่นใส่หัว ตาพร่า เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องตกใจขนาดนี้ คำพูดต่างๆ ติดค้างอยู่ในลำคอ
   เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังตกตะลึงด้วยสายตาเจ็บปวดอย่างที่สุด
---------------------------------
   แสงไฟสีส้มจากหลอดอินแคนเดสเซนต์ ที่อยู่เหนือโต๊ะกลมสีดำโอบรอบด้วยโซฟาสีแดงสองตัว ส่องสลัวอยู่เพียงดวงเดียวในความมืด หญิงสาวสวยในชุดลำลองสีส้มอ่อน ใช้นิ้วเรียวยาวจับปลายช้อนค็อกเทลสีแดงสด คนเครื่องดื่มสีชมพูที่อยู่ในแก้วอย่างเหม่อลอย เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสองเศษ  ความจริงผับของเธอปิดแล้ว แต่โทรศัพท์ที่เพิ่งได้รับทำให้เมี่ยงยังคงต้องอยู่ต่อ  ไม่นานนักชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีรอยเลอะสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆ ก็ก้าวพรวดๆ เข้ามา
   “ดีใจที่คุณปลอดภัยนะคะ รูฟัส” เธอทักพลางยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่เขม็งเกร็งราวกับรูปปั้นของอีกฝ่าย
   “ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนแบบนี้ แต่ช่วยอะไรผมหน่อยได้รึเปล่า”
   “อะไรหรือคะ? เมี่ยงขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก สภาพของรูฟัสทำให้เธอรู้สึกกังวล
   “ช่วยซื้อตั๋วไปฮ่องกงพรุ่งนี้ให้ผมหน่อย”
   “อะไรนะคะ?!” เมี่ยงถามกลับอย่างไม่เชื่อหู
   “ช่วยซื้อตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงพรุ่งนี้ให้ผมหน่อย เอาแค่เที่ยวไปเที่ยวเดียวพอครับ”
   “ดะ  เดี๋ยวสิคะ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะเนี่ย?”
   “ฟ่งโดนลักพาตัวไปฮ่องกงน่ะครับ”
   “ตายจริง!” เมี่ยงอุทานอย่างตกใจ “ทำไมล่ะคะ เพราะเรื่องนั้นหรือคะ คุณชายเว่ย?”
   “อืม” รูฟัสรับคำในลำคอโดยไม่มองหน้า ชื่อของเว่ยเฟิงปิงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
   “ขอร้องล่ะครับ”
   เมี่ยงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หญิงสาวกำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า “จะพยายามแล้วกันค่ะ ว่าแต่ แล้วเรื่องงานล่ะคะ”
   “โทรให้ราฟี่มาจัดการแล้วกัน”
   “แต่ว่า รูฟัสคะ แบบนี้จะดีหรือคะ งานของคุณ...”
   “ฟังนะครับ คุณเมี่ยง” รูฟัสหันหน้ามามองเธอเป็นครั้งแรก แววตาที่ใส่คอนแทคเลนส์สีน้ำผึ้งนั้นดูน่ากลัวราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย
   “ผมทนให้ฟ่งอยู่กับไอ้คนพรรณนั้นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว แค่ตอนนี้ผมก็แทบจะบ้าแล้ว”
   เมี่ยงมองหน้ารูฟัสด้วยท่าทางตื่นตระหนก ชายหนุ่มถอนหายใจ ก้มหน้าลงอีกครั้ง
   “ขอโทษด้วยนะครับ ผมโทรคุยกับราฟี่แล้ว ที่เหลือคุณช่วยจัดการต่อที ผม....ผมไม่ไหวแล้วล่ะครับ”
   รูฟัสทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ความรู้สึกเลวร้ายประดังเข้ามา เขาไม่อยากจะเผชิญกับความรู้สึกสูญเสียคนสำคัญอีกแล้ว
   เมี่ยงมองดูรูฟัสด้วยสายตาเศร้าๆ
   หล่อนเตือนเขาแล้ว แต่มันคงสายเกินไป....
--------------------------------
   ฟ่งไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะอยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะเดินทางไปฮ่องกง ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาเพิ่งไปงานเลี้ยงรุ่น  แอร์โอสเตสสาวเดินเข้ามาถามเขาเรื่องผ้าห่ม ฟ่งพยักหน้าให้หล่อน ก่อนจะหันไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ชายหนุ่มผู้ที่เรียกตัวเองว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังอ่านหนังสือพ็อกเกตบุคนิยายอะไรซักอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครู่ตอนก่อนจะขึ้นเครื่อง ผู้ชายคนนี้แหละที่แทบปลิดชีวิตเขา ที่นั่งอยู่อีกด้านเป็นชายหนุ่มผมยาว ซึ่งเพิ่งมาสมทบในภายหลัง ดูเหมือนชายคนนี้จะเพิ่งพบกับรูฟัส ฟังจากที่ทั้งคู่คุยกัน ฟ่งรู้สึกเหนื่อย เขาไม่รู้ว่ารูฟัสเป็นใครกันแน่ และไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกพาไปที่ไหน ชายหนุ่มหันไปมองเฟิงปิงอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามขึ้น
   “ผมถามอะไรซักอย่างได้ไหม?”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นเหลือบมามองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ
“อะไร?” น้ำเสียงนั้นพูดเรียบๆ แต่ทีท่าไม่ค่อยให้ความสนใจนัก ฟ่งรู้สึกแย่ แต่เขาก็ทำใจแข็งถามออกไป
   “รูฟัสเป็นใคร?”
   เฟิงปิงปิดหนังสือทันที ใบหน้าเรียวยาวนั้นหันมาพร้อมกับสายตาแปลกๆ
   “นี่นายไม่รู้จริงๆ หรือ เขาไม่เคยบอกอะไรนายเลยหรือ?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองโง่ เขาส่ายหน้า เฟิงปิงถอนหายใจ “ฉันจะบอกนายตอนถึงฮ่องกง”
   ฟ่งกะพริบตาถี่ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนเมื่อครู่แววตาของเฟิงปิงจะอ่อนลง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตอบแบบนี้ เขาก็ไม่ควรจะถามต่อ
   ชายหนุ่มซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม
   จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ?
   ฟ่งไม่อยากจะคิดมาก เขารู้สึกเหนื่อย
   อยากจะหลับไปแล้วไม่ตื่นมาอีกเลย
   เพราะเมื่อตื่นแล้วเขาอาจจะเจอความจริงที่โหดร้ายกว่าความฝัน
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงมองดูตัวประกัน ซึ่งเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา เพิ่งถูกเขาบังคับขู่เข็นให้ขึ้นเครื่องบิน ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ชายหนุ่มมองดูร่างที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยความเวทนา เขายอมรับว่าก่อนหน้านี้เขารู้สึกอิจฉา  เฟิงปิงเดาจากปฏิกิริยาของรูฟัสและฟ่งว่าทั้งคู่คงมีความสัมพันธ์กันในระดับที่เกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักธรรมดา  แต่เมื่อเขาพบว่าฟ่งไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับรูฟัสเลย กลับทำให้เขารู้สึกสงสารชายหนุ่มผู้นึ้ขึ้นมาจับใจ
   มันทำให้เว่ยเฟิงปิงนึกถึงตัวเองในอดีต
   ร่างบางยื่นมือเรียวยาวไปสัมผัสใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ผิวเรียบละเอียดนั้นทำให้เขารู้สึกเคลิ้ม เฟิงปิงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ร่างนั้นยังคงไม่รู้สึกตัว เขาพิศดูริมฝีปากสีแดงอ่อนๆ นั้นอยู่ครู่หนึ่ง
   ริมฝีปากคู่นี้อาจจะเคยผ่านผู้ชายคนนั้นมาแล้ว
   เว่ยเฟิงปิงคิด ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปเบาๆ โดยไม่ได้รู้สึกว่าซื่อเยี่ยนแอบหรี่ตามองอยู่
------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:41:51
บทที่11 คำถาม
   หญิงสาววัยสามสิบเศษหยิบแปรงหวีผมขึ้นมาสางผมสีน้ำตาลแดงเป็นลอนสลวยของหล่อนอย่างช้าๆ นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้ามองสะท้อนกระจกไปยังบุรุษหนุ่มผมสีบลอนด์หยักศก ผู้ซึ่งกำลังกระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเปลือกไม้ให้เข้ากับตัว
   “จะไปแล้วหรือ?”
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเบาๆ ใบหน้าเรียวได้รูปดูตึงเครียด การทุ่มเถียงทางโทรศัพท์เมื่อวานซืนส่งผลเขาต้องออกเดินทางอย่างเร่งด่วน

   “ให้ตายสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” ราฟาแอลสบถหลังจากวางสายโทรศัพท์
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” คลาวเดียถาม คนถูกถามเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร  เธอและเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาอาหารค่ำ ดูเหมือนการสนทนาเมื่อครู่จะทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เสียเอามากๆ
   “รูฟัสมันบอกยกเลิกงานกลางคันน่ะสิ”
   “เอ๋ ทำไมล่ะ?”
   “ไม่รู้” ราฟาแอลตอบพลางหั่นสเต๊กออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มแล้วค้างไว้อย่างนั้น
   “หมอนั่นบอกแค่ว่ามีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ พระเจ้า! เรื่องอะไรจะสำคัญกับมันเท่างานอีกว่ะ!”
   “ใจเย็นๆ ราฟี่” คลาวเดียพยายามปลอบคนรัก เธอรู้จักเด็กหนุ่มที่ชื่อรูฟัสมานานแทบจะพร้อมๆ กับราฟาแอล แม้จะดูจอมกวนอยู่บ้าง แต่เธอก็เชื่อว่าเด็กคนนั้นไม่มีวันทิ้งงานไปโดยไม่มีเหตุจำเป็นแน่ๆ แต่เรื่องอะไรล่ะที่จำเป็นขนาดนั้น?
   หญิงสาวยอมรับว่าเธอคิดเหมือนราฟาแอล สำหรับรูฟัสแล้ว คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องงานอีก เหตุผลอะไรกันนะที่ทำให้ชายผู้มีชีวิตอยู่เพื่องานเสี่ยงอันตรายและพร้อมจะตายทุกเมื่ออย่างเขาจะละทิ้งภารกิจไปแบบนี้....
   “รูฟัสอาจจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ด้วยเหตุผลที่เราไม่รู้ก็ได้นะ”
   “เอาเถอะ ถ้ามันไม่ตายไปก่อนก็คงรู้กัน ผมนี่แหละจะฆ่ามันเอง” ราฟาแอลพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนจะเอาสเต๊กเข้าปากเคี้ยวด้วยอาการหงุดหงิด คลาวเดียได้แต่ถอนหายใจ
-------------------------------------------
   เมี่ยงถอนหายใจพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าถือสีม่วงอมแดงที่คล้องไว้ตรงแขน  หล่อนเพิ่งติดต่อกับชายที่ชื่อราฟาแอล เขาอยู่ที่สนามบิน ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยจะเบิกบานนัก  เธอบอกเขาว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงจะขับรถไปรับ เรือนร่างอวบอัดได้สันส่วนผลักประตูกระจกสีดำสนิทที่กั้นระหว่างห้องทำงานส่วนตัวเข้ามายังทางเดินเล็กๆ ที่ผนังทั้งสองด้านถูกปูด้วยกระจกเงา หญิงสาวหันไปสั่งความกับชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มซึ่งยืนรออยู่ ก่อนจะก้าวออกไปอย่างเร่งร้อน

   หล่อนยังจำได้ดีถึงใบหน้าของรูฟัสในตอนที่พบกันครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะบินไปฮ่องกง
   มือเรียวได้รูปยื่นออกมารับตั๋ว พร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ สภาพของรูฟัสในวันนั้นช่างแตกต่างจากวันแรกที่หล่อนพบเขาราวกับคนละคน ใบหน้าที่เคยดูสุภาพและเป็นมิตรกลับเย็นชาราวกับรูปปั้น
   “ไม่ด่วนตัดสินใจไปหน่อยหรือคะ รูฟัส?” เมี่ยงพยายามพูดจาเหนี่ยวรั้งเขาอีกครั้ง หล่อนไม่อยากให้ภารกิจในครั้งนี้ล้มเหลว เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่หล่อนกำลังทำอยู่
   “ดิฉันว่าคุณรอให้ราฟี่มาก่อนแล้วค่อนวางแผนอีกทีจะดีกว่านะคะ ทางโน้นคงไม่กล้าทำอะไรคุณอภิวัฒน์ในตอนนี้หรอกค่ะ”
   ริมฝีปากได้รูปของรูฟัสกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนพยายามจะยิ้ม
   “ขอบคุณนะครับคุณเมี่ยง ผมเข้าใจความกังวลของคุณดี รับรองว่างานทั้งหมดจะต้องเรียบร้อย คุณแค่อธิบายให้ราฟี่ฟังตามที่ผมบอกไว้ก็พอ”
   “แต่คุณไม่น่าจะรีบร้อน..” หญิงสาวชะงักคำพูดไว้เมื่อรูสึกว่านัยน์สองสีคู่นั้นจ้องเขม็งมาอย่างไม่เป็นมิตร มันทำให้หล่อนรู้สึกกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง นัยน์ตานั้นเหมือนไม่ใช่ตาของมนุษย์
   “คุณเมี่ยงครับ แค่คิดว่าฟ่งต้องทนอยู่กับไอ้คนพรรค์นั้นแม้แต่วินาทีเดียวผมก็แทบคลั่งตายอยู่แล้ว โปรดเข้าใจเถอะครับ ผมต้องรีบไป ขอบคุณที่ช่วยนะครับ” รูฟัสพูดตัดบท และหันหลังจากไปโดยไม่รอฟังแม้คำร่ำลา เมี่ยงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ในวินาทีนั้นหล่อนรู้สึกอิจฉาคนทั้งคู่อย่างบอกไม่ถูก
   ในชีวิตนี้จะมีใครสักคนทำเพื่อหล่อนขนาดนี้ได้หรือเปล่านะ?
   ไม่สิ......
   ในชีวิตนี้หล่อนจะทำเพื่อใครสักคนได้ขนาดนี้หรือเปล่า?
   หญิงสาวยิ้มเยาะให้กับตนเอง
-------------------------------------------
   “อย่าทำแบบนี้เลยครับ คุณโจว”
   เด็กหนุ่มอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีในชุดกี่เพ้ายาวสีขาวต่อว่า พลางผลักไสร่างสูงใหญ่ที่อิงแอบแนบชิดเข้ามาจากทางด้านหลัง  ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณโจวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะขบใบหูของเด็กหนุ่มผู้นั้นเบาๆ จนทำอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีพร้อมกับพวงแก้มที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
   “ถ้าใครมาเห็นเข้าตอนนี้ มันจะไม่ดีนะครับ” เด็กหนุ่มพูดต่อ ขณะพยายามแกะมือที่เกาะแกะอยู่ตรงบริเวณขาอ่อน ร่างสูงหัวเราะอีกครา
   “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า เธอเข้ามาหาฉันเพราะต้องการแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
   “หลงตัวเองไปหน่อยหรือเปล่าครับ” ร่างเล็กกว่าหันหน้ามาต่อว่า ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อรับกับใบหน้าขาวเรียวได้อย่างเหมาะเจาะ ร่างสูงใหญ่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอย่างเร่าร้อน พร้อมกับค่อยๆ กดร่างบอบบางลงไปบนโต๊ะทำงานสีเทาแกมเขียวที่วางอยู่ข้างๆ เสียงครางด้วยความพอใจดังออกมาจากลำคอของเด็กหนุ่ม ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ปลดกระดุมบนกี่เพ้าสีขาวนั้นออก ขณะทั้งคู่กำลังประโลมจูบกันและกันอีกครั้งอย่างหื่นกระหาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
   “มีเรื่องอะไร!?” คนถูกขัดจังหวะสำคัญกระชากโทรศัพท์ขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปด้วยความหงุดหงิด
   “คือ.....มีคนมาขอพบท่านครับ” เสียงปลายสายตอบตะกุกตะกัก ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้กับผู้รับสาย
   “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามรบกวนฉันตอนนี้!”
   “ครับ แต่เขาว่าถ้าท่านไม่ยอมลงมาจะเล่นให้บ่อนเจ๊ง เขาเล่นโป๊กเกอร์อย่างเดียวก็กวาดไปกว่าห้าแสนแล้ว ผมว่าท่านน่าจะออกมาดูหน่อยนะครับ”
   “ว่าไงนะ!!” ร่างสูงใหญ่อุทานได้แค่นั้นแล้วก็รีบวางโทรศัพท์ หันไปยักไหล่ให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
   “โทษที ไว้จะมาต่อนะ” เขาพูด พร้อมจุมพิตริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เผยอรออยู่ ก่อนจะก้าวอย่างเร่งร้อนออกจากห้องไป

   ห้องโถงในอาคารพานิชย์ขนาดกลางที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ่อนแบบย่อมๆ เงียบกริบ สายตาทุกคู่จับจ้องการเปิดไพ่ในมือของชายหนุ่มชาวต่างชาติผู้ซึ่งโกยเงินไปแล้วถึงห้าแสนเหรียญฮ่องกง เฉพาะการเล่นโป๊กเกอร์เพียงอย่างเดียว นิ้วเรียวคลี่ไพ่ที่ได้รับแจกช้าๆ ไม่มีอาการกระสับกระส่ายใดสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลหม่นคู่นั้น ดวงตาที่วาดมองไพ่นิ่งสนิท เช่นเดียวกับใบหน้า เขามองไพ่อยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่มีอาการพิรุตใด ก่อนจะค่อยๆ วางไพ่ลงบนโต๊ะทีละใบ แล้วก็เป็นเหมือนครั้งที่ผ่านมา กองชิพตรงหน้าถูกกวาดเข้าไปหลังจากไพ่ใบสุดท้ายถูกเปิดออก
   เสียงปรบมือดังขึ้นทันที ผิดแต่ว่ามันเป็นเสียงปรบมือจากคนเพียงคนเดียว ผู้ปรบมือเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อคลุมแพรยาวแบบจีนสีเขียวอ่อน เรือนผมสีดำสนิทยาวตรงไปจนถึงช่วงเอวถูกมัดรวบเอาไว้ด้วยด้ายสีแดงห้อยพู่ ใบหน้าคมสัน รับกับนัยน์ตาเรียวที่เป็นประกายราวกับนัยน์ตาเหยี่ยว ริมฝีปากหนาได้รูปกระตุกขึ้นมานิดหนึ่ง
   “นึกว่าจะไม่ลงมาแล้วเสียอีก” ผู้ที่เพิ่งโกยชิพใส่หน้าตักเอ่ยทักทันที นัยน์ตาสีดำราวพญาเหยี่ยวสั่นไหวด้วยความรู้สึกบางอย่าง ขณะที่ทุกคนในห้องโถงหันไปมองเขา
   “ไง ไอ้เพื่อนยาก ไม่เจอกันเสียนานนะ!” หนุ่มผมยาวในชุดแพรพูดออกมาในที่สุด พลางเดินจ้ำเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะโป๊กเกอร์ แล้วฟาดฝ่ามือลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรงจนได้ยินไปทั่วทั้งห้องโถง
“โทษทีนะครับ หมอนี่เป็นเพื่อนเก่าผมเอง มันชอบเล่นไพ่ปาฏิหาริย์กวนประสาทชาวบ้านแบบนี้แหละครับ” หนุ่มวัยสามสิบเศษเอ่ยและยิ้มกว้าง ทำเอาคนถูกฟาดต้องฝืนยิ้มด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่หายเจ็บดี
   “ครับ อย่างที่เขาว่าแหละครับ ผมแค่อยากทำเซอร์ไพรส์เขาเล่นนิดหน่อย” ผู้ที่ถูกตบไหล่ตอบ ได้ยินเสียงคนมาใหม่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
   “เซอร์ไพรส์มากเลยนะแก.....”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาใดต่อ ร่างสูงใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอารี พลางตบไหล่คนนั่งอยู่อีกรอบ คราวนี้แม้ไม่แรงเท่าครั้งแรก แต่ก็ทำเอาคนถูกตบหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่งเหมือนกัน
   “ผมขอตัวไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าก่อนนะครับ เชิญทุกท่านตามสะดวก” ร่างสูงพูดตัดบท ก่อนจะดึงแขน ลากอีกฝ่ายขึ้นไปชั้นบน

   “แกกลับมาที่นี่ทำไมวะ! รูฟัส!?” ร่างสูงใหญ่ตะคอกใส่ผู้ที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะ คนถูกตะคอกเกาหัวแกรกๆ
   “แกรู้รึเปล่าว่าพวกตระกูลเว่ยทั้งพวกริเวิลตามหาตัวแกเสียให้ควัก แล้วแกยังจะหน้าด้านกลับมาที่นี่อีกเรอะ! แกจะตั้งตัวเป็นหัวหน้าตัวซวยระดับโลกหรือไง?! รู้รึเปล่าว่าเมื่อกี้แกขัดจังหวะสำคัญของฉัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันโคตรจะอารมณ์เสียเลย ถ้าไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไมแกถึงทะลึ่งมาที่นี่ให้ฉันพอใจล่ะก็.....น่าดูแน่!!”
   “บ่นเสร็จหรือยัง?” รูฟัสพูดพลางยกนิ้วขึ้นแคะหู ยิ่งเพิ่มดีกรีความหงุดหงิดให้กับอีกฝ่ายหนักเข้าไปอีก ยังไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไรตอบ หนุ่มตาสองสีซึ่งตอนนี้สวมคอนแทกต์เลนส์สีน้ำตาลก็เอ่ยขึ้นต่อ
   “ตอนนี้แกใช้ชื่อว่าอะไรล่ะ ยังเป็นโจวยี่เหมือนเดิมหรือเปล่า?”
   “เออ!” คนถูกถามตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด แต่คนถามยังคงมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
   “ก็แสดงว่าไม่ได้หนักหนาอะไรนี่  ตระกูลเว่ยไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรกับแกมากสักหน่อย”
   ถ้าใช้สายตาฆ่าคนได้ โจวยี่คงฆ่ารูฟัสไปแล้ว เขาเขม่นมองเพื่อนเก่าที่นั่งอยู่ตรงหน้า พยายามสงบจิตสงบใจอย่างหนักเพื่อเค้นคำพูดออกไป
   “ใครว่าตระกูลเว่ยไม่เอาเรื่องกับฉัน!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ก่อนจะรีบพูดต่อ “แต่เพราะฉันเก่งเรื่องเอาตัวรอดหรอก แกถึงยังมีหน้ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ นี่ตกลงจะบอกได้หรือยังว่ามาฮ่องกงทำไม? ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนแกกลับออกไปให้พวกตระกูลเว่ยกับริเวิลสับเล่น” ประโยคสุดท้ายหันมาย้อนถามคนนั่งอยู่ด้วยสีหน้าถมึงทึง รูฟัสยักไหล่ หลิ่วตาอย่างมีเลสน์นัย
   “โถ...ไม่เห็นจะต้องพูดจาใจร้ายกับฉันแบบนี้เลย หนุ่มเมื่อกี้เด็กใหม่แกเหรอ หน้าตาไม่เลวเลยนี่”
   นัยน์ตาสีดำของโจวยี่ยิ่งถลึงหนักกว่าเดิม
   “หุบปากหมาๆ ของแกไปเลย แล้วเลิกใช้สายตาแบบนั้นมองของของฉันด้วย คราวที่แล้วแกทำฉันไว้แสบ คราวนี้ฉันไม่ยอมให้แกมาคว้าไปอีกหรอก”
   “นี่แกยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าหยุนหมิงมาหาฉันเอง” รูฟัสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง โจวยี่สูดหายใจลึกพร้อมเม้มปาก พยายามจะเก็บอารมณ์พลุ่งพล่านเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา
“เลิกพูดจากวนประสาทฉันเสียที บอกซิว่าแกกลับมาฮ่องกงทำไม?”
   สีหน้าของรูฟัสเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
   “ฉันมีเรื่องอยากขอร้องให้แกช่วย”
-----------------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะปิดลงอีก นี่คงเป็นวันที่ห้าแล้วที่เขามาอยู่ฮ่องกงในฐานะตัวประกันหรืออะไรซักอย่าง ฟ่งไม่อยากตื่นเลย อยากจะหลับไปตลอดกาลให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทุกครั้งที่หลับตา ก็มักจะหวนคำนึงถึงความดื่มด่ำวาบหวามที่รูฟัสเคยมอบให้ สัมผัสที่ร้อนแรงและแววตาทรงเสน่ห์ที่มองมาด้วยความลุ่มหลง สัมพันธ์ลึกซึ้งอันเต็มไปด้วยความสุขสมอย่างนั้น เพียงแค่ครั้งสองครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันจะฝังเข้าไปจิตสำนึกส่วนลึกของร่างกาย ร่างบางซุกกายลงกับหมอน พอนึกถึงเรื่องนั้นทีไร ฟ่งรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจอยู่ทุกที เมื่อรู้ว่าที่จริงแล้วตนเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายที่เคยชิดใกล้คนนั้นเลย
   รูฟัสเป็นใครกันแน่?
   แล้วเข้ามายุ่งกับเขาเพื่ออะไร?
   ฟ่งกดหน้าลงกับหมอนแน่น รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังจะทะลักออกมาจากดวงตาที่พยายามจะกะพริบถี่
   ผู้ชายคนนั้นรักเขาจริงอย่างที่พูดหรือเปล่า?
   เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของรูฟัสในตอนที่คุยโทรศัพท์กันครั้งสุดท้ายยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ ฟ่งหลับตา ปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาเปื้อนแก้ม
   ผมควรจะเชื่ออะไรดี รูฟัส……
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงขยี้ก้นบุหรี่ลงบนแป้นเขี่ยซึ่งทำด้วยเงินตอกเป็นลวดลายไม้เลื้อยที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานส่วนตัวของเขาบนตึกสูงระฟ้ากลางเมืองฮ่องกง ห้าวันแล้วที่เขากลับมาจากประเทศไทย พร้อมด้วยตัวประกันที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาในรูปแบบนี้
   รูฟัสไม่เคยผูกพันกับใคร ไม่เคยแยแสสนใจว่าใครจะเป็นจะตายเพราะตัวเองขนาดไหน แล้วกับอีแค่คนข้างห้อง มันจะไปมีผลอะไรได้ กระนั้นเขาก็ยังลงทุนไปจับตัวประกันด้วยตัวเอง เพียงเพราะเหตุผลงี่เง่า
   เขาอยากเห็นว่าคนที่รูฟัสถึงขั้นพากลับห้องด้วยตัวเองเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงอยากรู้ว่าผู้ชายที่รูฟัสสนใจหน้าตายังไง แล้วเขาก็ได้ตัวชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรโดดเด่น แถมสวมแว่นตาหนาเตอะจนน่าขัน กระนั้นนี่กลับเป็นคนที่ทำให้รูฟัสเผยตัวออกมา
   ฉันจะฆ่าแก!
   น้ำเสียงนั้นกราดเกรี้ยวอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะ แม้จะเป็นได้ยินแค่เสียง แต่ในวินาทีนั้นเว่ยเฟิงปิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  ถ้าหากว่ารูฟัสยืนอยู่ตรงหน้า มั่นใจได้เลยว่าชายคนนั้นคงฆ่าเขาได้โดยไม่ลังเล
   ไม่มีเหตุผลอะไรที่รูฟัสจะต้องลังเล ในเมื่อเมื่อหกปีก่อน ชายคนนั้นยังทิ้งเขาได้อย่างไม่ใยดี แต่ทำไมพอเป็นแค่คนข้างห้องที่ดูไม่มีอะไรเลยคนนี้ ถึงทำให้คนอย่างรูฟัสคลั่งขึ้นมาได้
   เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจ และออกจะหงุดหงิดอยู่ด้วยซ้ำ
   ใจหนึ่งเขาหวังจะให้รูฟัสตามมาที่ฮ่องกง แต่อีกใจหนึ่งก็หวังให้ผู้ชายคนนั้นเลือกที่จะทำงานของตัวเองต่อ
   เขาไม่อยากเชื่อว่ารูฟัสจะทิ้งงานสำคัญมาเพราะคนข้างห้องที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
   ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ
   บางทีเขาก็รู้สึกอยากให้ตัวเองคาดการณ์ผิด ความจริงแล้วชายผู้ที่เขาบังคับให้มาด้วยกันอาจจะไม่มีความสำคัญอะไรเลยกับรูฟัสก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแผนการของเขาก็คงล้มเหลว ต้องเริ่มกลับไปนับหนึ่งใหม่
   บางทีนั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดก็ได้…….
   เว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขาทนไม่ได้หากรู้ว่ารูฟัสมีคนรักคนอื่นที่ไม่ใช่เขา
   หากว่าชายคนนั้นไม่รักเขาแล้วล่ะก็ เขาก็ไม่ยอมให้ไปรักคนอื่นเช่นกัน
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเดินสวนทางกับแม่บ้านที่ยกถาดอาหารที่แทบไม่มีร่องรอยการแตะต้องเดินออกมาจากระเบียงทางเดินด้านใน
   “นี่อาหารของใคร?”
   “อาหารแขกของคุณชายค่ะ”
   “อีกแล้วรึ?” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะโบกมือให้แม่บ้านเดินออกไป ร่างสูงก้าวเท้าเข้าไปตามระเบียงทางเดินซึ่งปูด้วยกระเบื้องหินแกรนิตสีดำขัดมัน มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องสีขาวที่ถูกปิดตายด้วยตัวล็อกจากด้านนอก ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อป้องกันการหนีออกของบุคคลที่ถูกกักขังอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะ เท่าที่จำได้เจ้านายของเขาไม่ค่อยจะเปิดใช้ห้องนี้บ่อยนัก เว่ยเฟิงปิงมักจะเลือกหาแผนอื่นมากกว่าการหน่วงเหนี่ยวกักตัว เพราะการดูแลตัวประกันนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก
   อาเง็กยิ้มกว้างขึ้นทันทีที่เห็นร่างของผู้มาเยือน ก่อนจะลุกขึ้นยืนให้ความเคารพอย่างสุภาพ
   “เป็นไงบ้าง?”
   “ก็ปกติแหละพี่เยี่ยน ผมว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่มีปัญญาจะหนีออกมาหรอก ขนาดข้าวปลายังไม่ค่อยจะยอมกินเลย”
   “อืม” จางซื่อเยี่ยนรับคำเรียบๆ ตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายถอยออกไป
   “นายไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะบอกคุณชายให้เปลี่ยนเรื่องการเฝ้าเวรใหม่”
   “ขอบคุณมากเลยพี่” อาเง็กยิ้มกว้างอีกครั้ง หาวหวอดด้วยความง่วงงุ่น ก่อนจะเดินกลับออกไป  จางซื่อเยี่ยนล้วงกุญแจพวงใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อไขเปิดประตูห้อง
   แขกของเจ้านายของเขานั่งคู้อยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มสีขาวพันรอบตัว ร่างนั้นเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหลับตาพริ้มลงอีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนเดินไปที่แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศซึ่งติดอยู่ที่ผนังห้อง บิดเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอีก
   “ทำไมคุณถึงไม่ยอมทานอาหาร?”
   ร่างบางที่นั่งคู่ตัวอยู่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ส่งเสียงอ้อมแอ้ม “ผมกินไปแล้ว”
   “เขี่ยให้มันเพ่นพ่านแบบนั้นไม่เรียกว่ากินแล้วหรอกนะ” จางซื่อเยี่ยนพูดพลางเดินตรงไปที่เตียง ก่อนจะโน้มตัวลงไปใกล้ จนฟ่งต้องถอยหลังหนี
   “กรุณาทานอาหารด้วยนะครับ อย่าให้ผมต้องใช้วิธีการบังคับ ผมอาจจะเอาคีมเหล็กงัดปากของคุณออกเพื่อใส่อาหารเข้าไป หรือไม่ก็จับคุณมัดแล้วสอดสายยางลงไปแบบคนไข้ในโรงพยาบาล ยังมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้อาหารพวกนั้นลงไปอยู่ในกระเพาะคุณ แล้วผมจะเลือกให้คุณสักวิธี ถ้าหากว่าคุณยังไม่ยอมทานอะไรแบบนี้”
   นัยน์ตาสีดำสนิทราวอีกาคู่นั้นจ้องลงมาอย่างคุกคาม ฟ่งกัดฟันแน่น รู้สึกถึงความสั่นไหวที่เกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงดึงดัน
   “มันเป็นเรื่องของผมว่าจะกินหรือไม่กิน คุณกลับไปเถอะ”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจยาวหลังได้รับคำตอบ เขายันตัวขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกไปทางประตู “อีกสักพักผมจะให้คนยกอาหารมาให้คุณใหม่”
   ฟ่งเหลือบตามองบานประตูสีขาวที่ปิดลง เสียงลงกุญแจเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท ชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับแบบนี้ที่สุด ฉับพลันความคิดแวบหนึ่งก็เข้ามาในสมอง
   หนี!
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกพอใจอยู่มากเมื่อพบว่าแขกของเจ้านายของเขาเริ่มจัดการอาหารที่ถูกยกเข้ามาใหม่อย่างว่าง่าย
   “ทานด้วยกันสิ” ฟ่งเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่ง  ความจริงเขาไม่ค่อยชอบหน้าชายคนนี้มากนัก แต่การถูกคนอื่นนั่งจ้องตอนทานอาหารนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลย เขาต้องการให้จางซื่อเยี่ยนมาทานข้าวเป็นเพื่อนด้วย กระนั้นคนถูกชวนกลับโบกมือปฏิเสธ
   “น่า ทานกับผมหน่อย คุณก็รู้ว่ากินคนเดียวมันเหงา” ฟ่งยังคงไม่ยอมแพ้ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแขก แต่คำพูดนั้นทำให้เขานึกถึงภาพเจ้านายของเขาผู้ซึ่งมักจะทานข้าวคนเดียวบ่อยครั้ง ความเงียบเหงาที่สะท้อนผ่านแววตาสีฟ้าครามนั้น ทำให้จางซื่อเยี่ยนอยากที่จะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะด้วยหลายต่อหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้  เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเอ่ยปากขอให้ใครไปร่วมโต๊ะ ที่สำคัญคนคนนั้นเป็นบุตรชายของเจ้านายใหญ่ และเป็นเจ้านายของเขาในตอนนี้ด้วย
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาวจนฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
   “ขอโทษ ถ้าคุณลำบากใจมากขนาดนั้นผมไม่บังคับก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ “อืม....ผมจะทานข้าวเป็นเพื่อนคุณ”
   เขาใช้โทรศัพท์สายในโทรเรียกแม่บ้านอีกครั้ง ไม่นานนักสำรับอาหารชุดใหม่ก็ถูกยกเข้ามา
   “ที่จริงชวนมาทานกันหลายๆ คนก็ดีนะ อย่างเจ้านายของคุณเป็นไง” ฟ่งพูดต่ออย่างนึกสนุกเมื่ออาหารอีกถาดถูกยกเข้ามา แต่ถูกนัยน์ตาสีดำสนิทราวอีกาคู่นั้นเหลือบตาขึ้นมองเขม็งจนต้องรีบหุบปาก

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:42:35
   ดูเหมือนว่าเชลยของเขาจะเจริญอาหารขึ้นมาเป็นพิเศษ ฟ่งเริ่มตักอาหารในส่วนของจางซื่อเยี่ยนหลังจากที่จัดการของตัวเองไปหมดแล้ว
   “ให้ผมสั่งอาหารเพิ่มไหม?” ชายหนุ่มผมยาวถาม พลางมองดูช้อนของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามาตักข้าวในจานของตน
   “ไม่ล่ะ ผมอยากแกล้งคุณเฉยๆ แล้วผมก็อิ่มแล้ว”
   จางชื่อเยี่ยนมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความฉงน เมื่อครู่ชายคนนี้ยังมีท่าทีเซื่องซึมตรอมใจอยู่แท้ๆ มันเกิดอะไรขึ้น? หรือคำขู่ของเขาจะทำให้หมอนี่สติแตก ฟ่งวางช้อนลงกับจาน เงยหน้าขึ้นมาจ้องตอบ
   “ผมอิ่มแล้ว ผมอยากเดินออกกำลังกาย คุณพาผมออกไปเดินเล่นหน่อยสิ”
   ผู้ถูกขอขมวดคิ้ว พลางวางช้อนลงบ้าง “เรื่องนั้นเห็นจะไม่ได้หรอก คุณจะต้องอยู่ในห้องนี้”
   ชายหนุ่มสวมแว่นแบะปาก ทำท่าทางเหมือนไม่พอใจ “พวกคุณอยากให้ผมสุขภาพดี คุณก็ควรจะระวังเรื่องสุขภาพจิตของผมด้วย คุณไม่เคยได้ยินเหรอที่ว่าจิตใจก่อให้เกิดโรค ผมอุดอู้อยู่ในห้องนี้มาตั้งหลายวันแล้ว คุณควรจะพาผมออกไปดูอะไรต่อมิอะไรบ้าง เกิดผมเครียดอาหารไม่ย่อยขึ้นมา พวกคุณนั่นแหละจะแย่”
   “ยังไงผมก็ต้องบอกคุณว่าไม่ได้” จางซื่อเยี่ยนยืนยันหนักแน่น ฟ่งทำหน้ามุ่ย
   “ผมว่าคุณลองไปถามเจ้านายของคุณดูก่อนดีกว่าว่าเขาว่ายังไง หรือที่จริงแล้วคุณมีอำนาจตัดสินใจแทนเจ้านายคุณได้ทุกเรื่อง?”
   คำพูดของฟ่งทำให้ซื่อเยี่ยนพูดต่อไม่ออก เขาเริ่มรู้สึกว่าชายคนนี้อาจจะสร้างปัญหาน่าปวดหัวได้มากกว่าที่คิด เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นหยุดความคิดของเขาไว้แค่นั้น
   ร่างสูงเพรียวล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะพูดตอบรับอย่างสุภาพ
   “ครับ อยู่ครับ......ครับ ผมจะรอคุณอยู่ที่นี่แหละครับ”
   จางซื่อเยี่ยนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมามองฟ่งด้วยสายตาแปลกๆ
   “เจ้านายของผมกำลังจะมาที่นี่ คุณคุยกับเขาเองแล้วกัน”
-----------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าลงจากบันไดด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับพญามังกร นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องพยายามฝึกอย่างหนักหลังจากถูกรับกลับเข้ามาในตระกูลอีกหน เพื่อไม่ให้เป็นที่เปรียบเทียบกับพี่น้องอีกหลายๆ คน ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อแพรยาวสีขาวยาวปักลวดลายสีเหลืองทองอย่างจีน ไม่ว่าจะเป็นยามเดิน นั่ง หรือยามรับประทานอาหาร เฟิงปิงรักษาบุคลิกภาพอันสง่างามนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นก็คงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ แต่ภายใต้กิริยาอันสง่างามที่ถูกขัดเกลามาอย่างตั้งใจนั้น กลับซ่อนความรู้สึกร้อนรุ่มไว้อยู่ลึกๆ
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวว่าก้าวเร็วกว่าปกติ  ข่าวสารที่ได้รับมาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
   ชายคนนั้นมาถึงฮ่องกงแล้ว!
   ร่างเพรียวบางโบกมือให้กับลูกน้องคนหนึ่งที่เดินสวนมา ก่อนจะก้าวตรงไปยังระเบียงทางเดินซึ่งนำไปสู่ประตูสีขาวซึ่งมีสลักล็อกจากด้านนอก
   เว่ยเฟิงปิงบอกตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจหรือเสียใจกันแน่กับข่าวที่ได้รับ
   
   ประตูสีขาวถูกผลักเปิดออก เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามา เขาเหลือบมองลูกน้องคนสนิทด้วยหางตาแวบหนึ่ง
   บางครั้งเขาก็คิดว่าการมีอยู่ชายคนนี้ช่างรกหูรกตาเหลือเกิน
   แม้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะเป็นลูกน้องที่ดี แต่นั่นก็แค่ภายนอก เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าชายคนนี้ถูกบุคคลที่เขาเรียกว่าพ่อส่งมาเพื่อให้สอดส่องดูแลพฤติกรรม นั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
   เว่ยเฟิงปิงเดินผ่านจางซื่อเยี่ยนโดยทำราวกับว่าไม่มีเขาอยู่ที่นั่น  ผู้เป็นลูกน้องเอื้อมมือไปปิดประตูเสียงดังกริ๊ก เขาเคยชินเสียแล้วกับพฤติกรรมแบบนี้ของเจ้านาย

   แวบแรกที่เห็นเว่ยเฟิงปิงก้าวเข้ามา ฟ่งยอมรับว่าชายหนุ่มคนนี้ดูดีในชุดแบบจีนมากกว่าเสื้อสูท แต่นั่นก็แค่แวบเดียว เมื่อนัยน์ตาเรียวยาวเหมือนงูนั้นจ้องมาที่เขาอย่างไม่เป็นมิตร หนุ่มนักออกแบบถอนหายใจสั้นๆ และหันไปจ้องตอบ
   บรรยากาศตึงเครียดเริ่มส่อเค้าของมันอย่างเงียบๆ ทันที
   ในที่สุด เว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
   “ซื่อเยี่ยน นายช่วยออกไปก่อน ฉันมีธุระจะคุยกับคนคนนี้เป็นการส่วนตัว”
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมปล่อยให้คุณอยู่กับเขาสองคนไม่ได้” จางซื่อเยี่ยนตอบเรียบๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมองมาอย่างรำคาญ
   “ทำไม นายกลัวว่าฉันจะถูกฆ่าหรือไง?”
   “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องระวังไว้ก่อนครับ”
   เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก “เอาล่ะ บอกซิฉันต้องทำยังไงถึงจะคุยกับเขาสองคนได้?” นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมาอย่างท้าทาย
   “ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ แต่ถ้านายรู้สึกไม่ไว้ใจล่ะก็ จะใส่กุญแจมือหมอนั่น จับมัด หรือผูกตา ฉันก็ไม่ห้ามหรอก”
   ฟ่งสะดุ้ง รู้สึกโมโหขึ้นมาทันทีทันใด ทำไมเขาจะต้องโดนทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นด้วย ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นบ้าง
   “เอ่อ....คุณมีธุระอะไรกับผมล่ะ?
   นัยน์ตาสีฟ้าคู่เดิมเหลือบมองมาแบบเหยียดๆ จนฟ่งต้องรีบหุบปาก นั่นทำให้หนุ่มสวมแว่นรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
   “จะเอายังไง ซื่อเยี่ยน?”
   เฟิงปิงถามต่อ จางซื่อเยี่ยนไม่ตอบ เขายืนจ้องหน้ากับผู้เป็นเจ้านาย สิ่งที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทำให้เขาไม่อยากจะปล่อยเว่ยเฟิงปิงไว้กับชายคนนี้ตามลำพัง
   ความเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้านายเป็นเพียงแค่เหตุผลข้อหนึ่ง
   จางซื่อเยี่ยนรู้ว่าเขากำลังหึง
   นั่นไม่ใช่เรื่องสมควรเลย.....
   ชายหนุ่มพยายามปัดความคิดบ้าๆ ออกไป เขาควรจะใช้เพียงแค่เหตุผลด้านหน้าที่เป็นหลัก
   ชายคนนี้เข้าข่ายที่จะทำอันตรายกับเจ้านายของเขาหรือเปล่า?
   จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาเดาไม่ออก ผู้ชายคนนี้อาจจะดูเป็นคนปกติธรรมดา แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพออยู่กันสองต่อสอง ผู้ชายที่โตเต็มที่คนหนึ่งอาจจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้ อีกอย่างแววตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูเหมือนสายน้ำในแม่น้ำเหลือง ขุ่นมัวสับสนจนไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
   ยังไงเขาก็ไม่ควรที่จะปล่อยสองคนนี่ไว้ตามลำพัง

   ฟ่งมองไปยังเจ้านายกับลูกน้องที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ที่หน้าห้อง ก่อนจะส่งเสียงด้วยความเหนื่อยหน่าย “ตกลงกันเสร็จแล้วปลุกผมด้วยแล้วกัน”
ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนคลุมโปง เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ลูกน้องคนสนิท ก่อนจะเดินปราดๆ ไปยังเตียงนอน โดยที่จางซื่อเยี่ยนยังไม่ทันจะส่งเสียงห้าม
   ผู้เป็นเจ้านายเลิกผ้าห่มออก ก่อนจะกดร่างที่นอนอยู่ให้หันหลัง
   “โอ๊ย!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ ขณะที่เสียงดังกริ๊กดังขึ้นด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงเดินกลับมาที่หน้าห้อง พร้อมด้วยกุญแจสีเงินดอกเล็กๆ ในมือ
   “แบบนี้คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ” เขาพูด ร้อมกับโยนกุญแจดอกนั้นให้จางซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างสะใจ
   “ออกไปได้แล้ว ฉันจะคุยธุระ”
   จางซื่อเยี่ยนรู้ดีว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะอ้างต่อ เลยได้แต่ถอยออกไปอย่างเงียบๆ

   “โอ๊ย! ยอดเลย” ฟ่งพึมพำขณะยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก เสียงโลหะกระทบกันดังอยู่ที่ข้อมือ ตอนนี้เขาต้องนั่งเอามือไพล่หลังอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เพราะมันถูกล่ามติดกันด้วยกุญแจมือ
   “พวกคุณทะเลาะกันแล้วมาลงที่ผม” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าถมึงทึง เขารู้สึกโมโหมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   “นายไม่มีสิทธิ์จะพูด แต่ถ้านายอยากจะโทษใครล่ะก็ นายก็ต้องโทษหมอนั่น” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบ ก่อนจะเดินปราดเข้ามา
   นัยน์ตาเรียวยาวกวาดตามองเชลยผู้ที่อยู่ตรงหน้า  ร่างนั้นอยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีน้ำตาล ความหวาดกลัวและความไม่ไว้ใจที่สะท้อนอยู่ในแววตาสีน้ำตาล เหมือนนัยน์ตาของสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ที่ถูกจับมาขังเอาไว้
   “ได้ข่าวว่านายไม่ค่อยยอมกินอะไรมาหลายวันแล้วนี่ หรือว่าอาหารวันนี้ถูกปาก?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยต่อเมื่อเหลือบไปเห็นชามข้าวที่วางอยู่ ก่อนจะเลื่อนโต๊ะนั้นออกไป
   “คุณสนใจนักหรือไง!” คนถูกถามตอบห้วนๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองคนถามนับตั้งแต่มาถึงฮ่องกง ฟ่งยังไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับชายคนนี้อีกเลย เขามีคำถามหลายอย่างที่อยากจะถาม
   “คุณจับผมมาทำไม?” ฟ่งเริ่มถามจากคำถามที่เขาคิดว่าเขาน่าจะอยากรู้ที่สุด นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบขึ้นมองเขาอีกครั้ง ฟ่งหลบตา เขาเกลียดการถูกมองอย่างดูถูกเช่นนี้
   “ฉันมาที่นี่เพื่อถามนาย ไม่ใช่ให้นายมาตั้งคำถามกับฉัน” เว่ยเฟิงปิงตอบ เขาพยายามจะสะกดอารมณ์เดือดพล่านที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
   ชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือคนที่ทำให้รูฟัสละทิ้งภารกิจและตามมาถึงฮ่องกง
   ชายหนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับรูฟัสกันนะ?
   ความสัมพันธ์แบบไหนที่สำคัญจนทำให้บุรุษผู้มีนัยน์ตาสองสีคนนั้นยอมทิ้งงานและตามมาถึงฮ่องกง.....
   ฟ่งรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นี่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาคงเดินออกไปโดยไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ปัญหาคือตอนนี้เขาถูกจับ ซ้ำยังโดนใส่กุญแจมือเอาไว้อีก  ฟ่งพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ เขาไม่ควรแส่หาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม
   “นายกับรูฟัสเป็นอะไรกัน?” ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เอ่ยประโยคคำถามออกมาหลังจากที่ลังเลอยู่พักหนึ่ง เขากลัวคำตอบที่จะได้รับ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากที่จะยืนยันในสิ่งที่เขาสงสัย  ฟ่งหลบสายสาสีฟ้าที่จ้องมา เว่ยเฟิงปิงเคยถามคำถามแบบนี้กับเขามาแล้วตอนที่พบกันครั้งแรก ตอนนั้นเขาถามสวนกลับออกไป และคำตอบที่เขาได้รับทำให้พูดไม่ออก
   ชายคนนี้บอกว่าเป็นภรรยาของรูฟัส
   ฟ่งรู้สึกเดือดขึ้นมาทันใด เขาไม่รู้ว่าที่เว่ยเฟิงปิงพูดมานั้นจะจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ชายคนนี้รู้จักกับรูฟัส และคงมีความสัมพันธ์อะไรกันบางอย่าง แต่จะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนนั้นฟ่งไม่อยากที่จะนึก กับชายผู้ที่ไม่ยอมที่จะบอกเขากระทั่งอาชีพที่แท้จริง คงไม่แปลกที่จะไม่บอกเขาในเรื่องอื่นด้วย
   “เป็นคนข้างห้อง!” คนถูกถามตอบเสียงห้วน เขารู้สึกโกรธคนข้างห้องของเขาเอามากๆในตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงขยับคิ้วเรียวบางเข้ามาหากันอย่างฉงน ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพูดซ้ำอีกรอบ “ห้องเขาอยู่ติดกันกับห้องผม ก็แค่นั้น คุณเข้าใจไหม?!”
   คิ้วเรียวบางของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันมุ่นกว่าเดิม ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม
   “อย่าคิดว่าฉันโง่นะ บอกมาตามตรง นายกับหมอนั่นเป็นอะไรกัน!? อย่าให้ฉันต้องใช้วิธีบังคับ”
   “คุณรู้จักกับเขานี่ ทำไมไม่ไปถามเองล่ะ?!”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองเชลยของเขา ฟ่งจ้องตอบ ด้วยอารมณ์โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
   “อย่ามาย้อนนะ ฉันอยากรู้จากปากนายตอนนี้ อ๋อ....หรือว่านายกำลังหึง?”
   “หึงบ้าอะไรกัน!” ฟ่งตอบกลับทันที รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว  ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงกระตุกนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มต่ำลงมาอีก
   “นายกำลังนึกถึงคำพูดของฉันตอนนั้นอยู่สินะ  สีหน้าของนายมันฟ้อง นายกำลังโมโห โมโหอะไรกัน หืม? โมโหเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกนายว่าไปเที่ยวมีอะไรกับใครต่อใครมาก่อนหน้านี้หรือไง?”
   ฟ่งเม้มปากแน่น รู้สึกโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อคุณรู้จักเขามากขนาดนี้ คุณจะมาเค้นถามผมทำไมกัน”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาอีกรอบ
   “อย่ามากวนประสาทฉันนะ ตอบคำถามมา!”
   “ไม่ตอบ!”
   คำตอบนั้นทำเอาเส้นกั้นอารมณ์ของเว่ยเฟิงปิงขาดผึง
   “อยากโดนนักใช่ไหม?!”
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ควรจะตอบออกไปแบบนั้น เว่ยเฟิงปิงผลักเขาลงบนเตียงอย่างแรง  ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อกุญแจมือกระแทกเข้ากับหลัง ก่อนจะถูกจับให้คว่ำหน้าลง  ร่างบางพยายามจะดิ้นรน แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อขาของเขาถูกอีกฝ่ายกดไว้ ฟ่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจรุนแรงของอีกฝ่ายที่อยู่ด้านหลังหู มันทำให้เขาขนลุก
   “ทำบ้าอะไรน่ะ โอ๊ย!!”
   เว่ยเฟิงปิงจิกผมของอีกฝ่ายให้หันหน้าเข้ามา ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากนิ่มๆ ฟ่งเบิ่งตากว้าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้เมื่อถูกจับล็อกในสภาพแบบนั้น
   ปลายลิ้นเรียวดุนดันเข้ามาอย่างคุกคาม หนำซ้ำยังดูดดึงริมฝีปากเขาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ
   เว่ยเฟิงปิงดูดดึงริมฝีปากนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนจูบออก ล้วงมือเข้าไปในกางเกงของฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสโดนสะโพก
   “ทำบ้าอะไรน่ะ!!!” หนุ่มสวมแว่นโวยวาย รู้สึกขยะแขยง ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มที่ไม่ค่อยน่ามองนัก
   “ตกใจรึ? เขาเคยทำแบบนี้กับนายหรือเปล่า? ถ้านายไม่ยอมตอบ ฉันจะทำให้นายนึกได้เอง!”
   ฟ่งรู้สึกว่าขนตรงท้ายทอยลุกชัน ขณะที่กำลังคิดหาวิธีตอบโต้ เว่ยเฟิงปิงก็ใช้อุ้งมือขยำขยี้หนั่นตะโพกของเขาอย่างก้าวร้าว ร่างที่หันหลังให้สะดุ้งอีกครั้ง ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือเรียวก็เลื่อนจากตะโพกเลยไปยังอวัยวะสำคัญที่ซ่อนอยู่ด้านหน้า และใช้ปลายนิ้วเขี่ยเหมือนจะหยอกเล่น ใบหูของอีกฝ่ายแดงจัดทันที
   “ตอบมา!” ร่างเพรียวบางกึ่งกระซิบกึ่งตวาด ฟ่งเม้มปาก ทั้งอายทั้งโมโหกับเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่เคยคิดเลยว่าเกิดมาชาติหนึ่งจะถูกผู้ชายสองคนล่วงเกินขนาดนี้
   เว่ยเฟิงปิงใช้นิ้วคีบส่วนนั้นเอาไว้สักพักก็ขยับออก ฟ่งรู้สึกเหมือนได้จังหวะพักหายใจ แต่ยังไม่ทันจะได้สูดอากาศเข้าไปเต็มที่ การคุกคามก็เริ่มขึ้นอีก
   สัมผัสคล้ายปลายนิ้วที่สวมถุงมือยางเบียดแทรกเข้าไปยังช่องทางเร้นลับด้านหลังอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวทำให้ร่างผอมสะดุ้งเฮือก หลุดคำพูดออกมาทันใด
   “อย่านะ ผมตอบคุณก็ได้!!” ฟ่งตะโกนสุดเสียง นิ้วมือนั้นชะงักไปนิดหนึ่ง
   “ว่ามา”
   “ก่อนอื่นคุณต้องลุกออกไปก่อน” ฟ่งเปิดฉากต่อรอง เขารู้สึกขนลุก ภาวนาให้อีกฝ่ายเอามือออกไปไวๆ แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงนั่งนิ่ง
   “ตอบฉันมาตอนนี้!”
   “โธ่..” ฟ่งคราง  รู้สึกอยากร้องไห้   “ช่วยกรุณาเอามือออกไปก่อนเถอะ แล้วผมจะตอบคุณทุกอย่าง ขอร้องล่ะ”
   ร่างเพรียวบางหัวเราะด้วยความพอใจ ฟ่งรู้สึกเสียหน้า แต่ก็ดีใจที่อีกฝ่ายลุกออกไปเสียที เว่ยเฟิงปิงถอดถุงมือออก ลากเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เตียงมานั่ง ขณะที่ฟ่งพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
   “เอาล่ะ ตอบคำถามฉันมาได้แล้ว”
------------------------------------------------
   “แกพูดเรื่องจริงมาดีกว่า” โจวยี่กล่าวในที่สุด ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานขนาดราวๆ สี่คูณห้าเมตรสีเหลืองอ่อนอีกครั้งหนึ่ง เขามองหน้าคู่สนทนาผ่านแก้วน้ำใสแจ๋วที่ยังไม่มีร่อยการดื่ม ร่างสูงใหญ่นั้นบิดเบี้ยวไปเพราะการหักเหของแสง แต่แววตาคู่นั้นกลับไม่ได้ลดความน่ากลัวลงไปแต่อย่างใด รูฟัสยังคงนั่งนิ่ง เป็นสัญญาณว่าเขาไม่มีเรื่องที่จะพูดต่อ หนุ่มร่างสูงถอนหายใจ
   “จะให้ฉันเชื่อแกได้ยังไง ในเมื่อแกบอกแค่ว่าแกมีธุระกับคุณชายเจ็ดแล้วจะให้ฉันหาที่อยู่กับแผนผังให้แก ธุระแบบไหนว่ะ?”
   “ฉันบอกแกไม่ได้ แต่เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก ฉันรู้ว่าแกทำได้”
   “คราวที่แล้วแกก็พูดแบบนี้  แล้วไง เกือบบรรลัยทั้งฉันทั้งแก”
   รูฟัสนิ่วหน้า เพื่อนเก่าของเขากำลังจะลำเลิกความหลังอีกแล้ว
   “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังแกระลึกชาติ ฟังนะ ฉันต้องการแค่ที่อยู่กับแบบแปลนด้านใน แกหาได้ โอเคไหม?”
   “ไม่โอเค ได้ยินไหม!” อีกฝ่ายตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดคิด โจวยี่จ้องหน้าเพื่อนของเขา มองลึกลงไปในแววตาสองสีน่ากลัวคู่นั้นเพื่อค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง
   “แกจะไปเอาอะไร?”
   เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ชายหนุ่มเลยพูดต่อ “ฉันรู้ว่าแกไม่ได้มีธุระกับคุณชายเจ็ด แต่แกอยากจะไปเอาอะไรบางอย่างที่นั่น ถ้าแกมีธุระกับคุณชายเจ็ดจริง แกน่าจะไปหาเขาซึ่งๆ หน้า หรือว่าแกอยากจะไปลักหลับเขา”
   “ตลก” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าที่ขำไม่ออก โจวยี่พ่นลมหายใจยาว
   “พูดตรงๆ ว่ารอบนี้แกมาแปลกมาก ปกติแกไม่ใช่คนที่พูดอะไรไม่เคลียร์แบบนี้ ของนั่นสำคัญมากหรือไง ทำไมถึงบอกฉันไม่ได้ หรือคนที่จ้างแกมาเขาห้ามบอก”
   “อืม” รูฟัสตอนเรียบๆ โจวยี่ตบมือป๊าบ
   “แปลว่าฉันเดาถูก แกกำลังจะไปเอาของ ไม่ได้มีธุระกับคุณชายเจ็ดอย่างที่แกว่าเสียหน่อย”
   รูฟัสถอนหายใจอย่างรำคาญ “เออ แกเดาถูก แต่ของนั่นเป็นของฉันแต่แรก ฉันแค่จะไปเอาคืน”
   “เฮ้ย!! แปลว่าแกเจอกับเขาแล้วงั้นสิ แล้วเขาเอาอะไรไปจากแกว่ะ? น่าแปลกที่ไม่ยักจะเอาหัวแกไปด้วย เขาขโมยหัวใจแกไปแทนหรือไง?”
   รูฟัสจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง จนโจวยี่ต้องพูดต่อ “โอเค ฉันไม่แซวแกแล้ว  แต่ฉันจะบอกอะไรนายให้ว่าถ้าแกคิดจะเข้าไปเอาอะไรที่นั่นล่ะก็ เลิกคิดดีกว่า ทางที่ดีแกควรจะหาวิธีอื่น”
   “มันแย่มากเลยหรือไง?”
   “แย่ยิ่งกว่าแย่” โจวยี่ตอบ ใบหน้าเครียดลง
   “ตั้งแต่แกก่อเรื่องเอาไว้เมื่อหกปีก่อน ตระกูลเว่ยเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งคุณชายเจ็ดกลับมามีอำนาจ ตึกที่เขาอยู่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนามาก จนตอนนี้ยังไม่มีใครลอบเข้าไปได้เลย”
   คนพูดเงียบไปพักหนึ่ง จ้องหน้าเพื่อนกลับอย่างจริงจัง
   “ฉันไม่ได้ล้อแกเล่นนะรูฟัส แกควรจะหาวิธีอื่น”
   “วิธีอะไรล่ะ” รูฟัสถาม โจวยี่ยิ้มอย่างมีเลสนัย
   “บอกมาก่อนสิว่าแกจะไปหาอะไร ฉันจะได้ช่วยคิด ฉันไม่ขอแบ่งค่าจ้างแกหรอก แต่ฉันแค่อยากรู้ว่าของอะไรที่ทำให้คนที่เย็นอย่างกับน้ำแข็งขั้วโลกอย่างแกเดือดได้ขนาดนี้”
   ฝ่ายถูกถามนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ทำให้คนถามยิ่งได้ใจ “ถ้าแกเงียบแบบนี้ฉันก็จะเดาต่อ อันที่จริงที่ฉันบอกว่าจะไม่ขอแบ่งค่าจ้างนี่ฉันแสดงความใจกว้างกับแกแล้วนะ ฉันรู้ว่างานนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแก ไม่มีใครจ้างแกมาหรอก เพราะฉะนั้น แกบอกฉันมาดีกว่าว่าแกจะไปเอาอะไร”
   ในที่สุดรูฟัสก็แค่นยิ้มออกมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
   “แกนี่น่าจะไปหางานเป็นพวกนักสืบหรือพวกตำรวจสอบสวนแทนมาเปิดบ่อนนะ”
   โจวยี่แค่นหัวเราะ
“ฉันว่าสักวันคนพวกนั้นคงมาคุกเข่ากราบกรานให้ฉันไปเป็นอาจารย์ แกคอยดูสิ เอาล่ะคราวนี้แกจะตอบคำถามของฉันได้หรือยัง?”
รูฟัสพยักหน้า หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมขึ้นมา
   “ฉันมาตามหาคน”
----------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:43:38
บทที่12 ใครสักคน
   จางซื่อเยี่ยนนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินซึ่งวางอยู่หน้าห้อง นัยน์ตาสีดำราวอีกาจ้องไปยังความว่างเปล่าตรงหน้า ตอนนี้เจ้านายของเขากำลังคุยธุระอยู่กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งถูกพาตัวมาจากประเทศไทย จางซื่อเยี่ยนไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับชายคนนี้มากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าฟ่ง และคงมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับชายที่ชื่อว่ารูฟัส เจ้านายของเขาวางแผนจะใช้คนคนนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองให้รูฟัสยอมปรากฏตัว  แม้ว่าฟ่งจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่เขากลับรู้สึกไม่ไว้ใจที่จะทิ้งให้เจ้านายของเขาอยู่กับชายคนนี้ตามลำพัง
   ความจริงคือเขาไม่ไว้ใจเว่ยเฟิงปิง
   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินยังค้างคาอยู่ในหัวสมอง จางซื่อเยี่ยนพยายามสลัดภาพนั้นให้พ้นไปจากความคิด ตลอดเวลาเกือบหกปีที่มีโอกาสได้สัมผัสผู้ชายที่ชื่อเว่ยเฟิงปิง เขาไม่เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายแสดงกิริยาแบบนี้กับใคร เว่ยเฟิงปิงไม่มีท่าทีว่ามีความรู้สึกเสน่หากับใครมาก่อน แต่จู่ๆ กลับจูบกับตัวประกันที่ตัวเองเพิ่งเคยเห็นหน้าบนเครื่องบิน
   จูบ…..
   พอนึกภาพที่ริมฝีปากอ่อนบางนั้นแนบสนิทเข้ากับริมฝีปากที่ไม่รู้จัก หัวใจของจางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จูบนั้นจะกินเวลาเพียงเสี้ยวสั้นๆ แต่คล้ายเป็นเหล็กร้อนประทับลึกลงไปในภาพความทรงจำของเขาก็ไม่ปาน
 ตอนนั้นเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น?
   จางซื่อเยี่อนไม่อาจให้คำตอบกับคำถามนี้ได้ ชายหนุ่มเอนตัวไปด้านหลัง ยกมือก่ายหน้าผาก เขาควรจะหยุดคิดฟุ้งซ่านแบบนี้เสียที
   เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น
   จางซื่อเยี่ยนรู้ดีว่าเขาทำไม่ได้  เขาไม่อาจจะละสายตาไปจากเว่ยเฟิงปิงได้ สิ่งที่เขาทำได้มีแค่เพียงการเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ แสดงบทเป็นลูกน้องที่แสนภัคดีผู้ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเจ้านาย
   ขอเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างดูแลผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรเขาก็พร้อมยอมรับ
----------------------------------------
   ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง ฟ่งนั่งห้อยขาลงมาจากเตียง รู้สึกรำคาญกุญแจมือที่สวมอยู่ด้านหลัง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมานึกหงุดหงิด เขามองไปยังชายหนุ่มที่นั่งเก้าอี้อยู่ตรงข้าม นัยน์ตาสีฟ้าเรียวเล็กคู่นั้นจ้องตรงมาอย่างคุกคาม จนทำให้หนุ่มสวมแว่นต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
   เขาจะเริ่มพูดเรื่องนี้อย่างไรดี
   ฟ่งขยับมือเพื่อที่จะยกขึ้นเกาศีรษะอย่างเคยชิน ก่อนจะพบว่ามันถูกล็อกติดกันอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ทำจมูกย่นอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก นั่งยึกยักอยู่นานจนอีกฝ่ายเกือบจะหมดความอดทน
   “ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มที่ตรงไหน คือ ยังไงดีล่ะ…” ฟ่งพูดอ้อมแอ้ม เขานึกไม่ออกว่าจะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนข้างห้องอย่างไรให้ไม่น่าเกลียด ชายหนุ่มรู้สึกกระดาก เมื่อนึกว่าจะต้องบอกคนอื่นว่าเรื่องที่มีอะไรกับคนข้างห้องโดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งรออย่างอดทน ได้ยินฝ่ายตรงข้ามสูดหายใจอีกหลายหน กว่าจะพูดต่อออกมาได้ “คือ เขามาช่วยผมยกของตอนย้ายห้อง หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนกัน.....”
   ความเงียบดำเนินต่อจากนั้นเป็นเวลานาน จนอีกฝ่ายต้องถามขึ้น “แล้วยังไงอีก?”
   “แล้วผมก็เจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไง!” ฟ่งตอบ รู้สึกโมโหขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงคนข้างห้อง เว่ยเฟิงปิงเขม่นสายตาจ้องคนตรงหน้าต่อ พลางเค้นเสียงถาม
   “นายรู้จักผู้ชายคนนั้นขนาดไหน? เขาบอกอะไรนายบ้าง?”
   ฟ่งทำหน้าปั้นยาก แต่ก็ตอบไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา “เขาบอกผมว่าเข้ามาทำธุรกิจ แค่นั้นแหละ”
   “แล้วนายก็เชื่อเขาอย่างนั้นหรือ?” คนถามย้ำอีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้
   “คุณคงคิดว่าผมโง่มาก” ฟ่งพูด รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกไม่รู้ตัว สีหน้าดูหมองลงไปถนัด
   “เปล่า” เว่ยเฟิงปิงตอบกลับเสียงเรียบ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมามองทันที เขาเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเต้นระริกชั่วครู่ด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ผุดพุ่งมาจากส่วนลึกของจิตใจ ก่อนจะกลับไปนิ่งสงบเหมือนแก้วกระจก น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยคำพูดต่อ
   “แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากรู้ เอาล่ะ ฉันจะถามนายตรงๆ นายมีอะไรกับคนคนนั้นแล้วใช่ไหม?”
   ฟ่งไม่คิดว่าจู่ๆ จะถูกถามคำถามแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบออกไปที่สุด ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายจึงพยักหน้าช้าๆ เหมือนนักโทษที่ถูกไล่ต้อนจนต้องยอมรับสารภาพ
“อืม”
นัยน์ตาสีฟ้าที่ทอดมองลงไปสั่นไหวอีกครั้ง เว่ยเฟิงปิงไม่ได้รู้สึกโกรธชายที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับรู้สึกสงสาร
ผู้ชายคนนี้ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายนัยน์ตาสองสีคนนั้นเลย คงได้ยินได้ฟังแต่เรื่องโกหกมาโดยตลอด กระทั่งไว้ใจยอมให้มีสัมพันธ์ด้วย ดังนั้นความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรจากการถูกหักหลังโดยคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด
ความเจ็บปวดคงไม่ต้องอธิบาย
“ผม....ขอโทษ...” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รู้สึกเหมือนก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายขอโทษเรื่องอะไร แต่ขณะจะเอ่ยปากถามก็พลันนึกขึ้นได้
ฟ่งคงยังเข้าใจผิดเรื่องเขากับรูฟัสแน่ๆ
คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตัดสินใจว่าควรจะปล่อยให้เชลยของตนคิดอย่างนั้นต่อไป ความริษยาเข้าครอบงำจิตใจของเขาอีกครั้ง
   “ขอบใจที่ให้ความร่วมมือ ฉันจะให้ซื่อเยี่ยนมาถอดกุญแจมือให้” ผู้มีใบหน้าเรียวยาวราวพญางูกล่าวและผุดลุกขึ้น คนนั่งอยู่รีบพูดต่อ
   “ดะ เดี๋ยวก่อน”
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบนัยน์ตาสีฟ้าใสมามองอย่างไม่ค่อยให้เกียรตินัก ฟ่งมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย แต่ตัดสินใจพูดออกไป
   “คือ....คุณจะตอบคำถามผมสักข้อได้หรือเปล่า? ผมอยากรู้ว่ารูฟัสเป็นใครกันแน่”
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มประชดประชันอันน่ารังเกียจ
   “นายอยากรู้จริงๆ หรือ?” ร่างเพรียวกล่าว และเดินกลับเข้ามานั่งอีกครั้ง โน้นหน้าลงมองคนที่นั่งอยู่อย่างตั้งใจ ก่อนจะพูดช้าๆ
   “ผู้ชายคนนั้นเป็นสายลับ”
   คำตอบที่ได้รับทำให้ร่างบางที่นั่งอยู่ถึงกับอึ้ง ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะถามอะไรต่อ หัวสมองมึนงงไปหมด เว่ยเฟิงปิงสำรวจปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ
   “หมอนั่นทำงานเหมือนขโมย ยังต้องให้ฉันอธิบายอะไรอีกไหม?”
   หลังจากไม่มีคำตอบใดนอกจากนัยน์ตาสีน้ำตาลที่สั่นระริก เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้น และเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ
   ริมฝีปากบางกระตุกรอยยิ้มบิดเบี้ยว
--------------------------------------------
   ราฟาแอลอ่านบันทึกในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่รูฟัสทิ้งไว้ให้ พลางเกาหัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เขามาถึงประเทศไทยได้สองวันแล้ว โดยที่ยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเพื่อนร่วมงานถึงทิ้งหน้าที่ไปกะทันหัน เมี่ยงไม่ยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพียงแต่บอกว่ารูฟัสมีธุระสำคัญ  ราฟาแอลไม่อยากขู่เข็ญผู้หญิง อีกอย่างงานที่ยังค้างอยู่มีความจำเป็นเร่งด่วนกว่า  เขาเชื่อว่ารูฟัสคงจะโผล่หัวกลับมาในไม่ช้า
   ไว้ถึงตอนนั้นจะคิดบัญชีให้หนัก
   ชายหนุ่มผมบลอนด์พลิกสมุดบันทึกเล่มนั้นดูอีกครั้ง เด็กนั่นทำงานไว้ดีเช่นเคย ราฟาแอลรู้สึกดีใจที่สิ่งที่อยู่ในสมุดบันทึกเป็นลายมือของรูฟัส นี่ถ้าเป็นลายมือเขาเองมันคงถูกปาทิ้งลงถังขยะไปนานแล้ว
   ร่างสูงวางสมุดบันทึกลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปที่เตียง ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักซึ่งรูฟัสเคยพักอยู่ ราฟาแอลล้วงมือเข้าไปใต้ที่นอน หยิบเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งขึ้นมา เปิดมันออก พลางคว้าแก้วกาแฟที่ดื่มค้างอยู่ขึ้นมาจิบ ระหว่างรอโหลดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ไฟล์ตัวอักษรและภาพถ่ายจำนวนมากปรากฏขึ้นหลังจากนั้น หนุ่มผมบล็อนด์ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
   เจ้ารูฟัสกำลังทำงานไปได้ทีแท้ๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
   ความสงสัยนี้ทำให้ราฟาแอลทำในสิ่งที่ไม่ค่อยจะทำนัก เขานึกถึงคนข้างห้องที่รูฟัสมักจะชวนออกไปทานข้าวเป็นประจำ ออกไปสอบถามดูหน่อยคงไม่เสียหาย บางทีอาจจะได้ข้อมูลดีๆ ก็ได้ เมื่อคิดดังนั้นเจ้าตัวจึงเปิดประตูห้องออกไป
   ราฟาแอลหยุดยืนที่หน้าห้อง1127 และยกมือขึ้นเคาะประตู
   “............”
   เงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเคาะซ้ำอีกครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม
   หนีตามกันไปหรือไงว่ะ!
   หนุ่มผมบล็อนด์นึกประชด ก่อนจะเดินกลับห้องไป หยิบกาแฟที่ยังค้างอยู่ในแก้วมาดื่มรวดเดียวจนหมด พรุ่งนี้เขายังต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นวายอีกมาก ชายหนุ่มวางแก้วกาแฟลงบนอ่างล้างจาน ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมานับธนบัตรที่แลกเอาไว้ พลางขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด หลายวันมานี่เขาต้องจ่ายค่าแท็กซี่แพงกว่าปกติเพื่อสั่งให้พาเขาไปให้ถึงที่หมายอย่างเร็วที่สุดแทนที่จะพาเวียน
   ราฟาแอลภาวนาให้รูฟัสกลับมาไวๆ ก่อนที่เขาจะเผลอยิงใครทิ้งไปเสียก่อน
-----------------------------------
   “สรุปว่า คุณชายเจ็ดลักพาตัวคนรักของแกมา?”
   โจวยี่พูดพลางจ้องหน้าเพื่อน  รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าประหลาด
   “เอ่อ...รูฟัส ถึงฉันจะเคยโกรธแกเรื่องหยุนหมิง แต่ฉันไม่ปัญญาอ่อนขนาดจะเชื่อเรื่องงี่เง่าแบบนี้ของแกหรอกนะ ทางที่ดีแกสารภาพมาตรงๆ ดีกว่า ว่าแกวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
   หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด อธิบายซ้ำอีกรอบ
   “แกจะเอาไงว่ะ ฉันก็พูดไปหมดแล้วแล้ว แฟนฉันโดนเฟิงปิงลักพาตัวมา”
   “หยุดๆ” โจวยี่กล่าวพลางทำหน้าเหมือนเห็นฟ้าถล่ม รูฟัสถลึงตามองเพื่อน ขณะที่อีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าสยดสยองถึงขีดสุด
   “แก...ผีเข้าเรอะ!! จะโกหกทั้งที เลือกเรื่องที่มันขนลุกน้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไงว่ะ หน้าอย่างแกเนี่ยนะมีคนรักกับเขา ถามจริงเหอะรูฟัส คุณชายเจ็ดเขาเอาอะไรให้แกกินรึเปล่าว่ะ?”
   รูฟัสรู้สึกตัวเองต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติ ในการระงับมือไม่ให้ยื่นไปต่อยดั้งจมูกของเพื่อนเก่าจนเลือดกบปาก ชายหนุ่มเหลือบตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
   โจวยี่กะพริบตาปริบๆ
   “ฉันพูดเรื่องจริง” รูฟัสยืนยันเสียงเรียบ และบอกตัวเองให้อดทนต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าถอดสี
   “โลกต้องใกล้แตกแล้วแน่ๆ” โจวยี่พึมพำ พลางมองหน้าเพื่อนซ้ำอีกรอบ “โอ๊ย!! รูฟัสมีแฟน นี่ถ้าแกไม่พูดออกมาเอง จ้างสิบล้านฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาด คนอย่างแกมันเคยรักใครเป็นด้วยหรือไงว่ะ?”
   “เอาล่ะ ตกลงแกจะช่วยหรือไม่ช่วย” คนนั่งอยู่พูดสวน คนฟังกะพริบตาปริบๆ อีกรอบ ก่อนจะถอนหายใจ
   “เอ่อ..ฉันอยากจะบอกหรอกว่าไม่ช่วย แต่วันนี้แกมาแปลกมาก” ชายหนุ่มผู้มีผมยาวถึงเอวเว้นจังหวะเพื่อหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะเชื่อเรื่องที่แกพูดดูสักครั้งก็ได้”
   กล่าวจบก็เงียบไปนาน จนรูฟัสต้องถามขึ้น “เป็นอะไร?”
   “เปล๊า!” เสียงของโจวยี่ถูกดัดจนแปร่ง รูฟัสขมวดคิ้วยุ่ง คนพูดก่อนทำท่าเหมือนกับจะสำลักน้ำ พูดไปหัวเราะไป
   “คือ มันอดขำไม่ได้นะ พอคิดว่าคนแบบแกมีคนรักเป็นกับเขาด้วย ฮ่ะ ฮ่ะ”
   “ถ้ามันตลกมากก็เชิญแกหัวเราะให้ตายไปเลย” รูฟัสกัดฟันกล่าว ถลึงตามองเพื่อน โจวยี่โบกมือ ยังคงหัวเราะร่วน
   “ไม่เอาน่า ก็แกแกล้งคนอื่นไว้เยอะนี่นา พอเห็นแกมีจุดอ่อนแบบนี้แล้วมันก็อดไม่ได้”
   รูฟัสเอนหลังลงกับเก้าอี้ มองดูเพื่อนเก่าด้วยความหมั่นไส้
   “แล้วตกลงว่ายังไง”
   โจวยี่หันมามองหน้าเพื่อนด้วยใบหน้าฝืนสะกดร้อยยิ้มเอาไว้อย่างยากลำบาก
   “แหม....ไม่บอกฉันหน่อยเหรอว่าคนรักแกหน้าตาเป็นยังไง น่ารักรึเปล่า หืม? โอ๊ะ! แกอายล่ะสิ ฮ่ะฮ่ะ แหม พ่อหนุ่มคาสโนว่ามีคนรักแล้ว ราฟาแอลรู้หรือยังว่ะ?”
   “ยัง แล้วฉันก็ไม่ใช่หนุ่มคาสโนว่า นั่นมันราฟี่ต่างหาก”
   “ตอแหลหน้าด้านๆ ฉันเห็นแกฟันไม่เลือกทุกที”
   “นั่นมันงาน ไม่เกี่ยวกัน”
   “เรอะ รู้รึเปล่า หน้าแกตอนนี้ตลกชะมัดยาด”
   รูฟัสนิ่วหน้า โจวยี่หัวเราะก๊าก “หน้าแกแบบนี้ฉันไม่เคยเห็นเลยว่ะ ปกติแกดีแต่แกล้งคนอื่น แหม...สนุกดีจริงๆ ว่ะ ฉันเข้าใจความรู้สึกแกเวลาแกล้งใครแล้วล่ะ”
   นัยน์ตาสองสีหรี่ลง ก่อนจะพูดเปรยๆ “เด็กใหม่แกก็น่ารักดีนะ ฉันชักจะสนใจขึ้นมาแล้วสิ”
   โจวยี่หุบยิ้มลงทันใด “เฮ้ย ไหนว่ามีคนรักแล้วไง!”
   “ก็แกเพิ่งบอกเองว่าฉันเป็นหนุ่มคาสโนวา มีเพิ่มอีกคนสองคนจะเป็นไรไป” รูฟัสพูดพลางมองหน้าเพื่อน และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ โจวยี่นิ่วหน้า ยกมือขึ้นลูบผมยาวๆ ของตน ก่อนจะถอนหายใจ
   “ลืมไปว่าแกคือรูฟัส”
   รูฟัสนั่งพยักหน้าเงียบๆ โจวยี่กวาดมามองเพื่อนอีกรอบ นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ นัยน์ตาเหยี่ยวหรี่ลงอย่างครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็กล่าวขึ้น
   “ตกลง ฉันจะช่วยแก แต่มีข้อแม้นะ”
   “อะไรล่ะ?” รูฟัสเอ่ย ในตอนนี้เขาพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อแลกกับการเอาตัวฟ่งกลับคืนมา หนุ่มผมยาวเผยอยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ อ้าปากเอ่ยสิ่งที่ต้องการให้คนนั่งตรงข้ามให้ยินชัดๆ
นัยน์ตาสองสีที่นั่งฟังอยู่เบิกโพลง
----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนลุกขึ้นทันทีที่ประตูสีขาวเปิดออก เจ้านายของเขาก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยเช่นเคย
   “ฉันคุยธุระเสร็จแล้ว อย่าลืมจัดการปล่อยหมอนั่นด้วยล่ะ”
   ชายหนุ่มผู้เป็นลูกน้องพยักหน้าเงียบๆ เช่นเคย ก่อนที่เจ้านายของเขาจะเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง จางซื่อเยี่ยนจับได้ว่าหางเสียงของเว่ยเฟิงปิงแปลกออกไปจากทุกที มันดูพร่า และร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากที่จะตามไปดูแลเจ้านายของเขามากกว่าจัดการเรื่องตัวประกันที่อยู่ด้านในเสียอีก แต่การขัดคำสั่งแบบนั้นไม่เป็นผลดี ร่างสูงจึงเปิดประตูสีขาวเข้าไป
   ฟ่งยังคงนั่งปุอยู่บนเตียง สีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นเคย จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ล้วงเอากุญแจดอกเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หนุ่มสวมแว่นขยับหันหลังและยื่นข้อมือที่ถูกพันธนาการอยู่ให้อีกฝ่าย นึกดีใจที่จะได้หลุดจากกุญแจมือบ้าๆ นี่เสียที จางซื่อเยี่ยนก้มตัวลง สอดกุญแจเข้าไปในช่อง ก่อนจะกระซิบเบาๆ
   “คุณพูดอะไรกับเจ้านายผม?”   
   ฟ่งรู้สึกขนลุกเกรียวเมื่อลมหายใจอุ่นกระทบหลับใบหู เขาเกลียดเวลาที่มีคนมากระซิบแบบนี้ที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด และพบว่ากุญแจมือยังไม่ถูกปลดออก
   “ผมก็ตอบเท่าที่เขาถามนั่นแหละ” ฟ่งพูด ภาวนาให้ไม่เกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นอีก แค่เมื่อครู่เขาก็ขยะแขยงแทบตายแล้ว
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากจะถามต่อ แต่ความคิดบางอย่างทำให้ร่างสูงโปร่งตัดสินใจหุบปากในตอนสุดท้าย เสียงกริ๊กเบาๆ ดังขึ้น ทันทีที่มือทั้งสองข้างเป็นอิสระ ฟ่งถอยกรูดจนแทบจะติดผนังห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างหวาดระแวง
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเชลยด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เช่นเคย ก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ
   ---------------------------------
   ฟ่งถอนหายใจทันทีที่ได้ยินเสียงล็อกประตู แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกยินดีนักที่ถูกขังต่อ แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าภัยคุกคามแบบแปลกๆ จะไม่มาเยี่ยมอีกซักพัก
   ตอนที่จางซื่อเยี่ยนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฟ่งหัวใจหล่นวูบ เขากลัวว่าลูกน้องจะใช้วิธีการข่มขู่แบบเดียวกันกับเจ้านาย
   พอนึกถึงสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำเอาไว้ ชายหนุ่มมีสีหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันที ร่างผอมวิ่งพรวดพราดไปยังห้องน้ำ ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำล้างปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
   จูบของผู้ชาย...
   แค่คิดก็อยากอาเจียน ฟ่งวิ่งไปที่ชักโครก ขย้อนน้ำลายเหนียวๆ ออกมาก้อนหนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่อ่างล้างหน้าต่อ
   ชายหนุ่มวักน้ำขึ้นล้างปากอีกรอบ รู้สึกเหมือนล้างเท่าไร ความรู้สึกขยะแขยงนั่นก็ไม่หมดไปเสียที ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองกระจก เห็นใบหน้าซูบเซียวของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น
   เขาจะต้องเจอกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไปอีกนานเท่าไรกัน?
   ชายหนุ่มคิดขณะมองดูเงาสะท้อนบนกระจก ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา
   รูฟัส…….

   “ผู้ชายคนนั้นเป็นสายลับ เป็นขโมย.....”
   คำพูดของเว่ยเฟิงปิงก้องขึ้นมาในหัว ฟ่งรู้สึกเหมือนโลกเหวี่ยง ต้องใช้สองมือจับอ่างน้ำเอาไว้เพื่อพยุงตัว
   สายลับ ขโมยงั้นหรือ?
   ฟ่งเคยได้ยินคำว่าสายลับมาบ้าง เขาคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะอยู่ในองค์กรใหญ่ๆ มากกว่ามาเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆ เขา แต่รูฟัสไม่ได้อยู่ห้องตลอด ใช่ล่ะ บางทีผู้ชายคนนั้นก็กลับมาในรุ่งเช้า ท่าทางเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน
   ฟ่งแค่นยิ้มให้กับตัวเอง เขารู้สึกโมโหอยู่ทุกทีเมื่อนึกถึงรูฟัส แม้จะยังไม่ปักใจเชื่อแน่ว่าสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงพูดมาจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าชายที่ชื่อรูฟัสนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าตัวอธิบายไว้ตอนแรก อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจกินมรดกธรรมดา
   ไม่ว่ารูฟัสจะเป็นสายลับหรือขโมย ที่แน่ๆ คนคนนั้นพูดโกหก
   หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว จิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
   มันน่าชกซักหมัดหนึ่ง หรือจะมากกว่านั้นดี
ฟ่งอยากจะต่อยรูฟัสให้สะใจ แล้วค่อยเค้นคอให้บอกเรื่องจริงทั้งหมด แต่จะหาผู้ชายคนนั้นเพื่อชกหน้าได้ที่ไหนกันล่ะ?!
ร่างบางกระชากประตูห้องน้ำออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว พลางคิดว่าควรจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ พลันสายตาเหลือบไปเห็นประตูสีขาวที่ปิดล็อกเอาไว้
หนี!
ความคิดนี้กลับเข้ามาสู่หัวสมองของฟ่งอีกครั้ง
----------------------
   เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินแกรนิตดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง ชายหนุ่มผู้มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยนเดินไปตามทางเดินที่ปูยาวผ่านห้องต่างๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่ออีกร่างหนึ่งเดินสวนเข้ามา
   “พี่จะไปหาคุณชายหรือครับ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ผู้ที่เดินสวนเข้ามาคืออาเง็ก เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งจึงพูดต่อ
   “ถ้าเป็นเรื่องหมายกำหนดการของวันนี้ คุณชายฝากบอกผมมาว่าให้เลื่อนออกไปให้หมดครับ”
   “!” คนได้ฟังเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เพิ่งจะสิบโมงสิบห้า วันนี้เจ้านายของเขามีกำหนดการต้องไปเจรจาธุรกิจสำคัญที่คอสเวย์เบย์ และยังกำหนดการเข้าพบของหัวหน้าสาขาอื่นๆ อีก
   “คุณชายบอกหรือเปล่าว่าทำไม?”
   อาเง็กส่ายหน้า “คุณชายบอกแค่ว่าให้มาบอกพี่เยี่ยนด้วยว่าไม่ต้องไปตาม แต่ผมว่าท่าทางคุณชายดูแปลกๆ”
   “อืม ขอบใจ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว เด็กหนุ่มค้อมหลังเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านออกไป หนุ่มผมยาวมองตรงไปยังขั้นบันไดสีดำสนิท ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ห้องทำงานเจ้านายของเขา
   เกิดอะไรขึ้นกับเว่ยเฟิงปิงกันแน่?
--------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงานสีดำที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีสีแดงฉลุลายอย่างจีนที่เขาเพิ่งประมูลมาได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้  ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลิ่นบุหรี่จางๆ จากที่เขี่ยบุหรี่เงินลงรักลอยมาแตะจมูก เว่ยเฟิงปิงเปิดกล่องไม้บุเงินรมดำที่ใช้ใส่บุหรี่ ก่อนจะปิดมันลง แล้วเปิดมันซ้ำอีกครั้งอย่างลังเล ชายหนุ่มรู้ตัวว่าช่วงนี้สูบจัดจนน่าตกใจ แต่เว่ยเฟิงปิงไม่มีทางออก  เรื่องของชายคนนั้นทำให้เขาแทบคลั่ง
   รูฟัส
   อยู่ๆ เขาก็รู้สึกตีบตันในลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกไว้ เว่ยเฟิงปิงพยายามอย่างยิ่งที่จะกลืนมันลงไป ก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำใสๆ เริ่มจะทะลักออกมา ร่างบางสูดหายใจลึก เขาจะปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้เข้ามาครอบงำไม่ได้ แต่ความรู้สึกใช่ว่าจะห้ามกันได้ง่ายๆ
   นิ้วเรียวยาวตัดสินใจหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง ขณะที่กำลังจะเสียบมันเข้ากับก้นกรองที่ใช้ประจำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “ฉันสั่งอาเง็กไว้แล้วนี่ ว่าให้บอกนายเรื่องหมายกำหนดการ” เว่ยเฟิงปิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามา
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ และปิดประตู เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกแปลกใจกับการมาของลูกน้องคนนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่จะทำทุกอย่างตามที่เขาสั่ง  แน่ล่ะหมอนี่ไม่ใช่ลูกน้องของเขาสักหน่อย แต่เป็นคนที่พ่อส่งมาคุมเชิงต่างหาก
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:50:42
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อนึกถึงผู้เป็นบิดา
   “มีปัญหาอะไร?”    ชายหนุ่มถามต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
   “ผมจะมาถามเหตุผลเพื่อนำไปแจ้งการเลื่อนนัดครับ”
   “บอกไปว่าฉันไม่สบาย”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบรับ แต่ก็ยังไม่ขยับไปไหน นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าตวัดมาอีกครั้งอย่างคุกคาม เมื่อเห็นว่าฝ่ายโน้นยังคงยืนนิ่ง
   “ถ้าหมดธุระแล้วก็ออกไป” เฟิงปิงตัดบทเป็นเชิงไล่อย่างทุกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าออกออกไปทางหน้าต่าง ซักพักจึงได้ยินจางซื่อเยี่ยนจึงพูดขึ้น
   “จะให้เลื่อนไปเป็นวันไหนครับ?” คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันทันที อีกฝ่ายพูดต่อ
   “หมายกำหนดการของคุณยาวไปถึงเดือนหน้า ไม่ทราบว่าจะให้เลื่อนนัดของคุณเฟย กับคุณหวังไปวันไหนครับ?”
   “..........”
   ความเงียบกินเวลาชั่วอึดใจหนึ่ง ท้ายที่สุดผู้เป็นเจ้านายจึงเอ่ยปาก “เลื่อนไปไม่มีกำหนดแล้วกัน”
   “แต่ท่านสองคนนั้นไม่ได้ว่างตลอดนะครับ ถ้าพลาดการเจรจาครั้งนี้ไป เราจะเสียรายได้ไปหลายส่วนนะครับ” จางซื่อเยี่ยนพูดเสียงเรียบ คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม
   “ฉันรู้” ผู้เป็นเจ้านายตอบอย่างรำคาญใจ เขาหันกลับมา จ้องมองลูกน้องที่อยู่ตรงหน้า พลางประเมินสถานการณ์ของตนในตอนนี้อย่างช้าๆ เรื่องที่จางซื่อเยี่ยนพูดมาก็มีส่วนถูก ถ้าเขาเลื่อนนัดวันนี้ ก็เท่ากับว่าเขาต้องเสียโอกาสงามๆ ไปสอง และที่สำคัญ หากข่าวนี้ล่วงไปถึงหูผู้เป็นบิดา ฝ่ายนั้นจะต้องนึกดูถูกอยู่ในใจแน่ๆ  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนคงทราบเหตุผลที่เขาเลื่อนกำหนด อย่างน้อยก็คงเดาได้ว่าเกี่ยวกับชายคนนั้น
   ร่างบางแค่นยิ้ม เขาไม่ต้องการที่จะให้ชายที่เขาเรียกว่าพ่อนึกดูถูกอีก
   “ใช้กำหนดการเดิมแล้วกัน ตกลงไหม?” เว่ยเฟิงปิงพูดออกมาในที่สุด จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ารับ   “ครับ”
   “อ้อ เดี๋ยวก่อน” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะก้าวออกไป
   “ฉันให้” พูดพลางคว้ากล่องใส่บุหรี่สีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะโยนใส่จางซื่อเยี่ยน ร่างสูงโปร่งรับมาอย่างงงๆ
   “ถือว่าให้เป็นที่ระลึกในโอกาสที่นายเกลี้ยกล่อมฉันได้สำเร็จแล้วกัน มิสเตอร์โรบอท”
   “แต่คุณ..” จางซื่อเยี่ยนพูดค้าง เมื่อเห็นเว่ยเฟิงปิงโบกมือไล่
   “ทำไมล่ะ ก็นายไม่อยากให้ฉันสูบอยู่แล้วนี่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เดี๋ยวฉันจะใช้อาเง็กไปซื้อให้ใหม่ นายไปได้แล้ว เดี๋ยวสักพักฉันจะตามลงไป”
   จางซื่อเยี่ยนโค้งตัวให้เจ้านายเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยออกไปพร้อมกล่องบุหรี่ในมือ เว่ยเฟิงปิงเอนหลังพิงเก้าอี้ ทันทีที่ประตูปิดลง มือเรียวยาวยกขึ้นลูบใบหน้าอย่างช้าๆ พลางสูดหายใจลึก
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเขาเผลอกำกล่องใส่บุหรี่ที่อยู่ในมือจนแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้อีกทีก็พบว่ามันชุ่มไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว
   ชายหนุ่มล้างกล่องบุหรี่นั้นทันทีที่กลับมาถึงห้อง พลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ จางซื่อเยี่ยนมองดูมือของตัวเอง พลางนึกถึงสีหน้าของเจ้านายของเขาเมื่อครู่
   หากเป็นคนอื่นเข้าไป คงต้องเชื่อเหตุผลของเว่ยเฟิงปิงที่อ้างว่าป่วย ใบหน้าเรียวยาวที่เคยเต็มไปด้วยความคิดอ่านนั้นซีดเผือด แวบแรกที่เขาได้เห็นหลังจากที่เปิดประตูเข้าไป จางซื่อเยี่ยนแทบจะวิ่งเข้าไปโอบร่างบางนั้นเอาไว้ เขารู้ดีว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังพยายามฝืนใจตัวเองอย่างหนักกับเรื่องบางอย่าง แต่ด้วยฐานะและหน้าที่ ทำให้เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยปากถามไปตามปกติ
   หลายครั้งในช่วงการสนทนา ที่จางซื่อเยี่ยนแทบจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาอยากที่จะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึก อยากจะเป็นที่พึ่ง อยากที่จะโอบร่างนั้นเอาไว้ อยากที่จะให้คนคนนั้นพักเสียบ้าง
   แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่อาจที่จะทำเช่นนั้นกับลูกชายของผู้มีพระคุณในชีวิตของเขาได้
   ดังนั้นเขาจึงได้แต่อดทน และอดทน ทนอยู่กับการที่เป็นได้แค่ผู้ดู
   จางซื่อเยี่ยนทราบว่าเหตุผลที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงมีสภาพอย่างที่เขาเห็นต้องมาจากชายผู้ที่มีชื่อว่ารูฟัสอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด นั่นทำให้เขาเอ่ยปากทัดทานการเปลี่ยนหมายกำหนดการของเจ้านาย
   ชายหนุ่มไม่อยากให้เจ้านายของเขาเสียงานเพราะเรื่องของชายคนนั้น  แม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องฝืนเพียงไร แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดออกไป
   บางทีนั่นอาจเป็นเพราะเขากำลังรู้สึกริษยาชายที่มีชื่อว่ารูฟัสอยู่
   จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนั้นถึงมีอิทธิพลต่อเว่ยเฟิงปิงนัก
   ชายหนุ่มมองไปที่กล่องใส่บุหรี่
   คุณหวังอะไรจากชายคนนั้นกันแน่ คุณชาย...?
   ขอเพียงแค่เอ่ยมา หากว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ จางซื่อเยี่ยนยินดีที่จะทำ เขาไม่อยากที่จะเห็นเจ้านายอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกแล้ว
-------------------------------
   แสงไฟสีเหลืองอ่อนที่ติดอยู่บนเพดานสว่างวาบเมื่อรูฟัสเอื้อมมือไปสัมผัสสวิตช์ ส่องให้เห็นห้องพักสีขาวสะอาดที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เขาปฏิเสธการจัดหาที่อยู่ให้ของโจวยี่ รูฟัสคิดว่าการที่เขาหาที่ซ่อนเองน่าจะดีกว่า แม้จะเคยร่วมงานกันมาก่อน แต่ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกเรื่อง
   รูฟัสตระหนักรู้ดีว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาทำเรื่องร้ายกาจไว้กับคนอื่นมากมายเหลือเกิน
   โดยเฉพาะที่ฮ่องกง หากข่าวที่เขามารั่วออกไป มีหวังก่อนจะได้ช่วยฟ่ง เขาคงต้องตะลีตะลานหนีตายออกไปก่อนแน่ๆ
รูฟัสถอนหายใจหนัก เขาจำต้องช่วยฟ่งให้ได้ก่อนที่ข่าวการมาของเขาจะรั่วออกไป ข้อเสนอที่โจวยี่เสนอมาทำเอาหนักใจอยู่ไม่น้อย ร่างสูงเดินไปที่หน้าต่าง บรรยากาศของฮ่องกงในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงไฟ มันทำให้เขานึกถึงเมื่อแปดปีก่อน นับวันตึกรามยิ่งแออัด รูฟัสมองผ่านม่านความมืดไปยังอาคารสูงที่คาดว่าจะเป็นที่ที่คนรักของเขาโดนกักตัวอยู่
   ขออย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ กับคนคนนั้นเลย
   ชายหนุ่มภาวนาในใจ เขานึกถึงใบหน้ารั้นๆ ใต้แว่นนั้นอีกครั้ง ฟ่งไม่ใช่คนในแวดวงอาชญากร อย่างน้อยชายคนนั้นก็ไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันตัวเอง แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของมาเฟียระดับเจ้าพ่อ
   ที่สำคัญคือ เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่
   เสียงที่ได้ยินในรถตอนที่ฟ่งโดนจับตัว ทำให้รูฟัสแทบคลั่งทุกครั้งที่นึกถึง เด็กผู้ชายเมื่อหกปีก่อนที่เขาทิ้งเอาไว้ในห้อง กำลังกลับมาแก้แค้นเขา ชายหนุ่มยอมรับว่ารู้สึกตกใจเมื่อทราบว่าเว่ยเฟิงปิงรับผิดเองทั้งหมด  เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงทำแบบนั้น และตอนนี้กลับหันมาแก้แค้นเขาด้วยวิธีการแบบนี้อีก
   ก่อนหน้านี้เขาเคยนึกเอ็นดูเว่ยเฟิงปิง แม้จะไม่ถึงขั้นมีใจให้ แต่เขาก็ไม่อยากจะทำร้าย  แต่ว่าถึงตอนนี้...
   หากว่าเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นกับฟ่งแล้วล่ะก็..
   รูฟัสบีบมือ ขบกรามแน่น
   ขออย่าให้เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนั้นเลย
------------------------------------
   ฟ่งมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ถูกติดไว้ในห้องเพื่อให้เห็นวิวภายนอก ฮ่องกงยามราตรีดูคล้ายกรุงเทพฯ ชายหนุ่มแตะมือกับกระจกเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงมองเบื้องล่างเบือนหน้าในทันที  ฟ่งรู้สึกวิงเวียนในหัวเล็กน้อย เมื่อเห็นรถยนต์เป็นจุดไฟเล็กๆ อยู่เบื้องล่าง เขาเป็นโรคแพ้ที่สูง โดยเฉพาะที่สูงขนาดนี้  ชายหนุ่มเดาว่าเขาคงอยู่ประมาณชั้นที่ยี่สิบ
   ฟ่งตัดสินใจไม่มองลงไปอีก เขาเดินกลับมานั่งบนเตียงเช่นเดิม ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาสามทุ่มเศษๆ  แน่นอนว่าฟ่งไม่ได้ปรับนาฬิกาก่อนจะมาฮ่องกง แต่เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเวลาในประเทศไทยกับฮ่องกงต่างกันไม่กี่ชั่วโมง
ร่างบางถอนหายใจ เขาพยายามหาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่มาตั้งแต่ตอนเช้า สำรวจห้องทั้งห้อง ซึ่งก็ทำมาหลายวันแล้ว และก็พบว่าทางออกเดียวคือประตูบานสีขาวที่ถูกปิดล็อกอย่างแน่นหนาจากภายนอก ไอ้การจะทุบกระจกและปีนลงไปจากชั้นยี่สิบนั้นตัดทิ้งไปได้เลย ที่สำคัญเขายังพบว่าในห้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดอีกด้วย นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
   ชายหนุ่มเดินไปปิดไฟ แสงสลัวคงจะทำให้กล้องจับภาพอะไรได้ไม่ค่อยชัด  ร่างบางทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
   เขาจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไงถ้าไม่มีใครมาเปิดประตูให้..
   แล้วถ้าประตูเปิดแล้ว เขาจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร..
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้อ้างว้างอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกโดดเดี่ยวประดังเข้ามา สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย
   ร่างบางซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม เหมือนหนอนแมลงเล็กๆ ที่ถูกใส่ไว้ในกล่องกระดาษ
------------------------------
   เสียงประตูปิดดังกริ๊ก เว่ยเฟิงปิงละมือจากลูกบิดประตูก้าวเท้าเข้ามาสู่ห้องนอนของตน การเจรจาวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี อย่างน้อยมันก็ราบรื่นกว่าที่เขาคาดไว้ งานนี้คงต้องขอบคุณจางซื่อเยี่ยน การได้อยู่ท่ามกลางหมู่คนทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวัน
   แต่ในตอนนี้...
   เว่ยเฟิงปิงเดินไปที่หน้าต่างซึ่งทำด้วยกระจกใสบานใหญ่    ตอนนี้มันสะท้อนให้เห็นตัวเขาในชุดนอนแพรสีขาวครีม ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟ ทันใดนั้นภาพทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกงในยามค่ำคืนก็ปรากฏแก่สายตา
   เขาจะอยู่ที่ไหนกันนะ?
   ร่างบางคิดขณะที่เหม่อมองออกไปภายนอก การที่จะควานหาตัวรูฟัสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเป็นภายในเกาะนี้แล้วล่ะก็ เว่ยเฟิงปิงมั่นใจว่าเขาทำได้ ตอนนี้ชายคนนั้นเข้ามาอยู่ที่นี่ อยู่ในถิ่นของเขา อยู่ใกล้ๆ นี่เอง
   บางทีอาจจะพักอยู่บนตึกใดตึกหนึ่ง หรือเดินอยู่มุมใดมุมหนึ่งของถนน
   มือเรียวยาวสั่นระริก ทันทีที่ได้รู้ข่าวว่ารูฟัสมาถึงฮ่องกง ในหัวสมองของเขาก็แทบที่จะคิดแต่เรื่องของชายคนนั้น
   อยากจะพบเหลือเกิน.....
   แต่ความรู้สึกนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ เฟิงปิงรู้ตัวดีว่า การพบกับรูฟัสในตอนนี้ต้องไม่ออกมาในรูปแบบของการทักทายอย่างมิตรสหาย หรือการเจรจาทางธุรกิจที่สุภาพอ่อนน้อมแน่ๆ
   เพราะเขาเป็นผู้ที่ลักพาตัวคนคนสำคัญของผู้ชายคนนั้นมา
   หน้าอกซ้ายปวดแปลบ รูฟัสยอมละทิ้งงานมาที่นี่เพื่อผู้ชายที่ชื่อฟ่ง ซ้ำยังมีความสัมพันธ์ทางกายกันลึกซึ้ง  ถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะคิดต่อไปอีก เพราะมันทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด
   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดถึงรูฟัส
   ความรู้สึกโหยหาที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว เขาอยากจะมีใครซักคนที่จะมารับฟัง ใครซักคนที่จะคอยปลอบโยนเขา ใครซักคนที่จะอยู่เป็นเพื่อน
   แต่ว่า..ใครกันล่ะ?
   ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไร้สายภายในขึ้นมากด เว่ยเฟิงปิงคิดว่าตัวเองอาจจะบ้า แต่ตอนนี้เขาไม่อาจจะทนกับสภาพความกดดันนี้ต่อไปได้แล้วจริงๆ
   ไม่อาจจะผ่านค่ำคืนนี้ไปได้ด้วยตัวคนเดียว....
---------------------------
   “เฮ้!”
   ฟ่งลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียก เขายังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาตื่น ชายหนุ่มกำลังหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เขามองเห็นผู้ที่มาเรียกในเงามืดลางๆ
   “คุณชายให้มาตามคุณไปที่ห้อง” เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กที่เฝ้าหน้าประตูห้อง ฟ่งเอื้อมมือไปหยิบแว่น ก่อนจะถูกลากตัวให้ลุกขึ้นและผลักให้เดินนำหน้าออกไป
   ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับเหตุผลที่ถูกปลุก ห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงอยู่ถัดไปจากชั้นที่เขาอยู่ประมาณสี่ชั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งมีโอกาสได้ออกมาเดินภายนอกห้องขัง แต่ระยะทางนั้นสั้นเกินกว่าที่เขาจะคิดวิธีหนี เพียงอึดใจเขาก็เดินมาหยุดหน้าประตูไม้สีน้ำตาลแดงบานใหญ่
   เด็กหนุ่มที่มากับเขายกมือขึ้นเคาะประตูนั้นเบาๆ ไม่นานนักมันก็เปิดออก
   “เข้ามาสิ” เจ้าของห้องผู้มีนัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าเอ่ยคำเชิญ ฟ่งหันไปมองเด็กหนุ่มที่มาด้วยอย่างงงๆ ก่อนจะโดนผลักให้เข้าไป
   “ขอบใจมากนะอาเง็ก ไปได้แล้วล่ะ แล้วไม่ต้องไปบอกเรื่องนี้กับซื่อเยี่ยนนะ พรุ่งนี้ฉันจะบอกเขาเอง”
   ฟ่งได้ยินเสียงรับคำดังแว่วมาจากภายนอก จากนั้นประตูก็ปิดลง หนุ่มสวมแว่นหันหน้ากลับมาเผชิญกับเจ้าของห้อง
   เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือเพราะแสงไฟสีเหลืองสลัวจากโป๊ะไฟที่เปิดอยู่ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่น ก่อนที่ฟ่งจะได้คิดหรือพูดอะไร ร่างนั้นก็โผเข้ามากอดเขาเหมือนเด็กที่วิ่งเข้ากอดแม่ ฟ่งพยายามขยับตัวหนี แต่วงแขนนั้นกลับรัดแน่นขึ้น
   “ขออยู่แบบนี้ซักพักหนึ่งนะ” เว่ยเฟิงปิงพูดเสียงพร่า ซุกหน้าเข้ากับหัวไหล่ของเขา ฟ่งรู้สึกว่าลำตัวของอีกฝ่ายสั่นเทา
   คนคนนี้กำลังร้องไห้
   ฟ่งยกมือขึ้นลูบหลังของเว่ยเฟิงปิงอย่างลืมตัว เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้ชายที่ดูเข้มแข็งในตอนกลางวันกลายมาเป็นแบบนี้  เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่หลัง ก่อนจะกอดแน่นกว่าเดิม ฟ่งรู้สึกหัวไหล่เริ่มเปียก ความจริงแล้วเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าเขาเลย ดูเหมือนจะตัวพอๆ กันไม่ก็เล็กกว่าด้วยซ้ำ
   ในที่สุดร่างบางก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมด้วยคราบน้ำตาเปียกชุ่ม ฟ่งเผลอยกมือขึ้นเช็ดคราบเปื้อนทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือนั้นสัมผัสใบหน้า
   “ขะ ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงพูดตะกุกตะกัก ฟ่งมองดูบุคคลที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสาร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คนที่เคยดูเข้มแข็งตอนนี้ดูคล้ายเด็กที่เพิ่งถูกทิ้ง เขารอจนอีกฝ่ายหายสะอื้นจึงเอ่ยปากถามออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ฝ่ายถูกถามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว ทำเอาคนถามเลิกคิ้วอย่างงุนงง
   “คืนนี้อยู่เป็นเพื่อนฉันนะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะดันฟ่งให้ถอยหลังไป ในที่สุดทั้งคู่ก็หงายหลังล้มลงบนเตียง หนุ่มสวมแว่นร้องเหวอ เมื่อใบหน้าเรียวซุกไซ้ไปตามซอกคอ
   “ทำกับฉันเหมือนที่เขาทำกับนายสิ” เว่ยเฟิงปิงกระซิบ ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาแดงระเรื่อ ลมหายใจเริ่มกระชั้นจังหวะขึ้น เขาโน้มหน้าลง บดริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของร่างที่นอนแผ่อยู่เบื้องล่าง
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ คนที่เปิดประตูให้เขาเข้ามา แล้วร้องไห้ ไปๆ มาๆ ก็เปลี่ยนมาทำแบบนี้กับเขาต่อ ร่างบางดิ้นรนหนีการจู่โจมนั้น
   “บอกสิว่าเขาทำอะไรนายบ้าง?” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะดึงแขนทั้งสองข้างของฟ่งขึ้นไปกดไว้เหนือศีรษะ แม้ขนาดร่างกายจะต่างกันไม่มาก แต่เรื่องพละกำลังเว่ยเฟิงปิงดูจะเหนือกว่าหลายเท่า ซ้ำยังมีทักษะในการต่อสู้อยู่เป็นทุนเดิมอีก
   ฟ่งสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ว่าเขาที่เว่ยเฟิงปิงว่าหมายถึงใครกันแน่ รู้แต่เขาไม่พิศวาสสภาพที่เป็นอยู่เลยสักนิด แต่คล้ายคนที่อยู่ด้านบนไม่นำพา เว่ยเฟิงปิงลงมือปลดกระดุมเสื้อของร่างที่นอนหงายอยู่ออก ไล้นิ้วมือไปตามแผงอกเรียบ ใช้นิ้วมือสะกิดยอดอกสีชมพูเบาๆ
   “เขาเคยแตะตรงนี้ของนายรึเปล่า?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ พอจะเดาออกแล้วว่าเขาหมายถึงใคร คิ้วได้รูปของเว่ยเฟิงปิงมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ริมฝีปากบางโน้มแนบลงไปบนยอดอกนั้น
   ฟ่งสะดุ้งเฮือก รู้สึกถึงแรงดูดและเรียวลิ้นที่กวาดไปรอบปลายยอดไวสัมผัส ร่างผอมหลุดเสียงร้องออกมา
   “อ๊ะ!”
   ช่างน่าโมโห สัมผัสนี้ของเว่ยเฟิงปิงทำให้เขาหวนนึกถึงริมฝีปากของชายคนนั้น แม้จะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนกันเสียทีเดียว แต่คนแรกที่ทำเรื่องแบบนี้กับเขาก็คือผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนั้นแหละ
   “ดีรึเปล่า? เขาทำกับนายตรงนี้แล้วนายรู้สึกดีไหม?” เว่ยเฟิงปิงกระซิบอีกรอบ ฟ่งสั่นศีรษะ แค่นคำพูดออกไป
   “อย่า...อย่าทำแบบนี้”
   ร่างที่อยู่เหนือกว่าโน้มใบหน้าลงมาอีกรอบ หรี่นัยน์ตาสีฟ้าลง “ทำไมล่ะ ฉันทำได้ดีไม่เท่าหรือ? เขาเก่งมากเลยสินะ”
   ฟ่งยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างกายก็ถูกอีกฝ่ายจับยกขึ้น
   “งั้นทำให้ฉันสิ ทำให้ฉันเหมือนที่เขาทำกับนาย” เว่ยเฟิงปิงกล่าว และจับมือของอีกฝ่ายลูบลงบนเป้ากางเกงตัวเอง ฟ่งสะดุ้ง เกิดมาเขาเพิ่งเคยได้จับส่วนนั้นของคนอื่นเป็นครั้งแรกก็ตอนนี้นี่แหละ ถึงรูฟัสจะมีอะไรกับเขาแล้วสองครั้ง แต่เขาไม่เคยถูกบังคับให้จับอะไรแบบนี้มาก่อน
   ความแข็งขึงที่สัมผัสปลายนิ้ว ทำให้ร่างผอมร้อนวาบขึ้นมาทันที
   “ทำให้ฉันสิ” เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นฉ่ำเยิ้ม หรี่ลงอย่างวิงวอน ฟ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อถูกทางนั้นดึงมือล้วงผ่านกางเกงนอนเข้าไปสัมผัสส่วนนั้นให้ชัดเจนขึ้น ความร้อนของมันทำให้ฟ่งทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงกระซิบแหบพร่า
   “ได้โปรด ให้ฉันได้รับรู้ถึงตัวเขา ทำอย่างที่เขาเคยทำกับนาย ทำให้ฉัน”
   เสียงหอบหายใจกระเส่า ทั้งใบหน้าแดงก่ำ รวมถึงร่างที่เบียดแนบเข้ามา ทำให้ฟ่งพูดไม่ออก เขาทำแบบที่รูฟัสทำไม่ได้ เขาไม่ได้มีอารมณ์กับผู้ชาย แต่กระนั้นก็อดรู้สึกสงสารเว่ยเฟิงปิงขึ้นมาไม่ได้
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ เมื่ออุ้งมืออุ่นเริ่มดึงรูดส่วนนั้นของเขา ร่างบางพริ้มนัยน์ตาลง นึกถึงดวงตาสองสีที่เฝ้าคะนึงหา
   “ผมทำไม่ได้!” ฟ่งโพล่ง และดึงมือออก เว่ยเฟิงปิงลืมตาโพลง คว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ
   “ทำไม?!” นัยน์ตาสีฟ้าถลึงมองอย่างเอาเรื่อง ฟ่งรีบพูดต่อ “ก็ผมไม่ใช่รูฟัส”
   ความเกรี้ยวโกรธคล้ายถูกปัดทิ้งออกไปจากสีหน้าเมื่อได้ยินชื่อนั้น ดวงตาของเว่ยเฟิงปิงอ่อนลง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันที เหมือนกำลังจะร้องไห้
   “คุณเว่ย!” ฟ่งพูดอย่างตกใจ ประคองร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด เว่ยเฟิงปิงจิกเล็บลงไปบนหัวไหล่ของเขา
   “ทำไมนายไม่ใช่รูฟัส ทำไมรูฟัสถึงเลือกนาย ทำไม....”
   ฟ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวไหล่ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า จึงปล่อยให้อีกฝ่ายสะอื้นไปเรื่อยๆ
   “คุณ...กับรูฟัส....เอ่อ...ก่อนหน้านี้...?” ฟ่งพยายามถามเลียบเคียงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดสะอื้นไปได้พักใหญ่ เว่ยเฟิงปิงยังคงซุกหน้าอยู่กับหัวไหล่ของเขา แต่ก็ยอมตอบคำถาม
   “ฉันอิจฉานาย” ใบหน้าเรียวผละออกมาและช้อนนัยน์ตาชื้นน้ำขึ้นมอง
   “ฉันรักผู้ชายคนนั้น ฉันรักรูฟัส แต่เขาไม่เคยรักฉันเลย ไม่เคยเลย”
   ขอบนัยน์ตาแดงเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด เขาก้มหน้าลง พูดเสียงค่อย “ผมขอโทษ”
   “มันไม่ใช่ความผิดนายหรอก” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย และหัวเราะขมขื่น
   “ฉันกับเขายังไม่มีอะไรกัน เขาไม่เคยแตะต้องฉันด้วยซ้ำ”
   ฟ่งทำหน้าแปลกใจกับคำพูดนั้น นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ก่อนหน้านี้ฉันโกหกนาย ความจริงแล้วชายคนนั้นเป็นศัตรูของฉัน”
   “ศัตรู?” ฟ่งทวนคำ ยิ่งรู้สึกงุงงงหนักเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงสูดหายใจลึก
   “รูฟัสเคยหักหลังฉัน  แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรักเขา เพราะอะไร แล้วทำไมนายต้องโผล่เข้ามาด้วย”
   “ผม?”
   “ฉันเชื่อมาตลอด ว่ารูฟัสจะไม่รักใคร เพราะเขาไม่เคยรักใคร แต่เขากลับรักนาย”
   ฟ่งได้แต่นิ่งอึ้ง นึกถึงคำรักที่รูฟัสเคยเอ่ย หัวใจพาลรู้สึกปวดแปลบ เว่ยเฟิงปิงนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง จ้องมองคนตรงหน้า ท้ายที่สุดจึงเอ่ยขึ้นต่อ
   “หมอนั่นยอมทิ้งงานสำคัญที่กำลังทำอยู่เพื่อนาย เขาตามมาถึงฮ่องกงแล้ว นายดีใจไหมล่ะ?”
   ประโยคนั้นทำให้หัวใจของฟ่งหวั่นไหว รูฟัสมาฮ่องกงแล้วล่ะหรือ? มาเพื่อช่วยเขาจริงๆล่ะหรือ? ฟ่งบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีใจหรือเปล่า
   “ทำไม ทำไมต้องเป็นนาย เพราะอะไร....” เว่ยเฟิงปิงจับแขนเสื้อของฟ่งแน่น ก่อนจะก้มหน้าลง ฟ่งได้แต่ก้มมอง รู้สึกอยากร้องไห้ไปด้วย
   “ผมขอโทษ” ฟ่งพูด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีฟ้านั้นเอ่อไปด้วยน้ำตา เขาเห็นใบหน้าของหนุ่มสวมแว่นบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่
   “ผม..ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง” ฟ่งโพล่งออกมา เว่ยเฟิงปิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารและเจ็บปวด วงแขนเพรียวดึงร่างนั้นเข้ามากอด ฟ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย
   ทั้งคู่ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไหลอาบแก้มอย่างช้าๆ
---------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:51:30
บทที่13 อดีตของรูฟัส (1)
   เสียงเคาะประตูปลุกให้คนในห้องตื่น เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้น รู้สึกปวดบริเวณเปลือกตา เมื่อคืนเขาคงร้องไห้จนเผลอหลับไป ชายหนุ่มก้มลงมองร่างอีกร่างซึ่งยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆ พลันอมยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนว่าเขาทั้งคู่จะเผลอหลับกันไปจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวฟ่ง และผุดลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดน้ำบนหน้า ขณะที่เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ ชายหนุ่มเงยมองนาฬิกาแขวนผนัง มันบอกเวลาเก้าโมงเศษๆ นี่เป็นเวลาที่เขาควรจะตื่นนอนแล้ว ร่างบางเดินไปเปิดประตู แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าผู้ที่มาเคาะเป็นใคร
   “อรุณสวัสดิ์” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักลูกน้องอย่างอารมณ์ดี ทำเอาจางซื่อเยี่ยนงุนงงไปชั่วครู่ ปกติผู้เป็นเจ้านายไม่เคยเอ่ยทักเขาแบบนี้มาก่อน ร่างบางยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจ ของผู้เป็นลูกน้อง
   “ผมเห็นคุณยังไม่ลงไป ก็เลย..”
   เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นตัดบท เขาเบื่อบทสนทนาเหมือนตั้งโปรแกรมของชายคนนี้
   “เดี๋ยวฉันจะลงไป บอกให้อาจูเตรียมอาหารเผื่ออีกที่หนึ่งด้วย ฉันจะทานข้าวกับแขก”
   แม้จะมีสีหน้าแปลกใจเพิ่มขึ้น แต่จางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยปากถามต่อ เขารับคำสั่งแล้วจากไปอย่างเงียบๆ เช่นเคย เว่ยเฟิงปิงปิดประตู ก่อนจะหันมาและพบว่าคนร่วมห้องตื่นนอนแล้ว
   “เอ้อ...อรุณสวัสดิ์” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแบบงงๆ เมื่อคืนเขาถูกพาตัวมา แล้วดูเหมือนว่าจะร้องไห้จนเผลอหลับไป ฟ่งยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานะแบบไหนกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มให้ฟ่ง รอยยิ้มนั้นดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับที่ผ่านๆ มา นั่นทำให้ฟ่งยิ้มตอบไปโดยอัตโนมัติ
   “ฉันอยากให้นายไปทานข้าวกับฉันเช้านี้”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้เขายังระบุสถานะตัวเองไม่ได้อยู่ดี แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีมาก
   “แล้วก็อีกอย่าง” เว่ยเฟิงปิงกล่าวและเดินเข้ามาใกล้ “ฉันจะยอมให้นายเดินเล่นในตึกนี้ได้อย่างอิสระ แต่สัญญากับฉันได้หรือเปล่าว่านายจะไม่หนี เย็นนี้ฉันอยากเจอนายอีก ฉันยังมีอีกหลายๆเรื่องอยากจะเล่า สัญญากับฉันได้ไหม?”
   นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาอย่างคาดคั้นนั้นทำให้ฟ่งต้องพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้า
   “เดี๋ยวก่อน คุณจะไปทั้งวันเลยหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม ขณะที่อีกฝ่ายหยิบสูทออกมาจากตู้
   “ก็ราวๆ นั้น ความจริงฉันก็อยู่ในตึกนี้แหละ แต่จะพานายไปด้วยมันก็คงไม่เป็นผลดีกับนายสักเท่าไร หรือนายอยากได้อะไรเพิ่ม?”
   “เปล่า ผมแค่อยากได้เพื่อนคุย”
   “อ้อ ถ้าแบบนั้นล่ะก็ ฉันจะหาคนมาให้ นายอยากคุยกับใครล่ะ?”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่างมันเถอะ” ฟ่งพูดและยิ้มแห้งๆ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะคุยกับใคร แล้วจะคุยเรื่องอะไร เว่ยเฟิงปิงแขวนสูทไว้บทราวแขวนเสื้อข้างเตียง ก่อนจะหันมาพูดต่อ
   “นายจะอาบน้ำที่ห้องนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะให้คนเตรียมชุดไว้ให้”
   “อ่ะ ขอบคุณ” คนนั่งอยู่บนเตียงตอบรับ ขณะที่เว่ยเฟิงปิงโยนผ้าเช็ดตัวสีขาวมาให้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาอาจจะทำอะไรๆ ได้มากขึ้นมาหน่อยแล้ว
-------------------------------
   “ฉันอยากให้แกไปพบหยุนหมิง”
   คำพูดของโจวยี่เมื่อวานนี้เล่นเอาจิตใจของรูฟัสหนักอึ้งขึ้นมาทันที หยุนหมิง เด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าเมื่อหกปีก่อน ตอนนี้คงอายุได้ซักยี่สิบสี่ยี่สิบห้าแล้ว
   รูฟัสกำลังเดินอยู่ในย่านการค้าย่านหนึ่งในเกาะฮ่องกง เขาตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าร้านขายเสื้อสำหรับบุรุษร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากยุโรป
   หยุนหมิงเคยเป็นเด็กแจกไพ่ในบ่อนของโจวยี่ ในสายตาของรูฟัสแล้ว ฝีมือแจกไพ่ของหยุนหมิงไม่ได้ดีเลิศอะไร ตอนนั้นเขายังนึกสงสัยว่าโจวยี่รับเด็กแบบนี้เข้ามาทำงานได้อย่างไร
   รูฟัสตัดสินใจหยิบสูทสียีนส์กับเสื้อยืดสีขาว และกางเกงยีนส์สีดำ ออกมาจากราวแขวน เขากับหยุนหมิงไม่ได้พบกันมาหกปีแล้ว รูฟัสอยากให้การพบกันครั้งนี้ดูไม่อึดอัดเกินไปนัก
   ชายหนุ่มเลือกบัตรเครดิตจากกระเป๋าสตางค์ออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะส่งให้กับพนักงานเพื่อชำระค่าเสื้อผ้า
   โจวยี่เล่าว่าตอนนี้เด็กคนนั้นทำงานเป็นพนักงานอยู่ในบริษัทส่งออกบริษัทหนึ่ง รูฟัสนึกดีใจอยู่บ้างที่อย่างน้อยหยุนหมิงก็ไม่ได้เข้ามาคลุกคลีในเส้นทางสายมืดอย่างเต็มตัว
   ชายหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากร้าน พลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด รูฟัสตัดสินใจเดินในย่านนั้นต่อเพื่อซื้อของฝากบางอย่าง
   เขากับหยุนหมิงเจอกันครั้งแรกในตอนไปหาโจวยี่ที่บ่อน วันนั้นหยุนหมิงเป็นคนแจกไพ่พอดี แน่นอนว่าบ่อนของโจวยี่ต้องจ่ายให้รูฟัสหลายแสน หลังจากผ่านไปห้าเกม
   ตอนนั้นรูฟัสนึกขบขันโจวยี่อยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ ก็จ้างเด็กไม่รู้ประสีประสาแบบนี้มาเป็นคนแจกไพ่ เขาเลยอาสาที่จะสอนเรื่องไพ่ให้หยุนหมิง โดยที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนเช่นกันว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จะเลยเถิด และก็ไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่าความสัมพันธ์ของหยุนหมิงและโจวยี่เป็นอย่างไร
   ในที่สุดรูฟัสก็ซื้อเข็มกลัดเน็คไทที่ทำด้วยเงินจากร้านขายสูทร้านหนึ่ง ก่อนจะโบกรถให้พากลับไปส่งยังที่พัก
   เรื่องมันเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง ในขณะที่รูฟัสกำลังหนีการตามล่าของคนจากเวอร์สัน เนื่องจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการลงกลอนปิดเซฟเก็บเอกสารลับทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น
   เขาวิ่งโร่จากชั้นยี่สิบสามลงมาถึงชั้นสิบเอ็ด รูฟัสรู้ว่าส่วนล่างของตึกนี้เป็นโรงแรม และเขารู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าประตูห้องห้องหนึ่งเปิดแง้มอยู่ จึงพุ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล ก่อนที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่อยู่ภายในคือหยุนหมิง และดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะตกใจไม่แพ้กัน ขณะที่กำลังงุนงงกันอยู่นั้นเอง เสียงไล่เคาะประตูก็ดังขึ้น
   รูฟัสในตอนนั้นทั้งหอบและเหงื่อแตก ขืนถูกพบในสภาพนี้ มีหวังพวกนั้นรู้แน่ว่าเขาคือคนที่แอบย่องขึ้นไปขโมยเอกสาร รูฟัสหันไปมองหยุนหมิงซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขาสั้น แล้วความคิดแวบหนึ่งก็แล่นเข้ามาสู่สมอง
   แม้ตอนหลังเขาจะกลับมาคิดว่านั่นเป็นแผนการที่บ้ามาก แต่ตอนนั้นมันก็เป็นเพียงทางเลือกเดียวที่เขานึกออก
   รูฟัสขอร้องให้หยุนหมิงถอดกางเกงชั้นนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง โดยเอาผ้าห่มคลุมด้านบนไว้ เพราะเรียวขาของหยุนหมิงเรียวได้รูปคล้ายขาของผู้หญิง รูฟัสหวังว่ามันจะตบตาพวกที่กำลังไล่เคาะประตูอยู่ได้บ้าง ส่วนตัวเขาเองก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดโยนไปแอบไว้หลังโซฟา ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่มานุ่งปิดด้านล่างอย่างลวกๆ หลังจากที่กะองศาการมองจากประตูห้องกับขาของหยุนหมิง และปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังอยู่พักหนึ่งแล้ว รูฟัสก็กระชากประตูให้เปิดออกเหมือนว่ากำลังอารมณ์เสีย และตะคอกภาษารัสเซียใส่หน้าของผู้ที่มาเคาะประตู ในสภาพแบบนั้นไม่มีใครกล้าคิดแน่ว่าเขาคือคนคนเดียวกับที่เพิ่งวิ่งลงมาจากชั้นยี่สิบสาม ในที่สุด แผนการบ้าๆ ของเขาก็หลอกคนพวกนั้นได้สำเร็จ
   รูฟัสปิดประตูใส่กลอนทันที ก่อนจะหันกลับมา เขาคิดว่าเขาควรจะขอโทษหยุนหมิงที่ให้ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ แต่สิ่งที่เขาพบคือเรือนร่างขาวสะอาดที่เดินเข้ามาโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปิดท่อนล่าง  รูฟัสจำไม่ได้ว่าเขาสั่งให้หยุนหมิงถอดท่อนบนด้วยหรือเปล่า ในตอนนั้นเขารู้เพียงว่าเรือนร่างขาวเนียนไร้ตำหนินั้นทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
   หยุนหมิงเดินเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
   “คุณทำให้ผมมีอารมณ์ รู้หรือเปล่า”
   เสียงนั้นกระซิบเบาๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ที่ได้ยินสนองตอบ

   รูฟัสกลับมาถึงห้องพัก เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาจากถุง หยิบมีดพกขนาดเล็กออกมาจากลิ้นชักและใช้มันตัดป้ายราคาออกอย่างใจเย็น
   เขากำลังนึกย้อนกลับไปในอดีต รูฟัสเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าหากย้อนเวลากลับไป เขาจะยังทำแบบนั้นอยู่หรือเปล่า คำตอบคืออาจจะ
   นั่นเพราะหยุนหมิงยั่วยวนเกินไป และที่สำคัญ เขาไม่รู้มาก่อนว่าหยุนหมิงมีความสัมพันธ์อะไรกับเพื่อนของเขาจนกระทั่งเช้าวันต่อมา
   เสียงเคาะประตูปลุกเขาให้ตื่นขึ้นในตอนเช้า รูฟัสยันตัวลุกขึ้น ก้มลงมองร่างบางที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ ช้อนร่างนั้นวางบนเตียง แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว
   เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อเนื่อง ในตอนนั้นสีหน้าของหยุนหมิงดูตื่นตกใจจนผิดสังเกต เขาขอร้องให้รูฟัสไปหาที่ซ่อน ในตอนนั้นรูฟัสยังคงเข้าใจว่าหยุนหมิงเป็นห่วงเรื่องของเขาเมื่อวาน  เขาจึงปลอบอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโดยไม่ได้ฟังเสียงขอร้อง และพบว่าผู้ที่มาเคาะคือโจวยี่
   รูฟัสยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นหน้าเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าราวกับถูกผีหลอก
   ร่างสูงผลักประตูเข้ามาก่อนจะคว้าคอเสื้อเขาและผลักจนเซไปชนผนังห้อง การกระทำนั้นผิดคาดจนรูฟัสไม่ทันตั้งตัว
   “แกทำอะไรหยุนหมิง!?” โจวยี่กระชากเสียงถามอย่างโกรธเกรี้ยว รูฟัสพยายามจะตอบ แต่ท่อนแขนที่ดันเข้ามาจนทับหลอดลมทำให้เขาพูดไม่ออก
   “อย่านะครับคุณโจว!” เสียงของหยุนหมิงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะวิ่งเข้ามาพยายามจะผลักโจวยี่ออก ในตอนนั้นรูฟัสเริ่มหูอื้อ เขาไม่ได้ยินว่าสองคนนั้นเถียงอะไรกันบ้าง าทำได้เพียงออกแรงงัดท่อนแขนที่ดันเข้ามานั้นออก ในที่สุดเขาก็ผลักมันให้พ้นจากคอหอยไปได้ก่อนจะขาดอากาศตาย
   “เป็นบ้าอะไรของแกว่ะ!” เขาตะโกนใส่เพื่อนด้วยความโมโห หลังจากไอและหอบอยู่พักหนึ่ง โจวยี่เองก็มองมาทางเขาด้วยความโกรธไม่แพ้กัน ทั้งคู่ยืนจ้องกันโดยมีหยุนหมิงขวางกลาง
   หยุนหมิงเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่ ในที่สุดโจวยี่ก็ยอมกลับออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
   รูฟัสพยายามจะถามเหตุผลกับหยุนหมิง แต่สิ่งที่เขาได้รับตอนนั้นคือคำขอโทษ
   อีกสามวันต่อมา โจวยี่มาหาเข้าที่ห้องพัก ในตอนนั้นเองที่รูฟัสได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
   โจวยี่และหยุนหมิงกำลังคบกันอยู่
   นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหยุนหมิงถึงได้มาทำงานที่บ่อน
   หลังจากนั้นมาเขาก็ไม่ได้พบกับหยุนหมิงอีกเลย

   รูฟัสโยนป้ายราคาที่ตัดเสร็จลงถังขยะ ก่อนจะจัดเสื้อใส่ไม้แขวน เขายังไม่อยากที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้ ยังเหลือเวลาอีกสองชั่วโมง
   เขาควรจะไปพบหยุนหมิงด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ
----------------------------------
   ฟ่งไม่รู้ว่าสมควรจะโมโหเว่ยเฟิงปิงดีหรือเปล่า ตอนนี้เขาอยู่ในชุดแพรยาวแบบจีนสีแดงเถือกปักลายรูปดอกไม้สีทองที่แสนจะเด่นสะดุดตา ฟ่งกล้าพนันว่าต่อให้เขายืนอยู่ท่ามกลางคนนับร้อย ทุกคนก็ยังมองเห็นเขาได้คนแรกอยู่ดี นี่เป็นเสื้อผ้าที่เว่ยเฟิงปิงสั่งคนให้เอามาให้เปลี่ยน
   “ดูเข้ากับนายอย่างที่ฉันคิดไว้เลยทีเดียว”   นั่นเป็นคำแรกที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักเมื่อเขาถูกพามาจนถึงห้องรับประทานอาหาร ซึ่งอยู่ถัดลงไปอีกสองชั้น
   เว่ยเฟิงปิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารทรงกลมฉลุลวดลายแบบจีน โต๊ะนั้นกว้างพอที่จะให้คนมานั่งทานอาหารร่วมกันได้ถึงแปดคน แต่กลับมีเก้าอี้อยู่เพียงสองตัว
   “นั่งสิ” ฝ่ายเจ้าภาพออกปากเชิญ ฟ่งเดินเข้าไปอย่างเก้ๆ กังๆ เด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาส่งเขาค้อมตัวก่อนจะถอยออกไป
   “อ้าว แล้วพวกนั้นไม่มากินด้วยกันเหรอ”   ฟ่งพูดอย่างแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงส่ายหน้า
   “ไม่หรอก พวกเขามีโต๊ะอาหารแยกออกไปต่างหาก โต๊ะนี้มีแค่นายกับฉัน”
   “แล้วคนนั้นล่ะ?”หนุ่มสวมแว่นหันหน้าไปทางจางซื่อเยี่ยน ซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง เว่ยเฟิงปิงยิ้มเล็กน้อย
   “หมอนี่ไม่ทานกับฉันหรอก”
   “ทำไมล่ะ?” ฟ่งยังคงสงสัย เว่ยเฟิงปิงไม่ทันอ้าปาก อีกเสียงก็ช่วยตอบขึ้นแทน
   “นี่เป็นโต๊ะอาหารของคุณชายและแขก พวกผมไม่มีสิทธิ์ไปนั่งหรอกครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวเรียบๆ คนได้ฟังเลิกคิ้วด้วยความพิศวง
   “งั้นปกติคุณทานข้าวคนเดียวอย่างนั้นสิ?”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า ด้วยสีหน้าชินชาอย่างที่สุด ฟ่งมองดูบรรดากับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วนึกอยากจะเรียกคนแถวๆ นี้เข้ามาช่วยกินให้หมด
   “เอ่อ...ให้คนอื่นมานั่งทานด้วยไม่ได้หรือครับ” ฟ่งลองถามอีกครั้ง คราวนี้เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาเล็กน้อย “นายก็ลองถามดูสิ ว่ามีใครอยากจะมาทานหรือเปล่า”
   ฟ่งหันไปทางจางซื่อเยี่ยน
   “คุณ..จะไม่มาทานด้วยกันหรือครับ?” เขาพยายามเอ่ยปากชวน อย่างน้อยชายคนก็เคยนั่งทานข้าวเป็นเพื่อนเขามาแล้วในตอนที่เขาถูกขังอยู่ในห้อง
   “ไม่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบสั้นๆ
   ฟ่งทำหน้าน่าสงสาร นัยน์ตาสีฟ้านั้นเหลือบมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากสั่งลูกน้อง
   “ซื่อเยี่ยน วันนี้ฉันอนุญาตให้นายไปทานข้าวก่อน”
   “แต่ว่า..”
   “ถ้านายไม่ต้องการจะทานข้าวร่วมกันฉัน นายก็ควรจะออกไปเสีย”
   เว่ยเฟิงปิงพูดตัดบทอย่างเย็นชาเช่นเคย จางซื่อเยี่ยนจึงจำต้องถอยออกไป ในที่สุดทั้งห้องก็เหลือแค่เว่ยเฟิงปิงและฟ่งเพียงแค่สองคน
   “ใจร้ายจัง” ฟ่งพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็ต้องรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังมองมาอยู่
   “ผมไม่ได้หมายถึงคุณนะครับ ผมหมายถึงคนนั้น คุณซื่อเยี่ยน ทำไมเขาถึงไม่ยอมมาทานข้าวกับคุณล่ะ ทั้งๆ ที่เขาเป็นลูกน้องของคุณแท้ๆ”
   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากกลืนอาหารในปากหมดแล้ว เขาจึงเริ่มพูด
   “ก็เพราะว่าฉันเป็นเจ้านายน่ะสิ”
   “เอ้อ..แต่ก่อนหน้านี้เขายังเคยไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมเลยนะ”
   เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ฟ่งเลยรีบพูดต่อ “ก็แค่ทานเป็นเพื่อนในห้องน่ะครับ”
   “งั้นหรือ หมอนั่นก็ทำอะไรแปลกๆ แบบนั้นเป็นด้วยหรือ”
   ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มแค่นขืน เป็นรอยยิ้มที่ฟ่งไม่ชอบเอาเสียเลย เขาจึงตัดสินใจที่จะทานอาหารต่อ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก
---------------------------------
   “นี่.. ซื่อเยี่ยน”
จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็เรียกชื่อลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่กำลังหยิบแฟ้มรายงานขึ้นมาวางชะงักไปนิดหนึ่ง
   “ได้ข่าวว่านายไปทานข้าวเป็นเพื่อนกับแขกของฉันหรือ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะทำงาน เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวสืบต่อ
   “วันนี้นายไม่ต้องมาเฝ้าฉันทั้งวันก็ได้นะ เพราะฉันไม่ได้ออกไปไหน นายไปอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฟ่ง ฉันอนุญาตให้เขาเดินเล่นในตึกได้ นายคงรู้นะว่าเดินได้ส่วนไหนบ้าง”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนผงกศีรษะ แม้จะรู้สึกแปลกใจกับคำสั่งอยู่บ้าง แต่วันนี้เจ้านายของเขาดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าปกติจนแทบจะเป็นคนละคน เขาไม่อยากจะขัดใจเว่ยเฟิงปิงตอนนี้  ร่างสูงจัดแฟ้มเสร็จแล้วจึงออกไปตามคำสั่ง
   เว่ยเฟิงปิงหยิบแฟ้มงานที่วางอยู่ขึ้นมาดู ก่อนจะหมุนเก้าอี้ หันไปยังส่วนของตู้โชว์ที่ถูกตกแต่งตรงกลางเป็นกรอบขนาดใหญ่คล้ายกรอบรูป ซึ่งสามารถมองทะลุออกไปด้านนอกได้
   ทำไมจึงมีแต่เขาที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงคนเดียว
-----------------------
   โจวยี่ขับรถมารับตรงตามเวลานัด รูฟัสกระโดดขึ้นรถสปอร์ทคาดิแลคสีแดงคันใหญ่ที่แล่นเข้ามาในลานจอดรถ
   “จะพยายามหล่อไปไหนครับท่าน” โจวยี่เอ่ยทักทันทีที่รูฟัสรัดเข็มขัดนิภัยเสร็จ
   “ผมพกเสื้อผ้ามาชุดเดียวครับท่าน เลยต้องซื้อใหม่ นายคงไม่อยากให้ฉันใส่เสื้อผ้าข้ามวันข้ามคืนไปพบหยุนหมิงหรอก จริงไหม?”
   “เหอะ! รีบจนไม่มีเวลาจัดกระเป๋าเลยเรอะ โถ...พ่อหนุ่มคาสโนวา”   โจวยี่ลากเสียงอย่างยียวน ก่อนจะหักพวงมาลัยนำรถสปอร์ตสีแดงแล่นออกจากลานจอด รูฟัสเหลือบมองโจวยี่มัดผมด้านหลังมาอย่างเรียบร้อยอย่างที่ไม่ค่อยทำนัก ชุดเชิ้ตสีน้ำเงินปักลายเล็กรูปนกตัวเล็กๆ ที่สวมอยู่ก็ดูรับกับสูทลำลองสีดำตัวนั้นดี โดยปกติโจวยี่ไม่นิยมจะใส่เสื้อผ้าสไตล์ยุโรปพวกนี้เท่าไร
   นายนั่นแหละที่พยายามจะหล่อ
   รูฟัสนึกในใจ พลางเอ่ยปากถามต่อ “ทำไมพารถสปอร์ทมาล่ะ?”
   “ฉันอยากเห็นแกไปนั่งตัวลีบด้านหลัง ตอนที่ฉันรับหยุนหมิงขึ้นรถแล้วว่ะ”
   “ความคิดโคตรเจริญเลย เอาเถอะ ถ้าฉันได้นั่งเบียดในรถโคตรแพงแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มล่ะ”
   โจวยี่แค่นหัวเราะ “แกอย่ามาประชดฉันน่า ฉันรู้ว่าแพงกว่านี้แกก็ซื้อได้”
   “เออ แต่ไม่มีเวลาจะใช้ไง”
   “นั่นแหละ ประเด็น!” หนุ่มวัยสามสิบยกมือขึ้นตบฉาด นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกเสียววาบไปแล้ว แต่รูฟัสรู้ดีว่าเขาสมควรกระโดดลงจากรถเวลาไหน
   “ฉันถึงได้รู้สึกภูมิใจนักว่าใช้ชีวิตแบบฉัน มันดีกว่าใช้ชีวิตแบบแก”   โจวยี่พูดต่อ รูฟัสนึกดีใจที่เพื่อนไม่ยกมือขึ้นจากพวงมาลัยอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กระโดดลงจากรถแน่ๆ
   “จ้า พ่อคนเก่ง หวังว่าแกคงใช้เงินได้หมดก่อนที่ฉันจะแวะมาผลาญบ่อนแกนะ”
   “แกนี่มันตัวเสื่อมชัดๆ เลย” โจวยี่สบถ ก่อนจะหักเลี้ยวและเบรกอย่างแรง รูฟัสนึกขอบคุณพระเจ้าที่เขารอดปลอดภัยในการนั่งรถครั้งนี้
   “ที่นี่ล่ะ”   ร่างสูงกล่าวขณะเปิดประตูรถออก รูฟัสขมวดคิ้วอย่างงุนงง
   “นี่มันสวนสาธารณะนี่”
   “เออ นั่นแหละ ลงมาได้แล้ว” คนถูกถามพูดอย่างรำคาญ รูฟัสลงจากรถ ก่อนจะมองไปรอบๆ อีกครั้ง
“ฉันคิดว่านายจะไปรับหยุนหมิงที่ที่ทำงานเสียอีก”
   “หยุนหมิงไม่อยากให้ฉันไปที่นั่น เห็นว่ากลัวจะสะดุดตา”
   รูฟัสเหลือบไปมองรถคาดิแลคของเพื่อนและนึกเห็นด้วยทันที โจวยี่ก้าวพรวดๆ เข้าไปอย่างรวดเร็วตามแบบของเขา รูฟัสตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างเอาไว้สักช่วงใหญ่ๆ เขาไม่อยากที่จะเข้าไปพบหยุนหมิงพร้อมกับโจวยี่
   “อ๊ะ คุณโจว สวัสดีครับ” ผู้ที่ยืนคอยอยู่ตรงจุดนัดพบเอ่ยทักอย่างสุภาพ เมื่อเห็นชายหนุ่มผมยาวเดินมาใกล้
   “สวัสดี ดีใจจริงๆ ที่เธอยอมมา” โจวยี่เอ่ยและยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกดีใจเปี่ยมล้น ร่างผอมบางกว่ายิ้มเจื่อนๆ
   “อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ”
   โจวยี่ยกมือขึ้น ทำท่าเหมือนจะสัมผัสใบหน้าขาวเรียวนั้น แต่แล้วก็เปลี่ยนใจชักมือกลับ
   “ดูซิว่าฉันพาใครมาด้วย”   ร่างสูงกล่าว จับจ้องใบหน้าน้อยๆ ตรงหน้าด้วยคาดหวังสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แต่กลับได้สีหน้างุนงงเป็นการตอบแทน โจวยี่จึงเหลียวกลับไปมองด้านหลังของตน และพบกับความว่างเปล่า
   “หายไปไหนว่ะ”   บุรุษวัยสามสิบพึมพำอย่างโมโห เขาแน่ใจว่ารูฟัสเดินตามมาแน่นอน แต่เจ้าบ้านั่นดันหายไปในจังหวะสำคัญเสียได้ ขณะที่กำลังนึกแช่งชักหักกระดูกเพื่อนเก่า เสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้นข้างหู
   “อยู่นี่” รูฟัสพูดพลางยกแขนค้ำไหล่ของโจวยี่เอาไว้ คนถูกค้ำถลึงตาใส่และยันตัวออกด้วยความรังเกียจ
   “ยี๋~ ใครใช้ให้แกเอามือโสโครกมาค้ำฉันว่ะ! แล้วนี่หายหัวไปไหนมา?” หนุ่มผมยาวเปิดฉากต่อว่าต่อขานเพื่อนเก่าทันทีที่ตั้งตัวได้ รูฟัสย่นจมูก
   “ก็ใครใช้ให้แกเดินจ้ำเอาๆ กันล่ะ”
   โจวยี่ถลึงตามองรูฟัสอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะที่อีกฝ่ายก็ทำท่าทางยียวนกวนประสาทพอกัน ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังทำท่าจะกัดกันกลางสวนสาธารณะ เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
   “คะ..คุณรูฟัส?”
เสียงนั้นพูดตะกุกตะกัก รูฟัสรูสึกใจหายวาบ เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานถึงหกปี ร่างสูงเบือนหน้าไปมองช้าๆ
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเน็คไทน์เรียบร้อยคนหนึ่งยืนจ้องเขาอยู่
   ผู้ชายคนนี้แทบจะแตกต่างจากเด็กหนุ่มที่เขารู้จักเมื่อหกปีก่อนอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขาเห็นคือชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ที่สูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบกว่า ร่ายกายที่เคยอ้อนแอ้นผอมบาง มีมัดกล้ามเนื้ออยู่ในสัดส่วนสมกับวัย ผิวที่เคยละเอียดขาวนั้นเกรียมแดดเล็กน้อย ผมที่เคยยาวสลวยประบ่าตอนนี้ตัดสั้นเป็นระเบียบ ไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอย่างเมื่อหกปีก่อนเลย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปคือดวงตาคู่นั้น สายตาของหยุนหมิงที่มองมายังเขายังคงเป็นแบบเดิมไม่มีผิด
   “เป็นคุณจริงๆ ?” ชายหนุ่มถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ แต่ยังคงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ
   “สวัสดีหยุนหมิง”
   หยุนหมิงคลี่ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นก็ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหกปีก่อนเช่นกัน
   “ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอคุณแล้วเสียอีก” พูดจบก็ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ชิดใกล้ ใบหน้าที่เป็นเหมือนความฝัน รูฟัสรู้สึกถึงความกระด้างของมือที่มาสัมผัสหน้า
   เวลาหกปีเปลี่ยนเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปมากมายขนาดนี้?
   ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รูฟัสจะมีโอกาสได้กลับมาเจอคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ด้วยอาชีพที่เขาทำอยู่ รูฟัสไม่เคยสนใจอดีต ไม่เคยสนใจว่าคนที่เขาเคยพบเคยมีสัมพันธ์ด้วย หรือเคยก่อความเดือดร้อนจะมีชีวิตต่อไปในรูปแบบใด การได้พบกับหยุนหมิงในครั้งนี้จึงสร้างความสะเทือนใจให้เขาพอสมควร
   ร่างสูงยกมือขึ้นกุมมือน้อยนั้น ถึงตอนนี้โจวยี่ได้แต่เบือนหน้าหนี เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทนยืนอยู่ตรงนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก่อนที่เขาจะทนไม่ได้ สู้ชิงตัดบทไปเลยดีกว่า
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:52:25
“อ่ะแฮ่ม” เสียงกระแอมทำเอาทั้งหยุนหมิงและรูฟัสสะดุ้ง หยุนหมิงรีบดึงมือออก และกล่าวขอโทษในทันที  โจวยี่ขมวดคิ้วแล้วส่งเสียงห้ามไว้
   “คือ ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่พอดีฉันมีธุระด่วนต้องรีบไปทำแล้ว”
   “เอ๋?” คนได้ฟังสองคนอุทานพร้อมกัน
   “ไหนว่าจะไปทานข้าวด้วยกันไงครับคุณโจว” หยุนหมิงท้วง โจวยี่คลี่ยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับรูฟัสที่เดินปราดๆ เข้ามา
   “หมายความว่ายังไงว่ะ?” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงลอดไรฟัน  โจวยี่หันมายิ้มให้หยุนหมิงอีกครั้ง ก่อนจะลากตัวรูฟัสออกไป
   “หมายความอย่างที่ว่า ฉันจะไปทำธุระ ส่วนแก! พาหยุนหมิงไปเที่ยว เข้าใจไหม?”
   “เดี๋ยวสิ นี่มันผิดกับที่ตกลงไว้ตอนแรกนี่ ไหนแกว่าจะไปด้วยกัน” รูฟัสค้านทันที โจวยี่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบกุญแจรถออกมา
   “ก็พอดีฉันเกิดติดธุระด่วนพันล้าน นี่แกไม่เข้าใจหรือไง เกิดบ่อนฉันเจ๊งขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” หนุ่มวัยสามสิบพูดเร็วปรื๋อ พลางยัดกุญแจรถใส่มือของอีกฝ่าย
   “แกพาหยุนหมิงไปเที่ยว หยุนหมิงไม่เชื่อว่าฉันกับแกคืนดีกันแล้ว เพราะฉะนั้น แกก็รีบไปทำให้เชื่อเสีย”
   “ทำไมแกไม่ไปด้วยกัน?” รูฟัสยังคงยืนกรานคำถามเดิม ขณะพยายามจะยัดกุญแจรถคืนให้เพื่อนเก่า
   “ก็บอกว่าฉันติดธุระไง!” เสียงของโจวยี่เริ่มฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มือใหญ่ยัดเยียดกุญแจรถลงมาจนได้ รูฟัสส่งเสียงงืมงำในลำคอ เขาพอที่จะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้ว
   “แล้วแกจะกลับยังไง?” คนถือกุญแจถามซ้ำอีก โจวยี่ยักไหล่
   “เดี๋ยวฉันโทรให้คนมารับ แกไม่ต้องกังวลอะไรมาก ถือเสียว่ามาเป็นลูกน้องฉันสักวันแล้วกัน ทำตามที่ฉันสั่งหน่อย”
   “ไอ้บ้า ใครว่าฉันเป็นลูกน้องแกว่ะ!” รูฟัสโวยวาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ยกมือจับไหล่เพื่อนเอาไว้ “ขอโทษนะ”
   โจวยี่ขมวดคิ้วทันที “นี่แกอย่าสะเหร่อขอโทษก่อนที่จะทำได้ไหมว่ะ แบบนี้ก็เท่ากับเจ๊งตั้งแต่ในมุ้งแล้วสิ ไปจัดการให้หยุนหมิงเชื่อก่อน ถ้าไม่ได้แล้วค่อยมาขอโทษฉัน”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ แล้วก็ต้องผงะ เมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้
   “ตะกี้ฉันพูดเล่น ถ้าทำไม่ได้ แกตาย!”
   พูดจบก็ก้าวฉับๆ ออกไปเหมือนตอนมา รูฟัสได้แต่แค่นหัวเราะกับตัวเอง
----------------------------------------------------------------
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ผมทำให้คุณยุ่งยากอีกแล้ว” หยุนหมิงพูด ขณะที่คนทั้งคู่เดินมาถึงรถ รูฟัสยิ้มบางๆ และสั่นศีรษะ
   “อย่าพูดแบบนั้นเลย ขึ้นรถสิ” เขาพูด พร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถให้ แต่อีกฝ่ายกลับถอยห่างออกไป
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้”
   รูฟัสขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ
“ฉันทำให้เธอลำบากใจหรือเปล่า หยุนหมิง ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า”
   อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า
   “ถ้าไม่มี ทำไมเธอไม่ไปกับฉัน”
   “ผม..”
   “พี่ยี่ทิ้งรถไว้กับฉัน อยากให้พาเธอไปเที่ยว ถ้าเธอเกรงใจเขาล่ะก็ควรจะไปกับฉัน”
   “ขอโทษครับ” หยุนหมิงพูดเบาๆ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย รูฟัสปิดประตู ก่อนจะเดินมาขึ้นด้านคนขับ
   “แล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษบ่อยขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดขอโทษ”
   “ครับ” หยุนหมิงรับคำเรียบๆ ก่อนที่รถจะออกตัวไป
บรรยากาศในรถเงียบสนิท จนรูฟัสรู้สึกว่าคำพูดของเขาอาจจะดูมึนตึงเกินไปหรือเปล่า เขาเหลือบตาไปมองคนนั่งข้างซึ่งยังคงก้มหน้านิ่ง
   “เมื่อกี้ฉันอาจจะพูดไม่ค่อยดีไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ”
   หยุนหมิงสะดุ้ง เบือนหน้าหันมามองเขาและรีบพูดตอบทันที “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คุณไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษผมหรอก”
   รูฟัสพยักหน้า เบี่ยงพวงมาลัยหลบรถที่แล่นสวนเลนเข้ามา “อืม..เธออยากไปที่ไหนล่ะ?”
   หยุนหมิงนั่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงแล้วตอนนี้เขาไปที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีชายคนนี้อยู่ข้างๆ เขาก็มีความสุขแล้ว
   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ รูฟัสเลยลองเปลี่ยนเรื่องพูด
   “ได้ข่าวว่าตอนนี้เธอทำงานเป็นพนักงานบริษัท การงานไปได้สวยหรือเปล่า?”
   “ครับ คิดว่าเดือนหน้าอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดครับ”
   “ดีจัง เธออยากพาฉันไปดูที่ทำงานเธอหรือเปล่า?”
   “ถ้าคุณอยากเห็น ผมจะบอกทางให้แล้วกันครับ”
   แล้วรูฟัสก็พบว่าความทรงจำของเขาแย่ลง ไม่ก็ถนนในเกาะฮ่องกงเพิ่มมากขึ้น กว่าจะมาถึงตึกที่ทำงานก็เล่นเอาคนบอกทางเหนื่อย
   “เปลี่ยนเป็นให้ผมขับแทนไหมครับ?” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ รูฟัสส่ายหน้าทันที
   “ไม่ล่ะ ฉันอยากฟังเธอพูด”
   หยุนหมิงหัวเราะเบาๆ “ไปทีท่าเรือกันไหมครับ แถวนั้นพอมีร้านอาหารอร่อยๆ ราคาไม่แพงอยู่”
   “เอาสิ แต่บอกทางด้วยแล้วกัน” รูฟัสกล่าว พลางออกรถ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงท่าเรือในตอนเกือบพลบค่ำพอดี หยุนหมิงพารูฟัสเดินลัดเลาะไปตามทางเดิน แล้วขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก
   หยุนหมิงเลือกที่นั่งที่อยู่ติดหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของท่าเรือได้ ก่อนจะเรียกบริกรมาสั่งอาหาร
   “คุณดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ” ชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าเริ่มพูด ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นยังคงมองมาเหมือนเมื่อหกปีก่อน สายตาที่ทำให้รูฟัสเคลิบเคลิ้ม
   “แต่ผมคงเปลี่ยนไปมาก ถ้าคุณไม่มากับคุณโจว ก็คงจำผมไม่ได้สินะครับ”
   รูฟัสรีบสั่นศีรษะทันที “ไม่หรอก มีหลายอย่างในตัวเธอที่ไม่เปลี่ยน ฉันยังจำได้”
   หยุนหมิงหัวเราะ หนุ่มตาสองสีจึงยิ้มตอบ “ความจริงแล้วเธอยังเป็นหยุนหมิงคนเดิมเหมือนเมื่อหกปีก่อนที่ฉันรู้จัก ทั้งรอยยิ้ม เสียวหัวเราะ การพูดจา สายตาของเธอ ฉันไม่ลืมหรอก”
   “คุณกำลังพูดให้ผมเคลิ้มนะครับ” หยุนหมิงว่า รูฟัสจ้องหน้าเขาและระบายยิ้มอีกครา
   “เธอเป็นคนมีเสน่ห์นะ”
   อีกฝ่ายหัวเราะแหะๆ พร้อมกับโบกมือ “ทานข้าวเถอะครับ จะไปกันใหญ่แล้ว”
---------------------------------------------------   
   หลังจากทานข้าวเสร็จ หยุนหมิงเสนอให้ออกไปเดินย่อยอาหารกันด้านนอก ลมทะเลพัดพาเอาไอน้ำเค็มเข้ามาจนรูฟัสรู้สึกเหนียวตัว หยุนหมิงเดินอยู่ข้างๆ เขา ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย
   “ผมไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มาเดินเล่นแบบนี้กับคุณอีก”
   “ทำไมล่ะ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย หยุนหมิงยิ้มเศร้าๆ
   “เธอคิดว่าฉันจะไม่มาฮ่องกงอีกหรือไง?”
   “เปล่าหรอกครับ ผมกลัวว่าคุณจะเกลียดผมแล้ว”
   “แล้วตอนนี้ล่ะ เธอยังคิดแบบนั้นอยู่อีกหรือเปล่า?”
   “นั่นน่ะสิครับ คุณเกลียดผมหรือเปล่าน๊า”
   ร่างที่เดินอยู่ข้างๆ พูดเหมือนล้อเล่น แต่รูฟัสรู้ว่าหยุนหมิงรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เขาดึงร่างนั้นเข้ามาลูบหัวเบาๆ
   “ถ้าฉันเกลียดเธอ ฉันคงไม่พาเธอมาเดินเล่นแบบนี้หรอก”
   “ขอบคุณครับ แต่คุณกำลังทำผมเคลิ้มอีกแล้ว”
   รูฟัสยิ้มอย่างใจดี
   “ถ้าเธอไม่กลัวสายตาคนอื่น เธออยากจะพิงฉันไปแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
   “ใจดีจังนะครับ คุณก็เป็นเสียแบบนี้ ผมว่าต้องมีคนเคลิ้มกับคุณมาแล้วหลายคนแน่ๆ”
   รูฟัสหัวเราะด้วยความกระดาก ตัวเขาเองก็เริ่มเคลิ้มไปกับหยุนหมิงเหมือนกัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรหาเรื่องพูดใหม่
   “พี่ยี่บอกว่า เธอไม่เชื่อว่าฉันกับเขาคืนดีกันแล้ว จริงหรือ?”
   “คุณโจวพูดแบบนั้นหรือครับ?” น้ำเสียงของหยุนหมิงดูแปลกใจเล็กน้อย เขายังคงพิงศีรษะกับไหล่ของรูฟัส และรูฟัสก็พอใจที่เห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้น
   “อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่ผมหลบหน้าเขามาหกปีแล้วมั้งครับ”
   “เอ๋?” รูฟัสอุทานอย่างแปลกใจ หยุนหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ พูดขึ้น
   “หลังจากเรื่องวันนั้น ผมกลับไปหาคุณโจวเพื่ออธิบายเรื่องคุณ”
   “อ้อ”
   “แล้วผมก็ไม่กล้าไปพบหน้าเขาอีก คุณคงรู้แล้วนะครับว่าตอนนั้นผมกับเขากำลังคบกันอยู่”
   “อืม.. จะว่าไปแล้ว ความจริงเรื่องวันนั้นฉันก็มีส่วนผิดอยู่เยอะเหมือนกัน”
   “ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ” หยุนหมิงรีบพูด “ความจริงแล้วคุณโจวพยายามบอกผมหลายหนแล้วว่าเขาไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณ”
   “แล้วเธอไม่เชื่อเขาหรือ?”
   “เปล่าครับ ผมเชื่อเขา แต่ผมไม่กล้าไปพบหน้าเขาหรอกครับ”
   “เพราะอะไรล่ะ? เธอคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันกับพี่ยี่ทะเลาะกันหรือไง”
   “เรื่องนั้นก็มีส่วนครับ”
   ทั้งคู่เดินมาจนถึงปลายสุดของทางเดิน รูฟัสตัดสินใจชักชวนให้หยุนหมิงนั่งลงบนม้านั่งยาวบริเวณนั้น
   “เธอจะพิงฉันต่อก็ได้นะ”
   “เชิญชวนจังเลยนะครับ ไม่กลัวผมเมื่อยคอหรือ” หยุนหมิงพูดเย้าและหัวเราะเบาๆ “ผมล้อเล่นนะครับ ผมรอให้คุณอนุญาตอยู่”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบศีรษะที่พิงมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
   “ความจริงแล้วเธอไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องนั้นก็ได้ ฉันกับพี่ยี่ทะเลาะกันเพราะความเข้าใจผิด แล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ”
   “ไม่ใช่หรอกครับ” หยุนหมิงพูดค้านขึ้นอีกครั้ง รูฟัสนิ่วหน้า
   “ทำไมเธอถึงยืนยันแบบนั้น เธอพยายามปกป้องฉันเกินไปหรือเปล่า”
   “เปล่าหรอกครับ ที่ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณโจว เพราะผมทรยศต่อความรักที่เขามีให้ผมต่างหากล่ะครับ”
   รูฟัสรวบร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้เข้ามาแนบชิดกันมากขึ้น
   “ฉันบอกเธอแล้วว่าเรื่องนั้นฉันมีส่วนผิดด้วย ฉันเป็นคนกระตุ้นเธอ และฉันก็อดใจกับเธอไม่ไหว”
   “นั่นเพราะคุณไม่รู้เรื่องของผมกับคุณโจวนี่ครับ ถ้าคุณรู้คุณคง....”
   “ถึงฉันจะไม่รู้ แต่วันนั้นมันเหตุบังเอิญที่เธอไปอยู่ที่นั่น ถ้าให้ฉันย้อนเวลากลับไปที่เดิม ฉันก็พูดได้ว่าฉันคงทำแบบเดิมอีก ตอนนั้นฉันยั้งใจไม่ได้หรอก”
   “คุณทำให้ผมเคลิ้มอีกแล้ว แต่ว่า เรื่องนี้เท่านั้นที่ผมจะต้องบอกคุณด้วยตัวเอง”
   “หยุนหมิง..”
   ร่างที่ครั้งหนึ่งเคยอ้อนแอ้นผอมบางสั่นสะท้านเล็กน้อย
   “ผมขออะไรอย่างหนึ่งก่อนพูดได้ไหมครับ”
   “ว่ามาสิ”
   นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นพริ้มลงครู่หนึ่ง
   “ขอให้ผมได้อยู่ใกล้ๆ คุณแบบนี้ไปจนผมพูดจบ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกโกรธหรือเกลียดผมระหว่างนี้ ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ คุณไปแบบนี้ได้ไหมครับ?”
   “ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะเกลียดเธอล่ะ?” รูฟัสถาม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ
   “ผมขอแค่นี้ ได้ไหมครับ”
   “อืม” รูฟัสรับคำ ก่อนนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่า
   “วันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผมไปอยู่ในห้องนั้นหรอกครับ”
   “?”
   “คุณคงรู้สึกแปลกใจสินะครับ ที่จู่ๆ ก็มีประตูบานหนึ่งเปิดแง้มอยู่  วันนั้นผมรู้ว่าคุณจะไปที่นั่น ผมขอให้คุณโจวพาไปเองแหละครับ ผมอยาก..”
   คำพูดของหยุนหมิงขาดตอนไปพักใหญ่ ดูเหมือนลังเลว่าสมควรจะพูดต่อไปอีกรึเปล่า
   “ผมอยากไปช่วยคุณ  แต่จริงๆ แล้วในส่วนลึกๆ ผมอยากที่จะใกล้ชิดคุณให้มากขึ้น ผมปรารถนาที่จะเป็นของคุณ”
   รูฟัสได้แต่กลืนน้ำลาย ลมทะเลพัดมาพร้อมกับกลิ่นคาวอ่อนๆ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจร่างที่พิงอยู่ แต่กลับรู้สึกปวดหัวใจเล็กๆ
   “แล้วคุณก็เข้ามา” หยุนหมิงเล่าต่อ “ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ช่วยคุณ ผม ผมไม่เคยเห็นคุณในสภาพแบบนั้นมาก่อน มันดูแปลกมากๆ”
   รูฟัสหัวเราะเล็กๆ “บางทีฉันก็วิ่งเป็นหมาถูกไล่แบบนั้นนั่นแหละ มันไม่ใช่ของน่ามองเท่าไรหรอก”
   หยุนหมิงคลี่ยิ้มบางๆ
   “แล้วคุณก็สั่งให้ผมทำในสิ่งที่ผมยังตกใจ ตอนที่ผมเห็นคุณเปลือย คุณรู้หรือเปล่า หัวใจผมเต้นแรงแค่ไหน”
   “แล้วเธอรู้หรือเปล่า ตอนที่เธอเดินเข้ามาตอนนั้น หัวใจฉันเต้นแรงขนาดไหน”
   “พูดย้อนให้ผมเคลิ้มอีกหรือไงครับ” หยุนหมิงหัวเราะ รูฟัสยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะนั้นเบาๆ
   “คืนนั้นผมไม่ได้หวังให้มันเลยเถิดไปขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่คุณทำให้ผมมีความสุขมาก แม้จะแค่คืนเดียว”
   “หลังจากวันนั้นเธอไปสารภาพความจริงเรื่องนี้กับพี่ยี่หรือ?”
   “ครับ”
   “เธอรู้หรือเปล่าว่าพี่ยี่รักเธอขนาดไหน?”
   “ครับ ผมรู้ เพราะแบบนี้ผมเลยไม่กล้ามีหน้าไปพบเขาอีก และหลังจากนี้ ผมก็คงไม่มีหน้ามาพบคุณอีก”
   “ทำไม? เธอคิดว่าฉันกับพี่ยี่จะเกลียดเธอหรือ”
   “ผมละอายใจตัวเองน่ะครับ”
   รูฟัสถอนหายใจยาว จนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจ
   “อย่างนั้นฉันควรจะละอายด้วย  เพราะฉันเองก็ปรารถนาในตัวเธอ ถึงตอนนี้ฉันยังย้อนคิด ถ้าตอนนั้นฉันรู้ว่าเธอเป็นของพี่ยี่ ฉันยังจะห้ามใจตัวเองได้หรือเปล่า”
   “อย่าพูดอะไรให้ผมรู้สึกเคลิ้มไปมากกว่านี้เลยครับ”
   “เธอเป็นคนมีเสน่ห์ หยุนหมิง...”
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองออกไปในทะเลว้างสุดลูกหูลูกตา “ฉันทำร้ายเธอใช่ไหม เมื่อไหร่กันที่เธอเริ่มคิดแบบนั้นกับฉัน เมื่อไหร่ที่เธอเกิดความคิดที่อยากจะเป็นของฉัน”
   “คงตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับคุณครั้งแรกนั่นแหละครับ” หยุนหมิงกล่าว พลางหลับตา ภาพในอดีตค่อยๆ ย้อนคืนมา
   “คุณทำให้ผมรู้อะไรหลายๆ อย่าง ผมไม่รู้มาก่อนว่าผมจะแจกไพ่แย่ขนาดนั้น ความจริงคือผมแทบจะไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วคุณก็สอนผม ทำให้ผมรู้จักอะไรเพิ่มมากขึ้น รู้ไหมครับ ทุกครั้งที่คุณยิ้ม คุณหัวเราะ คุณพูดกับผม หัวใจของผมกลายเป็นของคุณไปทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ปรารถนาที่จะเป็นของคุณไปแล้ว”
   หยุนหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณเป็นคนใจดีนะครับรูฟัส และก็เป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ ผมดีใจที่คุณเคยหันมาสนใจผม แม้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ แค่นั้นก็พอแล้ว”
   “ขอโทษนะ” รูฟัสกล่าวสั้นๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก เหมือนความไม่ตั้งใจของเขาได้ทำลายทำร้ายชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้เป็นรอยด่างอย่างไม่ตั้งใจ ไม่สิ คงไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เขาไม่เคยต้องการทำว่ารัก ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยอยากได้ ทุกคนวิ่งเข้ามาหาเขาเอง
   หนุ่มตาสองสีแอบถอนหายใจเบาๆ เบือนหน้ากลับมามองคู่สนทนาอีกครั้ง หยุนหมิงคลี่ยิ้มละไม
   “ไม่ต้องหรอกครับ ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก มันเป็นนิสัยของคุณ เป็นตัวของคุณ ถ้าจะโทษล่ะก็ โทษที่ตัวผมไม่มีเสน่ห์พอที่จะหยุดคุณเอาไว้ดีกว่า”
   “พูดแบบนี้เหมือนหาว่าฉันเป็นคนเจ้าชู้เลย”
   หยุนหมิงหัวเราะ “ถึงคุณจะคิดว่าตัวเองไม่ใช่ แต่คนอื่นคงคิดว่าใช่แหละครับ เพราะคุณชอบหว่านเสน่ห์แบบไม่รู้ตัวนี่ครับ”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า เขาไม่รู้ว่าควรจะยอมรับในข้อนี้ดีหรือเปล่า
   “แล้วตอนนี้เธอ ไม่คิดที่จะกลับไปหาพี่ยี่หรือ?”
   “ไม่หรอกครับ เรื่องผมกับเขามันจบกันไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
   “แต่ว่าพี่ยี่ยังรักเธออยู่นะ”
   หยุนหมิงยกศีรษะขึ้นจากไหล่ของรูฟัส หันหน้ามามองใบหน้าเรียวยาวได้รูปนั้น “ข้อนี้ผมรู้ดีครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณโจวว่าเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็ยังรักคุณอยู่ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยรักผมเลย”
   “ฉัน...” รูฟัสพูดได้แค่นั้น นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาได้ยินคำสารภาพรัก แต่ว่าคนที่เขาอยากให้พูดกลับไม่เคยพูดคำคำนี้ออกมาเลย
   “แต่คุณโจวเขามีคนใหม่ไปแล้ว และผมก็กำลังจะแต่งงานเดือนหน้า”
   “เธอจะแต่งงานหรือ?” น้ำเสียงของรูฟัสแสดงความแปลกใจขึ้นมาทันที หยุนหมิงขมวดคิ้ว
   “คุณไม่รู้หรอกหรือครับ คุณโจวไม่ได้บอก โอ้ ตายล่ะ คุณโจวหลอกคุณมาหรือนี่”
   ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ รูฟัสนิ่งไปอีกพักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา “ช่างมันเถอะ ฉันพอใจให้โดนหลอกแบบนี้ ถ้าพี่ยี่บอกฉันฉันคงไม่ได้มานั่งคุยแบบนี้กับเธอ”
   “ขอบคุณนะครับ” หยุนหมิงพูดพลางก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “ผมว่าเรากลับกันได้แล้วล่ะครับ มันเริ่มดึกแล้ว”
   “ให้ฉันขับรถไปส่งเธอที่บ้านแล้วกัน”
   “ก็ได้ครับ”
   
   รถสปอร์ทคาดิแลคสีแดง แล่นมาจอดตรงอาคารจอดรถใต้คอนโดแห่งหนึ่ง หยุนหมิงก้าวเท้าลงจากรถ
   “ฉันอยากเห็นหน้าแฟนเธอจัง ผู้หญิงคนนั้นสวยหรือเปล่า”
   หยุนหมิงอมยิ้ม “เธออาจจะไม่สวยมาก แต่เป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ ครับ”
   “งั้นก็แปลว่าเธอเจอคนที่มีเสน่ห์พอที่จะหยุดเธอเอาไว้ได้แล้วสินะ”
   คนถูกถามหัวเราะ “คิดว่าเป็นแบบนั้นครับ แล้วคุณล่ะครับ เจอแล้วหรือยัง?”
   รูฟัสยิ้มค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ หยุนหมิงจึงพูดต่อ
   “ผมอยากให้คุณมางานแต่งผมเดือนหน้าจัง”
   “ฉันอาจจะไม่ว่างมา” รูฟัสพูดค้าง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องสีดำเล็กๆ ที่บรรจุที่นหนีบเน็คไทน์เงินออกมาจากอกเสื้อ หยุนหมิงรับของนั้นมาแล้วยิ้มอีกครั้ง
   “ฉันขอถือโอกาสให้เป็นของขวัญล่วงหน้าวันแต่งงานของเธอเลยแล้วกันนะ” หนุ่มตาสองสีกล่าว อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ขอบคุณนะครับ ผมรู้ว่าคุณยุ่งมาก  ผมคิดถึงคุณอยู่ตลอดนะครับ ว่างๆ ก็แวะมาเยี่ยมผมบ้าง และถ้าคุณเจอคนที่หยุดคุณได้แล้ว อย่าลืมพามาหาผมบ้างนะ”
   หยุนหมิงกล่าวคำอำลา โบกมือหยอยๆ แล้วเดินขึ้นตึกไป รูฟัสถอนหายใจยาว การพบกับหยุนหมิงในครั้งนี้เหมือนการได้เห็นร่องรอยความบิดเบี้ยวอันเป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ตั้งใจของเขา ชายหนุ่มเหยียบคันเร่ง รถสีแดงคันนั้นพุ่งออกจากลานจอดอย่างรวดเร็ว
---------------------------
   “สรุปว่าแกหลอกฉันอีกแล้ว”
   รูฟัสพูดพลางโยนกุญแจรถคืนให้โจวยี่ ซึ่งนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ภายในบ่อนของตัวเอง
   “ถ้าไม่หลอกแก แกจะยอมทำแบบนี้หรือ?” ร่างที่นอนอยู่หลิ่วตาตอบอย่างยียวน
   “สงสัยแกกับราฟี่จะจบจากโรงเรียนเดียวกันแน่ๆ” รูฟัสพึมพำ เมื่อนึกว่าราฟาแอลเองก็พยายามจะหลอกล่อเขาให้ทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน
   “เค้าเรียกว่า จบคอร์สเรียนรู้สันดานคุณรูฟัสต่างหาก” คนนอนอยู่พูด รูฟัสถอนหายใจยาว รู้ว่าป่วยการที่จะเถียง ดูเหมือนว่าเพื่อนของเขาจะรู้นิสัยเขาทะลุปรุโปร่งจริงๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้
   “แกรู้เมื่อไหร่ว่าหยุนหมิงชอบฉัน”
   โจวยี่เด้งตัวพรวดขึ้นจากโซฟาทันที ก่อนจะเดินจ้ำๆ เข้ามาหาอย่างคุกคาม
   “อย่าบอกนะว่าแกลืม!”
   “เฮ้ย อย่ามาบ้าตอนนี้นะเว่ย” รูฟัสถลึงตาใส่ เตรียมพร้อมเต็มที่ เขาไม่ยอมโดนบีบหลอดลมอีกเป็นรอบที่สอง
   “นี่แกลืมวันนั้นไปได้ยังไง แกยังมีจิตใจเป็นคนอีกหรือเปล่า?!” โจวยี่ตะเบ็งเสียง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธขึง หนุ่มตาสองสีนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ
   “ไอ้บ้า แกพูดเหมือนตอนนั้นฉันอยู่ด้วยงั้นแหละ!!”
   “เออ ก็ตอนนั้นแกอยู่ด้วย”
   “ตอนไหนว่ะ”
   “ก็ตอนที่ฉันไปเจอแกอยู่ในห้องกับหยุนหมิงไง  ตอนที่หยุนหมิงเข้ามาห้ามฉัน ตอนนี้เขาตะโกนขึ้นมาว่าเขารักแก แกไม่ได้ยินหรือไง หา?!!”
   รูฟัสนึกอยากต่อยใส่โจวยี่สักหมัดขึ้นมาทันที “ก็ฉันไม่ได้ยินนะสิ ไอ้ควายบ้าตัวไหนกันล่ะที่มันเอาแขนดันหลอดลมฉันจนหูอื้อตาลาย คิดว่าเกือบจะตายไปแล้ว”
   โจวยี่ที่กำลังตั้งท่าจะกระทำการอะไรซักอย่าง มีสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมาทันที “เฮ้ย นั่นแกพูดจริงๆ หรือ ฉันหลงโกรธแกเพราะเรื่องนี้มาหกปีเชียวนะ ฉันคิดว่าแกรู้ความรู้สึกหยุนหมิงแล้วไม่ยอมตอบกลับ”
   รูฟัสครางเสียงยาว “โธ่..... ไหนแกบอกหยุนหมิงว่าไม่ได้โกรธฉันไง ไอ้ตอแหล เอากุญแจบ้านแกมาเลย เด็กแกกี่คนฉันจะฟัดให้เรียบ”
   “มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะโว้ย! รูฟัส” โจวยี่พูด พลางวิ่งหนีรูฟัสไปรอบๆ ห้อง
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:54:26
บทที่14 เรื่องราวของเว่ยเฟิงปิง
   ชายหนุ่มในชุดยาวสีแดงเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณโถงสุดท้ายของชั้นที่ยี่สิบห้า โดยมีจางซื่อเยี่ยนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินตามหลังมาห่างๆ
   ฟ่งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการเดินเล่นครั้งแรกของเขาในฮ่องกง มันเป็นการเดินเล่นในตึกสี่เหลี่ยมไปตามทางซึ่งปูด้วยหินแกรนิตสีดำขัดมัน เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินออกกำลังกาย บริเวณที่จางซื่อเยี่ยนพาไปดูแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจ
   หนุ่มสวมแว่นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีดำที่วางอยู่บริเวณระเบียงด้วยความเมื่อยล้า รู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ว่าทำไมตึกนี้ถึงได้มีเก้าอี้วางตามระเบียงอยู่เป็นระยะๆ มันถูกสร้างมาเพื่อรองรับเหตุการณ์แบบนี้นี่เอง
   “คุณซื่อเยี่ยน มานั่งสิ” ฟ่งเอ่ยปากชวน เมื่อเห็นคนที่มาด้วยยังคงยืนนิ่ง
   “ไม่เป็นไร คุณนั่งไปเถอะ” ร่างสูงโปร่งตอบเสียงเรียบๆ ฟ่งชักจะสงสัยว่าหมอนี่เต็มใจจะมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาหรือเปล่า
   แต่คนคนนี้เคยอุตส่าห์มานั่งกินข้าวด้วย ฟ่งเชื่อว่าจางซื่อเยี่ยนคงมีความใจดีเหลืออยู่ในตัวบ้าง
   “ผมสงสัยว่าทำไมพวกคุณปล่อยให้คุณเว่ยทานข้าวอยู่คนเดียวแบบนั้น หรือว่าที่นี่มีกฎว่าห้ามเจ้านายทานข้าวกับลูกน้อง” ฟ่งวกกลับมาพูดเรื่องที่เขารู้สึกคาค้างใจเมื่อช่วงเช้า
   “ตามมารยาทแล้วควรจะเป็นแบบนั้น” จางซื่อเยี่ยนตอบ
   “ถ้าไม่ตามมารยาทล่ะ? งั้นก็แปลว่าพวกคุณไปทานข้าวกับเขาได้งั้นสิ”
   “ไม่หรอก คุณชายไม่เคยชวนใครขึ้นไปทานข้าวด้วย เพิ่งมีคุณเป็นคนแรกนี่แหละ”
   “เอ๋? ทำไมล่ะ?”
   “คุณลองไปถามเขาด้วยตัวเองสิ”
   ร่างบางขมวดคิ้ว สุดท้ายก็โยนกลองกลับมาที่เขาอีกจนได้
   “แล้ว คุณทำงานที่นี่มานานหรือยัง?” ฟ่งทดลองเปลี่ยนคำถาม เผื่อเขาจะได้รู้อะไรน่าสนใจเพิ่มขึ้นบ้าง
   “ประมาณสิบห้าปี”
   คำตอบที่ได้รับทำให้หนุ่มสวมแว่นเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสนใจ “งั้นก็แปลว่าคุณรู้จักกับคุณเฟิงปิงมาสิบห้าปีแล้วน่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกตัวว่าเขาอาจจะเข้าใจประเด็นคำถามผิดไป “เปล่า ผมเพิ่งมาทำงานกับคุณชายได้สี่ปี”
   “อ้าว แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ?”
   “ผมเคยทำงานให้กับคุณพ่อของเขา”
   ฟ่งขยับตัวด้วยความสนใจ “คุณพ่อ? ถ้าอย่างนั้นเขามีพี่น้องอีกรึเปล่า? หรือว่าเขาเป็นลูกคนเดียว?”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า “คุณชายมีพี่น้องเก้าคน แต่เสียไปแล้วสอง”
   “อุบัติเหตุหรือ?”
   “ถูกฆ่าน่ะ”
   ฟ่งรู้สึกสยองขึ้นมาทันที   “งั้นก็เหลือเจ็ดคนน่ะสิ คุณชายของคุณเป็นคนที่เท่าไหร่”
   “คนที่เจ็ด”
“แย่จัง” ฟ่งอุทานด้วยความตกใจ “แปลว่าสองคนที่ถูกฆ่าไป เป็นน้องของคุณเว่ยอีกทีสินะ น่าสงสาร”
   เขานึกถึงน้องชายตัวเองที่อายุห่างกันสี่ปี ถ้าเล้งเกิดเป็นอะไรไป เขาต้องเสียใจมากๆแน่ๆ
   “แล้วพวกพี่ๆ เขาล่ะ อยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
   “เปล่า”
   “อ่อ แยกกันทำงานเหรอ?” ฟ่งเริ่มเดา จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ
   “แล้วคุณล่ะ มีพี่น้องไหม?”
   “ผมเป็นกำพร้า”
   “อ้อ..ครับ” ฟ่งหน้าเจื่อนลงทันที รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถามเรื่องที่ไม่ควรถามอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามนึกหาเรื่องคุยที่มันจรรโลงใจกว่านี้ แต่จางซื่อเยี่ยนกลับพูดต่อ
   “คุณเว่ยชิง คุณพ่อของคุณชาย เป็นคนเก็บผมมา”
   พอเห็นว่าทางนั้นไม่ได้กระทบกระเทือนใจอะไรมาก ฟ่งจึงหันมาสนใจเรื่องเดิม“อย่างนั้นคุณก็โตมากับคุณเฟิงปิงสินะ”
   “เปล่า ผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้นหรอก” จางซื่อเยี่ยนตอบ คนได้ฟังมองหน้าเขาอย่างงงๆ
   “แล้วอย่างนั้น คุณ..”
   “คุณฟ่ง คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” จู่ๆ หนุ่มผมยาวก็เปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ฟ่งยิ้มแหะๆ
   “ไม่รู้สิ ส่วนหนึ่งของฮ่องกงมั้ง?”
   “แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าคุณเว่ยเฟิงปิงเป็นใคร?” ฟ่งส่ายหน้า จางซื่อเยี่ยนเดินผ่านเขาไปยังหน้าต่าง อาคารหลังนี้บริเวณผนังระเบียงส่วนนอกจะปิดด้วยกระจกตัดแสงตลอดแนว ทำให้สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ ชายหนุ่มในเชิ้ตสีขาวมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “ที่ฮ่องกงมีกลุ่มธุรกิจเยอะนะ คุณฟ่ง คุณเว่ยชิงพ่อของคุณเฟิงปิงเป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจของตระกูลเว่ย”
   “เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไรหรือครับ?” ฟ่งถามแทรก พยายามคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบอย่างที่เขาคิดไว้ จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เอ่ยตอบสั้นๆ
   “หลายอย่าง”
   คำตอบทำเอาคนฟังนิ่วหน้า ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ฟ่งคงด่าจางซื่อเยี่ยนว่ากวนประสาทไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หนุ่มสวมแว่นจึงสงบปากสงบคำนั่งฟังต่อ
   “ธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งบนดินและใต้ดิน คุณเข้าใจใช่ไหม? ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลที่ทำทั้งสองอย่าง และให้การคุ้มครองคนที่ทำธุรกิจร่วมด้วย
   “มาเฟียสินะ” ฟ่งโพล่งออกมา พลันรู้สึกว่าตัวเองปากไวไปหน่อย บางที่ฝ่ายนั้นอาจจะไม่พอใจคำเรียกแบบนี้ก็ได้
   “เรียกแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก” จางซื่อเยี่ยนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย ฟ่งระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องมาเฟียที่ฮ่องกงเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะมาเจอกับตัวเอง”
   “แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
   “ก็กลัวสิ” ฟ่งพูดตอบแทบจะในทันที “พวกคุณลักพาตัวผมมา”
   ความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาอีกครั้ง ความจริงก็น่าจะเดาได้อยู่ว่าคนพวกนี้ต้องไม่ใช่คนทำงานปกติแน่ๆ แต่เพราะฟ่งไม่เคยมีเรื่องบาดหมางข้ามชาติมาก่อน จู่ๆ จะให้คิดว่าตัวเองกำลังโดนมาเฟียฮ่องกงจับตัวมาก็กระไรอยู่
   “จะว่าไป ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณพาตัวผมมาทำไม”
   “คุณไม่รู้จริงๆหรือ?” จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วเรียวยาวด้วยความฉงน ฟ่งพยักหน้า เขาพอเดาได้ว่าอาจจะเพราะเขาเกี่ยวข้องกับรูฟัส แต่ก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุแน่ชัดว่าทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักใหญ่
   “ผมเข้าใจว่าคุณชายบอกคุณแล้วเสียอีก เอาเถอะ..” หนุ่มผมยาวเว้นระยะพูดไปพักหนึ่ง “คุณรู้เกี่ยวกับพวกสายลับหรือเปล่า?”
   ฟ่งพยักหน้า “ถ้าพูดถึงหนังล่ะก็ ผมเคยดู”
   ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนไร้อารมณ์เช่นเดิม
   “ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ  สายลับไม่ได้มีเฉพาะคนของหน่วยงานรัฐหรอกนะ พวกที่รับจ้างก็มี คนพวกนี้ทำงานเกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลลับ ลอบสังหาร”
   “อืม” ฟ่งผงกศีรษะ นึกถึงรูฟัส คนคนนั้นทำงานแบบนี้ล่ะหรือ? ขโมย... ลอบฆ่า....
    “พวกเขาถนัดในการปลอมแปลงและแอบแฝงเข้ามาในรูปแบบต่างๆ นั่นแหละที่เป็นปัญหา คุณจะไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นสายลับ จนกว่าพวกเขาจะพลาด หรือแสดงตัวออกมาเอง”
   จางซื่อเยี่ยนเว้นระยะไปอีกครู่หนึ่ง เขาหันมามองคนฟัง
   “ผู้ชายที่ชื่อรูฟัส เป็นคนแบบนั้นแหละ”
   ฟ่งรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว พยายามฝืนยิ้ม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ?”
   “คุณฟ่ง” จางซื่อเยี่ยนพูด พลางเดินเข้ามาใกล้
   “ชื่อจริงของคุณคืออภิวัฒน์สินะ ผมพบกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสมาแล้ว เขามีปฏิกิริยาตอบสนองตอนที่ผมเอ่ยชื่อของคุณ ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงคุณมาก นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกสายลับควรจะเป็นเลย”
   “ผมไม่เข้าใจ” ฟ่งตอบ พยายามหลบสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจ้องมองลงมา มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
   “หมายความว่า คุณคือคนที่ทำให้เขาแสดงตัวตนออกมา คุณคือจุดอ่อนของเขา ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ควรจะมี”
   ฟ่งรู้สึกแย่ขึ้นมาทันทีกับประโยคหลัง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนว่า ผู้ชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนกำลังพยายามจะหาเรื่อง
   “คุณพูดเหมือนผมผิด ผมไม่ได้อยากจะไปยุ่งกับเขาสักหน่อย ถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นใครล่ะก็...”
   “คุณจะไม่ไปยุ่งกับเขางั้นสิ  แต่คุณไม่รู้ และคุณก็ให้เขาเข้ามาในชีวิตคุณ”
   นัยน์ตาสีดำราวอีกาที่ปกติมักไม่ค่อยแสดงอารมณ์คู่นั้นมองลงมาอย่างสมเพช ก่อนจะพูดต่อช้าๆ “ไม่ใช่คุณหรอกที่ปล่อยให้เขาเข้ามาในชีวิต เขาปล่อยให้คุณเข้าไปในชีวิตต่างหาก”
   ฟ่งมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด ยิ่งฟังไปนานเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนเขาเป็นฝ่ายผิดเข้าไปทุกที
   “คุณมีความลับหรือข้อมูลอะไรหรือเปล่า? คุณฟ่ง เขาไม่น่าจะเข้าหาคุณโดยไม่มีเหตุผล”
   “ผมจะไปรู้ได้ไง!” ฟ่งพูดอย่างหมดความอดทน ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ด้วยความสงสัยว่าจะเอาอย่างไรกับเขากันแน่ จางซื่อเยี่ยนหรี่นัยน์ตาสีอีกาลง
   “เขาไม่เคยถามอะไรแปลกๆ กับคุณเลยหรือ?”
   ร่างบางสั่นศีรษะ รูฟัสไม่เคยถามอะไรที่เขารู้สึกผิดปกติ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานของเขาเป็นอย่างไร
   “คุณเป็นคนรักของเขาจริงๆ ?”
   “ผมไม่รู้!”
   “เขาเคยบอกรักคุณหรือเปล่า?”
   “อือ” ฟ่งรู้สึกโมโห เหมือนกำลังถูกต้อนให้พูดเรื่องน่าสแลงใจ เขาอยากจะต่อยชายที่อยู่ตรงหน้าสักหมัด แต่ทำลงไปคงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เผลอๆ จะได้ซวยยิ่งกว่าเดิม
มุมปากของจางซื่อเยี่ยนปรากฏรอยยิ้มแค่นขืน เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีที่ฟ่งแสดงออก แต่กลับรู้สึกขบขันต่อการกระทำของชายผู้ซึ่งทำให้เจ้านายของเขาเจ็บปวดมาตลอด
มันช่างเป็นเรื่องตลกที่น่าสมเพช รูฟัสสามารถจะรัก แต่ไม่สามารถเปิดเผยฐานะต่อคนรักได้ ส่วนเขาแม้จะมีสถานะเปิดเผย แต่กลับไม่สามารถที่จะรักได้
   แล้วเว่ยเฟิงปิงล่ะ อยู่ในสถานะแบบไหนกันแน่..
   ปรากฏแววแห่งความปวดร้าวแวบหนึ่งในดวงตาสีอีกาคู่นั้น ก่อนที่เจ้าของจะเอ่ยปากเรียบๆ
   “คุณฟ่ง ผมขอร้องคุณอย่างหนึ่งได้ไหม?”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
-------------------------------
   “ขอบใจนะ”
   ร่างเพรียวในชุดสูทกล่าว พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกล่องใส่บุหรี่กล่องใหม่ที่ทำจากสแตนเลส
   อาเง็กยิ้มให้เจ้านายของเขา ดูเหมือนว่าวันนี้เว่ยเฟิงปิงจะอารมณ์ดีกว่าปกติ เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามต่อ   “ไม่ทราบว่า คุณชายจะรับบุหรี่เป็นตัวไหนดีครับ”
   ฝ่ายถูกถามโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ฉันยังไม่อยากสูบตอนนี้ เธอไปเถอะ”
   เด็กหนุ่มผู้มีปานสีเขียวบนลำคอถอยออกไปจากห้อง พร้อมกับเสียงปิดประตู
   เว่ยเฟิงปิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งเขาใช้นั่งทำงาน พลางพลิกกล่องใส่บุหรี่ที่เพิ่งรับมาในมือเล่น
ยังคงเหลืองานเอกสารเกี่ยวกับสัญญาเช่าและสัญญาคุ้มครองอีกหลายแผ่นที่เขายังไม่ได้ตรวจ ชายหนุ่มวางกล่องบุหรี่ในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน  ดวงตายาวเรียวราวกับพญางูนั้นกวาดตาขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป และใช้คลิปหนีบมันเข้ากับกระดาษแผ่นเดิม
โดยปกติแล้ว เอกสารต่างๆ เหล่านี้ เว่ยเฟิงปิงจะตรวจดูด้วยตัวเองทุกวัน แต่หลายวันที่ผ่านมา เขาทำได้แค่เพียงวางมันทิ้งเอาไว้ ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาไม่มีสมาธิจะอ่านและตัดสินใจเนื้อหาเกี่ยวกับเอกสารนี้ได้ ในเมื่อมีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นวิ่งวนอยู่ในหัวสมอง
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ ยอมรับกับตัวเองว่าเขาเคยรู้สึกริษยาเมื่อทราบว่า บุคคลที่เขานำตัวมาจากประเทศไทยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและยังมีความสำคัญถึงขนาดทำให้ชายเจ้าปัญหาคนนั้นละทิ้งงานมาได้  จนกระทั่งเมื่อคืนนี้
ร่างบางกวาดตามองเอกสารอีกแผ่นที่หยิบขึ้นมาอย่างใจเย็น เขารู้เรื่องราวของบุคคลที่เขาลักพาตัวมาจากประเทศไทยไม่กี่อย่าง ชายคนนั้นมีชื่อว่าอภิวัฒน์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่าฟ่ง และมีอาชีพเป็นนักออกแบบภายใน มีพี่น้องสามคน เป็นคนกลาง  ในตอนแรกเว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะเชื่อนักว่า ชายหนุ่มคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับรูฟัส เนื่องจากหน้าที่การงานที่เขาทำอยู่ไม่มีส่วนที่เกี่ยวโยงกับเรื่องราวที่สายลับคนนั้นกำลังติดตามอยู่แม้แต่น้อย
เว่ยเฟิงปิงตกลงใจไปประเทศไทยตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาเพราะเรื่องที่ฟาบิโอเล่า ตอนแรกก็เข้าใจว่าจิ้งจอกเฒ่าจะเตรียมการล่วงหน้ากับเพื่อนเก่าชาวอิตาลีเพื่อหลอกทดสอบความตั้งใจของตนเองที่จะตามหาสายลับคนนั้น แต่พอลองสืบเข้าจริงๆ จึงพบว่าเรื่องนี้มีเค้าอยู่มากพอสมควร
จากที่สนทนากับฟาบิโอ ดอนแห่งอิตาลี คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเดาได้ทันทีว่า ภารกิจที่รูฟัสกำลังปฏิบัติการณ์อยู่ตอนนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ โปรเจคลับที่มีชื่อเรียกกันในหมู่ผู้ทรงอิทธิพลว่า เทซกาลิโพกา ซึ่งพ่อของเขาส่งเขามาเป็นตัวแทนในการปฏิเสธ เว่ยเฟิงปิงจึงเริ่มสืบจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับโปรเจคนี้เป็นจุดแรก  มันเป็นการสืบที่ดูเหมือนการเหวี่ยงแหลงไปในลำธารลึก ที่ไม่รู้ว่าจะมีปลาอาศัยอยู่หรือเปล่า แต่ผลลัพธ์ที่ได้ กลับเหนือกว่าที่เขาคาดไว้
   การที่จะทำให้สายลับยอมเปิดเผยตัวตนออกมานั้นเป็นเรื่องยากลำบาก เว่ยเฟิงปิงรู้ดีว่าต่อให้เขาพบตัวรูฟัส ก็ยากที่จะต้อนหรือจับตัวมาได้ง่ายๆ แล้วเขาก็บังเอิญไปเจอเส้นความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะปกตินักของรูฟัสกับคนข้างห้อง จึงตัดสินใจที่จะลองใช้ความสัมพันธ์บีบให้รูฟัสยอมเปิดเผยตัว และมันก็ได้ผล  
   รูฟัสถึงขั้นทิ้งงานที่ทำอยู่และตามมาถึงฮ่องกง
แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด
   เว่ยเฟิงปิงเชื่อมาตลอด ว่าคนอย่างรูฟัสจะไม่มีวันรักใคร ชายคนนั้นจะไม่มีวันไปรักใคร
   เพราะคนอย่างชายคนนั้นไม่สามารถที่รักใครได้
   เมื่อทราบว่ารูฟัสยอมทิ้งภารกิจเพื่อมาตามหาฟ่งถึงฮ่องกง จิตใจของเขาแทบจะลุกเป็นไฟ ความริษยาทวีขึ้นจนทำให้ไม่มีแก่ใจที่จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก จนกระทั่งเมื่อคืน
   คำพูดของฟ่งที่ว่าเขาไม่รู้อะไรเลยทำให้เว่ยเฟิงปิงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีชายคนนี้อาจจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เกี่ยวกับชายที่ชื่อรูฟัส
   หากเป็นเช่นนั้น ฟ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกหลอก
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกสงสารเชลยของเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในตอนแรกเขาเพียงแค่อยากระบายอารมณ์กับใครสักคน แต่ปฏิกิริยาของฟ่งที่มีต่อเขานั้นอ่อนโยนจนทำให้รู้สึกหวั่นไหว
   ฟ่งดีเกินไปสำหรับรูฟัส
   เว่ยเฟิงปิงคิดว่ารูฟัสไม่มีคุณสมบัติพอที่รักผู้ชายคนนี้
   นิ้วเรียวยาววางกระดาษที่ผ่านการอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้วลงบนโต๊ะ เว่ยเฟิงปิงยังไม่แน่ใจว่าควรจะอนุมัติตามคำขอในกระดาษแผ่นนั้นดีหรือไม่ เขาจึงเสียบมันเข้าไปในแฟ้มสีดำที่วางอยู่ใกล้ๆ  เอนตัวลงกับเก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่าง ระบายลมหายใจยาว
   ในเมื่อตอนนี้ฟ่งอยู่ในการดูแลของเขา ก็คงเป็นโอกาสดีที่จะจัดการกับเส้นความสัมพันธ์ที่น่าหงุดหงิดรำคาญใจ
------------------------------
   “เอ่อ.. ขอโทษนะครับ”
   เสียงที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสและโจวยี่ชะงัก ทั้งคู่กำลังพยายามจะผลักอีกฝ่ายเข้าหาผนัง ทันทีที่เห็นหน้าเจ้าของเสียง โจวยี่ร้องขึ้นทันที
   “แดเนียล ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่!?”
   “คือ ผมได้ยินเสียงดังเอะอะมาก เลยลงมาดูน่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสีบล็อนด์กล่าว พลางกะพริบนัยน์ตาสีเขียวปริบๆ โจวยี่ผลักรูฟัสออกปราดเข้าไปหาคนพูดทันที
   “โธ่เอ๋ย....เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องลงมาเลย” หนุ่มผมยาวทอดเสียงกล่าว รูฟัสที่ถูกผลักเซไปชนกับฝาผนังทำหน้าเหยเกทันทีที่ได้ยิน เขาจำได้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กคนเดียวกับที่เขาเห็นแวบๆ ในตอนที่เขาแวะมาหาโจวยี่วันแรก
   “ถ้าผมมาขัดจังหวะ ก็ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะ...” แดเนียลพูดหลังจากเหลือบมองคนด้านหลัง  โจวยี่ตาเหลือก หันกลับมามองรูฟัส แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะร้องครางออกมา
   “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ แดเนียล ฉันกับหมอนี่ไม่ได้..........”
   “แต่ผมเห็นพวกคุณกำลังกดกันอยู่”
   “คือมันมีเหตุนิดหน่อย..” โจวยี่เอ่ย ไม่รู้จะอธิบายต่อไปยังไง จะให้บอกว่าที่ทำแบบนั้นเพราะรูฟัสจะเข้ามาแย่งกุญแจห้องเพื่อไปปล้ำเด็กในสังกัดของเขาอย่างนั้นหรือ เรื่องแบบนั้นใครบ้ามันจะไปเชื่อ
แดเนียลฝืนยิ้ม “คือ ผมไม่ได้รังเกียจถ้าคุณโจวจะมีรสนิยมแบบนี้หรอกนะครับ  แต่มันอาจจะเอะอะเกินไป”
   “โธ่ แดเนียล มันไม่ใช่แบบนั้น... เฮ้ย รูฟัส มาช่วยกันพูดหน่อย” โจวยี่แทบอยากจะเอาหัวโขกผนัง เขาหันไปกระชากเสียงใส่เพื่อน รูฟัสยักไหล่ เดินทอดน่องเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน
   “พ่อหนูอย่ากลัวว่าฉันจะปล้ำเจ้าควายบ้านี่เลย ต่อให้ฉันอดอยากขนาดไหนฉันก็ไม่หน้ามืดขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าน่ารักๆ อย่างเธอล่ะก็ไม่แน่”
   ไม่พูดเปล่ายังทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย จนแดเนียลต้องรีบหลบสายตา พวงแก้มปลั่งแดงระเรื่อ
   “ช่วยได้มากเลยนะแก” โจวยี่คำราม และหันไปถีบใส่รูฟัสเต็มรัก ทำเอาทางนั้นหงายหลังล้มโครมลงไปบนโซฟา แดเนียลหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ
   “เธอขึ้นไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวฉันคุยธุระเสร็จแล้วจะตามขึ้นไป”
   โจวยี่พูดพลางยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ทำไมเด็กในสังกัดของเขาถึงต้องมาเจอภาพบ้าๆ อย่างนี้ด้วย แดเนียลลืมตาขึ้น มองข้ามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปอย่างหวาดๆ
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:54:58
“พวกคุณคงไม่ฆ่ากันหรอกนะครับ”
   “ไม่หรอก พวกเราสนิทกันจะตาย จริงไหม” โจวยี่พูดพลางยิ้มอย่างที่คิดว่าเป็นพวกรักสันติวิธีที่สุด ก่อนจะหันไปทางรูฟัส ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายลุกออกมาจากโซฟา
   “เออ จริง เชื่อเขาเถอะพ่อหนู” รูฟัสพูด ด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่สุด แดเนียลยิ้มแห้งๆ ทำหน้าเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
   “งั้น ผมไปนอนก่อนนะครับ ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”   เด็กหนุ่มกล่าวคำอำลา ก่อนจะเดินปรือออกไป
   “เชื่อเลย คราวนี้ก็เข้าใจผิดกันไปถึงไหนต่อไหน” โจวยี่คราง รูฟัสเดินเข้ามายักไหล่อย่างไม่เดือดร้อน
   “ช่วยไม่ได้ ก็ดันปัญญาอ่อนกันเองนี่”
   “ต้นเหตุก็เพราะแกนั่นแหละ แล้วหยุดโปรยเสน่ห์ใส่เด็กๆ ฉันเสียที!”
   “แหม...ฉันก็แค่มองเฉยๆ” รูฟัสพูดหลิ่วตาใส่เพื่อน ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นบังทันที
   “พอ ไม่ต้องเอาตาพิการของแกมาทำแบบนั้นใส่ฉัน ขนลุกตายห่ะ!”
   “แกเองก็พูดเกินไป ถ้าน่ากลัวจริงทำไมเด็กแกหน้าแดงล่ะ? แล้วอีกอย่าง สายตาฉันปกติ แค่สีไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง”
   โจวยี่ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ  บางทีเขาก็รู้สึกอยากที่จะให้ตัวเองหูหนวก ไม่ก็ให้รูฟัสเป็นใบ้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ข้อหลังดูเหมือนจะฟังดูดีกว่า
   “เอาล่ะ ฉันจะยกเรื่องที่แกหลอกฉันไปทิ้งทะเลก่อน คราวนี้มาว่าเรื่องแผนของแกกัน” รูฟัสพูด นั่งปุลงบนโซฟา ตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายเป็นเชิงบังคับ โจวยี่ถอนหายใจยาว ก่อนจะนั่งตาม
   “นี่แกจะใจร้อนไปไหน ไปหลับไปนอนกันก่อนค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือไง?”
   นัยน์ตาสองสีถลึงมองแทนคำตอบ จนอีกฝ่ายต้องรีบพูดต่อ “โอเค โอเค ฉันจะอธิบายให้แกฟัง”
   โจวยี่เดินออกไปล็อคประตูห้อง และรูดม่านปรับแสงลง ก่อนจะกลับมานั่งพร้อมไวท์บอร์ด และปากกา
   “บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่มีแบบแปลนอาคารของสำนักงานคุณชายเจ็ดให้แกหรอกนะ” หนุ่มผมยาวเกริ่น แววตาของรูฟัสเปลี่ยนไปเล็กน้อย
   “แต่แกอย่าเพิ่งโมโหฉันไป ฉันมีแผนดีๆ กว่านั้น”
   ร่างสูงโปร่งวางกระดานลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มอธิบาย “ฉันจะลองประเมินสถานการณ์ปัจจุบันที่เรามีตอนนี้ก่อน เริ่มจากทางฝั่งคุณชายเจ็ด”
   โจวยี่ใช้ปากกาเขียนชื่อเว่ยเฟิงปิงตัวใหญ่ๆ ลงบนกระดาน เหมือนจงใจให้รูฟัสเห็นชัดๆ อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างอดทน
   “เขามีแฟนแกเป็นตัวประกัน แถมยังเป็นเจ้าถิ่น  มิหนำซ้ำอาคารนั่นยังมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา กล้องวงจรปิดก็เพียบ”
   เขาวาดรูปตึกสี่เหลี่ยมๆ ครอบชื่อเฟิงปิงเอาไว้
   “คราวนี้ มาดูแกบ้าง”
   ชื่อของรูฟัสถูกเขียนลงบนกระดาน รูฟัสทำหน้าแปลกๆ เมื่อเห็นชื่อตัวเองถูกเขียนว่าปีเตอร์ โจวยี่หัวเราะ “เอาน่า เรามาดูกันดีกว่าว่าคุณรูฟัสมีอะไรบ้าง มาก็มาตัวเปล่า มีเสื้อผ้าใส่ติดมาชุดเดียว เพื่อนฝูงก็เลิกคบไปหมดแล้ว อาศัยในห้องเช่า ที่ไม่รู้ว่าจะปลอดจากสายตาคนของตระกูลเว่ยหรือเปล่า มิหนำซ้ำยังไม่มีแบบแปลนตัวตึกที่จะเข้าไปอีก สรุปคือแกไม่มีอะไรเลย”
   พูดจบก็เขียนวงกลมครอบชื่อรูฟัสไว้ อีกฝ่ายเอามือกอดอก “เอาล่ะ แกต้องการจะบอกอะไรฉัน  บอกให้ฉันเลิก?”
   โจวยี่รีบโบกมือ “ใจเย็นๆ พ่อหนุ่มคาสโนวา ฉันกำลังจะบอกว่า โชคดีที่แกมีเพื่อนอย่างฉันอยู่ ดังนั้นแกจึงมีอะไรที่จะไปต่อรองกับคุณชายเจ็ด”
   “แกมีของที่เขาต้องการหรือไง?” รูฟัสถามขึ้นอย่างแปลกใจ โจวยี่ยิ้มกว้าง และชี้มือกลับมา “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นแก”
   รูฟัสขมวดคิ้วทันที อีกฝ่ายพูดต่อ “ลองนึกถึงจุดประสงค์ที่คุณชายเว่ยเขาจับตัวแฟนแกมาสิ นั่นเพราะเขาอยากได้ตัวแกไม่ใช่หรือ?”
   ถึงประโยคนี้คนฟังทำหน้าเบี้ยว โจวยี่เลยรีบพูดต่อ “ฉันไม่ได้พูดให้แกเอาตัวเข้าไปถวายเขา แต่กำลังจะพูดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณชายเจ็ดคือแก ไม่ใช่แฟนแก เพราะฉะนั้นการเอาแกเป็นตัวล่อให้เขาออกมาจึงดูเข้าท่าที่สุด”
   “เอ้อ” รูฟัสทำเสียงในลำคอเหมือนจะนึกได้ โจวยี่ตบมือป้าบ “ใช่ไหมล่ะ!”
   “แต่เด็กคนนั้นจะยอมออกมาหรือ?” หนุ่มตาสองสีพูดอย่างไม่แน่ใจนัก เขารู้ว่าเฟิงปิงเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองแจ
   “นั่นล่ะประเด็น แกคิดว่าคุณชายเว่ยอยากได้อะไรจากแกกันล่ะ?”
   รูฟัสนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะยกมือเกาหัวแกรก “ไม่รู้ เด็กนั่นอาจจะอยากแก้แค้น”
   ร่างสูงที่นั่งฟังอยู่โบกมือปราม “เฮ้ย อย่าคิดอะไรทำร้ายตัวเองแบบนั้นสิ แกควรจะคิดอะไรที่มันเป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วตัวแกก็มีมันอยู่ อย่างเช่นพวกข้อมูลลับ”
   “อ๋อ” รูฟัสคราง “ฉันเริ่มเข้าใจแผนแกล่ะ แกจะให้ฉันใช้ข้อมูลที่มีแลกเปลี่ยนกับเฟิงปิง โดยการนัดเขาออกมาสินะ”
   “ใช่เลย!” โจวยี่ตบมืออีกครั้ง
   “แต่ว่า จะใช้สถานที่แบบไหนล่ะ?” อีกฝ่ายตั้งคำถามต่อ  โจวยี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เรื่องนั้นฉันคิดไว้แล้ว เดี๋ยวฉันจะเอาแผนที่ให้นาย พรุ่งนี้เราจะไปดูกัน”
--------------------------------------------
   ฟ่งถูกพาตัวลงมายังชั้นล่างผ่านทางลิฟต์ที่ต้องใส่บัตรและรหัส ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เขาพบว่าเว่ยเฟิงปิงยืนรออยู่ในชุดสูทลำลองสีน้ำตาลอ่อน ท่ามกลางบรรดาลูกน้องที่ล้อมรอบ
   “เป็นไง เดินเล่นสนุกไหม?” ผู้เจ้านายในที่แห่งนี้เอ่ยทัก ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ ความจริงคือเขาขอกลับมาอยู่ในห้องของตัวเองตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ และตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดขาอยู่
   “ฉันจะออกไปทานข้าวข้างนอก นายก็ไปด้วยกันสิ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากชวน ฟ่งยิ้มแห้งๆ เขารู้ดีว่ามันเป็นแค่คำชวนตามมารยาท ฝ่ายนั้นคงต้องการให้เขาไปด้วยอยู่แล้วแต่แรก ไม่อย่างนั้นจะให้พาตัวเขาลงมาทำไม ความจริงฟ่งรู้สึกดีใจที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้านนอก แต่ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องชุดไม่ได้เพราะชุดที่เขาสวมยังคงเป็นชุดแดงยาวเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะสังเกตความกังวลของเขาออก
   “นายไม่ต้องกังวลเรื่องชุดหรอกนะ ฉันอยากเห็นนายได้จากที่ไกลๆ เพราะฉะนั้นไปทั้งอย่างนี้แหละ”
   ฟ่งยิ้มอย่างคนหมดหนทาง เขาเดินตามเว่ยเฟิงปิงไปยังรถซีดานสีดำที่จอดรออยู่ด้านนอก
   “นายเข้าไปก่อน” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งเปิดประตูรถให้ ฟ่งหันมามองรอบๆ อย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก ก่อนจะมุดเข้าไปในรถ
   “ซื่อเยี่ยน นายมากับฉัน” ผู้เป็นเจ้านายเรียกลูกน้องขณะที่กำลังก้าวเข้าไปในตัวรถ ฟ่งมองดูจางซื่อเยี่ยนเปิดประตูข้างคนขับเข้ามานั่งด้วยสายตาแปลกๆ แล้วรถซีดานคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกช้าๆ
   “แล้วพวกที่เหลือล่ะ?” เขาหันไปถามเว่ยเฟิงปิง เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ในรถเพียงแค่สี่คน
   “เดี๋ยวก็ตามมาน่ะ” อีกฝ่ายตอบเรียบๆ  ในไม่ช้าฟ่งก็พบว่า รถที่ตามมานั้นพอจะนับเป็นขบวนแรลลี่เล็กๆ ได้ขบวนหนึ่ง
----------------------------------------------
   ในที่สุดรถก็แล่นมาจอดในที่จอดรถภายในอาคารของโรงแรมหรูใจกลางย่านธุรกิจ  ฟ่งเดินตามเว่ยเฟิงปิงเข้าไปในโรงแรมโดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามหลัง
   ผู้จัดการโรงแรมออกมาให้การต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากที่ทักทายและคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้นำทุกคนขึ้นไปยังชั้นบน
   ฟ่งพบตัวเองอยู่ในห้องอาหารขนาดใหญ่ที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษ ตกแต่งอย่างหรูหราตามแบบสมัยใหม่ ผนังโดยรอบบุด้วยกระจกตัดแสงทำให้เห็นทัศนียภาพภายนอกได้อย่างชัดเจน แม้ภายในจะเปิดไฟสว่าง
   ชายหนุ่มกวาดตามองรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมานอกตึก และได้เห็นห้องอาหารหรูหราแบบนี้ ฟ่งกวาดตามองจนทั่ว และขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่ามีโต๊ะอาหารอยู่เพียงตัวเดียว ผู้จัดการโรงแรมเชื้อเชิญทั้งคู่เข้าไปด้านใน หนุ่มสวมแว่นนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังที่บริกรเลื่อนออกมาให้ด้วยความประหม่าอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเกร็งเมื่อพบว่ามีแค่เขาและเว่ยเฟิงเท่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกัน
   “นายไม่ต้องแปลกใจไปหรอก โต๊ะนี้มีแค่ฉันกับนายเท่านั้นแหละ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขึ้น เมื่อเห็นฟ่งทำหน้าเลิกลักมองซ้ายทีมองขวาที คนถูกทักหัวเราะแหะๆ ก่อนจะถูกถามต่อ
   “นายอยากทานเครื่องดื่มอะไรล่ะ?”
   ฟ่งมองหน้าบริกรที่ยืนรออยู่ หันกลับมามองเมนู ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจสั่งน้ำเปล่า เว่ยเฟิงปิงหรี่ตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่เข้าใจ บริกรหนุ่มค้อมตัวให้อย่างสุภาพ และเดินออกไป
   ไม่มีบทสนทนาใดอีกหลังจากนั้น ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ได้ยินเสียงเพลงคลาสสิคที่ถูกเปิดไว้เบาๆ ฟ่งพยายามจะนึกหาหัวข้อสนทนา แต่นึกเท่าไรก็ดูจะหาเรื่องที่ฟังดูเข้าท่าไม่ได้สักที
   “คุณ.. เอ้อ.. เป็นเจ้าของโรงแรมหรือครับ” ฟ่งตัดสินใจเริ่มต้นการสนทนาด้วยประโยคคำถาม ชายหนุ่มเผลอกลั้นใจระหว่างที่รอคำตอบ ด้วยกลัวว่าจะถามอะไรผิดหูจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
   “อื้อ ใช่  ขอโทษทีที่ไม่ได้บอกนายก่อน” เว่ยเฟิงปิงตอบ พลางหยิบผ้าเช็ดปากปูลงบนตัก ฟ่งทำตามบ้าง รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก นอกจากเขาและเวยเฟิงปิงแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกเลยจริงๆ
   “แล้ว พวกที่ตามมาล่ะครับ” หนุ่มสวมแว่นกลั้นใจถามต่อ มันเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วน ที่ต้องมานั่งทานอาหารในที่หรูหรากับคนไม่รู้จักเพียงแค่สองคน คนถูกถามตอบเสียงเรียบ
   “อยู่ด้านนอก”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาถามเรื่องที่ไม่ควรจะถามเข้าอีกแล้ว คนพวกนั้นคงมาคอยคุ้มกันเฉยๆ ร่างบางขยับแว่น หันความสนใจมายังคนตรงหน้าแทน แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาเช่นกัน แน่นอนว่าฟ่งเป็นฝ่ายที่หลบตาก่อน เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเบาๆ
   “โทษทีนะ จริงๆ ฉันอยากจะออกมานั่งรถเล่นเฉยๆ” เว่ยเฟิงปิงหยุดไปครู่หนึ่ง “ฉันอยากจะขับรถเอง  แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นไปได้ยาก”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป
   “ฉันรู้ว่านายอึดอัด ความจริงฉันก็อยากจะทำให้มันเป็นเหมือนๆ กับเรื่องปกติ ออกมาขับรถเล่น ทานข้าว ฟังเพลง แต่ว่านะ....”
   เฟิงปิงกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออก เล็งมาทางฟ่ง ก่อนทำเสียงปัง
   “ถ้าทำแบบนั้น บางทีนายอาจจะตาย หรือฉันอาจจะตาย นายอาจจะคิดว่าฉันพูดเล่น หรือคิดอะไรเกินจริง”
   “ไม่หรอก”
   ฟ่งพูด ตอนนี้เขารู้สึกสงสารชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้าขึ้นมา บางทีคนคนนี้อาจจะถูกจำกัดอิสระมากกว่าเขาอีกก็เป็นได้
   เว่ยเฟิงปิงคลี่ยิ้มและพูดต่อ “ดีใจที่นายพูดแบบนั้น เอาเถอะ ถ้านายได้เห็นขบวนคุ้มกันพี่ชายฉัน แล้วนายจะรู้สึกเลยว่าฉันน่ะดูสบายๆ ที่สุดแล้ว”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นทันที เขานึกถึงเรื่องที่จางซื่อเยี่ยนเล่าเมื่อตอนกลางวัน
   “ได้ยินว่าคุณมีพี่น้อง?”
   “อื้อ ซื่อเยี่ยนเล่าให้นายฟังหรือ?” ฟ่งพยักหน้า ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มหน่อยหนึ่ง เป็นรอยยิ้มแบบที่ฟ่งไม่ชอบเอาเสียเลย
   “ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นชอบเล่าเรื่องของฉันให้คนอื่นฟังด้วย”
   “ผมเป็นคนถามเองล่ะ” ฟ่งสวนทันที เว่ยเฟิงปิงรีบโบกมือห้าม “ไม่ๆ อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้โกรธหรอก แค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ นายคงรู้แล้วสินะว่าน้องฉันตายไปสองคน”
   “เสียใจด้วย”
   ร่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามโบกมืออีกครั้ง “นายไม่ต้องรู้สึกร่วมขนาดนั้นหรอก ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าสองคนนั่นด้วยซ้ำ”
   ฟ่งรู้สึกงุนงงกับคำตอบที่ได้รับ ขณะกำลังจะอ้าถาม เว่ยเฟิงปิงก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “ฉันเกิดที่ฝรั่งเศส แม่ฉันเป็นคนฝรั่งเศส”
   ฟ่งครางในลำคอ นั่นอาจจะเป็นคำตอบว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มีดวงตาสีฟ้าใสแบบนั้น
   “ในบรรดาพี่น้องของฉันน่ะ นอกจากพี่ชายกับพี่สาวสองคนแรกแล้ว ที่เหลือไม่มีใครมีแม่เดียวกันหรอก เพราะฉะนั้นถ้ามีใครตายไป ฉันก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเท่าไร”
   ฟ่งรู้สึกขนลุก บางทีชายที่อยู่ตรงหน้าอาจจะอำมหิตมากกว่าที่เขาคิด
   “ตกใจหรือ?” เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วถาม ฟ่งยิ้มแห้งๆ คิดว่าควรจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น
   “เอ้อ แล้วคุณโตที่ฝรั่งเศสเลยหรือครับ?”
   “เปล่า” เว่ยเฟิงปิงตอบปฏิเสธ ก่อนบริกรที่เดินเข้ามาจะยกน้ำวางลงบนโต๊ะ ฟ่งเพิ่งเห็นเครื่องดื่มที่เว่ยเฟิงปิงสั่งไป ดูเหมือนจะเป็นไวน์ขาวชนิดหนึ่ง เขานั่งมองบริกรรินไวน์ลงไปในแก้วไวน์คริสตัลใสแจ๋ว ค่อยประคองแก้ววางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แล้วเดินออกไป
   เว่ยเฟิงปิงยกแก้วขึ้นมาเขย่าเบาๆ กลิ่นหอมละมุนของเครื่องดื่มที่ผ่านการบ่มมาเป็นเวลานานชอนไชเข้าสู่จมูก นัยน์ตาสีฟ้าพริ้มลงอย่างพอใจ ในขณะที่กำลังจะยกขึ้นจิบ ก็เหลือบเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่
   “จะลองรึเปล่า?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้า เรียวยาวคู่นั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจิบไวน์เข้าไปจิบหนึ่ง
   “เมื่อครู่ถึงไหนล่ะ  อ้อ.. นายถามว่าฉันโตที่ฝรั่งเศสหรือเปล่าใช่ไหม?”
   “อื้อ”
   “ฉันอยู่ฝรั่งเศสสักหกปีเห็นจะได้ หลังจากแม่ตายฉันก็ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษ จะบอกว่าฉันโตที่อังกฤษก็ได้นะ” เว่ยเฟิงปิงพูด และยิ้มที่มุมปาก ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นสักนิด เขาเริ่มรู้สึกว่าอดีตที่เลวร้ายอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงกลายเป็นคนแบบนี้
   “ฉันเพิ่งกลับมาฮ่องกงประมาณหกปีเห็นจะได้ แล้วฉันก็ได้พบกับรูฟัส”
   ฟ่งขยับตัวเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาเมื่อเห็นว่าคู่สนทนามีทีท่ากระตือรือร้นเมื่อได้ยินชื่อของชายคนนั้น เขาถามออกไป
   “นายชอบหมอนั่นมากเลยหรือ”
   ฟ่งเบิ่งตากว้างเมื่อได้ยินคำถาม และรีบสั่นศีรษะ
“นายไม่ต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้นก็ได้ ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างถ้านายจะชอบเขามากมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ฉันยังชอบเลย”
   “เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ฟ่งรู้สึกร้อนๆ หู เหมือนจะได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะ
   “ถ้าไม่ได้ชอบ ทำไมนายถึงได้หน้าแดงขนาดนี้”
   “ผมเปล่า” ฟ่งพยายามแก้ตัว รู้สึกร้อนหูหนักเข้าไปอีก เหมือนว่าหน้าจะร้อนด้วย
   “ผม ผมโมโหเขา” สวมแว่นโพล่งออกมา   เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วขึ้น นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “รู้ล่ะ รู้ล่ะ นายนี่ตลกดีนะ”
   คราวนี้ฟ่งคิดว่าเขาควรจะเริ่มโกรธคนตรงหน้าได้แล้ว
   “ฉันรู้แล้วว่าทำไมรูฟัสถึงชอบนาย”
   “ทำไม?”
   “เพราะนายเป็นคนน่ารักไง  ตอนนายอายนี่น่ารักน่าดู”
   “!!” ฟ่งถลึงตาใส่เว่ยเฟิงปิง รู้สึกเหมือนตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนพูดยิ้มๆ “รู้ไหมว่านายทำให้ฉันเริ่มมีอารมณ์นิดๆ แล้ว ถ้าที่นี่เป็นห้องฉันล่ะก็..”
   ฟ่งรู้สึกอยากเดินออกไปให้รู้แล้วรู้เรื่อง เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของฝ่ายตรงข้าม
   “ฉันล้อเล่น  เอาล่ะ มาว่ากันต่อ นายยังอยากฟังอยู่หรือเปล่า?”
   “อืม” ฟ่งตอบห้วนๆ นึงด่าตัวเองอยู่ในใจที่เผลอไปเห็นใจคนแบบนี้เข้า
   “ตอนที่ฉันเจอกับรูฟัส เขาใช้ชื่อว่าปีเตอร์ ตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเล็กๆ เกี่ยวกับเงินค่าคุ้มครองในเขตปกครองหนึ่งของพ่อฉัน” เว่ยเฟิงปิงรู้สึกกระดากปากเมื่อเอ่ยถึงพ่อ ก่อนจะเหลือบไปเห็นสีหน้างงๆ ของคนฟัง จึงอธิบายต่อ “พูดให้ง่ายคือ เขาเป็นเหมือนมดงานตัวหนึ่ง ในรังมดของพ่อฉันนั่นแหละ”
   ฟ่งนึกภาพไม่ค่อยออกเกี่ยวกับวิธีการทำงานของมาเฟีย แต่จะให้อธิบายต่อคงยืดยาว เลยพยักหน้ารับไป
   “ฉันเจอเขาในตอนเช้า หลังจากที่มาจากอังกฤษได้วันหนึ่งพอดี ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุสิบแปด” เว่ยเฟิงปิงเริ่มเล่า นัยน์ตาสีฟ้าใสเหม่อมองออกไปภายนอกกระจก
   “ฉันเพิ่งทะเลาะกับพ่อ พอเปิดประตูออกมาก็เห็นหมอนั่นยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ฉันเลยวิ่งชนหมอนั่นจนเกือบล้ม ฉันรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก พูดไปนายอาจจะไม่เชื่อ ฉันเกลียดพวกยุโรปมาก”
   “ทำไมล่ะ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “ฉันเจอเรื่องไม่ค่อยดีตอนอยู่อังกฤษน่ะ เอาเถอะ หลังจากนั้นฉันก็จ้องจองล้างจองผลาญหมอนั่น แต่ว่าหมอนั่นก็พยายามทำดีกับฉันมาโดยตลอด”
   เว่ยเฟิงปิงยกไวน์ขึ้นมาจิบอีกรอบ ก่อนจะเล่าต่อ “รู้ตัวอีกที ฉันก็เทให้เขาไปหมดใจแล้วล่ะ  ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร เหมือนกับนายนั่นแหละ”
   ฟ่งรู้สึกแผ่นหลังสะท้านน้อยๆ ขณะดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมา
   “เขาหลอกให้ฉันไปเอาเอกสารที่ต้องการมาให้ ฉันก็ทำตาม จะหาว่าฉันโง่ก็ได้ ฉันหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้น ฉันอยากอยู่กับเขา แต่สิ่งที่เขาทำกับฉันคือ จากไปพร้อมกับของโดยทิ้งฉันเอาไว้”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่ารูฟัสจะทำเรื่องร้ายกาจแบบนั้น เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะอ่านใจเขาออก เลยพูดต่อ “นายคงไม่เชื่อสินะ  งั้นฉันจะให้นายดูอะไรบางอย่าง”
   พูดจบก็เริ่มต้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก ฟ่งรีบห้าม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุด ในที่สุดเสื้อเชิ้ตตัวนั้นก็ถูกถอดออก เว่ยเฟิงปิงขยับตัวหันหลังกลับมา ฟ่งเกือบจะหลับตาด้วยความตกใจ ภาพแผ่นหลังนั้นชวนให้ขนลุก
   รอยพาดราวกับปลิงสีแดงยาวจำนวนมากปรากฏอยู่เต็มแผ่นหลังขาวผ่องนั้น  หนุ่มสวมแว่นนั่งตัวแข็งทื่อราวถูกสะกด  เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือแผ่นหลังของชายหนุ่มท่าทางสำอางและถูกเรียกว่าคุณชาย ท่าทางรอยแผลแต่ละรอยคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก
   เว่ยเฟิงปิงหันหน้ากลับมา ใส่เสื้อผ้าและอธิบายเพิ่ม “รอยแผลพวกนี้พ่อฉันเป็นคนทำ ฐานที่ขโมยเอกสารลับไปให้กับคนอื่น  นายคงนึงว่าพ่อฉันทารุณโหดร้าย นั่นก็อาจจะจริง แต่นี่เป็นวิธีการเดียวที่จะไม่ให้คนอื่นเอาอย่าง  ถ้าไม่ยอมลงโทษลูกที่ทำผิด คนอื่นๆ ก็จะหมดความศรัทธาในตัวพ่อไปด้วย”
   “รูฟัสรู้หรือเปล่าว่าคุณจะโดนแบบนี้” ฟ่งถาม รู้สึกสยดสยองกับรอยแผลและสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงได้รับ
   “ไม่รู้สิ นายคิดว่าถ้าเขารู้ เขาจะพาฉันไปด้วยงั้นหรือ?”
   ฟ่งส่ายหน้า “ผมไม่รู้”
   อีกฝ่ายถอนหายใจ “เรื่องราวของเขากับฉันก็จบลงแค่นี้แหละ ถ้านายสงสัย นายลองไปคุยกับซื่อเยี่ยนดูก็ได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะเคยเห็นตอนที่ฉันโดนลงโทษ”
   “อืม” ฟ่งรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ข้อมูลที่ได้รับมาใหม่ทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้น
   รูฟัสเป็นคนแบบไหนกันแน่
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับพญางู ขณะมองใบหน้าคู่สนทนาที่หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
--------------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:56:38
บทที่15 จุดตัดของความฝันกับความจริง
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่ ในตอนที่ลงมาจากรถ ทางเดินภายในตึกที่ปูด้วยหินแกรนิตสีดำดูยาวไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้น
   “คิดเรื่องหมอนั่นอยู่หรือ?”
   ฟ่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบปฏิเสธเสียงค่อย “เปล่า”   
   ร่างบางขยับตัวอย่างอึดอัด เขาอยากกลับบ้าน อยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมด แต่ที่สำคัญคือ เขาอยากรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่
   คงต้องถามรูฟัส…..
   แต่ว่า.. เมื่อไรกันล่ะ  เมื่อไรที่จะได้เจอ เมื่อไร..
   ฟ่งรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ในที่มืดๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีช่างเชื่องช้า และทรมาน
   “สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลย ดื่มอะไรหน่อยไหม?” เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้นอีกครั้ง  ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อแล้ว ตอนนี้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยอยู่ในชุดเสื้อแพรยาวแบบจีนสีเทาอ่อน กระดุมบริเวณคอถูกปลดออกจนถึงหน้าอก กำลังรินเครื่องดื่มอย่างจากขวดกลมสีดำสนิทลงในแก้วก้านสูงที่วางอยู่บนโต๊ะ
   “นั่นอะไรน่ะ?” ผู้ที่นั่งอยู่ถามด้วยความสงสัย
   “Pouilly-Fuissé” เว่ยเฟิงปิงเขย่าของเหลวสีใสในแก้วเบาๆ ก่อนจะตอบคำถาม ชื่อของมันทำให้คนฟังขมวดคิ้ว
   “ไวน์ที่ฉันสั่งไปตอนทานอาหาร นายอยากลองรึเปล่า?”
   ฟ่งส่ายหน้าทันที เว่ยเฟิงปิงยิ้มน้อยๆ “นายกลัวว่าฉันจะใส่ยาลงไปหรือไง?”
   “เปล่า” ฟ่งตอบปฏิเสธ แต่ภายในใจแอบคิดว่าฝ่ายนั้นคงแอบใส่อะไรลงไปด้วยแน่ๆ เขารู้สึกไม่ไว้ใจชายคนนี้เลย
   เว่ยเฟิงปิงกวาดสายตามองแขกของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และก้าวเข้ามาช้าๆ  ใบหน้าเรียวยาวราวกับงูปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก
   “ฉันอยากให้นายลอง” กล่าวพลางยกแก้วก้านยาวขึ้นแตะริมฝีปาก ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายื่นประกบเข้ามา ความรู้สึกหอมหวานในรสชาติของเหลวผสมแอลกอฮอลอันเลื่องชื่อแผ่กระจายไปทั่วทั้งโพรงปาก ขณะปลายลิ้นเรียวล้วงลึกเข้ามาและดึงปลายลิ้นของเขาเข้าไปขบกัดเบาๆ ก่อนจะปล่อยออก
   เว่ยเฟิงปิงเลียริมฝีปาก ขณะที่อีกฝ่ายยังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ฟ่งรู้สึกร้อนๆ บริเวณหูและใบหน้า ในปากยังคงหลงเหลือรสชาติหอมหวาน
   “รู้สึกอยากดื่มขึ้นมาบ้างหรือยัง?” ร่างที่มีใบหน้าเรียวยาวถามขึ้นอีกครั้ง  ฟ่งกะพริบตามองคนตรงหน้า เพิ่งระลึกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของเว่ยเฟิงปิง และกำลังนั่งอยู่บนเตียง
   “ผมไปก่อนดีกว่า” หนุ่มสวมแว่นรีบพูด ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ในสถานการณ์แบบนี้เขาควรจะออกไปให้เร็วที่สุด  แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นออกจะช้าไปเสียหน่อย
   เรี่ยวแรงมหาศาลกดลงตรงไหล่ ผลักเขาจนเสียหลักล้มลงไปบนเตียง ฟ่งรู้สึกตระหนก คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีเรี่ยวแรงมากมายเช่นนี้
   “ฉันไม่ได้คิดจะทำให้นายตกใจหรอกนะ ถ้าเพียงแต่นายจะให้ความร่วมมือสักหน่อย”
   เว่ยเฟิงปิงตวัดขาคร่อมตัวลงมา พร้อมกับขวดไวน์ในมือ ใบหน้าเรียวปรากฏรอยยิ้มน่ารังเกียจ ก่อนจะเทของเหลวสีใสในขวดใส่ร่างที่อยู่เบื้องล่าง  ฟ่งพยายามเบือนหน้าหนี สัมผัสเย็นเยียบของของเหลวที่ตกกระทบใบหน้าไหลผ่านลงไปตามซอกคอทำให้เขาสะดุ้งวาบ ร่างบางพยายามบัดป้อง แต่มือทั้งสองข้างกลับถูกกดไว้เหนือศีรษะ เว่ยเฟิงปิงประกบริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เปรอะไปด้วยไวน์ ก่อนจะบุกรุกเข้าไปอย่างก้าวร้าว
   รสชาติอันนุ่มละมุนและปลายลิ้นที่บุกรุกเข้ามาทำให้ฟ่งรู้สึกสับสน เขาพยายามจะดิ้นหนี ขณะกลิ่นหอมหวานชอนไชเข้าไปในจมูก ไม่นานฟ่งก็รู้ว่าการขัดขืนคงไม่เป็นผล เมื่อเรี่ยวแรงค่อยๆ หายไปทีละน้อย ในหัวรู้สึกเบลอมากขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงถอนริมฝีปากออก นัยน์ตาสีฟ้าใสมองดูร่างบางในชุดสีแดงที่กำลังหอบหายใจอย่างอ่อนระทวยอยู่เบื้องล่าง  ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
   ในตอนแรก เว่ยเฟิงปิงคิดจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเฉยๆ แต่อาการตอบสนองของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดอารมณ์ขึ้นมา ร่างบางก้มหน้าลง สัมผัสปลายลิ้นผิวอ่อนบาง ลิ้มรสไวน์ขาวบนใบหน้าลากโลมลงจนเลยถึงซอกคอ เสียงครางเบาๆ ในลำคอที่ถูกเล็มเลียยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของเขาให้โหมกระพือมากขึ้น
   ฟ่งสะดุ้งวาบ เมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาภายใต้เสื้อ สะกิดปลายยอดสีชมพูอย่างหยอกเย้า
   “อย่า!” ร่างบางส่งเสียงห้าม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดการกระทำ
   “มีอารมณ์นี่” เว่ยเฟิงปิงกระซิบข้างหู ขณะใช้ปลายนิ้วคลึงเคล้นยอดอกสีอ่อนที่เริ่มแข็งขืนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มืออีกข้างจะเลื่อนต่ำลงไปเบื้องล่าง คราวนี้ฟ่งสะดุ้งสุดตัว พยายามจะดิ้นหนีอีกครั้ง แต่แล้วกลับต้องจิกเล็บลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่าย เมื่อส่วนอ่อนไหวตรงหว่างขาถูกอุ้งมืออุ่นตะปบลูบและรูดขึ้นลง
   เสียงครางต่ำๆ พร้อมกับกลิ่นไวน์ที่คละคลุ้ง ยิ่งทำให้ผู้กระทำรู้สึกวาบหวามมากขึ้น เว่ยเฟิงปิงขยับริมฝีปากขึ้นบังคับจูบร่างอ่อนระทวยนั้นอีกครั้ง ปลดเปลื้องชุดแพรสีแดงออก โน้มใบหน้าลงสัมผัสยอดอกสีอ่อน ขยี้ปลายลิ้นพลางดูดดึงราวกับต้องการทดสอบรสชาติ ฟ่งยกมือขึ้นปิดปาก ตัวสั่นเทิ้ม พิษแอลกอฮอลทำให้สติพร่ามึนจนแยกอะไรไม่ค่อยออก จนเมื่อเรียวขาถูกแยกออกกว้าง จึงหลุดชื่อชื่อหนึ่งออกมา
   “ซื่อเยี่ยน”
   เว่ยเฟิงปิงชะงักตัวทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมุ่น ความวูบวาบในตัวพลันสลายหายไปจนหมด ขณะที่ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เขาขยับตัวลุกขึ้น เขม่นมองใบหน้าของร่างที่นอนราบอยู่ ขยับปากเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ผละออกไปอย่างเงียบๆ
   เว่ยเฟิงปิงหยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมากดด้วยนิ้วมือสั่นเทา
----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนพาตัวแขกของเจ้านายกลับมาที่ห้องกักตัว รู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
   เขาเพิ่งได้รับโทรศัพท์สายในจากเว่ยเฟงปิง ซึ่งโทรมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอยู่มาก ทั้งๆ ที่ตลอดวันดูจะอารมณ์ดีแล้วแท้ๆ ครั้นพอมาถึงห้องนอนส่วนตัวของผู้เป็นนาย เขาก็พบแขกซึ่งขึ้นมาด้วยกันนั่งอยู่บนเตียงนอน ในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิง แถมยังมีกลิ่นไวน์ฟุ้งไปหมด จางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เขาพอเดาได้ว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังจะทำอะไร แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเจ้านายของเขาถึงได้ดูหงุดหงิดนัก ร่างบางตวัดสายตาจ้องเขาเขม็ง ราวกับว่าเขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด
   “ขอบใจนะ” ฟ่งพูดเสียงแห้ง พยายามพยุงตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ จางซื่อเยี่ยนทำท่าจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสิ่งแรกที่เขาควรจะทำคือหาเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายผลัดเปลี่ยนก่อน

   สายน้ำเย็นเฉียบตกกระทบศีรษะ ช่วยไล่พิษแอลกอฮอลและเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง ฟ่งก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำ และพบว่ามีเสื้อผ้าวางอยู่บนเตียง จางซื่อเยี่ยนคงกลับไปแล้ว
   หนุ่มสวมแว่นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ และล้มตัวลงนอน เขากลับมาอยู่ในห้องซึ่งเคยเป็นที่กักขังในตอนแรก ซึ่งในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่ามากเลยทีเดียว  ฟ่งรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงเมื่อครู่  และไม่รู้ว่าทำไมต้องเอ่ยชื่อของจางซื่อเยี่ยนออกไปแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดของจางซื่อเยี่ยนที่พูดกับเขาเมื่อเช้า
   “กรุณาอย่าบอกคุณเฟิงปิงว่าคุณชอบรูฟัส”
   คำพูดนี้เล่นเอาฟ่งทำหน้าไม่ถูกทันทีที่ได้ยิน เขาไม่รู้ว่าทำไมลูกน้องคนสนิทของเว่ยเฟิงปิงถึงต้องมาขอร้องเขาแบบนี้  ฟ่งแอบคิดในใจว่า ถึงจางซื่อเยี่ยนจะไม่ขอร้อง เขาก็ไม่คิดจะบอกอยู่แล้ว แต่พอมานึกดูอีกที คำขอร้องนั้นอาจจะมีอะไรมากกว่าที่คิด
 น้ำเสียงและสายตาของจางซื่อเยี่ยนเวลาพูดถึงเว่ยเฟิงปิงนั้นดูผิดแปลกออกไป มันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ก่อนหน้านี้ฟ่งเคยคิดว่าจางซื่อเยี่ยนนั้นเป็นพวกไม่มีความรู้สึก จนเมื่อได้ยินประโยคที่ชายคนนั้นขอร้องออกมา
บางทีจางซื่อเยี่ยนอาจจะแอบชอบเว่ยเฟิงปิงอยู่
ฟ่งคิด แล้วก็อยากจะเอามือตบหัวตัวเองซักป้าบ  นี่เขากำลังคิดให้คนอื่นเป็นเหมือนตัวเองรึเปล่านะ  เขาพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง แต่มันก็ยังค้างคาอยู่ลึกๆ
นี่กระมัง คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเอ่ยชื่อจางซื่อเยี่ยนขึ้นมาในตอนนั้น
ฟ่งอยากจะคุยกับผู้ชายผมยาวคนนั้นซักหน่อย แต่....
ความง่วงค่อยๆ แผ่เข้ามาอย่างช้าๆ ในที่สุดร่างบางก็ผล็อยหลับไป
----------------------------------------
   เช้านี้จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ขึ้นไปที่ที่ทำงานของเจ้านายเขาอย่างเช่นทุกวัน ร่างสูงตรงไปยังห้องที่มีประตูสีขาว ซึ่งใช้เป็นที่พักสำหรับแขก หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือตัวประกัน  ความจริงชายหนุ่มต้องการที่จะขึ้นไปดูอาการของเจ้านายมากกว่า แต่ติดตรงน้ำเสียงของเว่ยเฟิงปิงที่โทรลงมาก่อนหน้านี้นั้นดูขุ่นข้นและจริงจังจนเขาต้องเลือกทำตามคำสั่งโดยไม่ถามอะไรต่อ
   นิ้วเรียวยาวค่อยหยิบกุญแจไขประตูสีขาวนั้นเขาไป  ดูเหมือนคนที่อยู่ในห้องจะยังหลับอยู่  จางซื่อเยี่ยนก้าวเท้าอย่างเงียบกริบราวกับแมวเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะชายตามองร่างบางที่หลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่ม
   เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

   นัยน์ตาสีน้ำตาลปรือขึ้นช้าๆ พร้อมกับบิดตัวอย่างเกียจคร้าน แล้วก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะรีบผุดลุก เมื่อพบว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้อง
   ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างหันหน้ามาเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว กล่าวคำทักทายชืดๆ เช่นเคย
   “อรุณสวัสดิ์”
   “อรุณสวัสดิ์” ฟ่งกล่าวตอบ และยิ้มแห้งๆ เขารู้สึกตกใจนิดหน่อยที่พบว่าผู้ที่เข้ามาคือจางชื่อเยี่ยน แต่ก็ดีกว่าเป็นคนอื่น ชายหนุ่มยังรู้สึกสยดสยองกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
   ถ้าเว่ยเฟิงปิงไม่ยอมหยุด ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
   หนุ่มสวมแว่นรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของตัวเองเมื่อคืน
   “คุณชายสั่งให้ผมมาดูแลคุณ” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ แต่ทำเอาฟ่งสะอึกไปหน่อยหนึ่ง  ร่างบางเกาหัวแกรกๆ บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะเข้าใจอะไรผิด
   ฟ่งยันตัวขึ้นจากเตียง ลุกไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนบ่า และพบว่าจางซื่อเยี่ยนนั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว  ร่างบางนั่งปุลงบนเตียง รู้สึกเหมือนกำลังจะโดนสอบสวน
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอยู่พักใหญ่ ฟ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็เป็นฝ่ายพูด
   “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”
   “เอ้อ..ผมจะเล่ายังไงดีล่ะ” คนถูกถามตอบอย่างลังเล เขารู้สึกดีใจที่จางซื่อเยี่ยนเป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้นก่อน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
   “คือ มันพูดลำบากนะ” ฟ่งเริ่มพูดต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาอยู่
   “ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันพูดลำบาก ไม่ต้องเล่าก็ได้“ จางซื่อเยี่ยนตัดบท  ฟ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรับไม่ได้หรือว่าเกรงใจเขากันแน่ หนุ่มสวมแว่นใช้เวลาคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่พักใหญ่ๆ
   “ผมรู้สึกว่าเมื่อคืนเหมือนคุณจะโดนคุณเฟิงปิงเอ็ด?”
   ร่างสูงเลิกคิ้วหน่อยหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้า
   “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นกังวลหรอก คุณชายเป็นคนอารมณ์ไม่ค่อยแน่นอนอยู่แล้ว”
   “คือว่าเรื่องนั้นผมอาจจะมีส่วน”
   นัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นไหววูบ ฟ่งกลืนน้ำลาย   “เอ้อ..คือว่า..เอ้อ เมื่อคืนคุณเฟิงปิงเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องแผลที่หลังน่ะ”
   สีหน้าของจางซื่อเยี่ยนบ่งบอกถึงความแปลกใจทันทีที่ได้ยิน และกลับเป็นปกติภายในเวลาอันสั้น ฟ่งคิดว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะพูดเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกกับผู้ชายคนนี้
   “เห็นว่านั่นเป็นแผลที่ได้จากคุณพ่อหรือ?”
   “ใช่”
   “เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณเฟิงปิงกับรูฟัสกันแน่” ฟ่งเอ่ยขอ ใจหนึ่งกลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายชิงตัดบทไปเสียก่อน นัยน์ตาสีดำหรี่ลงเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะเล่าดีหรือเปล่า “คุณชายให้คุณมาถามผมสินะ”
   ร่างบางพยักหน้าตอบรับ จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจเฮือก
   “มันเป็นเรื่องเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นคุณชายเพิ่งอายุได้สิบแปด คุณคงรู้แล้วว่าคุณชายไม่ได้อยู่ฮ่องกงมาตั้งแต่เด็ก”
   ฟ่งพยักหน้ารับ
   “ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณชายถึงเจอกับผู้ชายคนนั้นได้ ผมมารู้อีกทีตอนที่คุณเว่ยชิงเรียกพวกเรามารวมกันเพื่อเป็นพยานหลังจากที่จับตัวคนที่ร้ายที่ขโมยข้อมูลลับไปได้แล้ว”
   “พวกเราเองก็รู้สึกงงกับเรื่องที่เกิด คุณเว่ยชิงลงโทษคุณชายต่อหน้าคนที่เข้ามาประชุมในวันนั้น อย่างที่คุณเห็น การลงโทษนั่นสยดสยองเกินกว่าที่จะเป็นการลงโทษในฐานะพ่อลูก  แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ถ้าคุณต้องการให้คนอื่นยังคงเคารพคุณต่อ”
   ฟ่งรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจกับคำพูดของจางซื่อเยี่ยน เขาคิดว่าการใช้ความรุนแรงขนาดนั้นไม่น่าจะเป็นการกระทำของพ่อด้วยซ้ำ ชายคนนี้ไม่คิดสงสารเจ้านายของตัวเองเลยหรืออย่างไร
   “แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?” ฟ่งถามต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน แต่จางซื่อเยี่ยนยังคงเงียบอยู่ เหมือนกับลืมไปแล้วว่ามีคนรอฟัง
   “คุณซื่อเยี่ยน” ร่างบางถามพร้อมกับโบกมือผ่านหน้าผู้ที่นั่งเหม่ออยู่ นัยน์ตาสีอีกาไหววูบ ฟ่งคิดว่าจางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง
   “โทษที”   ร่างสูงพูด ฟ่งมองหน้าเขาอย่างงงๆ ชายที่เหมือนหุ่นยนต์คนนี้กำลังนึกเหม่อไปถึงเรื่องอะไรนะ
   “หลังจากนั้น คุณชายก็ถูกไล่ออกจากแก๊ง ไปเป็นเด็กข้างถนนธรรมดาคนหนึ่ง” จางซื่อเยี่ยนเล่าต่อ ด้วยน้ำเสียงที่แปร่งไป เหมือนว่ากำลังตื่นเต้นหรือเสียใจอะไรซักอย่าง
   “แต่ตอนนี้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่” ฟ่งพูด บางทีเขาอาจจะไปก่อกวนให้อะไรบางอย่างที่ทับถมอยู่ในใจของชายคนนี้ผุดขึ้นมา นัยน์ตาสีอีกานั้นสั่นระริกขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดก็เริ่มเหมือนมีอารมณ์มากขึ้น
   “มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก กว่าที่คุณชายจะมาถึงตอนนี้ได้ ผมน่ะ..”
   จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเฉยๆ ทำเอาอีกฝ่ายทนไม่ได้ต้องถามต่อ “แล้วไงต่อ?”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นห้าม “ช่างมันเถอะ ผมคงต้องไปแล้วล่ะ”
   พูดพลางลุกขึ้น ยิ่งทำให้ฟ่งงงหนักเข้าไปอีก ยังไม่ทันที่จะอ้าปากรั้ง อีกฝ่ายก็ออกประตูไปแล้ว ไม่มีเสียงลั่นกุญแจตามมาเหมือนที่เคย
--------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินมาถึงห้องของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งปุอยู่บนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว หัวใจของชายหนุ่มต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อครู่ถึงได้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจขนาดนั้น หรือเป็นเพราะเรื่องเมื่อหกปีก่อนที่ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดในหัวสมอง
   ร่างสูงพิงตัวกับพนักเก้าอี้
   ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของสมาชิกแก๊งคู่อริ ที่พยายามจะเขาลากเข้าไปในตรอกมืดๆ เพื่อข่มขืนและถ่ายวิดิโอ เว่ยเฟิงปิงในตอนนั้นหากมองไกลๆ ดูคล้ายเด็กผู้หญิงไม่มีผิด ผมตรงสลวยสีดำที่ปล่อยยาวมาถึงกลางหลัง  ร่างที่บอบบาง กับท่าทางดูอ้อนแอ้น จางซื่อเยี่ยนนึกไม่ถึงเลยว่า เด็กผู้ชายที่งดงามคนนี้จะโดนลงโทษอย่างรุนแรงและถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตเพียงลำพังในโลกที่ไม่รู้จัก เขารู้สึกตกใจระคนแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆ ก็ถูกเจ้านายใหญ่เรียกให้เข้าพบ เพื่อมอบหมายให้ไปดูแลความปลอดภัยของลูกชายคนที่เจ็ดอย่างลับๆ
   เว่ยชิงนั้นเป็นคนเด็ดขาด จางซื่อเยี่ยนดูออกว่าเจ้านายใหญ่ของเขาไม่ค่อยที่จะนิยมชมชอบลูกชายคนนี้เท่าไรนัก นอกจากเรื่องที่แอบเอาความลับของแก๊งไปให้สายลับแล้ว ยังมีเรื่องทิ่มแทงใจของคนเป็นพ่อ นั่นคือการที่เว่ยเฟิงปิงไม่ใช่ชายแท้
   แน่นอนว่าในสังคมคนจีนนั้นการมีลูกชายถือเป็นเรื่องดี และมีเกียรติ ไม่ว่าใครก็ต้องการจะมีลูกชายกันทั้งนั้น แต่การที่ลูกชายดันเกิดไม่เป็นชายขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสียหน้าอยู่มาก  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากเขาจะขับเว่ยเฟิงปิงออกจากตระกูล
   แต่เว่ยชิงกลับไม่ทำเช่นนั้น แม้ว่าจะน่าอับอาย แต่เว่ยเฟิงปิงนั้นกลับมีอย่างอื่นมาทดแทนส่วนที่น่ารังเกียจนั้น 
   ความฉลาดปราดเปรื่อง
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเว่ยชิงต้องการจะทดสอบลูกชายของเขา ว่ามีค่าคู่ควรพอที่จะกลับมาร่วมแก๊งอีกหรือไม่ ด้วยการลงโทษดังกล่าว เว่ยเฟิงปิงจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาได้ทำลายข้อบกพร่องประการใหญ่ที่สุด และเป็นข้อผิดพลาดยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ การมีใจให้กับชายที่ชื่อรูฟัส
   ตอนนั้นซื่อเยี่ยนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับรูฟัสมากนัก รู้เพียงแต่ชายคนนั้นแฝงตัวเข้ามาเป็นคนประสานงานติดต่อในสาขาเล็กๆ ทางตะวันตก และในระหว่างการหลบหนีได้จัดการกับสมาชิกหน่วยดำระดับสองไปสี่คน
   ผู้ชายที่น่ารังเกียจ
-----------------------------------------
   ฉึก!
   ปลายโลหะแหลมเรียวราวกับหัวฉมวกปักลงกลางหลังชายคนหนึ่งที่กำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างเพรียวบางอยู่  กลุ่มคนที่เหลือต่างหันมาด้วยความตระหนก  ก่อนที่จะชักปืนออกมา
   นัยน์ตาสีอีกาไม่แม้แต่จะกะพริบตา
   เสียงลวดเส้นเล็กแหวกอากาศหวิว เร็วกว่าปลายนิ้วที่กำลังเหนี่ยวไกปืน เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากบริเวณที่เคยมีมือยื่นออกมา ชายคนที่โดนตัดมือร้องเสียงลั่น ทำเอาพวกที่เหลือตื่นตกใจมากขึ้นกว่าเดิม เด็กหนุ่มได้ยินเสียงขึ้นไกดังกริ๊กๆ นัยน์ตาสีอีกาหรี่ลงอีกครั้ง
   รองเท้าหนังสีดำสนิทย่ำผ่านแอ่งน้ำครำซึ่งตอนนี้ผสมปนเปไปด้วยเลือดที่ไหลนองออกมาจากกองร่าง ซึ่งเมื่อครู่คือกลุ่มคนที่พยายามจะชักปืนออกมายิงต่อสู้
   เด็กหนุ่มวัยสิบแปดสิบเก้าใช้ผ้าสีน้ำตาลผืนเล็กๆ รูดบนเส้นลวดสีเงินยวงเพื่อเช็ดคราบโลหิตออก ก่อนจะจะม้วนมันใส่กระเป๋ากางเกงอย่างใจเย็น ร่างสูงโปร่งสืบเท้าไปยังร่างที่นอนอยู่ภายในตรอก
   จางซื่อเยี่ยนพลิกร่างที่อยู่ในชุดสีขาวนั้นขึ้นมาด้วยความทะนุถนอม ร่างของลูกชายของเจ้านายผู้ซึ่งเขาเทิดทูลเฉกเช่นจ้าวชีวิต
   ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากเมื่อเห็นว่าร่างนั้นยังหายใจแผ่วๆ เว่ยเฟิงปิงนั้นถูกต่อยท้องจนสลบไปตั้งแต่ตอนแรก  จางซื่อเยี่ยนพบว่าหลังของเด็กหนุ่มยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา คงเป็นเพราะบาดแผลจากการถูกโบยยังไม่หายสนิท  เขาตัดสินใจอุ้มร่างของลูกชายหัวหน้าใหญ่ขึ้นบ่าเพื่อพาไปรักษา
   แน่นอนว่าปฏิบัติการทั้งหมดของเขานั้นจะต้องเป็นความลับที่สุด ดังนั้นตลอดช่วงเวลาสองปี จางซื่อเยี่ยนต้องระมัดระวังตัวอย่างมากเพื่อที่จะไม่ให้เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ  แต่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่า การผ่านความเป็นความตายและการอยู่เคียงข้างอย่างเงียบๆ นี้ เปลี่ยนความคิดของเขาที่มีต่อเว่ยเฟิงปิง จากความเคารพในฐานะลูกชายจ้าวชีวิต ไปเป็นความหลงใหลใฝ่ฝัน และปรารถนาในเรือนร่างอันบอบบางนั้น  จนกระทั่งวันที่เว่ยเฟิงปิงกลับเข้ามาในแก๊ง  วันที่จางซื่อเยี่ยนถูกปลดปล่อยจากภาระหน้าที่อันแสนหนังอึ้ง  เขารู้สึกเหมือนว่าวที่ถูกตัดสาย เคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นไม่กี่วัน เขาก็ได้รับคำสั่งจากเว่ยชิงให้มาเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนั้นเองที่เขาได้สำเหนียกตัวเองว่า เขาได้ถลำลึกเข้าไปสู่แดนต้องห้าม ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง จินตนาการที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
   ถึงจะอย่างนั้นนั้น เขาก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:57:15
   รูฟัสเงยหน้ามองตึกสูงสิบสี่ชั้น สภาพเก่าคร่ำคร่า พลางขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ โจวยี่เดินออกมาจากลานจอดรถด้วยใบหน้ายิ้มกว้าง ทำเอาอีกฝ่ายหรี่ตาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
   “แกเล่นตลกกับฉันหรือไง?” หนุ่มชาวรัสเซียถามเสียงเครียด เมื่อเพื่อนเก่าเดินเข้ามาใกล้พอ หนุ่มผมยาวยักไหล่ ทำหน้าชวนทะเลาะ
   “นี่มันตึกของตระกูลเว่ย  แกคิดอะไรของแก!” รูฟัสเดินเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม โจวยี่รีบยกมือขึ้นกั้น
   “เฮ้ย ใจเย็นๆ ฟังฉันก่อน” ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และเริ่มพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นนัยน์ตาสองสีที่ถลึงมา
   “ฉันรู้ว่านี่คือตึกของตระกูลเว่ย  แล้วแกคิดว่าคุณชายเว่ยเขาจะยอมนัดเจอแกที่ไหนก็ได้หรือไง?” รูฟัสหยุดก้าวเท้า มองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนกำลังพิจารณาคำพูด
   “จะรู้ได้ยังไงว่าแกไม่หลอกฉัน?”
   “แกไม่มีทางเลือก” อีกฝ่ายตอบ โดยไม่สนใจว่าผู้ฟังจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
   “ตอนนี้แกยืนอยู่ในฮ่องกง ไม่ใช่ที่ฮังการีหรือรัสเซีย แค่ข้อมูลน่ะมันไม่พอที่เขาจะเสี่ยงออกมาหาแกหรอก สำหรับคุณชายเว่ย ฉันว่าเขาจัดการกับแกได้ไม่ยาก เพียงแต่อาจจะกำลังรอเวลาอยู่ ถ้าแกอยากให้เขาเสี่ยง แกเองก็ต้องเสี่ยงด้วย”
   รูฟัสได้แต่นิ่งอึ้ง  คิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างช้าๆ
------------------------------------
   ร่างบางในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูขาวพาดเส้นแดงเล็กๆ เป็นแนวยาวลงมา นั่งอยู่บนเก้าหนังในห้องทำงาน ด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะโสภานัก  เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องหงุดหงิดนัก กับชื่อคนเพียงคนเดียว
   จางซื่อเยี่ยน
   ทำไมฟ่งต้องเอ่ยชื่อนั้นออกมาตอนนั้นด้วย?
   ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง
   บางทีสองคนนั่นอาจจะมีอะไรกัน
   แต่แล้วหัวสมองก็ต้องรีบปฏิเสธความคิดตัวเอง  คนอย่างจางซื่อเยี่ยนคงไม่มีปัญญาไปทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ
   แล้วฟ่งเอ่ยชื่อจางซื่อเยี่ยนในตอนนั้นเพราะอะไร?
   เว่ยเฟิงปิงอยากจะเรียกตัวทั้งคู่มาถามให้รู้แล้วรู้เรื่อง แต่ทำไมเขาจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้นัก
   ผู้มีฐานะเป็นเจ้านายในตึกนี้หยิบเอกสารที่วางอยู่มาอ่านแก้หงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อสังเกตเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดเอสี่ปิดผนึกเรียบร้อยซองหนึ่งวางซ้อนอยู่ใต้กองเอกสาร นิ้วเรียวหยิบซองนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง มีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ด้านหน้า
   เป็นลายมือที่เขาเขียนลงบนกระดาษที่แนบไปกับเอกสารแผ่นหนึ่งเมื่อวาน
   รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียวดั่งพญางูนั้น เว่ยเฟิงปิงหยิบแฟ้มเอกสารสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิด ก่อนจะดึงเอกสารที่เขาอ่านค้างอยู่เมื่อวานขึ้นมา  แล้วจึงหยิบโทรศัพท์สายในขึ้นมา
-------------------------------------
   ประตูสีขาวบานใหญ่ถูกแง้มเปิดออกมาเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองออกมาอย่างหวาดๆ และพบว่าไม่มีใครอยู่หน้าประตูห้อง ฟ่งค่อยๆ เปิดประตูออกมา มองซ้ายมองขวา แล้วรีบวิ่งไปยังทางเดินในส่วนที่มีลิฟต์ ร่างบางกดลิฟต์ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน จะออกจากที่นี่ได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ เขาต้องออกไปให้ได้
   เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินแกรนิตดังขึ้นทางด้านหลัง  ฟ่งกำมือด้วยความตื่นเต้น  เขาควรจะวิ่งไปหลบที่อื่น หรือรอให้ลิฟต์เปิดดี? หนุ่มสวมแว่นหันมองไปอีกฟากหนึ่ง และพบว่ามันเป็นทางเดินยาวที่ไม่มีแม้แต่กระถางต้นไม้ให้หลบ
   ในขณะที่เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้จนแทบจะถึงตัว ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฟ่งรีบพุ่งเข้าไปด้านใน และรีบกดปุ่มปิดประตูอย่างเร่งร้อน หัวใจเขาเต้นแทบกระดอนหลุดออกจากอก เมื่อเห็นผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเดินผ่านหน้าลิฟต์ไป
   ฟ่งมองปุ่มกดในลิฟต์ และพยายามกดไปที่ชั้นG กดอยู่ได้สักพักลิฟต์ก็ยังไม่เคลื่อนไปไหน เมื่อสำรวจแผงควบคุมดูอีกทีถึงได้รู้ว่าต้องใช้การ์ดเสียบลิฟต์จึงจะทำงาน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า ฟ่งเงยมองด้านบนลิฟต์ พบว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า  แบบนี้คงหนีไม่พ้นแน่ๆ แต่จะทำยังไงต่อไปดี
   กลับไปอยู่ที่เดิม หรือไปต่อ?
   ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจ กล่องเหล็กสี่เหลี่ยมก็เริ่มขยับ
------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเฮือก ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ร่างสูงรีบกุลีกุจอไปรับโทรศัพท์  เสียงปลายสายเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
   “ขึ้นมาเจอฉันหน่อย”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับคำ น้ำเสียงของเจ้านายนั้นดูราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น  ร่างสูงวางโทรศัพท์ ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไปทันที
-------------------------------------------
   “แกคิดว่าไง?” โจวยี่พูด ขณะที่คนทั้งคู่เดินลงมาจากตัวตึก  ผู้ถูกถามหันมามอด้วยสีหน้าแสดงความสงสัย
   “ถามถึงอะไร แผนของแกงั้นรึ?”
   “อืม”
   “แล้วฉันมีทางเลือกหรือไง?” รูฟัสพูดพลางทำหน้าเฉยชาเหมือนคนปลงตก  โจวยี่หัวเราะชอบใจในท่าทางของเพื่อน
   “แล้วตกลงแกจะนัดกับคุณชายเว่ยวันไหน ฉันจะได้จัดการให้”
   นัยน์ตาสองสีคู่นั้นหรี่ลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่น่าตกใจ “วันนี้เลย”
   “ว่าไงนะ?!”
   “แกขับรถพาฉันไปที่ตึกของเด็กนั่นหน่อยสิ”
   ฝ่ายถูกขอทำตาเหลือก “เฮ้ย! แกจะบ้าหรือเปล่า ไม่ต้องไปถึงที่นั่นก็ได้ แค่โทรศัพท์ไปก็พอ”
   รูฟัสเดินมาหยุดที่รถ “อย่างนั้นแกช่วยโทรหาเด็กนั่นตอนที่ฉันไปที่ตึกนั่นด้วย”
   โจวยี่ร้องด้วยความตกใจ “แกบ้าไปแล้วหรือไง จู่ๆ ก็จะถ่อไปที่นั่น เกิดถูกล้อมจับ เดี๋ยวก็จบเห่กันพอดี”
   ริมฝีปากได้รูปปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แบบนั้นแหละดี ฉันอยากแสดงให้เด็กนั่นเห็นว่า ฉันยอมเสี่ยงขนาดไหน”
   โจวยี่ได้แต่มองหน้าเพื่อนแล้วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเปิดประตูรถออก รูฟัสก้าวเข้ามาในรถ แล้วรถเก๋งฮอนด้าสีแดงเพลิงก็แล่นออกไป
----------------------------------
   เด็กหนุ่มผู้มีปานสีเขียวขนาดใหญ่ที่คอ หรือที่ถูกเรียกว่าอาเง็ก ถอดหูฟังออกอย่างลืมตัว ประโยคที่ได้ยินจากเครื่องดักฟังเมื่อครู่ทำเอางงไปพักใหญ่
   ผู้ชายที่ชื่อว่ารูฟัสกำลังจะมาที่นี่
   ชายที่เจ้านายของเขาต้องการตัวมากที่สุด และทุ่มเทเวลาในการเสาะหาตัวชายคนนี้นานที่สุด
   อาเง็กไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับชายคนนี้มากนัก เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่หลังจากที่เรื่องผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ที่แน่ๆ เมื่อไรที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายคนนี้ เจ้านายที่เขาเคารพรักมักมีอาการแปลกๆ อยู่เสมอ  เด็กหนุ่มเข้าใจว่านั่นคงเป็นเพราะความแค้นที่สั่งสมมาจากอดีต  อย่างไรก็ดี เรื่องที่ชายคนนั้นจะมาที่นี่เขาควรที่จะรายงานให้เจ้านายทราบทันทีหรือเปล่า?  อาเง็กทราบดีว่าไม่ช้าไม่เร็ว เว่ยเฟิงปิงก็ต้องรู้อยู่ดี  เขาควรจะบอกเสียแต่ตอนนี้ หรือจะรอไปอีกสักพักก่อน
   ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจ เสียงโทรศัพท์ไร้สายภายในก็ดังขึ้น
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินฉับๆ มายังประตูบานสีขาว ร่างสูงเพิ่งระลึกได้ว่า เขาทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง นั่นคือลืมล็อกประตูห้องขัง  ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไป และพบว่าภายในห้องว่างเปล่า  จางซื่อเยี่ยนหยิบโทรศัพท์ไร้สายที่เสียบอยู่ในห้องมากดเบอร์ภายใน ก่อนจะเดิน ฉับๆ ไปที่หน้าลิฟต์
   เขาควรจะรายงานเจ้านายว่าอย่างไรดี
------------------------------------
   อาเง็กยืนอยู่หน้าลิฟต์ โทรศัพท์ที่เข้ามาเมื่อครู่ทำให้เขาต้องผละจากห้องในทันที ดูเหมือนเจ้านายของเขาต้องการจะเรียกประชุมด่วน  เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าควรจะบอกเรื่องราวที่ได้ยินให้เจ้านายได้รับทราบ ก่อนที่จะเอาเทปมาให้  เขาเชื่ออย่างมั่นใจว่าในที่สุดเจ้านายจะต้องได้ตัวชายคนนั้น  เพราะเว่ยเฟิงปิงเป็นคนที่ทำงานไม่เคยพลาด  ถึงอย่างนั้นอาเง็กก็ยังรู้สึกเป็นห่วง เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่เป็นเรื่องของชายคนนั้น เว่ยเฟิงปิงจะมีอาการแปลกๆ ทุกที
--------------------------------------------
   ประตูลิฟต์เปิดออก ฟ่งรู้สึกเหมือนอาบน้ำมากกว่าเหงื่อออก  ร่างบางแทบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า
   อาเง็กรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เมื่อพบว่าคนที่อยู่ในลิฟต์เป็นคนที่เรียกกันว่า “แขก”
----------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงวางโทรศัพท์ ก่อนจะหยิบเอกสารในซองสีน้ำตาลขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะพลิกดูจนหมด เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
เว่ยเฟิงปิงมองชื่อที่แสดงบนมือถือแล้วปล่อยให้มันดังอยู่พักใหญ่  ก่อนจะตัดสินใจกดรับ
   “ЗДравствуйте”
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกชาไปทั่วทั้งร่าง
-------------------------------------
   ความคิดแวบแรกในหัวฟ่งคือ ปิดลิฟต์  ชายหนุ่มรีบเอามือกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ทันที อาเง็กเบิ่งตาด้วยความตกใจ รีบเอามือขวางประตูลิฟต์และแทรกตัวเข้าไป  ฟ่งพยายามจะผลักเด็กหนุ่มออก ขณะเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ไปเรื่อยๆ  อาเง็กรู้สึกเหมือนโดนคีมหนีบเมื่อประตูลิฟต์ปิดงับเข้าที่กลางตัวพอดี เขาพยายามใช้มือข้างที่ยื่นเข้าไปในลิฟต์กระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายและดึงเอาไว้ ทำให้ฟ่งต้องพยายามดึงตัวเองกลับเข้าไปในลิฟต์ ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ อาเง็กกัดฟันกรอด รู้สึกโมโหกับเรื่องที่ไม่เข้าใจตรงหน้ามากขึ้นทุกที เด็กหนุ่มแข็งใจออกแรงกระชากด้วยอารมณ์โทสะ ฟ่งเซถลามาด้านหน้า จังหวะนี้เองที่ทำให้ประตูลิฟต์เปิดออก หนุ่มสวมแว่นกระชากตัวกลับด้วยสัญาชาตญาณ อาเง็กที่เพิ่งหลุดออกจากง่ามประตูลิฟต์ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกดึงให้หลุดเข้าไปด้วย ร่างของทั้งงคู่กระแทกเข้ากับผนังลิฟต์ แล้วประตูเหล็กก็ปิดลง
ฟ่งพยายามจะเอื้อมไปกดปุ่มเปิดประตู สถานการณ์ของเขากำลังย่ำแย่ ตอนนี้เขาดึงเอาฝ่ายศัตรูเข้ามาในลิฟต์  อาเง็กคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เพื่อไม่ให้ไปถึงปุ่มกด ฟ่งเซถอยหลังกลับมา ชายหนุ่มสวมแว่นเงื้อหมัดขึ้น แล้วทั่งคู่เริ่มแลกหมัดกันอุตลุด ขณะที่ตัวลิฟต์เคลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ

   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวเองกดลิฟต์เหมือนคนบ้า มือขวาข้างที่ถือโทรศัพท์สั่นจนแทบจะทำมันหลุดมือ เขานึกอยากจะวิ่งลงบันไดหนีไฟแทนขึ้นลิฟต์ไปให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ว่าใครจะใช้ลิฟต์อะไรตอนนี้กันนักหนา

   จางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากเว่ยเฟิงปิงเท่าไรนัก เขาเริ่มรู้สึกว่าการวิ่งลงบันไดน่าจะเร็วกว่าใช้ลิฟต์เป็นไหนๆ เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่ดูไร้ความรู้สึก ขณะที่กล่องเหล็กเคลื่อนที่ตามระบบของมัน ช่างดูขัดกันเสียนี่กระไร จางซื่อเยี่ยนไม่ได้แจ้งให้ทางหน่วยความปลอดภัยแจ้งสัญญาณเตือนภัย เขาไม่ต้องการให้มันวุ่นวาย ยังไงเสียนักโทษก็หนีไม่รอด แต่เขาจำเป็นต้องแจ้งการมาที่ล่าช้าให้เจ้านายทราบเสียก่อน  ในชีวิตจางซื่อเยี่ยนไม่เคยประสบเหตุลำบากใจขนาดนี้เลย  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำพลาด หนำซ้ำยังพลาดเรื่องที่ไม่ควรจะพลาดอีกด้วย

   ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองจะต้องตายคากำปั้นแน่ๆ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่มีทางหนี ร่างบางเริ่มใช้เท้าในการป้องกันตัว แต่แล้วจู่ๆ กล่องเหล็กนั้นก็หยุดกึก พร้อมกับประตูที่เปิดออก

   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่าประตูช่างเปิดช้า เขาแทบจะยื่นมือไปแหวกมันออกไป ก่อนที่มันจะเปิดจนสุดเสียอีก

   “คุณชาย!”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอุทานของคนสองคนพร้อมกัน แต่ใจจังหวะนั้น เขากำลังอึ้งกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามากกว่า
   ลูกน้องของเขากำลังต่อยกับเชลยที่สมควรจะอยู่ในห้องขังมากกว่าในลิฟต์  นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!
   “ซื่อเยี่ยน!!!” เว่ยเฟิงปิงกรีดเสียงออกไปอย่างเกรี้ยวกราดในทันที และพบว่าลูกน้องเจ้าปัญหาเพิ่งก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวข้างๆ  นัยน์ตาสีฟ้ายาวเรียวถลึงตาใส่ผู้ที่ถูกเรียกด้วยความเกรี้ยวโกรธ ก่อนจะก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปในลิฟต์ แล้วประตูลิฟต์ก็ปิดลงอีกครั้ง
   จางซื่อเยี่ยนยืนมองด้วยสายตาบอกไม่ถูก

   อาเง็กไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไร หรือสมควรจะทำหน้าอย่างไรกันแน่กับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เจ้านายของเขายืนหันหลังท่าทางเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา ที่สำคัญเว่ยเฟิงปิงทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในลิฟต์
   ฟ่งเองก็รู้สึกงุงงง และอึดอัดไม่แพ้กัน จะรู้สึกโชคดีอยู่หน่อยตรงที่อย่างน้อยก็ไม่โดนต่อยอีก ชายหนุ่มยกแขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลซึมตรงมุมปาก ก่อนจะคิดปลงตกกับตัวเองว่าคงไม่รอดแล้วแน่ๆ

   เว่ยเฟิงปิงรู้ตัวว่ามีเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาจากแผ่นหลังจนเปียก นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน! ทำไมคนที่น่าจะอยู่ในห้องขังถึงได้มาชกต่อยอยู่ในลิฟต์กับลูกน้องเขาแบบนี้ ชายหนุ่มอยากจะสะสางปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้รู้เรื่องก่อน แต่เสียงที่ปลายสายนั้นมีแรงกระตุ้นมากกว่า

   ประตูลิฟต์เปิดออก อาเง็กรู้สึกตกใจกับการกระทำของเจ้านาย เมื่อเว่ยเฟิงปิงกระชากฟ่งออกจากลิฟต์ ก่อนจะลากคอออกไปตรงระเบียงที่บุด้วยกระจกใส

   “เฟิงปิง ฉันมาแสดงความจริงใจต่อหน้าเธอ ว่าฉันต้องการจะแลกเปลี่ยนกับเธอจริงๆ”
   เสียงปลายสายนั้นเป็นเสียงที่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยลืม เสียงที่เขาถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเพราะรักหรือเกลียด เสียงนั้นก็กระตุ้นให้เขามาจนถึงระเบียงที่สามารถจะมองลงไปเห็นด้านล่างของตึกได้อย่างชัดเจน
   รถเก๋งสีแดง
   นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเหมือนคนบ้า กวาดสายตาเพื่อหาสิ่งที่เขาต้องการ และในที่สุด รถเก๋งสีแดงคันนั้น.....
   “ฉันรู้ว่าเธอมองเห็นฉัน เฟิงปิง”
   ใช่แล้ว บุคคลที่ไม่ได้พบเจอมากว่าหกปี คนที่มองเห็นอยู่ลิบๆ อยู่เบื้องล่าง ถึงอย่างนั้น เว่ยเฟิงปิงก็แน่ใจว่าใช่ผู้ชายคนนั้นแน่ๆ
   “รูฟัส” ร่างบางเอ่ยชื่อนั้นออกไปอย่างยากลำบาก  และชื่อนั้นเองทำให้ฟ่งซึ่งถูกดึงคอเสื้ออยู่หันมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
   “ว่าไงล่ะ เธอตกลงจะรับคำเชื้อเชิญของฉันหรือเปล่า?”
   เว่ยเฟิงปิงเม้มปากแน่น เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง อารมณ์อันพลุ่งพล่านทำให้เขาต้องเสียเวลาเค้นคำพูดอยู่นาน
   “คุณมีอะไรมาเสนอให้ผม?”
   “ข้อมูลของริเวิล”
   รูฟัสรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย  เล่นเอาใจหายวูบ หรือเขาคิดเรื่องที่มาต่อรองผิด
   “ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณมีข้อมูลนั้นจริงๆ แน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่หลอกผม?”
   “นั่นต้องถามตัวเธอเอง ที่เธอตามหาฉันไม่ใช่เพราะข้อมูลของรีเวิลหรอกหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้ง  เสียงหัวเราะนั้นบางเวลาดูเหมือนเสียงร้องไห้
   “ตกลง อีกสองวันผมจะไปเจอคุณตามเวลานัด”
   “เดี๋ยวก่อน” รูฟัสพูดรั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะตัดสาย “ฉันขอพูดกับตัวประกันหน่อยได้ไหม ฉันอยากแน่ใจว่าคนของฉันปกติดี”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้มอย่างน่าเกลียด ฟ่งมองใบหน้านั้นแล้วไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกขยะแขยงหรือสงสารดี เว่ยเฟิงปิงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
   “คุณขอมากเกินไปแล้ว  ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้ ตอนนี้คนของคุณอยู่ข้างๆ ผม คุณคงอยากให้เขามองลงไปเห็นคุณ  ว่าไงล่ะฟ่ง นายลองมองลงไปสิ ที่รถสีแดงน่ะ”
   รูฟัสใจเต้น ฟ่งกำลังมองลงมาล่ะหรือ ร่างสูงเงยขึ้นไป ด้วยความหวังว่าจะมองเห็นบ้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกระจกทั่วทั้งตึกสะท้อนแสงจากภายนอก
   ฟ่งมองตามลงไปตามคำบอก และประสบกับสายตาที่มองขึ้นมาอย่างบังเอิญ รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ  เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจ เสียใจ หรือว่าหวาดกลัวดี  ร่างบางถอยหลังก้าวหนึ่ง และไม่กล้ามองลงไปอีก
   เว่ยเฟิงปิงระเบิดหัวเราะเสียงลั่น
   “ประทับใจมาก รูฟัส ผมอยากให้คุณเห็นท่าทีของแฟนคุณตอนนี้จริงๆ ท่าทีหลังจากที่เขารู้แล้วว่าคุณเป็นใคร  อย่าคิดเล่นตุกติกกับผมเป็นอันขาด อีกสองวันผมจะไปเจอหน้าคุณ”
   “ฟ่ง!!” รูฟัสตะโกนกรอกโทรศัพท์ แต่เสียงที่ได้รับกลับมาคือสัญญาณการตัดสาย
   “เฮ้ย แกจะทำอะไรว่ะ!?” โจวยี่พูด พลางฉุดมือเพื่อนที่ทำท่าจะเดินจ้ำอ้าวเข้าไปที่ตัวอาคาร
   “ฉันจะไปหาฟ่ง” รูฟัสพูดใส่หน้าเพื่อนอย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ และพยายามที่จะเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจการทัดทาน  โจวยี่ขบกรามกรอด ก่อนจะต่อยใส่เพื่อนหมัดหนึ่ง ทำเอาร่างสูงใหญ่เซถลา
   “แกใจเย็นๆ แล้วตั้งสติก่อนได้ไหม!”
   นัยน์ตาสองสีเหลือกขึ้นมามองเพื่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะถ่มเลือดลงบนพื้น
   “โทษที”   
--------------------------------------------------
   “คุณชายครับ?” อาเง็กเอ่ยถามขึ้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ หลังจากที่เว่ยเฟิงปิงวางโทรศัพท์ไปแล้ว  ผู้ถูกถามโบกมือ ขณะมองรถคันสีแดงถอยออกไป
   “อาเง็ก เธอเอาหมอนี่กลับไปที่ห้อง ส่วนนายไปกับฉัน”
   เว่ยเฟิงปิงหันมาทางจางซื่อเยี่ยน ซึ่งมายืนรอรับคำสั่งอยู่แล้ว ทั้งคู่พยักหน้ารับคำสั่งเจ้านาย ก่อนที่ฟ่งจะถูกหิ้วปีกออกไป
-----------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:58:04
บทที่16 อ่อนแอ
   “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!” เว่ยเฟิงปิงถามเสียงเครียด  จางซื่อเยี่ยนยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นนาย พยายามจะเค้นสมองเพื่อหาคำตอบที่ดูเหมาะสม
   “ทำไมนายถึงปล่อยให้ตัวประกันหนีออกมาได้?”
   “ผมลืมล็อกประตู”
   นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้างด้วยความแปลกใจ เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด เว่ยเฟิงปิงกวาดตามองลูกน้องก่อนจะถามอีกรอบ “นายพูดว่าลืมล็อกประตู?”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเอามือลูบหน้า สงสัยวันนี้ลูกน้องของเขาคงเครื่องรวน ปกติจางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่ประมาทเลินเล่อแบบนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผู้เป็นหัวหน้าต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนา
   “เข้ามา”
อาเง็กเปิดประตูเข้ามาหลังจากเสียงอนุญาต เด็กหนุ่มค้อมตัวให้เจ้านาย ก่อนจะหยุดยืนอยู่หลังผู้มีอาวุโสกว่า  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “เอาเถอะ พักไอ้เรื่องบ้าๆ นี่ไว้ก่อน พวกนายจำเรื่องยิงกันที่ผับสกาล่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไหม”
   “ครับ”
   “คุณเจียงที่เป็นเจ้าของผับทำจดหมายมาถึงฉัน ขอความช่วยเหลือเรื่องเงินทุน”
   “แต่ผับนั่นอยู่ใต้การคุ้มครองของริเวิลนี่ครับ” อาเง็กแย้ง
   “ก็ใช่ ในจดหมายคุณเจียงแจ้งว่าเขาต้องการจะออกจากการคุ้มครองของริเวิล เพราะเหตุยิงกันนั้นทำให้ธุรกิจของเขาเสียหาย”
   “หมายความว่าคุณเจียงต้องการให้เราเข้าไปคุ้มครองเขาแทน แบบนั้นก็ดีสิครับ”
   “ตอนแรกฉันก็คิดว่าอย่างนั้น แต่พอมาคิดดูอีกที ริเวิลไม่น่าประมาทขนาดปล่อยให้มีเหตุการณ์ยิงกันในผับ  ฉันเลยแอบส่งคนไปสอดแนมที่นั่น แล้วนี่คือสิ่งที่ได้มา”
   เว่ยเฟิงปิงโยนซองกระดาษสีน้ำตาลให้อาเง็ก เด็กหนุ่มรับไปเปิดดู ภายในนั้นมีภาพถ่ายและเอกสารจำนวนหนึ่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย
   “นั่นเป็นภาพที่คนของเราถ่ายได้ และคำพูดที่ได้จากเครื่องดักฟังในห้องทำงานของคุณเจียง”
   ผู้เป็นเจ้านายเว้นระยะคำพูด จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังจะบอกเรื่องสำคัญ
   “เจียงหลุนกำลังสมคบคิดกับริเวิล คิดจะหลอกลวงฉัน”
--------------------------------
   ฟ่งนอนซมอยู่บนเตียง ปวดไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ร่างบางขยับผ้าเย็นที่แม่บ้านเอามาให้ประคบรอยช้ำ  ความเจ็บปวดบนร่างกายยังไม่เท่าสิ่งที่จิตใจเขากำลังเผชิญ
   ชั่ววินาทีที่เขาสบตากับรูฟัส  ฟ่งรู้ตัวว่าเขากลัวชายคนนั้น
   เป็นความกลัวที่วิ่งเข้ามาจับหัวใจให้ดำดิ่งลงไปในความมืด ด้วยความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา รูฟัสคนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก ไม่สิ เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้จริงๆ เลยต่างหาก ฟ่งชักไม่แน่ใจแล้วว่า เขาอยากจะให้รูฟัสมาช่วยหรือเปล่า อยากจะกลับไปกับรูฟัสไหม?
   ความคิดนั้นทำให้ฟ่งรู้สึกกลัวตัวเอง หดหู่และหมดหวัง
   เขาไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
--------------------------------
   เสียงปืนดังก้องอยู่ในอากาศ กลิ่นเขม่าปืนลอยฟุ้ง ปลอกกระสุนปลอกแล้วปลอกเล่า ร่วงหล่นลงสู่เคาท์เตอร์ซีเมนต์ซึ่งใช้กั้นระหว่างผู้ยิงกับเป้าซ้อม
   โจวยี่นั่งเอามือเท้าคาง มองเพื่อนผ่านกระจกกันเสียงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
   “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”
   โจวยี่สะดุ้ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
   “เธอลงมาที่นี่ทำไม?” ชายหนุ่มถาม ขณะที่เด็กหนุ่มร่างบางเดินผ่านประตูเข้ามา
   “ผมไม่เห็นคุณขึ้นไปข้างบน อาปิงบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ ผมเลยลงมาดู”
   โจวยี่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
   “ที่นี่ไม่เหมาะกับเธอหรอกนะ กลับขึ้นไปเถอะ”
   “แต่ว่าอีกสองชั่วโมงบ่อนจะเปิดแล้วนะครับ” แดเนียลกล่าว พลางเบียดตัวเข้ามาใกล้  โจวยี่หันไปมองเพื่อนที่ยังคงอยู่ในห้องซ้อมยิงปืน แล้วหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม
   “งั้นเธอขึ้นไปก่อน อีกสักพักฉันจะตามไป”
   แดเนียลเงยหน้าขึ้นมองโจวยี่ด้วยสายตาออดอ้อน ก่อนจะถอยออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก  โจวยี่ได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆ
   “น่ารักดีนะ”
   ร่างสูงรีบหันไปมองตามเสียงพูด รูฟัสเดินออกมาจากห้องซ้อมยิง กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือที่เปื้อนเขม่าปืนอยู่
   “หายหงุดหงิดแล้วหรือไง พ่อรูปหล่อ”
   “อืม” รูฟัสรับคำ โดยไม่มองหน้าเพื่อน
   “เพิ่งรู้ว่าแกกับราฟาแอลมีงานอดิเรกเหมือนกันนะนี่”
   นัยน์ตาสองสีเหลือบมองมาอย่างประสงค์ร้าย  โจวยี่รีบเปลี่ยนท่าที
   “เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูบ่อนหน่อย  แกอยู่นี่ไปก่อนแล้วกัน  แล้วอย่าทำอะไรบ้าๆ ล่ะ” ร่างสูงพูด พร้อมกับรีบจ้ำออกไปโดยทันที รูฟัสถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   ทำอะไรบ้าๆ งั้นหรือ
   ชายหนุ่มเดินไปที่อ่างล้างมือ เปิดน้ำออกมาล้างหน้า คำพูดของเว่ยเฟิงปิงเหมือนทั่งเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกโยนใส่หัวของเขา
   รูฟัสรู้ว่าไม่นานฟ่งจะต้องรู้ความจริง เขาพยายามจะไม่คิดถึงข้อนั้น ปฏิกิริยาของฟ่งเมื่อได้รู้ตัวจริงของเขาแล้วจะเป็นอย่างไร รูฟัสไม่อยากรับรู้เลยจริงๆ ตอนนี้เขาต้องการเพียงแค่ช่วยฟ่งออกมาให้ได้ก่อน แต่ถ้าฟ่งไม่ยอมมากับเขาล่ะ ถ้าฟ่งเกิดกลัวเขาขึ้นมา
   รูฟัสพยายามสลัดความหวั่นไหวบ้าๆ นั่นทิ้ง นัยน์ตาสองสีจ้องมองหน้าตัวเองในกระจก
   เขาจะต้องเอาตัวฟ่งกลับมาให้ได้
--------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก เมื่อถูกเฟิงปิงค่อนแคะเรื่องประตูหลังจากที่อาเง็กออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้านายจะหาเรื่องไม่ไว้วางใจเขา
   “ถ้านายเป็นแบบนี้อีก ฉันจะบอกคุณพ่อให้ย้ายนายกลับไปหน่วยดำ”
   “ครับ” ชายหนุ่มรับคำเสียงเรียบๆ นึกทุเรศตัวเองที่สะเพร่ากับเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เว่ยเฟิงปิงกวาดตามองลูกน้องของเขาอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียง
   “นายไปจัดการเรื่องที่ฉันสั่งให้เรียบร้อย  อย่าลืมตามอาคุนกับอาหมิงมาด้วยล่ะ”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แล้วเดินออกไป เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่จากกล่องขึ้นมาจุด ควันสีขาวลอยฟุ้งไปทั่วห้อง
   ผู้ชายคนนั้นมาแล้ว
   ร่างบางใช้เวลากับบุหรี่จนหมดมวน ก่อนจะออกจากห้องไป
   เว่ยเฟิงปิงเดินมาหยุดหน้าประตูสีขาว ก่อนจะไขกุญแจเข้าไปอย่างแผ่วเบา เดินช้าๆ ไปยังเตียงนอน ดูเหมือนเชลยของเขากำลังหลับอยู่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียง จ้องมองใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่พักใหญ่

   ฟ่งสะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกเหมือนมีมือมาแตะบริเวณใบหน้า แล้วก็พบว่าเว่ยเฟิงปิงนั่งอยู่ข้างๆ
   “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายตื่น” ผู้ที่นั่งอยู่กล่าว ก่อนจะเอ่ยสืบต่อ “เวลานอนนายไม่ต้องทำคิ้วย่นก็ได้”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิงครู่หนึ่ง
   “ผมควรจะทำยังไงดี?” ร่างบางเอ่ยเสียงแห้ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้า “ผมเหนื่อย ผมอยากกลับบ้าน ผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับพวกคุณอีกแล้ว”
   “นายร้องไห้หรือ?” เว่ยเฟิงปิงถามด้วยเสียงเหมือนรู้อยู่แล้ว ฟ่งไม่ตอบคำถาม แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
   “นายกำลังกลัว หรือว่านายกำลังเสียใจกันล่ะ?"
   “ผมอยากกลับบ้าน” ฟ่งตอบไม่ตรงคำถาม เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “ผมต้องทำยังไงถึงจะได้กลับบ้าน
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “นายไม่รอรูฟัสแล้วหรือ?”
   คำถามนั้นทำเอาใบหน้าที่เดิมดูสลดอยู่แล้ว ยิ่งสลดหนักเข้าไปอีก
   “ผม..” ฟ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พยายามใช้มือเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา แต่มันยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ จนเปียกไปทั้งใบหน้า เว่ยเฟิงปิงมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความสะท้อนใจ
   “นายกลัวเขาใช่ไหม?” คราวนี้ฟ่งพยักหน้า มือยังคงพยายามจะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด เว่ยเฟิงปิงยื่นมือจับใบหน้านั้นให้หันกลับมา
   “สัญญากับฉันสิ” ร่างบางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “สัญญาว่านายจะไม่ไปกับหมอนั่น แล้วฉันจะส่งนายกลับบ้าน”
   “จะปล่อยผมกลับไปจริงๆ หรือ?” ฟ่งทวนคำ พยายามมองฝ่าม่านน้ำตา
   “จริงสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางโน้มตัวเหนือร่างที่นอนอยู่ ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นไปกดไว้เหนือศีรษะ
   “ขอเพียงแต่นายไม่ไปกับผู้ชายคนนั้น อีกไม่นานฉันจะส่งนายกลับบ้าน สัญญาสิ”
   “อือ” ฟ่งรับคำด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ธารน้ำตาสายเล็กๆ ไหลอาบผ่านร่องหางตา ฟ่งหลับตาลง ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสร่างกายของตนได้ตามใจชอบ
-----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วมองไปตรงทางเดินเป็นรอบที่สี่  เขาเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว แต่เจ้านายยังไม่ยอมลงมาเสียที ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะขึ้นไปตาม เมื่อดูนาฬิกาเป็นรอบที่ห้า
   ร่างสูงโปร่งเดินออกจากลิฟต์ไปยังห้องทำงานของเจ้านาย ก่อนจะพบว่ามันล็อก เว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงาน ถ้าอย่างนั้น.......
จางซื่อเยี่ยนคิดว่าบางทีเขาอาจจะสวนทางกับเจ้านาย ชายหนุ่มเดินไปที่ลิฟต์ เพื่อกลับไปประจำ ณ ตำแหน่งเดิม  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย
   บางทีเจ้านายของเขาอาจจะอยู่กับแขกก็ได้
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าอะไรดลใจ แต่ทันทีที่คิดได้ เขาก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องนั้นทันที
   ประตูห้องเปิดแง้มอยู่ จางซื่อเยี่ยนจึงผลักเข้าไป และก็ต้องชะงักกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
   เว่ยเฟิงปิงกำลังทำในสิ่งที่เขากังวลที่สุด
   ร่างผอมบางหน้าแดงจัดไปจนถึงใบหู กำลังแนบตัวลงจูบประโลมใบหน้าและซอกคอของร่างที่นอนอยู่ จางซื่อเยี่ยนยืนตัวแข็งทื่อ มองดูเจ้านายอันเป็นที่รักกำลังรุกไล่เชลยผู้ซึ่งสูญเสียตัวตนอยู่บนเตียงนอนอันแสนอ่อนนุ่ม เขาไม่เคยเห็นเจ้านายในสภาพแบบนี้มาก่อน สภาพที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
   วินาทีนั้น จางซื่อเยี่ยนคิดจะเดินเข้าไปจับเว่ยเฟิงปิงมากดเสียเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำนัก  เขาจำเป็นจะต้องหยุดเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นไม่ให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้  จางซื่อเยี่ยนเดินกลับไปหลังประตูอย่างเงียบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ
   เสียงเคาะประตูดังพอที่จะทำให้เว่ยเฟิงปิงชะงัก คิ้วเรียวขมวดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของร่างที่นอนอยู่เบื้องล่างเบาๆ
   “ฉันต้องไปแล้ว อย่าลืมที่สัญญากันไว้ล่ะ”
   เว่ยเฟิงปิงกระซิบก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วเดินออกไป ฟ่งนอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง หัวสมองหมุนคว้าง
   หยาดน้ำตายังคงไหลซึมออกมา
------------------------------------------------
   เสียงพูดคุยกับเสียงลูกเหล็กกลิ้งบนวงล้อ ดังสลับกันภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงเป็นบ่อนการพนัน แน่นอนว่าบ่อนแห่งนี้ไม่ใช่บ่อนระดับห้าดาว มันเป็นบ่อนที่ตั้งขึ้นเพื่อคนระดับกลางๆ และพวกพ่อค้าจากต่างเมืองที่ต้องการมาหาความสำราญแบบราคาถูก
   รูฟัสนั่งมองกลุ่มคนที่เข้ามาเพื่อหาความสำราญจากการพนัน ก่อนจะยกแก้วน้ำซึ่งเพื่อนเก่าเพิ่งหยิบมาวางให้ขึ้นมาจิบ ก่อนจะทำหน้าแปลกๆ
   “นี่มันน้ำชานี่!” รูฟัสหันไปมองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โจวยี่ยักไหล่ “แล้วใครบอกแกว่ามันไม่ใช่ล่ะ”
   รูฟัสขมวดคิ้ว แล้ววางแก้วกลับไปบนโต๊ะ
   “ฉันไม่อยากให้แกมาเมา” โจวยี่กล่าวต่อ “ถ้าแกรู้สึกเก็บกดนัก ทำไมแกไม่ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับฉัน เช่นไปเป็นเจ้ามือโป๊กเกอร์ หรือไปช่วยหมุนรูเล็ดอะไรแบบนั้นล่ะ”
   ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีทำหน้ายุ่ง
“ฉันไม่มีอารมณ์จะไปทำอะไรแบบนั้นหรอก” รูฟัสปฏิเสธ พลางมองสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง และพบว่ามีผู้หญิงจำนวนหนึ่งเดินปะปนอยู่กับผู้ที่เข้ามาในบ่อน
   “นี่แกเปิดซ่องด้วยเรอะ?” รูฟัสสะกิดถามเพื่อน โจวยี่ยกแก้วเหล้ายินที่วางอยู่ขึ้นมาจิบ ก่อนจะพูด “ก็มีบ้าง แล้วแต่ลูกค้าจะชอบน่ะนะ ฉันแค่มีห้อง ส่วนสาวพวกนั้นจะจัดคิวกันเข้ามาเอง เด็กหนุ่มๆ ก็มีนะ แกสนหรือเปล่า?”
   รูฟัสทำหน้าบอกบุญไม่รับแทนคำตอบ
   “แล้วตกลงแกจะทำอะไร  เมา?”
   หนุ่มตาสองสีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “แกดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
   โจวยี่ถลึงตามองรูฟัสเหมือนรังเกียจ “อยากเมาก็ไปเมาเองคนเดียวสิ  ดื่มกับแก ฉันไปดื่มกับแดเนียลดีกว่า”
   รูฟัสนิ่วหน้า ก่อนจะลุกขึ้น โจวยี่ถามด้วยความแปลกใจ “นั่นแกจะไปไหน?”
   “เล่นไพ่!”
   ว่าแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะโต๊ะหนึ่ง  ความจริงรูฟัสไม่มีอารมณ์จะเล่นไพ่ในตอนนี้  แต่การจะดื่มเหล้าจนเมาก็ใช่ว่าจะมีสาระ อีกสองวันจะถึงกำหนดนัด ยังมีเรื่องวุ่นวายอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ  โดยเฉพาะข้อมูลของริเวิล
   ริเวิลเป็นกลุ่มทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามาครอบครองพื้นที่ให้เกาะฮ่องกงตั้งแต่เมื่อราวๆ สามสิบสี่สิบปีที่แล้ว  หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ กลุ่มมาเฟียจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ร่วมมือกับชาวยุโรปเข้ามาแบ่งสัมปทานค่าคุ้มครองจากเจ้าถิ่นเดิม  โดยวิธีการเข้ามาของริเวิลนั้นจะไม่ใช้การเผชิญหน้ากับเจ้าถิ่น แต่จะให้กลวิธีในการค่อยๆ เข้าไปแทรกซึมในส่วนธุรกิจต่างๆ ใช้วิธีการแบล็คเมล์ และออกทุนในการทำให้กลุ่มธุรกิจเหล่านั้นหันมาเข้ากับกลุ่มอย่างเงียบๆ กว่าที่เจ้าถิ่นเดิมจะรู้ นักธุรกิจภายในปกครองก็แทบจะตีตัวออกห่างหมดแล้ว เมื่อขาดแหล่งรายได้ กลุ่มเหล่านั้นก็จะอ่อนแอลง และถูกรวมเข้ากับริเวิลในที่สุด
   รูฟัสเคยถูกจ้างวานให้เข้าไปแทรกซึมในกลุ่มริเวิลสองครั้ง ทำให้เขาทราบข้อมูลลับหลายๆ อย่าง รวมถึงเรื่องที่นอกเหนือจากความต้องการของผู้จ้างวานด้วย หลังจากก่อเหตุสังหารผู้บริหารระดับสูงที่เรียกว่าไฮท์ไปคนหนึ่ง เขาก็โดนริเวิลหมายหัว
   ภายในกลุ่มริเวิลแบ่งชนชั้นออกเป็นสามระดับ คือระดับ ผู้บริหาร ที่เรียกกันว่า ลีด ระดับหัวหน้า ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ มีหน้าที่ดำเนินการตามแผนงานของลีด เรียกกันว่า ไฮท์ และระดับปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม เรียกว่า เรฟ
   หนึ่งในลีดของริเวิลคือน้องชายต่างมารดาของเว่ยชิง ที่มีชื่อว่าลี่เหลียนซึ่งถูกเว่ยชิงขับออกจากตระกูลเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากเว่ยชิง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจของตระกูลเว่ยจะจับตากลุ่มริเวิลเป็นพิเศษ และไม่แปลกเลยหากกลุ่มริเวิลจ้องที่จะตะครุบกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ย
   เว่ยเฟิงปิงไม่ใช่คนที่ต้องการข้อมูลของริเวิล  คนที่ต้องการข้อมูลของริเวิลจริงๆ คือเว่ยชิงผู้เป็นบิดาต่างหาก รูฟัสรู้ว่าหากเว่ยเฟิงปิงจับเขาได้เว่ยชิงจะต้องเคลื่อนไหว และริเวิลเองก็จะเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน นั่นหมายถึงเขาจะต้องรับศึกสองด้าน พร้อมกันกับที่จะต้องพาฟ่งออกมาให้ได้  ดังนั้นการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า จึงเป็นเดิมพันหน้าตักแรกที่หากเสียก็แทบจะล้มละลายตายกันเลยทีเดียว
   รูฟัสรับไพ่ออกมาคลี่ดูในมือช้าๆ
   งานนี้เขาจะพลาดไม่ได้
-------------------------------------
   เกาะฮ่องกงยามราตรีเมื่อมองจากเรือสำราญที่ลอยลำอยู่กลางอ่าว ดูราวกับจอมปลวกขนาดยักษ์ที่เปล่งแสงระยิบระยับ  บนดาดฟ้าเรือที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราให้เป็นห้องอาหารกลางแจ้งภายใต้บรรยากาศแห่งสายน้ำและแสงจันทร์  ชายวัยกลางคนอายุราวห้าสิบกว่า ผมสั้นสีดำสนิท ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ สีแดงเลือดนก ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างของผู้มาใหม่
   “เป็นเกียรติจริงๆ ที่คุณชายลงทุนมาด้วยตัวเองแบบนี้”
   เว่ยเฟิงปิงอยู่ในชุดโค้ทยาวสีครีมอ่อน คลี่ยิ้มในแบบฉบับของเขา ขยับมือสัมผัสมือกับผู้ที่ลงมาต้อนรับเป็นการทักทาย
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยินดีที่ได้พบคุณ คุณเจียงหลุน”
   เจียงหลุนเขย่ามือกับเว่ยเฟิงปิง และเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งถูกจัดไว้
   “เอ้อ คุณคนนั้น…..” เจียงหลุนทำท่าจะอ้าปากถาม เมื่อเห็นจางซื่อเยี่ยนซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทเดินตามหลังเว่ยเฟิงปิงมาติดๆ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ จึงเอ่ยปากบอก “เขาเป็นบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวของผม คุณไม่ต้องกังวลใจไปหรอก การมาของผมครั้งนี้เป็นความลับ”
   เจียงหลุนยิ้มกว้างอีกครั้ง  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเกลียดร้อยยิ้มประจบสอพลอแบบนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมายิ้มต่อหน้าเจ้านายของเขา แต่เว่ยเฟิงปิงยังคงรักษาท่าทีเป็นปกติ
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:58:57
“ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณชายยังไงดี  ผมไม่อยากให้ทางริเวิลทราบ คุณคงรู้ว่าแถวนี้มีไฮท์คุมอยู่ถึงสองคน”
   “ครับ ผมทราบ” เว่ยเฟิงปิงตอบ ก่อนหันไปทางจางซื่อเยี่ยน ผู้เป็นลูกน้องส่งเอกสารใบเขื่องที่หิ้วอยู่ให้เจ้านาย เว่ยเฟิงปิงวางมันลงบนโต๊ะ และกดปุ่มเปิดกระเป๋า  ธนบัตรใบละหนึ่งพันเหรียญฮ่องกงจำนวนหลายปึกวางเรียงอัดอยู่ภายใน แววตาของเจียงหลุนเป็นประกายอย่างงำไว้ไม่อยู่ เว่ยเฟิงปิงขยับมือปิดกระเป๋าใบนั้นลง
   “ทั้งหมดสองล้าน นี่เป็นก้อนแรกนะครับ” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยพูด รู้สึกสมเพชสีหน้ากระหายเงินที่แสดงออกมาอยู่ในใจ
   “ผมไม่ทราบว่าจะตอบแทนบุญคุณนี้ของคุณชายอย่างไรดี” เจียงหลุนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เว่ยเฟิงปิงยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครมองก็รู้สึกไม่สบายใจ
   “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่คุณตกลงจะภักดีกับผมก็พอแล้ว”
   “ครับ ผมสัญญาว่าจะภักดีกับคุณตลอดไป”
   นัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงเล็กน้อย “ผมไม่ต้องการคำสัญญาลมๆ แล้งๆ แบบนั้นหรอกนะครับคุณเจียง คุณต้องแสดงความภักดีกับผมในแบบรูปธรรมที่ผมสามารถเชื่อถือได้”
   เจียงหลุนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการให้ผมทำอย่างไรหรือครับ?”
   “คุณแค่เซ็นต์โอนธุรกิจของคุณทุกอย่างมาให้เป็นของผม ก็เพียงพอแล้วครับ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเจียงหลุน ในกองนั้นคือใบหนังสือสัญญาการโอนโฉนดที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
   “คุณชายล้อเล่นแรงจังนะครับ” เจียงหลุนกล่าว พลางหัวเราะแห้งๆ เว่ยเฟิงปิงหยิบปากกาขึ้นมาวางบนเอกสารกองนั้น ก่อนจะกล่าวตอบ
   “คุณคิดว่าผมล้อเล่นหรือครับ?”
   ผู้ถูกถามหุบยิ้มในทันที
   “คุณชายครับ คุณคิดจะซื้อกิจการของผมด้วยเงินแค่สองล้านหรือครับ”
   “ผมไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้นนะครับ คุณเจียง ผมแค่อยากให้คุณแสดงความภักดีต่อผม ผมอยากแน่ใจว่าคุณไม่ได้ร่วมมือกับริเวิลมาหลอกผม”
   “คุณไม่คิดว่ามันมากไปหน่อยหรือครับ” อีกฝ่ายย้อน เว่ยเฟิงปิงตอบอย่างใจเย็น
   “ไม่มากไปหรอกครับ คิดดูดีๆ นะครับ แค่คุณเซ็นต์เอกสารให้ผม ผมรับรองว่าคุณจะรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของกิจการทุกอย่างเหมือนเดิม ภาระขาดทุนของคุณผมจะจัดการให้ และจะคุ้มครองคุณจากกลุ่มริเวิลด้วย ผมว่าแค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วนะครับ”
   “คุณชายเว่ย ผมขอแนะนำให้คุณคิดใหม่ ตอนนี้คุณอยู่บนเรือสำราญของผม กับลูกน้องแค่สองคน คุณไม่กลัวว่าผมจะทนไม่ไหวแล้วจัดการอะไรซักอย่างกับคุณหรือครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มกว้างหลังจากฟังคำขู่จบ “กล้าขู่ผมหรือครับ เอาสิถ้าคุณอยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเว่ย”
   “แหม คุณชายครับ คุณก็รู้ว่าผมไม่กล้า กรุณาเถอะนะครับ ข้อเสนอนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ” เจียงหลุนพยายามปรับเปลี่ยนท่าที เขารู้สึกว่ามีเหงื่อออกบนใบหน้ามากเป็นพิเศษ  แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมามาก แต่ยังไม่เท่ากับการต้องมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากบางเรียบ นัยน์ตาเรียวเล็กที่จ้องมาเหมือนพญางู รอยยิ้มและคำพูดกดดันนั้น ไม่ได้สร้างความสบายใจให้กับผู้พบเห็นเลย ชายผู้มีประสบการณ์ผ่านโลกมากว่าห้าสิบปี ยอมรับกับตัวเองว่า เขาเดาไม่ออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้คิดอะไร ที่แน่ๆ มันต้องไม่มีผลดีกับเขา
   ตระกูลเว่ยนั้นเป็นตระกูลใหญ่ หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันชื่อเว่ยชิง มีอาณาเขตธุรกิจในบริเวณส่วนเหนือของเกาะฮ่องกง และเลยขึ้นไปถึงเกาลูนบางส่วน มีมูลค่าธุรกิจถึงหนึ่งในสี่ของธุรกิจในฮ่องกงทั้งหมด
   เว่ยชิงมีทายาททั้งหมดเก้าคน สองคนสุดท้ายเสียชีวิตไปตั้งแต่เจ็ดปีก่อน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลืออยู่เพียงเจ็ดคน ประกอบด้วยบุตรสาวคนโต ซึ่งตอนนี้เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหลี่ ชื่อว่าเจียหลินอายุราวๆ สี่สิบห้า บุตรชายคนโตเว่ยฟู่ฉิน เจ้าของธุรกิจส่งออกรายใหญ่วัยสี่สิบสองปี บุตรชายคนรองเว่ยจินหยิน มือขวาของเว่ยชิงในส่วนธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และท่าเรือ วัยสามสิบหกปี  บุตรสาวคนที่สี่เว่ยจินจิน เป็นอัยการของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง วัยสามสิบสองปี  บุตรชายคนที่ห้า เว่ยปิงเซียง  ซึ่งยังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราจากอุบัติเหตุรถยนต์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว  บุตรชายคนที่หกเว่ยซื่อหลิว ซึ่งกำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และคนสุดท้อง เว่ยเฟิงปิง วัยยี่สิบสามปี ซึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากับเขาอยู่ในตอนนี้
   เว่ยเฟิงปิงนั้นเคยถูกขับออกจากตระกูลเมื่อหกปีก่อน แต่ภายหลังจากนั้น ก็ถีบตัวเองขึ้นมาจนเป็นที่ยอมรับและกลับเข้ามาร่วมกลุ่มอีกครั้ง ความทะเยอทะยาน และความต้องการสร้างผลงานของเว่ยเฟิงปิงนั้นนอกไม่มีจุดประสงค์อื่น นอกจากโค่นคู่แข่งในตระกูลของเขา ซึ่งก็คือเว่ยจินหยิน การเรื่องการจัดสายลับนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เจียงหลุนทราบดีว่าการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตายของพี่น้องร่วมสายเลือดในตระกูลใหญ่นั้นเป็นเรื่องปกติ  ริเวิลต้องการจะฉวยโอกาสจากความทะเยอทะยานนี้ในการเข้าแทรกแซงตระกูลเว่ย ซึ่งการแทรกแซงผ่านทางเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเหมือนจะง่ายดายกว่า เพราะยังเด็กและขาดประสบการณ์ แต่ตอนนี้เจียงหลุนกำลังคิดอยากให้ทางริเวิลมองเด็กหนุ่มคนนี้เสียใหม่
   เว่ยเฟิงปิงนั่งมองหน้าของคู่สนทนาอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เขาทราบดีว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ บนเรือสำราญนี้ มีแต่คนของเจียงหลุน และแน่นอนว่าต้องมีคนของริเวิลด้วย ถึงกระนั้นคุณชายเจ็ดก็ยังมั่นใจว่า ในการตกลงคราวนี้ทางฝ่ายเขาจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
   เจียงหลุนนั้นเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจกลางคืนมานาน บางทีอาจจะนานกว่าช่วงอายุของเขาด้วยซ้ำ มูลค่าธุรกิจของชายคนนี้นั้น รวมแล้วคงไม่ต่ำกว่าสิบล้านเหรียญฮ่องกง แต่เว่ยเฟิงปิงรู้มาว่าระยะหลังๆ นี้ ธุรกิจของเขาเกิดภาวะขาดทุนสะสม เนื่องจากมีผับและบาร์เปิดใหม่เยอะขึ้น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลง ถึงแม้ไม่มีเรื่องยิงกัน เจียงหลุนก็ประสบภาวะขาดทุนอยู่ดี ดังนั่น เว่ยเฟิงปิงจึงมองว่าเหตุยิงกันเป็นการจัดฉาก เพื่อล่อให้เขาเข้ามากินเหยื่อง่ายขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาทุ่มสี่สิบ  เขาตัดสินใจจะทำให้การเจรจานี้สั้นลง
   “คุณเจียงครับ ผมพูดอย่างไม่ปิดบังเลยนะครับ ระยะหลังนี้ผมทราบมาว่าธุรกิจของคุณประสบกับภาวะขาดทุน ต่อให้ไม่มีเรื่องยิงกันที่สกาล่า คุณเองก็ยังขาดทุนอยู่ดี”
   “ครับ” เจียงหลุนพยักหน้ายอมรับในความจริงข้อนั้น ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ
“ตัวผมเองก็กำลังมองหาเส้นทางธุรกิจใหม่ๆ อยู่เหมือนกัน ซึ่งข้อนี้คิดว่าทางริเวิลเองก็คงทราบ ดังนั้นแทนที่เขาจะให้ทุนกับคุณ เขาจึงเปลี่ยนให้คุณหันมาขอทุนกับผม โดยใช้ข้ออ้างเรื่องยิงกันมาเป็นเหตุ ทำให้ผมไม่สงสัยสินะครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจียงหลุนชะงักมือที่กำลังซับเหงื่อทันที ก่อนจะพยายามฝืนยิ้ม
   “คุณชายช่างจินตนาการจริงๆ นะครับ ผมยอมรับเรื่องที่ผมขาดทุนในช่วงก่อนหน้านี้ เรื่องยิงกันที่ผับนั้นทำให้ผมหมดความอดทน ผมจึงคิดที่จะหันมาพึ่งคุณ แต่คุณกลับหาข้ออ้างมาสงสัยผม คุณชอบซ้ำเติมคนอื่นขนาดนี้เลยหรือครับ” เจียงหลุนจบประโยคด้วยสายตาวิงวอน เว่ยเฟิงปิงหลับตาครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาสีฟ้าใสนั้น
   “คุณเจียงครับ ผมเชื่อว่าทางริเวิลคงไม่โง่ขนาดปล่อยให้มีคนมายิงกันในผับของคุณ ทั้งๆ ที่คุณเองก็ประสบภาวะขาดทุนอยู่แล้ว และคนในผับก็ไม่มากเท่าเก่า ผมจึงสงสัยว่าทำไมริเวิลถึงปล่อยให้มีเหตุยิงกัน และคำตอบก็อยู่ในนี้แล้ว”
   จางซื่อเยี่ยนหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่เขาถืออยู่ ส่งให้กับเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงหยิบรูปถ่ายออกมาสองรูป ชูให้เจียงหลุนดู
   “คนสองคนนี้ติดต่อกับคนในระดับเรฟของริเวิล หลังจากเกิดเหตุยิงกันที่ผับของคุณ  บอกผมสิครับว่าสองคนนี้ใช่คนที่ยิงกันรึเปล่า”
   เจียงหลุนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ และพยายามฝืนยิ้มอีกครั้ง “คุณชายครับ ใครๆ ก็ติดต่อกับเรฟได้ ต่อให้เป็นคนของคุณก็เถอะ”
   “ครับ แต่ไม่ใช่คนที่มายิงกันในผับของคุณ” เว่ยเฟิงปิงชิงพูดตัดหน้า ก่อนจะแสยะยิ้ม “ถ้าคุณยังไม่ยอมรับ ผมยังมีเอกสารที่ถอดสำเนาออกมาจากเครื่องดักฟังที่ผมให้คนของผม แอบนำเข้าไปติดในห้องทำงานของคุณ คุณอยากจะอ่านมันหรือเปล่าครับ หรืออยากให้ผมเปิดมันให้ฟัง”
   เจียงหลุนหน้าซีดเผือด  ก่อนจะกวักมือเรียกลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามากระซิบสั่งความ จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่ถูกผู้เป็นเจ้านายสะกิดไว้
   “คุณชายเว่ยครับ เกรงว่าผมอาจจะต้องเชิญคุณกลับเสียแล้วล่ะครับ ผมไม่อาจรับข้อเสนอของคุณได้” เจียงหลุนกล่าว  เว่ยเฟิงปิงเหลือบตาขึ้นมอง ขณะที่จางซื่อเยี่ยนก้มลงเก็บกระเป๋าเอกสาร
   “คุณคงเข้าใจอะไรผิดนะครับ ผมไม่ได้มายื่นข้อเสนอให้คุณ แต่ผมมารับข้อเสนอของคุณ ข้อเสนอที่คุณจะเข้าร่วมกับผม”
   “คุณชายเว่ย ผมเองไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลของคุณ และคุณเองก็คงไม่อยากจะมาเจ็บตัวที่นี่ กรุณากลับไปเสียเถอะครับ อย่าให้ผมต้องออกแรง” อีกฝ่ายเริ่มมีท่าทีแข็งกร้าว แต่เว่ยเฟิงปิงกลับหัวเราะชอบใจ
   “ถ้าคุณไม่อยากเป็นศัตรูกับผม ก็กรุณาเซ็นต์เอกสารเถอะครับ ผมเองก็ไม่อยากจะใช้ความรุนแรง”
   “คุณชายเว่ย คุณพูดไม่รู้เรื่องเองนะ” เจียงหลุนลุกพร่วดขึ้น ชักปืนออกมาจากเอว พร้อมกันกับลูกน้องซึ่งอยู่ด้านหลัง
   “โอ๊ย!!” เสียงร้องดังขึ้น แววตาสีฟ้าไม่มีแม้แต่จะกระพริบ เมื่อเส้นลวดบางเล็กพันเข้ากับนิ้วมือที่กุมไกปืนอยู่  ขณะเดียวกับที่ชายสองคนซึ่งถือปืนเล็งเข้ามาล้มลงกับพื้น
“อย่าคิดจะเรียกใครช่วยดีกว่าครับ” เว่ยเฟิงปิงพูดดักคอ เจียงหลุนหน้าซีด เลือดไหลซึมออกมาตามเส้นลวด  ชายฉกรรจ์ในชุดประดาน้ำสีดำห้าคน เดินเข้ามาสมทบจากทางด้านหลัง หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มที่เอาเอกสารตอบกลับมาให้เขาในตอนบ่าย
“ตกใจหรือครับ คิดจริงๆ หรือครับว่าผมจะมาหาคุณโดยไม่เตรียมการอะไรเลย” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตอบเหมือนรู้ใจ
   “คุณทำอะไรกับคนของผม?” เจียงหลุนเอ่ยถามด้วยความตระหนก ลูกน้องเขาประจำการอยู่เต็มลำเรือ แม้จะกระจัดกระจาย แต่ไม่น่าจะปล่อยให้คนพวกนี้ขึ้นมาบนเรือง่ายๆ
   ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ “คุณเจียงครับ ถึงผมไม่ได้คุมหน่วยดำอย่างพี่ชายของผม แต่คนของผมก็ไม่ได้ฝีมือห่วยอย่างที่พวกคุณประเมินหรอกนะครับ อย่าห่วงไปเลย ผมยังไม่ฆ่าคุณและคนที่เหลือตอนนี้หรอกครับ แต่อาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ อยู่กับคุณนะครับ จะเซ็นต์เอกสารให้ผม หรือว่าจะลงไปนอนเล่นในอ่าวฮ่องกงดี?”
   อาเง็กยื่นมือเข้าไปรับปืน ก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจะคลายเส้นลวดออก  เจียงหลุนจับปากกาด้วยมือที่สั่นเทา
   “ดีครับ  ขอบคุณมากครับคุณเจียง  ผมจะปล่อยให้คุณกับลูกน้องดำเนินการในธุรกิจต่อไปได้เหมือนเดิม ตราบใดที่คุณยังแสดงทีท่าว่ายังภักดีต่อผม แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องยืมมือคุณต่ออีกหน่อย  ผมทราบว่ามีคนของริเวิลมากับคุณด้วย  อยากให้คุณบอกผมว่าเป็นใครบ้าง?”
   นัยน์ตาสีฟ้าจ้องเข้าไปในดวงตาที่หวาดกลัวของอีกฝ่าย
   “บอกผมตามความจริงนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะฆ่าให้หมดทุกคน
   นัยน์ตาของเจียงหลุนสั่นระริก
--------------------------------------------
   ยิ่งดึกบ่อนยิ่งคึกคัก ทั้งนักพนันและนักเที่ยวต่างยืนเกาะกลุ่มกันตามโต๊ะต่างๆ แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งเท่านั้นที่ดูจะเงียบผิดปกติ
   “คุณโจวครับ เพื่อนคุณเล่นไพ่เก่งจัง” แดเนียลเดินเข้ามากระซิบกับโจวยี่ซึ่งกำลังนั่งดื่มกับแขกคนหนึ่งอยู่ที่บาร์
   “ไปดูมาล่ะหรือ?” ผู้ถูกกระซิบกล่าวถาม เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางหยิบขวดเครื่องดื่มที่วางอยู่มารินเติมให้
   “อย่าเผลอไปหลงเสน่ห์มันเข้าล่ะ ฉันเห็นใครยุ่งกับหมอนั่นมีอันต้องน้ำตาตกในทุกราย”
   “แหม พูดเหมือนเคยโดนเองเลยนะครับ”
   โจวยี่ทำหน้าเหย  แดเนียลรีบหัวเราะ “ล้อเล่นหรอกครับ คุณอย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ มันดูไม่เหมือนคุณเลย”
   ผู้ถูกทักจึงหันไปยกแก้วมาดื่มอีกรอบ ก่อนจะมองไปยังเพื่อนเจ้าปัญหา
   “ฉันบอกให้หมอนั่นไปช่วยเป็นเจ้ามือ ไม่ใช่ให้ไปเล่นเองแบบนั้น”
   “แต่เขาก็คืนเงินให้นี่ครับ”
   “คืนให้ตรงไหนล่ะ?” โจวยี่ทำหน้ายู่ยี่ แดเนียลนึกขำในใจ
   “งั้นผมไปบอกให้นะ”
   โจวยี่ทำท่าจะห้าม แต่เสียงเรียกจากลูกค้าเก่าแก่ที่เป็นเพื่อนดื่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดึงความสนใจเขาไว้เสียก่อน

   รูฟัสวางไพ่ในมือแล้วหาววอด ความจริงการเล่นไพ่ในบ่อนนั้นท้าทายกว่าการเล่นกันเองกับราฟาแอลที่บ้าน แต่เมื่อไม่มีคนให้แกล้งมันก็ไม่สนุก และเขาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์อยากเล่นนัก  หนุ่มตาสองสีใช้มือเขี่ยชิพที่เพิ่งได้เข้ามาในกองอย่างหน่ายๆ เขากำลังคิดว่ารอบหน้าจะลองเล่นให้เสียดูสักรอบ แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็หยุดเขาไว้
“คุณโจวอยากให้คุณเป็นเจ้ามือนะครับ ไม่ใช่ให้มาเล่นเอง”
รูฟัสหันไปมองเจ้าของเสียง พบว่าเป็นเด็กของโจวยี่ที่เขาพบเมื่อวันก่อน
“เขาบอกเธอมาแบบนั้นหรือ  ช่างมันเถอะ ฉันกำลังจะเลิกอยู่พอดี” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะยกชิพของตัวให้กับคนที่อยู่ในวงคนละเท่าๆ กัน  แดเนียลมองการกระทำของรูฟัสแล้วนึกเห็นด้วยกับคำพูดของโจวยี่
คนคนนี้ได้แล้วไม่คืนจริงๆ
--------------------------------------------------
อากาศภายนอกอาคารนั้นร้อนกว่าในห้องโถงซึ่งติดเครื่องปรับอากาศมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็นับว่าร้อนน้อยกว่ากรุงเทพฯ นัยน์ตาสองสีเหม่อมองไปยังอ่าวฮ่องกงซึ่งอยู่ไกลออกไปพอสมควร พลางนึกว่าคงเป็นเพราะทะเลแน่ๆ ที่ทำให้ที่นี่อากาศเย็นกว่า สำหรับคนที่เกิดและโตในเมืองหนาวแบบเขา ความอบอุ่นนั้นถือเป็นสิ่งหายาก สมัยเด็กๆ รูฟัสเคยนั่งจ้องมองหิมะที่ตกลงมาจนหลับ ตื่นมาก็พบว่าตัวเองถูกอุ้มไปนอนบนเตียงและมีผ้าห่มให้เรียบร้อย ขณะที่น้องสาวกำลังเล่นจิ้มจมูกเขาอยู่ ในตอนนั้นต่อให้หิมะตกทั้งปี เขาก็ยังรู้สึกว่ามันอบอุ่น  แต่ตอนนี้
เขายืนอยู่อย่างเดียวดายในประเทศที่อากาศร้อนอบอ้าว ถึงอย่างนั้นมันกลับหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ” ผู้ที่เปิดประตูออกมาจากห้องโถงคือแดเนียล รูฟัสมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“เปล่า ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ฉันไม่ได้อยากเล่นเท่าไร”
นี่ขนาดไม่ได้อยากเล่นนะ แดเนียลนึกประชดในใจ ก่อนจะเดินมายืนข้างๆ
“ชอบฮ่องกงหรือเปล่าครับ?”
รูฟัสขมวดคิ้ว “เธอน่าจะกลับเข้าไปในบ่อนนะ ที่นี่ร้อนและอีกอย่างพี่ยี่คงรอเธออยู่”
“พูดจาเย็นชาจังเลยนะครับ” แดเนียลกล่าว พลางยิ้มให้คู่สนทนา
“คุณโจวติดแขกอยู่นะครับ และอีกอย่างผมอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
“ฉันว่าเธออย่าคุยกับฉันเลยจะดีกว่า” รูฟัสพูดจาตัดบท เขาไม่อยากพบความยุ่งยากอีกเป็นรอบที่สอง
“ผมไม่ได้จะมาจีบคุณหรอก” แดเนียลพูดเหมือนรู้ว่าคู่สนทนาคิดอะไร รูฟัสหันมามองหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคุณโจว คุณเป็นเพื่อนเก่าเขาสินะครับ” แดเนียลถามต่อ รูฟัสพยักหน้า เด็กคนนี้พูดจาตรงไปตรงมามากกว่าที่เขาคิด
“ผมเพิ่งคบกับคุณโจวได้ประมาณสามเดือน เขาเป็นคนดีครับ”
“เธอชอบเขาหรือเปล่า?” รูฟัสถาม  แดเนียลพยักหน้า “ครับ ผมชอบเขามาก”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็อย่ามายุ่งกับฉันเลยดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ นัยน์ตาสองสีคู่นั้นหันมามองก่อนจะตอบช้าๆ “เพราะฉันเป็นผู้ชายที่แย่งคนรักไปจากเขาเมื่อหกปีก่อนน่ะสิ”
แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็ถอนหายใจ
“เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะครับ อย่างนั้นผมยิ่งต้องคุย”
ผู้ฟังขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ  แดเนียลพูดต่อ “ผมรู้มาว่าคุณโจวเคยมีคนรัก และเลิกกันไปแล้ว ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่ แต่ผมรู้สึกนะครับว่าเขายังคงคิดถึงคนคนนั้นอยู่”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแสดงความเจ็บปวดเล็กๆ “เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
----------------------------------
   แม้จะดึกมากแล้ว แต่ฟ่งยังคงนอนไม่หลับ ร่างบางนอนลืมตาอย่างเหม่อลอย ความคิดฟุ้งซ่านกระจายอยู่ในหัว มากจนไม่อยากจะหยิบเอามาเป็นประเด็นสาระ เขารู้สึกหมดที่พึ่ง ฟ่งอยากจะหลับตาแล้วตื่นมาพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝัน แต่เมื่อตื่นแล้ว เขายังอยากให้รูฟัสเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาหรือเปล่า?
   ฟ่งตอบตัวเองไม่ได้
   เรื่องที่รูฟัสทำกับเขา จะว่าไปก็ไม่ได้เรื่องเลวร้าย ผู้ชายคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนเขา ในช่วงเวลาอ่อนไหวที่สุด มันคงจะดีกว่าถ้ารูฟัสเป็นอย่างที่พูดกับเขาเอาไว้ตอนแรก เป็นแค่คนต่างชาติที่เข้ามาหากินในเมืองไทยแบบธรรมดาๆ คนหนึ่ง
   แต่รูฟัสไม่ได้พูดความจริงกับเขา
   กับคนที่ทำอาชีพไม่สุจริตแบบนี้ คงไม่แปลกถ้าจะโกหก แต่ทำไมถึงต้องมาหลอกเขาด้วย
   ฟ่งคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ เขามีความลับหรือความสำคัญอะไรให้รูฟัสอยากเข้าใกล้ แต่ที่สำคัญ เขารู้ตัวว่าคงไม่อาจกลับไปเชื่อใจผู้ชายคนนั้นได้เหมือนเก่าอีกแล้ว
   ในระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิด ประตูห้องก็ถูกเปิดแง้มออก ฟ่งไม่อยากจะสนใจผู้ที่เข้ามามากนัก บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะแวะเข้ามาดูความเรียบร้อย ชายหนุ่มขยับตัวซุกหน้ากับหมอนด้วยความรำคาญ สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำกับเขาในตอนเย็นนั้นไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก แต่ในตอนนั้นเขารู้สึกหมดสิ้นทุกอย่างจนปล่อยตัวเองไปตามความต้องการของอีกฝ่าย  ฟ่งรู้ว่านั่นเป็นเรื่องอันตราย แต่เขารู้ตัวว่าความอดทนและกำลังใจของเขากำลังจะหมดลง
   ฟ่งได้กลิ่นคล้ายๆ น้ำมันขณะที่มือข้างหนึ่งเลิกผ้าห่มออก ร่างบางหันหน้ามามองผู้ที่เข้ามาด้วยความเบื่อหน่าย แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็พลันเบิ่งกว้าง  เมื่อริมฝีปากผู้ที่มาเยือนนั้นกดลงมาบนริมฝีปากของเขา พร้อมกับน้ำหนักร่างที่โถมลงมา
   ฟ่งพยายามขัดขืน เขารู้สึกตกใจเมื่อพบว่าผู้ที่กำลังกระทำการอยู่นี้ไม่ใช่เว่ยเฟิงปิง  แต่เป็นใครอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า  ปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้
   จางซื่อเยี่ยน!!!
------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 21:59:44
บทที่17 แผนการ
   รถซีดานสีดำสนิท แล่นผ่านผิวซีเมนต์ขัดหยาบเข้ามาในลานจอดรถของอาคาร Le mirior ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสำนักงานและเป็นที่พำนับของคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ย ผู้มีนามว่าเว่ยเฟิงปิง
   แม้จะเป็นเวลากว่าเที่ยงคืนไปแล้ว แต่พนักงานของตึก Le mirior ยังคงยืนรอการกลับมาของเจ้านายอย่างแข็งขัน เว่ยเฟิงปิงก้าวลงมาจากรถโดยยังคงท่าทีอันสง่างามเช่นเคย โดยมีจางซื่อเยี่ยน ก้าวตามออกมาติดๆ  ร่างเพรียวเดินผ่านหน้าชายฉกรรจ์ซึ่งลงมาให้การอารักขาบริเวณทางเข้าตึก ก่อนจะหันกลับมามองดูผู้ติดตามซึ่งทยอยลงจากรถมาทีละคน
   “ฉันต้องขอขอบใจพวกเธอทุกคนมาก งานวันนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีเพราะพวกเธอทั้งหมด ฉันอนุญาตให้พวกเธอไปพักผ่อนสองวัน”
   “ขอบคุณครับ” ทั้งหมดรับคำพร้อมกัน เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องของตนอีกครั้งหนึ่งด้วยความพอใจ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคาร
   จางซื่อเยี่ยนเดินตามเจ้านายของเขาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานส่วนตัว เว่ยเฟิงปิงไขกุญแจเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตโคมไฟตั้งโต๊ะ แสงสีแดงของหลอดทังสเตนส่องย้อมห้องจนกลายเป็นสีส้มแก่ 
   “นายไปพักผ่อนได้ แล้วช่วยแจ้งสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยว่า พรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมเรื่องการขยายเขตธุรกิจ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว หลังจากที่รับกระเป๋าใส่เอกสารซึ่งทำด้วยหนังขัดจนมันปลาบ แต่ลูกน้องของเขายังคงยืนนิ่ง  ผู้เป็นเจ้านายถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
   “ฉันจะไม่บอกคุณพ่อเรื่องความผิดพลาดของนายในวันนี้”
   ดูเหมือนนัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงตวัดสายตาขึ้นมองลูกน้องของเขาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณพ่อรู้ว่าเด็กที่เก็บมาเลี้ยงจะงี่เง่าถึงขนาดลืมล็อกประตูห้องขัง”
   จางซื่อเยี่ยนหลุบนัยน์ตาลงต่ำ เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าทุเรศ และเว่ยชิงเองก็คงไม่รู้สึกยินดีแน่ๆ หากรู้เรื่องนี้เข้า เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้งเมื่อผู้เป็นลูกน้องยังคงยืนเงียบ ร่างบางเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะ ใส่กระเป๋าเอกสารลงไป ก่อนจะล็อกกุญแจเสียงดังแกร่ก
   “ฉันจะไปที่ห้อง” เว่ยเฟิงปิงกล่าวเมื่อเห็นว่าลูกน้องยังคงยืนนิ่ง ขณะก้าวผ่านหน้าจางซื่อเยี่ยนไปยังประตู แต่แล้วมือข้างหนึ่งกลับถูกฉุดเอาไว้ นัยน์ตาสีฟ้าใสหันไปมองลูกน้องด้วยความแปลกใจ
   “มีอะไร?” ร่างบางถาม ดูเหมือนว่าจางซื่อเยี่ยนเองจะมีสีหน้าแปลกไป
   “คือ ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้คุณชายต้องการจะใช้ห้องประชุมที่ปีกซ้าย หรือจะประชุมที่ห้องประชุมใหญ่ครับ”
   คำถามนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจมากเข้าไปอีก   “ก็ใช้ห้องประชุมใหญ่สิ ห้องประชุมที่ปีกซ้ายจะไปใช้ทำไม”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ แต่ยังคงไม่ปล่อยมือที่จับเอาไว้ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกว่าวันนี้ลูกน้องของเขาดูไม่ปกติเอาเสียเลย
   “ซื่อเยี่ยน นายเป็นอะไร?”
ร่างสูงโปร่งได้แต่ยืนนิ่ง นัยน์ตาสีอีกาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นราวกับจะงมหาอะไรซักอย่าง ชั่วขณะหนึ่งเว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนเกือบจะเรียกว่าคุกคาม ร่างบางเผลอผงะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
   “คุณชาย....” จางซื่อเยี่ยนพูดออกมาเหมือนละเมอ นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววแห่งความไม่พอใจเล็กน้อย
“ถอยออกไป ซื่อเยี่ยน แล้วก็ปล่อยมือด้วย ฉันไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว”
ผู้เป็นนายกล่าวเสียงเครียด ทำเอาลูกน้องได้สติ นัยน์ตาสีอีกาไหววูบ รีบชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว  เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง โดยไม่กล่าวอะไรอีก
   ท่าทางวันนี้เครื่องยนต์ของจางซื่อเยี่ยนจะขัดข้องจริงๆ
-------------------
   หัวใจของจางซื่อเยี่ยนเต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะออกไปจากห้องนานแล้ว แต่สัมผัสของมือเรียวยาวข้างนั้นยังคงตกค้างอยู่ในจิตสำนึก
   จางซื่อเยี่ยนไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เขาจะกล้าทำแบบนั้น
   ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องของผู้เป็นนายโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้อง ชายหนุ่มเดินกลับมาตามทางเดินพร้อมกับความคิดที่ว่าบางทีตัวเองอาจจะผิดปกติ
   ในสถานการณ์ที่ทุกคนอยู่ในภาวะตรึงเครียดระหว่างการเจรจานั้น ความสนใจของเขากลับพุ่งไปยังผู้เป็นเจ้านายซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้า ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องขังเชลยทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่อาจจะมีสมาธิกับการเจรจาได้ เมื่อเว่ยเฟิงปิงยังคงอยู่ในระยะมองเห็น
   เพลิงปรารถนาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงภายในจิตใจ จางซื่อเยี่ยนไม่อาจจะหยุดความคิดแสนน่ารังเกียจที่ทวีขึ้นมาได้  เขาอยากที่จะกอดเว่ยเฟิงปิง อยากจะกดร่างบอบบางนั้นลงไปบนเตียง ปรนเปรอความรักและประทับความเป็นเจ้าของลงบนร่างนั้น
   แต่นั่นเป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณ และเป็นเจ้านายของเขา
   ด้วยฐานะที่ไม่อาจเอื้อมถึง ยิ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอึดอัดและสับสน เมื่อครู่เขาคิดที่จะคุกคามผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า อยากที่จะลิ้มรสริมฝีปากบางที่เฝ้าฝันหามานานหลายปี  ทั้งๆ ที่พยายามอดทนกับความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่ แต่แล้วสุดท้ายเขาก็เผลอแสดงมันออกไปจนได้
   ความเงียบสงัดภายในตัวตึก ไม่ได้ช่วยทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงไปด้วยเลย ตรงกันข้าม ดูเหมือนจะทำให้ความคิดยิ่งฟุ้งซ่านขึ้นเรื่อยๆ จางซื่อเยี่ยนพยายามมีสมาธิอยู่กับการเดินตรวจรอบตึกเป็นหนสุดท้าย แต่แล้วความอดทนนั้นก็หมดลง เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านบานประตูสีขาว
   ภาพเหตุการณ์ในช่วงหัวค่ำปรากฏเข้ามาในหัวอย่างแจ่มชัด ภาพที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนแทบคุ้มคลั่ง
   สีหน้าและร่างกายของเว่ยเฟิงปิงที่เต็มไปด้วยเพลิงปรารถนา อดีตหน่วยดำกลืนน้ำลาย  เขาไม่รู้ว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มีอาการแบบนั้น  แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ความความอึดอัดที่มีอยู่ภายในร่างกายอัดแน่นจนแทบจะทะลักออกมา
   บานประตูสีขาวถูกเปิดออก
   ความรู้สึกอึดอัดนี้จำเป็นต้องระบายออก
-----------------------------------
   สายลมอ่อนๆ ยามดึก พัดมากระทบใบหน้า รูฟัสหันไปพิจารณาเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาทางเขาด้วยความสนใจ ปอยผมสีทองถูกลมพัดไล้ไปตามใบหน้ารูปไข่ที่ดูน่ารัก เด็กคนนี้คงเป็นลูกครึ่งอังกฤษ  ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเกาะฮ่องกงเคยอยู่ในอาณัติของประเทศอังกฤษมาก่อน
   แดเนียลคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ เมื่อรูฟัสเล่าเรื่องราวจบ
   “เพราะงี้นี่เอง คุณถึงเย็นชากับผม”
   รูฟัสเลิกคิ้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
   “คุณกลัวว่าผมจะมายุ่งกับคุณ แล้วทำให้คุณกับคุณโจวผิดใจกันอีก?”
   รูฟัสไม่ตอบคำถามเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสองสีหลุบต่ำลง แดเนียลถอนหายใจอีกครั้ง
   “คุณวางใจเถอะครับ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ผมชอบคุณโจว และไม่คิดจะไปชอบคนอื่นด้วย”
   คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้า  จริงอยู่ที่แดเนียลมีหลายอย่างที่คล้ายหยุนหมิง แต่ในด้านคำพูดนั้น รูฟัสยอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงไปตรงมาและกล้าพูดอะไรมากกว่าที่เขาคิด
   “ฉันดีใจที่เธอคิดแบบนั้น แล้วพี่ยี่บอกรักเธอหรือเปล่า?”
   แดเนียลส่ายศีรษะ สร้างความแปลกใจให้กับผู้ถามอยู่ไม่น้อย
   “ไม่หรอกครับ ผมเองก็ยังไม่เคยบอกคุณโจวเลยสักครั้ง”
   “ทำไมล่ะ?” ชายหนุ่มชาวต่างชาติถามด้วยความสงสัย
   “ผมไม่มีโอกาสได้พูดหรอกครับ  ผมเจอคุณโจวครั้งแรกที่ผับในเกาลูน เหมือนเขาจะสนใจผม หลังจากนั้นเราก็ติดต่อกันมาเรื่อยๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนคุณโจวไม่ได้สนใจผม เหมือนเขาจะสนใจที่ผมเหมือนใครบางคนมากกว่า ทั้งๆ ที่ผมชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแท้ๆ”
   เสียงท้ายประโยคเหมือนจะตัดพ้ออยู่เล็กๆ  รูฟัสยิ้มแห้งๆ ชายหนุ่มตัดสินใจว่าาไม่ควรจะพูดเรื่องที่ว่าแดเนียลมีส่วนคล้ายกับหยุนหมิง
   “ถ้าเธอชอบพี่ยี่ เธอก็ควรจะบอกเขาไปเลย การที่พี่ยี่มองเธอแบบนั้น ทำให้เธออยากรู้อดีตของเขา แต่ฉันคิดว่าอดีตนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอเป็นคนปัจจุบัน ทำไมเธอไม่แสดงให้เขาเห็นล่ะ ว่าเธอเห็นความสำคัญของเขาแค่ไหน”
   “อา..” นัยน์ตาสีเขียวเบิ่งกว้าง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ
   “นั่นสินะครับ ผมน่าจะบอกเขาเสียแต่แรก ไม่น่าเสียเวลามาคิดเล็กคิดน้อยอยู่เลย ขอบคุณมากนะครับ คุณรูฟัส” ร่างบางกล่าว ก่อนจะผลุนผลันกลับเข้าไปในโถง  ชายหนุ่มมองตามพลางถอนหายใจ
   ถ้าฟ่งบอกรักเขาบ้างก็คงดี
   รสจูบที่หอมหวานในครั้งที่ฟ่งทำท่าทางเหมือนจะบอกรักเขาในครั้งอดีตผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดในความทรงจำ  รูฟัสเผลอเอามือแตะริมฝีปากอย่างลืมตัว ก่อนจะกำแน่น คำพูดที่ได้ยินทางโทรศัพท์จากเว่ยเฟิงปิงเมื่อกลางวันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
   ฟ่งจะหวาดกลัวเขาหรือเปล่า....
   จะยังมองเขาเหมือนเดิมอีกไหม....
   แม้ว่าจะทำใจไว้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ รูฟัสเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้อยู่ดี
---------------------------
   ภายในห้องขนากกลางที่ถูกจัดให้เป็นห้องนอนส่วนตัว แสงไฟสลัวจากโคมไฟบริเวณบริเวณโต๊ะข้างเตียงนอนไม้มะค่าฉลุลายจิตรกรรมจีนอย่างสวยงาม ย้อมสีของผนังบุวอลเปเปอร์จนกลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ บุรุษหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ โดยมีเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวคลุมไว้หลวมๆ
   แม้ว่าการตกลงเรื่องธุรกิจวันนี้จะสำเร็จลงด้วยดี ถึงอย่างนั้นคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ย กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ร่างบางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมจนแห้ง ก่อนจะแขวนมันไว้ตรงราวไม้ที่วางอยู่มุมห้อง การที่ริเวิลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้นทำให้เขารู้สึกวิตก เนื่องจากตอนนี้ผู้ชายที่ฝ่ายนั้นต้องการตัวมากกำลังถูกเขาบีบให้ปรากฏตัว  นิ้วเรียวยาวเอื้อไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนแพรสีม่วงอ่อนมาสวมใส่
   เว่ยเฟิงปิงทราบว่ารูฟัสเคยเข้าไปแฝงตัวเข้าอยู่ในริเวิลสองครั้ง ซึ่งครั้งที่สองนี้เอง ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีได้สร้างรอยแค้นฝังลึกด้วยการฆ่าปิดปากไฮท์คนสำคัญคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าเฮโรอีนข้ามชาติ และขโมยข้อมูลลับเกี่ยวกับเส้นทางการลำเลียงยาบางส่วนไป  ซึ่งสุดท้ายข้อมูลนั้นไปโผล่อยู่ในสกอตแลนยาร์ตของประเทศอังกฤษ ส่งผลให้ริเวิลถูกกวาดล้างและถูกจับตามองอย่างหนัก จนต้องล้มเลิกธุรกิจในส่วนนี้ไปช่วงหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง การเคลื่อนไหวของริเวิลโดยมีเจียงหลุนเป็นตัวล่อจึงไม่อาจจะมองข้ามไปได้
   ชายหนุ่มผู้มีผมสีดำสนิทติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้าย ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำไปแขวนไว้บนราวไม้ข้างผ้าขนหนู  เว่ยเฟิงปิงเชื่อว่ารูฟัสไม่ได้ขายข้อมูลลับที่เขาขโมยมาได้ให้กับรัฐบาลอังกฤษทั้งหมด พวกสายลับมักจะโจรกรรมข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ ตราบที่โอกาสอำนวย โดยสรุปคือเขาเชื่อว่ารูฟัสรู้มากกว่าที่ควรจะรู้ เนื่องจากข้อมูลลับเหล่านี้สามารถสร้างรายได้อย่างงามให้กับพวกสายลับ ไม่ว่าจะนำไปขายต่อ หรือใช้เป็นข้อต่อรอง จึงไม่น่าแปลกที่พวกสายลับมักจะไม่มีค่าหัว เพราะผู้ที่โดนโจรกรรมข้อมูลไม่ต้องการให้สายลับเหล่านั้นถูกจับได้ เพราะข้อมูลลับของตนอาจจะรั่วไหล  จึงทำให้การตามล่าพวกสายลับเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอมา ไม่ใช่แต่ตระกูลเว่ยของเขาเท่านั้น พวกริเวิลเองก็คงรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่รูฟัสขโมยออกไปจากตระกูลของเขาเมื่อหกปีก่อน ยังคงถูกเผยแพร่ออกไปไม่หมด
   งานนี้จึงเดิมพันที่ว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ตัวผู้ชายคนนั้นก่อน
   เป็นเวลากว่าอาทิตย์แล้วที่เขาพยายามจะบีบคั้นให้รูฟัสปรากฏตัวออกมา ด้วยการจับตัวประกัน และมันก็ได้ผล การมีเรื่องริเวิลเข้ามาแทรกในตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าริเวิลจะต้องเคลื่อนไหวแน่หากรูฟัสปรากฏตัว แต่เขามั่นใจว่ารูฟัสคงไม่ติดต่อกับริเวิล เพราะเสี่ยงต่อการรับศึกสองด้าน  ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรจะวางใจมากนัก บางทีชายคนนั้นอาจจะวางแผนตลบหลังเขาอยู่ก็ได้  ดังนั้นเขาจะต้องวางแผนจัดการเรื่องนี้อย่างรัดกุม ในการพบกันอีกสองวันข้างหน้า
   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่วางอยู่ข้างเตียง มันบอกเวลาห้าทุ่มเศษ  ร่างบางเดินตรงไปยังเตียงนอน หย่อนกายลงไปช้าๆ  สภาพเตียงนอนที่ว่างเปล่าทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำ
   ทำไมเขาถึงให้ฟ่งสัญญาแบบนั้น
   ในตอนแรกเว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขารู้สึกไม่พอใจชายหนุ่มที่ชื่อฟ่งอยู่มาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเพราะชายคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุคคลที่เขาปรารถนาและใฝ่ฝันจะแนบชิดมาโดยตลอด ที่จูบบนเครื่องบินเพียงเพราะต้องการให้ชายคนนี้เป็นตัวแทนไม่ใช่หรอกหรือ  แต่เมื่อยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้สัมผัสชายที่ชื่อฟ่งมากขึ้นเพียงไร กลับทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้น่าสงสาร  และมีหลายส่วนน่าประทับใจ
   ความอ่อนโยนที่ฟ่งแสดงออกกับเขาในวันที่ถูกพาตัวมาอยู่เป็นเพื่อนนั้น เรียบง่ายและใสซื่อเสียจนทำให้หวั่นไหว เพราะเว่ยเฟิงปิงไม่ค่อยได้พบเห็นการกระทำที่จริงใจแบบนี้เท่าไรนัก ความริษยาที่มีอยู่เดิมจึงแปรเปลี่ยนเป็นการแย่งชิง ฟ่งนั้นดีเกินไปสำหรับรูฟัส และในเมื่อรูฟัสเคยทอดทิ้งเขา เขาจะทำให้รูฟัสเข้าใจถึงความรู้สึกนั้นบ้าง
   เขาจะทำให้ฟ่งลืมผู้ชายตาสองสีคนนั้นให้ได้
   ร่างบางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สัมผัสเมื่อตอนหัวค่ำหวนกลับมาวนเวียนอยู่ในสมอง ร่างกายที่อ่อนระทวยด้วยความสิ้นหวัง และทีท่าที่โอนอ่อนนั้นกระตุ้นความรู้สึกให้อยากคุกคาม
   เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูออกไปจากห้อง
-----------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างด้วยความตระหนก ขณะที่ภายในช่องปากถูกรุกรานอย่างก้าวร้าวและรุนแรง ร่างบางพยายามจะดิ้นรน แต่แขนทั้งสองข้างกลับถูกรวบกดไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว  ฟ่งคิดว่าตัวเองกำลังจะโดนข่มขืน เมื่อกางเกงที่สวมอยู่ถูกดึงลงต่ำจนเผยให้เห็นส่วนสงวนที่อยู่ตรงหว่างขา  ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีการริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง ร่างกายทุกส่วนแทบจะถูกตรึงแน่นลงกับเตียง
   “!” จางซื่อเยี่ยนผงะใบหน้าขึ้น บริเวณมุมปากปรากฏรอยเลือดสีแดงไหลซึมออกมา  การคร่ากุมหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ฟ่งหอบหายใจ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น นัยน์ตาสีอีกาที่ถูกปอยผมบางส่วนร่วงลงมาปิดจ้องกลับมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะขย้ำมือข้างหนึ่งลงบนลำคอของเขา เหมือนตั้งใจจะบีบให้หายใจไม่ออก ฟ่งดิ้นหนี รู้สึกนัยน์ตาพร่า จางซื่อเยี่ยนกระชากเสื้อผ้าของร่างที่อยู่ใต้การคร่ากุมออก ฟ่งคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเสียแล้วตอนที่จางซื่อเยี่ยนคลายมือที่ขย้ำคอเขาออก ร่างผอมบางไออย่างหนัก หอบหายใจจนตัวโยน ระหว่างนั้นเองที่ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นและจับแยกออก
   ฟ่งพยายามยกขาถีบร่างสูงที่กำลังขึ้นคร่อมออก อีกฝ่ายจึงกระชากขาเขาขึ้นสูง ยันมันลงไปจนเกือบจะถูกใบหู ฟ่งร้องเสียงลั่น รู้สึกเหมือนไม่หลังหรือคอจะหัก ฟ่งมองเห็นนัยน์ตาสีอีกาลุกวาวอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกำลังคั่งแค้นเขาอยู่ ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายรูดซิปกางเกงออก นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้าง ตะโกนสุดเสียง
   “อย่านะ!! คุณชอบเฟิงปิงไม่ใช่หรือไง?!!”
   คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงักไปทันที  หนุ่มร่างสูงจ้องหน้าผู้อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาตื่นตระหนก “เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
   ผลจากการตะโกนทั้งที่ยังไออยู่ทำให้ฟ่งไอติดกันอีกหลายรอบ แถมท่าที่เป็นอยู่ยังทำให้เขาหายใจลำบาก “ปล่อย ปล่อยผมก่อน”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ  จางซื่อเยี่ยนยังคงตรึงร่างเขาไว้ในท่าทารุณนั้นเหมือนเดิม
   “ฉันถามว่าเมื่อกี้พูดอะไร?” ร่างสูงเค้นเสียงถาม แม้จะอยู่ในท่าที่ชวนให้ทรมานและไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามนัก แต่ฟ่งยังพอจะคิดได้ว่าขืนไม่พยายามตะเกียกตะกายตอบไป ทางนั้นอาจจะทำยิ่งกว่านี้ก็ได้
   “ผมพูดว่า คุณไม่ได้ชอบคุณเฟิงปิงหรือไง?” ผู้ถูกคุกคามตอบ แทบจะกลั้นหายใจเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่าย แววตาวาวโรจน์ที่ตื่นตระหนกราวกับสัตว์ร้ายที่หลงมาติดกับดัก
   “นายไปรู้มาจากไหน?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถาม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความแตกตื่นอย่างรู้สึกได้ ฟ่งเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นี่หมายความว่าเรื่องที่เขาคิดไว้เป็นจริงอย่างนั้นล่ะหรือ
   ร่างบางพยายามมองลึกลงไปในแววตาสีอีกาที่กำลังตื่นตระหนกคู่นั้น  ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นในห้องอีกครั้ง แต่แล้วเสียงที่คาดไม่ถึงก็ทำลายความเงียบนั้นไปจนหมดสิ้น
   ผลัวะ!
   จางซื่อเยี่ยนเซถลาออกไปสองก้าว ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองที่มาของกำปั้นปริศนา แล้วยิ่งต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม
   เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ที่นั่น ตัวสั่นเทาด้วยความโมโหถึงขีดสุด
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนอุทานออกมาได้คำหนึ่ง ก่อนเสียงฉาดจะดังขึ้น ใบหน้าถูกตบจนหันไปอีกทางหนึ่ง
   “คุณชาย ผม..”
   เว่ยเฟิงปิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดเพิ่ม ร่างบางฟาดมือเรียวยาวลงบนใบหน้าของลูกน้องอีกครั้ง เสียงฉาดดังสะท้อนในห้อง จนฟ่งเองยังรู้สึกเจ็บไปด้วย
   “หุบปาก!” ผู้เป็นเจ้านายตวาด จางซื่อเยี่ยนพยายามพยุงร่างให้ยืนตรงขึ้น บริเวณมุมปากมีเลือดไหลซึมออกมามากกว่าเดิม ร่างสูงหันกลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด เมื่อว่าพบนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นจ้องใส่อย่างโกรธเกลียด
   “ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเดียวนี้!!” เว่ยเฟิงปิงตวาดเสียงกร้าว คำพูดนั้นเสมือนแส้ที่โบยลงไปบนหัวใจของจางซื่อเยี่ยน ร่างสูงเดินคอตกโซซัดโซเซออกไปจากห้องโดยไม่เอ่ยอะไรเพิ่มอีก  เว่ยเฟิงปิงมองไล่หลังลูกน้องจนประตูห้องปิดลง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้ที่อยู่บนเตียง
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองสะดุ้ง เขารีบดึงกางเกงให้กลับเข้าที่ แต่กลับโดนมือหยุดไว้
   “นาย ไม่ได้โดนทำอะไรมากใช่ไหม”
   “อื้อ” ฟ่งตอบสั้นๆ และพยายามถอยหลังหนีอีกฝ่ายที่โน้มตัวเข้ามาใกล้  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกลับไปยืนตรงจุดเดิม
   “ใส่เสื้อผ้าให้เสร็จ แล้วไปกับฉัน” ร่างบางออกคำสั่ง  ฟ่งเงยหน้ามอง ก่อนจะใส่กางเกงกลับเข้าไป

   หนุ่มสวมแว่นก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ ในชุดเสื้อนอนตัวใหม่ที่เว่ยเฟิงปิงหยิบออกมาจากตู้ แสงไฟสลัวสีแดงจากโคมไฟหัวเตียงส่องให้เห็นผู้เป็นเจ้าของห้องที่กำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู เว่ยเฟิงปิงหันหน้ากลับมาทันที
   “ทำไมนายไม่เช็ดผมให้แห้ง?” นั่นคือประโยคแรกที่ชายหนุ่มเอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปล่อยให้ศีรษะมีน้ำหยดออกมาเป็นทาง ฟ่งทำหน้าเหลอหลา ก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะเดินเข้ามา หยิบผ้าขนหนูอีกผืนขยี้ลงไปบนศีรษะที่เปียกชุ่ม
   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:00:18
“ขะ..ขอบใจ” ฟ่งเอ่ย เว่ยเฟิงปิงพาดผ้าขนหนูกลับไปที่เดิม แล้วเดินไปหยิบหวีที่หน้ากระจกมาหวีผมให้
   “ค่อยยังชั่ว ความจริงนายเองก็ดูดีอยู่หรอก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เมื่อมองสำรวจสภาพอีกฝ่ายอีกครั้ง ฟ่งเดาไม่ออกว่าในตอนนี้คุณชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่  เว่ยเฟิงปิงพาเขามาที่ห้อง แล้วทำกับเขาเหมือนกับเป็นเด็ก ฟ่งไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ แต่รู้สึกแปลกใจมากกว่า
   “คืนนี้นายนอนที่นี่แหละ” ผู้เป็นเจ้าของห้องกล่าวต่อ ฟ่งมองไปรอบๆ ห้อง และไม่พบที่ที่เขาเห็นว่าจะนอนได้ นอกจากพื้นที่ปูพรมไว้อย่างเรียบร้อย ร่างบางหันไปมองหน้าผู้ออกคำสั่งเป็นเชิงถาม
   “นายนอนบนเตียงนี้แหละ ฉันเอาหมอนมาเพิ่มแล้ว” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบ ฟ่งเบิ่งตากว้าง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”
   เว่ยเฟิงปิงตอบเหมือนรู้ทัน ฟ่งยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอน โดยไม่ลืมที่จะเบียดตัวเองไปจนแทบจะติดผนัง ผู้เป็นเจ้าของห้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
   แสงไฟถูกดับลง ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงเสียงทำงานเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ  ฟ่งรู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง
   “นี่” เว่ยเฟิงปิงขึ้นในความมืด ฟ่งรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย
   “ขอกอดหน่อยได้ไหม แค่กอดเฉยๆ น่ะ”
   คำขอร้องนั้นทำเอาฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วส่งเสียงอืมในลำคอ เว่ยเฟิงปิงขยับตัวอีกครั้ง ก่อนจะยกแขนขึ้นมาวางไว้บนตัวของอีกฝ่าย ฟ่งรู้สึกว่าใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงอยู่ชิดกับไหล่ของเขาจากสัมผัสของลมหายใจอุ่นๆ
   “ขอบใจนะ” เสียงของเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวจนฟ่งเผลอยกมือขึ้นกุมมือที่วางอยู่บนหน้าอกของตน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่ของเขา ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
-----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนประคองตัวเองกลับมาจนถึงห้องอย่างยากลำบาก เขาไม่ได้รู้สึกปวดบริเวณใบหน้าที่โดนตบเมื่อครู่ สิ่งทำให้อดีตหน่วยดำผู้ผ่านอันตรายมาอย่างโชกโชนมีสภาพคล้ายกับคนใกล้ตาย คือสีหน้าและคำพูดของเจ้านายและการกระทำที่เขาได้ทำไปเมื่อครู่
   ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก คำพูดไล่ส่งจากเว่ยเฟิงปิงนั้นเขาเคยได้รับฟังมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นแตกต่างออกไป  นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด ราวกับว่าเขาได้ทำความผิดอันใหญ่หลวงที่ไม่อาจจะให้อภัยได้  หัวใจของจางซื่อเยี่ยนปวดแปลบ ชายหนุ่มไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่เสียใจกับสิ่งที่ได้รับ
   เว่ยเฟิงปิงเห็นเชลยที่เพิ่งได้ตัวมาสำคัญเสียยิ่งกว่าเขาที่ทำงานมานานอย่างจงรักภักดี
   อดีตหน่วยดำซบหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อเหนอะชื้นที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า มันเย็นจนสะท้านไปถึงสันหลัง ความเจ็บปวดนั้นเกิดกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้   
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเอง
-----------------------------
   หญิงสาวในชุดเสื้อแขนกุดสีแดงเลือดหมูสวมทับด้วยสูทสำหรับผู้หญิงสีน้ำตาลไหม้ มองดูชายชาวยุโรปผมสีบลอนด์ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
   ราฟาแอลนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันแทบจะสิ้นเชิงกับชายที่ชื่อรูฟัส แม้ว่าภายนอกจะดูสนุกสนานและขี้เล่น แต่ลึกๆ แล้ว เมี่ยงรู้สึกว่าชายคนนี้เลือดเย็นและน่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้มาก ตอนนี้ชายที่ชื่อว่าราฟาแอล คาดาร์ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องทำงานส่วนตัวของหล่อน ใบหน้าได้รูปนั้นดูสบายๆ แต่นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นกลับฉายแววคุกคามอย่างเห็นได้ชัด
   “คุณเมี่ยง คุณคงทราบเหตุผลที่ผมมาหาคุณในวันนี้” ราฟาแอลเปิดฉากการสนทนาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุดัน หญิงสาวพยายามยิ้มตอบ
   “ค่ะ”
   เมี่ยงพูดสั้นๆ เธอรู้จักกับชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้มาราวๆ สี่ปี โดยผ่านทางเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งทำธุรกิจอยู่ในฮังการี แน่นอนว่าเธอเองก็เคยเจรจาซื้อขายความลับจากคนคนนี้ และรู้สึกถูกคอกันอยู่ไม่น้อย จึงได้ติดต่อกันเรื่อยมา อย่างไรก็ดีการมาของราฟาแอลในวันนี้ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก เหตุเพราะคู่หูของเขาหายตัวไปกว่าสองสัปดาห์แล้ว และดูเหมือนเขาจะคิดว่า หล่อนกำลังสมคบคิดกับรูฟัสเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง จึงไม่น่าแปลกที่ชายคนนี้จะรู้สึกไม่ไว้ใจ
   หลังจากเงียบไปอีกพักหนึ่ง ราฟาแอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะผ่อนเสียงลง
   “คุณเมี่ยงครับ ผมเป็นคนชอบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณ ผมยิ่งนิยม  ผมไม่อยากจะข่มขู่หรือทำร้ายจิตใจคุณ ที่สำคัญ คุณเองก็ดีกับผมมาก แต่..” ชายหนุ่มหยุดประโยคคำพูดไปช่วงหนึ่ง หญิงสาวจ้องหน้าเขา ไม่ใช่เพื่อการท้าทาย แต่เพื่อการต่อรองทางจิตใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็พูดต่อ
“เจ้ารูฟัสหายตัวไปเกือบจะสองอาทิตย์แล้ว ซึ่งมันเกินกว่าที่ผมจะทำใจรับได้ ได้โปรดเถอะครับคุณเมี่ยง  กรุณาบอกผมว่าหมอนั่นมันหายหัวไปไหนกันแน่”
   หญิงสาวถอนหายใจ “คุณราฟาแอล  ความจริงดิฉันเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรคุณหรอกนะคะ แต่คุณรูฟัสฝากเอาไว้ว่าห้ามไม่ให้บอกคุณ เพราะเขาจะเป็นฝ่ายบอกกับคุณเอง ดิฉันก็เลย...”
   ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ระบายลมหายใจยาว ขยับตัวและจ้องมาอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “ครับ เหตุผลนั้นผมรับทราบแล้ว ถ้าแค่วันสองวัน ผมเองก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่มันนานเกินไปแล้ว กรุณาเถอะครับ เรื่องนี้สำคัญมากเกี่ยวกับงานที่พวกผมทำอยู่ การที่เจ้าหมอนั่นหายไปนานแบบนี้ทำให้ผมทำงานต่อไปไม่ได้ ถ้าคุณบอกผม ผมจะได้ตัดสินใจถูกว่าควรจะทำอะไรต่อ ควรจะรอหมอนั่นกลับมาไหม จะทำต่อเอง หรือวางแผนกันใหม่  ได้โปรดบอกผมเถอะครับ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก คุณคงทราบว่าผมเองไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล”
   “ค่ะ ดิฉันทราบ”   เมี่ยงตอบ พยายามชั่งใจว่าสมควรจะบอกเหตุผลที่รูฟัสหายตัวไปดีหรือไม่ การหายไปกว่าสองสัปดาห์ของรูฟัสนั้น เกิดความคาดหมายของเธอเช่นกัน แน่นอนว่ามันย่อมต้องส่งผลกระทบเกี่ยวกับงานอย่างที่ราฟาแอลว่า ที่สำคัญเธอเองก็เริ่มเป็นห่วงสวัสดิภาพของทั้งสองคน การที่จะให้ราฟาแอลรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ดูจะมีประโยชน์มากกว่าที่จะปิดเอาไว้ต่อไป
   “คุณรูฟัสไม่ได้ติดต่อกลับมาหาคุณเลยใช่ไหมคะ?”
   ราฟาแอลสั่นศีรษะ ก่อนจะมองหน้าหญิงสาว เมี่ยงสูดหายใจลึก ก่อนจะกล่าวช้าๆ
   “ดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังค่ะ”
------------------------------
   เวลาบ่าย ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ชั้นสิบหกของอาคาร Le mirior ซึ่งถูกเรียกว่าห้องประชุมใหญ่ เต็มไปด้วยคณะผู้บริหารจากหลากหลายเขตในฮ่องกงที่ถูกเรียกมาเพื่อประชุมเกี่ยวกับการขยายเขตธุรกิจด้านสถานเริงรมณ์ของตระกูลเว่ย ซึ่งประธานในที่ประชุมคือเว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าวเกี่ยวกับการทำธุรกิจในผับสกาล่า และการได้เครือข่ายธุรกิจของเจียงหลุนเข้ามารวมกลุ่ม และทิ้งท้ายด้วยการเตือนเกี่ยวกับการรุกคืบของกลุ่มริเวิล ซึ่งก่อให้เกิดความแตกตื่นในที่ประชุม อย่างไรก็ดีเว่ยเฟิงปิงได้ยืนยันการที่จะสกัดการรุกคืบในส่วนนี้ และยืนยันเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำธุรกิจ และการจ่ายค่าคุ้มครองที่ยังคงใช้อัตตราเดิม ทำให้การประชุมสำเร็จไปอย่างราบรื่น
   อาเง็กที่วิ่งวุ่นติดต่อเป็นธุระเรื่องการจัดประชุมแต่เช้ามืด นั่งปุลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเดินด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ผู้เข้าร่วมประชุมกลับไปหมดแล้ว
   “เหนื่อยล่ะหรือ?”
   เสียงทักทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบแปดต้องรีบผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวบางในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มสวมทับเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนเดินมายืนอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้านายของเขาเอง
   “เปล่าครับ” อาเง็กรีบกล่าวปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ความจริงรู้สึกอยากกลับไปพักผ่อนอยู่ไม่น้อย เว่ยเฟิงปิงคลี่ยิ้มบางๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจัง
   “อย่างนั้นช่วยตามลีลี่กับอาเฟยให้หน่อย ตามพวกที่ทำงานอยู่แถวๆ ตึกอี้เทียนด้วย บอกให้ไปพบฉันที่ห้อง ฉันจะประชุมเรื่องการนัดพบพรุ่งนี้”
   “ครับ” อาเง็กรับคำ นึกนับถือเจ้านายที่ยังมีแรงประชุมต่อ ทั้งๆ ที่ตลอดบ่ายมานี้เผชิญกับการตั้งคำถามและปัญหาสารพัดรูปแบบ การวางแผนและจัดการอย่างมีความรัดกุมและเด็ดขาดของเว่ยเฟิงปิงนั้น ทำให้เครือข่ายธุรกิจตระกูลเว่ยในส่วนที่เขาควบคุมอยู่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนหลายคนคาดไม่ถึง อาเง็กได้เข้ามาร่วมกับเฟิงปิงเมื่อสองปีก่อน เขารู้สึกประทับใจในความสามารถด้านการวางแผนและแก้ปัญหาของเจ้านายคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงกับสาบานกับตัวเองว่า เขาจะขอรับใช้คนคนนี้ไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ดีบางครั้งเว่ยเฟิงปิงดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจจะตัดสินใจได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าเจ้านายผู้เก่งกาจของเขาจะต้องผ่านพ้นอุปสรรค์ทุกอย่างและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
   เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องเดินหายลับไปตรงมุมทางเดิน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบ้าง การที่เขาตัดสินใจประกาศเรื่องการรุกคืบของริเวิลนั้น เพื่อป้องปรามเหล่าผู้ร่วมเครือข่ายที่อาจจะมีแนวโน้มตีตัวออกห่างไป แต่ในทางตรงข้าม ข่าวนี้กลับสร้างความหวั่นไหวให้กับคนเหล่านั้นไม่น้อย  จึงจำเป็นจะต้องทำให้เห็นว่าเขามีหนทางที่แน่ชัดในการจัดการปัญหานี้ อย่างไรก็ดีเว่ยเฟิงปิงไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่เขาจะเจรจาซื้อขายข้อมูลลับในวันพรุ่งนี้ เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถเจรจาซื้อขายข้อมูลจากรูฟัสได้มากเพียงใด ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มยังคงมั่นใจว่าเขามีโอกาสที่จะได้ข้อมูลสำคัญที่สุดมาไว้ในมือ  ซึ่งข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้แผนจัดการกับริเวิลสำเร็จง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความไว้วางใจของผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อได้อีกด้วย
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดถึงผู้เป็นพ่อ บุรุษวัยหกสิบกว่าที่มีใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และมีบุคลิกอันน่าเกรงขาม ผู้ดำรงอำนาจและครองตำแหน่งสูงสุดแห่งกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่
แม้จะดูยิ่งใหญ่และทรงอำนาจในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว พ่อเปรีบบเสมือนเงาทมิฬที่ตามหลอกตามหลอนชีวิตของเขา ตั้งแต่จำความได้ ชายหนุ่มไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของผู้เป็นบิดา รู้เพียงแต่ว่าชายคนนี้เป็นผู้ให้เงินสนับสนุนและกำหนดสถานที่เรียนและที่อยู่ให้หลังจากที่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิตไปแล้ว ตอนอายุสิบแปดเขาได้เห็นหน้าพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งแรก เว่ยเฟิงปิงตระหนักกับตัวเองว่าเกลียดชายคนนี้ขนาดไหน  เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ขโมยข้อมูลลับของกลุ่มไปให้กับรูฟัส การได้รู้ว่าธุรกิจของผู้เป็นบิดาพังพินาศและประสบความเสียหายจากเหตุการณ์นั้นขนาดไหน กลับทำให้เขารู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ  สิ่งที่เขาเสียใจมีเพียงอย่างเดียวคือการที่รูฟัสไม่ยอมพาเขาไปด้วย
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว ดึงตัวเองกลับสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยป่าคอนกรีตขนาดใหญ่
   วันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่เขาหันหน้าเผชิญอดีตอันแสนขมขื่นที่ยากจะลืม เพื่อก้าวข้ามและหันกลับมาบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้เป็นบิดาที่เขาเกลียดชัง
--------------------------------------
   อาเง็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากลิฟต์ หลังจากที่จัดการธุระที่เจ้านายสั่งการไว้เสร็จสิ้น เด็กหนุ่มคิดว่าเขาควรจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องซักพัก แต่แล้วก็พลันชะงักฝีเท้าเมื่อผ่านห้องพักห้องหนึ่ง
   เด็กหนุ่มจำได้ว่าตลอดวันมานี้เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนเลย
   เป็นเรื่องน่าแปลก  เพราะในวันที่มีการประชุมและเตรียมการวางแผนการใหญ่แบบนี้ จางซื่อเยี่ยนมักจะต้องปรากฏตัวเพื่อเป็นธุระเสมอมา  หรือจะพูดให้ถูกคือ จางซื่อเยี่ยนมักจะเป็นคนดำเนินการในแทบจะทุกเรื่อง ความจริงอาเง็กเองก็นึกสงสัยอยู่แล้วตั้งแต่เว่ยเฟิงปิงโทรศัพท์เข้ามาในตอนเช้าตรู่ให้เขาจัดการเตรียมการเรื่องการประชุม แต่การที่ต้องวิ่งวุ่นทั้งวันทำให้เขาลืมที่จะถามหาบุคคลที่ตามตำแหน่งแล้วถือเป็นหัวหน้าของเขาอีกทีหนึ่ง
   อาเง็กหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของจางซื่อเยี่ยน นึกชั่งใจว่าเขาควรที่จะเคาะประตูหรือไม่  ชายหนุ่มทราบว่าเรื่องที่จะเจรจาในพรุ่งนี้นั้นเป็นเรื่องสำคัญและมีความเสี่ยงมาก ซึ่งโดยปกติจางซื่อเยี่ยนจะต้องรับหน้าที่ติดตามเจ้านายของเขาเสมอ บางทีชายคนนั้นอาจจะไปรออยู่ที่ประชุมแล้วเช่นทุกครั้ง แต่บางอย่างทำให้เขาเอื้อมมือออกไปเคาะประตู
   “.......”
   ไม่มีเสียงตอบ  อาเง็กเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะรู้สึกวิตกกังวลไปเอง จางซื่อเยี่ยนอาจจะป่วยจนไม่สามารถทำงานได้  แต่ทำไมเจ้านายถึงไม่บอกเขาเลยล่ะ  เด็กหนุ่มตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง  คราวนี้มีเสียงกุกกักดังขึ้น แล้วประตูก็เปิดแง้มออก
   เด็กหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อเห็นสภาพของบุคคลที่อยู่ภายในห้อง จางซื่อเยี่ยนมีสภาพคล้ายคนอดนอนมาหลายอาทิตย์ สีหน้าดูแย่จนเขาคิดว่าเคาะประตูผิด
   “มีอะไร?” ร่างสูงถามเสียงพร่า อาเง็กสะดุ้งนิดหน่อย รีบพูดออกไปโดยไม่ทันคิด
   “คุณชายให้มาตามพี่ไปประชุมเรื่องการเจรจาพรุ่งนี้”
   นัยน์ตาสีอีกาที่ดูไร้ชีวิตนั้นไหววูบ แวบหนึ่งอาเง็กคิดว่าจางซื่อเยี่ยนเหมือนคนที่กำลังฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
   “ขอบใจ เดี๋ยวฉันจะตามไป” ชายหนุ่มกล่าวตอบสั้นๆ ก่อนจะปิดประตู  อาเง็กยืนนิ่งอยู่พักใหญ่
   เกิดอะไรขึ้นกับชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนกันแน่?!
------------------------------------------
“เมื่อคืนแกคุยอะไรกับแดเนียล”
   นั่นคือประโยคแรกที่โจวยี่เอ่ย เมื่อเห็นเพื่อนเก่าโผล่หน้าเข้ามาทางประตู  ชายผู้มีนัยน์ตาสองสียักไหล่ นั่งปุลงบนโซฟาหนังสีขาวที่เริ่มกลายเป็นสีครีมเพราะอายุการใช้งาน
   “แล้วไม่ดีหรือไง เมื่อคืนก็สนุกไม่ใช่หรือ”   รูฟัสตอบกลับด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาท  บุรุษผู้มีผมยาวสยายส่งเสียงเฮอะในลำคอ รูฟัสเลิกคิ้วและพูดต่อทันที “อย่ามาส่งเสียงเหมือนไม่พอใจไปหน่อยเลยน่า ความจริงแกน่าจะพูดว่า ขอบคุณคุณรูฟัสที่ทำอะไรดีๆ เพื่อผม”
   โจวยี่ทำจมูกย่น  ก่อนจะนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
   “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” รูฟัสเริ่มเปลี่ยนท่าที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะไม่เล่นด้วย
   “เปล๊า” อีกฝ่ายทำเสียงสูง ในที่สุดก็ระเบิดหัวเราะออกมา
   “ท่าทางแกจะดูเป็นห่วงฉันนะนี่ ฮ่า ฮ่า  เมื่อคืนเรียบร้อยดี  แกเล่าเรื่องหยุนหมิงให้แดเนียลฟังหรือ?”
   “อืม” รูฟัสรับคำในลำคอ รู้สึกเหมือนโดนหลอกให้พูด คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“นี่แกคงไม่ได้เรียกฉันมานั่งคุยถึงในห้องส่วนตัวของแก เพราะแค่อยากจะแกล้งฉันหรอกนะ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ น้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจนัก โจวยี่โบกมือ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านหลัง รินส่งให้
   “ฉันเรียกแกมาคุยเรื่องแผนพรุ่งนี้”
   รูฟัสเลิกคิ้ว “แผนอะไร?”
   คราวนี้อีกฝ่ายขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง “ก็พรุ่งนี้ที่แกจะไปพบคุณชายเว่ยไง นี่อย่าบอกนะว่าแกลืม”
   “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?” รูฟัสพูด ทำหน้าไม่รู้เรื่อง  โจวยี่ทำตาเขียว
“ตลกมากไปล่ะ งั้นเชิญแกออกไปจากห้องฉันได้เลย”
   “โอ๋ๆ ล้อเล่นน่า พี่ยี่ก็ แหม ทำเป็นงอนไปได้” รูฟัสทำเสียงอ้อน ทำเอาอีกฝ่ายตาเหลือก
   “อย่ามาทำเสียงทุเรศแบบนั้นใส่ฉันนะโว้ย”
   “เออๆ แล้วตกลง แกมีแผนอะไรเพิ่มเติมหรือไง วันก่อนก็คุยกันไปหมดแล้วนี่”
   โจวยี่ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ นัยน์ตาเรียวยาวราวพญาเหยี่ยวจ้องมาเหมือนจะบอกความนัยน์อะไรบางอย่าง
   “แกคิดจะทำยังไงกับคุณชายเว่ย?”
   ผู้ถูกถามยักไหล่ “ทำไงงั้นหรือ ก็แลกข้อมูล เอาตัวฟ่งกลับ จบ”
   โจวยี่ใช้สายตาคมกริบจ้องคุ่สนทนาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “พูดมาตรงๆ ดีกว่า สายตาแกมันฟ้องว่าไม่ได้คิดอยู่แค่นั้น”
   รูฟัสเลิกคิ้วสูง มองหน้าคู่สนทนา “แกจะอยากรู้ไปทำไม?”
   “ฟังนะ” อีกฝ่ายกล่าวเสียงเครียด “เรื่องคราวนี้ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ และทางคุณชายเว่ยเองก็คงสืบรู้จนได้ว่าฉันร่วมมือกับแก ถ้าแกเกิดทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา ความซวยมันจะตกอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้น...”
   โจวยี่ล้วงของบางอย่างออกมาจากลิ้นชักเคาน์เตอร์  ของนั้นทำเอาอีกฝ่ายตาเหลือก
   “แกต้องใส่นี่ไปด้วย”
   หนุ่มชาวฮ่องกงโบกวัตถุสีเงินที่อยู่ในมือไปมา รูฟัสทำหน้าเหมือนกำลังดูหนังสยองขวัญ “จะบ้าเรอะ นี่จะให้ฉันใส่กุญแจมือไปหาเฟิงปิง? ถ้าทำแบบนี้ฉันไปหาเขาเองก็ได้ ไม่ต้องมาขอพึ่งแกหรอก”
   “ใจเย็นก่อนน่า” อีกฝ่ายกล่าว เมื่อเห็นท่าทีไม่พอใจของคู่สนทนา
   “นี่เป็นกุญแจมือที่ไม่ใช่กุญแจมือธรรมดา” พูดพลางโบกกุญแจมือไปมา นั่นดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากขึ้น “ไม่ธรรมดาตรงไหนว่ะ ใช้โซ่เหล็กฝังเพชรหรือไง”
   โจวยี่ส่ายหน้า
   “ยื่นมือออกมาสิ” รูฟัสทำหน้าไม่เชื่อ อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “เถอะน่า ข้างเดียวก็ได้ เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้ดู”
   “อย่าเล่นบ้าๆ ล่ะ” รูฟัสพูด ขณะยื่นมือข้างหนึ่งออกไป โจวยี่คล้องกุญแจมือลงไปดังกริ๊ก
   “โอเค แล้วไงต่อ” ผู้ถูกล่ามมือไปแล้วหนึ่งข้างถามอย่างใคร่รู้
   “แกเห็นปุ่มสีเงินเล็กๆ ใกล้ๆ รูกุญแจหรือเปล่า ลองกดดูสิ”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีก้มลองมองบนกุญแจมือ และพบว่ามีปุ่มดังกล่าวอยู่จริง ชายหนุ่มทดลองใช้นิ้วที่พอจะขยับถึงกดลงไป ท่าทางดูลำบากอยู่ไม่น้อย แล้วในที่สุด กุญแจมือก็หลุดออก
   “ไง แบบนี้สบายใจขึ้นบ้างรึเปล่า?”
   “สบายใจบ้าอะไรล่ะ” อีกฝ่ายตอบ รีบเขี่ยกุญแจมือคืน “นี่แกไม่คิดถึงสวัสดิภาพของฉันบ้างหรือไงว่ะ? เกิดถอดไม่ทันขึ้นมา ฉันมิแย่หรือไง?”
   “อันนั้นมันเป็นเรื่องของแก” โจวยี่ตอบอย่างปัดความรับผิดชอบ ทำเอารูฟัสตาเขียว
   “นี่ ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นะ ยิ่งแกทำตัวเองให้ดูหมดเขี้ยวเล็บมากเท่าไหร่ ฝ่ายโน้นยิ่งระมัดระวังตัวน้อยลงไปด้วย แกเข้าใจที่ฉันบอกหรือเปล่า”
   หนุ่มชาวรัสเซียนิ่งอึ้งไปพักใหญ่   “แล้วถ้าเกิดมีปัญหาล่ะ?”
   “ฉันจะทำบุญเผากระดาษกงเต๊กไปให้แกเยอะๆ แล้วกัน”
   รูฟัสส่งเสียงเฮอะในลำคอ ก่อนเอนหลังลงบนโซฟา หยิบกุญแจมือมาควงเล่น
   “ทำขนาดนี้ ฉันเดินแก้ผ้าเข้าไปเลยดีกว่า”   ชายหนุ่มกล่าวประชด แต่อีกฝ่ายกลับอมยิ้ม
   “ถ้าทำจริงน่าจะดีนะ คุณชายเจ็ดน่าจะชอบอยู่”
   รูฟัสถลึงตาใส่โจวยี่ หนุ่มวัยสามสิบหัวเราะร่วน “ฮ่า ฮ่า แกจะเอากุญแจมือไปลองถอดเล่นดูก่อนซักคืนก็ได้นะ แล้วนี่มีแผนจะไปไหนรึเปล่า?”
   อีกฝ่ายส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน “ไม่ล่ะ ฉันจะกลับไปเตรียมตัว”
   “เขียนพินัยกรรมหรือ?”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับมาถลึงตามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “เขียนพินัยกรรมยกลูกปืนให้แกไง”
   โจวยี่หัวเราะพร้อมกับหยิบกุญแจมือยัดใส่มืออีกฝ่าย รูฟัสทำหน้ายุ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมถือเอาไว้
   “ไปเถอะๆ ถ้าแกแกะกุญแจมือไม่ออกก็โทรบอกฉันแล้วกัน”
   รูฟัสปิดประตูใส่เสียงดังปึง
------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:01:11
บทที่18 “ฉันกับหมอนั่นไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย!!”
   จางซื่อเยี่ยนก้าวออกมาจากห้องน้ำโยนผ้าเช็ดตัวลงบนราวพาดผ้าสแตนเลสที่วางอยู่หน้าห้องน้ำ เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีเทาที่แขวนอยู่หน้าตู้ขึ้นมาสวมใส่ หนุ่มผมยาวพยายามบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจเอาไว้ แต่ลึกๆ หัวใจของเขากำลังสั่นด้วยความตื่นเต้น
   เว่ยเฟิงปิงเรียกเขาเข้าประชุม
   จางซื่อเยี่ยนทราบดีว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่เจ้านายของเขาจะต้องไปพบกับบุคคลที่กำลังเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งในฮ่องกง ซึ่งแน่นอนว่าการพบกันในครั้งนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แม้จะมีการวางแผนการป้องกันไว้แล้วก็ตาม เดิมทีเขาเองเป็นผู้ที่ต้องดำเนินการประสานงานในเรื่องนี้ และมีหน้าที่ที่ต้องตามไปคุ้มครองเว่ยเฟิงปิง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขาไม่มีหน้าจะไปพบเจ้านาย 
ผู้มีนัยน์ตาสีดำราวอีกาหยิบยางขึ้นมารัดผม เขาไม่กล้าเดาว่าตอนนี้เว่ยเฟิงปิงคิดอย่างไรกับเขากันแน่ การที่ถูกตามให้เข้าประชุม ทำให้ชายหนุ่มนึกใจชื้นว่าอย่างน้อยผู้เป็นเจ้านายก็ยังคิดถึงเขาอยู่ แต่อีกใจหนึ่งเขากลับรู้สึกละอายที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญนี้ไปเพียงเพราะเรื่องที่เขาเป็นฝ่ายทำผิดไปเอง
จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปจริงๆ
---------------------------------------------------
ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีเว่ยเฟิงปิงก็พบว่าตัวเองสูบบุหรี่เป็นมวนที่สามแล้ว ชายผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเคาะขี้เถ้าบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางถอนหายใจยาว เทปเสียงและเครื่องเล่นพร้อมหูฟังวางกองพะเนินอยู่บนโต๊ะ และยังมีกระดาษที่เป็นเอกสารถอดเทปอีกปึกหนึ่ง  เว่ยเฟิงปิงมั่นใจว่าตอนนี้เขาทราบการเคลื่อนไหวขอรูฟัสแทบจะทุกอย่าง จากเครื่องดักฟังที่ถูกติดตั้งเอาไว้ภายในห้องทำงานของโจวยี่ และภายในรถ  ที่สำคัญที่สุดคือชายที่ชื่อโจวยี่อาสาที่จะทำงานนี้ให้เขาเอง
คุณชายเจ็ดระบายลมหายใจพร้อมด้วยควันสีขาวออกมาอีกครั้ง  ประวัติของชายที่ชื่อโจวยี่นั้นดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจนัก แน่นอนว่าชายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดในครั้งที่รูฟัสลอบเข้ามาในแก๊งของเขาเมื่อหกปีก่อน  หลังจากการหนีไปพร้อมด้วยเอกสาร เว่ยเฟิงปิงมาทราบภายหลังว่าโจวยี่เองก็โดนตามล่าอย่างหนักจนต้องหนีไปกบดานอยู่ในประเทศจีนอยู่พักใหญ่  อย่างไรก็ดี เมื่อเขากลับเข้ามามีบทบาทภายในแก๊ง เว่ยเฟิงปิงได้ติดต่อกับชายคนนี้และเสนอความคุ้มครองให้ เพื่อแลกกับการทำงานภายใต้อาณัติ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังสืบทราบมาอีกว่าโจวยี่เคยมีปัญหาระหองระแหงถึงขั้นแทบจะแตกหักกับรูฟัสในเรื่องผู้ชาย ดูเหมือนว่ารูฟัสจะไปล่วงเกินคนรักของอีกฝ่ายเข้า ในตอนที่ทราบเรื่องนี้เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่มาก ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเมินเขาอย่างไร เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงหวงทุกทีที่ได้รู้ว่ารูฟัสไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น  แต่เว่ยเฟิงปิงจำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นไว้ เพื่อดำเนินแผนการของเขาต่อ
จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนว่าโจวยี่เองก็มีความขุ่นเคืองรูฟัสอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เว่ยเฟิงปิงเชื่อเสมอมาว่าเขาไม่มีทางจะจัดการกับชายที่ชื่อรูฟัสได้แม้จะพบตัว เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อหกปีก่อน แม้ว่าบิดาของเขาจะระดมขุมกำลังระดับชั้นแนวหน้าออกตามล่า แต่ก็ไร้ผล  นั่นเพราะเครือข่ายของพวกสายลับนั้นแฝงตัวไปทั่ว มีการวางแผนการหนีกันล่วงหน้ากันหลายขั้นตอน ดังนั้นการได้ตัวโจวยี่ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการนั้นเข้ามาร่วมในกลุ่ม จึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เขามีโอกาสที่จะได้ตัวรูฟัสได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือทำอย่างไรให้ชายคนนั้นมาที่ฮ่องกงและติดต่อกับโจวยี่
และในที่สุด แผนการต่างๆ ก็ดำเนินมาเข้าล็อก พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่เขารอคอยมาเป็นเวลากว่าหกปี หกปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง วันพรุ่งนี้มีความหมายมากกว่าแค่การเจรจาตกลงซื้อขายข้อมูลลับ หากแต่เป็นวันที่เขาจะได้พบกับผู้ที่ลักพาหัวใจของเขาไป วันเวลาแห่งการแก้แค้นกำลังจะเปิดฉาก
เว่ยเฟิงปิงขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ย ขณะที่กำลังจะหยิบบุหรี่จากกล่องใส่บุหรี่อันใหม่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“สายันต์สวัสดิ์ค่ะ คุณชายเจ็ด”
เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วเรียวยาวขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยิ้ม “สายันต์สวัสดิ์ลีลี่ ไม่นึกเลยว่าเธอจะมาถึงคนแรก”
หญิงสาวผู้เข้ามาอยู่ในชุดกี้เพ้าแขนกุดกระโปรงสั้นสีแดง ปักลวดลายดอกไม้สีขาว หัวเราะคิกคัก “แหม ก็คุณชายเล่นให้อาเง็กไปตามด้วยตัวเองแบบนั้น ดิฉันก็ต้องรีบมาสิคะ พอดีว่าดิฉันกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดีเลยค่ะ”
เว่ยเฟิงปิงหัวเราะในลำคอ ขณะมองดูหญิงสาววัยใกล้ๆ จะสามสิบที่แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูเด็กกว่าอายุอยู่มาก
“แล้วนี่อาซื่อไปไหนคะเนี่ย” หญิงสาวถามต่อ เมื่อเห็นว่ามีเพียงเว่ยเฟิงปิงอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบผ่านๆ หญิงสาวขมวดคิ้วที่กันจนได้รูปด้วยความแปลกใจ ”ปกติเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่ ตัวติดกันอย่างกับตังเม ทะเลาะกันหรือไงคะ?”
เว่ยเฟิงปิงหันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าหล่อนหยุดพูดแต่อย่างใด
“แสดงว่าทะเลาะกันจริงๆ สินะ  อาซื่อเองก็ออกจะทำงานถวายหัวขนาดนั้น ทำไมไม่ใจดีกับเขาหน่อยล่ะ”
“หมอนั่นทำงานให้พ่อฉันต่างหาก” เว่ยเฟิงปิงตอบ หญิงสาวโบกนิ้วไปมาเป็นเชิงปราม
“ไม่เอาน่า คุณชาย ดูไม่ออกหรอกหรอคะ เวลาที่อาซื่อมองคุณน่ะ สายตามันฟ้องนะว่าไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง”
“ลีลี่!” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงปราม หญิงสาวหัวเราะอีกครั้ง
“อาซื่อไม่ใช่สเป๊กของคุณชายเหรอคะ โถ ดิฉันว่าน่ารักดีออก ผู้ชายที่ทุ่มเทขนาดนี้ หายากนะคะ”
“ถ้าเธอชอบหมอนั่นล่ะก็ ฉันยกให้” เว่ยเฟิงปิงตอบ รู้สึกปวดประสาทที่จะต้องมาต่อปากต่อคำกับผู้หญิงแบบนี้
“ถ้าอาซื่อยอมก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่ดูท่าทางเขาจะมองแต่คุณชายคนเดียว” หญิงสาวตอบ พลางสัพยอกฝ่ายตรงข้าม  เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ปกติจางซื่อเยี่ยนจะคอยเป็นคนห้ามปรามคำพูดแบบนี้ของลีลี่ แต่วันนี้หมอนั่นกลับไม่ยอมโผล่หัวมา
ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างคนคิดอะไรไม่ออก ทำให้อีกฝ่ายยิ่งส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานมากขึ้น ดีที่เสียงเคาะประตูมาหยุดสถานการณ์ไว้ได้ทัน
“สวัสดีครับ คุณชาย” ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบห้าสามสิบหก ผมสีดำแซมขาวเล็กน้อย ในชุดเสื้อเชิ้ตยับๆ สีน้ำตาลแก่ ที่เดินตามหลังมาชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกอีกจำนวนสองคน ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคอจีนแขนยาวสีขาวมีแถบสีทองบริเวณแขนด้วยกันทั้งคู่ ท่าทางเหมือนพนักงานโรงแรม
“สวัสดี อาเฟย สองคนนั่น เทียนเหมินกับจอห์นสินะ”
ชายสองคนที่อยู่ในชุดสีขาวพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยคำทักทาย ก่อนจะชะงักสายตาไปยังผู้ที่ตามเข้ามาอีกคนหนึ่ง 
จางชื่อเยี่ยนเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวคำทักทายเบาๆ สั้นๆ  ซึ่งเว่ยเฟิงปิงได้ถลึงตาใส่เป็นการตอบกลับ ก่อนจะพูดขึ้น
“เอาล่ะ ฉันอยากทราบความพร้อมของทุกคนในวันพรุ่งนี้”
ชายหนุ่มหยุดกวาดตามองลูกน้อง และกล่าวต่อ “ลีลี่  ทางบ่อนของโจวยี่มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?”
หญิงสาวในชุดกี่เพ้าแดงอมยิ้มเล็กน้อย เธอเป็นหนึ่งในหัวหน้าโสเภณีที่หากินอยู่ในแถบนี้ และมีเครือข่ายค่อนข้างกว้างขวาง และรู้จักกับเว่ยเฟิงปิงมานานพอสมควร หญิงสาวจีบปากจีบคำเอ่ย “เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติหรอกนะคะ คุณโจววันๆ ก็หมกอยู่ในบ่อนกับเด็ก ส่วนผู้ชายที่ชื่อรูฟัสก็เข้าๆ ออกๆ บ่อนทุกวัน”
   “แล้วรู้ที่อยู่ที่แน่นอนของหมอนั่นหรือยัง?” คุณชายเจ็ดถามต่อ หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   “จะบอกว่ารู้ก็ไม่เชิงหรอกนะ เด็กๆ ของฉันไม่กล้าตามเขาไป ท่าทางตานั่นไม่ได้สนใจจะหาผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ เราเลยได้แต่สอบถามคนแถวนั้นดู คิดว่าพักอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเท่าไหร่”
   เว่ยเฟิงปิงโบกมือวูบ “ช่างมันเถอะ แล้วอาเฟย คุณเตรียมการเรื่องสถานที่กับคนไปถึงไหนแล้ว”
   ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวไม่ค่อยจะเรียบร้อยนักเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกขัดกับบุคลิกภายนอก
   “เราได้ซุ่มวางกำลังคนไว้ในจุดต่างๆ ของตึกที่คาดว่าจะเป็นทางหนีไว้หมดแล้วครับ และจากกล้องวงจรปิด เรายังไม่พบอะไรผิดปกติครับ ส่วนกำลังสนับสนุน เราได้เตรียมไว้เต็มกำลังโดยแฝงตัวอยู่ในรูปแบบพนักงานโรงแรมข้างเคียง และเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของเทศบาล ทุกอย่างเตรียมการสมบูรณ์ครับ”
   ชายผู้ถูกเรียกว่าอาเฟยรายงานยาวเหยียด  เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าด้วยความพอใจ
   “ฉันกับตัวประกันจะอยู่แยกกัน เพราะฉะนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ให้พวกเธอพาตัวประกันออกไปทันที  อย่าลืมว่าเราต้องเด็ดขาดกับชายคนนั้น ไม่ต้องลังเลหากทางนั้นขู่ว่าจะทำอะไรฉัน หากว่ามันยังไม่ได้ตัวประกันไป มันต้องไม่กล้าลงมืออย่างเด็ดขาด และถ้าการเจรจาสำเร็จ ให้พวกที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาได้ทันที เราต้องจัดการปิดปากให้เรียบร้อย”
   เว่ยเฟิงปิงเว้นระยะคำพูด กวาดตามองบรรดาลูกน้องอีกครั้ง
   “จำไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะไม่มีการส่งตัวประกันเป็นอันขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ขอให้ทุกคนเข้าใจตามนี้”
   ทั้งหมดรับคำ ก่อนจะทยอยเดินออกไป
   “ซื่อเยี่ยน นายอยู่ก่อน ส่วนเธอ อาเง็ก ไปรอข้างนอก เดี๋ยวฉันจะเรียกคุย”   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเรียกในนาทีสุดท้าย อดีตหน่วยดำสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยืนนิ่ง อาเง็กซึ่งกำลังเดินผ่านไป หันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะรับคำสั่งเจ้านาย เดินออกประตูไป
   เสียงปิดประตูดังกริ๊ก จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าหันกลับไปมองผู้เป็นนาย ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามาใกล้
   ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้น  ชายหนุ่มได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เจ้านายของเขาคงสูบบุหรี่อีกแล้ว
   “บอกฉันหน่อยสิ ซื่อเยี่ยน เมื่อวานนี้มันอะไรกันแน่” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ คำถามนั้นเสมือนทั่งเหล็กที่ถูกทิ้งลงไปบนจิตใจของจางซื่อเยี่ยน  ชายหนุ่มได้แต่นิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง
   ในที่สุดผู้เป็นเจ้านายก็ถอนหายใจยาว
   “ฉันควรจะทำอย่างไรกับลูกน้องที่พยายามจะเข้าไปข่มขืนตัวประกันล่ะ ตอบฉันสิ”
   จางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบ เขามองเห็นเท้าของเว่ยเฟิงปิงมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้า  น้ำเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   “เงยหน้าขึ้น ซื่อเยี่ยน” ผู้เป็นนายออกคำสั่ง จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมด เงยขึ้นมองผู้เป็นเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่ตรงหน้า ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนที่รีดอย่างเรียบร้อย เจ้านายของเขายังคงสง่างามเช่นเคย
   “ตอบคำถามของฉันมา ฉันอยากรู้ ไม่ว่าเหตุผลนั่นจะเป็นอะไรก็ช่าง ฉันทนทำงานอยู่กับนายไม่ได้ถ้านายไม่ยอมตอบ”
   จางซื่อเยี่ยนเม้มปาก จะให้เขาตอบว่าอย่างไรกัน ในเมื่อเรื่องทั้งหมดล้วนมีสาเหตุมาจากชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาทั้งสิ้น  เว่ยเฟิงปิงสืบเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น “บอกฉัน ฉันจำเป็นจะต้องมีนายไปด้วยในวันพรุ่งนี้ แต่ฉันคงทนไม่ได้ถ้าไม่รู้ว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น ได้ยินไหม ซื่อเยี่ยน”
   นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นสั่นระริก เป็นถ้อยคำขอร้องของเว่ยเฟิงปิงที่จางซื่อเยี่ยนไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่ากับใครก็ตาม แต่ผู้เป็นเจ้านายกับเอ่ยถ้อยคำนี้กับเขา อดีตหน่วยดำรู้สึกหูอื้อ มองดูเจ้านายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเจ็บปวด  เขาทราบว่าพรุ่งนี้เว่ยเฟิงปิงจำเป็นจะต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยที่ดี ดังนั้นเจ้านายผู้แสนเย็นชาคนนี้ถึงกับออกปากขอร้องออกมา และนี่เป็นหน้าที่ของเขาแท้ๆ แต่จะตอบคำถามฟที่เว่ยเฟิงปิงถามมาอย่างไรกันเล่า
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีอีกามองไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งห่างออกไปแค่มือเอื้อม ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนใบหน้าของทั้งคู่แทบจะสัมผัสกัน เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้างด้วยความตระหนกเล็กน้อยรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขามองเห็นริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของอีกฝ่าย
   “ผมน่ะ..” อดีตหน่วยดำพูดเบาเหมือนกระซิบ นัยน์ตาสีอีกาจ้องมองเข้าไปภายในดวงตาสีฟ้าใสของผู้เป็นเจ้านาย ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายเผยอขึ้นด้วยความงุนงงสงสัย จางซื่อเยี่ยนมองริมฝีปากนั้นก่อนจะกลืนน้ำลาย ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปช้าๆ
   “ผมคงเหนื่อยเกินไป” ผู้เป็นลูกน้องกล่าว ก่อนจะเบือนหน้าหลบออกไปในวินาทีสุดท้าย  เว่ยเฟิงปิงยืนนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
   “เหรอ” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าวอย่างโล่งอก พลางเดินหลบออกไปอีกทางหนึ่ง
   “งั้น หลังจากวันพรุ่งนี้ ฉันจะให้นายไปพักร้อนซักอาทิตย์แล้วกัน”
   “ครับ” ผู้เป็นลูกน้องรับคำ
   “เอาล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ แล้วตามอาเง็กเข้ามาให้ฉันด้วย” เว่ยเฟิงปิงสั่ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องไป
----------------------------------
   แสงสีแดงของหลอดไฟจากโคมไฟภายในห้องนอนใหญ่ ส่องลอดผ่านเลนส์เว้าที่ถูกถืออยู่ในมือของชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาล ฟ่งเบิ่งตามองแว่นก่อนจะใส่มันเข้าไป และถอดออกมาเช็ดใหม่อีกรอบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดชายเสื้อ หลังจากที่สวมแว่นตากลับไปเรียบร้อยแล้ว  ภายในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิงเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์หรือเครื่องเสียงสักเครื่อง ฟ่งสงสัยว่าเฟิงปิงใช้ชีวิตเงียบๆ แบบนี้ได้อย่างไร
   ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย และเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกา มันบอกเวลาห้าโมงเย็น กระเพาะของเขาเริ่มจะมีปากเสียง ฟ่งตื่นขึ้นมาตอนบ่ายสองโมง และพบว่าผู้เป็นเจ้าของห้องมิได้อยู่ในที่นี้เสียแล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือห้องถูกล็อกจากภายนอก  ทำให้เขาต้องนั่งจับเจ่าโดยไม่มีอะไรจะทำมากว่าสามชั่วโมงแล้ว อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับการถูกกักขังเหมือนวันแรกๆ จะเรียกว่าชินแล้วก็ได้  และที่สำคัญกว่านั้นเขามีเรื่องบางอย่างให้ต้องขบคิด
   สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาเมื่อวานหมายความว่าอะไร?
   ฟ่งคิดว่าตัวเองเผลอหลุดปากพูดในเรื่องที่เขาแอบสงสัย และคำตอบที่ได้ในช่วงเวลาที่แสนจะกระอักกระอ่วนนั้นยิ่งทำให้เขาพูดไม่ออก
   หมายความว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเว่ยเฟิงปิงจริงๆ หรือ?
   แม้จะรู้สึกอับอายและตกใจกับการกระทำของชายหนุ่มผมยาวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน  แต่เมื่อนึกไปถึงนัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทำผิด ฟ่งก็อดรู้สึกสงสารชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนที่ถูกลงโทษไม่ได้ หากจางซื่อเยี่ยนแอบชอบเว่ยเฟิงปิงจริง การลงโทษนั้นก็คงเป็นเรื่องที่น่าปวดใจอยู่ไม่น้อย
   แต่ฟ่งไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดชายคนนั้นถึงพยายามจะข่มขืนเขา
   ร่างบางขนลุกด้วยความขยะแขยงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งผ่านไป ชายหนุ่มรู้สึกหัวเสีย ทำไมทั้งเว่ยเฟิงปิงทั้งจางซื่อเยี่ยนจะต้องพยายามจะปลุกปล้ำเขาด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย หรือว่าคนพวกนี้วิปริตกันหมด
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจนัก เห็นทีจะต้องบอกกับคนพวกนั้นให้รู้เรื่องว่าเขาไม่ได้เป็นพวกนิยมพวกเดียวกัน  แต่แล้วความคิดนั้นก็ต้องหยุดกึก
   ไม่ใช่เพราะชายคนนั้นหรอกหรือที่ทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้
   หนุ่มสวมแว่นรู้สึกว่าเขาคัดค้านเรื่องที่ไม่ได้นิยมพวกเดียวกันได้ไม่เต็มปาก  บ้าชัดๆ ทั้งๆ ที่ปกติเขาไมได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายด้วยกันแท้ๆ มีแต่ผู้ชายคนนั้นเท่านั้น
   “ไอ้บ้ารูฟัส!” ฟ่งลืมตัวตะโกนออกมาด้วยความโมโห ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่าเว่ยเฟิงปิงเปิดประตูเข้ามาพอดี
   “คิดถึงหมอนั่นขนาดนี้เลยหรือนี่?” ผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ หลังจากที่ดูเหมือนจะยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง ฟ่งรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัวด้วยความอายปนโมโห ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่ใช่สักหน่อย!”
   “แต่เมื่อกี้เห็นนายตะโกนเรียกชื่อหมอนั่นเสียดังเลยนี่”
   ฟ่งหันควับมามองเจ้าของห้องทันที เว่ยเฟิงปิงหัวเราะคิกคัก  ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่นึกสาปแช่งผู้ชายที่ชื่อรูฟัสอยู่ในใจ
   “นายอยากเจอหมอนั่นรึเปล่า? เว่ยเฟิงปิงถามต่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างสงสัย  ชายผู้เป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลเว่ยสืบเท้าเข้ามาใกล้ ฟ่งรู้สึกว่าสีหน้าของฝ่ายนั้นดูเหนื่อยแปลกๆ
   “พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปเจอเขา”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง เหมือนจะถามย้อนในคำพูดของอีกฝ่าย นัยน์ตาเรียวยาวราวกับพญางูนั้นจ้องมองเข้ามา ก่อนจะเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปเจอรูฟัส”
   ร่างบางกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกตีบตันจนพูดไม่ออก  รูฟัส พรุ่งนี้น่ะหรือ พรุ่งนี้น่ะหรือที่จะได้เจอ
   “จริงๆ หรือ?” ฟ่งพูดเสียงแผ่วเหมือนไม่อยากเชื่อ เว่ยเฟิงปิงมองดูด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาดูออกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้สึกอย่างไร ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้อีก ฟ่งสะดุ้ง เมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสใบหน้า
“นาย อยากจะกลับไปกับหมอนั่นหรือเปล่า?”
   ฟ่งนิ่งอึ้ง จ้องกลับไปยังนัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้น เว่ยเฟิงปิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก “จะทิ้งฉันไปอีกหรือ?”
   นัยน์ตาพญางูที่เคยดูเจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจคู่นั้น กลับกลายเป็นนัยน์ตาอ้อนวอนที่แสนจะอ่อนหวานและเจ็บปวด  ฟ่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาไม่รู้จะตอบกลับสายตาแบบนี้ไปอย่างไร
   “เฟิงปิง” ชายหนุ่มพูดเสียงค่อย ใบหน้าของทั้งคู่ค่อยๆ โน้มเข้าหากันอย่างช้าๆ แต่แล้วจู่ๆ ฟ่งก็โพล่งขึ้น “จริงสิ!”
เว่ยเฟิงปิงเบิ่งนัยน์ตากว้างกับท่าทีของอีกฝ่าย ฟ่งรีบพูดต่อเร็วปรื๋อ “ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย”
   อีกฝ่ายขมวดคิ้วเรียวยาวเป็นเชิงสงสัย  ร่างบางถอยฉากออกมาหน่อยหนึ่ง
   “คุณคิดยังไงกับคุณจางซื่อเยี่ยน?”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:01:53
   คิ้วเรียวยาวของเฟิงปิงยิ่งขมวดเข้าไปอีก   “หมายความว่างไง?”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย พยายามคิดจะหาคำพูดเพื่อจะอธิบาย “คือ  ความสัมพันธ์ของคุณกับคุณจาง เป็นแบบไหนเหรอ?”
หลังพูดจบ ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาจะเริ่มทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจ
   “นายจะรู้ไปเพื่ออะไร?” เฟิงปิงถามย้อน
   “ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นลูกน้องคุณ หรือเป็นผู้ติดตาม หรือเป็นผู้คุม อะไรทำนองนี้น่ะ” ฟ่งพยายามพูดหาเหตุผลข้างคูๆ และรู้สึกว่ามันฟังดูไม่เข้าท่าเลย
   “หมอนั่นเป็นลูกน้องพ่อฉัน” เว่ยเฟิงปิงตอบเรียบๆ
   “อ้อ” ฟ่งได้แต่สงเสียงคราง นึกไม่ออกว่าจะใช้คำพูดแบบไหนพูดต่อ
   “แล้ว เอ้อ คุณ เป็นเกย์มานานแล้วหรือ?” ร่างบางกลั้นหายใจเมื่อถามเสร็จ  เขาไม่รู้ว่าคำถามบ้าๆ แบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหัวเสียเข้าไปอีกรึเปล่า
   “คงเป็นมาแต่เกิด” เว่ยเฟิงปิงตอบ ฟ่งรู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้หันมาต่อว่าเขา ชายหนุ่มพยายามจะถามต่อ “แล้วคุณ เอ้อ คิดยังไงกับคุณจางล่ะ คือผมหมายความว่าคุณเคยคิดกับเขามากกว่าการเป็นลูกน้องรึเปล่า?”
   นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าคู่นั้นตวัดมาทันที ก่อนจะจ้องมาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
   “ฉันเกลียดหมอนั่น ฉันไม่ได้อยากให้มาเป็นลูกน้องของฉันด้วยซ้ำ มันก็แค่คนที่พ่อฉันส่งมาให้คอยตรวดดูฉันแค่นั้นเอง” เว่ยเฟิงปิงโพล่งออกมาด้วยความโมโห จนฟ่งต้องถอยหลังออกไปอีกหลายก้าวด้วยความตกใจ
   “ทำไมถึงถามแบบนี้?” ผู้เป็นทายาทของตระกูลเว่ยหันมาถามกลับ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาลืมหายใจไปพักหนึ่ง รู้สึกสงสารจางซื่อเยี่ยนขึ้นมาทันที
   “ทำไมคุณถึงเกลียดคุณจางล่ะ  เพราะเขาเป็นลูกน้องของพ่อคุณ?”
   “ใช่” เว่ยเฟิงปิงตอบสวน ก่อนจะพูดต่อด้วยความโกรธ “ฉันรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่คิดว่าฉันเป็นลูกของคนแบบนั้น  ฉันเกลียดผู้ชายคนนั้น เกลียดคนที่ฉันต้องเรียกว่าพ่อ”
   ฟ่งรู้สึกสะท้าน ความโกรธเกรี้ยวของเว่ยเฟิงปิงที่ระเบิดออกมานั้น เหมือนจะมีสาเหตุมาจากคนที่เขาเรียกว่าพ่อ แต่อย่างไรก็ดี ฟ่งแค่อยากรู้ว่าความจริงแล้วเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรกับลูกน้องที่เขาพูดว่ารู้สึกเกลียดนักเกลียดหนาคนนี้กันแน่
   “ถ้าคุณจางไม่ใช่ลูกน้องที่พ่อคุณส่งมา คุณจะชอบเขาหรือเปล่า?” ร่างบางถามต่อ โดยไม่ได้ดูเลยว่าผู้ถูกถามอยู่ในอารมณ์ที่จะตอบได้หรือไม่ เว่ยเฟิงปิงชะงักไปกับคำถามนี้ นัยน์ตาเรียวยาวที่สั่นระริกด้วยความโกรธเบิ่งกว้าง
   “ชอบ?! ฉันน่ะรึ? ทำไมฉันจะต้องชอบหมอนั่น ต่อให้ไม่ใช่ลูกน้องของพ่อฉันฉันก็ไม่..”
   คุณชายเจ็ดค้างประโยคเอาไว้แค่นั้น แล้วพลันเปลี่ยนกลับมาถามผู้อยู่ตรงหน้า “ทำไมนายถึงถามฉันแบบนี้ นายไปรู้อะไรมาหรือไง?”
   ฟ่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง พยายามจะฝืนยิ้ม และตัดสินใจพูดออกไป “ผมคิดว่าคุณจางเขาชอบคุณ”
   นัยน์ตาสีฟ้านั้นเบิ่งกว้างด้วยความแปลกใจทันทีได้ยินคำตอบ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฟ่งรู้สึกเหมือนเว่ยเฟิงปิงมีสีหน้าซีดลง และพึมพำอะไรบางอย่าง
   “พูดบ้าๆ”
   “ผมไม่ได้พูดบ้าๆนะ” ฟ่งแย้ง “เขาเป็นห่วงคุณมากกว่าที่ลูกน้องควรจะเป็น ถ้าเขามาดูแลคุณตามคำสั่งพ่อคุณโดยไม่คิดอะไรล่ะก็ ทำไมเขาจะต้องบอกให้ผมไม่บอกคุณเกี่ยวกับเรื่องของรูฟัสด้วยล่ะ?”
   ทันทีที่ได้ยินชื่อของรูฟัส เว่ยเฟิงปิงตวัดสายตามองมาทันที “หมอนั่นห้ามไม่ให้นายบอกอะไรฉัน?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง บางทีเขาอาจจะพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไปแล้วก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะรู้สึกตัวช้าไปหน่อย
   “ซื่อเยี่ยนพูดอะไรกับนาย?”
   ฟ่งตัดสินใจตอบออกไปตามตรง มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะปกปิดไปก็พาลจะซวยเอาเปล่าๆ
“เขาไม่อยากให้ผมบอกคุณว่าผมชอบรูฟัส”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปพักใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก ฟ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกันแน่
   “ออกไปก่อน” ในที่สุดผู้เป็นเจ้าของห้องก็เอ่ยออกมาอย่างลำบากยากเย็น  ฟ่งมองใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา ขณะที่เครื่องปรับอากาศในห้องยังคงทำงานเป็นปกติ
   “ฉันบอกให้ออกไป” ร่างบางเร่งเสียงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง  ฟ่งอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอีกฝ่ายตะคอกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม   “ออกไป!”
   เมื่อเป็นแบบนี้ชายหนุ่มจึงหันหลังเดินออกจากห้องไปช้าๆ โดยทิ้งเจ้าของห้องไว้เบื้องหลัง
-----------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง เขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าฟ่งต้องชอบรูฟัส จากท่าทีแสดงออกหลายๆ อย่าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากได้ยินคำพูดคำจากปากเจ้าตัวโดยตรง  ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาทำใจไม่ได้ ที่จะต้องถูกผู้ชายที่ชื่อรูฟัสแย่งของสำคัญไปอีกครั้ง  ไม่สิ มันคือการตอกย้ำว่าเขาไม่อาจจะกระชากของสำคัญของหมอนั่นมาไว้ในกำมือได้ต่างหาก
   เขาไม่เคยแย่งชิงสิ่งที่สูญเสียไปจากรูฟัสได้เลย
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเอนศีรษะพิงกับพนักพิงเก้าอี้ คำพูดของฟ่งดังย้อนเข้ามาในหัว ทำไมจางซื่อเยี่ยนถึงได้ห้ามไว้แบบนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะคิดต่อ  ฟ่งไม่มีเหตุผลที่จะโกหก ถ้าอย่างนั้นจางซื่อเยี่ยนทำลงไปเพื่ออะไร?
   หมอนั่นรู้ล่ะหรือว่าเขาจะต้องเสียใจหากฟ่งเอ่ยประโยคนั้น
   จางซื่อเยี่ยนสังเกตเขาออกขนาดนี้เลยหรือ?
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิด เขาคิดว่าจางซื่อเยี่ยนยุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของเขามากไปแล้ว  ทำไมหมอนี่ถึงได้ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขานัก  และแล้วประโยคที่น่าอึดอัดก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว
   ทำไมฟ่งถึงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขา?
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขนลุก เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน แม้จะถูกลีลี่แซวเล่น เขาก็เห็นเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเต็มที แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดดูแล้ว การกระทำต่างๆ ของจางซื่อเยี่ยนนั้น ก็ดูมีพิรุตอยู่ไม่น้อย หากว่าไม่นับว่าหมอนั่นเป็นคนของพ่อเขาล่ะก็
   ถึงตรงนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะให้สมองของตัวเองทำงานอีกต่อไป ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ชายหนุ่มเคยชินกับการถูกเกลียดและแย่งชิงมาตลอด การที่จะสนใจว่าใครจะชอบหรือไม่นั้นเรียกว่าไม่มีอยู่ในสาระบบเลยด้วยซ้ำ
   ร่างบางยกมือขึ้นลูบหน้า ความจริงเขาไม่ควรจะมาคิดมากกับเรื่องแบบนี้  แต่ถ้าหากว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขาจริงๆ.....
   หัวใจของเว่ยเฟิงปิงเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาสะบัดศีรษะอย่างแรงทันที เรื่องบ้าๆ แบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะจางซื่อเยี่ยนเป็นคนที่พ่อส่งมา เว่ยเฟิงปิงรู้ดีว่าคนของเว่ยชิงนั้นจงรักภัคดีต่อเจ้านายของตัวเองและหน้าที่ขนาดไหน
   ร่างบางหยิบกล่องใส่บุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา ก่อนจะนึกได้ว่าเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่าง
   เขาเพิ่งไล่เชลยคนสำคัญออกจากห้องไปด้วยตัวเอง
-------------------------
   เสียงโทรศัพท์สายในที่ดังขึ้นทำให้จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มเพิ่งหลับตาลงนอนได้ไม่นาน หลังจากที่นอนไม่หลับมาทั้งคืน อดีตหน่วยดำผุดลุกไปรับโทรศัพท์ เสียงปลายสายเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่เขารู้จักดี
   “พี่จาง คุณชายฝากบอกให้พี่ออกไปช่วยตามหาแขกให้หน่อย”
   “หา?” จางซื่อเยี่ยนส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู  อาเง็กซึ่งอยู่ปลายสายจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
   “คุณชายฝากมาบอกให้พี่ช่วยออกไปตามหาเชลยที่หายออกไปด้วย คงอยู่แถวๆ ชั้นแปดมั้งพี่ ตอนนี้คุณชายกำลังตามหาอยู่”
   “อืม” ชายหนุ่มรับคำเรียบๆ และวางสายด้วยความงุนงง  ความจริงเชลยคนนั้นน่าจะอยู่กับเจ้านายเขานี่ ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปได้  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายของตนเอง เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ชายหนุ่มจึงหยิบเสื้อตัวนอกที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาใส่ แล้วผละออกจากห้องไป

   ร่างสูงโปร่งพยักหน้าทักทายผู้มีอาวุโสน้อยกว่าที่เดินสวนทางมา ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังบันไดหินแกรนิตเพื่อขึ้นไปชั้นบน เขานึกสงสัยว่าทำไมเจ้านายของเขาจึงไม่ไปดูที่กล้องวงจรปิด แต่เมื่อคิดอีกที เว่ยเฟิงปิงคงไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เชลยคนนั้นจะหลบหนี  จางซื่อเยี่ยนค่อนข้างจะแน่ใจว่าฟ่งคงไม่ทำอะไรเว่ยเฟิงปิงแน่ ผู้ชายคนนั้นเป็นแค่คนธรรมดาๆ บอบบาง และอ่อนแอ  จู่ๆ จางซื่อเยี่ยนก็นึกถึงคำถามที่น่าตกใจที่ฟ่งถามออกมาในช่วงเวลาที่เขาไม่อยากนึกถึง  ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้ตัว
   สิ่งที่พูดตอบออกไปนั้น จะทำให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดรึเปล่า อดีตหน่วยดำยอมรับว่าในวินาทีนั้นเขารู้สึกตื่นตระหนกมากที่สุดในชีวิต ไม่รู้ว่าฟ่งไปได้ความคิดแบบนั้นมาจากไหน อย่างไรก็ดีจางซื่อเยี่ยนได้แต่ภาวนาว่าเจ้าตัวคงไม่เล่าหรือพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เว่ยเฟิงปิงฟัง
   ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินขึ้นมาถึงบริเวณชั้นที่แปด นัยน์ตาสีอีกามองหาไปตามที่ต่างๆ เขาอยากที่จะเจอตัวผู้ชายคนนั้นก่อนเจ้านาย  เพื่อให้แน่ใจว่าฟ่งจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่ากังวลนั้น ไม่ว่าฟ่งจะหนีออกมาได้เพราะเหตุอะไรก็ตาม เขามั่นใจว่าชายคนนั้นคงจะไม่หนีหายไปไหนได้ง่ายๆ ร่างสูงโปร่งก้าวเท้าอย่างช้าๆ ใช้ทั้งสายตาและการได้ยินที่แหลมคมเพื่อตรวจจับเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้น
   เสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยเข้ามากระทบโสตประสาท แม้จะเรียกไม่ได้เต็มปากว่าย่อง แต่เสียงฝีเท้านั้นไม่ใช่การเดินแบบปกติ  ผู้ที่เดินแบบนี้จะต้องรีบร้อนและไม่อยากเปิดเผยตัวเป็นแน่ จางซื่อเยี่ยนเงี่ยหูฟังเสียงเพื่อจับตำแหน่งอีกครั้ง พบว่าเสียงนั้นมาจากเบื้องหน้าเขาและกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  ชายหนุ่มมองหามุมบอดทางสายตาเพื่อซ่อนตัว  เขาไม่อยากให้เชลยตื่นกลัว เดี๋ยวจะวิ่งหนีอีก ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหมือนกับคราวที่แล้วก็ได้
   บริเวณหัวเลี้ยวถือเป็นจุดที่ดีที่สุด ภายในสถานที่ที่แทบจะไม่มีมุมอับแบบนี้  ชายหนุ่มยืนแนบตัวกับฝาผนัง  ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเดินเลี้ยวเข้ามา หรือเดินตรงออกไป จากมุมนี้สามารถที่จะจับกุมตัวได้ไม่ยาก จางซื่อเยี่ยนยืนรออย่างอดทน หายใจอย่างแผ่วเบาที่สุด แล้วเป้าหมายเดินผ่านเข้ามา
   ลำแขนแข็งแกร่งที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีพุ่งออกไปเหมือนงูฉก กระชากแขนของอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว พร้อมกับกดลงไปบนพื้น เสียงร้องโอ๊ยดังลั่น จางซื่อเยี่ยนก้มลงมองเชลยของเขาเพื่อที่จะเริ่มบทสนทนา แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง เขาแทบจะไม่เชื่อสายตา
   คนที่ถูกกดอยู่บนพื้นไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหา แต่กลับเป็นผู้ที่เขากังวลใจที่สุด
   เว่ยเฟิงปิง
   “ปล่อยฉันนะ เจ็บ!”
   ผู้เป็นเจ้านายร้องเหมือนสั่ง  จางซื่อเยี่ยนรีบดีดตัวเองออกมาราวกับโดนไฟดูด  ร่างที่ถูกกดล้มลงยันตัวลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
   “นายเองรึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะแปลกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าผู้ที่ทำร้ายเขากลับเป็นลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งจะถูกตามมาช่วยงาน จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาด้วยทีท่าตระหนก ก่อนจะยื่นมือเข้ามาเพื่อช่วยพยุง
   “ไม่ต้อง!” ผู้เป็นเจ้านายปฏิเสธ ก่อนจะใช้แขนดันตัวขึ้น  แต่แล้วก็ต้องร้องเสียงหลง  ผู้เป็นลูกน้องรีบถลันเข้าไปประคองเจ้านายไว้
   “นายทำแขนฉันเจ็บ นี่กะจะหักกันเลยหรือไง!!”
   “ขออภัยครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว รู้สึกสำนึกผิดและละอายเป็นที่สุด เว่ยเฟิงปิงมองดูลูกน้องของตนในเชิงตำหนิอีกครั้ง และพูดต่อ “พยุงฉันขึ้นไปหน่อย”
   ร่างบางโอบแขนข้างที่ไม่เจ็บขึ้นบนคอของอีกฝ่าย และออกคำสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกน้องยังคงนั่งนิ่ง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อย แต่เขาไม่อยากจะขัดคำสั่งเจ้านายในตอนนี้
   อดีตหน่วยดำพยุงตัวลุกขึ้น ใช้แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเพื่อช้อนตัวของผู้เป็นเจ้านายขึ้นมาไม่ให้กระทบกระเทือนในส่วนที่เจ็บ  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้  วินาทีนั้นเขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดเอาไว้
   “ขะ ขอบใจ” ผู้เป็นเจ้านายกล่าว รู้สึกร้อนไปทั่วใบหน้า  เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ไหล่ของจางซื่อเยี่ยนนั้นกว้างและดูมั่นคงแข็งแรง จนทำให้เขาเผลอเกาะเอาไว้แน่น จนลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากเอวของตนเช่นกัน
   “อ้าว!” เสียงอุทานดังขึ้น ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง และผละออกจากกันทันทีเหมือนขั้วแม่เหล็ก เว่ยเฟิงปิงหันขวับไปยังที่มาของเสียงทัก
   คนที่พวกเขากำลังตามหายืนอยู่ห่างออกไปราวๆ ห้าเมตร  ชายหนุ่มสวมแว่นผมกระเซิงยืนกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ ไม่ต้องเดาเลยว่าฟ่งหัวเราะเรื่องอะไร คงไม่พ้นภาพที่เพิ่งปรากฏเมื่อครู่แน่ๆ
   “นายหายไปไหนมา?!” เว่ยเฟิงปิงพูดเสียงดังเหมือนตะโกน ตอนนี้เขารู้สึกขายหน้ามากกว่าที่จะโกรธ การขึ้นเสียงนั้นเหมือนที่เด็กๆ ชอบทำเวลาทำผิดแล้วพยายามกลบเกลื่อนด้วยการขึ้นเสียงกับเพื่อน แต่ผู้ถูกถามยังคงยิ้มไม่หุบ
   “ผมไปหาข้าวทาน” ฟ่งตอบคำถามนั้นด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ผู้เป็นเจ้านายของตึกนี้ตาแทบเหลือก
   “ทานข้าว?” เว่ยเฟิงปิงทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งเดินเข้ามาใกล้ทั้งคู่พลางพูดต่อ “ก็คุณเล่นขังผมไว้ในห้องทั้งวัน ข้าวก็ไม่มีให้ผมกิน ผมก็หิวเป็นนะ ดีที่เมื่อกี้เจอคุณป้ากำลังยกถาดอาหารไปเก็บ ผมเลยตามแกไปด้วย ไม่งั้นอดตายไปแล้ว”
   หนุ่มสวมแว่นเจ้าปัญหาสาธยายเหตุผลยืดยาว  ผู้เป็นคุณชายมองด้วยความหงุดหงิดก่อนจะกระชากเสียงถามต่อ “แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน!”
   ฟ่งเลิกคิ้ว มองเว่ยเฟิงปิงอีกครั้งอย่างแปลกใจ ก่อนจะพูดตอบ “ก็คุณไล่ผมออกมานี่”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้ง เขาไม่รู้ว่าควรจะโมโหฝ่ายตรงข้าม หรือจะโทษตัวเองดี  ร่างบางขมวดคิ้วยุ่ง  แต่แล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังลอดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
   “แหม  อย่าโมโหไปเลย  ความจริงคุณซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีไม่ใช่หรือ” ฟ่งพูดเชิงแหย่ เว่ยเฟิงปิงรีบกล่าวสวนทันที “อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันกับหมอนี่ไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งวาบ ประโยคสนทนาของคนทั้งคู่ชักจะดูไม่ชอบมาพากล นี่ฟ่งบอกอะไรกับเจ้านายเขารึเปล่า  ร่างสูงรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้า
   “คร๊าบ ผมไม่แกล้งคุณล่ะ” ฟ่งพูดตัดบท เมื่อเห็นผู้ที่อยู่ถัดจากเว่ยเฟิงปิงออกไปมีสีหน้าไม่สู้จะดีนัก แต่เขาก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่เคยดูเจ้าเล่ห์เหมือนพญางูร้ายนั้นตื่นตกใจ และออกแนวจะเขินอายไปด้วยซ้ำ  ฟ่งคิดว่าถ้าเว่ยเฟิงปิงหน้าแดงอาจจะดูสนุกอยู่ไม่น้อย
   “คุณเฟิงปิง คุณหน้าแดงอยู่นะ รู้ตัวรึเปล่า?”
   เร็วพอๆ กับความคิด ฟ่งพูดออกไปทันที  เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองเขาอย่างประสงค์ร้าย แต่ใบหน้าเรียวๆ นั้น ก็เริ่มมีสีเลือดฝาดซ่านขึ้นมาตามพวงแก้ม น่าเสียดายที่ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังคงไม่ได้เห็นภาพนี้  เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะรู้ตัวว่ากำลังมีสีหน้าอย่างไรอยู่ ร่างบางขยับตัว หมายจะเดินเข้ามาเค้นคอผู้ที่ยืนอยู่ตรงข้าม แต่ต้องชะงักเมื่อความเจ็บบริเวณแขนแล่นแปลบเข้ามา
   “หุบปากนะ! นายกำลังเข้าใจผิด หมอนี่ทำฉันเจ็บแขน เลยต้องช่วยพยุงฉันขึ้นมา เข้าใจไหม?” เว่ยเฟิงปิงพยายามจะอธิบายเหตุผล ตอนนี้เขาทั้งอายทั้งโกรธ  ฟ่งเห็นจางซื่อเยี่ยนทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็หุบปากไป ทั้งๆ ที่เว่ยเฟิงปิงสั่งเขา ไม่ได้สั่งจางซื่อเยี่ยนสักหน่อย
   “ครับๆ” ฟ่งพูด พลางดันแว่นให้เข้าที่ เขาเริ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มโกรธจริงๆ แล้ว การจะเย้าแหย่ต่ออาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวเองเท่าไรนัก และเว่ยเฟิงปิงก็ดูเหมือนว่าจะเจ็บแขนอยู่
   “คุณจะไปหาหมอรึเปล่า?” ฟ่งถามต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันให้อาซิงดูให้ คงแค่เคล็ด”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ เว่ยเฟิงปิงเดินเอามือกุมไหล่ข้างซ้ายมาหาเข้าด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่สังขารจะอำนวย และออกคำสั่งอีกครั้ง “นายก็ไปกับฉันด้วย”
   ฟ่งเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มองเลยไปยังจางซื่อเยี่ยนที่ยังยืนนิ่งอึ้งอยู่ “แล้วคุณซื่อเยี่ยนล่ะ?”
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะเล่นไม่เลิก
“ก็กลับไปทำงานของตัวเองสิ  หมอนี่ไม่ได้ว่างทั้งวันเสียหน่อย” ผู้เป็นเจ้านายสั่งพร้อมตอบแทนลูกน้องเสร็จสรรพ ฟ่งย่นคิ้ว เขานึกอยากให้จางซื่อเยี่ยนไปด้วย
   “แต่เขาเป็นคนทำคุณเจ็บนี่ ให้เขาไปด้วยเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่แกล้งอีก”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะแค่นเสียงแกนๆ “อยากตามก็ตามมาแล้วกัน”
   ว่าแล้วก็เอาตัวดันอีกฝ่ายให้เดินไปข้างหน้า โดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามมาห่างๆ
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:02:50
บทที่19 กับดัก
   เว่ยเฟิงปิงพาคนทั้งหมดเดินย้อนกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะเรียกฟ่งให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ และยื่นให้จางซื่อเยี่ยนแทน เพราะเขาไม่รู้จักคนที่ชื่อว่าอาซิง นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงดูจะไม่พอใจเข้าไปอีก  อย่างไรก็ตามไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำซอยยาวประบ่า พร้อมด้วยกระเป๋าสีดำหรือจะพูดให้ชัดมันคือกล่องสี่เหลี่ยมสีดำหุ้มหนังที่มีสายสะพายนั้นเอง ฟ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนที่เว่ยเฟิงปิงเรียกว่าอาซิง  เขาในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน สวมทับด้วยสูทแบบลำลองสีขาว กลอกตาสีน้ำตาลกลมโตที่ดูน่ารักนั้นมองไปทางเว่ยเฟิงปิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฟ่งต้องรีบเปลี่ยนความคิด
   “เป็นอะไรอีกล่ะ?” เสียงที่พูดออกมานั้นกลายเป็นเสียงผู้หญิง ฟ่งเผลอยกมือเกาหัวตัวเอง ขณะที่ผู้ถูกทักเอ่ยตอบ
   “เจ็บแขน” เว่ยเฟิงปิงพูดสั้นๆ หญิงสาวขมวดคิ้วที่ออกจะหนาไปสักหน่อย ก่อนจะก้าวพร่วดๆ ไปหาผู้ป่วย และไม่ลืมที่จะยกมือทักทายบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง
   “ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล?” หล่อนถามต่อ ขณะที่เว่ยเฟิงปิงชี้บริเวณที่เจ็บให้ดู ผู้ถูกถามขมวดคิ้วบ้าง “ถ้าไปจะตามเธอมาทำไม”
   หญิงสาวไม่สนใจคำตอบแบบย้อนๆ ที่อีกฝ่ายกล่าว หล่อนบอกให้เว่ยเฟิงปิงยกแขน ชายหนุ่มพยายามฝืนความเจ็บปวดยกให้หล่อนดู อาซิงเอียงคอมองนิดหนึ่ง ทดลองจับแขนของเว่ยเฟิงปิงขยับไปขยับมา และได้รับคำตอบเป็นเสียงโวยวาย
   “เจ็บ!”
   “ทนหน่อยสิ โวยวายเป็นเรือแตกไปได้” หญิงสาวเอ็ด เว่ยเฟิงปิงหันมาค้อนขวับ ก่อนจะหันหน้าไปมองทางอื่นและกัดฟันกรอด เมื่ออีกฝ่ายจับแขนขยับอีกครั้ง
   “คงไหล่ช้ำ ไม่ถึงกับหลุดหรอก ยังขยับได้ไม่ปวดถึงตายใช่ไหมล่ะ?” อาซิงสรุป และไม่วายแขวะคนเจ็บแถมซ้ำ จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง
   “แล้วไปทำอะไรอีท่าไหนมาถึงเจ็บแบบนี้” เธอถาม ขณะหยิบตลับยาออกมาจากกระเป๋า  เว่ยเฟิงปิงชายหางตามองไปทางลูกน้อง  ฟ่งคิดว่าเขาเห็นจางซื่อเยี่ยนหน้าถอดสี
   “มีลูกน้องโง่ ก็ซวยงี้แหละ ดันไปเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนนอกเสียได้”
   “เอ้า!” หญิงสาวร้องด้วยความแปลกใจ และหันหน้าไปมองผู้ถูกพาดพิงซึ่งยืนทื่ออยู่ “สรุปนี่ผลงานอาซื่อหรอกหรือ?”
   ฟ่งไม่รู้ว่าอาซิงตั้งใจจะถามเว่ยเฟิงปิงหรือจางซื่อเยี่ยนกันแน่ แต่ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งอีกครั้ง  อาซิงเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “แปลกจริง จู่ๆ ไปกระโดดงับเจ้านายได้ไงเนี่ยอาซื่อ”
   “ช่างมันเถอะ” เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจพูดตัดบท หญิงสาวมองดูจางซื่อเยี่ยนอีกครั้ง แล้วหันกลับไปเปิดแขนเสื้อของเว่ยเฟิงปิงขึ้นเพื่อทายา
   “พรุ่งนี้จะหายรึเปล่า?” คนเจ็บถามหลังจากที่หมอทายาเสร็จแล้ว  อาซิงถลึงตามองเว่ยเฟิงปิงก่อนจะตอบ “หาย ถ้านายไม่ซ่าขยับแขนให้มากนัก ฉันจะให้ยาเอาไว้แล้วกัน”
   พูดพลางควักยาขวดหนึ่งออกมาจากกล่องยา แล้วเทแบ่งใส่ซองยื่นให้เว่ยเฟิงปิง
ชายหนุ่มทำหน้าบู้บี้
   “ไม่เอาค่าปิดปากรึ?” เว่ยเฟิงปิงถาม เมื่อเห็นทีท่าว่าหญิงสาวกำลังจะจากไป ผู้ถูกถามเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มยิงฟัน
   “ไม่คิดแล้วกัน อุบัติเหตุบ้าๆ บอๆ แบบนี้ นานๆ จะเกิดทีนี่  แล้วถ้านายเกิดเบื่อพ่อบอดี้การ์ดคนนี้ ยกให้ฉันสักวันสองวันก็ได้นะ”
   “ไปขอกับพ่อฉันเองสิ” เว่ยเฟิงปิงสวนกลับ อาซิงแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป  ฟ่งเกาหัวแกรกๆ อีกครั้ง
   “หมอหรือครับ?” ชายหนุ่มสวมแว่นเอ่ยถามจางซื่อเยี่ยนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มพยักหน้าในขณะเดียวกับที่เสียงของเจ้านายดังสวนขึ้น “หมอเถื่อน!”
   ฟ่งหันกลับมามองหน้าเว่ยเฟิงปิง ซึ่งหันตัวมาพร้อมกับเก้าอี้
   “ไม่แปลกใจหรือไงที่ยัยนั่นไม่ถามถึงนาย?” เขาถาม ชายหนุ่มขมวดคิ้ว  เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ “ยัยนั่นเป็นเพื่อนฉัน แล้วก็เป็นหมอ หมอถูกกฎหมายนี่แหละ แต่บางทีก็รับรักษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และยัยนั่นก็ไว้ใจได้ ไม่ถามอะไรที่ไม่ควรจะถามออกมา”
   ฟ่งไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงต้องการจะบอกอะไรเขากันแน่ ชายหนุ่มจึงได้แต่มองผู้พูดอย่างงงๆ ดูเหมือนคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจะดูสับสนผิดไปจากปกติ ฟ่งไม่รู้ว่าเพราะเรื่องที่เขาพูดแซวเมื่อครู่ หรือเพราะอาการโมโหจากอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิดจากลูกน้องคนสนิทกันแน่  แต่อย่างน้อยหญิงสาวคนเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่มีตัวตนจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองดูแขนของตัวเองซึ่งเคยใช้การได้ดีเมื่อครู่ ที่ถูกพันผ้าคล้องติดกับคอไว้เรียบร้อย  ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างที่สุด หลังจากการถูกถามด้วยคำถามแย่ๆ แล้วยังเรื่องเดือดร้อนจากความเลินเล่อของลูกน้อง มีเรื่องที่ถูกพบในสภาพที่ไม่น่าอภิรมย์นั้นอีก อารมณ์ของเว่ยเฟิงปิงนั้นนับว่าล่อแหลมแก่การจุดระเบิดเป็นอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ดีเขาได้พยายามใช้ความอดทนและขีดความสามารถทางสมองอย่างถึงที่สุดในการสะกดกลั้นและพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ชั่วคราวก่อน
   ชายหนุ่มจำเป็นต้องคิดถึงแผนการในวันพรุ่งนี้ ยังมีอยู่เรื่องเดียวที่เขายังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย คือเรื่องเชลยที่ยืนอย่างไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนอยู่ตรงหน้า  เว่ยเฟิงปิงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เขาควรจะบอกกล่าวเรื่องราวกับบุคคลคนนี้ในรูปแบบใดกัน  ชายหนุ่มย้อนนึกไปถึงบทสนทนาของเขากับฟ่งตอนที่อยู่ในห้อง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจว่าเขาจะไม่บอกอะไรกับเชลยผู้นี้อีก
   “ฉันจะไปทานข้าว”
   จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็เอ่ยปากขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วผุดลุกออกจากห้องไป  จางซื่อเยี่ยนกับฟ่งมองหน้ากัน ก่อนจะตามออกไปติดๆ
--------------------------------------
   รูฟัสเอนหลังลงพิงกับหมอนที่วางอยู่ตรงบริเวณหัวเตียง ชายหนุ่มอยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน โดยมีกุญแจมือสีเงินวาววางอยู่ข้างๆ เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นของเล่นที่เพื่อนจัดไว้ให้  รูฟัสคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า การที่เขาใส่กุญแจมือเข้าไปนั้น เว่ยเฟิงปิงย่อมต้องดูออกอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ใส่กุญแจมือจริงๆ
   ชายหนุ่มกระพริบตา คำพูดและการกระทำของโจวยี่หลายอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจ ความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยไว้ใจกันเลยตั้งแต่แรก หากไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของการทำงานร่วมกัน แล้วเรื่องผิดใจในอดีตที่เกิดขึ้นอีก จึงไม่น่าแปลกใจหากโจวยี่คิดจะหักหลังเขา
   แต่ถึงอย่างนั้น  รูฟัสก็ยังจำเป็นจะต้องพึ่งพาชายคนนี้ต่อ การจะได้พบกับฟ่ง มีแต่ต้องเอาตัวเข้าไปหาเว่ยเฟิงปิงเท่านั้น ซึ่งหากโจวยี่คิดจะหักหลังเขาจริงหมอนั่นต้องร่วมมือกับเว่ยเฟิงปิงแน่ ดังนั้นโอกาสที่เว่ยเฟิงปิงจะระแวงสงสัยเขานั้นจะน้อยลงไปอีก  ด้วยเหตุนี้รูฟัสจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับของเล่นที่วางอยู่ข้างๆ
   ความน่ากังวลใจของพรุ่งนี้กลับอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงมากกว่า รูฟัสไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะมาไม้ไหน หากพรุ่งนี้เว่ยเฟิงปิงไม่ได้เอาตัวฟ่งมาด้วย เขาอาจจะต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ดีไม่ดีทางนั้นอาจจะวางแผนไว้ซับซ้อนมากกว่าที่คิดก็ได้  แต่รูฟัสยังเชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงจะต้องพาฟ่งมา เพราะการไม่เอาตัวประกันมาจะเป็นผลเสียมากกว่าผลได้ในการเจรจาแบบนี้  อีกทั้งเว่ยเฟิงปิงยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บตัวประกันไว้ ดังนั้นความน่ากลัวคือแผนการที่เว่ยเฟิงปิงเตรียมไว้ต้อนรับเขา แทบจะมั่นใจได้เลยว่าคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยคนนี้ต้องไม่ขอซื้อความลับจากเขาแบบตรงไปตรงมาแน่นอน  โดยปกติรูฟัสไม่เคยที่จะมีปัญหาในเรื่องการซื้อขายข้อมูล แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เขาถูกบีบให้เสนอตัวออกไปในถิ่นของศัตรู ซึ่งเต็มไปด้วยวงล้อม นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในอาชีพสายลับ การถูกบีบแบบนี้ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบเต็มประตู  มิหนำซ้ำเขายังต้องพาตัวประกันออกมาอีก
   รูฟัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาให้ความสำคัญกับฟ่งขนาดไหน  แต่ที่แน่ๆ คือตัวเขาเองคงทนไม่ได้หากต้องเห็นสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น ชายหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาคงไม่สามารถจะทิ้งฟ่งไปได้ และถ้าโจวยี่หักหลังเขาทุกอย่างก็คงจบ
   ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีกลืนน้ำลาย เขาไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากเดินตามเกมที่ถูกวางไว้  รูฟัสเลือกที่จะเสี่ยง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปตลอดกาล อย่างไรก็ตามงานนี้เขาจะไม่ยอมจ่ายหมดหน้าตักอย่างเด็ดขาด
-----------------------------------
   เสียงคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศดังแข่งกับเสียงการจารจรยามค่ำคืนภายในมหานครฮ่องกง ชายหนุ่มผู้มีผมยาวถึงกลางหลังขยับแก้ววิสกี้ในมือเบาๆ เสียงน้ำแข็งกระทบขอบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง  โดยปกติเวลานี้เขาจะต้องอยู่ในห้องโถงเพื่อดูแลบ่อน แต่วันนี้โจวยี่ตัดสินใจหยุดกิจการของตนไว้หนึ่งวัน เนื่องจากเขามีเรื่องหลายอย่างที่จะต้องคิดและตัดสินใจ
   ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้ของเหลวสีทองภายในแก้วไหลลงสู่ลำคอไปอึกหนึ่ง  ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
   ในความเป็นจริงแล้วเขากับรูฟัสไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเป็นพิเศษ  การร่วมงานกันเมื่อหกปีที่แล้วนั้นเกิดจากการประสานงานของชายที่ใช้ชื่อว่าราฟาแอล ซึ่งเป็นบุคคลอันเป็นที่รู้จักกันดีในวงการว่าเป็นผู้ติดต่อประสานงานและรับทำในเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีใครเขาทำกันนัก เหตุที่ทำให้โจวยี่กระโดดเข้าร่วมงานนี้คือเงินจำนวนมหาศาลที่ราฟาแอลจ่ายให้เขา
   ชายหนุ่มยอมรับว่าในช่วงนั้นกิจการของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ดังนั้นเงินก้อนใหญ่ที่เสนอให้เขาแลกกับการช่วยเหลือการโจรกรรมข้อมูลของตระกูลเว่ยนั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและสมควรจะหยิบฉวยเอาไว้  โจวยี่ไม่ใช่มือใหม่ในวงการ เขาเคยทำงานในระบบการวางแผนผังของทางฮ่องกงและชำนาญเรื่องโครงสร้างและแบบแปลนของตึกต่างๆ  การจะหาเส้นทางลัด หรือช่องโหว่ทางการจารจร หรือเส้นทางโจรกรรมในตึกรูปแบบต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการได้ไม่ยาก แม้ตระกูลเว่ยจะมีอิทธิพลสูง แต่โจวยี่มั่นใจว่าหากเรื่องแดงเขายังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในฮ่องกงได้  การขายความลับของเพื่อนร่วมงานเพื่อความอยู่รอดนั้นเป็นเรื่องปกติวิสัยหากจะดำรงชีพอยู่ในสังคมเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำแบบพร่ำเพรื่อ มันเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาจะเลือกเพื่อแลกกับชีวิตของเขา
   การหนีไปของรูฟัสในคราวที่แล้วส่งผลกระทบกระเทือนน้อยกว่าที่คาด โจวยี่บินไปกบดานอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ทันทีหลังจบงาน แต่ตระกูลเว่ยกลับไม่ออกล่าตัวเขาอย่างดุเดือดเท่าที่ประเมินเอาไว้ในตอนแรก ดูเหมือนผู้เป็นเสาหลักใหญ่ของตระกูลเว่ยจะมีปัญหาที่น่าหนักใจยิ่งกว่า คือศึกชิงอำนาจในตระกูล และการจัดการกับบุตรชายคนเล็กที่มีชื่อว่าเว่ยเฟิงปิง
   โจวยี่ในตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องราวของเว่ยเฟิงปิงมากนัก  เขาเดาว่าคุณชายคนนี้คงโดนรูฟัสหลอก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเว่ยเฟิงปิงเข้ามาพบเขาหลังจากกลับเข้าสู่ตระกูลแล้ว และพูดกับเขาในเรื่องที่ทำให้โจวยี่ต้องกัดฟันกรอด
   เด็กคนนั้นพูดถึงเรื่องของหยุนหมิง
   เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงล่วงรู้เรื่องดังกล่าวได้อย่างไร นั่นเป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่อาจจะให้อภัยกับรูฟัสได้ และเป็นเหตุผลที่เขายอมขายรูฟัสให้กับเว่ยเฟิงปิง
   ในตอนที่เขาได้พบว่ารูฟัสกับหยุนหมิงมีอะไรกันแล้วนั้น โจวยี่แทบเป็นบ้า แม้จะเคยชินกับการโดนหลอกลวงและหักหลัง แต่เรื่องในวันนั้นเป็นอะไรที่เขาไม่อาจจะทนรับได้  สำหรับเขานั้นหยุนหมิงเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมเอาไว้เป็นอย่างดี รอเพียงคำรักที่จะออกจากปากของเด็กคนนั้นในสักวันหนึ่ง  แต่แล้วมันก็ถูกเพื่อนร่วมงานของเขาทำลายลง
   สิ่งที่ทำให้โจวยี่รู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดไม่ใช่การที่รูฟัสไปมีอะไรกับหยุนหมิง  แต่คือการที่เขาได้รู้ว่าหยุนหมิงมีใจให้กับชายที่ไม่มีวันจะรับความรู้สึกอันสูงค่านั้นได้  สำหรับรูฟัสแล้วหยุนหมิงคงเป็นแค่คนคนหนึ่งที่บังเอิญผ่านเข้ามาให้ความสนุกเพียงชั่วข้ามคืน ไม่มีค่าสิ่งใดควรแก่การจดจำมากไปกว่านี้  นั่นทำให้เขารู้สึกคับแค้นเป็นอย่างมาก  แต่ด้วยคำรบเร้าและการขอร้องจากหยุนหมิง ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นไป  อย่างไรก็ดีคำพูดของเว่ยเฟิงปิงทำให้ความคิดดังกล่าวหวนกลับมาอีกครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงพูดถึงอนาคตเกี่ยวกับการกลับมาของรูฟัส  ซึ่งในตอนนั้นโจวยี่เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะหากรูฟัสจะกลับมาเหยียบฮ่องกงแล้วล่ะก็ คุณชายเจ็ดคนนี้ไม่มีทางจะรู้ได้อย่างเด็ดขาด และที่สำคัญรูฟัสเองคงจะไม่เสี่ยงที่จะกลับมา เพราะตัวเองก็ตกเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย หลังจากฟังคำพูดของเขาจบ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยได้แต่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าสบายใจเอาเสียเลย เว่ยเฟิงปิงทิ้งคำพูดไว้ให้เขาก่อนกลับไปว่า หากวันหนึ่งเมื่อรูฟัสกลับมา และเขาเปลี่ยนใจ ให้ติดต่อไปได้ทุกเมื่อ
   จากวันนั้นเว่ยเฟิงปิงอำนวยความสะดวกให้กับกิจการของเขาแบบลับๆ ซึ่งโจวยี่เองไม่ถือเป็นบุญคุณแต่อย่างใด เขาเคยพูดเรื่องนี้กับเด็กคนนั้นไปหนหนึ่ง แต่คำตอบที่ได้คือ ไม่เป็นไร จนกระทั่งวันที่รูฟัสมาพบเขาอย่างไม่คาดฝัน โจวยี่จึงหวนคิดไปถึงเรื่องที่เว่ยเฟิงปิงเคยพูดไว้และข้อเสนอนั้นอีกครั้ง
   ชายหนุ่มยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว สิ่งที่เขาจะทำในวันพรุ่งนี้อาจจะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปจากเดิม หรือบางทีชีวิตของเขาอาจจะเป็นเหมือนเดิมและเรื่องบางอย่างอาจถูกสะสางให้ดีขึ้น หรือชีวิตของเขาอาจจะย่ำแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่
   โจวยี่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ามันจะจบลงแบบไหน ชายหนุ่มคิดถึงปอยผมสีทองนุ่มๆ และใบหน้าน่ารักของแดเนียลในคืนก่อน  อยากที่จะกอดเด็กคนนั้นไว้แนบอกในคืนนี้  แต่ด้วยความบีบคั้นด้านจิตใจและภารกิจที่ต้องกระทำในวันรุ่งขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจบอกยกเลิกไปในนาทีสุดท้าย
   นัยน์ตาคมกริบราวพญาเหยี่ยวสั่นระริก
   บางทีเขาอาจจะยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมากเกินไป
----------------------------------
   ฟ่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยการสะกิดที่ค่อนข้างจะรุนแรง หลังจากคว้าแว่นตามาสวมด้วยความตกใจ จึงพบว่าผู้ที่มาปลุกคืออาเง็ก เด็กหนุ่มออกคำสั่งให้เขาไปอาบน้ำ และโยนเสื้อชุดหนึ่งมาให้  ฟ่งรับเสื้อแล้วเดินเงอะๆ งะๆ ไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความคิดว่าเขาอาจจะกำลังฝึกซ้อมการเข้าเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำชาย  อย่างไรก็ตามชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกที่ไม่เกิดการคุกคามอันน่าสยดสยองที่เขาได้รับมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่
   ฟ่งเปิดฝักบัวจนสุด ปล่อยให้สายน้ำกระแทกใบหน้าไล่ความง่วง  เขาคิดว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนดึก และไม่มีอาการนอนไม่หลับ  ดังนั้นหมายความว่าตอนนี้คงเป็นเวลาเช้ามาก  ฟ่งนึกสงสัยว่าเขาจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรต่อไปอีก  ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่ริมอ่างน้ำขึ้นมาเช็ดตัว หยิบเสื้อที่พาดไว้มาสะบัด และพบว่ามันเป็นชุดของเขาเองซึ่งใส่มาในวันแรกที่ถูกพาตัวมาจากประเทศไทย นั่นยิ่งทำให้รู้สึกแปลกใจเข้าไปอีก หรือวันนี้เว่ยเฟิงปิงจะพาเขากลับบ้าน?
   ฟ่งสวมเสื้อพลางนึกถึงคำพูดของเว่ยเฟิงปิง เมื่อวานชายคนนั้นพูดว่าจะพาเขาไปหารูฟัส บางทีสองคนนั้นอาจจะตกลงกันได้แล้ว ฟ่งรู้สึกดีใจเมื่อคิดว่าจะได้กลับบ้าน ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยความยินดีและพบว่ามีโต๊ะอาหารถูกจัดไว้ในห้อง พร้อมด้วยบุคคลที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยยิ้มให้เขา ก่อนจะเรียกให้เข้าไปนั่ง  ฟ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มของเว่ยเฟิงปิงนั้นดูเศร้าๆ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก ชายหนุ่มนั่งปุลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ฝั่งตรงข้ามขวางไว้ด้วยโต๊ะไม้กลมสีดำขนาดกลางสลักลายแบบจีนที่มีถ้วยโจ๊กสองถ้วยวางอยู่ตรงข้ามกัน  ฟ่งนึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นจางซื่อเยี่ยน แต่การที่มีอาเง็กยืนอยู่ทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่า
   เว่ยเฟิงปิงลงมือตักโจ๊กขึ้นมาทานโดยไม่กล่าวอะไรอีก  ฟ่งจึงต้องตักขึ้นมาบ้าง  หลังจากกินไปได้สองสามคำ ความสงสัยที่ถูกเก็บเอาไว้ก็ถูกกล่าวออกมาเป็นคำพูด
   “วันนี้คุณจะพาผมไปไหนหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงยังคงทานโจ๊กในถ้วยต่อไปเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูด ฟ่งกลืนน้ำลายก่อนจะตักโจ๊กขึ้นมากินต่อ  สักครู่อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากขึ้นบ้าง “นายคิดว่าฉันจะพานายไปไหนกันล่ะ?”
   ถึงคราวฟ่งเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ชายหนุ่มยกช้อนค้างเหมือนกำลังคิดหาคำตอบ “กลับบ้านมั้ง”
   เว่ยเฟิงปิงยิ้มให้กับคำตอบนั้น แม้รอยยิ้มนั้นจะไม่ได้ดูชั่วร้ายเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่ฟ่งกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าๆ มากกว่าจะเป็นการยิ้มด้วยความดีใจ
   “เมื่อวานฉันคุยกับนายเรื่องที่จะพาไปหารูฟัส จำได้รึเปล่า?”
   ฟ่งพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงตักโจ๊กเข้าปาก ก่อนจะหันไปสั่งอาเง็กให้หยิบน้ำที่วางอยู่มาให้  อาเง็กหยิบแก้วน้ำสองแก้วมาวางไว้ตรงหน้าเว่ยเฟิงปิงและฟ่ง เว่ยเฟิงปิงวางช้อนลงในถ้วย ดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ฉันจะออกไปจัดการสถานที่ นายทานให้อิ่ม แล้วรอฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะมารับนาย”
   “แปลว่าคุณจะปล่อยผมไปแล้ว?”
   “อือ” เว่ยเฟิงปิงรับคำในลำคอเบาๆ ฟ่งยิ้มกว้าง
   “ขอบคุณนะ” หนุ่มสวมแว่นกล่าว ขณะที่เว่ยเฟิงปิงกำลังจะหันหลังก้าวออกไป คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยชะงักนิดหน่อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง
   ฟ่งลงมือทานโจ๊กจนหมดด้วยความดีใจ และดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว เขาหันไปมองอาเง็กที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางนึกเสียใจที่ไม่ได้ชวนอีกฝ่ายให้ทานด้วย
   “ทานข้าวหรือยัง?” ฟ่งถามแก้เก้อ  เด็กหนุ่มพยักหน้า  ฟ่งเลยผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้  เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย บางทีอาจจะเพราะเพิ่งตื่นนอน  หนุ่มสวมแว่นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกง่วง  ฟ่งคิดว่าการนอนทันทีหลังจากทานอาหารเป็นเรื่องไม่ดี แต่ความง่วงที่จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และหมดสติไป
------------------------
   “ไว้ใส่ตอนถึงก็ได้น่า” รูฟัสพูดด้วยความรำคาญ หลังจากโดนโจวยี่คะยั้นคะยอให้สวมกุญแจมือตั้งแต่ตอนก่อนจะขึ้นรถ หนุ่มชาวจีนเลิกคิ้วสูง ก่อนจะเหยียบคั่นเร่งพารถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าสีแดงพุ่งฉิวฝ่าการจารจรที่คับคั่งไปยังตึกที่เป็นจุดนัดหมายได้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ
   “อยากให้ฉันใส่ให้หรือจะใส่เอง” โจวยี่ถามอีกครั้งหลังจากที่สองคนลงจากรถแล้ว รูฟัสแค่นเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยื่นสองมือให้เป็นคำตอบ เสียงกริ๊กดังขึ้นเมื่อมือทั้งสองข้างของเขาถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยกันด้วยกุญแจมือสีเงินวาว
   “เหมือนพานักโทษไปมอบตัวไงงั้น” โจวยี่กล่าวขณะเดินคู่กับรูฟัสขึ้นไปบนตึก
   “สนุกมากไหม?” รูฟัสพูดประชด  โจวยี่หัวเราะหึๆ ในลำคอ ขณะก้าวเข้าไปในตัวตึกเก่าคร่ำคร่า ที่ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงใหม่ ทั้งคู่ก้าวขึ้นไปบนบันไดสีขาวที่สีเริ่มกะเทาะออกมาจนเห็นเนื้อซีเมนต์สีเทาด้านใน ผ่านแอ่งน้ำขังบริเวณพื้นซึ่งมีน้ำย้อยออกมาจากท่อดับเพลิงซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบนเพดาน ขึ้นไปยังชั้นห้าซึ่งมีการตกแต่งไปบางส่วนแล้ว
   หนุ่มชาวรัสเซียสูดหายใจลึก  เขาสังเกตว่าด้านล่างมีคนหลายคนกำลังเฝ้าจับตาดูอยู่แปลว่าคนที่จะพบเขามารออยู่แล้ว  โจวยี่ตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงปลอบใจ ก่อนจะผลักอีกฝ่ายให้ขึ้นบันไดต่อ
   ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดผ่านฝาผนังที่เพิ่งทาสีใหม่เข้าไปยังส่วนที่กำลังจะถูกตบแต่งเป็นห้อง  ณ ที่นั่น ร่างบางที่ดูคุ้นตาเมื่อหกปีก่อนนั่งวางท่าราวกับพญามังกรอยู่บนโซฟาหนังสีดำที่เพิ่งถูกนำมาจัดวางได้ไม่นานนัก
   เว่ยเฟิงปิง
   ฉับพลัน รูฟัสรู้สึกเหมือนถูกเตะตรงข้อพับขา ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนที่จะทันได้คิดอะไร ใบหน้าก็ถูกจับกระแทกลงกับคอนกรีตเบื้องล่าง
   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงที่ห่างหายไปนานถึงหกปีเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มผู้ครั้งหนึ่งเคยไว้ผมยาวสลวย ลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ จนรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่นั้นแทบจะมาหยุดชิดตรงใบหน้าของผู้ซึ่งถูกตรึงไว้กับพื้น
   “ขอแนะนำให้รู้จักสมาชิกใหม่ของฉัน โจวยี่”
   “เฮอะ!” รูฟัสแค่นเสียง รู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้าและแผ่นหลังซึ่งอีกฝ่ายใช้เข่ายันเอาไว้  เขาพยายามจะปลดกุญแจมือ  แต่...
   “บ้าชิบ” ชายหนุ่มสบถ เมื่อรู้ว่ากุญแจมือที่เพื่อนสวมให้นั้นไม่ใช่อันที่เคยสาธิตให้ดู  เว่ยเฟิงปิงย่อตัวลง จิกผมของชายผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทอดทิ้งเขาขึ้นมา
   “จำผมได้หรือเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม รูฟัสเหลือกตาสองสีขึ้นมอง ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน  ใบหน้าที่ดูชั่วร้ายเหมือนงู และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เป็นสิ่งที่ถ้าได้พบแล้วต้องไม่มีวันลืมเลือนไปได้ง่ายๆ
   “น่าตกใจมากที่คุณยอมตกหลุมพรางง่ายๆ แบบนี้ บอกผมหน่อยได้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นมีความสำคัญอะไรกับคุณ?”
   “ฉันน่าจะถามไอ้คนที่เอาเข่าดันหลังฉันไว้มากกว่า ไอ้เด็กบ้านี่มันสำคัญอะไรกับนายกัน อายี่”
   นัยน์ตาเรียวยาวราวเหยี่ยวของโจวยี่มองอดีตเพื่อนร่วมงานที่ถูกเขาสยบลงแทบเท้าของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา
   “ผมไม่ได้สำคัญกับเขาหรอก  แต่เด็กที่คุณมีอะไรด้วยเมื่อหกปีก่อนต่างหากล่ะ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากตอบคำถามแทน
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:03:23
   “คุณชายเจ็ด” โจวยี่เอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงนั้นเหมือนปรามอยู่ในตัว ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มเล็กๆ
   “ครับ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้พูด แต่สำหรับชายคนนี้ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้ไว้บ้าง ว่าทำอะไรกับคนอื่นเขาไว้ขนาดไหน”
   รูฟัสหัวเราะหลังจากที่เว่ยเฟิงปิงพูดจบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว จ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
   “คุณหัวเราะอะไร?”
   “หลายเรื่อง” รูฟัสกล่าว และไม่เปิดจังหวะให้อีกฝ่ายพูดสวน “สุดท้ายแกก็หลอกลวงหยุนหมิง”
   “นั่นมันแก รูฟัส” โจวยี่เอ่ยปากตอบโต้อดีตเพื่อนร่วมงาน รูฟัสหัวเราะอีก “ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าหยุนหมิงมาหาฉันเอง ถ้าฉันรู้ว่าเขากับแกเป็นอะไรกันฉันคงไม่ยุ่ง  แกต่างหากที่หลอกลวง  แกหลอกลวงเขาว่าให้อภัยฉันแล้ว  แกคิดว่าแกทำไปเพื่ออะไร เพื่อหยุนหมิงหรือเพื่อตัวแกเองล่ะ”
   “หุบปาก!” โจวยี่ตะคอก ก่อนจะจับศีรษะของรูฟัสกระแทกลงกับพื้นคอนกรีตอีก เว่ยเฟิงปิงจุ๊ปาก
   “อย่าเล่นแรงสิ เดี๋ยวหมอนี่ก็พูดไม่ได้พอดี” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงปราม โจวยี่ดึงศีรษะรูฟัสขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ เลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากศีรษะบริเวณที่โดนกระแทก
   “ดูไม่ได้เลยนะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ยกมือขึ้นบัดเศษฝุ่นบนใบหน้าของอีกฝ่ายออก รูฟัสรู้สึกมึนศีรษะอยู่พอสมควร เขาหวังว่าบางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะช่วยห้ามเลือดบนหัวของเขา แต่มันดูจะเป็นแค่เรื่องลมๆ แล้งๆ
   “จะเอายังไงกับฉัน?” รูฟัสกล่าวหลังจากที่เริ่มหายมึนไปบ้าง เว่ยเฟิงปิงชะงักมือ แล้วยิ้มขึ้นอีก
   “เอาของมาให้ผมรึเปล่า?” ร่างบางกล่าวสั้นๆ  รูฟัสหรี่ตาลง รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณศีรษะ
   “คนของฉันล่ะ?”   เขาถามกลับ เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว
   “คิดว่าผมจะพามาด้วยหรือไง”
   “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะให้เธอ” รูฟัสตอบ  เว่ยเฟิงปิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างประสงค์ร้าย
“รู้รึเปล่าว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนกัน คุณคิดว่าจะต่อรองกับผมได้งั้นหรือ?”
   “แปลว่าเธอไม่อยากได้ข้อมูลแล้วงั้นสิ” ชายหนุ่มย้อนถาม  ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
   “ผมมีหลายวิธีการที่จะทำให้คุณพูดนะ รูฟัส”
   “งั้นหรือ ฉันอยากจะรู้ตอนนี้เลยว่าเธอมีวิธีอะไรทำให้ฉันพูดได้บ้าง”
   “ไม่อยากกลับไปลองที่สำนักงานของผมหรือไง?” ร่างบางถาม พร้อมรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด รูฟัสฝืนยิ้ม “ไม่ล่ะ พูดตรงๆ ว่าฉันออกจะหวาดกลัววิธีการทำให้พูดของเธออยู่ซักหน่อย เพราะฉะนั้น ให้ฉันพบตัวประกันหน่อย แล้วฉันจะให้ข้อมูลที่เธอต้องการ”
   “คิดว่าผมจะพาเขามาจริงๆ ?”
   เฟิงปิงย้อน รูฟัสถอนหายใจ “เธอคิดว่าริเวิลจะไม่รู้เรื่องที่ฉันมาพบเธองั้นรึ?”
   ร่างบางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจทันที
   “คิดว่าฉันได้ข้อมูลอะไรในแก๊งเธอไปบ้างล่ะ?”
   “หมายความว่าไง?!” เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียงถาม รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของรูฟัส
   “ฉันไม่โง่เหมือนที่เธอคิดนั่นแหละ ถ้าฉันเกิดหายไปวันสองวันนี้ ข้อมูลบางอย่างของแก๊งเธอจะถูกส่งไปให้กับริเวิล ฉันคิดว่าพวกนั้นคงจะดีใจอยู่ถ้าฉันหายไปจริงๆ”
   “อย่ามาขู่ผม!” ร่างบางตวาด รูฟัสหลับตาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เธอมั่นใจในคนของเธอที่จับตาฉันอยู่มากหรือไง คิดว่าฉันติดต่อกับเจ้านี่คนเดียวงั้นรึ? คิดว่าฉันไม่รู้งั้นหรือว่าคนที่เข้าออกบ่อนหมอนี่มีใครเป็นคนของเธอบ้าง”
   “คุณหักหลังผมรึ?” เว่ยเฟิงปิงพุ่งคำถามไปยังชายหนุ่มผมยาว โจวยี่รีบตอบปฏิเสธ ดูเหมือนเขาเองก็มีสีหน้าแปลกใจอยู่เช่นกัน
   “ไม่เกี่ยวกับหมอนี่หรอก เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้เพิ่งมาฮ่องกงเป็นครั้งแรก ว่าไงล่ะ อยากจะลองเสี่ยงดูหรือเปล่า?”
   ผู้ถูกถามเม้มริมฝีปากแน่น ในที่สุดก็ส่งเสียงเรียก   “อาเฟย”
   ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดซาฟารีสีกรมท่าแขนสั้น เดินออมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคน  รูฟัสเบิ่งตากว้าง หนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี และเป็นคนที่ทำให้เขาต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่
   “ฟ่ง!” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ  ร่างที่คุ้นตาถูกดันออกมาพร้อมกับผ้าปิดตาสีขาว และที่อุดหู ดูเหมือนว่าฟ่งจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร รูฟัสหัวใจเต้นแรง แม้สภาพของฟ่งจะไม่ค่อยน่าดูนัก แต่เขารู้สึกดีใจที่ยังปลอดภัยอยู่
   “เอาล่ะ คุณมีอะไรมาแลกกับผม?”
   “ในกระเป๋ากางเกงฉันมีแฮนดีไดรฟ์อยู่ตัวหนึ่ง” รูฟัสตอบสั้นๆ โจวยี่ล้วงเอาแฮนดีไดรฟ์ที่ว่านั้นส่งให้เว่ยเฟิงปิง ชายหนุ่มรับไปและผุดลุกขึ้น
   “หวังว่าเธอคงจะเอาคอมพิวเตอร์มา” รูฟัสเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจกับคำพูดนั้น เขาเดินไปที่โซฟา รับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากลูกน้อง แล้วเปิดมันขึ้น ระหว่างนี้รูฟัสฉวยโอกาสมองสำรวจรอบๆ บริเวณเท่าที่ตัวเองสามารถจะมองได้ เพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า 
นอกจากชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่พาฟ่งเข้ามาแล้ว บุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างกายของเว่ยเฟิงปิงนั้นสะดุดตาเขามาก ชายคนนั้นเป็นคนเดียวกันกับคนที่ประมือกับเขาในลานจอดรถ ก่อนที่ฟ่งจะถูกลักพาตัวมาที่ฮ่องกง
   รูฟัสประเมินค่าอดีตหน่วยดำผู้นี้ว่าอันตรายที่สุด รองลงมาจากชายที่ตอนนี้ตรึงเขาเอาไว้กับพื้น  แต่ว่าในสภาพการณ์แบบนี้นอกจากอยู่เฉยๆ รอเวลาแล้ว รูฟัสไม่มีทางเลือกอื่นอีก การทำบางอย่างถือเป็นความเสี่ยง
   เว่ยเฟิงปิงเสียบแฮนดีไดรฟ์เข้ากับคอมพิวเตอร์ และโหลดข้อมูลเข้าสู่ตัวเครื่อง  นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง ภาพเหล่านี้คงถ่ายสำเนามาจากไมโครฟิล์มอีกทีหนึ่ง การที่รูฟัสได้ข้อมูลมาในเวลาอันสั้นแสดงว่าข้อมูลพวกนี้คงต้องถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูลออนไลน์ที่ไหนซักแห่ง เพราะเจ้าตัวคงไม่เตรียมการมาล่วงหน้าแน่ๆ เว่ยเฟิงปิงเกิดนึกอยากได้ฐานข้อมูลเหล่านี้ขึ้นมาทันใด หากเขาสามารถเข้าถึงได้แล้วล่ะก็ การหวังที่จะเป็นใหญ่เหนือริเวิลและเว่ยชิงคงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป  แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านความคิดเขาออก
   “อย่าพยายามคิดจะหาต้นตอของมันให้ยากเลย  เธอน่าจะรู้ไว้หน่อยว่าฉันไม่ได้เก็บของพวกนี้ไว้รวมกันในที่ที่เดียวและด้วยตัวคนเดียวหรอกนะ”
   เว่ยเฟิงปิงฝืนยิ้ม  รูฟัสไม่ได้พูดผิดไปจากความเป็นจริง การเก็บรักษาข้อมูลที่เป็นความลับแบบนี้ ต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากแน่ๆ และการที่เขาจะโลภมากเจาะเข้าไปนั้น ความเสี่ยงที่ข้อมูลของเขาเองจะรั่วไหลออกไปก็มีสูงเช่นกัน
   “จะคืนคนของฉันมาได้หรือยัง?”
   รูฟัสเอ่ยปากทวง เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงดูข้อมูลไปได้ระยะหนึ่งแล้ว  ผู้ถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ผมจะให้คนพาคุณไปส่งที่สนามบิน  ผมจะต้องแน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในฮ่องกงแล้ว ผมถึงจะส่งคนของคุณตามไป”
   “งั้นรึ กลัวฉันจะขายข้อมูลของเธอต่อหรือ? แปลว่าเธอจะไม่คืนตัวประกันให้ฉันตอนนี้สินะ”
   “คุณอันตรายเกินกว่าที่ผมจะทำแบบนั้น คุณจำเป็นจะต้องไปให้พ้นจากเมืองนี้ก่อน และจนกว่าผมจะแน่ใจว่าคุณจะไม่ขายข้อมูลที่ว่านั่นให้กับริเวิล ผมถึงจะยอมปล่อยคนของคุณ”
   รูฟัสถอนหายใจยาว ทันใดนั้นเอง ท่อดับเพลิงอัตโนมัติที่ติดตั้งอยู่บนเพดานก็เกิดทำงานขึ้น  สายน้ำสีขาวซ่านกระเซ็นไปทั่วทั้งห้อง เว่ยเฟิงปิงผุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างตกใจ ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องหลับตาลงเพราะสายน้ำที่สาดมากระแทกใบหน้า
   “เป็นอันว่าการเจรจาล้มเหลว” รูฟัสเอ่ยก่อนจะยันตัวลุกขึ้น ยื่นมือไปให้โจวยี่ไขกุญแจมือออก
   “ลาก่อน”
   พูดจบทั้งคู่ก็หันหลังกระโจนกลับลงไปทางบันไดที่ขึ้นมา เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง  หน้าจอคอมพิวเตอร์เริ่มนับถอยหลังการทำลายตัวเองของข้อมูล  เด็กหนุ่มมองฝ่าสายน้ำ ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
   “ตามมันไป จับมันให้ได้!”
   จางซื่อเยี่ยนที่มีท่าทีลังเลอยู่ในตอนแรกจึงทะยานออกจากที่ตั้ง  ไล่ตามผู้ที่หลบหนีไปตามคำสั่งของเจ้านาย  เว่ยเฟิงปิงปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนโยนมันลงกระเป๋า แล้วสั่งให้อาเง็กซึ่งวิ่งตามเข้ามาหยิบไป ส่วนตัวเองก็หันไปออกคำสั่งกับลูกน้องคนอื่น ท่ามกลางสายน้ำที่ยังคงกระหน่ำลงมา
   “ทำตามแผนที่วางไว้ ส่วนพวกที่เหลือ ระดมขึ้นมาจับหมอนั่นให้ได้” ร่างบางกล่าว แล้ววิ่งตามจางซื่อเยี่ยนลงไป และพบว่าไม่เพียงท่อดับเพลิงของชั้นห้าเท่านั้นที่ทำงาน แต่ดูเหมือนท่อดับเพลิงทุกชั้นจะทำงานหมด เว่ยเฟิงปิงหรี่ตามองฝ่าสายน้ำ เขาไม่เห็นเงาของใครทั้งสิ้น
   “โจวยี่!!” ชายหนุ่มคำรามในลำคอ  นอกจากโจวยี่แล้วคงไม่มีใครที่จะทำเรื่องแบบนี้อีก  ท่ามกลางสภาวะเช่นนั้น มันสมองของเว่ยเฟิงปิงทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างหนัก เขาตัดสินใจวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง

   น้ำที่ถูกฉีดออกมาจากฝักบัวดับเพลิงบนเพดานทำให้การมองเห็นของจางซื่อเยี่ยนไม่ค่อยดีนัก  ชายหนุ่มพยายามวิ่งตามผู้ที่เจ้านายของเขาต้องการตัวอย่างยากลำบาก
ขณะเดียวกันนั้นเอง รูฟัสก็รู้สึกว่าแว่นตากันน้ำที่โจวยี่พกมานั้นช่วยเรื่องการมองเห็นได้ไม่มากนัก
   สองหนุ่มวิ่งผ่านแอ่งน้ำขังที่เกิดจากหัวฉีดดับเพลิง และพบว่าน้ำเริ่มจะไหลเบาลง ทั้งคู่หันมามองหน้ากันผ่านแว่นกันน้ำ แล้ววิ่งแยกออกจากกัน จางซื่อเยี่ยนที่วิ่งตามมาต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าหนึ่งในสองหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา อดีตหน่วยกระพริบตาเพื่อทำให้การมองเห็นดีขึ้น และพบว่ามีโลหะสีเงินวาวกำลังพุ่งเข้าใส่
   ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบไปอย่างฉิวเฉียด พร้อมกับดึงลวดโลหะเส้นเล็กๆ ออกมากจากแหวนที่สวมอยู่ และพบว่าผู้ที่ลงมือเมื่อครู่คือชายที่มีชื่อว่าโจวยี่ จางซื่อเยี่ยนหรี่ตาลง ก่อนจะวิ่งพุ่งผ่านผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไปโดยไม่ให้ความสนใจอีก
   “ใจร้อนจังแฮะ” โจวยี่เอ่ย พร้อมกับสะบัดอาวุธในมือ  อดีตหน่วยดำขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อเห็นปลายโลหะแบนสีเงินพุ่งเข้ามาหาในมุมที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มกระโดดหลบ และต้องดึงสายลวดออกมาอีกครั้ง เพื่อสกัดสิ่งที่พุ่งเข้ามา
   “ถอยไปคุณโจว” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยปาก ตอนนี้น้ำที่ไหลลงมาจากเพดานเบาลงมากแล้ว ทำให้การมองเห็นของจางซื่อเยี่ยนดีขึ้นเป็นลำดับ โจวยี่ถอดแว่นกันน้ำออก
   “คงต้องให้เธอเสียเวลาอยู่ที่นี่สักพักล่ะนะ” ชายวัยสามสิบเศษกล่าว พลางขยับอาวุธที่ดูคล้ายกระบี่จีนแต่มีความยาวและยืดหยุ่นเหมือนแส้
   “กระบี่อ่อนรึ?” ซื่อเยี่ยนกล่าวเบาๆ  โจวยี่ยิ้มแต้ “อ่า ใช่ๆ ไม่ได้ใช้มานานแล้วล่ะ!”
   ยังไม่ทันจะกล่าวจบ จางซื่อเยี่ยนก็เปิดฉากโจมตีทันที โจวยี่สะบัดกระบี่ขึ้นปัดลูกตุ้มทรงกรวยแหลมที่ถูกเหวี่ยงนำร่องเข้ามา เสียงดังติงเมื่อลูกเหล็กและกระบี่ถูกดีดออกจากกัน  โจวยี่รู้สึกชาที่มือเล็กน้อย  น้ำหนักของลูกตุ้มนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนสะบัดลวดในมือออกเป็นวงกว้างเพื่อสกัดวิถีของปลายกระบี่ที่ยาวราวๆ สองเมตรนั้นไว้ เสียงลวดกระทบกับกระบี่ดังปะปนกับเสียงน้ำที่กระเซ็นขึ้นจากพื้น เมื่อทั้งสองก้าวเท้าเพื่อการรุกและรับ
   ในตอนแรกโจวยี่มีความมั่นใจอยู่เล็กน้อยว่าอาวุธของเขาได้เปรียบอาวุธของอีกฝ่าย แต่ถึงตอนนี้บางทีเขาอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
   ชายผู้ใช้กระบี่อ่อนเป็นอาวุธยกด้ามกระบี่ขึ้นกันลูกตุ้มเหล็กที่ถูกเหวี่ยงออกมาท่ามกลางตาข่ายลวดที่ดูเหมือนว่าทำลายเท่าไรก็ไม่หมด การเล็งเป้าของจางซื่อเยี่ยนนั้นแม่นยำขึ้นทุกที โจวยี่ยอมรับว่าความเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงในการปะทะครั้งนี้คือการที่อีกฝ่ายมุ่งมั่นจะเอาชีวิต ในขณะที่เขาโจมตีเพียงเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น  ยังไม่นับการรามือจากการต่อสู้ที่ผ่านมานานแล้วของเขาอีก
   “นี่ พ่อหนุ่ม” โจวยี่เอ่ยขึ้นขณะสะบัดปลายกระบี่ออกไปทำลายวงลวดที่เริ่มจะล้อมเข้ามาอีกครั้ง  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากปล่อยให้เขามีเวลาพูดมากนัก จางซื่อเยี่ยนยังคงโจมตีเข้ามาต่อด้วยความเร็วและความแม่นยำที่มากขึ้นเรื่อยๆ
   “เธอไม่อยากรู้หรอว่านายรูฟัสวิ่งไปหาใคร” ผู้ถูกรุกจนต้องถอยกรูดพูดขึ้นอีก แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ชะงักมือเช่นเคย น้ำจากหัวดับเพลิงหยุดไหลไปได้สักครู่แล้ว โจวยี่เห็นว่าเขาคงต้องเลิกการถ่วงเวลาที่เสี่ยงอันตรายนี้เสียที
   “ฉันจะบอกอะไรให้เป็นค่าตอบแทนที่เธอเสียเวลาอยู่ที่นี่นะ” พูดพลางเบี่ยงตัวหลบลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดกระบี่ออกเป็นจังหวะถี่ยิบ เสียงดังติงๆ ขณะที่แหลวดถูกปัดจนกระจาย
   “เจ้านายของเธอไปที่สวิทปิดน้ำ ขอให้โชคดี” โจวยี่กล่าว และถอยเบี่ยงหลบเข้าไปด้านหลังผนังตึกซึ่งอยู่ข้างๆ โดยไม่รอดูปฏิกริยาตอบโต้ นัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนเบิ่งด้วยความตระหนก  ไม่ใช่เพราะท่าที่อีกฝ่ายใช้เมื่อครู่ แต่คำพูดนั่นต่างหาก
   แปลว่ารูฟัสกำลังไปหาเจ้านายของเขา?
   อดีตหน่วยดำปล่อยให้ลวดเงินถูกดึงเข้าไปในแหวนโดยอัตโนมัติ ก่อนจะวิ่งไปยังทิศทางที่คาดว่าเจ้านายจะอยู่

   เว่ยเฟิงปิงผละมือออกจากวาวล์น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งติดตั้งอยู่บนชั้นเจ็ดของตึก  ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
   ตอนนี้เองเขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเองโดนล่อมาติดกับ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยตัดสินใจหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่เดินเข้ามา นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง  เมื่อเห็นว่าผู้ที่กำลังก้าวเท้ามานั้นคือคนที่เขาต้องการตัวเป็นที่สุด
   รูฟัสถอดแว่นกันน้ำออก ใบหน้าคมสันนั้นเย็นชาราวกับรูปปั้น เดินตรงเข้ามายังจุดที่เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่
   “วางแผนกันไว้แต่แรกสินะ” ร่างบางกล่าวเสียงแปร่ง รูฟัสส่ายหน้า “ก็ไม่เชิงหรอก”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว  นัยน์ตาสีฟ้าจ้องใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่าง
   “ฉันรู้ว่าเธอดักฟังฉัน เอาล่ะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า”
   เว่ยเฟิงปิงยักไหล่ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ “พูดอะไรล่ะ คิดจะใช้ตัวผมแลกกับฟ่งงั้นรึ?”
   “ใช่”
   “งั้นก็เชิญ” คำตอบของเว่ยเฟิงปิงทำให้รูฟัสหยุดชะงักไปจังหวะหนึ่ง  คราวนี้ร่างบางเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ จนใบหน้าแทบจะชิดกับรูฟัส “เอาสิ จะจับตัวผมก็เอาเลย”
   รูฟัสจ้องเข้าไปในดวงตาของเว่ยเฟิงปิง  เขาเริ่มประเมินเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่ถูก  เด็กคนนี้กำลังวางแผนจะทำอะไรอีกนะ
   “ว่าไงล่ะ หรือจะทำกับผมเหมือนหกปีก่อนอีก” เว่ยเฟิงปิงยังกล่าวสืบต่อ รูฟัสขมวดคิ้ว
   “หกปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกับเธอ” ชายหนุ่มถาม  ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าหัวเราะร่วน
   “เพิ่งจะมาอยากรู้เหรอ?”   เด็กหนุ่มถามกลับ ก่อนจะเบียดตัวเข้ามาใกล้อีก
   “กอดผมสิ แล้วผมจะบอกคุณ”
   นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้าง  ความรู้สึกแบบนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน ความรู้สึกเหมือนตอนคืนนั้น คืนที่เขาได้พบกับเว่ยเฟิงปิงเป็นครั้งสุดท้าย
   “หลังของผม รูฟัส ผมอยากให้คุณรู้ว่ามันเกิดอะไรกับผม” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะโอบมือรอบคอของรูฟัส ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ค่อยๆ ยกมือสัมผัสแผ่นหลังของอีกฝ่าย และพบว่ามันไม่ได้เรียบอย่างที่คิดไว้
   “เธอ….”
   “พ่อผมฝากเอาไว้ ค่าที่ผมช่วยคุณไง”
รูฟัสลูบฝ่ามือไปบนหลังของอีกฝ่าย ก้อนเนื้อแข็งๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแนวยาวเป็นแถวๆ นั้น ไม่ได้เปิดดูก็พอจะเดาได้ว่าเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการถูกเฆี่ยนด้วยอะไรบางอย่างจนเนื้อแตก ชายหนุ่มรู้สึกใจหาย
   “ทำไมเธอถึง...” ยังไม่ทันจะถามต่อ ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงก็ถูกประกบเข้ามา ราวกับค่ำคืนวันนั้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง
   “เพราะผมรักคุณไงล่ะ” ร่างบางกล่าว หลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว รูฟัสนิ่งอึ้ง แต่แล้วเสียงหนึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนโลกถล่ม
   “รูฟัส!”
   ไม่รู้ว่าฟ่งมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้างกับภาพที่เห็น แม้จะไม่มีแว่น แต่ฟ่งน่าจะเห็นว่าเขากำลังทำอะไร
   ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น เสียงของฟ่งก็ดังขึ้นอีก
   “หนีเร็ว!”
   ตอนนี้รูฟัสเพิ่งเข้าใจเหตุผลที่ฟ่งเบิ่งตาค้าง กำปั้นของใครคนหนึ่งประเคนเข้าใส่ใบหน้าของเขาเต็มรัก ช่วยแยกเขาออกจากเว่ยเฟิงปิงได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มากมาย รูฟัสเซถลาไปสองก้าว และพบว่าการโจมตีที่ตามมานั้นเลวร้ายกว่าหมัดเมื่อครู่มาก สิ่งที่เขาทำคือกลิ้งตัวลงกับพื้นเพื่อหลบบ่วงลวดที่คล้องลงมาอย่างหมายชีวิต พร้อมกับดึงมีดสงครามความยาวเกือบฟุตออกมาจากซองใส่ที่ซ่อนเอาไว้ใต้ขากางเกง ปัดฉมวกที่พุ่งเข้ามา แล้วใช้ไหล่กระแทกเข้าที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง
   จางซื่อเยี่ยนถอยกรูดออกไปทันที ด้วยแรงกระแทกนี้เองทำให้สติของชายหนุ่มกลับคืนมาอีกครั้ง  เมื่อครู่เขาจู่โจมไปด้วยความโมโหสุดขีด จนเปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาได้ ดีที่รูฟัสไม่ได้แนบมีดในมือเล่มนั้นตามมาด้วย ไม่อย่างนั้นฝ่ายที่จะเพลี่ยงพล้ำอาจจะเป็นตัวเขาเอง
   อดีตหน่วยดำสะบัดลวดในมือ เมื่อไม่มีเสียงห้ามปรามจากเจ้านาย  ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะต้องสังหารชายคนนี้ให้ได้
   รูฟัสกระชับมีดในมือ นี่คืออาวุธที่เขาถนัดที่สุด ชายหนุ่มเพ่งมองไปยังคู่ต่อสู้ และรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายมีจุดมุ่งหมายจะเอาชีวิตเขาจริงๆ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะออมมืออีกต่อไป
   ไม่ต้องมีสัญญาณ ต่างฝ่ายต่างทะยานเข้าห้ำหั่นกันอย่างหมายชีวิต อาวุธลวดนั้นดูจะได้เปรียบอาวุธระยะใกล้แบบมีดอยู่มาก แต่ทักษะการใช้มีดของรูฟัสนั้นดูเหมือนจะข้ามขีดจำกัดของความเร็วและระยะไปแล้ว เขาใช้มันได้คล่องแคล่วราวกับเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกายก็ไม่ปาน ชายหนุ่มสะบัดมีดปัดเส้นลวดที่ถูกเหวี่ยงเข้ามา และก้มตัวลงโจมตีในแนวราบ คมมีดที่แหวกพื้นพุ่งเข้าใส่หน้าขาทำให้อีกฝ่ายต้องกระโดดถอยออกไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนจางซื่อเยี่ยนจะรู้อยู่แก่ใจว่าการโจมตีด้วยลวดนั้นมีจุดด้อยในมุมต่ำ ดังนั้นลูกตุ้มจึงถูกเพิ่มเข้ามาในการโจมตี แล้วคราวนี้รูฟัสจึงต้องเป็นฝ่ายที่ถอยบ้าง
   เว่ยเฟิงปิงยืนตะลึงมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าโดยพูดอะไรไม่ออก ไม่ต้องพูดถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา  ฟ่งได้แต่ยืนมองตาค้างโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกันแน่  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกใจหายทุกครั้งที่รูฟัสถูกบ่วงลวดล้อม เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงต้องห่วงผู้ชายคนนั้น แต่ทุกเส้นลวดของจางซื่อเยี่ยนที่กวาดเข้าไปยิ่งทำให้หัวใจของเว่ยเฟิงปิงแทบหยุดเต้น
   “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ซื่อเยี่ยน!” เว่ยเฟิงปิงออกคำสั่งเสียงพร่า แต่ดูเหมือนว่าผู้เป็นลูกน้องจะไม่ได้ยิน จางซื่อเยี่ยนยังคงโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดยั้ง ความได้เปรียบของอาวุธเริ่มมีผล เมื่อปลายลวดถากผ่านข้อมือของรูฟัสไปจนเลือดไหลซึม ในขณะที่การโจมตีของรูฟัสเริ่มช้าลง
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีเริ่มเข้าใจสภาพของตัวเองขึ้นมาบ้างเมื่อบาดเจ็บ บาดแผลบนศีรษะเขายังมีเลือดไหลซึมอยู่ แม้คราบเลือดจะถูกน้ำชะล้างออกไปเยอะแล้ว แต่ปากแผลยังไม่ปิด และอาการปวดศีรษะนั้นก็ส่งผลกระทบกับการเคลื่อนไหวของเขา ความบกพร่องทางร่างกายเล็กๆ น้อยๆ ในสภาวะเป็นตายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่หลวง
   เว่ยเฟิงปิงคิดได้ในสิ่งเดียวกับที่รูฟัสคิด เขารู้ว่ารูฟัสได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อน และความได้เปรียบของอาวุธนั้นต่างกันเกินไป  ยิ่งเห็นว่ารูฟัสเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแล้ว ยิ่งแทบจะทนดูต่อไปไม่ได้
   และแล้ว เว่ยเฟิงปิงก็ทำในสิ่งที่ตนเองก็ยังคาดไม่ถึง
   “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงทรงอำนาจที่คุ้นหูดังขึ้น จางซื่อเยี่ยนชะงัก และยิ่งต้องชะงักหนัก เมื่อพบว่าผู้ที่วิ่งเข้ามาขวางการโจมตีของตนเอาไว้คือเจ้านายผู้ซึ่งเป็นคนที่เขาพยายามจะปกป้อง นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมายังเขาด้วยอาการวิงวอนขอร้องอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อดีตหน่วยดำหยุดมือไว้ในจังหวะสุดท้าย ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ
เจ้านายเขาเข้ามาทำไม
เพื่อปกป้องหมอนั่นหรือ?
นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งกว้างมองผ่านด้านหลังของเว่ยเฟิงปิงไป  ปลายมีดขนาดยาวเกือบฟุตกำลังพุ่งตรงเข้ามา
การโจมตีของรูฟัสนั้นเป็นไปโดยระบบตอบโต้อัตโนมัติของร่างกายมากกว่าจะใช้ความคิดในการควบคุม  เพราะการเข้าถึงความเร็วที่ข้ามขั้นไปของอาวุธที่มีระยะจำกัดขนาดนี้ จำเป็นจะต้องให้ร่างกายเรียนรู้จังหวะการโจมตีจนจดจำได้โดยไม่ต้องสั่งการ  ดังนั้นการหยุดมือในจังหวะสุดท้ายของรูฟัสในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้จะรู้ว่ามีคนเข้ามาขวางไว้ก็ตาม
!!!
เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง  เบื้องหน้าของเขาไม่มีอะไรนอกจากตัวตึกที่ว่างเปล่า วงแขนแกร่งคู่หนึ่งโอบกอดเขาเอาไว้จากเบื้องหลัง พร้อมกับเสียงกระซิบที่คุ้นหู
“ไม่เป็นอะไรนะครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวอย่างโล่งอกที่ปกป้องเจ้านายของตัวเองไว้ได้ นั่นเพราะสิ่งที่ปักอยู่บนหลังของเขามิได้ไปปักอยู่บนหลังของเจ้านายนั่นเอง
ร่างสูงค่อยๆ ทรุดฮวบลง เว่ยเฟิงปิงหันมาประคองร่างของผู้เป็นลูกน้อง และพูดอะไรต่อไม่ออก เมื่อเห็นมีดสงครามเล่มใหญ่ที่ปักอยู่บนสะบักหลัง เลือดสีแดงไหลซึมแผ่ออกบนเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินครามจนเป็นสีดำ และขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว  รูฟัสยืนอยู่ถัดออกไป ด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนใส่หน้ากาก  และก่อนที่ใครจะทันพูดอะไร เสียงคนอีกคนที่ล้มโครมลงไปก็ดังขึ้น
-----------------------------------


หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:04:06
หนุ่มนักดีไซน์ กับนายสายลับ
บทที่20 After and Later
   ฟ่งไม่รู้ว่าหลับไปนานขนาดไหน  และยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อที่จะรู้สึกว่าตื่นแล้ว ชายหนุ่มพบตัวเองอยู่ในโลกแห่งความเงียบและมืดสนิท ดวงตาของเขามีอะไรบางอย่างปิดอยู่ ฟ่งคิดว่าน่าจะเป็นผ้าปิดตา และหูก็โดนอุดเอาไว้ อย่างเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าไม่ได้หลับอยู่ คือมือของใครคนหนึ่งที่สะกิดให้เขาก้าวลงจากรถ
   ฟ่งรู้สึกถึงเบาะนุ่มๆ และกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ  สมองของชายหนุ่มเริ่มทำงานดีขึ้น เขาคิดว่าตัวเองอาจจะถูกวางยานอนหลับ ร่างบางขยับตัวอย่างงกๆ เงิ่นๆ ก้าวเท้าลงจากรถไปได้อย่างทุลักทุเล จนทำให้อดนึกไม่ได้ว่าคนที่ทำแบบนี้น่าจะแบกเขาขึ้นหลังมากกว่าจะปล่อยให้เดินเอง อย่างไรก็ดีนี่คงเป็นแผนการหนึ่งของเว่ยเฟิงปิงเป็นแน่
   ชายหนุ่มเดินออกไปในสภาพแบบนั้นด้วยความรู้สึกใจเสีย เว่ยเฟิงปิงวางแผนอะไรกันแน่ ถึงเวลานี้ฟ่งค่อนข้างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความตั้งใจจะส่งตัวเขากลับ  การถูกปิดหูปิดตาและถูกพาไปที่ที่ไหนก็ไม่รู้โดยคนที่ไม่รู้จัก  เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ต่อมความหวาดกลัวทำงานได้ดีจริงๆ
   หลังจากที่ทั้งถูกผลักให้เดิน ฉุดให้หยุด แล้วยังต้องขึ้นบันไดอีกหลายชั้น  ในที่สุดร่างบางก็ถูกจับให้ยืนนิ่งๆ  ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่จู่ๆ น้ำเย็นเฉียบก็ราดลงมาบนตัวของเขา  ไม่ใช่น้ำที่ถูกสาดเข้ามา มันเหมือนน้ำจากฝักบัวเสียมากกว่า  ฟ่งรู้สึกตระหนกยิ่งกว่าเดิม นี่เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ และกำลังจะถูกพาไปทำอะไร  ชายหนุ่มอยากที่จะตะโกนถาม แต่แล้วก็ถูกลากให้ออกวิ่งอีกครั้ง  ดูเหมือนว่าคนที่ลากเขาจะพาไปหลบน้ำที่ไหนซักแห่ง สักพักจึงพาออกเดินผ่านสายน้ำที่ไหลลงมากระทบตัวเบาๆ ขึ้นบันได และเดินไปเรื่อยๆ  และในที่สุด นัยน์ตาของเขาก็พบกับแสงสว่าง ฟ่งกะพริบตาถี่ๆ เขายืนอยู่บนขั้นบันไดของตึกไหนซักตึกหนึ่ง แม้จะไม่ได้สวมแว่น แต่ก็พอจะแยกออกว่าตึกนี้กำลังอยู่ระหว่างรื้อและตกแต่งใหม่  ร่างบางหันกลับไปมองเบื้องหลัง ไม่เห็นเงาใครอีก คนที่นำเขาขึ้นมาแล้วแกะผ้าให้คงหลบไปแล้ว  ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดหน้า ทั้งตัวเปียกปอนไปหมด ฟ่งเงยหน้ามองไปที่เพดาน และพบว่ามีน้ำหยดลงมาจากท่อดับเพลิงอัตโนมัติ นี่เองที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในห้องอาบน้ำ
   ฟ่งตัดสินใจที่จะเดินขึ้นไปต่อ เขาเกิดความรู้สึกว่าคนที่พาาขึ้นมาปล่อยคงอย่างให้เขาขึ้นไปพบกับอะไรบางอย่างบนนั้น  ระหว่างนั้นเองเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น  เป็นเสียงของเว่ยเฟิงปิงไม่ผิดแน่  ฟ่งชะงักฝีเท้า  แต่แล้วอีกเสียงที่แทรกเข้ามาก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
   เสียงของรูฟัส!!
   ฟ่งรีบก้าวเท้าขึ้นบันไดเพื่อไปให้ถึงแหล่งที่มาของเสียงนั้น ดูเหมือนทั้งสองคนจะพูดคุยอะไรกันอยู่ แต่บทสนทนานั้นเหมือนจะเบาลงไปดื้อๆ  ฟ่งก้าวเท้าข้ามบันไดขั้นสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น แต่สิ่งที่เขาพบคือคนที่มีลักษณะคล้ายกับรูฟัสกำลังจูบอยู่กับเว่ยเฟิงปิง
   ฟ่งอุทานชื่อของรูฟัสออกไปอย่างลืมตัว และนั่นทำให้เขาแน่ใจว่าชายคนนั้นเป็นรูฟัสแน่นอน  แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจยิ่งกว่าคือเงาร่างของคนอีกคนหนึ่งซึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วในทิศตรงข้ามกับที่เขายืนอยู่ ฟ่งมั่นใจว่าผู้ที่พุ่งเข้ามานั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ดีแน่นอน  เขาตะโกนบอกให้รูฟัสหนี  แต่แล้วเหตุการณ์ที่น่าตระหนกตกใจยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้ก็อุบัติขึ้น เมื่อคนที่เขาบอกให้หนีถูกชกล้มลง  หลังจากนั้นฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในภาพยนตร์แอ๊คชั่นอะไรซักเรื่อง ผิดเสียแต่ว่านี่ไม่ใช่การแสดง มันคือของจริง
   ฟ่งเห็นรูฟัสดึงวัตถุสีเงินออกมาจากใต้ขากางเกง เขาเดาว่ามันอาจจะเป็นมีดหรืออะไรซักอย่างที่คล้ายๆ กัน และอีกฝ่ายคงเป็นจางซื่อเยี่ยนไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนใช้สู้กับรูฟัสนั้น ฟ่งมองไม่เห็น เขาเห็นวัตถุคล้ายฉมวกและลูกตุ้มถูกเหวี่ยงออกมาเป็นระยะ บางทีฝ่ายนั้นอาจจะใช้เชือก การต่อสู้นั้นตื่นตาเกินกว่าที่จะคิดว่าเป็นการสู้กันของคนธรรมดาสองคน ถ้ามันคือภาพยนตร์ คงต้องบอกว่าเล่นได้ดีมาก แต่สิ่งที่เขาเห็นคือ คนสองคนกำลังจะเอาชีวิตกัน
   ถึงจุดนี้ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก  เขาได้แต่เบิ่งตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป  ความตระหนกและความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมความคิด  นี่เขากำลังดูอะไรอยู่กันแน่ ร่างกายของฟ่งเกร็งเครียด นัยน์ตาค้าง เขาได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงตะโกน รู้สึกจะเหมือนหนึ่งหรือสองครั้ง และโดยไม่คาดคิด เว่ยเฟิงปิงก็ถลาเข้าไปในวงต่อสู้นั้น
   ฟ่งมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เขาพบเห็นต่อจากนั้นคือมีดที่เสียบลงไปบนหลังของจางซื่อเยี่ยน โดยน้ำมือของคนที่เขาคิดว่ารู้จักดี
   รูฟัส!
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองโดนถอดปลั๊ก
--------------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างช้าๆ เขามองเห็นหลอดไฟนีออนกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า ฟ่งหลับตาลงอีกครั้งเพื่อให้ชินกับแสง หลังจากลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
   “ไม่เป็นไรแล้วนะครับ” น้ำเสียงนั้นพูดกับเขาเป็นภาษาไทย นัยน์ตาสองสีนั้นยากจะลืมเลือนนัก ฟ่งยันตัวลุกขึ้นทันที โดยมีอีกฝ่ายช่วยประคอง
   “ซื่อเยี่ยนล่ะ?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากที่นั่งได้แล้ว ดูเหมือนรูฟัสจะชะงักไปเล็กน้อย
   “อยู่ห้องผ่าตัด” อีกฝ่ายตอบ ฟ่งหันไปมองดูรอบๆ ถ้าอย่างนั้นที่นี่น่าจะเป็นโรงพยาบาล
   “แว่นคุณ” รูฟัสกล่าวพร้อมกับยื่นแว่นที่ว่ามาให้  ฟ่งมองมือข้างนั้นอย่างงงๆ แล้วรับแว่นไปสวม ก่อนจะก้มหน้านิ่ง เขาไม่กล้าที่จะหันไปมองอีกฝ่าย ฟ่งยอมรับว่าเขารู้สึกกลัวรูฟัส กลัวผู้ชายที่สามารถเงื้อมีดแทงใส่คนอื่นได้อย่างไม่ลังเล
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้อง รูฟัสเองดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ฟ่งได้แต่นั่งเงียบ เขารู้สึกอึดอัด
   “คุณเฟิงปิงอยู่ไหน?” ในที่สุดร่างบางก็เอ่ยถามคำถามออกไปโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเช่นเคย บรรยากาศยิ่งทวีความอึดอัดมากเข้าไปอีก
   “อยู่ด้านนอก ถ้าคุณอยากพบผมจะไปตามให้”
   “อือ” ฟ่งตอบรับแทบจะในทันที เหมือนว่ารูฟัสจะลังเลอยู่พักหนึ่งหลังจากได้ยินคำตอบ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
   ประตูถูกเปิดอีกครั้ง ฟ่งเงยหน้าขึ้น และพบว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังเดินเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มไม่สู้จะดีนัก นัยน์ตาสีฟ้าใสมองมาพร้อมกับฝืนยิ้มเล็กน้อย
   “ได้ข่าวว่านายอยากเจอฉัน มีอะไรหรือ?”
   “คุณซื่อเยี่ยนเป็นไงบ้าง” ฟ่งเอ่ยถาม เขารู้สึกเป็นห่วงชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยน เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลไม่ได้ลึก คิดว่าหมอนั่นคงยั้งมือเอาไว้”
   ฟ่งอ้าปาก ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงหันมามองหน้าคู่สนทนา “นายเป็นห่วงซื่อเยี่ยน?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง “ทำไมนายจะต้องเดือดร้อน หมอนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับนายเสียหน่อย”
   “ผมไม่อยากเห็นใครตาย” ฟ่งตอบ เงยขึ้นมองหน้าคู่สนทนา
   “นายนี่นะ..” เว่ยเฟิงปิงคราง แล้วพูดต่อ “นายใจดีกับคนอื่น แล้วคนที่นายเพิ่งไล่ออกไปตะกี้ล่ะ?”
   ฟ่งรู้สึกประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่าย
   “หมายถึงรูฟัส?” ชายหนุ่มย้อนถาม  เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า “หมอนั่นทำหน้าบอกบุญไม่รับออกไปเรียกฉัน ก็น่าอยู่อุตส่าห์มาช่วยนายแต่พอตื่นมาดันเรียกหาคนอื่นเสียนี่”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นี่เว่ยเฟิงปิงต้องการอะไรจากเขากันแน่
   “ก็เขาจูบกับคุณแล้วนี่” ชายหนุ่มเผลอหลุดปากเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ออกมา เว่ยเฟิงปิงร้องเสียงยาวราวได้รับชัยชนะ “นายหึง?”
   “เปล่า” ฟ่งรีบตอบปฏิเสธ เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีที่ฝ่ายนั้นแสดงออกมา
   “ฉันตั้งใจจะให้นายเห็นเองแหละ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ฟ่งหันมาทันที
   “หกปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยลืมหมอนั่นเลย ฉันเฝ้าบอกตัวเองว่าชายคนนั้นเป็นคนทำลายชีวิตของฉัน ฉันจะต้องลากตัวหมอนั่นมาแก้แค้นให้ได้ แต่มันก็แค่การหลอกตัวเอง ความจริงคือฉันตัดใจจากเขาไม่ได้  สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดนี่ก็แค่ให้ได้เจอกับเขาเท่านั้นเอง” เว่ยเฟิงปิงพูดพลางหันมามองคู่สนทนา นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววเศร้าสร้อย
   “ฉันคิดว่าการยึดนายเอาไว้จะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ ตอนที่ฉันได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ฉัน..” เขาหยุดพูดไปอีกพักหนี่ง เหมือนพยายามลำดับความรู้สึกที่กำลังสับสน
   “ฉันรู้สึกดีใจ อยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาด้วยซ้ำ ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่า หกปีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ฉันเกลียดเขาเลยสักนิด แต่มันทำให้ฉันยิ่งโหยหามากเข้าไปอีก  แต่ว่า...ในอีกส่วนหนึ่งใจฉันไม่ยอมรับ  ฉันอยากเห็นหมอนั่นเจ็บปวด  ฉันจึงวางแผน วางแผนให้นายไปยืนอยู่ตรงนั้น  อยากรู้หรือเปล่าว่าฉันจูบหมอนั่นยังไง”
   “เอ๋?” ฟ่งส่งเสียงด้วยความแปลกใจในคำถามประโยคท้ายของเว่ยเฟิงปิง
   “นายจำแผลที่หลังฉันได้หรือเปล่า?” เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจปฏิกิริยาของคู่สนทนา เขายังคงดำเนินเรื่องต่อ ฟ่งพยักหน้าอย่างงงๆ
   “เอื้อมมือไปจับดูสิ”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิง แต่ก็เอื้อมมือไปจับตามคำบอก เว่ยเฟิงปิงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากที่กำลังอยู่ในจังหวะเผลอของอีกฝ่าย ฟ่งตกยกมือขึ้นผลักทันที  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะชอบใจ “ฉันทำแบบนี้แหละ”
   ฟ่งยกมือขึ้นเช็ดปาก ไม่รู้จะขำหรือโมโหกับการกระทำของอีกฝ่ายดี
   “ตอนแรกฉันคิดอยากให้รูฟัสกับนายผิดใจกันเฉยๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาลงเอยแบบนี้” น้ำเสียงของเว่ยเฟิงปิงแผ่วลง
   “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก” ฟ่งเอ่ย เอามือจับไหล่ของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เว่ยเฟิงปิงสะดุ้ง หันมายิ้มแห้งๆ
   “นายไม่รู้อะไร….” เขาพูดค้างเอาไว้ จนทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว เว่ยเฟิงปิงโบกมือ “ช่างเถอะ  ว่าแต่นายคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
   “ผม?” ฟ่งทวนคำอย่างงุนงง เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า  ผู้ถูกถามนิ่งไปพักหนึ่ง “ผมจะกลับบ้าน”
   “อย่างนั้นนายคงต้องคุยกับรูฟัส”
   ฟ่งมองหน้าเว่ยเฟิงปิงด้วยความแปลกใจ ทำท่าจะอ้าปากพูดบางอย่าง แต่อีกฝ่ายชิงพูดต่อ "ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับเขา บางทีนายอาจจะกลัว แต่ฉันคงไม่มีสิทธิ์จะไปยุ่งอะไรกับนายอีก หมอนั่นจริงจังกับนายมาก”
   ฟ่งเม้มปาก สีหน้าปั้นยาก
   “โดยส่วนตัว” เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ “ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งกับเขา เพื่อควาปลอดภัยของตัวนายเอง แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเรื่องที่นายจะต้องตัดสินใจเองนี่”
   กล่าวจบก็ผุดลุกขึ้น ฟ่งส่งเสียงเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
   ร่างบางหันกลับมามองอย่างสงสัย ฟ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้น “คุณยังรักรูฟัสอยู่อีกหรือเปล่า?”
   รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง
   “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ” เขาหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แล้วเดินออกไปในทันที
---------------------------------
   “โดนไล่ออกมารึไง?” โจวยี่เอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนเดินหน้าบูดออกมาจากห้องพักแพทย์ซึ่งถูกใช้เป็นห้องรับรองพิเศษ ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางธุรกิจของตระกูลเว่ย และมีความใกล้ชิดกับเว่ยเฟิงปิงเป็นพิเศษ
   รูฟัสไม่ตอบคำถาม เขานั่งปุลงบนเก้าอี้ยาวสำหรับญาติผู้ป่วยที่ถูกตั้งไว้ริมทางเดิน แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะไม่ละความพยายาม
   “เด็กนั่นตื่นมาแล้วเกิดคิดถึงคุณชายมากกว่าแกงั้นสิ?”
   “หุบปากเหอะ” รูฟัสกล่าว สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ฟ่งไม่หันมามองหน้าเขา ไม่ยิ้ม และไม่แม้แต่จะไต่ถามเกี่ยวกับตัวเขาแม้แต่น้อย แต่กลับถามถึงคนที่จับตัวเองมา  รูฟัสรู้สึกน้อยใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมฟ่งถึงมีท่าทีแบบนั้น
   “เขากลัวแกล่ะสิ ก็น่าอยู่ เล่นแทงคนต่อหน้าเขาแบบนั้นใครจะรับได้ว่ะ คนใจไม้ใส้ระกำอย่างแก โดนเขาไม่เห็นหัวเสียบ้างก็ดีอยู่หรอก”
   “นี่ตกลงแกหายโกรธฉันจริงๆ หรือเปล่านี่?” รูฟัสย้อนถาม  โจวยี่ยักไหล่
   “เปล่า ฉันยังโกรธแกอยู่ พูดกันตรงๆ ว่าฉันโกรธแกมาตลอดตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนนั่นแหละ”
   “อ้อ.. งั้นที่เฟิงปิงพูดก็จริงสนิทงั้นสิ”
   “แกน่าจะรู้แต่แรกแล้วนี่”
   “เฮอะ!” รูฟัสแค่นเสียง เขายอมรับว่าเขาไม่ไว้ใจโจวยี่อยู่แต่แรก แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยง แล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็เสี่ยงกับเขาด้วยเช่นกัน
   “อะไรทำให้แกเปลี่ยนใจ?” หนุ่มชาวรัสเซียเอ่ยถามเพื่อนด้วยความสงสัย
   “ความน่ารักของแฟนแกมั้ง” ผู้ถูกถามตอบกวนๆ ก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก “จะว่าไปมันก็น่าจะตั้งแต่ที่แกโผล่หัวมาหาฉันด้วยเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ล่ะมั้ง  พูดตามตรงนะ ตอนแรกที่รู้ว่าแกมาฉันล่ะโคตรจะดีใจเลย  ไม่คิดว่าแกจะย้อนกลับมาที่นี่อีก  แล้วฉันก็รู้สึกขนลุกพอนึกถึงคำพูดของคุณชายเจ็ดว่าแกจะต้องกลับมา พอแกพูดเรื่องเหตุผลของแก ฉันน่ะแทบจะไม่เชื่อหู  ฉันไม่เคยคิดว่าแกจะมีความรักอะไรกับเขาเป็นหรอก”
   “อ้อ.........”
   โจวยี่กล่าวต่อโดยไม่สนใจกับน้ำเสียงประชดประชันของอีกฝ่าย “เพราะฉะนั้นฉันเลยยิ่งตกใจกับการวางแผนล่วงหน้าของคุณชายเจ็ด เด็กนั่นคิดไว้แล้วว่าแกคงไม่มาที่นี่ด้วยตัวเองแน่ๆ เลยทำเรื่องล่อแกออกมา แต่ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อว่าแกจะพลาดไปมีห่วงอะไรไว้ที่ไหน แล้วให้เขาจับได้แบบนี้”
   “ดังนั้นฉันจึงติดต่อกับคุณชายเว่ย แต่ท่าทางของแกมันเหมือนไม่โกหก  คือคนกะล่อนอย่างแกมันไม่น่าจะมาเอออวยยอมๆ อะไรง่ายๆ แล้วยังทีท่าเหมือนว่าแกจะห่วงแฟนมาก ฉันเลยเริ่มเชื่อหน่อยๆ ว่ามันจะจริง”
   “ฉันจะไปโกหกแกทำเบื้อกอะไร”   รูฟัสแย้ง หนุ่มวัยสามสิบเศษยักไหล่ “จะไปรู้ได้ไง น้ำหน้าอย่างแกมันเชื่อได้ที่ไหน เห็นฟันเขาเล่นไปทั่ว อยู่ๆ มาบอกแฟนถูกลักพาตัวมา ใครเขาจะไปเชื่อว่ะ”
   รูฟัสทำหน้าเบ้ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ จะไปโต้แย้ง โจวยี่กล่าวต่อ “ก็เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยเปลี่ยนใจไปช่วยแก..”
   “เฮ้ย” รูฟัสร้องอย่างไม่เชื่อหู เพราะคำตอบของโจวยี่มันช่างรวบรัดและตัดตอนจนแทบจะไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว  หนุ่มวัยสามสิบเศษหลิ่วตามองถามเสียงกวนๆ
   “ทำไม  ไม่พอใจหรือไง หรือแกอยากให้ฉันไปช่วยคุณชายเจ็ด?”
   “เปล่า ช่างมันเถอะ” ชายหนุ่มตอบเซ็งๆ พลางนึกว่าเขาไม่น่าถามเลย โจวยี่นั่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ชวนคุยอีก
   “เด็กนายนี่ผิดกับที่ฉันคิดไว้เลย”
   “ยังไง?” อีกฝ่ายถาม โจวยี่เม้มปากเหมือนกำลังนึกตรึกตรองอะไรบางอย่าง
   “ครั้งแรกฉันคิดว่าเป็นสาวน้อยน่ารักบอบบาง พอนายบอกว่าเป็นผู้ชาย ฉันก็คิดว่าจะตัวเล็กๆ น่ารักๆ ดูนุ่มนิ่ม แต่ที่ไหนได้ ดันกลายเป็นผู้ชายยี่สิบกว่าที่ผอมแล้วยังดูธรรมด๊า ธรรมดาอีก ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ”
   “นั่นแกตีความตามรสนิยมของแกต่างหาก” รูฟัสกล่าว พลางนึกขนลุกเมื่อคิดว่าเด็กที่โจวยี่คบแต่ละคนอายุเท่าไรบ้าง หนุ่มผมยาวเบ้ปาก
   “ฉันก็หลงคิดว่าแกกับฉันมันสเป๊กเดียวกันอยู่ตั้งนาน แล้วนี่สรุปแกไปฟันหยุนหมิงทำไมว่ะถ้าแกไม่ชอบ?”
   ผู้ถูกถามขมวดคิ้ว พลางคิดว่านี่เขากำลังถูกหาเรื่องอีกหรือเปล่า
   “แบบหยุนหมิงไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบ แต่ว่า..ฟ่งก็น่ารักนะ”
   โจวยี่ตบมือป๊าบ ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นจนอีกฝ่ายต้องใช้ศอกถองเพราะอยู่ในเขตโรงพยาบาล  ชายหนุ่มเอามือกุมท้อง เหมือนจะพยายามกลั้นหัวเราะมากกว่าที่จะเจ็บ
   “โอ๊ย ขำๆ ไม่คิดว่าแกจะพูดอะไรแบบตะกี้ออกมาได้นะเนี่ย ราฟาแอลรู้คงบ้าตาย แล้วนี่แกกะจะทำไงต่อ”
   รูฟัสมองหน้าเพื่อนพลางทำหน้าปั้นยาก “คงพาฟ่งกลับไทยล่ะมั้ง ฉันต้องถามราฟี่ก่อน”
   “ติดต่อกับหมอนั่นแล้วหรือไง?” อีกฝ่ายย้อนถาม
   “ยัง ก็ว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ”
   “เรอะ หวังว่าราฟาแอลคงไม่ยิงแกทิ้งทางโทรศัพท์หรอกนะ”
   รูฟัสนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นบ้าง “ว่าแต่แกเหอะ จะทำยังไงต่อ เล่นเฟิงปิงไปขนาดนี้ฉันว่าแกคงอยู่ยาก”
   โจวยี่หันมายิ้มกับรูฟัสอย่างมีเลสนัยน์ “นั่นมันต้องถามแก ฉันรู้ว่าคุณชายเว่ยเขายังมีเยื่อใยกับแกอยู่ แกก็ใช้ความหล่อของแกให้เป็นประโยชน์สิ”
   รูฟัสหน้าเบี้ยว ทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่อีกฝ่ายรีบพูดต่อ “อย่าคิดไปไกล ฉันหมายถึง แกน่าจะช่วยพูดให้ฉันได้ เพราะตัวต้นเหตุมันแก ไม่ใช่ฉัน ฉันเอาตัวรอดได้ แต่มันจะดีกับฉันถ้าแกจะช่วยพูดด้วย”
   “เออ จะลองดูแล้วกัน” รูฟัสกล่าวผ่านๆ หลังจากเงียบไปอีกพักใหญ่
   “เฮ้ย คุณชายมาแล้ว”
   ชายหนุ่มหันหลังกลับไปพบว่าเว่ยเฟิงปิงเดินออกมาจากห้อง ร่างบางสาวเท้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าค่อนข้างจะเรียบเฉย ก่อนจะบอกให้เขากลับไปข้างใน
----------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 23-05-2011 22:04:35
   รูฟัสเปิดประตูกลับเข้าไปด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง  ความจริงแล้วปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องคิดก่อนการจะติดต่อกับราฟาแอล คือการทำให้ฟ่งเปิดใจให้เขา รูฟัสพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ่งถึงไม่ยอมพูดหรือถามอะไรกับเขา นั่นเป็นเพราะฟ่งรู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเอาไว้ตอนแรก รูฟัสรู้สึกเห็นใจฟ่ง เขาควรจะเล่าทุกอย่างให้เด็กคนนั้นฟัง แต่จะเริ่มอย่างไร
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ก้าวเข้ามาใหม่แวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาลง รูฟัสกลืนน้ำลาย ฝืนยิ้ม แล้วเดินไปข้างๆ
   “นั่งด้วยนะครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้าแล้วส่งเสียงตอบเบาๆ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ความเงียบเข้าครอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง
“คุณคุยกับเฟิงปิงรู้เรื่องหรือ?”
“ผมพูดภาษาจีนได้” ฟ่งตอบคำถามโดยหลีกเลี่ยงที่จะหันมามองคู่สนทนา รูฟัสได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเฝ้าคิดถึงแต่คนคนนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าฟ่งนั้นช่างอยู่ห่างไกลทั้งๆ ที่แค่เอื้อมมือก็ดึงเข้ามากอดได้แล้วแท้ๆ  ชายหนุ่มยิ้มเศร้าๆ
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนี้” รูฟัสเริ่มเปิดประเด็น ฟ่งพยักหน้า
“ผมรู้” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้รูฟัสต้องหยุดคิดไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดอีกครั้ง “คุณ ไม่คิดจะหันมามองผมหน่อยหรือ?”
ฟ่งนิ่งเงียบไปบ้าง รู้สึกลังเลที่จะหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ฟ่งกลัวว่าเขาจะมองรูฟัสไม่เหมือนเดิม เพราะชายที่พูดคุยอยู่กับเขานี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยรู้จัก  ริมฝีปากที่มักบูดบึ้งนั้นเม้มแน่น เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน  ถ้าหันกลับไปแล้วพบว่าแท้จริงแล้วตัวเองเพียงแต่ฝันร้าย มันคงจะเป็นเรื่องที่ดี  แต่ฟ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ  รูฟัสนั่งอยู่ข้างๆ เขา พยายามจะพูดกับเขา แล้วแบบนี้เขาจะไม่แม้แต่จะหันมองเชียวหรือ
ร่างบางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ หัวใจของเขาเต้นแรง  ฟ่งอยากจะหลับตาลงเสีย แต่ว่าความอยากรู้ก็กระตุ้นให้เขาหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย
รูฟัสนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏรอยยิ้มละไม
“ผมมารับคุณแล้วนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ฟ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว เหมือนความดีใจจะเอ่อล้นออกมาเพียงแค่ได้ยินคำพูดนั้น น้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตาร่วงผล็อยลงบนฝ่ามือและเปื้อนใบหน้า รูฟัสขยับตัวเข้ามาใกล้ด้วยความตื่นตระหนก แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอยู่  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ขยับเข้ามาด้วยนัยน์ตาพร่ามัว ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้ง “รูฟัส”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อดึงร่างบางเข้ามากอดด้วยความลืมตัว ราวกับกลัวว่าถ้าให้อีกฝ่ายพูดต่อทั้งอย่างนั้น ร่างกายที่บอบบางอาจจะสลายหายไปต่อหน้าเขา
“ผมกลัว” ผู้ถูกโอบกอดสะอื้น หลังจากร่ำไห้อยู่ครู่หนึ่ง รูฟัสลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นด้วยความเจ็บปวด  คนคนนี้ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ  หนุ่มตาสองสีอับจนคำพูดที่จะปลอบประโลมใจของอีกฝ่าย สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงปล่อยให้ฟ่งร้องไห้ไปเรื่อยๆ ในอ้อมกอดของเขา
รูฟัสจุมพิตหน้าผากร่างบางเบาๆ อยากจะพูดขอโทษสักร้อยล้านครั้ง แต่นั่นจะได้ประโยชน์อะไร ฟ่งขยี้ใบหน้าเข้ากับแขนเสื้อของรูฟัสจนเปียกชุ่ม
“ไปกับผมนะครับ ฟ่ง” รูฟัสกล่าวหลังจากอีกฝ่ายหายสะอื้นแล้ว  ฟ่งเงยหน้าที่ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมอง รูฟัสยื่นมือเช็ดใบหน้านั้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ได้โปรดเชื่อใจผม ผมไม่เคยคิดร้ายอะไรกับคุณเลย แม้ว่าผมจะเคยโกหก แต่ที่ผมรักคุณเป็นเรื่องจริงนะครับ”
“คุณพาผมกลับเมืองไทยได้ไหม?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากที่นิ่งไปพักใหญ่ รูฟัสลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ และยิ้มอย่างใจดี “ได้สิครับ แต่อาจจะต้องรอวันสองวัน ผมต้องจัดการเรื่องที่นี่ก่อน”
“เรื่องของเฟิงปิงหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม รูฟัสทำหน้าปั้นยาก เขาไม่รู้ว่าฟ่งเห็นตอนที่เว่ยเฟิงปิงจูบเขาหรือเปล่า  บางทีฟ่งอาจจะเข้าใจผิด
“ก็ไม่เชิงหรอก ผมต้อง..”
การเปิดประตูเข้ามาของบุคคลที่สามทำให้บทสนทนาของทั้งคู่หยุดชะงัก โจวยี่กลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
“คือ ฉันไม่ได้คิดจะขัดจังหวะพวกนายหรอกนะ แต่คิดว่าบางคนคงอยากรู้ เจ้าเด็กที่ใช้ลวดออกจากห้องผ่าตัดแล้ว”
---------------------------------
   กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในโรงพยาบาลนั้นแทบจะเป็นกลิ่นเฉพาะ ถึงแม้จะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ผสมน้ำหอม แต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็ยังคงลอยปะปนอยู่ในบรรยากาศ 
สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว โรงพยาบาลเป็นเหมือนตู้แห่งความหลังที่ทำให้เขานึกถึงผู้เป็นมารดา ในตอนที่เขาอายุได้เก้าขวบ เด็กหนุ่มได้รู้จักกับคำว่ามะเร็งเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากที่มารดาเขาตกจากเก้าอี้ที่ใช้ปีนเพื่อตกแต่งต้นคริสมาสและขาหัก แพทย์ที่รักษามารดาของเขาแจ้งว่ามารดาของเขาเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย และต้องตัดขาออกเพื่อป้องกันมะเร็งลุกลาม เว่ยเฟิงปิงมองขาของมารดาที่เหลืออยู่ข้างเดียวทุกวัน ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งมารดาของเขาจะลุกขึ้นมา แล้วใช้ขาเทียมที่สั่งทำรอไว้ได้ เด็กหนุ่มเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าที่โรงพยาบาล มันเปรียบเสมือนบ้าน เว่ยเฟิงปิงกลับจากโรงเรียนและไปเฝ้ามารดาของเขา จนเวลาผ่านไปกว่าสองปี มารดาของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งซึ่งลามเข้าไปถึงปอด โดยไม่มีโอกาสจะลุกขึ้นเดินอีกเลย
ร่างผอมบางในชุดสูทที่ลูกน้องนำมาเปลี่ยนให้แทนตัวเก่าที่เปียกน้ำ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เขาเพิ่งเดินออกมาจากห้องรับรองซึ่งถูกจัดไว้ให้เป็นพิเศษ เว่ยเฟิงปิงปฏิเสธที่จะอยู่ในห้องนั้น เขายกห้องให้กับชายผู้ซึ่งทำให้ลูกน้องของเขาบาดเจ็บ และอดีตตัวประกันซึ่งเพิ่งฟื้นสติขึ้นมาได้ไม่นาน
คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับชายผู้มีดวงตาสองสีในตอนที่ชายคนนั้นออกมาบอกเขาว่าฟ่งอยากพบ  แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่เว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ไม่ใช่เพราะเขานึกโกรธหรือเกลียดชายที่ชื่อว่ารูฟัส แต่เขารู้สึกละอาย ละอายแก่ใจที่นอกจากเขาจะไม่ได้รู้สึกเกลียดชายคนนี้อย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นแล้ว เขายังแทบจะยกชีวิตให้ไปอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอีกคนหนึ่งต้องรับบาดเจ็บแทน
เว่ยเฟิงปิงกุมแขนข้างที่ยังรู้สึกปวดซึ่งเกิดจากความไม่ตั้งใจของจางชื่อเยี่ยนเมื่อวันก่อน  สำหรับเขาแล้ว บอร์ดี้การ์ดคนนี้มีความหมายอะไรกันแน่
ผู้เป็นบุตรชายคนที่เจ็ดของเว่ยชิง ผู้ปกครองเขตธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกงขยับตัวอย่างอึดอัด  เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะให้คุณค่ากับชายที่ถูกส่งมาจากหน่วยดำเพื่อดูแลเขา นั่นเพราะจางซื่อเยี่ยนมาด้วยคำสั่งของเว่ยชิงผู้เป็นบิดาซึ่งเขาเกลียดชังมากที่สุด จนกระทั่งคำพูดประโยคนั้นของฟ่ง
   “ผมคิดว่าคุณจางเขาชอบคุณ”
ชายหนุ่มรู้สึกชาไปทั่วร่างทันที ในวินาทีนั้นทำให้เขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยฉุกคิดมาก่อนเลยในชีวิต
การถูกรักโดยใครสักคน
เว่ยเฟิงปิงไม่เคยคิดถึงเรื่องราวแบบนี้มาก่อน เขาเชื่อมาตลอดว่าความรักคือการไขว่คว้าและตามหา แม้ว่าผลแห่งความเชื่อนั้นจะไม่เคยเป็นไปดั่งที่หวัง  แต่เขาก็ยังเชื่อว่าสักวันจะได้มาซึ่งความรัก
ชายหนุ่มหลอกตัวเองมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร  ก็ไม่มีใครสักคนที่จะหันมามอง  คนที่เขาอยากที่จะได้ความรักต่างพากันหนีหาย ไม่ว่าจะทุ่มเทอย่างไร สิ่งสุดท้ายที่ได้กลับมาคือความเสียใจ  ไม่ว่าจะเอื้อมมือคว้าสักกี่ครั้ง ก็ไม่เคยจะถึงความรักที่ว่านั้น
ร่างบางสั่นเทาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังพยายามที่จะไขว่คว้า ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นอยากจะทานทน  ความทรมานจากการโหยหาคร่ำครวญ แม้ว่าจะพยายามเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความเกลียดชังสักเท่าไร แต่สุดท้ายแล้ว คำว่ารักก็คือคำว่ารัก
แค่เพียงเสียงก้าวเท้าของผู้ชายคนนั้น หัวใจของเขาก็แทบจะลงไปกองแทบพื้น ใบหน้าคมสันได้รูป เรือนผมสีดำสนิท และนัยน์ตาสองสีคู่งามที่ตราตรึงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำกว่าหกปีนั้น ยามเมื่อปรากฏขึ้นต่อหน้า ความเกลียดชังทุกอย่างที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อลดความทรมานจากการโหยหาก็ล้วนอันตระทานหายไปหมดสิ้น  คงเหลือไว้เพียงแต่ความปรารถนาจากหัวใจส่วนลึกที่เขาพยายามจะปิดกั้นมันเอาไว้
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงพยายามอย่างยากเย็นที่จะไม่เอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงห่วงหาอาทร แม้ว่าหัวใจของเขาจะหล่นวูบเมื่อเห็นชายหนุ่มถูกกดใบหน้าลงไปแนบพื้น ยิ่งพยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกเกลียดชังต่อชายคนนั้นมากเท่าไร ส่วนลึกในหัวใจยิ่งตะโกนก้องออกมาถึงคำว่ารักดังขึ้นเท่านั้น  และในที่สุดก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกเมื่อเห็นผู้ชายที่เขาเฝ้าเพียรหามาตลอดหกปีตกอยู่ในช่วงภาวะคับขัน
เสียงเปิดประตูและเสียงล้อของเตียงเข็นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองเตียงที่ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด ก่อนที่เขาจะทันได้ลุกขึ้นหรือพูดอะไร บุคคลผู้อยู่ในชุดผ่าตัดก็เดินปรี่เข้ามาแล้วถอดผ้าปิดจมูกออก
“อาซื่อปลอดภัยล่ะ” อาซิงกล่าว ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงเธอคนนี้เพิ่งอุทานใส่สายโทรศัพท์ของเว่ยเฟิงปิง  เมื่อทราบข่าวว่าจางซื่อเยี่ยนบาดเจ็บ
เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า บอกไม่ได้ว่ารู้สึกดีใจหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคำพูดของอาซิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยังเตียงซึ่งกำลังถูกเข็นไปยังห้องพิเศษโดยไม่ปริปากพูดอะไร หญิงสาวผู้ผ่านการลงมือผ่าตัดมาหมาดๆ มองดูชายหนุ่มเดินตามเตียงเข็นออกไป ด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ โดยไม่กล่าวอะไรต่อเช่นกัน
เถียนซิง หรืออาซิงที่เฟิงปิงเรียก มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆ ฝ่ายมารดาของเว่ยชิง  หล่อนพบกับเว่ยเฟิงปิงครั้งแรกเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นหล่อนกำลังอยู่ในช่วงฝึกงานปีสุดท้ายของคณะแพทย์ ค่ำคืนอันวุ่นวายภายในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฮ่องกง เด็กหนุ่มผิวขาวผมยาวอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด ถูกเข็นเข้ามาในสภาพบอบช้ำและหมดสติ  สิ่งที่ทำให้เถียนซิงต้องหันไปสนใจมิใช่คนเจ็บแต่กลับเป็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่ง ซึ่งพาคนเจ็บเข้ามา เด็กคนนั้นคือจางซื่อเยี่ยน
จางซื่อเยี่ยนในวัยสิบเก้าปี แทบจะพูดได้ว่าโตเต็มที่ ร่างกายแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ และความสามารถอันโดดเด่นในการใช้อาวุธ ทำให้ได้เข้าสังกัดเป็นหนึ่งในหน่วยดำระดับต้นๆ เถียนซิงคุ้นเคยกับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากพี่ชายของเธอเป็นหัวหน้าสังกัดที่จางซื่อเยี่ยนประจำอยู่  การเลี้ยงสังสรรค์ประจำสัปดาห์ของกลุ่มมักจะจัดขึ้นในที่พักของหัวหน้าหน่วย จึงทำให้เถียนซิงได้พบปะกับจางซื่อเยี่ยนบ่อยครั้ง
เด็กหนุ่มผมยาวผู้มีนัยน์ตาเย็นชาสีอีกามักไม่ค่อยจะมีบทบาทนักในวงสังสรรค์ เขามักจะนั่งฟังอย่างเงียบๆ และน้อยครั้งที่จะเอ่ยปากออกมา อย่างไรก็ตามจางซื่อเยี่ยนกลับเป็นบุคคนแรกๆ ที่จะอาสาหรือเดินออกไปเพื่อจัดเตรียมของหรือล้างชาม  อยครั้งที่เขาเดินเข้ามาช่วยงานในบ้านโดยไม่ต้องบอกกล่าวและใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
   ลักษณะการกระทำดังกล่าว กับภาพพจน์ที่เย็นชานี้เองที่ทำให้เถียนซิงรู้สึกประทับใจ ดังนั้นเธอจึงช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจเสมอในเรื่องต่างๆ แม้ว่าภายหลังจางซื่อเยี่ยนจะย้ายไปเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับเว่ยเฟิงปิงแล้ว แต่หล่อนก็ยังมีโอกาสได้พบปะเขาอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงเห็นว่าการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องวุ่นวาย เมื่อเกิดเหตุเล็กๆ น้อยๆ เขาจึงอาศัยบริการจากหล่อน ซึ่งเถียนซิงก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะโดยปกติเธอก็รับงานแบบนี้จากหน่วยดำอยู่แล้ว
   แพทย์สาววัยใกล้สามสิบถอนหายใจยาว ก่อนจะเอื้อมมือหยิบแก้วกาแฟที่เจ้าหน้าที่ยกมาให้ขึ้นดื่ม หล่อนรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนคิดอะไรกับเว่ยเฟิงปิง อย่างน้อยเถียนซิงก็คิดว่าหล่อนรู้ จะใช้คำอธิบายว่าเซนส์ของผู้หญิง หรือการอนุมานตามหลักเหตุผลหรืออะไรก็ตามแต่ หญิงสาวผู้มีใบหน้าคล้ายเด็กหนุ่มเชื่อว่าอดีตลูกน้องของพี่ชายชอบเจ้านายคนใหม่ของเขา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องชอบพอธรรมดา เถียนซิงเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนอาจจะถึงขั้นลุ่มหลง แต่เด็กนั่นไม่ชอบการแสดงออกตรงๆ
หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผม หากใครคิดว่าคาดเดาความคิดของจางซื่อเยี่ยนลำบากแล้ว การคาดเดาความคิดของเว่ยเฟิงปิงนั้นลำบากยิ่งกว่า  เถียนซิงมองไม่ออกว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นญาติห่างๆ ของหล่อนมีความคิดแบบไหนกับบอร์ดี้การ์ดคนนี้ เว่ยเฟิงปิงเป็นคนอารมณ์แปรปรวน คาดเดายาก และเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจหลายๆ อย่าง บางครั้งเถียนซิงก็รู้สึกไม่สบายใจนักกับแววตาของเด็กคนนั้น  อย่างไรก็ดีสีหน้าและท่าทางของเว่ยเฟิงปิงในวันนี้กลับชวนให้ฉุกคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีเยื่อใยให้กับบอร์ดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นก็ได้
เถียนซิงยกกาแฟขึ้นดื่มอีก หล่อนไม่ได้รู้สึกรังเกียจคนที่ปกพร่องทางเพศหรือนิยมเพศเดียวกันแต่อย่างใด เพราะตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนแบบนั้น หญิงสาวถอนหายใจยาว เธออยากจะช่วยเหลือจางซื่อเยี่ยนให้มากกว่านี้  ร่างผอมผุดลุกขึ้น ก่อนจะก้าวออกไปในทิศเดียวกับที่เว่ยเฟิงปิงเพิ่งออกไป
--------------------
เสียงประตูที่ถูกดึงโดยระบบปิดอัตโนมัติปิดลงอย่างเงียบๆ ภายในห้องพิเศษขนาดกลางบุด้วยวอลเปเปอร์สีออกฟ้าขาว เสียงทำงานของคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศถูกแทรกด้วยเสียงหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจของชายหนุ่มที่นอนพักพื้นอยู่บนเตียง
ร่างผอมบางของผู้มีใบหน้าเรียวยาวพร้อมด้วยนัยน์ตาสีน้ำเงินใส ลากเก้าอี้พนักสีขาวบุหนังเข้ามาใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง มองดูใบหน้าอันคุ้นเคยซึ่งยามปกติมักจะปั้นหน้าตายคอยสั่งโน่นสั่งนี่และจับตามองเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ร่างแข็งแรงที่เคยเดินเหินอย่างคล่องแคล่วนั้น กลับนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยมีเพียงเสียงหายใจแผ่วๆ เท่านั้นที่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เว่ยเฟิงปิงกะพริบตา ตลอดสี่ปีที่จางซื่อเยี่ยนมารับหน้าที่เป็นบอร์ดี้การ์ดของเขา นี่เป็นครั้กแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นจางซื่อเยี่ยนในสภาพเช่นนี้   เขาคิดมาตลอดว่าชายคนนี้เป็นเครื่องจักร ไม่มีวันพังไม่มีวันเสื่อม ทำงานตามบัญชาได้ตลอดเวลา แต่ถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงตระหนักชัดแล้วว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด ชายคนนี้มีชีวิต มีความคิด และชายคนนี้แหละที่เอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อปกป้องเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาอันตรายแท้ๆ
นิ้วเรียวยาวไล้เส้นผมสีดำสนิทที่ยุ่งสยายอยู่บนหมอนหนุนให้เข้าที่ เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาสัมผัสร่างกายของผู้เป็นบอร์ดี้การ์ดคนนี้ด้วยความตั้งใจ นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงพร้อมด้วยริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากัน มือน้อยสั่นระริกเมื่อสัมผัสโดนใบหน้าคมสัน ซึ่งบัดนี้แทบจะกลายเป็นสีขาวซีด นัยน์ตาสีอีกาซึ่งเคยจับจ้องเขาบัดนี้ปิดสนิท ร่างบางสั่นสะท้าน  ความรู้สึกผิด ความรู้สึกโมโห ความรู้สึกโกรธแค้นประดังเข้ามา เขาไม่ได้โกรธจางซื่อเยี่ยน แต่กลับรู้สึกโกรธและโมโหตัวเอง ที่จนบัดนี้แล้วเขายังไม่มีแม้แต่ความโกรธเคืองมอบให้แก่ชายผู้ซึ่งทำลายชีวิตของเขา และทำให้ลูกน้องของเขาต้องนอนแน่นิ่งเช่นนี้
เว่ยเฟิงปิงทราบอยู่ลึกๆ ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของรูฟัส  ชายคนนั้นไม่เคยผิดอะไรมาแต่แรก ฝ่ายที่ผิดคือตัวเขา ความดื้อรั้นและเอาแต่ใจของเขาเป็นสาเหตุทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด ร่างบางเม้มปากแน่น กล้ำกลืนความรู้สึกที่กำลังเอ่อทะลัก กลั้นน้ำตาที่เริ่มเอ่อท้นออกมา  นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาอยากที่จะพูดว่าขอโทษ
มันเป็นเพียงเสียงที่ดังก้องอยู่ในจิตใจ ต่อให้เขาตะโกนคำนี้ออกมาดังแค่ไหน จางซื่อเยี่ยนในตอนนี้ก็ไม่มีทางจะได้ยินเด็ดขาด ร่างบางไล่นิ้วเรียวยาวไปตามเรือนผมสีดำนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร  ผ่านใบหน้า ลงไปจนถึงไหล่ที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ บาดแผลที่ชายหนุ่มได้รับนั้นอยู่บริเวณสะบักไหล่ด้านซ้าย เว่ยเฟิงปิงยังไม่มีโอกาสได้เห็นว่าบาดแผลนั้นร้ายแรงเพียงใด เขาทราบแต่ว่ามันไม่ได้ลึกมากนัก นั่นทำให้รู้สึกวางใจอยู่ได้ส่วนหนึ่ง
เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีฟ้ามองไล่ใบหน้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเคยอยากจะลบชายคนนี้ทิ้งไปจากโลก แต่ตอนนี้เขาอยากที่จะให้ชายคนนี้ลืมตาตื่นขึ้นมามากที่สุด ลืมตาขึ้นมาฟังสิ่งที่เขาอยากพูด เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงใกล้ๆ หูของจางซื่อเยี่ยน เผยอริมฝีปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหยุดไว้แล้วยืดตัวขึ้น จังหวะนั้นเองที่เขาเงยหน้าไปเห็นบุคคลอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู
เถียนซิงยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมด้วยนัยน์ตากลมโตที่เบิ่งกว้าง และริมฝีปากที่ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ผู้มาใหม่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น เขาเริ่มเอะใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
ร่างบางลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะก้าวพรวดๆ สวนทางออกไปที่ประตู แต่โดนหญิงสาวใช้มือกั้นเอาไว้
“ฉันจะกลับ!” ชายหนุ่มกล่าวเสียงกระด้าง พลางปัดมือที่กั้นอยู่ออก เถียนซิงห่อปาก
“ไม่เอาน่า จะกลับอะไรป่านนี้”
“ฉันมีงานต้องทำ” เว่ยเฟิงปิงตอบ พลางพยายามเลี่ยงออกไปด้านข้าง แต่เถียนซิงก็จงใจเดินเข้ามาขวางไว้อีก
“งานน่ะ ไว้ก่อนก็ได้ ฉันอยากให้นายอยู่เฝ้าหมอนี่” หญิงสาวกล่าว
“ทำไมฉันจะต้องอยู่เฝ้าด้วย!” เว่ยเฟิงปิงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เพราะนั่นเป็นสิ่งที่นายอยากจะทำ และหมอนั่นก็คงอยากให้ทำเหมือนกัน” หล่อนพูดพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เว่ยเฟิงปิงเม้มริมฝีปาก พยายามจะคิดหาคำพูดไปต่อกรกับอีกฝ่าย แต่เถียนซิงไม่ยอมเปิดโอกาสให้ หล่อนเปิดฉากพูดต่อ
“หมอนั่นเฝ้านายมาตั้งหลายปี เสี่ยงชีวิตมาให้นายมาก็เยอะ  นายจะอยู่เฝ้าซักไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้หรือไง”
ร่างบางก้มหน้า จนปัญหาจะหาถ้อยคำใดมากล่าวอีก เถียนซิงถอนหายใจ ยกมือขึ้นแตะไหล่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเบาๆ
“อย่าถือทิฐิให้มากนักเลย หมอนั่นชอบนาย เรื่องนี้นายเองก็คงรู้สึก”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายทันที นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเหมือนจะเอ่ยคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกมา เถียนซิงถอนหายใจพร้อมยิ้ม
   “ถ้านายไม่เชื่อ ฉันจะเล่าให้ฟัง”
---------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-05-2011 22:11:44
ขออนุญาตปาดนะคะ
แนะนำนิดนึง ค่อยๆลงดีกว่ามังคะ เด็กๆเวลาเห็นยาวๆเค้าจะขี้เกียจอ่าน
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 10:00:43
ขออนุญาตปาดนะคะ
แนะนำนิดนึง ค่อยๆลงดีกว่ามังคะ เด็กๆเวลาเห็นยาวๆเค้าจะขี้เกียจอ่าน

ไม่ค่อยมีเวลามาลงอ่ะค่ะ พอดีช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย เลยได้หยุดงานอ่ะค่ะ^^"
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: ณยฎา ที่ 24-05-2011 11:09:26
ลงโลดค่ะ อ่านตามแล้วลุ้นมาก รออ่าน ^^

+1 ให้ด้วย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 24-05-2011 16:40:31
แปะไว้ก่อน
เดี๋ยวว่างๆจะมาอ่าน ยาวเกิ๊น
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:36:24
บทที่21  ภายในห้อง
   ฟ่งลุกพรวดขึ้นทันทีที่โจวยี่เอ่ยจบประโยค ใบหน้าเซียวปรากฏแววแห่งความยินดีอย่างเห็นได้ชัด ร่างบางเดินปราดออกไปจากห้องพักโดยลืมผู้ที่นั่งอยู่ด้วยกันไปเสียสนิท รูฟัสลุกขึ้นและเดินตามออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่โจวยี่เดินโฉบเข้ามา
   “ท่าทางจะแย่นะ” ชายผู้มีผมยาวถึงกลางหลังกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันนิดๆ นัยน์ตาสองสีถลึงมองผู้พูดแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่กล่าวตอบโต้ โจวยี่ยักไหล่ หมุดตัวกลับเดินตามออกไปเช่นกัน
   เสียงล้อเตียงเข็นดังแทรกเสียงเครื่องปรับอากาศ บุรุษพยาบาลในชุดสีขาวเข็นเตียงผู้ป่วยที่มีทั้งสายน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจออกมาจากห้องผ่าตัด ฟ่งอยากที่จะเดินเข้าไปดู แต่ก็ต้องชะงักเท้า เมื่อพบว่าผู้ที่เดินตามเตียงเข็นมาติดๆ คือเว่ยเฟิงปิง
   ใบหน้าเรียวราวราวพญางูนั้นดูไม่สู้จะดีนัก ฟ่งคิดว่าเว่ยเฟิงปิงอาจจะเป็นห่วงจางซื่อเยี่ยน  ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง จางซื่อเยี่ยนคงรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย ฟ่งยืนมองเว่ยเฟิงปิงเดินตามเตียงเข็นเข้าไปในห้องพิเศษแล้วตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปขัดจังหวะของคนทั้งคู่ ในขณะที่กำลังหันหลังกลับ เขาก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มในชุดผ่าตัดกำลังเดินเข้ามา
   “คุณซิง” ฟ่งเอ่ยเรียกอย่างไม่ค่อยเต็มปากนัก เขาเพิ่งระลึกได้ว่าคนคนนี้เป็นผู้หญิง และที่สำคัญเขาไม่รู้ชื่อเต็มๆ ของหล่อน เถียนซิงเหลือบตาขึ้นมอง ฟ่งกลั้นหายใจ บางทีเขาอาจจะทักคนผิด
   “นาย.. คนที่อยู่กับเฟิงปิงวันนั้น..” ดูเหมือนว่าหล่อนจะจำเขาได้ ฟ่งยิ้มแหย่ๆ เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้
   “มีธุระอะไร?” หล่อนถามเสียงห้วน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรต่อ ฟ่งยกมือขึ้นเกาหัว ด้วยนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับผู้หญิงคนนี้กันแน่
   “คือ.. คุณผ่าตัดคุณจางใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม หญิงสาวพยักหน้า
   “หมอนั่นปลอดภัยล่ะ ดวงแข็ง อึดอย่างกับแมลงสาบแบบนั้นไม่ตายง่ายๆ หรอก” หล่อนตอบยืดยาว ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ แล้วถามต่อ
   “แล้ว..คืนนี้....คุณเฟิงปิงจะอยู่เฝ้าไหม”
   เถียนซิงขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถาม “ไม่รู้ ทำไม นายอยากให้เขากลับไปกับนายรึ?”
   ฟ่งส่ายหน้าทันที “ผมแค่คิดว่าคุณเฟิงปิงน่าจะอยู่เฝ้าคุณจาง”
   “ทำไมล่ะ?” หล่อนถามสวน  ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจ
   “ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าคุณจางน่าจะดีใจ ถ้าคุณเฟิงปิงอยู่เฝ้า”
   เถียนซิงทำหน้าอึ้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “นายนี่ตลกดีนะ อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น?”
   “ความรู้สึกมั้งครับ” ฟ่งตอบ เขารู้สึกว่าเวลาเถียนซิงยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมากว่าเดิมอีกจมหู หญิงสาวหัวเราะอีกครั้งเผยให้เห็นฟันเขี้ยวและลักยิ้ม
   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายรู้อะไร หรือนายเป็นใคร แต่ฉันก็อยากให้เฟิงปิงอยู่เฝ้าอาซื่อเหมือนกัน
   ฟ่งอ้าปาก มองหน้าหญิงสาวด้วยความแปลกใจ เถียนซิงมองข้ามไหล่เขาไป แล้วเอ่ยคำขอตัว
   “ฉันไปก่อนล่ะ” หล่อนกล่าว ก่อนจะเดินจากไปทั้งอย่างนั้น ฟ่งยืนมองหญิงสาวอย่างงงๆ สงสัยว่าเธอมองเห็นอะไรด้านหลังเขากันแน่ ชายหนุ่มค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปมอง และพบว่านัยน์ตาสองสีคู่หนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่
   “กลับกันเถอะครับ” รูฟัสพูด ไม่รู้ว่าชายคนนี้มายืนอยู่ด้านหลังเขานานแค่ไหน ฟ่งยอมรับว่าเขาลืมรูฟัสไปเสียสนิท ร่างบางเกาหัวแกรกด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ
   “ไม่คิดจะเข้าไปคุยกับคุณชายเจ็ดเสียหน่อยหรือ?” เสียงหนึ่งเอยทักขึ้น ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นผู้ชายซึ่งเข้าไปแจ้งข่าวเรื่องจางซื่อเยี่ยนเดินเข้ามา
   “ไม่ต้อง” รูฟัสเอ่ยเสียงเรียบๆ โดยไม่หันไปมองคู่สนทนา โจวยี่ยักไหล่
   “ถ้าแกคิดจะกลับ แต่ไม่ยอมไปคุยกับคุณชายเจ็ด แกก็ต้องคุยกับพวกที่รอต้อนรับอยู่ด้านล่าง ท่าทางพวกนั้นคงพอใจอยู่ที่แกแทงลูกพี่ของเขาเกือบตายน่ะ” ชายหนุ่มพูดกระแทก รูฟัสหันหน้ากลับไปทันที
   “ถ้าพวกมันอยากจะถูกแทงบ้าง ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
   “เหรอ..แต่ฉันว่าเด็กของแกอาจจะมีปัญหา” โจวยี่กล่าว พลางพยักพะเยิดไปทางฟ่ง ซึ่งยืนฟังการสนทนาอยู่ รูฟัสขมวดคิ้วเข้าหากัน เงียบไปพักใหญ่
   “ฉันไม่นอนค้างที่โรงพยาบาล” เขากล่าว ก่อนจะคว้ามือหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
   “เดี๋ยว รูฟัส” ฟ่งพูดด้วยความงุนงง ขณะถูกอีกฝ่ายกึ่งดึงกึ่งจูงไปตามทางเดิน ผู้ถูกเรียกหันกลับมา
   “เราไปกันแบบนี้ได้เหรอ?” ร่างบางเอ่ยถาม ดูไม่ค่อยจะไว้วางใจสถานการณ์มากนัก ผู้ถูกถามชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินต่อ
   “วางใจเถอะ ผมไม่แทงใครเล่นหรอก”
-----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนที่ผนัง มันบอกเวลาห้าทุ่มเศษ เถียนซิงเดินออกไปนานแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหนักอึ้ง ชายหนุ่มละสายตาจากนาฬิกาติดผนัง กลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ตาของจางซื่อเยี่ยนยังคงปิดสนิท เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะ นัยน์สีฟ้าใสกะพริบถี่ๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองเล่า
   ชายที่นอนหลับอยู่นี้เคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งในช่วงที่เขาถูกขับออกจากแก๊ง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยผุดลุกขึ้น เดินไปยังหน้าต่าง มองดูเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจก หากเป็นตอนก่อนหน้านี้ เขาคงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ และอาจจะรู้สึกเหม็นขี้หน้ามากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งของบิดาให้ติดตามเขามานาน
แม้จะเล่าเรื่องอย่างไร เขาก็คงจะปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ชายคนนี้ทำทั้งหมดเป็นเพราะคำสั่งของผู้เป็นพ่อ  แต่ว่าตอนนี้ ชายหนุ่มกลับเกิดความหวังเล็กๆ ว่าสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนทำทั้งหมดนั้นอาจจะไม่ใช่เพียงเพราะคำสั่ง
   หากว่าจางซื่อเยี่ยนทำดีกับเขาเพราะเหตุผลอื่น...
   หากเป็นเพราะว่าเขาคือคนพิเศษ
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะอย่างแรง เหมือนคนพยายามจะตื่นจากภวังค์ รู้สึกอับอายตัวเองที่มัวแต่คิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ คำพูดของฟ่งและเถียนซิงทำให้เขาสับสน ไม่รู้ว่าสองคนนั่นเกิดกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปกันแน่ ถึงได้มาพูดเรื่องเดียวกันแบบนี้
   ร่างบางหมุนตัวกลับ เดินผ่านเตียงนอนของจางซื่อเยี่ยน เหลือบดูร่างที่หลับอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
   ก็แค่คนที่ทำตามคำสั่งของเว่ยชิง จะต้องเป็นห่วงอะไรนักหนา
------------------------------------------
   เสียงปิดประตูของรถซีดานสีดำ ตัดเสียงวุ่นวายภายนอกออกไปแทบจะหมด คงเหลือแต่เสียงเครื่องทำความเย็นภายในรถยนต์ และเสียงเครื่องยนต์ครางหึ่งๆ เบาๆ เท่านั้น
   ฟ่งรู้สึกดีใจที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น  ชายหนุ่มขยับตัวเข้าชิดประตูด้านขวา ตอนนี้เขาและรูฟัสอยู่ในรถคันหนึ่งในขบวนผู้ติดตามของเว่ยเฟิงปิง  ดูเหมือนเฟิงปิงจะคาดเอาไว้แล้วว่าขอตัวกลับ ดังนั้นจึงสั่งความลูกน้องว่าให้ตามไปส่งถึงที่ นั่นหมายความว่ารูฟัสจะต้องอยู่ในสายตาเครือข่ายของเว่ยเฟิงปิงตลอดเวลา
   รถซีดานเริ่มเคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถของโรงพยาบาล ฟ่งหันหน้าไปมองรูฟัสที่นั่งอยู่ที่เบาะอีกฝั่ง หนุ่มร่างใหญ่หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง โดยไม่เหลือบมองกลับมาแม้แต่น้อย  ความจริงฟ่งเริ่มรู้สึกตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้แล้วว่าท่าทีของรูฟัสดูแปลกๆ ไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของเว่ยเฟิงปิง
   ร่างบางขยับตัว ทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ แม้ว่าเขาจะอยากรู้เรื่องราวหลายๆ อย่างจากปากของรูฟัส แต่สถานที่ที่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยแบบนี้คงไม่เหมาะ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองดูใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายพักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างบ้าง

   “ฟ่งครับ ถึงแล้ว”
   ผู้ถูกเรียกสะดุ้ง เขามัวแต่คิดนั่นคิดนี่เพลินจนไม่รู้สึกเลยว่ารถหยุดสนิทแล้ว ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีมองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกๆ ฟ่งยกมือขึ้นดันแว่น ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งตัวเองออก และพบว่าตอนนี้เขายืนอยู่ด้านหน้าโรงแรมขนาดใหญ่  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองตึกสิบเจ็ดชั้นที่ถูกไฟสปอทไลท์ส่องจนเดาสีที่แท้จริงของตัวอาคารไม่ออก
   รูฟัสไม่อยากให้คนของตระกูลเว่ยรู้จักแหล่งกบดานของเขา ดังนั้นจึงให้มาส่งที่โรงแรมแทน ชายหนุ่มเงยมองร่างผอมบางที่กำลังให้ความสนใจกับตัวอาคารด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง
   เสียงปิดประตูรถดึงความสนใจของฟ่งหันกลับมาอีกครั้ง รูฟัสเดินเข้ามาใกล้ด้วยทีท่าเหมือนคนหงุดหงิด ก่อนจะฉวยมือของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับว่าเพิ่งเจอเด็กที่พลัดหลง ฟ่งรู้สึกไม่ค่อยเข้าท่านัก เมื่อถูกจูงมือผ่านประตูโรงแรม  เขาพยายามจะสลัดมือออก แต่รูฟัสเหมือนจะยิ่งจับแน่นขึ้น ชายหนุ่มแวะเช็กอินที่เคาน์เตอร์ ทั้งๆ ที่ยังจับมือกันอยู่อย่างนั้น
ในที่สุดรูฟัสก็พาฟ่งมาถึงห้องพัก ซึ่งอยู่ประมาณชั้นสิบสี่  ร่างสูงล้วงกุญแจขึ้นมาไขประตู และเปิดให้อีกฝ่ายเข้าไป  ฟ่งก้าวเข้าไปในห้องพัก ซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ในขณะที่กำลังคิดถึงราคาค่าเช่าห้อง  ชายหนุ่มก็ต้องสะดุ้ง เมื่อถูกรวบจากด้านหลัง
   “ระ..รูฟัส!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ วงแขนแกร่งรัดตัวเขาไว้แน่น พร้อมกับปลายจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวที่ขยับซุกไปตามซอกคอ ร่างผอมบางดิ้นด้วยความตื่นตระหนก
   “อย่า!!” ฟ่งพยายามส่งเสียงห้าม ขณะที่อีกฝ่ายยังคงซุกหน้าลงบนซอกคอของเขา ก่อนจะขยับมาขบกัดติ่งหูเบาๆ ฝ่ามือหนานักที่โอบรัดอยู่เริ่มขยับไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
   “ปล่อยผม!” ฟ่งร้องจนแทบจะเป็นเสียงตะโกน พยายามแกะมือที่โอบรัดอยู่ออก ได้ยินเสียงด้านหลังเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
   “Why?”
   ฟ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าอีกฝ่ายถอนริมฝีปากที่ขบกัดใบหูของเขาอยู่ออกไปเสียที ขนของเขายังคงลุกเกรียวไปทั้งตัวด้วยความตกใจไม่หาย
   “มันสกปรก ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”
   ผู้ที่อยู่ด้านหลังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ “Umm, I see”
   ฟ่งรีบพยักหน้า ภาวนาให้รูฟัสปล่อยเขาออกไวๆ แต่แล้วคำพูดที่ตามมาทำให้ร่างผอมบางสะดุ้งโหยง
   “Well, if you must. Just go to take a bath.”
   “อะ...เอ้อ...” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก เขาไม่ได้อยากอาบน้ำตอนนี้ ก็แค่อยากจะได้เวลาตั้งตัวสักหน่อย แต่มือที่โอบเขาอยู่กลับลากตัวเขาไปยังห้องน้ำทันที โดยไม่เอ่ยถามความสมัครใจต่อเลยสักนิด ร่างผอมบางรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาผลักร่างสูงใหญ่ออก และผลักประตูห้องน้ำเข้าไป
   “ผมอาบเองได้!” ฟ่งกล่าวเสียงห้วน พลางดันประตูห้องน้ำให้ปิดลง แต่มือแข็งแรงก็ยื่นเข้ามาขวางเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นอ้าปากค้าง เมื่ออีกฝ่ายผลักประตูออกและเดินตามเข้ามาด้วย
   “Hey, you mind that I’m here?”
   ฟ่งอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไรดี ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก สีหน้าของรูฟัสดูมึนตึง แถมตั้งแต่เข้ามาก็ไม่พูดภาษาไทยกับเขาเลยสักคำ ยืนจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ฟ่งก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายถอย เขาพยายามจะเบียดตัวกลับออกไปทางเดิม แต่อีกฝ่ายกลับใช้แขนดักเอาไว้ ดูท่าจะไม่ยอมให้เขาออกจากห้องน้ำไปได้ง่ายๆ
   “Seems like you do. But you know what? Actually I really don’t care.”
น้ำเสียงของรูฟัสเย็นชาจนฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็แทบจะทำหน้าไม่ถูก เมื่อได้ยินประโยคต่อมา
   “I want to watch you bath.”
   “ไม่ต้อง!!” ร่างผอมบางกล่าวปฏิเสธทันที และขยับตัวห่างออกจากร่างสูงใหญ่ ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสหมายถึงมอง(Watch)หรืออาบ(Wash)กันแน่ แต่ยังไงทั้งสองอย่างก็ไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการอยู่ดี ในเมื่อออกไปไม่ได้ เขาคงต้องมองหาวิธีหลบเลี่ยงอื่น
   ขณะที่กำลังยืนคิดอยู่ วงแขนแกร่งก็วกเข้ามารวบตัวเขาไว้อีกครั้ง พร้อมด้วยถ้อยคำที่ทำให้ขนลุก
   “I said I want to watch you.”
   แทบจะพร้อมกัน กระดุมของเขาก็ถูกปลดออก ฟ่งดินขลุกขลัก รู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ กับการกระทำแบบนี้ของรูฟัส เขาทั้งศอกทั้งถองอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ดูจะไม่ได้ผลอะไร กระดุมเสื้อถูกปลดออกเรื่อยๆ จนเผยให้เห็นผิวกายที่ซ่อนอยู่ภายใน
   ฝ่ามือแข็งแกร่งโอบเอวของเขาไว้แน่น ฟ่งสะดุ้ง เมื่อมืออีกข้างล้วงเข้าไปในอกเสื้อของเขา ความร้อนผ่าวของมันประกอบกับลมหายใจรุนแรงของร่างที่อยู่ด้านหลังทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ และก็ต้องตกใจกว่านั้นเมื่อรู้สึกว่าตรงสะโพกกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเบียดเสียดอยู่
   ความแข็งขึงนั้น ต่อให้อยู่ใต้กางเกง ฟ่งก็ยังรู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร
   ร่างบางร้อนวาบไปทั้งตัว พยายามจะดิ้นให้พ้นจากการเกาะกุมอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อริมฝีปากอุ่นจัดแนบลงบนหลังคอของเขา ก่อนที่ปลายลิ้นร้อนผ่าวจะลากผ่านส่วนนั้นขึ้นมายังใบหูอย่างหยาบโลน มือใหญ่ตะปบลูบแผ่นอกจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
   ฟ่งคว้าจับมือที่โอบเอวเขาอยู่อย่างลืมตัว ขณะที่อีกมือพยายามจะหยุดการเคลื่อนไหวที่กำลังคุกคามผิวกายของเขาอยู่ แต่ผลักไสได้ไม่เท่าไร ร่างผอมบางก็มีอันต้องสะดุ้งอีกรอบ เมื่อถูกขบซอกคอเบาๆ ปลายนิ้วอุ่นร้อนตวัดรอบยอดอกของเขา ขยี้มันจนรู้สึกเจ็บ
   “อื้อ!” ฟ่งครางอยู่ในลำคอ ขณะที่กัดริมฝีปากไว้แน่น ลมหายใจร้อนผ่าวด้านหลังทำเอาสันหลังร้อนวูบวาบไปหมด แต่เขาไม่ได้เต็มใจที่จะถูกกระทำเช่นนี้เลย ร่างผอมบางดิ้นอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาจากแผ่นอก จับเข้าที่ใบหน้าของเขา และบังคับบดเบียดริมฝีปากกับร่างที่อยู่ด้านหลัง
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง รู้สึกเหมือนคอจะหัก ปลายลิ้นที่ล้วงเข้ามาอย่างดุดันเกือบทำให้เขาหายใจไม่ออก รูฟัสทรมานเขาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จึงยอมถอนริมฝีปากออก ฟ่งหอบหายใจ ทั้งหูอื้อ ทั้งตาพร่า แต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยก็ถูกอีกฝ่ายดึงลงไปกองตรงข้อศอก
   “Look!” รูฟัสกระซิบเสียงหนัก ขณะเบียดตัวของเขาให้หันไปยังกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่บนอ่างล้างหน้า ฟ่งเห็นร่างท่อนบนเปลือยเปล่าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น และร่างสูงใหญ่อีกร่างที่แนบอยู่ด้านหลัง เขามองไม่เห็นดวงตาสีแปลกนั้น เพราะรูฟัสหลุบนัยน์ตาลงต่ำ จนขนตาเป็นแผงสวยบดบังแววตาเอาไว้ ริมฝีปากร้อนผ่าวฝังจูบลงบนซอกคอของเขาอีกครั้ง
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือก เมื่อปลายนิ้วร้อนจัดวนเวียนอยู่บนยอดอกอุ่น ดึงและบีบมันซ้ำหลายหน จนปลายยอดอุ่นอ่อนเริ่มตั้งชันขึ้นมา ฟ่งขบริมฝีปาก ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด ภาพสะท้อนในกระจกยิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาอยากจะเบือนหน้าไปให้พ้นๆ เสีย แต่ริมฝีปากและปลายจมูกที่ซุกไซ้ไล่ไปตามผิวเนื้ออ่อนไหวตรงหลังหูและเนินไหล่ ทำให้เขาได้แต่เพียงสยิวกายด้วยความซ่านเสียว
   ลมหายใจอุ่นร้อนปั่นป่วนยังคงดังให้ได้ยินชัดจากด้านหลัง ซิปกางเกงถูกรูดลง แล้วอุ้งมือร้อนผ่าวก็ขยับเข้าลูบส่วนนูนที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงชั้นใน
   น่าอายจนไม่อยากอยู่ต่อ แค่ถูกลูบไปหนสองหน อวัยวะตรงนั้นก็แข็งตัวขึ้นจนปลายยอดโผล่พ้นขอบกางเกงชั้นใน ใบหน้าของฟ่งยิ่งกลายเป็นสีแดงจัด ขณะที่ปลายยอดสีเข้มถูกนิ้วมือเรียวถูเบาๆ
   “อือ....” เสียงครางในลำคอดังให้ได้ยินอีกหน ร่างผอมบางบิดกายอย่างไม่อาจอดรน มือน้อยกำอยู่บนท่อนแขนแกร่งแน่น ขณะที่ปลายยอดสีเข้มถูกลูบจนเมือกเหลวสีใสเปรอะไปหมด
   “How are you feeling?” ประโยคคำถามนั้นทำให้สติของฟ่งกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกตัวทันทีว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ไม่ใช่อะไรที่เขาเต็มใจเลยสักนิด กระนั้นก็ดูจะเปล่งเสียงเพื่อตอบคำถามนั้นลำบากเหลือเกิน
   “ไม่ดี..สักนิด....พอได้แล้ว...อื้อ!!” ริมฝีปากหนาขย้ำลงบนซอกคอเขาอีกหน ก่อนจะกระซิบเสียงหนักอีกครั้ง
   “Enough? But I think your body doesn’t say so.”
   มือที่ลูบปลายยอดสีเข้มอยู่เลื่อนลงไปยังขอบกางเกงชั้นใน และดึงมันลงไปจนเผยให้เห็นอวัยวะสำคัญที่ผงาดชูชันอย่างเต็มที่ ฟ่งหน้าแดงจัดด้วยความอับอายเมื่อภาพนั้นสะท้อนให้เขาเห็นในกระจก
   “Feel good, right?” เสียงเดิมกล่าวขณะที่อุ้งมือร้อนผ่าวรูดส่วนนั้นขึ้นลง ฟ่งขบริมฝีปากจนชา พยายามสูดลมหายใจเพื่อพูดตอบ
   “ไม่..อื๊อ...อ๊า!!” ฟ่งอยากจะร้องไห้ออกมา คำพูดที่เขาพยายามจะเค้นแทบตาย ถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องน่าเกลียด ร่างผอมบางตัวสั่นด้วยความโมโห แต่ก็ไม่อาจทานต่อความรู้สึกซ่านกระสันที่อีกฝ่ายบำเรอให้ อุ้งมือที่ขยับอย่างช่ำชองทำเอาท้องน้อยกระตุกเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่
   “Really?” เสียงเดิมถามอีกครั้ง ราวกับประชด ฟ่งขบริมฝีปาก รู้สึกโมโหผู้ชายคนนี้มากจริงๆ เขาพยายามแค่นเสียงอีกรอบ
   “ใครมันจะ..ดี....” เสียงพูดถูกกลบด้วยเสียงร้องครางอีกรอบ เมื่ออีกฝ่ายถูมือไปบนยอดปลายสีเข้มที่ฉ่ำแฉะ ร่างผอมบางกระตุกด้วยความเสียวกระสัน ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูพร้อมด้วยสมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าเข้ามา
   “So you enjoyed while someone apart from me touched you?”
   ฟ่งอยากจะเอาหัวโขกรูฟัส เขาพยายามพูดอีกครั้ง “จะบ้าเรอะ....มีแต่คุณ..เท่านั้นแหละ”
   “Me?” เสียงเดิมเอ่ยขึ้น แต่ดูจะแปลกใจมากจริงๆ กระทั่งมือที่ขยับอย่างคุกคามอยู่ก่อนหน้านี้ก็พลอยหยุด ร่างผอมบางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งในอก ก่อนจะรีบพูดต่อ
   “มีแต่คนอย่างคุณเท่านั้นแหละที่ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้กับผม!” ฟ่งใส่เต็มที่ แม้เหมือนจะถูกทำให้ค้างกลางคัน แต่อารมณ์โมโหมีมากกว่า แต่เสียงของรูฟัสกลับดูแปลกใจมากกว่าเมื่อครู่นี้อีก
   “Just me?”
   “เออ!” ฟ่งกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด และพูดต่อ “ใครบ้ามันจะทำแบบนี้กับผมอีกนอกจากคุณ!!”
   ไม่พูดเปล่า คราวนี้เขาดิ้นอีกหน และหลุดออกจากวงแขนนั้นได้ในที่สุด ฟ่งหมายมั่นปั้นมือว่าเขาจะต้องหันมาเตะหรือต่อยรูฟัสสักหมัด เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลยสักนิด แต่ยังไม่ทันได้หันหน้า วงแขนแกร่งก็ขยับมารวบตัวเขาไว้อีกรอบ ฟ่งดิ้นขลุกขลักอย่างไม่สบอารมณ์ทันที
   “My apology, but I thought they had sex with you.”
   คนได้ยินตาเหลือก อ้าปากค้าง ก่อนจะโพล่งออกมา “นี่คุณคิดว่าผมไปมีอะไรกับคนอื่นหรือไง!?”
   “ก็คุณทำให้ผมคิดนี่ครับ คุณดูเป็นห่วงสองคนนั่นจนผมสงสัย” รูฟัสพูดภาษาไทยออกมาเป็นครั้งแรก แต่ประโยคที่พูดยิ่งทำให้ฟ่งร้องเสียงสูง
   “จะบ้าเรอะ! คุณใช้สมองส่วนไหนคิดเนี่ย!!”
   “ขอโทษครับ” รูฟัสพูด ฟ่งเห็นนัยน์ตาสองสีสะท้อนอยู่ในกระจก และเหมือนจะเห็นรอยยิ้มโล่งใจที่มุมปากได้รูปนั้น
   “ผมรู้แล้วล่ะครับว่าเข้าใจผิด” รูฟัสกระซิบอีกครั้งและก้มลงหอมแก้มคนที่อยู่ด้านหน้า ฟ่งขยับหน้าหนี ก็ก็ไม่วายถูกหอมแก้มเสียงดังฟอด จนอดจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้
   “ปล่อยผมได้แล้ว” ร่างบางเปิดฉากต่อรอง เขารู้สึกอับอายจริงๆ ที่ต้องมาเปลือยแบบนี้หน้ากระจก แถมถูกผู้ชายคนนี้ทำอะไรต่อมิอะไรโดยที่ขัดขืนแทบจะไม่ได้เลย
   “ไม่ปล่อยครับ” รูฟัสตอบแทบจะในทันทีและกอดแน่นขึ้น ฟ่งพยายามดิ้นอย่างขัดใจที่สุด
   “ปล่อยผมนะ”
   “ไม่ครับ”
   “ทำไม?”
   รูฟัสไม่ตอบ เพียงแต่แลบลิ้นเลียใบหูของเขาอีกหน ฟ่งสะดุ้ง หน้าแดงวาบขึ้นมาทันที
   “ไม่เอาแล้ว ปล่อยนะ” ร่างผอมบางยังคงโวยวายต่อ อีกฝ่ายตอบกลับด้วยการลูบมือไปตามร่างกายที่เปลือยเปล่า ไออุ่นที่ซ่านมาตามผิวหนังทำให้ฟ่งสะดุ้งอีกครั้ง
   “มีแต่ผมใช่ไหมครับที่ทำอะไรแบบนี้กับคุณ” เสียงเดิมกระซิบ ลมหายใจอุ่นด้านหลังทำเอาลมหายใจของอีกฝ่ายพลอยปั่นป่วนไปด้วย ฟ่งโมโหตัวเองจริงๆ แค่ถูกลูบตามตัวสองสามหน ไอ้ส่วนที่หดไปแล้วเมื่อครู่ ก็ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนเห็นรูฟัสยิ้มน้อยๆ ในกระจก
   “มีแต่ผมใช่ไหมที่ทำให้คุณรู้สึกดี”
   ฟ่งพูดตอบอะไรไม่ออกอีก เพราะรูฟัสดันใบหน้าของเขาเข้ามาประกบจูบอีกรอบ ปลายลิ้นที่ขยับเข้ามาอ่อนโยนเสียจนเขาขัดขืนไม่ออก จูบกันได้สักพักรูฟัสก็จับเขาหันหน้าเข้าหากระจกอีกรอบ ฟ่งเห็นตัวเองหน้าแดงจัด ไม่รู้ทำไมท้องน้อยถึงได้ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีก ตรงนั้นก็ดูจะตื่นเต้นเต็มที่ รูฟัสโน้มใบหน้าลงหอมแก้มเขาอีกครั้ง
   “น่ารักจัง”
   ฟ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องใจเต้นกับประโยคพล่อยๆ แบบนี้ของรูฟัสด้วย แต่ยังไม่ทันได้ชักสีหน้า อุ้งมือร้อนผ่าวก็ตะปบลูบลงไปบนส่วนที่กำลังผงาดชูชันนั้นอีกหน ร่างบางสะท้านกายเฮือก ก่อนจะจิกเล็บลงไปบนท่อนแขนแกร่งอีกครั้ง
   ฝ่ามือร้อนผ่าวที่ประโลมลูบไปตามลำตัว หยุดเย้าส่วนไวสัมผัสที่ชูชันสองข้างบนแผงอกเป็นระยะ ยิ่งสร้างความกระสันซ่านให้กับร่างผอมบางที่ยืนอยู่ อุ้งมือที่ขยับขึ้นลงอย่างเชี่ยวเชิงดึงรั้งสติสัมปชัญญะออกไปจนแทบสิ้น ฟ่งไม่รู้อีกแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องมายืนหน้ากระจกในสภาพแบบนี้ ราวกับภาพที่สะท้อนอยู่ยิ่งกระตุ้นอารมณ์วาบหวามให้เพิ่มสูง
   รูฟัสมองดูร่างผอมบางในกระจก พวงแก้มแดงซ่านและนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ปรืออย่างเคลิบเคลิ้มทำให้เขาอดไม่ได้ต้องก้มลงจูบพวงแก้มนั้นอีกหน ระบายลมหายใจปั่นป่วนของตนให้คนตรงหน้าได้รับรู้ ฟ่งบิดร่างอย่างเสียวซ่าน ดวงตาสองสีที่สะท้อนประกายอยู่ในกระจกทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างหาเหตุผลไม่ได้
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:37:12
   ร่างผอมบางเริ่มขยับสะโพกตอบรับอุ้งมือที่ขยับขึ้นลงอย่างลืมตัว ริมฝีปากที่เคยถูกขบอยู่ก่อนหน้านี้ เปล่งเสียงครางที่ฟังดูลามกอย่างที่สุด รูฟัสก้มลงฝังจูบลงบนต้นคอขาวนั้นอีกครั้ง ตะปบลูบไปตามร่างกายที่บิดส่ายอยู่อย่างหื่นกระหาย อุ้งมือขยับถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงท่อนเอวบอบบางที่เขม็งเกร็ง เสียงครางในลำคอดูเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก ร่างผอมบางกระตุกอยู่สองสามครั้ง ขณะของเหลวขุ่นข้นไหลทะลักออกมา
   รูฟัสมองดูของเหลวสีขาวขุ่นในมือพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูจากความข้นของมัน ฟ่งคงไม่ได้ถูกกระตุ้นแบบนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา และพอเห็นภาพสะท้อนของคนตรงหน้าในกระจก อารมณ์หึงหวงก็เข้าเกาะกุมจิตใจของเขาอีกครั้ง
   ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ปรืออย่างไร้สติหลังถึงจุดดูยั่วยวนจนยากจะห้ามใจอยู่ เรื่อนร่างที่ระทวยอยู่ในอ้อมกอด ส่วนนั้นที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย กับเมือกลื่นที่ขาวขุ่นที่เปรอะเลอะลงไปจนถึงซอกขาด้านใน รูฟัสไม่รู้ว่าเขาทนมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร และไม่คิดว่าจะมีใครที่ไหนทนได้หากตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เขารั้งร่างผอมบางเข้ามาแนบตัว ประโลมจูบหอมหวานลงไปอีกครั้ง เรียวลิ้นที่ตอบกลับมาอย่างไร้สติทำให้รูฟัสแทบคลั่งใจตาย เขากระซิบข้างหูเบาๆ
   “อย่าให้ใครเห็นคุณในสภาพนี้เด็ดขาดเลยนะ”
   ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคออย่างไม่รู้สตินัก และเผยออ้าริมฝีปากอีกรอบ หนุ่มตาสองสีกลืนน้ำลายเฮือก แนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นทันที กอดก่ายกันอยู่อย่างนั้นสักพัก รูฟัสจึงอุ้มฟ่งไปที่อ่าง
   ร่างผอมบางดูจะรู้สติขึ้นมาทันทีเมื่อสายน้ำอุ่นๆ ไหลกระทบร่าง ฟ่งร้องเอะอะออกมา
   “อ๊ะ!!”
   รูฟัสก้มลงจูบเนินไหล่ที่เปียกน้ำจนชุ่ม และกระซิบอีกหน “อาบน้ำนะครับ”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้าประกบริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง ดึงเกี่ยวเรียวลิ้นของทางนั้นเข้ามาขบกัดเบาๆ ท้องน้อยของฟ่งเกร็งขึงขึ้นมาทันที
   สบู่เหลวลื่นๆ ถูกลูบไล้ลงบนร่างกายหลังจากอีกฝ่ายถอนจูบออก ฟ่งสะดุ้งน้อยๆ จิกมือลงบนหัวไหล่กว้าง ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบไล้เรือนร่างของตนด้วยน้ำสบู่
   รูฟัสแนบจูบลงบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ขณะคลึงนิ้วไปรอบๆ ยอดอกที่ยังคงชูชันอยู่ เสียงครางในลำคอดังให้ได้ยิน ขณะที่ร่างผอมบางสะท้านเฮือกไปตามความเสียวกระสันที่ได้รับ
   เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้มอยู่หลังแว่นที่เปรอะไปด้วยละอองน้ำ รูฟัสกัดขาแว่นเบาๆ และดึงมันออก เสียงแว่นตาหล่นกระทบพื้นทำเอาฟ่งใจหายวาบ เขายกมือขึ้นผลักอีกฝ่ายออกทันที แต่ปลายนิ้วที่ขยับเข้าไปในช่องทางซ้อนเร้นด้านหลังทำให้มือที่พยายามจะยันร่างสูงใหญ่ออก เคลื่อนเข้าโอบรัดเอาไว้อย่างลืมตัว
   ปลายนิ้วอุ่นร้อนผลุบเข้าไปในช่องทางนั้นพร้อมด้วยน้ำสบู่ลื่นๆ ฟ่งหน้าแดงจัด จิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังกว้าง การเคลื่อนไหวด้านหลังชัดเจนในความรู้สึก เขาได้ยินเสียงหายใจหนักของอีกฝ่าย พอเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปก็เคลื่อนเข้าประกบริมฝีปากเขาไว้ทันที
   จูบของรูฟัสรุนแรงขึ้น พร้อมกับนิ้วมือที่ขยับเข้าออกเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับช่องทางด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อฝ่ามืออีกข้างเลื่อนลงจากบั้นเอว ขย้ำขยี้หนั่นสะโพกของเขาควบคู่กันไป ร่างผอมบางเบียดกายเข้ากับอีกฝ่ายด้วยความเสียวกระสัน และต้องรู้สึกร้อนวาบมากขึ้นเมื่อสัมผัสเข้ากับส่วนร้อนจัดที่ผงาดอยู่
   อวัยวะสำคัญทั้งสองเสียดสีกันเบาๆ ความร้อนวาบพุ่งจากท้องน้อยไปจนถึงใบหน้า ฟ่งเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและเห็นดวงตาสองสีฉ่ำวาวในความพร่าเลือนของสายน้ำอุ่น ริมฝีปากได้รูปเคลื่อนเข้าประกบอีก นิ้วมือถูกถอนออก ก่อนที่ร่างจะถูกยกสูงขึ้น
   ฟ่งร้องออกมาด้วยความตกใจ ตะกายมือยันผนังเอาไว้ทันทีที่ขาลอยพ้นจากพื้นอ่าง ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี ความร้อนระอุก็จ่อเข้าที่ช่องทางด้านหลัง ก่อนจะถูกดุนดันเข้ามาอย่างไม่รีรอ
   ร่างผอมบางร้องเสียงลั่น การสอดใส่ที่เป็นไปอย่างค่อนข้างกะทันหันสร้างความตื่นตระหนกและเจ็บปวดไม่น้อย สองมือพยายามจะตะกายไปบนผนังกระเบื้องเพื่อรั้งตัวเองเอาไว้ แต่ฝ่ามือร้อนจัดก็ยังประคองท่อนเอวของเขา กดลงจนหนั่นสะโพกแตะเข้ากับท้องน้อยที่อุ่นจัด
   เสียงร้องครางดังไม่หยุดระหว่างนั้น ส่วนด้านหลังถูกความโอฬารเบียดจนคับแน่นไปหมด ความเจ็บปวดทำให้ร่างผอมบางสั่นกึกๆ มือทั้งสองข้างที่ยันผนังอยู่เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุด แผ่นหลังของเขาก็สัมผัสเข้ากับผนังกระเบื้องเย็นเยือก ขณะที่สองมือเปลี่ยนมาตะกายกอดไหล่กว้างเอาไว้แทน ฝ่ามืออุ่นจัดยังคงจับบั้นเอวของเขาแน่น จับกระแทกซ้ำๆ
   ฟ่งรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย สองขากระหวัดรอบท่อนเอวแกร่งเอาไว้ ความเจ็บปวดด้านหลังทำเอาน้ำตาไหลพราก
   “เจ็บ!” ร่างผอมบางร้องครางเสียงสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ผ่อนคลายท่าทีลงสักนิดเลย รูฟัสยังคงจับร่างของเขากระแทกอย่างแรงจนตัวสั่น เสียงหอบหายใจถี่หนักและจูบที่ฝังลงมาบนร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ร่างของฟ่งสั่นมากยิ่งขึ้น เสียงครางด้วยความเจ็บปวดยังคงดังออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น
   รูฟัสกัดต้นคอของฟ่งเบาๆ ความวาบหวามที่ได้รับแทบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ แม้จะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มีความสุขในการร่วมรักครั้งนี้มากเท่าไหร่ จากเสียงร้องครางที่ฟังดูเจ็บปวดนั้น แต่รูฟัสหยุดตัวเองไม่ได้อีก
   เขาจับเอวบางแน่นขึ้นจนเล็บจิกเข้าไปในผิวเนื้อ กระแทกขึ้นลงซ้ำๆ ท่ามกลางเสียงครางราวกับจะขาดใจ คิ้วของฟ่งขมวดมุ่น ใบหน้าบิดเกร็งและแดงจัด รูฟัสขบริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะเม้มจูบลงบนร่างในอ้อมกอดอีกครั้ง ทิ้งรอยจ้ำสีแดงจัดเอาไว้
   หากต้องมอบคนคนนี้ไปให้ใครแล้วล่ะก็ สู้ทำให้แหลกสลายอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่ดีกว่าหรือ.....
----------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนลืมตาขึ้นมาช้าๆ สิ่งแรกที่เขารับรู้คือ เครื่องช่วยหายใจที่ครอบปากและจมูก ร่างสูงใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไหน

   เว่ยเฟิงปิงที่จู่ๆ ก็โผล่พร่วดเข้ามาในวงต่อสู้ ทำให้หัวใจของจางซื่อเยี่ยนแทบหยุดเต้น  เว่ยเฟิงปิงวิ่งเข้ามาเพื่อปกป้องศัตรูที่ทำลายชีวิตทั้งชีวิตของตน วินาทีนั้นเองจางซื่อเยี่ยนแทบร้องไห้  เขาพยายามมาโดยตลอดที่จะช่วยเว่ยเฟิงปิงทำลายคนคนนี้ ช่วยให้เว่ยเฟิงปิงลืมผู้ชายคนนี้ แต่เมื่อถึงสภาวะคับขัน สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงนึกถึงเป็นอย่างแรกกลับเป็นความปลอดภัยของรูฟัสมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้เสียใจที่เว่ยเฟิงปิงไม่เห็นความสำคัญของเขา สิ่งที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนเสียใจคือการที่เขาได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามมาทั้งหมดไม่อาจจะเยียวยาหัวใจที่ยังคงปักใจมั่นของเว่ยเฟิงปิงที่มีให้กับรูฟัสได้ 
เจ้านายของเขาจะต้องทรมานไปอีกนานเท่าไรกัน….
   อดีตหน่วยดำขยับตัวเพื่อสำรวจสภาพของตนเอง เขาคงอยู่ที่โรงพยาบาล ความรู้สึกของใบมีดที่แทงผ่านกล้ามเนื้อ มิได้ติดตรึงอยู่ในความทรงจำเท่ากับความรู้สึกในตอนที่ได้ปกป้องเจ้านายไว้ จางซื่อเยี่ยนแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เว่ยเฟิงปิงปลอดภัย
   การขยับตัวทำให้บาดแผลที่ด้านหลังเริ่มปวดขึ้นมา ชายหนุ่มกลอกตามองไปรอบๆ ห้อง โดยอาศัยแสงสลัวๆ จากไฟห้องน้ำที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ไม่มีใครอยู่ในห้อง ร่างสูงพยายามขยับตัวอีกครั้ง เขาอยากจะติดต่อกับใครสักคน เพื่อถามข่าวคราวของเจ้านายว่าเป็นอย่างไรบ้าง  แต่เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก
   “ฟื้นแล้วรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาพยายามจะยันตัวลุกขึ้นเพื่อมองหาแหล่งที่มาของเสียง แต่กลับถูกเสียงคุ้นหูนั้นดุ
   “จะลุกไปไหน?”
   เงาตะคุ่มเดินปรี่เข้ามา แล้วยื่นมือออกมากดตัวเขาให้นอนลง จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาถี่ๆ หากแสงสลัวไม่ได้ทำให้สายตาของเขาแย่ลงจนเข้าใจผิด ผู้ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือคนที่เขากำลังเป็นห่วงมากที่สุด
   เว่ยเฟิงปิงชายตามองร่างสูงที่เพิ่งถูกกดให้ลงไปนอนอีกครั้ง เขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ และพบว่าคนที่น่าจะนอนอยู่นิ่งๆ กำลังพยายามจะลุก
   “แผลนายฉีกรึเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม  แต่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้จะตอบคำถามของเจ้านายเขาว่าอย่างไร เพราะตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอีก มีแต่ความงุนงง และดีใจเกิดขึ้นแทน  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินไปที่มุมของเตียง ทำท่าจะกดปุ่มเรียกพยาบาล “ฉันว่าตามอาซิงมาดูแผลนายหน่อยดีกว่า”
   แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงักมือ เมื่อผู้ที่นอนอยู่บนเตียงเอื้อมมือมารั้งไว้
   “ไม่ต้องหรอกครับ” จางซื่อเยี่ยนพูดจาอู้อี้ผ่านท่อช่วยหายใจ  ผู้เป็นเจ้านายนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะละมือออกจากปุ่มกด
   “ตามใจนายแล้วกัน” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะนั่งปุลงข้างเตียง มือของจางซื่อเยี่ยนยังคงจับแน่น ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเจ้านายของเขาจริงๆ เว่ยเฟิงปิงอยู่เฝ้าเขาอย่างนั้นหรือ?  จางซื่อเยี่ยนอยากจะขยับตัวไปใกล้ๆ มองใบหน้าเรียวยาวนั้นให้ชัดๆ เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันหรือเห็นภาพหลอนไปเอง

   ความจริงเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่เฝ้าลูกน้อง อย่างน้อยเจ้าตัวคิดเช่นนั้น  เขาเดินทางกลับไปที่สำนักงานหลังจากพบกับเถียนซิง แต่ความรู้สึกค้างคาใจบางอย่างทำให้ชายหนุ่มจำต้องกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง โดยหลีกเลียงการเผชิญหน้ากับสาวผมสั้นนัยน์ตากลมโตคนดังกล่าว
   เว่ยเฟิงปิงไม่อาจจะสงบจิตสงบใจได้เมื่ออยู่ที่สำนักงาน คำถามหลายอย่างเกิดขึ้นในหัวของเขา และสิ่งที่เขาไม่อยากจะยอมรับที่สุดคือ ลึกๆ แล้วเขาอาจจะรู้สึกเป็นห่วงลูกน้องที่ถูกพ่อส่งมา  ในที่สุด หลังจากที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงราวๆ หนึ่งชั่วโมง  ผู้เป็นเจ้านายแห่งตึก Le mirior จึงโทรไปหาลูกน้องผู้มีปานสีเขียวที่ลำคอ ให้ไปส่งเขาที่โรงพยาบาล
   ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองไปยังลูกน้องที่นอนอยู่ตรงหน้า  เขาปล่อยให้อีกฝ่ายกุมมือไว้อย่างนั้นราวกับเป็นเรื่องปกติ  เว่ยเฟิงปิงรู้สึกยินดีที่จางซื่อเยี่ยนฟื้น ข้อแก้ตัวของเขากับความรู้สึกนั้นคือ เขาจะได้รู้สักทีว่า เรื่องที่เถียนซิงเล่านั้นเป็นจริงขนาดไหน เว่ยเฟิงปิงขยับตัวเข้าไปใกล้ลูกน้อง และเอ่ยปากถามคำถาม
   “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย พูดได้รึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า จ้องมองมายังเจ้านายอย่างสงสัยใคร่รู้  เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยประโยคต่อมา
   “นาย ตามฉันมานานแล้วรึ หมายถึงนายตามฉันมาก่อนที่ฉันจะกลับเข้าแก๊งใช่ไหม?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขานึกแปลกใจที่จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงถามเรื่องนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยพูดเรื่องที่เขาได้รับคำสั่งจากเว่ยชิงให้ตามดูแลเว่ยเฟิงปิงอย่างลับๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจำเป็นจะต้องปิดบังเรื่องนี้ไปตลอด คงมีใครบางคนเล่าเรื่องนี้ให้เจ้านายเขาฟัง แต่ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงต้องเก็บมาเป็นคำถามด้วย
   “คุณพ่อใช้นายมาสินะ”
   “ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยปากรับ  เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้ถามดูแปร่งๆ ผิดไปกว่าปกติ  อาจเพราะเป็นการเอ่ยถึงผู้เป็นบิดาก็เป็นได้
   “ทำไมหรือครับ?” คราวนี้จางซื่อเยี่ยนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงเงียบไปนาน ร่างบางถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดต่อ
   “ถ้าไม่ใช่คำสั่ง นายยังจะตามฉันอีกรึเปล่า?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบแบบไม่ลังเล บางทีเขาคงยังไม่รู้ถึงความนัยน์ที่เว่ยเฟิงปิงกำลังจะสื่อ ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าการตามดูแลเว่ยเฟิงปิงเป็นคำสั่ง แต่การต้องทำหน้าที่เป็นเพียงแค่บอร์ดี้การ์ดเท่านั้นที่เป็นคำสั่ง จู่ๆ ผู้ตั้งคำถามก็หัวเราะออกมา
   “ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยนะ”
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเจ้านายจงใจจะเหน็บเขาหรือว่าคิดแบบนั้นจริงๆ กันแน่ จึงได้แต่นิ่งเงียบ
   “ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่ได้ใช่แซ่เว่ย ฉันไม่ได้อยู่ในตระกูลเว่ย นายยังจะติดตามฉันต่อไปรึเปล่า?”
   “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ?” ชายหนุ่มถาม รู้สึกรำคาญเครื่องช่วยหายใจขึ้นมาตะหงิดๆ
   “ฉันอยากรู้”
   คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยกระจ่างขึ้น แต่จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ถือสา เพราะนี้เป็นลักษณะปกติของเจ้านายของเขาอยู่แล้ว
   “ผมจะติดตามคุณไปตลอด ตราบเท่าที่คุณไม่เอ่ยปากไล่ผม”
   “ฉันเคยไล่แล้วแต่นายไม่ไป เพราะอะไร ซื่อเยี่ยน คำสั่งคุณพ่อหรือ?”
   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ  หรือเพราะร่างกายเสียเลือดมากกันแน่  มันสมองที่เคยคัดกรองคำพูดของมนุษย์หุ่นยนต์รายนี้เลยเกิดขัดข้องบางอย่าง
   “ไม่ใช่ครับ  เพราะคุณเป็นคนสำคัญของผม”
   “ฉันเป็นคนสำคัญ?” เว่ยเฟิงปิงทวนคำ นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งกว้าง แต่สำหรับจางซื่อเยี่ยนแล้ว เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่มากกว่า คำพูดเพ้อเจ้อในหัวที่เคยจินตนาการเอาไว้เริ่มทยอยออกมา มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไรกัน คนอย่างเว่ยเฟิงปิง บุคคลที่อยู่สูงคนนั้น จะมานั่งเฝ้าไข้เขา และถามคำถามแบบนี้หรือ ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็ตัดสินใจว่า ตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ
   ชายหนุ่มดึงมือที่กุมอยู่มาวางไว้ตรงหน้าอก เมื่อเป็นความฝัน การจะแสดงความใกล้ชิดกับเจ้านายก็คงไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับทีท่าของอีกฝ่าย แวบแรกเขาคิดจะดึงมือกลับ แต่แล้วก็คิดได้ว่าน่าจะปล่อยไป เขาอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว ชายที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์นี้มีความรู้สึกอย่างไรกันแน่
   “ที่ว่าเป็นคนสำคัญ สำคัญแบบไหนรึ?” ร่างบางฉวยโอกาสถามต่อ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสนุก จางซื่อเยี่ยนที่นอนอยู่เบื้องหน้าเขา ดูไม่เหมือนยามปกติ จะเพราะฤทธิ์ยา หรืออะไรก็ช่าง  การหลอกถามในสิ่งที่ปกติเจ้าตัวย่อมไม่พูดออกมาแน่ๆ นั้น กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของมาเฟียหนุ่มได้ดีทีเดียว
   “สำคัญที่สุดครับ”
   “กว่าคุณพ่อรึเปล่า?”
   คราวนี้จางซื่อเยี่ยนเงียบไปพักใหญ่ ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ร่างบางขยับตัว ทำท่าจะดึงมือออก แต่อีกฝ่ายรีบดึงไว้แน่น
   “คุณท่านเป็นผู้มีพระคุณกับชีวิตผม แต่คุณเป็นคนสำคัญ”
   คำตอบของจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกพอใจนัก มันเป็นการตอบวนเข้าที่เก่า  ชายหนุ่มคิดว่าการสร้างบทสนทนาอ้อมค้อมคงไม่ทำให้เขาได้คำตอบอะไรชัดเจนนัก ดูเหมือนสมองของจางซื่อเยี่ยนแม้ในยามไม่ปกติ ก็ยังคงทำราวกับเครื่องจักร เว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาต้องถามตรงๆ
   “นายชอบฉันรึเปล่า?” ทันทีที่ถามออกไป เว่ยเฟิงปิงแทบจะกลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ  แต่การตอบของจางซื่อเยี่ยนนั้นเร็วจนผู้ถามแทบจะฟังไม่ทัน
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เขาคิดว่าจางซื่อเยี่ยนจะใช้เวลาคิดคำตอบสักหน่อย แต่อีกฝ่ายสวนกลับคำถามมาราวกับว่ามันเป็นคำถามปกติๆ
   “ที่ว่าชอบน่ะ แบบไหน?” ชายหนุ่มแข็งใจถามต่อ เขานึกไม่ออกว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กับพฤติกรรมของตัวเองดี ตกลงว่าเขากำลังแกล้งจางซื่อเยี่ยนหรือจางซื่อเยี่ยนกำลังแกล้งเขากันแน่
   ผู้ถูกถามเงียบไปอีก  ความจริงแล้วจางซื่อเยี่ยนกำลังรู้สึกรำคาญเครื่องช่วยหายใจขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ  ทำไมเขาต้องฝันสมจริงขนาดนี้ด้วย  ชายหนุ่มอยากจะถอดเครื่องช่วยหายใจออก แต่ก็กลัวว่ามือที่คว้าเอาไว้จะถูกดึงกลับไป
   “................”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว เขาฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร  ร่างบางตัดสินใจก้มหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าของผู้ที่นอนอยู่เพื่อฟังให้ชัดขึ้น  จางซื่อเยี่ยนมองดูใบหน้าเรียวยาวที่กำลังก้มต่ำลงมาด้วยความรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่หลอกล่อเจ้านายของเขาได้  ไหนๆ เขาก็ฝันมาขนาดนี้แล้ว หากจะขอหอมแก้มเจ้านายในฝัน เครื่องช่วยหายใจก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

   “โอ้!” เสียงอุทานที่ดังขึ้นทำให้เว่ยเฟิงปิงดีดตัวขึ้นทันที นัยน์ตาสีฟ้าประสานเข้ากับนัยน์ตาสีดำกลมโตของผู้มาเยือน ร่างบางลืมหายใจไปชั่วขณะ บุคคลที่สามที่เปิดประตูเข้ามาคือคนที่เขาหลีกเลี่ยงจะพบมากที่สุดในตอนนี้
   เถียนซิง
   เว่ยเฟิงปิงชักมือกลับ แม้รู้อยู่แก่ใจว่าสายไปแล้วแน่ๆ  ภาพที่เถียนซิงเห็นเป็นแบบไหน ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะขบคิดนัก  สมองของชายหนุ่มตอนนี้คิดว่าเขาควรจะหลบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด แต่ก่อนที่จะได้เดินหรือขยับตัวอะไรไปมากกว่านั้น หญิงสาวก็ปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
   “ไม่ต้องๆ โอ๊ยๆๆ  ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนพวกนาย จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
   ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าถลึงตามองอีกฝ่าย แต่เถียนซิงยิ้มกว้างให้แทนคำตอบ  จางซื่อเยี่ยนมองดูผู้ที่เพิ่มเข้ามาอย่างงุนงง  เถียนซิงหมุนตัวกลับมามองคนไข้ที่นอนเปิดตาอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยทัก   “ฟื้นเร็วดีนะ พ่อคนแข็งแรง เจ็บแผลรึเปล่า?”
   เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโมโหผู้หญิงคนนี้ ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองกำลังถูกขัดจังหวะในความฝัน ร่างสูงขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้น แต่แล้วความเจ็บปวดก็แล่นแปลบขึ้นมาจากสะบักหลัง
   “อุก!” ร่างสูงครางเสียงหนัก ก่อนจะทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่รู้สึกเมื่อครู่ทำให้สมองของเขากลับมาตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง คราวนี้จางซื่อเยี่ยนรับรู้อย่างเต็มที่แล้วว่า เขาไม่ได้กำลังฝัน ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง  ความคิดที่ตามมาติดคือ.....
   “ชิบ..........” คำสบถสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากแถวคำสบถยืดยาวในหัวสมองที่กำนัลให้กับความไร้สติของตัวเอง ทำให้ผู้ที่มองอยู่ขมวดคิ้ว
   “ถ้าซ่าอยากลองลุกหลังผ่าตัดมันก็เจ็บทั้งนั้นแหละ จะบ่นทำไม”
   จางซื่อเยี่ยนโบกมือถี่ๆ แทนคำปฏิเสธ เขาหันไปมองเจ้านายซึ่งตอนนี้มีใบหน้าถมึงทึงและมองออกไปอีกทางหนึ่ง ด้วยแววตาร้อนรน
   “ฉันกลับล่ะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวสั้นๆ และไม่รอให้ใครพูดต่อ  ร่างบางก้าวฉับๆ ออกไป แทบจะวิ่ง  เถียนซิงในคราวแรกทำท่าจะรั้งเอาไว้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจสุดขีดของญาติผู้น้องก็ต้องเปลี่ยนในถอยออกไป  ในที่สุดก็เหลือเพียงเธอและคนไข้ที่ยังคงทำหน้าเลิกลั่ก
   “ขอโทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดจังหวะ  ฉันเข้ามาดูอาการเธอตามเวรเท่านั้น”
   “ไม่หรอกเจ๊ซิง”   จางซื่อเยี่ยนกล่าวพร้อมกับโบกมือ  เขารู้สึกอยากจะร้องไห้กับการกระทำของตัวเอง  เถียนซิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าไม่ชวนมองของอีกฝ่าย
   “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” หญิงสาวถาม จางซื่อเยี่ยนครางเสียงยาวด้วยความท้อแท้ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องความเข้าใจผิดของตน
-------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:37:58
บทที่22 สิ่งที่พูดออกไปไม่ได้
   “เจ็บ…” เสียงร้องประท้วงของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไร รูฟัสไม่มีแก่ใจที่จะนับ  ตอนนี้เขากำลังพยายามจะปลอบใจร่างผอมบางที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ในชุดเสื้อคลุมหลังอาบน้ำของโรงแรม
   ฟ่งทำหน้าบูดหลังจากที่พูดจบ หรือถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นคือเขาหน้าบูดมาโดยตลอดหลังจากที่ถูกอุ้มออกมาจากห้องน้ำ  รูฟัสฝืนยิ้ม เมื่ออีกฝ่ายถลึงตาใส่ พร้อมกับแบะปาก
   “ขอโทษครับ” เขาเอ่ยคำพูดนี้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่ทราบ  ชายหนุ่มหวังว่าอย่างน้อยมันคงช่วยลดความไม่พอใจของฟ่งได้  ลึกๆ แล้วเขาคิดว่ามันเป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ก็นั่นแหละ รูฟัสนึกคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออก
   ฟ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง สะโพกยังคงปวดจี๊ดๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาต้องนอนคว่ำหน้า ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด เขาถลึงตามองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ อีก
   “คุณไม่ยอมฟังผมเลย ผมบอกว่าเจ็บๆๆๆๆ”
   รูฟัสทำหน้าแห้ง เขาคิดว่าตอนนั้นเขาได้ยินฟ่งพูดคำว่าเจ็บแค่ครั้งเดียว แถมยังเบาและไม่เห็นว่าจะไม่พอใจอะไร  หัวสมองของรูฟัสกำลังคิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าฟ่งต้องไม่พอใจแน่ๆ  ชายหนุ่มกำลังสับสนกับการจัดการปัญหาตรงหน้า เขาควรจะต้องทำอะไร  ทำใหม่ให้ฟ่งพอใจดีไหม?  แต่นั่นคงไม่ใช่วิธีที่อีกฝ่ายต้องการเป็นแน่
   ดังนั้นรูฟัสจึงเอ่ยคำขอโทษอออกมาอีกครั้ง
   ร่างบางแบะปากกับคำขอโทษ และดูเหมือนว่าจะเบื่อการจ้องหน้าแล้ว  ร่างผอมบางหันหน้าลงไปซุกกับหมอนแทน  ความเจ็บปวดที่สะโพกซึ่งยังไม่บรรเทา ทำให้เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับคำขอโทษของอีกฝ่าย ฟ่งโมโห โมโหที่รูฟัสไม่ยอมหยุด โมโหที่ทำรุนแรง และโมโหอย่างที่สุดเรื่องที่ตัวเองดันถึงจุดทั้งๆ ที่ถูกทำรุนแรงขนาดนั้น
   “เจ็บ.......” ฟ่งพูดอู้อี้ใส่หมอน รูฟัสถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ เขารู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับตัวนิ่มที่กำลังม้วนตัวเป็นวง คำขอโทษดูจะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น บางทีเขาอาจจะต้องทำอะไรที่ดูแสดงความจริงใจที่มากกว่านี้
   ฟ่งสะดุ้ง เมื่อเตียงนอนยุบยวบ รูฟัสกระโดดเข้ามานอนข้างๆ พร้อมกับยื่นมือรวบตัวเขาเอาไว้ นั่นทำให้ฟ่งต้องเงยหน้าขึ้นมองทันที และเผชิญหน้ากับนัยน์ตาสองสีคู่นั้น
   “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ” รูฟัสพูดอย่างที่เขาคิดว่าจริงใจที่สุด ความจริงคือเขาอยากที่จะให้ฟ่งหายโกรธไวๆ  ร่างบางถลึงตาใส่ และปัดแขนของอีกฝ่ายให้พ้นจากตัว
   “อย่าเข้ามาใกล้ผมนะ!” ผู้ถูกคุกคามตวาด ซึ่งมันดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังส่งเสียงขู่นักล่าตัวใหญ่อยู่มากกว่า รูฟัสกะพริบตาปริบๆ พุ่งเข้าตะครุบตัวของฟ่งเอาไว้ แล้วเริ่มไซ้ไปตามซอกคออุ่น
   “จะทำอะไรน่ะ!!” ฟ่งร้องด้วยความตกใจกว่าเดิม พยายามจะผลักร่างนั้นออก รูฟัสเงยหน้าขึ้นมามองฟ่งที่กำลังโวยวายแล้วพูดในสิ่งที่เขาคิดจะทำ
   “ก็ทำใหม่ไงครับ  คราวนี้ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีเอง”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง ร้องเสียงแหลม “จะบ้าเรอะ! ทำอีกรอบผมตายพอดี”
   “แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ?” รูฟัสถามกลับ ขณะพยายามจะทำให้ร่างที่กำลังผลักไสเขาออก หยุดการเตะเปะปะนั้นลงบ้าง
   “คุณก็แค่อยู่เฉยๆ ฟังผมบ่นไป เดี๋ยวผมก็หายเองแหละ” ฟ่งพูดห้วนๆ ขณะพยายามใช้มือกันใบหน้าของรูฟัสที่ยื่นเข้ามาอย่างไม่ค่อยจะหวังดีกับริมฝีปากของเขาเท่าไรนักออก
   “แล้วคุณจะหายโกรธผมจริงๆ นะ” อีกฝ่ายถามย้ำเหมือนไม่แน่ใจ แต่ฟ่งคิดว่าจริงๆ แล้วรูฟัสอาจจะหวังจะทำต่ออย่างที่ว่าก็ได้ ร่างบางรีบพยักหน้าหงึกๆ ในที่สุดผู้ที่ดูเหมือนจะเริ่มคุกคามเขาอีกครั้งก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี
   ร่างบางซุกหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ลืมจะสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่มเพื่อปกป้องสวัสดิภาพประตูหลังของตัวเอง แม้จะยังโมโหอยู่ แต่ฟ่งไม่กล้าโวยวายต่อ เขากลัวว่ารูฟัสจะเปลี่ยนใจ พยายามจะแก้ตัวโดยการทำใหม่อย่างที่ว่าอีกครั้ง นั่นอาจจะทำให้นั่งไม่ได้เป็นวันๆ
   รูฟัสนั่งรอให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากหมอนอย่างใจจดใจจ่อ ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าถ้าอีกฝ่ายเผลอหลับไปแล้วเขาจะทำยังไงดี นั่งรอต่อไป หรือว่าปลุกขึ้นมาถาม หรือว่าหันไปทำอย่างอื่น 
ขณะที่รูฟัสกำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ  ฟ่งก็เงยหน้าขึ้นมาและถามคำถามที่ทำให้ผู้ถูกถามถึงกับนิ่งอึ้ง
“คุณเป็นใครกันแน่?”
-------------------------------------
“บ้า” นี่คือทำพูดแรกของเถียนซิงหลังจากฟังเรื่องราวที่จางซื่อเยี่ยนเล่าจบ และเธอก็พูดมันซ้ำอีกเป็นรอบที่สอง
“เธอนี่มันบ้าจริงๆ เลย”
“อืม” จางซื่อเยี่ยนส่งเสียงยอมรับอย่างไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ  แต่เถียนซิงกลับพูดต่อขึ้นอีก
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอบ้าที่ทำแบบนั้น แต่ฉันกำลังจะบอกว่า เธอน่ะบ้าที่ไม่ยอมพูดออกไปตรงๆ ต่างหากล่ะ”
“ยังไง?”
“ก็ถ้าเธอชอบเฟิงปิง ทำไมไม่พูดออกไปเลย มาทำอ้ำๆ อึ้งๆ รอบอกเขาในฝันหรือไง  แล้วพอไม่ฝัน จะทำไงต่อ  ไปแก้ตัวว่าผมฝันไปรึ?”
“ก็คงอย่างนั้น”
คำตอบของจางซื่อเยี่ยนทำให้เถียนซิงร้องโอ๊ยอย่างขัดใจ
“ฉันขอเปลี่ยนคำพูดที่ว่าเธอบ้า จริงๆ เธอน่ะทั้งบ้าทั้งโง่  ถามจริงเหอะ  ชอบเฟิงปิงจริงๆ ใช่ไหม”
“อืม” เขาตอบรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เถียนซิงขยำมือเข้าหากัน และถามต่อ “แล้วทำไมไม่บอกไปตรงๆ ล่ะ?”
“เขาเป็นเจ้านายผมนะ” จางซื่อเยี่ยนตอบ หญิงสาวทำคิ้วย่น “เจ้านายแล้วไง  ชอบไม่ได้หรือไง”
“อืม” คำตอบของชายหนุ่มทำให้เธอเกาหัวแกรกๆ
“ถ้างั้นก็ตัดใจเสียสิ  ให้คุณลุงย้ายเธอกลับหน่วยดำ จะได้ไม่ต้องดูอะไรตำตาตำใจ”
“ไม่ได้หรอกเจ๊”
“ทำไมอีกล่ะ?”
จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมต้องดูแลคุณชาย”
“โอ๊ย เด็กนั่นดูแลตัวเองได้น่า ถึงไม่มีเธอ เดี๋ยวคุณลุงก็หาบอร์ดี้การ์ดคนใหม่มาแทนให้เองแหละ อย่าไปสำคัญตัวเองนักเลย”
จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปอีก  เถียนซิงเลยได้ทีเสริมต่อ “ใจจริงๆ ไม่อยากไปจากเฟิงปิงก็บอกมาเหอะ รักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น จะไปก็ไม่กล้า จะให้สารภาพก็ไม่เอา ตกลงจะอยู่ยังไง?”
จางซื่อเยี่ยนยังคงเงียบต่อไป ในที่สุดเถียนซิงก็พูดอย่างทนไม่ไหว
“อยากจะเงียบจะใบ้ก็ตามใจเถอะ ฉันจะจัดการให้นายหายไวๆ  อยากรู้จริงๆว่า พอนายกลับไปเจอหน้ากับเฟิงปิงแล้ว จะทำตัวยังไงต่อไป” เธอพูด แล้วก็เดินออกไปทั้งอย่างนั้น  จริงๆ แล้วจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ตอบคำถามของเถียนซิง แต่เขาจนปัญญาที่จะหาคำอะไรมาตอบคำถามนั้นต่างหาก
ชายหนุ่มถอนหายใจ  ยอมรับว่าตัวเองอาจจะทั้งโง่และบ้า แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อสถานะของเขาไม่อำนวยให้ทำอะไรเลยซักอย่าง  จางซื่อเยี่ยนภาวนาให้เขาคิดข้อแก้ตัวดีๆ ได้ ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล
--------------------------------------
อาเง็กรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ในตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายให้ไปรับกลับในตอนใกล้รุ่งสาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของเว่ยเฟิงปิง เขาก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามถึงเหตุผล
บางทีเจ้านายอาจจะทะเลาะกับลูกพี่ของเขาอีก แต่ว่าจางซื่อเยี่ยนจะฟื้นแล้วล่ะหรือ? แล้วสองคนนั่นจะทะเลาะกันทำไม  หรือว่าพี่จางต่อว่าเจ้านายของเขา
อาเง็กสะบัดหัว ข้อสุดท้ายไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ หลังจากที่เดินไปส่งเจ้านายที่หน้าประตูห้องแล้ว
เว่ยเฟิงปิงดันประตูให้ปิดลง กระแทกตัวนั่งลงบนเตียง รู้สึกหงุดหงิดและอับอายอย่างที่สุด เรื่องทั้งหมดต้องโทษจางซื่อเยี่ยน
เพราะหมอนั่นนั่นแหละ
เว่ยเฟิงปิงไม่พยายามจะถามหาเหตุผลว่าทำไมเขาจะต้องโทษจางซื่อเยี่ยน นั่นเพราะถ้าจางซื่อเยี่ยนตอบคำถามเขาแต่แรก เรื่องคงไม่เกิดขึ้น  ไม่ว่ายังไง เว่ยเฟิงปิงก็ยังลงความเห็นว่าเขาต้องโทษใครสักคน และคนคนนั้นก็คงหนีไม่พ้นจางซื่อเยี่ยน
ร่างบางล้มตัวลงนอนบนเตียง โดยไม่คิดที่จะอาบน้ำ  ในความรู้สึกหงุดหงิด ก็ยังมีความรู้สึกแปลกๆ ปะปนอยู่ ความรู้สึกที่เหมือนกับเด็กๆ ที่รู้ว่าใครสักคนแอบให้ของขวัญ  คำว่าคนสำคัญที่จางซื่อเยี่ยนพูดดังลอยๆ อยู่ในหัวสมองที่กำลังคุกรุ่นนั้น  เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย
ที่ว่าสำคัญน่ะ สำคัญแบบไหนกันแน่?
เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ยินคำตอบแบบไหน  จริงๆ แล้วเขาไม่กล้าที่จะยอมหรับหรือแม้แต่จะลองคิดว่าเขาอยากได้รับคำตอบแบบไหน  เพราะเขาไม่รู้ว่า ถ้าคำตอบของจางซื่อเยี่ยนเป็นแบบที่เขาอยากให้เป็นแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไป
ชายหนุ่มพลิกตัวอีกครั้ง เขาอยากกอดใครสักคน ตอนนี้เฟิงปิงคิดถึงฟ่ง  แต่ว่าฟ่งก็ไม่อยู่แล้ว พอคิดว่าฟ่งไปกับรูฟัส  หัวใจของเขาก็ปวดแปลบ
รูฟัส
เว่ยเฟิงปิงซุกหน้าลงกับหมอน อยากจะคร่ำครวญถึงชื่อนั้นสักล้านครั้ง  เขายิ่งไม่อยากจะคิดหรือจินตนาการว่าตอนนี้ชายคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่
ทำไมตอนที่รู้สึกแย่ เวลาช่างเดินอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
---------------------------------
รูฟัสกะพริบตาครั้งหรือสองครั้ง หลังจากที่ได้ยินคำถามของฟ่ง เขาจ้องมองใบหน้าที่จมหมอนไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่ด้วยดวงตาสีน้ำตาลอย่างตั้งใจ  ก่อนจะถอนหายใจและยิ้มออกมา
“เฟิงปิงเล่าเรื่องผมให้คุณฟังว่าอะไรบ้าง?”
เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับ ฟ่งขยับใบหน้า เพื่อให้สามารถพูดได้ง่ายขึ้น
“เขาบอกผมว่าคุณเป็นสายลับ”
“ครับ”
“ครับนี่หมายถึงว่าคุณเป็นจริงๆ หรือ?” ฟ่งถามซ้ำ อยากจะกลั้นหายใจแล้วหลบสายตาสองสีคู่นั้น เขากลัว กลัวที่จะได้ยินคำตอบ รูฟัสพยักหน้า
“ผมเป็นสายลับ เฟิงปิงเล่าให้คุณฟังหรือเปล่าเรื่องเขากับผม”
“อืม”
“ว่า...?”
ฟ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อชั่งใจว่าควรจะเล่าเรื่องออกไปอย่างไร
“เขาบอกว่าคุณทิ้งเขาไป”
“อ้อ” รูฟัสครางเสียงยาว ฟ่งถามต่อ “คุณหลอกเขาให้ไปขโมยเอกสาร จริงหรือเปล่า?”
คราวนี้รูฟัสเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ระบายลมหายใจยาว
“ผมอยากจะพูดว่าผมไม่ได้หลอก แต่ว่า...” รูฟัสเงียบไปอีก ฟ่งขยับตัวอย่างสนใจ ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจยาว แล้วพูดต่อ
“เฟิงปิงเอาเอกสารนั่นมาให้ผมเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม  และตอนนั้นจุดประสงค์ของผมก็คือเอกสารนั่น ดังนั้นการได้มันมาไม่ว่าวิธีไหนก็ดีกับผมทั้งนั้น”
“เพราะงั้นคุณก็เลยเอาเอกสารไปแล้วทิ้งเขาไว้แบบนั้น?”
รูฟัสมองหน้าฟ่ง ยิ้มเศร้าๆ “ผมคิดว่าเฟิงปิงจะหาข้อแก้ตัวได้  เขาฉลาด และเจ้าเล่ห์มาก”
“แต่เขาโดนลงโทษนะ” ฟ่งแย้ง รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
“นั่นแหละที่ผมคาดไม่ถึง  ถ้าคุณรู้จักเฟิงปิงแบบที่ผมรู้จัก คุณต้องไม่คิดว่าเขาจะยอมโดนลงโทษแน่ๆ”
ฟ่งขมวดคิ้ว ขยับตัวเข้ามาใกล้รูฟัส และถามด้วยความอยากรู้ “คุณรู้จักเขาแบบไหนกัน?”
“เฟิงปิงเกลียดผม” รูฟัสเริ่มเล่า
“เขาพยายามแกล้งผม ตอนแรกผมไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเอาแต่ใจของเด็กๆ  แต่การแกล้งของเขามันหนักข้อเข้าเรื่อยๆ จนผมเกือบจะถูกยิงทิ้งเพราะหัวหน้าคิดว่าผมเป็นสายลับ”
“ก็คุณเป็นจริงๆ นี่” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มกับคำพูดนั้น
“สายลับก็สายลับสิครับ เป็นสายลับไม่ใช่ว่าจะต้องประกาศให้ใครเขารู้ไปหมดนี่”
“อ่อ..  แต่คุณก็ไม่เห็นโดนยิง”
คราวนี้รูฟัสคิดว่าฟ่งกำลังหาเรื่องเขาอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย และเล่าต่อ
“ผมพยายามทำดีกับเขามาโดยตลอด เพราะเขาเป็นลูกชายของเว่ยชิง เอ่อ หัวหน้าของผมในตอนนั้นน่ะ  หลังๆ เขาก็เริ่มหันมาทำดีกับผม แต่ว่าจะให้ผมเชื่อใจเขาเลยก็ยากนะ  เฟิงปิงเจ้าเล่ห์มาก บางทีเขาทำดีกับคุณ แต่ว่าอีกวันเขาก็ทำร้ายคุณ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ”
ตรงจุดนี้ฟ่งเริ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย รูฟัสยิ้มอย่างดีใจ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินประโยคต่อไปของฟ่ง
“แต่ว่าเฟิงปิงเขาก็ชอบคุณนะ”
ฟ่งเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้รูฟัสแทบจะลุกขึ้นยืน
“นี่รูฟัส คุณจะหลอกผมเหมือนที่หลอกเขารึเปล่า?”
“ผมจะหลอกคุณทำไมล่ะครับ” รูฟัสตอบ และรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ฟ่งเริ่มมีความคิดอย่างที่เขากลัวขึ้นมาแล้ว
“ก็......คุณเป็นสายลับ  แล้วคุณมายุ่งกับผมเพราะอะไรกัน  ผมมีประโยชน์อะไรกับงานของคุณหรือ?”
“อา..” รูฟัสครางเสียงยาว เขากลัวว่าฟ่งจะคิดแบบนี้เป็นที่สุด ชายหนุ่มฉวยมือของอีกฝ่ายมากุมไว้ และจูบเบาๆ
“I love you so much, that why I come for you.”
ฟ่งเม้มปาก รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขาไม่คิดว่ารูฟัสจะมาไม้นี้
“พูดจริงๆ หรือ?”
“ครับ” รูฟัสกล่าว พยายามมองเข้าไปในดวงตาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ฟ่งหลบตา แล้วพูดต่อ
“อย่างนั้นมันไม่ลำบากเหรอครับ ทำไมต้องเป็นผม  จริงๆ แล้วคุณไม่น่าจะมาชอบผม”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ผมทำให้ชีวิตคุณวุ่นวาย นี่ผมทำให้คุณต้องทิ้งงานมาด้วยใช่ไหม?”
ผู้ถูกถามถอนหายใจยาว กุมมือข้างนั้นไว้แน่น ราวกับกลัวว่าฝ่ายที่ถามจะวิ่งหายไประหว่างที่เขาพูด
“คุณเป็นคนสำคัญที่สุดของผม งานน่ะไม่จำเป็นหรอกครับ ตอนนี้สำหรับผม คุณสำคัญที่สุด”
ฟ่งหน้าแดง  เขากำลังคิดว่าคำพูดของคนที่อยู่ตรงหน้านี้จะเชื่อถือได้ขนาดไหนกัน
“ผม...ควรจะเชื่อคุณรึเปล่า รูฟัส” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“ก่อนหน้านี้คุณก็หลอกผม ตลอดเวลา คุณหลอกผมมาตลอด  ถ้าผมไม่ถูกจับมาที่นี่  คุณจะบอกความจริงผมรึเปล่า?”
รูฟัสทำหน้าปั้นยาก  เขาไม่อยากให้มีบทสนทนาแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเขากับฟ่งเลย  ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของเมี่ยง
“ถ้าผมบอกคุณแต่แรก คุณจะยอมให้ผมจูบหรือ?”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ออกมา แต่รูฟัสไม่สนใจกับอาการตอบสนองนั้น เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับคนจะร้องไห้
“ถ้าผมบอกคุณแต่แรก คุณจะยอมให้ผมเข้าใกล้หรือ?  ผมจะได้อยู่ใกล้ๆ กับคุณรึเปล่า ฟ่ง....เรื่องของผมน่ะ ถ้าบอกคุณไปแล้ว คุณจะรับมันได้เหรอ?”
ฟ่งนิ่งอึ้ง  เขากำลังนึกย้อน ถ้าเขารู้แต่แรกว่ารูฟัสเป็นสายลับ เขาคงจะไม่ไปยุ่งด้วย และเรื่องทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น  แต่นั่นก็เป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือ?
“ถ้าคุณบอกผมแต่แรก เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น  เราสองคนคงไม่ต้องมาเดือดร้อน...”
 “ฟ่ง!” รูฟัสโพล่งออกมา จนอีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ร่างใหญ่ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากแน่
“ได้โปรด  อย่าพูดแบบนั้นอีกได้ไหมครับ นอกจากว่าคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ผม...”
“แต่ว่า.... มันก็น่าจะดีสำหรับคุณและผม...” ฟ่งพูดค้างเอาไว้ เพราะสีหน้าของรูฟัสที่กำลังแสดงอยู่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก หนุ่มนัยน์ตาสองสีก้มหน้า ซ่อนแววตาเจ็บช้ำเอาไว้  เขายังคงเม้มริมฝีปากแน่น ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา หรือว่าฟ่งคิดแบบนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่ผ่านมาก็แค่สิ่งทีผ่านไปอย่างนั้นหรือ?
“สำหรับคุณแล้ว  ผม...ไม่มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นหรือครับ?  ผม..คงทำให้เดือดร้อนมาก” ประโยคหลังรูฟัสเหมือนพูดให้ตัวเองมากกว่า  ฟ่งนิ่งอึ้ง เขาควรจะตอบรูฟัสว่าอะไร สำหรับเขาแล้ว รูฟัสเป็นอะไรกันแน่ จริงอยู่ที่รูฟัสทำให้เขาเดือดร้อน แต่เขาไม่ได้คิดจะต่อว่า ตรงกันข้ามเขากำลังคิดว่าตัวเองต่างหากที่ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน เขาไม่อยากให้รูฟัสต้องเดือดร้อนเพราะเขา  แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายแทน
“ผม...ขอโทษ..” ฟ่งเริ่มประโยคเหมือนกับที่รูฟัสพูดไปก่อนหน้านี้ เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งผาก เม็ดเหงื่อเล็กผุดออกมาตามใบหน้า
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความแบบนั้น ผมแค่คิดว่าผมทำให้คุณเดือดร้อน ซึ่งจริงๆ แล้วคุณไม่น่าจะต้องมาเดือดร้อนเพราะผม..”
“อา..” รูฟัสครางเสียงยาว ดึงมือที่กุมอยู่เข้ามาจูบอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของมือนั้น
“สำหรับผม คุณไม่เคยทำอะไรให้เดือดร้อน  ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับผมเท่ากับคุณ”
แววตาของรูฟัสที่มองขึ้นมา ทำให้ฟ่งเกือบจะร้องไห้  มันเหมือนกับตอนที่เขาเปิดประตูห้องออกมาเจอรูฟัสกำลังนั่งรออยูด้านนอก  เขาอยากที่จะลองเชื่อใจชายคนนี้อีกสักครั้ง แต่ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้อะไรซักอย่างเดี่ยวกับผู้ชายคนนี้ และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยนอกจากคำพูดและแววตานั่น...
“รูฟัส...” ฟ่งเอ่ยชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเบาๆ ราวกับว่านั่นอาจจะไม่ใช่ชื่อเรียกที่ถูกต้องนัก ผู้ถูกเรียกพยักหน้า เหลือบขึ้นมองร่างบอบบางที่อยู่ใต้ผ้าห่มด้วยสายตาวิงวอนอย่างที่สุด ตอนนี้ฟ่งคงไม่เชื่อใจเขาอย่างมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่จะโทษฝ่ายนั้นได้ได้ เพราะเขาเป็นต้นเหตุเอง ถึงกระนั้นรูฟัสคิดว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่โกหกมาแต่ต้น เขาคงไม่ได้อยู่กับฟ่งในวันนี้ และแม้จะต้องแลกด้วยความไม่ไว้ใจกันในวันที่ได้รู้ความจริง ทว่าอย่างน้อยมันก็ยังเปิดโอกาสให้เขาได้มากกว่าการปิดฉากความสัมพันธ์นั้นตั้งแต่แรกด้วยการพูดความจริง
“เชื่อใจผมเถอะครับ ถึงผมจะโกหกหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องที่ชอบคุณเป็นเรื่องจริง”
ฟ่งมองหน้ารูฟัส ถึงเวลานี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น  คนเดียวที่จะพาเขากลับได้ในตอนนี้คือผู้ชายพี่อยู่ตรงหน้าเขา  ร่างบางพยักหน้าอย่างซึมเซา  รูฟัสบีบมือของฟ่งแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัด
เขารู้ว่าฟ่งต้องไม่เชื่อ
เขารู้ว่าฟ่งต้องไม่ไว้ใจ
แต่จะมีทางเลือกไหนอีก ในเมื่อการเล่าความจริงออกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:38:22
   กลิ่นบุหรี่ฉุนกึกที่ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เปิดประตูทำให้อาเง็กต้องย่นจมูก  เพราะจางซื่อเยี่ยนยังไม่ออกมาจากโรงพยาบาล หน้าที่การรายงานเรื่องราวต่างๆ จึงตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย  เว่ยเฟิงปิงยืนอยู่หน้าเตียง ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้อาบน้ำ นั่นทำให้ผู้เป็นลูกน้องรู้สึกเป็นห่วง  นี่ก็เลยสิบโมงเช้าไปแล้ว ปกติเจ้านายของเขาจะแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่เก้าโมงครึ่ง  ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังโต๊ะเล็กข้างเตียง และพบสาเหตุที่มาของกลิ่นฉุนดังกล่าว
   ก้นบุหรี่กองพะเนินจนล้นที่เขี่ยบุหรี่เงินที่วางอยู่ แสดงให้เห็นว่าเจ้านายของเขาคงจะสูบบุหรี่จนถึงเช้า  แต่เด็กหนุ่มต้องหยุดการสำรวจลงในทันที เมื่อน้ำเสียงอันทรงอำนาจของผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
   ไม่กี่ครั้งที่อาเง็กต้องมาเผชิญความกดดันที่มาจากตัวเจ้านายของเขา ปกติหน้าที่นี้จางซื่อเยี่ยนจะเป็นผู้รับไปทั้งหมด เด็กหนุ่มรีรออยู่พักใหญ่ที่จะกล่าวธุระ และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด
   “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็กลับออกไปเถอะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตัดบท ทำให้อาเง็กต้องรีบละล่ำละลักพูด
   “คือ คุณชายรองมาหาคุณน่ะครับ”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ดูอิดโรยแห้งแล้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอาฆาตมาดร้ายทันทีที่อาเง็กกล่าวจบประโยค ริมฝีปากบางของเว่ยเฟิงปิงปรากฎรอยยิ้มน่าเกลียด  ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ
   “มาไวจริงนะ” เขาพึมดำ ก่อนจะหันไปกล่าวกับลูกน้อง “ไปบอกเขาว่า เดี๋ยวฉันจะลงไป”
   เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบถอยหลบออกไป เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาวหลังได้ยินเสียงปิดประตู
   เว่ยจินหยิน...
   ชื่อเต็มๆ ของพี่ชายต่างมารดาวัยสามสิบหกปีของเขา ผู้ทำงานเป็นมือขวาให้กับเว่ยชิงมานาน และคุมอำนาจบริหารส่วนใหญ่ในแก๊ง จนกระทั่งแทบจะแน่ใจได้ว่า อนาคตหัวหน้าแห่งกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ยต้องตกเป็นของลูกชายคนนี้แน่ๆ
   ปกติเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับเว่ยจินหยินเท่าไรนัก หรือจะพูดให้ถูกคือ พี่น้องทุกคนในตระกูลนี้ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว เว่ยจินหยินถือเป็นศัตรูทางอนาคตดีๆ นี่เอง  เป้าหมายของเว่ยเฟิงปิงคือการขึ้นเป็นหนึ่งในตระกูลเว่ย และก้างขวางคอชิ้นใหญ่คงหนีไม่พ้นพี่ชายต่างมารดาคนนี้ และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็คงจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรเช่นกัน
   การที่เว่ยจินหยินถ่อมาหาเขาถึงที่นี่ แสดงว่าต้องได้ข่าวเรื่องที่เขาพบกับรูฟัสแล้วแน่ๆ  และคงหวังกับข้อมูลลับที่เขาแลกมา
   ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ให้กับตัวเอง งานนี้เขาคว้าน้ำเหลว นอกจากจะไม่ได้ข้อมูลอะไรมาแล้ว  ลูกน้องตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บอีก เรียกว่าแทบจะเสียหมดกระดานเลยทีเดียว  ดีที่การเคลื่อนไหวของรูฟัสยังอยู่ในสายตาของเขา  แต่ว่า...จะเอาอะไรไปเค้นข้อมูลจากชายคนนั้นได้ล่ะ?
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลผ่านศีรษะ รู้สึกเจ็บลำคอ  คงเป็นเพราะเมื่อคืนสูบจัดไป แม้แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เขากลับไม่ค่อยรู้สึกง่วง มีเพียงความหงุดหงิดที่ดูเหมือนจะทวีขึ้นเรื่อยๆ  ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผม ตอนนี้คงต้องทำทุกอย่างเพื่อกันเว่ยจินหยินออกไปให้พ้นจากเรื่องนี้ก่อน
   การโดนตัดหน้าในจังหวะนี้จะทำให้เขายิ่งเสียมากขึ้น
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวขึ้นมาใส่  ขณะเค้นสมองเพื่อหาวิธีจัดการกับปัญหาที่กำลังรออยู่ชั้นล่าง

   เว่ยจินหยินเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่มองแวบแรกให้ความรู้สึกเหมือนพนักงานบริษัท เขาหวีผมเรียบแปล้ สวมแว่นตากรอบทอง ซึ่งไม่ค่อยจะเหมาะกับวัยเท่าไรนัก เจ้าตัวอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอ่อน ที่ตัดเย็บอย่างประณีต และรีดจนเรียบกริบ ด้านหลังมีผู้ติดตามอีกราวๆ สี่ห้าคน  อาเง็กเพิ่งเคยพบชายคนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง เว่ยจินหยินเป็นผู้ชายที่ดูดีจนน่าอึดอัด บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มีแว่นตากรอบทองสวมอยู่ มักปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตรที่ดูเหมือนการแสดงละคร กิริยามารยาทและคำพูดแสนสุภาพ แต่แผงไว้ด้วยถ้อยคำที่หวังผล เบื้องหลังแว่นตากรอบทองมีนัยน์ตาสีดำสนิทที่ดูเหมือนหมาจิ้งจอก
   หากมีใครพูดว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนที่ดูไว้ใจไม่ได้แล้วล่ะก็ เว่ยจินหยินคงเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น
   ผู้ชายคนนี้คือคนที่ไม่สมควรไว้ใจมากที่สุด
   ไม่มีบรรยากาศอะไรจะแย่ไปกว่าบรรยากาศในการพบกันของสองพี่น้องคู่นี้อีกแล้ว เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาในห้องรับรอง ซึ่งพี่ชายของเขานั่งรออยู่ ก่อนจะยิ้มให้และเอ่ยคำทักทาย
   “สวัสดี พี่จินหยิน  ลมอะไรหอบพี่มาถึงนี่”
   เว่ยจินหยินยิ้มให้ผู้เป็นน้องชาย และเอ่ยทักทายกลับ “มาหาเธอนั่นแหละ พี่มีธุระนิดหน่อย”
   ไม่ว่าใครหากรู้จักคนทั้งคู่ ก็ต้องรู้ดีว่าบทสนทนาเริ่มต้นนี้ไม่มีความจริงใจให้กันเลยแม้แต่น้อย ไม่มีพี่น้องแท้ๆ คู่ไหน เรียกหากันด้วยชื่อจริงแบบนี้หรอก หากเปลี่ยนจากคำพูดเป็นอาวุธ ทั้งคู่คงวิ่งเข้าห้ำหั่นกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้ากัน
   เว่ยเฟิงปิงหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้หนังตรงข้ามกับเว่ยจินหยิน หาวหวอด ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
   “มีอะไรล่ะพี่  เมื่อคืนผมไม่ค่อยสบาย”
   “ได้ข่าวว่าอาซื่อบาดเจ็บ อาการเป็นยังไงบ้าง” เว่ยจินหยินเริ่มต้นคำถาม เว่ยเฟิงปิงรู้ทันทีว่าพี่ชายกำลังจะชี้ซ้ำในความผิดพลาดของตน ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
   “ก็ไม่เป็นไรหรอก  แหม ทำงานมันก็ต้องบาดเจ็บกันบ้าง หมอนั่นเป็นบอดีการ์ดนะ ไม่ใช่อีตัวในซ่องพี่เสียหน่อย”
   “ฮ่ะๆ” เว่ยจินหยินหัวเราะขึ้นบ้าง เขายกมือขยับแว่น “เจ็บไม่มากก็ดีแล้ว พี่กลัวว่าต้องหาบอดีการ์ดคนใหม่มาให้เธอ พักนี้หน่วยดำของเรายิ่งไม่ค่อยมีคนอยู่”
   “ทำงานพลาดเยอะเลยถูกเก็บหรือไง?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม ก่อนจะพูดสืบต่อ
   “ถ้าคนไม่พอพี่จะมาเอาคนเก่าคืนไปก็ได้นะ ผมไม่ค่อยได้ใช้หรอก”
   “คุณพ่อคงไม่ยอม” เว่ยจินหยินตอบและยิ้ม  เขาเห็นว่าใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงเปลี่ยนไปนิดหน่อย  รอยยิ้มของเว่ยจินหยินยิ่งกว้างมากขึ้น
“แหม พี่เนี่ย อะไรก็อ้างคุณพ่อ เป็นลูกแหง่หรือไง  ถ้าพี่อยากรู้อาการซื่อเยี่ยน ทำไมไม่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเลยล่ะ” เว่ยเฟิงปิงย้อน   อาเง็กเผลอสูดหายใจลึก เขากลัวจริงๆ ว่าบอดีการ์ดของอีกฝ่ายจะขยับตัว บทสนทนาของคนทั้งคู่ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกผ่อนคลายเลย 
บรรยากาศตรึงเครียดยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อเว่ยจินหยินยิ้มให้คำพูดของน้องชาย
   “พี่ก็แค่ถามไปตามมารยาท  พี่รับคำสั่งจากคุณพ่อให้มารับข้อมูลของริเวิล”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว เบิ่งนัยน์ตาสีฟ้าใสมองหน้าของพี่ชายเหมือนเห็นคนไม่รู้จัก
   “ผมบอกคุณพ่อไปแล้วนี่ว่าจะส่งให้เอง”
   “เหรอ คุณพ่อไม่เห็นบอกพี่ ท่านบอกว่าอยากจะได้เลยเดี๋ยวนี้ พี่เลยมาหาเธอ”
   “ความจริงพี่ไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เขารู้ว่าเว่ยชิงไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้คนระดับเว่ยจินหยินให้มาเอาเอกสาร  ที่เว่ยจินหยินมาก็คงเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเขาทำงานพลาด  รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง
   “ผมกำลังตรวจสอบข้อมูลอยู่  คุณพ่อคงไม่อยากได้ข้อมูลที่ผิดพลาดหรอก จริงไหม? พี่ก็รู้นี่ว่าพวกสายลับเชื่อใจยาก”
   “แต่เธอก็เคยเชื่อใจเขานี่” เว่ยจินหยินกล่าว สีหน้าดูจริงใจอย่างที่สุด เว่ยเฟิงปิงแสยะยิ้มเพิ่มขึ้น “นั่นสิ ดีนะที่ผมเคยเชื่อใจเขา ไม่อย่างนั้นพี่คงไม่ต้องถ่อมาหาผมถึงนี่”
   “จะบอกว่าถ้าไม่มีเธอคงไม่ได้ข้อมูลของริเวิลหรือไง”
   เว่ยเฟิงปิงยักไหล่ “พี่กำลังพูดเอาใจผมเกินไป จริงๆ แล้วผมมีข้อมูลที่ว่านั่นรึเปล่า พี่ยังไม่รู้เลยไม่ใช่รึ?”
   “ถ้าเธอหาไม่ได้พี่ก็คงต้องไปหาเอง” เว่ยจินหยินกล่าว และหันกลับไปพูดอะไรกับลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังสองสามคำ
   “ได้ยินว่าคนขายข้อมูลของเธอยังอยู่แถวนี้ บางทีพี่อาจจะช่วยเจรจาอะไรได้บ้าง”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นหัวเราะ “ดีใจจังที่พี่อยากช่วย แต่พี่อาจจะต้องเจรจาแข่งกับพวกริเวิลก็ได้นะ”
   “หมายความว่ายังไง?” น้ำเสียงของเว่ยจินหยินเปลี่ยนไปนิดหน่อย เว่ยเฟิงปิงยังคงยิ้มอย่างสบายใจ
   “ก็ไม่มีอะไรหรอกพี่ ผมแค่กลัวว่า การที่พี่ถ่อมาถึงที่นี่ มันอาจจะเป็นป้ายประกาศบอกพวกริเวิลไปแล้วก็ได้”
   “พี่ไม่ทำอะไรเตะตาขนาดนั้นหรอก” เว่ยจินหยินกล่าว เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้หมายความตามที่พูด ชายหนุ่มกำลังจะเค้นคำพูดที่แท้จริงออกมาจากปากน้องชาย
   “ชายคนนั้นอยู่ในสายตาของผม แต่ถ้าพี่จะไปยุ่งกับเขา ก็ได้นะ เพียงแต่ผมอาจจะต้องเปิดทางให้พวกริเวิลด้วย”
   “เฟิงปิง!” เว่ยจินหยินเรียกชื่อน้องชายเสียงเครียด  ผู้ถูกเรียกเลิกคิ้ว
   “ผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก ถ้าพี่ไม่ยุ่งให้มากนัก พี่กลับไปดีกว่า พี่คงไม่อยากให้ข้อมูลรั่วออกไปเพราะพี่เป็นต้นเหตุหรอก ใช่ไหม?”
   “คุณพ่อก็คงไม่อยากเหมือนกัน” เว่ยจินหยินกล่าว การพูดถึง”คุณพ่อ” ยิ่งทำให้รอยยิ้มของเว่ยเฟิงปิงน่าเกลียดมากขึ้น
   “ผมรู้ว่าคุณพ่อไม่ชอบ และคงไม่ชอบแน่ๆ ถ้ารู้ว่าลูกชายสุดที่รักแบบพี่เป็นคนทำให้เรื่องรั่ว”
   “เธอ!”
   “พี่กลับไปเถอะ ผมไม่ค่อยสบาย” ผู้เป็นน้องชายกล่าวตัดบท และไอโขลกๆ ออกมา เว่ยจินหยินขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ยิ้มออกมา
   “นั่นสิ พี่คงทำให้เธอลำบากใจ ไว้อีกสามวันพี่จะกลับมาอีกทีแล้วกัน” ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้สวมแว่นตากรอบทองกล่าว ก่อนจะผุดลุกขึ้น เว่ยเฟิงปิงโบกมือให้อาเง็กออกไปส่ง 
ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะไอ แต่มันคงเป็นผลจากการอัดควันบุหรี่เข้าไปมาก  ลำคอจึงระคายเคืองอยู่พอสมควร เว่ยเฟิงปิงยังคงไอต่อไปอีกพักใหญ่  จนกระทั่งอาเง็กเดินกลับเข้ามา
   “ไปให้คนเตรียมรถ เดี๋ยวฉันทานข้าวเสร็จจะไปโรงพยาบาล”
   “เจ็บคอมากหรือครับ” อาเง็กถาม เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเจ็บคอ ไม่ใช่เพราะเขาสูบบุหรี่ แต่เป็นผลมาจากฤทธิ์ยาสลบ บวกกับการที่เขาฝืนพูดจาไปมากตอนพบกับเว่ยเฟิงปิงเมื่อคืน ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังอยู่ในภาวะหมดอาลัยตายอยาก นี่ก็เช้าแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวอะไรของเจ้านายมาถึงเขา ความจริงแล้วจางซื่อเยี่ยนเพิ่งจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกรอบ หลังจากผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ยังตกค้าง แต่ความผิดพลาดที่เขาได้ทำเอาไว้ยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในหัวสมอง
   ใจหนึ่งเขาอยากพบเจ้านาย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าตาหรือพูดคุยแบบไหนกับเว่ยเฟิงปิงดี
   พยาบาลสาวแวะเข้ามาฉีดยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดให้ จางซื่อเยี่ยนทดลองขยับตัว  นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกหามเข้าโรงพยาบาล  ครั้งแรกเป็นเมื่อตอนเข้าสักกัดหน่วยดำใหม่ๆ ตอนนั้นเขาถูกยิงที่แขน คราวนี้ถูกแทงด้านหลัง
   ดูเหมือนว่าแผลจะไม่ลึกมากนัก  ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดว่าเพราะเสียงของเว่ยเฟิงปิง ทำให้ฝ่ายนั้นยั้งมือ ผู้ชายคนนั้นช่างไร้หัวใจสิ้นดี  ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้ยึดติดกับรูฟัสนัก  เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว น่าจะหันมองคนอื่นบ้าง
   จางซื่อเยี่ยนย่นคิ้วเมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเพ้อเจ้อ หรือว่าฤทธิ์ยาสลบยังไม่หมด  ชายหนุ่มรีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง ขืนปล่อยเอาไว้คงได้เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนอีก คราวนี้เขาคงคิดหาคำแก้ตัวไม่ออก
   เรื่องของเจ้านายไว้ค่อยถามเถียนซิงเอาก็ได้ ตอนนี้เขาต้องรีบทำให้ร่างกายหายเป็นปกติให้เร็วที่สุด ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาควรจะนอนพักให้เต็มที่ ขณะที่พยายามบังคับตัวเองให้หลับ ประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออก
   ช่างเป็นการเปิดประตูที่ไร้มารยาทจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนคิด โดยไม่ได้นึกต่อว่าคนที่เปิดประตูแบบนี้จะเป็นใครกันแน่  ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาเพื่อดูใบหน้าของผู้ที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาท  และแล้วหัวสมองของเขาก็ต้องผลิตคำขอโทษเงียบๆ ออกมาสักร้อยล้านครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยอาเง็กที่เดินตามมาด้านหลัง  ผู้เป็นเจ้านายใช้หางตาเหลือบมองเขาเหมือนอย่างที่เคยทำ ก่อนจะพูดห้วนๆ
   “ยังตื่นอยู่รึ?”
   โดยไม่รอคำตอบ เจ้าตัวเดินหลบไปนั่งเก้าอี้ตรงมุมห้อง จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงดูหมองคล้ำเหมือนอดนอนมาทั้งคืน  เจ้านายของเขาคงกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าอยู่แน่ๆ  แต่ทำไมถึงกลับมาหาเขาอีกล่ะ หรือว่ามาเพื่อพูดให้กระจ่าง
   จางซื่อเยี่ยนพยายามจะเค้นหาคำแก้ตัวในบัดนั้น จังหวะนั้นที่อาเง็กเดินเข้ามาใกล้ๆ และเอ่ยปากถาม
   “เจ็บมากรึเปล่าพี่?”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ เขามองดูอาเง็กเหมือนจะถามว่ามาที่นี่ทำไม อาเง็กไม่กล่าวอะไรต่อ เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงจากเตียงไปยืนอยู่ที่มุมห้อง
   ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงมารอใครมากกว่าจะมาเยี่ยมเขา จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอึดอัด ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอีก แม้แต่จากปากของอาเง็ก
   กำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?
   ชายหนุ่มคิด บรรยากาศอึดอันนั้นกินเวลายาวนานเหมือนจะผ่านไปแล้วครึ่งวัน และแล้วเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น
   เว่ยเฟิงปิงผุดลุกจากเก้าอี้ เดินปราดเข้ามาที่เตียงทันที  ทำสีหน้าท่าทางเหมือนอยากจะรู้ว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จังหวะเดียวผู้มาเยือนก็เปิดประตูเข้ามา
   “อ้าว เฟิงปิง” น้ำเสียงนั้นเหมือนว่ารู้สึกผิดคาด แต่ในปลายเสียงคล้ายกับว่าคิดอยู่แล้ว จางซื่อเยี่ยนเหลือบตาไปมอง และพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มาหาเขา
   เว่ยจินหยินเดินเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยตะกร้าผลไม้ที่นำมาเยี่ยมคนป่วย ด้านหลังเป็นผู้ติดตามอีกสามสี่คน  จางซื่อเยี่ยนรู้จักบางคน แน่นอนว่าเพราะเคยทำงานให้กับหน่วยดำด้วยกันมาก่อนนั่นเอง
   “เป็นไงบ้างล่ะ อาซื่อ เจ็บมากรึเปล่า?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอาการด้วยน้ำเสียงแสนจะเป็นห่วงเป็นใย หากเป็นคนไม่รู้จักกันแล้วล่ะก็ อาจจะรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหล แต่จางซื่อเยี่ยนไม่ใช่คนที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้
   เว่ยจินหยินเคยเป็นหัวหน้าของเขา อย่างน้อยก็พูดได้ว่าเคยเป็นหนึ่งในหัวหน้า หลังจากเรื่องวุ่นวายเมื่อหกปีก่อน หน่วยดำหลายส่วนถูกย้ายมาขึ้นตรงกับเว่ยจินหยิน  จางซื่อเยี่ยนฝืนยิ้มฝืดๆ ให้กับอดีตเจ้านาย ที่เว่ยเฟิงปิงถ่อมาถึงที่นี่ คงเพื่อมาดักทางเว่ยจินหยินแน่ๆ
   “ฉันวางของไว้ตรงนี้แล้วกัน ถ้าเธอยากจะทาน ให้เฟิงปิงปอกให้ก็ได้”
   ไม่รู้ว่าผีอะไรดลใจให้เว่ยจินหยินพูดออกมาแบบนั้น  จางซื่อเยี่ยนรู้ว่าปกติพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะถูกกันอยู่แล้ว เจอกันทีไรต้องหาเรื่องมาพูดกระแนะกระแหนใส่กัน  แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามากระแนะกระแหนในเวลาแบบนี้
   เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้มน่าเกลียด และพูดตอบกลับไปบ้าง
   “จริงๆ พี่น่าจะหาคนปอกมาให้ด้วยเลยนะ ไหนๆ ก็อุตส่าห์จะซื้อของมาเยี่ยมทั้งที”
   “ให้เธอปอกนั่นแหละ ไหนๆ อาซื่อก็เสียสละตัวเองเพื่อเธอขนาดนี้ นิดๆ หน่อยๆ ทำให้ไม่ได้หรือไง”
   “อย่างนั้นพี่ก็ปอกเองเถอะ” เว่ยเฟิงปิงตัดบทไปดื้อๆ  เว่ยจินหยินหัวเราะ หันไปพูดกับจางซื่อเยี่ยนต่อ “เธอทุ่มทุนขนาดนี้นี่ คงได้ผลงานชิ้นใหญ่เลยสิ?”
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงทะเลไปทั้งๆ ที่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ  เว่ยจินหยินมาหาเขาเพื่อถามเรื่องข้อมูลของริเวิลแน่ๆ คิดว่าก่อนหน้านี้คงไปพบกับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้านายของเขาคงไม่รีบมาดักทางไว้ก่อน
   อดีตเจ้านายคนนี้คงมาหาเขาเพื่อยืนยันว่าน้องชายทำพลาด
   จางซื่อเยี่ยนปิดปากแน่น  ไม่กล้ากระดิกตัว  ความจริงคือเขายังนึกไม่ออกว่าสมควรจะตอบคำถามนั้นด้วยภาษาร่างกายแบบไหน หรือคำพูดอย่างไร เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายแน่ใจว่าเจ้านายของเขาพลาด แต่การที่เขานิ่งไปก็ยิ่งทำให้ยิ่งแน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงทำพลาดมากยิ่งขึ้น
   ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงไอออกมา
   เขาไอทั้งๆ ที่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ชายหนุ่มไอจนตัวโยน เว่ยเฟิงปิงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะร้องโวยวาย
   “ตายล่ะพี่ ไอแรงขนาดนี้สงสัยเดี๋ยวแผลจะเปิด พี่ช่วยไปตามอาซิงให้หน่อยสิ”
   ความจริงปุ่มกดเรียกพยาบาลก็มีอยู่ที่ข้างเตียง แต่เว่ยเฟิงปิงทำเหมือนว่ามันไม่เคยมีอยู่ เว่ยจินหยินยิ้มแห้งๆ  รู้ทันทีว่าน้องชายกำลังไล่ ชายผู้สวมแว่นตากรอบทองอยู่เป็นนิจรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะระวังตัว การที่เว่ยเฟิงปิงมาดักทางเขาไว้ขนาดนี้ แปลว่างานที่ทำต้องพลาดแน่ๆ อย่างน้อยโอกาสจะเป็นแบบนั้นก็มีสูง  เว่ยจินหยินระบายลมหายใจ คลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินกลับออกไปอย่างสุภาพ และทิ้งคำพูดที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
   “อย่างนั้นฉันไปล่ะ ถ้าอีกสามวันเธอยังไม่ดีขึ้น ฉันจะมาเยี่ยมใหม่”
   นั่นแปลว่าอีกสามวันถ้ายังไม่มีข้อมูล ก็ฟันธงได้เลยว่าเว่ยเฟิงปิงทำพลาด
   จางซื่อเยี่ยนหยุดไอหลังจากนั้นพักหนึ่ง  เว่ยเฟิงปิงเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง
   “ใช้ได้เหมือนกันนี่” ผู้เป็นเจ้านายกล่าวลอยๆ ก่อนจะเรียกอาเง็ก
   “เดี่ยวออกไปอีกทางแล้วกัน ฉันไม่อยากสวนกันจินหยิน”
   พูดจบก็เดินออกจากห้องไป  อาเง็กหันไปมองจางซื่อเยี่ยนด้วยความเป็นห่วงแวบหนึ่ง แล้วรีบเดินตามเจ้านายออกไป
   จางซื่อเยี่ยนมองตามหลังคนทั้งคู่ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำชมของเว่ยเฟิงปิงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะไอ และตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บแผลอย่างหนัก  แต่ว่า....จะบอกให้เว่ยเฟิงปิงเรียกพยาบาลก็คงไม่ทัน
   ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างท้อแท้
-----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:39:03
บทที่23 เสียงของหัวใจที่ไม่มีใครได้ยิน
   “อ้าว?!” บุรุษนัยน์ตาเหยี่ยวผู้มีผมสีดำยาว อุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองและพบเด็กหนุ่มผมสีทองนั่งอยู่ แดเนียลหมุนตัวกลับมา กลอกดวงตาสีเขียวมองสำรวจชายหนุ่มวัยสามสิบอยู่พักหนึ่ง แล้วยิ้ม
   “ผมคิดว่าคุณจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก”
   โจวยี่ฝืนยิ้มให้เด็กหนุ่ม ความจริงคืนนี้เขาไม่ได้นัดแดเนียลเอาไว้ การที่เด็กหนุ่มมาที่นี่จึงดูผิดคาดอยู่บ้าง
   “ช่วงบ่ายมีพวกริเวิลมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ให้ควัก คิดว่าคงมาตามหาคุณ”
   “ริเวิล?” โจวยี่ทวนชื่อนั้น และขมวดคิ้ว เขาเดินเข้าไปใกล้   “แล้วพวกนั้นเจอเธอรึเปล่า?”
   เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ  โจวยี่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มุ่นคิ้วอย่างใช้ความคิด แดเนียลนั่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าโจวยี่ไปมีเรื่องอะไรกับริเวิลหรือเปล่า แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะรู้
   “เธอลงไปดูสตีฟที่บ่อนหน่อยสิ” โจวยี่เอ่ยกับเด็กหนุ่มหลังจากเงียบไปพักใหญ่ แดเนียลมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินออกไปจากห้อง ท่าทางผู้ชายคนนี้มีเรื่องที่จะต้องทำเพียงลำพัง
   โจวยี่รอจนแดเนียลปิดประตูเรียบร้อย เขาเดินไปอีกฟากของห้องทำงาน และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
--------------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้นอย่างช้าๆ และกะพริบอีกหลายครั้งเมื่อพบกับแสงสว่างที่ส่องลอดม่านพรางแสงเข้ามาในห้อง ความจริงฟ่งตื่นนานแล้ว แต่เขาฝืนนอนต่อ  สาเหตุหนึ่งเพราะร่างที่กอดก่ายเขาอยู่กำลังหลับ และอีกสาเหตุหนึ่งคือ เขาไม่รู้ว่าถ้าฝ่ายนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว เขาควรจะทำหน้าหรือทำตัวอย่างไรต่อไป
   เขาไม่เชื่อใจรูฟัส
   อย่างน้อยฟ่งก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับรูฟัสเหมือนตอนพบกันครั้งแรก
   ตอนนั้นเขาเผลอตัวให้รูฟัสเพราะกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอทางจิตใจ รูฟัสอ่อนโยน เป็นมิตร ความสัมพันธ์เล็กๆ ที่แสนจะธรรมดานั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาสบายใจ อยากจะให้คนคนนี้อยู่ข้างๆ เพราะรูฟัสทำให้เขามีความสุข
   แต่ว่าตอนนี้………
   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยรับรู้เกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้เป็นเพียงเรื่องปั้นแต่งและคำโกหก  เบื้องหลังฉากหน้าที่แสนจะสวยหรู กลับสกปรกจนแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าจะเอ่ยถึง แล้วจะให้เขาเชื่อใจคนแบบนี้ได้อย่างไร
   ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสมีจุดประสงค์อะไรในการเข้ามายุ่งย่ามกับเขา แต่ที่แน่ๆ มันไม่น่าจะใช่แค่เพียงคำว่ารักที่เอ่ยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่ทำอาชีพอย่างรูฟัส ทำไมจะต้องมาหลงรักคนที่ไม่ดีไม่เด่นอะไรเลยแบบเขา ทำไมต้องมาทำดีกับคนข้างห้อง ถ้าไม่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง
   ฟ่งกำมือแน่น เขาบอกไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกโกรธเคือง น้อยใจ เศร้าใจ หรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเหมือนอัดอั้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
   แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น
   ฟ่งต้องทนอยู่กับรูฟัสต่อ อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลานี้ แต่ไม่ใช่เพราะความสบายใจอีกแล้ว
   เพราะเวลานี้ไม่มีใครช่วยเขาได้นอกจากชายคนนี้
   
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองเรือนผมสีน้ำตาลเบื้องหน้าอย่างซึมเซา รูฟัสตื่นนานแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกตัว แต่ยังไม่ยอมขยับ  ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะขยับ เพราะไม่รู้ว่า เมื่อขยับแล้ว อีกนานเท่าไรกว่าเขาจะได้มีโอกาสโอบกอดบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าอย่างนี้อีก
   รูฟัสอยากจะกอดฟ่งไว้แบบนี้……….
แม้ว่าฟ่งจะไม่ยอมหันหน้ากลับมาก็ตาม
   อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่มีวันได้กอดตลอดไป
   ตอนนี้เขาเริ่มตระหนักชัดกว่าเดิมแล้วว่า ความรักนั้นยากที่จะรักษา และยิ่งความรักที่ไม่ได้เริ่มมาจากการพูดความจริงแต่แรกนั้น ยิ่งรักษายาก
   แต่ว่า หากเริ่มต้นด้วยความจริงแล้ว ความรักนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
   รูฟัสไม่ได้หวาดกลัวที่จะพูดถึงอดีตของตน แต่สิ่งที่เขากลัวคือ กลัวว่าอดีตนั้นจะทำให้ฟ่งตีจากเขาไป  แต่ถึงจะไม่เล่า ก็ใช่จะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หนีเขาไปไหน
   ความรักที่ไม่มีความเชื่อใจนั้นไปด้วยกันลำบาก
   รูฟัสรู้ว่าที่ฟ่งแสดงท่าทียินยอมและคล้อยตามเขาในตอนนี้นั้น เพราะเหตุผลสำคัญเกี่ยวกับสถานภาพ ฟ่งเข้าฮ่องกงมาอย่างไม่ถูกกฎหมาย การจะกลับอย่างถูกต้องนั้นวุ่นวายและอาจจะทำให้เรื่องยิ่งวุ่น  ดังนั้นฟ่งจึงยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ แต่หากกลับถึงประเทศไทยแล้ว  เรื่องราวระหว่างกันจะเป็นอย่างไรต่อไป รูฟัสไม่อยากคิด
   ตอนนี้เขากลัว กลัวเวลาที่กำลังผ่านไป กลัวสิ่งที่กำลังจะเข้ามา
   กลัวที่จะสูญเสียบุคคลที่อยู่ตรงหน้า
   เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้อย่างไร

   รูฟัสรั้งตัวฟ่งเข้ามากอด  อยากจะถ่ายทอดถ้อยคำในใจทั้งหมดผ่านอ้อมกอดนี้ไปยังอีกฝ่าย แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริงที่คนจะทำได้  มันทำให้ฟ่งสะดุ้งและตกใจ
   รูฟัสกอดฟ่งแน่น สูดหายใจเอากลิ่นอายของร่างกายนั้น ราวกับว่าหลังจากนี้ เวลาจะผ่านไปอีกนานแสนนาน กว่าเขาจะมีโอกาสแบบนี้อีก
   ฟ่งรู้สึกตกใจ และเริ่มหวาดกลัว เขากลัวว่ารูฟัสจะทำกับเขาเหมือนเมื่อวานอีก
   เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่ฟ่งเห็นว่ารูฟัสโกรธ โกรธเขาที่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นๆ  ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วรูฟัสต่างหากที่ทำให้คนพวกนั้นมายุ่งกับเขา
   การกระทำของรูฟัสทำให้ฟ่งกลัว กลัวว่าถ้าเขาเกิดทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจ  รูฟัสอาจจะลงไม้ลงมือกับเขา  หรือใช้กำลังบีบบังคับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟ่งไม่ชอบมากที่สุด
   เขาเกลียดการถูกบังคับ เกลียดการที่จะต้องอยู่ใต้สายตาใครสักคนไปตลอด
   มันทำให้ฟ่งรู้สึกอึดอัด
   แต่เพราะความหวาดกลัว ฟ่งจึงกล้าไม่ขัดขืน เขายอมให้รูฟัสกอด  อย่างน้อยคงทำให้เขายังปลอดภัย
   “รูฟัส..”   ฟ่งเรียกชื่อคนที่กำลังกอดเขาเบาๆ เหมือนทดสอบว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
   “ครับ?”   รูฟัสขานรับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง และพูดออกมาช้าๆ “ผมจะกลับเมืองไทยได้เมื่อไร”
   ร่างแกร่งชะงักไปทันที
   กลับไทย?
   ความหมายนั่นเหมือนการจากกันเลยไม่ใช่หรือ? รูฟัสจ้องมองคนตรงหน้า เขาอยากจะรั้งตัวฟ่งเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ไม่อยากปล่อยให้กลับไปทั้งอย่างนี้ กลับไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าฟ่งคิดอย่างไรกับเขากันแน่
   จริงๆ คือรูฟัสไม่อยากให้ฟ่งห่างไปเลยแม้สักวินาทีเดียว
   “ผมยังไม่แน่ใจ”   รูฟัสเอ่ย พยายามจะคิดหาถ้อยคำมาอ้างเพื่อประวิงเวลา
   “ผมต้องหาคนมาทำพาสปอร์ตให้คุณใหม่”
   “อืม ถ้าพาสปอร์ตล่ะก็  เฟิงปิงมี”
   รูฟัสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อของเว่ยเฟิงปิง  ถึงแม้จะรู้ว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ทำอะไรเกินเลย แต่ว่าก่อนหน้านี้ เด็กนั่นเคยทำเรื่องน่าอับอายไว้กับฟ่ง  แค่คิดก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว
   “คุณก็ไปขอมาจากเขาสิ” ฟ่งเอ่ย และพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองอย่างวิงวอน  รูฟัสกลืนน้ำลาย  เขาจะปฏิเสธคำขอร้องนี้ได้อย่างไร
   “ครับ ผมจะลองไปขอมาให้” หนุ่มตาสองสีกล่าวในที่สุด เขารู้สึกเหมือนกับว่ายอมปล่อยให้ฟ่งหลุดมือไป  แต่ว่ารอยยิ้มที่เกิดขึ้นบนหน้าของฟ่งก็ทำให้เขาพูดอะไรต่อไม่ออก
   “ขอบคุณนะ” ฟ่งกล่าว และไถลตัวลงจากเตียง รูฟัสลุกตามด้วยความตกใจ  เขามองตามหลังฟ่งอย่างใจหาย
   ต่อจากนี้ไป เขาจะได้กอดคนคนนี้อีกหรือเปล่า เขาจะได้รับความสนใจจากคนคนนี้อีกไหม?
   รูฟัสก้าวตามไป พยายามหยุดความคิดบ้าๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวสมอง
--------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนกำลังลุกขึ้นยืนเป็นครั้งแรก หลังจากนอนแกร่วอยู่บนเตียงมาสองวันเต็ม  นับเป็นการฟื้นตัวที่น่าตกใจมากสำหรับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น เถียนซิงลงความเห็นว่าเขาอึดเหมือนแมลงอะไรซักอย่าง มันทำให้ชายหนุ่มที่กำลังทดลองเหยียดแขนต้องขมวดคิ้ว
   “เจ็บแผลอีกรึเปล่า?” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก  ชายหนุ่มส่ายหน้า  การอยู่เฉยๆ ติดกันหลายวัน สร้างความเบื่อหน่ายให้กับเขาเป็นอย่างมาก  เพราะโดยปกติจางซื่อเยี่ยนต้องทำอะไรหลายๆ อย่างในแต่ละวัน อย่างไรก็ดี เขายังนึกหาคำแก้ตัวไม่ออก
   “ขอฉันดูแผลหน่อย” เถียนซิงพูด และเดินอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อแกะผ้าพันแผล  บาดแผลนั้นดูเหมือนจะปิดสนิทดีแล้ว  แต่เธอยังไม่อยากจะลงความเห็นว่าสมควรจะตัดไหมออก
   “ผมออกจากที่นี่ได้รึยัง?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบอยู่  เถียนซิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
   “ถึงฉันจะบอกว่าไม่ แต่นายก็คงจะออกไปอยู่ดีนั่นแหละ เดี๋ยวจะตัดไหมให้แล้วกัน”
   หญิงสาวตัดสินใจ หล่อนเรียกพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับรถเข็นอุปกรณ์เข้ามา และสั่งให้ชายหนุ่มนอนคว่ำหน้า ก่อนจะใช้กรรไกรค่อยๆ ตัดไหมที่ใช้เย็บแผลออก และทำความสะอาด แผลสมานตัวเรียบร้อยดี เถียนซิงคิดว่าร่างกายจางซื่อเยี่ยนคงไม่มีปัญหาอะไร เธอจึงยอมให้เขาออกจากโรงพยาบาล แต่ที่ดูจะมีปัญหากว่าคือด้านจิตใจต่างหาก

   “จะกลับไปหาเฟิงปิงเหรอ?” เถียนซิงถามขณะเดินมาส่งจางซื่อเยี่ยนที่ด้านนอกของโรงพยาบาล จางซื่อเยี่ยนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนกับกางเกงขาขาวสีดำ ส่งเสียงอืมโดยไม่ได้หันกลับมามองหน้า  เถียนซิงเดินตามเขาไป และถามต่อ “แล้วนึกข้อแก้ตัวได้รึยัง?”
   “ยัง” จางซื่อเยี่ยนตอบห้วนๆ  แม้จะยังนึกอะไรไม่ออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองจะต้องกลับไปทำงานให้เร็วที่สุด เพราะมันเป็นหน้าที่ และที่สำคัญตอนนี้เจ้านายของเขากำลังอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน การมาของเว่ยจินหยินทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่สบายใจ แล้วยังเรื่องของรูฟัสอีก จางซื่อเยี่ยนคาดเดาว่าถ้าเรื่องราวยังไม่ยุติในเร็วๆ นี้ ริเวิลจะต้องเคลื่อนไหว นั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ของเจ้านายของเขาลำบากมากขึ้น
   ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปให้เร็วที่สุด
   เถียนซิงยืนมองร่างสูงโปร่งนั้นเดินออกไป ก่อนจะถอนหายใจยาว
   เธอภาวนาให้จางซื่อเยี่ยนไม่ทำอะไรที่โง่เกินไปนัก ในการเผชิญหน้ากับเว่ยเฟิงปิง
-----------------------------------
   รูฟัสยอมรับว่าบางทีเขาอาจจะทำเรื่องโง่ๆ อยู่ วันสองวันนี่เขาขลุกอยู่กับฟ่งในห้องทั้งวัน แม้อีกฝ่ายจะดูไม่ค่อยเต็มใจนัก และก็ไม่ยอมให้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่าการกอด  แต่มันก็ยังดีกว่าการอยู่โดยลำพัง  เขากำลังถ่วงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนี้ให้ได้นานที่สุด
   “รูฟัส” ฟ่งเอ่ยขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำ โดยที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย รูฟัสช้อนตาขึ้นมอง เขายังไม่ได้อาบน้ำ จริงๆ แล้วตอนแรกเขาคิดจะอาบกับฟ่ง แต่โดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพและเด็ดขาด
   “เมื่อไรคุณจะไปหาเฟิงปิง?” ฟ่งเอ่ยถามต่อ ขณะเดินออกไปที่หน้าต่าง  พักนี้ฟ่งหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับเขา นั่นทำให้รูฟัสรู้สึกแย่มากขึ้น ชายหนุ่มนิ่งไปพักใหญ่ เขาไม่อยากตอบคำถามนี้ เขาไม่อยากไปพบเว่ยเฟิงปิง เพราะนั่นหมายถึงเวลาที่ใกล้จะจากกันยิ่งกระชั้นเข้ามามากขึ้น
   “หรือว่าผมไปสถานฑูตดี?” ฟ่งพูดขึ้นมาลอยๆ รูฟัสหันหน้าไปมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย
   “ไม่ต้องหรอกครับ  เดี๋ยววันนี้ผมไปหาเขาก็ได้”
   “งั้น... ผมไปกับคุณด้วยได้ไหม?” ฟ่งพูดต่อ และหันหน้ากลับมา รูฟัสยิ้มให้ฟ่ง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ  คุณรออยู่ที่นี่แหละ”   เขากล่าว แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
   “ผมมีที่ที่หนึ่งน่าสนใจ  ผมจะพาคุณไปที่นั่น คุณจะได้ไม่เบื่อ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร รูฟัสก็เดินเข้าห้องน้ำไปเสียก่อน ชายหนุ่มยืนอ้าปากค้าง ขณะที่คิดว่าจะทำอะไรต่อไปนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   รูฟัสเองก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ขณะกำลังถอดเสื้อ เขาจึงรีบวิ่งออกมาโดยสวมกางเกงนอนเพียงตัวเดียว เพื่อห้ามฟ่งไม่ให้เปิดประตู แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย ฟ่งยืนอยู่ที่ประตูและกำลังคุยกับบุคคลที่อยู่ด้านนอก
   “เอ้อ  รูฟัส” ฟ่งกล่าวเมื่อหันมาเห็นว่ารูฟัสยืนอยู่ด้านหลัง
   “เราไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่แล้วล่ะ เฟิงปิงให้คนเอารถมารอด้านล่างแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยิ้ม วินาทีนั้นรูฟัสเหมือนอยากจะร้องไห้ ฟ่งดีใจกับเรื่องค่าแท็กซี่ หรือเรื่องที่จะได้ไปจากเขากันแน่นะ
รูฟัสเดินคอตกไปที่ห้องน้ำ  ทิ้งฟ่งให้มองตามด้วยสายตาสงสัย หนุ่มสวมแว่นไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรผิด จึงทำให้อีกฝ่ายมีทีท่าแบบนั้น

สุดท้าย รูฟัสก็ต้องยอมให้ฟ่งไปด้วย  จริงๆ คือ เขาไม่กล้าปล่อยฟ่งเอาไว้ตามลำพัง และการจะเอาไปฝากไว้กับโจวยี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อคนของเว่ยเฟิงปิงเล่นมาดักรออยู่ด้านล่าง  การที่ฟ่งดูเหมือนตื่นเต้นที่จะได้พบกับเว่ยเฟิงปิงยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
  เว่ยเฟิงปิงส่งคนมาแบบนี้คงไม่พ้นเรื่องข้อมูลของริเวิลแน่
รูฟัสขมวดคิ้ว เขาน่าจะติดต่อกับริเวิลแล้วขายข้อมูลของตระกูลเว่ย แล้วทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งไปให้รู้แล้วรู้รอด  แต่จนใจด้วยวันสองวันที่ผ่านไปนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการพยายามคลอเคลียกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ
อย่างน้อยมันก็ทำให้เขามีเวลาได้อยู่ร่วมกัน
รูฟัสพยายามคิดปลอบใจตัวเอง กระนั้นก็ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอยู่ เว่ยเฟิงปิงยังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ การปรากฏตัวของเขาที่ฮ่องกงไม่ช้าไม่เร็วคงต้องแว่วไปถึงหูของริเวิลจนได้  ถึงตอนนั้นทุกฝ่ายรังแต่จะมีเรื่องยุ่ง  ดังนั้น การเร่งเดินเกมก่อนจึงเป็นการดี
รูฟัสสงสัยว่าคงมีใครได้กลิ่นเรื่องนี้แล้ว และนึกสมเพชตัวเองที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในแผนการนี้ จนเว่ยเฟิงปิงชิงเดินเกมไปก่อน แต่เขาอาจจะใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องต่อรองในการขอพาสปอร์ตของฟ่งได้
พอนึกถึงตอนนี้ คิ้วได้รูปนั่นยิ่งขมวดเข้าหามากยิ่งขึ้น ไม่ใช่อาจจะ เขาสามารถขอพาสปอร์ตของฟ่งจากเว่ยเฟิงปิงได้แน่ๆ แต่เมื่อได้พาสปอร์ตมาแล้ว แปลว่าเขาต้องทำตามสัญญาโดยการพาฟ่งกลับเมืองไทย
ซึ่งคงไม่เป็นผลดีกับเขา
รูฟัสคิดไม่ตก เขามีเวลาคิดอีกนิดหน่อยกว่าที่รถจะแล่นไปถึงจุดหมาย  ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างกังวลใจ
-------------------------------------
   อาเง็กยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ตอกบัตรเข้ามาใหม่ ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนนั้นแทบจะเหมือนใบหน้าของพระเจ้า สองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้นอน เพราะต้องจัดการงานทุกอย่างแทนชายคนนี้ อาเง็กไม่เข้าใจว่าจางซื่อเยี่ยนทำงานทุกอย่างแบบนี้ทุกวันได้อย่างไร ดังนั้นการกลับมานี้จึงเหมือนการมาปลดปล่อย
   “แผลหายดีแล้วหรือ พี่จาง” อาเง็กเอ่ยทักทักลูกพี่ของเขา จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามกลับ “คุณชายล่ะ”
   “อยู่บนห้องน่ะ”
   “อืม” ชายหนุ่มผู้รวบผมไว้ด้านหลังรับคำ ก่อนจะเดินฉับๆ ไปยังห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย อาเง็กมองตามหลังไป และถอนหายใจอย่างโล่งใจ  เพราะวันนี้เว่ยเฟิงปิงมีงานสำคัญ
   
   “อ้าว หนีออกมาจากโรงพยาบาลหรือไง?” นี่คือคำทักทายแรกที่เจ้านายมีให้กับเขา  จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า ความจริงเขาใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าเคาะประตูและเปิดเข้ามา  อย่างน้อยคำทักทายนี้ก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจไปเปลาะหนึ่ง
   “วันนี้ฉันไม่ต้องการคนเจ็บมาถ่วงมือถ่วงเท้าหรอกนะ ถ้ายังไม่หายก็กลับไป” เว่ยเฟิงปิงกล่าวต่อ เขากำลังจัดเนกไทให้เข้าที่ และหยิบเสื้อสูทมาสวมทับ จางซื่อเยี่ยนสังเกตว่าเว่ยเฟิงปิงเหน็บปืนไว้ตรงเข็มขัดคาดไหล่ด้วย
   “จะไปไหนหรือครับ?” ชายหนุ่มถาม ผู้เป็นเจ้านายของเขายักไหล่
   “วันนี้ฉันมีธุระใหญ่ มาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งวูบ  เว่ยเฟิงปิงมีอะไรจะบอกเขาอย่างนั้นหรือ เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้เป็นนาย เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อ
   “นายจะเข้ามาฟังใกล้ๆ ก็ได้นะ เผื่อจะไม่เชื่อ”
   วินาทีนั้นจางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองกำลังตื่นเต้น เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เว่ยเฟิงปิง มองดูใบหน้าเรียวยาวได้รูป และเรือนผมสีดำนั้นอย่างหลงใหล ก่อนจะได้ยินริมฝีปากบางคู่นั้นเอ่ยคำพูดช้าๆ
“ฉันทำเรื่องย้ายนายกลับไปที่หน่วยดำแล้ว”
   “หา?” จางซื่อเยี่ยนอุทานออกมาอย่างแปลกใจ เว่ยเฟิงปิงเองก็มองเขาอย่างแปลกใจเช่นกัน คงไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็นลูกน้องที่แสนจะเฉื่อยชา ทำกิริยาท่าทางแบบนี้  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเจ้านายอย่างงุนงง
   “ทำไม?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่อีกครั้ง
   “ฉันได้ข่าวจากพี่จินหยินว่าหน่วยดำกำลังขาดคน อีกอย่างพักนี้นายก็ทำงานเลอะๆ เลือนๆ ฉันเลยเห็นว่าส่งนายกลับไปที่เก่าอาจจะดีกว่า อีกอย่างคุณพ่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ดูเหมือนอยากให้นายย้ายกลับไปช่วยงาน”
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาอย่างงงงัน เขามองหน้าเว่ยเฟิงปิง แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็เค้นคำพูดออกมาได้
   “ทำไมถึงย้ายตอนนี้ล่ะครับ?” เขาถาม ยังคงไม่เข้าใจถึงสาเหตุ เว่ยเฟิงปิงท้าวสะเอว  มองหน้าจางซื่อเยี่ยนด้วยสายตาหน่ายๆ
   “ฉันทำเรื่องย้ายนายมาหลายครั้งแล้ว นายก็รู้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณพ่อไม่คัดค้าน ก็แค่นั้นแหละ”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ จริงอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงอยากจะย้ายเขาไปให้พ้นๆ แต่นั่นไม่เคยสำเร็จ ทำไมคราวนี้เว่ยชิงถึงยอมตามใจ หรือว่าเรื่องบ้าๆ นั่นไปเข้าหู
   ชายหนุ่มรีบสลัดความคิดแสนน่ากลัวนั้นออกไป ไม่มีทาง คนอย่างเว่ยเฟิงปิงคงไม่เล่าอะไรแบบนั้นให้เว่ยชิงฟังแน่ๆ ด้วยศักดิ์ศรีของเขา  เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ค่อยพอใจตัวเองนักเรื่องรสนิยมรักร่วมเพศ  และพยายามจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยเรื่องนี้กับบิดาเสมอมา ไม่สิ แค่พูดกันสำหรับพ่อลูกคู่นี้ก็น้อยเต็มที ดังนั้นเว่ยชิงคงไม่ได้อนุมัติเพราะเรื่องนี้แน่ๆ  อย่างนั้นแปลว่าการทำงานพลาดของเขาเป็นสาเหตุหรือ?
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยนที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ต้องการเวลาทำใจนานไหม ถ้านานก็ออกไป ฉันกำลังมีธุระ”
   “เอ่อ..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยวลีที่ไร้ความหมายออกมา จุดประสงค์แค่ต้องการจะถ่วงเวลาออกไปอีกหน่อย นัยน์ตาสีฟ้าใสของเว่ยเฟิงปิงจ้องมองมาทางเขาอย่างหาเรื่อง แต่เสียงโทรศัพท์สายในที่ดังขึ้นก็ทำให้ดวงตาคู่นั้นต้องเบี่ยงไป
   “อืม ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผู้เป็นเจ้านายกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ และหันหน้ามาเอ่ยกับผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตลูกน้อง
   “ฉันจะไปพบรูฟัส ถ้านายหายดี ฉันจะให้นายทำงานอีกวันหนึ่ง ตามฉันลงไปด้วย” เว่ยเฟิงปิงกล่าวจบก็เดินออกไปทันที จางซื่อเยี่ยนจึงต้องรีบตามออกไป โดยไม่ทันได้ซักถามอะไรต่อ

   รูฟัสนั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโซฟาที่ใช้สำหรับรับแขก ในห้องรับรองห้องหนึ่งในอาคาร le mirior ล้อมรอบอยู่ด้วยบอดีการ์ดของเว่ยเฟิงปิงนับสิบคน แน่นอนว่าพร้อมอาวุธครบมือ ตอนนี้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาไม่สนใจที่จะรักษาภาพพจน์ภายนอกเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:39:30
   ฟ่งรู้สึกถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยเหมือนจะมีที่มาจากชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา  ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาคิดผิดหรือเปล่าที่ขอตามมาด้วย แต่เขาไม่ไว้ใจรูฟัส เหมือนว่าชายคนนี้จะไม่อยากให้เขากลับบ้าน นั่นคือเหตุผลที่ฟ่งขอตามมา เขาอยากจะเห็นด้วยตาว่ารูฟัสเอาพาสปอร์ตกลับไปจริงๆ
   แต่บรรยากาศในตอนนี้ผิดความคาดหมายของเขาไปเยอะทีเดียว
   เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาในห้องรับรอง แวบแรกเขารู้สึกขบขันเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของรูฟัส  วันสองวันมานี้เขาสั่งให้คนจับตามองการเคลื่อนไหวของชายคนนี้ และพบว่ารูฟัสแทบจะไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงแปลกใจ  เขาคิดว่ามันอาจจะมีสาเหตุมาจากฟ่ง
   บางทีรูฟัสอาจจะมีปัญหากับฟ่ง
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะกับเรื่องนี้ดีรึเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อว่ารูฟัสจะหลงรักฟ่งจริงๆ  แต่มาถึงตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกนิดๆ แล้วว่า ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีคนนี้กำลังตกหลุมรัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆ หลายวัน โดยปกติรูฟัสจะต้องติดต่อขายข้อมูล หรือทำเรื่องบางอย่าง เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น นั่นจะทำให้เขาสามารถหลบหนีได้สะดวก เว่ยเฟิงปิงกลัวมาตลอดว่ารูฟัสจะติดต่อกับริเวิลหรือเว่ยจินหยินเพื่อขายข้อมูล หรือยุให้เกิดสงครามระหว่างแก๊ง ก่อนจะถึงเวลาอันสมควร  แต่ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อรูฟัสไม่เคลื่อนไหว และถึงกับยอมมาที่นี่ง่ายๆ
   ชายคนนี้คงตกหลุมรักจริงๆ
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงปรากฏรอยยิ้มสะใจเมื่อนึกว่านี่อาจจะเป็นกรรมตามสนองรูฟัส  ก่อนหน้านี้เขาหลงรักชายคนนี้อย่างหัวปักหัวปำ และทำทุกอย่างให้ ตอนนี้อาจจะถึงเวลาที่รูฟัสต้องทำแบบที่เขาเคยทำบ้าง แม้จะไม่ได้ทำให้เขา แต่อย่างน้อยเว่ยเฟิงปิงก็ยังรู้สึกสะใจ
   นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองคนนั่งถัดไป ชายหนุ่มผู้ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ ง่ายขึ้นมาก  เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจทักฟ่งก่อน  เขาคิดว่ามันส่งผลกระทบกับรูฟัสมากกว่าที่จะทักทายโดยตรง
   “สวัสดีฟ่ง นายเป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่า?”
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เว่ยเฟิงปิงทักเขา เขายิ้มแห้งๆ “ก็ดี”
   แล้วฟ่งก็พูดขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนเดินตามเข้ามาด้วย “คุณจางหายดีแล้วเหรอ?”
   “อืม” เว่ยเฟิงปิงช่วยตอบแทนให้ ก่อนจะนั่งปุลงบนเก้าอี้ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจรูฟัสที่นั่งอยู่เลย “หมอนี่อึดเป็นแมลงสาบ  ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในวันนี้ที่มีคนพูดแบบนี้กับเขา มันจะถือเป็นคำชมได้หรือเปล่า?
   หน้าของรูฟัสยิ่งบอกบุญไม่รับมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะเรียกร้องความสนใจ แต่การสนทนากันอย่างสนิทสนมของฟ่งและเว่ยเฟิงปิงทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก  ระหว่างสองคนนี้มีอะไรกันแน่?
   รูฟัสไม่อยากจะถาม ตอนนี้เขาอยากหิ้วเว่ยเฟิงปิงและลูกน้องด้านหลังไปฆ่าหมกไว้ที่ไหนสักแห่ง
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้ที่เคยทำให้เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
   “ไง รูฟัส  คุณกำลังหึงรึ?”
   “อืม” การตอบรับตรงๆ อย่างไม่มีอะไรจะพูดอีกของรูฟัส ทำให้ฟ่งต้องหันหน้าไปมองอย่างตกใจ
   “เธอคงไม่สั่งคนเอารถไปรับฉันเพื่อให้มาฟังบทสนทนาห่วยๆ แบบนี้หรอก ใช่ไหม?” รูฟัสเอ่ยต่อ ก่อนจะขยับตัวอย่างอึดอัดเต็มที่ เว่ยเฟิงปิงยิ้ม ก่อนจะพูดตอบ
   “ครับ  คุณเอาของที่ผมต้องการมารึเปล่า?”
   “เอามา” รูฟัสตอบห้วนๆ แต่ก็ยังไม่แสดงทีท่าอะไรต่อ จนเว่ยเฟิงปิงต้องพูดขึ้นอีก “ก็ส่งมาสิ”
   “ฉันเอามาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาให้เธอนี่” รูฟัสเอ่ยตอบ ทำหน้าบอกบุญไม่รับเหมือนเดิม  เว่ยเฟิงปิงมองหน้ารูฟัส ก่อนจะถอนหายใจ
   “ที่คุณเอาไปยังไม่พออีกหรือไง” เขาเอ่ย รูฟัสยักไหล่
   “ไม่เลย ฉันแค่มาเอาคนคืน เพราะอย่างนั้นเธอยังต้องคืนฉันมาอีกอย่าง”
   “อะไรล่ะ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถาม นึกไม่ออกว่ารูฟัสต้องการอะไรจากเขาอีก
   “พาสปอร์ตของฟ่ง” รูฟัสเอ่ยออกมาในที่สุด  เขาไม่กล้าหันหน้ามามองฟ่ง ด้วยกลัวจะได้เห็นสีหน้าดีใจที่เขาไม่อยากจะรับรู้ เว่ยเฟิงปิงร้องอ้อออกมาเสียงยาว
   “เรื่องนี้เอง  ถ้าผมไม่คืนให้ล่ะ?”
   “ก็ลองดูสิ” รูฟัสเอ่ย หน้าตายิ่งเหมือนรูปปั้นหินเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงรู้สึกสนุก เขาไม่คิดว่าการที่รูฟัสยอมมาที่นี่เพราะพาสปอร์ตของฟ่ง รูฟัสอยากจะส่งฟ่งกลับไทยงั้นหรือ? จากท่าทีที่เป็นอยู่คงไม่ใช่ บางทีหมอนี่อาจจะทนการรบเร้าของฟ่งไม่ไหว ทั้งๆ ที่ใจคงไม่อยากให้กลับไปเท่าไร  เว่ยเฟิงปิงทั้งรู้สึกอิจฉาและสะใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาอยากจะแกล้งรูฟัสต่ออีกสักหน่อย
   “ผมเผาทิ้งไปแล้วล่ะ”
   ฟ่งทำหน้าละห้อยทันที ในขณะที่รูฟัสเหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เว่ยเฟิงปิงอมยิ้ม
   “แต่ว่า ผมทำให้ใหม่ก็ได้นะ ขอยืมตัวฟ่งไปถ่ายรูปสักวันสองวันสิ”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ ขณะที่รูฟัสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน
   “เฟิงปิง” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงห้วน เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ
   “ผมล้อเล่นหรอก เดี๋ยวจะสั่งให้คนเอามาให้ ฟ่งจะได้กลับบ้านเสียที”
   ผู้ถูกเอ่ยถึงมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ผู้เจรจาต่อรองกลับมีสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม  เขารู้ว่าเว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะเอ่ยแดกดันเขา  ไม่นานนักพาสปอร์ตเล่มนั้นก็มาอยู่ในมือของเว่ยเฟิงปิง
   “เอาไปสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ก่อนจะวางพาสปอร์ตลงบนโต๊ะซึ่งตั้งคั่นอยู่ รูฟัสเอื้อมมือมาหยิบพาสปอร์ต พร้อมกับทิ้งแฟลตไดรฟ์อันหนึ่งไว้แทนที่ มันทำให้คนทั้งหมดรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่มีใครสังเกตเลยว่ารูฟัสหยิบของสิ่งนี้ออกมาจากตัวตั้งแต่เมื่อไร บางทีเขาอาจจะถือมันเขามาตั้งแต่แรก เว่ยเฟิงปิงใช้ให้จางซื่อเยี่ยนหยิบแฟลตไดรฟ์นั้นขึ้นมา และเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่
   “จะแน่ใจได้ยังไงว่าข้อมูลจะไม่ลบตัวเองหลังจากที่คุณกลับไปแล้ว” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเสร็จ ซึ่งกินเวลานานพอสมควร รูฟัสเลิกคิ้ว มองเว่ยเฟิงปิงเหมือนว่าคำถามนั้นโง่มาก
   “เธอจะทำก๊อปปี้ปริ๊นท์เก็บเอาไว้ระหว่างที่ฉันอยู่ก็ได้” เขาตอบ เว่ยเฟิงปิงหัวเราะเหมือนว่ารู้อยู่แล้ว รูฟัสขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ
   “ฉันกลับได้หรือยัง?” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “ได้  แต่ว่าทางที่ดีคุณควรจะรีบออกจากฮ่องกงไปให้เร็วที่สุด ดูเหมือนพวกริเวิลจะตามกลิ่นคุณเจอแล้ว”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินชื่อริเวิล
   “วุ่นวายดี ถ้าฉันไม่ไปคืนนี้เธอคงจะเก็บฉันด้วยสินะ”
   เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ “มันก็ช่วยไม่ได้นะครับ  ก็คุณเป็นคนสำคัญเสียขนาดนี้”
   รูฟัสถอนหายใจ และผุดลุกขึ้น ฟ่งมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล ริเวิลคืออะไร? แล้วทำไมรูฟัสต้องรีบออกจากฮ่องกงคืนนี้  เว่ยเฟิงปิงลุกขึ้นพลางเอ่ยสืบต่อ “ผมจะให้คนเอารถไปส่งคุณกลับที่พัก มันจะดีกับทางผมมากกว่า  แล้วก็....ฟ่ง”
   ฟ่งหันไปมองตามเสียงเรียก เว่ยเฟิงปิงยิ้มกว้าง
   “ถ้านายอยากกลับมาที่นี่  ฉันยินดีต้อนรับเสมอ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ ให้กับคำพูดของเว่ยเฟิงปิง และกล่าวขอบคุณ ขณะที่รูฟัสถลึงตาใส่อย่างประสงค์ร้าย  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องนำตัวทั้งคู่ออกไปส่ง
---------------------------------
   “ริเวลคืออะไรหรือ?” ฟ่งถามหลังจากรถแล่นไปได้พักหนึ่ง รูฟัสที่กำลังครุ่นคิดผงะเล็กน้อย ก่อนจะหันมาถามซ้ำอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ?”
   “ผมถามว่าริเวิลคืออะไร?”
   “ออ” ผู้ถูกถามลากเสียงยาว ก่อนจะพยายามลำดับคำตอบที่พอจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ง่าย
   “ริเวิลเป็นชื่อกลุ่มมาเฟียของที่นี่ เหมือนกับกลุ่มของเว่ยเฟิงปิงนั่นแหละครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า มองมาด้วยสายตาอยากรู้ ทำให้รูฟัสต้องอธิบายต่อ “สองกลุ่มนี้เป็นคู่แข่งกันน่ะ”
   “แล้วคุณเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
   รูฟัสพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ฝืนยิ้มให้ฟ่ง
   “ผมมีข้อมูลลับของสองกลุ่มนี้  เว่ยเฟิงปิงต้องการข้อมูลริเวิลจากผม ทางริเวิลก็ต้องการข้อมูลของตระกูลเว่ยจากผมเหมือนกัน”
   “ออ” ฟ่งเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงกล่าวว่ารูฟัสเป็นคนสำคัญ
   “แต่ว่า แบบนี้มันจะไม่ยุ่งหรือครับ ในเมื่อคุณให้ข้อมูลคุณเฟิงปิงไปแล้ว”
   “ยุ่งสิ” รูฟัสตอบ อยากจะยกมือขึ้นลูบหัวฟ่ง เขารู้สึกดีเวลาที่ฟ่งถามคำถามและตั้งใจฟังคำตอบ  นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมานั้นน่ารักจนอยากจะนั่งให้ถามไปตลอด
   “เพราะอย่างนั้นเขาถึงบอกให้ผมรีบออกไปจากฮ่องกงยังไงล่ะ เกิดผมถูกริเวิลจับได้ เฟิงปิงก็แย่ ถ้าผมไม่รีบออกเขาก็คงต้องเก็บผม”
   “เขาจะใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   รูฟัสยิ้ม คราวนี้เขายกมือขึ้นลูบหัวฟ่งเหมือนเด็กๆ
   “ใจร้ายสิ เฟิงปิงเป็นมาเฟียนะครับ โลกแบบนี้น่ะ ไม่มีใครยอมใครหรอก”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงเหมือนว่าจะรับรู้ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นสั่นไหว รูฟัสคิดว่าเขาทำให้ฟ่งรู้สึกกลัว จึงรีบพูดต่อ
   “แต่คงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ เพราะผมเองก็ไม่อยากตายเหมือนกัน”
   “แล้วผมจะได้กลับเมืองไทยรึเปล่า?” ฟ่งถาม น้ำเสียงนั้นดูจะเป็นกังวลมาก  รูฟัสนิ่งไปพักใหญ่ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะมีเวลาพอจะไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ฟ่งรึเปล่า และที่เป็นปัญหากว่านั้น ฟ่งจะปลอดภัยในการเดินทางหรือไม่ แล้วเขาจะมีโอกาสได้เจอฟ่งอีกไหม
   “ครับ ผมจะจัดการให้คุณได้กลับ”
   ฟ่งยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินคำตอบ รูฟัสตัดสินใจว่าการตามหาฟ่งที่เมืองไทยนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก  ยังไงก็ต้องทำให้แน่ในว่าฟ่งปลอดภัยก่อน  เขาต้องไปปรึกษาเรื่องนี้กับโจวยี่ แต่การจะใช้บริการรถของเว่ยเฟิงปิงให้ไปส่งที่นั่นคงไม่เป็นผลดีแน่ๆ ดังนั้นรูฟัสจึงปล่อยให้คนขับขับกลับไปส่งพวกเขาที่เดิม
   คนของเว่ยเฟิงปิงเดินตามมาส่งพวกเขาถึงในล็อบบีโรงแรม  ขณะที่กำลังเดินผ่านส่วนที่เป็นคอกเทลเลาจ์ บุรุษรูปร่างสูงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา
   “ดีใจจริงๆ ที่เจอแกก่อน” ผู้ที่เดินเข้ามาคือโจวยี่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเขาก็ลากพวกรูฟัสเข้าไปที่มุมเลาจ์ ซึ่งมีโต๊ะตั้งอยู่ ก่อนจะบอกให้ทั้งคู่นั่ง
   “พวกริเวิลตามหาแกให้ควั่ก ลามไปถึงบ่อนของฉันด้วย” โจวยี่เริ่มเล่าด้วยเสียงเบาแทบจะกระซิบ  รูฟัสเบิ่งตากว้าง ส่วนฟ่งมองอย่างงุนงง
   “แกต้องไม่อยู่ที่ฮ่องกงคืนนี้ เข้าใจนะ ฉันติดต่อกับราฟาแอลแล้ว  ทางนั้นบอกให้แกบินต่อไปที่ฮังการี่เลย หมอนั่นรออยู่”
   “อะไรนะ แกติดต่อกับราฟี่เหรอ!?” รูฟัสอุทานอย่างไม่เชื่อหู โจวยี่โบกมือให้อีกฝ่ายสงบลง
   “ฉันรู้ว่าแกห้ามไม่ให้ฉันติดต่อ แต่นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย ริเวิลกับตระกูลเว่ยอาจจะทำสงครามกันเพราะต้องการตัวแกเร็วๆ นี้ ฉันไม่มีทางเลือก จะบอกแกก่อน พวกริเวิลก็จับตาดูฉันเสียแน่นหนา กว่าจะหลบออกมาได้วุ่นวายพอดู เพราะฉะนั้นฉันกับแกมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก  เอ้า! นี่ตั๋ว”
   โจวยี่หยิบซองสีขาวขึ้นมาแล้วยัดใส่มือของรูฟัส  รูฟัสหยิบมาเปิดออกดูและพบว่ามันเป็นตั๋วเครื่องบินสองใบ เขาขมวดคิ้ว
   “เอาแฟนแกไปด้วย” โจวยี่พูดต่อ
   “แต่ว่า ฟ่งต้องกลับไทย” รูฟัสกล่าว โจวยี่ทำหน้าเหมือนฟ้าถล่มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น  เขาครางออกมา
   “โอย.. นี่ตกลงแกโง่กะทันหันหรือว่าฟั่นเฟือนมานานแล้วมิทราบ อะไรที่คุณชายเจ็ดรู้ แกคิดว่าพวกริเวิลจะไม่รู้หรือไง คิดว่าแฟนแกจะกลับคนเดียวได้อย่างปลอดภัยงั้นรึ หรือว่าแกจะไปส่ง? แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าปลอดภัย?”
   รูฟัสนิ่งอึ้ง  เขากลับไปส่งฟ่งที่ไทยได้ แต่ว่า หลังจากนั้นล่ะ ไม่มีอะไรประกันว่าทางนี้จะไม่ตามไปราวีฟ่งถึงประเทศไทย แล้วเขาจะทำยังไง ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างคิดไม่ตก
   ฟ่งที่นั่งฟังอยู่อย่างงุนงง เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
   เขามองไปทางโจวยี่ ผู้ชายซึ่งเขาเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนของรูฟัส เพราะพบกันที่โรงพยาบาล
   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก หมอนี่มันเป็นตัวยุ่ง  ก็เลยต้องรีบออกไปให้พ้นๆ ส่วนเธอที่มากับตัวยุ่ง ก็ต้องตามไปด้วย แค่นั้นแหละ”
   “หา!” ฟ่งร้องอย่างงุนงง ขณะที่รูฟัสถลึงตาใส่เพื่อนที่ให้คำจำกัดความไปแบบนั้น
   “แต่ว่า ผมต้องกลับบ้าน”
   โจวยี่ทำหน้าเหมือนที่ทำกับรูฟัส ก่อนจะพูดเสียงหวาน
   “ฟังนะ คุณหนู เธอจะกลับบ้านก็ได้ แต่เธออาจจะถูกจับกลับมาที่นี่อีก  แล้วเธอคิดว่าหมอนี่จะยอมหรือไง”
   ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส ที่กำลังทำหน้าบอกไม่ถูก
   “หมายความว่ายังไงน่ะ รูฟัส  ทำไมผมถึงต้องถูกจับกลับมาที่นี่อีก?”
   “เพราะเธอเกี่ยวข้องกับหมอนี่” โจวยี่ช่วยตอบแทนให้ “อะไรที่เว่ยเฟิงปิงจับมาแล้วทำให้รูฟัสยอมถ่อเอาตัวเองไปแลกได้ขนาดนี้ ริเวิลก็ต้องทำเหมือนกันแหละ”
   ฟ่งหันไปมองรูฟัสอีกครั้งด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าที่โจวยี่พูดนั่นจริงหรือเปล่า รูฟัสพยักหน้า “ขอโทษนะครับ  แต่ช่วยไปฮังการีกับผมเถอะ แล้วผมจะหาทางพาคุณกลับบ้าน”
   ฟ่งนั่งอึ้ง นี่เขาต้องตามรูฟัสไปฮังการีหรือ เพราะอะไร? เพราะเขาเกี่ยวข้องกับรูฟัส เลยต้องถูกตามล่าด้วยอย่างนั้นหรือ? ฟ่งไม่รู้ว่าริเวิลเป็นยังไง แต่ถ้าโดนจับมาแบบนี้อีก เขาคงไม่รู้สึกยินดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นฟ่งก็ยังลังเล
   “แกจะคุยกับราฟี่หน่อยไหม หมอนั่นบอกว่าถ้าเจอแกแล้วให้โทรกลับ” โจวยี่เอ่ยคั่นจังหวะเมื่อเห็นว่าฟ่งยังต้องใช้เวลาตัดสินใจอีกสักพัก รูฟัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดเครื่อง
   เสียงด่าทอเป็นภาษาฮังกาเรียนดังขึ้นทันทีโดยที่เขายังไม่ทันจะขยับปากพูด รูฟัสยกโทรศัพท์ออกจากหู ก่อนจะแนบมันลงไปอีกครั้งและกรอกภาษาฮังกาเรียนกลับไป
   “ถ้าเรื่องแตกก็เพราะคุณนั่นแหละราฟี่ หัดหุบปากไม่ได้หรือไง?!”
   เสียงปลายสายโวยวายอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเบาลง รูฟัสส่งเสียงอืม อืม อยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็วางสาย
   “หูแตกเลยไหม?” โจวยี่ถามเสียงเย้า รูฟัสถลึงตาใส่แทนคำตอบ
   “ดูเหมือนหมอนั่นจะไปก่อเรื่องยุ่งไว้ที่ไทย ก็แย่พอกันล่ะวะ” รูฟัสเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเชิงประชด เขาหันไปมองฟ่ง เพื่อรอว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร  ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส
   “ถ้าผมไปฮังการีแล้วคุณจะหาทางพาผมกลับบ้านจริงๆ นะ”
   รูฟัสพยักหน้า “ครับ  ผมสัญญา”
   “อื้อ” ฟ่งส่งเสียงรับอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก โจวยี่ถอนหายใจ
   “เป็นอันว่า พวกนายสองคนตกลง  เดี๋ยวฉันจะขับรถพาไปส่งที่สนามบิน  แกไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์แปด ซินปินรอแกอยู่ ฉันแจ้งไปแล้วว่าจะมีคนเพิ่ม”
   “อืม” รูฟัสรับคำ หันไปมองหน้าฟ่ง ฟ่งหันไปมองหน้าเขา โจวยี่จึงเอ่ยต่อ
   “โรงแรมฉันเช็กเอาท์ให้พวกแกแล้ว ส่วนกระเป๋าก็คิดว่าคงไม่ต้องเก็บ เพราะคงไม่ได้พากันมาสักใบ”
   เขากล่าวพร้อมกับสะกิดให้ทั้งสองคนลุกขึ้น  แล้วทั้งหมดก็เดินออกไปจากเลาจ์นั้นอย่างเงียบๆ
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโล่งใจที่เว่ยเฟิงปิงได้ข้อมูลลับนั่นมาในที่สุด เขาเดินไปที่ห้องอย่างสบายใจ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อไม่สามารถเปิดประตูห้องเข้าไปได้ จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  พยายามขยับกุญแจอีกหลายรอบ ดูเหมือนจะมีใครมาเปลี่ยนกลอนประตูใหม่ระหว่างเขาไม่อยู่ ขณะที่กำลังพยายามไขประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย อาเง็กก็เดินลงมาพอดี
   “อ้าว พี่จาง เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณชายไม่ได้บอกพี่หรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนหันไปมองลูกน้องอย่างสงสัย อาเง็กจึงพูดต่อ “เมื่อวานคุณชายบอกให้เก็บของพี่ออก เห็นว่าจะย้ายห้องให้”
   “แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณชายย้ายข้าวของฉันไปไว้ที่ไหน?”
   อาเง็กส่ายหน้า “คุณชายใช้ให้คนในแผนกของอาฉินย้าย ผมเลยไม่กล้าถาม”
   “อา...” จางซื่อเยี่ยนครางเสียงยาว และถามต่อ “แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าคุณชายจะย้ายฉันกลับไปที่หน่วยดำ”
   “ไม่เห็นคุณชายพูดถึงนี่” อาเง็กว่า จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว เว่ยเฟิงปิงจะต้องเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่แน่ๆ  บอกว่าจะย้ายเขากลับหน่วยดำ แล้วขนของเขาออกไปจากห้อง แถมยังเปลี่ยนกลอนประตูอีก นี่กะจะให้เขาออกไปจากที่นี่จริงๆ เลยหรือไง
   “คุณชายกลับไปที่ห้องหรือยัง?”   เขาถาม อาเง็กพยักหน้า และพูดต่อ “ถ้าเรื่องของผมโทรถามอาปิงให้ก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณชายด้วย”
   อาเง็กพยักหน้า  มองตามหลังลูกพี่ไป พลางนึกสงสัยว่า เจ้านายกับลูกพี่ของเขากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่
-----------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:40:16
บทที่24 เส้นกั้นบางๆ
   เสียงเคาะประตูดังขึ้นขณะที่เว่ยเฟิงปิงก้าวออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สงสัยว่าใครที่กล้าเข้ามารบกวนเขาในเวลาเช่นนี้  หลังจากมองลอดตาแมว เว่ยเฟิงปิงพบว่าตัวเองคาดไว้ไม่ผิดนัก จางซื่อเยี่ยนมาเคาะประตูห้อง คงเพราะเรื่องของในห้องที่ถูกย้ายออกกับกุญแจที่ไขไม่ได้แน่ๆ  เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เอาผ้าขนหนูพาดบ่า เพื่อแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังมารบกวน
   ทันทีที่ประตูเปิดออก จางซื่อเยี่ยนเผลอกลืนน้ำลายตัวเองไปเฮือกหนึ่ง มันทำให้เขาตระหนักทันทีว่ากำลังรบกวนเวลาส่วนตัวของเจ้านาย หยดน้ำเล็กๆ ที่เกาะอยู่บนเรือนผมสีดำนั้นทำให้จางซื่อเยี่ยนลืมไปเสียสนิทว่าเขามาเคาะประตูห้องนี้ด้วยเหตุผลอะไร
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขบขันกับใบหน้าที่ดูจะแตกตื่นและตกใจของจางซื่อเยี่ยน  ทั้งๆ ที่โดยปกติเขาก็มักจะแต่งตัวแบบนี้ให้จางซื่อเยี่ยนได้เห็นอยู่แล้ว นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตสีหน้าของลูกน้องคนนี้ชัดๆ
   ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนักหนา
   “มีธุระอะไร?” ชายหนุ่มพยายามทำให้น้ำเสียงนั้นดูเย็นชามากกว่าขบขัน ดูเหมือนหุ่นยนต์ตรงหน้าจะสะดุ้งนิดหน่อย
   “ขออภัยที่รบกวนเวลาครับ” นั่นคือประโยคแรกที่จางซื่อเยี่ยนเอ่ย  มันช่างซ้ำซากสิ้นดี เว่ยเฟิงปิงคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเอ่ยประโยคทำนองนี้ออกมา  แต่ว่าท่าทีประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็น
   “ไม่เป็นไร เข้ามาก่อนสิ”
   เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจทดลองเชิญลูกน้องเข้ามาในห้อง เขาอยากรู้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร โดยปกติจางซื่อเยี่ยนมักจะเดินเข้ามาในห้องเขาเพื่อแจ้งข่าวคราวและรายงานเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนขึ้นมาเพราะเรื่องของตัวเอง
   ชายหนุ่มผู้รวบผมไว้ด้านหลังมีท่าทีอึกอักอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้านายจะอนุญาตให้เขาเข้าไปในห้อง ทั้งๆ ที่แต่งตัวแบบนั้น จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาพบเว่ยเฟิงปิงในสภาพคล้ายคลึงกับแบบนี้หลายครั้ง แต่ความรู้สึกตอนนี้แตกต่างออกไป ชายหนุ่มบอกไม่ได้ว่าแตกต่างอย่างไร ถึงอย่างนั้นในที่สุดเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
   “ปิดประตูด้วย” เว่ยเฟิงปิงสั่ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าและปิดประตูอย่างเงอะๆ งะๆ นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนุก
   “ตกลงมีธุระอะไร?” ผู้เป็นเจ้านายถามซ้ำ และยกผ้าขนหนูขึ้นเช็ดศีรษะ จางซื่อเยี่ยนมองเจ้านายของเขาอย่างงุนงง  เพราะเว่ยเฟิงปิงไม่เคยทำตัวตามสบายแบบนี้ต่อหน้าเขามาก่อน  ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักใหญ่กว่าจะตั้งสติได้
   “ผมมาเรียนถามเรื่องย้ายห้อง”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว ยังคงไม่ละมือจากการเช็ดผม
   “ฉันไม่อยากให้นายวุ่นวายตอนย้ายออก ก็เลยให้คนส่งของนายไปไว้ที่หน่วยดำแล้ว”
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนเรียกเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อหู แต่เว่ยเฟิงปิงไม่สนใจ เขาโยนผ้าขนหนูพาดไว้บนราวพาด และหยิบไดร์ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาเป่าผม
   เสียงเครื่องเป่าผมทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เขารอให้เจ้านายจัดการผมเสร็จจึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง
   “ตกลงคุณชายจะย้ายผมกลับไปที่หน่วยดำจริงๆ หรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงหันมาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “นายคิดว่าฉันพูดจาล้อเล่นหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง เขาอ้าปากอยู่นาน  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนอาจจะกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดประโยคอะไรต่อ
   “ทำไมถึงต้องเป็นผม..” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง เขารู้ว่าตัวเองก่อเรื่องผิดพลาด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะย้ายเขาเพราะเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ทำความดีความชอบเอาไว้หลายอย่าง จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาอาจจะหลงตัวเองอยู่นิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
   “ทำไมถึงต้องเป็นนาย? แล้วทำไมฉันจะย้ายนายไม่ได้ล่ะ  ในเมื่อฉันอยากจะย้ายนายไปให้พ้นๆ มานานแล้ว”
   “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยหรือ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ย และรู้สึกในตอนนั้นว่าเขาไม่ควรจะถามออกไป  เพราะคำตอบนั้นตัวเขาเองก็ย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
   “ใช่  ในเมื่อนายรู้แล้ว จะอยู่ต่อไปทำไม?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุด  แม้จะเผชิญกับเรื่องทำนองนี้มาหลายครั้ง แต่จางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกว่าครั้งนี้มันช่างไร้เหตุผลและเกินจะทน  แต่ว่า....เขาจะทำอะไรได้ล่ะ
   “นายขึ้นมาที่นี่เพื่อจะถามแค่นี้หรือ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยต่อหลังจากเห็นอีกฝ่ายเงียบ  จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เผยให้เห็นเรียวขาอ่อนสีขาวผ่องที่ถูกแสงไฟสลัวสีแดงโลมไล้  และลึกเข้าไปนั่น มีเพียงแค่ปลายเสื้อคลุมและเงาดำนิดหน่อยปกปิดไว้
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาควรจะบอกเจ้านายดีไหมว่าท่านั่งไม่เรียบร้อย แต่เว่ยเฟิงปิงคงไม่ถูกใจนัก ชายหนุ่มตัดสินใจหันหลังกลับ เขาคิดว่าควรเข้ามาคุยกับเจ้านายใหม่พรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า
   “จะไปล่ะรึ? จะให้ฉันบอกอาเง็กให้คนไปส่งนายที่หน่วยดำรึเปล่า?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักมาจากด้านหลัง  จางซื่อเยี่ยนชะงักอีกครั้ง
   “ไม่มีที่ให้นายนอนที่นี่หรอกนะ  ถ้าจะออกไปก็กลับหน่วยดำไปเลย”
   แวบนั้นจางซื่อเยี่ยนรู้สึกตัวว่า เว่ยเฟิงปิงกำลังไม่พอใจเขาอยู่แน่ๆ เขาไปทำอะไรให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขุ่นเคืองหรือเปล่า
   ชายหนุ่มตัดสินใจหันหน้ากลับมาอีกครั้ง เขาไม่อยากถูกส่งกลับไปหน่วยดำทั้งแบบนี้  จางซื่อเยี่ยนหลีกเลี่ยงที่จะมองไปยังเจ้านายโดยตรง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงก้มลงมองพรมที่เว่ยเฟิงปิงเหยียบอยู่แทน
   “ผมขอโทษ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วกับคำพูดของจางซื่อเยี่ยน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกขบขันในความหงุดหงิด ดูมิสเตอร์โรบอทจะเงอะๆ งะๆ พิกล การขู่ว่าจะย้ายไปหน่วยดำส่งผลกระทบกระเทือนกับระบบการทำงานขนาดนี้เชียวหรือ
   “นายขอโทษฉันเรื่องอะไร?” ชายหนุ่มถามกลับ จางซื่อเยี่ยนนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ เว่ยเฟิงปิงไม่พอใจเรื่องอะไรเขากันแน่นะ? ก่อนหน้านี้เขาก็เข้าไปช่วยเจ้านายเอาไว้จนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือว่าเป็นเรื่องในคืนนั้น?!
   ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังเกิดกับเขาต้องมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ผิดพลาดในคืนนั้นแน่ๆ
   “ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณไปวันก่อน” เขากล่าว และหวังว่าจะได้รับคำให้อภัยจากผู้เป็นนาย แต่คำตอบของเว่ยเฟิงปิงยิ่งสร้างปัญหาให้กับสมองของจางซื่อเยี่ยนมากขึ้น
   “นายล่วงเกินฉันเรื่องอะไรมิทราบ?”
   “ก็คืนนั้นที่ผมพูดกับคุณ...” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยค้างไว้แค่นั้น เพราะเว่ยเฟิงปิงแย่งพูดขึ้นมาเสียก่อน
   “ถ้านายคิดว่าสิ่งที่นายทำคืนนั้นคือการล่วงเกินฉันล่ะก็  รีบๆ ไสหัวออกไปเลย”
   “?” จางซื่อเยี่ยนเงยหน้ามองเจ้านายของเขาด้วยความแปลกใจ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง เมื่อเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยชุดคลุมอาบน้ำเพียงหลวมๆ นั่นทำให้เขาลืมเรื่องที่จะพูดไปพักหนึ่ง
   “คุณไม่ได้โกรธผมเรื่องนั้นหรอกหรือ?” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด และตัดสินใจว่าควรจะกลับไปมองพรมเหมือนเดิม เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจออกมาดังๆ อย่างหงุดหงิด
   “นายนี่มันโง่บริสุทธิ์หรือไงนะ ถ้าฉันไม่พูดตรงๆ นายจะไม่เข้าใจเลยใช่ไหม?!”
   จางซื่อเยี่ยนเผลอพยักหน้า ตอนนี้เขาไม่เข้าใจอะไรเลยซักอย่าง ไม่รู้ว่าเจ้านายของเขาต้องการอะไรกันแน่  เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง  และลงความเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนโง่จริงๆ
   “นายถ่อขึ้นมาถึงบนนี้เพราะเรื่องที่ฉันจะย้ายนายกลับหน่วยดำ  ทำไมนายถึงเดือดร้อนกับเรื่องนี้นัก นายไม่อยากไปจากฉัน?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขาไม่อยากไปจากเว่ยเฟิงปิงจริงๆ เสียงถอนหายใจของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้นอีก
   “ทำไมนายถึงไม่อยากไปจากฉัน ทั้งๆ ที่ฉันอยากให้นายไปให้พ้นๆ ทำไมถึงต้องหน้าด้านหน้าทนเดินขึ้นมา นายก็เห็นว่าฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็ยังจะเข้ามาอีก”
   “ก็คุณให้ผมเข้ามา!” จางซื่อเยี่ยนค้านเสียงหลง เขาเริ่มเดาอารมณ์ของเจ้านายไม่ออก ตกลงเว่ยเฟิงปิงต้องการอะไรจากเขากันแน่
   “นายทำให้ฉันหงุดหงิด นายพูดไม่รู้เรื่อง!” เว่ยเฟิงปิงยังคงใส่ต่อ ถึงตอนนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่ามันเริ่มจะเกินความอดทนแล้ว
   “ผมไม่รู้ว่าคุณโกรธอะไรผมกันแน่  ผมจะไปรู้ได้ยังไง!”
   “นายนี่มันโง่ นี่ตกลงฉันมีลูกน้องโง่ๆ อย่างนายมาได้ยังไงถึงสี่ปีนะ”
   “ก็ผมมันโง่!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองทำผิด
   “ผมขอโทษ” เขาพูดเสียงอ่อน เว่ยเฟิงปิงมองเขา และเบาน้ำเสียงลง
   “ช่างเถอะ ฉันเพิ่งเคยเห็นนายมีอารมณ์ตอบโต้ก็วันนี้แหละ คิดว่านายไม่มีความรู้สึกเสียอีก”
   “ผมก็เป็นคนเหมือนกันนะ” จางซื่อเยี่ยนร้องค้านออกไป เป็นครั้งแรกที่เขามีปากเสียงกับเว่ยเฟิงปิง
   “ทำไมนายถึงไม่อยากไปจากฉันขนาดนี้?” เว่ยเฟิงปิงวกกลับมาที่คำถามเดิม จางซื่อเยี่ยนเงียบไปอีก เขาควรจะตอบเจ้านายเขาว่าอย่างไรดี
   “คุณสำคัญกับผม” เขาพูดออกมาในที่สุด จางซื่อเยี่ยนคิดว่าคำคำนี้อธิบายความรู้สึกของเขาได้ทั้งหมด แต่ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงยังไม่พอใจกับคำตอบ
   “นายเคยบอกฉันแล้ว ฉันอยากรู้ว่าฉันสำคัญกับนายแบบไหน?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปอีก  เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนสำคัญ แต่สำคัญแบบไหน จางซื่อเยี่ยนอธิบายไม่ถูก
   “คุณสำคัญที่สุด” ชายหนุ่มสรุปความคิดของตัวเองออกไปแบบนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากคืนที่เขาหลุดคำพูดพวกนี้ออกไปเลย เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจซ้ำอีก
   “ฉันอยากให้นายระบุว่าสำคัญแบบไหน แบบเพื่อน? แบบเจ้านาย? หรือแบบคนรัก?”
   ท่อนสุดท้ายดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงลังเลที่จะพูด จางซื่อเยี่ยนเองก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน
   “คุณเป็นเจ้านายผม..” เขาเอ่ยค้าง และรู้สึกว่ามันไม่ได้ตรงกับใจจริงๆ เท่าไรนัก เว่ยเฟิงปิงเยียดขาออก และลุกขึ้นยืน
   “เพราะฉันเป็นเจ้านาย เลยสำคัญอย่างนั้นเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนผงกศีรษะ เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าเข้ามา
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านายล่ะ  ถ้าฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้านายเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ฉันจะยังสำคัญกับนายรึเปล่า?” ผู้เป็นเจ้านายเดินเข้ามาจนเกือบจะชน จางซื่อเยี่ยนถึงกับต้องผงะถอยหลัง เมื่อใบหน้าเรียวยาวนั้นยื่นเข้ามาใกล้
   “ตอบฉันสิ” ริมฝีปากบางเอ่ย มันใกล้จนแทบจะสัมผัสได้ หัวใจของจางซื่อเยี่ยนเต้นแรง  เขายกมือขึ้น เกือบจะเผลอตัวกอดร่างที่ยืนเบียดอยู่ แต่สติสัมปชัญญะยังคงทำงานและบอกให้เขาลดมือลง
   “อืม...สำหรับผม คุณคือคนที่สำคัญที่สุด”
   “เหรอ..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย นัยน์ตาสีฟ้าที่ช้อนมองขึ้นมานั้น หากไม่คิดไปเอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่ามันช่างดูออดอ้อน ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลาย
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านาย นายจะทำยังไงกับฉัน?” เว่ยเฟิงปิงเบียดร่างเข้ามาใกล้อีก ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจและไออุ่น จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังจะสติหลุด เขาภาวนาให้เจ้านายถอยออกไปโดยไว เพราะเขาคงไม่มีปัญญาจะถอยออกไปได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว ร่างกายขาวผ่อง ริมฝีปากแดงบาง และนัยน์ตาออดอ้อนนั้นตรึงเขาไว้ราวกับตอกเสาเข็ม
   “ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านาย ผมคงไม่ปล่อยให้คุณยืนอยู่แบบนี้” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยหลังจากที่มองดูใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “นายเกลียดฉันมากหรือไง?”
   “เปล่าครับ  ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านาย...”
   จางซื่อเยี่ยนพูดไม่จบประโยค เขามองใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง มองริมฝีปากที่อยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสได้
   “ถ้าฉันไม่ใช่เจ้านายแล้วนายจะทำอะไร?”
   “ผม...”
   จางซื่อเยี่ยนก้มหน้าลง แนบริมฝีปากลงกับริมฝีปากบางนั่นเบาๆ กลิ่นหอมของสบู่หลังจากการอาบน้ำที่ชอนไชเข้ามาในจมูกยิ่งทำให้ชายหนุ่มประคองสติไม่อยู่ เขาแนบริมฝีปากลงไปแน่นขึ้น ก่อนจะล้วงลิ้นลงไปอย่างกระหาย
   เว่ยเฟิงปิงตะกายกอดไหล่กว้างของผู้เป็นลูกน้องอย่างลืมตัว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ารุกเร้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้  จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวของเว่ยเฟิงปิงเข้ามากอด ลืมเรื่องปวดแผลไปเสียสนิท ชายหนุ่มดื่มด่ำอยู่กับริมฝีปากบางในฝันนั้นเป็นเวลานานจนอีกฝ่ายเริ่มส่งเสียงคราง
   ร่างสูงถอนริมฝีปากออก  ริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงยิ่งแดงมากว่าก่อนหน้านี้เพราะรสจูบเมื่อครู่ นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ปรือ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฝาด แล้วยังเสียงหอบหายใจและไออุ่นจากร่างกายอีก จางซื่อเยี่ยนก้มลงจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ อีกครั้ง  และเริ่มไซ้ไปตามซอกคอของผู้เป็นนาย
   เว่ยเฟิงปิงเกาะไหล่จางซื่อเยี่ยนแน่น  เหตุการณ์ในตอนนี้จริงๆ ผิดความคาดหมายไปหน่อย  แต่ว่ามันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น ชายหนุ่มร้องครางออกมาเบาๆ เมื่อจางซื่อเยี่ยนจูบลงบนซอกคอและลูบไล้เรือนผมนิ่มลื่น  เว่ยเฟิงปิงเบียดร่างของตัวเองแนบเข้าไปอีก ราวกับอยากจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย  จางซื่อเยี่ยนเลื่อนมือลงไปสัมผัสกับสะโพกที่กำลังเบียดเข้ามา และเริ่มโลมลูบอย่างเบามือ
   ร่างบางอ้าปากขบใบหูของอีกฝ่ายอย่างซุกซน  นั่นทำให้จางซื่อเยี่ยนผละจากซอกคอและหันมาสนใจกับริมฝีปากบางนั้นอีกครั้งหนึ่ง
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางด้วยความพอใจกับรสจูบที่ได้รับ การเล้าโลมที่สะโพกก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ตอนนี้ร่างผอมบางในชุดคลุมอาบน้ำแทบจะละลายอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเจ้านายเข้ามาแนบมากขึ้น และค่อยๆ ขยับตัวจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงบนเตียง
   เขาประคองร่างของเว่ยเฟิงปิงให้นอนลงอย่างเบามือ และค่อยๆ เปลื้องเสื้อคลุมอาบน้ำที่ห่อหุ้มอยู่ออก ร่างบางขยับตัวหนีอย่างเอียงอาย นั่นทำให้อีกฝ่ายยิ่งคลั่ง ไม่ว่าเว่ยเฟิงปิงจะทำอะไรตอนนี้ ล้วนแต่กระตุ้นอารมณ์ของเขาทั้งสิ้น และเหมือนว่าร่างบางที่นอนอยู่จะรู้เสียด้วยว่าตัวเองมีอิทธิพลขนาดไหน
   เว่ยเฟิงปิงเบียดขาอ่อนเข้าหากันเพื่อไม่ให้จางซื่อเยี่ยนมองส่วนที่น่าอับอายของตนได้ชัดนัก ซึ่งความจริงแล้ว เขาไม่ได้กังวลกับมันเท่าไร ชายหนุ่มเพียงแค่อยากจะยั่วอารมณ์ของอีกฝ่ายเท่านั้น
   ผู้เป็นลูกน้องมองเรือนร่างเจ้านายของตนอย่างลุ่มหลง แม้ว่าเขาจะเปลือยร่างนั้นแล้ว แต่เมื่อเจ้านายของเขาแสดงอาการไม่ต้องการให้เขายุ่งกับส่วนสงวน จางซื่อเยี่ยนก็ไม่กล้าจะรุกต่อ
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเสียอารมณ์เล็กน้อยเมื่อฝ่ายตรงข้ามชะงัก  เขาควรต้องทำใจว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี้โง่เกินกว่าที่จะเสียเวลาไปโมโหด้วย  ร่างบางเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออก
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายเขาทำเช่นนั้น เขารีบปลดกระดุมเสื้อของตัวเองต่อจากเว่ยเฟิงปิงทันที  ด้วยความคิดที่ว่าเจ้านายของเขาไม่ควรทำแบบนี้  เว่ยเฟิงปิงเม้มปาก  ถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ระวังตัว  กระชากคอเสื้อของจางซื่อเยี่ยน ดึงร่างนั้นล้มลงมา
   จางซื่อเยี่ยนล้มคะมำลงบนเตียง กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้านายก็ขึ้นคร่อมอยู่บนตัวของเขาแล้ว  เว่ยเฟิงปิงยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า และเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเขาต่ออย่างสบายอารมณ์
   ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหวั่นใจเป็นอย่างมาก  เขาคิดว่ากำลังตกอยู่ในเกมหรือการละเล่นอะไรซักอย่าง ชายหนุ่มไม่กล้าขยับตัว เขาปล่อยให้เจ้านายเขาปลดกระดุมจนหมด และถอดเสื้อออก
   เว่ยเฟิงปิงมองร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งนอนอยู่เบื้องล่างด้วยสายตาซึมเซา  ความคึกคักที่มีเมื่อครู่กลับมลายหายไปหมด บางทีอาจจะเพราะทีท่าที่ดูจะไม่มีการขัดขืนหน้ำซ้ำดูเหมือนจะเกร็งด้วยซ้ำของอีกฝ่าย  เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงไปใกล้ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยน  มองเข้าไปในดวงตาสีอีกานั้น ก่อนจะเอ่ยปากถาม “นายชอบฉันจริงๆ รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะถามคำถามนี้อีก เขาอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ แล้วก็ลุกออกจากเตียงไปทั้งอย่างนั้น  เล่นเอาผู้เป็นลูกน้องถึงกับต้องโพล่งออกมา “จะไปไหน?”
   นัยน์ตาสีฟ้านั่นเหลือบมามองอย่างหน่ายๆ “ก็นายไม่มีอารมณ์”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:40:38
   จางซื่อเยี่ยนลุกพรวดขึ้นทันที ดึงตัวของเว่ยเฟิงปิงกลับมาด้วยสัญชาตญาณ  ร่างบางขมวดคิ้ว มองหน้าอีกฝ่าย
   “ถ้าผมมีอารมณ์แล้วคุณจะยอมผมเหรอ?” ชายหนุ่มถาม  เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองจางซื่อเยี่ยนอย่างโมโห ก่อนจะพูดกระชากเสียง “นายนี่โง่หรือตาบอดกันแน่!”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้างด้วยความแปลกใจ  และรั้งร่างนั้นเข้ามากอด
   “ขอโทษครับ ผมแค่แปลกใจ”
   “ปล่อยฉันนะ!” เว่ยเฟิงปิงดิ้น พยายามแกะมือแกร่งที่โอบร่างเอาไว้ออก แต่ดูเหมือนลูกน้องของเขาจะไม่ยอมง่ายๆ แบบที่ผ่านมา จางซื่อเยี่ยนไม่เพียงไม่ยอมปล่อยตามคำสั่ง ยังขบติ่งหูของเว่ยเฟิงปิงเบาๆ และเริ่มไซ้ซอกคอของเจ้านายอีกครั้ง  ร่างบางส่งเสียงครางอย่างพอใจ แต่ก็ไม่วายขยับตัวหนีเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงต่ำ จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  เขาตัดสินใจอุ้มเจ้านายกลับไปที่เตียง และกดแขนของอีกฝ่ายไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะจัดการสำรวจเรือนร่างขาวผ่องนั้นอย่างละเอียดด้วยปลายจมูกและริมฝีปาก
   “นายชอบฉันขนาดไหน?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากถามหลังจากที่ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนจูบอีกครั้ง
   “ชอบจนโง่เลยล่ะครับ”
   คำตอบนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ “ฉันคิดว่านายโง่อยู่แล้วเสียอีก”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว  แลบลิ้นเลียซอกคอจนเว่ยเฟิงปิงร้องคราง แล้วจึงตอบคำถาม
   “ผมชอบคุณจนไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกันแน่  คุณคงไม่เข้าใจ”
   “อืม.. ฉันไม่เข้าใจหรอก” เว่ยเฟิงปิงตอบ เอื้อมมือโอบอีกฝ่ายเข้ามาหา และจูบกลับเบาๆ จางซื่อเยี่ยนเลยล้มตัวลง กดร่างนั้นไว้กับเตียง พร้อมกับประโลมจูบเร่าร้อนเป็นการตอบแทน
   ร่างบางร้อนผ่าวราวกับโดนไฟเผา เสียงครางแสนรัญจวนดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อส่วนอ่อนไหวถูกสัมผัส  จางซื่อเยี่ยนเม้มริมฝีปากลงบนยอดอกสีชมพูที่ชูชันอย่างยั่วยวน และใช้ปลายลิ้นกระตุ้นให้มันยิ่งตื่นตัวมากขึ้น เว่ยเฟิงปิงบิดร่างด้วยความเสียวซ่าน เมื่ออุ้งมือของอีกฝ่ายเริ่มลูบไล้ส่วนบ่งบอกความเป็นชายของเขา ไอร้อนผ่าวที่ถ่ายทอดผ่านฝ่ามือและการขยับอย่างต่อเนื่องทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มพุ่งสูง ไม่นานนักของเหลวสีขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมา
   จางซื่อเยี่ยนมองดูร่างผอมบางของเจ้านายที่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยความลุ่มหลง เว่ยเฟิงปิงตอนนี้ยั่วยวนอย่างที่สุด ร่างที่ผ่อนคลายหลังจากเสร็จกิจไม่มีมารยาใดๆ ทั้งสิ้น  บุรุษผู้ซึ่งยามปกติเต็มไปด้วยพิษสงราวกับงูร้าย ตอนนี้กำลังส่งเสียงครางอย่างพอใจ ใบหน้าสีแดงระเรื่อ และร่างที่อ่อนปวกเปียก นัยน์ตาสีฟ้าหยาดเยิ้มที่ปรือตามองมานั้น แทบจะทำให้จางซื่อเยี่ยนเป็นบ้า
   “ขอเข้าไปนะครับ” เขากระซิบข้างหูเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืมในลำคอ จางซื่อเยี่ยนจึงค่อยๆ สอดนิ้วมือที่เปื้อนของเหลวนั้นเข้าไปในส่วนอ่อนไหวด้านหลัง
   แรกๆ เว่ยเฟิงปิงเกร็งนิดหน่อย แต่สักพักก็ผ่อนคลายขึ้น ไม่นานนักก็เริ่มขยับสะโพกขึ้นลงอย่างท้าทาย  จางซื่อเยี่ยนจึงละมือจากส่วนนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเข้าไปแทนที่
   ร่างบางสะดุ้งด้วยความเจ็บ และครางเสียงหนักเมื่อการสอดใส่นั้นลึกขึ้น หยาดน้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากหางตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเจ้านายเข้ามากอด และจูบลงไปอย่างทะนุถนอม  เขากลัวว่าเว่ยเฟิงปิงจะเจ็บมาก จึงหยุดการสอดใส่เอาไว้ก่อน นั่นทำให้ร่างผอมบางขมวดคิ้ว และเริ่มขยับสะโพกเอง ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงไม่ต้องลังเลใดๆ อีก
   เว่ยเฟิงปิงครางเสียงกระเส่า  เมื่อการขยับตัวนั้นเริ่มถี่กระชั้นและรุนแรง
   จางซื่อเยี่ยนกอดเจ้านายเขาไว้แน่น
   หากว่านี่เป็นความฝัน
   ก็ขอให้มันเป็นความฝันตลอดไป...................
----------------------------------------
   ฟ่งนอนไม่หลับ เขาลืมตาขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่พยายามข่มมันลงไปเป็นหนที่สาม  ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เขาโดนจับตัวมาจากกรุงเทพฯ  เข้าฮ่องกงอย่างผิดกฎหมาย  ใช้ชีวิตอยู่กับมาเฟีย และตอนนี้ เขาอยู่บนเครื่องบินที่กำลังบ่ายหน้าไปฮังการี กับสายลับคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา
   “เอาผ้าปิดตาไหมครับ?” ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยขึ้น เขาคงเห็นว่าฟ่งดูลำบากกับการนอนมาก ร่างบางสั่นศีรษะ ความจริงที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสก็นั่งสบายดีอยู่ แต่เขาจะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันช่างน่าเหลือเชื่อ และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน  ฟ่งเพิ่งสังเกตว่ารูฟัสไม่มีทีท่าว่าจะนอนเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีเรื่องให้ครุ่นคิดเช่นกัน
   ความจริงตอนนี้รูฟัสกำลังปวดหัวกับระบบความคิดของตัวเอง  เขาน่าจะกังวลใจกับเรื่องงาน และเรื่องการหาข้อแก้ตัวกับราฟาแอลมากกว่า ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะรู้เรื่องมาบ้างแล้ว และกำลังหัวเสียอย่างหนัก  ซึ่งก็ไม่เกินคาดหมายนัก หลังจากที่เขาโทรหาอดีตคู่หูเพื่อบอกเลิกภารกิจ
   รูฟัสยอมรับว่ามันบ้า งานที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่ว่านึกจะเลิกก็เลิกได้ แต่ที่เขากังวลใจกว่านั้นคือเรื่องของชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ
   เขาควรจะทำอย่างไรกับฟ่งดี…..
   จริงๆ แล้วรูฟัสไม่เคยมีความคิดจะกำจัดฟ่งหรือทำให้คนคนนี้ออกไปจากชีวิตเขาเลย ตรงกันข้าม ตอนนี้รูฟัสกำลังมีปัญหาว่าทำยังไงให้ฟ่งยอมอยู่ร่วมกับเขา ความคิดจะส่งฟ่งกลับไทยนั้นรูฟัสแทบอยากจะลบทิ้งออกไปจากสมอง
   ชายหนุ่มเชื่อว่าถ้าเขาส่งฟ่งกลับไปทั้งๆ แบบนี้  เขาจะไม่มีวันจะได้กลับไปใกล้ชิดอย่างที่เคยผ่านมาโดยเด็ดขาด
   เพราะฟ่งดูไม่ไว้ใจเขาสักนิด และยังแสดงทีท่าว่าพร้อมจะไปจากเขาได้ทุกเมื่อ หากมีทางเลือกที่ดีกว่า  ที่ยังยอมตามเขามาก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
   รูฟัสไม่อยากหลงตัวเอง ว่าฟ่งจะพึ่งเขาไปตลอด ต้องมีวันใดวันหนึ่งที่ฟ่งเอ่ยปากว่าต้องการจากเขาไป ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีการทุกอย่างในการหยุดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น
   แต่ว่า จะทำอย่างไรล่ะ?
   รูฟัสเหลือบตามองร่างที่ดูเหมือนว่ากำลังพยายามข่มตาให้หลับ และเริ่มคิดว่าจะสร้างห้องใต้ดินแล้วขังเอาไว้ดีไหม หรือว่าล่ามเอาไว้กับเสาเตียงดี
   ชายหนุ่มอยากตัดหัวตัวเองไปลงแกว่งในทะเลสาบ ขืนทำบ้าๆ แบบนั้นก็ไม่มีหวังได้ถูกเกลียดไปตลอดชีวิตแน่  การไปฮังการีอาจจะช่วยเขาได้  ให้ฟ่งได้พบกับวิธีการดำเนินชีวิตของเขา รู้จักเขาให้มากขึ้น บางทีฟ่งอาจจะทำใจยอมรับได้
   แต่นั่นก็แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ  ใครมันจะไปทำใจยอมรับคนแบบเขาได้กัน ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แถมยังพาคนอื่นมาเสี่ยงแบบนี้
   รูฟัสไม่อยากจะนึกว่าตอนนี้ฟ่งรู้สึกขยาดเขาแค่ไหน
   ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ป่วยการที่จะคิดถึงอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทางออก ตอนนี้เขาควรต้องใช้ช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับฟ่งให้คุ้มค่า  รูฟัสเอนเก้าอี้ลง และพบว่านัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องเขาอยู่
   ฟ่งไม่เคยเห็นรูฟัสถอนหายใจแรงขนาดนี้มาก่อน ท่าทางคงคิดหนัก ในเมื่อจู่ๆ ก็มีตัวถ่วงเพิ่มขึ้นมา ฟ่งเข้าใจว่ารูฟัสกำลังลำบากใจที่ต้องพาเขาพ่วงไปด้วย เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพยายามจะยิ้มแห้งๆ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะไม่อยู่รบกวนคุณนาน”
   นัยน์ตาของรูฟัสสั่นระริกเมื่อได้ยินคำพูด เขายิ้มตอบไม่ออก ไม่สามารถแม้แต่จะกล่าวอะไรตอบออกไปได้
   ฟ่งไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตัวเองสำคัญขนาดไหน….
   ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเขาหลงรักมากเพียงใด…..
   ไม่รู้เลยหรือว่าเขาไม่อยากจากไปแม้สักวินาที......
   ในที่สุด รูฟัสก็ฝืนยิ้มออกไป
   ถึงตอนนี้ฟ่งจะไม่รู้ ถึงตอนนี้ฟ่งจะไม่เข้าใจ แต่สักวันหนึ่งเขาจะทำให้ฟ่งเข้าใจความรู้สึกของเขาให้ได้
------------------------------------
   เสียงเคาะประตูปลุกจางซื่อเยี่ยนให้ตื่นจากความฝัน เขาหรี่ตา รู้สึกว่าผ้าม่านในห้องจู่ๆ ก็หนาขึ้นมา ทำให้แสงแดดยามเช้าไม่ส่องลอดเข้ามาเท่าใดนัก มิน่าเล่าเขาถึงได้หลับฝันหวาน
   ชายหนุ่มขยับตัว เพื่อจะลุกไปเปิดประตู เสียงครางอย่างงัวเงียดังขึ้น  จางซื่อเยี่ยนตัวแข็งทื่อ  กะพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง และพบว่าเว่ยเฟิงปิงหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา  อย่างนั้นผ้าม่านที่หนาไป และเรื่องเมื่อคืน......ไม่ใช่ความฝันหรอกรึ?
   อดีตหน่วยดำระลึกได้ว่าตอนนี้เขานอนอยู่ในห้องของเจ้านาย ไม่ใช่ห้องของเขา ดังนั้นเรื่องที่ผ้าม่านจะหนากว่าปกติย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก  เว่ยเฟิงปิงปรือตาขึ้นมองเขาอย่างง่วงงุ่น และส่งเสียง
   “ไปเปิดทีสิ” ร่างบางออกคำสั่ง นั่นทำให้อีกฝ่ายมองมาอย่างแตกตื่น ผู้เป็นเจ้านายขมวดคิ้ว จ้องหน้าลูกน้อง ก่อนจะพูดต่อ “หรือนายอยากจะให้ฉันไปเปิดเอง?”
   จางซื่อเยี่ยนมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะลงไปจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างลวกๆ  แล้วเดินไปเปิดประตู

   เช้าวันนี้อาเง็กตื่นสาย อาจเป็นเพราะเขาทำงานดึกมาหลายวัน และการที่จางซื่อเยี่ยนกลับมาประกอบกับความสำเร็จในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้เขานอนหลับเป็นตาย และมารู้ตัวอีกทีก็ปาไปสิบโมงเช้าแล้ว และพบว่าเจ้านายยังไม่ตื่น แถมยังไม่มีวี่แววของลูกพี่  เด็กหนุ่มจึงขึ้นมาด้านบน แม้จะรู้สึกเป็นห่วงว่าตกลงเมื่อคืนจางซื่อเยี่ยนไปนอนที่ไหนกันแน่ แต่กระนั้นอาเง็กก็ตัดสินใจไปปลุกผู้เป็นเจ้านายก่อน
   แต่เด็กหนุ่มก็ต้องงงงันอีกครั้ง เมื่อผู้ที่มาเปิดประตูเป็นลูกพี่ของเขา  มันทำให้เขาต้องถอยหลัง หันไปมองรอบๆ และมองประตูใหม่  อาเง็กคิดว่าตัวเองเคาะผิดห้อง แต่ว่านี่เป็นห้องนอนของเจ้านายเขานี่...
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เมื่อเห็นท่าทางของลูกน้อง อีกฝ่ายคงเข้าใจว่าเคาะประตูผิด  ซึ่งเขาเองก็อยากจะให้เป็นแบบนั้น
   “อะ..อรุณสวัสดิ์พี่จาง” ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเคาะห้องไม่ผิด แต่บุคคลที่ออกมาเปิดดูจะผิดความคาดหมายไปหน่อย อาเง็กก็ไม่มีคำพูดอะไรมากไปกว่าคำทักทายปกติในสภาพที่ไม่ค่อยจะปกติ
   “อะ..อืม” จางซื่อเยี่ยนตอบกลับไปแบบตะกุกตะกัก บทสนทนาธรรมดาในสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาช่างเป็นเรื่องที่แย่ อาเง็กมองหน้าเขาและถามอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก “คุณชายล่ะครับ?”
   ผู้ถูกถามมีท่าทีอ้ำอึ้ง มันเป็นคำถามที่แสนจะธรรมดาแต่คำตอบนั้นยากจริงๆ แต่แล้วผู้เป็นเจ้านายก็ตอบคำถามแทนเขา
   “อาเง็กรึ?” เว่ยเฟิงปิงเดินมาจากทางด้านหลังของจางซื่อเยี่ยน  ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมอาบน้ำหลวมๆ สภาพเหมือนเพิ่งตื่น  อาเง็กมองเจ้านายแล้วมองลูกพี่ของเขาสลับกันไปมา แล้วทำหน้าเลิกลั่ก  จางซื่อเยี่ยนเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก นั่นคือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดูเหมือนว่าคนเดียวที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้คือต้นเรื่องทั้งหมด
   “เธอมาก็ดีแล้ว ไปบอกอาฉินให้ย้ายของของซื่อเยี่ยนมาไว้ที่ห้องฉัน”
   “หา?” ลูกน้องทั้งสองคนเกือบจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน จางซื่อเยี่ยนหันศีรษะกลับไปมองเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว มองลูกน้องทั้งคู่เหมือนมันเป็นแค่คำสั่งธรรมดา
   “พวกริเวิลกำลังเคลื่อนไหว แล้วพี่จินหยินก็ดอดเข้ามายุ่ง ฉันอยากให้หมอนี่อยู่คุ้มกันฉันยี่สิบสี่ชั่วโมง มีปัญหาอะไรหรือไง?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดไหล่ของจางซื่อเยี่ยน อาเง็กทำหน้าไม่ถูก แต่ลองเจ้านายเขาสั่งมาแบบนี้ ก็มีแต่จะต้องทำตาม
   เด็กหนุ่มก้มหน้ารับคำสั่งก่อนจะหลบออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้านายกับลูกพี่เขากันแน่ ทางที่ดีทำตามคำสั่งอย่างเดียวจะดีกว่า
   จางซื่อเยี่ยนปิดประตู ก่อนจะหันมามองหน้าเจ้านายด้วยสายตาราวกับเพิ่งถูกทุบหัวมาหมาดๆ  เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้วอย่างหาเรื่อง “ทำไม? มีปัญหาอะไร ก็เห็นนายไม่อยากจะไปจากฉันนักนี่”
   “ไม่ใช่อย่างนั้น คือ..มันจะดีหรือครับ”
   ร่างบางจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสีย “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกอาเง็กมาใหม่ ฉันจะได้ให้ย้ายข้าวของของนายกลับไปหน่วยดำ”
   “คุณชาย….” จางซื่อเยี่ยนคราง พฤติการณ์ของเว่ยเฟิงปิงตอนนี้มีแต่เรื่องน่าสงสัย แม้เขาจะรู้สึกยินดีที่ไม่ต้องย้าย ได้มีอะไรกับคนคนนี้ไปแล้ว แล้วยังจะได้ย้ายมาอยู่ด้วยอีก แต่ทั้งหมดดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ  เว่ยเฟิงปิงไม่เคยมีทีท่าเช่นนี้มาก่อน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
   ชายหนุ่มตัดสินใจสงบปากสงบคำเอาไว้ก่อน ขืนถามอะไรออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้ผู้เป็นเจ้านายอารมณ์เสียเปล่าๆ  แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ
   เว่ยเฟิงปิงเดินไปนั่งที่เตียง เขามองแผ่นหลังกว้างของลูกน้องและเหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่พาดอยู่บนต้นคอ ผู้เป็นเจ้านายผุดลุกขึ้นอีกครั้ง
   “แผลของนาย หายดีแล้วรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง เมื่อมือเรียวยื่นมาสัมผัสหลัง ชายหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อทันที เว่ยเฟิงปิงไล้มือผ่านบาดแผลนั้นเบาๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสปรากฏแววแห่งความเจ็บปวด ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีวันได้เห็น  ร่างบางถอนหายใจ
   “ไปที่ห้องน้ำสิ ฉันจะช่วยอาบน้ำให้”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาหันหลังกลับไปมองหน้าเจ้านายอย่างไม่เชื่อ แล้วก็ต้องก้มหน้าลงเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
   มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ!!
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษคิดอยู่ในใจ  ตอนนี้เขาอยู่ในห้องน้ำภายในห้องส่วนตัวของเจ้านาย นั่งอยู่บนขอบอ่าง ร่างเปลือยเปล่า จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าหันหน้าไปมองด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะถอดเสื้อผ้าด้วยรึเปล่า  เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามา เอื้อมมือขึ้นไปปลดฝักบัวสีเงินออกจากที่แขวน  จางซื่อเยี่ยนเห็นวงแขนขาวๆ ของเจ้านาย เขาอดรู้สึกวาบหวิวไม่ได้ ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะไม่ได้สวมท่อนบน
   นัยน์ตาสีฟ้าใสเหม่อมองแผ่นหลังกว้างใหญ่เบื้องหน้าด้วยสายตาปวดร้าว  เขาไม่ได้แกะพลาสเตอร์ที่ใช้ปิดแผลออก  ความจริงคนที่สมควรบาดเจ็บน่าจะเป็นเขามากกว่า  ถ้าไม่ได้คนคนนี้มาขวางไว้แล้วล่ะก็...
   “ซื่อเยี่ยน ขอบใจนะ”
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองหูฝาด คนอย่างเว่ยเฟิงปิงพูดคำคำนี้กับเขาหรือ ชายหนุ่มนั่งนิ่ง รู้สึกถึงปลายนิ้วเรียวที่ไล้ลงไปบนบาดแผลของเขา ถ้าไม่คิดไปเอง สัมผัสนี้ของเว่ยเฟิงปิงเรียกว่าอ่อนโยนมากทีเดียว ชายหนุ่มถึงกับเคลิ้ม
   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปนาน ยังคงไล้มือไปตามแผ่นหลังกว้าง ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง
   “นายอยากอยู่ข้างๆ ฉันไหม?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ เขาอยากอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิง และที่ทำอยู่นี้ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ข้างๆ แล้ว คนถามเงียบไปอีกสักพัก
   “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายอยู่ข้างฉันมานานขนาดนี้ ทำไมนายไม่เคยเล่าให้ฉันฟัง เพราะคำสั่งคุณพ่อหรือ นายทำงานให้เขา หรือทำเพื่อฉันกันแน่?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งเงียบไปบ้าง เว่ยชิงผู้มีบุญคุณของเขา เป็นคนให้ชีวิตใหม่กับเขา การที่เขาทำทั้งหมดส่วนหนึ่งเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของเว่ยชิง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่ง การที่เขาทำเกินคำสั่ง และทุ่มเททุกอย่างมาจนถึงตอนนี้ นั่นเพราะเขาหลงรักบุตรของผู้มีพระคุณที่ยืนอยู่ด้านหลังคนนี้
   “กรุณาเถอะครับ แม้ว่าผมจะมาเพราะคำสั่งของคุณท่าน แต่สิ่งที่ผมทำทั้งหมด ผมทำเพื่อคุณ”
   
   แล้วจางซื่อเยี่ยนก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อเว่ยเฟิงปิงกอดเขาจากด้านหลัง
   “ฉันเป็นคนสำคัญมากใช่ไหม?”
   “ครับ”
   “ฉันอยากได้ยินความรู้สึกของนาย” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเสียงเบา เขาไม่แน่ใจว่าจางซื่อเยี่ยนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาถามหรือเปล่า
   “ผมหลงรักคุณ”   จางซื่อเยี่ยนหลุดออกมาในที่สุด เขากุมมือของเว่ยเฟิงปิงที่โอบอยู่และดึงมันขึ้นมาจูบ “ผมฝันจะทำอย่างนี้กับคุณมานับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงคุณเท่านั้นที่อยู่ในความฝัน”
   “นายฝันถึงฉัน?” เว่ยเฟิงปิงถามอย่างแปลกใจ จางซื่อเยี่ยนยิ้ม เขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่จากน้ำเสียง เว่ยเฟิงปิงคงไม่เชื่อ
   “ผมฝันถึงคุณ เพราะคุณคงเป็นได้แค่ความฝันของผม คุณเป็นเจ้านายผม และที่สำคัญคุณไม่ชอบผม”
   “คนโง่..” ร่างบางเอ่ยเบาๆ ก่อนจะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งอีกครั้งด้วยจูบเบาๆ บนต้นคอ
   “ฉันจะชอบนาย ตราบเท่าที่ยังรู้ว่านายชอบฉัน”
   “คุณชาย..!” จางซื่อเยี่ยนเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ และหันหน้ากลับมาอย่างลืมตัว เว่ยเฟิงปิงยิ้ม รอยยิ้มที่สะอาดและจริงใจ
   “ถ้านายชอบฉัน จงอย่ามองคนอื่น อย่าให้คนอื่นสำคัญไปมากกว่าฉัน แล้วฉันจะอยู่กับนาย”
   “คุณชาย...” จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองต้องมนต์สะกด เขาคงกำลังอยู่ในวงรัดของงูพิษตัวใหญ่ แต่ช่างปะไรล่ะ ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาแต่แรกอยู่แล้ว ร่างแกร่งเอี้อมมือขึ้นไปโอบคออีกฝ่ายลงมา จุตพิตลงบนริมฝีปากบางเบาๆ
   หากว่าเว่ยเฟิงปิงเป็นงูพิษ เขาคงเป็นเหยื่อที่เสนอตัวเข้ามาเป็นอาหารของงูอย่างเต็มใจ
   เว่ยเฟิงปิงหลับตา ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับรสจูบนั้น
-------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:41:39
บทที่25  ความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
   กว่าสิบชั่วโมงแห่งความอึดอัดและยาวนาน ในที่สุดรูฟัสและฟ่งก็เดินทางมาถึงสนามบินบูดาเปส ประเทศฮังการี หลังจากรอต่อเครื่องที่ออสเตรียนานกว่าสามชั่วโมง
   ฟ่งยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำในสนามบิน มองดูตัวเองในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่รูฟัสซื้อให้ตอนรอเครื่องที่สนามบินออสเตรีย พลางนึกว่าผู้ชายคนนี้ใช้เงินราวกระดาษ เขาไม่ค่อยชอบใจนัก เมื่อนึกถึงวิธีการหาเงินของรูฟัส
   “ไม่ชอบหรือครับ?” รูฟัสเอ่ยทักขึ้น เขาเห็นว่าฟ่งยืนเหม่ออยู่หน้ากระจกนานกว่าที่ควรจะเป็น  ร่างบางสะดุ้ง ยิ้มแห้งๆ และส่ายหน้า
   “เปล่า” ฟ่งตอบ เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับรูฟัสเท่าไรนัก ดังนั้นจึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
   “แล้วเรา.. จะไปไหนกันต่อ?”
   “ก็คงต้องไปหาราฟี่”
   ราฟี่หรือราฟาแอล เป็นเพื่อนของรูฟัส เขาอธิบายให้ฟ่งฟังระหว่างรอต่อเครื่องว่า ราฟาแอลเคยเป็นลูกศิษย์ของอเล็กเซ  ชายผู้ซึ่งเก็บเขามาจากข้างถนน และนำเข้าสู่วงการสายลับ หลังจากอเล็กเซตาย รูฟัสจึงย้ายมาอยู่กับราฟาแอลที่ฮังการี ในฐานะเพื่อนร่วมงาน
   รูฟัสกดเปิดโทรศัพท์มือถือ และโทรออก
   “คุณอยู่ไหน?” เขากรอกเสียงลงไปเป็นภาษาฮังการี และได้ยินเสียงตอบกลับที่ไม่ได้อารมณ์ดีนัก
   “รออยู่หน้าทางออกนานแล้ว รีบโผล่หัวออกมาซะที!”
   รูฟัสรีบวางหูโทรศัพท์ เขาไม่อยากฟังอย่างอื่นต่อ  ร่างแกร่งหันมองมาทางผู้ร่วมทาง  ที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
   “ไปกันเถอะครับ” เขากล่าว และฉุดมือฟ่งออกไปจากห้องน้ำ
---------------------------------
   ราฟาแอลเป็นชายหนุ่มวัยราวสามสิบเศษ มีผมสีบลอนด์ทองหยักศกยาวประบ่า ไว้เคราบางๆ ส่วนสูงใกล้เคียงกับรูฟัส  ชายผู้มีดวงตาสีเขียวมรกตในชุดเสื้อโค้ทยาวสีเขียวไข่กา  เดินปราดเข้ามาทันทีที่เห็นเพื่อน
   “ฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่ได้เจอหน้าแก!” เขากล่าวเป็นภาษาฮังการี แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าดีใจสักนิด รูฟัสหน้าเจื่อน
   “ผมขอโทษ” เขายอมรับความผิดแต่โดยดี  ราฟาแอลเหลือบตามามองร่างผอมบางด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปพูดกับรูฟัสต่อ
   “ไม่มีสัมภาระ? เออ งั้นไปที่รถเลย” เขากล่าว และเดินนำหน้าทั้งคู่ไป  ฟ่งไม่ชอบสายตาที่ราฟาแอลมองเขาเลย ผู้ชายคนนั้นมองเขาเหมือนมองตัวอะไรซักอย่างที่กำลังเกะกะและขวางทาง มากกว่าจะมองเห็นเป็นคนด้วยกัน  ฟ่งไม่ประทับใจกับการพบกันครั้งแรกของเขากับราฟาแอล
   ราฟาแอลขับรถเปอร์โยสีบรอนด์เงินพาทั้งคู่ออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังเมืองที่มีชื่อว่าบาลาตอนฟูเรส
   บาลาตอนฟูเรส เป็นเมืองเล็กๆ ค่อนไปทางตะวันออกของบูดาเปส เมืองหลวงของประเทศฮังการี อยู่ติดกับทะเลสาบบาลาตอน ราฟาแอลใช้เวลาขับรถประมาณสองชั่วโมง ก็ไปถึงสถานที่ที่เรียกว่า “บ้านของคลาวเดีย”
   รูฟัสอธิบายระหว่างที่อยู่บนรถว่า บ้านหลังนี้จริงๆ แล้วเป็นเงินของราฟาแอล ที่ให้คลาวเดียซึ่งเป็นแฟนสาวของตัวเองไปลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่ และใช้กำไรที่ได้สร้างบ้านหลังนี้  โดยสรุปคือเป็นบ้านที่ราฟาแอลใช้เงินฟอกซื้อมานั่นเอง
   ราฟาแอลจอดรถตรงสนามหน้าบ้าน บ้านหลังนี้สูงสองชั้น มีสนามหญ้าและสวนดอกไม้เล็กๆ อยู่โดยรอบ บริเวณไม่ถือว่ากว้างขวางแต่ก็ไม่ถึงกับแคบ เรียกว่าพออยู่สบายสำหรับสองสามคน
 ขณะที่ฟ่งและรูฟัสกำลังลงจากรถ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้าน
   เรือนผมหยักศกสีมะฮอกกานีที่รวบไว้หลวมๆ ด้านหลัง พลิ้วไหวตามจังหวะการเดิน เธอสวมเสื้อแจคเก็ตสีฟ้าอ่อน รูปร่างสูงโปร่งแบบผู้หญิงตะวันตก ใบหน้าไม่ถือว่าสวยจนต้องเหลียวมอง แต่ก็ไม่ได้ดูแย่ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้แต่งหน้าเลยก็ตาม นับว่าเป็นผู้หญิงอายุสามสิบเศษที่ดูดีมากคนหนึ่ง เธอเอ่ยทักอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้าของรูฟัส
   “ไง รูฟัส  ฉันคิดว่าเธอจะหายตัวไปเสียอีก”
   รูฟัสยิ้มแหยๆ “ไม่เอาน่าคลาวเดีย คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น”
   แต่ราฟาแอลมีสีหน้าบึ้งตึงและเดินเข้าบ้านไปโดยไม่พูดอะไรต่อ  รูฟัสจึงต้องรีบพาฟ่งเดินตามเข้าไป
   ฟ่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อเข้าไปในตัวบ้าน อุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าที่ฮ่องกงหรือที่ไทย รูฟัสบอกว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ราฟาแอลเดินมาพูดอะไรบางอย่างกับรูฟัส หนุ่มตาสองสีหันมายิ้มแห้งๆ ให้เขา
   “ผมมีธุระนิดหน่อย ให้คลาวเดียพาคุณขึ้นไปพักที่ห้องผมก่อนแล้วกัน”
   รูฟัสกล่าว ขณะที่ราฟาแอลตะโกนเรียกแฟนสาว เธอทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะเดินเข้ามาและยิ้มให้ฟ่ง รูฟัสดูมีสีหน้าไม่เต็มใจอยู่บ้าง ขณะที่คลาวเดียพาฟ่งขึ้นไปชั้นสอง เขาหันไปมองหน้าเพื่อน ราฟาแอลยักไหล่ และทิ้งตัวลงบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น
   “อธิบายมาสิ ว่านี่มันเรื่องอะไร?” เขาเอ่ยและพยายามสะกดความเดือดดาลเอาไว้อย่างยากลำบาก รูฟัสนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม พยายามอย่างยิ่งที่จะอยู่นอกเหนือรัศมีการโจมตีของราฟาแอล
   “คุณรู้อะไรมาบ้าง โจวยี่เล่าอะไรให้คุณฟัง”
   ราฟาแอลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่พักหนึ่ง “ไม่ใช่โจวยี่ แต่เป็นคุณเมี่ยง”
   คำว่าเมี่ยงที่ราฟาแอลออกเสียงดูจะประหลาดไปบ้าง แต่มันก็ทำให้รูฟัสถึงกับนิ่วหน้า ราฟาแอลจึงรีบพูดต่อ
   “ฉันไม่ได้บังคับเธอให้บอก แต่เธอก็ไม่ได้บอกอย่างเต็มใจเท่าไรหรอกนะ” เขาพูดเหมือนจะพยายามแก้ตัว รูฟัสคิดว่าราฟาแอลต้องใช้วิธีกดดันกับเมี่ยงแน่ๆ แต่เอาเถอะ ถ้าเขาอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็คงต้องทำแบบราฟาแอลเหมือนกัน
   “ทีนี้ ฉันอยากฟังจากปากแกว่า ตกลงแกหนีตามเด็กนี่ไปเพราะแกหลงรักเขาจริงๆ เรอะ?”
   รูฟัสยักไหล่ รู้สึกว่าน้ำเสียงของราฟาแอลช่างชวนหาเรื่องเสียจริงๆ
   “ก็ไหนคุณเคยพูดว่าฟ่งน่ารักดี”
   คนฟังนิ่วหน้า “นั่นฉันพูดเล่น และฉันก็คิดว่าแกไม่ได้คิดจริงๆ จังๆ ไหนลองให้เหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้หน่อยซิว่า ทำไมแกถึงทิ้งงานไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”
   “ผมไปรับฟ่งที่ฮ่องกง เฟิงปิงลักพาตัวเขาไป”
   “เอาล่ะ” ราฟาแอลพูดอย่างเหลืออด “ฉันรู้แล้วว่าแกเข้าระบบเอาข้อมูลของริเวิลไปเพื่อตกลงกับเฟิงปิง แต่ที่ฉันอยากรู้คือ เด็กนี่สำคัญกับงานของเรายังไง?”
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเลิกคิ้ว ด้วยสีหน้าราวกับว่าคำถามนั่นประหลาดสิ้นดี “ไม่มี  ผมแค่ชอบเขา”
   ราฟาแอลหลับตา ชั่วเสี้ยววินาที เขาเอื้อมมือลงไปที่ชั้นวางของใต้โต๊ะที่คั่นกลางระหว่างคนทั้งคู่อยู่ เสียงกริ๊กดังขึ้น พร้อมกับปากกระบอกมฤตยูสีดำสนิทที่หันเข้ามา
   “ตอบคำถามฉันมาดีๆ ไม่งั้นหัวแกมีรูแน่” เขากล่าว รูฟัสถอนหายใจ
   “ไม่เอาน่า ราฟี่ คุณก็รู้ว่าวิธีข่มขู่แบบนี้มันใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก” ชายหนุ่มเอ่ย และนั่งเอกขเนกอยู่บนโซฟาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นัยน์ตาสีเขียวหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเหนี่ยวไก
---------------------------------------
   ปัง!!
   เสียงดังนั้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง คลาวเดียถอนหายใจ และพูดอะไรที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง มันคงเป็นภาษาฮังการี่
   “หวังว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการซ่อมสีบ้านใหม่หรอกนะ” เธอรำพึง ก่อนจะหันมาพูดภาษาอังกฤษกับฟ่ง “ฉันพูดอังกฤษได้นิดหน่อย เธอเป็นเด็กที่รูฟัสไปรับที่ฮ่องกงสินะ”
   ฟ่งพยักหน้า
   “ฉันชื่อคลาวเดีย  เธอล่ะ”
   “ฟ่ง” เขาตอบ คลาวเดียยิ้มให้เขาอย่างใจดี  ตอนนี้เขาอยู่ในห้องที่เธอบอกว่าเป็นห้องของรูฟัส มันเป็นห้องส่วนตัวที่มีบริเวณอยู่พอสมควร มีโต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางซีดีเพลง และเครื่องเสียงขนาดกลางวางอยู่  ที่สะดุดตาคงเป็นชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่ดูจะทำให้ห้องเล็กลงไปถนัด  และกล่องที่ดูเหมือนกับกล่องไวโอลิน ฟ่งสงสัยว่ารูฟัสเล่นดนตรีเป็นด้วยหรือ
   “ฉันไม่รู้ว่ารูฟัสเล่าอะไรเกี่ยวกับพวกเราให้เธอฟังบ้าง” เธอเอ่ย ฟ่งส่ายหน้า จริงๆ แล้วเขาเพิ่งรู้ตอนอยู่บนเครื่องบินว่ารูฟัสมีเพื่อนที่ชื่อราฟาแอล และเพิ่งมารู้ตอนอยู่ในรถว่า เพื่อนคนนั้นมีแฟนสาวที่ชื่อคลาวเดีย นอกนั้นแล้วรูฟัสไม่เคยเล่าอะไรให้เขาฟังอีกเลย แม้แต่เรื่องราวจริงๆ ของตัวเอง
   “พวกคุณ เอ่อ...เป็นสายลับกันหมดเลยหรือ?” ฟ่งเริ่มต้นคำถาม  เขาไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูใจดีคนนี้ก็เป็นสายลับด้วย คลาวเดียส่ายหน้า
   “ไม่ใช่ฉันหรอก เฉพาะราฟี่กับรูฟัสเท่านั้นแหละ รูฟัสบอกเธอหรือว่าเขาเป็นสายลับ”
   ฟ่งพยักหน้า ความจริงคือเว่ยเฟิงปิงเป็นคนบอกเขา และรูฟัสมายอมรับในตอนหลัง
   “แล้ว.....ที่นี่ไม่มีตำรวจหรือครับ?”
   คลาวเดียหัวเราะกับคำถามนั้น “สายลับนะจ้ะ ไม่ใช่ขโมย ไม่ค่อยมีตำรวจมายุ่งกับเราหรอก บางทีเราก็ทำงานให้ตำรวจ”
   ฟ่งพยักหน้า เขายอมรับว่าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่า ผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างล่างเป็นสายลับ พวกเขาก็ดูเป็นคนธรรมดา
   ธรรมดาจริงๆ รึ  แล้วเสียงดังเมื่อครู่มันคืออะไรล่ะ?
----------------------------------
   นัยน์ตาสองสีของรูฟัสเบิ่งกว้าง  กลิ่นดินปืนโชยเข้ามาจนเขาต้องทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะโวยวายใส่ผู้ที่นั่งตรงข้าม
   “เลิกเล่นตลกที่ขำไม่ออกแบบนี้ทีเหอะ ผมไม่อยากจะซ่อมผนังบ้าน!”
   “ถ้าแกไม่อยากให้หัวแกเป็นรูเหมือนผนังนั่น ก็พูดเรื่องจริงออกมาดีกว่า”
   รูฟัสไม่อยากจะเหลือบมองผนัง เขารู้ว่ามันต้องเป็นรูแน่ๆ และคงไม่พ้นที่จะต้องซ่อมในตอนหลัง ซึ่งโดยปกติ ถ้าราฟาแอลเกิดผีเข้าแบบนี้ สุดท้ายคลาวเดียจะบังคับให้เจ้าตัวซ่อมเอง แต่คราวนี้คนซ่อมคงต้องเป็นเขา
   “เอาล่ะ ราฟี่ คุณเอาปืนลงก่อน ผมพูดความจริงแน่ๆ ถึงไม่ต้องมีมันจ่อหัวอยู่ก็เถอะ  คุณจะฟังผมพูด หรืออยากจะยิงปืนเล่น?”
   “ตอนนี้ฉันอยากยิงหัวแกเล่นมากเลยล่ะ” ราฟาแอลเคี้ยวฟัน ก่อนจะวางปืนลง “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าแกจะหนีงานเอาดื้อๆ บอกมาซิว่าแกเกิดบ้าอะไรขึ้นมา เด็กนั่นเป็นกุญแจสำคัญในแผนของเราใช่ไหม แกกำลังทำภารกิจลับสุดยอดที่บอกไม่ได้แม้แต่ฉัน?”
   รูฟัสนิ่งไปพักหนึ่ง เขาพยายามคิดหาคำพูดอ้อมๆ ที่ไม่ทำให้ราฟาแอลคว้าปืนขึ้นมาอีก  ชายหนุ่มรู้ว่าเพื่อนของเขาโกรธเรื่องนี้มาก แต่ก็อย่างว่าแหละ เขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนนี่นา
   “คืออย่างนี้นะราฟี่  ผมน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้หรอก” เขาเริ่มเล่า “ผมสืบไปได้มาก อย่างที่ส่งข้อมูลให้คุณไป เรื่องทั้งหมดมันคงเป็นไปได้สวย ถ้าเกิดเฟิงปิงไม่ดอดเข้ามา……”
   “ฉันกำลังฟังอยู่” ราฟาแอลพูดกระตุ้น เมื่อเห็นว่ารูฟัสเงียบไปอีก
   “ฉันรู้ว่าคุณชายเว่ยเข้ามายุ่งย่ามกับแก จริงๆ คือเขาตามหาตัวแกให้ควักมาแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว”
   “อืม” รูฟัสยอมรับ
   “แล้วเด็กนั่นเกี่ยวอะไรกัน ทำไมถึงสำคัญขนาดทำให้แกยอมเอาตัวกับงานเข้าไปแลกได้?”
   “เขาเป็นเพื่อนข้างห้องของผมที่ไทย”
   “อันนั้นฉันรู้แล้ว” ราฟาแอลพูดอย่างอดทน “ฉันอยากรู้ว่าเด็กนั่นเกี่ยวข้องกับแผนการของเรายังไง”
   “ผมพูดไปแล้วแต่คุณไม่ฟัง”
   “แกพูดเมื่อไรล่ะ?”
   รูฟัสยักไหล่ ก่อนจะนึกได้ว่าท่าทีของตนอาจจะกวนโทสะให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดทำปืนลั่นเปรี้ยงปร้างขึ้นมาอีก จึงขยับตัว พูดเป็นงานเป็นการมากขึ้น
   “ผมพูดจริงๆ นะ ราฟี่ ฟ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานครั้งนี้ของเราเลย ที่ผมตามไปช่วยเพราะว่า....เอ่อ... ผมเป็นสาเหตุให้เขาถูกจับ..”
   “แกเลยมีความรับผิดชอบขึ้นมากะทันหันงั้นรึ? ตลกน่า ปกติใครจะเป็นจะตายยังไงแกก็ไม่สนใจอยู่แล้วนี่”
   รูฟัสทำสีหน้าปั้นยาก “มันก็ใช่ แต่ว่าคนนี้พิเศษ  เอ่อ....ผมตกหลุมรักเขาจริงๆ นะ”
   ราฟาแอลมีสีหน้าเหมือนคนที่ก้ำกึ่งว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี  พักใหญ่กว่าที่เขาจะปรับอารมณ์ได้
   “ตกลง นี่แกจะทำให้ฉันเชื่อว่า แกตกหลุมรักคนข้างห้องจริงๆ?”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะรีบพูดต่อ “ผมรู้ว่ามันทำใจลำบาก จนตอนนี้ยังไม่มีใครเชื่อเลย” เขากล่าวอย่างรันทด เมื่อคิดว่าฟ่งเองก็คงไม่เชื่อด้วย
   “ก็แหงล่ะ ถึงแกจะเสน่ห์แรง มีคนมาติดพันเยอะ แถมฟันไม่เลือก แต่ก็ไม่เคยเห็นแกติดใจใครสักคนนี่”
   รูฟัสอยากจะเถียงคำว่าฟันไม่เลือก แต่เขาคิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่จะมาแย้งราฟาแอลในตอนนี้ จึงกล้ำกลืนคำพูดไว้
   “แต่คนนี้เป็นกรณีพิเศษ....” เขาเอ่ยค้างเมื่อเห็นสีหน้ารับไม่ได้สุดๆ ของราฟาแอล
   “ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะเชื่อคำพูดแบบนี้ของแก” ราฟาแอลกล่าวออกมาในที่สุด รูฟัสมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
   “เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้ว  งานของเราไปถึงไหนแล้วล่ะ?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ราฟาแอลแค่นเสียงเล็กน้อย
   “เฮอะ พอตอนนี้ขยันทำงานขึ้นมาเลยนะ”
   แม้เขาจะยังติดใจเหตุผลเรื่องผละงานของรูฟัสอยู่ แต่การพูดถึงอดีตไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์นัก อีกอย่างเขาก็ยิงใส่หมอนั่นไปนัดหนึ่งแล้ว ถึงมันจะไปโดนผนังก็เถอะ อย่างน้อยก็ช่วยระบายอารมณ์ไปได้บ้าง
   “ของที่แกไปเอามาไม่ได้น่ะ ฉันได้มาแล้ว โหลดลงคอมฯไปแล้ว”
   “อ้อ” รูฟัสร้อง นึกถึงตึกที่อยู่เบื้องหลังกำแพงที่มีรั้วไฟฟ้านั้นทันที
   “คุณเข้าไปเอามายังไงน่ะ?” เขาถามอย่างสงสัย
   “คงไม่ใช่ว่า ดักฆ่าพนักงานที่นั่น แล้วตัดนิ้วไปสแกนหรอกนะ” รูฟัสเอ่ยต่ออย่างหวาดๆ ราฟาแอลพยักหน้า
   “แล้วกัน” รูฟัสคราง แต่ราฟาแอลรีบพูดต่อ “ก็นั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องหลบด่วนออกมา แต่จะมาโทษฉันก็ไม่ได้นะ ฉันพูดภาษาไทยไม่เป็น จะให้แฝงตัวเข้าไปก็ใช้เวลานาน จะให้ทางนั้นเชื่อใจก็ยาก  จริงๆ แล้วเรื่องนี้แกต้องเป็นคนทำต่างหาก ไม่ใช่ฉัน”
   ท่อนสุดท้ายราฟาแอลหันมาถลึงตาใส่รูฟัส  ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ อย่างเสียไม่ได้  เขารู้ว่าบุคคลตรงมีนิสัยหน้าใจร้อนอยู่พอสมควร และมักจะเลือกหนทางที่ไวที่สุด โดยไม่ค่อยจะคำนึงถึงความเสียหายเท่าไร
   “เอาล่ะ ผมมีส่วนผิด แล้วนี่เราต้องกบดานนานแค่ไหน?”
   “ก็ไม่นานนักหรอก อาจจะสักสองสามอาทิตย์ ฉันไม่อยากให้คุณเมี่ยงเดือดร้อน”
   รูฟัสนึกคัดค้านคำพูดนั้นในใจ
   “แต่ว่านะ ฉันอยากให้แกได้เห็นจริงๆ แผนผังที่ที่เราจะต้องเข้าไปน่ะ” เขาเอ่ย ก่อนจะเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาเปิดที่โต๊ะ
--------------------------------------
   คลาวเดียดูจะไม่ให้ความสนใจอะไรกับเสียงคล้ายประทัดที่ดังขึ้นมากนัก ราวกับว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นฟ่งเลยต้องทำว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาด้วย เขามองสำรวจรอบๆ ห้อง  และสะดุดตากับรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ  ฟ่งเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ มันเป็นรูปถ่ายรวมหมู่ของกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายกับทหารราวๆ สิบกว่าคน
   “นั่นรูปถ่ายตอนที่สองคนนั่นไปรบที่เชสเนียร์” คลาวเดียเอ่ย เมื่อเห็นว่าฟ่งดูจะสนใจภาพนั้น ก่อนจะเดินมาหยิบมันขึ้น และชี้รูปของผู้ชายคนหนึ่งอายุราวยี่สิบต้นๆ ที่นั่งอยู่เกือบจะกลางรูป
   “นี่คือราฟี่ ส่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่คือรูฟัส” เธอชี้ให้ดูเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีผมสีดำสนิท ยาวและมัดรวบเอาไว้ด้านหลัง ฟ่งเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าคนในรูปนี้จะเป็นรูฟัสไปได้  ดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุแค่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง
   “เมื่อครู่คุณว่า เขาสองคนไปรบ เด็กขนาดนี้เลยหรือครับ?” ฟ่งถามย้อนอย่างไม่เชื่อ คลาวเดียยิ้ม “ใช่จ้ะ พอดีอาจารย์ของรูฟัสเขาให้ไปหาประสบการณ์น่ะ”
   เธอกล่าว ฟ่งเบิ่งตากว้างผ่านกรอบแว่น และก้มลงมองรูปถ่ายอีกครั้ง ทุกคนในรูปสวมชุดรัดกุมลายพราง และมีอาร์มแบบเดียวกันติดตรงแขน สวมรองเท้าคอมแบต ต่างคนต่างสะพายสัมภาระประจำตัว มีทั้งปืน ทั้งมีด กระติกน้ำ ดูเหมือนจะถ่ายกันที่หน้าค่ายพัก สีหน้าของรูฟัสดูกวนประสาทมาก แถมยังคล้ายเด็กผู้หญิง ฟ่งหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเขาคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้เป็นคนคนเดียวกับผู้ชายที่เคยกอดเขา
   “เธอเป็นแฟนรูฟัสสินะ” จู่ๆ คลาวเดียก็เอ่ยขึ้น ฟ่งทำหน้าเลิกลั่ก หญิงสาวยิ้มและบอกให้ฟ่งนั่งรอ จากนั้นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้อง พักหนึ่งจึงกลับมาพร้อมกับอัลบั้มรูปสองสามเล่ม
   “ราฟี่น่ะไม่ค่อยชอบให้ฉันเก็บรูปถ่ายเอาไว้ เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นหลักฐาน แต่ฉันคิดว่าเก็บไว้บ้างไม่น่าจะเสียหายอะไร คนเรามีอดีตหลายอย่างที่น่าจะจดจำเอาไว้” เธอว่า และนั่งลงข้างๆ ฟ่ง ก่อนจะชวนให้เขาดูอัลบั้มรูปที่หยิบมา
   “รูฟัสน่ะ มาอยู่กับเราตอนอายุได้สิบห้าปี นี่เป็นรูปที่ฉันถ่ายตอนที่เขามาฮังการีวันแรก”
   ฟ่งมองดูรูปถ่ายของเด็กผู้ชายผมยาวที่มีสีหน้าไม่ค่อยจะเต็มใจให้ถ่ายรูปเท่าไรนัก หน้าตาของรูฟัสตอนเด็กๆ ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเลย
   “เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ?” ฟ่งเอ่ยถาม คลาวเดียนั่งนึก
   “อืม...จะว่าไงดีล่ะ เป็นเด็กที่กวนประสาทล่ะมั้ง แต่ก็รับผิดชอบงานดีมากๆ เขาทำงานไม่เคยพลาด นั่นแหละที่ทำให้ราฟี่หัวเสียนักตอนที่รู้ว่าเขาทิ้งงานไป”
   “ผมขอโทษ” ฟ่งเอ่ย  คลาวเดียหันมาทำหน้าตกใจ
   “ไม่ใช่ความผิดเธอหรอก ไม่มีใครเชื่อว่ารูฟัสจะไปตกหลุมรักใครเข้า ตอนแรกฉันคิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นสาวน้อยน่ารักมากๆ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ  เขาอยากจะพูดว่า”ขอโทษที่เขาไม่ใช่สาวน้อยน่ารัก”อย่างที่เธอคิด แต่ก็คิดว่ามันเป็นประโยคที่ไร้สาระสิ้นดี  คลาวเดียรีบพูดต่อ
   “แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันรับรสนิยมแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ  จริงๆ เราก็รู้มานานแล้วว่ารูฟัสเป็นพวกไบเซ็กชวล”
   รูฟัสเป็นพวกไบเซ็กชวลหรอกรึ อย่างนั้นก็คงทำอะไรก็ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงงั้นสิ  ฟ่งคิด  ไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้าออกไปอย่างไรบ้าง จึงทำให้อีกฝ่ายต้องพูดขึ้นอีก
   “คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรที่มันทำให้ดูไม่ดีแบบนั้น จริงๆ แล้วเธอเองก็น่ารักดี” หล่อนพูด ฟ่งหันไปมองอย่างแปลกใจ
   “เธอต่างจากที่ฉันคิดไว้นิดหน่อย แต่ว่า เธอก็ดูน่ารัก ฉันชอบชาวเอเชียที่ดูบอบบางแบบเธอ  มันทำให้เกิดความรู้สึกอยากปกป้อง”
   ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะดีใจกับคำพูดนั้นดีรึเปล่า ดูเหมือนคลาวเดียจะรู้สึกว่าเธอทำให้คู่สนทนารู้สึกไม่ดี
   “เอ้อ  จริงสิ เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างดีกว่า  เธอมาจากประเทศไทยสินะ  ฉันไม่เคยไปประเทศแถวแถบเส้นศูนย์สูตรเลย เล่าเรื่องประเทศของเธอให้ฟังหน่อยสิ”
   ฟ่งยิ้มกว้าง และเล่าเรื่องเกี่ยวกับประเทศตัวเองให้คลาวเดียฟัง
----------------------------------
   รูฟัสขมวดคิ้ว และยังขมวดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าราฟาแอลจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว
   “ไงล่ะ  จะพูดว่าเจ๋งสุดยอด หรือพระเจ้า!! นี่มันบ้าอะไรกัน!! เลือกไม่ถูกเลยใช่ไหม”
   รูฟัสพยักหน้า เขาเพิ่งได้ดูสิ่งที่ราฟาแอลเรียกว่า”แบบแปลนห้อง”  แต่มันแย่กว่านั้น  มันเป็นแบบแปลนของห้องที่ไม่ใช่แค่ห้อง นี่มันสลับซับซ้อนกว่าที่คนธรรมดาจะคิดออกแล้ว
   ระเบียบทางเดินเป็นร้อยๆ พาดซ้อนอย่างสับสนวุ่นวายกันอยู่บนโครงสร้างรูปไข่กลับหัว โดยส่วนแคบทิ่มลงด้านล่าง แต่ละระเบียงมีลานกว้างเป็นของตัวเองอย่างน้อนหนึ่งลาน และมีทางแยกไปสู่ระเบียงต่างๆ ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยและแยกตัวออกเป็นเอกเทศ ภายในระเบียงต่อเชื่อมเข้ากับห้องขนาดต่างๆ มีทั้งห้องโถงขนาดเล็ก ห้องที่ซอยย่อยๆ เหมือนเป็นห้องพัก แค่มองแวบแรกก็ชวนให้นึกถึงใยแมงมุมหรือกิ่งไม้แห้งๆ ที่วางซ้อนทับกันอยู่
   ที่แย่ไปกว่านั้น นอกจากโครงสร้างรอบนอกที่ชวนปวดหัวแล้ว ภายในวงขดของระเบียงเหล่านั้น ยังซุกซ่อนห้องพิเศษแบบต่างๆ ซึ่งดูไม่ออกว่าจะเข้าไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นแบบแปลนของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใต้ดิน
   “โอ๊ย นี่มันแบบแปลนหรือใยแมงมุมล่ะนี่ ผมนึกไม่ออกเลยนะว่าเราจะเข้าไปยังไง คุณมองเห็นทางเข้าบ้างมั้ย?” รูฟัสเอ่ยขึ้นในที่สุด  ราฟาแอลสั่นศีรษะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:42:25
   “ถ้าเห็นก็ไม่มานั่งปวดประสาทอย่างนี้หรอก” พูดพลางถอนหายใจ “ให้ไปปล้นสุสานฟาโรห์ยังง่ายกว่า”
   รูฟัสไม่เคยปล้นสุสานอียิปต์โบราณ แต่อย่างไรก็น่าจะเข้าใจง่ายกว่ามองแปลนวุ่นวายแบบนี้
   “ไอ้ห้องพิสดารนี่กำลังสร้างอยู่ตอนฉันลอบเข้าไป เห็นแปลนแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันล่ะนะว่าจะสร้างออกมาได้ แต่พวกนั้นมีนักวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีมากว่าที่เราคิดเอาไว้ พวกนั้นสร้างวัสดุค้ำยันที่สามารถรองรับความแปลกประหลาดซับซ้อนของห้อง แถมยังเหมือนจะติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเต็มรูปแบบ ให้ตายสิ ไหนว่าเรื่องนี้มันไม่ใหญ่โตไง”
   ราฟาแอลคราง รูฟัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที “เอาไงดี? ไม่เข้าไปได้มั้ย? คุณคุยกับเบื้องบนหรือยังน่ะ?”
   “แล้ว.....” ราฟาแอลพูดค้าง จนรูฟัสต้องถามต่อ “แล้ว...?”
   เสียงถอนหายใจหนักหน่วงตามด้วยสีหน้าปลงตกทำให้คนถามพอเข้าใจอารมณ์คนถูกถามได้
   “เบื้องบนบอกว่าจะเพิ่มค่าจ้างให้” ฝ่ายนั้นตอบ รูฟัสมีสีหน้าไม่ต่างจากราฟาแอลนัก
   “ผมควรดีใจสินะ อย่างน้อยเราก็ยังได้ค่าเหนื่อยเพิ่ม แทนที่จะได้ยกเลิกงาน”
   สองคนหันมามองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะสบถพร้อมกัน “เบื้องบนเวรเอ๊ย”
   ทั้งคู่เอนตัวลงบนโซฟา ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   “เราประสานงานให้ตำรวจที่นั้นเข้าไปขอค้นก่อนได้มั้ย?”
   รูฟัสกล่าว พลางนึกถึงเรื่องที่เขาไปพบนายตำรวจนายหนึ่งที่สวนสาธารณะ
   “มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเอาน่ะซี่ พวกนั้นคงไม่ยอมให้เราเข้าไปค้นจริงๆ หรอก น่าจะเตรียมสถานที่หลอกๆ เอาไว้มากกว่า”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตำรวจเก็บเอาไว้ตอนจบแบบทุกทีสินะ”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะหึๆ ในลำคอ “ดีหน่อย เบื้องบนบอกว่าให้ส่งแปลนไป เดี๋ยวเขาจะให้คนช่วยตีความให้”
   “อ้อ...แบบนี้เราก็รอแค่ทางนั้นแกะแปลนมาให้น่ะสิ” ชายหนุ่มกล่าว สีหน้าดูมีความหวังขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ
   “ฉันส่งไปเกือบสองสัปดาห์แล้ว รู้ไหมทางนั้นว่าไง?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะบ้าง
   “ทางนั้นตอบกลับมาว่า ไม่สามารถตีความแปลนนี้ได้”
   “แค่นั้น?!” หนุ่มตาสองสีโพล่งอย่างไม่เชื่อหู เพื่อนร่วมงานพยักหน้า
   “เวร...กระทั่งรัสเลอร์เองก็ดูไม่ออกรึ?”
   “ไม่ออก ขนาดฉันคิดว่าคนเพี้ยนๆ แบบนั้นน่าจะเข้าใจอะไรที่เพี้ยนๆ เหมือนกันๆได้ แต่ผิดคาดแหะ”
   รูฟัสหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมงาน “แล้วเราจะทำยังไง?”
   “รอพระเจ้ามาโปรดมั้ง” คนถูกถามตอบยียวน ก่อนจะยักไหล่ “เอาน่ะ เบื้องบนบอกว่าจะพยายามหาคนมาตีความให้ก่อนจะถึงเวลาประชุม ภาวนาให้ทางนั้นหาได้แล้วกัน”
   “ถ้าไม่ทันล่ะ?”
   “เดี๋ยวจะบอกให้คลาวเดียซื้อโลงรอไว้”
   “โธ่....” รูฟัสครางในลำคอ ก่อนจะพูดอย่างนึกได้ “งั้นเราไปหาตัวคนเขียนแปลนนี่ซะเลยก็ได้นี่ ถ้าเป็นคนเขียนเองล่ะก็ ต้องอธิบายให้เราฟังได้แน่ๆ”
   ราฟาแอลพยักหน้า และพูดต่อ “ถ้าหาได้ก็เยี่ยมเลยล่ะ แต่ฉันว่า คนเขียนคงถูกเก็บไปแล้วเหอะ”
   “หรือไม่บางทีอาจจะยังอยู่ในเซฟเฮาส์ที่ไหนสักแห่งก็ได้” รูฟัสแย้ง ราฟาแอลนิ่วหน้า “แกจะเสี่ยงกลับไปที่นั่นอีก?”
   รูฟัสยักไหล่ “ก็คุณมีเวลาอยู่ที่นั่นไม่นาน ถูกไหม? คุณไม่รู้รายละเอียดอะไรนักเกี่ยวกับคนที่ทำงานที่นั่น แต่ผมรู้ อย่างน้อยก็มีผู้ชายหน้าสวยกับลูกชายของประธานบริษัทนั่น......”
   จู่ๆ รูฟัสก็เงียบไปเสียเฉยๆ เพราะเกิดนึกเรื่องน่าขนลุกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเคยเห็นอิทธิเดชไปที่คอนโด และกลับออกมาพร้อมกับกล่องทรงกระบอกสีดำ ซึ่งเป็นของที่เขาจำได้ว่าอยู่ในห้องของฟ่ง นั่นเป็นกล่องที่พวกสถาปนิกใช้ใส่แบบแปลนไม่ใช่หรือ?
   “มันไม่น่าจะ..” รูฟัสครางออกมา มันเหลือเชื่อเกินไปที่ฟ่งจะเป็นคนเขียนแบบแปลนพวกนี้ ความจริงคือรูฟัสไม่อยากจะคิดว่าฟ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้อง มันต้องไม่ใช่  เขาคงจำผิด  ใช่ล่ะ เขาคงจำผิดไปแน่ๆ
   ราฟาแอลขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน
   “ทำไม แกเกิดนึกอะไรได้อีกหรือไง?” เขาถาม รูฟัสรีบส่ายหน้า
   “เปล่า ผมแค่กำลังนึกว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหนที่ต้องตามสะกดรอยสองคนนั่น ที่ไปเมคเลิฟกันจนถึงเช้า ขณะที่ผมต้องนั่งแกร่วอยู่คนเดียว”
   “อ้อ สำหรับคนเซ็กซ์จัดอย่างแกแล้วถือว่าเป็นเรื่องน่าลำบากใจมากเลยสินะ” ราฟาแอลเอ่ย รูฟัสขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
   “ผมไม่เซ็กซ์จัดไปกว่าคุณหรอกน่า”
คนถูกย้อนหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ “เอาล่ะ มาว่ากันต่อ สรุปแกจะเสี่ยงกลับไปที่นั่นอีกก็ได้ แต่ฉันทำเรื่องไว้แล้ว และคิดว่าพวกนั้นต้องเพิ่มการดูแลขึ้นมาอีกแน่ๆ และแกก็จะกลับไปใช้ฐานของคุณเมี่ยงไม่ได้ เพราะเริ่มเป็นที่จับตาแล้ว”
   “โอ้ ยอด!! พ่อคุณชายบ้าปืนราฟี่ทำให้เรื่องของผมวุ่นวายไปหมด” รูฟัสบ่น คนได้ยินแยกเขี้ยวทันที
   “ต้องโทษตัวแกเองนั่นแหละ ใครใช้ให้บ้าหนีตามผู้ชายไปฮ่องกงกันวะ ถ้าฉันทำงานนี้ได้แต่แรกคงไม่ต้องยืมแรงแก....”
   “เอาเถอะๆ” รูฟัสรีบพูดขัด เขากลัวว่าราฟาแอลจะบ่นยาวและงัดปืนออกมาเล่นอีก  ผู้ชายคนนี้ใช้ชีวิตมากับปืนเกือบตลอดชีวิต สำหรับราฟาแอลแล้ว ปืนคงไม่ต่างอะไรกับนิ้วมือนัก
   “สรุปว่ามันเสี่ยงเกินไปที่ผมจะไปที่นั่น แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้แบบแปลนซังกาบ๊วยนี่?” รูฟัสตั้งคำถาม เขาเก็บการโต้เถียงเรื่องที่ว่าเขาไม่ได้หนีตามผู้ชายเอาไว้ในสมอง ราฟาแอลยักไหล่
   “ง่ายมาก เราก็ให้รัสเลอร์อธิบายให้เราฟังเท่าที่เขารู้ หรือไม่ก็รอให้เขาหาคนที่จะอธิบายมันได้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รับประกันนักว่ามันจะทันกำหนดงานของเรา”
   “ก็แปลว่า เราต้องเผชิญกับห้องและระเบียงที่ยุ่งอย่างกับใยแมงมุมพวกนี้อย่างเดียวดายและไม่รู้ว่ามันคืออะไรมากไปกว่านี้ล่ะสิ?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างหงอยๆ
   “ตอนนี้ทั้งรัสเลอร์กับฉันยังคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ออก หวังว่ามันคงจะไม่แย่ขนาดนั้น ฉันไม่อยากตายคู่กับแก มันไม่โรแมนติกสักนิด ให้ตายสิ”
   “ผมก็ไม่ได้อยากตายคู่กับคุณนักหรอก” รูฟัสไม่ยอมแพ้  ราฟาแอลยักไหล่ “เรายังมีเวลาอีกมากสำหรับการหวังเรื่องปาฏิหาริย์ในเรื่องนั้น  ตอนนี้ฉันอยากคุยเรื่องแกต่อ”
   “อะไรอีกล่ะ” รูฟัสกล่าวอย่างรำคาญ
   “เรื่องเด็กที่แกพามา เด็กนั่นทำประโยชน์อะไรให้เราได้บ้าง?”
   คนฟังขมวดคิ้วทันที
   “ผมบอกแล้วว่าฟ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวด้วย”
   ราฟาแอลนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนจะประเมินสถานการณ์
   “แล้ว.....เขารู้อะไรเกี่ยวกับแกบ้าง”
   “เขารู้แล้วว่าผมเป็นสายลับ” รูฟัสเอ่ย รู้สึกปวดใจขึ้นมาจี๊ดๆ เมื่อนึกว่าฟ่งมีท่าทีอย่างไรบ้างหลังจากทราบเรื่องนี้  ราฟาแอลคราง
   “เด็กนั่นจับแกได้ หรือว่าแกสมัครใจบอกเอง?”
   “เฟิงปิงบอก” รูฟัสตอบห้วนๆ
   “อ้อ..” ราฟาแอลลากเสียงยาว “แปลว่าก่อนหน้านี้แกโกหกไปเหมือนทุกที แล้วทำไมถึงไปติดใจเด็กนี่ เขามายั่วแกรึ?”
   “เปล่า” รูฟัสปฏิเสธ ความยิ่งฟ่งไม่ได้ยั่วอะไรเขาสักนิด แม้แต่เขาเองยังแปลกใจว่าตัวเองไปตกหลุมรักได้อย่างไร แต่ก็นั่นแหละ คนมันรักไปแล้วนี่
   “แปลว่าจู่ๆ แกก็เกิดชอบคนข้างห้องที่แกพาไปกินข้าวทุกวันขึ้นมา บอกตรงๆ นะ ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ แกปล่อยตัวปล่อยใจแบบนั้นได้ไง”
   “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” รูฟัสพูดอย่างหมดหนทาง ราฟาแอลมองหน้าเพื่อน และเอ่ยต่อ
   “แล้วตอนนี้ เขารู้เกี่ยวกับเรื่องของแกมากแค่ไหน บอกเขารึเปล่าว่าแกกำลังทำอะไร?”
   “เปล่า”
   “สรุปคือเด็กนั่นรู้แค่ว่าแกเป็นสายลับ แล้วแกก็พาเขามาที่นี่ ทำไมถึงไม่ส่งเขากลับบ้านล่ะ” ราฟาแอลถามมาถึงประเด็นที่รูฟัสไม่อยากจะคิดที่สุด
   “ผมเห็นว่ามันอันตรายเกินไป เฟิงปิงรู้ว่าเขาสำคัญกับผม และริเวิลก็คงรู้ด้วย”
   “ใช่ และอีกไม่นานก็คงจะรู้ไปทั้งวงการ” ราฟาแอลกล่าวเสริม รูฟัสมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
   “เพราะอย่างนั้นผมเลยยังไม่ส่งเขากลับประเทศ”
   “แล้วจะเก็บตัวเอาไว้นานขนาดไหน?  ฉันหมายถึง แกจะให้เขาอยู่นี่นานขนาดไหน”
   รูฟัสนิ่งไปพักหนึ่ง เขาตัดสินใจไม่บอกราฟาแอลว่าจริงๆ แล้วฟ่งต้องการจะกลับประเทศ
   “ก็......นานเท่าที่จำเป็น บางทีอาจจะหลังงานเสร็จ”
   “โอ...” ราฟาแอลคราง “คำถามต่อไป เด็กนั่นรับแกได้รึเปล่า ฉันหมายถึง เขาก็ดูเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่น่าจะเคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องทำนองที่เราทำอยู่ และก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่คิดว่าแกเป็นพวกอย่างนี้ ถูกไหม? นั่นคือเรื่องตอนที่แกจีบเขา หรือเขาจะจีบแก เอาเถอะ นั่นไม่สำคัญ ฉันอยากรู้ว่า เขารับแกได้รึเปล่า?”
   รูฟัสนิ่งไปพักใหญ่  มันคือเรื่องจริงที่เขาไม่อยากยอมรับ ฟ่งรับเขาไม่ได้ แต่อาจจะเป็นแค่ในตอนนี้
   “เขาเพิ่งรู้ว่าผมเป็นใคร คงต้องใช้เวลาปรับตัวสักหน่อย” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยออกมาในที่สุด  ราฟาแอลขมวดคิ้ว
   “นี่คงไม่ใช่ว่าแกหลงรักข้างเดียวแล้วไปข่มขืนเขาหรอกนะ เด็กนั่นท่าทางจะไม่ไว้ใจแกน่าดู”
   “อา... มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก” รูฟัสคราง พลางคิดว่าเขาไม่ได้ไปข่มขืนฟ่งหรอก ก็แค่เผลอตัวมีอะไรด้วย ฟ่งก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธนี่  ถึงแม้อีกวันจะโกรธเขามากก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดีด้วย แถมทำตัวน่ารักเสียจนอดรักต่อไม่ไหว ฟ่งคงมีใจให้เขานั่นแหละ รูฟัสพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง
   ราฟาแอลมองเพื่อนด้วยสายตาแปลกๆ “แกบินมาไกลนี่  ไปพักผ่อนก่อนก็ได้ ไว้ค่อยคุยกันต่อ”
   เขากึ่งอนุญาตกึ่งไล่ให้อีกฝ่ายออกไปจากวงสนทนา รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเดินเหม่อขึ้นไปชั้นสอง เสียงของราฟาแอลตะโกนไล่หลังมา
   “ตามคลาวเดียลงมาด้วย”
-------------------------------------
   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูป เขาคุยกับคลาวเดียเรื่องเมืองไทยอยู่พักหนึ่ง แล้วคลาวเดียก็ชวนให้เขาดูรูปถ่ายพวกนั้น ตอนนี้เธอเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร่าเริงกับผู้ที่มาเคาะประตู “เข้ามาสิ”
   รูฟัสเปิดประตูเข้ามา สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก
   “ราฟี่ทำกำแพงเป็นรูอีกแล้วสินะ” เธอเอ่ย รูฟัสพยักหน้า นึกดีใจที่ฟ่งฟังภาษาฮังการีไม่ออก
   “ไว้เดี๋ยวผมจะซ่อมให้ทีหลัง แล้วนั่นทำอะไรกันอยู่?” เขาถามเมื่อเห็นอัลบั้มรูปวางอยู่  คลาวเดียยิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ
   “ฉันเอารูปถ่ายเก่าๆ ของเธอมาให้เขาดู”
   “โอ๊ย..” รูฟัสคราง มองดูอัลบั้มรูปพวกนั้นอย่างขยะแขยง
   “ขอร้องล่ะคลาวเดีย ช่วยเผาๆ มันทิ้งไปซ่ะทีเถอะ รูปพวกนี้น่ะไม่น่าพิศวาสขนาดจะเก็บเอาไว้โชว์ใครต่อใครได้หรอกนะ”
   “แต่ฉันว่าน่ารักดีออก แล้วเด็กนี่ก็ดูจะชอบเธอที่อยู่ในรูปด้วย”
   “จริงรึ?” รูฟัสทำหน้าเหลอหลาอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น จนคลาวเดียหัวเราะออกมา
   “ตายล่ะ รูฟัส นี่เธอกำลังเขินอยู่ใช่ไหมเนี่ย”
   “ผมเปล่า” รูฟัสรีบพูด  แต่คลาวเดียยิ่งหัวเราะชอบใจมากขึ้น
   “เธอหน้าแดง ฉันต้องรีบไปเรียกราฟี่มาดู  เขาคงจะไม่เชื่อแน่ๆ ถ้าฉันเล่า”
   “ไม่เอาน่า” รูฟัสรีบพูดดัก เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปบ้าง แต่การไปเรียกราฟาแอลมาดู ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
   “ความจริงเขาให้ผมมาตามคุณลงไป แต่คุณไม่ต้องตามเขาขึ้นมาซ้ำซ้อนหรอก หน้าตาผมไม่ได้ดูบันเทิงขนาดนั้น”
   “จ้ะๆ พ่อรูฟัส  ฉันจะให้เวลาเธออยู่กับแฟน”
เธอหันไปพูดกับฟ่งเป็นภาษาอังกฤษ “ฉันขอเอารูปพวกนี้ไปเก็บก่อนนะ เดี๋ยวพ่อหนุ่มขี้อายคนนั้นจะเอาไปเผาหมด”
   ฟ่งส่งอัลบั้มรูปคืนให้หญิงสาวอย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เขาอยู่กับรูฟัสสองต่อสอง
   รูฟัสมองไปที่ฟ่งซึ่งนั่งอยู่บนเตียงของเขา  แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
   “คุณชอบรูปถ่ายของผมหรือครับ?”
   ฟ่งมองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะพยักหน้า “ผมไม่เคยเห็นคุณสมัยเด็กๆ คุณดู..เอ่อ....น่ารักดี ทำไมถึงตัดผมเสียล่ะ?”
   รูฟัสยิ้มกว้าง จนฟ่งรู้สึกเหมือนเห็นสุนัขไซบีเรียนฮัสกีตัวใหญ่ที่กำลังกระดิกหางอย่างดีใจ  ร่างสูงเดินรี่เข้ามา และโผเข้ากอดผู้ที่นั่งอยู่ทันที
   “ถ้าผมไม่ตัดผม ก็กลายเป็นนักร้องเพลงร็อคน่ะสิครับ” รูฟัสเอ่ย พลางเอาหน้าถูไถไปกับใบหน้าของฟ่งที่ร้องเอะอะอย่างตกใจ  ตอนนี้เขาคิดว่ารูฟัสเหมือนสุนัขจริงๆ
   ความจริงแล้วตอนนี้รูฟัสกำลังดีใจมาก ดีใจกับคำชมเล็กๆ น้อยๆ ของฟ่ง ที่ว่าเขาน่ารัก แม้นั่นจะหมายถึงรูปตอนสมัยเด็กก็เถอะ
   ฟ่งกำลังคิดว่าเขาอาจจะพูดอะไรผิด  ท่าทางรูฟัสดูกระตือรือร้นจนเขากลัว
   “คุณ.. ช่วยออกไปก่อน” ฟ่งเอ่ย ขณะพยายามจะผลักไสอีกฝ่ายให้ออกไปให้พ้นตัว  รูฟัสมองเขาอย่างหงอยๆ และถอยออกไปหน่อยหนึ่ง
   “ผม เอ้อ..” ฟ่งพยายามจะนึกหาบทสนทนามาคุยกับผู้ชายตรงหน้า แต่เขานึกไม่ออก ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับผู้ชายคนนี้ดี จึงได้แต่อ้าปากค้าง และกะพริบตาปริบๆ อย่างคนนึกไม่ออก
รูฟัสมองหน้าฟ่ง  รู้สึกว่าฟ่งนั้นน่ารักจนอยากจะกอดเอาไว้ให้แน่นๆ  ใช่ล่ะ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าฟ่งจะทำอะไร ก็ดูน่ารักน่ากอดไปหมด  แล้วยิ่งตอนนี้มานั่งทำท่าน่ารักอยู่บนเตียงของเขาอีก……
ฟ่งสะดุ้งอย่างตั้งตัวไม่ติด เมื่อร่างสูงใหญ่ประชิดเข้ามา ฝ่ามือทรงพลังช้อนท้ายทอยเขาเอาไว้ พร้อมกับริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาอย่างหิวกระหาย ร่างผอมบางพยายามยกมือผลักออก แต่กลับถูกวงแขนแกร่งรวบเอาไว้ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณท้ายทอยที่ถูกอีกฝ่ายใช้มือจิกผมเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งโพลงอย่างตื่นตระหนก
รูฟัสตวัดปลายลิ้นสำรวจไปทั่วโพรงปากอุ่น เรียวลิ้นที่พยายามจะหลบหลีกยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่านมากขึ้น  นิ้วมือแข็งแรงขย้ำเรือนผมสีน้ำตาล บีบบังคับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยสูง ริมฝีปากอ่อนเผยอออกกว้างอย่างไม่อาจต้านทาน การรุกเร้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฟ่งร้องอู้อี้ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกข่มขืน เขาพยายามยันร่างอีกฝ่ายออก ทั้งผลักตั้งเตะ ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ รูฟัสถึงทำแบบนี้
รูฟัสรู้สึกว่ามือเท้าของฟ่งนั้นช่างขัดจังหวะเขาเสียเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ดูเร้าอารมณ์อย่างประหลาด เขาใช้มืออีกข้างตะปบลูบไปตามแผ่นหลังผอมบางโดยไม่สนการต่อต้าน ล้วงผ่านเสื้อผ้าเข้าไปสัมผัสกับผิวกายที่ยังคงสั่นไหว
การผลักไสอย่างไม่เต็มใจยิ่งทำให้ชายหนุ่มคลั่ง รูฟัสผลักร่างผอมบางลงไปบนเตียง กดน้ำหนักตัวลงไปเพื่อหยุดการต่อต้าน ฟ่งดิ้นรนอย่างสิ้นหนทางขณะที่ร่างสูงใหญ่คร่อมตัวลงมา
รูฟัสถอนริมฝีปากออก หอบหายใจถี่หนัก นัยน์ตาสองสีมองลงไปยังร่างที่นอนอยู่เบื้องล่างด้วยอารมณ์ปรารถนาที่เกินการควบคุม ริมฝีปากที่ถูกดูดจึงจนบวมเจ่อ ร่างที่สั่นสะท้าน เสียงหอบหายใจ ใบหน้าที่เป็นสีแดงจัด และดวงตาที่มองมาอย่างหวาดหวั่น ยิ่งกระตุ้นห้วงอารมณ์ปรารถนาโหมทวีมากขึ้น เขาลูบมือไปตามเรือนร่างที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่อย่างหื่นกระหาย
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะได้อ้าปากพูดอะไร ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ประกบเข้ามาอีกครั้ง ร่างบางส่งเสียงในลำคออย่างไม่ยินยอม ขณะที่เรียวลิ้นถูกดึงเกี่ยวเข้าไปขบกัด แต่คล้ายยิ่งขัดขืนมากเท่าไรยิ่งเหมือนกระตุ้นให้อีกฝ่ายมีอารมณ์มากขึ้น
รูฟัสดึงมือของฟ่งที่พยายามจะผลักเขาออก กดมันลงไปบนเตียง บดขยี้ริมฝีปากอ่อนอย่างหนักหน่วง ร่างผอมบางดิ้นขลุกขลัก ขณะที่ฝ่ามืออุ่นร้อนโลมลูบไปตามร่างกายด้วยเพลิงปรารถนา และแทบจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาออก
“อื้อ!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายใช้เสื้อผ้าที่ตัวเองถอดกระชากออกมามัดแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นพยายามจะดันตัวหนี แต่น้ำหนักตัวที่กดทับลงมา และพันธนาการที่แขนทำให้เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเบิ่งตามองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว
รูฟัสก้มลงมองร่างที่นอนหงายอยู่อีกครั้ง ร่างสั่นเทาและดวงตาหวาดหวั่นยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน รูฟัสอยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาต้องการมากแค่ไหน
ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลง ดึงแว่นตาของอีกฝ่ายออก ฝังจูบลงไปบนซอกคอขาว ขบกัดใบหูแดงจัดอย่างรุนแรงจนเหมือนจะกินเข้าไป ฟ่งส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ ฝ่ามือร้อนผ่าวขยำขยี้ลงไปตามแผ่นอก บั้นเอว และสะโพกราวกับจะจับปั้น ขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนดูดดึงและขบกัดลงไปบนร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
รูฟัสกวาดลิ้นไปทั่วแผงอกเรียบ ก่อนจะเลื่อนกลับไปตวัดรอบยอดอกสีอ่อน กัดและดูดมันอย่างรุนแรงจนกลายเป็นสีแดงช้ำ เขาอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของร่างกายนี้ อยากเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้ อยากจะประทับรอยรักเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา เป็นของเขาเพียงคนเดียว
ฟ่งครางเสียงพร่า ตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รูฟัสจูบร่างกายเขาอย่างแรงจนเจ็บจี๊ด ทั้งยังกัดอีกด้วย ความเจ็บปวดเล็กน้อยในภาวะเช่นนี้ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัว เขาพยายามดิ้นรนระหว่างนั้น และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขารุนแรงมากขึ้น
รอยฟันบางๆ และรอยจูบสีแดงจัดถูกทิ้งเอาไว้บนผิวอ่อนบาง ท่ามกลางเสียงร้องอย่างหวาดหวั่น รูฟัสก้มลงจูบสะดือ โอบมือไปรอบสะโพกแน่น กระชากกางเกงของอีกฝ่าย ออกจากนั้นโพรงปากอุ่นร้อนก็ดูดกลืนอวัยวะตรงหว่างขาเข้าไปอย่างหิวกระหาย ฟ่งร้องเสียงหลง ตะกายมือที่ถูกพันธนาการเพื่อจะหยุดการกระทำนั้น เรียวลิ้นร้อนที่ตวัดรอบและการดูดดึงอย่างดุดันแทบจะทำให้เขาสิ้นสติ
ความหฤหรรษ์ทางร่างกายที่ถูกเติมเข้ามาอย่างกะทันหันท่ามกลางความหวาดกลัวและเจ็บปวด ทำให้สมองของชายหนุ่มสับสน ร่างผอมบางเขม็งเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่ แอ่นสะโพกขึ้นตามจังหวะเร่งเร้า มือที่ถูกพันธนาการอยู่กำแน่น ขณะที่เสียงครางแหบพร่าลงเรื่อยๆ
แต่การเร่งเร้านั้นไม่ได้นำพาไปถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ ความกระสันซ่านปะปนกับความเจ็บปวดที่ถูกเติมเข้ามา เลยเถิดเกินไปจนสร้างความทรมานให้กับร่างผอมบางที่กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ฟ่งรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นแรงจนเหมือนกับจะหยุดเต้นได้ทุกขณะ เสียงครางสั่นพร่าขาดห้วงลงเรื่อยๆ
จู่ๆ ริมฝีปากร้อนจัดก็ถูกถอนออกดื้อๆ แทบจะพร้อมๆ กับนิ้วมือที่สอดเข้าไปในช่องเปิดด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งสุดตัว เมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนตวัดโลมไปรอบกล้ามเนื้อที่บีบรัดปลายนิ้วนั้นอยู่
ร้อนรนกว่าทุกครั้ง รูฟัสพยายามจะแทรกทั้งปลายนิ้วและปลายลิ้นเข้าไป ราวกับมีความอดทนเหลืออยู่น้อยเต็มที มือแกร่งข้างหนึ่งจับเรียวขาผอมบางให้ยกสูงขึ้น ฟ่งทำได้แค่หอบหายใจ การกระทำก่อนหน้านี้แทบจะดึงเรี่ยวแรงของเขาออกไปหมด
ทันใดนั้นนิ้วมือก็ถูกดึงออก ขาทั้งสองข้างถูกจับยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง ฝ่ามืออุ่นร้อนโอบรอบสะโพก ขย้ำลงไปอย่างแรง แล้วบังคับเบียดเข้ากับส่วนร้อนจัดที่รอท่าอยู่
การสอดใส่เป็นไปอย่างรุนแรงจนร่างผอมบางร้องเสียงลั่น เมื่อความโอฬารเบียดแทรกเข้าไปในช่องทางที่ยังไม่ขยายตัวเต็มที่ ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วทุกเส้นประสาท ได้ยินเสียงคำรามอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วฝ่ามือร้อนจัดก็ขย้ำแรงขึ้น บังคับให้ช่องทางเล็กแคบตอบรับส่วนขยายตัวนั้นลึกเข้าไปอีก
ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะถูกฉีก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่รูฟัสจะทำรุนแรงขนาดนี้ ความเจ็บปวดแผ่ขยายไปทุกอณูประสาทสัมผัส ขณะที่ฝ่ายนั้นบังคับเบียดกายเข้ามาเรื่อยๆ รูฟัสขยับตัวเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ดุนดันเข้ามาจนสุดความยาว
เสียงกรีดร้องดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ หยาดน้ำตาไหลพร่างพรูออกมาจากดวงตาสีน้ำตาล ขณะที่รูฟัสกระทั้นกายเข้ามาอย่างไร้ความปราณี ความโอฬารบดเบียดช่องทางเล็กแคบที่ถูกบับคับสอดใส่จนปากทางขยายออกกว้าง การกระแทกกระทั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ
รูฟัสดึงเสื้อที่ใช้มัดแขนของอีกฝ่ายออก บังคับจับมือของอีกฝ่ายแนบลงกับเตียง อ้าปากขบกัดซอกคอของร่างผอมบางที่กำลังร้องครางอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
ฟ่งร้องครางเสียงลั่น ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามาในร่าง เซ็กซ์อันรุนแรงแทบจะทำให้ร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ รูฟัสปล่อยมือที่จับกันอยู่ออก เลื่อนต่ำลงมาตะปบเอวบางเอาไว้ ฟ่งจิกเล็บไปบนผ้าปูที่นอน ดึงทึ้งอย่างไร้สติ ขณะที่ปั้นเอวถูกรั้งสูงขึ้น ความร้อนผ่าวบดเบียดเข้ามาจนลำคอรู้สึกแห้งผาก
ท่ามกลางเสียงร้องอย่างน่าเวทนา รูฟัสบังคับบดเบียดริมฝีปากอีกรอบ น้ำตาไหลพร่างพรูอาบจนเปียกไปทั้งใบหน้า ร่างผอมบางสั่นระริก ท่ามกลางความเจ็บปวด ทำนบอารมณ์ที่ถูกบดขยี้จนยับเยิน ปริแตกออกอย่างไม่อาจควบคุมได้
--------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:43:40
บทที่26  กรงขัง และพันธนาการ
   ราฟาแอลกำลังแกะปืนออกมาเช็ด ตอนที่คลาวเดียเดินลงมาด้านล่าง เธอหย่อนกายนั่งบนโซฟาข้างๆ เขา มองดูแฟนหนุ่มเช็ดถูอาวุธของตัวเองอย่างเงียบๆ
   เธอรู้จักกับราฟาแอลมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นเป็นไปในรูปแบบที่ยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ อย่างไรก็ดี ทั้งเธอและเขาก็ยังติดต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งราฟาแอลเข้าเป็นหน่วยสืบราชการลับ แต่เนื่องจากเจ้าตัวค่อนข้างจะมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์กับผู้บังคับบัญชา ท้ายที่สุดเจ้าตัวจึงตัดสินใจลาออกและหันมาทำงานเป็นสายลับอิสระ
รูฟัสนั้นย้ายมาอยู่ด้วยหลังจากราฟาแอลลาออกได้ไม่นาน ตามคำสั่งเสียที่เคยได้ให้ไว้ของครูฝึกคนหนึ่งซึ่งราฟาแอลเคารพรัก คลาวเดียยังจำวันแรกที่เธอพบรูฟัสได้ เด็กหนุ่มผมยาวที่มีดวงตาสีประหลาด แวบแรกเธอคิดว่าเขาคงมีปัญหาด้านการมองเห็น แต่สายตาของรูฟัสก็เหมือนคนปกติทั่วไป และออกจะดีกว่าค่ามาตรฐานด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่มีลูกนัยน์ตาที่สีไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
ระยะแรกที่รูฟัสมาอยู่ด้วย เด็กหนุ่มแทบจะไม่พูดไม่จาอะไรกับใคร นอกจากการพูดคุยกับราฟาแอลด้วยภาษารัสเซียเป็นบางครั้งเท่านั้น เขาเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยจะยิ้มบ่อยนัก แต่กระนั้นก็กวนประสาทเอาเรื่อง ไม่รู้ว่าใบหน้าบึ้งตึงดังกล่าวเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแบบที่เห็นในปัจจุบันตั้งแต่เมื่อไร คลาวเดียลงความเห็นว่าคงติดมาจากแฟนหนุ่มตัวดีของเธอแน่ๆ
   “เป็นไงบ้างล่ะ เด็กที่มาจากเมืองไทยคนนั้น” ราฟาแอลเอ่ยถาม หลังจากเช็ดปืนเสร็จ  คลาวเดียมองดูผนังห้องตรงหน้าที่เป็นรูเพราะแรงกระแทกของลูกตะกั่ว แล้วถอนหายใจ
   “ก็น่ารักดี ท่าทางรูฟัสจะชอบเขามาก คุณรู้รึเปล่า รูฟัสหน้าแดงด้วยนะตอนที่ฉันบอกว่าฟ่งชอบรูปถ่ายของเขาสมัยเด็กๆ”
   “โอ๊ย ตาย! รูปพวกนั้นอีกแล้ว เมื่อไหร่คุณจะเผามันทิ้งไปสักทีนะ”
   คลาวเดียขมวดคิ้วเมื่อราฟาแอลพูดแบบเดียวกับรูฟัส เธอค้อนใส่แฟนหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองกำแพงที่เป็นรูอีกรอบ และเริ่มพูดต่อ
   “คุณทำผนังพังอีกแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเล่นปืนไม่เลือกที่สักทีนะ ห้องซ้อมยิงปืนก็มีอยู่ชั้นใต้ดิน”
   “เอาน่า  ไว้เดี๋ยวผมจัดการซ่อมให้แล้วกัน” เขากล่าวฝืดๆ ในใจนึกว่าจะต้องบังคับให้รูฟัสมาซ่อมให้ได้
   “ตอนกลางวันฉันไปร้านของชิเอล่ามา ได้ยินว่าคุณตามจีบน้องสาวเธออยู่รึ?”
   “หมายถึงทิมิอา?” ราฟาแอลถามย้อน พลางเอาปืนเก็บเข้ากล่อง คลาวเดียมองเรือนผมสีบลอนด์ทองของแฟนหนุ่ม แล้วถอนหายใจ
   “ท่าทางทิมิอาจะชอบคุณมาก”
   “แหงล่ะ ก็ผมออกจะรูปหล่อ คารมดี สาวที่ไหนจะไม่สนล่ะ” ราฟาแอลยอมรับหน้าตาเฉย นี่เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลาวเดียเป็นอะไรที่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยาก
   ราฟาแอลเป็นโรคบ้าผู้หญิง เรียกได้ว่าเห็นผู้หญิงสวยถูกสเป๊กจะต้องเดินไปก้อล้อก้อติกทันที โดยไม่สนว่าตัวเองกำลังควงผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ คลาวเดียคิดว่าถ้าการถูกตบมีค่าเท่ากับการถูกยิง ราฟาแอลคงตายไปหลายรอบ ถึงกระนั้นเธอเองยังไม่เคยตบเขาเลยสักครั้ง เพราะไม่รู้ว่าตบไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
   เธอรักเขาในแบบที่เขาเป็น และราฟาแอลเองก็พอใจที่จะอยู่กับผู้หญิงที่รักเขาที่เขาเป็นแบบนี้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เปลี่ยนผู้หญิงไปกี่คน ท้ายที่สุดเขาก็จะกลับมาที่บ้านหลังนี้ มาพักกายพักใจกับผู้หญิงผมแดงที่รู้จักกันมานานแสนนาน ผู้หญิงที่เขาแทบจะไม่เคยควงไปไหนเลย แต่เป็นคนที่เขาอยู่ด้วยมากที่สุด
   คลาวเดียหันมามองหน้าแฟนหนุ่มของเธออีกครั้ง ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ
   “ชิเอล่าเป็นห่วงน้องสาวเธอมากนะ ทิมิอายังเด็ก คุณไม่ควรจะไปหยอกเล่นเธอแบบนั้น”
   “ผมก็ไม่ได้คิดจะหยอกเล่นหรอกนะ คุณก็รู้ว่าผมจริงจังกับทุกคน แต่ความจริงจังของผมอาจจะสั้นกว่าคนปกติสักหน่อย” ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองหยักศกกล่าว คลาวเดียโคลงศีรษะ “ฉันไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคุณถึงถูกตบบ่อยนัก”
   “โธ่ ก็ผู้หญิงพวกนั้นไม่เข้าใจผมแบบที่คุณเข้าใจนี่” เขาว่า หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ
   “ฉันรู้แล้วว่าห้ามคุณเรื่องนี้ยากยิ่งกว่าห้ามหมาไม่ให้เห่าเสียอีก เอาเถอะ ยังไงคุณก็ป้องกันบ้างแล้วกัน ฉันไม่อยากให้ทิมิอาติดโรค”
   “อา....” ราฟาแอลครางเสียงยาวทันทีที่ฟังจบ “คุณโกรธ? เอาล่ะ ผมขอโทษแล้วกัน แล้วผมจะเลิกยุ่งกับเธอ”
   คลาวเดียยักไหล่ “เปล่า ฉันไม่ได้โกรธ ฉันแค่เป็นห่วง จริงๆ นะราฟี่ คุณเป็นคนยังไงฉันก็รู้ ฉันจะไปโกรธคุณทำไมกัน”
   “จ้ะๆ” ราฟาแอลรีบพูด และเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
   “เธอคิดว่าไง เรื่องรูฟัสกับเด็กนั่น”
   คลาวเดียมองหน้าราฟาแอลอย่างไม่เข้าใจ เขาเลยพูดต่อ   “คุณคิดว่าสองคนนั่นจะไปกันรอดรึเปล่า?”
   “ไม่รู้สิ” คลาวเดียตอบ เธอไม่มีความเห็นในเรื่องนี้จริงๆ
   “คุณเมี่ยงเล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องของเด็กคนนั้น เห็นว่าเป็นสถาปนิก ฉันเองตอนแรกยังคิดว่าเขาอาจจะเกี่ยวอะไรกับแบบแปลนนรกพวกนั้นก็ได้  แต่พอเค้นแล้ว เจ้านั่นก็ยืนยันว่าไม่เกี่ยว นี่ตกลงมันไปติดพันคนข้างห้องจริงๆ รึนี่!”
   ราฟาแอลแทบจะยกมือกุมหัว หากนี่เป็นความจริง มันคงเป็นเรื่องที่เขาทำใจยอมรับได้ยากยิ่งกว่าควงสาวประเภทสองเสียอีก
   “แต่ดูแล้วรูฟัสเหมือนจะชอบฟ่งจริงๆ นะคะ” คลาวเดียพูดอีกครั้ง ราฟาแอลทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก เขาหันมาถามเธออีกรอบ
   “แล้วเด็กที่ชื่อฟ่งนั่นล่ะ มีปฏิกิริยายังไงบ้าง”
   “เอ..” คลาวเดียนิ่งนึกอยู่อีกพักหนึ่ง “ดูเขากลัวๆ คงจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับรูฟัสเท่าไหร่ล่ะมั้ง”
   “แล้วเด็กนั่นพอใจรูฟัสรึเปล่า?” ราฟาแอลถามต่อ
   “อืม...ก็เหมือนจะพอใจอยู่นะคะ เขาดูจะอยากรู้เรื่องของรูฟัสให้มากขึ้น แต่ก็ยังดูกลัวๆ อยู่เหมือนกัน คงเพราะเพิ่งมารู้ความจริงเอาตอนนี้ล่ะมั้ง”
   ราฟาแอลนิ่งไปพักหนึ่ง “ตามความเห็นของเธอ เธอคิดว่าเด็กที่ชื่อฟ่ง จะเข้ากับเจ้ารูฟัสได้รึเปล่า ฉันหมายถึง เด็กนั่นจะทำงานแบบที่ฉันกับมันทำได้รึเปล่า?”
   คลาวเดียสั่นศีรษะ “ไม่ไหวหรอก โดยส่วนตัวฉันเองก็ไม่อยากให้เขาทำงานเสี่ยงๆ แบบที่พวกคุณทำกัน เขาดู.....บอบบาง แล้วก็อ่อนแอมาก”
   “อืม” ราฟาแอลคราง “คุณเมี่ยงก็บอกฉันแบบนั้น ว่าหล่อนคัดค้านเจ้ารูฟัสแล้วว่าไม่ควรจะไปยุ่งกับเด็กนั่น  ฟ่งเป็นคนธรรมดามาก อย่างน้อยเขาก็ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือทำอะไรที่มันอยู่นอกเหนือกฎหมาย ฉันไม่เข้าใจว่ารูฟัสไปติดอกติดใจเด็กนี่ได้ยังไง ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันก็ตกหลุมรักแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
   “บางทีรูฟัสอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวก็ได้นะคะ” คลาวเดียกล่าว และกล่าวเสริมต่อ
   “จริงๆ แล้วเขาไม่เคยพาใครไปกินข้าวด้วยกันเกินมื้อหรือสองมื้อเลยนี่ คุณบอกว่าเขาพาเด็กนั่นไปกินข้าวจนมาสาย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ารูฟัสรู้สึกพิเศษกับฟ่งก็ได้นะ”
   ราฟาแอลทำหน้าสยดสยอง เขาไม่อยากเชื่อว่าคำพูดที่เคยพูดแซวรูฟัสเล่นเอาไว้จะเป็นความจริง  รูฟัสพาเด็กนั่นบินมาที่ฮังการีด้วย และเขาก็ยิ้มไม่ออกเลยสักนิด
   “ยังไงก็เถอะ ฉันคิดว่าเรื่องนี้จะต้องจบให้เร็วที่สุด” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น คลาวเดียมองหน้าเขาอย่างตกใจ
   “ฉันต้องการให้รูฟัสเลิกยุ่งกับเด็กคนนั้น มันเป็นทางที่ดีกับทั้งคู่”
   “แต่ฉันว่า รูฟัสคงไม่ยอม” คลาวเดียเอ่ยแทรกขึ้นทันที เธอไม่เคยเห็นรูฟัสหน้าแดงหรือแสดงอาการเขินอายกับใครมาก่อน สำหรับกรณีของฟ่ง คลาวเดียคิดว่ารูฟัสกำลังอาการหนัก
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน แต่เขาก็ยังคิดว่าการคุยกับรูฟัสก่อนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
   “ฉันคิดว่ายังไงต้องคุยกันตรงๆ  ถึงจะหน้ามืดขนาดไหน แต่จากเหตุผลทั้งหมดแล้ว ฉันคิดว่าในที่สุดมันก็จะยอมปล่อยเด็กนั่นไป เจ้านั่นน่ะ รักใครไม่ได้หรอก”
   “พูดแบบนั้นน่าสงสารรูฟัสนะ” คลาวเดียแย้งขึ้นมาอีก  เธอมองหน้าแฟนหนุ่ม “คุณทำอย่างกับว่ารูฟัสไม่สมควรจะไปรักใครงั้นแหละ”
   “ก็มันจริงนี่” ราฟาแอลกล่าว และเสริมว่า “ผมรู้ว่ามันดูรุนแรง แต่ว่าฟ่งไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับรูฟัสหรอก  สองคนนั้นมีวิถีชีวิตต่างกันเกินไป ถ้าคุณสงสารเจ้ารูฟัส คุณก็ควรจะสงสารเจ้าเด็กนั่นด้วย มีชีวิตปกติอยู่ดีๆ ก็ถูกมาเฟียจับตัว แล้วยังต้องบินหนีมาเจอพวกที่ไม่รู้ว่าทำงานแบบไหนกันแน่อีก”
   “เป็นฉันฉันก็คงรู้สึกกลัวเหมือนกัน” คลาวเดียกล่าวสนับสนุน แต่ก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของราฟาแอลรุนแรงเกินไปอยู่ดี
   “แล้วคุณจะคุยกับรูฟัสเมื่อไรล่ะ?” เธอถาม ราฟาแอลทำคิ้วย่น
   “ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ๆ ตะกี้ก่อนออกมาเธอล็อกประตูห้องรึเปล่า”
   คลาวเดียเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ไม่นี่คะ ทำไมหรือ?”
    ราฟาแอลทำหน้าแปลกๆ “ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันเถอะ ไปร้านของชิเอล่าก็ได้  จะได้ไปคุยเรื่องของทิมิอาให้จบๆ”
   “คุณเบื่อเธอล่ะรึ?”
   “ผมหาข้ออ้างอยากเจอเธอต่างหากล่ะ ไปเถอะ” ราฟาแอลกล่าว พร้อมกับฉุดมือคลาวเดียออกไป ความจริงแล้วเขาได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่ค่อยจะโสภานักจากด้านบน
   คลาวเดียอาจจะไม่ได้ยิน และเขาก็ไม่คิดว่าควรจะปล่อยให้เธอได้ยินด้วย
   เจ้ารูฟัสกำลังเมคเลิฟอยู่แน่ๆ
   ราฟาแอลขมวดคิวอย่างไม่ค่อยพอใจขณะเปิดประตูรถให้คลาวเดีย
   เขาควรจะออกไปจากบ้านก่อนที่จะทนขยะแขยงไม่ไหว
-------------------------------------------------------
“ได้ข่าวว่าเธอย้ายซื่อเยี่ยนไปอยู่ห้องเดียวกัน นี่วางแผนอะไรเอาไว้อีกหรือไง?”
   เว่ยเฟิงปิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานขมวดคิ้ว พลางมองหน้าหญิงสาวที่มีลักษณะคล้ายเด็กผู้ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองด้วยความรำคาญ ความจริงเขาไม่ต้องการที่จะพบเถียนซิงเลยสักนิด แต่เธอนัดจางซื่อเยี่ยนไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูแผล และขากลับก็ดันกลับมาพร้อมกันเสียนี่  เว่ยเฟิงปิงคิดว่าจางซื่อเยี่ยนคงจะไปเล่าอะไรให้เถียนซิงฟังแน่ๆ
   “ก็ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มตอบห้วนๆ ก่อนจะหันไปอ่านเอกสารในมือต่อ แต่ดูเหมือนหญิงสาวยังไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ
   “อย่ามาหลอกฉันให้ยาก  มันต้องมีอะไรแน่ๆ เธอที่ปกติดูรังเกียจเขาเสียขนาดนั้น จู่ๆ ทำไมถึงย้ายไปอยู่ร่วมกันเสียล่ะ”
   เว่ยเฟิงปิงลดมือที่จับเอกสารลง และเงยหน้าขึ้นมามองเถียนซิงอีกครั้ง
   “ก็ไหนเธอบอกว่าซื่อเยี่ยนชอบฉัน ฉันเลยย้ายหมอนั่นมาอยู่ด้วย ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
   “แปลกสิ!!” เถียนซิงร้องเสียงแหวว ไม่อยากจะเชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงกล้าพูดว่าจางซื่อเยี่ยนชอบเขา ระหว่างสองคนนี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
   “จะบอกว่าเธอเองก็ชอบเขาอย่างนั้นหรือ?”
   เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติมากๆ ทำให้เถียนซิงต้องร้องออกมาอีกครั้ง
   “โอ๊ย! เฟิงปิง เมื่อไหร่เธอจะตอบอะไรที่มันตรงกับใจสักทีนะ โอเค ฉันคิดว่าเธออาจจะพอใจอาซื่ออยู่นิดหน่อย จากเรื่องที่เธอแอบไปเยี่ยมเขากลางดึกที่โรงพยาบาล แต่ว่านั่นก็ไม่น่าจะทำให้คนอย่างเธอถึงกับย้ายเขาไปอยู่ด้วยนี่”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเถียนซิงพูดเรื่องที่เขาแอบไปเยี่ยมจางซื่อเยี่ยนที่โรงพยาบาล
   “ฉันไม่ได้พอใจหมอนั่นสักนิด” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างหมดความอดทน และพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้
   “แต่ฉันรู้ว่าหมอนั่นพอใจฉัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันย้ายหมอนั่นไปอยู่ด้วย”
   เถียนซิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เว่ยเฟิงปิงจึงอธิบายต่อ
   “ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด ซื่อเยี่ยนเป็นคนที่พ่อส่งมาคุมฉัน ฉันไม่รู้ว่าวันๆ หนึ่ง หมอนั่นรายงานพ่อฉันเรื่องอะไรบ้าง  แล้วยิ่งตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่น่าวางใจ การเก็บหมอนั่นไว้ใกล้ตัวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับฉัน”
   “พูดจริงๆ รึ?” เถียนซิงถามกลับอย่างไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกหน
   “เธอจะเอายังไง?” เขาถาม เถียนซิงยักไหล่
   “เปล่า ฉันก็แค่หวังว่า เธออาจจะทำหน้าแดง ยอมรับอย่างอายๆ ว่าจริงๆ แล้วเธอก็ชอบซื่อเยี่ยนอะไรแบบนั้น”
   “บ้าน่ะ!” เว่ยเฟิงปิงพูดสวนออกไปทันที ตอนนี้เขารู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ
   “เธออย่าจินตนาการอะไรบ้าๆ ได้ไหม” เว่ยเฟิงปิงใส่ต่อ มองหน้าญาติอย่างอารมณ์เสีย
   “ฉันแค่อยากจะจับตาดูว่าหมอนั่นไม่ได้พูดอะไรกับพ่อฉัน และ..ถ้าเอาตัวหมอนั่นมาเป็นของฉันได้ ฉันก็จะทำ”
   “เธอว่าไงนะ?”
   “ฉันพูดว่า..” เว่ยเฟิงปิงย้ำคำพูดช้าๆ “ถ้าทำให้หมอนั่นจงรักภักดีต่อฉันมากกว่าคุณพ่อได้ ไม่ว่าวิธีอะไรฉันก็จะทำ”
----------------------------------
   เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ที่จางซื่อเยี่ยนได้รับคำสั่งให้ย้ายมาอยู่ร่วมห้องกับเจ้านาย ด้วยเหตุผลบังหน้าว่าเป็นการคุ้มครอง แต่เบื้องหลังนั้น... ถึงตอนนี้จางซื่อเยี่ยนยังไม่เข้าใจเจตนาของเจ้านาย
   เขาไม่เข้าใจเว่ยเฟิงปิงเลยสักนิด
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาน่าจะดีใจมากกว่านี้ที่เว่ยเฟิงปิงให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย ความจริงมันเป็นเรื่องที่เขาใฝ่ฝันมานานแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับไม่ใช่
   เขารู้สึกว่าเว่ยเฟิงปิงกำลังวางแผนบางอย่าง
   แม้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะทำงานให้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมานานหลายปี และคิดว่าตัวเองรู้นิสัยของเจ้านายดีแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับตกอยู่ในแผนที่เจ้านายวางเอาไว้ โดยที่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร
   ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าการที่เขาคิดว่าเต็มใจที่จะตกเป็นเหยื่อของเว่ยเฟิงปิงนั้นเป็นเรื่องที่เขาคิดผิด
   จางซื่อเยี่ยนเปิดประตูเข้าไปในห้องพักของเจ้านาย ซึ่งตอนนี้เป็นห้องพักของเขาด้วย เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงไล่เขาออกมาหลังจากเถียนซิงเข้าไปพบ วันนี้เขาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูแผลตามกำหนดนัด และได้รู้ว่าข่าวการย้ายห้องนั่นแพร่สะพัดไปถึงหูแพทย์สาวเรียบร้อยแล้ว
   เถียนซิงถามเขาในหลายๆ เรื่อง และคำถามเหล่านั้นยิ่งกระตุ้นความไม่สบายใจในจิตใจของจางซื่อเยี่ยนให้เพิ่มมากขึ้น
   คนอย่างเว่ยเฟิงปิงคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ไร้ผลตอบแทน
   ชายหนุ่มกวาดตามองภายในห้อง เก้าอี้ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นสองตัว ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน  และหมอนสองใบที่วางคู่กันอยู่บนเตียง
   ทุกอย่างเว่ยเฟิงปิงเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหัวใจเต้นตุ๊บๆ เมื่อนึกว่าหลายวันมานี้เขาได้นอนข้างกายเจ้านายผู้เป็นที่รัก ได้โอบกอดอย่างที่เคยคิดฝัน และยิ่งกว่านั้น  ยังมีสัมพันธ์ลึกซึ้งไปกับผู้เป็นลูกชายของผู้มีพระคุณของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
   ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้ยอมมีอะไรกับเขา?
   คำถามนี้ยิ่งย้ำชัดขึ้นในหัวสมองของชายหนุ่ม หลังจากผ่านการสนทนากับญาติผู้พี่ของเว่ยเฟิงปิง ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ดูแลอาการของเขา แน่นอนว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ปริปากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เลยเถิด แต่ถึงอย่างนั้นข้อสังเกตของเถียนซิงก็ตรงกับที่เขาสงสัย
   เว่ยเฟิงปิงต้องมีแผนอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจู่ๆ คงไม่ย้ายเขามาอยู่ด้วยแบบนี้
   จางซื่อเยี่ยนเดินผ่านโต๊ะของเว่ยเฟิงปิงไปยังโต๊ะของเขา  และกำลังชั่งใจว่าเขาควรจะรายงานเรื่องนี้กับเว่ยชิงด้วยตัวเองรึเปล่า ข่าวการย้ายห้องในครั้งนี้คงฟุ้งไปถึงหูเจ้านายใหญ่ของเขาเรียบร้อยแล้วแน่ๆ เว่ยชิงจะยังวางใจในตัวเขารึเปล่านะ?
   ฉับพลัน จางซื่อเยี่ยนรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต
   กลัวว่าเขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
   ถ้าหากผู้เป็นเจ้านายใหญ่ของเขาเกิดไม่พอใจ หรือเกิดรู้ระแคะระคายล่ะก็.....
   อย่าว่าแต่โดนย้ายกลับ ไม่แน่เขาอาจจะโดนไล่ออกจากกลุ่ม โดนกล่าวหาว่าเป็นคนเนรคุณ  และอาจจะเอาชีวิตไม่รอด
   ถึงตอนนั้นเว่ยเฟิงปิงจะเป็นอย่างไร
   จางซื่อเยี่ยนห่วงว่าเว่ยเฟิงปิงจะโดนลงโทษ แต่ว่าลึกๆ แล้ว เขากลัวยิ่งกว่านั้น
   เว่ยเฟิงปิงจะทำหน้าอย่างไรเมื่อถึงเวลานั้น
   ชายหนุ่มเชื่อว่าหากเรื่องแดง เจ้านายของเขายากที่จะเดือดร้อน  เรื่องราวแย่ๆ จะตกอยู่กับเขาทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะมองในมุมไหน เขาก็คือลูกน้องผู้หาญอาจเอื้อมไปล่วงเกินผู้เป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงมา  เว่ยชิงนั้นเป็นคนเด็ดขาด และกล้าตัดสินใจจัดการกับอะไรก็ตามที่ก่อหรือสร้างปัญหารังควาญใจของเขา  จางซื่อเยี่ยนซาบซึ้งข้อนี้ดีจากการทำงานในหน่วยดำมาหลายปี
   เว่ยเฟิงปิงจะทำอย่างไร หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา
   จะเสียใจ จะมีน้ำตาหรือเปล่า?
   หรือจะยืนดูเฉยๆ?
   จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาประเมินคุณค่าของตัวเองสูงไป  เว่ยเฟิงปิงน่ะรึจะเสียน้ำตาให้คนอย่างเขา  ในเมื่อเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง  การที่คนคนนั้นยอมลงทุนถึงขั้นมีอะไรด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะถูกเดินต่อไปแบบไหน เขาก็ควรจะเต็มใจและดีใจที่จะยอมรับ
   แต่ลึกๆ จางซื่อเยี่ยนกลับรู้สึกเจ็บปวด และหวาดหวั่น
   เสียงเปิดประตูทำให้ชายหนุ่มกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง  เขาหันกลับไป และพบว่าเจ้านายกำลังเดินเข้ามา
   “คิดอะไรอยู่รึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าปกติ ซึ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนผิดความคาดหมายไปบ้าง เขาคิดว่าเจ้านายน่าจะแสดงความไม่พอใจมากกว่านี้ เรื่องที่เขากลับมากับเถียนซิง  บางทีสองคนนั้นคงไม่ได้คุยอะไรแย่ๆ อย่างที่เขากลัว
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า  เว่ยเฟิงปิงช้อนตาสีฟ้าใสมองเขาอย่างพิเคราะห์ ก่อนจะยิ้มหวานเยิ้ม และเดินมาโอบแขนรอบไหล่เขา
   “อาบน้ำกับฉันหน่อยสิ เดี๋ยวตอนเย็นฉันมีนัดทานอาหารกับคุณเสิ่น ฉันอยากอยู่กับนายก่อน”
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเว่ยเฟิงปิงจะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเพื่อเขา
   เว่ยเฟิงปิงขยับตัว  ดึงจางซื่อเยี่ยนให้หันมามองหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ
   “เบื่อฉันล่ะรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนแทบจะยกมือเคาะกะโหลกตัวเอง เขาอยากจะลืมเรื่องที่คิดเมื่อครู่ให้หมด  เว่ยเฟิงปิงนั้นอ่อนหวานและยั่วยวนมาก จนเขาไม่อยากจะตั้งข้อสังเกตอะไรให้วุ่นวายใจอีก
   ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า ผู้เป็นเจ้านายยิ้มหวาน จนผู้เป็นลูกน้องอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสัมผัสพวงแก้มแดงเรื่อนั้น และก็ยิ่งทำให้มันแดงเรื่อเข้าไปอีก เว่ยเฟิงปิงเลื่อนมือขึ้นมาโอบคอของจางซื่อเยี่ยน กระซิบเสียงแผ่ว
   “เป็นของฉันตลอดไปนะ..”
   คำพูดนั้นแทบจะทำให้จางซื่อเยี่ยนก้มลงแทบเท้าของผู้เป็นเจ้านาย เขารั้งตัวเว่ยเฟิงปิงมากอดไว้แน่น และแนบจูบลงบนริมฝีปากบางนั้นอยากรักใคร่
   อดีตหน่วยดำยอมศิโรราบให้กับเจ้านายของเขาอีกครั้ง
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:44:00
   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งรู้สึกตัวตื่น เขาหรี่ตาเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่าง และจะรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว วงแขนแกร่งที่โอบกอดเขาอยู่ดึงรั้งร่างของเขากลับไปอยู่ในผ้าห่มอีกครั้งเมื่อเขาทำท่าว่าจะลุกขึ้น
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมไปเปิดเอง” รูฟัสเอ่ยพลางยิ้มละมุน เขาจูบฟ่งเบาๆ พลางผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราวพาดผ้ามาพันปิดท่อนล่าง ก่อนจะเดินไปที่ประตู
   “ทานข้าวได้แล้ว” คลาวเดียเอ่ย และมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อเห็นสภาพของรูฟัส
   “อ้อ ฉันเข้าใจล่ะ” เธอเอ่ยออกมา รู้แล้วว่าทำไมตอนเย็นของเมื่อวาน ราฟาแอลถึงได้เร่งให้เธอรีบออกจากบ้าน
   “นี่รบกวนเธอรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ยต่อเมื่อเห็นรูฟัสเงียบ ชายหนุ่มยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเขา
   “ไม่หรอก เดี๋ยวผมลงไปแล้วกัน”   เขาเอ่ย คลาวเดียจึงถอยหลังออกมาและปิดประตู  เธอไม่อยากคิดว่ารูฟัสทำอะไรกับเด็กผู้ชายที่น่ารักคนนั้น เอาเถอะ ก็สองคนนั่นเป็นแฟนกันนี่
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะถามขึ้น “ห้องน้ำอยู่ไหน...?”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ และพาฟ่งไปที่ประตูที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ซึ่งเปิดไปเป็นห้องน้ำ
   “ประตูอีกด้านเปิดไปห้องของราฟี่นะ” เขาอธิบาย แต่ฟ่งไม่คิดจะเปิดมันอยู่แล้ว เขามองรูฟัสในเชิงขอร้องให้ออกไปก่อน ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมถอยออกไป
   ฟ่งยืนอยู่หน้ากระจก  มองดูร่างเปลือยของตัวเองที่มีรอยจ้ำสีชมพูคล้ำอยู่ทั่ว  นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าคิสมาร์ก
   สะโพกยังคงเจ็บแปลบ ตอกย้ำว่าสิ่งที่ได้รับเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องโกหก ฟ่งขนลุก วิ่งไปที่ชักโครก จัดการเอาสิ่งที่รูฟัสปล่อยค้างเอาไว้ในตัวออก เมื่อคิดถึงสิ่งที่รูฟัสทำเมื่อวาน ฟ่งรู้สึกกลัวขึ้นมาจับจิต รูฟัสที่เขาไม่รู้จัก รูฟัสที่รุนแรงบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ป่า และเหนืออื่นใดที่สุด ร่างกายของเขาติดใจในรสสัมผัสของผู้ชายคนนั้น มันโหยหาและระเริงไปกับสัมผัสนั่น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เต็มใจสักนิด
   ฟ่งกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ ถลำลึกลงไปในวังวนแห่งกามอารมณ์วิปริต  เขาไม่เคยต้องการจะเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้รังเกียจพวกลักเพศ หรือว่าเกย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นเกย์ไปเสียเอง
   ร่างบางก้มหน้านิ่ง เขาจะต้องไปให้พ้นจากชีวิตที่มีแต่เรื่องแบบนี้ให้ได้ แต่ว่าการจะหลีกเลี่ยง หากยังอยู่ที่นี่ก็คงเป็นเรื่องยาก เขาจะต้องกลับประเทศให้ได้เสียก่อน
   ฟ่งกัดฟันกรอด มีแต่จะต้องรบเร้าและอ้อนวอนให้รูฟัสส่งเขากลับประเทศเท่านั้น แต่ว่าผู้ชายคนนั้นจะรักษาสัญญาจริงๆ ล่ะหรือ......
---------------------------------------
   รูฟัสยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ก่อนจะผุดลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าและเก็บที่นอนให้เข้าที่ เขาเผลอมีอะไรกับฟ่งไปเมื่อวาน และนอนข้ามวันอย่างเหนื่อยอ่อนจนมาตื่นเพราะเสียงเคาะประตูของคลาวเดีย
   ชายหนุ่มเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งต้องไม่พอใจพฤติกรรมก้าวร้าวของเขาเมื่อวานแน่ๆ
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างคนสำนึกผิด เมื่อครู่ตอนตื่นนอน เขายังรู้สึกมีความสุข เนื่องจากไม่ได้ชิดใกล้กับฟ่งหลายวันแล้ว ระยะหลังฟ่งดูจะตีตัวออกห่างเขาไปเรื่อยๆ จนรูฟัสรู้สึกอึดอัด เขาอยากให้ฟ่งอยู่ใกล้ๆ อยากกอด อยากสัมผัส อยากมีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับเจ้าของใบหน้าที่บูดบึ้งนั้น แล้วเมื่อวานเขาก็อดใจไว้ไม่อยู่
   สำหรับเขาแล้ว ฟ่งเป็นอะไรที่ทำให้คลั่งได้เสมอ
   สัมผัสของผิวกายละเอียดอุ่นยังคงตกค้างอยู่บนฝ่ามือ พฤติกรรมของเขาเมื่อวานแทบจะเรียกได้ว่าคลั่ง รูฟัสจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรกับฟ่งไปบ้าง รู้แต่เขาปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ และเสียงร้องอย่างหวาดกลัวของฟ่งก็กระตุ้นอารมณ์เขาได้อย่างน่าตกใจ
   ชายหนุ่มขบริมฝีปาก เขาเพิ่งสำนึกได้ว่า อาจจะเจอการปิดกั้นจากฟ่งอีกครั้ง
   ร่างผอมบางที่แง้มประตูห้องน้ำออกมาและร้องขอผ้าเช็ดตัว ทำให้ความคิดของเขาหยุดชะงัก รูฟัสเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตู้มาให้ ฟ่งยื่นมือออกมารับ และพยายามอย่างที่สุดที่จะหลบเขา ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากทางนั้นปิดประตูห้องน้ำแล้ว ไม่รู้ว่าพออาบน้ำเสร็จ ฟ่งจะมีปฏิกิริยากับเขาอย่างไร อาจจะไม่ให้เข้าใกล้อีกก็ได้ พอคิดถึงตรงนี้ รูฟัสก็รู้สึกหงอยขึ้นมาทันที
   ฟ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว เขามองหน้ารูฟัสอย่างหวาดๆ และถามถึงเรื่องเสื้อผ้า รูฟัสมองดูฟ่งที่เปลือยท่อนบน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยคิสมาร์กที่ตัวเองทำเอาไว้
   แย่ล่ะ นี่เขาทำไปขนาดนี้เลยหรือ
   รูฟัสรีบเดินไปคุ้ยเสื้อผ้าในตู้ พลางคิดว่าคราวนี้คงไม่แค่ไม่ให้เข้าใกล้แน่ๆ ฟ่งได้เสื้อยืดแขนยาวสีสนิม กับกางเกงยีนส์ขายาวจากตู้ของรูฟัส แต่เมื่อใส่เข้าไปก็พบว่ามันหลวมโคร่งทั้งคู่ หนุ่มตาสองสียกมือขึ้นเกาศีรษะ ในที่สุดหลังจากขุดคุ้ยตู้เสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ ฟ่งก็ลงเอยกับเสื้อยืดตัวเดิม แต่ได้กางเกงยีนส์ตัวใหม่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องพึ่งเข็มขัดซึ่งก็หลวมอีกเหมือนกัน ฟ่งต้องดึงกางเกงเป็นระยะ เพื่อไม่ให้มันหลุดลงไปกองตรงสะโพก รูฟัสคิดว่าเขาคงต้องจัดการเรื่องเสื้อผ้าของฟ่ง ฟ่งเอ่ยถามถึงผ้าพันคอ เพราะเสื้อที่หลวมทำให้เห็นรอยจ้ำ รูฟัสมองอย่างนึกเสียใจนิดๆ แล้วรื้อผ้าพันคอออกมาให้

   รูฟัสกับฟ่งลงมาที่โต๊ะอาหารหลังจากที่คลาวเดียขึ้นไปตามไม่นานนัก  สภาพฟ่งดูเหมือนเด็กที่ใส่เสื้อผู้ใหญ่ ขณะที่รูฟัสทำหน้าหงอยเหมือนสุนัขที่ถูกดุ
   คลาวเดียตักซุปใส่ชามและวางลงตรงหน้าคนทั้งคู่ ขณะที่ราฟาแอลทานไปก่อนแล้ว  ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี ตวัดดวงตาสีมรกตมองดูคนที่เพิ่งลงมาใหม่อย่างสำรวจตรวจตรา และนึกแปลกใจที่ได้เห็นรูฟัสมีสีหน้าแบบนั้น
   ทั้งสี่ทานอาหารมื้อเช้ากันอย่างเงียบๆ รูฟัสอธิบายให้ฟ่งฟังว่านี้คือซุปกูลาช ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของฮังการี รสชาติของมันถือว่าไม่เลวทีเดียวสำหรับคนต่างถิ่นอย่างฟ่ง แต่ชายหนุ่มสวมแว่นเกิดอาการไม่อยากอาหารขึ้นมา  ดังนั้นกว่าที่จะทานหมดก็กินเวลานานกว่าคนอื่นพอดู
   “ไม่ถูกปากรึ?” คลาวเดียเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฟ่งทานซุปด้วยท่าทางซึมเซา ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า
   “อร่อยแหละครับ แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ฟ่งพูด รู้สึกเจ็บคอนิดหน่อย จึงยกน้ำขึ้นมาดื่มตามลงไป
   “ออ” คลาวเดียลากเสียงยาว และหันไปมองรูฟัสด้วยสายตาเหมือนโทษว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ฟ่งรู้สึกไม่สบาย รูฟัสทำหน้าเหลอหลา  และพยายามปฏิเสธด้วยสายอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังมองเขาอย่างไม่เชื่อถืออยู่ดี

   “เธอน่าจะซื้อเสื้อใหม่ให้เขานะ” คลาวเดียเอ่ยขึ้น หลังจากที่เก็บชามอาหารไปหลังบ้าน โดยมีฟ่งตามไปช่วยทำความสะอาด
   “เสื้อของเธอมันตัวใหญ่เกินไป เด็กนั่นใส่แล้วดูตลกๆ ยังไงไม่รู้”
   รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก  เขาเห็นด้วยกับข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง
   “เธอขับรถพาเขาไปซื้อเสื้อผ้าในเมืองก็ได้ ไซต์ขนาดนี้น่าจะมีขาย” คลาวเดียแนะนำต่อ รูฟัสพยักหน้าอีกรอบ และกำลังจะอ้าปากขอกุญแจรถ แต่ราฟาแอลพูดขัดขึ้นก่อน
   “ไม่ต้องเอารถไปหรอก ใกล้แค่นั้น เดินไปก็ได้”
   คลาวเดียขมวดคิ้วกับคำพูดของแฟนหนุ่ม เขาจึงพูดต่อ “เด็กนั่นเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก มีโอกาสก็น่าจะพาไปเดินเล่น ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
   ถึงตอนนี้คลาวเดียพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่รูฟัสกลับมีสีหน้าแปลกๆ  ราฟาแอลหันไปมองเขาอย่างตั้งใจ
   “ทำไม เกิดขี้เกียจเดินหรือไง?” หนุ่มผมบลอนด์เอ่ยถาม คนถูกถามส่ายหน้าทันที
   “งั้นฉันว่าเดี๋ยวออกไปกันเลยดีกว่า จะได้เดินย่อยอาหารด้วย” คลาวเดียสรุป หลังจากรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างแฟนหนุ่มของเธอกับเพื่อนร่วมงาน  รูฟัสหันไปแปลบทสนทนาบางส่วนให้ฟ่งฟัง ชายหนุ่มผู้สวมแว่นพยักหน้าเป็นระยะๆ
---------------------------------
   อากาศในฤดูใบไม้ร่วงของฮังการีนั้นค่อนข้างจะหนาวมากสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรมาตลอดชีวิตอย่างฟ่ง ชายหนุ่มกระชับเสื้อแจ๊คเก็ตที่รูฟัสซื้อให้เข้ากับตัว ขณะที่สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามา เขาเหม่อมองออกไปยังทะเลสาบ ดูฝูงหงส์ที่ว่ายน้ำอยู่ ได้ยินเสียงของรูฟัสอธิบายแว่วๆ ว่าทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่าทะเลสาบบาลาตอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมือง อย่างไรก็ตามฟ่งไม่ให้ความสนใจนักว่าทะเลสาบแห่งนี้จะใหญ่เป็นอันดับที่เท่าไร  สมองของเขากลับนึกไปถึงเรื่องที่รูฟัสทำลงไปเมื่อวาน และพาลย้อนนึกไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา
   ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจมีเพิ่มมากขึ้น
   ฟ่งไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตากับหนุ่มตาสองสีคนนี้อีก ที่สำคัญ เขากลัวการที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ  ฟ่งพยายามเดินให้ห่างจากรูฟัสให้มากที่สุดตามสัญชาติญาณ  และหลีกเลี่ยงการที่จะถูกอีกฝ่ายสัมผัสตัว
   เขาอยากที่จะกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด
   ฟ่งกำลังนึกถึงสถานทูต!!
   ถ้าเขาไปที่สถานทูต บอกว่าตัวเองถูกลักพาตัวมา มันจะเป็นเรื่องใหญ่รึเปล่านะ ไม่สิ  คนพวกนี้จะยอมให้เขาไปสถานทูตหรือ?
   และเรื่องที่น่าหนักใจกว่าคือเขาไม่รู้ว่าสถานทูตไทยในฮังการีอยู่ที่ไหน และที่แย่กว่านั้น เขาพูดภาษาฮังการีไม่ได้สักประโยค การถามรูฟัสคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ และถ้าถามราฟาแอลหรือคลาวเดียก็คงจะให้ผลไม่ต่างกัน
   ฟ่งอธิฐานในใจอย่างเลื่อนลอยว่า ขอให้เจอคนไทยสักคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรู้สึกย่ำแย่ไปกว่านี้
----------------------------------------
   รูฟัสรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะสายลมที่พัดเข้ามา แต่เพราะพฤติกรรมของชายหนุ่มที่เดินเหม่ออยู่ข้างๆ เขาต่างหาก
   ตอนนี้สายลับหนุ่มรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
   ฟ่งแทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ไม่สิ อาจจะก่อนหน้านั้นอีก  รูฟัสอยากจะร้องตะโกนยอมรับความผิดพลาดที่เขาได้ก่อขึ้นซ้ำซาก
   เขาไม่น่าจะทำแบบนั้นกับฟ่งเมื่อวาน
   ถึงจะรู้สึกแบบนั้น แต่รสสัมผัส ความวาบหวาม เสียงร้องครวญครางที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพู ใบหน้าแดงซ่าน เรือนร่างขาวเนียนที่บิดส่ายอย่างทรมานอยู่ใต้ร่าง ดึงรั้งสติของเขาไปสิ้น รูฟัสคิดว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปเขาก็คงทำเหมือนเดิม  เพราะสำหรับเขาแล้ว ฟ่งนั้นหอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก เป็นคนคนเดียวที่เขาอยากจะสัมผัสแตะต้อง อยากจะทำให้เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
   และนั่นก็ทำให้ฟ่งหวาดกลัวมากขึ้น
   ชายหนุ่มพยายามจะยิ้มให้กับผู้ที่เดินหลบเลี่ยงเขาอยู่ ด้วยความหวังแค่ว่ามันอาจจะทำให้ฟ่งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็เห็นแล้วว่ามันคงจะใช้ไม่ได้ผล
   ราฟาแอลที่เดินตามหลังมาห่างๆ สังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานและคนที่มาด้วยกัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากจะออกมาเดินเล่น ราฟาแอลเป็นคนไม่ชอบเดิน เขาไม่ชอบงานออกแรงฟรี หรือเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ การที่เสนอให้ทั้งหมดเดินออกไปร้านขายของ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นแก่ฟ่ง แต่ราฟาแอลต้องการจะดูความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน กับผู้ชายซึ่งถูกอ้างว่าเป็นคนรัก
   ราฟาแอลเป็นอดีตทหารหน่วยสอดแนมของทางการ และคร่ำหวอดในวงการมานานกว่าสิบปี  เขามีความรู้สึกว่าการที่รูฟัสพาคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมาอยู่ด้วยมีแต่จะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
   ชายหนุ่มเห็นด้วยกับความคิดของเมี่ยง
   รูฟัสนั้นยังไม่เข้าใจว่าการที่เขาดึงคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรเลยเช่นฟ่งมาร่วมชีวิตด้วย จะก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรค์มากเพียงใด อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กนั่นไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก
   ความจริงราฟาแอลไม่เคยคาดคิดว่ารูฟัสจะไปตกหลุมรักใคร เขารู้จักกับรูฟัสมานาน ตั้งแต่เด็กนั่นยังอายุแค่สิบห้าปี เจ้าเด็กที่แสนจะกวนประสาท ทุ่มเทกับงานมากกว่าใคร สำหรับรูฟัสแล้ว งานสายลับที่ทำอยู่ถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเป็นงานที่คนที่เขานับถือเป็นพ่อบังเกิดเกล้าคนที่สองเป็นคนสั่งสอนให้
   การที่จู่ๆ รูฟัสดันไปหลงคนข้างห้องจนถือเป็นจริงเป็นจังว่าจะเอามาอยู่ร่วมกันให้ได้นั้น  เป็นปัญหาที่ชวนให้ปวดหัว เพราะรูฟัสนั้นดันทุรังเกินกว่าจะพูดจาเหนี่ยวรั้งได้ หากตัดสินใจอะไรไปแล้ว นอกจากกว่าจะไปเผชิญปัญหานั้นด้วยตัวเองเสียก่อน  และราฟาแอลคิดว่าเพื่อนของเขากำลังจะเจอปัญหา
   ราฟาแอลไม่รู้ว่าเมื่อวานรูฟัสทำอะไรฟ่งไปบ้าง ที่รู้แน่ๆ คือสองคนนั่นมีอะไรกัน และปฏิกิริยาในวันต่อมาคือสายตาและทีท่าแสดงความหวาดกลัวมากขึ้น  ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเขียวและเรือนผมสีบลอนด์เริ่มรู้สึกว่าบางทีรูฟัสอาจจะหลงไปข้างเดียว  และเริ่มคิดไปถึงขั้นเลวร้ายว่าบางทีรูฟัสอาจจะข่มขืนฟ่ง และพยายามบังคับให้เด็กนั่นมาอยู่ด้วยกัน  แต่ก็รีบปัดความคิดนี้ออกไปทันที เพราะนั่นคงไม่ใช่นิสัยของรูฟัส
   เรื่องจึงลงเอยที่ว่า ฟ่งอาจจะรับความจริงเกี่ยวกับเพื่อนของเขาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ปัญหาคือเหมือนว่ารูฟัสจะไม่ยอมรับในข้อนี้ และพยายามที่จะไม่รับรู้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง  ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับถึงความจริงข้อนี้ให้ได้

   “นี่” ราฟาแอลเอ่ยเรียกเพื่อนร่วมงาน เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงร้านขายเสื้อผ้า รูฟัสที่ทำท่าจะพาฟ่งเข้าไปในร้านหันมามองด้วยสายตาตั้งคำถาม
   “แกไม่ต้องตามเข้าไปหรอก ให้คลาวเดียไปจัดการให้ก็ได้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
   รูฟัสทำหน้าแย้ง แต่ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะวางแผนกับคลาวเดียไว้แล้ว เธอคุยกับฟ่ง และพาเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าทันที ดูเหมือนว่าฟ่งจะมีสีหน้าโล่งใจขึ้น  ดังนั้นรูฟัสจึงถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องยืนสนทนาอยู่กับราฟาแอลที่ด้านนอก

   ฟ่งเดินเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าและมองดูรอบๆ คลาวเดียทักทายกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง ด้วยภาษาฮังการีที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง มันทำให้เขารู้สึกเกร็งและตื่นเต้นนิดหน่อย ชายหนุ่มเดินไปที่ราวแขวนเสื้อ มองหาเสื้อผ้าขนาดพอจะใส่ได้  จริงๆ คือ เขากำลังมองหาเสื้อที่มีตัวเลขป้ายราคาต่ำที่สุด  ฟ่งรู้สึกละอายใจที่ต้องใช้เงินคนอื่นซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง
   ในที่สุดเขาเลือกเสื้อออกมาตัวหนึ่ง และเดินไปหาคลาวเดีย ฟ่งคิดว่ารูฟัสคงจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น เขาไม่อยากจะใช้เงินของใครทั้งนั้น แต่ว่าเสื้อผ้าของรูฟัสนั้นตัวใหญ่เกินไปสำหรับเขาจริงๆ
   คลาวเดียมองดูเสื้อแล้วมองหน้าเด็กหนุ่มสวมแว่นสลับกันไปมาพักหนึ่ง
   “เลือกมาอีกสิ เธอคงต้องอยู่ที่นี่หลายวัน” หล่อนเอ่ย พลางมองดูนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างเกรงอกเกรงใจ และยิ้มให้
   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ รูฟัสเขาจ่ายได้ และเขาสมควรจะจ่ายให้เธอ เพราะเขาเป็นคนทำให้เธอลำบาก”
   ฟ่งมองหน้าหญิงสาว นิ่งคิดไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อย่างน้อยเขาควรจะหาอะไรที่สวมใส่แล้วป้องกันสายตาของคนอื่นได้ในระดับหนึ่ง ฟ่งยังนึกถึงรอยจ้ำสีชมพูเข้มที่มีอยู่ทั่วตัวของเขา จะปล่อยให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด
   ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปที่ราวแขวนเสื้อ และเลือกเสื้อผ้าเพิ่มเติม
----------------------------------   
   “ถามจริงๆ เถอะ แกจริงจังกับเด็กนั่นมากขนาดไหน?”
   รูฟัสเบิ่งนัยน์ตาสองสีของเขามองดูเพื่อนอย่างงุนงง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
   “ก็อยากจะให้มาอยู่ด้วย”
   สายลมพัดวูบเข้ามา ปอยผมสีทองของราฟาแอลสยายไปตามแรงลม รูฟัสมองดูนัยน์ตาสีเขียวที่แสดงความแปลกใจนั่นอีกครั้ง และพูดต่อ “ผมจริงจังกับฟ่ง ผมอยากใช้ชีวิตร่วมกันเขา”
   ราฟาแอลหลับตา พยายามคิดกับตัวเองว่าคนที่พูดอยู่ตรงหน้าไม่ใช่รูฟัส  เพราะรูฟัสที่เขารู้จักมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ต้องไม่พูดอะไรแบบนี้แน่ๆ มันดูน่าสยดสยองเกินไป
   “แล้วแก...  คิดว่าเขาจะอยู่ร่วมกับแกได้รึ?”
   คำถามนี้ทำเอารูฟัสอึ้งไปพักใหญ่ ฟ่งจะอยู่ร่วมกับเขาได้หรือ? นี่เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อน
   “พูดตรงๆ นะ ฉันมองไม่ออกเลยว่าพวกแกสองคนจะไปกันได้ เด็กนั่นดูจะกลัวแกมาก  เมื่อวานแกไปข่มขืนเขาหรือไง?”
   รูฟัสถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงาน ราวกับจะถามว่ารู้ได้อย่างไร ราฟาแอลยักไหล่ เอ่ยปากต่อ
   “เด็กนั่นร้องซะเสียงดัง ฉันไม่ได้อยากจะฟังนักหรอกนะ แต่ว่าจากเห็นท่าทางวันนี้ของเขาแล้ว ฉันอดคิดไม่ได้ว่าแกอาจจะหลงชอบข้างเดียวก็ได้”
   คิ้วสีดำเรียวยาวได้รูปของรูฟัสขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ “คุณจะไปรู้ได้ยังไง!”
   ชายหนุ่มโพล่งออกมา ราฟาแอลโบกมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายควบคุมอารมณ์ และพูดต่อ “ฉันไม่รู้ แกรู้รึ? เด็กนั่นเคยบอกแกว่ารักสักคำรึเปล่า?”
   คำพูดของราฟาแอลเหมือนค้อนเหล็กขนาดใหญ่ตอกเข้าไปในหัวใจของรูฟัส  เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาไม่อยากจะย้อนกลับไปคิด ไม่อยากจะคิดเลยว่าจริงๆ แล้วเคยฟ่งรักเขาหรือเปล่า ฟ่งไม่เคยพูด ไม่เคยบอก ไม่เคยจะแสดงอะไรให้เขารู้เลยว่ารักสักครั้ง นอกจากคืนที่เขาพาฟ่งกลับมาจากคลับของเมี่ยงคืนนั้น และจูบที่ฟ่งมอบให้กับเขาสองหนทั้งบนโซฟาและบนเตียงนอน นั่นจะถือเป็นคำบอกรักได้หรือเปล่านะ
   รูฟัสลังเลที่จะชี้ชัดว่านั่นเป็นคำตอบ เรื่องราวคลุมเครือนั้นทำให้เขาทุ่มเทหัวใจให้กับเด็กหนุ่มข้างห้องผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลและนัยน์ตาใสแจ๋วราวกับแก้วเจียระไน
   ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้า  ทำให้ราฟาแอลร้องอย่างแปลกใจ “พระเจ้า!!  สรุปว่าแกทึกทักเอาเองจริงๆ?”
   รูฟัสเม้มปาก ทำว่าทึกทักเอาเองของราฟาแอลมันทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทึกทักเอาเองจริงๆ หรือเปล่า เรื่องที่ฟ่งมีใจให้ ได้ยินเสียงเพื่อนถอนหายใจยาว
   “นี่ รูฟัส แกชอบเด็กนั่นมากขนาดไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ความชอบของแกมันรวมถึงการทำให้เขาลำบากด้วยรึเปล่า?”
   “คุณหมายความว่าไงน่ะ?” ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำถามสวนทันที ราฟาแอลจ้องเข้าไปในดวงตาสองสีคู่นั้น และกล่าวอย่างช้าๆ
   “หมายความว่า การที่เขาต้องมาตกระกำลำบากเพราะแก ถูกจับตัวไปนั่นมานี่ ใช้ชีวิตอยู่กับคนไม่รู้จัก ถูกหลอก ไม่มีอนาคต นั่นถือเป็นความรักที่แกอยากจะมอบให้เขาอย่างนั้นหรือ?”
   รูฟัสขบกรามแน่น เขาเงียบไปนาน และไม่ยอมตอบคำถามของอีกฝ่าย
   “พอเถอะราฟี่ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้” เขากล่าวสั้นๆ และหันหลังเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อ พอดีกับที่ฟ่งและคลาวเดียเปิดประตูออกมา  คลาวเดียเหลือบตาไปมองราฟาแอลแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาพูดกับรูฟัส
   “เสร็จแล้วล่ะ ดูสิ ใส่แล้วน่ารักดีนะ” เธอเอ่ย และสะกิดฟ่งที่เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ออกมาแล้ว ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีน้ำตาลอ่อนขอบสีน้ำตาลเข้มที่เข้ารูปพอดีตัว กับแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลไข่ไก่ ปักลายใบไม้เล็กๆ และสวมกางเกงยีนส์สีสนิม  ดูเข้ากับผิวสีเหลืองและผมสีน้ำตาลเข้มนั้นดี รูฟัสรู้สึกเห็นด้วยกับคำว่า”น่ารัก”ที่คลาวเดียเอ่ย ฟ่งเหมือนลูกนัทสีน้ำตาลที่กำลังสุกได้ที่  ชวนให้อยากแกะเปลือก
   ฟ่งพยายามจะฝืนยิ้ม เขาไม่ได้มองหน้ารูฟัสตรงๆ จริงๆ คือ เขาทนเงยหน้ามองรูฟัสไม่ได้ ฟ่งไม่กล้าจะสบนัยน์ตาสองสีคู่นั้น  เขารู้สึกหวั่นไหวในหลายๆ ด้าน  ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้เขาขยับตัวไปยืนหลังคลาวเดียโดยอัตโนมัติ  มันทำให้รูฟัสต้องย่นคิ้วด้วยความอ่อนใจนิดหน่อย
   คงจะดีกว่านี้ถ้าฟ่งมองและยิ้มให้เขา
   “จะกลับเลยรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ย และหันไปมองราฟาแอลเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่จริงๆ แล้วเธอกำลังถามเขาด้วยสายตาว่า คุยกันได้ด้วยดีรึเปล่า ราฟาแอลยักไหล่
   “ก็แล้วแต่สิ จะเดินเล่นต่อก็ได้ ทำไมไม่ถามฟ่งดูล่ะว่าอยากไปไหนรึเปล่า”
   “ผมว่าไปเดินเล่นต่อก็ดีนะ” รูฟัสพูดแทรกขึ้นแทน เขากลัวว่าถ้าฟ่งพูดว่าอยากไปสถานทูตแล้วเขาจะพูดต่อไม่ออก ราฟาแอลคงจงใจที่จะโยนคำถามนี้ เพื่อนของเขามีท่าทีที่แทบจะชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับความรักของเขา
   ฟ่งเงยมองคนทั้งสามอย่างอึดอัดใจ เพราะเขาฟังไม่รู้เลยว่าทั้งหมดกำลังคุยอะไรกันอยู่ และจะพากันไปทำอะไรที่ไหน อย่างไร ฟ่งคิดว่าเขาอยากจะเจอเพื่อนหรือคนรู้จักสักคนหนึ่ง  ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ความหวังปลอบใจลมๆ แล้งๆ  แต่แล้วเสียงเอ่ยทักที่เขาไม่อยากจะเชื่อหูก็ดังขึ้น
   “พี่ฟ่ง  พี่ฟ่งใช่รึเปล่า?”
-----------------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:44:45
บทที่27  ความไว้ใจ
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตากว้าง เลื่อนมือขึ้นขยับแว่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผู้เอ่ยทักเป็นเด็กหนุ่มวัยราวๆ สิบเก้ายี่สิบปี สวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีกรมท่า คาดแถบเหลือง ผมสีดำ และนัยน์ตาสีดำสนิท ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นชาวเอเชีย และแน่นอนว่าต้องเป็นคนไทยแน่ๆ
   “พี่ฟ่ง?” น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดว่าตัวเองทักคนผิด  ในที่สุดฟ่งก็โพล่งออกมา
   “กฤษต์?!”
   สีหน้าลังเลของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที
   “พี่ฟ่งจริงๆ ด้วย พี่มานี่ได้ไงเนี่ย?!”
   ฟ่งสะอึกเล็กน้อยกับคำถามของเด็กหนุ่ม เขาพยายามนึกหาคำตอบที่ดีกว่าการพูดความจริง กฤษต์มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวชาวยุโรปที่ดูเหมือนว่าจะมาด้วยกันแล้วพูดขึ้นต่อ
   “พี่มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้า นึกดีใจที่อีกฝ่ายช่วยคิดคำตอบให้  เด็กหนุ่มมองหน้าเขาและมองไปด้านหลังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจ
   “นี่ผมรบกวนเวลาพี่รึเปล่า?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้าทันที “เปล่าเลย พี่กำลังนึกอยากเจอเพื่อนคนไทยอยู่พอดี”
   กฤษต์ทำหน้าดีใจระคนแปลกใจ ชายหนุ่มสวมแว่นจึงรีบพูดขึ้นต่อ “เธอมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย พี่คิดว่าจะเรียนมหาลัยเสียอีก”
   “อ้อ ผมได้ทุนมาเรียนต่อวิศวะที่นี่น่ะ”
   “เก่งนี่” ฟ่งเอ่ยชม ผู้ถูกชมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับคำชมนั้น และพูดขึ้นต่อ
   “พี่เจอพงษ์มันบ้างรึเปล่า ก่อนมานี่ผมล่ะปวดหัวกับมันจริงๆ เรียนจบแล้วท่าทางมันจะยิ่งอาการหนัก ไม่รู้ตอนนี้จะผ่าตัดแปลงเพศไปแล้วรึเปล่า” พูดพลางทำสีหน้าละเหี่ยใจ
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ กฤษต์เป็นน้องชายแท้ๆ ของเพื่อนสนิทของเขา วุฒิพงษ์ หรือที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพัชไปแล้ว คำถามของกฤษต์ทำให้ฟ่งแน่ใจว่ากฤษต์ยังไม่รู้เรื่องที่พงษ์ผ่าตัดแปลงเพศ แปลว่าพี่น้องสองคนนี่คงไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว
   แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่พงษ์และกฤษต์แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งเรื่องความชอบส่วนตัว การเรียน นิสัย ยกเว้นความใกล้เคียงกันของหน้าตา และนั่นทำให้กฤษต์รู้สึกหัวเสียทุกครั้งที่มีใครทักเขาว่าเหมือนพี่
   กฤษต์เป็นเด็กหนุ่มที่ร่าเริง และกล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ชอบอะไรก็พูดอย่างนั้น และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบใจสักนิดที่พี่ชายของตัวเองมีความผิดปกติทางเพศ นั่นทำให้พี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร อย่างไรก็ดี ดูเหมือนกฤษต์จะถูกชะตากับฟ่งอยู่มาก นั่นทำให้พงษ์อดจะแขวะทั้งคู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า กฤษต์น่าจะไปเกิดเป็นน้องชายของฟ่ง มากกว่าเกิดเป็นน้องชายเขา
   “วันก่อนเพิ่งนัดรวมรุ่นกันไปน่ะ” ฟ่งกล่าว และเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่พงษ์แปลงเพศแล้ว  กฤษต์ยักไหล่ แสดงทีท่าว่าไม่อยากให้ความสำคัญกับผู้เป็นพี่ชายมากเท่าไรนัก
   “พี่มาซื้อของเหรอ?” เขาเอ่ยถามอีก และหันไปเอ่ยทักทายชายหนุ่มสองคนและหญิงสาวที่คิดว่าเป็นเพื่อนของฟ่งเป็นภาษาฮังกาเรียน “Jo nappot kivanok A nevem Krish, Fong baradja vagyok.”
   คลาวเดียกล่าวทักทายกลับพร้อมยิ้มอย่างเป็นมิตร ขณะที่ราฟาแอลตอบพอเป็นพิธี
   “เพื่อนกันหรือครับ?” รูฟัสผู้ที่แค่พยักหน้าให้ เอ่ยถามเป็นภาษาไทยออกมา ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และถอยห่างออกมาอย่างลืมตัวอีกครั้ง รูฟัสถอนหายใจเบาๆ ขณะที่ราฟาแอลหัวเราะขึ้นจมูก
   กฤษต์มีสีหน้าประหลาดใจ และเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น “พูดภาษาไทยได้ด้วย! เพื่อนพี่ฟ่งที่เมืองไทยเหรอ?”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงตอบรับในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “เพื่อนข้างห้องน่ะ”
   คำว่าเพื่อนข้างห้องที่ฟ่งพูดออกมา ทำเอารูฟัสรู้สึกเหมือนถูกต่อย ทำไมน้ำเสียงและวลีนั่นถึงได้ดูเย็นชาและห่างไกลนัก กฤษต์เบิ่งตากว้าง มองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ อย่างสำรวจ  นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีรู้สึกไม่ค่อยพอใจ มันทำให้รู้สึกว่าเด็กคนนี้พลอยจะไม่ไว้ใจเขาไปอีกคน
   “สนิทกันจัง เพื่อนผมที่อยู่ห้องติดกันมันยังไม่ยอมพาผมไปเที่ยวเลย อยู่ประเทศตัวเองแท้ๆ”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ นี่ถ้าเด็กคนนี้รู้ว่าเขากับคนข้างห้องมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนข้างห้อง จะทำสีหน้าแบบไหนนะ เมื่อนึกถึงสีหน้าของกฤษต์เมื่อพูดถึงพงษ์แล้วชายหนุ่มก็ตกลงใจว่าจะไม่ยอมให้กฤษต์รู้เรื่องของเขาอย่างเด็ดขาด
   “พี่จะอยู่ที่นี่นานรึเปล่า ผมพักอยู่หอที่เวสเปรมนี่เอง” กฤษต์เปลี่ยนเรื่อง ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวสเปรมคืออะไร กฤษต์มองหน้าเขา และเหมือนจะรู้ว่าฟ่งไม่เข้าใจ จึงรีบพูดขึ้นต่อ “มันอยู่เมืองถัดไปนี่เองพี่ นั่งรถบัสไปสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”
   “พี่นั่งไม่เป็นหรอก”
   “พี่ให้เพื่อนช่วยพาไปก็ได้” เด็กหนุ่มว่า แต่พอหันไปมองสีหน้าของรูฟัส เด็กหนุ่มชะงักไปนิดหน่อย และหยิบประเป๋าสตางค์ขึ้นมา
   “เอางี้  พี่ขึ้นรถบัสไปก็ได้ ถ้าจากถนนนี่ก็ไปขึ้นที่ป้ายฝั่งตรงข้าม เลือกสายที่ไปตามถนนเปเตอฟี ชานดอร์นะ นั่งสายอื่นเลยไปถึงติฮานย์ผมไม่รู้ด้วย ตรงป้ายรถเมล์มันจะมีตารางเวลาที่บัสมาถึง ก็ดูเวลาไว้แล้วก็มารอนะครับ แล้วเอาตั๋วนี่ตอกกับเครื่องสีแดงๆ ในรถ นั่งไปประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ถึงเวสเปรมแล้วก็รู้เอง เพราะมันจะไปจอดตรงท่ารถบัสเลยง่ายกว่า ผมอยากให้พี่แวะมาหาก่อนกลับ จริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักที่นี่หรอก”
   “พี่ก็ไม่คิดว่าจะเจอเหมือนกัน” ฟ่งว่า หลังจากฟังคำอธิบายยาวเหยียดที่เขายอมรับว่าจำได้ไม่ถึงครึ่ง
   กฤษต์หยิบตั๋วรถบัสออกมา และหยิบปากกาขึ้นมาเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงไปบนเศษกระดาษและยื่นให้ฟ่ง “นี่ตั๋วรถกับเบอร์โทรผม  พี่ลงรถแล้วโทรมาก็ได้ เดี๋ยวผมไปรับ ช่วงนี้ปิดเทอมอยู่น่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปหาตามที่ว่าได้อย่างไร
   “พี่จะลองไปแล้วกัน” เขาเอ่ย เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะถูกเรียกด้วยเสียงโหวกเหวกด้านหลัง
   “โอ๊ย! ต้องไปแล้วพี่ ไอ้เพื่อนมันมาตามแล้ว ไว้เจอกันนะ”   กฤษต์พูดเร็วปรื๋อ ขณะที่เสียงตะโกนเรียกดังซ้ำขึ้น  ฟ่งโบกมืออย่างงงๆ  ขณะมองเด็กหนุ่มวิ่งกลับไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนชาวต่างชาติ
---------------------------------------
   แสงสว่างแรกจากดวงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่เข้ามาในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีดำสนิทตัดสั้นหรี่นัยน์ตาสีฟ้าใสเพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่างนั้น พลางคิดว่านานเท่าไรกันนะที่เขาไม่เคยเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงแดด
   เว่ยเฟิงปิงบิดตัวอย่างเกียจคร้านภายใต้ผ้าห่มนวมสีครีมอ่อน เขาอยู่ในชุดนอนแพรสีน้ำตาล ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่ได้ตื่นสาย แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้ การที่จางซื่อเยี่ยนย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องด้วยทำให้วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย
   หนุ่มชาวฮ่องกงวัยยี่สิบสี่คนนี้ ถูกพ่อของเขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก เว่ยชิงชุบเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้หลายคน จุดประสงค์ก็เพื่อไว้ใช้ทำงานสำคัญภายในแก๊ง บางครั้งเว่ยเฟิงปิงก็นึกอิจฉาว่า ทำไมพ่อของเขาจึงไม่เลี้ยงดูเขาบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาขบคิดให้วุ่นวาย  เพราะอย่างไรเสีย เวลาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่เคยคิดอยากจะย้อนกลับไปด้วย
   แม้ว่าจะย้ายมาอยู่ร่วมห้องกันแล้ว แต่จางซื่อเยี่ยนยังคงใช้ชีวิตประจำวันแทบจะตามตารางเดิมทุกอย่าง เขาตื่นแต่เช้าตรู่ จัดการเรื่องเวรยาม เตรียมเอกสาร สั่งแม่บ้านให้เตรียมอาหาร และปลุกเจ้านาย เว่ยฟิงปิงคิดว่าสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนได้ทำเพิ่มคือการลุกอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เขาตื่น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะเขาก็ตื่นขึ้นมาทุกที
   เว่ยเฟิงปิงซุกกายกลับเข้าไปในผ้าห่ม แสงสว่างจากม่านหน้าต่างที่จางซื่อเยี่ยนเปิดทิ้งไว้ทุกเช้าไม่ใช่สิ่งที่รบกวนเวลานอนของเขา
   ไฟล์ลับที่ได้จากรูฟัสเมื่อวันก่อนต่างหาก ที่ทำให้เขานอนหลับไม่สนิทมาหลายคืน
   ไม่ใช่เพราะว่ามันผิดพลาด หรือเปิดไม่ได้ แต่เพราะว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมีมูลค่ามากกว่าที่เว่ยเฟิงปิงคาดเอาไว้มาก ชายหนุ่มกำลังลังเลใจว่าจะเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ หรือมอบมันให้กับเว่ยชิงทั้งหมดดี
   หากเขาทำตัวตรงไปตรงมา มอบข้อมูลทั้งหมดไป สิ่งที่ได้กลับมาคงเป็นความไว้วางใจที่เพิ่มมากขึ้น และผู้เป็นบิดาของเขาอาจจะเปิดทางให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงไปกว่านี้  แต่นั่นก็หมายถึงว่าเขากำลังทำตัวเป็นเครื่องมือที่ซื่อสัตย์และแสนดีให้ผู้เป็นบิดา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มพอใจเท่าไรนัก
   ในทางกลับกัน เว่ยชิงไม่มีทางรู้เลยว่าเขาได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง ดังนั้นการเก็บไว้บางส่วนน่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยนัก และการเก็บข้อมูลบางส่วนเอาไว้ในมือทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองเพิ่มขึ้นอีกในภายภาคหน้า อย่างไรก็ตามหากเว่ยชิงเกิดระแคะระคายขึ้นมา  เรื่องราวต่างๆ ที่จะตามมาคงไม่ค่อยจะโสภานัก
   ชายหนุ่มพลิกตัว พยายามชั่งน้ำหนักเหตุผลเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร อีกไม่นานหากเขายังเงียบ ผู้เป็นพ่อคงต้องส่งใครมาทวงถาม
   ใบหน้าของเว่ยจินหยินผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที
   คิ้วเรียวได้รูปของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันเมื่อนึกถึงผู้เป็นพี่ชาย เขาไม่เคยนึกจะชอบหน้าพี่ชายคนนี้นัก ไม่สิ เขาไม่ชอบหน้าพี่น้องสักคนเลยต่างหาก แต่กับเว่ยจินหยินแล้ว คำว่าเกลียดขี้หน้าดูจะเหมาะมากกว่า สำหรับเขาแล้วชื่อของเว่ยจินหยินนั้นเหมือนมีดคมๆ ที่คอยรอท่าจะเสียบเขาอยู่เสียร่ำไป เปิดช่องว่างเมื่อไร อาจจะตายโดยไม่รู้ตัวก็ได้
   นอกจากจะรู้จักกันในฐานะคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยแล้ว เว่ยจินหยินยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ผู้ชายที่เลวร้ายที่สุดในฮ่องกงอีกด้วย
   เว่ยจินหยินได้รับฉายานี้มาก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะมาถึงฮ่องกงเสียอีก จากข่าวลือที่ว่าเขาพยายามจะฆ่าน้องชายตัวเองไปถึงสามคน และทำสำเร็จเสียด้วย แม้ว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นเจ้าชายนิททราก็ตาม
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มีมูลความจริงมากน้อยเพียงไร แต่ที่แน่ๆ เว่ยจินหยินก็คงไม่พอใจขี้หน้าของเขาเท่าไรนัก ดูจากการมาคอยสอดคอยแทรก หาช่องว่างจะทำลายเขาในแทบทุกเรื่อง แน่ล่ะ ก็เขาทำตัวเป็นคู่แข่งแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลนี่นา
   การที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกรังเกียจพี่ชายคนนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่เพราะเว่ยจินหยินชอบคอยขัดแข้งขัดขาเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะจังหวะในการเข้ามายุ่งย่ามนั้นช่างพอเหมาะพอดีกับช่วงที่เขากำลังจะพลาดไปเสียทุกที
   นั่นอาจจะเป็นเพราะเว่ยจินหยินมีวิธีคิดแบบเดียวกับเขาก็ได้ เผลอๆ จะคิดนำหน้าเขาไปอีกก้าวหนึ่งด้วยซ้ำ
   เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะยอมรับในข้อนี้ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้  ทุกครั้งที่เขาเจอหน้าพี่ชาย เขาบอกได้แค่ว่าเจ้าหมอนี่คงมีแผนชั่วร้ายอะไรบางอย่าง แต่เว่ยจินหยินกลับดูแผนของเขาออกทะลุปรุโปร่ง เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แสร้งทำเป็นแปลกใจตอนที่พบเขาในห้องพักของจางซื่อเยี่ยนแล้ว เว่ยเฟิงปิงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก
   สักวันเขาจะต้องลบชื่อของเว่ยจินหยินออกไปจากโลกให้ได้
-----------------------------------------------
   “คุณชาย?” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยจินหยินสะดุ้ง แต่เกิดจากความรู้สึกหนาวที่วาบเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในจังหวะที่พอดีกับเสียงเรียกนั้นต่างหาก  ดูเหมือนผู้ที่เรียกจะพลอยเข้าใจผิดคิดว่าทำให้เขาตกใจ  จึงรีบพูดต่อ “ขออภัยครับ”
   ชายวัยสี่สิบเศษกล่าวอย่างเคารพให้กับเจ้านายผู้อ่อนวัยกว่าเขาเป็นสิบปี เว่ยจินหยินขยับแว่นตากรอบทองและเขม่นมองใบหน้าที่เหมือนไม่เห็นมานานมากแล้วนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักอย่างดีใจ “อ่าว อาซาน”
   ผู้ถูกเรียกว่าอาซานยิ้มตอบคำทักทายนั้น เขาเป็นชายวัยสี่สิบเศษที่ดูดีในแบบของคนทำงาน ผมสีดำตัดสั้นที่เริ่มมีสีขาวแซมก่อนวัย ใบหน้าคม สันกรามนูน ผิวคล้ำเพราะแสงแดดเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทราวหินน้ำตก สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนและกางเกงสแลกสีน้ำตาลเข้ม ที่ดูสะดุดตาคงเป็นรอยไหม้เล็กๆ บริเวณใต้แก้มซ้าย
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   เว่ยจินหยินรีบโบกมือเป็นเชิงห้าม “ฉันได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว เอาเถอะ ฉันไม่ได้สะดุ้งเพราะเสียงของนายหรอก นั่งก่อนสิ”
   ผู้ถูกเชื้อเชิญลากเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เข้ามานั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเว่ยจินหยิน  และหยิบกระเช้าผลไม้ที่หิ้วเข้ามาวางลงบนโต๊ะ  เว่ยจินหยินเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจอีกครั้ง
   “คราวนี้ไม่ได้ใส่ถุงพลาสติกมาเหรอ?”
   ผู้ถูกทักหัวเราะร่วน “กระเช้านี้อาซิงเป็นคนจัดน่ะครับ ผมแวะไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้เห็นเด็กเร่ขายอยู่เลยช่วยซื้อมา”
   “อ้อ เด็กที่ขายส้มเพื่อจ่ายค่าเทอมน่ะรึ? ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์แล้วล่ะ แล้วอาซิงสบายดี?”
   ชายหนุ่มผู้มีวัยสูงกว่าพยักหน้า “สบายดีครับ ออกเวรมาเห็นถุงส้มวางอยู่คงรู้ว่าจะเอามาให้คุณ เลยเอาไปจัดกระเช้าเสียสวย แต่ว่าคุณไม่ได้เจอกับเธอตอนไปเยี่ยมซื่อเยี่ยนเหรอ?”
   เว่ยจินหยินสั่นศีรษะ “เปล่า ฉันไม่อยากไปรบกวนเธอ เห็นว่างานยุ่งๆ อ๊ะ ขอบใจ”
   ชายหนุ่มกล่าว และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วมาทาน อาซาน หรือเถียนซาน กองเปลือกส้มไว้ข้างกระเช้า และเริ่มแกะอีกลูกหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเถียนซิง และเคยเป็นหัวหน้าของจางซื่อเยี่ยน เถียนซานมองดูบุตรชายคนที่สองของผู้เป็นเจ้านายใหญ่บิส้มเข้าปากแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต
   ตอนสมัยที่อายุได้ราวๆ สิบห้าสิบหกปี  เถียนซานได้รับมอบหมายให้ดูแลเว่ยจินหยินที่ตอนนั้นเพิ่งอายุเพียงแค่สี่ขวบ เรื่อยมาจนกระทั่งเว่ยจินหยินไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หลังจากกลับมา เขาก็ทำงานรับใช้เว่ยจินหยินอีกเป็นเวลาหลายปี ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันเป็นพิเศษ เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่เว่ยจินหยินจะแสดงท่าทีสบายๆ ออกมา
   เว่ยจินหยินเหลือบตามองลอดแว่น ด้วยสายตาตาที่เหมือนกับเด็กๆ ก่อนจะรับส้มที่ปอกเปลือกแล้วไปทานต่อ  เขารู้สึกสบายใจเวลาที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ  ไม่ไม่ต้องวางท่า ไม่ต้องปั้นสีหน้า เฉพาะเถียนซานเท่านั้นที่เขาสามารถจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไปได้
   “นี่” เว่ยจินหยินพูดหลังจากทานส้มลูกที่สี่หมด ส้มเป็นผลไม้โปรดของเขา เรื่องนี้มีแต่สองพี่น้องแซ่เถียนเท่านั้นที่รู้ดี
   “วันหลังบอกอาซิงว่าให้ใส่ถุงมาเหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว ตะกร้านี่เอาไว้ก็เกะกะ”
   “ถ้าอาซิงได้ยินคงทำหน้างอนให้ได้ง้อแน่
   เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ  พลางนึกถึงใบหน้าของเถียนซิงเวลางอน คงดูไม่จืด
   “พักนี้ดูว่าอาซิงจะสนิทกับเฟิงปิงนะ”
   “อืม ปกติคุณชายเจ็ดก็ชอบเรียกใช้งานอาซิงอยู่แล้ว ยิ่งซื่อเยี่ยนมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ก็คงมีเรื่องให้คุยกันล่ะครับ”
   “ฉันได้ยินว่าเฟิงปิงย้ายซื่อเยี่ยนไปอยู่ห้องเดียวกัน นายคิดว่าไง?”
   เถียนซานขมวดคิ้วกับคำถาม  เว่ยจินหยินเลยอธิบายต่อ “ฉันน่ะ ไม่ได้คิดไม่ดีอะไรกับซื่อเยี่ยนหรอกน่ะ แต่ก็รู้อยู่ว่าเฟิงปิงน่ะไม่ปกติ หมายถึงเรื่องรสนิยมเรื่องพรรณนั้น”
   “เรื่องที่คุณเฟิงปิงเป็นเกย์น่ะหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อด้วยสีหน้าค่อนข้างจะรังเกียจ
   “บอกตรงๆ ว่าฉันยังรับเรื่องนั้นไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าคุณพ่อทนรับเด็กนั่นกลับมาได้ยังไง  แต่เอาเถอะ ฉันก็แค่กลัวว่าซื่อเยี่ยนจะโดนทำมิดีมิร้าย”
   เถียนซานแทบจะหัวเราะออกมา เขากลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่  จนอีกฝ่ายต้องทัก “ทำไมล่ะ ตลกเหรอ?”
   เถียนซานพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะรีบอธิบาย
   “คือ พอนึกภาพว่าคุณชายเจ็ดจะทำอะไรอาซื่อแล้วผมอดขำไม่ได้น่ะ คุณชายเจ็ดคงทำอะไรอาซื่อไม่ได้หรอกครับ ยกเว้นว่าอาซื่อจะสมยอมเอง อันนั้นคงเป็นอีกเรื่อง”
   “อืม..” เว่ยจินหยินทำท่าคิดหนัก
   “ฉันคงเป็นห่วงมากไป” เขากล่าวพลางถอนหายใจในที่สุด
   “บางทีเฟิงปิงคงอยากจับตามองอาซื่อมากกว่า หลายวันนี้เขาไม่ได้ติดต่อมาที่นี่เลย”
   “ปกติอาซื่อก็ไม่ค่อยจะติดต่อมาอยู่แล้วล่ะครับ คุณท่านวางใจเขามาก”
   “เรียกว่าไม่ใส่ใจจะดีกว่า” เว่ยจินหยินพูดสวนขึ้น พลางทำหน้าแปลกๆ
   “ฉันไม่ชอบเลยที่คุณพ่อให้เด็กนั่นกลับเข้ามาในแก๊ง เฟิงปิงเจ้าเล่ห์เหมือนงู เวลามองตาสีฟ้านั่นแล้ว ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย”
   เถียนซานลองนึกภาพแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาไม่ค่อยจะได้พบกับเว่ยเฟิงปิงบ่อยนัก แต่ความรู้สึกที่เจอแล้วไม่ทำให้สบายใจเลยนั้นมันเหมือนกับตัวบ่งบอกลักษณะของเด็กผู้ชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีฟ้าที่เจ้าเล่ห์ราวพญางูนั้น ไม่ว่าใครที่ได้พบก็คงลืมไม่ลงเช่นกัน
   “คุณท่านคงอยากให้เกิดการแข่งขันขึ้นในครอบครัวน่ะครับ”
   เถียนซานออกความเห็นไปตามตรง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอ้อมค้อมกับเว่ยจินหยิน การอ้อมค้อมมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเลิกพูดคุยด้วยเท่านั้น เว่ยจินหยินเป็นคนที่เก่งในเรื่องการพูดอ้อมค้อมวกวน แต่กลับไม่ชอบให้ใครมาพูดจาอ้อมค้อมด้วย เถียนซานคิดว่าการที่เว่ยจินหยินพูดคุยกับเขาแบบนี้ คงมีจุดประสงค์จะสืบเรื่องราวของผู้เป็นน้องชายแน่ๆ
   ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงานยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด เขามองดูชายผู้สูงวัยกว่าที่นั่งอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเปลือกส้ม พลางคิดว่าคนคนนี้แหละที่เข้าใจเขาทะลุปรุโปร่ง และตัดสินใจว่าจะเลิกพูดอ้อมค้อมเสียที
   “ก็จริงของนาย แต่ฉันรู้สึกไม่ไว้วางใจเด็กนั่นเลย ก่อนหน้านี้ตอนฉันแวะไปเยี่ยม เฟิงปิงยังไม่ได้ข้อมูลของริเวิล แต่หลังจากนั้นไม่นาน ริเวิลก็เริ่มเคลื่อนไหว”
   “ที่บุกไปป้วนเปี้ยนแถวบ่อนของโจวยี่หรือครับ?”
   “อืม” เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อ “ดูเหมือนว่าเฟิงปิงจะให้การคุ้มครองสายลับและตัวประกันที่เขาจับมา และให้โจวยี่ส่งสองคนนั่นออกจากฮ่องกงในคืนนั้นเลย  เขาคงได้ข้อมูลแล้ว แต่ทำไมถึงยังเงียบอยู่”
   “อาจจะกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้ครับ” เถียนซานออกความเห็น แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงการพูดคุยเป็นเพื่อน เขารู้ดีว่าเว่ยจินหยินคิดคำตอบไว้แล้วทุกอย่าง การถามออกมาเป็นเพียงการต่อประโยคเท่านั้น
   “ไม่หรอก” ชายหนุ่มกล่าว พลางขยับแว่นอีกครั้ง
   “อย่างเฟิงปิงน่ะ จะตรวจสอบข้อมูลพวกนั้นใช้เวลาไม่ถึงวันก็ตรวจได้แล้ว ฉันว่าเด็กนั่นคงคิดว่าจะส่งข้อมูลนั่นให้คุณพ่อทั้งหมด หรือจะเก็บบางส่วนเอาไว้แน่ๆ”
   เถียนซานนิ่งนึกไปครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดต่อ จึงพูดแทรกขึ้น “แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ คุณจะเลือกทำแบบไหน?”
   รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “ก็เพราะแบบนี้แหละฉันถึงได้หนักใจ ความจริงฉันน่าจะคุยกับคุณพ่อ แต่พักนี้ท่านไม่ค่อยจะว่าง รู้สึกว่าจะไปดูงานที่บริษัทของพี่ชายใหญ่ คงจะไปแผ่บารมีตามประสาคุณพ่อนั่นแหละ”
   เว่ยจินหยินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองหน้าเถียนซาน และพูดขึ้น “นี่....นายว่าฉันควรจะแวะไปหาเฟิงปิง หรือว่าจะคุยกับคุณพ่อก่อนดี”
   เถียนซานมองหน้าอีกฝ่าย พลางคิดว่าทางนั้นต้องการความเห็นจริงๆ หรือแค่ถามประกอบการพูดเท่านั้น
   “ทำอย่างที่คุณคิดเถอะครับ แต่สำหรับผม คิดว่าน่าจะเรียนเรื่องนี้กับคุณท่านไว้สักหน่อย”
   เว่ยจินหยินพยักหน้าอย่างเข้าใจ  และรับส้มที่แกะเปลือกแล้วไปอีกลูก
   “อาซาน ถ้าไม่รีบกลับล่ะก็ ไปทานข้าวด้วยกันสิ  เที่ยงนี้ฉันไม่มีนัดหรอก” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยปากชวน หลังจากหมดส้มลูกที่ห้าไปแล้ว เถียนซานพยักหน้า
   ดูเหมือนว่าคุณชายรองของเขาคนนี้คงกำลังวางแผนอะไรอยู่อีกแน่ๆ
---------------------------------------------------------------------
   รูฟัสมองดูเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเข้ามาคุยกับฟ่ง วิ่งเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน และเดินหายลับออกไปอีกฟากถนน ก่อนจะหันกลับมามองดูร่างบางที่ยืนค้างอยู่ ชายหนุ่มได้ยินและเข้าใจบทสนทนาทั้งหมด เขาเดาว่าเด็กคนนั้นคงเป็นเพื่อนของฟ่งตอนอยู่เมืองไทย สำหรับรูฟัสแล้ว เขาไม่ได้ดีใจสักนิดที่ฟ่งเจอคนรู้จักที่นี่ ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่ามันอาจจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาภายหลัง  อย่างไรก็ตาม สีหน้าที่ดูสบายใจขึ้นของฟ่งก็เกือบทำให้เขาหลุดปากไปแล้วว่าจะพาไปเยี่ยมหอพักของเด็กหนุ่มที่เวสเปรมส์
   ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่รูฟัสไม่ชอบสายตาที่เด็กคนนั้นมองฟ่งเอาเสียเลย  มันดูกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างไรพิกล เขามองดูฟ่งอีกครั้ง พลางเค้นสมองคิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้ นอกจากเรื่องจะพากลับประเทศไทย และเรื่องที่จะพาไปเยี่ยมหอของเพื่อน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส  ความจริงเขาคิดว่าจะให้รูฟัสช่วยอธิบายเรื่องการเดินทาง หรือช่วยพาไปดูที่พักของกฤษต์ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ประกอบกับความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง ทำให้ฟ่งเปลี่ยนใจ  เขาคิดว่ารูฟัสคงไม่อยากจะพาไปนัก นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกแย่หนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มคอตก เก็บตั๋วและกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ และหยิบถุงกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าขึ้นมาหิ้ว เตรียมตัวจะเดินต่อ
   “ผมช่วย” รูฟัสพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าฟ่งพยายามจะหอบเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและคลาวเดียซื้อมาด้วยตัวคนเดียว เขาฉวยเอาถุงสองสามใบมาถือเอาไว้ ก่อนที่ฟ่งจะพยายามอุ้มมันขึ้นไปหมด
   “อ๊ะ  ขอบคุณ” ฟ่งพูด แต่ยังไม่ทันขาดคำคลาวเดียเดินเข้ามาและเพิ่มภาระให้กับรูฟัสโดยการโยนถุงเสื้อผ้าของตัวเองเพิ่มให้อีกสองถุง นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองบ่นขึ้น
   “นี่คุณซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกแล้วเหรอ ผมคิดว่าของเด็กนั่นเสียอีก”
   คลาวเดียหันหน้าไปมองราฟาแอลอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ฉันคิดว่ารูฟัสที่เป็นคนหิ้วน่าจะบ่นมากกว่าคุณนะ นี่ราฟี่ ถ้าคุณอิจฉานักล่ะก็ ฉันให้คุณยืมใส่สักตัวสองตัวก็ได้”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:45:34
   ราฟาแอลทำหน้าเบี้ยว พลางนึกถึงอดีตที่ไม่ค่อยจะโสภานักกับชุดผู้หญิงของคลาวเดีย
   “ถ้าเธออยากจะเล่น ฉันแนะนำให้ลองจับเจ้ารูฟัสแต่งดูบ้าง เธอจะได้เห็นว่า มีผู้ชายที่แต่งผู้หญิงแล้วน่าเกลียดกว่าฉัน”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันทันที “นี่ราฟี่ คุณอย่าเสนออะไรที่มันชวนสยองโลกนักได้มั้ย ผมไม่เคยคิดจะไปแข่งวัดความน่าเกลียดกับคุณเลยสักครั้ง”
   “อ้อ! แกอายงั้นเรอะ โถ..พ่อหนุ่มรูปหล่อ  นี่....ถ้าแกอยากจะทำให้แฟนแกรู้สึกดีขึ้น แกน่าจะทำอะไรตลกๆ เข้าไว้นะ บางทีเขาอาจจะกลัวแกน้อยลง”
   รูฟัสทำหน้าบี้ นึกอยากต่อยปากราฟาแอลสักหมัดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ ดีที่ว่าฟ่งฟังภาษาฮังกาเรียนไม่ออก ไม่อย่างนั้นถ้าฟ่งเกิดเห็นด้วยขึ้นมา เขาคงทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ
   “อืม....นั่นสิ รูฟัส เธอน่ะน่าจะลองทำอะไรตลกๆ ดูบ้าง บางทีเขาอาจจะไว้ใจเธอมากขึ้น”
   คลาวเดียเห็นด้วยกับราฟาแอล ขณะที่รูฟัสกำลังคิดว่าสองคนนี่หวังดีหรือแค่อยากจะแกล้งเขากันแน่ ขณะที่กำลังคิดอยู่ คลาวเดียก็หันไปเจรจาความกับฟ่งแบบแปลเป็นภาษาอังกฤษเสร็จสรรพ ฟ่งพยักหน้าด้วยสายตาแปลกๆ และอมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อคลาวเดียพูดถึงการให้รูฟัสแต่งเป็นผู้หญิง
   “ถ้าคุณชอบ ผมแต่งก็ได้” รูฟัสรีบพูดขึ้น ด้วยความคิดแค่ว่าถ้าฟ่งยิ้ม จะให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ฟ่งหันกลับมามองหน้าเขา และรีบส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายทันที
   “ไม่เอาหรอก ผมไม่ได้วิปริตแบบนั้น”
   รูฟัสแทบจะครางออกมาเมื่อได้ยินคำว่าวิปริต ดีที่สองคนนั่นฟังภาษาไทยไม่ออก ไม่งั้นเขาก็คงทำหน้าไม่ถูกอีกนั่นแหละ
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ความจริงเขานึกขำกับความคิดที่จะให้รูฟัสแต่งเป็นผู้หญิงของคลาวเดีย แต่พอเห็นหน้ารูฟัสแล้ว ฟ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไร ที่สำคัญ ยิ่งรูฟัสแสดงความกระตือรือร้นที่จะทำเพื่อเขา ยิ่งทำให้ฟ่งรู้สึกแน่นหน้าอก
   ฟ่งไม่อยากให้รูฟัสทำอะไรเพื่อเขาอีกแล้ว
   แทนที่จะรู้สึกขำ มันกลับทำให้ฟ่งนึกอยากจะร้องไห้ ความทรงจำเก่าๆ ตอนที่เขาพบกับรูฟัสใหม่ๆ รูฟัสที่ไม่ว่าจะพูดหรือจะสั่งอะไรไป ก็จะรับปากและรีบทำให้เสมอ  แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาอยากให้รูฟัสทำมากที่สุด รูฟัสก็คงไม่ทำแน่ๆ
   ฟ่งก้มหน้า พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
   “เป็นอะไรรึเปล่า?” คลาวเดียเอ่ยถาม หล่อนรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฟ่งรีบส่ายหน้า เขากะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ก่อนจะรีบพูดต่อ
   “ผมหนาว ถ้าไม่มีอะไรแล้วกลับกันเถอะครับ”
   -------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ ไขประตูและบิดมันเบาๆ เพื่อเปิดเข้าไปในห้อง ด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้เป็นเจ้านายของเขาตื่น ชายหนุ่มเพิ่งจัดการดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ในตึกเสร็จ และตอนนี้ได้เวลาปลุกเจ้านายของเขาให้ตื่น
   อย่างไรก็ตาม จางซื่อเยี่ยนพบว่าเจ้านายของเขาตื่นอยู่ก่อนแล้ว เว่ยเฟิงปิงกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ไม่เหลือบมามองเขาด้วยซ้ำ จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้ๆ เจ้านาย และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
   “คุณชายครับ ได้เวลารับประทานอาหารแล้วครับ”
   “รู้แล้ว” เว่ยเฟิงปิงตอบเสียงห้วนๆ  ก่อนจะลดหนังสือลง  จ้องหน้าผู้เป็นลูกน้องเขม็ง
   “จูบอรุณสวัสดิ์ล่ะ?” เขาเอ่ย จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเหลอหลา
   “ถ้าไม่อยากทำไม่ต้องก็ได้” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางขยับตัวจะลุกขึ้น  ชายหนุ่มรีบพูดเร็วปรื๋อ
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” พลางก้มลงจูบริมฝีปากบางนั้นเบาๆ ทีหนึ่ง
   “อรุณสวัสดิ์” เว่ยเฟิงปิงกล่าวตอบก่อนจะจูบกลับที่แก้มของเขาเบาๆ  จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ตอนนี้เขาชักอยากกลับไปนอนต่อ
   “นี่ พ่อหุ่นยนต์  วันหลังช่วยเพิ่มจูบรับอรุณเข้าไปในโปรแกรมด้วยนะ” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ย พร้อมกับยิ้มหวาน เล่นเอาอีกฝ่ายเคลิ้ม จางซื่อเยี่ยนต้องรีบบอกตัวเองว่าเขากำลังอยู่ในเวลาทำงาน และต้องพาเจ้านายลงไปทานข้าว
   “ฉันจะไปอาบน้ำล่ะ” เว่ยเฟิงปิงช่วยพูดให้จางซื่อเยี่ยนได้สติ ก่อนจะไถลตัวลงจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวและเดินไปเข้าห้องน้ำ จางซื่อเยี่ยนมองตามหลังเจ้านายอย่างเหม่อลอย ก่อนจะรู้สึกตัวเพราะเสียงโทรศัพท์
   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไป และต้องเบิ่งตากว้างอย่ากแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงปลายสาย
   “ครับ  ได้ครับ  ตกลงครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ารับรู้ และวางสายไปในจังหวะเดียวกับที่เจ้านายของเขาก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี
   “ใครโทรมารึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามทันที จางซื่อเยี่ยนมองร่างเจ้านายที่เปลือยท่อนบนอยู่พักหนึ่ง อย่างคนนึกอะไรไม่ออก ก่อนจะตั้งสติตอบคำถามได้
   “พี่เถียนซานน่ะครับ เห็นว่าเพิ่งกลับจากเซี่ยงไฮ้ เลยอยากจะแวะมาเยี่ยม จะให้ใส่เอาไว้ในตารางนัดหมายตอนบ่ายไหมครับ?”
   “เถียนซาน?” เว่ยเฟิงปิงทวนชื่อซ้ำ ขณะหยิบเสื้อออกมาจากตู้ จางซื่อเยี่ยนเดินเข้าไปช่วยเจ้านายของเขาแต่งตัว
   “ขอบใจ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียบๆ เมื่ออีกฝ่ายช่วยหยิบเนกไทให้
   “เถียนซานไม่ได้จงใจจะมาเยี่ยมเฉพาะนายหรอกรึ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถาม ก่อนจะพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ต้องใส่เอาไว้ในตารางตอนบ่ายหรอก มันแน่นจนฉันแทบจะกระดิกตัวไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเถียนซานอยากจะพบฉัน ก็บอกไปแล้วกันว่าฉันมีธุระยุ่ง ไว้มาพบวันอื่น”
   “ได้ครับ” จางซื่อเยี่ยนรับคำ เว่ยเฟิงปิงดึงเนกไทให้เข้าที่ และหนุนตัวกลับมายกมือโอบคอของอีกฝ่ายไว้
   “กลับมาหาฉันก่อนเวลาอาหารเย็นนะ” เขาเอ่ย และรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนจะหน้าแดงนิดๆ  ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้า  ก่อนที่เจ้านายจะผละตัวออกไป
--------------------------------------------------
   อากาศยามบ่ายในฮ่องกงแสนจะร้อนอบอ้าว จางซื่อเยี่ยนขับรถออกมาจากสำนักงาน ก่อนจะจอดมันไว้ในอาคารจอดรถของภัตตาคารระดับหรูแห่งหนึ่ง  ชายหนุ่มเดินตัดเข้าไปในตัวอาคารเพื่อพบกับคนที่นัดเขาไว้
   “คุณจาง เชิญทางนี้ค่ะ”
   ทันทีที่ก้าวเข้าไป จางซื่อเยี่ยนถูกนำทางโดยบริกรหญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแต่กลับรู้จักชื่อของเขา ชายหนุ่มถูกพาไปยังห้องรับรองพิเศษ ซึ่งถูกจัดไว้สำหรับแขกผู้มีสตางค์และบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ ที่นั่น เขาได้พบกับเถียนซาน และบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งทำให้เขารู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง
   “ไง อาซื่อ  ดูท่าทางสบายดีนี่ แผลที่หลังเป็นยังไงบ้าง” เถียนซานวัยสี่สิบหกเอ่ยทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง จางซื่อเยี่ยนโค้งให้กับหัวหน้าเก่า และเดินเข้าไปในห้องอาหาร ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเป็นบุคคลผู้เป็นเจ้าของภัตตาคารแห่งนี้ การนั่งอยู่ในห้องอาหารพิเศษของเว่ยจินหยินไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การเรียกเขาเข้ามาพบด้วยนี่สิแปลก
   “สวัสดีอาซื่อ หวังว่าฉันคงไม่รบกวนเวลาทำงานของเธอหรอกนะ” เว่ยจินหยินเอ่ยทัก  ผมของเขายังคงเรียบแปล้ ท่าทางเป็นงานเป็นการ นัยน์ตาสีดำที่มองลอดแว่นออกมานั้น แม้จะดูใจดี แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกไว้ใจสักนิด มันดูเจ้าเล่ห์ราวกับดวงตาของสุนัขจิ้งจอก จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจว่าคนที่อบอุ่นและจริงใจอย่างเถียนซาน สนิทกับคนที่เหมือนกับแสดงละครอยู่ตลอดเวลาอย่างเว่ยจินหยินได้อย่างไร ถึงสองคนนี่จะโตมาด้วยกันก็เถอะ
   “ไม่หรอกครับ นี่เป็นเวลาพักเที่ยงของผม” จางซื่อเยี่ยนตอบ และพยายามปั้นยิ้มให้กับอดีตเจ้านาย
   “ฉันคิดว่าเธอจะทานข้าวเที่ยงกับเฟิงปิงเสียอีก” เว่ยจินหยินเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่จางซื่อเยี่ยนรับรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นการเหน็บแนมเขา เพราะโดยปกติลูกน้องมักจะไม่ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับเจ้านายอยู่แล้ว ยกเว้นแต่เถียนซานกับเว่ยจินหยินนี่แหละ จางซื่อเยี่ยนจำได้ว่าสองคนนี่มักจะไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ  บางทีอาจจะเพราะฐานะของเถียนซานนั้นนอกจากจะเป็นหัวหน้าหน่วยดำและคนสนิทของเว่ยจินหยินแล้ว ยังเป็นเครือญาติของตระกูลเว่ยอีกด้วย
   เถียนซานจะมีศักดิ์เป็นหลานชายที่เกิดจากญาติฝ่ายแม่ของเว่ยชิง และตระกูลของเขาทำงานให้กับตระกูลเว่ยมาแล้วราวๆ สามชั่วคน จึงไม่แปลกที่ฐานะของเขาจะต่างจากคนอื่น
   ชายหนุ่มสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเถียนซาน
   “คุณชายรองอยากพบเธอน่ะ ฉันเองก็ไม่ได้เจอเธอนานแล้ว ได้ข่าวว่าถูกแทงที่หลังรึ?” เถียนซานเอ่ยถาม จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า
   “ต้องขอบคุณคุณชายรองที่อุตส่าห์แวะไปเยี่ยมผม” เขากล่าว พลางมองหน้าอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินมองผ่านแว่นแล้วยิ้มเล็กๆ
   “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันคิดว่าฉันคงไปทำให้เธอเดือดร้อนมากกว่า”
   บริกรหญิงเดินเข้ามาและตักข้าวให้ ระหว่างที่กับข้าวถูกลำเลียงเข้ามา จางซื่อเยี่ยนมองดูอาหารบนโต๊ะ คงไม่มีโอกาสมากนักที่เขาจะได้ทานอาหารหรูหราแบบนี้ แต่กระนั้น ท้องของจางซื่อเยี่ยนกลับไม่หิวสักนิด แม้ว่าจะเป็นตอนพักเที่ยงแล้วก็ตาม คงเพราะการปรากฏตัวของเว่ยจินหยิน จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเถียนซานคงไม่เชิญเขามาทานอาหารในภัตตาคารหรูหรากับคุณชายรองคนนี้โดยมีจุดประสงค์แค่จะถามเรื่องอาการบาดเจ็บแน่ๆ
   “ทานเถอะ ฉันไม่วางยาเธอหรอก” เว่ยจินหยินพูดเหมือนกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร  จางซื่อเยี่ยนยิ้มแห้งๆ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยผู้นี้เคยมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับการวางยาพิษ  อย่างไรก็ดียังคงไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกชัดว่าผู้บริหารระดับสูงสองสามคนที่เจ็บป่วยและมีอันเป็นไปนั้นมาจากฝีมือของเขา
   เถียนซานซึ่งมีอายุมากที่สุดในโต๊ะยุติปัญหาลงโดยเริ่มรับประทานก่อน ในที่สุดทั้งสามคนก็รับประทานอาหารกันอย่างเงียบๆ ซึ่งกินเวลาไม่นานนัก
   “ได้ข่าวว่าเฟิงย้ายเธอไปอยู่ห้องเดียวกันเหรอ?” เว่ยจินหยินเป็นฝ่ายเปิดฉากถามขึ้นหลังจากเช็ดปากด้วยผ้าที่บริกรนำมาวางไว้ให้ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แววตาราวสุนัขจิ้งจอกที่มองมาทำให้เขารู้สึกอึดอัด ความจริงการถูกถามเรื่องนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่แล้ว
   “คุณชายเจ็ดต้องการการคุ้มกันเพิ่มเติมน่ะครับ” เขาอธิบายเพิ่มเติม และก็ต้องรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเว่ยจินหยิน
   “แปลว่าเฟิงปิงได้ข้อมูลลับนั่นมาแล้วสินะ ดีไป ฉันกลัวว่าเธอจะถูกทำมิดีมิร้ายเสียอีก”
   “คุณชายไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ!” ชายหนุ่มสวนขึ้นมาทันที เว่ยจินหยินหัวเราะในลำคอ
   “ฉันไม่ได้จะตั้งใจดูถูกน้องชายตัวเองหรอกนะ เอาเถอะ ว่าแต่ทำไมเฟิงปิงยอมปล่อยเธอออกมาง่ายๆ เธอบอกเขารึเปล่าว่าจะออกมาพบใคร”
   “ผมบอกว่าจะมาพบพี่เถียนซาน ก็ไม่นึกเหมือนกันหรอกครับว่าจะเจอคุณด้วย”
   คราวนี้เถียนซานหัวเราะออกมาบ้าง ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง
   “แปลกใจสินะที่เจอฉันที่นี่” เว่ยจินหยินกล่าว เป็นคำพูดที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่ามันช่างดูตอแหลสิ้นดี จริงๆ แล้ว ฝ่ายนั้นคงอยากจะพูดว่า “เธอไม่อยากเจอฉันสินะ” มากกว่า จากสายตาทิ่มแทงที่มาพร้อมกับคำพูดนั้น แม้ว่าเขาจะเคยชินกับการพูดแดกดันของเว่ยเฟิงปิง แต่การพูดจาที่สุภาพและหวานบาดหูของเว่ยจินหยินนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดของเจ้านายของเขาเสียอีก ชายหนุ่มคิดว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวหาว่าเป็นจอมวางยาพิษในอาหาร แต่อย่างน้อยหากเป็นด้านคำพูดล่ะก็  ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคงมีพรสวรรค์ในด้านนี้อย่างเต็มเปี่ยม
   “พักนี่เธอติดต่อกับคุณพ่อบ้างรึเปล่า?” อีกฝ่ายเปิดฉากถามต่อ  จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้าทันที  เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว
“อย่างนั้นรึ  เฟิงปิงคุมเธอแจเลยนี่นะ” เขาเอ่ยลอยๆ แต่ความหมายของมันทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่าย
   “คุณชายเจ็ดคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ” เถียนซานช่วยแก้ให้  เว่ยจินหยินแผ่ยิ้มกว้าง
   “ผิดแล้วอาซาน  ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็คงไม่ใช่เฟิงปิงหรอก”
   “ปกติผมไม่ได้ติดต่อกับคุณท่านบ่อยๆ อยู่แล้วครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบพูดต่อ เพื่อตัดบทสนทนาที่ยิ่งวกเข้าไปหาเจ้านายของเขา เว่ยจินหยินเลิกคิ้วเหมือนว่าแปลกใจ
   “คุณพ่อเลิกสนใจเฟิงปิงแล้วล่ะรึ ช่างเถอะๆ ว่าแต่เจ้านายของเธอจะเอาข้อมูลลับนั่นมาให้คุณพ่อเมื่อไรกันล่ะ เขาพูดถึงมันบ้างรึเปล่า”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า เว่ยจินหยินจึงพูดต่อ “ความจริงฉันก็อยากจะพูดคุยเรื่องนี้กับเฟิงปิงโดยตรง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยว่างพบฉันเท่าไร เอาเถอะ ฝากเธอไปบอกเขาหน่อยแล้วกัน  ฉันไม่อยากจะให้ถ่วงเวลา ถ้าคุณพ่อระแวงเข้าจะไม่ดีกับตัวเขาเอง”
   “ครับ แล้วผมจะเรียนคุณชายให้” จางซื่อเยี่ยนรับคำ และคิดว่าเขาควรจะรีบกลับไปที่ตึกได้แล้ว
   “เอ้อ จริงสิ” เว่ยจินหยินทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ เขากวักมือเรียกบริกรหญิงเข้ามา และสั่งอะไรบางอย่าง ไม่นานนักหล่อนก็กลับมาพร้อมด้วยส้มที่ถูกจัดใส่กระเช้าอย่างสวยงาม บนนั้นมีการ์ดเสียบเอาไว้ใบหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วทันทีที่เห็นว่าเป็นส้ม มันเป็นผลไม้ที่เขาเห็นและต้องทานอยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่ยังไปมาหาสู่กับเถียนซาน
   “อาซานซื้อมาจากเซี่ยงไฮ้ ฉันเห็นว่ามันเยอะเกินไปเลยแบ่งมาให้เธอบ้าง ถือเสียว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ฉลองที่เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากก็แล้วกัน”
   “ขอบคุณครับ” จางซื่อเยี่ยนรับตะกร้าผลไม้นั่นมาอย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เพื่อหาจังหวะที่จะปลีกตัวออกไป ท่าทางเว่ยจินหยินเองก็คงเสร็จธุระแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปากขึ้น
   “บ่ายแล้วนี่นะ เธอกลับไปทำงานต่อได้แล้วล่ะ ฝากบอกเฟิงปิงด้วยว่าฉันคิดถึง  ถ้าว่างก็แวะมาทานข้าวด้วยกันบ้าง”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบรับคำทันที เขาคงรู้สึกดีขึ้นหากได้ออกไปให้พ้นจากรัศมีการมองและคำพูดคำจาของคนคนนี้
   “ขอบคุณมากนะครับสำหรับอาหารมื้อนี้”
   “ไม่เป็นไรหรอก” เว่ยจินหยินโบกมือ ขณะที่อดีตลูกน้องโค้งให้และถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว

   “คุณแน่ใจหรือว่าอาซื่อจะอ่านการ์ดนั่นก่อนจะไปพบคุณชายเจ็ด?”   เถียนซานเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่จางซื่อเยี่ยนออกไปแล้ว  เว่ยจินหยินยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบและยิ้มละมุน
   “ถึงไม่อ่านก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แค่เฟิงปิงปล่อยเด็กนั่นออกมาก็เข้าแผนของฉันแล้ว”
   เถียนซานมองหน้าผู้เป็นญาติและเจ้านาย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “จะยุให้อาซื่อระแวงคุณชายเจ็ดหรือครับ”
   เว่ยจินหยินพริ้มตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนเด็กๆ
   “จะคิดแบบนั้นก็ได้ ฉันแค่สะกิดให้คิดเท่านั้นเอง ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปก็เป็นผลมาจากสองคนนั้นนั่นแหละ แม้แต่นายเองก็คงไม่เห็นว่าฉันเป็นคนโหดร้ายอะไรหรอกใช่ไหม?”
   “ไม่หรอกครับ” เถียนซานเอ่ย ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดี แม้บางคราวเขาจะรู้สึกว่าเว่ยจินหยินมีบางส่วนที่น่าหวาดกลัว แต่เถียนซานก็ยังเอ็นดูเจ้านายคนนี้เหมือนน้องชาย เว่ยจินหยินในสายตาเขาเมื่อสามสิบปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร  เว่ยจินหยินก็ยังคงเป็นเว่ยจินหยิน และเถียนซานก็พอใจที่เว่ยจินหยินเดินไปตามทางที่เจ้าตัวเลือกไว้
   แม้ว่าทางเลือกนั้นจะต้องสังเวยใครต่อใครไปบ้างก็ตาม
---------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนวางตะกร้าใส่ส้มที่รับมาจากเว่ยจินหยินไว้หลังรถ และเกือบจะลืมมันเอาไว้แบบนั้น ถ้าลูกน้องคนหนึ่งของเขาที่เดินผ่านมาไม่ทักเข้า จางซื่อเยี่ยนคิดว่าคงไม่ดีแน่ๆ ถ้าจะเอากระเช้าผลไม้เสียบการ์ดที่มีลายมือของผู้ชายคนนี้เข้าไปในตึก เจ้านายของเขาคงไม่พอใจนัก  ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแจกจ่ายส้มให้กับลูกน้องที่ทำงานอยู่ภายในลานจอดรถ
   ชายหนุ่มเรียกลูกน้องคนหนึ่งของเขาเข้ามา และยกตะกร้าส้มให้ จางซื่อเยี่ยนหยิบการ์ดใบนั้นออกมา และเปิดอ่านอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก ขณะที่ส้มในตะกร้าถูกนำออกไปแจกจ่าย เขาคิดว่าเว่ยจินหยินคงเขียนข้อความอวยพรสุภาพๆ ตามแบบฉบับ แต่พอกวาดตามองไปสองสามตัวอักษรแรก จางซื่อเยี่ยนก็รู้สึกว่าเขาประเมินอดีตเจ้านายของเขาผิดไปถนัด
   การ์ดใบนั้นเริ่มต้นด้วยถ้อยคำง่ายๆ ที่ไม่น่าจะปรากฏอยู่ในการ์ดอวยพร
   “ในกระเป๋ากางเกงของเธอ มีเครื่องดักฟังอยู่  แต่เธอไม่ต้องหยิบมันออกมาหรอก เพราะเมื่อเธอพบกับเฟิงปิง เด็กนั่นจะเป็นคนหยิบมันออกมาเอง”
   ลายมือเรียบร้อยสวยงามแบบนี้เป็นของเว่ยจินหยินไม่ผิดแน่ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีเสียงของผู้ชายคนนั้นออกมาด้วย เขาเผลอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และพบว่ามีเครื่องดักฟังอันเล็กๆ อยู่จริงๆ  บางทีเว่ยเฟิงปิงอาจจะใส่ลงมาตอนที่กอดเขา
   จางซื่อเยี่ยนหลับตา รู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงต้องดักฟังเขา  แต่บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการของเว่ยจินหยินก็ได้ เขาตัดสินใจหยิบเครื่องดักฟังออก และขยี้มันลงกับพื้น ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป
------------------------------------------------
   “อ่าว กลับมาไวนี่” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกน้องเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน เขาง่วนอยู่กับการอ่านเอกสารที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะ จางซื่อเยี่ยนคิดว่าถ้าเว่ยเฟิงปิงยังจัดการเอกสารที่วางอยู่ไม่หมด เขาคงจะต้องเลื่อนการนัดพบกับเจ้าของโรงแรมที่เกาลูนออกไปสักครึ่งชั่วโมง  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขากังวลดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหา เพราะไม่นานเว่ยเฟิงปิงก็จัดการอ่านรายงานและแจกแจงรายละเอียดต่างๆ นั้นจนหมด
“ไม่ต้องเลื่อนนัดกับคุณคริสโตเฟอร์หรอก” ชายหนุ่มกล่าวหลังจากเห็นลูกน้องก้มลงมองนาฬิกาอยู่หลายหน เขาดื่มน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
   “ไปเจอพี่จินหยินมาด้วยล่ะสิ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยทัก ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้สึกขนลุกนิดหน่อย เขาพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาใกล้
   “คุณชายรองฝากบอกคุณเรื่องข้อมูลลับขอริเวิล ว่าให้คุณรีบตัดสินใจ  เขาเกรงว่าคุณท่านจะไม่พอใจหากคุณถ่วงเวลา”
   “ฉันกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่” เว่ยเฟิงปิงกล่าวเรียบๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง
   “จินหยินไม่ได้ให้อะไรมารึ?”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วกับคำถาม
   “ไม่มีอะไรหรอก ก็เห็นว่าชวนออกไปกินข้าว คิดว่าจะให้อะไรติดไม้ติดมือมาเสียอีก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางขยับตัวเข้ามาใกล้  ช้อนนัยน์ตาขึ้นมองอย่างออดอ้อน  จางซื่อเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก หลายวันมานี้เขาถูกเว่ยเฟิงปิงเข้ามายั่วยวนแบบคาดไม่ถึงอยู่หลายครั้ง  และแทบจะทำให้เขาคุมสติตัวเองไม่อยู่ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงมือน้อยๆ ที่ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปหลังเข็มขัดของเขา
   “คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนกล่าวเสียงเบา รั้งตัวเว่ยเฟิงปิงเข้ามากอด ร่างบางเผยอริมฝีปากขึ้นนิดหน่อย นั่นทำให้ผู้เป็นลูกน้องจูบลงไปโดยอัตโนมัติ
   เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอย่างพอใจ และเลื่อนมือเปะปะไปบนร่างแกร่ง จางซื่อเยี่ยนกอดเจ้านายแน่น แทบจะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง
   “อย่าโกหกฉันนะ ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก  จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ร่างบางยิ้มน้อยๆ และผละออกไป
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:46:17
บทที่28 รอยแยกของความรู้สึก
   “นี่ รูฟัส แกอยู่ข้างล่างนี่แหละ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ราฟาแอลกล่าวขณะที่รูฟัสทำท่าจะเดินตามฟ่งขึ้นไปชั้นบน ทั้งสี่คนเพิ่งกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย เนื่องจากกว่าที่ฟ่งจะซื้อเสื้อผ้าและคุยกับเพื่อนเสร็จ ก็ใกล้เที่ยงพอดี  คลาวเดียเลยเสนอให้รับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารแถวนั้น
   ผู้ถูกเรียกขมวดคิ้วในทันที ก่อนจะคลายมันออกเหมือนนึกขึ้นได้ รูฟัสหมุนตัวกลับ และนั่งลงประจันหน้ากับเพื่อนร่วมงานบนโซฟาในห้องรับแขก
   “ฉันไม่ชอบเลย เวลาแกทำหน้าแบบนั้นใส่เนี่ย” ราฟาแอลเริ่มบทสนทนาด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสดใสนัก  รูฟัสพยักหน้าหงึกหงัก และพยายามทำสีหน้าให้ดีขึ้น สีหน้าของเพื่อนร่วมงานในตอนนี้ทำให้ชายหนุ่มผมสีบลอนด์นึกถึงวันที่เขาได้พบกับรูฟัสครั้งแรก มันเป็นสีหน้าที่ตั้งแง่และแฝงแววความเป็นศัตรูไว้อย่างชัดเจน คงจะมาจากเรื่องที่เขาพูดตอนที่เดินออกไปซื้อของแน่
   “เอาเถอะ ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจ เรื่องที่ฉันพูด แต่ยังไงฉันก็ต้องพูดให้มันรู้เรื่อง”
   รูฟัสนิ่งเงียบ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “ว่ามา ราฟี่ ผมพยายามรับฟังคุณอยู่”
   “ไม่ใช่พยายาม แต่แกต้องฟัง” ราฟาแอลเอ่ยย้ำ พลางจ้องหน้าเพื่อน “ฉันอยากให้แกส่งเด็กนั่นกลับ แล้วเลิกยุ่งกับเขาเสีย”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันอีกครั้ง มันเป็นประโยคที่เขาคาดไว้แล้ว แต่ไม่ใช่ประโยคที่อยากจะได้ยิน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ราฟาแอลจึงเอ่ยต่อ
   “ฉันไม่ได้รังเกียจที่แกชอบผู้ชาย หรือรังเกียจแฟนแก ความจริงฉันรู้สึกสงสารเขาด้วยซ้ำ และฉันก็สงสารแกด้วย เขากลัวแก แล้วแกก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น ถูกไหม? แต่ว่านะ รูฟัส ความรักน่ะไม่ได้มีแต่เซ็กซ์หรอกนะ”
   ถ้าเป็นตอนปกติ รูฟัสจะต้องสวนประโยคนี้ของราฟาแอลกลับไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาได้แต่นิ่งเงียบ ราฟาแอลพูดถูกต้องเรื่องของฟ่ง เขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ว่าการได้อยู่ใกล้โดยไม่ได้แตะต้องนั้น มันช่างแสนจะทรมานและเกินจะห้ามใจไหว  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านใจเขาออก
   “ฉันอยากให้แกลองคิดทบทวนดูนะ ว่าแกชอบเขา หรือชอบมีเซ็กซ์กับเขากันแน่ ถ้าเกิดวันหนึ่งเขามีเซ็กซ์กับแกไม่ได้ แกยังจะอยากมีเขาอยู่ข้างๆ ต่อไปรึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามขมวดคิ้วยุ่ง นี่ตกลงเขาเป็นคนมีปัญหาเรื่องเซ็กซ์ล่ะหรือ? เขาไม่ได้ชอบฟ่งเพราะอยากมีเซ็กซ์ เพียงแต่พอได้อยู่ใกล้ๆ แล้วความอยากมันก็ตามมา รูฟัสไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ปกติถ้าเขาพอใจใคร แค่พูดจานิดหน่อย ทำตาเยิ้มๆ  อีกฝ่ายก็จะยอมให้เขากอดง่ายๆ ไม่ต้องขืนใจหรือมีการโมโหตามหลังมาสักนิด และก็ไม่ได้ติดใจอะไร  เพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น แต่กับฟ่งนั้นต่างออกไป ดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาทางเขา  แก้มแดงเรื่อง ริมฝีปากที่เผยอออกนิดๆ รูฟัสรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะเชิญชวนเขาสักนิดในวันนั้น แต่มันกลับกระตุ้นเขาอย่างประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้า เขาไม่เคยมีความคิดเกินเลยกับเพื่อนข้างห้องของเขามาก่อน แต่หลังจากที่ฟ่งเมาพับในคลับของเมี่ยง  คำพูดและกิริยาที่เกิดจากความเมามายในคืนนั้น  มันทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็น  ความรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากเป็นเจ้าของ อยากจะรั้งเอาไว้ให้อยู่กับตัวแต่เพียงคนเดียว ยิ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆ นับจากวันนั้น  แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีใจให้เขาก็ตาม
   รูฟัสเชื่อปักใจมาตลอดว่าฟ่งชอบเขา แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว ความเชื่อนั้นแทบจะไม่มีอะไรที่ยืนยันชัดเจนเลย เหมือนจะมีแต่เขาที่ทึกทักเอาเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเป็นจริงเป็นจัง  จริงๆ แล้ว เรื่องที่ฟ่งแสดงออกว่าไม่มีใจให้เขานั้นเยอะเสียยิ่งกว่าเยอะ
   ชายหนุ่มสะบัดหน้าอย่างลืมตัว ถึงตอนนี้เขาไม่อยากจะคิดต่อ อยากจะลืมๆ ไปเสียให้หมด ฟ่งชอบเขา ฟ่งต้องชอบเขาสิ ก็เรื่องในคืนนั้น ความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั่น ฟ่งไม่เคยบอกว่ารังเกียจนี่นา แม้จะไม่เคยเรียกร้องก่อน แต่ก็ไม่เคยแสดงทีท่าไม่พอใจจริงๆ สักครั้ง
   ราฟาแอลมองดูท่าทางของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจออกมาบ้าง ดูเหมือนรูฟัสคงยังทำใจยอมรับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะถลำลึกลงไปขนาดนี้ คนอย่างรูฟัส กับเรื่องแบบนี้ ราฟาแอลไม่เคยคิดถึงมาก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายครั้งที่เขาเคยคิดว่า รูฟัสนั้นอำมหิตกับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่าเขาเสียอีก เด็กหนุ่มนัยน์ตาสองสีที่ทรงเสน่ห์คนนี้ ยินดีที่จะมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับใครก็ตามที่เขาพอใจ และพร้อมจะไม่แยแสว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนั้นหลังจากมีสัมพันธ์กับเขาแล้ว รูฟัสไม่เคยผูกพันกับใคร ไม่เคยสร้างภาระ ไม่เคยมีจุดอ่อน  น่าตกใจที่การไปทำงานที่ประเทศไทยในคราวนี้ ชายหนุ่มละทิ้งแบบแผนของตัวเองแทบทั้งหมด  เขาจมปลักอยู่กับคนข้างห้องอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ราฟาแอลคิดว่าจำเป็นจะต้องทำให้รูฟัสถอนตัวออกให้เร็วที่สุด
   “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมแกถึงไปติดอกติดใจเพื่อนข้างห้อง แต่ว่า...นั่นเป็นตอนก่อนที่เขาจะรู้ว่าแกเป็นใคร ตอนที่แกรู้จักเขา นั่นไม่ใช่ตัวจริงของแก สิ่งที่แกเล่นละครออกไปต่างหากที่ทำให้เขายอมรับตัวแก แต่ว่าตอนนี้ แกไม่ได้แสดง แกเป็นแกแบบที่แกเป็น และเขาก็รับมันไม่ได้  ความจริงมันมีอยู่แค่นี้”
   รูฟัสอยากจะตะโกนให้ราฟาแอลหยุดพูด แต่สิ่งที่เขาทำจริงๆ คือการนิ่งเงียบ นิ่งเงียบอยู่กับความสับสนและความเจ็บปวดที่ประดังประเดเข้ามา
   ความจริงคือเขาอยู่กับการเล่นเป็นบุคคลอื่นมาเกือบตลอดชีวิต และก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นปัญหา จนกระทั่งตอนนี้......
   ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจว่าการถูกยอมรับทุกด้านในเรื่องความรักนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
   ฟ่งไม่ยอมรับเขา เพราะเขาไม่ใช่อย่างที่เป็นในตอนแรก แต่นั่นเป็นความผิดรึ?  เขามีทางเลือกอื่นหรือไง กับความสัมพันธ์แบบนี้  ถ้าไม่เล่นละครแต่แรก มันจะเกิดขึ้นรึ?  แต่ว่า  หลังจากเลิกแสดงแล้ว เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย มันช่างเจ็บปวดเหมือนการนอนฝันหวานและตื่นขึ้นมาพบความจริงที่แสนจะเลวร้าย ซึ่งความจริงนั้นอาจจะไม่เลวร้ายนัก หากมันไม่ถูกเปรียบเทียบกับความฝันอันแสนหวาน
   “อา...” รูฟัสครางออกมายาวๆ เขาไม่อยากจะคิดต่อ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกจริงๆ  ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกันมานับสิบปี เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปในตอนที่เขากับฟ่งอยู่อยู่ห้องติดกัน ห้องที่แค่เปิดประตูออกมาก็เห็นหน้าของคนอีกห้องหนึ่ง วันที่เขาได้นอนใกล้ๆ ฟ่ง ไม่ต้องคิดหรือแสดงบทบาทอะไรให้เหนื่อยใจ ได้นอนหลับอย่างเต็มตา และตื่นขึ้นมารับวันใหม่พร้อมกับคนรัก แต่ว่านั่นช่างเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริงในปัจจุบันเสียเหลือเกิน
   “ผมทำไม่ได้หรอก!” ชายหนุ่มโพล่งออกมาในที่สุด เขาผุดลุกขึ้น จนอีกฝ่ายต้องลุกตาม
   “จะไปไหนน่ะ?” ราฟาแอลถาม เมื่อเห็นว่ารูฟัสทำท่าเหมือนจะเดินออกไป
   “ไปหาฟ่ง” อีกฝ่ายตอบ ผู้ถามขมวดคิ้วยุ่งทันที
   “เดี๋ยว” ราฟาแอลเรียกรูฟัสเสียงเครียด นั่นทำให้ผู้มีนัยน์ตาสองสีหยุดชะงัก
   “แกแน่ใจหรอว่าแกพร้อมจะเจอเขา ในสภาพแบบนี้”
   “ผมไม่รู้” เขาเอ่ย สีหน้าเหมือนเด็กที่หลงทาง ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ฉันรู้ว่ายุ่งกับเรื่องของแกมากไป แต่ขอเถอะนะรูฟัส ฉันอยากให้แกห้ามใจ ฉันไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ บางทีแกน่าจะแยกห้องนอน..”
   “ไม่ล่ะ” รูฟัสปฏิเสธทันที  และพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร วางใจเถอะ ผมไม่ข่มขืนเขาหรอก ผมจะไม่เกินเลยกับเขาอีก ตอนนี้ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เข้าใจผมนะราฟี่”
   ราฟาแอลมองหน้าเพื่อน เขาไม่รู้ว่าจะเข้าใจสิ่งที่รูฟัสพูดได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ การจะห้ามไว้อีกคงไม่เป็นผลดี ชายหนุ่มจึงยินยอมปล่อยให้อีกฝ่ายออกไป
--------------------------------------
   คลาวเดียมองตามหลังเด็กหนุ่มชาวเอเชีย ที่เดินเข้าไปในห้องนอนของเพื่อนร่วมงานของแฟนของเธอ หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจนัก ดูเหมือนว่ารูฟัสจะมีปัญหากับราฟาแอล เพราะเรื่องของเด็กคนนี้  ราฟาแอลนั้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องความรักของเพื่อนร่วมงาน
เขามองว่ามันมีแต่จะก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งข้อนี้เธอเห็นด้วย แต่ว่ามันก็ดูโหดร้ายเกินไปสำหรับรูฟัส กระนั้นพอหันมามองอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ฟ่งเองก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน
   หล่อนไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีใจให้กับรูฟัสหรือเปล่า  ในบางเสี้ยวเวลาดูเหมือนว่าฟ่งจะพอใจรูฟัสอยู่บ้าง  แต่ก็ช่างเลือนรางเลื่อนลอยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับทีท่าหวาดกลัวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนนั้น
   คลาวเดียรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มชาวเอเชียขึ้นมาทันใด
   เขาน่าจะอยู่ในประเทศบ้านเกิด ใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไม่ใช่มาซัดเซพเนจรแบบนี้  เธอได้ยินได้ฟังเรื่องราวของเขามาจากราฟาแอลมาบ้าง  หากรูฟัสดึงดันจะรั้งเอาความรักครั้งนี้ไว้ ฟ่งคงต้องเผชิญกับเรื่องราวที่เรียกได้ว่าผลิกผันชีวิตของเขาอย่างถึงที่สุด ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวต้องการนัก
   อย่างไรก็ตาม ฟ่งคงไม่มีทางเลือก ในเวลาแบบนี้ คนที่เขาจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยมากที่สุดคือรูฟัส  ดังนั้นการจะปฏิเสธจึงเป็นเรื่องยาก และทางรูฟัสเองก็ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ตั้งแต่รู้จักกันมากว่าสิบปี คลาวเดียยังไม่เคยเห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของรูฟัสเลยสักครั้ง เด็กนั่นไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ และก็มักจะทำสำเร็จไปเสียทุกเรื่อง  เรื่องคราวนี้ก็คงตั้งใจจะทำให้สำเร็จเช่นกัน แต่ว่าความรักนั้นสลับซับซ้อนเกินกว่าที่เจ้าตัวจะจัดการเองได้
   ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของคลาวเดีย
   ถ้าฟ่งเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน รูฟัสอาจจะยอมถอยก็ได้
   เธอคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฟ่งคงไม่มีโอกาสพูด ด้วยสาเหตุหลายๆ อย่าง ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากรูฟัสในการกลับประเทศ แต่ว่าเรื่องนั้นหากให้ราฟาแอลจัดการก็คงได้เหมือนกัน
   ถ้าฟ่งไม่มีใจให้รูฟัส เรื่องราวก็คงง่ายขึ้น
   การต้องทนอยู่โดยไม่ได้รักนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมานอกจากความทรมานทางจิตใจ ยิ่งกับความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว คลาวเดียเห็นว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ดี  แม้ว่าจะดูโหดร้ายกับรูฟัส แต่ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง  เธอคิดว่ารูฟัสน่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้

   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขากำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่และรีบไปเปิดประตู  และพบคลาวเดียยืนอยู่ เธอยิ้มให้เขา ก่อนจะขอเข้ามาด้านใน
   “แบ่งครึ่งตู้เสื้อผ้ากับรูฟัสสิ  เด็กนั่นทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่ไม่มากหรอก”
   หล่อนกล่าว หลังจากเห็นกองเสื้อผ้าที่ฟ่งรื้อออกมา  ฟ่งยิ้มแห้งๆ รู้สึกเกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
   “ผมไม่ได้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้นหรอกครับ”   เขากล่าวออกมา  คลาวเดียฉวยโอกาสนั้นพูดเรื่องที่หล่อนคิด
   “เธอคิดยังไงกับรูฟัส?”
   ฟ่งหันกลับไปมองหน้าหญิงสาวอย่างงุนงงทันที  หล่อนจึงพูดต่อ
   “คือฉันอยากรู้ว่าเธอชอบรูฟัสรึเปล่า?” คลาวเดียอธิบายจุดประสงค์ของคำถามให้ชัดมากยิ่งขึ้น ฟ่งยืนนิ่งอึ้งกับคำถาม  เขาไม่คิดว่าจะได้ยินในตอนนี้
   “ผะ..ผมไม่รู้” ฟ่งตอบ หลบสายตาลงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ คลาวเดียถอนหายใจ  และคิดว่าบางทีเรื่องอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ปฏิกิริยาของฟ่งทำให้เธอรู้สึกว่า บางทีเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะมีใจให้กับรูฟัสอยู่ แต่คงลังเลที่จะชี้ชัดลงไปว่าชอบหรือไม่ ความลังเลนี้เองที่ทำให้เรื่องยุ่งยาก ถ้าฟ่งทั้งไม่ยอมรับและปฏิเสธ ความวุ่นวายก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไป  คลาวเดียตัดสินใจว่าเธอน่าจะอธิบายข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้กับเด็กหนุ่มเพื่อช่วยในการตัดสินใจ
   “ฉันคิดว่าเธอชอบเขาเสียอีก” หล่อนกล่าว ฟ่งรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้าอีกครั้ง
   “ผมไม่ได้ชอบ..” ในที่สุดเขาก็โพล่งออกมา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างสับสน และรีบพูดต่อ “คือผมไม่ได้เกลียดเขา แต่ผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิด”
   “แบบไหนล่ะ?” หญิงสาวย้อนถาม  ฟ่งกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า “ผมไม่ได้เป็นเกย์..”
   คลาวเดียนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นใจ
   “ฉันเข้าใจล่ะ เธอโดนรูฟัสหลอก?”
   “ก็ไม่เชิงแบบนั้น” ฟ่งพูดตะกุกตะกัก เริ่มคิดว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่
   “เขาเคยโกหกผมหลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องนั้น ผม...” ฟ่งละคำว่าสมยอมทิ้งไป บางทีเขาอาจจะนึกคำภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ถึงนึกออก เขาก็ไม่คิดอยากจะพูด นั่นทำให้คลาวเดียต้องตีความเอาเอง
   คลาวเดียมองหน้าเด็กหนุ่ม เขาดูสับสน และเหมือนจะไม่ยอมรับตัวเอง หล่อนเริ่มมองเห็นเรื่องราวต่างๆ ระหว่างสองคนนี้แล้ว การที่รูฟัสไม่ยอมจะตัดใจง่ายๆ คงเพราะฝ่ายนี้คอยให้ท่าอย่างไม่รู้ตัวนั่นเอง
   “ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องลำบากเพราะความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เธออาจจะชอบรูฟัสในช่วงหนึ่งตอนที่เธอยังไม่รู้จักเขาดี แต่ตอนนี้เขาเป็นแบบที่เธอไม่เคยรู้ ฉันอยากให้เธอตัดสินใจว่า เธออยากจะอยู่หรืออยากจะไปจากเขา”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนมองขึ้นอย่างไร้ความหวัง ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำอันน่าสะเทือนใจ
   “ผมเลือกได้ด้วยหรือ?” ฟ่งกล่าว น้ำเสียงแหบแห้งนั้นสะท้อนไปกับความเงียบในห้อง  และที่ติดตามมาคือเสียงเคาะประตู
   “คุณอยู่ที่นี่ด้วยรึ? คลาวเดีย”
   รูฟัสเปิดประตูเข้ามา และทักทายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คลาวเดียรู้สึกหนาวสะท้าน เขาไม่เคยแสดงทีท่ามุ่งร้ายใส่เธอมาก่อน แต่คงไม่ใช่ในตอนนี้ เธอระลึกขึ้นมาทันทีว่าบางทีหนุ่มวัยยี่สิบแปดคนนี้อาจจะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่
   “ฉันมาช่วยฟ่งจัดเสื้อผ้า แต่เอาเถอะ เธอมาก็ดีแล้ว ฉันลงไปข้างล่างดีกว่า”  หล่อนกล่าวเร็วปรื๋อ และเดินออกไปจากห้องแทบจะในทันที แม้จะรู้สึกเป็นห่วงฟ่งอยู่บ้าง แต่ว่านี่เป็นปัญหาที่เด็กคนนั้นต้องเผชิญเอง คลาวเดียคิดว่าบางทีเธออาจจะกำลัง “แส่ไม่เข้าเรื่อง” อยู่ก็ได้
   ฟ่งขยับตัวถอยห่างออกมาจากเตียงนอนโดยอัตโนมัติ เมื่อรูฟัสก้าวเข้ามา เขาจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่นั่งลงบนเตียงเกิดอะไรขึ้น
   รูฟัสมองหนุ่มสวมแว่นผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลที่ถอยกรูดออกไปทันทีที่เขาเดินเข้าใกล้ด้วยความรู้สึกสับสนปนเป  เมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจจะขู่คลาวเดีย แต่บทสนทนาที่บังเอิญได้ยิน และอารมณ์ที่คางคามาจากราฟาแอลทำให้เขาแสดงท่าทีแบบนั้นออกไปโดยอัตโนมัติ บางทีนั่นอาจจะส่งผลกระทบกระเทือนถึงฟ่งด้วย
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีพยายามจะหยุดฝีเท้า ความจริงเขาอยากจะเดินไปกอดฟ่ง  อยากจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ๆ  อย่างไรก็ดี ขืนทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องแย่เข้าไปอีก  รูฟัสไม่ค่อยมั่นใจนักว่าเขาจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เขานึกหนทางอื่นไม่ออก เขาแค่อยากอยู่ข้างๆ ฟ่ง ก็แค่นั้นเอง
   ในที่สุดร่างสูงใหญ่ก็ตัดสินใจล้มตัวลงบนเตียง เขานอนปุลงไปทั้งอย่างนั้น และเงยหน้ามองเพดาน
   “ใช้ตู้ผมก็ได้” รูฟัสว่า และพูดประโยคต่อมาที่ทำให้ฟ่งอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
   “จัดไปเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
   ชายหนุ่มสวมแว่นกระพริบตาถี่ๆ มองร่างที่นอนแผ่อยู่บนเตียง เขาไม่ได้ไม่เชื่อถือคำพูดนั้น แต่รู้สึกสะท้อนใจยังไงชอบกล ฟ่งหันไปที่ตู้ ความจริงเขาไม่ได้ต้องการจะใช้มัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้ว ก็คงต้องทำตาม อีกอย่างเขาก็นึกไม่ออกว่าจะเอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาไปกองไว้ไหน  มือผอมบางเอื้อมไปเปิดประตูตู้  และหยิบไม้แขวนที่ว่างอยู่แขวนเสื้อของตัวเองเข้าไป
   รูฟัสยังคงมองเพดาน เขารู้ว่าฟ่งกำลังจัดเสื้ออยู่จากเสียงไม้แขวนเสื้อกระทบราวที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ ความคิดในสมองฟุ้งกระจายเหมือนฝุ่นควัน ในตอนนี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป  ควรจะส่งฟ่งกลับไทย แล้วค่อยตามไปขอคืนดี หรือจะคุยกันให้รู้เรื่องที่นี่เลยดี หรือว่าจะปล่อยเอาไว้แบบนี้
   เสียงไม้แขวนกระทบกันคล้ายกับเสียงบทเพลงอะไรสักอย่าง สมองที่กำลังฟุ้งซ่านรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงนั้น อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าฟ่งยังอยู่ใกล้ๆ เขา
   ฟ่งเอาเสื้อใส่ตู้จนหมด แล้วหันกลับไปมองร่างที่ยังคงนอนแผ่นั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ความจริงเขาอยากหมกตัวอยู่ในห้อง แต่ว่าหากต้องอยู่กับรูฟัสสองต่อสองแล้ว ฟ่งไม่แน่ใจในสวัสดิภาพทางร่างกายของตัวเองเท่าไรนัก ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาน่าจะออกไปข้างนอก แต่ว่าจะออกไปไหนล่ะ?
   รูฟัสรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงบิดลูกบิดประตู ดูเหมือนว่าเขาจะเคลิ้มหลับไปวูบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติเท่าไรนัก
   “ไปไหนหรือครับ”
   ฟ่งชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงทัก เขาคิดว่ารูฟัสกำลังหลับอยู่เสียอีก ร่างบางหันหน้ามาและยิ้มแห้งๆ
   “ผมว่าจะลงไปหาอะไรกินหน่อย”
   รูฟัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟ่งเพิ่งทานอาหารมาเมื่อครู่ หิวอีกล่ะหรือ? แต่ถึงอย่างนั้นในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา
   “อยากทานอะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมพาไป” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับผุดลุกขึ้น ฟ่งหัวเราะแหะๆ ความจริงเขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด เพียงแค่อยากจะหาข้ออ้างออกไปเท่านั้นเอง แต่ว่าดูเหมือนมันจะให้ผลไม่ตรงกับจุดประสงค์เท่าไร
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนอนเถอะ ผมลงไปถามคุณคลาวเดียก็ได้”
   รูฟัสกลืนคำพูดที่ว่าเขาคงนอนไม่ลงถ้าไม่มีฟ่งอยู่ด้วยเอาไว้ในคอ ผู้ชายคนนี้กำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่ รูฟัสไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เขาต้องการให้ฟ่งอยู่ในสายตาทุกวินาที  ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไป
   “ผมรู้จักร้านกาแฟดีๆ แถวนี้  ไปกันเถอะครับ”
   ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจพูดจารวบรัดตัดความ กึ่งบังคับให้ฟ่งไปกับเขา ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างคนพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
----------------------------------------------------
   นัยน์ตาสีดำสนิทค่อยๆ ปรือขึ้นมารับแสงแดดในยามเช้า แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน คิ้วบางได้รูปก็ขมวดเข้าหากันทันที ก่อนจะขยับมือแกะวงแขนที่รัดร่างอยู่ออก และดีดตัวลุกขึ้น
   “รีบลุกเดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก” เสียงทุ้มๆ ของผู้ที่ยังนอนอยู่เอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้คิ้วงามคู่นั้นขมวดแน่นขึ้นอีก อิทธิเดชไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ชายหนุ่มรีบเดินตรงไปยังห้องน้ำทันที  วรุตปรือตามองตามร่างอ้อนแอ้นราวกับหญิงสาวนั้นหายลับเข้าประตูห้องน้ำไป แล้วหาวหวอด
   
เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้ว ที่สถาปนิกชื่ออภิวัฒน์หายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุความจริงเขาจะต้องถูกปิดปากทันทีหลังจากทำงานเสร็จ แต่หมอนั่นทิ้งแค่งานเอาไว้ แล้วหายตัวไปเสียเฉยๆ สืบจากทางบ้านก็ได้ความว่าไปดูงานที่ฮ่องกง แต่ก็ไม่พบรายชื่อในตารางขาออกนอกประเทศ สถาปนิกคนนั้นหายไปไหนกันแน่
   นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวครุ่นคิดมาเป็นเวลาหลายวัน  ชายที่ชื่ออภิวัฒน์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาโดยตรง เพียงแต่การหายตัวไปของผู้ชายคนนั้นทำเขาถูกพักงานกลายๆ  อธิเดชคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด  หลังจากสอบถามกับทวีศักดิ์แล้ว อีกฝ่ายบอกกับเขาว่างานนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป และตัดเขาออกจากแผน  มันต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างปริศนานั่นแน่ๆ
   มีใครบางคนชิงตัวของสถาปนิคคนนั้นไปก่อนหน้าพวกเขา
   อิทธิเดชเปิดฝักบัวให้น้ำรดลงบนศีรษะ เขานึกไม่ออกว่าใครที่ต้องการลักพาตัวสถาปนิกคนนั้น ตอนแรกทุกฝ่ายเป็นห่วงว่าแผนการจะรั่วไหล ทำให้ทวีศักดิ์ถูกบีบคั้นอย่างหนักให้ตามหาตัวหรือศพของสถาปนิกคนนั้นให้พบ อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์  ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่ชี้ออกมาว่าเรื่องได้รั่วออกไปแล้ว และก็ยังไม่มีวี่แววของสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์แม้แต่เงา   
   สายน้ำไหลรินจากเรือนผมตกลงสู่ร่างขาวเนียนผอมบาง ที่มีรอยจ้ำสีชมพูอยู่ทั่ว ผู้ประทับรอยนี้เอาไว้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเด็กหนุ่มที่นอนหาวหวอดอยู่บนเตียงเมื่อครู่
   หลังจากโดนพักงานได้สองสามวัน อิทธิเดชก็ได้พบกับความเลวร้ายในชีวิตมากยิ่งขึ้น เมื่อจู่ๆ วรุต ลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ ผู้เป็นเจ้านายของเขา ได้ขนข้าวขนของย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเขา ไม่รู้ว่าเด็กนั่นไปเอากุญแจกับคีย์การ์ดมาจากไหน อาจจะขอเอาจากเคาน์เตอร์  ยังไงเสียปกติวรุตก็เข้าออกที่นี่เหมือนบ้านตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่านี่คือฝันร้ายสำหรับเขาชัดๆ
   อิทธิเดชพูดอะไรไม่ออก เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาและเจอวรุตจัดของอยู่ ความจริงเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ขนอะไรมามาก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด และเครื่องใช้ส่วนตัวไม่กี่อย่าง ตอนแรกวรุตยื่นข้อเสนอให้อิทธิเดชย้ายไปอยู่คอนโดเดียวกันกับเขา แต่เมื่อถูกปฏิเสธ  ก็ลงเอยด้วยการที่วรุตมาปักหลักอยู่ที่นี่เสียเอง
   ร่างบางหยิบสบู่ขึ้นมาถูตัว พลางคิดว่าเมื่อไหร่เด็กที่แสนเลวร้ายนี่จะกลับไปเรียนต่อเสียที เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวรุตถึงได้ปฏิบัติกับเขาอย่างร้ายกาจ เพราะเขาเคยมีอะไรกับพ่อของเด็กนั่นมาก่อนรึไง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด อิทธิเดชเคยอธิบายเรื่องนี้ให้วรุตฟังแล้ว แต่ผลที่ได้คือความเจ็บปวดแสนสาหัสที่วรุตมอบให้เขาบนเตียง เหมือนการพูดถึงเรื่องนี้ไม่ว่าในรูปแบบใดจะยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น
   ดังนั้นหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อิทธิเดชจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวรุตอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะใช้กำลังหรืออะไรก็ตามบังคับให้เด็กหนุ่มออกไปได้ อย่างไรก็ตามทวีศักดิ์ดูจะได้ข่าวการกระทำของลูกชายเขาแล้ว จึงโทรมาขอโทษขอโพยหลังจากนั้น
   อิทธิเดชเอื้อมมือไปเปิดฝักบัวอีกครั้ง เพื่อล้างเอาสบู่ออก หลังจากคำขอโทษ  ทวีศักดิ์นัดเขาเข้าไปที่สำนักงานในวันนี้ แต่เขากลับตื่นสายเพราะวรุต
   เด็กหนุ่มวัยยี่สิบบิดตัวอย่างเกียจคร้าน มองไปยังห้องน้ำ พลางคิดว่าวันนี้เขาจะพาอิทธิเดชออกไปไหนดี หลายวันก่อน อิทธิเดชพูดกับเขาเรื่องพ่อ นั่นทำให้วรุตรู้สึกโมโห อีกฝ่ายยังคงไม่ลืมพ่อ และยังมาตอกย้ำเขาด้วยการอธิบายเรื่องเก่าๆ เขาไม่ได้ไม่พอใจที่อีกฝ่ายมีอะไรกับพ่อของเขา แต่เขาไม่พอใจที่อิทธิเดชเคยตกเป็นของผู้เป็นพ่อมาก่อน ทำไมเขาถึงไม่เจออิทธิเดชเร็วกว่านี้
   วรุตรู้ว่าความคิดนี้แสนจะงี่เง่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจจะย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้อีก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องครอบครองเอาไว้ แม้จะเป็นแค่ร่างกายก็ตาม
   อิทธิเดชเดินออกมาจากห้องน้ำ และตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อออกมาและรีบกลับไปที่ห้องน้ำใหม่ ราวกับกลัวจะถูกตะครุบตัวไว้ เขาไม่อยากจะใช้เวลาที่ร่างกายมีแต่ผ้าเช็ดตัวห่อหุ้มต่อหน้าวรุตให้นานมากนัก ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะมีอารมณ์เมื่อไร  ดูเหมือนวรุตจะฉวยโอกาสทำอะไรเขาได้ทุกขณะ
   เด็กหนุ่มยืดตัว ลุกขึ้นจากเตียง และถอนหายใจยาว เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ไม่นานอิทธิเดชก็ออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพแต่งตัวเรียบร้อย นั่นทำให้วรุตขมวดคิ้วขึ้นบ้าง
   “จะออกไปข้างนอกรึ?” เขาเอ่ยถาม อีกฝ่ายพยักหน้า และหยิบกุญแจรถ เดินออกไปทันที วรุตรีบถลันวิ่งไปคว้ามือของอิทธิเดชไว้
   “ไม่ต้องตามมาหรอก” อิทธิเดชกล่าว และสะบัดมือออกอย่างแรงจนวรุตต้องถอยหลัง  ก่อนจะเปิดประตูออกไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนงง
-----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:46:37
   ทวีศักดิ์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร และมองไปรอบๆ ห้องทำงานสีขาว เป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้วที่สถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์หายตัวไป เขาไม่ได้นึกเป็นห่วง แต่เป็นกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่อยู่ในหัวสมองของเด็กคนนั้นต่างหาก ชายวัยห้าสิบเศษผู้มีผมสีดอกเลาแซมเล็กน้อย หยิบเอกสารรายงานความคืบหน้าขึ้นมาดู เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ติดต่อว่าจ้างสถาปนิกคนนี้ ห้องที่ออกแบบมานั้นสลับซับซ้อนเสียจนหากไม่มีแผนที่คงไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ถูก การก่อสร้างเสร็จไปแล้วกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่มันยังไม่สมบูรณ์พร้อม การป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจึงยังจำเป็น ตอนนี้ทุกคนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัน อยู่ในสายตาของเขาไม่ก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่คนออกแบบนี่แหละ จากคำบอกเล่าที่ว่าสถาปนิกคนนั้นไปดูงานที่ฮ่องกง ทำให้ทวีศักดิ์นึกถึงคนคนหนึ่ง
   เว่ยเฟิงปิง
   ความจริงเขาเคยส่งหนังสือเชิญเข้าร่วมงานครั้งนี้ไปให้กับเว่ยชิงผู้เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย เพราะทางนั้นเคยอำนวยความสะดวกด้านธุรกิจกับเขาในฮ่องกงมาก่อน อย่างไรก็ดี เว่ยชิงส่งบุตรชายคนที่เจ็ดมาเพื่อตอบปฏิเสธคำเชื้อเชิญอย่างสุภาพ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้พบกับเว่ยเฟิงปิง
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยคนนี้ ท่าทีดูไม่เลวนัก ผิดเสียแต่แววตาสีฟ้านั้นดูเจ้าเล่ห์คล้ายงูไปเสียหน่อย แต่คงเป็นธรรมดาของคนตระกูลนี้ แม้แต่ตัวเว่ยจินหยินผู้เป็นบุตรชายคนที่สอง ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือเขาเอง ก็มีแววตาที่ไม่น่าไว้ใจเช่นกัน เว่ยเฟิงปิงมาหาเขาเพื่อยื่นจดหมายปฏิเสธของผู้เป็นพ่อ และจบลงด้วยการเตือนเรื่องสายลับ
   ดูจากพฤติกรรมแล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการหายตัวไปของสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์ แต่วันที่เขาบินกลับฮ่องกงนั้นดูจะตรงกับวันที่สถาปนิกคนนั้นหายตัวไปพอดี
   ตามข้อมูลเบื้องต้นที่เขารู้ คุณชายเจ็ดคนนี้เป็นคนชอบวางแผน และมักจะทำอะไรบางอย่างที่คนอื่นคาดไม่ถึง แต่ทวีศักดิ์ไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะวางแผนล้มงานประชุมของเขา  ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถหาคำอื่นมาอธิบายการหายไปของสถาปนิกคนนั้นได้ได้ ครั้นจะสอบถามไปโดยตรงยิ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันโดยใช่เหตุ เพราะเขาไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ทางตระกูลเว่ยยังไม่เคลื่อนไหวอะไรที่ส่อว่าจะคุกคามงานในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าทางนั้นกำลังมีศึกสำคัญอยู่กับแก๊งคู่แข่งอย่างริเวิล
   บางทีการหายตัวไปของอภิวัฒน์อาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับตระกูลเว่ยก็ได้  ถึงอย่างนั้น การหายตัวไปอย่างปริศนานั่นก็ยังสร้างความไม่ปลอดภัยกับแผนการอยู่ดี  ทวีศักดิ์ได้สั่งให้ระดมกำลังเท่าที่มี ค้นหาและจัดการเก็บสถาปนิกคนนั้นได้ทันทีหากเจอตัว
   เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องติดต่ออัตโนมัติดึงเขากลับสู่โลกปัจจุบัน เสียงจากเลขาส่วนตัวที่นั่งอยู่หน้าห้องดังขึ้นทันทีที่ทวีศักดิ์กดปุ่มอนุญาต
   “คุณอิทธิเดชมาพบท่านค่ะ”
   “อ้อ  ให้เข้ามาเลย” เขากรอกเสียงลงไปในเครื่อง เกือบจะลืมไปเสียสนิท วันนี้เขานัดให้อิทธิเดชมาพบนี่นา เรื่องของวรุต บุตรชายคนเดียวของเขาที่ย้ายไปอยู่ร่วมกับลูกน้องคนนี้แว่วมาเข้าหูเขามาพักหนึ่งแล้ว จริงๆ คือวรุตเป็นคนมาบอกกล่าวเขาเอง  แต่ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่มีเวลาจะจัดการกับเรื่องนี้ ได้แต่โทรศัพท์ไปขอโทษขอโพยกับอิทธิเดช 
ทวีศักดิ์ยอมรับว่าเขาไม่สามารถควบคุมลูกชายของตัวเองได้ วรุตนั้นอยู่ห่างจากเขามากเกินไป ภรรยาของเขา และแม่ของวรุตเสียชีวิตขณะเด็กคนนั้นอายุได้สิบปี หลังจากนั้นทวีศักดิ์ก็ทุ่มเทเวลาให้กับงานเพื่อลืมความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยา และสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกชาย มารู้ตัวอีกทีวรุตก็เริ่มมีปัญหากับโรงเรียนจนเขาจำเป็นต้องส่งไปเรียนต่อเมืองนอก นั่นทำให้สองพ่อลูกแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวที่เรียกว่าเป็นเวลาของครอบครัวเลย ทวีศักดิ์รู้สึกเสียใจนิดหน่อย แต่นี่เป็นผลกระทบที่เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเขาเลือกงานก่อนครอบครัว
   อิทธิเดชผลักบานประตูสีขาวเข้ามาในห้อง ทันทีที่ได้รับสัญญาณอนุญาต เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง ใบหน้าสะสวยเช่นเดิม
   “สวัสดีครับ” อิทธิเดชยกมือไหว้ทวีศักดิ์ที่มีอายุมากกว่าตามธรรมเนียม อีกฝ่ายรับไหว้ และเอ่ยทักกลับ “สวัสดี ต้องขอโทษด้วยนะ เรื่องเจ้าวิน”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” อิทธิเดชกล่าวอย่างขมขื่น เขาคงพูดอะไรไม่ได้มากกว่านี้  ทวีศักดิ์มองหน้าเด็กหนุ่มพลางถอนหายใจ
   “เธอน่ะ ถ้าไม่พอใจอะไรล่ะก็ พูดออกมาก็ได้”
   อิทธิเดชช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย นานแล้วที่เขาไม่ได้มีโอกาสคุยกับทวีศักดิ์สองต่อสอง  ความจริงในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แม้จะมีอะไรกัน แต่ก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำ  ความสัมพันธ์นั่นไม่แม้แต่จะอยู่ในฐานะคนรัก แต่เขากลับตัดใจจากชายคนนี้ได้ยาก
   “ครับ” อิทธิเดชรับปาก แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะพูดจริงๆ  ทวีศักดิ์ถอนหายใจอีกครั้ง
   “ฉันน่ะ หมดปัญญาจะจัดการกับเจ้าวินแล้ว ก็อย่างที่เธอเห็น เขาไม่ยอมฟัง ถ้าเธอรู้สึกลำบากใจมาก ฉันจะหาที่อยู่ใหม่ให้เอาไหม?”
   “ขอบคุณครับ” อิทธิเดชกล่าวพลางส่ายหน้า เขาคิดว่าการย้ายที่อยู่ใหม่ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ก็ไม่มีอะไรประกันได้เลยว่า วรุตจะไม่ตามไปอีก ทวีศักดิ์จ้องหน้าของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง เหมือนจะถามเพื่อความแน่ใจ ในที่สุดก็พูดต่อ
   “ถ้าเธอเลือกแบบนั้นล่ะก็ ฉันมีเรื่องอยากจะไหว้วานเธอหน่อย”
   นัยน์ตาสีดำของเด็กหนุ่มเหลือบมองขึ้นมาอย่างสงสัย  ทวีศักดิ์ทำหน้าปั้นยาก
   “คือฉันอยากให้เธอคุ้มครองเจ้าวินให้หน่อย มันอาจจะฟังดูรับได้ยาก เจ้าวินติดเธอมาก  และสถานการณ์ของเราตอนนี้ก็ไม่น่าไว้วางใจ ฉันเป็นห่วงลูก แต่ถ้าเธอลำบากใจมาก ฉันจะให้คนอื่นทำแทน แต่เธอต้องย้ายที่อยู่ใหม่ เจ้าวินจะได้ไม่ไปกวนใจอีก” เขาพูดเร็วปรื๋อ เหมือนว่าไม่ต้องการให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังมากนัก บางทีทวีศักดิ์อาจจะคิดว่าการให้เด็กหนุ่มย้ายที่อยู่เป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่อิทธิเดชกลับให้ทำตอบที่เขาแปลกใจ
   “ตกลงครับ  ผมจะดูแลคุณวรุตให้”
   “อะ..เอ้อ...” อีกฝ่ายอึ้งไปกับคำตอบครู่ใหญ่ และถามย้ำอีกครั้ง “เธอแน่ใจนะ?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า  เขามองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อยืนยัน ในที่สุดทวีศักดิ์ก็ระบายลมหายใจออกมา
   “ขอบใจมาก ขอบใจเธอมากจริงๆ ฉันอนุญาตให้เธอจัดการกับเจ้าวินตามความจำเป็น หากเขาไม่ยอมเชื่อฟัง สรุปคือเธอไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นลูกชายฉันหรอก”
   อิทธิเดชยิ้มแห้งๆ  เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้ลงไม้ลงมือกับลูกชายตัวเองจริงๆ อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ว่าขอบเขตที่ว่าเป็นอย่างไร คำอนุญาตของผู้เป็นเจ้านายทำให้เขาสบายใจขึ้นนิดหน่อย
   ทวีศักดิ์มองนาฬิกาตั้งโต๊ะ และหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง
   “ถ้าเธอไม่รีบล่ะก็ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”
   อิทธิเดชมองหน้าทวีศักดิ์อย่างไม่เชื่อ ก่อนจะพยักหน้าอย่างยินดี
----------------------------------------------
   รถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำ แล่นเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของตึกสีขาวตระหง่าน เด็กหนุ่มวัยยี่สิบก้าวลงจากรถ และเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทีเร่งร้อน วรุตพยายามนึกอยู่นานว่าอิทธิเดชจะไปที่ไหน ในที่สุดสถานที่เดียวที่เขาคิดออกคือที่ตึกทำงานของพ่อเขานั่นเอง
   ความจริงแล้วเด็กหนุ่มยังรู้สึกงุนงงอยู่นิดหน่อย เรื่องที่อิทธิเดชปัดมือเขาออกเมื่อเช้า ไม่ใช่ว่าอิทธิเดชไม่เคยขัดขืนเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วรุตรู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแรงกว่าที่คิด  บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้จักอิทธิเดชดีพอ
   เด็กหนุ่มเสียเวลาทักทายกับพนักงานและเพื่อนร่วมงานบางคนของบิดาของเขา ความจริงวรุตไม่ใช่เด็กต่อต้านสังคม หรือทำตัวเลวร้ายเหมือนที่เขาปฏิบัติกับอิทธิเดช โดยปกติวรุตเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และมักเป็นที่ชื่นชอบ วัดจากอัตราการทักทายของคนในที่นี่ กว่าที่เขาจะไปถึงห้องทำงานของผู้เป็นบิดาก็กินเวลาไปมากทีเดียว
   “อ้าว เจ้าวิน” เสียงคุ้นหูเอ่ยทัก ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดว่าจะโผล่พรวดเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นบิดาโดยไม่ผ่านเลขาหน้าห้อง เขาหันกลับไปมอง และพบว่าผู้เป็นพ่อเดินคู่มากับคนที่เขากำลังตามหาอยู่
   อิทธิเดชไม่ได้ทานข้าวกับทวีศักดิ์มานานมาก แม้การท่านอาหารครั้งนี้จะมีรัตน์มาร่วมโต๊ะด้วย แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกดี การได้พบกับวรุตในที่นี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขามากนัก แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมานิดหน่อย
   ดูเหมือนทวีศักดิ์จะคาดถึงการมาของวรุตไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเดินตรงเข้าไปทักบุตรชาย ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร พลางเอ่ย “มาก็ดีล่ะ ต่อไปนี้อิทธิเดชจะเป็นผู้ปกครองลูก  ช่วยเชื่อฟังพี่เขาหน่อยแล้วกัน”
   “หา?” วรุตร้องออกมาอย่างแปลกใจ และมองหน้าพ่อแบบงงๆ ทันที
   “ก็อย่างที่พูด พ่อเห็นลูกติดเขาแจ เลยวานให้ช่วยดูแล ก็ดูเข้าท่าดีไม่ใช่หรือ?”
   “พ่อจะเล่นอะไรอีกเนี่ย ผมดูแลตัวเองได้” เด็กหนุ่มเถียงทันที ทวีศักดิ์ย่นคิ้ว และยิ้มอย่างเอ็นดูให้กับลูกชายของเขา  การไม่รู้อะไรเลยของวรุตนี่แหละที่น่าเป็นห่วง
   “ลูกเอารถมาใช่ไหม ทิ้งไว้นี่แหละ จากนี้ก็ให้เดชขับรถให้แล้วกัน”
   “พ่อ!!” วรุตร้องอีกครั้ง พลางคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขากันแน่ ทวีศักดิ์หลิ่วตาให้กับอิทธิเดช พลางพูดต่อ
   “ลูกกินข้าวหรือยังล่ะ ถ้ายังให้เดชเขาพาไปสิ”
   วรุตหันไปทางอิทธิเดช และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ในที่สุด เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคำถามอะไรต่อดี เขาจึงต้องปล่อยผู้เป็นบิดาไป และเดินตามอิทธิเดชต้อยๆ
------------------------------------------------
   กาแฟในร้านที่รูฟัสพาไปนั้น อร่อยอย่างที่ว่าจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ดีขึ้น ในที่สุดฟ่งก็เอ่ยปากกว่าอยากกลับบ้าน ในขณะที่ยังดื่มกาแฟค้างอยู่ มันทำให้รูฟัสนึกถึงช่วงที่เขาพบกับฟ่งแรกๆ ฟ่งที่ดูหงอยๆ เพียงแต่ว่ารอบนี้คนที่ทำให้ฟ่งดูหงอยไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง
   สายลมยามบ่ายพัดผ่าน พัดพาเอาใบไม้สีทองปลิวว่อนราวกับช็อตในหนังโรแมนติก  จะต่างก็เพียงคู่พระเอกนางเอกนั้นไม่ได้ลงรอยกันหวานแหววเหมือนในหนัง
   ฟ่งเดินห่างจากรูฟัสเกือบสามเมตร!!
   รูฟัสชำเลืองมองดูฟ่งที่เดินไปข้างด้วยสายตาหม่นหมอง สำหรับเขาแล้วสามเมตรที่ว่านั้นราวกับสามปีแสง ฟ่งนั้นดูห่างเหินจนไม่น่าเชื่อ จะมานึกเสียใจในการกระทำของตัวเองตอนนี้ก็สายเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ฟ่งกลับมาไว้ใจเขา
   “คุณ...กลัวผมเหรอ?” ในที่สุดรูฟัสก็กลั้นใจถามคำถามหนึ่งในข้อที่เขาหวาดกลัวในคำตอบที่จะได้รับ ฟ่งเงยหน้ามองเขาอย่างงงๆ
   “ปะ..เปล่า” เสียงนั้นตอบตะกุกตะกัก แน่นอนว่าฟ่งกลัว แต่การยอมรับออกไปตรงๆ ก็คงจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี รูฟัสเม้มปาก เขาไม่รู้จะดีใจในคำตอบนั้นดีหรือไม่ ชายหนุ่มพูดต่อ
   “ถ้าอย่างนั้นมาเดินใกล้ๆ ผมได้ไหมครับ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลบ่งบอกถึงความไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด  รูฟัสถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นอีก “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
   หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ฟ่งก็ยอมเดินมาใกล้ขึ้น รูฟัสกลืนน้ำลาย ความจริงเขาอยากจะจูงมือฟ่งด้วยแต่สถานการณ์ตอนนี้คงไม่อำนวยให้ทำแบบนั้น
   ฟ่งกระชับสเวตเตอร์ให้เข้ากับตัวด้วยความหนาว การมาเดินคู่กับรูฟัสสองคนทำให้เขารู้สึกแสลงใจ
   ทำไมเขาจะต้องมาอยู่ข้างๆ ผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ
   ชายหนุ่มสวมแว่นเผลอนึกย้อนไปว่าหากเรื่องราวไม่พลิกผันแบบที่เป็นในปัจจุบัน การได้เดินคู่กับรูฟัสในสถานที่แบบนี้คงจะสร้างความสบายใจให้เขามากทีเดียว แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิด
   ไม่ว่าจะแบบไหนก็คงไม่ต่างกันหรอก ก็เขาไม่ได้เป็นพวกรักร่วมเพศเสียหน่อย
   ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยมีความคิดจะชอบเพศเดียวกันมาก่อน แม้แต่ตอนนี้ก็ตาม เวลาเขาเห็นผู้ชายคนอื่นก็ยังรู้สึกเฉยๆ เหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นพวงแก้มใต้เงาแว่นก็แดงระเรื่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฟ่งเร่งฝีเท้า เดินนำหน้ารูฟัสไปเล็กน้อย เขาไม่อยากจะอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ให้มากนัก สำหรับฟ่งแล้วรูฟัสเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนใจยามอยู่ใกล้ ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดขี้หน้าผู้ชายคนนี้ เพียงแต่เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ แล้ว คำพูด สีหน้า แววตาที่อีกฝ่ายมองมานั้น ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวไปเสียทุกครั้ง  นเกือบจะมองข้ามเหตุผลและความเป็นจริงที่ว่าผู้ชายคนนี้อันตราย
   รูฟัสเป็นคนอันตราย
   ฟ่งพยายามท่องคำนี้ไว้ในหัว ผู้ชายที่ชักมีดออกมาแทงคนได้หน้าตาเฉย จะไม่เรียกว่าอันตรายได้อย่างไรกัน  ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะทำดีกับเขามามาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปตลอด ฟ่งนึกถึงสิ่งที่รูฟัสทำกับเขาเมื่อวาน ร่างกายพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
   รูฟัสพยายามเร่งฝีเท้าตามฟ่งที่เหมือนกับกำลังเดินหนีเขา ชายหนุ่มย่นคิ้วด้วยความอ่อนใจ จนปัญญาที่จะสรรหาวิธีมาแก้ปัญหา บางทีเขาอาจจะต้องปรึกษาใครบางคน รูฟัสรีบตัดราฟาแอลออกไปเป็นคนแรก หมอนั่นไม่สนับสนุนเขา แถมมีแนวโน้มทำลายอย่างเห็นได้ชัด  แล้วคลาวเดียล่ะ? คลาวเดียเป็นแฟนราฟาแอลนี่ คงจะหวังอะไรมากไม่ได้
   ชายหนุ่มพยายามนึกถึงคนที่จะสามารถให้คำปรึกษากับเขา ขณะที่เดินไล่ตามฟ่ง ช่างตลกสิ้นดี คนที่ไม่เคยมีปัญหาในเรื่องแบบนี้อย่างเขา กำลังจนตรอกจนต้องร้องขอความช่วยเหลือ แต่ว่าเพื่อให้ได้ฟ่งกลับคืนมาแล้ว ถึงต้องทนเสียหน้าขนาดไหนก็คงต้องทำ

   ฟ่งรู้สึกว่าการเดินนั้นช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกินกว่าจะถึงบ้านของราฟาแอล  ทันทีที่มาถึง เขารีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตลอดทางที่เดินมา เขาคิดเรื่องของรูฟัสจนยุ่งเหยิงไปหมด ยิ่งคิดยิ่งปวดในหัวใจ ชายหนุ่มวางแว่นตาไว้ตรงขอบอ่างล้างหน้าหน้า และยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา
   ในที่สุดฟ่งก็ร้องไห้  มันเป็นการร้องไห้เงียบๆ แบบที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ในช่วงที่เลิกกับพิฌาดาใหม่ๆ เพียงแต่ความเจ็บปวดในคราวนี้แตกต่างออกไป มันมีทั้งความอึดอัด หักหลัง และไม่แน่ใจปะปนกัน เมื่อไม่มีทางอื่นจะระบายออก น้ำตาจึงหลั่งออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

   รูฟัสได้แต่ยืนนิ่งเมื่อเห็นฟ่งวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เดินมาแล้วว่าสีหน้าของฟ่งไม่ค่อยจะสู้ดีนัก บางทีอาจจะกำลังร้องไห้อยู่ ความคิดนั้นยิ่งทำให้รูฟัสรู้สึกแย่มากขึ้น เขาอาจจะบีบบังคับจิตใจของฟ่งมากเกินไป
   “เป็นอะไรน่ะ?” คลาวเดียเอ่ยทักเมื่อเห็นรูฟัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอกำลังอบขนมอยู่ และต้องเดินออกมาดูเหตุการณ์เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำดังปัง
   รูฟัสส่ายหน้าแทนคำตอบและถามกลับ “ราฟี่ล่ะ?”
   “ซ้อมยิงปืนอยู่” คลาวเดียตอบ และมองหน้าของชายหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะหายกลับเข้าไปในครัว
   หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง รูฟัสก็ตัดสินใจเคาะประตูห้องน้ำ
   “ฟ่ง คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   เสียงเคาะทำให้ฟ่งสะดุ้ง  เขารีบปาดน้ำตาออก  และพยายามจะพูดด้วยเสียงปกติที่สุด “เปล่า”
   รูฟัสแทบจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อได้ยินเสียงที่สั่นเครือนั้น ฟ่งกำลังร้องไห้ แม้ปากจะปฏิเสธแต่รูฟัสแทบจะแน่ใจว่า ฟ่งรู้สึกในทางตรงกันข้ามกับที่พูด เพียงแต่อาจจะต้องเก็บงำเอาไว้เพราะเกรงกลัวหรือเกรงใจ ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลงทั้งนั้น
   “..............................”
   ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง รูฟัสนึกไม่ออกว่าเวลาแบบนี้เขาควรจะพูดอะไร การจะเรียกให้ฟ่งออกมาคงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แม้จะรู้สึกเป็นห่วง แต่การที่เขาจะเข้าไปยุ่งย่ามนั้นมีแต่จะทำให้อาการของฟ่งแย่ลงมากขึ้น
   “ฟ่งครับ ถ้าดีขึ้นแล้ว อย่าลืมออกมาทานขนมของคลาวเดียนะครับ กำลังร้อนได้ที่เลย” ในที่สุดรูฟัสก็ตัดสินใจพูดอะไรที่ดูจะธรรมดาที่สุด เพื่อลดความกดดันของอีกฝ่าย ประโยคนั้นทำให้ฟ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทันใดน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาอีกครั้ง
   มันเป็นความเจ็บปวดที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ออก
   รูฟัสยืนนิ่งไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
   
“อ้าว ขนมยังไม่สุกนะ” คลาวเดียเอ่ย เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา
“ผมไม่กินหรอก” รูฟัสตอบ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายทำหน้ายุ่งเมื่อได้ยิน
“ฝากดูแลฟ่งหน่อย คืนนี้ผมอาจจะไม่กลับ”
คลาวเดียขมวดคิ้วทันที “จะไปไหนล่ะ?”
“คงไปร้านชานดอร์ น่าจะค้างที่นั่นแหละ”
“จะไปดวดเหล้ารึ?” หญิงสาวทักขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของชานดอร์ ชานดอร์เป็นหนุ่มวัยสามสิบแปด ผู้ซึ่งเปิดร้านเหล้าเล็กๆ อยู่ตรงหัวมุมถนนในย่านใจกลางเมือง รูฟัสส่ายหน้า
“ผมแค่จะไปคุยธุระ”
คุยธุระถึงกับต้องไปค้างเลยรึ? คลาวเดียตัดสินใจเก็บข้อสงสัยของเธอเอาไว้ และพยักหน้า
“ฉันจะดูแลเด็กนั่นให้ก็แล้วกัน”
หญิงสาวรับปาก รูฟัสกล่าวขอบคุณสั้นๆ  และหันหลังเดินกลับออกไป   
   แม้จะไม่อยากจะยอมรับนัก แต่ความจริงคือ ตัวเขาเองกำลังเป็นปัญหากับฟ่ง
การที่ฟ่งไม่เห็นหน้าเขาในคืนนี้ น่าจะเป็นการดีมากกว่า
-----------------------------------------------------
   ร้านเหล้าของชานดอร์นั้น ตกแต่งแบบไม่ค่อยจะทันสมัยนัก ติดไปทางหลงยุคด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ปีนี้เจ้าของร้านเพิ่งจะอายุเพียงสามสิบแปด อย่างไรก็ตามเจ้าตัวให้ความเห็นว่าเขาชอบบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้มากกว่า
   ชานดอร์รับสืบทอดร้านเหล้านี้มาจากลุงของเขา ปีนี้เป็นปีที่ห้าสิบของการเปิดกิจการ แน่นอนว่าการตกแต่งร้านที่แสนจะเชยนั้น ถูกรักษาเอาไว้ให้เหมือนเดิมตั้งแต่ตอนเปิดร้านใหม่ๆ นอกจากจะเปิดร้านเหล้าแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ยังมีเกสท์เฮาส์เล็กๆ ราคาประหยัดไว้สำหรับให้คนสัญจรพักด้วย
   เสียงกระดิ่งกริ๊งๆ ที่ดังขึ้น ทำให้คิ้วสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มมุ่นเข้าหากัน นี่เพิ่งจะสี่โมงเย็น และป้ายหน้าร้านก็ยังเขียนคำว่า ”ปิด” อยู่  อย่างไรก็ตามเขาก็ละมือจากผ้าเช็ดแก้ว และเดินไปเปิดประตู
   “ขอโทษนะครับ ร้านยังไม่เปิด” ชายหนุ่มกล่าว พลางนึกว่าคนที่มาเปิดอาจจะอ่านภาษาฮังการีไม่ออก แต่กลับได้ยินเสียงตอบเรียบๆ “รู้แล้ว”
   นั่นทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองทันที และอุทานออกมา “เฮ้ย รูฟัส! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
   “สองสามวันแล้วล่ะ ขอเข้าไปหน่อยสิ” อีกฝ่ายกล่าว และเบียดตัวเข้าไปในช่องว่างของประตูโดยไม่รอคำอนุญาต
   “ทำไมล่อมานี่แต่หัววันเลยล่ะ ราฟี่ไล่นายออกจากบ้านหรือไง” ชานดอร์แซว สำหรับเขาแล้ว รูฟัสไม่ใช่ลูกค้าอื่นใกล้ เหมือนญาติพี่น้องกันมากกว่า ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีคนนี้ เป็นลูกค้าของเขามาตั้งแต่เขาเข้ามารับช่วงสืบทอดกิจการใหม่ๆ หรือจะพูดว่า เป็นลูกค้าเดิมของที่นี่ก็ได้ สิ่งที่ทำให้ชานดอร์จำรูฟัสได้ดีคือหมอนี่จับจองเป็นสิงห์นักดื่มตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหนูอายุสิบกว่าๆ และยังดื่มเก่งจนน่ากลัวเสียด้วย ช่วงหนึ่งเขาเคยมาหัดเป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ อย่างไรก็ตามระยะหลังรูฟัสไม่ได้แวะมาบ่อยนัก
   “จะดื่มอะไรก่อนไหมล่ะ?” ชายหนุ่มวัยสามสิบแปดย่างสามสิบเก้าผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าใส ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงเล็กน้อยเอ่ยถาม ทันทีผู้มาเยือนนั่งปุลงบนเก้าอี้เคาน์เตอร์บาร์
   “น้ำเปล่าก็พอ” รูฟัสตอบ และเริ่มต้นบทสนทนา
   “นี่ ชานดอร์ ถ้านายเกิดไปชอบใครคนหนึ่งเข้า และเขาก็ทำท่าเหมือนว่าจะชอบนายด้วย แต่ว่าไม่เคยบอกนาย นายคิดว่าเขาจะชอบนายรึเปล่า?”
   ชานดอร์ชะงักมือที่กำลังรินน้ำเปล่าใส่แก้วทันที เขามองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ
   “แกเมามารึไง? หรือว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่?  หรือช่วงนี้แกคิดจะเขียนนิยายขาย?”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด  เขาพยายามเค้นสมองหาคำอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ
   “ผมไม่ได้จะเขียนนิยายขาย!” เขาหยุดไปพักหนึ่ง และพ่นลมหายใจออกมา “การที่จะรู้ว่าใครชอบเรา วัดจากอะไรน่ะ?”
   คราวนี้ชานดอร์ขมวดคิ้วขึ้นบ้าง เขาวางน้ำเปล่าไว้ตรงหน้ารูฟัส พลางคิดว่าน่าจะหายาแก้เมาให้กินด้วย
   “นายเป็นอะไรเนี่ย ปกติฉันเห็นใครๆ ก็ชอบนาย ถ้าจะมีใครเหม็นขี้หน้านาย ก็คงเพราะนายเป็นที่ชื่นชอบมากเกินไปนี่แหละ”
   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” รูฟัสเอ่ย และคิดว่าเขาหรือชานดอร์กันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง
   “แล้วหมายความว่าแบบไหน  ถ้านายไม่พูดออกมาตรงๆ ก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอกนะ” อีกฝ่ายเอ่ยสวนตอบ รูฟัสขมวดคิ้วยุ่ง และพูดออกมาในที่สุด
   “ตอนนี้ผมกำลังชอบคนคนหนึ่งอยู่”
   “ห๊ะ!!” ชานดอร์ร้องอย่างไม่เชื่อ นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายเท่าไรนัก
   “แล้วดูเหมือนว่าเขาจะชอบผมด้วย แต่ว่าตอนนี้เขากลับกลัวผม” รูฟัสพยายามเล่าต่อ  แต่ชานดอร์กำลังคิดว่าเจ้าเด็กนี่คงเมาอะไรมาสักอย่างแน่ๆ
   “ทำไมเขาถึงกลัวนายล่ะ?” อีกฝ่ายถาม แม้จะเหมือนกับว่าเมา แต่การจะตีความแบบนั้นไปเสียทีเดียวคงไม่ได้ เพราะโดยปกติรูฟัสไม่เคยเป็นแบบนี้ บางทีหมอนี่อาจจะกำลังมีเรื่องทุกข์ใจจริงๆ ก็ได้
   “ก็...” รูฟัสชะงักไปกลางคัน พลางคิดว่าควรเล่าเรื่องที่เขาทำกับฟ่งให้อีกฝ่ายฟังดีรึเปล่า  ชานดอร์หยิบแก้วขึ้นไปวางบนชั้นจนเสร็จ เมื่อเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ยังคงมีทีท่าอ้ำๆ อึ้งๆ จึงพูดเสริม
   “ถ้าไม่เล่าให้รู้เรื่อง ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มวัยสามสิบกว่า ก่อนจะพูดอย่างไม่แน่ใจนัก “แล้วนายจะช่วยได้รึ?”
   ชานดอร์ขมวดคิ้วอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าคิดว่าฉันช่วยไม่ได้แล้วถ่อมาหาทำเกือกอะไรล่ะ”
   รูฟัสพยักหน้าหงึกหงักทันที และเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
--------------------------------------------

   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:47:27
บทที่29 เบื้องต้นของคำสารภาพ
   ฟ่งเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ เขาเพิ่งนึกได้ว่าอาจจะกำลังสร้างความเดือดร้อนอยู่  ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่และเดินเข้าไปในครัว เขาควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น แต่ยังรู้สึกเบลอๆ ในหัว เขาพบคลาวเดียกำลังยกถาดขนมออกจากเตา จึงรีบเข้าไปช่วย
   “รูฟัสล่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น เมื่อไม่เห็นวี่แววของชายผู้มีนัยน์ตาสองสี ซึ่งมักจะปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ เขาเสมอ
   “ออกไปคุยธุระข้างนอกน่ะ เห็นว่าจะไปค้าง” คลาวเดียตอบ นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกแปลกใจ
   “ยกนี่ไปให้ราฟี่ด้วยสิ” คลาวเดียหยิบจานใส่ขนมแล้วส่งให้ฟ่ง
   “เธอจะนั่งทานกับเขาก็ได้ ราฟี่น่ะอาจจะดูเย็นชา แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก” หล่อนพูด และยิ้มให้  ฟ่งยิ้มตอบ และยกจานขนมออกไป
   ราฟาแอลเสร็จจากการซ้อมยิงปืนแล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก และกำลังเช็ดปืนอย่างทะนุถนอม เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ่งหน่อยหนึ่ง ตอนที่ขนมถูกวางลงบนโต๊ะ
   “เจ้ารูฟัสล่ะ?” เขาถามโดยที่ยังก้มหน้าเช็ดปืนอยู่
   “เห็นว่าออกไปข้างนอกน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบ  ราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก เขาหยิบส้อมจิ้มขนมขึ้นมากิน โดยไม่ชวนหรือเอ่ยขอบคุณคนที่นำมาให้  อย่างไรก็ตามฟ่งเกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง
   “จากนี่ไปเวสเปรมไกลมากรึเปล่าครับ?”
   “ไม่ไกล ทำไมล่ะ?” ราฟาแอลถามกลับ ดูจะไม่ค่อยให้ความสนใจนัก
   “คือผมอยากไปหาเพื่อนที่นั่น  เอ่อ...รถบัสที่ไป ขึ้นตรงไหนหรือครับ”
   คราวนี้อีกฝ่ายวางปืนลงทันที  และเงยหน้าขึ้นมอง “เธอมีตั๋วรถเมล์หรือ?”
   ฟ่งพยักหน้า  เขารู้สึกกว่าราฟาแอลยิ้มนิดหน่อย หนุ่มฮังกาเรียนผุดลุกขึ้น
   “ป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกลหรอก ฉันไปส่งก็ได้”
   ฟ่งยิ้มอย่างดีใจ ราฟาแอลใจดีกว่าที่เขาคิด
---------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:48:14
   ใกล้ถึงเวลาเปิดร้านแล้ว แต่ชานดอร์กลับเดินไปแขวนป้ายเลื่อนเวลาเปิดตรงประตูเสียใหม่  เพราะเขาคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการจัดการกับเจ้าตัวปัญหาเดินได้ที่นั่งปุอยู่หน้าเคาท์เตอร์บาร์
   “ขอโทษที่รบกวนนะ” รูฟัสเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามา ชานดอร์ยักไหล่
   “ไม่เป็นไร นานๆ ทีจะเห็นนายมีปัญหาที่แก้ไม่ตก แถมเป็นปัญหาหัวใจเสียด้วย”
   รูฟัสรู้สึกรำคาญขึ้นมาบ้างกับสีหน้าไม่ค่อยเชื่อของอีกฝ่าย แต่นี่ก็ควรจะเป็นปฏิกิริยาปกติของคนที่รู้จักเขามานานอยู่แล้ว กับเรื่องแบบนี้ แม้ตัวรูฟัสเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
   “ฉันเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชายนะ ปัญหาของนาย จริงๆ จะว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่ายากมันก็ยาก”
   รูฟัสพยักหน้า เพราะชานดอร์มีรสนิยมทางเพศแบบเดียวกับเขา นั่นทำให้การอธิบายให้เข้าใจปัญหาง่ายขึ้น ที่สำคัญ หมอนี่ไม่ได้เจ้าชู้กระตูดินแบบราฟาแอลด้วย
   “เรื่องก็คือ เขาไม่เชื่อใจนาย เพราะนายทำตัวไม่น่าไว้ใจ แล้วนายก็ซ้ำเติมปัญหา ด้วยการไปทำแบบนั้นกับเขาอีก เชื่อเลย” ชานดอร์คราง ทำให้รูฟัสขมวดคิ้ว
   “เลิกตอกย้ำผมทีเถอะน่า ก็ผมทนไม่ได้นี่ คนที่ชอบมาอยู่ใกล้ๆ แบบนั้น แถมยังเคยทำอะไรกันมาก่อน จู่ๆ จะให้หยุดไปเฉยๆ ทำได้ที่ไหนล่ะ”
   “พอๆ” ชานดอร์รีบยกมือห้าม “ไอ้ทนไม่ได้นี่แหละ คือปัญหา นายต้องแยกระหว่างเซ็กซ์กับความรัก ฉันเข้าใจว่าตอนนี้สำหรับนายแล้วสองอย่างนี่แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นเขาไม่ได้คิดแบบนาย ถ้ามีเซ็กซ์กันโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ ก็ไม่ต่างอะไรจากการไปข่มขืนเขาหรอก ถ้านายไม่รู้จักอดทน รอให้เขาพร้อม รับรองว่านายได้ล่ามเขาไว้กับเสาเตียงแน่ๆ และก็คงไม่มีปัญญาจะได้ยินคำบอกรักไปตลอดชาติ”
   รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว ความจริงเขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องอดเซ็กซ์ แต่พออยู่ใกล้ๆ ฟ่งแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาเป็นพวกบ้ากามไปเสียแบบนั้น ดูท่าเขาต้องพยายามอดทนอย่างที่ชานดอร์ว่า
   “แต่ว่า แค่อดทนน่ะ มันจะทำให้เขากลับมาไว้ใจผมหรือไง?” รูฟัสถามต่อ พลางคิดว่าเขาต้องอดทนนานขนาดไหนกัน
   “ในบางกรณีอาจจะใช่ แต่กรณีนาย คงยาก เพราะนายดันไปทำให้เขาไม่เชื่อใจ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายโกหกอะไรเขาไปบ้าง  แต่ว่ายิ่งเขาจับโกหกนายได้บ่อยเท่าไร ความไว้วางใจก็ต่ำลงเท่านั้น ยิ่งความไว้วางใจต่ำ ไอ้การที่เขาจะมอบหัวใจให้นายมันก็ยิ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้  พอจะเข้าใจความสอดคล้องนี้รึเปล่า?”
   รูฟัสพยักหน้า ชานดอร์ไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร และก็ไม่เคยสนใจจะถาม ผู้ชายคนนี้ให้ความเป็นส่วนตัวกับทุกๆ คนที่รู้จัก นั่นเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่ทำให้ชานดอร์สนิทกับราฟาแอลและรูฟัส
   “แล้วผมควรจะทำยังไง?” รูฟัสถามคำถามที่เขาออกมานับครั้งไม่ถ้วนในการสนทนาก่อนหน้านี้
   “นายต้องแสดงความจริงใจให้เขาเห็น” ชานดอร์เอ่ย และรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นสีหน้าหมดสิ้นหนทางคิดต่อของรูฟัส
   “นายต้องทำอย่างที่นายพูด หรือไม่ก็พูดอย่างที่นายทำ  สมมติว่านายทำงานเป็นขโมย นายก็ต้องบอกเขาว่าเป็นขโมย ไม่ใช่ไปบอกเขาว่าเป็นตำรวจ”
   รูฟัสเผลอสะดุ้ง ก่อนจะรีบเอ่ยค้าน “ผมไม่ได้เป็นโจรสักหน่อย”
ชานดอร์รีบโบกมือห้าม “นั่นแค่ยกตัวอย่างน่ะ  สรุปให้ฟังง่ายๆ นะ นายควรจะพูดความจริงกับเขา อธิบายเหตุผลในสิ่งที่นายทำ  ถ้าเขารับไม่ได้ นายก็ควรตัดใจซะ”
   ผู้ได้ยินทำหน้าเบี้ยว แต่แทนที่จะอ้าปากเถียงต่อ รูฟัสกลับนิ่งอึ้ง ความจริงข้อนี้แหละที่เป็นปัญหาสำหรับเขา  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ก่อนจะเอ่ยเสียงแห้ง
   “แปลว่าผมไม่ควรจะไปรักใครอย่างนั้นสินะ”
   ชานดอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อ “นี่สรุปว่านายไม่คิดเลยใช่ไหมว่าเขาชอบนาย  ตกลงว่านายหลอกตัวเองมาตลอด จริงๆ แล้วนายไปบังคับฝืนใจเขา?”
   “ปะ เปล่า..” รูฟัสตอบออกไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงมากนัก เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ฟ่งเต็มใจที่จะนอนกับเขาหรือเปล่า
   “เลิกเหอะรูฟัส ถ้านายลังเลขนาดนี้ ฉันว่าจบๆ ไปแหละดีที่สุด”
   ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีหันหน้ามามองเพื่อนอย่างไม่ค่อยจะพอใจทันที “นี่ผมมาปรึกษานายนะ ไม่ใช่ให้นายมาพูดเหมือนราฟี่”
   “อ้อ..” ชานดอร์ลากเสียงยาว มองหน้ารูฟัสกลับ สีหน้าเหมือนคาดไว้แล้วว่าราฟาแอลจะต้องพูดแบบนั้น
   “ราฟี่ก็พูดแบบฉันหรือ เอาเถอะ ก็นายเป็นซะแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไง  ถ้านายรักเขา  นายอยากอยู่กับเขา ก็ต้องแสดงความจริงใจ ถ้าเขารับไม่ได้ นายก็ตัดใจซะ แต่ถ้าเขารับได้ นั่นก็ดีไม่ใช่หรอ ถ้านายไม่พูด  มันก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ แล้วคงจบลงไม่สวยใช่ไหมล่ะ..”
ประโยคนั้นทำเอาชายหนุ่มตาสองสีนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จนอีกฝ่ายต้องหันมามอง
   “ทำใจไม่ได้หรือไง?” ชานดอร์เอ่ย  รูฟัสพยักหน้า
   “ก็คงงั้นแหละ คืนนี้คงต้องนอนนี่ไปก่อน ถ้าเขาไม่เจอผมสักวันอาจจะรู้สึกดีขึ้น”
   อีกฝ่ายยักไหล่ แยกเขี้ยวยิ้ม “ได้ เด็กเสิร์ฟฉันลาไปต่างจังหวัดคนหนึ่งพอดี คืนนี้นายก็อยู่ช่วยงานที่ร้านด้วยแล้วกัน”
   รูฟัสอ้าปากค้างทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็โดนชานดอร์ชิงพูดขึ้นก่อน
   “ฉันจะไปเปิดร้านล่ะ ดูแลเครื่องดื่มด้วย”
----------------------------------
   ภายในห้องทำงาน ณ ตึก Le mirror เว่ยเฟิงปิงพยายามขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยบุหรี่เงินที่เพิ่งซื้อมาใหม่ และพบว่ามันเต็ม กลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วห้อง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยใช้ก้นบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือเขี่ยลงบนกองก้นบุหรี่นั้นเพื่อหาที่ว่างและยัดมันลงไป เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าอัดบุหรี่เข้าไปมาก หลังจากที่ได้พบกับจางซื่อเยี่ยน
   เครื่องดักฟังไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเสื้อของชายผู้นั้นเสียแล้ว
   เว่ยเฟิงปิงแน่ใจว่าเขาหย่อนมันลงไปในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายโดยที่จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ตัว  และมันคงไม่หลนไปเฉยๆ แน่ ดังนั้นเขาจึงเรียกลูกน้องที่อยู่แผนกดังกฟังมาถาม และได้รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนได้กระเช้ากลับมาใบหนึ่ง
   แปลว่าจางซื่อเยี่ยนโกหกเขา
   เรื่องนี้ทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะคนที่จางซื่อเยี่ยนไปพบคือเว่ยจินหยิน   ผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด และยังเป็นอดีตหัวหน้า เว่ยเฟิงปิงคาดเดาว่าการหายไปของเครื่องดักฟัง กับการโกหกของจางซื่อเยี่ยน คงมีผลมาจากเว่ยจินหยินเป็นแน่ ผู้ชายที่น่ารำคาญคนนั้นคงเขียนใส่อะไรบางอย่างแทนคำพูด เพื่อหลบการดักฟัง ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนดูเหมือนจงใจจะปิดบังเรื่องนี้กับเขาเสียด้วย
   เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่เสียบเข้ากับก้นกรอง แล้วหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุด เขาอัดควันเข้าไปเต็มปอด และระบายมันออกมาอย่างอึดอัด
   ความจงรักภัคดีที่จางซื่อเยี่ยนมีให้เขามันมากแค่ไหนกัน?
   ชายหนุ่มแตะก้นกรองสีเงินเข้ากับริมฝีปาก สูดควันเข้าไปอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะไว้ใจผู้ชายคนนี้ คนที่มาตามคำสั่งบิดาของเขา จางซื่อเยี่ยนที่น่ารังเกียจ แต่เพราะแบบนี้เอง หากทำให้จางซื่อเยี่ยนภักดีต่อเขาได้ การทำงานทั้งหมดก็จะราบรื่น
   ร่างบางห่อตัวอย่างหนาวเหน็บ ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิภายในห้อง แต่เขากำลังหวาดหวั่นกับการกระทำและความรู้สึกของตัวเอง ทำไมเขาถึงยินยอมให้ผู้ชายคนนั้นกอด  
เพียงเพราะอยากได้ความภักดีอย่างนั้นหรือ?
     ชายหนุ่มนึกถึงคำบอกเล่าของเถียนซิงเกี่ยวกับจางซื่อเยี่ยน นั่นเป็นความจริงล่ะหรือ  ผู้ชายคนนั้นแอบชอบเขาจริงๆ หรือ?
   นัยน์ตาสีฟ้าหลับพริ้ม สัมผัสอ่อนโยนที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้เขาในคืนนั้นวนเข้ามาหลอกหลอนในหัว นิ้วเรียวยาวกำแน่นเข้าไปในกล้ามเนื้อแขน คำพูดของจางซื่อเยี่ยนที่บอกว่าเขาสำคัญที่สุดยังก้องอยู่ในหัว
   นี่น่ะรึ สำคัญที่สุด คำว่าสำคัญนั้นในหัวของจางซื่อเยี่ยนหมายความว่ายังไงกันนะ
   เว่ยเฟิงปิงแตะก้นกรองสีเงินเข้ากับปากอีกครั้ง คราวนี้เขาเกิดสำลักควัน ชายหนุ่มไอจนตัวงอ น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา มันใกล้เวลาที่นัดไว้แล้ว แต่เจ้านายของเขายังไม่ออกมาจากห้องทำงาน ปกติเว่ยเฟิงปิงไม่เคยสาย ยิ่งหากเป็นเวลาที่เจ้าตัวกำหนดไว้เองแล้ว เจ้านายของเขามักลงมาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผู้มัดผมหางม้าชะเง้อหน้ามองไปยังประตูห้องทำงานของเจ้านาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เว่ยเฟิงปิงจะออกมาสาย นอกจากจะทำธุระอื่นเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะบอกล่วงหน้านี่นา ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินไปตามตัวเจ้านาย
   ชายหนุ่มเคาะประตู และเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ หรือปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงเปิดเข้าไป
   กลิ่นควันบุหรี่ที่อัดแน่นอยู่ในห้องแทบจะทำให้หยุดหายใจ จางซื่อเยี่ยนมองตรงไป เห็นเจ้านายของเขากำลังไอโขลกๆ พร้อมกับแก้วน้ำในมือที่ไม่รู้ว่าดื่มหรือหกไปจนเหลือครึ่งหนึ่งกันแน่  ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปดูอาการของเจ้านายพลางนึกสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เว่ยเฟิงปิงถึงได้อัดบุหรี่เข้าไปหนักขนาดนี้
   “ขะ ขอบใจ” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก หลังจากที่อาการไอทุเลาลงแล้ว  จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจพยุงเจ้านายออกมาจากห้อง มานั่งที่เก้าอี้ด้านนอก เพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์กว่า
   “เดี๋ยวผมไปหายาแก้ไอมาให้นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ย หลังจากที่เจ้านายนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เว่ยเฟิงปิงโบกมือวูบ
   “แต่ว่า...” จางซื่อเยี่ยนอยากจะเอ่ยค้าน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการขัดใจซึ่งเว่ยเฟิงปิงไม่ชอบเท่าไรนัก
   “ไปเอามาก็ได้” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป จางซื่อเยี่ยนมีสายตาแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็รีบลุกออกไปในทันที และกลับมาพร้อมกับขวดยาแก้ไอ เว่ยเฟิงปิงรับมาดื่ม
   “จะให้เลื่อนนัดรึเปล่าครับ” จางซื่อเยี่ยนถามผู้เป็นเจ้านาย เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสบายดีนักของเว่ยเฟิงปิง
   “ไม่ต้อง” ผู้เป็นเจ้านายปฏิเสธในทันที ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น และเดินออกไปที่ลานจอดรถ
------------------------------------------
   เมอเซเดสเบนส์สีบรอนเงินคันงามแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยขนาดเขื่องเข้ามาจอดในลานจอดรถภายในบ้านซึ่งกินอาณาบริเวณราวๆ สามไร่เศษใจกลางเมือง หญิงสาวผมลอนในชุดราตรีสีเลือดหมูก้าวขาออกมาจากรถ ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าไปในบ้านหลังนั้น  ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป หล่อนก็ต้องขมวดคิ้วเรียวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าภายในห้องรับแขกที่เปิดไฟเอาไว้นั้น มีคนนั่งอยู่
   ชายผู้มีเรือนผมสีดอกเลาหันหน้ามาแทบจะในทันทีที่หล่อนเปิดประตู
   “มีอะไรเหรอคะพี่โรจน์” หญิงสาวเอ่ยทัก ขณะมองผ่านไปยังนาฬิกาไม้มะค่าฝังมุกเรือนงามที่แขวนอยู่ข้างผนัง มันบอกเวลาตีสามเศษๆ ผู้ถูกเอ่ยทักยิ้ม โครงหน้าคมสันนั้นชวนมองเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ามันจะเริ่มมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏแล้วก็ตาม
   “นั่งลงก่อนสิ” เขาเอ่ย หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งยังโซฟาอีกตัวหนึ่งตรงข้ามเขา
   “เหมือนว่าเราไม่ได้คุยกันสองคนแบบนี้นานแล้วนะเมี่ยง” ชายวัยห้าสิบเศษเอ่ย ขณะที่มองดูผู้เป็นภรรยานั่งลง เมี่ยงยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ หล่อนจับจ้องใบหน้าของผู้เป็นสามี  และถอนหายใจยาว
   “มีอะไรเหรอคะ” หล่อนถาม  ปกติไพโรจน์จะไม่นั่งรอหล่อนแบบนี้ ทั้งคู่แยกห้อนนอนกันมานานแล้วด้วยซ้ำ และวันๆ หนึ่งแทบจะไม่ได้พบหน้ากันเลย
   ไพโรจน์ขยับตัวให้ตรงขึ้น เขามองหน้าภรรยา “คุณรู้จักกับคุณทวีศักดิ์รึเปล่า?”
   เมี่ยงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ และเอ่ยถามย้อน “ทวีศักดิ์ไหนคะ?”
   “ทวีศักดิ์  วีระวัฒนา คนที่เป็นเจ้าของโรงงานยาน่ะ” ไพโรจน์ช่วยระบุให้แน่ชัดขึ้น เมี่ยงร้องอ้อเสียงยาวทันทีที่เขาพูดจบ
   “คุณทวีศักดิ์คนนั้น ฉันไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะ เพียงแต่ลูกค้าบางคนของฉันทำงานกับเขาเท่านั้นเอง”
   “เหรอ ผมคิดว่าคุณรู้จักกับเขาเสียอีก” ไพโรจน์กล่าวอย่างผิดหวังหน่อยๆ เมี่ยงมองหน้าผู้เป็นสามี
   “ทำไมเหรอคะ พี่มีปัญหากับเขางั้นหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถาม นึกไม่ออกว่าสามีของหล่อนจะไปมีปัญหาอะไรกับผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ได้ ในเมื่อไพโรจน์ทำงานด้านธุระกิจการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ทวีศักดิ์ทำงานด้านยาและเวชภัณฑ์
   “เปล่า ไม่ใช่ผมหรอก” ไพโรจน์ปฏิเสธออกมา เขามองดูภรรยาอีกครั้ง เหมือนว่านานเหลือเกินที่เขาไม่ได้มองผู้หญิงคนนี้ แต่ในความจริงแล้ว ในชีวิตของเขา เขาไม่คิดจะมองผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
   “ยุทธชัยต่างหาก” ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นต่อ เมี่ยงทำตาโต
   “พี่ยุทธน่ะเหรอคะ?” หล่อนถามอย่างแปลกใจ ยุทธชัยเป็นเพื่อนสนิทของไพโรจน์ หรือจะให้พูดกันในความจริงคือ เขาต่างหากที่เป็นคู่ของไพโรจน์ ไม่ใช่หล่อน เมี่ยงทราบมาตั้งแต่แรกที่ได้รู้จักกับไพโรจน์ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จะมองผู้หญิง และไพโรจน์เองก็เปิดใจพูดเรื่องนี้กับหล่อนในเวลาต่อมาหลังจากคบกันไม่นานนัก สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตกลงปลงใจแต่งงานกันดูจะเป็นเรื่องราวของธุรกิจเสียมากกว่า
   เมี่ยงเม้มปากอย่างลืมตัว ขณะที่ไพโรจน์พยักหน้า “ยุทธเขาอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณทวีศักดิ์น่ะ เห็นว่าเขาจะมาชวนร่วมหุ้นอะไรสักอย่าง”
   “อ๋อ  อืม..” หล่อนนิ่งคิดไปพักหนึ่ง “ฉันว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้จักเขา แต่ว่าชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เหมือนว่าเขาจะค้ายาเสพย์ติดด้วย”
   “นั่นแหละ ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ผมเตือนยุทธแล้ว แต่ดูเหมือนเขาสนใจที่จะลงทุนกับคุณทวีศักดิ์มาก ผมเลยลองถามคุณดูเผื่อจะได้เอาไปพูดให้เขาเลิกสนใจโครงการนี้ได้”
   “พี่ยุทธบอกพี่รึเปล่าคะ ว่าโครงการนั่นเป็นโครงการเกี่ยวกับอะไร”
   “เห็นว่าเป็นโครงการผลิตเครื่องทำออกซิเจนกระป๋องหรืออะไรนี่แหละ”
   “เอ๋  นี่จะทำอากาศขายกันแล้วเหรอคะ?” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงขบขัน  ไพโรจน์ย่นคิ้ว
   “ผมก็คิดว่ามันตลก ถึงแม้ว่าอากาศจะแย่ แต่ธุรกิจขายอากาศอาจจะยังไม่เวิร์คสำหรับประเทศเราก็ได้”
   “มันดูทะแม่งๆ อยู่นะคะ ฉันว่ายังไงคุณลองยืนยันเสียงแข็งไปเลยดีกว่าว่าไม่ควรจะไปยุ่งกับคุณทวีศักดิ์  บอกว่าถ้าเกิดเขาเอาเงินไปลงทุนในเรื่องยาเสพติดล่ะก็จะพาลซวยกันไปหมด”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:48:31
   “ผมจะลองแล้วกัน” ไพโรจน์พยักหน้า และผุดลุกขึ้น
   “งั้น ผมไปนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์” เขาเอ่ย และเดินออกไปที่บันได เมี่ยงมองดูสามีด้วยสายตาอ่อนใจ ปกติไพโรจน์มักจะเข้านอนแต่หัวค่ำ การที่เขายอมถ่างตารอหล่อนแบบนี้ก็เพราะเป็นเรื่องของยุทธชัยนี่เอง แต่แล้วหล่อนก็นึกบางอย่างขึ้นได้
   “จริงสิคะ พี่โรจน์ ถ้ายังไงลองให้ฉันไปคุยกับพี่ชัยเขาก็ได้ค่ะ ฉันคิดว่าฉันน่าจะพูดให้เขาเลิกล้มความตั้งใจเรื่องนี้ได้”
   ไพโรจน์มองลงมาจากบันไดด้วยสายตาแปลกใจ “เอางั้นหรือ ก็ได้ ไว้ผมจะนัดเขาให้”
   “ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ” หล่อนเอ่ย และเดินฉีกออกไปที่บันใดอีกฝั่งหนึ่ง
---------------------------------------
   นัยน์ตาสีดำสนิทมองผ่านกระจกออกไปยังแมกไม้ด้านนอก อากาศในฤดูใบไม้ร่วงของฮังการีกำลังสบาย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เขานั่งจับเจ่าทำการบ้านที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายมาตั้งแต่เช้าจนเกือบจะเย็น แม้การเรียนที่นี่จะสบายและเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าที่เมืองไทย แต่การทำการบ้านก็ยังเป็นอะไรที่เขาไม่ชอบอยู่ดี
   กฤษต์โยนดินสอลงบนสมุดคำตอบที่กำลังเขียนอยู่ และเดินไปหยิบโทรศัพท์ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะโทรชวนเพื่อนบางคนออกไปเดินเล่น คงต้องมีคนที่กำลังเบื่อเหมือนเขาแน่ๆ
   ขณะที่กำลังจะกดโทรศัพท์ เสียงออดก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบวางโทรศัพท์ และวิ่งไปเปิดประตูอย่างดีใจ
ต้องเป็นเจ้าอเล็กซ์แน่ๆ เขาคิด แต่แล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน
   “พี่ฟ่ง!” กฤษต์เอ่ยอย่างงุนงง มองดูชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของประตู ซึ่งดูจะมีท่าทางดูจะดีใจมากเมื่อเห็นหน้าเจ้าของห้อง
   “พี่มาได้ไงเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจไม่หาย หลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้ว
   “นั่งรถเมล์ แล้วลองถามๆ คนแถวนี้มา”
   “โห เก่งโคตร  แล้วทำไมพี่ไม่โทรมา?”
   “พี่ไม่มีเหรียญโทรศัพท์”   ฟ่งตอบ
   “พี่แลกเอาก็ได้นี่” เขาเอ่ย มองฟ่งอย่างแปลกใจ ฟ่งรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะพูดออกไปแบบนั้น
   “แล้วนี่พี่มาคนเดียวเหรอ แล้วเพื่อนพี่ล่ะ?” กฤษต์เอ่ยถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ เริ่มคิดว่าเขาอาจจะไม่ควรจะมาที่นี่ เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง และเอ่ยถามขึ้นอีก “เอากาแฟมั๊ย?”
   ฟ่งรีบส่ายหน้า เขาดูอิดโรยขนาดนั้นเลยรึ?
   “งั้นเอาข้าวโอ๊ตก็ได้ เหมือนพี่จะหนาว หน้าซีดเชียว เดินมาไกลเหมือนกันนี่นา”
   “ก็ได้” ฟ่งตอบตกลงในที่สุด เขาหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ขณะที่เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง
   ฟ่งมองดูรอบๆ ห้อง มันเป็นห้องพักแบบห้องสูท ที่มีห้องย่อยออกไป ดูกว้างกว่าคอนโคที่เขาอยู่ที่ไทย ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่มาถึงที่นี่จนได้ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เมื่อคิดว่าบางทีเขาอาจจะกำลังทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น
   ในที่สุดกฤษต์ก็กลับเข้ามาพร้อมกับแก้วใส่ข้าวโอ๊ตที่มีควันลอยฉุย ฟ่งเอื้อมมือรับมันมา และรู้สึกดีขึ้นมาได้รับไออุ่น เขาเป่าปากเบาๆ ลงบนแก้ว เพื่อที่จะลองชิมข้าวโอ๊ต แต่ปรากฏว่าไอน้ำเกาะแว่นจนต้องถอดออก
   “ใส่แว่นนี่ลำบากเนอะ” กฤษต์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางทุลักทุเลของอีกฝ่าย ฟ่งยิ้มแห้งๆ
   “ก็มันช่วยไม่ได้นี่” เขากล่าว และพยายามกินข้าวโอ๊ตโดยไม่สวมแว่น
   “แล้วพี่มองเห็นเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง ฟ่งพยักหน้า และบอกกับตัวเองว่าถึงเขาจะสายตาสั้น แต่กินข้าวโอ๊ตแค่นี้ คงไม่ถึงกับต้องใส่แว่นกินหรอก
   ฟ่งรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากทานของร้อนๆ เข้าไป การเดินตากอากาศเย็นๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ ชายหนุ่มว่าเขาอาจจะป่วยได้ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ อย่างไรก็ตามเหมือนว่าตอนนี้เขายังคงมีสุขภาพดีอยู่
   ราฟาแอลออกมาส่งเขาถึงป้ายรถเมล์ และบอกทางมาให้เสร็จสรรพ  จนทำให้ฟ่งอดคิดไม่ได้ว่า บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะอยากให้เขาออกไปให้พ้นๆ อยู่แล้วก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะอยู่ที่นั่นนานเหมือนกัน เขาไม่อยากจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักและไม่มีใครที่ไว้ใจได้แบบนั้น ฟ่งคิดว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้กลับประเทศ การจะหวังพึ่งรูฟัสดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก
   ผู้ชายตาสองสีคนนั้น….
   หัวใจของฟ่งปวดแปลบขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงรูฟัส เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆ และบอกตัวเองให้เลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้น กฤษต์เดินมารับถ้วยไปจากมือของเขา ฟ่งคิดว่ากฤษต์จะสงสัยอะไรหรือเปล่า กับการปรากฏตัวและท่าทีของเขา แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มดูจะไม่สนใจอะไรมาก  เขาชวนฟ่งพูดคุยถึงเรื่องราวของฮังการี และมหาลัย รวมทั้งแขวะพี่ชายที่ไม่สมชายของเขาด้วย
   ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้น กฤตษ์พูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองเหมือนตอนที่ยังอยู่ที่เมืองไทย เขาเจอกฤษต์ครั้งแรกตอนที่ไปบ้านของพงษ์ ตอนนั้นกฤษต์ขอให้เขาช่วยสอนการบ้านเลขให้ และทำให้ฟ่งรู้ว่าน้องชายของเพื่อนคนนี้เป็นจอมขี้เกียจทำการบ้านแห่งยุค เพราะกฤษต์รู้คำตอบในนั้นหมดทุกอย่าง เพียงแต่เขาขี้เกียจเขียนมันลงไปแค่นั้นเอง
   หลังจากเข้ามหาลัย เขาก็ไม่ค่อยได้เจอเด็กคนนี้อีก อย่างไรก็ตามมีอยู่ครั้งหนึ่งที่กฤษต์เคยขอไปนอนค้างห้องเขา สาเหตุมาจากเขาไม่กล้านอนกับพงษ์  ทั้งๆ ที่รบเร้าให้พามาด้วยแท้ๆ  ฟ่งนึกแปลกใจระคนขำกับพี่น้องคู่นี้ ดูเหมือนกฤษต์จะไม่ชอบพงษ์เอามากๆ แต่ก็มักจะพูดถึงพงษ์ทุกครั้ง ฟ่งเอ็นดูกฤษต์เหมือนกับน้องชายของเขา และดีใจที่ได้เจอกฤษต์ที่นี่
   “กฤษต์ พี่ขอค้างที่นี่ได้รึเปล่า?” ฟ่งเอ่ยขึ้น และพบว่ากฤษต์มองหน้าเขาอย่างงงๆ
   “ได้ แต่ทำไมอ่ะ พี่ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ?”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า พลางภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายถามอะไรไปมากกว่านี้ คืนนี้เขาคงต้องขอค้างที่นี่  และอาจจะต้องค้างต่อไปเรื่อยๆ  ฟ่งยังไม่กล้าถามเรื่องสถานทูต ด้วยกลัวว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายสงสัยมากขึ้น ฟ่งไม่อยากทำให้เรื่องราวมันใหญ่โต เขาแค่อยากกลับไปเงียบๆ
   “จริงสิ แล้วพี่ดาไม่มาด้วยเหรอ?” จู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น ทำให้ฟ่งสะดุ้ง
   “พี่เลิกกับดาแล้วล่ะ” เขากล่าว และยิ้มเศร้าๆ กฤษต์ทำหน้าแปลกใจ
   “อ่าว ทำไมล่ะพี่ ก็เห็นรักกันดีอยู่นี่นา” กฤษต์พูด และดูเหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ควรพูดออกมาแบบนั้น ฟ่งยิ้มแห้งๆ
   “พี่มีปัญหาน่ะ” เขากล่าว ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะอับจนคำพูดไปพักใหญ่ บางทีอาจจะตกใจเรื่องที่ฟ่งเลิกกับแฟนก็ได้ ฟ่งมองดูกฤษต์ที่ทำหน้าหงอยลงไปถนัด พอมองแล้วทำให้รู้สึกนึกขำขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเคยไปนอนค้างที่ห้องเขา
   “ตลกดีนะ เมื่อก่อนกฤษต์เคยไปขอค้างที่ห้องพี่ ตอนนี้กลายเป็นพี่ต้องมาขอค้างที่ห้องกฤษต์แทน”
   “ก็ตอนนั้นผมไม่อยากนอนกับไอ้พงษ์นี่” กฤษต์คราง ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบพี่ชายของตัวเองเอามากๆ “พี่คงมีคนที่ไม่อยากนอนด้วยเหมือนกันอ่ะดิ”
   คำถามของกฤษต์ทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขาหัวเราะแห้งๆ “ไม่หรอก ว่าแต่นี่อยู่คนเดียวเหรอ?”
   “อืม” กฤษต์พยักหน้า ฟ่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าห้องนี้กว้างพอที่จะอยู่สองคน
   “ความจริงผมมีรูมเมดอีกคนหนึ่ง แต่มันเกือบจะย้ายข้าวของไปอยู่กับเพื่อนอีกคนแล้วล่ะพี่ สงสัยจะทนความขี้เกียจของผมไม่ไหว” กฤษต์กล่าวเหมือนกับเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไร และลงท้ายด้วยการหัวเราะ ฟ่งยิ้ม พลางนึกเห็นด้วย
   “พี่จะกินอะไรอีกหรือเปล่า เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้”    กฤษต์ถามขึ้น เมื่อท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดครึ้มลง ฟ่งส่ายหน้า “ไม่ต้องลำบากหรอก พี่กินที่มีอยู่ในห้องก็ได้”
   อีกฝ่ายรีบพูดต่อทันที “ไม่มีให้กินหรอกพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะมาค้างที่ห้อง เลยไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเพิ่มไว้เลย ที่นี่ก็ไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเมืองไทยด้วย”
   ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ความจริงคือเขากลัวว่ากฤษต์จะสงสัยเพราะตนไม่มีสตางค์ติดตัวมาเลยสักกะแดงเดียว
   “ถ้ากฤษต์จะกินอะไร กฤษต์ก็ซื้อขึ้นมาแล้วกัน พี่กินได้ทั้งนั้นแหละ” ฟ่งเอ่ยออกมาในที่สุด  กฤษต์พยักหน้า และพูดต่อ
   “ผมว่า เราลงไปซื้อพร้อมกันเลยดีกว่า นั่งอยู่แบบนี้ก็เมื่อยเปล่าๆ ผมเลี้ยงพี่เอง”
   เป็นครั้งแรกที่ฟ่งรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินว่าคนอื่นจะเลี้ยง ชายหนุ่มรู้สึกอนาถใจกับตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ตามอีกฝ่ายลงไป เพราะเห็นว่าการนั่งจับเจ่าอยู่คนเดียวนั้นน่าเบื่อจริงๆ
-------------------------------------------
   รูฟัสเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อ เขาโยนผ้าเช็ดตัวลงบนราวแขวน และนอนลงบนเตียงทั้งอย่างนั้น ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบางส่วนของร่างกายไว้ การไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาคิดจะค้างอยู่ที่นี่แค่คืนเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามการฉวยโอกาสใช้งานของชานดอร์เป็นเรื่องที่เขาลืมนึกถึง รูฟัสนึกสาปแช่งเพื่อนของเขาอยู่ในใจ
   ความจริงงานในบาร์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ การพบผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้เขาเข้าใจสภาพแวดล้อมและการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนได้มากขึ้น  แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ การพบปะผู้คนจำนวนมากในบาร์ทำให้รูฟัสรู้สึกหงุดหงิด เขาเบื่อจะตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ เรื่องแฟนหรือคู่นอน ซึ่งโดยปกติแล้วมันเป็นคำถามธรรมดามากในชีวิตของเขา  ที่ผ่านมารูฟัสไม่เคยรู้สึกรำคาญผู้คนขนาดนี้มาก่อน ทำไมทุกคนต้องพุ่งเข้ามาหาเขาเหมือนคนบ้า ถามหาว่าเขามีแฟนหรือยัง มีคนรักหรือเปล่า สนใจใครเป็นพิเศษไหม  คนพวกนั้นคงคิดว่าเขาหน้าตาดีเสียเต็มประดา แต่แล้วไงล่ะ?
   นัยน์ตาสองสีหลับลงอย่างเจ็บปวด  พลางคิดว่าฟ่งเองเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า ฟ่งเคยแสดงท่าทีเหมือนหึงเขาเรื่องเมี่ยง แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงทีท่ารังเกียจเขาแบบนี้
   แววตาที่แสดงความหวาดกลัวของฟ่งยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ผู้ชายคนนั้นกำลังกลัวเขา เพราะอะไรกัน เพราะเขาเป็นแบบนี้งั้นหรือ?
   คิ้วได้รูปขมวดแน่น กรามขบจนเป็นสันนูน รูฟัสรู้ตัวว่าเขากำลังโมโห แต่ว่าเขากำลังโมโหอะไรกันแน่ โมโหที่ฟ่งกลัวเขา หรือโมโหที่ตัวเองไม่ได้เป็นไปแบบที่อีกฝ่ายจะยอมรับกันแน่ ในที่สุดรูฟัสก็ถอนหายใจยาว ลืมตาขึ้น
   มันเป็นความผิดของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ว่าเขาไม่ยอมควบคุมเองต่างหาก ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าคิดอะไรกับคนข้างห้อง เขาตัดสินใจเอง ไขว่คว้ามาเอง และคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกไปในทางเดียวกัน แต่ตอนนี้ เวลาได้พิสูจน์แล้วว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด  เขาหลอกตัวเองอย่างไม่รู้ตัวมาตลอด ความจริงแล้วรูฟัสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟ่งคิดยังไงกับเขากันแน่ ถึงจะรู้แบบนั้น แต่เขาก็บอกตัวเองไม่ให้คิด และนั่นยิ่งทำให้เรื่องราวแย่ลง
   ร่างแกร่งถอนหายใจอีกครั้ง พยายามควบคุมสติตัวเองให้สงบ และลำดับเรื่องราวที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ สิ่งที่ชานดอร์พูดนั้นเป็นความจริงแท้ทีเดียว การที่ฟ่งหนีห่างจากเขาไปนั้น เป็นเพราะฟ่งไม่ไว้ใจเขา รูฟัสนึกขันเมื่อมองย้อนไป เขาเคยทำอะไรให้ฟ่งไว้ใจได้บ้าง? นอกจากโกหกพกลมมาตั้งแต่ต้น แม้แต่ตอนที่ฟ่งขอร้องให้เขาไปรับตอนเที่ยงคืน เขายังทำไม่ได้เลย……
   ชายหนุ่มหลับตาอย่างเจ็บปวด ถ้าเขาไปเร็วกว่านั้น...เรื่องราวแย่ๆ ทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น.....
   ไม่สิ!!
   รูฟัสปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที นั่นเป็นแค่การยืดเวลาการเกิดปัญหาให้ยาวออกไปเท่านั้น วันใดวันหนึ่ง ฟ่งก็ต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเขาอยู่ดี  ชายหนุ่มคิดว่าถ้าเขาพูดความจริงไปแต่แรกปัญหาคงไม่เกิด  ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงไม่ต้องมารับรู้รสชาติความเจ็บปวดของความรัก แต่ว่า มันจะดีจริงๆ หรือ?
   ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา เขามองดูฝ่ามือของตัวเอง นึกถึงสัมผัสยามได้กอดผู้ชายที่ชื่อฟ่งคนนั้น
   นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองเขา กับใบหน้าเศร้าๆ ตอนที่ได้พบกันครั้งแรก
   เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนั้นไม่ใช่หรือ เขาจึงตกลงใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนข้างห้องคนนั้น เขาอยากเห็นฟ่งหัวเราะ ไม่อยากให้เศร้าเหมือนตอนเขาเมื่อวัยเด็ก แต่ว่าตอนนี้......
   เป็นเขาเองที่ทำให้อีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
   รูฟัสนึกถึงใบหน้าอึดอัดและเศร้าสร้อยของฟ่งในช่วงเย็น ฟ่งเคยมีรอยยิ้มให้เขา มีเสียงหัวเราะ แต่แล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้น ก็ถูกลบด้วยความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา
   เขาโกหกมาโดยตลอด ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากการโกหกนั่น และกำลังจะสูญเสียมันไป
   ถ้าหากการพูดความจริงไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นล่ะก็.....
   อย่างน้อยเขาคงจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้พูดออกไป
   มันคงเหมือนกับการสารภาพบาป
   รูฟัสเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าการสารภาพบาปในโบสถ์มีไว้เพื่ออะไร เขาพลิกตัว และพยายามจะข่มตาให้หลับ ด้วยจิตใจที่ศิโรราบและยอมจำนน
   เวลาสำหรับการสำนึกบาปนั้นดูจะยังอีกนานจนกว่าแสงอาทิตย์แรกจะจับขอบฟ้า
----------------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:49:10
บทที่30 หัวใจที่แตกสลาย
   จางซื่อเยี่ยนขยับตัวอย่างอึดอัด ซึ่งเป็นกิริยาที่ไม่สมควรนัก ในเมื่อเขากำลังยืนอารักขาเจ้านายซึ่งกำลังทานข้าวและคุยธุรกิจอยู่
   เว่ยเฟิงปิงจะมาถึงสถานที่นัดด้วยสภาพเกือบจะปกติ โดยทิ้งกลิ่นบุหรี่เหม็นหึ่งเอาไว้ในรถ เรื่องบุหรี่นี้เองที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนรู้ไม่สบายใจ จริงอยู่ที่เว่ยเฟิงปิงเป็นคนสูบบุหรี่ แต่โดยปกติแล้วจะไม่สูบจัดขนาดนี้หากไม่มีเรื่องอะไรต้องเป็นกังวลใจมาก  ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ดูจะมีแต่เรื่องของผู้ชายที่ชื่อรูฟัสเท่านั้นที่ทำให้เว่ยเฟิงปิงเกือบจะสำลักควันบุหรี่  แต่ว่าเรื่องนั้นก็คลี่คลายไปแล้วนี่นา อีกอย่างในช่วงหลายวันมานี้เจ้านายของเขาไม่ได้มีท่าทีกังวลอะไรเป็นพิเศษ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้อัดบุหรี่เข้าไปมากขนาดนั้น
   ผู้ทำหน้าที่อารักษ์ขาแทบจะทนรอให้เจ้านายของเขาคุยธุระจบไม่ไหว เขาอยากสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติการณ์อย่างนั้น อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว เขามีแต่ต้องรอให้เว่ยเฟิงปิงเสร็จธุระ และถึงอีกฝ่ายจะไม่มีธุระแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบคำถามเขาเสียเมื่อไหร่
   ชายหนุ่มขยับตัวอีกครั้ง เขามองไปยังเบื้องหลังของเจ้านาย ซึ่งกำลังเจรจาธุรกิจอยู่อย่างแข็งขัน แผ่นหลังสีขาวนวลที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนั่น ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงยอมให้เขากอด ยอมให้เขาสัมผัสกับแผ่นหลังแบบนั้น จางซื่อเยี่ยนหลับตา เขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่สัมผัสรอยนูนนั้น แวบหนึ่งเขาเคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นผู้เยียวยารอยแผลในใจของผู้เป็นเจ้านายได้ แต่ก็เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น จนถึงบัดนี้ จางซื่อเยี่ยนไม่รู้สักนิดเลยว่า เว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่
   ในสายตาเว่ยเฟิงปิงแล้ว เขามีคุณค่าแบบไหนกัน?
--------------------------------
   ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำโดยสวมชุดนอนสีน้ำเงินซึ่งกฤษต์ให้ยืมเป็นการชั่วคราว  ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะเดินออกมาใส่เสื้อข้างนอก เนื่องจากรอยจ้ำบนตัวยังคงไม่จางหายไป เขากลัวว่าน้องชายของเพื่อนจะเกิดตั้งข้อสงสัยขึ้นมาอีก
   ร่างบางสยิวกายเล็กน้อยเมื่อออกมาสัมผัสอากาศด้านนอก แม้กฤษต์จะบอกว่าอากาศเย็นๆ แบบนี้ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ แต่ฟ่งก็ยังยืนยันจะอาบอยู่ดี เขาคงรู้สึกแปลกๆ หากนอนโดยไม่ได้อาบน้ำ
   “ใส่ได้รึเปล่า?” กฤษต์เอ่ยทักเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ในมือของเด็กหนุ่มมีถุงขนม และเจ้าตัวก็กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่  ทั้งคู่ลงเอยมื้อเย็นด้วยร้านอาหารราคาประหยัดใกล้ๆ หอพัก ฟ่งพยักหน้า เขามองไปที่ขนมในมือของเด็กหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ กฤษต์ยักไหล่ และยื่นให้
   “ทานไหมพี่?”
   ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ล่ะ พี่แปรงฟันแล้ว”
   ดูเหมือนกฤษต์มีสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็หยิบขนมขึ้นมากินต่อ ฟ่งมองนาฬิกา มันเพิ่งบอกเวลาสามทุ่มเศษๆ เขาคิดว่าควรจะใช้เวลาทำอะไรอีกสักหน่อยก่อนจะเข้านอน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เพื่อสำรวจว่าเขาควรจะทำอะไรอีกบ้าง  ฟ่งไม่อยากจะนอนลงไปเฉยๆ ด้วยกลัวว่าจะหวนคิดไปถึงเรื่องราวของชายหนุ่มตาสองสีผู้นั้นอีก  มันรังแต่จะทำให้เจ็บปวดใจมากขึ้น
   “พี่ฟ่ง มีแฟนใหม่แล้วยังอ่ะ?” จู่ๆ กฤตษ์ก็เอ่ยถามขึ้น ฟ่งสะดุ้งเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองหน้าเด็กหนุ่มและตอบเรียบๆ “ยัง ทำไมหรือ?”
   เด็กหนุ่มยักไหล่ ทำหน้าเป็นในแบบฉบับของเขา   “ผู้หญิงผมสีแดงที่มาด้วยกันวันนั้นไม่ใช่แฟนของพี่เหรอ?”
   ฟ่งนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายคงหมายความถึงคลาวเดีย เขาส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก”
   “แล้วผู้ชายผมสีดำคนนั้นล่ะ”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลของผู้ถูกถามเบิ่งกว้าง ก่อนจะพูดออกมาอย่างลืมตัว “มะ..หมายถึงรูฟัสเหรอ?”
   เขาหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม  พลางคิดว่าเจ้านี่ตั้งใจจะล้อเล่นเขาหรือว่าอะไรกันแน่ ดูเหมือนนัยน์ตาสีดำของกฤษต์จะหรี่ลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคต่อไปของเขาดูเหมือนว่าจะแผงอาการประชด
   “ชื่อรูฟัสเหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “นั่นไม่ใช่แฟนพี่หรอก พี่จะมีแฟนเป็นผู้ชายได้ไง”
   เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ ทันที
   “นั่นสิเนอะ” เขากล่าว แต่ยังมิวายตั้งคำถามต่อ “อย่างนั้นเขาเป็นอะไรกับพี่ล่ะ?”
   “อืม” ฟ่งยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด กฤษต์ขยับตัวเล็กน้อย ท่าทางจะลืมขนมในมือไปเสียสนิท
“ตอนนั้นพี่บอกว่าเป็นเพื่อนข้างห้องนี่ หรือจริงๆ แล้วไม่ใช่?”
   ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองยกมือขึ้นเกาจมูก นี่กฤษต์ยังจำรายละเอียดในเรื่องที่คุยกันตอนนั้นได้อีกเหรอ เขาคงพูดไปอย่างนั้นในตอนที่ได้พบกันที่ถนนนั่นล่ะมั้ง
   “ก็อยู่ห้องข้างๆ กันน่ะ” ชายหนุ่มอธิบายเหตุผล และตัดสินใจตัดบทด้วยการปลีกตัว เดินออกไปหยิบเหยือกน้ำบนโต๊ะซึ่งวางอยู่ รินใส่แก้ว และดื่มมันลงไป โดยไม่ทันสังเกตว่ากฤษต์เดินตามมาด้วย
   “พี่ฟ่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกในตอนที่ฟ่งวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ฟ่งหันมามองหน้าเขา และทันใดนั้นเอง ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ประทับลงบนริมฝีปากของเขา
   เสี้ยววินาทีนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างอย่างตกใจ  และกว่าที่ฟ่งจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เห็นน้องชายของเพื่อนเซถลาออกไปด้วยแรงกำปั้นของตัวเองที่เผลอชกออกไปอย่างทันได้ตั้งสติ ถึงจะรู้สึกตกใจ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะล้มลง ฟ่งก็รีบถลาเข้าไปประคองเอาไว้ทันที
   “ขอโทษ!!” ชายหนุ่มโพล่ง และดึงร่างของอีกฝ่ายไว้ ดูเหมือนกฤษต์จะหัวเราะหน่อยหนึ่ง ขณะที่เอามือปาดเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปาก
   “ก็ดูปกตินี่ ผมคิดว่าพี่จะชอบให้ผู้ชายด้วยกันทำอะไรแบบนี้เสียอีก”
   ฟ่งมองหน้ากฤษต์ด้วยความตกใจซ้ำสอง เขาไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรืออะไรกับคำพูดแบบนี้ของอีกฝ่ายดี เพราะไม่รู้ว่าที่กฤษต์ทำลงไปมีเจตนาใดกันแน่
   “พี่ไม่ใช่เกย์นะ!” ในที่สุดฟ่งก็ขึ้นเสียง แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องรู้สึกโกรธ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นน้องชายของเพื่อนเขา และก็สนิทกันอยู่ ฟ่งหยิบกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่ใกล้ๆ มาเช็ดเลือดบนหน้าของอีกฝ่าย
   “ทีหลังอย่าเล่นอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกนะ” ชายหนุ่มกล่าวสำทับ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะความคะนองของกฤษต์มากกว่า ที่ทำลงไปแบบนั้น  กฤษต์เหลือบตามองเขาเล็กน้อย และดึงทิชชู่ไป
   “ผมเช็ดเองได้” เด็กหนุ่มกล่าว บางทีเขาอาจจะกำลังโกรธที่ถูกชก นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง
   “พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มสวมแว่นกล่าวอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มรีบโบกมือขึ้นทันที
   “พี่ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเล่นอะไรบ้าๆ เองแหละ ว่าแต่พี่หมัดหนักโคตรเลย” กฤษต์กล่าวพลางยกมือขึ้นลูบปากซึ่งยังมีเลือดซึมออกมาอยู่ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวล
   “อย่าไปซีเรียสน่าพี่” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ผมรู้ว่าพี่ตกใจ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เมื่อครู่เขาตกใจมากจริงๆ ฟ่งไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้กับเขาอีก โดยเฉพาะน้องชายของเพื่อนสนิทคนนี้
   “ก็เล่นทำแบบนั้นนี่นา” ชายหนุ่มกล่าว และยกมือขึ้นลูบริมฝีปากอย่างไม่ตั้งใจ เขารู้สึกขยะแขยงเล็กๆ อย่างไรก็ตาม ดูน่าโล่งใจที่มันคงเป็นเพียงการล้อเล่น
   “กฤษต์ไปเอาน้ำแข็งมาโปะที่ปากไว้ก่อนดีกว่า มันจะได้ไม่บวมมาก” ฟ่งกล่าว กฤษต์พยักหน้า และเดินไปเอาน้ำแข็งในตู้เย็น ฟ่งมองเขาพลางคิดว่ามันคงจะทรมานอยู่ ในคืนที่อากาศหนาวๆ แบบนี้ แล้วยังต้องเอาน้ำแข็งมาโปะหน้าอีก อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ในเมื่อเด็กนั่นเล่นอะไรแผลงๆ เอง
-------------------------------------
   นัยน์ตาสองสีค่อยๆ ลืมขึ้นมาและปิดลงอีกครั้ง ในที่สุดแสงตะวันก็จับขอบฟ้า รูฟัสไม่แน่ใจว่าเขาหลับไปตอนกี่โมง จริงๆ คือ เขาค่อนข้างแปลกใจว่าตัวเองหลับลงได้อย่างไร 
นัยน์ตาคู่งามคู่นั้นค่อยๆ กะพริบอีกครั้งสองครั้ง เพื่อปรับให้เข้ากับแสงสว่าง ก่อนที่จะยันร่างขึ้น และเดินตรงไปยังห้องน้ำ
   สายน้ำเย็นจัดที่จงใจเปิดรดใบหน้า ทำให้เขารู้สึกตัวมากขึ้น ชายหนุ่มหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดหน้า และหยิบเสื้อผ้าของเมื่อวานสวมกลับเข้าไปใหม่ ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ หันหน้าไปมองนาฬิกา มันคงยังเช้าอยู่สำหรับชานดอร์ รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะค่อยมากล่าวขอบคุณเพื่อนคนนี้ในวันหลัง ชายหนุ่มก้าวเท้าออกจากเกสท์เฮาส์ มุ่งหน้ากลับไปยังสถานที่ที่เขาจากมา

   รูฟัสสูดหายใจลึก เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน ตลอดทางเขารู้สึกกลัวและหวาดหวั่น แม้จะทำใจมาบ้างแล้ว แต่การจะให้เอ่ยทุกอย่างออกไปโดยต้องยอมรับกับสิ่งที่จะตามมานั้นแสนจะยาก แค่คิดว่าฟ่งอาจจะหนีไปแล้วรูฟัสก็แทบหันหลังกลับ อย่างไรก็ตามในที่สุด เขาก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น ด้วยหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นหลังจากนี้
   ทันทีที่เปิดประตู รูฟัสต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นคลาวเดียยืนจ้องหน้ากับราฟาแอลที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา  สองคนนี่คงทะเลาะอะไรกันอีกแน่ๆ หนุ่มตาสองสีเดินผ่านประตูและคิดว่าตัวเองน่าจะหลบขึ้นไปข้างบนจะดีกว่า แต่เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน รูฟัสกลับรู้สึกว่าเรื่องราวนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา
   “คุณจัดการเองแล้วกัน” คลาวเดียเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก หล่อนหันมาทางรูฟัสแทบจะในทันทีที่เห็นเขา ราฟาแอลเองก็เช่นกัน รูฟัสมองหน้าทั้งคู่ และทำหน้าบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากจะห้ามศึกหรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างคนคู่นี้
   ราฟาแอลยักไหล่ ทำหน้าเหมือนมีอะไรติดคออยู่ เขามองหน้ารูฟัสกับคลาวเดียสลับไปมา และถอนหายใจยาว
   “คลาวเดีย คุณออกไปก่อน ผมคิดว่าผมเคลียร์กับเจ้ารูฟัสได้”
   “ฉันจะเอาปืนออกไปด้วย” คลาวเดียว่า พลางฉวยกล่องใส่ปืนที่วางอยู่ใต้โต๊ะไป โดยที่ราฟาแอลยังไม่ทันจะคัดค้าน  ชายหนุ่มตาสีเขียวมองตามหลังแฟนสาวไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะหันหน้ากลับมามองเพื่อนร่วมงาน
   “นั่งก่อนสิ” เขาเอ่ย พลางจ้องหน้าเหมือนกับจะสั่งให้รูฟัสนั่งลง รูฟัสมองหน้าราฟาแอลอย่างสงสัย เขายังคงยืนอยู่แบบนั้น
   “มีอะไร?” ชายหนุ่มตาสองสีเอ่ยอย่างรำคาญนิดๆ เขาหวังจะมาเจอหน้าฟ่ง ไม่ใช่มาจ้องหน้ากับราฟาแอลแบบนี้
   ราฟาแอลมองหน้าเขา หลับตาลง ก่อนจะลืมตา และถอนหายใจอีก
   “แฟนแก ฉันส่งกลับไปแล้วล่ะ”
   “หา!!” รูฟัสร้องอย่างไม่เชื่อหู เขาเดินเข้าไปหาราฟาแอลอย่างลืมตัว
   “คุณว่าอะไรนะ ส่งฟ่งกลับไปแล้ว กลับไปไหน?!!” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีถามเสียงห้วน เขามองหน้าราฟาแอล หนุ่มฮังกาเรียนมองหน้าเพื่อนร่วมงาน แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไร รูฟัสก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนแล้ว
   ประตูถูกเปิดผลัวะออก ไม่มีใครอยู่ในห้อง รูฟัสวิ่งไปเปิดประตูห้องหนึ่ง และตะโกนเรียกชื่อฟ่ง เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ไม่มีเสียงตอบ ทุกห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร
   ไปแล้วรึ? ไม่อยู่จริงๆ รึ?
   รูฟัสถามตัวเองในใจ อยากจะร้องตะโกนออกมา
   นี่ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ!
   “ฟ่ง!!” รูฟัสตะโกนอีกครั้ง ด้วยหวังจะได้รับเสียงตอบ แต่เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของราฟาแอล
   “ไม่อยู่หรอก เมื่อวานฉันส่งเขากลับไปแล้ว”
   ชายหนุ่มหันขวับมาทันที ก่อนจะเดินมุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างประสงค์ร้าย
   “คุณส่งเขาไปที่ไหน?” รูฟัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนคำราม ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน เขาเองก็คิดไว้แล้วเหมือนกันว่าเมื่อรูฟัสกลับมาอาจจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ หนุ่มผมบลอนด์ถอยห่างออกมาในระยะที่คิดว่าปลอดภัยระดับหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ
   “ใจเย็นๆ ก่อน ฉันส่งเขาไปที่ปลอดภัยแน่ และเขาคงได้กลับบ้านในอีกไม่ช้า”
   “ราฟี่!!!” รูฟัสครางเสียงยาว รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา “คุณส่งเขากลับไปทำไมกัน?!”
   ราฟาแอลผิวปากหวือทันทีที่ได้ยิน “นี่แปลว่าแกไม่อยากให้เขากลับบ้านล่ะสิ”
   “ใช่!” รูฟัสตอบออกไปอย่างลืมตัว ดูเหมือนราฟาแอลจะยิ้มนิดหน่อย
   “แล้วแกไปสัญยิงสัญญาทำไมว่าจะพาเขากลับบ้านฮึ?!”
   คราวนี้ทำเอาอีกฝ่ายอ้าปากค้าง พูดไม่ออกอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน
   “ผะ...ผม...” ชายหนุ่มขบกรามแน่น พยายามจะคิดหาคำพูดที่อธิบายความคิดของตัวเอง
   “จริงๆ แล้ว เด็กนั่นเป็นคนขอร้องให้ฉันพาออกไปเอง” ราฟาแอลกล่าวสืบต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะอับจนคำแก้ตัวแล้ว รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองทันที
   “เด็กนั่นอยากออกไปเอง เขาไม่อยากอยู่กับแกหรอก” หนุ่มผมสีบลอนด์ย้ำ มองเข้าไปในดวงตาสองสีที่ตื่นตะลึงนั้น
   “มะ...ไม่จริงหรอก..” รูฟัสได้ยินเสียงตัวออกตอบปฏิเสธออกไป แต่ในความรู้สึกแล้ว เขาสับสน  ฟ่งออกไปเอง ฟ่งหนีไปแล้ว ฟ่งไม่อยากอยู่กับเขา
   ไม่มีโอกาสให้เขาอีกแล้วหรือ....
   “คุณส่งเขาไปไหน?” ชายหนุ่มกล่าวออกมาในที่สุด
   “ที่ที่ดีกว่านี้” ราฟาแอลตอบเหมือนกวนประสาท รูฟัสหลับตา พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้
   “ผมอยากเจอเขา” ร่างแกร่งพูดต่อ  ราฟาแอลยักไหล่
   “จะไปเจอเขาทำไม โกหกเขาอีกรึ?”
   รูฟัสสะอึกทันที กำหมัดแน่น ปกติเขาคงต่อยอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เรื่องที่ราฟาแอลพูดใช่ว่าไม่มีเหตุผล
   “ผมไม่ได้จะไปโกหก ผมแค่อยากเจอ…..” รูฟัสกล่าวได้แค่นั้น
ถ้าเจอแล้วเขาจะพูดอะไรกันล่ะ?
   ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน พลางถอนหายใจ “เชื่อฉัน รูฟัส นายกับเด็กนั่นไปกันไม่ไหวหรอก ถ้านายเห็นแก่เขาล่ะก็ ปล่อยเขาไปเถอะ”
   “ถึงคุณจะพูดแบบนั้น......” รูฟัสเอ่ย ท่าทีของเขาดูสงบลงไปอย่างประหลาด ราฟาแอลชักยิ่งไม่แน่ใจว่าระยะห่างที่มีอยู่ยังปลอดภัยดีรึเปล่า เขาถอยหลังออกไปอีกก้าวหนึ่ง
   “บอกผมทีว่าคุณส่งเขาไปไหน ผมอยากเจอเขา ครั้งสุดท้าย….”
   เสียของชายหนุ่มขาดห้วงไปในวินาทีนั้น คำว่า”ครั้งสุดท้าย” เมื่อเอ่ยออกไปแล้ว ช่างสร้างความเจ็บปวดภายในหัวใจอย่างประหลาด เขาแทบอยากจะเย็บปากของตัวเองเสีย
   “ครั้งสุดท้าย...”
   ถึงจะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็พูดมันซ้ำ ราวกับพยายามจะตอกย้ำตัวเอง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมงาน
   “ครั้งสุดท้าย... แล้วผมจะปล่อยเขาไป..” รูฟัสกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเอ่ยคำคำนั้นออกไปถึงสามครั้ง ราฟาแอลมองหน้ารูฟัส ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสงสารคนตรงหน้าอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ไม่มีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
   “เห็นว่าคงจะไม่ได้ ให้มันจบไปแบบนี้เถอะนะ” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว นัยน์ตาสองสีที่เหมือนกับปิศาจคู่นั้นหลับลง
   “ถ้าคุณไม่ยอมบอก ผมจะออกไปหาเอง” เขากล่าว และเดินออกไปในทันที
   “เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ” ราฟาแอลถลันตัวเข้าไปขวางไว้ แต่กลับถูกรูฟัสใช้มือผลักอก
   “ถอยไป ถ้าคุณไม่อยากจะบอกล่ะก็ อย่าขวางผม ไม่งั้นผมจะไม่อดทนอีก”
   ราฟาแอลมองเข้าไปในดวงตาสองสีที่น่าหวาดหวั่นคู่นั้น  เขากำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า  ตอนนี้สภาพจิตใจของรูฟัสไม่ค่อยจะปกติ การจะปล่อยให้ออกไปตามหาฟ่ง อาจจะทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ  และหากรูฟัสพบอีกฝ่ายแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปบ้าง
   ราฟาแอลขยับตัว เขาคิดว่าอาจจะต้องทำบางอย่างให้อีกฝ่ายสงบลงก่อน
   “ผมไม่ได้ดูแย่อย่างที่คุณคิดหรอกนะ” รูฟัสเอ่ยขึ้นเหมือนรู้ทัน เขาผ่อนแรงจากมือที่ยึดหัวไหล่ของอีกฝ่ายลง
   “คุณก็รู้ว่าถ้าสู้กันล่ะก็ ไม่ผมก็คุณต้องเจ็บหนักแน่ๆ” เขากล่าวต่อ มองดูนัยน์ตาสีเขียวของราฟาแอล  ชายหนุ่มผมบลอนด์มองหน้าเขา  ก่อนจะพูดออกมา “ถ้าฉันยังยืนขวางอยู่ แกก็จะอัดฉันจริงๆ สินะ”
   เขาถอนใจ และเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส
   “นี่ รูฟัส  ถ้าเจอเขาแล้ว แกจะตัดใจได้จริงๆ หรอ?” ราฟาแอลตั้งคำถาม รูฟัสมองหน้าเขา และพยักหน้าช้าๆ “อืม”
   นัยน์ตาสองสีหลับพริ้มลง “บอกผมได้หรือยังว่าส่งเขาไปไหน?”
   ราฟาแอลยักไหล่ มองไปยังมือที่กำไหล่เขาอยู่
   “ถ้าแกเอามือออกไปก่อน” เขากล่าว รูฟัสถอนหายใจ และลดมือลงในที่สุด
-----------------------------
   ฟ่งพลิกตัว และผงะวาบเมื่อพบว่าเกือบจะตกลงจากโซฟา เมื่อคืนเขาเถียงกับกฤษต์อยู่นานเรื่องที่นอน กฤษต์เสนอให้เขาไปนอนที่เตียง ส่วนตัวเองจะมานอนโซฟา  แต่ฟ่งเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายมารบกวนควรจะไปนอนที่โซฟามากกว่า ในที่สุดหลังจากเถียงกันพักใหญ่ อีกฝ่ายก็ต้องยอมแพ้กลับไปนอนโปะน้ำแข็งอยู่บนเตียง
   ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง และพบว่าแสงแดดตอนเช้าเริ่มส่องเข้ามาในห้องแล้ว เขาบิดขี้เกียจ และรู้สึกว่าเป็นคืนแรกในหลายๆ คืนที่นอนหลับอย่างสนิทใจ อย่างไรก็ตามเรื่องหลายๆ เรื่องยังคงฟุ้งอยู่ในสมอง
   วันนี้เขาควรถามกฤษต์เรื่องสถานทูตดีไหม?
   ฟ่งคิด คว้าแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟา พลางเดินโซเซไปยังห้องน้ำ ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะตื่นแล้ว และคงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฟ่งหยิบแปรงฟันขึ้นมา มองดูตัวเองในกระจก
   เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมแว่นตาหนาเตอะ หนวดเคราขึ้นหรอมแหรม หน้าตาดูมึนๆ ซึมๆ ฟ่งนึกสงสัยว่าเขามีชีวิตกับหน้าตาแบบนี้ได้อย่างไร เขาเริ่มแปรงฟัน และจบลงด้วยการล้างหน้ากับน้ำเย็น ซึ่งทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น ฟ่งคิดว่าตัวเองคงต้องโกนหนวดสักหน่อย
   “กฤษต์ พี่ยืมที่โกนหนวดหน่อยนะ” เขาตะโกน และได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนกลับมา “ครับ”
   กฤษต์คงทำอะไรอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ๆ ฟ่งหยิบที่โกนหนวดขึ้นมา และเริ่มจัดการกับหนวดเคราที่เริ่มขึ้นหรอมแหรมบนหน้าของตัวเอง เขานึกดีใจที่มันเป็นที่โกนหนวดไฟฟ้าเลยไม่บาดหน้า ความจริงเขาเองก็เคยมีอยู่เครื่องหนึ่ง แต่พอใช้ไปพักหนึ่งมันเริ่มโกนไม่ค่อยจะเกลี้ยงและถ่านหมด ในที่สุดเขาก็โยนมันทิ้งไปและหันกลับมาใช้ที่โกนหนวดแบบใบมีดเหมือนเดิม  ซึ่งเขาทำมันบาดหน้าบ่อยครั้ง โชคดีที่เครื่องโกนหนวดเครื่องนี้ยังคมอยู่
   ฟ่งลูบหน้าตัวเองอย่างพอใจหลังจากโกนหนวดเสร็จ เขาควรจะทำตัวให้เหมือนคนที่ปกติสบายดี มากกว่าจะเป็นคนที่โดนลักพาตัวเมื่อไปที่สถานทูต แต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลถามเรื่องสถานทูตกับกฤษต์ว่าอย่างไร และจะหาเรื่องอะไรไปอ้างกับสถานทูตแทนเรื่องจริงที่เขาประสบอยู่
   ชายหนุ่มคิดว่าการบอกไปว่าเขาถูกลักพาตัวคงจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวาย ทางสถานทูตคงต้องติดต่อตำรวจ แม้จะกลับประเทศได้ก็จริง แต่ก็คงต้องถูกสอบสวน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะโทรไปโกหกกับที่บ้านของเขาว่าเขาต้องเดินทางไปธุระต่างประเทศ ฟ่งตัดสินใจว่ายังไงเขาจะไม่ยอมเป็นคนที่ถูกลักพาตัวเด็ดขาด  แต่ว่าจะเป็นอะไรดีล่ะ?!
   เสียงออดประตูที่ดังขึ้นทำให้ความคิดของฟ่งชะงัก เขาคิดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของกฤษต์ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเสื้อ พลางคิดว่าอาจจะต้องพักเรื่องสถานทูตไว้ก่อน
---------------------------------
   กฤษต์กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ในตอนที่ได้ยินเสียงออด ใบหน้าของเขาบวมอยู่พอสมควร ดีที่เมื่อคืนประคบน้ำแข็งเอาไว้ ไม่งั้นมันคงได้บวมกว่านี้แน่ๆ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปทำไม บางทีอาจจะเพราะนึกสนุกก็ได้ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบปาก และคิดว่าเขาจะตอบคำถามของเพื่อนว่าอะไรดี หากเสนอหน้าแบบนี้ออกไป
   เสียงออดนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้คิ้วของเขาขมวด
   หัดใจเย็นๆ กันบ้างได้ไหม กดหยั่งกะไฟจะไหม้งั้นแหละ
   เขาคิด พลางลุกจากเก้าอี้ มุ่งไปที่ประตู มองลอดตาแมวออกไป พลางนึกว่าควรจะลากเพื่อนที่มากดออดคนนี้ออกไปจ่ายค่าอาหารเช้าเสียให้เข็ด แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่มากดออดไม่ใช่คนที่เขารู้จัก
   “ฟ่งอยู่ที่นี่รึเปล่า?” ผู้มาเยือนถามขึ้นทันทีที่เขาแง้มประตูออกไป กฤษต์ขมวดคิ้วเมื่อเห็นตาสองสีนั้น เขาจำได้ทันที นั่นคือผู้ชายที่เขาเพิ่งตั้งคำถามกับฟ่งไปเมื่อคืน เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันที มีอะไรบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายคนนี้อันตรายกับเพื่อนของพี่ชายเขา
   “งั้นรึ? แต่ผู้ดูแลด้านล่างบอกว่าเขามาที่ห้องนี้” ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ภาษาไทยของเขาคล่องจนน่าตกใจ กฤษต์คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานแล้วแน่ๆ
   “คุณเป็นใคร?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามออกไป นัยน์ตาของเขาแสดงความไม่ไว้วางใจออกมาอย่างชัดเจน
   “ฉันเป็นคนพาเขามาที่นี่” ชายหนุ่มกล่าว พลางจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  กฤษต์รู้สึกถึงความอันตรายในตัวผู้ชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน
   “คุณเป็นคนร้ายลักพาตัวหรือไง”   เขาโพล่งออกไป และหลังจากนั้นเขาก็คิดว่าควรจะปิดประตูใส่คนคนนี้เสียแต่แรก
   “ถ้าฉันบอกว่าใช่ เธอจะให้ฉันเจอกับฟ่งหรือเปล่า” ชายผู้นั้นกล่าว ดวงตาสองสีที่ราวกับดวงตาของปิศาจนั้นถลึงเขาอย่างมุ่งร้าย กฤษต์เบิ่งตาโพล่ง
   “ผมจะโทรแจ้งตำรวจ!” เขาว่าและรีบปิดประตูลงทันที แต่แล้วเสียงอีกเสียงก็ดังขึ้น
-------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-05-2011 18:49:31
   “ฉันบอกนายก็ได้ แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน”
   นั่นคือประโยคที่ราฟาแอลกล่าวหลังจากที่รูฟัสยอมลงมานั่งคุยดีๆ แล้ว
   “เด็กนั่นไปที่เวสเปรม” เขารีบกล่าวต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “เขาคงไปที่พักของเพื่อนคนไทยที่เจอกันวันก่อน” ราฟาแอลขยายความ  รูฟัสพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที
   “แล้วคุณก็ไปส่งเขา?”
   “ใช่” ราฟาแอลกล่าวยอมรับ รูฟัสลุกพรวดขึ้นทันที
   “ผมจะไปเวสเปรม” เขากล่าว  ทำให้อีกฝ่ายต้องลุกตามทันที “ฉันจะขับรถไปส่งแกเอง”
   รูฟัสหันมามองหน้าราฟาแอลอย่างไม่เชื่อ “คุณไม่ไว้ใจผมมากหรือไง”
   “ใช่” ราฟาแอลพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่ว่าฉันเป็นห่วงเด็กนั่นหรอกนะ แต่ฉันกลัวแกจะไปอาละวาดทำอะไรบ้าๆ ต่างหาก”
   “ผมไม่เสียสติแบบนั้นหรอกน่า” รูฟัสแย้ง  ราฟาแอลโบกมือ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาว่าฉันอยากไปส่งแก ตกลงไหม?”
   ชายหนุ่มตาสองสีมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ราฟาแอลต้องไม่ไว้ใจเขาอยู่แน่ๆ
   “ถ้าอยากจะตามผมขนาดนั้นล่ะก็ ตามใจคุณแล้วกัน แต่พอถึงเวสเปรมแล้ว คุณต้องไปให้พ้นจากสายตาผมนะ”
   ราฟาแอลย่นคิ้ว “เออ ฉันจะรีบถีบแกออกจากรถเลย”
   
   ในที่สุด รูฟัสก็มาถึงเวสเปรมด้วยรถของราฟาแอล ทันทีที่ถึงเขานึกไม่ออกเลยว่าฟ่งหาสถานที่ที่ตัวเองต้องการมาเจอได้อย่างไร รูฟัสรู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าฟ่งจะไปไม่ถึงที่หมาย มีอะไรประกันล่ะว่าฟ่งมาถึงที่นี่  ถ้าฟ่งเป็นอะไรไปล่ะก็...... เขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ
   ชายหนุ่มรวบรวมสติอยู่นาน หลังจากที่ราฟาแอลขับรถจากไปแทบจะในทันทีที่ปล่อยเขาลง รูฟัสรู้สึกสงบใจขึ้นบ้าง เมื่อราฟาแอลไม่อยู่ ผู้ชายคนนั้นทำให้เขาหงุดหงิด แม้ว่าสิ่งที่พูดจะเป็นเรื่องจริง แต่เพราะความจริงนั่นแหละที่ทำให้น่าหงุดหงิด รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะเริ่มถามจากผู้คนและเจ้าของหอพักแถวนี้ดูถึงเรื่องที่พักและคนเอเชีย ดูเหมือนว่าเรื่องจะง่ายกว่าที่เขาคิด  พอเริ่มถามไปได้สองที่ รูฟัสก็พบหอพักที่ฟ่งน่ามาเมื่อวาน
   ชายหนุ่มรีบวิ่งขั้นไปชั้นบนทันทีที่คุยกับผู้ดูแลจบ เขาไปยังห้องที่ระบุหมายเลขไว้ กดออดด้านหน้าอย่างร้อนรน ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบหน้าคนที่อยากพบ เขายังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับฟ่ง หรือเตรียมใจรับว่าฟ่งจะทำหน้ายังไงเมื่อเจอเขา  รูฟัสเพียงแต่อยากแน่ใจว่าฟ่งยังปลอดภัยดี ยังสบายดีอยู่เท่านั้น
   นิ้วเรียวยาวกดลงไปบนออดอีก บางทีเขาอาจจะใจร้อนเกินไป ชายหนุ่มบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อผู้ที่มาเปิดไม่ใช่คนที่เขาหวังไว้
   นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป เขาจำได้แทบจะทันทีว่านี่คือเด็กที่ฟ่งทักตอนที่อยู่ในเมือง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีทีท่าเป็นปรปักษ์กับเขายังไงพิกล
   เด็กหนุ่มส่ายหน้า รูฟัสคิดว่าเขาโกหก ดูจากสายตาที่ไม่ยอมจะมองสบตาด้วย
   “งั้นรึ? แต่ผู้ดูแลด้านล่างบอกว่าเขามาที่ห้องนี้” เขาถามกลับไป และคิดว่าบางทีการพบกับฟ่งอาจจะเป็นเรื่องยากกว่าที่เขาคิด ขณะที่รูฟัสคิดว่าเขาควรจะใช้คำพูดดีๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ยอมเปิดประตูให้  อีกฝ่ายกลับชิงถามขึ้นมาก่อน
   “คุณเป็นใคร?” ด้วยน้ำเสียงและสีหน้า ทำให้รูฟันเกือบจะมั่นใจได้ว่าเด็กนี่ต้องไม่มีความคิดดีๆ กับเขาแน่ๆ ทีท่าเป็นศัตรูนั้นชัดเจนจนแทบจะจับต้องได้  ชายหนุ่มตัดสินใจตอบกลับออกไปว่าเขาเป็นคนพาฟ่งมาที่นี่ และประโยคต่อไปที่เด็กนั่นย้อนกลับมา ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของรูฟัสขุ่นมัวยิ่งขึ้น
   “คุณเป็นโจรลักพาตัวหรือไง?” เขากล่าว  รูฟัสขบกรามอย่างพยายามสะกดอารมณ์
   ทำไมเจ้าเด็กบ้านี่ถึงไม่ยอมเปิดประตูดีๆ กันนะ
   ยิ่งพอคิดว่าเจ้านี่อยู่กับฟ่งทั้งคืนยิ่งทำให้รูฟัสรู้สึกโมโห
   “ถ้าฉันบอกว่าใช่ เธอจะยอมให้ฉันเจอฟ่งรึเปล่า”
   “ผมจะแจ้งตำรวจ” เด็กหนุ่มกล่าว พลางรีบปิดประตูใส่หน้า รูฟัสคิดว่าถึงเวลาที่เขาจะจัดการกับปัญหายุ่งยากนี่เสียที เขาสอดมือขวางตรงระหว่างร่องประตูที่กำลังจะปิด และออกแรงดันมันจนเปิดอ้าออก น่าตลกตอนเห็นสีหน้าตกใจของเด็กนั่น แต่แล้วเสียงที่ดังตามออกมาก็ทำให้รูฟัสตัวเย็นวาบ
-------------------------------------
   ฟ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงออดครั้งที่สอง โดยปกติเขาไม่ชอบเสียงพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตร เสียงออด หรือแม้แต่เสียงโทรศัพท์ ชายหนุ่มขยับแว่น พลางคิดว่าทำไมกฤษต์ถึงไม่ยอมออกไปเปิดประตูเสียที สักพักเขาก็ได้ยินเสียงสนทนาดังขึ้น ตอนแรกฟ่งไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเขาชักรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมกฤษต์ถึงไม่พาเพื่อนเข้ามาในห้อง  ฟ่งจึงตัดสินใจเดินออกไปดู
   “ใครมาน่ะ?” เขาถาม ขณะเดินออกมายังห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่ติดกับประตูทางเข้า และก็ต้องชะงักเท้า เมื่อเห็นว่ากฤษต์กำลังเผชิญหน้าอยู่กับใครคนหนึ่ง
   “รูฟัส!?” ฟ่งร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ทันทีที่สายตาของรูฟัสเห็นเขา ชายหนุ่มออกแรงผลักประตูอย่างแรงจนเจ้าของห้องที่ยืนยันกันอยู่เซถลา ฟ่งถอยหลังออกไปอย่างลืมตัว เขากลัว....
กลัวว่ารูฟัสจะทำร้ายเขาและกฤษต์
   “กลับไปกับผมเถอะนะครับฟ่ง” รูฟัสเอ่ยออกมา เขามองดูหน้าฟ่ง รู้สึกเจ็บปวดกับแววตาและท่าทีที่แสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน กับแววตาและท่าทางแบบนั้นที่มีให้เขา รูฟัสคิดว่าการที่ตัวเองทนยืนและกล่าววาจาอยู่ได้นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว
   ฟ่งยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร หรือพูดอะไรออกไป รูฟัสมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วต่อไปนี้เขาควรจะทำอย่างไร นี่เขาไม่อาจจะหนีพ้นจากผู้ชายคนนี้ได้เลยหรือ?
   “นะครับฟ่ง” รูฟัสกล่าวต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าฟ่งจะวิ่งหนีออกไปที่หน้าต่างหรืออะไรที่แย่กว่านั้น ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้าไปช้าๆ และพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “กลับไปกับผมนะครับ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ผมสัญญาว่าจะไม่โกหกคุณอีก”
   ฟ่งแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ไม่โกหกงั้นหรือ?  เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่รูฟัสกำลังพูดอยู่ตอนนี้เป็นความจริงหรือเปล่า ผู้ชายคนนี้เคยพูดอะไรที่เป็นเรื่องจริงบ้างไหม?...
   “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง” ฟ่งตอบออกไปในที่สุด และนึกขำตัวเอง นี่เขายังอยากเชื่อใจผู้ชายคนนี้อยู่อีกหรือ....
   “ถ้าพี่ไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไปกับเขาหรอกครับ” จู่ๆ กฤษต์ก็พูดแทรกขึ้น รูฟัสจะหลับตาลงอย่างคนที่ถูกขัดจังหวะ
   “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นอะไรกับพี่ฟ่ง แต่ถ้าเขาไม่อยากไปกับคุณ คุณก็ไม่น่าจะตามมาบังคับเขา”
   คราวนี้รูฟัสหันขวับไปทันที เขาจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างประสงค์ร้าย
   เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไรกัน?!
   “ถ้าคุณไม่ยอมกลับไปล่ะก็ ผมจะแจ้งตำรวจ” กฤษต์พูดต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้น  เขาพยายามจะขู่ให้ผู้ชายคนนี้ล่าถอยออกไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรกับฟ่ง ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่ๆ
   ฟ่งยืนตัวแข็งทื่อ เขาเห็นกฤษต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และขู่ว่าจะฟ้องตำรวจ ฟ่งเกือบจะตะโกนออกไปว่าอย่า
   เขาไม่อยากให้ตำรวจรู้เรื่องนี้ และการใช้คำว่าตำรวจขู่คนอย่างรูฟัส คงจะะไม่ได้ผลอะไร แต่ว่าฟ่งพูดไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนหรือภาษาอะไร ก็ไม่อาจจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ราวกับว่าเขาถูกสาปให้เป็นใบ้ไปในตอนนั้น
   รูฟัสชั่งใจอยู่นานว่าควรจะใช้วิธีการแบบไหนจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาว หันกลับไปทางร่างผมบางที่ยืนตัวแข็งอยู่
   “ผมจะรอคุณอยู่ข้างล่างนะครับฟ่ง ถ้าพร้อมจะกลับแล้วค่อยลงมาก็ได้” เขาเอ่ย และเดินกลับออกไปเงียบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ่งมองตามหลังรูฟัส ด้วยนัยน์ตาสั่นระริก
   ผมจะรอ……
   ภาพของรูฟัสในอดีตไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว ฟ่งก้มหน้า เขาได้ยินเสียงกฤษต์ถามขึ้น
   “เขาเป็นใครน่ะพี่”
   แต่ฟ่งไม่มีปัญญาจะตอบคำถามนั้น พูดให้ถูกคือเขาไม่อาจจะกล่าวคำใดๆ ออกมาได้ มีแต่น้ำตาเท่านั้นที่หลั่งออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น
   “พี่ฟ่ง!! พี่ร้องไห้?!” เด็กหนุ่มร้องเสียงแปลก คงนึกตกใจ เขารีบเดินเข้ามาใกล้ ฟ่งส่ายหน้า ยกมือขึ้นปาดน้ำตา
   “ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มกล่าวปฏิเสธด้วยเสียงแหบพร่า กฤษต์มองดูเขาอย่างงุนงง ปนสงสาร บางทีอาจจะคิดว่าเขาคงกลัวมาก แต่ฟ่งรู้ตัวว่าไม่ใช่
   “ผู้ชายคนนั้นลักพาตัวพี่มาเหรอ” กฤษต์เอ่ยถามต่อ พลางนึกขำตัวเอง ถ้าผู้ชายคนนั้นลักพาตัวฟ่งมา แล้วเขากับฟ่งจะยังยืนคุยอยู่ได้แบบนี้ได้อย่างไร
   ฟ่งส่ายหน้า กฤษต์ยิ้มแห้งๆ กับความคิดของตัวเอง “แล้วตกลงเขาเป็นอะไรกับพี่?”
   ฟ่งเริ่มนึกรำคาญกับการช่างซักช่างถามของอีกฝ่าย
   “พี่ไม่ตอบได้ไหม” ชายหนุ่มตัดบท เขาไม่อยากจะตอบคำถามพวกนี้อีกต่อไปจริงๆ  เขาอธิบายไม่ได้ว่าเขากับรูฟัสเกี่ยวข้องเป็นอะไรกันแน่
   “เขาเป็นแฟนพี่ใช่ไหม?!” ในที่สุดกฤษต์ก็พูดออกมา ฟ่งสะดุ้งวาบ เบิ่งนัยน์ตาค้าง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาแบบนี้ เขาพูดตอบไม่ออก ได้แต่ก้มหน้านิ่ง แม้แต่จะสบนัยน์ตาก็ยังทำไม่ได้
   “ถ้าพี่ไม่ตอบ ก็ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มกล่าวออกมาหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ฟ่งคิดว่ากฤษต์คงช็อค แน่ล่ะ อีกฝ่ายไม่ชอบเกย์หรือกระเทยขนาดนั้นนี่นา นั่นทำให้ฟ่งรู้สึกผิด ขณะที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยขอโทษ เด็กหนุ่มก็หายตัวไปเสียแล้ว
   ฟ่งหัวเราะหึๆ กับตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
--------------------------------------
   กว่ากฤษต์จะรู้ตัวอีกที เขาก็วิ่งเตลิดเข้าไปในห้องนอน เด็กหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพื่อนพี่ชายที่เขาสนิทด้วยขนาดนี้จะกลายเป็นอะไรที่ลักเพศไปอีกคน แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้  กฤษย์ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเอง
   ที่ทำไปเมื่อคืนเพราะเขานึกอยากแกล้งฟ่งจริงๆ หรือ
   เด็กหนุ่มหลับตา เขาไม่อยากจะคิดอะไรต่อ มันก็แค่ความคิดบ้าๆ  กฤษต์ลืมตาขึ้น เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  และต้องรู้สึกหงุดหงิด  เมื่อเห็นผู้ชายน่ากลัวคนนั้นยืนอยู่ตรงถนนด้านล่าง
   คิดจะยืนเฝ้าอย่างนั้นไปตลอดชีวิตเลยหรือไง
   กฤษต์หันหน้าออกจากหน้าต่าง และล้มตัวนอนอย่างหงุดหงิด
--------------------------------------
   “เป็นไงบ้างล่ะ ราฟี่” คลาวเดียเอ่ยทักทันทีที่เห็นแฟนหนุ่มขับรถกลับมา
“ก็ไม่แย่อย่างที่เธอคิดหรอก อย่างน้อยฉันกับเจ้านั่นก็ไม่ได้ต่อยกัน พอใจหรือยังล่ะ?”
   “ฉันไม่ได้รู้สึกดีที่มันเป็นแบบนั้นหรอกนะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอยืนท้าวสะเอวมองดูอีกฝ่ายโยนกุญแจรถลงในตะกร้า
“แล้วคุณทิ้งรูฟัสไว้แบบนั้นเหรอ?” หล่อนถาม  ราฟาแอลทิ้งตัวลงบนโซฟา
   “เจ้ารูฟัสบอกให้ฉันอยู่ให้พ้นระยะสายตา” เขากล่าว พลางนึกหงุดหงิด “เธอรู้รึเปล่าว่าหมอนั่นตั้งใจจะรออยู่แบบนั้นจนกว่าเด็กคนนั้นจะยอมกลับมาด้วย”
   “ว้าว!” หญิงสาวอุทาน “คุณเห็นหรือไง?”
   “อืม” ราฟาแอลพยักหน้า “เจ้านั่นมันหายเข้าไปในหอพักนั่นสักพัก แล้วกลับออกมา คราวนี้ยืนเฝ้าเป็นหมาเฝ้ายามอยู่ด้านล่างเลย ก็คงเจอแล้วล่ะ แต่ทางนั้นคงไม่ยอมกลับมาด้วย”
   “แล้วจะต้องรอนานแค่ไหนกันล่ะ” คลาวเดียเอ่ยลอยๆ ราฟาแอลหยิบขนมปังกรอบในโหลที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาใส่ปาก
   “ไม่รู้มัน ฉันรอมันอยู่สองชั่วโมงแล้วยังไม่เห็นแววก็เลยกลับมาก่อนเนี่ย”
   หญิงสาวถอนหายใจ และหันไปมองหน้าชายหนุ่ม “นี่ราฟี่  ความรักของรูฟัสคราวนี้น่ะ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
   “ก็ใช่น่ะสิ หรือเธอคิดว่าจะรอด?” เขาย้อนถาม และดูเหมือนจะให้ความสนใจขนมปังกรอบมากกว่า คลาวเดียยักไหล่    “ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกสงสารรูฟัสนะ”
--------------------------
   ฟ่งมองดูตัวเองในกระจก และรู้สึกว่าตาบวมนิดหน่อย ตัวเขาตอนนี้ดูเหมือนจะแย่กว่าตอนเช้าเสียอีก เขาเปิดก๊อกน้ำ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเช็ดด้วยผ้าขนหนู และก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ
   ชายหนุ่มเดินไปยังห้องนอน เขาคิดว่ากฤษต์อาจจะอยู่ที่นั่น ฟ่งรู้สึกผิดที่โกหก เขายกมือขึ้นเคาะประตู และเปิดเข้าไป พบว่ากฤษต์กำลังนอนฟังเพลงและอ่านหนังสืออยู่  เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น และถอดหูฟังออก เมื่อเห็นว่าฟ่งเดินเข้ามา
   “พี่ขอโทษนะ” ฟ่งเอ่ย เขาไม่อยากจะสบตากับรุ่นน้องคนนี้เลย ด้วยกลัวว่าจะเจอกับสายตารังเกียจ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่” กฤษต์กล่าว น้ำเสียงดูเหมือนจะฝืนๆ อยู่บ้าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง  แม้ว่ากฤษต์จะไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจ แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีนัก
   “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเธอ” ฟ่งกล่าว รู้สึกขมในปาก กฤษต์นิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ผมไม่โกรธเรื่องพี่เป็นเกย์หรอก”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาไม่อยากจะยอมรับคำว่าเกย์เลยจริงๆ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “ถ้าเขามาที่นี่อีก พี่จะไล่เขาไปเอง”
   แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ฟ่งไม่มั่นใจสักนิดว่าเขามีความกล้าพอจะเอ่ยปากไล่รูฟัส
   กฤษต์มองหน้ารุ่นพี่ และถอนใจบ้าง
   “ถ้าหมายถึงผู้ชายคนนั้นล่ะก็ เขายังยืนรอพี่อยู่ข้างล่างอยู่เลยมั้งครับ”
   “บะ..บ้าน่า” ฟ่งอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะวิ่งไปดูที่หน้าต่าง รูฟัสยังคอยอยู่รึ?  ผู้ชายคนนั้นจะรออยู่จริงๆ หรือ?
   เขามองลงไป และหลับตาทันทีที่เห็นร่างที่คุ้นตานั้น
   รูฟัสยืนอยู่ด้านล่าง และเหมือนรู้ นัยน์ตาสองสีนั้นมองสบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี รู้สึกปวดแปลบในอก
   ทำไมถึงทำแบบนี้นะ ทำไมถึงไม่ยอมไปเสียที  คิดจะทรมานกันไปจนถึงไหนกัน
   ฟ่งอยากจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องกล้ำกลืนเอาไว้ เขาจะต้องเข้มแข็ง ผู้ชายคนนั้นก็เป็นเพียงแค่คนหลอกลวงคนหนึ่ง ไม่มีอะไรจะต้องไปอาลัยอาวรณ์อีก ไม่นานก็คงกลับไปเอง
   ใช่แล้ว ไม่นานหรอก
--------------------------------------
   รูฟัสมองดูบานหน้าต่างของห้องที่เขาติดว่าฟ่งพักอยู่  แสงสีแดงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ฉายจับขอบฟ้า ช่างเป็นเรื่องตลกที่เลวร้ายสิ้นดี  เมื่อคืน เขายังรอแสงอาทิตย์แรกของเช้านี้ เพื่อกลับมาสารภาพเรื่องราวความผิดพลาดของเขา แต่ว่าตอนนี้ แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังจะหมดไปแล้ว แต่เขากลับยังไม่ได้พูดหรือบอกอะไรออกไปเลย
   คงไม่มีโอกาสสำหรับเขาอีกแล้วในการพูดความจริง
   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น
จะให้เขาพูดอะไรได้ ในเมื่อแค่ได้พบหน้า ฟ่งก็เกือบจะวิ่งหนีเขาไปแล้ว เขาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า คนที่เขารักหวาดกลัวเขาเพียงใด  หากต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า รูฟัสแน่ใจว่านั่นเป็นการทำร้ายฟ่งมากกว่าที่จะทำให้เรื่องราวดีขึ้น ตอนนี้เขาหวังเพียงให้ฟ่งยอมกลับไปกับเขา  ขอให้เขาได้ส่งฟ่งขึ้นเครื่องบิน ขอให้เขาได้เห็นใบหน้านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งสุดท้าย แล้วเขาจะลืมให้หมดทุกอย่าง
แสงสีแดงโลมไล้ขอบหน้าต่างสีขาวจนกลายเป็นสีส้มแดง รูฟัสเงยมองมันอย่างหม่นหมอง เขาไม่รู้เลยว่าฟ่งจะยอมลงมาเมื่อไหร่ หรือจะยอมลงมาหรือเปล่า และตัวเองต้องรออีกนานเท่าไร แต่ว่าลึกๆ แล้ว รูฟัสกลับรู้สึกชื้นใจอยู่บ้าง
อย่างน้อยตอนนี้ ก็ยังมีฟ่งให้เขารอ
-----------------------------------
   นัยน์ตาสีน้ำตาลลืมขึ้น และหลับลงอีกครั้งเพราะแสงแดดที่ส่องเข้ามา พลางนึกแปลกใจว่านี่ผ่านไปคืนนึงแล้วล่ะหรือ  ฟ่งยันกายลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปยังห้องน้ำ ไม่นึกอยากมองภาพตัวเองในกระจกอีก ชายหนุ่มรู้สึกห่อเหี่ยว การพบกับรูฟัสเมื่อวานยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่
   ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะมีความสำคัญอะไรแท้ๆ
   ฟ่งแปรงฟันอย่างลวกๆ และวักน้ำขึ้นมาล้างหน้านิดหน่อย เขาไม่คิดอยากจะตื่นนอนเต็มที่นัก
   ขณะที่กำลังมองโซฟาและกำลังชั่งใจว่าควรจะกลับไปนอนต่อดีไหม เท้าของเขาก็ชักนำตัวเองไปยังหน้าต่าง
   คงกลับไปแล้ว........
   ฟ่งคิดขณะที่ก้มหน้ามองลงไป แล้วก็ต้องขนลุก
   รูฟัสยังยืนอยู่ตรงนั้น
   “ยังรออยู่น่ะครับ ตลอดคืนเลย” เสียงของกฤษต์ดังขึ้นด้านหลัง ฟ่งสะดุ้ง และหันกลับมามอง
   “ไม่สงสารเขาหรือครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น ฟ่งมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ และยกมือขึ้นปิดหน้า
   ทำไมกัน รูฟัส!! ทำไมกัน!! ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้!!!
---------------------------------------
   รูฟัสหันหน้าไปมองร่างที่กำลังเดินเข้ามา มันคุ้นตา และดึงดูดเขาอย่างประหลาด ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดี แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกไป
   “ดีใจที่คุณลงมานะครับ”
   ฟ่งพยักหน้า ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย เขาเห็นเท้าของรูฟัสก้าวเข้ามาใกล้  ทำไมถึงได้อยากร้องไห้ออกมาตอนนี้นะ....
   “ผมเรียกแท็กซี่กลับนะครับ” รูฟัสกล่าว น้ำเสียงนั้นแม้จะดูอ่อนล้า แต่ก็ยังฟังดูอ่อนโยน และใจดีเหมือนเดิม ฟ่งเม้มปากแน่น เขาก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไป เหมือนว่ารูฟัสจงใจเดินให้ช้าลงเพื่อที่จะอยู่ในระดับเดียวกับเขา แต่ก็รักษาระยะห่างเอาไว้

   “ทะ..ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้”
   ในที่สุดฟ่งก็เอ่ยปากขึ้นขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ในรถ รูฟัสหันหน้าไปมองร่างผอมบางที่นั่งก้มหน้าอยู่ เขานึกอยากลูบศีรษะของอีกฝ่าย แต่ก็ยั้งมือไว้
   ก็คนคนนี้อาจจะไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไปแล้ว....
   “เพราะผมรักคุณครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว ก่อนจะขบริมฝีปากเบาๆ
   “แล้วคุณล่ะครับ เคยรักผมบ้างรึเปล่า?”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเบือนหน้าไปยังหน้าต่างรถ รูฟัสยิ้มอย่างเศร้าๆ ภายในตัวรถเงียบสนิท
   ถ้าหากเสียงตัวใจแตกสลายมีจริงแล้วล่ะก็ มันก็คงดังขึ้นอย่างเงียบๆ นั่นแหละ
--------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 24-05-2011 23:31:38
ชอบ แต่เพิ่งอ่านได้ห้าตอนเองครับ  อยากอ่านต่อแต่ปวดตาสุดๆ    :sad4: :L1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 26-05-2011 20:32:18
บทที่31 ความเงียบอันแสนปวดร้าว
   ในที่สุด ทั้งคู่ก็กลับมาถึงบ้านของราฟาแอล  คลาวเดียดูมีสีหน้าดีใจ เมื่อได้พบหน้าฟ่ง
   “ฉันคิดว่าเธอจะหายตัวไปแล้วเสียอีก” หล่อนกล่าว และมองดูหน้ารูฟัส
   “ส่วนเธอ รูฟัส ไปอาบน้ำเสียหน่อยดีไหม?” คลาวเดียเสนอแนะ รูฟัสส่ายหน้า
   “ไม่ล่ะ ผมทำธุระก่อนดีกว่า”
   หญิงสาวขมวดคิ้ว ขณะที่ฟ่งก้าวเดินออกไป
   “ผมขอตัวขึ้นไปข้างบนนะครับ” ร่างบางกล่าว และเดินหายไปทันที  คลาวเดียมองอย่างอ่อนใจ และหันไปมองรูฟัสที่นั่งปุลงบนโซฟา พลางล้วงเอาเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมา
   “จะทำงานหรือไง?” เธอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ  ชายหนุ่มส่ายหน้า
   “ผมจะจองตั๋วเครื่องบิน”
   
   ฟ่งทิ้งตัวลงบนเตียง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง คำถามของรูฟัสในรถแท็กซี่เมื่อครู่ยังก้องอยู่ในหัว
   แล้วคุณล่ะครับ เคยรักผมรึเปล่า?
   ฟ่งเผลอเม้มริมฝีปาก จะให้เขาตอบออกไปว่าอย่างไรกันล่ะ ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกับผู้ชายคนนี้กันแน่  เรื่องเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้คือ อยากจะร้องไห้  ร้องให้น้ำตามันไหลออกไป เผื่ออะไรๆ ในสมองมันจะดีขึ้นบ้าง
   เผื่อจะลืมนัยน์ตาสองสีคู่นั้นได้
---------------------------------------------
   “ฉันคิดว่าจะรออยู่สักอาทิตย์เสียอีก” ราฟาแอลที่เดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดินเอ่ยทักเมื่อเห็นรูฟัสนั่งอยู่บนโซฟา  นัยน์ตาสองสีคู่นั้นเหลือบขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปสนใจกับคอมพิวเตอร์ต่อ
   “ได้ตัวกลับมาแล้วสิ แล้วจะทำยังไงต่อ?” ราฟาแอลยังคงเอ่ยถามต่อ และนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม รูฟัสขยับตัวอย่างรำคาญทันที
   “อย่ามาตื้อผมเลยน่ะ  ผมบอกคุณไว้ว่ายังไง ผมก็จะทำแบบนั้นแหละ”
   “จะส่งกลับจริงๆ?” ราฟาแอลถามด้วยน้ำเสียงเหมือนตั้งใจจะยั่วโทสะ รูฟัสยักไหล่
   “จองตั๋วแล้ว อีกสองวัน และถ้าคุณจะกรุณา” เขาเอ่ย และหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากเครื่องพริ๊นต์ยื่นให้ราฟาแอล
   “เอาตั๋วนี่ให้ฟ่งด้วย ผมจองตามชื่อในพาสปอร์ตของเขา”
   “พาสปอร์ตล่ะ?”
   รูฟัสทำท่าเหมือนนึกได้ เขาลุกขึ้น แต่แล้วก็นั่งลงอีก
   “มันอยู่ข้างบน ในลิ้นชักโต๊ะผม  วานเอาให้เขาด้วยแล้วกัน”
   ราฟาแอลขมวดคิ้ว “แล้วทำไมไม่ขึ้นไปเอาเอง?”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
“ผมทนขึ้นไปไม่ไหวหรอก  คุณหาเจอน่าราฟี่” เขากล่าว พลางลุกขึ้น
   “ผมอาจจะต้องวานให้คุณช่วยไปส่งเขาที่สนามบินด้วย เผื่อว่าผมยังกลับมาไม่ได้” รูฟัสกล่าว ทำให้ราฟาแอลต้องขมวดคิ้วซ้ำทันที
   “แล้วแกจะไปไหน?”
   ร่างแกร่งกะพริบตาสองสามหน ก่อนจะมองออกไปด้านนอก
   “สักที่หนึ่ง” เขากล่าว  และหันมาพูดต่อ “เอาว่าผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แล้วกัน  ฝากหน่อยนะราฟี่”
   เขากล่าว พลางเดินพรวดๆ ออกไปนอกบ้าน  ราฟาแอลอ้าปากค้าง เหมือนว่าจะพูดแต่ไม่ทัน  ชายหนุ่มได้แต่นั่งเกาหัวแกร่ก
   “แบบนี้คลาวเดียต้องไม่ชอบแน่ๆ” หนุ่มผมสีบลอนด์พึมพำเบาๆ
-------------------------------
   รูฟัสนั่งเหม่ออยู่ในรถแท็กซี่ เขารู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง  ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ดูแย่ไปหมด แบบนี้คืออาการของคนอกหักหรือ...
   ชายหนุ่มหัวเราะเศร้าๆ ให้กับตัวเอง  เขาสั่งให้คนขับแท็กซี่จอดรถตรงทะเลสาบบาลาตอน และยื่นเงินให้โดยไม่สนใจเงินทอน ร่างแกร่งก้าวเท้าลงจากรถ  เดินข้ามถนนไปหยุดอยู่ตรงทางเดินริมฝั่ง มองดูห้วงน้ำเวิ้งว้างกว้างสุดลูกหูลูกตา
   ทำไมเขาถึงถามออกไปแบบนั้นกันนะ?
   เขากำลังหวังอะไรจากคำถามนั้นหรือเปล่า?
   เขารักฟ่ง แต่ฟ่งล่ะเคยรักเขาบ้างไหม?
   คำถามนี้เป็นคำถามที่รูฟัสปฏิเสธที่จะถามแม้แต่ตัวเองมาโดยตลอด เพราะเขากลัว กลัวในคำตอบที่จะได้รับ  แต่ว่าเมื่อครู่นี้  เขาถามออกไปแล้ว  ถามคนคนนั้นออกไปแล้ว  และคำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบที่ว่างเปล่า
   เป็นความเงียบที่อ้างว้างและว่างเปล่าจริงๆ
   เสี้ยววินาทีนั้น รูฟัสรู้สึกตัวทันทีว่าเขากำลังหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่ละเมอเพ้อพกไปเองว่ามันจะมีสมบัติหรือแสงสว่างอยู่ปลายทาง  ที่สุดท้ายความจริงคือความว่างเปล่าและการวนเวียนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ไม่มีสมบัติหรืออะไรทั้งนั้น มีเพียงแต่ความว่างเปล่าและเงียบสนิท
   ช่างเงียบได้อย่างร้ายกาจจริงๆ
   นัยน์ตาสองสีเหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล หูของเขาได้ยินเสียงมากมาย แต่ก็ไม่มีเสียงใดที่ดังและน่าหวาดกลัวไปกว่าความเงียบจากฟ่งอีกแล้ว
   ฟ่งไม่เคยตอบคำถามของเขา ไม่ว่าจะตอนไหน เด็กคนนั้นเงียบมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้
   รูฟัสเพิ่งเข้าใจว่าสำหรับฟ่งแล้ว สิ่งที่ควรค่าจะมอบให้เขาคือความเงียบนั่นเอง
   ความเงียบที่มีความหมายทั้งตอบรับและปฏิเสธในคราวเดียวกัน
   แต่ว่าความเงียบแบบนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฟ่งยอมอดทนอยู่กับเขาได้ ภายใต้ความเงียบ ฟ่งหวาดกลัวเขา ไม่ไว้ใจเขา แต่กลับไม่ยอมพูดออกมา
   หลบซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบแบบนั้น และปล่อยให้เขาตีความไปเพียงฝ่ายเดียว
   รูฟัสถอนหายใจ  มันคงถึงเวลาที่จะพอกันทีสำหรับความสัมพันธ์แบบนี้  ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน การพยายามอยู่คนเดียวไม่ได้ช่วยพยุงความรักเอาไว้ได้  มันเป็นเรื่องของคนสองคนจริงๆ
   คนสองคนที่เข้าใจซึ่งกันและกัน
   ตลอดเวลา เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองไม่เคยเข้าใจและไม่เคยสนใจอีกฝ่ายขนาดไหน ชายหนุ่มหลอกตัวเองมาโดยตลอดว่าเขาให้ความสำคัญกับฟ่ง แต่ว่านั่นคือความสำคัญจริงๆ หรือ? เขาไม่แม้แต่จะบอกว่าตัวเองคือใคร ไม่แม้แต่จะไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนคนนั้น และไม่เคยที่จะรู้เลยว่าฟ่งคิดอะไรกับเขา  ไม่เคยจะสะกิดใจเลยว่าฟ่งอึดอัดขนาดไหน  และไม่เคยจะคิดเลยว่าเขาควรจะปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายอย่างไร ทั้งหมดเขาทำตามใจตัวเองทั้งนั้น
   เพราะเขามุ่งมั่นที่จะคว้าความรักครั้งนี้เอาไว้ด้วยตัวคนเดียว ผลมันจึงลงเอยแบบนี้สินะ
   รูฟัสก้าวเท้าไปตามแนวริมทะเลสาบ สายลมเย็นๆ ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ภายในหัวกลับยังเบลออย่างประหลาด เหมือนว่ายังคงสัมผัสถึงทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนนั้นได้อยู่ ทั้งรอยยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น เสียงพูดคุย ใบหน้าที่มักจะดูบึ้งตึงแต่ก็ดูน่ารักอยู่ในที ริมฝีปากสีชมพูอ่อนนุ่ม เรือนร่างเนียนที่เคยสวมกอด ทุกอย่างดูเหมือนจะแจ่มชัดและแทบจะสัมผัสได้ในความทรงจำ
   ชายหนุ่มขยี้นิ้วมือและกำมันลงเบาๆ เขาไม่มีทางจะได้สัมผัสความจริงแบบนั้นได้อีกแล้ว มันกลายเป็นเพียงความทรงจำที่แสนจะปวดร้าว เมื่อหมอกควันจางหายไป สิ่งที่สัมผัสได้คือความอ้างว้างเดียวดายที่มีมาแต่แรกเท่านั้น
   เขาไม่เคยมีฟ่งมาแต่แรก และต่อไปนี้ก็จะไม่มี
   รูฟัสพยายามจะระลึกถึงความจริงข้อนี้  ใช่แล้ว ฟ่งไม่เคยมีตัวตนอยู่แต่แรก เป็นแค่คนที่ผ่านมาชั่วครู่ชั่วคราวและก็ผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่แสนดี
   แต่ว่า.....ความทรงจำแสนดีที่ว่านั้นทำไมตอนนี้มันถึงได้เจ็บปวดนัก
   ความปวดแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจ นัยน์ตาสองสีหลับพริ้ม เขารู้สึกเหมือนว่ามีหยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมากระทบใบหน้า
   เมื่อคืน เขาเคยคิดที่จะอยู่เพื่อดูหน้าฟ่งเป็นครั้งสุดท้าย อยู่เพื่อจะส่งคนคนนั้นกลับบ้าน อยู่เพื่อดูว่าคนคนนั้นกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ว่าพอเอาเข้าจริง เขากลับไม่มีความกล้าพอแม้แต่จะขึ้นไปเอาพาสปอร์ตในห้องที่คนคนนั้นอยู่  ไม่กล้าพอที่จะสบตา หรือแม้แต่มองส่วนใดส่วนหนึ่งของเด็กคนนั้น  เขากลัว  กลัวที่จะรับรู้ว่าฟ่งมีตัวตนอยู่จริงๆ
   รูฟัสอยากให้ทุกอย่างเป็นความฝันแสนหวานของเขา ฟ่งที่เป็นแค่ความฝัน ฟ่งที่ไม่เคยมีตัวตน เป็นเพียงแค่คนในความฝันของเขา
   ความฝันที่แสนหอมหวาน
   ชายหนุ่มลืมตา ปล่อยให้ลมทะเลสาบพัดพาให้หยาดน้ำตาเหือดแห้ง ก่อนจะเดินออกไป โบกรถแท็กซี่อีกครั้ง
-----------------------------------------
   “นี่ ชานดอร์ นายเคยฝันบ้างรึเปล่า?”
ผู้เป็นเจ้าของบาร์เหล้าที่มีอดีตยาวนานหันหน้ามามองลูกค้าขาประจำ ซึ่งเมื่อวานเพิ่งมาช่วยงานที่ร้าน รูฟัสโผล่เข้ามาในช่วงเย็นด้วยสีหน้าที่พอจะเดาได้ว่าไม่ได้พบกับเรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นักในรอบวันที่ผ่านมา
   “เคย” ชานดอร์กล่าว พลางรินเหล้าส่งให้ลูกค้าอีกคนที่นั่งรออยู่  เขาคิดว่าแก้วต่อไปเขาจะรินน้ำเปล่าให้รูฟัส  เพราะดูยังไงหมอนี่ก็คงจะเมาอยู่ก่อนที่จะมาร้านเขาอยู่แล้ว  คงจะเมาอดีตที่เพิ่งจากไป
   “แล้วนายคิดว่าระหว่างความฝันกับความจริง อะไรมันดีกว่ากัน” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ย เขาดูคล้ายคนที่เพ้ออยู่มากกว่าเมา นัยน์ตาสองสีที่เคยมีเสน่ห์ดึงดูดนั้นบัดนี้หม่นหมองและเหม่อมองออกไปในที่ที่ไม่มีอยู่จริง เขายกน้ำสีอำพันในแก้วขึ้นมาจิบระหว่างรอคำตอบ
   “ฉันคิดว่าความจริงดีกว่า เพราะความฝันถึงมันจะดีขนาดไหน มันก็ไม่ได้มีผลกับชีวิต”
   “งั้นเหรอ?” รูฟัสกล่าวพลางพยักหน้า ยกแก้วขึ้นมาจิบอีกครั้ง
   “แต่ผมคิดว่านั่นแหละที่ดี เพราะมันไม่ได้มีผลกับชีวิตก็เลยเป็นเรื่องที่ดี”
   “นั่นก็แล้วแต่นายจะคิด” ชานดอร์เอ่ย พลางวางแก้วคอกเทลใส่ถาดและให้เด็กเสิร์ฟยกออกไป
   “บางที ถ้าเกิดมีใครไปทึกทักเอาว่าความฝันเป็นความจริงล่ะก็ มันคงเป็นเรื่องที่แย่มากตอนที่ตื่นขึ้นมาและรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน  เพราะนั่นแปลว่าทั้งหมดคือความว่างเปล่า”
   “ถูกของนาย” รูฟัสกล่าว และยกแก้วขึ้นมาซดจนหมด คราวนี้ชานดอร์รีบกล่าวขึ้น
   “เฮ้ยๆ  นี่ถ้านายจะดื่มรวดเดียวแบบนั้นล่ะก็  ฉันอัญเชิญให้กลับไปก๊งกับราฟี่ที่บ้านเลยนะ  เดี๋ยวมาเมาแล้วอาละวาดในร้านฉันอีก”
   “ผมเคยเมาอาละวาดในร้านนายหรือไง?”
   ชานดอร์ส่ายหน้า
   “ไม่เคย แต่วันนี้ฉันไม่แน่ใจนักหรอก ดูเหมือนนายจะเมามาก่อนที่จะเข้าร้านฉันเสียอีก”
   “ฮ่ะๆ ”   รูฟัสหัวเราะ ความจริงแล้วชานดอร์ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เมาจริงๆ เลยสักครั้ง  แต่คราวนี้เขาเกิดไม่ไว้ใจรูฟัสขึ้นมา เพราะสภาพจิตใจของหมอนี่ตอนนี้ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
   “ผมคงอกหัก” ในที่สุดรูฟัสก็โพล่งขึ้น เขามองดูแก้วเหล้าเปล่าในมือ และยื่นมันไปให้ชานดอร์ “เอาเตกีล่า ไม่ต้องเอาน้ำเปล่ามาให้ผมเลยนะ”
   ชานดอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเกือบจะอ้าปากเถียงไปว่านั่นไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นสมีนอฟต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ ลองรูฟัสเห็นแล้วก็คงป่วยการจะโกหก  เขาวางแก้วสีอำพันดำลงบนเคาน์เตอร์หน้ารูฟัส และกล่าวสำทับ
   “ถ้ากินรวดเดียวหมดคราวนี้ฉันจะให้นายกินน้ำเปล่าจริงๆ”
   ชายหนุ่มหัวเราะลงคอ  ความจริงเขาไม่รู้สึกว่าเมาสักนิด ทั้งๆ ที่นี่เป็นเตกีล่าแก้วที่แปดแล้ว แต่ก็คงไม่น่าแปลกที่ชานดอร์จะรู้สึกไม่วางใจ
   “แล้วตกลงไงต่อ ที่ว่าอกหักตะกี้” เจ้าของร้านเอ่ยถามอีก ไม่รู้ว่าอยากจะดึงความสนใจของเขาให้พ้นจากแก้วน้ำเมานั่นหรือเปล่า
   “ก็อกหักนั่นแหละ  ผมน่ะไม่กล้าจะพูดอะไรสักแอะด้วยซ้ำตอนที่เจอเขา”
   “อ่าว ไม่พูดแล้วจะรู้ได้ไงว่าอกหัก..” อีกฝ่ายถามสวนทันที  รูฟัสหยิบแก้วเหล้าขึ้นมามองดู เขาคิดว่าจะขอมะนาวมากินแกล้มเพิ่มอีกสักหน่อย
   “เขาหนีผม ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าเขากลัวผมขนาดนั้น เมื่อวานเขาหนีออกจากบ้านตอนที่ผมไม่อยู่”
   “อ้อ... ก็น่าอยู่” ชานดอร์กล่าว  พลางคิดว่ารูฟัสอาจจะต้องรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ แต่แปลกที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วน
   “ถูกของคุณ ผมน่ะน่ากลัว แต่ผมเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เจอเขานี่แหละ มันสายไปแล้ว ผมพูดไม่ออกหรอก  นี่ขนาดยังไม่พูดเรื่องจริงเขายังกลัวผมขนาดนี้ ถ้าผมพูดออกไปเขาคงต้องแย่แน่ๆ”
   “นายคิดว่าตัวเองน่ากลัวมากเลยหรือไง” ชานดอร์ถาม รูฟัสส่ายหน้า
   “แต่สำหรับคนอื่น ผมคงจะน่ากลัว”
   “แต่ฉันไม่เคยเห็นใครกลัวนายเลยนี่ มีแต่คนวิ่งเข้าหานาย”
   “ขอมะนาว”
   รูฟัสพูดพลางแบมือ ชานดอร์หยิบมันวางให้เขาอีกจานหนึ่ง รูฟัสยกเตกีล่าขึ้นซดรวดเดียวหมด แล้วเคี้ยวมะนาวตามเข้าไป เขาหยีตาเพราะความเปรี้ยวของมันอยู่พักหนึ่ง
   “แก้วที่เก้าล่ะ” เขากล่าว พลางยื่นแก้วให้อีกฝ่าย ชานดอร์รับมันไปอย่างเสียไม่ได้
   “ผมเคยกินได้ยี่สิบแก้วน่า” รูฟัสเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลที่จะเติมเหล้าให้
   “นั่นไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจหรอกนะ” ชานดอร์กล่าว  คราวนี้เขาเทอย่างอื่นปะปนลงไปกับเตกีล่าด้วย
   “ความจริงนายน่าจะปล่อยให้ผมเมาจนหลับนะ” รูฟัสกล่าวหลังจากรับเหล้าแก้วใหม่มาแล้ว  ชานดอร์ขมวดคิ้ว
   “ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายจะเมาจนหลับ ไม่ใช่อาละวาดน่ะ”
   ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง “หลับสิครับ คนเราน่ะ พอเมาแล้วจะทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกลึกๆ อยากทำไม่ใช่หรอ ตอนนี้น่ะ ผมอยากหลับมากเลย เพียงแต่นอนไม่หลับเท่านั้นแหละ”
   “ถ้าอยากจะหลับมากขนาดนั้น ทำไมไม่กินยานอนหลับเสียเลยล่ะ” ชานดอร์กล่าว พลางส่งเหล้าผลไม้ให้ลูกค้า เขาล่ะกลัวว่าจะมีใครวิ่งเข้ามาขอแข่งดวดเตกีล่ากับหมอนี่จริงๆ  ชานดอร์เคยมีประสบการณ์ต้องหามคนที่คิดจะดวดเตกีล่าแข่งกับรูฟัสมาแล้ว เพราะฉะนั้นคืนนี้ ขอแค่แบกเจ้านี่ก็พอ ไม่ต้องหาคนมาให้หามเพิ่มหรอก
   “ก็เหล้าน่ะ กินเกินขนาดก็แค่อ๊วกกับเมา แต่ยานอนหลับน่ะ กินเกินขนาดถึงตายเลยนะ” รูฟัสกล่าว ชานดอร์หันกลับมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
   “เหมือนจะมีความคิดเลย ว่าแต่ทำไมนายถึงอยากหลับขนาดนั้น”
   “ผมอยากฝัน” รูฟัสตอบ  อีกฝ่ายส่งเสียงอ้อยาวๆ ทันที
   “เกิดไม่อยากอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วหรือไง?” เขากล่าว รูฟัสพยักหน้า  ชานดอร์เลิกคิ้ว
   “เพิ่งเคยเห็นนายเป็นแบบนี้น่ะเนี่ย  แค่อกหักก็คิดจะหนีโลกเลย?”
   “ช่างผมเถอะน่า ก็ผมไม่เคยอกหักนี่” รูฟัสกล่าว  ประโยคนี้ชานดอร์นึกขำเล็กๆ
   เจ้าหนูที่ดูเหมือนผ่านโลกมาโชกโชน แต่ยังไม่เคยอกหักนี่ช่างฟังดูน่าขบขัน
   “ถ้านายอยากจะหลับนักล่ะก็ เอามะนาวคืนมา เปลืองเหล้าฉัน” เขากล่าว และดึงจานมะนาวกลับไปทันที
   “โธ่ เตกีล่าที่ไม่มีมะนาว มันจะต่างอะไรกับเอาไฟเข้าตัวล่ะครับ”
   ผู้เป็นเจ้าของบาร์เลิกคิ้ว “ก็ไหนว่าอยากจะหลับนักนี่ แบบนี้หลับเร็วแน่”
   เขารินเตกีล่าอีกแก้วหนึ่งให้กับรูฟัส คราวนี้ใช้แก้วขนาดปกติเลยทีเดียว  รูฟัสรับมามองแล้วย่นคิ้ว
   สงสัยชานดอร์จะลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าตะกี้กลัวเรื่องอะไร
---------------------------------
   ฟ่งลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขารู้สึกหัวหนักอึ้ง อากาศด้านนอกเริ่มมืดครึ้มแล้ว ร่างบางพยายามเปิดเปลือกตาที่บวมปูด นี่เขาร้องไห้จนหลับไปอีกแล้วหรือ
   ชายหนุ่มหลับตา รู้สึกสังเวชตัวเอง
   รูฟัส...
   นี่คือสิ่งที่เขานึกขึ้นได้ต่อมา ฟ่งถอนใจ จนถึงตอนนี้เขายังไม่อาจจะลบภาพของผู้ชายคนนั้นออกไปได้ ไม่ว่ารูฟัสเป็นคนน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ยังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่ดี
   ฟ่งซุกหน้าลงกับหมอน ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงต้องทำขนาดนี้ เพียงแค่รั้งเขาเอาไว้หรือ  ชายหนุ่มหนับตาลงเมื่อนึกถึงคำพูดนั้น
   เพราะผมรักคุณ
   ฟ่งขบกรามแน่น เขารู้สึกโมโห ทำไมต้องเอาคำแบบนั้นมาอธิบายเรื่องทุกอย่างด้วย  เพราะรักเลยทำแบบนี้หรอก เพราะว่ารักเลยต้องโกหกด้วยหรือเปล่า
   เพราะว่ารักแบบนั้นเลยต้องหลอกลวงกันงั้นหรือ?
   “บ้า บ้า บ้า บ้า” เขาอยากจะตะโกนใส่รูฟัส เอาให้แก้วหูแตก แต่ก็ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจ
   สำหรับเขาแล้ว รูฟัสดูจะห่างไกลเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปได้
-------------------------------
   คลาวเดียขมวดคิ้ว มองดูโต๊ะอาหารมื้อเย็นที่มีแต่ราฟาแอลนั่งอยู่  ราฟาแอลมองหน้าหล่อนแล้วยักไหล่
   “สรุปนี่เหลือแต่คุณกับฉันหรือนี่” หญิงสาวผมสีแดงกล่าว ขณะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแฟนหนุ่ม
   “ก็ดูจะเป็นอย่างนั้น เจ้ารูฟัสมันหนีเตลิดออกไปนอกบ้าน คงจะไม่กลับมาหลายวัน”
   “เฮ้อ...” หล่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ทำไมฉันรู้สึกว่า คุณกำลังทำให้เรื่องมันแย่ลงนะ”
   คราวนี้ราฟาแอลขมวดคิ้วขึ้นบ้าง “ผมคิดว่าผมทำดีที่สุดแล้วนะ มันก็ต้องมีบ้าง ช่วงเวลาที่แย่ๆ แบบนี้ เจ้านั่นเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ด้วยสิ”
   คลาวเดียมองหน้าแฟนหนุ่มที่กำลังตักซุปเข้าปาก และนึกหงุดหงิดเขานิดหน่อย แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยว่ารูฟัสกับฟ่งไม่เหมาะสมกัน แต่ว่าพอเรื่องกลายเป็นแบบนี้ เธอรู้สึกสงสารรูฟัสขึ้นมาถนัด
   “ฉันหมายความว่าคุณไม่น่าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นออกไปเลย บางทีถ้าให้พวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้ เรื่องราวมันอาจจะดีขึ้น”
   “มันเป็นไปแล้วล่ะคลาวเดีย แล้วผมก็ไม่ใช่คนต้นคิด เด็กคนนั้นอยากออกไปเอง ผมก็แค่ปล่อยเขาไป แค่นั้นเอง นั่นเป็นความต้องการของเจ้าตัว ซึ่งรูฟัสควรจะรับรู้เอาไว้”
   “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เหอะ” หญิงสาวเอ่ยค้างไว้แค่นั้น  หล่อนผุดลุกขึ้น ชายหนุ่มมองตามอย่างแปลกใจ
   “จะไปไหนอีกอีกล่ะ”
   “ฉันว่าจะไปดูฟ่งหน่อย ว่าจะเอาซุปไปเผื่อด้วย เด็กนั่นอาจจะหิวแล้วก็ได้”
   ราฟาแอลยักไหล่ “ตามใจคุณแล้วกัน เด็กนั่นคงอยู่นี่อีกสักสองวันแหละ”
   คลาวเดียชะงักทันที “รูฟัสจองตั๋วไว้แล้วเหรอ”
   ราฟาแอลพยักหน้า “อืม  อีกสองวัน หมอนั่นฝากผทไปส่งด้วย เออ ไหนๆ คุณขึ้นไปแล้ว ฝากหยิบพาสปอร์ตให้เด็กคนนั้นด้วยสิ เห็นว่าอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือน่ะ”
   คลาวเดียนิ่วหน้า และคิดจะพูดว่า “ทำไมไม่ไปเอาเองล่ะ” แต่ก็หยุดปากไว้ หยิบถ้วยขึ้นมาตักซุปและเดินขึ้นไปชั้นบน
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่30-24/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 26-05-2011 20:32:55
   ฟ่งสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขารีบยันกายลุกขึ้น ขณะที่คลาวเดียเปิดประตูเข้ามาในห้อง
   “อ่าว หลับอยู่เหรอ?” เธอเอ่ยทัก  ลากเก้าอี้มานั่ง และวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะข้างๆ  ฟ่งสั่นศีรษะ
   “รูฟัสจองตั๋วให้เธอแล้วล่ะ  อีกสองวันเธอจะได้กลับบ้าน”
   “เหรอครับ” ฟ่งกล่าว และรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงของตัวเอง เขาควรจะรู้สึกดีใจมากกว่านี้สิ
   “อืม เห็นว่าพาสปอร์ตเธออยู่ในลิ้นชัก” คลาวเดียกล่าว และเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ  และหยิบมันยื่นให้ฟ่ง  ชายหนุ่มสวมแว่นรับมาและเปิดดู  เขาเห็นรูปใบหน้าตัวเองอยู่ในนั้น และขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อ
   “พาสปอร์ตของฮ่องกงนี่ครับ” เขาถาม และนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ถูกเว่ยเฟิงปิงพาตัวออกมาจากประเทศไทย เขายังไม่เคยได้ดูพาสปอร์ตของตัวเองเลย คลาวเดียพยักหน้า
   “วางใจเถอะ เธอจะไม่โดนจับหรอก พอกลับไปถึงที่นั่นก็เผาทิ้งเสีย แค่นั้นแหละ”
   ฟ่งนึกกลัวอยู่บ้าง “พวกคุณเดินทางกันด้วยพาสปอร์ตปลอมแบบนี้ตลอด?”
   “ไม่ใช่ฉันหรอก เฉพาะรูฟัสกับราฟี่เท่านั้นแหละ ถ้าเธออยากรู้เพิ่ม ทำไมไม่ถามเอากับรูฟัสล่ะ”
   ฟ่งยิ้มเศร้าๆ “เขาไม่เล่าให้ผมฟังหรอกครับ เขาไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย”
   “อย่างนั้นรึ?” คลาวเดียเอ่ย พลางนึกใคร่ครวญ
   “จริงสิ ฉันเอาซุปมาให้เธอ คิดว่าเธออาจจะหิว นี่ก็เย็นแล้วนะ เธออยากทานมื้อเย็นรึเปล่า?”
   “อา... ขอบคุณมากครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ”
   ฟ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินอะไรเลยแต่เช้า  ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมทานแค่นี้ก็พอ”
   เขาหันไปมองถ้วยซุป มันยังมีควันกรุ่นๆ อยู่
   “ตามใจแล้วกัน  ถ้าหิวก็ไปเปิดตู้เย็นเอานะ” หล่อนกล่าว ก่อนจะผุดลุกขึ้น และเดินกลับออกไป
   “ขอบคุณนะครับ” ฟ่งพูดตามหลัง และถอนหายใจยาว
--------------------------------------
   ชานดอร์รู้สึกภูมิใจกับความคิดของตนเองนิดหน่อย ในที่สุดเจ้ารูฟัสก็ได้เมาหลับสมใจในตอนที่บาร์ปิดพอดี โชคดีที่หมอนี่เมาหลับจริงๆ อย่างที่พูด ผู้ชายตาสองสีคนนี้คอแข็งอย่างน่ากลัว ชานดอร์กลัวว่าลูกค้าของเขาจะหายใจออกมาเป็นไฟก่อนที่จะเมาเสียอีก  อย่างไรก็ตามความกลัวนั้นดูจะห่างไกลความจริงนัก เพราะตอนนี้เขากำลังลากร่างหนาหนักนั้นกลับไปยังเกสท์เฮาท์
   ให้ตายสิ ตัวหนักหยั่งกะช้าง ชานดอร์คิด ขณะถูลู่ถูกังลากรูฟัสซึ่งบ่นงึมงำมาตลอดทางขึ้นไปบนเตียง
   “ผมจะฝันดีรึเปล่า ชานดอร์” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงนอน
   “จะไปรู้นายเรอะ อย่าอ๊วกแล้วกัน ฉันสงสารเด็กทำความสะอาด”
   รูฟัสหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสนุกที่เห็นอีกฝ่ายมีน้ำโห
   “ทำไมเขาถึงไม่ยอมพูดกับผมบ้างนะ สักคำก็ยังดี  ให้เหมือนว่าผมมีตัวตนอยู่”
   ชานดอร์ขมวดคิ้ว นี่เจ้ารูฟัสกำลังจะเพ้ออะไรอีกล่ะ
   “นายไปทำให้เขาไม่อยากพูดล่ะมั้ง” ผู้มีวัยสูงกว่าเอ่ยขึ้นลอยๆ รูฟัสครางอืม และดึงหมอนหนุนลงมากอด
   “ฟ่ง ผมคิดถึงคุณจัง”
   “ถ้าง่วงก็หลับๆ ไปเถอะ” ชานดอร์เอ่ยขึ้น เขาคิดว่าควรจะปล่อยเจ้านี่ทิ้งเอาไว้มากกว่าจะมานั่งฟังคำพูดเพ้อเจ้อแบบนี้ และก็เหมือนว่าคำสั่งตอนเมาจะได้ผล ไม่นานรูฟัสก็หลับไป  หนุ่มวัยสามสิบกว่าถอนหายใจ
   เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย
   เขาลูบหัวรูฟัสอย่างเอ็นดู  ความจริงรูฟัสก็ถูกใจอยู่ แต่เด็กนี่สนิทกับเขามาเกินกว่าจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้  ชานดอร์หัวเราะหึๆ  พลางนึกอยากเห็นหน้าของคนที่หักอกเด็กร้ายกาจคนนี้
   “โดนเองเสียบ้างจะได้เข้าใจหัวอกคนอื่น” เขากระซิบที่ข้างหู และได้ยินเสียงงืมงำตอบกลับมา ชานดอร์ผุดลุกขึ้น เห็นทีพรุ่งนี้เช้าเขาคงต้องโทรไปคุยเรื่องสนุกเรื่องนี้กับราฟาแอลเสียแล้ว
--------------------------------------------------------
   “นี่ ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อลูกน้อง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้อง ผู้เป็นเจ้านายดูเหมือนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เขาอยู่ในชุดแพรสีฟ้าอ่อน นัยน์ตาดูซึมเซาพิกล
   “ครับ?” จางซื่อเยี่ยนตอบรับคำเรียกหาของเจ้านาย เขาเพิ่งเสร็จจากการตรวจบริเวณอาคารในรอบดึก จนแล้วจนรอด  จางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงสาเหตุที่เว่ยเฟิงปิงอัดบุหรี่เข้าไปมากขนาดนั้น  เขาไม่กล้าจะเปิดปาก แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า อีกฝ่ายช่างห่างไกลอยู่ดี
   “นายเอากล่องใส่บุหรี่ฉันไปซ่อนอีกแล้วเหรอ”
   ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย และพยักหน้า เขาคิดแล้วว่าเว่ยเฟิงปิงจะต้องหงุดหงิด  ร่างบางเคาะนิ้วเรียวยาวลงกับโต๊ะไม้สัก และมองมาทางผู้เป็นลูกน้อง
   “ถ้าไม่อยากให้ฉันสูบบุหรี่ทำไมไม่บอกตรงๆ ล่ะ?”
   “ผมกลัวว่าคุณจะอารมณ์เสีย”
   “เอาไปซ่อนก็อารมณ์เสียเหมือนกันแหละ” เว่ยเฟิงปิงแย้งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ และเงยหน้าขึ้นมองลูกน้อง
   “ทำไมนายถึงไม่พูดกับฉันตรงๆ ล่ะ กลัวว่าฉันจะอารมณ์เสียมากขนาดนั้นเลยเหรอ คิดบ้างไหมว่าถ้านายไม่พูด ฉันก็จะอารมณ์เสียเหมือนกัน”
   จางซื่อเยี่ยนอึกอัก พอถูกดวงตาสีฟ้าใสนั้นจ้องในระยะประชิดแบบนี้ สมองพาลจะนึกอะไรไม่ออกเสียทุกที
   “ผะ..ผม...” เขากล่าวกระท่อนกระแท่น ด้วยไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนกันแน่
   “ว่าไงล่ะ นายคิดว่าพูดหรือไม่พูดดีกว่ากัน” ร่างบางเอ่ยถามต่อ น้ำเสียงเหมือนว่าจะคุกคามมากขึ้น
   “ผม..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่อยากทำให้คุณสบายใจขึ้น” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมา นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นจับจ้องเขาอย่างคาดคั้น
   “ไอ้การเอาบุหรี่ไปซ่อนนี่ไม่เรียกว่าทำให้สบายใจหรอกนะ นายต้องการอะไรกันแน่?”
   “ก็ผมไม่อยากให้คุณสูบ” จางซื่อเยี่ยนตอบ เริ่มคิดว่าเขาต้องมาโดนกดดันเพียงเพราะเรื่องบุหรี่เท่านั้นหรือ คนอย่างเว่ยเฟิงปิงนี่เดาอารมณ์ไม่ถูกเลยจริงๆ
   “ทำไมถึงไม่อยากให้ฉันสูบ กลัวฉันเป็นมะเร็งตายรึไง?”
   “ครับ” อีกฝ่ายเอ่ยปากรับทันที  เว่ยเฟิงปิงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
   “เป็นห่วงฉันเหรอ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และคิดว่าเว่ยเฟิงปิงไม่เคยคิดเลยหรือว่าเขาเป็นห่วง  ตลอดมาคิดว่าเขากวนใจหรอกหรือ
   “ถ้าเป็นห่วงนักทำไมไม่บอกให้ฉันเลิกสูบ”
   “ก็คุณโมโห” จางซื่อเยี่ยนแย้ง แต่อีกฝ่ายสวนกลับทันที “ฉันไปโมโหนายเมื่อไหร?”
   จางซื่อเยี่ยนหุบปากทันที เขาพยายามจะไม่พูดออกไปว่า “ก็ตอนนี้ไงล่ะ”
   “ตกลงว่าฉันไม่เคยโมโหนาย แล้วทำไมนายถึงไม่ยอมพูด”
   “ก็ตอนนี้คุณกำลังโมโหผมอยู่ไงครับ” ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็พูดออกไป เว่ยเฟิงปิงเถียงกลับทันที
   “ที่ฉันโมโหก็เพราะว่านายไม่ยอมพูดต่างหาก ทำไมนายถึงทำอะไรต่อมิอะไรลงไปโดยที่ไม่เคยบอกฉันเลยนะ ทำไมต้องปล่อยให้ฉันเดาเอาเองทุกที”
   ชายหนุ่มผมหางม้าอ้าปากค้าง  เขานึกไม่ออกว่าทำอะไรโดยที่ไม่ได้รายงานเว่ยเฟิงปิงไปเมื่อไหร่
   “ถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องกระเช้าของคุณจินหยินล่ะก็........”
   “เอ้อ!!! นั่นแหละ ในที่สุดนายก็ยอมพูด” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงอย่างผู้ชนะในทันที ความจริงเขาไม่ได้คิดจะให้จางซื่อเยี่ยนพูดถึงเรื่องนี้ แต่การหลุดออกมาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
   “นายยอมรับแล้วว่าได้ของมาจากพี่จินหยิน แล้วทำไมตอนกลางวันนายไม่บอกฉัน”
   “ก็ผมเห็นว่าไม่จำเป็น”
   “งั้นเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงลากเสียงถาม ตวัดดวงตาขึ้นมาจ้องหน้าเขาอีกครั้ง  จางซื่อเยี่ยนหลบสายตาเจ้านายอย่างอึดอัด
   “แล้วนายไม่คิดจะถามอะไรฉันบ้างหรือไง?”
   ประโยคนี้ของเว่ยเฟิงปิงเล่นเอาจางซื่อเยี่ยนงงเป็นไก่ตาแตก ตะกี้เพิ่งไล้บี้เขาอยู่หยกๆ ตอนนี้จะให้เขาถามอะไรอีก  จางซื่อเยี่ยนได้ยินเสียงตัวเองครางอย่างจนปัญญา
   “คุณ..คุณจะเอายังไงกับผมกันแน่..” ในที่สุดชายหนุ่มก็ถามออกไป  เว่ยเฟิงปิงมองเขาอย่างผิดหวังนิดหน่อย
   “ที่จะถามมีแค่นี้?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเว่ยเฟิงปิงคิดจะเอายังไงกับเขากันแน่  อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดทันที
   “นี่นายไม่คิดจะถามเลยหรือว่า ทำไมฉันถึงอัดบุหรี่เข้าไปขนาดนั้น ถึงขนาดต้องเอาไปซ่อนแต่ไม่คิดจะถามซักคำเนี่ยนะ”
   “ก็คุณโมโห..” จางซื่อเยี่ยนเถียงเสียงเบา แต่ก็ยังมิวายโดนตอกกลับมาด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราดกว่า
   “ฉันโมโหที่นายไม่ถามนี่แหละ!!”
   “โอเค งั้นคุณสูบทำไม?”   จางซื่อเยี่ยนถามออกไปในที่สุด เขาเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ เว่ยเฟิงปิงก้มหน้าลงเล็กน้อย เป็นครั้งแรกตั้งแต่จางซื่อเยี่ยนก้าวเข้ามาที่เว่ยเฟิงปิงหลบตาเขา
   “ฉันสูบเพราะนาย” ร่างบางตอบเสียงค่อย
   “ผม?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกไปอย่างประหลาดใจ  นั่นกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดขึ้นอีก
   “เออ เพราะนายไม่ยอมบอกฉันเรื่องกระเช้าผลไม้ ทำไมนายถึงโกหกฉัน กระเช้านั่นมันมีอะไรหรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง กระเช้านั่นมีอะไรน่ะรึ กระเช้านั่นมีเรื่องเครื่องดักฟังที่อยู่ในกระเป๋าเขาไงล่ะ  ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่า
   “ไม่มีครับ” เขาตอบ และถูกสวนกลับมาอีกครั้ง
   “ไม่มีแล้วทำไมนายไม่บอกฉัน ทำไมต้องโกหก”
   “ก็ผมเห็นว่ามันไม่จำเป็น”
   “ง้านเหรอ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว ดูเหมือนจะโมโหสุดๆ  จางซื่อเยี่ยนนึกไม่ออกว่าเขาทำผิดพลาดไปตรงไหน ร่างแกร่งเผลอยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เขาจนปัญญาจะรับมือกับเจ้านายคนนี้
   “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดหรือจะถามฉันมากกว่านี้ล่ะก็ ออกไปเลย” เว่ยเฟิงปิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด และชี้มือออกไปทางประตู จางซื่อเยี่ยนมีท่าทีเงอะงะขึ้นมาทันที
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ จู่ๆ ก็มาไล่กันแบบนี้...”
   “ถ้านายไม่พูด ไม่ถาม ฉันก็ไม่มีธุระอะไรกับนาย ออกไปซะ” เว่ยเฟิงปิงเน้นเสียง เหมือนกับว่าอยากให้ออกไปจริงๆ  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเจ้านายเขาแล้วทำตาปริบๆ
   “แล้วผมจะนอนที่ไหนล่ะ?” เขาเอ่ย และแทบจะหลับตาเพราะเสียงตะคอกที่ตอบกลับมา
   “เรื่องของนายสิ ไสหัวไปได้แล้ว!!”
   ผู้เป็นลูกน้องกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น ก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างเงียบๆ  เว่ยเฟิงปิงปิดประตูตามหลังดังปัง และสบถออกมาอย่างขัดใจ
   “เจ้าโง่เอ๊ย!!”
--------------------------------------
   เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หลังจากที่ราฟาแอลทานอาหารเช้าเสร็จไม่นาน  เขาเดินออกมาจากครัว รู้สึกแปลกใจที่ทำไมคลาวเดียถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ และนึกได้ว่าเธอขึ้นไปหาฟ่งที่ห้องชั้นบน
   ราฟาแอลยกหูโทรศัพท์ขึ้น และกรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล”
   เสียงอู้อี้ดังมาตามสาย “ไงราฟี่ นี่ฉันเอง ชานดอร์”
   “อ้อ ชานดอร์” ราฟาแอลร้อง นึกถึงร้านเหล้าตรงหัวมุมถนนทันที
   “ตื่นเช้าจัง มีอะไรล่ะ” เขาเอ่ย พลางมองดูนาฬิกา มันเพิ่งบอกเวลาสิบโมงเศษ ซึ่งโดยปกติแล้วชานดอร์น่าจะยังไม่ตื่น
   “เด็กนายมาเมาแอ๋อยู่ร้านฉัน”
   “รูฟัสน่ะรึ?” ราฟาแอลถามสวนไป เขารู้สึกแปลกใจมากที่ได้ยินคำว่าเมา
   “ตกใจที่ได้ยินว่าเจ้านั่นเมาเป็นกับเขาด้วยล่ะสิ”
   “ก็นิดหน่อย  ไปทำอีท่าไหนล่ะ” ราฟาแอลกล่าว พลางนึกไม่ออกว่ารูฟัสเมาได้อย่างไร
   “ก็ซัดเตกีล่าเพียวๆ ไปเกือบขวด ฉันเทให้หมอนั่นเองแหละ ก็เห็นว่าอยากจะหลับ”
   “เฮ้ย นี่มันคงไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ หรอกนะ” หนุ่มผมบลอนด์ร้อง เริ่มคิดแล้วว่าบางทีรูฟัสอาจจะเผลอไปทำอะไรบ้าๆ ได้
   “ไม่ขนาดนั้นหรอก ดูเหมือนแค่ยังทำใจไม่ได้ หนุ่มที่ไหนหักอกหมอนั่นได้นะ ฉันล่ะอยากเห็นจริงๆ”
   “เจ้านั่นเล่าให้นายฟังไปเยอะล่ะสิ หนุ่มที่ว่าอยู่ที่บ้านฉันนี่แหละ”
   “อ้อ!! มิน่าล่ะ หมอนั่นถึงได้หนีเตลิดออกมา เด็กที่ว่าเป็นญาตินายหรือไง”
   “ผิดไปห่างไกลเลยล่ะ” ราฟาแอลกรอกเสียงตอบ  อีกฝั่งร้องอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่งั้นรึ งั้นเป็นใครล่ะ?”
   “เป็นพวกต่างชาติน่ะ”
   “โห.... เอเชียล่ะสิ?” ชานดอร์เดา  นั่นทำให้ราฟาแอลเผลอเลิกคิ้ว
   “ใช่ นายรู้ได้ไง หมอนั่นบอกรึ?”
   “เดาเอาน่ะ ก็เห็นไม่เคยสนใจเด็กแถวนี้สักคน อาจจะชอบแบบเอเชียก็ได้มั้ง กำลังนิยมกันนี่”
   “อืม..ฟังดูน่าขยะแขยงพิลึก” ราฟาแอลกล่าว เขาได้ยินเสียงชานดอร์หัวเราะผ่านสายโทรศัพท์
   “แล้วจะเอาไงดี ให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้กลับไปไหม หรือว่าจะให้พักตัวไว้ที่นี่ก่อน”
   “เอาไว้นั่นก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้เด็กที่ว่าคงจะกลับประเทศแล้วล่ะ”
   “เหรอ  ไวจัง แล้วหอบกันมาได้ไงล่ะนั่น”
   “เรื่องมันยาวน่าดู ไว้ถ้าเจ้ารูฟัสตื่นแล้วนึกอยากเล่าขึ้นมานายคงได้รู้เองแหละ”
   “ดูลึกลับจังเลยน๊า” ชานดอร์เอ่ยเสียงเย้า พลางพูดต่อ “งั้นฉันรับดูแลหมอนี่สักพักหนึ่งแล้วกัน”
   “อืม ฝากด้วยนะ” ราฟาแอลกล่าว
   “ไม่เป็นไรหรอก นี่ถ้าแฟนคลับมาเห็นเจ้านี่ตอนนี้นะ ร้านฉันคงแตก ไม่เคยเห็นเจ้ารูฟัสอาการหนักแบบนี้เลยจริงๆ”
   “ก็เที่ยวนี้เป็นเอามากนี่”    ชายหนุ่มผมบลอนด์ว่า
   “งั้นแค่นี้แล้วกัน ไว้มีอะไรแปลกๆ ฉันจะโทรไปเล่าอีก บาย”
   “บาย” ราฟาแอลกล่าว และวางโทรศัพท์ ในจังหวะที่คลาวเดียเดินเข้ามาพอดี
   “ใครโทรมาหรือ?” หล่อนถาม
   “ชานดอร์น่ะ” ราฟาแอลตอบพลางยักไหล่ “เห็นว่ารูฟัสไปเมาแอ๋อยู่ที่นั่น”
   “รูฟัสน่ะน” คลาวเดียพูดอย่างไม่เชื่อ
   “แปลกใช่ไหมล่ะ คนอย่างหมอนั่นน่ะนะเมา ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ”
   “มันไม่น่าเชื่อมาตั้งแต่ที่เขาไปตกหลุมรักแล้วล่ะ” คลาวเดียเอ่ย
   “แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ?” หล่อนถาม ราฟาแอลส่ายหน้า
   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมฝากให้ชานดอร์ดูแลไปก่อน ไว้ฟ่งกลับประเทศแล้วค่อยว่ากันอีกที   พรุ่งนี้เองนี่”
   “อืม” คลาวเดียส่งเสียงในลำคอ เหมือนว่าอึดอัดอะไรบางอย่าง หล่อนมีความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก ความจริงแล้วมันไม่น่าจะแย่ขนาดนี้ แต่จะแก้ไขอะไรได้อีกล่ะ
   “พรุ่งนี้จะไปส่งเขากี่โมงล่ะ?” หล่อนถามแฟนหนุ่ม ราฟาแอลยักไหล่
   “ก็ราวๆ เจ็ดแปดโมงมั้ง ทำไมล่ะ คุณจะไปส่งแทนผมรึ?”
   “อืม ฉันไปส่งให้ก็ได้”
   ชายหนุ่มยิ้ม และหอมแก้มแฟนสาวเบาๆ “แหม น่ารักจังเลย งั้นฝากหน่อยแล้วกัน”
   คลาวเดียพยักหน้าอย่างหน่ายๆ    “แต่ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าคุณน่ารักสักนิดเลยนะ” หล่อนกล่าว ราฟาแอลทำหน้ายุ่ง
   “ผมว่าผมทำตัวน่ารักแล้วนะ”
   คลาวเดียถอนหายใจยาว และเดินออกไปในทันที  ทิ้งให้ราฟาแอลยืนเกาหัวแกร่กๆ อยู่คนเดียว
---------------------------------------
   รูฟัสหรี่ตาเมื่อพบกับแสงแดดในยามเช้า เขาพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก และพบว่าหัวสมองหนักอึ้ง
   สงสัยจะเพราะพิษของเตกีล่าแน่ๆ
   ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ตัว ทำความเข้าใจกับสภาพที่อยู่ของตัวเอง ที่นี่คงเป็นห้องใดห้องหนึ่งในเกสท์เฮาท์ของชานดอร์แน่ๆ  รูฟัสคิดว่าควรจะขอบคุณชานดอร์เสียหน่อย เมื่อวานดูเหมือนเขาจะก่อกวนไว้เยอะทีเดียว
   ร่างแกร่งยันกายลุกขึ้นจากที่นอน เดินโซเซไปหยิบขวดน้ำมาเปิดดื่ม ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ และสำรอกเมือกเหนียวออกมา ถึงเพิ่งพบว่าตัวเองปวดท้องพ่วงด้วย
   โรคเก่านี่อีกแล้ว
   รูฟัสคิด ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหากระเป๋าสตางค์ ก่อนจะเปิดประตูห้องและเดินออกไป

   “ฮ้าววว อ้าว?” ชานดอร์แทบจะลืมว่าตัวเองกำลังหาวอยู่เมื่อเห็นหนุ่มนัยน์ตาสองสีเดินหน้ามึนกลับเข้ามาในเกสท์เฮาส์  รูฟัสมองเขาอย่างแปลกใจ
   “ทำไมนายตื่นเช้าจัง” เขาเอ่ยถาม และเห็นชานดอร์ทำหน้าประหลาด
   “เช้าอะไรกันล่ะ นี่บ่ายแล้ว ตกลงนายเลิกหิ้วขวดเหล้า หันมาหิ้วขวดยาแทนหรือไง”
   รูฟัสมองหน้าชานดอร์  และมองขวดยาสีขาวในมือ
   “โรคเดิมๆ น่ะ” เขากล่าว และเดินเลี่ยงไป
   “ระวังเหอะ กินยาโรคกระเพาะมากๆ สมองจะเสื่อม”
   “ผมไม่ได้กินบ่อยหรอกน่า” ชายหนุ่มแย้ง และชะงักเท้าลง
   “เออ....เมื่อวาน ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ”
   ชานดอร์ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ “ถ้ารู้สึกผิดนักล่ะก็ มาเป็นเด็กเสิร์ฟให้ฉันสักเดือนเป็นไง”
   “เอางั้นก็ได้” รูฟัสกล่าว ชานดอร์หันมาอย่างไม่เชื่อ
   “พูดจริงรึ?”
   “จริง” ชายหนุ่มว่า เขาหยิบขวดยาสีขาวขึ้นมาเปิดและดื่มมันลงไปอึกหนึ่ง “แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรอกนะ”
   “โธ่” อีกฝ่ายร้องครางอย่างผิดหวัง  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
   “แล้วเป็นไงล่ะ เมื่อคืนฝันดีไหม?”
   รูฟัสนิ่งเงียบไปพักใหญ่
   ฝันรึ?  เมื่อคืนเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฝันอะไร
   ชายหนุ่มถอนหายใจยืดยาว
   “ผมมันบ้าไปเองแหละ” เขาพึมพำ  จนอีกฝ่ายต้องถาม “ว่าไงนะ?”
   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” รูฟัสโบกมือวูบ
   “ผมไปนอนต่อล่ะ ปวดหัวชะมัด  ไว้คืนนี้อาจจะไปช่วยที่ร้าน”
   “โอ้ ข่าวดีเลยนะนั่น แต่ถ้ายังอยู่ในสภาพนี้ล่ะก็ไม่ต้องก็ได้ ลูกค้าฉันคงหายหมด”
   รูฟัสหัวเราะหึๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าเกสท์เฮาส์ไป
   
   ร่างแกร่งล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้งพร้อมกับขวดยา และระบายลมหายใจออกมา ทั้งหัวและกระเพาะยังคงปวดตุบๆ  บอกไม่ถูกว่าอะไรปวดมากกว่ากัน
   รูฟัสหัวเราะ มันทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่เขามีอะไรกับฟ่ง หลังจากนั้นเขาก็ต้องออกไปหิ้วยาแก้โรคกระเพาะมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ
   เด็กนั่นเข้ามาเพื่อทรมานเขาหรือไงนะ
   รูฟัสหลับตาปล่อยให้หยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมา
   ไม่มีความฝันแสนหวานที่เขาวาดหวังหรอก ที่มีอยู่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เรื่องจริงที่กลายเป็นอดีต ความหอมหวานที่เป็นเพียงความทรงจำ
   และปัจจุบันที่แสนเจ็บปวดเท่านั้น
   เสียงถอนหายใจยืดยาวดังขึ้นอีกครั้ง
   เขาจะผ่านช่วงเวลาอันปวดร้าวนี่ไปได้อย่างไรนะ
----------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 28-05-2011 12:15:50
เข้ามารอนะครับ
 :L1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-06-2011 09:19:26
บทที่32 ลาจาก
   ฟ่งพลิกแผ่นกระดาษพริ๊นต์สีขาวในมือที่คลาวเดียหยิบมาให้ ก่อนจะพับมันและสอดเข้าไปในพาสปอร์ต พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะได้กลับบ้าน ชายหนุ่มถอนหายใจ เขากำลังจะไปพ้นจากเรื่องยุ่งๆ พวกนี้ กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนอย่างที่ผ่านมา
   เขาควรจะรู้สึกดีใจมากกว่านี้สิ
   ฟ่งนึกถึงห้องพักของเขา ป่านนี้ฝุ่นคงหนาเป็นนิ้วแล้ว ชายหนุ่มจำไม่ได้แล้วว่าเขาจากที่นั่นมานานเท่าไหร่ อาจจะสักสองหรือสามอาทิตย์ ของที่แช่ไว้ในตู้เย็นคงเสียหมดแล้ว หรือไม่ก็คงแข็งเป็นก้อนหินไปเลย กลับไปคงต้องทำความสะอาดยกใหญ่ จะเรียกใครมาช่วยดีนะ เล้งก็คงติดเรียน เจ๊ผิงก็ทำงาน คงต้องทำคนเดียวนั่นแหละ แล้วเขาก็นึกถึงคนข้างห้อง
   รูฟัสจะกลับไปที่นั่นด้วยรึเปล่า?
   ชายหนุ่มหลับตา ทำไมเขาจะต้องคิดถึงผู้ชายคนนั้นด้วย รูฟัสอาจจะไม่กลับไปที่นั่นอีกแล้วก็ได้ มันไม่ใช่ที่ของเขาเสียหน่อย เขาก็แค่ไปทำงาน ไปชั่วคราว ที่พักชั่วคราวก็แค่นั้น แต่ถ้ารูฟัสกลับไปล่ะ เขาจะทำหน้ายังไง จะยังคุยกันอยู่ไหม จะยังเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า จะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ไหม?
   ฟ่งหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างเศร้าๆ  ทำไมเขาถึงได้อาลัยอาวรณ์ผู้ชายคนนั้นนัก  ความสัมพันธ์ที่เขามีกับรูฟัสน่าจะเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเรื่องหนึ่งในชีวิตของเขา
   ใช่แล้วล่ะ มันเป็นแค่ความผิดพลาด ผิดที่เขาอ่อนแอเกินไป พลาดที่เขาไม่เข้มแข็งพอ
   ร่างบางขบกรามอย่างปวดร้าว ถ้าเขาเข้มแข็งกว่านั้นสักนิด เข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธความหวังดีของผู้ชายคนนั้นแต่แรก เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น ชีวิตของเขาคงจะสงบสุขกว่านี้  เขาคงจะได้อยู่ตัวคนเดียวไปเรื่อยๆ
   ตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียวแล้วไม่ใช่หรือไง...
   จู่ๆ น้ำตาก็หยดลงมาอย่างไม่รู้ตัว ฟ่งยกมือขึ้นเช็ดมัน แต่ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งหยาดน้ำตาที่เริ่มจะไหลทะลักออกมาได้
   เขาไม่อาจจะเข้มแข็งอย่างหวังได้เลย....
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขากำลังเดินอย่างไร้จุดมุ่งหมายอย่างเดียวดายอยู่บนทางเดินยาวภายในตึก  เว่ยเฟิงปิงไล่เขาออกจากห้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้  ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโมโหเขาเรื่องบุหรี่หรือเรื่องกระเช้ากันแน่ แต่คิดๆ แล้ว เว่ยเฟิงปิงอาจจะโมโหทั้งสองเรื่อง ชายหนุ่มถอนหายใจยาว มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักเรื่อง หรือถ้าใช่อาจจะสักนิดหนึ่งในเรื่องกระเช้า ก็เขาไม่อยากบอกว่าข้างในเขียนเรื่องเครื่องดักฟังนี่ นั่นอาจจะยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงโมโหก็ได้
   จางซื่อเยี่ยนคอตก เขานึกไม่ออกว่าจะเอาใจเจ้านายคนนี้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาควรจะคิดเรื่องที่ซุกหัวนอนก่อน ห้องเก่าที่เขาเคยอยู่ เว่ยเฟิงปิงก็ย้ายคนอื่นมาอยู่แทนแล้ว  ครั้นจะออกไปนอนข้างนอกก็ไม่รู้ว่าจะโดนตามตัวเมื่อไหร่ เกิดถูกโมโหอีกคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ  เขาคงต้องไปขอนอนห้องใครสักคน
---------------------------------------------
   รูฟัสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และยังคงรู้สึกปวดหัวอยู่หน่อยๆ แต่โรคกระเพาะดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว เขายันกายลุกขึ้น มองดูนาฬิกาข้อมือ
   สี่โมงเย็นแล้วหรือนี่..
   คงต้องขอบคุณอาการเมาค้างที่ทำให้เขาหลับลืมโลกไปได้หลายชั่วโมง อย่างน้อยตอนหลับก็ยังไม่เจ็บปวดเท่าตอนตื่น
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ  เขามองดูตัวเองในกระจก และพาลรู้สึกหงุดหงิด
   ผู้ชายผมสีดำที่ดูไม่ค่อยจะเป็นทรงนักเนื่องจากนอนมากไป นัยน์ตาเบลอๆ สองสีนั่น ดูแล้วน่าขนลุกสิ้นดี  เหมือนกับตาไม่เท่ากันงั้นแหละ หนวดเคราก็เริ่มจะขึ้นมาจนเริ่มจะดูรกแล้ว  สารรูปแบบนี้มันน่ามองตรงไหนกัน
   รูฟัสหยิบมีดโกนหนวดขึ้นมาและเริ่มจัดการกับใบหน้าของตนเอง เขาเผลอทำมันบาดคางตัวเองในช่วงก่อนจะโกนเสร็จ ชายหนุ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมีดและเลือดที่คางออก รูฟัสมองหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง แผลที่คางสงสัยจะต้องติดปลาสเตอร์ เขามองดูตาตัวเอง และคิดว่าน่าจะหยิบคอนแทกต์เลนส์สีออกมาจากบ้านด้วย
   สงสัยจริงๆ ว่าจะมีใครไม่สังเกตเห็นตาประหลาดแบบนี้บ้าง
   เห็นแล้วจะรู้สึกแบบไหนนะ? จะลืมลงรึเปล่า?
   รูฟัสรู้ว่าคนที่เขารู้สึกและสัมผัสส่วนใหญ่ไม่เคยลืมตาคู่นี้ แล้วคนคนนั้นล่ะ
   ฟ่งเคยจดจำอะไรเกี่ยวกับตัวเขาบ้างรึเปล่า? ในความทรงจำของฟ่งจะมีเขาอยู่บ้างไหม?
   ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นนั้น เคยมีเงาของเขาสะท้อนอยู่บ้างรึเปล่านะ
-------------------------------------
   “อ้าว มาจริงรึนี่” ชานดอร์เอ่ยทักทันทีที่เห็นรูฟัสเปิดประตูเข้ามาในบาร์ รูฟัสกวาดตาดูรอบๆ เขาเห็นว่าชานดอร์กำลังก้มๆ เงยๆ เตรียมของอยู่ที่เคาน์เตอร์เหมือนเช่นทุกวัน
   “แหม แต่งซะหล่อเชียวนะ ทำใจได้แล้วหรือไง?” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยแหย่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้มาเยือน รูฟัสส่ายหน้า
   “แล้วคิดจะประชดอะไรอีกล่ะ คราวนี้จะทำตัวเป็นพวกโฮสหรือไง?”
   ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที “ผมไม่ทำอะไรตกต่ำแบบนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ ลืมไป  ถ้านายทำอะไรแบบนั้น พวกสาวๆ คงดีใจกันใหญ่”
   รูฟัสทำหน้าบูด “ผมไม่ได้น่าควงขนาดนั้นหรอก”
   “เรอะ ฉันเห็นมีแต่คนอยากจะจี๋จ๋ากับนาย”
   “แล้วไงล่ะ” รูฟัสกล่าว พลางยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “อ้าว ก็เห็นเคยควงอยู่หลายคนนี่ พวกนั้นไม่เคยถูกใจบ้างเลยรึ?”
   ผู้ถูกถามถอนหายใจ ยกมือขึ้นกดศีรษะที่ยังปวดอยู่ “ไอ้ถูกใจก็ใช่หรอก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนี่ แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป”
   “เรอะ แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่ผ่านมาผ่านไปหรือไง”
   รูฟัสหลับตาอย่างเสียมิได้ เขาเบือนหน้าไปทางอื่น
   “ที่ว่าผ่านไปน่ะ อาจจะเป็นตัวผมเองก็ได้”
   “อ้อ...เด็กนั่นโชกโชนน่าดูเลยล่ะสิ”
   รูฟัสส่ายหน้าทันที เขาหันกลับมามองหน้าชานดอร์อย่างไม่พอใจนิดหน่อย
   “เขาเรียบร้อยมากเลยล่ะ  ความจริงผมเป็นครั้งแรกของเขาด้วยซ้ำ”
   “โอ๊ย ตายล่ะ!!” ชานดอร์ร้องขึ้น รูฟัสย่นคิ้วอย่างรำคาญ
   “นี่นายประทับใจในครั้งแรกของคนอื่นขนาดนั้นเลยหรือไง”
   “ผมดูเป็นคนแบบนั้นรึ?” อีกฝ่ายถามย้อน  และเดินมานั่งปุลงบนเก้าอี้เคาน์เตอร์  ชานดอร์ส่ายศีรษะทันที ดูยังไงรูฟัสก็ไม่ใช่คนที่จะมีความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้นแน่ๆ
   “มีอะไรให้ทำบ้างล่ะ ถ้าไม่มีงานล่ะก็ผมจะไปที่อื่น” ชายหนุ่มกล่าว ชานดอร์รีบหันหน้ามาทันที
   “มีเพียบ นี่กะโก่งค่าตัวกันหรือไง  ไม่มีร้านไหนทำงานสบายเท่าร้านฉันหรอกนะ ที่นอนก็มีแถมให้”
   “รู้แล้วล่ะน่า” รูฟัสตอบอย่างรำคาญ
   “ผมไม่ได้อยากได้ค่าจ้าง จะให้ผมทำอะไรบ้างล่ะ”
   ชานดอร์มองไปรอบๆ ร้าน “ก่อนอื่น เธอไปกวาดพื้น แล้วก็ยกเก้าอี้ลงมาตั้งให้หมดเลยนะ”
-------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด เขาโยนหมอนของจางซื่อเยี่ยนลงจากเตียงในตอนที่พลิกตัวครั้งล่าสุด มันทำให้เขาหงุดหงิดสิ้นดี
   เจ้าบ้านั่นไม่ยอมโผล่หัวกลับมาจริงๆ ด้วย
   ชายหนุ่มมองดูนาฬิกา นี่ก็ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ความจริงเขาเองที่เป็นคนไล่จางซื่อเยี่ยนออกไป  แถมยังเป็นการไล่อย่างไร้เหตุผลเสียด้วย  แต่ทั้งๆ ที่ไล่แบบไร้เหตุผลขนาดนั้น หมอนั่นยังออกไปได้หน้าตาเฉย ไม่เถียงอะไรสักคำ แถมยังทำเหมือนกับว่าจะไม่กลับมาด้วยซ้ำ
   มันน่าหงุดหงิดจริงๆ
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนคิดอะไรอยู่ เจ้านั่นทำตามคำสั่งเขาเหมือนกับหุ่นยนต์ ไม่เคยหือไม่เคยอือ ไม่เคยแข็งข้ออะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเคร่งครัดในหน้าที่มาก หรือว่าบ้า หรือว่าโง่กันแน่  หรือบางทีอาจจะรวมกันทั้งสามอย่าง
   ร่างบางทุบลงไปที่หมอน
   โธ่เว่ย!! นี่ตกลงจะหายหัวไปตลอดคืนเลยใช่มั๊ย!!
   นิ้วเรียวขย้ำหมอนอย่างอารมณ์เสีย เจ้านั่นรู้เรื่องเครื่องดักฟังแล้วแท้ๆ แถมรู้แล้วด้วยว่าเขารู้เรื่องกระเช้า แล้วทำไมถึงไม่ถามอะไรสักอย่าง ไม่คิดจะถามเลยเรอะว่าใส่เครื่องดักฟังลงไปทำไม หรือว่ารู้อยู่แล้ว แต่หน้าแบบนั้นจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอะไร
   ถ้าเจ้าบ้านั่นเป็นใบ้คงจะไม่น่าหงุดหงิดแบบนี้หรอก!!
   เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวอีกครั้ง และคว้าหมอนข้างมากอด ทั้งบุหรี่ทั้งเหล้าที่เก็บเอาไว้ จางซื่อเยี่ยนเอาไปซ่อนจนหมด ถ้าไม่อยากให้สูบก็บอกสิ  ทำไมต้องเอาไปซ่อน พอถามแล้วก็อ้ำๆ อึ้งๆ  ถ้าคิดจะหวังดีก็น่าจะบอกกันบ้าง ตกลงว่าหมอนั่นหวังดีกับเขาจริงๆ หรือว่าทำไปเพราะสัญชาติญาณ หรือทำไปเพราะอยากจะกวนประสาทกันแน่นะ
   ร่างบางขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาคงนอนไม่หลับแน่ จู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็ผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบโทรศัพท์
   มันน่าหงุดหงิดที่สุดเลย
-------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งตื่นจากภวังค์เพราะเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ดังขึ้น เขารู้สึกตกใจที่เห็นว่ามันเป็นเบอร์ส่วนตัวของเจ้านาย ไม่บ่อยนักที่เว่ยเฟิงปิงจะใช้โทรศัพท์ส่วนตัวเข้ามาหาเขา หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่เขาไม่อยู่ ชายหนุ่มกดรับโทรศัพท์ และต้องรีบถอยมันออกมาให้ห่างหูทันที
   “เจ้าบ้าซื่อเยี่ยน ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเนี่ย!!” เสียงแว้ดทำเอาเขาปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ชายหนุ่มละล่ำละลักกรอกเสียงลงไป
   “มีอะไรหรือครับคุณชาย” เขากล่าว  พลางคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือเว่ยเฟิงปิงแค่โทรมาอาละวาดเท่านั้นนะ
   “ฉันถามว่านายอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ให้นายมาถามว่าเกิดอะไร”
   “ครับๆ” ชายหนุ่มตอบอย่างลนลาน “ผมอยู่ที่ห้องอาเง็ก”
   “อ้อ” อีกฝ่ายลากเสียงยาวจนต้องนึกหวาดว่าตอบอะไรผิดไปอีกหรือเปล่า”
   “ห้องอาเง็กน่านอนกว่าห้องฉันงั้นสิ งั้นเชิญนอนไปเลย”
   “ดะ เดี๋ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนรีบกรอกเสียงลงไป ด้วยกลัวว่าเว่ยเฟิงปิงจะตัดสายไปก่อน
   “ทำไม?” อีกฝ่ายกรอกเสียงกลับมา
   “ก็คุณไล่ผมออกมาเอง”
   “เออ ฉันจำได้  ถ้าอยากนอนที่นั่นก็นอนไปเลย แค่นี้ล่ะ” ผู้เป็นเจ้านายกล่าว และวางสายไป  จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาอย่างงงๆ นี่ตกลงเว่ยเฟิงปิงโทรมาเพื่อจะพูดแค่นี้หรือนี่ เขาวางโทรศัพท์อย่างสลด  เสียงงึมงำของอาเง็กที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องดังขึ้น
   “คุณชายโทรมาหรือพี่?”
   “อืม” จางซื่อเยี่ยนตอบในคอ นึกไม่ออกว่าเขาไปทำอะไรให้เว่ยเฟิงปิงไม่พอใจอีก ก็ออกมาอย่างที่ไล่ แล้วก็ไม่ได้ไปทำอะไรต่อเลยนี่นา
   “พี่จะออกไปเลยรึเปล่า?” อาเง็กถาม จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้างุนงง
   “ออกไปไหน?”
   “อ่าว ไม่ใช่ว่าคุณชายโทรตามเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายหน้า เขาไม่อยากบอกว่าเว่ยเฟิงปิงโทรมาด่าต่างหาก
   “อืม...ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไปขัดใจอะไรคุณชายรึเปล่า แต่คุณชายน่าจะเหงานะ ที่ให้พี่ไปอยู่ด้วยอาจจะเพราะเหงามากๆ ก็ได้”
   “คุณชายน่ะนะ” จางซื่อเยี่ยนถามออกไปอย่างไม่เชื่อ อาเง็กหาวหวอดก่อนจะพูดต่อ
   “นี่พี่ไม่รู้สึกหรือไง คุณชายน่ะอยู่คนเดียวตลอดเลยนะ  ไอ้ที่ดูจะทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ก็คงเป็นตอนที่มีตัวประกันคนนั้นอยู่ล่ะมั้ง เหมือนว่าคุณชายจะชอบเขา”
   จางซื่อเยี่ยนจะงักไปนิดหน่อย เว่ยเฟิงปิงชอบฟ่งงั้นรึ?  จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดของฟ่ง  เจ้านั่นก็เคยบอกเหมือนกันว่าเว่ยเฟิงปิงเหงา
   “ฉันเป็นแค่ลูกน้อง จะไปทำอะไรได้” ชายหนุ่มกล่าว  อาเง็กบิดขี้เกียจ
   “จะลูกน้องหรืออะไรผมว่าคุณชายคงไม่ว่าหรอก คุณชายก็แค่อยากจะมีเพื่อนแค่นั้นแหละมั้ง ถ้าพี่ไม่กลับไปห้องคุณชายล่ะก็ ช่วยปิดเสียงโทรศัพท์ที ผมกลัวว่าจะมีสายต่อลงมาอีก”
   “อืมๆ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว พลางกดปิดเสียงโทรศัพท์ ขณะที่อาเง็กซุกหน้าลงกับหมอนและหลับต่อ
---------------------------------------
   ในขณะที่กำลังรู้สึกเคลิ้มๆ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น เว่ยเฟิงปิงลืมตาอย่างงัวเงีย พลางคิดว่าไอ้บ้าที่ไหนมาเคาะประตูป่านนี้  เขาซุกหัวลงไปบนหมอนต่อ ไม่ว่าใครที่มาเคาะ ถ้าเคาะอีกรอบมันต้องเจอดีแน่ โชคดีที่เสียงเคาะดังแค่นั้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู  เว่ยเฟิงปิงขยับตัว เขารู้แล้วว่าใครมา
   จางซื่อเยี่ยนค่อยๆ แง้มประตูเข้ามาในห้อง และจริงดังคาด เว่ยเฟิงปิงนอนแล้ว  เขาปิดประตู มองไปที่เตียงและเห็นหมอนร่วงอยู่บนพื้น ร่างแกร่งถอนหายใจ
   นี่เขากลับมาทำไมเนี่ย
   จางซื่อเยี่ยนก้าวเท้าเข้าไปข้างเตียงอย่างเงียบๆ หยิบหมอนขึ้นมา และวางมันลงไปบนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะหลับสนิท เขามองดูใบหน้าเรียวยาวนั้น พลางคิดว่าถ้าไม่ใช่คนที่ตื่นมาอาละวาดเมื่อครู่นี้ก็คงน่ารักทีเดียว
   จางซื่อเยี่ยนมองไปรอบๆ ห้อง เว่ยเฟิงปิงนอนขวางเตียงเต็มที่ ครั้นจะกลับไปที่ห้องอาเง็กก็กระไรอยู่ ขณะที่กำลังยืนคิดว่าจะไปนอนตรงมุมไหนดี เสียงของเว่ยเฟิงปิงก็ดังขึ้น
   “ทำไม หาที่นอนไม่ได้หรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง หันหน้ากลับมาและยิ้มแห้งๆ เขาคิดผิดไปถนัดว่าเจ้านายของเขาหลับไปแล้ว
   “ผมว่าจะไปนอนที่หน้าตู้...”
   “เกะกะน่า” เว่ยเฟิงปิงกล่าวสวน และพูดต่อ “เตียงมีนอนไม่เป็นหรือไง”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง มองดูแผ่นหลังของคนพูดที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียง พลางกลืนน้ำลาย
   “แต่ว่า.....คุณนอนอยู่”
   คราวนี้เว่ยเฟิงปิงพลิกตัวกลับมาจ้องหน้ากับเขาเต็มที่
   “ฉันนอนอยู่แล้วไง  ก่อนหน้านี้ก็นอนได้สองคนนี่ บอกให้ขยับไม่เป็นหรือไง”
   “อา...” จางซื่อเยี่ยนคราง มองดูร่างบางที่นอนขวางอยู่ ในที่สุดก็อ้าปากพูดขึ้น
   “ช่วยขยับไปหน่อยครับ”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าเขาพักหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนกลัวว่าจะโดนด่าอีก แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมขยับ
   “พูดแต่แรกก็จบเรื่องแล้ว” ร่างบางกล่าว และหันหลังให้อีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนนั่งลงไปบนเตียง มองดูแผ่นหลังของเว่ยเฟิงปิง
   “ราตรีสวัสดิ์ครับ” ชายหนุ่มพูด และล้มตัวลงนอนข้างๆ ทิ้งระยะห่างจากผู้เป็นเจ้านายเล็กน้อย  เสียงของเว่ยเฟิงปิงดังขึ้น
   “กอดฉันด้วยสิ”
   ร่างแกร่งกลืนน้ำลายอีกครั้ง แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงพึมพำอะไรบางอย่าง
   “เมื่อไหร่จะฉลาดซะทีนะ”
   “ว่าไงนะครับ” ชายหนุ่มถามออกไป และได้ศอกมาเป็นคำตอบ
-------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy บทที่31-26/05/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-06-2011 09:19:52
   ฟ่งตัดสินใจลงมาข้างล่างในตอนเย็น แม้เขาจะไม่อยากพบหน้ารูฟัส แต่การต้องให้คลาวเดียเอาอาหารขึ้นไปให้นั้นดูจะน่าเกลียดกว่า
   “อ่าว ลงมาได้แล้วหรือไง” เสียงทักจากราฟาแอลที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาทำให้ฟ่งไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี ดูเหมือนว่าราฟาแอลจะไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่นักแม้กระทั่งตอนนี้ โชคดีที่คลาวเดียเดินออกมาจากครัวพอดี
   “อ้าวฟ่ง มาพอดีเลย อยากจะไปช่วยในครัวรึเปล่า” เธอเอ่ย ชายหนุ่มพยักหน้าทันที   อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องนั่งเผชิญหน้ากับผู้ชายผมสีบลอนด์คนนั้น

   “แล้วรูฟัสล่ะครับ” ฟ่งเอ่ยถามขึ้นในตอนที่เขาหยิบมันฝรั่งขึ้นมาวางให้คลาวเดีย หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
   “ไม่อยู่  ไม่คิดว่าเธอจะถามถึงเขานะเนี่ย”
   “ผม  เอ้อ..” ฟ่งนึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องถามถึงรูฟัสด้วย ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่หรือ
   “ไปซื้อของหรือครับ” ชายหนุ่มสวมแว่นถามต่อ คลาวเดียหยิบมีดมาปอกมันฝรั่ง
   “เปล่าหรอก คงไปเมาอยู่แถวไหนสักแห่งล่ะมั้ง”
   “อา..” ฟ่งคราง รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
   “เพราะผมหรือ?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจนัก คลาวเดียยักไหล่
   “ก็คงอย่างนั้นแหละ ไม่ใช่เพราะเธอเขาคงไม่บ้าได้ขนาดนี้”
   “ผมขอโทษ” ฟ่งคอตก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนก่อเรื่องวุ่นแท้ๆ
   “แล้วเขาจะกลับมาอีกหรือเปล่า?”
   หญิงสาวกองเปลือกมันฝรั่งเอาไว้ตรงหน้าฟ่ง ชายหนุ่มรีบโกยไปทิ้งทันที
   “คงกลับมาหลังจากที่เธอกลับไปแล้วน่ะ” หล่อนกล่าวหลังจากที่ฟ่งทิ้งเปลือกมันฝรั่งแล้ว  ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   ก็แปลว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ
   ในวินาทีนั้น ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้ง
   “ทำไมจู่ๆ ถามถึงรูฟัสล่ะ” คลาวเดียถามขึ้นบ้าง ฟ่งส่ายหน้า
   “ไม่รู้สิครับ ช่างเถอะ มันฝรั่งนี่ต้องล้างอีกหรือเปล่าครับ” เขาถาม คลาวเดียโบกมือ
   “ไม่ต้อง เดี๋ยวเอาใส่หม้อเลย”
-----------------------
   “ว้าว รูฟัส เดี๋ยวนี้มาเป็นบาร์เทนเดอร์แทนชานดอร์แล้วหรือไง” หญิงสาวผมสีบลอนด์ร้องทัก ขณะนั่งปุลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์
   “หมอนี่ไม่ได้เป็นแค่บาร์เทนเดอร์ได้อย่างเดียวนะ ยังเป็นอย่างอื่นได้ด้วย” ชานดอร์กล่าว  เขายืนอยู่ในเคาท์เตอร์บาร์เช่นกัน กำลังชงเหล้าให้ลูกค้าคนหนึ่งอยู่
   “คิกคิก  เป็นอะไรล่ะชานดอร์ เป็นแฟนคุณได้หรือไง” หล่อนเย้า รูฟัสทำหน้าเหยเก ขณะที่ชานดอร์ทำหน้าเหมือนกลืนขยะลงไป
   “ฉันหมายถึง เป็นเด็กเสิร์ฟกับพนักงานทำความสะอาดต่างหาก”
   “ตาย ชานดอร์ คุณนี่ใจร้ายจริงๆ ฉันล่ะนึกภาพรูฟัสกวาดพื้นไม่ออกเลย” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะ
   “งั้นเดี๋ยวจะใช้ให้กวาดให้ดู”
   “พอเหอะ” รูฟัสกล่าวตัดบท มองไม่เห็นว่าของแบบนั้นมันน่าภูมิใจนำเสนอตรงไหน  หญิงสาวผมบลอนด์หันมาให้ความสนใจกับเขาอีกครั้ง
   “หายเมาค้างแล้วหรือ เมื่อวานฉันเห็นเธอดวดเตกีล่าไปเยอะเลย”
   “คุณเห็นด้วยรึ?” เขาถามอย่างแปลกใจ หญิงสาวพยักหน้า
   “แหม ก็เธอน่ะเด่นขนาดนั้น ขอเหล้าผลไม้นะ” หล่อนสั่งเครื่องดื่ม และพูดต่อ
   “รู้รึเปล่าว่ามีหลายคนแวะมาร้านนี้เพราะแค่อยากจะเจอกับเธอสักครั้งหนึ่ง”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีทำหน้าแปลกๆ ชงเหล้าผลไม้และยื่นให้หล่อน
   “ฉันบอกแล้วว่าแฟนคลับเธอเยอะ” ชานดอร์กระซิบ
   “ผมไม่เห็นจะภูมิใจสักนิด” รูฟัสพึมพำ
   “แล้วนี่เธอจะมาทำงานที่นี่ยาวเลยรึเปล่า?” หล่อนถาม ขณะจิบเหล้า
   “ไม่รู้เหมือนกัน” เขากล่าว
   “ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมาทำงานที่นี่ ลูกค้าของชานดอร์คงเพิ่มมาเป็นกองเลยล่ะ”
   “อย่าบอกนะว่าแค่เข้ามาดูผมน่ะ”
   หญิงสาวพยักหน้า  รูฟัสทำท่าเหมือนโลกจะแตก
   “ทำไมต้องทำหน้าสยองโลกแบบนั้น เธอไปเจออะไรมาหรือไง ถึงต้องจิตตกขนาดต้องดวดเตกีล่าเนี่ย”
   “พูดไปแล้วเธอจะหาว่าโกหก” ชานดอร์กล่าวแทรกขึ้น  เขากำลังเขย่าเชคเกอร์ในท่าทางที่น่าหวาดเสียวว่ามันจะหลุดมือและพุ่งเข้าใส่หัวของรูฟัส
   “เจ้านี่เพิ่งอกหักมาหมาดๆ เลย” เขาพูดพลางพยักเพยิดไปยังผู้ถูกพาดพิง หญิงสาวทำตาโต
   “คุณต้องโกหกคำโตแน่ๆ ชานดอร์ ใครที่ไหนจะกล้าหักอกรูฟัสเนี่ย”
   “มีสิ ไม่เชื่อก็ลองถามเจ้าตัวดู”
   รูฟัสมีสีหน้าเหมือนกลืนเม่นเข้าไป
   “ทำไมถึงต้องตอกย้ำกันนะชานดอร์” เขากล่าว และหันหน้าไปทักลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกคน หญิงสาวผมบลอนด์มีสีหน้าแปลกใจ
   “จริงหรือรูฟัส ที่ว่าเธออกหักน่ะ”
   “อืม” ผู้ถูกถามพยักหน้า และหันไปรับออเดอร์จากลูกค้า
   “เหลือเชื่อจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นนางงามจักรวาลหรือไง”
   “เป็นผู้ชายต่างหาก” ชานดอร์ช่วยแก้ให้ รูฟัสมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย
   “โอ๊ย ตาย..ฉันล่ะจะเป็นลม ตกลงเป็นผู้ชายอีกหรือนี่” หล่อนร้อง ทำท่าเหมือนจะเป็นลมจริงๆ รูฟัสย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
   “ผมเป็นไบ คิดว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วเสียอีก”
   “รู้น่ะรู้อยู่หรอก ขอเตกีล่าแก้วนึง” หล่อนกล่าว และสั่งเหล้าเพิ่ม
   “จะประชดหรือไง” ชานดอร์แหย่เมื่อเห็นว่าเธอสั่งอะไร หญิงสาวยักไหล่
   “ก็รู้อยู่นะว่าเธอน่ะได้ทั้งสองอย่าง แต่แหม... คนที่ทำให้เธออกหักดันเป็นผู้ชายนี่ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าเธอชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงน่ะสิ”
   หนุ่มตาสองสีทำหน้ายุ่ง “สำหรับผมมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”
   “พูดจาได้ร้ายกาจมากเลยนะ  มันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ” หล่อนกล่าว กวาดตามองเขาขึ้นลง
   “นี่แปลว่าถ้าเขาเกิดเป็นผู้หญิง ก็ยังจะชอบงั้นสิ”
   รูฟัสมองหน้าหล่อนแวบหนึ่ง และยื่นแก้วเตกีล่าให้ พร้อมกับมะนาว
   “ผมบอกแล้วว่าสำหรับผม ชายหญิงก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงก็ดีสิ”
   “ดียังไง จะทำลูกหรือไง” ชานดอร์เอ่ยแทรกขึ้น รูฟัสผงกหัว
   “ไม่แน่นะ คุณอาจจะได้เห็นลูกผมก็ได้”
   ชานดอร์ยกมือขึ้นกุมขมับ “ถ้าเด็กนั่นได้ยินแบบนี้คงโกรธนายแน่ๆ พูดเหมือนผิดที่เขาเกิดเป็นผู้ชาย”
   “เขาคงไม่โกรธผมหรอก ก็เขาไม่ได้คิดอะไรกับผมนี่” รูฟัสพูด พลางยกเหล้าส่งให้กับลูกค้าที่อยู่ด้านซ้ายมือ
   “ท่าทางเธอจะจริงจังมากนะเนี่ย” หญิงสาวผมบลอนด์เอ่ย เธอเพิ่งซดเตกีล่าลงไปรวดเดียวหมด
   “ผมดื่มเป็นเพื่อนเอาไหม” จู่ๆ รูฟัสก็เอ่ยขึ้น ชานดอร์ตาเหลือกทันที “เฮ้ยๆ ทำงานนะ ไม่ใช่ให้มากินเหล้าแข่ง”
   รูฟัสทำหน้าเจื่อนนิดๆ และหันไปชงเครื่องดื่มต่อ  หญิงสาวผมบลอนด์หัวเราะ
   “ชานดอร์ คุณกำลังทำให้ฉันพลาดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตนะเนี่ย  ฉันกำลังจะได้รูฟัสมาเป็นเพื่อนดื่มอยู่แล้วเชียว”
   “ระวังเหอะว่าเธอจะถูกหามกลับออกไปน่ะ หมอนี่คอแข็งเหลือเชื่อเลย”
   “ก็รู้อยู่หรอก” เธอกล่าว และหันไปมองชายหนุ่มตาสองสี
   “พอเธออกหักแล้วก็ดูน่ารักขึ้นนะ” รูฟัสหันมามองอย่างงงๆ หล่อนยิ้มด้วยริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสด
   “ท่าทางเธอดูอ่อนลงไปเยอะเลย สมัยก่อนเธอคงไม่เสนอตัวดื่มเป็นเพื่อนฉันแบบนี้”
   “เจ้านี่มันเสนอหน้าใส่ทุกคนที่มันพอใจแหละ” ชานดอร์กล่าวแย้ง รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว
   “น่า ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คุณไม่รู้สึกหรอว่าเขาดูไร้เขี้ยวเล็บลง” หล่อนหันไปพูดกับชานดอร์ ฝ่ายนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วพยักหน้า
   “พวกคุณคิดอะไรกันอยู่เนี่ย” รูฟัสเอ่ยขึ้นบ้าง เริ่มรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ปลอดภัย
   “ไม่รู้สิ สมัยก่อนเธออาจจะดูเหมือนพวกเสือโคร่ง แต่ตอนนี้เธอดูไปคล้ายๆ พวกลูกเสือ ของน่ากลัวแบบย่อส่วน แล้วเลยน่ารัก”
   “อืม  คำชมแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินเลย” รูฟัสเอ่ย รู้สึกขนลุกนิดๆ  เขาส่งมะนาวเพิ่มให้หล่อน
   “นี่ รูฟัส จบจากที่นี่เธอจะไปต่อที่ไหนอีกรึเปล่า” เธอถาม รูฟัสรีบส่ายหน้า
   “ผมยังไม่มีอารมณ์ไปไหนกับใครหรอกครับ” เขาพูดราวกับรู้ทันว่าเธอจะพูดอะไรต่อ  หญิงสาวทำหน้าผิดหวัง
   “ว้า ฉันคงรีบไป ฮ่ะๆ” เธอหัวเราะเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก
   “เธอเห็นกลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านขวามือของเธอรึเปล่า?”
   รูฟัสหันไปมองตามคำบอก เขาเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับว่ามองมาทางเขาอยู่เช่นกัน  พวกหล่อนโบกไม้โบกมือให้เขา  รูฟัสหันกลับมาที่เดิม
   “แหม.. น่าจะยิ้มให้สักหน่อยนะ เด็กพวกนั้นรอที่นั่งแถวนี้ว่างนะเนี่ย”
   “ผมไม่ใช่นางงามนะครับ จะได้ยิ้มไปทั่ว” รูฟัสกล่าว และก้มลงไปตักน้ำแข็ง
   “ตายล่ะ ชานดอร์ เด็กคุณไม่รับแขกเลย”
   ชานดอร์ยักไหล่  ทำหน้าช่วยไม่ได้
   “รูฟัส  เธอน่ะรู้ใช่ไหมว่ามีคนชอบเธอเยอะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตักน้ำแข็งเสร็จแล้ว รูฟัสพยักหน้า “ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
   “ฉันหวังว่าเธอคงไม่ฟูมฟายเรื่องอกหักจนเกินไป ยังมีคนอีกเยอะให้เธอเลือกนะ”
   รูฟัสยิ้มให้เธอ
   “ขอบใจนะ ผมจะลองพยายามแล้วกัน” เขากล่าว และเทเหล้าลงในแก้ว
----------------------------------------------
   ฟ่งนอนไม่หลับ เขาพลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย คงเป็นเพราะตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้าน  เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบชั่วโมง เขาก็จะได้ขึ้นเครื่องกลับประเทศเสียที ชายหนุ่มพยายามจะบอกตัวเองให้หลับ เขาควรจะพักผ่อนเสียเพื่อที่จะได้ไม่ตื่นสาย แต่ไม่ว่าจะบอกตัวเองอย่างไร สุดท้ายเขาก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาทุกครั้ง หรือเพราะเขาจะกังวลเรื่องพาสปอร์ตปลอมนั่น ถ้าเขาถูกจับที่สนามบินจะทำอย่างไรนะ แต่คนพวกนั้นคงไม่ทำอะไรที่ใช้ไม่ได้จริงๆ หรอก อีกอย่างเว่ยเฟิงปิงก็เคยใช้พาสปอร์ตนั้นมาแล้ว ถ้าเขาถูกจับได้ ก็เท่ากับว่าให้การพาดพิงได้น่ะสิ
   ฟ่งตัดเรื่องความกังวลใจเกี่ยวกับพาสปอร์ตออกไป และบอกตัวเองให้หลับๆ ไปได้แล้ว
   พรุ่งนี้รูฟัสจะไปส่งเขาหรือเปล่า
   ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาคิดเสียหน่อย ผู้ชายคนนั้นไม่อยู่ ไปไหนก็ไม่รู้ และก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  จริงๆ คือ ไม่เจอกันอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด ผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายคนนั้น ผู้ชายที่ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องจริงเมื่อไหร่กันแน่ ผู้ชายคนนั้น  คนที่เข้ามาทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป
   ให้มันจบลงแค่นี้ แบบนี้แหละดีแล้ว
   เขาพร่ำบอกตัวเอง แต่ทำไมคำถามที่ว่ารูฟัสจะไปส่งเขาหรือเปล่ายังคงดังก้องอยู่ในหัว   ทำไมถึงได้อยากให้รูฟัสไปส่งนัก อยากจะเจอเขานักหรือไง
   ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง
   เขาไม่เคยอยากเจอรูฟัส ไม่เคยคิดอยากจะเห็นหน้า ไม่แม้แต่เคยคิดอยากจะรู้จัก
------------------------------------
   “ตื่นได้แล้ว”
   เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้ฟ่งสะดุ้งตื่น  เขากะพริบตาอย่างงงๆ และลุกพรวดพราดขึ้นทันที ก่อนจะควานหาแว่น
   “กี่โมงแล้ว” เขาเอ่ยถาม และรู้สึกว่าตัวเองต้องตื่นสายแน่ๆ
   “แปดโมงกว่าๆ แล้วล่ะ” คลาวเดียเอ่ย มองดูชายหนุ่มหัวยุ่งที่กำลังสวมแว่นและกระโดดลงจากเตียง หล่อนสงสัยว่าเขาจะสวมไปทำไมกันในเมื่อเดี๋ยวก็ต้องถอดออกตอนล้างหน้าอยู่ดี
   “ยังไปทันเครื่องบินอยู่ แต่รีบๆ หน่อยก็ดี” หล่อนกล่าว จากนี่ไปที่สนามบินกินเวลาสองชั่วโมง ถ้าเร่งหน่อยก็คงทัน ที่น่าแปลกใจคือทำไมเด็กคนนี้ถึงตื่นสาย เมื่อคืนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับหรือไง
   “ขอโทษนะครับ” ฟ่งละล่ำละลัก รีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง เขากลัวว่าจะตกเครื่อง ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็แต่งตัวเสร็จ
   “อย่าลืมหยิบตั๋วเครื่องบินกับพาสปอร์ตไปด้วยล่ะ” คลาวเดียเตือน ฟ่งล้วงกระเป๋าเสื้อของเขา และพบว่าใส่ไว้แล้ว เขาพยักหน้าให้หญิงสาว หล่อนจึงเดินนำเขาลงไปชั้นล่าง
   “ฉันจะขับรถไปส่งเธอเอง ขึ้นรถสิ” เธอกล่าว เมื่อเห็นท่าทีรีรอของอีกฝ่าย  ฟ่งหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็มุดเข้าไปในรถ
   “คุณราฟาแอลไม่ได้ไปด้วยหรือครับ” เขาถาม เมื่อคลาวเดียนั่งตรงที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว
   “ไม่ไปหรอก” เธอกล่าว สอดกุญแจเข้าไปและสตาร์ทรถ ฟ่งหันไปมองรอบๆ บริเวณบ้าน ไม่มีวี่แววของใครอีก
   “มองหาใครรึ?” หญิงสาวถาม และออกรถ ฟ่งเหลียวมองกลับไปอีกครั้ง และส่ายหน้า
   
   “ตะกี้มองหารูฟัสหรอ?” หล่อนถามหลังจากรถเคลื่อนออกมาได้พักใหญ่ คราวนี้ฟ่งพยักหน้านิดๆ  แม้จะรู้สึกขัดๆ แต่เมื่อครู่เขามองหารูฟัสอยู่จริงๆ ได้ยินเสียงคลาวเดียถอนหายใจ
   “เด็กนั่นไม่มาหรอก ฉันก็คิดว่าเขาจะกลับมาส่งเธอเหมือนกัน แต่ดูท่าจะยังทำใจไม่ได้”
   “ขอโทษนะครับ” ฟ่งกล่าว  และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องรู้สึกแย่ด้วย
   “เธออยากเจอเขาหรือเปล่า?” คลาวเดียถามขึ้นอีก เธอมองหน้าเด็กหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง
   “อ่ะ อืม..” ฟ่งยอมรับออกมา เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนี่นะ ถ้าจะเจอสักครั้ง ก็คงไม่เป็นไรหรอก
   “ฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” คลาวเดียพูด ขณะหักพวงมาลัยรถเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ เพื่อจะเข้าสู่ถนนเลี่ยงเมืองไปสนามบิน
   “แต่ว่าเพราะเธอตื่นสาย ถ้าเธอไปเจอเขา เธอก็คงตกเครื่อง เธอจะเลือกอะไรล่ะ”
   ฟ่งอ้าปากค้าง
   แล้วเขาจะเลือกอะไรได้ล่ะ....
----------------------------------------------
   รูฟัสนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง เขามองนาฬิกา มันบอกเวลาแปดโมงกว่าๆ ความจริงชายหนุ่มตื่นนานแล้ว เขาชั่งใจว่าจะไปส่งฟ่งที่บ้านดีหรือเปล่า เวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน อีกไม่กี่ชั่วโมง ฟ่งก็จะกลับไปที่ประเทศไทยแล้ว เมื่อกลับไปที่นั่น ฟ่งจะยังจำเขาได้อยู่หรือเปล่านะ? ถ้าเขากลับไปที่คอนโดนั่น กลับไปที่ห้องนั้น แล้วคนข้างห้องของเขาจะยังทักทายเขาหรือเปล่า? จะได้ไปทานข้าวกันอีกไหม?
   รูฟัสหลับตา เขาจะกล้ากลับไปที่นั่นได้ยังไง ในเมื่อแค่จะไปส่ง เขายังทำใจไม่ได้เลย
   แม้รู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าจะกลับไปมองหน้าฟ่ง
   กลัวที่จะเห็นสายตาสีน้ำตาลคู่นั้น กลัวสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาใสราวแก้วเจียระไนคู่นั้น
   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะผุดลุกขึ้น คว้าเสื้อแจ็กเก็ตมาสวมทับ และผลุนผลันออกจากห้องไป
   ถึงจะไม่ได้เห็นหน้า แต่ขอแค่ได้ไปส่งก็ยังดี
---------------------------------------------
   ฟ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เครื่องคงใกล้จะออกแล้ว  ชายหนุ่มหลับตา
   นี่เขาตัดสินใจถูกหรือเปล่านะที่เลือกหนทางนี้
   เขากำลังจะได้กลับบ้านแล้ว  เรื่องของรูฟัสน่ะ ไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจมากนักหรอก
   ก็แค่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว....
   ก็แค่นั้นเอง....
----------------------------------------------
   รูฟัสลงจากรถแท็กซี่  ก่อนจะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาอยู่ใกล้ๆ กับเขตสนามบิน  ชายหนุ่มก้มลองมองนาฬิกา  สิบโมงสิบห้าแล้ว
   เครื่องคงใกล้จะออกแล้ว 
   เขาโทรหาราฟาแอลก่อนหน้านี้ และทราบว่าคลาวเดียเป็นคนมาส่งฟ่ง ไม่นานนักเสียงลั่นของเครื่องยนต์และเสียงเสียดทานจากอากาศก็ดังขึ้น เครื่องบินโดยสารลำใหญ่ที่มุ่งหน้าไปยังออสเตรียทะยานออก ลำที่จะพาฟ่งไปต่อเครื่องเพื่อกลับบ้าน
   รูฟัสเหม่อมองดูเครื่องบินลำนั้นค่อยๆ บินลับหายไปในกลุ่มเมฆ เขาอธิฐานให้ฟ่งปลอดภัย
   ในที่สุดเครื่องบินลำนั้นก็ลับสายตาไป จนไม่ได้ยินแม้แต่เสียง ชายหนุ่มรู้สึกตัวโหวงๆ เหมือนกับว่าหัวใจของเขาหายไปด้วย
   เครื่องบินลำนั้นพาหัวใจของเขากลับไปแล้ว  และคงไม่กลับคืนมาตลอดกาล
   รูฟัสยืนซึม เขายกมือขึ้น โบกลาหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย
   ลาก่อนครับฟ่ง ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
   เขากล่าวคำอำลานั้นในใจ และยืนอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ กว่าที่จะลากเท้าออกไปเรียกรถแท็กซี่ที่ถนน
   รูฟัสกระแทกตัวลงบนเบาะรถ ก่อนจะสั่งให้คนขับขับไปส่งยังที่หมาย เขาเงยหน้า พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
   คืนนี้เขาคงไปบาร์ของชานดอร์ไม่ไหว
------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่32 P3 4/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tumprom ที่ 04-06-2011 10:17:46
 o13 o13

มาต่อนะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่32 P3 4/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-06-2011 22:25:52
โอ้ว ลงได้ยาวและต่อเนื่องมากกกก  o13 ตามอ่านอย่างสะใจและเหนื่อยมาก  :laugh: 

อ่านแล้ว ชอบคู่ จางซื่อเยี่ยนกับเฟิงปิง มากกว่าคู่เอกอีกนะเนี่ย  :-[

+1 สำหรับการลงแบบยาวมากกกกกกกกกกกกก ค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่32 P3 4/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-06-2011 14:12:33
บทที่33 อดีตของรูฟัส (2)
   ชายหนุ่มตาสองสีก้าวลงจากรถแท็กซี่ราวกับไร้วิญญาณ เดินโซเซเข้าไปยังเกสท์เฮาส์โดยไม่สนใจเสียงพนักงานต้อนรับที่เอ่ยทัก
   “คุณรูฟัส มีคนรอพบค่ะ”
   รูฟัสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ และเดินออกไปโดยไม่รอฟังประโยคต่อ เขาไม่อยากสนใจว่าใครจะมาหา หรือมารอพบ ไม่ว่ามันจะเป็นใครหน้าไหน เขาก็ไม่อยากจะพบทั้งนั้น เชิญรอให้ตายไปเถอะ ชายหนุ่มเดินเปะปะไปตามทาง พยุงร่างอย่างยากลำบากกว่าที่จะไปถึงห้อง เขาอยากจะนอนกลิ้งลงไปตอนนี้เลย นอนและร้องไห้ให้หายอยาก ร้องให้กับหัวใจที่เพิ่งจะโบยบินไป
   รูฟัสล้วงกุญแจออกมาไขประตูห้อง แม้จะนึกแปลกใจว่าตัวเองลืมล็อกประตู แต่เขาก็ผลักมันเข้าไป
   !!
   รูฟัสคิดว่าเขาคงเสียใจหนักจนเห็นภาพหลอน ก็คนคนนั้นกลับไปแล้ว เขากะพริบตาอีกครั้ง มองเข้าไปภายในห้อง ร่างที่ดูคุ้นตามองมาทางเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น ริมฝีปากที่เขาเคยได้ลิ้มรสเผยอขึ้น และเอ่ยคำพูดออกมา
   “รูฟัส..”
   รูฟัสยืนตัวแข็งทื่อ ชั่ววินาทีนั้นเขาคิดว่าหัวใจตัวเองหยุดเต้น เหมือนเวลาและทุกอย่างหยุดหมุน หยุดอยู่ที่คนคนนั้น
   “ฟ่ง!!”
   รูฟัสได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อนั้นออกมา  มันคงเป็นความฝัน เขากำลังฝันแน่ๆ  เขาคงช็อกหนัก ฟ่งจะมานั่งอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร ก็เครื่องเพิ่งจะออกไปนี่เอง ถึงจะคิดแบบนั้น แต่รูฟัสก็เอื้อมมือกลับไปด้านหลัง และล็อกประตู... เขากลัว  กลัวว่าความฝันนี้จะหนีออกไป
   “ผะ..ผมคิดว่าคลาวเดียหลอกผมเสียอีก” ฟ่งเอ่ยขึ้น
   คลาวเดียรึ? รูฟัสคิด  นี่คลาวเดียหลอกฟ่งมาหรือนี่ เขาไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือสาปแช่งหล่อนดี
   “คุณโดนคลาวเดียหลอกมาหรือครับ” รูฟัสเอ่ยถาม ยังไม่แน่ใจนักว่าภาพข้างหน้าเป็นความจริง
   “ปะ เปล่า” ฟ่งปฏิเสธอย่างไม่เต็มเสียงนัก เขาดูตื่นเต้น และหวาดๆ
   “คลาวเดียบอกว่าคุณอยู่ที่นี่ แต่ผมมารอนานแล้วไม่เห็นคุณจะกลับมาเสียที ผมคิดว่า...คุณอาจจะไม่กลับมาแล้ว”
   “คุณมารอผม?” รูฟัสทวนคำอย่างเหลือเชื่อ
   “คุณไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปออสเตรียแล้วรึ?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่านี่คือเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าฟ่งจะถอนใจ
   “ผมตกเครื่องแล้วล่ะ ผมอยากพบคุณ”
   คราวนี้รูฟัสไม่ลังเลอีกแล้ว ไม่ว่าฟ่งที่อยู่ข้างหน้าจะเป็นตัวจริงหรือภาพหลอน เขาก็จะไม่ปล่อยช่วงเวลานี้ไปอีก ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว รวบร่างนั้นขึ้นมากอดไว้แน่น  สูดกลิ่นหอมของเรือนร่างที่คุ้นเคย และจูบลงไปเบาๆ ที่ข้างแก้ม
   “ระ..รูฟัส” ฟ่งเรียกชื่อเขาด้วยเสียงตกใจเล็กน้อย
   “คุณกลับมาหาผมจริงๆ ?” รูฟัสถาม  ยังคงกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่น ด้วยกลัวว่าจะหนีหายไปอีก เขาได้ยินเสียงฟ่งหัวเราะแหะๆ และรู้สึกว่าร่างนั้นวางมือลงบนบนหลังของเขา
   ฟ่งกำลังกอดเขา...
   “ผม..ผมคงเป็นบ้า” ฟ่งเริ่มพูด เขาโอบมือไปที่หลังของรูฟัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ และกอดแน่นขึ้นหลังจากนั้น
   “ผมมาหาคุณ แทนที่จะกลับบ้าน ผมคิดถึงคุณ” ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลโพล่ง รูฟัสหลับตา รู้สึกเหมือนตัวเองมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เขาลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างอ่อนโยน และจูบลงไปเบาๆ
   “ฟ่ง..” ร่างแกร่งเรียกชื่อนั้นซ้ำ ไม่รู้จะพูดอะไรไปได้มากกว่านี้อีก ฟ่งคิดถึงเขา และเลือกจะกลับมาหาเขา
   เสียงหัวใจเต้นสะท้อนอยู่ในอก ความตื้นตันแผ่ไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มจูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตระกองกอดร่างผอมบางนั้นไว้แนบแน่น เหมือนฟ่งจะมีอาการเกร็งเล็กน้อย แต่ก็ยังยอมให้เขากอดโดยไม่ขัดขืนอะไร
   “ผมเกือบจะขาดใจตายไปแล้วตอนที่เห็นเครื่องบินบินออกไป” ในที่สุดรูฟัสก็กล่าวออกมา
   “คะ..คุณไปส่งผมหรือ?” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รูฟัสรู้สึกว่าร่างผอมบางนั้นสั่นน้อยๆ
   “ผมแค่ไปยืนข้างสนามบิน ผม...ผมทำใจลาคุณไม่ได้  ผมตัดใจจากคุณไม่ได้”
   “รูฟัส….” เสียงของฟ่งอู้อี้ขึ้น คงกำลังร้องไห้
   “ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้น่ะ คุณน่ะ...ทั้งๆ ที่ทำกับผมไว้ขนาดนั้นแท้ๆ แต่ว่า ถึงตอนนี้ก็ยัง...” ฟ่งหยุดไป ร่างผอมบางยิ่งสั่นสะท้าน
   “ทำไมถึงต้องใจดีทั้งๆ ที่กำลังหลอกผมด้วย ผมน่ะ...ผมน่ะ.....ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณหลอกแท้ๆ  แต่ผมก็ยัง...”
   “ขอโทษครับฟ่ง” รูฟัสรวบร่างนั้นแน่นอีก ก่อนจะคลายมันออก และยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่เปื้อนน้ำตานั้น
   “ต่อจากนี้ผมจะไม่โกหกคุณอีกแล้ว” ชายหนุ่มกล่าว เขามองดูใบหน้าใต้แว่นที่เปื้อนคราบน้ำตา และจูบลงไปเบาๆ ฟ่งผงะหนีด้วยความตกใจ รูฟัสรีบรั้งตัวเขาเอาไว้
   “ฟ่ง...”
   ร่างผอมบางมองตรงผ่านม่านน้ำตาและเลนส์แว่นที่จับเป็นฝ้า เหมือนจะเห็นดวงตาสีน้ำตาลกะพริบอยู่หลายครั้ง
   “คุณเป็นใครกันแน่ รูฟัส” ในที่สุดฟ่งเริ่มต้นถามในเรื่องที่เขาสงสัยมากที่สุด ร่างผอมบางพยายามจะหยุดสะอื้นระหว่างนั้น รูฟัสลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบออกไป
   “ผมเป็น**IN. Spy** หรือที่คุณเรียกว่าสายลับ หรือเรียกว่าจารชนนั่นแหละครับ” ชายหนุ่มเริ่มเล่า
   “มีคนจ้างผมให้ไปสืบเรื่องบางอย่างที่ประเทศไทย แล้วผมก็บังเอิญไปเช่าห้องอยู่ข้างๆ คุณพอดี” เขาหยุด และเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย
   “คุณไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับงานของผมเลย ที่ผมเข้าไปช่วยคุณตอนนั้น เพราะสีหน้ากับดวงตาของคุณทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส มองเข้าไปยังนัยน์ตาสองสีคู่นั้น เขากำลังจะได้ฟังเรื่องจริงจากปากของผู้ชายคนนี้จริงๆ หรือ....
   “ผมเลยคิดว่าน่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงได้ใจดีกับคุณนัก แต่ว่า...เรื่องบางเรื่องมันก็เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึงเหมือนกัน” รูฟัสกล่าว และยิ้มให้ฟ่ง
   “คุณคงจำคืนนั้นได้ คืนที่คุณไปเจอผมที่คลับของคุณเมี่ยง คุณทำท่าเหมือนว่าจะหึงผม”
   “ผะ...ผม...” ฟ่งตะกุกตะกัก เมื่อนึกถึงตอนนั้นแล้วเขารู้สึกละอายจริงๆ รูฟัสจูบหน้าผากของเขาเบาๆ และเล่าต่อ
   “แล้วคุณก็เมาล้มลง... ผมน่ะไม่เคยสนใจว่าใครจะเมาหรือจะตายหรือจะเป็นอะไรหรอกครับ แต่ว่าคืนนั้น ผมตกใจมากที่คุณฟุบลงไป ความจริงผมรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เจอว่าคุณไปที่นั่นแล้วล่ะ คุณคงเห็นว่าผมไม่ได้แต่งตัวตามปกติ”
   “อืม..” ฟ่งพยักหน้า “คุณเหมือนว่าจะปลอมตัวไป”
   “ครับ ผมปลอมตัว แต่ว่าคุณก็จำได้”
   “ก็คุณเด่น” ฟ่งสวนทันที รูฟัสยิ้มให้เขาอีกครั้ง รู้สึกมีความสุขที่ฟ่งกำลังพูดคุยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
   “ผมปลอมตัวไป ตาของผมมันจำง่ายเกินไปน่ะครับ แล้วผมก็ไม่ได้คิดว่าจะพบคุณที่นั่น คุณ.... คุณทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก เหมือนกับว่าผมไปเจอภรรยาเข้าอย่างนั้นแหละ”
   “บ้า ใครเคยไปเป็นเมียคุณกัน” ฟ่งผลักอกรูฟัสเบาๆ ร่างแกร่งหัวเราะหึๆ และจูบริมฝีปากนั้นเป็นการตอบแทน
   “คุณทำให้ผมหัวปั่นไปหมด ผมตกใจที่คุณฟุบลงไปตอนนั้น แล้วผมก็วิ่งไปหาคุณทันที จากนั้นก็ต้องแบกคุณกลับไปที่คอนโด”
   ฟ่งรู้สึกผิดนิดหน่อยพอมาถึงตอนนี้ “ขอโทษทีนะ ตอนนั้นผมเมา”
   “ครับ ผมรู้ แล้วคุณก็โวยวายใส่ผม หาว่าผมไปชอบคุณเมี่ยง แล้วบอกว่าคุณคงพูดอะไรไม่ได้  คำพูดของคุณทำเอาผมนอนไม่หลับ”
   “คะ..คุณยังจำได้อีกเรอะ!!” ฟ่งส่งเสียงตะกุกตะกัก รูฟัสเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มหน้าแดง
   “แปลว่าคุณจำได้สินะครับ แต่คุณไม่ยอมบอกผมในอีกวัน คำพูดนั้นของคุณทำให้ผมทึกทักไปเองว่าคุณชอบผม จะบอกว่าผมหลงตัวเองก็ได้นะ” รูฟัสหัวเราะ ขณะที่ฟ่งหน้าแดงขึ้นอีก
   “ผมก็เลย เอ้อ... นั่นแหละ  ไปหาคุณที่ห้อง ขอคำยืนยันอีกครั้ง แล้วก็จบลงที่วันรุ่งขึ้นคุณไล่ผมออกมา แต่ผมก็ยังเข้าข้างตัวเองต่อไปว่าคุณต้องชอบผมบ้างแน่ๆ”
   “คะ..คุณมันหลงตัวเองน่าดูเลย” ฟ่งค่อนแคะ แต่กลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
   “มันก็น่าอยู่หรอกครับ ก็พออีกวันหนึ่งที่ผมถามคุณซ้ำ คุณก็จูบผม แล้วคืนนั้นคุณก็รุกผมบนเตียง ทำเอาผมนอนไม่หลับไปทั้งคืนเลย”
   “คะ..คุณ” ฟ่งทุบอกรูฟัสอย่างโมโห รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า รูฟัสใช้มือเชยใบหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศนั้นขึ้นมา
   “คุณจำได้ทุกอย่างสินะครับ คุณทำให้ผมทึกทักไปเองว่าคุณชอบ แม้แต่ตอนนี้คุณหน้าแดง จะให้ผมคิดว่าอะไรดีล่ะ?”
   “อ่ะ..” ฟ่งพูดไม่ออก เขาร้อนวาบไปทั้งตัว จะให้คิดว่าอะไรได้ล่ะ
   “อยากคิดอะไรมันก็เรื่องของคุณสิ” เขาโพล่งออกมา และรู้สึกอยากร้องไห้ สีหน้าของรูฟัสดูจะอ่อนใจลงนิดหน่อย เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ใบหน้าแดงก่ำนั้น หายใจรดเบาๆ
   “หลังจากนั้นคุณก็ยอมให้ผมกอด ตอนแรกผมคิดว่าคุณโมโหเรื่องนั้น แต่คุณบอกว่าเปล่า คุณไม่ได้ถือเรื่องที่ถูกผมกอด หรือเรื่องที่มีอะไรกับผม... บอกผมสิครับ คุณคิดอะไรกับผมกันแน่  ทำไมคุณถึงได้ยอมผมขนาดนั้น”
   ฟ่งหน้าแดงก่ำ นี่รูฟัสจำได้หมดทุกอย่างเลยหรือ ทุกอย่างที่เขาแสดงหรือพูดออกไป  ผู้ชายคนนี้จำได้ทุกอย่าง  เขาอายจนแทบจะมุดหนีไปให้พ้นๆ
   “จนถึงตอนนี้ คุณก็กลับมาหาผม ให้ผมกอด อยู่ใกล้ผม บอกผมสิครับว่าทำไม  ผมไม่อยากเดาความในใจของคุณอีกแล้วครับฟ่ง ผมอยากฟังเรื่องจริงจากปากคุณบ้าง”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ เขาจะพูดอะไรออกไปดีล่ะ กับคนคนนี้ เขารู้สึกอย่างไรกันแน่
   “คุณคิดอะไรกับผมกันแน่ ชอบผม รักผม หลงผม หรือว่าคุณกลัว หรือแค่อยากจะหลอกผม อย่าปล่อยให้ผมคิดไปเองอีกเลยครับ ผมเจ็บปวดมาพอแล้ว สำหรับคุณแล้ว ผมมีคุณค่าอะไรบ้างหรือครับ”
   ฟ่งนิ่งอึ้ง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ารูฟัสกำลังเจ็บปวด เจ็บปวดจากการโอบกอดเขา นัยน์ตาสองสีนั้นสั่นระริก นี่เขาเป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นหรอกหรือ  ฟ่งมองดูใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ที่กำลังมองมาทางเขาอีกครั้ง กับรูฟัสแล้ว เขารู้สึกอย่างไรกันแน่ เรื่องในคืนนั้น คืนที่เขาเมาและถูกหามกลับ เขาอยากจะพูดอะไรออกไปกันนะ
   “ผม...” ฟ่งเริ่ม และรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า สมองตื้อไปหมด เขาคิดอะไรกับคนคนนี้กันแน่....
   “ผมน่ะเป็นผู้ชายนะ แล้วคุณก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันมันก็แย่แล้ว” หนุ่มสวมแว่นว่า และกะพริบตาปริบๆ ขณะที่พูดคำพูดนั้น เหมือนกับรู้สึกแสลงใจอะไรบางอย่าง
   “แต่คุณบอกว่าไม่ถือนี่” รูฟัสถามอย่างสงสัย ตกลงฟ่งคิดยังไงกับเขากันแน่นะ
   “ที่ผมไม่ถือเพราะ..........” ฟ่งพูด หน้ายิ่งแดงมากขึ้น “เพราะเป็นคุณ”
   รูฟัสนิ่งไปบ้าง แต่หัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด เขาจะได้ยินคำพูดนั้นจากปากฟ่งหรือเปล่านะ...
   “ผมน่ะ..ยอมให้คุณกอด ยอมให้คุณทำแบบนั้น เฉพาะแค่คุณเท่านั้นที่ผมไม่ได้รังเกียจ  แค่คุณเท่านั้น”
   ร่างบางกล่าวพลางขบริมฝีปาก หัวใจของรูฟัสเต้นระส่ำ ไม่เคยรู้เลยว่ามันอยากจะได้ยินคำคำนั้นจากปากของคนอื่นมากมายขนาดนี้
   คำสามคำง่ายๆ ที่เขาพูดและได้ยินคนอื่นพูดมาหลายต่อหลายหน
   คำสามคำที่กำลังจะออกมาจากปากคนตรงหน้าที่เขาคะนึงหามากที่สุด
   “ผม...ผมพูดไม่ออกหรอก”
   ฟ่งโพล่งออกมา ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด กระทั่งขอบตายังพลอยแดงเรื่อไปด้วย เกิดมารูฟัสเพิ่งเคยเห็นคนเขินจนร้องไห้จริงๆ ก็คราวนี้นี่เอง แม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ฟ่งเขินจนจะร้องไห้เพราะเขา
   “พูดไม่ออกจริงๆ หรือครับ บอกผมสักนิดไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มยังคงพยายามถามถามต่อ คราวนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ขอบตาแดงเรื่อถลึงใส่เขาทันที
   “คุณจะให้ผมพูดออกไปให้ได้หรือไง!”
   รูฟัสพยักหน้า เขามองดูหน้าที่ยิ่งแดงมากขึ้น และบอกว่าตัวเองว่า เขาไม่ได้ทึกทักไปเองแน่ๆ แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยัน
   “ถ้าคุณรักผม  บอกให้ผมรู้สักคำสิครับ แค่คำเดียว เพราะผมรักคุณจนจะบ้าอยู่แล้ว”
   “บะ..บ้าน่ะ จะให้พูดคำแบบนั้นออกไป” ฟ่งพูดอึกอัก
“พูดออกมาไม่ได้หรือครับ  อายมากหรอ?” รูฟัสกล่าวเหมือนรู้ทัน ร่างบางกัดฟัน มองหน้าเขา “อือ..”
   “งั้นก็พูดสิครับ เพราะยิ่งคุณอาย คุณก็ยิ่งน่ารัก ผมชอบให้คุณอาย”
   “ระ..รูฟัส!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ  เขาอายมากจริงๆ ตอนนี้  แต่ดูเหมือนรูฟัสยิ่งอยากให้เขาอายหนัก ใบหน้าได้รูปนั่นโน้มเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูเขา
   “ถ้าคุณไม่กล้าจะพูดออกมาดังๆ กระซิบเบาๆ ข้างหูผมก็ได้ครับ”
   ฟ่งอ้าปากค้าง นี่จะให้เขาพูดออกไปจริงๆ หรือนี่ ร่างบางตะกุกตะกัก พยายามรวบรวมความกล้า หน้าด้าน หรืออะไรก็ถามเพื่อให้เอ่ยถ้อยคำแบบนั้นออกไปได้
   “ผม...ผม......ผม..........” ผมอยู่หลายครั้ง แต่ฟ่งก็พูดไม่ออกสักที ร่างบางจิกเล็บลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ก่อนจะโพล่งขึ้นอีกครั้ง “ผมอาย!!”
   รูฟัสมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน แต่ยังไม่ทันทำอะไร ร่างนั้นก็โผกอดเขาไว้แน่น ได้ยินเสียงครางงึมงำในลำคอ
   “ผม...ผมจะอยู่กับคุณ”
   หูของรูฟัสอื้อไปหมดหลังฟังคำพูดนั้นจบ แม้จะไม่ใช่คำที่เขาหวังไว้ แต่มันก็เติมเต็มหัวใจเขาได้อย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มรวบร่างผอมบางเข้ามากอดไว้ จูบลงไปบนพวงแก้ม กระซิบกระซาบที่ข้างหู
   “I love you, I love you so much and I’m glad you wanna stay with me.You need me now? Please say that….”
   ประโยคท้ายรูฟัสกระซิบใกล้หูฟ่งซึ่งยังคงแดงก่ำ  ชายหนุ่มแทบจะยกมือขึ้นปิดหน้า
   “คุณแกล้งผม คุณต้องอยากแกล้งผมแน่ๆ ใครมันจะไปพูด...”
   ฟ่งร้องโวยวาย แต่รูฟัสเหมือนจะไม่สนใจ เขาแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดจบ พลางยิ้มกริ่ม เชยใบหน้านั้นขึ้นมามองอีกครั้ง
   “คุณแน่ใจนะครับว่าจะอยู่กับผม ผมที่เป็นสายลับ ผมที่ไม่ใช่นักธุรกิจ” ชายหนุ่มถาม รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาบ้าง  เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาอย่างขุ่นเคือง
   “ถ้าผมไม่อยากอยู่กับคุณ ผมจะมานั่งรอคุณทำเบื๊อกอะไรล่ะ” ฟ่งโพล่งใส่หน้ารูฟัส รู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรมากไปแล้ว และดูเหมือนจะถูกหลอกให้พูดเสียด้วย รูฟัสยิ้มกว้าง และกอดร่างนั้นไว้แน่นอีกครั้ง นี่เขาคงฝันไปแน่ๆ
   “แต่ว่านะ” ฟ่งพูดต่อ
   “คุณต้องเล่าให้ผมฟังให้หมดเลย เรื่องของคุณ”
   รูฟัสพยักหน้า ต่อให้เล่าสักร้อยรอบเขาก็จะเล่า
-----------------------------------------
   มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิที่มีไม่ค่อยนานนักในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
   แสงแดดยามเช้ายังคงสาดส่องมาตรงพื้นถนนตรงลานกว้างหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนชั้นประถมที่มีทั้งครู ผู้ปกครอง นักเรียนตัวน้อย เดินและพูดคุยกันเต็มไปหมด
   รถเปอร์เช่สภาพไม่เก่าไม่ใหม่คันหนึ่งแล่นมาจอดตรงถนนด้านหน้าโรงเรียน ก่อนที่หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนจะก้าวลงมา พร้อมเด็กหญิงวัยราวๆ สามขวบในอ้อมกอด ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออก เด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบคนหนึ่งก้าวเท้าลงมา เรือนผมของเขาสีดำสนิทเช่นเดียวกับของมารดา ส่วนดวงตา....
   ผู้ชายอีกคนก้าวเท้าออกมาจากประตูรถฝั่งคนขับ เขามีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม หนวดเคราที่ถูกตัดแต่งได้ทรงสวยรับกับใบหน้าคมสัน เขาเดินมาและก้มตัวลงพูดกับลูกชายที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองมารดา ดวงตาของสองพ่อลูกเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาคู่หนึ่งที่ต่างสีกันออกไป
   สองพ่อลูกคุยกันอยู่พักหนึ่ง และโอบกอดกันเบาๆ ก่อนที่เด็กน้อยจะผละออก และหันไปหอมแก้มผู้เป็นมารดาซึ่งโน้มตัวลงมาพร้อมกับน้องสาวตัวน้อยในอ้อมกอด เด็กหญิงน้อยยังคโบกมือและยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เพิ่งงอก ในตอนที่ผู้เป็นมารดาก้าวเข้าไปในตัวรถพร้อมกับบิดา เด็กผู้ชายยืนโบกมือ รอยยิ้มค้างคาอยู่บนใบหน้า ในตอนที่รถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นเข้ามา บดขยี้รถเปอร์เช่คันนั้นไปต่อหน้าต่อตา
   เขาสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปในวันนั้นเอง

   ฤดูใบไม้ผลิแสนสั้นไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว ความเศร้าดูจะยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ในงานศพ ผู้คนมากมายที่เด็กผู้ชายจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทยอยมากอดเขา พูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการตาย แต่เด็กชายไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้นเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าถึงต้องพรากทุกคนไปจากเขาด้วย
   ในบ้านหลังเดิมที่ว่างเปล่า เด็กผู้ชายเริ่มต้นร้องไห้อย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงสะอื้นสะท้อนอยู่ภายในตัวบ้าน เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าร้องไห้เพราะอะไร คงเพราะบ้านเงียบเหงาวังเวงจนน่าใจหาย คงเพราะเขาคิดถึงพ่อแม่และน้องสาว
   เสียงสะอื้นยังคงดังสะท้อนอย่างนั้นอยู่หลายวัน ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่วุ่นวายกับการจัดการเรื่องมรดก
   แล้ววันหนึ่ง ผู้ที่เขาเรียกว่าป้าก็มาที่บ้าน พาเขาออกจากบ้านว่างเปล่าหลังนั้น ไปในอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่กว่า มีพื้นที่มากกว่า มีคนมากกว่า แต่เด็กผู้ชายยังคงเก็บตัวเงียบและร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้อง โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย
   ในที่สุด เขาก็ถูกส่งตัวไปบำบัดอาการทางจิตที่เกิดจากอาการช็อกที่โรงพยาบาล ผ่านไปสองเดือน ในห้องที่เต็มไปด้วยของเล่นแบบต่างๆ และเพื่อนพูดคุยต่างวัยที่คอยมาพูดจากับเขาในหลายรูปแบบ เด็กผู้ชายยอมเปิดปากพูดในที่สุด
   เด็กผู้ชายกลับมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่นั้นอีกครั้ง ผู้เป็นป้าและสามีวางแผนให้เขากลับไปเรียน แต่ในคืนวันหนึ่ง เด็กผู้ชายก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน
   เพียงเพราะเขาไม่อาจหยุดร้องไห้เมื่อเห็นครอบครัวของป้าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาได้
   ทำไมมีแต่เขาเพียงคนเดียวที่ถูกพระเจ้าพรากครอบครัวไป
   
   เด็กผู้ชายเดินลากเท้าเตร็ดเตร่ฝ่าอากาศหนาวเหน็บในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาจนถึงสถานีรถไฟใต้ดิน มันช่างอบอุ่นเมื่อเทียบกับการเดินอยู่ด้านนอก และเมื่อขบวนรถไฟขบวนหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่ชานชาลา เด็กผู้ชายก็ตัดสินใจก้าวขึ้นไป ขึ้นไปยังขบวนรถไฟที่เขาไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่จุดไหนกันแน่ เพียงเพราะอยากจะหนีไปให้พ้นเมืองที่อบอวลไปด้วยความทรงจำของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว

   บนรถไฟขบวนนั้น เด็กผู้ชายโกหกเป็นครั้งแรก เขาโกหกกับคนตรวจตั๋วที่เป็นผู้หญิงว่าต้องการไปหามารดาที่มอสโคว์ เธอจึงแอบหาที่นั่งให้เขา และบอกเขาเมื่อถึงสถานีนั้น

   เมื่อถึงมอสโคว์ เด็กผู้ชายก้าวเท้าออกจากขบวนรถไฟ ตื่นตาตื่นใจกับความโอ่อ่าหรูหราของสถานีในเมืองหลวงจนลืมเรื่องเศร้าไปเสียสนิท ผู้คนมากมายแต่งตัวหลากหลายสีสันทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกใหม่
   อาหารมื้อแรกในมอสโคว์เป็นซุปง่ายๆ ที่คนขายอาหารซึ่งเปิดร้านอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟหยิบยื่นให้เขา หลังจากเห็นเด็กผู้ชายเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านเป็นเวลานาน
   เด็กน้อยรับถ้วยซุปมาด้วยความดีใจ และพยายามเบียดตัวเข้าไปในซอกเล็กๆ ตรงตรอกริมถนน เพื่อทานซุปนั้นประทังความหิว
   แต่แล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
   เด็กผู้ชายทำถ้วยซุปหล่นจากมือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทานเข้าไปเลยสักคำ เสียงนั้นดังเสียดเข้าไปในโสตประสาท เสียงที่พรากครอบครัวของเขาไป รถบรรทุกคันใหญ่แล่นผ่านถนนตรงหน้า แต่เด็กผู้ชายไม่ได้ยืนอยู่อีกแล้ว เขาคู้ตัวลงจนแนบกับพื้น สั่นกึกๆ น้ำตาไหลร่วงลงมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
   แม้ว่าเสียงของมันจะเงียบไปแล้ว อาการสั่นและหยาดน้ำตายังคงไม่หยุด จนใครต่อใครแถวนั้นพยายามเข้ามาปลอบประโลมเขา ช่างน่าสมเพช ทั้งๆ ที่หนีมาไกลขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังไม่อาจพ้นจากอดีตที่ตามหลอกหลอนเขาได้เลย
   เด็กผู้ชายหนีเตลิดอีกครั้ง หนีจากการปลอบโยนของคนที่เขาไม่รู้จัก
   วิ่งหนีไปเรื่อยๆ ในความมืดและแสงสีที่ไม่คุ้นเคย จนล้มลงตรอกมืดๆ ตรอกหนึ่ง เด็กผู้ชายนอนคู้ตัวอยู่แบบนั้น ร้องไห้โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบเหตุผล
--------------------------
   ในตรอกเล็กๆ เด็กหนุ่มตื่นขึ้นเพราะใครบางคนกำลังพยายามถอดเสื้อกันหนาวของเขาออก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบเด็กสองคนยืนอยู่ เด็กผู้ชายไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คนพวกนั้นถึงพยายามจะถอดเสื้อของเขา รู้เพียงแต่เขาไม่รู้สึกดีใจเลยที่ถูกทำแบบนี้ ดังนั้นเด็กทั้งสามจึงทะเลาะกัน ถึงขั้นต่อยตี และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของทางเดินในอาชีพที่ทุกคนไม่เคยคาดหวัง
   เด็กที่มาแย่งเสื้อกันหนาวของเขาเป็นสมาชิกของแก๊งเด็กข้างถนนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น หลังจากชนะการต่อสู้ เด็กผู้ชายก็ได้รู้จักกับสมาชิกคนอื่นๆ ในแก๊งนั้น และถูกชักชวนให้เข้าแก๊งในเวลาต่อมา
   ที่นั่น เด็กผู้ชายได้พบโลกที่แตกต่างจากโลกเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง การดำรงชีวิตอยู่ในมอสโคว์โดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่รูเบิลเดียวนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แก๊งเด็กข้างถนนสอนให้เขารู้จักการลักเล็กขโมยน้อยในตลาด แน่นอนว่าเขาเป็นมือใหม่สำหรับเรื่องนี้ และถูกจับได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกยอมรับในกลุ่มมากนัก ทุกคนมองว่าเขาไร้ค่า บ้างก็หาว่าเขาเป็นตัวประหลาด พิกลพิการจากสีตาที่ไม่เท่ากันนั้น
   เด็กผู้ชายสิ้นหวังอีกครั้ง ท้อแท้กับชีวิตที่เขาไม่เข้าใจ เขาเริ่มเก็บตัว อาการหวาดกลัวรถบรรทุกก็ยังตามหลอกหลอน แต่ตอนนี้ไม่มีใครให้เขาพึ่งพาอีกแล้ว ไม่มีแม้แต่เพื่อนหรือคนที่เคยหัวเราะเยาะ เขากลับมาเผชิญกับความเป็นจริงเพียงลำพังอีกครั้ง
   สิ้นหวังและไม่มีใคร
   มีเพียงเสียงรถบรรทุกและความหิวที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ
   คงเพราะสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด คืนนั้นเด็กผู้ชายไปที่ถังขยะ หาของที่พอจะกินได้ใส่ท้อง และเริ่มวางแผนการใช้ชีวิตในโลกที่ไม่มีใครพอให้พึ่งได้อีก
   เขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อเหตุผลอะไร รู้เพียงแต่เขาจะไม่ยอมตายอย่างเด็ดขาด จะไม่ยอมให้พระเจ้าพรากชีวิตเขาไปอย่างทารุณเฉกเช่นที่ทำกับพ่อแม่และน้องสาว
   เด็กผู้ชายกลับมายืนหยัดอีกครั้ง เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวของตนเอง นอนในมุมตรอกใกล้ถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านเป็นประจำ ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นคืนแล้วคืนเล่า แทบจะเป็นบ้าไปเสียให้ได้ กว่าที่สมองเขาจะเข้าใจว่ารถบรรทุกไม่ได้อันตรายและน่ากลัวไปเสียทุกคัน เวลาก็ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว เวลานี้แม้แต่เด็กที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในแก๊งเด็กข้างถนน ยังหัวเราะเยาะเวลาเดินผ่านเขาด้วยซ้ำ
   แต่เด็กผู้ชายตัดสินใจแล้ว เขาจะเอาชีวิตรอดไปให้ได้ และจะไม่ยอมให้ใครหัวเราะอีก เขาหวนคืนสู่แก๊งเด็กอีกครั้ง โดยการท้าพนันกับหัวโจกของเด็กกลุ่มนั้น เรื่องการล้วงกระเป๋าในตลาด
   ช่วงที่เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวจากอดีต เด็กผู้ชายใช้เวลาส่วนที่เหลือ ไปกับการสังเกตผู้คนที่เดินไปเดินมา สังเกตท่าทาง การกระทำ ลักษณะนิสัยที่คนจะแสดงออกมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เขาทดลองล้วงกระเป๋าและถูกจับได้อยู่หลายครั้ง กระนั้นเด็กผู้ชายก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย แน่นอนว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ขณะที่ถูกหัวเราะเยาะ เด็กผู้ชายก็พยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาของตนเองอย่างเงียบๆ ทดลองสิ่งที่เขาคิด และการท้าประลองในครั้งนั้น เขาเป็นฝ่ายชนะอย่างที่ไม่มีใครอยากเชื่อ
   เด็กผู้ชายถูกต้อนรับกลับเข้ากลุ่มอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ยอมแช่ตัวเองอยู่กับที่อีกต่อไป เด็กผู้ชายพยายามพัฒนากลยุทธของตนให้ดีขึ้น เขากลายเป็นจุดสนใจ กลายเป็นดาวเด่นของกลุ่ม ทุกคนหันมามองเห็นเขา ไม่ล้อเขาว่าเป็นพวกพิการอีกต่อไป แต่เด็กผู้ชายไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เขามุ่งไปข้างหน้า พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ มองหาความท้าทายใหม่ๆ แล้วในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
   ผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลกกว่าคนอื่นๆ ที่เด็กผู้ชายเคยพบเห็น ท่าทางสบายๆ แต่ก็ดูจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญดูจะกระเป๋าหนักไม่ใช่เล่น ผู้ชายคนนี้แหละที่จะเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา
   เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนหลังจากกลับเข้าแก๊งที่เด็กผู้ชายถูกจับได้ ผู้ชายคนนี้ต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ แม้จะไม่ถูกจับได้มานาน แต่เด็กผู้ชายมีการวางแผนดีพอในการเอาตัวรอด เขาหนีมาได้พร้อมกับเงินที่ขโมยมา หลังจากใช้เงินอย่างสนุกสนานจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็ได้พบกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
   ผู้ชายที่จับเขาได้ แต่ก็ปล่อยให้เขารอดมา
   เด็กผู้ชายรู้ตัวในทันทีว่าเขาไม่สามารถหนีพ้นผู้ชายคนนี้ได้ แต่แทนที่จะกลัว เขากลับรูสึกตื่นเต้นปนสงสัย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงแปลกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ภายนอกก็ดูเป็นคุณลุงหน้าตาธรรมดาแท้ๆ
   ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้กับเด็กผู้ชาย ราวกับว่าเป็นการหลานเสียมากกว่าจะเป็นการจับหัวขโมยได้ มันเป็นรอยยิ้มง่ายๆ และจริงใจซึ่งเด็กผู้ชายเกือบจะลืมไปแล้ว จากนั้นก็แนะนำตัวเอง
   อเล็กเซคือชื่อของผู้ชายคนนั้น
   เขาแนะนำตัวเองและถามคำถามง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตของเด็กผู้ชายเปลี่ยนไปอีกครั้ง
   “อยากทำอะไรที่มันท้าทายกว่านี้อีกรึเปล่า?”
   เด็กผู้ชายตอบรับคำถาม และติดตามผู้ชายคนนั้นไป
   นั่นคือก้าวแรกของการเข้าสู่วงการจารชนของเขา
------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่32 P3 4/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-06-2011 14:12:58
   “อโลช่าเป็นอาจารย์ผม” รูฟัสกล่าว อโลช่าเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ของอเล็กเซ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ
   “เขาเป็นคนให้ชื่อผมว่ารูฟัส”
   “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
   “ตายแล้ว” รูฟัสกล่าวและคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นสีหน้าสลดของคนถาม
   “เขาถูกลอบสังหาร เป็นเรื่องธรรมดาของคนในวงการนี้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวต่อ แต่ยังไม่ทันได้เริ่มพูดประโยคต่อไป วงแขนผอมบางก็โอบรัดเขาไว้อีกครั้ง
   ฟ่งดึงตัวของรูฟัสเข้ามากอด ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเบื้องหลังชีวิตของผู้ชายที่เขาเคยหวาดกลัวคนนี้จะมีอดีตที่แสนจะขมขื่น หากเปลี่ยนเป็นเขาแล้วล่ะก็ คงไม่สามารถจะยิ้มออกมาได้แบบที่ผู้ชายคนนี้ยิ้มแน่ๆ
   รูฟัส....
   รูฟัสกอดตอบร่างที่โอบรัดเขาอยู่ อุ่นวาบไปทั่วร่าง ชีวิตของเขาที่อ้างว้างเดียวดายและปฏิเสธทุกคนมานาน ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ผู้ชายสวมแว่นผมสีน้ำตาลคนนี้ ผู้ชายที่เริ่มต้นแค่เป็นคนข้างห้อง ความสัมพันธ์ธรรมดาๆ ที่ชีวิตของเขาลืมเลือนไปแล้ว ผู้ชายที่ดึงหัวใจของเขากลับมา
   “ขอบคุณนะครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” รูฟัสกล่าวออกมา ก้มลงจุมพิตพวงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ และเล่าเรื่องราวของตนเองต่อ
   “หลังจากนั้นผมก็ย้ายมาอยู่กับราฟี่ คุณคงเห็นรูปถ่ายแล้ว”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง และพูดออกมา “คุณตอนเด็กๆ น่ารักดี”
   พอพูดจบแล้วก็อดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ฟ่งยังไม่ลืมว่าคราวก่อนที่เขาพูดแบบนี้รูฟัสทำอะไร ร่างผอมบางผงะหนีโดยสัญชาตญาณ
   “ผมไม่ทำแบบคราวที่แล้วหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าวอย่างรู้ตัว “คราวที่แล้วผมทำไปเพราะไม่ยอมหักห้ามความต้องการของตัวเอง เลยทำให้คุณกลัว แต่ผมรับรองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
   “อือ..” ฟ่งพยักหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนี้จะเชื่อถือได้แค่ไหนกันแน่ และถ้ารูฟัสเกิดหน้ามืดขึ้นมาอีก เขาจะต้านอย่างไร
   จู่ๆ รูฟัสก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอดอีกครั้ง ฟ่งตกใจจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ราวกับเพียงต้องการรับรู้ว่าคนในอ้อมกอดเป็นของจริง ไม่ใช่ความฝัน
   “ผมดีใจที่ได้พบคุณ” รูฟัสพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาขยับตัว เลื่อนใบหน้าออกมา นัยน์ตาสองสีที่มองมาทำให้หัวใจของฟ่งสั่น สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก
   “ยังอยากรู้อะไรอีกรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งนิ่งนึกไปพักหนึ่ง เขายังอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีกนะ เรื่องที่รูฟัสเล่าเกี่ยวกับชีวิตตัวเองสะเทือนใจเขามาก ก่อนหน้านี้เขามีหลายเรื่องที่อยากจะถาม แต่พอถึงตรงนี้แล้ว ฟ่งกลับนึกเรื่องเหล่านั้นไม่ออกเลย ที่เขานึกได้คือการกอดฝ่ายนั้นไว้อีกครั้ง
   “เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังบ้างสิครับ” รูฟัสพูดขึ้น หลังจากที่ฟ่งคลายอ้อมกอดแล้ว คนถูกถามยกมือขยับแว่นให้เข้าที่ มองหน้าอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง จึงพูดออกมา
   “ชีวิตของผมไม่มีอะไรหรอก ผมหมายถึงคงจะเอาไปเทียบกับชีวิตคุณไม่ได้ ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆ ”
   “เล่ามาเถอะครับ ผมอยากฟัง” รูฟัสว่า ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดต่อ
   “ผมมีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง ที่คุณเจอวันก่อนนั่นแหละ แล้วก็มีน้องชายอีกคน แล้วก็มีแม่...”
   “ครับ...”
   “พ่อผมเสียไปตอนน้องชายเกิดได้ไม่กี่เดือน แต่ก่อนหน้านี้ผมก็จำอะไรเกี่ยวกับพ่อตัวเองไม่ได้หรอก เหมือนว่าเขาจะทำงานอยู่ที่ไกลมาก แม่บอกว่าอย่างนั้น แล้วเขาก็ตายด้วยอุบัติเหตุหรืออะไรสักอย่าง ครอบครัวผมเลยเหลือกันแค่สี่คน แต่แม่ก็เลี้ยงดูพวกเรามาได้ เราช่วยๆ กันทำงานทุกอย่างที่พอจะทำได้ อืม...ชีวิตผมไม่ได้ลำบากเท่าไหร่หรอกนะ”
   รูฟัสไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มๆ และจูบเขาๆ ที่หน้าผากเขาทีหนึ่ง ฟ่งหน้าแดงทันที
   “รูฟัส...คุณชอบงานที่คุณทำรึเปล่า?” ในที่สุดหนุ่มสวมแว่นก็ถามออกมา ถามเสร็จแล้วก็ขบริมฝีปากเหมือนนึกขึ้นได้ว่าไม่น่าถามออกไป รูฟัสกะพริบตาปริบๆ อยู่พักหนึ่งจึงพูดตอบ
   “ชอบครับ ก็มันเป็นชีวิตผมไปแล้ว”
   “แล้ว...คุณชอบฆ่าคนด้วยรึเปล่า?”
   คราวนี้คนถูกถามมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะ
   “ผมทำงานแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องฆ่าคนนะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ชอบด้วย”
   “แต่ถ้ามีคนมาเห็นความลับของคุณเข้า คุณก็ต้องฆ่าเขาปิดปากใช่ไหมล่ะ?” ฟ่งถาม และนึกถึงภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามที่เขาเคยดู แน่นอนว่าภาพของรูฟัสที่แทงมีดเข้าใส่จางซื่อเยี่ยนยังคงฝังใจเขาอยู่ รวมถึงสายตาของราฟาแอลที่มองมาทางเขาด้วย
   “ถ้าผมเกิดไปเห็นสิ่งที่คุณไม่อยากให้เห็น หรือรู้ความลับของคุณเข้า คุณ..คุณก็คงจำเป็นต้องกำจัดผมใช่ไหม?” ฟ่งพูดต่อ ใจนึกไปถึงตอนที่เขาถูกว่าจ้างให้เขียนแบบแปลนนั่น คนพวกนั้นกับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างกันตรงไหน? คนที่ทำสิ่งผิดกฎหมาย มีแต่ความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด
   “ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่” รูฟัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และมองคนตรงหน้าอย่างวิตก ดูเหมือนฟ่งจะยังสองจิตสองใจที่จะเชื่อถือเขาอยู่ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรนัก การที่เจ้าตัวกลับมาหาเขานี่สิแปลก
   รูฟัสจับมือของอีกฝ่ายแน่น ในเมื่อฟ่งกลับมาหาเขาแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยไปอีกเด็ดขาด
   เขาจะไม่ยอมเสียหัวใจไปอีกแล้ว
   “ถ้าผมอยากจะปิดบังคุณ ผมคงไม่เล่าให้คุณฟังขนาดนี้หรอกครับ ผมคงไม่พาคุณไปที่บ้าน แนะนำคุณให้คนอื่นรู้จัก จริงอยู่ผมต้องรักษาความลับหลายอย่าง เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ผมเชื่อใจคุณ และไม่เคยคิดจะทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นกับคุณเลย ผมทำไม่ลงหรอกครับ เพราะผมรักคุณมาก”
   ฟ่งหน้าแดงอีกครั้ง รูฟัสใช้คำนี้อธิบายทุกอย่างอีกแล้ว แต่คนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ก็สมควรที่จะต้องระวังตัวเองในหลายๆ ด้าน การที่รูฟัสพูดว่าไว้ใจเขาโดยที่เขาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวเลย คงไม่ใช่การพูดพล่อยๆ
   “นี่...รูฟัส คุณทำงานแบบคนธรรมดาได้รึเปล่า ผมหมายถึง คุณกลับมาใช้ชีวิตสุจริตได้ไหม?”
   รูฟัสมองหน้าคนถาม ที่กำลังช้อนดวงตาสีน้ำตาลมาทางเขาอย่างคาดหวังอะไรบางอย่าง ก่อนจะกลืนน้ำลาย
   “ไม่รู้สิครับ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ความจริงผมก็ทำงานปกติได้หลายอย่างนะครับ เพียงแต่มันเป็นฉากบังหน้าของผมเท่านั้น”
   “คุณ...คุณเลิกเป็นสายลับได้ไหม เลิกทำอาชีพเสี่ยงๆ แบบนี้ แล้วไปทำงานธรรมดาเต็มตัว..อย่างบาร์เทนเดอร์หรือครูสอนภาษาอย่างที่คุณเคยบอกผมก็ได้”
   “ราฟี่ได้ยินคงโมโหคุณแน่ๆ “ รูฟัสกล่าวพลางยิ้มให้คนถาม เขาพอจะเข้าใจเจตนาของฟ่งแล้ว ฟ่งคงอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาจริงๆ ถึงได้ถามอะไรแบบนี้ออกมา หัวใจของชายหนุ่มพองโตขึ้นมาทันที
   “อือ...ก็เขาเป็นเพื่อนสนิทคุณนี่” ฟ่งว่า และนึกถึงดวงตาสีเขียวน่ากลัวนั้นอีกครั้ง
   “เขาจะฆ่าผมไหม?”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างแปลกใจทันที ร่างผอมบางเอ่ยต่อ “ก็ผมพยายามชวนคุณให้เลิก เหมือนผมไปขัดงานของเขานะ ดูเขาไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่”
   “ราฟี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ” รูฟัสพูด พยายามยิ้มเพื่อปลอบใจอีกฝ่าย แต่ก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าราฟาแอลจะทำอะไรกับฟ่งหรือเปล่า เอาเถอะถึงจะเป็นคนแบบราฟาแอลก็คงจะรู้เหมือนกันว่าขืนทำอะไรแบบนั้นลงไปคงได้เจอกับเรื่องไม่โสภาแน่ เขารู้จักราฟาแอลมานาน และฝ่ายนั้นก็รู้จักเขามานาน รูฟัสพอจะเชื่อใจได้ว่าราฟาแอลคงไม่ทำอะไรฟ่งด้วยเหตุผลที่ว่ามาแน่ๆ
   “ถึงเขาจะดูเป็นคนเย็นชา แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ พลางรู้สึกแสลงใจเล็กๆ ก็เจ้าหมอนั่นนั่นแหละที่เกือบทำให้เขาไม่ได้พูดกับฟ่งอีกแล้ว นึกไปก็น่าต่อยสักหมัดจริงๆ
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส กะพริบตาปริบๆ “ผมคงต้องเชื่อคุณสินะ”
   คนถูกถามหัวเราะออกมา “เชื่อผมไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ”
   ร่างผอมบางเหลือบตาขึ้นมองด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อแน่ๆ รูฟัสหัวเราะขืนๆ อีกครั้ง
   “คือราฟี่เขาเป็นคนมีปมชีวิตอยู่เหมือนกันนะครับ เขาถึงได้ดูเป็นคนแบบนั้น”
   “อือ..” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง รูฟัสไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่จะต้องอธิบายชีวิตของราฟาแอลให้คนอื่นฟัง
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “ขอโทษนะ แต่ผมน่ะคงใช้ชีวิตโลดโผนแบบพวกคุณไม่ไหวหรอก ปืนผมก็ยิงไม่แม่น ทักษะทางร่างกายก็ไม่ได้เรื่อง ผม....”
   “ก็ไม่ได้จะให้คุณมาใช้ชีวิตแบบนี้หรอกครับ” รูฟัสรีบตอบไปทันที ดูฟ่งจะจริงจังกับเรื่องที่บอกว่าจะอยู่กับเขาจนอดรู้สึกจะดีใจขึ้นมาอีกไม่ได้
   “เอาไว้จบงานนี้แล้ว ผมจะพูดกับราฟี่ดูแล้วกัน เขาคงเข้าใจผมบ้างแหละ” หนุ่มตาสองสีว่า พยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุด ความจริงแล้วราฟาแอลไม่ได้เป็นปัญหากับเขาในการจะเลิกหรือไม่เลิกอาชีพนี้ ฟ่งคงไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาทำอยู่ใช่ว่าเลิกแล้วจะไม่มีเรื่องวุ่นวายตามมา รูฟัสรู้จักวิถีของคนในวงการนี้ดี แต่เขาไม่อยากทำลายความหวังของฟ่ง ทำร้ายความรู้สึกจนฟ่งหนีเตลิดไปจากเขาอีกหน ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน เขาก็จะทำให้ได้ เพื่อให้ผู้ชายคนนี้อยู่กับเขา
   คนที่เขารักมากที่สุด

   ฟ่งมองหน้ารูฟัส แล้วจู่ๆ ก็หาวหวอดออกมา
   “ผมง่วงจัง” ร่างบางกล่าว และสอดนิ้วเข้าไปใต้แว่นเพื่อปาดน้ำตาที่ไหลซึมออกมา รูฟัสมองคนตรงหน้าซึ่งมีสีหน้าว่าง่วงเหมือนที่ปากว่าจริงๆ
   “เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ” ฟ่งกล่าว กะพริบตาซ้ำอีกหลายครั้ง ได้ยินเสียงรูฟัสพูดตอบ “คิดถึงผมหรือครับ?”
   ร่างผอมบางหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที “มะ..ไม่รู้”
   คนฟังยิ้มกริ่ม ก้มลงหอมแก้มแดงๆ นั้น แล้วพูดต่อ “ผมก็นอนไม่หลับนะครับ คิดถึงคุณตลอดเลย”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ และทำหน้าแปลกๆ “ถ้างั้นนอนกันเถอะ ผมง่วงแล้ว”
   ไม่พูดเปล่า ทิ้งตัวนอนลงจริงๆ เล่นเอารูฟัสทำตัวไม่ถูก ท้ายที่สุดจึงต้องล้มตัวลงนอนข้างๆ ฟ่งถอดแว่นออก และหลับตาลง หลังจากนั้นรูฟัสถึงรู้สึกว่าฟ่งเลื่อนมือมาแตะมือของเขาที่วางอยู่เบาๆ
---------------------------------------------------
   “วันนี้รูฟัสไม่มาเหรอคะ?”
   ชานดอร์หันไปมองตามเสียงทัก เขาจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเป็นผู้หญิงในกลุ่มเมื่อวานที่ดูเหมือนจะนั่งรอเคาน์เตอร์บาร์ว่าง ผู้เป็นเจ้าของร้านมองไปยังประตูทางเข้า แล้วส่ายหน้า
   “คงไม่มาหรอก” เขาตอบ พลางส่งแก้วเหล้าให้หล่อน  ชานดอร์ยังไม่ได้พบกับรูฟัสเลยตั้งแต่เช้า เขาได้ยินจากคนเฝ้าเกสท์เฮาส์ว่า หนุ่มตาสองสีคนนั้นนั่งรถแท็กซี่ออกไป บางทีอาจจะไปส่งอดีตแฟนก็ได้
   หญิงสาวมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย หล่อนหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่  ชานดอร์เดาว่านี่คงเป็นกลุ่มหนึ่งที่แอบปลื้มรูฟัสแน่ๆ
   ความจริงรูฟัสไม่ได้มาที่บาร์ของเขาบ่อยถี่นัก แต่ถ้าหากว่าใครอยากจะเจอหมอนั่นล่ะก็ การมาดักรอพบที่บาร์ของเขานี่แหละง่ายที่สุด  ด้วยหน้าตาที่เรียกได้ว่ามองกี่ทีก็ไม่เบื่อ บวกกับนิสัยใจดี เป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย ทำให้รูฟัสมีทั้งหญิงและชายมาติดพัน อย่างไรก็ตามรูฟัสไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน ถ้าพอใจก็อาจจะมีอะไรกันครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยติดอกติดใจใครนานๆ นั่นทำให้ชานดอร์นึกสงสัยว่า คนแบบไหนกันหนอที่รั้งหัวใจของรูฟัสเอาไว้ได้
   “ขอเหล้าผลไม้ที่หนึ่ง” เสียงของลูกค้าทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขารีบเทส่วนผสมทั้งหมดลงในแก้วผสม และรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงนั้น
   “อ้าว เจ้ารูฟัส” ชานดอร์เอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆ ของลูกค้า รูฟัสคลี่รอยยิ้มพิมพ์ใจตามแบบฉบับของเขา และนั่นเป็นการจุดชนวนเสียงทักทายหลายเสียงจากกลุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่
   “รูฟัส นึกว่าคุณจะไม่มาแล้วเสียอีก”
   “ไง รูฟัส นี่ฉันเอง ลิซ จำได้ไหม?”
   ดูเหมือนผู้ถูกทักจะผงะเล็กน้อยทันทีและรีบยกมือห้าม ชานดอร์นึกสงสัยว่ารูฟัสรู้จักกับพวกหล่อนมาก่อน หรือแม่พวกนี้ทึกทักไปเองกันแน่
   “สวัสดีครับ ผมมาคุยธุระน่ะ เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตาสองสีตัดบท เขาจำพวกหล่อนไม่ได้เลยสักคน และคิดไม่ออกว่าเคยไปทักทายตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นี่ถือเป็นอีกเรื่องที่ปกติในชีวิตเขา ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ไม่อยากทำให้ผู้ที่มาด้วยกันเสียอารมณ์เพราะเสียงทักทายพวกนี้
   “อ่าว  มาแล้วก็จะกลับเลยรึ? แล้วมาทำไม?” ชานดอร์เอ่ยถามอย่างสงสัย ขณะส่งเหล้าผลไม้ให้รูฟัส ชายหนุ่มรับมา และยื่นให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ
   “นั่งก่อนสิครับฟ่ง” รูฟัสกล่าว คนที่มาด้วยกันเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าๆ สวมแว่นตาหนาเตอะ ผมกระเซอะกระเซิง ท่าทางดูหงิมๆ  ชานดอร์ขมวดคิ้ว  เขาฟังภาษาที่รูฟัสใช้สื่อสารกับเด็กคนนั้นไม่ออก คงเป็นชาวต่างชาติ
   ชายหนุ่มคนนั้นนั่งลงและรับแก้วมา ก่อนจะค่อยๆ ยกขึ้นจิบ และยิ้มออกมา “อร่อยดี”
รูฟัสยิ้มตอบ และหันหน้ากลับมาหาชานดอร์ต่อ
   “ผมว่าจะมาขอบคุณนาย”
   “เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่านั่นแฟนนาย คนที่ว่าจะบินกลับไปวันนี้น่ะ” ผู้สูงวัยกว่ารีบกล่าวออกมาอย่างนึกขึ้นได้ พลางมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังจิบเหล้าผลไม้อยู่ รูฟัสพยักหน้า
   “อืม...คนนี้แหละ”
   “ฉันคิดว่าจะเด็กกว่านี้เสียอีก” อีกฝ่ายกล่าว และมองร่างผอมบางที่นั่งอยู่ขึ้นๆ ลงๆ  ฟ่งยิ้มอย่างประหม่า นี่คงเป็นคนที่รูฟัสบอกว่าเป็นเจ้าของเกสท์เฮาส์ที่เขาพักอยู่แน่ๆ
   “ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นนะ” รูฟัสกล่าวอย่างอ่อนใจ ชานดอร์ยักไหล่
   “ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วไปไงมาไงเนี่ย จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนใจกลับมาหานายหรือไง”
   “ก็ทำนองนั้นแหละ” ชายหนุ่มว่า และเหลือบมองฟ่งที่ดูเหมือนจะติดใจเครื่องดื่ม  เขานึกอยากลองชิมเหล้านั้นขึ้นมาบ้าง
   “ชิ น่าเสียดาย จริงๆ น่าจะหักอกนายให้ดังเป๊าะไปเลย”
   “ทำไมพูดจาใจร้ายกับผมอย่างนั้นล่ะ” รูฟัสว่า และทำหน้าเบ้
   “ก็คนอย่างนายมันน่าหมั่นไส้นี่ เอาเถอะ ดีกันก็ดีแล้ว ราฟี่จะได้เลิกสติแตกเสียที”
   “อ่าว ราฟี่โทรมาหาคุณเหรอ?” รูฟัสถามด้วยความแปลกใจ ชานดอร์ยักไหล่
   “ฉันโทรไปเองแหละ ท่าทางหมอนั่นกำลังปวดหัวหน้าดูที่นายหายไป”
   “ก็น่าอยู่” รูฟัสว่า แต่เขาไม่รู้สึกผิดสักนิด ก็ราฟาแอลนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาทุรนทุรายแทบตาย ถ้าเจ้านั่นไม่พาฟ่งออกไปล่ะก็ บางทีเขาอาจจะได้กอดฟ่งเร็วกว่านี้
   “แล้วนี่จะกลับไปบ้านเลยรึ?” ชานดอร์ถามต่อ และหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟให้ไปดูแลลูกค้าตรงโต๊ะหัวมุม
   “ก็คงงั้น  แต่ผมอยากแวะมาขอบใจนายก่อน ทั้งเรื่องที่พักและเรื่องคำแนะนำน่ะ”
   อีกฝ่ายยักไหล่ “ไม่ต้องมาขอบคุณหรอก สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ไม่ใช่เหรอ”
   “ได้ใช้สิ” รูฟัสว่า และกล่าวต่อ “คุณทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้น ยังไงก็ขอบใจนะชานดอร์”
   หนุ่มตาสองสีว่า พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา อีกฝ่ายรีบห้าม
   “เฮ้ๆ นายจ่ายค่าที่พักครบแล้วน่า นายก็รู้ว่าฉันไม่อยากได้เงินของนายหรอก ถ้าอยากจะตอบแทนล่ะก็  มาทำงานใช้สักเดือนเป็นไงล่ะ” เขาว่า  รูฟัสยิ้มแห้งๆ  เก็บกระเป๋าสตางค์ลง
   “ถ้าอาทิตย์เดียวล่ะก็ได้อยู่”
   “ว่างก็มาแล้วกัน” ชานดอร์พูดยิ้มๆ เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่รูฟัสจะมาทำงานที่นี่เป็นประจำ แค่เจ้านี่ยอมรับปากก็ถือว่าแปลกแล้ว  รูฟัสหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปหาฟ่งอีกครั้ง
   “ฟ่งครับ ไม่เมานะครับ?” เขาว่า เมื่อเห็นว่าเครื่องดื่มลดไปกว่าครึ่งแก้ว ฟ่งหันมามองหน้าเขาแบบงงๆ “ไม่เมาหรอก”
   แต่รูฟัสดูเหมือนจะไม่ไว้ใจนัก เขาคว้าแก้วที่เหลือมาจัดการจนเรียบ และส่งแก้วเปล่าให้ชานดอร์ ฟ่งมองอย่างเสียดาย
   “ฉันผสมให้ใหม่เอาไหม?” ชานดอร์ถามฟ่งเป็นภาษาอังกฤษ  แต่รูฟัสรีบห้ามทันที
   “อย่าทำความตั้งใจของผมพังสิ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วทันที “นี่นายไม่ได้กะจะเอาเขามามอมหรอกรึ?”
   คนฟังย่นคิ้ว “คุณเห็นผมเป็นคนแบบไหนเนี่ย เอาล่ะๆ ผมกลับดีกว่า โชคดีนะ ไว้เจอกันวันหลัง”
   หนุ่มตาสองสีรีบพูด และพาคู่รักออกไปทันที  ทิ้งให้ชานดอร์ยืนอมยิ้ม
   เจ้าเด็กนั่นคิดจะแสดงเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะหรือไงนะ
------------------------------------
   “ฉันควรจะโทรหาชานดอร์รึเปล่า” จู่ๆ ราฟาแอลก็เอ่ยขึ้นในระหว่างมื้ออาหารเย็น คนเดียวที่ได้ยินคำถามนี้คือคลาวเดียที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา หล่อนขมวดคิ้วอย่างแปลกใจและถามกลับ
   “จะให้ตามรูฟัสกลับมาหรือ?”
   “อืม” หนุ่มตาสีเขียวรับคำ และนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หญิงสาวจึงพูดขึ้นบ้าง
   “ไม่ต้องหรอกมั้ง หรือว่าคุณมีธุระด่วน?”
   เขาพยักหน้าหงึกหงัก “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พอดีงานมีความคืบหน้า ไม่สิ เรียกว่ามีข่าวใหม่เข้ามาดีกว่า ค่อนข้างจะไม่ดีเสียด้วย ผมอยากให้เจ้านั่นกลับมาทำงานได้ไวๆ”
   คลาวเดียยักไหล่อย่างนึกขำ “ทีนี้ล่ะอยากรีบใช้  ทีทำให้เขาหนีไปล่ะไม่พูด”
   “โธ่ ถึงไม่ทำแบบนี้เจ้านั่นก็ไม่เป็นอันทำงานอยู่ดีแหละน่า เจ้าเด็กตัวปัญหาก็กลับไปแล้ว เจ้านั่นน่าจะกลับมาได้แล้ว อกหักก็อย่าฟูมฟายนานนัก”
   “แล้วอกหักนี่มันต้องใช้เวลาฟูมฟายกี่วินาทีกันล่ะ พ่อนักรัก”
   ราฟาแอลหันควับไปทันทีที่ได้ยินเสียง เจ้าหนุ่มตาสองสีที่เขาเอ่ยถึงกำลังยืนท้าวสะเอวอยู่ตรงทางเดินเข้ามาในครัว
   “กลับมาไว้ดีนี่” เขากล่าว แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อมองเลยไปเห็นอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “ตกใจล่ะสิที่เห็นว่าเขาอยู่กับผมน่ะ” รูฟัสพูด พลางแค่นยิ้ม ราฟาแอลหันมามองคลาวเดียทันที
   “ไหนว่าไปส่งแล้วไง?”
คลาวเดียยักไหล่ “ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปส่งที่ไหนนี่”
   “อืมมมม” ราฟาแอลคำรามในคอ พลางยกมือเกาหัว  รูฟัสหัวเราะขึ้นมาบ้าง
   “ทำไม ผิดหวังรึ? นี่คุณมุ่งมั่นจะให้ผมอกหักจริงๆ ใช่ไหม?”
   นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นมองมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ฉันไม่รู้หรอกว่าแกกับคลาวเดียวางแผนกันยังไง แต่ว่าแกกับเขาดีกันได้แล้ว?  ฉันหมายถึงเข้าใจกันดีแล้วเหรอ ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวหนีออกไปอีกนะ”
   รูฟัสยิ้มร่า ดึงฟ่งเข้ามาหอมแก้มดังฟอด
   “ดีกันแล้วแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์” เขาว่า ราฟาแอลทำหน้าขยะแขยงสุดฤทธิ์ ขณะที่ฟ่งผลักรีบผลักออกและโวยวายเบาๆ
   “ถ้าเข้าใจกันได้ ฉันก็ดีใจล่ะ แต่ว่าเธอน่ะน่าจะทำตัวให้มันดีขึ้นบ้างน่ะ” คลาวเดียว่า  รูฟัสรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที
   “ผมทำแน่ ขอบคุณคุณมากเลยนะคลาวเดีย ถ้าไม่ใช่คุณแต่เป็นราฟี่ล่ะก็ ป่านนี้ผมคงเป็นบ้าอยู่แถวไหนสักแห่ง”
   “อย่าเพ้อให้มันมากนักน่า” ราฟาแอลตัดบท
   “ลองแกปากดีได้ขนาดนี้แปลว่าพร้อมจะทำงานแล้วสิ ถ้างั้นไปที่ห้องรับแขกกับฉันหน่อย มีข่าวใหม่”
   “โห..นี่คุณจะไม่ถามผมสักคำเลยหรือว่ากินข้าวหรือยัง”
   “ถ้าเธอยังไม่ได้ทานก็มาทานก่อนเถอะ ฟ่งคงหิว” คลาวเดียกล่าวขึ้นมาแทน ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “งั้นก็กินให้เสร็จ” เขาว่า แล้วผุดลุกจากโต๊ะไป รูฟัสเรียกให้ฟ่งนั่งลง ชาหนุ่มผมสีน้ำตาลเอื้อมมือมาสะกิดเขาแล้วถาม “นี่ ผมทำอะไรให้คุณราฟาแอลไม่พอใจรึเปล่า?”
   รูฟัสส่ายหน้า “ไม่ต้องไปสนใจหมอนั่นหรอก เขาก็เป็นแบบนี้แหละ คุณทานข้าวเถอะ”
   ฟ่งพยักหน้า คลาวเดียส่งจานอาหารให้รูฟัส และพูดค่อนแคะขึ้น
   “แหม...ตานั่นทำหยั่งกะหึงเธอเลย”
   หนุ่มตาสองสีทำหน้าแปลกๆ “อย่าพูดอะไรน่าสยดสยองอย่างนั้นนะคลาวเดีย  ผมขอเพิ่มพิเศษเลยแล้วกัน” เขาว่า ขณะที่หญิงสาวกำลังตักจานที่สอง
   “จ้า พ่อคนเจริญอาหาร ที่นี้ก็กินได้นอนหลับเสียทีนะ”
-------------------------------------

   
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่33 P3 7/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-06-2011 10:05:08
บทที่34 เบื้องหลังของคำสารภาพ
   รูฟัสเดินเอามือรองท้ายทอยเข้ามาในห้องรับแขก เขาฝากฟ่งไว้กับคลาวเดียในครัว  ราฟาแอลนั่งอยู่บนโซฟา และมองมาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะดีใจปนเหนื่อยหน่ายว่าในที่สุดก็โผล่มาได้เสียที
   “แกปกติดีแล้วแน่นะ” นั่นคือคำแรกที่เขาเอ่ยถาม รูฟัสทำหน้าแปลกๆ
   “คุณเห็นผมผิดปกตรงไหนบ้างล่ะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม ราฟาแอลย่นคิ้ว  อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “ธุระคุณล่ะ”
   ความจริงรูฟัสไม่อยากจะรับรู้เรื่องงานในตอนนี้นัก เขาอยากใช้เวลาขลุกอยู่กับฟ่งมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ เขาหนีงานไปนานมาก จนแทบจะให้อภัยไม่ได้อยู่แล้ว และอีกอย่างเขากลัวว่าจะอดใจไว้ไม่ไหว ถ้าอยู่ใกล้ๆ ฟ่งนานเกินไป
   ราฟาแอลมองหน้าเขาขึ้นลงอย่างสำรวจ ก่อนจะพูดขึ้น
   “คุณเมี่ยงติดต่อมา เห็นว่าเป้าหมายของเราเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว”
   “คราวนี้ทำอะไรอีกล่ะ หาคนทำแปลนใหม่หรือไง?” คนฟังว่า ราฟาแอลไม่สนใจ ยังคงอธิบายต่อ
   “เห็นว่าเริ่มจะติดต่อกับผู้นำธุรกิจด้านต่างๆ ให้มาร่วมหุ้นด้วย อ้างว่าจะทำอากาศกระป๋องขายอะไรสักอย่างนี่แหละ”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ผมว่าจะทำเฮโรอีนแบบสูดผ่านอากาศได้มากกว่านะนั่น”
   ราฟาแอลพยักหน้า
   “นั่นแหละ ถึงรายละเอียดจะยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่  แต่ก็ได้กำหนดเวลาที่ทางนั้นจะเริ่มงานเป็นที่แน่นอนแล้ว บางทีเราอาจจะต้องเร่งมืออีก ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอากาศล่ะก็ วุ่นแน่”
   รูฟัสส่งเสียงอืมอย่างเห็นด้วย และนั่งปุลง
“จะให้เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ” เขาถาม ราฟาแอลยักไหล่
   “เร็วเท่าที่ได้  แต่...” เขาเว้นระยะไปพักหนึ่ง “แต่เบื้องบนยังหาคนที่ตีความแบบแปลนนรกนั่นให้เราไม่ได้”
   “แปลน......ไอ้แบบแปลนนรกนั่นน่ะรึ?” รูฟัสโพล่งออกมา หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขากำลังนึกว่าราฟาแอลพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่
   “อืม” ฝ่ายโน้นพยักหน้าหงึกหงัก “และอีกไม่นานเราจะต้องไปเผชิญนรกที่เราไม่รู้จักนี่ มีเวลาเตรียมตัวสองอาทิตย์ แกคิดว่าไง?”
   “ผมคงไม่คิดจะเตรียมงานศพตัวเองแน่ๆ” รูฟัสว่า ราฟาแอลถอนใจ
   “นั่นแหละ ฉันเองก็รู้สึกจนมุมยังไงก็ไม่รู้ พอนึกถึงแปลนบ้าๆ นั่น ขนาดว่าเป็นแค่แปลนนะ ของจริงจะเป็นยังไง....”
   “ไม่อยากคิดเลยล่ะ” รูฟัสช่วยต่อให้ และรู้สึกสยองขวัญเมื่อนึกถึงแบบแปลนนั้นเช่นกัน
   “ถึงจะบอกว่าอยากเลิกงาน ก็คงเลิกไม่ได้อีกสินะ” หนุ่มตาสองสีกล่าวต่อ  ราฟาแอลพยักหน้า “นายก็รู้ เบื้องบนน่ะเป็นยังไง”
   รูฟัสทำหน้ายุ่ง “มองไปทางไหนเหมือนจะเห็นแต่โลงแหะ นี่ผมต้องจัดงานศพพร้อมคุณหรือเนี่ย?”
   ราฟาแอลมองหน้ารูฟัสเหมือนเห็นขยะ “ใครอยากจะตายกับแก ในเมื่อไม่มีใครอ่านมันได้ เราก็ตีความกันเอาเองแล้วกัน”
   “เอางั้นเลยนะ...” รูฟัสว่า มองหน้าราฟาแอลและรู้สึกสิ้นหวังแปลกๆ
   “แต่ว่านะ ราฟี่  บางทีอาจจะมีปาฏิหาริย์เกี่ยวกับไอ้แปลนนี้ก็ได้” ชายหนุ่มตาสองสีเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง  อีกฝ่ายมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
   “จะบอกว่าเจอคัมภีร์ที่น่าจะอธิบายมันได้หรือไง”
   “ก็ไม่เชิงหรอก..” รูฟัสอ้อมแอ้ม  เขาไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ว่ามันจะใช่ กับสิ่งที่เขากำลังคิด ฟ่งน่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับไอ้แปลนนรกนี่ แต่เท่าที่จำได้รู้สึกว่าฟ่งจะทำงานเกี่ยวกับการออกแบบโครงสร้าง บางทีอาจจะช่วยตีความได้
   “เอ่อ บางทีมันอาจจะเร็วไปที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้นะ ผมหมายถึง..ผมเพิ่งกลับมา แล้วก็ อืม... ถ้ามีเวลาสักหน่อยเราน่าจะคิดอะไรกันออกมากขึ้น” บางสิ่งบางอย่างทำให้รูฟัสตัดสินใจยุติที่จะพูดต่อ ได้ยินเสียงราฟาแอลถอนหายใจ
   “ถูกของแก เอาเหอะ  ไหนๆ ฉันก็หาคนมาแทนไม่ได้แล้ว แกอยากจะไปทำใจก็ไปเถอะ  แล้วก็..” เขาเว้นระยะไปครู่หนึ่ง
   “ดีใจที่แกกลับมานะ  แล้วอย่าเสือกหายหัวไปอีกล่ะ”
   รูฟัสหัวเราะ “ก็ดีใจที่คุณพูดแบบนั้นนะราฟี่ แล้วอย่าพาคนของผมไปทิ้งไว้ที่ไหนอีกล่ะ”
   ราฟาแอลเบ้ปาก แล้วหันไปกดรีโมทเปิดโทรทัศน์แทน
---------------------------------------
   “เป็นไง ตอนนี้เธอคิดว่าไปสนามบินหรืออยู่ที่นี่ดีกว่า” คลาวเดียเอ่ยถามขณะที่กำลังล้างชามอยู่  ฟ่งรับจานจากหล่อนมาเช็ด
   “ไม่รู้สิครับ” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะแหะๆ และวางชามกลับเข้าตู้  ในตอนนั้นทำไมเขาถึงไม่เลือกไปที่สนามบินกันนะ ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองอยากกลับบ้านใจจะขาดแท้ๆ  แต่พอรู้สึกว่าต้องกลับไปใช้ชีวิตคนเดียวโดยที่ไม่มีคนคนนั้นอยู่ด้วยแล้วก็...
   โดยที่ไม่มีรอยยิ้มที่ใจดีนั้น
   โดยที่ไม่มีแววตาสองสีที่อ่อนโยนนั้น
   หัวใจมันก็ปวดแปลบขึ้นมา...
   หรือว่าเขาไม่อาจจะตัดใจจากผู้ชายคนนั้นได้แล้ว
   ฟ่งพยายามจะปฏิเสธตัวเองอย่างถึงที่สุดในช่วงระยะเวลานั้น แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ความทรมานยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งใกล้ความจริงว่าจะต้องไปโดยไม่มีโอกาสได้เจอรูฟัสอีกแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวด เขาพยายามเฝ้าบอกตัวเองว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแค่คนที่บังเอิญผ่านเข้ามาและทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย แต่แม้จะพร่ำบอกตัวเองอย่างไร แต่เอาเข้าจริงเขากลับคิดถึงชายคนนั้น  คิดถึงจนต้องเอ่ยปากถามหาอยู่เกือบตลอดเวลา
   เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้นมากมายจริงๆ
   ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทิ้งเที่ยวบินนั้นในนาทีสุดท้าย  ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองคิดดีแล้วหรือเปล่า เขาเพียงแค่อยากเจอ  อยากจะลองถามผู้ชายคนนั้นอีกสักครั้ง อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งรอยยิ้ม ความห่วงหาอาทรที่มอบให้  และถ้อยคำว่ารักนั้น เป็นความจริงเพียงใด  อยากฟังเรื่องจริงทั้งหมดจากปากผู้ชายคนนั้น อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นคนแบบไหนกันแน่
   อยากที่จะอยู่ด้วยกัน.......
   “อืม..หน้าแดงเชียว” คลาวเดียเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ทำให้ฟ่งสะดุ้งจนเกือบทำจานหล่น  หญิงสาวถอนหายใจ
   “เธอน่ะ ถ้าชอบก็น่าจะบอกว่าชอบไปตั้งแต่แรกเลยสิ อ้ำๆ อึ้งๆ เสียเวลาแถมยังเกือบจะเสียโอกาสด้วยนะ น่าจะซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองหน่อย”
   “คือ...ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น..” ฟ่งแก้ตัวแบบไปน้ำขุ่นๆ  ไม่อยากยอมรับจริงๆ ว่าตัวเองเป็นพวกวิปริตผิดเพศอะไรเทือกนั้น เขาไม่ได้ชอบผู้ชายสักหน่อย แต่สำหรับรูฟัส.....
   “ปากแข็งจริงๆ  ถ้าเธอเถรตรงกับความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้  สักครึ่งหนึ่งของรูฟัสล่ะก็  เรื่องมันอาจจะไม่วุ่นวายขนาดนี้ก็ได้นะ”
   “กำลังนินทาผมอยู่รึ?” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้น หญิงสาวเบิ่งตาอย่างประหลาดใจ
   “คุยเสร็จแล้วหรือ เร็วจัง” หล่อนว่า พลางล้างฟองออกจากมือ รูฟัสได้ยินคลาวเดียงึมงำคำว่าตายยากหรืออะไรซักอย่าง
   “ก็ไม่มีอะไรมาก ราฟี่กำลังดูโทรทัศน์”
   “อ่อ รายการตลกห่วยๆ หลังอาหารนั่นอีกล่ะสิ” หญิงสาวว่า  ชายหนุ่มยักไหล่
   “ผมเลยมาที่นี่ไง” เขาพูดต่อ หญิงสาวร้องอ้อเสียงยาว “คิดว่าจะมาทวงแฟนคืนเสียอีกน๊า”
รูฟัสพยักหน้า “อืม ก็นั่นแหละ”
   เขาหันไปทางฟ่ง “ฟ่ง คุณอยากทำอะไรต่อรึเปล่า?”
   ฟ่งทำท่าเหมือนงงกับคำถามนั้นเล็กน้อย
   “อืม ไม่รู้สิครับ ผมฟังภาษาฮังการีไม่รู้เรื่อง ดูโทรทัศน์คงไม่สนุก แต่ว่าเพิ่งทานข้าว นอนเลยคงไม่ดี”
   “อืม..” รูฟัสนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
   “ไปดูโทรทัศน์ก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมแปลให้ฟัง”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า และปิดตู้เก็บจาน รูฟัสยิ้มกว้าง  เดินเข้าไปจับมือฟ่ง และจูงออกมาทันที  ทำให้คลาวเดียต้องเอ่ยคำค่อนแคะ
   “แหม หวานกันจริงนะ”
   รูฟัสหัวเราะแหะๆ ในขณะที่ฟ่งดูไม่แน่ใจว่าควรจะจับมือนั้นให้แน่น หรือว่ารีบดึงออกมาดี
--------------------------------------
   ไม่รู้ว่ารายการตลกนั้นตลกจริง หรือว่ารูฟัสตั้งใจจะแปลมันให้ตลกกันแน่ แต่ว่าก็ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะออกมาหลายครั้ง  ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหาวก่อนรายการจะจบ สงสัยว่าคงจะได้เวลานอนเสียที
   ฟ่งนึกสงสัยว่าตัวเองก็นอนไปแล้วตอนกลางวัน ทำไมยังง่วงอีก อาจจะเพราะเหล้าผลไม้ที่ทานไปในตอนเย็นก็ได้ แต่ว่าก็ทานข้าวตามไปแล้วนี่นา ในเมื่อหาเหตุผลไม่ได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่านอนก็นอน เขาหันไปชวนรูฟัส แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบ
   “ไปนอนเถอะครับ ผมว่าจะดูโทรทัศน์ต่ออีกสักพัก” ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงง แต่สุดท้ายก็ยอมเดินขึ้นข้างบนไปคนเดียว
   ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ปกติรูฟัสน่าจะตามมาเลยทันทีนี่นา
   ช่างมันแล้วกัน.....
   ฟ่งพลิกตัวอีกสองสามครั้ง และหลับไปในที่สุด

รูฟัสตามขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน  ความจริงเขาไม่ได้อยากจะดูโทรทัศน์ต่อสักนิด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาตอบปฏิเสธคำชวนของฟ่งไป
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะจงใจหรือแค่ชวนตามมารยาท แต่คำชวนนั้นทำให้รูฟัสสันหลังสะท้านวาบ
ให้ไปนอนด้วยกันหมายถึงจะให้ทำแบบนั้นด้วยรึเปล่า?
ถ้าคิดในแบบของฟ่งแล้ว รูฟัสแทบจะบอกได้เลยว่าคงแค่ชวนตามมารยาทเท่านั้น  หนุ่มสวมแว่นคนนั้นไม่มีทางจะชวนเขาไปทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ที่ผ่านๆ มามีแต่เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มโดยไม่เคยเอ่ยถาม
ดังนั้นรูฟัสจึงปฏิเสธไป ด้วยกลัวว่าจะหักห้ามใจไม่ได้อีก กว่าจะได้ตัวกลับมา เขาก็แทบจะเป็นบ้า ถ้าเกิดทำให้ตกใจแล้วหนีหายไปอีกหนนี้เขาคงประสาทตายแน่ๆ รูฟัสตัดสินใจจะทำตามคำแนะนำของชานดอร์อย่างเคร่งครัด
เขาจะไม่บังคับให้ฟ่งมีเซ็กซ์อย่างเด็ดขาด จนกว่าเจ้าตัวจะแสดงความต้องการออกมา
ชายหนุ่มถอนหายใจ มองดูร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ดูท่าจะหลับไปแล้ว
เขาจะต้องอดทน.....แต่ว่าจะต้องอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน?
รอจนฟ่งเป็นฝ่ายชวนก่อนงั้นหรือ?
จู่ๆ เขาก็นึกขนพอง ถ้าเกิดทางนั้นไม่ได้มีอารมณ์หรืออยากจะทำกับเขาเลยล่ะ เขามิคลั่งตายหรือนี่
เหมือนแต่เดิมฟ่งจะไม่ใช่พวกที่มีอารมณ์กับผู้ชาย แฟนเก่าก็เป็นผู้หญิง ทุกครั้งที่มีอะไรกันเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งนั้น เล้าโลมจนทางนั้นยอมโอนอ่อนผ่อนตาม หนักกว่านั้นก็ใช้กำลังบังคับ
มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า ฟ่งอาจจะไม่ชอบมีเซ็กซ์กับเขา
ถึงตรงนี้รูฟัสรู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ เขาก้มลงมองดูใบหน้ายามหลับสนิทของฟ่ง ดูช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรบ้างเลย ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั่น ไม่รู้เลยหรือไงว่ามันยั่วยวนใจขนาดไหน  ตอนอยู่ที่บาร์ของชานดอร์ เขาแทบจะอดใจไม่ไหว ตอนที่ฟ่งแตะริมฝีปากลงบนแก้ว พวงแก้มแดงเรื่อเพราะพิษแอลกอฮอล เขาอยากเหลือเกิน อยากที่จะลิ้มรสชาติริมฝีปากที่เปื้อนเครื่องดื่มแอลกอฮอลนั้น มันจะหอมหวานขนาดไหนกันนะ แค่คิดถึงก็ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ทั้งตอนที่นอนในห้องนั้นอีก  ร่างอุ่นๆ ที่นอนจับมือเขาหลวมๆ นั้นน่ารักอย่างบอกไม่ถูก อยากจะก้มลงจูบไปไม่รู้กี่ครั้ง อยากให้มือนั้นจับเขาแน่นขึ้นยามที่ร่างกายบิดเร่าด้วยอารมณ์ปรารถนาอยู่ในอ้อมกอด เขาแทบจะนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำ ได้ยินแต่เสียงเฝ้าบอกตัวเองเหมือนคนบ้า
ทนไวๆ
กระนั้นจินตนาการใช่ว่าจะหยุดกันได้ง่ายๆ เขาจำต้องคิดถึงเรื่องเลวร้ายสารพัด เพื่อให้ตรงนั้นมันฝ่อลงไปบ้าง เกิดมายังไม่เคยต้องข่มใจข่มความรู้สึกตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย อุตส่าห์ได้อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ จะต้องอดทนแบบนี้ไปนานเท่าไหร่กันนะ ถ้าเกิดว่าวันนั้นมันมาไม่ถึงล่ะ?
หรือจะจัดการเลยตอนนี้ดี
นัยน์ตาสองสีมองดูเรือนร่างผอมบางที่ห่มทับไว้ด้วยผ้าห่มอีกชั้นหนึ่ง แค่เลิกผ้าห่มออก ไล้มือไปตามเรือนร่าง สัมผัสริมฝีปากที่แสนคุ้นเคยนั้นอีกครั้ง เลื่อนมือไปปลดกระดุม  แล้วจากนั้น....
รูฟัสรีบสะบัดหัวในทันใด
ทำไมเขาถึงได้คิดบ้าๆ แบบนี้นะ เดี๋ยวก็พังกันหมดพอดี  ต้องทนๆ
งั้นเอาแค่หอมแก้มก็ยังดี...
ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปใกล้พวงแก้มนั้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ชอนไชเข้ามาในจมูก  นัยน์ตาสองสีหลับอย่างเคลิบเคลิ้ม
มันน่า....
รูฟัสดีดตัวขึ้นมาในทันที ไม่ได้การ แค่คิดจะหอมแก้มยังเกือบจะทำลงไปแล้วแบบนี้...
ร่างสูงใหญ่ตัดสินใจถอยห่างออกมาจากเตียง มองหามุมห้องที่อยู่ไกลที่สุด เพราะหากออกไปนอนห้องอื่นอาจจะถูกทั้งคลาวเดียและราฟาแอลค่อนแคะเอาได้ ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงหมอนออกจากเตียงมาใบหนึ่ง เดินฉับๆ ไปตรงมุมที่เลือก และล้มตัวลงนอน
อดทนไว้ อดทนไว้ อดทนไว้...
--------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานหนึ่งตรงทางเดินระเบียง เขาเพิ่งเสร็จจากการทำธุระเรื่องเอกสารและจัดตารางนัดหมายให้เจ้านาย
   ชายหนุ่มผมสีดำมัดหางม้ายืนอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้ว  นัยน์ตาสีอีกาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
   คิดถึงเรื่องความเอาแต่ใจของผู้เป็นเจ้านาย
   เมื่อคืนเขาโดนเว่ยเฟิงปิงไล่ออกจากห้องด้วยเรื่องที่เขาคิดว่าไม่เป็นเรื่อง ทั้งๆ ที่ทำตามคำสั่งทุกอย่าง แต่ยังไม่วายถูกอารมณ์เสียใส่  จางซื่อเยี่ยนยอมรับว่าเขาตั้งตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตามใจเว่ยเฟิงปิงทุกอย่าง หรือควรจะขัดขืนบ้างดี  แต่โดยปกติการตามใจน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ?
   ร่างสูงเผลอส่ายหน้า เขาคงไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของเจ้านายได้ว่าต้องการอะไรแบบไหน ดังนั้นเขาจึงตามใจเว่ยเฟิงปิงทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็โดนโกรธทุกที  นี่เขาควรจะถามอีกฝ่ายรึเปล่าว่าจะให้เขาทำตัวอย่างไร
   แต่คงไม่พ้นโดนด่าอีกแน่ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายืดยาว ก่อนจะสะดุ้งเฮือก
   “เฮ้ ซื่อเยี่ยน ทำไมนายไม่ไปรอหน้าห้องฉัน”
   ชายหนุ่มหันไปตามเสียง แทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ที่พูดขึ้นมาคือเจ้านายของเขานั่นเอง  เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าสบายๆ มาตามทางเดินยาว ยังไม่ทันที่จางซื่อเยี่ยนจะได้เอ่ยปากแก้ตัวอะไร ฝ่ายนั้นก็พูดต่อ
   “เย็นนี้นายว่างรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนมองเจ้านายเขาอย่างงุนงง ก็เขามีหน้าที่ต้องติดตามเว่ยเฟิงปิงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
   “นั่นก็ต้องแล้วแต่คุณล่ะครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า “ฉันโทรยกเลิกนัดกับคุณหว่องแล้วล่ะ เห็นว่าไม่จำเป็นอะไร อยากจะพักผ่อนสักวันหนึ่ง”
   ชายหนุ่มทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
   “ตามใจคุณแล้วกันครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงยักไหล่
   “เย็นนี้นายไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งตากว้างเหมือนว่าเขาฟังผิด  นั่นทำให้คิ้วเรียวยาวของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากันทันที
   “หรือว่าไม่อยากไป?”
   “เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ผู้เป็นลูกน้องรีบเอ่ย เขามองหน้าเจ้านายที่กำลังเริ่มจะอารมณ์เสียแล้วรีบพูดต่อ “ผมไปก็ได้ครับ ที่นี่ใช่ไหมครับ?”
   อีกฝ่ายส่ายหน้า “ที่เกาลูน ฉันจองห้องไว้แล้ว”
   จางซื่อเยี่ยนตาเหลือก “จะดีหรือครับคุณชาย แบบนั้นน่ะ คุณกับผม...”
   “ดี!!” เว่ยเฟิงปิงว่า พลางถลึงตาใส่จางซื่อเยี่ยน “จะไปหรือไม่ไป!”
   “ปะ..ไปครับ” ผู้เป็นลูกน้องละล่ำละลักรับปาก  เว่ยเฟิงปิงยิ้มออกมา
   “เดี๋ยวตามไปเอาเอกสารที่ห้องฉันหน่อย” เขาว่า และเดินออกไปทันที  จางซื่อเยี่ยนรีบเดินตามออกไปติดๆ
   นี่เว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนอีกหนอ...........
-----------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่33 P3 7/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-06-2011 10:05:34
   ฟ่งลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แสงสว่างภายนอกสาดผ่านม่านกั้นเข้ามาในห้องแล้ว ร่างบางยันตัวขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตาดี สักพักหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนต่อ ผ้าห่มที่ยังอุ่นๆ นั้นชวนให้ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยจริงๆ ร่างบางพลิกตัวพลางกอดก่ายหมอนข้างไปเรื่อยๆ  และเริ่มรู้สึกแปลกใจ
   ทำไมเตียงมันถึงได้กว้างนัก?
   ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง มองไปรอบๆ
   เขานอนบนเตียงคนเดียวรึ  รูฟัสล่ะ?
   ฟ่งควานมือเปะปะไปตรงโต๊ะข้างหัวเตียงเพื่อหาแว่น หยิบมันมาสวมและมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก่อนจะพบว่ารูฟัสอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมุมห่างออกไปอย่างที่สุด  ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหาร่างสูงใหญ่นั้น
   “คุณมานอนทำไมตรงนี้” ฟ่งเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่ารูฟัสขยับตัวตอนที่เขาเดินเข้ามา คนถูกถามหัวเราะแห้งๆ  เขาได้ยินเสียงฟ่งพลิกตัวแล้ว และรู้สึกขบขันนิดหน่อยตอนนี้เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งแล้วกลับไปนอนอีก ความจริงรูฟัสกำลังคิดว่าจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เขาไม่อยากให้ฟ่งเห็นว่าตัวเองมานอนตรงนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะคิดช้าไปหน่อย
   “ผม..เอ้อ...ผมคิดว่านอนที่พื้นน่าจะสบายกว่า” รูฟัสพยายามแก้ตัว เขาเห็นคิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันอีก
   “ผมนอนขวางเตียงรึเปล่า?” ร่างบางกล่าว เขาคิดว่ารูฟัสต้องจำใจลงไปนอนที่พื้นเพราะเขาแน่ๆ ฟ่งนึกละอายใจ บางทีเขาอาจจะนอนกินที่มากไป รูฟัสรีบสั่นศีรษะ
   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมคิดว่าเตียงนั่นนอนคนเดียวน่าจะสบายกว่า  เดี๋ยวไปซื้อเตียงมาเพิ่มอีกหลังก็ได้”
   “เหรอ... ผมคิดว่าเราจะนอนด้วยกันเสียอีก” ฟ่งกล่าว เสียงของเขาดูเหมือนจะเบาลงนิดหน่อย  รูฟัสถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
   “ว่าอะไรนะครับ?”
   “ไม่มีอะไรหรอก” ฟ่งว่า เขาหันหลังกลับ รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรที่ไม่น่าจะพูดออกไปเสียแล้ว
   “คุณ..อยากให้ผมนอนด้วย?” ดูเหมือนว่ารูฟัสจะได้ยินที่พูด  เขาถามย้ำอีกครั้ง ทำให้ฟ่งต้องย่นคิ้ว
   ได้ยินแล้วทำไมต้องถามซ้ำอีกนะ...
   “ถ้าคุณคิดว่านอนคนเดียวสบายกว่า ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
   ร่างบางว่า และเดินตรงไปยังห้องน้ำ รูฟัสรีบลุกขึ้นคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ทันที
   “เดี๋ยวสิครับ ผมไม่ได้คิดว่านอนคนเดียวสบายกว่า แต่ว่า...”
   “แต่ว่าอะไร?” ฟ่งหันมาถามกลับบ้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างสงสัย รูฟัสกลืนน้ำลายลงคอ
   “ถ้านอนกับคุณ ผมคง...”
   “อ้อ..” ฟ่งร้องออกมา  ทำให้อีกฝ่ายต้องเงียบไปโดยอัตโนมัติ
   “ผมคิดว่าคุณจะไม่โกรธผมเสียอีก” ร่างบางกล่าว มองออกไปยังจุดที่รูฟัสเพิ่งลุกออกมา
   “โกรธ?” รูฟัสทวนคำอย่างแปลกใจ เขามองใบหน้าที่ยังดูง่วงๆ ของฟ่งอีกครั้ง ร่างผอมบางพูดต่อ
   “ผมรู้ว่าผมเองก็ทำไม่ถูกเท่าไหร่เรื่องที่หนีคุณออกไป ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจขนาดที่ต้องหนีไปนอนริมห้องแบบนั้นล่ะก็ ผมขอโทษ”
   ฟ่งกล่าว พลางช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองด้วยอาการขัดเขินเล็กๆ  จนรูฟัสคิดว่าฟ่งต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาโกรธอยู่ และกำลังสำนึกผิดขึ้นมาจริงๆ
   “ผมดีใจที่คุณพูดขอโทษนะ แต่ว่า..ผมไม่ได้โกรธคุณ” รูฟัสว่า เขาดีใจจริงๆ ที่ฟ่งคิดจะขอโทษเขา บางทีฟ่งอาจจะเข้าใจแล้วว่าทำให้เขาเจ็บปวดใจขนาดไหน
   “ถ้าคุณไม่ได้โกรธผมแล้วคุณไปนอนตรงนั้นทำไม” ฟ่งถามต่อ และเริ่มคิดว่าทำไมเขาต้องขอโทษรูฟัสด้วยนะ ทางนั้นสิควรจะเป็นฝ่ายขอโทษเขามากกว่า แต่เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ที่ทำแบบนั้นลงไปโดยไม่ยอมพูดอะไรก่อน
   ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีนี่นา
   ฟ่งเผลอหลบตาและหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว รูฟัสกลืนน้ำลายอีกครั้ง เขาเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังจะทนไม่ไหว
   “ผมว่า คุณไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มตาสองสีตัดบท ก่อนที่จะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่  ฟ่งมองหน้าเขาอย่างใจเสีย
   “ตกลงคุณโกรธผมจริงๆ สินะ” ร่างบางกล่าวเสียงอ่อนเขารู้สึกเหมือนโดนไล่ รูฟัสมองฟ่งอย่างอ่อนใจ
   “ผมไม่ได้โกรธคุณครับ สาบานได้”
   “แล้วทำไมคุณหนีไปนอนไกลขนาดนั้น” ฟ่งถามซ้ำอีกครั้ง  รูฟัสยกมือขึ้นเกาหัว  นี่ฟ่งไม่เข้าใจหรือว่ากำลังแกล้งโง่กับเขากันแน่นะ
   “เพราะผมคงทนไม่ไหว” เขาพูด และคว้าตัวฟ่งเข้ามากอด มองดูดวงตาสีน้ำตาลที่เบิ่งโพลงด้วยความตกใจ
   ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือไม่เข้าใจจริงๆ อย่างไรก็ต้องมีการเรียกค่าเสียหายบางอย่าง จากการทำให้เขาต้องอัดอั้นจนแทบจะอกระเบิดอย่างนี้….
   รูฟัสแนบริมฝีปากลงไปกับริมฝีปากบางนั้น ดึงเกี่ยวปลายลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาขบกัดและดูดดึงมันอย่างหิวกระหาย ฟ่งจิกเล็บลงบนท่อนแขนของเขาด้วยความตระหนก
   “ถ้านอนใกล้กับคุณล่ะก็ ผมคงไม่หยุดแค่จูบแค่นี้หรอกนะครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยหลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว เขาพยายามแทบตายว่าจะถอนริมฝีปากออกมาได้ และบอกตัวเองไม่ให้ทำอย่างอื่นไปมากกว่านี้  ฟ่งหน้าแดง ยกมือขึ้นจับริมฝีปาก
   “คะ..คุณ..” ร่างบางกล่าวตะกุกตะกัก รูฟัสรู้สึกเสียใจกับการกระทำนี้อยู่บ้าง เขาน่าจะอดใจเอาไว้สักหน่อย แต่ว่าฟ่งก็ยั่วเสียเหลือเกิน
   ฟ่งยังคงหน้าแดง เขาหลบสายตารูฟัส ร่างกายร้อนวูบวาบไปหมด ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจูบกระทันหัน สัมผัสของผู้ชายคนนี้ทำให้ร่างกายของเขาสับสนอยู่เสมอ แม้กระทั้งตอนนี้....
   “ไปอาบน้ำเถอะครับ” รูฟัสกล่าว ปล่อยวงแขนที่โอบกอดร่างนั้นอยู่อย่างไม่เต็มใจนัก  และนึกแปลกใจอย่างที่สุดที่ตัวเองสามารถอดกลั้นความต้องการได้อย่างไม่น่าเชื่อ
   จะมีรางวัลอะไรให้กับความอดทนครั้งนี้รึเปล่านะ
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นไปได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับเรื่องนี้ดี เหมือนรูฟัสพยายามอดกลั้นกับเขาอย่างเต็มความสามารถ ฟ่งหน้าแดง เขายังไม่ยอมขยับ ได้แต่ส่งเสียงอ้อมแอ้ม
   “ไม่เห็นจะต้องทนเลยนี่”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อหู ฟ่งพูดอะไรออกมาน่ะ... เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูดออกมารึเปล่า?
   “ที่ว่าไม่ต้องทนนี่  หมายถึงว่าให้ทำได้หรือครับ?” อีกฝ่ายถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แม้ว่าจะรู้สึกว่านั่นเป็นคำถามที่โง่มาก แต่ถ้าเกิดนึกตีความไปเอง ก็กลัวออกแนวเดิมอีก
   รูฟัสไม่อยากถูกหาว่าทึกทักไปเองอีกแล้ว
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงยอมรับ ใบหน้ายิ่งแดงปลั่ง นี่เขากำลังพูดอะไรนะ ก็แค่อยากให้รูฟัสอยู่ด้วยกันกับเขาแค่นั้นเอง การนอนด้วยกันมันก็อบอุ่นดี
   “Спасибο!!” รูฟัสโพล่งอย่างดีใจ เขาคว้าตัวฟ่งเข้ามากอด แนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากแดงเรื่อที่เผยออ้าอย่างตกใจนั้นอีกหน สัมผัสปลายลิ้นของตนเข้ากับปลายลิ้นอุ่นที่ผงะหนีอย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างกายร้อนวาบขึ้นมาทันที
   ฟ่งพยามยกมือผลักร่างสูงใหญ่ที่จู่โจมเข้ามาด้วยความตกใจ แต่เรียวลิ้นที่ขยับต้อนเข้ามาช่างชำนิชำนาญเสียเหลือเกิน ผลักได้ไม่เท่าไหร่ แขนทั้งสองข้างก็พาลอ่อนแรงลงดื้อๆ เขาจำต้องคว้าท่อนแขนแกร่งนั้นไว้อย่างลืมตัว และตอบสนองรสจูบนั้นอย่างไม่อาจต้านทานได้
   เรียวลิ้นที่ตอบสนองมายิ่งทำให้รูฟัสหัวใจเต้นแรง เขารั้งร่างนั้นเข้ามากอดแน่นอีก ก่อนจะตะปบมือลูบไล้ไปตามแผ่นหลังผอมบาง สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุในตัวของอีกฝ่าย
   ของรางวัลที่ว่าท่าทางจะมาเร็วกว่าที่คิด...
   เขาผละริมฝีปากออก มองดูดวงตาสีน้ำตาลใสที่มองเขาผ่านเลนส์แว่น ฟ่งตอนที่ทำหน้างุนงงแบบนี้ยิ่งดูน่ารักเป็นพิเศษ เขาก้มลงหอมพวงแก้มแดงเรื่อนั้น และถูไถใบหน้าลงไปอย่างรักใคร่ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก พร้อมกับเบี่ยงร่างหนีอย่างเขินอาย
   “ผมจั๊กจี๋” ฟ่งว่า และหัวเราะอีกครั้ง รูฟัสขบใบหูแดงก่ำเบาๆ  สำหรับเขาแล้ว  เพื่อคนคนนี้ ต่อให้ต้องแลกอะไรไปเพื่อให้ได้มาก็คุ้มค่าอยู่ดี
“Я вас люблю” รูฟัสกระซิบถ้อยคำที่อีกฝ่ายไม่อาจจะเข้าใจ แตะปลายจมูกเข้ากับแก้มอุ่น พวงแก้มนี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ชวนให้สัมผัสเสมอ
สำหรับเขาแล้วฟ่งน่ารักที่สุด
ชายหนุ่มค่อยๆ ผลักร่างนั้นลงบนเตียง สอดมือเข้าไปใต้เสื้อ สัมผัสผิวกายร้อนผะผ่าว เตรียมตัวจะลิ้มลองรสชาดของรางวัลอันแสนหวาน ฟ่งร้องเหวอ ขณะที่รูฟัสคร่อมอยู่เหนือตัวเขา
“ดะ..เดี๋ยว” ร่างบางร้องเสียงหลง ขณะที่อีกฝ่ายแนบใบหน้าลงมาใกล้ มือที่สอดเข้าไปใต้เสื้อเริ่มบีบเค้นจุดไวสัมผัสที่อยู่แถวนั้น
“What?” รูฟัสส่งเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ เขาหยุดมือ แต่ก็ยังไม่ยอมถอยห่าง ฟ่งเว้นระยะหายใจเล็กน้อย รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ
“คุณคิดจะทำตอนนี้เลย?”
   รูฟัสขมวดคิ้ว มองดูร่างบางในอ้อมกอด “ก็คุณบอกว่าไม่ต้องทน”
   ฟ่งกลืนน้ำลาย มองหน้าอีกฝ่าย  นี่ถ้าเขาพูดต่อจะโดนทำอะไรอีกไหมนะ...
   “ก็ใช่.. แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทำตอนนี้” ร่างบางว่า และเกือบจะหยุดหายใจ  เขากลัวว่ารูฟัสจะไม่ยอมหยุดแล้วก็ทำแบบที่ผ่านๆ มาอีก
   นัยน์ตาสองสีจ้องร่างนั้นเขม็ง และกลืนน้ำลายอีกครั้ง
   ตกลงนี่ไม่ได้หมายความว่าให้ทำได้หรอกรึ?
   “แล้วจะทำได้เมื่อไหร่ล่ะครับ” ร่างสูงใหญ่ถามต่อ เขาไม่ยอมเสียโอกาสงามๆ นี้ไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ ฟ่งก็ดูมีอารมณ์ร่วมชัดๆ  ผู้ถูกถามหน้าแดง เบนสายตามองไปข้างๆ อย่างขัดเขิน ก่อนจะพูดอ้อมแอ้ม
   “คะ..คืนนี้ก็ได้ ก็ผมเพิ่งตื่นนอน...”
   “ก็ได้ครับ คืนนี้..” รูฟัสพูด  และยินยอมถอยออกไปโดยดี  แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอย่างที่สุด แต่เขาก็ต้องหักห้ามใจ ขืนทำลงไปอีกฟ่งอาจจะโกรธก็ได้  อีกอย่างเจ้าตัวบอกเองว่าคืนนี้
   ฟ่งมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่รูฟัสยอมถอยออกไปจริงๆ  เขารีบลงจากเตียง และตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัว
   “ผมอาบน้ำดีกว่า” ร่างบางว่า และผลุบเข้าห้องน้ำไปทันที ก่อนที่รูฟัสจะทันได้พูดหรือทำอะไร ก็ได้ยินเสียงล็อกประตูห้องน้ำดังแกร่ก
   ชายหนุ่มมองไปยังห้องน้ำ ไม่รู้ว่าฟ่งโมโหหรือเขินมากกันแน่ แต่ในเมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็จะไม่ยอมเสียโอกาสเด็ดขาด
   คืนนี้จะจัดการให้คุ้มเลย.....
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัวในห้องนอนของเว่ยเฟิงปิง  ชายหนุ่มไม่เคยยืนอยู่หน้ากระจกนานขนาดนี้มาก่อน หรือจะพูดให้ถูกคือเขาไม่เคยตั้งใจส่องกระจกเพื่อดูตัวเองเลย จนถึงตอนนี้
   ร่างที่มีส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเศษดึงเนกไทสีดำให้เข้าที่ โดยปกติจางซื่อเยี่ยนจะสวมสูทเต็มยศในตอนที่เขาต้องติดตามผู้เป็นเจ้านายไปในสถานที่ต้องการความสุภาพเท่านั้น แต่ว่าเหตุผลการแต่งตัวในคราวนี้นั้นแตกต่างออกไป
   เขากำลังจะไปออกเดทกับเจ้านาย!
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขาไม่รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะพอใจกับเนกไทสีดำรึเปล่า เพราะในตู้ของเขาไม่มีสีอื่นอีก หลังจากเลียบๆ เคียงๆ ถามด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์เสีย จางซื่อเยี่ยนก็แน่ใจว่า เว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะไปทานอาหารเย็นกับเขาแค่สองคนจริงๆ แต่ก็ยังเดาไม่ออกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการทานอาหารครั้งนี้คืออะไร ครั้นจะให้ถามไปตรงๆ ก็คงถูกโมโหใส่อีก ถึงอย่างนั้นจางซื่อเยี่ยนก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่จะได้ไปออกเดทกับคนที่เขาเฝ้าฝันมานาน แม้ว่ามันจะเป็นการเดทที่มีจุดประสงค์แอบแฝงก็ตาม
   “ทำไมนายไม่ใส่เนกไทสีที่มันสดใสหน่อย” เสียงของเว่ยเฟิงปิงที่ดังขึ้นมาทำให้จางซื่อเยี่ยนสะดุ้ง เขาหันหลังกลับมามองผู้เป็นเจ้านายอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก
   “ผมไม่มี...”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจเฮือก ก้าวฉับๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง และหยิบเนกไทสีชมพูอ่อนลายขาวออกมา เขาดึงเนคไทสีดำเส้นเก่าออก และผูกเส้นใหม่ให้กับผู้เป็นลูกน้อง
   “ดีกว่าไหมล่ะ” ร่างบางกล่าว พลางขยับเนกไทให้เข้าที่  จางซื่อเยี่ยนรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก ทำแบบนี้มันเหมือนภรรยากับสามีเลยไม่ใช่หรือไง
   “ขะ  ขอบคุณครับ” เขากล่าว  เว่ยเฟิงปิงจะรู้รึเปล่าว่าเมื่อครู่ทำเขาตื่นเต้นขนาดไหน  อย่างไรก็ดีจางซื่อเยี่ยนสังเกตว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในชุดเดิม หรือว่าเจ้านายของเขาจะไปทั้งๆ อย่างนี้
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปสิ ฉันจะได้เปลี่ยนเสื้อ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกน้องน่าจะดูดีแล้ว จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเลิ่กลั่ก อีกฝ่ายจึงพูดต่อ
   “หรือนายอยากจะดูฉันแก้ผ้า”
   ผู้เป็นลูกน้องรีบส่ายหัว  ความจริงเขาอยากจะพูดว่ารู้สึกขัดเขินนิดหน่อยกับสีของเนกไท แต่ว่าขืนพูดออกไปคงโดนโมโหอีก ดังนั้นจึงเหลือแต่สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
   เมื่อเถียงไม่ออก และไม่กล้าพูด แม้ว่าในใจคิดจะอยากดูเรือนร่างของอีกฝ่ายจริงๆ จางซื่อเยี่ยนก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเจ้านาย เขาเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ  และได้ยินเสียงเฮอะจากเว่ยเฟิงปิงเบาๆ
   นี่คงไม่ได้ไม่พอใจที่เขาเดินออกไปช้าหรอกนะ.........
-----------------------------
   เว่ยเฟิงปิงระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หลังจากที่จางซื่อเยี่ยนปิดประตูแล้ว เขารู้สึกหงุดหงิดกับผู้เป็นลูกน้อง ทำไมเจ้านั่นถึงได้ทำอะไรทื่อๆ เป็นหุ่นยนต์ได้ตลอดเลยนะ
   ร่างบางถอดเสื้อนอกออก และเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต การแสดงออกของจางซื่อเยี่ยนทำให้เขาเกิดลังเลนิดหน่อยว่าควรจะล้มแผนอาหารเย็นมื้อนี้ดีไหม แต่เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องไปกับคนคนนี้แค่สองคนให้ได้ ด้วยหวังจะเข้าใจเจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นั่นได้มากขึ้น
   แต่ว่าเขาจะเข้าใจคนอย่างเจ้านั่นได้จริงๆ น่ะรึ?
   เว่ยเฟิงปิงมองดูตัวเองในกระจก และยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับที่ตัดสั้นของตน เขารู้สึกอิจฉาผู้เป็นลูกน้องที่ไว้ผมยาวได้โดยไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเกย์หรือกระเทยหรืออะไรเทือกนั้น  เมื่อก่อนนี้เว่ยเฟิงปิงเคยไว้ผมยาว จนกระทั่งถูกขับออกจากตระกูล ผมยาวนั้นทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจและถูกจดจำได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องตัดมันออก และเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในตระกูลแล้ว  เขาก็ยังคงตัดมันให้สั้นอยู่อย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่แสนจะงี่เง่าว่ามันคงทำให้เขาดูเป็นผู้ชายและเข้มแข็งมากขึ้นในสายตาคนอื่น  แต่ตอนนี้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยผู้มีดวงตาสีฟ้าราวกับสีของท้องฟ้ากำลังจะหมดความอดทนกับการสร้างภาพนี้  เขาอยากไว้ผมยาว อยากถูกจดจำ อยากจะทำให้ตัวเองสวยงามกว่านี้ สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว เรือนผมสีดำเป็นเงาสยายนั้นเป็นความสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขากลับไปไว้ผมแบบนั้นอีกครั้ง เขาจะสวยหรือเปล่านะ
   นัยน์ตาสีฟ้าหลับพริ้ม  ย้อนนึกไปถึงอดีตในช่วงที่ยังไว้ผมยาวอยู่ ตอนนั้นเคยมีใครที่ชมเขาบ้างหรือเปล่านะ คงเป็นพวกเด็กผู้หญิงที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับเขาล่ะมั้ง 
แต่ว่ากับผู้ชายด้วยกันล่ะ?
ร่างบางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ถึงใครจะไม่คิดว่ามันสวยแต่ว่าเขาอยากจะทำนี่นา  ทำไมจะต้องไปสนใจสายตาคนอื่นด้วยล่ะ
ถ้าอยากจะแต่งสวย ก็คงต้องตอนนี้เท่านั้นล่ะมั้ง
ชายหนุ่มคิด และตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกหน้าต่าง สีของเนกไทยังคงทำให้เขาเป็นกังวล เนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยใส่อะไรที่เป็นสีฉูดฉาดมาก่อน แต่ถ้านี่เป็นสิ่งที่เจ้านายเขาต้องการก็คงต้องทำใจ ถึงแม้ว่ามันจะยากอยู่สักหน่อยก็ตาม
   ร่างสูงถอนหายใจยาว และหันหลังกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า
   !!!!!!!!!!!!!!
   “ทำไม! ตลกหรือไง?” ผู้ที่เดินมากระชากเสียงอย่างค่อนข้างจะหัวเสีย เมื่อเห็นสีหน้าของจางซื่อเยี่ยน ชายหนุ่มรีบหุบปาก นัยน์ตาสีอีกากระพริบถี่ๆ เสียงนั่นเป็นของเจ้านายเขาไม่ผิดแน่ แต่ว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น.... ใช่เว่ยเฟิงปิงแน่รึ?  สาวผมยาวนัยน์ตาสีฟ้าในชุดกี่เพ้าสีแดงกับผ้าคลุมไหล่สีขาวนั่น!!
   จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขาชอบเว่ยเฟิงปิง หลงรักคนคนนี้ ชอบในรูปแบบที่คนคนนี้เป็นเป็น แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีรสนิยมในการแต่งตัวแบบนี้ด้วย
   ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ อีกหลายหน จะว่าแปลกใจมันก็แปลกใจอยู่หรอก แต่จะบอกว่าแปลกตาเลยก็คงจะไม่ใช่ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพอแต่งแบบนี้แล้วเจ้านายของเขาก็ดูดีไม่ใช่เล่น นัยน์ตาสีฟ้าเรียวที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ ดูดึงดูดมากขึ้น ริมฝีปากบางที่แต้มสีชมพูแดงนิดหน่อย ก็ดูน่ามองดี แล้วยังผมสีดำยาวสลวยนั่นอีก  ความจริงเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ก่อนหน้านี้เว่ยเฟิงปิงเคยไว้ผมยาว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทำให้เลิกไว้ไป ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเจ้านายของเขาน่าจะเหมาะกับผมยาวๆ มากกว่า
   เว่ยเฟิงปิงหน้าบูด  เขากำลังคิดว่าถ้าจางซื่อเยี่ยนเกิดหัวเราะออกมาเขาควรจะตวาดให้เงียบหรือวิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดี  และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนนิ่งอึ้งเว่ยเฟิงปิงจึงตัดสินใจหันหลังกลับ
   “จะไปไหนน่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนร้องเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายกระแทกส้นสูงลงพื้น ทำท่าเหมือนจะเดินกลับไปจริงๆ
   “ไปเปลี่ยนชุด!” เว่ยเฟิงปิงตะคอก รู้สึกหงุดหงิดตัวเองว่าทำไมต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ต่อหน้าเจ้าบ้านี่ด้วย ความจริงแค่ไปทานข้าวด้วยกันก็ดูจะแปลกประหลาดพออยู่แล้ว   ยังจะดันมาทำตัวแบบนี้อีก ร่างบางกระแทกส้นอย่างหงุดหงิด จนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย
   “เดี่ยวสิครับ” จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจคว้าข้อมือของผู้เป็นเจ้านายเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงคงไม่ได้ยินที่เขาพูดแน่ๆ  ร่างบางหันขวับกลับมาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ถ้านายกล้าอ้าปากหัวเราะใส่ฉันตอนนี้ล่ะก็ ฉันจะฆ่านาย” เว่ยเฟิงปิงตวาดแวดใส่หน้าของจางซื่อเยี่ยนซึ่งมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด ผู้เป็นลูกน้องรีบสั่นศีรษะ แต่ก็ไม่วายยิ้มออกมา
   “ไม่เลยครับ  ผมว่าคุณสวยดี เอ่อ...ไม่ต้องอายหรอกครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตากว้าง “ใครอาย!? ฉันน่ะนะ?!!”
   และแล้วผู้เป็นเจ้านายก็หุบปากเงียบ  ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ว่าเขาอาจจะกำลังอาย ด้วยความร้อนที่รู้สึกได้บนใบหน้า  จางซื่อเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังฝันอีก นี่เว่ยเฟิงปิงกำลังแสร้งทำทีเป็นเขินอายต่อหน้าเขา หรือว่ากำลังเขินอยู่จริงๆ นะ เขาเกิดอยากจะทดสอบเรื่องนี้ขึ้นมา
   “คุณสวยจริงๆ นะครับ ตอนอายก็น่ารักดี”
   “ไอ้บ้า!!” เว่ยเฟิงปิงตะโกนใส่หน้าจางซื่อเยี่ยน และตัดสินใจว่าเขาจะล้มแผนทิ้งทั้งหมด นี่มันบ้าไปหมดแล้ว ทำไมเขาจะต้องมาหน้าแดงกับเจ้าบ้างี่เง่านี่ด้วยนะ ร่างบางสลัดมือ ก้าวพรวดๆ กลับไปยังห้อง
   จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจดี ดูเหมือนว่าเว่ยเฟิงปิงจะเขินอยู่จริงๆ และเขาก็ดันไปกระตุ้นให้ทางนั้นโมโหอีก ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะรีบหยุดผู้เป็นเจ้านายไว้
   แต่ว่า..ด้วยวิธีไหนล่ะ?!!
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกถึงแรงคว้ามหาศาลที่ข้อมือ จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจรั้งร่างที่กำลังเดินจากไปนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ
   เขาก้มลงจูบผู้เป็นเจ้านาย
   นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งค้าง เมื่อริมฝีปากถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากอีกคู่หนึ่ง ก่อนจะหลับพริ้มลง และส่งเสียงครางในลำคออย่างพอใจ
   เจ้าหุ่นยนต์บ้านี่ก็ทำเรื่องแบบนี้เป็นนี่นา...
   “ขอโทษครับ” นั่นคือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของจางซื่อเยี่ยนหลังจากถอนริมฝีปากออกไปแล้ว เว่ยเฟิงปิงย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อกี้เจ้านี่เพิ่งจะจูบเขาแบบลึกซึ้งไปหยกๆ แต่กลับมาจบด้วยประโยคสุดงี่เง่า
   “ถ้านายไม่พูดออกมาฉันคงรู้สึกดีกว่านี้” ร่างบางว่า ทำให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วขึ้นบ้าง เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของจางซื่อเยี่ยน และหัวเราะ
   “ปากนายเลอะลิปสติก”
   จางซื่อเยี่ยนทำหน้าเหวอ แต่ก่อนที่จะได้พูดคำว่าขอโทษออกมาอีก เว่ยเฟิงปิงก็เช็ดมันด้วยกระดาษทิชชู่เสียก่อน
   “ว่างๆ ฉันจะจับนายแต่งหญิงบ้าง” ผู้เป็นเจ้านายว่า หลังจากเช็ดรอยลิปสติกออกจากปากของอีกฝ่ายแล้ว จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลายเฮือก เขาเห็นว่าการที่เว่ยเฟิงปิงแต่งอย่างนี้ก็สวยดี แต่ถ้าให้เขาแต่งด้วยคงไม่ดีแน่ๆ
   ร่างบางยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะก้าวเดินนำออกไป จางซื่อเยี่ยนเดินตามไปติดๆ ด้วยหัวใจตุ้มๆ ต้อมๆ
   เขาคงฝันไปอีกแล้วแน่ๆ
----------------------------------------------

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่34 P3 9/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 09-06-2011 11:36:26
ทั้งคู่ฟ่ง คู่เฟิงปิง กว่าจะเปิดใจกันแบบ 100% อีกนานมั้ยอะ

แต่ชอบคุณชายเจ็ดนะ น่ารักดี เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวงอน สงสารแต่อิตาซื่อเยี่ยน  :laugh:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่34 P3 9/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 10-06-2011 03:12:06
สนุกมากเลยค่ะ นั่งอ่านตั้งแต่ช่วงค่ำๆ เลยยาวเลย :laugh:
หลายๆตอนทำให้น้ำตาซึมเลยค่ะ มีครบทุกรสจริงๆ
รอติดตามต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่34 P3 9/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-06-2011 12:40:46
บทที่35  I need you.
   “หน้าระรื่นเชียวนะ” ราฟาแอลเอ่ยทัก เมื่อรูฟัสเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทั้งหมดเพิ่งเสร็จจากมื้ออาหารเช้า  ฟ่งเสนอตัวจะไปช่วยคลาวเดียล้างจานชาม ดังนั้นรูฟัสจึงต้องมานั่งแกร่วอยู่กับราฟาแอลแทน
   “อย่างกับหมาเจอเจ้าของ” หนุ่มผมสีบลอนด์ค่อนแคะต่อ  รูฟัสอมยิ้ม
   “ก็แหม.. คนกำลังมีความสุข” เขาว่า  ราฟาแอลแบะปากอย่างนึกสยอง
   “เอาเถอะ ถ้าแกจะเมคเลิฟกันล่ะก็ ช่วยเบาเสียงหน่อย ไม่ก็ไปเช่าโรงแรมก็ได้ เกรงใจคลาวเดียบ้างก็ดี”
   “อ่า..” รูฟัสคราง รู้สึกอายขึ้นมานิดหน่อย ราฟาแอลคงหมายถึงเรื่องเมื่อวันก่อน ตอนนั้นเขาหน้ามืดไปหน่อย จำได้ว่าทำรุนแรงไปหลายอย่าง  ทางนั้นคงร้องเสียงดังแน่ๆ หนุ่มนัยน์ตาสองสียกมือขึ้นลูบหน้า
   “ขอโทษที” เขาว่า และนั่งปุลงบนโซฟา ราฟาแอลโยนม้วนกระดาษให้เขา
   “เอาไปดูทำใจ” อีกฝ่ายว่า รูฟัสรับและคลี่ออกดู ก่อนจะร้องคราง
   “โอ๊ย ไอ้แปลนนี่อีกแล้วหรือ เห็นแล้วอยากจะบ้า ไม่มีวิธีอื่นแล้ว?”
   “ไม่มี มีก็ไม่มานั่งปวดหัวงี้หรอก” หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวตอกกลับ รูฟัสยกมือกุมขมับ
   “ถามหน่อย คุณคิดว่าถ้ามีคนตีความแบบแปลนนี่ให้เราได้ แล้วเราจะเข้าไปเองได้รึเปล่า?”
   “ตีความได้ก็เข้าไปได้สิ ถามอะไรแปลกๆ” ราฟาแอลตอบ  รูฟัสทำหน้ายุ่ง
   “หมายถึง เราไม่ต้องให้คนตีความพาเราเข้าไปใช่ไหม?”
   “อันนั้นมันก็ไม่แน่ คือถ้ามันวุ่นวายมากจนเราไม่เข้าใจ ซึ่งน่าจะเป็นแบบนั้น ก็คงต้องใช้คนนำทาง แต่ว่าไอ้เรื่องแบบนั้นมันจะมีได้ยังไง”
   “นั่นสิ” รูฟัสรีบพูดอย่างเห็นด้วยทันที ชายหนุ่มพยายามจะปัดความคิดที่ว่าฟ่งอาจจะเป็นคนเขียนไอ้แปลนนรกนี่ออกไป ไอ้กล่องใส่แปลนแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะมีคนใช้คนเดียวสักหน่อย สิ่งที่เขาเห็นที่คอนโดอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ ฟ่งคงไม่ใช่คนคนนั้นหรอก มันดูตลกเกินไปถ้าบังเอิญเขาอยู่ข้างๆ ห้องของคนที่ทำสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่สิ ถ้าเกิดเป็นจริงล่ะก็ เขาเองเคยอยู่ตอนที่ฟ่งทำแปลนนี้ด้วยไม่ใช่หรือไง ตอนนั้นที่ฟ่งเรียกเขาไปที่ห้อง....
   รูฟัสแทบอยากจะเอามือตบกะโหลกตัวเอง  ฟ่งไม่มีทางจะเขียนอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้แน่ แถมไอ้แปลนนี่ก็ถูกขโมยมาจากพวกนอกกฎหมายด้วย ดูยังไงฟ่งก็ไม่น่าจะทำงานกับคนพวกนี้ได้ 
   “นี่รูฟัส ผมออกไปซื้อของกับคุณคลาวเดียนะ” เสียงของฟ่งที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสสะดุ้ง เขารีบสอดแปลนเข้าไปใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว
   “ครับ อยากให้ผมไปด้วยรึเปล่า”
   “ไม่เป็นไร ว่าแต่ตะกี้แบบแปลนอะไรเหรอ?” ฟ่งถาม และมองผ่านเลนส์แว่นออกมาอย่างใคร่รู้  รูฟัสยิ้มแห้งๆ และนึกสาปแช่งตัวเองที่มือไม่ไวพอ
   “แปลนบ้านน่ะครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ และภาวนาให้ฟ่งไม่สนใจจะถามต่อ แต่ก็ต้องรู้สึกว่าตัวเองทำผิดซ้ำซาก
   “คุณจะสร้างบ้านใหม่หรือ ขอดูได้ไหม?”
   “คือว่า มันคงไม่สะดวก พอดีไม่ใช่บ้านผม” ชายหนุ่มตาสองสีตอบตะกุกตะกัก ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร งั้นผมไปข้างนอกก่อนแล้วกัน”
   รูฟัสรู้สึกใจโล่งใจขึ้นมาทันที ฟ่งดูไม่ให้ความสนใจอะไรมากนัก เขาเดินออกไปส่งอีกฝ่ายจนถึงหน้าประตูบ้าน
   “นี่ แกจะซ่อนไปทำประตูกลอะไร  ไอ้แบบแปลนที่ดูไม่ออกเนี่ย ฉันไม่คิดว่ามันเป็นความลับอะไรหรอกนะ” ราฟาแอลเอ่ยไล่หลังมา รูฟัสตอบโดยไม่ทันหันไปมอง “ช่างผมเถอะน่า”
   “ทำอย่างกับกลัวว่าเขาจะรู้ว่ามีไอ้แปลนนี่งั้นแหละ อืม..อ้อ!” จู่ๆ ราฟาแอลก็อุทานขึ้นมา รูฟัสหันไปมองอย่างรำคาญ และพบว่าอีกฝ่ายถือกระดาษแปลนอยู่
   “มีอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นที่ไม่อยากให้ฉันรู้งั้นสิ?” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า ยังไม่ทันที่รูฟัสจะอ้าปากตอบ อีกฝ่ายก็ก้าวเท้าออกไปทันที
   
   “เฮ้คลาวเดีย รอก่อน ผมมีธุระ”
   หญิงสาวหันไปมองตามเสียงเรียก และเห็นแฟนหนุ่มวิ่งถือกระดาษเข้ามา
   “จะเอาไปฝากส่งให้ใครหรือไง?” หล่อนว่า  อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
   “I wanna talk with you.” เขาหันไปพูดกับฟ่ง หนุ่มสวมแว่นเงยหน้ามองราฟาแอลอย่างแปลกใจ เพราะโดยปกติดูเหมือนผู้ชายคนนี้ไม่เคยทักเขามาก่อน
   “Have you ever seen this?.”
    “เดี๋ยว ราฟี่!” เสียงของรูฟัสดังแทรกเข้ามา พร้อมด้วยเจ้าตัวที่วิ่งตามมาติดๆ  แต่คงสายไปแล้วเมื่อฟ่งรับแบบแปลนไปและคลี่ออกดู
   “H..How did you get it?” ฟ่งถามเสียงตะกุกตะกักหลังจากเห็นแบบแปลนนั่น  และหันไปมองรูฟัส  หนุ่มตาสองสีได้ยินเสียงหัวใจตัวเองหล่นตุ๊บลงไปบนพื้น
   มันไม่จริงหรอก ใช่ไหม....
   “I took it from Thailand .You known this plan, did you?” ราฟาแอลตอบด้วยน้ำเสียงที่คาดเอาอารมณ์ไม่ได้ ฟ่งพยักหน้าช้าๆ เขาถือก๊อปปี้แบบแปลนนั่นด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเบือนหน้ามาทางรูฟัสอย่างช้าๆ “รูฟัส คุณ.... คุณรู้อยู่แต่แรก?”
   เสียงฟ่งที่ถามขึ้นช่างเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเขาราวกับโดนมีดเสียบ รูฟัสสั่นศีรษะ “ผมไม่รู้ จริงๆ นะครับฟ่ง”
   “แต่ว่าแปลนนี่ เพื่อนคุณเอามันมาจากเมืองไทย” เสียงของฟ่งสั่นไหว ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสอึ้งไปพักหนึ่ง เหมือนหัวใจของเขาถูกบีบ
   “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับในที่สุด และรีบพูดต่อ “คือผมต้องการแปลนนี่ แต่ผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็นคนเขียนมัน”
   “ผมไม่ได้พูดสักคำว่าผมเป็นคนเขียน”
   ฟ่งโพล่งขึ้น นัยน์ตาสั่นระริก  รูฟันยืนอึ้ง ราวกับขาของเขางอกรากลงไปในดิน ความรีบร้อนแก้ตัวของเขากลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ไปเสียแล้ว
   “คุณจงใจแต่แรกใช่ไหม?” ฟ่งพูดต่อ ตัวสั่นสะท้าน บอกไม่ได้ว่าเพราะโกรธ หรือเสียใจ หรือผิดหวังกันแน่ รูฟัสส่ายหน้าอีกครั้ง รู้สึกปวดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟ่งจะเชื่อเขาไหม เขาไม่เคยรู้เลย  ไม่เคยอยากจะรู้ และไม่อยากรู้ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ด้วย
   “งั้นทำไมคุณรู้ว่าผมเป็นคนเขียน?”
   “คือ ผม...”
   “ฉันว่ากลับไปคุยกันข้างในดีไหม?” คลาวเดียกล่าวแทรกขึ้นมา หล่อนไม่รู้ว่าฟ่งกับรูฟัสคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับแบบแปลนที่แฟนจอมยุ่งของหล่อนวิ่งถือมาเมื่อครู่แน่ๆ ท่าทางมันอาจจะบานปลายไปเป็นปัญหาครอบครัวได้ ทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และเดินกลับเข้าไปในบ้าน
   
   “ตกลงคุณรู้ได้ไงว่าผมเขียนแปลนนี่” ฟ่งตั้งคำถามทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย และเกือบจะพร้อมกัน ราฟาแอลก็ถามออกมาด้วย “นี่คือสิ่งที่แกไม่อยากบอกฉันสินะ เด็กแกรู้เรื่องแปลน”
   รูฟัสยกมือเป็นเชิงห้าม เพราะเขาไม่สามารถตอบคำถามทีเดียวสองภาษาได้
   “เอาล่ะราฟี่ ผมจะตอบคำถามของฟ่งก่อน เพราะฉะนั้น คุณช่วยเงียบสักพักหนึ่งได้ไหม”
   ราฟาแอลยักไหล่
   “จะจัดการอะไรก็รีบๆ เพราะฉันอยากคุยกับเด็กนั่นเหมือนกัน”
   รูฟัสย่นคิ้ว และหันไปทางฟ่ง
   “ผมไม่รู้หรอกครับฟ่ง จะพูดให้ถูกคือ ผมแค่สงสัย” เขาเริ่ม พยายามมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
   “งานของผมเกี่ยวข้องกับแบบแปลนที่คุณถืออยู่ มันเป็นหนึ่งในหลายอย่างที่ผมต้องเอามามา เพราะฉะนั้น ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นคนเขียนแต่แรก ผมคงไม่ปล่อยทิ้งเอาไว้เฉยๆ หรอกครับ”
   หนุ่มตาสองสีอธิบาย ฟ่งนั่งฟังอย่างตั้งใจ มือยังคงถือแปลนนั่นไว้แน่น
   “คนที่ผมตามสะกดรอยเข้ามาเอาไอ้กล่องทรงกระบอกที่คอนโด และผมก็รู้สึกว่าเคยเห็นกล่องแบบนั้นที่ห้องคุณมาก่อน พอนึกขึ้นได้ผมก็แค่สงสัย ผมไม่คิดว่าคุณจะทำงานให้มาเฟีย”
   “ผมโดนบังคับ!!” ฟ่งโพล่งออกมา ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะโกรธ หรือเสียใจ หรืออะไรกันแน่  รูฟัสไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ หรือ แต่ถ้ารู้แต่แรก แล้วจะรอให้เขาส่งแปลนเพื่ออะไร  บางทีนี่คงเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ได้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่บังเอิญได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเกินไปจริงๆ
   “ผมโดนเอาปืนจี้ ถูกพาไปสถานที่แปลกๆ ถูกซ้อม ถูกขู่บังคับ เกือบถูกขัง เกือบถูกฆ่า!!” คำพูดของฟ่งพร่างพรูออกมา เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เขาเผชิญหวนกลับมาสู่ห้วงความทรงจำอีกครั้ง ร่างบางกำแบบแปลนนั้นแน่น ตัวสั่นกึกๆ ก่อนจะรู้สึกว่าถูกโอบกอด
   “ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยรู้เลยจริงๆ ” รูฟัสกล่าวได้แค่นั้น เขารู้สึกตีบตันไปหมด  ระหว่างที่เขาอยู่ด้วย ฟ่งกลับต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ โดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ร่างกายบอบบางแบบนี้ต้องทนรับกับเรื่องร้ายๆ แบบนั้น มันช่างน่าปวดใจสิ้นดี เพราะว่าเขาไม่รู้อะไรเลยนี่แหละ
   ชายหนุ่มจูบหน้าผากของคนรักอย่างหวงแหน จนฟ่งต้องใช้มือผลักเขาออก จังหวะเดียวกับที่ราฟาแอลส่งเสียงไอออกมา
   “ระ..รูฟัส พอเถอะ ผมอายคน” ฟ่งว่า แม้จะรู้สึกดีที่ถูกกอด แต่ว่าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ เขารู้สึกอายมากกว่า รูฟัสกอดแน่นอยู่อย่างนั้นอีกพัก ถึงยอมคลายวงแขนออก
   “เป็นอันว่าเข้าใจกันแล้วนะ?” ราฟาแอลว่า รูฟัสหันมาถลึงตาใส่เขา
   “คุณน่ะเงียบไปเลยดีกว่า” ชายหนุ่มตาสองสีกล่าว เขารู้สึกโมโหเพื่อนร่วมงานของเขาขึ้นมาจริงๆ ราฟาแอลยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “แกโมโหฉัน?  ฉันสิน่าจะโมโหแก ตกลงนี่แกรู้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วจะพากันไปตายหมู่ ทั้งๆ ที่พระเมซซิอาอยู่ตรงหน้าเนี่ย ฉันว่าแกนั่นแหละเงียบๆ ไปเลย” เขาใส่รูฟัสยืดยาว และหันหน้าไปหาฟ่ง
   “สรุปว่าเธอรู้จักแปลนนี่?”
   หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
   “แล้วเธออธิบายมันได้รึเปล่า?”
   “คุณได้ใบแนบที่ติดอยู่กับมันมาด้วยรึเปล่าล่ะ?” ฟ่งถามกลับ ราฟาแอลส่ายหน้า และถามอย่างแปลกใจ
   “ไอ้แปลนนี่มันมีหลายแผ่นรึไง?”
   “แปลนน่ะมีแผ่นเดียว แต่มันมีแผ่นที่เป็นส่วนขยายของช่วงแยกย่อย คือแผ่นที่คุณให้ผมดูมันเป็นแปลนแบบรวมน่ะ” ฟ่งอธิบาย เสียงรูฟัสครางขึ้น
   “ยอด... พ่อนักรักใจร้อน ฆ่าคนตายแล้วได้งานมาแค่ส่วนเดียว คงดูออกหรอก”
   “หุบปากไปเลยน่า ใครจะไปรู้ล่ะวะ ฉันก็ดึงไฟล์ที่คิดว่ามันใช่มาทั้งหมดแล้ว จะรู้ได้ไงว่ามันยังมีซ่อนไว้อีก แล้วไอ้บ้าที่ไหนหนีตามผู้ชายไปฮ่องกงวะ ทั้งๆ ที่มันควรจะทำเรื่องนี้แท้ๆ ”ราฟาแอลสวนกลับ รูฟัสทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
   “แล้วถ้ามีแค่นี้พอจะอธิบายได้รึเปล่าล่ะ?” หนุ่มผมบลอนด์ถามต่อ ฟ่งกะพริบตา นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
   “มันก็พอได้อยู่หรอกครับ แต่คุณอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อืม...ขอผมดูไฟล์ก่อนดีกว่าว่าคุณเอาตัวไหนมา”
   “สรุปว่าเธอเป็นคนเขียนมัน?!”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า และตกใจที่ได้ยินราฟาแอลครางเสียงลั่น “พระเจ้า! บ้าไปแล้ว เขียนออกมาได้ไงน่ะ!”
   พูดจบก็หันไปมองรูฟัสอย่างเอาเรื่องทันที “สรุปว่าแกรู้อยู่แต่แรก แต่ไม่ยอมบอกฉันจริงๆ ด้วยสินะ”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างรำคาญ “ผมไม่รู้ ถ้าผมรู้ผมจะให้คุณไปขโมยหาหอกอะไร ผมขโมยมาเองแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ”
   เขาว่า ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ไม่วายตั้งข้อสังเกตต่อ “แล้วทำไมเมื่อตะกี้แกถึงทำท่าลับๆ ล่อๆ แกรู้ตอนไหน รู้ได้ยังไง บอกฉันมานะ!”
   “เอาว่าผมรู้แล้วกัน” คนถูกถามตอบปัดๆ แต่อีกฝ่ายยังคงไม่เลิกหาเรื่อง
   “แล้วทำไมตะกี้แกถึงไม่ยอมเอาแปลนให้เขาดูเลยวะ อยากตายหมู่นักหรือไง?”
   รูฟัสย่นคิ้วอย่างรำคาญอีกรอบ หันไปมองคลาวเดีย และเห็นว่าหล่อนทำหน้าโบ้ยให้เขายอมรับผิดอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มหันกลับมา และพยายามลำดับเรื่องราวให้คนฟังตรงหน้าเขาได้ได้ง่ายที่สุด
   “ผมไม่แน่ใจ แล้วผมก็ไม่อยากให้เป็นเขา มันเสี่ยงที่จะต้องมายุ่งกับเรื่องพวกนี้อีก เขาเจออะไรร้ายๆ มามากพอแล้ว”
   “อืม... ลองถ้าเขียนไอ้นี่ออกมาได้ ไม่ตายก็บุญแล้วล่ะ ฉันว่าแกควรจะไปบอกขอบคุณคุณชายเว่ยนะ”
   รูฟัสทำหน้าหงิกทันที ถ้าฟ่งไม่ถูกเว่ยเฟิงปิงพาตัวไป อาจจะถูกเก็บไปแล้วก็ได้ ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงก็เถอะ แต่เขาไม่รู้สึกขอบคุณทางนั้นเลยสักนิด
   “พวกคุณอยากรู้ไปทำไมหรือ?” ฟ่งถามขึ้น
   “เราต้องเข้าไปในนั้น” ราฟาแอลรีบตอบทันที รูฟัสนึกเสียใจที่ฟ่งไม่ยอมถามเป็นภาษาไทย คนได้ฟังหน้าเปลี่ยนไปอีกรอบ
   “พวกคุณจะเข้าไป...คุณจะเข้าไปในนี้?” ท้ายประโยคเพิ่งหันมาถามคนที่อยากให้ถามแต่แรก รูฟัสพยักหน้า
   “พวกผมต้องเข้าไปจัดการเรื่องบางอย่างในนี้ครับ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ “มันอันตรายนะ... เขาบอกให้ผมสร้างห้องที่แม้แต่เทวดายังผ่านไม่ได้ ผมเลย.....”
   รูฟัสอยากจะครางออกมา ห้องที่เทวดาผ่านไม่ได้ เพราะคำนี้ฟ่งเลยเขียนไอ้ของพวกนี้ออกมารึ? ชายหนุ่มชักนึกสงสัยว่าเขารู้จักคนข้างห้องน้อยเกิดกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว
   “อย่าเข้าไปเลยนะ” ฟ่งว่า เขาไม่รู้ว่ารูฟัสต้องเข้าไปทำอะไรในนั้นกันแน่ แต่ในฐานะคนออกแบบมัน เขาไม่อยากให้เข้าไปเลยสักนิด
   “เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าจะเข้าไปได้ยังไง” ราฟาแอลพูดขัดจังหวะ และไม่ปล่อยโอกาสให้รูฟัสได้พูดแทรก
   “อธิบายส่วนที่เธอรู้มาให้หมด พวกฉันจำเป็นจะต้องเข้าไปในนี้ มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของเจ้านั่นด้วย” พูดพลางพยักพะเยิดมาทางรูฟัส ชายหนุ่มตาสองสีไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่ราฟาแอลเอาเรื่องนี้มาอ้างดี
   “คุณต้องเข้าไปจริงๆ หรือ? ” ฟ่งหันมาถามรูฟัส ชายหนุ่มพยักหน้า “ครับ”
   หนุ่มสวมแว่นนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ผมพอจะอธิบายให้พวกคุณฟังได้ ไม่รีบกันใช่ไหม?”
   “รีบ” ราฟาแอลสวนกลับทันที ฟ่งทำหน้าอึ้งๆ ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็พูดต่อ
   “เธอต้องใช้อะไรบ้าง เครื่องแมค ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือใช้อุปกรณ์เฉพาะ?”
   “เอ่อ...” ฟ่งมองหน้าราฟาแอล กะพริบตาปริบๆ และหัวเราะออกมา “ไม่ต้องใช้ของพวกนั้นหรอกครับ เอาแค่พีซีธรรมดา กับโต๊ะเขียนแบบก็พอ”
   ราฟาแอลทำหน้าเหมือนเห็นยานอวกาศ เขาร้องออกมา “เธอใช้แค่ของพวกนั้นเขียนมันออกมาเรอะ?”
   ฟ่งพยักหน้า คราวนี้รูฟัสพลอยหัวเราะขึ้นมาบ้าง “ราฟี่ หน้าคุณตลกสุดๆ เลย”
   ราฟาแอลไม่ขำด้วย เขาหันมาถลึงตาใส่อีกฝ่าย “หุบปากแล้วรีบๆ จัดการไปหามาเลย ก่อนที่ฉันจะต้องสั่งแกด้วยวิธีรุนแรง”
   รูฟัสรีบจูงฟ่งออกจากบ้าน ได้ยินเสียงคลาวเดียหัวเราะเบาๆ
----------------------------------------------------
   “ขอโทษนะครับ” รูฟัสพูดขณะสตาร์ทรถ ฟ่งหันมามองเขาอย่างงงๆ
   “ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเรื่องนี้เลย” ชายหนุ่มกล่าว และได้รับรอยยิ้มตอบจากอีกฝ่าย
   “ไม่เป็นไรหรอก ก็ผมเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองนี่”
   รูฟัสเร่งเครื่องรถยนต์ และถอยมันออกจากตัวบ้าน ก่อนจะพูดต่อ “คือผมไม่อยากให้คุณเสี่ยง....” เขาหยุดไว้แค่นั้น ด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ฟ่งเข้าใจอย่างไม่กังวลว่าการทำงานนี้มันเสี่ยงขนาดไหน ได้ยินเสียงฟ่งพูดต่อ
   “ก็มันเกี่ยวพันถึงชีวิตคุณนี่”
   รูฟัสหันมามองคนนั่งข้างทันที แทบจะลืมว่าขับรถอยู่
   “ผมปล่อยให้คุณเสี่ยงแบบนั้นคนเดียวไม่ได้หรอก” ฟ่งว่า และสะกิดให้รูฟัสมองรถที่แล่นสวนมา ชายหนุ่มจึงได้หันกลับไปมองด้านหน้าต่อได้
   “ขอบคุณนะครับ” รูฟัสกล่าวขึ้นมา รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอก ก็คุณไม่ได้มองทางนี่”
   “เปล่า ผมหมายถึงเรื่องที่คุณอยากช่วยผมน่ะ”
   “อ้อ”
   “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมขนานนี้”
   ฟ่งพยักหน้า มองดูนิ้วเรียวได้รูปที่จับพวงมาลัยรถอยู่ แล้วพูดต่อ “คุณจะเข้าไปทำอะไรในนั้นหรือ? ผมหมายถึงพวกคุณกำลังสืบเรื่องอะไรอยู่หรือ? บอกผมได้รึเปล่า?”
   “............................”
   “บอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฟ่งพูดต่อ รูฟัสรีบกล่าวสวนทันที “คือ..ไม่ใช่อย่างนั้น”
   ชายหนุ่มว่าพลางเม้มริมฝีปาก เขากำลังใคร่ครวญว่าจะอธิบายให้ฟ่งฟังเข้าใจเกี่ยวกับงานของเขาอย่างไรดี หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง จึงได้พูดต่อ
   “คนที่ว่าจ้างคุณชื่ออะไรหรือครับ?”
   “ทวีศักดิ์” ฟ่งตอบกลับ รู้สึกว่าแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายถามความลับ รูฟัสอาจกลายเป็นฝ่ายสอบสวนเขาแทนก็ได้
   “อ้อ...อืม.... ผมเองก็สืบเรื่องเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน” รูฟัสเว้นจังหวะการพูดไปอีกพักหนึ่ง ขณะเลี้ยวรถผ่านหัวมุมถนน
   “เขามีโครงการจะทำเรื่องบางอย่าง เท่าที่พวกผมสืบ มันเกี่ยวกับยาชนิดใหม่ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านอากาศ”
   “?!” ฟ่งอึ้งไปบ้าง สักพักจึงถามออกมา “ยาเสพย์ติดหรือ?”
   รูฟัสพยักหน้า “มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ความจริงเรื่องนี้ตอนแรกเป็นแค่ข้อสงสัยของผู้จ้างงานผม แต่พอสืบดูแล้วมันมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้จริง เขาเลยวานพวกผมให้ช่วยจัดการสะสางปัญหาเสียด้วยเลย”
   ฟ่งหันไปมองรูฟัสอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “เอาว่าผมต้องจัดการไม่ให้ฝ่ายนั้นทำมันออกมาสำเร็จแล้วกันครับ ส่วนวิธีก็ต้องดูกันต่อไป”
   “แล้วมันจำเป็นจะต้องเข้าไปในห้องนั้นมากเลยเหรอ?” ฟ่งถามต่อ อดเป็นกังวลกับเรื่องห้องพิสดารนั่นไม่ได้ รูฟัสพยักหน้า
   “ฟ่ง คุณรู้รึเปล่า ว่าเขาให้คุณออกแบบห้องนั้นไปเพื่ออะไร?”
   คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ “เขาบอกผมว่าจะเอาไปใช้เพื่อการประชุมอะไรสักอย่าง”
   รูฟัสพยักหน้าอีกรอบ และกล่าวต่อ “เขามีโครงการจะกระจายยาตัวใหม่นี้ผ่านกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั่วโลก โดยใช้การประชุมนี้เป็นจุดเริ่ม”
   “ขนาดนั้นเลย” ฟ่งโพล่งขึ้น ก่อนจะรีบพูดต่อ “ถ้าเรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้น ทำไมไม่แจ้งให้ทางตำรวจจัดการล่ะ?”
   “เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดน่ะสิ” อีกฝ่ายตอบ “อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับว่าตอนแรกที่เป็นแค่ข้อสงสัย และถึงจะรู้ว่าเขามีโครงการแบบนี้ ก็ใช้กระบวนการทางกฎหมายเอาผิดไมได้อยู่ดี มันเป็นยาตัวใหม่ เข้าข่ายยาเสพย์ติด หรือเข้าข่ายว่าเป็นยารึเปล่ายังสรุปไม่ได้เลย”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง “ตกลงคุณทวีศักดิ์นี่เป็นใครกัน? ผมเคยเจอเขานะ ท่าทางใจดีไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลย”
   “เท่าที่ผมรู้ เขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยา อืม...คุณเคยเจอตัวจริงเขาด้วยหรือ? ความจริงคนเราดูกันแค่ภายนอกไม่ออกหรอกครับ คนบางคนท่าทางใจดีแต่อาจจะทำเรื่องร้ายๆ อยู่ก็ได้”
   “อือ ผมเข้าใจดีเลยล่ะ” ฟ่งว่า ประโยคนี้ทำเอารูฟัสสะดุ้ง
   “ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขายยา” รูฟัสรีบแก้ตัว และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดอย่างแปลกใจ “ผมยังไม่ได้พูดว่าคุณอย่างนั้นเลย”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงเฉไปพูดเรื่องอื่น “เขาบอกคุณเกี่ยวกับรายละเอียดงานบ้างรึเปล่าครับ? หมายถึงนอกจากบอกคุณว่าจะทำห้องไปเพื่อประชุมแล้ว เขาบอกหรือเปล่าว่าจะสร้างมันที่ไหน”
   “เขาบอกว่าจะสร้างมันใต้ดิน แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะตอนไปผมถูกปิดตา แถมเหมือนรถจะขับวนด้วย” ฟ่งตอบ นึกถึงประสบการณ์ไม่น่าอภิรมณ์นั้นแล้วยังสงสัยตัวเองไม่หายว่ารอดมาได้อย่างไร รูฟัสพยักหน้า พอคิดว่าฟ่งถูกพาไปอย่างนั้นตอนที่เขาอยู่ด้วยก็อดโมโหตัวเองไม่ได้ ระหว่างที่เขามีความสุขเพราะได้อยู่ใกล้ๆ ทางนั้นกลับต้องเผชิญเรื่องน่ากลัวเพียงลำพังโดยที่บอกใครไม่ได้เลย รูฟัสย้อนนึกถึงแววตาของฟ่งตอนที่อ้าปากชวนเขาไปที่ห้อง ฟ่งคงกลัวมากจริงๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์เขียนอะไรแบบนี้ออกมาจนเสร็จ ผู้ชายคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่
   รูฟัสเหลือบไปมองฟ่งอีกครั้ง และเห็นว่าฟ่งกำลังมองเหม่อออกไปด้านนอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่อีก
   แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้ทำอะไรเสี่ยงๆ อีกเด็ดขาด
--------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่34 P3 9/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-06-2011 12:41:17
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกขัดเขินอยู่พอสมควรตอนมาถึงร้านอาหาร เพราะโดยปกตินอกจากเดินตามเว่ยเฟิงปิงในฐานะผู้ติดตามแล้ว เขาไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่หรูหราแบบนี้มาก่อน หนำซ้ำคราวนี้ยังไม่ได้มาในฐานะผู้ติดตาม แต่เป็นฐานะผู้ร่วมโต๊ะ
   ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะใช้ชื่อเขาในการจองโต๊ะ พนักงานสาวเดินนำพวกเขาทั้งคู่ไปยังโต๊ะพิเศษที่อยู่ติดหน้าต่างที่มีวิวสวยที่สุด จางซื่อเยี่ยนนึกแปลกใจ พนักงานต้อนรับไม่สงสัยเลยหรือไงว่าน้ำหน้าอย่างเขาทำไมถึงต้องตะเกียกตะกายมากินข้าวถึงที่นี่ด้วย  แต่อย่างว่า ลองถ้าเว่ยเฟิงปิงเป็นคนจัดการแล้วล่ะก็ คงไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วง
   ผู้เป็นเจ้านายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเริ่มอธิบายถึงความสวยงามของทิวทัศน์ด้านนอก แต่จางซื่อเยี่ยนมองไม่ออกว่ามันจะสวยกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาตรงไหน
   “ไม่ต้องสั่งอาหารหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น หลังจากไม่เห็นว่ามีพนักงานคนไหนเข้ามาอีก และเว่ยเฟิงปิงเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเรียกพนักงานมาแต่อย่างใด ร่างบางยักไหล่
   “เลือกชุดอาหารไว้ล่วงหน้าแล้วน่ะ” ผู้เป็นเจ้านายว่า และหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
   “ฉันน่ะ อยากจะมานั่งที่นี่แบบส่วนตัวนานแล้วล่ะ แบบที่ว่าไม่ต้องนัดใครมาคุยธุระ ไม่ต้องพกผู้ติดตามให้ยุ่งยาก มาแบบคนปกติธรรมดา นี่ซื่อเยี่ยน นายฟังอยู่รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนรีบพยักหน้าหงึกหงัก เขากำลังคิดว่าแบบนี้เรียกว่าปกติธรรมดาตรงไหน คิ้วเรียวยาวได้รูปของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันทันที
   “ทำไมนายถึงดูไม่ค่อยสนใจ นายฝืนใจมากหรือไงที่ต้องมาทานอาหารกับฉัน”
   ผู้เป็นลูกน้องรีบสั่นศีรษะทันที “เปล่าครับ ผมดีใจ”
   “งั้นทำไมนายถึงนั่งซึมเป็นบื้อแบบนี้” เว่ยเฟิงปิงว่า จางซื่อเยี่ยนทำหน้าปั้นยาก
   “จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าว  อีกฝ่ายถอนหายใจยาวออกมาทันที
   “นาย!” เว่ยเฟิงปิงกล่าวค้าง พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ตวาดผู้ชายคนนี้ออกไป  ทำไมเจ้านี่ถึงได้งี่เง่าน่าเบื่อแบบนี้นะ เขากำลังทำอะไรเพื่อเจ้าบื้อนี่กันแน่
   “ช่างมันเถอะ” จู่ๆ ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าก็ตัดบทไปเสียดื้อๆ และหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ทำเอาจางซื่อเยี่ยนตั้งตัวไม่ถูก
   “เดี๋ยวสิครับ คุณชาย” เขาว่า แล้วก็ต้องรีบหุบปากไว้ เมื่อเห็นสายตาเขียวปัดที่จ้องกลับมา  ชายหนุ่มลืมไปสนิทว่าตอนนี้เจ้านายของเขาไม่ได้อยู่ในสภาพผู้ชาย แต่ถึงอย่างไรอารมณ์ก็ยังคงแปรปรวนอยู่เหมือนเดิม
   เว่ยเฟิงปิงมองดูแสงไฟระยับ ทั้งจากตัวตึกและจากเรือที่ลอยลำอยู่ในบริเวณอ่าว  ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางเมืองที่วุ่นวายแบบนี้ เขามีใครอยู่ข้างกายบ้าง
   ร่างบางถอนหายใจยาว ป่วยการจะคิดถึงคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เจ้าบ้านี่ดูเหมือนตอไม้หรือหุ่นยนต์มากกว่าจะเป็นคนด้วยซ้ำ  แล้วทำไมเขาถึงได้ลากเอาผู้ชายน่าเบื่อแบบนี้เข้ามาในชีวิตกันนะ ก่อนหน้านี้เขาเคยหงุดหงิดที่จางซื่อเยี่ยนทำตัวจุ้นจ้านกับชีวิตของเขา แต่ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่า ถ้าเจ้านี่ทำตัวยุ่มย่ามขึ้นมาบ้างตอนนี้อาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น คงดีกว่าทำตัวเหมือนหัวหลักหัวตอแบบนี้
   “นายเคยรู้สึกเหงาบ้างรึเปล่า” เว่ยเฟิงปิงเริ่มบทสนทนาอีกครั้งเมื่อเครื่องดื่มและออเดิร์ฟชุดแรกถูกนำมาเสิร์ฟ จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขา ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่ครับ”
   “นายไม่เคยอยู่คนเดียวหรือไง?”
   ผู้ถูกถามนิ่งนึกอยู่พักหนึ่ง อยู่คนเดียวหรือ? นั่นเป็นเรื่องนานกี่ปีมาแล้วนะ.... ตอนที่ยังอยู่ข้างถนน ก็มีเพื่อนๆ อยู่ด้วยหลายคน ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่าเพื่อนไม่ได้เต็มปากก็เถอะ แต่เรื่องความเหงากับการอยู่โดดเดี่ยว จางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดถึงมาก่อน เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร
   “ไม่เคยครับ” ชายหนุ่มตอบอีกครั้ง  เว่ยเฟิงปิงมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ “ไม่รู้ว่านายเป็นคนมีเพื่อนเยอะนะเนี่ย”
   จางซื่อเยี่ยนส่ายศีรษะอีกครั้ง เขาตักออเดิร์ฟให้เจ้านาย
   “คำว่าเพื่อนคงไกลเกินไปสำหรับผม”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “ฉันไม่เข้าใจ” เขาว่า และใช้ส้อมเขี่ยกุ้งทอดที่อีกฝ่ายตักมาให้
   “ถ้าเพื่อนคือคำเรียกของคนที่เรารู้สึกอยู่ด้วยอย่างสนิทใจและคุยอะไรก็ได้ ผมคงไม่มีหรอกครับ ชีวิตผมมีแค่คำว่า เจ้านาย ลูกน้อง ผู้ร่วมงาน และศัตรูครับ”
   เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองดูใบหน้าของผู้เป็นลูกน้อง “แล้วนาย..... ไม่รู้สึกอะไรกับคนพวกนั้นเลยเหรอ?”
   จางซื่อเยี่ยนขมวดคิ้วอย่างมึนงงกับคำถาม “รู้สึกอะไรเหรอครับ?”
   “เหงา ว้าเหว่อะไรพวกนี้น่ะ รอบๆ ตัวนายเองก็ไม่เคยมีใครที่ไว้ใจได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ ผมคิดว่าทุกคนไว้ใจได้เมื่อทำตามหน้าที่ พวกที่ไว้ใจไม่ได้คือพวกที่ไม่ทำตามหน้าที่  ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องถูกกำจัดทิ้ง”
   “นายไม่เคยถูกหักหลังหรือไง?”
   “ถ้าเป็นคนทรยศ ทางเราก็ทำหน้าที่เก็บกวาดกันอยู่บ่อยๆ อยู่แล้วล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า และรินเครื่องดื่มให้เจ้านายของเขา
   “ฉันหมายความว่า นายไม่เคยถูกคนที่ไว้ใจมากๆ หักหลังเลยรึ? หรือว่านายไม่เคยไว้ใจใครเลย?”
   “ไม่ทั้งสองอย่างครับ” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีอีกากล่าว และอธิบายต่อ
   “ผมไว้ใจทุกคน และผมก็พร้อมจะกำจัดทุกคนที่ไว้ใจไม่ได้”
   “โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ?”
   “ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า โดยไม่ทันสังเกตนัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริกที่มองมาทางเขา
   “แล้วถ้าฉันหักหลังนายล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักไปทันที ก่อนจะยิ้มออกมา
“สำหรับคุณไม่ถือว่าหักหลังหรอกครับ ถ้ามันจะเป็นแบบนั้น ก็คงเป็นเพราะผมไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้ามากกว่า เรื่องที่จะต้องเป็นตัวหมากให้เจ้านายมันเป็นหน้าที่ของลูกน้องอยู่แล้วนี่ครับ”
   “นายคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวหมากอย่างนั้นเหรอ?”
   อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ชีวิตนายมีค่าแค่นั้นเอง?”
   “สำหรับคุณอาจจะใช้คำว่าแค่ แต่สำหรับผมคงเป็นคำว่าตั้ง หรือมากมาย ผมยินดีหากได้เป็นตัวหมากของคุณ”
   “หมากของฉันหรอ?  นายน่ะ ไม่ได้เป็นตัวหมากของคนอื่นหรือไง” เว่ยเฟิงปิงว่า และใช้ส้อมจิ้มกุ้งที่จางซื่อเยี่ยนตักให้อีกตัวหนึ่ง
   “ตอนนี้เป็นของคุณครับ” ชายหนุ่มว่า และตักกุ้งให้อีกฝ่าย
   “แล้วหลังจากนี้ล่ะ นายก็จะกลับไปเป็นหมากของคนอื่นอีกใช่ไหม”
   จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะอีกครั้ง
   “คุณเป็นคนเดียวที่ผมจะเป็นตัวหมากให้ สำหรับคุณแล้วต่อจะเดินตาร้ายยังไง ผมก็จะไม่หนีหายไปไหนทั้งนั้น  ขอแค่คุณยังอยากใช้ผมอยู่”
   เว่ยเฟิงปิงมองดูผู้ชายตรงหน้า นัยน์ตาสีอีกานั่นดูไร้หัวใจเหมือนเฉกเช่นคำพูดอย่างนั้นหรือ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เย็นชากับชีวิตตัวเองอย่างน่ากลัวอย่างนี้ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงรู้สึกกลัวลูกน้องของเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
   “ซื่อเยี่ยน นายไม่เคยมีความรู้สึกแบบคนทั่วไปเลยเหรอ รู้สึกสนุก เศร้า เหงา เบื่อ  นายน่ะ เคยหัวเราะบ้างรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักร่างกายทันที หัวเราะหรือ? ครั้งสุดท้ายมันเมื่อไหร่กัน  น่าจะตอนที่ยังอยู่หน่วยดำล่ะมั้ง แต่ว่าทำไมถึงนึกไม่ออกเลยนะ จริงๆ แล้วเขาเคยหัวเราะบ้างรึเปล่า...
   “เรื่องแบบนั้นมันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลยนี่ครับ” ชายหนุ่มว่า และขยับตัวเพื่อให้พนักงานเสิร์ฟวางจานอาหารลงบนโต๊ะ
   “เกี่ยวสิ” เว่ยเฟิงปิงว่า  หลังจากที่พนักงานเดินออกไปแล้ว
   “ที่นายตักอาหารให้ฉันแบบนี้ มันเป็นเพราะความรู้สึกหรือหน้าที่กันล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักมือที่ตักอาหารไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ทำต่อจนเสร็จ
   “ทั้งสองอย่างครับ” เขาว่า เว่ยเฟิงปิงเลิกคิ้ว
   “หมายความว่ายังไง? ถ้านายไม่ใช่ลูกน้องฉันนายจะทำแบบนี้รึเปล่า หรือถ้าฉันเป็นแค่เจ้านายเฉยๆ นายก็จะทำแบบนี้หรอ? หรือเพราะว่าฉันเป็นทั้งสองอย่าง”
   “เพราะว่าคุณเป็นทั้งสองอย่างครับ ถ้าคุณไม่ใช่เจ้านายผม ผมคงอยากจะป้อนคุณด้วย”
   “เป็นเจ้านายก็ป้อนได้นี่” เว่ยเฟิงปิงว่า รู้สึกใจเต้นขึ้นมานิดหน่อย  จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอกครับ เพราะคุณเป็นเจ้านาย”
   “เพราะฉันเป็นเจ้านาย นายถึงได้เย็นชาขนาดนี้งั้นเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงถาม รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าตัวเองโดดเดี่ยวแค่ไหน “เพราะคำว่าเจ้านาย ฉันเลยถูกทอดทิ้งสินะ”
   จู่ๆ จางซื่อเยี่ยนก็นึกถึงคำพูดของอาเง็กที่พูดกับเขาเมื่อตอนที่เขาขอไปนอนค้างด้วย  บางที่เว่ยเฟิงปิงอาจจะกำลังเหงา แต่ว่าคนแบบเขาจะช่วยอะไรได้ล่ะ?
   “นายไม่เคยรู้สึกเลยสินะ ทั้งๆ ที่ทุกคนทานข้าวด้วยกันได้แท้ๆ ทำไมมีแค่ฉันที่ต้องไปนั่งทานข้าวกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆ ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยหัวเราะให้ด้วยซ้ำ เวลาทำงานก็มีแต่ฉันที่ไม่เคยได้พูดอะไรนอกจากออกคำสั่งกับติดต่อธุระ แม้แต่ตอนนอน ทำไมมีแต่ฉันเท่านั้นที่ต้องนอนคนเดียว ทำไมฉันถึงต้องออกคำสั่ง ถ้าเกิดฉันไม่สั่ง ก็คงจะไม่มีใครทำอะไรเพื่อฉันเลยใช่ไหม!?”
   คำพูดพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากบางได้รูปนั้น จางซื่อเยี่ยนนิ่งอึ้ง โดยปกติเขาก็แทบจะคิดหาคำพูดอะไรดีๆ เพื่อพูดคุยกับเจ้านายไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้อีก  สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการนิ่งเงียบ
   “อะไรคือความจริงกันซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงพูด และเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง
   “นายอยู่กับฉันเพราะความรู้สึกหรือเพราะคำสั่ง? สำหรับนายแล้วสิ่งที่ควรมอบให้ฉันคือการเชื่อฟังคำสั่งหรือว่าความจริงใจกันแน่ นายเคยมีหัวใจบ้างรึเปล่า”
   จางซื่อเยี่ยนเม้มปากแน่น น่าแปลกใจที่อาหารที่นี่แทบจะไม่มีรสชาติแม้แต่น้อยเมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงจุดนี้ ร่างสูงหลับตา 
หัวใจ...  เว่ยเฟิงปิงเคยคิดว่าเขามีหัวใจด้วยหรือ?
   “หัวใจของผม..” จางซื่อเยี่ยนเริ่มประโยค  ท่ามกลางความรู้สึกเหมือนโดนระเบิด หัวสมองขาวโพลนไปหมด
   “ของแบบนั้นไม่มีหรอกครับ” ชายหนุ่มผมยาวว่า และเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาสีฟ้าใส
   “หัวใจของผมให้คุณไปหมดแล้ว ทั้งชีวิตของผม ผมมอบมันให้คุณหมดแล้ว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรกับมัน คุณคือเจ้านาย และผมคือลูกน้อง ลูกน้องที่ไม่ว่าคุณจะสั่งหรือทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
   “ถ้านายต้องลำบากขนาดนั้นแค่เพื่อเป็นลูกน้องฉันล่ะก็ นายไม่ต้องทนก็ได้ ฉันน่ะ ไม่ได้ต้องการนายมากแบบนั้น” เว่ยเฟิงปิงกล่าวออกไปด้วยความคิดที่ว่าเขาควรจะต้องโมโหผู้ชายคนนี้ แต่พอพูดออกไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่กลับกลายเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างน่าสมเพช
   ตกลงแล้วที่เป็นได้ก็แค่เจ้านายเท่านั้นเองหรือ....
   จางซื่อเยี่ยนยิ้ม รอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของเขา ผู้เป็นลูกน้องมองดูเจ้านายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้ที่ทำให้เขาหลงใหลคลั่งไคล้ราวกับจะเป็นบ้า คนคนนี้เอ่ยปากไล่เขาออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่คงจะจำไม่ได้เลย
   “ผมทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหัวใจผมเป็นของคุณไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะออกปากไล่ผมขนาดไหน หรือเกลียดผมยังไง ผมก็ไปจากคุณไม่ได้ ถ้าหากคุณต้องการผมสักนิด….”
เว่ยเฟิงปิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ทุกอย่างรอบตัวเขาดูเหมือนหยุดสนิท
   “กลับเถอะ” จู่ๆ ผู้เป็นเจ้านายก็โพล่งขึ้นมา และผุดลุกขึ้นทันที เล่นเอาจางซื่อเยี่ยนเกือบขยับตามไม่ทัน
   “แต่ว่า..” เขาเอ่ยค้าง และมองดูบริกรที่กำลังจะนำอาหารมาเสิร์ฟ
   “ฉันจ่ายค่าอาหารแล้ว กลับเถอะ” เว่ยเฟิงปิงว่า และเดินออกไป
--------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเดินตามเจ้านายกลับมาถึงรถ ท่ามกลางความงุนงงสงสัยว่าทางนั้นเกิดโมโหหรืออะไรขึ้นมาอีกหนอ ความจริงเขาไม่คิดว่าจะต้องพูดเรื่องแบบนี้เลย ชายหนุ่มไม่เคยคิดจะพูดเรื่องราวเหล่านี้กับผู้เป็นเจ้านายเลยสักครั้ง เพราะมันไม่จำเป็น และเว่ยเฟิงปิงคงไม่ต้องการฟัง แต่กลับกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นเอ่ยปากถามออกมาก่อน
   อะไรที่เขาควรจะพูดกับเว่ยเฟิงปิงกันแน่....
เว่ยเฟิงปิงโบกมือไล่พนักงานที่ตามมาส่ง และมุดเข้าไปในรถ จางซื่อเยี่ยนเปิดประตูด้านคนขับ จากนั้นจึงไขกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเว่ยเฟิงปิงคิดหรือมีอารมณ์แบบไหนในตอนนี้ แต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันว่าจะกลับก็คงต้องกลับ ขณะจะบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ เว่ยเฟิงปิงก็ฉวยมือของเขาไว้
   “นายน่ะ ถ้าฉันต้องการนายสักนิดล่ะก็ นายจะมีความรู้สึกให้ฉันหรือเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนหันหน้ามามองเจ้านายเขาอย่างไม่เข้าใจ
   “นายจะรู้สึกกับฉัน เหมือนที่คนปกติเขารู้สึกกันรึเปล่า ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงหยุดไปครู่หนึ่ง ผู้มีนัยน์ตาสีอีกาจ้องมองมาอย่างงุนงง
   “ฉันต้องการนาย”
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งค้าง จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสที่กำลังสั่นระริก ริมฝีปากบางที่กำลังเม้มแน่น เว่ยเฟิงปิงรู้รึเปล่าว่าที่พูดออกมาหมายความว่าอย่างไร หรือว่ารู้แล้วและตั้งใจจะพูดกันแน่
   จางซื่อเยี่ยนยกมืออันสั่นเทาขึ้นสัมผัสริมฝีปากบางที่เพิ่งเอ่ยคำพูดออกมา นัยน์ตาเรียวยาวสีฟ้าคู่นั้นมองมายังเขาราวกับมีความหวัง เว่ยเฟิงปิงที่แสนเย็นชาคนนั้น กลับมีนัยน์ตาที่อ่อนไหวราวกับกิ่งไผ่บอบบางท่ามกลางสายลมหนาวอันรุนแรงต่อหน้าเขา
   “พูดจริงๆ หรือครับ” จางซื่อเยี่ยนกระซิบ และแนบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากงามคู่นั้น ไม่ว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือเปล่า แต่วินาทีนี้ เขาอยากจะสัมผัส  สัมผัสริมฝีปากของเจ้านายอันเป็นที่รักที่เอ่ยคำพูดนั้นออกมา เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืมในลำคอ ชายหนุ่มผมยาวรู้สึกถึงวงแขนบอบบางที่โอบรอบตัวเขา
   “คุณชาย..” เสียงกระซิบแผ่วเบา พร้อมกับวงแขนแกร่งที่รวบร่างนั้นเข้ามากอดตอบ  และจูบไปทั่วใบหน้าของผู้เป็นเจ้านาย เว่ยเฟิงปิงครางเบาๆ โอบรัดร่างแกร่งนั้นแน่นยิ่งขึ้น
   หากการโอบกอดนี้เป็นเพียงแค่การทำเพื่อหลอกลวงแล้วล่ะก็  คงไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นความจริงอีกแล้ว
   จางซื่อเยี่ยนดึงร่างของผู้เป็นเจ้านายเข้ามาจูบอีกครั้ง
   เว่ยเฟิงปิงจะรู้หรือเปล่าว่าเขาต้องการมากแค่ไหน

   ร่างบางส่งเสียงครางเบาๆ และจิกเล็บลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายแน่น ขณะที่ร่างกายถูกกดลงไปแนบเบาะรถ จางซื่อเยี่ยนถอนริมฝีปากออกเพื่อหายใจ เว่ยเฟิงปิงโอบคอของเขาเข้าไปจูบอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่าต้องการมากเช่นกัน
   มือเรียวลูบไล้เรือนร่างบอบบางที่สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอด และสัมผัสถึงต้นเขาเรียบลื่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้กี่เพ้าสีแดง  จางซื่อเยี่ยนเม้มริมฝีปากของตัวเองเข้ากับซอกซอขาวผ่อง  ท่ามกลางเสียงครางสะท้านของผู้เป็นเจ้านาย  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปลดซิบด้านหลังเสื้อสีแดงนั้น และค่อยๆ เลื่อนมันลงมา เผยให้เห็นช่วงไหล่ขาวเนียน และหน้าอกแบนราบที่ปลายยอดสีชมพูเริ่มชูชันขึ้นมาตามห้วงอารมณ์หวาม
   ร่างแกร่งใช้ปลายสิ้นสัมผัสกับจุดอ่อนไหวสีชมพูนั้นเบาๆ ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนผ่านต้นขาเรียบเนียนเข้าไปสู่จุดกลางที่กำลังแข็งตัวอย่างรู้สึกได้ชัด เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นปิดปาก ในตอนที่จางซื่อเยี่ยนดูดคลึงยอดอกสีชมพูของตน และกระตุ้นส่วนล่างด้วยอุ้งมืออุ่นๆ
   “อื้ออ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงมือของเจ้านายออกจากริมฝีปาก ด้วยกลัวว่าทางนั้นจะกัดมือจนเป็นแผลเสียก่อน และใช้ริมฝีปากของตัวเองช่วยปิดให้แทน เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางในลำคออย่างวาบหวาม สองแขนโอบรัดและกดจิกลงไปบนร่างกายของอีกฝ่ายทุกครั้งที่ถูกกระตุ้นให้เสียวซ่าน ร่างแกร่งค่อยๆ ดึงชั้นในของผู้เป็นเจ้านายออก และสอดใส่ปลายนิ้วเข้าไปยังส่วนซ่อนเร้นด้านหลัง
   “อ๊า!” เว่ยเฟิงปิงเผลอร้องครางออกมา เมื่อถูกอีอกฝ่ายช้อนตัวให้ขึ้นนั่งบนตัก ส่วนแข็งขึงที่ดุนดันสะโพกของเขาอยู่ทำเอาร่างกายร้อนวูบวาบไปหมด  จางซื่อเยี่ยนใช้ริมฝีปากของตัวเองปิดปากของผู้เป็นเจ้านายไว้อีกครั้ง ขณะค่อยๆ เบียดความร้อนระอุนั้นเข้าไป
   ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกสอดใส่ไปได้ครึ่งทาง จางซื่อเยี่ยนชะงัก แม้จะต้องการมากแค่ไหน แต่การฝืนต่อไปอาจจะทำให้ผู้เป็นเจ้านายบาดเจ็บ
   “ซื่อเยี่ยน..” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ ก้มลงจูบที่ริมฝีปาก และพยายามขยับร่างกายเพื่อจะรับเอาส่วนนั้นเข้าไป จางซื่อเยี่ยนโอบเจ้านายของเขาไว้แน่น การที่ได้เห็นผู้เป็นเจ้านายซึ่งเขาเคยใฝ่ฝันพยายามทำเพื่อตนขนาดนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตอบรับจูบนั้นอย่างดูดดื่ม และขย้ำมือลงไปบนปั้นเอวของอีกฝ่าย ออกแรงกดจนได้ยินเสียงครางสั่นพร่า
   สะโพกแน่นถูกกดแนบกับหน้าขา จากนั้นร่างบางก็ถูกกระแทกขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ท่ามกลางหยาดน้ำตา และเสียงร้องที่ถูกดูดกลืนด้วยจูบที่ร้อนแรงและหิวกระหาย ความสุขสมล้นปรี่จนทแบทะลัก ท้ายที่สุดของเหลวขุ่นข้นก็ไหลเปรอะออกมา
ริมฝีปากสองคู่ปรนเปรอจูบให้กันและกันอีกครั้ง วงแขนแกร่งพยุงร่างของผู้เป็นเจ้านายไม่ให้ล้มพับลงไป เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางเบาๆ ตอนที่อีกฝ่ายถอนตัวออก ร่างผอมบางขยับริมฝีปากขึ้นแตะกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าคมได้รูปนั้น
   “ได้โปรด รักฉันบ้าง”
   จางซื่อเยี่ยนจูบริมฝีปากนั้นแทนคำตอบ คำว่ารักที่มีต่อเว่ยเฟิงปิงนั้นคือทุกลมหายใจของเขา ร่างแกร่งค่อยๆ สวมเสื้อผ้าให้ผู้เป็นเจ้านาย และก้มลงจูบหลังฝ่ามือ เว่ยเฟิงปิงหัวเราะขืนๆ
   “วิกยุ่งหมดเลย ถอดออกดีไหม?” ร่างบางเอ่ยถาม ขณะพิงตัวซบไหล่ของผู้เป็นลูกน้อง
   “ถ้าคุณพอใจ ยังไงก็ได้ครับ”
   “นายไม่มีความเห็นเลยหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่าย ขณะที่เพิ่งจัดการเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จ
   “ผมชอบที่คุณผมยาว ไว้ผมยาวก็ดีนะครับ”
   “อืม” ร่างบางคราง หลับตาอย่างสบายใจกับฝ่ามือแกร่งที่ลูบลงมา
   “ขับรถไหวหรือเปล่า?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถามอีกครั้ง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า 
   “ถ้ายังไงโทรเรียกอาเง็กมารับดีไหม?” ผู้เป็นเจ้านายว่า ก่อนจะหลับตาพริ้มเมื่อถูกจูบหน้าผาก
   “ให้อาเง็กมาเห็นคุณในสภาพแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า  แม้ใจจริงอยากจะอยู่แบบนี้อีกสักพักใหญ่ๆ แต่เขาคงต้องพาผู้เป็นนายกลับที่พักได้แล้ว เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางอืม จางซื่อเยี่ยนจึงค่อยๆ ช้อนศีระษนั้นวางลงกับเบาะ และเปลี่ยนไปนั่งที่นั่งคนขับ ก่อนจะสตาร์ทรถออกไป
---------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่35 P3 10/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 11-06-2011 01:55:39
อ่านรวดเดียวเลย สนุกมากๆเลยค่ะ
ตอนนี้ชอบทั้งสองคู่เลย
ดีใจมากอัพเร็วได้ใจ
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่35 P3 10/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 11-06-2011 04:53:11
เรื่องนี้รู้สึกเหมือนเคยอ่านจากเวปไหนซักที่
แต่ไม่ใช่จากเวปบอร์ดนี้แน่นอน
เอาเป็นว่ารอตอนต่อไปอยู่นะ :bye2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่35 P3 10/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 11-06-2011 07:13:47
ลงเร็วมว๊ากกกกกกกกกกกกก  :a5:  ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ  :o12:
เดี๋ยวแว่บไปอ่านต่อ แล้วจะรายงานตัวอีกรอบนะคะ อิอิ  :o8:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่35 P3 10/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-06-2011 12:04:14
บทที่36  รัสเลอร์
   ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากซื้อของเสร็จ จู่ๆ รูฟัสก็หยุดรถลงตรงใกล้ๆ กับทางเดินริมทะเลสาบ ก่อนจะหักหัวเลี้ยวเข้าไปจอดยังที่จอดรถ
   “ไปเดินเล่นหน่อยไหมครับ?” เขาเอ่ยถามชายหนุ่มสวมแว่นที่นั่งอยู่ที่เบาะอีกฟากของคนขับ  ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ
   “ไม่ต้องรีบกลับหรือ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ พลางนึกว่าทำไมเขาจะต้องรีบกลับไปให้เจ้าหมอนั่นใช้งานฟ่งด้วย
   “อยากไปเดินดูทะเลสาบบาลาตอนหน่อยไหมครับ อากาศกำลังเย็นสบายเลย”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ก่อนมองออกไปด้านนอก และพยักหน้า ในเมื่อทางนั้นดูอยากจะนำเสนอสถานที่เที่ยวเต็มที่ อีกอย่าง ตั้งแต่เขาถูกลักพาตัวมา  ยังไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่ได้เดินอย่างสบายใจเลย  บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรก
   สองหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถ  และเดินทอดน่องไปตามทางเดิน  สายลมทะเลพัดเอาละอองน้ำและความเย็นมากระทบเรือนร่าง สำหรับคนที่เกิดในเมืองร้อนอย่างฟ่งแล้ว อากาศแบบนี้ถือว่าหนาวเลยทีเดียว  ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลกระชับเสื้อแจ็กเกตเข้ากับตัว รูฟัสมองดูใบหน้าของคนรัก  ใบหน้าได้รูปถูกไล้ด้วยแสงแดดยามบ่าย ดูงดงามราวกับภาพวาด  บางคราวมันก็ทำให้เขารู้สึกกลัวว่าหากละสายตาจากคนคนนี้ไปแล้ว เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง อาจจะไม่ได้เห็นใบหน้านี้อีก
   “จับมือได้หรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มกระซิบ  ขณะขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส ปอยผมสีน้ำตาลถูกลมพัดไล้พวงแก้มที่เริ่มเป็นสีชมพูเพราะความหนาว
   “............................”
   “ไม่เป็นไรครับ” รูฟัสพูดและยิ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีทีท่าลังเล  ฟ่งรีบพูดขึ้นทันที
   “เปล่า คือ..มันจะดีหรือ ผู้ชายกับผู้ชายจับมือกันในที่สาธารณะน่ะ..”
   “รังเกียจหรือเปล่าล่ะครับ” รูฟัสถาม ฟ่งนิ่งอึ้งไปอีก
   “ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แต่.....”
หนุ่มตาสองสียิ้มอีกครั้ง “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ  เป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องแปลก”
   ฟ่งย่นคิ้ว “ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่อยากทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อ อีกอย่าง ผมไม่ใช่เกย์”
   รูฟัสเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “งั้นทำไมถึงยอมมากับผมล่ะครับ?”
   ฟ่งถลึงตามองรูฟัส และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นทันที หนุ่มตาสองสีหัวเราะ พลางเร่งฝีเท้าตามคนรักไป ก่อนจะฉวยข้อมือบางนั้นไว้
   “คุณชอบแกล้งผม!” ฟ่งโพล่งออกมา ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสยิ้ม และยกมือที่ฉวยไว้ได้ขึ้นมาจูบเบาๆ “ผมชอบคุณนะครับ”
   ฟ่งเม้มปาก ใบหน้ายิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก  เขาพยายามดึงมือออก แต่ทางนั้นยิ่งจับแน่น
   “ผมอาย!!” ร่างบางพูด ขณะพยายามดึงมือออกอีกครั้ง รูฟัสฉวยโอกาสโอบร่างนั้นเข้าไปกอด และกระซิบข้างหู
   “คุณน่ารักมาก รู้ตัวหรือเปล่าครับ”
   ฟ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง เมื่อลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสใบหู ร่างบางส่งเสียงโวยวาย
   “นี่มันที่สาธารณะนะ!!”
   “ครับๆ ” หนุ่มนัยน์ตาสองสีอมยิ้ม ความจริงเขาอยากจะแกล้งอีกฝ่ายต่อสักหน่อย แต่ท่าทางคนที่จะทนไม่ไหวจะกลายเป็นตัวเขาเอง รูฟัสมองออกไปในทะเลสาบ และชี้ให้ฟ่งดู
   “คุณรู้รึเปล่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นสีเทา”
   หนุ่มสวมแว่นมองตามออกไป และก็ต้องขมวดคิ้ว มันก็ดูเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ที่สวยงามดีนี่นา มีทั้งดอกไม้ใบหญ้าสีสันต่างๆ แถมยังมีหงส์เป็นฝูงว่ายอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วไม่เหมือนภาพถ่ายขาวดำเลยสักนิด  สงสัยว่ารูฟัสอาจจะตาบอดสี
   “ก็ดูสวยดีนี่ ตอนหน้าหนาวที่นี่แล้งมากเหรอ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ใช้มือปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าของอีกฝ่ายออก
   “เปล่าครับ มันเป็นสีเทาตอนที่คุณจะจากผมไป”
   ฟ่งทำหน้าแปลก พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้า เขานึกกลัวขึ้นมานิดๆ ว่า ทางโน้นอยากจะพูดอะไรกันแน่
   “แล้วตอนนี้ล่ะครับ?” หนุ่มสวมแว่นถามกลับ  และเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง ยกมือขยับแว่น และบอกตัวเองว่าเขาไม่ได้อยากรู้คำตอบสักนิด รูฟัสคลี่ยิ้ม ก้มลงกระซิบเบาๆ ข้างหูคนรักอีกครั้ง
   “ตอนนี้สีมันเหมือนแก้มแดงๆ ของคุณไงครับ”
   ฟ่งย่นคิ้วอย่างสยดสยอง “คุณอย่าพูดอะไรน้ำเน่าแบบนั้นได้ไหม ผมฟังแล้วรู้สึกยังไงก็ไม่รู้”
ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่พวงแก้มนั่นดูเหมือนจะยิ่งแดงปลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ  รูฟัสหัวเราะ
“ไม่พูดก็ได้ครับ ใช่ว่าผมจะพูดแบบนี้บ่อยๆ นะ”
ฟ่งย่นคิ้ว เริ่มคิดจริงจังว่า ผู้ชายคนนี้คงชอบแกล้งเขาจริงๆ
“คุณน่ะ อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ  หมายถึงปกติอยู่ที่นี่หรอ?”
“ก็ประมาณนั้นครับ” รูฟัสตอบ นึกดีใจที่ฟ่งแค่ผลักเขาออก แต่ก็ยังยอมให้เดินใกล้ๆ ไม่งอนเขาแล้วเดินหนีเหมือนคราวที่ผ่านมา
 “แล้ว ไม่เคยชอบใครที่นี่เลยเหรอ ผมว่าคนที่นี่ก็หน้าตาดีนะ”
รูฟัสสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ว่าหน้าตาดีแล้วจะทำให้อยากอยู่ด้วยสักหน่อยนี่ครับ”
“อืมม” ฟ่งส่งเสียงในลำคอเหมือนใช้ความคิด เขามองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ  พลางคิดว่าพวกผู้หญิงที่มองมาแล้วกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงพวกเขาในแง่ใดกันแน่
“ถ้าคุณไม่เดินกับผมอาจจะมีคนมาทักเยอะก็ได้นะ”
รูฟัสย่นคิ้ว มองดูฟ่งที่กำลังมองออกไปทางอื่น
“ไม่ได้อยากให้มีใครมาทักเลยครับ” เขาว่า และเหลือบเห็นผู้หญิงสองคนที่ทำท่ากระซิบกระซาบกัน
“จริงๆ นะ ผมว่าเราเดินแยกกันดีกว่า” ฟ่งพูด และขยับตัวเดินห่างออกไป รูฟัสส่งเสียงคราง
“โธ่.... จะทำเป็นหึงผมบ้างสักนิดไม่ได้หรือไงครับ” เขาว่า ฟ่งทำหน้าเหมือนได้ฟังเรื่องแปลก
“ทำไมล่ะ ก็ทุกคนเหมือนจะมองแต่คุณ ที่เราเดินด้วยกันนี่ ผมว่ามันอาจจะไม่ดีก็ได้นะ”
“ดีสิครับ” รูฟัสว่า ฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้อีกครั้ง
“คุณมองผม เดินกับผม ดีที่สุดแล้วครับ ใครคนไหนจะมองยังไงก็ช่างสิ” เขามองดูหน้าคนรัก และพูดอย่างนึกขึ้นได้
“หรือว่าคุณจะหึง เมื่อกี้นี่หึงผมรึเปล่าครับ?”
ฟ่งถลึงตามองรูฟัส “ผมไม่ได้หึงสักหน่อย ใครๆ ก็มองแต่คุณนี่ ผมน่ะ เดินกับคุณแล้วรู้สึกยังไงไม่รู้”
“แล้วกัน” รูฟัสคราง พลางนึกโมโห เขาอยากจะเดินควงกับฟ่งให้สบายใจแท้ๆ ทำไมกลายเป็นแบบนี้กันนะ
“ผมว่า เราเดินแยกกันดีกว่า” ฟ่งพูด สลัดมือออก และเดินหนีไปทันที รูฟัสอ้าปากค้าง  ไม่รู้จะนึกดีใจหรือเสียใจดี
ตกลงนี่ฟ่งหึงเขาแล้วงอนจนเดินหนีไป?
ชายหนุ่มเกาหัวแกร่ก ขณะที่คิดว่าควรจะวิ่งตามไปดีไหม สาวทรงโตคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
----------------------------------------------
ฟ่งไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องเดินหนีออกมาด้วย ก็แค่รู้สึกอายปนกับน้อยใจนิดๆ  เมื่อเห็นสายตาของคนที่มองมา พวกนั้นมองมาที่รูฟัส และกระซิบกระซาบกัน เพราะว่าเขาดูไม่เหมาะกับรูฟัสหรือเปล่า? ที่จริงแล้วรูฟัสเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก จะทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทำไมถึงต้องมาคู่กับคนที่ดูยังไงก็ไม่เจริญหูเจริญตาแถมยังเป็นผู้ชายแบบเขาด้วยล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ ในที่สุดร่างบางก็ชะงักฝีเท้าลง และหันกลับไปเพื่อถามหาทางออกจากอีกฝ่าย แต่ว่าเขามองไม่เห็นหนุ่มตาสองสีที่ว่านั่นเสียแล้ว
ฟ่งมองไปรอบๆ อย่างตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาศีรษะ  เขาคงเดินหนีออกมาไกลเกินไป  ถึงคิดว่ารูฟัสน่าจะตามมาทันก็เถอะ แต่ว่ามันก็อาจจะไม่ทันกันก็ได้ อย่างนี้แปลว่าเขาหลงทางรึเปล่า?
ชายหนุ่มสวมแว่นมองไปรอบๆ อีกครั้ง และพบว่านี่เป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จักอย่างแท้จริง แถมผู้คนยังแปลกภาษา จริงอยู่ เขาเคยออกจากบ้านของราฟาแอลแล้วไปหากฤษต์ด้วยตัวคนเดียว นั่นเพราะเขาต้องการหนี หนียังไงก็ได้เพื่อให้พ้นจากผู้ชายคนนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้มีเป้าหมายแน่นอนเท่าไหร่ ก็แค่คิดว่าถ้าไปไม่ถูก ก็คงพยายามบอกคนแถวนั้นงูๆ ปลาๆ ให้พาเขาไปสถานทูต แต่ตอนนี้เขาต้องกลับไปหารูฟัส โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงส่วนไหนของทะเลสาบกันแน่
ฟ่งตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางที่คิดว่าเพิ่งเดินผ่านมา พลางนึกโมโหความงี่เง่าของตัวเอง
ถ้าเขาไม่รีบเดินหนีออกมา ก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาแบบนี้
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะอีกครั้ง เขายังมองไม่เห็นวี่แววของรูฟัส แต่ก็พยายามปลอบใจตนเองว่าเดี๋ยวคงเจอ
“May I help?” เสียงหนึ่งทักขึ้น ฟ่งไม่ต้องเสียเวลามองหาที่มาของมันให้ยุ่งยาก เพราะเจ้าของเสียงนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาเป็นหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหยักสก นัยน์ตาสีฟ้า ดูจะอายุพอๆ หรือมากกว่ารูฟัสสักหน่อย หน้าตาจัดกว่าพอมองได้ สวมเสื้อแจ๊กเกตสีขาว
ฟ่งสั่นศีรษะ  เขานึกไม่ออกว่าจะให้ใครช่วยทำอะไร ก็แค่หารูฟัสให้เจอแค่นั้นเอง แต่หนุ่มผมสีน้ำตาลคนนี้ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวอะไรอยู่บ้าง
“ผมเห็นแฟนคุณนะ ที่ยืนคุยอยู่กับผู้หญิงตรงนั้นรึเปล่า?” เขาว่า และชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่ง ฟ่งมองตามไป และรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที นั่นใช่รูฟัสแน่ เพราะยืนคุยกับผู้หญิงอยู่นี่เองเลยไม่ได้ตามมา
“ทะเลาะกับหรือครับ?” ชายหนุ่มคนนั้นถามต่อ ฟ่งสั่นศีรษะ
“แล้วทำไมคุณเดินหนีออกมาล่ะ ให้ผมพากลับไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ” ฟ่งตอบ และรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นภาระกับคนอื่นเสียจริงๆ
“คุณเพิ่งมาที่นี่หรือ?” ชายหนุ่มแปลกหน้าเริ่มตั้งคำถาม เมื่อพบว่าฟ่งยืนเงียบไป ฟ่งพยักหน้า
“ครับ ผมเพิ่งมาถึงได้ไม่กี่วัน”
“ก่อนหน้านี้อยู่ประเทศอะไรหรือครับ?”
“ไทย” ฟ่งว่า และนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องมาตอบคำถามของคนที่ไม่รู้จักด้วย หนุ่มแปลกหน้ายิ้ม
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมคาร์ล คุณล่ะครับ?”
“ฟ่ง” หนุ่มสวมแว่นตอบ ยกมือขึ้นจับมือที่ยื่นมาพอเป็นพิธี และคิดว่าเมื่อไหร่รูฟัสจะมาสักที เขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้
“แฟนคุณคงอาจจะคุยธุระอยู่ก็ได้นะครับ” คาร์ลว่า เมื่อเห็นสายตาจดๆ จ้องๆ ของฟ่ง ร่างบางห่อไหล่
“ไปเดินเล่นกับผมไหมครับ เผื่อกลับมาแฟนคุณอาจจะคุยธุระเสร็จแล้ว” อีกฝ่ายพูดต่อ และยิ้มให้อีกครั้ง ฟ่งรีบสั่นศีรษะ
“ไม่ดีกว่า” เขาว่า คาร์ลหัวเราะ
“แฟนคุณเนื้อหอมนะครับ ผมเคยเห็นเขาเปลี่ยนผู้หญิงอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่รังเกียจ เราไปนั่งร้านน้ำชาใกล้ๆ นี่ไหมครับ รอเขาคุยเสร็จ”
ฟ่งทำหน้าย่น “คุณรู้จักเขาเหรอ?”
คาร์ลยักไหล่ “รู้จักสิครับ เขาสะดุดตา เนื้อหอม เป็นที่นิยมแบบนั้นใครๆ ก็คงอยากรู้จัก”
ฟ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และยิ่งรู้สึกหงุดหงิด โดยไม่ได้สังเกตสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา
“ชอบทานเครื่องดื่มอะไรหรือครับ ชา กาแฟ หรือว่าน้ำผลไม้?”
“โกโก้มั้งครับ” ฟ่งตอบ และหันไปมองร้านน้ำชาที่ว่า คาร์ลยักไหล่
“ไปด้วยกันไหมล่ะครับ ยังไงคุณก็ต้องรอแฟนอยู่แล้ว”
“ผมยังไม่รู้ว่าเขาอยากให้ผมรอรึเปล่าเลย” ฟ่งว่า  อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างแปลกใจ
“แล้วกัน งั้นคุณจะรอทำไมล่ะครับ?”
ฟ่งนิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป
“เราไปนั่งทานอะไรกันก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยไปส่งคุณก็ได้” คาร์ลพูดต่อ ฟ่งยกมือลูบหน้า เขายังไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านทางไหน
“ผมเดินไปหาเขาดีกว่า” ฟ่งว่า และหมุดตัวกลับ แต่แล้วก็ต้องตกใจที่ถูกรั้งมือไว้
“เดี๋ยวสิ” ทางนั้นว่า  ฟ่งพยายามสลัดมือออกและถอยมาอย่างแตกตื่น เขารู้สึกตกใจกับการที่ถูกคนแปลกหน้าจับมือ แถมยังเป็นผู้ชายด้วย ร่างบางสะดุดเมื่อชนกับใครคนหนึ่ง
“Sorry!!” ฟ่งโพล่งออกมา แต่ยังไม่ทันหันหลังไปมอง วงแขนแข็งแรงก็รวบตัวของเขาเอาไว้
“รูฟัส!!” ร่างผอมบางอุทานชื่อนั้นออกมา ได้ยินเสียงอืมจากผู้ที่อยู่ด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบเข้ากับนัยน์ตาสองสีนั้นทันที รูฟัสพยักหน้าและยิ้มให้เขาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ตรงข้าม  และพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งไม่เข้าใจ อาจจะเป็นภาษาฮังการี  ไม่นานนักผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป
“ไม่เป็นไรอะไรนะครับ” รูฟัสถาม หลังจากที่คาร์ลเดินหายไปแล้ว ฟ่งสั่นศีรษะ
“คุณรู้จักกับเขาเหรอ?”
“ไม่เชิง..” รูฟัสตอบ และยกมือขึ้นปัดปอยผมสีน้ำตาลของฟ่งที่ปรกใบหน้าออก
“แล้วคุยอะไรกัน?” ฟ่งถาม เงยมองหน้ารูฟัสอย่างสงสัย หนุ่มตาสองสียักไหล่
“ก็บอกว่า คุณเป็นของผม อย่ามายุ่ง แค่นั้นแหละ”
“คะ.... ใครเป็นของคุณกัน!!” ฟ่งว่า และเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาอีก รูฟัสถอนหายใจ และยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่าย
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดนักหรอกครับ แต่ว่าเจ้าหมอนั่นมาทำตัวรุ่มร่ามกับคุณนี่”
“ยังไง?”
รูฟัสยิ้มให้ฟ่งอย่างเอ็นดู และยอมปล่อยมือออกเมื่ออีกฝ่ายพยายามดิ้นขลุกขลัก
“รู้สิครับ เห็นแค่สายตาที่มองมาก็รู้แล้ว ว่าเขาอยากได้ตัวคุณ”
   “ห๊ะ!!” ฟ่งร้องอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะหันหลังกลับไปมองคนด้านหลัง
   “หมอนั่นดูพอใจคุณนะ ถ้าผมมาไม่ทัน บางทีคุณอาจจะโดนลากไปไหนแล้วก็ได้ เมื่อกี้ก็ถูกฉุดมือไว้ไม่ใช่เหรอ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วทันที “ก็เพราะคุณนั่นแหละ คุณยืนคุยกับสาวๆ แล้วทิ้งผมเอาไว้”
   “ก็คุณเล่นเดินหนีไปนี่ครับ แต่ช่างเถอะ” รูฟัสเปลี่ยนท่าทีเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
   “ผมขอโทษแล้วกันครับ รู้แล้วว่าคุณหึง แต่ว่าวันหลังอย่าเดินหนีไปแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย”
   “ก็คุณไม่ยอมเดินตามมา” ฟ่งยังไม่ยอมแพ้  รูฟัสถอนใจ
   “คุณเดินหนีผมไป แล้วจะให้ผมตามไปยังไงล่ะครับ”
   “คุณคุยอยู่กับผู้หญิงคนอื่น” ฟ่งว่า ทำหน้าบูด รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ฟ่งกำลังหึงแน่ๆ
   “ถ้าเป็นคุณ คุณจะเดินผ่าพวกเธอออกมาหรือไงครับ”
   “คุณก็แก้ตัว” ร่างบางเถียงเสียงแข็ง เหมือนจะตั้งใจเอาโทษเสียให้ได้
   “ครับ ผมผิดไปแล้ว เพราะฉะนั้นวันหลังอย่าเดินหนีผมไปอีกนะครับ” รูฟัสสรุป ฟ่งขมวดคิว นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาเหมือนไม่พยายามจะเข้าใจ หนุ่มร่างสูงถอนหายใจเฮือก 
หรือว่าเขาควรจะเก็บฟ่งเอาไว้กับบ้านดี เกิดพามาเดินเล่นแล้วหนีเตลิดไปโดนใครต่อใครฉุดไปจะเป็นยังไงนะ?
“กลับกันเถอะครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ยขึ้นต่อ หลังจากเห็นอีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่ ผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมามองอย่างแปลกใจ
   “คุณพาผมมาเดินที่นี่ทำไมเนี่ย?”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า
   “ผมว่า เราไปหาที่นั่งคุยกันตรงโน้นดีกว่า” เขาว่า และจูงมืออีกฝ่ายเดินออกไป
   “ตกลงว่าจะกลับรึเปล่า?”
   ฟ่งเอ่ยถาม ขณะที่เดินมาถึงเก้าอี้ยาวริมทะเลสาบ รูฟัสถอนหายใจ และดึงมือฟ่งให้นั่งลงด้วยกัน
   “นี่คุณจงใจจะแกล้งผมรึเปล่า?” รูฟัสเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามแทนที่จะเป็นคำตอบ  หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วทันที
   “ผมแกล้งคุณตรงไหนกัน”
   “ก็ที่คุณงอนแล้ววิ่งหนีไป แล้วก็มาโมโหผมอีก” หนุ่มตาสองสีว่า มองดูคิ้วคู่งามที่ขมวดยุ่งของอีกฝ่าย
   “เพราะคุณนั่นแหละ พาผมออกมาเดินที่นี่ทำไม”
   “ผมแค่อยากมีเวลาส่วนตัวกับคุณ”
   “เมื่อคืนก็อยู่ด้วยกันแล้วนะ” ฟ่งแย้ง  รูฟัสกะพริบตาปริบๆ
   ตกลงนี่ฟ่งแกล้งเขา หรือแกล้งโง่ หรือว่าอะไรกันแน่เนี่ย
   “ไม่อยากอยู่ใกล้กับผมขนาดนี้เลยเหรอ?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ ฟ่งหยุดไปแวบหนึ่ง และสั่นศีรษะ
   “เปล่า”
   “งั้นเดินเล่นกับผม คล้องแขนกันไม่ได้หรือครับ?”
   “มันน่าอายนี่” ฟ่งโพล่งออกมาทันที  ทำเอาอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นเกาศีรษะอีกครั้ง  จริงอยู่ว่าเขาชอบให้ฟ่งอาย แต่ถ้าอายแบบนี้สงสัยจะแย่แน่ๆ
   “ต้องทำยังไงคุณถึงจะไม่อายล่ะ”
   ผู้ถูกถามนิ่งนึกไปพักหนึ่ง เขามองหน้ารูฟัสด้วยสายตาไม่ค่อยจะไว้ใจนัก  ก่อนจะพูดตอบ
   “อย่าทำแบบตะกี้อีก เดินด้วยกันเฉยๆ เหมือนคนปกติก็พอ”
   แววตาที่มองมาทำให้เขาระลึกขึ้นได้ว่าคงฝืนใจฟ่งอีกแล้ว  ชายหนุ่มหลับตาและนึกตำหนิตัวเอง
   “ครับ” รูฟัสรับปาก และพยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ฟ่งเหลือบตาขึ้นมองเขาเหมือนยังรู้สึกไม่เชื่อใจอยู่
   “By my honest, my lord.” หนุ่มตาสองสีกล่าว  และคว้ามือของฟ่งขึ้นมา ก่อนจะจูบลงไปด้านหลัง คนถูกจูบมือกะพริบตาปริบๆ  ใจหนึ่งอยากจะพูดว่าทำแบบนี้ก็ไม่เอา แต่พอมาคิดดูแล้ว มันก็ดูจะหักหาญน้ำใจของรูฟัสมากเกินไป จริงๆ แล้วเขาเองก็อาจจะมีส่วนผิดอยู่บ้างเหมือนกันที่งี่เง่าเดินหนีไป แต่จะจะฝืนใจทำเรื่องน่าอายแบบนั้นมันก็ไม่ไหว
   “คุณจะอยู่ที่นี่นานรึเปล่า?” ร่างบางเอ่ยถาม มองดูดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงไปทุกที  ผู้มีนัยน์ตาสองสีเงยหน้าขึ้น และหันไปมองดวงอาทิตย์บ้าง
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่35 P3 10/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-06-2011 12:04:44
   “อยากกลับแล้วเหรอครับ?”
   “ก็ไม่เชิง ออกมาข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน” ฟ่งว่า และถอนหายใจยาว
   “นี่รูฟัส ผมน่ะบางทีก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ก่อนหน้าจะพบคุณผมก็แค่ผู้ชายหนีรักคนหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้น ผมกลายเป็นคนที่ทำงานให้กับมาเฟีย ถูกไล่ล่า แล้วก็ถูกลักพาตัว”
   ผู้ถูกพาดพิงยิ้มแห้งๆ นี่ฟ่งกำลังจะกล่าวโทษเขารึเปล่านะ รูฟัสยอมรับว่าเขามีส่วนในความเดือดร้อนของฟ่งอยู่มากมายจริงๆ
   “แต่ผมไม่ได้โทษคุณหรอกนะ คุณคงไม่ได้ไปเจาะจงให้คนพวกนั้นมาเลือกผมไปทำงาน  ความจริงผมอาจจะต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำ  ถ้าไม่มีคุณมาเกี่ยวข้อง ผมอาจจะไม่รอดก็ได้”
   รูฟัสเกาศีรษะอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
   “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาพูด รู้สึกตัวเองช่างดูงี่เง่าไปถนัด เหตุการณ์ทุกอย่างแทบจะเกิดต่อหน้าแท้ๆ แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งเมื่อเช้านี้
   “มันก็เหมือนคุณทำโดยไม่รู้ตัวนั่นแหละ จะว่าไปมันก็บังเอิญอย่างซับซ้อนเหมือนจงใจเลยนะ  เฟิงปิงลักพาตัวผมในวันที่ผมคิดว่าตัวเองจะถูกฆ่าพอดี คืนนั้นผมคิดว่าคนที่นั่งรออยู่คือคุณเสียอีก”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า ยิ่งพูดเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเซ่อซ่า
   “ผมรู้ว่าเฟิงปิงจะไปพบคุณก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที” หนุ่มตาสองสีเริ่มเล่า  ฟ่งหันมามองเขาอย่างสนใจ
   “ผมพบกับลูกน้องของเขา ผมเลยรีบกลับไปหาคุณ แต่ผมไม่รู้เลยว่าคุณถูกตามฆ่าด้วย”
   ฟ่งถอนหายใจอีกครั้ง “ผมกลัวจริงๆ วันนั้นเป็นวันที่ผมส่งงานชิ้นสุดท้าย ผมไปงานเลี้ยงรุ่น เกาะแจอยู่กับเพื่อน และขอให้คุณมารับตอนที่กลับ ตอนที่มาถึงผมยังนึกกลัวๆ อยู่ว่า ถ้าคุณยังไม่มาจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่กลายเป็นว่าผมถูกมาเฟียฮ่องกงลักพาตัวมาแทน”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสีกลืนน้ำลาย ถ้าเว่ยเฟิงปิงไปช้ากว่านั้น ฟ่งจะเป็นยังไงบ้างนะ หรือว่าเจ้าหนูตางูนั่นรู้อะไรอยู่ แต่ดูจากท่าทีของเว่ยเฟิงปิงแล้ว เหมือนจะไม่รู้ว่าฟ่งเกี่ยวข้องกับแผนการลับสุดยอดนั่น เพราะถ้าคนอย่างเจ้าเด็กนั่นรู้ คงไม่ปล่อยกลับมาง่ายๆ แบบนี้แน่  อย่างนั้นทั้งหมดเป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่องั้นหรือ
   “มันบังเอิญอย่างน่าตกใจใช่ไหมล่ะ” ฟ่งว่า เขามองหน้ารูฟัสและพูดต่อ
   “แล้วคุณก็ตามไปช่วยผม พาผมมาที่นี่ ผมเกือบจะกลับเมืองไทยไปแล้ว แต่ว่าก็ยังอยู่ที่นี่ต่อ แล้วพอเมื่อเช้าผมก็ได้รู้ว่าผมกลายเป็นส่วนหนึ่งในงานของคุณด้วย นี่รูฟัส ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นคนทำแปลนนั่นแต่แรก คุณจะทำยังไงกับผม?”
   ร่างแกร่งถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองผู้ถาม และคลี่ยิ้ม
   “ผมคงไม่รู้หรอกครับฟ่ง หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น ถ้าคุณไม่เดินมาบอกผม ถึงจะเขียนมันต่อหน้า ผมก็ยังไม่อยากจะรับรู้อยู่ดี ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเรื่องแบบนี้เลย”
   “แต่ผมยุ่งไปแล้วนี่” ฟ่งว่า  และผุดลุกขึ้น
   “ผมน่ะ งี่เง่าและเอาแต่ใจมากเลยนะ บางทีอาจจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ลงไป  ผมไม่ค่อยจะได้คิดหรอกว่าจะทำให้ใครเขาเสียใจแค่ไหน จนเวลาผ่านไปนั่นแหละ”
   “อา..” รูฟัสคราง และลุกขึ้นบ้าง เขาเดินเข้าไปใกล้ฟ่ง ชายหนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง
   “ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะ” ร่างบางกล่าว และเขย่งตัว แตะริมฝีปากเบาๆ ลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย  รูฟัสยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เขามองหน้าฟ่งที่ก้มลงหลบสายตา
   “กลับกันเถอะ” อีกฝ่ายว่า และก้าวเท้าออกไป
------------------------------------
   “พวกแกไปฮันนี่มูนกันที่บาลาตอนหรือไง”
   นั่นเป็นประโยคแรกที่ราฟาแอลเอ่ยขึ้นเมื่อรูฟัสโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน  ผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้ว และเสือกโต๊ะไฟใส่หน้าเพื่อนร่วมงาน
   “เฮ้ๆ ระวังหน่อยสิ” ราฟาแอลบ่น รูฟัสวางโต๊ะไฟลงกับพื้น โดยมีฟ่งยกเก้าอี้เดินตามมาติดๆ
   “คุณน่าจะช่วยบ้าง แทนที่จะมาพูดจากระแนะกระแหนแบบนี้” รูฟัสกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่
   “ไม่ได้กระแนะกระแหนเสียหน่อย” ราฟาแอลว่า แต่ก็เดินไปรับเก้าอี้จากฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกล่าวขอบคุณออกมาหลายครั้ง และเขาก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากในครัว
   “How about you? Enjoin with him?”
   ฟ่งอ้าปากด้วยความแปลกใจ  เขาหันหน้าไปมองรูฟัสที่กำลังย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ
   “ตกลงคุณรู้จักกันจริงๆ ?” ร่างบางเอ่ยถาม  หนุ่มตาสองสีพยักหน้า ฟ่งมองกลับไปยังชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่เขาเจอที่ทะเลสาบ ซึ่งตอนนี้กำลังฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
   “Well, Just like I think, you’re here.”  รูฟัสเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ  หนุ่มผมสีน้ำตาลยักไหล่
   “นายเล่นพ่นภาษาฮังกาเรียนใส่ฉันไม่ยั้งตอนที่อยู่ทะเลสาบ คิดบ้างไหมว่าฉันจะถูกคนอื่นมองยังไง”
“ก็คิดแบบนั้นถึงได้พูดออกไปไง” รูฟัสตอบ และพูดต่อ
   “ทำไมถึงโผล่มาไวนัก ฉันคิดว่านายจะทำงานอยู่ที่ฐานเสียอีก”
   ผู้ถูกถามยักไหล่ และหันไปมองราฟาแอลที่ทำหน้าเหมือนบอกบุญไม่รับ
   “ฉันก็แค่มาเดินเล่น” เขาว่า รูฟัสทำหน้าแบบเดียวกับราฟาแอล
   “นายคงไม่มาเดินเล่นที่บาลาตอนแล้วเจอฟ่งโดยบังเอิญหรอก” ผู้มีนัยน์ตาสองสีตั้งข้อสังเกต ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะ
   “ฉันอยากเจอเด็กนาย” เขาว่า ฟ่งมองหน้าคนทั้งหมดอย่างงุนงง เขาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ที่แน่ๆ บทสนทนามีบางส่วนพาดพิงถึงเขาอยู่
   “คนนี้เป็นใครหรือ?” ฟ่งหันไปถามราฟาแอล เพราะคิดว่าถ้าถามรูฟัสอาจจะไม่ได้รับคำตอบที่ตรงนัก หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่
   “หมอนี่เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเรา ชื่อรัสเลอร์”
   “ฉันบอกเขาไปว่าชื่อคาร์ล” รัสเลอร์ว่า  และยิ้มให้ฟ่ง “ดีใจที่ได้พบคุณอีกนะครับ”
ฟ่งยิ้มตอบแห้งๆ นึกสงสัยว่าคนพวกนี้จะต้องโกหกแม้กระทั่งชื่อตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือไง ในขณะที่รูฟัสมีสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
   “นายน่าจะใช้ชื่อว่ารัสตี้ (สนิม) มากกว่านะ” รูฟัสว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายครางออกมา
   “โถ พ่อรูฟัส มีแฟนแล้วปากคอยิ่งโหดร้ายขึ้นเหรอเนี่ย” รัสเลอร์ว่า  และแสร้งทำหน้าหวาดกลัว ราฟาแอลกะพริบตาปริบๆ พลางนึกว่าทำไมบ้านของเขาถึงต้องมีไอ้บ้าหลายตัวมาอยู่รวมกันด้วย รูฟัสถอนหายใจ
   “นายโผล่หัวมาที่นี่ทำไม ไหนว่าตีความแปลนไม่ออกไง”
   “อืม  ตีไม่ออก เขียนได้สุดยอดมาก เรียกว่าผลงานที่ลอดสายตาพระเจ้ามาเลยก็ยังได้W รัสเลอร์ตอบ และหันไปมองฟ่ง
   “ไม่คิดเลยว่าคนเขียนจะเป็นหนุ่มเอเชียน่ารักๆ แบบนี้”
   รูฟัสทำหน้ายุ่ง ในขณะที่ราฟาแอลก็ทำหน้ายุ่งด้วย
   “นายเป็นพวกรสนิยมวิปริตด้วยหรือไง” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์เลิกคิ้ว
   “ไม่หรอก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มหันมาสนใจแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะคนเอเชียแบบนี้”
   หนุ่มผมสีบลอนด์ย่นคิ้วทันที ในขณะที่รูฟัสก้าวมาบังตัวของฟ่งเอาไว้
   “ไม่ต้องหึงขนาดนั้น ฉันแค่หยอกเล่นน่า” รัสเลอร์ว่า เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมงาน รูฟัสมองอย่างไม่ไว้ใจ
   “นายเพิ่งรู้ว่าเรามีตัวคนเขียนแปลนเมื่อเช้า แล้วนายโผล่หัวมาอยู่ที่นี่ได้ไงในตอนบ่าย” หนุ่มตาสองสียังคงตั้งข้อสังเกตต่อ
   “อ้อ... ก็เพราะว่าฉันอยู่แถวนี้อยู่แล้วน่ะสิ  จริงๆ คือฉันกะจะมาช่วยพวกนายงม แต่ว่าตอนนี้เจอตัวคนเขียนแล้วนี่”
   “งั้นนายก็กลับไปได้แล้ว” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์หันไปมองเขาด้วยสายตาเสียใจอย่างสุดซึ้ง
   “พอไม่มีประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งเลยเหรอ ฉันอุตส่าห์มาช่วยพวกนายด้วยจิตใจบริสุทธิ์แท้ๆ “ เขาคราง  หนุ่มผมสีบลอนด์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “แต่ฉันยังกลับไม่ได้หรอก มีสองหัวดีกว่ามีหัวเดียวใช่ม๊า ได้ยินว่าต้องใช้เวลาแยกและทำความเข้าใจนานด้วยนี่ ให้ฉันช่วยสิ” รัสเลอร์ยื่นข้อเสนอ รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอล
   “นี่คุณเล่าทั้งหมดให้หมอนี่ฟัง?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด “ฉันคิดว่ามันอาจจะเร็วขึ้น แต่ก็นั่นแหละมันเป็นความคิดที่ผิดอย่างที่สุด” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า และคนฟังก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที
   “เอาล่ะครับ คุณรัสเลอร์  เรามีคนตีความแบบแปลนแล้ว และงานของคุณก็คงจะยุ่งมาก  ดังนั้น.... คุณกลับไปทำงานดีกว่า”
   “ไม่เลย ฉันไม่ยุ่งสักนิด” รัสเลอร์ตอบ ทำหน้าสำราญใจเต็มที่ “เบื้องบนอนุญาตแล้ว ให้ฉันมาช่วยพวกนายได้เต็มที่ อย่างต่ำๆ ก็สามวัน”
   “สามวัน!!” รูฟัสและราฟาแอลร้องพร้อมกัน  รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
   “น้อยไปหรือไง?” เขาว่า  ทั้งคู่สั่นศีรษะ
   “มากไปต่างหาก!”
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้ามุ่ย และหันไปพูดกับฟ่ง
   “ไปคุยกันข้างบนดีไหมครับ ผมเองเป็นสถาปนิกเหมือนกัน” เขาว่า และยกโต๊ะไฟขึ้นโดยไม่เอ่ยปากถามอะไรอีก ฟ่งทำหน้าเลิกลั่ก หันกลับไปมองรูฟัส และหันไปมองรัสเลอร์ที่เดินถือโต๊ะไฟขึ้นไปด้านบน ก่อนจะตัดสินใจยกเก้าอี้เดินตามขึ้นไป
   “แฟนนายว่าง่ายดีนะ” ราฟาแอลว่า รูฟัสทำหน้าย่น
   “ใจดีหรือว่าซื่อเกินไปล่ะมั้ง” หนุ่มนัยน์ตาสองสีตั้งข้อสังเกตและหันไปมองเพื่อนร่วมงาน
   “ทำไมไอ้หมอนั่นถึงโผล่มาในตอนนี้ได้”
   ราฟาแอลยักไหล่ “ไม่รู้ ไอ้พูดว่ามาช่วยเราก็อาจจะจริงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งอาจจะเพราะคำสั่งลับของ”เบื้องบน”ก็ได้  ถ้ามองให้แย่คือ”เบื้องบน”ของเจ้านั่นอาจจะไม่รู้สึกไว้ใจเราเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก”
   “ให้ตายสิ  ผมว่าเราทำงานให้”เบื้องบน”ของเจ้านั่นมาหลายงานแล้วนะ ทำไมถึงไม่เชื่อใจกันบ้าง ผมว่าเพราะไอ้หมอนี่แหละที่จะทำให้เรารู้สึกไม่น่าไว้ใจ”
   ราฟาแอลพยักหน้า “ฉันก็ว่างั้น แต่ทำไงได้  สองหัวดีกว่าหัวเดียวน่ะ  อีกอย่างแค่สามวัน...”
   “แค่สามวัน” รูฟัสย้อน และเริ่มมีสีหน้าประสาทเสีย “คราวที่แล้ววันเดียวงานเราก็แทบจะเละไม่เป็นท่า ไม่เข้าใจเลยว่า”เบื้องบน”คิดอะไรอยู่  ไม่เคยรู้เลยหรือไงว่างานภาคปฏิบัติของไอ้หมอนี่มันห่วยแตก”
   ราฟาแอลมีสีหน้าประสาทเสียตามอย่างเห็นได้ชัด
   “แกกำลังทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากจะนึก แล้วจะทำไงดี?”
   รูฟัสหันไปมองบันได และนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
   “คงต้องทนสามวัน แต่จะปล่อยไอ้บ้านั่นไว้กับฟ่งนานๆ ไม่ได้แน่”
   “เห็นท่าแล้วฉันไม่อยากเชื่อว่ามันตั้งใจมาทำงานเลย” ราฟาแอลแสดงความเห็นด้วย  แล้วทั้งคู่ก็เดินตามขึ้นไปด้านบน
-----------------------------------
   “คุณเป็นเพื่อนกับรูฟัสหรอ?” ฟ่งถามขณะช่วยรัสเลอร์กางโต๊ะ  เขาไม่แน่ใจนักว่าการเดินตามขึ้นมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่าจะให้คนแปลกหน้าแบกโต๊ะไฟของตัวเองขึ้นไปให้เฉยๆ คงไม่เหมาะควรนัก รัสเลอร์พยักหน้า
   “จะเรียกว่าแบบนั้นก็ได้ บางทีก็เหมือนผู้ตรวจการ” เขาตอบ  และหันไปมองหน้าฟ่ง
   “แล้วคุณล่ะ เป็นแฟนกับหมอนั่นจริงๆ เหรอ?”
   ฟ่งเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ  ผู้ถามโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
   “ช่างเถอะ ที่ทะเลสาบผมก็เห็นกับตาอยู่ จริงๆ ตอนแรกที่รู้ว่ารูฟัสหนีงานตามผู้ชายไป ผมยังคิดว่าเด็กที่ทำให้เจ้านั่นเป็นบ้าคงต้องน่ารักขนาดเห็นแล้วตายกันไปคนละข้าง”
   “ขอโทษที่เป็นผมนะ” ฟ่งว่า และรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา รัสเลอร์จุ๊ปาก
   “ไม่ได้พูดสักหน่อยว่าคุณไม่น่ารัก แค่ผิดอิมเมจไปนิด ปกติหมอนั่นจะชอบแบบตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาจิ้มลิ้มหน่อยๆ แต่เอาเถอะ ใช่ว่าสเปกคนเราจะเหมือนเดิมไปเสียทุกครั้งนี่นา”
   ฟ่งย่นคิ้ว ตกลงเจ้านี่คิดจะด่าเขาทางอ้อมหรือเปล่านะ
   “ถ้าผมทำให้คุณไม่พอใจก็ขอโทษทีนะ  ถึงจะผิดอิมเมจที่วาดไว้ก็เถอะ แต่ว่าคุณก็ถูกสเปกผมนะ” รัสเลอร์พูดอย่างร่าเริง ขณะที่ฟ่งทำหน้าไม่ถูก
   “ผมลงไปข้างล่างล่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า และทำท่าจะเดินออกไป  อีกฝ่ายรีบรั้งมือของเขาไว้
   “เดี๋ยวสิ ยังคุยกันไม่จบเลย”
   ฟ่งหันกลับมาและดึงมือออกทันที  รัสเลอร์ยักไหล่
   “คุณเป็นคนเขียนแปลนนี่สินะ” เขาว่า และล้วงเอาก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ มาวางบนโต๊ะ  และกดลงไปเบาๆ ลำแสงสีต่างๆ ฉายภาพแบบแปลนขึ้นไปโดยใช้อากาศเป็นฉาก ฟ่งเบิ่งตากว้าง เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเห็นเทคโนโลยีภาพโฮโลแกรมของจริง และก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเครื่องฉายโฮโลแกรมขนาดเล็กแบบนี้
   “ผมคิดว่ามีอยู่แต่ในหนังเสียอีก” ชายหนุ่มพูดขึ้น และมองดูมันอย่างพิศวง
   “ของเก่าเก็บแล้ว ไม่ค่อยมีใครอยากใช้หรอก” รัสเลอร์ว่า  และกดมือลงไปอีกครั้ง แล้วเอามันเก็บใส่กระเป๋าเหมือนเดิม
   “ภาพมันขยายไม่ได้  น่าจะมีงบอีกสักหน่อยเพื่อทำเลนส์เพิ่ม” เขาบ่น ฟ่งเกาศีรษะ แล้วตกลงหมอนี่จะเอาเจ้าเครื่องนั่นขึ้นมาทำไมกันนะ
   “มาว่าเรื่องแปลนต่อดีกว่า คุณมีตัวก๊อปปี้ติดมารึเปล่า?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ
   “รูฟัสมี” เขาว่า รัสเลอร์ยิ้มอย่างร่าเริง
   “งั้นเราไปหารูฟัสกัน”
   “อยู่นี่แล้ว” ผู้ถูกเอ่ยถึงส่งเสียง ฟ่งหันกลับไปมองอย่างดีใจ และพบว่าอีกฝ่ายหน้าบูดเป็นตูด แต่ในมือยังถือแปลนก๊อปปี้อยู่
   “เอาไปแหกตาดูได้เลย ฉันขอตัวฟ่งสักประเดี๋ยว” เขาว่าและโยนแปลนลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะจูงมือฟ่งออกมา
   “มีอะไรเหรอครับ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย รูฟัสทำหน้าปั้นยาก
   “คือต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่คิดว่าเขาจะมาปักหลักแบบนี้”
   ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ คุณพูดเหมือนเขาแย่มาก”
   “ก็แย่อยู่” รูฟัสกล่าวออกไปตรงๆ ฟ่งทำหน้าสงสัย
   “ยังไงหรือ?”
   คราวนี้หนุ่มตาสองสีหันหน้ามามองเขาด้วยความแปลกใจบ้าง
   “คุณไม่รู้สึกเลยรึ?”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง เอียงคออย่างใช้ความคิด และพูดตอบ
   “เขาก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่.. แต่อาจจเป็นคนแปลกๆ สักหน่อย”
   รูฟัสถอนหายใจ “เอาเถอะครับ ถ้าคุณรับได้ก็ดี เพราะว่าคุณอาจจะต้องวุ่นวายกับเขาสักสองสามวัน”
   “เฮ้ๆ นินทาฉันอยู่ใช่ไหม?” รัสเลอร์เปิดประตูและตะโกนข้ามมา พลางโบกแบบแปลนในมือ
   “ฟ่ง มาหาผมหน่อยสิ ผมอยากรู้ตรงนี้”
   ฟ่งหันหน้ากลับมามองรูฟัส  และเห็นราฟาแอลเดินมาด้านหลัง
   “ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ซวย” ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง เสียงรัสเลอร์ดังขึ้นขึ้นอีก  สองหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง
   “คุณไปเถอะ” รูฟัสว่า เขามองหน้าฟ่งอย่างตั้งใจ และพูดต่อ
   “แต่ถ้าคุณรู้สึกทนไม่ไหว ให้ชกหน้าหมอนั่นแล้วออกมาเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจพวกผม”
   ฟ่งทำหน้าแปลกกับคำแนะนำที่ได้รับทันที ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ทำอย่างที่เธออยากทำ  แต่ฉันแนะนำว่าให้ต่อยปาก”
   ร่างบางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ด้วยไม่คิดว่าคำแนะนำแบบสองภาษาจะมาใกล้เคียงกันได้อย่างน่าตกใจ
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 11-06-2011 16:35:34
กรี๊ดดดดดดดดดดด เห็นมีแค่ 4 หน้า กะจะเข้ามาอ่านชิลๆซะหน่อย
โฮกกกกกกกกกกก มันยาวมาก!!! ขออนุญาตเก็บเอาไว้ในใจก่อน เดี๋ยวมาตามอ่านเรื่อยๆค่ะ


+ และ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่36 P3 11/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 11-06-2011 21:37:31
มาเร็วถูกใจเหมือนเดิมเลย
แอบฮาคำแนะนำของรูฟัสกับราฟี่ ไปนัดกันมารึเปล่าเนี่ย
แสดงว่ารัสเลอร์นี่ท่าทางจะแสบน่าดู
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่36 P3 11/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 11-06-2011 23:08:56
มีตัวป่วนมาเพิ่มอีกหนึ่ง  :z1:
แต่อ่านแล้วยิ่งทึ่งกับความเมพของฟ่ง ตอนนี้เลยทั้งลุ้น ทั้งตื่นเต้นเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่36 P3 11/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-06-2011 11:35:46
บทที่37 คำสัญญา
   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยทักเมื่อเว่ยเฟิงปิงลืมตาตื่นขึ้น ร่างบางส่งเสียงครางอย่างงัวเงียและซุกตัวลงไปให้ผ้าห่มต่อเมื่อเจอะกับแสงแดดที่ส่องลอดม่านหน้าต่างเข้ามา
   จางซื่อเยี่ยนทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองดูผู้เป็นเจ้านาย และยกมือขึ้นปัดปอยผมสีดำที่ปรกอยู่บนหน้าออก ได้ยินเสียงคนที่นอนอยู่พึมพำ
   “ทำตัวแบบคนปกติก็ได้นี่นา”
   ชายหนุ่มกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะพูดต่อ
   “นี่ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเรียกชื่อลูกน้อง และลืมตาขึ้นมอง
   “ฉันน่ะ ไม่เคยไว้ใจนายเลยนะ แม้แต่ตอนที่นายเอาตัวมาบังฉันไว้”
   “ครับ พอทราบอยู่”
   ร่างบางถอนใจ “แต่พอเห็นนายล้มลง แล้วถูกหามส่งโรงพยาบาลน่ะ ฉันก็เริ่มคิดนะว่านายก็คงมีความรู้สึกเหมือนกัน”
   จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ อีกหน
   “เพราะนายทำตัวเหมือนเครื่องจักรนั่นแหละ สั่งอะไรก็ทำ จะด่าจะไล่ยังไงก็ไม่ไป ตรงตามหน้าที่ตลอด ฉันมองไม่เห็นความรู้สึกอะไรสักอย่างในแววตาของนายเลย”
   ผู้เป็นลูกน้องหลับตา ก่อนจะลืมขึ้นและก้มลงจูบหน้าผากของผู้เป็นนาย
   “แล้วอาซิงก็มาเล่าให้ฉันฟังเรื่องที่นายช่วยฉัน ฉันก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่านายทำอย่างนั้นเพราะความต้องการส่วนตัว”
   “แล้วตอนนี้เชื่อรึเปล่าครับ?” จางซื่อเยี่ยนถาม เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปพักหนึ่ง
   “นั่นนายจะต้องพิสูจน์เองต่อจากนี้แหละ”
   หนุ่มร่างสูงพยักหน้า เว่ยเฟิงปิงมองใบหน้านั้นและย่นคิ้ว
   “นายมาชอบอะไรฉัน ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนที่ถูกไล่ออกจากแก๊ง ถึงจะเป็นลูกชายของหัวหน้าก็เถอะ แต่ของถูกทิ้งอย่างฉันมันดูให้ความหวังกับหน้าที่การงานของนายหรือไง?”
   “ผมไม่เคยหวังอะไรจากคุณเลยครับ คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนว่า เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ได้คุยกับเว่ยเฟิงปิงแบบนี้ ตลอดเวลาเขาคอยหลบเลี่ยงมาโดยตลอด จนกระทั่งทางนั้นเอ่ยปากว่าต้องการเขา คงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังต่อไปอีกแล้ว
   “ผมชอบคุณ อยากช่วยคุณ แต่ว่าผมเองก็มีหน้าที่ ความชอบกับการทำหน้าที่เป็นอะไรที่ต้องแยกกันนะครับ”
   “อืม...นายก็ดูจะแยกกันได้ดีนี่” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเหมือนประชด จางซื่อเยี่ยนทำได้แต่เพียงฝืนยิ้มขืนๆ
   “ฉันกลัวนะซื่อเยี่ยน กลัวที่จะรักใคร ฉันเคยรักและไขว่คว้าอย่างบ้าคลั่ง ฉันคลั่งไคล้ ฉันต้องการ แต่ว่า... มันก็แค่ตัวฉันที่บ้าไปเอง”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า  เขาเองก็เคยมีความรักที่ดูไม่มีทางจะเป็นไปได้  และก็เข้าใจถึงความคลั่งไคล้ของเว่ยเฟิงปิงเป็นอย่างดี
   “ฉันอยากจะรัก และอยากถูกรักโดยใครสักคน แต่ว่ามันไม่เคยมีใครเลย จนตอนที่อาซิงพูดเรื่องนายกับฉัน  ฉันกลัว  กลัวว่ามันจะเป็นแค่เรื่องโกหก เรื่องหลอกลวง ก็นายน่ะทำทุกอย่างเหมือนตั้งโปรแกรม นายไม่เคยแสดงความรู้สึกให้ฉันเห็นเลย”
   “ขอโทษนะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่าและยกมือของผู้เป็นนายขึ้นมาจูบ เว่ยเฟิงปิงขยับตัวอย่างเง้างอน
   “ทำแบบนี้แต่แรกก็ไม่ต้องวุ่นวายแล้ว” ร่างบางว่า อีกฝ่ายได้แต่ขืนยิ้ม
   “ขนาดฉันเสนอร่างกายให้นายแล้ว นายยังทำตัวงี่เง่าอยู่เลย”
   คราวนี้จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ายอมรับตัวเอง “ผมไม่หวังอยากได้ตัวคุณนี่ครับ และท่าทางคุณเหมือนมีอะไรซ่อนไว้ตลอดเวลา”
   “เอาเข้าจริงนายก็ไม่ไว้ใจฉันเหมือนกันล่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “จะพูดแบบนั้นเลยก็ไม่ถูกหรอกนะครับ  ผมน่ะชอบคุณ ไว้ใจคุณที่เป็นเจ้านาย แต่จู่ๆ คุณที่เกลียดผมนักหนา กลับมายอมให้ผมแตะต้อง  มันก็ดูผิดสังเกตไม่ใช่หรอครับ ผมไม่ได้ต้องการคุณแค่ร่างกายนี่ครับ”
   “อืม ตอนนั้นฉันก็คิดว่าคงซื้อตัวนายด้วยร่างกายได้ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็เหลว มาคิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดนะ ครั้งแรกของฉันทำไมต้องมาให้กับคนที่ฉันเกลียดด้วย”
   จางซื่อเยี่ยนหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินคำว่าครั้งแรก เว่ยเฟิงปิงนิ่วหน้า
   “ยังจะมาทำหน้าแบบนั้นอีก ถึงได้บอกว่านายโง่ไงล่ะ นายคิดว่าฉันยอมเปลืองตัวให้นายเพี่ออะไรกัน!”
   “อา..” จางซื่อเยี่ยนคราง และก้มลงจูบเจ้านายของเขาอีกครั้ง
   “ขออภัยจริงๆ ครับ” เขากล่าว เว่ยเฟิงปิงผลักใบหน้านั้นออก
   “ไม่ต้องมาขออภัย ทั้งๆ ที่ฉันทำขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่นายก็ยังกล้ามาโกหกอีก”
   ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที
   “ทำไมนายถึงไม่บอกฉันเรื่องกระเช้าของจินหยิน!”
   “เรื่องนั้น..” จางซื่อเยี่ยนนึกขึ้นได้ทันที เขาก้มลงมองผู้เป็นเจ้านาย และคิดใคร่ครวญอยู่พักใหญ่
   “นายไม่ไว้ใจฉันหรือ?”
   “เปล่าครับ”
   “แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอก”
   “ก็ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่อง”
   “มันก็เป็นเรื่องแล้วไง ตกลงจะบอกหรือไม่บอก”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ “ครับ คุณชายรองบอกผมเรื่องเครื่องดักฟังในกระเป๋าผม ผมเลยคิดว่าเงียบๆ ไว้จะดีกว่า”
   “นึกแล้ว!!” เว่ยเฟิงปิงพูดอย่างผู้มีชัย เขาผุดลุกขึ้นนั่งทันที
   “รู้ถึงขนาดนั้นแล้วยังกล้าพูดว่าไว้ใจฉันอีกหรือไง”
   หนุ่มผมยาวพยักหน้า “เจ้านายของผมยังไงก็คือคุณ ไม่ว่าคุณจะใช้ผมแบบไหน ผมทำให้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่องไม่ไว้ใจหรอกครับ มีแต่คุณ..”
   “มีแต่ฉันที่ไม่ยอมไว้ใจนายสินะ” เว่ยเฟิงปิงช่วยพูดต่อ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า ร่างบางขยับตัวเข้าไปใกล้ ใช้มือเรียวยาวสัมผัสใบหน้าได้รูปนั้น
   “งั้นทำให้ฉันไว้ใจสิ บอกฉันในทุกอย่างที่นายรู้ บอกฉันในทุกเรื่องที่นายทำ ฉันอยากรู้ทุกอย่างของนาย ทุกสิ่งทุกอย่าง”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสนั้นฉายแววเย็นยะเยียบเหมือนคมดาบ จางซื่อเยี่ยนเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางจังเบ้อเร่อ
--------------------------------------
   แสงตะวันสุดท้ายสาดย้อมอาคารสิ่งปลูกสร้างจนเป็นสีแดงฉาน สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านแมกไม้ในย่านเงียบสงบของบาลาตอนฟูเรส บรรยากาศช่างเหมาะแก่การออกมาเดินเล่นผ่อนคลาย แต่ทว่าผู้ที่เพิ่งได้มาเหยียบที่นี่ครั้งแรกอย่างฟ่งมิได้มีโอกาสทำเช่นนั้น
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษกำลังนั่งประจันหน้าอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดบางเฉียบ ที่ผู้เป็นเจ้าของเรียกขานมันว่า เดลต้าทู
   เขานั่งทนฟังรัสเลอร์สาธยายคุณประโยชน์ของเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์นี้อย่างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนเวลาผ่านไปกว่าสิบนาที ในที่สุดฟ่งจึงยอมที่จะใช้เจ้าเครื่องที่ว่านี้ เพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายหยุดพูด เขาพอเข้าใจแล้วว่าทำไมรูฟัสและราฟาแอลจึงแนะนำแบบนั้น
   ดูเหมือนรัสเลอร์จะใช้เครื่องนี้ถอดแปลนเจ้าปัญหานี้มาก่อน เพราะยังมีไฟล์ต้นแบบที่ขโมยมาค้างอยู่ในเครื่อง และมีห้องบางส่วนที่ถูกถอดแปลนและแยกออกมาแล้ว ไม่นานนักรัสเลอร์ก็ยืนยันในเรื่องนี้โดยการเปิดไฟล์ที่เขาทำค้างเอาไว้ออกมาให้ดู
   “ก็แก้ออกมาถูกนี่ครับ” ฟ่งพูด ขณะคลิกดูรายละเอียดของแผนผัง เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนใจ และเริ่มอธิบายสิ่งที่เป็นปัญหา
   “ไอ้แก้ได้มันก็แก้ได้หรอกครับ แต่ที่ผมแก้ได้มีแค่นี้ ที่เหลือผมยังงงๆ อยู่เลยว่ามันทำงานอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะไอ้พวกทางเดินระเบียงซับซ้อน กับห้องรูปทรงแปลกๆ ที่ตั้งอยู่ในใยแมงมุมพวกนั้น คุณคิดอะไรอยู่ตอนเขียนพวกมันน่ะ?”
   “อ้อ เรื่องนั้น คือมันเป็นอย่างนี้ครับ” ฟ่งพูดและนึกสงสัยว่ารัสเลอร์โมโหเขาอยู่หรือเปล่า ร่างบางหันมาหยิบแปลนกระดาษที่รูฟัสทิ้งเอาไว้ คลี่มันลงบนโต๊ะ รัสเลอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้เลือกที่จะอธิบายในกระดาษ แทนที่จะอธิบายในคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็ยอมที่จะนั่งลงเพื่อดูการอธิบายนั้น
   แบบแปลนเอศูนย์ใช้พื้นที่เต็มขนาดของโต๊ะไฟ ประกอบด้วยราวระเบียงซับซ้อนพาดกันไปมาเหมือนเส้นตรงยุ่งๆ ลดหลั่นซับซ้อนอย่างดูผิดธรรมชาติ บางส่วนคำยันอยู่กับโครงสร้างที่เกาะยึดพื้นผิวของตัวอาคารไว้ และห้องจำนวนมาก ทั้งที่เป็นรูปทรงที่เข้าใจได้ และรูปทรงที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเรียกว่าห้อง ฟ่งหยิบดินสอสีขึ้นมาจากกล่องและเริ่มลากไปตามเส้น
   “ผมออกแบบตัวอาคารนี้ให้แบ่งเป็นโซนๆ ครับ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่ามันถูกสร้างไว้ใต้ดิน”
   รัสเลอร์พยักหน้า อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ
   “ที่คุณเห็นยุ่งๆ ตรงนี้คือส่วนโครงสร้างที่ใช้คำยันผิวดินด้านนอก ผมเขียนส่วนนี้แยกเอาไว้ต่างหากอีกชุดหนึ่ง ถ้าคุณได้มาด้วยจะเข้าใจทันทีเลยว่าเส้นยุ่งๆ พวกนี้จริงๆ แล้วเป็นแค่โครงค้ำที่จะถูกหุ้มด้วยวัสดุทำผนังอีกที”
   “เดี๋ยวๆ “ รัสเลอร์พูดขัดจังหวะ “คุณจะบอกว่า ไอ้เส้นๆ ยุ่งๆ ที่ซ้อนทับกันรอบๆ พวกนี้คือโครงค้ำยันหรือ?”
   “ครับ” ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “คุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงเขียนไว้เป็นเส้นๆ โครงพวกนี้บางมากครับ น้ำหนักก็เบา แต่แข็งแรงน่าดู ผมขอตัวอย่างเขากลับมาดูที่ห้องอันหนึ่งด้วย”
   “แล้วเอามาที่นี่หรือเปล่า?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ผมโดนลักพาตัวมานี่ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วยเสียหน่อย”
   รัสเลอร์ผงกศีรษะอย่างยอมรับสภาพ และหันไปมองแบบแปลนต่อ ส่วนที่เป็นผนังกั้นถูกฟ่งขีดด้วยเส้นสีฟ้า คราวนี้เขาเริ่มมองเห็นอะไรขึ้นมาบ้างนิดหน่อย
   “คุณออกแบบมันให้เป็นทรงปิรามิดกลับหัวสินะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดต่อ ฟ่งพยักหน้า
   “เกือบใช่ครับ แต่จริงๆ มันเป็นทรงกรวยกลับหัวล่ะ ผมว่าเป็นเหลี่ยมมันกินพื้นที่มากไป อ้อใช่ นี่มันอยู่ในกระดาษนี่นา เดี๋ยวผมจะเปิดไฟล์สามมิติให้คุณดูอีกที...อืม..... คุณราฟาแอลได้ไฟล์ตัวไหนมาบ้างก็ไม่รู้ ผมอธิบายให้คุณฟังในนี้ก่อนดีกว่า” ฟ่งว่า รัสเลอร์นึกฉุนราฟาแอล แต่อีกใจก็พอจะเข้าใจว่าคนที่ไม่มีความรู้เรื่องแปลนเท่าไหร่ คงนึกไม่ถึงหรอกว่ามันจะมีไฟล์แยกย่อยมากมายขนาดนี้ กระทั่งเขาเองยังนึกไม่ถึงเลย
   “ผมจะอธิบายด้านบนก่อน เขาบอกว่ามันจะเชื่อมต่อกับอาคารอะไรซักอย่าง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องเผื่อทางเข้าออกฉุกเฉินไว้ด้วย คุณจะเห็นว่าด้านบนสุดยังไม่ติดกับผิวดินโดยตรง มันอยู่ลึกลงมาอีกและเชื่อมกับผิวดินด้วยทางเดินและลิฟต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ตรงนี้เป็นลิฟต์ตัวที่ใช้สำหรับพนักงานก่อสร้าง และใช้ขนวัสดุ ส่วนตรงนี้เป็นลิฟต์สำหรับพนักงานทั่วไป ตรงนี้เป็นลิฟต์สำหรับแขก และทางเดินนี่มีไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะเปิดเมื่อได้รับอนุญาตจากศูนย์ควบคุมหลัก หรือไม่ก็ในกรณีที่เกิดความเสียหายอย่างหนักกับตัวอาคาร”
   รัสเลอร์พยักหน้า ขณะมองตามมือของฟ่งที่ใช้ดินสอสีเหลือขีดเส้นลงไปในบริเวณที่กำลังอธิบายอยู่
   “ส่วนตรงนี้คือทางออกฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งจะเชื่อมตรงกับผิวดิน ทำงานโดยระบบลิฟต์แบบตุ้มถ่วง ต่อให้กระแสไฟฟ้าถูกตัด ตัวลิฟต์ก็ยังจะถูกดึงขึ้นสู่ผิวดินได้ โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สำรอง”
   “คุณเรียนด้านวิศวกรรมมาด้วยเหรอ?” รัสเลอร์ถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ผมมีความรู้เรื่องนี้นิดหน่อย เอาล่ะ คุณจะเห็นว่าทางออกฉุกเฉินนี้เชื่อมกับห้องประชุมใหญ่”
   รัสเลอร์มองตามมือของฟ่งที่ชี้ไป พลางนึกสงสัยว่าไอ้นิดหน่อยของฟ่งนี่แบบไหน แล้วไอ้เส้นยุ่งๆ นั่นคือห้องประชุมใหญ่รึ?...
   “คุณคงดูไม่ออก” ฟ่งสรุปเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ฟัง เขาหยุดพักหายใจและลำดับความคิดพักหนึ่งจึงพูดต่อ
   “คุณเห็นราวระเบียงพวกนี้ไหม? อืม..เส้นๆ พวกนี้แหละ ผมจะใช้สีขีดให้มองชัดๆ”
   ฟ่งเริ่มลากดินสอสีไปตามแนวเส้นยุ่งๆ พวกนั้น สักพักรัสเลอร์จึงพูดออกมาอย่างพิศวง
   “คุณสร้างทางเดินลวง?”
   “ใช่ครับ” ฟ่งตอบ และลากดินสอสีจนเสร็จ “จริงๆ มันจะมีไฟล์อีกตัวหนึ่งที่ผมเดินเส้นเป็นสีเอาไว้ แต่พวกเขาคงจะเก็บแยกไว้อีกต่างหาก ถ้าได้ไฟล์นั้นมาก็จะอธิบายได้ง่ายขึ้น แต่นี่ผมขีดเส้นให้คุณดูคร่าวๆ ก่อน”
   รัสเลอร์ขยับปากพูดขึ้นทันที “ผมว่าตามสองคนนั่นเข้ามาฟังด้วยดีกว่า”
--------------------------------------
   “แกคิดยังไงกับรัสเลอร์?” ราฟาแอลถามขึ้นมาลอยๆ  ขณะที่สองหนุ่มกำลังนั่งทอดหุ่ยอยู่บนเก้าอี้สนามหน้าบ้านราวกับกำลังชมความงามของบรรยากาศยามเย็น โดยปล่อยให้คนในบ้านเผชิญหน้าอยู่กับภาระหนักหน่วง
   “ผมก็คงหึงบ้างนิดหน่อย ถ้าเขามาเกาะแกะฟ่งมาก” รูฟัสว่า  นัยน์ตายังคงเหม่อหมองออกไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
   “ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ฉันหมายความว่า แกคิดว่าการมาของรัสเลอร์ครั้งนี้มีความหมายอะไรพิเศษรึเปล่า?”
   “เรื่องนั้น....” รูฟัสดึงตัวเองกลับจากภวังค์ เขากำลังคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงอนาคต ถ้าเขาต้องกลับไปที่ไทยเพื่อทำภารกิจต่อ เขาควรจะฝากฟ่งไว้กับใครดี
   “ผมกำลังคิดอยู่  “เบื้องบน” คงไม่ส่งหมอนั่นออกมาแค่เพื่อมาจัดการเรื่องแปลนให้เราหรอก ก็เห็นๆ อยู่ว่าแปลนนั่นไม่มีใครแก้ได้ แม้แต่ตัวรัสเลอร์เองก็เถอะ”
   “แกคิดว่า”เบื้องบน”กำลังไม่ไว้ใจเรารึเปล่า?” ราฟาแอลตั้งข้อสังเกต  ดูเหมือนเขากำลังตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน  รูฟัสคิดว่าเพื่อนร่วมงานกำลังวิตกกังวลเรื่อง”เบื้องบน”ที่ว่า
   “ผมว่า”เบื้องบน”ไม่เคยจะไว้ใจพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ จริงๆ แล้วพวกเขาคงไม่ไว้ใจใครเลยมากกว่า แต่ทำไมถึงชอบเรียกใช้เรานักก็ไม่รู้สิ”
   “เพราะฉันเก่งล่ะมั้ง” ราฟาแอลพูดติดตลก แต่แววตายังบ่งบอกถึงความวิตกกังวล
   “ฉันคิดว่าบางที”เบื้องบน”คงคิดว่าเราอาจจะแอบยักยอกข้อมูลหรืออะไรเกี่ยวกับเรื่องคราวนี้เอาไว้ล่ะมั้ง”
   “อืม ถ้ากลัวแบบนั้นก็ทำเองเลยสิ เอาเรื่องลอยลมมาโยนให้เราทำ พอได้ข้อมูลมากๆ ก็หวงก้างเสียอย่างนั้น เอาเปรียบกันไปหน่อยมั้งผมว่า” หนุ่มนัยน์ตาสองสีพูดขึ้น และขยับตัวจากท่ากึ่งนอนมาอยู่ในท่านั่ง  ราฟาแอลพยักหน้าพลางถอนหายใจ
   “ก็นั่นแหละ ตอนแรกน่ะฉันยังสงสัยอยู่ว่าทำไม“เบื้องบน” ถึงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องลมๆ แล้งๆ แบบนี้นัก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มคิดแล้วว่าบางทีเรื่องนี้มันอันตรายกว่าที่คิดเอาไว้  พวกนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แล้วทำไมถึงยังจงใจใช้พวกเราต่อล่ะ”
   “คงรู้สึกว่าทำงานเกินค้าจ้างดีมั้ง” รูฟัสพูดเชิงประชด และได้ยินเสียงราฟาแอลถอนหายใจอีก
   “แกคิดว่า”เบื้องบน”วางแผนจะกำจัดพวกเราหรือเปล่า?”
   “หวาดระแวงมากไปมั้ง ถ้าเบื้องบนคิดจะกำจัดเราจริงๆ คงไม่ส่งรัสเลอร์มาหรอก เขาอาจจะไม่ไว้ใจเราเรื่องข้อมูล แต่ถ้าคิดจะกำจัดเรา ก็ไม่น่าจะส่งคนแบบหมอนั่นมา”
   “นั่นสิ ฉันอาจจะระแวงไปเองก็ได้ พอต้องทำงานกับ”เบื้องบน”แล้ว มันก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้ทุกที”
   รูฟัสถอนหายใจ มองไปทางเพื่อนร่วมงานที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้สนาม เขาเข้าใจดีว่าทำไมราฟาแอลถึงมีความรู้สึกแบบนี้ ลองถ้าเคยถูก “เบื้องบน” ที่ว่าหักหลังมาก่อนแล้วล่ะก็ คงห้ามไม่ให้ระแวงไม่ได้หรอก
   “จะว่าไปเรื่องที่ทำให้เราถูกสงสัยแกก็มีส่วนด้วย ถ้าแกไม่ทะลึ่งเข้าฐานข้อมูลไปเอาข้อมูลของริเวิล พวกนั้นคงจะไม่ขยับกันหรอก ก็รู้อยู่ว่าคนดูแลฐานไม่ได้มีแค่คนเดียว แล้วก็ไม่ได้เป็นพวกเราไปทั้งหมดด้วย”
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า  ราฟาแอลกำลังจะลำเลิกเรื่องนั้นขึ้นมาอีกแล้ว
   “ไม่เอาน่าราฟี่  เรื่องมันผ่านมาแล้ว ก็เพราะผมไม่ใช่เหรอ เราถึงได้ตัวคนเขียนแปลนมาน่ะ”
   “ฉันไม่เห็นว่ามันเป็นผลงานของแกเลยสักนิด ถ้าไม่เพราะบังเอิญ แถมแกยังทำท่าจะไม่ยอมบอกอีกว่าเด็กแกเขียนแปลนนั่น”
   “ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนเขียนเหมือนกันแหละ” รูฟัสแย้ง ในส่วนนี้ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
   “ฉันคิดว่าจะเป็นคนมีอายุมากกว่านี้เสียอีก” หนุ่มผมสีบลอนด์พูดขึ้น พลางนึกถึงใบหน้าของฟ่ง และก็ต้องขมวดคิ้ว ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนของแบบนั้นออกมาได้
   “ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะทำงานให้มาเฟีย ให้ตายเหอะ เขาเขียนแปลนนั่นตอนที่ผมอยู่ด้วยซ้ำ”
   “สรุปว่าแกตาถั่วมาโดยตลอดสินะ” เพื่อนร่วมงานค่อนแคะ จนทำให้รูฟัสต้องย่นคิ้วอย่างไม่พอใจนัก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงกันจนเป็นเรื่องเป็นราว เสียงของคลาวเดียก็ดังขึ้น
   “รัสเลอร์อยากให้พวกเธอสองคนขึ้นไปดูอะไรหน่อย”
   “เจ้านั่นเกิดบรรลุขึ้นมาหรือไง” ราฟาแอลว่า  คลาวเดียยักไหล่  หนุ่มผมบลอนด์เลยไม่พูดอะไรต่อ  เขาเดินกลับเข้าบ้านโดยมีรูฟัสเดินตามไปติดๆ
---------------------------------------
   “ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ ไอ้เส้นๆ ทั้งหมดนี่จริงๆ เป็นทางเดินลวง” รัสเลอร์ว่า ขณะที่รูฟัสกับราฟาแอลทำหน้าเหมือนเห็นยานอวกาศ หลังจากฟังฟ่งอธิบายเรื่องแปลนแบบคร่าวๆ จบ
   “สรุปว่าเรากำลังจะไปเผชิญกับเขาวงกต แปลว่าใครที่อยู่ในนี้ต้องมีแผนที่งั้นสิ?” ราฟาแอลตั้งคำถาม ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ไม่ต้องครับ แต่ละส่วนจะถูกเชื่อมด้วยประตูที่มีระบบตรวจสอบอัตโนมัติ อนุญาตเฉพาะผู้มีสิทธิ์ผ่านได้เท่านั้น สรุปคือถ้าคุณเป็นพนักงานที่นั่น คุณไม่หลงทางหรอก เพราะจะไปได้ตามทางที่กำหนดไว้ให้เท่านั้น”
   ราฟาแอลและรูฟัสมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้าเหวอ “เฮ้ย ฉันเปล่าเข้าไปวางระบบอะไรในห้องนี้นะ”
   “ฉันยังไม่ได้พูดอะไร” ราฟาแอลว่า หันกลับมามองฟ่ง และพูดต่อ
   “แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง  หมายถึงพวกฉันจะเข้าไปทางไหนได้บ้าง ที่ไม่ใช่ทางเข้าปกติ ไม่ต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัย”
   “ไม่มีครับ” ฟ่งตอบ และรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของคนถาม
   “จะแฝงตัวเข้าไปก็ไม่ทัน ไอ้เจ้ารูฟัสมันสายป่านขาดนานเกินกว่าจะทำแบบนั้นแล้ว”
   รูฟัสนิ่วหน้า อ้าปากจะเถียง แต่ก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย
   “ถึงจะแฝงเข้าไปได้ก็ใช่ว่าจะออกมาได้ง่ายๆ น่า” รัสเลอร์ช่วยแก้ตัวแทนให้ ฟ่งมีสีหน้าลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จนรูฟัสต้องถาม
   “ฟ่งครับ มีอะไรหรือครับ?”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองคนถาม พูดอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “ความจริงผมคิดว่าอาจจะมีทางเข้าที่ไม่ผ่านทางเข้าหลัก แต่...มันอาจจะไม่มีก็ได้”
   ราฟาแอลนิ่วหน้าทันที “เด็กนั่นว่าไง?” เขาหันไปถามรูฟัส เพราะไม่เข้าใจภาษาที่ฟ่งพูด รูฟัสทำหน้าปั้นยาก และหันไปคุยกับฟ่งต่อ
   “หมายความว่าไงหรือครับ?”
   “ผมยังไม่แน่ใจ คงต้องขอดูแปลนกับไฟล์ที่ได้มาอีกรอบหนึ่งน่ะ”
   ฟ่งว่า และหันไปหยิบแปลนที่วางอยู่มา ทำท่าจะกางออก แต่ถูกรัสเลอร์ห้ามไว้
   “ใช้นี่ดีกว่า” เขาว่า และล้วงเอาของอย่างหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า มันดูคล้ายเครื่องโปรเจคเตอร์ที่มีเลนส์ขยายอยู่ด้านบน  รัสเลอร์วางมันลงบนโต๊ะและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ  รูฟัสรีบผุดลุกขึ้น เดินไปหยิบแบบแปลนจากมือฟ่ง
   “ตะกี้คุณจะเปิดมันใช่รึเปล่า” เขาถามและไม่รอให้ฟ่งตอบ แบบแปลนถูกคลี่ทับอุปกรณ์ที่รัสเลอร์เพิ่งนำขึ้นมาทันที หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มปัดกระดาษออกอย่างไม่พอใจ
   “นายช่วยสนใจของที่ฉันจะนำเสนอหน่อยสิ”
   คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจบ้าง ราฟาแอลจึงช่วยพูดเสริม
   “ฟ่งอยากจะอธิบายกับแปลนกระดาษก็ปล่อยเขาอธิบายไปสิ  นายก็เก็บของของนายไปโชว์วันอื่นก็ได้”
   “ฉันไม่ได้ยินฟ่งพูดสักคำว่าจะใช้แปลนกระดาษ ใช่ไหมครับฟ่ง?”
   รัสเลอร์หันไปหาฟ่งพอเป็นพิธีโดยไม่ได้ให้ความสนใจว่าฟ่งจะพยักหน้าหรือสั่นศีรษะ  ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ ขณะที่ฟ่งได้แต่ยืนอ้าปากค้างตอนที่รัสเลอร์อธิบายสรรพคุณอุปกรณ์ตัวเอง
   “นี่เป็นเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมตัวใหม่ที่ฉันพัฒนาขึ้น พวกนายจะได้สัมผัสถึงความเป็นจริงมากกว่าเครื่องโฮโลแกรมรุ่นไหนๆ”
   “มันเรียกสาวๆ ออกมาได้หรือไง” ราฟาแอลพูดขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ดูเหมือนรัสเลอร์จะไม่ได้สังเกตหรืออาจจะไม่ใส่ใจ เขาตั้งหน้าตั้งตาอธิบายสรรพคุณของเจ้าเครื่องนั้นต่อ
   “แน่นอน แล้วนายจะรู้สึกเหมือนมีน้องหนูมาอยู่ข้างๆ เลยล่ะ” รัสเลอร์ว่า และกดปุ่มเล็กๆ ที่ฐานเพื่อเปิดเครื่อง ไม่วายได้ยินเสียงราฟาแอลค่อนแคะว่าเหมือนของเด็กเล่น
   “เดี๋ยวนายรู้” รัสเลอร์พูด ขณะที่แสงไฟสว่างวาบออกมาจากเลนส์ขยาย หญิงสาวผมบลอนด์นางหนึ่งผุดขึ้นมาบนอากาศ และทำท่าส่งจูบไปทางสองคนที่นั่งอยู่อย่างเซ็กซี่ ฟ่งหน้าแดงเล็กน้อย เพราะสาวเจ้าใส่แค่บิกินี่ตัวเดียว หน้าอกหน้าใจอล่างฉ่างเต็มที่
   “แม่โว้ย นี่แกไปหาถ่ายมาจากไหน” ราฟาแอลโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เขาหันไปเค้นคำตอบกับรัสเลอร์ซึ่งทำหน้าเซ็งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   “แทนที่นายจะถามฉันว่าทำยังไง กลับถามว่าถ่ายมายังไงเนี่ยนะ”
   “ฉันเห็นมันก็เหมือนเครื่องเก่าที่นายเคยเอามาโชว์นั่นแหละ แต่ว่าคราวนี้ตัวทดลองหุ่นเช้งวับกว่าเยอะ ฉันว่านายน่าจะไปเอาดีด้านทำของพวกนี้นะ”
   “ราฟี่ หัวสมองนายนี่นะ…..” รัสเลอร์บ่นอุบอิบ ขณะนี้น้องนางยังคงโพสท่ายั่วยวนไปเรื่อยๆ
   “ถ้าจับได้ล่ะแจ่มเลย” ราฟาแอลเปรย ดูเหมือนเขาจะให้ความสนใจกับภาพหญิงสาวมากกว่าจะสนใจการทำงานของเครื่อง รูฟัสพยายามนั่งนิ่งๆ บังคับสายตาของตัวเองไม่ให้ซุกซน  เพราะเกรงกว่าจะทำให้ฟ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งเกิดไม่พอใจขึ้นมา แต่คำถามว่าถ่ายมาได้อย่างไร ก็ดูจะน่าสนใจกว่าทำอย่างไรจริงๆ นั่นแหละ
   “ก็ลองจับเธอหมุนดูสิ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มผู้เป็นเจ้าของเครื่องแนะนำ ราฟาแอลเดินเข้าไปใกล้ และทำท่าจะหมุนเครื่องฉาย ทำเอาเจ้าตัวรีบร้องห้ามเสียงหลง
   “ไม่ใช่!! ฉันหมายถึงหมุนภาพต่างหาก”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่36 P3 11/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-06-2011 11:36:14
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างรักษามาด และลองใช้มือหมุนร่างสาวน้อยที่ลอยอยู่บนอากาศดู  คราวนี้เธอเลยหันหน้าไปยั่วอีกทางหนึ่ง
   “โอ้  พัฒนา”
   หนุ่มผมสีบลอนด์ร้อง ไม่รู้ว่าหมายถึงสัดส่วนของนางแบบที่พัฒนา หรือเทคโนโลยีที่รัสเลอร์ประดิษฐ์ขึ้นกันแน่
   “ขยายได้ด้วยนะ แค่นายกวาดนิ้ว” รัสเลอร์แนะนำเพิ่มเติม และราฟาแอลก็ทดลองทำทันที แย่หน่อยที่ราฟาแอลดันขยายส่วนที่เป็นปั้นท้าย ฟ่งที่นั่งอยู่ฝั่งนั้นจึงต้องกระแอมไอออกมา เพราะเพิ่งเห็นว่าจีสติงตัวนั้นบางเฉียบขนาดไหน
   “ผมว่าเราเข้าเรื่องแผนที่กันดีกว่า” หนุ่มสวมแว่นกล่าว พลางดันแว่นให้เข้าที่อยู่หลายรอบ รัสเลอร์ทำท่าเหมือนสำนึกตัวได้ แต่ก็ไม่วายจะเอ่ยปากแซว
   “คนเอเชียนี่ขี้อายแบบนี้หมดเลยเหรอเนี่ย”
   ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง  ก็เล่นขยายเสียใหญ่ขนาดนั้นเป็นใครก็น่าจะอายทั้งนั้นแหละ เขาไม่ใช่คนตายด้านทางเพศเสียหน่อย แถมยังเป็นผู้ชาย รูฟัสจึงส่งเสียงแทรกขึ้น
   “เข้าเรื่องสักทีเถอะน่ารัสเลอร์ ไอ้นี่ไว้ค่อยเล่นตอนหลังก็ได้”
   รัสเลอร์หัวเราะชอบใจ แต่ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนภาพ
   “บอกแล้วว่าพวกนายจะต้องตะลึง”
   รูฟัสและราฟาแอลรีบพยักหน้า ด้วยหวังว่าเจ้าบ้านี่จะรีบเข้าสู่ประเด็นได้บ้างไม่ช้าก็เร็ว
   “คุณรัสเลอร์ เอาแปลนขึ้นเครื่องฉายนี่ก็ได้ครับ” ฟ่งเอ่ยอย่างจำยอมออกมาในที่สุด  หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยิ้มอย่างผู้มีชัย และล้วงเอาอุปกรณ์คล้ายๆ แฮนดี้ไดรฟ์ออกมา
   “ขอเชื่อมพอร์ตก่อนนะ” เขาว่า และก้มๆ เงยๆ อยู่กับเครื่องนั้นอีกราวๆ ห้านาที รูฟัสกับราฟาแอลมองอย่างระอา
   “ใช้กระดาษแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ราฟาแอลบ่น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่น่าไปหลงเห็นดีเห็นงามกับเจ้านี่เลย แต่ว่าไอ้ภาพเมื่อกี้มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ
   “ใจเย็นๆ น่า เดี๋ยวก็ได้แล้ว” รัสเลอร์ว่า และใช้เวลาอีกสิบนาที รูปแปลนถึงปรากฏออกมา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากอุปกรณ์ที่ว่า
   “เสร็จล่ะ  ระบบไร้สายมีปัญหานิดหน่อย” เขาว่าและต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นราฟาแอลกับรูฟัสนั่งกินน้ำชาและของว่าง โดยมีฟ่งร่วมวงด้วย
   “เสร็จแล้วก็ดี จะได้เริ่มอธิบาย” ราฟาแอลพูด ทั้งๆ ที่ยังมีขนมปังอยู่เต็มปาก และสะกิดฟ่ง หนุ่มสวมแว่นพยักหน้าอย่างงงๆ  เดินไปทั้งๆ ที่มือยังถือขนมปังอยู่นั่นแหละ รูฟัสหันมาเขม่นราฟาแอล แต่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ
   “พวกนายกินไม่ชวนฉัน” รัสเลอร์ประท้วง  พลางทำท่าจะเดินไปร่วมโต๊ะด้วย แต่ถูกราฟาแอลไล่ออกมา
   “นายอยู่ดูแลอุปกรณ์ก่อน เดี๋ยวมีปัญหาอีก”
   รัสเลอร์จึงต้องถอยกลับมาอย่างจำนน  ขณะที่ฟ่งยืนมองภาพที่ฉายอยู่ในอากาศ
   “คุณรัสเลอร์ ยังมีไฟล์อื่นอยู่อีกรึเปล่าครับ แล้วเปิดยังไงน่ะ?”
   รัสเลอร์ชี้ไปที่กรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เบียดกันอยู่ด้านบนเหนือศีรษะของฟ่ง และพูดตอบ
   “อยู่ตรงนั้นแหละครับ คุณอยากดูไฟล์ไหนก็กดเลย”
   ฟ่งเอื้อมมือขึ้นไปกดภาพที่ว่า และนึกสงสัยว่าเพราะส่วนสูงของเขาไม่ได้มาตรฐาน หรือเพราะพวกผู้ชายชาวยุโรปพวกนี้สูงเกินไปกันแน่
   ไฟล์ต่างๆ ถูกเลือกออกมาดู ขณะที่อีกสามคนนั่งคอยฟังคำอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
   ฟ่งยังคงมองไฟล์พวกนั้นสลับกันไปมาอีกหลายรอบ จนราฟาแอลอดไม่ได้ต้องพูดขึ้น “ว่าไงบ้าง?”
   คนถูกถามไม่ตอบ แต่ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ราฟาแอลหันไปมองเพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้าวิตกจริต
   คิ้วของฟ่งมุ่นเข้าหากันแน่น ตอนที่ขยายภาพภาพหนึ่งขึ้นมาดู ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่ามันคือส่วนไหน และทำหน้าที่อะไร หลังจากนั้นก็เปิดภาพอื่นขึ้นมาดูอีกหลายรอบ ก่อนจะโพล่งออกมา
   “ผมเจอแล้ว”
   “เจออะไร?!” สามคนถามขึ้นพร้อมกัน ฟ่งหันมามองด้วยสีหน้างงๆ ก่อนจะหัวเราะแหะๆ “เจอรอยแก้น่ะ”
   “รอยแก้” รูฟัสและราฟาแอลทวนคำ ก่อนที่หนุ่มผมบลอนด์จะพูดขึ้นต่อ “เธอจะหารอยแก้ไปทำไม?”
   “อะ....เอ้อ...” ฟ่งมีสีหน้ากระดากขึ้นมาทันที “จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่รู้สึกว่ามันมีรอยแก้ ก็เลยหาดู คือ...เขาไม่ควรแก้ไขงานโดยไม่แจ้งผมก่อน”
   ราฟาแอลมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่รูฟัสครางออกมา “ฟ่งครับ เขาคงฆ่าคุณก่อนที่จะบอกคุณว่าเขาจะแก้ตรงไหนบ้าง”
   ฟ่งนิ่วหน้า “ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาแก้งานของผมนี่ คุณรัสเลอร์คงเข้าใจนะครับ คุณก็เป็นนักออกแบบเหมือนกัน”
   รัสเลอร์รีบพยักหน้าหงึกหงักทันที และหันมายิ้มเยาะรูฟัส หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้วบ้าง
   “ผมเข้าใจก็ได้ครับ แต่กรุณาอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับไอ้บ้านี่เลยครับ คุณกับมันต่างกันเยอะ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ขณะที่รัสเลอร์โวยวายขึ้นมา “ต่างกันตรงไหน ตรงที่ฉันฉลาดเวอร์เกินไปสินะ โถ...พ่อคุณ แฟนตัวเองก็ฉลาดไม่เบาเหมือนกันนะ ให้เกียรติเขาหน่อยสิ”
   รูฟัสนิ่วหน้าต่อ รู้สึกอยากเงื้อเท้าขึ้นถีบผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง
   “สรุปว่าเสียเวลาเปล่า เอาล่ะ ในเมื่อผ่านทางไหนไม่ได้ ถ้าเราจะสร้างทางขึ้นมาเองล่ะ?”
   “ยังไง?” สามคนที่เหลือถามขึ้นพร้อมกัน หนุ่มผลบลอนด์ยักไหล่ “สร้างสถานการณ์แบบที่เคยทำ ถล่มตึกด้านบนสักสองสามตึก ไม่ก็อะไรที่มันอึกทึกครึกโครมขนาดนั้น รับรองว่าพวกนั้นต้องเปิดช่องบ้างแน่ๆ “
   “เออ แต่สิ่งที่เราอยากได้ก็คงถูกซ่อนไว้อย่างดีเหมือนกันนั่นแหละ คุณคิดหรือว่าพอเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วเขาจะเอามันไว้ที่เดิมน่ะ?”
   รูฟัสย้อน ราฟาแอลหน้านิ่ว “แล้วแกรู้หรือไงว่าปกติเขาเอาไว้ตรงไหน?”
   “ไม่รู้” รูฟัสว่า อีกฝ่ายย้อนทันที “เออ แล้วจะเดือดร้อนทำไม”
   “แต่มิสเตอร์ดีเอ็นแอลรู้ และเขาจะบอกเราตอนที่เราเข้าไปได้ ถ้าเราทำเรื่องเอิกเริก แล้วเขาจะมีโอกาสได้บอกเราไหมล่ะ?”
   “แล้วจะเอายังไง?” ราฟาแอลถาม และพูดสืบต่อ “จะวิธีไหนก็ไม่ได้ จะเข้าไปยังไง บอกเลิกงานกลางคันก็ไม่ทันแล้ว”
   เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันไปทางฟ่ง “งั้นเธอแยกส่วนมันออกมาให้พวกฉันดูออกก็พอ ส่วนวิธีเข้าไป พวกฉันจะคิดกันเอง”
   “คือ....มันอาจจะพอมีทางอยู่” ฟ่งพูดขึ้นอีก พอเห็นสายตาสามคู่ที่มองมาอย่างตั้งความหวังอีกครั้งจึงจำต้องพูดต่อ
   “ที่คุณบอกว่าจะสร้างสถานการณ์ตะกี้น่ะ ทางออกฉุกเฉินจะเปิดต่อเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ แต่ผมว่าเขาน่าจะทดสอบระบบของมันก่อนวันใช้จริง พวกคุณ...น่าจะเข้าไปทางนั้นได้”
   “โอ้...ฟังดูเข้าท่า ไหนล่ะทางออกฉุกเฉินที่ว่า” ราฟาแอลร้องและมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดทันที ฟ่งดึงแปลนชิ้นหนึ่งขึ้นมาขยาย
   “มันอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าคุณได้ไฟล์อีกชุดที่เป็นสีจะดูง่ายกว่านี้ ผมอธิบายในกระดาษดีกว่า” ฟ่งว่า และหันไปหยิบแปลนขึ้นมา รูฟัสหันไปหัวเราะใส่รัสเลอร์
   “คุณเห็นตรงนี้ไหมครับ นี่คือทางเปิดเชื่อมตรงกับพื้นดินด้านบน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นลานโล่งๆ คงไม่อยู่ในตึก หรือถ้าเป็นตึกก็คงมีทางให้หนีมากพอสมควร ตรงลงมาจากปล่องลิฟต์นี้ จะต่อกับห้องประชุมใหญ่โดยตรง แต่มีทางแยกไปส่วนอื่นอีก ถ้าคุณสามารถผ่านประตูกั้นได้ จะลงไปถึงส่วนที่เป็นพื้นที่เก็บขยะ และส่วนของพนักงานชั้นล่าง ซึ่งน่าจะมีที่ซ่อนตัวเยอะอยู่ เพราะมีทั้งของ ทั้งห้องพักพนักงาน ห้องเสื้อผ้า ห้องเตรียมอาหาร อืม..หลายห้องล่ะ เขาคงวางของไว้เต็มห้องพวกนั้น”
   รูฟัสกับราฟาแอลพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันใด
   “เป็นตัวเลือกที่เข้าท่าดีมาก งั้นรบกวนเธอช่วยจัดการแยกส่วนมันให้พวกฉันดูออก ว่าควรจะไปทางไหนยังไง ฉันถือว่าเธอเป็นผู้ร่วมงานคนหนึ่งแล้ว”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ รูฟัสฝืนยิ้ม และอธิบายต่อ “ตามที่เขาว่านั่นแหละครับ ตอนนี้คุณเป็นทีมเดียวกับผมแล้ว ฝากด้วยนะครับ”
   “เอางั้นก็ได้” ฟ่งกล่าว พลางนึกตกใจว่าเขากลายเป็นทีมเดียวกับรูฟัสแล้วหรือ ได้ยินเสียงรัสเลอร์พูดขึ้นบ้าง
   “ยินดีต้อนรับนะ พ่อหนุ่มกระรอก” ฟ่งขมวดคิ้วทันที  ขณะที่รูฟัสพูดแทรกขึ้น
   “ไอ้หนุ่มกระรอกนี่อะไรของนาย รัสเลอร์?”
   “ก็ฟ่งเหมือนกระรอกออก ผมสีน้ำตาลฟูๆ แล้วใส่แว่น เวลานั่งก็เหมือนกระรอกตัวเล็กๆ น่ารักจะตาย”
   ฟ่งมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด แต่รูฟัสกลับพยักหน้า จะว่าไปฟ่งก็คล้ายๆ กับพวกหนูแฮมสเตอร์หรือกระรอกจริงๆ นั่นแหละ ตัวเล็กๆ กัดเจ็บ แต่น่ารัก
   “เอาล่ะ หนุ่มๆ ฉันไม่ได้อยากจะขัดจังหวะการคุยหรอกนะ แต่พวกคุณคิดจะทานมื้อเย็นกันรึเปล่า” เสียงของคลาวเดียดังลอดผ่านประตูเข้ามา  ราฟาแอลตะโกนกลับไปทันที
   “ขอมื้อใหญ่เลยนะ จะต้อนรับเด็กใหม่”
------------------------------------------
   หลังจากผ่านมือเย็นอันแสนอร่อยจากฝีมือคลาวเดีย ที่ดูจะกินเวลามากกว่าทุกวัน เพราะรัสเลอร์พยายามจะพล่ามเรื่องเครื่องมือทำอาหารชิ้นใหม่ของเขาให้คลาวเดียฟัง และถูกราฟาแอลแทรกกลางคัน เพราะคราวที่แล้วเจ้าเครื่องที่ว่าทำให้เขาต้องซ่อมครัวใหม่เกือบทั้งหมด  โชคดีที่เจ้าหนุ่มนักประดิษฐ์ดูจะถูกสั่งให้เดินทางมาอย่างกระทันหัน เลยไม่ได้หยิบอุปกรณ์พิสดารเหล่านั้นมาด้วย  ราฟาแอลจึงมีสีหน้าโล่งใจอยู่มาก อย่างไรก็ตามรัสเลอร์ยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงสาธยายสิ่งประดิษฐ์ประหลาดของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งราฟาแอลและรูฟัสพากันลุกขึ้น โดยลากฟ่งออกมาด้วย
   “ทิ้งคุณรัสเลอร์ไว้แบบนั้นจะดีเหรอครับ” ฟ่งถามขณะเดินตามรูฟัสออกมานอกตัวบ้าน และนึกสงสัยว่าคนคนนี้จะออกไปไหนอีก
   “อย่าไปคิดมากเรื่องหมอนั่นเลยครับ พอไม่มีใครฟังก็เงียบไปเองแหละ คุณคงไม่อยากทนนั่งฟังเขาพล่ามใช่ไหมล่ะ”
   ใจหนึ่งฟ่งรู้สึกเห็นด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้
   “ที่จริงคุณรัสเลอร์ก็ช่วยได้เยอะนะ เรื่องงาน”
   “อืม.. คุณคิดแบบนั้นก็ดีครับ แต่สำหรับผม ไม่มาเลยน่าจะดีกว่า” รูฟัสสรุป และหันกลับมามองฟ่งด้วยสายตาสำนึกผิด
   “ขอโทษนะครับฟ่ง ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณมาทำเรื่องแบบนี้”
   ประโยคนี้ทำเอาผู้ฟังถึงกับอึ้งไปทันที ฟ่งมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกใจระคนตกใจ นี่รูฟัสกำลังขอโทษเขาเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวมารึ?
   “ผมไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดคุณหรอก คุณอุตส่าห์ตามไปช่วยผมกลับมานี่”
   “ไม่ใช่ครับ คือเรื่องแผนที่ ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งเลย”
   “อ้อ เรื่องนั้น” ฟ่งพูดและยิ้มออกมา
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็ผมเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเอง”
   รูฟัสปั้นหน้าไม่ถูก  ได้แต่ยกมือขึ้นลูบดั้งจมูก
   “ขอบคุณนะ”
ฟ่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง รูฟัสมองดูใบหน้านั้นด้วยสายตาซาบซึ้ง บางทีฟ่งอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่า ได้กลายเป็นแสงสว่างในชีวิตเขาขึ้นมาจริงๆ
   รูฟัสโน้มหน้าเข้าไปหาใบหน้าของอีกฝ่ายช้าๆ และมอบจูบแสนละมุนให้แทนคำขอบคุณไม่รู้จบ ฟ่งผลักเขาออกอย่างอายๆ
   “นี่มันนอกบ้านนะครับ ถ้ามีใครมาเห็นเข้า.....”
   รูฟัสยิ้มกริ่ม มองดูพวงแก้มที่เริ่มเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย พลางนึกจินตนาการไปถึงเรื่องที่สัญญากันเอาไว้เมื่อเช้า
   “รูฟัส?!”
   ผู้ถูกเรียกชื่อสะดุ้งนิดหน่อย  ฟ่งกำลังมองมาด้วยสายตาสงสัย นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองผ่านแว่นทำให้นึกถึงกระรอกแบบที่รัสเลอร์พูดจริงๆ
   “คิดอะไรอยู่หรือครับ?”
   หนุ่มตาสองสีหัวเราะอย่างกระดากทันที ขืนบอกออกไปว่าคิดอะไรอยู่ฟ่งอาจจะแก้มแดงแล้วเดินหนีไปเลยก็ได้
   “ไม่มีอะไรหรอกครับ” รูฟัสตอบออกไป แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อคำพูดนัก
   “จริงหรือครับ ตามใจคุณแล้วกัน” ฟ่งว่าและทำท่าจะเดินแยกออกไป ทำให้รูฟัสต้องรีบรั้งตัวเอาไว้ นี่ฟ่งงอนเขาอีกแล้วหรือ
   "อยากรู้จริงๆ หรือครับ?” ฟ่งพยักหน้า และพูดเสริมต่อ
   “คุณมีอะไรก็น่าจะบอกผมบ้าง ผมไม่อยากคิดว่าคุณมีอะไรปิดบังผมอีก”
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ ความจริงฟ่งน่าจะปล่อยเรื่องบางเรื่องให้เป็นความลับเสียบ้าง
   “ผมกำลังคิดถึงสัญญาที่คุณบอกเอาไว้เมื่อเช้า?”
   “เมื่อเช้า?” ฟ่งทวนคำอย่างแปลกใจ และนึกย้อนกลับไป เมื่อเช้าเขาไปสัญญาอะไรกับรูฟัสไว้ด้วยเหรอ?
   และแล้วพวงแก้มที่เพิ่งหายจากอาการเขินอายเมื่อครู่ก็แดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง  พร้อมกับคำพูดที่โพล่งออกมา “ลามก!!”
   รูฟัสอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขากำลังคิดว่าควรจะยอมรับคำว่าลามกที่ฟ่งพูดออกมาหรือเปล่า แต่ว่าทางนั้นให้สัญญาเอาไว้เองนี่นา
   “ผมจะเข้าบ้าน!!” ฟ่งพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก และผลุนผลันกลับเข้าบ้านไป รูฟันยืนเกาศีรษะ ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจจริงๆ หรือแสร้งทำกลบความเขินอาย แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าฟ่งจะตั้งใจหรือเปล่า การเดินกลับเข้าไปแบบนี้ก็เหมือนเชิญชวนกันเลยทีเดียว
----------------------------------
   ฟ่งเดินก้มหน้างุดๆ กลับเข้ามาในบ้าน พลางนึกโมโหตัวเองที่ไปสัญญาอะไรบ้าๆ แบบนั้น แค่เพราะเขากลัวว่าจะโดนทำอีกจึงตัดสินใจสัญญาออกไป ไม่คิดว่ารูฟัสจะจำได้แม่นยำแบบนี้ ราฟาแอลกับคลาวเดียนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ ชายหนุ่มจึงเลี่ยงขึ้นไปชั้นบน
   แล้วทำไมเขาต้องเดินกลับมาที่ห้องด้วยล่ะ?!
   คำถามผุดขึ้นขณะที่ฟ่งกำลังจะบิดลูกบิดประตู ร่างบางชะงักค้าง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาเดินเข้าสู่สถานที่พิพากษาด้วยตัวเองน่ะสิ ฟ่งตัดสินใจว่าเขาควรจะไปที่อื่น เพื่อรักษาสวัสดิ์ภาพของร่างกายเอาไว้ แต่ก็ดูจะช้าไปเสียแล้ว เมื่อรูฟัสเดินตามขึ้นมา
   หนุ่มตาสองสียิ้มกริ่ม รอยยิ้มนั้นดูเจ้าเล่ห์แสนกลจนฟ่งอดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้ท่าทางจะลามกจริงๆ รูฟัสกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ ถึงได้ยิ้มแบบนั้น
   รูฟัสคิดว่าตัวเองแสดงอาการมากไปหน่อย แต่ว่าพอเห็นแก้มที่ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ ของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ฟ่งคงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลายเป็นลูกมะเขือเทศที่น่าทานอย่างบอกไม่ถูก
   ฟ่งถอยหลังจนชิดประตูเมื่อรูฟัสเดินรุกเข้ามาใกล้ด้วยแววตาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่สุด  ร่างแกร่งโน้มหน้าลง สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากเลื่อนลงจนเกือบจะแนบชิดกัน
   “ผมว่าจะลงไปข้างล่าง” ฟ่งโพล่งขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะดังจนรูฟัสผงะห่างออกมาหน่อยหนึ่ง
   “จะไปไหนหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถามอย่างแปลกใจ  ฟ่งอึกๆ อักๆ  พยายามจะหลบนัยน์ตาทรงเสน่ห์ที่มองตรงลงมา
   “ดะ..ดูโทรทัศน์” ฟ่งว่า และพยายามจะผลักรูฟัสออก
   “ราฟี่ปิดโทรทัศน์แล้วครับ  เห็นว่าจะเข้านอนแล้ว” รูฟัสตอบและยันแขนเข้ากับบานประตูที่ฟ่งพิงอยู่ เป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมให้ผ่านไป
   “ไม่อยากจะมีอะไรกับผมขนาดนั้นเลยหรือครับ”
   รูฟัสเอ่ยประโยคคำถามจี้ใจดำ ฟ่งกลืนน้ำลายลงคอและพยักหน้าหน่อยๆ ไม่กล้าเงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้า ได้ยินเสียงรูฟัสถอนหายใจ
   “แล้วทำไมถึงสัญญาล่ะครับ” ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดถาม และขยับตัวเข้าไปใกล้อีก  ฟ่งอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี
   “คุณทำให้ผมมีความหวัง รู้รึเปล่าครับว่าผมพยายามจะห้ามตัวเองขนาดไหนตอนที่อยู่ใกล้คุณ”
   “ผะ..ผมขอโทษ” ฟ่งว่า และเบือนหน้าไปทางอื่น “ผมไม่ได้ตั้งใจ  ผมกลัวว่าคุณจะทำอะไรผมอีก”
   “ถ้ารังเกียจก็น่าจะบอกกันตั้งแต่ตอนแรกสิครับ”
   “ก็มันเจ็บ” ฟ่งโพล่งออกมาและหน้าแดงกว่าเดิม สีหน้าของรูฟัสแสดงความแปลกใจ
   “คุณไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บขนาดไหน” ฟ่งพูดต่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทนพูดเรื่องน่าอายแบบนี้กับรูฟัสด้วย ทางนั้นน่าจะเข้าใจอะไรเองได้บ้างสิ
   “ขอโทษครับ” รูฟัสพูดขึ้น หลังจากนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าฟ่งจะกลัวเรื่องนี้ หรือว่าเพราะสองครั้งที่ผ่านมาเขาทำรุนแรงเกินไป มันก็น่าจะเป็นไปได้อยู่
   “ถ้าไม่เจ็บก็เป็นอันว่าตกลงใช่ไหมครับ” ร่างแกร่งยังไม่ยอมแพ้ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองทันที  ผู้ชายคนนี้ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ  ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บแล้วมันจะยอมกันง่ายๆ เสียหน่อย
   “ว่าไงล่ะครับ” รูฟัสโน้มหน้ามาใกล้ เขาคิดว่าฟ่งอาจจะไม่ได้กลัวแค่เรื่องเจ็บอย่างเดียว มันต้องมีเหตุผลอื่นด้วยแน่ๆ ร่างบางสั่นศีรษะ ขบริมฝีปากเบาๆ
   “ไม่เอา ผม...ผมอาย”
   รูฟัสถอนหายใจและยิ้มให้ฟ่งอย่างเอ็นดู
   “อายแหละครับ ดีแล้ว” ร่างสูงกล่าว และถือโอกาสจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ ฟ่งรีบยกมือขึ้นปัดป้อง แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานแรงปรารถนาของอีกฝ่ายได้ ไม่นานนักร่างผอมบางนั้นก็อ่อนระทวยลงเพราะรสจูบ
   “ไปต่อกันข้างในนะครับ” ชายหนุ่มกระซิบและปิดประตูเข้าไป  ฟ่งพยายามจะขัดขืน 
ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสองร่างที่หนึ่งโอบกอด อีกหนึ่งผลักไสอย่างไม่ค่อยได้ผลนัก แต่แล้วรูฟัสก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่ารัสเลอร์ปูที่นอนอย่างดิบดีตรงข้างเตียงของเขาพอดี แถมดูเหมือนจะกำลังหลับอย่างสบายอารมณ์อีกด้วย ดีกรีความโมโหพุ่งปรี๊ดทันที รูฟัสก้าวอาดๆ เข้าไปหาเจ้าตัวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่
   “เดี๋ยว รูฟัส คุณจะทำอะไร?” ฟ่งถามเสียงหลงทันที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของรูฟัส
   “ก็จะจับเจ้านี่โยนออกไปไงครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ ความจริงเขาอยากจะเตะเจ้านี่สักเปรี้ยงหนึ่งก่อนด้วยซ้ำ
   “ใจร้าย ก็เขาหลับอยู่” ฟ่งว่า และคิดว่าเขาจะรู้สึกโมโหมากถ้ารูฟัสทำลงไปจริงๆ ดูเหมือนรูฟัสจะชะงักตัวลงเมื่อได้ยินประโยคนั้น
   “ถ้าคุณว่าแบบนั้น ก็ตามใจครับ ผมไม่อยากเป็นคนใจร้าย”
   “ขอบคุณครับ” ฟ่งตอบพร้อมกับยิ้มอย่างดีใจ โดยไม่ทันคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
   นี่ฟ่งเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าบ้านี่มากกว่าเขาอีกเหรอ?
   รูฟัสคิด มองดูร่างบางที่ล้มตัวนอนลงบนเตียง และขยับที่ให้เขา ร่างแกร่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ในขณะที่อีกฝ่ายบอกราตรีสวัสดิ์
   “ฝันดีนะครับ” ฟ่งว่าและคว้าหมอนข้างมากอด รูฟัสถอนหายใจยาวและล้มตัวลงนอนบ้าง
   คืนนี้เป็นคืนที่ฟ่งน่าจะกอดเขามากกว่าหมอนข้างแท้ๆ
   ------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-06-2011 13:27:33
ยาวสะใจมากกกกกก  และก็สนุกมาก ๆ ด้วย  ที่บอกว่าเคยรวมเล่มยังมีเหลืออีกหรือเปล่าคะ
ตอนนี้ยังอ่านถึงแค่ตอนที่ 18 เอง  แต่อยากได้หนังสือมาครองแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 12-06-2011 14:54:25
ดูแล้วฟ่งกับรูฟัสยังต้องปรับตัวหากันอีกเยอะมาก  :z1:
พอจะเข้าใจนิดๆแล้วว่าทำไมนู๋ฟ่งต้องเลิกกับแฟน
รูฟัสสู้!!! :a2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 12-06-2011 22:44:06
อุตส่าห์รอมาแต่เช้า  เจอมารผจญซะได้  :m20:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 13-06-2011 05:20:28
แวะมารายงานตัวอีก  :กอด1:
ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ :laugh:

ปล.เห็นในเว็บร้านแดทวายบอกว่า 9เล่มจบใช่มะคะ?  ตอนนี้แต่งจบรึยังอ่ะจ๊ะ?
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องũ
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-06-2011 06:02:46
แวะมารายงานตัวอีก  :กอด1:
ยังอ่านไม่ทันเลยค่ะ :laugh:

ปล.เห็นในเว็บร้านแดทวายบอกว่า 9เล่มจบใช่มะคะ?  ตอนนี้แต่งจบรึยังอ่ะจ๊ะ?

จริงๆ เนื้อหาหลักจบแล้วค่ะ เหลือแต่ช่วงพิเศษ คิดว่าอีกสองสามตอนจะจบบริบูรณ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 13-06-2011 08:45:09
พึ่งอ่านจบตอนตี2 เลยขอไปนอนก่อนมาเม้นท์

ตอนแรกเห็นเลขตอนก็งง ถึงตอนที่ 37 จริงหรือพิมพ์ผิด เลยลองแว่บเข้ามาอ่าน
มันส์มาก ฮาฟ่งสุดๆ ดีที่รู้กันก่อนว่าฟ่งเป็นคนเขียนแปลนถ้ากลับไปทั้งๆ ไม่รู้
ชีวิตฟ่งคงอันตรายกว่านี้ นิสัยพระเอกสองคน เงอะๆ งะๆ ต่อหน้านายเอก
ทั้งคู่รูฟัสและคู่ซื่อเหยียน คู่หลังก็เหมือนวุ่นไม่น้อย มาลุ้นเรื่องการหาทางเข้ากันต่อ
เพราะตอนคิดอุตส่าห์คิดแบบให้เทวดาเข้าไปไม่ได้ แล้วคู่หูรูฟัสราฟาแอลจะ
ทำได้สำเร็จรึเปล่า อุตส่าห์มีคนเขียนแบบมานั่งอยู่ด้วยแล้ว
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-06-2011 10:29:33
บทที่38  การมาเยือนของพญามังกร
   ฟ่งพบตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ขาวโพลน เขากะพริบตาซ้ำๆ และนึกขึ้นได้ว่าลืมถอดแว่น 
อย่างนี้ก็แปลว่าเขานอนหลับไปทั้งแว่นตาน่ะสิ
ชายหนุ่มคิดพลางยกมือขึ้นตรวจสอบแว่น และมองไปรอบๆ พื้นที่สีขาวที่ว่าค่อยๆ มีรูปร่างชัดเจนขึ้น  ไม่นานนักฟ่งก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในชุดฟอร์มสำหรับงานภาคสนาม เขายกหมวกกันกระแทกขึ้นสวม และเงยมองขึ้นไปด้านบน
วัสดุค้ำยันแบบพิเศษจำนวนมากกำลังถูกประกอบเข้ากับผิวดินเพื่อคำยันโครงสร้างด้านนอกโดยเหล่าคนงานที่สวมชุดสีขาวปลอด มันก่อรูปร่างอย่างรวดเร็วในความฝัน ไม่นานนักเขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนลานระเบียงทางเดินวงกต ที่มองตรงไปเป็นประตูลิฟต์ของทางออกฉุกเฉิน
ใครคนหนึ่งวิ่งผ่านเขาไปยังประตูลิฟต์นั้น รูปร่างสูงใหญ่และเรือนผมสีดำนั้นดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ฟ่งเอื้อมมือ พยายามจะคว้าจับร่างนั้นเอาไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
   ประตูลิฟต์เปิดออก พร้อมกันกับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่นั้นก้าวเข้าไป ฟ่งรู้สึกว่าตัวเองก้าวเท้าตามไป แต่ยังไม่ทันถึง ประตูลิฟต์ก็ปิดลง และค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไป
   แรงสั่นสะเทือนมหาศาลเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ฟ่งเซถลาไปจนชนกำแพงด้านหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้านบน นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้าง โครงสร้างทั้งหมดยุบตัวลงมาราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกดลงจากด้านบน ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงอย่างรวดเร็วรวมถึงลิฟต์ตัวนั้น
   
“รูฟัส!” ร่างบางอุทานและลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดวงตาสีแปลกที่จ้องมองมาอย่างงุนงง ก่อนจะตามด้วยอ้อมกอดที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
“รูฟัส?” ฟ่งเรียกชื่อผู้ที่กอดเขาไว้อีกครั้ง รูฟัสลูบมือลงบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
“ฝันร้ายหรือครับ?” เขาว่า และหยิบแว่นส่งให้ ฟ่งรับไปใส่ทันที ตอนนี้เขามองเห็นหน้าของรูฟัสชัดขึ้น
“เมื่อคืนผมลืมถอดแว่น?!!” ฟ่งโพล่งขึ้นและนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะพูดเสียหน่อย รูฟัสพยักหน้าและหอมแก้มของเขาเบาๆ
“คุณหลับไวมาก” ผู้มีนัยน์ตาสองสีช่วยอธิบายให้ ฟ่งพยักหน้า และพยายามนึกว่าเขาอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่
“ผมฝันร้าย ฝันว่าลิฟต์... เออ ลิฟต์!!” ฟ่งอุทานอย่างนึกได้และพรวดพราดลุกขึ้นทันที เขากระโดดลงจากเตียงและสะดุดรัสเลอร์ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ เล่นเอาหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ เกือบสามสิบเด้งตัวผลึงขึ้นมาจากที่นอนราวกับถูกดีด
“เกิดอะไรขึ้น!! ศัตรูบุกหรือไง!!” รัสเลอร์มองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตระหนกและหยิบเอาปืนรูปร่างแปลกๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างตัว  รูฟัสรีบดึงเจ้าตัวให้กลับลงไปนั่ง
“ไม่มีใครบุกทั้งนั้นแหละ นายเก็บไอ้ของประหลาดนั่นไปได้แล้ว” หนุ่มตาสองสีว่า พลางมองดูปืนรูปร่างประหลาดนั้นอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก รัสเลอร์มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง เมื่อพบว่าไม่มีอะไร จึงยอมเก็บปืน
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่” รัสเลอร์ถามด้วยความงุนงง รูฟัสโบ้ยหน้าไปทางฟ่งซึ่งยืนกางแบบแปลนอยู่หน้าโต๊ะไฟ พร้อมกับเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษเปล่าที่วางอยู่
“ใช่แบบนี้จริงๆ ด้วย” ฟ่งอุทานออกมาหลังจากเขียนอะไรลงไปได้พักหนึ่ง  สองหนุ่มเดินเข้ามาดูด้วยความสงสัย
“ใช่อะไรหรือครับ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย ฟ่งพูดทั้งที่ตายังจ้องกระดาษอยู่
“แบบแปลนมันผิด ไม่ใช่สิ เขาแทนค่าผิด คุณดูสิ”
เขาขยับแบบแปลนที่ดูยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนใยแมงมุม และชี้ให้คนทั้งคู่ดูส่วนเพดานที่ขีดเอาไว้ด้วยเส้นสีฟ้าๆ
“จำที่ผมพูดเมื่อวานได้ไหมว่าเขาไม่ควรแก้แปลนโดยไม่บอกผม” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสพยักหน้า ขณะที่รัสเลอร์ยังงงไม่หาย
“พูดภาษาอังกฤษที” เขาว่า ฟ่งมองหน้าหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยังคงมีสีหน้ากึ่งหลับกึ่งตื่นและกึ่งตกใจ ก่อนจะพูดภาษาอังกฤษออกมา
“ผมบอกว่า พวกคุณจำเรื่องที่ผมพูดว่าเขาไม่ควรแก้ไขแปลนโดยไม่บอกผมได้ไหม?”
“อ้อ” รัสเลอร์ร้องและพยักหน้าทันที “ใช่ๆ ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมาแก้ไขอะไรที่ตัวเองเขียนเหมือนกัน”
รูฟัสเหยียบเท้ารัสเลอร์ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรออกมามากกว่านั้น ฟ่งพูดต่อ “ตรงนี้คือส่วนที่เขาแก้ไข โอ๊ย บ้าจริง เขาให้ใครมาแก้นะ ผมคำนวณองศาของวัสดุค้ำยันแล้วก็น้ำหนักของมันเอาไว้ดีแล้วแท้ๆ “
“เอ่อ....ช่วยอธิบายให้เข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ?” รูฟัสพูดแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าฟ่งเริ่มมีอารมณ์กับเรื่องดังกล่าวโดยที่พวกเขายังไม่ทันได้เข้าใจอะไรเลย ฟ่งหันหน้ากลับมามองเขาอย่างงงๆ ก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้
“ผมจะบอกพวกคุณว่า ไอ้ลิฟต์นี่มันอาจจะถล่มลงมาก็ได้”
“ลิฟต์ไหน?” สองคนถามพร้อมกันทันที ฟ่งทำหน้ายุ่ง “ลิฟต์ตัวที่ผมอธิบายให้พวกคุณฟังไปเมื่อวานไงครับ”
รูฟัสและรัสเลอร์หันไปมองหน้ากัน เมื่อวานฟ่งพูดถึงลิฟต์กี่ตัวกันนะ ฟ่งมองดูสองคนตรงหน้าอย่างค่อนข้างหงุดหงิด ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“ลิฟต์ตัวที่ผมบอกว่าเป็นทางออกฉุกเฉินแล้วแนะนำให้คุณเข้าไปน่ะ” หนุ่มสวมแว่นกล่าว และนึกว่าถ้าจำที่เขาพูดไม่ได้ขนาดนี้ ทำไมตอนแรกถึงได้พยักหน้ากันนะ
“อ๋อ” รูฟัสและรัสเลอร์ร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะโพล่งออกมา “ว่าไงนะ ถล่ม!?”
ฟ่งไม่รู้จะขำหรืออะไรดีกับอาการของทั้งคู่ เขาได้แต่พยักหน้า และพูดซ้ำ
“อืม...มันมีโอกาสถล่ม เขาแก้ไขแปลนของผม”
ทั้งรูฟัสและรัสเลอร์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่หนุ่มตาสองสีจะพูดออกมา
“ผมต้องเรียกราฟี่มาฟังเรื่องนี้
-------------------------------------------------------
ไม่นานนักราฟาแอลก็เดินเข้ามาทั้งๆ ที่หัวยุ่ง  ทำเอารัสเลอร์หัวเราะก๊าก  หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวขมวดคิ้วยุ่ง และสบถเป็นภาษาฮังการีออกมาสองสามคำ
“เอาล่ะ ตกลงมันยังไง เข้าไปได้หรือไม่ได้กันแน่”
หนุ่มผมสีบลอนด์ส่งเสียงถามอย่างง่วงงุน ท่าทางเหมือนเพิ่งถูกปลุก ฟ่งอธิบายซ้ำอีกครั้ง และนั่นดูจะทำให้ราฟาแอลตื่นขึ้นมาได้บ้าง
“ฉันคิดว่าแผนที่จะเข้าไปตรงทางออกฉุกเฉินมันดูเข้าท่า แต่เธอก็มาบอกว่ามันอาจจะถล่มลงมา งั้นถ้าไม่เข้าทางนี้แล้วจะเข้าไปทางไหนได้อีก?”
ฟ่งเกาหัวแกร่ก และหยิบแบบแปลนกระดาษขึ้นมาดู ทุกคนรอฟังอย่างตั้งใจ เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ หนุ่มสวมแว่นวางแปลนลง และถอนหายใจ
“ผมยังนึกไม่ออก..”
“พระเจ้า!!” ทั้งสามอุทานขึ้นพร้อมกัน
“หาทางอื่นไม่ได้เลยหรือไง เธอเป็นคนเขียนมันนะ!” ราฟาแอลพูดต่ออย่างอารมณ์เสีย  รูฟัสทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ก็เขาบอกให้ผมสร้างห้องแบบที่เทวดาก็ผ่านเข้ามาไม่ได้นี่” ฟ่งเถียง สีหน้าดูหงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกัน รูฟัสถอนหายใจ และยกมือลูบหัวฟ่งเป็นเชิงปลอบ
“คุณไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกครับ” เขาว่า และพยายามยิ้มให้ฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ และคิดว่ารูฟัสคงไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรอก ทางนั้นต้องโกรธเขาอยู่บ้างแน่ๆ ที่สร้างของแบบนี้ออกมา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้
ราฟาแอลเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ขณะที่ห้องทั้งห้องเงียบกริบ กระทั่งรัสเลอร์เองยังไม่กล้าเอ่ยปากอะไรออกมา สักพักหนุ่มผมสีบลอนด์จึงถอนหายใจออกมา
“เอาเถอะๆ ไปจัดการตัวเอง กินอาหารเช้าแล้วค่อยมาว่ากันต่อแล้วกัน” ราฟาแอลตัดบท และเดินออกไปจากห้อง ทั้งหมดจึงต้องเดินตามออกไป
------------------------
เสียงโทรศัพท์สายในดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย และเดินไปรับสาย
“สวัสดี”
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย คือว่าคุณท่านมาเยี่ยมน่ะครับ”
“คุณพ่อน่ะรึ?” เว่ยเฟิงปิงกรอกเสียงลงไปอย่างไม่เชื่อ และนิ่งไปพักใหญ่
“อืม แล้วฉันจะรีบลงไป” เขาว่า และวางสาย ก่อนจะหมุนตัวกลับไป
“คุณพ่อมา  อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตามฉันลงไป” เว่ยเฟิงปิงสั่ง นัยน์ตาสีฟ้ามองมาอย่างต้องการการพิสูจน์ จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย

เหล่าบรรดาพนักงานและผู้ที่ทำงานอยู่ในตึกLe mirror ที่รู้ข่าวเรื่องการมาของเว่ยชิงต่างพากันออกมาเสนอหน้ายืนต้อนรับ ไม่ว่าใครก็อยากจะชมบารมีของหัวหน้าแก๊งผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ พนักงานบางคนตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยพบตัวจริงของเว่ยชิงมาก่อน ดังนั้นการต้อนรับจึงดูคับคั่งเป็นพิเศษ
ผู้เป็นเจ้านายใหญ่แห่งกลุ่มธุรกิจตระกูลเว่ยก้าวลงจากรถเมอเซเดสเบนส์สีดำคันงาม พร้อมด้วยบอดีการ์ดอีกราวเจ็ดแปดคน เว่ยชิงเป็นชายรูปร่างสันทัด สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบ  ผมตัดสั้นเริ่มมีสีดอกเลาแซมบ้างเล็กน้อย ดวงหน้าเคร่งขรึมที่มีริ้วรอยตามวัย ชายชราก้าวเท้าด้วยร่างกายเหยียดตรงราวคันทวน แข็งแรงกระฉับกระเฉงผิดกับวัยที่เลยหกสิบเศษเข้าไปเลย ชายเสื้อคลุมแพรดำปักลายสีทองแบบจีนพลิ้วสะบัดตามจังหวะก้าวเดิน ยังความน่าเกรงขามให้กับชายชราผู้นี้อีกหลายส่วน
นี่คือชายผู้ครอบงำธุรกิจและวงการมาเฟียในฮ่องกงมาเป็นเวลายาวนานกว่าสี่สิบปี
เว่ยเฟิงปิงลงมาต้อนรับผู้เป็นบิดาด้วยชุดคลุมสีแดงสดปักเลื่อมสีดำ เขาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “อรุณสวัสดิ์ครับคุณพ่อ”
เว่ยชิงพยักหน้า  และโบกมือเป็นเชิงให้ทุกคนไม่ต้องก้มหัวต้อนรับเป็นพิธีการเท่าไรนัก  ก่อนจะมองบุตรชายคนสุดท้องด้วยดวงตาสีดำที่เหมือนกับน้ำครำ
“อยากจะมาเยี่ยมสักหน่อย ได้ยินว่าเพิ่งเจอกับผู้ชายคนนั้นมาหรือ”
เว่ยเฟิงปิงหัวเราะ นัยน์ตาสีฟ้าใสหรี่เล็กลงอย่างเจ้าเล่ห์
“เชิญคุณพ่อเข้ามานั่งคุยด้านในดีกว่าครับ” เขาเอ่ย และเดินนำเข้าไป

“พี่จินหยินไม่มาด้วยหรือครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากถามหลังจากน้ำชาถูกยกมาแล้ว สองพ่อลูกนั่งอยู่ในห้องรับแขกภายในตัวตึก Le mirror โดยมีบอดีการ์ดของทั้งสองฝ่ายขนาบซ้ายขวา ดูไม่เหมือนการพบกันของพ่อลูกเลยสักนิด เว่ยชิงสั่นศีรษะ เขาใช้ช้อนเงินที่พกมาด้วยคนชาเพื่อตรวจสอบสารพิษ
“ผมไม่วางยาคุณพ่อต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้หรอกครับ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย เว่ยชิงช้อนตาสีดำราวกับน้ำครำขึ้นมองบุตรชาย แล้วหัวเราะ
“มันชินเสียแล้วน่ะ ไม่ได้แวะมาเยี่ยมนาน คนเพิ่มขึ้นนะ” ชายชราเอ่ยและกวาดสายตาคมกริบไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังบุตรชาย
“เป็นไง ซื่อเยี่ยน ทำงานที่นี่สบายดีไหม?”
“สบายดีครับท่าน” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยตอบ เว่ยชิงจิบชาและวางแก้วลง ก่อนจะออกคำสั่ง
“ฉันอยากคุยกับลูกเป็นการส่วนตัว พวกเธอช่วยออกไปก่อน”
บรรดาบอดีการ์ดที่ติดตามมาต่างโค้งให้และเดินหลบออกไปด้านนอกอย่างเงียบกริบ เว่ยเฟิงปิงสั่งให้คนของเขาออกไปเช่นกัน แต่ถูกเว่ยชิงยกมือห้าม
“ซื่อเยี่ยนน่ะไม่ต้อง ให้อยู่ที่นี่ก่อน”
จางซื่อเยี่ยนชะงักฝีเท้า และเดินกลับเข้ามาใหม่ รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ เว่ยชิงไม่เคยรั้งตัวลูกน้องเอาไว้ในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากมีเรื่องสำคัญมาก หรือว่าจะรู้เรื่องเขากับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่เบื้องหลังผู้เป็นเจ้านาย
“จับสายลับนั่นไม่ได้รึ?” เว่ยชิงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเรื่องราววิกฤตที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เว่ยเฟิงปิงส่ายหน้า และล้วงเอาแฮนดี้ไดรฟ์อันหนึ่งวางลงบนโต๊ะ
“แต่ผมได้สิ่งนี้มา คิดว่าน่าจะถูกใจคุณพ่ออยู่บ้างครับ”
เว่ยชิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่ยื่นมือลงแตะแฮนดี้ไดรฟ์นั้นแม้แต่น้อย ชายชรามองขึ้นไปทางจางซื่อเยี่ยน
“ซื่อเยี่ยน เก็บไว้ให้ทีสิ” จางซื่อเยี่ยนเดินมาหยิบของตามคำสั่ง สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คุณพ่อคิดอะไรอยู่หรือครับ?”
“ลูกเป็นคนฉลาดนะ เฟิงปิง” เว่ยชิงเอ่ยชมผู้เป็นลูกชาย แต่เว่ยเฟิงปิงไม่เชื่อว่านั่นเป็นคำชม คงตั้งใจกระแนะกระแหนกันเสียมากกว่า
“พ่อกำลังคิดว่าจะให้ซื่อเยี่ยนกลับมาช่วยงานเสียหน่อย  บอดีการ์ดของพ่อคนหนึ่งเพิ่งถูกฆ่าตาย”
“ได้ข่าวแล้วล่ะครับ” เว่ยเฟิงปิงว่า และพูดต่อ
“แต่ทำไมต้องเป็นซื่อเยี่ยนด้วยล่ะครับ”
“ไม่คิดว่าลูกจะถามแบบนี้ เห็นเมื่อก่อนอยากจะส่งซื่อเยี่ยนกลับอยู่ตลอดเลยไม่ใช่หรือ?”
เว่ยเฟิงปิงพยายามฝืนยิ้ม “จู่ๆ จะมาย้ายไปก็ต้องถามเหตุผลกันหน่อยสิครับ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นพนักงานของผม”
“ไม่มีอะไรมากนักหรอก ซื่อเยี่ยนเป็นคนฝีมือดี แล้วก็เคยทำงานกับพวกที่เป็นบอดีการ์ดของพ่อมาก่อน ก็เลยคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้ เธอเองก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ ซื่อเยี่ยน?”
จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งเล็กน้อย พยายามกลืนน้ำลายลงคอ “แล้วแต่วิจารณญาณของคุณท่านครับ”
เว่ยชิงหัวเราะชอบใจ “ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้ว? ยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้า?”
“ยี่สิบห้าครับท่าน”
“เบญเพสแล้วสินะ มีติดใจผู้หญิงคนไหน อยากแต่งงานหรืออยากมีครอบครัวบ้างรึเปล่า”
“ไม่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบออกไปตามความจริง เขารู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง เว่ยชิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงจะย้ายเขากลับ ซ้ำยังมาถามอะไรแบบนี้อีก ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติของเจ้าตัวเลย
“งั้นก็เหมาะเลย เธอมาทำงานแทนคนของฉัน”
“แล้วคุณพ่อจะให้ใครมาแทนตำแหน่งที่ว่างในสำนักงานผมล่ะครับ?” เว่ยเฟิงปิงตั้งคำถาม ทำหน้าเหมือนเด็กอยากแลกของ เว่ยชิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“อยากได้ใครมาแทนเลือกเอาได้เลย พ่อจะย้ายมาให้”
“คนของพี่จินหยินก็ได้หรือครับ” เว่ยเฟิงปิงถามต่อ คราวนี้ผู้เป็นบิดาหัวเราะเสียงดัง
“ลูกหมายถึงใครล่ะ ไมเคิล หรือโจ?”
เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะ “ผมหมายถึงคนเก่าคนแก่ของพี่จินหยินน่ะครับ”
“เถียนซานรึ?” เว่ยชิงเอ่ย ก่อนจะหัวเราะออกมา “ลูกไม่รู้หรือว่าอาซานเป็นบุคคลสาธารณะ เขาไม่ใช่คนของจินหยินหรอก พ่อคงให้ไม่ได้”
“ไหนคุณพ่อบอกว่าใครก็ได้ไงครับ แบบนี้ก็ถือว่าพูดไม่จริงนี่ครับ” บุตรชายค้านเสียงแข็ง เว่ยชิงโบกมือเป็นเชิงขออภัย
“ยกเว้นคนนี้ไว้สักคนแล้วกัน”
“งั้นก็ยกเว้นซื่อเยี่ยนไว้สักคนสิครับ”
ประโยคนี้เล่นเอาผู้ฟังเงียบไปพักหนึ่ง เขามองดูเว่ยเฟิงปิงอย่างสำรวจตรวจตรา และเงยหน้าขึ้นมองจางซื่อเยี่ยนที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่
“แสดงว่าข่าวที่จินหยินเล่ามาเป็นจริงสินะ” เว่ยชิงเปรย และถอนใจ
“ตอบหน่อยสิซื่อเยี่ยน นายนอนกับลูกชายฉันแล้วจริงๆ รึ?”
นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงไหววูบ เว่ยจินหยินกล้ารายงานไปแบบนี้จริงๆ รึ เจ้าบ้านั่นคิดจะแยกจางซื่อเยี่ยนออกจากเขาจริงๆ ล่ะสิ
“พี่จินหยินเล่าให้ฟังหรือครับ บางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้”
“พ่อกำลังถามซื่อเยี่ยนอยู่” เว่ยชิงตอบกลับมาเสียงเรียบๆ แต่ก็ทำให้เว่ยเฟิงปิงต้องถอยทัพคำพูดออกไปทันที ผู้ถูกถามยืนเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
เขาเคยคิดจินตนาการถึงความเป็นไปได้นี้หลายครั้ง หลังจากแตะต้องบุคคลที่แสนล้ำค่าผู้นี้แล้ว สักวันมันคงเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จินตนาการเอาไว้กับความเป็นจริงนั้นช่างแตกต่างกันนัก  ความเจ็บปวดและความกล้ำกลืนนั้นเทียบกันไม่ได้เลย
“จริงครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ซึ่งไม่ใช่น้ำเสียงที่เขาแสดงออกบ่อยนัก จางซื่อเยี่ยนไม่เลือกที่จะโกหก เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรทางนั้นก็ต้องรับรู้สักวันอยู่ดี สู้เอ่ยความจริงออกไปเลยจะดีกว่า
แม้ว่าผลลัพธ์นั้นจะทำให้เจ็บปวดมากเพียงใด มันก็ดีกว่าการต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปกปิดความลับนั้นเอาไว้
“คิดอะไรถึงทำแบบนี้ลงไปน่ะ หืม?” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาที่ถามออกมา เหมือนคมมีดที่กรีดแทงลงไปในหัวใจ จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เขากลัวมาโดยตลอด กลัวว่าทุกอย่างจะถูกเปิดเผย กลัวที่จะถูกถาม กลัวจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง จนน้ำเสียงเดิมเอ่ยต่อ “ซื่อเยี่ยน เธอไม่รู้หรือว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ”
“ผมทราบครับท่าน” จางซื่อเยี่ยนตอบ แม้พยายามจะรักษาความรู้สึกเพียงใด น้ำเสียงที่เปล่งออกไปก็ยังสั่นพร่าอยู่ดี
เว่ยชิงทอดตาสีน้ำครำมองดูคนตรงหน้า และทอดถอนใจ
“แล้วทำไมถึงทำล่ะ ตอบฉันสิ”
จางซื่อเยี่ยนได้แต่ก้มหน้านิ่ง เพราะไม่อาจหาคำพูดใดตอบคำถามนี้ได้ จะให้เขาตอบว่าอย่างไร...ตอบว่าเพราะเขารักเว่ยเฟิงปิงอย่างนั้นรึ?
“ผมเสนอตัวให้เขาเอง” เว่ยเฟิงปิงพูดแทรกขึ้น ผู้เป็นพ่อเหลือบตามองลูกชายหน่อยหนึ่ง ก่อนจะโบกมือห้ามอีกครั้ง
“พ่อกำลังพูดกับซื่อเยี่ยนอยู่ ลูกได้ยินไม่ใช่หรือ?”
เว่ยเฟิงปิงกล้ำกลืนคำพูดลงในคออีกครั้ง เขาเหลือบไปมองจางซื่อเยี่ยน ซึ่งยังคงยืนก้มหน้าอยู่
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่37 P4 12/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-06-2011 10:30:00
“ซื่อเยี่ยน ถึงฉันจะยอมรับลูกชายคนนี้กลับเข้ามาในบ้าน และไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะพอใจหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอกนะ โดยเฉพาะเธอที่ทำงานมานานก็ควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง หรือเธอวางแผนอย่างอื่นเอาไว้?”
จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะทันที “ผมเปล่าครับ”
เว่ยชิงกวาดตามองอดีตเด็กที่ตนเคยเก็บมาชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่อยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยคำพูดต่อ
“เอาเถอะ เห็นแก่เธอที่ทำงานให้ฉันมาก็เยอะ แล้วอายุก็ยังน้อยอยู่ ฉันจะยกโทษให้สักครั้งแล้วกัน กลับมาทำงานให้ฉันเสีย ซื่อเยี่ยน”
เว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ วินาทีนั้นเว่ยเฟิงปิงรู้สึกอ้างว้างและหดหู่ขึ้นมาทันที  นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองผู้เป็นลูกน้องที่ยืนนิ่งเงียบอยู่
ครั้งหนึ่งเขาไม่เคยแม้แต่จะเหลือบมองผู้ชายคนนี้แม้แต่ปลายผม ผู้ชายที่แสนจะเกะกะน่ารำคาญ คนที่ผู้เป็นบิดาซึ่งเขาแสนจะเกลียดชังส่งมา
ผู้ชายที่ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าตัวหมากซึ่งส่งมาให้เขายืมใช้เท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้เขากลับอยากให้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่เพียงเพราะอยากรู้ข้อมูลภายในของผู้เป็นบิดาจากปากคำของจางซื่อเยี่ยนเท่านั้น ณ เวลานี้ เขาอยากจะรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น อยากรู้ถึงก้นบึ้งของหัวใจของผู้ชายที่พูดกับเขาว่าสำคัญ
อยากรู้ว่าการได้กลายเป็นคนสำคัญของคนคนหนึ่งจะให้ความรู้สึกอย่างไร
เว่ยเฟิงปิงเหลือบตาขึ้นมองผู้เป็นลูกน้องอีกหน นัยน์ตาสีอีกาคู่นั้นสั่นระริก จางซื่อเยี่ยนกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ กำลังเลือกระหว่างเขากับเว่ยชิงรึเปล่า? จางซื่อเยี่ยนจะใช้อะไรตัดสินเรื่องนี้ ความภัคดี? กตัญญู? บุญคุณ? หรือว่าความรัก?
จางซื่อเยี่ยนเคยบอกรักเขา แต่ก็เคารพบิดาของเขามากด้วย
ในภาวะเช่นนี้ ฝ่ายนั้นจะเลือกใครกัน

ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสามเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
   “ไปเถอะ  ไปอยู่กับคุณพ่อ”
   น้ำเสียงช่างเย็นชาสิ้นดี จางซื่อเยี่ยนกลืนน้ำลาย เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากไล่เขาอีกแล้ว คำพูดที่พูดกับเขาในรถวันนั้น กับความรู้สึกตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงคิดอะไรอยู่กันแน่ ในเวลาแบบนี้  หากแสดงว่าต้องการเขาอยู่สักนิด....

   เว่ยเฟิงปิงหลับตา เขาไม่อยากรอฟังคำตัดสินจากปากของคนอื่นอีก ถ้าลังเลนักล่ะก็  เขานี่แหละจะเป็นฝ่ายเลือกเอง
   ไปซะ ซื่อเยี่ยน ถ้านายไม่อยากพูดว่าจะอยู่กับฉัน ก็จงไปเถอะ
   คำพูดราวกับสิ้นเยื่อใยนั้นดังก้องอยู่ในหัว แต่ทำไมหัวใจถึงได้เจ็บปวดนัก หยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่งามนั้น แม้เพียงหยดเดียว ก็แทบคำพูดหลายล้านคำ
   ได้โปรด ต้องการฉันสักนิด….

   จางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบ แต่นัยน์ตาสีอีกากลับสั่นระริก เขามองเห็นหยดน้ำล้ำค่าบนใบหน้าเรียวยาวราวพญางูใหญ่นั้น หยดน้ำตาเพียงหนึ่งหยดที่หลั่งออกมาเพื่อเขา  สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา
   ชายหนุ่มทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างเงียบๆ  มันเคยเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของเขาว่าหากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เว่ยเฟิงปิงอาจจะมีน้ำตาให้เขาบ้าง ผู้ที่เขารักดั่งดวงใจ  ผู้ที่เขาอยากจะมอบชีวิตให้  แต่เขามีชีวิตมาได้เพราะบุรุษสูงอายุผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้นี้  ผู้ซึ่งเอื้อมมือเข้ามาโอบอุ้มชีวิตน้อยๆ ของเขาเอาไว้ และทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคน
   เว่ยชิงนั้นมีพระคุณยิ่งกว่าบิดาและมารดาแท้ๆ ซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้า
   บุรุษผู้ทรงพลังและอำนาจ  ผู้ซึ่งมอบชีวิตให้กับเขา
   หากต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความรู้สึกของการทรยศต่อผู้ให้ชีวิตแล้ว ชีวิตนั้นจะมีค่าอันใดกันเล่า
   แต่หากต้องใช้ชีวิตอยู่โดยทรยศผู้เป็นที่รักแล้วล่ะก็ เขาจะอยู่ไปเพื่ออันใดกัน
   นัยน์ตาสีอีกาเหลือบมองใบหน้าเรียวยาวของเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง บางทีนี่อาจจะเป็นการมองครั้งสุดท้าย เขาหันกลับไปมองเว่ยชิงผู้ซึ่งมีพระคุณล้นเหลือในชีวิตของเขา ที่กำลังมองลงมาด้วยสายตาสีน้ำครำที่ยากจะคาดเดาได้
   “ผมไม่อาจทำตามคำสั่งของท่านได้  กรุณาลงโทษผมเถอะครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าวออกมา ก่อนจะขบกรามจนเป็นสันนูน ได้ยินเสียงเว่ยชิงถอนหายใจและเอ่ยขึ้น
   “ทำไมล่ะ ซื่อเยี่ยน” น้ำเสียงนั้นแม้เด็ดขาดแต่ก็แฝงความอ่อนโยนอย่างที่เขาเคยได้ยิน มือของจางซื่อเยี่ยนกำแน่น หัวใจของเขาปวดแปลบ
   “เฟิงปิงอนุญาตแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ยอมกลับมา เธอรู้รึเปล่าว่าตัวเองจะโดนโทษมากแค่ไหน?”
   “ทราบครับ” ผู้ถูกถามยอมรับ และกล่าวสืบต่อ “แต่ผมทิ้งคุณชายไปไม่ได้ กรุณาลงโทษตามสมควรด้วยเถอะครับ”
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงสั่นระริก เจ้าหมอนั่นรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกไป การขอรับการลงโทษจากเว่ยชิงเป็นเรื่องโง่มาก ขนาดลูกในไส้ คนคนนี้ยังลงมือได้โดยไม่ต้องกะพริบตา นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรกันเลยแบบนี้เล่า
   เว่ยชิงถอนหายใจยาว มองไปยังชายหนุ่มผู้ซึ่งตนชุบเลี้ยงมา นัยน์ตาสีน้ำครำยังคงนิ่งสนิท ยากจะคาดเดาได้เช่นเดิม มองอยู่อย่างนั้นสักครู่หนึ่ง เว่ยชิงจึงผุดลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เดินตรงไปยังชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ล้วงเอาของอย่างหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้าง ไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาเคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าบางครั้งผู้เป็นบิดาก็ลงมือสังหารคนทรยศด้วยตัวเอง เว่ยเฟิงปิงเชื่อว่าบิดาของตนอำมหิตพอจะทำเช่นนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเห็นกับตาตนเอง ซ้ำยัง............
   ด้ามกระบี่สีเงินปรากฏออกมาให้เห็นแก่สายตา ตามด้วยใบกระบี่เรียวยาวสีเงินยวงสะท้อนกับแสงไฟในห้อง ความคมกริบของมันคงไม่ต้องอธิบาย
   ไม่!!
   คำนั้นดังก้องอยู่ในหัวสมองของเว่ยเฟิงปิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือเขาทำได้เพียงอ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกไปได้เลย นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองปลายกระบี่สีเงินตวัดขึ้นอย่างใจเย็นเหนือศีรษะของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ ก่อนจะตวัดใส่ศีรษะนั้นอย่างชำนาญ หมดจด เรียบร้อย อำมหิต
   !!!
   ซื่อเยี่ยน!!
---------------------------------------------   
   ตลอดชีวิตของชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนนั้น หลายครั้งที่เขาคิดถึงความตาย ไม่ใช่ในแง่มุมที่น่าหวาดกลัว แต่เป็นในแง่ของความสงบ  บางครั้งการตายอาจเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดก็ได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เขาต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือครอบครัว จากการถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กทำให้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่า แม้เขาจะตายไป ก็จะมีคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนเขาทันที เหมือนกับอะไหล่ของเครื่องจักรที่มีสำรองเอาไว้ตลอดเวลา การตายของเขาจึงไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ หรือสลักสำคัญอะไร เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
   ชีวิตที่มีไว้เพื่อถูกใช้ไปเหมือนตัวหมาก ชีวิตที่มีไว้เพื่อแทนที่
   ชีวิตที่ไม่มีใครสำคัญไปมากกว่าใคร
   หากวันนี้เขาต้องจากโลกไป พรุ่งนี้คนอื่นก็จะมาทำงานแทนที่เขา ด้วยศักยภาพที่เท่าเทียมกัน หรือยอดเยี่ยมกว่า
   เว่ยเฟิงปิงจะได้ตัวเลือกใหม่ ได้หมากตัวใหม่ ไม่นานก็จะลืมเลือนเขาไป
   มีเพียงเรื่องเดียวที่น่าเสียดาย
   เสียดายที่ตัวเขาเองมีโอกาสได้รับใช้คนคนนี้น้อยเหลือเกิน

   !!!!!
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งโพล่ง มองเห็นเส้นผมของตัวเองกระจายลงบนพื้น เว่ยชิงที่สอดกระบี่กลับเข้าฝักและเก็บมันอย่างเงียบๆ นัยน์ตาคมวาวสีดำราวกับน้ำครำสะท้อนประกายในแสงไฟ
   “ซื่อเยี่ยน ฉันถือว่าเธอคนเดิมที่ฉันเคยเลี้ยงดูได้ตายจากไปแล้ว ต่อแต่นี้เธอไม่ใช่คนของฉันอีกต่อไป”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายใหญ่ของตนด้วยนัยน์ตาสั่น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกที่ยากจะกล่าว
   “ขอบพระคุณมากครับคุณท่าน”
   เว่ยชิงมองอดีตลูกน้องของเขา และยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
   “ดูแลลูกชายฉันด้วย”
   เว่ยเฟิงปิงขยับปากอย่างไม่มีเสียงเพราะความตกตะลึงอยู่นาน ในที่สุดก็พูดออกมาได้
   “ผมไม่ได้อยากให้คุณพ่อทำแบบนี้”
   “ลูกอยากให้พ่อฆ่าเขาหรือ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลงทันที ก่อนจะเบือนหน้าออกไปทางอื่น
   “เปล่า” ผู้เป็นบุตรชายตอบ รู้สึกหงุดหงิดใจที่ผู้เป็นบิดาแสดงออกมาว่าการไว้ชีวิตของจางซื่อเยี่ยนนั้นเป็นการหวังดีกับเขา แต่ก็ต้องกล้ำกลืนคำพูดแดกดันเอาไว้ เขาไม่อยากสูญเสียผู้ชายที่ชื่อจางซื่อเยี่ยนไปเพียงเพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง
   เว่ยชิงมองดูบุตรชายของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้อีกหน และกลับไปนั่งบนโซฟาเช่นเดิม
   “จริงๆ ที่พ่อมาวันนี้เพื่อจะนัดลูกไปทานอาหารที่สำนักงานใหญ่สักมื้อหนึ่ง ครอบครัวเราไม่ได้พบหน้าพร้อมกันนานแล้ว”
   ใบหน้าเรียวได้รูปเชิดขึ้นมองผู้เป็นบิดาด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาสีฟ้าไหววูบอยู่หลายหน
นัดทานอาหาร?!
ปกติเว่ยชิงไม่เคยอยากพบหน้าลูกคนไหนด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเรื่องธุรกิจภายในตระกูล การนัดทานอาหารครั้งนี้คงมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และคงเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย
   “เมื่อไหร่หรือครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะกดข่มไว้เต็มที่  เขาไม่อยากแสดงความตื่นเต้นให้ผู้เป็นบิดาเห็นมากนัก
   “เสาร์ที่จะถึงนี้ ห้าโมงเย็น พ่อคิดว่าลูกน่าจะไปได้”
   “ครับ” ผู้เป็นบุตรเอ่ยเสียงหนักแน่น ชายชรายิ้มและปรบมือเป็นจังหวะสองครั้ง  เหล่าบอดีการ์ดต่างค่อยทยอยเดินกลับเข้ามาในห้อง
   “ซื่อเยี่ยน ส่งของที่ฉันฝากไว้ให้หวังหมิง”
   จางซื่อเยี่ยนทำตามคำสั่งของอดีตเจ้านายอย่างว่าง่าย เขาส่งแฮนดี้ไดรฟ์ให้กับบอดีการ์ดของเว่ยชิงที่เดินเข้ามาซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำงานร่วมกัน ทันทีที่สบสายตา จางซื่อเยี่ยนรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่เอ่ยปากถามเท่านั้น และก็คงไม่มีใครกล้าถาม  เพราะทุกคนทราบดีว่าการกระทำเยี่ยงนี้เป็นสิทธิ์ขาดของผู้นำสูงสุดของพวกเขา  การเอ่ยถามหรือซักไซ้ข้อมูลถือเป็นการไม่ให้เกียรติท่านอย่างที่สุด
   “พ่อจะกลับล่ะ” เว่ยชิงเอ่ยขึ้น และเดินนำออกไป โดยมีเว่ยเฟิงปิงเดินตามไปส่ง
---------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อเดินกลับมายังห้องรับรองเมื่อครู่ เขามองกองเส้นผมสีดำยาวที่กระจายอยู่ตามพื้น ซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยอยู่บนศีรษะของผู้ที่กำลังเดินตามหลังมา
   “ฉันจะอธิบายเรื่องผมนายว่ายังไงดี?” ร่างบางเอ่ยถามความเห็นจากเจ้าของเส้นผม  จางซื่อเยี่ยนมองหน้าเขาและตอบออกมา
   “เดี๋ยวผมเก็บกวาดเองก็ได้ครับ”
   “ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ผู้เป็นเจ้านายพูดด้วยความเหนื่อยใจ และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า
   “ฉันจะอธิบายเหตุผลกับคนอื่นยังไง ในเมื่อจู่ๆ ผมนายแหว่งไปแบบนี้”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก “ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอกครับ ทุกคนน่าจะเข้าใจได้เอง”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก เขากวาดตาดูจางซื่อเยี่ยนขึ้นๆ ลงๆ
   “นายไปตัดผมใหม่ให้เสร็จแล้วค่อยมาพูดกันดีกว่า”
   ผู้เป็นลูกน้องกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้เป็นเจ้านายของเขาติดใจเรื่องทรงผมมากขนาดนี้
   “ถ้าคุณว่าแบบนั้น ก็ตกลงครับ”
---------------------------------------
   ฝีมือทำอาหารเช้าของคลาวเดียไม่ถือว่าแย่ จัดอยู่ในเกณฑ์อร่อยชนิดที่สมควรเปิดร้านอาหารด้วยซ้ำ แต่ผู้ร่วมโต๊ะกลับมีสภาพราวกับพยายามจะกล้ำกลืนอาหารมื้อนี้ลงไปอย่างไม่ค่อยจะเกรงใจคนทำนัก โดยเฉพาะฟ่งซึ่งดูจะทานได้เชื่องช้าจนหน้าตกใจ แน่นอนว่าสมองยังคงวนเวียนคิดเกี่ยวกับเรื่องแบบแปลนที่ตนเองเขียนขึ้น พร้อมด้วยคำถามว่าจะเข้าไปอย่างไร
   รูฟัสที่โดยปกติจะเจริญอาหาร ก็ทานเพียงแค่ชามเดียว เขามองดูฟ่งอย่างเป็นห่วง  ตั้งแต่เช้าเขายังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคนรักเป็นการส่วนตัวเลย
   รัสเลอร์นั่งแทะช้อนอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องแปลน หรือคิดเครื่องมือทำอาหารบ้าๆ บอๆ อยู่กันแน่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนราฟาแอลจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด  เขาเพิ่งทานชามที่สองไปและกวาดตามองคนทั้งสามอย่างหงุดหงิด
   “พวกแกเป็นอะไรกัน ทำหน้าอย่างกับเป็นวันโลกแตก”
   ทุกคนหันมามองราฟาแอลด้วยสายตามึนๆ งงๆ ราวกับนัดกันไว้ คิ้วสีบลอนด์ขมวดยุ่ง  เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มไม่ค่อยจะพอใจคนรอบข้างขึ้นมาแล้ว
   “คลาวเดียอุตส่าห์ทำอาหารให้พวกแกกินโดยไม่ต้องเสียเงินแท้ๆแท้ๆ ทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้น ฉันว่าอาหารของคลาวเดียอร่อยจะตาย”
   “เอาน่า ราฟี่  พวกนั้นอาจจะมีเรื่องให้ต้องคิดก็ได้” คลาวเดียพูดแก้ตัวให้สามคนที่เหลือ  แฟนหนุ่มหันมามองหน้าหล่อนอย่างขอความเห็นใจ
   “นี่ผมกำลังโมโหเพื่อคุณนะเนี่ย”
   หญิงสาวหัวเราะ “ดีใจจังที่คุณโมโหเพื่อฉัน แต่ว่าพวกหนุ่มๆ คงมีเหตุผลที่ต้องแสดงกิริยาแบบนี้”
   “พวกแกมีเรื่องอะไรกัน?” ราฟาแอลถามอีกครั้ง และนึกแปลกใจ เพราะตอนลงมาก็เห็นยังดีๆ กันอยู่
   “ฉันกำลังคิดถึงไม้นวดแป้ง มันคงจะดีมากถ้ามันสามารถนวดแป้งได้โดยที่เจ้าไม่ต้องจับหรือเฝ้าดู” รัสเลอร์เอ่ยขึ้น ราฟาแอลรีบพูดสวนทันที
   “พอเลยกับไอ้เครื่องมือบ้าๆ นั่น ฉันคิดว่านายจะคิดอะไรที่มันได้เรื่องได้ราวกว่านี้เสียอีก”
   รัสเลอร์แบะปากอย่างไม่พอใจ และก้มลงทานอาหารต่อ หนุ่มผมบลอนด์หันหน้าไปทางเพื่อนร่วมงานที่อยู่กันมานาน
   “แล้วแก รูฟัส มีเรื่องอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
   “ผมก็ว่าผมทำหน้าปกตินะ” รูฟัสตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ราฟาแอลเลิกคิ้ว และคิดว่าป่วยการจะเค้นถามอะไรจากเจ้าบ้ากวนประสาทนี่
   “เธอล่ะ ฟ่ง?”
   ฟ่งสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อถูกเรียก เขาหันหน้ากลับมาและพบว่าทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่  หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นเกาดั้งจมูกที่ถูกแว่นกดทับ
   “มีอะไรหรือ?” เขาพูดเหมือนกับไม่ได้ยินคำถาม ผู้ถามจึงถามออกไปอีกครั้งอย่างอดทน
   “เธอเป็นอะไร?”
   “เปล่านี่” ชายหนุ่มตอบอย่างงงๆ  ราฟาแอลถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ถ้าเปล่าแล้วทำไมทำหน้าเซ็งโลกแบบนั้น? อาหารฝีมือคลาวเดียแย่มากหรือไง?”
   รูฟัสภาวนาไม่ให้ฟ่งพูดออกไปว่าใช่ เพราะคงจะโดนราฟาแอลเอ็ดตะโรอีกพักใหญ่แน่ๆ  เผลอๆ ทางนั้นจะเอาปืนขึ้นมาเล่นอีก ฟ่งทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ และยิ้มแห้งๆ
   “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ อาหารอร่อยมาก เพียงแต่ผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
   “เรื่องอะไรล่ะ?” ราฟาแอลยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะรู้เรื่องในหัวสมองของคนอื่น  ฟ่งมีสีหน้าลังเล แต่ในที่สุดก็ยอมพูดออกมา
   “ผมยังคิดเรื่องทางเข้าไม่ออก..”
   “อ้อ เรื่องนั้น” ราฟาแอลร้องออกมาราวกับมันเป็นแค่เรื่องเล็ก
   “เธอไม่ต้องไปคิดให้วุ่นวาย ฉันได้ความคิดใหม่แล้ว เธอแค่ต้องคำนวณหาโอกาสที่มันจะถล่มลงมาก็พอ”
   “เอ๋?” ฟ่งร้องอย่างแปลกใจ  หนุ่มผมสีบลอนด์พูดต่อ
   “ไม่ต้องงง ทานข้าวให้สบายใจซะ เดี๋ยวฉันจะอธิบายแผนตอนหลัง”
   แม้จะรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง แต่ในที่สุดหนุ่มสวมแว่นก็ยอมที่จะทานอาหารที่เหลือโดยไม่เหม่อลอยอีก
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-06-2011 13:25:37
เป็น พ่อ ที่โหดได้ใจดีจริงๆๆๆ  o22  ดีนะที่ตัดแค่ผมนะ ไม่งั้นไม่อยากจะคิดเลยอะ  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 13-06-2011 13:30:27
อืมมม มันเหมือนภาวะอึมครึมก่อนจะเกิดเรื่องใหญ่เลย ช่างกดดันซะนี่กระไร :z10:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-06-2011 13:58:09
นึกว่าอาซื่อจะต้องไปพบกับเจ้าแม่กวนอิมซะแล้ววววว 
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 13-06-2011 18:39:07
ท่าทางจะวุ่นวายทั่วโลกมาเฟีย ภายในฮ่องกงก็กำลังจะปะทะกัน เลือดฟุ่งแน่
แล้วไหนจะยาเสพติดตัวใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตาทั่วโลก ให้เดาความคิดของ
ราฟาเอลคงจะให้คำนวณว่า ถ้าถล่มมีเวลาเหลือเท่าไร ให้ปฏิบัติการได้แน่เลย
เสี่ยงแน่ๆ แถมมีโอกาสแค่ครั้งเดียวด้วย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 14-06-2011 09:25:37
เออ อยากจะบอกว่า
เรื่องนี้สนุกซับซ้อนมากอะ ชอบ แปลกดี
อ่านแล้วลุ้นน่าติดตามทุกคู่

อ่านแล้วอยากอุดหนุนหนังสือนะเนี้ย
จองซักชุดละำกัน
อุดหนุนเพื่อนหน่อย 5555
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-06-2011 12:42:04
บทที่39  คำง่ายๆ ที่ยากจะเอ่ย
   “เฮ้ ราฟี่  ไอ้ความคิดใหม่ของนายเกี่ยวกับเรื่องทางเข้าออกนั่นน่ะ ยังไงหรือ?” รัสเลอร์ที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเอ่ยถามราฟาแอลซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ผู้ถูกถามเลิกคิ้วสีบลอนด์ขึ้นอย่างแปลกใจ
   “ฉันคิดว่าคนแรกที่จะถามเรื่องนี้จะเป็นเจ้ารูฟัสเสียอีก”
   รัสเลอร์ยักไหล่ ทำปากแบะ “ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันเพิ่งถูกมันไล่ออกมาเนี่ย”
   “ไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ” หนุ่มผมบลอนด์พูด อีกฝ่ายเกาศีรษะอย่างนึกไม่ออก
   “ไม่รู้ คงหึงเด็กมั้ง”
   “อ้อ” ราฟาแอลร้องครางเสียงยาว พยักหน้าอย่างเข้าใจ
   “เมื่อคืนแกนอนที่ห้องรูฟัสนี่นะ”
   เขาว่า และไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้รัสเลอร์เกาศีรษะอีกครั้งอย่างงุนงง

   รูฟัสยืนรอฟ่งช่วยคลาวเดียจัดการครัวอย่างอดทน ไม่ใช่ว่าแล้งน้ำใจไม่เข้าไปช่วย แต่เขาเพิ่งโดนคลาวเดียไล่ออกมาพร้อมกับรัสเลอร์  ผู้ซึ่งพยายามที่จะทำลายล้างมากกว่าล้างจาน  และเขาก็เพิ่งไล่เจ้านั่นออกไปเมื่อครู่นี้เอง
   “เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีเอ่ยถามทันทีที่เห็นผู้ที่ตนรออยู่เดินออกมาจากครัว ฟ่งพยักหน้าและมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ
   “มีอะไรเหรอ?”
   “ไปกับผมแป๊บหนึ่งสิครับ” รูฟัสว่า และฉวยมือจูงฟ่งออกไปทันที
   “เรื่องแผนที่?” ฟ่งถามอีกครั้งเมื่อทั้งคู่เดินผ่านห้องรับแขก ซึ่งมีรัสเลอร์กับราฟาแอลนั่งอยู่ รูฟัสไม่ตอบ แต่เดินผ่านห้องนั้นไปเงียบๆ ฟ่งเห็นสองคนที่นั่งอยู่มองมาทางเขา
   “จะพาผมไปไหน?”
   รูฟัสยังคงเงียบ เขาจูงฟ่งมาถึงมุมหนึ่งของบ้าน ซึ่งมีประตูเปิดเข้าไปสู่สวน เป็นส่วนที่ฟ่งไม่เคยเข้ามาก่อน
   “ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากจะมีเวลาส่วนตัวกับคุณสักหน่อย” ชายหนุ่มตาสองสีพูดออกมาในที่สุด อีกฝ่ายมองเขาอย่างแปลกใจ
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ?” ฟ่งถาม พลางคิดว่ารูฟัสอาจจะต้องการพูดเรื่องสำคัญมากอยู่ก็ได้ ผู้ถูกถามจ้องหน้าเขาเหมือนกำลังค้นหาคำพูดจากใบหน้า และถอนหายใจยาว
   “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
   “คุณไม่มีอะไรจะพูดกับผมบ้างหรือครับ” ชายหนุ่มถาม ฟ่งรู้สึกถึงแรงบีบเล็กน้อยจากมือของรูฟัสที่กุมมือเขาอยู่ หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะ เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะพูดอะไรกับผู้ชายคนนี้  ถ้าจะพูด ก็คงเรื่องแผนที่ล่ะมั้ง
   “ผมยังคิดทางเข้าให้คุณไม่ออก”
   รูฟัสถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะดึงมือของฟ่งขึ้นมาจูบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  ฟ่งขยับตัวด้วยความตกใจ
   “ผมรักคุณมากนะครับ” รูฟัสว่า พลางช้อนนัยน์ตาสองสีขึ้นมองฟ่งอีกครั้ง  ร่างบางมีท่าทีอึกอัก ด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองการกระทำนี้อย่างไรดี
   “กลับไปข้างในก่อนดีไหม ผมว่าคุณราฟาแอลกับคุณรัสเลอร์อาจจะรออยู่” ฟ่งพยายามจะเปลี่ยนประเด็น เขาทำตัวไม่ถูกจริงๆ เวลาที่รูฟัสมีพฤติกรรมแบบนี้  นัยน์ตาสองสีนั้นมองมาทางเขาอีกครั้ง หากไม่คิดไปเอง เหมือนมันจะฉายแววผิดหวังหน่อยๆ
   “ครับ” ร่างแกร่งพูดออกมาในที่สุด และจูงมือเขาเดินออกไป
-------------------------------------------------
   “ตกลงกันเสร็จหรือยัง?” ราฟาแอลเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นรูฟัสโผล่หน้ากลับเข้ามาในห้องรับแขก  ผู้ถูกถามตอบด้วยสีหน้าที่มึนตึงอย่างเห็นได้ชัด
   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
   ราฟาแอลขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย และตัดสินใจว่าไม่ควรจะซักถามต่อ
   “นั่งลงสิ ฉันจะคุยเรื่องแผนที่”
   รูฟัสนั่งปุลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ทำให้ฟ่งต้องนั่งลงไปด้วย รัสเลอร์มองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
   “พวกนายไปไหนกันมา?”
   ราฟาแอลกระทุ้งศอกใส่หนุ่มปากมากทีหนึ่ง และเริ่มต้นบทสนทนาใหม่
   “ที่ฉันบอกว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องทางเข้าน่ะ เพราะว่ายังไงเราก็จะเข้าไปทางนั้นแหละ”
   ฟ่งและรัสเลอร์มีสีหน้าที่แสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดทันที ราฟาแอลจึงอธิบายต่อ
   “เธอบอกว่า ห้องนั้นมีโอกาสถล่ม ก็หมายความว่ามีโอกาสที่มันจะไม่ถล่มเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
   “ก็อย่างนั้นแหละครับ แต่มันอันตราย” ฟ่งแย้งอย่างรู้สึกเป็นห่วง ราฟาแอลยักไหล่
   “เพราะมันอันตรายนั่นแหละเราถึงได้ถูกจ้างยังไงล่ะ  ใช่ไหม?” ราฟาแอลตอบ  และหันไปทางรูฟัสซึ่งมีทีท่าเหม่อลอยเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่ทุกคนกำลังพูด
   “อืม” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องที่กำลังพูดกันมากนัก รูฟัสกำลังรู้สึกหงุดหงิดและสับสน ตอนที่ฟ่งกลับมาหาเขาด้วยเหตุผลที่ว่าเลือกเขาแทนที่จะกลับบ้านนั้น รูฟัสคิดว่าฟ่งจะยอมรับตัวเองและเข้าใจจิตใจของเขามากขึ้น แต่หลังจากเวลาผ่านไป ชายหนุ่มพบว่าอีกฝ่ายยังคงเย็นชากับเขาอยู่ ถึงเป็นพฤติกรรมโดยปกติก็เถอะ มันทำให้เขาอดน้อยใจไม่ได้  ทำไมฟ่งถึงทำเหมือนกับว่าทุกคนสำคัญไปหมดยกเว้นเขา ทั้งๆ ที่บางเวลาก็แสดงออกมาว่าอยากจะมีเวลาส่วนตัวกับเขา แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็บ่ายๆ เบี่ยงๆ  อ้างโน่นอ้างนี่  เขาพยายามจะทำความเข้าใจว่าฟ่งคงเขินอายที่จะต้องแสดงความรู้สึกออกมาต่อหน้าผู้อื่น แต่ถ้าความเขินอายกลายเป็นความเย็นชาขนาดนี้ก็คงทำใจลำบากเหมือนกัน รูฟัสชักสงสัยว่าฟ่งรักเขาแบบไหนกันแน่
   “นี่แกฟังบ้างรึเปล่า?” ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นอย่างเริ่มมีโมโห เมื่อสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานดูจะอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่า รูฟัสยักไหล่
   “เอาไงล่ะ งานเสี่ยงนี่ของถนัดผมอยู่แล้ว คุณว่าไงผมก็ว่างั้น”
   “เล่นกันง่ายๆ เลยนะ” รัสเลอร์ว่าและหัวเราะ  ราฟาแอลย่นคิ้ว
   “สรุปว่าแกจะไม่เสนอความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม?”
   “ก็ตามคุณว่านั่นแหละ”
   “แกรู้เหรอว่าฉันว่าอะไร?” หนุ่มผมบลอนด์ยังไม่ยอมแพ้ จ้องจะจับผิดเพื่อนร่วมงานให้จงได้
   “คุณจะใช้โอกาสเสี่ยงตอนที่ทดสอบระบบลอบเข้าไปใช่ไหมล่ะ ถ้ามันไม่ถล่มก็ดี แต่ถ้ามันเกิดถล่มขึ้นมาก็ยังดีอยู่ เพราะด้านล่างต้องวุ่นวายมากแน่ๆ ถึงตอนนั้นเราถือโอกาสแอบปลอมเป็นพนักงานคนใดคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาเลยยังได้ ผมพูดถูกไหม?”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างยอมรับ แม้เขาจะมั่นใจว่ารูฟัสไม่ได้ตั้งใจฟังแน่ๆ แต่ก็ต้องนับถือหัวสมองของเจ้าหมอนี่ที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเข้ากันได้อย่างชำนิชำนาญ
   “ที่เราก็ต้องการก็คือ หากห้องมันเกิดถล่ม มันจะเสียหายในระดับไหน เพื่อที่เราจะได้หาทางป้องกันตัวเอง แค่นั้นแหละ” รูฟัสกล่าวเสริม ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าได้รูปนั้นแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงของรูฟัสดูเย็นชาๆ พิกล และไม่ยอมมองมาทางเขาg]p
   “ตกลงเอาตามที่ว่านั่นแหละ” ราฟาแอลสรุป  ฟ่งพยักหน้า
   “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ได้ครับ”
----------------------------------------------
   “ฉันว่า นายตัดผมสั้นก็ดีนะ” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย ขณะยกแขนขึ้นโอบคอของจางซื่อเยี่ยนซึ่งนอนอยู่ข้างๆ บนเตียงในห้องส่วนตัวของเขา หนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีนัยน์ตาสีอีกาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
   “ก็ปกติผมนายชอบทิ่มหน้าฉัน” ผู้เป็นเจ้านายอธิบายความต่อ และดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ
   “คราวนี้ก็ทำแบบนี้ได้โดยไม่รำคาญล่ะ” ร่างบางว่าและหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งของฝ่ายตรงข้าม
   “ถ้าคุณรำคาญก็น่าจะบอกผมนะครับ” จางซื่อเยี่ยนว่า เขาไม่คิดมาก่อนว่าเว่ยเฟิงปิงจะนึกรำคาญผมของเขา เอาเข้าจริงๆ คือเขาคิดว่าเว่ยเฟิงปิงรำคาญเขาไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ
   “ถ้าขืนบอก คุณพ่อคงได้ตัดอย่างอื่นของนายแทนผมน่ะสิ”
   จางซื่อเยี่ยนหลับตาอย่างสยดสยอง และไม่พยายามนึกต่อไปว่าเว่ยชิงจะตัดอะไรแทนผม  เว่ยเฟิงปิงหัวเราะชอบใจ
   “ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยต่อ จางซื่อเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ
   “อยากให้ทำอะไรล่ะครับ” เขาถามและโดนเว่ยเฟิงปิงต่อยหน้าอกเบาๆ ทีหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนจึงรวบร่างนั้นเข้ามากอด ก่อนจะซุกไซ้ลงไปบนซอกคอขาวๆ นั้นอย่างนิ่มนวล เว่ยเฟิงปิงขยับตัวหนีหน่อยหนึ่งและใช้มือดึงใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนขึ้นมา
   “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายเป็นของฉันแล้ว” ร่างบางว่า และพิศมองใบหน้านั้นอยู่พักใหญ่
“ฉันอยากจับนายใส่ปลอกคอ”
   ผู้เป็นลูกน้องกะพริบตาปริบๆ มองดูผู้เป็นเจ้านายด้วยแววตาไม่ค่อยเข้าใจนัก
   “คงไม่ดีมั้งครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว พลางคิดว่าเว่ยเฟิงปิงขยับฐานะเขาจากบางสิ่งบางอย่างที่อยู่นอกสายตามาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไงกันกันนะ ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะอย่างมีความสุข
   “ล้อเล่นน่ะ แต่ถ้านายยอมฉันจะซื้อมาใส่ให้เลย”
   จางซื่อเยี่ยนตัดสินใจว่าเขาควรจะเปลี่ยนเรื่อง
“วันเสาร์นี้จะไปทานข้าวกับคุณท่านรึเปล่าครับ”
   “ไปสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว มองหน้าผู้เป็นลูกน้องอย่างแปลกใจ
   “นายยังไม่เคลียร์หมายกำหนดการให้ฉันเหรอ?”
   “ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะไปหรือเปล่า”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจยาว “ฉันต้องไป คุณพ่อลงทุนถ่อมาหาฉันถึงนี่ คงไม่ใช่แค่ไปทานอาหารธรรมดาแน่ๆ  นายก็รู้ว่านัดทานอาหารของคุณพ่อทุกครั้งมีแต่เรื่องสำคัญทั้งนั้น ถ้าฉันพลาด จินหยินก็คงคาบไปกิน”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า เขารู้ดีว่าการนัดทานอาหารของเว่ยชิงนั้นคือการนัดเพื่อคุยเรื่องสำคัญในตระกูล บรรดาลูกๆ ทั้งหมดที่คุมกิจการในด้านต่างๆ จะมารวมตัวกัน ถือเป็นการพบปะที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนัก และน้อยหนที่เจ้าตัวจะลงทุนมาเชิญด้วยตนเองแบบนี้ แสดงว่าเรื่องในคราวนี้คงต้องสำคัญมาก และเพราะอย่างนี้นี่แหละถึงทำให้เขาอดห่วงผู้เป็นเจ้านายไม่ได้
   “ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”
   “เปล่าครับ ผมจะเลื่อนนัดคุณเฉินกับคุณฟาเรลออกไปก่อนแล้วกัน”
   “อืม ตามนั้นแหละ แต่ไม่ต้องบอกหรอกนะว่าฉันติดธุระทานอาหารกับคุณพ่อ ฉันคิดว่าคุณพ่อคงไม่อยากให้เอิกเริก”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะช้อนนัยน์ตาสีฟ้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่าย
   “จูบราตรีสวัสดิ์ฉันหน่อยสิ”
-----------------------------------------
   “ทำไมคุณพ่อถึงต้องไปหาเฟิงปิงด้วยตัวเอง?” จู่ๆ เว่ยจินหยินก็เอ่ยประโยคคำถามขึ้นมาลอยๆ อย่างที่ชอบทำทุกครั้งเวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่  เถียนซานคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้าอย่างเข้าใจ มองดูชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ผู้ซึ่งอยู่ในชุดนอนแพรสีเขียวสดใส เขากำลังนั่งอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของอดีตเจ้านาย
   “คุณท่านคงมีเรื่องสำคัญ”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างเห็นด้วย และยกแว่นที่เพิ่งเช็ดเสร็จขึ้นมาสวม
   “แต่ฉันคิดว่าคุณพ่อไปเพราะเรื่องของซื่อเยี่ยนด้วย ได้ข่าวมาว่าคุณพ่อตัดผมของเจ้านั่นไป”
   “ซื่อเยี่ยนน่ะหรือครับ”
   “อืม” คนถามพยักหน้า “เห็นว่าคุณพ่อไล่ทุกคนออกไปหมด เลยไม่รู้ว่าเพราะอะไร นายคิดว่าเพราะเรื่องที่ฉันเล่ารึเปล่า?”
   “เรื่องที่คุณชายเจ็ดคิดจะรั้งซื่อเยี่ยนไว้ด้วยร่างกายน่ะหรือครับ?”
   “อืม”
   “อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้ครับ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยเรื่องที่คุณเล่าคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณท่านตัดสินใจไปที่นั่น”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า และพูดต่อ “คุณพ่อคงเชื่อฉันอยู่สักนิดนั่นแหละ แล้วที่ตัดผมของซื่อเยี่ยนทิ้ง ก็คงเพราะทางนั้นยอมรับ แต่...ทำไมคุณพ่อถึงได้ตัดแค่ผมล่ะ?”
   “อยากให้ตัดอย่างอื่นหรือครับ” เถียนซานกล่าว เว่ยจินหยินมองคนตรงหน้าอีกครั้ง และหัวเราะ
   “เอ้อ... นั่นสินะ ฉันก็แค่สงสัย คิดว่าคุณพ่อน่าจะโกรธหรือลงโทษอะไรมากกว่านี้เท่านั้นเอง”
   “บางทีคุณท่านอาจจะไม่ได้โกรธอย่างที่คุณคาดหวังก็ได้นะครับ” เถียนซานว่า เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “นั่นสิ ท่าทางหมากตานี้ฉันคงประเมินพลาดไป เอาเถอะ บางทีนี่อาจจะเป็นตาหมากซ้อนหมากที่คุณพ่อวางไว้ดักเด็กนั่นก็ได้”
   เถียนซานเพียงแต่พยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เว่ยจินหยินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงพูดขึ้นอีก
   “คุณพ่อเชิญเด็กนั่นมาทานอาหารด้วย นายคงรู้แล้วสินะ”
   “ครับ”
   “นายว่าคุณพ่อจะมอบงานสำคัญอะไรให้เด็กนั่นรึเปล่า รู้ๆ กันอยู่ว่าปกติคุณพ่อไม่ค่อยชอบขี้หน้าเด็กนั่น จะเรียกตัวมาหาก็ยากเต็มที คราวนี้นึกอะไรถึงได้เรียกมาทานอาหารกันนะ”
   เว่ยจินหยินตั้งข้อสังเกต เถียนซานนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “ไม่รู้เหมือนกันสิครับ แต่ผมคิดว่าคุณท่านคงไม่ทำเหมือนคราวที่ผ่านมา”
   บนใบหน้าของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
   “คุณพ่อคงรู้ว่าควรจะทำอะไรเวลานี้ ถึงเฟิงปิงจะไม่ใช่ตัวหมากดีเลิศอะไร แต่ก็ไม่ใช่หมากชั้นเลว คุณพ่อคงไม่เดินทิ้งขว้างหรอก”
   เถียนซานพยักหน้าอีกครั้ง เว่ยจินหยินนิ่งไปอีกพักหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นต่อ
   “นี่อาซาน นายน่ะถึงห่างกับอาซิงหลายปีแต่ก็ยังสนิทกันใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกแบบนั้นกับพี่น้องของฉันบ้างเลยนะ”
   “คงเพราะไม่ได้โตด้วยกันน่ะครับ” เถียนซานตอบ เว่ยจินหยินพยัพหน้าหน่อยหนึ่ง นัยน์ตาดำวาวราวสุนัขจิ้งจอกมองผ่านเลนส์แว่นออกไปในที่ที่ไม่มีใครรู้ สักพักจึงกล่าวสืบต่อ
   “พรุ่งนี้มีธุระไปไหนตอนเช้าหรือเปล่า?”
   เถียนซานสั่นศีรษะ
   “งั้นอยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนสิ”
   “ได้ครับ” เถียนซานกล่าว และผุดลุกขึ้น เขาทราบดีว่าผู้เป็นเจ้านายจบเรื่องสนทนาแล้ว และก็คงถึงเวลาพักผ่อน เว่ยจินหยินโบกมือเป็นเชิงอำลา ขณะที่เถียนซานเดินออกจากห้องไป
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินลงมาด้านล่าง หลังจากนั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของการถล่มและอัตราความเสียหายของลิฟต์อยู่กับรัสเลอร์เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงเศษ ฟ่งยอมรับว่ารัสเลอร์เป็นคนฉลาด และช่วยได้มากในเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองกลับไม่ค่อยจะมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่เท่าไรนัก สาเหตุหลักคงจะมาจากน้ำเสียงของรูฟัสในตอนท้ายๆ ที่ทำให้เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง  และเขาก็ไม่เห็นรูฟัสเดินขึ้นมาดูเลยตอนที่ทำงาน ทั้งๆ ที่ปกติมักเฝ้าวนเวียนอยู่ไม่เคยห่างแท้ๆ ฟ่งพยายามคิดว่ารูฟัสคงคุยกับราฟาแอลอยู่ แต่ท้ายที่สุดก็ทนความว้าวุ่นใจไม่ได้
   เขาอยากเจอรูฟัส
   อยากบอกว่าเป็นห่วง
   ฟ่งไม่อยากให้รูฟัสเสี่ยงกับเรื่องนี้ ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าเรื่องเสี่ยงเป็นงานถนัดก็เถอะ นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเลยสักนิด
   รูฟัสพูดออกมาโดยคิดถึงความรู้สึกของเขาบ้างรึเปล่า ถ้าเขาเกิดต้องสูญเสียรูฟัสไปในคราวนี้ล่ะ?
   ฟ่งรู้สึกปวดแปลบที่หน้าอก อยากจะคุยกับหนุ่มตาสองสีคนนั้นเดี๋ยวนี้ แต่ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก รวมทั้งราฟาแอลและคลาวเดียด้วย ทั้งสามคนอาจจะออกไปข้างนอก  เพราะรถก็ไม่อยู่ในที่จอดรถ ชายหนุ่มสวมแว่นถอนหายใจอย่างผิดหวัง
   นี่รูฟัสคิดอะไรอยู่ก่อนหน้านี้รึเปล่านะ ถึงได้ถามแบบนั้นออกมา
   ฟ่งบีบมืออย่างลืมตัว  เขายังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือของรูฟัสในตอนที่จูงมือเดินไปที่ประตูบานนั้น เพียงแต่ตอนนั้นเขายังคิดไม่ถึง ฟ่งยอมรับว่าเวลาอยู่กับรูฟัสสองต่อสอง เขารู้สึกขัดเขินจนทำอะไรไม่ถูก อย่างไรก็ดี พอทางนั้นไม่อยู่ใกล้ๆ กลับรู้สึกคิดถึงจนแทบทนไม่ไหว
   ร่างบางเดินไปตรงหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกอย่างเลื่อนลอย แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องทาบทาต้นไม้ใบหญ้าในสวน แม้จะเพิ่งเลยตอนเที่ยง แต่อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่สำหรับเขา ฟ่งยกมือขึ้นกอดอก  พลางนึกถึงเรื่องที่เขาอยากจะพูดโดยไม่ได้รู้สึกถึงอีกคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
   
รูฟัสเพิ่งเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่ให้ซ้อมยิงปืน เขายอมรับกับตัวเองนิดหน่อยว่าการยิงปืนทำให้อารมณ์เย็นขึ้นอย่างที่ราฟาแอลว่าจริง รูฟัสรู้สึกหงุดหงิดเรื่องฟ่ง  ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้เย็นชากับเขานัก อย่างนั้นถ้าเขาลองเย็นชากลับบ้างล่ะ มันจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวหรือเปล่า? 
หนุ่มนัยน์ตาสองสีคิดว่าตัวเองเสนอหน้ามากไป จนอาจจะทำให้ทางนั้นไม่เห็นค่าก็ได้  ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะลองอยู่ห่างจากฟ่งสักพัก
แต่พอได้พบร่างที่แสนจะคุ้นตายืนหันหลังอยู่ตรงหน้า เจตนารมณ์ที่วางเอาไว้ก็สั่นคลอนทันที
   ฟ่งที่ยืนคนเดียวอยู่ตรงหน้าต่างและมีแสงแดดอ่อนๆ สาดต้องผิวให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดมากกว่าของจริง  รูฟัสชักนึกสงสัยว่าฟ่งนั้นเป็นความจริงหรือความฝันของเขากันแน่ 
ชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ใจหนึ่งอยากที่จะรวบตัวอีกฝ่ายเอาไว้และกอดจูบให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็รู้ดีว่าหลังจากที่ทำแบบนั้นลงไปแล้วคงมีเรื่องน่าปวดหัวตามมาอีกเป็นขบวน
   ดังนั้นรูฟัสจึงชะงักเท้าเอาไว้
   “อ๊ะ!” ฟ่งหันหลังกลับมาและคลี่ยิ้มด้วยความยินดี รูฟัสกลืนน้ำลายอย่างลืมตัว รอยยิ้มนั้นแทบจะทำให้เลิกล้มความคิดเดิมในตอนแรก ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ หัวใจแทบจะละลายไปกับรอยยิ้มนั้น
   ก้อนน้ำแข็งที่เย็นยะเยือก ยามเมื่อจะละลายกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าเปลวไฟเสียอีก
   รูฟัสชะงักเท้าอย่างได้สติ เขากลัวที่จะถูกแช่แข็งอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องแช่แข็งตัวเองก่อน
   “ไม่ทำงานหรือครับ” รูฟัสเอ่ยถามออกไปโดยพยายามรักษาเสียงให้ราบเรียบมากที่สุด ฟ่งหัวเราะเขินๆ
   “ผมอู้น่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า พยายามเค้นเอาคำพูดที่นึกไว้เมื่อครู่ให้ออกจากปาก น่าแปลก พอได้เจอกับรูฟัสจริงๆ เขากลับพูดคำที่คิดไว้ไม่ออกสักคำ
   “อืม” รูฟัสส่งเสียงอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาพยายามบังคับสายตาให้มองไปทางอื่น เพราะกลัวว่าฟ่งจะรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีอยู่ รูฟัสพบว่าการพยายามเย็นชากับฟ่งนั้น ช่างทรมานเขาสิ้นดี แค่เห็นผิวขาวๆ หัวใจก็เต้นแรงแล้ว
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ รูฟัสดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฟ่งมั่นใจว่าเขาคงไม่ได้คิดไปเองเสียแล้ว ทางนั้นคงไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ
   “โกรธผมหรือ?” ร่างบางเอ่ยถาม รูฟัสมองดูคนตรงหน้า พลางนึกย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองหลบไปนอนตรงมุมห้อง ตอนนั้นฟ่งก็ถามเขาแบบนี้เหมือนกัน
   คราวนี้ก็จะให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีกหรือ?
   ฟ่งถอนหายใจ รูฟัสต้องโกรธอะไรเขาอยู่แน่ๆ แต่ไม่ยอมบอก
   “ผมขอโทษถ้าทำอะไรให้คุณไม่พอใจ”
   “คุณไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” รูฟัสตอบ แต่ในใจนั้นอยากจะบอกออกไปตรงๆ ว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องอะไร ฟ่งทำคิ้วย่น
   “ถ้าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมคุณถึงโกรธผม?”
   “ผมไมได้โกรธคุณ” รูฟัสว่า และหันหน้าไปมองทางอื่นเสีย ฟ่งกะพริบตาปริบๆ
   “ถ้าคุณไม่บอก ก็ตามใจคุณแล้วกัน” หนุ่มสวมแว่นว่า เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาหันหน้าหนี และหมุนตัวเดินออกไปทันที
   “เดี๋ยวครับ” รูฟัสโพล่งออกมาและฉวยข้อมือนั้นไว้อย่างลืมตัว  ให้ตายสิ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายถูกง้อ ดันกลับเป็นฝ่ายมาง้อแทนเสียอย่างนั้น ฟ่งหันมามองด้วยสีหน้าบึ้งตึง
   “มีอะไร?”
   “คือ..” ชายหนุ่มพูดค้างและถอนหายใจเฮือกใหญ่   “คุณน่าจะง้อผมแท้ๆ แต่สุดท้ายผมดันต้องมาง้อคุณ”
   “อ้อ” ฟ่งร้องเสียงดัง หันตัวกลับมาจ้องหน้ารูฟัสอย่างจริงจัง
   “คุณโกรธผมจริงๆ ด้วย แต่คุณไม่ยอมบอก”
   “ผมขี้เกียจจะบอกแล้วล่ะครับ” รูฟัสพูดอย่างหมดท่า คิ้วสีน้ำตาลคู่งามขมวดเข้าหากันอีก
   “ถ้าคุณไม่บอกแล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ ผมพยายามง้อคุณแล้วนะ”
   “ง้อผม?”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างค่อนข้างจะหงุดหงิด “ผมน่ะลงมาเพราะอยากพบคุณ  แต่คุณดันมาทำแบบนี้ใส่ผม”
   “คุณลงมาหาผมเหรอ?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ ร่างบางพยักหน้าอีกครั้ง
   “ผมคิดว่าคุณออกไปข้างนอก เห็นไม่มีใครอยู่ รถก็ไม่มี”
   “ผมซ้อมยิงปืนอยู่ชั้นใต้ดิน” รูฟัสตอบ และนึกสงสัยว่าทำไมเขาต้องมาอธิบายเรื่องพวกนี้ด้วย ก็ฟ่งไม่ใช่หรือที่ทำให้เขาต้องทำแบบนี้
   “ยิงปืน?” ฟ่งทำตาโต ทำให้รูฟัสคิดว่าเขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไปหรือเปล่า ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
   “คุณลงมาหาผมทำไม?”
   “ผม...” ผู้ถูกถามอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง เขาจะบอกรูฟัสว่าอย่างไรดี บอกว่าเป็นห่วงจะดูตลกไปรึเปล่า แต่มันจริงนี่นา
   “ผม..ผมเป็นห่วงคุณ”
   “ห่วงผม? เรื่องอะไรหรือครับ?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ ลืมเรื่องไม่พอใจไปเสียสนิท  ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ในที่สุดก็พูดต่อ
   “เรื่องที่คุณจะพยายามเข้าไปในห้องนั่น ผมไม่อยากให้คุณเสี่ยงเลย”
   “เรื่องนั้น..” หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มอย่างยินดี  ฟ่งกำลังเป็นห่วงชีวิตเขา ดูท่าจะห่วงมากเสียด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดออกมาแบบนี้
   “ห่วงผมขนาดนั้นเลยหรือครับ” รูฟัสว่า พลางเดินเข้ามาใกล้ จนฟ่งเผลอถอยหลังไปนิดหนึ่งและคิดว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
   “ห่วงสิ” เจ้าตัวตอบ และหลบสายตาที่มองมาอย่างลืมตัว รูฟัสแทบจะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาเกือบจะดึงร่างนั้นเข้ามากอดให้ชื่นใจกับคำพูดเมื่อครู่นี้ แต่ว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ไล่ต้อนให้อีกฝ่ายพูดความในใจออกมาให้มากขึ้นอีก
   “ห่วงขนาดไหนหรือครับ บอกผมได้รึเปล่า?” รูฟัสกล่าว ขณะยันสองแขนเข้ากับกรอบหน้าต่าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองและรู้สึกว่าหลังของตนชนกับบานกระจกหน้าต่างด้านหลัง
   “ก็ห่วง….” ร่างบางตอบเสียงค่อย รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ
   “ดีใจจังที่คุณเป็นห่วงผม”
   “คุณ..” ฟ่งพูดค้าง เมื่อประสบกับสายตาหวานซึ้งของรูฟัสที่มองลงมา รู้สึกราวกับตนเองถูกมนต์สะกด
   “จูบได้ไหมครับ”
   แววตาสีน้ำตาลสั่นระริกอย่างอ่อนไหว ก่อนจะเผยอริมฝีปากและหลับตาลงแทนคำตอบ  รูฟัสค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้ ใช้ริมฝีปากของตนสัมผัสกับริมฝีปากสีชมพูที่เผยอรออยู่อย่างแผ่วเบา ค่อยๆ ดูดดื่มรสชาติหวานหอมบนริมฝีปากนุ่มๆ นั้น ฟ่งหลับตาพริ้ม  ยกมือขึ้นเกาะแขนรูฟัสอย่างลืมตัว รสจูบนั้นอบอุ่นจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้
   เวลาที่ไม่มีความคลางแคลงใจหลงเหลืออยู่
   เวลาที่หัวใจสื่อถึงกันมากที่สุด
   “ฟ่ง!?”
   ผู้ถูกเรียกลืมตาขึ้นมาทันที รัสเลอร์เดินลงมาจากบันได และเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง ชายหนุ่มทำหน้าเหวอ และรีบส่งเสียงต่อ “อ๊ะ ขอโทษ”
   รูฟัสถอนจูบออกจากริมฝีปากที่แสนหวงแหนนั้น แต่ไม่วายดูดเบาๆ ก่อนจะผละออก  เขาหันไปมองเพื่อนร่วมงานเจ้าปัญหาด้วยแววตาแสดงความไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด
   “เฮ้ย ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะนะ” รัสเลอร์ปฏิเสธ และรีบพูดต่อ “ฉันเห็นว่าฟ่งลงมานานเกินไป เลยคิดว่าเกิดมีเรื่องอะไรรึเปล่า”
   “เอ้อ..ผม” ฟ่งพูดอย่างนึกขึ้นได้ เขาบอกรัสเลอร์ว่าจะลงมาพักสักครู่หนึ่ง แต่นี่คงกินเวลาไปนานโข ร่างบางเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เขาไม่อยากให้ใครพบตอนที่ทำแบบนี้อยู่ รูฟัสถลึงตาใส่รัสเลอร์อย่างประสงค์ร้าย
   “เอาล่ะๆ ฉันไปทำงานต่อดีกว่า” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มรีบเอ่ย ก่อนจะวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไป ฟ่งมองดูรูฟัสที่ถอนหายใจยาว
   “ผมบอกเขาว่าจะลงมาแป๊บเดียว”
   “ไม่เป็นไรครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ย  มองดูใบหน้าของคนตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน
   “คืนนี้อยู่กับผมได้รึเปล่า แค่สองคนน่ะ”
   ฟ่งหน้าแดงขึ้นมาทันที ใช่แล้ว เมื่อคืนเขาปฏิเสธคำขอของรูฟัสโดยใช้รัสเลอร์เป็นข้ออ้าง นี่เองสินะที่ทำให้รูฟัสโกรธ
   “อือ” ร่างบางรับคำสั้นๆ รูฟัสใช้มือเชยใบหน้านั้นขึ้นมา มองลงไปอีกครั้งหนึ่งราวกับจะถามย้ำด้วยสายตาว่าพูดจริงหรือเปล่า ฟ่งพยักหน้า และแตะริมฝีปากของตนเข้ากับอีกฝ่ายเบาๆ แทนคำตอบ นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือรั้งร่างนั้นเข้ามากอด จูบตอบอย่างอ่อนโยน ทีแรกฟ่งเกือบจะใช้มือผลักรูฟัสออกไปแล้ว แต่ก็คิดได้ว่าการทำแบบนั้นอาจจะเป็นการทำลายน้ำใจของอีกฝ่ายมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้รูฟัสจูบจนเต็มอิ่ม
   รูฟัสดูดดึงริมฝีปากได้รูปจนแดงก่ำ ก่อนจะผละออกอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไรนัก คำว่าคืนนี้ดูจะนานไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความยั่วยวนที่อยู่ตรงหน้า  เขาแทบจะกดร่างนี้เข้ากับผนัง เปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มอยู่ออก ลูบไล้เรือนร่างขาวเนียน สัมผัสจุดซ่อนเร้นที่แสนจะอ่อนไหวนั้น และแสดงความปรารถนาที่แทบจะระเบิดออกมาให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้ง แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นลงไปบทสรุปก็คงจบลงเหมือนที่ผ่านๆ มา เขาคงไม่มีโอกาสเห็นใบหน้าที่แสดงความพอใจของฟ่งในเช้าของวันรุ่งขึ้น
   หากได้สัมผัสคนคนนี้ด้วยความเต็มใจล่ะก็ รอถึงคืนนี้อีกคืนก็ไม่น่าจะเกินความอดทนเท่าไหร่
   “คืนนี้ ห้ามเบี้ยวนะครับ” รูฟัสกระซิบ ก่อนจะปล่อยให้ฟ่งกลับไปทำงาน
--------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่38 P4 13/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-06-2011 12:42:26
   คำว่าคืนนี้ของรูฟัสนั้นช่างมาถึงอย่างรวดเร็วเหลือเกินสำหรับฟ่ง ผ่านไปไม่ทันไรฟ้าก็มืดเสียแล้ว แถมในช่วงมื้อค่ำ สายตาของรูฟัสที่ส่งมานั้นก็ดูชัดเจนเหลือเกินว่าเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้  ฟ่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะมองดูจอคอมพิวเตอร์อย่างเหม่อลอย พลางนึกถามตัวเองว่าทำไมถึงได้สัญญาไปแบบนั้น
   เพราะเขากลัวว่าจะถูกฝ่ายนั้นใช้กำลังบังคับอีกงั้นหรือ?
   ฟ่งยอมรับว่าสองครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้นั้น รูฟัสใช้กำลังบังคับจนเรียกได้ว่าขืนใจเขา  แต่ถึงจะอย่างนั้นส่วนลึกในร่างกายกลับแสดงอาการร้อนรุ่มออกมาทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น
   ใช่แล้ว เพราะส่วนลึกในจิตใจของเขาโหยหารสสัมผัสลึกซึ้งที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
   ปลายนิ้วที่ไล้ไปตามเรือนร่าง เสียงกระซิบพร่ำพรอดคำรักไม่รู้กี่ครั้ง นัยน์ตาที่มองมาอย่างปรารถนา  อ้อมกอดและรสจูบอันร้อนแรง  เพียงแค่นึกถึงก็แทบจะทำให้หัวใจหลอมละลายได้แล้ว แต่ความรู้สึกขัดแย้งทำให้เขาบ่ายเบี่ยงความต้องการนี้
   การมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติเลย
   ฟ่งถอนหายใจยาวอีกครั้ง  นึกไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นพวกวิปริตผิดเพศ  ก่อนหน้านี้เขาเคยนึกสงสารพงษ์หรือพัช เพื่อนเกลอที่กายเป็นชายใจเป็นหญิง ซึ่งเคยมีปัญหาเรื่องเข้าสังคมอยู่พักใหญ่ ตอนนี้กลายเป็นตัวเขาเองที่กำลังจะเผชิญกับเรื่องแบบนั้น ฟ่งยังค่อนข้างจะมั่นใจว่าตัวเขาเองไม่น่าจะเป็นพวกรักร่วมเพศ เขาไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์เมื่อเห็นผู้ชายด้วยกัน ยกเว้นเสียแต่รูฟัส
   เฉพาะแค่รูฟัสคนเดียวเท่านั้น
   “ฟ่ง!?”
   เสียงของรัสเลอร์ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และเมื่อหันไปก็เห็นสายตาแสดงความสงสัย “คุณเป็นอะไรน่ะ ทำไมดูเหม่อๆ”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และรีบสั่นศีรษะ คงบอกให้รัสเลอร์รู้ไม่ได้ในเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มขมวดคิ้วและมองลงมาอย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก ฟ่งแทบจะทำงานไม่คืบหน้าเลยหลังจากพบกับรูฟัส
หลังจากทำงานกับฟ่งมาได้สองวัน รัสเลอร์พบว่าฟ่งมีระบบการทำงานแสนจะเป็นเอกเทศ กล่าวคือ ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว รู้เรื่องอยู่คนเดียว เขาต้องคอยพยายามบอกให้ฟ่งแบ่งนั่นแบ่งนี่มาช่วยกันทำ ด้วยเกรงว่าหนุ่มชาวเอเชียที่ดูบอบบางคนนี้จะลาไปเฝ้าพระเจ้าเสียก่อนที่จะทำงานเสร็จ แต่เอาเถอะ ลองเขียนของแบบนี้ออกมาได้ คงมีลูกบ้าอยู่พอตัวนั่นแหละ อย่างไรก็ดีรัสเลอร์ไม่เชื่อว่าฟ่งไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เจ้าตัวพยายามจะบอกในตอนนี้ อย่างน้อยเขาก็พอจะเดาได้ว่าฟ่งมีเรื่องให้ต้องคิด
   คงเป็นเรื่องของรูฟัส
   รัสเลอร์ถอนใจ นั่งปุลงข้างๆ และยึดเอาเมาส์และคีย์บอร์ดมาเงียบๆ
   “ผมช่วยคุณจัดการตรงไหนได้บ้าง?” หนุ่มวัยเกือบสามสิบกล่าว พลางเหลือบไปมองผู้ที่นั่งอยู่ และสะดุดเข้ากับริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่กำลังเผยขึ้นอย่างใช้ความคิด
   จู่ๆ ฉากจูบเมื่อช่วงกลางวันก็ผุดขึ้นมาในสมอง
   โดยปกติแล้วรัสเลอร์ไม่เคยสนใจอะไรกับเรื่องแบบนี้  ก็แค่คนจูบกัน ไม่ใช่ของหาดูยากเย็นอะไร มีให้เห็นบ่อยๆ ตามท้องถนน หรือแม้แต่ที่ทำงานก็เถอะ ถึงจะเป็นผู้ชายจูบกันสำหรับเขาแล้วก็คงไม่แปลก แต่ที่ติดใจก็คงเพราะเป็นฟ่งนี่แหละ
   เขารู้มาก่อนหน้านี้ว่ารูฟัสมีปัญหาเรื่องงานเพราะติดหนุ่มเอเชีย ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่า ผู้ชายแบบไหนกันที่ทำให้เจ้ารูฟัสจริงจังได้ขนาดนั้น  จนกระทั่งมาเจอที่ทะเลสาบนั่นแหละ  ตอนแรกเขารู้สึกผิดหวังหน่อยๆ เพราะคิดว่าคนที่ทำให้รูฟัสเป็นบ้าขนาดยอมทิ้งงานได้ ควรจะดูน่ารักบอบบางมากกว่านี้  แต่พอสังเกตไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีส่วนน่ารักอยู่มากเหมือนกัน  แค่ถูกแหย่นิดหน่อยก็หน้าแดง  แถมทำท่ายึกยักเล่นตัวได้น่ารักอย่างบอกไม่ถูก  คุยแล้วก็รู้สึกว่าน่าแกล้งดี  พอเข้าใจแล้วว่าทำไมรูฟัสถึงได้หลงนัก
   ตอนนี้เขาเองก็อาจจะกำลังหลงอยู่เหมือนกันก็ได้

   ฟ่งอธิบายงานของเขาให้รัสเลอร์ฟังโดยไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีกะใจกับเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่สักนิด นัยน์ตาสีฟ้านั่นจับจ้องริมฝีปากของผู้พูดอย่างไม่วางตา
   ริมฝีปากคู่นี้จะหวานขนาดไหนกันนะ
   “คุณรัสเลอร์ คุณฟังผมอยู่หรือเปล่า?”
   ผู้ถูกเรียกสะดุ้ง และหัวเราะเขินๆ  ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูดต่อ
   “ผมว่าคืนนี้พอแค่นี้แล้วกัน” ชายหนุ่มสรุป รัสเลอร์ดูเหมือนจะไม่มีสมาธิ และเขาเองก็เช่นกัน ดังนั้นวันนี้ก็น่าจะพอแค่นี้ก่อนดีกว่า
   “ไม่เป็นไรหรอก ยังไหวอยู่” รัสเลอร์ตอบ แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ ประตูก็ถูกเปิดผลัวะออก รูฟัสก้าวเข้ามาในห้อง
   “ฟ่งบอกว่าพอก็พอสิ” หนุ่มตาสองสีว่า คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วบ้าง
   “นี่นายแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก?”
   ผู้ถูกถามยักไหล่แทนคำตอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาหนุ่มสวมแว่นซึ่งสีหน้ากึ่งแปลกใจกึ่งตกใจ
   “ไปรอข้างนอกสักครู่นะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นสายตาสองสีของรูฟัสที่มองลงมา จึงจำต้องเดินออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้รูฟัสกับรัสเลอร์เผชิญหน้ากันสองคน
   “ไอ้นิสัยแอบฟังแบบพวกสายลับนี่ต้องใช้กับเพื่อนร่วมงานด้วยหรือไง?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่ฟ่งปิดประตูแล้ว ผู้ถูกถามยักไหล่อีก
   “ฉันไม่ไว้ใจ เมื่อคืนนายจงใจจะนอนในห้องนี้ คิดอะไร?”
   “ฉันง่วง ปกติมาทีไรฉันก็นอนห้องนี้ประจำอยู่แล้วนี่” รัสเลอร์พูด พลางทำหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องแปลกเสียเต็มประดาที่รูฟัสมาถามเขาแบบนี้ คนฟังขมวดคิ้วคู่งามเข้าหากัน มองดูเพื่อนร่วมงานอย่างอารมณ์เสีย
   “นั่นมันเมื่อก่อน คืนนี้นายต้องลงไปนอนข้างล่าง”
   “ทำไมฉันจะต้องลงไปนอนข้างล่างด้วยล่ะ?”
   ผู้ถูกไล่ตีหน้าซื่อถามต่อ จนรูฟัสนึกอยากใช้ฝ่าเท้าลูบหน้าแทนคำตอบ เขาสูดลมหายใจอย่างอดทน
   “เพราะนี่เป็นห้องของฉัน ฉันมีสิทธิ์จะให้ใครนอน หรือไม่ให้ใครนอนก็ได้”
   “งก!!” รัสเลอร์ทำเสียงสูง รูฟัสมองหน้าคนพูด พลางกล่าวสืบต่อ
   “เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว นายจงใจจะไม่ให้ฉันอยู่ใกล้ฟ่งใช่ไหม”
   “รู้ก็ดีแล้วนี่” อีกฝ่ายกล่าว ก่อนจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้า
   “รูฟัส ความจริงฉันก็ไม่ได้อิจฉาหรืออะไรกับนายหรอกนะ ว่าจะมีแฟนเป็นใครอะไรที่ไหน แต่สำหรับกรณีฟ่ง ฉันว่านายปล่อยเขาไปจะดีกว่า”
   “อย่าแส่ไม่เข้าเรื่องน่ะ” รูฟัสคำรามอย่างไม่พอใจ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่มีคนพูดกับเขาแบบนี้ รัสเลอร์จุ๊ปาก
   “ใจเย็นๆ ฉันรู้ว่ามันทนฟังลำบาก จริงๆ ถ้าไม่ใช่ฟ่งฉันก็คงไม่พูดแบบนี้ เด็กนั่นฉลาด หัวดี ตั้งใจทำงาน ถ้าได้มาเป็นคนในหน่วยก็คงดี แต่ว่าไม่เหมาะกับนายหรอกนะรูฟัส ไม่ใช่สิ  นายไม่เหมาะกับเขาหรอก  ฟ่งมีอนาคตที่ดีกว่าการมาหมกตัวกับนายที่ไม่รู้ว่าจะเดี้ยงจะตายเอาวันไหน  แถมนายเองก็ไม่มีปัญญาจะรับผิดชอบ ทางที่ดีนายน่าจะพาเขากลับไปในที่ที่ควรอยู่จะดีกว่า”
   “ที่ที่ควรอยู่?” รูฟัสกล่าวและแค่นหัวเราะ “ฟ่งน่ะ โดนไล่ล่าเพราะเรื่องแผนที่บ้าๆ นี่จนกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”
   “อ้อ มิน่าล่ะถึงได้ทนอยู่กับนาย” รัสเลอร์กล่าวและพูดต่อโดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของฝ่ายตรงข้าม
   “ความจริงให้ฟ่งมาอยู่ที่หน่วยกลางก็ได้ ไหนๆ ก็กลับบ้านไม่ได้แล้วนี่ แปลกจริง หน้าตาซื่อๆ แบบนั้นไม่น่าจะทำงานสกปรกแบบนี้เลยนี่”
   “ถูกข่มขู่ให้ทำต่างหาก” รูฟัสช่วยแก้ให้ รัสเลอร์พยักหน้า
   “อย่างนั้นรึ? แย่จัง แล้วนายวางแผนยังไง เสร็จงานนี้แล้วจะพาเขาไปไหน กลับบ้านหรือทิ้งไว้ที่นี่?”
   “ยังไม่ได้คิด” รูฟัสยอมรับออกมา  และย่นคิ้วอย่างอ่อนใจ
   “เขาอยากให้ฉันทำงานเหมือนคนปกติ แต่ใครก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
   “เข้าใจเลยล่ะ” รัสเลอร์กล่าวอย่างเห็นด้วย เขานึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่ารูฟัสจะทำงานแบบปกติธรรมดาได้ที่ไหน คงไม่วายโดนตามล่าตัวอยู่ดี
   “เพราะฉะนั้นนายควรจะเลือกหนทางที่ง่ายและเป็นไปได้กว่า คือหยุดเอาไว้เสียแต่ตอนนี้ อย่าให้มันถลำลึกไปมาก ฉันรู้ว่ามันทนได้ยาก ถึงต้องมีคนช่วยแบบฉันไง”
   รูฟัสถอนหายใจยาว เขามองหน้าเพื่อนร่วมงาน อย่างไม่รู้ว่าควรจะซาบซึ้งกับความหวังดีแบบนี้หรือเปล่า
   “ถามหน่อยเถอะ ถ้านายเป็นฉัน จะเลือกอย่างที่ว่ารึเปล่า”
   ผู้ถูกถามถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา
   “กะแล้วว่าจะต้องพูดแบบนี้ ฉันตอบไม่ได้ เพราะฉันไม่ใช่นาย และฉันก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกนายขนาดนั้น ฉันห่วงความรู้สึกฟ่ง เด็กนั่นควรจะมีตัวเลือกมากกว่านี้”
   “นายคิดจะพูดอะไรกันแน่” รูฟัสว่า น้ำเสียงเริ่มแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
   “ฉันชอบฟ่ง” รัสเลอร์ประกาศออกมา
   “ถึงนายจะบอกว่าเป็นแฟนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นของนายไปตลอดชีวิตเสียหน่อย ฉันมั่นใจว่าดูแลฟ่งได้ดีกว่านาย ความรู้สึกคนเราน่ะ มันเปลี่ยนกันได้นะรูฟัส”
   “มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม”
------------------------------------------
   “ทะเลาะกันเหรอ?” ฟ่งถามเมื่อเห็นรูฟัสเปิดประตูออกมา หลังจากที่รัสเลอร์เดินลงบันไดไปก่อนแล้ว เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เหมือนถูกต่อยมา ประกอบกับเสียงโครมครามที่ได้ยินก่อนหน้านี้ 
   “นิดหน่อยครับ” รูฟัสตอบ ก่อนจะเดินมาโอบไหล่ของคนถาม ฟ่งมองหน้าเขาด้วยแววตาไม่ค่อยสบายใจนัก
   “ผมเป็นต้นเหตุรึเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พลางก้าวเท้ากลับเข้าไปในห้อง
   “ถ้ามีปัญหามาก พรุ่งนี้ผมไปนอนที่โรงแรมก็ได้” ฟ่งกล่าวออกมาหลังจากปิดประตูห้องแล้ว ร่างแกร่งถอนหายใจอีก
   “นี่มันห้องของผมนะครับ ผมมีสิทธิ์ที่จะให้ใครนอนก็ได้”
   “แต่ว่าคุณสองคนทะเลาะกันนี่” ฟ่งพูดอย่างรู้สึกผิด รูฟัสรั้งตัวเขาเข้ามาใกล้
   “ทำไมคุณถึงให้ความสนใจกับความรู้สึกคนอื่นมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ แล้วผมล่ะครับ คุณเคยนึกถึงความรู้สึกบ้างรึเปล่า?”
    ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “ผะ..ผมขอโทษ”
   รูฟัสระบายลมหายใจเฮือก ก่อนจะพูดสืบต่อ “ผมรักคุณ รักคุณมากจนเผลอทำอะไรบ้าๆ ลงไปหลายครั้ง คุณทำให้ผมคลั่ง บางครั้งคุณเหมือนจะสนใจผมมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนว่าคุณสนใจคนอื่นมากกว่า ก่อนหน้านี้ผมก็นึกเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่าคุณสนใจผมจนคุณหนีไป แล้วคุณก็กลับมาอีก จากนั้นก็เป็นเหมือนเดิม คุณเหมือนไม่สนใจผมเลย”
   รูฟัสหยุดหายใจครู่หนึ่ง นัยน์ตาสองสีมองมาอย่างปวดร้าว
   “มันเหมือนผมกำลังบ้าอยู่คนเดียว ผมไม่มีปัญญาหนีหลุดออกจากสายใยบางๆ ที่คุณผูกมัดผมเอาไว้ แต่ผมก็กลัว กลัวว่าสายใยบางๆ นั้นจะรั้งคุณไว้ไม่ได้ ได้โปรดตอบรักผมบ้าง สักครึ่งหนึ่งของที่ผมบอกกับคุณ ให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้คิดไปเองอีก”
   “ผม...” ฟ่งพูดค้าง รู้สึกอื้อไปทั้งหัว หน้าอกปวดแน่น
   รัก....
   เขาไม่เคยคิดจริงจังเรื่องนี้กับรูฟัสมาก่อนเลย จนถึงตอนนี้
   รัก...?
   คำที่รูฟัสบอกกับเขานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวในทุกครั้ง แม้บางคราวจะไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำพูดจากความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่ายรึเปล่า แต่...ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาล่ะ?
   “ผมกลัวจะเสียคุณไป” ฟ่งโพล่งออกมา เขาบีบมือของรูฟัสที่กุมเอาไว้แน่น  ปวดหน้าอกจนแทบจะร้องไห้
   “ผม..ผมเห็นแก่ตัว  ผมกลัวจะเสียคุณให้คนอื่น กลัวว่าคุณจะรักคนอื่น กลัวว่าคุณจะจากไป แต่ผมไม่กล้า...ไม่กล้ารักคุณ”
   “ทำไมล่ะครับ?!!” รูฟัสร้องออกมาด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ เขารู้สึกถึงแรงบีบที่มือ ไม่กล้ารักงั้นหรือ? ที่ผ่านๆ มาเป็นแค่เพียงความหวั่นไหวอย่างนั้นหรือ  ที่จูบที่กอดเขาที่เป็นห่วงเขาก็แค่ความหวั่นไหวหรอกหรือ?
   “ผมไม่มีปัญญาจะรักใครได้หรอก”
   “ทำไมล่ะ!! ทั้งๆ ที่ผมรักคุณมากมายขนาดนี้แท้ๆ !!”
   หนุ่มตาสองสีโพล่งออกมา และจับไหล่ของฟ่งเขย่าอย่างลืมตัว และพบว่าอีกฝ่ายน้ำตานองหน้า
   “ผมรับมันไม่ไหว รูฟัส ยิ่งคุณแสดงว่ารักผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกอึดอัด เพราะผมกลัว  กลัวว่าผมจะเรียกร้องเอาจากคุณมากเข้าไปอีก กลัวว่าจะถลำลึกมากไปกว่านี้ กลัวว่าสักวันหนึ่งคุณจะทนผมไม่ไหวและทิ้งผมไป”
   “แล้วทำไมถึงกลับมาล่ะ คุณกลับมาหาผมทำไม ถ้าคุณกลับไปในตอนนั้น ผมคง...ผมคง...” รูฟัสกล่าวค้างเอาไว้ เขาพูดไม่ออกจริงๆว่าจะทำใจได้  ความรู้สึกตอนนั้นช่างเลวร้ายเสียจนไม่อยากกลับไปนึกถึงอีก
   “ผมขอโทษ” ฟ่งพูดเสียงเครือด้วยนึกคำอื่นไม่ออกอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าได้รูปซึ่งตอนนี้กำลังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่มาจากส่วนลึกในหัวใจ มันทำให้น้ำตาของเขายิ่งไหลเอ่อ
   “ผมตัดขาดจากคุณไม่ได้ แต่ผมก็ไม่มีแรงพอจะหนีจากคุณไปได้ ผมได้แต่รอ รออย่างหวาดกลัวว่าสักวันหนึ่งคุณจะทิ้งผม ขอร้องล่ะ บอกเลิกผมที  ผมน่ะอ่อนแอเกินกว่าจะจบเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว” ฟ่งกล่าวเสียงพร่า รูฟัสได้ยินเสียงเหมือนหัวใจถูกขยี้จนแหลกสลายไปอีกรอบ เขามองดูใบหน้าชุ่มน้ำตาที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
   “จะรักผมสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้เลยหรือครับ” เขากล่าวเสียงแหบแห้ง ไล้มือผ่านก้านแว่นไปตามใบหน้าที่เคยสัมผัสใกล้ชิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากสีชมพูเรื่อที่สั่นสะท้านนั้นเบาๆ
   “ต้องทำยังไงคุณถึงจะรักผม สักเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังดี ได้โปรดเถอะครับ บอกผมเรื่องนี้ อย่าบอกเรื่องอื่น บอกแค่ว่าต้องทำยังไงคุณถึงจะรักผมได้ก็พอ”
   “รูฟัส..” ฟ่งเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ปวดแปลบไปทั้งหน้าอก รูฟัสยกมือเขาขึ้นมาจูบเบาๆ
   “ถ้าคุณไปจากผมไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปหรอกครับ ผมไม่คิดจะให้คุณไปไหน ผมจะรั้งคุณเอาไว้ จนคุณยอมรักผม”
   “รูฟัส...” ฟ่งเรียกชื่อนั้นซ้ำอีกรอบ กะพริบดวงตาสีน้ำตาลที่เปียกชุ่ม ก่อนจะบรรจงจูบลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่าย รูฟัสรั้งร่างบางเข้ามากอดแน่น เป็นครั้งที่สามแล้วที่ฟ่งจูบเขาก่อน และเป็นครั้งแรกที่เป็นการจูบแบบลึกซึ้ง
   “รูฟัส...” ฟ่งเรียกชื่อเขาอีกครั้ง และตามด้วยเสียงคราง เมื่อซอกคอถูกโลมไล้อย่างนุ่มนวล รูฟัสดันตัวของอีกฝ่ายเข้ากับผนัง เริ่มลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ วงแขนผมบางเกาะเกี่ยวกับร่างแกร่ง จิกกดลงไปทุกครั้งที่ร่างกายถูกสัมผัส
   “ผมรักคุณนะครับฟ่ง” รูฟัสกระซิบเบาๆ ฟ่งส่งเสียงอืม ก่อนจะดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ รูฟัสดูดดึ่มริมฝีปากนั้นอยู่พักหนึ่งและปล่อยให้ฟ่งได้หายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาทางเขาอย่างอ่อนไหว พร้อมกับริมฝีปากที่เผยอออกอีกครั้ง
   “รูฟัส...”
   เสียงเรียกชื่อนั้นราวกับว่าจะตอบรับความรักที่อีกฝ่ายมอบให้ แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่รูฟัสค่อนข้างจะมั่นใจว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของผลลัพธ์ในการค้นหาหัวใจของฟ่ง เขาจูบลงไปอีกครั้ง  ดึงเสื้อที่หล่นมากองอยู่ที่ข้อศอกของอีกฝ่ายออก  ร่างกายของฟ่งร้อนผ่าว สั่นสะท้านทุกครั้งที่สัมผัส
   ฟ่งค่อยๆ เลื่อนมือที่เกาะเกี่ยวอยู่มาปลดเสื้อของรูฟัสออก รูฟัสจับมือฟ่งเข้ามาจูบและช่วยเปลื้องเสื้อ ฟ่งกอดร่างที่เปลือยท่อนบนนั้นและรู้สึกถึงอ้อมกอดของอีกฝ่ายเช่นกัน
   รูฟัสจูบไล้ไปตามใบหน้านั้นอย่างรักใคร่ ขบใบหูแดงก่ำนั้นเบาๆ ขณะที่มือลูบต่ำลงไปยังสะโพก สัมผัสปลายนิ้วเข้ากับจุดอ่อนไหวด้านหลัง ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่ออีกฝ่ายสอดปลายนิ้วเข้ามา
   “Hurt?” รูฟัสกระซิบที่ข้างหู ร่างบางสั่นศีรษะและดึงใบหน้าของอีกฝ่ายเข้ามาจูบ ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้เขาหลงรักมากกว่าเดิม ร่างแกร่งล้วงเอาขวดเจลหล่อลื่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง และราดมันลงบนสะโพกของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้อีกครั้ง
   ฟ่งบีบไหล่รูฟัสแน่น รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สอดใส่เข้ามาพร้อมกับของเหลวลื่นๆ อาจจะเป็นเพราะยืนอยู่ การควานหาจุดสวาทจึงดูขลุกขลักอยู่บ้าง แต่ไม่นานนักรูฟัสก็ประสบความสำเร็จในการทำให้ฟ่งร้องครางออกมาอีกครั้ง
   “ไม่ไหวแล้ว” ร่างบางครางเสียงสั่น แทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่กับสัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้ เรียวขาขาวอ่อนยวบลงจนหลังพิงกับผนัง รูฟัสเชยพวงแก้มแดงปลั่งนั้นขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่ ก่อนจะดึงนิ้วออก
   “อ๊า!” ฟ่งส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อร่างถูกยกจนลอยจากพื้น เขากอดรูฟัสไว้แน่น กระหวัดขาเข้ากับท่อนเอวของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ทางนั้นสอดใส่เข้ามา
   ร่างบางยกมือขึ้นปิดปาก ขณะที่รูฟัสกระแทกตัวเขาเข้ากับผนังเบาๆ เสียงครางฮือดังลอดออกมา พร้อมกับหยดน้ำตาหยดเล็กๆ ที่ไหลซึมร่องแก้ม ขณะที่ความอุ่นร้อนเบียดแทรกเข้าไปในช่องเปิดด้านหลัง
“Я вас люблю”
   ถ้อยคำที่ไม่อาจจะเข้าใจได้นั้นถูกกระซิบให้ได้ยินอีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้วแน่น จิกเล็บลงไปบนไหล่ของรูฟัส ระหว่างที่ร่างกายถูกกระแทกจนหลังชนกับผนัง เสียงครางสั่นพร่าดังลอดออกมาจากริมฝีปากแดงก่ำ ริมฝีปากอุ่นจัดของอีกฝ่ายเคล้าเคลียอยู่ที่พวงแก้ม จนได้ยินเสียงหายใจรุนแรง
   ฟ่งตัวสั่น สัมผัสร้อนแรงทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว สองแขนตะกายกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แน่น การกระแทกซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูง ร่างผอมบางร้องครางอย่างไม่อาจสะกดกั้นความรู้สึก ก่อนจะกัดลงไปบนหัวไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง จังหวะกับของเหลวสีขาวขุ่นที่พุ่งทะลักออกมา
   เสียงรูฟัสผ่อนลมหายใจยาว โอบประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดเดินไปยังเตียงนอน ฟ่งยังคงตัวสั่นไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว และโอบกอดเขาไว้แน่น
   “รูฟัส” ร่างผอมบางกระซิบเสียงแผ่วอีกครั้ง ก่อนจะดึงใบหน้าของเขาเข้าไปจูบ รูฟัสกดแนบร่างนั้นลงไปบนเตียง ขยับตัวเพื่อประสานส่วนที่เชื่อมกันอยู่ในแนบแน่นเข้าไปอีก ก่อนจะดึงแว่นตาที่เอียงกะเท่เร่ออก ฟ่งยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะค่อยๆ แอ่นตะโพกขึ้นตอบสนองจังหวะที่อีกฝ่ายมอบให้
   หัวใจของรูฟัสเต้นถี่ ประคองใบหน้าแดงจัดนั้นขึ้นมาจูบด้วยความตื้นตัน จูบร้อนแรงถูกตอบสนองเป็นอย่างดีด้วยเรียวลิ้นที่กระหวัดเกี่ยวกันอย่างซ่านกระสัน
   “ฟ่ง” รูฟัสกระซิบเรียกชื่อนั้นตอบหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ร่างผอมบางในอ้อมกอดไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงโอบแขนขึ้นมา โน้มใบหน้าของเขาเข้าไปจูบอีกรอบ การเคลื่อนไหวร้อนแรงขึ้นอีกเป็นทวีคุณ
   รูฟัสหอบหายใจถี่หนัก รู้สึกถึงอ้อมกอดที่โอบรัดเขาไว้แน่นระหว่างจังหวะอันเร่าร้อน ฟ่งครางเสียงสั่น ตะกายแขนกอดรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ราวกับว่ากลัวจะสูญเสียไปจริงๆ
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-06-2011 16:08:40
ฟ่ง  ถ้ามันยากนัก  ก็หลับตาลงแล้วคิดซะว่ารูฟัสไม่ได้อยู่ตรงนั้น
บอกกับหัวใจตัวเองว่า "รัก" หรือเปล่า  ก็พอแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-06-2011 17:57:25
ใครเป็น ฟ่ง ก็ต้องจิตตกละนะ เจอมาแต่ละอย่าง เสี่ยงตายแทบทั้งนั้น

ว่าแต่ เถียนซานกับจินหยิน นี่ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 14-06-2011 19:40:35
หวังว่าฟ่งกับรูฟัสจะผ่านวิกฤติในเรื่องนี้ไปได้ เพราะยังมีเรื่องยากๆรออยู่อีกเยอะเลย
ส่วนฝั่งคุณชาย ตอนนี้น่ารักดี แต่ก้อน่าลุ้นว่ากำลังจะต้องเจอกับอะไรอีก
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 15-06-2011 10:21:14
อ่านกันแบบมาราธอนเลยทีเดียว
ลงให้อ่านแบบจุใจมาก
สนุกมากๆเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 15-06-2011 10:32:10
คงเพราะรักครั้งก่อนทำให้ฟ่งไม่กล้าพูดว่ารัก เห็นทีรูฟัสคงต้องรออีกนาน
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-06-2011 13:08:00
บทที่40  เพราะความรู้สึกไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล
   รัสเลอร์ซี๊ดปากด้วยความเจ็บปวด พลางนึกขำตัวเองที่แส่ไปหาเรื่องกับรูฟัสแบบนั้น  โชคยังดีที่โดนแค่หมัดเดียว ตั้งแต่ทำงานกับรูฟัสมาสี่ปี  เขาเพิ่งเห็นเจ้าหมอนี่โมโหมากเป็นครั้งแรกนี่แหละ ตาสองสีนั่นตอนจ้องมาดูน่ากลัวราวกับดวงตาของปิศาจ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจัดแจงดึงพนักพิงโซฟาให้เอนลงเพื่อใช้เป็นที่นอน เพราะบ้านของราฟาแอลมีคนแวะเวียนมาพักอยู่บ่อยๆ โซฟาแทบทุกตัวของที่นี่จึงแปลงเป็นเตียงได้หมด ดีที่ราฟาแอลนอนไปก่อนแล้ว ไม่งั้นเขาคงต้องถูกถากถางเรื่องรอยช้ำนี่แน่ๆ
   รัสเลอร์โยนหมอนหนุนลงไปบนโซฟา ก่อนจะล้มตัวลง เลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้หลวมๆ และดึงหูฟังไอพอทขึ้นมาเสียบหู ชายหนุ่มเร่งเสียงเพลงดังจนกระทั่งตัวเองยังรู้สึกตกใจ เขาไม่ได้คลั่งเพลงของโมซาร์ทขนาดต้องฟังก่อนนอนทุกคืน เพียงแต่ว่าคืนนี้ เขาไม่อยากได้ยินเสียงบาดใจที่อาจจะดังมาจากห้องด้านบน
   ฟ่ง...
   รัสเลอร์ระบายลมหายใจออกอย่างหนักหน่วง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่เพิ่งเจอกันได้วันสองวันจะทำให้เขาเป็นบ้าได้ขนาดนี้
   ถึงขนาดยอมถูกต่อย
   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มที่บวมปูด หมัดของรูฟัสใช่ว่าเบาเสียเมื่อไหร่ แล้วตัวเขาเองก็ไม่ใช่พวกชอบท้าตีท้าต่อยด้วย วันๆ ก็ได้แต่นั่งอยู่ในแล็บ ประดิษฐ์นั่นประดิษฐ์นี่ เจ้าบ้านั่นก็ต่อยมาได้ไม่ปราณี ก็คิดอยู่ว่าทางนั้นคงเอาเรื่องแน่ๆ
   ก็ฟ่งน่ารักขนาดนั้น
   พอนึกถึงดวงตาสีน้ำตาลกลมๆ ที่มองผ่านแว่นออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ยิ่งประกอบกับผมยุ่งๆ และหน้าบูดๆ ด้วยแล้ว ยิ่งดูเหมือนกระรอกเข้าไปใหญ่ น่ารักน่าแกล้งอย่างบอกไม่ถูก
   มันคงไม่ใช่รักแรกพบ แต่เป็นรักหลังจากพบกันแล้วต่างหาก
   ท่วงทำนองของ A musical joke ซึ่งฟังมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ช่างเข้ากับอารมณ์จนน่าหมั่นไส้
   ชายหนุ่มชาวเอเชียที่แทบจะไม่สะดุดตาอะไรเลย กลับทำให้คนสองคนคลั่ง
   รัสเลอร์แน่ใจว่าต้องมีอีกหลายคนที่คลั่งในตัวคนคนนี้ แต่คงไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้งแบบรูฟัส
   ก็ฟ่งน่ะดูใสซื่อจนไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันได้นี่นา
   พอนึกไปว่าต้องโดนผู้ชายที่ช่ำชองผ่านสมรภูมิมานับไม่ถ้วนแบบรูฟัสทำนั่นทำนี่แล้วก็อดโมโหไม่ได้
   ดวงตาใสๆ นั่น พออยู่ในอารมณ์แบบนั้นแล้วจะหวานเยิ้มขนาดไหนเชียวนะ...
   รัสเลอร์ขมวดคิ้ว เขาไม่ควรจะคิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้กับฟ่ง แต่การห้ามความคิดนั้นยากเย็นพอๆ กับห้ามไม่ให้อะตอมสลายตัวเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาเข้าใจดีว่ารูฟัสต้องไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ กับคำถามที่ย้อนกลับมา ถ้าเขาเป็นรูฟัสเขาก็คงไม่ปล่อยฟ่งไปเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ยอมถูกต่อย
   ของแบบนี้มันเอาแน่นอนอะไรไม่ได้หรอก
   หัวใจคนเราเปลี่ยนกันได้
   รัสเลอร์เชื่อแบบนั้น อะไรก็ตามที่ยังไม่ได้ทดลองทำ เขาไม่คิดว่ามันจะทำไม่ได้ ต้องได้ทดลองก่อนแล้วถึงจะสรุปผล เรื่องนี้ก็เช่นกัน
   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มป้อยๆ อีกครั้ง
   อย่างไรเสียการทดลองรอบหน้าคงต้องหลีกเลี่ยงผลลัพธ์เจ็บตัวแบบนี้ด้วย
---------------------------------------
   รูฟัสหรี่ตามองดูนาฬิกาแขวนผนัง อีกสักพักใหญ่กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น เขาก้มลงมองร่างผอมบางในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นคนคนเดียวกับที่ใช้คำพูดบดขยี้หัวใจของเขาและมอบความสุขให้เมื่อคืน
   หนุ่มตาสองสีถอนหายใจยาว ใช้มือข้างหนึ่งปัดปอยผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าของผู้ที่นอนอยู่ออก  บทสนทนาธรรมดาๆ ที่เกือบจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต  เขาแค่อยากให้ฟ่งสนใจเขาบ้าง คิดถึงเขามากกว่าคนอื่นสักหน่อยหนึ่ง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เขาแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
   ไม่กล้ารัก?!
   ทั้งๆ ที่ยอมกันขนาดนี้ยังบอกว่าไม่กล้ารักอีกหรือ?
   รูฟัสก้มลงมองฟ่งอีกครั้ง พลันนึกถึงช่วงเวลาที่เขาไปขอคืนดีหลังจากมีอะไรกันในครั้งแรก ตอนนั้นฟ่งเองก็พูดออกมาในทำนองนี้เหมือนกัน รูฟัสไม่รู้ว่าความรักก่อนหน้านี้ของฟ่งเลวร้ายขนาดไหน แต่คนคนนี้โทษตัวเองมากเกินไป ปิดตัวเอง จนกระทั่งถึงขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่กล้าที่จะยอมรับออกมา  ฟ่งจะรู้หรือเปล่าว่านี่เป็นการทำร้ายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
   ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างอาทร  ถึงฟ่งจะพูดจาแบบนั้น แต่ท่าทีที่แสดงออกก็ไม่ได้ดับความหวังเสียทีเดียว ในตอนนั้นสุดท้ายฟ่งก็จูบเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อคืนก็เหมือนกัน
   จูบนับครั้งไม่ถ้วน  เรือนร่างอ่อนไหวที่ยินยอมอย่างไร้การต่อต้าน วงแขนที่โอบแน่น  เสียงกระซิบเรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   แม้จะไม่ได้ยินในสิ่งที่ต้องการ รูฟัสก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่า  สำหรับฟ่งแล้วเขาคงมีความสำคัญอยู่มากเหมือนกัน  ถึงจะทำให้ฟ่งพูดคำว่ารักออกมาไม่ได้ในตอนนี้
   ความรู้สึกว่าตัดขาดไม่ได้ก็คือคำว่ารักนั่นแหละ  เพียงแต่ฟ่งยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
   คงมีสักวันหนึ่งที่เขาจะได้ยินฟ่งเอ่ยมันออกมาจากหัวใจจริงๆ หัวใจดวงน้อยๆ ที่พยายามจะกักขังตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาจะพยายามเปิดมันออกมาเอง
   ขอแค่ให้อยู่ใกล้ๆ แบบนี้  สักวันหนึ่ง... เขาคงเปิดมันได้สำเร็จ
   รูฟัสก้มลงจูบพวงแก้มอุ่นๆ  สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ อันมีอยู่เฉพาะตัวจนพอใจ รั้งร่างบางนั้นเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น อยากจะใช้ช่วงเวลานี้รับรู้ถึงสัมผัสและความอบอุ่นนี้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ทางนั้นจะตื่น
   เพราะเขาไม่รู้ว่าเมื่อฟ่งตื่นขึ้นมาแล้ว จะมีปฏิกิริยากับเขาอย่างไร
   ถึงปากจะบอกว่าไม่ถือสา ไม่โกรธ แต่พอตื่นขึ้นมาทีไรก็โมโหทุกทีนี่นา
-----------------------------------------------   
   ฟ่งขยับร่างเมื่อรู้สึกถึงอากาศเย็นที่เข้ามากระทบ เบียดเสียดตัวเองเข้าหาไออุ่น พลางส่งเสียงครางอย่างงัวเงีย
   “หนาว..”
   รูฟัสจัดแจงดึงร่างนั้นเข้ามาแนบตัว และดึงผ้าห่มขึ้นมาอีก เขามองดูฟ่งและอดอมยิ้มไม่ได้ ท่าทางฟ่งจะไม่ชินกับอากาศของที่นี่ แถมตอนนี้เปลือยล่อนจ้อน มีแค่ผ้าห่มคลุมอยู่ ไม่รู้สึกหนาวเลยก็แปลกล่ะ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฟ่งจะได้ไม่ดิ้นหนีเขาไปไหน
   “หนาว....” ฟ่งครางอีกครั้ง รูฟัสคิดว่าแค่นี้คงยังไม่อุ่นพอ เขามองดูเรือนร่างที่พยายามจะซุกตัวเข้ามา ท่อนขาที่เริ่มปีนป่าย และใบหน้าที่ดูยังไม่อยากจะตื่นอย่างถึงที่สุด ชายหนุ่มตัดสินใจแกล้งกระซิบเบาๆ ข้างหู
   “ผมทำให้อุ่นกว่านี้เอาไหม?”
   “อืม..” ผู้ถูกถามถึงกับพยักหน้าเสียด้วย ทำเอาอีกฝ่ายกลืนน้ำลายเฮือก เขาพยายามคิดว่าฟ่งคงไม่ได้ตั้งใจจะยั่ว แค่นอนขี้เซาและหนาวเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ทำตัวน่ารักขนาดนี้จะให้นอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็คงทรมานกันเกินไป
   เอาสักหน่อย…
   รูฟัสก้มลงไซร้ไปตามซอกคอขาวเนียนนั้น พร้อมกับลูบไล้เรือนร่างอุ่นๆ ใต้ผ้าห่ม ฟ่งส่งเสียงครางอืม เบียดตัวเข้ามาใกล้อีก
   “ยังอุ่นไม่พอหรือครับ?” รูฟัสแกล้งถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าอย่างไรฟ่งคงครางเหมือนเดิมนั่นแหละ เขารั้งตัวฟ่งเข้ามาแน่นขึ้น ตอนแรกตั้งใจจะจูบปาก แต่พอเคลื่อนมือลูบลำตัวก็พบว่ายอดอกของทางนั้นเริ่มเต่งตึง จะเพราะความเย็นหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ รูฟัสตัดสินใจเลื่อนจากปากไปที่หน้าอกแทน
   คราวนี้ฟ่งครางเสียงหวาน อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นจนรู้สึกได้ รูฟัสกลืนน้ำลาย เขาตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง
   “อุ่นพอแล้วยังครับ?”
   ฟ่งใช้ร่างกายแทนคำตอบ เขาแอ่นตัวให้รูฟัสราวกับจงใจให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน  หนุ่มตาสองสีถึงกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ถ้าครั้งนี้ฟ่งเกิดโมโหอีกล่ะก็ เขาจะไม่รับผิดคนเดียวแน่
   ชายหนุ่มจูบต่ำลงไปจนถึงยอดอกนั้นอีกครั้ง ดูดคลึงเบาๆ เสียงครางแสนหวานดังขึ้นเป็นระยะๆ  แถมส่วนนั้นของฟ่งดูตื่นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้คงหยุดไม่อยู่แล้ว

   ฟ่งสะดุ้งด้วยความตกใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้าง  รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเต็มที่เพราะความเจ็บปวดทางด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นมาพบว่ารูฟัสกำลังขึ้นคร่อมเหนือตัวเขาอยู่  ท่าทางเคลิ้มจนกู่ไม่กลับ ฟ่งอ้าปากและยกมือขึ้นเพื่อจะบอกให้หยุด แต่ก็ถูกกดลงไปบนเตียง และจูบซ้ำ เสียงลั่นเอียดอาดของเตียงบอกให้รู้ว่าเรื่องราวดำเนินมาไกลขนาดไหนแล้ว ร่างบางครางเสียงพร่า ก่อนจะกระตุกร่างอย่างรุนแรงเมื่อขึ้นถึงจุดสุดยอด
----------------------------------------------------------
   รูฟัสเกาศีรษะแกร่ก มองดูร่างบางที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ฟ่งแบะปาก แก้มยังคงแดงปลั่ง
   “ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะปลุกผมด้วยวิธีแบบนี้”
   “ผมขอโทษ” รูฟัสคราง เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฟ่งโกรธ แต่ว่าทางนั้นก็ยั่วเหลือเกิน
   “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เพราะคุณยั่วผมขนาดนั้น?”
   “ยั่ว? ผมเนี่ยนะ?” ฟ่งถามอย่างแปลกใจ รูฟัสพยักหน้า
   “ก็คุณเบียดเข้ามาหาผม บอกว่าหนาว ผมเลยว่าจะทำให้อุ่นขึ้นสักหน่อย แต่คุณดันแสดงความต้องการออกมา คุณเริ่มก่อนนะ”
   ใบหน้าของฟ่งแดงยิ่งขึ้น เขาหลบสายตารูฟัส “ก็ผมคิดว่าฝันอยู่นี่”
   รูฟัสขมวดคิ้ว เมื่อคืนเขาทำกับฟ่งไปแล้ว ยังจะฝันแบบนั้นอีกเหรอ
   “ฝันเปียกหรือครับ?”
   “ลามก!!” ฟ่งสวนออกมาทันที แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มเผล่ จนคนพูดต้องพูดขึ้นอีก
   “เพราะคุณนั่นแหละทำให้ผมฝันแบบนั้น” ฟ่งโพล่งออกมาอย่างโมโห หนุ่มตาสองสียังคงค้างรอยยิ้มบนใบหน้า พลางก้มลงไปใกล้ๆ
   “ฝันอะไรหรือครับ?”
   “ฝันว่าคุณทำต่อ..” ฟ่งหลุดปากพูดออกมา และหน้าแดงจัดขึ้นอีก รูฟัสอดไม่ได้ต้องก้มหน้าลงหอมแก้มแดงๆ นั่นฟอดใหญ่ ฟ่งขยับตัวอย่างตื่นตระหนก
   “แบบนี้ก็ดีแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะมีอะไรไม่น่าพอใจตรงไหน”
   “คุณ!!”
   แก้มแดงๆ นั่นยิ่งแดงปลั่งหนักเข้าไปอีก รูฟัสเอนตัวเข้าไปหาฟ่งใกล้ๆ มองดูใบหน้าสีลูกมะเขือเทศสุกนั้นอย่างรู้สึกสนุก
   “คุณฝันลามกเองนะครับ จะโทษผมฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก”
   “ก็คุณทำให้ผมฝันแบบนั้น” ฟ่งยังคงเถียงอย่างไม่ลดละ รูฟัสหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าลงไปใกล้เสียจนได้ยินเสียงหายใจ
   “งั้นผมจะทำให้ฝันแบบนั้นบ่อยๆ นะครับ ผมชอบให้คุณลามก”
   “บ้า!!” ฟ่งว่า  พยายามจะหนีใบหน้าที่แนบชิดเข้ามา รูฟัสยิ้มกริ่ม
   “เจ็บรึเปล่าครับ”
   “นิดหน่อย”
   “ใช้เจลดีกว่าสินะครับ คุณชอบแบบธรรมดาหรือว่าแบบอุ่นๆ?”
   ฟ่งอ้าปากค้าง นี่รูฟัสไม่สำนึกผิดสักนิดเชียวรึ ยังมีหน้ามาถามเรื่องแบบนี้ต่ออีก
   “มันมีแบบที่อุ่นด้วยหรือไง?” ร่างบางถามสวน นึกแปลกใจว่าทำไมเขาดันไปสงสัยเรื่องแบบนี้ อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ไว้วันหลังจะซื้อมาลองนะครับ” เขาว่าและหอมแก้มแดงๆ นั่นอีกครั้ง
   “ไม่เอา ผมไม่ลองแล้ว!!” ฟ่งโวยวาย พยายามจะผลักรูฟัสออก  ร่างแกร่งหัวเราะและกดมือที่ผลักมาลงกับเตียง
   “งั้นลองแบบไม่ต้องใช้เจลดูไหมครับ?”
   “รูฟัส!!” ฟ่งร้องเสียงหลง พยายามดิ้นเต็มที่ หลังจากดิ้นอยู่พักหนึ่ง พอรู้ตัวว่าหนีไม่รอดแน่ๆ ร่างผอมบางจึงหันมาใช้วิธีเจรจาต่อ
   “ปราณีผมเถอะ วันนี้ผมไม่ไหวแล้ว ขืนคุณทำอีกผมคงนั่งไม่ได้แน่ๆ”
   “งั้นทำวันอื่นได้ไหมครับ?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
   “ไม่ฝืนใจนะครับ?”
   “เปล่า แต่ผม.......ผมอาย” ฟ่งว่า และรีบหันกลับมามองรูฟัสอย่างจริงจัง
   “แต่วันนี้แค่นี้นะ ถ้าทำอีกรอบผมโกรธจริงๆ ด้วย”
   “ครับๆ รักคุณนะครับ” รูฟัสกล่าวอย่างยิ้มแย้มและจูบฟ่งเบาๆ  ร่างบางเงยหน้าขึ้นจูบตอบ และรีบส่งเสียง
   “’ห้ามทำแล้วนะ!!”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ หยุดมือที่เริ่มจะจับโน่นจับนี่เอาไว้ ก่อนจะยอมถอยออกไปแต่โดยดี
   --------------------------------------
   “ไปโดนรูฟัสต่อยมาหรือไง?” ราฟาแอลส่งเสียงทักทันทีที่เห็นหน้าบวมๆ ของรัสเลอร์ และหัวเราะซ้ำเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า
   “นายขำอะไร”
   “เปล๊า” ราฟาแอลพูดเสียงแปร่งแต่ก็หัวเราะออกมาให้ได้ยินอีก
   “เมื่อคืนไม่ยอมลงมานอนข้างล่างดีๆ ล่ะสิ ฉันนึกแล้ว”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วยุ่ง เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับราฟาแอลจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
   “รูฟัสรู้จักกับฟ่งได้ยังไงน่ะ คุณส่งข้อมูลไปให้เหรอ?”
   ราฟแอลสั่นศีรษะ และเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
   “เปล่า ฉันไม่รู้จักเด็กคนนั้น ไม่รู้อะไรเลยนอกจากอยู่ข้างๆ ห้องที่รูฟัสมันเช่าอยู่ที่ไทย  จะว่าไปก็เคยเห็นเจ้ารูฟัสพาเด็กนั่นออกไปทานข้าวอยู่เหมือนกัน”
   รัสเลอร์ทำหน้าย่น “เดี๋ยวนี้ต้องจีบคนข้างห้องก่อนถึงจะทำงานได้หรือไง คิดว่ามีแต่นายที่ทำแบบนั้นเสียอีก”
   ราฟาแอลยักไหล่ “ถ้าน่ารักก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ อย่าไปจริงจังมากก็พอ”
   “แต่รูฟัสจริงจังนี่”
   ราฟาแอลพยักหน้าเห็นด้วย และลูบคางอย่างใช้ความคิด
   “นายเองก็รู้สึกเหมือนกันล่ะสิว่ามันเป็นปัญหา ฉันน่ะเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เจ้านั่นไม่ฟังหรอก หลงหน้ามืดตามัวขนาดนั้น อีกอย่างเด็กนั่นก็ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ ฉันเลยเฉยๆ”
   “ถ้าจบงานนี้แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ?”
   “ไม่รู้สิ มันเป็นปัญหาของรูฟัส ฉันยุ่งอะไรมากไม่ได้ โตๆ กันแล้วน่าจะจัดการตัวเองได้”
   “งั้นเหรอ ถ้าให้ฟ่งมาทำงานกับฉันนายว่าจะโอเครึเปล่า?”
   ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“หน่วยนายรับคนเข้าทำงานง่ายขนาดนั้นเลย?  ไม่ต้องสงสารรูฟัสมากขนาดนั้นก็ได้ เรายังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย  ลองเขียนอะไรแบบนั้นให้พวกมาเฟียได้ ก็คงไม่บริสุทธิ์นักหรอก”
   “อะ อืม..” รัสเลอร์พยักหน้า คงเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้ เขาควรจะทำความรู้จักกับฟ่งให้มากกว่านี้เสียก่อน
   “แล้วนั่น... นายจะไปไหน” รัสเลอร์เอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าราฟาแอลแต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางเหมือนจะออกไปข้างนอก
   “ไปเดท” หนุ่มผมสีบลอนด์ตอบ รัสเลอร์ขมวดคิ้ว
   “ตอนนี้เนี่ยนะ กับใคร? เด็กใหม่รึ?”
   “นี่ ราฟี่ ใจคอคุณจะไม่รอดูว่าชุดฉันดีหรือไม่ดีเลยหรือไง”
   เสียงคลาวเดียดังแว่วลงมา เธอสวมชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ทับด้วยแจ๊คเก็ตแบบสั้นสีขาวอีกชั้นหนึ่ง
   “แหม...คุณใส่ชุดไหนก็ดูดีอยู่แล้วล่ะจ้า” ราฟาแอลว่า และหันมาหารัสเลอร์อีกรอบ
   “เอ้อ ลืมบอก วันนี้พวกนายหาข้าวกินกันเองนะ ฉันจะออกไปกับคลาวเดียทั้งวัน”
   “ไปก่อนนะจ้ะรัสเลอร์” คลาวเดียว่าและโบกมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รัสเลอร์อ้าปากค้าง ขณะที่ราฟาแอลหันกลับมาสำทับ
   “ห้ามยุ่งกับครัว โทรสั่งอาหารเอา ให้ลงบัญชีฉันไว้ก็ได้ แล้วก็ห้ามทำอะไรบ้าๆ กับบ้านฉัน ถ้ามีอะไรพังสักอย่างล่ะก็.....นายได้กลายเป็นเป้าซ้อมยิงแน่”
   “รู้แล้วน่า” รัสเลอร์พูดตอบ และรีบโบกมือให้ราฟาแอลออกไปไวๆ ให้ตายสิ เจ้าบ้านี่ยังมีกะใจจะมาเดทตอนนี้อีกรึ? แต่ก็นั่นแหละ ก่อนจะไปทำงานทุกครั้ง ราฟาแอลจะออกไปเดทกับคลาวเดียก่อน เหมือนเป็นการสั่งลากลายๆ
   ก็ไม่รู้ว่าจะรอดกลับมาได้รึเปล่านี่นะ..
   เขาเคยนึกสงสัยว่าทำไมสองคนนี่ไม่แต่งงานกันสักที คงเป็นเพราะราฟาแอลไม่อยากให้คลาวเดียมีภาระกับชีวิตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขา
   แล้วฟ่งล่ะ?
   ถ้าฟ่งอยู่กับรูฟัสก็คงไม่ต่างกันไม่ใช่หรือไง อยู่กับคนที่เอาแน่เอานอนกับชีวิตไม่ได้ ฟ่งจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า มันคงโหดร้ายเกินไปที่ดึงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามาแล้วต้องพบเจอกับความเสี่ยงแบบนี้
   ฟ่งจำเป็นต้องมีทางเลือกอื่น
   อย่างน้อยเขาก็เชื่อแบบนั้น แต่ว่าจะหลบหลีกสายตารูฟัสไปได้ยังไงล่ะ?
--------------------------------------
   “นี่รูฟัส แผลที่ไหล่คุณน่ะ ไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ?” ฟ่งถามอย่างเป็นห่วง และรู้สึกอายนิดๆ เพราะแผลที่ไหล่นั่นเขาเป็นคนทำเอาไว้เองเมื่อคืน รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างแปลกใจ ขณะสวมเสื้อยืดแขนยาวตัวใหญ่
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ นิดหน่อยเอง ถ้าเป็นคุณล่ะก็ จะกัดให้ลึกกว่านี้ก็ได้”
   “บ้า! ผมไม่ใช่ผีดูดเลือดนะ” ฟ่งว่า มองดูลำแขนแกร่งที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อแล้วนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
   “คุณ...เอ้อ..ไม่หนักเหรอเวลาอุ้มผมน่ะ?”
   รูฟัสหัวเราะออกมาทันที
   “คุณน่ะตัวเบากว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก”
   “เอ๊ะ!!” ฟ่งอุทาน ทำตาโต รูฟัสรู้ตัวทันทีว่าพูดอะไรผิดจังหวะไปเสียแล้ว เขารีบพูดต่อ “นั่นมันก่อนหน้าที่จะพบคุณนะครับ ตอนนี้ผมมีแค่คุณแล้ว”
   “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย” ฟ่งว่า และหัวเราะออกมา “หน้าคุณตะกี้ตลกดี  เหมือนว่าคุณจะกลัวผมโกรธ”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ
   “คุณไม่โกรธก็ดีแล้วครับ” เขากล่าว และเดินเข้ามาหาฟ่งซึ่งแต่งตัวเสร็จนานแล้ว
   “คุณน่ะ น่ารักมากเลยนะครับ รู้ตัวรึเปล่า?”
   “ก็มีแต่คุณแหละที่ว่าแบบนั้น”
   รูฟัสย่นคิ้วมองดูใบหน้าใต้แว่นนั่นอีกรอบ
   “คุณวางใจเกินไปแบบนี้แหละครับที่ผมเป็นห่วง”
   ฟ่งทำหน้าแปลกๆ “ผมว่าคุณคิดมากเกินไปนะ ถ้าคุณห่วงผมขนาดนั้น ก็อย่าให้ใครมาลักพาตัวผมไปอีกแล้วกัน”
   รูฟัสหัวเราะแหะๆ  พลางนึกขึ้นได้ “เฟิงปิงเคยทำอะไรคุณหรือเปล่า?”
   ฟ่งสั่นศีรษะ นึกกลัวว่านี่จะไปกระตุ้นต่อมหึงของรูฟัสเข้า  ขืนถ้าบอกว่าโดนทำอะไรไปบ้างสงสัยเขาอาจจะโดนอีกรอบหนึ่ง คราวที่แล้วแค่แสดงความเป็นห่วงสองคนนั่นรูฟัสยังทำเขาอย่างไม่ยั้งมือ
   รูฟัสขมวดคิ้ว ขณะที่คิดว่าฟ่งต้องปิดบังอะไรเขาเรื่องนี้อยู่แน่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่ฉันจะขึ้นมาถามว่าพวกนายจะกินอะไรกัน”
   รัสเลอร์โผล่หน้าเข้ามา และแทบจะหลับตาลงเมื่อเห็นรอยจ้ำสีชมพูอ่อนๆ หลายรอยตรงซอกคอของฟ่ง ถึงทางนั้นจะเอาผ้าพันคอมาปิดไว้ก็เถอะ เขาถึงบางอ้อทันทีว่าทำไมก่อนหน้านี้ฟ่งถึงพันผ้าพันคอทุกวัน ท่าทางรูฟัสจะทำรอยเอาไว้เยอะ
   “คลาวเดียออกไปข้างนอกกับราฟี่ล่ะสิ” รูฟัสพูดอย่างรู้อยู่ก่อนแล้ว รัสเลอร์พยักหน้า
   “อืม ก็อย่างนั้นแหละ พวกนายจะกินอะไร”
   “อยากทานอะไรครับฟ่ง?” รูฟัสกระซิบถามคนรักขณะก้าวมายืนด้านหลัง ดึงตัวของฟ่งเข้ามากอด และเงยมองรัสเลอร์ ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าของร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
   “มีอะไรบ้างล่ะครับ ผมทานอะไรก็ได้” ฟ่งกล่าว รู้สึกขัดเขินที่ถูกรูฟัสกอดต่อหน้าคนอื่น  เขาพยายามจะแกะมือที่เกาะเกี่ยวนั้นออก ก่อนจะเงยมองรัสเลอร์และเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ
   “หน้าคุณ?!”
   รัสเลอร์ยกมือขึ้นแตะแก้มที่บวมปูดและยักไหล่
   “นี่น่ะเหรอ ไม่เป็นไรหรอก” เขาว่าและหันไปจ้องตากับรูฟัส  ฟ่งรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลของคนทั้งคู่ จึงเสนอความคิดขึ้น
   “ผมว่าเราลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่านะ”
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่39 P4 14/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-06-2011 13:08:35
   ดูเหมือนว่ารัสเลอร์จะไปทำอะไรให้รูฟัสไม่ไว้ใจ หลังจากจบมื้อเช้าที่วุ่นวายนิดหน่อย รูฟัสก็ตามขึ้นมาเฝ้าถึงข้างบนห้อง
   “นี่นายไม่มีงานมีการทำหรือไง?” รัสเลอร์กล่าวอย่างรำคาญแกมหมั่นไส้
   “ถ้านายโมโหเรื่องบิสกิต ฉันหยิบมาให้อีกจานแล้วไง” รูฟัสว่าและยื่นจานบิสกิตที่กองจนพูนสูงให้ฟ่ง
   “คิดจะขุนผมเหรอเนี่ย” ฟ่งพูดติดตลก และหยิบบิสกิตในจานไปชิ้นหนึ่ง รูฟัสยิ้มเล็กๆ ขณะที่รัสเลอร์ทำหน้าบูด
   “ฉันไม่ได้รำคาญนายเรื่องนั้น”
   “อ้อ” หนุ่มตาสองสีครางเสียงยาวอย่างยียวน
   “คำว่าน่ารำคาญน่ะฉันควรจะเป็นคนพูดมากกว่า” รูฟัสกล่าว มองหน้ารัสเลอร์อย่างหาเรื่อง
   “ฉันทำงานอยู่นะ นายนั่นแหละที่นั่งอย่างไร้ประโยชน์”
   “ไม่เห็นว่านายจะช่วยอะไรฟ่งตรงไหน?” รูฟัสแย้ง เขม่นมองรัสเลอร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเครื่องที่ฟ่งนั่งอยู่
   “คุณสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไรเนี่ย?” ฟ่งถามออกมาในที่สุด เขากำลังโอนไฟล์บางส่วนส่งให้รัสเลอร์ทำต่อโดยผ่านระบบบลูทูธ
   “เปล่า” ทั้งสองหนุ่มตอบออกมาเกือบจะพร้อมกัน ฟ่งเหลือบตามองทั้งคู่ผ่านเลนส์แว่นด้วยสายตาไม่เชื่ออย่างที่สุด
   “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยหยุดเถียงกันได้แล้ว ผมไม่มีสมาธิ”
   รูฟัสส่งเสียงเฮอะอย่างไม่พอใจนัก ขณะที่รัสเลอร์หัวเราะออกมานิดหน่อย
   “ขำอะไร?”
   “ขำคนโดนด่า” รัสเลอร์ตอบ รูฟัสเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเขาควรจะต่อยให้หนักกว่านี้ เอาให้เจ้าหมอนี่พูดไม่ได้ไปเลย
   ฟ่งถอนหายใจยาว วางมือจากงานที่ทำอยู่ และหันไปหาหนุ่มตาสองสี
   “ผมว่าคุณลงไปข้างล่างก่อนดีกว่ามั้ย?”
   “ผมไม่ส่งเสียงแล้วก็ได้ครับ” รูฟัสว่า ทำหน้าละห้อย ฟ่งกะพริบตาปริบๆ
   “ไม่ใช่แบบนั้น คือผมไม่รู้ว่าพวกคุณทะเลาะอะไรกันนะ แต่นั่งอยู่แบบนี้ก็อึดอัดใช่ไหมล่ะ? แล้วเดี๋ยวก็คงเถียงกันอีก ผมไม่ได้ไล่คุณนะ”
   “ผมไม่อยากทิ้งคุณไว้กับเจ้าบ้านี่” รูฟัสสารภาพออกมา ฟ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ
   “รัสเลอร์ไม่ทำอะไรผมหรอก ทำงานกันมาตั้งสองวันแล้ว ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ”
   รูฟัสหันไปมองรัสเลอร์อย่างไม่ไว้ใจ
   “ให้เจ้านั่นพูดออกมาต่อหน้าคุณสิ ว่าจะไม่ทำอะไร”
   หนุ่มสวมแว่นถอนใจอีกรอบ และหันไปคุยกับรัสเลอร์
   “คุณรัสเลอร์ครับ คุณช่วยสัญญาหน่อยสิครับว่าคุณจะไม่ทำอะไรผม”
   รัสเลอร์เงยหน้าขึ้น นอกจากใบหน้าน่ารักๆ ของฟ่งที่มองมาแล้วไอ้ตาสองสีที่ลุกวาวราวกับดวงตาพญามารก็มองมาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “หึงไม่เข้าเรื่องน่ะรูฟัส ฉันสัญญาก็ได้ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลย”
   “เอาหัวนายรับประกันไหมล่ะ?”
   “รูฟัส!!” ฟ่งร้องออกมาอย่างอ่อนใจที่สุด เขามองหน้ารูฟัสราวกับจะถามว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า
   “จะหึงก็ให้มันมีเหตุผลหน่อยสิ ผมไม่ชอบคุณที่ทำตัวแบบนี้เลย”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ มองดูฟ่งด้วยสายตาน่าสงสารเหมือนสุนัขที่ถูกเจ้านายดุ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่รัสเลอร์
   “ถ้าคุณพูดขนาดนั้นล่ะก็ ผมลงไปข้างล่างก็ได้ครับ เดี๋ยวอีกสิบนาทีผมจะแวะกลับมาดูใหม่”
   “ตามใจแล้วกัน” ฟ่งพูดอย่างปลงตก รูฟัสมองดูคนรักอย่างเป็นห่วง แต่ก็ยอมลุกออกไปแต่โดยดี

   รัสเลอร์เกือบจะลืมตัวถอนหายใจออกมา หลังจากที่รูฟัสปิดประตูแล้ว  เขายังนึกสงสัยว่าเจ้าบ้านั่นจะแอบฟังอยู่หลังประตูต่อรึเปล่า ให้ตายสิ พวกสายลับนี่ไม่น่าไว้ใจเลยสักคน
   “ขอโทษนะครับ”
   ฟ่งเอ่ยขึ้นหลังจากกลับมานั่งที่แล้ว เมื่อครู่เขาเดินไปส่งรูฟัสที่หน้าประตู และถูกขอร้องให้จูบลานิดหน่อย นึกไปบางทีรูฟัสก็เหมือนเด็กๆ ขี้อ้อนแต่ก็ขี้หึงด้วย
   “เรื่องอะไรเหรอ?” รัสเลอร์ถาม พยายามเบนสายตาไม่ให้สนใจกับฟ่งมาก ตอนนี้เหลือกันอยู่แค่สองคนแล้ว ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้อยู่กับฟ่งแค่สองต่อสอง
   “ก็เรื่องที่พวกคุณทะเลาะกัน ความจริงแค่เรื่องที่นอนรูฟัสไม่น่าทำขนาดนี้..”
   รัสเลอร์หัวเราะแหะๆ ถ้าฟ่งรู้ว่าเขาถูกต่อยเพราะเรื่องอะไรล่ะก็จะยังพูดกับเขาแบบนี้อยู่รึเปล่านะ
   “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า และพยายามตั้งสมาธิสนใจกับงานที่ทำอยู่
   “ผมได้ค่าอัตราเสี่ยงของเสาคำยันต้นที่สามกับสิบหกแล้วล่ะ จะให้พริ๊นต์ออกมาเลยไหม?” ฟ่งว่า อีกฝ่ายพยักหน้า
   “ก็ได้ครับ” รัสเลอร์ตอบ ก่อนจะถามอย่างสงสัย เมื่อพบว่ามีการโอนไฟล์เข้ามาในเรื่องเพิ่มขึ้นอีก
   “แล้วที่ส่งมาให้ผมนี่...”
   “อ๋อ... คือผมจะแยกแปลนห้องที่เป็นทางวงกตให้พวกเขาสักชุดน่ะ เผื่อว่าถ้าจะออกกันทางนั้นจะได้เข้าใจง่ายขึ้น”
   รัสเลอร์มองดูรูปแบบเส้นทางที่เหมือนใยแมลงมุมที่มีเส้นสีขีดแบ่งความแตกต่างแล้วก็นึกปวดใจนิดๆ นี่คือความเป็นห่วงที่ฟ่งมีให้รูฟัสอย่างนั้นหรือ
   “ห่วงรูฟัสมากเลยเหรอ?”
   “ห่วงสิครับ” ฟ่งตอบโดยไม่ทันสังเกตจุดประสงค์ของผู้ถาม รัสเลอร์พยักหน้า เขาอยากรู้ว่าฟ่งมีใจให้รูฟัสขนาดไหน
   “คุณเจอกับรูฟัสได้ยังไง?”
   “เขามาเช่าห้องอยู่ข้างห้องผมน่ะ” ฟ่งตอบขณะพยายามแยกแปลนให้อยู่ในรูปแบบที่คนปกติเข้าใจได้ง่าย
   “ได้ยินว่าเขาพาคุณไปทานข้าวด้วย เขาจีบคุณก่อนเหรอ”
   “เปล่าหรอกครับ”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ พอนึกไปถึงเรื่องในตอนนั้นแล้วรู้สึกเขินๆ อย่างไรพิกล
   “คือตอนนั้นผมมีปัญหานิดหน่อย แล้วเขาคงเห็นผมเหงาๆ มั้งครับ ก็เลยชวนไปทานข้าว”
   ที่แท้เจ้ารูฟัสใช้ช่วงจังหวะที่หัวใจของฟ่งกำลังอ่อนแอนี่เอง
   “แต่เขาไมได้จีบผมหรอกนะ” ฟ่งรีบปฏิเสธ รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
   “ไม่ได้จีบแล้วทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ล่ะ?”
   “เรื่องมันยาวน่ะครับ” ฟ่งตอบอย่างรู้สึกกระดาก จะว่าไปแล้วมันก็เริ่มต้นมาจากเขาทั้งนั้นแหละ ไอ้เรื่องน่าอายทั้งหมดนี่น่ะ
   “เล่าไม่ได้?”
   “อธิบายลำบากน่ะครับ คืออยู่มาวันหนึ่งรูฟัสเขาก็บอกรักผม แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ”
   “เขาบังคับใจคุณรึเปล่า?”
   “ไม่หรอกครับ”
   “งั้นคุณเต็มใจกับเรื่องนี้?”
   “ก็ไม่เชิง” ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ นี่รัสเลอร์กำลังสอบประวัติเขาอยู่หรือไงนะ
   “ไอ้ไม่เชิงนี่คืออะไรน่ะ”
   “พูดยากน่ะ เอาว่าผมไม่ได้ฝืนใจก็แล้วกัน”
   “แต่ก็ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่สินะ” รัสเลอร์ทวนซ้ำ และถามต่อ
   “คุณชอบรูฟัสรึเปล่า?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงเรื่อ
   “ว่าไงล่ะ ชอบหรือไม่ชอบ หืม?”
   “ผมบอกคุณไม่ได้หรอก” ฟ่งว่า รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา ทำไมรัสเลอร์ถึงต้องมาถามเขาเรื่องนี้ด้วยนะ
   “ทำไมล่ะ อายเหรอ?”
   พวงแก้มแดงปลั่งตอบแทนได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก รัสเลอร์รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา ฟ่งน่ารักจริงๆ นั่นแหละ แค่ถามแบบนี้ก็หน้าแดงแล้ว แต่แปลกจริงๆ ถ้าฟ่งชอบหรือตกลงปลงใจกับรูฟัสแล้วก็น่าจะตอบออกมาได้นี่นา ท่าทางเจ้ารูฟัสจะมั่นใจอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ ชายหนุ่มถือโอกาสรุกต่อ
   “คุณแน่ใจแล้วหรือว่าจะอยู่แบบนี้กับรูฟัสน่ะ?”
   “ไม่รู้สิครับ” ฟ่งว่า และรู้สึกเหมือนตอบคำถามเอาเปรียบรูฟัสไปสักหน่อย
   “แต่เขาดีกับผมมาก บอกรักผมก็หลายหน ผมแน่ใจว่าเขาคงไม่โกหก แต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันเหมือนกันว่ามันจะจริงตลอดไป”
   นี่ถ้ารูฟัสแอบฟังอยู่จะรู้สึกยังไงบ้างนะ
   “ผมคงไม่ใช่แฟนที่ดีเท่าไหร่” ฟ่งพูดต่อและหัวเราะเขินๆ
   “ไม่หรอก” รัสเลอร์ว่า พยายามสะกดใจไม่ให้เต้นแรงไปกับรอยยิ้มเขินอายและแก้มแดงๆ นั่น เขาพูดต่อ “คุณคิดดีแล้วจริงๆ หรือ ที่ว่าจะอยู่กับรูฟัสแบบนี้น่ะ คุณรู้รึเปล่าว่างานที่เขาทำมันอันตราย”
   ฟ่งพยักหน้า “ผมรู้ครับ ผมอยากให้เขาเลิก เขาเองก็บอกว่าจะพยายาม”
   “คุณไม่รู้หรือว่างานที่เขาทำอยู่ใช่ว่าจะเลิกได้ง่ายๆ อะไรจะรับประกันว่าจะไม่มีใครตามล่าตัวเขาหลังจากนั้น ชีวิตคู่ของคุณจะสงบสุขได้ยังไง”
   หนุ่มสวมแว่นหน้าเจื่อนลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังพูดต่อ “มันก็คงเหมือนกับผมนั่นแหละครับ ผมเองก็ใช่ว่าสามารถอยู่กับเขาแบบเปิดเผยได้อย่างสบายใจ แต่ว่า... ในเมื่อเขาพยายามเพื่อผมมาขนาดนี้ ผมก็คงต้องพยายามเพื่อเขาเหมือนกัน”
   “แล้วถ้ามันเกิดไม่สำเร็จล่ะ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรัสเลอร์ นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อย อีกฝ่ายจึงกล่าวสืบต่อ
   “ทำไมถึงต้องเอาชีวิตไปผูกติดกับความไม่แน่นอนแบบนั้น คุณมั่นใจแล้วหรือว่าจะเลือกผู้ชายคนนั้น”
   ฟ่งหน้าแดงวาบขึ้นมาอีก “ไม่รู้สิครับ”
   “งั้นทำไมไม่ลองมองหาทางเลือกอื่นล่ะ”
   คนได้ฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัยทันที “ทางเลือก?”
   “อืม ทางเลือกอื่น คนอื่นที่ดีกว่า คนดีๆ อย่างคุณยังมีคนให้มองอีกเยอะนะ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหึงรูฟัสเหรอ?”
   รัสเลอร์เกือบจะสำลักน้ำลาย ยังไม่ทันที่เขาจะได้โต้เถียงอะไร ฟ่งก็พูดขึ้นต่อ
   “ผมรู้ว่ารูฟัสเป็นคนมีเสน่ห์ ถ้าคุณจะชอบเขาก็ไม่แปลกหรอก”
   “โธ่... คุณใช้อะไรคิดเนี่ย” รัสเลอร์ครางออกมา ฟ่งมองเขาอย่างแปลกใจ
   “ก็เห็นคุณถามนั่นถามนี่ เหมือนว่าอยากจะให้ผมแยกกับรูฟัส เหมือนว่าคุณกำลังหึงเขาอยู่แต่ไม่กล้าบอกผมตรงๆ คุณรู้จักกับเขามาก่อนผมนี่ครับ แล้วก็ดูจะสนิทกันดี”
   “พระเจ้า!!” รัสเลอร์ครางออกมา ยกมือขึ้นกุมศีรษะ นี่ตกลงฟ่งซื่อหรือซื่อบื้อกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งทำให้ดูน่ารักเข้าไปอีก
   “แทนที่จะคิดว่าผมชอบรูฟัส ทำไมไม่คิดว่าผมชอบคุณบ้างล่ะ”
   “ฮ่ะๆ อย่าล้อกันเล่นแบบนั้นสิครับ” ฟ่งพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อมือของรัสเลอร์จับลงมาที่หัวไหล่
   “ผมชอบคุณนะ”
   “อย่าล้อผมเล่นแบบนี้นะ” ฟ่งว่า พยายามจะขยับตัวถอยห่าง แต่ถูกมือยึดเอาไว้
   “ผมชอบคุณจริงๆ นะ ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดอะไร แต่พอได้อยู่ใกล้กับคุณแล้ว  คุณทำให้ผมรู้สึกว่า.... คุณน่ารักมาก”
   ฟ่งกลืนน้ำลายลงคอ นึกถึงคำพูดของรูฟัสขึ้นมาทันที
   “คุณคุยรูฟัสเรื่องนี้?”
   “ครับ ผมถึงได้แก้มปูดอยู่อย่างนี้ไงล่ะ”
   “ทำไมคุณหาเรื่องขนาดนั้น” ฟ่งครางออกมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้รูฟัสต่อยรัสเลอร์
   “เพราะผมชอบคุณไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบ และฉวยมือฟ่งขึ้นมาจูบ ทำเอาอีกฝ่ายขนลุกเกรียว
   “ถ้าคุณไม่มั่นใจ ทำไมไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นบ้างล่ะ”
   “ผมไม่ใช่เกย์นะ” ฟ่งพูด และพยายามดึงมือกลับ พลางนึกว่ารัสเลอร์ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ คนได้ฟังขมวดคิ้ว
   “อย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างเลย รอยที่คอคุณมันบอก ว่าคุณมีอารมณ์กับผู้ชาย”
   ฟ่งยกมือขึ้นปิดซอกคออย่างลืมตัว “เห็นเหรอ?”
   “รอยมันชัดขนาดนั้น ปิดไม่หมดหรอก เมื่อคืนมีอะไรกันสินะ”
   “มันเรื่องส่วนตัวของผม!!” ฟ่งโพล่งออกมา รู้สึกหงุดหงิดและอับอายที่ถูกถามเรื่องแบบนี้ รัสเลอร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม
   “งั้นพิสูจน์ไหมล่ะ ว่าคุณไม่ได้เป็นเกย์อย่างที่ปากพูด” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกล่าว ก่อนจะบดริมฝีปากเข้ามาบนริมฝีปากสีชมพูนั้น ฟ่งเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ พยายามจะผลักไสอีกฝ่ายออก รู้สึกถึงปลายลิ้นที่รุกไล่เข้ามา
   พลั่ก!!
   รัสเลอร์เซถลาออกไป ก่อนที่จะได้ทันตั้งตัวยืนได้ กำปั้นก็ประเคนเข้ามาอีกหนึ่งหมัด
   “ไอ้บ้า!” ฟ่งตะโกนใส่รัสเลอร์และวิ่งออกไปจากห้อง เพราะกลัวจะควบคุมตัวเองต่อไปไม่ได้
   ขืนอยู่ต่อเขาคงได้ซ้อมผู้ชายคนนี้แน่ๆ
---------------------------------------------------
   “โอ้..” รูฟัสส่งเสียงเหมือนจะแปลกใจ แต่ฟ่งดูจะแปลกใจมากกว่า เพราะเขาพบรูฟัสอยู่ห่างออกไปจากประตูห้องไม่เท่าไรนัก คงจะวนเวียนแอบฟังอยู่
   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” หนุ่มตาสองสีกล่าว ฟ่งหอบหายใจด้วยความโมโห ก่อนจะโผเข้ากอดรูฟัส
   “ผมเกลียดผู้ชาย” ร่างบางว่า รูฟัสมองดูบุคคลในอ้อมกอดและถอนหายใจยาว การกระทำดูขัดกับคำพูดยังไงพิกล
   “อย่าเกลียดผมก็พอครับ” เขาว่า และยกใบหน้านั้นขึ้นมาจูบ  ฟ่งหลับตา ปล่อยให้รูฟัสจูบอยู่อย่างนั้น
   “ร้องไห้หรือครับ?” ชายหนุ่มถาม หลังจากปล่อยริมฝีปากสีชมพูนั้นแล้ว  ฟ่งสั่นศีรษะ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก
   “เปล่า ผมขยะแขยง”
   “อืม...เจ้านั่นล่วงเกินคุณจริงๆ ด้วยสินะ”
   “ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” ฟ่งว่าและยกมือขึ้นลูบปาก น่าแปลกที่พอเป็นรูฟัสแล้ว กลับไม่รู้สึกรังเกียจอะไรเลย
   “คุณว่าผมเป็นเกย์รึเปล่า?” ร่างบางช้อนตาขึ้นถาม รูฟัสกลืนน้ำลาย ตอบด้วยสีหน้าปั้นยาก
   “ถ้าคุณว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ครับ”
   “แต่ผมจูบกับคุณแล้วไม่รู้สึกรังเกียจเลยนี่”
   “งั้นจูบอีกสิครับ”
   “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น!!” ฟ่งพูดและผลักใบหน้าของรูฟัสที่โน้มเข้ามาออก ผู้ชายคนนี้คิดอย่างอื่นไม่เป็นแล้วหรือไงนะ
   “คือผมไม่ได้มีอารมณ์กับผู้ชายทั่วไป แต่ผมมีอารมณ์กับคุณ อย่างนี้เรียกว่าเป็นเกย์รึเปล่า?”
   “คุณพอใจแบบไหนล่ะครับ สำหรับผม จะเรียกว่าอะไรผมไม่สนใจหรอก แค่คุณอยากอยู่กับผมก็พอแล้ว”
   “แต่คนอื่นเข้าใจผิดนี่”
   “ก็ช่างคนอื่นสิครับ คุณน่ะมีแต่ผมก็พอ”
   “ผมไม่อยากถูกผู้ชายจูบอีก”
   “แสดงว่าก่อนหน้าหมอนี่มีคนเคยทำมาแล้วสินะ”
   ฟ่งพยักหน้าแกนๆ อย่างไม่สู้จะยอมรับนัก รูฟัสถอนหายใจ
   “ก็ผมบอกแล้วว่าคุณน่ะน่ารัก คุณก็ไม่ระวังตัวบ้างเลย  ใครๆ ก็อยากฉวยโอกาสกับคุณทั้งนั้น”
   “ใครมันจะไปคิดกันล่ะ ผมน่ารักตรงไหน แถมก่อนหน้านี้ผมไม่เคยโดนแบบนี้เลยนี่ จนกระทั่งคุณเริ่มนี่แหละ” ฟ่งว่า และนึกสงสัยว่าเพราะรูฟัสเขาเลยซวยในเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?    คราวนี้รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “เพิ่งโดนหลังจากที่เป็นแฟนกับผมแล้วงั้นหรือครับ ว่าแล้ว”
   “หมายความว่าไง?”
   หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มละมุน ลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างรักใคร่
   “คุณน่ะน่ารัก น่าทะนุถนอม ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีใครทำอะไรก็คงเพราะไม่อยากให้คุณแปดเปื้อนมั้งครับ อีกอย่างคุณก็ไม่ได้เปิดเผยให้พวกเขารู้ว่าคุณชอบผู้ชาย”
   “ก็ผมไม่ได้ชอบ”
   “ครับๆ ” รูฟัสรีบตัดบท เพราะเดี๋ยวจะวกเข้าตัวอีก เกิดฟ่งหันมาโทษเขาเรื่องนี้แล้วงองแงเหมือนเมื่อคืนคงน่าปวดหัวพิลึก
   “ยังไงต่อไปก็ระวังๆ ไว้หน่อยนะครับ  อย่าไว้ใจใครมาก”
   “อื้อ...”
-----------------------------------
   รัสเลอร์นั่งคู้ตัวอยู่ในห้อง เขาเงยหน้าขึ้นมาได้นิดหน่อยตอนที่รูฟัสเปิดประตูเข้ามา
   “มาเยาะเย้ยหรือไง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามผู้มาใหม่ ซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ
   “เปล่า.. ถูกต่อยรึ?”
   “ทั้งถีบทั้งต่อยเลยต่างหาก” ผู้ถูกถามกล่าว พลางลูบแก้มอีกข้างหนึ่งซึ่งบวมปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   “โดนเตะกล่องดวงใจด้วยล่ะสิ”
   “อืม” รัสเลอร์พูดพลางถอนหายใจ
   “ดุชะมัด ไม่คิดเลยว่าจะเจ็บตัวซ้ำสอง”
   “ช่วยไม่ได้ ก็ไม่ใช้สมองคิดเองนี่” รูฟัสว่า ได้ยินเสียงรัสเลอร์แค่นหัวเราะ
   “น่ารักขนาดนั้น เป็นนายนายจะใช้สมองหรือใช้สัญชาติญาณกันล่ะ”
   “อืม ฉันเข้าใจดีเลยล่ะ” หนุ่มตาสองสีพยักหน้าอย่างยอมรับ ครั้งแรกที่เขามีอะไรกับฟ่ง ก็ทำไปโดยใช้สัญชาติญาณเหมือนกัน หรือจะพูดให้ถูกก็ทุกครั้งที่ทำลงไปนั่นแหละ
   “ฟ่งโมโหมากรึเปล่า?”
   “ก็พอดูอยู่ ถึงกับพูดออกมาว่าเกลียดผู้ชายเลย”
   รัสเลอร์หัวเราะอีกครั้ง “นั่นไม่นับนายสินะ”
   “ถ้ารวมฉันด้วยนายไม่ได้นั่งพูดแบบนี้แน่” รูฟัสว่า รัสเลอร์เลยหันหน้าไปทางอื่นเสีย
   “เจ็บชะมัด” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มบ่น รูฟัสมองดูแก้มปูดๆ ทั้งสองข้างแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือสงสารดี
   “ดีที่ไม่โดนซ้ำข้างเดียวกันนะเนี่ย” หนุ่มตาสองสีว่า  รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน
   “ถ้าโดนแบบนั้นสงสัยจะพูดไม่ได้”
   รูฟัสนึกอยากให้ฟ่งต่อยซ้ำข้างเดิมขึ้นมาถนัด
   “นายเคยถูกต่อยบ้างรึเปล่า?” รัสเลอร์ถาม รูฟัสสั่นศีรษะ “ถูกฟ่งต่อยรึ? ไม่เคย”
   “แล้วไปจีบมาอีท่าไหน”
   “ไม่ได้จีบหรอก รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว”
   “ง่ายขนาดนั้นเลย?” รูฟัสสั่นศีรษะอีก
   “ฟังจากคำพูดของฟ่งแล้วนายคิดว่าชีวิตรักของฉันราบรื่นนักหรือไง เด็กคนนั้นน่ะดูจะไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง”
   “แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต่อยนายนะ แต่รู้แบบนี้แปลว่าแอบนั่งฟังอยู่ด้านนอกจริงๆ ล่ะสิ”
   “อืม”
   รัสเลอร์ถอนหายใจ เหม่อมองข้ามเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังที่ที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้
   “นี่รูฟัส ฟ่งน่ะให้ความสำคัญกับนายมากเลยนะ ถึงกับบอกว่าอยากจะอยู่ด้วย นายน่ะมีปัญญาดูแลเด็กคนนั้นจริงๆ เหรอ?”
   “อืม..”
   “สัญญาได้ไหมว่านายจะทำให้เขามีความสุข”
   “ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
   รัสเลอร์ถอนหายใจ มองหน้าเพื่อนร่วมงาน
   “ฉันคงเกลียดนายไปเลยถ้าทำให้ฟ่งรู้สึกแย่”
   “นายจริงจังกับฟ่งมากขนาดนั้นเชียว?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “ไม่จริงจังฉันจะกล้าถูกต่อยสองหนซ้อนแบบนี้เลยเหรอ โอ๊ย เจ็บชะมัด”
   “แล้วคิดจะทำยังไงต่อ ไปขอโทษ?”
   “คงงั้น แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันยังไม่ถอดใจง่ายๆ หรอก”
   “อยากถูกต่อยซ้ำหรือไง”
   รัสเลอร์ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ สักวันฟ่งอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
   “ตามใจนาย หน้าใครหน้ามันนี่นา”
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-06-2011 14:16:24
ฟ่งน่ารัก  ใคร ๆ ก็รักฟ่ง  รูฟัสขี้หึงได้สุด ๆ จริง ๆ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Maria_safe ที่ 15-06-2011 14:26:04
ไม่เข็ดจริงๆนะเจ้ารัสเลอร์นี่
ฟ่งยังน่ารักเหมือนเดิม รูฟัสก็หื่นจริงน้อ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 15-06-2011 14:53:18
ฟ่งนี่อิมเมจกระรอกสินะ

ตื่นคน 55+ นายไม่ได้เป็นเกย์นะฟ่ะ

นายแค่ชอบผู้ชายชื่อลูฟัสเท่านั้นเอง ^^

ปอลิง ชอบเรื่่องนี้มากเลยอ่ะ อัพได้สะใจวัยโจ๋มาก 55+
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 15-06-2011 15:56:23
รัสเลอร์โดนกระรอกน้อยซ้อมซะแล้ว 5555
กระรอกน้อยตัวนี้ไม่ใช่เล่นนะ แถมเจ้าของยังดุอีกตะหาก
ถอยตอนนี้ยังทัน(มั้ย)
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 15-06-2011 19:39:19
กรี๊ดดดด (คลุ่มคลั่ง) อ่านสามวันรวดติด
สนุกมว้ากกกกก
ป.ล. ตอนที่ฝังประทับอยู่ในดวงใจคือตอนที่เฟิงปิงเทไวน์ใส่ฟ่ง  :z1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 15-06-2011 20:16:14
ตอนนี้ฟ่งน่ารักมาก "เกลียดผู้ชาย"  :laugh: นึกถึงโฆษณานึงที่มีเด็กผู้หญิงพูดกับคุณแม่แบบนี้เลย น่ารักอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 15-06-2011 21:12:01
ฟ่งน่ารัก สมน้ำหน้ารัสเลอร์โดนต่อยเลย แต่ขำความคิดฟ่งที่ว่ารัสเลอร์ชอบรูฟัส
คิดสภาพออกเลย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: JipPy ที่ 16-06-2011 01:28:18
ชอบเรื่องนี้มาก ก ก ก ก ก ก กก ก ก ก ก ก



รีบๆมาอัพนะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: sokoloy ที่ 16-06-2011 18:25:41
พึ่งเข้ามาอ่าน ขอบอกเลยว่าชอบเรื่องนี้อ่ะ :กอด1: :กอด1:

รีบๆมาต่อนะ เป็นกำลังใจให้ :L2:
 
อยากให้ทำเป็นหนังสืออ่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 16-06-2011 18:40:22
 “ผมเกลียดผู้ชาย”   :serius2:

งั้นเอามาทางนี้เลยฟ่ง  :z1:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 16-06-2011 19:42:48
รออัพอะ อยากอ่านต่อ
ลงนะ เห็นว่าไม่สบายดูแลสุขภาพด้วยน๋า
เค้าเอาเรื่องนี้กับเรื่อง[เรื่องยาว]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น ส่งเมล์ให้เพื่อนๆอ่านด้วยอะ
หวังว่าเพื่อนๆคงชอบ
เพราะเราโฆษณาไว้เยอะว่าสนุก
ถ้าเค้าชอบกันจะเม้นท์มาบอก


 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: korn_ken ที่ 16-06-2011 20:23:58
 อ่านตามทันจนได้

ไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: korn_ken ที่ 16-06-2011 20:27:30
อ่านตามทันจนได้

    ไม่หลับไม่นอนกันเลย  ทีเดียว

สนุกมาก.........


รูฟัสหื่นอะ :-[ :-[

     ส่วนฟ่ง   น่า... :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 17-06-2011 13:33:29
อ่านจบแล้วค่ะ ตามมาให้กำลังใจ

ตอนแรกๆมีแอบท้อเหมือนกัน  :jul3: ยาวเหลือเกิน

งานของคุณละเอียดดีค่ะ เหมาะกับผู้ใหญ่อ่าน  (เด็กบางคนก็อ่านเนอะ) ตอนต้นๆเรื่องมันดำเนินเรื่องช้าไปอ่ะค่ะ บางทีคนที่อ่านไม่เก่งอาจจะถอดใจได้

แต่ไม่ผิดหวังค่ะที่ติดตามมาจนถึงตอนปัจจุบัน ชอบทั้งสองคู่เลย ตอนของ ซื่อเหยียนสารภาพกับว่าที่พ่อตาว่าจะอยู่ไม่ไปไหน บีบหัวใจมาก นึกว่าจะโดนฆ่าซะแล้วอ่ะ  :a5: ดูเป็นคนที่โง่ในเรื่องรัก แสดงออกไม่เป็น แต่ก็ซื่อสัตย์จงรักภักดี เหมือนหมาที่รักเจ้าของแบบไม่มีเงื่อนไขเลย :monkeysad:

ส่วนฟ่งกับรูฟัส ก็ลุ้นจนเหนื่อยใจเลย คลาดกันทั้งทางกายและทางใจ กว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่ฟ่งน่ารักดี ดูเป็นคนธรรมดาๆดีค่ะ ส่วนรูฟัสก็หื่นไปหน่อย  :laugh: เหนื่อยแทนฟ่งไม่ใช่อะไร  :m20:

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-06-2011 21:26:59
**เนื้อหาต่อจากนี้ไม่ใช่ฉบับFinal edit ที่ใช้สำหรับรวมเล่มเหมือนช่วงก่อนหน้าแล้วนะคะ เพราะฉะนั้นเนื้อหาอาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง (สำหรับเนื้อหาฉบับสมบูรณ์สามารถหาอ่านได้จากรวมเล่มค่ะ)

บทที่41 การทานอาหารร่วมกันของพี่น้องตระกูลเว่ย
   มื้ออาหารค่ำของตระกูลเว่ยนั้น จะว่าไปแล้วเหมือนงานสัมมนาใหญ่เสียมากกว่า  แม้เว่ยชิงจะบอกว่าไม่อยากให้เอิกเริก แต่การมารวมตัวกันของผู้ทรงอิทธิพลด้านธุรกิจทั้งสี่แห่งเกาะฮ่องกง อันได้แก่ หลี่เจียหลิน เจ้าแม่แห่งวงการธุรกิจด้านอัญมณีและเครื่องประดับ เว่ยฟู่ฉิน เจ้าพ่อธุรกิจส่งออก เว่ยจินหยิน ผู้ทรงอิทธิพลด้านการส่งออกและท่าเรือ เว่ยเฟิงปิง คุณชายน้อยผู้ครอบครองสิทธิอาณาเขตการคุ้มครองธุรกิจกลางคืนและสัมปทานย่านการค้า ก็เพียงพอที่จะกลายเป็นข่าวใหญ่ได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีเว่ยจินจิน อัยการชื่อดังซึ่งมีเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับที่มาของเธอซึ่งเป็นคนของตระกูลเว่ยด้วย ที่จะขาดไปก็เห็นจะมีแต่เว่ยปิงเซียงที่ยังคงนิทราอยู่และเว่ยซื่อหลิวที่เรียนต่ออยู่ต่างประเทศ
   ขบวนรถของเว่ยเฟิงปิงแล่นเข้ามาในตึก เกือบจะพร้อมกับขบวนรถของเว่ยจินจิน  ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะขบวนรถของเว่ยจินจินนั้นถือว่ามีความยาวน้อยมากเมื่อเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ
   เว่ยจินจินก้าวเท้าลงจากรถสปอร์ตจากัวร์สีดำสนิท หล่อนรวมผมเรียบร้อย สวมชุดสูทลำลองเข้ารูปสีเทาเข้ากับกางเกงขายาวสีเทา ทับเชิ้ตสีขาว แบะปกเล็กน้อย พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองสามคน ซึ่งคงเป็นคนจากหน่วยดำที่เว่ยชิงหาไว้ให้ หล่อนก้าวเท้าผ่านรถของเว่ยเฟิงปิงโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง  ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติของตระกูลนี้อยู่แล้ว พี่น้องเกือบทุกคนแทบจะไม่รู้จักกันเลย เว้นเสียแต่ว่ามีผลประโยชน์ร่วมหรือเป็นคู่แข่งกันเท่านั้น
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าลงจากรถซีดานสีดำ พร้อมด้วยขบวนผู้ติดตามราวสิบกว่าคน มุ่งหน้าเข้าสู่สำนักงานใหญ่ของตระกูลเว่ย
   สำนักงานใหญ่ของตระกูลเว่ย เป็นตึกสูงสามสิบหกชั้น สร้างทับที่ตั้งของคฤหาสน์ประจำตระกูลหลังเดิมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเขตธุรกิจของเกาะฮ่องกง เนื้อที่ราวๆ หกไร่ ประกอบด้วยสำนักงานกลุ่มธุรกิจด้านต่างๆ ราวสองร้อยสำนักงาน  ซึ่งกว่าร้อยละแปดสิบเป็นบริษัทลูกในเครือธุรกิจของตระกูล อีกสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เป็นส่วนของผู้ร่วมค้าซึ่งมาอาศัยอิทธิพลของเว่ยชิงในการดำเนินธุรกิจ
   ห้องที่ใช้รับประทานอาหารนั้นตั้งอยู่กลางชั้นบนสุด เป็นห้องทรงกลม ขนาดเนื้อที่ราวๆ ยี่สิบตารางเมตร บุผนังด้วยวัสดุกั้นเสียงอย่างดี แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้เรื่องราวในวงสนทนาแพร่งพรายออกไปด้านนอก

   ผู้ติดตามทุกคนไม่ถูกอนุญาตให้เข้าไปในห้องรับประทานอาหารนี้ แม้แต่พนักงานเสิร์ฟเองก็ตาม อาหารทุกอย่างจะถูกเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการพบหน้าและเสวนากันเฉพาะคนตระกูลเว่ยอย่างแท้จริง
   จางซื่อเยี่ยนส่งเจ้านายของเขาที่หน้าประตูห้องเช่นเดียวกับผู้ติดตามคนอื่นๆ เขาเดินออกมายังห้องพักขนาดใหญ่ที่ถูกจัดเอาไว้ การประชุมใหญ่ของตระกูลเว่ยนั้น นอกจากจะประชุมคนในตระกูลแล้ว ยังเหมือนการนัดพบของเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายด้วย แน่นอนว่ามีหลายคนที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อน
   จางซื่อเยี่ยนโบกมือทักทายคนรู้จักบางคน และไปนั่งหลบอยู่มุมห้อง เขาไม่ชอบการเสวนากับคนหมู่มากอย่างนี้ ถึงแม้บางส่วนจะเคยทำงานร่วมกันมาก่อนก็ตาม
   “ไง อาซื่อ มานั่งหลบมุมอีกแล้วหรือ?” ผู้เอ่ยทักทายเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เถียนซานเดินเข้ามาและนั่งลงข้างๆ พร้อมกับยื่นแก้วใส่น้ำเปล่าให้
   “วันนี้คุณท่านจัดอาหารให้พวกเราด้วย ท่าทางว่าจะคุยกันยาว” ชายวัยใกล้กลางคนกล่าวสืบต่อ พลางโบกมือให้กับบรรดาลูกน้องที่แวะเวียนเข้ามาทักทายเป็นระยะ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าและรับแก้วนั้นไว้ เถียนซานยกแก้วตัวเองขึ้นมาจิบน้ำอึกหนึ่ง มองหน้าอดีตลูกน้อง ก่อนจะพูดออกมา
   “ไม่เจอกันแวบเดียว ตัดผมล่ะรึ?”
   “อืม” ชายหนุ่มยอมรับ และยกมือขึ้นลูบผมอย่างรู้สึกแปลกๆ
   “คุณชายเจ็ดสั่งให้ตัด?” อีกฝ่ายถามต่อ จางซื่อเยี่ยนถามกลับด้วยสีหน้าแปลกใจ “เปล่า..  ยังไม่มีใครเล่าให้พี่ฟังหรือ?”
เถียนซานส่ายหน้า “ยัง พี่อยากฟังจากปากเธอ เกิดอะไรขึ้นรึ?”
จางซื่อเยี่ยนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ “คุณท่านเป็นคนตัดครับ”
“อ้อ...” คนได้ฟังร้องเสียงยาว ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองอดีตลูกน้อง “เพราะอะไรล่ะ?”
“คือ...” ชายหนุ่มอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร เถียนซานมองหน้าเขาอยู่สักครู่ แล้วถอนหายใจออกมา
“ได้ยินว่าเธอนอนกับคุณชายเจ็ดแล้ว จริงรึเปล่า?”
จางซื่อเยี่ยนสะดุ้งตัวหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ครับ”
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ทันที ท่ามกลางเสียงพูดคุยจ๊อกแจกรอบๆ จนเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เถียนซานจึงพูดต่อ
“ซื่อเยี่ยน... เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปกติเธอไม่ใช่คนแบบนี้...”
จางซื่อเยี่ยนบีบมือแน่น เถียนซานเป็นหนึ่งในคนที่เลี้ยงและดูแลเขามา และเป็นคนที่คอยอบรมสั่งสอนเขาด้วย การที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คงทำให้เจ้าตัวรู้สึกผิดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผม....” ชายหนุ่มพูดค้าง พยายามนึกหาคำอธิบายให้ผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาเป็นยี่สิบปีที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เถียนซานนั้นนอกจากจะเคยเป็นอดีตหัวหน้าแล้ว ยังเป็นทั้งผู้ดูแล ครูฝึก และเพื่อนอีกด้วย ในบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยทั้งหมด จางซื่อเยี่ยนนับถือผู้ชายคนนี้รองจากเจ้านายใหญ่ของเขาเลยทีเดียว
“มันเป็นความประสงค์ของคุณชายครับ ผมขัดไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มตอบออกมา เถียนซานมองหน้าอดีตลูกน้องอีกครั้ง “ขัดไม่ได้ จริงรึ?”
คนถูกถามอึ้งไปอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองอดีตเจ้านาย “ผมรู้ว่ามันไม่ควร แต่ผมรักคุณชาย...”
“เพราะอย่างนั้นเลยปฏิเสธไม่ออกสินะ” เถียนซานช่วยต่อให้ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ารับแต่โดยดี ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจ
“อาซื่อ พี่รู้ว่าเธอไม่ใช่คนทะเยอะทะยาน แต่ระวังอย่าทำอะไรให้คุณท่านแคลงใจไปมากกว่านี้ล่ะ”
   “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก” จางซื่อเยี่ยนโพล่งขึ้นทันที เถียนซานมองหน้าเขา นัยน์ตาสีหินน้ำตกทอประกายเย็นยะเยียบ
   “คุณท่านเป็นคนใจกว้าง เรื่องครั้งนี้ท่านคงให้อภัย แต่จงระวังอย่าทำให้คุณท่านเสียความมั่นใจในตัวเธอเด็ดขาด เธอรู้ใช่ไหมว่าต้องจงรักภักดีกับใครมากที่สุด”
   “ครับ”
   หัวหน้าหน่วยดำคนปัจจุบันคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะตบไหล่อดีตลูกน้อง “ไปหาอะไรทานกันเถอะ”
-------------------------------------------
   บรรยากาศในห้องอาหาร ณ ชั้นบนสุดของตึกสำนักงานใหญ่ตระกูลเว่ยนั้น ราวกับการเปิดโต๊ะเจรจาธุรกิจมากกว่าเป็นการพูดคุยกันของบรรดาพี่น้อง
   เมื่อเว่ยชิงซึ่งเป็นทั้งพ่อ และผู้นำตระกูลยังไม่เข้ามาในห้อง บรรดาพี่น้องจึงสนทนากันด้วยเรื่องธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าคนที่มีเรื่องพูดคุยมากที่สุดคงหนีไม่พ้นลูกชายคนที่สองที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
   เว่ยจินหยินนั้นรับผิดชอบธุรกิจของตระกูลมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งธุรกิจบนดินและใต้ดิน แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากธุรกิจทั้งหมดนี้ไม่ใช่น้อยๆ เขากำลังพูดคุยกับเว่ยจินจิน น้องสาวคนที่สี่ เรื่องคดีลักลอบนำเข้าสินค้าของบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นเครือข่ายของตระกูล ที่กำลังถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้ โดยมีเว่ยฟู่ฉินนั่งฟังอย่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นเว่ยเฟิงปิงจึงต้องหันมาคุยกับพี่สาวคนโตแทน
   หลี่เจียหลินปีนี้อายุสี่สิบสองแล้ว เธอแต่งงานเป็นสะใภ้ของตระกูลหลี่ไปตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน กระนั้นยังดำรงสถานะของตัวเองในตระกูลเอาไว้อย่างมั่นคง เพราะการแต่งงานของเธอคือการผนวกเอาตระกูลหลี่เข้ามาไว้ในอาณัติของตระกูลเว่ยอย่างถาวรนั่นเอง
   ถึงปีนี้จะอายุสี่สิบสอง แต่หลี่เจียหลินแต่งตัวแบบผู้หญิงสมัยใหม่ ไม่ถึงกับกระชากวัยมาก แต่ก็ไม่ได้ดูโบร่ำโบราณ เหมือนเช่นแนวคิดของเจ้าตัว ถ้านับในบรรดาพี่น้องแล้ว เว่ยเฟิงปิงชอบคุยกับพี่สาวคนโตคนนี้เป็นพิเศษ เพราะเจียหลินเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมเหมือนพี่ชายคนรองของเขา และไม่ใช่คนเงียบๆ แบบที่เดาอะไรไม่ออกอย่างพี่ชายคนโต ที่สำคัญ ตระกูลหลี่มีธุรกิจหลายอย่างที่ต้องอาศัยความดูแลของเขาด้วย
   เว่ยชิงเดินเข้ามาในห้องอาหารหลังจากนั้นสักพัก เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต ทับด้วยเสื้อคลุมแพรแบบจีนสีเหลืองอ่อน พอเข้ามาถึงเว่ยฟู่ฉินก็เอ่ยทักผู้เป็นบิดาทันที
   “อ้าว คุณพ่อ กำลังรออยู่เลยครับ”
   เว่ยชิงยิ้มกว้างให้ลูกชายคนโตของเขา ก่อนจะใช้ดวงตาสีน้ำครำพิจารณาลูกๆ ที่เหลือทีละคน ต่างคนจึงพากันนั่งเงียบกริบ และก้มลงมองจานอาหาร เพราะไม่มีใครอยากมองดวงตาคู่นั้นมากนัก เว่ยชิงนั้นเลี้ยงดูลูกที่เกิดจากภรรยาหลายคนแตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่ลูกๆ รู้สึกเหมือนๆ กันคือ ไม่มีใครชอบพ่อของตัวเองสักคน แต่ทุกคนก็รู้ว่า เว่ยชิงไม่เคยพอใจในตัวลูกคนไหนอย่างจริงจังเลย เว้นแต่ลูกชายคนโตเท่านั้น
   เว่ยฟู่ฉินนั้นเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่เว่ยชิงรักมากที่สุด ขนาดตระเตรียมจะยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้ตั้งแต่อายุได้สามสิบ จัดการส่งเว่ยจินหยินน้องชายไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อมารับตำแหน่งมือขวาของพี่ชายโดยเฉพาะ แต่ทุกอย่างก็สะดุดเมื่อเว่ยฟู่ฉินปฏิเสธการรับตำแหน่งผู้นำรุ่นต่อไปอย่างเด็ดขาด และหันไปทำธุรกิจของตัวเอง เรื่องนี้ทำให้เว่ยชิงล้มป่วยนับเดือน กระนั้นเขาก็ยังรักและเอ็นดูลูกชายคนโตเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
   เมื่อเว่ยฟู่ฉินย้ายไปทำกิจการใหม่ คนเป็นพ่อก็สู้อุตส่าห์ดั้นด้นไปสร้างคฤหาสน์เอาไว้นอกเมือง ใกล้ๆ กับโรงงานของลูกชาย เพื่อจะได้ไปเยี่ยมได้สะดวก เมื่อเว่ยชิงหันไปทุ่มเทเวลาให้กับลูกชายคนโต งานบริหารธุรกิจทั้งหมดของตระกูลจึงตกเป็นภาระของลูกคนรองที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
   เว่ยจินหยินปีนี้อายุสามสิบหก ยังไม่แต่งงานหรือมีลูก เขาใช้ชีวิตคลุกคลีกับธุรกิจของตระกูลทั้งใต้ดินและบนดินมาตั้งแต่เริ่มอ่านออกเขียนได้ เว่ยจินหยินเป็นคนมารยาทดี ฝีปากเป็นเลิศ และเป็นนักวางแผนตัวฉกาจทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องอื่นๆ แต่ชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเขามักจะใช้กลอุบายต่างๆ ทั้งใต้ดินและบนดินในการเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ แถมยังมีข่าวลือว่าเจ้าตัวมีงานอดิเรกเกี่ยวกับการทดลองยาพิษ โดยใช้ลูกน้องหรือคนทรยศที่จับได้เป็นหนูทดลอง และการวางยาพิษหรือใช้หน่วยดำให้สังหารผู้บริหารบางคนที่ขัดหูขัดตาตัวเอง เรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงของเว่ยจินหยินฉาวโฉ่มากที่สุด คือเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นกับน้องชายคนที่หกของเขาเมื่อหกปีก่อน จนทำให้กลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล และการยิงถล่มรถของน้องชายคนเล็กอีกสองคนที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ทุกคนเชื่อว่าเว่ยจินหยินอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ จุดประสงค์เพื่อต้องการกำจัดคู่แข่งในการขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป ดังนั้นเว่ยจินหยินจึงได้รับคำเรียกว่าเป็นผู้ชายที่อำมหิตที่สุดในฮ่องกงโดยที่เจ้าตัวไม่เคยออกมาปฏิเสธเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าว
   เว่ยชิงทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองบรรดาลูกๆ ของตนอีกครั้ง คนที่ดูจะขัดหูขัดตามากที่สุดคงหนีไม่พ้นลูกชายคนที่เจ็ดที่เพิ่งกลับเข้ามาในตระกูลได้เพียงสองปีเศษ
   เว่ยเฟิงปิงนั้นเกิดและโตที่ต่างประเทศมาโดยตลอด พอมาอยู่ฮ่องกงได้ไม่กี่เดือนก็ทำเรื่องใหญ่โตจนต้องขับออกจากตระกูล เว่ยชิงไม่ชอบใจลูกชายลักเพศคนนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ถึงกับชิงชังจนไม่อยากมองหน้า ถ้าตัดเรื่องความผิดปกติทางเพศออกไป มันสมองในการคิดและตัดสินใจ ทักษะการเอาตัวรอด และความทะเยอะทะยานแบบไม่ธรรมดาของเว่ยเฟิงปิงนั้น มีค่าเพียงพอที่จะรับกลับเข้ามาเป็นแขนเป็นขาให้กับตระกูลสืบต่อไป
   
“ทานข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด” ผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ยคนปัจจุบันกล่าว หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พวกลูกๆ มองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง และก้มหน้าก้มตาทานอาหารโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ความอึดอัดค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงช้อนกระทบจานเบาๆ และยิ่งควบแน่นมากขึ้น เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท เว่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองบรรดาลูกๆ ของตนอีกครั้ง
“ยังจำเรื่องโครงการ“Tezcatlipoca(เทซกาลิโพกา) ที่พ่อพูดถึงไปวันก่อนได้รึเปล่า?”
“โครงการยาตัวใหม่ของคุณทวีศักดิ์น่ะหรือครับ?” เว่ยจินหยินพูดตอบขึ้นทันที ผู้เป็นพ่อพยักหน้าหน่อยๆ
“คุณพ่อบอกยกเลิกไปแล้วนี่ครับ” เว่ยเฟิงปิงพูดขึ้นบ้าง คนเป็นพ่อพยักหน้าอีก “พ่อจำได้ ก็พ่อส่งลูกไปบอกยกเลิกเอง”
เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ผู้เป็นพ่อครั้งหนึ่ง เว่ยจินจินถามขึ้นบ้าง “คุณทวีศักดิ์นี่ใครกันคะ?”
“เพื่อนเก่าของคุณพ่อน่ะจ้ะ ตอนนี้เป็นคู่ค้าคนหนึ่งของน้องใหญ่ล่ะมั้ง” หลี่เจียหลินช่วยตอบแทนให้ เพราะน้องสาวคนนี้ไม่ได้มาร่วมรับประทานอาหารในครั้งก่อน เลยยังไม่ทราบรายละเอียด เว่ยจินจินหันไปมองพี่ชายคนโต เว่ยฟู่ฉินพยักหน้า
“อืม เขาเป็นเจ้าของบริษัทผลิตยาที่ประเทศไทยน่ะ” พี่ชายคนโตอธิบายต่อ
“ยา? จะผลิตยาอะไรหรือคะ?” เว่ยจินจินถามต่อ หันไปมองผู้เป็นบิดาอย่างไม่ไว้ใจนัก เว่ยชิงยิ้มออกมา
   “ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะทางนั้นแจ้งมาว่าเป็นยาตัวใหม่ คงไม่เข้าข่ายกฎหมายยาเสพติด แต่ก็เป็นยาเสพติดนั่นแหละ”
   เว่ยจินจินพยักหน้า “ดีแล้วล่ะค่ะที่คุณพ่อยกเลิก หนูไม่อยากทำคดีเกี่ยวกับยาเสพติดนักหรอกนะคะ เพราะถ้ามันข้ามชาติจะยิ่งจัดการลำบาก”
   “อืม พ่อเข้าใจ” เว่ยชิงตอบ ก่อนจะพูดต่อ “แต่พ่อได้ยินข่าวมาว่าริเวิลกระโดดเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว”
   ห้องทั้งห้องเงียบกริบทันที ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของริเวิล และไม่มีใครไม่รู้ซึ้งถึงความแค้นชนิดที่เรียกได้ว่าคุ้มคลั่งของเว่ยชิงที่มีต่อผู้นำสูงสุดคนหนึ่งของริเวิลที่ใช้ชื่อว่าลี่เหลียน ซึ่งตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลเว่ยมาตลอดหลายสิบปี เพราะลี่เหลียนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้องชายต่างมารดาเพียงคนเดียวที่ถูกขับออกไปจากตระกูลเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน เพราะก่อเรื่องอัปยศเอาไว้
   “ได้ยินข่าวมาแล้วเหมือนกันล่ะครับ” เว่ยจินหยินยังคงเป็นแรกที่เอ่ยปากก่อนเช่นเคย เขาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับใส่หน้ากาก ไม่มีใครคาดเดาอารมณ์ของผู้ชายคนนี้ออก แม้แต่คนที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเขาเองก็ตาม
   เว่ยชิงส่งเสียงอืมเบาๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เว่ยเฟิงปิงก็กล่าวแทรกขึ้น
   “แล้วคุณพ่อจะเอายังไงครับ จะกลับเข้าร่วมประชุมใช่ไหม? ผมจะได้แจ้งทางคุณทวีศักดิ์”
   เว่ยชิงยิ้มกว้างอย่างพอใจให้กับบุตรชายคนเล็กที่เหลืออยู่ของเขา ก่อนจะพูดต่อ “อืม ใช่ พ่อจะให้เรากลับเข้าร่วมประชุม เพียงแต่เราไม่ต้องการยาตัวนั้น พ่อต้องการหัวของไฮท์ที่ริเวิลส่งไปประชุม”
   ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องรับประทานอาหารอีกครั้ง ลูกๆ แต่ละคนต่างหลุบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันบ้าง สุดท้ายเว่ยจินหยินยังคงเป็นผู้ที่เอ่ยปากขึ้นก่อนคนแรก
   “คุณพ่อทราบแล้วหรือครับว่าริเวิลจะส่งใครไป?”
   “เปล่า” เว่ยชิงปฏิเสธ ก่อนจะปรายตามองลูกชายคนรอง “แต่เดี๋ยวลูกคงจะรู้เอง ริเวิลไม่ส่งระดับกระจอกไปร่วมประชุมใหญ่แบบนี้หรอก”
   “ครับ...” เว่ยจินหยินพยักหน้ารับ ขณะที่เว่ยเฟิงปิงพูดแทรกขึ้นต่อ
   “ถ้าคุณพ่อต้องการอย่างนั้น ผมคงต้องขอกำลังคนเพิ่ม อนุญาตให้ผมยืมคนจากหน่วยดำได้หรือเปล่า?”
   เว่ยชิงปรายตามองลูกชายคนเล็ก แล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก พ่อจะส่งจินหยินไปกับลูกด้วย”
   นัยน์ตาสีดำราวกับสุนัขจิ้งจอกของเว่ยจินหยินไหววูบ พร้อมกันกับกับแก้วตาของเว่ยเฟิงปิงที่หดเล็กลง แม้แต่ดวงตาสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนของเว่ยฟู่ฉินก็ยังพลอยสั่นระริก มีเพียงดวงตาสีน้ำครำของผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่ยังคงนิ่งสงบ
   ราวกับพายุร้ายที่ก่อตัวอยู่อย่างเงียบงันในมหาสมุทรใหญ่
   สักพัก เว่ยชิงจึงกล่าวสืบต่อ
   “เสร็จงานนี้พ่อจะพิจารณาเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอด”
   เค้าลางของพายุก่อตัวชัดเจนขึ้นทันที เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดาด้วยดวงตาสีดำที่เต้นระริก ขณะที่เว่ยเฟิงปิงถลึงตามองไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
   ผู้สืบทอด!
   หลังจากการปฏิเสธที่จะรับช่วงต่อของเว่ยฟู่ฉิน เว่ยชิงไม่ยอมเลือกลูกคนไหนขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดต่อเลย แม้แต่เว่ยจินหยินที่ทำงานรับใช้มาอย่างยาวนาน ดังนั้น การที่เว่ยเฟิงปิงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจผู้เป็นบิดาตั้งแต่กลับเข้าตระกูลมาเมื่อสองปีก่อน ก็เพราะต้องการเป็นหนึ่งในตัวเลือกของตำแหน่งผู้สืบทอดนี่เอง
   เว่ยเฟิงปิงเกลียดชังบิดาบังเกิดเกล้าของเขามาตั้งแต่ยังเล็ก และความเกลียดชังนั้นยิ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคียดแค้น ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่บิดาของเขาสร้างขึ้นมาเพื่อระบายความเคียดแค้นนี้
   การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำและบดขยี้ธุรกิจทุกอย่างตอนที่เว่ยชิงยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ทำให้เขาทนอยู่ใต้อำนาจของผู้เป็นพ่อมาจนถึงปัจจุบัน

   เว่ยชิงปรายตามองบุตรชายทั้งสองของตนอีกครั้ง ไม่ยากเลยกับการเดาความในใจของบุตรชายคนเล็ก สำหรับคนที่ผ่านโลกมาค่อนศตวรรษ มิหนำซ้ำยังเป็นพ่อแท้ๆ ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าภายใต้ดวงตาสีฟ้าใสนั้นคิดอะไรอยู่
   เว่ยเฟิงปิงเคียดแค้นที่ถูกเขาทอดทิ้งไปนาน เรื่องนี้เว่ยชิงรู้ดีมาตลอด แต่เว่ยเฟิงปิงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งของเขา แถมยังมีความสามารถที่ไม่อาจมองข้ามได้ แม้จะมีความผิดปกติทางเพศและเคยถูกขับออกจากตระกูลไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีค่าพอจะนำมาใช้สอยได้
   เหลือแค่หาโซ่ล่ามดีๆ สักเส้น ล่ามลูกชายที่แสดงอาการพยศคนนี้ให้อยู่หมัด
   จางซื่อเยี่ยนถือเป็นหนึ่งในโซ่เส้นหนึ่งที่เว่ยชิงเลือกเอาไว้
   เขาเป็นหนึ่งในลูกน้องไม่กี่คนที่เว่ยชิงให้ความไว้วางใจเป็นพิเศษ เพราะชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็กๆ และเป็นคนมีลักษณะนิสัยตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการรับหน้าที่นี้
   เหตุผลสำคัญอีกประการที่ทำให้เว่ยชิงเลือกจางซื่อเยี่ยนให้ไปรับตำแหน่งบอดีการ์ดของเว่ยเฟิงปิงคือความรู้สึกพิเศษที่จางซื่อเยี่ยนมีให้เว่ยเฟิงปิง
   ในวันที่เว่ยเฟิงปิงถูกลงโทษนั้น สมาชิกหน่วยดำอยู่กับพร้อมหน้า เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่จัดการกับคนทรยศ เมื่อเว่ยชิงมีการสำเร็จโทษสมาชิกคนใดด้วยตนเอง จะเรียกหน่วยนี้เขามาด้วยเสมอ เพื่อตอกย้ำให้ทุกคนในหน่วยยังความจงรักภักดีเอาไว้ให้ถึงที่สุด
   สมาชิกหน่วยดำแต่ละคนถูกฝึกฝนมาอย่างดีในเรื่องการควบคุมจิตใจ ภายใต้ระบบการอบรมที่เข้มงวด สมาชิกทุกคนจะมีความจงรักภักดีสูงสุดต่อผู้นำสูงสุดของตระกูล และผู้นำในลำดับอื่นรองลงมา พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่ต้องถามเหตุผล ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้อง
   กระนั้น ในหมู่ดวงตาที่เหมือนกับรูปสลักพวกนั้น กลับมีคู่หนึ่งที่ฉายแววหวั่นไหวออกมาในตอนที่เว่ยเฟิงปิงถูกลงโทษ ดวงตาสีดำราวกับขนกาของจางซื่อเยี่ยน
   เป็นเรื่องหน้าแปลกสำหรับนักฆ่าระดับสูงที่จะมีดวงตาหวั่นไหวเช่นนั้น เว่ยชิงติดใจเรื่องนี้มาโดยตลอด กระทั่งวันที่คัดเลือกตัวผู้ที่จะไปดูแลความปลอดภัยของเว่ยเฟิงปิง ดวงตาของจางซื่อเยี่ยนก็ฉายแววหวั่นไหวออกมาอีกครั้ง และเจ้าตัวก็อาสาทำหน้าที่นี้ด้วยตนเอง เว่ยชิงตัดสินใจเลือกโซ่เส้นนี้ทันที
   เว่ยเฟิงปิงเป็นคนฉลาดและระวังตัวแจ การที่ใครจะเข้าถึงจิตใจนั้นเป็นไปได้ยาก หนำซ้ำยังมีรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติซ้ำเข้าไปอีก การส่งคนอย่างจางซื่อเยี่ยนเข้าไปจึงดูน่าสนใจเป็นพิเศษ เว่ยชิงแทบไม่ต้องทำอะไร แค่รอ รอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนดำเนินบทบาทอย่างอิสระ ตามความรู้สึกและความตั้งใจของเจ้าตัว รอว่าสักวันหนึ่งเว่ยเฟิงปิงจะหลงมาติดกับ
   แล้วเว่ยเฟิงปิงก็ติดกับเข้าจนได้
   กับดักธรรมชาติที่มีชื่อว่าความรัก
   ดังนั้นข่าวที่เว่ยจินหยินนำมาแจ้งจึงไม่สร้างความแปลกใจแต่อย่างไร การไปเยือนในคราวก่อนนั้นเป็นเพียงการทดสอบประสิทธิภาพของโซ่ล่ามว่าหนาแน่นเพียงไร และผลที่ได้ทำให้เว่ยชิงพอใจอยู่ลึกๆ
   เว่ยเฟิงปิงถูกสายโซ่แห่งความรักล่ามไว้จนแน่นหนาแล้ว ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เว่ยชิงไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงบุตรชายคนนี้อีกแล้ว เนื่องจากจางซื่อเยี่ยนจะเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
   เพราะจางซื่อเยี่ยนไม่มีวันทรยศอย่างเด็ดขาด

   ความเงียบงันคงสถานะของมันอยู่ในห้องอาหารอีกพักใหญ่ ท้ายที่สุดยังคงเป็นเว่ยจินหยินที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
   “ตามความต้องการของคุณพ่อครับ” ชายหนุ่มกล่าว และยิ้มอย่างประจบประแจง ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังแว่นตากรอบทองและดวงตาสีดำเหมือนสุนัขจิ้งจอกนั้นซ่อนความรู้สึกใดไว้บ้าง เว่ยจินหยินนั้นเหมือนคนที่แสดงละครอยู่ตลอดเวลา จนดูไม่ออกแล้วว่าส่วนไหนคือการแสดงอารมณ์ที่แท้จริงกันแน่
   เว่ยเฟิงปิงเกลียดขี้หน้าพี่ชายของเขาคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ โดยเฉพาะรอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำนั่น เว่ยจินหยินเหมือนจะรู้สึกว่าเขามองอยู่ เลยหันหน้ามา และยิ้มกว้าง
   เว่ยเฟิงปิงทนไม่ได้จริงๆ จึงต้องเอ่ยปากออกไป
   “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมจะไม่ไปในฐานะลูกน้องของพี่จินหยินเด็ดขาด ผมจะไปในฐานะเดียวกัน”
   ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว ก่อนที่เว่ยจินหยินจะหัวเราะออกมา
   “แน่นอนเฟิงปิง พี่เองก็ไม่อยากได้ลูกน้องไม่ได้เรื่องแบบเธอหรอก”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายทันที เว่ยชิงจึงรีบยกมือขึ้นปรามลูกชายทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
   “มีเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนการประชุม พ่ออยากให้ลูกทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
---------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่40 P5 15/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-06-2011 21:27:44
   อีกสองสัปดาห์
   ชายวัยกลางคนหยุดยืนตรงหน้าลิฟต์จำนวนกว่าสิบตัว ซึ่งถูกยึดโยงด้วยโครงสร้างที่ผลิตมาจากวัสดุชนิดพิเศษ ออกแบบให้สามารถพาผู้โดยสารขึ้นสู่พื้นดินด้านบนโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย นี่คือส่วนสุดท้ายของห้องประชุมที่เขาทุมทุนสร้างเพื่ออวดนความก้าวหน้าด้านนาโนเทคโนโลยี และเป็นที่เปิดตัวสิงประดิษฐ์ใหม่ที่จะสั่นสะเทือนทุกวงการทั่วโลก
   การทดสอบระบบเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว คงเหลือแต่ห้องทางออกฉุกเฉินนี้ และทางเดินระเบียงอีกไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่กำลังทยอยทดสอบกันอยู่
   เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ดั้นด้นควานหาตัวสถาปนิกคนนั้นและว่าจ้างให้ออกแบบ อภิวัฒน์เป็นสถาปนิกหนุ่มที่มีงานออกแบบบางอย่างที่แปลกพิสดารเกินกว่าที่สามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้ นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ
   แม้จะพยายามปกปิดการประชุมนี้ให้ลับที่สุด แต่ทวีศักดิ์ก็พอรู้มาว่ามีหลายองค์กรได้กลิ่นของมันแล้ว ถึงจะยังแสดงตัวออกมาไม่ชัดแต่เขาจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรการประชุมจะต้องดำเนินต่อไป ขอเพียงแค่กระจายสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ได้สำเร็จ เขาไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ห้องประชุมที่ลึกลับซับซ้อนแบบนี้แหละที่จะเป็นการการันตีอย่างดีกว่างานของเขาคราวนี้จะลุล่วงไปได้อย่างสวยงาม
   ถึงจะยังมีจุดติดขัดตรงที่ยังหาตัวสถาปนิกที่เขียนแบบเพื่อจัดการปิดปากไม่พบ และหุ้นส่วนสำคัญอย่างยุทธชัยก็มาถอนตัวในนาทีสุดท้าย แต่ก็ยังได้ริเวิล และตระกูลเว่ยที่กลับลำเข้าร่วมในนาทีสุดท้ายมาแทนที่ เท่านี้ก็คงเพียงพอกับแผนการกระจายที่เตรียมไว้ เหลือแค่จัดการเสี้ยนหนามเล็กๆ น้อยๆ ให้หมดก่อนวันงาน

   “ไม่ยักจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้พ่อชอบสร้างห้องลับ”
   เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นทำให้ทวีศักดิ์สะดุ้งโหยง เขาหันกลับไปและพบบุตรชายกำลังมองสำรวจห้องอยู่
   “ลูกเข้ามาได้ยังไง?” ผู้เป็นพ่อถามอย่างสงสัยปนตกใจนิดหน่อย วรุตยักไหล่ ชูนิ้วโป้งให้ผู้เป็นบิดา
“ก็สแกนนิ้วเข้ามาสิพ่อ อุตส่าห์สร้างของดีๆ แบบนี้เอาไว้ ทำไมถึงปิดผมล่ะ”
ทวีศักดิ์หันมามองบุตรชาย ก่อนจะพูดเสียงอ่อน “พ่อคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเข้ามาที่นี่”
   วรุตทำหน้าแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
   ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ช่างเถอะ ว่าแต่ใครอนุญาตให้ลูกเข้ามา อารัตน์หรือ?”
   “อืม” เด็กหนุ่มพยักหน้า และรีบพูดต่อ “แต่อาเขาไม่ได้อนุญาตให้ผมเข้ามาง่ายๆ นะ ผมขอแกมขู่เขาเอา สุดท้ายเขาคงทนรำคาญผมไม่ไหวเลยให้ผ่านเข้ามาชั่วคราว ผมก็กะว่าจะมาขอผ่านถาวรกับพ่อนี่แหละ”
“อืม ไว้เดี๋ยวพ่อพร้อมให้ลูกเข้ามาเมื่อไหร่จะบอกอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ลูกออกไปก่อนดีกว่า”
วรุตขมวดคิ้วทันที “เมื่อไหร่อีกล่ะพ่อ นี่พ่อกะจะทำอะไรไม่ดีอีกแล้วล่ะสิ พ่อไม่บอกผมตอนนี้ อีกหน่อยผมก็ต้องรู้เองอยู่ดีนั่นแหละ”
   ทวีศักดิ์ถอนหายใจ มองหน้าลูกชายพักหนึ่ง “เอาไว้ถึงเวลาก่อนแล้วกัน”
   “ถึงเวลาอะไรอีกล่ะพ่อ” วรุตว่า “ถึงเวลาที่พ่อจัดการปิดปากคนอื่นสนิทแล้วงั้นเหรอ พ่อฆ่าไปกี่คนแล้วล่ะ? คนเขียนแปลนห้องนี้พ่อฆ่าเขาไปหรือยัง? พ่อคิดจะใช้พี่เดชไปฆ่าเขาด้วยสินะ”
   คิ้วของทวีศักดิ์ขมวดเข้าหากันบ้าง “ใครเล่าให้ลูกฟัง เดชรึ?”
   “เปล่า ผมเดาของผมเอง” เด็กหนุ่มตอบ และพูดต่อ “ความจริงพ่อทำอะไร ก็น่าจะบอกให้ผมรู้บ้างนะ ผมจะได้เตรียมตัวถูก เวลาอยู่ต่อหน้าตำรวจ”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” ทวีศักดิ์เอ็ดลูกชาย ก่อนจะลดเสียงลง “ที่พ่อทำอยู่นี่ก็เพื่ออนาคตของลูกทั้งนั้น”
วรุตแบะปาก ทำหน้าบูด ยืนอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง จึงได้พูดต่อ “งั้นผมขอสิทธิ์ในการผ่านเข้าออกห้องลับนี่แบบทุกเกท ทุกประตูเลย”
“ลูกทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” ทวีศักดิ์ค้านทันที “ที่นี่ซับซ้อน พ่อว่าถ้าลูกผ่านได้ทุกประตู ลูกคงหลงทางแน่ๆ “
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “งั้นเอาไงล่ะ ผมต้องถือแผนที่มั้ย? หรือต้องมีคนนำทาง พ่อจะเอาเรื่องแค่นี้มาห้ามไม่ให้ผมเข้ามาไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก” ทวีศักดิ์ตอบ และนิ่งไปพักหนึ่ง “ไปบอกอารัตน์ว่าพ่อนุญาตให้ลูกผ่านได้ในโซนเอแล้วกัน”
“แล้วโซนอื่นล่ะ? ผมขอผ่านทุกประตูแล้วถือแผนที่ดีกว่า”
ทวีศักดิ์มองดูลูกชายอย่างอ่อนใจ “เอาล่ะ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะให้คนพาลูกเดินดู ลูกจะได้รู้ว่าที่นี่มันซับซ้อนขนาดไหน”
วรุตยิ้มกว้างออกมาทันที “ขอบคุณนะพ่อ งั้นเดี๋ยวผมไปบอกอารัตน์ ขอเดินดูโซนเอก่อนก็ได้”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ทวีศักดิ์มองไล่หลังลูกชาย ก่อนจะถอนหายใจ และยิ้มออกมา
เขาไม่ได้เห็นสีหน้ามีความสุขของวรุตนานเท่าไหร่แล้วนะ แต่เอาเถอะ อีกไม่นานวรุตจะต้องยิ้มอย่างมีความสุขกว่านี้
   อีกไม่นานนักหรอก
--------------------------------------
   เวลาล่วงเลยมาสู่วันที่สาม ฟ่งและรัสเลอร์สามารถแยกแยะระเบียงในส่วนที่จำเป็นทั้งหมด และทำแผนที่ง่ายๆ ไว้ให้รูฟัสกับราฟาแอลได้ก่อนพระอาทิตย์ตก โดยมีพ่อหนุ่มตาสองสีนั่งให้กำลังใจอยู่ข้างๆ หรือจะพูดให้ถูกคือนั่งเฝ้านั่นแหละ เพราะฟ่งเกิดอาการหวาดผวาจนไม่กะใจจะทำงานเมื่ออยู่กับรัสเลอร์สองคน
เรื่องนี้ทำให้หนุ่มนักประดิษฐ์รู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ เขาควรจะต้องทำอะไรซักอย่างก่อนจะกลับสำนักงานใหญ่ไป
   “ผมขอคุณกับคุณสักแป๊บได้หรือเปล่า?” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฟ่งหันมามองเขาด้วยแววตาไม่ค่อยไว้ใจนัก คนถูกมองกะพริบตาปริบๆ
   “ผมแค่อยากจะขอโทษ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกล่าว ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส หนุ่มตาสองสีพยักหน้าในเชิงว่าไม่เป็นไร ในที่สุดฟ่งก็ยอมเดินออกไปพร้อมรัสเลอร์ โดยที่รูฟัสยังคงอยู่ในห้องอาหาร
   “เพิ่งเห็นเจ้านั่นพูดคำว่าขอโทษนี่แหละ” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น เมื่อวานเจ้าตัวแสดงอาการขบขันอย่างออกนอกหน้าเมื่อกลับมาและพบว่ารัสเลอร์แก้มบวมปูดทั้งสองข้าง จนโดนคลาวเดียดุ อย่างไรก็ดีดูเหมือนหนุ่มผมบลอนด์จะไม่แสดงอาการวิตกเกี่ยวกับความรู้สึกของรัสเลอร์ที่มีต่อฟ่งเท่าไหร่นัก เขาคิดว่ามันคงเป็นแค่อาการหลงชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งรูฟัสเองก็หวังให้เป็นแบบนั้น
   “ฉันมีข่าวใหม่มาบอก บางทีแกกับคุณชายเว่ยอาจจะได้เจอกันอีก”
   ประโยคที่ราฟาแอลเอ่ยขึ้นทำให้รูฟัสหันกลับมามองอย่างสนใจ “คุณหมายถึงเฟิงปิงรึ?”
   ผู้ถูกถามพยักหน้าและกล่าวต่อ “หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ ข่าวบอกมาว่าเว่ยชิงกลับลำตกลงเข้าร่วมประชุมแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะส่งใครไปเป็นตัวแทน อาจะเป็นเฟิงปิง หรือจินหยินก็ได้”
   “ผมชอบจินหยินมากกว่า อย่างน้อยเขาก็มีมารยาท” รูฟัสแสดงความเห็นทันที  ราฟาแอลหัวเราะนิดหน่อยแล้วพูดต่อ
   “ความจริงนี่ไม่ใช่ข่าวจากทางตระกูลเว่ยโดยตรงหรอก เรารู้มาว่าริเวิลตอบตกลงเข้าร่วมโปรเจค เลยคิดว่าตระกูลเว่ยน่าจะกลับมาร่วมด้วย รู้ก็รู้อยู่ว่าเว่ยชิงกับริเวิลไม่ถูกกันขนาดไหน”
   “อือ ผมน่ะรู้ซึ้งเลยล่ะ” รูฟัสพูด พลางนึกขนลุกเรื่องที่เขาเกือบถูกริเวิลและตระกูลเว่ยเล่นงานเมื่อครั้งไปช่วยฟ่งที่ฮ่องกง
   “แล้วทางริเวิลส่งใครไปล่ะ?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ ราฟาแอลยักไหล่ แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา
   “ลองอ่านรายละเอียดดู ฉันได้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ แต่กลับมาเห็นพวกนายมีเรื่องกันอยู่เลยขึ้นเกียจพูด”
   “อืม” รูฟัสรับโทรศัพท์มือถือมาและเปิดดูข้อความที่ว่า มันเขียนด้วยรหัสลับที่คิดขึ้นภายในองค์กรที่รัสเลอร์ทำงานอยู่ หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้วหลายหน ระหว่างอ่าน
   “ตัวเป้งเลยนะเนี่ย เว่ยชิงรู้แล้วรึเปล่าว่าริเวิลส่งพวกนี้ไป โหย...ผมว่านะ เผลอๆ เราจะได้เจอทั้งเฟิงปิงทั้งจินหยินเลยน่ะสิ”
   “แล้วแกคิดว่ามันจะทำให้งานเราง่ายขึ้นหรือยากขึ้นล่ะ” ราฟาแอลถามต่อ เพราะรูฟัสมีประสบการณ์กับทั้งสองกลุ่มมาก่อน จึงน่าจะประเมินสถานการณ์ได้ดีกว่า หนุ่มตาสองสีนิ่งคิดไปพักหนึ่ง
   “ผมว่านะ เว่ยชิงกลับลำเข้าร่วมงานครั้งนี้ คงไม่เพราะอยากได้ของหรอก แต่คงอยากจะกำจัดไฮท์ของริเวิลมากกว่า เพราะฉะนั้นคงส่งมือดีมาเลยล่ะ น่าจะเป็นจินหยิน เขาทำงานเรียบร้อยแถมฉลาดเป็นกรด ที่ผมพูดว่าชอบเขามากกว่าเฟิงปิงน่ะ หมายถึงเรื่องลักษณะภายนอกนะ แต่พูดถึงเรื่องสมองกับฝีมือ เจ้าหมอนี่น่ากลัวสุดๆ เดาไม่ออกเหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน ไม่แน่อาจจะวางแผนล่มงานประชุมแบบที่เราคาดไม่ถึงก็ได้”
   ราฟาแอลกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดต่อ “เอาล่ะ หวังว่าคุณชายจินหยินอะไรนี่คงไม่ถึงกับวางระเบิดถล่มตึกหรอกนะ เพราะอาจจะทำให้ของที่เราต้องการเสียหาย”
   “โอ๊ย สบายใจเถอะ เขาเป็นจอมวางแผน ไม่ใช่นักทำลายล้างแบบคุณหรอก” รูฟัสได้ทีเหน็บเพื่อนร่วมงาน หนุ่มผมบล็อนด์ถลึงตาใส่ทันที
   “เอาล่ะ เรื่องตระกูลเว่ยกับริเวิลรอข่าวยืนยันอีกทีแล้วกัน ตอนนี้เราสนใจแปลนกันก่อนดีกว่า”
   “อืม” รูฟัสส่งเสียงในคอ และรู้สึกขนลุกเมื่อนึกถึงแบบแปลนที่ว่า
---------------------------------------------------------
   “ผมขอโทษจริงๆ เรื่องเมื่อวานนี้น่ะ” รัสเลอร์พูดขึ้นมา หลังจากที่พยายามเกลี้ยกล่อมจนฟ่งยอมนั่งลงตรงโซฟาข้างๆ เขา ถึงจะรู้สึกว่าห่างไปเสียหน่อย แต่อย่างน้อยฟ่งก็ยอมที่จะนั่งกับเขาล่ะ
   “ผมยอมรับว่าที่ทำลงไปมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ แต่เรื่องที่ผมชอบคุณน่ะเป็นความจริงนะ”
   คิ้วสีน้ำตาลของฟ่งขมวดเข้าหากัน รูปประโยคแบบนี้ดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินใครสักคนพูดหลังจากทำเขาโกรธไปแล้ว หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ กับรัสเลอร์เขาคงจะใจอ่อนแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
   “ผมไม่ได้เป็นเกย์” ฟ่งยังคงยืนกรานปฏิเสธในเรื่องนี้ แม้จะรู้สึกตะหงิดๆ เกี่ยวกับรูฟัสอยู่บ้าง แต่เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มีอารมณ์กับผู้ชายทั่วไปแน่นอน แค่เห็นผู้ชายกล้ามล่ำเขาก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ได้ยินเสียงรัสเลอร์ครางฮือ
   “เอาเถอะ ผมเชื่อก็ได้ อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าคุณไม่ใช่คนที่จะขโมยจูบได้ง่ายๆ”
   ฟ่งมองหน้าปูดๆ ของรัสเลอร์ พลางคิดว่าคนคนนี้คงไม่ต้องการคำยืนยันเป็นรอบที่สองรอบที่สามหรอก
   “ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็ดี” หนุ่มสวมแว่นว่า และขยับตัวอย่างอึดอัด เขาไม่ชอบเลยที่จะต้องมาคุยกับคนที่เคยทำอะไรกับเขาแบบนั้นแค่สองต่อสอง รูฟัสน่าจะมาอยู่ด้วย
   “ผมรู้ว่าคุณรำคาญ ผมแค่อยากจะบอกว่าผมขอโทษ ผมรับรองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว เพราะงั้น ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้”
   ฟ่งแค่นหัวเราะออกมาแทนคำตอบ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเสีย
   “บอกผมสิ ว่าผมต้องทำยังไงคุณถึงจะหายโกรธ? ต้องทำยังไงคุณถึงจะยกโทษให้ ผมเองก็ไม่อยากให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้หรอกนะ”
   รัสเลอร์พูดอย่างอับจนปัญญา ฟ่งมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
   “ไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้? ผมเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ผมโกรธคุณ โกรธมากด้วย ของแบบนี้ไม่ใช่ว่ามาสั่งแล้วมันจะหายกันง่ายๆ หรอกนะ”
   รัสเลอร์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาถนัด ฟ่งยังไม่หายโกรธจริงๆ ด้วย เพิ่งรู้เหมือนกันว่าฟ่งก็โกรธนานใช่เล่น แถมง้อยากอีกต่างหาก
   “แปลว่าคุณไม่ยอมยกโทษให้ผมสินะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลพูดเสียงอ่อย ฟ่งหันมามองเขาอีกครั้ง นิ่งไปพักหนึ่ง
   “เอ่อ... ก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกนะ” หนุ่มสวมแว่นว่า ความจริงเรื่องที่รัสเลอร์ทำมันก็ไม่น่ายกโทษให้จริงๆ นั่นแหละ แต่จะให้ถือโทษต่อไปก็ยังไงอยู่ ในเมื่อทางนั้นยอมรับผิดขนาดนี้แล้วก็ควรจะยกโทษให้ล่ะนะ
   “คือผมยกโทษให้คุณน่ะได้ แต่จะให้ผมไม่ระแวงคุณเลยมันก็ใช่ที่ ก็คุณเล่นทำแบบนั้นกับผมนี่นา” ฟ่งตอบ รัสเลอร์หัวเราะแหะๆ
   “ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ “ เขาว่า ฟ่งย่นคิ้ว ทำหน้าบูด สงสัยจะเพราะคำว่าไม่ได้ตั้งใจที่เขาพูดออกไปแน่ๆ รัสเลอร์รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
   “งั้นผมขอถามอีกเรื่องนะครับ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่ได้ถามเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงอะไร คือ ผมจะถามว่า คุณสนใจจะไปทำงานร่วมกับผมรึเปล่า”
   ฟ่งเขม่นมองรัสเลอร์ทันที นี่น่ะรึไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง คนถูกมองหัวเราะอีก
   “จริงๆ นะ คือหน่วยงานของผมเป็นหน่วยงานใหญ่ ผมเห็นว่าคุณมีความสามารถพร้อม น่าจะทำงานด้วยกันได้”
   “หน่วยงานคุณทำงานแบบไหนน่ะ?” ฟ่งถามออกมาในที่สุด รัสเลอร์เลยได้ทีรีบอธิบายต่อ
   “ทำหลายด้านครับ มีทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ เอ่อ.. เข้าประเด็นดีกว่า เราต้องการพวกสถาปนิกเก่งๆ แบบคุณด้วยนะ ผมว่าคุณน่ะเหมาะเลย”
   ฟ่งย่นคิ้วอีกรอบ “ไม่เอาดีกว่า ผมไม่อยากเป็นสายลับ”
   “ไม่ใช่นะครับ” รัสเลอร์รีบพูดแก้ “เราไม่ได้ทำงานแบบนั้น…”
   “แต่รูฟัสเป็นเพื่อนร่วมงานคุณนี่ เขาเป็นสายลับนะ” ฟ่งแย้งทันที รัสเลอร์พยักหน้ายอมรับ และพยายามหาคำอธิบาย
   “คือ เราทำงานกับพวกสายลับเหมือนกัน แต่พวกนั้นทำงานภาคสนาม ส่วนเราทำงานภาคปฏิบัติ เข้าใจนะครับ คุณไม่ต้องออกไปขโมยอะไรหรือคอยวิ่งหลบลูกกระสุนหรอก ก็แค่ทำงานวางแผนในห้องแล็บแค่นั้นเอง”
   ฟ่งมองหน้ารัสเลอร์อย่างไม่เชื่อถือสุดๆ
   “เชื่อผมเถอะนะครับ” รัสเลอร์พูดต่อ ฟ่งเริ่มรู้สึกว่าหมอนี่พูดคล้ายรูฟัสเข้าไปทุกที ไม่เอาล่ะ แค่รูฟัสคนเดียวเขาก็ปวดหัวแทบตายแล้ว คนพวกนี้เชื่อถือได้ตรงไหนกัน
   “ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากเป็นจารชนข้ามชาติ” ฟ่งว่า ได้ยินเสียงรัสเลอร์ครางฮืออีกรอบ
   “แล้วที่ว่าจะอยู่กับรูฟัสล่ะ?”
   ฟ่งหันมามองหน้ารัสเลอร์อย่างงงๆ “อือ ทำไมหรือ?”
   “คุณอยู่กับเขาก็เหมือนมาทำงานพวกนี้แล้วล่ะ” รัสเลอร์ตอบ ฟ่งมุ่นคิ้วเข้าหากัน
   “ผมไม่ทำงานพวกนี้หรอก เราคุยกันแล้ว ผมอยากให้เขาหันกลับมาใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป”
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะขึ้นทันที จนคนพูดต้องหันไปมองอย่างเคืองๆ
   “ขอโทษทีนะ คือมันอดขำไม่ได้ คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่างานที่รูฟัสทำนะ ไม่ได้เลิกกันได้ง่ายๆ หรอกนะ”
   “ทำไมล่ะ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย รัสเลอร์จึงอธิบายต่อ “คุณไม่รู้หรือครับ ว่ารูฟัสมีศัตรูมาก ที่คุณถูกจับไปฮ่องกงก็เพราะเขาไม่ใช่หรือไง? คุณคิดว่าถ้าเขาเลิกทำอาชีพนี้ คนที่เคยถูกล้วงความลับจะไม่ควานหาตัวเขางั้นหรือ? แล้วคนที่คิดว่าเขารู้ความลับของฝ่ายตรงข้าม จะไม่อยากได้ตัวเขาหรือ? คุณคิดว่าคุณจะทนใช้ชีวิตกับคนที่ถูกตามล่าตัวแบบนี้ได้หรือไง?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ถูกของรัสเลอร์ ถึงเขาจะไม่รู้ว่ารูฟัสมีศัตรูเยอะขนาดไหน แต่เรื่องที่ฮ่องกงก็พอจะยืนยันได้ว่าชีวิตเขาหลังจากนี้อาจจะไม่ปลอดภัย ถึงอย่างนั้น...
   “ผมรู้” ฟ่งกล่าวและขบริมฝีปาก “แต่ผมอยากอยู่กับเขา”
   คราวนี้รัสเลอร์อึ้งไปบ้าง นี่ถ้าไม่ติดว่าฟ่งเกือบจะซ้อมเขาไปแล้วหนหนึ่ง แถมเขาเองก็เพิ่งจะขอโทษมาหมาดๆ เขาคงจับฟ่งจูบอีกหนไปแล้วล่ะ คนอะไร เขินได้น่ารักเป็นบ้า ไม่รู้โชคดีหรือไม่ดีกันแน่ที่รูฟัสไม่ได้มาเห็นตอนนี้
   “งั้นไม่สนใจจะมาทำงานกับผมรึครับ ไม่ต้องลงสนามแบบพวกรูฟัส แต่ก็ช่วยเขาได้นะ”
   รัสเลอร์พยายามหลอกล่อ ฟ่งมองผู้ชายตรงหน้า แล้วขมวดคิ้วอีก
   “ไม่เอา ยังไงผมก็จะให้รูฟัสเลิกให้ได้ ซ่อนตัวเงียบๆ คงไม่มีใครหาเจอหรอก”
   รัสเลอร์อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความคิดของฟ่ง
   “เอาเถอะๆ ไว้คุณเปลี่ยนใจอยากใช้ชีวิตโลดโผนเมื่อไหร่ อย่าลืมมาสมัครงานกับผมนะ”
   ฟ่งหน้านิ่วทันที “ผมคงต้องคิดหนักเลยล่ะ” เขาว่า ก่อนจะลุกขึ้น
   “ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมไปนะ”
   “ดะ...เดี๋ยวสิครับ” รัสเลอร์พูด และรีบคว้ามือของฟ่งเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นหันมาจ้องเขาเขม็ง จนคนจับต้องรีบคลายมือออก
   “คือ.. ผมแค่จะบอกว่า แว่นคุณเบี้ยวนะ”
   ฟ่งยกมือขึ้นจับแว่น ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า แล้วหันหลังกลับ เดินงุดๆ ออกไป รัสเลอร์ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างอับจนปัญญา ก่อนจะเดินตามออกไป
-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 17-06-2011 22:12:42
สมกับเป็นผู้นำของตระกูลจริงๆ หลอกใช้ความรู้สึกของคนเป็นเครื่องมือ :เฮ้อ:
แต่ชักจะสนใจพี่ชายคนโตของตระกูลซะแล้วซิ o18
งานประชุมที่เมืองไทย สงสัยจะเป็นที่รวมบุคคลอันตรายเอาไว้ด้วยกันแน่ๆ  o13
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 17-06-2011 22:46:08
ความรักทำให้คนมีจุดอ่อนสินะ

ทั้งเฟิงปิง และรูฟัสเลย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-06-2011 22:55:06

จะรีบลงไปไหนคะคุณน้องขา  เจ้วิ่งตามอ่านไม่ทันแล้ว

(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTuSnOzU_6QJDfWZjpODMah5pBNN-kaZdesw-458mlDmIttXFtxUw)
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: NY_JK ที่ 17-06-2011 23:05:16
แปะไว้ก่อนได้ไหม เยอะเกิน อ่านยังไม่หมดเลย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 17-06-2011 23:13:14
อ่านแล้วสงสารเว่ยเฟิงปิงกับซื่อเยี่ยน
โดนเอาความรักมาใช้เป็นเครื่องมือ  :z3:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 17-06-2011 23:56:18
ในเรื่องนี้คนที่คิดการณ์ไกลที่สุดคงเป็นเว่ยชิง แต่เล่นกับความรู้สึกของคนไม่ง่ายนักหรอก
อาจมีอะไรผิดแผนได้ง่ายๆ ซื่อเยียนสุดท้ายอาจจะซื่อสัตย์กับเว่ยเฟิงปิงมากกว่าก็ได้ ที่คิดว่าเป็น
โซ่ล่ามไว้ อาจหลุดไปทั้งยวงก็ได้ จะรอดู

ส่วนทวีศักด์นี่ ไม่รู้หรือไงว่าเว่ยกับริเวิลไม่ถูกกัน ชักศึกเข้าบ้านชัดๆ

แล้วสุดท้ายฟ่งจะส่งใบสมัครงานหรือเปล่า หรือรูฟัสจะช่วยส่งใบสมัครให้แทน
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: JipPy ที่ 18-06-2011 01:09:10
โอ๋ววววว



อ่านจบตอนนี้



ก็อยากให้มาต่อทันทีเลย
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-06-2011 10:18:30
ยังเหลืออีกขั้วนึงที่ยังไม่เปิดตัวเป็นที่ชัดเจน ก็คือ ริเวิล
รูฟัสต้องไปปฏิบัติภารกิจนี้ แล้วฟ่งล่ะ จะอยู่กับใคร
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: melody.19 ที่ 19-06-2011 01:39:24
เพิ่งเข้ามาอ่านคะ ชอบมากค่ะ ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องน่าจะรักใสๆ แต่อ่านแล้วให้หลายอารมณ์มาก ตอนนี้อ่านถึงอาซื่อเข้าโรงพยาบาล อ่า  ชอบความรักของอาซื่อที่มีต่อเฟิ่งปิงจังคะ >< แล้วก็ชอบยาวๆแบบนี้ชอบมากๆด้วย จะเม้นบ่อยๆนะคะ ขอบคุณมากๆด้วยคะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 20-06-2011 16:58:17
สนุกมากกกกกกกก  อ่านกันตาแห้งเลยทีเดียว
มายาวๆ แบบสะใจ แล้วก็เม้มไม่ถูก หลายตอนหลายอารมณ์มากค่ะ
ขอบคุณนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 22-06-2011 08:54:52
ยังม่ะมาอีกหย๋อ พึ่งเห็นว่าคนเขียนเป็นคนเดียวกันกับเรื่อง รักข้ามรุ่น น้องนพ-พี่ไพ
สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ  o13

หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-06-2011 10:20:23
เมื่อไหร่จะมาต่อ   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-06-2011 10:56:23
ฟ่ง น่ารักมากขึ้นนะเนี่ย

พี่น้องมาทำงานด้วยกันแบบนี้จะฆ่ากันตายกันมั้ยเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-06-2011 21:58:56
ชอบมากเลยยาวยาวแบบนี้อะ ลุ้นลุ้น
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ บทที่41 P5 17/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 25-06-2011 06:46:41
แวะมาอัพกำหนดเปิดจองเล่ม6 ค่ะ (เนื้อหาของเล่มนี้คือตั้งแต่ตอน51-60นะคะ)

เปิดจอง
(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/cover6ex.jpg)
My Neighbor is a spy! คนข้างห้องผมเป็นสายลับ!6
แนว : ดราม่าแอคชั่น
จำนวนหน้า :  210 หน้าพร้อมภาพประกอบ
ราคา 220บาท (ยังไม่รวมค่าจัดส่ง)
 
เนื้อเรื่องย่อ
(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/bcover6.jpg)

เปิดรีปริ๊นMy neighbor is a spy เล่ม1-5 และเรื่องYes! Master. นะคะ
รายละเอียดเรื่องYes!Master. (มีลงในเล้าแล้วนะคะ แต่เป็นเนื้อหาตัดแยกออกไปจากเรื่องMy neighbor is a spyค่ะ)
(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/for%20book/masterfontre.jpg)
Yes! Master.

ราคา220

รายละเอียด http://juon.exteen.com/20101005/yes-master
กำหนดจอง+รีปริ๊นของรอบนี้

2สิงหาคม - 2กันยายน 2554

 
(ตัดยอดก่อนวันที่4 กันยายน 2554 นะคะ)

อัตราค่าส่ง
ลงทะเบียน

1 เล่ม 30 บาท

2-3เล่ม 40 บาท

4-6 เล่ม 60 บาท

EMS

1 เล่ม 50 บาท

2-3 เล่ม 65 บาท

4 เล่ม 80 บาท

5-6 เล่ม 95 บาท

(เกินกว่าที่ระบุเอาไว้ในนี้สอบถามทางอีเมลนะคะ)

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/42ae91b9.jpg)

ตรวจสอบรายชื่อผู้จองได้ที่

http://juon.exteen.com/my-neighbor-is-spy-1-54


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ เปิดจองเล่ม5 หน้า6 25/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: MRchai ที่ 25-06-2011 12:13:40
ชอบมากเลยครับนิยายแนวนี้มีลุ้นตลอด
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ เปิดจองเล่ม5 หน้า6 25/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-07-2011 17:49:56
บทที่42  เตรียมการ
      ฟ่งยกมือขึ้นขยับแว่นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นรัสเลอร์หอบข้าวหอบของลงมาชั้นล่างราวกับจะย้ายบ้าน
   “คุณจะไปไหนหรือครับ?”
   ผู้ถูกทักชะงักตัวและวางเป้ใบใหญ่ลง ก่อนจะยิ้มอย่างดีใจ “คุณไม่อยากให้ผมไปหรือนี่ ดีใจจัง”
   “ผมไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย” ฟ่งว่าและทำหน้าบูด เขากับรัสเลอร์กลับขึ้นไปแยกส่วนแปลนส่วนสุดท้ายของวันเสร็จ จากนั้นก็เลยรีบลงมา เพราะไม่อยากอยู่กับเจ้าหนุ่มคนนี้นานนัก ฟ่งยังจำได้ว่าเมื่อวานตอนอยู่ด้วยกันสองคนรัสเลอร์ทำอะไรเขาเอาไว้
   ถึงจะขอโทษแล้วก็ใช่ว่าจะหายระแวงกันได้ง่ายๆ หรอกนะ
   “นายซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วยัง?” เสียงของราฟาแอลดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก รัสเลอร์พยักหน้า โบกตั๋วอิเล็กทรอนิคในมือไปมา
   “ลำพังนายคงไปสนามบินคนเดียวได้นะ?” หนุ่มผมบลอนด์ถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยใส่ใจนัก รัสเลอร์ทำหน้ายู่
   “เห็นของฉันเยอะขนาดนี้ จะใจดำอำมหิตขนาดให้ขึ้นรถบัสไปเองเลยเหรอ”
   “ฉันคิดว่านายพกพวกเครื่องบินเล็ก หรือพวกจรวดติดหลังมาซะอีก” รูฟัสที่เพิ่งเดินเข้ามาแทรกขึ้นบ้าง หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกระพริบตามองทั้งสองคนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจ
   “ถ้าหน่วยอนุมัติงบให้ก็ดีหรอก ฉันจะเอามาให้พวกนายทดลองใช้ก่อนเลย”
   “ไม่ต้อง ขอบใจ” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ฟ่งมองหน้าทั้งสามคนอย่างงุนงง
   “พวกคุณคุยเรื่องอะไรกันน่ะ อย่างกับว่าคุณรัสเลอร์จะกลับวันนี้งั้นแหละ” หนุ่มสวมแว่นถามอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก ผู้ถูกถามพยักหน้า
   “ถึงคุณจะไม่อยากให้ผมกลับขนาดไหน แต่ผมต้องกลับแล้วล่ะ ครบกำหนดลาแล้ว”
   พูดพลางยิ้มโชว์ฟันมาให้คนถาม ฟ่งทำหน้าหงิก ขณะที่รูฟัสพูดแทรกขึ้นอีก “รีบๆ ไสกลับไปเลย”
   หนุ่มตาสองสีว่า คนถูกไล่ทำหน้าหงิกบ้าง “แหม... ทีมีปัญหาล่ะเรียกใช้แต่ฉัน พอเสร็จธุระแล้วก็ถีบหัวส่งเลยนะ ไอ้พวกแล้งน้ำใจ”
   “นี่มันเป็นหน้าที่ต่างหากล่ะ ใช่ว่าเราอยากจะให้นายมาช่วยสักหน่อย” ราฟาแอลแย้ง  และพูดต่อ โดยไม่สนใจเสียง’เฮอะ’อย่างไม่พอใจของอีกฝ่าย
   “เอ้า มีอะไรจะสั่งเสียอีก ถ้าไม่มีก็หอบของขึ้นรถได้แล้ว ชักช้าจะปล่อยให้นั่งรถบัส”
   รัสเลอร์ทำตาโต ร้องด้วยเสียงแปลกใจจนน่าหมั่นไส้ “ว้าว คุณราฟี่จะไปส่งผมด้วยตัวเองเชียวหรือนี่ พระเจ้าต้องกินยาผิดแน่ๆ เลย”
   ราฟาแอลหรี่ตามอง ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร รัสเลอร์ก็จัดการหอบข้าวหอบของไปที่รถเปอร์โยต์ที่จอดอยู่อย่างอารมณ์ดี
-----------------------------------------------
   “เฮ้ รัสเลอร์ หน้าแบบนั้นกลับไปถึงหน่วยแล้วนายจะแก้ตัวว่าไง” รูฟัสตะโกนถามขณะที่หนุ่มนักประดิษฐ์กำลังจะขึ้นรถ รัสเลอร์ลูบแก้มปูดๆ ของตัวเอง ก่อนจะหันไปตอบคำถาม
   “ฉันจะบอกว่า เป็นบาดแผลจากความรัก”
   “เออ...ตามสบายเลย” รูฟัสว่าและหัวเราะนิดหน่อย ฟ่งเดินตามออกมา ถึงกับหน้าเจื่อนนิดๆ ตอนนี้เขารู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว ที่โมโหรัสเลอร์ไปขนาดนั้น
   “มีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่าครับ?” รูฟัสถาม เมื่อเห็นฟ่งทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ มองดูรัสเลอร์ก้าวขึ้นรถ ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายเลยพูดต่อ
   “อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะครับ เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้ว” รูฟัสช่วยกระตุ้นเมื่อเห็นสีหน้าลังเลของฟ่ง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาแล้วพูดออกไปในที่สุด
   “คุณรัสเลอร์ เอ้อ..ผม...”
   “อะไรนะ!!!” เสียงดังของเครื่องยนต์รถทำให้อีกฝ่ายฟังไม่ค่อยถนัด ฟ่งจึงต้องเดินเข้าไปไกลๆ เห็นรัสเลอร์เปิดกระจกออกมา “มีอะไรหรือ?”
   “คือ..ผมขอโทษที่ต่อยคุณ”
   “อา..” รัสเลอร์ครางและยิ้มอย่างดีใจ
   “ก้มลงมาใกล้ๆ หน่อยสิครับ” เขาว่าและกวักมือ ฟ่งทำตามอย่างว่าง่าย รัสเลอร์ชะโงกหน้าออกมาหน่อยหนึ่ง แล้วก็จูบแก้มเขาดังจุ๊บ
   “คุณ!!” ฟ่งพูดอย่างตกใจและเอามือเช็ดแก้ม รัสเลอร์หัวเราะ และโบกมือให้
   “โชคดีนะครับ ไว้ค่อยเจอกันใหม่” เขาว่า ขณะที่รถเคลื่อนออกไป ฟ่งนิ่วหน้าและสำนึกได้ว่าไม่ควรไว้ใจผู้ชายคนนี้เลยสักนิด
   “ไม่ให้เจอแล้วโว้ย!!” เสียงรูฟัสตะโกนไล่หลังพร้อมกับชูนิ้วกลางใส่
   “ถูกลวนลามอีกแล้วหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีกล่าวอย่างรู้ทัน ขณะเดินเข้ามาหา ฟ่งพยักหน้า และก่อนที่จะได้พูดอะไร แก้มอีกข้างหนึ่งก็ถูกหอมฟอด
   “ก็คุณไม่ค่อยระวังตัวแบบนี้แหละ” รูฟัสว่าและยิ้มกริ่ม ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “พวกคุณมันจอมฉวยโอกาส!!”
   ฟ่งโพล่งใส่หน้าและเดินกลับเข้าบ้านไป โดยมีรูฟัสเดินตามไปติดๆ
--------------------------------------------------
   “อีกสองสัปดาห์ฉันจะต้องไปประเทศไทย” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยขึ้น  ขณะเป่าผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หลังจากกลับมาจากมื้ออาหารที่สำนักงานใหญ่แล้ว  ผู้เป็นลูกน้องที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
   “มีธุระอะไรหรือครับ?”
   “ฉันเคยเล่าเรื่องโครงการเทสก้าเทริโพก้าให้นายฟังแล้วยัง?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถาม  จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และพูดเสริมขึ้นต่อ “ครับ โครงการที่คุณท่านให้คุณไปบอกปฏิเสธเมื่อคราวที่แล้วนี่ครับ”
   “เออ ใช่ ตอนนี้คุณพ่ออยากให้พวกฉันกลับไปร่วมโครงการนั่นล่ะ”
   “?”
   “แปลกใจหรือไง?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถามอีก “ริเวิลกระโดดเข้าไปร่วมแล้ว นายไม่ได้ข่าวเลยหรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่ได้ข่าวเลยครับ”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงดัง’เฮอะ’ เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่เว่ยชิงบอกนี่แหละ แต่เว่ยจินหยินเหมือนจะได้ยินมาบ้างแล้ว ไอ้พี่บ้านั่น....
   “นายติดต่ออยู่กับคุณพ่อ ติดต่ออยู่กับเถียนซาน นายไม่ได้ข่าวบ้างเลยรึไง?” เว่ยเฟิงปิงเค้นถามต่อ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างจางซื่อเยี่ยนจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ จางซื่อเยี่ยนมองเขาอึ้งๆ แล้วสั่นศีรษะอีก
   “ไม่เคยครับ อีกอย่าง ผมไม่ได้ติดต่อกับคุณท่านเป็นการส่วนตัวนานแล้ว”
   “อ้อ...” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว จนจางซื่อเยี่ยนอดขนลุกไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่พอใจอะไรอยู่อีกนะ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเก็บเครื่องเป่าผม ก่อนจะถอนหายใจออกมา
   “ช่างเถอะ... คราวนี้คุณพ่อพูดถึงตำแหน่งผู้สืบทอดด้วย”
   “?” จางซื่อเยี่ยนหันมาทางเจ้านายของเขาทันที และเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงกำลังจ้องเขม็งมาเช่นกัน เหมือนจะตรวจจับความผิดปกติบนใบหน้าของเขาก็ไม่ปาน
   “นายจะช่วยฉันเรื่องนี้ใช่ไหม?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ครับ ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
   เว่ยเฟิงปิงมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะแค่นรอยยิ้มออกมา “ดี เพราะคราวนี้มีพี่จินหยินไปด้วย”
   “คุณชายรองน่ะหรือครับ?!” คนได้ฟังโพล่งออกมา จนผู้เป็นเจ้านายต้องส่งเสียงถามอีก “ทำไม ผิดคาดมากหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ “ถ้าส่งคุณไป ก็ไม่น่าจะส่งคุณชายรองไปอีกนี่ครับ..”
   “นายก็สงสัยเหมือนกันสินะ” เว่ยเฟิงปิงว่า และเดินมานั่งตรงเตียงนอน หันหน้าไปหาจางซื่อเยี่ยน “คุณพ่อพูดเรื่องพิจารณาผู้สืบทอด หลังจากงานนี้ แล้วให้ฉันไปกับพี่จินหยิน คิดว่าคุณพ่ออยากให้พี่จินหยินเก็บฉันตอนนั้นรึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนนิ่งไปอีก ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่หรอกครับ ผมว่าถ้าคุณท่านอยากเก็บคุณ.... คงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะพยักหน้า “นั่นสินะ คุณพ่อกับพี่จินหยินคิดจะเล่นเกมบ้าบออะไรอีก ถึงดึงฉันเข้าไปด้วยแบบนี้ คิดจะทดสอบฉันหรือไง”
   พูดค้างไปพักหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงจึงพูดขึ้นต่อ “พรุ่งนี้ฉันจะสั่งคนให้ไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการนั่นเพิ่มเติม แล้วก็เรื่องของพวกริเวิลด้วย นายเองก็เตรียมตัวให้ดีล่ะ”
   “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยน ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   ไม่ว่าพ่อกับพี่เขาจะวางแผนอะไร งานนี้เขาจะถอยไม่ได้เด็ดขาด
---------------------------------------
   “กำลังรออยู่เลย” เสียงเอ่ยทักดังขึ้นทันทีที่เถียนซานไขประตูเข้ามาในห้อง เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอน
   “ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกไว้ก่อน ฉันแอบหลบเข้ามาน่ะ” เว่ยจินหยินกล่าว และยกมือขึ้นดันแว่นตากรอบทองด้วยความเคยชิน ขณะที่เถียนซานเดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่อย่างนั้น เพราะในห้องมีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว
   “หนีใครมาหรือครับ?”
   “เปล่า ฉันแค่อยากคุยกับนายเงียบๆ นั่งก่อนสิ” ผู้เป็นเจ้านายว่า และเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้นั่งลง  เถียนซานจึงจำต้องหย่อนก้นลงบนเตียงนอน เพื่อรับฟังเรื่องราวจากเจ้านายของเขา  ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเว่ยจินหยินถึงกับลงทุนถ่อมาหาเขาที่ตึกของหน่วยดำด้วยตัวเอง
   “นายรู้หรือยังว่าเมื่อวานคุณพ่อปรึกษาเรื่องอะไร?”
   “ไม่ทราบครับ” เถียนซานสั่นศีรษะ เขาชินเสียแล้วกับวิธีเริ่มเรื่องแบบนี้ของเว่ยจินหยิน นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นมองมาอย่างแปลกใจนิดหน่อย และพูดต่อ
   “จำเรื่องเทสก้าเทริโพก้าที่ฉันเคยคุยกับนายได้ใช่ไหม?”   
   “อ้อ เรื่องนั้น..” เถียนซานพูดออกมาหลังจากนิ่งนึกอยู่พักใหญ่ เว่ยจินหยินพยักหน้า
   “คุณพ่อจะกลับลำเข้าร่วมงานนี้”
   “เพราะริเวิลหรือครับ?”
   “นายก็รู้นี่!” ผู้เป็นเจ้านายพูดสวนออกมาทันที  เถียนซานสั่นศีรษะ
   “เดาเอาน่ะครับ ก็คุณท่านเคยยกเลิกเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าจะมีอะไรทำให้ต้องกลับคำพูด ก็คงมีแต่ริเวิลเท่านั้นแหละครับ อีกอย่างได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าริเวิลส่งคนเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว”
   “อืม นั่นแหละ” ผู้เป็นเจ้านายยอมรับ และกล่าวสืบต่อ “ฉันอยากให้นายไปกับฉัน  เรื่องนี้มันตึงมือเกินกว่าจะใช้เด็กๆ ”
   “ไม่เชื่อมือไมเคิลกับโจหรือครับ”
   “ก็ไม่เชิงหรอกนะ เด็กๆ พวกนั้นทำงานดี แต่ว่างานนี้มันเสี่ยงและเปราะบางเกินไป ฉันอยากได้คนที่มีประสบการณ์แล้วก็เชื่อใจได้  อีกอย่างเรื่องนี้จะมีผลกับการคัดเลือกผู้สืบทอดคนต่อไปด้วย”
   “?”
   “คุณพ่อจะให้เฟิงปิงไปกับฉันด้วย” เว่ยจินหยินพูดต่อ เถียนซานเงยหน้าขึ้นมองอดีตเจ้านาย “คุณชาย....”
   “ท่าทางคุณพ่อจะวางแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” เว่ยจินหยินพูดยิ้มๆ “นายก็รู้ เฟิงปิงหวังจะขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป ริเวิลกับฉันเองก็ยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต   
   “ครับ ผมจะไปกับคุณ” เถียนซานพูดออกมาในที่สุด เขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้กับตระกูลเว่ยมานาน รู้กระทั่งความสัมพันธ์บางอย่างของคนในตระกูลที่คนนอกหรือแม้แต่คนในตระกูลเองไม่เคยรู้ เรื่องของเว่ยชิงกับเว่ยจินหยินนั้น.....
   “ฉันรู้ว่านายจะต้องตอบตกลง” เว่ยจินหยินพูดและยิ้มออกมา “กำหนดการเหลืออีกสองสัปดาห์ อาซาน ฉันอยากให้นายไปกับฉันวันนี้เลย”
   “?!”
   “ฉันรู้ว่านายมีงานมาก เรื่องดูแลหน่วยดำไม่ใช่ของง่าย แต่ว่ายังไงฉันก็ยังอยากให้นายไปกับฉันวันนี้ ฉันมีเรื่องหลายอย่างจะต้องปรึกษากับนาย แล้วก็ไหว้วานนายด้วย”
   เถียนซานพยักหน้าอีก สำหรับเว่ยจินหยินแล้ว เรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่อดีตเจ้านายของเขากระทำมาจนถึงทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะตำแหน่งสำคัญตำแหน่งนี้นี่เอง แม้ว่าเบื้องหลังของมันยากจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ก็ตาม
   “ผมคงต้องขอเวลาเตรียมตัวสักหน่อย” ชายวัยสี่สิบแปดเอ่ยต่อ ด้วยตำแหน่งของเขานั้น การจะผละงานไปเลยในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะทำนัก ถึงเว่ยจินหยินจะลงทุนมาอ้อนวอนด้วยตัวเองก็เถอะ
   “อืม ฉันเข้าใจ” ผู้เป็นอดีตเจ้านายพยักหน้า “ฉันจะรอนายที่นี่แหละ คุณพ่อคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะอนุญาตให้ใช้กำลังคนเต็มที่ อีกอย่าง สายงานของนายก็อยู่ใต้บังคับบัญชาฉันครึ่งหนึ่ง”
   “ทราบแล้วล่ะครับ” เถียนซานว่า และเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่ “แต่ผมคงต้องใช้เวลานานพอดู เพราะนี่เป็นเรื่องกะทันหัน ยังไงคุณชายกลับไปที่ตึกก่อน แล้วผมค่อยตามไปดีกว่า”
   มุมปากของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ “ฉันมาคนเดียวนะ ใจคอนายจะให้ฉันกลับไปคนเดียวหรือ?”
   นัยน์ตาสีหินน้ำตกของเถียนซานเบิ่งกว้าง ก่อนจะขมวดคิ้ว และพูดตอบ “แอบหนีออกมาคนเดียวอีกแล้วหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มอีก “อืม ขึ้นแท็กซี่มาน่ะ”
   “ไม่ได้ให้ใครตามมาเลยหรือครับ” เถียนซานร้องอย่างตกใจ ก่อนจะครางออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า “โธ่ คุณชาย... นี่มันอันตรายมากเลยนะครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ผมคง....”
   “ไฮ้! ฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วไง” เว่ยจินหยินว่า และพูดต่อ “ถ้านายเป็นห่วงฉันนักล่ะก็.. ไปส่งฉันสิ”
   เถียนซานมองหน้าอดีตเจ้านาย และถอนหายใจเฮือก เว่ยจินหยินเป็นบุคคลที่ศัตรูรอบด้าน จะออกจากสำนักงานครั้งไหน จะต้องมีขบวนอารักขายาวเหยียด แต่เผลอทีไรจะต้องแอบหลบมาหาเขาแบบนี้ทุกที เถียนซานเริ่มคิดว่าเขาคงต้องอบรมลูกน้องที่ส่งไปทำงานแทนตัวเองใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือเจ้านายของเขาได้กี่น้ำ
   “อาซาน โมโหหรือ?” เว่ยจินหยินเอ่ยปากถาม ช้อนนัยน์ตามองเขาผ่านแว่นตากรอบทองหนาเตอะ เถียนซานมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “งั้นนั่งรออยู่ในนี้นะครับ ห้ามออกไปไหน ห้ามให้ใครรู้นะ ถ้ามีใครมาเคาะประตูก็ห้ามเปิดนะครับ”
   เว่ยจินหยินหัวเราะร่วน “อืม นายเห็นฉันเป็นเด็กสี่ขวบหรือไง เอาเถอะ ฉันจะเชื่อฟังนายก็แล้วกัน ถ้าดึกนักฉันจะค้างที่นี่เลย”
   “ไม่ดึกหรอกครับ ผมจะพาคุณกลับตึกวันนี้แหละ” เถียนซานพูด และย่นคิ้วอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้านาย
   “งั้น.. รบกวนด้วยนะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินกลับขึ้นมาบนห้อง  มองไปรอบๆ แล้วก็ให้รู้สึกใจหาย เมื่อสองสามวันก่อนห้องนอนนี้เคยมีคอมพิวเตอร์วางระเกะระกะ  แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว
   พอรัสเลอร์ไม่อยู่แล้ว ห้องก็ดูเงียบเหงาไปถนัด
   ถ้าไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นออกมา รัสเลอร์คงเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งหรอก อย่างน้อยเขาก็คุยสนุก แล้วก็เป็นมิตรดี
   ร่างบางถอนหายใจ งานในส่วนของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อ คุยกับรูฟัสเรื่องแผนชีวิตในอนาคตดีไหม แต่บางทีอาจจะเป็นการรบกวนฝั่งนั้นมากไปหน่อย ก็รูฟัสมีงานต้องทำต่อนี่นา
   ฟ่งยืนเหม่อ เขากำลังนึกเรื่องที่รูฟัสจะต้องทำ เรื่องที่รูฟัสจะต้องเข้าไปในห้องที่เขาออกแบบ ไม่มีหนทางอื่นที่ไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้วหรือ เขาไม่อยากให้รูฟัสทำงานนี้เลย ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวจะทำงานเสี่ยงมานับต่อนับแล้วก็เถอะ
   ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นานา ร่างบางก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงวงแขนแกร่งที่โอบมาจากทางด้านหลัง รูฟัสรั้งร่างนั้นเข้ามาในอ้อมกอด จูบเคลียพวงแก้มนั้นเบาๆ ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาตรงลำคอ ฟ่งร้องห้ามอย่างตกใจ
   “อย่า!! เดี๋ยวเป็นรอย”
   “มันเป็นรอยอยู่แล้วนี่ครับ” รูฟัสว่า แต่ก็ยอมหยุด ฟ่งรีบดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิด และหันหน้ากลับมามองรูฟัสด้วยสายตาไม่พอใจทันที
   “ก็รอยนี่คุณเป็นคนทำ”
   “ครับ อายหรือ?” รูฟัสเอ่ยและยิ้มราวกับว่าเป็นเรื่องที่หน้าภูมิใจ ฟ่งทำหน้าหงิก
   “อายสิ! เพราะรอยนี่แหละ ผมเลยถูกคุณรัสเลอร์จูบ”
   “อ้อ....” รูฟัสครางเสียงยาว นัยน์ตาสองสีนั่นฉายแววแปลกๆ จนฟ่งคิดว่าเขาอาจจะพูดอะไรผิด
“ผมรู้ล่ะครับ วันหลังคุณใส่เสื้อหุ้มคอดีกว่า จะได้ไม่มีใครเห็น”
หัวข้อ: Re: My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ เปิดจองเล่ม5 หน้า6 25/06/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-07-2011 17:50:09
   ร่างบางขมวดคิ้ว พลางมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาอดกลั้นเต็มที่ “แทนที่คุณจะคิดแก้ปัญหาแบบนั้น ผมว่าคุณน่าจะหยุดทำรอยนี่มากกว่า”
   “มันห้ามกันไม่ได้หรอกครับ ผมน่ะอยากทำให้คุณเป็นรอยทั้งตัวด้วยซ้ำ”
   “!!!” ฟ่งเบิ่งตามองรูฟัสอย่างตกใจ อีกฝ่ายยิ้มร่า
   “แต่ถ้าคุณไม่ชอบ ผมจะพยายามเลื่อนไปทำที่อื่นก็ได้ครับ ตรงท้องน้อยหรือขาอ่อนอะไรแบบนี้”
   “รูฟัส!!” ฟ่งเรียกชื่อนั้นอย่างตระหนก และครางออกมา “หยุดคิดอะไรแบบนั้นกับร่างกายผมทีเถอะ”
   “ครับ” รูฟัสว่า และก้มหน้าลงจูบริมฝีปากสีชมพูนั้นเบาๆ ฟ่งครางอืมในลำคอ พลางนึกว่าคนคนนี้เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกจริงๆ รึเปล่านะ
“Я вас люблю” หนุ่มรัสเซียกระซิบ และค่อยๆ ดันตัวอีกฝ่ายไปที่เตียง ฟ่งรีบใช้ขายันพื้นเอาไว้ทันที ก่อนที่จะหงายหลังล้มลงไปบนเตียง
   “เดี๋ยว!!”
   “Why?” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างสงสัย ฟ่งเริ่มแน่ในว่ารูฟัสไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
   “นี่มันยังเช้าอยู่นะ!!” ร่างบางส่งเสียงแย้ง เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว พลางยิ้มร่า “บ่ายแล้วครับ” รูฟัสช่วยแก้ให้  แต่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าไม่ยอมแพ้
   “แต่คุณคลาวเดียอยู่นะ”
   “คลาวเดียเพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่นี้เองครับ” รูฟัสพูดตอบ และก้มลงหอมแก้มฟ่งอีกฟอดหนึ่ง ร่างผอมบางดิ้นขลุกขลัก และมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตื่นๆ คนถูกมองคลี่ยิ้มบางๆ
   “ถ้าไม่อยากให้ทำก็น่าจะบอกแต่แรกนี่ครับ”
   “ผมบอกจนปากจะฉีกอยู่แล้ว” ฟ่งว่า คราวนี้รูฟัสย่นคิ้วบ้าง “คุณบอกแค่ว่าไม่อยากให้ผมทำรอยที่คอ”
   “แล้วคุณไม่เข้าใจหรือไง”
   “เข้าใจครับ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนไปทำที่อื่นไงครับ”
   “รูฟัส....” ฟ่งคราง และมองอีกฝ่ายอย่างเหลืออด “ต้องให้ผมพูดใส่หูคุณชัดๆ ใช่ไหมว่า ผมไม่!!!”
   รูฟัสรีบยกมือขึ้นปิดปากของอีกฝ่าย และกระซิบเบาๆ “ไม่ต้องครับ เพราะผมไม่อยากได้ยิน”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้าง ขณะที่อีกฝ่ายเปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปาก เสียงครางอืมดังลอดออกมาจากลำคอของฟ่งอีกครั้ง พร้อมกับนิ้วที่จิกแน่นอยู่บนลำแขน  ก่อนที่ร่างกายจะถูกกดให้นั่งลงไปบนเตียง
   “เดี๋ยวก่อน รูฟัส!!” ฟ่งร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อซิบกางเกงถูกรูดลง แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับเสียงร้องห้ามนี้มากนัก รูฟัสรูดนิ้วลงเบาๆ บนปลายสีชมพูที่โผล่พ้นขอบกางเกงชั้นในออกมา
   “อ๊ะ!~!” ฟ่งร้องเสียงสั่นและหลับตาปี๋  หนุ่มตาสองสีหัวเราะหึๆ อย่างพอใจ และดึงขอบกางเกงชั้นในลงจนเปิดเผยส่วนที่เหลือออกมาเกือบหมด ฟ่งถลึงตามองอีกฝ่าย ขณะที่กำลังนึกว่ารูฟัสช่างไม่รู้จักเลือกเวลาเอาเสียเลย ทางนั้นก็ครอบปากลงไปบนอวัยวะกลางหว่างขาของเขา คราวนี้ฟ่งเลยต้องรีบร้องออกมา
   “อย่า..มันสกปรก” ร่างบางร้องห้าม และเบิ่งนัยน์ตาค้างเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ ดูดกลืนอวัยวะของตนเข้าไปในปาก พร้อมกับช้อนตาขึ้นมองอย่างท้าทาย
   ฟ่งยกมือขึ้นปิดปากด้วยความขัดเขินปนตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองรูฟัสตอนที่กำลังทำแบบนี้ชัดๆ รูฟัสค่อยๆ ขยับศีรษะช้าๆ เป็นจังหวะ ไม่นานนักเสียงครางหวานหูก็ดังลอดออกมา พร้อมกับมือที่ยื่นมาจับศีรษะของเขาอย่างลืมตัว และสะโพกที่เริ่มขยับตอบสนอง
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น บอกตัวเองว่าเขาไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้เลยสักนิด แต่ลิ้นของรูฟัสก็คล่องเสียจนเขาต้องร้องครางออกมา สุดท้ายก็ได้แต่หอบหายใจเฮือกๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเคล้าลิ้นกับส่วนนั้นตามความพอใจ
   รูฟัสช้อนตามองร่างที่นั่งอยู่อีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นและหลับตาปี๋ รูฟัสกอบมือไปที่สะโพกซึ่งพยายามแอ่นเข้าหาเขาอย่างลืมตัว และคลึงเคล้นเบาๆ
   ฟ่งหอบหายใจเสียงหนัก พยายามจะบอกให้รูฟัสหยุด แต่เสียงที่ลอดออกมากลับกลายเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างน่าเจ็บใจ
   “ยะ...อย่า... อ๊า!!” ท้ายที่สุดฟ่งก็ต้องกระแทกแผ่นหลังลงกับเตียง แอ่นตัวตอบสนองการกระตุ้นด้วยความซ่านเสียวอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ลงได้
   รูฟัสถอนริมฝีปากออก ขณะที่ร่างผอมบางสั่นกึกๆ ก่อนจะประโลมจูบลงไปบนเนินขาอ่อนด้านใน ทิ้งรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เอาไว้ และจับขาทั้งสองข้างของฟ่งยกขึ้น ล้วงขวดเจลหล่อลื่นออกมาจากกระเป๋างกางเกง และราดลงไปตรงร่องสะโพก
   ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่าปลายนิ้วเรียวค่อยๆ สอดเข้ามาพร้อมของเหลวลื่นๆ ฟ่งผงกศีรษะขึ้นอีกครั้ง พยายามจะบอกให้รูฟัสหยุด แต่สิ่งที่เห็นคือร่างแข็งแกร่งที่ขยับขึ้นมา ใบหน้าคมสันที่โน้มเข้ามาหา และริมฝีปากอุ่นจัดที่ประกบเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว
   รสจูบล้ำลึกแทบจะทำให้สติโบยบิน ฟ่งตะกายสองมือขึ้นเกาะไหล่ของรูฟัสอย่างลืมตัว ขณะที่อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ลูบไล้แผ่นอกเรียบก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออก
   ฟ่งส่งเสียงครางต่ำในลำคอ ขณะที่รูฟัสเลื่อนริมฝีปากไล้ไปตามซอกคอ เนินอก ขบเม้มยอดอกสีอ่อนอย่างซุกซน มืออีกข้างยังคงรุกเข้ามาในร่างกายเรื่อยๆ ร่างผอมบางจิกเล็บลงบนที่นอนแน่น ในตอนที่อีกฝ่ายรวบมือของเขาขึ้นไป
   รูฟัสถอนนิ้วมือออก พลางขับตัว ดึงเสื้อของฟ่งขึ้นไปจนถึงข้อมือ แล้วผูกเอาไว้หลวมๆ จากนั้นก็เริ่มระดมจูบลงไปบนร่างเปลือยเปล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเบียดเสียดยอดปลายร้อนจัดเข้าไปในช่องทางหลืบเร้นที่ขยายรอท่าไว้ก่อนแล้ว
   ฟ่งสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นมองอย่างตกใจ และเห็นใบหน้าคมเข้มกำลังขมวดคิ้วมุ่น ระหว่างการสอดใส่ นัยน์ตาสองสีเหลือบมองมาทางเขา และค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ จนได้ยินเสียงหอบหายใจถี่หนัก หัวใจของฟ่งเต้นแรงมากขึ้น เมื่อแว่นตาถูกถอดออก และริมฝีปากถูกบดเบียดอย่างรุนแรงอีกครั้ง
   สองขาถูกจับแยกออกกว้าง รูฟัสก้มลงแนบจูบลงบนเรียวขาอ่อน ก่อนจะขยับตัวเข้าออกจนได้ยินเสียงเตียงลั่น ฟ่งครางเสียงพร่า สองมือที่ถูกพันธนาการอยู่บิดเร่า รู้สึกถึงริมฝีปากร้อนผ่าวที่ระดมจูบลงมาบนเรือนร่างนับครั้งไม่ถ้วน ความเสียวซ่านประดังประเดเข้ามาจนยากจะคุมสติได้อีก
   รูฟัสจูบเนินอกแบนราบนั้นจนเป็นรอยแดง จากนั้นก็ยกขาข้างหนึ่งของฟ่งขึ้น ตะแคงร่างผอมบางลงกับเตียง กระทั้นกายเป็นจังหวะต่อเนื่องอีกครั้ง ฟ่งครางเสียงสั่น ทั้งใบหน้าและลำตัวกลายเป็นสีชมพูจัด ความร้อนแรงที่เคลื่อนเข้าออกอย่างบ้าคลั่งแทบทำให้สิ้นสติ
   รูฟัสจับตัวฟ่งให้พลิกคว่ำลง โอบเอวขึ้นมา แล้วสานต่อจังหวะอย่างเร้าร้อนรุนแรงกว่าเดิม ร่างผอมบางส่งเสียงครางอย่างหมดอาย ตะกายมือที่ถูกพันธนาการไปด้านหน้า ดึงรั้งจนผ้าปูที่นอนยับย่น กระนั้นก็ยังไม่อาจระบายความเสียวซ่านที่ได้รับออกไปได้เลยแม้สักครึ่งเดียว
   รูฟัสจูบไล่ลงไปบนแผ่นหลังผอมบางนั้น เพิ่มรอยจ้ำสีชมพูจางๆ นับไม่ถ้วน ขบกัดเนินไหล่ของอีกฝ่ายด้วยความซ่านกระสัน เสียงร้องครางและส่วนกลางลำตัวของอีกฝ่ายที่ยังคงผงาดชูชันยิ่งเร้าอารมณ์รักให้โหมสูงขึ้น
   ลมหายใจของทั้งคู่ขาดห้วงแทบจะพร้อมกัน ในตอนที่ของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมา
--------------------------------------
   “ฟ่งครับ?” รูฟัสกระซิบเรียกชื่อคนรักเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนอนซุกหน้ากับหมอนนิ่ง ทั้งๆ ที่ผ่านจุดนั้นมาตั้งหลายนาทีแล้ว
   “อืม..” ฟ่งส่งเสียงครางตอบรับ แต่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา รูฟัสมองด้วยความเป็นห่วง
   “เจ็บมากหรือครับ?” ร่างสูงใหญ่ถาม และขยับเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดใส่หมอนอีก
   “ปะ..เปล่า” ฟ่งตอบ และยิ่งซุกหน้าลงกับหมอนแน่นกว่าเดิม จนรูฟัสขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก็ดีอยู่หรอกที่ฟ่งไม่ได้ลุกหนีเขาไปไหนหลังจากทำเสร็จ แต่นิ่งแบบนี้ก็น่าหวั่นใจอยู่เหมือนกัน บางทีฟ่งอาจจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ล่ะมั้ง
   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” รูฟัสเอ่ยถามอีกครั้ง เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว และกำลังคิดว่าจะช่วยฟ่งทำความสะอาดตรงนั้น แต่จนแล้วจนรอดฟ่งก็ไม่ยอมพลิกตัวกลับมาเสียที คนถูกถามสั่นศีรษะ
   “งั้นเงยหน้ามาคุยกันหน่อยสิครับ”
   “ไม่เอา” ฟ่งตอบ และสั่นศีรษะอีกครั้ง รูฟัสถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
   ฟ่งบีบหมอนที่เขาซุกอยู่แน่น ใบหูกลายเป็นสีแดงจัด จนรูฟัสอดใจเต้นไปด้วยไม่ได้
   “คะ..คุณทำให้ผมรู้สึกดีเกินไป” ร่างผอมบางพูดอู้อี้ใส่หมอน แต่ก็ชัดพอจะทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง
   “?” รูฟัสจัดการพลิกร่างนั้นขึ้นทันที ฟ่งหน้าแดง ริมฝีปากสั่นสะท้าน
   “อย่า...ผมไม่มีแรง” ร่างผอมบางร้องเสียงแผ่ว พยายามยกแขนขึ้นมาบังใบหน้าไว้ รูฟัสก้มตัวลงถามอย่างตื่นเต้น
   “รู้สึกดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
   “อืม” อีกฝ่ายพยักหน้า รูฟัสดึงมือที่ยกขึ้นมาบังไว้ออก และพบว่าอีกฝ่ายไม่มีแรงจริงๆ
   “อย่ามอง!!” ฟ่งพยายามร้องห้าม เมื่อเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่มองลงมา รูฟัสมองดูร่างเปลือยที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำสีชมพูแล้วนึกขอโทษอยู่ในใจ
   เพราะนอกจากตรงท้องน้อยกับขาอ่อนแล้ว เขายังเผลอทำรอยที่คอซ้ำด้วย สงสัยคงใช้เวลาหลายวันกว่าจะจาง
   “ลุกไหวไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถาม อีกฝ่ายสั่นศีรษะ ปรือนัยน์ตาขึ้นมอง
   “จะไปแล้วหรือ?” ฟ่งเอ่ยถาม พลางยกมือขึ้นฉวยชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้ เมื่อเห็นว่ารูฟัสทำท่าจะลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งทันที ก่อนจะสั่นศีรษะ และก้มลงจูบหน้าผากฟ่งเบาๆ  ได้ยินเสียงฟ่งครางอืมในลำคอ
   “อยู่กับผมนะ” ฟ่งพูดด้วยสติเลือนราง ร่างแกร่งตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างๆ ลูบศีรษะนั้นอย่างเอ็นดู
   “ครับ ผมจะอยู่กับคุณตลอดไป” รูฟัสกระซิบ แต่ดูเหมือนว่าฟ่งจะผล็อยหลับไปแล้ว ผู้มีนัยน์ตาสองสีคลี่ยิ้มบางๆ
   ฟ่งจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าคำพูดเมื่อครู่มีความหมายขนาดไหน
--------------------------------------
   รถเก๋งเปอร์โยต์สีบรอนด์เงิน แล่นเข้ามาจอดบริเวณสนามหน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ของมันดังพอที่จะทำให้คนในบ้านบางคนรู้สึกตัว
   “คลาวเดียล่ะ?” ราฟาแอลเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นหน้าคนออกมารับ
   “ไปข้างนอก ไปบ้านทิมิอามั้ง” รูฟัสตอบ พลางยักไหล่อย่างไม่ค่อยแยแสนัก ราฟาแอลหรี่ตาลงนิดหน่อย ก่อนจะยักไหล่ตอบ
   “อืม...” หนุ่มผมบล็อนด์ลากเสียงยาว รูฟัสนึกสงสัยว่าเพื่อนร่วมงานของเขาไปก่อวีรกรรมอะไรเอาไว้ให้แฟนสาวต้องไปจัดการอีกหรือเปล่า
   “แฟนแกล่ะ?”
   “นอน” รูฟัสตอบ และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของราฟาแอล
   “ล่อกันแต่เย็นเลยเรอะ!?”
   “ไม่ใช่ธุระของคุณหรอกน่ะ!!” รูฟัสตัดบท อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ และเดินเข้าไปในบ้าน
   “เอาเถอะ ฉันมีข่าวดีมาบอก แต่บางทีอาจจะเป็นข่าวไม่ดีก็ได้นะ”
   “อะไรอีกล่ะ?”
   “พรุ่งนี้แกกับฉันต้องบินไปที่ไทย อืม..ไม่สิ คงจะมีแฟนแกด้วย”
   “หา?” รูฟัสส่งเสียงอย่างไม่เชื่อหู นัยน์ตาสองสีเบิ่งกว้างอย่างแปลกใจ
   “ไม่ต้องมา ‘หา?’ พรุ่งนี้แหละ ฟังไม่ผิดหรอก เพราะงานมันจะเริ่มอีกสองอาทิตย์ แล้วแกกับฉันมีอะไรที่ต้องทำที่นั่นอีกหลายอย่าง อย่างน้อยก็ต้องไปก่อนจะมีการทดสอบเจ้าห้องบ้านั่นล่ะ”
   “นี่ตกลงคุณไปส่งรัสเลอร์หรือไปเจอคนของ”เบื้องบน”มาเนี่ย”
   “ทั้งสองอย่าง” ราฟาแอลตอบ ได้ยินเสียงรูฟัสถอนหายใจ
   “กะแล้ว แต่ว่าเรายังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเจาะระบบคอมพิวเตอร์เลยนะ”
   “เรื่องนั้นน่ะ เบื้องบนจะจัดคนมาให้เราพรุ่งนี้” ราฟาแอลตอบ รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ และถามต่อ
   “แล้วแปลนนั่นล่ะ คุณกับผมยังไม่ได้ศึกษากันอย่างจริงจังเลยนี่”
   “พอไปถึงไทยแล้วก็มีเวลาเองแหละน่า อย่างน้อยคนเขียนก็ไปกับเราด้วย”
   “ฟ่งน่ะรึ?”
   “อืม” หนุ่มผมบลอนด์พยักหน้าและกล่าวสืบต่อ “ดูเหมือนตอนอยู่นี่เจ้ารัสเลอร์จะติดต่อกับเบื้องบนด้วย ทางนั้นรู้สึกแปลกใจน่าดูที่แกหาคนเขียนแปลนมาได้ เลยพอจะยอมให้อภัยเรื่องที่หนีงานไป ฉันเลยถือโอกาสบอกว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว น่าจะให้กลับไปพร้อมๆ กันเลย”
   “ผมไม่อยากให้ฟ่งมายุ่งกับเรื่องนี้”
   “แล้วกัน แทนที่แกจะขอบใจฉันที่ช่วยให้กลับด้วยกัน เอาเถอะๆ  ฉันไม่พาเด็กนั่นเข้าไปนำทางเราหรอกน่า ขืนเอาคนไม่เคยทำงานไปมีหวังได้วุ่นวายหนักกว่าเดิม”
   “อืม  ดีใจที่คุณคิดแบบนั้น แล้วนี่สรุปผมต้องจัดกระเป๋าเลยใช่ไหม?”
   อีกฝ่ายยักไหล่แทนคำตอบ
   “แล้วแต่ เดินทางเย็นพรุ่งนี้ ก็คงถึงโน่นตอนเช้าๆ แหละ เออ นี่พาสปอร์ตใหม่ของแก”ราฟาแอลว่า และโยนสมุดพาสปอร์ตสีเลือดหมูมาให้ รูฟัสรับมาและขมวดคิ้ว
   “นี่พาสปอร์ตประเทศไทยนี่”
   “เออ คราวนี้ให้แกถือสัญชาติไทยไปเลยไง ง่ายดี แกก็ดูพูดภาษาไทยคล่องนี่”
   “แล้วชื่อนี่อะไร วิชิต.. วิชิต กิลเบิร์ก” รูฟัสอ่านชื่อตัวเองในพาสปอร์ตแล้วทำหน้าแปลกๆ ราฟาแอลหัวเราะหึๆ
   “ลูกครึ่งไง ลูกครึ่ง จริงๆ แล้วแกก็เป็นลูกครึ่งอยู่แล้วนี่”
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะอ้าปากพูด แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ควรคิดมากกับเรื่องชื่อ
   “เอาเถอะ อย่างน้อยถ้าเป็นพาสปอร์ตประเทศเดียวกันก็คงไม่ถูกตรวจอะไรมากหรอก แล้วคุณล่ะ?”
   “ฉันจะถือพาสปอร์ตของออสเตรีย แกคิดว่าหน้าอย่างฉันพอจะเป็นนักดนตรีได้มั้ย?”
   รูฟัสมองดูเพื่อนร่วมงานขึ้นๆ ลงๆ “ผมว่าอย่างคุณเนี่ยเหมาะจะเป็นนักมวยมากกว่า”
   ราฟาแอลถลึงตาใส่เพื่อนร่วมงานทันที “ถ้าฉันเหมือนนักมวยนะ แกก็ด้วยนั่นแหละ ส่วนแฟนแกใช้พาสปอร์ตของเฟิงปิงไปแล้วกัน ฉันอยากให้แยกกันเดินทาง แต่พอมาคิดอีกที ให้แกกับแฟนแกไปด้วยกันดีกว่า”
   “มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ” รูฟัสว่า ราฟาแอลมองอย่างเอือมระอาเต็มที่
   “ตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวฉันจะออกไปหาทิมิอาเสียหน่อย”
   “จะไปเคลียร์กับคลาวเดียหรืองไง ตามสบายเลย”
   รูฟัสว่าพลางโบกมือไล่หลังราฟาแอลที่หมุนตัวเดินกลับออกด้านนอกไป
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่42 p6 8/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 10-07-2011 11:05:28
ขอบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากค่ะ อ่านมาสามวันจนทันแล้ว ตาแฉะกันไปข้างเลยลงต่อกันยาวมากอ่ะ อ่านจนสะใจกันไปเลย ขอบคุณนะค่ะ
จะถึงไคลแม๊กของเรื่องแล้ว ต้องบู้กันมันแน่ๆ ณ สุดยอดห้องนิรภัย  แถมลุ้นฟ่งด้วยว่าจะเอ่ยบอกบอกรักรูฟัสเมื่อไร
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่42 p6 8/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-07-2011 14:49:17
บทที่43  ไร้เดียงสา
   ฟ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และพบว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว ร่างบางขยับตัว เขาอยู่ในชุดเสื้อนอนหลวมโคร่ง สงสัยว่ารูฟัสจะเอามาเปลี่ยนให้ ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับหมอน เขาไม่อยากจะลุกในตอนนี้ ความรู้สึกเมื่อวานยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ มันดีมากเสียจนเขาเผลออ้อนให้รูฟัสอยู่ใกล้ๆ เมื่อนึกถึงผู้ชายคนนั้นแล้วก็ให้รู้สึกเขินอายขึ้นมา
   เขาจะรักรูฟัสได้หรือเปล่านะ?
   ฟ่งพลิกตัวมาอีกด้านหนึ่ง และพบว่าไม่มีใครนอนอยู่ข้างเขา ชายหนุ่มถอนหายใจ รูฟัสคงตื่นแล้ว ปกติถ้ายังนอนอยู่คงไม่ปล่อยให้เขาพลิกตัวไปมาแบบนี้หรอก ร่างบางยันกายลุกขึ้น  ในจังหวะเดียวกับที่รูฟัสเปิดประตูเข้ามาพอดี
   “อา...คุณตื่นแล้ว ผมกำลังเป็นห่วงว่าคุณจะไม่สบายหรือเปล่า”
   “ผม..เอ้อ..เจ็บคอนิดหน่อย” ฟ่งตอบและยกมือลูบตรงคอของตัวเอง รูฟัสเดินเข้ามาและเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
   “ไม่สบายหรือครับ”
   “เปล่า”   ฟ่งปฏิเสธ เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าเจ็บคอเพราะอะไร แต่บอกทางนั้นไปจะดีหรือ?
   “ไปหาหมอไหมครับ จะได้ขอยา”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...” ฟ่งเงียบไปพักหนึ่ง พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของรูฟัสก็จำต้องพูดต่อ “เอ่อ คงเพราะเมื่อวานผมร้องดังไปหน่อย”
   ท่อนสุดท้ายเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ รูฟัสยิ้มกว้าง ก้มลงหอมแก้มคนที่นั่งอยู่บนเตียงฟอดหนึ่ง
   “งั้นเดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะครับ” หนุ่มตาสองสีว่าและเดินไปรินน้ำจากเหยือกที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องนอน ฟ่งรับแก้วมาและดื่มเข้าไปสองอึก
   “ดื่มให้หมดนะครับ” อีกฝ่ายกระตุ้น ร่างบางพยักหน้าและดื่มต่อจนหมด รูฟัสรับแก้วกลับไปวางที่และเดินมานั่งลงข้างๆ
   “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ วันนี้เราจะกลับเมืองไทยกัน”
   “จริงเหรอ?!!” ฟ่งโพล่งออกมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายด้วยความดีใจ
   “พูดจริงๆ นะ! ผมจะได้กลับบ้านแล้วเหรอ?”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้าและลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นเบาๆ
   “เย้!! จะได้กลับบ้านแล้ว” ฟ่งโผเข้ากอดรูฟัส ร้องดีใจเหมือนเด็กๆ
   “ผมต้องเตรียมตัวอะไรบ้างครับ พาสปอร์ต? หนังสือเดินทาง? หรือว่าต้องไปสถานทูต?”
   “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ” รูฟัสตอบ เห็นท่าทางดีใจของฟ่งแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นี่เขาทำให้ฟ่งต้องลำบากมากมายขนาดไหนกันนะ จะว่าไปฟ่งไม่ได้กลับเมืองไทยมาเกือบเดือนแล้วนี่นา
   “ผมเตรียมไว้หมดแล้วล่ะครับ คุณแค่เก็บของที่คุณจะเอาไปก็พอ”
   “อืม...ผมไม่ได้พาอะไรมาเลยนี่ ไม่ต้องขนอะไรกลับไปหรอก”
   “แล้วเสื้อผ้าล่ะครับ” รูฟัสกล่าว และมองไปยังตู้เสื้อผ้า ฟ่งทำหน้าแปลกใจ
   “มันเป็นเสื้อใส่ที่เมืองหนาวนี่ ไม่ต้องเอาไปหรอก ประเทศไทยร้อนจะตาย”
   “แต่ผมอุตส่าห์ซื้อให้.. เอ้อ  ไม่เป็นไรหรอกครับ” รูฟัสรีบพูดปัด นึกแปลกใจที่ตัวเองสนใจเรื่องงี่เง่าแบบนี้ มันก็จริงอย่างฟ่งว่า ประเทศไทยร้อน ไม่ต้องเอากลับไปหรอก
   “อ๊ะ!  ขอโทษ” ฟ่งอุทาน เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรจะตอบแบบนั้นออกไปเลย
   “ผมขนกลับไปก็ได้ ก็คุณซื้อให้ผมนี่นา”
   “ถ้าลำบากก็ไม่ต้องหรอกครับ?” รูฟัสว่า อีกฝ่ายสั่นศีรษะทันที
“ไม่เป็นไร ไม่เยอะนี่  แต่ผมต้องขอยืมกระเป๋าเดินทางคุณสักใบ”
   “ซื้อมาให้แล้วล่ะครับ” รูฟัสตอบ และชี้มือไปที่กระเป๋าเดินทางแบบลากสีน้ำตาลใบเล็กตรงมุมห้อง
   “อ่ะ..ขอบคุณครับ ผมจัดกระเป๋าเลยนะ” ฟ่งพูดและกระโดดลงจากเตียง ตรงดิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าทันที
   “ทานข้าวเช้าก่อน แล้วค่อยจัดก็ได้ครับ” รูฟัสเตือนเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจของอีกฝ่าย  ฟ่งพยักหน้าและหัวเราะแหะๆ
   “อืม งั้นผมเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ”
--------------------------------------
   “ฉันคงคิดถึงเธอน่าดู” คลาวเดียกล่าว เธอขับรถมาส่งคนทั้งสามที่สนามบิน ฟ่งก้มลงจูบแก้มอำลา
   “ผมก็คงคิดถึงคุณเหมือนกันครับ” เขาตอบ ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นมาอย่างรำคาญ
   “เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกล่ะน่า ถ้าเจ้ารูฟัสมันจริงจังอย่างที่ปากว่าน่ะนะ”
   “ผมจริงจังนะ” รูฟัสเอ่ยสวนทันที คลาวเดียเบิ่งนัยน์ตากลมโตของหล่อนอย่างนึกเห็นด้วย
   “นั่นสินะ เดี๋ยวเสร็จงานก็ได้เจอกันอีกแหละ  แหม..ที่จริงทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องขนไปขนมา”
   ฟ่งหันหน้ากลับไปมองรูฟัสอย่างงงๆ “ต้องกลับมาที่นี่อีกเหรอครับ?”
   หนุ่มตาสองสียกเกาศีรษะอย่างคนนึกอะไรไม่ออก “ผมยังไม่ได้คิดเลยน่ะคลาวเดีย ว่าจะอยู่ที่ไหน”
   “ตายแล้ว!! นี่อย่าบอกนะว่าเธอกะจะไปปักหลักอยู่ที่เมืองไทยเลยน่ะ ฉันคงเหงามากๆ”
   “คุณมีผมอยู่แล้วน่า” ราฟาแอลพูดสวน คลาวเดียทำหน้าหงิก
   “คุณน่ะอยู่ซะทีไหนล่ะ วันๆ ก็ไปหาสาวคนนั้นทีคนนี้ที ระวังเหอะ จะเจอดีเข้าสักวัน”
   “จ้าๆ แม่คนดี ฉันจะพยายามระวังตัวเอาไว้แล้วกัน” ราฟาแอลว่า และเดินไปจูบคลาวเดียครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกหญิงสาวผลักออกมาอย่างหน่ายๆ หนุ่มผมสีบล็อนด์ทำหน้าละห้อย แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด
   “งั้นฉันกลับล่ะ เดินทางดีๆ นะจ้ะหนุ่มๆ ขอให้กลับมาโดยสวัสดิภาพ และเธอ ฟ่ง ถ้าจะอยู่กับรูฟัสล่ะก็มาอยู่ที่นี่เถอะ”
   ฟ่งเกาศีรษะ ยิ้มแห้งๆ “ไว้จะลองไปคิดดูนะครับ” หนุ่มสวมแว่นตอบ พาลให้รูฟัสนึกหวาดเสียวว่าฟ่งจะลังเลเรื่องที่จะมาอยู่ฮังการี หรือลังเงเรื่องจะอยู่กับเขากันแน่
-------------------------------------------
   “แล้วผู้เชี่ยวชาญด้านเจาะรหัสล่ะ?” รูฟัสเอ่ยถาม ในตอนที่ทั้งสามลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาหน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน
   “คงรออยู่ด้านในแล้วแหละ เบื้องบนบอกมาว่าเป็นคนที่ฉันรู้จัก”
   “หวังว่าคงไม่ใช่เจ้านั่นหรอกนะ” รูฟัสพูดพลางทำหน้าเหยเกจนฟ่งมองอย่างสงสัย
   หลังเช็กอินเสร็จไปโดยไม่มีเหตุผิดแปลกอะไร ทั้งสามก็เดินเข้าไปตรงประตู เพื่อรอขึ้นเครื่อง ณ ที่นั่น มีชายคนหนึ่งนั่งรอพวกเขาอยู่
   “อะฮ้า!  ได้เจอกันอีกแล้วนะฟ่ง” รัสเลอร์เอ่ยทักอย่างดีใจเมื่อเห็นคนทั้งสาม รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า ขณะที่ราฟาแอลถอนหายใจ
   “ว่าแล้ว...”
   “อย่ามาพูดว่า”ว่าแล้วนะ” ” รัสเลอร์สวนคำขึ้นมาทันที และยืดอกพูดตามแบบของเขา
   “พวกนายอุตส่าห์ได้สุดยอดนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญทุกด้านมาร่วมงาน ควรจะต้องทำหน้าดีใจแล้วบอกว่าพระเจ้ามาโปรดถึงจะถูก เพื่อช่วยพวกนาย เมื่อวานฉันต้องนอนแกร่วอยู่แถวนี้ตั้งวันหนึ่งเลยนะ”
   “ถามจริงเหอะ หน่วยของนายน่ะ รำคาญนายเต็มทีแล้วใช่ไหม ถึงได้พยายามส่งนายออกมานอกหน่วยแบบนี้น่ะ” รูฟัสเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ รัสเลอร์โบกมือและจุ๊ปาก
   “พวกนายนี่นะ ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ที่นั่นต้องการตัวฉันมาก ที่เขาให้ฉันมาทำงานกับนายเนี่ย เพราะภารกิจของนายมันสำคัญมากไงล่ะ เข้าใจกันรึเปล่า?”
   “เอาล่ะๆ ” หนุ่มผมบล็อนด์โบกมือเป็นสัญญาณว่าหยุดพล่ามได้แล้ว รัสเลอร์หันกลับไปทางฟ่ง ซึ่งยังมีสีหน้าอึ้งๆ อยู่
   “ไม่เจอผมตั้งวันหนึ่ง เหงาหรือเปล่าครับ? มาให้ผมกอดแก้คิดถึงหน่อยสิ” รัสเลอร์ว่าพลางอ้าแขน และเดินพุ่งเข้ามา ฟ่งถอยกรูด ขณะที่รูฟัสเดินปราดเข้าไปแทน
   “กอดฉันก็ได้นะ ฉันก็ไม่ได้เจอกับนายมาตั้งหนึ่งวัน”
   รัสเลอร์ทำหน้าขยะแขยง และรีบหุบแขนลงทันที “ไม่เอาหรอก อย่างนายน่ะ แค่ชายตามองฉันยังไม่อยากจะมองเลย”
   พูดจบก็ขมวดคิ้วมองหน้ารูฟัสอีก หนุ่มตาสองสีเลยยักไหล่ใส่อย่างยียวน “ไหนบอกว่าไม่อยากมองหน้าฉันไง?”
   “เหอะ! ฉันกำลังดูว่า หน้าตาคนขี้งกมันเป็นยังไงต่างหาก” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า พลางทำหน้าชิงชังรังเกียจสุดๆ แต่ก่อนที่รูฟัสจะได้ทันโต้ตอบอะไร ราฟาแอลก็พูดขัดจังหวะขึ้น
   “ยังมีเวลาให้พวกแกทะเลาะกันอีกนานโข เพราะฉะนั้นช่วยย้ายก้นไปขึ้นเครื่องได้แล้ว”
----------------------------------------
   ฟ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกไม่นานเขาจะได้กลับประเทศไทยแล้ว เขามองดูรูฟัสที่นั่งอยู่ข้างๆ และราฟาแอลกับรัสเลอร์ซึ่งนั่งแยกออกไปไม่ห่างนัก น่าดีใจปนตื่นเต้นที่การตรวจพาสปอร์ตขาออกไม่มีปัญหา เขากลัวจะถูกจับจริงๆ ถึงจะบินด้วยพาสปอร์ตปลอมแบบนี้มาสองสามครั้งแล้วก็เถอะ เขาไม่ใช่คนพวกนี้นี่นา ถึงจะทำตัวเฉยๆ สบายๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทำเรื่องผิดกฎหมายแบบนี้
    รูฟัสกำลังอ่านหนังสือ ท่าทางหนุ่มคนนี้จะนั่งเครื่องบินบ่อย เพราะดูจะเตรียมตัวได้ดีมากเหลือเกิน ฟ่งเพิ่งเห็นว่ารูฟัสพกหนังสือตลอด คราวนี้เขากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในโมร็อกโกอยู่ ดูเหมือนรูฟัสจะอ่านหนังสือหลายแบบ ท่าทางจะเก็บไว้เป็นข้อมูลในการทำงานล่ะมั้ง
   “นอนไม่หลับหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งจ้องมาทางเขาเขม็ง ฟ่งสั่นศีรษะ
   “ผมไม่ง่วงน่ะ”
   “เบื่อรึเปล่า? ผมนั่งคุยเป็นเพื่อนมั้ย?” อีกฝ่ายเสนอตัวทันที และปิดหนังสือลง ฟ่งยิ้มแห้งๆ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเสียงจะรบกวนคนอื่นเปล่าๆ ”
   รูฟัสหันไปมองรอบๆ และขยับมาใกล้ “ถ้าพูดเบาๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณมีอะไรอยากคุยกับผมไหมล่ะ?”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา รูฟัสมองดูหน้าอีกฝ่าย และพูดขึ้นต่อ
   “ผมชวนคุณคุยดีกว่า คุณเกิดวันที่เท่าไหร่หรือครับ?”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส แล้วยิ้มออกมา “ยี่สิบหกน่ะ”
   “เดือนล่ะ?”
   “ตุลาคม”
   “อ้อ งั้นคุณก็ราศีพิจิกสินะ” รูฟัสว่า และยิ้มบ้าง “ผมราศีธนู”
   “เอ๋ คุณเกิดเดือนธันวาคมเหรอ?” ฟ่งถามด้วยสีหน้าแปลกใจ รูฟัสพยักหน้ายิ้มๆ
   “น่าจะนะครับ บอกคุณตรงๆ แล้วกัน ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะว่าเกิดวันไหนเดือนอะไร แต่เหมือนจะเกิดช่วงเดือนธันวาคมล่ะมั้ง เพราะมีหิมะ แล้วก็มีฉลองคริสต์มาส”
   หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ “คุณ... จำวันเกิดตัวเองไม่ได้เหรอ?”
   “เอ้อ..” รูฟัสลากเสียง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ “ก็ผมเห็นว่าไม่สำคัญอะไร ก็เลยไม่ได้จำน่ะ”
   พอเห็นฟ่งยังทำหน้าแปลกๆ รูฟัสเลยรีบพูดต่อ “จริงๆ นะครับ ผมไม่โกหกคุณหรอก”
   “เปล่า ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ฟ่งว่า และมองหน้ารูฟัส “ผมขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวของคุณนะ”
   “?” รูฟัสมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก่อนจะได้อ้าปากพูดอะไร ฟ่งก็พูดขึ้นต่อ
   “คือ... ถ้าผมไปสะกิดใจเรื่องไม่ดีของคุณเข้า ขอโทษด้วยนะ” ร่างบางพูดเสียงอ่อน รูฟัสมองหน้าฟ่ง และยิ้มออกมา
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เรื่องมันผ่านมาแล้วน่ะ ผมชอบนะถ้าคุณอยากรู้เรื่องผมน่ะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส และกะพริบตาอีกครั้ง “แต่ถึงกับลืมนี่แปลว่ามันคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำใช่ไหมล่ะ ผมชวนคุณคุยเรื่องอื่นดีกว่า”
   รูฟัสไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาตั้งใจจะชวนฟ่งคุยเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันแท้ๆ แต่พอพูดเรื่องจริงดันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหดหู่ไปซะอีก ก็เขาจำวันเกิดตัวเองไม่ได้จริงๆ นี่นา
   “จริงสิ รูฟัส คุณชอบอ่านหนังสืออะไรเป็นพิเศษรึเปล่า พวกนิยายอะไรทำนองนั้นน่ะ” ฟ่งถามขึ้นบ้าง รูฟัสนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “ผมชอบนิยายตลกนะ” รูฟัสตอบ และพูดชื่อนักเขียนที่ฟ่งไม่รู้จัก พอเห็นคนฟังทำหน้างง เลยอธิบายต่อ “นักเขียนนวนิยายของฮังการีน่ะครับ ไม่ค่อยดังในระดับโลกเท่าไหร่หรอก แต่ผมว่างานเขาตลกดี”
   “อ้อ แล้ว.. คุณชอบทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
   รูฟัสยิ้ม เขารู้สึกมีความสุขที่ฟ่งดูจะให้ความสนใจและพยายามจะชวนเขาคุยแบบนี้ หนุ่มตาสองสีขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้น
   “ชอบทานอาหารที่พี่สาวคุณทำน่ะ วันหลังคุณทำให้ผมทานบ้างสิ”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ จากนั้นก็เบิ่งตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “จริงสิ แม่คุณเป็นคนไทยจริงๆ หรือ?”
   “ครับ” รูฟัสพูดและพยักหน้า “อันนี้เรื่องจริงแน่นอนครับ ผมไม่โกหกนะ”
   “เพราะงี้คุณเลยพูดภาษาไทยเก่งสินะ” ฟ่งถามต่อ แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะยิ้มๆ
   “จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ตอนคุยกับคุณครั้งแรกผมโม้เอาน่ะ คือแม่ผมเสียไปนานแล้ว ผมจำได้ลางๆ เท่านั้นเอง ที่พูดคล่องเพราะไปเรียนมาน่ะ”
   “เรียนกี่เดือนน่ะ”
   “สามเดือน”
   “โห..” ฟ่งทำตาโต “เก่งจัง สามเดือนพูดคล่องขนาดนี้ ผมว่าคุณเก่งมากเลยนะเนี่ย”
   รูฟัสหัวเราะ ลองถ้าถูกจับไปปล่อยไว้ในย่านคนไทยโดยไม่มีล่ามสักสามเดือน เป็นใครใครก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ
   “แต่คนที่ทำให้ผมพูดคล่องจริงๆ ท่าทางจะเป็นคุณน่ะ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ ฟ่งเงยหน้ามองเขา และแก้มแดงนิดๆ “คุณพูดคล่องอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอก”
   รูฟัสหัวเราะขึ้นอีก และฉวยมือฟ่งมากุมเอาไว้ “อยากเรียนภาษารัสเซียหรือฮังการีบ้างรึเปล่าครับ ผมสอนให้”
   ฟ่งรู้สึกขัดเขินนิดหน่อยที่ถูกรูฟัสจับมือ ดีกว่ายังไม่มีใครผ่านมาเห็น เลยพยายามจะขยับหนี แต่ขยับยังไงทางนั้นก็ไม่ปล่อยสักที สุดท้ายรูฟัสเลยยกผ้าขึ้นมาคลุมไว้แทน ฟ่งกัดริมฝีปากนิดหน่อย ก่อนจะพูดตอบไป
   “ใครมาเห็นจะไม่ดีนะ”
   “ไม่เป็นไร ผมเอาผ้าห่มคลุมไว้แล้ว”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัส ไม่รู้จะทำยังไงต่อเลยปล่อยไปเลยตามเลย รูฟัสจับมือเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมาอีก
   “ฟ่งครับ เสร็จงานนี้แล้วไปเที่ยวกันนะ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างแปลกใจ “ที่ไหนหรือ?”
   “ที่ไหนก็ได้ครับ ให้มีคุณไปด้วยผมก็สุขใจแล้วล่ะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมอยากไปเที่ยวรัสเซียน่ะ”
   “?”
   “ก็ประเทศบ้านเกิดคุณไง คุณเกิดที่นั่นไม่ใช่เหรอ?”
   “อืม” รูฟัสพยักหน้า และถามซ้ำอีกรอบ “อยากไปจริงๆ เหรอครับ?”
   “จริงสิ  ผมอยากเห็นหิมะ  อืม..อยากรู้ด้วยว่าคุณล้วงกระเป๋าคนแบบไหน”
   ถึงตอนนี้รูฟัสหัวเราะเขินๆ “เรื่องแบบนั้นไม่ต้องอยากรู้ก็ได้ครับ” เขาว่า และรีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาฟ่งที่มองมาอย่างนึกสงสัย
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่42 p6 8/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-07-2011 14:49:31
“ไว้จบงานนี้แล้วผมจะพาไปนะครับ”
   “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ผมพูดเล่น เคยไปดูค่าทัวร์มาแล้วน่ะ แค่ค่าตั๋วเครื่องบินก็แพงหูอื้อ ผมจ่ายไม่ไหวหรอก”
   รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ จะมีตั๋วเครื่องบินแบบไหนในโลกที่เขาไม่มีปัญญาจ่ายอีกนะ
   “มันคงไม่แพงไปกว่าบินจากนี่ไปประเทศไทยหรอกครับ” ชายหนุ่มกล่าว ฟ่งพยักหน้า แต่ก็พูดสวนกลับมา “ก็อันนี้ผมไม่ได้จ่ายเองนี่”
   “ไปรัสเซียคุณก็ไม่ต้องจ่ายเองหรอกครับ” รูฟัสว่า พลางนึกว่านี่ฟ่งยังเข้าใจว่าต้องจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรเองอยู่อีกรึนี่
   “ไม่ได้หรอก ผมอยากไปเอง ผมก็ต้องออกเงินเองสิ” ฟ่งแย้ง รูฟัสพูดยิ้มๆ
   “งั้นคุณออกเท่าที่จ่ายไหวแล้วกันนะครับ ผมจะจ่ายที่เหลือ ตกลงมั๊ยครับ ผมอยากให้คุณไปเที่ยว”
   “จะดีเหรอ”
   “ดีสิครับ หรือคุณอยากให้ผมลักพาตัวคุณไปรัสเซีย”
ฟ่งรีบสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตายทันที “ไม่เอาล่ะ ผมเข็ดแล้ว”
   รูฟัสหัวเราะกับท่าทางของฟ่ง จู่ๆ หนุ่มสวมแว่นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้
   “จริงสิ ผมน่าจะมีเงินพอนะ คุณทวีศักดิ์เขาน่าจะโอนค่าเขียนแบบให้ผมแล้วล่ะ”
   รูฟัสหันมามองฟ่งด้วยสายตาแปลกๆ “นี่ยังคิดว่าเขาจะจ่ายให้คุณอีกหรือครับ”
   “อ้าว ก็ต้องจ่ายสิ ผมทำงานเสร็จแล้วนะ กลับไปคงต้องไปเช็คบัญชีหน่อย จะได้มีเงินไปเที่ยว”
   รูฟัสเลยปล่อยมือที่กุมมือฟ่งออก และยกมือลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ พลางถอนหายใจ
   “แทนที่จะไปเช็คบัญชี ผมว่าคุณกลับไปถึงแล้วเก็บตัวอยู่เงียบๆ ดีกว่า เขาคงจ่ายเงินเพื่อจ้างคนมาเก็บคุณมากกว่าจะจ่ายค่าจ้างคุณนะ ผมว่า”
   “อ่ะ!” ฟ่งนึกขึ้นมาได้ทันที จากนั้นก็ทำหน้าหงิก “แปลว่าผมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดรึนี่... ผมคิดถูกรึเปล่านะที่ตามคุณกลับมาเนี่ย?”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ ก่อนจะลูบศีรษะฟ่งซ้ำอีกรอบ “ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าผมทำงานสำเร็จ คุณก็ใช้ชีวิตตามปกติได้แล้วล่ะครับ”
   “อ้อ..อืม” ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “อย่างนั้นผมจะช่วยคุณอีกแรงนะ มีอะไรที่ผมพอช่วยได้อีกมั้ย?”
   “ไม่ต้องแล้วล่ะครับ ที่คุณช่วยมาก็เยอะมากแล้วล่ะ” รูฟัสว่า และลูบศีรษะนั้นอย่างเอ็นดู จู่ๆ ฟ่งก็โพล่งขึ้น “ผมคิดค่าแรงจากคุณก็ได้นี่ ค่าทำงานไง”
   รูฟัสย่นคิ้ว “อยากได้เท่าไหร่ล่ะครับ ผมจ่ายให้คุณหมดตัวเลย”
   ฟ่งหัวเราะ “ผมล้อเล่นน่ะ ผมจะคิดเงินกับคุณทำไม ผมต้องไปคิดกับคนแรกที่จ้างผมสิ เฮ้อ..”
   ถึงตรงนี้ชายหนุ่มสวมแว่นถอนหายใจยาว รูฟัสคิดว่าฟ่งอาจจะยังเสียดายเงินอยู่
   “เขาจ้างคุณเท่าไหร่หรือครับ ผมหมายถึง... คุณเรียกเงินค่าจ้างเขาไปเท่าไหร่น่ะ?”
   “สองแสน” ฟ่งตอบ รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจทันที “สองแสน? สองแสนเหรียญดอลล่า?”
   “เปล่า สองแสนบาท”
   หนุ่มตาสองสีเงียบไปพักหนึ่ง อาจจะกำลังคิดแปลงหน่วยเงินอยู่ สักพักจึงเงยขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจกว่าเดิม
   “คุณคิดเขาไปแค่นั้นจริงๆ เหรอ?”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง นึกสงสัยว่ารูฟัสจะตกใจอะไรนักหนา “แพงไปหรือ?”
   “ถูกไป!!” รูฟัสว่าและแทบอยากร้องครางออกมา ไอ้แปลนนรกที่ทำเอาพวกเขาแทบเอาหัวโขกฝาตายนั่น ราคาแค่สองแสนบาทเองรึ!!
   “เป็นผมจะเรียกสักยี่สิบล้าน”
   “แพงไปมั้ง” ฟ่งว่า แอบคิดว่าจริงๆ รูฟัสอาจจะงกก็ได้
   “แค่แบบแปลนเองนะครับ ไม่ได้บวกค่าอำนวยการก่อสร้างเสียหน่อย”
   หนุ่มตาสองสีเกาศีรษะอย่างคนนึกอะไรไม่ออก
   “งั้นผมจ้างคุณให้อยู่เฉยๆ เดือนละล้านเลย” รูฟัสโพล่งออกมา ฟ่งขมวดคิ้วทันที
   “นี่คุณโมโหหรือดูถูกผมกันแน่เนี่ย” ฟ่งเริ่มพูดอย่างมีอารมณ์ หนุ่มตาสองสีรีบสั่นศีรษะปฏิเสธเป็นพัลวัน
   “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เข้าใจอย่างนั้นครับ คือ เอ่อ...งั้นวันหลังจะรับงานอะไรปรึกษาผมก่อนก็ได้ งานเสี่ยงตายแบบนี้แค่สองแสนไม่คุ้มหรอกครับ”
   “ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณซะที่ไหนกันล่ะ!” ฟ่งสวนคำทันที รูฟัสพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่นใจ
   “หมายถึงหลังจากนี้ไงครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ และนึกภาวนาให้ฟ่งไม่ขุดความผิดพลาดของเขาขึ้นมาพูดอีก หนุ่มสวมแว่นแบะปากอย่างไม่พอใจ
   “ผมนอนดีกว่า” เขาว่า และดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว รูฟัสยกมือขึ้นลูบหน้า
 ทำไมเวลาคุยกันทีไรต้องลงเอยแบบนี้ทุกทีเลยนะ
---------------------------------------------
   แกร่ก!
   อิทธิเดชสะดุ้งกายเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู คงไม่มีใครอื่นนอกจากวรุต แต่การที่เด็กคนนั้นเปิดประตูเข้ามาตอนที่เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเรื่องที่ทำให้อดสะดุ้งไม่ได้จริงๆ
   วรุตเดินเข้ามาในห้อง และทิ้งตัวลงบนโซฟา สีหน้าไม่สู้จะร่าเริงนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองอิทธิเดช และเอ่ยปากถาม
   “มีใครเจอสถาปนิกคนนั้นแล้วหรือยัง?”
   “ยัง ทุกคนกำลังตามหาอยู่” หนุ่มหน้าสวยตอบ เขารีบใส่เสื้อผ้า แต่ก็อดจะนึกแปลกใจไม่ได้ เมื่อวรุตไม่ได้มีทีท่าอยากทำอะไรเขาเหมือนที่ผ่านมา ไม่สิ  จริงๆ วรุตเริ่มมีดูแปลกไปตั้งแต่ที่ทวีศักดิ์มอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล
เพราะทวีศักดิ์ให้สิทธิ์ในการจัดการกับบุตรโทนของตัวเองได้ตามที่เห็นสมควร อิทธิเดชจึงสามารถปฏิเสธเด็กหนุ่มคนนี้ได้มากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่พักนี้วรุตดูไม่ให้ความสนใจเขาในเรื่องอย่างว่า ดูจะเป็นเรื่องที่แปลกจนไม่น่าเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เด็กคนนี้แสดงให้เห็นราวกับว่าเขามีความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น และที่สำคัญ พักนี้วรุตเหมือนจะหลบหน้าเขาอยู่
   “ดีจัง แปลว่ายังไม่มีใครเจอเลยสินะ คิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
   “ถ้าตายแล้วก็คงดี” อิทธิเดชออกความเห็น วรุตมักจะหลบเขาออกไปข้างนอกทุกวัน มันทำให้ชายหนุ่มหน้าสวยรู้สึกหงุดหงิด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยอยากอยู่ใกล้กับวรุต แต่หลังจากถูกมอบหมายให้ดูแลเด็กคนนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว กลับกลายเป็นว่าวรุตหนีหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น ตกลงเด็กนี้ตั้งใจจะแกล้งเขาให้ย่อยยับในทุกวิถีทางเลยใช่ไหม
   “คุณไปติดนิสัยใจไม้ไส้ระกำแบบนี้มาจากใครกันนะ” วรุตพึมพำ พลางมองดูเรือนร่างขาวนวลที่เคยได้สัมผัส ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความปรารถนาในเรือนร่างสวยงามนี้เหมือนเมื่อก่อน แต่มีเรื่องอื่นที่ทำให้เขาต้องทุ่มความสนใจไปให้มากกว่า
เรื่องของสถาปนิกลึกลับคนนั้น
   “คุณไปดูห้องลับที่คุณพ่อเพิ่งสร้างเสร็จหรือยัง?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม อิทธิเดชส่ายหน้า
   “ที่นั่นไม่ใช่ว่าใครจะเข้าไปก็ได้เสียหน่อย”
   “เหรอ..  แต่ผมไปดูมาแล้วนะ ยอดเยี่ยมเลยล่ะ” นัยน์ตาสีดำของวรุตเป็นประกาย เขายังจำความประทับใจนั้นได้
   ห้องที่มีทางเดินซับซ้อนราวกับเขาวงกต เดินลงบันไดจากอีกที่หนึ่ง ก็ไปโผล่อีกที่หนึ่งซึ่งอยู่กันคนละส่วน ถ้าไม่มีคนนำทางเขาคงหลงไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีห้องกลไกที่เคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งได้ตามคำสั่ง เหมือนจานรหัสตู้เซฟ ดูลึกลับและน่าสนใจอย่างที่สุด เขาอยากเจอคนออกแบบห้องนี้ อยากรู้ว่าคนแบบไหนกันนะที่สามารถคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้
   วรุตรู้สึกดีใจที่ยังไม่มีใครพบตัวสถาปนิกคนนั้น หรือระบุได้ว่าตายไปแล้ว เพราะท่าทางพ่อของเขาจะไม่อยากปล่อยให้คนเขียนแบบรอดไปได้ เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้พบตัวสถาปนิกคนนั้นก่อนพ่อเขาให้ได้
   เพราะถ้าลูกน้องของพ่อเขาเจอก่อน หมายความว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้คุยหรือรู้จักกับคนคนนั้นไปตลอดชีวิต
   วรุตคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทำไมคนมีความสามารถคนหนึ่งต้องมาถูกกำจัดหลังจากสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แบบนี้ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่ยุคขอมเสียหน่อย ที่พอสร้างปราสาทหินเสร็จแล้วต้องทุบมือช่าง
   “ผมว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพัก” เด็กหนุ่มพูดขึ้น นั่นทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ห้องเดียวกับเขาหันกลับมามองอย่างไม่เชื่อหู
   “ผมจะย้ายไปที่อื่น แค่ชั่วคราวน่ะ คุณไม่ต้องตามไปหรอก ผมไปอยู่ที่ปลอดภัยแน่”
   “เธอแน่ใจได้ยังไงว่าจะปลอดภัย?” อิทธิเดชถามกลับ เริ่มนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าเกิดอะไรกับเด็กหนุ่มจอมตื้อนี่กันแน่ วรุตยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ
   “พูดจริงๆ นะ ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัยตรงไหน ไม่เคยมีใครขับรถตามผม เรื่องขูดรถ ข่วนกระจก หรือโทรศัพท์ขู่ฆ่ายังไม่มีเลย ใครอยากจะหมายหัวผมนัก ผมไม่ได้สำคัญอะไรมากมายขนาดนั้นสักหน่อย”
   “แต่เธอเป็นลูกชายของท่านประธานนะ” อิทธิเดชเตือนถึงฐานะของเขา เด็กหนุ่มยักไหล่
   “แล้วไง เพราะพ่อผมทำเรื่องไม่ดี แล้วกลัวว่าผมจะพลอยซวยไปด้วยงั้นเหรอ ไม่เอาน่า  ไม่มีใครบ้ากล้ามาหาเรื่องกับพ่อผมหรอก อีกอย่างทำอะไรผมไปก็ใช่ว่าเขาจะสนใจเสียหน่อย เขาสนงานมากกว่าครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
   “คุณทวีศักดิ์ให้ฉันคุ้มครองเธอ ซึ่งก็หมายความว่าเขาเป็นห่วงเธอนั่นแหละ”
   เด็กหนุ่มโบกมืออย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “อย่าไปสนใจคำพูดคุณพ่อนักเลยน่า เขาคงแค่อยากจะหาอะไรให้คุณทำ เฮ้อ… หรือเขาอยากแกล้งผมก็ไม่รู้”
   วรุตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเพิ่งรู้สึกว่าอิทธิเดชยอมเขามาโดยตลอดเพราะความเกรงใจบิดของเขานี่เอง เพราะหลังจากผู้เป็นบิดามอบอำนาจให้ หนุ่มหน้าสวยคนนี้ก็แข็งขืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญ ดูเหมือนอิทธิเดชจะแข็งแรงกว่าเขาด้วย
   “คืนนี้นอนกับผมได้หรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากเงียบไปพักใหญ่ คนถูกถามขมวดคิ้ว
   “ฉันไม่ได้มีหน้าที่มานอนกันเธอนะ ถ้าอยากนักก็ไปหิ้วคนอื่นมาสิ”
   วรุตหัวเราะขืนๆ และช้อนตาขึ้นมองคนตอบอีกครั้ง แวบนั้นอิทธิเดชรู้สึกว่าแววตาของวรุตที่มองช่างอ้างว้างและปวดร้าว เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มแสนร้ายกาจคนนี้จะมีแววตาแบบนี้ได้
   “เอาเถอะ ตามใจคุณแล้วกัน ยังไงผมไม่มีปัญญาจะทำอะไรคุณได้อีกแล้วนี่” วรุตพูด และล้วงเอาซองกระดาษสีน้ำตาลเล็กๆ ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโยนมันลงไปบนโต๊ะที่วางอยู่ใกล้กัน
   “ผมคืนให้คุณแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องออกตามหาผมนะ ถ้าคุณลำบากใจนัก คุณบอกกับคุณพ่อไปเลยว่าคุณทำดีที่สุดแล้ว คุณพ่อไม่โกรธคุณหรอก หรือถ้าคุณอยากจะตามผม ก็เชิญ  แต่ถ้าเกิดผมหนีคุณจนเกิดเรื่องเกิดราว เรื่องมันอาจจะออกมาไม่ค่อยดีก็ได้” เด็กหนุ่มกล่าว พลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาจริงจัง อิทธิเดชนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
   “เธอต้องการอะไรกันแน่?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยปากถาม ตอนที่เห็นวรุตล้วงซองกระดาษนั่นออกมา เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มโยนมันลงบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่แยแสสนใจอะไรอีก
   “ผมไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้นแหละ” วรุตกล่าว แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
   “เพราะจริงๆ แล้ว ผมคงไม่มีปัญญาจะเอาของที่ต้องการมาได้หรอก” พูดจบก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น
   “จะไปไหนน่ะ” อิทธิเดชโพล่งขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้อง วรุตหันกลับมาและยิ้ม
   “ไปก่อนนะ ไว้ผมจัดการเรื่องเสร็จเมื่อไหร่จะกลับมาหาคุณแล้วกันนะ คนสวย”
   “เดี๋ยวก่อนสิ!!” อิทธิเดชร้อง และวิ่งมาคว้ามือเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่กลับถูกปิดประตูใส่เสียงดังปึง
   ชายหนุ่มหน้าสวยยืนอึ้งอยู่หน้าประตูพักใหญ่ ก่อนจะหมุนตัว เดินมายังโต๊ะ และหยิบซองกระดาษที่ถูกโยนเอาไว้ขึ้นมา และเปิดมันออกด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา
   นัยน์ตาสีดำแสนหวานหลับลงอย่างเจ็บปวด
   สิ่งที่อยู่ภายในซองกระดาษสีน้ำตาลซองนั้น คือรูปถ่ายที่วรุตใช้แบลกเมล์เขามาโดยตลอด ปกติเด็กคนนั้นไม่เคยแม้แต่จะบอกที่ซ่อน และเก็บมันไว้อย่างดี ไม่ว่าเขาจะค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพบ แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เอามาให้เขานะ
   เธอกำลังคิดอะไรอยู่ วรุต..
-----------------------------------------
   วรุตยกมือขึ้นป้องแดดยามบ่ายของกรุงเทพฯ เขาเพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่ และหยุดยืนอยู่หน้าคอนโดที่ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง เด็กหนุ่มก้าวเท้าฝ่าแสงแดดร้อนจัดเข้าไปด้านใน และตรงไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า
   “ติดต่อเรื่องห้องพักครับ ผมคุณวิน ที่ติดต่อมาเรื่องขอเช่าห้อง1125น่ะครับ”
   พนักงานต้อนรับสาวที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหยิบแฟ้มเล่มหนาออกมาเปิด
   “ที่ติดต่อไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วใช่ไหมคะ?”
   “ครับ” วรุตพยักหน้า พนักงานสาวจึงหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาวางให้ ก่อนจะพูดต่อ
   “นี่เป็นรายละเอียดการเข้าอยู่อาศัยค่ะ ส่วนนี่เป็นเอกสารการเช่า กรอกแล้วช่วยเซ็นชื่อเอาไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ”
   วรุตหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน และชั่งใจว่าจะใช้ชื่อจริงดีหรือเปล่า เขาไม่อยากให้คนของบิดาตามเจอง่ายนัก แต่ว่าก็ไม่ชำนาญเรื่องพวกนี้เสียด้วยสิ
   “ผมต้องการความเป็นส่วนตัว ข้อมูลพวกนี้จะเป็นความลับหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากอ่านเอกสารจบคร่าวๆ แล้ว พนักงานสาวพยักหน้า
   “เราเก็บข้อมูลของลูกค้าเป็นความลับค่ะ”
   วรุตผงกศีรษะน้อยๆ และตัดสินใจกรอกเอกสารทั้งหมดตามความจริง ก่อนจะยื่นเอกสารคืนให้พนักงานในเคาน์เตอร์ หลังจากรออยู่พักหนึ่ง พนักงานสาวก็แจ้งรายละเอียดการจ่ายค่าเช่าให้ทราบ
   “เงินค่ามัดจำกับค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือนจำนวนหกหมื่นสองค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกเป็นบัตรเครดิตหรือเงินสดคะ?”
   “เงินสดครับ” วรุตว่า พลางหยิบซองใส่เงินออกมาจากอกเสื้อนอก เขานับและดึงธนบัตรใบละพันออกไปสองสามใบ พลางนึกขำอยู่ในใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดเลยว่าเงินที่เก็บสะสมเอาไว้แบบไร้จุดมุ่งหมายจะถูกเอามาใช้ มันเป็นเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ในสมัยเรียนอยู่ที่เยอรมัน
วรุตไม่รู้ว่าเขาจะจ่ายเงินมากมายไปกับความบันเทิงที่ไม่แน่นอนเพื่ออะไร ดังนั้นเขาจึงมีเงินสะสมในธนาคารเยอะเสียจน เขาเคยบอกับผู้เป็นบิดาว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้เขาแล้วก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ บิดาของเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้หรอก ผู้ชายคนนั้นไม่เคยสนใจรายละเอียดในชีวิตของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นอกจากเรื่องเงินอย่างเดียว ที่พยายามส่งให้เขาใช้จนเกินพอดี
วรุตเคยคิดว่าเขาจะเอาเงินนี่ไปเปิดสถานสงเคราะห์แมว ไม่ก็ทำพินัยกรรมบริจาคให้กับชมรมคนรักสัตว์ แต่ดูท่าทางคราวนี้เขาอาจจะได้ใช้เงินพวกนี้เพื่ออะไรที่ยิ่งกว่านั้น เพราะมันอาจจะช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้ได้
   “กุญแจห้องกับคีย์การ์ดค่ะ นี่คือคู่มือการเข้าอยู่ ถ้ามีอะไรติดต่อเคาน์เตอร์หรือตามเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้นะคะ”
   วรุตพยักหน้า รับกุญแจและคีย์การ์ด ก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ และสอดมันเข้าในช่อง เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก เขาคงต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุด เพราะจะใช้ชุดเก่าหรือจะกลับไปขนที่ห้องอิทธิเดชคงไม่เป็นผลดี ก็อิทธิเดชเป็นคนของพ่อเขานี่
   พอคิดถึงผู้ชายหน้าสวยคนนั้น วรุตก็อดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้
   เขาทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง แม้แต่วิธีที่เลวร้ายที่สุด เพื่อให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างของคนที่เขาเห็นเพียงแค่แว้บแรกก็ตกหลุมรักอย่างโงหัวไม่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้อะไรจากผู้ชายคนนั้นเลยสักอย่าง แม้กระทั่งร่างกายที่ผู้ชายคนนั้นยอมให้เขาย่ำยี ก็เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของคนที่รักเท่านั้น
   วรุตขบกรามกรอด รู้สึกปวดแปลบไปทั้งอก เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความเจ็บปวดนี้อย่างไร บางทีวิธีที่ดีที่สุดคือการหลบไปให้พ้นหน้าของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าที่เขาเห็นแม้กระทั้งในความฝัน กับสัมผัสที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้โหยหาอยู่เสมอ
   เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก
   การที่เขาทำแบบนี้ อาจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดก็ได้ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง ที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
   ใครคนนั้นที่เขาคิดว่าไม่สมควรจะต้องมาตายด้วยเหตุผลไม่เข้าท่า
   วรุตไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ หรือว่าอะไรแบบนั้น เขาคิดแค่ว่านี่เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่คนคนนั้นจะต้องมาตายเพื่อนรักษาความลับ และสาเหตุก็มาจากพ่อของเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงควรจะทำอะไรสักอย่าง อะไรบางอย่างที่จะยุติความเลวร้ายนี้ได้
เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่าคนรอบๆ ตัวไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดของเขา ทุกคนเป็นคนของพ่อ แม้แต่อิทธิเดช ที่ผ่านมาเขาก็แค่ใช้กำลัง กับความเป็นลูกของทวีศักดิ์บังคับเท่านั้น ไม่สิ  ที่ผ่านมาเป็นแบบนี้ได้เพราะทางนั้นเกรงใจพ่อของเขาต่างหาก
   ถึงตรงนี้วรุตถอนหายใจยาวอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอะไรซักอย่างที่น่าหัวเราะด้วยความสมเพช การกระทำทุกอย่างของเขาไม่ว่าจะเลวร้ายยังไงก็ไม่มีใครกล้าตำหนิหรือห้ามปราม เพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของท่านประธานแค่นั้นเอง
แต่ว่าคราวนี้ วรุตมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย ถึงจะทำให้เขาถูกตำหนิในสายตาของคนพวกนั้นก็ตาม
เขาที่ทำเรื่องเลวร้ายไปสักเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกล้าห้าม แต่กลับถูกห้ามเมื่อตั้งใจจะทำเรื่องดีๆ สักเรื่องหนึ่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าหัวเราะหรอกหรือ
วรุตยิ้มขืนๆ ให้กับตัวเองขณะเดินมายังห้องพัก เขาคิดว่าเห็นตัวคนที่ใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับด้านมืดนั้นมาพอสมควร และไม่เห็นเลยว่าจะมีใครมีความสุข แม้แต่พอเขา หรือตัวเองก็ตาม
   อิทธิเดช...
   วรุตตัดสินใจว่าในเมื่ออิทธิเดชฝังใจอยู่กับพ่อของเขาแบบนั้น เขาก็คงไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้ แม้จะรู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะยังมีคนอีกคนหนึ่งที่เขาอาจจะยังพอช่วยเหลือได้
   ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่ตรงห้องพักที่อยู่ติดกันกับห้องที่เขาเช่าไว้
ห้อง1127
   ไม่ว่าคนที่พักอยู่ในห้องนี้จะเป็นใคร เขาจะต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 10-07-2011 19:14:41
ชอบรัสเลอร์จัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-07-2011 20:56:47
โอ๊ะโอ  ฟ่งกลายเป็นแมวเหมียวไปแล้ว  ทั้งอ้อน  ทั้งขู่ฟ่อ หลากหลายอารมณ์จริง ๆ
ตอนนี้นั่งรอหนังสือแล้วล่ะ  อิ อิ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 10-07-2011 21:20:24
วรุตเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นจริงๆ ตอนแรกเหมือนจะเลวที่ไหนได้มีความคิดด้านดีเยอะมาก พยายามเข้าล่ะ
กลับเมืองไทยกันแล้ว ฟ่งกับรูฟัสจะเจอเรื่องอะไรบ้างนะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 10-07-2011 22:50:51
เอ อย่าบอกนะว่าจะมาหลงรักฟ่งอีกคนอะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 11-07-2011 09:59:37
กำลังคิดว่าจะให้ฟ่งกับรูฟัสไปพักที่ห้องเดิม จะดีเหรอ ไม่แนบเนียนเลย
หรือถ้าพักที่อื่น ก็ยังไม่ควรกลับมาที่ห้องเก่าอยู่ดี
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-07-2011 10:29:40
^
^
^
(โอ๊ย กดอ้างถึงไม่ได้ ทำไมเนี่ยย)

ขอบคุณทีทักค่ะ แต่ว่าเขียนไปแล้วน่ะ (พอดีเรื่องนี้ตอนเขียนตอนนี้มันก็หลายปีมาแล้วน่ะค่ะ หุๆ)

ขออภัยในความไม่สมเหตุสมผลด้วยนะคะ (แต่สงสัยจะแก้ไม่ทันแ้ว้ว)

**แต่จริงๆ นอกจากคนอ่านกับฟ่งและเจ๊เมี่ยงแล้ว ที่เหลือยังไม่มีใครรู้เลยล่ะว่ารูฟัสเป็นสายลับ..(จริงๆ นะคะ) เพราะงั้น กลับมาห้องเดิมก็ไม่แปลกอะไรนะ (ยังจะ...ได้อีกนะเรา เอิ๊กๆ) ส่วน ถ้าคนอื่นมาเห็นว่าฟ่งกลับมา ก็คงคิดว่ากลับมากับเพื่อนนั่นล่ะค่ะ... คงไม่คิดถึงขนาดว่ามากับสายลับหรอก

แต่ไงก็ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวจะพยายามแทรกเนื้อหาให้มันสมเหตุสมผลที่สุดก็แล้วกันค่า^^
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 11-07-2011 11:42:13
ยิ่งอ่านไป ปมยิ่งเย๊อะนะคะ แอบสงสัยความสัมพันธ์ของเฮีบเว่ยเจียงหวิน กับอาซาน
ออกจะแผ่รังสีม่วงนิดๆ แต่เฮียเจียงหวินแกประกาศตัวเกลียดเกย์ออกปานนั้น
แถมเรื่องเฮียเจียงหวินกับ เว่ยชิน อีกคน  :เฮ้อ: รอมาเฉลยนะคะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 11-07-2011 20:45:31
 :กอด1:

ตามอ่านจนทันแล้วววว

เล่นเอาเหนื่อย  เยอะมากกกกกก

สนุกมากครับ

ลุ้นมากกกอ่ะ

ฟ่งหลังๆนี้น่ารักมากมายอ่ะ

รูฟัส ก็เท่ห์อ่ะ  แถมหื่นซะ

ชอบคู่รองด้วยอ่ะ

ได้ทุกอารมณ์เลยอ่ะ  หวาน เศร้า ดราม่า ลุ้นระทึก

ตอนล่าสุดนี้ชื่นชมวรุตนะ  ความคิดดีมากเลยยล่ะ

ตอนหลังวรุตจะได้คู่กับอิทธิเดชรึป่าวน๊าาา 

ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-07-2011 21:03:48
รูฟัสพักที่เดิมคงไม่แปลก  เพราะศัตรูของรูฟัสไม่ใช่เฟิงปิงแล้ว  และไม่มีใครรู้ว่ารูฟัสเป็นใคร
แต่ฟ่งพักที่เดิมดูแปลกและไม่สมเหตุสมผลไปนิด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อธิบายได้ว่า รูฟัสคงรู้อยู่แล้วว่าการเดินทางกลับเมืองไทยคราวนี้ของฟ่ง
ก็ประหนึ่งว่ากำลังพาฟ่งเดินเข้าปากเสือดี ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นรูฟัสคงให้ฟ่งอยู่อย่างเงียบเชียบไร้ตัวตนที่สุด
และไม่ให้ฟ่งออกไปไหนจนกว่าภารกิจจับโจรจะเสร็จ
...
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2011 19:57:37
** มาล่ะค่ะ อภิมหาตอนแถ แก้ไขเรื่อง หุๆ หวังว่าเนื้อหาคงดูสมเหตุสมผลขึ้นนะคะ ถ้ายังมีจุดไหนแปลกๆ อยู่ ช่วยทักด้วยค่ะ จะไ้ด้แก้ไขทันรวมเล่มค่ะ^^ ขอบคุณมากค่ะ
---------------------------------------
บทที่44 1125 1127  1129

   ฟ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ตอนที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กี่สัปดาห์แล้วนะที่เขาจากบ้านไป อย่างกับความฝัน เขาที่ถูกมาเฟียฮ่องกงลักพาตัวไปในฐานะของตัวประกันเพื่อแลกกับข้อมูลบางอย่าง เผชิญกับทั้งการข่มขู่ และเรื่องราวที่แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนัก ได้พบความจริงของเพื่อนข้างห้องที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ เดินทางด้วยตัวคนเดียวในประเทศที่เขาไม่รู้จัก สุดท้ายแล้ว เขาก็กลับมาพร้อมกับคนที่ถูกเรียกกันว่าสายลับ เรื่องพวกนี้ถึงเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครอยากเชื่อ แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ดูจะยืนยันแน่ชัดว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน คือพาสปอร์ตปลอมที่อยู่ในมือเขานี่แหละ ฟ่งนึกโล่งในที่มันผ่านด่านตรวจของประเทศไทยมาได้อย่างไร้ปัญหา ด้านรูฟัสนั้นยิ่งดูไม่มีปัญหาเข้าไปใหญ่ เขาพูดไทยคล่องปรื๋อกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจ ที่ออกจะขำหน่อยคงเป็นรัสเลอร์และราฟาแอล สองคนนี่ติดหนวดปลอมมาด้วย แต่ฟ่งคิดว่าคงไม่มีใครดูออกหรอก
พอออกจากประตูมาได้ รูฟัสก็เริ่มโทรศัพท์ ไม่สิ เรียกว่าส่งเมสเสจมากกว่า ฟ่งยืนมองแล้วพูดอย่างนึกขึ้นได้
“รูฟัส ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
แต่ดูเหมือนรูฟัสจะให้ความสนใจกับเมสเสจที่ตอบกลับมามากกว่า ไม่งั้นก็เพราะเสียงในท่าอากาศยานดังเกินไป ฟ่งจึงต้องเรียกชื่อฝ่ายนั้นให้ดังขึ้น
“รูฟัส”
“What? Um… wait a minute” รูฟัสพูด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดในภาษาที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง สักพักจึงค่อยหันกลับมาถาม “มีอะไรหรือครับ?”
“ผมยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
รูฟัสมองหน้าฟ่งอึ้งๆ จนทางนั้นต้องอธิบายต่อ
   “ผมอยากโทรหาพี่สาว ผมไม่ได้ติดต่อกับพี่มาตั้งหลายวันแล้ว พี่สาวผมคงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” ฟ่งพูด รูฟัสนิ่งไปสักพัก ในที่สุดก็ร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้
   “งั้นใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรไปแล้วกันครับ”
   ฟ่งหน้างอทันที “ทำไมล่ะ ผมยืมโทรศัพท์คุณโทรไม่ได้หรือไง?”
   “เอ่อ...” รูฟัสทำหน้าคิดหนัก ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูฟ่ง “เบอร์ผมเป็นความลับน่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่รูฟัสยังรู้สึกว่าเจ้าตัวดูมีสีหน้าหน่ายๆ นิดหน่อย หนุ่มสวมแว่นพูดต่อ “งั้นเดี๋ยวผมไปโทรที่คอนโดก็ได้ แล้วค่อยซื้อโทรศัพท์ใหม่ เฮ้อ... ”
   ฟ่งถอนหายใจเฮือกพลางนึกหงุดหงิดว่าทำไมเขาถึงลืมทวงโทรศัพท์กลับมาจากเว่ยเฟิงปิงก่อนจะออกจากฮ่องกงกันนะ เบอร์โทรอะไรก็อยู่ในนั้นทั้งหมด ถ้าซื้อใหม่ก็ต้องมานั่งหาเบอร์กันใหม่อีก คิดแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ
   “ตะกี้ว่าอะไรหรอครับ?” รูฟัสหันกลับมาถามอีกรอบหลังจากวางหูโทรศัพท์ ฟ่งมองหน้าเขา และสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ พลางนึกว่าเจ้าหมอนี่คิดจะสนใจสารทุกข์สุกดิบของเขาจริงๆ หรือเปล่านี่
   รูฟัสมองหน้าฟ่งสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น “ไปกันเถอะครับ”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที “แล้วไม่รอ...”
   “อะไรติดตรงแก้มน่ะครับ” รูฟัสพูดขัดขึ้นมา พร้อมกันยื่นมือมาจับแก้มของฟ่งไว้ แถมนิ้วบางนิ้วดันเลยมาปิดปากเขาเอาไว้อีก ฟ่งเงยขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าอย่างรู้สึกเคืองนิดๆ ก่อนจะเห็นว่ารูฟัสขยิบตาหน่อยๆ ฟ่งมองหน้าเขาอยู่อีกพักหนึ่ง ถึงพอจะเข้าใจความหมาย
   “ราฟี่กับรัสเลอร์จะเข้าไปดูลาดเลาที่คอนโดก่อน” รูฟัสพูดขณะควงแขนฟ่งออกมาจากสนามบิน หนุ่มตาสองสีให้เหตุผลว่า ทำแบบนี้แล้วถึงจะกระซิบกันก็ไม่มีใครผิดสังเกต แต่ฟ่งนึกแย้งในใจว่าแบบนี้แหละน่าจะยิ่งผิดสังเกต ผู้ชายสองคนที่ไหนจะมาควงแขนเดินกระซิบกัน นอกจากพวกเกย์กันเล่า
   “รูฟัส ทำแบบนี้จะไม่ยิ่งน่าสงสัยเหรอ เหมือนคุณกับผมเป็นแฟนกันเลย” ฟ่งกระซิบกลับ รูฟัสทำหน้าอึ้งๆ ก่อนจะพยักหน้า “ไม่น่าสงสัยหรอกครับ เป็นแฟนกันเลยยิ่งดี”
   หนุ่มสวมแว่นทำหน้ายู่ “แล้วทำไมต้องให้พวกคุณราฟาแอลไปก่อนล่ะ เขาไม่เคยไปที่นั่น จะไปถูกหรือ?”
   “ราฟี่เคยอยู่ห้องผมนะครับ ช่วงที่ผมไปช่วยคุณที่ฮ่องกงไง” รูฟัสพูด และอธิบายเพิ่มเติม "พอดีเขาก่อเรื่องเอาไว้ เลยต้องหนีออกมาก่อน แต่ทางคุณทวีศักดิ์ยังไม่รู้หรอกว่าพวกผมใช้ที่นั่นทำงานกัน แต่เขารู้ว่าคุณอยู่ที่นั่น”
   “แล้ว..?” ฟ่งถามอย่างไม่เข้าใจ รูฟัสรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อีก พลางก้มลงกระซิบ “ก็แปลว่าเขาอาจจะวางกำลังเอาไว้ดักรอคุณกลับไปอยู่ไงครับ”
   นั่นแหละ ฟ่งถึงได้เบิ่งตาอย่างคนนึกได้ “เออ จริงด้วย ผมควรทำไงดี?”
   หนุ่มสวมแว่นดูมีสีหน้าวิตกทุกข์ร้อนขึ้นมาทันที คนถูกถามพูดปลอบ “ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกครับ ได้ยินว่าทางนั้นดึงคนกลับไปเยอะแล้ว เพราะต้องใช้คนรักษาความปลอดภัยห้องประชุม แต่ก็กันไว้ก่อนน่ะ อีกอย่าง ถ้าไปพร้อมกันสี่คนคงดูน่าสงสัยใช่ไหมล่ะครับ”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีก “แล้วระหว่างนี้เราไปไหนกันดี?”
   “เดินเที่ยวในสนามบินไปก่อนก็ได้ครับ รอโทรศัพท์ยืนยันแล้วค่อยออกไปก็ได้”
   หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
-------------------------------------------------------------
   ในที่สุด ฟ่งก็ได้กลับมาที่คอนโดสมใจอยาก หลังจากที่ราฟาแอลตรวจตรารอบๆ อย่างถ้วนถี่แล้ว
   ตอนนี้เขากับรูฟัสกำลังยืนอยู่ในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก
   “ไม่อยากจะเชื่อเลย” ฟ่งพึมพำขึ้นมา รูฟัสหันมามองเขาอย่างสงสัย ชายหนุ่มสวมแว่นเลยหัวเราะแหะๆ
   “คือผมไม่เคยคิดเลยนะว่าชีวิตจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ อย่างกับฝันแน่ะ”
   รูฟัสจำต้องยิ้มเจื่อนๆ ให้กับคำพูดของฟ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าฟ่งหมายความไปในแง่ไหนกันแน่
   พอประตูลิฟต์เปิดออก หนุ่มตาสองสีเลยรีบก้าวเท้าออกไป แล้วหันมาโค้งให้กับคนที่อยู่ในลิฟต์
   “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ” รูฟัสพูดและยิ้มกว้าง ขณะที่ฟ่งเดินออกมา หนุ่มสวมแว่นหัวเราะเขินๆ
“กลับมาแล้ว” ฟ่งพูด และรู้สึกเขินขึ้นมาจริงๆ เมื่อรูฟัสเดินเข้ามาโอบเขาเอาไว้
“ใครมาเห็นมันจะน่าเกลียดนะ” ฟ่งว่า รูฟัสแย้งหน้าซื่อ “คนต่างชาติเขาโอบกันเป็นเรื่องธรรมดานะครับ ไม่น่าเกลียดหรอก”
ฟ่งมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อถือ ก่อนจะเดินไปยังห้อง1127 ซึ่งเป็นห้องตัวเอง รูฟัสเดินมาส่งเขาถึงหน้าประตู แล้วก็ยืนรออยู่อย่างนั้น
“นี่ ไม่มีใครซ่อนอยู่ในห้องผมหรอก” ฟ่งว่า เมื่อเห็นว่ารูฟัสยังไม่ยอมกลับไปห้องตัวเอง
“ไม่เป็นไร เพื่อความแน่ใจนะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งจึงเปิดประตูออก แล้วให้รูฟัสเดินเข้าไปสำรวจ
“ไง เจออะไรไหม?” ฟ่งถามเมื่อเห็นรูฟัสเดินออกมา เขาปิดประตูห้องแล้ว และกำลังยืนมองรูฟัสเดินเข้าห้องที่มีอยู่แค่สองห้อง ฟ่งคิดว่าถ้ามีใครเข้ามาคงจะสะดุดกองข้าวของระเกะระกะที่วางอยู่ก่อนแน่ๆ
“ไม่มีครับ งั้น ผมกลับไปห้องก่อนนะ”
“อื้อ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า ขณะมองดูร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้
รูฟัสเดินตรงมายังประตู ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าหนุ่มสวมแว่น จากนั้นก็โอบร่างนั้นเข้ามากอด แล้วจูบลงไปข้างแก้ม “เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะมาหานะครับ”
   ฟ่งรู้สึกหน้าร้อนจี๋ เขารีบผลักรูฟัสออก พลางนึกเคืองๆ ประโยคที่อีกฝ่ายพูด พูดอย่างกับเขาเป็นเมียน้อยนั่นแหละ ใครจะรอให้มาหากันล่ะ
   รูฟัสยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก และอาศัยทีเผลอหอมแก้มเขาอีกรอบ ก่อนจะเปิดประตูออกไป ฟ่งชักรู้สึกว่ารูฟัสคงจะมีนิสัยเหมาะกับอาชีพหัวขโมยจริงๆ
------------------------------------------------------   
   “เออ มาเสียที” นี่คือประโยคแรกที่ราฟาแอลเอ่ยทัก ทันทีที่รูฟัสโผล่หน้าเข้าไปในห้อง1129 ซึ่งเป็นห้องที่เขาเคยมาเช่าอยู่ก่อนหน้านี้
   ราฟาแอลนั่งเอกขเนกอยู่บนโซฟาเหมือนเคย แต่ยังไม่เห็นแววของรัสเลอร์ รูฟัสก้าวเท้าเข้าไป ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิด
   “ผมดีใจนะ ที่คุณไม่ขนศพมาซ่อนไว้ให้ห้องน่ะ”
   ราฟาแอลขมวดคิ้วสีบลอนด์เข้าหากันทันที “ให้มันน้อยๆ หน่อย ถึงฉันจะฆ่าคนบ่อย แต่ก็ไม่ได้บ้าขนาดลากศพมาซ่อนไว้ในห้องตัวเองหรอกนะ” หนุ่มผมสีบลอนด์เอ็ด รูฟัสยักไหล่อย่างยียวนกวนประสาท “ใครมันจะไปรู้กันล่ะ”
   ราฟาแอลร่ำๆ อยากจะยกปืนขึ้นมายิงกรอกปากเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของตัวเองสักแม๊กหนึ่ง รูฟัสกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร รัสเลอร์ก็โผล่พรวดออกมาจากห้องนอนของเขา
   “โอ้ รูฟัส มาได้เวลาพอดี” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูด ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อ รูฟัสก็พูดสวนออกไป “นายเข้าไปทำอะไรในนั้น?”
   “สำรวจน่ะซี่ ฉันมันพวกชอบสำรวจอยู่แล้ว” รัสเลอร์ตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ รูฟัสหันกลับไปมองราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์ยักไหล่อย่างไม่รับรู้ เขาเลยหันหน้ากลับไปมองรัสเลอร์ต่อ
   “หน่วยของนายไม่เคยพูดเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือไง?” หนุ่มตาสองสีพูดเสียงเข้ม แต่คนถูกถามยังคงมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “พูดสิ แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันนี่” รัสเลอร์ตอบ และรีบพูดต่อ
   “นี่ รูฟัส ห้องฟ่งน่ะอยู่ติดกับห้องนายใช่ไหมล่ะ นายมีติดกล้องติดอะไรไว้ในห้องเขารึเปล่า?”
   คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันทันที “ไม่มีหรอก ฟ่งไม่ใช่เป้าหมายของงาน นายคิดอะไรของนายอยู่อีกล่ะ?”
   รัสเลอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “งั้นฉันไปหาฟ่งดีกว่า อยากจะเห็นว่าห้องของคนน่ารักๆ แบบนั้นจะเป็นยังไง?”
   รูฟัสเขม่นมองรัสเลอร์ทันที แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เจ้าหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก็กระโดดแผล่วไปที่ประตู ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมา เมื่อถูกราฟาแอลดึงคอเสื้อเอาไว้
   “พวกแกเลิกทำตัวงี่เง่ากันเสียที ได้เวลาคุยเรื่องงานแล้ว”
----------------------------------------------
   ตอนแรกที่ฟ่งผลักประตูเข้ามาในห้อง เขามั่นใจว่าตัวเองคงได้เจออภิมหาฝุ่นที่จับหนาเป็นนิ้วๆ ขนาดถึงขั้นต้องรีบวิ่งฝ่าฝุ่นเข้าไปหยิบโทรศัพท์เรียกแม่บ้าน
แต่พอเอาเข้าใจริงแล้ว สภาพของห้องกลับดูดีว่าที่เขาคิด บนเคาน์เตอร์และโต๊ะกับเก้าอี้มีฝุ่นจับนิดหน่อย คงเพราะตอนออกไปงานเลี้ยงรุ่นเขาปิดประตูหน้าต่างจนหมด
ฟ่งเปิดตู้เย็นดู และโล่งใจว่าไม่มีอะไรบูดเน่า แต่ของบางอย่างที่กินค้างเอาไว้คงต้องทิ้ง
ชายหนุ่มเดินไปกดโทรศัพท์หาแม่บ้าน หลังจากแจ้งรายละเอียดแล้ว เขาก็กดเบอร์ต่อไปหาพี่สาว
   “โหลว เจ๊เหรอ นี่ฟ่งเองนะ”
   “ห๊ะ!! ฟ่งเหรอ อยู่ไหนเนี่ย กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงผิงอุทานอย่างดีใจลอดมาทางหูโทรศัพท์ หนุ่มสวมแว่นเผลอยิ้มออกมา เขาพยักหน้าและพูดกรอกไป
   “อยู่ที่คอนโดแล้ว พอดีมือถือผมหายน่ะ”
   “โอ๊ย รู้ไหมว่าเจ๊เป็นห่วงขนาดไหน อยู่ๆ ก็ไปดูงานฮ่องกงไม่บอกกันล่วงหน้าเลย คิดว่าถูกลักพาตัวไปเสียอีก”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ นี่ถ้าผิงรู้ว่าเขาถูกลักพาตัวไปจริงๆ สงสัยจะกลายเป็นเรื่องวุ่นแน่ๆ
   “มันกะทันหันน่ะเจ๊ แต่ผมก็โทรบอกแล้วนะ ที่บ้านเป็นไงบ้าง”
   “ก็สบายดี ตกลงได้งานรึเปล่า ใครที่ไหนออกทุนให้ไปล่ะ”
   “อืม คนรู้จักของคนรู้จักน่ะ” ฟ่งตอบ และภาวนาให้พี่สาวไม่ถามอะไรมากมายไปกว่านี้ เพราะเขาคงจะโกหกเป็นน้ำไหลไฟดับแบบรูฟัสไม่ได้ “งานคงได้แหละ แต่เห็นว่าต้องรอพักหนึ่ง” หนุ่มสวมแว่นพูดต่อออกไป ได้ยินเสียงอีกฝั่งตอบกลับมา
   “จริงๆ ถ้าบอกก่อนก็ดีนะ มีของจะฝากซื้อเพียบเลย”
   ฟ่งหัวเราะแห้งๆ “เจ๊จะซื้ออะไรอีกล่ะ ผมว่าเต็มบ้านแล้วนะ”
   “โหย... เรื่องของผู้หญิงน่า” ผิงว่า และถามต่อ “แล้วเป็นไง สนุกมั้ย”
   “อือ สนุกอยู่” ฟ่งว่า และนึกแย้งอยู่ลึกๆ ว่าอันจริงแล้ว มันไม่เห็นจะสนุกตรงไหน แถมยังเจ็บตัวอีกด้วย
   “ได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์รึเปล่า?”
   “โธ่ ผมไปดูงานนะเจ๊” หนุ่มสวมแว่นคราง และพยายามเค้นสมองหาคำแก้ตัวที่ฟังดูเข้าท่าไว้เตรียมรับมือกับคำถามที่คงจะมีมาต่อเนื่อง พลางคิดว่าตัวเขาชักเริ่มโกหกเก่งขึ้นทุกที นี่เขาถูกรูฟัสแพร่เชื้อใส่รึเปล่านะ
   “แหม... ดูงานก็เหมือนเที่ยวไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ แล้วนี่เจ๊แวะไปหาได้มั้ย หรือว่าจะพักผ่อนก่อน?”
   “จะมาวันนี้เลยเหรอ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ เสียงปลายสายตอบกลับมา
   “เพิ่งกลับมารึเปล่าล่ะ งั้นพักผ่อนไปก่อนก็ได้ พักนี้เจ๊ว่างๆ อยู่น่ะ”
   “อ้อ อือ” ฟ่งพูดอย่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เพราะยังไม่แน่ใจว่าถ้าพี่สาวมาแล้วถามนั่นถามนี่ต่อ เขาจะโกหกไปได้สักกี่น้ำ
“ถ้าจะเข้ามาเจ๊โทรมาก่อนนะ เผื่อไม่อยู่” หนุ่มสวมแว่นกล่าวต่อ ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา
   “เออๆ ไงก็รีบไปซื้อมือถือใหม่ก่อนเลยไป ติดต่อไม่ได้ทุกคนเป็นห่วงนะ”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ ก่อนจะพูดตอบไป “ครับ งั้นผมวางหูก่อนนะ อีกสักวันสองวันอาจจะแวะไปหา”
   พูดจบก็วางโทรศัพท์ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
แม่บ้านมาแล้วมั้ง ฟ่งคิด ขณะปาดนิ้วลงไปบนโต๊ะที่มีฝุ่นจับอยู่พอสมควร ก่อนจะเดินไปเปิดประตู แล้วก็ต้องเบิ่งตากว้างด้วยความแปลก
------------------------------------------
   วรุตอ้าปากหาวหวอด เขาเพิ่งตื่นนอน และกำลังคิดอยู่ว่าจะนั่งแกร่วสั่งอาหารเข้ามาทานในห้องดี หรือว่าออกไปข้างนอกดี เด็กหนุ่มมองนาฬิกา มันบอกเวลาบ่ายหนึ่งเศษๆ
   เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้ได้สามวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววของอิทธิเดชหรือใครว่าจะตามมา และก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าห้อง1127ซึ่งอยู่ติดกันจะมีคนเข้าพักด้วย
เขานึกดีใจที่ห้อง1125ว่างพอดีในตอนที่เขามาติดต่อ ซึ่งทำให้เขาสามารถจับตามองการเคลื่อนไหวของห้อง1127ได้ง่ายขึ้น แต่ก็นั่นแหละ สงสัยว่าเขาจะตื่นเต้นไปหน่อย การมัวแต่ชะเง้อผ่านตาแมวเฝ้ามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตู และออกไปทำทีเดินเล่น เพื่อดูแสงไฟจากห้องข้างๆ ทำให้เขาเกือบไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ในที่สุดวรุตก็คิดได้ว่าการแหกตาฝืนสังขารแบบนี้คงไม่ช่วยอะไรมาก อยู่ห้องติดกันขนาดนี้ ต่อให้ฝ่ายนั้นกลับมาตอนที่เขาหลับ เขาก็น่าจะมีโอกาสได้เจอก่อนลิ่วล้อของพ่อเขา  เพราะถ้าลิ่วล้อพ่อเจอสถาปนิกลึกลับคนนั้นก่อน ฝ่ายนั้นก็คงไม่ได้กลับมาที่ห้องหรอก ดังนั้นวรุตจึงหลับตาลงได้ และก็ตื่นสายโด่งในวันต่อมา
   เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจ ก่อนหน้านี้ราวๆ สักหนึ่งสัปดาห์ เขาใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่าจะเลียบเคียงถามพนักงานประจำคอนโด ว่าห้องไหนบ้างที่เจ้าของห้องไม่อยู่เป็นเวลานานโดยไม่แจ้งให้ทราบ ในที่สุดเขาก็ได้รายชื่อมาสองห้อง ซึ่งอยู่ติดกันเสียด้วย แต่ห้องหนึ่งคนเช่าเป็นชาวต่างชาติ วรุตคิดว่าพ่อของเขาคงไม่จ้างชาวต่างชาติให้เขียนแบบแปลนพวกนี้ แล้วค่อยไล่ล่าตัวในตอนหลังแน่ เพราะดูจะเสี่ยงกับการเป็นปัญหาระหว่างประเทศจนเกินไป
   ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมุ่งความสนใจมาที่ห้อง1127 ซึ่งเป็นห้องที่คนไทยเคยเช่าพักอยู่
   วรุตไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับเจ้าของห้องนี้ รู้แต่เป็นผู้ชายตัวผอมๆ และค่อนข้างจะเก็บตัว เพิ่งย้ายเข้ามาได้ราวๆ เกือบสองเดือนก็หายตัวไปอย่างลึกลับ  นี่อาจจะเป็นคนที่เขาตามหาอยู่ก็ได้
   หลังจากบิดขี้เกียจอีกสองสามรอบ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจว่าเขาจะลงไปหาอะไรกินด้านล่าง เพราะรู้สึกว่าตนเองนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องนี้มาหลายวันแล้ว
 แต่ขณะกำลังจับลูกบิดเพื่อเปิดประตู เขาก็ได้ยินเสียงไขประตู วรุตรีบมองผ่านตาแมวออกไป พลางนึกในใจว่าอาจจะเป็นคนที่เช่าห้องอยู่อีกฟากหนึ่ง ซึ่งมักจะกลับมาที่ห้องพักตอนส่ายโด่งอย่างนี้ทุกวัน แต่แล้วหัวใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เมื่อพบว่าไม่ใช่คนที่พักอยู่ห้องตรงข้าม
   วรุตแง้มประตูออกไปหน่อยหนึ่ง เพื่อสังเกตเหตุการณ์ให้ชัด แต่เพราะช่องมองที่แคบเขาจึงเห็นไม่ชัดนัก อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าประตูของห้อง1127ถูกใครบางคนเปิดเข้าไปแล้ว
------------------------------------------
   “สวัสดีครับ”
   ฟ่งกวาดตามองเด็กหนุ่มที่มาเคาะประตูห้อง พลางนึกสงสัยว่าเดี๋ยวนี้พนักงานขายตรงแต่งตัวดีกันขนาดนี้เลย หรือว่าเด็กคนนี้แค่เคาะประตูผิด
   “คุณเป็นเจ้าของห้องนี้หรือครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากนั้น ซึ่งยิ่งทำให้ฟ่งนึกแปลกใจหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มสวมแว่นพยักหน้า แล้วถามกลับอย่างไม่ไว้ใจ
   “นายเป็นใคร?”
   “ผม เอ้อ..” คนถูกถามอึกอัก หลังจากนิ่งไปสองสามวินาที ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ
   “คุณเคยทำงานให้พ่อผมรึเปล่า หมายถึง.... เอ่อ.... คุณทวีศักดิ์น่ะครับ?”
   ฟ่งรู้สึกวาบขึ้นมาทันที ทวีศักดิ์  พ่อรึ? งั้นเด็กคนนี้เป็นลูกของคุณทวีศักดิ์หรือ?
   “ไม่รู้จักหรอก” หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดาอย่างที่สุด และปิดประตูทันที แต่เด็กหนุ่มแปลกหน้ากลับยื่นมือมาขวางเอาไว้
   “เดี๋ยวสิ ผมมาดีนะครับ” เขารีบพูดเร็วปรื๋อ ขณะที่ฟ่งยั้งประตูเอาไว้เพราะกลัวว่าจะหนีบมือ เด็กหนุ่มพูดต่อ “ผมรู้ว่าพ่อผมตามเก็บคุณอยู่ ผมไปเห็นห้องที่คุณเขียนแบบมาแล้วนะ”
   “สร้างเสร็จแล้วเหรอ?” ฟ่งถามออกไปด้วยความแปลกใจระคนดีใจ และก็รู้สึกได้ว่าตัวเองทำพลาดไปเสียแล้ว เขาเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแปลกหน้า
   “เป็นคุณจริงๆ ด้วยสินะครับ ขอผมเข้าไปคุยข้างในได้ไหม”
   “ไม่ได้” ฟ่งตอบเสียงเด็ดขาด และปิดประตูอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบเอามือมากั้นไว้อีก คราวนี้เลยกลายเป็นว่าฟ่งปิดประตูหนีบมือเขาเข้า
   “โอ๊ย!!” ผู้มาเยือนร้องลั่น ฟ่งง้างประตูให้เปิดออก ด้วยความตกใจ
   “เป็นอะไรมากรึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นถามอย่างเป็นห่วงขณะที่เด็กหนุ่มสะบัดมือ และขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
   “คุณปิดประตูหนีบมือผม” เด็กหนุ่มร้องโอดครวญ ฟ่งมองหน้าอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก ด้วยอาการของคนทำอะไรไม่ถูก
ท้ายที่สุดเขาก็ยอมให้เด็กแปลกหน้าเข้ามาในห้อง และรีบล็อกประตูทันที ด้วยกลัวว่าจะมีใครตามมาอีก
   “คุณเป็นสถาปนิกจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มร้องอย่างดีใจ เมื่อเห็นโต๊ะไฟที่วางอยู่กลางห้อง และรีบเดินไปดูทันที
   “คุณเขียนแปลนห้องนั่นโดยใช้แค่โต๊ะตัวนี้น่ะเหรอ?”
   ฟ่งมองดูเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เขาบังเอิญเปิดประตูให้เข้ามาในห้องเพราะไม่รู้จะทำยังไง ด้วยความไม่ไว้ใจอย่างที่สุด
   “นายเป็นใคร?” หนุ่มสวมแว่นถามซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มแปลกหน้ารีบหันมาขอโทษขอโพยทันที
   “ขอโทษนะครับที่ถือวิสาสะแบบนี้ ผมชื่อวรุต วรุต วินทร์วีรยะ เรียกผมว่าวินก็ได้” เด็กหนุ่มแปลกหน้าแนะนำทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นเสร็จสรรพ ฟ่งขมวดคิ้ว นามสกุลนี่ฟังดูคุ้นหูพิกล เหมือนจะนามสกุลเดียวกับผู้ว่าจ้างเขาที่ชื่อทวีศักดิ์รึเปล่านะ แต่เอ..ตอนเซ็นสัญญาดูเขาจะให้อีกคนหนึ่งเซนนี่นา
   “มีธุระอะไรกับผม” ฟ่งถามเสียงห้วน พยายามมองหาอุปกรณ์ป้องกันตัว เผื่อว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น วรุตมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมา
   “ผมมาหาคุณเพราะเรื่องของคุณพ่อน่ะ”
   ฟ่งงเกือบจะบอกว่าเขาเจอมาแล้วทั้งสองคน  และก็สร้างความประทับใจกับเขาเอาไว้มากด้วย เขาพยายามขยับตัวไปใกล้เคาน์เตอร์ครัว กะว่าถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาจะหยิบหม้อไหจานชามออกมาขว้างใส่ทางนั้นก่อน จากนั้นค่อยคิดต่ออีกทีแล้วกัน
   “พ่อของนาย? เรื่องอะไรน่ะ?” ฟ่งพยายามใช้คำถามถ่วงเวลา ถึงเด็กหนุ่มคนนี้จะดูไม่มีทีท่าว่าจะมาเพื่อทำร้ายเขา แต่ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีอาจจะหลอกให้ตายใจก่อนก็ได้
   “เรื่องแปลนห้องที่พ่อผมจ้างให้คุณเขียนไงครับ” เขานิ่งไปพักหนึ่งและเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะพูดต่อ
   “อ้อใช่ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใช้ชื่อตัวเองเซนสัญญากับคุณก็ได้ เขาอาจจะใช้ชื่ออารัตน์ คุณรู้จักอารัตน์รึเปล่าล่ะ?”
   ฟ่งขยับมือไปที่ชั้นวางมีด กะว่าถ้ามีโอกาสจะรีบฉวยเอามาไว้ในมือทันที วรุตเบิ่งตามองเขา ก่อนจะหัวเราะ
   “ไม่ต้องระวังตัวกับผมขนาดนั้นหรอก ผมไม่ทำอะไรคุณแน่ รับรองได้”
   “ผมจะเชื่อได้ไง” ฟ่งว่า  และนึกด่าตัวเองในใจว่าปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องได้ยังไงนะ วรุตมองเขาอีกครั้ง
   “ผมเป็นลูกเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทำอะไรแย่ๆ เหมือนเขาหรอกนะ”
   ฟ่งมองหน้าเด็กหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพักหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างยืนจ้องหน้ากัน สักพัก หนุ่มสวมแว่นก็พูดออกมา
   “แล้วมาหาผมทำไม? นายรู้เรื่องที่ผมทำอยู่หรือไง?”
   “ก็ไม่เชิงว่ารู้ละเอียดหรอกนะครับ” วรุตตอบ “ผมรู้แค่ว่ามีคนเขียนแปลนห้องลับให้พ่อผม แล้วก็พอจะรู้ว่าพ่อผมกำลังตามเก็บคนเขียนแปลนคนนั้นอยู่ ผมแค่ไม่อยากให้พ่อฆ่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่นะ”
   “นายเป็นลูกคุณทวีศักดิ์จริงๆ รึ?” ฟ่งถามอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก “งั้นมาที่นี่ทำไม”
   “ผมมาช่วยคุณ” วรุตตอบออกไปและคิดว่ามันคงจะฟังดูตลกน่าดู
   “คุณอาจจะคิดว่าผมพูดเพ้อเจ้อ แต่ผมอยากช่วยคุณจริงๆ นะ ผมเห็นห้องที่คุณออกแบบแล้ว มันมหัศจรรย์มากๆ เลยล่ะ เพราะงั้นผมไม่อยากให้พ่อฆ่าคุณทิ้งแค่เพราะอยากจะปิดปาก”
   “งั้นนายควรจะไปขอร้องพ่อนายให้เลิกไล่ฆ่าผม แทนที่จะมาหาผมแบบนี้”
 ฟ่งว่า รู้สึกว่าเหตุผลที่วรุตพูดออกมานั้นฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
   คนถูกถามทำหน้าปั้นยาก “ถ้าพ่อยอมฟังผม ผมคงไม่ต้องตากหน้ามาหาคุณอย่างนี้หรอก” เด็กหนุ่มครางอย่างท้อใจ ฟ่งมองหน้าวรุตอีกครั้ง พลางคิดว่าเขาสมควรจะเชื่อเด็กคนนี้ดีหรือเปล่า
   “คุณไม่ต้องยืนเกร็งขนาดนั้นก็ได้นะ ถ้าผมอยากจะฆ่าคุณล่ะก็ ผมคงจัดการตั้งแต่ตอนคุณเปิดประตูให้ผมเข้ามาแล้วล่ะ” วรุตพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าฟ่งยังคงพยายามจะฉวยมีดที่เสียบอยู่ขึ้นมา ฟ่งชะงักกึก และหันมาเขม่นตามอง
   “ผมไม่ไว้ใจนายน่ะ” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดออกมาตรงๆ วรุตมองหน้าเขาอึ้งๆ ก่อนจะผงกศีรษะ “งั้น คุณเอามีดมาถือไว้ก็ได้ เราจะได้คุยกันอย่างสะดวกใจหน่อย”
   คราวนี้ฟ่งชะงักตัวไปจริงๆ เขาขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจที่สุด หลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่ วรุตจึงเป็นฝ่ายพูดต่อ
   “คุณดูเด็กว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีกนะ ผมคิดว่าคนที่เขียนอะไรแบบนั้นออกมาคงจะอายุสักสามสิบสี่สิบ”
   “ผมเพิ่งอายุยี่สิบห้า” ฟ่งตอบ และรู้สึกขึ้นมาว่าที่เขาซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้เพราะเข้าวัยเบญจเพสรึเปล่านะ วรุตทำตาโต
   “โห... งั้นก็เพิ่งเรียนจบไม่กี่ปีน่ะสิครับ ผมอายุยี่สิบปีนี้ เป็นน้องคุณไม่กี่ปีเอง”
   ฟ่งไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจไปด้วย อย่างน้อยก็ตอนนี้ล่ะ เขาไม่หยิบมีด แต่ก็ไม่ไว้ใจคนตรงหน้าอยู่ดี
   “ผมว่าคุณกลับออกไปดีกว่า เพื่อความสบายใจของเราทั้งสองฝ่าย” หนุ่มสวมแว่นเปิดฉากเจรจาต่อ คนตรงหน้าสั่นศีรษะทันที
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะมาอยู่กับคุณ”
   ฟ่งถลึงตามองวรุต และนึกอยากจะหยิบมีดขึ้นมาจริงๆ เจ้าเด็กบ้านี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่เนี่ย
   “คุณนี่ท่าทางจะดุเอาเรื่องเหมือนกันแหะ งั้นที่ได้ยินว่าทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือกับอารัตน์ก็เรื่องจริงน่ะสิ”
   “นายอยู่ที่นั่นด้วยหรือไง?” ฟ่งถาม พลางนึกถึงตอนที่เขาอาละวาดจนถูกต่อยสลบ นายวรุตคนนี้ควรจะได้รู้ว่าทั้งพ่อและอาของเขาทำเรื่องงามหน้าเขาไว้มากขนาดไหน
   วรุตสั่นศีรษะ “เปล่า ผมได้ยินมาน่ะ ผมขอโทษแทนอารัตน์แล้วก็คุณพ่อด้วยนะ”
   ฟ่งพยักหน้าส่งๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีก “เอาล่ะ นายออกไปได้แล้ว ก่อนที่ผมจะโทรเรียกตำรวจ”
   “โธ่... อย่าเพิ่งไล่ผมสิครับ ผมตั้งใจจะมาปกป้องคุณนะเนี่ย”
   ฟ่งขมวดคิ้วเข้าหากันอีก จ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้น “งั้นนายก็ควรจะรีบออกไป”
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2011 19:57:58
   “ขอร้องเถอะนะครับ กว่าผมจะหาคุณเจอ ลำบากเหมือนกันนะ” วรุตพูดอย่างขอความเห็นใจ ฟ่งขมวดคิ้วอีก “นายสืบที่อยู่ผม?”
   “อือ ผมลงทุนมาเช่าห้องอยู่ข้างคุณเลยนะ ถามๆ เขาเอาน่ะ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ลูกน้องพ่อผมยังไม่รู้แน่ว่าคุณกลับมาที่ห้องแล้ว เพราะงั้น ให้ผมอยู่ข้างๆ คุณเถอะนะ”
   ฟ่งนึกในใจว่าเขาจะซวยซ้ำซวยซากอะไรนักหนา ตอนแรกมีคนข้างห้องเป็นสายลับ จนถูกจับตัวไปฮ่องกง และต้องไปเร่ร่อนอยู่ที่ฮังการี พอกลับมาก็ดันมีคนข้างห้องเป็นเด็กที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของคนที่ตามเก็บเขาเพิ่มขึ้นมาอีก ท่าทางคอนโดที่เขาเช่าอยู่จะมีอาถรรพ์   
   “ผมเคยมาเอาแปลนกับลูกน้องพ่อคนหนึ่งที่นี่น่ะ พอได้ยินว่าคุณหายตัวไป ก็เลยคิดว่าถ้ามาดักเจอคุณที่นี่น่าจะเจอตัว ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรไม่ดีเลยนะ” วรุตอธิบายต่อ แต่ฟ่งยังไม่เห็นว่ามันจะน่าเชื่อตรงไหน เขาถามออกไปอีก
   “แล้วนายจะช่วยอะไรผมได้”
   วรุตยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะเขินๆ “ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันน่ะ แต่ถ้ามีใครมายิงคุณตอนนี้ ผมจะเอาตัวไปขวางไว้ก่อน”
   ฟ่งเกือบจะสำลักน้ำลาย เขาหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะพูดตอบ “นายบ้าเรอะ?”
   วรุตสั่นศีรษะ “คุณอาจจะคิดว่าผมบ้าก็ได้นะ แต่ผมจริงจังกับเรื่องนี้มาก ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณเด็ดขาด โดยเฉพาะคนของพ่อผม”
   ฟ่งมองหน้าวรุต และรู้สึกอึ้งขึ้นมาบ้าง
   “ทำไมนายถึงต้องจริงจังกับเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อนนายสักหน่อย เห็นหน้าก็ยังไม่เคยเห็นกันเลย” ฟ่งตั้งคำถามต่อ ถึงจะยังไม่ค่อยเชื่อใจเด็กหนุ่มตรงหน้ามากนัก แต่แววตาจริงจังที่อีกฝ่ายมองตอบมา ก็ทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ที่ไปหาว่าวรุตบ้า ถ้าเกิดสิ่งที่วรุตพูดออกมาเป็นความจริง การที่เขาพูดออกไปแบบนั้นก็คงจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายมากเลยทีเดียว
   “มันเป็นความตั้งใจของผม” วรุตว่า และพูดต่อ “ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะถูกฆ่า แค่เพื่อต้องการปิดเรื่องพวกนั้นให้เป็นความลับ แถมคนสั่งฆ่ายังเป็นพ่อผมอีก ผมน่ะห้ามพ่อไม่ได้หรอก ผมห้ามใครไม่ได้เลย แต่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ผมเลยคิดว่าถ้าเจอคุณก่อนอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่จะช่วยคุณด้วยวิธีไหน ผมบอกตรงๆ ว่ายังคิดไม่ออกเลยล่ะ  ตอนนี้ก็ทำได้อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ถ้ามีใครมายิงคุณ ผมก็คงจะต้องเข้าไปขวาง”
   “โดนยิงเจ็บนะ” ฟ่งว่า ถึงไม่เคยถูกยิงจริงๆ แต่แค่ถูกต่อยถูกเตะก็เจ็บมากแล้ว
   “ผมรู้ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็ผมมีแต่ตัวเปล่าๆ นี่” วรุตตอบด้วยสีหน้าจนปัญญาถึงที่สุด ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ก็มีเด็กที่ไม่รู้จักมาเสนอตัวปกป้องเขาขนาดนี้ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “สงสัยว่าแม่บ้านจะมาแล้วน่ะ” ฟ่งพูด พลางจับตาดูปฏิกิริยาของวรุตว่าจะตกใจหรือกลัวใครมาเห็นหรือเปล่า แต่เด็กหนุ่มกลับตอบเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
   “เดี๋ยวผมไปเปิดให้นะ เผื่อไม่ใช่แม่บ้านจริง คนถูกยิงก่อนจะได้เป็นผม”
   ฟ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ยังไม่ทันทีจะได้ห้ามอะไร วรุตก็เดินออกไปที่ประตูเสียก่อน เด็กหนุ่มมองลอดตาแมวออกไป แล้วหันมาพูดกับเขา   
   “ไม่ใช่แม่บ้านแหะ เพื่อนคุณรึเปล่า ฝรั่งคนผมดำๆ น่ะ”
   “อ้อ..” ฟ่งร้องออกมา และคิดว่าเดี๋ยวเขาอาจจะได้เจอกับเรื่องยุ่งยากจริงๆ ก็ได้
   “คุณออกมาก่อน เดี๋ยวผมเปิดเอง”
   “ผมว่าคุณมาดูก่อนดีกว่าว่าใช่เพื่อนคุณจริงรึเปล่า” วรุตพูดพลางทำหน้าจริงจัง ฟ่งเลยต้องเดินไปมองที่ตาแมวก่อน แล้วถึงได้พยักหน้า
   “เพื่อนผมเองแหละ คุณหลบไปก่อนนะ” หนุ่มสวมแว่นพูด และดันตัวเด็กหนุ่มให้พ้นประตู พลางคิดว่าถ้ารูฟัสพบว่าคนที่เปิดประตูเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักล่ะก็ คงกลายเป็นเรื่องอีกแน่ๆ
   หนุ่มสวมแว่นแง้มประตูออกครึ่งหนึ่ง โดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมองเข้ามาในห้องได้มากนัก เพราะไม่แน่ใจว่าวรุตจะหลบออกไปได้ห่างแค่ไหน
   “ห้องเป็นไงบ้างครับ ฝุ่นเยอะไหม” รูฟัสเอ่ยทัก พลางรู้สึกแปลกใจที่ฟ่งแง้มประตูออกแค่นิดเดียว หรือว่าเกิดไม่ไว้ใจเขาอีก
   “พอสมควรน่ะ ผมตามแม่บ้านแล้ว เอ้อ..รูฟัส ผมคิดว่าผมกำลังเจอปัญหา” ฟ่งตัดสินใจว่าเขาควรจะปรึกษาเรื่องวรุตกับรูฟัส แต่ถ้าเกิดให้เข้าไปเลยบางทีรูฟัสอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ คงต้องคุยกันสักหน่อยก่อน
   รูฟัสเบิ่งนัยน์ตาสองสีของตนอย่างแปลกใจทันทีที่ได้ยิน “ทำไมหรือครับ มีคนมารื้อห้องคุณ? เจอแมลงสาบ หรือว่ามีหนูอยู่ล่ะครับ?”
   “ไม่ใช่ทั้งสามอย่างแหละครับ” ฟ่งตอบ พลางนึกละเหี่ยใจ เขาคงต้องอธิบายให้รูฟัสฟังก่อนจริงๆ นั่นแหละ
   “คือคุณจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้ามีคนอื่นเห็นหน้าคุณ” ฟ่งถามต่อ ก่อนจะอธิบายอะไร เขาควรจะถามเรื่องพวกนี้ให้แน่ใจก่อน เพราะจะให้วรุตเห็นหน้ารูฟัสสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงไม่ดี
   “ไม่เห็นเป็นไรนี่ ผมเดินไปไหนมาไหนด้วยหน้าแบบนี้อยู่แล้ว” หนุ่มตาสองสีตอบ ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “เหรอ งั้นคุณช่วยเข้ามาในห้องผมหน่อยสิ ผมว่าผมกำลังเจอปัญหาล่ะ”
   รูฟัสทำหน้าสงสัย ถึงกระนั้นก็เดินเข้ามาอย่างเต็มใจจะช่วยเต็มที่ แต่พอเห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้อง ร่างสูงใหญ่ก็ชะงักตัวทันที
   “ฟ่ง! เขาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง?!” รูฟัสหันไปถามฟ่งเสียงเข้ม หนุ่มสวมแว่นมองหน้าคนถาม แล้วตอบกลับ “อือ นี่แหละปัญหาที่ผมจะปรึกษาคุณ เขาน่ะ...”
   “เขาปีนเข้ามาในห้องคุณ?” รูฟัสตอบแทนให้เสร็จ และหันไปมองวรุตเหมือนจะฆ่าจะแกง ฟ่งเลยต้องรีบดึงเสื้อของอีกฝ่ายไว้
   “เปล่า ผมเปิดประตูให้เขาเข้ามาเองน่ะ แต่คุณไม่ต้องหึงหรอกนะ ผมไม่รู้จักเขา แล้วเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผมด้วย”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง แล้วครางออกมา “ไม่ใช่ผมหึง โธ่... คุณไม่รู้จักแล้วเปิดให้เข้ามาทำไม”
   “ก็ผมทำประตูหนีบมือเขา ทำไมคุณถึงต้องทำหน้าเหมือนผมทำอะไรผิดมากขนาดนั้นด้วย” ฟ่งว่า พลางขมวดคิ้วอย่างค่อนข้างจะหงุดหงิด ตอนอยู่บนเครื่องบินรูฟัสก็พูดว่าจะจ้างให้เขาอยู่เฉยๆ เดือนละล้าน พอตอนนี้ก็มาทำหน้าแบบนี้ใส่เขาอีก คนที่ก่อเรื่องยุ่งยากน่ะไม่ใช่เขาเสียหน่อย แต่เป็นคนตรงหน้าเขาต่างหากเล่า
รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างอ่อนอกอ่อนใจ และคิดว่าถ้าทำได้ เขาก็อยากจะล็อกกุญแจมือ หรือทำอะไรสักอย่างให้ฟ่งอยู่นิ่งๆ ไปเสียเลย
   “คุณไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกครับ แต่คุณไม่ควรเปิดประตูให้คนที่ไม่รู้จักเข้ามาแบบนี้ มันอันตรายนะครับ”
   “เขายังไม่ได้ทำอะไรผมเลยนะ” ฟ่งเถียง ได้ยินเสียงรูฟัสครางฮือ “โธ่ คุณไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้ว ไอ้เด็กนี่น่ะ....”
   ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงวรุตถามสวนขึ้นมา “โห...เพื่อนคุณพูดภาษาไทยคล่องจัง แล้วเขารู้จักผมด้วยเหรอ?” เด็กหนุ่มพูดอย่างตื่นเต้น เขาทึ่งกับการออกเสียงภาษาไทยของรูฟัสมากกว่าจะสนใจว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันเสียอีก
   “เธอมาที่นี่ได้ยังไง” รูฟัสหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าถมึงทึง วรุตมองเขาอย่างแปลกใจทันที
“ทำไมคุณจะต้องทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้น ผมไปทำอะไรให้คุณหรือไง ผมยังไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลยนะ”
   “คุณรู้จักเขาเหรอ?” ฟ่งถามขึ้นบ้าง รูฟัสหันมาพยักหน้า
   “นี่มันลูกของคนที่สั่งเก็บคุณนะครับ” หนุ่มตาสองสีบอก แต่แทนที่เขาจะได้เห็นสีหน้าตกใจของฟ่ง เขากลับได้เห็นสีหน้าประหลาดใจระคนดีใจแทน
   “จริงเหรอ? งั้นก็แปลว่าเขาพูดเรื่องจริงนะสิ” ฟ่งร้อง และหันกลับไปมองวรุตอย่างไม่เชื่อ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้โกหกคุณหรอก ว่าแต่คุณคนต่างชาติคนนี้เป็นใครเป็นใครน่ะ ทำไมรู้จักผมด้วยล่ะ แถมรู้ด้วยว่าพ่อผมสั่งเก็บคุณ”
   คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นเสียเอง สรุปแล้วกลายเป็นว่าเขาเปิดเผยตัวออกไปก่อนหรือนี่
   “เอาล่ะ” หนุ่มตาสองสีเริ่มพูดอีกครั้ง หลังจากล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว เขาหันมาจ้องวรุตอย่างจริงๆ จังๆ “ฉันไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของเธอ ถ้าไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายล่ะก็ เธอต้องตอบคำถามฉัน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
   “ผมมาหาคุณคนนี้” วรุตตอบและชี้ไปทางฟ่ง รูฟัสหันมามองคนถูกชี้ “ไหนว่าคุณไม่รู้จักเขาไงครับ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ “ก็ไม่รู้จักน่ะสิ ชื่อผมเขายังไม่รู้จักเลย คุณได้ยินเขาเรียกชื่อผมสักคำรึยังล่ะ?”
   รูฟัสหันกลับมามองวรุตอีกครั้ง จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำที่ดูจะยังไม่เคยผ่านอะไรมามากคู่นั้น
   “เธอมาหาคนที่ยังไม่รู้จักชื่อ?”
   “อือ” วรุตพยักหน้า “ผมไม่รู้จักเขาหรอก รู้แต่เขาเขียนแปลนให้พ่อผม ผมเลยอยากเจอเขาน่ะ”
   รูฟัสหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น “เรื่องเห็นแค่แผ่นกระดาษแล้วอยากเจอคนเขียนนี่เอามาอ้างไม่ได้หรอกนะ คงไม่ตอบฉันนะว่าเธอหลงรักเขาจากเส้นยุ่งๆ พวกนั้นน่ะ” หนุ่มตาค่อนแคะ ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องไปคิดว่าคนอื่นมาหลงรักเขา แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีก ที่สำคัญยังพูดถึงแปลนเขาว่าเป็นเส้นยุ่งๆ ด้วย ที่แท้ก็แอบโมโหเขาอยู่เหมือนกันสินะ
   “โห... คุณน่ะยังไม่เคยเห็นห้องที่เขาเขียนแบบล่ะสิ ผมได้เห็นมาแล้วล่ะ ห้องพวกนั้นมหัศจรรย์มากเลยนะ ผมนิ่งดูดาย ปล่อยให้คนเก่งๆ อย่างเขาถูกพ่อผมสั่งเก็บไม่ได้หรอก”
   “อย่างนั้นเธอก็ควรจะบอกพ่อของเธอ ไม่ใช่บุกเข้ามาห้องเขาแบบนี้” รูฟัสพูดอย่างมีอารมณ์ วรุตทำหน้ายุ่ง เป็นหนที่สองของวันนี้แล้วที่มีคนพูดกับเขาแบบนี้
   “ถ้าผมห้ามพ่อผมได้ ผมคงไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่หรอก”
   “เหอะ!” รูฟัสแค่นเสียงและเดินเข้าไปใกล้วรุตอย่างคุกคาม “บอกมานะว่าเธอต้องการอะไรจากเขากันแน่ เห็นเขาซื่อๆ คิดจะหลอกให้ตายใจก่อนงั้นสิ ฝันไปเถอะ แค่เข้าห้องเขาได้โดยบังเอิญอย่าหวังว่าเขาจะยอมเธอง่ายๆ นะ”
   ฟ่งชักรู้สึกว่ารูฟัสพูดแปลกๆ เลยพูดแทรกขึ้นบ้าง “ผมเปิดประตูให้เขาเข้ามาเองน่ะ เพราะว่าทำประตูหนีบมือเขา เขาไม่ได้อยากทำอะไรผมหรอก”
   “คุณทำประตูหนีบมือเขา ก็แปลว่าเจ้าเด็กนี่จะงัดประตูเข้ามาในห้องคุณน่ะสิ” รูฟัสหันมาย้อนทันที ฟ่งอ้าปากทำท่าจะเถียง แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเถียงยังไง เลยยิ่งทำให้รูฟัสไม่พอใจหนักขึ้น เขาหันไปเค้นถามจากวรุตต่อ
   “พูดมาซะดีๆ ว่าเธอบุกเข้ามาในห้องนี้ทำไม ถ้าแค่อยากเจอน่ะ เดินผ่านเอาก็ได้”
   วรุตทำหน้ายุ่ง พลางรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูจะยิ่งระแวงเขาหนักว่าฟ่งเสียอีก แถมยังมีท่าทางคุกคามอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ใช่คนทำอาชีพสุจริตแน่ๆ
   ฟ่งจึงต้องเงียบปากไป  ยิ่งทำให้รูฟัสอารมณ์ไม่ดีหนักขึ้น
   “ผมอยากคุยด้วยนี่” เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้าจริงจัง แถมเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ฟ่งภาวนาขอให้รูฟัสอย่าจินตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ จากคำพูดของวรุต เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะซวยที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเขาอีกนั่นแหละ
   “เธอจะอยากคุยกับเขาไปทำไม” รูฟัสถามต่อ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด คนถูกถามขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
   “ทำไมคุณจะต้องอารมณ์เสียใส่ผมด้วย ผมอาจจะไม่น่าไว้ใจเพราะเป็นลูกชายทวีศักดิ์ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่ครับ ก็แค่อยากจะคุยด้วย ผมอยากรู้จักคนที่เขียนแบบแปลนมหัศจรรย์อย่างนั้นออกมาได้ ผมทำผิดตรงไหนกัน”
   รูฟัสขมวดคิ้วบ้าง เขามองหน้าวรุตอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะหันมองฟ่งที่ยืนดูอยู่ และเริ่มคิดว่าน่าจะเอาคนคนนี้ไปเก็บไว้ในตู้เซฟ นี่ขนาดไม่ได้เอาตัวไปโชว์ที่ไหนยังมีคนตามมาถึงห้อง  ขืนปล่อยให้ไปทำอะไรที่ไหนอีก มีหวังได้มีคนแห่มากันเป็นพรวนแน่
   “งั้นก็กลับไปได้แล้ว ได้คุยสมใจแล้วนี่” รูฟัสเอ่ยปากไล่ทันที เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ
   “ผมยังกลับไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่ปกป้องเขา”
   “?” รูฟัสขมวดคิ้ว พลางมองหน้าวรุตอีกครั้ง ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
   “ทำไมเธอจะต้องอยู่ปกป้องเขา ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ” วรุตคิดว่าเขาเพิ่งตอบคำถามนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
   “เพราะมันเป็นความตั้งใจของผม” เขาตอบ และเพิ่งระลึกรู้ตัวว่าการอธิบายความตั้งใจของเขาให้คนอื่นเข้าใจมันยากเย็นแค่ไหน แต่กรณีรูฟัส วรุตคงยังไม่รู้ว่าหมอนี่ได้เข้าใจไปในทิศทางอื่นเรียบร้อยแล้ว
   “ฉันไม่ชอบรังแกเด็ก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ออกไปซะดีๆ อย่าต้องให้ใช้วิธีรุนแรง” รูฟัสกล่าว ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทั่งทีที่ได้ยิน ส่วนวรุตมองมาอย่างไม่เข้าใจ
   “ผมไม่ได้มาทำร้ายเขานะครับ ผมแค่อยากปกป้อง คุณไม่เห็นจะต้องไล่ผมขนาดนี้”
   “งั้นฉันคงต้องลากตัวเธอออกไป” รูฟัสว่าและทำท่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ฟ่งจึงรีบเดินมาห้าม
   “เดี๋ยวสิ ผมไม่เห็นว่าจะต้องทำกันขนาดนี้เลย คุยกันให้รู้เรื่องก่อนก็ได้”
   “รู้เรื่องแล้วครับ” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าถมึงทึง ฟ่งเริ่มคิดว่าเขาแก้ปัญหาผิดวิธี การลากรูฟัสเข้ามาช่วย เหมือนจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลาย
   “ฉันว่าเธอควรจะกลับไปกกเด็กหน้าสวยคนนั้นดีกว่ามั้ย?” หนุ่มตาสองสีหันกลับมาย้อนเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อีกครั้ง วรุตเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจทันที
   “รู้จักพี่เดชด้วยหรอ คุณเป็นใครเนี่ย?” วรุตถามมาอย่างสงสัย รูฟัสยักไหล่
   “ฉันรู้มากกว่าที่เธอคิดก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น อย่ามายุ่งกับผู้ชายคนนี้ดีกว่า”
   ฟ่งคิดว่ารูฟัสกำลังหึงจนพูดไม่รู้เรื่องไปแล้ว
“นี่รูฟัส เขาไมได้ทำอะไรผมนะ” หนุ่มสวมแว่นพยายามอธิบาย แต่ก็ถูกสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว
   “บุกเข้ามาในห้องคนอื่นแบบนี้ จะให้ไว้ใจไม่ได้หรอกครับ อีกอย่าง ผมไม่อยากให้ใครมาอยู่กับคุณแค่สองต่อสองแบบนี้” รูฟัสว่า วรุตขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “เดี๋ยวก่อน นี่คุณสองคน เอ่อ... เป็นแฟนกันเหรอ?”
   รูฟัสมองหน้าวรุต และทำหน้าประหนึ่งได้ยินคำถามที่ไม่น่าถามที่สุด
“อืม” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงในลำคอพลางพยักหน้า ฟ่งมองหน้าเขาและทำหน้าแบบคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก วรุตมองหน้าสองคนสลับไปมา ก่อนจะหัวเราะก๊าก
“ผมเข้าใจล่ะ ถึงว่าทำไมคุณดูโมโหผมนัก แต่วางใจเถอะครับ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไม่ทำอะไรยุ่มย่ามกับแฟนคุณหรอก”
   “งั้นก็กลับไปได้แล้ว” รูฟัสว่า และเข้าไปลากตัววรุต ฟ่งร้องขึ้นอย่างขัดใจ
   “รูฟัส!!”
   รูฟัสหันกลับมามอง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง หนุ่มสวมแว่นขยับตัว เขาภาวนาขอให้รอบนี้เป็นแม่บ้านจริงๆ ไม่ใช่ใครที่น่าจะก่อปัญหาอีก
   แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันเดินไปที่ประตู ทั้งสองคนที่ทำท่าจะทะเลาะกันอยู่เมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน “ผมไปเปิดเอง”
   จากนั้นทั้งรูฟัสและวรุตก็แข่งกันจ้ำอ้าวไปที่หน้าประตูห้อง ราวกับจะวิ่งแข่ง ฟ่งถอนหายใจยาว ด้วยความเหนื่อยใจ
   ตกลงเขาหาเรื่องยุ่ง หรือเรื่องยุ่งๆ วิ่งมาหาเขากันล่ะนี่
-----------------------------------
   โชคดีที่คราวนี้แม่บ้านมาถึงจริงๆ ดังนั้นสามหนุ่มจึงต้องออกมานอกห้อง เพื่อให้แม่บ้านจัดการทำความสะอาด ทำให้รูฟัสกับวรุตหยุดมีปากเสียงกันชั่วคราว
   “ไปคุยกันต่อที่ห้องผมไหม?” วรุตเอ่ยปากถามขึ้น ฟ่งหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ
   “รอแม่บ้านทำความสะอาดเสร็จก่อนก็ได้ ผมยังไม่รู้เลยว่านายพักอยู่ที่ไหน”
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่43 p6 10/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2011 19:58:12
   “ผมอยู่ห้องข้างๆ คุณเนี่ย” วรุตตอบ พลางชื้อมือไปยังห้อง1125  ฟ่งมองตามอย่างงงๆ  ขณะที่รูฟัสขมวดคิ้วมองวรุตอย่างเอาเรื่องเอาราว
   “อืม..” ฟ่งส่งเสียงในคออย่างใช้ความคิด “เอางั้นก็ได้” ชายหนุ่มตอบตกลง วรุตยิ้มกว่า ขณะที่รูฟัสร่ำๆ เหมือนจะแยกเขี้ยวเข้าไปทุกที
   “ฟ่งครับ จะไปจริงๆ หรือ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา
   “อือ ก็ห้องอยู่ติดกันเองนี่ จะยืนคุยตรงนี้ก็คงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ”
   หนุ่มตาสองสีมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด “งั้นเดี๋ยวผมไปบอกราฟี่ ไม่สิ คุณช่วยไปบอกราฟี่หน่อยแล้วกันว่าเราไปคุยกันห้องนี้ ตกลงนะครับ”
   “ทำไมต้องผมล่ะ” ฟ่งถามอย่างงงๆ รูฟัสจับไหล่เขาแล้วพูดตอบ “ไปเถอะครับ แป๊บเดียวเอง รับรองว่าผมไม่ทำอะไรเขาหรอก”
   “ก็ได้” ฟ่งตอบ แม้จะนึกสงสัยอยู่ แต่รูฟัสคงมีเหตุผลอะไรนั่นแหละ
   หลังจากหนุ่มสวมแว่นเดินออกไปแล้ว รูฟัสจึงหันกลับมาหาวรุต   
   “ไม่ไว้ใจผมหรือไง?” เด็กหนุ่มเอ่ยปากถาม คนถูกถามยักไหล่ ก่อนจะเดินไปที่ห้อง1125
   “ถ้าห้องเธอจริงก็เปิดสิ ท่าทางเราจะมีเรื่องต้องคุยกันยาว”
   วรุตที่เดินตามมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจระคนสงสัย ก่อนจะไขประตูห้องและผลักเข้าไป
   “คุณเป็นใครกันแน่” เด็กหนุ่มถามขึ้นอีก หลังจากที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว รูฟัสกวาดตามองรอบห้องแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาตอบ
   “จะอยากรู้ไปทำไม?”
เด็กหนุ่มมองหน้าเขา ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา “ก็คุณดูจะรู้เรื่องอะไรมากเหลือเกิน  เป็นสายลับหรือไง?”
   หนุ่มตาสองสีแค่นหัวเราะ เขาไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไปอีก
   “แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ สนใจอะไรเขานักหนา”
   “อ้อ... เขาชื่อฟ่งเหรอ ผมจะจำไว้” วรุตทวนคำ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรืออะไร แต่รูฟัสดูมีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
   “ผมชื่นชมฝีมือเขาน่ะ แต่พูดกับคุณไปก็คงไม่มีประโยชน์ ก็คุณตั้งท่าจะไม่เชื่อผมตั้งแต่เริ่มอ้าปากแล้วนี่” วรุตค่อนแคะ หนุ่มตาสองสีเขม่นมองเขา
   “ถ้าฉันเชื่อเธอ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร”
   “เออ...” เด็กหนุ่มครางอย่างคนเพิ่งจะนึกได้ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
   “นั่นสินะ เชื่อผมแล้วคุณจะได้ประโยชน์อะไร เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดมาก่อนเลยล่ะ พูดจริงๆ นะ ผมไม่รู้ว่าฟ่งจะมีคนดูแลแบบคุณ ถ้ารู้ผมคงไม่ถ่อมา ผมคิดว่าเขากำลังลำบาก ผมแค่อยากช่วย”
   “ทำไมเธอถึงอยากช่วยเขานัก ในเมื่อเขาไม่ได้รู้จักอะไรกับเธอเลย” รูฟัสถามต่อ วรุตพยักหน้า
   “อือ ผมไม่ได้รู้จักจริงๆ แต่ผมเคยเห็นงานของเขา คุณไม่เสียดายเลยหรือ ถ้าจะต้องฆ่าคนมีฝีมือแบบนี้ แค่เพราะอยากจะปิดความลับเอาไว้ ผมเสียดายนะ ผมไม่อยากให้เขาตาย ที่สำคัญ คนที่จะฆ่าเขาดันเป็นพ่อผมด้วยน่ะ”
   “ถ้าพูดเรื่องจริงนะ เธอคงเป็นคนที่ดีจนน่าตกใจเลยล่ะ” รูฟัสว่า วรุตหัวเราะอีกรอบ
   “ผมไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก ผมก็แค่เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่งเท่านั้นแหละ ผมไม่ชอบวีธีของพ่อ แต่ผมก็ห้ามเขาไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายที่ผมคิดได้อย่างที่คุณเห็นนี่แหละ”
   “เธอตามเขามานานเท่าไหร่แล้ว?” รูฟัสถามต่อ ไม่รู้ว่าในใจของชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่ วรุตไม่อยากใส่ใจ เขาตัดสินใจเล่าในสิ่งที่เขาทำ
   “ตั้งแต่รู้ว่าคุณพ่อสั่งคนให้ตามฆ่าเขาแล้วหาไม่เจอ ผมพยายามหาเขา พอดีผมเคยมาเอางานของเขาที่นี่น่ะ ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นที่ที่เขาพักอยู่ แล้วก็เลยได้รู้ว่าเขาหายตัวไป”
วรุตหยุดครู่หนึ่ง พลางมองหน้ารูฟัสที่ทำท่าเหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“ผมน่ะเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้สามวัน เพื่อมารอพบเขานั่นแหละ คิดว่าถ้ามารออยู่ที่นี่ ผมอาจจะได้เจอเขาก่อนคนของพ่อผมก็ได้ ผมเฝ้าดูอยู่ตลอดเลยนะ เผื่อว่าจะได้เห็นคนที่มาไขห้องข้างๆ ตลกไหมล่ะ ผมน่ะพยายามอดหลับอดนอน เพื่อคนที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยเห็นหน้าเลย บางทีผมก็คิดนะ ว่านี่ผมบ้าไปแล้วรึเปล่า แต่ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย ก็คงเหมือนผมดูดายปล่อยให้เขาตายไปทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้วน่ะ”
รูฟัสมองหน้าวรุตอยู่พักใหญ่ หลังจากเด็กหนุ่มพูดจบแล้ว หลังจากนั้นก็พูดออกมา
   “บอกตรงๆ นะ ว่าเรื่องที่เธอเล่ามันไม่น่าเชื่อสักนิดเลยล่ะ” ชายหนุ่มตาสองสีสรุปในที่สุด เพราะไม่ว่าดูยังไง เขาก็ไว้ใจเด็กคนนี้ได้ยากอยู่ดี
ทำไมทวีศักดิ์ถึงต้องส่งลูกชายมาที่นี่นะ
สิ่งที่รูฟัสรู้มาคือ วรุตเป็นลูกโทนซึ่งทวีศักดิ์หวงมาก จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มันดูน่าสงสัยเกินไป และเรื่องที่เด็กคนนี้เล่าก็แทบจะหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือไม่ได้ ถึงจะเล่าด้วยดวงตาใสซื่อจริงใจขนาดนี้ก็เถอะ เขาผ่านอะไรมามาก กับเรื่องแบบนี้เขาไม่อยากให้ฟ่งต้องเสี่ยงอีก
   วรุตมองหน้ารูฟัส และหัวเราะขืนๆ ออกมาในที่สุด
   “ผมรู้ว่ามันเชื่อยาก แต่ผมไม่ได้อยากให้คุณหรือใครเชื่อผมหรอกนะ ผมแค่อยากจะทำสิ่งที่ผมต้องการให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”
   “แล้วเธออยากจะทำอะไรกันแน่ล่ะ” รูฟัสย้อนถาม วรุตตอบคำถามนั้นทันที
   “ปกป้องฟ่ง ผมจะไปต่อเมื่อแน่ใจว่าเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือของพ่อผมแล้ว”
   “งั้นเธอก็ไปได้ เพราะยังไงฟ่งก็จะปลอดภัยในสายตาฉัน” รูฟัสว่า พลางตวัดสายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างระอาเต็มที วรุตเลิกคิ้ว
   “ผมจะไปไว้ใจคุณได้ไง” เด็กหนุ่มพูดประโยคที่ทำให้คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากันอีก หลังจากนั้นเขาก็มองผู้ชายตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพูดต่อ 
   “คุณไม่ไว้ใจผม แล้วผมจะไปไว้ใจคุณทำไมกันล่ะ นี่เป็นความตั้งใจของผมนะ ผมไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปทำพังหรอก”
   “แล้วเธอจะเอายังไง” รูฟัสถามอย่างใช้ความอดทนที่สุด เขาภาวนาให้ไม่ตบกะโหลกเจ้าเด็กบ้านี่ มีแค่รัสเลอร์ตามมาก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว ยังจะมีเจ้าเด็กที่ไม่น่าไว้ใจนี่อีก รูฟัสกลัวว่าฟ่งอาจจะเผลอตัวให้เจ้าเด็กนี่ก็ได้ ก็ฟ่งไม่เคยระวังอะไรเลยนี่ แถมใจดีเสียไม่มี พอเขาไม่อยู่ด้วยก็เปิดประตูห้องให้คนแปลกหน้าเข้ามาเฉยๆ แบบนี้จะปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ยังไงกัน
   “ผมจะทำตามวิธีของผม อย่ากังวลเลยนะ ผมจะไม่ทำอะไรแฟนคุณหรอก ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วผมก็จะไม่ทำอะไรให้เขาตกอยู่ในอันตรายด้วย” วรุตว่า พยายามทำหน้าให้ดูจริงจังที่สุด เพราะท่าทางคนตรงหน้าไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดแน่นอน
   “แต่ฉันไม่อยากให้เธอ...” รูฟัสพูดค้าง เพราะเสียงเปิดประตูที่ดังแทรกขึ้น และเสียงของใครบางคนที่พูดตัดอากาศเข้ามา
   “ขอบคุณพระเจ้า!” ราฟาแอลโผล่พรวดเข้ามาในห้อง พร้อมกับอุทานด้วยความดีใจ รูฟัสขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดกับประโยคที่เพื่อนร่วมงานอุทานออกมา
   “พูดอะไรของคุณน่ะ ราฟี่ เดี๋ยวนี้หันมานับถือพระเจ้าแล้วหรือไง”
   “เปล่า” หนุ่มผมสีบล็อนด์ตอบ พลางก้าวอาดๆ เข้ามา
   “ฉันกำลังนึกดีใจ ที่แกยังไม่เตะเจ้าเด็กนี่ออกไป ฟ่งเล่าให้ฉันฟังแล้ว ตกลงเด็กนี่เป็นลูกชายของทวีศักดิ์จริงๆ ใช่ไหม?”
   รูฟัสพยักหน้า ในขณะที่วรุตคิดว่าเขากำลังได้ยินภาษาต่างประเทศที่ต่างออกไปจากภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาเยอรมันด้วย แต่ที่แน่ๆ มีท่อนหนึ่งเป็นชื่อของพ่อเขา
   “งั้นดี ฉันอยากให้แกจับตาดูเด็กคนนี้ไว้ เขาต้องเป็นประโยชน์กับงานของเราแน่ๆ ”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนเห็นสัตว์ประหลาดเดินเข้ามาในห้อง “คุณจะเก็บเขาไว้ทำไมน่ะ อันตรายจะตายชัก”
   “อันตรายตรงไหน?” ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะพูดต่อ
   “แกเป็นอะไรว่ะรูฟัส นั่งเครื่องบินมากสมองตายหรือไง ถ้านี่เป็นลูกชายเขาจริง มันจะยิ่งอันตรายกับเขาน่ะสิ ไม่ใช่เรา นี่ถือว่าเรามีตัวประกันชั้นดีเลยนะ”
   “นี่คุณคงไม่คิดจะใช้แผนตัวประกันหรอกนะ..” รูฟัสเอ่ย พลางมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างไม่ไว้ใจ ราฟาแอลหัวเราะหึๆ
   “ความจริงก็ไม่ได้คิดจะเอามาทำจริงจังหรอก แต่เก็บเอาไว้เป็นแผนสำรองก็ดีไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ได้ข่าวว่าเจ้าเด็กนี่ไปเห็นห้องที่ว่านั่นมาแล้ว บางทีเราอาจจะใช้เขาเป็นคู่มือผ่านประตูได้ก็ได้”
   “คุณจะไว้ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่พาเราไปติดกับ” รูฟัสถาม ราฟาแอลยักไหล่
   “ทำไมนายทำให้เรื่องมันดูยากนะ ก็บอกแล้วว่าถ้าเขาเป็นลูกชายทวีศักดิ์จริงๆ เราก็ได้เปรียบ ถ้าเกิดถูกพาไปที่บ้าๆ ก็ใช้แผนตัวประกันได้เลย”
   หนุ่มตาสองสียกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “ผมอาจจะคิดมากไป คือผมไม่ไว้ใจเขา”
   “ใครว่าฉันไว้ใจล่ะ แต่เขาเป็นลูกชายทวีศักดิ์ นั่นแหละที่สำคัญ”
พูดจบก็หันไปทางวรุต แล้วตะโกนออกไป ”Hey! Can ya speak English?”
   วรุตขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคเอ่ยทัก เขาคิวด่าผู้ชายคนนี้ไม่มีความเกรงใจเขาเลยสักนิด ดูจากลักษณะคำพูดที่กล่าวออกมา ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบไป   
   “ดี ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอนิดหน่อย” ราฟาแอลพูด และเดินเข้ามายืนตรงหน้าวรุต รูฟัสทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่กลับโดนพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
   “นี่ ถ้าแกว่างมากนะ แกควรจะไปเช็กดูว่ามีใครตามเด็กคนนี้มาบ้างรึเปล่า ฉันว่ามันคงจะมีประโยชน์มากกว่านั่งบื้อกันอยู่แบบนี้”
   หนุ่มตาสองสีย่นคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ยอมเดินออกไปด้านนอกห้องแต่โดยดี ถึงกระนั้นก็ไม่วายมองกลับมาหาเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาตั้งคำถาม
   “ถ้าแฟนนายน่ะ ไปดูแม่บ้านทำความสะอาดอยู่” ราฟาแอลพูดอย่างรู้ทัน รูฟัสถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดออกมา “ผมคิดว่าคุณทิ้งเขาไว้กับรัสเลอร์เสียอีก”
   “เออ ตอนแรกฉันก็ว่าจะทำงั้นแหละ” ราฟาแอลตอบ “แต่เด็กนั่นไม่ยอมอยู่ บอกว่าอยากจะกลับไปที่ห้อง ท่าทางเจ้ารัสเลอร์จะทำเอาไว้แสบล่ะมั้ง เอาล่ะ แกลงไปดูรอบๆ อีกสักหนซิ ว่ามีใครตามเจ้าเด็กนี่มารึเปล่า ฉันมีความรู้สึกว่างานนี้เราจะโชคดีกว่าที่คิด”
------------------------------------
   เมื่อแน่ใจแล้วว่าฟ่งกำลังดูแม่บ้านทำความสะอาดห้องอยู่จริง รูฟัสจึงแวะไปสั่งความกับรัสเลอร์ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวเสียใหม่ และลงไปสำรวจรอบๆ ตึก
   ความจริงเขานึกเห็นด้วยกับความคิดของราฟาแอล การที่ได้วรุตมาอาจจะทำให้เรื่องง่ายขึ้น อย่างน้อยเก็บไว้ใช้เป็นแผนสำรองที่ได้ผลชะงัก แต่รูฟัสไม่เข้าใจว่าทวีศักดิ์ปล่อยวรุตมาได้ยังไง หรือว่าจริงๆ บุตรชายคนนี้ของเขาไม่ได้สำคัญอย่างที่คิด อย่างไรก็ดีคงต้องตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมาอีก เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นแผนหรืออะไรสักอย่างก็ได้
-------------------------------------
    วรุตระบายลมหายใจยาว ทั้งรู้สึกดีใจ ตกใจ และตื่นเต้น ผู้ชายชาวต่างชาติที่อ้างชื่อว่าราฟาแอลเพิ่งออกไป พร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเขา
ชายคนนั้นถามคำถามคล้ายๆ กับที่อีกคนหนึ่งถาม ดีกว่าตรงที่ไม่ได้แสดงทีท่าไม่พอใจหรือกดดัน ตรงกันข้าม ดูเหมือนจะสนับสนุนเขาด้วยซ้ำ วรุตเดาว่าชายชาวต่างชาติสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมผู้ชายสองคนนี้ถึงปรากฏตัวพร้อมกับฟ่ง หรือที่ฟ่งหายไปเพราะถูกสองคนนี่พาตัวไป  แปลว่าสองคนนี่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับแผนการลับของพ่อเขาหรือเปล่า เด็กหนุ่มคาดเดาว่านี่อาจจะเป็นสายลับที่พ่อเขาเคยพูดถึง ดูเหมือนคนผมสีดำจะเคยเห็นเขากับอิทธิเดชด้วย ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่
   วรุตกำลังคิดว่าตัวเขาหลุดมาในโลกที่เคยได้ยินเพียงแค่เรื่องเล่า เขารู้ว่าพ่อทำงานผิดกฎหมาย ฆ่าคน และหลายๆ อย่าง แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมันจริงๆ เสียที
ทวีศักดิ์พยายามจะปิดบังเขา หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ และเขาเองก็พยายามจะหลีกเลี่ยงเช่นกัน หลายครั้งที่เด็กหนุ่มพยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อให้เลิกทำงานแบบนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นผล ดังนั้นเขาเลยพยายามไปพูดกับคนที่คิดว่าพอจะพูดได้ ให้เลิกทำงานสกปรกให้พ่อของเขาแทน แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์อีกเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิเดช
วรุตรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมากที่ชายคนนี้ทำงานสกปรกเพื่อพ่อของเขา เขาไม่อยากให้อิทธิเดชทำเรื่องพวกนี้ คนที่หน้าตาราวกับนางฟ้าแบบนั้นน่าจะอยู่ในที่ดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ สิ
เขาพยายามทำทุกอย่างที่พอจะทำได้ ทั้งที่ดีและเลวร้ายถึงที่สุด เพื่อให้ชายคนนี้เลิกวิถีการดำเนินชีวิตเดิมๆ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรอีกเช่นกัน สุดท้ายก็มีแต่เขาที่แปลกแยกอยู่คนเดียว
เมื่อได้รู้เรื่องราวของฟ่ง วรุตตัดสินใจจะใช้ความพยายามที่เขามีทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้ โดยไม่นึกเลยว่า ผู้ชายที่เขาอยากจะปกป้อง ยังมีเบื้องหลังที่คาดไม่ถึงอยู่
ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ก้าวเท้าเข้ามาสู่โลกที่ผู้เป็นพ่อกันเขาออกปิดบังมาโดยตลอดอย่างเต็มตัวเสียแล้ว
ทั้งผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อราฟาแอล กับผู้ชายผมสีดำคนนั้น คงไม่ใช่คนทำงานในวงการถูกกฎหมายแน่ๆ และอาจจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ่อของเขา ถึงอย่างนั้น คนพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นฮีโร่ ไม่ได้ช่วยคนเพราะเห็นแก่มนุษย์ธรรมเสียหน่อย อาจจะถูกจ้างมาอีกทีก็ได้
วรุตคิดว่าเขาไว้ใจคนพวกนี้ไม่ได้ ความตั้งใจของเขา เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเอง แต่ดูท่าทางตอนนี้เขาอาจจะกลายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของคนพวกนี้ไปแล้วก็ได้
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะกับตัวเอง จะเป็นอะไรไปล่ะ ถ้านั่นทำให้เขาสามารถปกป้องฟ่งได้ 
การที่ได้ยกฐานะกลายเป็นเครื่องต่อรอง ยังไงก็ดูจะให้ประโยชน์มากกว่าการเป็นแค่โล่มนุษย์ไม่ใช่หรือ?
วรุตตัดสินใจแล้วว่า เขาจะช่วยสองคนนั่นทำลายแผนของพ่อเขาในส่วนที่เขาพอใจจะช่วย เพื่อให้ฟ่งปลอดภัย
   ฟ่ง...
   วรุตนึกแปลกใจตัวเอง เมื่อนึกถึงผู้ชายสวมแว่นคนนั้น นี่เขากำลังทำทุกอย่างเหมือนคนบ้าเพื่อคนที่เขาเพิ่งรู้แค่ว่าชื่อฟ่ง ผู้ชายอายุราวๆ ยี่สิบกว่าๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดีเด่นทางรูปลักษณ์  หนุ่มสวมแว่นหน้าตาเซอร์ๆ ตัวผอมๆ ดูอ่อนแอ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าไปก่อปัญหาให้กับอารัตน์ลูกน้องคนสนิทของพ่อเขา หรือสร้างสรรค์ผลงานที่น่าประทับใจอย่างห้องนิรภัยนั้นได้เลย
   จะว่าไปแล้ว เขาเองเพิ่งคุยกับคนที่เขาตามหาได้ไม่กี่คำเองนี่นา ท่าทางเขาคงต้องหาเวลาเข้าไปคุยกับคนคนนั้นเป็นการส่วนตัวอีกสักรอบ
   เด็กหนุ่มถอนหายใจ บางทีการที่เขาไล่ตามฟ่งอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ อาจจะเพราะผิดหวังจากอิทธิเดชก็เป็นได้
--------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 12-07-2011 21:37:35
วรุตกล้าหาญดี

กล้าที่จะแตกจากครอบครัวและคนรัก มายืนฝั่งตรงข้าม
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-07-2011 22:02:31
ชอบรูฟัสหึงจริง ๆ มันน่ารักจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 12-07-2011 22:03:15
ที่ผมว่าไม่เนียนก็หมายถึงทั้งสองคนนั่นแหละ ที่สำคัญก็ฟ่งเพราะทวีศักดิ์ต้องจับตามองอยู่แล้ว
การที่วรุตมาเจอได้ง่ายๆ ก็เหมือนที่ราฟาแอลว่า คงต้องมีใครติดตามมาด้วยแน่ แนะนำให้มี
ฐานลับเผื่อเกิดเหตุเพ่ิมด้วย แล้ววรุตพกบัตรผ่านของห้องลับมาด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่น่าจะเอา
ให้พวกรัสเลอร์ เผื่อจะสามารถแกะรหัสทำบัตรเพ่ิมเติม หรือเตรียมแผนวงจรทำให้ระบบประตู
รวนได้
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 12-07-2011 22:46:37
 :o8:

วรุตน่ารักกอ่ะ  กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูก

แอบเชียร์วรุตนะเนี่ย   อิอิ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2011 22:49:10
โควต้าไม่ได้อีกแล้ว..... (สลบ)

มาตอบแบบมึนๆ ค่ะ แฮ่ๆ

สำหรับเรื่องการกลับมาห้องเดิมของทั้งสองกลุ่มนี้ แถได้เต็มที่แค่นี้เองค่ะ ไม่งั้นคงจะไม่สามารถมาเจอกับวรุตได้

ว่าแต่... ฉันมีเขียนไปว่าระบบผ่านประตูใช้การ์ดหรือคะ? (โอย ตาลายอ่ะค่ะ จริงๆ แล้วใช้ระบบสแกนม่านตานะคะ แต่จะอนุญาตให้ผ่านได้เป็นคนๆ แล้วก็ได้เฉพาะบางเกทค่ะ) ถ้าหลุดใช้การ์ดไปจริง รบกวนแจ้งตำแหน่งเลยค่ะ (คาดว่าจะหาเองไม่เจอแน่ๆ )

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ^^
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 12-07-2011 23:08:45
ขออภัยทำเอาตกใจเลยละมั้ง หาให้แล้วครับ ผมจำผิดเอง เพราะจำได้แต่ว่าทวีศักดิ์ให้วรุตผ่านชั่วคราว
สมองเลยจำเป็นว่าบัตรผ่านชั่วคราว ถ้าสแกนรูม่านตานี่ คงไม่ต้องถึงขนาดควักลูกตาวรุตออกมากันหรอก
เนอะ ถ้าแค่นิ้วมือยังพอทำเลียนแบบง่ายหน่อย แต่วรุตที่ได้เคยเข้าไปแล้ว คงมีประโยชน์บ้างละเนอะ

ตอนกลับไปหาเรื่องระบบความปลอดภัย เลยไม่แน่ใจว่าตกลงวรุตได้เห็นแต่โซนเอหรือได้เดินไปรอบๆ ทั้ง
หมดอย่างที่ทวีศักดิ์บอกว่าวันหลังจะให้คนพานำแล้วหรือยัง
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-07-2011 23:15:57
ู^
^
^
ขอบคุณมากนะคะ :o8:

ขอลาไปนอนก่อนล่ะค่ะ (พอมีคนทักแล้วก็ทำให้นึกว่าควรจะแก้หลายๆ ที่นะเนี่ย ขอบคุณนะคะ^.^)
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-07-2011 09:55:31
บทที่45  เหตุผลของคนขี้หึง

   ฟ่งทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา พลางถอนหายใจยาว เขาเพิ่งมีเวลาอยู่กับตัวเองเป็นครั้งแรก  หลังกจากแม่บ้านออกไปแล้ว
   การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าวรุตหรือวิน แทบจะทำให้ความรู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้านของเขาอันตระทานไปหมดสิ้น ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แม้แต่หน้าตาของคุณทวีศักดิ์ที่เขาอ้างว่าเป็นพ่อ เขาก็ยังเห็นไม่ค่อยชัด แต่รูฟัสดูเหมือนจะยืนยันได้ว่าวรุตเป็นลูกชายของทวีศักดิ์จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่วรุตอ้างจะน่าเชื่อถือขนาดไหนกันนะ
   เหตุผลของวรุตนั้นดูน่าเหลือเชื่อเกินไป ฟ่งไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงไปได้ แต่แววตาของเด็กคนนั้นเวลาพูดก็ไม่เหมือนว่ากำลังโกหกอยู่ และถ้าตั้งใจจะโกหกจริงๆ ก็น่าจะหาเรื่องอะไรที่ดูน่าเชื่อถือกว่านี้สิ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารูฟัสจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดไปในทางอื่นเรียบร้อยแล้ว ผู้ชายคนนั้นคงคิดว่าเด็กนี่คิดอะไรไม่ดีกับเขาอยู่แน่ๆ ฟ่งอยากจะแย้งออกไปจริงๆ ว่ารูฟัสนั่นแหละที่คิดมาก แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยมีบทเรียนเรื่องรัสเลอร์ เพราะอย่างนั้นถึงอยากจะพูดก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก ขณะที่ราฟาแอลดูจะมีท่าทีตรงกันข้ามกับรูฟัสอย่างสิ้นเชิง
ฟ่งไม่รู้ว่าราฟาแอลคุยอะไรกับวรุตบ้างตอนที่ได้เจอกัน แต่ที่แน่ๆ หลังจากเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว หนุ่มผมบล็อนด์คนนี้ก็แสดงอาการให้เห็นว่าอยากให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่ คงอยากจะใช้เป็นตัวประกันหรืออะไรแบบนั้นล่ะมั้ง 
   เขาควรจะบอกวรุตเรื่องนี้ดีหรือเปล่า
   แต่ถ้าวรุตไปจากที่นี่ ก็เท่ากับว่าความลับของรูฟัสและราฟาแอลจะถูกเปิดเผยออกไปด้วยน่ะสิ ฟ่งรู้สึกผิดที่ตามรูฟัสเข้ามาในห้อง แต่มาคิดตอนนี้มันจะช่วยอะไรได้ล่ะ
   เขาคงต้องรั้งตัววรุตไว้ก่อน แล้วค่อยปรึกษาสองคนนั่นอีกที
   เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาเดินไปที่ประตู และพบว่าผู้ที่มาเคาะเป็นที่เขาเพิ่งนึกถึงไปเมื่อครู่ ฟ่งเปิดประตูให้วรุตเข้ามา
   “ไว้ใจผมแล้วหรือ?” เด็กหนุ่มถามขณะเดินเข้ามาในห้อง ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ วรุตหัวเราะ
   “เพื่อนของคุณที่ชื่อราฟาแอลเพิ่งผมให้ดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ เขาคงอยากจะให้ผมอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ก็ผมเป็นตัวประกันชั้นเยี่ยมนี่นา”
   “นายไม่น่าจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้” ฟ่งพูดอย่างรู้สึกผิด เขานั่งลงบนโซฟา นี่ตกลงวรุตก็เดาความคิดของราฟาแอลได้หรือนี่ ท่าทางจะมีแต่เขาคนเดียวที่รู้สึกตัวช้า
   “อย่าเครียดไปเลยครับ” วรุตกล่าวอย่างร่าเริง “มันเป็นความตั้งใจของผม แล้วผมก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร?”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้ง วรุตจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
   “คุณชื่อฟ่งใช่ไหม ผมได้ยินเพื่อนของคุณเรียกน่ะ”
   “อือ” ฟ่งส่งเสียงในคอ แล้วพยักหน้า วรุตมองเขาแล้วหันไปมองรอบๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะหยุดตรงโต๊ะไฟที่ตอนนี้สะอาดเป็นเงาวาวดีแล้ว
   “ที่ที่คุณจบมาคงดีน่าดู แต่ผมไม่ค่อยรู้จักมหาลัยในประเทศไทยหรอก” เด็กหนุ่มกล่าว ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
   “นายไม่ได้เรียนที่นี่เหรอ?” ฟ่งถามอย่างแปลกใจ วรุตสั่นศีรษะ
   “ผมเรียนที่เยอรมัน เพิ่งกลับมาไม่กี่เดือนนี่เอง”
   “อ้อ.... เรียนด้านอะไรล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถามขึ้นบ้าง เด็กหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด
   “เกี่ยวกับเคมีน่ะ อืม..พ่ออยากให้ผมเรียนเพื่อมารับช่วงต่อ แต่ผมไม่อยากจะรับช่วงบริษัทต่อจากเขาเลย”
   “ทำไมล่ะ” ฟ่งเอ่ยถามอีก พลางเดินกลับมานั่งที่โซฟา
   “ก็ผมไม่ชอบ” เด็กหนุ่มตอบ แล้วเดินมานั่งตรงโซฟาอีกตัวหนึ่ง ฟ่งมองหน้าเขาอีกครั้ง
   “แล้วแม่นายล่ะ?”
   “ตายแล้ว” วรุตว่า คราวนี้ฟ่งเลยหน้าเจื่อนลงทันที “ขอโทษนะ”
   เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “จะขอโทษทำไม คุณไมได้ฆ่าแม่ผมสักหน่อย”
   “ผม.. เอ้อ...”
   วรุตมองเจ้าของห้องที่มีสีหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วถามอีก “คุณกลัวว่าผมจะสะเทือนใจเหรอ?”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องมันตั้งนานมาแล้วล่ะครับ ผมไม่คิดอะไรแล้วล่ะ”
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้า พลางคิดว่าว่ารูฟัสเองก็เสียครอบครัวไปเหมือนกัน แต่พอคุยกันทีไร ทางนั้นก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรแล้ว สรุปว่าเขาคิดมากไปเองหรือนี่
   “ทำไมนายถึงต่อต้านพ่อล่ะ?”
   “ต่อต้านพ่อ? ผมน่ะเหรอ?” วรุตพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา
   “ผมไม่ได้ต่อต้านพ่อหรอก ตั้งแต่แม่ตาย เขาอยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำให้ ส่งผมไปเรียนเคมีที่เยอรมันผมก็ไป ให้ผมอยู่คนเดียวผมก็ทำได้ ผมทำอย่างที่เขาหวังมาตลอดเลยนะ”
   “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะรับช่วงต่อ ไม่สิ ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่ควรจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ”
   “เอ่อ..” วรุตคราง นี่ฟ่งคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ผู้ชายคนนี้คิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปหรือไง?
   “ผมไม่ได้ต่อต้านพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนี่ครับ ก็อย่างที่ผมเล่า ผมทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเลยต้องมาที่นี่ แต่คุณก็ไม่เชื่อผมอยู่ดีนั่นล่ะ”
   “ผมเชื่อไม่ลงหรอก” ฟ่งว่า วรุตพูดต่อยิ้มๆ
   “ผมไม่ได้อยากให้คุณเชื่อเรื่องที่ผมพูดหรอกครับ ผมก็แค่ทำตามความตั้งใจของตัวเองเท่านั้นแหละ”
   “เอ่อ...” ฟ่งส่งเสียงในลำคออย่างไร้ความหมาย มองหน้าของเด็กหนุ่มอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดต่อ “ขอบใจนะ”
   คิ้วของวรุตเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ “ขอบใจ? ขอบใจผมหรือครับ?”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า แล้วพูดต่อ “ก็ถ้าที่นายพูดมันเป็นความจริง อย่างน้อยผมก็ควรจะขอบใจใช่ไหมล่ะ ถ้ามีใครสักคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องผม ผมต้องสำนึกในความดีของเขาสิ”
   วรุตมองมาทางฟ่งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ เขาอึ้งไปพักใหญ่ และหัวเราะออกมา
   “คุณตลกดี” วรุตพูด และเมื่อเห็นว่าฟ่งทำหน้าหงิกก็เลยต้องรีบพูดต่อ
   “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะคุณนะ คือ ผมไม่คิดว่าจะมีคนพูดแบบนี้กับผม ยังไงดีล่ะ.. เอาว่า ขอบคุณนะครับ”
   ฟ่งยังไม่หายหน้าหงิก แต่ก็พยักหน้ารับคำขอโทษและคำขอบคุณแต่โดยดี ขณะที่วรุตอ้าปากจะพูดต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “ผมไปดูให้” เด็กหนุ่มอาสาและลุกพรวดพราดไปที่ประตูโดยไม่รอว่าเจ้าของห้องจะเห็นด้วยรึเปล่า เขามองลอดตาแมวอยู่พักหนึ่ง และตะโกนกลับมา
   “ฝรั่ง... เพื่อนคุณอีกคนรึ?”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เขาเดินไปที่ประตู เบียดวรุตออกจากช่องตาแมว ก่อนจะชะโงกหน้าไปมอง
   “อ้อ..” ร่างบางกล่าว และเปิดประตูออก
   “I miss you so much!” นั่นคือประโยคแรกที่รัสเลอร์พูดออกมาเมื่อฟ่งเปิดประตูแล้ว ผู้ถูกทักขมวดคิ้ว ดูจะไม่ยินดีกับคำทักทายนั่นเท่าไหร่นัก
   “ผมเข้าไปได้ไหม คุยด้านนอกคงไม่สะดวก” รัสเลอร์พูดต่อ เมื่อเห็นว่าฟ่งยังไม่เอ่ยปากชวนเขาเข้าไปในห้อง หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว “คุณจะคุยกับผมเรื่องอะไรน่ะ?”
   “ขอผมเข้าไปก่อนสิครับ” รัสเลอร์ว่า พลางทำหน้าขอความเห็นใจอย่างน่าสงสาร
   หลังจากมองหน้าผู้มาเยือนอยู่อีกพักหนึ่ง ฟ่งจึงเปิดประตูให้รัสเลอร์เข้ามาในห้อง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนทางนั้นจะมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัดตอนที่ก้าวเข้ามา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีอีกคนอยู่ในห้องอีก
   “นี่คือเด็กที่คุณเล่าให้ราฟี่ฟังเหรอ?” รัสเลอร์ถาม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที  ฟ่งพยักหน้า ในขณะที่วรุตมองดูผู้มาใหม่อย่างงุนงง
   “แล้วรูฟัสล่ะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอ่ยถามต่อ ฟ่งมองหน้าเขา ถามกลับด้วยความงุนงง “อ้าว ไม่ได้อยู่กับคุณหรอกหรือ?”
   รัสเลอร์สั่นศีรษะบ้าง “เปล่า ผมเข้าใจว่าอยู่กับคุณไม่ก็อยู่กับราฟี่เสียอีก แล้วนี่ราฟี่ไม่ได้อยู่ด้วย?”
   ฟ่งสั่นศีรษะอีกครั้ง
   “เอ๋!” รัสเลอร์ร้อง พลางทำนห้าตกใจ “ตกลงเด็กนี่อยู่กับคุณแค่สองต่อสองเหรอ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วกับคำว่าสองต่อสอง ก่อนจะถามออกไป “มีอะไรหรือไง?”
   รัสเลอร์หัวเราะแหะๆ ดูท่าทางฟ่งจะยังไม่หายโกรธเขา แต่ที่แน่ๆ เจ้าเด็กนี่ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจเหมือนกันกันแหละ
   “คุณน่าจะระวังตัวเอาไว้หน่อยนะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดเตือน พลางมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า และคิดว่ารัสเลอร์พูดเหมือนใครบางคนก่อนหน้านี้เปี๊ยบ รัสเลอร์มองฟ่งและวรุตสลับไปมา แล้วถอนหายใจ
   “เขาเข้ามาในห้องคุณทำไมน่ะ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลถามพลางพยักเพยิดไปทางวรุต ฟ่งยืนนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ”
   “อ้าว” รัสเลอร์ร้องขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คุณเปิดประตูให้เขาเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
   ฟ่งขมวดคิ้วอีกครั้ง พลางคิดว่าเขาก็เปิดประตูให้รัสเลอร์เข้ามาโดยที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรเหมือนกันนั่นแหละ
   “สรุปว่าคุณมาหาผมนี่ มีเรื่องอะไรล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถามกลับ รัสเลอร์มองหน้าฟ่งอึ้งๆ ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม
   “คุณจะให้เด็กคนนี้อยู่ในห้องอีกนานรึเปล่า?”
   ฟ่งหันไปทางวรุต “ผมยังไม่รู้เลยว่าเขามีธุระอะไร”
   “งั้น คุณจัดการธุระกับเขาก่อนแล้วกัน ผมรอได้ ไม่เป็นไร” รัสเลอร์ว่า ฟ่งย่นคิ้วนิดๆ แต่ก็หันไปหาวรุต
   “ตกลงนายมีธุระอะไรกับผมล่ะ?”
   วรุตทำหน้างงๆ ก่อนจะสั่นศีรษะ “เปล่า ผมแค่อยากคุยกับคุณเฉยๆ ”
   ฟ่งมองหน้าเด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่ง แล้วหันกลับมาหารัสเลอร์ต่อ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเอ่ยถามทันที “เขาว่าไงครับ”
   “เขาแค่อยากคุยกับผมเฉยๆ น่ะ” ฟ่งตอบ รัสเลอร์ทำหน้าหงิกทันที “งั้นก็บอกเขาว่าออกไปได้แล้วก็แล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณต่อเอง”
   ฟ่งขมวดคิ้วมองรัสเลอร์ และคิดว่าเขาควรจะต้องระวังเจ้าหมอนี่มากกว่าวรุตเสียอีก
   “ผมอยากให้เขาไปเดี๋ยวผมก็เปิดประตูให้เขาออกไปเองนั่นแหละ คุณมีธุระอะไรพูดมาเลยดีกว่า”
   รัสเลอร์ยิ้มแห้งๆ พลางเหลือบมองวรุตแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ผมอยากไปเที่ยว”
   “?”
   “คือผมเพิ่งมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกน่ะ คุณช่วยพาผมออกไปดูนั่นดูนี่หน่อยสิ” รัสเลอร์พูดอย่างร่าเริง ฟ่งยืนมองหน้ารัสเลอร์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นช้าๆ
   “ผมต้องออกไปซื้อโทรศัพท์มือถือ คุณจะออกไปกับผมก็ได้”
   รัสเลอร์ยิ้มกว้างด้วยท่าทางดีใจเกินเหตุ จนฟ่งคิดว่าเจ้าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงรึเปล่า ได้ยินเสียงวรุตพูดขึ้นต่อหลังจากนั้น
   “คุณจะออกไปข้างนอกหรือครับ งั้นผมไปด้วยนะ ผมว่าคุณไม่ควรจะออกไปไหนมาไหนคนเดียว”
   “มีฉันไปด้วยแล้วไง” รัสเลอร์เอ่ยปากขัดขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากพูดกับเด็กหนุ่มแปลกหน้า อีกฝ่ายหันมามองทันที
   “ผมจะไปด้วย” วรุตย้ำคำเดิม และนึกหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาที่รัสเลอร์มองมาทางเขา ทำไมเจ้าฝรั่งพวกนี้ถึงได้มองเขาด้วยสายตาไม่ไว้ใจขนาดนี้นะ เขาไม่ได้จะมาขโมยอะไรเสียหน่อย
ฟ่งถอนหายใจ และเปิดประตูออกไปด้านนอกโดยไม่รอฟังผลสรุป และเจอกับรูฟัสที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟท์พอดี
   “อ้าว จะไปไหนน่ะครับ?” รูฟัสถามหนุ่มสวมแว่น และขมวดคิ้วเมื่อเห็นสองคนที่เดินตามออกมา
   “ไปซื้อมือถือน่ะ” ฟ่งตอบ และเห็นรูฟัสขมวดคิ้ว
   “มือถือ?” หนุ่มตาสองสีทวนคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้างุนงง ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง “โทรศัพท์มือถือผมโดนเฟิงปิงยึดไป ผมเลยต้องออกไปซื้อเครื่องใหม่ ผมบอกคุณที่สนามบินแล้วไง”
   “อ้อ..” รูฟัสร้องอย่างคนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ “แล้วคุณจะเอาโทรศัพท์ไปทำไมน่ะครับ”
   “ก็เอาไปโทรนะสิ” ฟ่งตอบ และนึกหงุดหงิดขึ้นมา นี่รูฟัสไม่ได้สนใจใยดีชีวิตของเขาเลยใช่ไหมนี่
   “ผมจะออกไปซื้อที่ห้างฯ คุณจะไปซื้ออะไรรึเปล่าล่ะ ไปพร้อมกันเลยก็ได้ จะได้มีคนหารค่าแท็กซี่” ฟ่งยังทำใจดีชวนรูฟัส แม้จะนึกหงุดหงิดอยู่เล็กๆ รูฟัสยกมือขึ้นลูกหน้า แล้วครางออกมา “อา..”
   หนุ่มตาสองสีมองหน้าหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ตรงข้าม พลางกะพริบตาปริบๆ เวลาแบบนี้ฟ่งยังมีกะใจมาคิดเรื่องหาคนหารค่าแท็กซี่อยู่อีกเหรอ คนคนนี้รู้ตัวรึเปล่านะว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันน่ะ
   “ผมว่าคุณไม่ควรออกไปไหนเลยจะดีกว่า” รูฟัสพูดออกมาในที่สุด และกึ่งเดินกึ่งดันฟ่งกลับเข้าไปในห้อง
   “ทำไมล่ะ?” หนุ่มสวมแว่นถาม และพยายามจะเดินเบียดออกไปอย่างดื้อดึง รูฟัสหลับตา เขาคงต้องอธิบายให้ฟ่งเข้าใจถึงสถานภาพของตัวเองซ้ำอีกรอบ
   “คุณกำลังถูกตามล่าตัวอยู่นะครับ ผมไม่รู้ว่าด้านนอกนั่นมีใครกี่คนรอจัดการคุณอยู่
แล้วเจ้าสองคนที่ทำท่าจะตามคุณไปนี่ก็ไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะคุ้มครองคุณหรอกนะ” รูฟัสพูดและหันไปทางวรุตกับรัสเลอร์ วรุตทำหน้าแปลกๆ แม้รัสเลอร์จะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ก็พอจะเดาใจความคร่าวๆ ได้จากสีหน้าและท่าทางของรูฟัสที่แสดงออกมา
   “แต่ผมต้องใช้โทรศัพท์นะ” ฟ่งแย้งทันที รูฟัสมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คุณจะเอาไปโทรหาใครล่ะครับ”
   “พี่สาวผมสิ ผมขาดการติดต่อกับครอบครัวไปเกือบเดือนแล้วนะ ขืนกลับมายังไม่ซื้อโทรศัพท์อีก ทางบ้านผมอาจจะไปแจ้งความก็ได้” ฟ่งอธิบายความจำเป็นของเขา รูฟัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ
   “อืม...ผมเข้าใจล่ะ แต่ว่ายังไง...ตอนนี้คุณเพิ่งอย่าให้ใครรู้ว่าคุณกลับมาแล้วเลยจะดีกว่า  ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าคุณยังอยู่ที่ต่างประเทศ”
   “แต่ผมโทรบอกพี่สาวเรียบร้อยแล้วล่ะว่ากลับมาถึงแล้ว”
   รูฟัสแทบจะเอามือกุมขมับ เขาพยายามยอมรับว่าพลาดเองที่ไม่ได้เตือนฟ่งเรื่องนี้
   “งั้น...โทรไปบอกพี่สาวคุณอีกทีนะครับว่าคุณกำลังจะไปเมืองนอกอีก” หนุ่มตาสองสีพูดต่อ แล้วมองคนตรงข้ามด้วยสายตาวิงวอน ฟ่งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
   “ก็ได้ แต่ผมต้องซื้อโทรศัพท์ก่อนนะนะ เพราะผมบอกพี่สาวแล้วว่าจะซื้อใหม่ จะให้ใช้เบอร์คนอื่นโทรไปก็ผิดปกติใช่ไหมล่ะ”
   “บอกเธอว่าคุณยังไม่ซื้อไม่ได้เหรอครับ” รูฟัสเปิดฉากต่อรอง ฟ่งทำปากแบะ “มันไม่ดูน่าสงสัยเกินไปเหรอ ผมเพิ่งกลับมา แล้วก็จะไปอีก ทั้งๆ ที่มือถือก็ยังหายอยู่เนี่ยนะ”
   “เอ้อ...” รูฟัสครางอย่างคนที่หมดปัญหาจะเถียงต่อ “งั้น... ผมจะออกไปซื้อให้ก็แล้วกัน”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วถามต่อ “คุณรู้ที่ซื้อเหรอ?”
   “ในห้างก็มีขายใช่ไหมล่ะ ผมไปถูกน่า” รูฟัสว่า ฟ่งหัวเราะแหะๆ หนุ่มตาสองสีเลยพูดต่อ “อยากได้ยี่ห้ออะไรล่ะครับ”
   “อะไรก็ได้ ไม่ต้องแพงนักหรอก เอาแค่โทรเข้าโทรออกได้ก็พอ” ฟ่งตอบ รูฟัสพยักหน้า  แล้วหันไปมองอีกสองคนที่เหลือ
   “พวกนายสองคน กลับห้องตัวเองไปได้แล้ว”
   ทั้งวรุตและรัสเลอร์ไม่มีใครยอมขยับ ราวกับว่าไม่ได้ยินที่รูฟัสพูด หรือขาถูกตอกตะปูตรึงอยู่กับพื้นก็ไม่ปาน หนุ่มตาสองสีหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น ก่อนจะคิดได้ว่าพูดกับเจ้าพวกนี้ไปคงไม่รู้เรื่อง จึงหันไปพูดกับฟ่งแทน
   “ฟ่งครับ เข้าห้องไปแล้วปิดประตูล็อกกุญแจให้ดีเลยนะครับ อย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาดนะ นอกจากผม”
   “ผมไม่ซี้ซั้วเปิดให้ใครเข้ามาหรอกน่า” ฟ่งว่า รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะไม่พูดอะไรแย้งฟ่งในตอนนี้
   “เป็นอันตกลงนะครับ  ห้ามให้ใครเข้านะ”
   “อืม คุณไปได้แล้วล่ะ” ฟ่งว่า ดูเหมือนเขาจะเริ่มรำคาญรูฟัสขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มตาสองสีรีบพยักหน้า แต่ยังไม่ทันได้หันหน้าเดินออกไปก็มีอันต้องพูดขึ้นมาอีกครั้ง
   “เดี๋ยว!” รูฟัสโพล่งขึ้น เมื่อเห็นว่ารัสเลอร์และวรุตเดินกลับเข้าไปในห้องของฟ่ง
   “ไอ้เจ้าสองคนนั่นน่ะ ให้ออกมาด้วยนะครับ ไม่ต้องพาเข้าไปหรอก”
   ฟ่งขมวดคิ้ว “สองคนนั่นไม่เป็นไรหรอก คุณไปเถอะ”
   “แต่ว่า..” รูฟัสพูดด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ร่างบางถอนหายใจเฮือก
   “ผมดูแลตัวเองได้นะ คุณอย่าหึงให้มากนักเลย อยู่กันสามคน คุณรัสเลอร์คงไม่ทำอะไรผมหรอก อีกอย่าง ก็ดีกว่าผมอยู่คนเดียวใช่ไหมล่ะ... นะ..”
   ฟ่งทิ้งท้ายและทำให้รูฟัสเบิ่งตาอย่างแปลกใจ เมื่อเขาเดินเข้ามา และยื่นหน้าขึ้นไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
   “ก็ได้ครับ” รูฟัสตอบ และยิ้มกว้าง รู้สึกดีใจจนไม่อยากจะออกไปในตอนนี้เลย เขามองฟ่ง ดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้
   “ผมจะรีบกลับมา รักคุณนะครับ” เขาก้มลงหอมแก้มนั้นเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไป
----------------------------------
   “ไปแล้วเหรอ?” ทั้งวรุตและรัสเลอร์พูดเกือบจะพร้อมกันแต่เป็นคนละภาษา ในตอนที่ฟ่งเปิดประตูเข้ามา จนชายหนุ่มสวมแว่นรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้กำลังรอจังหวะอะไรอยู่หรือเปล่า เขาพยักหน้า และกวาดตามองตัวยุ่งทั้งสอง
   “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกคุณก็น่าจะกลับไปห้องเหมือนกันนะครับ”
   หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจพูดเป็นภาษาอังกฤษ เขาขี้เกียจพูดซ้ำเรื่องเดิมสองภาษา ถึงเขาจะบอกรูฟัสว่าอยู่กันสามคนน่าจะปลอดภัยดี แต่เอาเข้าจริงฟ่งคิดว่ามีสองคนนี้อยู่ด้วยเขาคงจะปวดหัวเสียมากกว่า ที่บอกรูฟัสไปเพราะอยากให้ทางนั้นเลิกกังวลไม่เข้าเรื่องเสียที ทั้งวรุตและรัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที
   “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง เจ้าพวกนี้คงต้องกำลังเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ
   “ผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้น คือว่ารูฟัสเขาขี้หึงมาก ทางที่ดีพวกคุณออกไปดีกว่า” เขาพยายามรักษาน้ำใจของทั้งคู่โดยการยกรูฟัสมาอ้าง แต่ที่อ้างไปก็มีเหตุผลอยู่ล่ะ ก็รูฟัสขี้หึงจริงๆ นี่นา
   “ถ้าเจ้าเด็กนี่ออก ผมออก” รัสเลอร์พูด แต่ก็นึกแย้งอยู่ในใจว่าใครจะออกไปให้โง่กัน อุตส่าห์จะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับฟ่ง โดยที่ไม่มีเจ้ารูฟัสอยู่ขัดขวางทั้งที ยังไงเขาก็ต้องจัดการเอาเจ้าเด็กแปลกหน้านี่ออกไปก่อนให้ได้ล่ะ
   “ผมจะออกไปทำไม ผมตั้งใจจะมาปกป้องเขานะ” วรุตตอบกลับ และรู้สึกไม่ไว้ใจหนุ่มต่างชาติผมสีน้ำตาลเข้มคนนี้ขึ้นมาถนัด ท่าทางเจ้าหมอนี่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่ๆ
   ฟ่งมองทั้งคู่อีกรอบ และถอนหายใจเฮือก
   “ตามใจก็แล้วกัน ถ้าจะออกไปก็ปิดประตูให้ดีด้วย ผมจะเข้าห้องน้ำ”
   วรุตกับรัสเลอร์หันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากที่ฟ่งปิดประตูห้องน้ำแล้ว  เด็กหนุ่มชาวไทยเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นก่อน
   “คุณแอบชอบแฟนเพื่อนหรือไง?”
   “ใช่ แล้วไง เธอมีปัญหาเหรอ?” รัสเลอร์ตอบ และยักไหล่อย่างยียวน วรุตสั่นศีรษะ
   “ผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าคุณไม่พยายามจะกันให้ผมอยู่ห่างๆ จากฟ่งน่ะนะ”
   “ฉันกำลังจะถามนายเรื่องนั้นอยู่ ทำไมนายถึงต้องมาเกาะแกะฟ่งขนาดนี้” รัสเลอร์ถามอย่างเอาเรื่อง วรุตขมวดคิ้วอีก
   “ผมไม่ได้เกาะแกะ ผมมาคุ้มครองเขา” เด็กหนุ่มตอบกลับ นึกหงุดหงิดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที ที่ว่าเกาะแกะน่ะควรจะหมายถึงตัวเองต่างหากล่ะ รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เชื่อถือ
   “นายจะคุ้มครองอะไรเขา ยิงปืนเป็นรึ? เคยผ่านสนามรบมาหรือไง?”
   “ไม่เคยทั้งสองอย่างนั่นแหละ คุณเคยแล้วรึไง” วรุตตอบ และนึกขำกับคำถาม ใครบ้ามันจะเคยไปสนามรบจริงๆ กัน
   “ฉันก็ไม่เคย แต่เจ้าบ้าที่เพิ่งออกไปตะกี้ผ่านมาแล้วทั้งสองอย่าง”
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่44 p6 12/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-07-2011 09:55:51
   “?” เด็กหนุ่มเบิ่งตาอย่างแปลกใจ  รัสเลอร์เลยพูดซ้ำอีกรอบ
   “นายฟังไม่ผิดหรอก เจ้านั่นน่ะเคยผ่านสนามรบมาแล้ว”
   “พวกคุณเป็นทหารรับจ้างหรือไง? ” วรุตถามอย่างสนใจทันที รัสเลอร์สั่นศีรษะ
   “เปล่า ไม่ใช่ฉัน แค่เฉพาะเจ้าสองคนนั่นน่ะ แต่ฉันอยากจะบอกนายว่า ถ้าคิดจะจีบฟ่งล่ะก็ นายจะต้องผ่านมนุษย์เดนสงครามไปก่อน”
   วรุตยักไหล่ มองรัสเลอร์ด้วยแววตาแปลกใจ
   “ผมไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย ก็ผมไม่ได้คิดจะจีบเขานี่ ว่าแต่คุณเถอะ ผ่านเขามาได้หรือยังล่ะ เป็นห่วงตัวเองดีกว่าล่ะมั้ง”
   รัสเลอร์ยิ้มให้วรุตอย่างอดทนอดกลั้น “ฉันพอรู้จักเจ้านั่นดี นายนั่นแหละที่ต้องระวังตัวไว้”
   “พวกคุณอย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องงี่เง่าแบบนี้ได้ไหม!” ฟ่งตะโกนออกมาจากห้องน้ำ เขาอยากจะเอาไม้กวาดออกมาไล่เจ้าสองคนนี้ออกไปจริงๆ แต่ขืนทำลงไปคงน่าเกลียดแน่ๆ
   พอถูกเอ็ด ทั้งวรุตและรัสเลอร์เลยสงบปากสงบคำลงไปชั่วคราว
-------------------------------------
   “นี่... ” วรุตหันไปสะกิดรัสเลอร์ “เจ้าบ้าที่คุณว่าก็ไม่อยู่แล้ว เราจะทำยังไงกันต่อ”
   รัสเลอร์หันมามองวรุตอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันไปมองฟ่งที่นั่งดูทีวีอยู่ และพยักหน้า
   “โอกาสมาถึงแล้ว ถ้าเราร่วมมือกันล่ะก็...”
   วรุตพยักหน้าตอบ ก่อนที่สองคนจะค่อยๆ ย่องไปหาร่างที่นั่งอยู่บนโซฟา
   “อ้าว? เอ๋?!!!” ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองวรุตที่เดินเข้ามา ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลใสนั้นด้วยความตกใจ เมื่อมีมือของใครอีกคนยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้
“อยู่นิ่งๆ นะ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ” รัสเลอร์ก้มลงกระซิบที่ข้างหู ขณะที่วรุตเริ่มปลดกระดุ้มเสื้อของฟ่งออกทีละเม็ด ร่างบางพยายามดิ้น ขณะที่เสื้อผ้าถูกถอดออก
   “คุณนี่น่ารักจริงๆ ยิ่งดิ้นคุณยิ่งดูเซ็กซี่ ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ” วรุตพูด ขณะมองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าที่อยู่ตรงหน้า เขาใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกสีชมพูนั้นเบาๆ ฟ่งสะดุ้งเฮือก แก้มแดงซ่านขึ้นมาทันที
   “อืม” รัสเลอร์คราง พลางขบเม้มใบหูสีแดงจัดนั่นเบาๆ “ฉันจะจัดการก่อน แล้วเธอค่อยตามก็แล้วกัน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า และก้มลงจูบริมฝีปากของร่างที่ยังคงดิ้นรนอยู่ วรุตขมวดคิ้วมองอย่างคัดค้าน
   “ไม่เอา คุณอยู่ตรงนั้น ก็น่าจะให้ผมทำก่อน” เด็กหนุ่มแย้ง และก้มลงจูบยอดอกสีชมพู พลางถอดกางเกงฟ่งออก รัสเลอร์นิ่งไปพักหนึ่ง
   “ทำพร้อมกันเลยก็ได้นี่” เขาว่า และบีบปากของฟ่งให้อ้าออก

   พลั่ก!!!
   รูฟัสเผลอยกมือทุบกระจกตู้โชว์หน้าร้านขายโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ตั้งใจ จนพนักงานสาวอุทาน
   “คุณคะ!!” เสียงร้องของเธอ ทำให้ชายหนุ่มคืนสติขึ้นมาได้  เขากะพริบตาปริบๆ และรีบพูดขอโทษขอโพยในทันที
   “ขอโทษครับ เอ้อ งั้นเอาเครื่องที่คุณถืออยู่ก็ได้ครับ” เขาว่า และมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของพนักงาน
   “งั้นเดี๋ยวหยิบเครื่องใหม่ให้นะคะ” เธอพูด แล้วทำท่าจะเดินออกไปด้านหลังร้าน รูฟัสรีบพูดขึ้นต่อ “เอาเครื่องในมือคุณนั่นแหละ”
   พนักงานสาวขมวดคิ้วมองเขาอย่างงุนงง “นี่เป็นเครื่องโชว์ค่ะ ใช้งานจริงไม่ได้ เดี๋ยวจะหยิบเครื่องใหม่ให้นะคะ”
   “อ้อ ครับๆ” รูฟัสพยักหน้า และนึกกระอั่กกระอ่วนใจนิดหน่อยตอนที่ได้โทรศัพท์มือถือมาแล้ว เขาไมได้ฟังคุณสมบัติของมันตามที่พนักงานพยายามจะสาธยายนัก เพราะมัวแต่คิดเรื่องบ้าๆ อยู่ ไม่รู้ว่าฟ่งจะพอใจหรือเปล่า แต่มันก็คงใช้โทรเข้าโทรออกได้เหมือนที่สั่งนั่นแหละ 
เขายื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งให้กับพนักงานเพื่อชำระเงิน และรีบจ้ำอ้าวกลับไปยังที่พัก
   เจ้าสองตัวนั่นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
----------------------------------------------
   เสียงเคาะประตูดังรัวอย่างกับเกิดไฟไหม้ ทำให้ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย เขาไม่ชอบเสียงเคาะน่ารำคาญแบบนี้  ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา  ควานหาแว่นตาที่วางอยูบนโต๊ะ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู
   “ฟ่ง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
   รูฟัสโพล่งออกมาทันทีที่ประตูเปิดออก และเบิ่งตาค้างเมื่อเห็นสภาพของคนในห้อง
   “ผมไม่เป็นอะไรนี่” ชายหนุ่มสวมแว่นพูดและยกมือขึ้นเกาศีรษะ รูฟัสมองดูผมกระเซอะกระเซิงและเสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อยของฟ่งแล้วพูดอย่างร้อนใจ
   “พวกนั้นทำอะไรคุณใช่ไหม?!!” เขาว่าและพรวดพราดดันตัวฟ่งเข้ามาในห้อง พลางจับเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายกระชากเสื้อออกอย่างลืมตัวจนกระดุมหลุดออกไปแถบหนึ่ง มองเห็นรอยจ้ำสีชมพูปรากฏอยู่ตรงซอกคอและเนินอก
   “คุณจะทำอะไรน่ะ!!” ฟ่งร้องอย่างตกใจ เขาให้รูฟัสไปซื้อโทรศัพท์ แล้วไหงกลับมาทำท่าจะแก้ผ้าเขาแบบนี้ล่ะ
   “พวกนั้นข่มขืนคุณใช่ไหม มันอยู่ไหน ผมจะไปฆ่ามัน!!” หนุ่มตาสองสีคำรามด้วยความแค้น แล้วทำท่าจะพรวดพราดออกไปจากห้อง ฟ่งอ้าปากค้าง ยื่นมือไปดึงตัวรูฟัสเอาไว้ทันที
   “คุณเป็นอะไร ไม่มีใครข่มขืนผมนะ!!” หนุ่มสวมแว่นพูดออกมา รูฟัสหันกลับมามองด้วยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
   “แต่ว่ารอยพวกนี้....” เขาพูด และมองดูรอยจ้ำสีชมพูบนร่างกายของฟ่ง ชายหนุ่มสวมแว่นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆ และก้มลงมองตัวเองบ้าง
   “อ้อ.... คุณหมายถึงรอยจ้ำพวกนี้เหรอ?”
   รูฟัสพยักหน้า “คุณเพิ่งโดนปล้ำมาใช่ไหม?!”
   หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นึกอยากจะยกมือทุบกะโหลกผู้ชายตรงหน้าสักผัวะหนึ่ง
   “รอยนี่คุณเป็นคนทำไว้เองนะ จำไม่ได้หรือไง ก็ผมบอกแล้วว่าอย่าทำๆ คุณก็ทำซ้ำๆ จนมันไม่ยอมจางสักที”
   “หา?!” รูฟัสอุทานอย่างไม่เชื่อ และดึงเสื้อของฟ่งออกอีกครั้ง คราวนี้กระดุมเลยหลุดออกไปทั้งแถบ เผยให้เห็นรอยจ้ำสีชมพูจำนวนมากบนเรือนร่างขาวผ่องนั้น
   “นี่ผมทำทั้งหมดเลยเหรอ?” รูฟัสถาม พลางเบิ่งตาอย่างไม่เชื่อที่สุด ฟ่งนึกในใจว่าเขาควรจะตอบคำถามหรือต่อยรูฟัสสักหมัดดี ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกข้อแรก
   “ฝีมือคุณนั่นแหละ!! ใครที่ไหนเขาจะมาทำแบบนี้กับผม”
   รูฟัสมองดูรอยจ้ำพวกนั้นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับ เขาเริ่มจำได้หน่อยๆ แล้วว่าเคยมองรอยพวกนี้ตอนที่มีอะไรกับฟ่งครั้งล่าสุด แต่ก็นึกแปลกใจที่มันยังไม่จางไปเท่าไหร่ สงสัยเขาจะทำแรงไป ไม่ก็ฟ่งผิวขาวเกินไป น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า...
   “แปลว่าคุณไม่ได้ถูกทำอะไรใช่ไหม.. ผมดีใจจัง” รูฟัสว่าและดึงร่างผอมบางนั้นเข้ามากอด ฟ่งขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้จินตนาการอะไรระหว่างออกไปข้างนอกเนี่ย
   “แล้วเจ้าสองคนนั่นล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีถามขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวยุ่งทั้งสองคนในห้อง
   “ผมไล่ออกไปแล้วล่ะ พวกเขาทะเลาะกันจนน่ารำคาญ”
   “อา.. ผมก็คิดว่าสองคนนั้นทำอะไรคุณเสียอีก” รูฟัสพูดและถอนหายใจอย่างโล่งอก ฟ่งขมวดคิ้วมองเขาอีก
   “ผมจะดีใจมากเลยนะ ถ้าคุณไม่คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ ไม่มีใครอยากทำอะไรผมหรอกนะนอกจากคุณ”
   “ครับๆ ” รูฟัสพูด แต่ก็นึกแย้งอยู่ว่าอย่างน้อยก็มีเจ้ารัสเลอร์คนหนึ่งล่ะ นี่ฟ่งลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นไปแล้วหรือไง
   “ผมซื้อโทรศัพท์มาให้คุณแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าคุณจะชอบรึเปล่า พอดี เอ่อ...ผมเลือกไม่ถูกน่ะ” รูฟัสตัดสินใจเลี่ยงที่จะบอกว่าเขามัวแต่คิดมาก จนไม่ได้ฟังที่พนักงานพูด เลยซื้อโทรศัพท์อะไรกลับมาก็ไม่รู้
ฟ่งยื่นมือมารับถุงใส่โทรศัพท์ พูดขอบคุณ และเดินไปที่โซฟาเพื่อแกะออกดู
   “รูฟัส.. คุณซื้อโทรศัพท์มือหนึ่งหรือมือสองมาน่ะ?” ฟ่งถามหลังจากที่ดึงกล่องโทรศัพท์ออกมาจากถุงแล้ว
   “มือหนึ่งสิครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ นึกในใจว่าสภาพกล่องมันดูแย่ขนาดเหมือนของมือสองขนาดนั้นเลยหรือ ก็เห็นยังห่อพลาสติกดีอยู่นี่นา ฟ่งขมวดคิ้ว
   “คุณดูราคาตอนซื้อหรือเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ “เปล่า ผมเห็นพนักงานเขาถืออยู่ก็เลยซื้อมา ทำไมหรือครับ”
   “คุณซื้อมาเท่าไหร่เนี่ย” ฟ่งถามอีกครั้ง รูฟัสมองกล่องโทรศัพท์มือถือในมือฟ่งอย่างรู้สึกผิด
   “ผมจำไม่ได้ เอ่อ..คงสักสี่หมื่นกว่ามั้ง” รูฟัสพูดพลางนึกถึงราคาในสลิปบัตรเครดิต ฟ่งมองกล่องมือถือนั้นอีกครั้งและขมวดคิ้ว
   “คุณเอ่อ...เอาไปคืนได้ไหม?”
   “ทำไมล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ?”
   “มันแพงเกิน ผมจ่ายไม่ไหว” ฟ่งว่า และนึกปวดหัว สงสัยพนักงานขายจะเห็นว่ารูฟัสเป็นต่างชาติเลยหยิบเครื่องที่แพงที่สุดในร้านมาให้ แล้วหมอนี่ก็ดันซื้อโดยไม่ดูราคาเสียด้วย ก็เขาบอกแล้วว่าเอาแค่โทรเข้าโทรออกได้ก็พอ
   รูฟัสหัวเราะออกมา “คุณชอบรึเปล่าล่ะครับ เรื่องราคาไม่ต้องไปกังวลหรอก ผมซื้อให้”
   ฟ่งมีสีหน้าลังเล “ผมเกรงใจ มันแพงเกินไปนะ แพงมากด้วย วันหลังคุณน่าจะถามราคาก่อนซื้อ ที่นี่เขาชอบขายของแพงๆ ให้กับคนต่างชาติด้วยสิ”
   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ อืม....ถ้าคุณไม่สบายใจ ถือว่านี่เป็นค่าจ้างที่คุณช่วยทำงานให้ผมแล้วกัน”
   “เอางั้นหรือ?” ฟ่งถาม รูฟัสพยักหน้า และก้มลงหอมแก้มอีกฝ่าย
   “ถ้าคุณเกรงใจผมมาก จะแถมอย่างอื่นให้ผมด้วยก็ได้นะ อย่างร่างกายคุณไง”
   “บ้า!!” ฟ่งโพล่ง และผลักรูฟัสออกไป หนุ่มตาสองสีหัวเราะคิกคัก มองดูแผงอกเนียนๆ ที่มีมีรอยจ้ำสีชมพูอยู่เป็นจุดๆ นั้น แล้วเกิดนึกอยากทำเพิ่มขึ้นอีก
   “ฟ่งครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าว และดึงรั้งร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างตื่นๆ สงสัยเจ้าหมอนี่จะต้องคิดอกุศลกับเขาอีกแล้วแน่ๆ
   “ใครมาเหรอ..?” เสียงงัวเงียของใครสักคนดังขึ้น แก้วตาสองสีหดวูบลงทันที รูฟัสชะงักมือและหันไปมอง เขาเห็นวรุตเดินออกมาจากห้องนอนของฟ่ง รูฟัสหันหน้ากลับมามองฟ่งทันที
   “ไหนว่าไล่ออกไปแล้วไงครับ” ชายหนุ่มถามเสียงเครียด ฟ่งพยายามผลักรูฟัสออกอีกครั้ง ก่อนจะพูดตอบ
   “ผมไล่รัสเลอร์ออกไป แล้วให้เขาอยู่ต่อ อืม... ก็เราต้องจับตาดูเขาไว้ไม่ใช่เหรอ เขาเป็นตัวประกันสำคัญนะ” ประโยคหลังฟ่งพูดเสียงกระซิบ แต่ดูเหมือนรูฟัสจะให้ความสนใจกับเรื่องอื่นมากกว่าเสียแล้ว
   “แล้วทำไมเขาไปอยู่ในห้องนอนของคุณล่ะ เมื่อกี้ตอนเปิดประตูผมกับเสื้อผ้าคุณยุ่งนี่  นอนกับเขามาใช่ไหม?”
   คราวนี้ฟ่งเริ่มขมวดคิ้วอย่างมีโมโหขึ้นมาบ้าง เขาขยับตัวออก และเงยขึ้นมองหน้ารูฟัส
   “คุณเลิกคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้เสียทีได้ไหม ผมไม่ได้นอนกับเขา ผมเห็นเขาง่วง ก็เลยให้เข้าไปนอนในห้อง แล้วผมก็ออกมานอนดูทีวีด้านนอก ชัดไหม?!”
   “เอ่อ... เขาพูดจริงๆ นะ” วรุตช่วยพูดเสริม เขาเพิ่งลืมตาตื่นเต็มที่และพบว่าอาจจะโผล่ออกมาผิดจังหวะ
   รูฟัสเหลือบมองทั้งสองสลับไปสลับมาอย่างไม่ไว้ใจ จนฟ่งเริ่มทนไม่ไหว
   “ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ออกไปจากห้องผม เชิญคุณไปจินตนาการของคุณตามสบายเลย”
   “เดี่ยวสิครับฟ่ง” รูฟัสร้องเสียงหลง เขารู้แล้วว่าฟ่งไม่พอใจอย่างหนัก
   “ก็ผมไม่ชอบให้ใครมาอยู่ใกล้ๆ คุณนี่ แถมนี่ยังอยู่กันสองต่อสอง ผมก็หึงเป็นนะครับ”
   “คุณหึงมากไปแล้ว ผมไม่ชอบ!!” ฟ่งพูดด้วยเสียงกระแทก รูฟัสกะพริบตาปริบๆ มองดูฟ่งที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด
   “ผมหึงแค่คุณเท่านั้นนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน แต่ฟ่งยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเดิม รูฟัสขยับเขาไปใกล้เขาอีกนิด แล้วฉวยมือมากุมเอาไว้
   “ผมขอโทษแล้วกัน อย่าโกรธผมเลยนะ” รูฟัสพยายามจะอ้อน คราวนี้ฟ่งกะพริบตาปริบๆ บ้าง ก่อนจะสะบัดหน้าใส่
   “คุณทำเสื้อผมขาด ซ่อมให้ด้วย”
--------------------------------
   “คุณเย็บผ้าเป็นด้วยเหรอ?” วรุตถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเพิ่งช่วยเก็บกระดุมเสื้อที่หล่นอยู่บนพื้น ขึ้นมาใส่ถ้วยรวมกันเอาไว้ และตอนนี้กำลังนั่งมองรูฟัสเย็บกระดุมพวกนั้นติดเข้ากับเสื้อตัวเดิมอยู่
เด็กหนุ่มไม่อยากจะจินตนาการอะไรมากมายว่าทำไมกระดุมเสื้อของฟ่งถึงได้หล่นกระจายเต็มพื้นแบบนี้ บางทีสองคนนี่อาจจะมีเรื่องทะเลากันก็ได้ แต่ถึงขั้นดึงเสื้อกันจนกระดุมหลุดเป็นแถบขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่แฟนกันเขาคงเข้าใจว่าหมอนี่กำลังจะข่มขืนผู้ชายสวมแว่นคนนั้นแน่ๆ
   รูฟัสเหลือบตามองเด็กหนุ่ม และหันความสนใจมาที่กระดุมต่อ เขาอยากจะบอกขอบใจเรื่องช่วยเก็บกระดุมอยู่หรอก แต่ถ้าช่วยอยู่ห่างๆ จากฟ่งจะดีมากกว่านี้
รูฟัสพยายามบอกตัวเองให้เข้าใจว่า การละสายตาจากเจ้าเด็กนี่เป็นเรื่องอันตราย ถ้าเกิดเจ้านี่ไปแพร่งพรายข่าวเรื่องนี้ให้ใคร พวกเขาคงเดือดร้อน แต่พอคิดว่าต้องมาเกาะหนึบกับฟ่งแล้วก็อดโมโหไม่ได้
   “!!” เพราะมัวแต่คิดนั่นคิดนี่ แทนที่จะเย็บกระดุมเลยเย็บเอามือตัวเองเสียได้ รูฟัสบีบเลือดออกจากนิ้ว และหันไปมองฟ่งซึ่งกำลังแกะโทรศัพท์ออกจากกล่อง เขาอยากจะอ้อนฟ่งเรื่องถูกเข็มตำ แต่ก็กลัวว่าฟ่งอาจจะเอาเข็มแทงมือเขาซ้ำ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาเย็บกระดุมต่อไป
   “เวร....... ” เสียงอุทานของฟ่งดึงความสนใจของรูฟัสและวรุตจากกระดุมเสื้อ ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน และเห็นฟ่งกำลังนั่งเกาหัวพร้อมกับโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ
   “มีอะไรหรือครับ มันพังเหรอ?” รูฟัสเอ่ยถาม ขณะที่วรุตเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ
   “รุ่นนั้นก็ไม่ใช่ระบบสัมผัสหน้าจอนะฟ่ง คุณน่าจะใช้เป็น”
   “ผมใช้เป็น!!” ฟ่งหันมาเถียง และพูดต่อ “แต่ผมลืมไปว่าผมต้องไปแจ้งความเรื่องซิมหาย จะได้เอาไปทำเรื่องขอให้เบอร์มือถือเดิม”
   “............” วรุตกับรูฟัสหันไปมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฟ่งพูดเสียงอ่อน
   “ผมไปแจ้งความได้ไหม คือแค่ไปทำเรื่องขอซิมใหม่”
   “ไม่ได้ครับ!!” สองหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน รูฟัสรีบพูดต่อ “คุณควรโทรบอกพี่สาวคุณเลยแล้วกันว่าคุณจะต้องไปกะทันหัน ทำเรื่องขอเบอร์ไม่ทันหรืออะไรก็ว่าไป จะได้หมดปัญหา”
   “ก็ได้..” ฟ่งพูดออกมาหลังจากนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วทำคอตก วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งเสียใจที่ไม่ได้ใช้มือถือใหม่หรือเสียใจที่โดนดุกันแน่

   “ผมขอโทษนะรูฟัส” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากโทรศัพท์คุยกับพี่สาวเรียบร้อยแล้ว รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ เขากำลังจะเย็บกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จ
   “คุณเลยเสียเวลาออกไปซื้อของให้ผมฟรีๆ เลย ความจริงผมน่าจะคิดได้ก่อน”
   รูฟัสยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณสั่ง อะไรผมก็ทำทั้งนั้นแหละ”
   ฟ่งมองดูเสื้อของเขาที่รูฟัสกำลังเย็บอยู่ แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ
   “ผมขอโทษ เมื่อกี้ผมอาจจะว่าคุณแรงเกินไป” ฟ่งพูดอ้อมแอ้ม รูฟัสขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
   “คุณพูดอะไรนะครับ ก้มลงมาใกล้ๆ ผมหน่อยก็ได้”
   ฟ่งขยับตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงไปเกือบจะชนใบหูของอีกฝ่าย “ผมว่าผมขอโทษ”
   “อ่าครับ ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
   “ผมไม่ได้ขอโทษเรื่องโทรศัพท์”
   “รู้แล้วล่ะครับ” รูฟัสพูดและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ฟ่งขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
   “คุณได้ยิน?”
   หนุ่มตาสองสีพยักหน้า “ผมแค่อยากฟังชัดๆ ผมรักคุณนะ” จากนั้นก็ขโมยหอมแก้มอีกฟอดหนึ่ง ฟ่งหน้าแดงทันที เขารีบหันไปมองวรุตซึ่งนั่งอยู่ และเห็นเด็กหนุ่มเลยเผลอหลุดยิ้มออกไป
   “ผะ..ผมไปดูทีวีดีกว่า” ฟ่งว่า และเดินจ้ำอ้าวออกไปเปิดทีวี รูฟัสได้ยินเสียงวรุตหัวเราะ
   “ขำอะไร?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามทันที คนถูกถามรีบสั่นศีรษะ เขามองดูรูฟัส และนึกดีใจที่ไม่ได้หลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ เขารู้แล้วว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ขี้หึงนัก
   ก็ฟ่งน่ารักนี่นา
------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-07-2011 11:49:47
รูฟัสจินตนาการล้ำเลิศจริง ๆ อ่านตอนแรกตกใจนึกว่าฟ่งโดนแซนด์วิชเขาไปซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 14-07-2011 14:59:04
รูฟัสน่ารัก ชอบพระเอกขี้หึง
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 14-07-2011 16:54:48
ฮึ้ยยย  น่ากัดจริงๆฟ่งเนี่ย ใครอยู่ใกล้เป็นต้องรักต้องหลงทุกทีเลย
น้องวินบทไม่หื่นก็น่ารักอ่ะ  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 14-07-2011 17:18:30
 :jul3:

รูฟัสขี้หึงมากกกกก
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 14-07-2011 23:38:27
อันแรกนี้น่าจะพิมพ์สลับ
“เพื่อนของคุณที่ชื่อราฟาแอลเพิ่งผมให้ดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจอีกคนหนึ่งด้วยล่ะ เขาคงอยากจะให้ผมอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ก็ผมเป็นตัวประกันชั้นเยี่ยมนี่นา”

ส่วนอันนี้น่าจะพิมพ์ผิด
 “เขาเข้ามาให้ห้องคุณทำไมน่ะ?”
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 15-07-2011 04:29:59
ตอนแรกคิดว่าจริงจริงซะอีก ที่จริง รูฟัสคิดเอาเอง เฮ้อ โล่งอก
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-07-2011 05:27:47
(โควตาไม่เคยได้..ให้ตายสิ!!)

เอ... อันแรกดูไม่ออกว่าสลับตรงไหนน่ะค่ะ

ส่วนอันที่สอง แก้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ขอบคุณค่ะ^^
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-07-2011 11:25:04

บทที่46  ในห้วงความคิด

   ราฟาแอลกลับเข้ามาในช่วงหัวค่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่าย หนุ่มผมบลอนด์แวะเข้ามาที่ห้องของฟ่ง และตามตัวทั้งสามคนไปที่ห้องของรูฟัส
   “วันนี้ฉันแวะไปหาคุณเมี่ยงมา” เขาเอ่ยขึ้นเป็นภาษารัสเซียหลังจากจัดแจงเปิดฝาถาดพิซซ่าที่หิ้วติดมือมาด้วยออกแล้ว ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าต้องการจะพูดกับใคร รูฟัสที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ มองหน้าเพื่อนร่วมงาน ที่อยู่บนโซฟาอีกตัวระหว่างคนทั้งสองคือ วรุตและฟ่งตามลำดับ โดยมีรัสเลอร์นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หนุ่มผมสีบลอนด์พูดต่อ
   “หล่อนบอกว่า ใกล้เวลาที่จะต้องเปิดทดสอบระบบของห้องประชุมเต็มที่แล้ว ทางนั้นก็เลยเรียกคนกลับไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ท่าทางคงจะคิดได้แล้วว่าระวังเรื่องตรงหน้าเอาไว้คงดีกว่า เลยไม่อยากจะเสียเวลาให้ความสนใจกับเรื่องสถาปนิกล่ะมั้ง”
   รูฟัสพยักหน้า นึกโล่งใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ดีประโยคต่อมาทำให้ศีรษะของเขาหนักอึ้งอีกครั้ง
   “อีกสองวันต่อจากนี้ ทางนั้นจะเริ่มทดสอบระบบต่างๆ ของห้องประชุม เผื่อถ้ามีปัญหาจะได้แก้ได้ทัน เพื่อนของคุณเมี่ยงที่ทวีศักดิ์เคยชวนไปร่วมหุ้นบอกมาแบบนั้น แปลว่าเรามีเวลาอีกสองวันในการศึกษาแผนที่และเตรียมตัว”
   “สองวัน?” รูฟัสยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด สองวันถือว่าน้อยมากจริงๆ นี่พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเท่านั้นเองนี่นา “อืม อย่างน้อยก็ยังมีคนเขียนแปลนอยู่กับเรานะ” รูฟัสหมายถึงฟ่ง ราฟาแอลพยักหน้า แต่ก็ยังคงมีทีท่าเป็นกังวล
   “เรื่องนั้นมันก็ดี ถึงทวีศักดิ์จะไม่รู้หรือไม่ได้สนใจเรื่องการกลับมาของฟ่ง แต่เรื่องการมาของเรากำลังเป็นที่จับตา และคนที่รู้ถึงการมาของเราก็คือสองคนที่นั่งอยู่ระหว่างนายกับฉัน”
   “คุณจะให้ผมจับตาดูพวกเขา?” รูฟัสถาม แม้จะนึกแย้งว่าฟ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอคิดถึงเรื่องที่เขาโทรหาพี่สาวแล้วก็อดวิตกไม่ได้ จริงอยู่ ฟ่งคงไม่คิดหักหลังเขา แต่อาจจะทำอะไรที่เป็นปัญหาโดยไม่ตั้งใจก็ได้
   “อืม ฉันอยากให้นายจับตาดูพวกเขาระหว่างที่เราศึกษาแผนที่ ห้ามไม่ให้ออกไปไหนและโทรศัพท์หาใคร ดูโทรศัพท์ในห้องพักไว้ด้วย ฉันไม่ไว้ใจเด็กที่ชื่อวรุต”
   “ผมรู้” รูฟัสตอบ และมองหน้าราฟาแอล “แต่เขาเกาะติดอยู่กับฟ่ง แล้วเราจะดูแปลนยังไง”
   “ฉันกำลังคิดอยู่” ราฟาแอลตอบ และพูดต่อ “เขาเคยเห็นห้องนั่นมาแล้วนี่ เราให้เขาช่วยอธิบายสภาพจริงเพิ่มก็ได้ แค่ให้แน่ใจว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ปากโป้งเอาเรื่องของเราไปเปิดเผยเท่านั้นก็พอ”
   “ผมคิดว่าคุณคงมีวิธีจัดการที่ดี” หนุ่มตาสองสีว่า เขารู้ดีว่าราฟาแอลมีวิธีจัดการกับคนที่ชอบเอาความลับไปปูดอย่างไร ในกรณีของวรุต ให้หมอนี่จัดการจะดีกว่า
   หนุ่มผมบล็อนด์พยักหน้า และพูดต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหา จะทำยังไงกับสองคนนี่ หลังจากที่เราเข้าไปในห้องแล้ว?”
   เขาหยุดเมื่อเห็นว่า ฟ่งกับวรุตนั่งจ้องหน้าเขากับพิซซ่าสลับกันตาเขม็ง เหมือนกับจำถามว่าทำไมต้องเป็นพิซซ่า ทำไมต้องทานในห้อง ชายหนุ่มหรี่ตาลง มองหน้าเพื่อนร่วมงาน แล้วหันไปมองอีกสามคนที่เหลือแว้บหนึ่ง
   “ไว้ค่อยคุยแล้วกัน” ราฟาแอลโบกมือ และหยิบพิซซ่าขึ้นมาทาน
---------------------------------------------------------
   ฟ่งไม่ชอบวีธีการมองคนแบบนี้ของราฟาแอลเสียเลย ดวงตาสีเขียวมรกตนั่นเพ่งจ้องมา เหมือนกับเห็นว่าคนที่ถูกจ้องเป็นเหยื่อหรืออะไรซักอย่าง เขาคิดว่าทั้งสองคนคงกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องงาน และคงจะเป็นความลับจึงไม่อยากให้พวกเขารับรู้ ดังนั้นจึงใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามฟ่งคิดว่า ถ้ามีอะไรที่เขาจำเป็นต้องรู้ในการพูดคุยเมื่อครู่นี้ รูฟัสคงจะบอกเขาเอง
-------------------------------------------
   วรุตรู้สึกตื่นเต้น แม้เขาจะคุ้นชินกับวงสนทนาหลากหลายภาษาในตอนเรียนที่ต่างประเทศ  แต่ภาษาราฟาแอลใช้เป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยถึงจะได้ยินก็ไม่บ่อยนัก และเรื่องที่ทั้งสองคนคุยข้ามหัวเขาอยู่ตอนนี้คงไม่ได้คุยกันเรื่องปกติธรรมดาแน่ๆ  เป็นครั้งแรกที่เขานั่งอยู่ในวงสนทนาของสายลับ หรืออะไรแนวๆ นั้น
   เด็กหนุ่มอยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาอีก วันนี้เขาโดนริบมือถือ ซึ่งเขาก็เต็มใจจะให้ทำแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ไว้ใจนักหากเขาจะพกโทรศัพท์ไว้กับตัว และเขาก็ไม่อยากเสี่ยง ดวงตาสีเขียวของราฟาแอลที่มองมาหลายครั้งในระหว่างการสนทนากันครั้งแรกทำให้วรุตตัดสินใจว่าจะไม่ขัดขืนชายคนนี้
   แววตาของราฟาแอลเหมือนพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเวลา
-------------------------------------
   รัสเลอร์ขมวดคิ้ว เวลาในการรออาหารอาจจะไม่นานเลย ถ้าเจ้าสองคนนี่ไม่ได้ใช้ภาษารัสเซียในการสื่อสาร เขาพอจะเข้าใจได้ว่าราฟาแอลไม่อยากให้วรุตและฟ่งรับรู้เนื้อหาของการสนทนา แต่บทสนทนาชนิดข้ามหัวและแปลไม่ออก แถมอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาด้วยแบบนี้ ก็อดทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ เขาควรจะหาเวลาไปศึกษาภาษารัสเซียสักคอร์สหนึ่ง จะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกตัดออกจากวงสนทนา
-----------------------------------------------
   มื้ออาหารดำเนินไปอย่างเงียบสนิท จนดูจะผิดวิสัย แม้ว่าจะเป็นการทานอาหารร่วมกันของเหล่าสุภาพบุรุษก็เถอะ ดังนั้นรัสเลอร์จึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
   “พวกนายว่าคืนนี้ฟ่งควรจะนอนห้องไหน?”
หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วและยกช้อนค้างทันที ทำไมประเด็นการสนทนาประโยคแรกถึงต้องเป็นตัวเขา แถมยังเป็นเรื่องที่ว่าจะนอนห้องไหน
   รูฟัสอ้าปากค้าง แต่ก็ยังเร็วพอที่จะเป็นผู้เอ่ยตอบคนแรก “นายถามเรื่องนี้ทำไม?”
   “อืม..ก็ดูเหมือนใครๆ ก็อยากจะอยู่ใกล้ฟ่งนี่” รัสเลอร์ให้เหตุผล และตักกับข้าวใส่จานตัวเอง คราวนี้ฟ่งพยายามจะอ้าปากแย้ง แต่ก็โดนวรุตชิงพูดตัดหน้าไปเสียก่อน
   “ให้ฟ่งนอนห้องตัวเองนั่นแหละ เดี๋ยวผมเฝ้าให้”
   “นายจะไปนอนห้องนั้นไม่ได้!!” รูฟัสพูดสวนทันที วรุตทำหน้าแปลก
   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ฟ่งยังไม่เห็นพูดอะไรเลย”
   “ผมกำลังจะพูด!!” ฟ่งว่า และดีใจที่ได้มีโอกาสพูดในที่สุด
   “ผมให้เจ้าเด็กคนนี้เข้าไปนอนห้องคุณไม่ได้หรอกนะ” รูฟัสพูดแทรกขึ้นอีก เหมือนกลัวว่าฟ่งจะอนุญาตให้วรุตเข้าไปในห้อง หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว และคิดว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
   “งั้นให้ฟ่งมานอนห้องเราไหม?” รัสเลอร์เสนอ และต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป เมื่อเจอสายตาของราฟาแอลที่มองมา
   “เออ ลืมไป ห้องเรามีสามคนแล้วคงนอนไม่ได้” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตอบออกมาในที่สุด พลางทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่งราฟาแอลอยู่
   “ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปนอนห้องฟ่ง ให้ฟ่งมานอนห้องผมก็ได้” วรุตเสนอขึ้นอีก รูฟัสขมวดคิ้ว
   “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ห้องไหน ปัญหาอยู่ที่ว่าฉันไม่ต้องการให้ใครนอนกับฟ่ง!”
   “ก็นั่นมันปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฟ่งเสียหน่อย” วรุตตอบ ฟ่งภาวนาว่าให้ทุกคนหันมาถามเขาเสียที หนุ่มสวมแว่นยังคงรอจังหวะในการพูดแทรก แต่ก็ยังอ้าปากไม่ทันรัสเลอร์อยู่ดี
   “งั้นฉันเสียสละไปนอนเอง พวกนายสองคนจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน”
   “ไม่ต้อง!!” รูฟัสพูดขึ้นทันที รัสเลอร์ทำหน้าหงิม
   “ทำไมล่ะ ฉันไม่ทำอะไรฟ่งหรอกน่า สาบานได้”
   “ฉันยังจำได้ว่าคราวที่แล้วก่อนถูกต่อยนายพูดว่าอะไร” รูฟัสตอกกลับ ทำให้หนุ่มผมสีน้ำตาลแก่จำต้องหุบปากไปอีก
   “ลองถามคุณราฟาแอลดูสิว่าสมควรจะทำยังไง” วรุตเสนอขึ้น ราฟาแอลเหลือบนัยน์ตาสีเขียวขึ้นมามองราวกับจะถามว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ในขณะที่ฟ่งนึกสงสัยว่าคนพวกนี้เห็นเขานั่งร่วมโต๊ะอยู่หรือเปล่า
   “ทำไมพวกนายไม่ถามเจ้าตัวดูล่ะ?” ราฟาแอลแนะขึ้น หลังจากจัดการกับพาสต้าในจานจนพอใจแล้ว เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฟ่งนึกขอบคุณผู้ชายคนนี้ ทั้งรูฟัส วรุต และรัสเลอร์หันกลับไปมอง ราวกับว่าเขาเพิ่งมาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นไม่ปาน
   “พวกคุณไม่ถามผมสักคำ”
   ฟ่งค่อนแคะ ทั้งสามหัวเราะแหะๆ
   “ผมกลัวว่าคุณจะ..”
   “ขอผมพูด!!”
   รูฟัสรีบหุบปากลงไปทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เริ่มฉายแววไม่พอใจ
   “ผมก็ต้องนอนห้องของผมสิ พวกคุณจะคุยเรื่องนี้กันทำไม!” ฟ่งรู้สึกดีใจที่ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้พูดประโยคที่เขาคิดจะพูดเมื่อหลายนาทีก่อนออกมาให้ทุกคนรับรู้ได้ในที่สุด
   “ตกลงครับ คุณนอนห้องคุณ งั้นผมจะนอนที่ห้องคุณด้วย” วรุตว่า และรีบพูดต่อ “เผื่อว่าใครบุกเข้ามาจะได้เจอผมก่อน”
   “เจอนายแล้วนายจะทำไง” รัสเลอร์ถามตัดหน้ารูฟัสที่กำลังจะอ้าปากพูด
   “ก็คงเรียกให้คนช่วยมั้ง ไม่ก็ร้องว่าไฟไหม้”
   ฟ่งคิดว่าฟังดูตลก แต่เขาไม่แน่ใจว่าวรุตอยากจะให้ขำหรือเปล่า รัสเลอร์ทำหน้าเหมือนได้ยินเรื่องเล่าจากบรรพกาล “ถ้าอย่างนั้นคนที่ได้นอนควรจะเป็นฉัน เพราะฉันมีเครื่องช็อตไฟฟ้ารูปแบบใหม่ ที่แค่ใช้สวมบนนิ้วมือเหมือนแหวน พอต่อยออกไปแล้วก็สามารถช็อตเป้าหมายให้สลบได้”
   จังหวะนี้ราฟาแอลเกิดอาการสำลักน้ำกะทันหัน เขาเหลือบตามามองหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มอย่างเสียไม่ได้
   “แล้วคนใส่ไม่โดนไฟช็อตหรือไง?”
   “นายก็ใส่ชุดกันไฟฟ้าสิ” รัสเลอร์ตอบ ราฟาแอลหลับตา ปล่อยให้รูฟัสจัดการต่อ
   “ฉันเห็นว่า พวกนายทั้งสองคน ควรจะมานอนรวมกันที่ล็อบบีด้านล่างนี้ไปเลย หรือไม่ก็ถังขยะด้านหน้าอาคาร”
   “ทำไมถึงพูดจาร้ายกาจแบบนี้” รัสเลอร์กับวรุตร้องขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ฟ่งพยายามโบกมือให้ทั้งสามคนหยุด แต่ก็นึกสงสัยว่าจะมีใครเห็นหัวเขาบ้างไหม
   “เอาล่ะ พอได้แล้วครับ ใครอยากจะมานอนที่ห้องผมก็ตามใจ แต่ต้องนอนที่โซฟานะ ผมจะนอนในห้อง แล้วก็ ห้ามทะเลาะกัน ห้ามส่งเสียงดังด้วย”
   “เดี๋ยวสิครับ แล้วผมล่ะ?” รูฟัสถาม ฟ่งหันไปมองเขาอยากแปลกใจ
   “คุณอยากมานอนด้วยเหรอ? ผมคิดว่าน่าจะยังมีผ้าห่มกับหมอนเหลือพอนะ หรือคุณจะขนมาจากห้องก็ได้”
   “โธ่..” รูฟัสคราง นึกไม่ออกว่าฟ่งหมายความตามที่ว่าจริงๆ หรือว่างอนเขา หรือว่าอยากจะแกล้งเขากันแน่ ราฟาแอลกวาดตามองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสี่อย่างระอา ก่อนจะสั่งให้รูฟัสกับรัสเลอร์ช่วยกันหยิบถาดพิซซ่าเปล่าและกล่องใส่เครื่องเคียงอื่นๆ ไปทิ้ง
---------------------------------------
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ ขณะมองดูรูฟัสและราฟาแอลหอบเอาเอกสารแบบแปลน พร้อมกับรัสเลอร์ซึ่งหิ้วคอมพิวเตอรส่วนตัวของเขาเข้ามาในห้อง ส่วนวรุตกำลังนั่งดูทีวี เขาได้รับคำอธิบายจากรูฟัสว่าตนและราฟาแอลจำต้องศึกษาแปลนที่ว่านี้อย่างเร่งด่วน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า ส่วนรัสเลอร์เสนอตัวมาเพื่อช่วย แต่ฟ่งเห็นว่าอาจจะช่วยสร้างปัญหาเสียมากกว่า เขาเป็นห่วงเรื่องที่วรุตขอเข้ามาด้วย แต่ราฟาแอลยืนยันว่าจำเป็นต้องถามข้อมูลบางอย่างจากเด็กคนนี้ ดังนั้นตอนนี้ทั้งหมดจึงมากระจุกตัวกันอยู่ในห้องของเขา
   “ผมว่าแบบนี้นั่งที่พื้นเลยดีกว่าไหมครับ” ฟ่งเอ่ยถามสองหนุ่มที่ในมือยังคงถือแผ่นกระดาษอยู่ และนึกขึ้นได้ว่าสามคนนี้อาจจะไม่ถนัด เพราะชาวต่างชาติมักจะนั่งเก้าอี้กันเสียมากกว่า
   “ก็ดี” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลตอบขึ้นพร้อมกัน และนั่งลงไปทันที เหมือนว่าเคยนั่งกันอยู่บ่อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน ฟ่งสงสัยว่าคนพวกนี้เล่นรอบกองไฟกันบ่อยๆ หรือเปล่า ท่าทางจะมีแต่รัสเลอร์เท่านั้นที่ดูจะกระอั่กกระอ่วนกับการนั่งบนพื้น
   “ผมขอเก้าอี้แล้วกัน” เขาว่า และลากเก้าอี้เขียนแบบมานั่ง ก่อนจะมองด้วยสายตาเสียดาย เมื่อฟ่งนั่งลงระหว่างคนทั้งสอง
   “เอาล่ะ พวกคุณไม่เข้าใจตรงไหน” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยถาม หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว รูฟัสและราฟาแอลมองหน้ากัน และหยิบแบบแปลนขึ้นมา
   “ทางเดินระเบียงตรงนี้น่ะ ที่คุณอธิบายว่าเชื่อมกับจุดนี้ จุดที่เชื่อมมันเป็นประตูที่มีกลไกรักษาความปลอดภัยแบบไหนน่ะ”
   รูฟัสเอ่ยถามขึ้น ฟ่งหยิบแปลนขึ้นมา นึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอธิบายตอบไป
   “ใช้ระบบแบบC ครับ เออ ผมลืมเขียนบอกเอาไว้ว่าประตูสีอะไรใช้ระบบไหน แป๊บหนึ่งนะ” หนุ่มสวมแว่นว่า แล้วเดินไปหยิบปากกามาเขียนอะไรขยุกขยิกลงไปบนแผ่นกระดาษ ก่อนจะยื่นคืนให้
   “แบบนี้น่าจะเข้าใจง่ายขึ้นนะ” เขาว่า รูฟัสและราฟาแอลรับไปแล้วเพ่งกันอยู่พักหนึ่ง ถึงพยักหน้ายอมรับ
   “ไอ้ห้องสองห้องนี้น่ะ มันอยู่แบบนี้รึ? แล้วมันจะเชื่อมกันได้ยังไง” หนุ่มผมบล็อนด์ถามขึ้น หลังจากพลิกดูแปลนไปครู่หนึ่ง ฟ่งชะโงกหน้าไปดู แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสะน
   “ผมเขียนอธิบายตรงนี้ไว้อีกแผ่นนึงแล้วครับ อ่านแล้วงงเหรอ?”
   “แผ่นไหนล่ะ?” ราฟาแอลถามต่อ คราวนี้คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันทันที
   “เดี่ยวก่อนนะครับ นี่พวกคุณอ่านเอกสารที่ผมเขียนแนบไปสักรอบหนึ่งหรือยังเนี่ย”
   ทั้งสองสั่นศีรษะพร้อมกัน “ยังไม่มีเวลาอ่านเลยน่ะ”
 หนุ่มสวมแว่นนึกอยากจะเอากองกระดาษทุบหัวสองคนนี่
   “งั้นก็ไปอ่านก่อนสิครับ ถ้าสงสัยแล้วค่อยมาถามผม นี่ผมกับคุณรัสเลอร์อุตส่าห์แกะกันตั้งนานนะเนี่ย” ฟ่งโอดครวญ  ราฟาแอลพยักหน้า ในขณะที่รูฟัสยิ้มแห้งๆ โดยไม่สังเกตว่ารัสเลอร์แอบหัวเราะอยู่
   “อ่านที่นี่ก็ได้ครับ อ่านให้จบ ถ้ายังไม่เข้าใจแล้วค่อยถามผมก็แล้วกัน ผมจะไปคุยกับวินสักหน่อย” พูดจบก็ลุกออกไป รูฟัสทำท่าจะลุกตามไปด้วย แต่โดนสายตามหาประลัยของราฟาแอลหยุดไว้ หนุ่มตาสองสีจึงต้องหันกลับมาสนใจแบบแปลนต่อ
   ฟ่งเดินไปที่โซฟา เขาเห็นวรุตกำลังให้ความสนใจกับรายการโทรทัศน์อยู่ จึงยืนรีรออยู่พักหนึ่ง จนเจ้าตัวหันมาเห็น
   “มีอะไรเหรอ?” เด็กหนุ่มถาม ฟ่งยิ้มแหยๆ “ถ้านายดูทีวีอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอก”
   วรุตสั่นศีรษะทันที “ผมไม่ได้อยากดูเท่าไหร่ น่าเบื่อ คุณมีเรื่องจะถามผมหรือ?”
   “ทำนองนั้นแหละ นั่งด้วยสิ” ฟ่งว่า วรุตขยับที่ให้ พลางคิดว่านี่ห้องของฟ่งแท้ๆ ทำไมต้องมาขอที่นั่งกับคนอื่น
   “อยากรู้เรื่องห้องที่คุณเขียนแบบล่ะสิ”
   เด็กหนุ่มพูดอย่างรู้ทันเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ ฟ่งมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
   “ทำไมรู้ล่ะ”
   “ก็ผมมีเรื่องให้คุณถามไม่กี่เรื่อง  ถ้าไม่เรื่องการมาของผม ก็คงเรื่องห้องนั่นแหละ เมื่อกี้ผมเห็นพวกคุณคุยกันด้วย กระดาษที่หอบกันมาคือแบบแปลนหรอ?”
   “อืม” ฟ่งพยักหน้า และรีบพูดต่อ “นายเคยเห็นห้องจริงๆ แล้วใช่ไหม คือผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง หมายถึงใช้งานได้จริงๆ หรือเปล่าน่ะ?”
   วรุตยิ้มออกมา ขยับตัวหันหน้าเข้ามาหาฟ่ง “มันสุดยอดเลยล่ะ ใช้คำว่ามหัศจรรย์ก็น่าจะได้นะ กว่าผมจะอ้อนขอให้พ่ออนุญาตให้คนพาสำรวจได้ น้ำลายแทบแห้ง ถ้าไม่มีคนนำทางนะ รับรองผมหลงแน่ๆ ”
   “แล้วพวกกลไกที่ใช้สลับห้องล่ะ ได้ลองใช้แล้วรึเปล่า?” ฟ่งถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มพยักหน้า
   “ผมลองบางห้องน่ะ แต่ห้องสำคัญจริงๆ เขาไม่ให้เข้าไป ไม่รู้หวงอะไรนักหนา ผมเห็นว่ามีพวกที่แต่งตัวเหมือนหมอด้วยล่ะ เห็นอารัตน์บอกว่าเป็นนักวิจัย พ่อผมจะทำอะไรอีกนะ เฮ้อ”
   เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ฟ่งยิ้มแห้งๆ ไม่รู้จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง เลยถามเรื่องห้องต่อ “แล้วห้องพวกนั้นใช้งานได้ดีไหม หมายถึงมันหมุนหากันได้สะดวกรึเปล่า หรือว่ายังมีส่วนไหนติดขัด”
   “โห..” คนถูกถามทำตาโต “มันคงไม่ติดขัดอะไรหรอก หรือต่อให้มันติดขัดนะ ผมว่าไม่มีใครเข้าใจระบบการทำงานของมันหรอก ถ้าไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า ถึงจะใฃ้งานได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงไม่น่ามีใครลอดเข้าไปได้แล้วล่ะ คุณคิดห้องพวกนี้เข้าไปได้ยังไง”
   ฟ่งหัวเราะเขินๆ เลือกจะไม่พูดว่าเพราะทางนั้นสั่งมานั่นแหละ วรุตมองหน้าเขาและพูดต่อ “ผมอยากให้คุณได้เห็นจัง ไม่สิ คุณควรจะได้เห็นเลยล่ะ ก็มันผลงานของคุณนี่นา”
   “ผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันหรอก” ฟ่งพูดอย่างปลงตก เด็กหนุ่มมองหน้าเขาอีกครั้ง
   “แต่จริงๆ คุณก็อยากเห็นใช่ไหมล่ะ ตอนเรียนที่เยอรมัน ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งนะ  เรียนทางสถาปกนิกเหมือนคุณนี่แหละ เขาพูดเลยว่างานแต่ละชิ้นของเขาน่ะเป็นเหมือนลูก รักและถนอมกันสุดๆ ชนิดที่ไม่อยากให้ใครแก้ใครเปลี่ยนเลยล่ะ ผมยังนึกสงสัยว่าแล้วเขาจะเขียนแบบให้คนอื่นได้ไหมนี่ หวงซะขนาดนั้น”
   “ผมไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” ฟ่งว่า และย้ำกับตัวเองว่าเขาคงไม่เป็นตัวของตัวขนาดนั้น
   “แต่ยังไงคุณก็ต้องอยากเห็นผลงานสำเร็จแล้ว ถูกไหมล่ะ?” วรุตถามต่อ หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า และถอนหายใจ
   “ช่างมันเถอะ ที่ผมถามนายเรื่องนี้น่ะ เพราะคิดว่าเดี๋ยวอีกสักพัก สองคนที่นั่งอ่านแผนที่กันอยู่คงมาคุยกับนายเรื่องนี้ ผมเลยมาถามดูว่านายรู้ขนาดไหนกันแน่ คือผมไม่อยากให้นายโดนขู่ฟรีๆ น่ะ”
   วรุตยิ้มให้ฟ่งอีกครั้ง “ผมเป็นไรหรอก ที่จริงผมอยากช่วยพวกเขานะ อะไรที่พอช่วยได้ผมก็อยากจะช่วยล่ะ เพราะถ้างานเขาสำเร็จ ก็หมายความว่าคุณจะปลอดภัย”
   “แล้วพ่อนายล่ะ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ
   “พ่อผม?” วรุตกล่าวและเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน ก่อนจะหัวเราะออกมานิดหน่อย
   “พ่อผมเขาเอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว จนตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะมีผมมาทำไม ในเมื่อเขาดูจะรักงานมากกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้”
   “เพราะงี้นายถึงเกลียดพ่อตัวเองงั้นเหรอ?” ฟ่งถามอีก วรุตสั่นศีรษะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่45 p6 14/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-07-2011 11:26:34
   “เปล่า ก็ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่ได้ต่อต้านเขา ถ้าจะพูดให้ใกล้เคียงก็คง... เพราะผมพยายามเข้าใจเขาไม่ได้ล่ะมั้ง” เด็กหนุ่มตอบ และถอนหายใจอีกครั้ง
   “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ ว่าแต่คืนนี้ผมนอนที่นี่ได้ใช่ไหม?” วรุตถามขึ้นบ้าง ฟ่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “นายเอาจริง?”
   วรุตพยักหน้า “เอาจริงสิครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฟ่งชั่งใจอยู่พักหนึ่ง
   “นายต้องนอนที่โซฟานะ”
   “โซฟาน่ะผมไม่มีปัญหาหรอกครับ กลัวแต่ว่าโซฟาห้องคุณจะไม่พอน่ะสิ”
   “ทำไมล่ะ?”
   “ก็..” วรุตหลิ่วตาไปทางรูฟัสที่กำลังนั่งอ่านแปลนอยู่กับราฟาแอล โดยมีรัสเลอร์ให้คำแนะนำเป็นระยะ และพูดต่อ
   “ท่าทางแฟนคุณขี้หึงออกอย่างนั้น เขาจะยอมให้ผมนอนกับคุณแค่สองคนเหรอ? เอ๊ะ หรือว่าคุณจะให้เขาเข้าไปนอนเตียงเดียวกับคุณ ผมไม่น่าถามเลยนะเนี่ย”
   “จะบ้าเหรอ!!” ฟ่งร้องออกมาทันที วรุตทำหน้าแปลกใจ “อ้าว ผมคิดว่าปกติคุณนอนด้วยกันเสียอีก เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอครับ?”
   ฟ่งทำหน้าอึ้งๆ เอ่อ... จะแฟนหรือไม่เขาไม่อยากจะระบุหรอกนะ แต่ถ้านอนเตียงเดียวกับรูฟัสโดยที่มีคนอื่นอยู่แบบนี้ เขาคงทำไม่ลง เกิดถูกรูฟัสทำอะไรขึ้นมาแล้วส่งเสียงน่าเกลียดออกไป ตอนเช้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ไหน
   “หรือว่า... คุณสองคนยังไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน ตายล่ะ!”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองวรุต และรู้สึกว่าแก้มร้อนฉ่า วรุตรีบพูดขึ้นต่อ
   “ผมขอโทษจริงๆ  ครับ คือ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูด อย่าถือสาผมเลยนะ”
   “ผมไม่โกรธหรอก เฮ้อ.... ” ฟ่งถอนหายใจ เขาควรจะปล่อยให้วรุตเข้าใจผิดเรื่องนี้ไปดีหรือเปล่านะ แต่ถ้าจะให้ยอมรับว่ามีอะไรกันแล้วกับคนอื่นก็น่าอายเกินไป
   “จริงๆ มันก็ชวนให้เข้าใจผิดอยู่นะครับ เพราะเขาดูหึงคุณขนาดนั้น  อืม แต่ก็คงไม่แปลกหรอก เป็นผมผมก็หึง ก็มีใครไม่รู้มาขอนอนกับแฟนนี่ เกิดลุกขึ้นมาปล้ำตัดหน้าล่ะก็ ผมคงเอามีดไล่แทงแน่ๆ ”
   ฟ่งหัวเราะขืนๆ เด็กหนุ่มพูดต่อ
   “ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นเกย์ด้วย ความจริงผมเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกันนะ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ คือผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
   “เหมือนนายจะเคยพูดถึงแล้วนะ” ฟ่งว่า รู้สึกเฝื่อนๆ เมื่อวรุตสรุปว่าเขาเป็นเกย์เหมือนกัน นี่เขาควรเถียงออกไปหรือเปล่านะ แต่สถานภาพของเขากับรูฟัสก็ไม่ชวนให้มีคำอธิบายเป็นอย่างอื่น หนุ่มสวมแว่นได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจอีกรอบ
   “ผมพูดมากไปรึเปล่า?” วรุตถามขึ้นทันที ฟ่งรีบสั่นศีรษะ “เปล่าๆ เล่าเรื่องแฟนของนายต่อเถอะ”
    “เรื่องแฟนผมรึ?” วรุตทวน และหัวเราะออกมา “จะเรียกว่าแฟนก็ไม่ถูกนะ... เรียกว่าอะไรดีล่ะ อืม...ผมไปบังคับข่มขืนเขาน่ะ”
   “ห๊ะ!!” ฟ่งร้อง พลางเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ วรุตเกาศีรษะ ไม่แน่ใจว่าเขาทำพลาดหรือเปล่าที่เล่าเรื่องนี้ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ควรจะขยายความต่อให้จบ
   “จริงๆ แล้วผมผมไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรหรอก ออกจะเลวร้ายด้วยซ้ำ” เขาว่า “ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นลูกน้องพ่อผมน่ะ แล้วก็..เคยมีอะไรกับพ่อผมแล้ว เอ่อ...พ่อผมคงเป็นพวกไบเซ็กชวลล่ะมั้ง ไม่ก็เพิ่งค้นพบตัวเองหลังจากมีลูกแล้ว”
   ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฟ่งรู้สึกว่าวรุตดูจะมีน้ำเสียงไม่พอใจพอพูดมาถึงจุดนี้  เด็กหนุ่มเล่าต่อ
   “ผมเจอเขาตอนกลับมาเมื่อหลายเดือนก่อน แว้บแรกที่ได้เห็น ผมตกหลุมรักเขาเลยล่ะ หลังจากนั้นผมก็มารู้ว่าเขาเคยมีอะไรกับพ่อผมแล้ว ผมเลยไม่พอใจเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ดูจะปักใจกับพ่อผมมากด้วย ทั้งๆ ที่แค่มีอะไรกันครั้งเดียวเท่านั้นเอง”
   ฟ่งอยากจะแย้งว่า แค่ครั้งเดียวก็อาจจะทำให้ฝังใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เหมือนที่รูฟัสทำกับเขาไงล่ะ แต่ก็นะ หลังจากนั้นแล้วเขาก็แทบจะไม่อยากจำอีกเลย
   “ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงให้เขาหันมามองผมบ้าง สุดท้ายผมก็เลยใช้ความเป็นลูกชายพ่อขืนใจเขา แล้วถ่ายรูปแบล็กเมล์ อืม ถ้าคุณจะว่าผมเลว ผมก็ไม่เถียงหรอกนะ สมองผมคิดเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเก่งด้วยสิ เรื่องจีบคนน่ะ”
   ฟ่งไม่รู้ควรจะมอบคำว่า”เลว”ให้กับเด็กคนนี้หรือเปล่า เพราะดูจากวิธีการคิดตั้งแต่พยายามจะมาช่วยเขาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแล้ว ก็พอจะสรุปได้ว่า วรุตเป็นคนที่มีความคิดสุดกู่แล้วมีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆ ล่ะมั้ง
   “จะว่าไป คุณอาจจะเคยเจอเขาก็ได้นะ เหมือนว่าเขาจะแวะมาที่นี่บ่อยๆ ด้วยล่ะ มารับงานคุณนั่นแหละ ผู้ชายที่หน้าสวยๆ ไง”
   ฟ่งนึกแวบขึ้นมาทันทีพอได้ยินคำอธิบายดังกล่าว เขาจำได้ว่าหนึ่งในคนที่มาติดต่อธุระกับเขาในวันแรกมีผู้ชายหน้าสวยรวมอยู่ด้วย แล้วก็ดูเหมือนจะอยู่ในตอนที่เขาถูกลากไปห้องใต้ดินด้วย
   “อืม จำได้ล่ะ” หนุ่มสวมแว่นว่า วรุตหันมามองด้วยสายตาเป็นกังวล “เหรอ แล้วเขาเคยทำอะไรแย่ๆ กับคุณหรือเปล่า แบบว่าซ้อมคุณ หรือเอาปืนขู่คุณอะไรแบบนั้น”
   “เอ่อ..” ฟ่งพูดค้าง และหัวเราะออกมาแทน ไอ้การเอาปืนจ่อสีข้างกับการผลักขึ้นรถนี่ถือเป็นการข่มขู่เหมือนกันสินะ แต่สองเรื่องนี้ช่างดูเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาเผชิญตอนอยู่ฮ่องกง
   เด็กหนุ่มถอนหายใจอีก “ผมน่ะ ไม่อยากให้เขาทำเรื่องแย่ๆ อย่างฆ่าคนหรือลักพาตัวอะไรแบบนี้เลย สำหรับผมแล้ว เขาควรจะอยู่ในที่ดีๆ ทำในสิ่งดีๆ มากกว่า ผมพยายามทุกอย่าง ทั้งแบล็กเมล์ ไล่ตาม ก่อกวนการทำงาน แต่สุดท้ายผมก็รู้ว่าหยุดเขาไม่ได้ คงเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำเพื่อพ่อผมล่ะมั้ง”
   น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเศร้าลงถนัด ฟ่งคิดว่าวรุตคงมีความเก็บกดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก ฟังจากสิ่งที่เด็กคนนี้พูดออกมา บางทีเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้มาเยือนอย่างไม่น่าไว้ใจคนนี้อาจจะมีส่วนน่าสงสารมากกว่าที่คิดก็ได้
   “อ๊ะ!! ผมคงพูดมากไปแล้ว” วรุตว่า พลางหัวเราะกลบเกลื่อน “วางใจเถอะครับ ผมไม่ข่มขืนหรือแบล็กเมล์คุณหรอก พอจบเรื่องนี้แล้วผมสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับคุณอีก”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ  เด็กหนุ่มเบิ่งตาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
   “จริงสิ ผมถามเรื่องของคุณบ้างดีกว่า”
--------------------------------------
   อิทธิเดชโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง เขาเพิ่งคุยกับเลขาฯคนหนึ่งของทวีศักดิ์เสร็จ  ดูเหมือนว่าทางนั้นจะพักเรื่องการติดตามตัวสถาปนิก และอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นเอาไว้ก่อน เพราะงานใหญ่กำลังจะเริ่ม ขุมกำลังเกือบทั้งหมดจึงถูกดึงกลับไปยังศูนย์บัญชาการหลัก แต่เขากลับเป็นหนึ่งในในไม่กี่คนที่ถูกยกเว้นให้ไม่ต้องกลับไป นั่นเพราะเขาต้องทำหน้าที่อารักขาบุตรชายของทวีศักดิ์ที่มีชื่อว่า วรุต
   หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจยาว และนั่งปุลงบนเตียง เด็กร้ายกาจคนนั้นไม่กลับมาที่นี่สามวันแล้ว สำหรับเขามันควรจะเป็นเรื่องน่าดีใจ เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา วรุตตามรังควานเขามาโดยตลอด  และที่สำคัญยังเป็นการคุกคามทางเพศอีกด้วย
อิทธิเดชเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาบ้าง หลังจากทวีศักดิ์เอ่ยปากอนุญาตให้เขาเป็นผู้ดูแลวรุต ทำให้เขาสามารถปฏิเสธความต้องการของเด็กคนนั้นได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเรื่องกลับตาลปัตร เมื่อจู่ๆ หลังนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มเจ้าปัญหาคนนี้เริ่มหลบหน้าเขา และใช้เวลาในช่วงกลางวันถึงดึกไปกับการออกไปข้างนอกนอก ทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่เขาพยายามจะปฏิเสธการบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์นั่นแหละ
   ตอนแรกอิทธิเดชคิดว่าวรุตคงทำเพื่อประชดเขา แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารู้ ซึ่งในตอนนั้นอิทธิเดชไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก  เพราะเขาไม่อยากให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ทั้งหมดจะบีบบังคับให้เขาต้องสนใจเด็กที่ชื่อวรุตคนนั้นบ้างแล้ว
   เด็กร้ายกาจนั่นหายไปไหนกันนะ?!
   ในวันสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไป วรุตกลับมาที่ห้องและทิ้งรูปถ่ายที่เคยใช้ขู่แบล็กเมล์เขาเอาไว้ พร้อมกับบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นสักพักหนึ่ง
หลังจากถูกเด็กคนนี้ตามจองล้างจองผลาญมาหลายเดือน อิทธิเดชทราบดีว่าวรุตไม่ใช่เด็กที่ชอบพูดล้อเล่น เขาทำทุกอย่างได้อย่างที่พูด แม้หลายเรื่องจะดูไม่น่าเชื่อเลยก็ตาม วรุตไปดักพบเขาได้ทุกที่ ขัดขวางเขาได้ทุกงาน สอดมือเข้าไปยุ่งในทุกเรื่อง ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมุ่งมั่นทำให้เขาตกงานจริงๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน วรุตหายตัวไป คำพูดว่าย้ายที่อยู่ก็คงไม่ได้พูดเล่น
เด็กคนนั้นจะย้ายไปที่ไหนกัน?
อิทธิเดชพยายามจะไม่นึกเข้าข้างตัวเอง แต่โดยปกติแล้ววรุตมักจะพยายามอยู่ในที่ที่ใกล้กับเขาที่สุด และไม่เคยหายหน้าไปโดยไม่ติดต่อเกินหนึ่งวัน แต่คราวนี้ เด็กคนนั้นหายเงียบไปกว่าสามวันแล้ว และไม่ได้ติดต่อกับใครที่เขารู้จักเลย หนุ่มหน้าสวยเริ่มรู้สึกกังวล เพราะการคุ้มครองวรุตเป็นหน้าที่ที่ทวีศักดิ์มอบให้เขา แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นหายไปไหนกันแน่ เขาควรจะเริ่มหาตัววรุตได้แล้ว แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากทำเลยก็ตาม
   เด็กคนนั้นจะไปที่ไหนได้บ้างนะ?!
   แวบแรกอิทธิเดชนึกถึงเพื่อนๆ ของวรุต แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้ากับตัวเอง เพราะวรุตไปเรียนอยู่ต่างประเทศนานหลายปี จึงแทบไม่มีเพื่อนในประเทศเลย และหลังจากกลับมาแล้ว ก็มาขลุกอยู่กับเขาเกือบตลอด ดังนั้นเรื่องที่เด็กหนุ่มจะไปค้างบ้านเพื่อนจึงต้องตัดทิ้งไป
   หรือว่าจะไปอยู่กับใครสักคนในกลุ่มที่ทำงานอยู่ที่บริษัท แต่ถ้าแบบนั้นจริง ก็ต้องมีคนแจ้งให้เขารู้สิ แปลว่าวรุตหลบออกไปอยู่ในที่ที่สายตาของทวีศักดิ์สอดส่องไม่ถึงงั้นรึ?
   การที่เด็กคนนั้นออกไปข้างนอกบ่อยๆ เพื่อไปหาใครหรือเปล่านะ?
   อิทธิเดชเริ่มคิดทบทวนถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของวรุต สิ่งที่เด็กคนนั้นพูดถึงบ่อยๆ หลังจากเริ่มหลบหน้าเขา...... ใช่แล้ว วรุตถามถึงเรื่องสถาปนิกที่เขียนแปลนห้องคนนั้นบ่อยมาก ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะให้ความสนใจคนคนนี้ตั้งแต่ที่ไปเอาแปลนชิ้นสุดท้ายกับเขาที่คอนโดนั่นแหละ
 ตอนแรกอิทธิเดชไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะวรุตดูเหมือนจะสนใจไปทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของเขา แต่พอมานึกย้อนดูแล้ว ระยะหลังๆ นี่  เด็กหนุ่มดูจะให้ความสนใจว่ามีใครเจอตัวสถาปนิกคนนั้นบ้างหรือยัง หรือว่าวรุตจะออกไปตามหาคนที่ว่านี้ นั่นก็ดูจะสมเหตุสมผลอยู่ที่พยายามจะหลบหน้าเขา และไม่ติดต่อกับคนที่ทำงานอยู่ที่บริษัท แต่วรุตจะไปพบผู้ชายคนนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ?
   หนุ่มหน้าสวยเม้มริมฝีปากได้รูปอย่างใช้ความคิด บางทีนี่อาจจะเป็นความเอาแต่ใจส่วนตัวของเด็กคนนั้นที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ก็ได้
ที่ผ่านมาเขาพูดได้ไม่เต็มปากนักถ้าจะบอกว่าวรุตเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เพราะเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าคนอื่น วรุตเป็นเด็กที่ว่าง่าย และยอมทำเรื่องหลายๆ อย่างโดยที่ไม่มีข้อแม้ ได้ยินมาว่าเขาเรียนในสาขาที่ทวีศักดิ์อยากให้เรียนโดยไม่อิดออด และเรียนได้ดีเสียด้วย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการให้เขาทำได้ แต่ในบางแง่มุม วรุตกลับมีความคิดแปลกๆ ในรูปแบบของตัวเอง และก็สามารถทำมันให้สำเร็จได้โดยไม่สนใจเสียงรอบข้างเสียด้วย  อย่างเช่นเรื่องที่ข่มขืนและแบล็กเมล์เขาไงล่ะ
   จนถึงตอนนี้อิทธิเดชยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มที่ดูเรียบร้อยและว่าง่ายในสังคมปกติจะแสดงด้านมืดที่เลวร้ายต่อเขาขนาดนี้ เพียงเพราะเขาเคยมีอะไรกับผู้เป็นพ่อของเด็กคนนั้นเท่านั้นเอง
อิทธิเดชสรุปว่าวรุตเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆ  และก็เป็นพวกที่จะพยายามทุกอย่างเพื่อทำตามความมุ่งมั่นนั้นเสียด้วย
   คราวนี้ท่าทางว่าวรุตจะมีความมุ่งมั่นที่อยากจะเจอสถาปนิกคนนั้น และคงจะตั้งใจจะทำให้สำเร็จอย่างทุกครั้ง
   ดังนั้นเรื่องที่ว่าย้ายที่อยู่ ก็อาจจะย้ายไปอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่คิดว่าจะน่าเจอตัวสถาปนิกคนนั้นก่อนก็ได้ ประจวบเหมาะกับเรื่องที่ทวีศักดิ์สั่งถอนกำลังเมื่อสี่วันก่อน ก็แปลว่าวรุตมีโอกาสที่จะอยู่ที่คอนโดเขาเคยไปนั่นแน่ๆ
   อิทธิเดชพยักหน้ากับตัวเอง
   แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่พรุ่งนี้เขาคงต้องไปสำรวจคอนโดที่ว่านั่นเสียหน่อย
------------------------------------------
   วรุตถอนหายใจยาว เพ่งสายตาฝ่าความมืดเบื้องหน้าไปยังที่ที่ไม่มีอยู่จริง ราฟาแอลและเพื่อนร่วมงานที่ชื่อรัสเลอร์กลับไปยังห้องในตอนเที่ยงคืน ทิ้งให้เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเขายังไม่มีโอกาสได้ถามชื่ออยู่โยงเฝ้าที่นี่ ซึ่งก็ไม่ผิดความคาดหมายมากนัก เพราะนี่เป็นห้องแฟนเจ้าตัวนี่นา
ฟ่งทำตามสิ่งที่เขาได้พูดเอาไว้ในช่วงอาหารมื้อเย็น คือล็อกประตูนอนในห้องนอน แล้วปล่อยให้คนที่เหลือนอนตรงโซฟา น่าแปลกที่ผู้ชายชาวต่างชาติผมสีดำที่เป็นแฟน ไม่ได้แสดงท่าทีอิดออดอย่างที่ควรจะเป็น วรุตพอจะเดาเอาได้ว่าเพราะผู้ชายคนนี้ต้องการจับตาดูเขา  ดังนั้นเขาจึงเลือกนอนที่โซฟา และปล่อยให้หมอนั่นไปนอนที่พื้นด้านหน้าห้อง
   เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าเขาจะถูกจับตามองอย่างไร หรือคนที่เฝ้าอยู่จะหลับแล้วหรือไม่ เขายังคงถอนหายใจต่อ สมองดูจะมีเรื่องบางอย่างให้ครุ่นคิด
   เรื่องของอิทธิเดช….
   ถึงจะแน่ใจว่าอิทธิเดชไม่เคยคิดอะไรกับเขามากกว่ารำคาญและเกรงใจผู้เป็นพ่อ รวมถึงเคียดแค้นในเรื่องที่เขาทำลงไป แต่ถึงอย่างนั้นวรุตก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อชายคนนี้ได้
   รัก...ปรารถนา...อยากเป็นเจ้าของ
   ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมานิดหน่อย หัวใจของเขาคงสามารถรัก ร่างกายของเขาคงสามารถปรารถนาในเรือนร่างอ้อนแอ้นขาวนวลนั้นได้  แต่เขาคงไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น หัวใจที่อิทธิเดชมอบให้พ่อของเขาไปจนหมดสิ้น
   ทำไมเขาถึงต้องหลงรักผู้ชายคนนั้นด้วยนะ!!
   คงเป็นเพราะเขาหลงใหลในใบหน้างดงามและเรือนร่างบอบบาง กับสายตาเศร้าๆ ที่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ชวนให้อยากปลอบโยน แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการทำร้ายทั้งร่ายกายและจิตใจของอีกฝ่าย เพียงเพราะในสายตาคู่นั้นไม่เคยมีเขาอยู่เลย
   เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาเพียงอยากให้ดวงตาเศร้าๆ คู่นั้นมีเงาของเขาอยู่บ้าง  จึงตัดสินใจทำอะไรบ้าๆ ลงไป ขอเพียงให้มีเงาสะท้อนของเขาอยู่เท่านั้น ต่อให้มันคือเงาสะท้อนของความเกลียดชังก็ตาม แต่จนถึงตอนนี้ วรุตรับรู้แล้วว่ามันเป็นแค่ความพยายามที่ไร้ประโยชน์
ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน อิทธิเดชก็ไม่มีวันหันมามองเขา ไม่ว่าจะมองด้วยสายตาของความรัก หรือสายตาของความแค้นก็ตาม สำหรับคนคนนั้นแล้ว เขาคงเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจและน่ารำคาญ ไม่มีค่าพอให้ใส่ใจด้วยซ้ำ หากไม่มีสายเลือดเดียวกันกับทวีศักดิ์ ต่อให้เขาใช้วิธีละมุนละม่อมกว่านี้ ทำตัวดีกว่านี้ ทางนั้นก็คงไม่หันมามองเขาอยู่ดี และเขาก็คงไม่มีโอกาสจะได้แตะแม้ปลายเส้นผม ก็หัวใจของอิทธิเดชเป็นของพ่อเขานี่นา
   ถึงเวลาที่เขาควรจะตัดใจแล้วสินะ?
   วรุตปฏิเสธความคิดนี้ในทันที เขาไม่มีวันล้มเลิกความตั้งใจที่มีต่ออิทธิเดชอย่างเด็ดขาด เพียงแต่ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าจะดำเนินการต่อเกี่ยวกับเรื่องนั้นไปในรูปแบบไหน  และเรื่องราวของฟ่งก็ดูจะสำคัญกว่า เพราะมันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของคนคนหนึ่ง เขาคงต้องพักเรื่องของอิทธิเดชไว้ก่อน
   ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านที่มีต่ออิทธิเดชได้ในทุกครั้งที่หลับตาลง เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้น คิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อยากจะอยู่ใกล้ๆ อยากจะพูดคุย  แม้ว่าการพูดคุยนั้นจะไม่ใช่การพูดคุยอย่างสนุกสนานเลยก็ตาม
   ก็แค่รัก...จนไม่อยากจะตัดใจเท่านั้นเอง
------------------------------------------
   รูฟัสยังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้นอนลืมตา เขาได้ยินเสียงวรุตถอนหายใจในความมืด เจ้าเด็กน่าสงสัยคนนั้นมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากกันนะ อาจจะเป็นเรื่องที่หลงมาติดกับที่นี่ หรือเรื่องส่วนตัวอย่างอื่นก็ได้
หนุ่มตาสองสีไม่อยากให้ความสำคัญนัก เด็กนั่นเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่อาจจะบังเอิญหลงเข้ามา ทำให้เขาต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ที่ควรจะให้ความสำคัญน่าจะเป็นฟ่งมากกว่า
   รูฟัสนึกอยากจะถอนหายใจบ้าง แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เพราะกลัวเด็กที่นอนอยู่บนโซฟาจะรู้สึกตัวว่าเขายังไม่หลับ รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งทำอีท่าไหนถึงสามารถมานั่งเขียนแบบแปลนนรกนั่นในห้องของตัวเองได้  ทั้งๆ ที่ปกติน่าจะถูกพาไปกักตัวไว้ที่ไหนแล้วฆ่าทิ้งในตอนหลัง
บางทีฟ่งอาจจะมีความสามารถอื่นที่ซ่อนเอาไว้มากกว่าที่เขารู้ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ไม่ว่าฟ่งจะใช้วีธีแบบไหนในการเอาตัวรอดออกมาจากเหตุการณ์ในคราวนั้น แต่เขาแทบจะแน่ใจว่าหนุ่มสวมแว่นคนนี้คงไม่มีโอกาสได้ใช้แผนนั้นอีกเป็นรอบที่สอง หากตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายนั่นอีกครั้ง
เพราะอย่างนี้ รูฟัสจำเป็นต้องแน่ใจว่าฟ่งจะอยู่ในที่ปลอดภัยในตอนที่เขาลอบเข้าไปในห้องลับ ปัญหาที่ราฟาแอลถามมานั้น คือการโยนภาระให้เขาเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้ เนื่องจากฟ่งมีความสำคัญกับเขามาก หากฟ่งเป็นแค่คนข้างห้องปกติ หรือเป็นแค่สถาปนิกที่เขาได้ตัวมาโดยบังเอิญ เรื่องราวคงไม่น่าปวดหัวขนาดนี้ แต่ตอนนี้ฟ่งเป็นคนที่เขารัก และตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา หลังจากอยู่อย่างไร้ทิศทางมากกว่าสิบหกปี
   เขาไม่อยากจะสูญเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
   รูฟัสกลืนน้ำลาย เขาจะต้องหาที่ปลอดภัยที่สุดให้ฟ่ง ก่อนที่ตัวเขาเองจะต้องเข้าไปในห้องลับนั่น
   อีกสองวัน
-------------------------------------
** สถานะปัจจุบันของเรื่องนี้ อิช้านเขียนจบแล้วค่า... หลังจากเริ่มเขียนตอนแรกเมื่อวันที่2มิย.50 มาเสร็จเอา15 กค.54 ฮ่าๆๆ (เสียสติ) หลังจากนี้จะค่อยๆ เอามาทยอยลงนะคะ (ทั้งหมดมี88ตอนจบค่ะ /คนอ่านวิ่งหนีทันใด) รวมเล่มจะเปิดทุก45วันนะคะ^^

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 16-07-2011 12:23:05
เห็นว่า 88 ตอนจบ ก็แทบตาเหลือก แต่ขยันโพสแบบนี้ คนอ่านไม่ต้องรอกันนานใช่มั้ยคะ
ตั้งตัว เป็นแฟนคลับ น้องวรุตเด็กประหลาด ขยันจีบหน่อยเดี๋ยวพี่เดชก็คงใจอ่อน  มั้ง  555

ขอบคุณนะคะ ยิ่งอ่านยิ่งติด  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: genieposh ที่ 16-07-2011 22:59:24
 เอ่อ รอซื้อที่เดียวยกเซ็ททั้ง 9 เล่มเลยเนี่ย พอได้ไหมครับ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 17-07-2011 07:39:48
จะเจอกันหรือเปล่าน้า... กังวลแทนฟ่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 17-07-2011 10:18:26
น้องวินสู้สู้ เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 17-07-2011 12:54:59
 :a5:

88ตอนจบ

โอ้ว แม่เจ้า  เพิ่งได้ครึ่งเรื่อง

แต่ติดตามๆครับ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-07-2011 10:15:43
บทที่47  การเริ่มเดินหมากของตระกูลเว่ย

   แสงแดดตอนเที่ยงในฮ่องกงนั้นเป็นอะไรที่หายากมาก เมื่อทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูฝน  เถียนซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุมอยู่เป็นบางส่วน ปล่อยให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมากระทบพื้นถนนด้านล่างบ้าง หลังจากมืดครึ้มติดกันมาหลายวัน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังตัวตึกบุกระจกสีดำขนาดสิบหกชั้น ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลเว่ยและที่พักของเว่ยจินหยิน อดีตเจ้านายของเขา
   เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่เว่ยจินหยินลงทุนไปหาเขาด้วยตัวเองถึงตึกของหน่วยดำ และใช้ลูกไม้เดิมๆ อย่างที่เคยทำสมัยเด็กๆ จนทำให้เขาต้องมานอนค้างอยู่ที่สำนักงานนี้อย่างเร่งด่วนในเย็นวันเดียวกัน เพื่อปรึกษาและวางแผนเกี่ยวกับการเดินทางไปร่วมประชุมเกี่ยวกับโครงการที่มีชื่อว่า “Tescas ripoca” (เทสกา ริโพกา)
   บุรุษวัยสี่แปดย่างสี่สิบเก้า ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยดำมากว่ายี่สิบปี เลื่อนสายตาจากตัวตึก ลงมาจนอยู่ในระดับปกติ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา ข้อมูลที่เขาสืบได้มา กับข้อมูลที่เว่ยจินหยินส่งคนไปสืบมาก่อนนั้น พอเอามารวมกันแล้ว ก็ทำให้เขารู้สึกวิตกขึ้นมา
   เถียนซานคิดว่างานนี้อันตรายเกินไปสำหรับอดีตเจ้านายของเขา เขาพอจะคาดเดาความในในของเจ้านายใหญ่ของตัวเองได้ และเว่ยจินหยินเองก็คงเดาได้เช่นกัน แต่ที่ยังยอมเดินตามแผน ก็คงเพราะเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดนี่แหละ
   เถียนซานไม่ได้คุยเรื่องนี้โดยตรงกับเว่ยจินหยิน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่เร่งรัดให้เขามาร่วมงานอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ แม้ว่าการกระทำบางอย่างของเว่ยจินหยินจะดูเหมือนล้อเล่น แต่เถียนซานใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายคนนี้มานานจนรู้ว่าทุกอย่างที่เจ้านายวันสามสิบหกคนนี้พูดและทำ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างเด็ดขาด เว่ยจินหยินนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลในรุ่นต่อไปมาตั้งแต่เว่ยฟู่ฉินผู้เป็นพี่ชายประกาศสละสิทธิ์การรับตำแหน่ง และก่อนหน้านี้ก็ทำหน้าที่รับใช้ความต้องการของผู้เป็นพ่อด้วยดีมาโดยตลอด
   ทั้งหมดนี่ก็เพียงเพราะความฝังใจบางอย่างในวันเด็กที่เว่ยจินหยินมีต่อผู้เป็นบิดาเท่านั้นเอง
   ดังนั้นพอยิ่งเว่ยชิงเอ่ยปากเรื่องผู้สืบทอดด้วยแล้ว ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตขนาดไหน เว่ยจินหยินก็คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หลุดมือไป ต่อให้เป็นการเดินหมากตาร้ายก็ตาม เพราะนี่คือสิ่งที่เจ้าตัวไม่อาจจะปฏิเสธได้
   และไม่มีทางจะยอมได้อย่างเด็ดขาด
   ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยดำก้าวออกมาจากตัวตึกอันเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลที่เขาทำงานรับใช้อยู่ และโบกมือเรียกแท็กซี่ เนื่องจากวันนี้เว่ยจินหยินมีนัดรับประทานอาหารเที่ยงกับแขกสำคัญคนหนึ่ง ดังนั้นเถียนซานจึงขอปลีกตัวออกมา เขาอยากใช้เวลาเงียบๆ เพื่อคิดและสรุปเรื่องราวที่ค้างคาอยู่ในใจ
   รถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าตรอกเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะจอแจ เถียนซานหยิบเงินพอดีจำนวนค่าโดยสาร ยื่นให้กับคนขับ ก่อนจะก้าวลงจากรถ และเดินเข้าร้านบะหมี่ร้านหนึ่งที่อยู่ใจกลางตรอก
   นี่เป็นร้านบะหมี่ที่เขาและน้องสาวมักจะแวะมาทานกันบ่อยๆ ในช่วงที่ยังอาศัยอยู่ด้วยกัน และบางครั้งเขาก็พาเว่ยจินหยินซึ่งตอนนั้นอายุไม่กี่ขวบมาทานด้วย
เถียนซานเอ่ยทักทายเจ้าของร้านซึ่งมีวัยล่วงเลยกว่าเจ็ดสิบปีเข้าไปแล้ว แต่ยังดูมีสุขภาพดีและแข็งแรงพอจะลวกบะหมี่อย่างที่เคยทำมาตลอดก่อนหน้านี้หลายสิบปี
เขาสั่งอาหาร และเดินเข้าไปหาที่นั่งในร้าน ทันใดนั้นเอง สายตาก็สะดุดเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งก้มอยู่ที่โต๊ะตรงมุมอับที่สุด หลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เถียนซานก็ตัดสินใจเดินเข้าไป
   “ไง อาซื่อ ขอนั่งด้วยสิ”
   ผู้ถูกทักเงยหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นหน้าผู้เอ่ยทัก
   “สวัสดีครับพี่เถียน”
   เถียนซานพยักหน้าและนั่งลง เขารู้สึกแปลกแปลกๆ อยู่สักหน่อยกับทรงผมใหม่ของจางซื่อเยี่ยน คงเป็นเพราะเด็กคนนี้ไว้ผมยาวมาโดยตลอดล่ะมั้ง
   “ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงกับคุณชายรองหรือครับ?” ผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยถาม เพราะปกติเจ้านายและลูกน้องคู่นี้มักจะทานอาหารด้วยกันอยู่บ่อยๆ
   เถียนซานสั่นศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมองอดีตลูกน้อง และนึกดีใจที่บังเอิญได้มาเจอกันที่นี่
   “ฉันกำลังมีเรื่องอยากคุยกับเธออยู่พอดี เธอรู้เรื่องที่คุณท่านให้คุณชายรองกับคุณชายเจ็ด ไปงานประชุมที่เมืองไทยแล้วใช่ไหม?”
   “อ้อ เรื่องนั้น ทราบแล้วล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ และมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาเงยขึ้นมองอดีตหัวหน้า
   “ผมว่างานนี้มันอันตรายเกินไป” จางซื่อเยี่ยนพูดขึ้นต่อ ดูเหมือนความคิดของเขาจะตรงกับความคิดของเถียนซาน ผู้มีวัยสูงกว่าพยักหน้า “ฉันก็เห็นว่าอย่างนั้น แต่คุณชายมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก ฉันเลยอยากให้การไปครั้งนี้ราบรื่นที่สุด”
   “ครับ คุณชายเจ็ดเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน งั้น...”
   เถียนซานทำท่าจะอ้าปากพูด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อบะหมี่ถูกยกเข้ามา เขารับชามบะหมี่จากเด็กเสิร์ฟ แล้ววางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะพูดต่อ
   “ฉันคิดว่า มันคงจะดีกว่าถ้าหากทั้งสองคนหันร่วมมือกัน”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองอดีตหัวหน้าของเขา ก่อนจะพยักหน้า “ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันล่ะครับ แต่กลัวว่าคุณชายจะไม่เห็นด้วยน่ะสิ”
   เถียนซานยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคงมองรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
   “ฉันรู้ว่าคุณชายเจ็ดไม่ค่อยชอบพอคุณชายรองเท่าไหร่นัก แต่ฉันอยากให้เธอคุยกับคุณชายเจ็ดเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคุณชายเจ็ดน่าจะยอมตกลง เดี๋ยวฉันจะคุยกับทางคุณชายรองให้อีกที”
   “อะ.. เอางั้นหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก เถียนซานอาจจะพูดเรื่องนี้กับเว่ยจินหยินได้ แต่สำหรับตัวเขานั้นมีความมั่นใจเลยสักเสี้ยวหนึ่งว่าเว่ยเฟิงปิงจะยอมฟังเขา
   “อือ ไม่ลองไม่รู้หรอก ฉันว่าคุณชายเจ็ดคงยอม คุณชายเป็นคนฉลาด เรื่องใหญ่ขนาดนี้คงไม่ถือทิฐิส่วนตัวจนไม่ฟังอะไรหรอก” เถียนซานพูดให้กำลังใจ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าอย่างคนจำยอมรับสภาพ
   “ผมจะลองพูดดูแล้วกันครับ แต่ไม่รับประกันหรอกนะครับว่าคุณชายจะฟังหรือเปล่า”
   เถียนซานพยักหน้า “ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะติดต่อกลับไป” หนุ่มวัยสี่สิบเศษกล่าว และเริ่มรับประทานบะหมี่ในชาม
---------------------------------
   เว่ยจินหยินยกมือขึ้นขยับแว่นตากรอบทองของเขา ในตอนที่ผู้เป็นอดีตลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาในตัวตึก
   “ไปข้างนอกมารึ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยถาม เถียนซานพยักหน้า นึกแปลกใจนิดหน่อยที่พบเว่ยจินหยินตรงทางเดินชั้นล่าง
พอเห็นเขาเดินมาใกล้ อดีตเจ้านายก็โบกมือให้ผู้ติดตามสองคนด้านหลังหลบออกไปก่อน
   “มีอะไรหรือครับ?” เถียนซานเอ่ยถามเมื่อเห็นพฤติกรรมดังกล่าว หรือว่าเว่ยจินหยินมีเรื่องจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวนะ? ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ
   “ไม่มีอะไรหรอก ฉันให้พวกเขาไปพัก ไมเคิลกับโจดูแลฉันมาตลอดบ่ายแล้ว ต่อจากนี้ให้นานดูแลแทนก็แล้วกัน”
   “อ้อ” ผู้เป็นลูกน้องครางเสียงยาว มองดูเจ้านายที่ถอดแว่นตากรอบทองออกมาเช็ด เว่ยจินหยินยังคงแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเดิม ผมก็หวีเรียบจนเรียบแปล้
มองอดีตเจ้านายได้สักพัก เถียนซานถอนหายใจยาว
   “เบื่อรึ?” ผู้เป็นเจ้านายหันมาถามทันที ขณะสวมแว่นกลับ เถียนซานรีบสั่นศีรษะ
   “เปล่าครับ เอ่อ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย” เขากล่าว เว่ยจินหยินขมวดคิ้วมองดูอดีตลูกน้อง “ฉันรบกวนนายมากไปรึ?”
   ดูเหมือนผู้เป็นเจ้านายจะยังข้องใจกับเสียงถอนหายใจเมื่อครู่ไม่หาย ถึงได้มีสีหน้าเป็นกังวลขนาดนี้ เถียนซานพยายามจะไม่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ
   “ไม่ใช่ครับ ผมแค่คิดว่าคุณน่าจะปล่อยให้เด็กๆ พวกนั้นทำงานของตัวเองไป เพราะตอนนี้พวกเขามีหน้าที่ดูแลคุณโดยตรง”
   “ปกติฉันก็ให้พวกเขาทำงานกันทั้งวันนั่นแหละ” ผู้เป็นเจ้านายตอบ และยิ้มออกมา “ไม่ใช่ว่าโจกับไมเคิลโทรไปบ่นเรื่องความจู้จี้ของฉันให้นายฟังบ่อยๆ หรือ?”
   เถียนซานได้แต่ยิ้มให้กับคำถามนั้น ก่อนจะพูดต่อ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ยังไงตอนนี้ผมก็ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคุณเหมือนเดิมแล้ว คุณควรจะ...”
   ถึงตอนนี้เว่ยจินหยินถอนหายใจออกมาบ้าง
   “ฉันไม่ได้อยากให้นายทำมันเป็นหน้าที่เสียหน่อย ก็เหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ อยู่เป็นเพื่อนฉัน คอยให้คำปรึกษาฉันก็พอ”
   “ครับ” เถียนซานพยักหน้าอย่างยอมแพ้กับความรั้นของอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินมองดูลูกน้องเก่าแก่ของเขาผ่านเลนส์แว่น เขาทราบดีอยู่นานแล้วว่าเถียนซานไม่ได้มีเวลาว่างมาตามดูแลเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้ามีโอกาส เขาก็อยากให้ลูกน้องคนนี้มาอยู่ใกล้ๆ เพราะนี่เป็นคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด และรู้ใจเขามากที่สุด
   “อ้อ.. ผมซื้อเค๊กจากร้านที่คุณชายชอบมาฝากด้วยนะครับ” เถียนซานพูดอย่างนึกขึ้นได้ และยกถุงใส่กล่องเค๊กในมือขึ้นมา เว่ยจินหยินหัวเราะชอบใจ
   “ฉันจะให้คนสั่งเสี่ยวผิงเตรียมชาขึ้นไปให้ที่ห้อง เราจะได้คุยกันระหว่างทานเค๊ก”
------------------------------------------------   
   แม่บ้านวัยราวๆ ยี่สิบต้นๆ ที่เว่ยจินหยินเรียกว่าเสี่ยวผิง ยกกาน้ำชาพร้อมถ้วยชาดินเผาเคลือบและลงลายอย่างจีนสองถ้วยเข้ามาวางตรงโต๊ะทำงานไม้มะค่าฝังมุกในห้องทำงานของเว่ยจินหยิน พร้อมกับจานใส่เค๊ก  ก่อนจะกลับออกไปอย่างเงียบๆ เถียนซานรินน้ำชาลงในแก้ว ขณะที่ผู้เป็นเจ้านายนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
   “ขอบใจนะ” เว่ยจินหยินเอ่ยเมื่ออีกฝ่ายส่งแก้วชาที่มีชาอยู่ปริ่มแก้วให้ และจิบมันเข้าไปคำหนึ่ง
   “มีธุระอะไรจะคุยกับฉันล่ะ?” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยขึ้นหลังจากที่เถียนซานนั่งลงเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสูงวัยมองดูชาในแก้วอยู่ครู่ใหญ่ และเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย และเห็นว่ากำลังทานเค๊กอยู่
   “ถูกปากรึเปล่าครับ ผมเห็นว่าเป็นรสใหม่ ไม่รู้ว่าคุณชายเคยทานแล้วหรือยัง?”
   เว่ยจินหยินยิ้มและพยักหน้า “นอกจากนายแล้ว ไม่มีใครซื้อของแบบนี้มาฝากฉันหรอก จะใช้โจกับไมเคิลออกไปก็วุ่นวาย ฉันรอนายซื้อมาฝากดีกว่า”
   เถียนซานหัวเราะ และเงียบไปอีกพัก เว่ยจินหยินที่ทานเค๊กไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เลยเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างแปลกใจ
   “นายมีเรื่องอะไรรึเปล่า?” ผู้เป็นอดีตเจ้านายเอ่ยถาม เถียนซานยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าผู้เป็นเจ้านายไม่ชอบให้คนอื่นพูดอ้อมค้อม และตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น แต่การพูดเรื่องของเว่ยเฟิงปิงกับเว่ยจินหยินเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจไม่น้อย เพราะเว่ยจินหยินเองก็ไม่ได้พอใจน้องชายคนนี้ของตัวเองเท่าไหร่นัก เช่นเดียวกับน้องชายคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้
   “ผมอยากคุยกับคุณเรื่องคุณชายเจ็ด” เถียนซานพูดออกมาในที่สุด เว่ยจินหยินหรี่ตามองเขาผ่านกรอบแว่น แล้วถามกลับ “อ้อ... ออกไปเจอเฟิงปิงมาหรือ?”
   ผู้เป็นลูกน้องสั่นศีรษะ “ผมรู้ว่าคุณคงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่เรื่องคราวนี้อันตรายมาก ผมอยากให้คุณกับคุณชายเจ็ดร่วมมือกัน”
   “อ้อ..” เว่ยจินหยินส่งเสียงยาวในลำคออีกครั้ง เถียนซานเดาไม่ออกเลยว่าเจ้านายของเขาคิดอย่างไรกับเรื่องที่เขาพูดออกไป แต่ที่แน่ๆ เว่ยจินหยินคงไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
   อดีตเจ้านายวัยสามสิบหกยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม และเหลือบมองลูกน้องผ่านแว่น
   “เป็นห่วงฉันหรือ?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามหลังจากวางแก้วชาแล้ว คนถูกถามพยักหน้า
   “ครับ” เถียนซานยอมรับออกไปตรงๆ อีกฝ่ายถอนหายใจและยิ้มออกมา
   “ฉันรู้ว่างานนี้อันตรายขนาดไหน ฉันน่ะไม่ได้ใจแคบเป็นเด็กๆ หรอกนะ เรื่องที่จะคุยกับเฟิงปิงน่ะ ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกัน”
   “อ้อ” เถียนซานครางในลำคอ น้ำเสียงเจือความยินดีขึ้นมาทันที ผู้เป็นเจ้านายถอนหายใจอีกครั้งและตักเค๊กเข้าปาก
   “แต่ฉันกลัวว่าเฟิงปิงอาจจะไม่ยอมเจรจาด้วย เด็กคนนั้นยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่”
   “ผมลองคุยกับซื่อเยี่ยนให้แล้วล่ะครับ บางทีเขาอาจจะช่วยพูดให้ได้”
   “ซื่อเยี่ยนรึ? นี่นัดพบกันหรือไง” เว่ยจินหยินถามยิ้มๆ
   “เปล่าครับ บังเอิญเจอในร้านบะหมี่น่ะ” เถียนซานตอบ เว่ยจินหยินมีสีหน้าครุ่นคิด
   “อย่างนั้นรึ แล้วถามความเคลื่อนไหวของเฟิงปิงมาหรือเปล่า?”
   “นิดหน่อยครับ เห็นว่าคุณชายเจ็ดก็ให้คนตามสืบข้อมูลอยู่เหมือนกัน ผมเลยอยากให้ลองคุยกันดูก่อน”
   “นั่นสินะ” เว่ยจินหยินว่าและหัวเราะ  เขาตัดเค๊กออกมาคำหนึ่ง ใช้ส้อมจิ้มและยื่นให้ผู้เป็นลูกน้อง
   “ทานไหม?”
   เถียนซานปฏิเสธไม่ออก ลองถ้าอีกฝ่ายยื่นมาให้แบบนี้ล่ะก็ เขางคงทำได้แค่อ้าปากและกลืนเข้าไป
   “นี่ อาซาน” เว่ยจินหยินเริ่มบทสนทนาใหม่อีกครั้ง เขามองหน้าผู้เป็นลูกน้องที่กำลังเคี้ยวเค๊กที่ตัวเองเพิ่งป้อนเข้าไปแล้วรู้สึกขำ เลยหัวเราะออกมาเบาๆ เลยรอให้อีกฝ่ายกลืนค๊กลงไปและดื่มชาเรียบร้อยก่อน แล้วจึงพูดต่อ
   “ความจริงตอนแรกฉันคิดจะอาศัยงานนี้กำจัดเฟิงปิงเสียเลย แต่พอมาคิดดูอีกที สู้ดึงให้ทางนั้นมาร่วมมือกันดีกว่า งานนี้ดูท่าจะตึงมือเกินไปสำหรับฉัน และทางเฟิงปิงเองก็คงจะด้วย ที่สำคัญเด็กนั่นคงยังไม่รู้นัยของตาหมากที่คุณพ่อเดินในครั้งนี้”
   เถียนซานพยักหน้า เขาเงยขึ้นมองอดีตเจ้านาย “คุณชายไม่เปลี่ยนใจแล้วนะครับ เรื่องนี้น่ะ”
   เว่ยจินหยินเลิกคิ้วมองอดีตลูกน้องอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่หรอก ฉันไม่ถอยแน่ๆ ฉันไม่มีทางถอยให้กับเรื่องแค่นี้หรอก”
   “ครับ... ”
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องทำงานของเว่ยจินหยินพักใหญ่ ท้ายที่สุดผู้เป็นอดีตเจ้านายก็เอ่ยปากออกมาก่อน
   “อาซาน ทำงานให้กับฉันอีกสักครั้งเถอะ ฉันเชื่อว่าถ้างานนี้เป็นไปตามแผนอย่างราบรื่นล่ะก็ คุณพ่อคงยอมลงให้ฉันแน่ๆ ”
   เถียนซานมองหน้าอดีตเจ้านายของเขา ก่อนจะวางมือลงบนมือของเว่ยจินหยินที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วพยักหน้า เว่ยจินหยินยิ้มออกมา
   “อาซาน นายยังเก็บของที่เคยใช้สมัยที่เกิดเรื่อง”ลู่สุ่ยเฟิง”ที่เกาลูนเอาไว้หรือเปล่า?”
   เถียนซานเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้ง “ทำไมหรือครับ?”
   “นายยังเบิกออกมาใช้ได้ใช่ไหม ฉันคิดว่าเราคงต้องการใช้มันในงานครั้งนี้ พวกโจกับไมเคิลมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันอยู่แล้วนี่”
   “ถึงกับจะใช้ของนั่น คุณวางแผนอะไรเอาไว้อีกล่ะครับ” เถียนซานถาม เว่ยจินหยินตอบยิ้มๆ “เดี๋ยวฉันจะคุยให้นายฟังหลังจากนี้แหละ ส่วนเรื่องของเฟิงปิงน่ะ...”
   เว้นระยะไปพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดต่อ “นายจัดการไปแล้วกัน ฉันน่ะไม่อยากเสียปากพูดเรื่องนี้กับเด็กนั่นตรงๆ หรอก”
   “ครับ ไว้ผมจะจัดการให้นะครับ” ผู้เป็นอดีตลูกน้องรับคำ เว่ยจินหยินใช้ส้อมจิ้มเค๊กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวมันจนหมด ดื่มน้ำชาตามลงไป แล้วพูดต่อ
   “ฉันเพิ่งได้ข้อมูลยืนยัน เกี่ยวกับตัวแทนของริเวิลที่จะส่งไปรวมประชุมในคราวนี้มา นายลองดูหน่อยสิ ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยจินหยินว่า และหยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งส่งให้อดีตลูกน้อง เถียนซานรับมาและดึงเอกสารข้างในออก หลังจากกวาดตามองแวบแรก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้านายทันที
--------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่46 p7 16/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-07-2011 10:15:57
   “ริเวิลส่งไฮท์ไปสองคนเลยหรือครับ!?” จางซื่อเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ทันทีที่เขาเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องทำงาน เว่ยเฟิงปิงก็โยนเอกสารเกี่ยวกับงานประชุมที่เมืองไทยฉบับล่าสุดให้เขาอ่านทันที
   ผู้เป็นเจ้านายพยักหน้า และพูดต่อ “สงสัยจะเป็นโควตาพิเศษล่ะมั้ง คุณพ่อถึงได้ส่งทั้งฉันทั้งพี่จินหยินไปขัดขวาง”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า แต่เขาไม่รู้สึกเห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะงานนี้มันดูอันตรายเกินไป
   “รู้สึกว่าจะเป็นไฮท์ลำดับที่สิบเอ็ดกับสิบสองด้วยนะ สูงไม่ใช่เล่นเลยล่ะ แต่เรายังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของสองคนนี่ นายพอจะรู้บ้างรึเปล่า?”
   “ลำดับสิบเอ็ดกับสิบสองเลยหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมา ริเวิลมีผู้บริหารสองระดับ ไฮท์ถือเป็นผู้บริหารระดับรองที่มีอำนาจลดต่ำจากโอนเนอร์สามคนลงมาเท่านั้น ก่อนหน้านี้เคยมีทั้งหมดสิบสามคน โดยเรียงตำแหน่งจากน้อยไปหามาก แต่เมื่อหกปีก่อนเกิดเรื่องกับไฮท์ลำดับสิบสาม และด้วยสาเหตุบางอย่าง ตำแหน่งที่สิบสามเลยยังว่างอยู่จนถึงทุกวันนี้ หมายความว่าลำดับสิบสองคือลำดับสูงสุดในตอนนี้นั่นเอง
   เว่ยเฟิงปิงนั่งรอฟังคำตอบของผู้เป็นลูกน้องอย่างอดทนอดกลั้น พอเห็นจางซื่อเยี่ยนยังคงนิ่งเงียบอยู่ เลยถามอีกขึ้น
   “นี่ รู้จักหรือไม่รู้จักกันล่ะ”
   จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขา ก่อนจะตอบคำถาม “พอจะได้ยินชื่อมาบ้างน่ะครับ เห็นว่าลำดับสิบเอ็ดชื่อเอียน ส่วนลำดับสิบสองชื่อฟารุค”
   “เป็นพวกต่างชาติเรอะ?” เว่ยเฟิงปิงถามอีก จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า “คิดว่าอย่างนั้นนะครับ เพราะผู้บริหารริเวิลส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเกือบหมด ที่เป็นคนฮ่องกงหรือคนจีน เท่าที่รู้เห็นจะมีแต่คุณลี่เหลียนเท่านั้นแหละครับ”
   “อ้อ... น้องชายพ่อฉันสินะ” เว่ยเฟิงปิงว่า ลี่เหลียนคนนี้แหละคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้พ่อของเขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจัดการกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า”ริเวิล”
   เนื่องจากเว่ยเฟิงปิงเกิดและโตอยู่ที่ต่างประเทศมาโดยตลอด เลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อกับอาของเขามากนัก ที่สำคัญ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อห้าสิบปีก่อน นานขนาดนั้นต่อให้เขาพยายามหาข้อมูลแค่ไหน ก็ได้มาไม่ครบอยู่ดี และก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นอะไรด้วย เรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันต่างหากที่สำคัญกว่า
   “รู้สึกว่าไฮท์สองคนนี่จะมีผู้ติดตามฝีมือดีอยู่ด้วยล่ะครับ” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยต่อ เว่ยเฟิงปิงหันมามองเขาอย่างสนใจทันที “เป็นคนยังไงล่ะ?”
   “อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ” จางซื่อเยี่ยนยอมรับออกมา “ผมไม่ได้ทำงานปะทะกับริเวิลโดยตรงมาหลายปีแล้ว ถ้าจะมีใครรู้ก็คงเป็นพี่เถียนซานน่ะครับ เพราะเขาทำงานชนกับคนพวกนี้โดยตรง”
   “เหอะ” เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงออกมา ไม่ได้ทำงานปะทะกับริเวิลตรงๆ งั้นรึ? เจ้าหมอนี่กำลังจะโทษว่าเพราะต้องมาทำงานรับใช้เขาหรือไงนะ แต่ช่างเถอะ ถึงจะเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ต่างกันนักหรอก คงไม่มีใครรอบรู้ทุกเรื่องขนาดคนที่ชื่อเถียนซานอีกแล้วล่ะ
   เถียนซานเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้กับตระกูลเว่ยมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ตอนที่เว่ยเฟิงปิงกลับมา เจ้าหมอนี่ก็เป็นหัวหน้าหน่วยดำแล้ว ได้ข่าวว่าได้ขึ้นเป็นตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ เผลอๆ จะรับตำแหน่งนี้มานานกว่าอายุของเขาเสียอีก ดังนั้น ประสบการณ์การปะทะกับพวกริเวิลคงไม่ต้องพูดถึง เพราะริเวิลเพิ่งก่อตั้งมาได้ราวๆ สามสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ถึงจะมากกว่าอายุของเขากับจางซื่อเยี่ยน แต่สำหรับเถียนซานแล้วล่ะก็ คงจะเหมือนเด็กๆ นั่นแหละ แต่เรื่องที่น่าหงุดหงิดคือ คนที่มีตำแหน่งสูงแล้วรู้เรื่องต่างๆ มากมายขนาดนี้ ดันกลายเป็นคนสนิทของเจ้าพี่บ้านั่นเสียได้ ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากประชุมเสร็จ เว่ยจินหยินจะเรียกตัวเถียนซานเข้ามาทันที
   ไหนเว่ยชิงบอกว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนสาธารณะไงล่ะ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นคนของเว่ยจินหยินอยู่ดีสินะ
   เว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ โดยไม่สนใจว่าจางซื่อเยี่ยนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงจะน่าหงุดหงิดขนาดไหน แต่ต่อให้เว่ยจินหยินไม่เรียกใช้เถียนซาน ก็ใช่ว่าเขาจะเรียกใช้ได้สักหน่อย คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าหมอนั่นก็มีแค่พ่อ กับพี่ชายคนโต และเว่ยจินหยินเท่านั้นเอง
   เว่ยเฟิงปิงสูดควันเข้าไปสองสามเฮือก แล้วจึงขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่สีเงินบนโต๊ะ
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกเหมือนมีใครเอาลูกเหล็กมายัดปาก เขามองดูเว่ยเฟิงปิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นควันบุหรี่สีขาวออกมาจนกลิ่นคลุ้งไปทั้งห้อง จวบจนกระทั่งเจ้านายของเขาดับบุหรี่แล้ว เขายังอ้าปากไม่ออกเลยแม้แต่ครึ่งเซนฯ
   จางซื่อเยี่ยนอยากจะพูดเรื่องที่เขาได้คุยกับเถียนซานในร้านบะหมี่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่กล้าจะง้างขากรรไกรพูดออกไป เพราะดูสภาพแล้ว พูดตอนนี้เว่ยเฟิงปิงคงไม่ฟังแน่ๆ
   เว่ยเฟิงปิงปรายตามองลูกน้องที่นั่งอยู่แล้วระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่ว “งานนี้ฉันน่าจะร่วมมือกับพี่จินหยิน”
   จางซื่อเยี่ยนเบิ่งนัยตาสีอีกาของเขาอย่างแปลกใจทันที พอเว่ยเฟิงปิงเห็นดังนั้นก็ถลึงตาใส่อย่างดุร้าย
   “ทำไม ฉันพูดอะไรผิดหรือไง?”
   พอได้ยินเสียงพูดที่ดูเกรี้ยวกราดขนาดนั้น จางซื่อเยี่ยนเลยต้องรีบละล่ำละลักพูดออกมา “เปล่าครับ คือว่าผมกำลังจะพูดกับคุณเรื่องนี้พอดี”
   “เรื่องที่จะร่วมมือกับพี่จินหยินน่ะรึ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ พลางเลิกคิ้วขึ้นสูง จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า และรีบพูดต่อ ราวกับกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เขาอาจจะไม่ได้พูดไปตลอดกาล
   “ผมคิดว่าคุณน่าจะร่วมมือกับคุณชายรองในเรื่องนี้ เพราะมันอันตรายเกินไป สองหัวดีกว่าหัวเดียวนะครับ”
   “อืม...ฉันก็คิดอยู่ ว่าแต่นายได้ความคิดนี้มาจากไหน ไปเจอจินหยินมารึ?” เว่ยเฟิงปิงถามขึ้นอีก พลางจ้องดวงตาสีฟ้าใสมาอย่างคาดคั้น จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะ “ผมเจอพี่เถียนที่ร้านบะหมี่ สรุปว่าคุณจะคุยเรื่องนี้กับคุณชายรองสินะครับ”
   “คิดว่านะ นายนัดผมกับเถียนซานหรือไง?”
   “เปล่าครับ เจอกันโดยบังเอิญเฉยๆ “
   “อ้อ ไม่ใช่ว่าทางนั้นสะกดรอยตามนายไปหรอกนะ” เว่ยเฟิงปิงตั้งข้อสังเกต จางซื่อเยี่ยนสั่นศีรษะทันที “พี่เถียนไม่ทำอะไรที่ไม่จำเป็นแบบนั้นหรอกครับ”
   “อืม” เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงครางในลำคอ “แล้ว.... นายได้ถามความเคลื่อนไหวของทางโน้นมารึเปล่า”
   ผู้เป็นลูกน้องสั่นศีรษะอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ “แต่เถียนซานคงถามนายบานเบอะเลยล่ะสิ เอาเถอะๆ ฉันเองอยากจะคุยเรื่องนี้กับพี่จินหยินอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าพี่บ้านั่นจะคุยด้วยหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่อยากจะเริ่มพูดก่อนด้วยสิ พี่จินหยินน่าคุยด้วยเสียที่ไหนล่ะ”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยกับเจ้านายของเขา
   “ถ้าอย่างนั้น ผมคุยกับพี่เถียนซานให้นะครับ”
---------------------------------------
   “เฟิงปิงเห็นด้วยหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ” เว่ยจินหยินพูดขึ้นมา หลังจากที่เถียนซานเล่าเรื่องที่จางซื่อเยี่ยนโทรศัพท์มาให้ฟังเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของอดีตเจ้านาย ซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของเขาด้วย เพราะห้องในตึกของเว่ยจินหยินไม่ว่าง และผู้เป็นเจ้านายก็เห็นว่าห้องนอนของตัวเองไม่ได้คับแคบอะไร ดังนั้นจึงสั่งเตียงอีกตัวหนึ่งเข้ามาวางเสริม
เถียนซานอดคิดไม่ได้ว่า เว่ยจินหยินกลัวเขาจะหนีกลับไปที่หน่วยดำหรือเปล่า เลยต้องจับตาดูทุกฝีก้าวขนาดนี้
   “งั้นนัดเฟิงปิงมาคุยที่นี่นะ เพราะคราวที่แล้วฉันไปหาเด็กนั่นที่ตึกแล้ว ไม่อยากจะไปอีกเป็นครั้งที่สองหรอก”
   “ครับ แล้วผมจะบอกซื่อเยี่ยนให้” ผู้เป็นอดีตลูกน้องรับปาก เว่ยจินหยินทรุดตัวลงนั่งบนเตียง เขาอยู่ในชุดนอนเสื้อคลุมแพรสีเขียวขอบดำ ชายหนุ่มขยับแว่นตาให้เข้าที่ และถอนหายใจ
   “ฉันคงต้องกำชับเฟิงปิงไม่ให้ทำอะไรป้ำๆ เป๋อๆ ”
   “เรื่องนั้นคงไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ คุณชายเจ็ดเองก็ระวังตัวพอสมควรอยู่แล้ว” เถียนซานกล่าว เว่ยจินหยินเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อถือนัก “งั้นเหรอ อืม... ถึงยังไงก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนล่ะ ฉันไม่อยากถูกขวางมือขวางเท้าแบบไม่เข้าเรื่องหรอก”
   เถียนซานยิ้มให้เจ้านายของเขา “ไว้คุยกันเดี๋ยวก็รู้เองล่ะครับ คุณกับคุณชายเจ็ดไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนนี่”
   “อืม” เว่ยจินหยินพยักหน้ายอมรับ และเงียบไปพักใหญ่ เหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
   “นี่อาซาน เรื่องของสคัลกับนีดเดิ้ลน่ะ นายว่าเฟิงปิงจะรู้แล้วหรือยัง?” เว่ยจินหยินกำลังพูดถึงเรื่องลูกน้องอีกสองคนของไฮท์ที่จะไปประชุมที่ประเทศไทย เถียนซานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ยังไม่น่าจะรู้นะครับ คนของคุณชายเจ็ดส่วนใหญ่ไม่เคยทำงานที่หน่วยดำ ถึงจะมีซื่อเยี่ยนอยู่ด้วย แต่คงไม่รู้จักหรอกครับ เพราะยังไม่เจอกันมาก่อน”
   “อืม... งั้นฉันคงต้องคุยเรื่องนี้กับเฟิงปิงด้วย ยังไงถ้าเฟิงปิงถอนตัวออกไปเองก็ดี ถึงไปก็คงช่วยอะไรฉันไม่ได้มากหรอก กลัวแต่จะไปขวางมือขวางเท้า เผลอๆ จะเป็นแผนแยบยลของคุณพ่อด้วยนี่สิ”
   เถียนซานมองอดีตเจ้านาย ก่อนจะสั่นศีรษะ “ผมว่าคุณชายเจ็ดไม่ถอนตัวหรอกครับ คุณชายเจ็ดเองก็มีจุดมุ่งหมายที่ตำแหน่งผู้สืบทอดเหมือนกัน”
   “อืม... ก็รู้อยู่หรอก” เว่ยจินหยินว่า และถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เถียนซานจึงลุกขึ้น และเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำที่เพิ่งถูกเป่าจนแห้งหลังจากอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน
   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะดูแลคุณเอง”
เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมาและยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง “ขอบใจนะ ฉันรู้ว่านายจะต้องอยู่ข้างฉันจนวินาทีสุดท้าย” เขาว่าและช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นลูกน้อง ก่อนจะยกขาขึ้นบนเตียง
   “จะนอนแล้วหรือครับ งั้นผมปิดไฟให้นะ” เถียนซานว่าเดินไปปิดสวิตไฟ ขณะที่เว่ยจินหยินล้มตัวลงนอน
   “นี่ อาซาน” ผู้เป็นอดีตเจ้านายเรียกชื่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินไปที่เตียงนอนของตน เถียนซานหันหลังกลับมา และเดินไปหาเจ้านายของเขา
   “มีอะไรหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง และพูดออกมา “ไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ”
   เถียนซานยิ้มให้อดีตเจ้านายของเขา และระบายลมหายใจยาว ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง
   “ผมจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะหลับแล้วกันครับ”
   เว่ยจินหยินมองหน้าลูกน้องผ่านความมืด และเอ่ยถามเสียงค่อย “ไม่รบกวนหรือ?”
   เถียนซานยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ” เขาว่าและยกมือลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบาๆ สำหรับเขาแล้ว เว่ยจินหยินไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่เลย ดูยังไงก็แทบจะไม่ต่างจากสามสิบปีที่แล้ว คงจะมีแต่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนไป
   เว่ยจินหยินดึงมือของเถียนซานเข้ามากอด เหมือนอย่างที่เคยทำเวลานอนไม่หลับเมื่อสมัยเด็กๆ มีแค่คนคนนี้เท่านั้นที่อยู่ด้วยแล้วทำให้เขาหลับตานอนอย่างสนิทใจได้ คนที่เขาไว้ใจมากที่สุด
ความจริงเว่ยจินหยินไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะรู้แน่อยู่แล้วว่าเถียนซานต้องปกป้องเขาอย่างเต็มกำลัง เรื่องนั้นแหละที่น่ากังวล
   เขายังไม่อยากจะสูญเสียอดีตลูกน้องคนสำคัญคนนี้ไปในระยะเวลาอันใกล้นี้
-------------------------------
   เถียนซานระบายลมหายใจยาว ทรวงอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงกรนเล็กๆ บ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้านายหลับไปแล้ว เขาค่อยๆ ดึงมือออก และเลื่อนผ้าห่มมาคลุมตัวของเว่ยจินหยินเอาไว้ เถียนซานหวังว่าผู้เป็นเจ้านายจะหลับสนิทเช่นนี้ทุกคืน แม้จะไม่มีเขาอยู่ด้วยก็ตาม
   สองปีแล้วที่เขาแยกจากเว่ยจินหยินไปอย่างถาวร ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานและอาศัยอยู่ในตึกนี้ อยู่ร่วมกับเว่ยจินหยินมาเป็นเวลาเกือบสามสิบปี
   สามสิบปีที่ผ่านมา เขากับเว่ยจินหยินผ่านอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง แม้ว่าเว่ยจินหยินจะถูกประณามจากสังคมว่าเป็นคนชั่วช้าเลวร้ยขนาดไหน สำหรับเขาแล้ว เว่ยจินหยินเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ชอบซักชอบถามเท่านั้นเอง
   หนุ่มวัยสี่สิบใกล้ห้าสิบ ยกมือลูบศีรษะของผู้เป็นเจ้านายเบาๆ อีกครั้ง พลางนึกถึงคำพูดของน้องสาว ที่ว่าเขาตามใจเว่ยจินหยินจนเคยตัว บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
   เถียนซานรู้จักกับเว่ยจินหยินมาสามสิบปีแล้ว ตอนนั้นผู้เป็นบิดาฝากเขาให้เข้ากับงานกับเว่ยชิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาห่างๆ เว่ยชิงจึงมอบหมายให้เขาดูแลเว่ยจินหยิน บุตรชายคนที่สอง ซึ่งสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เกิด เว่ยจินหยินในตอนนั้นซึ่งมีอายุได้สี่ขวบ จึงอยู่ในความดูแลของเขาตลอดมา ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน จวบจนกระทั่งเว่ยจินหยินเข้ามหาวิทยาลัย เขาคงยังทำหน้าที่เป็นผู้รับส่งและผู้ปกครอง และทำงานเป็นบอร์ดีการ์ดให้หลังจากที่เว่ยจินหยินเรียนจบกลับมาจากอังกฤษ และเริ่มทำงานให้กับผู้เป็นบิดาอีกสี่ปี จึงได้ย้ายออกและไปทำงานให้กับหน่วยดำอย่างเต็มตัว ถึงอย่างนั้นเว่ยจินหยินก็ยังพอใจที่จะเรียกใช้เขาอยู่ตลอดมา และตัวเขาเองหากมีเวลาก็จะแวะเข้ามาเยี่ยมเจ้านายคนนี้ทุกครั้ง
   เวลาที่อยู่ร่วมกันนั้นนานจนเว่ยจินหยินได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว
   บุรุษร่างสูงเดินไปยังเตียงนอนของตน และล้มตัวลงนอน อีกไม่กี่วันเขาจะต้องเดินทางไปประเทศไทยกับอดีตเจ้านายคนนี้ เพื่อทำภารกิจที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดครั้งหนึ่ง เถียนซานไม่ต้องการให้เกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเว่ยจินหยิน เขารู้ดีกว่าในเมื่อเว่ยจินหยินกล้ากระโดดเข้าร่วมหมากกระดานร้ายตานี้ เจ้าตัวเองก็คงเตรียมแผนรับมือไว้พร้อมแล้วเหมือนกัน
   นี่ไม่ใช่หมากกระดานร้ายตาแรกที่เว่ยจินหยินเริ่มเล่น ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เว่ยจินหยินผ่านความเลวร้ายมาหลายต่อหลายอย่าง แต่นี่อาจจะเป็นหมากกระดานที่ร้ายที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดในฮ่องกงคนนี้ก็เป็นได้
   ท่ามกลางเกมหมากชีวิตจริงอันโหดร้าย ที่ต่างฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นกันด้วยเหตุผลที่ยากจะเข้าใจได้ ในฐานะหมากตัวหนึ่ง เถียนซานตั้งใจจะทำหน้าที่ในครั้งนี้ให้ดีที่สุด เพื่ออดีตเจ้านายอันเป็นที่รักของเขา
   หวังว่าเว่ยจินหยินจะผ่านกระดานหมากตานี้ไปได้ด้วยดีอย่างที่หวังไว้ก็แล้วกัน
---------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกดีใจที่เจ้านายของเขาตกลงที่จะหารือเรื่องความร่วมมือกับผู้เป็นพี่ชาย  เพราะเขาทราบดีว่างานในครั้งนี้เกินกำลังของเว่ยเฟิงปิงไปมาก ไม่รู้ว่าผู้เป็นเจ้านายใหญ่คิดอะไรถึงได้ส่งเจ้านายของเขาไปด้วยแบบนี้ ถึงอย่างไรจางซื่อเยี่ยนก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงจะไม่ประสบกับเรื่องอันตรายไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
   ถึงเว่ยจินหยินจะเป็นคนจอมวางแผนที่แสนเจ้าเล่ห์และอำมหิตจนน่ารังเกียจ แต่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่จางซื่อเยี่ยนอยากให้เจ้านายของเขาลงให้กับพี่ชายต่างมารดาของตนเอง
   เว่ยจินหยินจะไม่กำจัดคนที่ยังเป็นประโยชน์ และในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่ขวางมือขวางเท้าแล้วล่ะก็ ผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนสุนัขจิ้งจอกคนนั้นจะกำจัดทิ้งได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดก็ตาม
   จางซื่อเยี่ยนภาวนาว่าเจ้านายของเขาจะทำตัวเป็นประโยชน์ในครั้งนี้ เว่ยเฟิงปิงยังไม่เคยเห็นความอำมหิตของเว่ยจินหยิน และเขาไม่อยากให้เจ้านายได้พบกับตัวเอง
   ชายหนุ่มมองดูแผ่นหลังของเจ้านายที่นอนหันหลังให้เขาอยู่ พลางคิดว่าพรุ่งนี้จะบอกกำหนดการนัดหารือ
   เขาไม่อยากให้เว่ยเฟิงปิงอารมณ์เสียก่อนนอน
----------------------------------------
   เว่ยจินหยินลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือมือของเถียนซาน และค่อยรู้สึกตัวว่าคนคนนั้นคงไปนอนในที่ของตัวแล้ว
เว่ยจินหยินยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกไปในความมืด กางนิ้วออก และมองมันอย่างซึมเซา
   นานมาแล้วเขาเคยตื่นมากลางดึกแบบนี้ และมองหาผู้ชายที่ชื่อเถียนซาน เป็นช่วงเวลาตอนที่เขาอายุเพียงสี่ขวบ และเถียนซานเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยใหม่ๆ
   หนุ่มวัยสามสิบหกหลับตาลง ภาพอดีตอันเลือนรางค่อยๆ ฉายอย่างกระตุกเป็นช่วงๆ  ตอนนั้นเขาคงกำลังเสียใจเรื่องที่พ่อไม่มาหา เลยร้องไห้จนหลับไป โดยกอดมือของเถียนซานไว้แน่น มือที่ตอนนั้นยังเล็กยิ่งกว่าฝ่ามือของเขาในตอนนี้เสียอีก
มือเล็กๆ ที่หนังฉีกถลอกออกจนเห็นเนื้อสีแดง ตอนที่ช่วยเขาขึ้นมาจากช่องลิฟท์ มือเล็กๆ ที่คอยลูบหัวและปลอบโยนเขา มืออบอุ่นที่คอยปกป้องเขามาตลอดสามสิบกว่าปี ตอนนี้มันทั้งหนา ใหญ่ และหยาบกร้าน
แต่ถึงอย่างนั้น เว่ยจินหยินไม่เคยรังเกียจมือที่สากราวกับกระดาษทรายคู่นี้เลย ทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับความหยาบกร้านนั้น เขารู้สึกเหมือนได้ยินถ้อยคำหลายอย่าง เส้นเอ็นที่ปูดโปนบนมือสองข้างนั้น อธิบายได้ดีกว่าคำพูดว่าผู้ชายคนนี้ทำเพื่อเขามากมายขนาดไหน
   มือของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
   เพราะคนคนนี้เห็นความสำคัญของเขามากที่สุด
   เว่ยจินหยินถอนหายใจเบาๆ ในความมืด เขาคิดไว้หลายอย่างหลังจากได้รู้ว่าผู้เป็นพ่อจะส่งเขาไปร่วมประชุมที่เมืองไทยเพื่อกำจัดตัวแทนของริเวิลที่ส่งไป พอได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนของฝ่ายนั้นแล้ว สมองของเขาก็ยิ่งต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น
   ฟารุค? เอียน?
   สำหรับเว่ยจินหยินที่เป็นด่านหน้าฟาดฟันกับริเวิลมากว่าสิบปี ชื่อสองชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูเลย
   ฟารุคนั้นดำรงตำแหน่งไฮท์ลำดับสิบสองมาเกือบสิบปีแล้ว ขนาดที่ว่าไฮท์ลำดับสิบสามคนเก่าซึ่งเคยเป็นอดีตรูมเมทของเขา ถูกตำรวจจากอังกฤษจับกุมตัวไปตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนแล้ว โอนเนอร์ทั้งสามคนยังไม่ยอมเลื่อนตำแหน่งให้กับฟารุคเลย
   เว่ยจินหยินคิดว่าบางทีทางริเวิลเองอาจจะใช้เหยื่อล่อเดียวกันกับที่พ่อของเขาใช้ก็ได้ เพราะทางนั้นเองก็คงรู้ว่า ผู้เป็นพ่อของเขาคงไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ๆ หากมีการส่งผู้บริหารระดับสูงเข้าไปร่วมงานประชุมที่อันตรายขนาดนั้น
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยรู้รายละเอียดของงานประชุมนั้นบ้างนิดหน่อย เพราะครั้งแรกเว่ยชิงดูจะไม่เห็นด้วยกับงานนี้นัก เลยส่งเว่ยเฟิงปิงไปบอกยกเลิก ได้ยินมาว่าเป็นงานเปิดตัวยาชนิดใหม่ หลังจากได้รับคำสั่งให้กลับเข้าร่วมประชุม เว่ยจินหยินจึงให้คนไปสืบเรื่องนี้มาเพิ่มเติม และพบว่าตัวยาที่ว่านั้น ยังไม่เคยมีมาก่อนในโลก เป็นการทดลองนาโนเทคโนโลยีตัวใหม่ โดยการแพร่ยาผ่านอากาศ
   พูดง่ายๆ ก็คือยาเสพติดที่เสพผ่านอากาศนั่นแหละ
   รายได้หลักใหญ่ๆ ทางหนึ่งของริเวิลคือการค้ายาเสพติด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ริเวิลจะส่งคนเข้าร่วม แต่ถึงอย่างนั้นทำไมถึงเพิ่งมาส่งหลังจากที่พ่อของเขาถอนตัวออกมาแล้วล่ะ หรือว่างานนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
   เว่ยจินหยินคิดทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายตลบ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า ต่อให้เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องวางแผนรับมือคนพวกนี้ให้รัดกุมที่สุด ยิ่งพอได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ติดตามสองคนจากปากของเถียนซานแล้ว เว่ยจินหยินยิ่งต้องวางแผนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
   สคัลกับนีดเดิ้ล มือสังหารที่แม้แต่เถียนซานก็ยังไม่เคยประมือด้วย สองคนนี่จะมีฝีมือขนาดไหนกันนะ ยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ให้เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับสองคนนี้ และยังมีเรื่องของห้องประชุมที่ได้ยินมาว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นพิเศษ การจะจัดการกับไฮท์สองคนพร้อมกับลูกน้องได้คงต้องอาศัยช่วงเวลาที่เข้าไปประชุมเท่านั้น แต่ว่า จะผ่านกลไกรักษาความปลอดภัยพวกนั้นยังไงล่ะ?
   เว่ยจินหยินยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างใช้ความคิด งานนี้เขาจำเป็นต้องวางเดิมพันหมดหน้าตัก แผนทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์แบบ เพื่อรักษาทั้งชีวิตของเขาและชีวิตคนสำคัญที่สุดของเขา
   หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน หลังจากจบงานนี้ บางทีคนคนนั้นอาจจะหันกลับมามองเขาเสียที
   เว่ยจินหยินพลิกตัว เหม่อมองฝ่าความมืดไปยังเตียงของผู้เป็นลูกน้อง
   ถึงจะเป็นกระดานหมากตาร้ายขนาดไหน แต่หากเขายังมีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง ตัวหมากที่ยอดเยี่ยมที่สุด หมากที่เดินให้เขามาอย่างยาวนาน ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเดินหมากตัวนี้อีกครั้ง
   หวังว่าครั้งนี้เขาจะจัดการกับหมากกระดานนี้ได้ โดยไม่สูญเสียหมากตัวสำคัญนี้ไป
------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงยังไม่หลับ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกอย่างนั้น วงแขนของจางซื่อเยี่ยนที่โอบมาจากด้านหลังทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
   ในเวลาอันใกล้นี้ เขาต้องเจรจากับเว่ยจินหยิน เพื่อรักษาชีวิตให้รอดกลับมา
   ช่างน่าหงุดหงิดใจนัก เมื่อคิดว่าต้องร่วมมือกับคนน่ารังเกียจแบบนั้น ทางเว่ยจินหยินเองก็อาจจะคิดไม่ต่างกันนักหรอก เพราะดูยังไงเจ้าพี่บ้านั่นก็ไม่เคยชอบขี้หน้าใครมาก่อนอยู่แล้ว แต่จะวางแผนจัดการกับเขาอย่างไรนี่สิ เว่ยเฟิงปิงเดาความคิดของพี่ชายไม่ค่อยจะออกในเรื่องนี้ บางทีเว่ยจินหยินอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะจัดการอะไรกับเขาเลยก็ได้ ถ้าเจ้าตัวไม่คิดว่าเขากลายเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ในการขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง  บางทีเว่ยจินหยินอาจจะมองข้ามหัวเขาไปเหมือนกับเศษขยะชิ้นหนึ่ง แต่จะหวังให้เป็นแบบนั้นได้คงยากเต็มที เพราะเขาแสดงความต้องการออกมาโทนโท่ขนาดนี้ มีหรือผู้ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นจะดูไม่ออก
   เว่ยเฟิงปิงได้ยินคำร่ำลือมาว่าเมื่อหลายปี ก่อนที่เขาจะกลับมา เว่ยจินหยินลงมือบงการฆ่าน้องชายสามคนของตัวเองเพื่อตัดตัวแก่งแย่งในการครองตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เลยถูกเรียกลับหลังว่าเป็นผู้ชายที่อำมหิตที่สุดในเกาะฮ่องกง แต่เว่ยเฟิงปิงกลับนึกแย้งว่า คนที่ควรจะถูกเรียกแบบนั้น น่าจะเป็นพ่อของเขามากกว่า ทำไมเว่ยชิงถึงไม่ยอมยกตำแหน่งให้เว่ยจินหยินไปเลยนะ ปล่อยให้ลูกฆ่ากันเองอยู่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ยกก็ดี เขาจะได้มีโอกาสแก้แค้นได้บ้าง
   แม้จะเดาใจผู้เป็นพี่ชายได้ไม่หมด แต่สิ่งหนึ่งที่เว่ยเฟิงปิงแน่ใจคือ เว่ยจินหยินรำคาญเขา ที่ยอมตกปากว่าจะคุยกันเรื่องความร่วมมือก็คงเพราะไม่อยากให้เขาเป็นตัวถ่วงมากกว่าที่จะหวังความช่วยเหลือ  ฝั่งเขาเองนี่สิที่ต้องการความช่วยเหลือ
   เว่ยเฟิงปิงอยากจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ สักทีกับปัญหาเรื่องนี้ แต่ก็เกรงว่าผู้ร่วมเตียงจะเกิดอาการวิตกจริต จึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่ด้อยกว่า แต่คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจำต้องยอมรับความจริงว่า ศักยภาพทั้งหมดที่เขามีอยู่ ไม่ว่ากำลังคน หรือการวางแผน ไม่มีที่ใดเหนือเว่ยจินหยินเลยสักนิด และยิ่งไม่อาจอยู่เหนือไฮท์ของริเวิลสองคนนั่น และก็ยังไม่แน่ใจว่าแผนการประชุมทางทวีศักดิ์วางไว้จะมีลักษณะเช่นไร ดังนั้นเขาจึงต้องร่วมมือกับเว่ยจินหยิน เพื่อเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้
   ขอแค่รอดกลับมา จะทำอะไรต่อก็ทำได้ทั้งนั้น
   มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่อาจจะสร้างสรรค์อะไรต่อไปได้อีก
   เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเป็นคนตาย
   เพราะฉะนั้น ต่อให้ต้องเสียศักดิ์ศรีหรือโดนดูถูกอีกกี่ครั้ง เขาก็ยินยอมพร้อมใจ เพราะมันเป็นวิถีชีวิตของเขา วิธีที่ทำให้เขามีชีวิตสืบต่อไปได้
   กำหนดเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว เขาคงต้องเร่งวันคุยกับเว่ยจินหยิน เพื่อประเมินกำลังของทางนั้น ว่าเขาต้องเตรียมกำลังไปเสริมอีกสักเท่าไร และอย่างน้อยก็ต้องให้พี่ชายจอมอำมหิตของเขาเข้าใจว่า งานนี้เขาจะไม่ทำตัวขวางมือขวางเท้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเว่ยจินหยินอาจจะลงมือกำจัดเขาเลยก็ได้ ผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนสุนัขจิ้งจอก แล้วยังได้ชื่อว่าอำมหิตคนนั้น คงจะจัดการเรื่องแบบนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดมากหรอก อีกหนึ่งสิ่งเว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะยอมรับแต่เขาต้องพึ่งพิง คือสติปัญญาและประสบการณ์ของเว่ยจินหยิน พี่ชายที่เขาแสนจะเกลียดขี้หน้า
   ถึงจะไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ถึงเวลานี้เขาคงต้องยอมรับกับตัวเองจริงๆ แล้วว่า เว่ยจินหยินเดินเกมได้ไกลกว่าเขาหลายก้าวนัก หากมีคนเรียกเขาลับหลังว่าเจ้าเล่ห์เหมือนงูแล้วล่ะก็ เว่ยจินหยินก็คงเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นแหละ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งอำมหิต
   เว่ยเฟิงปิงไม่โง่ถึงขนาดประเมินกำลังของพี่ชายคนนี้ไม่ออก เขาไม่อยากตั้งตนเป็นศัตรูกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้
   ครั้งนี้เขาจะยอมลงให้เว่ยจินหยินสักหนหนึ่ง
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-07-2011 22:38:02
ตาย ๆ ๆ อิทธิเดชจะมาจับตาดูวินที่คอนโดฟ่งเหรอเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 19-07-2011 09:29:02
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทันตอนล่าสุด
ชะล่าใจว่ามีไม่กี่หน้า...แต่กว่าจะจบหน้าแรกก็ปาเข้าไปหลายวัน

ไปอ่านเรื่องของจินหยินมาแล้วจากเรื่องสั้นอีกเรื่องค่ะ ก็เลยไม่มองคุณชายจิ้งจอกว่าร้ายกาจจนถึงขั้นอำมหิตเท่าไหร่
หลายๆ  เหตุการณ์เป็นความบังเอิญจนน่ากลัว ก็ได้แต่หวังว่าจะบังเอิญไปในทางที่ดี เอื้อประโยชน์ให้รูฟัสกับคุณชายเว่ยทั้งสองรอดออกมาจากห้องที่ฟ่งออกแบบนะคะ
จะรอตอนหน้าค่ะ...ได้ข่าวว่าแต่งจบแล้ว (แปลว่าอัพได้เรื่อย ๆ วันละหลาย ๆ ตอนใช่มะ?) :-[
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-07-2011 09:36:07
^
^
อัพได้ประมาณ2วันต่อตอนค่ะ เพราะอัพถี่กว่านี้ คาดว่าคนอ่านคงยกธงขาวกันก่อนแน่ ฮ่าๆ

ปล. ตอนนี้ไม่สามารถเอามาลงพร้อมกันทีเดียวได้ เพราะฉบับที่ลงในเล้าเป็นฉบับแก้ไขล่าสุด (ดราฟเกือบสุดท้ายก่อนลงเล่มค่ะ) ดังนั้น เลยต้องรอการแ้ก้ไขเนื้อหาก่อนค่ะ (ไม่อย่างนั้นจะอ่านแล้วงงนะคะ เพราะแก้ไขจากฉบับเก่าเยอะพอสมควรค่ะ)
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 19-07-2011 10:41:38
ขอบคุณครับ ขอเดาว่าใครสักคนรู้ว่ารูฟัสและฟ่งมาเกี่ยวพันด้วย แล้วทั้งสองก็ร่วมมือกันลับๆ
เผื่อว่าเฟิงปิงจะเสียดายที่ไม่รู้ว่าฟ่งเป็นอัจฉริยะ อุตส่าห์จับมาอยู่ด้วยกันตั้งนาน
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 19-07-2011 11:15:07
งั้นก็รอพรุ่งนี้สินะคะ...สองวันต่อหนึ่งตอนก็โอเคค่ะ(เพราะตอนหนึ่งยาวมาก ๆ เลย)
เป็นกำลังใจให้นะคะ +1
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 19-07-2011 20:01:54
ู^
^
ค่ะ ตามนี้เลยค่ะ

ส่งรายละเอียดเข้าทางเมลนะคะ^^
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-07-2011 17:25:11
วันนี้ฉันไปเอาบรู๊ฟ ที่ฝากน้องไปช่วยตรวจคำผิดของเล่ม5มาล่ะค่ะ (รอบนี้ส่งไปอาทิตย์เดียว ฆาตกรรมน้องมาก) ที่สำคัญ ผิดบาน (เพราะตอนแก้+จัดหน้ารีบสุดๆ ฮ่าๆ) ดังนั้น ที่ลงนี่ยิ่งกว่าที่ใช้จัดหน้าอีกนะคะ วอนคนอ่านทำใจค่ะ เอิ๊กๆ :o8:

-------------------------------------------------

บทที่48  คนที่น่าหวั่นใจ

   ฟ่งขยับตัวช้าๆ และค่อยๆ ยกมือบิดขี้เกียจ ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่งสัปปะหงกอยู่อีกครู่ใหญ่ ถึงจะลงจากเตียงมาได้ เขาหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมาสวม และเดินไปบิดลูกบิดประตูห้องน้ำซึ่งเชื่อมเข้ากับห้องนอน
   หลังจากล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ร่างบางก็เปิดประตูออกมาด้านนอก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นอีกสองคนนอนอยู่ด้านนอก
   คนหนึ่งที่นอนขวางทางเดินอยู่คงเป็นรูฟัส ส่วนอีกคนที่นอนอยู่บนโซฟาคงเป็น........
   ฟ่งคิดว่าเขาควรไปล้างหน้าอีกรอบให้รู้สึกตัวมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มเดินโซเซไปเปิดประตูห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ พลางคิดว่าเขาควรจะต้องเอาน้ำแข็งมาล้างหน้าล่ะมั้ง ถึงจะตื่นขึ้นมาได้
   ชายหนุ่มยืนมึนอยู่หน้ากระจก พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
   เมื่อวานเขาเพิ่งจะได้กลับมาที่ประเทศบ้านเกิด เดินวนเวียนอยู่ที่สนามบินกับสายลับอยู่พักใหญ่ เพื่อรอตรวจว่ามีใครแอบซุ่มดักรออยู่หรือเปล่า แล้วก็กลับมาที่ห้องนี้ จากนั้นก็ได้เจอเรื่องราวแปลกๆ
   เรื่องแปลกๆ ของคนข้างห้อง!!
   ฟ่งแทบหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้เพื่อนข้างห้องของเขาคนหนึ่งเป็นสายลับ ตอนนี้คนข้างห้องของเขาอีกคนก็ดันกลายเป็นคนสำคัญที่คาดไม่ถึงเสียอีก จนในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตัวประกันให้กับพวกสายลับไปเสียแล้ว
   ท่าทางห้องที่เขาเช่าอยู่อาจจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ นะเนี่ย
   ชายหนุ่มหยิบแปรงฟันขึ้นมา บีบยาสีฟันลงไป และเดินออกมาแปรงฟันนอกห้องน้ำ พลางกวาดตามองดูผู้ชายสองคนที่นอนระเกะระกะอยู่ในห้อง และนึกดีใจว่าโชคดีที่เรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว ไม่งั้นสองคนนี้คงได้นอนสำลักฝุ่นแน่ๆ
   ฟ่งมองไปยังวรุต เมื่อวานเด็กคนนี้บอกเขาแล้วถึงเหตุผลของการมาที่นี่ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักก็เถอะ แต่เจ้าตัวก็ดูมีความมุ่งมั่นอยางไม่ธรรมดาทีเดียว
   หนุ่มสวมแว่นมองไปยังโซฟาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตามายังร่างสูงใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงใกล้ๆ ประตูห้อง เขาเพิ่งเคยเห็นรูฟัสในสภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก ดูไปแล้วก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ผู้ชายคนนี้คงมาเพื่อเฝ้าเขากับวรุตไม่ให้ทำอะไรแปลกๆ ล่ะมั้ง พอนึกว่าก่อนหน้านี้รูฟัสอาจจะต้องทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ฟ่งก็นึกอยากให้เจ้าตัวเลิกอาชีพนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที เขาไม่อยากเห็นรูฟัสฝืนทรมานร่างกายแบบนี้อีก
   เขามองสองคนที่นอนอยู่คนละที่สลับกันไปมาสักพัก ก็ถอนหายใจออกมา
   ทุกคนก็ดูเหมือนจะมีเป้าหมายชัดเจนกันดี
   แล้วเขาล่ะ?
   ฟ่งชักนึกสงสัยเรื่องของตัวเอง แล้วตัวเขาสมควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้ดีล่ะ?
   เมื่อวานรูฟัสเพิ่งบอกให้เขาโทรไปโกหกกับพี่สาวอีกรอบ แล้วกำชับว่าต่อจากนี้ห้ามติดต่อกับใครอีก ห้ามให้ใครรู้ว่าเขากลับมาแล้ว เพราะกลัวว่าข่าวจะรั่วถึงหูฝ่ายตรงข้าม ใช่ว่าทางนั้นไปวุ่นอยู่กับการเตรียมงานแล้วจะล้มเลิกความตั้งใจจะเก็บเขาเสียหน่อย
   แต่แบบนี้ก็หมายความว่าเขาจะต้องตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงงั้นสิ!!??
   ถึงรูฟัสจะบอกว่าทวีศักดิ์อาจจะยกเลิกความตั้งใจจะปิดปากเขาแล้ว ก็ใช่ว่าจะยอมปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เหมือนตอนปกติเสียหน่อย สงสัยเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บังเอิญรู้เบื้องหลังที่แท้จริงของพวกรูฟัสด้วยล่ะมั้ง เลยต้องถูกจับตามองแบบนี้
   ฟ่งมองไปทางเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต และอยากจะพูดว่า นายกับฉันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแล้ว
   หลังจากนั้น ฟ่งก็ลุกขึ้นเพื่อไปบ้วนปาก เขาเคาะแปรงฟันลงกับอ่าง ใช้ผ้าขนหนูที่แม่บ้านเพิ่งเอามาเปลี่ยนเมื่อวานเช็ดหน้า แล้วเดินออกไปนั่งหน้าประตูห้องน้ำอีกรอบ
   สองคนที่นอนอยู่นี่ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกเลย
   ฟ่งขมวดคิ้วหน่อยๆ บางทีรูฟัสอาจจะตื่นแล้วแต่ยังไม่ลุกก็ได้ เพราะปกติรูฟัสไม่เคยตื่นสายอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้ดูจะรู้สึกตัวไวเสมอๆ อย่างน้อยก็ตื่นก่อนเขาในทุกครั้งนั่นล่ะ เท่าที่จำได้ มีอยู่หนเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นรูฟัสหลับไปจริงๆ ตอนที่บังเอิญเจอกันหน้าลิฟต์แล้วรูฟัสชวนเขาไปที่ห้องล่ะมั้ง
   ฟ่งนึกสงสัยขึ้นมา ถ้าตอนนั้นรูฟัสรู้ว่าเขาเขียนแปลนพวกนี้ ผู้ชายคนนี้จะกล้านอนหลับไปบนตักเขารึเปล่านะ
   ชายหนุ่มสั่นศีรษะเบาๆ และบอกว่าเรื่องแบบนั้นคิดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก หลังจากนั้นเขาก็เบนความสนใจไปยังวรุตซึ่งท่าทางจะยังหลับไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้กล้าทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้
   ฟ่งยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องที่วรุตพูด แต่การที่เด็กหนุ่มกล้าเอาตัวเองมาอยู่ในดงคนแบบราฟาแอลและรูฟัสก็สมควรจะเรียกว่าบ้าบิ่นได้แล้ว
   ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณทวีศักดิ์คนนั้นจริงรึ?
   ถ้าไม่มีรูฟัสมาช่วยยืนยัน ให้ตายเขาก็ไม่ยอมเชื่อแน่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเป็นพ่อจะปล่อยให้ลูกตัวเองออกมาทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้ หรือว่าทวีศักดิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกเท่าที่ควรเหมือนที่วรุตพูดถึงจริงๆ
   พอคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตขึ้นมาถนัด
   แม่ก็เสียไปตั้งแต่เด็ก แถมพ่อก็ยังไม่ค่อยสนใจอีก ถึงฟ่งจะเป็นกำพร้าพ่อแต่เด็ก แต่ก็ยังมีแม่กับพี่สาวคอยให้ความอบอุ่นจนไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไร
   วรุตล่ะ?
   ฟ่งชักเริ่มมองเห็นสาเหตุที่ทำให้วรุตกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยแปลกๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว การที่วรุตโตมาได้ขนาดนี้โดยยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ เมื่อเทียบกับว่าถูกเลี้ยงมาโดยลักษณะแบบนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ โดยเฉพาะแววตาที่แสดงถึงความตั้งใจแบบไม่ธรรมดานั้น
   บางทีนี่อาจจะทำให้เรื่องราวพลิกแพลงไปอย่างคาดไม่ถึงก็ได้
   ฟ่งอยากจะเชื่อเหตุผลที่ยากจะเชื่อของวรุต เหตุผลคือเขาอยากจะเชื่อ เพราะสายตาของเด็กหนุ่มไม่ใช่สายตาของคนโกหก และมีแววของความเจ็บปวดฉายออกมาลึกๆ ทุกครั้งที่มีใครแสดงท่าทีว่าไม่เชื่อถือในสิ่งที่ตนเองพูด
ฟ่งคิดว่ามันคงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดใจไม่น้อย กับการที่ต้องพยายามทำให้ใครสักคนเชื่อในความคิดที่ดูไม่น่าเชื่อถือของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอื่นจะมีความคิดดีเลิศประเสริฐศรีไปกว่าที่ตัวเองคิดได้ สรุปคือคนเราไม่ค่อยจะเชื่อในความคิดที่ดีเกินไปของคนอื่นนั่นแหละ  เหมือนครั้งหนึ่งเขาเคยรับวาดรูปเหมือนราคาถูก แต่ลูกค้ากลับน้อยกว่าอีกร้านซึ่งไม่ได้มีฝีมือมากไปกว่าเขาเลย แต่คิดราคาแพงกว่า ท่าทางคนเราจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อเท่านั้นล่ะมั้ง
   แล้วตัวเขาล่ะ ตัดสินวรุตจากอะไร?
   ฟ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยตัดสินว่ารูฟัสเป็นคนไม่ดี แค่เพียงเพราะรู้ว่ารูฟัสเป็นสายลับ โจรกรรมและฆ่าคน แต่สิ่งที่รูฟัสปฏิบัติต่อเขาไม่เคยมีสิ่งใดที่เรียกว่าเลวร้าย  นอกจากเรื่องที่โกหกนี่แหละ ถึงแม้จะพอยอมรับได้ว่าจำเป็น แต่ยังไงก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี
   แม้อย่างนั้นเขาก็ยอมให้อภัย เพราะรูฟัสดีต่อเขา...
   และเป็นคนพิเศษ...
   ฟ่งไม่อยากจะยอมรับตรงนี้มากนัก จึงหันความคิดกลับไปสู่ประเด็นเดิมอย่างรวดเร็ว
   วรุตเองก็ดีต่อเขา อย่างน้อยก็ยังมีคำพูดว่าอยากจะช่วยเขา มากกว่าอยากจะฆ่าเขา  ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
   ดังนั้นฟ่งจึงไม่คิดว่าสิ่งที่วรุตพูดเป็นเรื่องโกหก จนกว่าเขาจะพิสูจน์คำพูดนั้นเองว่าเป็นจริงหรือไม่ เหมือนที่รูฟัสเคยพิสูจน์มาแล้ว
   ถึงตอนนี้ฟ่งถอนหายใจยาว มองดูทั้งสองคนอีกรอบ และย้อนมามองตัวเอง
   ตอนนี้เขาสมควรทำอะไรต่อไป?
   เรื่องแปลนก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว ถึงจะมีปัญหา มันก็คงเป็นปัญหาที่เขาไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อีก เพราะกว่าที่ทั้งรูฟัสและราฟาแอลจะรู้ถึงปัญหา ก็คงจะต้องเข้าไปเผชิญกับกลไกภายในห้องนั้นแล้วเท่านั้นแหละ
ฟ่งนึกสงสัยว่ายาเสพติดผ่านอากาศที่รูฟัสเคยพูดให้เขาฟังว่า ทวีศักดิ์สร้างขึ้นมาเพื่อหวังจะแพร่กระจายในหมู่มาเฟียนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วจะมีความรุนแรงขนาดไหน ทวีศักดิ์ถึงต้องสร้างห้องลับที่มีระบบป้องกันแน่นหนาเพื่อเก็บมันเอาไว้ แน่นอนว่ารวมถึงใช้เป็นห้องประชุมเพื่อกระจายยาเสพติดตัวนี้ด้วย
   แค่นึกว่า เพียงสูดหายใจเข้าไปก็เสพติดได้ ฟ่งก็นึกขนลุกแล้ว หากมียาเสพติดแบบนี้อยู่จริงๆ ล่ะก็ มันคงเป็นอันตรายต่อสังคมมากแน่ๆ แล้วเขาเองก็คงมีส่วนผิดเต็มประตูในฐานะคนที่ออกแบบห้องเพื่อใช้แพร่กระจายยาเสพติดตัวนี้
   ถ้าอย่างนั้นเขาควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบในเรื่องนี้ให้มากกว่านี้สิ!
   แต่ปัญหาคือเขาควรจะทำอะไรเพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป?
   ถึงเขากับรัสเลอร์จะช่วยกันแยกแยะแบบแปลนเพื่อให้รูฟัสกับราฟาแอลสามารถใช้เป็นแนวทางในการเข้าไปในห้องนั้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ฟ่งยังรู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่สมกับสิ่งที่เขาได้ทำพลาดลงไปอยู่ดี
   อีกไม่กี่วัน หรือควรจะนับเป็นชั่วโมงเลยดีกว่า รูฟัสกับราฟาแอล รวมถึงรัสเลอร์ ก็คงต้องเข้าไปในห้องนั้นแล้ว พอถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ
   ฟ่งพยายามนึกทบทวนเรื่องนี้กับตัวเองหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมา และคำตอบที่ได้คือ
   ไม่มี...!
   ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบคำตอบนี้เลยจริงๆ ไม่มี! ก็หมายถึงว่าหลังจากที่พวกรูฟัสไปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะทำอีกนอกจากนั่งๆ นอนๆ รอไปวันๆ แบบนั้นก็หมายความว่าเขาต้องใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งน่ะสิ แล้วชีวิตแบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไร จะแค่วันสองวันหรือนานเป็นปีๆ มันก็ให้ความรู้สึกแย่เหมือนกันนั่นแหละ
   ดูจากรูปการตอนนี้แล้ว ถึงเขาอยากจะทำอะไรอีก รูฟัสคงไม่ยอมให้เขาทำแน่
   ท่าทางก่อนเข้าไปในห้องลับ ผู้ชายคนนั้นคงจะพยายามทุกวิถีทางให้เขาอยู่เงียบๆ และเฉยที่สุด ฟ่งคิดว่ารูฟัสอาจจะนึกขนาดที่ว่าถ้าจับเขาผูกได้คงผูกไปแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้ารูฟัสกล้าทำแบบนั้นกับเขานะ รับรองชาตินี้อย่าหวังว่าเขาจะญาติดีด้วยอีกเลย
   ฟ่งเหลือบมองรูฟัสอีกหน และคิดว่าถ้าไม่มีใครยอมให้เขาทำอะไรล่ะก็ เขาคงต้องตะเกียกตะกายหาอะไรมาทำเสียเอง
   ฟ่งนึกขำ บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ชายปกติธรรมดาๆ คนหนึ่ง อยากจะใช้ชีวิตปกติธรรมดา อยู่อย่างสงบ เช้าตื่นสาย บ่ายกินข้าว ค่ำทำงาน นอนตอนดึก ว่างๆ ก็ออกไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูบ้าง แต่ในบางช่วงเวลา เขาก็นึกอยากจะออกไปวิ่งรอบโลก อยากจะขึ้นไปตะโกนบนภูเขา อยากที่จะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ในแบบที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
แต่จนใจที่พอลุกขึ้นยืนทีไร ความขี้เกียจก็ดูจะมาเกาะหลังเขาอยู่ทุกที ถึงอย่างนั้นพอมีเรื่องอะไรเข้ามากระตุ้นให้ถูกจุด ต่อมบ้าๆ ของเขาก็ทำงานโดยอัตโนมัติของมันทันที เหมือนอย่างตอนที่เขาถูกติดต่อให้ทำงานกับทวีศักดิ์ครั้งแรก หรือตอนที่ถูกพาไปยังห้องใต้ดิน พอมาย้อนคิดดูแล้วฟ่งก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขากล้าทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้อย่างไร แถมยังรอดกลับมาได้อีกแน่ะ เขานี่คงมีฝีมืออยู่พอตัวล่ะ
   ฟ่งมองไปทางวรุต  ซึ่งดูเหมือนจะหลับไม่ค่อยจะสบายนักบนโซฟา
   บางทีคราวนี้ อาจจะมีอะไรให้เขาทำมากกว่าที่คิดก็ได้
---------------------------------------
   รูฟัสตื่นนานแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาตื่นอยู่โดยตลอด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอดตาหลับขับตานอนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการหลับแบบที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า
   เขาจะอาศัยจังหวะหลับลึกเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละสิบถึงสิบห้านาทีสลับกันไป  มันเป็นการฝึกที่หฤโหดพอสมควร แต่ถ้าทำได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีก
   เรื่องที่ยากคือเรื่องที่ยังไม่ได้ลงมือทำ
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก รูฟัสไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีเรื่องยากเย็นอีก เรื่องอะไรที่ว่ายากเขาทำมาแทบจะหมดแล้ว
แต่ว่า.... ตอนนี้มีเรื่องยากหนึ่งที่เขายังไม่ได้ทำ และยังนึกไม่ออกว่าจะลงมือทำตอนไหน อย่างไร
เรื่องยากที่ว่านั้นก็คือ ทำให้แน่ใจว่าฟ่งจะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ อีก
   รูฟัสเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ๆ กับเรื่องแบบนี้ จากที่เขาได้สัมผัสและรับรู้ข้อมูลในหลายๆ ด้านของผู้ชายคนนี้ในช่วงที่ผ่านๆ มา ทำให้รูฟัสรู้ว่าฟ่งเป็นคนที่มีความคิดพิสดารอย่างที่คาดไม่ถึง แถมยังไม่ค่อยจะชอบอยู่เฉยๆ อีกต่างหาก เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวก็พอจะได้ แต่คิดอีกที ก็เหมือนความซวยวิ่งมาหา แล้วฟ่งก็รีบวิ่งเข้าไปรับมันเอาไว้มากกว่า
   รูฟัสแทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ฟ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังเดาไม่ออกอีกว่าดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ฟ่งเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างจะอ่อนไหว แต่ก็ไม่ถึงขนาดแปรปรวนจนน่ารำคาญ ถึงอย่างนั้นก็กล้าทำอะไรที่บ้าบิ่นได้จนน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน อย่างที่หนีเขาไปอยู่กับรุ่นน้องตอนที่ยังอยู่ฮังการีไงล่ะ
   รูฟัสนึกไม่ออกเลยว่าฟ่งเดินทางด้วยตัวคนเดียวไปถึงที่นั่นได้อย่างไร โดยมีแค่ตั๋วรถเมล์ใบเดียวเท่านั้นเอง ภาษาก็สื่อสารไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปริศนาพอๆ กับการที่ฟ่งเอาตัวรอดมาได้ หลังจากเขียนแปลนนรกที่ทำให้เขาปวดหัวแทบตายนั่นล่ะ
   รูฟัสไม่เคยเชื่อในปฏิหาริย์ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นอกจากคำว่าปฏิหาริย์แล้วคงไม่มีคำไหนพอจะอธิบายปรากฏการที่เกิดขึ้นกับผู้ชายสวมแว่นคนนั้นได้
   แต่ปฏิหาริย์ไม่ได้มีทุกวัน ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ต้องแน่ใจว่าฟ่งจะปลอดภัย และยอมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องลับนั้นแล้ว
   รูฟัสหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเหมือนยังไม่ตื่นดี ทั้งๆ หลังจากนั้นก็หยุดยืนมองพวกเขาอยู่ เหมือนยังงงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาอยู่ในห้องได้ แต่ไม่มีท่าทางตกใจหรือระวังตัวเลยสักนิด เผลอๆ บางทีฟ่งอาจจะคิดว่าตัวเองนอนผิดห้องเลยก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะยังฝันอยู่ด้วยล่ะมั้ง
   แล้วแบบนี้จะให้เขาวางใจปล่อยไว้ได้ยังไงกันล่ะ
   รูฟัสแทบจะถอนหายใจออกมา เขามองดูร่างบางๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และออกมาพร้อมกับแปรงฟันในปาก ฟ่งนั่งดูพวกเขาและแปรงฟันไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นนั่นกลอกไปมา กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
   รูฟัสไม่อยากเดาความคิดของฟ่งนัก เพราะไม่กล้าจะเดา ความคิดของคนที่สร้างห้องแปลกๆ แบบนั้นออกมาได้ แลกกับเงินสองแสนบาท โดยไม่ได้พ่วงค่าประกันชีวิตไปด้วยคงไม่ได้มีความคิดแบบที่คนธรรมดาเขาคิดกันหรอก
   รูฟัสคิดว่าเขาคงไม่มีทางเดาความคิดของฟ่งได้อย่างเด็ดขาด แค่ได้ฟังเรื่องเขียนแปลนนี้เขาก็แทบประสาทกินแล้ว
โดนข่มขู่ขนาดนั้นแล้วยังมีแก่ใจจะคิดราคายุติธรรมอีก เขาไม่เข้าใจคนอย่างฟ่งเลยจริงๆ!!
   สิ่งที่รูฟัสคิดว่ายากและน่ากลัวที่สุดในตอนนี้คือการจำกัดความคิดและการกระทำของฟ่งนี่เอง
   เขาคงต้องหาทางฝากฝังคนคนนี้ไว้กับใครสักคนที่ไว้ใจได้ และต้องแน่ใจได้ด้วยว่าจะทำให้ฟ่งสามารถอยู่นิ่งๆ ได้จนจบงาน
   แต่...ใครกันล่ะ?!
--------------------------------------------

หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-07-2011 17:25:47
   วรุตคิดว่างานนักสืบหรืองานผู้คุ้มกัน เป็นงานที่ต้องอาศัยความพยายามและอดทนเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาอดตาหลับขับตานอนมาสองวัน เพื่อดักรอคนข้างห้องคนนี้ และต้องพยายามทำตัวให้รู้สึกตัวง่ายอยู่เสมอในคืนที่ผ่านมา เผื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ดันเผลอหลับสนิทจนได้ยินเสียงเปิดน้ำจากห้องน้ำนั่นแหละ 
วรุตนึกสงสัยว่าชายชาวต่างชาติที่นอนหน้าประตู เพื่อคอยจับตามองเขา จะตื่นตลอดคืนหรือว่าแอบหลับเป็นพักๆ แบบเขากันแน่นะ อย่างไรก็ตามการได้ตื่นมาเห็นฟ่งเดินออกมานั่งแปรงฟันหน้าห้องน้ำทำให้เขานึกขำขึ้นมาทันที
   ผู้ชายแบบนี้เหรอเนี่ย ที่เขียนแบบแปลนอันน่ามหัศจรรย์นั่นออกมาได้
   ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง จ้างให้วรุตก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
   กับผู้ชายที่ท่าทางแสนจะธรรมดาไม่มีอะไรสะดุดตาคนนี้ คนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะกล้ามีปัญหากับใคร คนที่เปิดประตูให้กับคนที่ไม่เคยรู้จัก เพียงแค่เพราะทำประตูหนีบมือเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายพยายามจะเข้าห้องของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยซ้ำ คนที่ดูจะไม่ระแวดระวังอะไรเลยแบบนี้
   วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งรอดชีวิต จากเงื้อมมือพ่อของเขามาได้อย่างไรจนถึงตอนนี้  ถึงเขาจะไม่อยากคิดว่าพ่อหรืออารัตน์เป็นคนเหี้ยมโหดก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะปล่อยฟ่งให้มานั่งทำงานอยู่ที่ห้องของตัวเอง ทั้งๆ ที่งานที่ทำเป็นงานที่เป็นความลับขนาดนั้น ถ้าเป็นเขาคงจะต้องกักตัวเอาไว้ในที่ที่ควบคุมได้ หรือที่ที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ นั่นแหละ
แต่บางทีพ่อของเขาอาจจะลองทำแล้วแต่ไม่สำเร็จก็เป็นได้?
   เด็กหนุ่มนึกถึงตอนที่เขาคุยกับอารัตน์ ซึ่งเป็นเพื่อน และลูกน้องคนสนิทของพ่อเขา เกี่ยวกับเรื่องที่สถาปนิกลึกลับที่พามาสร้างปัญหา หรือว่าจริงๆ แล้วฟ่งมีซ่อนไว้มากกว่ารูปร่างบอบบางภายนอกที่เห็น
บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มาด้วยกันก็ได้?!
   วรุตรีบปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที ถึงฟ่งจะรู้จักกับสายลับ หรืออาจจะเป็นอะไรแนวๆ นั้น เขาคงไม่โง่พอจะเอาเรื่องนี้ไปใช้ข่มขู่ และทางพ่อของเขาก็คงไม่โง่พอที่จะปล่อยตัวฟ่งออกมาเพราะเรื่องนี้ ท่าทางผู้ชายคนนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิดจริงๆ
   เด็กหนุ่มพลิกตัวเล็กน้อย ในตอนที่ฟ่งหายกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง เขาอยากจะหรี่ตามองในมุมที่ชัดมากขึ้น ไม่นานนักฟ่งก็ออกมา คงแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสวมแว่นคนนั้นนั่งปุลงหน้าห้องน้ำอีกครั้ง และกวาดสายตามองไปมองมาไปมาราวกับจะประเมินคนที่นอนผิดที่ผิดทางทั้งสองคนในห้อง
   ฟ่งกำลังคิดอะไรอยู่นะ?
   วรุตเดาความคิดของหนุ่มคนนี้ไม่ออก เขาอาจจะเดาความคิดของราฟาแอลหรือผู้ชายอีกคนที่ยังนอนอยู่ออกบ้าง แต่สำหรับฟ่งแล้ว เขาเดาไม่ออกจริงๆ
   การเดาความคิดของคนที่ไม่รู้เป้าหมายชัดเจน เป็นเรื่องที่เดายากที่สุด
   เนื่องจากฟ่งไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน...... อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนอย่างที่ราฟาแอลและพวกแสดงออกมา แม้แต่ตัวของวรุตเองก็มีเป้าหมายที่ชัดเจน พ่อเขาเองก็เช่นกัน แต่ฟ่งล่ะ?
   ผู้ชายที่กำลังถูกตามล่า เพราะทำงานที่เป็นความลับ ผู้ชายที่รู้จักกับสายลับ แถมดูท่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันด้วย ผู้ชายที่เปิดประตูให้เขาซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อนเข้ามาในห้อง แค่เพราะทำประตูหนีบมือ... ผู้ชายแบบนี้จะวางแผนทำอะไรได้นะ แต่ผู้ชายเดียวกันนี้ก็หนีรอดมาจากเงื้อมมือของพ่อเขา แล้วก็ทำให้คนที่นั่นปวดหัวมาแล้ว
คนแบบนี้....
   วรุตหวนกลับมานึกถึงตอนที่ฟ่งพบกับเขาครั้งแรกอีกรอบ ตอนแรกฟ่งเองมีท่าทีว่าไม่เชื่อถือเขาอย่างเห็นได้ชัด ถึงกระทั่งพยายามจะคว้ามีดออกมาขู่ พอมาคิดแล้วก็ขำดีเหมือนกัน เปิดประตูให้เข้ามาเอง แล้วก็เพิ่งมานึกได้ว่าอันตรายหรอกรึ....
   แต่ว่าหลังจากนั้น ฟ่งก็ทำท่าเหมือนจะเชื่อเขาขึ้นมา อย่างน้อยก็พูดคำว่าขอบใจออกมาล่ะ แล้วก็ดูจะไว้ใจเขามากขึ้นด้วย วรุตรู้สึกตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปนี้ ถึงเขาจะเป็นคนพูดเองและยอมรับว่าเป็นความจริงก็เถอะ แต่ถ้าเขาเป็นฟ่ง เขาคงไม่ยอมเชื่อเรื่องพวกนี้เด็ดขาด
   แต่หนุ่มสวมแว่นคนนั้นทำท่าว่าจะเชือนี่สิ... เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะ
   บางทีอาจจะเพราะฟ่งอยากรั้งเขาไว้ ในฐานะของตัวประกันที่เป็นผลดีกับคนของตัวเอง แต่พอมาคิดอีกที ท่าทีที่ฟ่งมีให้เขาดูจะไม่ได้เป็นเพราะเพื่อนที่เหลืออีกสองสามคนนั่นเป็นคนชักชวน อย่างน้อยฟ่งก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ายอมตกอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของราฟาแอล เรื่องนี้ทำให้วรุตรู้สึกหนักใจขึ้นมา
   หากฟ่งคิดเรื่องทั้งหมดเอง ก็แปลว่าระบบความคิดของคนคนนี้คงจะผิดปกติน่าดู... สมกับเป็นคนที่ออกแบบห้องพิสดารนั่นออกมาเสียจริงๆ ให้ตายสิ   
   ดูท่าวิธีคิดและการกระทำของคนคนนี้ จะอยู่เหนือความคาดหมายและสามัญสำนึกของคนธรรมดาอย่างเขาและพวกราฟาแอลด้วยก็ได้
   มันเหมือนกับสมการเคมีที่มีอนุภาคที่ไม่อาจจะคาดเดาความคลาดเคลื่อนได้เข้ามาเป็นตัวผสม การคำนวณผลลัพธ์ของมันจึงไม่สามารถสรุปออกมาได้นั่นแหละ
   วรุตนึกกลัวว่าฟ่งนี่แหละ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เดินไปในจุดที่ไม่อาจคาดเดาได้
-------------------------------------------
   ราฟาแอลนอนอยู่ในห้องของรูฟัส และนอนอยู่บนเตียงของรูฟัส โดยใช้สายตาธรรมดาๆ เกลี้ยกล่อมรัสเลอร์ให้ยอมออกไปนอนที่โซฟา ซึ่งความจริงรัสเลอร์น่าจะรู้ตัวก่อนถูกมองด้วยซ้ำว่าควรจะวางตัวแบบไหนเวลาอยู่กับเขา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้หนุ่มผมบลอนด์เป็นกังวล
   เขากำลังกังวลเรื่องของผู้ชายสวมแว่นที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเขา เพราะรูฟัสดูจะเป็นกังวลเรื่องฟ่งเอามากๆ ราฟาแอลคิดว่าเขาคงต้องเสียเวลาบางส่วนเพื่อจัดการกับเรื่องงี่เง่านี้ให้เสร็จๆ เพราะขืนปล่อยไว้ให้ค้างคา เจ้ารูฟัสคงไม่มีกะใจจะทำงานแน่ๆ
   คิดไปคิดมาก็น่าหงุดหงิดใจอยู่หรอก ถึงแม้ว่าฟ่งจะชักนำปลาตัวใหญ่ที่คาดไม่ถึงอย่างวรุตมาให้ แต่เพราะความสัมพันธ์ที่รูฟัสไม่ยอมตัดให้ขาดนั่นแหละทำให้การวางแผนของเขาพลอยต้องคลาดเคลื่อนตามไปด้วย เพราะหลังจากที่เขารู้วิธีที่เข้าไปในห้องได้แล้ว ฟ่งก็หมดประโยชน์ ในยามปกติคือสมควรถูกกำจัดเพื่อไม่ให้แผนการรั่วไหล แต่แผนนี้ต้องม้วนเก็บเข้าลิ้นชักไป เพราะขืนทำจริง งานของเขาคงพังไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำอาจจะต้องดวลเดือดกับเพื่อนร่วมงานเก่าแก่อย่างรูฟัสด้วย
   ราฟาแอลไม่อยากมีปัญหากับรูฟัส
   ตลอดหลายปีที่ทำงานร่วมกันมา เขาและรูฟัสเคยต่อสู้กันหนเดียวเท่านั้น คือตอนที่เขาต้องไปรับรูฟัสมาอยู่ด้วยตามคำสั่งเสียของอเล็กเซ ผู้เป็นอดีตอาจารย์ของเขา และเป็นคนที่เลี้ยงดูรูฟัสมา การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ราฟาแอลตระหนักดีว่า หากมีการเผชิญหน้ากันอีกรอบ ไม่เขาก็รูฟัสนี่แหละ ที่จะต้องตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะอารมณ์ หรือเพราะความรู้สึกส่วนตัว แต่เป็นเพราะสัญชาติญาณการเอาตัวรอดที่ถูกปลูกฝังและลับจนคมพอที่จะกลายเป็นเหตุผลในการห้ำหั่นกันอย่างถึงชีวิตต่างหาก
   สัญชาติญาณการเอาตัวรอดมีผลเหนือจิตสำนึกและความผูกพัน และคนบางประเภทก็ถูกฝึกมาให้ใช้สัญชาติญาณมากกว่าจิตสำนึกและความคิด
   เขาและรูฟัสบังเอิญเป็นพวกประเภทนั้น
   ดังนั้นราฟาแอลจึงพยายามหลีกเลี่ยงอย่างที่สุดที่จะมีปัญหาขั้นแตกหักกับรูฟัส ซึ่งมันเคยเป็นเรื่องยากเย็นเลยจนกระทั่งตอนนี้
   เขาไปพบเมี่ยงมาเมื่อวาน หญิงสาวถามถึงข่าวคราวของรูฟัส แน่นอนว่าเขาตอบไปไม่ครบทุกอย่าง อย่างน้อยก็ไม่ได้บอกเรื่องที่ฟ่งเป็นคนเขียนแปลน เขาไม่อยากให้มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก รวมทั้งผู้หญิงคนนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่น่าไว้ใจ แต่ความลับที่มีคนรู้น้อยที่สุด ก็ย่อมเป็นความลับได้นานที่สุด
   ราฟาแอลคุยเรื่องวรุตกับเมี่ยง นี่คือจุดประสงค์สำคัญที่เขาไปหาหล่อน นอกจากจะถามความคืบหน้าต่างๆ แล้ว เขายังต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย ต้องมีใครสักคนจับตาดูวรุตหลังจากที่พวกเขาทำงานแล้ว ตัวเลือกแรกที่ดูจะดีที่สุดคือเมี่ยง
   ราฟาแอลเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ทรยศเขา แน่นอนว่าเมี่ยงไม่ใช่แค่ผู้ร่วมงานธรรมดา การที่เขาเลือกหล่อนเข้ามาทำงานนี้ก็เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจอันสืบเนื่องมาจากความลับบางอย่างของบริษัทคู่แข่งที่เขาเสนอให้ และอีกอย่าง หล่อนเองก็มีความลับบางอย่างที่อยู่ในมือเขาเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายนั้นไม่คิดจะขายความลับของเขาอยู่แล้ว
   ท่าทีแรกที่หญิงสาวแสดงออกมาหลังจากได้ฟังเรื่องคราวๆ แล้ว คือสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตามด้วยแววตาของความวิตก ราฟาแอลรู้ดีว่าเมี่ยงไม่ได้อยากจะกระโดดลงมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับเรื่องนี้ให้มากจนเกินไปนัก หล่อนแค่ให้ความร่วมมือเท่าที่จะทำได้ แต่การจะเอาลูกชายของเป้าหมายมาฝากไว้ที่นี่ดูจะเป็นเรื่องผิดความคาดหมายไปไกล
เมี่ยงถามถึงที่มาของวรุต ซึ่งเขาไม่ตอบ หลังจากสอบถามเล็กๆ น้อยๆ ที่บางอย่างพอให้คำตอบได้ หล่อนก็นิ่งนึกไปพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจรับปาก เพราะอย่างน้อยหล่อนก็สามารถหาข้อแก้ตัวได้ว่าวรุตมาเมาค้างอยู่ในผับของหล่อนหรืออะไรแนวๆ นั้น เนื่องจากวรุตเองก็เป็นสมาชิกของที่นี่เหมือนกัน  ราฟาแอลรู้สึกโล่งใจกับเรื่องนี้ ในขณะที่เขากำลังจะกลับ  สมองของเขาก็นึกได้อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เขาคิดนี้ ถ้าบอกรูฟัสไปแล้ว เจ้าหมอนั่นก็ไม่ควรหาว่าเขาเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอีกเป็นอันขาด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ปกติราฟาแอลไม่เคยทำมาก่อน
   เขาพูดกับเมี่ยงเพิ่มเติม เรื่องจะขอฝากฟ่งเอาไว้ด้วย โดยพยายามจะอธิบายว่ารูฟัสเป็นห่วงว่าฟ่งจะมีอันตราย เพราะมีส่วนเกี่ยวพันธ์กับเขา เว่ยเฟิงปิงอาจจะย้อนกลับมาอีกหรืออย่างไรก็ได้ โดยย้ำซ้ำเข้าไปอีกว่า เว่ยเฟิงปิงถูกส่งมาร่วมงานประชุมในครั้งนี้ด้วย แล้วอาจจะฉวยโอกาสนี้จัดการอะไรกับฟ่งก็ได้
   เมี่ยงดูมีท่าทีวิตกกังวลกับเรื่องของฟ่งอย่างเห็นได้ชัด หล่อนพูดว่าผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะมายุ่งกับเรื่องพวกนี้เลย หล่อนเองก็เคยเตือนรูฟัสไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ท่าทางมาพูดตอนนี้คงจะสายจนเกินไป
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที แล้วใส่ความคิดเห็นบนระบายของตนลงไปนิดหน่อย ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่าเมี่ยงยินดีที่จะรับฝากฟ่งไว้อีกคนหนึ่งไหม
   หญิงสาวนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจว่า หากรับฝากทั้งฟ่งทั้งวรุตเอาไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา หล่อนคงจะรับมือได้ลำบาก อีกอย่างการจะให้จับตาดูคนสองคนที่อยู่แยกกัน ก็หมายถึงต้องแบ่งกำลังคนออกเป็นสองกลุ่ม จะยิ่งทำให้การระแวดระวังบกพร่องลงไปอีก ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท เมี่ยงเสนอว่าราฟาแอลควรจะเลือกฝากใครสักคนไว้กับหล่อน แล้วพาอีกคนไปฝากไว้กับคนอื่น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับการดูแลมากกว่า
พอได้ฟังเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้แล้ว ราฟาแอลจึงได้แต่พยักหน้า เมี่ยงเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และไม่ใช่มือใหม่ในวงการนี้ เรื่องที่พูดมาจึงไม่ใช่การกังวลเกินเหตุแต่อย่างใดเลย ปัญหาคือ เขายังนึกไม่ออกว่ามีใครที่น่าไว้ใจพอที่จะฝากคนใดคนหนึ่งเอาไว้อีก
   ที่สำคัญ คนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเรื่องนี้ ไม่ใช่เขาเสียด้วย
   รูฟัสต่างหาก เพราะฟ่งสำคัญกับรูฟัส ถึงพลอยต้องทำให้เขาเดือดร้อนเป็นธุระจัดการ เพื่อป้องกันอาการผละงานที่เจ้าหมอนั่นอาจจะทำอีก
   ใครใช้ให้เจ้าหมอนั่นทำงานกับเขามานานขนาดนี้กันล่ะ
   ราฟาแอลรู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ
   เขาหวังว่ารูฟัสจะคิดหรือตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะเข้าไปในห้องลับนั่น
-------------------------------------------
   รูฟัสแสดงอาการว่าตื่นนอนแล้วจริงๆ ในตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาลุกไปเปิดประตูราวกับว่ารอเสียงนั้นอยู่ตลอด ผู้ที่มาเคาะคือราฟาแอล ซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว และกางเกงขายาวแบบที่ใช้ใส่ในฟิตเนส ด้านหลังเป็นรัสเลอร์ ผู้ซึ่งมีสีหน้าเหมือนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นใหม่ๆ
   “ฉันอยากไปออกกำลังกาย” ราฟาแอลเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมเดินเข้ามาในห้อง แต่ผลักรัสเลอร์เข้ามาแทน หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ ด้วยสีหน้าที่แสดงอาการง่วงงุนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมเดินเข้ามาแต่โดยดี ฟ่งที่ยังนั่งอยู่ตรงห้องน้ำจึงยืนขึ้น และรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นภาพแบบนั้น เขาเพิ่งรู้ว่ารัสเลอร์จะขี้เซาเหมือนกัน
   รูฟัสยกมือขึ้นดูนาฬิกา แล้วพยักหน้า จากนั้นก็หันมายิ้มให้ฟ่ง และเดินออกไปกับราฟาแอลโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องต้องกะพริบตาปริบๆ หลังจากที่ประตูปิดลง สักพักเขาถึงได้หันกลับมามองหน้าผู้มาใหม่ที่ยังดูงงๆ อยู่
   “เอ้อ...ขอโทษที่มารบกวนนะ” รัสเลอร์กล่าวขึ้นเป็นประโยคแรก หลังจากขยี้ตาอยู่พักใหญ่ ฟ่งคิดว่าควรหนุ่มคนนี้ควรจะไปล้างหน้าล้างตาให้หายง่วงเสียก่อนจะพูดอะไร จึงบอกออกไป
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพยักหน้า แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพักหนึ่ง ก่อนจะออกมาด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น เขายกมือทักทายฟ่งราวกับว่าเพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกก็ไม่ปาน แล้วจึงหันไปมองวรุตซึ่งลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างไม่ได้ใส่ใจนักแว้บหนึ่ง จากนั้นจึงมาคุยกับฟ่งต่อ
   “เมื่อคืนนอนหลับรึเปล่าครับ” เขาถาม ฟ่งพยักหน้า และมองดูหน้ารัสเลอร์เหมือนจะถามกลับไปว่า นายนั่นแหละนอนหลับหรือเปล่า ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วชวนฟ่งให้ไปนั่งที่โซฟา ฟ่งทำตามอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก วรุตลุกขึ้นนั่ง และมีท่าทีว่าตื่นนอนเต็มที่แล้ว ฟ่งกวาดตามองสมาชิกภายในห้องของเขาอีกครั้ง
   “ถ้าตื่นกันหมดแล้ว ผมว่าเราน่าจะอาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกันนะ”
   รัสเลอร์ส่ายหน้าทันที “กินข้าวต้องรอรูฟัสกับราฟาแอลกลับมาก่อนน่ะ”
   “?” ฟ่งทำท่าอ้าปากเหมือนจะถาม แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่รัสเลอร์ถูกเสือกไสเข้ามาในห้องนี้ คงเพราะต้องมาจับตาดูพวกเขาสองคนนั่นเอง หนุ่มสวมแว่นจึงพยักหน้า แล้วพูดต่อ “งั้นผมอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ”
   “นอนต่อก็ได้นี่ครับ เดี๋ยวผมนอนเป็นเพื่อน” รัสเลอร์เสนอความเห็น และหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฟ่งมองหน้าเขาและคิดว่าโชคดีนะที่รูฟัสไม่ได้ยิน แต่ถ้ารูฟัสอยู่ เจ้าหมอนี่คงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมาหรอก ท่าทางรัสเลอร์จะยังไม่เข็ดที่ถูกต่อยวันนั้นแน่ๆ
วรุตที่นั่งฟังอยู่ เอ่ยปากสอดขึ้นทันที “อาบน้ำก่อนก็ดีนะฟ่ง เดี๋ยวผมจะได้อาบบ้าง”
   รัสเลอร์หันไปขมวดคิ้วใส่วรุตทันที ฟ่งหัวเราะแห้งๆ
   “งั้นผมอาบก่อนแล้วกัน” เขาว่าและผลุนผลันเข้าไปในห้องน้ำ วรุตหัวเราะคิกคัก
   “เธอคิดจะอะไรของเธอหา! อยากมีเรื่องกับฉันหรือไง?” รัสเลอร์หันไปพูดกับวรุตอย่างเอาเรื่อง เด็กหนุ่มหยุดหัวเราะ และยิ้มอย่างมีเลสนัยน์
   “ทำไมคุณไม่คิดว่าผมช่วยบ้างล่ะ ไม่อยากเห็นฟ่งตอนอาบน้ำหรือไง?”
   รัสเลอร์อึ้งไปพักหนึ่ง ถึงจะพยายามปั้นหน้าว่าไม่พอใจแค่ไหน แต่คิดว่าคงไม่สามารถปิดบังแววตาที่ส่ออาการตื่นต้นของตัวเองได้แน่ๆ เลยรีบพูดจากลบเกลื่อนออกไป
   “เขาอาบอยู่ในห้องน้ำนี่ ไม่ใช่ว่าฉันเข้าไปดูได้สักหน่อย”
   เด็กหนุ่มยักไหล่ “แต่เขาไม่ได้เอาเสื้อผ้าเข้าไป คุณไม่เห็นเหรอ?”
   คราวนี้รัสเลอร์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาจริงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงในวินาทีต่อมา “นี่ๆ อย่าบอกนะว่านายก็คิดแบบนั้นกับฟ่งเหมือนกัน”
   วรุตมองเขา หัวเราะเบาๆ แล้วสั่นศีรษะ
   “ไม่หรอก ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ” เขาตอบ และยกรีโมทขึ้นเปิดโทรทัศน์ ก่อนจะหรี่เสียงลงนิดหน่อย รัสเลอร์ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าวรุตจงใจจะลดเสียงโทรทัศน์ให้เบากว่าเสียงฝักบัวอาบน้ำหรือเปล่า หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะเชื่อคำพูดเด็กคนนี้ได้ขนาดไหน
------------------------------------------------
   ฟ่งยกมือขึ้นลูบน้ำออกจากใบหน้า ปกติเขาชอบที่จะอาบน้ำทันทีหลังจากตื่นนอน เพราะรู้สึกว่าทำให้ตัวเองหายง่วงเร็วดี ที่สำคัญถ้าได้อาบกับน้ำเย็นๆ จะดีมาก เขาจะได้ตื่นเต็มตาพร้อมไปเผชิญกับวันอันยาวนานที่จะผ่านเข้ามา
   ฟ่งยกริมฝีปากขึ้นมานิดหน่อย เขารู้สึกขำ ตอนนี้พวกรูฟัสคงไปออกกำลังกายและคุยธุระกัน ทิ้งเขาให้อยู่กับผู้ชายอีกสองคนซึ่งก็ดูจะน่าปวดหัวแทบทั้งคู่ ท่าทางวันอันยาวนานจะยังคงอยู่ในชีวิตเขาอีกหลายวันแน่ๆ
   ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวจากราวพาดในห้องมาเช็ดตัว และพบว่าน้ำจากผมยังคงหยดลงมาเปียกในส่วนที่เช็ดไปแล้ว จึงยกผ้าขึ้นเช็ดผมอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนัก พลางคิดว่าคงได้เวลาไปตัดผมแล้ว เขาเงยขึ้นไปมองตรงราวพาดผ้าเช็ดตัว ถึงได้พบว่าตัวเองลืมเอาเสื้อเข้ามาด้วย เอาน่า.. นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินโทงๆ ต่อหน้าผู้ชายด้วยกันคงไม่น่าเกลียดอะไรหรอก
   ฟ่งคว้าผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันท่อนล่าง โยนเสื้อลงในตะกร้า แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา
----------------------------------------------
   วรุตได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เขาขี้เกียจหันไปมอง ปล่อยให้เจ้าฝรั่งนั่นมองไปคนเดียวก็แล้วกัน สำหรับเขาแล้ว ใครจะแก้ผ้า ถอดเสื้อ เปลือยหรืออะไรก็คงไม่น่ารักเซ็กซี่เท่ากับอิทธิเดชอีกแล้วล่ะ
   แต่รายการที่ออกอากาศอยู่ในโทรทัศน์ก็น่าเบื่อสุดๆ วรุตถึงกับหาวออกมา สุดท้ายเขาก็หันไปมองรัสเลอร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าเจ้าตัวนั่งตาตื่นอยู่ เขาเลยต้องหันไปมองตรงห้องน้ำบ้าง.....
   ฟ่งยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำ ท่าทางจะสนใจโฆษณาครีมอาบน้ำที่เพิ่งปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวปิดท่อนล่าง เหมือนที่หนุ่มๆ ทุกคนทำกันหลังอาบน้ำ ไม่มีอะไรแปลกไปกว่าคนอื่น ถึงจะไม่เช็ดผมให้แห้งก็เถอะ
แต่ที่ทำให้วรุตอดกลืนน้ำลายอย่างลืมตัวไม่ได้ก็คือ ผิวขาวเนียนและร่างกายผอมบางที่มีรอยจ้ำสีคล้ำอยู่ทั่วไปหมด แม้หลายรอยจะจางไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังดูเยอะอยู่ดี
วรุตแน่ใจว่าถึงเขาจะคลั่งไคล้อิทธิเดชขนาดไหน ก็ไม่เคยทำรอยไว้มากขนาดนี้ เด็กหนุ่มนึกไปถึงชายชาวต่างชาติผมสีดำที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ทันที
สองคนนี่......
พอโฆษณาจบฟ่งก็ยกมือขึ้นขยับแว่น ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้สนใจจะดูท่าทางของคนที่นั่งอยู่ในห้องอีกสองคน
ทั้งวรุตและรัสเลอร์นั่งอึ้ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะนอกจากรอยจ้ำที่ด้านหน้าแล้ว ตอนที่ฟ่งหันหลังเข้าไปในห้อง พวกเขายังเห็นรอยจ้ำอีกจำนวนมากอยู่เต็มหลัง ถึงจะไม่เยอะเท่าด้านหน้า แต่มันก็ดูเยอะอยู่ดีนั่นแหละ
   วรุตถึงกับมีความคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่าตอนที่ถูกทำรอยพวกนี้ ฟ่งจะมีสีหน้าแบบไหนกันนะ
   เขานึกไปถึงตอนที่ฟ่งถูกรูฟัสหอมแก้ม ตอนนั้นฟ่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แถมหันกลับมามองค้อนเขาอีก รวุตคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของเจ้าฝรั่งที่แอบหลงรักแฟนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคนแบบฟ่ง ได้เห็นสีหน้าและอิริยาบถต่างๆ แถมรู้ว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ชายในลักษณะนี้ คงจะทนยากอยู่เหมือนกันหรอก
เขาเองก็ไม่น่าจะหันไปเห็นรอยพวกนั้นเลย
   วรุตเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดผิด ตอนแรกเขาแค่อยากจะแกล้งปั่นหัวผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เล่น แต่ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็นว่าเขาพลอยรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวไปด้วย
   เพราะรอยจ้ำพวกนั้นบนตัวฟ่งแท้ๆ
   แวบหนึ่ง เขานึกอยากเห็นใบหน้าของฟ่งในตอนที่กำลังมีอารมณ์แบบนั้นขึ้นมา มันจะน่ารัก น่ารัญจวนใจขนาดไหนเชียวนะ ถึงทำให้คู่นอนของเขาฝากรอยรักเอาไว้บนตัวมากมายขนาดนี้ ทั้งหน้า..ทั้งหลัง...
   “นี่ วิน จะอาบน้ำรึเปล่า เดี๋ยวผมจะได้หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ออกมาให้” ฟ่งเอ่ยถามขณะเปิดประตูออกมานอกห้อง เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลเข้ม กับกางเกงขาสั้น วรุตเงยมองอย่างงงๆ ก่อนจะพูดออกมา
   “ผมใช้ผืนตะกี้ก็ได้”
   ฟ่งมองเขาอย่างงงๆ กลับบ้าง “อันนั้นผมใช้แล้วนะ”
   “เอ่อ....” วรุตส่งเสียงครางในลำคออย่างไร้ความหมาย และรู้สึกว่าตัวเองชักควบคุมสติไม่ได้เข้าไปทุกที
   “ไม่เป็นไร คุณจะได้ไม่ต้องซักหลายผืนไง เดี๋ยวยังไงผมก็ต้องกลับไปเอาผ้าเช็ดตัวที่ห้องอยู่แล้ว”   
   ฟ่งยังคงยืนมองวรุตอย่างอึ้งๆ อยู่สักพัก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้
   “แล้ว..... นายไม่ไปเอาเสื้อก่อนหรอ?” ฟ่งถามอีก เมื่อเห็นวรุตถือผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เด็กหนุ่มหันมามองเขา จากนั้นก็สั่นศีรษะ
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวใส่ชุดเดิมแล้วค่อยไปเปลี่ยนก็ได้”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ วรุตจึงเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องน้ำราวกับปวดท้องหนัก แล้วปิดประตูเสียงดังปึง หนุ่มสวมแว่นจึงหันมามองคนที่เหลือซึ่งยังนั่งอยู่แทน
   “คุณจะอาบน้ำด้วยหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลยิ้มแล้วสั่นศีรษะ  ฟ่งยืนมองเขาอยู่อีกพักหนึ่ง และพูดต่อ
   “งั้นผมชงข้าวโอ๊ตให้กินรองท้องกันก่อนแล้วกันนะ”
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่47 p7 18/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-07-2011 17:26:41
   วรุตพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่กระแทกประตูห้องน้ำให้ปิดดังปัง แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองปิดแรงเกินไปดูดี ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เกือบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงต้องรีบหลบออกมา ขืนให้นั่งอยู่ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าแสดงอาการอะไรออกไปบ้าง
   เด็กหนุ่มถอดกางเกงออก ปล่อยให้เจ้าหนูที่ตื่นตัวเกือบจะเต็มที่ออกมาเป็นอิสระ  เขานั่งลงตรงขอบอ่าง หันหน้าเข้าไปด้านใน หยิบผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งได้ขึ้นมาใกล้จมูก กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ ชอนไชเข้าไปในจมูก แม้จะรู้ว่ามันไม่ดีเลยที่คิดเรื่องแบบนี้กับคนคนนั้น แต่เขาไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้อีกแล้วจริงๆ
   เขาจำต้องระบายมันออกด้วยตัวเอง ก่อนที่จะต้องใช้คนอื่นในการระบาย
--------------------------------------
   รัสเลอร์มองดูต้นขาขาวๆ ของฟ่งที่กำลังยืนชงข้าวโอ๊ตอยู่ เขายอมรับว่าแวบแรกที่เห็นร่างกายของฟ่ง หัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น เจ้าบ้ารูฟัสทำรอยเอาไว้มากมายขนาดนั้นเชียวรึนี่?  แถมฟ่งเองยังดูจะไม่รู้ตัวหรือว่าลืมไปแล้วว่ามีรอยพวกนั้นอยู่  เดินออกมาทั้งแบบนั้น ไม่รู้เลยหรือไงว่าคนที่ดูอยู่จะมีอารมณ์แบบไหน 
   รัสเลอร์แทบอยากจะวิ่งเข้าไปกอดฟ่งเอาไว้ จัดการทำรอยเพิ่มเสียไปเสียเลย แต่จนใจที่ว่าเขายังสติดีพอที่จะรู้ว่าขืนทำลงไปจริง ไม่ถูกฟ่งซ้อมตาย ก็คงถูกรูฟัสฆ่าตายแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงจำต้องเก็บข่มอาการอยากเอาไว้ แล้วหันไปมองอย่างอื่นแทน
   ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเจ้าเด็กกวนประสาทนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็แทบจะร้องออกมา เพราะเห็นว่า เจ้าเด็กนั่นกำลังมองฟ่งด้วยสายตาแบบเดียวกับเขา
   จ้องเอาๆ ขนาดนั้นจะบอกว่าคิดเรื่องอื่นไปไม่ได้หรอก
   รัสเลอร์แน่ใจว่าตอนแรกที่วรุตพูดเรื่องฟ่งอาบน้ำยังไม่มีสายตาแบบนี้แสดงออกมา นี่หมายความว่าพอเจ้าหมอนี่เห็นฟ่งแก้ผ้าแล้วเลยพลอยมีอารมณ์เกิดขึ้นตามด้วยงั้นหรือนี่
   เขานึกและหันไปมองฟ่งอีกครั้งอย่างเป็นห่วง ท่าทางผู้ชายคนนี้จะเป็นพวกมีแรงดึงดูดเพศเดียวกันสูงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวเลยก็เป็นได้
   แบบนี้คงยิ่งต้องระวังให้หนักๆ
   รัสเลอร์พยายามไม่คิดต่อว่าวรุตเอ่ยปากขอผ้าเช็ดตัวฟ่งแล้ว หายเงียบเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำ แต่ก็อดนึกอิจฉาไม่ได้ บางทีเขาน่าจะลองใช้ฟ่งเป็นเป้าดูบ้าง อาจจะให้ความรู้สึกดีกว่าหนังโป๊แบบเดิมๆ ก็ได้นะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเบนสายตามองต่ำลงไปยังต้นขาขาวๆ ของคนที่ยืนชงข้าวโอ๊ตอยู่ ให้ตายสิ ทำไมฟ่งถึงต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้ารูฟัสด้วยนะ ลำพังถ้าไม่มีรูฟัสมาเป็นก้างล่ะก็ เขาคงจะสามารถจีบฟ่งได้ในสักวันหนึ่งนั่นแหละ อัฉริยะขนาดนี้เสียอย่าง
   รัสเลอร์ถอนหายใจออกมา เขาทำได้ทุกอย่างก็จริง แต่คงเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้หรอก แถมตอนนี้ท่าทางจะมีคนเห็นความน่ารักของฟ่งเพิ่มเป็นคู่แข่งมาอีกคนเสียแล้ว   
-------------------------------------------------
   ฟ่งหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวโอ๊ตที่อยู่ในแก้ว พลางนึกถึงเรื่องของรูฟัส จะว่าไปแล้วเขาไม่รู้เลยว่าปกติแล้วรูฟัสมีกิจวัตรประจำวันบ้าง ทุกทีเวลาตื่นขึ้นมา หนุ่มตาสองสีคนนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยรออยู่แล้ว บางครั้งก็เตรียมอาหารเอาไว้ให้ด้วย และเขาเองก็ไม่ค่อยจะได้สนใจกับกิจวัตรของผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องให้ต้องกังวลใจหลายเรื่อง
แต่วันนี้พอเห็นว่าราฟาแอลมาชวนรูฟัสไปฟิตเนส ทำให้ฟ่งนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องออกกำลังกายเป็นประจำแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถรักษารูปร่างให้ดีแบบนั้นได้หรอก แถมยังแรงดีอีกด้วย ท่าทางวันหลังเขาคงต้องตามไปบ้าง จะได้ออกกำลังกายเอาเหงื่อออก เผื่อจะหายจากโรคขี้เกียจขี้เกียจ  แต่คราวนี้ราฟาแอลคงจะมีธุระส่วนตัวอยากคุยกับรูฟัสสองคน เพราะงั้นเรื่องตามไปออกกำลังกาย เขาจะเก็บไว้คุยกับรูฟัสหลังจากเสร็จงานนี้ก็แล้วกัน ได้รูฟัสมาเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวคงสะดวกดีพิลึก
ฟ่งหมุนตัวกลับมาพร้อมกับแก้วข้าวโอ๊ตในมือ และต้องผงะ เมื่อพบว่ารัสเลอร์มายืนอยู่ด้านหลัง จนหน้าแทบจะทนกัน
   “มะ..มีอะไรเหรอ?!” หนุ่มสวมแว่นพูดด้วยน้ำเสียงตกใจนิดๆ เขาไม่ชอบเลยเวลาเจอใครที่ไม่ค่อยคุ้นมายืนใกล้ๆ แบบนี้
   “ผม....เอ่อ” รัสเลอร์มีทีท่าอ้ำๆ อึ้งๆ ความจริงตอนแรกเขาอยากจะเตือนฟ่งเรื่องวรุต แต่คิดอีกทีนอกจากฟ่งอาจจะไม่เชื่อแล้วอาจจะหาว่าเขาบ้ากามที่แอบดูตอนแก้ผ้าด้วยก็ได้ จนใจที่นึกรูปการนี้ออกมาได้ตอนที่เดินเข้ามาแล้วนี่สิ
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรัสเลอร์อย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก รัสเลอร์กลืนน้ำลายเฮือก นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาช่างเหมือนกระรอกป่าตัวเล็กๆ เสียนี่กระไร น่ารักน่ากอด แต่ถ้าทำให้ตกใจนิดเดียวก็คงจะวิ่งหนีไปเลย ไม่ก็หันกลับมากัด
รัสเลอร์มองดูริมฝีปากสีชมพูนั้นแล้วคิดว่าถ้าเขายอมแลกความเจ็บปวดจากกำปั้นของฟ่งเพื่อลิ้มรสริมฝีปากนี้อีกรอบมันจะคุ้มกันไหม
   “ถ้าคุณคิดจะทำอะไรบ้าๆ อีกผมจะเอาข้าวโอ๊ตราดคุณแน่” ฟ่งส่งเสียงขู่เมื่อรัสเลอร์มีทีท่าว่าจะก้มหน้าเข้ามาใกล้เขามากว่าระยะที่คนปกติธรรมดาพูดกัน คนถูกขู่มองดูแก้วข้าวโอ๊ตที่มีควันลอยกรุ่นในมือของอีกฝ่าย แล้วยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็ถอยออกไป พร้อมกันยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยินยอมรับสภาพแต่โดยดี
   “ผมไม่อยากกินข้าวโอ๊ตบนเสื้อตัวเอง ขอกินข้าวโอ๊ตจากแก้วก็แล้วกันนะครับ”
----------------------------------
   ความจริงมันค่อนข้างจะสายมากแล้ว เมื่อเทียบกับเวลาปกติที่ราฟาแอลและรูฟัสตื่นขึ้นมาเพื่อออกกำลังกาย สองหนุ่มเดินผ่านนาฬิกาในสโมสรฟิตเนสซึ่งอยู่ถัดลงมาอีกสี่ชั้น มันบอกเวลาแปดโมงกว่าๆ
   ถึงอย่างนั้น พอเดินเข้าไปในยิม ก็ยังเห็นว่าสมาชิกอื่น มาใช้บริการเครื่องออกกำลังกายอยู่ก่อนแล้ว การปรากฏตัวของหนุ่มต่างชาติรูปร่างดีหน้าตาชวนมองสองคน จึงตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย รูฟัสนึกโชคดีที่เขาใส่คอนแทคเลนลงมา เขาสวมกางเกงวอร์มสีดำแถบขาว และเสื้อยืดสีขาวมีลายสกรีนสีดำ
   ราฟาแอลเดินตรงไปยังลู่วิ่งอัตโนมัติที่ยังว่างอยู่ รูฟัสจึงเดินขึ้นไปบนลู่วิ่งที่อยู่ติดกันบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เริ่มออกวิ่ง
   “คิดถึงคลาวเดียชะมัดเลย” ราฟาแอลบ่นเป็นภาษาฮังกาเรียน หลังจากออกวิ่งไปได้พักหนึ่ง รูฟัสหัวเราะออกจมูก
   “คุณเพิ่งมาถึงวันเดียวเองนะ ผมคิดว่าคุณจะบ่นคิดถึงสาวอื่นซะอีก”
   ราฟาแอลส่งเสียงขึ้นจมูก “บ้านสาวคนอื่นไม่มีห้องฟิตเนสเยี่ยมๆ แบบที่บ้านคลาวเดียหรอก แถมคลาวเดียก็ทำอาหารได้อร่อยที่สุด”
   รูฟัสหัวเราะออกมาอีก และพยักหน้ายอมรับคำพูดของราฟาแอล
   ห้องใต้ดินที่บ้านของคลาวเดียนั้น นอกจากจะมีห้องซ้อมยิงปืนแล้ว ยังมีห้องฟิตเนสเล็กๆ อยู่ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นราฟาแอลให้สร้างเอาไว้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น ถ้าไม่ออกไปวิ่งด้านนอก ปกติพวกเขาก็จะไปออกกำลังกายกันที่นั่นแหละ 
   ทั้งสองเร่งความเร็วขึ้น เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบสายพานยางดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง
   “ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับนาย” ราฟาแอลพูดต่อ รูฟัสพยักหน้า ขณะที่โปรแกรมที่ตั้งไว้เร่งความเร็วสายพานขึ้นอีก
   “เรื่องของฟ่งใช่ไหมล่ะ?” หนุ่มตาสองสีพูดต่ออย่างรู้ทัน ราฟาแอลพยักหน้าบ้าง
 ทั้งๆ ที่วิ่งด้วยความเร็วมาเป็นเวลาสิบกว่านาทีแล้ว ทั้งคู่ยังไม่มีอาการหอบหายใจจนพูดติดขัดเลย
“เมื่อวานฉันคุยกับคุณเมี่ยงเรื่องนี้มา” ชายหนุ่มพูดเสียงค่อยลง ถึงภาษาฮังการเรียนจะไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย แต่กันไว้ดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าใครที่อยู่ในห้องนี้จะฟังออกบ้าง
รูฟัสเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าราฟาแอลจะพูดเรื่องฟ่งกับเมี่ยงด้วย แต่คิดอีกที หมอนี่คงต้องพูดนั่นแหละ เพราะรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าฟ่งสำคัญสำหรับเขา ถ้าดูแลฟ่งไม่ดี เขาก็ไม่มีกะใจจะทำงานเหมือนกัน
“หล่อนว่าไง? คุณคุยพร้อมเรื่องของเด็กที่ชื่อวรุตด้วยใช่ไหม?” รูฟัสถามทั้งๆ ที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ราฟาแอลเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบ
“อืม.... เธอบอกว่าฝากได้คนใดคนหนึ่ง เพราะถ้าต้องแยกกำลังกันไปจับตาดูสองทางจะยิ่งลำบาก”
“อ้อ” รูฟัสลากเสียงยาวเท่าที่ลมหายใจจะอำนวยให้ทำ จากนั้นทั้งคู่เร่งความเร็วขึ้นอีก  จนดูเหมือนว่าจดจ่ออยู่กับการวิ่งจนลืมเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไปแล้ว
หลังจากสามสิบนาทีผ่านไป  ราฟาแอลและรูฟัสก็ย้ายจากลู่วิ่งอัตโนมัติมาที่เครื่องยกน้ำหนัก หนุ่มตาสองสีไขเลื่อนกระดาษซิตอัพขึ้นจนอยู่ในระดับสูงสุด ขณะที่เพื่อนของเขาสอดเหล็กคั่นน้ำหนักไปที่สี่สิบห้ากิโล และดึงคานเหล็กที่คล้องมันลงมาเป็นจังหวะ
ยังคงไม่มีบทสนทนาใดๆ เพิ่มเติม นอกจากเสียงแผ่นกระทบกันและเสียงลั่นของเหล็กที่ฐานของกระดานซิตอัพ  ใครที่เล่นเฟิตเนสอยู่อาจจะเข้าใจว่าสองคนนี้เป็นนายแบบหรือนักกีฬาอะไรสักอย่าง แต่อย่างแรกดูจะเข้าท่ามากกว่า
ราฟาแอลเลื่อนไปยกในส่วนบัตเตอร์ฟลายเวท ขณะที่รูฟัสกระโดดขึ้นไปที่บาร์ยกตัวและเริ่มดันตัวยกขาขนานกับพื้นโลก  การออกกำลังกายยังกินเวลาต่อไปอีกจนครบหนึ่งชั่วโมง ทั้งคู่จึงเดินออกมาด้านนอกเพื่อซื้อน้ำ แล้วจึงเดินกลับออกไปในส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำ ซึ่งสร้างอยู่กลางแจ้ง
สายลมยามเช้าพัดโกรกเข้ามาค่อนข้างจะแรง อาจจะเพราะว่าตั้งอยู่ในที่สูงก็ได้ ลมเลยแรงกว่าบนพื้นราบ
ราฟาแอลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นอนพลาสติกที่มีร่มวางอยู่ข้างๆ โดยมีรูฟัสนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวถัดออกไป ทั้งสองคนยกขวดน้ำขึ้นมาบีบเพื่อเช็ครอยรั่วด้วยความเคยชิน และเปิดออกดื่ม หลังจากดื่มน้ำจนพร่องไปเกือบขวด รูฟัสก็ถอนหายใจยาวออกมา ราฟาแอลเบือนหน้าจากสระว่ายน้ำมามองทันที
“นายใช้เวลาคิดมากกว่าที่ฉันประเมินเอาไว้นะเนี่ย” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า ผู้ถูกเอ่ยถึงระบายลมหายใจออกมาอีกรอบ
“มันพูดลำบากนะ” รูฟัสเริ่มพูดออกมา และหยุดไปพักหนึ่ง  ราฟาแอลนิ่งฟังอย่างอดทน
“ผมขอบคุณจริงๆ ที่คุณนึกถึงฟ่งด้วย” รูฟัสเอ่ยประโยคต่อ มันอาจจะยังไม่เข้าประเด็นเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกขอบคุณราฟาแอลในข้อนี้จากใจจริง เพราะโดยปกติ คู่หูของเขาไม่ใช่คนที่จะนึกทำอะไรเพื่อคนอื่นอย่างง่ายๆ เด็ดขาด โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกัน ราฟาแอลเป็นคนไม่มีความเสมอภาคเรื่องเพศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้าหมอนี่มักจะทำตัวเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่มีหน้าที่ต้องดูแลสาวสวยทุกคนก็ปาน
หนุ่มผมสีบลอนด์ มองหน้าเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกันมานานเป็นสิบปีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนใจบ้าง
“เพราะฉันไม่มีตัวเลือกแล้วต่างหากล่ะ” ขาว่า รูฟัสหัวเราะขืนๆ
“’งั้นฝากเจ้าเด็กนั่นไว้กับคุณเมี่ยงแล้วกัน ส่วนฟ่ง เดี๋ยวผมลองหาทางจะจัดการเอง”
“จัดการเอง? นายจะจัดการยังไงน่ะ? ” ราฟาแอลถามและเลิกคิ้วสีบลอนด์ของเขาขึ้นอย่างสนใจ รูฟัสทำหน้าปั้นยาก
“ผมไม่ฆ่าเขาแล้วกันน่า บางทีอาจจะมีสักที่ที่พอจะซ่อนตัวเขาไว้ได้”
“ฉันอยากฟังที่ชัดกว่านี้ นายคงไม่ได้หมายถึงว่าจะพาเขาไปฝากไว้กับญาติของตัวเขาเองหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ”
รูฟัสหลับตาลงอย่างอดทนอดกลั้น “ผมจะคิดว่าคุณพูดเล่นก็แล้วกัน เอาล่ะ.. ผมว่าน่าจะยังพอมีตัวเลือกอยู่” ชายหนุ่มกล่าวและทิ้งช่วงไปพักหนึ่ง อย่างคนที่กำลังใช้ความคิด
 “ผมอาจจะฝากเขาไว้กับตำรวจ”
“ตำรวจ?” ราฟาแอลถามเสียงห้วน รูฟัสพยักหน้า และพูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยไว้ใจตำรวจ แต่ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ตำรวจอาจจะกันตัวเขาเอาไว้ในฐานะพยานก็ได้ ที่สำคัญเรื่องนี้มี”เบื้องบน”เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง พวกตำรวจที่นี่คงไม่กล้าทำอะไรตุกติกหรอก”
“..............” ราฟาแอลมองหน้าเพื่อนร่วมงาน ทั้งคู่เงียบกันไปอีกสักพัก ก่อนที่หนุ่มผมสีบลอนด์จะพูดออกมาอีก
“เออ.. ตามใจแกก็แล้วกัน แต่ไงๆ ฉันก็ไม่ไว้ใจตำรวจอยู่ดี”
รูฟัสยิ้มออกมา “ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นห่วงฟ่งขนาดนี้นะเนี่ย”
“ฉันกลัวความลับจะรั่วต่างหากล่ะ เจ้าเด็กนั่นรู้เรื่องฉันกับแกน้อยเสียที่ไหน แต่เอาเถอะ เสี่ยงก็เสี่ยง ไงๆ งานนี้ก็มีเบื้องบนค้ำคออยู่แล้ว ค้ำคอเราได้ ก็คงค้ำคอคนอื่นได้เหมือนกันนั่นแหละ”
คนฟังหัวเราะออกมา ก่อนจะเงียบไปอีกพัก จากนั้นราฟาแอลก็พูดขึ้นต่อ
“เอางี้ดีกว่า ฉันว่าเราสองคนไปคุยกับคุณเมี่ยงอีกรอบ บางทีหล่อนอาจจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นก็ได้ อย่างน้อยก็อาจจะมีคำแนะนำเกี่ยวกับตำรวจ”
รูฟัสมองหน้าเพื่อนร่วมงานอย่างอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็พยักหน้า “ได้ ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน”
หนุ่มผมบล็อนด์พยักหน้า ทั้งคู่นั่งตากลมกันอยู่อีกพัก ก่อนจะลุกเดินออกไปจากสระว่ายน้ำ
-----------------------------------------
   วรุตแทบจะเอาหัวโขกฝาห้อง ในตอนที่ราฟาแอลเปิดประตูเข้ามาบอกว่าให้โทรสั่งอาหารขึ้นมาทาน แทนที่จะยกขบวนกันลงไปด้านล่าง แถมเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะออกไปข้างนอกทั้งวัน พร้อมกับผู้ชายผมสีดำที่อยู่เฝ้าเขาเมื่อคืนด้วย
เด็กหนุ่มหวังอยากตัวเองให้ถูกขู่ฆ่าหรืออะไรซักอย่าง แทนที่จะต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กับรัสเลอร์ซึ่งดูจะไร้พิษสงไปสนิทเมื่อเทียบกับสองคนที่เพิ่งออกไป และที่ทำให้เขาอึดอัดใจเป็นที่สุดคือเจ้าของห้องที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่บนโซฟาข้างๆ เขานี่แหละ
   วรุตพยายามเพ่งวิเคราะห์รายการเกมโชว์ในโทรทัศน์อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้สมองหยุดคิดฟุ้งซ่านในเรื่องบ้าๆ เสียบ้าง แต่ก็ต้องสติแตกกระเจิงเมื่อหันไปเห็นเรียวขาขาวๆ ยังคงอยู่ในระยะสายตา ทำไมฟ่งถึงใส่กางเกงขาสั้นด้วยนะ ถึงจะไม่แปลกอะไรก็เถอะ เพราะฟ่งไม่ได้เปิดแอร์ เปิดหน้าต่างกับพัดลมแบบนี้คงไม่มีใครบ้าใส่กางเกงขายาวนั่งเล่นอยู่ในห้องตัวเองอีก
คนที่มีปัญหาจริงๆ ดูท่าทางจะเป็นเขานี่แหละ
ตอนที่กลับไปกับรัสเลอร์เพื่อเอาเสื้อผ้าที่ห้องมาเปลี่ยน วรุตเกือบจะออกปากไปแล้วว่าขออยู่คนเดียวสักพัก แต่ทางนั้นคงจะไม่ยอมหรอก แล้วก็คงจะขัดกับความตั้งใจเดิมที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องกลับมาห้องของฟ่งอีกครั้ง เผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่ถึงจะใส่เสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ยังทำให้นึกถึงรอยจ้ำพวกนั้นได้อยู่ดี สุดท้ายวรุตเลยต้องพยายามหันมองอย่างอื่นแทน
   เพราะเรือนร่างเปลือยเปล่าแค่ครึ่งท่อนที่เต็มไปด้วยรอยจูบของคนที่นั่งอยู่บนโซฟานี่แหละที่ทำให้สติเขาแตกกระเจิง รอยจ้ำนั่นทำให้เขาหยุดจินตนาการของตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนที่มันมันเกิดขึ้นฟ่งมีสีหน้ายังไงกันนะ และจะทำตัวร้อนแรงขนาดไหน คู่นอนถึงได้ประทับรอยรักเอาไว้มากขนาดนี้
   ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน ทั้งพอมานึกว่ามีทั้งหน้าทั้งหลังแล้ว วรุตก็แทบสติแตก สุดท้ายเขาเลยย้ายตัวเองมานั่งที่พื้นด้านล่าง จะได้ไม่ต้องเหลือบไปมองต้นคอกับขาขาวๆ ของฟ่งอีก แต่ตาของเขาคงมีเวรมีกรรม นั่งไปได้สักพัก เขาก็หันไปเห็นขาอ่อนของฟ่งอีก เพราะเจ้าตัวนั่งชันเข่าเอาคางเกยอยู่นี่แหละ เขาถึงได้เห็นว่า ตรงขาอ่อนด้านหลังก็มีรอยอยู่เต็มไปหมดเหมือนกัน วรุตร่ำๆ อยากจะจับฟ่งแก้ผ้า อยากจะดูให้หมดทั้งตัวจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้มีรอยมากมายขนาดไหน
   เขาอดคิดไม่ได้ว่า ยามที่ฟ่งเปลือยกาย นอนบิดไปมาอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์วาบหวามจะเซ็กซี่ขนาดไหน
   เรียวขาและท่อนแขนบอบบางนั้นจะสั่นสะท้านขนาดไหนในตอนที่ถูกลูบไล้และสอดใส่เข้าไป
   ริมฝีปากสีชมพูที่ดูบูดบึ้งนั้น เมื่อถูกเล้าโลมจนได้ที่แล้วจะอิ่มเอิบขนาดไหนนะ
   ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องมองอย่างเอียงอายคงจะน่ารักจนอดใจไว้ไม่อยู่
   ถ้าหากว่าถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนั้น มันคงวาบหวามเสียจนไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ล่ะมั้ง ถ้าได้ทำอะไรกัน....
   ให้ตายสิ นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!!
   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเคาะกะโหลกตัวเองดับป้าบ รายการเกมโชว์ไม่มีผลอะไรกับจิตใจที่ฟุ้งซ่านของเขาเลย ไม่ว่าจะมองไปตรงไหน หัวสมองก็ยังจินตนาการถึงเรื่องบ้าๆ นั่นอยู่ดี  วรุตคิดว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ฟ่งคือฟ่ง ไมใช่อิทธิเดชสักหน่อย จึงเงยหน้าขึ้น และพบว่าฟ่งกำลังมองลงมาด้วยสายตาสงสัย
   “เป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ” หนุ่มสวมแว่นถาม  เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือแสดงปฏิกิริยาออกไปอย่างไรดี  ฟ่งมองหน้าเขาสักพัก แล้วลุกขึ้น
   “ผมมียาแก้ปวดอยู่ ถ้าปวดมากผมว่ากินยาแล้วนอนดีกว่านะ” ผู้เป็นเจ้าของห้องกล่าว ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นและหยิบยาแก้ปวดออกมาหนึ่งแผงพร้อมกับขวดน้ำ เทน้ำลงในแก้วและยื่นให้วรุต เด็กหนุ่มรับยาและแก้วน้ำมา สักพักหนึ่งจึงสั่นศีรษะ
   “ผมไม่ได้ปวดหัว” เขาว่า แต่ก็แกะยาออกมา
   “ไม่ได้ปวดก็ไม่ต้องกินสิ” ฟ่งว่า และมองวรุตอย่างไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้ปวดหัวจนเบลอหรืออะไรกันแน่ วรุตมองดูซองยาในมือที่มีรอยแกะไปแล้วเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงต่อ
   “แต่ผมแกะไปแล้วก็ต้องกินนั่นแหละ” เขาพูด แล้วทำท่าจะกินยาลงไปจริงๆ ฟ่งเลยต้องฉวยทั้งยาทั้งแก้วน้ำกลับมา จนน้ำหกเลอะพื้นพรมไปหน่อยหนึ่ง
   “เดี๋ยวผมเช็ดให้นะ” วรุตโพล่งขึ้นและทำท่าจะลุกออกไป ฟ่งเลยดึงตัวเขาเอาไว้
   “ผมว่านายไปนอนพักดีกว่า บางทีนายอาจจะเครียดเกินไป น้ำหกแค่นี้เดี๋ยวก็แห้ง ไม่เป็นไรหรอก”
   วรุตหันหน้าไปมองฟ่ง เขามองเห็นริมฝีปากตกๆ ที่พยายามจะกระตุกขึ้นมาเพื่อยิ้มปลอบใจเขา แล้วก็รู้สึกให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
   สงสัยเขาจะเก็บกดจากอิทธิเดชมานานเกินไปแน่ๆ พอเจอแบบนี้แล้วก็เลย......
--------------------------------------------
   รัสเลอร์มองตาค้าง เขาอยากจะอ้าปากบอกให้ฟ่งถอยออกมา เพราะเห็นว่าวรุตกำลังมองฟ่งด้วยสายตาแสดงความหื่นกระหายอย่างที่เขาเคยมองเป๊ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้วรุตถูกฟ่งต่อย แต่เขาไม่อยากให้ฟ่งถูกจูบหรือทำอะไรโดยผู้ชายคนอื่นต่างหาก แต่ดูว่าจะคิดช้าไปสักหน่อย
   วรุตดึงไหล่ฟ่งเข้ามา มองเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างตกใจแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่สมควรจะทำเรื่องแบบนี้ ทั้งกับคนคนนี้ และยังอยู่ต่อหน้าคนอื่น
   เขา...
   “ไม่ได้!!” วรุตโพล่งออกมา ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้น และวิ่งออกไปจากห้องโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว กว่ารัสเลอร์กับฟ่งจะได้สติ ทันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังปังแล้ว
------------------------------------
   วรุตอยู่ในลิฟท์ เขายกฝ่ามือขึ้นลูบหน้า และนึกด่าตัวเองที่เกือบจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปกับคนที่ตั้งใจว่าจะปกป้องเสียแล้ว เด็กหนุ่มแน่ใจว่าหากอยู่ใกล้ๆ ฟ่งต่อไปอีก เขาคงต้องทำอะไรไม่ดีลงไปสักอย่างแน่ๆ
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องรีบออกมาให้พ้นจากคนคนนั้น ถ้าไม่ได้เห็น ไม่ได้พูดคุยด้วย ได้ออกไปมองอะไรอย่างอื่นสักพัก อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเขาน่าจะพอสงบลงได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงวิ่งเตลิดออกมา
พอได้อยู่ในลิฟต์คนเดียว สมองก็ดูจะสงบลงได้สักหน่อย ออกไปเดินเล่นสักพัก ก็คงหายเองนั่นแหละ
-------------------------------------
   ฟ่งกับรัสเลอร์มองหน้ากันขณะยืนอยู่หน้าลิฟท์ ฟ่งเอื้อมมือไปกดลิฟท์อีกตัวหนึ่ง ทั้งคู่มองดูตัวเลขด้านบนของลิฟท์อย่างใจจดใจจ่อ
   ถ้าวรุตหนีไปได้ล่ะก็จบกันแน่ๆ
   โดยส่วนตัวฟ่งไม่เชื่อว่าวรุตตั้งใจจะหนี แต่โดยรูปการที่วิ่งออกไปแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนั้น ก็คงนึกเป็นอย่างอื่นไม่ได้
   รัสเลอร์คิดว่าตัวเองรู้ว่าการที่วรุตวิ่งออกไปเพราะเหตุผลใดกันแน่ แต่ถ้าจะปล่อยให้เด็กคนนั้นออกไปเดินเพ่นพ่านด้านล่างคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ถ้ารู้ถึงหูของราฟาแอลเขาคงถูกฆ่าจริงๆ
   กว่าลิฟท์จะมาถึง ในความรู้สึกของทั้งคู่ก็เหมือนกับว่ารอมายาวนานชั่วชีวิต พอลิฟต์เปิดออก ทั้งฟ่งและรัสเลอร์ก็พุ่งเข้าไปในลิฟท์ และกดปุ่มตัวGทันที
   ประตูลิฟท์ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
-----------------------------------------------
   ประตูลิฟท์ค่อยๆ เปิดออก
   วรุตเก้าเท้าออกมาจากลิฟท์ แสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาตรงประตูกระจกขนาดใหญ่ทำให้ตาของเขาพร่าไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มเดินออกมาจากลิฟต์ ตรงไปยังล็อบบี เพื่อที่จะนั่งพักสงบจิตสงบใจชั่วคราว
   ขณะที่กำลังมองตรงไปยังโซฟาที่ล็อบบี เสียงทักที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ
-----------------------------------------------
   ฟ่งและรัสเลอร์แทบจะพุ่งตัวออกมาจากลิฟท์ตอนที่มันเปิดออก หนุ่มสวมแว่นรู้สึกดีใจที่เห็นว่าวรุตยังคงยืนอยู่แถวๆ ทางเดินหน้าลิฟต์ เขาจึงเดินเข้าไปทัก แต่แล้วก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อไปอีกคน
------------------------------------------------
   รัสเลอร์เดินตามฟ่งออกไป และก็ต้องนึกแปลกใจ ที่เห็นทั้งคู่ยืนนิ่ง  พอมองออกไปในทิศทางเดียวกับที่ทั้งสองคนมองแล้ว เขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
---------------------------------------------
**ท้ายตอนนิดหนึ่งค่ะ... เรื่องนี้กลายเป็นรายการตลกร้ายไปแล้วสินะคะ (ฮ่าๆ เขียนไปฉันชักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ตลกเข้าไปทุกทีแล้วล่ะค่ะXD)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่48 p7 20/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 20-07-2011 21:58:44
สงสัยเจอ อิทธิเดชแน่
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่48 p7 20/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-07-2011 22:30:51
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่48 p7 20/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-07-2011 22:38:27
เวรกรรม  กรรมเวร  รูฟัสรู้เข้าต้องโกรธจนหน้าเขียวแน่
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่48 p7 20/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-07-2011 10:39:29

บทที่49 Fallen rose.

   อิทธิเดชออกจากที่พักตั้งแต่ช่วงเช้า เขารู้ว่าถ้าวรุตพักอยู่ที่นั่นจริงคงยังจะไม่น่าออกไปไหนในช่วงเวลานี้
ชายหนุ่มขับรถเข้ามาจอดข้างทางเข้าคอนโด ซึ่งเป็นที่จอดรถชั่วคราวสำหรับผู้มาติดต่อ  เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู มันบอกเวลาสิบโมงเศษๆ หนุ่มหน้าสวยเดินไปที่เคาน์เตอร์ และสอบถามพนักงานต้อนรับสาวที่นั่งอยู่ถึงชายหนุ่มที่มีชื่อวรุต วินทร์วีรยะ
พนักงานต้อนรับปฏิเสธว่าไม่มีคนชื่อนี้พักอยู่ อิทธิเดชพยักหน้ายอมรับ และคิดว่าถ้าวรุตคิดจะบิดบังเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ใช้ชื่อจริงในการเข้าพักหรอก เขาจึงอธิบายรูปร่างหน้าตาของเด็กคนนั้นให้ฟัง เจ้าหล่อนฟังแล้วก็สั่นศีรษะอีกครั้ง
   อิทธิเดชยืนรีรออยู่พักหนึ่ง ถูกปฏิเสธขนาดนี้ วรุตอาจจะอยู่ที่นี่ หรือไม่อยู่ก็ได้ ครั้นจะไปตามหารถก็ป่วยการ เพราะทวีศักดิ์ยึดรถคืนไปแล้ว วรุตคงจะนั่งแท็กซี่
   อิทธิเดชรู้สึกว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากขึ้นมาจริงๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับวรุตล่ะก็ คงไม่พ้นเขาที่ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ บ้าเอ๊ย ทำไมเจ้าเด็กร้ายกาจนั่นถึงได้มาแสดงพฤติกรรมแบบนี้เอาเวลานี้ด้วยนะ ก่อนหน้านี้เขาไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป คราวนี้กลับหายหน้าไปเสียเฉยๆ
   หนุ่มหน้าสวยถึงกับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างที่ไม่ค่อยจะรู้สึกบ่อยนัก เขาเดินไปที่ล็อบบี เพื่อใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพัก ก่อนจะตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
   ขณะที่กำลังประเมินว่าวรุตจะไปไหนได้อีก หูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูจะคุ้นเคยเสียเหลือเกิน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงเขาจะเกลียดชังวรุตขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเคยชินกับเด็กคนนั้นไปเสียแล้ว แม้กระทั่งเสียงฝีเท้า
   “วรุต!?” อิทธิเดชโพล่งชื่อนั้นออกมา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกดีใจหรืออะไรกันแน่ ก่อนจะผุดลุกขึ้น และก้าวเท้าปราดๆ เข้าไปหาเด็กหนุ่มรูปร่างคุ้นตาที่ยืนอยู่ตรงทางเดินใกล้ๆ ล็อบบี ดูเหมือนวรุตจะมีสีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้พบเขาที่นี่
   อิทธิเดชคิดว่า คราวนี้แหละ ปัญหาของเขาจะได้จบลงเสียที แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงตัวของวรุต ใครอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
   อิทธิเดชชะงักตัวทันที ถึงจะเคยเห็นเพียงครั้งสองครั้ง แต่เขาจำผู้ชายคนนี้ได้ ผู้ชายสวมแว่นที่อาละวาดจนทวีศักดิ์ต้องลงมาเจรจาเอง
   อภิวัฒน์!?
   ผู้ชายที่สมควรจะต้องถูกลบชื่อทิ้งออกไปจากสาระบบเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว ผู้ชายที่หายตัวไปอย่างลึบลับ ผู้ชายที่ทำให้เขาถูกลดตำแหน่ง ผู้ชายที่สมควรตายคนนี้ ทำไมถึงยังมาอยู่ที่นี่ได้?
   ดูเหมือนว่าทางนั้นก็คงจะจำเขาได้เช่นกัน พอเห็นแล้วก็ยืนอึ้งเป็นรูปปั้นไปอีกคน อิทธิเดชมองหน้าวรุต และฟ่งสลับกันไปมา หัวสมองของเขาทำงานอย่างหนัก เหมือนจะเห็นสองคนนี่วิ่งตามกันมา วรุตรู้จักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าออกมาตามหาผู้ชายคนนี้จริงๆ งั้น... เพื่ออะไรกันล่ะ?
   เขานึกหาเหตุผลในช่วงเวลาสั้นๆ  ไม่ออก เพื่อตามหาผู้ชายคนหนึ่งถึงกับต้องย้ายที่อยู่ หลบหน้าหลบตา แถมยังเป็นคนที่พ่อของเขาอยากกำจัด วรุตคิดอะไรอยู่กันแน่!?
   “กลับกันเถอะ” อิทธิเดชพูดออกไป พยายามจะทำน้ำเสียงให้ละมุนละม่อมมากที่สุด ถึงเขาจะสงสัยหลายๆ อย่าง แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือพาวรุตกลับไปกับเขาให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยถามทีหลังก็ยังไม่สาย
   วรุตยืนตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามใบหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอิทธิเดชจะมาตามหาเขา ไม่สิ เขานี่แหละที่พลาด ทำอะไรไม่ยั้งคิดจนเกิดเรื่องเข้าจนได้ การที่อิทธิเดชมาตามหาเขาคงไม่ผิดปกตินักหรอก เพราะยังไงคนคนนี้ก็มุ่งมั่นจะทำตามคำสั่งเพื่อเอาใจพ่อของเขาจนสุดความสามารถอยู่แล้ว
   ในที่สุด วรุตก็สั่นศีรษะ พร้อมกับแค่นยิ้มออกมา
   “ไม่นึกว่าคุณจะคิดถึงผมจนต้องตะเกียกตะกายออกมาหาขนาดนี้เลยนะเนี่ย ติดใจลีลาผมมากหรือไง?”
   อิทธิเดชถลึงตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า พยายามใช้น้ำอดน้ำทนมากที่สุด เขาเกลียดจริงๆ เวลาที่ถูกทักทายด้วยคำหยาบโลนแบบนี้ และวรุตก็มักจะทำกับเขาแบบนี้เป็นประจำ หนุ่มหน้าสวยข่มจิตข่มใจพูดตอบออกไป
   “กลับกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงอยู่นะ” เขาพูด และเดินเข้าไปหา แต่กลับถูกวรุตหัวเราะใส่
   “คนอื่น? อืม ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้างหรอก ผมรู้ว่าด้านหลังคุณขาดผมไม่ได้อีกแล้ว แต่เสียใจด้วยนะ ผมคงยังกลับไปสนองความต้องการของคุณไม่ได้”
   “วรุต!” อิทธิเดชกระชากเสียง ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองต้องมาทนฟังคำพูดหยาบคายพวกนี่อีก วรุตยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “ว่าไงล่ะ กลัวจะถูกพ่อผมดุเรื่องดูแลผมไม่ดีหรือไง คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมบอกแล้วไง ไว้ผมอยากเมื่อไหร่ ผมจะกลับไปหาคุณเอง ตอนนี้ผมยังไม่อยากหรอก คุณก็อย่ามาบังคับฝืนใจผมเลยดีกว่า”
   อิทธิเดชกัดฟันกรอดๆ พยายามใช้ความอดทนอย่างที่สุดพูดออกไป “วรุต กลับไปกับฉันซะ แล้วฉันจะไม่บอกคนอื่นเรื่องที่เธอมาหาสถาปนิกที่ควรจะถูกเก็บไปได้ตั้งนานแล้ว”
   วรุตเบิ่งตากว้าง สันหลังสะท้านวาบ เขาหันหน้ากลับไปทันที และเห็นฟ่งยืนนิ่งอยู่ หนุ่มสวมหันมองเขาอึ้งๆ เช่นกัน
   แย่ล่ะสิ....
   ฟ่งคงวิ่งตามเขาลงมา วรุตสาปแช่งความไร้สติของตัวเอง แต่โวยวายอะไรไปตอนนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาควรต้องหันมาเผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังเกิดอยู่
   “ทำไม? คุณคิดจะให้พ่อยกพวกมาฆ่าเขาถึงที่นี่หรือไง บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่กลับไปกับคุณหรอก อยากจะบอกก็บอกไปสิ แต่ให้คุณรู้ไว้ก่อนเลยนะว่าผมอยู่กับเขาตลอดเวลา ถ้าจะฆ่าเขาล่ะก็ พวกคุณคงต้องผ่านผมไปก่อน”
   อิทธิเดชเบิ่งตามองวรุตอย่างไม่อยากเชื่อ ทั้งคู่ยืนจ้องกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ แล้ววรุตก็พูดขึ้นมาอีก
   “อย่าพยายามเอาใจพ่อผมให้มากนักเลยน่า คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สนใจคุณอีกแล้ว คุณจะเป็นจะตายยังไงเขาก็ไม่ห่วงคุณหรอก คุณมันก็แค่ของเล่นแบบใช้แล้วทิ้งแค่นั้นแหละ”
   !!!!!
   เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังพอที่จะทำให้คนในล็อบบีได้ยินทั้งหมด โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นเดินผ่านไปมา ไม่งั้นคงจะมีไทยมุงเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นขโยง
อิทธิเดชหอบหายใจ เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลไปทั่วปลายนิ้ว ที่เพิ่งสะบัดฟาดลงไปบนใบหน้าของคนที่เป็นลูกของผู้ชายที่เขาให้ความรักมากที่สุด
วรุตเบิ่งตาค้าง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งเคยถูกตบเป็นครั้งแรก ความเจ็บปวดเริ่มแล่นจากแก้มที่ถูกฝ่ามือ ลามไปเรื่อยๆ พร้อมกับรสฝาดเฝื่อนของเลือดที่ฟุ้งอยู่ในปาก เขาหันหน้ากลับมามองคนตรงหน้า พยายามจะสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านออกมาจนยากจะระงับ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ดี
   “วรุต..” อิทธิเดชพูดเสียงอ่อนลง เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรจะลงไม้ลงมือขนาดนี้ วรุตเป็นลูกของทวีศักดิ์ ด้วยฐานะแค่นี้เขาก็ไม่สมควรจะทำแล้ว แต่ทำพูดที่เด็กคนนั้นพูดออกมาทำให้เขาโกรธจนลืมตัวจริงๆ ทำไมถึงต้องตอกย้ำเขาเรื่องนั้น ทำไมถึงต้องทำร้ายจิตใจของเขาขนาดนี้ด้วย ทำไมถึงได้ย้ำเรื่องของเขากับทวีศักดิ์นัก
   เรื่องที่เขาปฏิเสธไม่อยากจะรับรู้ เด็กคนนี้ก็พยายามจะยัดเยียดให้เขารับรู้ไปเสียทุกครั้ง
   เขาเกินจะทนรับพฤติกรรมแบบนี้ได้จริงๆ

   วรุตแค่นยิ้ม เขามองผู้ชายหน้าสวยตรงหน้า ซึ่งดูจะมีท่าทีสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ ก่อนจะแค่นหัวเราะตามมา
   ที่ผู้ชายคนนี้สำนึกผิดก็เพราะเขาเป็นลูกของคนที่ชื่อทวีศักดิ์ต่างหาก ถ้าจะมาทำท่าแบบนี้หลังจากตบเขาไปแล้วล่ะก็ ควรจะตบเขาให้ฟันร่วงเลยยังจะคุ้มค่ากว่า อย่างน้อยเขาจะได้เจ็บจนไม่มีเวลามาคิดอะไรที่น่าเจ็บใจแบบนี้
   “กลับไปซะ ถ้าคุณไม่อยากให้พ่อผมผิดหวังในตัวคุณไปมากกว่านี้ล่ะก็ ไสหัวกลับไป แล้วไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องผมอีก แต่ถ้าคุณยังดื้อด้านมายุ่งกับผมหรือไปรายงานพ่อเรื่องที่ได้เจอผมที่นี่ล่ะก็... อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน ระหว่างลูกในไส้กับของข้างทางแบบคุณ คุณคงรู้นะว่าเขาจะเลือกใคร”
   อิทธิเดชขบฟันด้วยความอดกลั้น จนเห็นสันกรามนูนออกมา เขาโกรธจนตัวสั่น วรุตมองใบหน้าสะสวยนั้น อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาฟ่ง
   “กลับกันเถอะ” เขาพูด และยกมือขึ้นโอบไหล่หนุ่มสวมแว่น ฟ่งขยับหนีทันที แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ดวงตาของวรุตมีหยาดน้ำตาคล่อเอ่อ
   “นาย....” ฟ่งพูดค้าง เพราะเห็นว่าวรุตหันมายิ้มให้เขา “กลับห้องกันเถอะ นะ..”
   
   อิทธิเดชยืนตัวแข็งทื่อ เขาเห็นวรุตโอบไหล่สถาปนิกคนนั้น กระซิบกระซาบอะไรกันเหมือนคนรัก ชายหนุ่มก้าวเท้าตามไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วเอื้อมมือไปจับบ่ากว้างนั้นเอาไว้
   “วรุต?!”
   คนถูกเรียกเบือนหน้ากลับมาครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแกะมือของเขาออก “ไปซะ ผมไม่ต้องการคุณอีกแล้ว”
   พูดจนก็เดินกลับขึ้นลิฟต์ไป ทิ้งให้อิทธิเดชยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
   ชายหนุ่มหน้าสวยกะพริบตาหวานเยิ้มของตนหลายต่อหลายครั้ง เขานึกอะไรไม่ออก กระทั่งไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
   ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้เห็นน้ำตาบนใบหน้าของเด็กร้ายกาจคนนั้น
   น้ำตานั่น..............
--------------------------------
   ฟ่งต้องให้วรุตเกาะไหล่เอาไว้ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในลิฟต์ เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น น้ำตาไหลทะลักออกมาจบอาบใบหน้า สะอื้นจนตัวโยนเหมือนเด็กๆ ฟ่งยื่นมือไปลูบหลังโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบดี
   เขาเพิ่งเคยได้ยินวรุตพูดอะไรหยาบคายขนาดนั้นออกมตอนที่ยืนคุยกับอิทธิเดชนี่แหละ ขนาดเขาเองที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเลยว่ามันฟังดูหยาบคายสิ้นดี ไม่ควรจะเป็นคำพูดที่พูดกับคนที่รักด้วยซ้ำ แต่วรุตกลับพูดมันออกมาราวกับตั้งใจเสียดแทงจิตใจของอีกฝ่ายให้ได้เจ็บ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มายืนร้องไห้อยู่แบบนี้หรอก
   ฟ่งบอกไม่ถูกเลยว่าเขาควรจะสงสารเด็กคนนี้ดีหรือเปล่า
   
   วรุตทิ้งตัวลงบนโซฟาทันทีที่เดินเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เขายกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะสะอื้นออกมาอีก ขณะที่ฟ่งปิดประตูลง หนุ่มสวมแว่นหันมามองคนที่นอนร้องไห้อยู่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
   ผู้ชายเวลาร้องไห้ คงไม่อยากให้ใครปลอบหรอก
-----------------------------------------------------
   วรุตรู้สึกเฝื่อนไปทั้งปาก รสชาติของเลือดและน้ำตาดูปะปนกันไปหมด ทำไมอิทธิเดชถึงไม่ตบเขาให้แรงกว่านี้ ตบให้เขารู้สึกเจ็บมากกว่าหัวใจที่กำลังปวดแปลบอยู่   
   หัวใจของเขาปวดแปลบจนแทบจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ เพราะผู้ชายคนนั้น
   วรุตรู้ว่าการที่อิทธิเดชออกตามหาเขา เพราะรับหน้าที่ดูแลเขามาแล้ว เพราะหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่ผู้ชายซึ่งเจ้าตัวรักมากที่สุดมอบหมายให้มา ไม่ได้มาเพราะตัวเขาเลยสักนิด
   ในสายตาของผู้ชายคนนั้นแล้ว หากเขาไม่ใช่ลูกชาย ไม่ใช่คนที่มีสายเลือดร่วมกับผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ ก็คงไม่มีค่าอะไรพอจะให้นึกถึงด้วยซ้ำ คุณค่าของเขามีแค่นั้นเองในสายตาของอิทธิเดช
แต่ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าคนคนนั้นมาเพราะเหตุผลอะไร ส่วนลึกในจิตใจของเขาก็ร่ำร้องออกมาอย่างดีใจไม่ได้ อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็มาหาเขาด้วยตัวเอง หลังจากที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามมาโดยตลอด เขาอยากจะกอด อยากจะกลืนผู้ชายคนนั้นเข้าไปทั้งตัว อยากจะเก็บให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว มันก็แค่ความดีใจแบบโง่ๆ เท่านั้นเอง
   เขาเป็นแค่ลูกของทวีศักดิ์ และไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่านี้ ช่างห่างเหิน คำพูดที่เขาจงใจตอกย้ำยิ่งทำให้รู้ว่าอิทธิเดชไม่เคยตัดใจจากพ่อของเขาได้ ไม่ว่าจะใช้เวลาสักเท่าไหร่ ใช้วิธีอะไร ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ ที่ยกมือขึ้นตบหน้าเขาไม่ใช่เพราะโกรธเรื่องของตัวเอง แต่โกรธเรื่องที่เขาดูถูกพ่อตัวเองต่างหากล่ะ อิทธิเดชไม่เคยโกรธเรื่องอะไรเลยนอกจากเรื่องของทวีศักดิ์ เรื่องของพ่อของเขา
   และที่ตกใจหลังจากทำลงไปก็เพียงเพราะเขามีสายเลือดเดียวกับทวีศักดิ์  ทั้งหมดก็แค่นั้นเอง
   แค่นั้นเอง.......
--------------------------------------------------------   
   ฟ่งมองดูเด็กหนุ่มที่นอนร้องไห้อยู่บนเตียงแล้วรู้สึกสะท้อนใจ  เขารู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในตอนก่อนหน้านี้  ฟ่งเคยร้องไห้ ร้องไห้ทั้งกับความรักที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งไปเอง และความรักที่ถูกหักหลัง
แต่เขาไม่แน่ใจว่าเข้าใจอารมณ์ของวรุตในตอนนี้หรือเปล่า ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคงเจ็บปวดไม่ต่างกัน ที่ไม่เข้าใจคือทำไมวรุตต้องใช้คำพูดรุนแรงขนาดนั้นกับคนที่เขารักด้วย
ขณะที่กำลังคิดว่าจะเข้าไปนั่งในห้องนอนดีไหม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“แย่แน่ๆ ” รัสเลอร์พูดขึ้น หลังจากที่เข้ามาในห้องแล้ว เขาเห็นว่ามีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่น จึงรีบหลบเข้าไปในมุมอับสายตา แต่ก็ยังใกล้พอจะได้ยินและได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ฟ่งมองหน้ารัสเลอร์ แล้วพยักหน้า “เราเข้าไปคุยกันในห้องนอนไหม?”
ถ้าเป็นเวลาอื่นรัสเลอร์คงรีบตกปากรับคำทันที ได้คุยกับฟ่งสองต่อสองในห้องนอน โอกาสแบบนี้หายง่ายๆ เสียที่ไหน ปัญหาคือเขาไม่ไว้ใจว่าหากคลาดสายตาไปแล้ว เจ้าเด็กที่นอนสะอื้นอยู่บนเตียงจะหนีออกไปอีกรึเปล่า
“ผู้ชายหน้าสวยคนนั้นกลับไปแล้วล่ะ ผมคิดว่าควรจะโทรบอกพวกราฟี่ให้จัดการเก็บเขาเสียเลย คุณเห็นว่าไง?”
ฟ่งอ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงแหบพร่าของวรุตก็ดังขึ้นมา “อย่าทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะ!”
รัสเลอร์หันไปมองเด็กหนุ่ม ที่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่น้ำตายังคงเปียกใบหน้า แล้วก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส
“ฉันไม่บอกให้เขาฆ่าเธอด้วยก็บุญแล้ว”
วรุตขมวดคิ้ว ทำท่าจะอ้าปาก ฟ่งเลยพูดแทรกขึ้น “ผมว่าใจเย็นๆ กันก่อนดีกว่านะ คุณคนนั้นคงเห็นแค่ผมกับวินเท่านั้นแหละ ไม่น่าจะรู้ว่ามีพวกคุณอยู่ด้วยหรอก อย่างมากเขาก็แค่บอกเรื่องผม”
“เขาไม่บอกหรอก” วรุตพูดสวน “เขาไม่ไปรายงานเรื่องแบบนั้นให้พ่อผมรู้หรอก เขารู้ว่าผมเอาจริง ถ้าเขากล้าพูดเรื่องนี้กับพ่อผมล่ะก็.. เขาคงรู้เหมือนกันล่ะว่าผมจะทำอะไรต่อไป ระหว่างเขากับผม พ่อไม่ต้องเสียเวลาเลือกหรอก เพราะงั้น... เขาไม่มีทางพูดออกไปเด็ดขาด”
“เธอมั่นใจของเธอไปคนเดียวน่ะสิ” รัสเลอร์ย้อน วรุตขมวดคิ้วอีก ฟ่งจึงรีบพูดขัด “เอาเถอะๆ ใจเย็นๆ กันก่อนนะ ถึงเขาจะไปบอก ถ้าผมจับวินเป็นตัวประกัน คนพวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรผมหรอก”
   รัสเลอร์อ้าปากค้าง ขณะที่วรุตเลิกคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อ สักพักเด็กหนุ่มก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “ฟ่ง นี่คุณติดนิสัยโจรมาจากคนพวกนี้แล้วเหรอ? เดี๋ยวก็ถูกตำรวจจับหรอก”
   “แล้วจะให้ผมทำยังไงกันล่ะ” ฟ่งเถียง และทำหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ผมก็ต้องเอาตัวรอดของผมบ้างสิ”
   รัสเลอร์แค่นยิ้มออกมา “ฟ่ง.. ผมมองไม่ออกเลยว่าคุณจะจับตัวประกันแบบไหน?”
   ฟ่งทำหน้ายู่ “อยากให้ผมสาทิตไหมล่ะ” พูดจบก็ทำท่าจะเดินไปหยิบมีดที่เสียบอยู่ออกมา ทั้งรัสเลอร์และวรุตรีบร้องห้ามเป็นพัลวัน
   “ไม่ต้องล่ะ กลับมานั่งเถอะ เอาว่าผมเชื่อก็แล้วกัน” สองคนพูดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ฟ่งมองหน้าทั้งสองคนอย่างเคืองนิดๆ แต่ก็ยอมเดินกลับมามือเปล่า
   “แล้วจะเอาไง” ฟ่งถามขึ้นมาอีก หลังจากเขากับรัสเลอร์นั่งลงบนโซฟาใกล้กับตัวที่วรุตนั่งอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้าที่ฟ่งยื่นให้ไปเช็ดหน้าเช็ดตา รัสเลอร์พูดขึ้นมา
   “ยังไงก็เถอะครับ ผมว่าคุณเก็บวิธีจี้ตัวประกันเอาไว้ก่อนดีกว่า ผมว่าคุณทำคงดูไม่จืดแน่ๆ ”
   “นั่นสิ ผมว่าไม่เหมาะกับคุณหรอก” วรุตรีบสนับสนุน ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนทั้งคู่ แล้วนึกสงสัยว่าคนพวกนี้เกิดเป็นพวกรักความถูกต้องขึ้นมา หรือเห็นว่าเขาดูป้อแป้จนไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้กันแน่นะ
   “งั้น... จะให้ผมทำไงล่ะ นั่งรอความตายหรือไง?” ฟ่งพูดต่อ และหันไปมองวรุตอย่างจริงๆ จังๆ เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปพักหนึ่ง
   “เอางี้แล้วกันนะ ในเมื่อเขายังไม่รู้เรื่องของพวกคุณราฟาแอล งั้นถ้าเขาพาใครมา ผมจะลงไปรับหน้าแทนแล้วกัน บอกว่าผมกับฟ่งคบกันอยู่ คงไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก”
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่48 p7 20/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-07-2011 10:39:45
   ทั้งฟ่งและรัสเลอร์อ้าปากค้าง แล้วรัสเลอร์ก็ชิงพูดออกมาก่อน
   “พูดอะไรของเธอ เรื่องแบบนี้ใครจะไปยอม”
   วรุตรีบยกมือบอกให้ทางนั้นใจเย็นๆ “เดี๋ยวนะครับ อย่าเพิ่งรีบหึง คือ... เขาอาจจะเข้าใจว่าผมมาติดพันฟ่ง อีกอย่าง ถ้าอธิบายเรื่องแบบนี้ คงไม่มีใครสงสัยอะไรอีก แล้วก็คงไม่อยากจะยุ่งด้วย เชื่อผมเถอะนะ ถึงพ่อเขาจะไม่ค่อยสนใจใยดีผม แต่คงไม่เสี่ยงให้ลูกตัวเองโดนลูกหลงเพราะจะเก็บคนอื่นหรอก”
   “อืม....” รัสเลอร์วครางในลำคออย่างครุ่นคิด “เรื่องนี้คงต้องรอราฟี่กลับมาแล้วคุยกันอีกที”
   ฟ่งหัวเราะออกมา “แบบนั้นก็ดีนะ ให้คุณราฟาแอลตัดสินก็ได้” เขาพูด และหันไปมองวรุต ก่อนจะยิ้ม
   “โล่งอกไปที ตอนแรกผมคิดว่านายจะหนีแล้วนัดเขาให้มารับเสียอีก ถ้าเกิดเป็นงั้นจริงๆ นะ พวกผมแย่แน่ๆ ”
   วรุตมองหน้าฟ่งอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาบ้าง "เขาไม่มาพาผมหนีหรอก เขาเกลียดผมจะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อสั่ง เขาไม่มาหรอก”
   “แต่ว่านายก็พูดจาร้ายกาจกับเขามากเลยนี่ เป็นผมก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันแหละ”
   ได้ยินเสียงวรุตหัวเราะอีก
   “ผมน่ะ เกลียดเขามากพอๆ กับที่รักเขาเลยล่ะ”
----------------------------------
   อิทธิเดชขับรถกลับมายังที่พักของตัวโดยที่มีเรื่องของวรุตเต็มหัวไปหมด เขาเกือบจะเข้าห้องผิด ตอนที่เดินกลับขึ้นมาด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงนอน เหม่อมองเพดานบุฝ้ากรุลายนูนด้านบน มือของเขายังคงรู้สึกเจ็บแปลบๆ
ทำไมเขาถึงตบหน้าเด็กคนนั้นนะ?
ความจริงแล้วเขาสมควรจะตบหน้าวรุตหลายต่อหลายครั้ง พฤติกรรมที่เด็กคนนั้นแสดงออกกับเขาเลวร้ายจนแค่ตบก็คงยังไม่สาสม แต่เขาไม่เคยทำลงไปจริงๆ เลย
ถึงอย่างนั้น ทำไมวันนี้ถึงได้.....
อิทธิเดชไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เขาเคยอดทนกับวรุตได้นับต่อนับ ทำไมครั้งนี้ถึงได้ลงมือไปแบบนั้น
เพราะเด็กคนนั้นพูดจาดูถูกเขา? หรือเพราะว่าพูดเรื่องเขากับทวีศักดิ์? หรือเพราะว่าเด็กคนนั้นกำลังจะทิ้งเขาไปกันแน่?
อิทธิเดชนึกถึงภาพใบหน้าครึ่งหนึ่งของวรุตในตอนที่หันมาซึ่งมีน้ำตาไหลอาบ เขาไม่เคยเห็นน้ำตาของเด็กคนนั้นมาก่อน คนอย่างนั้น คนอย่างนั้นจะร้องไห้ไปเพื่ออะไรกัน
   ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษผู้มีใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงยกมือขึ้นแตะใบหน้าอย่างลืมตัว หยดน้ำอุ่นๆ ไหลร่วงลงมาจากดวงตา นี่เขาเองกำลังร้องไห้อยู่หรือ? นัยน์ตาหวานฉ่ำกะพริบอยู่หนสองหน จนหยดน้ำตาเปรอะเปื้อนขนตางอนยาว
   น้ำตา....... นี่เขาร้องไห้ออกมาทำไมกันนะ?
   อิทธิเดชปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ครั้งสุดท้ายที่น้ำตาเขาไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุแบบนี้คือวันที่แม่ยิงตัวตาย หลังจากเสียงปืนดังขึ้นสักพัก เขาก็เดินอย่างช้าๆ ไปที่ห้องนอนของแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ แม่อยู่ที่นั่น อยู่บนเตียงนอนที่ครั้งหนึ่งคงเคยมีพ่อของเขาร่วมอยู่ เตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูไหมสีกุหลาบ มีเศษมันสมองและคราบเลือดกระจายเปรอะกลีบกุหลาบที่ร่วงกระจายอยู่ทั่วไปหมด 
อิทธิเดชทราบดีกว่าใครๆ ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในสักวันหนึ่ง  เขาเดินเข้าไป ยกมือปิดดวงตาเบิกโพลงของแม่ และเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อแจ้งตำรวจ ตอนนั้นเองที่น้ำตาของเขาไหลออกมา
   ถึงแม้ว่าแม่จะไม่เคยแสดงความรักกับเขา ไม่เคยพูดถึงตัวเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แม่เพียงแค่เห็นเงาของพ่อในตัวเขาเท่านั้น แต่ว่านี่คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเขา คนที่เห็นหน้าทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา คนที่เห็นหน้าทุกครั้งเมื่อกลับเข้าบ้าน ความผูกพันที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพราะเรื่องดีๆ มันก็แค่การได้เจอกันทุกวัน แม้จะไม่เคยพูดหรือสัมผัสกันเลยก็ตาม
   อิทธิเดชเพิ่งมาเข้าใจในตอนนี้เอง ว่านั่นคือความสูญเสียที่เขารู้สึกเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสูญเสีย แต่อิทธิเดชไม่เคยคิดว่าตนเองมีอะไรให้สูญเสีย เขาไม่เคยเห็นพ่อ เขาไม่เคยได้ความรักจากแม่ ไม่เคยในสิ่งที่ต้องการ เพราะเขาลืมว่าตัวเองควรจะมีความต้องการอย่างไรมานานแล้ว
แม่เลี้ยงเขาแค่ให้มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นตัวแทนของพ่อเท่านั้น แต่เขาก็มีชีวิตอยู่รอดมาได้เพราะแม่ด้วยเช่นกัน
อิทธิเดชไม่เคยเอ่ยปากขอ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะขอมาเพื่ออะไร ชีวิตที่อยู่โดยไร้ความต้องการ การลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นและดอกกุหลาบสีแดงในบ้านหลังใหญ่ นั่นคือคือชีวิตทั้งหมดของเขา จนกระทั่งถึงวันนั้น แม่ก็จากเขาไป
   มันเหมือนการพังทลายของชีวิตอย่างเงียบๆ หลังงานศพ เขากลับมาที่บ้าน ทานข้าวบนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ที่ว่างเปล่า ทานมันลงไปเพียงเพราะสัญชาติญาณ ทานลงไปเพราะร่างกายต้องการเท่านั้น อิทธิเดชไม่มีเพื่อนสนิทที่โรงเรียน เพราะเขาไม่เข้าใจเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายพวกนั้น  เขาไม่ชอบลักษณะการกระทำของเด็กผู้หญิง และเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองเหมือนเด็กผู้ชาย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน และไม่เคยไม่ใส่ใจจะมี
   หลังแม่จากไป ทุกวันที่อิทธิเดชกลับมาที่บ้าน เขาจะได้เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาเคลื่อนย้ายของใช้ภายในบ้านออกไปทีละชิ้นสองชิ้น
แม่ของเขาเป็นหนี้มหาศาล ดังนั้นการนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดภายหลังการตายจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่มีปัญญาพอที่จะใช้หนี้สินทั้งหมดนี้
   ข้าวของทุกอย่างถูกขนออกไปวันแล้ววันเล่า แม้แต่เตียงนอนที่แม่ยิงตัวตายบนนั้นก็ถูกขนออกไปด้วย ในที่สุดวันหนึ่งเขาก็กลับมาและพบว่าบ้านว่างเปล่า เหลือเพียงแค่โต๊ะอาหาร และตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับทวีศักดิ์
   ชายวัยกลางคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของแม่ ยื่นมือเข้ามาอุปถัมภ์เขา ให้ที่อยู่ และทำให้เขาได้เรียนต่อ  อิทธิเดชไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธข้อเสนอนี้ เขาไม่มีแม้แต่ข้อสงสัย เพราะเด็กหนุ่มไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ทั้งแต่เมื่อก่อน หรือจนกระทั่งตอนนั้น
   และแล้วในวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปี ทวีศักดิ์ก็ขอมีอะไรกับเขา มันเป็นครั้งแรกของเขา  อิทธิเดชไม่ได้รู้สึกรังเกียจชายกลางคนคนนี้ ทวีศักดิ์ใจดีกับเขา ให้ความรักกับเขา ให้ความสุขและสัมผัสอันอบอุ่นกับเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต อิทธิเดชไม่มีวันลืมความทรงจำกับการร่วมรักในคืนนั้น มันหอมหวานและอ่อนโยนจนเขาไม่คิดว่าชีวิตจะมีสิ่งดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก มันทำให้เด็กหนุ่มเกิดสิ่งที่เรียกว่าความหวังขึ้นเป็นครั้งแรก
เขาประทับใจในเหตุการณ์นั้นจนถึงกับมีความหวังขึ้นมาว่าทวีศักดิ์จะอยู่ใกล้กับเขา มอบความอุบอุ่นให้เขาแบบนี้ตลอดไป
แต่พอโตขึ้น อิทธิเดชก็รับรู้ว่า สิ่งที่เขาเคยคิดฝันนั้นเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ทวีศักดิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาไปมากกว่าเด็กผู้ชายคนอื่นๆ ที่นอนด้วย ชายหนุ่มได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรียกความหวังไม่มีจำเป็นในชีวิตของเขาแต่อย่างใด
ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะตอบแทนบุญคุณของชายคนนี้ อยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อตอบแทนความอบอุ่นและความช่วยเหลือที่มอบให้ อยากจะทำให้ตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาบ้างในสายตาของทวีศักดิ์ ไม่ใช่คุณค่าในแง่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศ แต่เป็นคุณค่าที่มีประโยชน์กว่านั้น
ดังนั้นอิทธิเดชจึงเอ่ยปากขอเข้าทำงานกับทวีศักดิ์ และได้รับคำตอบรับที่ดี  หลังจากนั้น ทวีศักดิ์ไม่ได้มายุ่งกับร่างกายของเขาอีก แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ในระดับดี แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของเขา ถ้าไม่มีวรุตเข้ามา.....
   อิทธิเดชพบวรุตครั้งแรกอย่างบังเอิญตอนที่เขาเข้าไปพบรัตน์เพื่อรายงานเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ ระหว่างเดินออกมาเขาพบทวีศักดิ์เดินคุยอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นเด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่ใช่เด็กหนุ่มในแบบที่ทวีศักดิ์นิยม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่อิทธิเดชจะต้องให้ความใส่ใจ เขายกมือไหว้ทวีศักดิ์ และเอ่ยทักทายกันนิดหน่อย ก่อนจะกลับออกไป เพิ่งมารู้หลังจากนั้นอีกสามวันว่า เด็กหนุ่มที่เขาเห็นคือลูกชายคนเดียวของทวีศักดิ์ที่เพิ่งกลับมาจากเยอรมัน  ผู้มีชื่อจริงๆ ว่า วรุต และชื่อเรียกเล่นๆ ว่า วิน
   วันนั้นทวีศักดิ์เรียกทุกคนเข้าประชุมย่อยๆ และแนะนำตัวลูกชายของเขา ความทรงจำที่มีต่อวรุตในห้องประชุมนั้นแทบไม่มีอะไรให้จดจำ เด็กผู้ชายแต่งตัวทันสมัย ที่ยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา ดูไปก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง นอกเสียแต่ว่า คืนนั้นวรุตตามเขามาถึงห้อง และลงมือขืนใจอย่างไร้เหตุผล
   อิทธิเดชไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรให้เด็กคนนี้เกลียดนักหนา ดวงตาที่วรุตจ้องมองเขาในตอนนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มันเป็นค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับค่ำคืนอันอบอุ่นที่ทวีศักดิ์มีให้
   วันรุ่งขึ้น วรุตมาหาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับรูปถ่ายที่ทำให้อิทธิเดชรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เกลียดเขาอย่างเดียว แค่คงเคียดแค้นเขาด้วย อิทธิเดชไม่ได้สนใจว่าวรุตอยากจะทำลายชื่อเสียงเขาในรูปแบบไหน ที่เขารู้สึกเจ็บปวดคือทำไมลูกชายของคนที่เขารักถึงได้จงเกลียดจงชังเขาอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ วรุตไม่เคยบอกเหตุผล เขาใช้คำพูดและการกระทำต่างมีด ทิ่มแทงเข้ามาราวกับตั้งใจจะฆ่าให้ตายอย่างช้าๆ และทรมาน
   ดวงตาที่จ้องมองมาอย่างคั่งแค้นและคำพูดเย็นเยียบที่บอกว่าจะทำให้เกลียดจนขาดไม่ได้ยังคงติดค้างอยู่ในสมอง สัมผัสที่รุนแรง คำพูดทิ่มแทง นี่คือสิ่งที่เขาได้รับจากวรุตในตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา  สิ่งที่ค่อยๆ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เหมือนในตอนที่แม่ยังอยู่  เป็นแค่อะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเคยชิน มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่
   และเขาเพิ่งสูญเสียสิ่งที่มีอยู่นั้นไปเมื่อครู่นี้เอง
   น้ำตาไหลร่วงลงจนเปียกคอเสื้อ อิทธิเดชยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จ้องมองฝาผนังสีขาวโพลน  เขากำลังเสียใจ ไม่ว่าสิ่งที่สูญเสียไปจะเป็นโซ่ตรวจเหล็กแหลมที่ล่ามเขาเอาไว้อย่างเจ็บปวด หรือจะเป็นปลอกคอหนามที่ใส่เอาไว้เพื่อทรมาน  ถึงอย่างไรมันก็คือสิ่งที่เขามี 
   สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ายังมีคนอื่นนอกจากตัวเอง....
----------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับรูฟัส หลังจากที่รัสเลอร์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ราฟาแอลฟัง ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นมองมาราวกับจะถามว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี  รูฟัสเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกับราฟาแอล
   “..........................” สองหนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากการทำธุระหันหน้าเข้าหากัน หลังจากเงียบไปอีกพักหนึ่ง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
   “พวกนายควรจะพูดอะไรมากกว่าที่จะมาถอนหายใจใส่กันแบบนี้” รัสเลอร์พูดแทรกขึ้น และได้รับคำตอบเป็นเสียงถอนหายใจ
   “นายคิดว่าพวกฉันควรจะทำอะไรล่ะ?” หนุ่มผมบลอนด์เอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบ เขาตั้งคำถามใส่รัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยักไหล่
   “ถ้าฉันคิดเองได้ ฉันคงไม่เสียเวลามานั่งเล่าหรอก”
   รูฟัสกับราฟาแอลถอนหายใจอีกครั้ง คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
   “พวกนายพูดกันไม่เป็นหรือไง ฉันไม่เข้าใจภาษาปลาวาฬที่พวกนายกำลังพ่นออกมาหรอกนะ!!”
   ฟ่งคิดว่าถ้าเป็นเวลาปกติเขาควรจะหัวเราะกับคำพูดแบบนี้ แต่บรรยากาศในตอนนี้ทำให้เขาได้แต่ย่นคิ้ว
   “เรื่องมันแย่มากเลยหรือ?” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจ  เขาหันหน้าไปมองรูฟัส หนุ่มตาสองสีพยักหน้าและถอนหายใจยาว
   “พวกปลาวาฬ” รัสเลอร์ว่า คราวนี้ราฟาแอลเลยเป็นฝ่ายพูดบ้าง
   “ว่างๆ ฉันจะพานายไปถ่วงทะเล เผื่อนายจะฟังภาษาปลาวาฬออก” เขาว่า และไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบ
   “นายควรจะดีใจที่ฉันไม่ได้ซัดอะไรใส่นายไปมากกว่าการถอนหายใจ” ราฟาแอลพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะข่มอารมณ์เอาไว้ รัสเลอร์ทำหน้าสยอง เขาหันหน้าไปหารูฟัส  ซึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจอีกเหมือนกัน
   “นายเลินเล่อ” หนุ่มตาสองสีพูดตอกย้ำ และก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวเช่นกัน
   “ทำไมไม่รู้จักนั่งเฝ้าตรงประตูหรืออยู่แถวๆ นั้น นายนั่งบื้อแล้วปล่อยให้เด็กนั่นวิ่งหนีลงไปด้านล่าง ฉันถามหน่อย สมองนายทำกับเมล็ดถั่วหรือไง?”
   รัสเลอร์ทำหน้าเบี้ยว พอทำท่าจะอ้าปากพูด ก็ถูกราฟาแอลชิงพูดขึ้นอีก
   “ถั่วยังกินอร่อยกว่า” ผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตว่า และถอนหายใจยาวอีกครั้ง
   “เอาไง?” เขาหันหน้าไปถามคู่หู รูฟัสยักไหล่ “ไม่พาตัวมากักเอาไว้ ก็ฆ่าปิดปาก สำหรับผมนะ กรณีนี้ผมคงเลือกเหมือนที่คุณทำประจำนั่นแหละ กำจัดทิ้งเลยง่ายกว่า” หนุ่มตาสองสีว่า ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที ขณะที่ฟ่งทำหน้าสยดสยอง แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ได้พูดอะไรต่อ เสียงของวรุตก็ดังขัดขึ้น
   “พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องพี่เดชขนาดนั้น เขาไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ย พลางนึกหวั่นใจว่าคนพวกนี้คิดอะไรไม่ออกนอกจากฆ่าแล้วหรือไงนะ ดูแล้วไม่เห็นจะต่างกับคนของพ่อเขาเลยจริงๆ
   “อ้อ....” ราฟาแอลลากเสียงยาวเป็นเชิงประชด เขาหันหน้าไปจ้องเด็กหนุ่มที่เพิ่งยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา ด้วยสายตาราวกับจะเฉือนเนื้อเถือกระดูก “จะให้พวกฉันไว้ใจคำพูดสั่วๆ นั่นได้ยังไงน่ะ”
   เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า”สั่วๆ”  เขาจ้องหน้าราฟาแอลกลับ
   “พี่เดชเขาไม่เห็นพวกคุณ คุณจะเดือดร้อนไปทำไม อย่างน้อยถ้าเขาจะบอกใครก็คงบอกแค่ว่าผมมาพักอยู่ที่นี่  แต่เขาคงไม่บอกใครหรอก เพราะเขาคงไม่อยากให้พ่อผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่กับเขา”
   “ยังไง?” รูฟัสถามด้วยความสงสัย วรุตขยับตัวนั่งให้หลังตรงขึ้น และพูดต่อ
   “พ่อสั่งให้พี่เดชดูแลความปลอดภัยของผม ง่ายๆ ก็คือคอยคุ้มกันผมนั่นแหละ เขาไม่อยากให้พ่อรู้หรอกว่าทำพลาด เพราะเขาชอบพ่อผม”
   “อ้อ.......” ราฟาแอลลากเสียงยาวอีกครั้ง จนฟ่งอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังประชดแค่วรุต หรือว่าประชดคนอื่นด้วย จะว่าไปแล้วในห้องนี้คงมีแต่เจ้าหมอนี่เท่านั้นแหละ ที่ไม่ได้วิปริตผิดเพศ
   หนุ่มนัยน์ตาสีเขียวถอนหายใจซ้ำ ถึงเขาจะมีเพื่อนร่วมงานและคนรู้จักเป็นพวกไบเซ็กซ์ชวลหลายคนก็เถอะ และไม่เคยจะเข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเจ้าพวกนี้ถึงเห็นผู้ชายด้วยกันดีกว่าผู้หญิงหน้าอกนิ่มๆ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมารู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับเรื่องแบบนี้
   “ลูกน้องพ่อนายที่ว่าอยู่ที่ไหน?” เขาหันมาคาดคั้นกับวรุตอีกรอบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันที เขาไม่ไว้ใจแววตาสีมรกตที่มองมาราวกับเสือร้ายที่กำลังไล่ล่าเหยื่อให้จนมุม เสียแต่ที่วรุตไม่คิดอยากจะเป็นเหยื่อเสือตัวนี้ และยิ่งไม่อยากให้อิทธิเดชเป็นด้วย
   “คุณไม่จำเป็นต้องรู้ที่อยู่เขาหรอก ถ้ากังวลนักล่ะก็ พาผมไปอยู่ในที่ที่คุณคิดว่าไว้ใจได้มากกว่านี้สิ แต่ต้องพาฟ่งไปกับผมด้วยนะ เพราะผมคิดว่าพี่เดชน่าจะเข้าใจว่าผมกับเขามั่วกันอยู่”
   ประโยคทิ้งท้ายของเด็กหนุ่มทำให้หนุ่มชาวรัสเซียผู้มีนัยน์ตาสองสีหันควับมาทันที เขาทำท่าจะอ้าปาก แต่ก็ต้องหุบลงในตอนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าราฟาแอลกำลังพยักหน้า
   “ความคิดดี..ความคิดดี” หนุ่มผมบล็อนด์พูดซ้ำๆ และชายหางตาไปทางเพื่อนร่วมงาน  รูฟัสกลืนน้ำลายเฮือก
   “งั้นก็ให้ฟ่งไปอยู่กับเด็กนี่ สร้างเรื่องทำนองว่าติดพันกันจนต้องหารังรักใหม่ ก็ไม่เลวทีเดียวนายว่าไหม ฉันเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีเลยล่ะ สำหรับสถานการณ์แบบนี้น่ะ นายเองก็คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม เวลาเราก็เหลือน้อยแล้ว”
   หนุ่มชาวฮังกาเรียนเอ่ยอย่างรวบรัดตัดความ รูฟัสมองดูนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่จ้องมองมาราวกับคำสั่งอาญาสิทธิ์แล้วถอนหายใจ
   “ผมอยากจะพูดว่ามีปัญหาอยู่หรอก แต่....คงไม่มีวิธีอื่น.....ให้ตายสิ ทำไมต้องเป็นเรื่องทำนองนี้ด้วยนะ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาไม่อยากให้ฟ่งไปมีสัมพันธ์อะไรกับใครอื่น แม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องแหกตาก็เถอะ แถมให้ไปอยู่ด้วยกันแบบนี้ จะไว้ใจได้ขนาดไหนก็ไม่รู้  ฟ่งเองก็ไม่ค่อยจะระวังตัวอยู่ด้วยสิ
   รูฟัสเผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะ และพบว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเขากำลังนึกถึง ก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะเช่นกัน ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ “คุณไม่อยากไปอยู่กับเด็กนั่นเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
   ฟ่งหันมามองผู้ถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย “ผม? ทำไมผมต้องไม่อยากอยู่กับวินด้วยล่ะ?”
   รูฟัสแทบจะแหกปากร้องออกมา นี่ฟ่งถึงกับเรียกชื่อเจ้าเด็กนั่นอย่างสนิทสนมเลยรึ? เขาจับไหล่ฟ่งเอาไว้ และเขย่าเบาๆ เหมือนกับจะถามว่าพูดออกไปแบบนั้นได้อย่างไร
   “รูฟัส คุณเป็นอะไรน่ะ! เขาเป็นตัวประกันอย่างดีเลยไม่ใช่เหรอ มีผมไปด้วยจะได้ช่วยกันดูไง” ฟ่งถามเสียงหลง รูฟัสมองหน้าคนตรงหน้า แล้วเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาบ้าง
   “คุณไม่ต้องลงทุนทำอะไรขนาดนั้นหรอกครับ” หนุ่มตาสองสีว่า เขานึกสงสัยว่าฟ่งไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองอยู่ในสถานะแบบไหน และมีความสามารถอะไรที่จะไปจัดการกับตัวประกันที่ว่าได้ จะถูกจับไปเป็นตัวประกันอีกรอบล่ะสิไม่ว่า
   ฟ่งมองดูรูฟัสที่ทำคอตก และขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก นี่รูฟัสคงกำลังคิดว่าเขาทำตัวเกะกะหรือไร้ประโยชน์อยู่แน่ๆ แต่นั่นไม่ใช่คำตัดสินของศาลเสียหน่อย ฟ่งตัดสินใจว่ายังไงเขาก็จะทำตามแผนที่วางไว้
   “ไม่รู้ล่ะ ผมจะอยู่กับวิน Where do you want us go?”
   ประโยคหลังเขาหันไปถามราฟาแอล ผู้ซึ่งดูว่าจะมีอำนาจรับผิดชอบสูงสุดในที่นี้ หนุ่มผมสีบลอนด์ยักไหล่ เขาพยักหน้าและยิ้มหน่อยๆ
   “ฉันจะพาพวกนายไปเอง” เขาว่า และหลบสายตาที่จ้องมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อของรูฟัส
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-07-2011 00:26:20
สงสารวินนะ  เห็นใจรูฟัส  และตลกกับฟ่งมาก ๆ เอ๋อ ๆ เด๋อ ๆ แต่ได้ใจสุด ๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 23-07-2011 13:32:32
ตกลงเดชจะเอาไงแน่เนี่ย พอจะเข้าใจความรู้สึกอยู่หรอกนะเพราะวินเองนั่นแหละที่ทำให้เข้าใจว่าเกลียดกันน่ะ สงสารรูฟัสสุด ๆ ฟ่่่่งช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-07-2011 13:47:02
ฮา ฟ่งเอ๋อได้ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 26-07-2011 16:11:53
โถๆๆๆๆ น้องวิน เจ้กอดให้กำลังใจ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 30-07-2011 18:57:54
โอ้ยๆๆ กำลังสนุกเลย มานั่งรอ นอนรอ  ต่อไป
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: lovely2min ที่ 31-07-2011 01:02:26
มาฝากตัวอ่านเรื่องนี้ด้วยคนเนอะ
สนุกมากๆเลยจ้า

ฟ่ง น่ารักมากกกกกกกกก
ตอนนี้อ่านไปอ่านมาชอบวินอ่ะ
น่ารัก ดี
จะรอติดตามนะจ๊ะ   o13
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 01-08-2011 19:25:00
อ่านอึด อ่านทน สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาว
หลากหลายอารมณ์มากๆ
สนุกมาก
แล้วจะมาอ่านต่อ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-08-2011 10:00:33
**เห็นนักอ่านพยายามอ่านเรื่องนี้แล้ว อยากหล่อถ้วยเอาไว้รอจริงๆ (น่า... เลยครึ่งทางแล้วค่ะ ถ้าขี้เกียจก็ซื้อรวมเล่มสิคะ<<โดนถีบ :z6:)

-----------------------------------

บทที่50  ฟ่งกับวรุต
   เหมือนกับว่ามันเป็นเวลานานมากแล้วสำหรับฟ่ง ที่เขาไม่ได้พบเจอผู้หญิงที่มีชื่อเรียกแสนจะจำง่ายว่า”เมี่ยง” ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันเป็นเวลาเพียงแค่เดือนเศษๆ เท่านั้นเอง  หล่อนยังคงแต่งตัวสะสวย หน้าตาอ่อนกว่าวัยเหมือนเดิม หญิงสาววัยสามสิบเศษเดินเข้ามาหาและเอ่ยทักเขาด้วยความเป็นห่วง
   “สวัสดีค่ะ คุณอภิวัฒน์ ดีใจจริงๆ ที่คุณปลอดภัย ดิฉันเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ ช่วงที่คุณหายตัวไปน่ะ”
   “อ่า...สวัสดีครับ...เอ่อ.. ขอบคุณนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเดือดร้อน” ฟ่งเอ่ยทักทายอย่างค่อนข้างจะวางตัวไม่ถูก เขาไม่รู้มาก่อนว่าเมี่ยงเป็นหนึ่งในทีมงานของรูฟัสด้วย จริงๆ แล้วรูฟัสไม่ยอมบอกเขาด้วยซ้ำ จนราฟาแอลเริ่มพูดขึ้นมานั่นแหละ เลยกลายเป็นการบังคับให้รูฟัสต้องขยายความต่อให้เขาฟังไปโดยปริยาย ทำให้ฟ่งเข้าใจสักที ว่าทำไมรูฟัสถึงไปปรากฏตัวอยู่ในคลับของเมี่ยงในคืนวันนั้น
   เมี่ยงยิ้มหวาน และไม่ถามอะไรต่ออีก หล่อนเดินนำเขาและคนอื่นๆ เข้าไปยังด้านหลังของคลับ ก่อนจะขึ้นบันไดไปยังสำนักงานด้านบน ซึ่งเป็นที่ที่ฟ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าด้านบนนี้ยังมีลิฟต์อีกสองตัว หรือว่าบนตึกนี้จะมีสำนักงานอื่นอีก
   “อ๋อ ด้านบนเป็นห้องพักน่ะค่ะ” เมี่ยงอธิบาย ก่อนจะสั่งลูกน้องซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หน้าตาดี ให้เปิดประตูกระจกบานใหญ่ ซึ่งด้านในเป็นห้องทำงานส่วนตัวของหล่อน
   “เชิญนั่งก่อนสิคะ มากันครบแบบนี้แปลว่ารู้เรื่องกันหมดแล้วสิ” หล่อนว่า และเชิญแขกทั้งห้าให้นั่งลง
ฟ่งพยักหน้าให้กับคำพูดของเมี่ยง ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวแล้ว เขาเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
   “คุณเมี่ยงทำงานกับรูฟัสหรือครับ?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากทั้งหมดนั่งลงแล้ว และเห็นว่ายังไม่มีใครเริ่มพูดอะไรอีก เมี่ยงมองหน้าเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ โชว์ฟันเขี้ยวน่ารักๆ ให้เห็น
   “ดิฉันรู้จักกับคุณราฟาแอลมาก่อนน่ะค่ะ แล้วก็เลยพลอยได้มารู้จักกับคุณรูฟัส คุณอภิวัฒน์ไม่ต้องหึงไปนะคะ ดิฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันลึกซึ้งหรอกค่ะ”
   “อ่ะ..ผมเปล่า” ฟ่งรีบปฏิเสธ ขณะที่รูฟัสดูจะโล่งอกทันทีที่ได้ยินเมี่ยงพูดแบบนั้น เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่าฟ่งจะสงสัยเรื่องเขากับเมี่ยง ถึงมันจะเป็นเรื่องก่อนหน้าที่เขาจะตกหลุมรักหนุ่มสวมแว่นคนนี้หัวปักหัวปำก็เถอะ แต่ขืนฟ่งรู้เข้า เขามีหวังต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากอีกครั้งแน่ๆ
รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอล ซึ่งดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานพูดนอกเรื่องนานนัก
   “ผมมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย” หนุ่มผมสีบลอนด์เอ่ยขึ้น เขาไม่ค่อยชอบใจนักที่ได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในบทสนทนาของภาษาที่เขาฟังไม่ออก แต่คงไม่มีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเขา ยังไงค่อยไปถามเจ้ารูฟัสเอาตอนหลังก็ได้ ตอนนี้คงต้องจัดการปัญหาตรงหน้านี่เสียก่อน
   เมี่ยงเบิ่งตากลมโตของหล่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงรักษากิริยาท่าทางให้เป็นปกติ หล่อนยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยถามออกไป
   “มีปัญหาอะไรหรือคะ?”
   “ผมคิดว่าจะให้วรุตกับฟ่งมาพักอยู่ที่นี่พร้อมกันเลย” ราฟาแอลพูดต่อ และพอเห็นเมี่ยงทำหน้าตกใจเขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง
   พอฟังจบ หญิงสาวก็พยักหน้า แล้วพูดออกมา “ถ้าอย่างนั้นสองคนนี้ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีอะไรน่าสงสัยสินะคะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ดิฉันจะได้วางกำลังจุดเดียว ถ้าเป็นไปตามนี้ ฉันรับดูแลให้ทั้งสองคนได้ค่ะ”
   ราฟาแอลยิ้มออกมา ในขณะที่รูฟัสพยายามจะกระตุกริมฝีปากเพื่อเค้นรอยยิ้มเต็มที่ เมี่ยงเลยหันมามองเขา แล้วพูดยิ้มๆ “คุณรูฟัสจะมีปัญหาหรือเปล่าคะเนี่ย?”
   “เอ่อ.. ถึงอยากมีก็คงจะมีไม่ทันแล้วล่ะครับ” รูฟัสว่าและถอนหายใจเฮือก หันไปมองฟ่งซึ่งกำลังหันมามองเขาอยู่เช่นกัน ท่าทางฟ่งจะนึกสงสัยว่าเขากังวลอะไรนักหนาแน่ๆ ดูจากสายตาที่มองผ่านแว่นมาแบบนั้น
   เมี่ยงหัวเราะคิกคักอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นต่อ “วางใจเถอะค่ะ ดิฉันจะจัดเตียงแยกให้ คุณจะได้สบายใจ อีกอย่างสองคนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ อยู่แล้วนี่คะ ดูคุณอภิวัฒน์จะไม่เป็นกังวลอะไรเลย”
   “อ้อ ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ไม่อยากทำตัวให้เป็นปัญหามากไปกว่านี้น่ะ” ฟ่งว่า รูฟัสชักนึกระแวงว่าฟ่งพูดจากระแทกเขาด้วยรึเปล่า วรุตพยักหน้าบ้าง
   “พวกผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ในห้องไม่มีใครเข้ามาดูหรอก จัดเตียงแยกไปเถอะ เขาจะได้สบายใจ” พูดแล้วก็หันไปทางรูฟัส พลอยทำให้หนุ่มตาสองสีนึกขึ้นมาอย่าจริงๆ จังๆ ว่าหรือจะเป็นแค่ตัวเขาเองที่มีปัญหากันนะ
   เมี่ยงหัวเราะอีกครั้ง แล้วพยักหน้า “งั้นเอาตามนี้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้เด็กๆ พาทั้งสองคนนี้ไปดูห้องกันก่อน แล้วเราจะได้คุยรายละเอียดเรื่องงานกันเลย”
   “ตกลงตามนั้นแหละ” ราฟาแอลว่า เมี่ยงเลยโทรศัพท์ติดต่อให้พนักงานเข้ามาในห้อง
--------------------------------------------------
   วรุตเดินตามลูกน้องของเมี่ยงออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาเพิ่งรู้นี่เองว่าสาวสวยเจ้าของคลับที่อิทธิเดชชอบมาบ่อยๆ ก็เป็นหนึ่งในทีมงานของพวกราฟาแอลเหมือนกัน สายลับนี่มีเครือข่ายอยู่ทั่วจริงๆ แต่เขาสัญญากับเมี่ยงแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร เพราะเขาไม่อยากให้ทางนั้นเดือดร้อน ที่สำคัญเขาเองก็ทำตัวเหมือนสายลับหรือไส้ศึกเข้าไปทุกทีแล้วเหมือนกันนั่นแหละ เขาอธิบายกลไกเรื่องห้องให้พวกราฟาแอลฟังจนหมดเท่าที่รู้ แบบนี้ไม่เรียกว่าสายลับก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
--------------------------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองการตกแต่งผนังตรงทางเดินอย่างสนใจ ทำให้เกือบจะชนกับหลังของวรุต ตอนที่คนนำทางพาเขามาถึงห้องพักแล้ว
   “อ๊ะ ขอโทษ” ฟ่งพูด เขาหยุดตัวเองไม่ให้เอาหน้าชนหลังของวรุตได้ก็จริง แต่เท้ามันดันเหยียบไปก่อนแล้วนี่สิ วรุตโบกมืออย่างไม่ถือสา ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามคนนำทางเข้าไป
   “โห.... จัดห้องสวยนะเนี่ย” วรุตว่า พลางมองดูหน้าต่างบานใหญ่ที่มีผ้าม่านระย้าแขวนอยู่ ฟ่งพยักหน้าเห็นด้วย คนที่พามาแจ้งรายละเอียดว่าสักพักจะยกเตียงนอนมาเสริมให้ ก่อนจะเดินออกไป เลยเหลือแต่เขากับวรุตอยู่ด้วยกันแค่สองคน
   วรุตกระแทกก้นลงกับเตียง แล้วก็นอนผึ่งลงไปทันที
   “แบบนี้เหมือนมาพักผ่อนเลย” เด็กหนุ่มว่า ฟ่งได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “ก็คงอย่างนั้นมั้ง”
   “อืม... ถ้าอยู่ติดทะเลก็ดีสินะ.... เสียดายจัง ความจริงเราสองคนน่าจะไปหมกตัวอยู่ที่นั่น ได้ยินว่ามาเฟียไปอยู่กันเยอะ คงเหมาะกับเราก็ได้นะ” วรุตพูดต่อ ฟ่งหันมามองเขาอีกครั้งและยิ้มแห้งๆ “ผมว่าอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ” วรุตพูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะหัวเราะอย่างกระดากๆ ฟ่งเดินดูนั่นดูนี่สักพัก ก็หันมาพูดบ้าง
   “นายคิดว่าเราจะต้องพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่?”
   “อืม...” วรุตมีสีหน้าครุ่นคิด “เท่าที่จำได้นะ เหมือนพ่อผมจะบอกว่าจะเริ่มงานช่วงวันที่ยี่สิบสองล่ะมั้ง ก่อนหน้านั้นก็ต้องทดสอบระบบก่อน”
   “อีกสามวันสินะ” ฟ่งว่า เด็กหนุ่มพยักหน้า “อืม อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวคืนนี้แฟนคุณก็คงต้องไปแล้วมั้ง ไม่งั้นคงพลาดโอกาส”
   ฟ่งรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที รูฟัสจะไปแล้วหรือ ไปวันนี้เลยหรือ?
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะในห้อง ก่อนจะโพล่งออกมา “เดี๋ยวผมมานะ”
-----------------------------------------------------
   “ดิฉันติดต่อรถเช่ามาให้อย่างที่คุณบอกแล้วล่ะค่ะ” เมี่ยงพูดขึ้นหลังจากที่ฟ่งและวรุตออกไปจากห้องแล้ว ราฟาแอลพยักหน้า
   “คนขับเป็นคนเก่าคนแก่ของดิฉันเอง ไว้ใจได้แน่นอนค่ะ แต่เรื่องที่ฉันจะบอกคือ ฉันคงให้คนเข้าไปส่งพวกคุณได้ใกล้ที่สุดแค่ในระยะหนึ่งกิโลก่อนถึงอาคารที่ว่านั้นนะคะ”
   พูดจบก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่ออก แล้ววางลงบนโต๊ะ “อันนี้เป็นแผนที่คร่าวๆ ที่ดิฉันทำขึ้นเพื่ออธิบายจุดที่พวกคุณจะต้องลงจากรถค่ะ”
   รูฟัสกวาดตามองแผนที่ฉบับนั้นก่อนจะหันหน้าไปมองราฟาแอล เขาเห็นหนุ่มผมบลอนด์พยักหน้า “ผมว่าลงตรงนี้แหละ มองเห็นยากดี แถมยังใกล้กับอาคารนั้นมากที่สุดด้วย”
   ราฟาแอลพูด เมี่ยงพยักหน้าบ้าง “ค่ะ ตอนแรกดิฉันว่าจะไปส่งอีกที่ แต่พอคุณพูดถึงจุดนี้ขึ้นมาเมื่อวาน ดิฉันก็คิดว่าน่าจะดีกว่า เนินเขาตรงนี้ก็ไม่สูงมาก พวกคุณน่าจะขึ้นไปกันได้สบายๆ ”
   รัสเลอร์ชะโงกหน้าขึ้นมาดูบ้าง ก่อนจะอ้าปากพูดถึงคำว่าเครื่องมือปีนเขา เลยโดนราฟาแอลเหยียบเท้าเอาไว้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้านิ่ว แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำ
   ราฟาแอลก้มลงมองนาฬิกา มันบอกเวลาบ่ายสองโมงเศษ เขาหันมาพูดต่อ “ผมคิดว่าเราควรไปถึงที่นั่นตอนพลบค่ำ มันเป็นเวลาที่เหมาะกับการลอบเข้าไปแฝงตัวมากที่สุด”
   เมี่ยงพยักหน้าอีกครั้งแล้วพูดเสริมขึ้น “ดิฉันคิดว่าพวกคุณน่าจะออกเดินทางกันสักช่วงสามโมงค่ะ น่าจะไปถึงที่นั่นสักห้าโมงหกโมงพอดี ขึ้นทางด่วนแล้วตัดออกไปนอกตัวเมืองเลยคงไม่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่าไหร่”
   “เอาตามนั้นล่ะ” ราฟาแอลสรุป แล้วหันไปมองหน้ารูฟัส ซึ่งยืนนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
   “มีเวลาอีกเกือบชั่วโมง เดี๋ยวเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว แกก็ค่อยไปบอกลาแฟนแกแล้วกัน”
   รูฟัสหันมามองหน้าราฟาแอล แล้วยิ้มออกมา
   “ขอบคุณที่นึกถึงใจผมนะ”
   “เหอะ” หนุ่มผมบลอนด์แค่นเสียงในลำคอ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เสียงของรัสเลอร์ก็ดังแทรกขึ้น “ฉันไปด้วยซี่ อยากไปกอดฟ่งให้ชื่นใจก่อนไปเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงน่ะ”
   รูฟัสหันมาเขม่นมองเขาทันที ขณะที่ราฟาแอลยกมือขึ้นตบไหล่รัสเลอร์เสียงดังป้าบ “หัดอยู่สงบๆ บ้างเถอะ ถ้ายังอยากจะอายุยืนๆ น่ะ”
------------------------------------------------------
   ฟ่งเริ่มตระหนักว่าอิสระของเขาอาจจะถูกจำกัดมากกว่าที่คิดไว้ เมื่อเขาเปิดประตูออกมาและพบกับชายวัยกลางคนยืนรออยู่
   “จะออกไปไหนหรือครับ?” เขาถามอย่างสุภาพ ฟ่งมองเขา แล้วตอบออกไป “ผมว่าจะไปหาคุณเมี่ยงหน่อยน่ะ”
   “คุณเมี่ยงติดธุระอยู่น่ะครับ เดี๋ยวถ้าคุณเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ผมจะบอกให้แวะมาหาคุณแล้วกัน”
   ฟ่งพยายามจะปั้นหน้าให้ดูเป็นมิตรที่สุด แล้วพูดต่อ “คือผมอยากเจอเพื่อนน่ะครับ มีเรื่องจะคุยกับเขานิดหน่อย”
   “งั้นช่วยรอก่อนนะครับ ถ้าเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ผมจะแจ้งให้คุณทราบอีกที”
   ฟ่งมองหน้าชายวัยกลางคนอยู่พัก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง จังหวะเดียวกับที่วรุตเปิดประตูออกมาพอดี
   “ผมว่าจะออกมาตามคุณอยู่ คุณจะไปไหนเนี่ย?” วรุตเอ่ยถาม และขยับตัวให้ฟ่งเข้ามาในห้อง
   “เปล่า” ฟ่งสั่นศีรษะ และนึกว่าแผนการของเขาอาจจะดำเนินการให้สำเร็จได้ยากกว่าที่คิดก็ได้ วรุตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา
   “อยากไปเจอแฟนสินะครับ ผมเข้าใจล่ะ คุณกับเขายังไม่ได้เอ่ยลากันเลยนี่”
   “ผมไม่อยากเอ่ยลาหรอกนะ” ฟ่งสวนทันที วรุตหันมามองเขาอีกครั้ง แล้วรีบพยักหน้า “อืม ผมเข้าใจ”
   ฟ่งมุ่นคิ้วเข้าหากัน เขาไม่ได้อยากเอ่ยลากับรูฟัสเสียหน่อย ก็แค่ใจหายเลยอยากจะเจอหน้าก่อนไปเท่านั้นแหละ อยากจะได้เห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเข้าไปในห้องที่เขาออกแบบไว้
   ก็แค่อยากเจอ.....
------------------------------------------------
   รูฟัสเช็กอาวุทและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับภารกิจในคราวนี้ซ้ำเป็นรอบสุดท้าย ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นรัสเลอร์หอบเป้ใบใหญ่ใส่หลังเดินมา
   “นายขนอะไรไปเยอะขนาดนั้น จะย้ายบ้านหรือไง?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากถามทันที รัสเลอร์ยักไหล่ และพูดอย่างร่าเริงเช่นเคย “ของใช้จำเป็น ฉันไม่หวังพึ่งฝีมือพวกนายอย่างเดียวหรอก อย่างน้อยฉันก็ขอพกอุปกรณ์ช่วยชีวิตตัวเองไปให้เยอะที่สุดก็แล้วกัน ใครจะไปรู้ บางทีพวกนายอาจจะวางแผนฆาตกรรมฉันอยู่ก็ได้”
   รูฟัสย่นคิ้ว ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร ราฟาแอลที่เพิ่งเช็กสนับแข้งของตัวเองเสร็จก็ชิงพูดขึ้นก่อน “รู้อะไรมั้ย คุณรัสเลอร์ ถ้าฉันอยากจะฆ่านายน่ะ นายคงตายก่อนจะได้ทันนึกเรื่องพวกนี้เสียอีก”
   รัสเลอร์ทำหน้ายู่ ก่อนจะวางเป้ลง แล้วหันไปมองเพื่อนร่วมงานอีกสองคน
   “โอ้โห.. พวกนายดูเหมาะกับชุดพรางรุ่นใหม่มากกว่าที่ฉันคิดเสียอีก ดีล่ะ ฉันควรจะถ่ายรูปเอาไว้ จะได้เอาไปพรีเซนต์ตอนกลับไปที่หน่วยแล้ว” พูดพลางก็ล้วงกล้องถ่ายรูปออกมาจากช่องตรงอกเสื้อ ราฟาแอลรีบเดินเข้าไปหยุดพฤติกรรมดังกล่าวทันที
   “พอที นายลืมแล้วหรือไงว่าครั้งสุดท้ายที่พยายามจะถ่ายรูปพวกฉัน อุปกรณ์ของนายมีสภาพยังไง”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที เขานึกถึงสภาพกล้องตัวเก่าที่ถูกราฟาแอลกับรูฟัสกระทืบจนพังหาชิ้นดีไม่ได้ ก็เลยรีบเก็บกล้องเข้ากระเป๋าไปในทันที
   หลังจากจัดการกำราบรัสเลอร์เรียบร้อยแล้ว ราฟาแอลจึงหันไปหารูฟัส
   “รูฟัส มีดที่ฉันซื้อให้วันก่อนน่ะ นายพกไปด้วยนะ เล่มเก่าทื่อสนิทขนาดนั้น หั่นมะเขือเทศยังไม่เข้าเลย”
   รูฟัสนิ่วหน้าทันที แล้วชักมีดออกมาจากซองตรงรองเท้า “ลองกับหัวคุณก่อนเลยมั้ย?”
   ราฟาแอลสั่นศีรษะทันที ก่อนจะเลิกคิ้ว “อ้อ ยอมจะใช้แล้วเหรอ?” เขาว่า เมื่อเห็นว่ามีดสงครามที่รูฟัสหยิบขึ้นมาเป็นมีดที่เขาซื้อมาให้เมื่อหลายเดือนก่อน รูฟัสยักไหล่ แล้วสอดมีดกลับเข้าที่
   “อืม ผมเห็นว่าคลาวเดียมีมีดในครัวไม่พอ เลยบริจากไปแล้ว” หนุ่มตาสองสีพูดทีเล่นทีจริง ก่อนจะเสริมต่อ “ว่าแต่มีดคุณน่ะยาวกว่าเล่มเก่าผมนะ พกแล้วยังขัดๆ อยู่นิดหน่อย”
   “เดี๋ยวก็ชินเองล่ะน่า” ราฟาแอลว่า และตบไหล่รูฟัสทีหนึ่ง รัสเลอร์รีบส่งเสียงขึ้นต่อทันที
   “โอ้โห พวกนายแสดงมิตรภาพของเพื่อนร่วมงานด้วยการซื้ออาวุทให้กันและกันหรือนี่ รูฟัส นายควรตั้งชื่อมีดเล่มนั้นนะ ไว้เป็นที่ระลึกไง เอาชื่อว่า ราฟี่ที่สองก็ได้นะ”   
   รูฟัสถอนหายใจจนได้ยินเสียง ขณะที่ราฟาแอลหันไปถลึงตาใส่รัสเลอร์ “นายอยากตั้งชื่อลูกปืนของฉันบนหัวนายบ้างมั้ย?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางมองดูปืนสารพัดยี่ห้อที่ราฟาแอลพกเอาไว้ นับๆ แล้วน้ำหนักปืนที่หมอนี่พก อาจจะหนักเป็นสองเท่าของเป้ที่เขาหอบมาเลยก็ได้ ท่าทางคนที่ดูจะเบาที่สุดของเป็นรูฟัสนี่แหละ หมอนั่นพกปืนแค่สองกระบอก ส่วนที่เหลือเป็นมีดล้วนๆ สารพัดแบบ สารพัดขนาด เยอะจนเขาขี้เกียจจะนับ แค่เห็นเจ้าตัวเอามาวางเรียงกันก่อนจะใส่เข้าไปในซองคาดก็ตาลายแล้ว นับถือวิธีที่เจ้าสองคนนี้พกอาวุธผ่านด่านตรวจมาจริงๆ ให้ตายสิ
   รูฟัสก้มลงมองนาฬิกา ก่อนจะพูดขึ้นมา “เดี๋ยวผมไปหาฟ่งสักพักนะ”
   “หา..?! นายจะไปทั้งชุดแบบนี้เนี่ยนะ” รัสเลอร์ถามเสียงหลง คนถูกถามหันมามองเขา ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ขึ้นมาใส่ทับ แล้วเดินออกไป
------------------------------------------------------
   ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ฟ่งเลยต้องนั่งจับเจ่าอยู่กับวรุต รอคนยกเตียงเสริมเข้ามาให้ วรุตพยายามจะหาเรื่องมาคุยกับชายหนุ่มสวมแว่นที่ท่าทางจะดูหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่พอสมควร
   “เอาน่า เดี๋ยวพวกเขาคุยกันเสร็จแล้วก็คงจะแวะมาหาคุณเองแหละ แฟนคุณรักคุณจะตาย"
   ฟ่งหันมามองวรุต แล้วทำหน้ายู่อีก วรุตไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ ปรากฏว่าพอเปิดออกมา เสียงบาดหูของชายหญิงสองคนที่กำลังร่วมรักกันอยู่ก็ดังทะลุลำโพงออกมาทันที ทำเอาเด็กหนุ่มปิดโทรทัศน์แทบไม่ทัน เขาหันมามองหน้าฟ่งแล้วหัวเราะแหะๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดนะ”
   ฟ่งพยักหน้าแล้วถอนหายใจเฮือก เขาพอเดาได้อยู่หรอกว่าเมี่ยงเปิดห้องพักด้านบนเพื่อให้ลูกค้าใช้ทำเรื่องอย่างว่า หนุ่มสวมแว่นลากเก้าอี้ออกมานั่ง มองดูวรุตเดินไปเดินมาเหมือนคนพยายามจะหาอะไรทำแก้ว่าง
   “คุณนอนดิ้นรึเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากเดินสำรวจห้องอีกรอบ ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เท่าไหร่ ทำไมหรือ?”
   “ก็ถ้าสมมติว่าเตียงที่เขายกเข้ามาใหม่แคบกว่าอันนี้ ผมจะได้ย้ายไปนอนเตียงนั้นไง คุณว่าเดี๋ยวเราจะวางเตียงตรงไหนดี?” เด็กหนุ่มถามต่อ ฟ่งกวาดตามองรอบห้อง แล้วชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
   “หน้าตรงนั้นก็ได้ พอมีที่อยู่นะ”
   “อือ ตรงนี้ก็ดี วางแล้วไม่น่าจะเกะกะทางเดินนะ” วรุตตอบ แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เริ่มเปิดลิ้นชักดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง ฟ่งชักรู้สึกว่าวรุตยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ซนเป็นลิงเป็นค่างแบบนี้
   เด็กหนุ่มรื้อลิ้นชักไปได้สักพักก็ชะงักกึก ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมากำเอาไว้แล้วรีบปิดลิ้นชักทันที ฟ่งมองด้วยความสงสัย
   “อะไรน่ะ?”
   “อ้อ.. เปล่า” วรุตตอบ ด้วยท่าทางขัดๆ เขินๆ นิดหน่อย ฟ่งหรี่ตาลง แล้วพูดต่อ “นี่... ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ที่ถืออยู่น่ะ ถุงยางใช่ไหม ถ้าไม่คิดจะใช้ก็เก็บเข้าที่ซะ ไม่ต้องทำเป็นซ่อมผมหรอก”
   “เอ้อ.....” วรุตร้องในคออย่างไร้ความหมาย ก่อนจะเอาของในมือใส่กลับไปในลิ้นชักเหมือนเดิม แล้วยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างเคอะๆ เขินๆ ฟ่งสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนี่เคยไปข่มขืนใครเขาจริงๆ น่ะรึ ท่าทางตอนนี้ กับตอนที่พูดใส่ผู้ชายหน้าสวยคนนั้น ไปกันคนละเรื่องเลย
   ขณะที่กำลังนั่งลุ้นว่าวรุตจะรื้ออะไรต่อหลังจากลิ้นชัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “สงสัยเขาจะเอาเตียงมาส่งแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวผมไปดูเอง” วรุตพูดเร็วปรื๋อ แล้ววิ่งแซงหน้าเขาออกไปตรงประตูทันที หลังจากดูผ่านช่องตาแมวอยู่พัก ก็หันกลับมายิ้มให้เขา
   “ไม่ใช่เตียงล่ะ แต่ผมว่าคุณต้องดีใจแน่ๆ ”
---------------------------------------------------
   รูฟัสเพิ่งรู้จากคนที่เฝ้าหน้าห้องว่าฟ่งพยายามจะออกไปพบเขาเมื่อหลายนาทีก่อน ชายหนุ่มรู้สึกดีใจ แต่ขณะเดียวกันก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ด้วย ไม่รู้หลังจากนี้ฟ่งจะพยายามออกไปไหนอีกรึเปล่า
   เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าวรุตเป็นคนเปิดประตูให้ ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเด็กคนนั้นเดินออกไปจากห้องอย่างรู้กาลเทศะ
   ฟ่งยืนอยู่ในห้อง และยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าเขา “รูฟัส”
   รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าฟ่งได้สักสองวินาที ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าสงสัยแทน “รูฟัส.. เสื้อผ้าคุณ”
   “อ้อ” รูฟัสร้องออกมา ก่อนจะอธิบายสั้นๆ “ชุดภาคสนามของผมน่ะ”
   ฟ่งพยักหน้าหน่อยๆ พลากวาดตามองปลอกแขนสีดำที่โผล่พ้นขอบแขนเสื้อเชิ้ตออกมา จริงๆ แล้วเขาว่ารูฟัสไม่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตทับมาก็ได้ เพราะเจ้าตัวแค่ใส่คลุมเสื้อตัวในไว้เท่านั้น แต่เอาเถอะ บางทีรูฟัสอาจจะพกอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ไม่อยากให้เขาเห็นก็ได้
   “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปแล้วล่ะ” รูฟัสพูดออกมา พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโผเข้าใส่
   พฤติกรรมนี้ดูจะผิดความคาดหมายของรูฟัสไปพอสมควร เขารีบคว้าตัวของฟ่งแล้วกอดเอาไว้แน่น
   ฟ่งโอบมือไปรอบตัวของรูฟัส และรู้สึกถึงบรรดาของทั้งหลายที่รูฟัสพกไว้กับตัว อีกไม่กี่ชั่วโมง รูฟัสก็คงจะต้องเข้าไปในห้องที่เขาเขียนขึ้นแล้ว ห้องที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้าไปได้โดยตลอด
   รูฟัสกอดฟ่งไว้อย่างนั้นสักพัก รู้สึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายที่ซบลงมาบนไหล่ เขาประคองใบหน้านั้นขึ้นมา แล้วแนบจูบลงไป
   จูบร้อนแรงทำเอาฟ่งตัวสั่น แทบจะหลอมละลายไปกับจูบนั้น
   รูฟัสดูดดึงเรียวลิ้นอุ่นๆ เข้ามาขบกัด ดูดดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า รุกเร้าเข้าไปในโพรงปากอุ่นนั้นซ้ำๆ ราวกับว่าหลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้ว
   ฟ่งขย้ำมือไปบนแผ่นหลังกว้าง รสจูบดูดดื่มทำเขาแข้งขาเขาอ่อนระทวย เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกตัวว่าเขาต้องการผู้ชายคนนี้ ต้องการในแบบที่เขาไม่อาจจะยอมรับ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้อย่างเต็มปาก
   รูฟัสได้ยินเสียงฟ่งครางฮือในลำคอ รู้สึกได้ถึงการแสดงความยินยอมบนเรือนร่างนั้น เขาค่อยผลักฟ่งลงบนเตียง และซุกไซ้ซอกคออุ่นนั้นอย่างรักใคร่
   ฟ่งสะท้านกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกของมือขึ้นโอบรัดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่น รับรู้ถึงทุกสัมผัสที่รูฟัสมอบให้
   ริมฝีปากหนาบดจูบลงบนริมฝีปากแดงเจ่อที่เผยออ้าอยู่เบื้องล่างอีกครั้ง อ่อนหวาน และยาวนาน... ก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้น
   ฟ่งกะพริบตาด้วยความงุนงง ขณะที่รูฟัสยื่นมือมาจัดเสื้อผ้าของเขา
   “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ” รูฟัสพูด และยิ้มให้ฟ่งที่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเอ็นดู
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอยู่พักหนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “อื้อ แล้วไว้เจอกันนะ” เขาว่า และขยับหน้าขึ้นแตะริมฝีปากกับอีกฝ่ายเบาๆ
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบปาก แล้วจูบฟ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงผละออกไป เขาไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่าประโยคสุดท้ายที่ฟ่งพูดออกมานั้น แฝงความนัยน์บางอย่างเอาไว้
-----------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม5 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่49 p7 22/07/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-08-2011 10:01:34
   “คิดว่าจะช้ากว่านี้เสียอีก” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นรูฟัสเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเมี่ยง สวนกับวรุตที่ถูกพาตัวกลับห้องไป ราฟาแอลคงเรียกเขามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้ว และนั่งปุลงบนเก้าอี้อีกตัว
   “ผมรู้หน้าที่น่า เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำเป็นระแวงผมเสียที”
ราฟาแอลยักไหล่ “ก็แกทำให้ฉันระแวง”
   รูฟัสย่นคิ้ว ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ จึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
   “แล้วเราจะไปกันได้หรือยัง?” หนุ่มผมบล็อนด์ยักไหล่อีกครั้ง “แน่นอน ก็เตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้วนี่ รอแต่แกนั่นแหละ”
   “ฉันยังไม่พร้อมเสียหน่อย” รัสเลอร์เอ่ยแทรกขึ้น ทำให้สองคนหันไปมองเขาทันที  ราฟาแอลถลึงตาใส่เขาเหมือนจะถามว่าแล้วไอ้เวลาที่ผ่านมาแกมัวแต่ไปทำอะไรอยู่ รัสเลอร์ทำหน้าเศร้า
   “ฉันยังไม่ได้บอกลาฟ่งเลย”
   “งั้นนายเตรียมบอกลาชีวิตตัวเองได้” รูฟัสว่า และทำท่าจะถีบรัสเลอร์ทีหนึ่ง รัสเลอร์กระโดดหลบ เขาหันไปมองหน้าราฟาแอล ซึ่งถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
   “เอาล่ะ.. ฉันจะคิดว่านายพยายามจะเล่นมุขห่วยๆ ที่ฉันไม่ขำ  ย้ายก้นออกไปได้แล้ว อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
   “ทำไมเอะอะพวกนายต้องใช้กำลังอยู่เรื่อยเลยนะ เจรจาแบบสันติวิธีไม่เป็นหรือไง...” รัสเลอร์โอดครวญ ก่อนจะเจอสายตาพิฆาตของราฟาแอลเข้าไป เลยทำให้ต้องสงบปากสงบคำ ยอมเดินตามเพื่อนร่วมงานออกไปแต่โดยดี
----------------------------------------------------------
   “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่านายทนอยู่กับราฟี่มาได้ยังไง” รัสเลอร์เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสามคนอยู่บนรถเก๋งนิสสันเก่าๆ ที่เมี่ยงลงทุนเช่ามาเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ  รถคันนี้กำลังมุ่งหน้าออกนอกตัวเมืองของกรุงเทพมหานคร โดยมีลูกน้องคนสนิทของเมี่ยงคนหนึ่งเป็นคนขับ  รูฟัสที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยมองออกนอกหน้าต่าง ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลจึงเอ่ยปากต่อ
   “สงสัยว่านายสองคนจะเป็นพวกบ้าความรุนแรงแน่ๆ ถึงได้ทำงานด้วยกันได้เนี่ย”
   รูฟัสพยามนั่งให้เงียบที่สุด เขาหวังว่าราฟาแอลจะเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มผมบลอนด์จะมีความคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นคนที่ยังพูดอยู่จึงเป็นรัสเลอร์
   “พวกนายควรจะให้ความสนใจในสิ่งที่ฉันพูดบ้าง การใช้กำลังไม่ได้เป็นทางออกเดียวในการแก้ปัญหาหรอกนะ”
   รูฟัสพยายามคิดหาทางอื่นที่ดีกว่าการใช้กำลังในการจัดการกับปากของรัสเลอร์ ขณะที่ราฟาแอลเริ่มนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ดูเหมือนรัสเลอร์จะยังไม่สำเหนียกถึงบรรยากาศรอบๆ  เขาหันไปมองด้านนอก และสรรหาประเด็นมาพูดต่อ
   “ไม่คิดบ้างหรือว่าโลกนี้มีอะไรสวยงามตั้งเยอะ มากกว่าที่จะมาใช้กำลังใส่กัน นายดูต้นหญ้าพวกนั้นสิ มันขึ้นได้ทุกที่แม้แต่บนคอนกรีต เมืองร้อนนี่ไม่มีหิมะตกเลยสินะ?”
   ราฟาแอลไม่รู้ว่าตัวเองนับถึงไหนแล้ว บางทีเขาควรเริ่มนับใหม่ หรือหันไปพึ่งอย่างอื่นเช่นบทสวดมนต์ แต่จนใจที่เขาจำได้แต่ท่อนแรกของบทสวดส่งวิญญาณ ดังนั้นหนุ่มผมสีบล็อนด์จึงได้แต่พยายามนับเลขในใจ ส่วนรูฟัสพยายามคิดว่าเขาได้ยินเสียงที่แว่วไปเอง  ดูเหมือนคนหมดความอดทนก่อนจะเป็นรัสเลอร์
   “ทำไมพวกนายนั่งเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้!!! อย่างน้อยๆ ก็น่าจะอธิบายให้ฉันฟังบ้างว่า เรากำลังจะไปไหน?!!!”
   ดูเหมือนมุขนี้จะได้ผล สองคนหันขวับมาหาเขาทันที ราฟาแอลเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
   “อย่าบอกนะว่าที่พูดกันไปก่อนหน้านี้ มันไม่เข้าไปในหัวสมองนายเลยสักเรื่อง!!!”
   รัสเลอร์พยักหน้ายอมรับอย่างหน้าตาเฉย คราวนี้ราฟาแอลทำท่าจะล้วงปืนออกมาจากอกเสื้อ เล่นเอารูฟัสต้องรีบขยับไปห้ามเป็นการใหญ่
   “ไม่เอาน่า ราฟี่ คุณก็รู้เจ้าหมอนี่มันปกติเสียที่ไหน ทั้งหูหนวกทั้งปัญญาอ่อน”
   รัสเลอร์ย่นคิ้วกับคำพูดของรูฟัส เขาหันไปมองคนพาดพิง
   “นี่นายกล้าเรียกฉันว่าปัญญาอ่อนเรอะ!! นายคงไม่เข้าใจความคิดของอัจฉริยะหรอก!!”
   “ถ้านายไม่อยากมีรูเจาะที่กะโหลก นายควรจะเลิกทำตัวงี่เง่าแล้วพูดให้รู้เรื่องสักที” รูฟัสสวนกลับ เขาเริ่มคิดว่าบางทีเอาควรจะอัดเจ้าหมอนี่ก่อนที่ราฟาแอลจะทนไม่ไหว ลั่นไกออกมา  รัสเลอร์ยักไหล่
   “ฉันได้ยินว่านายพูดอะไรบ้าง แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือเรากำลังจะไปไหน เพราะดูในจีพีอาร์เอสแล้ว ฉันก็ไม่รู้จักอยู่ดีว่าสถานที่ที่ว่ามันตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่”
   รัสเลอร์ว่าและยกเครื่องจีพีอาร์เอสที่ว่าซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กขึ้นมาโชว์ให้อีกสองคนดู ราฟาแอลคิดว่าเขาอยากจะเอาเจ้าเครื่องนี่ฟาดหัวรัสเลอร์มากกว่าจะมองดูมัน หนุ่มผมสีบลอนด์พยายามสะกดจิตสะกดใจให้พูดออกไปโดยไม่ลงมือทำอะไร
   “มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่นายจะต้องรู้ว่าเราจะไปอยู่ในส่วนไหนของแผนที่ ที่นายต้องรู้คือเราจะเข้าไปด้านในห้องนั่นได้ยังไง!!”
   “ยังไงฉันก็จำเป็นต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดไหน จะได้คำนวณเส้นทางหนีได้ถูก” รัสเลอร์เถียง ในที่สุดรูฟัสก็เอ่ยปากออกมาอย่างสุดจะทน
   “งั้นก็หุบปาก เดี๋ยวพอถึงนายก็จะรู้เองนั่นแหละ!!” ราฟาแอลเค้นเสียงใส่ รัสเลอร์ทำท่าจะอ้าปากแย้ง แต่เสียงคนขับรถก็ดังขึ้นก่อ
   “ผมส่งพวกคุณได้ใกล้แค่นี้แหละครับ” เขาว่า และหยุดรถลงตรงริมถนนซึ่งล้อมรอบด้วยป่าละเมาะ และเนินดินเตี้ยๆ ท่ามกลางความมืดของยามกลางคืนที่เริ่มปกคลุมเข้ามา  รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะชี้ให้รัสเลอร์ดูตัวตึกสีขาวซึ่งเห็นเป็นเงาลิบๆ อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
   “ตึกนั่นแหละที่เราต้องเข้าไป” ราฟาแอลอธิบาย รัสเลอร์พยักหน้า รูฟัสหรี่ตามอง รูปทรงของมันคล้ายๆ กับตึกที่เขาเคยต้องเข้าไปขโมยแผนที่ แต่ดูจะกว้างขวางกว่า ได้ยินว่านี่เป็นโรงงานผลิตยาขนาดใหญ่อีกโรงหนึ่งซึ่งทวีศักดิ์เปิดขึ้นมาเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาแล้ว บางที่ห้องใต้ดินที่ว่าอาจจะมีโครงสร้างเดิมอยู่ก่อนแล้วก็ได้ แล้วค่อยมาเพิ่มเติมส่วนที่เป็นห้องลับอีกที รูฟัสหวังว่าแผนที่ที่พวกเขามีจะละเอียดพอที่จะผ่านเข้าไปยังห้องเป้าหมายได้
   “แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง” รัสเลอร์ตั้งคำถามอีก ราฟาแอลไม่ตอบ เขาลงจากรถ ก่อนที่รูฟัสจะผลักให้รัสเลอร์ลงตาม ในที่สุดสามหนุ่มก็ยืนอยู่บนถนนดินแคบๆ ที่อยู่ระหว่างดงป่าละเมาะสูงท่วมหัว คนขับรถเอ่ยลาพวกเขา แล้วขับรถจากไป
   “เอาล่ะ ได้เวลาหยิบไอ้เครื่องจีพีอาร์เอสของนายขึ้นมาแล้ว เราจำเป็นต้องใช้มันฝ่าดงป่าละเมาะนี่!!” ราฟาแอลออกคำสั่ง รัสเลอร์เงยหน้าขึ้นมองดงหญ้าตรงหน้า ที่ยิ่งมืดทึบลงเรื่อยๆ ขณะที่กำลังจะอ้าปากถามว่าจะเดินกันไปยังไง ราฟาแอลกับรูฟัสก็มุดหายเข้าไปในพงหญ้าเสียแล้ว หนุ่มผมสีน้ำตาลจึงได้แต่มุดตามไป
   “นี่ ราฟี่.... ไม่เปิดไฟฉายเหรอ?” รัสเลอร์เอ่ยถามหลังจากทนเดินอยู่ในความมืดฝ่าดงหญ้าและเหยียบลงไปในพื้นดินลุ่มๆ ดอนๆ ชื้นๆ แฉะๆ มากว่าสิบห้านาทีโดยปราศจากแสงสว่างใดๆ นอกจากแสงจันทร์ค่อนดวงที่เพิ่งหายลับไปกับกลีบเมฆ
ราฟาแอลไม่ตอบ ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ รูฟัสเองก็เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่รัสเลอร์ทำได้คือเดินเกาะกลุ่มกันคนพวกนี้เอาไว้ ก่อนที่ตัวเองจะหลงอยู่ในป่าละเมาะมืดๆ นี่จริงๆ
เขาไม่รู้ว่ารูฟัสกับราฟาแอลเดินอย่างสบายใจในที่แบบนี้ได้อย่างไร หรือเพราะสองคนนี่ผ่านการฝึกหนักในแบบที่เขาไม่เคยรู้นะ มันมีการฝึกที่ทำให้มองเห็นในที่มืดด้วยหรือไง
   ความจริงแล้ว รูฟัสกับราฟาแอลเคยเดินในที่ที่แย่กว่านี้ พวกเขาเคยผ่านสงคราม แม้จะในนามของกองทหารรับจ้างก็เถอะ เพราะอย่างนั้นแค่พงหญ้าที่ไม่มีกระสุนปืนและลูกระเบิดจึงดูดีกว่าเป็นไหนๆ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องน่าสบายใจนัก พวกเขาต้องอาศัยประสาทสัมผัส และสัญชาติญาณพร้อมด้วยประสบการณ์ในการเดินในความมืดแบบนี้
   ราฟาแอลส่งเสียงห่อปากเป็นสัญญาณให้เงียบ และย่อตัวลงต่ำเมื่อเดินมาได้อีกระยะหนึ่ง รูฟัสทำตามโดยสัญชาติญาณ ก่อนจะกระตุกให้รัสเลอร์ทำตามด้วย สามคนนั่งเบียดกันอยู่ในพงหญ้าโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็มีรัสเลอร์คนหนึ่งล่ะ
   “เสียงคนเดิน” รูฟัสกระซิบขึ้นเบาๆ คู่หูของเขาพยักหน้า
   “เราอยู่ใกล้แล้วล่ะ” ราฟาแอลกระซิบตอบ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือดิจิตอลขึ้นมา หน้าปัดของมันแสดงตำแหน่งแผนที่ที่พวกเขาอยู่
   “ดีใจที่นายใช้ของที่ฉันคิด อุ๊บ!!” รัสเลอร์ที่โพล่งออกมาถูกรูฟัสเอามืออุดปาก ราฟาแอลเลื่อนมือลงไปยังด้ามปืนตรงเข็มขัด เมื่อเสียงสวบสาบใกล้เข้ามา ทั้งสามคนเกือบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นลำแสงของไฟฉายวาบขึ้นบนหัว
   “มีอะไร?” เสียงหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนจะห่างออกไปทางด้านหลัง ได้ยินเสียงตอบกลับที่อยู่ใกล้ยิ่งกว่า
   “ไม่รู้ เหมือนได้ยินเสียงคนคุยกัน”
   “ใครจะมาคุยกันในพงหญ้าแบบนี้”
   “นั่นสิ สงสัยจะหูแว่ว” เสียงนั้นแสดงความคล้อยตาม ก่อนที่ทิศทางของแสงจากไฟฉายจะหันไปทางอื่น ทั้งรูฟัสและราฟาแอลถลึงตาใส่รัสเลอร์พร้อมกัน หนุ่มผมสีน้ำตาลทำหน้าเศร้า
   “ไม่ผิดแน่ ที่นี่แหละ” ราฟาแอลกะซิบขึ้น เขาแน่ใจว่าทางลับที่ว่าต้องอยู่ตรงนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องจัดคนมาเฝ้า ได้ยินมาว่าโรงงานแห่งนี้ก็มีการวางรั้วไฟฟ้าไว้เหมือนกับตึกที่เขาเข้าไปขโมยแปลน ดีที่ว่าบริเวณมันกว้างเกินกว่าจะวางรั้วได้รอบ ก็เลยมีบางส่วนต้องจัดคนมาเฝ้าแทน
โชคดีดจริงๆ ที่พื้นที่ส่วนนี้อยู่นอกอาณาเขตรั้วที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นเขาคงนึกไม่ออกว่าจะเอารัสเลอร์ผ่านเข้าไปด้วยวิธีไหน อาจจะต้องจับหั่นเป็นท่อนๆ แล้วใส่กระเป๋าไป
   รูฟัสพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงาน หนุ่มผมบลอนด์จึงบอกแผนขั้นต่อไป
   “เราต้องเข้าไปให้ใกล้กว่านี้ ให้รู้ว่าทางเข้ามันอยู่ตรงไหน”
   รูฟัสยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าตกลง เขาปล่อยมืออีกข้างจากปากของรัสเลอร์ และสะกิดให้คลานต่ำตามราฟาแอลไป ทั้งสามคลานๆ หยุดๆ จนมาถึงบริเวณที่มีแสงสว่างรำไรลอดเข้ามาตามช่องว่างขอกอหญ้า คงจะเป็นแสงของไฟฉาย ราฟาแอลล้วงกล้องส่องทางไกลแบบอินฟาเรทออกมาจากซองข้างเอว ใช้มันมองผ่านช่องว่างนั้น ก่อนจะส่งให้รูฟัสดู
   “ดูด้วยสิ” รัสเลอร์พยายามจะกระซิบให้เบาที่สุด หลังจากที่รออยู่นานแต่ไม่เห็นวี่แววว่าทางนั้นจะส่งกล้องให้เขา แถมยังทำท่าจะเอาเก็บเสียอีก รูฟัสหันมามองเขา และยอมส่งกล้องต่อให้ รัสเลอร์มองอยู่พักหนึ่ง ก่อนส่งคืนและส่ายหน้า
   “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เขาพึมพำ รูฟัสไม่ตอบ เขาหันไปมองหน้าราฟาแอล
   “นายแค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” หนุ่มผมสีบล็อนด์ตอบ รัสเลอร์พยักหน้า  แม้อยากจะถามหลายๆ เรื่อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงต้องเชื่อเจ้าพวกนี้ก่อน
   รอให้เข้าไปได้ก่อนเถอะ......
-------------------------------------------
   เตียงถูกยกมาเพิ่มในช่วงหัวค่ำ พร้อมกับเมี่ยงแวะมาทักทายฟ่งและวรุตด้วยชุดราตรีรัดรูปสีม่วงแดง คงเตรียมตัวจะเปิดร้าน
   “ดิฉันจะให้คนเตรียมเสื้อนอนเอาไว้ให้คุณนะคะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็โทรเรียกตามเบอร์ที่เขียนเอาไว้ที่โทรศัพท์ได้เลยค่ะ”
   ฟ่งเอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจ เขาไม่กล้าถามถึงเรื่องรูฟัสกับเมี่ยง และหล่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ดังนั้นบทสนทนาของพวกเขาจึงกินระยะเวลาไม่นานนัก
   “จะลงไปเที่ยวด้านล่างก็ได้นะคะ ถ้าคุณเบื่อ แล้วเจอกันค่ะ” หล่อนทิ้งท้ายก่อนจะจากไป  ฟ่งไม่คิดว่าเขาอยากจะกลายเป็นข่าวกับวรุตอย่างจริงจังนัก ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้อง เพื่อคิดทบทวนแผนการของเขา
   “คุณจะนอนทั้งอย่างนั้นเลยเหรอ?” เสียงของวรุตที่เอ่ยถามขึ้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขายันตัวขึ้นจากเตียง และหัวเราะแหะๆ  เด็กหนุ่มมองเขาด้วยความสงสัย  นี่ปกติฟ่งนอนโดยไม่อาบน้ำหรือกลัวจะอาบน้ำต่อหน้าเขาล่ะเนี่ย วรุตพยายามไม่ให้ตัวเองคิดเพ้อเจ้อมากเกินไป ฟ่งคงขี้เกียจนั่นแหละ
   “ผมไปอาบก็ได้” หนุ่มสวมแว่นว่า ก่อนจะหันมามองผู้ที่นอนอยู่อีกเตียง วรุตรีบตอบ
   “ผมอาบแล้ว”
   ฟ่งมองดูนาฬิกาดิจิดอลตรงหัวเตียง มันบอกเวลาสี่ทุ่มเศษแล้ว เขายกมือขึ้นเกาศีรษะแกร่กๆ คว้าผ้าเช็ดตัว และเดินเข้าห้องน้ำไป
   วรุตถอนหายใจเฮือก หลายเดือนที่ผ่านมา เขาพยายามไล่ตื้ออิทธิเดช ตามไปจนถึงคอนโด หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วย แล้วสุดท้าย เขาก็ทิ้งทั้งหมดมาอยู่กับคนที่เขาไม่เคยรู้จักหน้ามาก่อน  เพียงเพราะอยากจะปกป้องคนที่เขาคิดว่าไม่ควรจะถูกฆ่าด้วยน้ำมือของพ่อเขา
   เด็กหนุ่มแน่ในว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง  แม้ว่ามันจะดูบ้า แต่การที่พยายามช่วยเหลือคนบริสุทธิ์คนหนึ่งให้พ้นจากเงื้อมมือมัจรุราชเป็นสิ่งที่คนที่มีจิตใจปกติควรทำ ยิ่งมัจจุราชที่ว่านี้เป็นพ่อของเขาด้วย ยิ่งต้องช่วยเข้าไปใหญ่ ถึงอย่างนั้นวรุตก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป...
   อิทธิเดช........
   เสียงฝักบัวอาบน้ำที่ดังแว่วมาทำให้เขาอดนึกถึงผู้ชายหน้าหวานคนนั้นไม่ได้ อิทธิเดชมักจะใช้วิธีเลี่ยงเขาโดยอ้างการอาบน้ำเสมอ เสียงของสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายขาวเนียนที่ชำระตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อถ่วงเวลาเป็นที่คุ้นชินของเขาเสียแล้ว นั่นทำให้วรุตรู้สึกแปลกๆ เมื่อฟ่งออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
   “คุณน่าจะเช็ดผม” วรุตเอ่ยทักเมื่อเห็นว่ามีน้ำหยดออกมาจากเส้นผมของอีกฝ่าย ฟ่งชะงัก และยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยกผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดศีรษะ ช่างต่างกันเหลือเกิน คงเพราะฟ่งไม่ต้องมากังวลใจว่าจะถูกเขาทำอะไรล่ะมั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
   ทำไมฟ่งถึงไม่ใช่อิทธิเดช
   เขาอยากจะช่วยผู้ชายหน้าสวยคนนั้นมากกว่า คนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น คนที่เขาอยากจะอยู่ด้วย แต่จนใจที่ไม่ว่าจะทำยังไง ก็ไม่อาจจะลบเลือนความฝังใจที่อิทธิเดชมีต่อพ่อเขาได้  สุดท้ายเขาจึงต้องเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง  แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้เป็นที่รักอย่างศัตรูก็ตาม
   เขาไม่ได้อยากจะจากผู้ชายคนนั้นมาในลักษณะนี้เลย
   แต่ผู้ชายคนนั้นมาตามหาเขาเพราะคำสั่งของพ่อ นั่นคือสิ่งที่วรุตเจ็บปวดใจที่สุด  เพราะมันตอกย้ำว่าเขาไม่มีความหมายใดๆ ที่แย่กว่านั้นคือถึงแม้จะเจ็บปวดขนาดไหน เขาก็ไม่อาจจะลืมเลือนใบหน้าแสนสวยนั้นลงได้ 
ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจจะหยุดความปรารถนาต่อคนคนนั้นได้เลย
----------------------------------------------------
ฟ่งนั่งลงบนเตียง เขาคิดว่าเช็ดผมแห้งพอสมควรแล้ว ชายหนุ่มมองไปยังเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งนอนลืมตามองเพดานอยู่อีกเตียงหนึ่ง ก่อนจะถามออกไปเบาๆ
“นี่...นายหลับหรือยัง?”
คราวนี้วรุตเลยเป็นฝ่ายสะดุ้งบ้าง เขายันตัวลุกขึ้น และหันมามองฟ่ง “มีอะไรเหรอ?”
“คือ....” ฟ่งเอ่ยค้าง พยายามจะเรียบเรียงคำพูดให้ดูละมุนละม่อมมากที่สุด
“นายเล่าเรื่องห้องลับนั่นให้ผมฟังอีกรอบหนึ่งสิ ผมอยากจะฟังอีกน่ะ”
วรุตยิ้มกว้าง ที่แท้ฟ่งอยากจะฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว ถึงเขาจะเล่าไปแล้วหลายครั้งในตอนที่ราฟาแอลและเพื่อนของเขาถามเพื่อประกอบเป็นข้อมูลในการศึกษาแผนที่ แต่ก็คงเป็นธรรมดาของคนออกแบบที่อยากจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นซ้ำอีก ยิ่งเป็นอะไรที่ประหลาดมหัศจรรย์แบบนั้นด้วยแล้ว เขาเองยังนึกอยากให้ฟ่งไปเห็นเองเลย น่าเสียดายที่เจ้าตัวคงไม่มีโอกาส
“มันวิเศษมาก ผมพูดจริงๆ นะ คิดไม่ออกเลยว่าคุณวาดออกมาได้ยังไง คุณควรจะได้ไปดูด้วยตัวเอง” วรุตสรุปหลังจากบรรยายสิ่งที่เขาเห็นอีกรอบเสร็จแล้ว
ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ผมคงไม่มีโอกาสได้ไปดูหรอก”
พูดพลางช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างขอความเห็นใจ ด้วยหวังว่าวรุตจะยอมตกหลุมพรางที่เขาขุดล่อเอาไว้บ้าง แต่เด็กหนุ่มกลับพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม...จริงของคุณ ไว้จบงานนี้แล้วคุณค่อยเข้าไปดูดีกว่า”
“แต่ว่าจบงานนี้มันอาจจะถูกพังไปเลยก็ได้นะ” ฟ่งรีบแย้ง  วรุตย่นคิ้วอย่างจนใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องทำใจล่ะครับ ผมไม่เสี่ยงพาคุณเข้าไปตอนนี้หรอก” เด็กหนุ่มพูดเหมือนรู้ทัน ฟ่งหน้าหงอย
“แต่ผมอยากเห็นนี่” เขาพูดและช้อนตาขึ้นมองอย่างวิงวอนอีกครั้ง วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งอายุเท่าไรแล้ว ทำท่าอ้อนเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่พอได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาก็อดสงสารไม่ได้ ตอนนี้วรุตเริ่มเข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อรูฟัสถึงได้ขี้หึงนัก คงเพราะฟ่งชอบทำตัวแบบนี้ด้วยรึเปล่านะ
ในที่สุดวรุตก็โบกมือขึ้น เขาตัดสินใจหยุดเสียก่อนจะเกิดปัญหา
“ผมง่วงแล้ว เอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูด และล้มตัวลงนอนโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ ฟ่งหน้าหงิก เขาเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบ้าง
พรุ่งนี้คงต้องหาเหตุผลใหม่มาเกลี้ยกล่อมวรุต
ถ้าใช้ไม้นวมไม่ได้ ก็คงต้องเล่นไม้แข็งกันบ้างล่ะ....
-------------------------------------------------
**เปิดจองเล่ม6อยู่ที่หน้า6นะคะ เล่มก่อนๆ ยังเปิดรีปริ๊นอยู่ค่ะ รวมถึงเรื่องYes! Master.ที่จบไปแล้วด้วยค่ะ (โฆษณาจริงๆ :o8:)
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 07-08-2011 10:22:26
หายไปซะนานเลย
อ่านเรื่องนี้มา4ปีตั้งแต่ที่เด็กดี
แล้วยังตามมาที่เล้าอีก
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนได้นานเท่านี้มาก่อน
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้ามีสอบเรื่องนี้คงได้คะแนนเต็ม     
 :a5:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 09-08-2011 23:17:01
อ่า ช่างทรหด อึด อดทน อย่างยิ่ง
อ่านจนตาปูดแล้ว แต่ขอสารภาพว่าเพิ่งจะผ่านไปแค่ 3 หน้า
เราจะพยายามตามอ่านให้เร็วที่สุด
แต่ขอระบายหน่อย เรื่องนี้สนุกมากกกกกก
อยากจะนั่งอ่านมันทั้งวันทั้งคืนเลย  o13
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 10-08-2011 02:12:41
ตอนนี้ทำให้เรานึกไม่ออกว่ารัสเลอร์มีประโยชน์อะไรนะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 11-08-2011 10:56:24
ฟ่งเริ่มน่ารักกับรูฟัสแล้วจิ รักเค้าแล้วก็บอกไปตรงๆเล้ย :o8:
แต่ฟ่งก็ยังเป็นฟ่งอยู่วันยังค่ำ เดี๋ยวก็หาเรื่องเข้าไปจนได้แหละน่า :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 11-08-2011 22:57:54
โอ้ว! ตามมาจากเผิงเผิง  เรื่องนี้สนุกมวากกกกก!!
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-08-2011 16:00:06
บทที่51 Other side, behind thinking.

   คงเพราะไม่ต้องเผชิญความกดดันจากราฟาแอล และพวก แถมยังไม่ต้องระวังว่าใครจะบุกเข้ามากลางดึก ดังนั้นวรุตจึงหลับเป็นตายและพบว่าตัวเองตื่นสายโด่งในวันต่อมา
เด็กหนุ่มพลิกตัว มองนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะตรงหัวเตียง มันบอกเวลาสิบโมงครึ่งเข้าไปแล้ว เขายันตัวลุกขึ้น และเห็นว่าฟ่งไม่ได้อยู่ในห้อง
   อาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ได้
   วรุตคิด พลางรู้สึกว่าไม่น่าปล่อยให้ฟ่งคลาดสายตาเลย คำพูดที่ฟ่งพูดกับเขาเมื่อคืนเหมือนจะส่อเจตนาอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
   วรุตลุกจากเตียง เดินตรงไปยังห้องน้ำ เขาควรจะต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่ และออกไปตามหาฟ่งให้พบ
   ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เขาไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายสวมแว่นคนนั้นคลาดสายตานานนัก
------------------------------------------------
   ฟ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสระว่ายน้ำบนชั้นห้าของตึก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นอกจากห้องพักแล้ว ที่นี่จะยังมีสระว่ายน้ำในร่มอีกด้วย แต่ดูจากการตกแต่งแล้วอาจจะไม่ได้จงใจให้ใช้ประโยชน์เพื่อการออกกำลังกายเท่าไหร่ ออกแนวให้มาพักผ่อนเสียมากกว่า
สายลมเอื่อยๆ พัดเอาม่านไม้ไผ่บางๆ ที่แขวนกั้น บังสายตาของคนนอกจากตึกข้างๆ อยู่รอบสระว่ายน้ำทั้งสามด้าน ได้ยินเสียงระฆังลมแบบต่างๆ ที่ห้องเอาไว้ดังกริ๋งๆ
ชายหนุ่มเอื้อมตัวไปดื่มน้ำฝรั่งที่บริกรเพิ่งนำมาให้เขาเมื่อครู่จิบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากหัวสมองคิดเรื่องต่างๆ อยู่มากมาย ทั้งเรื่องของรูฟัส และเรื่องลับๆ ที่เขากำลังวางแผนจะทำ
ดังนั้น พอถึงรุ่งเช้า ฟ่งก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะไม่อยากแบะแฉะอยู่ในห้องพัก กับเด็กหนุ่มที่เขาเองก็ยังไม่รู้จักดี ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปคุยกับเมี่ยงเพื่อสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับพวกของรูฟัส แต่เมี่ยงไม่ได้พักอยู่ที่นี่ และการจะโทรไปถามก็ดูจะรบกวนจนเกินกว่าเหตุ ฟ่งจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย และได้รับคำแนะนำให้ขึ้นมานั่งเล่นที่นี่แทน
ฟ่งนั่งทบทวนแผนการของเขาใจในช้าๆ อีกครั้ง ไม่ว่ามองในมุมไหน ก็ดูเหมือนจะยากเหลือเกินที่จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนไปกับแผนการนี้ โดยเฉพาะเมี่ยง ซึ่งถูกฝากฝังได้ดูแลพวกเขาโดยตรง
   ชายหนุ่มถอนหายในอย่างหนักหน่วง ยันตัวขึ้นมานั่ง เอามือท้าวเข่าแล้วเอาหน้าเกยไว้ในฝ่ามืออย่างใช้ความคิดอีกครั้ง เขาไม่อยากทำให้เมี่ยงเดือดร้อน หรือจะตัดสินใจอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปอย่างนี้ดี บางทีเขาควรจะหัดอยู่เฉยๆ เสียบ้าง
   หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจอีกครั้ง ขยับไปใช้มืออีกข้างท้าวคางแทน เขาไม่ชอบใจความคิดที่จะอยู่เฉยๆ นี้เลย แต่ก็มั่นใจว่า คงไม่มีใครชอบความคิดที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้แน่ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจอีก และยกมือขึ้นลูบหน้า ขณะกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เสียงเอ่ยทักก็ดังขึ้น
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ?”
   ฟ่งสะดุ้งเฮือกหนึ่งแ ล้วหันไปหาเจ้าของเสียง วรุตเดินเข้ามา ท่าทางเจ้าตัวจะอาบน้ำแล้ว เพราะเสื้อผ้าคนละชุดกับของเมื่อวาน ชายหนุ่มยิ้มให้เขา “คิดถึงแฟนหรือครับ?”
   “อะ.. อืม” ฟ่งจำต้องยอมรับออกไป ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าไม่ค่อยจะได้คิดถึงรูฟัสเท่าไหร่นัก อีกอย่าง คำว่า“แฟน”ฟังดูน่าขนลุกพิลึก เมื่อใช้กับคนที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
   วรุตเดินมาแล้วลากเก้าอี้นอนมานั่งข้างๆ ก่อนจะพูดต่อ “เขาปลอดภัยอยู่แล้วล่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเขามืออาชีพนี่นา”
   “อืม...” ฟ่งส่งเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยจะยอมรับนัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก วรุตนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยายามจะหาเรื่องคุย
   “ฟ่ง ว่ายน้ำกันมั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวน พลางมองไปยังสระทรงกลมขนาดพอจะให้คนตัวใหญ่ๆ ว่ายกันได้สามสี่คน ฟ่งเงยหน้ามองสระน้ำ ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “น่า ลงไปว่ายน้ำกัน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นก็ได้นะครับ” วรุตพยายามจะตะล่อม เขาคิดว่าฟ่งคงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่อย่างนั้นฟ่งคงไม่ทำหน้ายุ่งขนาดนี้
   “ผมไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา” หนุ่มสวมแว่นตอบ และหันหน้ากลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางนึกว่าวรุตตั้งใจจะหลอกล่ออะไรเขาอยู่หรือเปล่า
   “อ้อ... งั้น ออกไปซื้อกันมั้ย?” วรุตพูดต่อ ฟ่งมองหน้าเขาอีกพัก แล้วพูดขึ้น “ผมกับนายกำลังถูกตามล่าตัวกันอยู่นะ จะออกไปได้ยังไง”
   วรุตยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “ไม่ใช่”ผม” แต่เป็น”คุณ”ต่างหากล่ะครับ”
   หนุ่มสวมแว่นทำหน้ายุ่งทันที ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น เด็กหนุ่มเลยรีบพูดต่อ “ออกไปข้างนอกกันไหมล่ะครับ ไปกับผม รับรองปลอดภัยแน่”
   “มันจะปลอดภัยยังไงน่ะ?” ฟ่งถามพลางทำหน้าสงสัย วรุตจึงอธิบายต่อ “ก็พ่อตามล่าคุณเพราะกลัวคุณปูดความลับใช่ไหมล่ะ แต่ในเมื่อคุณอยู่กับผมแล้ว พ่อคงไม่มีเหตุผลที่จะต้องตามล่าคุณแล้วล่ะ อีกอย่าง ตอนนี้พ่อผมคงยุ่งอยู่กับเรื่องนั้นจนไม่มีเวลามาสนใจคุณหรอก”
   พอเห็นฟ่งดูมีสีหน้าครุ่นคิดมากขึ้น วรุตเลยรีบพูดต่อ “แต่อย่ากังวลเรื่องห้องประชุมนั่นเลยนะคะ ผมว่าแฟนคุณเข้าไปแล้วกลับออกมาได้อย่างสะดวกปลอดภัยแน่ๆ พวกเขาเตรียมการกันพร้อมขนาดนั้นแล้วนี่”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับมายิ้ม “งั้น... ออกไปซื้อชุดว่ายน้ำกันเถอะ”
------------------------------------------------------------
   รัสเลอร์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับลงไปได้อย่างไร ท่ามกลางแสงแดดร้อนเปรี้ยงในตอนเที่ยงวัน สงสัยเพราะเมื่อคืนเขาต้องเผชิญกับฝูงยุงป่านับล้านที่มุ่งมั่นจะเจาะเอาเลือดของเขาไปตั้งอาณาจักรใหม่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะแสงแดดที่ส่องลอดพงหญ้าลงมา ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามีปากกระติกน้ำมาจ่อตรงหน้า
   “คิดว่านายจะหลับไม่ตื่นแล้วซะอีก” รูฟัสพูดด้วยสีหน้ายียวนเช่นเคย เจ้าหมอนี่เองที่ยื่นกระติกน้ำจ่อหน้าเขา
รัสเลอร์ฉวยกระติกน้ำมา แล้วดื่มลงไป พอน้ำแตะปากเท่านั้นแหละ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองกระหายน้ำขนาดไหน คงเพราะเสียเหงื่อจากอากาศร้อนและเสียเลือดไปเมื่อคืนนั้นแหละ
“เอาล่ะ พอได้แล้ว ยังต้องสำรองเอาไว้เผื่อจำเป็นอีกนะ” รูฟัสว่า และฉวยกระติกน้ำคืนไปทั้งอย่างนั้น รัสเลอร์ยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากปาก ก่อนจะเงยมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน พลางนึกสงสัยว่าเจ้าสองคนนี่ยังยืนทำหน้าเฉยอยู่แบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ทั้งๆ ที่ดูยังไงแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครได้หลับได้นอนเลยสักคน
เมื่อคำวาน ราฟาแอลตัดสินใจว่าจะต้องรออยู่บริเวณนี้เพื่อรอกำหนดทดสอบระบบ ซึ่งคงจะมีขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของวันรุ่งขึ้น รัสเลอร์เลยต้องเผชิญกับฝูงยุงป่าจำนวนมาก ในสภาวะร้อนชื้นที่เขาไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ถึงชุดจะทอมาด้วยเส้นใยที่ผ่านการวิเคราะห์มาเป็นพิเศษ ให้ทนทาน ยากต่อการฉีกขาด แต่ก็มีรูกว้างพอที่จะให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กๆ พวกนั้นสอดปากเข้ามาดูดเลือดได้ เห็นทีกลับหน่วยไปคราวนี้ เขาคงต้องของบมาวิจัยเนื้อผ้าที่สามารถป้องกันการกัดของยุงได้เสียแล้ว
“เอาล่ะ คุณรัสเลอร์ ตื่นนอนดีแล้วหรือยัง?” ราฟาแอลถาม และยกน้ำขึ้นมาจิบบ้าง รัสเลอร์มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถูกทุบเข้าที่ไหล่อย่างแรงทีหนึ่ง
“ฉันว่านายตื่นแล้วล่ะ” หนุ่มผมสีบล็อนด์พูดพลางแค่นยิ้ม ขณะที่รัสเลอร์หน้านิ่วกิ่ว แรงทุบทำเอาเขาตาสว่างจริงๆ แต่ก็พาลทำให้รู้สึกว่าสะบักไหล่จะจมหายลงไปในกล้ามเนื้อปอดด้วย
“อยู่นิ่งๆ เอาผ้าอุดจมูกไว้ แล้วอย่ากระดุกกระดิกจนกว่าพวกฉันจะให้สัญญาณนะ” ราฟาแอลขยับตัวเข้ามาใกล้ และสั่งด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่าเฉียบขาดอยู่ ก่อนจะล้วงกระติกบรั่นดีสีเงินออกมาจากซองคาดเอว
คราวนี้หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะโพล่งออกมา “ร้อนขนาดนี้พวกนายยังจะมีอารมณ์มาดื่มบรั่นดีกันอีกเรอะ?”
“ชู่ว!” ราฟาแอลส่งเสียง พลางเอามือปิดปากรัสเลอร์ทันที “ถ้ายังอยากอยู่ไปจนหัวหงอกล่ะก็ หัดหุบปาก ไม่ก็พูดให้มันเบาๆ หน่อย”
คนถูกอุดปากพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่มือของอีกฝ่ายจะเลื่อนออกไป
“พวกนายจะทำอะไรกัน?” รัสเลอร์กระซิบถาม ราฟาแอลหันไปมองรูฟัสซึ่งกำลังส่องกล้องดูอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันมาอธิบาย
“การทดสอบระบบกำลังจะเริ่มในอีกราวๆ สิบนาที เราจับสัญญาณวิทยุของพวกนั้นได้ตอนนายหลับ”
“ใช้ลิซ่า11 ที่ฉันให้ไปใช่ไหม?!” รัสเลอร์พูดออกมาอย่างยินดี ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะรีบพูดต่อ “เอาล่ะ ฉันอยากให้นายอยู่เงียบๆ ห้ามขยับไปไหน รักษาตำแหน่งเอาไว้ แล้วหาอะไรมาอุดจมูกซะ”
“ราฟี่” รูฟัสหันมาเรียกชื่อเขาเบาๆ ก่อนจะสงสัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมเรียบร้อย จากนั้นก็ล้วงขวดบรั่นดีสีเงินเล็กๆ ออกมาจากซองข้างเอว
“พวกนายจะทำอะไรกัน?” รัสเลอร์ถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นทั้งคู่ก้มต่ำ เหมือนจะแยกกันออกไปคนละทาง รูฟัสชายตามองกลับมาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบสั้นๆ
“ดวดเหล้า”
----------------------------------------------------------
   ชายวัยสามสิบเก้าย่างสี่สิบ ที่จากถิ่นฐานอันธุระกันดารมาทำงานในเมืองใหญ่ กำลังยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากใบหน้า แสงแดดที่แผดลงมากลางศีรษะ ทำให้เขานึกถึงวันคืนที่เคยย่ำอยู่ในท้องนาสมัยเด็ก  ชีวิตในเมืองบางทีก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านนอก ตำแหน่งการทำงานอาจจะเรียกต่างออกไป แต่ลักษณะของมันแทบจะไม่ต่างกันเลย  ตอนนี้เขาต้องอยู่เวรกะเช้ากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อเฝ้าพื้นที่ว่างๆ ที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้  หัวหน้าของเขาบอกเพียงว่าให้อยู่ห่างจากลานตรงกลางเข้าไว้ เพราะการทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่นาทีแล้ว
ดังนั้นเขาและเพื่อนจึงเดินมานั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้เล็กๆ ใกล้ป่าละเมาะซึ่งมีต้นธูปขึ้นสูงท่วมหัว ซึ่งดูจะเป็นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุดในบริเวณนี้แล้ว ขณะที่กำลังนั่งรอคำสั่งต่อไปจากวิทยุสื่อสาร เขาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นอะไรสักอย่าง ที่หอมเอียนๆ อย่างบอกไม่ถูก จากนั้นลานกว้างๆ ด้านหน้าก็เริ่มหมุนคว้าง แล้วสติสัมปชัญญะก็สิ้นสุดลง

   “อื้อหือ...แรงเกินคาดนะเนี่ย” รูฟัสพูดอู้อี้เพราะสวมหน้ากากกันแก๊สพิษขนาดเล็กอยู่ เขาเดินไปสมทบกับราฟาแอลซึ่งกำลังลากยามที่หมดสติสองคนเข้าไปซุกไว้ในพงหญ้า
   “ผมล่ะคิดว่าต้องใช้ซ้ำอีกรอบเสียอีก” รูฟัสพูดต่อหลังจากจัดการจัดท่าทางของยามเสียใหม่ ให้ดูเป็นท่าแอบงีบใต้ต้นไม้ ก่อนจะยกขวดบรั่นดีในมือเทลงใส่ยามทั้งสอง กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณทันที
   ราฟาแอลยักไหล่ ก่อนจะเก็บขวดบรั่นดีของตัวเองเข้าที่เดิม ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่เหล้า แต่เป็นยาสลบอย่างแรงที่จะระเหยทันทีที่สัมผัสกับอากาศ ดังนั้นการใช้มันจึงต้องอาศัยทิศทางลม และสภาพแวดล้อมเพื่ออำพรางร่องรอยอยู่พอสมควร
   “รัสเลอร์” ราฟาแอลส่งเสียงเรียกไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเสียงตอบกลับหรืออะไรอย่างอื่นนอกจากความเงียบ และแสงแดดยามเที่ยงวันที่แผดเผาลงมาเลย
   “ไม่ใช่ว่าสลบไปแล้วหรอกนะ” รูฟัสตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นว่ารัสเลอร์ยังไม่ยอมโผล่ออกมา เขาพับเก็บหน้ากากป้องกันแก๊สใส่กระเป๋าตรงอกเสื้อ
   “หรือไม่ก็โง่ เอามืออุดปากตัวเองจนสลบ” ราฟาแอลตั้งข้อสังเกตได้ดุเดือดยิ่งกว่า เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ขณะที่พงหญ้ามีเสียงสวบสาม ตามมาด้วยเสียงโวยวาย
   “นี่พวกนายเห็นฉันโง่ขนาดนั้นเลยเรอะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลว่า ขณะพยายามลุยโคลนแหวกพงต้นธูปเข้ามาหาเพื่อนร่วมงานทั้งสอง
   “ทำไมไม่บอกฉันก่อนว่ามียาสลบ ดีนะที่ฉันพกหน้ากากสุดยอดที่กันทุกอย่างได้   ไม่งั้นหลับไปแล้ว” รัสเลอร์พูดทั้งๆ ที่ยังหอบไม่หาย พลางทำไม้ทำมือประกอบ ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างรำคาญ รูฟัสจึงรีบพูดแทรก
   “ฉันคิดว่าอย่างนายแค่เอานิ้วอุดรูจมูกเอาไว้ให้แน่นก็น่าจะพอ แล้วนี่ทำไมนายออกมาช้า?”
   รัสเลอร์ยืดอกอย่างภูมิอกภูมิใจทันที เล่นเอารูฟัสรู้สึกคิดผิดที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป
   “ฉันกำลังเซ็ตอัพสุดยอดเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับแฮกกิ้งระบบขนาดจิ๋ว ที่ฉันเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มันสามารถเจาะระบบคอมพิวเตอร์แทบทุกอย่างบนโลกนี่ ฉันให้ชื่อมันว่า..”
   “โอเค  ฉันรู้แล้วว่ามันดี”   ราฟาแอลรีบตัดบท เขาไม่อยากฟังคำบรรยายสรรพคุณยาวยืดและชื่องี่เง่าที่รัสเลอร์ตั้งให้กับเครื่องมือประหลาดของตัวเอง
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากจะพูดชื่อเครื่องมือของเขาต่อ พื้นด้านล่างก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง ราฟาแอลหันหน้ามามองเพื่อนร่วมงานทั้งสองทันที
   “ได้เวลาแล้ว”
------------------------------------------------
   วรุตกำลังนั่งเผชิญหน้ากับฟ่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยมีลูกน้องคนหนึ่งของเมี่ยงคอยจับตาดูเขาอยู่ห่างๆ เขากำลังจ้องผู้ชายสวมแว่นตรงหน้าเขม็ง ด้วยนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
   ที่สำคัญ คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้.....
   วรุตรู้สึกพลาดท่าจริงๆ ที่ชวนฟ่งออกมาข้างนอก เขาแค่อยากให้ฟ่งผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อยเท่านั้นเอง เมี่ยงให้ผู้ติดตามตามมาคุมห่างๆ ราวๆ สี่ถึงห้าคน โดยปล่อยให้พวกเขาเดินเลือกซื้อของอย่างสบายอารมณ์ ฟ่งเองก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น แต่วรุตเพิ่งมารู้ว่า ที่ฟ่งแสดงต่อหน้าเขาทั้งหมดเป็นแผนอย่างหนึ่ง
   “ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ผมอยากเข้าไป”
   วรุตถลึงตามองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ขากลับ เขาเห็นฟ่งหันหน้ามองร้านอาหารจนเหลียวหลัง เลยคิดขึ้นได้ว่าฟ่งอาจจะหิวข้าว จึงชวนกันทานอาหารที่ร้านนั้น และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาที่ยากเสียยิ่งกว่าการหลบคนของพ่อตัวเองเสียอีก
   “ทำไมคุณถึงได้อยากจะเข้าไปนัก?” วรุตถามเสียงเครียด แต่ก็เบาพอที่จะไม่ให้คนของเมี่ยงได้ยิน ฟ่งเลิกคิ้ว พลางใช้ส้อมเขี่ยเส้นสปาเก็ตตีในจาน
   “ก็ผมอยากเข้าไปนี่นา นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่า ผมควรจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง”
   วรุตจ้องมองเขาอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วพูดตอบ “ผมจะพาคุณเข้าไปดูแน่ๆ รับรองเลยครับ คุณรอให้จบงานนี้ก่อนก็พอ”
   “ผมจะมั่นใจได้ไงว่าเขาจะไม่ทำลายมันทิ้งก่อน” หนุ่มสวมแว่นเถียง วรุตขมวดคิ้วมองเขาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยทำท่าว่าอยากจะเข้าไปขนาดนี้นี่ คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”
   “ผมก็แค่อยากดูเท่านั้นแหละ” ฟ่งพูด พลางทำหน้าซื่อ แต่ชายหนุ่มรู้สึกไม่เชื่อถือเอาเสียเลย มันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้สิ
   บางทีอาจเพราะ ผู้ชายตาสองสีคนนั้น....
   “ฟ่ง ผมว่าคุณน่ะอย่าพยายามจะเข้าไปที่นั่นตอนนี้เลยดีกว่านะ” วรุตพูดเสียงเข้ม “ถึงคุณเข้าไปก็ช่วยอะไรแฟนคุณไม่ได้หรอก จะเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า”
   ฟ่งทำจมูกย่น ก่อนจะพูดไปข้างๆ คูๆ “ผมแค่อยากเข้าไปดูเฉยๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย”
   วรุตถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “เอางี้ดีกว่านะครับ เดี่ยวเราไปดูหนังกันดีกว่านะ คุณจะได้สบายใจ”
   “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกัน” อีกฝ่ายเถียง วรุตพยายามตะล่อม “ไปดูหนังกันนะครับ เห็นว่ามีเรื่องสนุกๆ เข้าด้วย ไปกันเถอะ”
   เด็กหนุ่มพูดพลางทำท่าจะเรียกบริกรมาคิดเงิน แต่ถูกฟ่งห้ามไว้ “เดี๋ยวสิ ผมยังทานไม่หมดเลย”
   “โอเคครับ งั้นทานให้หมดนะครับ แล้วเดี๋ยวไปดูหนังกัน” วรุตพูด พลางจ้องหน้าฟ่งเขม็ง ฟ่งทำหน้าหงิกอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการสปาเก็ตตีในจานต่อ พอทานไปได้สักพัก เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดอะไรอยู่พักหนึ่ง จนคนนั่งตรงข้ามต้องเอ่ยถามขึ้นอีก
   “คุณจะโทรหาใครน่ะ? โทรศัพท์คุณไม่มีซิมไม่ใช่เหรอ?”
   “ผมซื้อใหม่แล้ว ตอนเช้าผมแวะไปร้านสะดวกซื้อน่ะ” ฟ่งพูด พลางยกโทรศัพท์ขึ้นแสดงเบอร์ที่กำลังจะโทรออกให้วรุตดู ชายหนุ่มเขม่นมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบิ่งตากว้าง
   “ฟ่ง!”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงในลำคอ พยักหน้า แล้วรั้งโทรศัพท์เข้ามาหาตัว “ผมว่าจะลองโทรฯหาเขาดูน่ะ เผื่อเขาจะพาผมเข้าไปได้”
   “คุณจะบ้าเหรอ” วรุตร้องออกมา “รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?!”
   “ใครล่ะ?” ฟ่งย้อนถาม วรุตไม่ตอบ แต่พูดอย่างอื่นแทน “คุณส่งโทรศัพท์มาให้ผมดีกว่านะ”
   “ไม่ส่ง” อีกฝ่ายพูดสวนทันที วรุตพูดต่ออย่างทนไม่ไหว “คุณห้ามโทรหาเขาเด็ดขาด เขาไม่พาคุณเข้าไปหรอก เขาคงจะฆ่าคุณก่อนแน่นอน”
   “ไม่ลองไม่รู้นะ เขาเป็นคนสำคัญของที่นั่นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
   “ไม่ๆ อารัตน์ฆ่าคุณแน่ๆ ” วรุตพูดอีกครั้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฟ่งจะบ้าดีเดือดขนาดนี้ ฟ่งมีเบอร์รัตน์ แถมยังเอาขึ้นมาขู่เขาอีก แต่ขืนโทรหารัตน์ มันก็เท่ากับเอาหัวตัวเองไปใส่ไว้ในตะแลงแกงน่ะสิ
   “ฟ่ง คุณอย่าคิดบ้าๆ เลยนะ ถ้าคุณโทรหาเขา ยังไง คุณก็ไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี คนของคุณเมี่ยงเต็มไปหมด คุณอยากให้เธอเดือดร้อนหรือไง?” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม พอเห็นฟ่งมีสีหน้าครุ่นคิด เลยรีบพูดต่อ “เอาโทรศัพท์มาให้ผมนะ แล้วเราไปดูหนังกัน เชื่อผมเถอะนะ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา วรุตเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังเจรจาเกลี้ยกล่อมเพื่อช่วยตัวประกันอยู่ เสียแต่ว่าคนที่จับตัวประกัน กับคนที่เป็นตัวประกันดันเป็นคนคนเดียวกันน่ะสิ
   “ผมว่าผมจะลองโทรดู” ฟ่งพูดต่อ “ผมจะบอกเขาว่า ผมเขียนงานพลาดไปที่หนึ่ง ซึ่งเขาจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่งั้นจะทำให้โครงสร้างมีปัญหา”
   “เขาไม่เชื่อคุณหรอก เชื่อผมสิ” วรุตพูด นึกอยากทุบฟ่งให้สลบแล้วหามออกไป จับมัดมือมัดเท้าเอาไว้จริงๆ “ฟ่ง คุณคิดดีๆ นะ ที่คุณกำลังทำอยู่นี่มันเสี่ยงแบบงี่เง่าที่สุดเลย ไม่มีใครเขาอยากให้คุณทำแบบนี้หรอก”
   ฟ่งหน้าย่นทันที ก่อนจะกดโทรศัพท์
   “ฟ่ง!” วรุตร้องเสียงหลง ก่อนจะลุกพรวดและเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ออกมา จนโถเครื่องปรุงบนโต๊ะเกือบจะหล่นลงมาแตก ฟ่งยกโทรศัพท์หนี ก่อนจะมองหน้าวรุตด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่สุด วรุตขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าควรจะโมโหหรืออะไรดี เขาพยายามข่มใจพูดต่อ
   “ฟ่ง... วางโทรศัพท์ก่อน คุณต้องการอะไร คุยกับผมดีๆ ก่อนก็ได้”
   ฟ่งมองหน้าวรุตพักหนึ่ง ชายหนุ่มเลยรีบพูดต่อ “เรามาคุยกันดีๆ คุณอยากให้ผมพาเข้าไปที่นั่นใช่ไหม?”
   อืม”
   “งั้นวางโทรศัพท์ก่อนนะ แล้วผมจะพาคุณเข้าไป”
   ฟ่งเบิ่งตามองเขา ก่อนจะกดปุ่มวางโทรศัพท์
   “เอาล่ะ ผมขอโทรศัพท์คุณก่อนนะ” วรุตพยายามจะพูดต่อ ฟ่งสั่นศีรษะทันที “บอกผมมาก่อนว่าคุณจะพาผมเข้าไปยังไง?”
   วรุตเม้มปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบคำถามออกไป “ความจริง พ่อตั้งใจจะให้ผมเข้าร่วมประชุมอยู่แล้ว ในฐานะผู้สืบทอดกิจการน่ะ ผมจะบอกพ่อว่าคุณเป็นแขกพิเศษของผม เขาน่าจะยอมให้คุณเข้าไป”
   “แน่ใจนะว่าเขาจะยอมให้ผมเข้าไปน่ะ” ฟ่งถาม วรุตพยักหน้า เรื่องที่ทวีศักดิ์อยากให้เขาเข้าไปประชุมน่ะ จริงอยู่หรอก แต่เขาไม่คิดจะเข้าไป แล้วก็ไม่ต้องการจะพาฟ่งเข้าไปด้วย ถึงอย่างนั้น ในสถานการแบบนี้ เขามีแต่จะต้องตะล่อมฟ่งเอาไว้ก่อน ค่อยๆ เกลี้ยกล่อม พอกลับถึงห้องพักของเมี่ยงเมื่อไหร่ ค่อยจัดการยึดโทรศัพท์ มัดมือมัดเท้า ใส่กุญแจมือล่ามเอาไว้กับอะไรสักอย่าง ก็คงต้องทำแล้ว เขาคงจะปล่อยให้ฟ่งทำเรื่องเสี่ยงตายแบบนี้ไม่ได้ คนอื่นก็คงเหมือนกัน
   เหลือเชื่อเลยว่าแค่ผู้ชายคนเดียว จะทำให้คนอย่างฟ่งบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้
   ไม่สิ บางทีเขาอาจจะบ้าอยู่แล้วก็ได้ ไม่งั้นจะกล้าชกรัตน์หรือไง
   แต่วรุตคิดว่า เขาจะปล่อยให้ฟ่งงัดเอาลูกบ้าออกมาใช้ในเวลาแบบนี้ไม่ได้
   “โอเคแล้วนะครับ คุณทานให้เสร็จ ถ้าไม่ทานแล้วเดี๋ยวจะได้เรียกคิดเงิน แล้วเดี๋ยวผมจะโทรให้คนของพ่อเอารถมารับ” วรุตหลอกล่อฟ่งต่อ พอเห็นทางนั้นพยักหน้า และยอมทานสปาเก็ตตีในจานต่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง เดี๋ยวเขาจะชวนฟ่งเดินสักพัก หาเรื่องตะล่อมให้ฟ่งกลับไปที่คอนโดของเมี่ยงก่อน ไม่ก็ยอมขึ้นรถ จะได้มีโอกาสจับตัวเอาไว้โดยไม่ประเจิดประเจ้อ จากนั้นค่อยจัดการมัดเอาไว้ แล้วค่อยว่ากันอีกทีตอนถึงห้องแล้วก็แล้วกัน
------------------------------------
   ฟ่งทานสปาเก็ตตีในจานจนหมด แล้วจึงเรียกคิดเงิน ตอนที่เดินออกมาจากร้าน วรุตคิดว่าจะติดต่อกับเมี่ยงเพื่อมาให้รับตัวฟ่งกลับไป ขณะที่กำลังคิดว่าจะโทรศัพท์อย่างไรให้ฟ่งไม่สงสัยดี ด้านหลังของเขาก็ถูกจี้ด้วยอะไรบางอย่าง
   “ฟ่ง!?” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย และหันหน้ากลับไป ฟ่งจ้องเขาเขม็ง ดวงตาเป็นประกายวาวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
   “วิน” หนุ่มสวมแว่นเรียกชื่อเขากลับ แล้วยกมือขึ้นดันแว่น “ในมือผมมีใบคัตเตอร์ นายรู้สึกใช่ไหม? อย่าคิดจะเล่นตุกติกกับผมล่ะ”
   วรุตสูดหายใจเฮือก รู้สึกจริงๆ ว่ามีปลายของของมีคมบางอย่างจิ้มหลังของเขาอยู่ “ฟ่ง... ที่คุณกำลังทำอยู่นี่ มันอาชญากรรมแล้วนะ!”
   ปลายแหลมของมีดกดเข้ามาอีก คราวนี้วรุตคิดว่ามันเริ่มแทงเข้ามาในผิวหนังของเขาแล้ว
   “ผมเองก็ไม่อยากก่ออาชญากรรมหรอกนะ” ฟ่งตอบ “ถ้านายจะให้ความร่วมมือดีๆ บอกเบอร์โทรศัพท์แฟนหน้าสวยของนายมาซิ”
   “คุณจะเอาไปทำไมน่ะ” วรุตพยายามถามต่อเพื่อถ่วงเวลา เขาเคยหัวเราะฟ่ง ตอนที่เจ้าตัวถือมีดแล้วทำทำท่าจะขู่จับเขาเป็นตัวประกัน แต่คราวนี้เขาชักจะหัวเราะไม่ออกแล้ว เพราะพอถึงเวลาจริงๆ ฟ่งก็บ้าดีเดือดได้อย่างน่ากลัวเหลือเชื่อ ที่แย่ก็คือ แทนที่ฟ่งจะทำเพื่อเอาชีวิตรอด ดันทำเพื่อให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายแทนนี่สิ
   “ผมจะให้เขามารับเราที่หัวมุมถนนฝั่งโน้น”
   “หา?!” วรุตร้องเสียงแปลก ก่อนจะรู้สึกว่ามีดถูกกดลงมาอีกครั้ง
   “ถ้านายไม่อยากเจ็บตัวฟรี นายควรจะทำตามที่ผมบอก รับรองว่าไม่มีอันตรายอะไรกับนายแน่นอน”
   วรุตอยากเถียงออกไปจริงๆ ว่าฟ่งนั่นแหละที่จะเป็นอันตราย แต่ก็จนใจที่โดนจี้อยู่ คงจะพูดอะไรไม่ได้มาก เขาควรจะใจเย็นๆ พยายามเกลี้ยกล่อมฟ่งจะดีกว่า
   “ฟ่ง ผมว่าเราคุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่ถึงกับต้องทำแบบนี้หรอก!!”
   ปลายมีดที่กดลึกเข้ามาอีก ทำให้วรุตต้องหยุดพูด เขาชักนึกเสียใจว่าตัวเองพยายามช่วยผู้ชายบ้าๆ คนนี้ทำไมกันนะ ฟ่งพูดต่อ “บอกเบอร์โทรมาให้ผม ช้าๆ นะ”
   วรุตบอกเบอร์โทรศัพท์ออกไป
   “เบอร์นี้ยังไม่เปิดให้บริการนี่ บอกผมตรงๆ ดีกว่า อย่าคิดเล่นลูกไม้นะ”
   วรุตรู้สึกว่าฟ่งคงเป็นโจรที่เก่งที่สุดในโลก ที่ใช้แค่คัตเตอร์ก็จี้คนได้ ไม่สิ เขาอาจจะอ่อนแอเองก็ได้ ท้ายที่สุด วรุตก็ยอมจะบอกเบอร์โทรศัพท์ของอิทธิเดช และภาวนาให้อีกฝ่ายไม่กดรับ
   ฟ่งกดโทรออก สักพักก็ได้ยินเสียงรับสาย “สวัสดีครับ”
   “สวัสดีครับ ผม อภิวัฒน์นะ อยากได้ตัววรุตรึเปล่าครับ โอเคครับ งั้นเจอกันตรง....”
   วรุตคิดว่านี่บ้าไปแล้ว ฟ่งเสนอตัวเขาและกับการเอาคอตัวเองเข้าไปในปากจระเข้งั้นเหรอ?!
   “ฟ่ง ผมว่าคุณคิดให้ดีๆ ก่อนจะทำแบบนี้ดีกว่านะ นี่ไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลยนะ” วรุตพยายามพูดเกลี้ยกล่อม ซึ่งดูจะไม่ส่งผลอะไรมากนัก
   “ผมคิดของผมดีแล้วน่า” ฟ่งว่า และพูดต่อ “เอาล่ะ ค่อยๆ เดินออกไปนะ เราจะเดินไปด้วยกัน ที่ถนนใหญ่”
   “ฟ่ง นึกถึงคุณเมี่ยงบ้างเถอะ ทำแบบนี้เธอจะเดือดร้อนเอานะ” วรุตพยายามพูดอีก ฟ่งไม่ตอบอะไร ยังคงเอาปลายมีดคัตเตอร์จี้เขาอยู่ เด็กหนุ่มจึงจำต้องเดินออกไปตามคำสั่ง พลางนึกหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาไม่คาดฝันตรงหน้า
   ให้ตายสิ ทำไมเรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ!
-------------------------------------------------------
   อิทธิเดชกำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ตรงร้านอาหารใต้คอนโดในตอนที่ได้รับโทรศัพท์ มันเป็นหมายเลขที่เขาไม่รู้จัก อิทธิเดชจึงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกดรับ และถึงกับถือช้อนค้างเมื่อได้ยินข้อความที่อีกฝ่ายพูดลอดหูโทรศัพท์ออกมา
   หลังจากวางสายแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบจ่ายค่าอาหาร และกลับขึ้นไปบนห้องทันที
   วรุต....
   อิทธิเดชนึก ขณะเหน็บปืนพกเข้ากับสายคาดอกเสื้อ เขาสวมเสื้อแจ๊กเก็ตทับอีกตัว ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
   อภิวัฒน์.....
----------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-08-2011 16:03:38
   เมี่ยงแทบจะเป็นลม หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องคนหนึ่ง ที่หล่อนใช้ให้ตามฟ่งกับวรุตไป
   สองคนนั่นหนีขึ้นรถเก๋งสีน้ำเงินของใครสักคนออกจากห้างไปแล้ว
   เพราะฟ่งเป็นคนพาเดินออกไปเอง คนที่ติดตามไปเลยคาดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ เมี่ยงจัดการให้คนที่เหลือขับรถตามรถคันนั้นไป
   ขณะที่เพิ่งวางหูโทรศัพท์และยังตกใจไม่หาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
   “คุณเมี่ยงครับ”
   เมี่ยงอ้าปากค้าง ก่อนจะโพล่งออกไปทันที “คุณอภิวัฒน์!”
   “ครับ ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ที่ทำให้วุ่นวายแบบนี้”
   เมี่ยงรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ หล่อนรีบพูดใส่โทรศัพท์ “คุณอภิวัฒน์คะ ดิฉันให้คนขับรถตามไปแล้ว มีใครบังคับคุณอยู่รึเปล่าคะ?”
   “เปล่าครับ นี่เป็นความตั้งใจของผมเอง ให้คนเลิกตามเถอะครับ” ฟ่งตอบสายกลับมา เมี่ยงพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติเอาไว้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!
   “คุณเมี่ยงครับ ให้คนกลับไปเถอะครับ ผมไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมกำลังนั่งอยู่ในรถคนของคุณทวีศักดิ์ ผมจำเป็นจะต้องเข้าไปในห้องประชุมลับนั่น”
   “คุณอภิวัฒน์!!” หญิงสาวร้องเสียงหลง “คิดอะไรของคุณน่ะ รู้รึเปล่าว่าที่นั่นอันตราย ลงมาจากรถเถอะนะคะ คุณทำแบบนี้แล้วดิฉันจะไปแก้ตัวกับคุณรูฟัสว่ายังไงล่ะค่ะ”
   “รับรองว่าพวกเขาไม่ว่าอะไรคุณแน่นอนครับ ผมรับประกัน” ฟ่งตอบมา เมี่ยงขมวดคิ้ว ก่อนจะโพล่งออกไปอีกครั้ง “คุณอภิวัฒน์ อย่าบอกนะคะ ว่าคุณจะเข้าไปหาเขาน่ะ?!”
   “คุณเมี่ยงครับ ผมขอโทษจริงๆ แต่ช่วยเรียกคนกลับไปเถอะนะครับ รับรองว่าผมจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
   “คุณอภิวัฒน์!!” เมี่ยงเรียกชื่อคนปลายสายอีกครั้ง ในตอนที่สายถูกตัดไป หล่อนพยายามโทรซ้ำอีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกตัดสาย ในที่สุดทางนั้นก็ปิดเครื่องหนี
   หญิงสาวบีบมือแน่น ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ หลังจากผุดลุกเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดหล่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
   ไม่อยากเชื่อเลยว่า ความรักจะทำให้คนเป็นบ้าได้ขนาดนี้
---------------------------------------------------------
   วรุตรู้สึกใจหายวาบ ขณะที่เห็นว่ารถที่ขับตามมา หักเลี้ยวหลบออกไปจากเส้นทาง เขาหันไปมองฟ่งซึ่งยังคงใช้มีดจี้เขาอยู่ พลางนึกสงสัยว่านี่ใช่คนคนเดียวกับพี่เปิดประตูให้เขาเข้าไปในห้องคนนั้นจริงๆ หรือ?
   
   อิทธิเดชกำพวงมาลัยรถแน่น จนถึงตอนนี้เขายังคงงุนงงสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ สถาปนิกที่สมควรจะถูกฆ่าไปแล้วคนนั้น พาตัวเด็กเจ้าปัญหานี่มาให้เขา บางทีหนุ่มสวมแว่นคนนี้อาจจะมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่

   ฟ่งพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกจากปาก ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเขาจะทำอะไรแบบนี้ลงไปได้
   แต่ในเมื่อลงมือทำไปแล้ว ก็คงต้องกลั้นใจทำให้สุดๆ นั่นแหละ
-------------------------------------------------------------
   “เอาล่ะ บอกให้เขาขับรถไปที่ห้องประชุมนั่น” ฟ่งพูดใส่ข้างหูของวรุต คราวนี้ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่ได้”
   “ผมบอกว่าให้ไป” ฟ่งพูดอีก คราวนี้วรุตหันกลับมามองหน้าเขา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อย่างไม่กลัวปลายมีดที่จี้อยู่
   “เรายังไปที่นั่นไม่ได้” วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน “ถ้าผมพาคุณไปตอนนี้ คุณตายแน่ ที่นั่นมีแต่ลูกน้องพ่อผม ถ้าไม่เตรียมการแก้ตัวให้ดีก่อน อย่าหวังว่าคุณจะได้รอดเข้าไปเลย”
   ฟ่งจ้องหน้าวรุตอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “แล้วนายจะเอายังไง”
   “ไปที่คอนโดของเขาก่อน” วรุตพูดพลางพยักเพยิดไปทางอิทธิเดช “ผมจำเป็นต้องปั้นเรื่อง เราต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด และนั่นต้องเป็นเขา”
   ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อีกพักใหญ่ ท้ายที่สุดยังคงเป็นวรุตที่พูดต่อ “ฟ่ง คุณไม่ต้องเอามีดจี้ผมหรอก ผมบอกคุณเลยนะ ตอนนี้คุณพาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ข้อต่อรองอย่างที่สุดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผม คุณเข้าใจรึเปล่า?”
   ชายหนุ่มสวมแว่นถลึงตามองคนตรงหน้า และได้ยินเสียงฝ่ายนั้นพูดอีก “ฟังผมนะ ตอนนี้ชีวิตคุณอยู่ในกำมือผม แล้วก็กำมือพ่อผม คุณรู้ตัวเองไหม? ถ้าผมตาย คุณก็จบเสียยิ่งกว่าจบ คุณเชื่อใจผมรึเปล่า? ถ้าไม่เชื่อ คุณบอกขอโทษผมตอนนี้ เราจะกระโดดลงจากรถ แล้วไปหาคุณเมี่ยงกัน แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ก็เลิกเอามีดจี้ผมได้แล้ว”
   ฟ่งนิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมเอามีดออก วรุตถึงกับเบิ่งตาค้าง เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่า ฟ่งใช้ใบมีดคัตเตอร์ที่หักแล้วจี้เขา มิน่าเล่า ถึงได้มองไม่เห็นว่าหยิบออกมาตอนไหน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กับเรื่องนี้ดี
   “ผมไม่กะเอานายถึงตายหรอก” ฟ่งพูดสั้นๆ ก่อนจะเอาแขนเสื้อเช็ดรอยเลือดจากแผลที่โดนปลายมีดสะกิด หนุ่มสวมแว่นเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเงยขึ้นมองหน้าเขา
   “ชีวิตผมอยู่ในกำมือนายแล้ว”
   วรุตถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองบ้าได้ที่แล้ว แต่เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า คนตรงหน้าเขาบ้าได้ที่กว่า ชายหนุ่มกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะพูดออกไป
   “ขับรถกลับไปที่คอนโดของคุณซะ เดช”
   อิทธิเดชยังคงกำพวงมาลัยรถแน่น แต่ดูจากสีหน้าของวรุตแล้ว ตอนนี้เขาคงไม่ได้ขับรถไปในเส้นทางที่ชายหนุ่มต้องการแน่นอน ได้ยินเสียงวรุตพูดดังขึ้น “ผมบอกให้กลับไปที่คอนโดของคุณ”
   พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าไปยังที่นั่งคนขับ คว้าพวงมาลัยเอาไว้ ท่ามกลางความตกใจของอีกคนที่ยังนั่งอยู่
   “จะทำอะไรของเธอน่ะ!!” อิทธิเดชตวาด ขณะดึงพวงมาลัยรถกลับ ก่อนจะที่จะแฉลบไปชนกับรถที่วิ่งสวนมา วรุตแค่นหัวเราะ ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
   “คุณก็รู้ ผมจะทำอะไร ถ้าไม่อยากตายหมู่ ก็ขับรถกลับไปที่คอนโดคุณซะ”
   อิทธิเดชเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทาง ฟ่งยกมือขึ้นลูบศีรษะที่กระแทกกับกระจกรถจากการหักเลี้ยวเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่บ้าระห่ำที่สุดในโลก แต่พอเจอพฤติการณ์ฉวยพวงมาลัยของวรุตเมื่อครู่นี้แล้ว ฟ่งจำต้องคิดใหม่
   บางทีเขาอาจจะเจอคนประเภทเดียวกันแล้วก็เป็นได้
------------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินนำทั้งสองคนลงจากรถ ตรงไปยังห้องพักของตนโดยไม่พูดอะไรอีกตลอดทาง วรุตเดินคู่มากับฟ่ง และจับมืออีกฝ่ายแน่น ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “จำไว้นะ อย่าอยู่ห่างผมเด็ดขาด จะไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณ ถ้าผมอยู่ใกล้ๆ ”
   ฟ่งพยักหน้า ถึงไม่บอกเขาก็รู้ว่าควรจะเกาะวรุตไว้ให้แน่น เจ้าหมอนี่เป็นหลักประกันความปลอดภัยเดียวของเขาในตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาคงต้องจับตัวประกันอย่างที่เคยขู่เอาไว้จริงๆ
   ประตูห้องถูกเปิดออก ชายหนุ่มหน้าสวยเดินเข้าไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยวรุต และฟ่ง ทันทีที่ปิดประตู เสียงกริ๊กก็ดังขึ้น
   “ออกห่างมาจากเขาซะ” อิทธิเดชพูดขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยColt .45 สีเงินในมือ ที่หันปากกระบอกตรงไปยังชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฟ่งเบิ่งตาค้าง ขณะที่วรุตขมวดคิ้ว
   “พ่อไม่ได้บอกคุณหรือไง ว่าห้ามเล่นปืนต่อหน้าผมน่ะ”
   “วิน” อิทธิเดชเรียกเสียงเรียบ “ถอยออกมาจากเขาซะ ผู้ชายคนนี้จำเป็นต้องถูกเก็บ”
   ฟ่งยึดมือวรุตไว้แน่น แทบจะเกี่ยวแขนเอาไว้ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้หมอนี่ออกห่างอย่างเด็ดขาด วรุตยังคงเขม่นมองฝ่ายตรงข้าม
   “คุณจะฆ่าคนในห้องพักของตัวเองกลางเมืองแบบนี้เนี่ยนะ?” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “ไม่เอาน่า เก็บปืนเถอะ คุณก็รู้ ทำแบบนั้นมันอล่างฉ่างเกินไป”
   อิทธิเดชยังคงยกปืนค้างอยู่ ในที่สุดก็พูดออกมา “อย่างน้อย เขาก็ไม่ควรจะมีอิสระ เราต้องจับเขามัดไว้ แล้วค่อยจัดการอีกที”
   ฟ่งรู้สึกสะท้านสันหลังวาบ นี่เขาคิดผิดมากไปรึเปล่านะ ได้ยินเสียววรุตตอบออกไป “คุณไม่จำเป็นต้องจับเขามัดหรอก เขามีผมอยู่ รับรองว่าไม่ไปไหนแน่ คุณนั่นแหละ เก็บปืนลงได้แล้ว”
   ดวงตาสีดำหวานเยิ้มของอิทธิเดชเต้นระริกอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะยอมลดปืนลง
   “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามหลังจากเก็บปืนแล้ว เขายังคงจับตามองฟ่งด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
   “ไม่มีอะไร” วรุตตอบเสียงเรียบ และยุดมือฟ่งให้นั่งลงบนเตียงข้างๆ เขา “ผมแค่พาเขามาในฐานะแขกคนสำคัญ คุณเองก็กำลังเดือดร้อนเรื่องที่ผมหายไปอยู่ไม่ใช่หรือ?”
   อิทธิเดชมองไปยังวรุตด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
   “ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกคุณทวีศักดิ์ ให้จัดรถมารับเธอไปงานประชุม”
   “ไม่ต้อง ผมโทรเอง” วรุตพูด พลางยื่นมือออกไป “ส่งโทรศัพท์คุณมาให้ผม”
   หนุ่มหน้าสวยชะงักอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ ได้ยินเสียงวรุตพูดกรอกหูโทรศัพท์
   “ครับ พ่อ ผมเอง พอดีผมทำโทรศัพท์หายน่ะ ครับ ผมอยู่กับพี่เดชแล้ว เดี๋ยวผมจะเข้าไปพรุ่งนี้แล้วกัน มีแขกไปเซอร์ไพรส์พ่อด้วยล่ะ ไม่บอกหรอก เอาว่าพ่อต้องแปลกใจแน่ๆ ครับ แล้วไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
   เขาส่งโทรศัพท์คืนให้อิทธิเดช ก่อนจะหันไปหาฟ่ง “ฟ่ง คุณไปอาบน้ำก่อน”
   “?”
   “ผมมีธุระต้องคุยกับเขา คุณไปอาบน้ำก่อน” วรุตพูดซ้ำและปรายตาไปทางอิทธิเดช ฟ่งอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ยอมเดินออกไปง่ายๆ วรุตถอนหายใจออกมา หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำและล็อกดังแกร่ก
   “เราต้องคุยกันนิดหน่อยแล้วล่ะ คนสวย” ชายหนุ่มพูด อิทธิเดชยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพูดตอบ “ว่ามา”
   “ก่อนอื่นเลย เก็บปืนของคุณไปไกลๆ เขาเป็นแขกคนสำคัญของผม ต่อจากนี้ห้ามเอาปืนเล็ง หรือทำอะไรที่จะคุกคามชีวิตของเขาอย่างเด็ดขาด”
   “เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันเรื่องนี้” อิทธิเดชตอบเสียงเรียบ วรุตแค่นยิ้ม “ทำไมผมถึงสั่งไม่ได้ รู้ไว้ซะ อีกหน่อยผมก็จะกลายเป็นเจ้านายของคุณแล้ว คุณเลิกเอาใจพ่อซะทีเถอะ ทำให้ตายเขาก็ไม่เห็นความสำคัญของคุณหรอก”
   เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ วรุตก็พูดขึ้นอีก “รับปากผมสิ ว่าคุณจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับเขาอีก พ่อยกเลิกคำสั่งเก็บเขาแล้ว ทำไมคุณถึงยังจ้องจะฆ่าเขานัก”
   “เขาเป็นตัวอันตราย” อิทธิเดชตอบ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็โดนพูดแทรก
   “อันตราย? อันตรายตรงไหน? ตรงที่รู้ความลับทุกอย่างของห้องประชุมงั้นเหรอ แล้วไงล่ะ? เขารู้ เขาอยู่กับผม แล้วมันจะอันตรายตรงไหน คุณคิดว่าผมอันตรายหรือไง?”
   อิทธิเดชตอบไม่ออก วรุตเลยได้ทีย้ำอีก “งั้นเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าเขาซะ เลิกหลับหูหลับตาทำตามคำสั่งงี่เง่าของพ่อได้แล้ว”
   “วรุต” อิทธิเดชเรียกชื่อเขา พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด “เราจะคุยเรื่องนี้กันตอนหลัง เธอควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
--------------------------------------------------------
   ฟ่งอาบน้ำเสร็จและสวมเสื้อตัวเดิมออกมา เขาเห็นวรุตกับอิทธิเดชยังคงนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะอาบน้ำมากนัก แต่ฟ่งนึกไม่ออกว่าเขาควรจะทำอะไรต่อ ในเมื่อเรื่องมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็มีแต่จะต้องเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตเท่านั้น
   ในเมื่อเป้าหมายของเขาคือการเข้าไปในห้องลับนั่น การทำแบบนี้จึงเป็นแค่ตัวเลือกเดียวเท่านั้น ไม่ว่ามันจะปลอดภัยหรือไม่ก็ตาม
   วรุตหันหน้าไปมองฟ่ง แล้วหันกลับมามองอิทธิเดชอีกครั้ง “คุณช่วยออกไปก่อน ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”
   อิทธิเดชขมวดคิ้วมองอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก วรุตเลยพูดขึ้นอีก “ออกไปสิ เขาไม่ฆ่าผมหรอกน่า”
   ในที่สุดชายหนุ่มหน้าสวยก็ยอมเดินออกไป

   “อืม... ตกลงว่าไง” ฟ่งเอ่ยถามออกมาหลังจากลากเก้าอี้เข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว วรุตมองหน้าเขา แล้วพูดตอบ “ผมจะพาคุณไปในฐานะแขกของผม แต่ผมยังไม่ได้บอกคุณพ่อว่าเป็นคุณหรอกนะ พรุ่งนี้เขาจะให้คนมารับผม”
   หยุดไปสักพักหนึ่ง วรุตจึงพูดขึ้นต่อ “พอถึงที่นั่นแล้ว ผมจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย แต่ผมบอกคุณตรงๆ เลยนะว่า ผมไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะช่วยคุณได้สักกี่น้ำ ทางที่ดีที่สุดคือ คุณไม่ควรจะแยกตัวออกไปจากผม ผมแน่ใจว่าคงมีใครอยากเก็บคุณอยู่เหมือนกัน แม้ว่าพ่อจะเลิกคำสั่งฆ่าคุณไปแล้วก็เถอะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมล่ะ ในเมื่อผมไปกับนายแล้ว ทำไมถึงยังต้องเก็บผมอีก”
   “บางคนก็เป็นพวกบ้าเอาใจน่ะ” วรุตพูดเปรย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจริงจัง “อยู่ให้ห่างจากพี่เดชไว้ ผมว่าเขาอยากฆ่าคุณนะ เขาคงอยากเอาใจพ่อผม”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง “อืม ผมจะจำไว้”
---------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่50 p8 7/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-08-2011 16:07:24
   อิทธิเดชยืนพิงกำแพงอยู่หน้าห้องพักของตนเอง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากที่พยายามเงี่ยหูฟังเสียงของคนที่อยู่ในห้อง เขาก็ยังไม่สามารถจับใจความได้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้ทำอะไรกันบนเตียงของเขาหรอก
   ชายหนุ่มหน้าสวยขบริมฝีปากล่างของตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ดูแปลกและไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายอย่าง วรุตที่จู่ๆ ก็หลบหน้าเขาไป แล้วโผล่อยู่ที่คอนโดซึ่งสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์เช่าอยู่ จากนั้นก็ไล่เขากลับออกมา แล้ววันนี้ สถาปนิกคนนั้นก็เป็นคนโทรศัพท์มาบอกเขาว่าจะพาตัววรุตมาให้
   แล้วก็พามาได้จริงๆ
   อิทธิเดชรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง ตอนแรกวรุตมีท่าทีเหมือนว่าจะถูกอภิวัฒน์ขู่ แต่พอหลังจากนั้นก็เหมือนกันว่าวางแผนกันไว้ก่อนแล้ว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่สองคนนี้ตั้งใจจะทำเลยจริงๆ แต่ที่แน่ๆ สถาปนิกที่ชื่อภิวัฒน์คนนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องเก็บให้ไวที่สุด
   เพื่อความวางใจของทุกฝ่าย....
   ใช่ล่ะ.... เพื่อความวางใจ............
------------------------------------------------------------
   “คุณอภิวัฒน์” อิทธิเดชพูดขึ้น ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังนั่งทานอาหารมื้อเย็นกันอยู่บนห้อง เพราะวรุตให้เหตุผลว่าไม่อยากจะเดินลงไปเบียดคนด้านล่าง จะขับรถออกไปทานข้าวข้างนอกก็กลัวจะเสียเวลาพักผ่อน สุดท้ายทั้งสามคนจึงลงเอยโดยการสั่งอาหารมาทานบนห้องแทน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองคนถาม อิทธิเดชเป็นผู้ชายที่หน้าสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ ถ้าไม่พูดออกมาเขาคงคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามต่อ
   “คุณรู้จักกับคุณวรุตได้ไงน่ะ?”
   คราวนี้เป็นวรุตที่เงยหน้าขึ้นบ้าง “เราเจอกันโดยบังเอิญน่ะ” เขาตอบแทนทันที อิทธิเดชกะพริบตาครั้งหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
   “คุณมาที่นี่ทำไม?”
   “เขาเป็นแขกของผม” วรุตตอบแทนอีก อิทธิเดชปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ขณะที่ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ
   “อ้อ...” อิทธิเดชส่งเสียงในลำคอ “คู่ขาใหม่งั้นสิ”
   คราวนี้ฟ่งแทบจะสำลักข้าว เขารีบพูดออกมาทันที “ไม่ใช่นะ!”
   อิทธิเดชปรายตามองวรุตอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขัดขึ้น “คุณไม่ควรพูดแบบนี้กับเขา!”
   “ทำไมล่ะ?” หนุ่มหน้าสวยถามขึ้นต่อ “ฉันก็แค่เลียนแบบคำพูดเธอเท่านั้นเอง”
   “ผมไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น” วรุตพูด และจ้องหน้าอิทธิเดชเขม็ง “คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
   “เปล่า” คนถูกถามตอบเสียงเรียบ วรุตยังคงจ้องเขาไม่วางตา ผู้ชายคนนี้จะต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ เพราะปกติแล้วอิทธิเดชไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาในวงอาหาร
   “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ทำกับเขาแล้ว รู้สึกดีรึเปล่า? เขามีถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์เธอบ้างไหม? เหมือนที่เขาทำกับฉันน่ะ” อิทธิเดชหันมาทางฟ่งและพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์จนน่ากลัว ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ และกลืนน้ำลายเฮือก
   “เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับผมหรอก” ฟ่งตอบออกไป สีหน้าของอิทธิเดชยังคงนิ่งสนิท มีเพียงแพขนตางอนยาวเท่านั้นที่หลุบต่ำลง
   “งั้นหรือ....” ชายหนุ่มทอดเสียงต่ำ ก่อนจะพูดต่อ “งั้นเธอควรจะระวังเขาเอาไว้บ้าง เขาไม่ใช่คนน่าไว้ใจอะไรนักหรอก”
   “พูดพอรึยัง?!” เสียงวรุตดังขัดขึ้น พร้อมกับมือที่ยื่นมาคว้ามือของอีกฝ่ายไว้ อิทธิเดชขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ทางนั้นยื่นหน้าเข้ามา “คุณคิดจะทำอะไร ยุให้เขาระแวงผมเพื่อจะหลอกไปฆ่าหรือไง? เลิกฝันงี่เง่าที่จะเอาใจพ่อผมได้แล้ว ทำให้ตายเขาก็ไม่เหลียวแลคุณหรอก”
   “หุบปากเถอะ!” อิทธิเดชโพล่งออกมา และพยายามจะดึงแขนออก วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน “ถ้าอยากเอาใจเขานัก ทำไมไม่ทำให้ผมมีความสุขล่ะ บางทีเขาอาจจะพอใจคุณขึ้นมาบ้างก็ได้”
   “หึ!” อิทธิเดชแค่นเสียง พยายามใช้มืออีกข้างดึงมือของวรุตออก เด็กหนุ่มจึงคว้ามือข้างนั้นของเขาไว้ ก่อนจะกระชากขึ้นมาจากเก้าอี้
   “โอ๊ย!” อิทธิเดชร้องออกมา ขณะที่ฟ่งถอยกรูดออกจากโต๊ะทานข้าวในทันที เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า เด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตจะทำอะไรแบบนี้ได้ กับผู้ชายหน้าสวยคนนี้.....
   “หยุดบ้าทีเถอะ” วรุตตะคอก ขณะที่ทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา จนชนเก้าอี้ล้มระเนระนาด รวมถึงจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะบางส่วนก็หล่นลงไปด้วย
   “คุณมันก็แค่ของที่เขาบังเอิญเจอข้างทาง ของที่ใช้แล้วทิ้ง เขาไม่มีวันกลับมาเหลียวแลคุณหรอก ลืมตาขึ้นมาดูความจริงได้แล้ว”
   อิทธิเดชขบฟันจนสันกรามนูนขึ้นมา ขอบตาเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ “ใช่ ฉันมันของใช้แล้วทิ้ง แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นของเล่นของเธอต่อไปอีกแล้ว!” หนุ่มหน้าสวยกระชากเสียง ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกสุดแรง วรุตเซถลาไปชนเข้ากับตู้เสื้อผ้าเสียงดังโครม ขณะที่อิทธิเดชวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้อง โดยมีฟ่งยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงกลาง
-----------------------------------------------
   “ปะ... เป็นไงบ้าง?” ฟ่งเอ่ยถาม และเดินเข้าไปหาวรุต ซึ่งยังคงยืนจุกอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
   “มะ... ไม่เป็นไร” วรุตพูด และพยายามจะตะกายตัวลุกขึ้นมา ฟ่งพยุงเขาไปนั่งที่เตียง ก่อนจะกวาดตามองสภาพรอบๆ ห้อง ที่มีทั้งเก้าอี้ล้มระเนระนาด และชามข้าวที่คว่ำอยู่
   “นายไม่น่าทำแบบนี้” หนุ่มสวมแว่นพูด พลางมองดูเด็กหนุ่มที่นั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง
   วรุตถอนหายใจเฮือก และหลับตาลง “ผมรู้ แต่คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ เขาไม่สนใจผมสักนิด”
   ฟ่งอึ้งไปพักหนึ่ง “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... นายก็ไม่น่าจะทำกับเขาขนาดนี้”
   “คุณเคยรักใครขนาดคลั่งบ้างรึเปล่า?” วรุตพูด พลางหันหน้าขึ้นมองเขา ฟ่งกะพริบตาปริบๆ “ไม่เคย”
   “งั้นก็อย่ามาพูดเลย” วรุตว่าก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ฟ่งรีบพูดต่อ “เดี๋ยวสิ!”
   “ทำไม คุณสงสารเขาหรือไง?” วรุตหันหน้ากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพูดกระชากเสียง ฟ่งมองเขาอย่างอึ้งๆ ก่อนจะพยักหน้า
   “หึ” ได้ยินวรุตแค่นเสียงขึ้นจมูก จากนั้นฟ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงลงไป
   “สงสาร? คุณสงสารเขาทำไมกัน? เพราะว่าผมทำกับเขาอย่างนั้นน่ะหรือ? แล้วผมล่ะ? สิ่งที่เขาทำกับผม สิ่งที่คุณทำกับผม ผมมันไม่น่าสงสารงั้นสิ”
   “วิน!” ฟ่งเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนก เพราะมือทั้งสองข้างถูกกดแนบลงบนเตียง จากนั้นวรุตก็ตวัดตัวขึ้นคร่อมเขา
   “อย่านะ!!” หนุ่มสวมแว่นร้องเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายก้มลงกัดคอเขาอย่างแรง ร่างผอมบางสะดุ้ง จากนั้นก็ถีบออกไปเต็มแรง
   “โอ๊ย!!” วรุตร้องเสียงลั่น ขณะถูกถีบจนต้องถอยออกไป เขาพยายามจะเอื้อมมือคว้าอีกฝ่ายไว้  แต่ก็แตะได้แค่ปลายเสื้อนิดหน่อย ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะวิ่งผลุนผลันออกไปนอกห้อง
   “บ้าเอ๊ย!!”
--------------------------------------------------------
   ฟ่งหอบหายใจด้วยความตกใจปนงุนงง ผสมกับความโมโห เขายังรู้สึกถึงรอยกัดเมื่อครู่ ยังจำความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้นได้ และยังคงงุนงงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่ม
   หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจเดินตรงไปยังระเบียงซึ่งต่อกับบันไดหนีไฟ เพราะประตูกระจกเปิดอยู่ ณ ที่นั่น เขาพบอีกคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
   “คุณ........”
อิทธิเดชปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองออกไปต่อ ฟ่งก้าวเท้าออกไปตรงระเบียง มองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มหน้าสวย เม้มปากอย่างคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
เสียงพัดลมระบายความร้อนจากตัวอาคารซึ่งติดตั้งอยู่ใกล้ๆ ยังคงส่งเสียงแข่งกับเสียงลมพัดที่ด้านนอก ในที่สุด อิทธิเดชก็เบือนหน้ากลับมา แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณอภิวัฒน์
“ครับ?” ฟ่งหันหน้ากลับไปมอง และเห็นดวงหน้าสะสวยราวกับหญิงสาวมองตรงมา นัยน์ตาสีดำเชื่อมแสงของอิทธิเดชจับจ้องเขาอย่างแฝงความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ขาของฟ่งก้าวถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ ขณะที่มือของอิทธิเดชยื่นเข้ามาใกล้
-----------------------------------------------------------
   เกลียด.......
   อิทธิเดชไม่เคยรู้สึกถึงคำคำนี้อย่างชัดเจนเท่านี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่เขาถูกวรุตบังคับขืนใจ และใช้คำพูดเลวร้ายทิ่มแทงอยู่ทุกวี่ทุกวัน
   เกลียด.......
   อิทธิเดชตระหนักชัดถึงคำนี้ ทันทีที่เขาได้เห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ใบหน้าธรรมดาๆ ของผู้ชายที่ใส่แว่นตาหนาเตอะ ใบหน้าของผู้ชายที่ช่วงชิงความไว้วางใจของทวีศักดิ์ไปจากเขา
   ช่วงชิงวรุตไปจากเขา.....
   เกลียด.....
   ถ้อยคำเดิมๆ ผุดขึ้นมาซ้ำๆ ในหัวสมอง พ่วงด้วยคำอีกคำ
   ตาย.....
   อิทธิเดชมองเห็นมือของตัวเองยื่นเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น รั้วระเบียงไม่ได้สูงอะไรมาก แต่หากตกลงไปจากความสูงขนาดนี้... คำว่าตายคงอยู่ไม่ไกลนัก
   ผู้ชายคนนี้สมควรตาย....
   ตายเสียเถอะ!
----------------------------------------------------------
   “เดช!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นมา ทำให้ฟ่งชะงักตัวกึก พร้อมๆ กับมือที่ยื่นเข้ามานั้นก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน พอหันไปมองก็เห็นวรุตกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
   “คุณจะทำอะไรน่ะ?!”
   มือของอิทธิเดชที่ชะงักไปครู่หนึ่งยื่นปราดเข้าไปคว้าคอเสื้อของฟ่งเอาไว้ทันที ก่อนจะกระชากเข้ามา
   “ฉันแค่จะพาคนของเธอไปคืนให้” หนุ่มหน้าสวยพูด พลางเสือกไสคนที่ถูกกระชากคอเสื้อเข้ามาในทางเดินกลาง วรุตคว้าตัวฟ่งที่เสียหลักหน้าคะมำล้มทิ่มเข้ามาเอาไว้ ก่อนจะถลึงตามองหนุ่มหน้าสวยที่ยังคงยืนอยู่ตรงระเบียง
   “พากลับไปเสียสิ” อิทธิเดชพูดเสียงเรียบก่อนจะหันหน้าออกไปตรงระเบียงอีกรอบ วรุตมองเขาอีกพักหนึ่ง จากนั้นก็ลากตัวฟ่งออกไป
   “เบาๆ หน่อยสิ!” ฟ่งโวย ขณะถูกวรุตลากตัวกลับเข้ามาในห้อง คนถูกโวยใส่ไม่พูดอะไร แต่กลับเปิดประตูห้องน้ำออก แล้วผลักเขาเข้าไป
   “จะทำอะไรน่ะ?!” ฟ่งร้องเสียงแปลก เขายังไม่ทันได้ตั้งหลักดี วรุตก็กลับเข้ามาในห้องน้ำ พร้อมกับกุญแจมือ แล้วจัดการล็อกข้อมือข้างหนึ่งของเขาไว้กับที่จับข้างชักโครก
   “วิน!”
   “คุณควรจะอยู่เงียบๆ ” วรุตพูดออกมาเป็นครั้งแรก ฟ่งเห็นดวงตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มลุกวาวด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่สาเหตุนั้นมาจากเขาหรือ?
   วรุตมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
   “เดี๋ยว!!”
------------------------------------------------
   อิทธิเดชยังคงยืนอยู่ตรงระเบียงหนีไฟ ในตอนที่วรุตเดินกลับเข้ามา ชายหนุ่มหันหน้ากลับมามองเพราะเสียงฝีเท้า ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตาสีดำกว้าง เมื่อข้อมือถูกฉุดเอาไว้
   วรุตลากตัวชายหนุ่มหน้าสวยกลับมาที่ห้องโดยไม่พูดอะไร ระหว่างนั้นอิทธิเดชขัดขืนเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ถูกลากเข้ามาในห้องจนได้อยู่ดี
   “คิดจะทำอะไรของเธออีก!?” ชายหนุ่มหน้าสวยตวาด ก่อนจะถูกผลักลงไปบนเตียง วรุตถอดเสื้อของตัวเองออก แล้วกดมือของอีกฝ่ายลงไปบนเตียง ก่อนจะจับมัดเอาไว้ อิทธิเดชเบิ่งตากว้าง จากนั้นริมฝีปากของอีกฝ่ายก็บดขยี้ลงมาอย่างไม่มีความปราณี
   เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออก ก่อนที่สองขาของเขาจะถูกวรุตใช้เข่ากดอย่างแรง จนต้องร้องออกมา “โอ๊ย!”
   วรุตก้มหน้าลงบดจูบกับร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ด้านล่างอีกรอบ ฝ่ายนั้นแสดงอาการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด จนเขาต้องใช้มือบีบกรามของทางนั้นให้อ้าออก แล้วล้วงลิ้นลึกเข้าไป
   ลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ ขณะที่อิทธิเดชพยายามดิ้นรนอยู่ภายใต้ร่างสูงที่คร่อมตัวเขาเอาไว้อยู่
   “ปล่อย!”
   สิ่งที่เขาได้รับหลังจากหลุดคำนั้นออกไปคือ จูบที่รุนแรงกว่าเดิม และฝ่ามือร้อนผ่าวที่โลมลูบไปตามร่างกายของเขาอย่างหนักหน่วง อิทธิเดชหอบหายใจเสียงหนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองวรุต และเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงจัด พร้อมกันนั้นก็เหมือนเห็นมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
   “วะ...!” ริมฝีปากถูกประกบลงมาอีกครั้ง พร้อมกับดึงเกี่ยวเรียวลิ้นของเขาเข้าไปขบกัดอย่างรุนแรง อิทธิเดชสะดุ้งเฮือก วรุตถอดกางเกงของเขาออก จากนั้นก็เริ่มขบขย้ำริมฝีปากลงไปบนโคนขาอ่อน
   “อ๊ะ!!” อิทธิเดชผงะตัวขึ้นมาเมื่อวรุตขยับริมฝีปากขึ้นมาโลมเลียส่วนกลางลำตัวของเขา ก่อนจะผลุบมันเข้าไปในปาก และใช้ฟันขบมันเบาๆ
   ปกติแล้ววรุตไม่เคยทำแบบนี้กับเขามาก่อน ที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมักจะบังคับให้เขาตอบสนองความต้องการของตัวเอง โดยไม่เคยเล้าโลมเขาก่อนสักครั้ง ไม่เคยทำให้เขารู้สึกดี แต่ว่าครั้งนี้.........................
   อิทธิเดชนอนตัวแข็งทื่อ เพราะซี่ฟันที่ขบลงมาเริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าวรุตคงไม่ได้อยากจะให้เขารู้สึกดี คงแค่อยากเปลี่ยนวิธีทรมานเขามากกว่า ขณะที่กำลังกลัวว่าทางนั้นจะกัดลงไปอีกเมื่อไหร่ ปลายลิ้นร้อนจัดก็ตวัดรอบยอดปลายที่ยังคงแข็งตัวอยู่ในปาก จากนั้นก็เริ่มดูดดุนอย่างดุดัน
   ร่างผอมบางสะดุ้งตัวเฮือก ความซ่านเสียวประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว อิทธิเดชได้ยินเสียงตัวเองร้องครางอย่างน่าเกลียด ก่อนจะค่อยๆ แอ่นสะโพก ตอบรับการเล้าโลมนั้นอย่างลืมนึกถึงศักดิ์ศรี   
   เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นกอบสะโพกของเขาเอาไว้ ขยับริมฝีปากต่อเนื่องจนร่างผอมบางส่งเสียงครางไม่หยุด จากนั้นก็เริ่มดูดดึงมันอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนเสียงครางแตกพร่า
   อิทธิเดชตัวสั่นสะท้าน การเล้าโลมนี้ยังความเสียวซ่านมาให้เขาจนเกินเลยจากคำว่าพอ ลมหายใจของเขาขาดเป็นห้วงๆ ขณะที่ร่างกายสั่นกระตุกอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มพยายามพูดออกไป
   “ยะ... อ๊ะ... อ๊า!!” คำพูดที่พยายามจะพูดกลับกลายเป็นเสียงร้องครางน่าเกลียด อิทธิเดชรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ ความรู้สึกซ่านเสียวที่ประดังเข้ามาทำให้เขาแทบจะหยุดหายใจ จากนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มสอดปลายนิ้วเข้ามา
   “!!” ร่างผอมบางขบริมฝีปากแน่น ขณะที่ท่อนเอวสั่นกระตุกกึกๆ วรุตหยุดการเคลื่อนไหวทั้งปลายนิ้วและริมฝีปาก อิทธิเดชรู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนจัดที่กวาดรอบส่วนที่เพิ่งหลั่งออกไป จากนั้นก็คายทั้งหมดลงบนร่องสะโพก แล้วปลายนิ้วก็เริ่มขยับอีกครั้ง
   “ชอบแบบนี้หรือ?” เด็กหนุ่มพูดออกมาเป็นประโยคแรก อิทธิเดชสั่นศีรษะ และสิ่งที่ได้รับคือปลายนิ้วที่บุกเข้ามาอย่างดุดัน
   “อยากให้ผมทำแบบไหนล่ะ? ค่อยๆ เล้าโลม หรือรุนแรง? คุณชอบแบบไหน?”
   ร่างผอมบางยังคงสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำรามในคอเบาๆ จากนั้นก็ดึงนิ้วออก อิทธิเดชรู้สึกถึงความร้อนระอุที่จ่อเข้ามาด้านหลังของเขา
   ชายหนุ่มหน้าสวยครางเสียงพร่า ในตอนที่ทางนั้นเบียดความต้องการของตัวเองเข้ามาอย่างไม่รีรออะไรอีก ความเจ็บปวดวิ่งพล่านขึ้นมาตามเส้นประสาท
   “แบบนี้ล่ะ คุณชอบไหม? บอกผมสิ แบบไหนคุณถึงจะมองผม แบบไหนคุณถึงจะเกลียดผมเข้าไส้ แบบไหนคุณถึงจะขาดผมไม่ได้ แบบไหนคุณถึงจะมองแต่ผมคนเดียว” วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน พลางจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมามองตัวเอง อิทธิเดชได้แต่สั่นศีรษะ และขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นการกระแทกอย่างหนักหน่วงรุนแรงก็เริ่มต้นขึ้น
   ชายหนุ่มร้องเสียงลั่น ความรุนแรงที่ได้รับทำให้เขาแทบจะสิ้นสติ วรุตจับสองขาของเขาให้อ้ากว้างออกอีก แล้วกระแทกเข้ามาด้วยกำลังที่แรงกว่าเดิม
   “ลืมตาสิ ลืมตาขึ้นมามองผม จะเกลียดผม จะอยากฆ่าผมก็ช่าง ลืมตาขึ้นมาสิ!” วรุตคำราม และยื่นมือลงจับใบหน้าของอิทธิเดชให้เงยขึ้นอีกครั้ง
   “มองผม ผมอยากให้คุณมองผม”
   อิทธิเดชปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะความเจ็บปวดและความซ่านเสียวที่ทะลักเข้ามาในร่างกายอย่างยากจะเข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส และน้ำใสๆ ที่ไหลหยดลงมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น....
----------------------------------------------------------
   ฟ่งพยายามยกมือขึ้นอุดหู แต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนักเพราะอีกข้างถูกล็อกติดอยู่กับราวจับเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจเด็กผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด
   นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!?
   ฟ่งยอมรับว่าเขาอาจจะบ้า ที่พยายามพาตัวเองออกมาจากการป้องกันแบบนั้น เขาคิดความเป็นไปได้ไว้หลายแบบ ทั้งที่อาจจะถูกจับ ถูกฆ่า แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกขังอยู่ในห้องน้ำ แล้วต้องทนฟังอะไรแบบนี้
   ชายหนุ่มสวมแว่นไม่มีสติพอจะมาคิดอะไรเกี่ยวกับเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้มากนัก เพราะเสียงครางและเสียงหอบหายใจที่เขากำลังได้ยิน ทำให้ช่วงล่างของเขาปั่นป่วนอย่างห้ามไม่อยู่
   ตอนที่เขาทำกับรูฟัส เขาเคยร้องเสียงแบบนี้ออกมาบ้างรึเปล่า? แล้วฝ่ายนั้นจะมีอารมณ์เพราะเสียงของเขาไหม?
   ฟ่งอยากจะร้องออกมา ระหว่างเสียงครางกระเส่า และเสียงหอบหายใจ ปะปนกับเสียงลั่นของเตียงนอน สมองของเขานึกไปถึงเวลาที่ร่วมรักอยู่กับผู้ชายคนนั้น สัมผัสที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้ ฝ่ามือร้อนจัดที่โลมลูบตัวเขา ส่วนร้อนระอุที่ค่อยๆ ดันแทรกเข้ามา สร้างความสุขสมอย่างไม่น่าเชื่อให้กับร่างกายอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
   ฟ่งค่อยๆ เลื่อนมือจากหู ไปยังส่วนที่กำลังคัดคั่งนั้น หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมาช้าๆ ในตอนที่เขาปลอดปล่อยความต้องการด้วยความรู้สึกสับสนอย่างที่สุด
   รูฟัส...................
------------------------------------------------   
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-08-2011 21:44:55
เชียร์คู่วินกับเดช เมื่อไรจะดีกัน จะเข้าใจกันซักที รีบๆ ดีกันเหอะนะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-08-2011 22:28:05
และฟ่งจะได้เจอกับเฟิงปิงที่นั่น  นี่คงแค่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเองนะ
รูฟัสเห็นฟ่งที่นั่นคงอยากจะกลั้นใจตายแน่ ๆ ชักเห็นใจรูฟัสซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 14-08-2011 00:16:01
เข้ามาทีไรอ่านยาวทุกทีเลย 5555 อ่านซะเหนื่อย
กำลังลุ้นกับการเข้าลอบเข้าแดนศัตรูของรูฟัส แต่ทางฟ่งก็ป่วนมาก
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 14-08-2011 21:44:30
เง้อว์ เครียดแทนรูฟัสแฮะ =[]=" 
ขอบคุณคนเขียนฮะ!
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 15-08-2011 09:59:40
ฟ่งบ้ามาก ๆ เลยตอนนี้
แล้วก็อยากให้วินกับเดชเข้าใจกันเร็ว ๆ จะได้เลิกทรมานกันอย่างนี้ซักที
ตกลงเมี่ยงโทรศัพท์หาใครนะ อย่าเพิ่งให้เรื่องถึงหูรูฟัสก็พอ
ถ้าเข้าไปในงานได้คิดว่าอาจได้พบเฟิงปิงกับพี่ชายนะ ช่วยหิ้วออกมาแบบครบ 32 หน่อยก็จะดี
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 21-08-2011 09:19:06
เรื่องยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ มันจะเป็นยังไงต่อยังไงเนี่ย :เฮ้อ:
ฟ่งนี่ก็ชอบทำให้ยุ่ง :เฮ้อ: วินก็ :เฮ้อ: เดชก็ :เฮ้อ:
แต่ละคน คิดกันเอาเองเก่งกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-08-2011 09:56:51
**ท่าทางต้องจั่วหัวเรื่องนี้ว่า "ไม่เหมาะกับการอ่านคลายเครียด" ซะแล้ว...

ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนจะจั่วไว้แล้วว่า...เรื่องมันค่อนข้างซีเรียส (โดนโบก)

แวะมาแปะตอนต่อแล้วค่า

-----------------------------------------
บทที่52 ความเปลี่ยนแปลง

   ฟ่งสะดุ้งตื่น และถอยตัวไปด้านหลังตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นร่างที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ วรุตเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาไขกุญแจมือออกให้ ฟ่งรีบดึงมือออก และถอยหลังจนติดกับฝาผนัง ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
   วรุตมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา   
   “ผมขอโทษ”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นมองคนตรงหน้า ความเงียบกินเวลาอยู่หลายชั่วอึดใจ ในที่สุดเขาก็พูดออกมา “ทำไมถึงทำแบบนี้”
   วรุตสูดหายใจลึก ก่อนจะระบายออกมาอย่างหนักหน่วง เขามองหน้าฟ่งอยู่อีกพัก ก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้เข้ามา และนั่งขวางประตูเอาไว้ ฟ่งถลึงตามองเขาทันที
   “ผม....” วรุตพูด พลางเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วถอนหายใจออกมาอีก “ผมจำเป็นต้องขังคุณเอาไว้ เพราะผมไม่รู้ว่าคุณจะแอบหนีไประหว่างที่ผมไม่ได้มองรึเปล่า?”
   “อ้อ.....” ฟ่งลากเสียงยาว “นายกลัวผมจะหนี? นายคิดว่าผมจะหนีไปไหนกันล่ะ ถ้าผมคิดจะหนีแล้วผมจะลากนายออกมาด้วยทำไม?”
   “ครับๆ ” วรุตพูดและยกมือขึ้นห้าม “ผมยังไม่ได้คิดไปขนาดนั้นหรอก ผมแค่กลัวว่าคุณจะหนีเฉยๆ ดูที่คุณทำกับผมเมื่อวาน ผมไม่อยากเสี่ยงอีกแล้วล่ะ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พลางนึกว่าใครกันแน่ที่เสี่ยง วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง แล้วพูดต่อ
   “วันนี้ผมจะพาคุณไปที่ห้องนั้น แต่คุณต้องรับปากผมก่อนนะ ว่าจะอยู่กับผมตลอดเวลา เพราะผมจะพาคุณเข้าไปในฐานะแขกของผม”
   “อืม..” ฟ่งพยักหน้า พลางจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น
   “ผมไม่โกหกคุณหรอก” วรุตพูดต่อ และยิ้มขืนๆ ที่มุมปาก “คุณอาบน้ำล้างหน้าก่อนเถอะ ช่วงบ่ายๆ พ่อน่าจะให้คนเขารถมารับผมแล้ว เรื่องที่ใส่กุญแจมือคุณแล้วขังไว้ในนี้ ผมขอโทษจริงๆ ”
   ชายหนุ่มพูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฟ่งรีบพูดขึ้นบ้าง “เดี๋ยว!”
   วรุตหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ฟ่งมองหน้าเขาอยู่พัก แล้วพูดต่อ “เมื่อวานคุณข่มขืนเขา?”
   คราวนี้เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาทันที ก่อนจะพยักหน้า “ครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก”
   “..........” ฟ่งนิ่งอยู่สักพัก พอวรุตทำท่าจะเดินออกไป เขาจึงส่งเสียงขึ้นต่อ “อย่าเพิ่งไป”
   อีกฝ่ายหันกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย  ฟ่งขยับตัวให้นั่งตรงขึ้น ก่อนจะมองไปที่เก้าอี้ “นั่งก่อนสิ ผมว่าผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย”
   “ถ้าเรื่องพี่เดชล่ะก็ คุณอยู่เฉยๆ เถอะ ผมจัดการของผมเองได้” วรุตว่า ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดขึ้นมาทันที
   “ผมถามนายจริงๆ เถอะ นายอยากให้เขาชอบนาย หรืออยากให้เขาเกลียดนายกันแน่?”
   “ผมแค่อยากให้เขามองผม” วรุตตอบเสียงห้วน และทำท่าจะเดินออกไปจริงๆ คราวนี้ฟ่งเลยต้องรีบลุกขึ้นและดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้
   “นายชอบเขาจริงๆ รึ?”
   วรุตหันมา และขมวดคิ้วบ้าง “คุณจะรู้ไปทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย”
   “ไม่เกี่ยวหรอก” ฟ่งตอบ และพูดต่อ “ผมแค่อยากรู้ว่า คุณชอบเขา หรือแค่อยากจะเอาชนะพ่อตัวเองเท่านั้นแหละ”
   วรุตถลึงตามองเขาทันที “พูดอะไรของคุณน่ะ!”
   ฟ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามมองหาอุปกรณ์ป้องกันตัวไปพลาง คิดคำตอบไปพลาง “ผมพูดในฐานะคนนอกนะวิน จากพฤติกรรมที่นายแสดงออกมา ผมว่ามันเหมือนกับนายอยากจะเอาชนะพ่อนายโดยเอาเขามาอ้างมากกว่า”
   “คุณจะไปรู้ได้ไง?!” วรุตโพล่งออกมาทันที ฟ่งถอยกรูดไปที่อ่างน้ำ แล้วเล็งฝักบัวเอาไว้ กะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาจะเอาฝักบัวทุบหัวเจ้าเด็กนี่ก่อน
   “ผมไม่รู้หรอก ผมแค่พูดตามที่เห็น นายล่ะ? นายเคยเห็นคนรักกันเขาทำอะไรแบบนี้หรือไง? ถ้าผมรักนายแล้วทำแบบนี้บ้าง นายจะเชื่อว่าผมรักนายมั้ย?”
   “ผมไม่ได้อยากให้ใครเชื่อ” วรุตพูดอกมาด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมแค่อยากให้เขามองผม”
   “ทำไมถึงอยากให้เขามองนายล่ะ เพราะเขามองแต่พ่อนาย? นายแค่อยากจะเอาชนะพ่อที่อยู่ในตัวเขาเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มสวนคำออกไป “เขามองแต่พ่อ เขาไม่เคยมองผม ผมแค่อยากให้เขามองผมบ้าง”
   “ด้วยวิธีแบบนี้เนี่ยนะ” ฟ่งย้อน และพูดต่อ “นายนึกดู ถ้าเป็นนาย นายจะมองมั้ย สำหรับผมนะ ให้ตาย ผมก็ไม่มีวันมองคนที่ทำแบบนี้กับผมเด็ดขาด ผมบอกเลยก็ได้ ผมอาจจะโกรธ อาจจะเกลียดนาย แต่ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่อยากจะมองหน้าเลยล่ะ เคยได้ยินรึเปล่า ที่ว่าเกลียดจนไม่อยากจะหายใจร่วมด้วยน่ะ”
   วรุตชักนึกสงสัยว่าฟ่งผันตัวเองมาเป็นทนายสอบสวนเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่
   “คุณพูดถึงเรื่องนี้ทำไมน่ะ? ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย นึกสงสารอยากช่วยเขาอีกหรือไง?” วรุตถามขึ้น ฟ่งสั่นศีรษะ “เปล่า ผมอยากช่วยนายน่ะ”
   คราวนี้อีกฝ่ายเบิ่งตามองเขาทันที หนุ่มสวมแว่นยิ้มกว้าง และชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งก่อนสิ ผมว่าเราควรจะนั่งคุยกันดีๆ นะ แล้วอย่าเอากุญแจมือมาล็อกผมอีก”
   วรุตมีสีหน้ากระอั่กกระอ่วนอยู่พอสมควรเมื่อฟ่งพูดถึงเรื่องกุญแจมือ แต่ในที่สุดก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
   “ว่ามาสิ คุณจะช่วยผมแบบไหน?”
   ฟ่งมองหน้าวรุต และพูดตอบ “ตอบตัวเองก่อนสิ ว่านายชอบเขาแบบไหน อยากทำอะไรให้เขากันแน่?”
   วรุตเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหลุบสายตาต่ำลงอย่างครุ่นคิด สักพักก็พูดออกมา “ผมแค่อยากมีเขาอยู่ข้างๆ อยากเห็นเขามีความสุข ยิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนคนอื่นๆ “
   “แล้ว.... นายก็ทำกับเขาแบบนี้เนี่ยนะ?!” ฟ่งถามออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ วรุตเงยมองเขาด้วยใบหน้านิ่วกิ่ว “จะให้ผมทำไงล่ะ เขามองแต่พ่อผม ถึงผมไม่ทำแบบนี้ เขาก็ไม่มีความสุขอยู่ดี พ่อผมไม่หันกลับมามองเขาหรอก พ่อผมไม่เคยมองใครเลย กระทั่งลูกแท้ๆ ของตัวเอง ผม.....”
   วรุตเม้มปาก นึกทบทวนไปถึงความทรงจำที่มีเกี่ยวกับพ่อของตน พ่อเคยมองเขาตอนไหนกันนะ เท่าที่เขาจำได้ พ่อมักจะหันมามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปจัดการกับงานของตัวเองต่อ พ่อบอกว่าพ่อยุ่ง ทั้งหมดที่ทำอยู่ก็เพื่อเขาทั้งนั้น เพื่อเขา... เพื่อเขา พ่อเลยสนใจงานพวกนั้นมากกว่าเขางั้นหรือ...
   น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาสีดำสนิท มันเอ่อพ้นขอบนัยน์ตาแดงรื้น และกลิ้งหล่นลงบนใบหน้า หยดลงไปบนพื้น
   ฟ่งยกมือขึ้นแตะไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา “ผมมันบ้า คุณเองก็คงคิดว่าผมมันเลวใช่ไหมล่ะ... แทนที่ผมจะซาบซึ้งกับความพยายามของพ่อ ผมกลับไม่พอใจ ทุกอย่างที่พ่อหามาให้ ผมไม่เคยพอใจเลยสักอย่าง ผมมันลูกอกตัญญูของแท้เลย”
   ฟ่งบีบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา “แต่นายก็รักพ่อนายใช่ไหมล่ะ?”
   วรุตมองเขา จากนั้นน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ฟ่งถอนหายใจ เขาวางมือบนไหล่นั้น รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา
   “ผมรักเขา... ผมถึงได้เข้าใจว่า การรักคนอย่างเขามันทรมานแค่ไหน ผมเป็นลูก ยังพอจะเรียกร้องความสนใจจากพ่อตัวเองได้บ้าง แต่เขาล่ะ เขาที่เป็นแค่ลูกน้อง เป็นแค่คู่นอนที่พ่อผมยังจำได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เขาจะได้อะไรจากพ่อผม นอกเสียจากการถูกลืม”
   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ฟ่งพูดออกมา “ถ้าหากพ่อนายเกิดหันไปสนใจเขา นายจะมีความสุขรึ?”
   “เรื่องนั้นไม่มีทางหรอก” วรุตตอบ ฟ่งพูดต่ออย่างใจเย็น “ผมไม่ได้พูดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง ผมแค่อยากให้นายคิด ถ้าเกิดพ่อนายพอใจเขาขึ้นมาจริงๆ นายจะมีความสุขไปกับเขาได้แน่รึ? ถ้าเขายิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข ในขณะที่นายถูกเมินแบบนี้ นายรับได้จริงๆ รึ?”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ฟ่งยิ้มและพูดต่อ “บอกมาสิว่าที่นายพยายามทรมานเขาทั้งหมดนี่ เพราะนายกลัวว่าเขาจะได้ความรักจากพ่อนาย กลัวว่านายจะถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว กลัวว่าเขาจะมองคนอื่นแทนที่จะมองนาย”
   น้ำตาของวรุตไหลทะลักอาบแก้มอีกครั้ง เขาสั่นศีรษะ พูดเสียงเครือ “ไม่... ผมรักเขา ผม... ผมแค่อยากให้เขามองผม... ผมแค่..... แค่อยากได้รับความสนใจบ้าง”
   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้า พยายามจะกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ฟ่งยกมือตบไหล่ฝ่ายนั้นอีกรอบ ก่อนจะลูบเบาๆ วรุตสะอื้นจนตัวโยน เขาเม้มริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาไหลร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ฟ่งนั่งเงียบๆ รอจนกระทั่งวรุตเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
   “ผมควรทำยังไงดี?”
   ฟ่งยิ้มออกมา ก่อนจะยกมือทุบไหล่ของเขาดังป้าบ วรุตหน้าเสียทันที ก่อนจะหันมามองเขาอย่างตะลึงงัน ฟ่งเอียงคอมองเขา และยกมือขึ้นลูบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น
   “โอ๋ๆ หายเจ็บนะ เพี้ยง!”
   “ทำอะไรของคุณเนี่ย” วรุตโพล่งออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะขำดี ฟ่งตอบเขายิ้มๆ “นายชอบแบบไหนล่ะ ชอบตอบผมตี หรือชอบตอนผมปลอบ”
   วรุตเบิ่งตามองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ฟ่ง.. คุณนี่มันบ้า บ้าจริงๆ ด้วย”
   “ผมไม่ได้บ้านะ” ฟ่งเถียง และถามซ้ำอีก “ว่าไงล่ะ ชอบแบบไหน?”
   วรุตหันกลับมามองเขาอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก “คุณเป็นพี่คนโตหรือเนี่ย?”
   “เปล่า ผมเป็นคนกลาง มีน้องชายอีกคน อายุน้อยกว่านายสักปีสองปีล่ะมั้ง”
   “ว่าล่ะ...” วรุตคราง และถอนหายใจออกมา ฟ่งมองหน้าเขา แล้วถามอีก “ว่าไงล่ะ เลือกได้แล้วหรือยัง?”
   เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเอื้อมมือมาจับไหล่เขาบ้าง “ฟ่ง จบงานนี้น่ะ ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณนะ”
   “อืม.. ได้.... โอ๊ย!” ฟ่งร้องออกมาเมื่อถูกวรุตทุบไหล่เสียงดังป้าบ “ผมเลือกแล้ว แต่อันนี้ผมขอเอาคืนล่ะ”
“หนอย!!” ฟ่งร้อง และวิ่งไล่วรุตที่วิ่งหนีออกจากห้องน้ำไป
-----------------------------------------------------------------
   อิทธิเดชลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ในตอนที่ฟ่งวิ่งไล่วรุตออกมาจากห้องน้ำ หนุ่มสวมแว่นชะงักกึกทันทีที่เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายคนนั้น ก่อนจะไอขึ้นมาทีหนึ่ง
   “ผมลงไปซื้ออะไรกินแป๊บหนึ่งนะ” ฟ่งพูด และหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว วรุตรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นเลยขยิบตา แล้วกระซิบเบาๆ “ผมออกไปหน้าห้องนี่เอง นายเองก็ทำอย่างที่คิดเถอะ ผมจะคอยเอาใจช่วย”
   “อืม” วรุตส่งเสียง และปล่อยมือฟ่งให้เดินออกไป ทั้งๆ ที่ตัวเองยังงงไม่หาย พอหันหน้ากลับมาก็เห็นอิทธิเดชเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่งแล้ว
   “ฉันจะไปอาบน้ำ” หนุ่มหน้าสวยพูดเสียงเรียบ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ วรุตอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า อิทธิเดชจึงเดินเข้าห้องน้ำไป

   สายน้ำเย็นจากฝักบัวไหลรดร่างกายผอมเพรียวที่เต็มไปด้วยรอยช้ำสีแดงจางๆ อิทธิเดชพริ้มนัยน์ตาลงตอนที่สายน้ำนั้นกระทบเข้ากับใบหน้า เขาตื่นนอนได้สักพักหนึ่งแล้ว และนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างวรุตและคนที่ถูกขังเอาไว้ในห้องน้ำ
   ถึงจะได้ชินไม่ชัดทุกคำ แต่อิทธิเดชก็พอจะสรุปใจความเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันได้ และนั่นทำให้ชายหนุ่มสะท้านกายด้วยความหวั่นใจ
   เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าวรุตเกลียดชังเขา เพราะเคยมีอะไรกับผู้เป็นพ่อ จนถึงตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าวรุตรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่อีกเรื่องที่เขานึกไม่ถึงคือ วรุตจะชอบเขาด้วย
   อิทธิเดชตอบไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินเรื่องนี้ เขารู้เพียงว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุด
   วรุตจะเกลียดเขา จะทรมานเขาอย่างไรก็ได้
   แต่จะรักเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด
---------------------------------------------------------------------
   “พี่เดช” วรุตเรียกทันทีที่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ อิทธิเดชส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เด็กหนุ่มยืนรีๆ รอๆ อยู่พักหนึ่ง จนอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเสร็จ จึงพูดขึ้นต่อ
   “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
   อิทธิเดชยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองหน้า “ไปอาบน้ำซะ อีกเดี๋ยวท่านประธานคงจะให้คนเอารถมารับเธอแล้ว”
   “แต่...”
   “ฉันจะออกไปซื้ออะไรหน่อย” อิทธิเดชพูดแทรกขึ้น และเดินไปหยิบรองเท้า วรุตเดินตามไปทันที “เดี๋ยวสิ คุยกับผมก่อนไม่ได้หรือไง?”
   “ไปอาบน้ำซะ” หนุ่มหน้าสวยพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
----------------------------------------------
   “เป็นไงบ้างน่ะ” ฟ่งเปิดประตูเข้ามาและเอ่ยถาม เขาเห็นวรุตนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
   “เขาไม่ยอมคุยกับผม” เด็กหนุ่มตอบ ฟ่งขมวดคิ้วทันที “นายปล่อยให้เขาเดินออกไปเฉยๆ หรือ?”
   “ผมพยายามจะพูดแล้ว แต่เขาไม่ยอมฟังเลย” วรุตพูดเสียงเศร้า ฟ่งถอนหายใจ แล้วเดินมาหาวรุต
   “พยายามต่ออีกหน่อยเถอะน่า ก่อนหน้านี้นายยังพยายามจะตื้อเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเลยไม่ใช่หรือไง?”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขา ฟ่งยิ่ม แล้วตบไหล่วรุตอีก “นายทำได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้นายยังพยายามจนได้เจอผมเลยนี่นา”
   เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา “อืม... ผมจะลองพยายามดู”
   “นั่นแหละ ไม่แน่นะ บางทีเขาอาจจะอยากได้ยินคำนั้นจากปากของนายก็ได้” ฟ่งพูด วรุตมองเขา แล้วถอนหายใจ “คุณอย่าแอบหนีไปไหนก่อนนะ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะพูดต่อ “ไปเถอะน่า ผมไม่หนีไปไหนแน่”
   วรุตจึงลุกขึ้นยืน ก่อนออกจากห้องยังหันมามองเขาอีกรอบหนึ่ง แล้วเดินออกไป
   ฟ่งถอนหายใจออกมา และหวังว่าเด็กหนุ่มคงจะประสบความสำเร็จกับเรื่องนี้
   จะว่าไปแล้ว... เหมือนจะมีใครอีกคนอยากได้ยินคำบางคำจากปากเขาอยู่เหมือนกันนี่นา
   ฟ่งนึกละอายใจขึ้นมา เขาเองก็ยังไม่เคยบอกคำคำนั้นให้รูฟัสได้ฟังมาก่อนเลย ถ้าหากครั้งนี้รอดกลับออกมาได้ล่ะก็ เขาจะบอก... เขาจะบอกคำคำนั้น
   คำที่รูฟัสอยากได้ยินมากที่สุด
-----------------------------------------------------------
   “.................”
   รูฟัสแทบจะหยุดหายใจ เขา ราฟาแอล และรัสเลอร์กำลังหมอบต่ำอยู่หลังพงหญ้าใกล้กับลานดินกว้าง สัญญาณว่าจะเปิดทำการทดสอบระบบเพิ่งดังขึ้นมาจากวิทยุติดตามของยามที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อไม่กี่อึดใจนี่เอง รูฟัสจัดแจงสวมรอยเป็นยามเสร็จสรรพ ตอนนี้พวกเขากำลังรอ รอดูว่าทางหนีฉุกเฉินที่ว่าจะโผล่ออกมาในรูปแบบใด
   พื้นดินรอบๆ เริ่มมีแรงสั่นสะเทือนระดับต่ำ จากนั้นพื้นดินราบเรียบตรงหน้าก็ค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น ปลายมนสีเงินของวัตถุรูปทรงคล้ายไข่ไก่กลับหัวโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา
   ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที ลิฟต์รูปไข่ไก่กลับหัวตัวนั้นก็โผล่พ้นพื้นดินออกมาทั้งหมด ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ตามแผนผังที่พวกเขาได้ศึกษามาก่อนหน้านี้ ลิฟต์มีทั้งหมดสิบแปดตัว ตัวหนึ่งจุคนได้ประมาณยี่สิบคน ทั้งสิบแปดตัวนี้จะเรียงกระจายกันเป็นหกกลุ่ม กลุ่มละสามตัว แผ่กว้างออกไปในรัศมีราวๆ ครึ่งกิโลเมตร ดังนั้น นอกจากสามตัวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ยังมีฝุ่นดิ้นคละคลุ้งลอยอยู่ในพงหญ้าที่ไกลออกไปอีกด้วย
   ตามแผนอพยพที่แจ้งมาทางวิทยุสื่อสาร จะมีรถลีมูซีนเตรียมเอาไว้สิบห้าคัน ต่อลิฟต์สามตัว คำนวนแล้วก็คงพอดีกับพวกที่จะโดยสารลิฟต์ขึ้นมา พอดูจากรัศมีการกระจายของลิฟต์แล้ว ต่อให้เอาตำรวจทั้งกองพันมาปิดล้อม ก็คงยากจะจับไว้ได้หมดอยู่ดี อีกอย่าง ผู้มาร่วมประชุมในงานนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลจากต่างประเทศ ถ้าไม่มีหมายจับระหว่างประเทศมา อย่าหวังว่าจะทำอะไรได้เลย
   รูฟัสชักนึกสงสัยว่า การออกแบบนี้เป็นนโยบายของผู้ว่าจ้าง หรือเป็นความคิดของฟ่งล้วนๆ กันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลัง ต่อจากนี้เขาคงต้องระวังให้มาก ถ้าฟ่งจะรับทำงานให้ใครอีก ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องซวยซ้ำซวยซากแบบคราวนี้ก็ได้
----------------------------------------------------
   “ว้าว” รัสเลอร์ห่อปากและร้องออกมา “แบบนี้น่าจะให้หน่วยมาดูงานชะมัด” เขาพูด ขณะที่ผนังด้านนอกของลิฟต์ทรงไข่นั้นค่อยๆ แยกออกเป็นช่องสี่เหลี่ยม ทั้งสามคนยังคงหมอบนิ่ง เพื่อรอให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในลิฟต์พวกนั้น
   สักพัก เสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น “แอลสิบ สิบเอ็ด สิบสองเป็นไงบ้าง”
   “เรียบร้อยครับ” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงตอบไป และหันไปมองเพื่อนร่วมงานทั้งสอง
   “ตัวทางซ้าย” ราฟาแอลกระซิบ หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครโดยสารขึ้นมากับลิฟต์พวกนั้น รูฟัสพยักหน้า และจัดแจงเอาวิทยุสื่อสารกลับไปวางไว้ใกล้ยามสองคนที่นอนอยู่ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังลิฟต์ตัวที่สามที่เปิดค้างอยู่
   จู่ๆ ลิฟต์ที่เปิดนิ่งอยู่เกือบนาที ก็ค่อยๆ หุบผนังเรียบๆ ของมันเข้าหากัน ได้ยินเสียงราฟาแอลอุทานออกมา “แย่แล้ว รีบเข้าไปเร็ว”
   ทั้งคู่ออกวิ่งในทันที โดยไม่ลืมจะลากตัวรัสเลอร์มาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มร้องเหวอ ขณะที่ตัวเองถูกเหวี่ยงหน้าทิ่มเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มกระแทกกับกำแพงเสียงดังพอสมควร พอหันกลับไปก็เห็นราฟาแอลกับรูฟัสกระโจนผ่านช่องที่กำลังจะปิดนั้นเข้ามาพอดี
   “พวกนายจะฆ่าฉันเรอะ!?” หนุ่มผมสีน้ำตาลโวย และเอามือขึ้นลูบดั้งจมูกที่กระแทกเข้ากับผนังโลหะเต็มๆ ทั้งราฟาแอลและรูฟัสยักไหล่พร้อมกัน
   “ยังไม่ตายสักหน่อย จะโวยวายไปหาซากอะไร” ราฟาแอลว่า และหันไปดูผนังซึ่งเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งกระโจนเข้ามา และเห็นว่าทุกอย่างเรียบสนิทไม่มีกระทั่งร่องรอยบอกว่าตรงนี้เป็นประตู หรือแม้แต่ปุ่มเปิดปิด
   “ระบบอัตโนมัติ” รูฟัสว่า และลูบมือไปบนผนังพวกนั้นบ้าง ราฟาแอลพยักหน้า “ถ้าเกิดระบบพัง ติดอยู่ในนี้ก็ซวยบรรลัย”
   “เฮ้ๆ พวกนายลืมไปแล้วเหรอว่ามากับใคร” รัสเลอร์พูดขึ้น แล้วหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดราวๆ แปดคูณหกนิ้วออกมาจากกระเป๋าเป้
   “จะทำอะไรอีกล่ะ?” รูฟัสเอ่ยทักขึ้น รัสเลอร์ยังไม่ตอบในทันที เขาหยิบสายต่อพ่วงอุปกรณ์ออกมา เสียบปลายข้างหนึ่งเข้ากับตัวเครื่อง และเริ่มเคาะผนังลิฟต์ ขณะที่ตัวลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนลง
   “ฉันจะแสดงอภินิหารให้พวกนายเห็นเป็นขวัญตา” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า และแนบปลายอีกข้างของสายต่อพ่วงซึ่งดูเหมือนลูกยางลมดูดเข้ากับผนังลิฟต์ จากนั้นก็เริ่มเคาะนิ้วลงไปบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
   “จะตรวจสุขภาพลิฟต์หรือไงครับคุณหมอ” รูฟัสแหย่เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูมีสีหน้าจริงจัง รัสเลอร์ขมวดคิ้ว พลางนึกว่าน่าจะปล่อยให้เจ้าพวกนี้ทำงานกันเองจริงๆ ขณะที่ราฟาแอลเงยมองสำรวจไปรอบๆ
   “รูฟัส นายว่าลิฟต์นี่จะใช้เวลาสักเท่าไหร่กว่าจะถึงพื้น”
   “อืม...” รูฟัสส่งเสียงในคออย่างครุ่นคิด “ความสูงจากพื้นด้านล่างถึงผิวดินก็ประมาณหกสิบฟุต ดูเวลาจากที่ลิฟต์ขึ้นมาเมื่อกี้ ขากลับน่าจะใช้เวลาสั้นกว่าหน่อยนะ ผมว่าน่าจะสักหนึ่งนาทีได้”
   “อืม เราต้องเตรียมพร้อม ด้านล่างอาจจะมีคนรอดักอยู่ก็ได้”
   “อ้าวเฮ้ย แล้วที่วางแผนว่าจะออกไประหว่างที่ลิฟต์เลื่อนลงล่ะ” รัสเลอร์แย้งขึ้นมา ราฟาแอลหันมามองเขา แล้วพูดเสียงเรียบๆ “ฉันกำลังวางแผนสำรอง เผื่อว่านายจะเปิดไอ้ลิฟต์บ้านี่ไม่ทัน”
   “โห... พวกนายไม่คิดจะเชื่อใจกันเลยรึนี่ ทั้งๆ ที่ฉันออกจะเก่งกาจอัจฉริยะ ขนาดที่มีคนตั้งสมญาให้ว่าอัจฉริยะปิศาจแท้ๆ ”
   ราฟาแอลถอนหายใจออกมา ขณะที่รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เอาล่ะ ไอ้คุณอัจฉริยะรัสเลอร์ นี่มันผ่านมาสิบวินาทีแล้ว คุณจะเปิดประตูลิฟต์พวกนี้ได้รึยัง?”
   “เดี๋ยวซี่ แก้ไฟล์วอลล์มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง อีกอย่าง พวกนายจะออกกันไปทั้งๆ ที่ลิฟต์ยังวิ่งแบบนี้เลยหรือไง
   “เออ เปิดประตูให้ออกก็พอ เราออกกันไปได้แน่” ราฟาแอลหันมาตอบ รัสเลอร์มองหน้าเขา แล้วพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มไล่นิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์ดีดต่อ
   !!!
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่51 p8 13/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-08-2011 09:58:54
   เสียงลั่นเหมือนชิ้นส่วนโลหะแตกหักดังสะท้อนเข้ามาภายในตัวลิฟต์ จากนั้นทุกอย่างก็หยุดกึก ราฟาแอลและรูฟัสหันมองหน้ากันทันที ก่อนที่รัสเลอร์จะอุทานออกมา “แย่ล่ะสิ!”
   ยังไม่ทันสิ้นเสียงอุทาน เสียงลั่นของโลหะก็ดังสะท้อนเข้ามาอีกรอบ จากนั้นลิฟต์ก็เริ่มดิ่งตัวเองลงทันที
   “เฮ้ย รัสเลอร์ ทำอะไรของแกวะ!?” ราฟาแอลเอ็ดตะโรออกมา ขณะที่พยายามพิงตัวเองเข้ากับผนังลิฟต์ เพื่อหาที่เกาะในการลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้น
   “ไม่ใช่ฉันทำโว้ย” รัสเลอร์ร้องออกมา
“งั้นใครทำ?!” รูฟัสถามต่อ เขาแนบตัวเข้ากับผนัง แล้วหันไปถลึงตามองรัสเลอร์บ้าง เจ้าหนุ่มสติเฟื่องยังคงสาละวนอยู่กับการไล่นิ้วไปบนแป้นคีย์บอร์ด
“นี่แหละ ข้อผิดพลาดล่ะ” รัสเลอร์พูดต่อ “แก้แปลนโดนไม่คำนวณให้ดี มันเลยพังแบบนี้ไงล่ะ”
“งั้นนี่ก็เป็นโอกาสที่มันจะพังที่นายบอกว่าสามในสิบสินะ” รูฟัสพูดออกไป ได้ยินเสียงราฟาแอลพูดแทรกต่อ “งั้นก็ทำอะไรสักอย่างสิ จะให้โหม่งโลกไปทั้งแบบนี้หรือไง?!”
“กำลังทำอยู่นี่ไงเล่า ฉันว่าตอนนี้เราคงอยู่ห่างจากพื้นสักสามสิบฟุตแล้วล่ะ”
“ไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้นโว้ย นายเปิดประตูได้แล้ว อยากตายหมู่หรือไง!!” ราฟาแอลตะคอกออกมา ขณะที่ลิฟต์เริ่มดิ่งด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัสเลอร์รู้สึกว่าขาของเขาเริ่มลอยขึ้นจากพื้น ในตอนที่คอมพิวเตอร์แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำสั่ง
“เปิดได้ล่ะ”
-----------------------------------------------------------------------------
   วรุตเดินลงมาชั้นล่าง และพบอิทธิเดชกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ พอเห็นเขา หนุ่มหน้าสวยก็ผุดลุกขึ้นทันที
   “เดี๋ยวสิ คุยกับผมสักนิดหนึ่งไม่ได้เลยหรือ?” วรุตพูด และเดินเข้าไปขวางหน้าอิทธิเดชเอาไว้ ชายหนุ่มเดินเลี่ยงเขาออกไป แล้วพูดเรียบๆ “ถอยไป”
   วรุตฉวยข้อมือนั้นเอาไว้ อิทธิเดชจึงหันหน้ามาถลึงตาใส่เขา “ปล่อย”
   เด็กหนุ่มลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมจะปล่อยอีกฝ่ายไป หนุ่มหน้าสวยก้าวเท้าฉับๆ ออกไปด้านนอกคอนโดทันที
   “คุณจะไปไหนน่ะ?” วรุตถาม พลางวิ่งตามออกมา
   “ข้างนอก” อีกฝ่ายตอบเสียงห้วน
   “แต่คุณต้องไปห้องประชุมกับผมตอนบ่ายนะ”
   “?”
   วรุตยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเท้าลง “ผมบอกพ่อแล้วว่าจะพาคุณไปด้วย คุณต้องอยู่คุ้มกันผม”
   “เรื่องนั้นคนอื่นก็ทำได้” อิทธิเดชตอบ และออกเดินต่อ วรุตรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วฉวยมือเขาไว้อีกรอบ
   “พี่เดช ผมขอโทษ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดจาร้ายๆ กับคุณอีกแล้ว”
   “ปล่อยฉันได้แล้ว” อิทธิเดชพูดเสียงดังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง วรุตอึ้งไปสักพักแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ผิดกับที่ผ่านมา ชายหนุ่มหน้าสวยเดินตรงไปยังรถ ขณะที่เด็กหนุ่มยังคงตามอย่างไม่ลดละ
   “พี่เดช ผมขอโทษจริงๆ ผมจะไม่ทำอะไรร้ายๆ กับคุณอีกแล้ว ฟังผมสักหน่อยเถอะนะ”
   อิทธิเดชเปิดประตูรถ และผลักเด็กหนุ่มออก ก่อนจะติดเครื่อง วรุตยกมือขึ้นเคาะกระจก ในตอนที่รถเคลื่อนที่ออก
   “พี่เดช ฟังผมก่อน ขอร้องล่ะ”
   อิทธิเดชหลังตา และเหยียบคันเร่ง เขาคงจะฟังทุกอย่างจากปากของเด็กคนนี้ได้ แม้แต่ถ้อยคำเสียดแทงจิตใจที่สุด ทุกๆ อย่างๆ ยกเว้นคำคำนั้น.....
-------------------------------------------------
   วรุตวิ่งไล่ตามรถของอิทธิเดช พลางนึกสงสัยว่าทำไมอิทธิเดชถึงได้พยายามจะหนีจากเขานัก หรือเพราะเมื่อคืนเขาทำรุนแรงไป แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยทำยิ่งกว่านี้เสียอีก หรือว่าทางนั้นจะสิ้นสุดความอดทนกับเขาแล้ว
   วรุตใจเสียขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าอิทธิเดชไม่ฟังเขาแล้ว ถ้าฝ่ายนั้นเกิดไม่อยากจะเห็นหน้าเขาขึ้นมาจริงๆ ถ้าเกิดว่าไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก
   หรือเขาต้องกลับไปใช้วิธีเดิมๆ .............
   วรุตวิ่งไล่ตามรถ เขาตัดสินใจว่า จะพยายามให้ถึงที่สุดดูก่อน ถ้าหากมันไม่ได้ผลแล้วล่ะก็.... เขาคง.............
-------------------------------------------------
   อิทธิเดชเกือบจะเหยียบเบรกแทบไม่ทัน เมื่อพบว่าวรุตกระโดดเกาะท้ายรถของเขา เด็กหนุ่มตะกายตัวขึ้นมาด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวว่าจะตกลงไปศีรษะกระแทก
   “ทำอะไรของเธอ!” อิทธิเดชไขกระจกลงแล้วโพล่งออกมา วรุตยิ้มแหยๆ แล้วพูดตอบไป “ก็คุยไม่ยอมคุยกับผมดีๆ นี่ จะให้ผมทำไงล่ะ?”
   เสียงบีบแตรที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หนุ่มหน้าสวยต้องรีบพูดขึ้นต่อ “ขึ้นรถมาก่อน”
   “คุณลงมาเปิดให้ผมสิ ผมกลัวว่าถ้าผมลง คุณจะขับรถออกไปเลยน่ะ” เด็กหนุ่มต่อรอง อิทธิเดชจึงเปิดประตูรถออกไป
   “เอาล่ะ เข้าไปได้แล้ว”
   วรุตพยักหน้า และเปิดประตูมุดเข้าไปตรงเบาะหลัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับเข้ารถ แล้วขับออกไป
   
   “พี่เดช... ผมขอโทษจริงๆ นะ”
   “อืม..” อิทธิเดชส่งเสียงในลำคอขณะขับรถเวียนกลับเข้ามาในลานจอดรถ วรุตสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ “ผมรู้ว่าคำว่าขอโทษมันคงไม่พอจะชดเชยในสิ่งที่ผมทำลงไปหรอก”
   “ช่างเถอะ ต่อจากนี้เธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีกก็พอแล้ว” อิทธิเดชตอบเสียงเรียบเหมือนเคย ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มดิ่งวูบลงทันที
   ไม่ต้องมายุ่งอีกแล้ว.....
   วรุตกำมือแน่น เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าสะสวยผ่านกระจกมองหลัง เขารอจนรถจอดสนิท แล้วรีบฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้
   “พี่เดช ฟังผมสักอย่างหนึ่งเถอะนะ”
   “ปล่อยฉัน” อิทธิเดชพูดคำนี้ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้วรุตไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มขยับตัวข้ามแผงคอนโซลตรงข้างคนขับไปยังเบาะหน้า ก่อนจะเงยขึ้นสบตา
   “ผมชอบคุณ”
   อิทธิเดชรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขามองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่งกำลังช้อนตามองมาด้วยแววตามุ่งมั่นที่ใส่ซื่อแบบที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน ชายหนุ่มถึงกับต้องเบือนหน้าหนี
   “ผมไม่ขอให้คุณเชื่อตอนนี้หรอกนะ ผมจะใช้การกระทำต่อจากนี้ พิสูจน์ให้คุณเห็นเอง” วรุตพูด และกุมมือของอีกฝ่ายแน่น อิทธิเดชได้แต่สั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอก ไม่มีทาง” หนุ่มหน้าสวยพึมพำขึ้นมา อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมรู้ คุณไม่เชื่อ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมหรอก ผมรู้ว่าตัวเองทำผิดไปมาก แต่ผมจะทำตัวเองใหม่ เพราะผมชอบคุณ”
   หนุ่มหน้าสวยสั่นศีรษะอีกครั้ง “พอเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันอยู่ที่ว่าเธอไม่ควรรู้สึกแบบนั้นต่างหาก”
   วรุตเบิ่งนัยน์ตาค้าง มองดูใบหน้าสะสวยของคนตรงหน้า “ทำไมล่ะ?”
   “เพราะมันไม่ควรน่ะสิ” อิทธิเดชพูด และพยายามจะดึงมือออก เด็กหนุ่มส่งเสียงถามอีก “ผมไม่เข้าใจ มันไม่ควรตรงไหน?”
   “เธอจะทำอะไรกับฉันแบบไหนก็ได้” หนุ่มหน้าสวยพูดต่อ พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “แต่เธอจะรู้สึกแบบนั้นกับฉันไม่ได้เด็ดขาด”
   “ทำไม?!” วรุตโพล่งออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ถึงแม้ว่าผมจะทำร้ายคุณทั้งร่างกายและจิตใจยังไงก็ได้งั้นเหรอ พี่เดช ผมไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดแบบนี้เพื่อจะทำร้ายคุณนะ คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่ก็ไม่ต้องห้ามผม เพราะผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น”
   อิทธิเดชสั่นศีรษะ “พอเถอะ เธอควรเลิกยุ่งกันฉัน ลืมฉันเสีย ไม่ต้องมาเจอกันอีก”
   วรุตสั่นศีรษะบ้าง “ผมไม่ยอมหรอก จนกว่าผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นได้แล้วว่าผมชอบคุณจริงๆ ไว้ถึงตอนนั้นแล้ว คุณค่อยไล่ผมอีกทีแล้วกัน”
   อิทธิเดชมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่กำลังช้อนดวงตาสีดำสนิทขึ้นมองเขา
   “คุณไม่ต้องมองผมแล้วก็ได้ แค่อย่าไล่ผมก็พอ”
   ไม่รู้ทำไม ดวงตาหวานเยิ้มนั้นถึงมีน้ำตาไหลเอ่อออกมา หนุ่มหน้าสวยก้มหน้า ซ่อนน้ำตาที่ไหลออกมาเอาไว้
   วรุต.......
--------------------------------------------------------------------------
   “ผมเรียกแม่บ้านเข้ามาช่วยเก็บห้องให้นายแล้วนะ” นั่นคือประโยคแรกที่ฟ่งพูดขึ้น ในตอนที่วรุตเปิดประตูเข้ามา หนุ่มสวมแว่นกำลังดูโทรทัศน์อยู่ เขาผุดลุกขึ้นทันที และยิ้มให้อิทธิเดชที่เดินตามเข้ามา หนุ่มหน้าสวยชายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ฟ่งเลยได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาหันหน้ากลับมาหาวรุต
   “เป็นไงบ้าง”
   “ก็.... ไม่รู้สิ” วรุตตอบ “เขาดูไม่อยากเชื่อผมเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าอยู่หรอก แต่ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำแบบนี้ ผมก็ต้องทำให้ถึงที่สุดนั่นแหละ” เด็กหนุ่มพูดและเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา ฟ่งพยักหน้า
   “อืม... ผมว่าสักวันเขาคงจะเข้าใจนายนั่นแหละ”
   “อืม...” วรุตส่งเสียงในลำคอ และถอนหายใจออกมา
   เขาไม่แน่ใจว่าอิทธิเดชจะเข้าใจในสักวัน หรือว่ากำลังพยายามจะไม่เข้าใจอยู่กันแน่
-------------------------------------------------
   อิทธิเดชพิงตัวเข้ากับผนังห้องน้ำ รู้สึกตื้อในหัวไปหมด เรื่องที่เกิดขึ้นมันเร็วและสับสนเกินกว่าที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน วรุตที่จู่ๆ ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา ยัดเยียดความเลวร้ายแทบทุกอย่างให้ จากนั้นก็หายตัวไป แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสถาปนิกคนนั้น จากนั้น....
   ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้สร้างความสับสนงุนงงให้กับเขาอย่างไม่ต้องคาดเดา อิทธิเดชรู้ดีว่าวรุตไม่ใช่เด็กที่ชอบพูดเล่นหรือพูดพล่อยๆ สิ่งที่พูดกับเขาวันนี้ก็คงจะถือเป็นจริงเป็นจังเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องพวกนี้มันละเอียด อ่อนไหว และมีผลกระทบกับชีวิตมากเกินกว่าที่เด็กอย่างวรุตจะทันได้คิด
   และอีกอย่าง การปรากฏตัวของอภิวัฒน์ดูผิดปกติจนเกินไป ถึงวรุตจะเป็นคนดั้นด้นไปหาเขาเองก็เถอะ แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงพยายามจะกลับมาที่นี่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าถูกตามเก็บอยู่ เบื้องหลังของผู้ชายคนนี้อาจจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ และวรุตก็อาจจะกำลังตกเป็นเหยื่อหรือถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวก็ได้
   ครั้นจะพูดเรื่องนี้โดยตรงกับเด็กคนนั้นไปก็คงป่วยการ วรุตเองไม่ใช่คนที่จะยอมฟังเหตุผลของใครง่ายๆ เสียด้วย และถ้าลองตั้งใจจะทำแล้ว คงจะห้ามกันไม่ไหวหรอก
   หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาควรจะโทรแจ้งเรื่องนี้กับรัตน์ อิทธเดชคิดว่าเรื่องนี้อาจจะตึงมือเกินกว่าที่เขาจะสามารถจัดการด้วยตัวคนเดียวได้ ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ขณะที่กำลังจะกดโทรออก เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
   “พี่เดช ทำอะไรอยู่ ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
   เสียงของวรุตทำให้อิทธิเดชชะงักมือกึก ชายหนุ่มลังเลอยู่พักจนได้ยินเสียงเรียกอีก “พี่เดช เป็นอะไร ไม่สบายหรือ?”
   “เปล่า” อิทธิเดชตอบกลับไป แล้วเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ วรุตโผล่หน้าเข้ามาแล้วยิ้มให้เขา... รอยยิ้มแบบที่เขาเคยเห็นเด็กคนนี้ยิ้มให้คนอื่น ครั้งหนึ่ง เขาเคยนึกอยากได้รับการปฏิบัติแบบปกติจากเด็กคนนี้บ้าง แต่ว่าตอนนี้.....
   “ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” วรุตพูดขึ้นในตอนที่เขาทำท่าจะเดินออกไปนอกห้องน้ำ อิทธิเดชหันกลับมามอง เด็กหนุ่มจึงพูดต่อ “ผมจะโทรคุยกับพ่อ มีธุระน่ะ”
   หนุ่มหน้าสวยอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ ยื่นโทรศัพท์ให้อย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินออกไป
----------------------------------------------------------
   ฟ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนเก้าอี้ ในตอนที่อิทธิเดชก้าวออกมาจากห้องน้ำ เขาพยายามจะยิ้มให้หนุ่มหน้าสวย และได้รับใบหน้าเย็นชาตอบกลับมา หนุ่มสวมแว่นจึงหันกลับไปสนใจรายการโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อ
   อิทธิเดชเขม่นมองผู้ชายสวมแว่นที่นั่งอยู่ เขายังไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวรุตกับผู้ชายคนนี้ ถึงหมอนี่จะเป็นคนพาวรุตกลับมาก็เถอะ
   ท่าทีของวรุตที่มีต่อเขาดูจะเปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังจากพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ในตอนเช้า ทั้งๆ ที่เมื่อวานเพิ่งจะลงมือขังเอาไว้ในห้องน้ำแท้ๆ อิทธิเดชนึกสงสัยว่าระหว่างที่หายตัวไป วรุตรู้จักกับผู้ชายคนนี้ในรูปแบบไหนกันแน่
   แม้ว่าผู้ชายสวมแว่นคนนี้ ตั้งแต่พบกันมา จะไม่เคยทำอะไรเลวร้ายกับเขาเลย แต่สิ่งที่เขารู้สึกยามได้เห็นใบหน้านั้น คือผู้ชายคนนี้สมควรตาย
   ก่อนหน้านี้อิทธิเดชเคยรู้สึกตัวว่า อภิวัฒน์แย่งชิงความไว้วางใจจากทวีศักดิ์ แย่งชิงวรุตไปจากเขา ตอนนี้ชายหนุ่มคิดว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ผู้ชายคนนี้ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่
    อภิวัฒน์ปรากฏตัวขึ้นมาผิดเวลาเกินไป ผิดสถานที่เกิดไป และสร้างความสับสนวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะสามารถควบคุมได้
   หากกำจัดผู้ชายคนนี้ไปเสีย บางทีทุกอย่างอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันก็ได้... เขา... วรุต... ทวีศักดิ์... ทุกอย่าง... ทุกอย่างควรจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม
   เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
   ถ้าเพียงผู้ชายคนนี้ตายไปเสีย
--------------------------------------------
   “ฟ่ง!” วรุตโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นอิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้
   “ฟ่งล่ะ?” เด็กหนุ่มถาม หนุ่มหน้าสวยชี้มือออกไปที่ประตู “ลงไปซื้ออะไรทานข้างล่างน่ะ”
   วรุตเขม่นมองคนที่นั่งอยู่อย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก “ลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
   “สักพักแล้ว” อิทธิเดชตอบ แล้วยกตะไบขึ้นมาเหลาเล็บ วรุตกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเดินไปที่ระเบียง
   “ปืนคุณล่ะ?” เขาหันกลับมาถามอีก อิทธิเดชชี้มือไปที่ลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ฉันไม่ยิงหมอนั่นหรอก”
   “อืม” วรุตส่งเสียงในคอ เขารู้ว่าถ้าอิทธิเดชใช้ปืน ถึงจะมีที่เก็บเสียง ก็ต้องได้กลิ่นดินประสิวอยู่ดี เด็กหนุ่มหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งอยู่
   “พี่เดช ผมรู้ว่าคุณคงแค้นผมมาก ถ้าจะทำอะไรล่ะก็ ลงที่ผมเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อีกอย่าง พ่อก็ยกเลิกคำสั่งเก็บเขาไปแล้ว คุณไม่ต้องฆ่าเขาแล้วล่ะ”
   อิทธิเดชเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “โทรศัพท์ฉันล่ะ?”
   วรุตนิ่งอึ้งอยู่พักก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้ “พ่อส่งรถมาแล้ว ผมจะไปตามเขาขึ้นมา” เด็กหนุ่มพูด และก้าวเท้าออกไปที่ประตู
------------------------------------------
   “อ้าว!” ฟ่งส่งเสียงอยากแปลกใจ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเจอหน้าวรุตพอดี เด็กหนุ่มมองเขาแล้วยิ้มกว้าง “คุณลงไปซื้ออะไรทานมาเหรอ?”
   “อืม” หนุ่มสวมแว่นตอบ พร้อมกับพยักหน้า วรุตถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบพูดต่อ “ฟ่ง ไปเตรียมตัวเถอะ พ่อส่งรถมารับแล้ว คุณอย่าลืมที่คุยกันไว้นะ อย่าอยู่ห่างจากผมเด็ดขาด”
   “อืมๆ ” ฟ่งส่งเสียงรับคำในลำคอ ด้วยท่าทางที่ยังงงๆ อยู่ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป วรุตมองตามอย่างเป็นกังวล ขณะที่อิทธิเดชยังคงนั่งเหลาเล็บอยู่บนเก้าอี้
--------------------------------------------
   เสียงวัสดุคำยันโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นท่อทรงกลมหลายร้อยชิ้นร่วงกราวลงสู่พื้นด้านล่าง ทำเอาบรรดาคนงานต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น กระทั่งทวีศักดิ์เองก็ยังต้องเดินกลับขึ้นมาชั้นบน เพราะได้รับคำเตือนว่าโครงสร้างอาจจะพังถล่มลงมาได้อีก
   เรื่องการพังถล่มนี้ทำให้ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาเรียกประชุมทีมวิศวกร และเกือบจะลืมไปเลยว่าต้องให้คนไปรับลูกชายที่คอนโดของอิทธิเดช
   ทวีศักดิ์รู้สึกชื้นใจอยู่พอสมควร หลังจากเมื่อวาน วรุตเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเองว่าจะยอมมาร่วมงานตามที่เคยได้คุยกันไว้ หลังจากที่ตัดการติดต่อไปเกือบสามวัน วรุตบอกเขาว่าจะไปพร้อมกับแขกคนพิเศษ ซึ่งแม้แต่เขาเองก็คงจะคาดไม่ถึง ทวีศักดิ์ถึงกับนึกในใจว่าบางทีวรุตอาจจะพาว่าที่ลูกสะใภ้มาอวดก็ได้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ในจิตใจเขาแทบจะเหือดหายไปหมดสิ้น เมื่อโครงสร้างพวกนั้นพังถล่มลงมา แม้จะเพียงบางส่วนก็เถอะ งานประชุมใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่ถึงวันเท่านั้นเอง
   “อธิบายมาสิว่า มันเกิดถล่มลงมาได้ยังไง?” ทวีศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเดือดดาลพอสมควรกับทีมวิศวกรที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่
   “คงเพราะการคำนวณโครงสร้างการรับน้ำหนักผิดพลาดน่ะครับ” หนึ่งในนั้นตอบเขา ชายวัยกลางคนกวาดตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วถามต่อ “แล้วพวกคุณแก้ไขได้ทันกำหนดหรือเปล่า?”
   ทั้งหมดหันมองหน้ากัน “น่าจะทันครับ พวกเราต้องไปคำนวณหาค่ารับน้ำหนักใหม่ก่อน”
   “ไปจัดการซะ” ทวีศักดิ์พูดและโบกมือไล่ พอหันกลับไปก็เห็นรัตน์เดินเข้ามา
   “มีอะไรหรือ?” ทวีศักดิ์กล่าว พยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด รัตน์มองดูเจ้านายและเพื่อนร่วมงานอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่ามันถล่มหรือ?”
   “อืม ก็แค่โคตรงสร้างคำลิฟต์บางส่วนน่ะ” ทวีศักดิ์ตอบ รัตน์พยักหน้า แล้วพูดต่อ “ผมจะมาบอกพี่ว่า ระบบรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมหมดแล้วนะ เหลือแต่ตรงที่พังนี่แหละ”
   “ผมสั่งให้รีบซ่อมแล้ว ระหว่างนี้คุณก็จัดคนมาเฝ้าเอาไว้แล้วกัน เผื่อว่าจะแอบมีใครเล็ดลอดเข้ามา ถึงจะลึกขนาดนี้ก็เถอะ แต่กันไว้ก่อนดีกว่า”
   คนถูกสั่งพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไป ได้ยินเสียงทวีศักดิ์พูดขึ้นอีก
   “อ้อ รัตน์ เดี๋ยววินจะมานะ เห็นว่าจะพาเพื่อนมาด้วย ถ้ายังไงให้เพื่อนเขาผ่านได้แค่โซนเอก็พอ อย่าไปแพ้ลูกอ้อนเจ้าวินมันมากนะ”
   รัตน์ยิ้มและหัวเราะหึๆ “พี่น่ะระวังเอาไว้ดีกว่า แพ้ลูกอ้อนจริงๆ นะนั่น”
   ทวีศักดิ์หัวเราะในคอ ก่อนจะหันไปคุยกับลูกน้องที่วิ่งเข้ามา
---------------------------------------------------------
   ฟ่งยืนอยู่ข้างวรุต กำลังมองดูรถลีมูซีนสีเทาที่แล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโด วรุตเปิดประตูรถออกแล้ว ให้เขาเข้าไปก่อน จากนั้นก็มุดตามเข้ามา อิทธิเดชตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่ประตูรถปิดลง ผู้ที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับก็เอ่ยทักขึ้นทันที
   “คุณวิน... คุณคนนั้น....”
   “อ้อ ใช่ เพื่อนผมเอง คุณอภิวัฒน์ พี่ก็รู้จักไม่ใช่หรือ” วรุตพูดยิ้มๆ ฟ่งมองเลยไปตรงที่นั่งด้านหน้า และพอจะจำได้ลางๆ ว่าผู้ชายคนนี้เคยขับรถมาส่งเขาหลังจากรับงานแล้ว วรุตหันไปทางฟ่ง หนุ่มสวมแว่นมองหน้าเขา แล้วพยักหน้า ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่
   อีกไม่นาน เขาก็จะได้ไปยืนอยู่ในที่ที่เดียวกับที่พวกของรูฟัสอยู่แล้ว
   หวังว่าคงยังไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นหรอกนะ
----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-08-2011 15:35:53
ลุ้นอะ แต่ฟ่งนี่ก้อบ้าดีนะ รูฟัสเห็นฟ่งคงจะอยากตายแน่เลย
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 23-08-2011 16:04:13
รูฟัสสติแตกแน่นอน
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-08-2011 16:07:37
ตื่นเต้นแทนฟ่ง  ว่าแต่อิทธิเดชนี่เหมือนหุ่นยนต์นักฆ่าเลยนะ 
ในสมองมีอะไรบ้างเนี่ยะ 
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-08-2011 11:45:37
บทที่53 แอบแฝง
   รูฟัสคิดว่าถ้ารัสเลอร์พูดออกมาช้ากว่านี้สักวินาทีเดียว เขาจะจับเจ้าหมอนี่แขวนคอเสียก่อนที่จะโหม่งพื้นโลก แต่ตอนนี้เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะถึงเขาไม่ทำเอง รัสเลอร์ก็ยังถูกแขวนอยู่ดี
   “โอย...นี่ฉันจะตายรึเปล่าเนี่ย?” เสียงของรัสเลอร์ดังขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ชายหนุ่มกำลังห้องต่องแต่งอยู่ในอากาศ สูงจากพื้นด้านล่างสักสามสิบฟุตล่ะมั้ง
“ไม่ตายหรอกน่า” รูฟัสว่า อันที่จริงแล้วเขาเองก็คงไม่ได้สภาพดีไปกว่ารัสเลอร์เท่าไหร่นัก เพราะเขาเองก็ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือเจ้ารัสเลอร์นี่เอง
   เสียงหล่นกระแทกของเศษวัสดุค้ำยันยังคงดังขึ้นมาจากเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง รูฟัสเหลือบตามองลงไปแล้วพูดขึ้นต่อ “เออ แบบนี้ก็ดี ไอ้พวกด้านล่างคงจะหนีไปหมดล่ะ”
   “ฮือ... ใครก็ได้ ช่วยเอาฉันลงไปที ฉันว่าถ้าเราห้อยตัวอยู่แบบนี้อีกสักห้านาที พวกเราอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือดก็ได้” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ห้อยอยู่ล่างสุดโอดครวญขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังห้อยต่องแต่งอยู่เหนือพื้นด้านล่างโดยมีสายเคเบิลเส้นหนึ่งยึดโยงเข้าไว้ด้วยกัน
   “เอ่อ...” รูฟัสเอ่ยวลีที่ไร้ความหมายออกมา “ราฟี่ ความจริงผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดของรัสเลอร์เท่าไหร่หรอกนะ ว่าแต่ ทำไมคุณไม่ยอมพาเราลงไปสักที?”
   “พวกแกหัดหุบปาก แล้วใจเย็นๆ กันบ้างได้มั้ย?” ราฟาแอลกระชากเสียงตอบกลับมา รัสเลอร์ทำหน้ายู่ทันที “ฉันอธิบายเหตุผลดีๆ ทำไมนายต้องว่ากันขนาดนี้ด้วย”
   ราฟาแอลไม่พูดตอบ เขากำลังพยายามจะปลดตัวสตอปเปอร์ที่ติดอยู่กับสายเคเบิล ซึ่งเขาขว้างออกไปเกี่ยวกับคานค้ำยันคานหนึ่งในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกได้ทันเวลาพอดี
   “ราฟี่...” คราวนี้เสียงของรูฟัสดังขึ้นบ้าง “คุณทำอะไรอยู่เนี่ย ห้าวินาทีแล้วนะ”
   ราฟาแอลข่มจิตข่มใจตอบคำถามนั้นแข่งกับเสียงท่อเหล็กที่เพิ่งร่วงลงไปอีกอันหนึ่ง “ฉันคิดว่าสตอปเปอร์ของเรามีปัญหา”
   “หา!” ทั้งรูฟัสและรัสเลอร์ร้องขึ้นมาพร้อมกัน รัสเลอร์พูดขึ้นต่อ “ว่าไงนะ! นายว่าตัวสตอปเปอร์มีปัญหางั้นเหรอ มีปัญหาได้ไงกัน!?”
   “ฉันจะไปรู้มั้ย?” ราฟาแอลสวนกลับมา รูฟัสเลยถามขึ้นอีก “เส้นสำรองล่ะ”
   “ขว้างไปไม่ทัน” หนุ่มผมสีบลอนด์ตอบกลับมา รูฟัสถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีก "งั้น... ลองพยายามขว้างขึ้นไปก็แล้วกัน”
   “อืม..” ราฟาแอลส่งเสียงในลำคอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรเพิ่ม เสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา จากนั้นทั้งหมดก็ร่วงลงสู่พื้นด้วยความเร่งจากน้ำหนักคูณกับแรงโน้มถ่วงของโลกทันที
-------------------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์ขมวดคิ้ว ในตอนที่ได้ยินเสียงร่วงกราวของวัสดุคำยั้นดังสะท้อนออกมาจากห้องที่เขาเพิ่งออกมา ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว และพูดกรอกวิทยุสื่อสารที่เหน็บอยู่ข้างหู “ผมยังได้ยินเสียงมันถล่มอยู่เลย พวกคุณจะจัดการกันยังไง”
   เสียงปลายทางตอบกลับมา “ต้องรอสักพักนะครับ ผมคิดว่าอีกสักสิบนาที เราน่าจะรู้ว่ามันเสียหายขนาดไหน”
   ทวีศักดิ์ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “สิบนาที สิบนาทีแล้วกัน พวกคุณต้องจัดการมันให้ได้ เข้าใจไหม?”
   “ครับ”
   ทันทีที่พูดจบ ลูกน้องอีกคนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาเขา “คุณวินมาแล้วครับ”
   บนใบหน้าของทวีศักดิ์ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
-------------------------------------------------
   “สวัสดีครับพ่อ” วรุตพูดและยกมือไหว้ทันทีที่เห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในห้องรับรอง ทวีศักดิ์ยิ้มกว้างให้ลูกชาย ก่อนจะเดินเข้าไปหา “พ่อดีใจจริงๆ ที่ลูกยอมมา”
   “ยังไงผมก็มาอยู่แล้ว” วรุตตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ
   “พ่อ ผมมีเรื่องอยากจะขอ...”
   “หืม... ว่าไงนะ ยังส่งคนเข้าไปซ่อมไม่ได้งั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?” ทวีศักดิ์ขยับวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด ขณะที่วรุตทำหน้าหงิก
   “พ่อ!”
   “แป๊บหนึ่งนะลูก” ทวีศักดิ์พูดพลางยกมือเป็นเชิงห้าม ก่อนจะกรอกเสียงลงไปต่อ “ผมต้องการรู้ปัญหาของมัน คุณหยุดการถล่มไม่ได้หรือ? โอเค งั้นก็ทำไปเลย บอกว่าผมยินดีจ่ายค่าเสี่ยงภัยให้เต็มจำนวนที่สมควรได้รับก็แล้วกัน”
   วรุตยืนขบฟันอย่างอดทน ระหว่างรอผู้เป็นพ่อคุยธุระเสร็จ แต่ยังไม่ทันจะคุยผ่านวิทยุจบ ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
   ทวีศักดิ์รับฟังรายงานจากลูกน้องแล้วพูดกรอกวิทยุสื่อสารอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาลูกชายเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “ตะกี้ลูกว่าอะไรนะ?”
   วรุตคิดว่าถ้านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายล่ะก็ เขาคงจะเดินกลับไปเสียนานแล้ว ขณะที่วรุตกำลังจะอ้าปากพูด ผู้เป็นพ่อก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “อ้อ อืม หา?” เขาหันหน้าไปมองลูกชาย “ขอเวลาพ่อสักแป๊บนะ”
   วรุตขมวดคิ้วยุ่ง มองดูผู้เป็นพ่อเดินหลบไปอีกทางมุมหนึ่งของห้อง เขาหันกลับมามองหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “ไงล่ะ พ่อผม” เด็กหนุ่มพูดพลางยักไหล่ ฟ่งได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “เอาน่า พ่อนายคงกำลังยุ่ง” หนุ่มสวมแว่นพยายามพูดปลอบ วรุตทำหน้ายู่ สักพักผู้เป็นพ่อก็เดินกลับมา
   “?!” นัยน์ตาสีดำของทวีศักดิ์เบิ่งกว้างทันทีที่เห็นคนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังลูกชายตนเอง ฟ่งพยายามแค่นยิ้มออกมา ก่อนจะพูดขึ้น
   “สวัสดี ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
   ทวีศักดิ์กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา “สวัสดีครับ ไม่คิดเลยนะครับว่าจะได้เจอคุณที่นี่ มายังไงล่ะครับ?”
   “เขาเป็นเพื่อนผม” วรุตพูดแทรกขึ้นมา คราวนี้คนเป็นพ่อเลยหันกลับไปมองลูกชายตัวเองบ้าง “เพื่อนลูก? ไปรู้จักกันตอนไหนน่ะ?”
   “เอาว่าผมรู้จักก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มตอบปัดๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมพาเขามาดูงานของเขา พ่อลงทะเบียนผ่านให้เขาหน่อยสิ”
   ทวีศักดิ์เบิ่งตามองลูกชาย ก่อนจะส่งเสียงในคอ “อืม... ลูกไปรู้จักเขาได้ยังไงล่ะ?”
   “เจอกันโดยบังเอิญ” ผู้เป็นลูกชายตอบ ทวีศักดิ์ขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาหาฟ่งอีกรอบ
   “คุณอภิวัฒน์ ได้ยินว่าคุณหายตัวไปเลยหลังจากงานเสร็จ ผมกำลังเป็นห่วงเลยว่าคุณมีอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจแล้ว”
   ฟ่งพยายามแค่นรอยยิ้มตอบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “จริงสิ เจอคุณก็ดีแล้ว ผมกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับแบบแปลนที่คุณเขียนพอดี”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันที ขณะที่วรุตส่งเสียงขึ้นอีก “อะไรนะพ่อ?”
   “พ่อมีปัญหานิดหน่อย” ทวีศักดิ์พูด และยิ้มให้ลูกชายหน่อยหนึ่ง “เพื่อนลูกเคยทำงานให้พ่อ เขาคงจะพอช่วยอะไรได้” เขาหันไปทางฟ่ง และพูดต่อ
   “เชิญครับ ผมจะพาคุณไปดู”
   ฟ่งหันมามองหน้าวรุต เด็กหนุ่มีสีหน้าเลิ่กลั่ก ขณะที่ทวีศักดิ์หมุนตัวออกไป ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาขนาบตัวฟ่งไว้ หนุ่มสวมแว่นได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “ผมไปด้วย” วรุตพูด และรีบเดินตามไปทันที
--------------------------------------------
   รัสเลอร์คิดว่าตัวเองคงจะสิ้นชื่อเสียแล้ว ในตอนที่เห็นเศษซากท่อโลหะพวกนั้นพุ่งดิ่งเข้ามา จะพูดให้ถูกคือเขากำลังพุ่งดิ่งลงไปหากองเศษซากพวกนั้น พร้อมกับอีกสองคนที่อยู่ด้านบนต่างหาก
   ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองแหกปากตะโกนอะไรไปบ้าง มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ถูกรูฟัสเตะใส่นั่นแหละ
   “หุบปากบ้างไม่ได้หรือไง?” หนุ่มตาสองสีเอ็ดหลังจากโรยตัวลงมาบนกองซากระเกะระกะพวกนั้นแล้ว ขณะที่คนถูกเอ็ดยังคงนั่งอ้าปากพะงาบๆ ราฟาแอลที่โรยตัวตามลงมามองแล้วสั่นศีรษะอย่างเซ็งๆ
   “ฉัน... ฉันยังไม่ตายใช่มั้ย?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดออกมาและสูดหายใจเฮือกๆ รูฟัสช่วยตอบคำถามของเขา “ยัง แต่นายคงจะตายเร็วแน่ๆ ถ้ายังนั่งอยู่แบบนั้นน่ะ” พูดจบก็ดึงมือรัสเลอร์ออกมา หลังจากนั้นท่อโลหะอีกกองก็ร่วงลงมาตรงที่เขานั่งพอดี
   เสียงโลหะกระทบกันดังจนแสบแก้วหู ขณะที่ทั้งสามคนค่อยๆ เดินลุยกองซากเหล็กพวกนั้นเพื่อมองหาหนทางที่จะไปต่อ ทันใดนั้นรูฟัสก็ยุดมือของรัสเลอร์ให้ก้มต่ำลงอีก แล้วหันไปมองหน้าราฟาแอล
   พนักงานในชุดเครื่องแบบสีขาวจำนวนหนึ่งวิ่งตรงมายังบริเวณที่พวกเขาอยู่ จะเรียกให้ถูกคือพื้นที่ที่เกิดการพังทลายนั่นแหละ ในขณะที่รูฟัสและราฟาแอลกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เสียงแหวกอากาศของวัตถุที่ร่วงลงมาจากด้านบนก็ดังมาให้ชัดถนัดหู ทั้งคู่รีบลากตัวรัสเลอร์พุ่งไปอีกด้านหนึ่งทันที
   “มันจะพังหมดเลยมั้ยวะเนี่ย” ราฟาแอลตะโกนแข่งกับเสียงตกกระทบกันของโลหะ พร้อมๆ กับลากตัวรัสเลอร์ให้กึ่งวิ่งกึ่งคลานไปตามซากที่กองพะเนินอยู่
   “มันไม่พังหมดหรอก แต่อาจจะถล่มลงมาเยอะอยู่” รัสเลอร์ตอบด้วยท่าทางทุลักทุเลที่สุด รูฟัสยกมือขั้นปัดเศษท่อที่กองอยู่แล้วพูดขึ้นบ้าง “ผมว่าไปให้พ้นท่อพวกนี้ก่อนเถอะ เกิดมันหยุดถล่มแล้วเราคงจะเอาเสียงอะไรมากลบไม่ได้แล้ว”
   “กำลังไปอยู่นี่ไง” ราฟาแอลว่า ก่อนจะยกมือขึ้นปัดท่อนโลหะที่ร่วงลงมาจากอีกทาง “ภาวนาให้เราไปถึงก่อนจะถูกฝังก็แล้วกัน”
-------------------------------------------------
   ฟ่งยังไม่ได้ไปถึงจุดเกิดเหตุในทันที เขาต้องเข้าห้องตรวจร่างกาย เพื่อตรวจค้นวัตถุแปลกปลอมที่อาจจะเป็นอันตราย จากนั้นก็ถูกส่งไปสแกนลายนิ้วมือกับรูม่านตาเพื่อทำประวัติ ฟ่งชักนึกสงสัยว่านี่เป็นงานประชุม หรืองานทะเบียนราษฎร์กันแน่ พอสแกนรูม่านตาและลายนิ้วมือเสร็จ ชุดเครื่องแบบสีขาวชุดหนึ่งก็ถูกนำมาให้เขา พร้อมกับพนักงานที่พาตัวเขาไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ
   ปกติชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับโดยไร้เหตุผลแบบนี้ที่สุด แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่คงไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาโวยวายเพราะเรื่องความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวในตอนนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมที่จะเปลี่ยนเสื้อและเดินออกมาในชุดหมีสีขาว พร้อมกับรับหมวกกันกระแทกที่มีคนนำมาส่งให้
   ทวีศักดิ์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรทันทีที่เห็นเขาเดินออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ลำบากคุณแล้วนะครับ เสร็จงานนี้แล้วผมจะจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มให้ก็แล้วกัน”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และคิดในใจว่า เลิกสั่งเก็บเขาก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องค่าจ้างค่อยว่ากันอีกที
   วรุตที่ยืนอยู่มองเขาอย่างเป็นห่วง แล้วพูดแทรกขึ้น “ผมลงไปด้วย”
   ทวีศักดิ์หันมามองลูกชายแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “มันอันตรายนะ คนไม่เคยทำงานลงไปไม่ดีหรอก ลูกอยู่ตรงนี้แหละ”
   “ไม่ล่ะ ผมจะลงไปด้วย เอาหมวกมาใส่ก็ได้” เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้ ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชายอยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ก็ได้ แต่สัญญานะว่าลูกจะยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยน่ะ”
   วรุตพยักหน้า ทวีศักดิ์จึงสั่งให้คนเอาหมวกมาเพิ่ม ก่อนจะเดินนำพวกเขาลงไปยังจุดเกิดเหตุ
--------------------------------------
    พวกราฟาแอลยังคงติดอยู่ในกองซาก หลังจากที่การถล่มหยุดลงแล้ว เนื่องจากมองไปทางไหนก็หาทางออกไม่ได้สักที แล้วเครื่องจีพีอาร์เอสที่มีอยู่ก็พิกัดกว้างเกินกว่าจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือของรัสเลอร์ ที่วางไม่พอให้เขาหยิบเป้มาเปิดโดยไม่เกิดเสียงดังด้วยซ้ำ ดังนั้นทั้งสามคนจึงยังคงอยู่นิ่งๆ โดยอาศัยกองซากปรักหักพังพวกนั้นช่วยพรางตัว สักพัก พวกพนักงานในชุดสีขาวก็ทยอยกันตรงมายังจุดถล่มซึ่งพวกเขายืนหลบอยู่
   รูฟัสนึกว่านายทวีศักดิ์ที่เป็นเจ้าของสถานที่ คงจะชอบสีขาวน่าดู ดูจากเครื่องแบบพนักงานพวกนี้แล้ว วันๆ หนึ่งคงต้องเสียค่าน้ำยาซักผ้าขาวไม่น้อยอยู่ ได้ยินเสียงรัสเลอร์กระซิบถามขึ้นมา
   “นี่ พวกนายจะเอาไงต่อ พวกนั้นท่าทางคงจะลงมาเคลียร์พื้นที่ ยืนนิ่งๆ แบบนี้เราถูกจับได้แหง”
   รูฟัสเพ่งสายตามองตรงไปยังรถแทรกเตอร์ขนาดกลางที่แล่นลงมา ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองราฟาแอลแล้วพยักหน้า
   “รัสเลอร์ นายฟังแผนของพวกเราดีๆ แล้วห้ามทำพลาดล่ะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งหันไปมองรถเครนที่ขนเศษซากของวัสดุค้ำยันที่แล่นผ่านไป พลางนึกหวั่นในใจว่าห้องจะถล่มลงมาขนาดไหนกันแน่ แล้วพวกรูฟัสจะเป็นอย่างไรบ้าง พอเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หนุ่มสวมแว่นถึงกับผงะ สภาพที่เขาเห็นคือโครงสร้างลิฟต์ทั้งหมดพังถล่มลงมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
   “คุณแก้แปลนผม” นั่นคือคำพูดแรกที่ฟ่งพูดออกมา เขาหันไปมองทวีศักดิ์ที่ดูจะมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง “อืม ครับ ก็ผมติดต่อคุณไม่ได้ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?”
   “ผมเห็นก็รู้แล้ว นี่มันผิดจากที่ผมเขียนไว้” ฟ่งว่า และรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ ที่มีการแก้ไขแปลนโดยไม่แจ้งเขาก่อน ถึงจะหาตัวแจ้งไม่ได้ก็เถอะ ถ้าคำนวณเองแล้วพลาดแบบนี้ก็ไม่ต้องแก้เสียเลยสิ
   ทวีศักดิ์พยักหน้า “ครับ ผมอยากให้คุณดูว่าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง”
   “ผมขอดูแปลนที่แก้แล้วหน่อย” ฟ่งว่า ทวีศักดิ์พูดอะไรบางอย่างกรอกลงไปในวิทยุสื่อสาร สักพัก กลุ่มคนราวๆ ห้าหกคนก็เดินลงมาพร้อมกับพิมพ์เขียวในมือ
   “นี่ทีมวิศวกรของที่นี่ ส่วนนี่ สถาปนิกที่เขียนงานให้ผม” ทวีศักดิ์พูด ก่อนจะแนะนำตัวคนที่เพิ่งเดินมาทีละคน จากนั้นก็พูดต่อ “ผมมอบหมายให้คุณร่วมทีมไปเลยก็แล้วกันนะ ผมอยากให้ทุกอย่างเสร็จก่อนหกโมงเช้าพรุ่งนี้ ถ้าได้หรือไม่ได้ยังไงติดต่อผมมาทางวิทยุที่ให้ไว้ก็แล้วกัน”
   ทีมวิศวกรพยักหน้า ฟ่งก็เลยต้องพลอยพยักหน้าตามอย่างงงๆ ไปด้วย ทวีศักดิ์หันหน้ากลับไป และเอ่ยเรียกลูกชายของเขา “วิน ไปกับพ่อหน่อย พ่อมีอะไรจะให้ลูกช่วย”
วรุตที่ยืนห่างออกไปหน่อยหนึ่งขมวดคิ้วของตนทันที “ผมจะอยู่นี่”
“ไม่เอาน่า ลูกจะอยู่ทำไม ช่วยอะไรเขาไม่ได้เสียหน่อย” ชายวัยกลางคนพูด และเดินไปหาลูกชาย ก่อนจะกระซิบ “พ่อไม่ฆ่าเขาหรอก พ่อสัญญา”
วรุตเบิ่งตามองพ่อของคน ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพูดขึ้นอีก “ไปกันเถอะ เราต้องเตรียมตัวต้อนรับแขกแล้ว”
--------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-08-2011 11:51:43
   รัสเลอร์หลับตาปี๋ พยายามสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกออก ขณะที่เครนของรถแทรกเตอร์ค่อยๆ เอียงตัวลงและเทเขาลงมาพร้อมกับกองเศษวัสดุพวกนั้น เกิดมาไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าจะต้องมาถูกตักด้วยรถแทรกเตอร์แบบนี้ หวังว่าเจ้าพวกราฟาแอลคงจะรอเขาอยู่ ไม่ใช่ว่าถูกท่อพวกนี้ทิ่มตายไปแล้วหรอกนะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลหล่นโครมลงมาบนกองเศษวัสดุพวกนั้น เขาพยายามกลิ้งตัวให้ร่วงลงไปด้านข้างโดยอาศัยพวกเศษที่ร่วงกระจายระหว่างนั้นในการพรางตัวอย่างที่พวกราฟาแอลบอก โชคดีที่สุดปฏิบัติงานทอด้วยเนื้อผ้าที่สังเคราะห์มาเป็นพิเศษ จึงพอช่วยกันปลายแหลมๆ ของท่อโลหะพวกนั้นได้
   กลิ้งไปได้สักพัก มือของใครสักคนก็ยื่นมาคว้าคอเสื้อเขาไว้ รัสเลอร์หอบหายใจเฮือกๆ ก่อนจะอุทานออกมา “ขอบคุณพระเจ้า”
   “ขอบคุณฉันนี่” ราฟาแอลว่า ก่อนจะลากเขาเข้าไปหลบข้างกองเศษวัสดุอีกกองหนึ่ง รัสเลอร์จึงมีโอกาสได้กวาดตามองสถานที่รอบๆ ที่เขาถูกเทลงมาเป็นครั้งแรก เขาเห็นนั่งร้านเหล็ก ท่อโลหะรูปทรงต่างๆ และเศษวัสดุอีกหลายอย่าง กองแยกๆ กันอยู่
   “ท่าทางที่นี่จะเป็นที่ทิ้งขยะล่ะนะ” รูฟัสออกความเห็น ก่อนจะหันไปหารัสเลอร์ “เอาล่ะ นายทำอะไรได้บ้าง?”
   “ฉันจะเช็กตำแหน่งของพวกเราก่อนเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตอบ และหยิบคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้ พลางนึกโล่งใจว่ามันไม่เสียหายอะไร ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
   เครื่องคอมพิวเตอร์แสดงภาพแผนผังขึ้นมาบนจอภาพ รัสเลอร์ขยับมือไปบนหน้าจอ และเลื่อนภาพพวกนั้นไปเรื่อยๆ
   “อืม.. ตอนนี้ฉันคิดว่าเราน่าจะอยู่ตรงส่วนที่เป็นที่เป็นลานอเนกประสงค์ ซึ่งก็คงถูกใช้เป็นที่เก็บของนั่นแหละ” เขาว่า และชี้มือลงไปบนช่องสี่เหลี่ยมในแผนผังที่กำลังถูกขยายขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ “อืม... อย่างที่คิดไว้จริงๆ สัญญาณดาวเทียมถูกกั้น เราคงพึ่งระบบนำทางอัตโนมัติไม่ได้แล้วล่ะ”
   “เอ้อ.. ก็ออกอีหรอบนี้แทบทุกทีสิน่า” ราฟาแอบพูดออกมา พลางถอนหายใจ รูฟัสเลยพูดขึ้นต่อ “แล้วนายทำอะไรได้อีก”
   “พวกนายใจเย็นๆ ถึงจะไม่มีดาวเทียมมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอกนะ มองหาพวกสายไฟ สายเคเบิลให้ฉันหน่อยสิ”
   “ข้างหัวนายมีท่ออยู่น่ะ คิดว่าน่าจะใช่” รูฟัสตอบ รัสเลอร์มองขึ้นไป แล้วพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวลองหาที่อื่นดูก่อนก็ได้ ฉันจะตั้งฐานสื่อสาร ต้องหาที่ปลอดภัยหน่อยใช่ไหมล่ะ”
   หลังจากแยกย้ายกันสำรวจสักพัก รัสเลอร์ก็ได้มุมเหมาะๆ ตรงใต้นั่งร้าน ซึ่งอยู่ตรงมุมอับแสงไฟพอดี ซึ่งเป็นมุมที่ราฟาแอลเสนอแกมบังคับให้เขาต้องเลือก เพราะใกล้ทางเข้าออก และมีครบทุกอย่าง
   หนุ่มผมสีน้ำตาลล้วงเอาสายสีเงินเส้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเป้ ก่อนจะต่อปลายข้างหนึ่งเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และปลายอีกข้างหนึ่งนำไปกดไว้กับท่อที่พาดอยู่ริมผนัง
   “เดี๋ยวพวกนายจะได้เห็นประสิทธิภาพอุปกรณ์แฮกกิ้งรุ่นล่าสุดของฉัน เฉพาะสายตัวนี้ฉันให้ชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด”
   “เอาล่ะ พวกนั้นกำลังพยายามวางแผนต่อไปอยู่ นายช่วยเงียบๆ หน่อย” ราฟาแอลหันมาเอ็ด ก่อนจะหันกลับไปปรึกษากับรูฟัสต่อ
   “เราจำเป็นต้องไปหามิสเตอร์ ดี เอ็น แอล ก่อน หวังว่าไอ้เรื่องถล่มนั่นคงจะทำให้ทางนั้นวุ่นวายพอที่จะไม่สนใจคนที่มีขึ้นมาเพิ่มหรอกนะ”
   “ผมว่าเราต้องหาเสื้อผ้าของที่นี่มาใส่ก่อน เดินโทงๆ ออกไปทั้งชุดแบบนี้ ต่อให้มีระบบพรางตาอยู่บนชุดก็คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก เพราะพวกเขาใส่เครื่องแบบสีขาวกันหมดเลย” รูฟัสเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม ราฟาแอลพยักหน้า
   “งั้น... เราจะไปหาเสื้อผ้าพวกนี้ที่ไหนล่ะ? ลากพนักงานพวกนั้นมาฆ่าทิ้งสักคนสองคน?”
   “อืม... คุณคิดอย่างอื่นก่อนเรื่องฆ่าคนบ้างก็ดีนะ” รูฟัสพูดออกมาอย่างเอือมระอาเต็มที ราฟาแอลนิ่วหน้า “มีแผนก็พูดมาเถอะน่า ฉันไม่ถนัดคิดอะไรที่มันซับซ้อนนักหรอก”
   “ผมว่าชุดขาวๆ พวกนี้ มันต้องเปลี่ยนและซักกันทุกวันแน่ๆ เขาคงไม่ขนออกไปซักข้างนอกหมดหรอก และถึงจะซักข้างนอกนะ มันก็ต้องมีห้องที่เก็บเสื้อผ้าพวกนี้อยู่ดี เราต้องไปที่นั่นก่อน หาเสื้อมาใส่ แล้วค่อยไปตามหามิสเตอร์ ดี เอ็น แอล อีกที”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนที่จะได้ยินเสียงรัสเลอร์ร้องขึ้น “ว้าว พวกนายต้องชอบแน่ๆ ที่นี่ติดกล้องวงจรปิดไว้ถี่ยิบเลยล่ะ”
   “ฉันไม่เคยพิศวาสไอ้กล้องพวกนั้นเลยสักนิด” ราฟาแอลว่า รูฟัสพยักหน้า “รัสเลอร์ นายต้องบังกล้องพวกนั้นให้เรานะ”
   “อันนั้นน่ะรู้แล้วล่ะน่า” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูด ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะบอกนายว่า เขาคงจะติดไว้ทุกห้องเลยล่ะ เพราะงั้นนะ ถ้าเชื่อมสัญญาณเข้ากับแผนที่ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าห้องไหนทำอะไร”
   “ว้าว” ราฟาแอลร้องออกมา “เจ๋ง ขอดูหน่อยสิ”
   “ทั้งหมดนี่พวกนายต้องขอบคุณเอ็ดเวิร์ดของฉัน” รัสเลอร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ “ฉันติดหัวเจาะเล็กๆ เอาไว้ที่ปลายด้วย นายน่าจะได้เห็นตอนที่มันเจาะเข้าไปในท่อ แล้วทะลวงเข้าไปหาสายเคเบิลพวกนั้น แค่แตะนิดเดียว ฉันก็เข้าถึงฐานข้อมูลพวกนี้ได้แล้ว ฉันว่าอนาคตจะพัฒนาให้มีระบบค้นหาสายเคเบิลอัตโนมัติ แล้วก็ทำขาเทียมเอาไว้ให้ปีนขึ้นไปเองด้วยเลย”
   “เอาล่ะ” ราฟาแอลพูดอย่างอดทนอดกลั้น “เราอยากดูภาพกับแผนที่ นายจะให้เราดูได้หรือยัง”
   “ได้ๆ แต่นายอาจจะงงสักนิดหนึ่งนะ เพราะฉันคิดว่าคงมีอย่างน้อยสักห้าหกร้อยตัว ยังโหลดมาไม่หมดเลยล่ะ”
   ราฟาแอลกับรูฟัสหันหน้ามองกันทันที ก่อนที่รูฟัสจะพูดขึ้นบ้าง “รัสเลอร์ เราอยากได้ห้องที่เก็บเสื้อผ้า นายพอจะหาให้เราได้ไหม”
   “เห? ห้องเก็บเสื้อผ้าเรอะ? เหมือนจะเห็นแว้บๆ นะ เดี๋ยวจะลองหาให้” รัสเลอร์ว่า และลากมือลงไปบนหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ สักพักก็โพล่งออกมา
   “ห้องนี้ล่ะมั้ง นายมาดูสิ”
   รูฟัสชะโงกหน้าเข้าไป ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นภาพชั้นวางเสื้อผ้าจำนวนมาก และพนักงานที่เข็นรถเข้าไปรับเสื้อ “เอาล่ะ เยี่ยมเลย ห้องนี้อยู่ตรงไหนน่ะ”
   รัสเลอร์กดดูตำแหน่งแล้วเทียบกับแผนผัง จากนั้นก็อธิบายต่อ “ห้องที่สามทางขวามือชั้นสอง โซนเอฟ เอางี้ เดี๋ยวฉันจะตั้งฐานสื่อสาร แล้วยิงแผนที่ส่งให้พวกนายไปดูกันระหว่างทางเลยแล้วกัน นาฬิกาพวกนายมีระบบฉายภาพสามมิติอยู่ แต่ระวังอย่าเรียกดูที่มืดๆ ล่ะ”
   “ที่สว่างก็มองไม่ค่อยเห็นเหมือนกันนั่นแหละน่า” รูฟัสว่า และพูดต่อ “ส่งมาก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกฉันหาทางดูกันเอง”
   “อืม” รัสเลอร์พยักหน้า แล้วหยิบอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋าเป้ หลังจากต่อนั่นต่อนี่อยู่สักพัก เขาก็พูดต่อ “เฮ้ ฉันจะลองพูดเข้าระบบนะ พวกนายก็เสียบหูฟังได้แล้ว”
   รูฟัสและราฟาแอลขยับหูฟังที่ซ่อนอยู่ตรงคอเสื้อขึ้นมาเหน็บหู ก่อนจะได้ยินเสียงรัสเลอร์ดังเข้ามา “ทดสอบๆ สิงโต กับเสือขาว ทราบแล้วเปลี่ยน”
   “ชื่อรหัสอะไรของนาย” รูฟัสอดไม่ได้ต้องถามขึ้นทันที รัสเลอร์ยักไหล่ “รหัสพวกนายสองคนไง ราฟี่เป็นสิงโต นายเป็นเสือขาว เหมาะดีออก”
   “เออ เข้าท่า” ราฟาแอลว่า และพูดต่อ “งั้นนายเป็นลิงซิมแปนซีแล้วกัน”
   “เฮ้ย ทำไมฉันต้องเป็นลิงซิมแปนซีด้วยล่ะ” รัสเลอร์แย้ง รูฟัสช่วยตอบแทนให้ “เพราะลิงซิมแปนซีฉลาดที่สุดในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน่ะสิ นี่พวกเราอุตส่าห์ชมนายนะเนี่ย”
   “โอ้.. งี้นี่เอง” รัสเลอร์พูดขึ้นมาอย่างนึกได้ แล้วยิ้มกว้าง “งั้นซิมแปนซีเรียกเสือขาว ตอบด้วย”
   “อืม ได้ยินชัดเจนเลยล่ะ” รูฟัสตอบไป จากนั้นรัสเลอร์ก็หันไปเรียกทางราฟาแอล “ซิมแปนซีเรียกสิงโต ตอบด้วย”
   “ปกติ” ราฟาแอลตอบสั้นๆ แล้วบอกให้รัสเลอร์ลองยิงแผนที่ที่ตรวจสอบแล้วเข้าไปในระบบของนาฬิกาข้อมือ
   “ใช้ได้ แล้วเรื่องระบบความปลอดภัยที่ประตูต่างๆ ล่ะ” หนุ่มผมสีบลอนด์หันมาถามอีก รัสเลอร์หยิบอะไรบางอย่างส่งให้เขา อันหนึ่งเป็นพลาสติกกลมๆ ขนาดเท่าลูกตามนุษย์ อีกอันเป็นแผ่นวัสดุใสๆ และยืนหยุ่น คล้ายๆ ยาง
   “อันนี้ลูกตาเทียม นายพกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนนั่น ลายนิ้วมือปลอม นายแปะไว้ตรงนิ้วก็ได้ จะได้กดได้ง่ายๆ แต่ออกไปแล้วพวกนายรอสัญญาณจากฉันก่อนจะใช้นะ เพราะฉันต้องเจาะระบบเข้าไปแอบเพิ่มข้อมูลพวกนี้ก่อน”
   ราฟาแอลพยักหน้า และส่งอุปกรณ์อีกชุดให้รูฟัส
   “นานแค่ไหนกว่าที่นายจะเจาะเข้าระบบได้” รูฟัสถามต่อ หลังจากแปะลายนิ้วมือเทียมลงไปบนถุงมือแล้ว
   “ยังไม่รู้ แต่ทางไปห้องเก็บเสื้อผ้ายังไม่ต้องผ่านเกท พวกนายออกกันไปก่อนแล้วกัน ถ้ายังไงก็เดินหลบๆ กันไปก่อน ฉันจะพยายามเร่งให้ เดี๋ยวได้แล้วจะติดต่อไป”
   “ตกลง” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหันมามองเขาอีกครั้ง
   “นายอยู่ที่นี่คนเดียวได้นะ?” ราฟาแอลถามขึ้น รัสเลอร์พยักหน้า “คุณพ่อราฟี่อย่าเป็นห่วงมากนักน่า เดี๋ยวฉันจะให้นายดูอะไรเพื่อความสบายใจ”
   พูดจบก็หยิบแผ่นอะไรออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นก็สะบัดออก แผ่นเล็กๆ นั้นขยายออกเป็นแผ่นฟิล์มขนาดใหญ่ จากนั้นรัสเลอร์ก็วางมันลงกับพื้น โดยยึดกับขาตั้งที่หยิบตามออกมา
   “นี่เป็นฉากพรางตารุ่นใหม่ของฉัน เนียนดีไหม”
   “อืม” ราฟาแอลส่งเสียง ตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นรัสเลอร์แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นก่อนก็คงไม่รู้ว่ารัสเลอร์นั่งอยู่ตรงนั้น สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้คือนั่งร้านอันหนึ่งที่ด้านล่างโล่งๆ เท่านั้นเอง
   “เป็นอันว่าเรียบร้อยนะ พวกนายไปได้แล้วล่ะ” รัสเลอร์โผล่หน้าออกมาแล้วชูนิ้วโป้ง ราฟาแอลกับรูฟัสชูนิ้วโป้งตอบ ก่อนจะเดินออกไป
----------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินสวนเข้ามา ในตอนที่วรุตเดินตามผู้เป็นพ่อกลับไปยังพื้นที่ส่วนกลาง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวปลอด พอเห็นทั้งคู่เขาก็ยกมือขึ้นไหว้ทักทายทันที “สวัสดีครับ”
   “สวัสดี” ทวีศักดิ์รับไหว้ และพูดขึ้น “จริงสิ เจอเธอก็ดีแล้ว พาเจ้าวินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย ฉันจะให้เขาออกไปรับแขกด้วยกัน เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปรอก่อน”
   “ครับ” อิทธิเดชพยักหน้ารับในขณะที่วรุตร้องขึ้น “เดี๋ยวสิพ่อ แขกอะไรน่ะ?”
   “คนที่พ่อเชิญมาประชุมน่ะ พวกเขาควรจะต้องรู้จักลูกเอาไว้หน่อย” ทวีศักดิ์ตอบ วรุตทำหน้ายุ่ง พลางคิดว่าพ่อเขาพูดอะไรผิดลำดับหรือเปล่า เขาสิควรจะรู้จักคนพวกนั้น ไม่ใช่ให้คนพวกนั้นมารู้จักเขา
   “ตามนี้ล่ะนะ เดี๋ยวลูกเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วขึ้นมาหาพ่อก็แล้วกัน เดชรู้ทางแล้วใช่ไหม”
   “ครับ คุณรัตน์บอกผมแล้ว” คนถูกถามพยักหน้า ทวีศักดิ์โบกมือให้เขา แล้วเดินออกไปทันที ทิ้งให้วรุตยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
   “เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แขกของท่านประธานเริ่มทยอยมากันแล้วล่ะ” อิทธิเดชพูด วรุตหันไปมองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณเห็นแขกพวกนั้นบ้างหรือยัง เป็นคนแบบไหนกันน่ะ”
   “ฉันจะเล่าให้ฟัง ระหว่างที่เราเดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน”
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่52 p8 21/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-08-2011 11:55:03
   วรุตติดกระดุมเสื้อเชิ้ต ขณะฟังอิทธิเดชพูดถึงแขกที่มาถึงแล้ว เห็นว่าเป็นผู้มีอิทธิพลจากตะวันออกกลางสองคณะ แล้วก็จากอิตาลีหนึ่งคณะ มีมาจากยูเครน แล้วก็แอฟริกาใต้ด้วย นี่พ่อเขาเรียกประชุมสมาคมผู้มีอิทธิพลระดับโลกหรือไงนี่
   “หันหน้ามาสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยดูให้ว่าดูดีแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มหน้าสวยพูด หลังจากที่วรุตผูกเนกไทและสวมสูทสีครีมที่คนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา อิทธิเดชเอียงคอมอง แล้วเดินมาจัดเนกไทให้
   “เธอน่าจะหวีผมใหม่สักหน่อย มีหวีกับเจลใส่ผมอยู่ตรงโน้นน่ะ” เขาพูด ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฉวยมือเอาไว้
   “พี่เดช” วรุตเรียกชื่อเขาก่อนจะเม้มริมฝีปากเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “เสร็จงานนี้แล้วน่ะ คุณย้ายมาอยู่กับผมได้ไหม ย้ายมาอย่างเป็นทางการน่ะ ในฐานะผู้ดูแลผมก็ได้ ผมไม่ทำอะไรคุณแล้วล่ะ ผมแค่อยากให้คุณอยู่ใกล้ๆ ”
   อิทธิเดชมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไปหวีผมเถอะ ท่านประธานรออยู่”
-------------------------------------------------------------
   ฟ่งอยากจะอาละวาดต่อยคน การแก้แปลนทำให้เขาไม่สบอารมณ์เอามากๆ แถมเขายังต้องมาทำงานแก้ของงานแก้ที่คนอื่นมาแก้งานของเขาอีก ปัญหาคือเขาคงจะต่อยคนพวกนี้ไม่ลง เพราะไม่ใช่คนรู้จัก และถึงเป็นคนรู้จักก็คงต่อยไม่ได้อยู่ดี เขาแค่อยากจะระบายอารมณ์ออกบ้าง ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูจะไม่อำนวยให้เขาระบายอะไรได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงอยู่ในสภาพหงุดหงิดสุดๆ เขานั้งแก้แบบแปลนไปหน้ามุ่ยไป จนไม่มีใครกล้าเข้ามาเฉี่ยวใกล้ในรัศมีสองเมตร
   ไม่รู้ว่าป่านนี้รูฟัสจะเป็นยังไงบ้าง
   เห็นสภาพถล่มนั้นแล้วฟ่งเกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าพวกรูฟัสอาจจะเกิดอันตรายขึ้นก็ได้ แต่หลังจากพยายามเงี่ยหูฟังคนนั้นคนนี้พูดกัน เขายังไม่ได้ยินข่าวว่าเจอคนได้รับบาดเจ็บหรืออะไรน่าสงสัยเลย หรือบางทีรูฟัสอาจจะผ่านเข้ามาก่อนที่ลิฟต์จะถล่มก็ได้
   พอคิดได้แบบนี้ฟ่งจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เขาเขียนแปลนใหม่เสร็จก็ส่งให้วิศวกรคำนวณโครงสร้างใหม่ จากนั้นก็ต้องย้ายตัวเองไปยังจุดที่เกิดการเสียหายอีกครั้ง เพื่อดูงานก่อสร้าง เพราะจะนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องกับคนที่ไม่รู้จักพวกนี้ก็กะไรอยู่
--------------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้บุหนัง ในตอนที่วรุตกับอิทธิเดชเดินเข้าไป พอเห็นหน้าลูกชาย ทางนั้นก็หันมายิ้มให้ทันที โดยที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่
   วรุตนั่งปุลงตรงเก้าอี้ หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อ อิทธิเดชเดินกลับออกไปหลังจากนั้นสักพัก ทวีศักดิ์ยังคงคุยโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้ลูกชายนั่งรออยู่แบบนั้น สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้น
   “ผมไปข้างนอกล่ะ”
   ทวีศักดิ์รีบรั้งลูกชายไว้ทันที “เดี๋ยว” จากนั้นก็รีบขอโทษขอโพยปลายสาย ก่อนจะวางโทรศัพท์ในที่สุด
   “โทษทีลูก พอดีแขกมีปัญหานิดหน่อย เอาล่ะ ไหนขอพ่อดูหน่อยซิ ลูกพ่อหล่อขนาดไหน”
   วรุตทำหน้าหงิก หันมาพอผู้เป็นพ่อและถามเสียงห้วน “พ่อมีอะไรจะพูดกับผม”
   ทวีศักดิ์มองลูกชาย อ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง ถึงพอพูดออกมาได้ “ลูกดูดีจริงๆ เอาล่ะ นั่งก่อนสิ พ่อจะอธิบายให้ฟัง”
   วรุตนั่งลงอีกครั้ง แล้วหันไปจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ ทวีศักดิ์มองลูกชายอีกพักหนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “พ่อกำลังจะเปิดตัวยาชนิดใหม่”
   “อืม... ยาเสพติดรึเปล่าน่ะ” เด็กหนุ่มถามกลับ คนเป็นพ่อสั่นศีรษะ “ไม่ใช่หรอก เป็นยาตัวใหม่ ยังไม่มีในสาระบบยา อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีผลทางการรักษาโรคทางร่างกายโดยตรงหรอก แต่พอจะช่วยรักษาโรคทางใจได้”
   “?” วรุตมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย “ยาอะไรน่ะพ่อ?”
   ทวีศักดิ์เอื้อมมือไปหยิบกล่องบุหนังสีดำกล่องหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาเปิดออก ก่อนจะหยิบหลอดแก้วหลอดเล็กๆ สูงราวๆ ครึ่งคืบออกมา ที่อยู่ด้านในคือสายสีม่วงที่เหมือนกับน้ำหมึกซึ่งหยดลงในน้ำ แต่ในกระบอกแก้วนั้นไม่มีน้ำอยู่ วรุตจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึง
   ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชายแล้วยิ้มอ่อนโยน “ถ้าการประชุมครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยดี เราจะกลายเป็นเจ้าของบริษัทยาที่มีผลกำไรและอนาคตรุ่งเรืองที่สุดของยุคนี้เลยล่ะ ลูกจะไม่มีอะไรต้องให้กังวลอีกแล้ว เราจะไปซื้อบ้านสวยๆ ริมชายหาดสักหลัง ไปเที่ยวรอบโลกกัน อะไรที่ลูกอยากได้ พ่อจะซื้อให้ ต่อจากนี้ลูกจะได้ยิ้มออกสักที”
   วรุตจ้องหน้าผู้เป็นพ่อเขม็ง เนิ่นนานจึงมีคำพูดเล็ดลอดออกมา
   “พ่อ..........”
----------------------------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเครื่องบิน ที่อยู่ติดกับเขาคือจางซื่อเยี่ยน ซึ่งก็นั่งอ่านหนังสืออยู่เช่นกัน เลยออกไปอีกหน่อย พี่ชายต่างมารดาของเขากำลังนั่งเอนตัวทอดสายตาไปยังพนักพิงด้านหน้า ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่อีกกันแน่
   เมื่อราวๆ สองสัปดาห์ก่อน เว่ยเฟิงปิงได้ไปพบกับเว่ยจินหยิน เพื่อพูดคุยเรื่องแผนการที่จะจัดการกับไฮท์สองคน และผู้ติดตาม ในงานประชุมที่กำลังจะจัดขึ้นที่ประเทศไทย สถานที่ที่เว่ยจินหยินนัดพบปะกับเขานั้น คือร้านอาหารบนเรือสำราญที่เจ้าตัวมีหุ้นส่วนและให้การคุ้มครองอยู่
   เว่ยจินหยินเหมาเรือทั้งลำ เพื่อประชุมเรื่องนี้กับเขาโดยเฉพาะ ดังนั้น เมื่อเรือลอยอยู่กลางอ่าวฮ่องกง จึงมีแค่พวกเขาสองพี่น้อง และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น
   หลังจากทานอาหารเสร็จ ผู้เป็นพี่ชายจึงเริ่มการสนทนาอันเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาพบหน้ากันในวันนี้
   “เฟิงปิง ที่พี่ชวนเธอมาทานข้าววันนี้ สาเหตุเธอคงจะรู้อยู่แล้วสินะ การประชุมที่เมืองไทยนั่นน่ะ” หยุดมองหน้าน้องชายพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดขึ้นต่อ “พี่บอกตรงๆ เลยว่าเรื่องนี้มันเกินความสามารถของเธอเกินไป ด้วยความหวังดี พี่อยากให้เธอถอนตัวเสีย เธอไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”
   เว่ยเฟิงปิงกระตุกริมฝีปากขึ้นนิดหน่อย แล้วพูดตอบออกไป “ผมไม่ได้ถ่อมาทานอาหารกลางอ่าวเพื่อฟังพี่พูดจาเหลวไหลแบบนี้หรอกนะ ผมมาเจรจาว่าเราจะวางแผนจัดการกับเรื่องนี่ยังไงกันแน่”
   เว่ยจินหยินมองหน้าน้องชาย แล้วยิ้มออกมา “พูดกับเธอไม่รู้เรื่องจริงๆ ด้วย”
   “พี่นั่นแหละ เลิกกวนประสาท แล้วพูดให้รู้เรื่องสักที” เว่ยเฟิงปิงอดไม่ได้ต้องเถียงใส่หน้า เว่ยจินหยินยกมือขึ้นขยับแว่นตากรอบทองของตน แล้วพูดต่อ “อืม.. เอาเถอะ พี่ก็คิดอยู่หรอกว่าเธอคงไม่ยอมถอนตัวแน่ เฟิงปิง เธอรู้เกี่ยวกับไฮท์สองคนของริเวิลขนาดไหน?”
   “พี่รู้ขนาดไหนล่ะ?” อีกฝ่ายย้อนถาม เว่ยจินหยินยิ้มให้น้องชายอีกครั้ง “ตอบพี่มาเฟิงปิง พี่จำเป็นต้องรู้ศักยภาพของเธอ ก่อนจะประเมินว่าควรจะจัดการยังไงต่อไป”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชาย แต่ในที่สุดก็ยอมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้มาทั้งหมด พอฟังจบ เว่ยจินหยินก็พยักหน้า แล้วถอนหายใจ “พี่คงรู้มากกว่าเธอนิดหน่อย สคัลที่เป็นคนสนิทของฟารุคมีฝีมือด้านใช้ดาบ ส่วนนีดเดิลเห็นว่าใช้อาวุธประหลาดอยู่พอสมควร เธอเองก็ควรจะเตรียมตัวเอาไว้ งานนี้ไม่อนุญาตให้พกปืนเข้าไป แต่อาวุธป้องกันตัวอย่างอื่นยังพอจะพกติดกันเข้าไปได้”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว “ทางนั้นแค่ไม่อยากให้กระสุนเป็นลูกหลงไปโดนข้าวของอย่างอื่นเสียหายเท่านั้นล่ะสิ”
   เว่ยจินหยินตอบยิ้มๆ “ไม่หรอก ถ้าไม่ให้พกอาวุธเข้าไปเลย คงไม่มีใครอยากจะเข้าร่วมประชุมแน่ ก็รู้ๆ อยู่ว่าคนแบบเราต้องระวังตัวแจขนาดไหน”
   “เหอะ! ขอโทษทีนะ พอดีผมไม่ได้เป็นพวกล่อเป้าแบบพี่น่ะ” เว่ยเฟิงปิงว่า พลางนึกถึงขบวนคุ้มกันยาวเหยียดของเว่ยจินหยิน คนเป็นพี่ชายยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ก็อย่างนั้นแหละ พี่อยากให้เธอเตรียมพร้อมเรื่องนี้ ซื่อเยี่ยนน่ะคงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” พูดแล้วเว้นระยะไปพักหนึ่ง “จริงสิ ได้ยินมาว่าห้องประชุมที่เตรียมเอาไว้ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนอยู่ คราวก่อนที่เธอไป ได้แวะไปดูบ้างหรือเปล่า?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “เปล่า คราวที่แล้วคุณพ่อส่งผมไปยกเลิกเฉยๆ ไม่ได้แวะเข้าไปดูหรอก”
   “อ้อ” เว่ยจินหยินส่งเสียงในคออีก ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด “เราต้องล่อพวกนั้นให้ออกมาจากห้องประชุม ห้องประชุมใหญ่อนุญาตให้พาผู้ติดตามเข้าไปได้แค่หนึ่งคน เราต้องจัดการสองคนนั่นในตอนนั้นแหละ ส่วนเรื่องว่าจะล่อไปที่ไหน ไว้ถึงสถานที่ก่อนค่อยว่ากันอีกที พี่คิดว่าถึงมันจะซับซ้อนขนาดนั้น ก็น่าจะยังพอมีช่องให้เราจัดการกับเจ้าพวกนั้นได้”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าพี่ชายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ถามออกมา “แค่นี้?”
   คนถูกถามพยักหน้า “ตอนนี้เธอรู้แค่นี้ไปก่อน เรายังไม่รู้สภาพสภานที่แน่ชัด แต่ถ้าทำได้ พี่ก็อยากให้แยกสองคนนั้นออกไปจัดการ เธอต้องพยายามล่อเอียน ส่วนพี่จะจัดการกับฟารุคเอง แผนที่เหลือ พี่จะบอกกับเธออีกทีตอนถึงที่โน่นแล้ว”
   เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า และเม้มริมฝีปากแน่น
-------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินมองผ่านแว่นตากรอบทองไปยังพนักพิงเบื้องหน้า ดวงตาสีดำสนิทหลุบต่ำลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
   เรื่องสถานที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ในแผนการครั้งนี้ น้อยครั้งที่เว่ยจินหยินต้องวางแผนรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในสถานที่ที่เขาแทบจะไม่รู้จักเลย ปกติจะทำอะไร เขาจะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของคนที่จะร่วมอยู่ในแผนการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกัน หรือศัตรู หรือแม้แต่สถานที่ที่จะใช้เป็นเวทีในการเล่นแผน แต่ครั้งนี้ นอกจากรายละเอียดเกี่ยวกับศัตรูที่เขารู้เพียงคลุมเครือแล้ว เรื่องสถานที่ก็เป็นปัญหาใหญ่ การจัดการกับสองคนนั่นตรงๆ อาจจะเป็นชนวนก่อให้เกิดความไม่พอใจกับกลุ่มอื่นๆ การประชุมครั้งนี้มีผู้มีอิทธิพลเข้าร่วมมากมาย ถ้าเอาเสนอหน้าออกไปตรงๆ แบบนั้น ก็เท่ากับแสดงออกว่าต้องการทำลายการประชุมในครั้งนี้ เพราะตัวแทนของริเวิลเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประชุมเหมือนกัน
   หากจะทำอย่างที่ผู้เป็นพ่อต้องการล่ะก็ มีแต่จะต้องสร้างสถานการณ์ โยนความผิด ก่อเรื่องวุ่นโดยที่ไม่ให้ทุกฝ่ายนึกสงสัยในตัวเขา ล่อสองคนนั่นออกไปยังสถานที่ที่กำหนด แล้วจัดการซะ
   ปัญหาคือเรื่องสถานที่ เขาต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้สำหรับงานนี้ ถ้ายังไม่เห็นสถานที่จริง แผนของเขาก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
   เว่ยจินหยินมองดูแหวนสีเงินเรียบๆ บนนิ้วมือที่สวมอยู่ ก่อนจะเม้มริมฝีปาก
   ไม่ว่าสถานที่จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงลงไปจนได้
   หาเรื่องครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยดีล่ะก็........
-----------------------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนกำลังอ่านหนังสือ หรือจะพูดให้ถูก เรียกว่าใช้ตาจ้องตัวหนังสืออยู่มากกว่า เขาไม่อยากให้ผู้เป็นเจ้านายรู้สึกกังวลอะไรมากไปกว่านี้ จึงต้องทำทีเป็นสบายๆ ด้วย แต่จิตใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกหนักอึ้ง
   หลังจากไปพูดคุยกับผู้เป็นพี่ชายเป็นที่เรียบร้อย เว่ยเฟิงปิงกลับมาแล้วก็เล่าแผนการคร่าวๆ ของเว่ยจินหยินให้เขาฟัง
   ล่อออกมาแล้วแยกกันตี ในสถานการณ์แบบนี้ นี่ถือเป็นแผนที่ดีที่สุด ทางฝั่งเว่ยจินหยินคงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะนอกจากจะมีผู้ช่วยฝีมือดี ที่มีศักดิ์เป็นถึงหัวหน้าหน่วยดำ และเป็นครูฝึกของเขาแล้ว โดยตัวของเว่ยจินหยินเอง ไม่ใช่ว่าจะมีดีแค่ฝีปาก ได้ยินมาว่าฝีไม้ลายมือในด้านกังฟูก็ไม่เป็นสองรองใครเลย จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเห็นเองกับตา แต่ได้ชื่อว่าผู้ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกและโหดเหี้ยมอำมหิตคนนั้น คงไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายโดยไม่วางแผนอะไรรับมือแน่ๆ แต่เจ้านายของเขานี่สิ
   จางซื่อเยี่ยนเกือบจะแน่ใจว่า เว่ยเฟิงปิงมีฝีมือติดตัวอยู่ไม่กี่ท่า เรื่องยิงปืนก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไร ส่วนทักษะด้านการป้องกันตัวหรืออาวุธประเภทอื่นก็....
   แต่พอเห็นผู้เป็นเจ้านายดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร จางซื่อเยี่ยนจึงพยายามปลอบใจตัวเองว่า บางทีเว่ยเฟิงปิงคงมีอะไรซุกซ่อนเอาไว้โดยที่เขาไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ เพราะโดยนิสัยแล้ว เจ้าตัวเองก็คงไม่พาตัวเข้าไปในปากจระเข้โดยไม่มีแผนอะไรหรอก ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องเผื่อสถานการณ์เอาไว้ก่อนเหมือนกัน หากเว่ยเฟิงปิงพลาด... เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้านายออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่เหลือ เว่ยจินหยินคงมีวิธีจัดการเองนั่นแหละ
------------------------------------------------------------
   เถียนซานมองดูอดีตเจ้านายของตัวเองที่กำลังนั่งครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเงียบๆ เขารู้ดีว่างานนี้เว่ยจินหยินจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แผนสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม
   ความฝังใจในวัยเด็กผลักดันให้อดีตเจ้านายของเขาคนนี้ ออกห่างจากสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีๆ แม้เถียนซานจะรู้อยู่เต็มอก ว่านี่ไม่ใช่สิ่งดีเลย แต่เขาเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เพราะรู้ซึ้งถึงเรื่องความฝังใจนั้นดีกว่าใครๆ ดังนั้น ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะวางแผนอะไร จะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหน เขาก็จะอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ เผื่อว่าสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เว่ยจินหยินได้ทำลงไป จะพอช่วยแก้ไขเรื่องฝังใจนั้นลงได้ เผื่อว่าคนคนนั้นจะหันกลับมามองเสียที
   จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะคอยเคียงข้างอดีตเจ้านายคนนี้ ไม่ว่าสิ่งที่ทำจะเลวร้ายสักเพียงไหนก็ตาม
---------------------------------------------------------
   ฟ่งตัดสินใจเดินกลับมายังจุดที่เกิดการถล่มอีกครั้ง ซากปรักหักพังถูกขนออกไปจนเกือบหมดแล้วในตอนที่เขาไปถึง ทีมวิศวกรอีกสองสามคนเดินตามเขามา สถาปนิกหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนจะไม่มีใครเจออะไรผิดปกติ ชายหนุ่มแอบหวังว่าเขาอาจจะได้เห็นรูฟัสปลอมตัวเป็นพนักงานคนใดคนหนึ่งในที่นี้ก็ได้ อย่างไรก็ดี ถ้ารูฟัสเห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ อาจจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ก็เป็นได้
   ฟ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองโครงสร้างที่เหลืออยู่ และนึกปวดหัวว่าทั้งหมดนี่จะใช้เวลาซ่อมสักเท่าไหร่กัน หนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน แต่ทวีศักดิ์ดูเหมือนจะเร่งกว่านั้น
   เขาหันไปปรึกษากับทีมวิศวกรด้านหลังอีกรอบ
   ท่าทางคืนนี้จะต้องโต้รุ่งเสียแล้ว
-----------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 29-08-2011 13:06:50
อย่าหายไปนานนะ
กำลังมัน o13
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 29-08-2011 13:55:50
นับถือคนเขียนจริงๆ ว่าเราเป็นคนอ่าน เห็นตัวหนังสือเย๊อะๆ ยังตาลายเลย
แต่เราไม่ท้อที่จะอ่าน ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ ถึงแม้มันจะเหนื่อยใจกับนายเอกเราก็ตาม

ขอบคุณค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 29-08-2011 15:14:00
ตอนนี้ออกมาครบทุกคนเลยทีเดียว   
ฟ่งยังมีกะใจไปแก้แบบให้เค้าอีกเรอะ
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 29-08-2011 19:05:27
แล้วจะเป็นงัยกันต่อล่ะเนี้ย มากันครบแบบนี้
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 29-08-2011 23:07:31
ถ้าได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาคงสนุกดีพิลึก
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2011 08:35:31
**เรื่องนี้ยังคงลงอย่างอืดอาดเหมือนเดิม (บางทีก็ลืม^^")

ถ้าหกคนนี้มาเจอกันจริง คนเขียนตายก่อนค่ะ ฮ่าๆๆ (นอกจากจะต้องคิดพล็อตให้พวกมันมาเจอกันได้ ยังต้องห้ามไม่ให้เกิดหายนะอีกต่างหาก!! ขนาดนั้นเลยนะเนี่ย!!!!!! o22)
---------------------------------------------
บทที่54 เทพเจ้า

   ชุดพรางเข้ารูปที่พวกราฟาแอลสวม เป็นชุดที่ทอขึ้นมาจากเส้นใยแบบพิเศษ ซึ่งมีคุณสมบัติสะท้อนแสงของบรรยากาศรอบๆ ตัว โชคดีที่บริเวณใกล้ๆ กับลานอเนกประสงค์ที่ดูจะกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว ติดไฟไว้ไม่มาก ทำให้ทั้งรูฟัสและราฟาแอลสามารถเดินหลบๆ ตามเงามืดไปยังระเบียงซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังห้องเก็บเสื้อผ้า
   ราฟาแอลเรียกแผนที่จากนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พลางติดต่อกับรัสเลอร์ซึ่งยังอยู่ในห้องเก็บของ
   “ซิมแปนซี นี่สิงโตเรียก เรามาถึงระเบียงเอแล้ว นายบังกล้องวงจรปิดเรียบร้อยหรือยัง?”
   รูฟัสนึกขำกับฉายาของรัสเลอร์ และคิดว่าเหมาะเสียยิ่งกว่าเหมาะ ได้ยินเสียงรัสเลอร์ตอบกลับมา “ตัวขวามือเรียบร้อยแล้ว แต่มีอีกตัวหนึ่งอยู่ถัดจากตำแหน่งพวกนายไปอีกสักยี่สิบเมตร ฉันกำลังจะส่งไฟล์เข้าไปอยู่” เงียบไปอึดใจ รัสเลอร์ก็ส่งเสียงกลับมา “เรียบร้อยล่ะ”
   “อืม” ราฟาแอลส่งเสียงตอบ และหันไปหารูฟัส ทั้งคู่มองซ้ายมองขวา แล้วรีบกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปหลบในมุมมืดบริเวณเสา พื้นที่ตรงระเบียงติดไฟเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังพอเหลือจุดอับสายตาอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องหาจังหวะดีๆ ในการวิ่งอยู่สักหน่อย
   “นี่ ซิมแปนซี” ราฟาแอลกระซิบทางวิทยุสื่อสารอีกครั้ง เมื่อพวกเขาวิ่งโผมาได้สักสามร้อยเมตร มีพนักงานในชุดสีขาวเดินไปๆ มาๆ เป็นระยะๆ เลยทำให้การเคลื่อนที่ของราฟาแอลและรูฟัสเป็นไปได้ช้าพอสมควร “ถ้ามีอะไรผิดพลาด นายพอจะดับไฟได้มั้ย?”
   “ตอนนี้น่ะยังไม่ได้” รัสเลอร์ว่า “ฉันไม่ใช่พ่อมดนะ จะได้เสกน้ำไหลไฟดับได้ มันต้องรอเจาะระบบป้องกันอีกสักสองชั้น ถึงจะเชื่อมเข้ากับระบบควบคุมไฟได้ ถ้าพลาดตอนนี้ก็ตามมีตามเกิดแล้วกัน”
   “เยี่ยม” ราฟาแอลส่งเสียงเชิงประชด ก่อนจะหันมามองรูฟัส หนุ่มตาสองสียักไหล่ “ช่วยไม่ได้แฮะ” เขาว่า พลางเล็งไปยังมุมมืดฝั่งตรงข้าม “หวังว่าเราจะไปถึงห้องเก็บเสื้อผ้านั่น ก่อนที่คุณจะต้องฆ่าใครก็แล้วกัน”
   ราฟาแอลหันมายิงฟันใส่เพื่อนร่วมงาน “อย่าให้ฉันรู้ว่าแกมันไม่เคยฆ่าใครก็แล้วกัน”
-----------------------------------------------------------
   โชคดีที่ชุดพรางใช้การได้ดีจนน่าประทับใจ และการวิ่งโผหลบเข้าไปในเงามืดไม่มีความผิดพลาด ดังนั้นทั้งคู่จึงเล็ดลอดมาถึงห้องเก็บเสื้อผ้าได้โดยที่ไม่ต้องดับไฟ ราฟาแอลให้สัญญาณกับรัสเลอร์ผ่านเครื่องมือสื่อสารซึ่งติดอยู่ใต้ปกคอเสื้อให้จัดการกับจอมอนิเตอร์ในห้อง ขณะที่ตัวเองค่อยๆ เคลื่อนผ่านกองผ้า หลบสายตาของพนักงานซักรีด ซึ่งง่วนกับการหอบกองเสื้อผ้าสีขาวพวกนั้นไปใส่ถังซัก และรื้อเสื้อผ้าจากถังที่ซักเสร็จแล้วไปใส่ในถังอบแห้ง กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งไปหมด
   ห้องซักรีดค่อนข้างจะแคบอยู่สักหน่อย หากเทียบกับลานเก็บของ แต่ก็มีที่ให้หลบพอสมควร ก็พวกชั้นวางเสื้อผ้าที่สูงท่วมหัวพวกนั้นนั่นแหละ
   “เราต้องหาเสื้อผ้าแบบที่มันสวมทับชุดของเราได้” รูฟัสสื่อสารกับราฟาแอลโดยใช้ภาษามือ คนมองพยักหน้า แล้วหยิบเสื้อชุดหนึ่งออกมา และพบว่ามันเป็นชุดหมีที่ดูยังไงก็ตัวเล็กจนอย่าว่าแต่ใส่คลุมเลย จะใส่ได้รึเปล่ายังไม่รู้
   “เออ เราต้องหาไซต์ที่ใส่ได้ด้วยล่ะ” หนุ่มผมสีบลอนด์ให้สัญญาณมือกลับมา รูฟัสพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มค้นหาตามชั้นวางเสื้อผ้า โดยพยายามหลบสายตาของพนักงานซักรีดไปด้วย
----------------------------------------------------------
   “เฮ้! พวกนายทำอะไรกันอยู่เนี่ย ทำไมเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้” รัสเลอร์ว่าเมื่อเห็นทีมอีกสองคนของเขาเงียบไป และได้ยินเสียงเคาะตึกๆ มาแทนคำตอบ
   ‘กำลังหาเสื้อใส่อยู่โว้ย ไอ้บ้า’
   รัสเลอร์ไม่รู้ว่าคนที่เคาะเป็นรูฟัสหรือราฟาแอลกันแน่ แต่ก็กรอกเสียงตอบกลับไป “นี่ จะใช้รหัสมอสกับฉัน ก็ให้มันสุภาพหน่อยซี่ พวกนายจะเคาะคำสบถมาทำบ้าอะไร”
   จากนั้นเขาก็ได้รับรหัสมอสอีกชุด รัสเลอร์กรอกเสียงลงไป “เอาล่ะ รอบหน้าฉันจะหาเสียงตรู๊ดๆ มาเซนเซอร์พวกนาย”
   ‘หุบปาก แล้วทำงานของนายไปเถอะ’
“ใช่ซี่ พวกนายคุยกันเองก็แล้วกัน ฉันจะคุยกับน้องดีว่าโฟร์ของฉันต่อล่ะ” นักประดิษฐ์หนุ่มส่งเสียงประชด ก่อนจะไล่นิ้วลงไปบนคีย์บอร์ด เขาแค่อยากจะถามสองคนนั่นเท่านั้นเองว่าจัดการอะไรถึงไหนกันแล้ว
หน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังแสดงระบบป้องกันของฐานข้อมูลผู้ผ่านเข้าออก รัสเลอร์เรียกโปรแกรมที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเองมาสองสามโปรแกรม และใช้โปรแกรมพวกนั้นในการถอดรหัสและแก้โปรเทคเข้าไปในระบบ
สิบห้านาทีผ่านไป รัสเลอร์สามารถฝังข้อมูลของรูม่านตาและลายนิ้วมือปลอมที่เขาให้รูฟัสกับราฟาแอลลงไปในระบบได้สำเร็จ จึงติดต่อไปยังพวกรูฟัสและราฟาแอลอีกครั้ง
“ซิมแปนซีเรียกสิงโต เรียกเสือขาว ตอบด้วย”
เสียงเคาะตึกๆ เป็นสัญญาณว่าทั้งคู่น่าจะยังอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้เสียงสื่อสารได้ รัสเลอร์จึงพูดกรอกไมโครโฟนลงไป “พวกนายผ่านประตูได้แล้ว แต่เรื่องดับไฟยังต้องรอก่อนนะ”
อีกฝั่งเงียบไปพัก ก่อนจะได้ยินเสียงตอบกลับมา “อืม พวกฉันได้เสื้อผ้าล่ะ เดี๋ยวจะตรงไปที่ห้องวิจัย คิดว่ามิสเตอร์ดี เอ็น แอล น่าจะอยู่ที่นั่น นายบังกล้องเรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว ฉันจะยิงตำแหน่งห้องวิจัยให้พวกนายแล้วกัน แต่มันค่อนข้างไกลจากจุดที่พวกนายอยู่พอสมควรเลยนะ”
“ไม่เป็นไร พวกฉันจัดการได้”
---------------------------------------------------
   เสื้อสีขาวที่รูฟัสและราฟาแอลเลือกกันมาได้ บังเอิญเป็นเสื้อกาวน์สำหรับใส่ในห้องปฏิบัติการพอดี ผลัดกันปัดฝุ่นมอมแมมออกจากตัว และทำหน้าให้ทรงภูมิหน่อยๆ ทั้งสองก็พอจะอุปโลกน์ตัวเองเป็นนักวิจัยกับเขาได้
   รูฟัสและราฟาแอลลอบออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แสร้งทำเป็นถกปัญหากันหน้าดำคร่ำเครียด ขณะเดินผ่านพนักงานพวกนั้น ไปยังห้องวิจัยซึ่งอยู่ถัดออกไปไกลพอสมควร
   ตอนที่ทั้งสองไปถึงห้องประชุมใหญ่ในโซนที่เกี่ยวกับการวิจัย ก็พบว่ามีพวกนักวิจัยกลุ่มหนึ่งกำลังมีปากเสียงกันอยู่ ทั้งหมดทุ่มเถียงกันเสียงดังจนไม่ทันได้สังเกตผู้ที่เข้ามาใหม่ รูฟัสและราฟาแอลจึงตัดสินใจยืนฟังเงียบๆ อยู่แถวนั้น
หลังจากยืนฟังอยู่พักใหญ่ ก็พอจะจับใจความได้ว่าพวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องจรรยาบรรณหรืออะไรซักอย่าง ที่พวกตนควรจะมี นักวิจัยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ภาษาที่ใช้เถียงกันจึงเป็นภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีมากที่บางคนปริภาสภาษาบ้านเกิดของตนออกมา ดูเหมือนจะมีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย
   “ฉันคิดว่าถึงยังไงเราก็ไม่ควรจะปล่อยให้ของแบบนี้หลุดออกไปข้างนอก โดยเฉพาะการหลุดไปอยู่ในมือของพวกมาเฟีย”   หญิงสาวผมบลอนด์ในชุดเสื้อกาวน์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ดูจากใบหน้าแล้ว เธอยังเด็กเกินไปนักสำหรับการเป็นนักวิจัย กระนั้นหลายคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับหล่อน แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งแย้งขึ้น
   “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงได้ยึดติดกับคำว่าจรรยาบรรณนัก ถ้าเราไม่เปิดตัวที่นี่ คุณคิดหรือว่าโลกนี้จะได้เห็นผลงานอันสุดวิเศษที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้น” ผู้ที่แย้งเป็นชายชาวเอเชียน่าจะมีเชื้อสายอยู่ทางจีนหรือเกาหลี รูปร่างค่อนข้างเล็ก ดูจากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแล้ว อายุของคนคนนี้ไม่น่าจะน้อยกว่าหกสิบปี ที่น่าแปลกคือ คนที่พูดเรื่องจรรยาบรรณ กลับกลายเป็นคนที่มีอายุคราวลูก ส่วนคนที่เห็นแย้งกลับอายุเยอะแทบจะเป็นพ่อของพ่อได้ และดูเหมือนจะมีคนเห็นด้วยกับเขาไม่น้อยเลย
   “ผลงานสุดวิเศษงั้นหรือ? ฉันคิดว่ามันเป็นความเลวร้ายมากกว่า” นักวิจัยสาวคนเดิมพูดต่อ คราวนี้เสียงรอบข้างดังเซ็งแซ่ขึ้นอีก จากนั้นทั้งสองฝ่ายเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง
   “เธอเห็นความพยายามของพวกเราไร้ค่าและเลวร้ายอย่างนั้นรึ?” นักวิจัยอีกคนหนึ่งซึ่งอายุอานามก็คงสักห้าสิบได้แล้วพูดอย่างมีอารมณ์ใส่หล่อน นักวิจัยอีกคนที่ยืนอยู่ถัดจากนักวิจัยสาวจึงพูดตอกกลับ “มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกที่จะปล่อยให้ของพวกนั้นออกไปน่ะ”
   “คนที่ทำงานร่วมกับเราอย่างพวกเธอกล้าพูดว่านี่เป็นสิ่งเลวร้ายได้ยังไง!! ถ้าจริงใจล่ะก็ถอนตัวออกไปเลยซี่!!”
   “ไอ้พวกไร้จิตสำนึก!!!”
   รูฟัสและราฟาแอลหันมามองหน้ากัน พลางคิดว่าในกลุ่มคนพวกนี้จะมีคนที่พวกเขากำลังตามหาตัวอยู่หรือเปล่า
   “คุณคิดว่าในนี้จะมีคนที่เคยส่งข้อมูลให้เราไหม?” รูฟัสเอ่ยถามขึ้น แข่งกับเสียงโต้เถียง  ราฟาแอลยักไหล่
   “จะไปรู้เรอะ นายไม่เคยเห็นหน้าเขาหรือไง?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ พลางนึกไปถึงตอนที่เขานั่งดาวน์โหลดข้อมูลอยู่ที่ห้องพัก ในตอนที่มาถึงประเทศไทยใหม่ๆ
   “ผมรู้แค่ชื่อแฝงกับรหัสลับที่เขาเรียกตัวเอง และเขาก็เพิ่งติดต่อกับผมตอนที่ผมมาที่เมืองไทย ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเขาจะติดต่อโดยตรงกับเบื้องบน”
   “อ้อ... งั้น.........”
   ประโยคต่อมาของราฟาแอลถูกเสียงก่นด่ากลบจนฟังไม่ได้ศัพท์ สุดท้ายรูฟัสเลยใช้นิ้วเคาะลงไปบนแขนของราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์พยักหน้า และเคาะกลับ
   “จะลองดูตามนายว่าก็ได้ คงไม่มีใครสงสัยเรื่องข้อความแปลกๆ หรอก แค่ที่ได้ยินอยู่นี่ก็แปลกพอล่ะ” ราฟาแอลว่า รูฟัสยิ้มอย่างเห็นด้วย ไอ้การเถียงกันด้วยถ้อยคำถ่อยๆ แบบนี้ เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินในหมู่พวกนักวิจัยจริงๆ
-----------------------------------------------------------------   
   “สรุปว่าพวกนายทิ้งเศษกระดาษเอาไว้แล้วก็เดินหนีออกมา?” รัสเลอร์ถามย้ำอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินราฟาแอลเล่าเรื่อง
   “พวกฉันปลอมลายมือเป็นล่ะน่า” รูฟัสพูดแทรก รัสเลอร์ขยับหูฟังให้เข้าที่ เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความFailปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
   “สงสัยคงต้องลองวิธีอื่น” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพึมพำ ทำให้อีกฝ่ายถามขึ้น
   “ลองอะไร?” “ฉันยังแฮ๊กกิ้งระบบไม่ได้ พวกนายก็รอคนที่จะเข้าใจเศษกระดาษแผ่นนั้นต่อไปก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งทำอะไรเสี่ยงๆ เข้าใจไหม”
   “เหอะ เตือนตัวเองไว้เถอะ” รูฟัสว่า ก่อนจะพูดต่อ “ไหนว่าเครื่องนายแฮ๊กได้ทุกอย่างไงล่ะ”
   รัสเลอร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ “แฮ๊กได้น่า หัดใจเย็นๆ กันหน่อยซี่” ชายหนุ่มว่า และตัดสายของทางนั้นไป เขาหันมาให้ความสนใจกับความล้มเหลวในการเจาะระบบที่เกิดขึ้น มันพลาดไปตรงไหน? รัสเลอร์เปิดล็อกไฟล์ขึ้นมาไล่ดู ก่อนจะยิ้มเหี้ยมๆ
   “ถ้าเล่นแบบนี้ก็คงต้องเจอกันหน่อยล่ะ”
---------------------------------------
   รูฟัสหาวหวอด เขาและราฟาแอลยังคงซุ่มอยู่ด้านนอกของห้อง รอคอยคนที่คาดว่าจะปรากฏตัวออกมาเพราะเศษกระดาษที่ทิ้งเอาไว้ แต่นี่ก็เกือบจะเลยเที่ยงคืนแล้ว ดูเหมือนพวกนักวิจัยที่ทะเลาะกัน จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนจนหมด ทิ้งห้องประชุมเปล่าๆ เอาไว้ หรือว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นกระดาษนั่น?
   “ท่าทางเราคงต้องนอนในหลืบนี่”   ราฟาแอลพูดขึ้น เมื่อพบว่ารูฟัสหาวซ้ำติดกันไปแล้วสองรอบ หนุ่มตาสองสีพยักหน้า และหาวอีกรอบ
   “คุณว่าเขาไม่เจอกระดาษที่เราทิ้งเอาไว้ หรือว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องประชุมนั่นกันแน่?”
   “อาจจะทั้งสองอย่าง” ราฟาแอลตอบ พลางนึกหาวิธีติดต่อรูปแบบอื่น “ฉันว่าบางทีเราอาจจะต้องหาวิธีติดต่อที่มันได้ผลมากกว่านี้”
   “ยังไงล่ะ เอากระดาษแปะหน้าผากเลยดีมั้ย?” รูฟัสออกความเห็นที่ชักชวนให้ต้องตบรางวัลด้วยรองเท้ามากกว่าอย่างอื่น แต่ราฟาแอลคิดว่าเขาคงใจไม่เย็นพอจะถอดรองเท้าออกและปาใส่เพื่อนร่วมงาน ในเมื่อมีอย่างอื่นที่ไปถึงได้เร็วกว่านั้น  ขณะที่หนุ่มผมบลอนด์กำลังบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจ และคิดว่าตนควรจะปลงตกกับการกวนประสาทของรูฟัสได้แล้ว เสียงเคลื่อนไหวบางอย่างก็ดังขึ้น
   ทั้งคู่ขยับตัวชิดกับผนัง เมื่อเห็นว่ามีเงาคนไหวๆ อยู่ใกล้ๆ ไม่นานนักร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาถึงบริเวณที่กำหนดเป็นจุดนัดพบซึ่งเขียนเอาไว้ในกระดาษ ด้วยแสงสลัวๆ จากดวงไฟทางเดินที่เปิดเอาไว้ ทำให้พอจะเดาได้ว่าผู้ที่เดินมาใหม่นี้น่าจะเป็นผู้หญิง นั่นทำให้รูฟัสกับราฟาแอลรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
   “ไหนแกว่าเป็นผู้ชาย(He)ไง?” ราฟาแอลส่งภาษามือใส่รูฟัสเป็นพัลวัน อีกฝ่ายก็รีบทำท่าตอบเป็นพัลวันเช่นกัน
   “ผมไม่รู้ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชาย เห็นเขาใช้มิสเตอร์นำหน้าชื่อนี่”
   สองคนเลยตกลงกันว่าจะซุ่มดูอีกพักหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นแค่คนที่เดินผ่านมา ผู้หญิงคนนั้นหยุดยืนตรงจุดที่นัด แล้วหันมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังตัว ก่อนจะวางกระดาษลงไปบนพื้นแผ่นหนึ่ง แล้วเดินออกไป
   รูฟัสและราฟาแอลหันมามองหน้ากันทันที
-------------------------------------
   “เฮ้ย!! ซิมแปนซี หลับหรือยังน่ะ?” เสียงของรูฟัสที่ดังขึ้น ทำคิ้วของคนถูกทักที่ขมวดเข้าหากันอยู่แล้วยิ่งขมวดยุ่ง หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกรอกเสียงลงไป
   “ยัง!! นายอย่าเพิ่งมากวนสมาธิฉันได้ไหม ฉันกำลังจัดการกับไอ้หนูนี่อยู่”
   “ไอ้หนู? มีเด็กเข้าไปเล่นแถวนั้นหรือไง?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ รัสเลอร์พยักหน้า พลางไล่นิ้วเรียวยาวลงไปบนแป้นคีย์บอร์ดไร้เสียงด้วยความเร็วที่น่าตระหนกสำหรับผู้พบเห็น
   “เด็กตัวใหญ่เลยล่ะ พวกนายมีอะไรกัน?”
   รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอลด้วยความงุนงงกับคำพูดของรัสเลอร์ หรือว่าเจ้าหมอนั่นพูดถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่คน อาจจะใช่ก็ได้ เพราะโดยปกติรัสเลอร์ก็ดูจะสนิทชิดเชื้อกับเครื่องจักรมากกว่าคนเป็นๆ อยู่แล้ว แถมยังชอบตั้งชื่อให้เครื่องมือพวกนั้นอีก
   “นายรู้ประวัติของผู้หญิงที่อยู่ห้องD51รึเปล่า?”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วยุ่งมากยิ่งขึ้น เขาไล่นิ้วเรียวยาวลงไปบนคีย์บอร์ดและพยายามจะแบ่งสมาธิให้กับคำถามของรูฟัส
   “ห้องD51? ฉันจะไปรู้ได้ไง?!! เดี๋ยวนะ!! อย่างนั้นแหละ  อ่ะฮ้า!”
   รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอลด้วยความสยดสยอง เจ้ารัสเลอร์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ
   “ขอโทษถ้าเสียงของฉันมันฟังดูทุเรศ” รัสเลอร์ตอบกลับมาอีกหน คราวนี้น้ำเสียงดูจะลิงโลดจนแทบจะร้องเฮ
   “พวกนายกำลังอยากจะรู้จักสาวห้องD51ใช่ไหม ข่าวดี ฉันเพิ่งแฮ๊กกิ้งระบบใหญ่ได้เมื่อกี้นี้เอง” ชายหนุ่มพูด ขณะมองข้อมูลปริมาณมหาศาลเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ จากนั้นก็ผิวปากหวือ
   “นี่ถ้าไม่ใช่คอมพิวเตอร์ระดับดิวาโฟร์ของฉัน รับรองว่ารับข้อมูลขนาดนี้ไม่ไหวแน่”
   คราวนี้ฝ่ายที่ขมวดคิ้วเป็นทางรูฟัสบ้าง หนุ่มตาสองสีรีบกรอกเสียงลงไป ก่อนจะต้องทนฟังเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับเครื่องมือของรัสเลอร์อีก
   “ตกลงนายรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงห้องD51เป็นใคร?”
   “นายกำลังถามถึงสาวผมบลอนด์ที่ชื่อ ไดแอน เอ็น เลอวิสรึเปล่า?” รัสเลอร์ส่งเสียงถามกลับ ขณะเรียกดูรายละเอียดของผู้หญิงที่พักอยู่ในห้องD51
   “เธอชื่อไดแอนรึ?” รูฟัสถามย้ำ และได้รับคำยืนยันกลับมา “อืม ไดแอน” รัสเลอร์พูดพลาง ไล่สายตาอ่านข้อมูลที่กำลังแสดงผลขึ้นมาบนจอภาพ
   “นักวิจัยจากสหรัฐฯ อายุยี่สิบห้า โสดด้วย แหม... ที่จริงสาวผมบลอนด์ตรงนี่ก็สเปกฉันเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่... นายอยากรู้จักเธอไปทำไมน่ะ?”
   “เธออาจจะเป็นคนที่เคยส่งข้อมูลเรื่องนี้ให้เรา” รูฟัสตอบ ได้ยินเสียงรัสเลอร์ร้องอุทานขึ้นมา
   “หา! อย่าบอกนะว่าเธอคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล? แต่.... อืม คิดอีกทีก็เป็นไปได้อยู่นะ ชื่อย่อตรงกัน ไม่ยักจะคิดมาก่อนว่าเป็นผู้หญิง”
   ดูเหมือนรัสเลอร์จะรู้สึกอารมณ์ดีหลังจากเจาะระบบได้ ถึงกับพูดสาธยายแต่ละประโยคเสียยาวยืนจนน่ารำคาญ
   “พวกนายรู้ได้ยังไงว่าเธอคือมิสเตอร์ ดี เอ็น แอล?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มถามต่อ รูฟัสกรอกเสียงลงไป
   “ยังไม่แน่ใจนักหรอก เธอทิ้งหมายเลขห้องเอาไว้ตรงจุดนัดพบที่พวกฉันทิ้งข้อความเอาไว้ พวกฉันกำลังจะไปพบเธอ นายช่วยดูหน่อยสิว่ามีกล้องติดอยู่หน้าของD51รึเปล่า?”
   “มันมีอยู่ทุกห้องแหละ กล้องน่ะ” รัสเลอร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เขาเลื่อนมือไปดึงภาพกล้องวงจรปิดบริเวณห้องที่ว่าขึ้นมา และสับเปลี่ยนเป็นภาพที่อัดเอาไว้
   “บังกล้องให้แล้ว ในห้องไม่มีกล้องหรอก พวกนายไปได้เลย”
-----------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2011 08:39:14
   ไดแอน เอ็น เลอวิส สะดุ้งเฮือก ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น มันดังเป็นจังหวะถี่ห่างต่างกันไป หญิงสาวรีรออยู่สักพัก จึงค่อยๆ แง้มประตูออก และพบว่าผู้มาเยือนเป็นนักวิจัยที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
   “คุณคือ?” หล่อนถามด้วยสีหน้าที่ดูจะระแวดระวังตัวเองเต็มที่ เสียงรหัสที่เคาะเมื่อครู่หมายถึงตัวย่อชื่อของคนที่หล่อนเคยส่งข้อมูลให้ แต่หล่อนไม่คิดว่าจะมีสองคน บางทีอาจจะเป็นแผนลวงก็ได้
   “ยินดีที่ได้พบ Mr. D N L. ผมคือ R.” หนึ่งในนั้นตอบ ไดแอนเบิ่งตากว้างด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเปิดประตูให้ทั้งสองคนเข้ามา
   “ไม่มีใครเห็นพวกคุณใช่ไหม ฉันหมายถึงกล้องวงจรปิดพวกนั้น?”
   หล่อนถามหลังจากปิดประตูแล้ว พลางมองมาด้วยสายตาหวาดๆ รูฟัสจำได้ว่านี่เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เอ่ยปากคัดค้านเรื่องการส่งงานวิจัยให้พวกมาเฟีย
   “คุณไม่ต้องห่วงเรื่องกล้องวงจรปิดหรอก” รูฟัสพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ยิ่งทำให้ดวงตาสีดำขัดกับลักษณะของยาวยุโรปโดยทั่วไปจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจหนักขึ้นอีก
   “คุณมีสายเป็นคนในหรือ?”
   “เปล่า พวกผมเพิ่งเข้ามา” รูฟัสปฏิเสธ และพูดต่อ “เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องของคุณให้แน่ชัดดีกว่า คุณคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล จริงๆ รึเปล่า?”
   “ใช่!! ฉันคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล  คุณคืออาร์? แต่ทำไมคุณถึงมีสองคนล่ะ?”
   “เราทำงานเป็นทีมน่ะ” รูฟัสตอบ “คุณติดต่อไปที่”เบื้องบน”ของผม และผมก็ได้รับข้อมูลหลายอย่างจากคุณ แต่ทีนี้” หยุดและหันไปมองหน้าราฟาแอลแวบหนึ่ง “บอกหน่อยสิว่างานวิจัยที่พวกคุณกำลังทำอยู่คืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงทำให้”เบื้องบน”ลงทุนส่งพวกผมมา”
   “ฉันคิดว่า”เบื้องบน” จะไม่ส่งพวกคุณมาแล้วเสียอีก” ไดแอนพูด และมีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
   “พวกคุณนั่งลงก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันคงต้องใช้เวลาอธิบายนาน” หล่อนว่า และนั่งลงบนพื้น เพราะทั้งห้องมีแต่เตียง ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ
   “อย่างกับอยู่ในคุกแน่ะ” ราฟาแอลว่าขณะนั่งลงตาม ไดแอนพยักหน้า
   “ใช่ มันเหมือนคุกอย่างที่คุณว่านั่นแหละ น่าแปลกใช่ไหมที่พวกฉันทนอยู่กันในที่ที่เหมือนคุกแบบนี้ได้น่ะ”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ผมเองก็รับเงินเขามาทำงานเหมือนกัน ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ”
   “เราไม่ได้ทนอยู่ที่นี่เพราะเงินหรอก” ไดแอนพูด และอธิบายต่อ “ความจริงแล้วเงินเป็นแค่ปัจจัยที่ทำให้เราทำงานวิจัยได้ ที่นี่ให้โอกาสเราในการทำวิจัย งานวิจัยที่ไม่มีใครกล้าให้ทำ”
   “ยาเสพติดแบบที่เข้าไปควบคุมระบบสั่งการของร่างกายได้น่ะ ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาส่งเสริมให้ทำหรอกนะ” รูฟัสพูดขึ้นบ้าง ไดแอนพยักหน้าอย่างยอมรับ ก่อนจะถามขึ้นต่อ “แปลว่าพวกคุณรู้เรื่องของมันแล้วสิ”
   “ก็ยังไม่มากเท่าไหร่หรอก” รูฟัสตอบ “เราอาศัยข้อมูลที่คุณส่งมา แล้วให้ทีมงานช่วยวิเคราะห์ให้อีกที”
   “อ้อ” หญิงสาวร้องในคอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “พวกคุณคงได้เห็นของจริงไม่ช้านี่แหละ”
   “สรุปว่าพวกคุณทำมันสำเร็จแล้ว?” ราฟาแอลถามขึ้นในทันที
   “อืม” หล่อนส่งเสียงในคอแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ทำคอตก หนุ่มผมบลอนด์จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจทันที
   “เธอเองก็เป็นหนึ่งในทีมวิจัยเหมือนกันนี่ ถ้าเธออยากทำงานวิจัยนี้เอง แล้วทำไมถึงต้องส่งข้อมูลพวกนั้นให้เรา ไม่สิ ให้”เบื้องบน”ล่ะ? ในเมื่อเธอเองก็อยากที่จะทำมันออกมาเหมือนกัน”
   ไดแอนสั่นศีรษะ “ฉันไม่ได้อยากทำค่ะ ตอนแรกฉันไม่เคยคิดจะสนใจโครงการนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเห็นชื่อพ่อ”
   “พ่อ?” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลพูดขึ้นพร้อมกัน พลางคิดว่าพวกเขากำลังจะได้ยินเรื่องเล่าที่เหมือนนวนิยายน้ำเน่าอีกรึเปล่า...
   “พ่อของฉัน ลู่ชาง คุณไม่เคยได้ยินชื่อของเขาหรือคะ?” ไดแอนเอ่ยอย่างแปลกใจ  ราฟาแอลกรอกเสียงผ่านไมโครโฟนทันที
   “ซิมแปนซี ลู่ชาง นี่ใคร?”
   “โห.. นี่นายไม่รู้จักเหรอเนี่ย?” รัสเลอร์ตอบกลับมาอย่างแปลกใจไม่แพ้ไดแอน ยิ่งทำให้รูฟัสกับราฟาแอลคิดว่าสี่คนนี้ คงต้องมีสองคนไหนที่ผิดปกติแน่ๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงรัสเลอร์ก็อธิบายต่อ
   “ลู่ชาง นี่เป็นนักวิจัยของพิสดารตัวพ่อเลยนะ เขาเคยถูกทางการจีนสั่งควบคุมตัวข้อหาวิจัยเรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์ และการผสมดีเอ็นเอของมนุษย์เข้ากับดีเอ็นเอของเสือเบงกอลเพื่อสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า”
   “ฟังดูบ้าบอดี” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์กรอกเสียงผ่านไมโครโฟนมาอีก
   “เห็นว่าพอถูกปล่อยตัว ก็หันมาสนใจการวิจัยเรื่องชีวะเคมีระดับโมเลกุล แล้วก็เงียบไปเลย โอ้... มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของที่นี่ด้วยนี่ เป็นตาลุงตัวเตี้ยม่อต้อนี่เอง”
   “ลู่ชาง ที่ว่านี่ใช่ผู้ชายแก่ๆ ตัวเล็กๆ ที่เถียงกับเธอเมื่อตอนหัวค่ำรึเปล่า?” รูฟัสเอ่ยถามออกมา หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?” ไดแอนถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะร้องอ้อ
   “พวกคุณอยู่ที่นั่นด้วยสินะคะ ไม่งั้นจะทิ้งกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ได้ไง” หล่อนพูด และถอนหายใจ
   “พอฉันเห็นชื่อพ่อแล้วก็คิดว่าพ่อคงไม่วิจัยอะไรดีๆ แน่ ฉันเลยรีบลงชื่อเข้าร่วม จากนั้นก็แอบส่งข้อมูลให้กับเพื่อนของฉันที่อยู่กับ”เบื้องบน”ที่ว่านั่นแหละค่ะ”
   “โอ๊ะ! ฉันคิดว่ารู้จักเพื่อนของเธอนะ” รัสเลอร์อุทานขึ้น ก่อนจะถูกรูฟัสเอ็ด
   “เธอไม่ได้พูดกับนาย” รัสเลอร์ทำหน้าหงอย และขยับหูฟังเพื่อรอบทสนทนาต่อไป และบันทึกมันเก็บเอาไว้ในฮาร์ดดิสก์ด้วย
   “แล้ว”เบื้องบน”ก็ติดต่อมาบอกว่าจะส่งคนมาจัดการเรื่องนี้ให้ แล้วก็ให้ฉันติดต่อกับR”
   “อืม ก็ตามนั้นแหละ” รูฟัสว่า และเกาหัวแกรก พลางนึกไปถึงตอนที่ราฟาแอลเดินเข้ามาบอกเรื่องงาน ซึ่งก็ฟังดูเลื่อนลอยจนเจ้าตัวเองยังตั้งข้อสังเกตแบบนั้นออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องรับทำ เพราะผู้ที่จ้างคือ”เบื้องบน” ซึ่งลองถ้าจะอยากจะจ้างแล้วล่ะก็ ไอ้การจะปฏิเสธรังแต่จะพาความซวยมาถึงตัวเสียเปล่าๆ
   “ทำไมพวกฉันไม่รู้สึกเลยว่าเธอกับ ลู่ชาง เป็นพ่อลูกกัน ตอนที่เถียงกัน พวกเธอเหมือนคนจะฆ่ากันมากกว่า” ราฟาแอลตั้งคำถาม เขามองไม่เห็นเยื่อใยอะไรในสายตาของคนทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะตอนที่เถียงกัน หรือในตอนนี้ ไดแอนตอบคำถามของเขาด้วยสายตาเย็นชาทันที
   “เขาไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นพ่อฉัน บางทีเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่ามีลูก” หยุดไปพักหนึ่งจึงพูดต่อ “มันเป็นเรื่องบังเอิญมากจริงๆ สมัยเด็กๆ แม่เคยเล่าว่าพ่อของฉันเป็นนักวิจัยที่ค่อนข้างจะสติเฟื่อง และเป็นคนจีน ฉันไม่เคยคิดหรอกค่ะว่าพ่อของฉันคือลู่ชาง จนครั้งหนึ่งฉันมีเหตุให้ต้องร่วมงานกับเขา และได้เห็นแผ่นดีเอ็นเอของเขาที่ส่งให้ฉันเอาไปลองเรียงพันธุกรรมใหม่ เลยได้รู้ว่ารหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกันมาก ตอนรู้ฉันตกใจแทบจะเป็นลมเลยล่ะ”
   “คุณเคยตรวจดีเอ็นเอตัวเองด้วยเหรอ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย ไดแอนพยักหน้า
   “มันเป็นตัวอย่างที่หาง่ายที่สุดหรับการเริ่มต้นค่ะ ฉันเคยตรวจดีเอ็นเอตัวเองตอนสมัยเริ่มเรียนทางนี้ใหม่ๆ ส่วนลู่ชาง เขาพยายามจะตัดต่อดีเอ็นเอของตัวเองเข้ากับดีเอ็นเอของสัตว์อย่างอื่น”
   “ฟังดูอภิมหาวิปลาส” ราฟาแอลพูดเสียงดังเหมือนตั้งใจจะให้ได้ยินกันโดยทั่ว รูฟัสคิดว่ามันผิดวิสัยเพื่อนร่วมงานของเขา ปกติราฟาแอลจะเกรงใจผู้หญิงมากกว่านี้ ถึงเจ้าหล่อนจะไม่ค่อยชอบพ่อตัวเองก็เถอะ หรือว่าจริงๆ แล้วไดแอนไม่ใช่ผู้หญิง?
   รูฟัสรู้สึกว่าตัวเองผิดไปถนัด การคิดเมื่อครู่ทำให้เขากลายเป็นคนวิปลาสไปเลยเมื่อราฟาแอลพูดขึ้น
   “แต่ผมไม่เชื่อในทฤษฏีการถ่ายทอดความเลวผ่านดีเอ็นเอหรอก คุณเองก็คงไม่เชื่อเลยทำแบบนี้เหมือนกันสินะ?”
   ไดแอนเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ “ค่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกค่ะ ฉันไม่เคยมีความคิดบ้าๆ แบบที่พ่อคิดเลย แถมยังรู้สึกขยะแขยงด้วยซ้ำ แต่ฉันไม่อยากให้พ่อทำผิดซ้ำซาก งานวิจัยของพ่อล้มเหลวมามากก็จริง แต่สำหรับครั้งนี้มันอาจจะเป็นความจริงขึ้นมาก็ได้ ฉันก็เลยต้องลงชื่อเข้าร่วมเพื่อหาทางขัดขวางเขา”
   “ที่ว่าอาจจะเป็นไปได้นี่ เพราะมีนักวิจัยที่บ้าเหมือนเขามาร่วมวิจัยด้วยสินะ แถมยังมีคนให้เงินทุนสนับสนุนอีก” หลุดไปพักหนึ่ง ราฟาแอลจึงพูดขึ้นต่อ “แต่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี โครงการนี้เป็นโครงการที่เข้าร่วมโดยความสมัครใจ คิดว่าทุกคนคงรู้จุดประสงค์ของมันอยู่แล้ว ทำไมถึงยังมีคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับการเผยแพร่ครั้งนี้นอกจากคุณอีกล่ะ?” ราฟาแอลพูด พลางมองเข้าไปในดวงตาสีดำของหญิงสาว รูฟัสเหมือนจะเอามือตบกะโหลก เขาประเมินราฟาแอลผิดไปถนัด ลืมไปเลยว่าเจ้าหมอนี่มีหลายกลวิธีที่จะเข้าถึงใจผู้หญิง การพูดจากระทบความรู้สึกก็เป็นวิธีหนึ่งเหมือนกัน
   “บางคนก็คิดเหมือนฉันค่ะ เขาไม่อยากให้งานวิจัยนี้สำเร็จออกมาได้ จึงมาช่วยขัดขวาง บางคนก็เพิ่งคิดได้ว่ามันอันตรายเกินกว่าที่จะควบคุมได้ เพราะอย่างนั้นเราจึงมีความเห็นแตกเป็นสองทาง”
   “อืม.. ผมเข้าใจล่ะ” ราฟาแอลว่า และถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะครับ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล  พวกผมมาที่นี่เพื่อจัดการปัญหาของคุณ ถึงแม้มันดูจะใหญ่โตมากกว่าที่พวกผมหรือเบื้องบนจินตนาการเอาไว้ก็เถอะ เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ”
   “เรียกฉันว่าไดแอนก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ พร้อมกับยิ้มอย่างรันทด “ฉันรู้ว่าพวกคุณต้องช่วยได้แน่ๆ เพราะพวกคุณเป็นคนที่”เบื้องบน”ส่งมา”
   รูฟัสและราฟาแอลรู้สึกขมไปทั้งปาก
---------------------------------------
   “มันคืออะไรน่ะ?” รูฟัสตั้งคำถามง่ายๆ เมื่อเห็นกล่องโลหะที่หญิงสาวอุตส่าห์ซ่อนเอาไว้ในฝาชักโครก เธอเปิดมันขึ้นมา และหยิบหลอดแก้วที่มีจุกสีเงินปิดทั้งสองด้านออกมา
   “นี่คือ โทเนเทียฮ์ ค่ะ” หญิงสาวตอบ พลางชูหลอดแก้วนั้นให้พวกเขาดู ราฟาแอลขมวดคิ้ว มองดูกลุ่มควันสีเทาที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหลอดแก้ว แล้วทำหน้ายุ่ง
   “นั่นมันชื่อเทพเจ้าของพวกแอสเท็ก(Aztec) นี่!! เธอเอาอะไรออกมาน่ะ?” รัสเลอร์ส่งเสียงถามทันทีที่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว เขานึกหงุดหงิดใจที่ไม่มีกล้องวงจรปิดในห้องของไดแอน เลยอดเห็นว่าทั้งสามคนทำอะไรกันบ้าง ราฟาแอลส่งเสียงอืมในคอเหมือนไม่รู้จะตอบว่าอะไร
   “หลอดแก้ว” รูฟัสช่วยสงเคราะห์ความอยากรู้อยากเห็นของรัสเลอร์ให้ผ่านไมโครโฟนที่แนบอยู่ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มขมวดคิ้วทันที
   “หลอดแก้วอะไรน่ะ?”
   ราวกับไดแอนจะได้ยินเสียงของรัสเลอร์ แต่โดยความจริงแล้วคงได้จังหวะที่เธอจะอธิบายพอดี
   “โทเนเทียฮ์ เป็นเทพแห่งแสงตะวันค่ะ และเทซการิโพกาเป็นเทพแห่งความมืด ฉันคิดว่าพวกคุณคงยังไม่เคยเห็นเทซกา...”
   “พวกผมรู้แค่ว่ามันเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ของโปรเจคนี้เท่านั้นแหละ” รูฟัสตอบ ราฟาแอลพยักหน้า ได้ยินเสียงรัสเลอร์ผิวปากหวือ
   “วู้ว ฉันคิดว่าเรียกกันเล่นๆ ในหน่วยเสียอีก พวกนายก็เอาไปเรียกด้วยหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อ”
   ถ้าอยู่ใกล้มือ สองคนคงตบกบาลเจ้าหมอนี่เพื่อให้หุบปากไปแล้ว เสียแต่ตอนนี้อยู่กันคนละส่วน ดังนั้นทั้งราฟาแอลและรูฟัสจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนฟังอย่างจำใจ
   “คุณมีตัวอย่างให้เราดูหรือเปล่า เทซกาน่ะ?” ราฟาแอลถาม ไดแอนสั่นศีรษะ หนุ่มผมบลอนด์มองหน้าหล่อนอยู่พักหนึ่ง จึงพูดต่อ
   “เอาเถอะ งั้นคุณอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับพวกมันมาเลยก็ได้”
   “ค่ะ” ไดแอนพยักหน้า และเริ่มเล่า
   “มันคือนาโนเทคโนโลยี ในรูปแบบก๊าซค่ะ คุณจะต้องตกใจที่มันเบามากจนกลายเป็นควันได้... พ่อของฉัน ไม่สิ เราทุกคน เฮ้อ..” หยุดแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หญิงสาวจึงพูดต่อ “เราทำมันออกมาได้สำเร็จในที่สุด ซึ่งในปริมาณขนาดหลอดแก้วนี้ ถ้าสูดเข้าไปในร่างกาย มันสามารถที่จะทำให้คนที่สูดรู้สึกมีความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยค่ะ แล้วก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อสุขภาพเลย”
   “ว้าว ฟังดูเจ๋งสุดๆ ทำไม่เธอไม่ตั้งชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความสุขไปเลยล่ะ?” รัสเลอร์ร้องผ่านไมโครโฟนเข้ามาอีก รูฟัสพยายามจะพูดตอบให้เบาที่สุด แต่ก็คิดว่ารัสเลอร์ต้องได้ยินแน่ๆ
   “เธอไม่ได้พูดกับนาย!!”
   “รู้แล้วน่า ถามให้หน่อยสิ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยังไม่ยอมแพ้ อยากจะถามให้ได้ รูฟัสคิดว่าคำถามของรัสเลอร์ไร้สาระสิ้นดี ราฟาแอลก็คงเห็นด้วยอย่างนั้น ก็เลยถามคำถามอื่นที่ดูจะเข้าท่ากว่า
   “งั้นแล้วทำไมคุณถึงได้ต่อต้านมันนักล่ะ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหายอะไรเลยในการที่จะทำให้คนมีความสุขน่ะ”
   ไดแอนถอนหายใจ “ก็เพราะ ความสุข คือสิ่งที่อันตรายที่สุดไงคะ” เธอว่า
“ทุกคนปรารถนาความสุขค่ะ คุณคิดว่ามีคนเยอะหรือเปล่าที่จะจ่ายเงินเพื่อแลกกับความสุข ที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทำอันตรายกับร่างกาย มันคือการเสพติดที่ไร้ข้ออ้างทางศีลธรรมหรือการแพทย์ใดๆ คุณจะมองไม่เห็นเลยว่าทำไมถึงเสพมันไม่ได้ แค่เสพนิดหน่อยก็มีความสุข คุณสามารถนั่งอยู่กลางสมรภูมิได้โดยที่รู้สึกเหมือนอยู่กับคู่นอน”
“ว้าว!” รัสเลอร์อุทานเสียงดังอีก รูฟัสเลยเอานิ้วเคาะไมโครโฟนดังปึก
“ฟังแล้วก็ยังดูดีอยู่นะ คุณว่ามันไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลยจริงๆ หรือ?” ราฟาแอลตั้งคำถามต่อ ไดแอนสั่นศีรษะ
“ผลข้างเคียงทางร่างกายยังไม่ปรากฏค่ะ แต่ทางจิตใจ ฉันคิดว่ามีอย่างมาก คนจะไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น พวกเขาจะหาเงินมาเพื่อซื้อความสุขตัวนี้ คิดดูสิคะ คุณกำลังหัวเราะทั้งๆ ที่แม่ครัวยกพายขึ้นรามาเสิร์ฟ มันทำให้คนเราไร้ความคิดค่ะ เสพติดกับความสุข แล้วเมื่อถึงระดับหนึ่ง คุณจะอยู่โดยไม่มีมันไม่ได้ คุณจะต้องอ้อนวอนขอมัน ค้นหา และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่เว้นแม้แต่การยอมเป็นทาส มันเป็นการบงการผู้คนด้วยความสุข”
รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้า ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่า “ความสุข” อันตรายจริงๆ
“แล้วทวีศักดิ์มองเห็นว่ามันสามารถทำเงินให้เขาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยที่กฎหมายอาจจะเอาผิดไม่ได้..... ใครเป็นคนเริ่มต้นคิดเรื่องนี้น่ะ ทวีศักดิ์ หรือพ่อของคุณ?” ราฟาแอลถามต่ออีก ไดแอนกะพริบตา เหมือนพยายามจะลำดับคำพูด
“อธิบายลำบากน่ะค่ะ ฉันไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อน เหมือนว่าคุณทวีศักดิ์พบกับคุณพ่อโดยบังเอิญ แล้วก็คุยถูกคอกัน สุดท้ายก็เลยเกิดโปรเจคนี้ขึ้นมา ว่าแต่ใครเริ่มก่อนนี่มันสำคัญหรือคะ?” หล่อนย้อนถาม ทั้งรูฟัสและราฟาแอลหัวเราะขึ้น
   “ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกผมจะได้ชมถูกคน ว่าเจ้าหมอนี่มัน...”
   “สุดยอด คิดได้ยังไง!!!” รัสเลอร์พูดต่อ  คราวนี้ราฟาแอลเคาะนิ้วลงบนไมโครโฟนบ้าง ก่อนจะหันไปหาไดแอนอีกรอบ
   “อ่า ครับ... ผมจะพูดว่า คิดได้ยังไง คนที่มีความคิดแบบนี้ได้ คงเป็นบุคคลอันตรายน่าดู”
   “ค่ะ” ไดแอนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วก็เงียบไปพักใหญ่ เหมือนกำลังเหม่อคิดถึงอะไรสักอย่าง จนรูฟัสต้องพูดขึ้นบ้าง
   “แล้วหลอดแก้วที่คุณหยิบขึ้นมา เกี่ยวข้องกับเจ้านั่นยังไงน่ะ?”
   ไดแอนสะดุ้ง ดูเหมือนหล่อนจะจมอยู่ในภวังค์ของความกังวลเรื่องผลของเทซกา
   “อ้อ... ค่ะ  มันคือคู่แฝดของเทซกา หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น มันคือสิ่งที่ใช้ทำลายผลของเทซกานั่นแหละค่ะ”
   “ยาแก้พิษ?” รูฟัสพถาม คนถูกถามพยักหน้าอีก
   “ควันที่จะทำให้คุณกลับมาสู่โลกที่โหดร้าย พ่อฉันพูดแบบนี้ มันคือสิ่งที่จะกระชากผู้เสพลงมาจากสวรรค์ ให้ความรู้สึกเหมือนตกนรก”
   “เท่าที่ผมรู้...” ราฟาแอลพูด เขาพยายามจะลำดับคำพูดที่รัสเลอร์พูดกรอกหูเสียใหม่
   “ชื่อเทสการิโพกา เป็นชื่อเรียกของเทพแห่งความมืดนี่ครับ ส่วนโทเนเทียฮ์ เป็นชื่อเรียกเทพแห่งแสงสว่าง ทำไมถึงตั้งชื่อให้สลับกันล่ะ?”
   “เพราะพ่อฉัน ลู่ชางน่ะค่ะ คิดว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่มนุษย์มีความสุขมากที่สุด ต่างกับตอนกลางวันที่ทุกคนต้องตากตรำทำงานหนัก”
   “ฟังดูเหมือนพ่อคุณมีอารมณ์สุนทรีดีนะ”
   เป็นครั้งแรกที่ไดแอนหัวเราะ “ถ้าคุณรู้จักเขาล่ะก็ ฉันรับรองว่าคุณจะต้องพูดอีกประโยค..”
   “ว่า...” รัสเลอร์ถามแทรกขึ้นอีก รูฟัสกับราฟาแอลเริ่มคิดว่าควรจะปิดวิทยุสื่อสารเป็นชั่วคราว เพื่อขจัดมลพิษทางเสียง
   “วิปลาส... สุนทรียะวิปลาส” ไดแอนต่อคำพูดของเธอจนจบ รูฟัสกับราฟาแอลพยักหน้า พยายามจะไม่สนใจเสียงพูดที่ฟังดูไร้สาระจากอีกฟากหนึ่งของหูฟัง
   “โทเนเทียฮ์มีหลักการทำงานคล้ายกับไวรัสคอมพิวเตอร์ค่ะ” ไดแอนดึงบทสนทนากลับมาสู่จุดเริ่ม
   “มันจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของเทซกา ทำให้เสื่อมสภาพ และจำลองตัวเอง ขยายตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำลายเป้าหมายจนหมด พวกมันจะเริ่มกินกันเอง แล้วก็จะสลายตัวไปในที่สุด”
   “เหมือนว่ามันมีชีวิตเลยนะ แล้วเทซกามันขยายพันธุ์ได้แบบนี้รึเปล่า?” ราฟาแอลถาม ไดแอนสั่นศีรษะ
   “เทซกาไม่สามารถขยายตัวเองได้ค่ะ เพราะนั่นคือเงื่อนไขสำคัญของธุรกิจ ถ้ามันขยายตัวเองได้ ฉันคงไม่ต้องลำบากแจ้งเรื่องไปถึงเบื้องบนหรอกค่ะ เพราะใครๆ ก็อยากได้ความสุขที่ไม่ต้องซื้อหากันทั้งนั้น”
   “ความสุขลอยลม” รูฟัสพึมพำเบาๆ และหัวเราะ เพราะรู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี ความสุขที่ลอยมาตามลม เหมือนในบทกลอนเก่าๆ ที่มีคนเคยพร่ำเพ้อเอาไว้
   “ความสุขลอยลมไม่ใช่เรื่องดีหรอกครับ ผมว่าดีแล้วล่ะที่มันขยายพันธุ์ไม่ได้” รูฟัสพูดต่อ เมื่อเห็นว่าอีกสองคนจ้องเขาอย่างสงสัย ไดแอนพยักหน้า
   “ก็คงถูกของคุณมั้งคะ” หล่อนว่า และเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสและราฟาแอลอย่างจริงจัง
   “พรุ่งนี้ตอนก่อนเที่ยง คุณทวีศักดิ์จะให้คนนำตัวอย่างเทซกาซึ่งเก็บรักษาอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งในโครงสร้างประหลาดนี้ค่ะ คุณคงเห็นแล้วว่าที่นี่ประหลาด”
   ราฟาแอลหันไปมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ ที่หนุ่มตาสองสีตีความในสายตานั้นได้ว่า มันเป็นความผิดของแฟนแกนั่นแหละ เลยถลึงตาใส่เป็นการตอบกลับ
   “มันมีแต่ห้อง บันไดวน และระเบียบซับๆ ซ้อนๆ พวกนั้น พวกฉันถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักอาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ เราผ่านทางเดินที่วกวนมาก ช่องทางที่สามารถเข้าออกได้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกเขตที่จำกัดเอาไว้  ฉันจึงบอกพวกคุณไม่ได้จริงๆ ว่าเขาเก็บเทซกาไว้ที่ไหน ที่ฉันรู้คือเวลาที่เขาจะเข้าไปเอามันออกมา”
   “ครับ ผมเข้าใจ แต่ผมมีคำถามนิดหน่อย” ราฟาแอลพูดต่อ มองดูหลอดแก้วในมือหญิงสาว
   “ในเมื่อลู่ชางรู้ว่าคุณมีของแบบนี้ แล้วก็คิดว่าคุณทวีศักดิ์น่าจะรู้ แล้วทำไมเขาถึงยังปล่อยมันเอาไว้ล่ะ?”
   “อา...” ไดแอนครางเสียงยาว และถอนหายใจอีกรอบ
   “คุณเคยได้ยินคำว่า “ปล่อยให้เน่าตายคาต้น” รึเปล่าล่ะคะ? นั่นแหละค่ะ เหตุผลที่เขาปล่อยมันไว้กับฉัน โทเนเทียฮ์จะขยายตัวต่อเมื่อมีเทซกา และที่สำคัญมันมีแค่ที่ฉันเอามาให้คุณดู  แค่หลอดแก้วหลอดนี้เท่านั้นที่เป็นโทเนเทียฮ์”
   ราฟาแอลและรูฟัสหันหน้ามองกัน “แปลว่าเขาห้ามไม่ให้คุณทำเพิ่ม?”
   ไดแอนสั่นศีรษะ “ฉันทำมันได้ เท่านี้ ค่ะ ถ้ามากกว่านี้มันจะเกิดสภาวะกินกันเองจนไม่เหลือ และถ้าถูกปล่อยกระจายออกไปในอากาศด้วยความเข้มข้นเท่านี้ โดยไม่มีเทซกาเลย มันจะสลายไปโดยธรรมชาติค่ะ และฉันไม่มีเวลาพอจะผลิตมันออกมาอีกชุดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าจะใช้มัน คุณจำเป็นต้องปล่อยเทซกาออกมาให้หมด....”
   “เพื่อทำลาย” ราฟาแอลกล่าวต่อ พลางนึกภาพความสุขที่หายวูบไปโดยฉับพลัน ไม่รู้ว่าควรจะขำหรือว่าจะร้องไห้ดี พวกเขากำลังจะทำลายความสุขที่ไม่มีอันตรายหรือนี่
   แต่ความสุขที่ไม่มีอันตรายอาจจะอันตรายที่สุดก็ได้
   หนุ่มผมบลอน์ดแค่นยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง ไดแอนส่งหลอดแก้วที่ว่าให้เขา
   “ด้านบนจะมีสลักอยู่ค่ะ คุณแค่ดึงออก มันก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที”
   “?” ราฟาแอลมองหน้าหล่อนอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆ ไดแอนก็หยุดมือไปกลางคัน ไม่ยอมจะปล่อยหลอดแก้วให้เขา หญิงสาวหน้าขึ้นจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง
   “คุณจะต้องทำลายมันทิ้งทั้งหมด สัญญาได้ไหมคะ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทซกา ต่อหน้าความสุขแบบนั้น คุณสัญญากับฉันได้ไหมว่าคุณจะทำลายมันไม่ให้เหลือเลยสักอณูเดียว”
   “ครับ ผมสัญญา” ราฟาแอลว่า ในที่สุดหล่อนก็วางหลอดแก้วลงในมือเขา พร้อมกับกำชับ
   “ทำลายมันให้ได้นะคะ อย่าคิดจะพามันออกไปด้วย ทำลายมันให้หมดที่นี่เลย”
   ราฟาแอลวาดไม้กางเขนลงบนหน้าอกของตัวเอง รูฟัสนึกสงสัยว่าเจ้าหมอนี่หันมานับถือศาสนาเมื่อไรกัน คงจะพยายามทำให้ทางนั้นเชื่อใจเสียมากกว่าล่ะ
   “ไดแอน ผมอยากจะถามคุณอีกเรื่องหนึ่ง?” หนุ่มผมบลอนด์หันกลับมาในตอนก่อนจะออกจากห้อง หญิงสาวขมวดคิ้วมองเขา
   “จบจากงานนี้แล้ว คุณให้เกียติไปทานอาหารกับผมสักมื้อหนึ่งได้รึเปล่า?”
   ไดแอนเบิ่งตานัยน์ตาสีดำของหล่อน และหัวเราะ “ได้สิคะ ถ้าคุณมารับฉันได้”
   “ผมจะมารับคุณ” ราฟาแอลตอบ และโบกมือ ผลุบออกจากห้องไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานของเขา ไดแอนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เธอไม่เคยเชื่อในพระเจ้า แต่ตอนนี้เธออยากจะอธิฐาน ขอให้พวกเขาทำสำเร็จ ขอให้พวกเขาไม่อ่อนแอตอนที่เจอกับเทซกา
   เจอกับอำนาจของความสุขที่ยากจะต่อต้าน
---------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เปิดจองเล่ม6 p6.My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่53 p8 29/8/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-09-2011 08:42:25
   “โอ๊ย!! ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงจริ๊ง ว่าคลาวเดียทนอยู่กับคนอย่างนายได้ยังไง” รัสเลอร์โวยวายผ่านทางหูฟัง รูฟัสขมวดคิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่พยายามจะขึ้นให้สูงเพื่อประชด แต่ฟังดูคล้ายเสียงควายไบสันในหน้าร้อนเสียมากกว่า เขากรอกเสียงลงไป
   “นายไม่เข้าใจ แต่ฉันเข้าใจ”
   รูฟัสไม่คิดว่าตัวเองแก้ตัวให้ราฟาแอล แต่เขาคิดว่าเขาเข้าใจเพื่อนร่วมงานคนนี้ในระดับหนึ่ง ราฟาแอลไม่จีบผู้หญิงมั่วซั่ว แต่มีเหตุผลในการจะจีบใครสักคนหนึ่ง ปัญหาก็คือดูเหมือนเขาจะมีเหตุผลที่ฟังได้กับผู้หญิงทุกคนนี่สิ
   “ฉันสนใจเธอ” ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง เขาไม่อยากให้รูฟัสพูดแก้แทน เพราะแก้ยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ในเมื่อรูฟัสกับเขาไม่ได้ใช้ความคิดร่วมกันสักหน่อย
   “เธอเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่ดูไม่มีความสุขในชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ฉันก็แค่อยากให้เธอมีประสบการณ์อะไรแปลกใหม่ที่ไม่ใช่การทดลองอยู่ในห้องทดลองบ้าง”
   “เช่นการคบกับพวกสายลับ?” รูฟัสเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชวนให้อยากถีบหน้า ราฟาแอลยักไหล่ “ตามแต่จะคิดกันเถอะ ฉันมีเหตุผลของฉันก็แล้วกัน”
   รัสเลอร์ที่นั่งฟังอยู่อีกที่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาไม่อยากฟังเหตุผลของราฟาแอล เพราะฟังกี่หนๆ มันก็ฟังไม่ขึ้นสักที เลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
   “พวกนายรู้รึเปล่า ว่าห้องที่เก็บเทซกาอยู่ตรงไหน?”
   “ถ้ารู้คงไม่ต้องลำบากเอานายมาด้วย ไม่ได้ยินที่เธอพูดหรือไง ระเบียบมันขยับได้น่ะ” สองคนกรอกเสียงลงไปแทบจะพร้อมกัน คนได้ฟังรีบส่งเสียงตอบทันที
   “โอเค เข้าใจล่ะ ฉันจะพยายามหาให้ ในเมื่อมันเป็นห้องสำคัญมาก มันก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ไหนดูซิ”
   รัสเลอร์ดึงภาพจริงจากกล้องวงจรปิดแต่ละภาพขึ้นมาดู เพื่อหาว่าสถานที่ไหนบ้างที่น่าจะเป็นห้องลับที่ว่า เขากวาดสายตาผ่านไปจนถึงกล้องตัวที่ติดอยู่ตรงห้องเพชร ซึ่งพวกเขาใช้เป็นทางเข้ามา
   “วู้ว! มีคนซ่อมทางเข้าให้เราแล้ว”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างรำคาญ พวกเขากำลังปรึกษากันว่าจะไปทางไหนต่อ
   “ทวีศักดิ์คงไม่ปล่อยให้ทางหนีพังในตอนที่ผู้เข้าร่วมประชุมที่มีอิทธิพลขนาดนั้นมากันถึงหรอก ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” หนุ่มตาสองสีกรอกเสียงลงไป รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็อดพูดออกมาไม่ได้
   “อยากรู้จังว่าเขาใช้ใครมาซ่อม งานออกแบบของฟ่งธรรมดากับเขาที่ไหนล่ะ” ไม่พูดเปล่า พยายามจะมองหาหัวหน้าคนงานที่เป็นผู้อำนวยการซ่อมผ่านกล้องวงจรปิดแบบจริงๆ จังๆ เสียด้วย รูฟัสกับราฟาแอลถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปปรึกษากันต่อ
   “เป็นไปไม่ได้!!” เสียงพึมพำของรัสเลอร์ที่ดังขึ้นหลังจากนั้นสักพัก ทำให้สองคนขมวดคิ้ว รูฟัสกรอกเสียงลงไป
   “ทำไม เจอเทพไตตันในกล้องหรือไง?”
   “เปล่า..” รัสเลอร์ปฏิเสธ ถึงเขายังคงจ้องหน้าจอตาค้าง และพยายามคิดว่าตัวเองจำคนผิด ราฟาแอลกรอกเสียงลงไป
   “นายควรจะพยายามหาห้องลับ ฉันไม่ได้พานายมานั่งดูโทรทัศน์”
   “อ้า ใช่ ใช่  ใช่เลย ฉันจะรีบหาห้องลับให้นาย” รัสเลอร์รีบพูดขึ้นทันที ถึงจะปากพล่อยขนาดไหน แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ควรจะหุบปากเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรูฟัส เขาควรจะรีบหุบปากให้สนิท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง หรือแค่เรื่องจำคนผิด ยังไงก็จะพูดให้รูฟัสได้ยินไม่ได้เด็ดขาด
   คนที่เขาเห็นในห้องทางออกฉุกเฉินนั่น....
   แม้จะถูกราฟาแอลเร่งเรื่องห้องลับ และรู้ว่าพูดในสิ่งที่เห็นออกไปไม่ได้ แต่รัสเลอร์อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจ เขาคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้หากมารู้ภายหลังว่าใช่คนคนนั้นจริงๆ ที่อยู่ในห้องนั่น ชายหนุ่มพยายามจะขยายภาพที่เขาล็อกเอาไว้ขึ้นมา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก
   ฟ่ง!!!
   ไม่ผิดแน่  ผู้ชายในชุดหมีสีขาวที่คุมงานซ่อมแซมอยู่ ผมยุ่งๆ สวมแว่นแบบนั้น รัสเลอร์แทบจะแน่ใจว่าคงไม่มีคนที่มีบุคลิกแบบนี้เพ่นพ่านอยู่มากนัก และคงไม่มาอยู่ในที่แบบนี้โดยบังเอิญแน่ๆ ฟ่งมาได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นที่คลับของเมี่ยง แล้ววรุตล่ะ? หรือว่าจริงๆ แล้วฟ่งร่วมมือกับทวีศักดิ์มาแต่แรก แต่ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าอย่างการปล่อยให้รูฟัสอยู่ใกล้ๆ ตัวด้วยล่ะ หรือว่าตั้งใจจะเป็นตัวล่อ?
   รัสเลอร์รู้สึกสับสน เขาเชื่อว่าฟ่งไม่ได้โกหก แม้จะทำงานด้วยกันแค่สองสามวันก็เถอะ  เขาไม่อาจจะทำใจยอมรับว่าภายใต้กิริยาซื่อๆ ใต้แว่นตานั่นจะซ่อนแผนร้ายอยู่ แต่รัสเลอร์ตอบไม่ได้ว่าทำไมฟ่งถึงอยู่ที่นี่ นอกเสียจากว่า วรุตเป็นฝ่ายหักหลัง...........
   รัสเลอร์ยังจำได้ถึงแววตาที่วรุตมองฟ่งในตอนนั้น ปรารถนา ต้องการ เด็กคนนั้นอาจจะพูดจริงเรื่องที่อยากให้ฟ่งปลอดภัย เขาเป็นลูกชายของทวีศักดิ์  ไอ้การจะขอให้พ่อไว้ชีวิตใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องยาก หรืออาจจะใช้เหตุผลข้อนี้บังคับผูกพันฟ่งเอาไว้ก็ได้  แค่คิดก็โมโหจนเกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว แค่รูฟัสก็เต็มทน ยังจะมีไอ้หนุ่มนี่อีก ทำไมพวกนี้ถึงพยายามจะล่อลวงคนน่ารักๆ  อย่างฟ่งนักนะ
รัสเลอร์ตัดสินใจว่า เขาจะพยายามช่วยฟ่งจากงานนี้ แล้วจะชี้ให้เห็นว่า ใครกันแน่ที่ทำให้ฟ่งมีความสุขมากกว่ากัน
   จากนั้นหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงรูฟัสจามใส่ไมโครโฟน
---------------------------------------------------------
(จบตอน)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 11-09-2011 13:51:23
โอ๊ยยย!!!!! มัน ลุ้น สนุก สุดๆๆๆๆๆ!!!~

ขอบคุณมวากกก!
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 11-09-2011 17:28:45
มาต่ออีกสัก 3 ตอนได้ไหม :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 11-09-2011 17:39:41
เอาแล้วงัย แล้วจะเป็นงัยต่อล่ะเนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: zhiki ที่ 11-09-2011 17:45:55
เห๊ย!!!!!!!!!!!!!


ลงเรื่องนี้ด้วยหรอ!!!!

โห.... ตอน 54

คนอ่านได้กระอั่กตายก่อนสิเจ๊!!!!!!!

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 11-09-2011 19:33:11
แวะมา
กด+1 ครับ!~
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-09-2011 16:09:10
** เรื่องนี้เปิดให้จองเล่ม7แล้วนะคะ (จากทั้งหมด9เล่ม)

แวะไปตาม(และถาม) ได้ที่นี่เลยค่ะ

http://facebook.com/juonsnovel
------------------------------------------
บทที่55 ความเข้าใจที่บิดเบี้ยว

   ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสพวงแก้มนิ่ม ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ บรรจงจูบอย่างอ่อนโยน ร่างบางหลับตาพริ้ม เอื้อมมือขึ้นไปโอบไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะสะดุ้งเฮือก
   “คุณอภิวัฒน์!?”
   ผู้ถูกเรียกตื่นขึ้นจากภวังค์แทบจะในทันที เขาหันไปมองตามเสียงเรียกและพยายามจะสะกดความเขินอายเพื่อไม่ให้มีเลือดฝาดสูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้า  ผู้ที่เรียกเป็นพนักงานซ่อมแซมคนหนึ่ง ซึ่งกำลังชี้ให้ดูจุดที่เพิ่งซ่อมเสร็จ
   “ใช้ได้แล้วล่ะ” ฟ่งพูดหลังจากตรวจงานอยู่พักหนึ่ง เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาหกโมงเช้า เมื่อวานเขาตั้งใจว่าจะอยู่ดูงานแก้ไงจนเสร็จ จึงไม่แปลกที่เขาจะเกิดอาการหลับในเพราะต้องถ่างตาจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ที่น่าอายคือดันฝันเรื่องแบบนั้นต่างหาก
   ไม่รู้ป่านนี้รูฟัสจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
   “ช่วยทดสอบระบบไฟ กับระบบลิฟต์หน่อยครับ” ฟ่งพูดกรอกลงไปในไมโครโฟนตัวเล็กที่ติดอยู่กับหูฟังไร้สาย ซึ่งทวีศักดิ์ให้เขามาเพื่อใช้ติดต่อกับส่วนควบคุมในการทดสอบระบบ
หลังเสียงตอบรับ หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ก็สว่างขึ้นมา จากนั้นตุ้มที่ใช้ถ่วงลิฟต์ก็เคลื่อนลงดึงตัวลิฟต์ขึ้นไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างจะน่าตกใจพอสมควร จากนั้น เพดานด้านบนที่ถูกสร้างและคำยันด้วยระบบกลไกที่อาศัยท่อบางๆ พวกนั้นเป็นหลักก็ค่อยๆ บิดออก เหมือนไดอะแฟรมของกล้องถ่ายรูป ลิฟตท์ทรงไข่เคลื่อนผ่านช่องเปิดนั้นขึ้นไปด้านบนพอดี
ฟ่งมองดูการทดสอบระบบลิฟต์ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งออกแบบพิสดารของตนจะกลายเป็นอะไรที่ใช้งานได้จริงแบบนี้ ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียด้วย
   การทดสอบกินเวลาราวๆ สิบห้านาที ในส่วนที่ซ่อมแซมใหม่ไม่มีปัญหาติดขัดแต่อย่างใด ต้องขอบคุณบรรดาคนงานและเครื่องมือช่างหน้าตาแปลกๆ ที่ทำให้งานเสร็จไวกว่าที่เขาคิดไว้ ฟ่งอ้าปากหาว เขาคิดว่าควรจะพักสักงีบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะละเมอบ้าๆ ออกมาแบบเมื่อครู่ก็ได้ แค่คิดก็อายจนแทบจะเอาหน้าซุกแผ่นดินแล้ว ท่าทางฝ่ายควบคุมจะได้ยินเสียงหาว เลยบอกตำแหน่งห้องพักให้  ฟ่งกล่าวขอบคุณและเดินลากขาไปยังห้องที่จัดไว้ ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปอีกสองชั้น โดยมีพนักงานคนหนึ่งช่วยนำทางให้

   ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนเดี่ยวสีขาวในห้องพักโล่งๆ ที่มีแค่เตียงและห้องน้ำ ดูไปเหมือนห้องนักโทษ แต่ฟ่งไม่มีสติเหลือเฟือพอที่จะจุกจิกจู้จี้ในตอนนี้ เขารู้แค่ว่าต้องพักสักหน่อย และไม่เหลือหน่วยความจำพอจะคิดระแวงว่าจะถูกจับขังลืมหรืออะไรเทือกนั้น  หนุ่มสวมแว่นล้มตัวลงบนเตียง ถอดแว่นและกำไว้ข้างศีรษะ เผื่อมีอะไรจะได้คว้ามาใส่ได้ทันท่วงที นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆ หลับลง พร้อมกับความรู้สึกคิดถึงจากส่วนลึกของหัวใจ
   รูฟัส........
------------------------------------------
   “รูฟัส!” ราฟาแอลเรียกชื่อเพื่อนร่วมงานซึ่งพยายามจะงีบเอาแรงอยู่ สำหรับรูฟัสแล้วนี่คือพยายามจะงีบจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่ง่วง แต่มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจเขา
เสียงอุทานของรัสเลอร์
รูฟัสนึกเฉลียวใจว่ารัสเลอร์เห็นอะไรหรือได้ยินอะไรถึงได้อุทานออกมาแบบนั้น เพราะถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานล่ะก็ เจ้าหมอนั่นจะต้องพ่นวลีงี่เง่าออกมาอย่างต่อเนื่องราวปืนกลจนแทบอยากจะเอารองเท้ายัดปาก แต่ว่าคราวนี้มันออกจะผิดปกติไปหน่อย พออุทานแล้ว รัสเลอร์ก็เฉไปพูดเรื่องอื่นทันที หลังจากถูกราฟาแอลทัก หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้น ราฟาแอลอาจจะทักเพื่อให้รัสเลอร์หยุดพูดก็ได้ งั้นก็แปลว่าราฟาแอลพอจะเดาได้ว่ารัสเลอร์เห็นอะไรอย่างนั้นสิ  คงเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่อยากบอกให้เขารู้ หรืออะไรซักอย่างที่ให้เขารู้ไม่ได้ รัสเลอร์พูดอะไรก่อนจะอุทานแบบนั้นนะ รูฟัสยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจฟังประโยคก่อนหน้านั้นมากนัก เหมือนจะพูดถึงเรื่องห้องที่ถูกซ่อม ห้องที่พวกเขาใช้เป็นทางเข้ามา แต่เรื่องที่ห้องนั้นถูกซ่อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และถ้ามันซ่อมจนใช้งานได้สะดวกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ราฟาแอลและรัสเลอร์ต้องปิดเขาเรื่องนี้ หรือว่ามีใครที่ไม่อยากให้เขารู้อยู่ในห้องนั้น...
   ใครที่เป็นคนอำนวยการซ่อม...? ใครที่พอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวของห้องนั้น และคุมงานซ่อมแซมได้ทันเวลา? คนที่มีความสามารถทำแบบนั้นจำเป็นจะต้องเป็นคนที่ออกแบบมันด้วยหรือเปล่า?
   ฟ่ง!!
   รูฟัสลืมตาสองสีขึ้นมาทันที เขาเกือบจะหลุดปากโพล่งออกมาเหมือนรัสเลอร์
   เป็นไปไม่ได้!!
   ฟ่งอยู่กับเมี่ยง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกทวีศักดิ์ลากตัวมาทำงานนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ทวีศักดิ์จะไปพบตัวฟ่งในจังหวะประจวบเหมาะที่มีการถล่มของห้อง ไม่น่าจะมีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าฟ่งกลับมาแล้วอยู่ที่ไหน นอกจากพวกเขา ถ้าอย่างนั้นฟ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จะมาซ่อมห้องนรกแตกพวกนี้ได้ยังไง หรือรัสเลอร์อาจจะเข้าใจอะไรผิด หรือว่าเจ้าเด็กที่ชื่อวรุตนั่นจะหักหลัง แต่... มันไม่น่าจะเป็นไปได้....

   ราฟาแอลหรี่ตามองเพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งนั่งหน้าตื่นอย่างผิดปกติวิสัย หนุ่มผมบลอนด์พอจะเดาได้ว่าเพราะเหตุใดรูฟัสจึงมีสีหน้าเช่นนั้น ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมรัสเลอร์ถึงอุทานออกมาแบบนั้น แต่อะไรที่เขาคิดได้ รูฟัสก็คงคิดได้ในตอนนี้เหมือนกัน
   “เฮ้!! พวกนายสองคน ยังตื่นกันอยู่มั้ย?” เสียงของรัสเลอร์ที่พุ่งผ่านหูฟังชิงจังหวะการพูดของราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์กรอกเสียงลงไป นึกดีใจนิดหน่อยที่เจ้าตัวยุ่งนี่มาเบนความสนใจของรูฟัสได้ทันเวลา หวังว่าเรื่องที่เจ้าหมอนี่กำลังจะพูดออกมาคงจะน่าสนใจมากกว่าเรื่องที่รูฟัสกำลังเป็นกังวลอยู่นะ
   “ฉันมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก นายอยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”
   “ข่าวร้าย!!” รูฟัสพูดขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าจะเป็นข่าวที่เขากังวล ส่วนราฟาแอลที่อ้าปากไม่ทันกำลังนึกแช่งชักหักกระดูกรัสเลอร์ถ้าหากดันยืนยันเรื่องน่ากังวลนั้นออกมา
   “งั้น......... ฉันบอกข่าวดีก่อน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนตัวเองมีอำนาจเสียเต็มประดาจนน่าหมั่นไส้ คราวนี้รูฟัสนึกอยากจะเป็นฝ่ายไปหักคอรัสเลอร์แทน ขณะที่ราฟาแอลหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเป็นข่าวที่ไม่ได้เรื่องล่ะก็ เขาจะไปคิดบัญชีกับเจ้าหมอนี่ก่อนจะเสร็จงาน
   “ข่าวดีก็คือ... ฉันเจอไอ้ห้องที่คิดว่าเป็นห้องลับที่ใช้เก็บเทซกาแล้ว”
   “โอ้...เยี่ยม...มันอยู่ตรงไหนล่ะ?” ราฟาแอลอุทานออกมาและรีบถามต่อ พลางหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมงาน ด้วยหวังว่ารูฟัสจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้จนลืมเรื่องที่เป็นกังวลอยู่ก็แล้วกัน หนุ่มตาสองสีพยักหน้า และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่รัสเลอร์กำลังจะพูดออกมา
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “จริงๆ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนะ มันอยู่แถวๆ ใต้เท้าพวกนายนั่นแหละ”
   ทั้งสองคนก้มลงมองพื้นทันที กวาดสายตาตรวจหาส่วนที่พอจะเป็นห้อง
   “มันมีที่เปิดเข้าไปจากชั้นนี้รึเปล่า?” ราฟาแอลถามต่อ รัสเลอร์ได้ทีพูดเรื่องที่เขาค้างเอาไว้
   “นั่นแหละข่าวร้าย ฉันบอกว่ามันอยู่แถวๆ ใต้เท้าพวกนายก็จริง แต่มันลึกลงไปหลายชั้นเลยล่ะ ทางเข้าไปก็โคตรจะซับซ้อนเลย แถมมียามเฝ้าตลอด”
   “ที่ว่าซับซ้อนน่ะ ยังไง?” คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง ราฟาแอลคิดว่าเขาควรจะปล่อยให้รัสเลอร์มีชีวิตยืนยาวไปสักหน่อย เพื่อตอบแทนในเรื่องนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเงียบไปพักหนึ่ง ก็พูดขึ้น
   “พวกนายดูแปลนกันแล้วนี่ ยังจำห้องที่เหมือนปิรามิดกลับหัวที่ตรงกลางมีแกน แล้วมีวงแหวนที่เหมือนเฟืองล้อมรอบได้ไหมล่ะ”
   “อ้อ...” ราฟาแอลและรูฟัสครางออกมา ก่อนจะโพล่งขึ้นพร้อมกัน “อย่าบอกนะว่าอยู่ในห้องบ้านั่นจริงๆ !!”
   “ช่าย ถูกต้องเลย” รัสเลอร์ตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท “ไอ้ที่พวกนายกลัวๆ มันก็จริงอย่างที่กลัวนั่นแหละ ห้องนั้นนอกจากจะอนุญาตเฉพาะคนผ่านเข้าออกแล้ว ทางเข้ายังเปลี่ยนตลอด ตั้งรหัสใหม่ทุกสี่ชั่วโมง ที่สำคัญ รหัสไม่ได้ส่งเข้าสู่ฐานข้อมูลส่วนกลางด้วย เหมือนจะเป็นระบบแยกออกไปต่างหาก” หยุดหน่อยหนึ่งจึงพูดต่อ “เพราะงั้น ห้ามว่าฉันนะ ถ้านายอยากได้รหัสต้องให้ฉันเอาเครื่องไปเชื่อมกับสายเคเบิลของมันโดยตรงเท่านั้นแหละ แต่มันจะคุ้มกันหรือเปล่า เพราะอีกสี่ชั่วโมงรหัสก็เปลี่ยนใหม่อยู่ดี แถมมียามเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเพียบ อ้อ.. ทางเข้ามีอยู่ทางเดียวด้วยล่ะ”
   ราฟาแอลและรูฟัสหันมองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะ บอกมาว่าทางเข้ามันอยู่ตรงไหน พวกฉันคิดว่าไม่ต้องรบกวนนายให้ออกมาจากตรงนั้น ก็น่าจะพอหาทางเข้ากันไปเองได้”
   “เยี่ยมเลย เพราะฉันก็ไม่อยากออกไปเสี่ยงกับลูกปืนเหมือนกัน” รัสเลอร์ตอบ และอธิบายทางเข้าคร่าวๆ ให้พวกราฟาแอลฟัง ก่อนจะส่งแผนที่เพิ่มมาให้
   “จริงๆ ทางเข้าหลักน่ะมีทางเดียว แต่ทางที่จะเข้าไปถึงทางเข้านั้นน่ะมีเพียบ พวกนายเลือกเอาสักทางที่ไม่กระโตกกระตากก็แล้วกัน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดต่อหลังจากอธิบายจบ ราฟาแอลกรอกเสียงลงไป
   “รู้แล้วล่ะน่า” พูดจบก็หันไปมองหน้ารูฟัสอีกครั้ง
   “เอาไงดี แบบนี้ก็คงต้องหาคนพาเข้าไป”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดกรอกไมโครโฟนอีกครั้ง “ซิมแปนซี นายเช็กได้ไหมว่าใครเข้าออกตรงนั้นได้บ้าง และมีกำหนดเข้าออกแน่นอนรึเปล่า?”
   “แป๊บหนึ่งนะ” รัสเลอร์ว่า และก้มลงมองนาฬิกา แล้วไล่มือไปบนแป้นพิมพ์ดีดบนเครื่องคอมพิวเตอร์
   “พรุ่งนี้ ไม่สิ วันนี้นี่แหละ สักช่วงประมาณสิบโมง การประชุมจะเริ่ม ก่อนหน้านั้นน่าจะมีคนเข้าไปเอาตัวอย่างของพวกมันออกมาก่อน อ้าวชิบ!” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสบถ อีกสองคนเลยถามขึ้น “อะไรอีกล่ะ”
   “ไอ้ตัวอย่างที่ว่าเพิ่งเอาออกมาน่ะซี่ ฉันเพิ่งเห็นผ่านกล้องวงจรปิดเนี่ย”
   “เวร...” ราฟาแอลและรูฟัสอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
   “เอาล่ะๆ นายลองหาดูซิว่า ใครเข้าออกห้องพวกนั้นได้บ้าง” หนุ่มผมสีบลอนด์พูดขึ้นต่อ รัสเลอร์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบกลับมา “เอ่อ... ขอเวลาฉันสักพักใหญ่ๆ นะ ของพวกนี้มันไม่น่าจะมีระบุเอาไว้ในฐานข้อมูลหลักหรอก แต่จะลองหาดูก็แล้วกัน”
   รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “สุดท้ายก็เป็นห้องบ้านั่นจริงๆ ” ราฟาแอลพูดออกมาและถอนหายใจอีก “เลิกหวังจะเข้าไปเองเลย แบบนี้น่ะ”
   รูฟัสพยักหน้าเห็นด้วย “เราคงต้องเดาแล้วว่าใครน่าจะรู้รหัสทางเข้าออกห้องนี้อีก ไม่ใช่ว่าพอเอาของออกมาแล้วเขาจะปิดตายมันเลยนะ”
   “ไม่ปิดนะ” รัสเลอร์ตอบกลับมาทันที “แค่เปลี่ยนรหัสเท่านั้นเอง เหมือนว่าจะมีนักวิจัยบางคนได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าออกด้วยน่ะ”
   “อ้อ! จริงสิ” ราฟาแอลร้องออกมา ก่อนจะพูดต่อ “ซิมแปนซี นายหาห้องวิจัยของคนที่ชื่อลู่ชางให้เราได้รึเปล่า?”
   “ไม่มีปัญหา ว่าแต่ จะไปหาหมอนี่รึ? คิดว่าหมอนี่จะเข้าออกห้องนั้นได้เหรอ?”
   “ก็ไม่แน่นักหรอก” ราฟาแอลว่า “โดยปกติเจ้าของผลงานต้องหวงผลงานอยู่แล้ว เจ้าแก่นี่อาจจะได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าออกก็ได้ ถ้าไม่ใช่ก็เชือดทิ้ง ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ” หนุ่มผมบลอนด์สรุป ได้ยินเสียงรัสเลอร์โวยวายต่อ “ทำไมนายอำมหิตนัก”
   คนถอนหายใจดันกลายเป็นรูฟัส แล้วก็ตอบแทนเสียด้วย “ก็ต้องว่าไปตามนี้แหละ ช่วยไม่ได้ มันมาถึงขั้นนี้แล้วนี่”
   “โหย.. เข้ากันสมกับเป็นคู่หูบันลือโลกจริงๆ ” รัสเลอร์ค่อนแคะ ก่อนจะพูดต่อ “ก็ได้ๆ ฉันจะระบุตำแหน่งให้พวกนาย อ้อ ถ้าเข้าไปได้ อย่าลืมเก็บตัวอย่างออกมาสักหลอดสองหลอดด้วยนะ จะได้ส่งไปให้แล็บวิเคราะห์”
   “ถ้าทำได้น่ะนะ” รูฟัสและราฟาแอลตอบพร้อมกัน “ตอนนี้ขอเข้าไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน”
   “แหม... ทำได้น่า มีฉันมาด้วยทั้งคน” รัสเลอร์พูด และได้ยินเสียงถอนหายใจพร้อมกัน “เอาล่ะ คุณซิมแปนซี ตำแหน่งห้องของลู่ชางน่ะ ส่งมาได้แล้ว”
----------------------------------------------
   รัสเลอร์บอกตำแหน่งห้องของลู่ชาง พร้อมกับจุดต่างๆ ที่ใช้หลบหนี และข้อมูลเกี่ยวกับนักวิจัยคนนี้เท่าที่เขาพอจะรู้ให้กับพวกรูฟัส ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับจอมอนิเตอร์อันหนึ่ง ซึ่งเขาแยกออกมาต่างหาก จอหน้าห้องพักที่ชายคนหนึ่งเพิ่งจะถูกพาเข้าไป
   ยิ่งกว่าแน่ใจ คนที่เพิ่งเข้าไปคือฟ่งแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย  รัสเลอร์เรียกฐานข้อมูลลงทะเบียนของพนักงานขึ้นมาและตรวจเช็ครายชื่อล่าสุด แม้ข้อมูลจะไม่ละเอียดนัก แต่รูปร่างหน้าตา และชื่อเสียงเรียงนามคือฟ่งไม่ผิดแน่ น่าแปลกที่ข้อมูลของฟ่งมีแค่ชื่อและใบหน้าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไม่ระบุ ท่าทางจะลงทะเบียนแบบฉุกละหุกมาก แปลว่าการมาถึงของฟ่งคงไม่ได้เป็นสิ่งที่รู้มาก่อนล่วงหน้า
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
   รัสเลอร์ดึงภาพของห้องที่เขาใช้เป็นทางเข้าขึ้นมาดู เหมือนมันจะได้รับคำสั่งทดสอบ ตอนที่เขากำลังง่วงหาห้องลับให้พวกรูฟัสอยู่ ฟ่งทำงานเร็วมาก รู้อยู่หรอกว่าเป็นคนเขียนแปลน แต่ว่ารู้กระทั่งคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ทำละเอียดขนาดนี้ จะว่าไปแล้วฟ่งไม่เคยพูดถึงรายละเอียดพวกนี้เลย แล้วเขาก็ละเลยไม่ได้ถาม ฟ่งทำงานให้กับทวีศักดิ์ในระดับไหนกันแน่  พวกรูฟัสไม่รู้หรือไม่สะกิดใจบ้างเลยหรือ ที่จริงแล้ว รูฟัสรู้จักฟ่งมากแค่ไหนกันแน่นะ?
   ถึงคันปากอยากจะถามเจ้าหมอนั่น แต่ขืนถามออกไปมีหวังสถานการณ์จะได้แย่ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มโคลงศีรษะไปมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำบ่อยๆ เมื่อเกิดอาการเครียดหรือรู้สึกกดดันมากๆ
เขาควรจะบอกพวกรูฟัสเรื่องนี้ดีไหม? หรือว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนดี? ยังไม่มีอะไรบ่งชี้เลยว่าฟ่งพาดพิงหรือให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพวกเขากับทางนั้น ยังไม่มีประกาศเตือน ยังไม่มีข้อมูลแจ้งเข้ามา ทุกอย่างยังปกติ เหมือนกับว่าฟ่งบังเอิญผ่านมาแล้วก็เลยถูกดึงมาช่วยงาน โดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ แต่ว่าเรื่องบ้าบอแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมฟ่งถึงเข้ามาที่นี่ได้ แล้วเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไร เป็นพวกไหน แล้วจะทำอะไรต่อไป
   รัสเลอร์ยกมือขึ้นกดหัวคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ไม่ว่าแบบไหนเขาก็หาคำอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไงก็คงได้แต่ภาวนาให้ฟ่งไม่ใช่คนที่หักหลัง เพราะถ้าเป็นจริงแล้ว รัสเลอร์นึกภาพไม่ออกเลยว่ารูฟัสและราฟาแอลจะจัดการยังไง
   ถึงยังไงถ้าหักหลังจริง ก็ขออย่าให้ถูกสองคนนี้จับตัวได้แล้วกัน
---------------------------------------------
   หกโมงเช้า....
   ริมฝีปากที่หย่อนยานตามวัยกระตุกขึ้นนิดหน่อย ลู่ชางกำลังยิ้ม ยิ้มเยาะนาฬิกาดิจิตัลตรงเหนือหัวเตียง และยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
   หกโมงเช้าที่มาจากตัวเลขดิจิตัล ไม่ใช่มาจากแสงอรุณของท้องฟ้า...
   ลู่ชางมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ เขาไม่เห็นแสงสีทองแบบนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ก่อนจะมาทำงานที่นี่
   ห้องทำงานของเขาอยู่ใต้ดินมาโดยตลอด
   เวลามันผ่านมานานเท่าไรแล้ว ที่เขาจมดิ่งอยู่ในความคิดสุดพิสดารของตัวเอง สักสามสิบปีที่แล้ว หรืออาจจะนานกว่านั้น ลู่ชางระบุวันเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิด
   วิปลาส….
   ชายชรายังคงมองดูจุดกะพริบบนนาฬิกาดิจิตัล และถามตัวเองด้วยคำถามเดิมๆ ที่เคยถามเรื่อยมาตั้งแต่จำความได้
   ใครเป็นคนกำหนดว่าเวลาแบบนี้ ต้องเป็นเลขตัวนี้  และตัวเลขที่แสดงอยู่นี่ใช่เวลานี้จริงๆ น่ะหรือ?
   มันคือความจริงหรือสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อแทนความเป็นจริงกันแน่...
   มนุษย์พยายามจะเข้าใจธรรมดาชาติ พยายามจะสมมติทุกอย่างขึ้นมาเพื่อให้อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้  หน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์คือการหาสมมติใหม่ๆ มาเพื่อใช้อธิบายเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่เวลาที่เดินอยู่ ตัวเลขแบบนี้ เมื่อถึงวันหนึ่งมันอาจจะต้องถูกสมมติใหม่
   สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้มีแค่การสมมติพวกนี้เองหรือ?
   ริมฝีปากหย่อนยานกระตุกขึ้นอีกรอบ ใครจะพยายามสมมติอะไรยังไงก็ช่าง ถ้าหากมันอธิบายสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ได้ ก็สร้างสิ่งใหม่ที่อธิบายได้ก็สิ้นเรื่อง
   วันนี้แล้ว ที่โลกจะได้รับรู้ถึงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ว่านี้
   เทซการิโพกา
   เทพเจ้าแห่งความมืด รัตติกาลที่มีเพียงแสงลวงส่องสว่าง ความมืดที่ขับเน้นให้เห็นความสว่างจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้น แสงสว่างที่อธิบายได้
   ความสุขที่อธิบายได้
   ลู่ชาง เผลอส่งเสียงหัวเราะออกมา นี่เขากำลังมีความสุข? กำลังมีความสุขเพราะได้ทำความสุขที่จับต้องได้ให้เกิดขึ้นงั้นหรือ? เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังมากขึ้น จนกลายเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
   วิปลาส.....
   การหัวเราะบางครั้งไม่ได้แสดงว่ากำลังมีความสุข การกระตุ้นเส้นประสาทบางเส้นอาจจะทำให้เกิดอาการหัวเราะได้ และการหัวเราะอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เต็มที่ ลู่ชางรู้ดีว่าเส้นประสาทของเขาไม่ได้ถูกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจากภายนอก แต่มันถูกกระตุ้นจากคำสั่งของสมอง ที่กำลังนึกขบขันกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
   มนุษย์จำนวนมากใช้ความพยายามตลอดชีวิต เพื่อจะค้นหาสิ่งที่เรียกว่าความสุข ทั้งคิดค้นสิ่งของเครื่องใช้ พิธีกรรม กิจกรรม ความสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองพบความสุข ไม่เว้นแม้แต่การใช้ยาในการกระตุ้น ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับเพราะส่งผลเสียกับร่างกาย แต่ต่อจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เคยค้นคิดเพื่อให้เกิดความสุขจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า และข้ออ้างเรื่องผลเสียต่อร่างกายจะไม่มีผล ความสุขที่หาซื้อได้ และปลอดภัย เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจปฏิเสธ ยิ่งโดยเฉพาะในสังคมที่ใครๆ ก็คิดว่าเต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้
   ความสุขที่จะทำให้ทุกคนพร้อมจะยอมตกเป็นทาสของมันอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
   เสียงหัวเราะยังคงดังกึกก้อง มันเป็นเรื่องน่าขันไม่ใช่หรือ เมื่อสิ่งที่หลุดลอดออกไป ความรู้สึกที่เหลือทุกอย่างก็ล้วนไร้ค่า ไม่ว่าสมองจะสั่งการว่ากำลังทุกข์ใจ เสียใจ หรือเศร้าใจแค่ไหน ความรู้สึกเหล่านี้ก็ถูกสลายลงไปได้ง่ายๆ แค่สูดควันเข้าไปเท่านั้น สิ่งที่เหมือนจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นก็จะไม่จริงอีกต่อไป เมื่อความเจ็บปวดกลายเป็นความสุข ความทรมานก็สามารถแปลเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องเจ็บปวด หรือทำเรื่องเลวร้ายอะไร สุดท้ายมันจะลงเอยที่ความสุข
   ความสุขที่จะทำให้ทุกคนคุ้มคลั่ง
   ใช่แล้ว........... คุ้มคลั่ง คนควรจะมีความสุขกับการคุ้มคลั่งไม่ใช่หรือ?
   ลู่ชางกำลังคุ้มคลั่ง ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น เขาพอใจที่จะจมอยู่กับความคุ้มคลั่งเช่นนี้เสมอมา ความคุ้มคลั่งคือสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
   ความคุ้มคลั่งที่มีให้กับโลกที่ตัวเองไม่สามารถอธิบายได้
   กล้ามเนื้อหย่อนยานที่สั่นกระตุกบนใบหน้าของลู่ชาง หยุดชะงัก เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-09-2011 16:11:33
   แม้รูฟัสจะเจอผู้คนมามาก ตั้งแต่ผู้ก่อการร้าย ไปจนถึงผู้ทรงอิทธิพลระดับผู้ครองนคร แต่ไม่มีคนไหนเลยที่จะใกล้เคียงคำว่าวิปลาสได้เท่ากับผู้ชายที่กำลังหัวเราะอยู่ด้านหลังประตูที่เขากำลังเคาะอยู่นี้ เขาไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้มคลั่งขนาดนี้มาก่อน ที่สำคัญมันคือการหัวเราะอยู่คนเดียว รูฟัสนึกถึงคำพูดของไดแอน
   สุนทรียะวิปลาส
   “อ้อ... คุณ..” นั่นคือประโยคแรกที่ลู่ชางเอ่ยขึ้น เมื่อประตูเปิดออก เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนชวนให้ผิดสังเกต ชายหนุ่มกวาดตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้นแวบหนึ่ง และเดินเข้าไปตามคำเชิญอย่างเงียบๆ
   “เพื่อนคุณอีกคนล่ะ?” ชายสูงวัยถาม มันเป็นหนึ่งในคำถามที่รูฟัสคาดว่าอาจจะได้ยินหลังจากที่เขากวาดตามองอีกฝ่ายในตอนแรกแล้ว ชายชราคนนี้คงไม่เชิญเขาเข้าห้องอย่างสุภาพเพราะมารยาทแน่ๆ ภาษาอังกฤษที่ลู่ชางใช้นั้นคล่องจนรูฟัสคิดว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องพูดภาษาจีน จนถึงตอนนี้ ลู่ชาง ยังคงเป็นฝ่ายพูดโดยตลอด เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสนั่งลงอย่างสุภาพ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม
   “ฉันเห็นพวกคุณเมื่อคืน” ชายสูงอายุเอ่ยต่อ จากปฏิกิริยาท่าทางของลู่ชางรูฟัสคิดว่าถ้ามีชาในห้องเขาคงจะยกออกมาแล้ว ชายชราทรุดตัวนั่งบนเตียงตรงหน้าเขา ห้องนี้ไม่ต่างอะไรจากห้องของไดแอนเลย ยกเว้นเจ้าของ
   “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหม?” ลู่ชางถามต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ในที่สุดรูฟัสก็ยิ้มออกมา
   “คุณทำให้ผมพูดไม่ออก ศาสตราจารย์ลู่”
   นัยน์ตาสีดำที่มิได้มีแววฝ้าฟางตามวัยไหววูบหน่อยหนึ่ง
   “โอ้... ไม่ต้องอวยยศฉันขนาดนั้น ไม่เคยมีใครให้ใบปริญญาฉันหรอก” ลู่ชางกล่าว และหัวเราะลงคอ
   “อะไรของฉันที่ทำให้คุณพูดไม่ออกล่ะ?” ผู้มีวัยสูงกว่าถามต่อ กวาดสายตามองรูฟัสอย่างสำรวจตรวจตรา
   “หลายอย่าง..” รูฟัสตอบ เขามองตรงเข้าไปในสายตาคมกริบสีดำนั่น ชายหนุ่มจำเป็นจะต้องประเมินและทำให้อีกฝ่ายประเมินตนในทางที่ได้เปรียบ
   “สิ่งที่คุณสร้าง ความคิดของคุณ..” เขาพูดต่อ อีกฝ่ายกระตุกริมฝีปากขึ้นยิ้มหน่อยหนึ่ง
   “อ้อ.. ฉันคิดว่าจะเป็นคำพูดของฉันเมื่อตะกี้เสียอีกที่ทำให้คุณอึ้งจนพูดไม่ออก” ลู่ชางกล่าว และใช้นัยน์ตาหรี่เล็กสีดำจ้องมองรูฟัสเหมือนเข็ม “ฉันเห็น”พวกคุณ”เมื่อคืนนี้”
   รูฟัสยักไหล่ เขาคิดว่าตัวเองพอรู้ว่าลู่ชางจงใจเน้นคำนั้นเพื่ออะไร
   “ผมมีธุระสำคัญจะคุยกับคุณนะ” ชายหนุ่มตอบ ทำเป็นไม่สนใจกับคำถามนั้น
   “อ้า... คุณยังไม่ตอบคำถามฉันเลย พ่อหนุ่ม.. เพื่อนของคุณเมื่อคืนไปไหน?”
   รูฟัสยิ้มออกมา “คุณสายตาดีมากจริงๆ ศาสตราจารย์ลู่ ทำไมคุณถึงได้ข้องใจกับคนที่คุณเรียกว่า”เพื่อน”ของผมนัก”
   ลู่ชางกลอกตาสีดำไปมา “เพราะพวกคุณมาด้วยกัน และก็ไม่ใช่คนของที่นี่น่ะสิ”
   “คุณรู้จริงๆ ด้วย...” รูฟัสพูด ยังคงค้างรอยยิ้มบนใบหน้า “’แล้วคุณเปิดให้ผมเข้ามาทำไม?”
   “เพราะฉันชอบความท้าทาย พ่อหนุ่ม....” ชายชราตอบ และหยุดไปพักหนึ่ง เหมือนจะให้อีกฝ่ายกล่าวส่วนต่อของประโยคออกมา
   “ถ้าเป็นอย่างนั้น ชื่อคงไม่สำคัญอะไรหรอก” รูฟัสกล่าวตอบ ภาวนาให้คำอธิบายคร่าวๆ ในนิสัยแปลกประหลาดติดไปในทางวิปลาสของลู่ชางที่รัสเลอร์เล่าให้ฟัง ช่วยให้เขาสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ นักวิทยาศาสตร์สูงวัยเลิกคิ้วสีเทาขึ้นอย่างแปลกใจ
   “อา... ใช่... ชื่อจะสำคัญอะไร ขออภัยที่ฉันคิดจะถามอะไรแบบนั้น สำหรับคนแบบพวกคุณ ชื่อคงไม่ต่างอะไรกับการใช้กระดาษชำระหรอก จริงไหม?”
   รูฟัสยิ้มแทนคำตอบ เขารอให้ลู่ชางเป็นฝ่ายพูดออกมาอีก ชายชรากลอกตามองอาคันตุกะแปลกหน้าที่ตัวเองเชิญเข้ามาอย่างพินิจพิเคราะห์
   “ตาคุณสวยนะ พ่อหนุ่ม หนึ่งในตัวอย่างความผิดพลาดทางพันธุกรรมที่หายาก ผมดีใจที่คุณเป็นคนมาหาผม ไม่ใช่เพื่อนคุณอีกคนหนึ่ง คุณดูน่าสนใจกว่าเขาเยอะเลย”
   ชายหนุ่มยิ้มอีกรอบ แต่ไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั่นเลยสักนิด เขาไม่อยากเป็นที่สนใจของตาแก่สติเฟื่องนี่จริงๆ เลย ให้ตายสิ
   “ขอผมคุณสักเส้นนะ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากขอขึ้นมาดื้อๆ รูฟัสเป็นคนไม่เคยกังวลเรื่องรังแคหรือผมร่วง แต่ตอนนี้เขาชักจะกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เขาไม่อยากถูกเอาดีเอ็นเอไปทำอะไรพิลึกๆ
   “ผมคิดว่าคุณจะมีอะไรที่น่าสนใจกว่านี้เสียอีก” ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นทันที รูฟัสยอมรับว่ายากจริงๆ ที่จะหาถ้อยคำมารับมือกับคนอย่างลู่ชาง ก่อนอื่นคงต้องเบนความสนใจของอีกฝ่ายจากดีเอ็นเอเขาไปก่อน
   “มันอาจจะไม่น่าสนใจสำหรับคุณ แต่ผมสนใจมาก” ลู่ชางว่า พลางกวาดสายตามองดูคนตรงหน้าอีกครั้ง “ตาสองสี ผิวขาวแบบยุโรป แต่ผมดำ คุณมีเชื่อสายเอเชียด้วยสินะ สภาพร่างกายกับกล้ามเนื้อแบบนั้น คุณคงไม่ใช่คนปกติธรรมดาที่บังเอิญเดินมาหาผมที่ห้องนี้หรอก”
   “อืม” รูฟัสยอมรับออกไปตามตรง คงไม่มีประโยชน์อะไรจะพูดจาเล่นลิ้นงี่เง่ากับคนแบบนี้
   “งั้นมาหาฉัน ต้องการอะไรล่ะ พ่อหนุ่ม?” ลู่ชางเอ่ยถามขึ้นในที่สุด สายตายังคงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ รูฟัสยิ้มอีกครั้ง
   “เทซกา” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ แต่ก็ได้ใจความชัดเจนพอที่จะทำให้อีกฝ่ายพูดตอบ
   “อ้า... เทซกา.. เทพเจ้า ใช่เลย” ชายชราร้องขึ้นแล้วตบมือผาง “ฉันไม่น่าจะถามคุณ ฉันควรจะเดาออกแต่แรก สิ่งที่สำคัญที่นี่คือเทพเจ้าเท่านั้น คุณคงเห็นแล้ว ที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองเทพเจ้า”
   “อืม...” รูฟัสรับคำ พลางมองหน้าของลู่ชางแล้วก็ภาวนาไม่ให้เจ้าแก่นี่หงุดหงิดกับการถามคำตอบคำของเขาเสียก่อน เพราะแค่นี้เขาเองก็จนปัญญาสรรหาคำพูดมาต่อปากต่อคำแล้ว ขืนหงุดหงิดขึ้นมา ไม่รู้จะสรรค์หาคำพูดอะไรมาเกลี้ยกล่อมอีก
   “ฉันคิดว่าคนประเภทคุณจะพูดเก่งเสียอีก ดูเหมือนคุณจะไม่ได้เป็นแบบนั้นสินะ หรือว่าฉันทำให้คุณพูดไม่ออกกันล่ะ?” ลู่ชางเอ่ยถาม จากสายตาที่มองมา รูฟัสไม่แน่ใจเลยว่าเจ้าแก่นี่คิดอย่างที่พูดจริงๆ หรือแค่ว่าอยากจะประชดกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่ฝืนยิ้ม
   “ผมไม่ใช่พวกชาล้นถ้วย คิดว่าถ้าเงียบแล้วน่าจะได้ยินได้ฟังอะไรดีๆ มากกว่าน่ะ”
   ลู่ชางตบมือฉาดอีกครั้ง “อ้า!! ใช่แล้ว พ่อหนุ่ม!! นี่คุณศึกษาวัฒนธรรมเอเชียมาด้วยหรือ? หรือคุณมีเชื่อสายจีน หรือว่าศึกษาเกี่ยวกับลัทธิเซ็นมาล่ะ อ้อ...บางทีคุณอาจจะเคยไปอยู่ที่นั่น”
   “ตามแต่คุณจะคิดเถอะ เรามาพูดถึงเรื่องเทซกากันต่อดีกว่า” รูฟัสพูดตัดบท เขาคงต้องพยายามจะคุมบทสนทนาบ้าง ก่อนที่จะถูกคำพูดของอีกฝ่ายก่อกวนจนประสาทเสียไปเสียก่อน อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเป็นราฟาแอลจะทำยังไง คงไม่พ้นอาศัยปากกระบอกปืนเป็นตัวช่วยอีกแหงม
   “อ่า โทษที คุณมาหาฉันเพราะเรื่องนี้นี่นะ คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรเรื่องนี้กันล่ะ? อยากได้วิธีการสร้างมัน หรือวิธีการทำลายมัน?”
   “ผมอยากรู้ว่าจะหามันเจอได้ที่ไหน?” รูฟัสตอบ ได้ยินเสียงลู่ชางยกมือขึ้นตบขาตัวเองอีกรอบ
   “อ้า ใช่!! ถูกของคุณ คุณคงจะต้องหามันให้พบก่อนที่จะทำลายมัน... คุณมาที่นี่เพื่อจะทำลายมันใช่ไหมล่ะ?” โดยไม่รอให้ตอบ ชายชราจัดแจงถามเองตอบเองเสร็จสรรพ
   “คุณต้องมาที่นี่เพื่อทำลายมันอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณอยากได้มัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนมาหาฉันถึงที่นี่หรอก ฉันพอรู้อยู่ว่าคุณทวีศักดิ์ไม่ได้ใจแคบอะไร หากใครอื่นจะเสนอหน้ามายลโฉมเทซกาในงานนี้ด้วย ฉันพูดถูกไหม?”
   ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาถูกต้อนจนพูดไม่ออก ลู่ชางโบกมือเป็นเชิงให้อภัย และตั้งคำถามต่อ “ไหนคุณลองบอกฉันหน่อย ศีลธรรมคืออะไร?”
   ดูเหมือนคำถามนี้ตั้งใจที่จะให้เขาตอบจริงๆ เมื่อนัยน์ตาสีดำนั้นจ้องมองมาอย่างจงใจ และก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ขึ้นอีก รูฟัสแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เขารู้สึกว่าเริ่มจะแห้งผาก
   “กฎเกณฑ์ของสังคมที่ทำให้สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข” ชายหนุ่มตอบ ตามที่เขารู้สึกว่าเคยอ่านผ่านจากหนังสืออะไรสักอย่าง ลู่ชางตบเข่าอีกรอบ
   “อ่า.. ใช่ ต้องตรงตามทฤษฏี หลักศีลธรรมมีไว้เพื่อความสงบสุขของคนบนโลก ถ้าคนบนโลกนี้สงบสุขแล้ว ศีลธรรมก็ไม่จำเป็น คุณว่างั้นไหม?”
   “ผม เอ่อ.. ไม่รู้สิครับ” รูฟัสตอบพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะ พลางนึกสงสัยว่าเขาจะต้องตกอยู่ในบทสนทนาที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปนานอีกแค่ไหน ลู่ชางยกนิ้วชี้ขึ้น โบกไปมาตรงหน้า ส่งเสียงจุ๊ปาก
   “เทสการิโพกาคือหลักศีลธรรมใหม่ของโลกนี้ มันคือความสงบสุขที่ไม่ต้องฝืนใจทำ คุณเองก็คงเคยทำอะไรผิดหลักศีลธรรมเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? อย่างเช่นลักขโมย หรือฆ่าคน”
   รูฟัสเกือบจะพยักหน้า แต่ก็หยุดเอาไว้ ด้วยคิดได้ว่าถ้าเขายอมรับออกไปจะเท่ากับลดตัวเข้าไปอยู่ในความคิดระดับเดียวกับตาแก่เสียสตินี่หรือเปล่า ถึงเขาจะขโมยหรือฆ่าคน แต่ก็ไม่เคยคิดจะสร้างหลักศีลธรรมอะไรขึ้นมาใหม่ เขาไม่เคยนึกต่อต้านโลกถึงขนาดนั้น
   “คุณคงไม่พอใจกับหลักการหลายอย่างของโลกนี้” ชายหนุ่มพูดต่อ พยายามจะหาจุดที่สามารถจะดึงการสนทนากลับไปสู่เป้าหมายของเขาได้
   “ไม่ใช่ไม่พอใจ ฉันแค่สงสัยในความถูกต้องและเที่ยงแท้ของมัน มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกคนพอใจได้จริงๆ เสียหน่อย”
   รูฟัสเกือบจะหลุดคำว่า “นั่นแหละ คุณไม่พอใจ” ออกไปแล้ว แต่ก็คิดได้ว่าถ้าพูดออกไปอาจจะทำให้บทสนทนายืดยาวไปในแนวทางอื่น เขาจึงตัดสินใจดึงเรื่องเข้ามาอย่างดื้อๆ
   “คุณรู้รึเปล่าว่าเขาเก็บมันไว้ที่ไหน?”
   ลู่ชางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เหมือนว่ารูฟัสกำลังทำอะไรที่เสียมารยาทอย่างรุนแรง เขาพูดอย่างอ่อนระโหย
   “อา.. คนหนุ่มช่างใจร้อน ไม่บ่อยที่ฉันจะมีโอกาสได้พูดอะไรกับใครแบบนี้นะ แล้วคุณก็ดูจะเป็นผู้ฟังที่ดี คุณจะอดทนฟังฉันต่อสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
   รูฟัสแทบจะร้องครางออกมา เขาอยากเปลี่ยนตัวกับรัสเลอร์เดี๋ยวนี้เลย คิดว่าเจ้าหมอนั่นคงจะคุยกับตาแก่นี่ได้รู้เรื่องกว่าเขาแน่ๆ เพราะดูจะเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่องด้วยกันทั้งคู่  แต่จนปัญญาที่เขาไม่ใช่นักฟุตบอล และนี่ก็ไม่ใช่สนามแข่งขันที่จะมีนกหวีดเป่าขอเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ ดังนั้นรูฟัสจึงจำต้องใช้ความอดทนต่อไป
   “ขออภัยที่ผมเสียมารยาท ผมอาจจะไม่ค่อยฉลาด..”
   “คุณฉลาด” ลู่ชางพูดพลางยิ้ม รูฟัสเคยคิดว่าเว่ยเฟิงปิงมีรอยยิ้มที่น่ารังเกียจมากแล้ว แต่เมื่อเจอกับรอยยิ้มของชายสูงวัยผู้นี้เข้าไป เว่ยเฟิงปิงดูเป็นเด็กไร้เดียงสาไปเลยทีเดียว มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งชั่วร้าย และวิปลาส
   “ตอบฉันสิ คุณคิดว่าศีลธรรมที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะยังมีความหมายต่อไปอีกรึเปล่า เมื่อเทซกาถูกปลดปล่อยออกไปได้สำเร็จ”
   รูฟัสนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง นึกดีใจที่ไม่ได้ยินเสียงเร่งจากรัสเลอร์หรือราฟาแอล ดูท่าพวกนั้นจะเข้าใจว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์แบบไหน
   “ผมไม่ใช่คนดีเด่อะไร..” รูฟัสกล่าวออกมาในที่สุด พร้อมกับรอยยิ้มที่ยอมจำนนต่อโลก “ผมคงตอบคุณไม่ได้จนกว่าจะได้ไปพิสูจน์”
   ลู่ชางกวาดสายตามองรูฟัส ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
   “เด็กร้ายกาจ คุณฉลาดว่ายัยเด็กผมทองที่พูดเรื่องหลักศีลธรรมงี่เง่านั่นเสียอีก ใช่แล้ว ทุกอย่างต้องพิสูจน์ มันต้องพิสูจน์  ใช่..คุณจะต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง พ่อหนุ่มตาสองสี”
----------------------------------------------------
   ราฟาแอลนึกดีใจและโล่งใจเป็นที่สุด ที่เขาตัดสินใจส่งรูฟัสไปทำหน้าที่เจรจานี้  เขาไม่เคยได้ยินบทสนทนาที่บ้าคอคอแตกขนาดนี้มาก่อน นี่ขนาดแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้เป็นคนตอบเขายังแทบจะอ้าปากตะโกนสั่งให้รูฟัสเก็บตาแก่บ้านั่นเสีย ก่อนที่จะพูดจาให้ใครต่อใครเป็นบ้าตามตัวเองไปอีก อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณความวิปลาสที่ยากจะคาดเดาของชายชราคนนี้ เพราะในที่สุดเจ้าแก่นั่นก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญรูฟัสให้เข้าไปที่ห้องเก็บควันนั่น เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองตั้งทฤษฏีเอาไว้
   ทฤษฏีหลักศีลธรรมใหม่ของโลก
   ราฟาแอลไม่ต้องการจะขบคิดเรื่องศีลธรรมให้ยุ่งยาก ไม่อย่างนั้นเขาคงฝ่อตายไปแล้ว แค่จำนวนผู้หญิงที่เขามีก็คงมากพอจะทำให้พระเจ้าปิดประตูสวรรค์ใส่หน้าเขา ไม่จำเป็นจะต้องไปพูดถึงคนอีกจำนวนไม่น้อยที่หมดโอกาสจะทำบุญหรือทำบาปเพราะลูกปืนของเขา สำหรับราฟาแอลแล้วศีลธรรมไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองของเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือ คำว่า ลุล่วง หรือล้มเหลวเท่านั้น และสำหรับภารกิจนี้ เขามีความจำเป็นจะต้องทำให้มันลุล่วง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไรก็ตาม
   “เอาไง สิงโต นายจะตามเสือขาวไปด้วยรึเปล่า?” รัสเลอร์เอ่ยปากถามขึ้น หลังจากฟังบทสนทนาบ้าบอนั้นจบ เขาชักรู้สึกเป็นห่วงรูฟัสขึ้นมานิดหน่อย และยอมรับว่าลู่ชางบ้ากว่าที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้หลายเท่า แทบจะพูดได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เขากลายเป็นคนปกติไปเลย
   “คิดว่าคงไม่ต้องนะ” ราฟาแอลตอบ เขาแน่ใจว่ารูฟัสคงฟังอยู่ แต่คงไม่สามารถจะตอบกลับได้ เพราะน่าจะยังอยู่ในห้องของลู่ชาง
   “ฉันจะแยกกับนายตรงนี้ จำไว้ว่าภารกิจจะต้องสำเร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ราฟาแอลพูดต่อ เหมือนจะได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ จากทางรูฟัส รัสเลอร์จึงถามขึ้นอีก
   “แล้วจะทำอะไรต่อล่ะ สิงโต”
   ราฟาแอลกวาดสายตามองดูพนักงานในชุดสีขาว ที่กำลังเดินกันให้วุ่นอยู่บนระเบียงทางเดินแผงเหล็กยาว คงกำลังเตรียมการสำหรับงานประชุมที่จะเริ่มขึ้น
   “ฉันจะขึ้นไปด้านบน”
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-09-2011 16:12:31
คิดถึงรูฟัสกับฟ่งจังวุ๊ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-09-2011 16:14:06
   ทวีศักดิ์เดินลงมาที่บริเวณทางออกฉุกเฉิน ในช่วงแปดโมงเช้า เขานอนไปราวๆ สี่ชั่วโมงหรือต่ำกว่านั้น ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ายืนรอเขาอยู่
   “คุณคิดว่าไง รัตน์?” ทวีศักดิ์ถามขึ้น หลังจากยืนมองสภาพห้องที่ซ่อมเสร็จไปเมื่อตอนรุ่งเช้าอยู่พักหนึ่ง ผู้ถูกถามหันกลับมามองอย่างแปลกใจ
   “หมายความว่าไงหรือครับ?”
   “อภิวัฒน์ เด็กคนนั้น ทำงานได้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าเขาแสดงท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่านี้ บางทีผมน่าจะเอาเขามาทำงานด้วย”
   “ผมว่าคุณคงไม่สร้างอะไรแบบนี้บ่อยๆ หรอก” รัตน์ตอบ ทวีศักดิ์หัวเราะลงคอ
   “นั่นสิ ผมคงเกิดรู้สึกเห็นใจเจ้าวินขึ้นมานิดหน่อย วินไม่เคยพูดถึงเพื่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาเพื่อนมาหาผม แล้วก็ดันเป็นคนที่ผมไม่อยากจะปล่อยเอาไว้เสียด้วย” ชายผู้มีวัยห้าสิบเศษกล่าวแล้วก็ถอนหายใจยาว
   “ผมควรลองคุยกับอภิวัฒน์ดู เขายังเด็ก และเขาก็ทำงานให้ผมเป็นครั้งที่สองแล้ว ผมควรให้โอกาสเขาบ้าง”
   รัตน์กลอกตามองดูหัวหน้าของเขา และกล่าวเรียบๆ “ตามใจคุณเถอะ แต่ผมแนะนำให้คุยให้เสร็จก่อนที่เขาจะออกไปจากที่นี่”
   “อ่า...ผมเข้าใจ” ผู้เป็นเจ้าของการประชุมครั้งนี้หรี่ตาลง และคลี่ยิ้มบางๆ
----------------------------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่น ไม่ใช่เพราะเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ แต่เป็นเพราะเสียงซ่าๆ ของวิทยุสื่อสารที่เขาวางทิ้งไว้ใกล้หมอน มันทำให้เขาฝันแปลกๆ ว่าหลุดไปอยู่ในดาววิทยุหรืออะไรเทือกนั้น ชายหนุ่มหยิบแว่นขึ้นมาสวม และเดินไปเปิดประตู
   “ฟ่ง!!” วรุตเอ่ยทักขึ้นและแทบจะก้าวพรวดเข้ามารวบตัวเขาเอาไว้ทันทีที่ประตูเปิดออก  เด็กหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีขาว ซึ่งถูกบังคับให้ใส่ก่อนจะวิ่งห้อตะบึงลงมา
   “ผมคิดว่าคุณเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก เรียกทางวิทยุก็ไม่ตอบ”
   ในที่สุดฟ่งก็รู้เสียทีว่าไอ้เสียงซ่าๆ ที่เขาได้ยินระหว่างนอนหลับคือเสียงการพยายามจะติดต่อของวรุตนี่เอง
   “ผมสบายดี” ฟ่งตอบ และหยุดหาวหวอดรอบหนึ่ง “แค่นอนน้อยไปหน่อย”
   “ได้ยินว่าคุณซ่อมห้องเสร็จแล้ว?” วรุตพูดสวน ดูเขาจะมีสีหน้าร้อนใจพิกล ฟ่งพยักหน้า
   “อืม เสร็จแล้ว เสร็จก่อนเที่ยงเหมือนที่ตกลงเอาไว้ เออ ใช่ พ่อคุณ ผมยังไม่ได้บอกราคาค่าจ้างเลย”
   อีกฝ่ายแทบจะยกมือกุมศีรษะ ในเวลาแบบนี้ฟ่งยังนึกถึงเรื่องค่าจ้างอยู่อีกรึนี่
   “เรื่องนั้นน่ะ ไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้คุณมากับผมก่อน” เด็กหนุ่มพูดและคว้าแขนฟ่งออกมาจากห้อง หนุ่มสวมแว่นเซถลาตามแรงดึง
   “เดี๋ยว!! มีเรื่องอะไรเนี่ย?” ฟ่งถามอย่างไม่เข้าใจ และพยายามจะสลัดแขนออก เขาไม่ชอบให้ใครลากไปลากมาแบบนี้ อิทธิเดชซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกคว้าแขนของเขาไว้ต่อ ขณะที่วรุตหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่ก้าวเข้ามาขวางเขาเอาไว้
   “ไม่ได้นะครับ คุณวรุต!! พวกผมได้รับคำสั่งให้จับตาดูคนคนนี้เป็นพิเศษ”
   ชายฉกรรจ์สองคนในชุดยูนิฟอร์มสีขาวที่ก้าวเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็กหนุ่มถลึงตามองอย่างไม่พอใจทันที
   “ใครสั่ง พ่อผมหรืออารัตน์ล่ะ? พวกคุณจะจับตาดูเขาไปทำไม กลัวว่าจะเป็นสปายหรือไง เขามากับผมนะ!!”
   “แต่ว่า..มันเป็นคำสั่ง…” ชายทั้งสองคนยังคงยืนขวางอยู่ตอบ และมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่กล้าจะมีเรื่องกับลูกชายของท่านประธาน แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเหมือนกัน วรุตขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขายืนประจันหน้ากับพนักงาน โดยไม่มีฝ่ายใดยอมถอย สักพักหนึ่งก็มีอีกเสียงดังขึ้น
   “อา... วิน พ่อคิดอยู่ว่าลูกอาจจะมาที่นี่” ทวีศักดิ์เอ่ยและเดินเข้ามาหาผู้เป็นลูก วรุตหันไปจ้องเขา
   “ไหนอาบอกมีเรื่องอะไรก็ติดต่อไปได้เลยไง” เด็กหนุ่มโวยข้ามหัวพ่อของตัวเองไปทางผู้ที่เขาเรียกว่าอารัตน์ซึ่งเดินตามหลังมา ชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นบนใบยิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้ว่าวรุตพยายามจะติดต่อกับพวกเขาทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
   “พ่อเป็นคนบอกอาเขาเองแหละว่าควรจะมาพูดกับลูกโดยตรงที่นี่”
   “อ้อ....” วรุตลากเสียงยาว ดูเหมือนเขาไม่ค่อยจะพอใจผู้เป็นพ่อเท่าไรนัก
   “พ่อรู้ได้ไงว่าผมจะมาที่นี่?” เด็กหนุ่มถามกลับ ทวีศักดิ์ตอบลูกชายยิ้มๆ “ก็พ่อนึกไม่ออกว่าลูกจะไปตรงไหน ทำอะไร ถึงต้องวิทยุเรียกพ่อนอกจากที่นี่”
   “อ้อ....” เด็กหนุ่มลากเสียงยาวอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้มีประโยคอะไรตามมาอีก ทวีศักดิ์จึงพูดต่อ “ก็ดีที่ลูกอยู่ด้วย พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย”
   รัตน์ทำท่าจะถอยออกไปแต่ถูกทวีศักดิ์ยกมือห้ามเอาไว้ ดังนั้น ทุกคนจึงอยู่กับที่รวมทั้งพนักงานสองคนนั่นด้วย วรุตมองพ่อของตนอย่างไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที
   “หวังว่าพ่อคงมีธุระสำคัญจริงๆ ไม่ใช่วางแผนอะไรไม่ดีเอาไว้อีกนะ” เด็กหนุ่มว่า และหันไปสั่งอิทธิเดชให้พาฟ่งออกไปก่อน แต่ก็ถูกทวีศักดิ์โบกมือห้ามไว้อีก คราวนี้เด็กหนุ่มหันไปมองผู้เป็นบิดาอย่างเอาเรื่องเอาราวจริงๆ
   “พ่อมีธุระอะไรกันแน่?”
   “เป็นเรื่องที่ลูกต้องมีส่วนในการตัดสินใจ” ทวีศักดิ์ตอบ เขามองไปทางฟ่งซึ่งยังคงยืนฟังอย่างงงๆ
   “พ่อคิดว่าจะให้เพื่อนของลูกมาทำงานกับพ่อ”
   วรุตเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เขาถามออกไปทันที “พ่อหมายความว่าไง? ให้เขามาเป็นพนักงานที่นี่เหรอ?”
   “อืม ใช่...” ทวีศักดิ์พยักหน้า เขาหันไปทางฟ่งอีกรอบ “ผมอยากจ้างให้คุณทำงานประจำกับผม คุณโอเคไหม?”
   ฟ่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง “คุณคิดจะสร้างอะไรอีกหรือไง?” สถาปนิกหนุ่มถาม ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่เห็นจำเป็นเลยที่คุณจะต้องจ้างผมเป็นพนักงานประจำ แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ชอบทำงานประจำ...” ฟ่งพูดค้าง มองหน้าทวีศักดิ์อย่างนึกขึ้นได้  ใช่ คนคนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะจ้างเขาเป็นพนักงานประจำ นอกเสียจาก.....
   “คุณกำลังขู่ผม!!” หนุ่มสวมแว่นโพล่งออกไป ทวีศักดิ์ยิ้มอย่างใจดี “คุณระแวงเกินไปล่ะมั้ง ที่ผมจ้างคุณ เพราะลูกผมดูจะชื่นชอบผลงานของคุณน่ะ ผมเลยคิดว่าคุณน่าจะมาทำงานด้วยกันเสียเลย”
   ฟ่งอ้าปากค้าง เขาหันไปมองวรุต ซึ่งมีสีหน้างุนงง คงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไร
   “ลูกว่าไง อยากให้เขาทำงานที่นี่รึเปล่า?”
   “พ่อทำผมแปลกใจ” วรุตพูด และยิ้มออกมาในที่สุด “ผมคิดว่าพ่ออยากจะฆ่าเขาเสียอีก ผมไม่มีปัญหาถ้าพ่อจะจ้างเขาทำงานที่นี่ประจำ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ผมก็คงบังคับอะไรเขาไม่ได้”
   “พ่อแน่ใจว่าเพื่อนลูกคนนี้ต้องอยากจะทำงานกับเราแน่ๆ ” ทวีศักดิ์พูด และหันไปมองฟ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใช่ไหมครับ ถ้าคุณไม่อยากมาทำงานที่นี่ คุณคงไม่มาหรอก”
ฟ่งมองหน้าพ่อลูกทั้งสอง ก่อนจะพยักหน้า “ก็อย่างนั้นล่ะครับ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับคุณอีก” หนุ่มสวมแว่นว่า ทวีศักดิ์หัวเราะออกมา
   “ยินดีเช่นกัน เดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
   “คุณจะให้ผมทำอะไรอีก?” ฟ่งถามอย่างสงสัย ไอ้ชุดหมีที่ใส่อยู่นี่ยังไม่ใช่เครื่องแบบพนักงานอีกหรือไง ทวีศักดิ์สั่นศีรษะ
   “ไม่ใช่ผม แต่เป็นลูกผม” ชายวัยกลางคนกล่าว และหันไปมองบุตรชายของตน
   “เขาเป็นของลูกแล้ว”
   วินาทีนั้นฟ่งหันไปมองอิทธิเดชอย่างลืมตัว เขาพอจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าทวีศักดิ์เลี้ยงดูลูกตัวเองแบบไหน
--------------------------------------
   “ต้องขอโทษจริงๆ เรื่องพ่อผม” วรุตกล่าวขึ้นหลังจากที่ฟ่งอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หนุ่มสวมแว่นนิ่วหน้า ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง ซึ่งที่เอามาใหม่ก็ยังเป็นชุดหมีสีขาวเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนตัวเท่านั้นเอง
   “ผมว่าคุณเหมาะกับชุดนี้แล้วล่ะ อีกอย่าง ไม่มีเสื้อสูทไซต์คุณด้วย” วรุตว่า ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ และถอนหายใจเฮือก เขาไม่อยากถูกหาว่าเรื่องมากอีก จะยอมใส่ไอ้ชุดหมีนี่เดินไปไหนมาไหนก็ได้ ดูท่าทวีศักดิ์จะเตรียมไว้ให้อีกหลายชุด คงเหลือมาจากคราวที่แล้วที่เขาไม่ยอมมากินนอนอยู่ที่นี่แน่ๆ
   “แล้วนายจะเอายังไงต่อ.. วิน หรือผมต้องเรียกว่าคุณวรุต?” ฟ่งพูด ทำเสียงเหมือนจะประชด วรุตรีบโบกมือ
   “ไม่ต้อง ผมไม่อยากให้คุณประชดผมแบบนั้น เรียกผมว่าวินเหมือนเดิมแหละ คุณไม่ใช่ลูกน้องผมจริงๆ สักหน่อย”
   “แต่พ่อนายจ้างผมแล้ว ด้วยเงื่อนไขที่ปฏิเสธลำบากเสียด้วย” ฟ่งว่า วรุตหัวเราะ
   “นั่นสิ  อืม... ผมจะให้คุณทำอะไรดี อยู่ใกล้ๆ ผมไว้แล้วกัน”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าวรุตเข้าในเรื่องที่เขาต้องการสื่อออกไปมากน้อยแค่ไหน ดูเหมือนอิทธิเดชที่ยืนอยู่ด้วยจะมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
   “คุณไม่ควรให้เขาอยู่ที่นี่นาน...” อิทธิเดชกล่าว วรุตรีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะจุ๊ปากในเชิงปราม
   “ผมรู้ว่าพ่อคิดอะไร เขาเป็นพ่อผมนะ”
   อิทธิเดชมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก แต่ก็ยอมหยุดพูด วรุตหันไปมองฟ่ง
   “คุณอยากจะเป็นผู้ติดตามของผมหรือเปล่า? อีกสักพักผมคงต้องไปต้อนรับพวกแขกที่กำลังจะมาถึง..ในห้องนั้น” วรุตเน้นคำพูดสุดท้าย ฟ่งมองหน้าเขา และเหลือบไปมองอิทธิเดช ก่อนจะพยักหน้า
   “คุณคงจำเป็นต้องใช้บอดีการ์ดเพิ่ม คุณวรุต”
   เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
   “ผมมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น ห้ามอยู่ห่างจากผมเด็ดขาดนะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินตามวรุตและอิทธิเดชเข้ามาในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้สำหรับต้อนรับผู้ร่วมประชุม ในตอนราวๆ สิบโมงครึ่ง ที่นั่น เขาพบทวีศักดิ์นั่งรออยู่แล้ว และกำลังคุยกับชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งอยู่ จากลักษณะใบหน้าดูเหมือนจะเป็นชาวเอเชีย
   “วิน.. มาได้จังหวะพอดีเลย เข้ามาสิ พ่อมีคนต้องแนะนำให้ลูกรู้จัก” วรุตเดินเข้าไปตามคำเชิญของผู้เป็นพ่อ ทวีศักดิ์แนะนำลูกชายของตนเป็นภาษาอังกฤษให้กับชายสองคนในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มและสีน้ำตาล ที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีขาวอย่างดี พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามสี่คน
   “นี่วรุต ลูกชายผม ผมวางแผนให้เขาสืบทอดกิจการต่อจากผม”
   วรุตฝืนยิ้ม ขณะนึกแย้งในใจว่าเขายังไม่รู้เลยว่าผู้เป็นบิดาของเขาดำเนินกิจการอะไรบ้าง แล้วจะสืบทอดได้ยังไง  ชายสองคนที่นั่งอยู่พยักหน้า หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ฟ่งคุ้นตาเป็นอย่างดี
   “นี่คนจากตระกูลเว่ย คุณเว่ยจินหยิน และคุณเว่ยเฟิงปิง”
   วรุตสัมผัสมือทักทายกับคนทั้งสอง ขณะที่ฟ่งยืนอ้าปากค้าง นัยน์ตาเรียวเล็กสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเหลือบมาทางเขานิดหน่อย หากจะมีวี่แววแห่งความแปลกใจ ก็คงจะมีแค่เสี้ยววินาทีเล็กๆ นั่นแหละ
   “บอร์ดี้การ์ดของลูกชายคุณแต่งตัวแปลกดี” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่เอ่ยขึ้น จงใจที่จะพูดถึงตัวของฟ่งโดยเฉพาะ วรุตหัวเราะ “เปล่า เขาไม่ใช่บอร์ดี้การ์ดผมหรอก เขาเป็นเพื่อนผม”
   “เพื่อน?” เว่ยจินหยินที่สวมเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มทวนคำ ฟ่งเห็นว่าตอนนี้นอกจากคนในชุดสูทสีน้ำเงินแล้ว เว่ยเฟิงปิงเริ่มมีความแปลกใจอยู่บ้าง คงคิดไม่ถึงว่าฟ่งจะรู้จักกับวรุตล่ะมั้ง  ต่อให้เป็นคนฉลาดขนาดไหนก็เถอะ ไอ้เรื่องแบบนี้มันใช้เหตุผลในการคาดเดาได้ที่ไหนกันล่ะ
   “งั้นก็คงเป็นเพื่อนคนสำคัญ...” เว่ยเฟิงปิงลากเสียง เขาเห็นสายตากึ่งแปลกใจกึ่งตำหนิของเว่ยจินหยินที่มองมา ช่างประไรล่ะ ในเมื่อเว่ยจินหยินไม่เคยรู้จักฟ่ง และไม่รู้ว่าฟ่งเป็นใคร ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาตำหนิ เขามีสิทธิ์ที่จะถาม เพราะต้องการรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ด้วยความสำคัญและฐานะอะไรกันแน่ มันอาจจะเกี่ยวโยงถึงผู้ชายที่ชื่อรูฟัส และแผนที่สายลับตาสองสีคนนั้นอาจจะดำเนินอยู่ ซึ่งเกี่ยวโยงกับอนาคตความเป็นความตายของพวกเขาด้วย
   เกี่ยวโยงถึงตำแหน่งผู้สืบทอด
   เว่ยเฟิงปิงนึกดีใจที่ได้เจอฟ่งที่นี่ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรที่ดูจะได้เปรียบกว่าเจ้าพี่ชายที่น่ารังเกียจของตนสักอย่างหนึ่ง
   “เขาเป็นคนออกแบบที่นี่” วรุตตอบอย่างภาคภูมิใจ ทวีศักดิ์ส่งเสียงกระแอมเป็นเชิงเตือนลูกชาย ขณะที่เว่ยเฟิงปิงเปิ่งตาสีฟ้าของเขาอย่างแปลกใจจริงๆ 
ถ้าฟ่งอยู่ที่นี่ ก็คงแปลว่ารูฟัสคงอยู่ที่นี่ด้วย เขารู้มาแต่แรกแล้วว่าภารกิจที่รูฟัสกำลังทำอยู่ จะต้องเกี่ยวข้องกับงานนี้ ที่ผิดคาดไปก็คือ เขาไม่คิดว่าฟ่งจะทำงานให้กับทวีศักดิ์ด้วย รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง
   “เพื่อนคุณสำคัญจริงๆ” เขาว่า นึกสงสัยว่ารูฟัสรู้เรื่องนี้แล้วหรือเปล่า หรือว่ารูฟัสเองก็โดนหลอกไปด้วย แค่คิดก็รู้สึกขบขันเสียเต็มประดา เว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขายังนึกแค้นเคืองผู้ชายตาสองสีคนนั้นอยู่
   ถ้าฟ่งหลอกรูฟัสได้จริงๆ ล่ะก็ เขายินดีจะให้ความช่วยเหลือหนุ่มสวมแว่นคนนี้
----------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่54 p9 10/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-09-2011 16:17:07
คิดถึงรูฟัสกับฟ่งจังวุ๊ย

คุณพี่ปาดไปเต็มๆ ฮ่าๆ (เรื่องนี้โดนปาดบ่อยมาก ตั้งแต่กระหน่ำลงวันเดียว20ตอนแล้ว<<ใครใช้ให้หล่อนเขียนตอนยาวขนาดนี้ล่ะยะ!!)

หนังสือถึงยังอ่ะคะพี่?

ปล. หนูควรคิดถึงไอ้คู่นี้ในเล่มพิเศษมั้ย? (แต่ตอนปกติก็กระหน่ำลงคู่มันไปเกือบสิบตอนแล้วนะเนี่ย=[]=!!)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 15-09-2011 17:05:05
 :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7: :110011:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 15-09-2011 18:06:47
กว่าจะตามอ่านเรื่องนี้ทันใช้เวลาสองวันเต็มๆ o13

+1 พร้อมบวกเป็ดให้เลยค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 15-09-2011 21:57:32
เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล๊วว~
ลุ้นตลอด 5555
ขอบคุณคนเขียนนะคับบบ:))
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 17-09-2011 20:39:03
มันจะเข้าใจไปคนละทางจนป่วนไปหมดมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 18-09-2011 04:03:14
เรื่องชักจะยุ่งกันไปใหญ่ป่ะเนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-09-2011 09:42:08
**เรื่องนี้ยาวจนหอบ (คนอ่านนะคะ คนเขียนเขียนจบได้สักพักแล้วค่ะ :o8:)

ตอนนี้กำลังทยอยเขียนเรื่องแยกเก็บตก(และเพิ่มเติม?) สำหรับเล่มพิเศษอยู่ค่ะ... ตอนแรกคิดว่า อืม เล่มพิเศษนี่คงสักร้อยกว่าหน้าล่ะมั้ง ปรากฏว่า เนื้อหาตอนพิเศษเท่าที่มีในสต็อกตอนนี้ ก็ปาไปร้อยต้นๆ แล้ว... และ..ยังเหลือเนื้อหาอื่นๆ ไม่ได้เขียนอีกเพียบ!! ม่ายยย มันคงได้กลายเป็นซีรีส์ทุบปลวกจริงๆ แน่ (เท่าที่มีอยู่นี่มันก็ทุบปลวกตายได้แล้วล่ะยะหล่อนนน)

ขอบคุณที่อดทนอ่านกันนะคะ ^^

------------------------------------------------

บทที่56  ความหลังที่บังเอิญพบ และปัจจุบันที่ไม่อยากคาดเดา

   “คุณวรุต ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมขอคุยกับสถาปนิกของคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหม?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขึ้นทันทีหลังจากการสนทนาแนะนำตัวคร่าวๆ ยุติลง วรุตแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสต้องพูดต่อ
   “ผมสนใจผลงานของเขา เผื่อว่าอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”
   “อ้อ..” เด็กหนุ่มส่พยักหน้าอย่างเข้าใจ และโดยไม่หันไปขอคำอนุมัติจากผู้เป็นพ่อ เขาพูดตอบ “ได้สิครับ ถ้าเขาตกลงใจ”
   ฟ่งทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเว่ยจินหยินพูดแทรก
   “ผมแน่ใจว่าเขาจะต้องสนใจข้อเสนอของเราแน่นอน ใช่ไหมครับ คุณอภิวัฒน์” ประโยคต่อมาหันมาพูดกับคนสวมแว่นที่ยืนอยู่ ฟ่งเคยเห็นมาแล้ว ทั้งสายตาริษยาจากเว่ยเฟิงปิง สายตาที่ประหนึ่งจะฆ่าคนได้ของราฟาแอล และสายตาที่เดาไม่ออกว่าพูดจริงหรือเปล่ากันแน่ของรูฟัส แต่เขาไม่เคยเห็นสายตาที่ดูแล้วรู้สึกหวั่นใจมากขนาดนี้มาก่อน
   สายตาของผู้ชายคนนี้ที่มองมา ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าไม่ทำตามคงไม่ได้เจอเรื่องดีๆ แน่ๆ ไม่ได้คมบาด แต่น่ากลัวอยู่ลึกๆ

   ในที่สุดฟ่งจึงจำต้องเดินตามกลุ่มของเว่ยเฟิงปิงออกมายังห้องรับรองที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษอีกห้องหนึ่ง พลางนึกสงสัยว่าผู้ชายสวมแว่นท่าทางดูดีอีกคนที่มากับเว่ยเฟิงปิงเป็นใครกันแน่ ได้ยินว่าชื่อเว่ยจินหยินหรืออะไรสักอย่าง บางทีอาจจะเป็นพี่น้องกันก็ได้ จะว่าไปแล้วหน้าตาก็มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างหรอก ตรงแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นแหละ ไอ้ตอนที่แย่งพูดออกมาแล้วจ้องมาทางเขานี่ แววตาสีดำนั้นราวกับจะทิ่มทะลุเข้าไปตรวจสอบความคิดของเขาอะไรอย่างนั้น จะว่าไปแล้วเจ้าหมอนี่ให้ความรู้สึกแย่กว่าเว่ยเฟิงปิงเสียอีก
   สองคุณชายแห่งตระกูลเว่ยหย่อนก้นลงบนโซฟาหนังสีขาวที่ถูกจัดวางเอาไว้ในทิศทางตรงข้ามกัน และปล่อยให้โซฟายาวตรงกลางว่างไว้ เป็นการบอกใบ้เงียบๆ ว่าผู้ที่ถูกเชิญมาสมควรจะนั่งตรงไหน ฟ่งนั่งปุลงบนโซฟาโดยมีบอดีการ์ดของทางเว่ยจินหยินและเว่ยเฟิงปิงเดินมาคุมเชิง โชคยังดีที่สองคนนี่แค่ยืนด้านหลังเท่านั้น ไม่ใช่นั่งขนาบและเอาปืนนาบอย่างที่เขาเคยประสบแต่อย่างใด
   ความเงียบเกิดขึ้น ไม่มีใครสักคนที่เอ่ยปากพูด แม้แต่เว่ยเฟิงปิงซึ่งเป็นคนเริ่มต้นเหตุการณ์ ก็นั่งนิ่งราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่ ฟ่งสังเกตผู้คนที่อยู่ในห้อง เว่ยเฟิงปิงนั้นดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ยังคงเป็นชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเรียวยาวราวกับงู และรอยยิ้มที่ไม่ก่อให้เกิดความประทับใจเสมอมา แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นๆ หน้า เพียงแต่ทรงผมออกจะดูแปลกไปหน่อย หนุ่มสวมแว่นทำท่าจะขยับปากพูด แต่ถูกมือเรียวของเว่ยเฟิงปิงยกขึ้นห้ามไว้
   ฟ่งกล้ำกลืนคำพูดลงไปในลำคอ เขาคิดว่าเว่ยเฟิงปิงอาจจะต้องการพูดก่อน แต่ก็เปล่า ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ให้เขามีเวลาพอจะสำรวจคนอื่นๆ อีก นอกจากคนที่เขาคิดว่าทรงผมเปลี่ยนไปแล้ว กับบอดีการ์ดหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งเขายังไม่มีโอกาสจะมองหน้าชัดๆ  ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินซึ่งนั่งอยู่อีกข้างให้ควาวรู้สึกแตกต่างที่ขัดแย้งอย่างประหลาดกับผู้เป็นน้องชาย เว่ยจินหยินเป็นชายหนุ่มที่อายุน่าจะอยู่ในวัยเลขสาม หวีผมเรียบร้อย ใบหน้าดูสงบและภูมิฐาน แต่ภายใต้ดวงตาสีดำสนิทนั้นเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ การแสดงสีหน้าของเว่ยจินหยินนั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ เทียบกันแล้วรอยยิ้มน่าเกลียดของเว่ยเฟิงปิงยังดูดีกว่า  อย่างน้อยก็ยังบอกได้ว่ามีจุดประสงค์ดีหรือไม่ดี  ยังมีหนุ่มร่างใหญ่ที่ดูจะมีอายุอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเว่ยจินหยิน ผมดำตรงตัดสั้นในชุดสูทสีดำ สูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ดีไม่ดีจะสูงกว่ารูฟัสเสียอีก  ที่สะดุดตาก็คงจะเป็นรอยไหม้เล็กๆ ตรงกรามซ้าย และแววตาที่ดูอ่อนโยนจนน่าแปลกใจเมื่อคิดว่าเป็นคนที่มากับคณะมาเฟียฮ่องกงกลุ่มนี้
   “เอาล่ะ จะพูดอะไรก็พูดได้แล้ว” ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบเศษผู้สวมแว่นตากรอบทองและหวีผมเรียบแปล้พูดขึ้น ฟ่งเพิ่งรู้สึกตัวว่าบอดีการ์ดซึ่งอยู่ด้านหลังเขาเดินออกไปยังตำแหน่งอื่นและเพิ่งกลับเข้ามา เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า
   “พวกฉันจำเป็นต้องรบกวนสัญญาณเครื่องดักฟังก่อน ไม่รู้ว่าเขาจะติดตั้งเอาไว้หรือเปล่า แต่กันไว้ก่อนนั่นแหละ” หยุดไปพักหนึ่งก็หันมาถาม “เมื่อกี้นายอยากจะพูดอะไรน่ะ?”
   ฟ่งพงกศีรษะหงึกๆ ไอ้ที่นั่งเงียบกันอยู่นี่ก็คงรอให้ลูกน้องวางเครื่องรบกวนสัญญาณล่ะมั้ง  ว่าแต่เมื่อครู่เขาอยากจะพูดอะไรกันล่ะ?
   “อ้อ....ผมแค่จะถามว่า คุณซื่อเยี่ยนตัดผมล่ะรึ?”
   ดูเหมือนจางซื่อเยี่ยนดูนึกไม่ถึงว่าประโยคแรกที่หนุ่มสวมแว่นพูดออกมาจะเกี่ยวกับเขา นัยน์ตาสีอีกานั่นเบิ่งโพลงขึ้นนิดหน่อย ในขณะที่ผู้เป็นเจ้านายช่วยตอบให้
   “อืม..ใช่ นายคงเห็นด้วยว่าดูดีกว่าตอนผมยาว”
   ฟ่งไม่แน่ในว่าเขาควรจะพยักหน้าดีหรือไม่ ในตอนนั้นเองที่เว่ยจินหยินส่งเสียงขึ้นบ้าง
   “ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพวกเธอรู้จักกัน และพี่ก็ไม่คิดว่าเขาเป็นสปายของเธอหรอกนะ แต่เอาล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนออกแบบที่นี่ เราก็ถือว่าได้เปรียบ”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่เว่ยจินหยินทันที เขาล่ะเกลียดวิธีพูดเอาประโยชน์เข้าตัวแบบนี้เป็นที่สุด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรตอบโต้ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
   “คุณชายเจ็ด ไม่คิดจะแนะนำเพื่อนของคุณหน่อยหรือครับ?” เถียนซานเอ่ยปากพูดขึ้น พลางยิ้มให้ เว่ยเฟิงปิงหุบปากลงทันใด ถึงเจ้าหมอนี่ภายนอกจะดูใจดีขนาดไหน แต่นี่คือนักฆ่าที่ดีที่สุดของตระกูล แถมยังเป็นหัวหน้าหน่วยดำ ที่สำคัญเป็นคนสนิทของเจ้าพี่บ้านั่นอีก เป็นคนที่ตอแยด้วยคำพูดยากที่สุด ไม่ใช่ว่าปากกล้า แต่เพราะเขาเป็นคนที่รู้จังหวะการพูด และการวางตัวเป็นอย่างดี เว่ยเฟิงปิงเคยนึกสงสัยว่าเถียนซานเป็นคนสอนศิลปะการพูดให้กับเว่ยจินหยินด้วยหรือเปล่า
ที่พูดแบบนี้ออกมาคงหวังจะกดดันเขาให้ทำตามสิ่งที่อดีตเจ้านายตัวเองต้องการสินะ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง ถึงจะหงุดหงิด แต่การจะทู่ซี้ถ่วงเวลาในสถานการณ์แบบนี้ก็โง่เง่าเกินไป ดังนั้นในที่สุด ชายหนุ่มก็พูดขึ้น
   “ผมอธิบายคร่าวๆ ก็แล้วกัน” หยุดมองฟ่งกับพี่ชายแวบหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงจึงพูดต่อ
   “เขาเคยเป็นเชลย”
   ฟ่งทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับ เพราะเขาเคยเป็นเชลยของเว่ยเฟิงปิงจริงๆ
   “ถ้าไม่มีเขา พ่อไม่มีทางได้ข้อมูลของริเวิลหรอก” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยพูดต่อ พยายามทำตัวให้ดูมีภาษีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้า
   “พี่เข้าใจล่ะ” เว่ยจินหยินกล่าว มันสมองของเขาปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าได้อย่างรวดเร็ว ของสำคัญที่เฟิงปิงได้มาจากประเทศไทยเพื่อใช้ล่อให้สายลับคนนั้นออกมา คือเด็กคนนี้เองสินะ
   “เธอรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าเขาทำงานให้คุณทวีศักดิ์ด้วย?”
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะโดยไม่สงวนท่าที เขาไม่ใช่พวกที่พยายามทำเป็นอมภูมิทั้งๆ ที่กลวงในหรอก “ผมเพิ่งรู้ตะกี้เหมือนกัน ถ้ารู้ก่อนงานเราคงง่าย”
   “เอาเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว พูดไปก็คงไม่ได้อะไรหรอก”
   เว่ยจินหยินพูดเรียบๆ ทำให้เว่ยเฟิงปิงหน้าหงิกขึ้นมาทันที เจ้าบ้านี่จะพูดอะไรให้เข้าหูสักหน่อยไม่ได้หรือไง แค่สั่นหัวหรือพยักหน้าก็พอแล้ว ไม่ต้องมีคำพูดพวกนั้นตามออกมาก็ได้
   “ผมอยากรู้แบบแปลนคร่าวๆ ของที่นี่” เว่ยจินหยินเปิดฉากถามออกไปทันที พอเห็นฟ่งทำหน้างงๆ ชายหนุ่มจึงแนะนำตัวเอง
   “ผมชื่อเว่ยจินหยิน เป็นพี่ชายของเขา” พูดแล้วก็หันหน้าไปทางเว่ยเฟิงปิงหน่อยหนึ่ง อีกฝ่ายทำหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะพยักหน้า
   “อืม เขาเป็นพี่ชายฉัน ปากอาจจะเสียสักหน่อย แต่นายตอบคำถามเขาไปเถอะ”
   เว่ยจินหยินได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของน้องชาย ก่อนจะถามต่อ “ผมแค่อยากรู้เอาไว้เป็นทางหนีทีไล่เฉยๆ ไม่ได้จะเอาไปทำเรื่องร้ายอะไรหรอก”
   ถ้าจะพูดคำว่าโกหกหน้าด้านๆ เว่ยเฟิงปิงคิดว่าคนที่เหมาะจะพูดคำนี้ใส่ที่สุด ควรจะเป็นพี่ชายคนนี้ของเขานี่แหละ ฟ่งทำหน้างงๆ
   “มันมีทางหนีฉุกเฉินอยู่แล้วนะ ในรายการการประชุมไม่ได้แจ้งแผนที่เอาไว้หรือครับ?”
   “อ้อ มี” เว่ยจินหยินว่า และพูดต่อ “แต่ที่ฉันอยากรู้คืออะไรที่นอกเหนือกว่านั้น พวกเรามีศัตรูมาก เกิดเหตุอะไรขึ้นมาจะหนีไปทางเดียวกันหมดเลยไม่ได้หรอก”
   “งั้นเหรอ ตอนออกแบบผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย” ฟ่งว่าและทำหน้าตกใจ “ตอนเขาจ้างผมเขาไม่ได้บอกว่าจะมีคนอย่างพวกคุณมาประชุมนี่” ชายหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
   “เอางี้ ผมจะอธิบายทางอื่นๆ ให้คุณฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน แต่สำหรับคนเข้าร่วมประชุม ผมไม่แน่ใจว่าเขาให้พวกคุณผ่านได้กี่ประตูหรอกนะ เอาใกล้ๆ ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านดีกว่า”
   ฟ่งพูดและขอกระดาษกับดินสอ เว่ยจินหยินให้ลูกน้องอีกคนหยิบขึ้นมาให้จากกระเป๋าเอกสาร ก่อนจะหันมายิ้มกับเว่ยเฟิงปิง
   คนเป็นน้องชายไม่ยิ้มตอบด้วย ไอ้เจ้าพี่บ้านี่ทำตัวน่าหมั่นไส้เข้าไปทุกที เขาเป็นคนรู้จักกับฟ่งแท้ๆ แต่ดันโดนไอ้หมอนี่แย่งบทไปกินซะฉิบ
   ถึงจะหงุดหงิดอยู่ แต่เว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้โวยวายอะไร เขารอฟ่งเขียนแปลนคร่าวๆ อย่างเงียบๆ แล้วก็นั่งฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ กะว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องจำให้ได้มากกว่าไอ้พี่บ้านั่นแหละ
   เว่ยจินหยินฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็พูดยิ้มๆ “ขอบคุณมากนะครับ ไว้มีโอกาส ผมจะตอบแทนความมีน้ำใจนี้ของคุณ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฟ่งพูดเขินๆ “ผมหวังว่าคุณคงไม่ต้องใช้มัน คงไม่น่ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก”
   “ไม่ก็ไม่แน่นักหรอกนะ” เว่ยเฟิงปิงพูดขึ้นบ้าง “รูฟัสเล็งงานประชุมนี้อยู่ นายเองก็น่าจะรู้เหมือนกันนี่”
   ฟ่งสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะสั่นศีรษะ “ผมไม่รู้หรอก”
   “นายไม่รู้จริงๆ รึ?” เว่ยเฟิงปิงว่า และจ้องมาอย่างกดดัน “เขาอาจจะถล่มที่นี่ก็ได้ นี่เกี่ยวกับความเป็นความตายของนายด้วยนะ”
   “ผมว่าเขาไม่ทำขนาดนั้นหรอก” ฟ่งตอบ และขยับตัวอย่างอึดอัด เว่ยจินหยินหันหน้าไปมองเว่ยเฟิงปิงหน่อยหนึ่ง แล้วพูดขึ้นบ้าง “ที่นี่แข็งแรงขนาดไหนน่ะ?”
   “ถ้าไม่วางระเบิดแบบปูพรมเอาไว้ ยังไงก็ไม่ถล่มหรอกครับ โครงสร้างของที่นี่ไม่มีแกนหลัก สร้างโดยเฉลี่ยๆ น้ำหนักไปตามเสาค้ำผนังน่ะ” ฟ่งตอบ เว่ยจินหยินพยักหน้า แล้วพูดขึ้นต่อ “งั้นก็ขอบคุณมากนะครับ คุณอภิวัฒน์ หวังว่าเราคงได้เจอหน้ากันอีก”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชาย ขณะที่ฟ่งดูจะมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมา “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็เดินออกไปทันที เว่ยเฟิงปิงหันมาพูดกับผู้เป็นพี่ชาย
   “พี่ ทำไมปล่อยไปง่ายๆ แบบนั้นล่ะ เขารู้เรื่องสายลับพวกนั้นแน่ๆ เค้นถามอีกหน่อยก็คงรู้ความเคลื่อนไหวแล้ว”
   “ช่างเถอะ” เว่ยจินหยินว่า “มันเสี่ยงเกินไปที่เราจะทำแบบนั้น พี่ไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาดีแค่ไหน แต่เขาอาจจะสงสัยเราแล้วเอาไปบอกทางคุณทวีศักดิ์แทนก็ได้”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าพี่ชาย “แล้วถ้าพวกนั้นวางแผนป่วนงานประชุมเหมือนกันล่ะ?”
   “ก็ดีสิ” คนถูกถามตอบพลางยิ้ม “พี่จะได้ไม่ต้องเปลืองมือเปลืองเท้าสร้างเรื่องเอง แต่คิดว่าพวกนั้นน่าจะมีเป้าหมายที่ตัวยามากกว่า ยังไงท่าทางพวกเราก็ต้องลงมือกันเอง”
   คนเป็นน้องชายกะพริบตาปริบๆ “มีมีแผนต่อไปแล้วหรือไง?”
   “อืม..” เว่ยจินหยินพยักหน้า และยื่นแปลนที่ฟ่งวาดให้กับเว่ยเฟิงปิง “แผนนี้จำเป็นต้องพึ่งเธอมากๆ เลยล่ะ”
-------------------------------------------------
“ให้ตายสิ นี่กะจะไม่จ้างพนักงานหญิงกันเลยหรือไง?!” ราฟาแอลบ่นอุบ หลังจากเดินปะปนกับกลุ่มคนงานขึ้นไปจนถึงบริเวณที่เรียกว่าโซนบี รัสเลอร์ขมวดคิ้วกับคำพูดของเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะกรอกเสียงกลับไป
   “นายจะตายมั้ยถ้าไม่มีผู้หญิงเนี่ย?!!”
   “ก็แค่แปลกใจน่า” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า พลางกวาดตามองเหล่าพนักงานที่เดินวุ่นอยู่บริเวณระเบียงด้านล่างที่ตนเพิ่งเดินหลบขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ
   “อย่างน้อยก็น่าจะมีบ้าง อย่างพนักงานต้อนรับอะไรแบบนี้”
   “ใครมันจะจ้างพนักงานต้อนรับมาต้อนรับนายกันฟะ!!” รัสเลอร์ว่า นึกสงสัยระบบความคิดของราฟาแอล ไอ้ที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี่ยังอยากจะให้มีใครมาต้อนรับอีกหรือ แค่ไม่ถูกจับได้ก็บุญแล้ว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะลงคอ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินรูปรังผึ้ง เพื่อไปยังห้องที่ใช้เก็บเอกสารสำคัญ ราฟาแอบนึกแช่งชักฟ่งอยู่ในใจ ขณะที่พบว่าตัวเองเดินกลับไปกลับมาถึงห้าหน อย่างไรก็ดี ด้วยความช่วยเหลือของรัสเลอร์ เขาก็มาถึงห้องที่เป็นเป้าหมายได้ในที่สุด เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงจัดแจงหยิบลูกตาปลอมขึ้นมาสแกน พร้อมกับแนบถุงมือที่มีลายนิ้วมือปลอมติดอยู่กับเครื่องสแกน จากนั้นประตูเหล็กสีขาวที่เกือบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผนังจะเคลื่อนเปิดออก ที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือห้องทรงกลมขนาดค่อนข้างใหญ่ มีชั้นวางเอกสารแบบติดผนังที่ออกแบบให้รับกับรูปทรงโค้งของห้อง ตรงกลางเป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดสูงเกือบสองเมตร มีหน้าจอแบบโฮโลแกรมล้อมรอบสี่ทิศ
   ราฟาแอลก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง หลบฉากไปหลังชั้นวางเอกสารทรงเสี้ยวจันทร์ที่อยู่ใกล้กับประตูที่สุด สอดส่ายสายตามองหาความเคลื่อนไหวในห้อง
   “ไม่มีใครอยู่หรอกน่า” รัสเลอร์พูดเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานเงียบไปนาน คงกำลังสำรวจพื้นที่อยู่อย่างเคย ทั้งๆ ที่ก็มีตัวเขาที่นั่งดูกล้องวงจรปิดให้อยู่ ราฟาแอลกลอกตามองลิ้นชักใส่เอกสารรอบตัวที่มีป้ายบอกหมวดหมู่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลางห้อง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะต้องถ่ายไมโครฟิลม์หลายชิ้น เพื่อโจรกรรมข้อมูลอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำให้สะดวกมากขึ้น แค่แฟลตไดรฟ์ตัวเล็กๆ ก็สามารถจะดูดเอาข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมาได้ สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่เสียบอุปกรณ์ให้ถูกต้องตรงช่องก็พอ ถึงอย่างนั้น เพื่อความไม่ประมาท ชายหนุ่มยังคงถ่ายไมโครฟิลม์เอกสารบางชิ้นที่ลิ้นชักช่องที่สองแถวที่สี่นับจากด้านบน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เขาไม่คิดจะส่งต่อให้”เบื้องบน”แต่อย่างใด แน่นอนว่าทันทีที่เขาเสียบการ์ดแบบพิเศษซึ่งได้รับมาจากรัสเลอร์ ข้อมูลทั้งหมดที่ถูกเก็บอยู่ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จะถูกเก็บไว้ด้วยระบบป้องกันแบบพิเศษซึ่งมีแต่ทีมงานของ”เบื้องบน”เท่านั้น ที่สามารถจะถอดรหัสมันออกมาได้ ดังนั้นราฟาแอลจึงจำเป็นจะต้องหากำไรเล็กๆ น้อยๆ และอาจจะกลายเป็นข้อต่อรองในอนาคตจากงานนี้ด้วย
   ชายหนุ่มใช้เวลาราวๆ สองถึงสามนาทีในการถ่ายไมโครฟิลม์ ก่อนจะเดินอย่างใจเย็นมายังซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่อยู่กลางห้อง ขณะที่กำลังจะต่อพ่วงอุปกรณ์ที่ว่าเข้ากับพอร์ตของเครื่อง เสียงทักทายใสๆ ก็ดังขึ้น
 “ยินดีต้อนรับค่ะ”
   เสียงนั้นดังทะลุมาถึงหูฟังอีกฟากหนึ่ง ทำให้รัสเลอร์อุทานอย่างแปลกใจ “ผู้หญิง?!”
   “เออ ผู้หญิง โอ๊ะ!!” เสียงอุทานของราฟาแอลดูจะแปลกใจอย่างน่าแปลกใจ กล่าวคือเขาน่าจะแปลกใจที่โดนทัก แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะแปลกใจหลังจากหันไปเห็นหน้าคนทักเสียมากกว่า ถ้าเป็นปกติรัสเลอร์อาจจะแซวไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เขาแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้แล้วนี่นา
   “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่นะเนี่ย” เจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยชื่อของผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญอย่างสนิทสนมก้าวออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด หญิงสาวชาวยุโรปผู้มีเรือนร่างสูงเพรียว ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน วงหน้ารูปไข่ประทินเครื่องสำอางบางๆ แต้มด้วยลิปสติกสีส้มวาวยิ่งขับเน้นให้ความงามตามธรรมชาติของหล่อนเพิ่มมากขึ้น เธออยู่ในชุดรัดรูปสีขาวปลอดที่เน้นขับทรวดทรงองเอวซึ่งมีอำนาจพอจะสะกดสายตาหนุ่มๆ สักครึ่งโลกได้ แต่หนุ่มที่ได้ชื่อว่า”คาสโนว่า”อย่างราฟาแอลกลับเอื้อมมือไปแตะด้ามปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอว ไม่ใช่ว่าเขาไม่พิศวาสสาวสวยแบบนี้ แต่หล่อนมาผิดที่ผิดเวลาเกินไป หรือบางทีอาจจะเป็นตัวเขาเองดันดวงซวยเกินไปก็ได้
   “ความจริงฉันคิดว่าจะเป็นรูฟัสเสียอีก กลายเป็นว่าคุณลงทุนมาเอง คู่หูคนเก่งของคุณใช้งานไม่ได้แล้วหรือไง?” เจ้าของเรือนร่างอวบอัดเอ่ยขึ้นอีก หล่อนฉีกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวซี่เล็กๆ ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างชวนให้คนดูเคลิบเคลิ้ม แต่ราฟาแอลยิ่งกำด้ามปืนแน่นกว่าเดิม
   “เฮ้ย คนรู้จักกัน?” รัสเลอร์ถามเสียงแปลกเมื่อได้ยินบทสนทนา เขาไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักราฟาแอลที่นี่ แถมยังดูทีท่าว่าอาจจะไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรเสียด้วย ราฟาแอลส่งเสียงอืมคำหนึ่งก่อนจะพูดออกไปบ้าง
   “ก็คิดอยู่ว่าทำไมเจ้ารูฟัสถึงได้บันทึกถึงผู้หญิงเอาไว้” เขากำลังพูดถึงบันทึกที่รูฟัสเขียนถึงเงาร่างของผู้หญิงที่ดูคุ้นตาซึ่งเขาเห็นในซอยตอนที่ไปแอบฟังข้อมูลการส่งยาเสพติด เพื่อแลกกับของบางอย่าง หญิงสาวหัวเราะ
   “อา... สรุปว่าคนที่ทำให้ผู้ว่าจ้างของฉันถูกจับคือรูฟัสสินะ แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ?”
   “เจ้าหมอนั่นคงไม่อยากเจอคุณนักหรอก” ราฟาแอลตอบ หญิงสาวกลอกตามองดูเขา มือของหล่อนยังคงไพล่อยู่ด้านหลัง
   “เหรอ.. แต่ฉันน่ะอยากเจอคุณมาก...เลยนะ” เธอลากเสียง ราฟาแอลฝืนยิ้มแบบที่เขาไม่ค่อยจะทำนัก นัยน์ตาสีเขียวจ้องมองการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามเขม็ง
   “แต่ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอคุณในสถานการณ์แบบนี้น่ะ แคลร์”
   “นั่นสินะ แล้วคุณจะเอายังไงดี จะวางเครื่องมือนั่นแล้วถอยออกไปเงียบๆ หรือจะให้ฉันไปส่ง?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า แคลร์ เอ่ยถาม พร้อมกับรอยยิ้มหวานรื่น ราฟาแอลยิ้มตอบ
   “ไม่เป็นไร ผมเป็นสุภาพบุรุษพอ” ไม่พูดเปล่ายกมือทำท่าจะยอมแพ้เสียด้วย แต่ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะยกมือขึ้นนั้นเอง ปลายนิ้วเรียวได้รูปสะบัดวูบเสียบอุปกรณ์เก็บข้อมูลเข้าไปในพอร์ตคอมพิวเตอร์ แทบจะในวินาทีเดียวกัน วัตถุสีเงินได้พุ่งวาบออกมาจากมือของหญิงสาวซึ่งสะบัดออกมาจากด้านหลัง เสียงดังติงเมื่อวัตถุสีเงินนั้นกระทบกับกระบอกปืนสีเงินรมดำ ก่อนจะกระเด็นลงไปบนพื้น
   “สุภาพบุรุษแบบไหนของคุณ?!” แคลร์พูดและพุ่งเข้ามาในระยะประชิด ราฟาแอลกระโดดถอยหลังหลบคมมีดสีเงินที่พุ่งวาบเข้ามา ก่อนจะเบี่ยงตัวอ้อมไปทางด้านหลัง
   “สุภาพบุรุษพอที่จะไม่ปล่อยให้คนสวยๆ อย่างคุณยืนรอเฉยๆ น่ะสิจ้ะ”
   รัสเลอร์นึกสยดสยองกับเสียงคมมีดแหวกผ่านอากาศวูบที่ได้ยินตามมา ขณะที่ราฟาแอลเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน เขากำลังพยายามรักษาพื้นที่ใกล้กับบริเวณเครื่องคอมพิวเตอร์ในจุดที่กำลังพ่วงตัวเชื่อมต่อ ด้วยการหลบเป็นแนววงกลม แต่ดูเหมือนว่าการหลบอย่างเดียวคงไม่เพียงพอเสียแล้วในยามนี้
   แคลร์พุ่งมีดใส่ราฟาแอล หล่อนรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะต้องไม่ยิงปืนออกมาเด็ดขาด คงไม่มีสายลับคนไหนอยากจะทำให้สัญญาณเตือนภัยมันดังขึ้นมาหรอก หล่อนรู้ระแคะระคายมาบ้างแล้วว่ามีสายลับเข้ามาวุ่นวายกับงานนี้ การฆาตกรรมและตัดนิ้วมือของเหยี่อเพื่อใช้ลายนิ้วมือผ่านเข้าไปขโมยข้อมูลลับโดยเสียกระสุนปืนเพียงนัดเดียว ง่าย เรียบร้อย และหมดจด มีสายลับไม่กี่คนเท่านั้นที่จะอำมหิตได้ขนาดนี้ และยิ่งมีคนเพียงไม่กี่คนที่มีทักษะในการใช้ปืนยอดเยี่ยมขนาดนี้ สองอย่างนี้เมื่อรวมกันแล้วก็คงเอ่ยชื่อออกมาได้ชื่อหนึ่ง นั่นก็คือชื่อของราฟาแอล คาดาร์ อดีตหน่วยสืบราชการลับของฮังการีที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์จนต้องถูกปลดออกจากราชการหลังจากรับหน้าที่ได้ไม่ถึงสามปี จะว่าไปแล้วหล่อนรู้จักเขามากกว่าการเป็นอดีตหน่วยสืบราชการลับนั่นเสียอีก
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่55 p9 15/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-09-2011 09:46:58
   “คุณน่าจะวางมีดลงก่อน ก็เห็นอยู่ว่าผมไม่มีอะไรจะสู้” ราฟาแอลพูดด้วยเสียงทอดถอนใจอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเล่ห์กะเท่นี้ของเขาเป็นอย่างดี
   “ฉันมองไม่เห็นเลยว่าไอ้ปืนที่คุณกำอยู่มันจะใช้เป็นอาวุธไม่ได้ตรงไหน คนอย่างคุณคงจะไม่พูดโกหกแค่ตอนที่ปากไม่ขยับเท่านั้นล่ะมั้ง”
   “ผมออกจะพูดจริงทำจริง” ราฟาแอลตอบ และเอี้ยวตัวหลบมีดไปทางด้านซ้าย ก่อนจะต้องถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว คมมีดเลยได้แค่เฉี่ยวปลายผมของเขาไป
   “เหรอ งั้นคุณก็โยนปืนนั่นทิ้งไปก่อนสิ” แคลร์ว่า คราวนี้หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มแหย่ๆ ทั้งๆ ที่ยังหลบคมมีดวุ่นอยู่นั่นแหละ เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจกว่าเดิม
   “คุณจะให้ผมโยนปืนทิ้งทั้งๆ ที่มีดคุณเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาแบบนี้ ผมคงใจไม่ด้านพอหรอกนะ”
   “ฉันจะทิ้งมีด ถ้าคุณทิ้งปืน” หญิงสาวกล่าว นัยน์ตาสีเขียวไหววูบ มีดปลายแหลมยังคงจ้วงแทงมาอย่างดุดัน เขาควรจะเชื่อคำพูดของเจ้าหล่อนหรือเปล่านะ?
   “โอเค ผมยอม!!” ราฟาแอลโพล่งออกมา ก่อนเสียงกระบอกโลหะหนักอึ้งจะร่วงลงสู่พื้นแล้วกระเด็นออกไป แคลร์ชะงักมีด หล่อนชายตามองปืนพกสั้นสีดำที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะหันมายิ้มกับราฟาแอล
   “ไม่อยากเชื่อว่าคุณจะยอมง่ายๆ แบบนี้” หล่อนพูด แต่กลับจ้วงแทงมีดเข้าใส่อีก ราฟาแอลร้องเสียงหลง
   “ไหนคุณว่าจะทิ้งมีดไง!!” เขาว่าพลางก้มตัวหลบมีดอย่างฉิวเฉียด ได้ยินเสียงพูดประชด
   “คนโกหกอย่างคุณ มันสมควรจะพูดความจริงด้วยไหมล่ะ?”
   “ผมเคยไปโกหกคุณตอนไหน?!” หนุ่มผมสีบลอนด์คราง เขาเพิ่งเห็นประกายสีเงินพุ่งผ่านหน้าไป ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ขุ่นเคืองมากขึ้น
   “ทุกเวลานั่นแหละ คุณมันไอ้จอมตอแหล”
   ถึงตอนนี้รัสเลอร์ชักรู้สึกตะหงิดๆ ขึ้นมาว่าระหว่างสองคนนี่อาจจะมีอะไรมากกว่าการที่มาเป็นศัตรูกันเพราะงานก็ได้ ดูเหมือนราฟาแอลจะเคยไปก่อเรื่องอะไรไว้กับเธอคนนี้
   “อา...ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ปารีสวันนั้นล่ะก็ ผมไม่ได้ตั้งใจหรอก” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า และนึกอยากยกมือขึ้นเกาศีรษะ แต่ถ้าทำแบบนั้นหน้าอกเขาคงกลายเป็นแท่นเสียบมีดไปก่อนแน่ๆ ได้ยินเสียงแคลร์ดังขึ้นอย่างขุ่นเคือง
   “ไม่ได้ตั้งใจ? คุณไปจูบกับผู้หญิงอื่นตอนที่ไปเดทกับฉัน แค่เดินออกไปซื้อน้ำแค่นั้นถึงกับต้องจูบคนขายเลยเหรอ คุณมันไอ้บ้าผู้หญิง!!”
   รัสเลอร์นั่งอ้าปากค้าง เขาพอจะเดาได้หรอกว่าสองคนนี่น่าจะเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน จริงอยู่ เขาเคยเห็นราฟาแอลจีบผู้หญิงทีละสามคน แต่ไอ้การไปจูบผู้หญิงอื่นตอนที่ไปเดทกับผู้หญิงอีกคนนี่ มันดูแย่มากมายจริงๆ
   “ผมแค่จูบทักทาย ทำไมคุณถึงได้ฝังใจนัก ผมก็ขอโทษคุณแล้วไง”
   “เหรอ!? งั้นไอ้ที่คุณบอกเด็กเสิร์ฟที่ร้านว่าคืนนี้เจอกัน แล้วคุณก็หายไปทั้งคืน มันหมายความว่ายังไงน่ะ?”
   “โธ่... ก็วันนั้นคุณไม่สบายไม่ใช่เหรอ ผมก็เฝ้าคุณจนคุณหลับ คุณจะเอาอะไรกับผมนักหนา” ราฟาแอลคราง มาถึงจุดนี้ รัสเลอร์เริ่มมีความคิดว่าบางทีก็สมควรแล้วที่คนอย่างราฟาแอลจะโดนดีเสียบ้าง ติดแต่ตอนนี้เจ้าหมอนี่ดันเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วยนี่สิ
   “ราฟี่ ตกลงคุณจะเอายังไงกับเธอ นี่ไม่ใช่เวลามาแก้ตัวเรื่องอดีตนะ” รัสเลอร์กรอกเสียงลงไป ได้ยินเสียงอืมๆ ตอบกลับมาอย่างรำคาญ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้แล้ว หรือว่าไม่พอใจที่โดนขัดจังหวะการแก้ตัวกันแน่
   “เอาล่ะ ผมไม่แก้ตัวก็ได้ แต่ยังไงผมก็ชอบคุณจริงๆ นะ จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบ”
   ได้ยินเสียงหญิงสาวแค่นหัวเราะ “อย่ามาโกหก แน่จริงคุณเลิกกับแม่สาวผมแดงของคุณแล้วมาอยู่กับฉันสิ”
   ราฟาแอลคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถหลบมีดไปด้วยแถมพูดแก้ตัวไปด้วยได้แบบนี้ สงสัยจะเพราะถูกเจ้ารูฟัสซ้อมไล่จ้วงมาเป็นเวลาหลายปีแน่ๆ แต่ว่ามันจะหลบแบบนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำกันล่ะ ในเมื่อทางนั้นยิ่งจับจังหวะการหลบของเขาได้แม่นขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเริ่มมีเลือดซึมออกมาตามแนวใบหน้าที่โดนมีดเฉี่ยวแล้วเหมือนกัน
   “ผมเลิกกับคลาวเดียก็ได้”
   เหมือนได้ยินเสียงทั้งแคลร์ทั้งรัสเลอร์อุทานพร้อมกัน ราฟาแอลรีบพูดต่อ “ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ลองมองตาผมสิ”
   จังหวะนั้นเองที่แคลร์จะงักมีดไปแวบหนึ่ง หล่อนเห็นดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของราฟาแอล และเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้น ปากกระบอกปืนไม่ทราบชนิดก็แนบเบาๆ อยู่ตรงหน้าผากของหล่อน
   “ฉันไม่น่าเชื่อคนโกหกอย่างคุณเลยจริงๆ ” แคลร์กล่าว ขณะที่ราฟาแอลหัวเราะขืนๆ เขากระชับปืนออโตแมติกอีกกระบอกที่ดึงออกมาจากซองพกซ่อนด้านหลังให้แน่นขึ้น
   “ผมเองก็ไม่คิดว่าคุณจะเชื่อผมนักหรอก” เขากล่าว และรู้สึกถึงคมมีดที่จ่ออยู่ที่คอ มันเย็นสะท้านไปถึงกระดูกเลยทีเดียว คราวนี้อีกฝ่ายแค่นหัวเราะบ้าง ราฟาแอลยิ้ม และทำเรื่องที่ไม่ควรจะทำในสถานการณ์แบบนั้น ด้วยการลดปืนลงเสียเฉยๆ  หญิงสาวที่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิ่งนัยน์ตากลมโตของหล่อนด้วยความสนเท่ห์ ได้ยินเสียงชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “จะทำอะไรก็ทำเถอะ” เขาว่า และยืนเฉยๆ ไม่ทำอะไรอีก ปล่อยให้คมมีดค่อยๆบาดเข้าในในผิวหนังทีละน้อย อีกฝ่ายร้องถามเสียงแปลก “บ้าน่ะ! นี่คุณมีแผนอะไรอีก”
   “ผมไม่มี” ราฟาแอลตอบ รู้สึกว่าปลายมีดนั่นสั่น มันจะทะลุเข้าคอหอยไปก่อนที่เขาจะพูดจบหรือเปล่า
   “คุณก็รู้ว่าผมชอบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยแบบคุณ ผมยิ่งชอบ คุณคิดว่าผมจะกล้ายิงคนที่ผมชอบหรือ แค่เอาปืนจ่อหน้าผากคุณไม่กี่วิ ผมก็ไม่อยากจะทนทำอีกแล้ว”
   แคลร์มองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นไหวพอๆ กับมือที่ถือมีด หล่อนรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะต้องโกหก ตลอดเวลาที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยที่ฟลอร่าเพิ่งรับหล่อนเข้ามาเป็นลูกศิษย์ใหม่ๆ ผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้ไม่เคยรักเดียวใจเดียวสักครั้ง พอเผลอก็หันไปมีคนอื่นทันที หล่อนไม่เข้าใจว่าทนคบกับเขาได้ไงถึงสิบเดือน อย่างไรก็ตามที่แย่ที่สุดคือจู่ๆ ราฟาแอลก็จากหล่อนไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้หล่อนมารู้ทีหลังว่าเขากลับไปฮังการีและซื้อบ้านหลังใหม่ให้กับแฟนสาวที่ชื่อว่าคลาวเดีย นั่นทำให้หล่อนโกรธเคืองเป็นอย่างมาก และสาบานว่าจะไม่หลงเชื่ออะไรผู้ชายคนนี้อีก
   “โกหก! คุณมันโกหกได้หน้าด้านๆ จริงๆ ”
   หนุ่มผมบลอนด์ถอนหายใจอีกรอบ ไม่รู้ว่าจนใจที่แผนใช้ไม่ได้ผลหรือว่าอ่อนใจที่จะหาคำแก้ตัวกันแน่
   “ผมอาจจะโกหกก็ได้ แต่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยโกหก ผมชอบผู้หญิง เพราะฉะนั้นผมคงจะตายเพราะผู้หญิง”
   “คุณได้ตายสมใจแน่!!” แคลร์แค่นเสียง รัสเลอร์นึกหวั่นใจว่าราฟาแอลจะเกิดคิดงี่เง่าขึ้นมาจริงๆ
   “เฮ้ ราฟี่ อย่าทำบ้า ๆ น่า นายจะมาให้หล่อนฆ่าแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
   “ก็คงจะใช่” ราฟาแอลพึมพำ เขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาด้วยอารมณ์ที่ทั้งขุ่นเคือง โกรธแค้น และอะไรอย่างอื่นที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
   “ให้ตายสิ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังชอบคุณอยู่เลย”
   “ผู้ชายสารเลว...”
   หญิงสาวกล่าว แต่กลับมีน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งามนั้น หล่อนตะโกนใส่อีกฝ่าย
   “ทำไมคุณถึงกล้าพูดแบบนี้ได้อีก คุณมันไร้ยางอายหรือไง ทำไมคุณถึงไม่ด่าฉัน พูดมาสิว่าฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมคุณถึงไม่ยิงฉัน ทำไมคุณอำมหิตแบบนี้!!”
   “ผมไม่ได้ตั้งใจ...” ราฟาแอลกล่าว เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยนทั้งๆ ที่ยังโดนมีดจ่อคออยู่ สัมผัสที่แตะลงบนพวงแก้มขาวนั้นช่างถนุถนอมราวกับกลัวว่าจะไปทำให้เจ็บหรืออะไรแบบนั้น เสียงมีดหล่นลงบนพื้น เกือบจะพร้อมกันกับที่มือทั้งสองข้างของหญิงสาวยกขึ้นมาจับข้อมือของชายหนุ่มไว้ หล่อนพูดเสียงเครือ “คุณมันชั่วช้าสารเลวที่สุดเลย”
   ราฟาแอลคลี่ยิ้มบางๆ ไล้นิ้วมือลงบนพวงแก้มนิ่มเบาๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงต่ำ แตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่มที่สั่นสะท้านด้วยความสะเทือนใจ ค่อยๆ แนบลงไปและรุกไล่อย่างอ่อนโยน แคลร์น้ำตาไหลพราก แม้จะรู้และถูกทำให้เจ็บช้ำขนาดไหน แต่ความอ่อนโยนแบบนี้ ความอ่อนโยนที่หล่อนเคยได้รับจากเขา ยามที่รู้สึกถึงมันก็ยากที่จะทำใจปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ความจริง
   ความอ่อนโยนที่หากไม่มีจิตใจก็คงทำไม่ได้
   วงแขนน้อยโอบรัดร่างแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ ก่อนที่ลำคอเรียวระหงจะส่งเสียงครางอย่างลืมตัว ไม่ว่าจะกี่ปีผู้ชายคนนี้ก็ยังคงน่าหลงใหลเสมอ และยังคงน่าคั่งแค้นเสมอ
   “ราฟี่..” หล่อนเรียกชื่อเขาเสียงค่อย หลังจากอีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว ราฟาแอลปาดน้ำตาออกจากแก้มของหล่อน มองดูดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ช้อนมองขึ้นมาอย่างขอความเมตตา
   “ทำไมคุณถึงทิ้งฉันไปอยู่กับแม่สาวผมแดงคนนั้น?”
   ราฟาแอลยิ้มให้หล่อนด้วยความเอ็นดู แต่ก็แฝงความอ่อนอกอ่อนใจ “คุณโมโหผมตอนไปจูบกับผู้หญิงคนอื่น มีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น? แต่สำหรับคลาวเดีย หล่อนไม่เคยโกรธผม ไม่เคยเลย...”
   แคลร์อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง “บ้าน่า.. หล่อนทนเข้าไปได้ยังไง หล่อนไม่ได้ชอบคุณจริงๆ ?”
   “ผมเชื่อว่าหล่อนชอบผม และเข้าใจผมพอๆ กับที่ชอบผม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงไปอยู่กับหล่อน”
   ความเงียบบังเกิดขึ้นชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงฉาดจะดังขึ้น เมื่อราฟาแอลถูกตบจนเซถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง บนใบหน้าบังเกิดรอยฝ่ามือสีแดงปื้นใหญ่ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตั้งตัวดี มือขาวผ่องก็พุ่งตรงเข้ามาและกระชากคอเสื้อเขาขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากอวบจะประกบแน่นเข้ามา ราฟาแอลส่งเสียงแปลกๆ ในคอ และกอดร่างอ้อนแอ้นนั้นเข้าไว้กับตัว
   “ให้ตายสิ คุณนี่ดุเดือดเลือดร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” หนุ่มเจ้าพึมพำ ยกมือขึ้นลูบแก้มซ้ายที่เป็นปื้นแดง อย่างน้อยถูกตบก็น่าจะดีกว่าโดนมีดจ้วง ได้ยินเจ้าหล่อนแค่นเสียงดังเฮอะ
   “คนอย่างคุณมันสมควรโดนเสียบ้าง”
   แคลร์มองดูใบหน้าคมที่หล่อนเพิ่งประเคนฝ่ามือใส่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และยกมือขึ้นหยิกแก้มอีกข้างของเขาเบาๆ
   “นี่ถือเป็นโชคดีของคุณ หรือว่าความซวยของฉันกันแน่นะ ท่าทางงานนี้ฉันคงจะต้องถอนตัว”
   ถ้าแก้มของราฟาแอลยืดได้เหมือนยาง มันคงต้องดีดใส่หน้าเขาอย่างแรงตอนที่หล่อนปล่อยมือแน่ ชายหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงขุ่นเคืองเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว แคลร์ใช้เท้าเขี่ยมีดและเตะมันขึ้นมาก่อนจะคว้าเอาไว้อย่างชำนาญ ก่อนจะปล่อยมันเลื่อนหลุดเข้าไปในแขนเสื้อซึ่งราฟาแอลเพิ่งสังเกตเห็นว่ายังมีมีดแบบนั้นอีกสองเล่มอยู่ภายใต้แขนเสื้อสีขาวนั้น เขากลืนน้ำลายเฮือก ขณะที่หญิงสาวยักไหล่
   “คุณอยากได้เป็นที่ระลึกสักเล่มไหมล่ะ?”
   “ถ้าหากคุณไม่ปักมันลงบนตัวผมแทนที่จะยื่นให้ผมก็ยินดีนะ” ราฟาแอลกล่าว อีกฝ่ายแค่นยิ้ม ก่อนที่ในมือจะปรากฏมีดอีกเล่มหนึ่งซึ่งสั้นกว่าเล่มที่เธอใช้ไล่แทงเขา ราฟาแอลจำต้องกลืนน้ำลายอีกรอบ ถ้าเรื่องชักมีดแล้ว ดูท่าเธอคนนี้จะทำได้เร็วกว่ารูฟัสเสียอีก
   “โอเค ฉันจะไม่ปักลงบนตัวคุณก็ได้” หล่อนว่า และสบัดข้อมือ มีดสีเงินนั้นพุ่งตรงไปยังบริเวณพื้นที่ปืนของเขาตกอยู่ ปักลงไปบนโกร่งปืนและฝังเข้าไปในพื้นที่สร้างจากพีวีซีสังเคราะห์ที่คงจะแข็งน้อยกว่าหินแกรนิตไม่มาก  ราฟาแอลฝืนยิ้มให้หล่อน
   “ขอบใจ”
   “ไม่เป็นไร” แคลร์ตอบ และตบแก้มอีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านออกไปที่ประตู
   “หวังว่างานของฉันคราวหน้าคงจะไม่ต้องเจอคุณอีก อ้อ...เพื่อนคู่หูตาสองสีของคุณน่ะ ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าคุณติดต่อเขาได้ บอกให้เขารีบๆ หน่อยก็ดี ฉันคงจะเดินอ้อยอิ่งอยู่แถวนี้ไม่นานนักหรอก” หล่อนว่าและเปิดประตูจากไป ราฟาแอลถอนหายใจเฮือก ดึงตัวเก็บข้อมูลที่กระพริบไฟสัญญาณอยู่ได้สักพักออกมา เดินไปถอนมีดออกและเก็บปืนขึ้น เขาสอดมีดเล่มนั้นเอาไว้ตรงช่องข้างรองเท้า ก่อนจะกรอกเสียงหารัสเลอร์
   “ติดต่อเจ้ารูฟัส บอกมันว่าให้เร่งมือหน่อย”
-------------------------------------
   รูฟัสถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ หลังจากฟังรัสเลอร์เล่าเรื่อง เขาส่งเสียงงึมงำในลำคอราวกับกำลังสาปแช่งเพื่อนร่วมงานผมสีบลอนด์ของเขาอยู่ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่อยู่ในสถานการที่สะดวกพอจะพูดอะไรได้มากนัก เขากำลังเดินตามหลัง ลู่ชาง ผ่านห้องทรงห้าเหลี่ยมที่เปิดเชื่อมเข้าหากันเป็นทางเดินยาว เพื่อไปยังห้องที่ใช้เก็บ เทพเจ้า
   หลังจากเดินผ่านไปห้าห้องซึ่งแต่ละห้องแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยยกเว้นตัวเลขที่ถูกสลักเอาไว้ด้านบนประตู ที่มีทั้งA1 B6 N12 นี่คงเป็นห้องชุดที่ฟ่งเคยอธิบายให้เขาฟัง ห้องกลไกที่เป็นเหมือนสลักตู้เซฟ พนักงานกลุ่มหนึ่งกำลังเข็นรถเข็นเหล็กที่มีกล่องโลหะสีเงินขนาดราวๆ หนึ่งฟุตครึ่งคูณสองฟุตออกมา หนึ่งในคนที่เดินนำขบวนเอ่ยทักนักวิจัยเฒ่าอย่างแปลกใจ
   “ศาสตราจารย์ลู่ คุณลงมาที่นี่ทำไม?”
   “ผมลงมาดูเทพเจ้าของผม” เขาตอบ ชายคนดังกล่าวมองเขา ก่อนจะเลยมายังรูฟัสด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์
   “ด้านหลังคุณ....”
   “ศาสตราจารย์โคบายาชอฟ คุณอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าเขา ปกติเขาค่อนข้างจะเก็บตัว” ลู่ชางตอบเหมือนกับพูดเรื่องจริง ชายคนดังกล่าวมองหน้ารูฟัสอยู่พักหนึ่ง หนุ่มตาสองสีจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
   “Кто он? “ เขาหันไปเอ่ยกับชายชรา ลู่ชางยิ้มออกมา วินาทีนั้นรูฟัสรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็แค่ครู่หนึ่ง เมื่อลู่ชางเอ่ยตอบเขาอย่างรู้จังหวะ
   “เขาเป็นคนดูแลที่นี่ ส่วนนี้ คุณที่เก็บตัวคงไม่เคยเห็นเขาหรอก” กล่าวจบก็หันไปคุยกับชายคนดังกล่าวอีกครั้ง
   “ขอโทษเถอะพ่อหนุ่ม ศาสตราจารย์โคบายาชอฟค่อนข้างจะไม่ถนัดพูดภาษาอังกฤษ ถ้าเธอไม่รังเกียจให้ฉันเป็นล่ามให้ก็ได้”
   คนถูกถามสั่นศีรษะทันที ก่อนจะพูดตอบ “ไม่เป็นไร คุณจะลงไปก็รีบๆ เถอะ อีกสิบห้านาทีคุณทวีศักดิ์จะเปลี่ยนรหัสใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะออกมาได้สะดวกหลังจากช่วงเวลานั้น”
   “ขอบใจ พ่อหนุ่ม” ลู่ชางเอ่ยพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอ พารูฟัสเดินตรงเข้าไปตามห้องทรงสี่เหลี่ยมหน้าแคบที่ต่อเชื่อมกันอยู่
-------------------------------------
   “ท่าทางเจ้ารูฟัสคงจะไม่ค่อยสะดวกจะพูดเท่าไหร่ ไม่งั้นคงด่าฉันยับไปแล้ว” ราฟาแอลพึมพำขณะเดินออกมาจากห้องข้อมูล รัสเลอร์ถือโอกาสเอ่ยถามข้อสงสัยทันที
   “ผู้หญิงที่ชื่อแคลร์นี่เป็นใคร?”
   “แฟนเก่าฉัน อืม...เออ หล่อนเป็นลูกศิษย์เพื่อนฉันอีกที”
   “นายไม่ละเว้นกระทั้งลูกศิษย์เพื่อนเชียวรึ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ ราฟาแอลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ลูกศิษย์ฟลอร่า ไม่ใช่ลูกศิษย์ฉันเสียหน่อย แล้วเธอก็ถูกสเป๊กฉัน”
   “ฉันว่านายนี่โคตรจะหน้าด้านเลยล่ะ ราฟี่” รัสเลอร์ว่า และรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ราฟาแอลหัวเราะชอบใจ
   “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ โอ้...ตายห่ะ!!” หนุ่มผมสีบลอนด์อุทานขึ้นเบาๆ ก่อนจะกรอกเสียงเร็วปรื๋อ
   “ท่าทางแม่แคลร์สุดที่รักของฉันจะไม่ค่อยได้เดินอ้อยอิ่งเท่าไหร่ รัสเลอร์เตรียมพร้อมเอาไว้เลยนะ ทางนี้รู้แล้วล่ะว่ามีคนแปลกปลอมเข้ามา” พูดจบก็กวาดสายตามองชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวรัดกุมราวห้าหกคนเดินตรงเข้ามาพร้อมปืนพกสั้นขนาดเก้ามม. ที่หันปากกระบอกปืนมายังเขาอย่างพร้อมเพรียง
   “Freez and put it down!” หนึ่งในนั้นที่ยืนอยู่แถวหน้าออกคำสั่ง ราฟาแอลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองวัตถุสีเงินในมือขวาของเขา
   “You mean this?” เขาว่า และพยักหน้าเออออกับตัวเอง ท่ามกลางกระบอกปืนหกกระบอกที่ยังเล็งอยู่
   “Well…..I really love to give it to you, guys!” พูดจบก็โยนวัตถุสีเงินที่ว่าขึ้นบนอากาศ เสี้ยววินาทีที่สายตาทุกคู่กำลังมองไปยังวัตถุสิ่งนั้นอย่างงุนงง ในมือของราฟาแอลก็ปรากฏปืนออโตแมติกสีดำที่เคยโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้  ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องเก็บเสียง  มีเพียงเสียงแหวกอากาศพดังปิ๋ว ก่อนที่ลูกตะกั่วจะเจาะทะลวงเข้ากลางวัตถุสีเงินนั้นอย่างแม่นยำ กลุ่มวันสีขาวขนาดมหึมาพวยพุ่งออกมา ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงสั่งการ
   “นี่เป็นระเบิดควัน ตามมันไป อย่าให้มันหนีไปได้!!”
   ราฟาแอลไม่ค่อยจะเข้าใจภาษาไทยนัก แต่เขาแน่ใจว่าคนพวกนั้นคงไม่พูดว่าปล่อยไปแน่ๆ ดังนั้น ท่ามกลางกลุ่มวันที่ฟุ้งตลบ แทนที่เขาจะวิ่งหนีไปตามทางเดินที่อยู่ติดกัน ชายหนุ่มเลือกที่จะกระโดดลงไปยังระเบียงที่อยู่เยื้องไปอีกข้าง และวิ่งตรงไปยังทางเดินระเบียงที่ทอดตัววกวนตามสภาพผนังตึกและเลี้ยวหลบระเบียงอื่นๆ ที่พาดตัดเข้ามา เสียงออกคำสั่งยังคงดังต่อเนื่อง
   “สกัดมันเอาไว้ อย่าให้มันขึ้นไปที่ห้องใหญ่!!”
---------------------------------------------
   ฟังจากเสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่ดังเข้ามา รัสเลอร์ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราฟาแอลกันแน่ เขาแน่ใจว่าเจ้าหมอนั่นสามารถเอาตัวรอดได้ทุกอย่างถ้าคู่ต่อสู้เป็นผู้ชาย ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผู้หญิงที่ชื่อแคลร์คนนั้นอาจจะบอกแค่เรื่องของราฟาแอล เธออาจจะรู้ว่ารูฟัสมาด้วย แต่คงไม่รู้ว่าราฟาแอลมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง อย่างไรก็ดีการไม่ประมาทถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานแบบนี้ ดังนั้นรัสเลอร์จึงต้องเช็คความเคลื่อนไหวของทุกจุดจากกล้องวงจรปิด และการดักฟังสัญญาณสื่อสารอื่นๆ ภายในห้อง เขาพบว่ายังไม่มีการสั่งการกระจายไปในวงกว้าง ผู้สั่งการคงตั้งใจจะเก็บราฟาแอลให้เร็วที่สุดและเงียบที่สุด ซึ่งยังคงเป็นผลดีต่อการทำงานของเขา แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีจุดหนึ่งที่ทำให้รัสเลอร์ถึงกับเกือบจะครางออกมา
   ฟ่งเพิ่งคุยกับกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ใช่ทั้งพวกทวีศักดิ์และพนักงาน ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มแขกที่มาร่วมงานนี้ เขาคลาดสายตาจากการจับตามองฟ่งไปพักใหญ่ เพื่อจัดการเรื่องให้ราฟาแอลและรูฟัส ตอนนี้เขาพบว่าหนุ่มสวมแว่นคนนี้ลึกลับมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้  ฟ่งคุยอะไรกับคนพวกนั้น และวางแผนอะไรไว้กันแน่ รัสเลอร์ทั้งอยากรู้และไม่อยากรับรู้ เขาภาวนาว่าไม่ว่าฟ่งจะวางแผนอะไร ขอให้แผนนั้นล้มเหลว ทำให้หนุ่มสวมแว่นถอนตัวออกไปจากงานนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปถึงจุดที่ไม่อาจจะหยุดยั้งอะไรได้อีก จู่ๆ รัสเลอร์ก็นึกถึงสปีคโฟนที่ทวีศักดิ์ใช้ติดต่อสื่อสารกับฟ่ง เขาอาจจะติดต่อกับฟ่งได้จากหนทางนั้น  แต่มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าฟ่งอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ รัสเลอร์โคลงศีรษะไปมาอีกครั้ง  เขาควรจะทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้
--------------------------------------------
   ฟ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้มาเจอเว่ยเฟิงปิงในสถานที่และสถานการแบบนี้ และยิ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาบอกพวกเฟิงปิงไปนั่นสมควรหรือเปล่า อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปแล้วให้ยุ่งยากใจ พวกเฟิงปิงออกไปงานประชุมแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีใครจับตาดูเขา ดูเหมือนวรุตจะวุ่นอยู่กับการต้อนรับแขกเหรื่อ และอิทธิเดชเองก็คงดูแลวรุตอยู่ เป็นโอกาสดีที่สุดที่เขาจะหลบออกไปทำตามแผนที่เขาวางเอาไว้
   รูฟัส....
--------------------------------------------
**ตอนนี้มีประโยคอู้หู อ้าหาของอีตาราฟาแอลด้วยล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูด (และคิด)ออกมาได้นะเนี่ยยย

ราฟี่นี่เป็นตัวละครชายแท้ที่มีความหลังหลายอย่างกับรูฟัสซะจริงๆ อันที่จริงแล้วสองคนนี้สนิทกันม๊ากมากนะคะเนี่ยยย (มีตอนพิเศษที่ว่าด้วยการเจอกันครั้งแรกของสองคนนี้ด้วยล่ะ) :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-09-2011 20:14:09
งานนี้ รวมเสือสิงห์กระทิงแรดไว้ซะครบเลยนะเนี่ย เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 20-09-2011 20:46:32
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 20-09-2011 21:28:51
 o18
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 21-09-2011 19:22:02
อะฮ้า ราฟี่เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: CHADMM ที่ 24-09-2011 22:55:36
ตามอ่านทันแล้วค่ะ สนุกมากกกกกกกกก,,,  ฟ่งมีแผนจะทำอะไรนะ???  กำลังลุ้นเลย รีบมาต่อนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-09-2011 17:53:03
** อ่อค จำวันปิดจองผิดคิดหนัก!! (ใช่ เพราะมัวแต่เย็นใจจนจะปิดเล่มไม่ทันเอาน่ิะสิ!!)

เอามาลงต่อแล้วจ้า>3<
------------------------------------------

บทที่57  ฉวยโอกาส

   การประชุมเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อเหล่าบรรดาแขกเหรื่อจากหลายกลุ่มหลายภาษาทยอยนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางเอาไว้รอบโต๊ะสีขาวรูปตัวยู โดยมีทวีศักดิ์นั่งอยู่ตรงจุดกลางของฐานรูปโค้ง ฝั่งตรงข้ามเป็นฉากฉายภาพสามมิติขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องฉายภาพสิบหกตัวที่วางล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ด้านล่าง ซึ่งตอนนี้กำลังขึ้นโครงสร้างทางเคมีของอะไรบางอย่างอยู่ มีการพูดคุยถึงโครงสร้างเคมีที่ว่านี้อย่างกว้างขวางในหมู่คนที่นั่งอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะมีบางอย่างให้กังวลมากกว่านั้น
   รูฟัส..
   เว่ยเฟิงปิงไม่ได้นึกถึงรูฟัสในแบบที่เขาคิดตอนที่อยู่ฮ่องกง มันไม่ใช่ความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้น แต่มันเป็นความกังวลว่า พวก ของรูฟัสที่อยู่ที่นี่คิดจะทำอะไร
   ที่ฮ่องกง รูฟัสเป็นฝ่ายเล่นตามเกมที่เขากำหนด แต่ที่นี่กลับกัน เกมนี้มีผู้เล่นมาก ผู้กำหนดเกมหลักคงเป็นชายที่ชื่อทวีศักดิ์ พวกเขาคือผู้เล่นที่กระโดดเข้ามาเพื่อสิ่งที่เรียกกันว่าเทพเจ้า และพวกรูฟัสคือผู้เล่นที่อยู่นอกเหนือการคาดการ ถึงเว่ยจินหยินจะพูดว่าไม่ควรจะต้องไปใส่ใจมากก็เถอะ ของพวกนี้มันวางใจได้ที่ไหนกันล่ะ
 เว่ยเฟิงปิงกำลังนึกถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อหกปีก่อน ในตอนที่รูฟัส และพวกเล่นบทเดียวหรือใกล้เคียงกันนี้
   นอกเหนือการคาดการ
   การหลบหนีโดยฆ่าคนของหน่วยดำไปสอง และบาดเจ็บสาหัสอีกสี่ ดูจะยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายมากนัก เมื่อเทียบกับการที่มีมือดีไปลอบวางเพลิงตึกสำนักงานใหญ่ของตระกูล และสำนักงานย่อยอีกสองสามจุด แม้เพลิงจะไม่ลุกลามมากนัก แต่ก็สร้างความโกลาหล และดึงกำลังในการตามล่าตัวสายลับคนนั้นออกไปได้มากโขทีเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจหาหลักฐานมาชี้ชัดได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางเพลิงเป็นเครือข่ายของโจวยี่หรือเครือข่ายอื่นของรูฟัสกันแน่ นี่เจ้าพี่บ้านั่นจำเรื่องนี้ได้ในรูปแบบไหนกันนะ?!
เว่ยเฟิงปิงทราบว่าพวกสายลับทำงานกันเป็นทีม แน่นอนว่าครั้งนี้รูฟัสย่อมไม่มาเพียงลำพังแน่ๆ ยังต้องมีคนอื่นอีก แล้วคนพวกนั้นแทรกซึมอยู่ตรงไหน วางแผนอะไร และคิดจะทำอะไรกันแน่
   สองสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากเรื่องริเวิลแล้ว เรื่องของรูฟัสเองก็เคยถูกนำมาเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเขากับพี่ชาย จริงๆ คือเว่ยจินหยินเป็นฝ่ายถามเขาก่อนด้วยประโยคคำพูดอันน่าสะอิดสะเอียนที่กระแนะกระแหนไปถึงเรื่องที่เขาเคยหลงชอบรูฟัส เว่ยจินหยินสงสัยว่ารูฟัสจะเกี่ยวข้องกับโปรเจค”เทพเจ้า”นี้ เพราะการที่จู่ๆ เขาไปอยู่ที่เมืองไทยคงไม่ใช่เหตุบังเอิญ และดูเหมือนว่าพี่ชายจิ้งจอกคนนี้จะแสดงออกให้เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้ใจเขาในเรื่องนี้ เว่ยจินหยินถามหลายอย่างจากเขา และลงท้ายด้วยการติดต่อกับทวีศักดิ์เพื่อตรวจสอบข้อมูล จะนึกถึงกี่ครั้งเขาก็ยังรู้สึกอยากจะฆ่าพี่ชายคนนี้เสียเต็มประดา ให้ตายสิเจ้าหมอนี่ช่างเป็นคนที่น่ารำคาญและน่ารังเกียจเป็นที่สุด แต่ก็นั่นแหละเขายังจำเป็นต้องพึ่งพาหัวสมองและขุมกำลังของเว่ยจินหยินอยู่ ที่สำคัญดูเหมือนเว่ยจินหยินจะมีแผนบางอย่างเพื่อรับมือกับเรื่องนี้แล้ว โดยที่ไม่ยอมบอกเขา ไอ้เรื่องที่บอกมาก็ดูธรรมดาจนน่าขนลุก มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านี้แน่ๆ
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบตามองพี่ชาย ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสีดำภายใต้แว่นตากรอบทองที่นิ่งสนิทนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาอยากรู้ว่าเว่ยจินหยินวางแผนอะไรเอาไว้ในสถานการณ์แบบนี้
   “พี่จินหยิน..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียกพี่ชายของเขาเบาๆ แม้จะรู้ว่าคำถามที่เขากำลังจะถามอาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นหอกทิ่มแทงกลับให้เสียหน้าอีก แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาจำเป็นจะต้องรู้ให้ได้จริงๆ
   “พี่มีแผนอะไรรับมือนอกจากที่เล่าให้ผมฟังอีกมั้ย?”
เว่ยจินหยินหันมา และยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่อาจจะน่ามองสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเฟิงปิงแล้ว เขาอยากจะเบือนหน้าหลบเสียเดียวนั้น รอยยิ้มที่ทั้งสมเพชและเวทนา เจ้าหมอนี่คงรู้ว่าเขาจะถามอะไร และคงเตรียมคำตอบไว้แล้ว
   “อย่ากังวลไปเฟิงปิง เราต้องกลับบ้านไปพร้อมกับความสำเร็จ เพื่อให้คุณพ่อพอใจ ทั้งพี่และเธอ” เว่ยจินหยินตอบน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามจะรู้สึกเอ็นดูน้องชายตาสีฟ้าคนนี้ขึ้นมาบ้าง ความจริงมันเป็นเรื่องง่ายที่จะกำจัดเด็กคนนี้ที่นี่ แต่มันอาจจะเร็วและเสี่ยงเกินไป เขายังจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ถึงเว่ยเฟิงปิงจะยังไม่น่าไว้ใจพอที่จะบอกแผนการทั้งหมด และเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงให้ใครรู้แผนมากนัก ต่อให้น้องชายคนนี้จะแสดงให้เห็นว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนั้นแล้วก็เถอะ แต่พอได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นทีไร ดวงตาสีฟ้าใสนั่นก็แสดงความอ่อนไหวขึ้นมาทุกที
เว่ยจินหยินไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำที่เรียกว่า”ความรัก”นัก โดยเฉพาะความรักแบบที่เว่ยเฟิงปิงมีให้ผู้ชายที่เป็นสายลับคนนั้น เว่ยจินหยินมองไม่เห็นค่าอะไร นอกจากผลเสีย สิ่งที่เขารู้สึกเป็นกังวลคือ ความรักสามารถทำให้คนทำเรื่องที่คาดไม่ถึงได้ อย่างที่เว่ยเฟิงปิงเคยทำลงไปเมื่อหกปีก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่วางใจกับเว่ยเฟิงปิงในเรื่องนี้
   เว่ยจินหยินพยายามประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลานี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป เขารู้ว่ารูฟัสมาที่เมืองไทย รู้ว่ามีคนแอบไปขโมยอะไรบางอย่างของทวีศักดิ์ และตอนนี้รู้ว่ารูฟัสอยู่ที่นี่ หากเขาไม่ต้องการให้งานนี้เกิดขึ้นคงทำลายมันไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว การที่ปล่อยให้งานนี้ดำเนินมาถึงวันนี้ได้แปลว่าใครก็ตามที่จ้างวานมา ต้องการให้มันเกิดขึ้นโดยมีคนรู้เห็น
เว่ยจินหยินได้ยินข่าวจากเพื่อนของเขาในต่างประเทศว่า มีองค์กรระดับสูงจากรัฐบาลประเทศหนึ่งจับตามองงานนี้อยู่อย่างลับๆ เขาแจ้งเรื่องนี้ให้เว่ยชิงทราบ และได้รู้ว่าพ่อของเขาเองได้รับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงได้ถอนตัวในตอนแรก แต่เหตุผลที่กลับเข้าร่วมเว่ยจินหยินไม่ได้ถามต่อ เขาทราบดีว่าพ่อเป็นคนเช่นไร และเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดที่ว่า ความจริงก็เป็นแค่เครื่องมือกระตุ้นให้เว่ยเฟิงปิงกระโจนเข้าร่วมงานนี้ในฐานะหมากรับเชิญตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
เกมหมากอำมหิตที่ผู้เป็นพ่อเล่นขับเขี้ยวอย่างเงียบๆ กับเขามาเป็นเวลานาน สังเวยชีวิตของใครต่อใครไปตั้งมากมาย ด้วยเหตุผลที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
ถึงอย่างนั้น ในตาหมากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตานี้ หากเขาสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ ไม่แน่หรอกว่าพ่อของเขาอาจจะเปลี่ยนใจได้บ้าง เว่ยจินหยินเกือบจะมั่นใจว่า หากเขาทำงานนี้ได้สำเร็จ ผลของมันจะสะเทือนวงการใต้ดินของฮ่องกงอย่างคาดไม่ถึง และคงเกินความคาดหมายของพ่อเขามากด้วย
ดังนั้นครั้งนี้เขาจะไม่พลาด และไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด
เว่ยจินหยินเหลือบมองน้องชายอีกครั้ง
   ถ้าหากเขาจะรู้สึกเอ็นดูน้องชายนัยน์ตาสีฟ้าคนนี้ขึ้นมา สาเหตุคงเพราะสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงแสดงออกมาระหว่างที่ร่วมงานกันนี่แหละ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงแสดงให้เห็นว่ายังห่างไกลการจะมาเป็นคู่แข่งของเขานัก เว่ยเฟิงปิงประเมินไม่ออกเลยล่ะหรือ ว่าจะอย่างไร สายลับพวกนั้นจะต้องไม่พังงานนี้จนวินาศสันตะโรแน่ๆ พวกนั้นกำลังรอ รอให้เหยื่อกินเบ็ด รอให้ใครทำอะไรซักอย่างเพื่อชี้ความผิด รอเพื่อทำการจับกุม และคนที่ดูจะเป็นเป้าใหญ่ในเรื่องนี้คงไมใช่ใครอื่น นอกจากผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั่นเอง เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้อยากรู้นักว่าทวีศักดิ์คิดจะทำอะไร อะไรที่จะเป็นการงับเหยื่อ อะไรที่จะเป็นตัวกดปุ่มให้คนที่อยู่นอกเหนือแผนการดำเนินงานของพวกเขา บางทีทวีศักดิ์อาจจะกดปุ่มนั้นไปแล้ว
   เว่ยจินหยินมองโครงสร้างทางเคมีที่ถูกแสดงเป็นภาพสามมิติอยู่เบื้องหน้า ของสิ่งนี้ สิ่งที่เรียกกันว่า”เทพเจ้า” คงเป็นเจ้านี่แหละที่เป็นตัวชนวน เป็นไปได้สูงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกรูฟัสจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปจนเกือบจะถึงที่สุดเพื่อระบุความผิด  เขาไม่จำเป็นจะต้องเป็นกังวลกับเรื่องสายลับนี้มากนัก ที่น่าคิดมากกว่าคือทำยังไงที่จะกำจัดเป้าหมายที่ผู้เป็นพ่อต้องการได้
   ไฮท์ของริเวิลสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งเกือบจะตรงกันข้ามกับเขา ถ้าไม่มีเส้นแสงที่กำลังแสดงภาพเคลื่อนไหวนั่น ก็คงหลีกเลี่ยงการสบตากันได้ยาก คนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ตัดผมสั้นเกรียน และเริ่มมีสีดอกเลาแซมบ้างเล็กน้อย ผิวคล้ำอันเป็นผลมาจากพันธุกรรมที่ไม่แน่ใจว่ามาจากทางพ่อหรือทางแม่กันแน่ เจ้าหมอนี่ชื่อฟารุค เป็นไฮท์ที่มีชื่อเรียกในพวกริเวิลว่า ทเวลท์ ไฮท์เป็นตำแหน่งผู้บริหารลำดับสูงของริเวิลมีด้วยกันทั้งหมดสิบสามคน เรียกกันตามลำดับนับของอังกฤษคือ เฟิร์ท เซคัล เทิร์ท โฟรธ ฟิฟธ์ ซิกซ์ เซเว่น เอจธ์ ไนท์ เท็นท์ อีเลฟเว่น ทเวลท์ เทอทีน แต่ลำดับความสำคัญกลับเรียงสลับ กล่าวคือไฮท์ที่มีลำดับต่ำสุด หรือผู้ที่เพิ่งเลื่อนลำดับขึ้นมาจะเรียกว่าเฟิร์ท ดังนั้นไฮท์ที่อยู่สูงที่สุดคือตำแหน่งของเทอทีน ซึ่งตำแหน่งของฟารุคที่อยู่ในลำดับสิบสองจึงถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงมาก เช่นเดียวกับไฮท์อีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
เจ้าหมอนี่มีชื่อว่าเอียน เว่ยจินหยินไม่แน่ใจว่าเอียนเป็นคนเชื้อชาติไหน อาจจะเป็นอิตาลี่ หรืออะไรแถวๆ นั้น ดูจากหน้าตาและผิวพรรณ หมอนี่อายุอานามไล่เลี่ยกับเขา ผิวสีออกแทน หน้าตาแย้มยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ตลอดเวลา ฟังจากที่เถียนซานเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผู้บริหารที่เด็กที่สุดและมีเสน่ห์มากที่สุดของริเวิล ที่สำคัญยังเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากอีกด้วย ตำแหน่งของเอียนคือสิบเอ็ด ซึ่งเป็นรองจากฟารุคเพียงตำแหน่งเดียว
แน่นอนว่าสองคนนี่ไม่ได้เพิ่งจะมาร่วมงานกันครั้งนี้ครั้งแรก ในริเวิลนี่ถือเป็นคู่หูที่น่ากลัวมากที่สุด ฟารุคนั้นมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและปราศจากสิ่งที่เรียกว่าเมตตา ขณะที่เอียนนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายจนบอกไม่ได้ว่าเขาจะจนมุมตรงไหนกันแน่ ที่นั่งอยู่ในเก้าอี้แถวหลังคือคนสนิทของทั้งคู่ ชายผู้มีรอยบากตรงดั้งจมูกนั้นเว่ยจินหยินรู้จักเป็นอย่างดี เจ้าหมอนี่มีชื่อเรียกว่าสคัล มีเชื้อสายตะวันออกกลางเหมือนฟารุค หน้าตาที่กร้านโลกทำให้เดาอายุจริงไม่ออก แต่คงไม่น่าจะเกินสี่สิบห้า  เจ้าหมอนี่แหละที่เคยประมือกับหลิวต้ายี่ ลูกน้องมือดีคนในสังกัดหน่วยดำของเถียนซาน ทำให้ต้ายี่ได้รับบาดเจ็บ จนต้องปลดระวางจากการเป็นมือสังหาร ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบเศษคาดว่ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ รู้สึกจะชื่อเสี่ยวฟานหรืออะไรซักอย่าง เว่ยจินหยินไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มากนัก ดูเหมือนเขาจะเพิ่งขึ้นมาเป็นบอดีการ์ดของเอียนแทนคนเก่าที่ถูกฆ่าตายไปเมื่อสองเดือนก่อน ส่วนที่เหลือคงถูกจัดให้นั่งด้านนอก เหมือนเช่นคนอื่นๆ ทวีศักดิ์อนุญาตให้พาผู้ติดตามเข้ามาได้คนเดียวเท่านั้น เพราะตัวห้องมีขนาดจำกัด ส่วนพวกที่เหลือมีห้องรับรองจัดไว้ด้านนอก แยกกันออกไป  เว่ยจินหยินทิ้งลูกน้องสองคนของเขาไว้ด้านนอก ส่วนสี่คนที่เหลือพักอยู่ในตัวกรุงเทพฯ พร้อมด้วยลูกน้องของเว่ยเฟิงปิงอีกคนหนึ่ง ห้าคนนี้พร้อมจะเคลื่อนไหวติดต่อกับสำนักงานใหญ่ทันทีที่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาจากทางด้านหลังด้วยความเป็นห่วง ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะคุยอะไรกับเว่ยจินหยิน แล้วก็เงียบไป การขยับตัวแบบนั้นเว่ยเฟิงปิงคงไม่ค่อยจะสบายใจนัก เขาไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินพูดอะไร ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก เว่ยจินหยินเป็นคนมีพรสวรรค์ในแบบที่สามารถใช้คำพูดธรรมดาๆ ทำให้คนเป็นบ้าได้ เขาไม่เข้าใจว่าเถียนซานทนอยู่กับคนแบบนั้นได้อย่างไรถึงเกือบสามสิบปี หรือบางทีลูกพี่ของเขาคนนี้อาจจะเคยชินกับนิสัยแบบนี้ของเจ้านายของเขาแล้วก็ได้
   “คุณชายเจ็ดคงกำลังกังวลเรื่องของผู้ชายที่เป็นสายลับคนนั้นอยู่น่ะ” เถียนซานเอ่ยขึ้น อาจจะเพราะสังเกตเห็นว่าอดีตลูกน้องของเขามีทีท่ารุ่มร้อนใจ จางซื่อเยี่ยนหันมามองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ผู้ชายที่ชื่อรูฟัสมีอิทธิพลอย่างมากเสมอ ไม่ว่าจะในแง่ความรู้สึกแบบใด จางซื่อเยี่ยนเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงยังคงรักรูฟัสอยู่ และจะรักไปตลอดไม่ว่าจะถูกหักหลังขนาดไหนก็ตาม พอนึกถึงเรื่องแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
เถียนซานยิ้มอย่างเอ็นดูออกมาเมื่อเห็นสีหน้าท้อแท้ของคู่สนทนา เขาไม่เคยเห็นจางซื่อเยี่ยนทำหน้าแบบนี้ คงคิดอะไรแปลกๆ อยู่แน่ๆ
   “นี่อย่าบอกนะว่ากำลังหึงคุณชายเจ็ดน่ะ?” ผู้มีอายุมากกว่าเอ่ยถาม จางซื่อเยี่ยนรีบสั่นศีรษะทันที “มะ.. ไม่ใช่นะครับ”
   เถียนซานหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันคิดว่าคุณชายเจ็ดคงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยชีวิตของผู้ชายคนนั้นหรอก คุณชายน่าจะกังวลเรื่องการแทรกแทรงเสียมากกว่า”
   “อ้อ ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า สีหน้าดูคลายลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังคงเค้าลางของความกังวลเอาไว้อยู่ดี
   “ผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่ว่าถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างนั้นจริง เราจะทำยังไงดี?” จางซื่อเยี่ยนถามขึ้นต่อ เถียนซานยิ้มให้คนถามอย่างเอ็นดู
   “เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก เธอสนใจศัตรูตรงหน้าของเราไว้ดีกว่า”
   จางซื่อเยี่ยนมองดูอดีตหัวหน้าของเขา ก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของผู้ชายอีกคนที่เคยเป็นหัวหน้างานของเขา
   แผ่นหลังไม่กว้างไม่แคบของเว่ยจินหยินพอจะตอบคำถามพวกนั้นของเขาได้อยู่หรอก จางซื่อเยี่ยนหันไปมองอดีตหัวหน้าของตนอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า
   ถ้าเถียนซานเชื่อมั่นในตัวผู้ชายคนนี้ เขาเองก็ควรจะเชื่อมั่นด้วย
------------------------------
   แผ่นหลังของเว่ยจินหยินนั้นไม่ได้กว้างไปกว่าแผ่นหลังของผู้ชายอายุสามสิบกว่าโดยทั่วๆ ไปเลย ออกจะเล็กอยู่หน่อยด้วยซ้ำ ก็คงเป็นธรรมดาสำหรับคนที่เกิดและถูกเลี้ยงมาโดยที่มีคำเรียกขานว่าคุณชายนำหน้า เว่ยจินหยินไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยตกระกำลำบากเหมือนเว่ยเฟิงปิง ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวกลับใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับความโหดร้ายของการฆ่า และธุรกิจดำมืดมาตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่ และเพาะศัตรูเอาไว้ไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้เว่ยจินหยินเอาชีวิตรอดมาได้ได้จนถึงทุกวันนี้คือมันสมองที่ทำงานอย่างไม่เคยรู้จักเหน็ดเหนื่อยนั่น และการวางแผนที่ชาญฉลาดแยบยลจนไม่มีใครเทียบได้  เถียนซานเชื่อถือในความคิดของอดีตเจ้านายของเขาคนนี้เสมอมา เว่ยจินหยินไม่เคยตัดสินใจอะไรผิด และเขาเองก็พร้อมจะสนับสนุนคนคนนี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
แต่ลึกๆ แล้วเถียนซานกำลังรู้สึกถึงบางอย่างที่น่าหวั่นใจ บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร เขามั่นใจว่าเว่ยจินหยินจะไม่พลาด แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่ว่าก็ยังคงวนเวียนรบกวนจิตใจเขาอยู่
----------------------------------------
   ฟ่งเดินลงไปตามบันไดวน ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมเข้าสู่ห้องส่วนกลาง ที่เป็นส่วนที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนมากที่สุด รวมไปถึงรูปเฟืองที่เขาแสนจะภาคภูมิใจในงานออกแบบชิ้นนี้ด้วย
น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกชื่นชมมันเท่าที่ควรจะเป็นนัก นักออกแบบหนุ่มกำลังคาดการว่ารูฟัสอาจจะอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของห้องชุดนี้ ปัญหาคือเขาไม่อาจจะผ่านประตูที่กั้นระหว่างชั้นไปได้ ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสวางแผนจะทำอะไรบ้าง สิ่งที่เขารู้คือ เขาทนรอให้รูฟัสกลับไปหาเขาไม่ได้  ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่กลับมา... ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่ทนรอถึงตอนนั้น หากรูฟัสคิดจะทิ้งให้ต้องทนกับความเสี่ยงแบบนี้ล่ะก็ อย่ามาขอความรักจากเขาเลยจะดีกว่า
   ฟ่งยอมรับว่าตัวเขาในบางเวลามีอารมณ์รุนแรงจนผิดปกติ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้หากเกิดขึ้น และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นอยู่
   รูฟัสอ้อนวอนขอความรักจากเขา ทำดีกับเขา พยายามจะแสดงความจริงใจ แต่ฟ่งรู้ดีว่ารูฟัสไม่พูดความจริงกับเขาทั้งหมด ที่ผ่านมามันทำให้เขาเจ็บปวดมาก แล้วตอนนี้ยังจะทิ้งเขาไปในที่ที่ไม่แน่ใจว่าจะกลับออกมาได้อีกหรือเปล่า  ถ้าจะขอความรักด้วยการทำแบบนี้ มันสมควรจะให้ไหมล่ะ
   ยิ่งพอคิดว่าผู้ชายคนนั้นอ่อนโยนกับเขา พูดคำหวานที่บางทีก็น่าอายออกมาบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกโมโหปนหงุดหงิดมากขึ้น ทำไมเขาถึงต้องมาเจอกับผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ แล้วทำไมเขาจะต้องมาลำบากเพื่อผู้ชายคนนี้ด้วย ที่ทำอยู่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องไม่เสี่ยงธรรมดา มันจะคุ้มไหม กับอีแค่ผู้ชายที่พูดโกหกซ้ำไปซ้ำมาคนหนึ่ง
   ระบบสแกนยังคงส่งเสียงเตือนว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านลงไปได้ ฟ่งเตะประตูดังผลัวะด้วยความโมโห และนึกว่าถ้าเจอรูฟัสเขาจะเตะให้แรงกว่านี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าผ่านประตูแบบวิธีปกติไม่ได้ล่ะก็.....
   !!!!
   จู่ๆ ระบบความปลอดภัยก็ปลดล๊อกประตูบานนั้นออก และขึ้นคำสั่งสัญญาณถูกต้อง  หนุ่มสวมแว่นถึงกับอ้าปากค้าง เงยมองสัญญาณอนุญาตให้ผ่านนั้นอย่างงุนงง ทันใดนั้นสมองของเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
------------------------------------------
   ทวีศักดิ์กำลังอยู่ในห้องประชุม ในงานประชุมที่เขาพยายามสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก และทุ่มเททุนทรัพย์ไปอย่างมหาศาล ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ทำลงไป ก็เพื่อเด็กหนุ่มอายุยี่สิบที่กำลังพูดคุยกับเขาอยู่ในตอนนี้
   วรุต
   ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาที่ไม่ว่ามองเมื่อไหร่ก็ทำให้อดนึกถึงผู้เป็นมารดาไม่ได้ เธอเสียชีวิตตอนที่วรุตอายุได้สิบขวบ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทวีศักดิ์ยอมรับว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไม่ถูก เขารักเธอมาก การที่เธอจากไปกระทันหันทำให้หัวใจของเขาสลาย เพราะเหตุนี้เองเขาจึงทุ่มเทให้กับงานอย่างบ้าคลั่งกว่าเก่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงผู้เป็นที่รัก  กว่าที่จะทำใจยอมรับในเรื่องนี้ได้ ความสัมพันธ์ของเขากับลูกชายก็ห่างเหินจนเกินจะแก้ไขเสียแล้ว
   ทวีศักดิ์แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวรุตเลยหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาได้เงยหน้าขึ้นจากงานเพื่อมองหน้าลูกชายชัดๆอีกที ก็ตอนที่วรุตอายุได้สิบเอ็ดขวบ รัตน์เป็นคนพามาที่ทำงานของเขา วรุตในตอนนั้นหน้าตาบวมปูดไปหมด เป็นครั้งแรกที่ทวีศักดิ์ระลึกขึ้นมาได้ว่าเขามีลูกชายที่จะต้องดูแลจริงๆ ตอนนั้นวรุตมีปัญหาชกต่อยที่โรงเรียน ซึ่งมันเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับเด็กวัยนั้น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทวีศักดิ์รู้เกี่ยวกับลูกชายของเขาคือวรุตเรียนดีมาก และไม่เคยจะก่อปัญหาอะไรมาก่อน เหตุการณ์ชกต่อยนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ทวีศักดิ์แปลกใจมาก เขาไต่ถามสาเหตุจากวรุต และได้รับคำตอบคือการนิ่งเฉย จนรัตน์ซึ่งเป็นผู้ดูแลต้องอธิบายให้ฟังว่า วรุตมีปัญหากับอาจารย์สอนเคมี จนมีปัญหาชกต่อยกัน ทวีศักดิ์คาดไม่ถึงว่าลูกชายของเขาจะถึงขั้นมีเรื่องชกต่อยกับอาจารย์ และวรุตกก็ไม่ได้บอกสาเหตุกับรัตน์ว่าทำไมเขาถึงได้ไปมีเรื่องกับอาจารย์ได้ เขาบอกเพียงว่าไม่อยากไปโรงเรียน เพราะไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก สุดท้ายทวีศักดิ์จึงตัดสินใจส่งวรุตไปเรียนต่อที่เยอรมัน โดยส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ เขาคิดว่าลูกชายคงไม่มีความสุขกับการเรียนที่ประเทศไทยนัก อย่างไรก็ดีเขาเองก็ไม่มีเวลาว่างพอจะดูแลวรุตได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงฝากฝังให้คนอื่นดูแลวรุตมาโดยตลอด ทวีศักดิ์รู้ดีว่าเขาผิดที่ไม่ได้ดูแลลูกคนนี้มาตั้งแต่ต้น แต่การย้อนเวลากลับไปจนตอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ คือการสร้างอนาคตที่ดีสำหรับลูกชายของเขา  วรุตจะต้องไม่ลำบาก ต่อไปจากนี้ เด็กคนนี้จะต้องได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ วรุตจะต้องมีความสุข เพื่อชดเชยในสิ่งที่เขาละเลยไปเกือบสิบปี
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองดูพ่อของเขา ทวีศักดิ์เป็นพ่อของเขาจริงๆ ตามใบแจ้งเกิด แต่ยี่สิบปีที่เกิดมา วรุตไม่เคยได้เห็นทวีศักดิ์ทำอะไรให้กับเขาเหมือนที่พ่อคนอื่นทำกัน ไม่ว่าจะพาไปเที่ยว สอนชกต่อย หรือแม้แต่ทำโทษ ทวีศักดิ์ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเขาไปมากกว่าการพูดคุย ซึ่งก็น้อยนิดนักที่จะเป็นการพูดคุยอย่างส่วนตัว พ่อของเขามักจะดูงานยุ่งอยู่ตลอด ทุกคนที่เคยดูแลเขามักพูดว่าที่พ่องานยุ่งก็เพื่อเขา วรุตไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาเคยไม่ใช้เงินที่ทวีศักดิ์ส่งมาให้ และแอบไปหางานทำเอง ก่อนจะพบว่าไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อเขาก็มีชีวิตอยู่ได้ แล้วพ่อของเขาจะทำไปเพื่ออะไร แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาอยากจะพูดนี้คงไม่สามารถสื่อถึงพ่อของเขาได้ วรุตคิดว่าพ่อรักงาน แต่เอาชื่อเขามาอ้าง ทวีศักดิ์ไม่เคยจะวางหูโทรศัพท์ด้วยซ้ำในตอนที่พูดคุยต่อหน้าเขา ตอนนี้ก็เหมือนกัน พ่อของเขากำลังพูดอะไรบางอย่างลงในสปีคโฟน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจนั่งลง
   “พ่อมีเรื่องอยากจะถามลูกนิดหน่อย” ทวีศักดิ์พูดขึ้นหลังจากคุยธุระเสร็จแล้ว วรุตพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองพ่อของเขา
   “เรื่องของฟ่ง?”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียง และนั่งลงข้างๆ ลูกชาย
   “ลูกไปรู้จักเขาด้วยตัวเองจริงๆ หรือ ไม่มีใครชวนลูกไปนะ?”
   วรุตหลับตาลงอย่างระอา เขาหันมามองผู้เป็นพ่อ “ผมไปของผมเอง ถ้าสงสัยถามพี่เดชเอาก็ได้”
   ทวีศักดิ์พยักหน้าอย่างรับรู้ ลูกชายของเขาพูดต่อ
   “แล้วพ่อรู้แล้วหรือยัง ว่าตอนนี้เขาไปไหน?”
   ผู้เป็นพ่อพยักหน้าอีกครั้ง
   “ผมอยากให้เขาปลอดภัย”
   “พ่อจะให้คนดูแลเขาให้ดีที่สุด เพื่อลูก”
-----------------------------------
   รัตน์เพิ่งพูดคุยกับทวีศักดิ์เสร็จ เขาเพิ่งได้รับคำสั่งให้จับตาดูเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยอาละวาดต่อยปากเขามาแล้วในตอนที่ถูกเชิญเข้ามาทำงาน อภิวัฒน์ เด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ที่เป็นคนเขียนแปลนสถานที่แห่งนี้  สถาปนิกหนุ่มที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และจู่ๆ ก็โผล่มาพร้อมกับลูกชายเจ้านายของเขา
   ไม่รู้ว่าทวีศักดิ์ได้ข้อมูลอะไรมา เขาสงสัยในตัวเด็กคนนั้น และออกคำสั่งให้จับตาดูเป็นพิเศษ ถ้าฟ่งตั้งใจจะผ่านประตูให้ ก็ให้อนุญาตให้ผ่าน ทวีศักดิ์กล่าวว่า บางทีเด็กนั่นอาจจะเกี่ยวพันกับคนที่เขามาขโมยแปลนออกไปวันก่อน และเกี่ยวข้องกับเจ้าฝรั่งผมทองที่กำลังสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ตอนนี้ก็ได้  ความจริงมันไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหร่ ไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องเข้ามาขโมยแปลนหากว่ารู้จักกับคนเขียนอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี คำสั่งคือคำสั่ง
   เขาต้องจัดการกับเหตุการณ์วุ่นวายนี้ให้สำเร็จให้ได้
-----------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่56 p9 20/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-09-2011 18:03:33
   อิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านหลังของวรุตและทวีศักดิ์ พร้อมด้วยบอดีการ์ดของทวีศักดิ์อีกราวๆ สี่ห้าคน เขาไม่รู้จักคนพวกนี้ และไม่ต้องการจะรู้จัก อิทธิเดชรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งตรงนี้ได้ด้วยความสามารถ จะเพราะเหตุผลอะไรพวกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คงเข้าใจดี เรื่องของเขากับวรุตไม่ใช่เรื่องปกปิดในบริษัท รวมถึงเรื่องของเขากับทวีศักดิ์ด้วย เพียงแต่ทุกคนเกรงใจทวีศักดิ์ จึงไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง
   สาเหตุที่ทวีศักดิ์ให้เขามานั่งที่นี่ ก็คงเพราะไม่อยากให้วรุตเป็นกังวล หรือหาเรื่องออกไปไหน แต่ต่อให้เขานั่งอยู่ต่อหน้าวรุต เด็กคนนั้นก็ยังเป็นกังวล เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของหมอนั่น  มันเป็นสิ่งที่อิทธิเดชสังเกตได้ตั้งแต่วรุตพบว่าฟ่งไม่ได้ตามกลับมาที่ห้องประชุม ดูเด็กหนุ่มจะวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก อิทธิเดชไม่เคยเห็นวรุตมีท่าทีกังวลแบบนี้มาก่อน  เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวรุตถึงให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้นัก ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักอะไรกันมาก่อนแท้ๆ แล้วทำไมถึงต้องกังวลใจขนาดนี้ด้วย หรือวรุตรู้ว่าฟ่งจะทำอะไรที่น่าวิตก ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงต้องพาเข้ามากันล่ะ?
   อิทธิเดชพบว่ามันไม่มีเหตุผลที่เข้าท่าเลยสักนิดเดียวสำหรับเรื่องนี้ และสิ่งที่ไม่เข้าท่าทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่ออภิวัฒน์หรือฟ่ง เขาปรากฏตัวอย่างไร้เหตุผล และหายไปอย่างไร้เหตุผล ผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ อะไรในตัวผู้ชายคนนั้นที่ทำให้วรุตเป็นกังวล  อิทธิเดชคิดว่าเขาพลาดที่ไม่จัดการฟ่งเสียตั้งแต่แรก บางทีในล็อบบี้ของคอนโดตอนนั้น ถ้าเขาไม่มัวคิดอะไรบ้าๆ ผู้ชายคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว เรื่องวุ่นวายนี่ก็คงไม่เกิดขึ้น  ถ้าฟ่งตายไปแต่แรก วรุตก็จะไม่หลงใหลในตัวผู้ชายคนนั้น ก็คงไม่ไปจากเขา และก็คงไม่พูดกับเขาด้วยถ้อยคำแบบนั้น ไม่ทำให้เขาต้องทนแบกรับความน่าละอายแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้
   ถ้าหมอนั่นตายไปเสีย....
   แก้วตาสีดำของอิทธิเดชหดวูบลง ใช่...วรุตเป็นห่วงความปลอดภัยของฟ่งมาก  ให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเป็นผู้ทำลายของสำคัญนั่น
   ถ้าฟ่งตายด้วยน้ำมือของเขา....
   มุมปากได้รูปกระตุกขึ้นมานิดหน่อย หากว่าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม สิ่งที่แบกรับอยู่ตอนนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกไป  ขอเพียงให้วรุตเกลียดเขา
   การฆ่าผู้ชายที่สมควรตายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

   “ผมจะไปตามหาคนคนนั้นให้คุณเอง”
   ทวีศักดิ์โบกมือเป็นเชิญอนุญาตทันทีที่อิทธิเดชพูดออกมาแบบนั้น หนุ่มร่างบอบบางโค้งให้เขา และเดินออกไปจากห้อง วรุตได้แต่อ้าปากค้าง ขณะที่พ่อของเขายิ้มอย่างใจดี
   “อย่าเป็นกังวลเลยวิน  คนของเธอจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
   
   ปลอดภัย?
   วรุตได้แต่ทวนคำนั้นอยู่ในใจเงียบๆ พ่อของเขากำลังพูดเปิดการประชุม แต่มันจะเป็นสาระอะไรสำหรับเขา การที่เขามาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะพ่อของเขา หรืออิทธิเดช  แต่เพราะผู้ชายที่หายตัวไปกะทันหันคนนั้น
   ฟ่ง
   มันเริ่มจากความตั้งใจง่ายๆ และแสนจะธรรมดาสำหรับเขา ในการคิดจะปกป้องใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่รู้จักด้วยตัวเขาเอง  ตอนแรกมันแค่ความคิดง่ายๆ เช่นการเอาตัวไปรับลูกกระสุนแทน หรืออะไรเทือกนั้น ก่อนจะพัฒนามาเป็นตัวประกัน ซึ่งก็ยังไม่เหนือความคาดหมายของเขา แต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปในรูปแบบที่ควรจะเป็น คนที่เขาปกป้องกลับพาตัวเองเข้าสู่ปัญหา เดินเข้าไปหาอันตรายด้วยตัวเอง วรุตไม่เข้าใจว่าฟ่งคิดอะไรกันแน่ ถึงต้องทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้ ฟ่งไม่ได้มีพื้นฐานอะไรที่พอจะเป็นข้อต่อรองอะไรได้เลย เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่เปิดประตูให้คนแปลกหน้าเขาไปในห้องได้ง่ายๆ ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นสายลับ
   คิ้วของวรุตขมวดเข้าหากัน ทำไมฟ่งกับรูฟัสถึงเป็นแฟนกันได้ ทำไมสายลับแบบรูฟัสถึงเลือกที่จะมีแฟนเป็นคนแบบฟ่ง สองคนนั่นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หรือจะเป็นเพราะแบบแปลนของห้องนี้  เป็นไปได้หรือเปล่าว่ารูฟัสคบฟ่งเพื่อผลประโยชน์ การที่รูฟัสพาฟ่งไปฝากไว้กับเมี่ยง เพื่อป้องกันการแพร่งพรายความลับหรือเปล่า และที่ฟ่งหายตัวไปอย่างปริศนาเพราะไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหมอนี่หรือเปล่า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่รูฟัสจะต้องมาเกี่ยวข้องกับฟ่งนอกจากเรื่องนี้
   วรุตแทบจะผุดลุกขึ้นทันที ทำไมเขาถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้ เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าพวกนั้นแสดงออกทำให้เขาไม่สงสัย พฤติกรรมนั่นดูปกติธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าไม่ใช่การแสดงเสียหน่อย  คนพวกนั้นเป็นสายลับ พวกสายลับต้องถนัดในการตบตาคนอื่นให้เข้าใจตัวเองในรูปแบบที่ต้องการไม่ใช่หรือ อาจจะไม่ใช่แค่เขาที่โดนหลอก บางทีฟ่งเองก็คงโดนหลอกอยู่โดยไม่รู้ตัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารูฟัสพบว่าฟ่งอยู่ที่นี่ หากรูฟัสหลอกใช้ฟ่งเป็นเครื่องมือล่ะก็ การที่ได้พบฟ่งอยู่ที่นี่คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย สิ่งที่คนแบบรูฟัสจะทำคืออะไร
   ใช่แบบที่พ่อของเขาทำอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?
   วรุตรู้สึกตัวเองเผลอกำหมัดแน่น เขากำลังโกรธ จู่ๆ เขาก็รู้สึกโกรธผู้ชายที่ชื่อรูฟัสขึ้นมา  ฟ่งพาตัวเองมาสู่สถานที่อันตรายแบบนี้เพราะเขา และคงกำลังออกไปตามหาอยู่ โดยไม่รู้เลยว่าถ้าเจอกับรูฟัสแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง  ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลยไม่ใช่หรือ ที่รูฟัสจะจัดการเก็บฟ่ง กำจัดสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน กำจัดคนที่หมดประโยชน์แล้ว..
   ทั้งๆ ที่ฟ่งทำทุกอย่างเพื่อเขาแท้ๆ
   วรุตตัดสินใจต่อสายเพื่อคุยกับรัตน์ เขารู้ว่าพ่อของเขาต้องสั่งอะไรบางอย่างไปที่รัตน์แน่ๆ
   “อารัตน์ อาช่วยพาคนของผมกลับมาที่นี่ด่วนเลย ด่วนที่สุดเลยนะ”
------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์เพิ่งพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่เขาภาคภูมิใจจะนำเสนอที่สุด มันเป็นเทคโนโลยีเพื่อมนุษยชาติ ใช่...ในแง่ที่จะพูดให้ดูดีมันต้องพูดแบบนั้น  แต่ในความจริงแล้ว ความสำคัญของมันก็คือสิ่งที่จะทำให้วรุตมีทุกอย่างไปตลอดชีวิต มันเป็นผลิตภันฑ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องการทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้คนพบกับความสุขโดยไม่ต้องสูญเสียหรือแลกเปลี่ยนด้วยอะไรทั้งสิ้น นอกจากเงิน
   เงิน...คำง่ายๆ ที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ว่าเงินไม่อาจจะนำพาชีวิตของคนที่เขารักกลับคืนมาได้ แต่เงินจะสามารถพาให้ชีวิตของคนที่เขารักที่สุดในตอนนี้ไปต่อได้โดยไม่มีอุปสรรค์ ที่เหลือจากนี้ก็แค่ให้วรุตรับช่วงรายได้ต่อจากนี้ รายได้ที่เด็กหนุ่มไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเพิ่มอีก ชายวัยห้าสิบเศษหันกลับมามองลูกชาย ซึ่งเขาแน่ใจว่าเพิ่งพูดอะไรบางอย่างใส่ในสปีคโฟนแน่ๆ ก่อนจะนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าสวยที่เดินออกไปก่อนหน้านี้
   ทวีศักดิ์รู้ว่าอิทธิเดชคิดอะไรในตอนที่เดินมาพบเขา อิทธิเดชไม่มองหน้าวรุต แต่มองมาทางเขาโดยตรง แววตามุ่งร้ายนั่นความจริงแล้วทวีศักดิ์ไม่คิดอยากจะให้มีในตัวเด็กคนนั้นเลย แต่ว่าถึงตอนนี้ เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว วรุตนั้นหลงใหลในตัวของอิทธิเดชมากเกินไป การจบปลักกับความรักแบบนี้จะไม่ทำใช้ชีวิตของวรุตมีความสุข เช่นเดียวกับที่เขาเคยเผชิญ การสูญเสียคนที่รักไปมันเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะฉะนั้น ก่อนที่วรุตจะถลำลึกมากไปกว่านี้ เขาจำเป็นต้องหยุดยั้งมันเอาไว้
   แม้ว่าจะต้องลบเด็กผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดชออกไปจากโลกนี้ก็ตาม
   ทวีศักดิ์รู้สึกว่าอิทธิเดชไม่พอใจฟ่งตั้งแต่ตอนที่วรุตพาเขามาที่นี่ ดังนั้นจึงเรียกตัวไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัว และพบว่าอิทธิเดชมีความไม่พอใจอะไรบางอย่างในตัวคนคนนี้จริงๆ เขาก็แค่พูดเรื่องความน่าสงสัยของฟ่ง ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์อะไรมากให้อิทธิเดชฟัง โดยที่ไม่ได้หวังว่ามันจะส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก แต่แล้วเด็กที่ชื่ออภิวัฒน์ก็ทำให้มันส่งผล เขาหายตัวไปอย่างปริศนา  ทวีศักดิ์รู้ดีว่าฟ่งมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขารู้ได้อย่างไรว่ามีการแก้ไขแบบแปลนของตัวเอง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปดูหน้างาน มันคงไม่บังเอิญที่จะพูดออกมาได้ขนาดนั้น ฟ่งต้องรู้อะไรแน่ๆ ทวีศักดิ์ไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นพวกไหน และเข้ามาเพราะจุดประสงค์อะไร การที่ลูกชายของเขาออกไปตามหาสถาปนิกคนนั้นด้วยตัวเองก็นับกว่าแปลก แต่วรุตเป็นคนแปลกอยู่แล้ว เหตุผลที่เขาบอกจึงพอจะยอมรับได้ และดูเหมือนวรุตจะให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มาก แต่ผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหากไม่ถูกกำจัด ทวีศักดิ์กำลังหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะจัดการกับปัญหาทั้งสองนี่  แล้วโอกาสที่ว่านี้ก็มาถึงแล้ว
   ไม่ว่าฟ่งจะเกี่ยวกับเจ้าคนที่กำลังก่อความวุ่นวายข้างล่างนั่นอย่างไร
   หากอิทธิเดชลั่นไกใส่เด็กคนนั้น ภายในสถานการวุ่นวายแบบนี้ เรื่องทุกอย่างมันก็จะลงตัว
   แค่สองคนนั่นหันปากกระบอกปืนเข้าหากันเอง.........
   สองคนที่เป็นปัญหาจะถูกลบออกไปจากโลกและจากชีวิตของลูกชายเขาอย่างง่ายดาย และหมดจด
   โอกาสนี้โอกาสเดียวเท่านั้นที่เขาจะสะสางปัญหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว
--------------------------------------
   รูฟัสเพิ่งรู้สึกว่าตัวเขาเองถูกตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องใจกลางของห้องทรงกลมซึ่งเป็นใจกลางของสลักตู้เซฟนี้ ลู่ชางยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ซึ่งตรงหน้านั่น คือตู้กระจกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลิ้นชักแก้ว ซึ่งภายในมีสิ่งของลักษณะคล้ายหลอดแก้วมีจุกสีเงินปิดขนาดราวๆ กระบอกฉีดยาขนาดเล็ก วางเรียงกันอยู่
   ณ ที่นี่ ระบบสื่อสารของเขากับรัสเลอร์ถูกตัดขาดกันโดยสมบูรณ์ มันคงถูกออกแบบมาให้กันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิด ลู่ชางผายมือไปยังลิ้นชักกระจกนั้นอย่างภาคภูมิใจ
   “คุณเป็นคนนอกคนแรกที่ได้เห็นผลงานอันน่าภูมิใจของฉัน”
   “เทพเจ้า?” รูฟัสพูดออกมา ชายชรายิ้ม เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสเดินเข้าไปใกล้ๆ
   “คุณทำให้ฉันทึ่ง คุณเป็นพวกเคจีบีหรือ?” ลู่ชางเอ่ยถาม หนุ่มตาสองสีแค่นยิ้มตอบ “ผมดูเหมือนพวกนั้นหรือไง?”
   “คุณเป็นโซเวียต คุณพูดภาษาโซเวียตได้” เขาว่า รูฟัสหัวเราะ “แค่พูดโซเวียตได้ไม่ได้แปลว่าผมเป็นเคจีบีหรอกนะ”
   “ฉันก็แค่เดา” ลู่ชางกล่าว เขามองสำรวจรูฟัสอีกครั้ง
   “ในบรรดาสายลับของรัฐบาล ฉันชอบพวกเคจีบีที่สุด”
   รูฟัสหัวเราะอีก ลู่ชางอาจจะชอบพวกเคจีบี แต่สำหรับเขา คำว่าเคจีบีเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะน่าแสลงเสียมากกว่า เคจีบีคือหน่วยสายลับของโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน คนพวกนี้ได้ชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์หลายอย่าง เช่นการวางยาหรือการจารจล อเล็กเซผู้เป็นอาจารย์ของเขาก็เคยเป็นเคจีบีมาก่อน และก็ถูกพวกเดียวกันนั่นแหละเก็บ ดังนั้นคำว่าเคจีบีจึงเป็นคำแสลงหูของรูฟัสเสมอมา
   “คุณเลยเหมาเอาว่าผมเป็นเคจีบี?”
   ลู่ชางหัวเราะบ้าง “คุณพูดโซเวียตได้คล่องปากมาก คล่องกว่าภาษาอังกฤษของคุณเสียอีก สำเนียงของคุณมันชัดเจนจนฉันไม่คิดว่าคุณไปเรียนมันมาหรอก มันน่าจะเป็นภาษาต้นกำเนิดของคุณเลยมากกว่า”
   “อ้อ...คุณเคยอยู่ที่นั่นหรือไง” รูฟัสว่า ลู่ชางมองเขาแล้วยิ้ม
   “ฉันไปหลายที่เลยล่ะ พ่อหนุ่ม” ชายชราเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
   “ฉันชอบดีเอ็นเอคนโซเวียต พวกเขาอดทนสูง แข็งแกร่ง บางทีอาจจะเป็นรองแค่คนจีนด้วยซ้ำ อ่า...ถ้าคุณเป็นคนโซเวียต ฉันก็อยากจะได้ผมคุณสักเส้น”
   “ผมว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกนะ” รูฟัสกล่าว และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขารู้สึกคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เวลาที่ลู่ชางเอ่ยปากขออะไรแบบนี้
   “ไหนล่ะ ความสามารถของเทพเจ้าที่คุณอยากจะอวดผม”
   “อ่า..ใช่ ฉันจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้” ลู่ชางว่า และกดรหัสเพื่อเปิดประตูกระจกบานนั้น รูฟัสเดินตามเข้าไป เขาอยู่ท่ามกลางลิ้นชักแก้วขนาดสูงราวๆ สองเมตร ตรงกลางของลิ้นชักพวกนั้น มีตู้กระจกที่บุด้านข้างด้วยโลหะสีดำใบหนึ่ง ตรงกลางมีแท่งแก้วขนาดใหญ่ด้านในมีอะไรบางอย่างบิดตัวอยู่
   “นี่คือตัวจริงของเทซกา” ลู่ชางอธิบาย เขาชี้ให้รูฟัสดูสิ่งที่กำลังบิดตัวอยู่ในหลอดแก้วนั่น
   “มัน...มันมีชีวิตหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงทันที ขณะมองดูหลอดแก้วนั้น กลุ่มก้อนที่ขยับอยู่ แม้จะดูเหมือนกลุ่มก๊าซที่รวมตัวกันหนาแน่นจนกลายเป็นเส้นสีแดงคล้ำๆ แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของมันไม่เหมือนก๊าซทั่วไป เหมือนตัวหนอนที่กำลังดิ้นเร่าๆ อยู่ในหลอดแก้วเสียมากกว่า ได้ยินเสียงชายชราหัวเราะ
   “เรียกว่า เกือบ มีชีวิตล่ะ ตอนนี้มันคงพยายามจะมองเธออยู่ ท่าทางมันจะสนใจเธอนะ”
   รูฟัสพยายามจะคิดว่าเจ้าแก่นี่คงพยายามจะพูดกวนประสาทเขาเสียมากกว่า มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้ยังไง นี่ก็แค่สิ่งประดิษฐ์ที่มาจากนาโนเทคโนโลยีไม่ใช่หรือ?
   “ลองขยับตัวดูสิ มันจะหันตามเธอไป” ลู่ชางว่า แต่รูฟัสไม่อยากจะทำตามนัก เขาคิดว่าไม่ใช่ความจำเป็นอะไรที่จะต้องพิสูจน์เรื่องนี้  ชายหนุ่มหันไปมองลิ้นชักกระจกรอบๆ
   “แล้วไอ้ที่อยู่ในหลอดพวกนี้ล่ะ ใช่เทพเจ้าเหมือนกันหรือเปล่า?”
   “พวกนั้นคือส่วนที่เจือจางพร้อมใช้งาน” ลู่ชางกล่าว เขาเดินเข้าไปใกล้หลอดแก้วที่มีเส้นสีแดงคล้ำบิดเร่าอยู่ และกดรหัสอะไรบางอย่างลงบนบนฝาครอบแก้วนั้น
   “ส่วนเจ้านี่คือต้นแบบที่เข้มข้นพิเศษ ไม่มีใครอนุญาตให้ฉันทดลองเจ้าตัวนี้แบบเข้มข้นกับคนเลยสักครั้ง”
   รูฟัสขยับตัววูบ ทันทีที่พบว่าลู่ชางดึงหน้ากากกันแก๊สออกมาจากอกเสื้อ เขากระแทกสันมือเข้าที่ท้ายทอยของชายชรา พร้อมๆ กับที่เงาสีม่วงแดงลอยขึ้นมาตรงหน้า
------------------------------------------
   “เฮ้ สิงโต ฉันคิดว่าเสือขาวน่าจะมีปัญหานิดหน่อย” จู่รัสเลอร์ก็พูดขึ้นมา ราฟาแอลขมวดคิ้วทันที
   “ว่าไงนะ!!” หนุ่มผมบลอนด์กรอกเสียงปนเสียงหอบเข้าไปในไมโครโฟน เขาเพิ่งกระโดดขึ้นลิฟท์ส่งของหนีมาที่ชั้นจีสาม คิดว่าคงมีเวลาให้หายใจอีกพักหนึ่งก่อนที่จะมีใครไล่ตามมา
   “สัญญาณกล้องวงจรปิดในห้องที่หมอนั่นเข้าไปถูกตัดเมื่อกี้นี้เอง” รัสเลอร์ว่า ราฟาแอลโพล่งขึ้นมาทันที “หา?!”
   “มีคนเปลี่ยนทิศทางการส่งสัญญาณของมัน เหมือนจะย้ายไปต่อตรงกับที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่มอนิเตอร์หลักน่ะ” รัสเลอร์อธิบาย ราฟาแอลถามอย่างสงสัย “เพื่ออะไร แล้วใครทำน่ะ?”
   “ฉันคิดว่าเป็นลู่ชางนะ เหมือนเจ้าหมอนั่นคิดจะเล่นตุกติกอะไรซักอย่าง เลยถูกรูฟัสซัดร่วง แต่ว่าหลังจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป”
   “ติดต่อหมอนั่นไม่ได้หรือไง?” ราฟาแอลถามต่อ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ทำหน้าที่ด้านเทคนิคตอบปฏิเสธทันที “ห้องที่รูฟัสเข้าไปมีระบบกั้นคลื่นแม่เหล็กน่ะ ติดต่อผ่านวิทยุไม่ได้หรอก”
   “โอ้...ยอด...พระเจ้าช่างสร้างสรรค์จริงๆ ” ราฟาแอลว่า น้ำเสียงดูประชดประชันเช่นเคย  รัสเลอร์ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจจะประชดไปถึงฟ่งหรือเปล่า แต่ฟ่งไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเขา บางทีอาจจะไม่รู้มาก่อนก็ได้
   “เอาเถอะ อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าเจ้านั่นไปถูกห้อง หวังว่าจะเอาของกลับขึ้นมาได้แล้วกัน ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
   “อืม คิดว่านะ ถ้าลู่ชางไม่เอยปากบอกก็คงยังไม่มีใครรู้หรอก” รัสเลอร์ตอบ ราฟาแอลพยักหน้า เขาได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
   “ฉันจะถ่วงเวลาให้นานที่สุด นายลองพยายามหาดูซิว่าไอ้กล้องนั่นถูกเชื่อมสัญญาณไปที่ไหนกันแน่ ฉันรู้สึกว่ามันจะทำให้มีปัญหา”
   “ได้ ฉันจะลองดู” รัสเลอร์ว่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รู้ว่าสัญญาณนั่นต่อไปที่ไหน
------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงมองดูหลอกแก้วใสตรงหน้าที่มีกลุ่มควันสีม่วงลอยอ้อยอิ่งอยู่ด้านใน พลางนึกสงสัยว่านี่หรือคือสิ่งที่เรียกกันว่า เทพเจ้า สิ่งที่ทำให้พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้ ไอ้ควันสีพิลึกนี่น่ะหรือ ที่จะบันดาลความสุขให้เกิดขึ้นได้ เขาควรจะเชื่อพวกนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะอธิบายสรรพคุณของมันอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
   เว่ยจินหยินกำลังฟังคำอธิบายสรรพคุณนั้น อย่างน้อยตาของเขาก็ไม่ได้กลอกไปทางอื่น เขาจ้องเป๋งไปยังนักวิจัยในเสื้อกาวน์สีขาวตรงหน้า และคิดว่ามันเลยเวลาของการพูดพล่ามในเรื่องที่เขาใจยากนี่แล้ว การทดลองประสิทธิภาพของมันควรจะเกิดขึ้นเสียที
   “เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่าทุกคนคงต้องการจะเห็นประสิทธิภาพของมัน แต่แค่การทดลองกับคนของเราคงไม่ทำให้ท่านเกิดความเชื่อถือมากนัก ผมอยากจะขออาสาสมัครสักท่านหนึ่ง เพื่อมาพิสูจน์ความจริงนี้”
   เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในหมู่ผู้ร่วมประชุม ต่างคนต่างก็ไม่อยากให้ลูกน้องคนสนิทของตนเข้าไปเสี่ยง อย่างไรก็ดี เสียงติดต่อจากสปีคโฟนของทวีศักดิ์ ทำให้เขาพูดขึ้นมา
   “ผมเข้าใจดีว่าทุกท่านไม่อยากจะเสี่ยง แต่ผมขอยืนยันว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้ผลจริงๆ หากท่านไม่ต้องการจะเสี่ยงกับบุคคลของท่านผมเผอิญมีตัวอย่างจากสถานการณ์จริงอยู่ ผมอยากจะเสนอภาพเหตุการณ์นี้ให้พวกท่านชม”
   จอสามมิติตรงกลางถูกเปลี่ยนภาพจากรูปทรงทางเคมีเป็นภาพจากห้องห้องหนึ่ง  วินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบลง ก่อนจะมีเสียงอุทานอย่างอื่นขึ้นมาแทน
---------------------------------------------------------
   “ตายห่า!!!!” รัสเลอร์อุทานอย่างลืมตัว และอุทานซ้ำคำเดิมอีกสามรอบจนราฟาแอลที่กำลังโหนตัวอยู่ต้องเอ่ยปากถาม
   “เกิดไรขึ้น?”
   “ตายห่า!!  โอ๊ย ตายๆๆๆๆๆ !!” รัสเลอร์ยังคงสบถต่อ และพยายามตั้งสติพูดให้รู้เรื่องขึ้น หลังจากโดนอีกฟากของวิทยุสื่อสารเอ็ดตะโรกลับมา “เป็นXอะไรของแกอีกวะ”
   รัสเลอร์สูดหายใจเฮือกๆ แล้วพูดขึ้นในที่สุด “ราฟี่ ฉันรู้แล้วล่ะว่าไอ้กล้องวงจรปิดที่ถูกตัดสัญญาณไปมันไปโผล่ที่ไหน?” เขาตอบ และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ราฟาแอลฟัง  ราฟาแอลเบิ่งตาว้าง ก่อนจะอุทานออกมา
   “ตายห่า!!!”
-----------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 01-10-2011 08:24:16
คนโดนทดลองจะเป็นใครรูฟัสเหรอ รึว่าฟ่ง โอ๊ย!!! ลุ้นตัวโกงแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 02-10-2011 15:51:31
รูฟี่ นายรั่วขึ้นเยอะเลยนะตั้งแต่มาอยู่กับรัสเลอร์เนี่ย  :jul3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-10-2011 16:43:27
จะเกิดอะไรขึ้นอะ รูฟัสจะเป็นไรมะเนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 10-10-2011 22:19:13
แวะอ่านทีล่ะหน้า

ลุ้นกันทีละตอน

อีก ห้าหน้า บ่ฮูจักตอน  แต่คงสี่ห้าวันจบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 11-10-2011 16:40:12
โอได้คำตอบมาหนึ่ง (ถ้าเดาถูกน่ะ) ของตระกลูแล้ว

ว่าแต่จบงานนี้รูฟัสจะเปงงัยหว่า

สายลับหรือคนธรรมดา(ซ่อนตัวด้วย)
ไปอีกหน้า
เดียวมาต่อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 12-10-2011 08:04:50
อ่า

ตามมาทันแล้วจ้า

และลุ้นกันต่อไป
เหมือนจะเดาผิดผลาดไปแหะ
เอาเหอะ
ลุ้นๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่57 p10 30/9/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-10-2011 09:07:13
**เหมือนว่าตอน58จะหลุดไปพร้อมกับเซอเวอร์บอร์ดล่มสินะคะ... เดี๋ยวอัพไปก่อน แล้วค่อยอัพตอน59ต่อแล้วกันค่า

----------------------------------------

บทที่58 โลกหลังความตายของรูฟัส

   เสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่ดังขึ้น ทำเอาฟ่งต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เขาเกือบจะวิ่งหนีตอนนี้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดยูนิฟอร์มสีขาวพร้อมอาวุธครบมือวิ่งตะบึงมาจากระเบียง พร้อมกับตะโกนใส่วิทยุสื่อสารไปด้วย แต่โชคดีที่พนักงานขนของที่อยู่แถวนั้นดึงเขาให้หลบเข้ามุม และอธิบายว่าตอนนี้มีการไล่ล่าคนร้ายที่แอบเข้ามาอยู่ ถ้าเห็นฝรั่งผมสีบลอนด์ในชุดกาวน์สีขาวให้รีบแจ้ง
   แม้จะรู้สึกโล่งอกว่าคนที่ถูกพบไม่ใช่รูฟัส คงจะเป็นราฟาแอล แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ารูฟัสจะปลอดภัย ฟ่งแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องอยู่ใกล้ๆ กับห้องที่มีปัญหามากที่สุด ห้องที่ถูกวางระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ห้องที่ใช้สำหรับเก็บของสำคัญที่สุดของที่นี่  แต่เขากลับเลือกที่จะเดินออกไปในทิศทางตรงข้าม นั่นเพราะประตูที่เขาเพิ่งผ่านเข้ามาได้
   มีคนอนุญาตให้เขาผ่าน
   มันคงไม่ใช่เพราะความพยายามสแกนนิ้วมือซ้ำๆ ซากๆ หรือเพราะคำอธิฐาน หรือเพราะคนรักษาระบบเกิดเอ็นดูเขาขึ้นมาหรอก มีใครบางคนต้องการให้เขาลงมาที่นี่ ใครที่รู้การเคลื่อนไหวของเขา ใครที่สงสัยว่าเขากำลังจะลงไปหาอะไร ใครคนหนึ่งที่สามารถอนุญาตการผ่านเข้าออกได้
   ทวีศักดิ์
   ฟ่งไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้เริ่มสงสัยเขาตอนไหน อาจจะตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกัน ทวีศักดิ์ถามเขาหลายอย่าง ดูเหมือนจะไม่เชื่อใจ ฟ่งนึกไม่ออกว่าเขาแสดงพิรุธอะไรออกไป แต่ที่แน่ๆ การค้นหารูฟัสในเวลานี้กลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ทันที  คงมีเครื่องสงสัญญาณอะไรบางอย่างติดอยู่บนเสื้อผ้าที่ทางนั้นจัดหามาให้ ไม่อย่างนั้นคงไม่บังคับให้ทุกคนสวมเครื่องแบบเหมือนกันหมดหรอก ทางที่ดีคือเขาควรจะอยู่ห่างจากจุดน่าสงสัย และพยายามค้นหาเครื่องส่งสัญญาณติดตามแล้วทิ้งมันเสีย

   อิทธิเดชรู้ดีว่าทุกคนที่สวมเครื่องแบบของที่นี่จะมีเครื่องส่งสัญญาณติดพ่วงไปด้วย ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปที่ศูนย์บัญชาการโดยตรง และได้รับคำบอกตำแหน่งในเวลาไม่นาน ทำให้เขาสามารถติดตามตัวฟ่งซึ่งล่วงหน้าลงมาก่อนเขาได้โดยไม่ยาก
   หนุ่มหน้าสวยเดินผ่านกลุ่มพนักงานที่กำลังวุ่นอยู่กับการตามตัวผู้บุกรุกที่เพิ่งจับได้อีกคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นชาวต่างชาติ  อิทธิเดชนึกสงสัยว่าทวีศักดิ์รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง คงมีใครรายงานขึ้นไปแล้ว ถึงตรงนี้เขารู้สึกอิจฉาวรุตนิดหน่อย ที่มีพ่อคอยทำนั่นทำนี่ให้เพื่อตัวเอง วรุตไม่ควรจะมาจมปลักอยู่กับคนแบบเขา ทวีศักดิ์เองก็ไม่ควรจะต้องมากังวลเรื่องลูกชายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
   อิทธิเดชก้าวเท้าออกไปด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ทุกอย่างกำลังจะลงตัว เขาจะไม่ต้องแบกรับความน่าสะอิดสะเอียดของตัวเองอีก
   แค่ผู้ชายคนนั้นตายไปเสีย
-----------------------------------------
   เสี้ยววินาทีที่รูฟัสเห็นควันสีม่วงแดงลอยขึ้นมาตรงหน้า เขาสำนึกได้ว่าผิดพลาดขนานใหญ่ เขาน่าจะจัดการลู่ชางเร็วกว่านี้ การแบ่งสมาธิให้กับควันที่อยู่ตรงหน้าทำให้ฟาดสันมือลงไปไม่ตรงจุดนัก แต่มันช้าเกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้ว่าลู่ชางสลบหรือไม่  ควันสีประหลาดนั่นพุ่งเข้าใส่ราวกับมีชีวิต เขาสูดมันเข้าไปก่อนที่จะทันได้คิดว่าต้องกลั้นหายใจเสียอีก  สิ่งที่รูฟัสรู้สึกต่อมาคือเหมือนสติของเขาถูกตัดขาดออกจากร่างกาย ราวกับจู่ๆ ก็หลุดมาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง อย่างกับว่าฝันอยู่ทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่นั่นแหละ เพียงแต่มันแย่กว่า เพราะเขาไม่รู้สึกถึงตัวตนที่ยืนอยู่เลย ถึงจะบอกให้ตื่นสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะออกมาพบกับโลกแห่งความจริงได้
   สรุปคือวินาทีนั้นจิตสำนึกของรูฟัสถูกตัดขาดกับร่างกายอย่างสิ้นเชิง
   สิ่งที่รูฟัสเห็นคือแสงสว่างจ้า สว่างจนคิดว่าต่อให้มีอะไรอยู่ตรงหน้าเขาก็มองไม่เห็น นี่เขากำลังไปสรวงสวรรค์หรือเปล่า เคยมีใครบอกหรือเปล่านะว่าสวรรค์สว่างไสวแบบนี้ จิตใจของเขาเริ่มลอยฟุ้งไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเบาหวิว รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งผูกมัด ไม่มีขีดจำกัด
รูฟัสคิดว่าเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เขาไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแค่ควันสีแปลกๆ นั่นจะทำให้ตายได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถอนหายใจในความฝัน
   ตาย....มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
   ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เบาสบาย....
   นี่คือความสุขงั้นหรือ?
   ไม่รู้สึกถึงการมีร่างกายอีกแล้ว...
   ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว.... เหมือนว่าสามารถจะไปไหนหรือทำอะไรก็ได้  อา...แล้วเขาอยากจะไปที่ไหนกัน
   บ้าน.....
   บ้านหรือ?....
   รูฟัสคิดถึงบ้าน แต่บ้านแม้แต่ในตอนที่สติสัมปชัญญะเลือนรางเช่นนี้เขากลับนึกไม่ออก เสียงหัวเราะ หน้าตาพ่อ แม่ ดูมันช่างห่างไกลเหลือเกิน เหมือนมันผ่านมานานจนเขาลืมเลือนไปแล้ว จะมีก็แต่ดวงตาใสๆ กับปอยผมสีดำของผู้เป็นน้องสาวที่มองมายังเขาเท่านั้น
   ภาพนั่นเหมือนถูกซ้อนทับด้วยภาพของใครอีกคนหนึ่ง
   ฟ่ง!!
   รูฟัสยื่นมือไปแตะใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ฟ่งยิ้มให้เขา นัยน์ตาสีน้ำตาลหวานเยิ้มเหมือนลูกพีชสุก หนุ่มตาสองสีดึงรั้งร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลด้วยความโหยหา
   “ฟ่ง...”
   ร่างแกร่งกระซิบชื่อคนรัก แค่ได้อยู่ใกล้ๆ คนคนนี้เขาก็รู้สึกมีความสุข แทบไม่ต้องการอะไรในโลกนี้อีกแล้ว ขอแค่มีฟ่งอยู่กับเขา
   คนคนนี้คือความสุขของเขา
   ฟ่งเงยหน้า ยิ้มให้รูฟัสอย่างอ่อนหวาน ริมฝีปากสีชมพูขยับเข้าใกล้ใบหูของอีกฝ่าย กระซิบถ้อยคำอะไรบางอย่างที่ทำให้นัยน์ตาสองสีคู่นั้นเบิกโพลง
--------------------------------------------
   “สวัสดี ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน” เสียงของลู่ชางอู้อี้นิดหน่อยเพราะสวมหน้ากากอยู่ เขาคิดว่าทวีศักดิ์คงอนุญาตให้เชื่อมสัญญาณเข้าสู่ห้องประชุมแล้ว ชายคนนั้นคงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นเขาปรากฏตัวในสภาพเช่นนี้ คงคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำอย่างนี้ หรือบางทีอาจจะคิดไว้แล้ว หรือบางทีอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ บางครั้งลู่ชางก็รู้สึกว่าทวีศักดิ์มีอะไรบางอย่างคล้ายกับเขา ไม่สนใจสามัญสำนึก ให้ความสำคัญแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำเท่านั้น และสิ่งที่ทวีศักดิ์ต้องการจะทำมากที่สุดคือ สร้างความสุขที่ถาวรให้กับบุตรชายคนเดียวของตัว
   แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าทวีศักดิ์จะคิดอะไรถึงยอมให้เขาต่อสัญญาณเข้าไปได้ มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ทำให้เขาแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความสุขตอนนี้ก็คือ เขาสามารถแสดงผลการทดลองที่น่าตื่นเต้นให้คนอื่นๆ รับรู้อย่างสดๆ แม้จะผ่านทางกล้องวงจรปิดก็ตาม
   “ผมไม่รู้ว่าพวกท่านรู้จักชายซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของผมหรือไม่ ผมเองก็ไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อน การที่เขามาอยู่ที่นี่เพราะต้องการจะท้าทายอำนาจของ เทพเจ้า” ลู่ชางอธิบาย พร้อมกับผายมือไปยังชายซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา เสียงเซ็งแซ่ในห้องประชุมยิ่งดังขึ้น
   “เขาคือคนที่ลอบเข้ามาที่นี่” ทวีศักดิ์อธิบายแทรก เขาได้รับแจ้งจากแคลร์ว่าอาจจะมีคนลอบเข้ามาสองคน คนหนึ่งเขากำลังไล่ล่าตัวอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งเขาคิดว่าคนที่หายตัวไปอาจจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้เห็นว่าคงไม่จำเป็นจะต้องคาดเดาอีก ทวีศักดิ์รู้สึกตกใจตอนที่ลู่ชางติดต่อเข้ามา เขาคิดมาก่อนว่าชายแก่คนนี้จิตไม่ปกติ แต่ไม่คิดว่าจะทำอะไรบ้าบิ่นถึงขนาดพาคนที่ตัวเองไม่รู้จักเข้าไปในห้องลับนั่น อย่างไรก็ดีเขาก็ต้องขอบคุณความบ้านั่น ที่ทำให้สามารถจัดการกับตัวปัญหาที่แฝงเข้ามาอีกตัวหนึ่งได้ ทวีศักดิ์สั่งคนให้ตามลงไปที่นั่น เพื่อจัดการนำตัวชายคนนั้นขึ้นมา ระหว่างนั้นเขาไม่อยากจะขัดใจนักวิทยาศาสตร์เฒ่า เพราะไม่แน่ใจว่าลู่ชางจะทำอะไร หากรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงยินยอมที่จะให้มีการเชื่อมสัญญาณ
----------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงแทบจะลุกพรวดขึ้นในทันที ต่อให้ภาพมันเบลอกว่านี้ หรือสัญญาณถูกรบกวนมากกว่านี้เขาก็มันมีวันลืมร่างนั้นเด็ดขาด ร่างของผู้ชายที่สร้างบาดแผลฝังลึกไว้ในจิตใจของเขา ร่างของผู้ชายที่เขาเฝ้าโหยหามาตลอด ร่างของผู้ชายที่ขโมยเอาหัวใจของเขาไป
   รูฟัส!!!
   นัยน์ตาสีฟ้าใสสั่นระริก ร่างที่คุ้นตาอยู่ท่ามกลางลิ้นชักแก้วใสที่ภายในบรรจุหลอดอะไรซักอย่างเอาไว้ ตรงหน้า แท่งแก้วที่มีควันรูปร่างประหลาดบิดม้วนอยู่ นั่นน่ะรึ เทพเจ้า?!
   ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง เว่ยเฟิงปิงคงไม่เชื่อ เขาไม่อยากเชื่อว่าควันรูปร่างประหลาดนั่นจะมีคุณสมบัติตามที่นักวิจัยตรงหน้าอวดอ้าง แต่ว่าภาพที่ปรากฏอยู่นี้ แม้อยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามันคงเป็นการแสดง แต่รูฟัสมีเหตุผลอะไรที่ต้องแสดงท่าทางอย่างนั้น ท่าทางที่ไม่เหมือนกับคนมีสติสัมปชัญญะนั่น!!
   ท่าทางราวกับคนที่ถูกกระชากวิญญาณออกไปแล้ว
   “อา...ทุกท่านคงสงสัย อาการที่เขาเป็นอยู่นี้ใช่การแสดงรึเปล่า ผมจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ว่านี่คือสิ่งที่เทพเจ้าบันดาล” ลู่ชางพูดต่อ เขาวางโทรศัพท์ลง และเดินไปยังชายหนุ่มที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ นัยน์ตาสองสีที่มองอย่างเลื่อนลอยประกอบกับรูปหน้าของผู้เป็นเจ้าของช่างเหมือนงานประติมากรรมชั้นยอด ชายชราหยีตามองใบหน้านั้น ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่สุดแรง
   !!!!
   เสียงตบดังพอจะถ่ายทอดผ่านหูโทรศัพท์มาถึงคนที่อยู่ภายในห้องประชุม  เว่ยเฟิงปิงขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ถูกมือของพี่ชายกดเอาไว้ นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเหลือบมาทางเขาเหมือนปรามอยู่ในที แม้จะรู้สึกขุ่นเคือง แต่มันก็ทำให้เขาได้สติ เว่ยเฟิงปิงกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ แข็งใจทนดูภาพเหตุการณ์นั้นต่อ
--------------------------------------------
   ใบหน้าของรูฟัสยังคงนิ่งเฉย ขณะที่ท่วงท่าเปลี่ยนไปตามแรงที่ถูกกระทำ ทำให้เขาอยู่ในสภาพแปลกประหลาด หน้าหันไปข้างหนึ่ง แต่ยังยืนค้างอยู่ เหมือนภาพวิดิโอที่ถูกกดหยุด  คราวนี้ลู่ชางหัวเราะลั่น เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นจะมีผลต่อสมองของมนุษย์ถึงขนาดนี้ ตอนนี้สติของผู้ชายคนนี้คงกำลังล่องลอยอยู่ที่ไหนซักแห่ง โดยที่ละทิ้งร่างกายที่ยังทำงานอยู่เอาไว้เบื้องหลัง
   เขาจับใบหน้าที่หันอยู่นั้นกลับมา จ้องมองดวงตาคู่แปลกประหลาดนั่น ช่างเป็นตัวอย่างที่หายาก อยากเหลือเกิน อยากที่จะได้ตัวอย่างนี้เก็บเอาไว้
   ชายชราล้วงมีดผ่าตัดขึ้นมา ไล้นิ้วมือไปตามร่องเบ้าตาของร่างที่ยืนแข็งทื่ออยู่ หากเป็นตอนนี้ล่ะก็ การเก็บตัวอย่างก็ง่ายนิดเดียว แค่กรีดลงไป เลือดก็คงไหลทะลักออกมา ทุกอย่างที่เขาต้องการ พันธุกรรมของคนคนนี้
   ปลายมีดผ่าตัดค่อยๆ บรรจงกรีดลงไปบนร่องเบ้าตานั้น สีแดงสดของของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายรินไหลออกมาตามรอยที่กรีดลงไป
--------------------------------------------
   ชายคนหนึ่งผุดลุกขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นเซ็งแซ่ในห้องประชุม
   “ตัวยาของคุณน่าสนใจมาก” เว่ยจินหยินกล่าว การกระทำของเขาดึงความสนใจของคนในห้องประชุมจากการถ่ายทอดสดนั่น เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง  เขากำลังจะลุกขึ้นและตะโกนว่าพอกันทีในตอนที่พี่ชายของเขาขยับร่าง เว่ยจินหยินไม่หันกลับมามองผู้เป็นน้องชาย นัยน์ตาสีดำจ้องเขม็งไปที่ควันสีม่วงที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหลอดแก้วเบื้องหน้า และเอ่ยขึ้นต่อ “ผมคิดว่าได้เห็นการทดลองที่น่าพอใจแล้ว มันน่าสะอิดสะเอียนถ้าจะต้องดูการทดลองอะไรที่เลอะเทอะนั่น”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายของเขาอย่างไม่เชื่อหู นี่เว่ยจินหยินกำลังพูดเพื่อช่วยรูฟัสหรือ? เพื่อช่วยเขาหรือ?  ทวีศักดิ์พยักหน้า และพูดกรอกลงไปในสปีคโฟน เว่ยจินหยินหรี่ตา และพูดประโยคต่อมา
   “คุณคิดจะขายมันเท่าไหร่?”
------------------------------------
   “โอ๊ย!! ตายๆ ...” รัสเลอร์ครางหลังจากแหกปากอุทานซ้ำๆ ซากๆ ก่อนหน้านั้นหลายรอบ จนราฟาแอลต้องตะคอกใส่ “นายตัดสัญญาณที่เชื่อมไปไม่ได้หรือไง?!!”
   “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก” หนุ่มผมสีน้ำตาลกล่าว โคลงศีรษะไปมาอย่างกังวลใจ “แต่ถ้าตัดตอนนี้ทางนั้นจะรู้ทันทีว่าฉันอยู่ที่นี่”
   คนฟังที่กำลังวิ่งอยู่เงียบไปพักใหญ่ ความจริงเขาควรจะหาที่สงบๆ และคุยเรื่องนี้กับรัสเลอร์อย่างจริงจัง แต่พวกที่วิ่งไล่หลังเขามาอยู่คงไม่ยอมแน่ๆ
   “เฮ้ย!!!” รัสเลอร์อุทานใส่ไมโครโฟนอีกครั้ง ก่อนจะกรอกเสียงตามลงไปอย่างร้อนรน
   “ราฟี่ อีกนานมั้ยกว่านายจะไปถึงรูฟัสน่ะ?”
   “นายคงต้องถามไอ้พวกบ้าที่วิ่งไล่หลังฉันอยู่เนี่ย!” ราฟาแอลตะโกนกลับมา ตามด้วยเสียงปืนอีกสี่ห้านัด รัสเลอร์เคาะนิ้วลงหน้าแป้นคีย์บอร์ดอย่างวิตกจริต ภาพของรูฟัสที่เขามองเห็นจากกล้องวงจรปิดทำให้รัสเลอร์ทำอะไรไม่ถูก สภาพแบบนี้รอให้ราฟาแอลไปถึงคงจะไม่ทันการ
   “ราฟี่ ฉันว่านายอาจจะไปไม่ทัน!” เสียงพูดประโยคนี้ของรัสเลอร์ทำให้ราฟาแอลที่กำลังเปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนพร้อมกับวิ่งไปด้วยอุทานอย่างสงสัย
   “ทำไม? เกิดอะไรขึ้นอีกหรือไง?”
   รัสเลอร์เล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น ราฟาแอลพยักหน้า เขาหันไปยิงสกัดพวกที่วิ่งตามมาอีกสองนัด ก่อนจะหลบเข้ามุมเสา
   “ดับไฟซะ!!”
   “หา!!” รัสเลอร์อุทานอย่างไม่เชื่อหู ตะกี้ราฟาแอลพูดว่าอะไรนะ ดับไฟ?
   “เฮ้!! ราฟี่ นายว่าไงนะ?”
   หนุ่มผมบลอนด์ขบฟัน ก่อนจะหันไปยิงตอบโต้พวกที่ตามมาอีกชุดหนึ่ง เขากรอกเสียงลงไป
   “ฉันบอกว่าให้ดับไฟซะ!!!”
------------------------------------------
   แรงสะท้อนจากการระเบิดเล็กๆ ของลูกตะกั่วที่ส่งผ่านพานท้ายปืนมายังมือนัดแล้วนัดเล่า ย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญ ราฟาแอลกำลังชั่งใจ เวลาแบบนี้เขาควรทำอะไร ช่วยรูฟัส หรือปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง?
   เจ้าเด็กตาสองสีนั่นกำลังตกอยู่ในอันตราย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบไปช่วย  แต่ว่า...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รูฟัสเผชิญภาวะวิกฤต และถ้าหากเขาไปช่วยไม่ทัน....
   ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์
   นิ้วของเขาเหนี่ยวไกอีกครั้ง เสียงระเบิดที่ถูกดูดซับด้วยที่เก็บเสียงที่ติดตั้งไว้ตรงปลายกระบอกปืนช่างฟังดูเงียบสงบสิ้นดี ต่างกับความวุ่นวายที่กำลังเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิง เขากำลังมุ่งหน้าไปช่วยรูฟัส คู่หูของเขา ตามหน้าที่เพื่อนร่วมงานที่ดี ตามสิ่งที่เขาได้เคยสัญญาณเอาไว้กับอเล็กเซ ผู้เป็นคนที่เก็บรูฟัสมาเลี้ยงและเป็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง
   แต่ว่าถึงตอนนี้ กับสิ่งที่รัสเลอร์เห็น เขาอาจจะไปถึงช้าเกินไป.....
   สิบสามปีแล้ว ที่รูฟัสย้ายมาอยู่กับเขา สิบสามปีที่ทำงานร่วมกัน สิบสามปีที่เด็กนั่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต สิบสามปีผ่านไปราฟาแอลได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการมีคู่หู หนึ่งในนั้นคือการเชื่อมั่นในตัวของอีกฝ่าย
   ราฟาแอลเชื่อมั่นในตัวรูฟัสอย่างไม่มีข้อสงสัย ด้วยเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้เขาจะทำเรื่องหลายอย่างที่คาดไม่ถึงอยู่บ้างในระยะหลังๆ เช่นหนีตามผู้ชายไปฮ่องกง แต่ราฟาแอลก็ยังมีความเชื่อมั่นอยู่ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็คิดแบบนั้น
   ไม่ว่าสิ่งที่รูฟัสจะเผชิญอยู่คืออะไร เจ้าหมอนั่นจะต้องรอดมาได้
   ดวงไฟเหนือศีรษะยังคงสาดแสงสีขาวนวลของมันลงมา รัสเลอร์ให้สัญญาณเขาแล้ว อีกห้าวินาทีไฟทั้งหมดจะดับลง รูฟัสจะรอดอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า? ราฟาแอลตอบตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เขาตอบได้ตอนนี้คือ........
   ในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่ตัวรูฟัสเองเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้
-------------------------------------------------
   รัสเลอร์ป้อนคำสั่งเข้าสู่ระบบที่เขาควบคุมอยู่เพื่อจะดับไฟ เขาได้ยินเสียงระเบิดของลูกกระสุนที่อีกฝ่ายหนึ่งยิงเข้าใส่ราฟาแอลดังผ่านหูฟัง ถ้าจะมองให้ยุติธรรมแล้ว ทางราฟาแอลเองก็ไม่ได้เสี่ยงน้อยไปกว่ารูฟัสเท่าไหร่เลย รัสเลอร์ไม่เคยถูกยิงด้วยปืน แค่ถูกต่อยกับมีดบาดก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอยากจะทดลองความเจ็บปวดจากลูกกระสุน และคิดว่าคงไม่มีใครอยากจะทดลอง คำสั่งของราฟาแอลทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้น ในเวลาแบบนี้ ไม่มีใครมีทางเลือกมากนัก รูฟัสเองก็เช่นกัน
   ถึงยังไงในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่ต้องภาวนาให้รูฟัสสามารถเอาตัวรอดมาได้ด้วยตัวเองเท่านั้น
   นี่คือสิ่งที่เขาสามารถทำให้ได้มากที่สุด
   อีกห้าวินาที
----------------------------------------------------
   ลู่ชางชะงักมีดในมือ ไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงของทวีศักดิ์ แต่เขานึกขึ้นได้ว่า ตาสองสีแบบนี้จะสวยตอนที่มันอยู่ในเบ้าตาของเจ้าของ ดังนั้นชายชราจึงลดมีดลง จ้องใบหน้าพร้อมกับดวงตาที่ไร้ความรู้สึกนั่นอีกครั้ง
   อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้พ่อหนุ่มคนนี้กำลังฝันแบบไหน
   ริมฝีปากหย่อนคล้อยเริ่มกระตุก ก่อนที่เสียงหัวเราะคุ้มคลั่งจะตามมาอีกชุดใหญ่ ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ลู่ชางจะหยุดตัวเองจากการหัวเราะได้ ชายชราถูมือไปมา นี่มันวิเศษมากไม่ใช่หรือ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่ใช่การหมดสติแบบที่ร่างกายสูญเสียการควบคุมและไม่สามารถพยุงเอาไว้ได้ นี่มันเหมือนหยุดเวลาเอาไว้ กล้ามเนื้อและส่วนต่างๆ ยังคงอยู่ในอาการตอนแรก มีเพียงแต่สติสัมปชัญญะเท่านั้นที่สูญเสียไป
   แบบนี้ต่อให้ควักหัวใจออกมาก็น่าจะยังยืนอยู่ได้
   ลู่ชางถูมือไปมาอีกครั้ง ภาพหัวใจที่กำลังเต้นต่อหน้าเจ้าของที่ยังยืนอยู่ มันคงจะสวยงามอย่างหาคำบรรยายไม่ได้ หัวใจสีแดงสดที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เชื่อมต่อด้วยเส้นเลือดใหญ่ กำลังสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ของมัน โดยอยู่ในมือของเจ้าของมันเอง นี่คือสิ่งที่น่าอภิรมณ์ไม่ใช่หรือ?
   “อยากดูหัวใจของเธอเต้นรึเปล่า พ่อหนุ่ม?”
   ชายชราเอ่ย พร้อมวาดมีดผ่าตัดในมือไปมาตรงหน้าชายหนุ่มซึ่งยังคงได้ปฏิกิริยาตอบโต้
   อีกสี่วินาที……………
---------------------------------------------------------
   ฟ่งกำลังยืนอ้าปากค้าง เขาพยายามจะหาเครื่องดักฟังที่ติดอยู่ที่เสื้อ แต่กลับพบบางอย่างที่น่าตกใจกว่านั้น เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงที่มีมากมายหลายช่องนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีอาจจะอยู่ตั้งแต่แรก หนุ่มสวมแว่นพิจารณาสิ่งประดิษฐ์ในมืออีกครั้ง แม้ว่ามันจะดูเล็ก น้ำหนักเบา และรูปทรงอาจจะแปลกไปบ้าง แต่ลำกล้อง และไกแบบนี้ มันเป็นลักษณะของปืนไม่ผิดแน่
   ทำไมถึงมีปืนประหลาดนี่อยู่ในชุดที่เขาสวม?
   ฟ่งไม่แน่ใจว่าพนักงานทุกคนของที่นี่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ ถ้าให้พกอาวุธจริงทำไมถึงไม่บอกเขาล่วงหน้า หรือว่านี่จะเป็นเสื้อของคนอื่นที่หยิบผิดมาก็ได้ แต่ใครมันจะลืมหรือเอาปืนใส่เอาไว้ในเสื้อที่ยังไม่ได้ใส่กัน หรือมีใครจงใจจะมอบมันให้เขา จงใจจะให้เขาพบ แต่ว่าจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?
   อีกสามวินาที.....
----------------------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินอย่างใจเย็นเข้ามายังระเบียงของล็อกจีสิบสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเป้าหมายของเขาจึงหยุดอยู่นิ่ง บางทีอาจจะกำลังทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องเก็บมาคิดให้เสียเวลา  หนุ่มหน้าสวยกระชับปืนออโตแมติกขนาดเก้ามิลลิเมตรในมือ นี่คือสิ่งที่จะปลดปล่อยเขาออกจากพันธนาการทุกอย่าง ทันทีที่พบกับผู้ชายคนนั้น
   ผู้ชายสวมแว่นคนนั้น...
   นัยน์ตาสีดำของอิทธิเดชหรี่ลง เขาชะงักฝีเท้า รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่เห็นว่าคนที่เขาหาตัวกำลังยืนอยู่เฉยๆ แต่ช่างเถอะ นี่คงเป็นโอกาสที่ดี
   ปากกระบอกปืนสีดำถูกยกขึ้น เล็งไปยังเป้าหมาย พร้อมกับนิ้วเรียวที่เหนี่ยวไกช้าๆ
   อีกสองวินาที......
----------------------------------------------------------------
   เงียบ...
   นั่นคือสิ่งที่วรุตรู้สึก มันช่างต่างกับความเป็นจริงรอบตัวเขาตอนนี้เหลือเกิน  ผู้ชายสวมแว่นที่มาจากฮ่องกงทำให้คนในห้องทั้งห้องเป็นบ้าด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ตอนนี้ทุกคนกำลังเจรจาซื้อขายตัวยางี่เง่านี่กันอย่างบ้าคลั่ง โดยมีพ่อของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง จนถึงตอนนี้วรุตสงสัยจริงๆ ว่าพ่อจะให้เขามาอยู่ที่นี่ทำไม เพื่อรับรู้สิ่งเหล่านี้หรือ รับรู้ว่าพ่อของตัวเองคบค้ากับมาเฟียต่างชาติ สร้างห้องลับ ทำยาเสพติดที่อันตรายขาย  แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงพยายามกีดกันเขานัก หรือว่าพ่อของเขาตัดสินใจจะให้เขารับช่วงต่อกิจการพวกนี้
   ..............................
   หูของวรุตอื้อไปหมด แม้จะได้ยินเสียงที่ผ่านเข้ามาแต่สมองของเขาไม่มีที่ว่างพอจะประมวลผลถ้อยคำพวกนั้น พ่อของเขากำลังจะให้เขามีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องพวกนี้หรือ? ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาได้ก้าวย่างเข้ามาในโลกที่ตัวเองแสนจะรังเกียจที่สุด ด้วยน้ำมือของผู้เป็นพ่อ... ไม่สิ... เขามาอยู่ที่นี่ได้ เพราะผู้ชายคนนั้นต่างหาก
   ผู้ชายที่เขาให้สัญญาว่าจะปกป้อง
   ลูกชายของประธานการประชุมมองดูภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งยังคงฉายอยู่โดยไม่มีใครให้ความสนใจอีกด้วยดวงตาซึมเซา เห็นได้ชัดว่าคนที่สวมหน้ากากนั่นไม่ได้สนใจคำพูดของพ่อเลยสักนิด เขายังคงไม่รามือจากเหยื่อ วรุตไม่อยากจินตนาการว่ามีดผ่าตัดในมือที่ผู้ชายคนนั่นแกว่งอยู่จะกรีดลงไปบนส่วนใดของร่างกายรูฟัส ที่เขาอยากรู้คือ ตอนนี้ฟ่งกำลังทำอะไรอยู่ จะรู้ไหมว่าคนที่เขาพยายามจะตามหา หรือช่วยเหลือ หรืออะไรซักอย่าง จนต้องเสี่ยงชีวิตเข้ามาในที่แบบนี้ กำลังถูกเฉือนทีละน้อยอย่างไร้หนทางต่อต้าน โดยไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ
   ถ้ารูฟัสตาย ฟ่งจะรู้สึกอย่างไร?
   จู่ๆ หัวใจของวรุตก็ปวดแปลบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแทนผู้ชายสวมแว่นคนนั้นนัก แค่คิดว่าความพยายามทั้งหมดที่ฟ่งทำมานั้นคงสูญเปล่า และไร้ความหมาย ถ้ารูฟัสไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว ไม่ว่ารูฟัสจะคิดกับฟ่งอย่างไรไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่ทำให้ฟ่งเดินมาถึงจุดนี้ คือความรู้สึกที่มีให้รูฟัส
   แล้วตัวเขาล่ะ? มาอยู่ตรงจุดนี้ด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่?
   มีแต่ความเงียบที่เย็นยะเยือกจนน่ากลัวก่อตัวขึ้นมาในหัวใจ
   อยากจะปกป้อง อยากจะช่วยเหลือ แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เขาทำสำเร็จ เขาปล่อยให้ฟ่งไปในที่ที่ตัวเขาเองไม่รู้จัก ปล่อยให้อิทธิเดชตามผู้ชายคนนั้นไป และตัวเองก็นั่งดูและฟังสิ่งงี่เง่าที่กำลังดำเนินอยู่ โดยที่ไม่มีปัญญาจะทำอะไรต่อได้
   สุดท้ายแล้วมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำอะไรอย่างที่หวังไม่ได้เลย ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดเอาไว้ ไม่แม้แต่เพียงเสี้ยวหนึ่ง กลายเป็นคนที่ก้าวให้เข้ามาสู่โลกที่ตัวเองรังเกียจ
   วรุตเบือนสายตาออกจากภาพความวุ่นวายตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย
   ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจอะไรอย่างที่มันควรจะเป็นเลยจริงๆ

   อีกหนึ่งวินาที..................
---------------------------------------
   มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าโลกหลังความตายเปรียบเสมือนการหลับฝันไปแล้วไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะฝันร้ายอย่างไรก็ไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อหนีจากฝันร้ายนั่นได้  ตอนนี้รูฟัสนึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นี้ใช่โลกหลังความตายที่ว่าหรือเปล่า
   ร่างผอมบางในอ้อมกอดเขาช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองเขา และเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของรูฟัสพองโต หากนี่คือโลกหลังความตายเขาคงไม่ได้อยู่ในฝันร้าย มันเป็นฝันที่ดีที่เขาไม่คิดว่าจะมีวันเกิดขึ้น
   อา...ถ้าเป็นฟ่งจริงๆ ล่ะก็ คงไม่มีวันมานั่งในอ้อมกอดเขา มองเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม และพูดคำคำนั่นออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่ๆ
   คำที่เขาอยากจะได้ยินที่สุด
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั่นอย่างใคร่ครวญ นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นช้อนขึ้นมองอย่างสงสัย ริมฝีปากที่เขาเคยปรารถนาเอื้อนเอ่ยคำถามที่ชวนให้สะอึก
   “คุณไม่รักผมหรือ?”
   รูฟัสยิ้มให้ร่างนั้น  ไม่รักงั้นหรือ? เขารักแทบเป็นแทบตาย รักจนจะเป็นบ้า รักจนไม่รู้จะอธิบายออกไปเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ยังไง รักมากมายเสียจนตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
   “ผมรักขนาดที่จินตนาการไม่ออกเลยล่ะ”
   ดวงตาสีน้ำตาลกลอกไปมาเหมือนไม่เชื่อ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงได้เย็นชานัก ทำไมถึงไม่ทำอะไรอีก ทำไมถึงแค่กอดผมไว้เฉยๆ”
   รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของรูฟัส พร้อมกับมือที่ลูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้น
   “คุณเป็นฝันที่ดี คุณเป็นสิ่งที่ผมฝัน แต่ผมนอกใจไม่ได้หรอก”
   ร่างนั้นสั่นไหวนิดหน่อย ดวงตาหวานเยิ้มมองขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อ รูฟัสยิ้มอีกครั้ง
   “คุณไม่ใช่คนรักของผม คุณไม่ใช่ฟ่ง”
   ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดสั่นไหวอย่างรุนแรง รูฟัสอ้าแขนออก  มองดูความฝันแสนหวานตรงหน้าสลายไป
   ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
   ยังมีโอกาสที่จะทำให้ฟ่งพูดคำคำนั้นออกมาจากใจ ถ้าหากเขารอดกลับไปได้

!!!!!!!!!!
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่58 p10 12/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 12-10-2011 11:48:30
เง้อ~ นึกว่าอัพตอนใหม่ แต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าได้เม้นท์ไปแล้วรึยังเหมือนกัน
เชียร์ให้รูฟัสตื่นมาพบกับความเป็นจริงซักทีค่ะ เป็นตอนที่อ่านแล้วอึดอัดมากกกกกกกกกกกกกกกกก
วันนี้กะประเดิมเรื่องใหม่ Out of order ทีนี้ก็จะเหลือแค่ นกยูงแดงเรื่องเดียวแล้วสิ...คิดหนักแฮะ
มันล้ำหน้าไปไกลจนเห็นลางเหนื่อยถ้าจะตามให้ทัน (ขอผลัดไปก่อนแล้วจะค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ ละกันนะคะ เป็นประเภทจะไม่เม้นท์อะไรถ้ายังตามไม่ทันตอนล่าสุด)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่58 p10 12/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 12-10-2011 23:41:46
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่58 p10 12/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-10-2011 10:49:36
**แวะมาแปะเพิ่มล่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจัดหน้าของเล่ม8อยู่ ซึ่งเป็นเล่มจบของเรื่องนี้ (ส่วนเล่ม9จะเป็นเล่มซึ่งรวมตอนพิเศษนะคะ) จัดไปก็... เฮ้ย ในที่สุดมันก็มาถึงเล่มจบแ้ล้วเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อจริงๆ (และ... มันจะยาวกี่หน้าก็ยังไม่รู้อีกเช่นกัน) เพราะเล่ม7จัดหน้าเสร็จแล้ว รวมรูปประกอบและทอล็กเข้าไปก็ได้เกือบ230หน้าแล้ว (จากเล่มก่อนที่มีแค่210หน้า)

ส่วนเล่มพิเศษ เนื้อหายังเขียนไม่หมด แต่เท่าที่มีอยู่ตอนนี้ ก็คาดว่าอย่างต่ำคงจะ140หน้าขึ้นแล้ว จากเดิมที่คิดว่าคงจะสักร้อยกว่าหน้า.. อาจจะพุ่งเป็น200หน้าอัพก็ได้ (ม่ายยยย)

เอาล่ะ ยังไงก็จะเข็นออกมาให้ครบประมาณช่วงสิ้นปีนี้ให้ได้นะคะ ยังไงตอนนี้ก็ตามอ่านเนื้อหาของช่วงปลายเล่ม6ไปพลางๆ แล้วกันค่า~
-------------------------------------------------
บทที่59 ปาฏิหาริย์

   เสียงกริ๊กที่ดังขึ้น แม้เพียงแผ่วเบา ก็ดังพอที่จะให้ฟ่งหันหน้าไปมองที่มาของมันได้ สิ่งที่เขาเห็นคือ ปืนกระบอกหนึ่งกำลังจ่อมาทางเขา และผู้ที่ถือมันอยู่
   อิทธิเดช!!
   โดยสัญชาตญาณ ร่างบางคว้าอาวุธที่ตัวเองยังสงสัยในที่มาของมันอยู่ ขึ้นเล็งใส่อีกฝ่ายทันที
   !!!!!
-------------------------------------------
   เสียงปืนเงียบลงแล้ว แทบจะพร้อมกับความมืดที่เข้ามาเยี่ยมเยียนอย่างกระทันหัน แน่นอนว่าอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น มีเสียงตะโกนสั่งและก่นด่าตามมา ราฟาแอลบรรจุแม็กกาซีนปืนอย่างเบามือ จากคำบอกเล่าของรัสเลอร์ ระบบจะทำการกู้คืนไฟฟ้าทั้งหมดโดยอัตโนมัติในอีกราวๆสิบห้าถึงยี่สิบวินาที ในช่วงเวลานี้ หวังว่าเจ้ารูฟัสคงมีปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง
-------------------------------------------
   แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่รัสเลอร์มองเห็นคือแสงจากหน้าจอแอลซีดีจากเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาของเขา ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝ่ายควบคุมระบบต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่ามีคนเจาะเข้าไป และคำสั่งที่จะออกตามมาหลังจากไฟติดแล้วก็คงไม่พ้นตามหาคนที่เจาะระบบเข้ามาแน่ๆ ปัญหาคือเวลา
   ระบบไฟล์วอลเริ่มรีสตาร์ทตัวเองใหม่ และไล่หาผู้บุกรุกที่เข้ามา หากเขาถอนการเชื่อมต่อออกตอนนี้ อีกฝ่ายจะไม่สามารถจับตำแหน่งของเขาได้ แต่ถ้าถอนกำลังออกตอนนี้ หมายความว่าเขาจะสูญเสียการควบคุมระบบและการรับภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ได้อีก ทั้งเหตุการณ์ของราฟาแอล รูฟัส หรือแม้แต่เรื่องของเด็กผู้ชายสวมแว่นคนนั้น
   ฟ่ง
   รัสเลอร์ไล่นิ้วลงไปบนแป้นคีย์บอร์ด มีเหตุผลมากพอที่เขาจะยอมเสี่ยงสำหรับเรื่องนี้ หวังว่าราฟาแอลคงจะหาทางออกเอาไว้แล้ว
------------------------------------------------
   ปาฏิหาริย์.....
   ถ้าพูดให้ถูกสำหรับรูฟัสตอนนี้มันคืออาการทางประสาท ประสาทรับรู้ของเขาแทบทั้งหมดไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของสมอง จนถึงตอนนี้รูฟัสยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขากลับมาสู่โลกแห่งความจริงแล้วหรือยัง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือความมืดที่ว่างเปล่า ล่องลอย ไม่ได้ยินทั้งเสียง ไม่เห็นทั้งภาพ ไม่รู้สึกอะไรแม้กระทั้งการมีอยู่ของร่างกาย แต่ดูเหมือนเขาจะกำลังกลอกตาและกะพริบตาอยู่
   หรือว่าประสาทการมองเห็นของเขาเสียไปแล้ว!
   ความรู้สึกตกใจแสดงออกมาในแง่ของกระแสความร้อนผ่านวูบจากดวงตาลงไปสู่หัวใจที่เต้นตุ๊บๆ  อ้อ... ยังมีหัวใจที่เต้นอยู่อีก ระหว่างที่เขาไม่รู้สึกตัวนี่ ตาแก่บ้านั่นทำอะไรกับร่างกายเขาไปบ้าง  คนอย่างลู่ ชาง คงไม่ปล่อยไอ้ยานรกนั่นใส่เขาเพื่อจะยืนดูผลของมันเฉยๆ หรอก ตาแก่นั่นอาจจะควักลูกตากับสมองของเขาพร้อมด้วยหัวใจใส่โหลดองไปแล้วก็ได้ รูฟัสคิดว่าถ้าปากเขามีความรู้สึกตอนนี้มันคงแค่นยิ้มอยู่ ความคิดฟุ้งซ่านที่อาจจะเป็นผลมาจากยาหรือติดมาจากบทสนทนาอันแสนวิปลาสของชายชราผู้ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้  เอาล่ะ ก่อนที่จะมีความคิดงี่เง่าแบบเมื่อครู่ตามมาอีก เขาจำเป็นต้องคิดในสิ่งที่ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพวะแบบนี้สมควรคิดถึงเป็นอันดับแรก
   การเอาตัวรอด
   แม้แต่ร่างกายยังไม่รู้สึกแล้วจะเอาตัวรอดได้ยังไง...ให้ตายสิ
   รูฟัสคิดว่าถ้าเขาขยับมืออย่างไร้ความรู้สึก มันคงเขกบนหัวกะโหลกที่ไร้ความรู้สึกของเขานั่นแหละ  ท่าทางเขาคงกำลังมีอาการทางประสาทอ่อนๆ ไอ้นิสัยที่เคยยียวนกวนอารมณ์คนอื่นตอนนี้ ดันมาเป็นกับตัวเองเสียแล้ว
   เอาล่ะ ไอ้ตัวกวนประสาท หยุดนิสัยบ้าๆ แล้วคิดสิว่ามีอะไรพอจะทำได้ในเวลาแบบนี้บ้าง
   ทำให้ร่างกายกลับมามีความรู้สึกก่อน...
   เสียงตัวเองดังสะท้อนอยู่บนความตื้อตันของระบบความคิด อ่า ใช่...แต่ว่าจะทำยังไงล่ะ?
   ทำยังไงถึงจะสลายฤทธิ์ไอ้ควันนรกนี่ได้
-----------------------------------
   ไฟที่ดับวูบลงกระทันหัน ทำให้ลู่ ชางชะงักปลายมีดผ่าตัดไปโดยอัตโนมัติ ชายชราพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไฟทำไมถึงได้จงใจมาดับเอาตอนนี้ เขากำลังจะลดมีดลง แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นแว๊บเข้ามาในสมอง
   อาจจะเป็นฝีมือเพื่อนร่วมงานของหมอนี่ก็ได้
   ชายชรายิ้มให้กับตัวเองในความมืด คิดจะอาศัยจังหวะนี้มาช่วยเจ้าหมอนี่งั้นหรือ  อ่า..แย่จริงๆ  ต่อให้ต้องคว้านมีดลงไปในความมืดแบบนี้ก็สมควรจะต้องทำแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่ทันได้เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตอนที่ไฟติดขึ้นมาก็ได้  ถ้ามีคนมาร่วมชมอีกสักคนหนึ่งก็ยิ่งเป็นการดีไม่ใช่หรือ
   เสียงหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งดังขึ้นอีกครา...
-----------------------------------
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสรู้สึกดีใจกับเสียงหัวเราะราวกับปิศาจร้ายที่เขาได้ยิน นี่แปลว่าสติเขากลับเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่ก็เป็นอาการประสาทหลอนชนิดหนึ่ง เอาเถอะ ถึงเวลานี้นึกเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนไม่เสียหาย  เสียงหัวเราะแสนจะวิปลาสนั่นคงเป็นตาแก่สติเลอะเลือนนั่นแน่ๆ อยู่ใกล้ๆ นี่เองสินะ คงใกล้มาก ไม่งั้นไม่น่าจะได้ยินชัดขนาดนี้ ไอ้เรื่องตาที่ยังมองไม่เห็นนี่คงต้องปล่อยไปก่อน รวมถึงร่างกายที่ยังไม่รู้สึกนี่ด้วย แย่ชะมัด แบบนี้มันเหมือนถูกยาชาเลยไม่ใช่หรือไง ความจริงก็คงขยับได้หรอก แต่ไม่รู้สึกแค่นั้นเอง
   ขยับได้!!!
   รูฟัสคิดว่าสถานการณ์แบบนี้จะคิดเข้าข้างตัวเองอีกหนก็ไม่น่าจะเสียหาย เขาสั่งสมองให้สั่งการไปยังแขนซึ่งไม่มีความรู้สึกกระทำการบางอย่าง  ถ้ามันไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองจนน่าเกลียด  บางทีปาฏิหาริย์อาจจะมีจริงๆ ก็ได้
-------------------------------------
   ความรู้สึกถึงของแข็งบางอย่างที่มากระทบกับปลายมีดทำให้ชายชราขมวดคิ้ว ถึงจะมืดขนาดนี้ แต่เขาไม่น่ากรีดพลาดไปโดนกระดูก สรีระของมนุษย์นั้นแทบจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแทบจะตลอดเวลาในหัวสมองของเขา ต่อให้ถูกปิดหูปิดตาก็ไม่น่าจะผิดพลาด หรือว่า นี่เป็นส่วนอื่น?
   วัตถุแข็งนั่นขยับเล็กน้อย ก่อนจะร่วงลงสู่เบื้องล่าง และแทบจะพร้อมกัน
   เพล้ง!!
-------------------------------------------
   ปัง!!!
   อิทธิเดชเห็นแสงไฟแลบในความมืดที่มาเยือนกระทันหัน เกิดอะไรขึ้น ไฟดับ?!! แล้วคนตรงหน้าเขาล่ะ  นอกจากเสียงระเบิดของลูกตะกั่วที่อื้ออึงอยู่ในหัวแล้ว เขายังไม่ได้ยินเสียงอื่น หรือว่าเขาทำสำเร็จแล้ว? ชายหนุ่มหน้าสวยได้แต่ยืนนิ่ง ภาพก่อนไฟดับทำให้เขาคิดอะไรได้บางอย่าง
   ฟ่งมีปืน! ผู้ชายคนนั้นพกปืนเข้ามาในนี้ได้อย่างไร?
   โดยปกติแล้วใครก็ตามที่เข้ามาในที่นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ ต่อให้แอบเอาเข้ามาจริงๆ ก็ต้องตรวจเจอตอนสแกนเพื่อทำประวัติอยู่ดี งั้นทำไมผู้ชายที่มาถึงอย่างกะทันหันนั่นถึงมีปืนล่ะ? หรือว่าวรุตให้ไว้ แต่วรุตยิงปืนไม่เป็นนี่นา แถมเจ้าตัวเองก็ดูจะรังเกียจอาวุธชนิดนี้เสียจนน่ารำคาญ งั้นมันมาจากไหนกันล่ะ?
   หรือมีคนเอามาให้ แต่ใครจะรู้ว่าฟ่งอยู่ส่วนไหนนอกจากตัวเขาและศูนย์บัญชาการ หรือว่าเจ้านั่นมีพรรคพวกอื่นอยู่ในนี้อีก แล้วจะให้ปืนเอาไว้ทำไม เพื่อป้องกันตัวหรือ ฟ่งรู้หรือว่ามีคนต้องการเอาชีวิต อิทธิเดชนึกไม่ออกว่ามีใครแสดงท่าทีคุกคามชายคนนั้นตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ มีแต่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง คนที่มุ่งร้ายก็ดูจะมีแต่ตัวเขาเท่านั้น หรืออาจจะมีอีกคนหนึ่ง!!
   นิ้วมือของอิทธิเดชสั่นระริก เขาภาวนาให้ฟ่งตายไปเสีย เขาจะลืมสิ่งที่เขาคิดเมื่อครู่ ลืมไปพร้อมกับความตายของผู้ชายคนนั้น ใช่แล้ว ตายไปเสียเถอะ ได้โปรด ตายไปก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามถึงที่มาของปืนนั่น
   ตายซะ!!
-------------------------------------------
   ฟ่งยืนตัวแข็งทื่อ สิ่งที่เขาเห็นคือลูกปืนสีทองที่พุ่งเข้ามาอย่างแช่มช้า ไอ้นี่ล่ะมั้งคือสิ่งที่เรียกว่าวินาทีแห่งความตาย มันช่างเชื่องช้า และชวนให้คลื่นเหียน กับภาพความทรงจำที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่เสี้ยววินาที ทั้งภาพของแม่ พี่สาว เพื่อนร่วมชั้นเรียน อดีตแฟนสาวที่เขาเคยรัก และสุดท้าย ภาพของนัยน์ตาสีเทาและเขียวที่น่าหลงใหล นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

   ฟ่งคิดว่าตัวเองคงตายแล้ว แต่ไอ้กลิ่นเหม็นไหม้เหมือนขนสัตว์ที่โชยมาเข้าจมูกทำให้เขาต้องคิดใหม่ พอมาสำรวจดูแล้ว ไอ้หัวใจที่เต้นตุ้บๆ เหมือนจะกระดอนออกมานี่คงเพียงพอที่จะบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ งั้นที่มืดไปนี่ล่ะ?
   ชายหนุ่มไม่มีสติดีพอจะคิดถึงสาเหตุที่มาของความมืดนี้ สิ่งที่เขาทำได้อย่างสุดความสามารถคือพยุงตัวเองไม่ให้ล้มพับลงไป ฟ่งรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทา ลมหายใจที่ติดขัดขาดห้วง เขากำลังหวาดกลัว หวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และไม่ว่าจะพยายามจะปลอบใจตัวเองอย่างไร แต่ขาทั้งสองข้างมันก็คงจะทนยืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
   ปัง!!
   แทบจะพร้อมกับขาที่อ่อนยวบลง แสงไฟสีแดงแลบออกมาจากกระบอกมฤตยูนั่นอีกรอบ ฟ่งรู้สึกเหมือนมีลมร้อนเฉี่ยวผ่านศีรษะเข้าไป นี่ถ้าไม่ทรุดลงก่อนไม่ต้องบอกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเสียงที่แสนจะดังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจนั่นก็ดังขึ้นอีกหลายรอบ พร้อมกับแสงดินปืนปะทุสีแดงสว่างวาบ
   ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
   ฟ่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ แทบจะอ้าปากร้องออกมา เสียงปืนล่าสุดที่เขาได้ยินคือซ้อมยิงเป้าสมัยเรียนรักษาดินแดน แต่นี่มันแย่กว่า เสียงกระสุนจริงมันดังกว่าหลายเท่า แถมไอ้เป้าที่ใช้ยิงยังเป็นตัวเขาเองอีกนี่ ถ้าจะพูดว่ากลัวจนร้องไม่ออกก็น่าจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ของเขาได้ดี หยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลทะลักออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้างเหมือนทำนบที่ถูกทุบแตก แม้เสียงปืนจะเงียบลงแล้ว แต่ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาราวกับคนบ้า น้ำตายังคงไหลพร่างพรูออกมาไม่หยุด หัวใจเต้นระรัวอย่างรุนแรงเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ขากรรไกรแข็งค้าง แม้แต่เสียงร้องสักแอะยังลอดออกมาไม่ได้
   ทำใจดีๆ ไว้!
   ฟ่งพร่ำบอกตัวเองและพยายามจะให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น เขาคิดว่ากำลังจะถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ นิ้วมือของเขาสั่น นั่นทำให้เขารู้สึกถึงวัตถุเย็นเยียบในมือ ยังมีสิ่งนี้อยู่นี่นา สิ่งที่มีอำนาจพอๆ กับไอ้ที่เขาโดนเมื่อครู่ ฟ่งขยับมืออย่างสั่นเทา พยายามเล็งปืนไปยังความมืดเบื้องหน้า
   !!!!!!!
-----------------------------------------------
   เสียงแก้วแตกทำให้ลู่ ชางชะงักค้าง เป็นเวลาหลายวินาทีกว่าเขาจะรู้สึกตัว สมองชองชายชรากำลังนึกสงสัย แก้วแบบไหนหนอที่หล่นออกมาจากตัวของผู้ชายคนนั้น และโดยไม่ต้องเสียเวลาถามตัวเองต่อไปในอีกหลายวินาที เสียงหัวเราะเหมือนประชดก็ดังขึ้นเบาๆ
   !!
--------------------------------------------------
   แสงไฟที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวงสองดวง เหมือนสัญญาณชีพจรของคนไข้อาการหนักที่ถูกปั้มขึ้นมาใหม่ ราฟาแอลแค่นยิ้ม ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากจุดปะทะเดิมมากพอสมควร และคิดว่าคงไม่มีใครตามมาอีกสักพัก ชายหนุ่มถอดแว่นอินฟาเรทที่ใช้มองภาพในที่มืดออก เขาเพิ่งติดตั้งบางสิ่งบางอย่างที่เอาไว้ใช้ถ่วงเวลาและสร้างความวุ่นวายให้ไอ้พวกข้างล่างนี้ได้อีกนานโข  ชายหนุ่มติดต่อกลับไปยังรัสเลอร์
   หวังว่าคงมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับเจ้าเด็กตาสองสีนั่น
--------------------------------------------------
   “ฉันยังไม่ได้ภาพจากห้องที่รูฟัสอยู่ พอดียังต้องจัดการเรื่องระบบอีกสักพัก” นั่นคือสิ่งแรกที่รัสเลอร์เอ่ยขึ้น ระบบเพิ่งรีบูทตัวเองกลับมาใหม่ และการเจาะระบบของเขากำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก เสียงราฟาแอลตอบกลับมา
   “ทำอย่างที่นายถนัด ฉันเตรียมอุปกรณ์ถ่วงเวลาเอาไว้เพียบ ต่อให้ทางนั้นจับที่อยู่ของนายได้ คงไปถึงได้ไม่ง่ายนักหรอก”
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะออกมา “ขอบใจราฟี่ ถึงจะดูไม่รับประกันมากนัก แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย”
   “ฉันไม่ยอมเสียเพื่อนร่วมงานไปทีเดียวพร้อมกันสองคนหรอก ถ้าติดต่อไอ้เจ้ารูฟัสได้ บอกให้มันถ่อกลับขึ้นมาเองแล้วกัน ฉันคงต้องทำหน้าที่แทนมันไปก่อน”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วกับคำพูดของราฟาแอล “หน้าที่แทน?”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลพ่นลมหายใจใส่ไมโครโฟน “ก็แบบที่เจ้าหมอนั่นทำประจำ.... อย่างเช่น... เฮ้!!มาเล่นกันสักตั้งไหมพวก!!”
   ไอ้คำพูดแนวคึกคะนองแบบนั้นช่างไม่เข้ากับราฟาแอลเลยสักนิด แต่คิดก็ทำให้รัสเลอร์อดย่นคิ้วด้วยความขบขันไม่ได้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำหน้าที่แทนที่ราฟาแอลพูดถึงคืออะไร
   ใครมันจะก่อกวนได้เยี่ยมยอดไปกว่าพ่อหนุ่มตาสองสีที่ชื่อว่ารูฟัสกันล่ะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลพยักศีรษะอย่างรับรู้ ขณะที่เสียงดวลปืนดังขึ้นอีกรอบ
-------------------------------------
   ปาฏิหาริย์สำหรับรูฟัสในตอนนี้คือ การคาดคะเนบวกดวงพ่วงด้วยการเข้าข้างตัวเองอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด เส้นประสาทต่างๆ ของเขาค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และดีกว่าโดนยาชาเป็นไหนๆ เพราะทุกส่วนพร้อมถูกใช้งานได้เลย โดยไม่มีอาการเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทงติดตามมาด้วย ดูเหมือนว่าใต้ตาข้างหนึ่งของเขาจะเกิดแผล เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นเต้นประท้วง พ่วงด้วยความรู้สึกเปียกแฉะ แปลว่าเลือดออกเยอะพอสมควร นี่ตาแก่นั่นคิดจะควักลูกตาเขาออกไปจริงๆ หรือไง  อ้อ..จะว่าไป ตาแก่ตัวดีสมควรจะอยู่ตรงหน้าเขานี่นา รูฟัสขยับมือข้างที่เพิ่งรู้สึก และพบว่ามันบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะหึๆ  ตาแก่นั่นคิดจะแทงเขาด้วยอะไรบางอย่างแต่คงพลาดมาโดนมือที่คลำเบะปะไปพอดี ถือเป็นโชคอย่างไม่น่าเชื่อ
   รูฟัสคว้านมือไปด้านซ้าย เขาจำต้องหาอาหารให้กับผู้ช่วยชีวิตของเขา
--------------------------------------
   เสียงตะโกนเหมือนคนบ้าของลู่ ชางดังขึ้นแทบจะพร้อมกับแสงไฟดวงหนึ่งที่ติดขึ้นในห้อง ควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าเขา และที่แย่กว่านั้น ผู้ชายผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนนิ่ง กลับขยับเขยื้อนได้ และมือข้างหนึ่งของเขากำลังพุ่งตรงไปยังครอบแก้วที่ใส่เทพเจ้า  ชายชราปราดเข้าไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมมีดผ่าตัดในมือ เขาไม่ยอมให้ผลงานที่รักของเขาถูกทำลายด้วยของบ้าๆ นี้เด็ดขาด แค่อีกไม่กี่วินาที พวกมันก็จะสลายตัวไปแล้ว  ไอ้ของไร้ค่าที่ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากไม่ได้กัดกินผู้อื่น นัยน์ตาสองสีนั้นเหลือบมองมาทางเขาแว้บหนึ่ง ก่อนที่มีดผ่าตัดสีเงินจะกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ ลู่ ชางเบิ่งนัยน์ตาค้าง ในมือของชายตรงหน้าเขามีมีดสปาต้าเล่มใหญ่ซึ่งถูกดึงออกมากจากที่ไหนและเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ นัยน์ตาสองสีนั่นเย็นชาราวแก้วผลึก ก่อนที่ลำแขนแกร่งจะเสือกปลายมีดที่ยาวราวๆ หนึ่งฟุต เข้าไปในตู้กระจก
   ฟู่!!
   ปลายโลหะสีเงินพุ่งเสียบครอบแก้วด้านในอย่างถนัดถนี่  รูฟัสออกแรงบิด ครอบแก้วทั้งหมดก็เกิดรอยร้าว และออกแรงกระชากอีกหน่อยหนึ่ง ก็สร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ควันสีม่วงแดงพุ่งพรวดออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ที่เขามองเห็น มันขยายตัวเหมือนเงาของปิศาจร้าย มุ่งเข้าใส่เขาที่ยืนอยู่ตรงหน้า วินาทีนั้นรูฟัสนึกหวั่นใจนิดหน่อย เขาเพิ่งรับรู้ฤทธิ์เดชของเจ้าควันสีม่วงตัวนี้ไปหมาดๆ หากต้องเจออีกในปริมาณขนาดนี้อาจจะไม่มีปาฏิหาริย์รอบสอง หวังว่าไอ้สิ่งที่เพิ่งออกจากหลอดแก้วที่แตกไปเมื่อครู่ น่าจะยังวนเวียนอยู่
   โทเนียเทียฮ์!!
   พระเจ้าแห่งแสงที่ไดแอนมอบให้เขา  ความจริงรูฟัสได้รับคำสั่งมาให้เก็บตัวอย่างของเทสการิโพก้ากลับไป แต่ลองมันออกฤทธิ์แบบนี้ เห็นทีจะปฏิบัติตามคำสั่งได้ยาก ชายหนุ่มมองดูกลุ่มควันสีม่วงด้วยใจตุ้มๆ ต้อมๆ ก่อนที่เสียงกรีดร้องเหมือนคนบ้าของชายชราจะดังขึ้น
   “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
   ลู่ ชางวิ่งปราดเข้ามา ยกมือขึ้นปัดควันสีเทาซึ่งลอยอ้อยอิ่งอยู่ ทันใดนั้นเองมันก็มีปฏิกิริยาเหมือนผึ้งแตกรัง ควันพวกนั้นกระจายออกและพุ่งเข้าหาควันสีม่วงที่แผ่ขยายตัวเองอยู่  เหมือนหยดจุดสีสองสีลงไปในแก้วน้ำ ควันสองอย่างเริ่มรวมตัวกัน และเกิดภาพที่แปลกประหลาด มันม้วนตัวราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างสับสนและบ้าคลั่ง สลับสีสันราวกับเซลของปลาหมึก สีแสงนับร้อยนับพันถูกแสดงออกมา แม้แต่รูฟัสเองก็ยืนตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนะที่เสียงตะโกนอย่างคุ้มคลั่งของลู่ ชางจะปลุกสติเขา
   “หมดกัน ไอ้บ้า หมดกัน  เอามันออกไปให้พ้น นังไดแอน แก!!!” ชายชราพุ่งเข้าหารูฟัสอย่างมุ่งร้าย รูฟัสถอยฉากไปนิดหนึ่ง ปกติเขาไม่ชอบทำร้ายคนแก่ เด็ก และผู้หญิง แต่ในกรณีของลู่ชาง ดูท่าจะต้องฝืนตัวเองสักครั้ง ชายหนุ่มใช้ด้ามมีดกระแทกเข้าตรงลิ้นปี่ของอีกฝ่าย ร่างผอมแห้งทรุดลงไปกองกับพื้น น้ำลายไหลออกมาจากปาก แต่ดูเหมือนยังไม่หมดสติ รูฟัสแค่นยิ้ม เขาปราดไปยังลิ้นชักแก้วที่วางอยู่รอบๆ และกระชากพวกมันลงมา
   เทพเจ้าไม่ควรจะลงมายุ่งกับมนุษย์
----------------------------------------
   “โอ้ ฉันได้ภาพทางรูฟัสแล้ว ท่าทางจะมีปาฏิหาริย์จากไฟดับ” รัสเลอร์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี หลังจากปาดเหงื่อออกจากใบหน้า เครื่องปรับอากาศกลับมาทำงานแล้ว แต่ตัวไฟล์วอลล่าสุดที่เขาเจอทำเอาแทบจะหยุดหายใจไปหนสองหน  เสียงราฟาแอลงึมงำกลับมา เหมือนว่าจะดีใจแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมามากนัก รัสเลอร์ผิวปาก ที่เหลือก็แค่ฟ่ง  หวังว่าตอนไฟดับคงไม่วิ่งเตลิดหนีไปไหนหรอกนะ หนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะกับตัวเอง ถึงฟ่งจะดูเหมือนกระรอก แต่คงตกใจเพราะเรื่องไฟดับหรอก เขาค่อยๆ เรียกไฟล์จากกล้องวงจรปิดขึ้นมาดู แล้วก็แทบจะแหกปากร้องออกมา
----------------------------------------
   ถ้าสิ่งที่อยู่ในมือเรียกว่าปาฏิหาริย์ ฟ่งก็ได้ทิ้งปาฏิหาริย์นั้นลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่อยู่ในภาวะถูกคุกคามและหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาก็ไม่อาจทำใจเหนี่ยวไกลงไปได้  ฟ่งแค่รู้สึกเขากำลังหวาดกลัวเพราะอาวุธมฤตยูชนิดนี้ แล้วการใช้มันจะทำให้เขาหายจากความกลัวนี้หรือ? ดังนั้นชายหนุ่มจึงปล่อยมือ ปืนกระบอกนั้นหล่นจากมืออันสั่นเทาลงบนพื้น อา... มันง่ายกว่าการพยายามจะยกมันขึ้นเพื่อยิงใครสักคนอีก ร่างบางถอนหายใจ เป็นเรื่องแปลก แต่ตอนนี้เขารู้สึกโล่งอย่างประหลาด เหมือนได้ข้ามพ้นอะไรบางอย่าง ถ้าหากถูกฆ่าตายตอนนี้ เขาคงไม่รู้สึกโกรธเคืองนัก เพียงแต่อาจจะเสียดายนิดหน่อย ที่ไม่ได้มีโอกาสบอกคำคำนั้นให้คนที่ต้องการฟังที่สุดรับรู้
   ไฟดวงหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้น เผยให้เห็นบุคคลตรงหน้าที่เล็งปืนใส่เขา ใบหน้าของฟ่งปรากฏรอยยิ้มอย่างคนสิ้นหวัง
   ขอโทษนะ รูฟัส
-----------------------------------------
   มือขวาของอิทธิเดชยังคงชาเพราะแรงกระแทกจากแรงกระสุน เขาหวาดกลัวความคิดตัวเองจนกระทั้งรัวกระสุนไปแทบจะหมดแม๊ก อย่างไรก็ดีไฟดวงหนึ่งติดขึ้นแล้ว ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด ผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ นั่งอยู่ตรงนั้นกับปืนที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้น และรอยยิ้มที่ยอมจำนน
   อิทธิเดชขยับนิ้วมือที่ยังคงอยู่ในโกร่งปืน แค่ไล่กันไกอีกครั้ง คนตรงหน้าเขาก็คงจะถูกส่งไปสู่ดินแดนที่ไม่มีวันกลับ ในระยะแค่นี้ ไม่มีทางพลาดแน่ๆ ก็แค่ขยับนิ้วแนบเข้ากับไกปืนให้แน่นอีกนิดหนึ่ง
   ..........................................
   นิ้วชี้ที่สอดอยู่มิได้กดลง ตลอดตัวร่างกายของอิทธิเดชเหมือนถูกตรึงด้วยน้ำแข็งที่งอกยื่นออกมาจากพื้นที่เขาเหยียบอยู่
   ทำไมถึงไม่ยิงล่ะ?
   เขาเฝ้าถามตัวเอง  แต่ไม่ได้หมายถึงตัวเขาเองที่ไม่ยิง เขาถามตัวเองถึงเหตุผลของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา ปืนกระบอกนั้นเคยอยู่ในมือของฟ่งแท้ๆ ทำไมถึงไม่ยิงสวนมาบ้างล่ะ หรือว่าโง่จนไม่รู้ว่านั่นคือปืน ไม่สิ ก่อนที่ไฟจะดับฟ่งก็ถือปืนนั่นแล้วหันมาทางเขานี่นะ แล้วทำไมถึงไม่ตอบโต้อะไรเลยล่ะ หรือว่ายิงปืนไม่เป็น แต่ในสภาวะแบบนั้น ต่อให้งี่เง่าขนาดไหน กะอีแค่สอดนิ้วเข้าไปแล้วเหนี่ยวไกก็คงทำได้ไม่ยาก อย่างนั้นทำไมถึงไม่ยิง ทำไมถึงทิ้งปืนลงแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้มีรอยยิ้มที่ยอมแพ้ขนาดนั้น
   หรือว่าหมอนี่ขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่จะยิงคนที่ยิงตัวเอง
   แต่คนขี้ขลาดแบบไหนที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความตายด้วยท่าทียอมจำนนแบบนี้ ท่าทีที่ยอมศิโรราบ และผ่อนคลาย มันคือสิ่งที่ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากไม่ใช่หรือ ที่จะทำใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่
   เสี้ยววินาทีนั้นอิทธิเดชได้เข้าใจถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจมาตลอดชีวิต
   การเผชิญหน้ากับความจริง
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา อิทธิเดชหลีกเลี่ยงในข้อนี้โดยตลอด เขาไม่อยากยอมรับว่าแม่ไม่ได้รักเขาอย่างที่ควรจะเป็น ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองต้องการความรักจากแม่มากแค่ไหน ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกผิดปกติทางเพศ ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ และที่แย่ที่สุด ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
   เขาเกือบจะฆ่าคนคนนี้ไปเพียงเพราะเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับทั้งหมดที่ตัวเองทำลงไป
   หนุ่มหน้าสวยสืบเท้าเข้าไปหาผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า มือของเขายังคงถือปืนเล็งอยู่ แต่ความรู้สึกอยากฆ่าหายไปหมดแล้ว มันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นแทน ความรู้สึกที่แปลกประหลาดที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน และแน่นอนว่าอิทธิเดชยังคงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเล็งปืนไปยังฟ่ง เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจก่อน อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาดูมีอำนาจกับผู้ชายตรงหน้า
   ฟ่งกลืนน้ำลาย บางทีความตายก็มาอย่างเชื่องช้าจนน่าตกใจ เขาเห็นอิทธิเดชเดินเข้ามาใกล้  ภายใต้ดวงตาสีดำหวานเยิ้มนั่น ผู้ชายหน้าสวยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ฟ่งไม่รู้จักอิทธิเดชมากนัก แต่พอจะรู้ว่าเขาคงเก็บกดอะไรมาหลายอย่าง ในตอนนี้เขาสมควรถามถึงเหตุผลที่ผู้ชายคนนี้ยิงเขาหรือเปล่านะ ก็แค่อยากรู้ก่อนจะตาย ถ้าไม่ถาม อาจจะไม่ได้คำตอบก็ได้
   “ทะ..ทำไมคุณถึงยิงผม?” เสียงที่ถามออกไปนั้นแม้จะเป็นเสียงพูดธรรมดาๆ ที่สั่นเครือเพราะความหวาดกลัว แต่ดูเหมือนจะดังก้องสะท้อนเข้าไปในจิตใจของทั้งของฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกลัวจะไม่ได้ยินคำตอบก่อนจะสิ้นใจ อีกฝ่ายแทบจะสิ้นใจทันทีที่ได้ยิน ริมฝีปากได้รูปของอิทธิเดชขยับอย่างเลื่อนลอย พักหนึ่งถึงมีเสียงพูดออกมา
   “เพราะ.... ฉันกลัว....ที่จะยอมรับตัวเอง”
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้างด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆ คนที่คิดจะยิงเขาก็คุกเข่าลง และเริ่มร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเขา ทำเอาทำตัวไม่ถูก
   อิทธิเดชร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลเท่านั้น เขากรีดร้องราวกับจะเสียสติ ร้องไห้ให้กับทุกสิ่งที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่เขาทำลงไป ร้องไห้ให้กับความรู้สึกที่ทั้งได้รับมา และความรู้สึกที่เคยอยากจะไขว่คว้า ร้องไห้ให้กับจิตใจตัวเองที่เพิ่งถูกเปิดออก
   หนุ่มสวมแว่นมองดูผู้ชายซึ่งร้องไห้ตรงหน้า ด้วยรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ผู้ชายคนนี้คงมีเรื่องให้คิดหลายอย่าง ถึงกับต้องมาร้องไห้ต่อหน้าคนซึ่งไม่ได้รู้จักกันเลยอย่างเขา คนที่ตัวเองเพิ่งยิงใส่ด้วยซ้ำ ช่างน่าสงสาร มันทำให้เขานึกถึงตัวเองในอดีต ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยหวาดกลัวความคิดตัวเองจนอยากร้องไห้ เพียงแต่เขาไม่ได้ทำมันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ หรืออาจจะมี แค่คนหนึ่ง...
   อิทธิเดชสะดุ้ง เพราะศีรษะถูกลูบเบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ และพบว่าฟ่งยิ้มให้เขาอยู่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนจนไม่อยากจะเชื่อว่ายิ้มให้คนที่เพิ่งจะลั่นไกใส่ตัวเองเลยจริงๆ หนุ่มหน้าสวยตะลึงไปพักหนึ่ง เมื่อฟ่งค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้าไปกอด และลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน
   ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ  อิทธิเดชร่ำไห้บนแผ่นอกของผู้ชาย ผู้ซึ่งเขามีความคิดที่จะฆ่าเมื่อหลายนาทีก่อน
   ไม่ว่าฟ่งจะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้ผู้ชายคนนี้คือปาฏิหาริย์ของเขา
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 13-10-2011 11:48:34
ดีจัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 13-10-2011 19:47:27
เดาใจแต่ละคนยากจริงๆ
เดาใจคนแต่งยากกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 13-10-2011 20:21:31
ฟ่งคือปาฏิหาร~

อยากอ่านต่อแล้ว,,,คนแต่งจ๋า ลงวันละตอนเลยได้ไหม!? ฮ่า(ขอเยอะเนอะ)

ตกลงว่า ไอ้เทพเจ้านั่นโดนทำลายล้างเรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือการหนีออกแล้วใช่ไหม!!

แล้วฟ่งชั้นจะรู้อะไรบ้างเนี่ย!!

แล้วพี่เว่ยทั้งสองจะเอาไงต่อ โอ๊ย!! อยากรู้ อยากอ่านแล้วง่า~

ขอบคุณคนแต่งนะคะ สมองคุณซับซ้อนมาก(ชมจากใจ) ทุกเรื่องที่คุณแต่งสนุกมากค่ะ (แอบเอาชื่อชิกชิก มาตั้งชื่อนกที่บ้านด้วยล่ะ ฮ่า)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 14-10-2011 06:56:09
ฟ่งเป็นความอัศจรรย์จริงจริง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 14-10-2011 22:07:09
ดีแล้วนะะะะ   :m18:

เอาใจช่วยทุกคนๆๆๆ


 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: eaey ที่ 21-10-2011 23:58:19
 :เฮ้อ:เมื่อไหร่ฟ่งจะพบกับรูฟัส
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-10-2011 09:59:04
ูู**^^" ลืมแล้วว่าต้องมาอัพเรื่องนี้ :o8: (โดนโบก :z6:)

ตอนนี้จัดหน้าเล่มจบของภาคหลักเสร็จแล้วค่ะ กำลังตามเก็บเล่มพิเศษ (ซึ่งตอนล่าสุดที่เก็บอยู่ เป็นเบื้องหลังเหตุผลที่เว่ยจินหยินไปร่วมมือกับคงฉ่วยหลอกเผิงเผิงในนกยูงแดงล่ะ<<ตกลงนี่ตอนพิเศษของเรื่องอะไรกันแน่ยะ!!!??)

ปัญหาน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถจัดพิมพ์เล่ม7ได้ ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านที่รอรวมเล่มอยู่อีกครั้งนะคะ  :sad4:

---------------------------------------------------
บทที่60 นาทีที่มืดสนิท กับการประชุมที่สุ่มเสี่ยง

   หวาดหวั่น...
   เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของผู้ชายที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงบอกตัวเองว่าอย่างนั้น ในตอนก่อนที่ไฟจะดับ  คำพูดของเว่ยจินหยินเหมือนการจุดชนวนระเบิด ผู้คนในห้องต่างโต้เถียงกันอย่างคุ้มคลั่งเรื่องการซื้อขาย จนลืมเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอีกที่หนึ่งซึ่งถูกถ่ายทอดสดอยู่กลางที่ประชุม แต่ว่าเหตุการณ์น่าหวาดเสียวที่ดำเนินอยู่นั้นหาได้ยุติลงไม่ ผู้ชายใส่หน้ากากคนนั้นกำลังจะทำอะไรบางอย่างกับชายอีกคนหนึ่งที่ยืนแข็งทื่ออยู่ เว่ยเฟิงปิงแทบจะกรีดร้องออกมา
   อา... ใช่ แม้เวลาจะผ่านไป แม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย แม้ว่าเขาเกือบจะยอมรับใครคนอื่นเข้ามาในชีวิต แต่ ณ ช่วงเวลานี้ เวลาที่ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวตรงหน้าเขา เวลาที่ผู้ชายคนนั้นกำลังจะได้รับอันตราย หัวใจของเว่ยเฟิงปิงแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว เขายังรักผู้ชายที่มีนัยน์ตาสองสีชวนน่าลุ่มหลงนั่น
   จนถึงวินาทีนี้ ความรักนั้นไม่เคยเลือนหายไปแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียว
-------------------------------------------
   หวาดหวั่น...
   จางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่คงในแง่มุมที่ต่างออกไป ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในห้องประชุม มีบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพเคลื่อนไหวซึ่งถ่ายทอดมาจากอีกสถานที่หนึ่ง เจ้านายผู้เป็นที่รักของเขา
   ถึงจุดนี้จางซื่อเยี่ยนตระหนักแล้วว่า ท่ามกลางความคลุมเครือหลายอย่างในความรู้สึกของห้วงอารมณ์อันบิดเบี้ยวและแปรปรวนของเว่ยเฟิงปิง สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดและไม่เคยเลือนหายไปเลยคือความรักที่มีต่อชายผู้ซึ่งเคยทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี
   จนถึงเวลานี้เว่ยเฟิงปิงยังมีผู้ชายคนนั้นอยู่เต็มหัวใจ
   หัวใจของจางซื่อเยี่ยนปวดแปลบ แทบจะวิ่งเข้าไปหาร่างที่ผุดลุกขึ้นด้วยความตระหนกตรงหน้าเขา กอดร่างนั้นไว้และกระซิบถ้อยคำซ้ำซากที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน
   ผมรักคุณ คุณยังมีผมอยู่...
   แต่ว่า... มันจะมีประโยชน์หรือ  ณ เวลานี้ จางซื่อเยี่ยนหวาดหวั่นเหลือเกิน หวั่นไหวว่าในห้องหัวใจของเว่ยเฟิงปิง เคยมีที่ว่างเว้นไว้สำหรับเขาหรือเปล่า หรือเขาเคยแทรกอยู่ในหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อผู้ชายคนนั้นบ้างไหม
   สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงพูดให้เขาฟังในรถวันนั้น มันยังหลงเหลือความทรงจำอยู่ในห้องหัวใจดวงนั้นบ้างไหมไหม
   ยังต้องการเขาอยู่อีกไหม.........
--------------------------------------------------
   หวาดหวั่น...
   นั่นคือความรู้สึกชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งของเถียนซานในตอนที่ได้เห็นเจ้านายผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเขาผุดลุกขึ้น เพื่อจุดชนวนการโต้เถียงกลางที่ประชุม เว่ยจินหยินกำลังทำในสิ่งที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน ก่อกวน ใช้คำพูดกดดันเพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ แผนการพื้นฐานที่เขาเคยเห็นและรับรู้มานานตั้งแต่รู้จักกัน แต่บางสิ่งบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าเหตุการณ์วันนี้จะไม่เป็นเช่นครั้งอดีตที่ผ่านมา
   ชายวัยสี่สิบเศษถอนหายใจยาว มันก็แค่ความรู้สึกในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ถึงจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นจริงๆ เขาก็จะถอยไม่ได้  เพื่อปกป้องผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
   ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เว่ยจินหยินจะต้องปลอดภัย
------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินเหยียดยิ้มในใจอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเสียงโต้เถียงในห้องประชุม เขาแค่สะกิดทางนั้นนิดทางนี้หน่อย ทุกฝ่ายก็พร้อมจะเล็งปืนใส่กันเพื่อแย่งผลประโยชน์ได้โดยง่าย ช่างน่าขบขัน คนพวกนี้มารวมหัวกันเพื่อควันสีม่วงในหลอดตรงหน้า เว่ยจินหยินไม่สงสัยในประสิทธิภาพของควันนั่น เขาเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่ามันจะใช้ได้ผล แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดเขาคือความน่าสมเพส ในโลกนี้ไม่เหลืออะไรพอจะให้ซื้อขายกันได้แล้วหรือไง ถึงจำต้องมีความสุขเสพติดให้ซื้อขาย ช่างโง่เง่า ความสุขนั่นสุดท้ายก็จะเลือนหายไป เหมือนควันที่มันเป็นอยู่นั่นแหละ เว่ยจินหยินไม่ชอบการขายฝัน ยิ่งไม่ชอบใจการขายสิ่งเสพติดที่ไม่เคยส่งผลดีต่อผู้ที่เสพ และแน่นอน ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งนั้น หากลูกน้องเขาเสพยาประเภทนี้ วันๆ หนึ่งคงไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี
   นัยน์ตาสีดำหรี่ลงอย่างเย็นชา และประสบเข้ากับสายตาสีดำอีกคู่หนึ่งซึ่งนั่งอยู่แทบจะตรงข้ามเขา
   ฟารุค!
   รอยยิ้มแสดงถึงมารยาทที่ดีปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเรียวได้รูปของเว่ยจินหยินราวกับว่าเขาถูกสร้างมาเพื่อให้ยิ้มแบบนั้นโดยอัตโนมัติทันทีที่พบเห็นผู้อื่น มีแต่เจ้าหมอนี่และไฮท์ของริเวิลอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้ตกเข้าไปในบ่วงของการโต้แย้ง หรือบางทีเจ้าพวกนี้อาจไม่ได้ต้องการของนั่น
   “คุณฟารุค ผมคิดว่าเรายังไม่เคยมีโอกาสคุยกันเป็นการส่วนตัวเลย” เว่ยจินหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม ที่ไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก นัยน์ตาคู่งามจับจ้องชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “เรายังไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ย” ฟารุคเอ่ยตอบ น้ำเสียงของเขาช่างแข็งกระด้าง เหมือนๆ กับใบหน้า และรอยยิ้มที่แค่นขืนออกมานั่นแหละ เว่ยจินหยินยังคงแย้มยิ้ม การประชุมนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจควบคุมของเขา การจะทำอะไรจำเป็นต้องมีข้อแก้ตัวที่ดี ตอนนี้เขากำลังพยายามจะสร้างข้อแก้ตัวนั้นอยู่
   “ถ้าเช่นนั้น สุภาพบุรุษเช่นคุณคงไม่รังเกียจ หากจะสนทนากับผมสักเล็กน้อย”
   “โอ้ ไม่รังเกียจๆ ใครกันจะกล้าปฏิเสธคำเชื้อเชิญของผู้ได้สมญาว่าหมาจิ้งจอกกันล่ะ” ภาษาอังกฤษที่เจือสำเนียงอิตาเลี่ยนอย่างเด่นชัดตอบขึ้นแทน นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินหรี่เล็กและหันไปเพ่งเป้ายังผู้พูด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
   “ขอบคุณที่ให้เกียรติเรียกผมเช่นนั้น คุณเอียน แต่ผมไม่คิดว่าคุณฟารุคจะให้คำตอบแสนสุภาพอย่างที่คุณตอบผม”
   “อ้อ แน่นอน” ฟารุคเอ่ย นัยน์ตาสีดำดั่งถ่านเพ่งมองบุรุษสวมแว่นตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เอียนกำลังเตือนเขาหรือ? ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคนนี้ได้รับสมญาว่าหมาจิ้งจอก ผู้ชายที่ทั้งเจ้าเล่ห์และอำมหิตอย่างร้ายกาจ ภายใต้แว่นตากรอบทองและท่าทีสวยหรูนั่น ซ่อนคมมีดใดเอาไว้บ้าง คนรักของโอนเนอร์(ผู้นำกลุ่ม)ที่เป็นไฮท์อันดับที่สิบสามที่ถูกตำรวจซิวไปเมื่อสองปีก่อน ก็รู้สึกจะเป็นฝีมือของหมอนี่ที่วางแผนเอาไว้ เขาจะประมาทผู้ชายคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเสียมารยาท” เว่ยจินหยินเอ่ยคำพูดอย่างเป็นทางการเสียจนคนฟังยังอึดอัด นี่เป็นรูปแบบการพูดของเขา ความสุภาพอันน่าคลื่นเหียนนั้น ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องได้ทุกที แต่นัยน์ตาสีดำของฟารุคยังคงสงบนิ่ง เช่นเดียวกับรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากของเอียน คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยต่ออย่างแช่มช้าราวกับจิตรกรที่บรรจงจรดปลายพู่กันลงไปบนผืนผ้าใบ เพื่อวาดภาพที่งดงามภาพหนึ่ง
   “ผมคิดว่าคุณสองคนคงไม่สนใจควันสีม่วงนี่เท่าไหร่นัก คงไม่เป็นการขัดอะไรหากผมขอให้พวกคุณถอนตัวไปเสีย ผมคิดว่ามันคงจะลดแรงกดดันได้ส่วนหนึ่ง”
   “อา... เจ้าจิ้งจอกสวมแว่น” เอียนพูด และแสยะยิ้มออกมา ตวัดลิ้นเอ่ยคำพูดต่อ
   “นายกำลังจะล่อให้เราลงไปตะลุมบอนในวงนั่น แล้วฉวยโอกาสทำอะไรบางอย่างล่ะสิ
   “วางใจเถอะ คุณชายรอง ริเวิลของเรามีวิธีที่ดีกว่าที่จะได้ยานั่น โดยไม่ต้องเสียเวลาแม้สักครึ่งหนึ่งที่คุณใช้พูดด้วยซ้ำ” ฟารุคเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเย้ยหยัน แต่กระนั้นริมฝีปากของเว่ยจินหยินกลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขารอให้คนทั้งคู่พูดคำนี้ออกมานานมากแล้ว
   “คุณสองคนทำให้ผมทึ่ง เอาล่ะ ผมคิดว่าเราคงไปกันได้ดี” เว่ยจินหยินพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้สามารถแซงเสียงโต้เถียงที่ดังอื้ออึงนั่นได้
   “ริเวิลกับตระกูลเว่ยจะร่วมมือกันซื้อยาตัวนี้!”
---------------------------------------------   
   ถึงแม้สมาธิของเว่ยเฟิงปิงจะจดจ่ออยู่กับภาพที่ถูกส่งมาจากอีกห้องหนึ่ง แต่คำพูดของเว่ยจินหยินที่มีต่อตัวแทนแก๊งศัตรูคู่อริย่อมจะแทรกเข้าไปในระบบความคิดของเขา เป็นอีกครั้งที่เว่ยเฟิงปิงยอมรับถึงความสามารถของผู้เป็นพี่ชาย และที่ยิ่งกว่านั้น เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่าผู้ชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

   ทันทีที่เว่ยจินหยินพูดจบ ความสนใจของทั้งห้องพุ่งตรงมายังพวกเขาทั้งสี่ทันที ถึงตอนนี้ฟารุคเองยังต้องกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง และเอียนเองถึงกับต้องหุบยิ้ม มีเพียงผู้เดียวที่ยังคงมีรอยยิ้มงดงามตามรูปแบบของตนอยู่
   เว่ยจินหยิน
   ทั้งหมดนี่เป็นเหตุการณ์ไม่กี่นาทีก่อนหน้าที่ไฟฟ้าทั้งหมดจะดับพรึบลง
--------------------------------
   แค่ราวๆ ครึ่งนาทีเท่านั้นที่แสงสว่างขาดหายไป แต่ในความรู้สึกของทวีศักดิ์นั้นยาวนานราวกับชั่วชีวิต เขาได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจและคำถามดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พวกที่มาประชุมคงไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ แน่นอน เขาเองก็คาดไม่ถึงมาก่อน อย่างไรก็ดีการปล่อยให้เกิดความแตกตื่นไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเหตุการณ์แบบนี้
   “ใจเย็นๆ ครับทุกท่าน คิดว่าระบบไฟคงเกิดปัญหานิดหน่อย อีกไม่เกินยี่สิบวินาทีก็คงจะกลับมาใช้งานได้” ทวีศักดิ์เอ่ยสยบความอลวนนั้น แต่กลับรู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก นอกจากเจ้าผมทองที่ได้รับรายงานกับคนที่อยู่ในห้องเก็บยานั่นแล้ว ยังมีคนอื่นอีกรึ คนที่สามารถดับไฟฟ้าได้  เจาะระบบเข้ามารึ? เขาได้ยินเสียงรัตน์รายงานผ่านหูฟังด้วยน้ำเสียงร้อนรน
   “มีคนเจาะเข้ามาให้ระบบ ผมให้คนเช็คแล้ว คิดว่าคงจะเจออีกไม่นานนี้แหละครับ”
   ทวีศักดิ์พยักหน้า เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ ที่ไม่มีใครเห็นสองคนนั่นก็คงเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง เขากรอกเสียงสั่งการลงไป   
“รีบจัดการมันให้เร็วที่สุด ส่งคนไปที่ห้องเก็บเทพเจ้าด้วย ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าลู่ ชางจะทำยังไงกับสายลับของเรา ส่วนคนผมทองจัดการเก็บมันให้ได้ แล้วทำลายข้อมูลที่มันขโมยไปซะ”
   “ครับ” อีกฝ่ายตอบ โชคยังดีที่ระบบสื่อสารแบบไร้สายใช้เครื่องส่งสัญญาณที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบไฟหลัก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเหงื่อตกมากกว่านี้ ชายวัยห้าสิบเศษผู้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตยารายใหญ่ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่ใช่เพราะความร้อนของอากาศ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก สายลับพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่ โจรกรรมข้อมูล หรือล้มงานประชุม หรือจะก่อวินาศกรรม ทวีศักดิ์ไม่มีข้อมูลว่าคนพวกนี้ถูกส่งมาจากไหน เขาค่อนข้างจะปิดเรื่องการประชุมนี้เป็นความลับ และเนื้อหาของมันก็ไม่สมควรจะเป็นที่จับตา จากตำรวจหรืออะไรก็ตามที่มีหน้าที่ด้านกฎหมาย เขากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง สร้างยาที่ไม่มีผลข้างเคียงออกมา เพียงแต่ล็อตทดลองจะขายให้กับพวกที่ไม่ค่อยทำงานถูกกฎหมายเท่านั้นเอง หากเป้าหมายคือการโจรกรรม มันคงไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก อย่างมากก็กระทบกระเทือนทางด้านการค้า แต่ถ้ามีอย่างที่สองหรือสามพ่วงมาด้วย นั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวล เขานึกไม่ออกว่ามีใครอยากล้มล้างการะประชุมนี้ การประชุมที่แม้แต่กลุ่มที่เป็นคู่อริยังมาอยู่รวมกัน ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นปาดเหงื่ออีกครั้ง เอื้อมมือไปจับไหล่ของลูกชายอย่างไม่รู้ตัว และบีบมันอย่างเป็นกังวล
   เขากลัวว่าวรุตจะมีอันตราย
   ความจริงแล้วในตอนแรกทวีศักดิ์ไม่ต้องการให้วรุตเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าอันตราย และลูกชายของเขาดูจะไม่ชอบสิ่งที่เขาทำอยู่เท่าไหร่นัก วรุตไม่เคยเห็นด้วยกับการค้ายาที่เป็นมากกว่ายารักษาโรคเลย แม้หลายครั้งเขาจะบอกว่ายาพวกนั้นไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด แต่ดูเหมือนลูกชายของเขาจะไม่รับฟัง ทวีศักดิ์มาเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายหลังจากอ่านรายงานผลการทดลองและได้เห็นตัวอย่าง เขาเชื่อว่าวรุตจะต้องยอมรับยาตัวใหม่นี้ มันไม่มีอันตรายใดๆ กับผู้ใช้ และสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็ว คนหัวดีอย่างวรุต หากได้เห็นโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติของพวกมัน ก็คงจะเปิดใจรับได้ ทวีศักดิ์รู้ดีว่าไม่ว่าลูกชายเขาจะปฏิเสธยังไง สุดท้ายแล้วก็จะต้องรับช่วงบริษัทต่อจากเขาอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีโทษ และตอบสนองความต้องการสูงสุดของมนุษย์ มันจะกลายเป็นยาตัวใหม่ที่สร้างทั้งรายได้ ชื่อเสียง และสร้างความยอมรับให้กับลูกชายของเขา ทวีศักดิ์พูดเรื่องนี้กับวรุตตอนที่ภาพโฮโลแกรมของเทสการิโพก้าถูกฉายขึ้น แต่สิ่งที่เขาได้คือความเงียบ
   วรุตไม่พูดอะไรเลย
   ผู้เป็นลูกชายได้แต่พยักหน้า ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยให้ความสนใจมันด้วยซ้ำ มันทำให้ทวีศักดิ์รู้สึกท้อแท้นิดหน่อย ท่าทางเขาคงต้องเจียดเวลามาคุยกับวรุตเรื่องนี้ให้มากขึ้น ให้วรุตยอมรับสิ่งที่เขาทำลงไปให้ได้ เพื่อตัวของวรุตเอง แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องคิดก่อนคือการให้ลูกชายของเขาปลอดภัย ทวีศักดิ์อยากให้วรุตหลบออกไปก่อน แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ร่วมประชุมก็เถอะ เขาอาจจะหาข้ออ้างว่าให้ลูกชายของเขาออกไปสั่งการด้านนอกก็ได้ ยังไงก็ตามให้วรุตออกไปจากสถานที่นี้ก่อน ถึงแม้ทวีศักดิ์จะค่อนข้างมั่นใจว่าจะจัดการสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ได้ก็ตาม
   เขาจะไม่ยอมให้ลูกชายตกอยู่ในความเสี่ยงเด็ดขาด
------------------------------------------------   
“วิน”
   วรุตได้ยินเสียงกระซิบของผู้เป็นพ่อ ท่ามกลางเสียงซุบซิบพูดคุยที่เบาลงไปกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เขารู้สึกเจ็บตรงแขนที่ถูกบีบ ดูเหมือนพ่อของเขาจะเกิดความเครียดบางอย่าง ปกติทวีศักดิ์จะไม่จับตัวเขาแบบนี้ ชายหนุ่มหันไปหาผู้เป็นพ่อในความมืด
   “เดี๋ยวพอไฟติด พ่อจะให้ลูกออกไปอยู่กับรัตน์ที่ด้านนอก”
   “ทำไมล่ะ?” วรุตเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ทำไมจู่ๆ ทวีศักดิ์ถึงใช้ให้เขาออกไปด้านนอก หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นในห้องนี้
   “ผมไม่ไปหรอก” เด็กหนุ่มตอบก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะได้อธิบายเหตุผล เขากล่าวเสริมต่อ “ผมควรจะต้องรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่สิ ยังไงพ่อก็คงหวังจะให้ผมรับช่วงต่ออยู่แล้วนี่”
   “มันก็ใช่....” ทวีศักดิ์เอ่ย และเงียบไปอีก วรุตเดาความคิดเขาได้ แบบนี้หมายความว่าจะยอมรับในสิ่งที่เขาทำด้วยหรือเปล่า แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง
   “ยังไงลูกก็ต้องออกไปก่อน เพื่อตัวลูกเอง”
   “ผมไม่ไป” วรุตเอ่ยเสียงดังขึ้น ก่อนจะลดเสียงลง “พ่ออย่ามาไล่ผมให้ยากเลย ถ้าพ่ออยากให้ผมออกไปนักล่ะก็ ออกไปพร้อมกับผมด้วยสิ”
   “พ่อทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
   “งั้นก็อย่าไล่ผม” วรุตตอบและขยับหนีมือของผู้เป็นพ่อที่จับอยู่ ทวีศักดิ์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาคงไม่สามารถไล่วรุตออกไปในตอนนี้ได้ ยังไงก็คงต้องภาวนาให้รัตน์สามารถจัดการพวกก่อกวนนั่นได้
----------------------------------------
   รัตน์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เขารู้มาก่อนว่ามีบางกลุ่มส่งสายลับเข้ามาเพื่อสอดแนมเกี่ยวกับตัวยาใหม่ที่หัวหน้าของเขาผลิตขึ้นเนื่องจากการบุกเข้ามาอย่างอุกอาจเมื่อเกือบครึ่งเดือนก่อน แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่พบว่ามีอะไรสูญหาย บางทีคนที่บุกเข้ามาอาจจะถ่ายไมโครฟิลม์ออกไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะลักลอบเข้ามาในงานประชุมนี้ได้ ไม่มีข้อมูลทั้งคนที่อยู่ในห้องเก็บเทสการิโพก้า และข้อมูลของคนที่แคลร์รายงานเข้ามา คนพวกนี้ไม่ได้แผงเข้ามาในทางปกติ เพราะทุกคนที่ผ่านประตูเข้ามาที่นี่จะต้องถูกทำประวัติ ไม่ก็ยืนยันประวัติ หากเป็นผู้เข้าร่วมประชุม คนพวกนี้แอบเข้ามาทางไหน และเข้ามาได้อย่างไร รัตน์ยังนึกไม่ออก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าพวกนั้นจะมาจากไหน มาอย่างไร และต้องการอะไร พวกมันจะต้องถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด ตามที่แคลร์ให้ข้อมูล ดูเหมือนคนพวกนี้จะเป็นสายลับที่ทำงานตามที่ได้รับการว่าจ้าง แต่หลอนไม่ทราบว่าพวกไหนว่าจ้างมา เขารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แคลร์ปฏิเสธการต่อสู้กับคนผมทองที่เธอเพิ่งเจอ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ และเธอคงไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วแบบนี้เขาจะจ้างเธอมาเพื่ออะไร รัตน์กดเปลี่ยนช่องสัญญาณวิทยุ และกรอกเสียงลงไป
   “ฉันมีงานให้เธอทำ แคลร์ เธอจะใช้วิธีไหนก็ได้ ตามหาถ่วงเวลาผู้ชายผมทองเพื่อนของเธอเอาไว้ ไม่ให้เขาทำลายอะไรไปมากกว่านี้ อย่าลืมว่าเราไม่ได้จ้างเธอมาเพื่อให้เธอถอนตัวแค่เรื่องแบบนี้หรอกนะ”
   “รับทราบ” แคลร์เอ่ยตอบผ่านไมโครโฟนที่เหน็บอยู่ใต้ปกเสื้อ และถอนหายใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าคงถอนตัวไม่ได้ง่ายๆ เป็นไปได้เธออยากจะเลือกเผชิญหน้ากับรูฟัสมากกว่า แต่ดูเหมือนว่ารูฟัสจะแยกไปอีกที่หนึ่งและไม่ได้เป็นปัญหาเท่าอดีตคู่รักลีลาร้อนของเธอ เอาเถอะกะอีแค่ถ่วงเวลาผู้ชายที่ชื่อราฟาแอล คงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจมากนัก ยังไงเสียเธอก็ต้องทำงานตามราคาที่จ่ายอยู่แล้วนี่นา แต่ที่น่าแปลกใจคือใครกันที่ดับไฟ และดับไปเพื่ออะไร เธอเกิดนึกหวั่นใจขึ้นมาว่าเรื่องไฟดับนี้จะอยู่ในแผนของราฟาแอลด้วย ผู้ชายผมทองคนนั้นคิดจะทำอะไรในความมืดแบบนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หญิงสาวคุกเข่าลง แนบหูลงไปบนพื้นซึ่งทำจากวัสดุสังเคราะห์คล้ายหินแกรนิตสีขาวที่เย็นเฉียบ ในความมืดแบบนี้ คนที่ยังเดินไปไหนมาไหนได้คงมีไม่เยอะนักหรอก
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่59 p10 13/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-10-2011 10:03:15
   !!!
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อทุกอย่างดับวูบลง
   เกิดอะไรขึ้น!!?
   นี่คือคำถามแรกที่ดังขึ้นในหัว และคำตอบก็ตามมาหลังจากนั้น สมองของเว่ยเฟิงปิงประเมินสถานการอย่างรวดเร็ว ไฟที่ดับไปคงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของทวีศักดิ์แน่ๆ และไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ กลุ่มเดียวที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องนี้คือพวกของรูฟัส พวกนั้นดับไฟเพื่ออะไร สิ่งเดียวที่ดูจะเป็นเหตุผลมากที่สุดคือภาพวิดิโอที่ลิ้งค์ผ่านเข้ามาเมื่อครู่ สำหรับสายลับ เมื่อพวกของตัวเองถูกจับได้มีสองอย่างให้เลือกคือ ทิ้งเอาไว้ หรือไม่ก็ช่วยออกมาโดยเปิดเผยตัวให้น้อยที่สุด ท่าทางงานนี้รูฟัสจะมีความสำคัญพอสมควร หรือไม่ก็มีคนน้อยเกินกว่าจะเสียใครไปได้ ในความคิดของเฟิงปิง พวกของรูฟัสน่าจะมีไม่เกินสามถึงสี่คน คนหนึ่งคงทำหน้าที่เกี่ยวกับการเจาะระบบรักษาความปลอดภัย รูฟัสคงทำหน้าที่ด้านโจรกรรม ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับ แสดงว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่มีหน้าที่เข้าไปช่วย เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเบาใจลงนิดหน่อย อย่างน้อยรูฟัสก็ดูจะยังไม่อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายจนเกินไปนัก แล้วตัวเขาล่ะ?
   มือของเว่ยจินหยินเอื้อมมาแตะไหล่ของเขาเบาๆ เว่ยเฟิงปิงหันไปมองพี่ชายทั้งๆ ที่ยังอยู่ในความมืด
--------------------------------------
   .....................
   หูของเว่ยจินหยินอื้อไปกะทันหันในเสี้ยววินาทีที่ไฟดับ เสี้ยววินาทีที่เหมือนเส้นกั้นบางอย่างขาดผึงลง เส้นกั้นแห่งความลังเลใจ หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงอุทานอย่างแตกตื่นตามมา และเสียงของทวีศักดิ์ที่พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มวัยสามสิบสี่ระบายลมหายใจยาว เท่านี้เขาก็หมดข้อกังวลใจเสียที เกมนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของทวีศักดิ์อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าไฟที่ดับใครจะเป็นคนทำก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าการประชุมนี้ไม่ราบรื่นและมั่นคงอีกต่อไป เว่ยจินหยินเดาว่าคงเป็นฝีมือของพวกสายลับ แต่พวกนั้นจะทำอะไรต่อไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องหยิบมาคิดในตอนนี้ ณ เวลานี้เว่ยจินหยินตัดสินใจแล้วว่าเขาจะลงมือตามเป้าหมายของการมาในครั้งนี้
   จัดการกับคู่อริที่อยู่ตรงหน้า ฟารุค กับเอียน
   เดิมทีเว่ยจินหยินวางแผนจงใจลากสองคนนั่นเข้าสู้การโต้เถียง และจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับตัวยา เขาประเมิณว่าในที่สุดการประชุมจะลงเอยด้วยความวุ่นวาย และจังหวะนั้นเองที่เขาจะฉวยโอกาสจัดการสองคนั่นเสีย อย่างไรก็ดี ดูเหมือนไฟที่ดับลงจะทำให้เรื่องง่ายกว่าและดำเนินไปรวดเร็วกว่านั้น ในความมืดที่มาอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ ความสับสนและไม่มั่นคงย่อมเกิดขึ้นภายในจิตใจของทุกคน มันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้พื้นฐานสำหรับพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา เส้นทางแห่งอาชญากรรมและการทำความผิด เส้นทางที่เต็มไปด้วยศัตรู และอันตราย และความมืดที่เหนือการคาดการนี้เองที่จะกระตุ้นให้สิ่งเหล่าที่ระเบิดออกมาง่ายขึ้น ความมืดที่น่าหวาดหวั่น แม้เพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ช่างน่าหวาดหวั่นเสียเหลือเกิน
   เว่ยจินหยินเหยียดยิ้มในความมืด
   ทวีศักดิ์บอกว่าอีกราวๆ ยี่สิบวินาทีระบบไฟจะกลับมาทำงาน หักจากเวลาที่เขาคิดนั่นคิดนี่เพื่อสนองความพึงพอใจของตัวเองแล้วก็คงเหลืออีกสิบห้าวินาที สิบห้าวินาทีนี่คงนานพอจะสร้างเรื่องน่าตกใจในความมืดขึ้นมาได้ เถียนซานคงรู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่คนที่ยืนข้างเขานี่สิ เว่ยจินหยินไม่เคยร่วมงานกับน้องชายคนนี้มาก่อน โดยปกติมักจะขัดขากันเองด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ต้องการการขัดขาในตอนนี้ เฟิงปิงจำต้องเดินตามแผนการของเขา อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เพื่อความอยู่รอดของตัวเฟิงปิงเอง เว่ยจินหยินยื่นมือไปแตะไหล่ของผู้เป็นน้องชาย
   หวังว่าเฟิงปิงจะฉลาดสมกับที่เขายกให้เป็นตัวน่ารำคาญอันดับหนึ่ง

-------------------------------
   สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนคิดเป็นอย่างแรกในเสี้ยววินาทีที่ความมืดมาเยือนคือความปลอดภัยของเว่ยเฟิงปิง เขาไม่ต้องเสียเวลาคบคิดถึงเหตุผลในการดับไฟครั้งนี้ให้ยุ่งยาก มันคงเป็นผลมากจากผู้ชายที่ชื่อรูฟัสนั่นแหละ จางซื่อเยี่ยนทราบดีว่ารูฟัสจะต้องไม่ทำงานนี้คนเดียว คนพวกนี้ไม่ใช่นักฆ่า แต่เป็นนักโจรกรรมและก่อกวน เขามีประสบการในการจัดการกับสายลับในองค์กรมาบ้างพอสมควร ดังนั้นเรื่องไฟดับที่เกิดขึ้นจึงไม่เหนือความคาดหมาย แต่สิ่งที่จะดำเนินต่อไปนี่สิ พวกรูฟัสคงไม่รู้หรอกว่าเจ้านายของเขาอยู่ที่นี่ และถึงรู้ก็คงไม่ให้ความสำคัญอะไร ดังนั้นเรื่องที่คนพวกนั้นจะทำต่อไปจึงเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะจางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าครั้งนี้มีเป้าหมายแค่โจรกรรม หรือว่าจะก่อวินาศกรรมกันแน่ แต่สิ่งที่น่ากังวลเฉพาะหน้า คือผู้ชายที่ใช้แซ่และสายเลือดร่วมกับเจ้านายของเขาต่างหาก
   เว่ยจินหยินเป็นผู้ชายที่ดูดีที่ถ้ารู้จักแล้วจะทำใจให้ชอบไม่ลงเด็ดขาด จางซื่อเยี่ยนมีประสบการทำงานใต้บังคับบัญชาของผู้ชายคนนี้ราวๆ หนึ่งปีครึ่ง แม้ไม่ได้ทำงานให้โดยตรงอย่างเช่นเถียนซานหรือคนสนิทคนอื่นๆ แต่ความกดดันที่ได้รับนั้นก็มากพอจะทำให้เขาขยาดกับวิธีใช้คนของเว่ยจินหยิน ไม่ใช่ไม่เลือกวิธีการ แต่เว่ยจินหยินนั้นช่างสรรหาวิธีการที่จะตอบสนองจุดประสงค์ของเขา ช่างสรรหาเสียจนน่าสยดสยอง ถ้าหากวิธีการคิดของเว่ยเฟิงปิงคือการเล่นหมากรุกที่ประเมิณกำลังของฝ่ายตรงข้าม ประมวลออกมาเป็นความน่าจะเป็นว่าจะเดินหมากไปทางไหน เพื่อขัดขวางตาเดินนั้นแล้วล่ะก็ รูปแบบการเดินหมากของเว่ยจินหยินคือการประเมินกำลังของฝ่ายตรงข้าม เทียบกับหมากของตัวเอง ประมวลผลตาที่จะเดินไม่ใช่หนึ่งหรือสองตา แต่เป็นทั้งหมด ความน่าจะเป็นทุกอย่างที่ควรเกิดขึ้น และไล่ต้อนทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายตัวเองลงในตาเดินที่เขาสามารถเป็นผู้กำหนด และจัดการรวดเดียวทั้งกระดาน ดังนั้นบางครั้งเว่ยจินหยินให้ความสำคัญกับอย่างหนึ่ง แต่ในอีกสถานการณ์เขาสามารถตัดมันออกจากความสนใจไปอย่างไม่ใยดีด้วยซ้ำ เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทุกอย่างเป็นอะไรที่เขาพร้อมจะหยิบมาใช้และพร้อมจะทิ้งได้หมด และคงไม่เว้นแม้แต่น้องชายที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนกลัวคือเว่ยจินหยินจะใช้เว่ยเฟิงปิงแบบไหน จะได้กิน หรือถูกกินกันแน่
-----------------------------------------------   
   ถ้าการถอนหายใจในจังหวะที่ไฟฟ้าดับลงอย่างไม่คาดหมายในการประชุมที่ตรึงเครียดนี้เรียกว่าสติไม่ดีล่ะก็ เถียนซานคงต้องเข้าโรงพยาบาลประสาท เขาถอนหายใจออกมาในวินาทีแรก ซึ่งคงดังพอจะทำให้หลายคนได้ยินหากไม่มีเสียงอุทานอย่างตกใจของใครหลายๆ คนนั้นห้องนั้นดังขึ้นมากลบ แต่บุรุษวัยสี่สิบเศษผู้นี้ไม่ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรืออะไรในแนวๆ นั้น เสียงถอนหายใจนั้นเหมือนเวลาที่ได้ยินอะไรบางอย่างที่ยังไม่สมควรจะพูดออกมาก่อน มันไม่ได้ร้ายแรง แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก เถียนซานแทบจะรู้ในทันทีว่าเจ้านายของเขาคิดอะไร เว่ยจินหยินคงคิดจะฉวยโอกาสนี้เร่งแผนการให้เร็วขึ้น ซึ่งมีโอกาสจะทำสำเร็จสูง เขาไม่อยากคิดแทนเจ้านายมาก แต่คงมีมากกว่าสามวิธีที่เว่ยจินหยินจะใช้ในความมืดระยะสั้นๆ แบบนี้ และแต่ละวิธีคงส่งผลคล้ายกับระเบิดกลายๆ ที่จะสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เขาเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยจินหยินจะลากทุกคนในห้องนี้ลงสู่ทุ่นระเบิดนั้น เถียนซานยังไม่อยากเห็นการระเบิด เนื่องจากเขายังไม่แน่ใจในสถานการณ์ด้านนอก
   บางทีสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อาจจะแย่กว่าเรื่องไฟดับ
-----------------------------------------
   ฟารุคเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยที่มีชื่อว่าจินหยินมาบ้าง แน่นอนว่ามันเป็นคำบอกเล่าจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง เรื่องที่ดูจะเข้าหูเขามากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องเมื่อสองปีก่อนของไฮท์เธอทีนที่มีชื่อว่ามิคาเอล ลอว์
    ลอว์เป็นไฮท์ที่กระโดดขึ้นมาอย่างน่าเกลียด ไม่ใช่เฉพาะในสายตาของเขา แต่ในสายตาของทุกคน เขาได้ตำแหน่งนี้มาเพราะเป็นคนรักของโอนเนอร์ นั่นก็แย่พอ ที่แย่กว่านั้นคือมิคาเอล ลอว์ไม่ได้มีดีแค่การอ้าขาเพื่อให้ได้ตำแหน่ง มันสมองของเขาอยู่ในระดับอัจฉริยะ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องจะแย่งตำแหน่ง แค่เรื่องทำผลงานก็ทำให้หลายคนพูดไม่ออกแล้ว บางครั้งฟารุคยังนึกสงสัย ว่าทำไมเขาถึงไม่ใช้สมองตัวเองให้มากกว่าหว่างขา แต่ช่างเถอะ แต่ละคนก็คงมีวิธีใช้ชีวิตที่ต่างกันไป มิคาเอล ลอว์ถูกตำรวจอังกฤษจับตัวได้ในข้อหาค้ายาเสพติด โชคดีที่เขาจะไม่ได้ซัดทอดอะไรเกี่ยวกับริเวิล ผู้ที่ทำให้เขาถูกจับได้ว่ากันว่าคือคุณชายรองคนนี้นี่เอง รู้สึกว่าเรื่องคราวนั้นผู้ชายคนนี้จะอาศัยช่วงไฟดับสร้างสถานการณ์อะไรบางอย่างด้วย เพราะอย่างนั้นฟารุคแทบจะแน่ใจว่า ในความมืดที่มาอย่างคาดไม่ถึงนี้ คนอย่างเว่ยจินหยินต้องไม่ปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ แน่
สำหรับฟารุค การมาในครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือเรื่องยา แต่เมื่อรู้ว่าตระกูลเว่ยกระโดนเข้ามาร่วมด้วยหลังจากถอนตัวออกไปก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ของเว่ยชิงผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ในตระกูล ตาเฒ่านั่นต้องการขัดขวางงานของเขาในครั้งนี้ ต้องการจะหักหน้าริเวิลในงานนี้ และทุ่มทุนถึงขั้นส่งลูกชายสองคนที่ทำงานใกล้ชิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนแผนนิดหน่อย นอกจากเรื่องยาแล้วยังต้องพ่วงการสั่งสอนเจ้าเด็กอัปรีย์สองคนที่ถูกส่งมาจากตระกูลเว่ยด้วย ถ้าทำผลงานได้ดี โอกาสจะได้เลื่อนขึ้นเป็นตำแหน่งสิบสามก็มีสูง
เว่ยจินหยินลงมือเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสของเขา
----------------------------------------
เอียนไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องไฟดับนัก หรือจะพูดให้ละเอียดกว่านั้นคือเขาตกใจนิดหน่อย แต่ก็พอจะคาดเดาได้ สายลับที่อยู่ในวิดิโอถ่ายทอดสดนั่นคงไม่ได้มาคนเดียวหรอก มันเป็นเรื่องบ้ามากที่ต่อสายเข้ามาแบบนั้น แต่สำหรับเขามันก็น่าสนุกดี ได้เห็นการทดลองที่น่าตื่นตะลึงนั่น เขาคิดว่าทวีศักดิ์คงจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ คนที่ทุ่มทุนขนาดนี้คงไม่ปล่อยให้หนูแค่สองสามตัวมาทำลายงานหรอก เหตุการณ์หลังจากไฟสว่างคงจะเป็นการเปิดฉากไล่ล่าของฝั่งผู้เสียงผลประโยชน์บ้าง ซึ่งก็แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หน้าที่ที่เขาต้องทำในคราวนี้คือกลับไปพร้อมยาตัวใหม่ และของแถมคือแขนสักข้าง หรือไม่ก็ลูกตาหรืออวัยวะสักชิ้นสองชิ้นของคุณชายแห่งตระกูลเว่ยสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เอียนไม่รู้จักเว่ยจินหยินดีนัก จะพูดไปแล้วคงไม่มีใครรู้จักหมอนี่ดีเท่าไฮท์เธอทีนคนก่อนที่ชื่อมิคาเอล ลอว์หรอก สำหรับวิธีก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งไฮท์แล้ว เขากับลอว์มีเส้นทางคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่ามิคาเอล ลอว์ไม่ได้ก้าว แต่กระโดดขึ้นมาเลยต่างหาก คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ทำไมโอนเนอร์ถึงได้เห็นผู้ชายที่อายุปาไปตั้งสามสิบกว่าแล้วดีกว่าเขาที่เพิ่งอายุแค่ยี่สิบห้า
เอียนคิดว่าเหตุผลหนึ่งในนั้นคือการที่มิคาเอล ลอว์เสนอตัวว่าจะกำจัดเว่ยจินหยินนี่แหละ สำหรับริเวิล การกำจัดเว่ยจินหยินได้ ถือว่าเด็ดแขนเด็ดขาเว่ยชิงเลยทีเดียว ผู้ชายสวมแว่นที่ได้รับฉายาที่น่ารังเกียจว่าจิ้งจอกนี้ ทำงานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะสะอาดหมดจด หรือสกปรกจนต้องเบือนหน้า เป็นเหมือนแก้วสารพัดนึกของเว่ยชิง แต่ก็นั่นแหละ ขนาดคนที่รู้จักเว่ยจินหยินดีอย่างมิคาเอล ลอว์ยังถูกเว่ยจินหยินซ้อนแผนส่งไปยัดคุกที่อังกฤษ แล้วตัวเขาที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้ล่ะ?
เอียนตัดสินใจว่ายังไงเขาจะหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวหรือปะทะโดยตรงกับเว่ยจินหยิน แค่การทดลองใช้คำพูดทักทายเมื่อครู่ เขายังถูกเจ้าหมอนั่นเตะออกมาด้วยปากเลย ไอ้สายตาที่ไม่เรียกว่ามองแต่เรียกว่าข้ามไปเลยนี่มันแย่ยิ่งกว่าถูกมองเป็นเศษสวะเสียอีก แถมยังไอ้คำพูดประโยคสุดท้ายก่อนไฟดับนั่นอีก เจ้าหมอนี่สามารถใช้ลิ้นพูดในสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกที่คนปกติจะคิดได้ สิ่งที่เว่ยจินหยินพูดออกไป เป็นอะไรที่เขานึกไม่ถึงยิ่งกว่าไฟดับเสียอีก เพราะฉะนั้นดีแล้วที่ไฟดับ อย่างน้อยมันคงทำให้แผนการของเจ้าจิ้งจอกบ้านั่นติดขัดได้บ้าง เพราะอย่างนั้นสำหรับคนแบบเว่ยจินหยินเขาปล่อยให้ฟารุคจัดการไปดีกว่า ถ้าต้องปะทะกับเว่ยจินหยินสำหรับเขาก็คงเหมือนกินของสแลงที่อาจจะทำให้ถึงตายได้ ก็คงจะเหลือคุณชายน้อยนี่แหละ
เว่ยเฟิงปิงถ้านับจริงๆ แล้วไม่ใช่ลูกคนเล็กสุดของเว่ยชิง แต่บังเอิญว่าน้องชายอีกสองคนของเขาไปเฝ้าพระเจ้าตั้งแต่ยังเล็กๆ เจ้านี่ก็เลยได้ตำแหน่งลูกคนเล็กไปในที่สุด แต่สำหรับตำแหน่งนี้เว่ยเฟิงปิงคงไม่ได้รับการเอาใจอย่างที่ลูกคนเล็กทุกคนมักได้ ตรงข้าม เจ้านี่เคยถูกขับออกจากตระกูลด้วยซ้ำ เนื่องมาจากการร่วมมือกับสายลับ อา... สายลับนั่น คนเดียวกับที่เคยฆ่าไฮท์อันดับสิบสามคนก่อนหน้ามิคาเอล ลอว์ และฉกข้อมูลไป  เจ้าตัวแสบ นี่ถ้าเขาจับเจ้านั่นได้คงได้ตำแหน่งข้ามหน้าข้ามตาฟารุคแน่ๆ แต่เอาเถอะ เขาไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาฟารุค และก็คงไม่มีปัญญาจะหาตัวเจ้าสายลับนั่น เพราะทันทีที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว เฟิงปิงก็จัดการส่งหมอนั่นออกนอกประเทศ อยากรู้จริงๆ ว่าคุณชายเจ็ดคนนี้ใช้วิธีไหนให้สายลับคนนั้นมาหาเขาถึงฮ่องกง หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งค้างกันอยู่ จริงๆ เผลอๆ อาจจะเป็นคนเดียวกับที่ถูกถ่ายวิดิโอนั่นก็ได้ ดูจากสายตาของคุณชายคนนั้นที่ตื่นตะลึงอย่างกับว่าเห็นของรักของหวงกำลังจะถูกทำลายงั้นแหละ
เอียนแทบจะหัวเราะออกมาจริงๆ เขาเม้มปากแน่นด้วยกลัวว่าจะถูกฟารุคเอ็ดในความมืด ดูท่าเว่ยเฟิงปิงจะน่าสนใจกว่าสำหรับเขา อย่างน้อยก็พอจะมีปัญญารับมือได้ไม่เหมือนเว่ยจินหยิน เพราะเว่ยเฟิงปิงยังมีความหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ใช่เจ้าจิ้งจอกสวมแว่นบ้านั่นที่ยิ้มออกมาอย่างกับถูกโปรแกรม ดูท่าหมอนี่ยังจะมีความเป็นคนมากกว่าพี่ชาย
งั้นคราวนี้เขาจะขอแขนสักข้างสองข้างของคุณชายเจ็ดคนนี้กลับไปเป็นของขวัญให้โอนเนอร์ก็แล้วกัน
-------------------------------------------------
   วรุตนั่งจ้องความมืดเบื้องหน้า เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้เปลี่ยนใจให้เขาเข้ามาที่นี่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดูจะไม่อยากให้เข้ามานัก นั่นเพราะพ่อของเขาคงอยากจะให้เขารับรู้สิ่งที่ทำอยู่ รู้เพื่อที่จะรับให้ได้ ผู้เป็นพ่อกำลังบอกเขาอย่างกลายๆ ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องทำ หลังจากเรียนจบแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่อยากไปเรียนต่อเลย สิ่งที่พ่อเขาเห็นว่าเป็นเรื่องดี เขากลับเห็นว่ามันไม่ดี เรียกได้ว่าเขากับพ่อแทบจะเห็นตรงข้ามกันในทุกเรื่อง แม้ว่าทวีศักดิ์จะพยายามทำอะไรหลายๆ เพื่อทำให้วรุตเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งดี แต่มันคงเป็นแค่การพยายามจะหลอกตัวเองเท่านั้น วรุตมองไม่เห็นว่าของพวกนี้ดีตรงไหน ยาเสพติดที่ไม่เป็นโทษกับร่างกาย แค่ทำให้เสพติดนั่นก็ถือว่าเป็นโทษแล้ว ไหนจะการทดลองที่น่าสยองนั่นอีก ต่อให้รูฟัสเป็นคนที่เขาไม่รู้จักเลยก็เถอะ เขาก็อดสงสารไม่ได้อยู่ดี ยาที่ทำให้คนกลายเป็นท่อนไม้แบบนั้น มันจะเรียกว่าของดีได้ยังไง
   ถึงจะเห็นต่างจากพ่ออย่างสุดขั้ว แต่วรุตไม่คิดจะถอนตัวออกตอนนี้ ถึงแม้เหตุผลที่เขามาที่นี่ตอนแรกจะเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อฟ่งก็ตาม ตอนนี้วรุตรู้สึกตัวแล้วว่าเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเอง ในเมื่อพ่อของเขาต้องการให้เขารับช่วงต่อ นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เรียนรู้
   เรียนรู้และแก้ไขในสิ่งที่พ่อของเขาได้ทำลงไป
   วรุตสูดหายใจ อีกไม่นานไฟจะติดขึ้น เขาไม่รู้ว่าพอไฟติดแล้วสภาพในห้องนี้จะเป็นอย่างไร ฟังจากเสียงพูดคุยซุบซิบนั่นแล้ว คงมีหลายคนที่สูญเสียความเชื่อมั่น เขาควรจะปล่อยให้ดำเนินไปแบบนี้ไหม ขณะที่วรุตกำลังชั่งใจอยู่นั้นเอง
   “อ๊าก!!!”
-------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 29-10-2011 19:00:52
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อื้มมมมมมมม,,,,,


สวัสดีค่ะ  = ="
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 31-10-2011 13:27:25
ค้างงงงงงงงงง :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ชอบมากคะ แต่ละคนคิดสุดยอดมาก
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 31-10-2011 19:03:18
ใครกันอะ ที่ร้องอะ โหหห  ลุ้นอะ ลุ้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 01-11-2011 14:57:19
ผู้ไดฮองหว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-11-2011 15:23:06
กำลังมันส์เลย ว่าแต่ใครร้องออกมาอะ

ปล. ชอบคู่เถียนซานกับจินหยิน ฮิๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 05-11-2011 10:43:33
ใหนบอกสองวันลงทีไงนี่มันเดือนนึงแล้วยังม่ายลงเลยอ้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 05-11-2011 14:30:14
อยากอ่านต่อแล้วคร๊า~

คนแต่งน้ำท่วมไหมคะ ดูแลตัวเองด้วยคะ

ลุ้นตอนต่อไปคะ,,,ขอยาวๆ

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-11-2011 19:03:22
ใหนบอกสองวันลงทีไงนี่มันเดือนนึงแล้วยังม่ายลงเลยอ้าาาาาาาาาาา

ขออภัย ลืมค่ะ ลืมจริงลืมจัง^^"" ลงให้ต่อแล้วนะคะ


บทที่61 ถ้อยคำหลังเสียงระเบิด!!

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้นั้น ดังขึ้นก่อนที่แสงสว่างจะกลับมาเพียงไม่กี่วินาที วรุตขนลุกซู่ เขาไม่เคยได้ยินเสียงร้องน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
เกิดอะไรขึ้น? และกับใครกัน?
แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องนั้นจะสิ้นสุด เสียงผุดลุกขึ้นและเสียงตะโกนก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นภาษาต่างๆ
          “แย่แล้ว!!”
   “มีคนนอก”
   “มีศัตรูแฝงเข้ามาในนี้”
   “ระวัง!!”
          นั่นคือท่อนหนึ่งของคำพูดในหลายภาษาที่วรุตพอจะฟังออก เสียงขยับตัวดังสับสนอลหม่าน ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของผู้เป็นพ่อซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ทุกท่านใจเย็นๆ ก่อนครับ! บางทีนี่อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ”
แต่เสียงของพ่อเขาก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง ที่ถูกกลบด้วยเสียงอื้ออึงจากความแตกตื่นที่ดังขึ้นภายในห้อง วรุตตัดสินใจกระซิบกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อ... นี่มัน........”
ทันใดนั้นเอง แสงไฟก็สว่างพรึบขึ้น

เด็กหนุ่มเบิ่งตากว้าง สิ่งที่เขาเห็นคือภาพของเหล่าผู้ติดตามที่ลุกขึ้นมายืนบังเจ้านายของเขาเอาไว้ และกราดปืนออกไปในทิศทางตรงข้าม ต่ำลงไปกว่านั้น.......
          “จูเลียโน!!” ชายชาวต่างประเทศอายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบเศษ โพล่งขึ้น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บนพื้นข้างตัวเขา ร่างของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงจัด ขณะที่มือข้างหนึ่งกุมต้นคอของตัวเองเอาไว้
   เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด และภาพที่ได้เห็นทำเอาเด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ภายในห้องพลันเงียบสนิทไปทันที ยิ่งทำให้เสียงร้องทุรนทุรายนั้นฟังดูโหนหวนน่าหวาดกลัวมากขึ้น
   ทวีศักดิ์รู้สึกตัวก่อนเป็นคนแรก เขารีบกรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสาร
   “รัตน์ ตามหมอหรือใครก็ได้ ตอนนี้ในห้องประชุมมีคนได้รับบาดเจ็บ ท่าทางเหมือนจะถูกยาพิษ แต่ผมยังไม่รู้ว่าเป็นยาพิษประเภทไหน”
   วรุตหันไปมองพ่อของเขา แม้ไฟจะดับไปพักหนึ่ง แต่อากาศภายในห้องยังคงเย็นอยู่ ถึงกระนั้น บนใบหน้าของทวีศักดิ์กลับปรากฏเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่ม
   “พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแห้ง ทวีศักดิ์หันมามองหน้าลูกชายของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า
   “ไม่เป็นไร เชื่อพ่อเถอะ ไม่เป็นไร...”
   วรุตมองหน้าพ่อของตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือก
------------------------------------------
   แพทย์ที่ถูกจ้างมาประจำเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ถูกตามตัวลงมาหลังจากนั้น พอเห็นอาการของคนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ก็เร่งให้นำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาการคล้ายกับถูกสารเคมีที่พิษกัดกร่อนระบบประสาท แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นประเภทไหน
   ร่างของผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำออกไปแล้ว พร้อมกับชายร่างอุ้ยอ้ายซึ่งเป็นเจ้านาย ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ เมื่อได้ทราบอาการของผู้เป็นลูกน้อง เขาพึมพำเป็นภาษาที่วรุตไม่เข้าใจไปตลอดทางระหว่างเดินออกไป และหันมามองพ่อของเขาเป็นระยะๆ
   เหงื่อบนใบหน้าของทวีศักดิ์ยิ่งซึมออกมามากกว่าเดิม
   
   เสียงพึมพำในห้องดังขึ้นอื้ออึงระหว่างนั้น ก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มพูดขึ้น
   “นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ฝีมือใครกัน?”
   แต่ยังไม่ทันที่ทวีศักดิ์จะได้ตอบอะไร อีกเสียงก็ดังตามขึ้นมา “หรือว่ามีศัตรูแอบแฝงเข้ามาเพื่อกำจัดพวกเรา?!”
   “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ทวีศักดิ์พูดขึ้นต่อจากนั้น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “ผมตรวจสอบพวกคุณมาอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางที่จะมีการปลอมแปลง หรือสวมรอยแทนได้อย่างเด็ดขาด”
   ทุกคนต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือจะเอ่ยปากขึ้น “งั้นถ้าเกิดว่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเรา ต้องการล้มการประชุมนี้ขึ้นมาล่ะ?”
   “มันจะมีเรื่องบ้าแบบนั้นได้ยังไง?!” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง “ที่พวกเรามารวมตัวกัน ก็เพื่อดูผลการทดลองยาตัวใหม่นะ......” ทันใดนั้น คนพูดก็เงียบไป ก่อนจะโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “หรือว่าจะมีใครในพวกเราต้องการจะฮุบยานี่ไว้คนเดียว เลยวางแผนจะกำจัดคนที่เหลือทิ้ง”
   ทั้งหมดมองหน้ากัน ด้วยสายตาที่แสดงความหวาดระแวงระหว่างกันอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ทวีศักดิ์กำลังจะเอ่ยปาก ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น
   “ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ ไม่มีใครโง่พอจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเราทั้งหมดนี้หรอก” คนพูดเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบเศษ สวมแว่นตากรอบทอง และหวีผมเรียบจนติดหนังศีรษะ เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วกล่าวขึ้นต่อ
   “ลองคิดดูสิครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณทั้งหมด คิดว่าคนที่รอดอยู่จะพ้นจากข้อสงสัยหรือครับ พวกเราเองก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลกันมา กำลังคนก็ไม่พร้อมกันทั้งนั้น ถ้าหากถูกรุมแล้วล่ะก็ คงไม่มีหวังจะรอดชีวิตกลับไปได้หรอก ผมว่า เรื่องนี้น่าจะมีเงื่อนงำอย่างอื่น”
   วรุตมองดูผู้ชายที่สวมแว่นตากรอบทองคนนั้น จำได้ว่าระหว่างที่นั่งประชุมกัน เขาไม่สังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน อาจจะเพราะท่าทางที่ดูธรรมดามากก็ได้ แต่พอได้เห็นจังหวะการพูดและสายตาที่ใช้มองคนโดยผ่านแว่นกรอบทองนั้นแล้ว วรุตกลับรู้สึกขนลุก
   เขาเกิดกลัวผู้ชายท่าทางธรรมดาคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
   ภายในห้องบังเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เหมือนทุกคนกำลังนึกทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นเพิ่งพูดออกมา ก่อนจะมีเสียงสนับสนุน “จริงของคุณ แต่...แล้วนี่มันเป็นฝีมือใครกันล่ะ แล้วหวังผลอะไรกันแน่?”
   “มันก็ไม่แน่นักหรอกครับ” เสียงที่ดังราวกับหินแตกแทรกขึ้นมา จากปากชายร่างสูงใหญ่ อายุสักสี่สิบเศษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทอง “ถ้าหากว่าจับมือกันสักสี่ห้ามกลุ่มล่ะก็.... ไม่จำเป็นจะต้องกลัวว่าจะโดนจัดการหลังจากนี้หรอก สร้างเรื่องขึ้นมา แล้วโยนความผิดให้มือที่มองไม่เห็นซะ จากนั้นก็จัดฉากขึ้นมา ให้ใครสักคนที่อยู่ในแผนความร่วมมือประมูลตัวยาไปซะ แล้วค่อยไปแบ่งสันบันส่วนกันตอนหลัง มันก็ทำได้ไม่ใช่หรือ คุณชายเว่ย?”
   ท้ายประโยคจงใจจะพูดกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เว่ยจินหยินถลึงตามองคนพูด แล้วกล่าวออกมา “คุณฟารุค พูดแบบนี้ มีเจตนาอะไรกันแน่?”
   “ก็อย่างที่เขาว่านั้นแหละนะ” เสียงผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้กันพูดขึ้น “ดูอย่างสายลับที่จับได้เมื่อตะกี้นี้สิ น้องชายใครกันนะที่จ้องเสียตาแทบจะถลนน่ะ หืม? ไม่ลองให้น้องชายคุณพูดอะไรดูหน่อยหรือไง คุณชายเว่ยจินหยิน”
   เว่ยจินหยินจ้องสองคนฝั่งตรงกันข้ามผ่านแว่นตากรอบทองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะกระชากเสียงพูดออกมา “พวกคุณพูดจาสามหาวมากไปแล้ว น้องชายผมน่ะ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้นอย่างเด็ดขาด ใช่ไหมเฟิง....?!”
   เว่ยจินหยินชะงักเสียงค้าง ก่อนจะจับตัวน้องชายเขย่า
   “เฟิงปิง!!!”
   ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มฟาดลงกับโต๊ะตรงหน้า
----------------------------------------
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง กระทั่งฟารุคเองยังหน้าถอดสี ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มพับอยู่บนโต๊ะ โดยมีผู้เป็นพี่ชายโพล่งออกมาอย่างตกใจ “เฟิงปิง!!”
   จางซื่อเยี่ยนพรวดพราดเข้ามาหาเจ้านายทันที และเกือบจะผลักเว่ยจินหยินออก “คุณชาย!”
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงซีดเผือดราวกับคนตาย ในตอนที่จางซื่อเยี่ยนประคองเขาขึ้นมาจากโต๊ะ ร่างกายดูอ่อนปวกเปียกไปหมด เว่ยจินหยินโพล่งออกมาอีก “นี่มัน!!??”
   ชายหนุ่มถลันเข้าไปหาร่างของน้องชาย ก่อนจะยกมือขึ้นแตะใบหน้า และปลายจมูก จากนั้นก็หน้าซีดเผือด “ตามหมอ ตามหมอที ช่วยน้องผมด้วย”
   วรุตรู้สึกถึงความตรึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาภายในห้อง ระหว่างที่พ่อของเขากรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสารอย่างร้อนรน
----------------------------------------------
   ร่างของเว่ยเฟิงปิงถูกนำออกไป พร้อมกับลูกน้องคนสนิท ถึงกระนั้นผู้เป็นพี่ชายยังคงยืนอยู่ในห้อง เว่ยจินหยินกวาดตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นเจ้าของการประชุม “คุณทวีศักดิ์ คุณปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?”
   ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก มือที่กำอยู่เปียกชุ่ม กระทั่งเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ในห้องประชุมที่ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุม และการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชุมที่มีการตรวจสอบกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
   เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!
          “คุณทวีศักดิ์ คุณจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คุณปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง คุณรับผิดชอบชีวิตพวกผมแบบไหนกัน?!!” เว่ยจินหยินพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
          ทวีศักดิ์ถึงกับขากรรไกรค้างไปในบัดดล ลำพังไอ้ความกดดันที่มีอยู่ในบรรยากาศนี่ก็มากพอแล้ว ยังจะมีคำพูดนี้ออกมาจากปากของเว่ยจินหยินอีก คำพูดที่เขากลัวที่สุด
   คำพูดซึ่งหลายคนอาจจะอยากพูด.... และในเมื่อมีคนแรกพูดออกมาแล้ว....
          “ผมเห็นด้วย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพวกเรารับไม่ได้หรอกนะ ที่นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว คุณไม่เคยบอกเราถึงความเสี่ยงนี้ ไหนว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดไง?” เสียงหลายเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาหลังจากนั้น ผู้เป็นเจ้าของการประชุมแทบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ หากไม่ติดว่ามันเป็นการแสดงมารยาทที่ไม่ดี ทวีศักดิ์อยากจะพูดออกไปว่าเขาแน่ใจเรื่องสถานที่ แต่ใครมันจะคิดล่ะว่าจะมีคนกันเองเป็นไส้ศึกแบบนี้ เรื่องนี้แย่ยิ่งกว่าพวกสายลับที่เขาไล่ต้อนอยู่ด้านล่างอีก เพราะคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบมาหมดแล้ว
   หรือจะมีใครในกลุ่มคนพวกนี้วางแผนจะฮุบเอาตัวยาไปอย่างที่ฟารุคว่าจริงๆ
   ทวีศักดิ์ค่อยๆ กวาดตามองกลุ่มคนจากหลากหลายที่ภายในห้อง ต่างคนต่างแสดงความหวาดระแวงกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในสถานการณ์แบบนี้ เขาวิเคราะห์หรือประเมินไม่ออกเลยว่า ใครเป็นพวกใครหรืออยู่ฝ่ายไหนกันแน่
   เสียงเรียกร้องให้เขารับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงดังตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวของเว่ยจินหยินเองที่ดูจะหมดความอดทนถึงที่สุด
   “คุณทวีศักดิ์ ผมขอถอนตัว เรื่องนี้มันเสี่ยงเกินกว่าที่ผมจะรับได้แล้ว”
   สิ้นสุดประโยค เสียงอื้ออึงในเชิงเห็นด้วยดังต่อขึ้นมาทันที ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก
การประชุมครั้งนี้เขาลงทุนไปมาก และหากยกเลิกไปเฉยๆ ก็เท่ากับว่าสูญเปล่าทั้งหมด
   ระหว่างที่เขากำลังนึกวิธีจัดการกับปัญหาหนักหนาสาหัสที่อยู่ตรงหน้า เสียงหนึ่งซึ่งอยู่ข้างเขามาโดยตลอดก็พูดออกมา
          “ผมเห็นด้วยกับทุกท่านครับ การประชุมนี้ควรหยุดได้แล้ว”
   ทวีศักดิ์หันไปมองบุตรชายของเขาอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะอุทานออกไป “วิน ลูกพูดอะไร? ลูกรู้รึเปล่าว่ามันเสียหายขนาดไหน?”
          วรุตพยักหน้า และหันไปมองพ่อของเขา “ผมรู้ ถึงจะรู้ไม่เท่าพ่อก็เถอะ ผมรู้ว่างานนี้พ่อลงทุนไปมาก แต่มันเสี่ยงเกินไป ถ้าเรายังยืนยันต่อพวกเขาอาจจะฆ่าเราก็ได้” เด็กหนุ่มหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองไปยังวงประชุม
“พ่อไม่เห็นหรือพวกนั้นมีปืน แล้วเขาก็กำลังมองมาที่เราอย่างเอาเรื่อง ถ้าเรายังขืนรีรอไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ เขาไม่เอาเราไว้แน่”
ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชาย ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เหงื่อกาฬหลายหยดไหนซึมออกมา ไรผมของเขาเปียกชุ่ม แม้จะอยู่ในห้องปรับอากาศก็ตาม เป็นครั้งแรกที่วรุตเห็นพ่อเขาในสภาพเครียดจัดเช่นนี้ เด็กหนุ่มอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ทำไมพ่อของเขาจะต้องนำพาตัวเองมาในภาวะแบบนี้ด้วย ภาวะที่เสี่ยงทั้งตัวเองและคนอื่น
“พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง คนถูกเรียกกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วหลับตาลง จากนั้นจึงเบือนหน้าออกไปอีกทาง
          “ผมขอยกเลิกการประชุม”
   บรรยากาศตรึงเครียดภายในห้องเหมือนถูกผ่อนออกลงทันที หลายเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก กระทั่งตัวของวรุตเอง แต่เมื่อมองกลับมายังพ่อของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้
   ทวีศักดิ์รู้สึกเหมือนตัวเองบอลลูนที่ถูกปล่อยลม จบสิ้นกันแล้ว สิ่งที่เขาทุ่มเททำลงไป ทุกอย่างที่เขาทำเพื่อคนสำคัญที่สุดของเขา
   ชายวันกลางคนขบกรามกรอด กลั้นความรู้สึกไม่ให้เอ่อทะกลักออกมา
วรุตมองดูผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ประตู แล้วเปิดมันออก...
--------------------------------------
   แคลร์ยืนอยู่หน้าประตูที่ใช้เปิดเข้าสู่ส่วนที่เป็นระเบียงใหญ่ ในตอนที่ไฟติดขึ้น หล่อนมั่นใจว่าราฟาแอลจะต้องอยู่ที่นี่ ต่อให้หมอนั่นสามารถมองเห็นได้ในความมืดได้ด้วยเทคนิคอะไรก็ตาม แต่คงไม่สามารถผ่านประตูออกไปในตอนที่ไฟดับได้แน่ๆ
สิ่งที่น่ากังวลคือ หมอนั่นทำอะไรบ้างตอนไฟดับ คงไม่ใช่แค่วิ่งไปวิ่งมาหรอก....
   เสียงกระสุนดังสนั่นขึ้นแทบจะในทันทีที่หล่อนเปิดประตูเข้าไป ให้ตายสิ ผู้ชายคนนั้นบ้าดีเดือดเป็นบ้า เป็นพวกเสพติดควันปืนหรือยังไง อาจจะฟังดูน่าแปลก แต่หล่อนรู้สึกดีกับเสียงปืนนั่น อย่างน้อยหล่อนก็รู้ว่าราฟาแอลมีจุดประสงค์จะเผยตัวแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกพบเห็นหลังจากไฟติดขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ แปลว่าเขาเองก็ตั้งใจจะถ่วงเวลาเหมือนกัน ซึ่งจะถ่วงไปเพื่ออะไรนั้น ถ้าได้เจอกันก็คงได้ถามเองนั้นแหละ หญิงสาววิ่งเหยาะๆ ไปตามทิศทางของเสียง
ท่าทางครั้งนี้อาจจะได้ทักทายกันหนักมือหน่อย
--------------------------------------
   สิ่งที่ทำให้รัสเลอร์แทบแหกปากร้องออกมาคือภาพของใครคนหนึ่งที่เขาจำได้ดีแม้จะมองจากกล้องวงจรปิดก็ตาม นั่นใช่ฟ่งไม่ผิดแน่ แต่ปัญหาคือฟ่งกำลังกอดอยู่กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก ท่าทางตัวบางๆ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ แต่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นผู้ชายนั่นแหละ ปัญหาคือทำไมฟ่งต้องกอดกับเจ้าหมอนั่นแบบนั้นด้วย คงไม่ใช่ว่าเพราะตกใจกลัวไฟดับหรอกนะ
รัสเลอร์เกิดความคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเขาควรจะไปหาฟ่งเพื่อถามถึงเหตุผลที่เจ้าตัวมาปรากฏตัวอยู่ ไม่ก็ทำให้ฟ่งมาหาเขาที่นี่ แต่ที่สำคัญคือไม่ว่าวิธีไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้
รัสเลอร์เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าฟ่งเป็นคนที่ลึกลับยิ่งกว่าพวกสายลับคนไหนที่เขารู้จักเสียอีก
   คนที่ทำเรื่องที่คนอื่นหาเหตุผลมารองรับไม่ได้นี่ ถ้าไม่บ้าก็ฉลาดจนน่าตกใจเลยทีเดียว…
---------------------------------------
   ฟ่งไม่ได้บ้า แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เขาเกือบถูกยิงตายเพราะชายคนหนึ่ง แล้วตอนนี้ชายคนนั้นก็กำลังร้องไห้อยู่บนหัวไหล่ของเขา ความจริงคือสีหน้าที่อิทธิเดชแสดงออกมาทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่เลิกกับดาใหม่ๆ เขาก็คงมีสีหน้าแบบนี้เหมือนกัน นี่รึเปล่าที่เป็นเหตุให้รูฟัสทำดีด้วย ดูเหมือนรูฟัสเองก็เคยพูดเอาไว้แบบนี้เหมือนกัน เขาก็ควรจะให้สิ่งดีๆ กับคนที่เคยมีสภาพเดียวกับเขาบ้าง ถึงจะไม่ทุ่มทุนสร้างแบบรูฟัส แต่แค่นี้ก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ประเด็นคือเขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ดูเหมือนรูฟัสจะมีปัญหา อย่างน้อยก็ที่ไฟดับเมื่อครู่นี่แหละ ฟ่งคิดว่าคงไม่มีใครอยากดับไฟ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เขากลัวว่าเหตุจำเป็นที่ว่าอาจจะเกี่ยวกับผู้ชายตาสองสีคนนั้น
   “ผม..คงต้องไปแล้ว” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นหยุดสะอื้นไปพักใหญ่แล้ว อิทธิเดชเงยหน้าขึ้นมา และพยักหน้าหน่อยๆ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ฟ่งเห็นแบบนั้นก็หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี ท้ายที่สุดจบลงด้วยการใช้แขนเสื้อที่ยาวเกินความจำเป็นช่วยเช็ด อิทธิเดชเผลอหัวเราะออกมา เขารู้สึกขบขันในท่าทางทุลักทุเลของฟ่งที่พยายามจะใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้เขา ชายหนุ่มจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา
   “ผม..ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะ” หนุ่มหน้าสวยกล่าว รู้สึกแปลกใจตัวเองที่พูดอะไรแบบนี้ออกไปกับคนที่ตัวเองเพิ่งคิดจะฆ่า แต่ว่าผู้ชายคนนี้ช่างดูยิ่งใหญ่ ในวินาทีที่ที่ทิ้งปืนลงไปแบบนั้น เขารู้สึกว่าฟ่งช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียเหลือเกิน กล้าเสียจนเขารู้สึกถึงคำว่าละอายใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยกล้าที่จะตัดสินใจอะไรแบบนี้เลย ผู้ชายคนนี้เป็นปาฏิหาริย์ของเขาจริงๆ
   “คุณจะไปไหนล่ะ?” อิทธิเดชเอ่ยถาม เขาแค่คิดว่าสมควรจะพาผู้ชายที่ทำให้เขาคิดในที่สิ่งที่ไม่เคยคิดได้ก่อนหน้านี้ไปส่งในที่ที่ต้องการ เพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาทำลงไป แม้จะโดยไม่รู้ตัวก็ตามเถอะ คงดีกว่าการปล่อยให้เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้
   “เอ่อ...” ฟ่งอึกอัก แม้ว่าวรุตจะรู้ว่าเขาเข้ามาในนี้เพื่อตามหารูฟัส แต่อิทธิเดชไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ และหนำซ้ำยังยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรูฟัสด้วยซ้ำ ขืนเขาพูดความจริงออกไปคงยิ่งทำให้เรื่องที่เหมือนจะดีขึ้นแล้วกลับเลวร้ายลงแน่ ชายหนุ่มพยายามหาข้ออ้างดีๆ ที่เขาพอจะนึกออกในเวลานี้เพื่อตอบคำถามนั้นออกไป
   “ผมอยากจะสำรวจที่นี่หน่อย คุณก็รู้ผมเป็นคนออกแบบมัน”
   อิทธิเดชพยักหน้า แต่ก็พูดขัดออกมา “แต่มันอันตราย คุณไม่ได้ยินเสียงยิงกันตอนลงมาหรือ? เขากำลังจัดการกับพวกสายลับที่แอบเข้ามาอยู่ ทางที่ดีผมว่าคุณกลับขึ้นไปด้านบนดีกว่า”
   “ผมว่า มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก” ฟ่งพยายามจะหาข้ออ้างต่อ ยังไงเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่ารูฟัสปลอดภัย อิทธิเดชนิ่งไปพักหนึ่ง
“งั้นผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน”
   ฟ่งกลืนน้ำลายเฮือก ในขณะที่อีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และยื่นมือมาให้
   “ไปกันเถอะ”
---------------------------------------
   หนังตาของลู่ชางแทบฉีกขาดออกจากกัน เขามองดูกลุ่มควันหลากสีที่ม้วนตัวและบิดเกลียวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้อง โดยมีผู้ชายที่บ้าคลั่งพอๆ กันกำลังกระชากลิ้นชักแก้วลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า เสียงแตกของมันดังถี่เสียจนแยกไม่ออกแล้วว่าเสียงไหนเกิดขึ้นก่อน เสียงไหนเกิดขึ้นหลัง
   รูฟัสย่ำลงไปบนเศษแก้ว พร้อมกับดึงลิ้นชักที่ใส่หลอดแก้วบรรจุควันนั้นออกมาทุ่มลงบนพื้น ท่ามกลางกลุ่มควันที่เปลี่ยนสีแทบจะทุกๆ เสี้ยววินาที ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางซิมโฟนีประหลาดๆ พอรู้สึกตัวก็ต้องรีบบอกตัวเองให้หยุดความคิดบ้าๆ นี้เอาไว้ทันที ก่อนจะวิปลาสไปเหมือนตาแก่ที่นอนอยู่บนพื้นนั่น
   ลิ้นชักอันสุดท้ายหล่นกระแทกพื้นและแตกกระจาย รูฟัสกระชากคอของลู่ชางที่นอนอยู่ขึ้นมาและเอ่ยถาม “ยังมีเจ้านี่เหลืออยู่ที่ไหนบ้าง?”
   แน่นอนว่าลู่ชางไม่ยอมตอบเขาดีๆ แน่ ลู่ชางตะกุยมือใส่รูฟัสราวกับคนบ้า ทำให้รูฟัสต้องทิ้งร่างเหี่ยวย่นนั่นลงบนพื้นอีกครั้ง
   “งั้นเชิญแหกตาดูผลงานของแกพินาศไปที่นี่แล้วกัน” รูฟัสตะคอกใส่ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูโลหะที่ถูกใช้เป็นทางเข้าออก
--------------------------------------------
   “เฮ้ย ซิมแปนซี เสือขาวมันโผล่หัวออกมาแล้วยัง?” ราฟาแอลตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดของลูกปืน รัสเลอร์สั่นศีรษะและกรอกเสียงกลับไป
   “ยัง แต่จริงๆ น่าจะติดต่อกลับมาได้แล้วนี่ เฮ้ย!!” ชายหนุ่มร้องเสียงลั่น จากนั้นก็รีบดึงไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในห้องนั้นขึ้นมาดู “สิงโต!!!”
   “อะไรอีกเล่า!!? จะบอกว่ามันดมควันจนน็อกไปอีกรอบหรือไง ถ้าแบบนั้นล่ะก็ปล่อยให้ตายไปเลยแล้วกัน” ราฟาแอลบ่นยาวยืด ท่าทางจะหงุดหงิดที่ต้องทำงานที่ไม่ถนัดอย่างการถ่วงเวลาแบบนี้ รัสเลอร์ได้ยินเสียงเหมือนกระสุนปืนกระแทกโลหะแข็งดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ท่าทางเจ้าหมอนั่นจะกำลังวุ่นวายจริงๆ
   “ท่าทางเสือขาวจะมีปัญหารอบสองน่ะ คนดูแลระบบคงล็อกประตูพวกนั้น หมอนั่นเลยยังติดอยู่....”
   “เอาเข้าไป!!” ราฟาแอลคราง เขากำลังคิดว่าน่าจะพกปืนกลกึ่งอัตโนมัติแบบที่ยิงได้ทีละห้าสิบนัดมาด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปลี่ยนแมกกาซีน
   “แล้วต้องทำยังไง นายปลดล็อกจากตรงนั้นไม่ได้เรอะ?”
   “กำลังพยายามอยู่ แต่ฉันว่ามันคงตัดเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้วล่ะ คงต้องมีใครเปิดประตูเข้าไปช่วยหมอนั่น” รัสเลอร์ตอบกลับมา ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนใส่ไมโครโฟน
   “ดีเลย ฉันที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนแมกกาซีนนี่คงทำได้หรอก ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่ะ!!!??”
   รัสเลอร์รีบดึงหูฟังออกจากหูทันที ตะโกนดังขนาดนี้ ถ้าหูไม่แตก หูฟังก็คงทะลุล่ะ เขารออีกหลายวินาทีกว่าจะทำใจแนบมันเข้ากับหูอีกครั้ง
   “โทษที พอดีฉันลืม ก็มัวแต่ลุ้นรูฟัสอยู่นี่หว่า แล้วจะทำไงต่อดี?”
   เสียงอีกฟากเงียบไปพักหนึ่ง รัสเลอร์ได้ยินเสียงหายใจหนัก แล้วก็เสียงเปลี่ยนแม็กกาซีน
   “นี่.... นายเคยบอกเอาไว้ใช่ไหม ว่าระบบรักษาความปลอดภัยน่ะ ถ้าเกิดมีภาวะวิกฤติขึ้นมา มันจะปลดล็อกตัวเอง รวมถึงไอ้ประตูพวกนี้ด้วยรึเปล่า”
   รัสเลอร์พยักหน้าและตอบกลับไป “อืม... มันก็ใช่ ว่าแต่ไอ้ภาวะวิกฤตที่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?”
   เหมือนได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะออกมาให้ได้ยิน
   “ระเบิดมันซะก็สิ้นเรื่อง”
--------------------------------------------
   อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่ชายคนนั้นพูดว่าต้องไปแล้ว นั่นหมายถึงเข้าต้องไปทำอะไรบางอย่างที่แข่งกับเวลาหรือเปล่านะ? แต่พอถามเข้าจริงๆ กลับได้รับเหตุผลที่ดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้นหนุ่มหน้าสวยก็ไม่อยากจะซักต่ออีก เขาไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับฟ่งในตอนนี้ และก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นพวกไหนกันแน่ แต่คงมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างในการเข้ามาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเขาขอจับตาดูเงียบๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้จัดการได้ทัน
แต่เขาคงฆ่าผู้ชายคนนี้ไม่ลงหรอก
   
ฟ่งกำลังขบคิดอย่างหนัก เขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังห้องนิรภัยพิเศษ หลังจากไฟดับ มันน่าจะถูกตัดวงจระเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้ว รูฟัสจะติดอยู่ในนั้นหรือเปล่านะ? เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก จะมีใครไปที่นั่นอีกไหม? หรือควรจะลองถามอิทธิเดชดู ทางนั้นน่าจะคิดต่อกับศูนย์บัญชาการหลัก อาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้
   “ผมไปดูที่ห้องนิรภัยได้รึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจเอ่ยถามออกไป พอเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างสงสัย จึงรีบพูดต่อ “ผมแค่อยากไปดูน่ะ มันเป็นห้องที่ออกแบบยากที่สุดสำหรับผม”
   คนได้ฟังนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ผมไม่แน่ใจว่าเราจะไปถึงที่นั่นได้ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่เอาเถอะ ผมจะพาคุณไปแล้วกัน”
   อิทธิเดชตัดสินใจว่าเขาจะทำตามที่ฟ่งร้องขอ เพราะยังไงเสียพวกเขาทั้งสองคนคงจะผ่านไปที่นั่นไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ฟังจากเสียงปืนที่ดังแว่วมา ชายหนุ่มหน้าสวยสงสัยว่าฟ่งได้ยินเสียงพวกนี้บ้างหรือเปล่า หรือได้ยินแต่ทำเป็นไม่รู้  หรือจริงๆ แล้วตั้งใจจะไปหาคนที่ทำให้เกิดเสียงนี้กันแน่นะ...
----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-11-2011 19:05:01
   “นายจะทำอย่างนั้นจริงเรอะ?” รัสเลอร์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักผ่านไมโคโฟน ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เขาเพิ่งยิงสกัดพวกที่ตามเข้ามาระลอกใหม่เจ็บไปสอง สงสัยแบบนี้อาจจะต้องทำบังเกอร์
   “ทำอะไร?”
   “ก็ที่ว่าจะระเบิดน่ะ...” ทางนั้นตอบกลับมา ราฟาแอลร้องอ้อเสียงยาว ก่อนจะหนีบตัวเองเข้ากับขอบเสาเหล็กเพื่อหลบกระสุน เสียงเคร้งๆ ดังแทรกขึ้นมาในระหว่างการสนทนา
   “มันไม่ใช่ระเบิดแบบที่เอาไว้ถล่มตึกหรอก นายก็รู้ มันก็แค่ระเบิดลูกเล็กๆ ที่อย่างเก่งก็แค่ทำให้เสาเป็นรูแค่นั้นเอง ฉันติดเอาไว้เผื่อฉุกเฉินเฉยๆ” หนุ่มผมบลอนด์ส่งเสียงผ่านวิทยุสื่อสารกลับมา คนได้ฟังส่งเสียงร้องตอบกลับไป
   “อ้อ ฉันล่ะคิดว่าเป็นระเบิดนาปาล์มซะอีก”
   “อันนั้นน่ะ เสือขาวของนายพกเอาไว้” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา รัสเลอร์เลิกคิ้ว ยังไม่ทันได้ถามอะไรอีก ราฟาแอลก็พูดขึ้นต่อ “แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากจะได้นาปาล์มอยู่เหมือนกันล่ะนะ”
   “โธ่ นายคิดจะถล่มที่นี่หรือไง” รัสเลอร์ครางออกมา แล้วพูดต่อ “ตอนไฟดับเมื่อตะกี้ นายแอบไปติดระเบิดเอาไว้แถวนั้นเผื่อฉุกเฉินใช่มั้ยล่ะ?”
   “เปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงโวยวาย “แล้วเสือขาวจะรอดมั้ยเนี่ย?!”
   “หุบปากเถอะน่า” ราฟาแอลเอ็ด “ฉันไม่ได้ติดไว้แถวนั้นก็จริง แต่คิดว่าลองดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรหรอก”
   รัสเลอร์ส่งเสียงอือออตอบกลับมาทันที “ถ้ามันไม่ทำให้ที่นี่ถล่ม นายลองดูก็ได้”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดต่อ “หาอะไรปิดหัวเอาไว้แล้วกัน เผื่อเศษอะไรมันจะหล่นใส่หัวนาย เดี๋ยวจะเพี้ยนไปกว่านี้”
รัสเลอร์หน้าหงิก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงปืนก็ดังแทรกขึ้นก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พลางนึกสงสัยว่า ที่จริงแล้วราฟาแอลอาจจะอยากลองใช้ระเบิดชนิดที่มีการทำลายล้างสูงขึ้นจัดการกับไอ้พวกที่รุมล้อมเขาอยู่ด้วยก็ได้
รัสเลอร์ประดิษฐ์อะไรขึ้นมาหลายอย่าง แต่เขาไม่เคยยุ่งเรื่องการทำระเบิด เพราะมองว่ามันดูโหดร้ายเกินไป กระสุนปืนยังระบุเป้าหมายได้ แต่ระเบิดไม่เคยระปุเป้า มันคือสิ่งที่มีอานุภาพทำลายล้างพื้นที่รอบๆ ของมัน ไม่เลือกว่าจะเป็นใครหรืออะไร ดังนั้นรัสเลอร์จึงไม่เคยคิดทำระเบิด แต่ดูเหมือนราฟาแอลและรูฟัสจะชำนาญการด้านนี้ อย่างน้อยสองคนนั่นก็เคยเป็นทหารรับจ้างมาก่อน

   ราฟาแอลเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความตื่นเต้น ความจริงแล้วเรื่องระเบิดนั่นระเบิดนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา แต่มันคงจะแปลกใหม่สำหรับไอ้พวกที่กำลังดาหน้าเข้ามาราวกับไม่มีวันจบวันสิ้นนี่  เขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะแรงพอจะทำให้รูฟัสหลุดออกมาได้ แต่อย่างน้อยคงจะเบนความสนใจไปได้บ้าง ชายหนุ่มหยิบสวิตช์ระเบิดขึ้นมา ลูกปืนนัดหนึ่งพุ่งเข้ามากะเทาะเสาเหล็กที่เขาใช้เป็นที่กำบังดังเคร้ง ชายหนุ่มยิงสวนกลับไป อีกสองสามนัด และกดสวิตช์

   ตูม!!!!!!!!!!!!

-------------------------------
   เสียงระเบิดดังพอจะให้คนที่ยังอยู่ในห้องประชุมได้ยิน อาจจะรวมถึงคนที่กำลังจะตายด้วย เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตาโพล่ง และสูดหายใจเฮือกใหญ่เหมือนคนเพิ่งขึ้นจากน้ำและต้องการอากาศอย่างรุนแรง แต่เขาไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเพราะเสียงระเบิด
   เว่ยจินหยิน!
   พี่ชายคนรองของเขาคนนั้น ช่างสรรค์หาแผนการมาใช้จริงๆ ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นล่ะก็ ต่อให้เอาปืนมาจ่อศีรษะ เขาก็จะไม่ยอมให้เว่ยจินหยินทำแบบนี้เด็ดขาด เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคนนี้มีงานอดิเรกแปลกๆ เกี่ยวกับการศึกษาและทดลองเรื่องยาพิษ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเป็นเหยื่อสังเวยเลยสักครั้ง
ในห้องประชุม เว่ยจินหยินให้ยาที่ทำให้เขาเหมือนกับตายไปชั่วขณะหนึ่ง แวบหนึ่งเว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาจะรู้สึกเหมือนรูฟัสรึเปล่า แต่ความคิดต่อมาคือยาของเว่ยจินหยินต้องแย่กว่ายาที่รูฟัสโดนแน่ๆ และตอนนี้เขากำลังหอบหายใจอย่างหนัก โดยมีจางซื่อเยี่ยนประคองเอาไว้

   จางซื่อเยี่ยนแทบจะหยุดหายใจ ตอนเห็นสีหน้าของเว่ยเฟิงปิงที่ล้มพับไป นั่นมันสีหน้าของคนตายชัดๆ นี่ถ้าเถียนซานไม่บอกเขาก่อน เขาคงฆ่าเว่ยจินหยินไปแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะลงมือใช้กระทั่งน้องชายตัวเองเป็นเหยื่อ ถึงจะรู้ว่าเว่ยจินหยินไม่ชอบเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้างก็เถอะ แบบนี้ข่าวลือที่ว่าคุณชายรองคนนี้ฆ่าน้องชายของตัวเองอาจจะมีความจริงอยู่บ้างก็ได้ จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเชื่อใจเว่ยจินหยิน เพราะเว่ยจินหยินไม่เคยบอกจุดประสงค์ของตัวเองตรงๆ เขาจะใช้วิธีการต่างๆ หลอกให้คนอื่นกลายเป็นเครื่องมือ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็โดนใช้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาเชื่อใจเถียนซาน เพราะเถียนซานไม่เคยโกหก ถึงแม้เขาจะหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเถียนซานยืนยัน เขาก็จำต้องเชื่อ เพราะเถียนซานเป็นคนที่เข้าใจความคิดซับซ้อนของเว่ยจินหยิน
ตอนนี้เขากับเว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล หรือสถานที่อะไรทำนองนั้น พวกเขาหลบอยู่ตรงขอบระเบียงด้านนอกที่อับสายตาผู้คน โดยมีบุรุษพยาบาลสองคนที่ถูกทำให้สลบนอนอยู่ข้างๆ เนื่องเพราะเถียนซานบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องออกมาคุมเชิงด้านนอก มันเป็นแผนสองเด้งที่เว่ยจินหยินคิดได้ในระยะเวลาสั้นๆ และลูกพี่ของเขาคาดเดามันได้ถูกต้อง ด้วยความตายหรือความปิดปกติของเว่ยเฟิงปิง จะทำให้ผู้เป็นพี่ชายหลุดออกจากตำแหน่งผู้ต้องสงสัยได้โดยง่าย และมีความชอบธรรมในการล้มล้างการประชุม ซึ่งจางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเว่ยจินหยินจะทำเรื่องนั้นสำเร็จ เขาจึงรอ รอให้เว่ยเฟิงปิงฟื้น และรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
   ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงฟื้นแล้ว แต่ที่น่ากังวลคือเสียงที่ดังขึ้นมาเมื่อสักครู่ ถึงจะเบาและไกล แต่ว่านั่นเป็นเสียงระเบิดไม่ผิดแน่  พวกรูฟัสต้องการทำลายที่นี่รึ?

   “ขะ..ขอบใจ..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาในที่สุด เขาสูดหายใจซ้ำอีกหลายรอบ จึงสามารถพูดได้คล่องขึ้น
   “ให้ตายสิ ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องมาตายแบบนี้ นายมีน้ำไหม?”
   ผู้เป็นลูกน้องดึงขวดน้ำที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงของบุรุษพยาบาลขึ้นมาส่งให้เจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงรับไปดื่มราวๆ ครึ่งขวด
“พี่จินหยินล่ะ ออกมาหรือยัง? แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
   จางซื่อเยี่ยนอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ผู้เป็นเจ้านายฟัง รวมถึงจุดที่อยู่
   “อืม.. ให้ฉันเดา จินหยินคงล้มการประชุมไปแล้วล่ะ และถ้าให้เดาต่อจากนั้น เดี๋ยวคงจะมีไฮท์คนใดคนหนึ่งตามเรามา จริงๆ ฉันอยากให้พวกนั้นร่วมมือกันรุมจินหยินมากกว่า แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าสองคนนั่นไม่มั่นใจขนาดนั้น จินหยินคงไม่จำเป็นต้องส่งฉันออกมา”
   ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้า แต่ก็ยังเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรแล้วแน่ๆ นะครับ?”
   เว่ยเฟิงปิงมองอย่างสงสัย และผงกศีรษะ “อืม.. ฉันดูแย่มากเลยหรือไง?”
   “ก่อนหน้านี้คุณดูเหมือนคนตาย ผมคิดว่าคุณจะ...”
   “พี่จินหยินไม่ฆ่าฉันทิ้งตอนนี้หรอกน่า” เว่ยเฟิงปิงว่า และรู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อถูกอีกฝ่ายรวบตัวเอาไว้ในอ้อมกอด
   “ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมคงได้ฆ่าเขาแน่ๆ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และกอดเจ้านายของเขาแน่น เว่ยเฟิงปิงเผลอหัวเราะออกมา “นายจะถูกเถียนซานฆ่าแทนน่ะสิ”
   วงแขนบางยกขึ้นกอดตอบเบาๆ
   “แต่ฉันดีใจนะที่นายแสดงออกมาแบบนี้” เว่ยเฟิงปิงกระซิบข้างหู จางซื่อเยี่ยนขยับตัว ก้มลงจูบเจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงจะรู้รึเปล่า ว่าเขาเป็นห่วงมากมายขนาดไหน ผู้เป็นเจ้านายหลับตา เจ้าหุ่นยนต์นี่จริงๆ ก็แสดงออกแบบคนปกติได้เหมือนกันนี่นา
   “โอ้โห! ฉันมาทันเห็นฉากเด็ด” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีที่ดังขึ้นชัดเจนพอจะระบุตัวผู้พูดได้ จางซื่อเยี่ยนผละจากเจ้านายของเขาและลุกขึ้นยืนขวางเอาไว้ทันที ในขณะที่เว่ยเฟิงปิงเองก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน
   “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนั้นเลย” เอียนกล่าว เขากำลังยืนล้วงกระเป๋าและยิ้มร่าอยู่ ข้างๆ มีเด็กหนุ่มวัยน่าจะไม่ห่างกันมากนักยืนนิ่งราวกับเป็นซากศพ
   “ก็คิดอยู่ว่าพวกนายต้องเล่นละครกัน แล้วอยู่แถวนี้จริงด้วย” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่จางซื่อเยี่ยนไม่มีหน้าที่จะมาฟังคำพูดของศัตรู เขาขยับแขน สายลวดเล็กจิ๋วขดเป็นวงและคล้องเข้าใส่ชายผู้ยืนพูดอยู่ทันที
   “ถอยไป คุณเอียน” เด็กหนุ่มที่มีสีหน้าไร้อามรณ์ราวกับศพคนตายนั่นกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขานิ่ง เรียบ แต่ชัดเจนเหมือนแผ่นกระดาษสีขาวปลอดที่วางอยู่บนกระดาษสีดำ เรียบและไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เสียงติงดังขึ้นเบาๆ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงความตึงที่ผิดปกติบนเส้นลวด เขาดึงสายสีเงินนั้นกลับเข้ามา เสียงปรบมือดังขึ้น
   “นี่สินะที่เรียกว่าด้ายพิฆาต ไอ้ฉันล่ะคิดว่าจะมีเข็มติดอยู่ตรงปลายเสียอีก” เอียนว่า ดูเหมือนจะไม่มีใครขำกับมุขตลกนั่น จางซื่อเยี่ยนกันเจ้านายของเขาออก พลางมองดูอาวุธในมือของฝ่ายตรงข้าม ในมือสองข้างของเด็กหนุ่มคนนั้น กำวัตถุสีเงินยาว ดูไปคล้ายๆ ท่อนเหล็กขนาดเหมาะมือที่เหลาปลายจนแหลม อดีตหน่วยดำกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง ในขณะที่ไฮท์อันดับสิบเอ็ดกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
   “ตกใจใช่ไหมล่ะ จางซื่อเยี่ยน หรือควรจะเรียกว่าด้ายพิฆาตดี? อืม สมัยอยู่หน่วยดำนายก็เคยทำเรื่องกับทางเราไว้พอสมควรเหมือนกันนี่”
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขารู้ว่าพ่อของเขามักพอใจจะส่งหน่วยดำไปก่อกวนริเวิลในบางเวลา และฉายาด้ายพิฆาตของจางซื่อเยี่ยนก็มีมานานแล้ว เพียงแต่เจ้าหมอนี่ไม่ค่อยได้ใช้มันต่อหน้าเขาเท่าไหร่ ที่น่าแปลกใจคืออาวุธที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามต่างหาก ถึงหน้าตามันจะดูเหมือนเข็มถักนิตติ้ง แต่นั่นก็เป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับจะเอาไว้ใช้ต่อกรกับสิ่งที่เรียกว่า ด้าย โดยเฉพาะ เข็ม..อ่า..นีดเดิล?
   “เป็นไปไม่ได้....?!” เว่ยเฟิงปิงพึมพำขึ้นมา เอียนหันมามองเขาและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “เป็นไปได้สิ กำลังคิดอยู่ใช่ไหมล่ะว่า ไอ้เข็มเล่มโตขนาดนี้ นีดเดิลแน่ๆ แต่ว่าที่คุณเห็นอยู่นี่ไม่ใช่นีดเดิลที่คุณรู้จักหรอก นี่เป็นนีดเดิลคนใหม่”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที พลางนึกถึงเรื่องที่เขาปรึกษากับเว่นจินหยิน มิน่าเล่าที่เถียนซานเคยพูดถึงเรื่องลูกน้องคนสนิทของเอียนที่ชื่อนีดเดิลจึงฟังดูแปลกๆ เจ้าหมอนั่นเล่าว่านีดเดิลที่เป็นลูกน้องของเอียนนั้น ยังไงก็คือนีดเดิล แต่บอกไม่ได้ว่าใครคือนีดเดิลกันแน่ รู้แต่ว่านีดเดิลนั้นฝีมือไม่ธรรมดาเลย และคงมีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าเข็มอยู่บ้าง ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงเข้าใจในส่วนหนึ่งแล้ว ท่าทางเอียนจะเรียกลูกน้องคนสนิททุกคนว่านีดเดิล สิ่งต่อมาคือไอ้เข็มยักษ์ในมือนั่นเป็นอาวุธที่ใช้ได้จริงๆ หรือไว้แค่ขู่กันนะ...?
   
   “กรุณาหลบไปในที่ปลอดภัย คุณเอียน” นีดเดิลกล่าวขึ้นอีก เสียงของเขาช่างราบเรียบไร้อารมณ์สิ้นดี เอียนหัวเราะในคอ พลางโบกไม้โบกมือ “ได้ๆ ฉันไม่เกะกะนายก็ได้ นี่ เฟิงปิง นายเองก็ดูจะว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ? มาเล่นอะไรกันหน่อยไหม?”
   เว่ยเฟิงปิงไม่ตอบในทันที เขาขยับตัวไปทางขวา ก่อนจะก้มต่ำลง วัตถุบางอย่างบินผ่านศีรษะเขาไป และกลับเข้าไปในมือของเอียน
   “อา...พอมีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกันนี่” หนุ่มผู้ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียนอิตาลี่กล่าว เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียง “ฉันไม่อยากเล่นจานร่อนกับนายหรอกนะ”
   เอียนขยับนิ้วมือ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงมีโอกาสสังเกตการแต่งตัวของผู้ชายคนนี้ชัดๆ เขาสวมชุดสูทสีขาวแบบปกติที่มีเส้นสีดำเล็กๆ พาดเป็นแนวยาวลงมา เหมือนกับกางเกง สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาและผูกเน็ตไทสีน้ำเงินเข้ม ที่ดูจะน่าสนใจคือถุงมือหนังสีดำมันปลาบที่อยู่บนมือคู่นั้นต่างหาก ถึงเขาจะเห็นจางซื่อเยี่ยนสวมถุงมือเพื่อกันลวดบาดอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับเจ้าคนที่ชื่อเอียนนี่ คงไม่ได้ใช้ลวดแบบที่จางซื่อเยี่ยนใช้แน่ๆ เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาลง เถียนซานพูดไม่ผิด ถึงมันจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่เจ้าหมอนี่ใช้สิ่งที่เรียกว่า จานแก้ว มันเหมือนห่วงแบนๆ ที่มีขอบคมๆ ปัญหาคือมันใสจนแทบมองไม่เห็น เพราะทำมาจากแก้วนั่นเอง และตอนนี้มันกำลังถูกควงอยู่บนนิ้วของเอียน
   “สายตาแบบนั้น นายมองเห็นที่อยู่ในมือฉันหรือ? มีคนบอกนายล่วงหน้าล่ะสิ คงเป็นคนสนิทของเว่ยจินหยินที่ชื่อเถียนซานคนนั้นใช่ไหม เจ้าหมอนั่นรู้อะไรๆ เกี่ยวกับพวกเรามากเกินไปจริงๆ ฉันคิดว่าฟารุคกับสคัลควรจะเก็บเจ้าหมอนั่นได้แล้ว”
   “นายมั่นใจว่าสองคนนั่นจะจัดการพี่ชายฉันได้หรือไง?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม เอียนหัวเราะ “ไม่มั่นใจฉันจะออกมาหรือ แต่ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่อยากยุ่งกับพี่ชายนายที่มาคู่กับหัวหน้าหน่วยดำนั่นนักหรอก บอกให้เอาไหมว่าเราเรียกเถียนซานว่าอะไร?”
   “ฉันว่าฉันรู้” ผู้ถูกถามตอบ และพูดต่อ “ปิศาจของตระกูลเว่ย ฉันว่าฉันเคยได้ยินแบบนั้น”
   เอียนพยักหน้า “ใช่... และฉันก็ไม่อยากยุ่งกับปิศาจที่มาคู่กับหมาจิ้งจอก เพราะอย่างนั้นนะ เล่นกับนายสนุกกว่าเยอะ คุณอสรพิษ”
   “อืม...พวกนายนี่ช่างตั้งฉายาเสียจริงๆ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวงึมงำ และล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
   “ไม่ปล่อยให้หยิบปืนออกมาหรอกน่า!” เอียนว่า พลางสะบัดมืออีกครั้ง คราวนี้เสื้อบนต้นแขนของเว่ยเฟิงปิงเกิดรอยขาด นี่ถ้าขยับช้ากว่านั้นอีกนิด คงจะถึงชั้นผิวหนัง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงยหน้าขึ้นมองคู่ต่อสู้ของเขา และกัดฟันกรอด
-----------------------------------------------
   ฝุ่บ!!
   จางซื่อเยี่ยนไม่มีเวลาจะสนใจเจ้านายของเขามากนัก จริงๆ คือต่อให้อยากสนใจก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เขาได้ยินจากเถียนซานและคนอื่นๆ อยู่เหมือนกันว่า ริเวิลมีมือสังหารที่เรียกกันว่านีดเดิลอยู่ แต่ที่ได้ยินมาไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าตาไร้ความรู้สึกแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคนแล้วด้วยซ้ำ จางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเถียนซานจำคนไม่ผิด และนีดเดิลคนเก่าคงไม่จู่ๆ ลดอายุลงแบบนี้ บางทีคนที่เรียกว่านีดเดิลอาจจะมีหลายคนก็ได้ แม้จะดูไม่ค่อยเข้าท่า แต่ก็พอจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้มากที่สุด เพราะอาวุธที่เจ้าหมอนี่ใช้นี่แหละ
   อดีตหน่วยดำกระโดดถอยหลังและเบี่ยงตัวเพื่อหลบปลายเหล็กแหลมที่แทงเข้ามา ก่อนจะขยับมือเพื่อขดวงลวดเงินที่ถูกดึงออกมาจากแหวนที่อยู่บนนิ้ว ครอบลงไปบนข้อมือที่แทงเข้ามา ก่อนที่ขดลวดจะรัดตัว แท่งเหล็กแหลมอีกแท่งก็แหวกเข้ามาและกระชากมันออก จางซื่อเยี่ยนดึงลวดของเขากลับ และกระโดดถอยหลังไปอีกสองสามก้าว ไอ้ท่อนเหล็กที่เหมือนเข็มถักนิตติ้งนี่ ถ้าพูดให้ตลกมันคงจะเอาไว้ถักผ้าพันคอสักผืนจากลวดของเขา แต่จางซื่อเยี่ยนคงไม่ขำ เขาเรียนวิธีการใช้ลวดนี้มาจากอาจารย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของเว่ยชิงอีกที ข้อเสียของวิชานี้คือ มันไม่เหมาะกับการเป็นฝ่ายตั้งรับ ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนกำลังถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับวิชาของเขาอยู่ เขากำลังถูกบีบให้ตั้งรับด้วยเข็มสองเล่ม ซึ่งคนใช้ใช้มันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
----------------------------
   เว่ยจินหยินได้ยินเสียงระเบิด และคิดว่าคนอื่นคงได้ยินเหมือนกัน ดูจากสีหน้าที่หันมามองกันเองอย่างตื่นตระหนก เขารอเวลาอยู่พักหนึ่ง เมื่อพบว่ายังไม่มีใครพูดอะไร คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยจึงจำต้องเอ่ยนำขึ้นก่อน
   “เสียงนั่น..อะไรกัน?” เขาจงใจเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะทำให้ได้ยินกันทั้งห้องประชุม ซึ่งทุกคนกำลังทยอยออกจากห้อง โดยแยกกันเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัย คนที่ยังอยู่ในห้องหันกลับมามองเขา เหมือนราวกับว่ารอฟังคำตอบจากคำถามนั้นอยู่ก็ไม่ปาน เว่ยจินหยินกะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นเอง.....
   “เสียงระเบิด” น้ำเสียงกระด้างราวกับหินแตกดังขึ้น ออกจะผิดความคาดหมายไปเสียหน่อยสำหรับเว่ยจินหยิน เขาไม่คิดว่าฟารุคจะเป็นคนพูดคำนี้ออกมาเอง ชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางหันมาทางเขา และพูดต่อ “แบบนี้ถูกใจคุณหรือเปล่า คุณชายเว่ย?”
   เว่ยจินหยินถลึงตา แสร้งทำเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมไม่ขำกับมุขตลกของคุณ เราควรรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” เขากล่าว และเดินตามแถวออกไปโดยมีเถียนซานเดินตามออกไปในระยะห่างพอสมควร ฟารุคหันไปหาลูกน้องของเขา
   “เราคงต้องกินปลาตัวใหญ่”
   สคัลยักไหล่ พูดโดยไม่มองผู้เป็นเจ้านาย “นั่นไม่นับนายใช่ไหมล่ะ?” เขาว่า และผุดลุกขึ้น ฟารุคจึงต้องเดินตามออกไป เป็นครั้งแรกที่ลูกน้องคนสนิทของเขาแสดงท่าทีแบบนี้ ดูท่าปลาที่เขายื่นให้สคัล คงตัวใหญ่จนฝืดคอแน่ๆ
-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่60 p10 29/10/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-11-2011 19:07:51
   เว่ยจินหยินลดฝีเท้าลง หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุมได้ระยะหนึ่ง เขาไม่เห็นเอียนแล้ว หมอนั่นคงแอบตามเฟิงปิงออกไปก่อนแบบที่เขาคิดเอาไว้ ที่ตามมาด้านหลังคงเป็นฟารุคกับลูกน้องที่ชื่อสคัล คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเดินเลี่ยงออกมาจากแถวทางเดินนั้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับคนสนิทของเขา คนที่เขาไว้วางใจมากที่สุด ถึงเวลาที่เขาจะต้องจัดการสิ่งที่เว่ยชิงต้องการให้เสร็จๆ แล้วออกไปจากที่นี่เสียที

   เถียนซานเดินตามเจ้านายของเขาออกมา เขาเดาออกว่าเว่ยจินหยินกำลังคิดอะไร คุณชายของเขาคงเลือกสถานที่ที่ได้เปรียบที่สุด สำหรับสังเวียนการต่อสู้ครั้งนี้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถรับมือทั้งฟารุคและสคัลได้ ใครสักคนต้องถูกส่งต่อให้กับเว่ยจินหยิน เถียนซานแค่หวังว่าคุณชายของเขาจะไม่เป็นอันตราย เขาควรเชื่อใจว่าเว่ยจินหยินจะดูแลตัวเองได้

   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหยุดยืนตรงลานกว้าง ที่ฟากหนึ่งเป็นระเบียงต่อออกไปยังพื้นที่อื่น ดูเหมือนตรงนี้จะใช้เป็นจุดรวมตัวกันเพื่อประชุมวางแผนงานของบรรดาพนักงานที่อยู่ในชั้นนี้ มันมีบันไดเล็กๆ เชื่อมขึ้นไปถึงห้องพักที่อยู่ชั้นบน เว่ยจินหยินหันกลับมาหาลูกน้องของเขา ไม่มีคำพูดใด นอกจากมือเรียวที่ยื่นเข้ามาจับมือของเขาเอาไว้
   เว่ยจินหยินบีบมือคู่นั้นแน่น มือหนาหนักสากหยาบที่เขาคุ้นเคย มือที่เคยปกป้องเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาอยากจะสัมผัสมันก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก หรือไม่บางทีในคราวหน้ามือคู่นี้อาจจะไม่มีไออุ่นอีกแล้ว นัยน์ตาสีดำมองผ่านแว่นสายตา ไปยังใบหน้าของบุรุษวัยสี่สิบเศษที่เป็นทั้งพี่เลี้ยง และอดีตบอร์ดี้การ์ดของเขา คนที่รู้ใจเขามากที่สุด คนที่รักเขามากที่สุด คนที่เขารักมากที่สุด
   เว่ยจินหยินขบริมฝีปาก ไม่มีคำพูดใดจำเป็นในตอนนี้ ในสถานการณ์ที่แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถสรุปจุดจบของมันได้อย่างแน่นอน เขาแค่หวังว่า จะมีโอกาสได้จับมือคู่นี้อีกครั้ง จับมือคู่นี้และออกจากที่นี่ไปด้วยกัน
   เถียนซานกุมมือเจ้านายของเขา ดวงตานั้นสื่อทุกอย่างได้มากเสียยิ่งกว่าคำพูด ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถ้อยคำใดอีก เขาค่อยๆ คลายมือออก และหันหลังกลับไป ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเข้ามา
   เว่ยจินหยินจะต้องออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม   
----------------------------------------------
   เสียงที่ดังขึ้นมาไกลๆ นั้น ดังพอจะเขย่าเซลล์ประสาทที่สั่นสะเทือนด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าของทวีศักดิ์ให้ยิ่งสะเทือนมากขึ้น เขายืนอึ้งอยู่พักใหญ่ จึงหันไปมองหน้าลูกชาย
   “วิน ลูกได้ยินเสียงเมื่อตะกี้มั้ย?”
   วรุตหันมามองพ่อของเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ เขากำลังโค้งให้แขกคนสุดท้าย “เสียง? ผมไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
   “ไม่ ลูกต้องได้ยินแน่ เมื่อกี้พ่อยังได้ยินใครสักคนพูดว่าเสียงระเบิด”
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขาอย่างปลอบโยน “พ่อหูฝาดไปแน่ๆ ผมว่า ผมไม่ได้ยินใครพูดแบบนั้นเลย ถ้ามีระเบิดจริง พ่อต้องรู้สึกสิ ไม่มีใครอยากระเบิดตัวตายหรอกนะพ่อ”
   “บางทีอาจจะเป็นฝีมือสายลับพวกนั้นก็ได้” ทวีศักดิ์ว่า “พวกมันตั้งใจจะมาทำลายงานของพ่อ... ทำลายอนาคตของเรา...” ทวีศักดิ์พูดกับลูกชาย เขามั่นใจว่านั่นคือเสียงระเบิด และงานของเขากำลังจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง วรุตสั่นศีรษะ
   “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ไหนพ่อว่าที่นี่เข้ายากออกก็ยากไง ผมว่ายังไม่มีใครออกไปได้หรอก ไม่อย่างนั้นอารัตน์คงรู้แล้ว พ่อลองถามอารัตน์ดูสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะไม่มีอะไรมากก็ได้นะ”
   ทวีศักดิ์ยืนมองหน้าลูกชายอยู่อีกพักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยื่นมือมาจับไหล่ของเด็กหนุ่มไว้แน่น “วิน ลูกต้องรีบออกไปจากที่นี่ ไปให้เร็วที่สุดเลย พ่อจะให้คนมารับลูก”
   วรุตพยายามจะยิ้มให้พ่อของเขา
   “เราจะไปส่งแขกพวกนี้ก่อน แล้วเราจะออกไปด้วยกัน ผมกับพ่อ..”
-------------------------------------------
   สำหรับฟ่งกับอิทธิเดช เสียงระเบิดที่ว่าไม่ใช่แว่วมาจากที่ไกลๆ หรือเป็นแค่เสียงที่ดังขึ้นอย่างเดียว สำหรับพวกเขามันมาพร้อมกับแรงสะเทือนที่สามารถรู้สึกได้ พ่วงด้วยแสงสีทองที่สว่างวาบขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจากมุมหนึ่งของระเบียงซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ห้องนิรภัย
   “ระเบิด!!” อิทธิเดชโพล่งขึ้น เสียงแบบนี้ แรงสั่นสะเทือนแบบนี้ และแสงนั่น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ วินาทีนั้นเองที่ฟ่งวิ่งออกไป
   “คุณ!!!”
   เขานึกไม่ออกกระทั่งชื่อของฟ่งด้วยซ้ำ ชายคนนั้นกำลังวิ่งไปในทิศทางที่มีระเบิด บ้าไปแล้ว!! แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงคนที่ยังไม่รู้เป้าหมายแบบนั้น อิทธิเดชหันหลังกลับ วิ่งย้อนไปทางที่เขาเพิ่งลงมา
   ทวีศักดิ์... วรุต!!!!
-------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกหูอื้อ ครึ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นเพราะเสียงระเบิด แต่อีกครึ่งหนึ่งมันมาจากความตกใจของเขาเอง นั่นมันทางไปห้องนิรภัยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงเกิดระเบิดขึ้นล่ะ? รูฟัสติดอยู่ในนั้นหรือเปล่า? ฟ่งวิ่งไปพลางถามตัวเองไปพลาง ใครเป็นคนวางระเบิด เพื่ออะไร? แล้วจะยังมีการระเบิดอีกไหม? แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันปลอดภัย?!   
   ความคิดนั้นเองที่ทำให้ฟ่งชะงักฝีเท้า เขาหยุดอยู่ก่อนที่จะถึงระเบียงนั้นไม่กี่ก้าว เปลวไฟและควันลอยคลุ้งขึ้นมา กลิ่นไหม้ของดินระเบิดและสารเคมีที่ผสมมันขึ้นมาแรงพอจะทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดจมูก ดูจากความเสียหาย ที่กินบริเวณราวห้าเมตร ระเบิดนี่คงไม่หวังผลรุนแรงมาก แล้วทำไมถึงต้องระเบิดตอนนี้ ระเบิดตรงนี้ ใครทำ และเพื่ออะไร?
   ฟ่งหยุดยืนและคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขารู้คือทวีศักดิ์คงไม่วางระเบิดสิ่งปลูกสร้างของตัวเอง และคงไม่มีพนักงานคนไหนกล้าทำ นอกจากถูกจ้างวาน หรือเป็นสายลับ จะว่าไปมีคนที่เป็นสายลับและไม่ใช่พนักงาน แถมยังอยู่ที่นี่ คนที่เป็นที่มาของเสียงยิงปืนที่ดังรัวราวกับเสียงประทัด
   ราฟาแอล?!
   แต่ราฟาแอลคงไม่วางระเบิดเพื่อกำจัดเพื่อนร่วมงานตัวเอง ถึงเขาจะดูเป็นคนโหดร้ายขนาดไหนก็เถอะ และคงไม่ได้วางเพื่อหวังผลจะถล่มที่นี่ ถ้าอย่างนั้น ระเบิดนี่มีจุดประสงค์เพื่อก่อกวนหรือ ราฟาแอลกำลังถูกตามล่า เขาต้องการจะดึงความสนใจอย่างนั้นหรือ? ฟ่งเห็นคนกลุ่มหนึ่งแบกลากพวกพ้องที่ได้รับบาดเจ็บออกมาจากกลุ่มควันและเปลวไฟนั่น ดูจากสภาพเครื่องแต่งกายที่มอมแมมไปบ้าง แต่พอจะระบุได้ว่าเป็นคนของที่นี่ไม่ผิดแน่ และอาวุธปืนประสิทธิภาพสูงกระบอกเขื่องที่ห้อยอยู่ข้างตัวคงไม่เป็นพนักงานธรรมดาไปได้ คนพวกนี้อยู่ตรงนี้ แปลว่ามีอะไรบางอย่างที่อันตรายถึงกับต้องพกอาวุธครบมืออยู่ในห้องนิรภัยนั่น ฟ่งถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไป เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวบางอย่างได้
   บางทีรูฟัสอาจจะติดอยู่ในนั้น แล้วระเบิดเมื่อครู่อาจจะเป็นการช่วยเหลือจากชายที่ชื่อราฟาแอล
--------------------------------------
   รัสเลอร์เองได้ยินเสียงระเบิด ทั้งจากหูฟังของเขาและจากบรรยากาศที่สั่นสะเทือนเข้ามา แต่ดูเสียงจากหูฟังน่าจะดังกว่า เขาดึงภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แถวๆ บริเวณที่ราฟาแอลเคยผ่านขึ้นมาดู และพบจุดที่เกิดระเบิด ระเบิดนั่นกินวงไม่กว้างมาก ราฟาแอลไม่ได้หวังการถล่มอย่างที่พูดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย รัสเลอร์ไม่แน่ใจว่าควรจะขอบคุณราฟาแอลเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ดูเหมือนทวีศักดิ์จะสั่งคนให้เข้าไปจัดการกับรูฟัสที่ห้อง เขาคงไม่ไว้ใจลู่ชางว่าจะจัดการผู้บุกรุกให้เขาได้ และระเบิดทีเกิดขึ้นก็ประจวบเหมาะกับที่พวกนั้นกำลังเข้าไปพอดี อย่างน้อยถ้าประตูไม่เปิด รูฟัสก็ยังไม่ถูกใครกระหน่ำยิงในพื้นที่แคบ แล้วรัสเลอร์ก็แทบแหกปากร้องอีกรอบ
   ฟ่ง!!!
   แม้จะแค่แวบเดียว แต่คนที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้นน่าจะเป็นฟ่งไม่ผิดแน่ เขามัวแต่ดูอาการของคนบาดเจ็บและประเมินรัศมีของการระเบิด เลยไม่ได้สนใจจุดเล็กๆ ที่ด้านล่างของหน้าจอ แต่รัสเลอร์แน่ใจยิ่งกว่าแน่ใจ ว่าสิ่งที่เขาเห็นคือฟ่งแน่ๆ คงไม่มีพนักงานคนไหนวิ่งไปถึงที่นั่นเห็นเพื่อนตัวเองบาดเจ็บแล้วจะวิ่งออกมาอย่างนั้นหรอก นอกจากคนที่มีจุดประสงค์อีกอย่าง รัสเลอร์ดึงภาพจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่อยากเป็นแค่คนเฝ้าดูเลย ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เขาเป็นโรคประสาท เขาต้องรู้ให้ได้ว่าฟ่งจะทำอะไร เขาจะได้แจ้งกับผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลถูก ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
------------------------------------------
   รูฟัสได้ยินเสียงระเบิด ในจังหวะที่เขากำลังนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะเย้ยหยันของลู่ชางเพราะประตูไม่ยอมเปิด ตาเฒ่านี่คงไม่ใกล้เสียสติเท่าไหร่ อย่างน้อยๆ ก็ชะงักไปบ้างตอนที่ได้ยินเสียงระเบิดนั่น มันค่อนข้างใกล้ และมีแรงสั่นสะเทือนตามมา คงเป็นฝีมือของราฟาแอล หมอนั่นคงทำบางอย่างให้ประตูเปิดออก รูฟัสถอยห่างออกมาจากประตูเหล็กบานนั้นที่เริ่มมีสัญญาณบางอย่าง
   “ระบบกำลังเข้าสู่การปลดล็อกในสภาวะฉุกเฉิน จะนับถอยหลังภายในสิบห้าวินาที  สิบห้า...สิบสี่..สิบสาม.......................ห้า... สี่..สาม...สอง....”
   รูฟัสกลั้นหายใจ ระเบิดนั่นเพื่อสิ่งนี้หรือ ชายหนุ่มภาวนาไม่ให้สิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูเป็นการตั้งแถวของพลแม่นปืน หรือไม่ต้องแม่นมากมายก็คงสามารถกระหน่ำยิงเขาให้ตายในห้องแคบๆ ที่ไร้ที่กำบังนี่ได้
   “หนึ่ง.... โปรดระวังขณะก้าวออกจากประตู”
   เสียงอิเล็กทรอนิกจบลง พร้อมกับบานประตูที่เปิดออก ไม่มีกระบอกปืนใดๆ อยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรเลย  รูฟัสดูไม่ผิด ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลยนอกจากความว่างเปล่า และไกลออกไป สิ่งที่ดูเหมือนกล่องห้าเหลี่ยมแคบๆ หลายกล่องลอยอยู่โดยมีโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ยึดด้านข้างของมันเอาไว้ รูฟัสถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่ง นี่คือความเลวร้ายของห้องที่ฟ่งได้สร้างสรรค์เอาไว้ ห้องที่แยกออกจากกันได้อย่างอิสระ และจะต่อกันได้ต่อเมื่อมีการใส่รหัสที่ถูกต้อง  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองแผงควบคุมที่ประตู มันไม่มีแม้แต่แป้นตัวเลข หรือแม้แต่แป้นเปิดปิด ประตูนี้ถูกสร้างให้เปิดจากด้านนอกเท่านั้น และตอนนี้เสียงหัวเราะของลู่ชางก็ดังขึ้นอีกรอบ
   “ยินดีต้อนรับสู่ความสิ้นหวัง ฮ่าๆ”
   รูฟัสถึงกับต้องเตะเสยปลายคางของชายที่แก่กว่าตัวเองหลายสิบปี เขาทนไม่ไหวจริงๆ ที่ต้องฟังเสียงหัวเราะน่าขยะแขยงแบบนี้ และหวังว่าที่เตะไปนั่นคงไม่ทำให้ชายแก่คนนี้ถึงแก่ความตาย เขาหันไปมองประตูอีกรอบ และมองลงไปเบื้องล่าง ก่อนจะเบือนหน้าขึ้นมา ไม่ต้องคิดถึงว่าถ้าตกลงไปจะตายไหม พื้นที่ที่เหมือนลูกบอลขนาดใหญ่ บรรจุห้องต่างๆ ที่มีทั้งอยู่สูงหรืออยู่ต่ำลงไป รูฟัสยังมองไม่ออกว่ามันจะต่อกันได้ยัง และต่อให้มองออกเขาก็คงไม่มีปัญญาทำให้มันเคลื่อนที่เข้ามาได้ ไม่ต้องคิดถึงว่าจะโรยเชือกลงไปเพื่อไปยังห้องอื่นเลย เพราะเชือกคงยาวไม่พอและไม่มีห้องไหนอยู่ในระนาบหรือระดับที่เขาจะหย่อนตัวหรือข้ามไปได้  หนุ่มตาสองสีกลืนน้ำลาย  เขาคงต้องการปาฏิหาริย์จริงๆ สำหรับเรื่องนี้
   ยังไงๆ เขาก็ยังอยากจะเจอคนที่สร้างห้องนี้อยู่ แบบที่ตัวเองยังเป็นๆ รูฟัสคิดว่าถ้ารอดออกไปเขาคงมีหลายๆ อย่างจะต้องพูดกับฟ่ง อย่างน้อยๆ ก็คือห้ามสร้างอะไรน่าหวาดเสียวแบบนี้อีก  แต่นั่นคงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าห้องพวกนั้นไม่เคลื่อนเข้ามา ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาหันไปมองกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะ รัสเลอร์คงน่าจะมองอยู่ ถึงจะตอบกลับมาไม่ได้ แต่ขอให้เขาได้ระบายความในใจบ้างเถอะ
-------------------------------------
   “เฮ้ย! รัสเลอร์ รูฟัสเป็นไงบ้าง ระเบิดนั่นได้ผลไหม?” ราฟาแอลถามสวนกลับมา เสียงระเบิดนั่นพอดึงความสนใจไปได้บ้างจริงๆ นั่นแหละ ดูเหมือนพวกนั้นจะระวังตัวมากขึ้น คงคิดว่าใกล้ๆ นี้อาจจะมีอีกลูกก็ได้ นั่นทำให้เขามีเวลาพอจะมาสนใจผลงานที่ตัวเองทำไว้
   “คิดว่าได้ผล อย่างน้อยนายก็ระเบิดพวกที่กำลังจะเข้าไปรุมยิงหมอนั่น”
   “อ้อ ฟังดูไม่เสียแรงเปล่า แล้วประตูเปิดหรือยัง”
   “ฉันคิดว่าน่าจะ..เดี๋ยวนะ” รัสเลอร์ขมวดคิ้ว งุนงงกับภาพที่เขาเห็น รูฟัสกำลังจ้องมาที่กล้องวงจรปิด และพูดอะไรบางอย่าง
   “ราฟี่ ประตูเปิดแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่ารูฟัสน่าจะมีปัญหาใหม่”
   “โอ๊ย มันจะมีปัญหาอะไรนักหนา.. เท่าที่ฉันจำได้ หมอนี่ไม่เคยก่อปัญหาขนาดนี้นี่นา” ราฟาแอลบ่น ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขึ้นมาแล้วว่าน่าจะทิ้งๆ รูฟัสไปเสียที ทำไมหมอนี่ถึงได้มีปัญหากับงานนี้นัก ตั้งแต่ตอนต้นๆ ที่หนีตามผู้ชายไปฮ่องกงแล้ว หรือว่างานนี้มันมีอาถรรพ์
   “เดี๋ยวนะ เหมือนว่ารูฟัสกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง อืม...เขาพูดว่า.. ช่วย... บอก... ฟ่ง... ทีว่า.. อย่าสร้าง..อะไร พิลึกๆ แบบนี้อีก”
   “ขอบใจนะ บังเอิญฉันไม่ใช่คู่รักที่เขียนห้องพิลึกๆ นี่ขึ้นมาด้วยสิ บอกให้มันออกมาบอกเองแล้วกัน” ราฟาแอลบ่นอุบ ทำไมสิ่งที่เขาได้ยินต้องเป็นเรื่องงี่เง่าแบบนี้ด้วย เรื่องแค่นี้ออกมาบอกเองก็ได้ ไอ้ที่ควรจะพูดคือบอกว่าตัวเองเกิดปัญหาอะไรต่างหาก
   “ยังมีต่อ..อืม.. ผม ออกไปไม่ได้ มันไม่มีห้องต่อ มันโล่ง มันว่าง มันไม่มีห้อง” รัสเลอร์พูด โดยการพยายามอ่านปากของรูฟัส ราฟาแอลส่งเสียงอย่างหัวเสีย
   “ไม่มีห้องอะไรของมัน.. ไอ้ที่มันอยู่ไม่ได้เรียกว่าห้องหรือไง ไม่ใช่ว่าถูกพิษยาจนเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ”
   “คงไม่ใช่...ราฟี่..ฉันพอรู้แล้วล่ะ รูฟัสน่ะออกมาไม่ได้หรอก ถึงประตูจะเปิดแล้วก็เถอะ ห้องนั่นน่ะ มันถูกออกแบบมาเหมือนฟันเฟือง ถ้าไม่ใส่รหัสให้ถูกล่ะก็ มันจะไม่ต่อกันเป็นทางเดินหรอก มันจะกลายเป็นช่องว่างๆ เหมือนเหว”
   “เยี่ยม...ฉันควรจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเด็กที่ชื่อฟ่งใช่ไหม เราควรคิดถึงงานศพของหมอนั่นแล้วสินะ”
   “ฉันว่า มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น เรารอให้กำลังสนับสนุนมาช่วยก็ได้นี่..” รัสเลอร์พยายามมองโลกในแง่ดี รูฟัสแค่ติดอยู่ ไม่ใช่กำลังจะตกลงมาตายเสียหน่อย และคำตอบของราฟาแอลก็ดับความหวังของเขา
   “นายคิดว่าทวีศักดิ์จะปล่อยให้หมอนั่นนั่งเฉยๆ แบบนั้นหรือไง กว่ากำลังสนับสนุนจะมา หมอนั่นคงกลายเป็นศพแล้ว เอาเถอะ มันก็ดูเหมือนจะมีหวังนิดหน่อย นายเรียกกำลังเสริมเลย ฉันจะถอนกำลังจากที่นี่แล้ว เราจะออกไป แล้วปล่อยรูฟัสเอาไว้แบบนั้นแหละ”
   รัสเลอร์อึ้งไปพักหนึ่ง เขาอยากจะบอกเรื่องนี้ให้รูฟัสได้ยินจริงๆ แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ ดูเหมือนรูฟัสจะพูดอะไรต่ออีก
   “บอกราฟี่..ทำตามแผนเดิม.. ถ้าผมรอด..ผมจะไปบอกฟ่งเอง แต่ถ้าไม่รอด... ฝากด้วยแล้วกัน บอกว่าผมรักเขามากจริงๆ”
   รัสเลอร์ตัดสินใจไม่พูดคำพูดนี้ให้ราฟาแอลฟัง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาสามารถพูดสิ่งที่รูฟัสต้องการให้ฟ่งฟังได้ เขาหวังแค่ว่ารูฟัสจะสามารถมาบอกให้ฟ่งฟังอีกครั้งได้ด้วยตัวเอง
   ฟ่งคงไม่ต้องการฟังคำรักที่ไม่ได้ออกมาจากปากของรูฟัสหรอก
----------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 05-11-2011 23:38:01
เอ๊ยยยยยย รูฟัส~~~

ทำไมรู้สึกว่าถูดปั่นอารมณ์อยู่ทุกตอนเลยนะ ห้าๆๆ

ชอบคุณคนเขียนมากนะคับบบบ :))
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 05-11-2011 23:59:58
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ถ้าพรุ่งนี้ไๆม่มาต่อจะเลิกอ่านจริงๆด้วยอุตส่ากดเป็ดให้แทบทุกตอน
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 06-11-2011 11:04:14
สัญญษนะคะ ว่าจะมาต่อ อยากอ่านให้จบ อยากให้ฟ่งเจอกับรูฟัส
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 06-11-2011 15:03:31
เห้อ

มีดีกันคนล่ะด้านจริง

 :m31: :m31: :m31:

เมื่อไหร่จะหลุดออกไปได้เนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-11-2011 19:57:36
ฟ่งจะเป็นคนช่วยรูฟัสออกมาใช่มั้ยเนี้ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-11-2011 12:36:54
มางานศพตจว.ค่ะ ไม่สามารถอัพได้ในช่วงนี้นะคะ ขออภัยด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 07-11-2011 13:16:30
อาซานกับคุณชายจะรอดม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: plub2537 ที่ 08-11-2011 20:45:35
 o22 นายต้องรอดรูฟัส (T_T) มาบอกรักฟ่งให้ได้นะ (เป็นกำลังใจให้)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ISee ที่ 09-11-2011 14:56:56
คิดถึงฟ่งกับรูฟัสค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 09-11-2011 15:55:11
โฮก ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ซับซ้อน ขมวดนู่นนี่นั่น >< เนื้อเรื่แงดีมากค่ะ

ยังตามอ่านไม่ทัน ยาวเกิ๊น แต่มาเม้นก่อน จะได้มีกำลังใจ ^^

ปอลิง คิดถึงมิคกี้ ><"
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-11-2011 16:41:16
**ไปงานศพที่ตจว.มาค่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วมีขู่กันเลยทีเดียว ไม่อ่านต่อแล้วจะเสียใจนะคะ (ยัง... ยังกล้ามาพูดอีก :angry2:)

มาอัพต่อให้แล้วค่ะ เพิ่งกลับมามะวานนี้เอง (ทุกท่านดีใจไว้เถอะค่ะ เพราะตอนที่ยังเขียนอยู่ เรื่องนี้อัตราการลงเฉลี่ยเดือนละตอนเองค่าาาาา :-[)

----------------------------------------------

บทที่62 การต่อสู้ ทางเลือก ทางรอด

   “กะแล้วว่าคุณจะต้องเล่นอะไรแรงๆ” เสียงที่ดังขึ้นทำเอาราฟาแอลสะดุ้งเฮือก มันไม่ได้มาจากทางด้านหลังกำแพงที่เขายืนบังตัวเองอยู่ แต่ดังมาจากข้างๆ นี่เอง หนุ่มผมบลอนด์หันไปและยิ้มแห้งๆ
   “สวัสดีแคลร์ ไหนว่าจะไปเดินเล่นไง?”
   หญิงสาวที่มีนามว่าแคลร์ยิ้มกว้างอย่างน่ารัก หล่อนกดมีดลงไปบนคอของชายหนุ่ม “พอดีนายจ้างของฉันไม่ชอบให้เดินเล่นนานๆ นี่สิ”
   ราฟาแอลหัวเราะหึๆ แต่รู้สึกเจ็บขึ้นมาจริงๆ ตรงที่ถูกมีด “นี่แคลร์ เอามีดของคุณออกไปได้ไหม คุณน่าจะรู้ว่าผมยิงคุณไม่ลงอยู่แล้ว”
   “ฉันเอาออกแน่ ถ้าคุณบอกว่าคุณจะเลิกกับแม่สาวผมแดงนั่น” หล่อนว่า คราวนี้ราฟาแอลขมวดคิ้ว “คุณอยากฟังผมโกหก?”
   “ถ้ามันทำให้คุณพูดว่าจะรักฉันคนเดียวล่ะก็ ต่อให้โกหกฉันก็อยากจะฟังล่ะนะ”
   “งั้นคุณก็ไม่ควรเอามีดมาขู่ เพราะผมคงหาคำโกหกระรื่นหูไม่ได้ตอนที่คอถูกจ่อกับมีดแบบนี้” ราฟาแอลกล่าว และกลืนน้ำลาย ทำเหมือนว่าเขากำลังกลัวจริงๆ หญิงสาวหัวเราะ
   “ฉันรู้ว่าต่อให้ไม่มีมีดจ่อคอ คุณก็โกหกหน้าตายได้ตลอดเวลาอยู่ดี”
   หล่อนเก็บมีด ราฟาแอลระบายลมหายใจอย่างโล่งอก หญิงสาวก้มหน้าลงดูมีดในมือพักหนึ่ง เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง
   “นี่ราฟี่ ฉันถามคุณหน่อยได้ไหม?”
   “รีบถามเลยนะ เพราะเดี๋ยวหูคุณจะได้ยินแต่เสียงลูกปืน” ราฟาแอลว่า และกระชับปืนพกในมือ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามา แคลร์ขมวดคิ้ว
   “เบเรตต้า.. คุณเปลี่ยนปืนอีกแล้วเหรอ?”
   “ผมพกมาหลายกระบอก” ราฟาแอลตอบ แล้วหันกลับไปมองหล่อน “ตะกี้คุณจะถามอะไรผมน่ะ?”
   หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลยิ้มออกมา “ฉันแค่อยากรู้ว่า ถ้าคุณเป็นฉัน ฉันเป็นคุณ ในสถานการณ์แบบนี้ คุณจะทำยังไง?”
   “หมายถึงถ้าผมถูกจ้างให้รักษาความปลอดภัยแล้วคุณเป็นสายลับน่ะรึ?”
   แคลร์พยักหน้า ราฟแอลเงี่ยหูฟังเสียง ก่อนจะตอบ “ถามทำไมน่ะ คุณน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ต่อให้ตายผมก็ไม่ยิงคุณหรอก ยกเว้นว่าคุณดันกลายเป็นผู้ชายไปด้วยน่ะนะ”
   คนถามหัวเราะร่วน และหยิกแก้มเขาเบาๆ “ฉันจะถามคนโกหกอย่างคุณไปทำไมเนี่ย ไปกันเถอะ” หล่อนกล่าวและฉุดมือของราฟาแอลขึ้น ชายหนุ่มหันไปมองอย่างตกใจ และพบว่าหล่อนกำลังชี้ไปในที่หนึ่ง มันเป็นซอกๆ หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้สังเกตมาก่อน นี่เองที่ทำให้หล่อนเข้ามาหาเขาได้โดยไม่รู้ตัว
   ราฟาแอลตัดสินใจตามอดีตคู่รักของเขาไป
   “นี่คุณจะช่วยผมหรือพาผมไปเชือด?” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะมองก้นสวยๆ ที่ยักย้ายอยู่ด้านบน ในซอกนั่น ตรงกำแพงมีแผ่นโลหะแผ่นเล็กๆ ใหญ่พอจะให้เหยียบแทนบันได้ได้ และหล่อนกำลังปีนอยู่เหนือเขา
   “แล้วคุณอยากถูกช่วยหรือถูกเชือดล่ะ?” หล่อนย้อน คราวนี้ราฟาแอลหัวเราะบ้าง “ผมต้องเลือกอย่างแรกอยู่แล้ว ถึงผมจะบ้าผู้หญิง แต่ไม่ได้ชอบให้ผู้หญิงมาเชือดหรอกนะ”
   “งั้นคุณก็ไม่ควรถาม” หล่อนตอบ และหายไปบนช่องเปิดด้านบน ราฟาแลปีนตามขึ้นไป และพบว่าเขมาโผล่อยู่บนระเบียงหน้าห้องพักพนักงานหรืออะไรซักอย่าง
   “นี่มันที่ไหนน่ะ?” เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนข้างๆ หล่อนยักไหล่ “ชั้นที่เอ็มสิบสอง ถ้าให้อธิบายเพิ่มเติม มันอยู่ห่างจากที่คุณดวลปืนตะกี้สี่ชั้น”
   ราฟาแอลนิ่วหน้า “แต่ผมว่าเราไม่ได้ปีนสูงขนาดนั้น”
   หล่อนยกมือขึ้นมาหยิกแก้มเขาอีกรอบ “คุณไม่ได้ขโมยแปลนของที่นี่ออกไปก่อนหน้านี้รึ? หรือว่าคนดูแปลนของคุณอธิบายไม่ดีพอ ความจริงคุณน่าจะรู้มากกว่าฉันนะ ที่นี่น่ะถูกสร้างแบบลวงตาน่าดู ความจริงแล้วชั้นแต่ละชั้นบางทีอยู่แทบจะในระนาบเดียวกันด้วยซ้ำ”
   ราฟาแอลหันไปมองอดีตคนรักของเขาอย่างแปลกใจ หล่อนพูดต่อ “ฉันไม่เข้าใจแปลนนักหรอก แต่มันมีบันไดพวกนี้อยู่ทั่วไปหมด เหมือนเอาไว้เป็นทางลัดหรือทางหนีฉุกเฉิน ตลกดีเหมือนกันที่ไม่มีป้ายบอก ฉันเจอมันโดยบังเอิญ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นการตกแต่งอะไรเสียอีก มันใช้เชื่อมไปในส่วนต่างๆ ได้ และถ้าคุณหาดีๆ บางตอนคุณจะผ่านไปได้โดยไม่ต้องใช้ประตูด้วยซ้ำ”
   “ผมว่า... คนออกแบบที่นี่คงคิดอะไรสับสนวุ่นวายน่าดู” หนุ่มผมบลอนด์กล่าว ตั้งใจจะกระทบกระเทียบฟ่ง  แต่แคลร์ที่ไม่รู้เรื่องราวกลับหัวเราะขึ้น
   “อ่า..เขาคงเป็นคนน่ารักดี ฉันก็อยากจะเจอเหมือนกันนะ ตะกี้คุณพูดว่าเขา แปลว่านี่ออกแบบโดยผู้ชายคนเดียวงั้นหรือ?”
   “ก็ราวๆ นั้น”
   ราฟาแอลพยายามกลบเกลื่อน เขาไม่อยากให้แคลร์รู้เรื่องอะไรมากนัก หล่อนหัวเราะอีก
   “คุณได้ข้อมูลมากเหมือนเดิม เฮ้อ..ถ้าฉันรู้ว่าคุณจะมายุ่งกับงานนี้ฉันคงถอนตัวแต่แรก”
   “ตอนนี้เธอก็ยังถอนตัวได้”
   หนุ่มผมบลอนด์กล่าว หล่อนเอานิ้วแตะปากเขา
   “คุณเคยคิดก่อนโกหกมากกว่านี้นี่นา คนจ้างฉันเขาไม่ยอมให้ถอนตัวง่ายๆ หรอก ทางคุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
   ราฟาแอลพยักหน้า กลืนน้ำลายเฮือก นี่ตกลงแคลร์จะมาไม้ไหนกับเขาอีก พูดตามตรงแล้ว เขายิงผู้หญิงไม่ลงจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรักเก่าแบบนี้แล้ว คงไม่กล้าแม้แต่จะตีมือด้วยซ้ำ ดูเหมือนหล่อนจะพอเดาความคิดเขาได้ มือน้อยๆ เอื้อมมาตบแก้มเขาอีก
   “คุณกลัวถูกฉันฆ่าหรือไง อืม..ฉันบอกนายจ้างไปแล้วล่ะว่าฉันฆ่าคุณไมได้ เขาเลยให้ฉันมาถ่วงเวลาคุณแทน กลัวว่าคุณจะขึ้นไปก่อกวนที่ด้านบน”
   “ผมไม่ขึ้นไปหรอก สาบานได้” ราฟาแอลกล่าวและพูดต่อ “ผมกำลังจะถอนกำลัง งานผมเสร็จสิ้นแล้ว”
   “ฉันได้ยินที่คุณพูดกับเพื่อนคุณแล้ว คุณจะทิ้งรูฟัสหรือ?” แคลร์ว่า ราฟาแอลไม่ตอบ เขาเบือนหน้าไปทางอื่น แคลร์ใช้มือดึงใบหน้าเขาเข้ามา
   “รู้ไหมราฟี่ เวลาคุณทำหน้าแบบนี้น่ะ ฉันคิดทุกทีว่าคุณน่ะช่างใจร้ายจริงๆ หลอกแม้กระทั่งตัวคุณเอง คุณกำลังบอกตัวเองอยู่ใช่ไหมว่าคุณไม่เสียใจหรอกที่ทำแบบนี้”
   “ผมเป็นคนแบบนั้นแหละ” ราฟาแอลกล่าว แล้วหันมายิ้มให้หล่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลง หล่อนดึงใบหน้านั้นเข้ามา และแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขา
   “เศร้าใช่ไหม ราฟี่?” แคลร์เอ่ยถามหลังจากถอนจูบออกมาแล้ว หนุ่มผมบลอนด์ไม่ตอบ เขาดึงหญิงสาวเข้ามาจูบ และดันตัวหล่อนไปที่ผนัง ก่อนจะเปลื้องเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มอยู่ออก
   เศร้างั้นหรือ... ความเศร้าไม่เคยช่วยอะไรใครได้หรอก
------------------------------------------
   รัสเลอร์นั่งเงียบ จริงๆ คือเขาเพิ่งถูกราฟาแอลตัดสัญญาณการสื่อสารชั่วคราว ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขาจะเจอคู่รักเก่าโดยบังเอิญเป็นรอบที่สอง ดูเหมือนทั้งคู่จะไปที่ไหนสักแห่งด้วยกัน แล้วจบลงตรงการตัดสัญญาณเพราะคงจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขาได้ยินเสียง  หนุ่มผมสีน้ำตาลถอนหายใจ จะว่าไปแล้วเขารู้จักผู้ชายที่ชื่อราฟาแอล คาร์ดาร์คนนี้น้อยมากจริงๆ เขารู้แค่ว่าหมอนี่เป็นสายลับ ที่ทำงานคู่กับเพื่อนร่วมงานที่ชื่อรูฟัส เป็นอดีตตำรวจของฮังการี บ้าผู้หญิง อยู่บ้านที่บาลาตอนฟูเรสกับแฟนสาวผมแดงที่ชื่อว่าคลาวเดีย นี่คือทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ เหตุผลที่องค์กรของเขาจ้างงานราฟาแอลบ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือผู้ชายคนนี้ทำงานสำเร็จเกือบจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ค่อยจะมีความผิดพลาด รัสเลอร์เคยเห็นราฟาแอลยิงสายคนหนึ่งของเขาทิ้งในการปฏิบัติงานครั้งหนึ่ง ราฟาแอลเป็นผู้ชายในแบบที่พร้อมจะยิงใครก็ได้ เพื่อรักษาสถานการทำงานและสถานะของตัวเอง เขาไม่ลังเลในการฆ่า แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน ล่าสุดเขาเพิ่งสั่งให้ทิ้งรูฟัส คู่หูที่ทำงานกับเขามาเป็นสิบๆ ปี บางทีรัสเลอร์ก็คิดว่า ราฟาแอลจะมีหัวใจแบบคนปกติบ้างไหม เคยเศร้าบ้างไหม ผู้หญิงที่มีชื่อว่าแคลร์คงคิดคล้ายๆ เขา แต่หล่อนคงรู้จักราฟาแอลมากกว่านั้น
--------------------------------------
   “เพื่อนของผม..รูฟัส..กำลังจะตายเพราะคนรักของเขา โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เลย” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น เขาอยู่ในห้องพักห้องหนึ่งที่ไม่ได้ล็อกประตูเอาไว้ นอนอยู่บนเตียงโดยมีแคลร์นอนอิงแอบอยู่ข้างๆ
   “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น?” หญิงสาวถาม หล่อนเบียดตัวแนบชิดกับชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งไม่ยอมถอดแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตัวเอง แต่ช่างเถอะ แค่นี้ก็ถือว่ามากเกินพอด้วยซ้ำ สำหรับสถานการณ์แบบนี้ ราฟาแอลไม่ตอบคำถาม เขาพูดต่อ
   “คุณว่าผมควรบอกคนรักของเขาว่ายังไง ถ้าหากเขากลับไปไม่ได้ ผมไม่ถนัดเรื่องแบบนี้”
   “ฉันไม่คิดว่าคุณกังวล คุณแคร์คนรักของรูฟัสมากหรือ?”
ราฟาแอลสั่นศีรษะ เขาหันหน้าไปทางอื่น แคลร์ถอนหายใจ
   “คุณกำลังคิดว่า จะโกหกยังไงใช่ไหม คุณกำลังนึกคำโกหกที่สามารถปลอบใจคนคนนั้นได้ แต่คุณรู้หรือเปล่า ไม่มีคำโกหกอะไรที่สามารถปลอบใจคนที่สูญเสียคนรักไปได้หรอก”
   “ผมรู้ แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขา ผมไม่อยากให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำให้รูฟัสต้องตาย”
   “เขา? อืม รูฟัสมีคนรักเป็นผู้ชายหรือเนี่ย... คุณแคร์ผู้ชายด้วยรึ?”
   “ผมเปล่า” ราฟาแอลปฏิเสธ เขาไม่แคร์ฟ่งหรอก เพียงแต่ เขาพอเข้าใจอารมณ์ของการสูญเสียคนรักด้วยน้ำมือตัวเอง นานมาแล้ว เขาเคยตกอยู่ในสภาพแบบนั้น นานมากเหลือเกิน
   “สิ่งที่ฉันจะแนะนำคุณ” แคลร์กล่าว และผุดลุกขึ้น หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่
   “คุณควรพูดความจริงทั้งหมด อธิบายให้เขาฟังถึงเรื่องทั้งหมด คุณไม่ควรย้ำว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา ในฐานะคนรัก เขาจำเป็นต้องรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่ของเขา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากอะไรก็ตาม แล้วเขาจะตัดสินใจเองว่าควรจะทำอย่างไร และแบบไหน คุณไม่ควรตัดสินใจแทนคนอื่น พูดความจริงกับเขา ให้เขาตัดสินใจเอง”
   “มันจะดีกว่าหรือ?” ราฟาแอลแถม เหม่อมองแผ่นหลังเกลี้ยงกับตะโพกผายที่กำลังถูกเสื้อผ้าห่อหุ้มกลับไปเหมือนเดิมอย่างซึมเซา แคลร์สวมเสื้อผ้าจนเสร็จ และหันมามองอดีตคนรัก
   “ฉันไม่รู้ ถ้าคุณเคยผ่านสถานการณ์นั้นมาก่อน คุณควรตอบได้ดีกว่าฉัน”
-------------------------------------------
   “รัสเลอร์ เก็บฐานนายได้แล้ว ฉันกำลังจะไปหา อีกราวๆ สิบห้านาทีเราจะออกไปกัน”
   ราฟาแอลเอ่ยขึ้น หลังจากตัดการสื่อสารไปพักใหญ่ รัสเลอร์เลือกจะไม่เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุให้ราฟาแอลตัดการสื่อสารกับเขา
   “โอเค ฉันจะเก็บเดี่ยวนี้ นายมาให้ทันตามกำหนดแล้วกัน”
   “นายคิดว่าฉันเป็นคนไม่รักษาเวลาหรือไง?” ราฟาแอลย้อน รัสเลอร์หัวเราะขืนๆ เขารู้สึกขมในปากนิดหน่อย ชายหนุ่มดึงภาพของเพื่อนร่วมงานมาดูอีกครั้ง อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นชายผู้มีนัยน์ตาสองสีที่แสนยียวนกวนประสาทคนนั้น ดูเหมือนรูฟัสจะพยายามใช้สิ่งที่หาได้ในห้องนั้นมาตั้งบังเกอร์ เพื่อกำบังลูกกระสุนหากว่าพวกที่เข้ามาพวกแรกไม่หวังดีกับเขา ดูเหมือนตาแก่ลู่ชางจะรวมอยู่ในบรรดาบังเกอร์นั่นด้วย รัสเลอร์รู้สึกนับถือผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ แม้จะอยู่ในสภาวะสิ้นหวังอย่างนั้น แต่รูฟัสก็ไม่เลือกที่จะงอมืองอเท้ายอมรับชะตากรรม เขายังคงต่อสู้ หาหนทางในการรอดออกไป นั่นเพราะเขามีคนที่อยากเจอมากหรือเปล่า รูฟัสคงอยากจะออกมา ออกมาเพื่อกอด เพื่อพูดคุยกับคนรักของเขา คนรักที่ทำให้เขาทิ้งงาน คนรักที่ทำให้เขาต่อยแม้กระทั้งเพื่อนร่วมงาน อา.. คนรักทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แบบนั้น
   แต่ต่อให้ต้องตาย รัสเลอร์เชื่อจริงๆ ว่ารูฟัสจะไม่โทษฟ่งเลยสักนิด แม้จะฝากบอกอะไรแบบนั้นไปก็เถอะ เขาคงอยากจะระบาย คงนึกขบขันในชะตากรรมของตัวเองที่จะต้องตายในห้องที่คนรักของตัวออกแบบ ถึงอย่างนั้นสิ่งเดียวที่รูฟัสอยากจะบอกกับฟ่งก็คงเป็นคำคำนั้น คำที่เขาพูดออกมาเป็นสิ่งสุดท้าย
   รัก...
   รัสเลอร์ไม่รู้เลยว่าคำว่ารักจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพมากพอจะทำให้เขาปวดหัวใจแปลบ ไม่ใช่เจ็บใจ แต่เจ็บปวดและสงสารเพื่อนร่วมงานของเขา ชายหนุ่มตัดภาพไปยังกล้องวงจรปิดตัวอื่น
   ฟ่ง...ฟ่งจะยังอยู่ในที่นี้อีกหรือเปล่า
   รัสเลอร์สอยส่ายสายตามองหาภาพผู้ชายคนนั้นในกล้องต่างๆ และภาวนา ไม่ว่าฟ่งจะเข้ามาที่นี่เพื่ออะไร เขาอยากให้ฟ่งกลับออกไปโดยด่วน กลับออกไปอย่างปลอดภัย ไม่ก็พยายามอยู่ในที่ปลอดภัย ต่อให้ฟ่งจะรู้สึกเสียใจมากมายขนาดไหน เขาก็ต้องอยู่เพื่อฟังสิ่งที่รูฟัสต้องการบอก อยู่เพื่อแทนส่วนที่เหลือของรูฟัส รัสเลอร์ไม่ปรารถนาให้ทั้งสองคนเป็นอะไรไปพร้อมกัน มันไม่ใช่ความคิดดีนักหรอกที่จะตายไปพร้อมกับคนที่ตัวเองรัก ในเมื่อไม่มีอะไรประกันได้เลยว่าจะได้ไปอยู่ด้วยกัน คนเราควรมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเมื่อมีชีวิต ก็ยังมีโอกาส ฟ่งยังมีโอกาสอื่นอีก และเขาเชื่อแน่ว่ารูฟัสต้องการให้ฟ่งใช้โอกาสนั้น แต่รัสเลอร์ไม่คิดว่าเขาจะได้โอกาสนั้น เขาเชื่อว่าเขาไม่สามารถทุ่มเทให้ฟ่งได้เหมือนกับผู้ชายตาสองสีคนนี้ ดังนั้นขอเพียงแต่ฟ่งมีชีวิตอยู่ก็พอ
   ไม่มีภาพของร่างคุ้นตากับทรงผมยุ่งๆ นั้นปรากฏขึ้นมาในกล้องตัวไหนอีก รัสเลอร์เช็คเป็นครั้งสุดท้ายและถอนหายใจ  ฟ่งคงหลบออกไปแล้ว ท่าทางระเบิดของราฟาแอลจะรุนแรงพอจะทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกถึงอันตรายได้ ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว
   หนุ่มผมสีน้ำตาลปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เขาคงต้องถอนตัวถามคำสั่งของราฟาแอล และไม่จำเป็นจะต้องปรึกษาเรื่องของฟ่งอีก
ลาก่อนรูฟัส... ถ้าหากปาฏิหาริย์มีจริง ก็คงจะได้พบกันอีก
-------------------------------------
   “เรามาเจรจากันดีกว่า คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ย” น้ำเสียงเหมือนหินแตกเอ่ยขึ้น สี่คนยืนประจันหน้ากันอยู่กลางลาน ไม่มีใครขยับร่างกายนอกจากริมฝีปาก บนใบหน้าเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มปั้นแต่งแบบที่ทำเป็นประจำ
   “มีอะไรจะเจรจากับผมหรือครับ คุณฟารุค?”
   ฟารุคยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดูนัก ริมฝีปากของชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางกระตุกแทบจะฉีกออก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเดิมๆ
   “ผมรู้ดีว่าทำไมพ่อของคุณถึงได้ส่งพวกคุณมางานนี้ คงคิดจะขัดขวางพวกผมแต่แรกอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า ไม่พูดอะไร ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพูดต่อ “แล้วรู้ไหมทำไมพวกผมจึงกระโดดเข้ามาร่วมงานนี้ ทันทีที่พวกคุณถอนตัวไปแล้ว?”
   ถึงจุดนี้นัยน์ตาวาวราวสุนัขจิ้งจอกดูจะหดวูบลงเล็กน้อย ก่อนจะแค่นยิ้ม “ผมรู้ ตอนนี้ริเวิลกำลังถูกไล่ต้อน ถึงมิคาเอล ลอว์ที่ถูกจับได้เมื่อสองปีก่อนไม่ได้ให้การซัดทอด แต่สิ่งที่กรมตำรวจอังกฤษได้ไประหว่างนั้นก็มีน้ำหนักพอจะทะลายเครือข่ายสาแหรกค้ายาของพวกนายไปมากกว่าครึ่ง นายเลยต้องหายาใหม่ๆ เพื่อเอาไปเปิดตลาดอื่น หนีการกวาดล้างนี้ ผมเข้าใจถูกไหม?”
   มิคาเอล ลอว์คือชื่อไฮท์อันดับสิบสามที่ถูกเว่ยจินหยินวางแผนล้อมจับเมื่อสองปีก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของฟารุคยิ่งเพิ่มความน่าเกลียดเข้าไปอีก เขาพยักหน้าและหัวเราะ
   “ถูกส่วนหนึ่ง คุณชายรอง แต่เหตุผลที่คุณน่าจะรู้ แต่ไม่อยากพูด พ่อของคุณต้องการส่งคุณมาตาย?”
   เว่ยจินหยินพ่นลมหายใจ ยิ้มเยาะออกมา “เว่ยชิงไม่ใช่คนทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก”
   ไม่บ่อยนักที่เว่ยจินหยินจะเรียกชื่อพ่อตัวเองออกมาตรงๆ แบบนี้ ภายในใจคงเกิดอารมณ์อะไรบางอย่าง เว่ยจินหยินเป็นลูกคนรอง เกิดจากภรรยาคนใหม่ที่มาแทนภรรยาคนแรกที่ป่วยตายของเว่ยชิง แต่พอเขาคลอดออกมาได้ไม่นาน ผู้เป็นมารดาก็ด่วนจากไปอีก ชีวิตเขาอยู่ท่ามกลางบรรดาพี่เลี้ยง โดยมีเถียนซานเป็นคนสนิท เว่ยจินหยินพูดได้ไม่เต็มปากนักว่ารู้สึกยังไงกับพ่อของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยรอคอยผู้ชายคนนั้นมาเยี่ยม แต่นานวันไปการรอคอยของเขาเริ่มด้านชา เว่ยชิงเย็นชากับเขามากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งกลายเป็นปั้นปึง ห่างเหินราวกับว่าการทนมองหน้าเขานานๆ เป็นอะไรที่แย่มาก เว่ยจินหยินไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นพ่อ ว่าทำไมจึงได้เย็นชากับเขาขนาดนี้ และถึงตอนนี้เขาก็คร้านจะไปเข้าใจความคิดนั้น ไม่ว่าเว่ยชิงจะเกลียดเขา ไม่อยากมองหน้า หรือเห็นเขาเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง จะยังไงเขาก็ไม่สน ขอแค่ให้เว่ยชิงยังสนใจจะใช้งานเขาอยู่ก็พอ เว่ยจินหยินตั้งใจทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่เรียนจบ สิบปีแล้วที่เขาก้าวเข้ามาในตำแหน่งมือขวาของเว่ยชิง ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของเว่ยฟู่ฉิน พี่ชายคนโตของเขาที่ขอปลีกตัวเองออกไปทำธุรกิจด้านการส่งออกอย่างจริงจังโดยไม่อาศัยอิทธิพลมืดของผู้เป็นพ่ออีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเว่ยชิงรักลูกชายคนโตของเขามากขนาดไหน การปฏิเสธการรับสืบทอดแก๊งของฟู่ฉิน ทำให้เว่ยชิง ชายผู้ซึ่งดูจะกร้านชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้มป่วยไปถึงหนึ่งเดือน ทุกคนคิดว่าแก๊งจะต้องถ่ายมือแน่นอนแล้ว ถึงกับวิงวอนให้ฟู่ฉินกลับมาดูใจผู้เป็นพ่อในครั้งสุดท้าย ถึงอย่างนั้นฟู่ฉินก็เด็ดขาดเหลือเชื่อ แม้ในวันที่ทุกคนคิดว่าเว่ยชิงจะจากไปแล้ว ยังไม่ยอมมาดูดำดูดี มีแต่เขาเท่านั้นที่คอยแวะไปเยี่ยมไข้ และรับฟังคำพร่ำพรรณนาถึงลูกชายสุดโปรดคนนั้น
   เว่ยจินหยินไม่เคยเกลียดพี่ชายคนโตของเขา เพราะเว่ยฟู่ฉินนั้นใจดีกับเขามากกว่าพ่อแท้ๆ เสียอีก ระหว่างที่ถูกทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยง พี่ชายที่แก่กว่าเขาเกือบยี่สิบปีคนนี้แวะมาหาเขาบ่อยกว่าเว่ยชิงด้วยซ้ำ เป็นคนแรกๆ ที่สอนเขาเกี่ยวกับงานด้านธุรกิจ แม้ไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่ก็ไม่มีคำว่าเกลียดสำหรับเว่ยฟู่เฉิน
   เว่ยชิงนั้นรักลูกชายคนนี้เสียจนคร่ำครวญอยู่หนึ่งเดือนเต็ม เว่ยจินหยินที่ไปเยี่ยมไข้ทุกวันรู้อยู่เต็มอกว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่แสร้งแสดงละครเรียกร้องความเห็นใจกับฟู่ฉินเท่านั้น เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล ชายชราคนนี้ก็หายป่วยในเวลาไม่นาน และก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการไปเยี่ยมของเขามากนัก ซึ่งเว่ยจินหยินก็รู้อยู่เหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้เป็นห่วงเว่ยชิงอย่างที่ลูกทั่วไปโดยปกติควรห่วง ก็แค่คิดว่าการพยายามอยู่ใกล้ชิดในภาวะขาดแคลนทางจิตใจแบบนั้นอาจจะทำให้พ่อของเขารู้สึกชอบเขาขึ้นมาบ้างก็ได้ แต่เว่ยชิงก็ยังเย็นชากับเขาเหมือนเดิม และหันไปเอาใจใส่กิจการใหม่ของเว่ยฟู่เฉินแทน และถึงจะโดนเจ้าตัวปฏิเสธกลับมา ก็ยังพากเพียรจะไปหาอยู่บ่อยๆ
การที่ต้องเอาเวลาและหัวสมองไปเหนี่ยวรั้งลูกชายคนโตนี้เองที่เป็นทำให้เว่ยจินหยินมีโอกาสรวมอำนาจในแก๊ง หากเขาจัดการเว่ยปิงเซียงน้องชายต่างแม่อีกคนช้ากว่านี้อีกนิด ตำแหน่งมือขวาคงไม่ตกถึงเขาแน่ ดูจะชัดเจนเหลือเกินว่าพ่อของเขาไม่ไว้ใจเขาอย่างที่สุด แม้เขาจะทำงานรับใช้มาหลายปี พอเว่ยปิงเซียงกลับมาจากต่างประเทศ ก็ทำท่าจะยกขึ้นทำงานใหญ่ในแก๊งทันที กรณีนี้เว่ยจินหยินรับไม่ได้อย่างที่สุด เขาวางแผนจัดการน้องชายคนนี้โดยยืมมือแก๊งตรงข้ามให้ดูคล้ายเป็นอุบัติเหตุ แม้เว่ยปิงเซียงจะไม่ตาย แต่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล
นี่ไม่ใช่ความผิดของน้องชายนี้หรอก ถ้าหากจะโทษ ก็คงต้องโทษเว่ยชิงที่รักลูกไม่เท่ากันเถอะ แต่ในส่วนกรณีน้องชายคนเล็กของเขาสองคนที่ถูกแก๊งคู่อริไล่ถล่มนั้น แม้เว่ยจินหยินจะบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็นคนวางแผนโดยตรง แต่ว่ากันตามเนื้อผ้า ที่เป็นผลกระทบที่มากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้จากแผนกำจัดเว่ยปิงเซียง หลังเหตุการนั้นเว่ยจินหยินจึงจำต้องกำจัดผู้ที่รู้เห็นทั้งหมด และนั่นทำให้พ่อของเขาเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจเขาหนักขึ้นไปอีก ถึงกับไหวตัวส่งเว่ยซื่อหลิวซึ่งเป็นลูกชายคนที่หกไปต่างประเทศเพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของลูกชายคนรอง แต่ก็ช่างประไรในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีคู่แข่งเหลืออีก ตำแหน่งมือขวาก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่ดี
เว่ยจินหยินมองข้อนี้ออกทะลุ เขาจึงไม่แคร์ว่าใครจะร่ำลือถึงการลงมือสังหารน้องชายตัวเองยังไง ขอแค่ให้ได้แก๊งนี้มาไว้ในมือ ขอแค่วันหนึ่งเขาสามารถเป็นหนึ่งในตระกูลได้ ถึงอย่างนั้นเว่ยชิงก็ยังไม่ยอมแพ้ อุตส่าห์ไปลากตัวลูกชายลักเพศที่ตัวเองขับออกจากแก๊งไปแล้วมารับตำแหน่งแข่งกับเขา ให้ตายสิ นี่จะแสดงอาการจงเกลียดจงชังกันไปถึงไหน ทั้งๆ ที่เขาทำงานถวายหัวแท้ๆ
   รอยยิ้มของฟารุคกว้างเข้าไปอีก เขารู้ว่านี่เป็นการจี้ใจดำของผู้ชายอายุเพียงสามสิบเศษที่มีเสียงร่ำลือในด้านความอำมหิตมากที่สุดในเกาะฮ่องกง ชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางพูดต่อ
   “คุณน่าจะรู้จักพ่อคุณดี คุณชายรอง เหมือนอย่างที่บอสใหญ่ของผมรู้จัก”
   เจ้านายใหญ่ของฟารุคคงหมายเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากน้องชายต่างมารดาของเว่ยชิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ของเว่ยจินหยินที่มีชื่อว่าลี่เหลียน เว่ยชิงไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับอาของเขาคนนี้ให้ฟังมากนัก เท่าที่จับได้ความและสืบเรื่องเองได้ ดูเหมือนตระกูลเว่ยในตอนนั้นจะมีลูกชายแค่สองคนคือพ่อของเขาที่เกิดจากเมียเอก และลี่เหลี่ยนที่เป็นลูกเมียน้อย ท่าทางเว่ยชิงจะจงเกลียดจงชังน้องชายคนเดียวของเขาคนนี้มาก ชนิดที่ว่าพอได้ขึ้นเป็นใหญ่ในตระกูลเว่ย ก็เฉดหัวทิ้งอย่างไม่ใยดี และลี่เหลียนก็กล้าบ้าบิ่นพอจะเอาตัวเองออกจากตระกูล ไปตั้งตัวใหม่ ปฏิเสธการใช้แซ่เดียวกับผู้เป็นพี่ชาย และใช้ชื่อลี่เหลียนจากนั้นเป็นต้นมา รวมๆ แล้วก็คงเกือบหกสิบปีแล้ว แต่ไฟแค้นสุมทรวงระหว่างอสูรเฒ่าทั้งสองของวงการมืดแห่งฮ่องกงดูจะไม่สงบลงง่ายๆ
   นานวันเว่ยชิงยิ่งคลั่งกับการขยายอิทธิพลของริเวิล ซึ่งน้องชายคนนี้ของเขากุมอำนาจส่วนใหญ่อยู่ จนกระทั่งดึงลูกๆ ทุกคนเข้าสู่วังวนแห่งการแก้แค้น เว่ยจินหยินไม่ลังเลจะกระโดดเข้าร่วมวงจรนี้ เขาพยายามตักตวงผลงานให้ได้มากที่สุด เพื่อขูดรีดความรักจากผู้เป็นพ่อ นั่นทำให้เขาจำเป็นต้องมีบอดีการ์ดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะสิ่งที่เขาทำกับริเวิลเอาไว้นั้น เรียกว่าหากมีโอกาสจะเก็บเขาได้ ทางนั้นย่อมไม่พลาดแน่นอน
   เว่ยจินหยินยิ้มเยียบเย็น กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “อย่ามายุให้ฉันระแวงคุณพ่อเสียให้ยาก พวกนายไม่ใช่หรือที่อยากจะกำจัดฉันจนตัวสั่น ถ้ามีปัญญาก็เข้ามาเลย”
   รอยยิ้มของฟารุคแทบจะฉีกถึงหูขณะฟังประโยคนั้น
“ไม่รู้จริงๆ หรือ คุณชายรอง เพราะพวกผมอยากจะกำจัดคุณจนตัวสั่นนี่แหละ พ่อคุณถึงส่งคุณมา”
-----------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-11-2011 16:45:04
   เถียนซานมองดูแผ่นหลังของผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ด้วยความรู้สึกคงเดิมมาตลอดสามสิบปี แผ่นหลังนี้ไม่กว้างไม่แคบ กำลังพอดีกับร่างกายบอบบางของผู้เป็นเจ้าของ สามสิบปีที่เขาทำงานให้เว่ยจินหยิน สามสิบกว่าปีที่เขาทำงานให้กับคนในตระกูลเว่ย สำหรับความสัมพันธ์พ่อลูกของตระกูลนี้นั้น คงมีน้อยมุมที่เถียนซานไม่เคยเห็น
   เว่ยชิงนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้วเคยเอ็นดูลูกชายคนนี้ของเขาอย่างคนปกติทั่วไป เคยซื้อขนมไปเยี่ยมเคยไปนั่งคุยเล่นเป็นเพื่อน แต่ต่อมาเว่ยชิงเริ่มรู้สึกว่านี่จะทำให้ผู้เป็นลูกชายเกิดความอ่อนแอและคอยพึ่งคนอื่นอยู่ตลอด เถียนซานไม่รู้ว่าเจ้านายใหญ่ของเขาไปได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ระดับเว่ยชิงได้ จึงได้แต่คอยปลอบประโลมหัวใจน้อยๆ ของเว่ยจินหยินซึ่งอายุเพียงไม่กี่ขวบ เว่ยจินหยินเติบโตขึ้นมาโดยมีเขาเป็นพี่เลี้ยง เริ่มสนใจทุกอย่างที่เขาทำ แม้จะพยายามบิดบังแต่ก็คงไม่อาจปฏิเสธเจ้านายตัวน้อยนี้ได้ตลอด ช่วงนี้เองที่เว่ยชิงออกคำสั่งลงมาให้ตนเองจัดการให้เว่ยจินหยินเรียนรู้เรื่องพวกนี้ แม้เถียนซานจะถูกสั่งสอนให้รู้จักเรื่องฆ่าคนตั้งแต่อายุสิบสอง แต่เขาคาดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งลูกชายตัวเองที่อายุยังไม่ถึงหกขวบดี เว่ยชิงก็คิดอยากจะสั่งสอนเรื่องพวกนี้ด้วย
   สำหรับเขาแล้ว หากจะพูดถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต ตัวของเว่ยชิงนั้นมีมากมายกว่าใครคนอื่น
   เว่ยจินหยินเป็นเด็กฉลาด เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว และเหมือนต้องการเอาใจผู้เป็นพ่อ เจ้านายน้อยๆ คนนี้ของเขาเริ่มทำงานตามความต้องการของเว่ยชิง ในระยะแรก เว่ยชิงพอใจการทำงานของลูกชายคนรองของเขา นั่นเพราะเจ้าตัวต้องการปูทางให้เว่ยจินหยินขึ้นมาสนับสนุนเว่ยฟู่ฉินผู้เป็นพี่ชาย ผู้ซึ่งเหมาะสมที่สุดกับการเป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูลเว่ย  แต่เมื่อฟู่เฉินปฏิเสธตำแหน่ง การคงอยู่ของเว่ยจินหยินจึงเหมือนอะไรซักอย่างที่แสลงใจผู้เป็นบิดา
   ในบรรดาลูกชายของเขาทั้งหมดเจ็ดคนในตอนนั้น เว่ยชิงไม่ต้องการให้เว่ยจินหยินเข้ามากุมอำนาจในตระกูลมากที่สุด เหตุผลของเขานั้นฟังเผินๆ ดูน่าตลก เว่ยชิงไม่ไว้ใจลูกชายคนนี้ของตัวเอง กลัวว่าเว่ยจินหยินจะแว้งกัดเขา ตอนแรกเถียนซานเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดนี้ แต่นานวันไปสถานการณ์ทำให้เขาเข้าใจเว่ยชิงมากขึ้น
   เนื่องเพราะเว่ยจินหยินนั้นมีนิสัยคล้ายคนคนหนึ่งมากเกินไป
   เยือกเย็น อำมหิต…. เว่ยลี่เหลียน....
   เถียนซานไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับผู้ชายคนที่ว่านี้ แต่พอจะได้รับคำบอกเล่าจากคนเก่าคนแก่หลายคนในช่วงที่เขาเข้ามาทำงานให้ตระกูลเว่ยแรกๆ คนคนนี้เองที่ทำให้เว่ยชิงคลั่งแค้นจนแทบจะแยกอะไรไม่ออก
   ผลจากการถูกเย็นชาใส่แบบหักหน้าของผู้เป็นพ่อ ทำให้ไฟแค้นแห่งความผิดหวังซ้ำซากสุมอัดอยู่ในทรวงของเว่ยจินหยิน คุณชายรองคนนี้เริ่มระบายความพยาบาทกับผู้บริหารที่เห็นด้วยกับแนวความคิดของเว่ยชิง  อย่างช้าๆ ภายใต้การเสียชีวิตที่ผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องสุดวิสัย เว่ยจินหยินกำจัดคนที่ขวางหูขวางตาเขาออกจากแก๊ง โดยอาศัยช่วงจังหวะที่เว่ยชิงมัวแต่ให้ความสนใจกับธุรกิจใหม่ของลูกชายคนโต
อย่างไม่ทันให้ใครตั้งตัว เว่ยจินหยินวางแผนกำจัดน้องชายทุกคนของตัวเองที่อยู่ในฮ่องกงขณะนั้น เริ่มจากเว่ยปิงเซียง ซึ่งอายุห่างจากเขาไม่มาก ทันทีที่ได้ยินข่าวว่าเว่ยชิงจะมอบตำแหน่งระดับสูงให้น้องชายคนนี้ เว่ยจินหยินลอบติดต่อกับริเวิลอย่างลับๆ โดนผ่านตัวแทนอีกทอดหนึ่ง ไม่มีใครในริเวิลสงสัยว่ามันเป็นการติดต่อจากคนในตระกูลเว่ย
เว่ยจินหยินที่อำมหิตรอบคอบยืมมือริเวิลและแก๊งคู่อริอีกสองสามแก๊งเพื่อจัดการน้องชายคนที่สี่ของเขา แม้ปิงเซียงจะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่อาการสมองตายก็แรงพอจะทำให้บุตรชายของเว่ยชิงคนนี้ไม่มีวันได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีก อุบัติเหตุนี้เองที่ทำให้เว่ยชิงหันกลับมาระแวงเว่ยจินหยิน ด้วยนิสัยที่คล้ายคลึงกัน ผู้เป็นพ่อไม่ต้องเดาว่าลูกชายคนรองของเขากำลังวางแผนอะไรต่อ เว่ยชิงจัดการส่งลูกชายคนที่ห้าออกนอกประเทศ เพื่อให้พ้นเงื้อมมือของพี่ชาย แต่สำหรับน้องชายคนเล็กอีกสองคน ไม่มีใครคาดคิดว่าเว่ยจินหยินจะลงมือกำจัดได้
ถึงทั้งสองคนจะเสียชีวิตจากแก๊งคู่อริคู่หนึ่งที่ไม่พอใจการแผ่อิทธิพลของตระกูลเว่ยจนลงมือแก้แค้นอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม แต่ทุกคนในตระกูลล้วนสงสัยว่าเว่ยจินหยินอยู่เบื้องหลัง และเว่ยจินหยินเองไม่เคยคิดอยากแก้ข่าวเรื่องนี้ คล้ายกับยอมรับโดยปริยาย นั่นยิ่งทำให้ชื่อเสียงด้านลบของคุณชายรองคนนี้หนาหูขึ้น
แต่กว่าเว่ยชิงจะรู้ตัวว่าเว่ยจินหยินเพาะบ่มความอาฆาตแค้นเอาไว้อย่างลึกล้ำ อำนาจในตระกูลส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในมือบุตรชายคนรองของเขาแทบจะหมดสิ้นแล้ว การกำจัดเว่ยจินหยินในทันทีมีแต่จะทำให้ตระกูลตกต่ำอย่างไม่จำเป็น แม้จะอำมหิตเหี้ยมโหด แต่เว่ยจินหยินก็สามารถบริหารอำนาจตระกูลได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน และยังไม่เคยแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องกับผู้เป็นบิดาเลยสักครั้ง
   ถึงอย่างนั้นเถียนซานเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า เว่ยชิงมีความต้องการจะกำจัดลูกชายคนนี้ เหมือนคนกลัวเงาสะท้อนในน้ำ นานวันเว่ยชิงเริ่มหวั่นกลัวเว่ยจินหยิน เป็นความหวั่นไหวลึกๆ ในดวงตาสีดำคล้ำคล้ายน้ำที่ขังอยู่ในบ่อมาเนิ่นนานจนบอกไม่ได้ว่าเป็นน้ำดีหรือน้ำเสีย หวั่นกลัวว่าเว่ยจินหยินจะวางแผนกำจัดแม้แต่ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นที่รักของตน ความหวั่นกลัวนี้เว่ยชิงไม่เคยแสดงมันออกอย่างชัดเจนมาก่อน จนกระทั่งเว่ยจินหยินเล่าให้เขาฟังถึงการถูกส่งมาประชุมที่เมืองไทย
   สามสิบกว่าปีที่เขารู้จักกับคนในตระกูลเว่ย สามสิบกว่าปีที่เขาทำงานอยู่ในหน่วยดำ สามสิบกว่าปี คำสั่งของเว่ยชิงครั้งนี้ เปิดเผยหัวใจของผู้เป็นเจ้าของออกมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ต่อให้คนโง่ยังต้องรู้สึก นี่เป็นแผนจงใจกำจัดเว่ยจินหยินชัดๆ เว่ยจินหยินนั้นทำเรื่องกับริเวิลเอาไว้มากมายเสียจนมีค่าหัวสูงลิ่ว จำนวนบอดีการ์ดที่ห้อมรอบตัวเขาเวลาไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคุณชายคนนี้เป็นที่ชิงชังของหลายฝ่าย ต่อให้สามารถจัดการกับฟารุคและเอียนได้จริง คิดหรือว่าเว่ยจินหยินจะกลับไปถึงฮ่องกงได้ง่ายๆ คิดหรือว่าตอนก้าวลงจากสนามบิน พลแม่นปืนจะไม่รอส่องศีรษะของเขาอยู่  เหมือนเห็นภาพซ้อน เถียนซานมองเห็นเว่ยชิงกำลังยืมมือคู่อริ เพื่อกำจัดลูกชายคนรองของเขา ในขณะเดียวกันก็อาศัยลูกชายที่ทำงานอย่างถวายหัวกำจัดคู่อริของเขาไปในตัว
   ไม่ว่าฝ่ายไหนจะพลาด ก็สมประโยชน์เจ้าตัวทั้งสิ้น
   แม้ว่าเว่ยจินหยินจะอำมหิต เลวร้ายจนน่ารังเกียจ แต่ในความคิดของเถียนซาน ทุกอย่างต้องโทษเจ้านายใหญ่ของเขา เว่ยชิงผลักดันบุตรชายของตนลงสู่ความมืดมิดเพื่อสนองความปรารถนาและความคับแค้น และเมื่อไม่อาจควบคุมได้ บุตรชายที่เหมือนมะเร็งคนนี้ก็ควรต้องถูกกำจัดทิ้ง อย่างแนบเนียน และยังผลประโยชน์มากที่สุด
   แม้จะโกรธเคืองเจ้านายใหญ่อย่างไร เถียนซานไม่มีอำนาจจะขัดขวางเรื่องนี้ได้ และเว่ยจินหยินก็กระโดดเข้ามาร่วมอย่างเต็มใจ แม้รู้ว่าจะเป็นกับดัก มันเป็นความสะเทือนใจที่เถียนซานต้องเก็บเอาไว้ลึกๆ ถึงเว่ยจินหยินจะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้เป็นพ่อต้องการกำจัดเขา อาจจะเพราะเว่ยจินหยินอยากพิสูจน์ว่าเขาตั้งใจทำเพื่อผู้เป็นบิดามากมายขนาดไหน
   ถึงอย่างนั้นเถียนซานเชื่อ เว่ยจินหยินจะต้องไม่ยอมตายง่ายๆ แต่ต่อให้เว่ยจินหยินยอมตาย เขาจะไม่ยอมให้ตายเด็ดขาด
   เพราะชีวิตของเขา มีไว้เพื่อปกป้องผู้ชายคนนี้
-----------------------------------
   เพี๊ยะ!!
   เสียงวัตถุยืดหยุ่นและยาวเรียวกระทบพื้นดังเสียดเข้าไปในโสดประสาท ความจริงมันควรจะกระทบลงบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายชายที่มีชื่อเรียกว่าเอียนมากกว่า แต่โชคยังดีที่เขากระโดดหลบได้ทัน ไฮท์ลำดับสิบเอ็ดหันมาพูดอย่างไม่เชื่อ
   “เฟิงปิง!! แกมีของแบบนั้นได้ยังไง?”
   เว่ยเฟิงปิงยกแขนข้างซ้ายขึ้นมาพบว่ามันเป็นรอยขาดเป็นทางยาว และมีเลือดไหลซึมออกมา แสดงว่าไอ้ที่รู้สึกเจ็บเมื่อครู่คงไม่ใช่แค่เฉี่ยวๆ หวังว่าแผลนี้คงจะไม่ร้ายแรงมากนัก ได้ยินว่าแผลที่เกิดจากของมีคมมากๆ ขอบจะเรียบ ทำให้แผลสามารถปิดได้อย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้เกิดแผลเป็น เว่ยเฟิงปิงหวังว่าร่ากายของเขาคงจะไม่มีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้นอีก เท่าที่มีอยู่ก็มากพอแล้ว
   “แกหมายถึงไอ้นี่เหรอ?” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และสะบัดสิ่งที่อยู่ในมือของเขา มันเป็นด้ามจับสีเงิน ขนาดพอดีมือ ที่มีปลายคล้ายกับข้อต่อสีเงินชิ้นเล็กๆ นับพันๆ ชิ้นที่ต่อกันจนเป็นสายยาว มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าแส้ ซึ่งทำจากโลหะน้ำหนักเบาชนิดหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงขยับข้อมือนิดหน่อย ปลายของมันพุ่งเข้าใส่เอียนเหมือนอสรพิษ
   “ฉันได้มาจากเจ้าพ่อโต๊ะพนันคนหนึ่ง จะบอกว่ามันเป็นของกำนัลก็ได้นะ” เว่ยเฟิงปิงกล่าว ขณะที่เอียนกระโดดหลบ เขาตวัดแส้อีกรอบ มันพุ่งเข้าใส่ร่างที่เพิ่งเบี้ยงตัวหนีไปด้วยความเร็ว เอียนขยับมือ จานจักรแก้วชิ้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้
   เพล้ง!!
   เสียงโลหะกระแทกเข้ากับแก้วใสดังขึ้น และชิ้นส่วนแหลมคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีรูปร่างคล้ายแผ่นวงกลมแบนๆ มีรูกว้างตรงกลางก็ร่วงกราวลงบนพื้น เอียนขบฟัน เขาไม่น่าปล่อยให้เว่ยเฟิงปิงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ไม่สิ เว่ยเฟิงปิงจงให้ถูกจานจักรนั่น และเขาก็มั่นใจว่าต่อให้จักรอันแรกไม่สามารถจัดการผู้ชายคนนี้ได้ ชิ้นต่อไปก็จะจัดการเขาก่อนที่จะทันได้เหนี่ยวไกปืนเสียอีก แต่สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงล้วงออกมาจากอกเสื้อหาใช่อาวุธในแบบที่เขาคิด มันกลับกลายเป็นแส้เหล็กที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรเส้นหนึ่ง ที่พอหลุดออกมาจากอกเสื้อก็สำแดงอานุภาพฟาดจักรแก้วของเขาจนแหลกละเอียด เอียนพอจะนึกชื่อคนชอบสะสมของแบบนี้ออกบ้าง และถ้าให้คำจำกัดความว่าเจ้าพ่อโต๊ะพนันล่ะก็ คงจะมีอยู่คนเดียวเท่านั้น
   “โจวยี่!! เจ้าจิ้งจกนั่นให้มันกับแกเรอะ?!! ไม่สิ เจ้านั่นสอนวิธีใช้ให้แกด้วยเรอะ?!!” เอียนโพล่งอย่างตระหนก เขาได้ยินว่าโจวยี่มีอาวุธประจำตัวแปลกๆ ที่เรียกว่ากระบี่อ่อน ดูเหมือนวิธีใช้จะใกล้เคียงกับสิ่งที่อยู่ในมือศัตรูของเขา เว่ยเฟิงปิงผงกศีรษะ
   “ฉันเห็นด้วยกับคำว่าจิ้งจก นายนี่ช่างตั้งชื่อนะ แส้นี้เป็นของสะสมหายากที่โจวยี่หวงมาก นายน่าจะรู้ หรือคงไม่รู้หรอก เขาหวงมันขนาดที่ยอมสอนวิธีใช้ให้ฉันเพื่อที่มันจะได้ไม่ขึ้นสนิมอยู่ในตู้เชียวล่ะ”
   เอียนอยากจะพูดว่ามุขตลกที่เว่ยเฟิงปิงเล่นไม่ขำสักนิด แต่เขาคงไม่มีเวลาพูด เพราะแส้เหล็กนั่นโบยเข้าใส่เขาโดยไม่เปิดโอกาสให้ถามอีกด้วยซ้ำ
   เว่ยเฟิงปิงสะบัดแส้เหล็กในมือ หนึ่งในเหตุผลที่โจวยี่หักหลังเขา อาจจะเป็นเพราะการที่เขาบังเอิญไปถูกตาต้องใจแส้เส้นนี้ด้วยก็ได้ เขาเห็นมันโดยบังเอิญในตอนที่ไปพบผู้ชายคนนี้ในห้องส่วนตัวที่บ่อน ดูเหมือนโจวยี่จะหยิบมันออกมาจากที่เก็บเพื่อบำรุงรักษา เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากของมันต่อหน้าเจ้าของทันที ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเองแสดงท่าทีแปลกใจไม่น้อย นั่นเพราะสิ่งที่เขาเอ่ยขอคืออาวุธชนิดเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อใช้ตราความผิดลงบนร่างของเขา
   รอยแผลเป็นสีชมพูเข้มนูนหนาราวกับปลิงตัวใหญ่มีอยู่นับไม่ถ้วนบนแผ่นหลังของเว่ยเฟิงปิง มันเป็นรอยแผลแห่งความบัดซบที่พ่อเขาจารึกเอาไว้ รอยแผลที่ย้ำเตือนถึงความโง่เง่า ความงมงายในตัวสายลับคนนั้น ถึงกระนั้นคุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมิได้คิดโกรธเค้นผู้ชายตาสองสีคนนั้นได้อย่างจริงใจเลย เขาแค่พยายามหลอกตัวเองให้คิดแบบนั้น จนกระทั้งผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวต่อหน้าเขา ถูกหลอกล่อให้สัมผัสรอยแผลพวกนี้ ใบหน้าที่แสดงออกมา เพียงแค่แวบเดียว ใบหน้าที่แสดงความเสียใจของรูฟัสในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการลืมเลือนความเจ็บปวดบนรอยแผลเหล่านี้
   เหตุที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขออาวุธนี้กับโจวยี่มีเพียงข้อเดียว เขาต้องการจับอาวุธที่บิดาของเขาเคยจับเพื่อฟาดโบยเขา จับมันเพื่อฟาดโบยใส่ผู้อื่น ระบายโทสะที่อัดอั้นจากรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่เคยแค้นเคืองรูฟัสอย่างจริงจังเลย ผู้ที่เขาแค้นเคืองมาโดยตลอดคือบิดาของเขาเองนั่นแหละ
   แต่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยมีโอกาสโบยแส้เส้นนี้ใส่ใครเลย เขาฝึกมันกับโจวยี่อย่างเงียบๆ ด้วยข้อเสนอที่น่าขันของผู้เป็นเจ้าของเดิม เขาไมได้เล่าเรื่องตลกให้เอียนฟังหรอก โจวยี่มอบแส้เส้นนี้ให้เขาด้วยเงื่อนไขว่าเขาต้องเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว เว่ยเฟิงปิงยอมตกลงเพียงเพราะนึกสนุก เขาไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้จริงๆ จนกระทั่งการทานอาหารร่วมกันกับบิดาของเขาวันนั้น คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยจึงได้หยิบมันออกมาจากที่เก็บ
   โจวยี่อาจจะรู้สึกดีใจที่ในที่สุดของสะสมสุดรักชิ้นหนึ่งของเขาได้ออกศึกจริงๆ เสียที
------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่61 p10 5/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-11-2011 16:50:25
   มีคนบางคนเคยเรียกเขาอย่างค่อนแคะว่ามิสเตอร์โรบอท หรือคุณหุ่นยนต์ แต่ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนนึกค้านคำนี้ที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาอย่างจริงๆ จังๆ ซึ่งมันเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เขาอยากให้เจ้านายของเขาได้เห็นจริงๆ ว่าคนที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์จริงๆ ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนที่กำลังแทงเข็มยักษ์เข้าใส่เขาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ต่างหาก
   ใบหน้าของชายวัยยี่สิบเศษที่ถูกเรียกว่านีดเดิลเรียบเฉยมาก แม้จะต่อสู้มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง จางซื่อเยี่ยนคิดว่าหมอนี่คงหอบหายใจบ้าง แต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นนิ่งเสียจนคิดว่าระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้นคงตายด้านไปแล้ว มีแค่เสียงหอบหายใจถี่หนัก และปลายเข็มแหลมคมที่พุ่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้ปัดป้อง และมุ่งเอาชีวิต
   จางซื่อเยี่ยนไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเจ้านายของเขาต่อกรกับชายชื่อเอียนที่ใช้จานจักรแก้วเป็นอาวุธอย่างไร ไม่แม้แต่จะมีสมาธิเงี่ยฟังเสียง สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่หน่วยดำทุกคนไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
   เขากำลังวิ่งหนี
   อดีตหน่วยดำผู้มีฉายาว่าด้ายพิฆาตจำเป็นจะต้องขยายระยะห่างระหว่างเขากับเจ้าคนที่ใช้เข็มยักษ์นั่น เขาไม่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ระยะประชิด และหากยังฝืนทำต่อไปก็คงเสียท่าในที่สุด ดังนั้นจางซื่อเยี่ยนจึงออกวิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดและถอยกลับอย่างเร็วที่สุด ที่ถอยกลับไปไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นลูกดิ่งเหล็กสีเงินขนาดราวๆ ห้านิ้วที่ปลายด้านหนึ่งเชื่อมต่ออยู่กับสายลวดในมือเขาต่างหาก นีดเดิลพุ่งตรงเข้ามา และกำลังจะสวนกับลูกดิ่งเหล็กนั้น นัยน์ตาของเขาแทบไม่ขยับ
   เคร้ง!!
   แท่งเหล็กกลมปลายแหลมเหมือนเข็มขนาดยักษ์กระทบกับลูกดิ่งเหล็กนั้น นีดเดิลพยายามปัดมันออก แต่จางซื่อเยี่ยนชำนาญในอาวุธของเขาเช่นกัน ลูกดิ่งกระทบกับแท่งเข็มและแฉลบลากเอาเส้นลวดที่พ่วงอยู่ด้านหลังเข้าพัวพันแท่งเข็มนั้น อดีตหน่วยดำออกแรงดึงลวดของเขา นัยน์ตาของนีดเดิลไหววูบนิดหน่อย เขาขยับแท่งเข็ม แล้วสายลวดก็หลุดออกจากปลายของมันไปโดยง่าย และกลับคืนสู่เจ้าของอย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนที่มันมา
   จางซื่อเยี่ยนกระโดดถอยหลังไปอีก มันคงจะไม่ลำบากขนาดนี้เลยถ้าสิ่งที่ผู้ขายคนนั้นถืออยู่เป็นมีดหรือปืนหรืออะไรก็ตามที่ดูอันตรายกว่านี้ เส้นลวดของเขาคงจะเกี่ยวและพันมันเอาไว้ได้ง่ายๆ แต่กับไอ้แท่งเหล็กกลมที่เรียวปลายนั่น เทคนิคนี้ไร้ผลกับมันอย่างสิ้นเชิง จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาคงต้องใช้แผนใหม่
   ลูกดิ่งถูกซัดออกไปอีก แต่ในทิศทางที่ต่างออกไป มันพุ่งห่างออกไปจากตัวของนีดเดิลมากจนน่าตกใจ เมื่อเทียบกับความแม่นยำเมื่อครู่ นัยน์ตาสีดำที่ไร้ความรู้สึกนั่นเหลือบนิดหน่อย และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก จางซื่อเยี่ยนเองก็เร่งฝีเท้าเช่นกัน เขาออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับซัดลูกดิ่งอีกลูกออกไป ครั้งนี้มันก็ห่างจากเป้าหมายไปไกลโข ถึงอย่างนั้นฝีเท้าของนีดเดิลยิ่งเร็วขึ้น ราวกับว่าไม่ต้องการให้จางซื่อเยี่ยนขว้างลูกดิ่งพลาดอีก แต่ถึงอย่างนั้น อดีตหน่วยดำก็ยังคงทำพลาด ลูกที่สามก็ยังไม่โดนเป้าหมาย ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนวิ่งหนีจริงๆ มันเป็นอะไรที่คงไม่น่าดูนัก แต่ต้องยอมรับว่าเขาทำมันลงไปแล้ว จางซื่อเยี่ยนกำลังเร่งฝีเท้าถึงขีดสุดเพื่อหนีเข็มยักษ์คู่นั้น แล้วจู่ๆ นีดเดิลก็หยุดชะงักตัวเองลง ราวกับว่าเจอกำแพงที่มองไม่เห็น
   จางซื่อเยี่ยนหยุดวิ่ง เขาขยับนิ้วมือ ที่มองดีๆ จะเห็นเส้นลวดสองสามเส้นยึดโยงอยู่ เสียงบาดเล็กๆ ดังขึ้นบนเสาโลหะสี่ห้าเสาที่เขาเพิ่งวิ่งผ่าน ผู้ชายที่ถือเข็มยักษ์ไม่ขยับแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากขยับ แต่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้ขยับได้ต่างหาก
   เส้นลวดบางๆ หลายเส้น พาดไปพาดมาสลับกันเป็นแนวตาข่ายรอบตัวของนีดเดิล จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ซัดลูกดิ่งพลาด เขาจงใจซัดมันออกไปเพื่อยึดลวดเข้ากับเสาโลหะด้านหลัง และทำทีเป็นวิ่งหนีไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างแหลวดนี้ มันคือเทคนิคที่เขาไม่ถนัดเอามากๆ ระหว่างที่กำลังสร้างแหลวดนี้ เขาจะไม่สามารถป้องกันตัวได้ เพราะต้องใช้มือข้างหนึ่งรักษาความตึงของลวดเอาไว้ และยังต้องวิ่งไปในทิศทางที่กำหนดเพื่อสร้างมุมตัดของลวด ถ้าศัตรูรู้ทัน เข้าถึงตัวได้ก่อนก็จบ และถ้าซัดอาวุธเข้ามาก็จบ เพราะหากหยุดวิ่งหรือชะงักแม้วินาทีเดียว ความตึงของลวดที่ขึงเอาไว้ก็จะไม่ได้ระดับ มันอาจจะเตี้ยเกินหรือหย่อนไปเลยก็ได้ ดังนั้นการจะใช้เทคนิคนี้จึงต้องทำให้คู่ต่อสู้ไม่เฉลียวใจรู้สึกเลยว่ากำลังถูกล่อให้ติดกับดัก และจางซื่อเยี่ยนเป็นคนประเภทที่ไม่ถนัดในการหลอกล่อเช่นนี้เลย อดีตหน่วยดำรู้ดีว่านีดเดิลเองก็ไม่ได้พลาด ผู้ชายที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกราวกับปลาตายนั่นรู้ตั้งแต่ลูกดิ่งลูกที่สอง ไม่อย่างนั้นคงไม่พุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วขนาดนั้น โชคดีที่เขาเร็วกว่าและโชคดีที่นีดเดิลเลือกจะพุ่งเข้าใส่เขาแทนที่จะซัดเข็มเข้าใส่ เพราะถ้าเป็นวิธีหลัง ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนอาจจะไม่ได้ยืนอยู่แบบนี้ก็ได้
   นัยน์ตาของนีดเดิลนิ่งสนิท จนจางซื่อเยี่ยนสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ กำลังคิดหาวิธีออกไป หรือว่าวางแผนอย่างอื่นอยู่ นัยน์ตานั่นไม่เหมือนกำลังครุ่นคิดเลย มันเหมือนรอคำสั่งอะไรอยู่มากกว่า
   “เฮ้..นาย..นีดเดิล”
   นัยน์ตาสีดำที่ไร้ความรู้สึกขยับนิดหน่อย เหมือนคำว่านีดเดิลจะมีผลบางอย่าง เขาขยับมือ ฟาดเข็มทั้งสองเล่มเข้าใส่แหลวดด้วยความเร็วที่น่าตกใจ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงแรงกระแทกจากลวดบนมือ นัยน์ตาสีดำราวอีกาคู่นั้นขยับด้วยความตระหนก ไม่ใช่จากแรงฟาดเมื่อครู่ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมื่อลวดตาขายนี้ถูกขึง ไม่มีใครสามารถขยับตัวในนั้นได้นอกเสียจากเขาจะเป็นคนคลายมันออกเอง ลวดจะบาดเข้าไปในผิวหนังหากคนที่อยู่ด้านในขยับตัวเพียงเล็กน้อย และในกรณีของชายที่มีชื่อเรียกว่านีดเดิลก็ไม่ละเว้น ลวดที่ถูกขึงจนตึงบาดเข้าไปในแขนทั้งสองข้างของเขา แต่ที่ทำให้จางซื่อเยี่ยนตระหนกคือ ผู้ชายคนนั้นยังขยับมือราวกับว่าลวดนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้เขาเลย ราวกับว่าร่างกายนั้นถูกสั่งให้ขยับไปแบบนั้นโดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของเลย สองแขนยังคงแกว่งเข็มในมือ ใช้มันปัดเส้นลวดที่ขึงแน่นนั้นออก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแผลบาดลึกที่เกิดจากเส้นลวด มันลึกน่ากลัวเสียจนจางซื่อเยี่ยนเองยังรู้สึกหวาดเสียว เขานึกถึงเรื่องบางอย่างที่ถูกเล่าในวงสนทนาเมื่อนานมาแล้วสมัยที่เขายังอยู่หน่วยดำ เรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาสะกดจิต
   คนเล่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นคนหนึ่งในหน่วยย่อยที่เขาอยู่ เล่าในทำนองว่าการสะกดจิตจะมีผลทำให้คนสามารถทำเรื่องที่เหนือความสามารถได้ และทำเรื่องที่คนสะกดจิตต้องการให้ทำได้ จากนั้นจึงมีการถกเถียงกันว่าหากมีเรื่องแบบนั้นจริง กองทัพคงสะกดจิตทหารให้สามารถรบได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย แล้วใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่าการสะกดจิตนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สะกดได้ แล้วมันก็มีคีย์เวิร์ดที่เมื่อทำหรือพูดแล้วผู้ถูกสะกดจะตื่นขึ้น ถ้าขืนใช้ในกองทัพแล้วเกิดมีใครรู้คีย์เวิร์ดนี้ กองทัพก็ล่มจมกันพอดี
   ผู้ชายที่ขยับร่างกายโดยไร้การแสดงสีหน้าคนนี้ ใช่ถูกสะกดจิตด้วยหรือเปล่า?
   จางซื่อเยี่ยนถามตัวเอง เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าแบบนั้น และเป็นหนึ่งในคนที่เถียงว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่ากับพฤติกรรมผู้ชายที่พยายามทำลายแหลวดโดยไม่สนใจบาดแผลที่เกิดขึ้นนี้ มันคงยากที่จะอธิบายด้วยเหตุผลอื่น ไม่มีคนจิตแข็งคนไหนโดนบาดขนาดนั้นแล้วยังมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ได้ ยกเว้นเสียแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะตายด้าน ถึงอย่างนั้นก็ต้องแสดงออกมาทางแววตาบ้าง แต่สำหรับผู้ชายที่ชื่อนีดเดิลคนนี้ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย แม้ว่าแขนของเขาจะถูกบาดจนเห็นกระดูกสีขาวโผล่ออกมาแล้วก็ตาม
   อดีตหน่วยดำขบฟัน ความจริงแล้วลวดของเขาใช่ว่าไม่เคยเปิดกระดูกของใครมาก่อน บางครั้งยังเคยเฉือนนิ้วมือหรือเส้นเลือดใหญ่บนลำคอของใครหลายคนด้วยซ้ำ แต่กับการได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งซึ่งยังไม่แน่ใจว่ารู้ตัวดีหรือเปล่า พาร่างของตัวเองบาดเข้ากับคมลวด เป็นอะไรที่ยากจะทนดูจริงๆ จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาไม่ปล่อยให้คนที่ยังไม่รู้ว่ามีสติอยู่กับตัวแค่ไหนฆ่าตัวเองโดยไม่รู้ตัวไปต่อหน้าเขาได้ ถ้านี่คือการสะกดจิต มีอะไรหรือเปล่าที่พอจะเป็นคีย์เวิร์ดนั้น
   แผลเปิดบนแขนทั้งสองข้างของนีดเดิลเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าผิวหนังจะเปิดขนาดนั้นแล้วแต่มือทั้งสองข้างของเขายังคงไม่ปล่อยอาวุธที่มีชื่อเรียกเหมือนตัวเอง เขาคงจะกำมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเส้นเอ็นที่ใช้ควบคุมฝ่ามือทั้งสองขาดสะบั้นลงนั่นแหละ มันเป็นสภาพที่น่าอเนจอนาถ จางซื่อเยี่ยนล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในอกเสื้อ ควรไหมนี่เขาจะส่งผู้ชายคนนี้ให้พ้นความทรมานเสียที? ผู้ชายที่เขายังไม่รู้กระทั่งชื่อจริง นอกจากชื่อที่ถูกเรียกว่านีดเดิล
   ชื่อ?!!
   ดูเหมือนเถียนซานจะเคยพูดถึงชื่อของเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้
   “เสี่ยวฟาน”
-----------------------------------------------
   รัตน์เกือบจะทุบมือลงบนแผงควบคุม ดีที่เขายั้งไว้ทันจึงแค่ตบลงไปเบาๆ เท่านั้น ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสร้างความตกใจให้กับบรรดาพนักงานที่ทำงานอยู่ตรงนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
   “ส่งคนเพิ่มเข้าไปที่ห้องเก็บเทซกา ฉันคิดว่ามันคงไม่ได้วางระเบิดเอาไว้หลายลูกตรงนั้น หรือถ้ากลัว ก็ส่งคนเข้าไปอีกทาง ส่งเข้าไปทั้งสองทางนั่นแหละ จับมันให้ได้ เค้นคอมันให้ได้ว่าใครส่งมันมา”
   ชายวัยกลางคนสั่งการด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาได้ยินแล้วว่าทวีศักดิ์ยุติการประชุม การประชุมที่ผู้ชายคนนั้นทุ่มเทลงไปแทบทุกอย่างเพื่อให้มันเกิดขึ้น ถูกทำลายลงเพราะไอ้ฝรั่งบ้าสองสามตัวที่ดอดเข้ามาจากทางไหนสักแห่ง
   “หาไอ้คนที่เจาะระบบเข้ามาพบแล้วยัง?!!” รัตน์กระชากเสียงถาม ตอนนี้เขายากที่จะควบคุมคำพูดในอยู่ในระดับปกติแล้วจริงๆ ระเบิดนั่นเป็นตัวทำลายทุกอย่าง และเขาจะไม่อดทนอีกต่อไป
   “พบแล้วครับ น่าจะอยู่แถวๆ ห้องเก็บขยะ” พนักงานคนหนึ่งละล่ำละลักกล่าว รัตน์ขยี้มือของเขา และกรอกเสียงลงไปในไมโครโฟน
   “ส่งหน่วยฉลามไป หยุดมันให้ได้ ไม่ก็ฆ่ามันทิ้งได้เลย จับเป็นเฉพาะคนที่จับได้!!” น้ำเสียงนั้นเกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นขนาดที่พนักงานที่ฟังอยู่ในห้องยังรู้สึกตัวสั่น รัตน์ขบกรามแน่น เขาจะไม่ยอมให้ทวีศักดิ์เสียอยู่เพียงฝ่ายเดียวหรอก ไม่ว่าพวกที่เข้ามาจะเป็นใคร พวกมันต้องชดใช้เรื่องที่ทำลงไป
-----------------------------------------------
   รูฟัสกำลังลากลิ้นชักแก้วที่ยังไม่แตกยับเยินไปเสียทั้งหมด มาวางไว้ตรงหน้าประตู โดยดึงร่างไร้สติของตาแก่ลู่ชางไปพิงเอาไว้ เผื่อว่าพวกที่เข้ามาจะชะงักไม่กล้ายิง หรือถ้าจะยิงมันก็สมควรอยู่เหมือนกัน เขาไม่อยากเสียมือตัวเองฆ่าตาแก่วิปลาสคนนี้นักหรอก
ชายหนุ่มเช็กอาวุธทั้งหมดที่เขามี ปืนพกสองกระบอก มีดสงครามรุ่นสั่งทำพิเศษขนาดเก้านิ้วครึ่งที่ราฟาแอลหอบมาให้เขาจากอเมริกาเมื่อสามปีก่อนหนึ่งเล่ม มีดพกสองเล่ม และมีดสำหรับซัดอีกแปดเล่ม รูฟัสตัดสินใจเก็บมีดสงครามที่เขาใช้แทงเข้าไปในตู้เก็บควันนรกนั่นเอาไว้เป็นอาวุธก๊อกสาม และเลือกปืนพกเป็นอาวุธก๊อกสอง เขาคิดว่าไอ้ตู้กระจกนี่คงกันอะไรได้ไม่มากนัก เผลอๆ อาจจะอันตรายด้วยซ้ำถ้าหลบอยู่ด้านหลัง แต่มันก็เปลี่ยนเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างได้มากเช่นกัน ถ้าเพิ่มสิ่งหนึ่งลงไป....
หนุ่มนัยน์ตาสองสีหยิบวัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดราวๆ ห้าคูณหกนิ้วออกมา มันคือระเบิดชนิดที่จุดชนวนโดยความร้อน รูฟัสใช้มีดพกผ่ามันออกครึ่งหนึ่ง เพราะสำหรับห้องขนาดนี้ ทั้งก้อนเลยคงจะแรงเกินไป เขาวางครึ่งหนึ่งไว้ด้านหลังตู้กระจก ในมุมที่เขาสามารถยกปืนขึ้นยิงมันได้ทัน ก่อนพวกที่เข้ามาจะยิงเขา นี่คืออาวุธก๊อกแรกที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือน ถ้าโชคดี แค่ก๊อกนี้เขาก็อาจจะหลุดออกไปจากห้องนี้ได้ แต่ถ้าระเบิดนี่ไม่ส่งผลแรงพอ เขายังมีปืนพกที่มีลูกกระสุนเต็มแม๊กอีกสองกระบอก รวมๆ แล้วก็คงสักยี่สิบนัด ยิงถูกบ้างไม่ถูกบ้างก็คงจะเก็บได้สักเจ็ดแปดคน บวกกับมีดซัดอีกแปดเล่มแล้วก็ไม่น่าจะเกินสิบสองคน ถ้ารวมกับพวกที่น่าจะถูกระเบิดก็ควรจะเกินยี่สิบแล้ว ถ้ามีมามากกว่านี้ก็คงต้องพึ่งไอ้เพื่อนยากที่ราฟาแอลอุตส่าห์หิ้วมากฝาก แทนมีดเล่มเก่าที่เจ้าตัวบ่นว่าเก่าและทื่อเต็มทน
รูฟัสนึกสงสัยจริงๆ ว่าราฟาแอลไปทดสอบความคมของมันตอนไหน คงไม่ใช่ว่าเอาไปให้คลาวเดียหั่นผลไม้หรอกนะ เอาเถอะยังไงเจ้ามีดเล่มนี้ก็ถูกใจเขาอยู่มากเหมือนกัน มันคงจะสำแดงฤทธิ์เดชเก็บได้อีกสักสองสามคนหรอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน ยังไงเสียเขาจะต้องรอดออกไปให้ได้
   รอดออกไปเพื่อบอกฟ่งว่าคราวหน้าคราวหลังจะเขียนแบบอะไรต้องปรึกษาเขาก่อน
   ชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมา เขาเริ่มนึกขันตัวเอง ในเวลาแบบนี้เขายังจะคิดอะไรแบนั้นอีกหรือ เขาไม่ได้นึกโทษฟ่งสำหรับเรื่องนี้เลย ก็แค่นึกเศร้าใจนิดหน่อย เหมือนพระเจ้าจะจงใจแกล้งเขาให้ติดอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่เกิดปาฏิหาริย์หลายต่อหลายอย่างแล้วก็ตาม  หรือพระเจ้าอยากจะบอกว่าเป็นความผิดของเขาที่ไปหลงรักผู้ชายสวมแว่นคนนั้น พระเจ้าคงไม่เข้าใจ ต่อให้เขาต้องตายอยู่ที่นี่เขาก็จะไม่เสียใจที่ได้รักฟ่งเด็ดขาด จะเสียใจก็ตรงที่ไม่มีโอกาสจะทำให้ฟ่งบอกคำที่เขาอยากฟังออกมาจากใจจริงๆ ได้เสียทีนี่แหละ ถ้าพระเจ้าปราณี ส่งมาแค่ยี่สิบคนจะเป็นพระคุณมาก แค่นั้นเขาก็รอดลำบากแล้ว ถ้าโผล่กันมาเป็นกองทัพเขาคงต้องโทษพระเจ้านั่นแหละ
   โครงสร้างโลหะที่ยึดโยงห้องราวกับขาของแมลงมุมด้านนอกเริ่มขยับ รูฟัสถอยหลังจนอยู่นอกรัศมีระเบิด เล็งปืนเตรียมพร้อม เจอหน้าเมื่อไหร่ คงได้รู้กันเสียที
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 13-11-2011 16:58:29
รอลุ้นอยู่
รีบมาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 13-11-2011 19:29:22
ลุ้นอะลุ้น อย่าบอกนะว่าคนที่มาถึงก่อนจะเป็นฟ่ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 13-11-2011 20:25:13
ตอนต่อไปขอพรุ่งนี้ได้มัยอะ.....น้าาาาาาาาาา นะๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 13-11-2011 22:52:01
ลุ้นอ่า มาต่อเร็วนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 14-11-2011 11:50:40
ขอให้คนที่เข้ามาเป็นใครซักคนที่เข้ามาช่วยทีเห๊อะะะ

ลุ้นเหลือเกิ๊นนน
ลุ้นมันซะทุกตอนนน ตะคริวกินนี่จะไม่แปลกใจเลยย ฮ่าๆๆ

ขอบคุณคนเขียนเน้ออ~~
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-11-2011 16:06:25
ระหว่าง พ่อ กับ ลูก ใครอำมหิตกว่ากันละเนี่ย -*-  แต่ลึกๆ ก็น่าสงสารจินหยินนะ ถ้าไม่โดนเลี้ยงมาแบบนั้น ก็คงไม่โหด+เลวแบบนี้
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-11-2011 16:37:39
**แฮ่ เอามาลงต่อเนื่องค่ะ ไม่รู้ว่ามีคนอ่านเรื่องนี้เยอะรึเปล่า เพราะยาวเมิ่ก จะอัพรายวันก็เกรงใจ แต่มานึกอีกที จะกั๊กไว้ก็ใช่ที่ (มันจบแล้วนิ) เพราะงั้น จะพยายามเอามาลงวันที่ไม่ได้อัพเรื่องอื่นนะคะ (อ้าว กวนนี่!!)

ฮา~ รักจินหยินจังเลยค่า
-------------------------------------------
บทที่63 ผู้ช่วยเหลือ

 วรุตถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หลังก้าวออกมาจากลิฟต์ตัวใหญ่ เขาเพิ่งส่งแขกที่มาร่วมงานชุดสุดท้ายเสร็จ โดยปราศจากการดูแลของผู้เป็นพ่อ ท่าทางทวีศักดิ์จะเชื่อว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงระเบิด จึงปลีกตัวและมุ่งตรงไปยังห้องควบคุม ซึ่งลูกน้องคู่ใจที่ทำงานร่วมกันมาหลายปีกำลังพยายามจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ โดยสั่งให้ลูกชายอยู่จัดการเรื่องการส่งและขอโทษขอโพยแขกเหรื่อที่เชิญมา
ความจริงวรุตไม่อยากแยกจากผู้เป็นพ่อในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าทวีศักดิ์กับรัตน์จะจัดการอย่างไรกับพวกที่บุกรุกเข้ามา และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกราฟาแอลจะจัดการอย่างไรกับพ่อของเขา แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถจะพูดอะไรเพื่อห้ามปรามบิดาของเขาได้ เขาไม่เคยห้ามใครได้เลย ไม่เคยช่วยอะไรใครได้เลย
          เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ รู้สึกหงุดหงิดรำคาญกับพวกบอดีการ์ดที่ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มที เขาทำตัวไม่ถูกเลยเวลาอยู่กับคนพวกนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าควรจะออกคำสั่ง ขอร้อง หรือว่าอ้อนวอนให้ช่วยดี
วรุตไม่ชอบการถูกเดินกระหนาบแบบนี้เลย แต่ครั้นจะให้คนพวกนี้ออกไปก็ติดข้ออ้างเรื่องคุ้มกันอีก ให้ตายสิ ใครมันอยากทำร้ายเขานัก นี่ถ้าพ่อของเขากลัวจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็ควรจะเลิกทำเรื่องอะไรที่มันทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบที่ทำอยู่สักทีสิ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ เพื่อสแกนรูม่านตา ก่อนจะผ่านประตูเข้าไปยังห้องรับรองใหญ่ แล้วเขาก็ต้องอ้าปากด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นผู้ที่อยู่ด้านใน
          อิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง และหันมายิ้มให้ทันทีในตอนที่เขาก้าวเข้ามาในห้อง ริมฝีปากได้รูปที่ค่อยๆ แย้มออก และในเสี้ยววินาที มันก็กลายเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้วรุตต้องยิ้มตอบออกไปอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่
อิทธิเดชไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้เขามาก่อน เท่าที่วรุตเคยเห็น รอยยิ้มแบบนี้จะมีให้ก็แต่ผู้เป็นพ่อของเขาเท่านั้น เด็กหนุ่มก้าวเท้าไปอย่างลืมตัว เขาอยากตรงเข้าไปกอดร่างที่นั่งอยู่ในตอนนี้เลย ระหว่างที่เขากำลังเดินเข้าไปนั้น อิทธิเดชก็ผุดลุกขึ้น
          “กลับกันเถอะครับ คุณวรุต”
          คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักเท้าทันที เขาเอ่ยทวนคำพูดนั้นอีกรอบ “กลับ?”
          หนุ่มหน้าสวยพยักหน้า “ครับ กลับออกไปด้านบนกันเถอะ”
          วรุตรู้สึกเหมือนมีรากงอกยืดขาเอาไว้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงพูดจากทางด้านหลัง
          “ท่านประธานบอกให้คุณกลับออกไปจากที่นี่โดยด่วนครับ” หนึ่งในผู้ติดตามที่พ่อของเขาสั่งให้มาด้วยเอ่ย วรุตสูดหายใจลึกเหมือนกำลังนึกตรองอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ… สุดท้ายก็ดีดผมออกหรือนี่”
เขาหันไปมองอิทธิเดช และยักไหล่ “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะตอบว่ายังไง?”
          อิทธิเดชมองหน้าวรุต เขาคิดว่าตัวเองรู้ แต่ก็เลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตรงข้าม “กลับกันเถอะนะ วิน”
   น้ำเสียงอ่อนโยน และรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากได้รูปที่ปรากฏขึ้นพร้อมคำพูดนั้น หากเป็นเมื่อก่อน วรุตคงจะเดินตามออกไปแล้ว แต่ทว่า....
         เด็กหนุ่มกำมือแน่นอย่างลืมตัว พร้อมขบริมฝีปาก หัวใจเต้นตึกๆ ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
อิทธิเดชไม่เคยเรียกชื่อเล่นของเขาแบบนี้เลย คนคนนี้แสดงท่าทางแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ทั้งรอยยิ้มและคำพูดนั่น จะเป็นเพราะคำสั่งพ่อของเขาหรือเปล่านะ บางทีทางนั้นคงจะสั่งมาว่าไม่ว่าวิธีการใดก็ต้องพาเขาออกไปจากที่นี่ให้ได้.....
แต่เล่นละครใส่กันแบบนี้มันก็เกินรับได้ไปหน่อย
          “ผมไม่ไป!” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเครียด จากนั้นก็ก้าวพรวดๆ ไปยังทางออกซึ่งเชื่อมลงไปด้านล่าง ผู้ติดตามสองคนคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันที
          “กรุณากลับออกไปเถอะครั…!!” ชายคนนั้นพูดไม่ทันจบประโยค ก็ต้องงอตัวด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกคนที่ตัวเองยึดแขนเอาไว้ เตะผ่าเข้าตรงกลางหว่างขาอย่างถนัดถนี่ ขณะที่อีกคนซึ่งกำลังจะขยับอ้อมไปจับจากอีกทางหนึ่งก็ถูกเอาหัวโขกอย่างแรง
   ปึ๊ก
   วรุตกะพริบตาปริบๆ “โอ้โห…มึนน่าดู” เด็กหนุ่มพูดเสียงแปร่ง ก่อนจะยกขาขึ้นถีบซ้ำเข้าไปอีกที ต่างคนต่างเซกันไปหลายก้าว ขณะที่วรุตกำลังพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไป อิทธิเดชก็วิ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็หันกลับมาหัวเราะใส่หน้าเขา
          “คุณนี่…ร้ายจริงๆ นะเนี่ย”
          คำพูดนั้นทำให้อิทธิเดชถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น วรุตรู้สึกถึงแรงบีบมหาศาลที่ท่อนแขนซึ่งถูกยึดอยู่ และเห็นบอดีการ์ดคนอื่นๆ กำลังตรงเข้ามา หากปล่อยเอาไว้แบบนั้น เขาก็คงต้องถูกพากลับขึ้นไป โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
          วรุตไม่อยากกลายเป็นแค่คนที่ไร้ความมาย คนที่ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
          “เฮ้อ......” เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ จากนั้นก็เบือนหน้าไปหาคนที่ยึดแขนของเขาเอาไว้ โดนไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ตรงเข้าประกบริมฝีปากได้รูปนั้นทันที
หนุ่มหน้าสวยเบิ่งตาค้างด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าวรุตจะกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ร่างบางพยายามจะผลักอีกฝ่ายออก ในขณะที่คนที่เหลือต่างหยุดขยับตัวเพราะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และมีเกิดกระอั่กกระอ่วนขึ้นมา
วรุตถอนริมฝีปากออก ขมวดคิ้วและยิ้มให้อิทธิเดชอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นก็อ้าปากเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็พลันหุบลงอย่างรวดเร็ว
ในจังหวะที่ทุกคนรวมถึงอิทธิเดชยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น วรุตก็สะบัดแขนออก และออกวิ่งตรงไปยังประตูอีกด้านหนึ่ง
“คุณวรุต!!”
———————————————–
          วรุตอยากจะหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่วิ่งอยู่ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าไล่มาที่ด้านหลัง พวกนั้นตามมาแล้ว และคงจะรวมถึงผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดชคนนั้นด้วย
ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาเห็นรอยยิ้มที่อิทธิเดชยิ้มให้พ่อของเขาเป็นครั้งแรก วรุตเคยอยากจะได้รอยยิ้มนั้นมาครอบครอง แต่ก็รู้ทันทีว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งดวงตาคู่งามและรอยยิ้มนั้น มีไว้เพื่อมองและมอบให้พ่อของเขาเท่านั้น
เขาเคยใช้สารพัดวิธีที่จะแย่งชิงสายตานั้นให้มาจับจ้องอยู่ที่เขา ต่อให้มันจะกลายเป็นสายตาแห่งความเคียดแค้นก็ตาม กระนั้นแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจได้ทั้งสายตา รวมถึงรอยยิ้มนั้นมาไว้ในครอบครอบได้เลย
วรุตจมปลักอยู่กับความกระหายต้องการจะครอบครอง โดยลืมเลือนความประทับใจครั้งแรกไม่แทบหมดสิ้น ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นอีก ซ้ำยังเป็นรอยยิ้มยิ้มให้เขาอีกด้วย นี่ถ้ามันเกิดขึ้นในสถานการณ์ปกติล่ะก็... เขาคงจะดีใจเป็นที่สุด
 แต่นี่ไม่ใช่..... อิทธิเดชยิ้มให้เขาแบบนั้นก็เพราะคำสั่งพ่อของเขาต่างหาก อาจจะคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วคงทำให้เขาติดกับได้ล่ะมั้ง
อา… ช่างโหดเหี้ยมเสียจริงนะ.... ถ้าหากต้องเห็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะการเสแสร้งล่ะก็ เขายอมถูกถ่มน้ำลายใส่ไปตลอดชีวิตดีกว่า อย่างน้อยมันก็มีความจริงใจอยู่บ้าง

          ทางเดินลงไปชั้นล่างซับซ้อนเอาเรื่อง วรุตไม่เคยลงมาในสถานที่นี้คนเดียว คราวหน้านี้เขามีคนนำทางนำชม แต่ตอนนี้คงไม่มีใครอาสามานำทางให้เขาแน่
เด็กหนุ่มวิ่งลงบันได ไม่มีเวลาพอให้คิดด้วยซ้ำว่าจะเลือกทางแยกไหน เขาตัดสินใจเลี้ยวขวา และพบว่าที่สุดปลายของระเบียงยังมีพนักงานอีกจำนวนหนึ่งกำลังกรูกันวิ่งเข้ามา คงได้รับคำสั่งไม่ต่างจากพวกที่วิ่งตามมาหรอก
วรุตมีเวลาให้คิดไม่นานนัก เขากำลังถูกขนาบสองด้าน และอีกไม่กี่วินาทีก็คงโดนจับและพาออกไปแน่ๆ เด็กหนุ่มเหลือบตามองออกไปนอกระเบียง ด้านล่างยังมีระเบียงอีกชั้นหนึ่ง แต่ก็สูงพอสมควร ถ้ากระโดดลงไปอาจจะขาหักหรือแย่กว่านั้นก็ได้
เขาควรจะปล่อยให้ตัวเองถูกลากออกไปดีไหม? มันดูปลอดภัยและไม่เจ็บตัวด้วย แต่เขาจะได้อะไรล่ะ? แล้วยังเหลืออะไรอีก? สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำให้ได้ มันจะหยุดอยู่แค่นี้หรือ?
เด็กหนุ่มขบริมฝีปาก วิ่งตรงไปยังราวระเบียง และกระโดดลงไปทั้งอย่างนั้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคนอยู่ที่นั่น
------------------------------------
          “วรุต!” อิทธิเดชตะโกนเรียกชื่อนั้นออกมา ก่อนจะวิ่งตรงไปยังระเบียงที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะกระโดดลงไปทันที หนุ่มหน้าสวยใจเต้นราวกับจะระเบิดออก เขาชะโงกหน้าลงไปด้านล่างทันที และรู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าฝ่ายนั่นจะได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคงจะยิ่งทำให้ทวีศักดิ์ทุกข์ใจมากขึ้น แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะโชคดีกว่าที่เขาคิด

          วรุตพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แรงกระแทกเมื่อครู่ทำเอากระดูกแทบหัก แม้จะเรียนรู้มาว่าการงอเข่าเป็นการลดแรงกระแทกด้วยการใช้จุดหมุน แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ง่ายอย่างที่ทฤษฏีว่าเลย เขาลงมาด้วยท่าก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่แค่สะโพกเคล็ดนิดหน่อย แต่ดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไรหักหรือบุบสลาย
เด็กหนุ่มไม่สนใจจะหันไปมองพวกที่อยู่ด้านบน เขารู้ดีว่าคนพวกนี้ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตัวเขาได้โดยไม่ต้องกระโดดตามลงมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพอพยุงตัวได้ เด็กหนุ่มจึงขยับตัว วิ่งตุบปัดตุบเป๋ออกไป เพื่อหนีให้ห่างพวกที่ไล่ตามเขาให้มากที่สุด
          ก็แค่ไม่อยากถูกส่งกลับออกไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง.... เท่านั้นแหละ...

          อิทธิเดชหันไปสั่งพวกที่เหลือให้ตามวรุตลงไป ส่วนตัวเขาเองก็วิ่งตามไปอีกทางหนึ่ง หนุ่มหน้าสวยเม้มปากอย่างครุ่นคิด เขารู้ว่าวรุตชอบทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่แบบนี้มันเรียกว่าเหนือความคาดหมายและเกินไปมากไปจริงๆ โชคยังดีที่เด็กนั่นไม่ได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ได้เห็นระเบิด และทำผู้ชายสวมแว่นคนนั้นหลุดมือไปแล้ว อิทธิเดชก็รายงานสิ่งที่เห็นให้ห้องควบคุมทราบ และถูกสั่งให้ขึ้นมาพบอย่างเร่งด่วน ณ ที่นั่น ทวีศักดิ์ยืนรออยู่แล้วด้วยท่าทางกระวนกระวายใจอย่างที่สุด
หลังจากสอบถามเรื่องระเบิดคร่าวๆ ชายคนนั้นก็เอ่ยปากขอร้องให้ช่วยพาลูกชายคนเดียวของเขากลับขึ้นไปด้านบน เพราะทวีศักดิ์รู้ดีว่า ด้วยนิสัยอย่างวรุต จะต้องไม่ยอมขึ้นไปตามคำสั่งง่ายๆ แน่
วินาทีนั้นอิทธิเดชรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะอยู่ข้างกายผู้ชายที่ชื่อว่าทวีศักดิ์ ผู้ชายที่เคยใจดี เคยมอบความอบอุ่นให้เขา แต่ในหัวใจและความคิดของทวีศักดิ์ให้ความสำคัญกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาเท่านั้น ลูกชายที่เกิดจากภรรยาเก่าซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
ทวีศักดิ์พูดถึงภรรยาของเขาน้อยมาก ไม่ใช่ว่าเขาลืมเธอ หรือเกลียดเธอ แต่การพูดถึงเธอยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด ครั้งเดียวที่ทวีศักดิ์พูดถึงหล่อนคือตอนที่มีอะไรกันคราวนั้น คำพูดที่เหมือนเปรยกับตัวเอง
          ฉันรักเธอ…
          คำพูดซึ่งอิทธิเดชเพิ่งมาเข้าใจในภายหลังว่า ทวีศักดิ์ไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับใครคนหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ภรรยาที่เสียชีวิตไป....
อิทธิเดชมีโอกาสได้เห็นรูปถ่ายของหล่อนครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ เขาเข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไมทวีศักดิ์จึงเอ่ยคำพูดนั้นออกมา หล่อนดูคล้ายเขาในหลายๆ ส่วน นี่คงเป็นสาเหตุที่ชายคนนั้นให้ความช่วยเหลือแก่เขา
อิทธิเดชไม่คิดว่าทวีศักดิ์จะจริงจังกับเขา ผู้ชายที่ใจดีคนนั้นคงทนความคิดถึงภรรยาที่รักของตัวเองไม่ไหวเท่านั้น แค่คืนเดียวที่เขาได้เป็นตัวแทนของหล่อน ถึงอย่างนั้นเขาก็รักผู้ชายคนนั้น แม้จะรู้ดีว่าความรักของเขาไม่มีความหมายอะไรกับผู้ชายคนนั้นเลย

          อิทธิเดชหอบหายใจ วรุตคงยังวิ่งได้ไม่เต็มที่นัก คงเพราะอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้น แต่ทางเชื่อมจากจุดที่เขาเพิ่งวิ่งออกมากับจุดที่วรุตกระโดดลงไปนั้น ค่อนข้างจะห่างกันพอสมควร ชายหนุ่มภาวนาให้มีใครสักคนหยุดเจ้าเด็กนั่นได้ ก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงไปกว่านี้
          รอยยิ้มของวรุตก่อนที่จะวิ่งหนีออกไป ยังติดอยู่ในความทรงจำของเขา
          รอยยิ้มเหนื่อยอ่อนแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่วรุตจะแสดงออกมาบ่อยนัก กรณีล่าสุดที่คล้ายๆ กันนี้คือตอนที่เด็กคนนั้นคืนรูปถ่ายแบล็กเมล์ให้เขา
          วรุตกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ……….
----------------------------------------------
          ความจริงแล้ววรุตไม่ได้คิดอะไรเลย และตอนนี้เขากำลังบอกตัวเองว่าควรจะเริ่มคิดได้แล้ว เด็กหนุ่มวิ่งกระโผลกกระเผลกไปตามทางเดินกว้างๆ ผ่านห้องหลายห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้เลย ถึงจะนึกสงสัยแต่วรุตรู้สึกโล่งใจมากกว่า เพราะถ้าขืนมีใครโผล่มาตอนนี้ เขาคงหนีไม่รอดแน่
เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยนอกจากรู้สึกเคล็ดๆ กับปวดขาหน่อยๆ จากการกระโดดลงมาจากที่สูงแบบนั้น ซึ่งขนาดในหนังยังต้องใช้เบาะรอง หรือใช้สลิงช่วยเลย ไอ้การที่เขาลงมาได้โดยที่ขาไม่หักนี่นับว่าปาฏิหาริย์จริงๆ ปัญหาคือแล้วเขาจะทำยังไงต่อไปจากนี้ จะติดต่ออารัตน์ให้บอกพ่อว่าเลิกคำสั่งบ้าๆ นี่เสียที ก็คงมีผลตรงข้าม ดีไม่ดีทางนั้นอาจจะหลอกเขาไปถูกจับอีกก็ได้ เหมือนที่อิทธิเดชพยายามทำไงล่ะ
          ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง หูของวรุตก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ครั้งแรกมันคล้ายเสียงประทัด และวินาทีต่อมาสมองของเขาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ว่ามันน่าจะเป็นเสียงปืน
เด็กหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวทันที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังอยู่ เพื่อหาว่ามันมาจากทิศทางไหนกันแน่ วรุตไม่รู้ว่านอกจากรูฟัสที่อยู่ในห้องเก็บเทซการิโพกาแล้ว ยังมีใครที่ถูกไล่ล่าอีก อาจจะเป็นผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลก็ได้ แสดงว่าก่อนหน้าเสียงระเบิดเมื่อครู่ คงมีการยิงปะทะกันมาก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นกลัว งั้นเป็นไปได้ไหมว่าจะมีระเบิดอีกหลายลูก ราฟาแอลและพวกคงจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำงานให้กับใคร รู้แค่จุดประสงค์ว่าต้องการทำลายการประชุมในคราวนี้เท่านั้น และนั่นเป็นสิ่งที่วรุตเห็นดีด้วยจึงยอมให้ร่วมมือ แต่ในตอนนี้เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าแผนล้มการประชุมนั้นมีระดับความรุนแรงขนาดไหน...

          เสียงปืนเงียบไปนานแล้ว แต่เด็กหนุ่มยังคงอยู่ห่างจากที่เดิมไม่มากนัก เขากำลังคิด.. กำลังคิดอย่างหนัก คิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปดี
          ทำอะไรซักอย่างเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปมากกว่านี้
—————————————-
          ทวีศักดิ์กำลังหัวเสียอย่างหนัก เขาพบว่านอกจากพวกสายลับที่กำลังก่อความวุ่นวายแล้ว ยังมีแขกอีกสองกลุ่มที่หายตัวไป คือพวกที่มาจากฮ่องกง
   กลุ่มของตระกูลเว่ยนั้น นอกจากพวกลูกน้องที่รออยู่ด้านบน ตัวผู้นำคือเว่ยจินหยินกลับหายตัวไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เป็นไปได้ว่าอาจจะฉวยโอกาสในช่วงที่เดินออกมาหลบไปที่ไหนสักแห่ง ส่วนเว่ยเฟิงปิงนั้นพอมาตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่าหายไปพร้อมลูกน้องและหน่วยพยาบาลที่เข้ามาช่วยเหลือ
   เป็นไปได้ไหมว่า สองคนนี้อาจจะถูกแก๊งคู่อริดักทำร้ายระหว่างทาง
   ท่าทีของตัวแทนจากริเวิลนั้นดูจะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลเว่ยอย่างเห็นได้ชัด และสองคนที่เป็นตัวแทนพร้อมลูกน้องคนสนิทก็หายตัวไปในเวลาไล่เลี่ยกัน เหลือเพียงลูกน้องอีกส่วนที่รออยู่ด้านบน
   บางทีนี่อาจจะเป็นการอาศัยจังหวะชุลมุนกำจัดศัตรูก็ได้
   ทวีศักดิ์ไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้วางแผนอะไรกันอยู่ แค่เรื่องสายลับที่แฝงตัวเข้ามาก็ปวดหัวพออยู่แล้ว ยังจะพ่วงการหายตัวไปของตัวแทนพวกนี้อีก
   เรื่องการปะทะกัน เขาก็คงพอจะหาข้อแก้ตัวบอกกับนายใหญ่ของทั้งสองกลุ่มได้หรอก แต่ถ้าสองกลุ่มนั้นเกิดร่วมมือกันเพื่อชิงยาไปจากเขาล่ะก็.....

   ชายวัยกลางคนกำลังยืนมองกล้องวงจรปิดและฟังรายงานจากพนักงาน เขาต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และพวกสายลับที่แอบเข้ามา ริเวิล และตระกูลเว่ยมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า
   งานประชุมพังพินาศไปแล้ว เพราะแผนการของใครบางคนที่ยังไม่รู้ว่าหวังผลอะไรกันแน่
   บ้าเอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย
   ทวีศักดิ์ตัดสินใจให้ลูกชายขึ้นไปส่งแขกกับบอดีการ์ดเพียงลำพัง ส่วนตัวเขาแยกมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง ตอนที่มาถึง พอดีกับที่อิทธิเดชรายงานเข้ามาว่าเกิดระเบิด หัวใจของทวีศักดิ์หล่นวูบ
   ระเบิด?!
   ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลมุ่งไปที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นทันที ทวีศักดิ์ไม่มีแก่ใจนึกจะสอบถามเรื่องสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์กับอิทธิเดชด้วยซ้ำ เขาออกคำสั่งให้ชายหนุ่มหน้าสวยขึ้นไปพบกับวรุต และจัดการให้ลูกชายของเขาคนนั้นกลับขึ้นไปด้านบนให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม
แม้จะไม่ได้มีเวลาอยู่กับวรุตบ่อยนัก แต่ทวีศักดิ์ก็รู้นิสัยผู้เป็นลูกดี วรุตนั้นเป็นเด็กที่หัวรั้นอย่างเงียบๆ ลองถ้าตกลงใจจะทำอะไรแล้ว การห้ามไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติทวีศักดิ์มักจะปล่อยเลยตามเลย เพราะวรุตไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงนักในสายตาของเขา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันเขาจำเป็นจะต้องทำทุกทางเพื่อพาลูกชายคนเดียวออกไปจากที่นี่ให้ได้ เพราะดูจากท่าทางแล้ว ลูกชายของเขาคนนั้นคงตั้งใจจะทำอะไรบางอย่างอยู่ๆ เขาจะไม่ยอมให้วรุตตกอยู่ในอันตรายแบบนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเกลี้ยกล่อมอย่างนุ่มนวล หรือการลงไม้ลงมือก็ตาม และอิทธิเดชก็ดูจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาเป็นอย่างดี เด็กคนนั้นไม่ถามอะไรให้ยุ่งยาก เขาทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และเดินออกไป ชายวัยห้าสิบเศษได้แต่ถอนหายใจอยู่ลึกๆ บางครั้งเขาก็นึกสงสารอิทธิเดช แต่ถ้าหากต้องเลือกระหว่างลูกชายกับเด็กคนนี้แล้ว เขาคงไม่ลังเล แม้อาจจะรู้สึกเสียใจหากมีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่รู้สึกผิดเด็ดขาด
          ขอเพียงให้วรุตมีอนาคตที่ดีที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาทำได้ทั้งนั้น....

          รัตน์รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และชี้ให้ผู้เป็นเจ้านายดูกล้องวงจรปิดในส่วนที่เกิดระเบิด แม้จะไม่เห็นทั้งหมด แต่เท่าที่พบมันค่อนข้างจะเสียหายมากพอสมควร ทวีศักดิ์ขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาจากไหน ทำงานให้ใคร และจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ควรหรือเปล่าที่จะเก็บเอาไว้ หรือฆ่าเสีย ขณะที่กำลังคิดว่าจะปรึกษากับรัตน์ เสียงวิทยุที่แทรกเข้ามาก็ทำให้หัวใจเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
   “ท่านประธานครับ คุณวรุตพยายามจะหนีครับ!”
          วรุตพยายามจะหนี?!
          ทวีศักดิ์เกือบจะร้องครางออกมา ทำไมลูกของเขาถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้นะ เขาจะไม่โกรธวรุตเลย ถ้าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของงานประชุมจำต้องเรียกกำลังจากส่วนอื่นกลับมาเพื่อตามหาลูกชายของเขา
พวกสายลับจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอให้เจอตัววรุตก่อนก็พอ
          ต่อให้ต้องจับเด็กคนนั้นมัดมือมัดเท้า ก็ต้องพาออกไปให้ได้
—————————————
          เป็นเรื่องน่าตกใจ แต่ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบสถานที่นี้เช่นกัน จริงๆ แล้ววรุตอยู่ไม่ห่างจากจุดที่พ่อเขาอยู่เลย เพียงแต่มันค่อนข้างจะหลบเหลี่ยมมุมกันอยู่จนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เด็กหนุ่มยังคงยืนขบคิดอยู่ที่เดิม เพียงแต่ตอนนี้เพิ่มคนมาช่วยเขาคิดอีกสองคน
          กระบอกปืนของราฟาแอลกำลังจ่อหลังเขาอยู่
          เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งจะลั่นกระสุนไปหมาดๆ เพราะปากกระบอกปืนยังอุ่นอยู่จนรู้สึกได้ ถ้าอย่างนั้นเสียงปืนที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้คงมาจากผู้ชายคนนี้จริงๆ
ราฟาแอลมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งวรุตรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนสักแห่ง แต่คงไม่ใช่ที่ห้องของฟ่ง อาจจะเป็นที่นี่ก็ได้ เด็กหนุ่มยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก
เหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ เขากำลังยืนตั้งสติอยู่ แล้วจู่ๆ ปืนกระบอกนี้ก็จ่อมาที่หลัง พร้อมกับน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่ทำให้ชวนขนลุก ซึ่งแม้ได้ยินเพียงไม่กี่ครั้ง แต่วรุตจำได้ดีเลยทีเดียว
          “เยี่ยม.. ไม่คิดเลยจะเจอตัวเธอที่นี่ เอาล่ะ คุณวรุต ไหนบอกซิว่าเธอวางแผนอะไรอยู่?” ราฟาแอลกล่าวพร้อมกันขยับกระบอกปืนกระแทกเข้ากับหลังของเขาครั้งหนึ่ง วรุตกลืนน้ำลายเฮือก ท่าทางคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะไอ้สถานการณ์เลวร้ายที่ว่า มาเร็วกว่าที่คิด แถมยังมาเจอเขาก่อนเป็นอันดับแรก เขาจำต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ผู้ชายคนนี้ฟัง แต่ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าหมอนี่จะเชื่อหรือเปล่า
          “ผมถูกบังคับให้มาที่นี่” เด็กหนุ่มเอ่ย และต้องสะดุ้งเมื่อปากกระบอกปืนกระแทกเข้ากับหลังของเขาอีกครั้ง
          “อย่ามาโกหกไร้สาระน่า! ไหนบอกซิ แกขายพวกเราใช่ไหม?” ราฟาแอลเค้นเสียงอย่างเอาเรื่อง พลางขยับปื่นในมือให้ชิดขึ้นอีก
          “ตอบมา! อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงนะ มีวิธีอีกตั้งหลายวิธีให้แกพูดความจริง ยิงให้นิ้วมือนิ้วเท้ากระจุยสักสองสามนิ้ว แกคงไม่ตายหรอก”
          “ผมไม่ได้โกหกนะ ฟ่งบังคับให้ผมพาเขาเข้ามาในนี้” วรุตตอบออกไป เขาไม่อยากทดลองสิ่งที่ราฟาแอลพูดถึง เด็กหนุ่มแทบจะมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้กล้าทำอย่างที่พูด แต่เขาไม่มีคำตอบอื่นนอกจากความจริงที่เป็นอยู่
          คิ้วสีบลอนด์ของราฟาแอลขมวดเข้าหากัน
ฟ่ง? เด็กนั่นอีกแล้วรึ?
          “ฟ่งจะให้นายพาเข้ามาในนี้ทำไม?” ผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตถามต่อ วรุตกลืนน้ำลายเฮือก เขาอยากให้ราฟาแอลเอาปืนไปให้พ้นๆ หลังเขาก่อน แต่ถ้าขืนพูดออกไปคงถูกกระแทกกับปากกระบอกปืนซ้ำอีกแน่ๆ
          “เขาไม่ได้บอก แต่ผมเดาว่า เขาคงอยากมาหาแฟนเขาน่ะ”
          “หรือไม่ก็มาขายพวกเรา” ราฟาแอลต่อประโยคให้ วรุตเถียงออกไปทันที
          “ไม่มีทาง! เขาไม่พูดอะไรเกี่ยวกับพวกคุณด้วยซ้ำ เขามาที่นี่ด้วยความคิดบ้าๆ คงคิดว่าจะช่วยแฟนเขาได้”
          “อ้อ…. แล้วนายที่พาเขามาล่ะ บ้าพอกันหรือไง? นายปล่อยให้คนแบบนั้นขู่ได้ยังไงน่ะ?” ราฟาแอลกระชากเสียงถาม ท่าทางจะไม่ยอมเชื่อจริงๆ วรุตถอนหายใจ
          “ผมจะอธิบายให้คุณเชื่อได้ยังไง เขาใช้มีดขู่ผม ติดต่อกับคนของพ่อผม คุณเข้าใจไหม ถ้าผมไม่ยอมทำตาม เขาจะมาตายเอง!”
          ราฟาแอลชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ยังคงค้างปืนเอาไว้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
          “เอาเหอะ ไว้หาตัวเจอค่อยเค้นเอาทีหลังก็ได้” เขาพูด และเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ความจริงนายอยู่ที่นี่ก็ดี ฉันกำลังนึกรำคาญไอ้พวกลูกกระจ๊อกของพ่อนายอยู่ มันทำให้ฉันถอนตัวไม่สะดวก รู้ใช่ไหมคุณวรุต พวกฉันมาแค่ขโมยของ กับล้มการประชุมนี่ แต่ดูเหมือนพ่อนายจะเอาเรื่องพวกฉันน่าดู และฉันก็ขี้เกียจจะทำระเบิดตูมตามอีก เพราะอย่างนั้นนะ นายเองช่วยทำให้ตัวให้มีประโยชน์หน่อยแล้วกัน”
          “โอเคๆ” วรุตพูดเร็วปรื๋อ รู้ทันทีว่าราฟาแอลกำลังจะใช้แผนสำรองอย่างที่เคยพูดเอาไว้
แผนตัวประกัน
          “งั้นคงถึงเวลาที่ฉันจะถอนตัวจริงๆ แล้วล่ะ ลูกชายนายจ้างถูกจับแบบนี้ ขืนอยู่กับคุณฉันคงหมดข้ออ้าง” แคลร์ที่ยืนเงียบอยู่นานกล่าวขึ้น ราฟาแอลยิ้มแห้งๆ
          “ผมดีใจที่ได้ยินคุณพูดแบบนั้นนะแคลร์ หวังว่าคุณจะหาข้ออ้างดีๆ ได้”
          หญิงสาวยักไหล่ “ห่วงตัวเองเถอะ ออกไปให้ได้ก็แล้วกัน ดูแลตัวประกันนั่นดีๆ ด้วยล่ะ”  หล่อนกล่าว และเดินหายเข้าไปในซอกกำแพงซึ่งอยู่ไม่ไกล ราฟาแอลยักไหล่ ภาวนาไม่ให้เจ้าหล่อนแว้งกลับมาเล่นงานเขาทีเผลออีก
อืม.. บางทีผู้หญิงก็ใช่ว่าจะทำอย่างที่ปากพูดเสมอไปหรอก และบางทีก็ทำในสิ่งที่ไม่ยอมพูด
ให้ตายสิ...........
——————————————-
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่62 p11 13/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 14-11-2011 16:40:33
          รัสเลอร์กำลังจะเก็บฉากบังตาของเขา ในตอนที่เสียงฝีเท้าดังขึ้น เส้นประสาททุกเส้นของเขาเขม็งเกร็ง มันต้องไม่ใช่เสียงฝีเท้าของราฟาแอลแน่ๆ เพราะมีมากมายหลายคู่จนขนาดคนที่ไม่ถูกฝึกมาอย่างเขายังฟังออก หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแน่ใจว่าในประดานี้ไม่มีเพื่อนของเขาแน่นอน เพราะถ้าราฟาแอลอยู่ในก๊วนนี้ด้วยคงส่งเสียงมาแล้ว หมายความว่าที่กำลังวิ่งเข้ามานี่คือฝ่ายตรงข้ามงั้นรึ!?
          “เวรตะไล…ราฟี่เอ๊ยราฟี่” รัสเลอร์พึมพำ เขาไม่ชอบเลยเวลาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะยอมรับว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่องเรื่องเทคโนโลยีก็เถอะ แต่ในด้านการออกแรงและใช้กำลังนี่ รัสเลอร์แทบจะยกธงขาวตั้งแต่ยกแรก ปัญหาคือที่นี่ไม่ใช่เวทีมวย ที่โยนผ้าขาวแล้วกรรมการจะยุติการชก และก็ไม่ใช่การถูกพบครั้งแรกในงานทำงานภาคสนามของเขาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเตรียมการมาแล้วในระดับหนึ่ง หวังว่าเพื่อนของเขาจะมาทันเวลา
          หน่วยภาคสนามในชุดเครื่องแบบสีขาวราวๆ สี่ห้าคน ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาอย่างระมัดระวังในบริเวณสถานที่ทิ้งขยะ ต่อให้โง่ขนาดไหนก็ต้องดูออกว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้คงไม่ได้ถูกใช้ให้มาเก็บขยะหรือกวาดหยากไย่แน่ๆ ไอ้ปืนพกสีดำที่อยู่ในมือของแต่ละคนนี่คงไม่ได้มีไว้ใช้ยิงนกยิงหนูหรอก
รัสเลอร์นึกดีใจที่เขายังไม่เก็บฉากบังตา ถึงปืนจะเป็นอาวุธที่ถือว่ามีมานาน แต่มันก็ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าอาวุธชนิดไหน เขาไม่อยากเสี่ยงเผชิญหน้ากับมฤตยูลูกตะกั่วนี้แบบตัวต่อตัว งานแบบนั้นให้ราฟาแอลทำไปคนเดียวก็แล้วกัน
          รัสเลอร์แอบมองพวกที่เข้ามาใหม่ผ่านช่องเปิดเล็กๆ หลังฉาก พวกนั้นดูจะได้รับคำบอกเล่าว่าเขาอยู่ที่นี่ เพราะไม่ใช่แค่แวะมาดูแต่ถึงกับเดินเข้ามาสำรวจด้านใน ชายหนุ่มพยายามหายใจให้เบาที่สุด ท่าทางเขาจะต้องหยุดคนพวกนี้ก่อนจะเดินลึกเข้ามามากกว่านี้ ถึงฉากที่ใช้อยู่จะสามารถพรางได้ในระยะไกล แต่หากเข้ามาใกล้ๆ ก็คงเห็นว่าเป็นฉากเหมือนกัน รัสเลอร์จับจ้องก้าวย่างของคนพวกนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
          ห้าก้าว สี่ก้าว สามก้าว สองก้าว…หนึ่งเก้า
          แสงแว้บสีน้ำเงินขาวของกระแสไฟฟ้ากำลังสูง และเสียงอิเล็กตรอนที่วิ่งชนกันนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นราวกับกลุ่มแมลงที่กำลังกระพือปีกหึ่งๆ ในรัศมีสามคูณห้าตารางเมตรบริเวณที่กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดขาวกำลังก้าวผ่าน ปรากฏคลื่นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นชั่วเสี้ยววินาที แล้วคนทั้งหมดก็ล้มโครมลงเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือก
รัสเลอร์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก กำรีโมทคอนโทรลรูปร่างแปลกๆ ในมือ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เขาไม่สามารถหาจังหวะแสดงให้พวกราฟาแอลชมได้ เพราะต้องใช้เวลาติดตั้ง นี่คือเครื่องยิงกระแสไฟฟ้าพลังงานสูงที่สามารถล้มช้างได้ รัสเลอร์คิดว่ามันคงไม่ทำให้พวกที่โดนถึงกับชีวิตหรอก เพราะเขาปรับลดโวล์ของมันลงมาแล้ว แต่ถ้าตายก็ถือว่าอุทิศชีวิตเพื่อการทดลองก็แล้วกัน เขาคิดว่าสิ่งประดิษฐ์นี้น่าจะมีประโยชน์มหาศาลกับพวกสายลับ เพราะมันสามารถใช้หยุดคนจำนวนมากได้ ปัญหาของมันนอกจากเสียเวลาในการติดตั้งแล้วก็มีอีกแค่ปัญหาเดียวเท่านั้น คือมันสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้แค่ครั้งเดียว ต่อการชาร์ตไฟหนึ่งครั้ง รัสเลอร์พอจะจินตนาการออกว่าราฟาแอลกับรูฟัสจะด่าเขาว่ายังไงถ้าขืนนำเสนอของที่มีข้อจำกัดแบบนี้ออกไป เสียดายที่หนึ่งในนั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาด่าเขาอีก
          ขณะที่รัสเลอร์กำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้มีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม ถึงจะบอกจำนวนแน่ชัดไม่ได้ แต่คงมากกว่าเมื่อครู่เกินสองเท่าแน่ๆ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสะดุ้งโหยง นึกเสียดายไอ้เครื่องช็อตไฟฟ้าเมื่อครู่ เขาคุ้ยของในกระเป๋าออกมา
            เอาว่ะ.. หวังว่าราฟี่จะมาทันได้เห็นตอนที่เขายังสามารถใช้ของพวกนี้ก็แล้วกัน
————————————————
          อิทธิเดชกำลังยืนตะลึง เขาพบตัวคนที่ต้องการตัวมากที่สุดแล้ว คนที่ต้องการตัวมากที่สุดถึงสองคน
          วรุต และ…. ชาวต่างชาติผมสีบลอนด์คนนั้น

          ราฟาแอลคิดว่าเขาคงต้องหาหมวกคลุมหน้าที่ยาวกว่านี้ ไม่ก็ตัดผมเสีย อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะต่อให้ปิดหน้าจนเหลือแต่ตา ไอ้ผมสีบลอนด์ของเขามันก็ยังแพลมออกมาให้เห็นอยู่ดี เอาเถอะ ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีไอ้บ้าปกติคนไหนมันปิดหน้าปิดตาแบบนี้หรอก เรื่องผมที่ยาวเลยออกมาก็ยกไปก่อนแล้วกัน
อดีตหน่วยสืบราชการลับของฮังการียักไหล่ กวาดตามองบรรดาพวกลิ่วล้อทั้งหลายที่ยืนล้อมเขาอยู่ ให้ตายสิ จะบอกว่าดีหรือไม่ดีกันล่ะเนี่ย ดูท่าพวกนี้ตั้งใจจะมาตามหาตัวเจ้าเด็กที่ถูกเขาจับอยู่เสียมากกว่า ถ้าไม่สงสัยแม่แคลร์ตัวดี ก็คงต้องเดาว่าเด็กนี่ต้องผละจากเจ้าพวกนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ถูกเจอตัวเร็วขนาดนี้
          “Stop! And release him!” ใครคนหนึ่งที่รู้สึกตัวเร็วที่สุดตะโกนขึ้น เสียงนั่นดึงอิทธิเดชกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เขาขยับตัว ยกปืนในมือเล็งไปยังฝ่ายตรงข้าม เหมือนคนอื่นๆ ราฟาแอลยักไหล่อีกรอบ
          “Well… Do you know who you ask?” หนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว และยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
          “Do you want him alive? If you do, let’s we go easy.”
          เขากระชากตัวของวรุตเข้ามา และเอาปืนจี้ที่ขมับ เด็กหนุ่มนึกดีใจที่ปืนของราฟาแอลเย็นลงแล้ว ไม่งั้นขมับเขาคงไหม้ไปแล้ว เมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครยอมขยับ หนุ่มผมบลอนด์จึงกล่าวต่อ “Or…. You want him die? PUT THE GUNS DOWN!!”
          วรุตรู้สึกว่าราฟาแอลคงไม่ได้เพิ่งจับเขาเป็นตัวประกันคนแรกแน่ๆ ท่าทางเจ้าหมอนี่จะชำนาญการเรื่องนี้ เด็กหนุ่มกวาดตามองบรรดาลูกน้องของผู้เป็นบิดาที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ท่าทางคงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ราฟาแอลรีบขู่สำทับ
          “NOW!!”
          เด็กหนุ่มได้ยินเสียงกริ๊กที่ข้างหู ตกลงหมอนี่แค่ขู่หรือจะเอาจริงกันแน่นะเนี่ย เขาเพิ่งเคยตกเป็นตัวประกันครั้งแรก แม้ตอนแรกจะคิดว่ามันเป็นการสมยอม แต่ในเวลานี้ชักเริ่มรู้สึกขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่ามันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้

          คนทั้งหมดตัดสินใจวางปืนแทบจะพร้อมกัน หนุ่มผมบลอนด์ขยับปืนในมือ และดันตัวประกันของเขาให้ก้าวออกไป
          “Good, then….move out of here, too fast!! GO!!”   
——————————————
          “เราจะไปไหนกัน?” วรุตเอ่ยถามผู้ชายที่กำลังพาเขาวิ่งอยู่ พลางหอบหายใจ ทั้งคู่วิ่งมาแบบนี้ได้สักพักหนึ่งแล้ว หลังจากที่ฝ่าวงล้อมของพวกอิทธิเดชมาได้ และตอนนี้วรุตกำลังรู้สึกว่าเขาหายใจไม่ทัน
          “ออกไปจากที่นี่น่ะสิ” ราฟาแอลตอบ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายขาดเป็นห้วงๆ ให้ตายสิ เจ้าพวกนี้ไม่เคยออกกำลังกายกันเลยหรือไงนะ จะปล่อยทิ้งเอาไว้ หรือว่าลากไปต่อดี
          วรุตรู้สึกตกใจกับคำตอบของราฟาแอล แต่จนใจจะอ้าปากเถียง เพราะแค่หายใจให้ทันอย่างเดียวก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ราฟาแอลก็ชะลอฝีเท้า เด็กหนุ่มจึงถือโอกาสถามขึ้น “ผมคิดว่าคุณจะไปช่วยเพื่อนซะอีก?”
          ราฟาแอลหันมาจุ๊ปาก และกระซิบ “ชู่ว...มีคนตามเรามา”
          วรุตขมวดคิ้วอย่างสงสัย และมองตามสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบอะไร
          “ไม่เห็นมีใครเลย” เขาว่า ราฟาแอลไม่ตอบ แต่กลับดึงตัววรุตเข้ามาใกล้ และใช้ปืนจ่อบริเวณศีรษะ
          “ออกมา ไม่งั้นฉันยิงเจ้าหมอนี่ทิ้งแน่!!” หนุ่มผมบลอนด์กระชากเสียง วรุตรู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกลงราฟาแอลเชื่อว่ามีคนตามมาจริงๆ หรือ แต่เขาไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนี่นา แล้วจู่ๆ ร่างคุ้นตาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากหลังกำแพงซึ่งพวกเขาเพิ่งผ่านมาไม่นาน
          อิทธิเดช!!
          วรุตเบิ่งตาค้าง เขาไม่คิดว่าคนที่ตามมาจะเป็นผู้ชายคนนี้ อิทธิเดชก้าวออกมา และชูมือขึ้นเหนือศีรษะ “ผมไม่มีอาวุธ”
          ราฟาแอลขมวดคิ้ว พึมพำออกไป “ผู้ชายรึนี่?”
          จากสภาพร่างกายที่เห็น ถ้าไม่พูดออกมาเขาคงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆ หนุ่มผมบลอนด์กวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ ดูจากเสื้อผ้า หมอนี่คงเป็นคนของที่นี่ งั้นที่พูดว่าไม่มีอาวุธก็คงไม่น่าเชื่อเท่าไหร่
          “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!”
          อิทธิเดชหยุดการเคลื่อนไหว และเอ่ยปากขึ้นอีก “ผมมาขอตัวประกันคืน”
          ราฟาแอลขยับปืนจากศีรษะของวรุตไปยังร่างของอิทธิเดชแทนทำตอบ หนุ่มหน้าสวยจึงพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นก็พาผมไปด้วย”
          สองหนุ่มชะงักค้างไปพร้อมกัน อิทธิเดชพูดจบก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา “ผมต้องดูแลเขา”
          วรุตสั่นศีรษะทันที เขาตะโกนออกไป “อย่าเข้ามา!”
          ขณะที่กำลังจ้องหน้าอยู่กับอีกฝ่าย ราฟาแอลขยับตัวหน่อยหนึ่ง วรุตรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงเฉี่ยวหน้าไป ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดของลูกตะกั่วที่ข้างตัว ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับร่างที่หล่นลงจากระเบียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
          “พวกสไนเปอร์!”  ราฟาแอลพึมพำแทรกขึ้นมาหลังเสียงลูกกระสุน เกือบหลงกลยืนเป็นเป้านิ่งเสียแล้ว ดีที่ตัวเขาเองก็เคยทำเรื่องทำนองนี้มาก่อน พวกเดียวกันมันก็รู้สเต็ปกันนั่นแหละ
          ขณะที่วรุตกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อิทธิเดชก็กระโจนพรวดเข้ามา มันเกิดขึ้นในจังหวะที่เสียงปืนก่อนหน้านี้ยังไม่เงียบลงด้วยซ้ำ แต่ปืนของราฟาแอลเร็วกว่านั้น เขาขยับมันมายังผู้ที่พุ่งเข้ามาราวกับคำนวณไว้ก่อนแล้ว วรุตไม่ทันแม้แต่จะอ้าปาก เขายกมือขึ้นเพื่อจะคว้าแขนของราฟาแอลเอาไว้
          ปัง!

          สำหรับวรุตมันเป็นเหมือนภาพช้า เขาเห็นควันจากกระบอกปืนลอยผ่านหน้า เสียงปืนที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในแก้วหู แรงผลักของราฟาแอลที่ตอบโต้การกระทำของเขา และเมื่อหันหน้าไป ร่างที่คุ้นตากำลังทรุดฮวบลงบนพื้น เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเพื่อพยายามจะคว้าร่างของอิทธิเดชเอาไว้ โดยที่ตัวเองก็เสียหลักจากแรงผลัก จังหวะนั้นเขาเห็นกระบอกปืนของราฟาแอลหันเข้ามา นัยน์ตาสีเขียวมรกตนั้นดูราวกับนัยน์ตาของสัตว์นักล่า นิ้วชี้นั้นกำลังจะเหนี่ยวไก แต่แล้วมันกลับเบี่ยงไปทางอื่น
          ปัง! ปัง!
          ชายสองคนที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับกระบอกปืนที่พร้อมเหนี่ยวไกในมือล้มลง ราฟาแอลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาจำเป็นต้องหนีก่อนจะโดนล้อมมากไปกว่านี้  กระบอกโลหะรูปทรงคุ้นตาที่ขว้างออกไปแล้วสองหนก่อนหน้านี้ถูกล้วงขึ้นมา และโดยไม่ต้องรอให้มีใครสั่งห้าม ราฟาแอลดึงสลักออก ขว้างมันออกไป
          ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากกระบอกโลหะ ฟุ้งกระจายปิดบังทัศนะวิสัยราวๆ สี่ถึงห้าตารางเมตรในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว  และนานพอที่จะทำให้คนที่ขว้างมันมีเวลาหลบออกไปจากจุดอันตรายนี้
          วรุตกอดร่างของอิทธิเดชแน่น เม้มริมฝีปาก ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
—————————————–
          ฟ่งพูดไม่ออก เขาเกือบจะหยุดหายใจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หอบแฮ่กๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันทีที่บานประตูของห้องทั้งสองบรรจบกัน คือสภาพที่เรียกได้ว่าเละเทะอย่างที่สุด ตู้กระจกแตกหักล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นที่เกลื่อนไปด้วยเศษแก้วและชิ้นส่วนโลหะ ตู้หลายตู้แตกละเอียด มีบางตู้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสภาพที่พอมองออกว่าครั้งหนึ่งเคยมีรูปลักษณ์อย่างใดมาก่อน แต่ของด้านในนั้นแตกเสียหายหมดแล้ว ตู้ใบที่ดูจะสภาพดีที่สุดวางขวางไว้ตรงหน้าประตู โดยมีร่างของชายสวมหน้ากากกันแก๊สในชุดกาวน์คนหนึ่งนั่งพิงอยู่
แว้บแรกที่เห็นฟ่งคิดว่าเป็นรูฟัส แต่พอเพ่งให้ชัดจึงรู้ว่าเป็นคนอื่น ถึงไม่เห็นหน้าแต่ผู้ชายคนนี้อายุเยอะแล้วแน่นอน ดูจากกล้ามเนื้อเหี่ยวแห้งและเส้นเอ็นบนฝ่ามือที่ปูดโปนออกมา
แม้จะสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่สิ่งที่ฟ่งกังวลกว่าคือ รูฟัสจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า ชายหนุ่มพยายามกวาดตามองฝ่าเศษซากปรักหักพังของห้อง เขาไม่กล้าที่จะข้ามตู้กระจกแตกๆ ที่ขวางอยู่เข้าไป ด้วยกลัวว่าจะถูกเศษกระจกพวกนั้นบาด
ฟ่งกำลังชั่งใจว่าเขาสมควรตะโกนเรียกรูฟัสหรือเปล่า เสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องกลไกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหนักใจ เขาหันกลับไปมองด้านหลังอย่างวิตก ห้องอีกห้องกำลังจะเคลื่อนมาแล้ว เขามีเวลาอีกไม่มาก
ฟ่งขบริมฝีปาก เขาตัดสินใจวิ่งไปที่แผงควบคุม กดปุ่มลงไปหลายปุ่ม รูฟัสคงไม่ได้อยู่ที่นี่ และเขาเองไม่สามารถเสี่ยงให้ห้องอีกห้องเคลื่อนมาบรรจบกันได้ ฟ่งไม่แน่ใจว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวที่สะพายปืน ท่าทางขึงขังเหมือนทหารที่วิ่งไล่หลังมา จะมีปฏิกิริยายังไงกับเขาที่ชิงตัดหน้าเข้ามาที่นี่ก่อน ลำพังแค่เสียงตะโกนใส่ในช่วงที่เขากำลังวิ่งเข้าไปในห้องและกดปุ่มพวกนั้น กับลูกตะกั่วสองสามลูกที่ยิงเข้ามา ก็ทำให้ฟ่งตกลงใจว่า จะไม่ยอมเสี่ยงเด็ดขาด เขาอยากกลับออกไปพร้อมกับรูฟัส ไม่ใช่ตายอยู่ที่นี่
          ร่างบางสูดหายใจลึก พยายามข่มตัวเองไม่ให้สติแตก แม้เขาจะไม่ได้ยินเสียงปืนแล้ว แต่การถูกยิงใส่นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเอาเสียเลย จนถึงตอนนี้ฟ่งยังคงพบว่าตัวเองขาสั่น เขาถูกยิงใส่ก่อนหน้านี้ แล้วก็มาโดนไล่ยิงอีก นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่เข้ามาในที่แบบนี้
ฟ่งรีบปฏิเสธความคิดนี้ทันที นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจแล้ว และทำใจเอาไว้แล้วว่าอาจจะเจอเรื่องแบบนี้ ก็แค่ตกใจเพราะยังไม่เคยอยู่ในสถานการณ์จริงมาก่อนเท่านั้นแหละ
หนุ่มสวมแว่นพยายามลำดับความคิดระหว่างที่ห้องกำลังเคลื่อนออก ในเมื่อรูฟัสไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แปลว่าเขาอาจจะออกไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้เลยแต่แรกก็ได้ ถ้าอย่างนั้นรูฟัสอยู่ที่ไหน?
ฟ่งพยายามคิดถึงสถานที่ที่รูฟัสจะไป ยังมีห้องเก็บเอกสารอีกห้อง บางทีรูฟัสอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้ หรือบางทีอาจจะหนีลงไปแล้ว ฟ่งคิดว่าราฟาแอลคงไม่แค่วิ่งไปวิ่งมาเฉยๆ แน่ ผู้ชายผมสีบลอนด์คนนั้นอาจจะแยกกับรูฟัสไปที่ห้องเอกสารก็ได้ แล้วรูฟัสคงจะมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นตู้พวกนั้นคงไม่แตกกระจาย พวกเขาอาจจะทำภารกิจเสร็จแล้ว และกำลังจะออกจากที่นี่
ฟ่งสูดหายใจลึก เขาคงต้องหลบให้พ้นจากพวกที่ถือปืนนั้นก่อน แล้วค่อยกลับไปตั้งต้นใหม่ เขาอาจจะกลับไปหาวรุต หาทางเช็กข้อมูลต่างๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป และคงต้องเตรียมข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องที่หายออกมาและเรื่องที่เข้ามาในห้องนี้
ฟ่งเชื่อว่าวรุตจะต้องช่วยเขา
          ความคิดของฟ่งชะงักเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ท้ายทอย บางสิ่งที่แข็งและเย็นเยียบ
บางสิ่งบางอย่างที่น่าจะเรียกว่าปืน
          “Who you are?” เสียงที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นหูถามขึ้น ฟ่งควรจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้ แต่น้ำเสียงเย็นเยียบพอๆ กับปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่ ทำให้หนุ่มสวมแว่นเกือบจะคิดว่าเขาจำคนผิด ฟ่งเรียกชื่อนั้นออกไป
          “รูฟัส?”
          “Shut up! And answer me, who you are?” เสียงตะคอกอย่างเย็นชานั่นทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขาอยากจะหันกลับไปหาผู้ที่อยู่ด้านหลัง แต่ปืนที่จ่อท้ายทอยเขาอยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้น
          “ผม..ฟ่งไง” ร่างบางตอบ รู้สึกขมไปทั้งปาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องพูดประโยคแบบนี้กับชายคนนี้ รูฟัสจำเขาไม่ได้ หรือคิดว่าเขาคือคนอื่นกันแน่นะ?
          “I don’t want to know that. Say! Who you are, why you here, what do you want?!”
           อีกฝ่ายกระชากเสียง ฟ่งสะดุ้งอีกครั้งเมื่อปากกระบอกปืนกระแทกใส่ต้นคอของเขาอย่างข่มขู่ ร่างบางพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดเข้าไปในลำคอ “พะ…พูดกับผมดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
          ฟ่งเคยเห็นรูฟัสโกรธมาแล้ว ในตอนที่ไปช่วยเขาที่ฮ่องกง ตอนนั้นรูฟัสก็ไม่ยอมพูดภาษาไทยกับเขา แต่สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะแย่กว่านั้น นอกจากรูฟัสจะไม่พูดจาดีด้วยแล้ว ยังใช้ปืนขู่อีกด้วย หรือว่าระแวงเขา
          “ผมมาช่วยคุณนะ” ร่างบางละล่ำละลักออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นมา
          “Help? Help me? Don’t be kidding like that. Tell the true, who you are, what you want?”
          “ผมพูดจริงๆ” ฟ่งคราง นี่รูฟัสคิดว่าเขาเป็นสายลับหรือไง ถึงเขาจะใส่เสื้อผ้าของที่นี่ก็เถอะ นี่ไม่คิดจะไว้ใจกันบ้างเลยหรือ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นต่อ “Well, if you  say so. Take that cloth off!’
          ฟ่งเบิ่งตาค้างอย่างตกใจ นี่รูฟัสจะให้เขาถอดเสื้อออกตอนนี้? เขาโวยวายขึ้นทันที “คุณจะบ้าเหรอ!! จะให้ผมถอดตอนนี้เนี่ยนะ?”
          “If you didn’t hide something, take it off! Or want me does?” เสียงที่เย็นชาเหมือนเดิมกล่าว และกระตุ้นเข้าด้วยการกระแทกปืนอีกครั้ง ฟ่งขมวดคิ้ว และขบริมฝีปาก นี่คือสิ่งที่เขาได้รับหลังจากเสี่ยงตายกับลูกปืนพวกนั้นหรือ ร่างบางค่อยๆ ยกมือที่สั่นเทาแกะกระดุมเสื้อออก
          “ผมแกะเครื่องติดตามออกไปแล้ว” ฟ่งกล่าว เมื่อรูฟัสดึงเสื้อผ้าที่กองอยู่ที่ปลายขาเขาออก ร่างบางสยิวกายที่ไร้เสื้อผ้าปกคลุมเหลือเพียงชั้นในตัวเดียวด้วยความหนาวเหน็บ แต่อากาศที่สัมผัสร่างกายคงไม่หนาวเย็นเท่าน้ำเสียงที่พูดคุยกับเขาผ่านกระบอกปืนที่อยู่ตรงท้ายทอย
          “I will check that later, turn to the wall!”
          ฟ่งเกือบจะร้องออกมาเมื่อรูฟัสออกแรงผลักตัวเขาเข้าหาผนังห้องซึ่งอยู่ใกล้ๆ ผิวโลหะเย็นเยียบสัมผัสกับแขนของเขาโดยยังคงมีปืนกระบอกนั้นจออยู่ที่ท้ายทอย เขารู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายและเสียงพูดเย็นชาที่เสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท
          “You have something in your hole?”
          ร่างบางอ้าปากค้าง อยากจะหันไปตบรูฟัสสักฉาด แต่จนใจที่สภาพเขาในตอนนี้คงไม่สามารถทำได้ จึงเถียงออกไป “คุณจะบ้าไปใหญ่แล้ว ผมจะเอาอะไรซ่อนไว้ตรงนั้น!!”
          “Let’s check” อีกฝ่ายกล่าว ฟ่งสะดุ้งเฮือก เมื่อมือถูกรวบไว้เหนือศีรษะ กางเกงชั้นในของเขาถูกดึงต่ำลงไปจนพ้นจากส่วนที่มันเคยอยู่ ร่างบางหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธทั้งอาย และก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อช่องเปิดตรงสะโพกถูกนิ้วมือของอีกฝ่ายบุกรุกเข้าไปอย่างหยาบคาย
          “ถ้าระแวงผมมากขนาดนี้ก็มัดผมไว้เลยสิ!!” ฟ่งโพล่งออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่รูฟัสดึงนิ้วออกไปแล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงๆ หมอนี่ใช้อะไรคิดถึงนึกว่าเขาจะซ่อนอะไรไว้ตรงนั้น นี่ถ้าเป็นตอนปกติเขาต้องคิดว่ารูฟัสหาข้ออ้างลวนลามแน่ๆ แต่ตอนนี้ดูท่าอีกฝ่ายคงคิดแบบนั้นจริงๆ
          “You right”
          ฟ่งตาเหลือกเมื่อรูฟัสดึงมือของเขาลงไพล่หลังและใช้เทปผ้าหรืออะไรซักอย่างมัดเอาไว้ อีกฝ่ายกระซิบเสียงเรียบ
          “Stand here, I will check your cloth”
—————————————————-
          รูฟัสยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เคยคิดมาก่อน ไม่แม้แต่จะจินตนาการ ว่าคนที่ยืนอยู่ในห้องที่กำลังเคลื่อนเข้ามาคือคนที่เขาไม่ต้องการให้อยู่ที่นี่มากที่สุด คนที่เขาบากหน้าไปฝากฝังเอาไว้อย่างดีกับคนที่พอจะไว้ใจได้ รูฟัสแทบจะทิ้งปืนทันทีที่เห็นว่าฟ่งอยู่ในห้องนั้น  ทรงผมแบบนั้น แว่นตาแบบนั้น หน้าตาบูดๆ บึ้งๆ แบบนั้น เขาไม่มีวันจำผิดเด็ดขาด ฟ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
          คำถามมากมายเกิดขึ้นตามมา รูฟัสคิดว่าฟ่งมองไม่เห็นเขา ร่างนั้นชะเง้อมองอยู่ครู่หนึ่ง และหันหลังกลับไปอย่างกระวนกระวาย มีใครตามมา หรือว่ากำลังรอใครอยู่ แล้วทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนั้น นั่นมันเครื่องแบบพนักงานที่นี่ไม่ใช่หรือไง รูฟัสพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ฟ่งคงร่วมมือกับทวีศักดิ์ หรือวรุต  ไม่งั้นคงไม่สามารถมาอยู่ที่นี่ได้ จะเพราะถูกขู่หรืออะไรก็ตามแต่ ทางนั้นคงคิดจะใช้ฟ่งมาล่อเขาออกไป รูฟัสคิดว่านี่ออกจะเป็นลูกไม้ที่ตื้นเขินไปหน่อย ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาโมโห ชายหนุ่มตัดสินใจตามฟ่งออกไป  ถ้าฟ่งกล้าทำแบบนี้กับเขา ก็ควรจะต้องสั่งสอนสักหน่อย
          แม้จะคิดแบบนั้นแต่แค่ทำเสียงให้ดูเหี้ยมโหดเมื่อต้องเผชิญกับคำพูดตะกุกตะกักเหมือนว่ากำลังตกใจมากของทางนั้น ก็แทบจะแย่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตราย เขาอยากที่จะรวบตัวฟ่งเข้ามา จูบให้หายอยาก แล้วจับกดเสียให้เข็ดหลาบ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ รูฟัสจำต้องเล่นไปตามบทบาทของเขา เขาเอาปืนจ่อท้ายทอยฟ่ง จี้ให้ฟ่งถอดเสื้อผ้า และก็แทบจะร้องครางเมื่อพบว่าแผ่นหลังขาวๆ นั่นมีรอยจ้ำสีชมพูจางๆ เต็มไปหมด ถ้าสีมันเข้มกว่านี้คงคิดว่าเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ตอนเขาไม่อยู่ โชคดีที่รูฟัสพอจะจำได้ว่าเขาเป็นคนทำรอยทั้งหมดนี้เอง และก็แทบจะทิ้งปืนแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาเพื่อประทับรอยรักเพิ่มเข้าไปอีก 
ปัญหาคือ เขายังไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นตัวแสบในระดับไหน จึงจำต้องไล่ต้อนให้ยอมจำนนมากว่าที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าฟ่งอาจจะโกรธ และเขิน สังเกตจากเลือดฝาดที่สูบฉีดขึ้นมาตรงใบหู แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปากแข็งเสียเหลือเกิน รูฟัสจึงเลือกที่จะต้อนฟ่งจนถึงที่สุด สัมผัสในจุดสวาทที่คุ้นเคยนั้นแทบทำให้เขาสติแตกจริงๆ และแทนที่ฟ่งจะอ้อนวอน ยอมรับผิด กลับท้าทายให้มัดตัวเองเสียได้ รูฟัสจึงตอบสนองเสียงเรียกร้องดังกล่าว
          เขาจำเป็นต้องทำให้ฟ่งเข็ดหลาบ จะได้ไม่กล้าทำเรื่องหลอกเขาแบบนี้อีก
          แต่ตอนนี้รูฟัสกลับรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เขาไม่พบอะไรในเสื้อตัวนั้น ไม่พบสิ่งที่ดูคล้ายเครื่องดักฟังหรือเครื่องสงสัญญาณเลย มีแค่ปากกาลูกลื่นธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง หนุ่มตาสองสีเม้มริมฝีปากด้วยความตกใจ เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปยังจุดที่มัดฟ่งเอาไว้ เอ่ยปากขึ้นด้วยความยากลำบาก
          “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
          “ผมมาช่วยคุณ” ฟ่งกล่าวเสียงเครือ เขายืนอยู่ตรงนั้น เปลือยแทบทั้งหมด ถูกมัดมือเอาไว้ และกำลังร้องไห้
—————————————————-
**คาดว่าจบตอนนี้ ทุกคนคงรุมด่ารูฟัสแหงม... โถ... พ่อพระเอกกกก :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 14-11-2011 18:41:19
เข้าใจกันเร็วๆแล้วก็รีบหนีเหอะ ขอร้อง คนอ่านลุ้น
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 14-11-2011 19:23:23
ขออนุญาตนะคะ

ไอ้รูฟัสเอ๊ยยยยยยย   :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 14-11-2011 19:34:46
ลงนาทีละตอนเลยไม่ได้หรอออออออออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 14-11-2011 21:57:44
อ้ากกกกก~มาต่อแล้วๆๆๆๆ และ…ค้าง ว้ากกกกก~แต่ขอบคุณที่มาต่อคร๊าบบ  ลุ้นฮะ>_<
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 14-11-2011 22:27:23
รูฟัสทำฟ่งร้องไห้อีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-11-2011 09:25:21
**มาลงอย่างต่อเนื่องค่ะ อยากรู้จริงว่าคนตามอ่านเรื่องนี้เยอะรึเปล่า (เห็นเงียบๆ เลยคิดว่าอ่านไม่ทันกันเป็นส่วนใหญ่<<เห็นจำนวนตอนเขาก็ไม่อยากอ่านแล้วล่ะยะหล่อนนน :beat:)

----------------------------------------------


บทที่64 I’ll bring you back!

มีเพียงความเงียบ…..ความเงียบที่น่าอึดอัด
          เว่ยจินหยินกับฟารุคยืนจ้องหน้ากันมาเกือบนาทีแล้ว แต่สำหรับสถานการณ์แบบนี้ แค่ครึ่งนาทีก็ยาวนานเหมือนผ่านไปครึ่งปี ไม่มีใครขยับอะไรอีกแม้แต่กระดิกนิ้วมือ ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าฝั่งตรงข้ามจะลงมือเมื่อไหร่ก็ได้ ฟารุคไม่ต้องการจะเจรจาผลประโยชน์ เขาต้องการเพียงสั่นคลอนจิตใจของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดของเกาะฮ่องกง หากทำลายความสุขุมรอบคอบของเว่ยจินหยินได้ การกำจัดผู้ชายคนนี้ก็ง่ายขึ้น
          ฟารุคเห็นฤทธิ์เดชของเว่ยจินหยินมาแล้วในห้องประชุม ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ ผู้ชายคนนี้กล้าใช้น้องชายตัวเองเป็นเหยื่อเพื่อทำให้แผนการสัมฤทธิ์ผล ฟารุคปักใจเชื่อว่า อาการของเว่ยเฟิงปิงที่เกิดขึ้นในห้องประชุม เป็นฝีมือของเว่ยจินหยินแน่ๆ แต่ว่าด้วยวิธีอะไรนั้น เขาก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
เว่ยจินหยินเล่นละครได้แนบเนียนยิ่งกว่านักแสดงมืออาชีพ ฟารุคกำลังประเมินนัยน์ตาสีดำใต้แว่นตากรอบทองนั้น นัยน์ตาสีดำที่ดูราวกับนัยน์ตาของสุนัขจิ้งจอก ดวงตากลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์ที่สั่นระริกนั้น เป็นการแสดง หรือเป็นความรู้สึกจริงๆ กันแน่นะ

          เว่ยจินหยินไม่เคยรู้ว่าตัวเองแสดงละครเก่งรึเปล่า รู้เพียงว่าเขาต้องปกปิดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด รักษาภาพพจน์ที่ดีเอาไว้ให้ดีที่สุด รักษาความสุขุมของตนเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะหากไร้สิ่งนี้ ชีวิตของเขามีโอกาสจบสิ้นได้ทุกเมื่อ อาจจะเพราะแบบนี้ เขาเลยเหมือนคนที่กำลังแสดงละครอยู่ตลอดเวลา เว่ยจินหยินพอใจที่คนหลงใหลตัวเขาที่เป็นเปลือกนอกแบบนี้ ความหลงใหลในเปลือกนอก ไม่มีซึ่งความผูกพันใด จะหลอกใช้ขนาดไหนก็ไม่รู้สึกผิด เพราะนี่คือเปลือกหลอกที่เขาสร้างขึ้น กับคนที่ชอบของหลอก การถูกหลอกก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
          เสียงระบายลมหายใจยืดยาวคล้ายจงใจถอนออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามได้ยิน เว่ยจินหยินยิ้มกว้าง และสูดหายใจยาวเหมือนคนกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวเนิบๆ
          “ถ้าคุณพ่อต้องการฆ่าผม แล้วพวกคุณก็ต้องการฆ่าผม ผมควรจะทำยังไงล่ะ?”
          ฟารุคเดาไม่ออก นี่เว่ยจินหยินกำลังเล่นละคร หรือพูดจากใจจริง หรือเล่นละครซ้อนละครอีกที ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามได้คิดอะไรเพิ่ม เว่ยจินหยินกล่าวสืบต่อ
          “จะร่วมมือกับผมมั้ย คุณฟารุค ผมจะกำจัดลี่เหลียนให้คุณ ส่วนคุณก็กำจัดคุณพ่อให้ผม เราสองสมประโยชน์กันทั้งคู่ ทั้งคุณทั้งผม?”
          ฟารุคแค่นหัวร่อ “คุณมีปัญญากำจัดลี่เหลียน?”
          “ผมมีแน่ ถ้าคุณให้ความร่วมมือ” เว่ยจินหยินเปิดฉากการเจรจา เขากล่าวสืบต่อ “ด้วยตำแหน่งของคุณและผม อำนาจในกลุ่มใช่ว่าน้อยๆ เสียเมื่อไหร่ ผมจะสาวไส้คุณพ่อให้คุณ ส่วนคุณก็สาวไส้ลี่เหลียนให้ผม ยุติธรรมดีใช่ไหม? ว่าไงคุณฟารุค คุณอยากเจรจาไม่ใช่เหรอ ผมฆ่าลี่เหลียนได้ ถ้าคุณร่วมมือ แล้วคุณฆ่าคุณพ่อให้ผมได้รึเปล่า?”
          ฟารุคอับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ เขาเคยพบคนมาหลากหลาย ใช้ชีวิตในวงการแบบนี้มาอย่างโชกโชน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินผู้ชายคนหนึ่งวางแผนจะกำจัดพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ ต่อหน้า สีหน้าของเว่ยจินหยินที่กล่าวถ้อยคำออกมานั้นเรียบเฉยเป็นปกติ เผลอๆ นัยน์ตาสีดำสนิทดวงนั้นยังเป็นประกายอย่างพอใจด้วยซ้ำ ตอนที่เอ่ยถึงประโยค”ฆ่า”กับพ่อตัวเอง มันทำให้ขนหลังท้ายทอยของเขาลุกซู่ กับคนอำมหิตขนาดนี้ เขายังยืนฟังอยู่เฉยๆ หรือ? ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นฟารุครู้สึกตัวทันที เขาปล่อยให้เว่ยจินหยินพูดมากเกินไปแล้ว เขาฟังเว่ยจินหยินพูดมากเกินไปแล้ว
          คนที่หวั่นไหวก่อนคนแรกกลายเป็นตัวเขาเองเสียแล้ว
          เสี้ยววินาทีเดียวที่ฟารุครู้สึกตัว มือของเว่ยจินหยินขยับออก การขยับที่ดูเหมือนต้องการแก้อาการเมื่อยขบจากการยืนในท่าเดิมนานๆ การเคลื่อนไหวที่ไม่ผิดแผกจากปกติ แนบเนียน แต่แฝงความอำมหิต ความหมายของคำว่า”ฆ่า”ปรากฏชัดในมือเรียวที่ขยับออกมา
          เสี้ยววินาทีที่จินหยินขยับมือ สคัลขยับตัว เขาไม่ได้ตกตะลึงไปกับคำพูดของเว่ยจินหยิน สคัลทำหน้าที่ตัวเองได้ดีเยี่ยม เขาจับตามองเว่ยจินหยินโดยตลอด ไม่ได้สนใจกับคำพูดชวนสยดสยองที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา เพราะคำพูดฆ่าคนไม่ได้ แต่มือฆ่าคนได้
          ในเสี้ยววินาทีแห่งการตัดสิน เพียงคนเดียวที่ไม่ได้ขยับแม้แต่กระพริบตา
          เถียนซาน
 ————————————–
          “ทำอะไรอยู่น่ะ ซื่อเยี่ยน?”
          ชายผู้มีนัยน์ตาสีอีกาสะดุ้ง และหันกลับไปมองที่มาของเสียง เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาพร้อมม้วนแส้สีเงินในมือ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“เอียนล่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น แม้จะรู้สึกแปลกใจเรื่องแส้ที่เห็น แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะเอ่ยปากถามตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจออกมา
          “หนีไปแล้ว แล้วนี่นายกำลังทำอะไรอยู่?”
          “ผม?” ผู้เป็นลูกน้องทวนคำและก้มลงมองร่างโชกเลือดที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งเขากำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ
          “ปกติหน่วยดำเขาไว้อาลัยให้ศัตรูด้วยหรือไง?”
          “เปล่าครับ เพียงแต่ว่าเขา…” ผู้เป็นลูกน้องกล่าวค้าง เขาค่อยๆ ดึงตุ้มโลหะออกจากลวดบนลำคอที่ไร้ซึ่งลมหายใจนั้น และก้มลงมองแขนซึ่งกล้ามเนื้อถูกลวดบาดจนเหวอะหวะ มือที่อาบไปด้วยเลือดที่หลังไหลออกมาจนเป็นสีแดงคล้ำยังคงกำอาวุธที่มีรูปร่างคล้ายเข็มยักษ์นั้นเอาไว้แน่น แม้จะฆ่าคนมามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนรู้สึกสะเทือนใจเกี่ยวกับคนที่เขาเพิ่งจะปลิดชีวิตไป แม้ในยามได้สติผู้ชายคนนี้ก็ยังฝังใจอยู่กับสิ่งที่เขาได้รับการปลูกฝังมา
          “ผมคือนีดเดิล”
          นั่นคือคำพูดแรกและคำพูดสุดท้ายที่นีดเดิลพูดกับเขา ก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจะตัดสินใจปลิดชีพอีกฝ่ายเสีย นัยน์ตาที่มองออกมาตอนนั้นเหมือนนัยน์ตาของคนที่ตายไปแล้ว ไร้ความรู้สึก มีเพียงความสิ้นหวัง ภายในแววตาว่างเปล่านั้นกำลังปรารถนาซึ่งความตายที่แท้จริง  เพื่อให้หลุดพ้นจากความทรมานที่กำลังเผชิญอยู่
          “ใจดีจริงนะ” เว่ยเฟิงปิงค่อนแคะ เขาไม่รู้เรื่องของนีดเดิล  แต่กลับรู้สึกแปลกใจปนหงุดหงิดที่เห็นจางซื่อเยี่ยนใจดีกับคนอื่น แม้จะเป็นคนที่ตายไปแล้วก็เถอะ ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าเจ้าหมอนี่ใจดีขนาดนี้ ใจดีกับทุกคนเลยงั้นสิ จางซื่อเยี่ยนลุกพร่วดขึ้น ผลักเจ้านายของเขาออก
          เพล้ง!!
          จานจักรแก้วที่ปะทะกับตุ้มเหล็กแตกกระจายกลางอากาศ อดีตหน่วยดำซัดลูกดิ่งเหล็กอีกลูกหนึ่งเข้าใส่เงาร่างที่กำลังเคลื่อนหนีออกไป เมื่อการลอบโจมตีไม่ได้ผล เอียนตัดสินใจเปลี่ยนอาวุธ เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ และหยิบปืนขึ้นมา
          “ระวัง!!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยอย่างตกใจ เขานึกไม่ออกว่าลวดเส้นบางๆ กับลูกดิ่งเหล็กนั้นจะต่อกรกับลูกปืนอย่างไร จางซื่อเยี่ยนมิได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ กับคำเตือนของผู้เป็นเจ้านาย เขาซัดลูกดิ่งออกไปอีกลูก ในตอนที่เอียนเล็งปืนมา
          โครม!!
          เสียงร่างมนุษย์ล้มฟาดพื้นดังสนั่น จางซื่อเยี่ยนกระชากแขนทั้งสองข้างของตัวเองขึ้น เส้นลวดบางจิ๋วที่ขดเหมือนงูอยู่บนพื้นวิ่งเข้ารัดสิ่งที่อยู่ในวงล้อมของพวกมันทันที นั่นก็คือส่วนขาของเอียนที่เพิ่งจะสะดุดเกี่ยวลวดพวกนั้นจนลมลง
          “อ๊าก!!” ไฮท์ลำดับสิบเอ็ดแห่งริเวิลร้องเสียงดังลั่นขณะที่เส้นลวดบาดผ่านขากางเกงเข้าไปถึงกล้ามเนื้อขา เขาแข็งใจเล็งปืนเข้าใส่เจ้าของลวดที่กำลังรัดพันตัวเองอยู่
          “ตายซะ!!” เอียนตะคอกด้วยความโกรธแค้นและหนี่ยวไกปืน แต่ก่อนที่นิ้วของเขาจะได้กดลงไป จางซื่อเยี่ยนก็ออกแรงกระชากลวดจนร่างนั้นลอยขึ้นจากพื้น มันเป็นภาพที่ดูจะเหลือเชื่อ ร่างของเอียนเหมือนตุ๊กตาที่ถูกมัดเอาไว้และถูกสะบัด ปืนหลุดออกจากมือของเขาหล่นลงไปที่พื้น ขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงร้องดังลั่น
          “อ๊ากกกก!!!!”
          แม้แต่เว่ยเฟิงปิงเองยังอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ รอยลวดที่บาดลึงลงไปบนขาของเอียนนั้นดูน่าสยดสยอง เลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากกล้ามเนื้อที่ถูกตัดขาด อีกไม่นานมันคงมีสภาพแบบเดียวกับลูกน้องที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว จางซื่อเยี่ยนลากร่างนั้นเข้ามาใกล้ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องขอชีวิต
          “ได้โปรด อย่าฆ่าฉัน…. อา.. นีดเดิล!!”
          คำสุดท้ายที่เปล่งออกมาและแววตาแสดงความตกใจของเอียนทำให้จางซื่อเยี่ยนหันหลังกลับไปโดยอัตโนมัติ จังหวะนั้นเองผู้ที่ถูกมัดขาด้วยเส้นลวดก็ยกแขนขึ้น ปืนออโต้เล็กๆ กระบอกหนึ่งดีดออกมาจากใต้แขนเสื้อ เอียนคว้ามันเอาไว้ และเหนี่ยวไก
          ปัง!
          จางซื่อเยี่ยนหันกลับมาทันที สิ่งที่เขาพบคือร่างของเอียนที่ถูกปลิดลมหายใจด้วยรูกระสุนที่หน้าอก เว่ยเฟิงปิงสะบัดปืนออโตแมติกสีดำในมือเพื่อไล่ควันที่พวยพุ่งอยู่ออก
          “มีแต่ไอ้บื้ออย่างนายเท่านั้นแหละที่หลงกลอุบายตื้นๆ แบบนี้” ผู้เป็นเจ้านายตำหนิ จางซื่อเยี่ยนพยักหน้ายอมรับ และเอ่ยคำพูดต่อ “ขอบคุณครับ ว่าแต่..ไหนคุณบอกว่าเขาหนีไปแล้วไง?”
           “หมอนี่จงใจให้ฉันเข้าใจแบบนั้น นายคิดหรือว่าคนอย่างเอียนจะหนีไปเฉยๆ หมอนั่นคงพยายามจะหาจังหวะเพื่อลอบทำร้ายอยู่ ฉันก็เลยลงมาหานาย สร้างละครตบตาเพื่อล่อหมอนั่นออกมา แต่นายกลับหลงกลลูกไม้ตื้นๆ นั่นเสียได้”
          “ขอโทษครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และก้มหน้า เว่ยเฟิงปิงโบกมือ
          “จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ถือโทษอะไรมากหรอก แค่สงสัย นายไม่น่าเลินเล่อขนาดนี้ ทำไมถึงดูสนใจนีดเดิลนัก นายเคยรู้จักกับหมอนี่เหรอ?”
          ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ พูดขึ้นบ้าง “คุณรู้จักการสะกดจิตรึเปล่า?”
          เว่ยเฟิงปิงหยุดคิดครู่หนึ่ง และพยักหน้า “ไอ้ที่สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ตอนที่กำลังสะลึมสะลือน่ะหรือ?”
          “ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบและอธิบายสิ่งที่เขาเพิ่งเผชิญมา เว่ยเฟิงปิงนิ่งฟังและพยักหน้าในที่สุด
          “อืม…นายรู้สึกเห็นใจนีดเดิล แล้วก็รู้สึกโกรธเอียนสินะ ฉันไม่ยักรู้ว่านายอ่อนไหวขนาดนี้”
          คำพูดประโยคสุดท้ายทำให้ชายผู้มีนัยน์ตาสีอีกาขมวดคิ้วบ้าง “ผมเป็นคนมีความรู้สึกนะครับ”
          จางซื่อเยี่ยนแย้ง เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจและยิ้มออกมา “เอาเถอะ ดีแล้วที่นายยังมีความรู้สึก”
          เขากวาดตามองร่างไร้วิญญาณทั้งสองอีกครั้งและเอ่ยขึ้น “กลับขึ้นไปด้านบนกันเถอะ ฉันไม่อยากฟังจินหยินพูดจากระแนะกระแหนเรื่องที่ขึ้นไปช้า”
 ——————————————
          เสี้ยววินาทีที่เหมือนโลกหยุด สิ่งที่เถียนซานเห็นคือมือข้างหนึ่งของเว่ยจินหยินที่สะบัดออก กับเจ้านายคนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะทำอะไร ดังนั้นสิ่งที่เถียนซานมองต่อไปคือฟารุค ปฏิกิริยาของฟารุคที่จะตอบโต้เหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ เป็นอย่างไร เพราะเถียนซานไม่เคยพบฟารุค ไม่ทราบพื้นฐานทักษะร่างกายมาก่อน เช่นเดียวกับสลัค สองคนนี่มีปฏิกิริยาตอบสองการขยับของเว่ยจินหยินอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เถียนซานต้องการเห็นก่อน
          และตอนนี้ เขาได้เห็นแล้ว
          ฝ่ามือของฟารุคที่พุ่งขึ้นมา รวดเร็ว เฉียบขาด ไม่ได้พุ่งเข้าหาแขนที่ขยับ แต่พุ่งเข้าหาจุดตายที่ลำคอ เจตนาฆ่าแผ่ออกมาอย่างเด่นชัด เถียนซานรู้แต่แรก งานนี้ไม่มีใครคิดถึงเรื่องเจรจา มีเพียงการพยายามหาช่องว่างในการลงมือ เมื่อช่องว่างบังเกิด การหมายชีวิตย่อมตามมา
          มีดดาบขนาดเหมาะมือ ถูกกระชากออกมาจากอกเสื้อของสคัล ไม่เลวเลยสำหรับความเร็วในการชักดาบแบบนั้น และเขาคงแย่ถ้าดาบนั่นมุ่งมาดมายังตนเอง แต่กับดักของเว่ยจินหยินสมบูรณ์แบบ
          ด้วยความหวาดกลัวในตัวผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตที่สุดในฮ่องกง การโจมตีของทั้งคู่มุ่งเข้าใส่เว่ยจินหยิน จุดมุ่งหมายแน่ชัด การปล่อยให้ผู้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่แม้แต่วินาทีเดียวก็อันตราย การพุ่งความสนใจที่แน่วแน่นี้เอง เปิดช่องว่างใหญ่โตให้เถียนซานได้ลงมือ
          กับระยะเวลาความเป็นความตายเสี้ยววินาทีที่เกิดช่องว่างนี้ สำหรับเขาคือเวลายาวนานราวหลายนาที
         
          พลั่ก!! กร๊อบ!
          ความรู้สึกจริงๆ ควรจะมาก่อนเสียง แต่ตอนนี้หูฟารุคได้ยินเสียงก่อนจะทันได้รู้สึกอะไรเสียอีก มือของเขากำลังจะถึงลำคอที่มีปกเสื้อเชิ้ตหุ้มอยู่ของเว่ยจินหยิน ใกล้จนรู้สึกได้ถึงไรขนของอีกฝ่าย  หากสับลงไปได้ เว่ยจินหยินไม่สลบก็ต้องคอหัก เห็นได้ชัดว่าเว่ยจินหยินไม่มีทางป้องกันทันเด็ดขาด แต่ทำไม จู่ๆ มือของเขาถึงได้ไม่สัมผัสกับต้นคอนั้นล่ะ?
          เพราะมือของเว่ยจินหยินขยับ มีดดาบในมือของสคัลจึงพุ่งเข้าใส่อย่างอัตโนมัติ การจู่โจมระดับสัญชาติญาณ รวดเร็ว รุนแรง ไม่มีออมมือ ยังไม่ทันคิดว่าดาบนั่นจะตัดข้อมือของเว่ยจินหยินในแนวไหน เลือดสีแดงก็คงไหลพร่างพรูออกมาก่อน แต่ทำไม ทั้งที่คิดได้แล้วว่ามือข้างนั้นควรจะกุดเสมอข้อ เลือดถึงไม่ยอมไหลออกมา
          นัยน์ตาของเว่ยจินหยินนิ่งสนิท ไม่กระพริบ ไม่ขยับแม้เพียงนิดเดียว นิ่งราวภาพวาด ราวกับว่ามันไม่ได้เชื่อมต่อกับหัวใจ ราวกับว่าเว่ยจินหยินไม่มีหัวใจอีกแล้ว มือเรียวได้รูปยกขึ้นเหมือนเชื่องช้า บนนิ้วเกลี้ยงยังสวมแหวนเอาไว้อีกหลายวง แหวนเงินเกลี้ยงๆ เรียบง่ายจนไม่คิดว่าจะมาอยู่บนนิ้วมือสวยงามและหยิ่งทะนงแบบนี้ เลยจากนิ้วมือได้รูป ข้อมือมีเลทส์สีเงินอีกชิ้นหนึ่ง ไม่เหมือนนาฬิกา เป็นแผ่นเลสเรียบๆ เหมือนแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว มือเรียวตรงเข้าคว้าคอของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังกระเด็นออกไป
          สคัลไม่มีเวลาจะรับรู้แม้กระทั่งความรู้สึกตกใจด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาพบคือตัวเองกำลังลอยออกห่างจากเป้าหมาย แล้วเงาดำบางอย่างก็พุ่งตรงเข้ามา แรงกระแทกมหาศาลกระทำเข้ากับหน้าอกของเขาอีกครั้ง สิ่งที่สคัลรับรู้ในวาระสุดท้ายคือคำสั้นๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมอง
ปิศาจ
!!
ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่สมองของฟารุคจะทำความเข้ากับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ร่างกายเขารู้สึกตอนนี้คือไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกแม้จะเห็นว่าลำคอถูกมือของอีกฝ่ายกำอยู่ บนหน้าได้รูปของเว่ยจินหยินปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ รอยยิ้มนี้ไม่สร้างความรู้สึกไม่ดีกับผู้มองเลย สวยงาม น่าหลงใหล คล้ายรอยยิ้มบนใบหน้าของเทวดา
แต่ฟารุครู้ดี เว่ยจินหยินไม่ใช่เทวดา นี่คือผู้ชายที่ได้ชื่อว่าอำมหิตโหดเหี้ยม
ชายที่ถูกเรียกว่าสุนัขจิ้งจอก
น่าเสียดาย แม้จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ไม่เป็นจังหวะ แต่ร่างกายไม่สามารถกระดิกได้เลย สมองของฟารุคยังสับสนอยู่อีกสักพัก พอเห็นเงาร่างอีกร่างก้าวเข้ามา เขาก็เริ่มตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตน
เสี้ยววินาทีที่ตัดสินใจลงมือ พวกเขาลืมไปเสียสนิท
ลืมว่าที่อยู่ข้างกายของจิ้งจอกผู้นี้คือปิศาจ….
          ปิศาจ…..
          เถียนซานยืนนิ่ง ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปสลัก นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกนิ่งสนิท เหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า ฟารุคแน่ใจว่าเถียนซานยืนนิ่งแบบนี้ในตอนที่เขาเริ่มลงมือ และสคัลเองก็คงเห็นเช่นนั้น ความสนใจจึงพุ่งเข้าหาเว่ยจินหยินที่กำลังขยับ ในชั่วเสี้ยววินาทีแบบนั้น เถียนซานจึงลงมือ ผู้ชายคนนี้รอคอยแม้กระทั่งช่องว่างที่เล็กที่สุด รอคอยอย่างใจเย็น ฟารุคเข้าใจในบัดนั้นเอง ทำไมผู้คนถึงขนานนามผู้ชายคนนี้ว่าปิศาจ หากหัวใจไม่ชืดชา ใครเลยจะรอคอยจังหวะนั้นได้ จังหวะสั้นๆ หากไม่ใช่ปิศาจ ใครเลยจะลงมือได้ทัน ที่น่าตระหนกกว่านั้น เว่ยจินหยินเหมือนจะไว้ใจผู้ติดตามของเขาคนนี้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ดวงตาที่ไม่เปลี่ยนแปรเลยในช่วงเวลาแบบนั้น หากไม่ผ่านสรภูมิด้วยกันมายาวนาน ใครเลยจะมีความไว้วางใจกันแบบนี้ พวกเขาประเมินผิดเอง
          ประเมินผู้ชายสองคนนี้ผิดไปแต่แรก
          เขาไม่ควรเสนอหน้ามาเจอกับจิ้งจอกที่มากับปิศาจ
          “คุณฟารุค”
          น้ำเสียงของเว่ยจินหยินยังคงนุ่มนวล เขาไม่เหลือบมองร่างไร้ลมหายใจของสคัลที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรด้วยซ้ำ การหยุดหัวใจคนนั้น จะยากก็ไม่ยาก จะง่ายก็ไม่ง่าย ขอแค่กระแทกตรงจุด หัวใจที่ไม่เต้นอาจจะกลับมาเต้น และหัวใจที่เต้นระริก อาจจะถูกหยุดด้วยแรงกระแทกนั้น แน่นอนว่าเถียนซานจัดการปัญหาง่ายๆ นี้อย่างหมดจด กระแทกเข้าใส่เพียงสองหน ก็หยุดหัวใจของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ตลอดกาล
          ช่องว่างที่ทำให้ถึงตาย
          “รู้สึกดีรึเปล่า?”
          คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยต่อ ฟารุคคิดว่าตัวเขาน่าจะกำลังยืนอยู่ โดยมีมือของเว่ยจินหยินกำเอาไว้ที่คอ แต่จนถึงบัดนี้ร่างกายยังไม่รู้สึกถึงอะไรที่ว่านี้เลย มีแต่ความชาด้าน รอยยิ้มงดงามปรากฏบนใบหน้านั้นอีกครั้ง
          “ผมอยากคุยกับคุณดีๆ อืม… ผมว่าคุณนั่งลงดีกว่า”
          เถียนซานเดินอ้อมเข้ามา และเหมือนจับร่างกายไร้ความรู้สึกของฟารุคให้นั่งลง วินาทีนั้น ฟารุคนึกแว้บขึ้นมาในสมอง เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยคนนี้มีงานอดิเรกแปลกๆ เกี่ยวกับการทดลองยาพิษ หรือตอนนี้เขากำลังกลายเป็นคนที่ถูกทดลองอยู่  แหวนเลทส์นั่น เลทส์ข้อมือนั่น…?
          เว่ยจินหยินยิ้มอีกครั้ง ขณะนั่งลงข้างๆ เขาปล่อยมืออกจากคออีกฝ่าย และกำลังโบกมันไปมา
          “เพื่อความสบายใจของคุณ ในมือผมไม่มียาพิษร้ายแรงหรอก”
          ฟารุคเพิ่งได้สังเกตชัดๆ นิ้วของเว่ยจินหยินสวมแวนเอาไว้สามวง แหวนเกลี้ยงๆ แหวนเกลี้ยงๆ ที่น่าจะเกลี้ยงทั้งอันกลับมีเข็มเล็กจิ๋วยื่นออกมาจากตัวแหวน เมื่อเจ้าของขยับนิ้วมืออีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับไปเรียบอย่างที่มันควรจะเป็น
          “ถ้าสงสัย ผมจะบอกคุณ แหวนบนนิ้วผมมียาหลายแบบอยู่ด้านใน ผมปล่อยมันลงไปในตัวคุณนิดหน่อย เพื่อคุณจะรู้สึกสบายขึ้น อ้อ สารภาพกับคุณอีกเรื่อง แต่คิดว่าคุณคงจะรู้แล้ว คนที่วางยาพิษในห้องประชุม คือผมเอง”
          เขากล่าวและถกแขนเสื้อขึ้นมาให้เห็นเลสท์นั้นเด่นชัด ก่อนจะกล่าวสั้นๆ
          “ผมคงไม่ต้องอธิบายถึงเข็มที่ซ่อนอยู่ในเลสท์นี่ เอาล่ะครับ คุณฟารุค ได้เวลาเจรจาแล้ว”
—————————————–
          “คุณชาย!!”
          เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วคู่งามเข้าหากันทันที เขาสวนกับบรรดาลูกน้องในตอนที่กำลังเร่งขึ้นไปยังจุดนัดพบ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย “พวกนายจะไปไหนกัน?”
          “ตามหาคุณน่ะสิครับ พวกผมเห็นว่ายังไม่มีใครกลับขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจว่าควรจะลงไปตามหา พวกริเวิลเองก็เหมือนกัน”
          “ว่าไงนะ?!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ เขามองหน้าผู้เป็นลูกน้องอีกรอบ “นายบอกว่ายังไม่มีใครกลับขึ้นมางั้นหรือ? พี่จินหยินยังไม่ขึ้นมาหรือ?”
          “ครับ!” ทางนั้นเอ่ยเสียงหนักแน่ สีหน้าของเว่ยเฟิงปิงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เว่ยจินหยินยังไม่ขึ้นมา หรือว่าไฮท์ที่ชื่อฟารุคคนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าความคาดหมายที่ผู้เป็นพี่ชายของเขาวางเอาไว้ หรือว่าจินหยินจะคำนวณพลาด
          “เอายังไงดีครับ คุณชาย” บรรดาลูกน้องเอ่ยถามอีกรอบ เฟิงปิงรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ออกคำสั่งอะไรซักอย่าง บรรดาลูกน้องของผู้เป็นพี่ชายคงเกิดความไม่พอใจขึ้นแน่ๆ ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจินหยินต้องการจะให้ลงไปตามหารึเปล่าก็เถอะ แต่ถ้าจะให้เขาอยู่เฉยๆ ท่ามกลางสภาวะกดดันแบบนี้ก็คงไม่เป็นผลดีเหมือนกัน ให้ตายสิ เจ้าพี่บ้านี่จะปั่นหัวเขาไปถึงไหนกันนะ
          “พวกนายที่อยู่ตรงนั้นไปกับฉัน ส่วนที่เหลือรออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ถ้าพี่จินหยินกลับขึ้นมาก่อนก็ได้โทรติดต่อพวกฉันด้วย”
          “ครับ!”
 ———————————————-
          เว่ยจินหยินก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างใจเย็น เนื้อตัวไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน  ด้านหลังเป็นเถียนซานที่ประคองร่างสูงใหญ่ของฟารุค เหมือนกำลังพยุงคนหมดสติ เขาได้ยินเสียงฝีเท้า เว่ยจินหยินแย้มยิ้ม
          ไม่ว่าใครจะลงมาในตอนนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างกันแล้ว
———————————————
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่63 p11 14/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-11-2011 09:32:07
          พวกริเวิลวิ่งลงมาตามบันไดอย่างเร่งร้อน แม้จะถูกกำชับแล้วว่าหากทั้งฟารุคและเอียนหายไปเป็นเวลานานให้รีบถอนตัวกลับออกไปทันที แต่จะให้เผชิญกับพวกตระกูลเว่ยที่รออยู่ด้านบนก็ดูจะไม่ค่อยเป็นเรื่องที่ดีนัก ดังนั้นสู้ชิงลงมาตามก่อนดีกว่า ถึงยังไงหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว กับจำนวนคนนับสิบๆ มีหรือแค่คนสามสี่คนจะทานเอาไว้อยู่
 ——————————————–
          กิตติศัพท์ความโหดร้ายของเว่ยจินหยินนั้น เว่ยเฟิงปิงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง มันคล้ายข่าวลือเลื่อนลอย ที่แม้ฟังดูหนาหู แต่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยสักนิด คงเป็นเพราะเขากลับมาเข้าแก๊งหลังจากที่เว่ยจินหยินรวบอำนาจไปได้หลายอย่าง ถึงอย่างนั้นตลอดสี่ปีที่ผ่านมา พี่ชายคนรองคนนี้ไม่ค่อยจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขามากนัก ถึงแม้จะท่าทีชังน้ำหน้าอยู่บ้างก็ตาม จริงอยู่ที่ข่าวลือกันว่าเว่ยจินหยินอำมหิต แต่นอกจากคำพูดชวนคลื่นเหียนและรอยยิ้มปั้นแต่งแล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่เคยพบอย่างอื่นอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความอำมหิตของผู้เป็นพี่ชาย
 
          ฟารุคนั่งอยู่เงียบๆ ข้างทางเดิน นั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงไปกับเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ เฟิงปิงเงยหน้ามองให้สูงไปอีก ในเงามืดตรงข้ามเขา นัยน์ตาสีดำภายใต้แว่นตากรอบทองที่ถูกเงากำแพงทาบทาจนเหลืออยู่เพียงครึ่งเสี้ยวหน้า นิ่งสงบจนน่าประหลาด
          ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่รอคอยเหยื่อมาติดกับอย่างอดทน
          ด้านหลัง เป็นเงาทำทะมึนของใครคนหนึ่ง ที่ติดตามเว่ยจินหยินมาเป็นเวลานาน แสงสว่างสาดไปไม่ถึงร่างนั้น เฟิงปิงจึงมองไม่ออกว่าเถียนซานมีสีหน้าและแววตาอย่างไร
          แววตาแบบไหนคือแววตาของปิศาจ
          ตอนที่พบกันนั้นเว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจกับสภาพของพี่ชาย เว่ยจินหยินดูเหมือนยังไม่ได้ออกแรงอะไรซักอย่าง ขณะที่เถียนซานก็ดูจะสบายๆ กับน้ำหนักที่แบกอยู่ ถึงอย่างนั้นที่เขาแบกมาเป็นไฮท์ของริเวิลที่ชื่อฟารุคไม่ผิดแน่ แม้ฟารุคจะผิวสีเข้ม แต่คงไม่มีคนเป็นๆ คนไหนมีฝ่ามือขาวซีดแบบนั้นหรอก ตอนนั้นแหละที่เว่ยจินหยินแย้มแผนการขั้นต่อไปให้เขาฟัง
          เว่ยเฟิงปิงอดทนรออย่างเงียบๆ เป็นอย่างที่เขาคาด เว่ยจินหยินไม่ได้บอกทุกอย่าง บอกเพียงบางอย่างตามเหตุสมควรเท่านั้น แม้จะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด แต่ผู้กุมสถานการณ์และความอยู่รอดในตอนนี้ไม่ใช่เขา เว่ยเฟิงปิงนึกไม่ออก ถ้าเว่ยจินหยินไม่มาด้วยเขาจะรอดกลับไปอย่างไร เขาไม่เข้าใจว่าเว่ยชิงจงใจจะส่งพี่ชายคนรองมาช่วยเหลือเขาหรือจะทดสอบอะไรกันแน่  เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตรงที่ร่างของฟารุคนั่งอยู่
          เว่ยจินหยินยังคงรอ รอให้ไม่มีใครมาสมบทอีก รอจนแน่ใจว่าเหล่าบรรดาพวกที่วิ่งมาไม่มีมาเพิ่มแล้ว ท่ามกลางความแตกตื่นที่ได้พบร่าง สีสดใสจากของเหลวสีแดงในร่างกายก็ปรากฏให้เห็นราวกับน้ำพุสายเล็กๆ ผิดแต่ว่ามันไม่ได้พุ่งออกมาจากร่างกายของฟารุค แต่พุ่งออกมาจากร่างกายของบรรดาลูกน้องที่ยืนห้อมล้อมเขาอยู่ต่างหาก
          เหมือนเป็นโรคระบาด ต่างคนต่างมีเลือดฉีดออกมาจากร่างกายราวกับถุงน้ำถูกเข็มจิ้ม เว่ยเฟิงปิงได้ยินจางซื่อเยี่ยนอุทานอะไรบางอย่างที่ด้านหลัง จึงหันไปกระซิบถาม “นั่นอะไร?”
          จางซื่อเยี่ยนเงียบไปพักหนึ่งเหมือนพยายามนึก จึงกล่าวตอบ “รู้สึกจะเรียกเข็มโลหิตครับ ผมเคยใช้ครั้งนึง ตอนที่คุณท่านออกคำสั่งให้ไปสั่งสอนพวกตระกูลหว่องน่ะครับ”
          เว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่จางซื่อเยี่ยนพูดถึง ตอนนั้นเขาคงยังอยู่อังกฤษ จึงถามต่อ “มันคืออะไรน่ะ?”
          “มันเป็นเข็มแก้วแบบที่เอาไว้ใช้ดูดเลือดเสียอย่างที่หมอแผนโบราณชอบใช้น่ะครับ แต่ขนาดของมันใหญ่กว่านิดหน่อย อืม…จริงๆ ก็ไม่ค่อยจะอันตรายหรอกครับถ้าโดนไม่เยอะ ข้อดีของมัน อืม… คงเอาไว้สำหรับสร้างความหวาดกลัวโดยเฉพาะเลยมั้งครับ” จางซื่อเยี่ยนอธิบายยืดยาว จากปากคำ เว่ยเฟิงปิงเข้าใจว่าเข็มนี่ใครๆ ก็คงใช้ได้ทั้งนั้น จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วนายพกติดมาบ้างรึเปล่า?”
          สีหน้าของจางซื่อเยี่ยนงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะสั่นศีรษะ กล่าวตอบ “ผมไม่มีเก็บเอาไว้หรอกครับ คนที่เก็บเข็มแก้วนี้เอาไว้คือพี่เถียนซานนั่นแหละครับ ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้กันหรอก คือ..มันค่อนข้างจะดูสยดสยองอยู่สักหน่อย”
          ตอนนี้กลางทางเดินกลายเป็นทะเลเลือดย่อมๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงอุทานและเสียงสาปแช่ง เพราะเข็มแก้วนั้นมองไม่เห็น กว่าจะรู้ก็ปักลงบนผิวแล้ว แม้จะไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก แต่พอเห็นเลือดพุ่งออกมาแบบนั้นเป็นใครก็ต้องขวัญเสีย แม้แต่พวกที่กำลังจะชักปืนก็ยังต้องรีบก้มหลบเอาตัวรอด เพราะยังไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ตรงไหน และที่ใช้ออกมาเป็นอะไรกันแน่ แน่นอนว่าผู้ที่ซัดเข็มเลือดออกไปคงไม่ใช่เว่ยจินหยิน และคงไม่ใช่เถียนซานเมื่อดูจากตำแหน่งที่ยืน มันพุ่งมาจากทิศทางที่ลูกน้องอีกกลุ่มของเว่ยจินหยินซ่อนอยู่
          งั้นที่จางซื่อเยี่ยนบอกว่าเคยใช้มาก่อนก็คงไม่แปลกเท่าไหร่
          เป็นสภาพที่ดูน่าสยดสยอง ในภาวะตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด เว่ยจินหยินให้สัญญาณเงียบๆ คนของเขาและเว่ยเฟิงปิงที่ซ่อนอยู่จึงออกจากที่ซ่อน พร้อมอาวุธครบมือ เข้าล้อมกลุ่มคนที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อนั่นเอาไว้ การยอมจำนนศิโรราบจึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ โดยไม่มีใครเสียชีวิต นอกเสียจากหมดสติและบางส่วนก็ตกใจจนยังพูดอะไรไม่รู้เรื่อง นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าเว่ยจินหยินจะฆ่าทั้งหมดนี่เสียอีก ดูท่าพี่ชายของเขาคนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่อยู่เหนือความคาดหมายไปพอสมควร
          “เธอคิดว่าพี่จะฆ่าทิ้งล่ะสิ?” เว่ยจินหยินพูดเหมือนรู้ทัน ขณะเดินออกมาสมทบกับน้องชาย เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเหลือบมองนัยน์ตาจิ้งจอกนั่น จึงได้แต่พยักหน้า ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
          “บางทีคนเป็นก็มีประโยชน์กว่าคนตาย” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ก็เป็นคนตายดีกว่า”
          น้ำเสียงเรียบง่ายกับใจความที่เอ่ยออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มนั้น พอจะทำให้เสียวสันหลังวาบได้เลยทีเดียว เว่ยเฟิงปิงพยักหน้าหงึกหงัก และคิดว่าควรจะหยุดคุยกับพี่ชายคนนี้ก่อนจะสติแตก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าจางซื่อเยี่ยนยืนคุยกับเถียนซานอยู่
          “ผมกำลังคุยกับซื่อเยี่ยนว่าจะทำยังไงกับคุณฟารุคดี เพราะผมคงไม่สะดวกแบกเองตลอด”
          คำพูดนั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงมีสีหน้างงงันขึ้นมาทันที คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยหันมาและกล่าวยิ้มๆ “ให้เด็กๆ ช่วยกันแบกไปก็ได้ อืม..ฉันให้ยาชาเขาเอาไว้ กับอีแค่กระดูกซี่โครงหักคงไม่เป็นอะไรมาก”
          เสียงกร๊อบที่ดังขึ้นตอนที่เถียนซานกระแทกฝ่ามือเข้าไปบนร่างหนาคือเสียงกระดูกนี่เอง เว่ยเฟิงปิงมองเห็นเหมือนฟารุคขยับ
          “ฆ่าฉัน ฆ่าฉันที…”
          ซุ่มเสียงแหบแห้งที่แทบจะจับใจความไม่ได้เอ่ยขึ้นซ้ำๆ เว่ยจินหยินไม่สนใจคำเรียกร้อง เขากล่าวสั้นๆ
          “ไว้ไปถึงฮ่องกงแล้วค่อยเค้นคอมันต่อ”
 ——————————————-
          รัสเลอร์คิดว่า คราวนี้คงเป็นคราวซวยของเขาเป็นแน่แล้ว พวกคนในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือทยอยเข้ามาในห้องอีกระรอก ให้ตายสิ อย่างกับว่าทั้งหมดทั้งปวงในสถานที่ประหลาดแห่งนี้กำลังยกพวกมารุมอยู่ที่นี่ที่เดียว พวกนี้เกิดหมายหัวอะไรเขานักหนา หัวสมองของชายหนุ่มกำลังประมวลผลอย่างหนัก เขาใช้เกือบทุกอย่างที่มีไปหมดแล้ว และไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์มือถือกับปืนช็อตไฟฟ้าที่เหลืออยู่จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
ในสภาวะที่ถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนจำนวนหลายสิบคนเช่นนี้ และต่อให้ราฟาแอลมาถึง ก็ใช่ว่าจะเข้ามาช่วยเขาได้ง่ายๆ เสียหน่อย ให้ตายสิ สุดท้ายเขาก็ต้องตามรูฟัสไปอีกคนหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อ.. สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถจะออกไปเจอหน้าผู้ชายสวมแว่นคนนั้นได้งั้นหรือ เขาจะต้องตายอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกผู้ชายท่าทางเหมือนกระรอกคนนั้นหักหลังหรือเปล่า แต่กระรอกจะไปทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้ยังไง
แล้วรัสเลอร์ก็เห็นกระรอกตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มรีบพร่ำบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ เข้าไว้ จะมีกระรอกอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน นี่เขาคงกลัวตายจนเห็นภาพหลอนไปแล้วแน่ๆ ชายหนุ่มเพ่งมองผ่านช่องระหว่างฉากบังตา เขาเห็นขาหลายคู่เดินตรงเข้ามา กำลังจะมาถึงตัวเขา แต่สิ่งที่อยู่ด้านหลังขาพวกนั้น
          กระรอก!!     
———————————————
          ราฟาแอลนึกสบถก่นด่าอุปกรณ์ที่เขาเพิ่งใช้ออกไป ไม่รู้ว่าไอ้บ้าตัวไหนออกแบบถึงได้ออกมาเป็นรูปแบบนั้น ถ้าจะให้ลองเดาคงเป็นไอ้บ้าที่เขากำลังจะเข้าไปช่วยอยู่นี่แหละ และถ้ามันเกิดไม่ได้ผลขึ้นมาเพราะรูปทรงเตะตาแบบนั้น ก็คงจะต้องโทษไอ้คนออกแบบนั่นแหละ
          “Hey!! Rusler. Keep your fucking head out!!”
          สิ้นเสียงตะโกน คลื่นเสียงความถี่สูงในระดับที่เป็นอันตรายต่อประสาทหูของมนุษย์ก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายในชุดพรางลายแปลกๆ ที่ในมือถือปืนกลกึ่งออโตเมติกสองกระบอก โดยไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามที่มีร่วมสิบคนได้ทันตั้งตัว มฤตยูสีดำในมือของเขาก็พ่นลูกตะกั่วออกมาอย่างบ้าคลั่ง
          รัสเลอร์รีบคว้าหูฟังแบบพิเศษขึ้นมาอุดหู ไอ้เสียงตะโกนสุดแสนจะหาความสุภาพไมได้นี่คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าคนบ้าปืนนั่นแน่ๆ อย่างนั้นไอ้กระรอกที่เขาเห็นคงจะเป็นหุ่นยนต์ตุ๊กตาที่ด้านในใส่เครื่องสร้างเสียงความถี่สูงเอาไว้แน่ๆ เกือบลืมไปเลยว่านั่นเป็นของที่เขาออกแบบขึ้นมาเอง
          ราฟาแอลพุ่งตัวหลบห่ากระสุนที่สวนกลับมา เป็นโชคดีที่เจ้าเครื่องหน้าตาประหลาดนั่นไม่ถูกใครพบเห็นหรือทำมันพังไปเสียก่อน ไม่งั้นเขาคงพรุนตั้งแต่ยกแรกแล้วแน่ๆ เพราะเสียงกวนประสาทนั่นทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถตั้งสมาธิเพื่อเล็งกระสุนได้ เขาโยนปืนที่ลั่นกระสุนออกไปจนหมดแล้วลง และคว้าปืนของฝ่ายตรงข้ามที่หล่นอยู่ขึ้นมาและยิงสวนกลับไปต่อ  รัสเลอร์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการการต่อสู้ แต่เขาคิดว่าคงมีคนไม่มากนักที่สามารถจะทำอย่างที่ราฟาแอลกำลังทำอยู่ได้ จ้าหมอนี่น่าจะไปอยู่หน่วยรบพิเศษมากกว่าทำงานเป็นสายลับด้วยซ้ำ  ท่ามกลางเสียงกระสุนที่ดังอลหม่าน ในที่สุดราฟาแอลก็ฝ่าวงล้อมเข้ามาจนถึงที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่
          “ดีใจที่นายยังครบสามสิบสอง”
          หนุ่มผมสีบล็อนด์เอ่ยขึ้น และกระชากคอเสื้อของเพื่อนร่วมงานขึ้นมา รัสเลอร์มองไปรอบๆ อย่างแตกตื่น และพบว่าคนในชุดสีขาวทั้งหมดล้มลงไปกองกับพื้น และร้องโอดโอยกันจนระงมไปทั่วห้องที่มีแต่กลิ่นควันปืนและคาวเลือด
          “ปิดหน้าซะ เรากำลังจะออกไปจากที่นี่กัน ฉันเรียกกำลังสนับสนุนแล้ว”
          คนถูกสั่งพยักหน้าและรีบดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ ก่อนจะลนลานเก็บข้าวของจำเป็นและตามเพื่อนร่วมงานออกไป
————————————–
          รูฟัสกำลังเผชิญปัญหาที่น่าหนักใจเสียยิ่งกว่าการติดอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไร้ทางออก เขากำลังพยายามทำให้ฟ่งที่กำลังหวาดระแวงยอมฟังในเหตุผลที่เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับฟัง ฟ่งถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวจนตัวลีบติดกับผนังโลหะของห้องที่เคลื่อนที่อย่างกับกระเช้าในสวนสนุก
ในตอนที่รูฟัสพยายามจะเดินเข้าไปใกล้ ผู้มีนัยน์ตาสองสีขมวดคิ้ว มองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าที่แม้แต่กางเกงชั้นในก็ยังหลุดลงมากองที่หัวเข่า ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งหมดนี่ก็เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะพอใจให้คนอื่นมาเห็นฟ่งในสภาพแบบนี้ด้วยเสียหน่อย รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งคีย์คำสั่งอะไรลงไปในตอนที่เข้ามา และไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ที่ห้องนี้จะไปต่อกับห้องอื่น แล้วห้องที่ต่อด้วยจะมีคนอื่นอยู่ไหม เพราะอย่างนั้น จะปล่อยให้ฟ่งเปลือยอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
          “ฟ่งครับ..ผมขอโทษ” รูฟัสพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตาและดูหวาดระแวงนั่นมองเขาขืนๆ ลงๆ อีกหลายรอบ หนุ่มตาสองสีพยายามใช้ความอดทนอย่างมากในการเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมไว้ใจเขา
          “ผมจะแกะเชือกที่มัดคุณออก หันหลังสิครับ”
          ดูเหมือนคำพูดประโยคสุดท้ายจะยิ่งทำอีกฝ่ายหวาดระแวงมากขึ้น ฟ่งสั่นศีรษะทันที “คุณจะทำอะไรผมอีก!”
          “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก..!!”
          ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รูฟัสกลับพุ่งเข้าใส่ร่างที่เบียดตัวลีบอยู่กับผนังห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ฟ่งเกือบจะอ้าปากร้องออกมาอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเสียก่อน รูฟัสกดร่างของอีกฝ่ายชิดกับผนัง ก่อนจะคว้าปืนยิงสวนออกไป
          “รีบใส่เสื้อเร็วเข้า” ร่างแกร่งกล่าว พลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกคลุมร่างที่ยืนอึ้งอยู่ เขาเพิ่งผ่านการโจมตีจากห้องที่เคลื่อนที่ผ่านไป มีคนอยู่ในห้องนั้นและดูจะรู้ด้วยว่าสมควรจะยิงไปที่ไหน รูฟัสนึกสงสัยว่าคนพวกนั้นตามฟ่งมาเพื่อจะฆ่าเขาหรือฟ่งกำลังถูกพวกนั้นไล่ล่ากันแน่
          “แก้เชือกให้ผมก่อน” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด รูฟัสหันมามองอย่างนึกขึ้นได้ และรีบแกะเชือกที่ผูกมือของอีกฝ่ายออก
          “ขอโทษนะครับ” ร่างสูงเอ่ยอย่างตั้งใจ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และรีบดึงกางเกงชั้นในขึ้นปิดส่วนที่น่าอายนั้นเอาไว้ แต่แทนที่จะรีบใส่เสื้อผ้า เขากลับวิ่งไปที่แผงควบคุมที่อยู่อีกฟากหนึ่งโดยมีแค่เสื้อกาวน์ที่รูฟัสถอดให้คลุมตัวอยู่ หนุ่มสวมแว่นยกมือขึ้นกดปุ่มอีกหลายปุ่มบนนั้น
          “เรากำลังจะถึงอีกห้องหนึ่งแล้ว” ฟ่งพูด และชี้มือไปที่กองเสื้อกลางห้อง “หยิบเสื้อให้ผมที”
          รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างงงงั้น แต่ก็ก้มลงหยิบเสื้อให้อย่างว่าง่าย แทบจะพร้อมกัน ห้องอีกห้องประกบเข้ามาตรงประตูพอดี ฟ่งกระโดดเข้าไปในห้องนั้น พร้อมกับคว้ามือของรูฟัสไว้
          “เร็ว!!” ร่างบางเร่ง หนุ่มตาสองสีกระโดดตามไป ฟ่งวิ่งไปกดปุ่มที่อยู่อีกฟากอย่างรวดเร็ว แล้วห้องทั้งสองก็เคลื่อนออกจากกัน
          “คุณทำให้ผมทึ่ง” รูฟัสกล่าวออกมา เขากำลังมองดูแผ่นหลังโล่งๆ และก้นซึ่งมีแค่ชั้นในบังอยู่ ดูฟ่งจะสนใจปิดบังด้านหน้าที่หันเข้าหาผนังจนลืมด้านหลังไปเลย
          “แต่คุณทำให้ผมท้อมาก” ฟ่งหันมากล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด รูฟัสหัวเราะแหะๆ เขาดีใจที่ฟ่งหยุดร้องไห้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอะไรต่ออีก ฟ่งคว้าเสื้อจากมือของเขาและรีบสวมกลับเข้าไปเหมือนเดิม ก่อนจะก้าวพรวดๆ มาและเตะเข้าที่หน้าแข้งของรูฟัสเต็มแรง
          “โอ๊ย!!” รูฟัสร้อง ไม่ใช่เพราะเจ็บจากแรงเตะ หน้าแข้งของเขาสวมสนับที่ทำจากวัสดุยืดหยุ่นที่รองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ต่อให้ฟ่งเตะแรงกกว่านี้เขาก็คงไม่รู้สึกมากนัก แต่ที่ร้องออกไปเพราะตกใจที่อีกฝ่ายเตะมาต่างหาก
          “ผมอยากจะเตะคุณให้ขาหักจริงๆ” ฟ่งว่า แต่ก็หยุดเตะเมื่อเห็นว่ารูฟัสร้องออกมาแบบนั้น เขาไม่ได้คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ก็แค่ระบายอารมณ์จากเรื่องที่ถูกกระทำเมื่อครู่
          “คุณใช้อะไรคิดว่าผมซ่อนของเอาไว้ตรงนั้น!!!” ร่างบางถามคำถามถึงสิ่งที่รูฟัสทำให้เขาอับอายและโมโหอย่างที่สุด รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ
          “ก็คุณทำให้ผมคิดแบบนั้นนี่ จู่ๆ คุณก็โผล่มา แถมใส่ชุดแบบนี้ เป็นใครก็คงคิดเหมือนผมนี่แหละ”
          “จะบ้าเรอะ!!!” ฟ่งโพล่งออกมา และพูดต่อ “ไม่มีคนปกติคนไหนเขาคิดแบบคุณหรอก คุณเคยซ่อนอะไรเอาไว้ตรงนั้นมาก่อนหรือไง?!!”
          พอพูดถึงตรงนี้ ฟ่งก็อดตกใจไม่ได้ หรือรูฟัสเองก็เคยถูกใครค้นตรงนั้นด้วย รูฟัสมีสีหน้าเหมือนถูกยัดขยะเข้าไปในปาก
          “ผมไม่เคยหรอก แต่ผมเคยเจอคนที่ซ่อนเครื่องดังฟังเอาไว้ตรงนั้น”
          “นี่คุณเป็นนักล้วงก้นคนอื่นเหรอ?!!” ฟ่งอุทาน รูฟัสแทบครางออกมา
          “ฟ่งครับ..คุณไม่เคยดูข่าวหรือ พวกขนยาเสพติดยังซ่อนเฮโรอีนไว้ตรงนั้นเลย”
          “ผมไม่ใช่พวกค้ายาเสียหน่อย” อีกฝ่ายยังคงเถียง รูฟัสจนปัญญาจะต่อปากต่อคำอีก เขาเปลี่ยนเรื่อง
          “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
          ฟ่งถลึงตาใส่เขาอีกรอบ “ผมก็มาเพื่อจะช่วยไอ้คนที่ชอบล้วงก้นคนอื่นแบบคุณนั่นแหละ”
          “โธ่..หยุดพูดเรื่องนั้นเถอะครับ ผมขอโทษ” หนุ่มตาสองสีครางออกมา ฟ่งส่งเสียงขึ้นจมูก และหันหน้าไปทางอื่น รูฟัสเอื้อมมือไปดึงร่างนั้นเข้ามาใกล้
          “จะทำอะไรน่ะ?!!” ฟ่งร้องอย่างตระหนกเมื่อร่างถูกกดเข้ากับผนัง รูฟัสยกนิ้วขึ้นแตะปากของเขา และหันมองออกไปด้านนอก
          “คุณไม่ควรยืนตรงกลางห้องแบบนั้นนะครับ อาจจะมีใครยิงเข้ามาก็ได้” หนุ่มตาสองสีกระซิบ หลังจากที่ห้องห้องหนึ่งเคลื่อนผ่านไปแล้ว ฟ่งพยักหน้า
          “ผมรู้ล่ะ…” เขาเว้นระยะไปพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอย่างสงสัย “เราต้องยืนเบียดกันแบบนี้เลยเหรอ?”
          รูฟัสพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครับ เราต้องอยู่ชิดผนังให้มาก ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่สังเกตเห็น”
          “อือ” ฟ่งพยักหน้า พยายามดันตัวจนแนบติดผนังอย่างที่บอก รูฟัสยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และเบียดตัวชิดเข้าไปอีก คราวนี่ฟ่งเอะอะขึ้น
          “แบบนี้มันชิดเกินไปรึเปล่า? อ๊ะ!!” ร่างบางอุทานอย่างตระหนก เมื่อขาข้างหนึ่งของรูฟัสเบียดเสียดเข้ามาตรงหว่างขาของเขา ฟ่งเงยหน้ามองรูฟัสอย่างตกใจ “รูฟัส!!”
          “ครับ” อีกฝ่ายตอบคำและเริ่มซุกไซร้ไปตามซอกคอของอีกฝ่าย ฟ่งพยายามจะผลักร่างที่เบียดเข้ามาออก
          “คุณโกหกนี่!! คุณหาเรื่องลวนลามผมชัดๆ”
          “ผมเปล่านะครับ”
          ไม่ทันขาดคำ เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้าง เขาเห็นจริงๆ ว่ามีลูกปืนพุ่งเข้ามา เพียงแต่ว่าคราวนี้รูฟัสไม่ได้ชักปืนยิงสวนกลับไป แต่กลับเบียดตัวเข้ามาอีก
          “เห็นไหมล่ะครับ ผมบอกคุณแล้วว่าต้องเบียดแน่นๆ”
          ฟ่งอ้าปากค้าง เสียงกระสุนหยุดลงแล้ว ถึงอย่างนั้นรูฟัสก็ยังคงเบียดกระแซะเข้ามายิ่งกว่าเดิม
          “คุณจะลามกทุกสถานการณ์เลยหรือไง ปล่อยผมนะ ผมต้องเตรียมรหัสเพื่อจะเชื่อมเข้ากับอีกห้องหนึ่งนะ” ฟ่งว่า และพยายามจะผลักร่างที่เบียดเข้ามาออก รูฟัสหัวเราะหึๆ และยินยอมให้อีกฝ่ายได้ออกไปจากอ้อมแขนแต่โดยดี ฟ่งวิ่งไปกดรหัส และหันมามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ หนุ่มตาสองสียิ้มกว้าง “ห้องต่อไปให้ผมเบียดนานๆ กว่านี้อีกนะครับ”
          “ไอ้คนลามก” ร่างบางหันมาต่อว่า ก่อนที่ห้องอีกห้องจะเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน
 —————————————-
          “คุณทวีศักดิ์คะ เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ!!” เสียงออเปอเรเตอร์ที่ทำงานอยู่บนตึกชั้นบนติดต่อผ่านเข้ามายังห้องควบคุมซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ทวีศักดิ์กำลังหัวเสียอยู่กับเรื่องลูกชายของเขา ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ ชายวัยห้าสิบเศษกรอกเสียงลงไป
          “มีอะไร?”
          “ตำรวจค่ะ ตำรวจกำลังมาที่นี่ค่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะมีหมายค้นด้วยนะคะ”
          ทวีศักดิ์หันไปมองรัตน์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้กัน
          “หรือว่า…เจ้าพวกนั้นจะทำงานให้กับรัฐบาล” ผู้เป็นเจ้าของโรงผลิตยาพึมพำขึ้น ร่างของเขายิ่งเหมือนลูกบอลที่ถูกปล่อยลมจนลีบ ทวีศักดิ์ห่อตัวอย่างหดหู่ ขณะที่รัตน์ได้สติและพูดขึ้นก่อน
          “อาจจะไม่ได้เลวร้ายแบบนั้นก็ได้ คุณต้องตั้งสติ คุณทวีศักดิ์ คุณผ่านเรื่องพวกนี้มามากแล้วไม่ใช่หรือไง?”
          ทวีศักดิ์มองดูคนสนิทของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ถูกของเธอ ฉันผ่านเรื่องพวกนี้มามาก.. รีบตามหาวินให้ฉันเถอะ ฉันคงต้องขึ้นไปดูว่าตำรวจพวกนั้นมาเพราะอะไรกันแน่”
 —————————————-
** ชวนคนอ่านคุยบ้างดีกว่า เผื่อจะได้คอมเม้นต์ยาวขึ้น (เริ่มว่างค่ะ อยากอ่านคอมเม้นต์บ้างอะไรบ้าง ฮ่าๆ<<โดนเตะ :z6: ว่างก็เขียนตอนใหม่ของเรื่องอื่นมาสิยะ!!!<<ฮื้ออออ :sad4:)

ที่จริงแล้วนับกันในบรรดาเมะที่ฉันเขียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ รูฟัสเป็นเมะที่ฉันชอบมากเลยล่ะค่ะ (และเป็นเมะตัวแรกที่เขียนด้วย) แบบว่า หมอนี่มันมีทุกด้านจริงๆ และที่สำคัญ กะล่อนสุดๆ (แต่ก็รักจริงนะคะ ฮ่าๆๆๆ<<ถ้าเรื่องไม่เขียนเทข้างด้านรูฟัสขนาดนี้ มีหวังหมอนี่ได้กลายเป็นพระเอกที่น่าถีบอันดับหนึ่งแน่ๆ)

ที่จริงอยากจัดโหวตเคะและเมะยอดนิยมในเรื่องนี้ด้วย เพราะมีตั้งสี่คู่ อยากรู้จริง ใครจะได้อันดับ1 (เคะอันดับหนึ่งของเราในเรื่องนี้คือเว่ยจินหยินค่ะ เพราะ"เลวบริสุทธิ์"จริงๆ =[]=) แต่เห็นว่าเรื่องยังไม่จบ เดี๋ยวไว้ทุกปัญหาเคลียร์แล้ว ค่อยมาทำโพลดีกว่า อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ^^ (เราขอคารวะท่านทุกคนที่ติดตามอ่านเรื่องยาวสุดๆ เรื่องนี้ค่ะ) :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-11-2011 12:54:34
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 16-11-2011 13:07:45
เชียร์คู่เฟิงปิงกับซื่อเยี่ยนฮะ ว่าแต่รอลุ้นว่าจินหยินกับอาซานจะลงเอยกันยังไง
ปล.รอตอนต่อไปของทุกคู่ฮะ โดยเฉพาะคู่ของลอว์
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 16-11-2011 13:08:36
รูฟัสนี่นิดหน่อยก็ยอมนะ
ขอให้ได้แทะเล็มฟ่ง :haun5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: curiousfuse ที่ 16-11-2011 13:43:06
อ่านจบแล้ว สนุกมากกกกกกกกกกกก
แต่เราแอบชอบคู่คระกูลเว่ยมากกว่าฟ่งรูฟัส ติ๊ดนึง คริๆ
แต่แบบรูฟัสแพ้ทางฟ่งทุกกรณีจ้า แบบนี้อ่ะป่าวที่เรียกกว่ากลัว เอ้ย เกรงใจเมีย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 16-11-2011 16:20:10
เป็นคนที่เม้นไม่เก่งนะคะ แต่ชอบเรื่องนี้มาก ครั้งแรกที่อ่านเพราะเห็นว่ามีแค่สิบหน้า คิดว่าแป๊บเดียวก็จบ

แต่สิบหน้าดันเท่าร้อยหน้าของบางเรื่องเลย  ใช้เวลาอ่านสี่วันกว่าจะตามทัน แล้วตอนนี้ก็กำลังรอ รอตอนจบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 16-11-2011 17:42:05
วุ้ย รูฟัสมีเนียนเบียดฟ่งอีกนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 16-11-2011 20:51:08
ยังตามอ่านอยู่คะ ทุกเรื่องที่คุณ juon แต่งเลย~

โดยเฉพาะเรื่องนี้ ชอบมากม๊าก!!

ที่จริงเราชอบทุกคู่เลยนะ มันมีเสน่และปมที่แตกต่างกันไป แต่ที่ชอบสุดคงหนีไม่พ้นคู่หลัก รูฟัสกับฟ่งล่ะ

ตามอ่านอยู่คะ และถ้าเป็นไปได้อยากให้ลงทุกวันเลย ฮ่าๆ อ่านอย่างบ้าพลัง

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 16-11-2011 23:53:06
โฮ่ววววว มาติดตามเรื่องสุดระทึกกก!!!!!  แบบว่าลุ้น(แมร่ง)ทุกตอนน ตัดฉับได้น่าติดตาม(ค้าง)สุดๆ!!!!!
แต่ตอนเริ่มอ่านคนเขียนโพสต์หลายสิบตอนแล้วว

แต่ด้วยความติด(มาก)ก็จัดเต็มกันไปข้างสองข้างจนตาแทบถลน *เว่อร์*

เอ๊ยยแต่(โคตรรรร!!)สนุกจริงๆนะคะคนเขียนน~~
มันสวดยอดดดด ลุ้นสุดๆ เป็นนิยายสายลับมี่มันมากๆอ่ะะะะ
เอาโล่ป๊ายยยยยย~~

ส่วนเคะเมะยอดนิยมหรอออ,,,
อื้มมมตอนนี้เคะ ชอบจินจินที่สุดนะ(เพราะเยส มาสเตอร์แท้ๆ)

ส่วนเมะ,,,เฉยยๆเเฮะะะะ
รอโหวตๆ ห้าๆ

ชอบเรื่องนี้มวาาาก เหอๆ
ขอบคุณคนเขียนมากกกกนะคร้าบบบบบ

เป็นเม้นท์ที่ยาวมาก(และใช้ค.อดทนในการจิ้มมือตื๋อแบบสวดๆ)
ก็เห็นคนเขียนอยากอ่านเม้นท์เลย(พยายาม)จัดให้,,

รักคนเขียนนะก๊าบบบบบบ!!!!!!้
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-11-2011 09:12:20
** ก่อนอื่นเลย ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่พยายามจะคอมเม้นต์ให้กำลังใจอิฉันค่ะ :กอด1:

อันที่จริงพอมานึกแล้ว เราก็ทำให้คนอ่านลำบากเหมือนกันนะเนี่ย เพราะคนอ่านต้องจิ้มทีละตัวกันเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมล่ะคะ คงน้อยคนที่จะพิมพ์สัมผัสได้ล่ะนะ... (ยิ่งคุณmookที่อุตส่าห์พิมพ์ผ่านมือถือมาให้นี่ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ)

แล้วพอมาคิดว่า จริงๆ อินิยายเรื่องนี้มันก็ชวนใ้ห้พูดถึงลำบาก (อันที่จริงเหมือนจะทุกเรื่อง ฮ่าๆ)

แต่ก็อยากชวนคุยอ่ะค่ะ.. แฮ่~ แบบว่าอิฉันเริ่มเก็บกดแล้ว เดือนกว่านอกจากพ่อกับแม่ กับคนงานที่บ้าน ยังไม่ได้เจอหน้าเพื่อนฝูงเลยค่ะ เลยมาชวนท่านนักอ่านคุยแทน...

แหะๆ ฝอยมาก ลงตอนต่อเลยดีกว่านะคะ (ที่จริงสามารถเอามาลงให้อ่านได้ทุกวันค่ะ ถ้าไ่ม่ลืมนะคะ)

---------------------------------------------

บทที่65 Let’s go together.

สีแดง…เลือด….
          ตอนนี้สีแดงที่ว่ากำลังแผ่กระจายไปทั่วเสื้อเชิ้ตสีอ่อน รูจากกระสุนปืนนั้นเล็กมาก เล็กเสียจนไม่น่าเชื่อว่ารูแค่นี้จะพรากชีวิตคนได้ แต่ถึงกระนั้น วรุตรู้ดีอยู่เต็มอกว่ารูเล็กๆ นี้แหละที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน
          อิทธิเดชยังคงมีลมหายใจอยู่ นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี จะเพราะมือของวรุตที่ยื่นออกไปดึงแขนของผู้ชายผมสีบล็อนด์คนนั้น หรือเพราะโชคช่วยก็ตาม ถึงอย่างนั้นสิ่งที่น่ากังวลคือรอยขยายกว้างของเลือดที่เริ่มแผ่กระจายอย่างรวดเร็วนี้ ถ้าหากไม่รีบ ผู้ชายคนนี้อาจจะเสียเลือดจนถึงแก่ชีวิต
          “ทำใจดีๆ ไว้นะ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล” วรุตเอ่ยพลางกุมมือข้างหนึ่งของฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ สีหน้าของอิทธิเดชซีดอย่างน่าตกใจ เด็กหนุ่มพยายามรักษาสติ คิดหาวิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์เฉพาะหน้า ชายผมสีบล็อนด์คนนั้นจากไปแล้ว เมื่อเหลียวมองรอบๆ ยิ่งรู้สึกว่าอิทธิเดชนั้นช่างโชคดีเหลือเชื่อจริงๆ เพราะคนอื่นๆ ที่ถูกราฟาแอลยิงนั้น แน่นิ่งไม่ไหวติงเลยสักคนเดียว วรุตจำต้องกดข่มอาการคลื่นเหียนที่เกิดขึ้นจากกองเลือดและภาพที่สะเทือนใจเบื้องหน้า ของจริงนั้นแย่ยิ่งกว่าในหนังที่เคยดูเสียอีก เขาก้มลงมองร่างโชคเลือดของอิทธิเดชอีกครั้ง และตัดสินใจว่าจะแบกผู้ชายคนนี้ขึ้นหลัง เพราะวรุตนึกได้ว่าตอนที่อยู่เยอรมันนี เวลาซ้อมป้องกันภัย เจ้าหน้าที่จะแบกคนเจ็บขึ้นหลัง
          ร่างกายของอิทธิเดชนั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้เบาอย่างที่ดูจากภายนอกเลย ถึงอย่างนั้นในเวลาแบบนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น วรุตจำต้องทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งโดยมีร่างที่ยังไม่แน่ว่ายังมีสติอยู่อีกรึเปล่าอยู่บนหลัง ความเปียกชื้นกันเกิดจากของเหลวสีแดงในร่างกายของอีกฝ่ายที่ลามขึ้นมาบนแผ่นหลังยิ่งทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มหล่นวูบ วรุตเม้มปากแน่น
          ขออย่าให้ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรเลย
 ————————————–
          อิทธิเดชรู้สึกสติเลือนรางเต็มที ความเจ็บปวดนั้นช่างเหมือนห่างไกลเสียเหลือเกิน ที่เกิดขึ้นกับเขาน่าจะเป็นอาการช็อค เขาได้ยินเสียงวรุตเรียกชื่อ แต่มันเหมือนดังมาจากอีกโลกหนึ่ง อยากจะอ้าปากพูดหรือขยับร่างกาย แต่เหมือนมันได้ตัดขาดกับวิญญาณของเขาเสียแล้ว อิทธิเดชยังรู้สึกแปลกใจในตอนที่วรุตแบกเขาขึ้นหลัง ทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย ทิ้งเขาเอาไว้แล้วกลับขึ้นไปคนเดียวก็ได้นี่นา คนเราทุกคนควรเป็นห่วงตัวเองก่อนที่จะห่วงคนอื่น แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ทำแบบนี้
          “ว…วรุต”
          อิทธิเดชเอ่ยชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เขาอยากจะพูดประโยคต่อไปว่าทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่เถอะ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนที่ตอบกลับมาทำให้เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดนั้นไว้
          “พี่เดช..แข็งใจไว้นะ ผมจะพาคุณไปหาหมอ คุณจะต้องไม่ตาย”
          คำพูดนั้นทำให้น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว อิทธิเดชซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างนั้น และพยายามประสานมือเอาไว้
          วรุต…..
 ——————————————–
          รูฟัสกอดฟ่งเอาไว้แน่นในตอนที่มาถึงห้องสุดท้าย แม้จะไม่ปะทะโดยตรงกับพวกกองกำลังที่ยังคงติดค้างอยู่ในห้องอื่น แต่ถ้าออกไปจากที่นี่แล้วไม่มีอะไรประกันว่าพวกเขาจะไม่เจอกระสุนปืนระหว่างทาง รูฟัสนั้นแน่ใจว่าเขาสามารถรับมือเรื่องพวกนั้นได้ แต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาล่ะ  หนุ่มตาสองสีหวั่นใจจริงๆ ว่าฟ่งจะสติแตก ครั้งก่อนที่เขาแทงลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยเฟิงปิง ผู้ชายคนนี้ถึงกับเป็นลม รูฟัสพอจะเข้าใจว่าฟ่งไม่คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนที่มีชีวิตธรรมดาๆ แบบนั้น เขากำลังนึกเป็นห่วงว่าจะทำอย่างไรหากฟ่งเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปอีก และที่ไม่อยากคิดไปไกลกว่านั้น ถ้าหากว่าฟ่งรับสิ่งที่เขาทำไม่ได้
          “ฟ่งครับ?”
          ร่างบางช้อนตาขึ้นมองตามเสียงเรียก คราวแรกเขาโมโหผู้ชายคนนี้ที่บังคับให้เขาเปลื้องเสื้อผ้า ต่อมาก็หมั่นไส้ตอนที่รูฟัสพยายามจะลวนลามเขา เจ้าหมอนี่ไม่เคยรู้จักสถานการเลยหรือไง แต่ตอนนี้ฟ่งเริ่มรู้สึกว่ารูฟัสกำลังหวั่นใจอะไรบางอย่าง ร่างแกร่งนั้นกอดเขาอยู่นานและไม่ยอมพูดอะไรเลย
          “สัญญากับผมได้ไหมว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้รีบวิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด คุณรู้ทางออกของที่นี่ดีใช่ไหมครับ?”
          “ผมจะออกไปกับคุณ” ฟ่งตอบ รูฟัสลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู
          “ผมออกไปแน่ครับ แต่อาจจะออกไปหลังคุณ มาถึงนี่ผมไม่คิดจะติดอยู่ที่นี่หรอก สัญญาสิครับ”
          “ก็ได้” ฟ่งตอบ รูฟัสพยายามคิดว่าฟ่งจริงจังกับคำสัญญานั้น ไม่ใช่ตอบไปพอเป็นพิธี เขาผละออกจากร่างบางนั้น ในตอนที่ประตูกำลังเปิด
          “อยู่ชิดผนังเอาไว้นะครับ จนกว่าผมจะให้สัญญาณ” ผู้มีนัยน์ตาสองสีกล่าว และเกือบจะกลั้นหายใจตอนที่ประตูเปิดออก เขากลัวว่าจะมีใครดักยิงอยู่ด้านหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น บางทีอาจเพราะพวกที่รออยู่ด้านนอกยังไม่ได้รับการประสานงานจากพวกที่หลุดเข้าไปด้านใน จึงยังไม่รู้ว่าห้องไหนจะเป็นทางออก รูฟัสเหลือบตามองออกไป เขาเห็นชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือสองสามคนกำลังวิ่งตรงเข้ามา ดูท่าจะมาสำรวจว่าผู้ที่โดยสารมาให้ห้องเป็นใครกันแน่
          “Close your eyes” รูฟัสกระซิบเบาๆ และล้วงมีดเล่มเล็กๆ ออกมาจากสายคาดบริเวณต้นขา และซัดมันออกไป ถ้านับกันแล้วฝีมือขว้างมีดของรูฟัสไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าฝีมือยิงปืนของราฟาแอลเลย ผิดแต่เรื่องความเร็วเท่านั้น คงไม่มีใครปามีดด้วยความเร็วเท่าลูกปืนได้ แต่ถ้านับในเรื่องมีดด้วยกัน รูฟัสก็ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง
          มีดเล่มแรกปักเข้าที่คอของชายคนหนึ่งอย่างถนัดถนี่ ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลง ก่อนที่พวกที่เหลือจะทันได้ตั้งสติ มีดอีกสองเล่มก็พุ่งเข้าเสียบบริเวณลำคอและหัวใจของพวกเขาแล้ว รูฟัสกวาดตามองรอบๆ เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะฉวยมือร่างที่ยืนหลับตาปี๋อยู่
          “Let’s go”
          ฟ่งวิ่งตามรูฟัสออกไป เขาคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะยิงปืนในตอนแรก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบร่างสามร่างที่นอนอยู่บนพื้น ทั้งหมดถูกอะไรบางอยากปักอยู่บนร่างกาย ฟ่งเกือบจะอ้าปากถามออกไปแล้วว่ารูฟัสฆ่าคนพวกนี้หรือเปล่า แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาถามเรื่องแบบนี้ เขาอยู่ในโลกที่ต่างออกไปจากปกติ และรูฟัสเป็นคนที่เข้าใจมันมากที่สุด ฟ่งตัดสินใจสงบปากสงบคำเอาไว้ ยังไงเขาจะต้องออกไปกับผู้ชายคนนี้ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรก แม้ว่าจะมีอะไรที่ไม่น่าจดจำหลายอย่างเกิดขึ้นก็ตาม
          ชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวพร้อมอาวุธครบมือจำนวนมากกำลังวิ่งตรงลงมา ต่อให้ไม่ถูกถ่ายทอดสด ราฟาแอลก็ดูจะทำความลับแตกแต่แรกอยู่แล้ว ความจริงแล้วรูฟัสน่าจะคิดได้แต่แรกว่าแคลร์ร่วมขบวนการนี้ด้วย ตั้งแต่เขาเห็นเงาของผู้หญิงในตรอกนั่น อา.. ใครมันจะไปคิดล่ะว่าแม่สาวผมบล็อนด์อดีตหวานใจคู่หูของเขาจะกระโดดจากงานส่งยามาร่วมโปรเจคนี้ด้วย และไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเจ้าหล่อนคงไม่ละเลยที่จะแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนและสถานการณ์ของพวกเขา รูฟัสเข้าใจว่าราฟาแอลคงทำอะไรไม่ได้มาก หมอนั่นไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิง และต่อให้สลับเป็นเขาไปแทน สถานการณ์อาจจะแย่ยิ่งกว่า แคลร์อาจจะยังมีเยื่อใยที่ดีให้กับราฟาแอล แต่กับเขา แม่สาวนั่นคงจ้วงมีดใส่ไม่ยั้งมือแน่ๆ และเขาเองก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้หญิงนักหรอก
          รูฟัสสูดหายใจลึก เขาพาฟ่งหลบเข้าไปในซอกทางเดินซอกหนึ่ง ในตอนที่คนพวกนั้นวิ่งเข้ามา ชายหนุ่มไม่ปรารถนาการปะทะโดยตรง เขาคิดว่าคนที่ชอบทำเรื่องแบบนั้นควรจะมีแค่คู่หูผมบล็อนด์ของเขาคนเดียวก็พอแล้ว และเขาไม่อยากเสี่ยงทำแบบนั้นตอนที่ยังมีฟ่งอยู่ด้วย
          “รูฟัส” ฟ่งกระซิบเขาๆ รูฟัสพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป อีกฝ่ายกระซิบต่อ “ไปกับผม ด้านหลังนี้มีทางลับอยู่”
          คราวนี้ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับไปมองทันที ฟ่งดึงมือของรูฟัส ตรงลึกเข้าไปในซอกระหว่างห้องนั้น
          “ทำไมคุณไม่บอกผมถึงเรื่องทางลับพวกนี้” รูฟัสเอ่ยด้วยความสงสัย ขณะปีนตามฟ่งขึ้นไปด้านบน เขาจำได้ว่าฟ่งไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับทางประหลาดๆ ที่ดูไม่น่าจะผ่านไปได้แบบนี้มาก่อน ร่างบางตอบเขาเสียงอู้อี้
          “ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะสร้าง เพราะผมไม่ได้เขียนอธิบายอะไรเอาไว้ บางทีเขาอาจจะคิดว่ามันไม่จำเป็น”
          “แล้วคุณเขียนลงไปทำไม?”
          “อืม…ผมแค่อยากให้ห้องนี้มีความลับบ้าง อย่างพวกบ้านผีสิงในอังกฤษที่สร้างห้องลับบันไดเวียนหลอกผีอะไรแบบนั้นไง” ฟ่งกล่าว ทำเอาคิ้วของรูฟัสขมวดยุ่ง เป็นอีกครั้งที่เขานึกสงสัยว่าฟ่งเป็นคนยังไงกันแน่
          “เรากำลังจะไปไหนกันครับ?” รูฟัสเอ่ยถามเมื่อพบว่าฟ่งพาเขามาโผล่ระหว่างซอกห้องในชั้นใดชั้นหนึ่ง ฟ่งหันกลับมาถามเขา
          “คุณนัดกับพวกคุณราฟาแอลไว้ที่ไหนล่ะ?”
          “ทางออกฉุกเฉินที่พวกผมเข้ามานั่นแหละครับ”
          คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วบ้าง “ทางนั่นจะไม่เปิดให้ใช้งาน จนกว่าจะเกิดสถานการฉุกเฉินอย่างไฟไหม้หรืออะไรพวกนั้นนะ” ร่างบางเอ่ย และรู้สึกชาไปทั้งร่างทันทีเมื่อเห็นแววตาที่หลุบต่ำลงไปของรูฟัส
          “พะ..พวกคุณคิดจะทำลายที่นี่เหรอ?” ฟ่งกล่าวเสียงตะกุกตะกัก รูฟัสสั่นศีรษะ หันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมเต็มที่
          “ไม่ถึงขั้นทำลายล้างอะไรขนาดนั้นหรอกครับ พวกผมแค่จะทำให้มันเกิดภาวะวิกฤติแบบที่คุณว่าเท่านั้นเอง”
          “คุณ… คุณจะระเบิดมันใช่ไหม?” ฟ่งกล่าวออกมาในที่สุด เมื่อนึกถึงภาพแสงระเบิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ร่างบางเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ทันที
          “คุณจะฆ่าคนที่นี่ให้หมดเลยเหรอ?”
          “ผมไม่คิดว่าจะมีใครตายเพราะมันมากนักหรอกครับ ฟ่ง คุณจะออกไปกับผมหรือเปล่า?” ประโยคสุดท้ายรูฟัสเอ่ยเหมือนการตัดบทสนทนา ซึ่งความจริงเขาเองก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้กับฟ่งมากนัก เขาไม่แน่ใจว่าทางนั้นจะลังเลหรือเกิดการเปลี่ยนใจอะไรหรือเปล่า ถ้าหากฟ่งเกิดเปลี่ยนใจ เขาคงต้องจัดการให้สลบแล้วลากออกไปทั้งอย่างนี้แหละ จะโกรธหรือจะอะไรค่อยไปว่ากันอีกทีหลังจากนั้นแล้วกัน
          ฟ่งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เขารู้สึกรับไม่ได้หากจะต้องสังเวยชีวิตคนจำนวนมากเพื่อที่จะให้ตัวเองหนีรอด แต่ก็ไม่ใช่คนดีหรือเสียสละมากพอจะทิ้งชีวิตของตัวเองไว้ที่นี่ ร่างบางกัดฟันกรอด ถามตัวเองอย่างหวั่นใจว่าเขาสำนึกเสียใจหรือเปล่าที่เลือกรูฟัส ฟ่งถอนหายใจเฮือก เขาบีบมือตัวเองแน่น ก่อนจะเอ่ยออกไป “ผมจะออกไปกับคุณ”
          รูฟัสยิ้มออกมา “งั้นรีบไปกันเถอะครับ”
 ———————————————
          “ราฟี่ นายจะรอรูฟัสมั้ย?” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นหลังจากถูกช่วยออกมาจากลานขยะแล้ว ราฟาแอลไม่ได้ตอบคำถาม เขาตรงไปยังจุดนัดพบและก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
          “ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย” หนุ่มผมสีบลอนด์กล่าว รัสเลอร์พยักหน้าอย่างมีความหวัง
          “นายจะรอรูฟัสใช่ไหม?”
          “อาจจะ” คนถูกถามตอบเลี่ยงๆ ราฟาแอลค่อนข้างจะแน่ใจว่าตอนนี้รูฟัสน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ปัญหาคือใครจะเข้าไปเจอหมอนั่นก่อน ด้วยความสามารถระดับรูฟัส ถ้าหากไม่ใช่หน่วยชำนาญอาวุธบุกเข้าไป หรือระเบิดห้องทิ้ง หมอนั่นก็อาจจะหาทางรอดออกมาได้หรอก ราฟาแอลตัดสินใจทำเรื่องที่เขาไม่ทำบ่อยนัก ปกติเขาจะไม่รอใครที่มาสายเกินกว่าเวลากำหนด และอนาคตริบหรี่แบบนี้
          แต่รูฟัสทำงานกับเขามานานจนเขาคงจะต้องฝืนนิสัยข้อนี้ของตัวเองบ้าง
          ถ้าไม่พารูฟัสกลับไปแบบมีชีวิต คลาวเดียคงโกรธเขาไปนานเลยทีเดียว
———————————————–
          รูฟัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เขาติดต่อกับราฟาแอลผ่านวิทยุสื่อสารไม่ได้ ทางนั้นคงไปสมทบกับรัสเลอร์และเก็บฐานบัญชาการชั่วคราวนั่นไปแล้ว รูฟัสหวังว่าการที่ราฟาแอลลงมือปฏิบัติการขั้นสุดท้ายช้าไปกว่าเวลานั้นเพราะกำลังรอเขา มากกว่าที่จะพลาดท่าเสียทีให้กับฝ่ายตรงข้าม ฟ่งเกือบจะพาเขาไปถึงจุดนัดหมายอย่างไม่ต้องปะทะกับใครอยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนพวกนั้นออกมาเสียก่อน
          ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ รูฟัสเห็นเครื่องแบบสีขาวจนชินตา แทบจะระบุลงไปได้เลยว่า ทวีศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของโครงการนี้คงจะชอบสีขาวมากเสียจนยอมเสียค่าน้ำยาฟอกขาวซักแม้กระทั่งชุดคนงาน อย่างไรก็ดี กลุ่มคนราวๆ ห้าหกคนที่ปรากฏตัวขึ้นกลับอยู่ในชุดฟอร์มทีผิดแผกจากสีขาวไปอย่างสิ้นเชิง คนพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นในชุดฟอร์มสีดำสนิท พร้อมด้วยอาวุธครบมือ รูฟัสเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาทันที เขาหันไปกระซิบกับฟ่ง
          “ฟ่งครับ ไม่มีทางอื่นที่จะไปที่นั่นแล้วหรือ?”
          อีกฝ่ายสั่นศีรษะ เขาเห็นความหวั่นไหวในสายตาสองสีคู่นั้น ดูเหมือนรูฟัสจะมีปัญหาเกี่ยวกับชายชุดดำพวกนั้น ฟ่งเม้มปาก
          “รอให้พวกเขาผ่านไปก่อนไหม?” ร่างบางเอ่ยด้วยความรู้สึกว่าเขาคงพยายามที่จะปลอบใจทั้งรูฟัสและตัวเองมากกว่าเสนอทางเลือก เพราะหากออกไปช้าเกินไป ราฟาแอลอาจจะระเบิดที่นี่ทิ้ง แม้รูฟัสจะบอกว่ามันไม่ได้สร้างความเสียหายมากอย่างที่คิด แต่รูฟัสอาจจะพูดเพื่อให้เขาสบายใจก็ได้ มีระเบิดแบบไหนที่ไม่สร้างความเสียหายมากมายกันล่ะ รูฟัสนิ่งคิดอย่างชั่งใจ ดูจากท่าทางของคนพวกนั้นแล้ว เป็นประเภทที่ถูกฝึกมาอย่างดี ต่างจากพวกที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ก่อนหน้านี้ลิบลับ นี่คงเป็นพวกที่ทวีศักดิ์จ้างมาเป็นพิเศษเพื่อใช้จัดการกับปัญหาระดับใหญ่ๆ โดยเฉพาะ จุดที่พวกนั้นกำลังมุ่งหน้าไปคือบริเวณลานขยะ ซึ่งรัสเลอร์ใช้ตั้งฐานบัญชาการ รูฟัสเข้าใจทันทีว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับคำสั่งให้ไปล่าคนที่กำลังเจาะเข้าระบบแน่ๆ เขาได้แต่ภาวนาว่าราฟาแอลจะพาเจ้าบ้านั่นออกไปแล้ว
          รูฟัสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เวลาล่วงเลยจากกำหนดนัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว ถ้าราฟาแอลอยู่ที่จุดนัดหมาย และยอมรอเขานานขนาดนี้ รูฟัสคาดว่าราฟาแอลจะเหลือความอดทนในการรอเขาอีกไม่มาก ถ้าหากยังไม่รีบออกไปตอนนี้ล่ะก็ แม้แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าระเบิดที่วางเอาไว้ จะสร้างความเสียหายมากมายในระดับไหน แต่ที่แน่ใจคือ ราฟาแอลคงไม่วางระเบิดเอาไว้แค่แบบหลอกเด็กหรอก ถึงจะไม่ถึงขั้นถล่มที่นี่ แต่คงหวังในระดับที่สามารถหยุดการระดมกำลังทุกชนิดได้ ซึ่งแค่นั้นก็น่ากลัวมากพอสำหรับคนที่ยังติดอยู่ด้านใน เมื่อฟ่งยืนยันว่าไม่มีทางอื่น รูฟัสจำต้องเลือกว่าจะทำอย่างไร เขาจำเป็นต้องผ่านทางเดินไปห้องขยะนี้เพื่อตรงไปยังจุดนัดหมาย
          รูฟัสกลั้นหายใจเมื่อเห็นคนพวกนั้นกลับออกมาโดยไม่มีเสียงปืนดังขึ้น แปลว่าพวกราฟาแอลออกไปแล้ว เขารู้สึกดีใจ แต่ก็รู้สึกได้แค่แวบหนึ่ง เมื่อกลุ่มคนพวกนั้นตรงไปยังจุดที่พวกเขานัดหมายกันไว้
          แบบนี้มีแต่เร่งให้ราฟาแอลกดระเบิดเร็วขึ้น
          รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะต้องเสียง หนุ่มตาสองสีหันกลับมาหาคนที่ก้มหมอบอยู่ด้านหลัง
          “ฟ่งครับ สัญญานะครับว่าต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น คุณจะทำตามคำที่ผมบอกทุกอย่าง สัญญานะครับ”
          ฟ่งพยักหน้า ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
 ————————————————–
          ทวีศักดิ์ได้ข่าวลูกชายของเขาในตอนที่กำลังคุยอยู่กับนายตำรวจคนหนึ่ง เขารู้สึกดีใจที่วรุตปลอดภัย แต่ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันทีเมื่อรัตน์ที่ติดต่อมาแจ้งว่า ลูกชายของเขาต้องการจะกลับขึ้นไปเพื่อพาอิทธิเดชไปรักษา เขาหันกลับไปมองหน้าตำรวจนายนั้นอย่างชั่งใจ
          “พวกคุณทำให้ผมเสียเวลา ผมต้องตามรถพยาบาล ลูกชายผมกำลังแย่” ทวีศักดิ์กล่าว ตำรวจนายนั้นยิ้มออกมา
          “ลูกชายคุณเป็นอะไรหรือครับ ถูกยิง?”
          “เป็นโรคประจำตัว” ผู้เป็นพ่อตอบเลี่ยงๆ เขาไม่ต้องการเปิดเผยให้ตำรวจรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ด้านล่าง ดูเหมือนตำรวจพวกนี้จะมาเพื่อจับผิดเขา เวลาพอเหมาะจนน่าสงสัยว่าทั้งสายลับที่ดอดเข้ามาและเจ้าหน้าที่ทางการพวกนี้จะร่วมมือกันหาเรื่องเอาผิดเขา ทวีศักดิ์เอ่ยอย่างใจเย็นท่ามกลางความรู้สึกที่ร้อนรุ่ม
          “ผมให้คุณค้นที่นี่จนทั่วแล้ว พวกคุณควรจะรีบกลับไปเสีย ผมต้องการเวลาอยู่กับลูกชาย”
          ตำรวจนายนั้นยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
          “ผมต้องไปคุยกับหัวหน้าก่อน”
 ——————————————
          ดูเหมือนว่าเว่ยจินหยินจะจงใจใช้ทางที่ใกล้ที่สุดตามที่ฟ่งเคยบอก ท่าทางผู้ชายคนนี้นอกจากจะเจ้าเล่ห์อำมหิตแล้ว ยังความจำดีอย่างเหลือเชื่อ อย่างช่วยไม่ได้ เว่ยจินหยินจึงต้องเดินในแถวหน้าเพื่อทำทางกลับขึ้นไปด้านบน โดยมีเถียนซานและพวกที่เหลือเดินตามกระหนาบข้างอย่างระมัดระวัง เว่ยเฟิงปิงคิดว่าเมื่อกลับไปถึงฮ่องกงแล้วพ่อคงต้องพอใจในตัวลูกชายคนรองคนนี้มากแน่ๆ ดูท่าทางการแข่งขันระหว่างเขากับเว่ยจินหยินจะยิ่งห่างชั้นกันเข้าไปทุกที แต่ที่ไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องส่งเขาและจินหยินให้มาด้วยกัน ถ้าไม่อยากให้ลูกชายคนรองเสี่ยงมากก็น่าจะส่งเขามาคนเดียว หรือถ้าอยากให้เว่ยจินหยินสร้างผลงานก็น่าจะส่งหน่วยดำเข้ามาเพิ่มมากกว่าจะเป็นเขา หรือผู้เป็นพ่อคิดจะตอกหน้าเขาเทียบกับพี่ชายคนนี้
          เว่ยเฟิงปิงแค่นยิ้ม กับเรื่องแค่นี้เขาไม่ยี่หระหรอก ใช่ว่าเพิ่งเคยโดนดูถูกครั้งแรกเสียหน่อย ตั้งแต่เกิดมา สายตาดูถูกและคำพูดถากถางเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว ถ้าอยากจะโทษ ก็ต้องโทษผู้เป็นพ่อนั้นแหละ ที่ไม่เคยดูดำดูดีกับเขาเลย แต่ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะรำเลิกความทรงจำเก่าๆ แค่ให้เขาดำรงอยู่อย่างที่เป็นนี้ได้ ก็เพียงพอแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากจะทำลายล้างสิ่งที่เว่ยชิงสร้างเสียให้หมดสิ้น แต่พอได้มาร่วมงานกับเว่ยจินหยิน ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่าไอ้ความคิดแบบนั้นถ้าหากเขายังฆ่าเว่ยจินหยินไม่ได้ ก็คงจะกลายเป็นตัวเองนี่แหละที่ถูกฆ่าแทน
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่าพี่ชายของเขาคนนี้อำมหิตและทรงอำนาจเกินกว่าที่จะตอแยด้วยตอนนี้ และที่สำคัญเขารู้สึกขอบคุณอยู่ลึกๆ ถึงเว่ยจินหยินจะไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ฝ่ายนั้นก็คล้ายผู้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ถ้าเว่ยจินหยินไม่ยอมร่วมมือ ถ้าเว่ยจินหยินคิดจะฆ่าเขาในคราวนี้ เขาคงไม่รอด
          เรื่องนี้เขารู้สึกขอบคุณเว่ยจินหยินจากใจจริง แต่คงจะให้พูดออกไปไม่ได้ เพราะเจ้าตัวคงทำสีหน้าชักชวนให้อยากฆ่าขึ้นมาอีก เขาคงได้แต่เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้เงียบๆ และปล่อยให้กาลเวลาเลือนมันไปสักวันหนึ่ง ก่อนจะถึงวันนั้น เขาจะไม่ทำตัวเป็นภาระเกะกะเว่ยจินหยินเป็นการตอบแทนแล้วกัน                 
—————————————–
          เว่ยจินหยินก้าวเท้าอย่างมั่นคงเป็นจังหวะ งานนี้เขาจับปลาเป็นได้จำนวนมาก แถมยังเป็นปลาใหญ่ พวกริเวิลคงอยู่ไม่สุขแน่ๆ ถ้าหากเขากลับไปเหยียบฮ่องกงได้สำเร็จ ซึ่งเว่ยจินหยินแทบจะมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเขาจะทำได้ แม้ลูกน้องข้างบนจะรายงานว่ามีตำรวจไทยจำนวนหนึ่งล้อมอยู่ แต่การเจรจากับตำรวจไม่ใช่ปัญหา
เว่ยจินหยินรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกสายลับต้องทำงานให้กับคนบางกลุ่ม ถ้าหากจะเกี่ยวกับตำรวจด้วยก็คงไม่แปลก เพราะงานนี้ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์นัก แต่ถ้าหากต้องการควบคุมตัวพวกเขาเอาไว้ คงต้องหาข้อหาที่ฟังขึ้นมาชี้แจง และคงต้องวุ่นวายถึงการต่างประเทศ ซึ่งไม่มีตำรวจประเทศไหนอยากวุ่นวายกับคนนอกประเทศนัก ดังนั้นจึงไม่น่ามีเรื่องใดต้องเป็นกังวลอีก พรุ่งนี้เขาจะกลับไปเหยียบฮ่องกง กลับไปพร้อมเหยื่อตัวใหญ่และแผนการขั้นสุดท้าย
          เพื่อให้ผู้เป็นพ่อยอมรับในตัวเขาเสียที
——————————————     
          เถียนซานเดินตามเว่ยจินหยินมาอย่างเงียบๆ เขามองแผ่นหลังไม่กว้างไม่แคบของบุรุษตรงหน้าอย่างชื้นใจ อย่างน้อยครั้งนี้เว่ยจินหยินก็ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร และแผนการกลับไปเหยียบฮ่องกงก็ดูจะรัดกุมเรียบร้อย คงจะไม่มีอะไรให้ห่วงอีก ขอแค่กลับไปได้…
          เสียงดังกึกก้องของอะไรบางอย่างที่สะท้อนมาตามกระแสอากาศทำให้นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกไหววูบ เสี้ยววินาทีที่ประสาทสัมผัสบางอย่างบอกเขาว่ากำลังจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นตรงหน้า เขาคว้าตัวของเว่ยจินหยินเอาไว้ด้วยสัญชาติญาณ ก่อนที่แรงอัดมหาศาลของบางสิ่งบางอย่างจะกระแทกเข้ากับตัวอย่างจัง
——————————————
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-11-2011 09:19:38
          เว่ยจินหยินหูอื้อไปหมด ต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าที่เขาจะดึงสติตัวเองกลับมาได้  ชายหนุ่มยกมือปัดแว่นที่เลื่อนหลุดให้เข้าที่ ภาพที่เห็นคือกลุ่มควันหนา และเสียงอื้อที่ดังอยู่ในหู ก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาที ขณะที่กำลังเดินอยู่ เถียนซานดึงเขาเข้ามากอดอย่างไม่มีสาเหตุ และเสี้ยววินาทีนั้นเอง เสียงระเบิดดังสนั่น เว่ยจินหยินตัวชาไปถึงปลายเท้า หูของเขายังอื้ออยู่ แต่ที่ทับอยู่บนตัวของเขา….
          “อาซาน!” คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยตะโกนเรียบลูกน้องคนสนิท ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาขยับร่างกาย และประคองร่างที่นอนคว่ำหน้าขึ้นมา ก่อนจะชาวูบอีกครั้ง นัยน์ตาพร่าไปหมด ด้านหลังของเถียนซานเป็นแผลเหวอะหวะ ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า เมื่อครู่พวกเขายัง….
          “คุณชายเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
          เสียงตะโกนของเหล่าบรรดาผู้ติดตามที่ตั้งสติได้ดังขึ้นมา หลายคนกรูเข้ามายังตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ แต่เว่ยจินหยินเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว เขาจ้องมองแผ่นหลังของบุคคลที่ล้มอยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
          เถียนซาน!
————————————–
          เว่ยเฟิงปิงไม่ถูกสะเก็ดระเบิด เพราะเขาอยู่ห่างออกไปพอสมควร และระเบิดไม่ได้กินรัศมีกว้างนัก ดูเหมือนวางเอาไว้ก่อกวนมากกว่า ถึงอย่างนั้นพวกที่เดินตามหลังเว่ยจินหยินก็ยังบาดเจ็บอีกหลายคน แต่ถ้าไม่เพราะเถียนซานดึงตัวของเว่ยจินหยินเข้ามาแล้วกระแทกพวกที่เดินตามหลังทั้งหมดออก คนที่ได้รับบาดเจ็บอาจจะมากกว่านี้ก็ได้ ขณะที่กำลังลำดับความคิดอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นพี่ชาย
          “อาซาน!” เว่ยจินหยินเรียกชื่อนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือดราวกระดาษ มือไม้สั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จริงอยู่ที่เถียนซานช่วยชีวิตเขาเอาไว้หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจ้าตัวหมดสติไปแบบนี้เลย เว่ยจินหยินพลิกใบหน้าที่คุ้นเคยขึ้นมา มันซีดราวกับว่าเลือดที่มีอยู่ทั้งหมดไหลไปกับบาดแผลเหวอะหวะด้านหลัง
          “อาซาน!!”
          หัวสมองของเว่ยจินหยินหมุนติ้ว เหมือนสูญเสียการควบคุมไปกะทันหัน เขานึกอะไรไม่ออก นึกเพียงต้องการให้เถียนซานลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพูดกับเขาสักคำหนึ่ง ให้เขารู้ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก
          “อาซาน!! อาซาน!!”
          เสียงเรียกชื่อซ้ำๆ ราวกับคนเสียสติ กับสภาพของเว่ยจินหยินในตอนนี้ทำให้น้องชายที่เพิ่งเดินเข้ามาผงะไปครู่หนึ่ง ไม่เหลือเค้าของผู้ชายที่มีใบหน้าเรียบร้อยราวเทวดานั้นอีก สีหน้าปกติวางเฉยที่เว่ยจินหยินแสดงออกเป็นประจำไม่มีอีกแล้ว ไม่หลงเหลือเค้าของจอมวางแผนหรือดวงตาที่ฉายแววอำมหิต เหมือนลูกนกที่กำลังเสียขวัญ ผมเฝ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเผือด นัยน์ตาตื่นตระหนก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนคนเดียวกันกับเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน  เหมือนตัวตนทั้งหมดที่เว่ยจินหยินมีพังทลายไปพร้อมกับร่างที่ล้มคว่ำตรงหน้า
          “อาซาน!!” เว่ยจินหยินเขย่าร่างหนาตรงหน้าอย่างรักษาสติไม่ได้ น้ำตาไหลพราก พร่ำเรียกชื่อลูกน้องคนสนิทซ้ำๆ ด้วยหวังเพียงจะได้ยินเสียงตอบ และไม่ว่าใครพยายามจะเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหลือก็จะถูกปัดมือออกทุกครั้ง ราวกับว่าไม่ต้องการให้ใครมาแตะตัวผู้ชายที่ล้มอยู่คนนั้นเด็ดขาด เว่ยเฟิงปิงเห็นท่าไม่ดีแน่ๆ แม้เขาจะไม่เคยพบเองจริงๆ แต่นี่คงจะเรียกว่าอาการช็อคล่ะมั้ง ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ ต่อให้ไม่มีระเบิดใกล้ๆ แต่เถียนซานคงได้เสียเลือดตายจริงๆ แน่ เขาก้าวปราดๆ เข้าไปหาผู้เป็นพี่ชายที่ไม่เหลืออะไรอยู่อีกนอกจากเสียงตะโกนอย่างไร้สติและมือที่ปัดป่ายอย่างคุ้มคลั่ง
          เพี๊ยะ!!
          เสียงตบนั้นดังพอจะแสดงความแรงของมันให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้รับทราบ แว่นตากรอบทองของเว่ยจินหยินเลื่อนออกจากหน้าจนแทบจะหลุด ขณะที่บนใบหน้าขาวซีดปรากฏรอยนิ้วมือขึ้นมาเป็นปื้น เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจ เขาเพิ่งผ่านการยื้อยุดฉุดกระชากกับคนที่เพิ่งเสียสติหมาดๆ เรี่ยวแรงน้อยๆ ซะที่ไหน
          “ตั้งสติหน่อยสิ พี่ทำแบบนี้มีแต่เถียนซานจะเสียเลือดตายเอานะ”
          ร่างกายของเว่ยจินหยินเหมือนถูกแช่แข็งอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง ก่อนที่มือสั่นเทาจะเลื่อนขึ้นจับแว่นให้เข้าที่ และพยักหน้าหน่อยๆ
          “นั่นสินะ…” เว่ยจินหยินกล่าว เหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง แต่น้ำตายังคงไหลอยู่อย่างห้ามไม่ได้ เขาขยับตัว พยายามประคองร่างที่ทั้งสูงทั้งหนักกว่าตัวเองขึ้น โดยมีลูกน้องตามมาช่วยอีกหลายคน เว่ยเฟิงปิงยืนมองด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ครั้งหนึ่งเขาเคยขาดสติและทำอะไรบ้าๆ ทำนองนี้ลงไปเหมือนกัน
          ในตอนที่เห็นว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจะฆ่ารูฟัส
          เว่ยเฟิงปิงเข้าใจอารมณ์ขาดสตินั้นเป็นอย่างดี แต่กรณีของเว่ยจินหยิน ดูจะหนักข้อกว่าเขาเสียอีก ไม่คิดเลยว่าพี่ชายคนนี้จะผูกพันกับอดีตลูกน้องที่เติบโตมาด้วยกันในวัยเด็กมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ที่ว่าเว่ยจินหยินอำมหิตก็คงจะไม่จริงนัก อย่างน้อยพี่ชายของเขาก็ดูจะมีหัวใจอยู่บ้าง และหัวใจที่ว่านั้นอาจจะอยู่กับลูกน้องคนสนิทที่ชื่อเถียนซานคนนั้นก็ได้
          มือใหญ่อบอุ่นเลื่อนเข้ามาจับมือของเขาไว้อย่างเงียบเชียบ พร้อมร่างของจางซื่อเยี่ยนที่เดินเบียดเข้ามา
          “ไม่เป็นไรนะครับ?”
          เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า และยิ้มออกมา จะว่าไปเมื่อครู่จางซื่อเยี่ยนก็เอาตัวมาบังเขาเอาไว้เหมือนกัน ร่างบางกระซิบเบาๆ
          “ขอบใจนะ”
——————————————
          เว่ยจินหยินกุมมือสากหนาของเถียนซานแน่น มือที่เคยมีไออุ่นก่อนหน้านี้ไม่นานตอนนี้กลับเย็นเฉียบ เขายังจำสัมผัสสุดท้ายในตอนที่เถียนซานกอดเขาได้ ไม่มีคำพูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น เป็นสัญชาติญาณที่ต้องการปกป้องโดยเฉพาะ ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีคำเตือนใดๆ มีแต่ร่างสูงใหญ่ที่พยายามจะปกป้องเขาเอาไว้จากอันตรายที่เกิดขึ้น
          หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ในสมองของเว่ยจินหยินไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ของตัวเองอีกแล้ว หัวใจของเขาคล้ายดั่งจะแตกสลายเมื่อเห็นร่างนั้นแน่นิ่งตรงหน้า สติของเขาขาดผึงลงทันใด ในหัวมีเพียงเสียงคร่ำครวญด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
          อาซาน
          น้ำตาระอุอุ่นไหลอาบร่องแก้ม เปียกชุ่มคอเสื้อ มันยังไหลไม่หยุดเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งมาถึงรถพยาบาลแล้ว น้ำตาก็ยังคงเอ่อท้นอยู่ เว่ยจินหยินแนบหน้าลงไปบนหลังมือเย็นของอีกฝ่าย หวังเพียงอยากถ่ายทอดความอบอุ่นที่ตัวเองมีให้ ในหัวใจอัดแน่นไปหมด เขาอยากจะเอ่ยเรียกชื่อนี้สักร้อยล้านครั้ง เรียกไปเผื่อว่าคนที่กำลังใส่เครื่องช่วยหายใจตรงหน้าเขานี้จะฟื้นขึ้นมาและยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง แค่เรียกชื่อคนคนนี้หัวใจชืดชาของเขาก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด มีเพียงเวลาที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่เว่ยจินหยินรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีชีวิตมีจิตใจ เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างได้ เถียนซานคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีความเป็นคนอยู่
          ถ้าหากต้องสูญเสียผู้ชายคนนี้ไป….
          ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาเว่ยจินหยินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย เขาเชื่อมาโดยตลอดอย่างที่เคยเชื่อว่าเถียนซานจะไม่เป็นอะไร ถึงยังไงก็จะอยู่เคียงข้างเขา แม้แต่การย้ายออกไปก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจ เว่ยจินหยินรู้ดีว่าเถียนซานไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปไหนเด็ดขาด ขอเพียงแค่มีผู้ชายคนนี้คอยเคียงข้างเขา ต่อให้ต้องเหยียบย่ำไปบนซากศพของใครต่อใคร ต่อให้ถูกประณามหยามว่าเป็นคนโหดเหี้ยมไร้หัวใจ เว่ยจินหยินไม่เคยหวั่นไหวหวั่นเกรง แต่ว่าตอนนี้….
          เปลือกนอกทุกอย่างของเว่ยจินหยินพังทลายลง เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะเป็นยังไง หรือตัวเองจะมีสภาพแบบ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งที่ประดังประเดเข้ามาแทบทำให้เขาเสียสติ หัวใจของเขาปวดแปลบ แทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด ยามได้เห็นชายผู้ที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่ทำทุกอย่างมาเพื่อเขาตลอดสามสิบปี กับมือสากหยาบนี้ กับการกระทำคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่าง  ผู้ชายที่รักเขาที่สุด รักมาตลอดสามสิบปี ทุ่มเทความรักและชีวิตให้เขาโดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดเลย
          อาซาน
          เว่ยจินหยินขบริมฝีปากตัวเองจนแตก เลือดสีแดงไหลซึมออกมา เขาอยากจะเรียกชื่อนี้เจียนคลั่ง แต่ต่อให้เรียกจนไม่มีเสียง เถียนซานก็คงไม่อาจฟื้นขึ้นมาตอบเขาได้ เว่ยจินหยินไม่เคยสำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว ตอนนี้เขาเพียงเสียใจ เสียใจที่ไม่อาจหักห้ามความเสียใจของตนเองเอาไว้ได้
          เขาไม่อาจยืนหยัดเข้มแข็งได้เองโดยปราศจากผู้ชายคนนี้
          แม้จะรู้ว่าเป็นกับดักของพ่อ แต่เขาก็ยังกระโดดเข้ามา ด้วยคิดเพียงว่าหากทำสำเร็จในครั้งนี้ คงพอจะสร้างความชอบใจให้กับชายชราที่เย็นชากับเขามาตลอดสามสิบปีคนนั้นได้บ้าง ด้วยความเอาแต่ใจ แม้จะรู้ว่าเถียนซานมีงานยุ่ง เขาก็ยังอุตส่าห์ไปตามตัวมาเพื่องานนี้ เพราะนอกจากเถียนซานแล้วคงไม่มีใครสามารถทำหน้าที่ที่เขาจะมอบหมายได้อีก ขอให้มีผู้ชายคนนี้มาด้วย แผนของเขาจะต้องสำเร็จ ทุกอย่างที่วางเอาไว้จะต้องเรียบร้อย ขอแค่มีเถียนซานอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเว่ยจินหยินมั่นใจว่าสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะเว่ยจินหยินเชื่อใจผู้ชายคนนี้มากที่สุด กระทั่งแม้ลมหายใจเขาก็ฝากกับเถียนซานได้
          น้ำตาไหลอาบมือที่ยังไม่ตอบสนองใดๆ สิ่งเดียวที่ทำให้เว่ยจินหยินยังไม่เสียสติไปตอนนี้ คือลมหายใจแผ่วอ่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายแข็งแกร่งนั้น
          หากลมหายใจนี้สิ้นไป เขาคงไม่อาจทนอยู่บนโลกนี้ได้อีก
          เว่ยจินหยินเพิ่งตระหนักชัด สำหรับเขาแล้ว เถียนซานไม่ใช่เพียงแต่เพื่อนในวัยเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่พี่เลี้ยง ไม่ใช่เพียงแค่คนสนิทที่รับใช้กันมาเนิ่นนาน ไม่ใช่เพียงคนที่รักเขา ไม่ใช่เพียงคนที่เขารัก แต่…คนคนนี้คือชีวิตของเขา
          หากต้องสูญเสียไป แล้วเขาอยู่ได้อย่างไร….
 ——————————————-
          ฟ่งเดินกระโผลกกระเผลกออกมาจากมุมหนึ่งของทางเดิน ด้วยเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเลือด สีแดงของมันตัดกับสีขาวของเนื้อผ้าอย่างเห็นได้ชัด เขาร้องขอความช่วยเหลือเสียงพร่า
          “ช่วยผมด้วย!!”
          หนึ่งในชายชุดดำหันมาทางเขาและประทับปืนเข้ากับบ่า เตรียมพร้อมจะจัดการทันทีที่มีสิ่งผิดปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือร่างเปื้อนเลือดนั้นกระตุกเหมือนถูกอะไรบางอย่างจากด้านหลัง และล้มฟาดลงไป
          ชายในชุดดำทั้งหกคนมองหน้ากัน สองในหกตัดสินใจเดินเข้ามาสำรวจในบริเวณที่บุคลลแปลกหน้าในชุดฟอร์มของที่นี่เพิ่งล้มลงไป บางทีคนที่พวกเขาตามหาอาจจะอยู่ใกล้ๆ
          รูฟัสแทบจะหยุดหายใจ ในตอนที่พวกนั้นเดินไปสำรวจร่างของฟ่ง เขากลัวว่าฟ่งจะทำอะไรให้ผิดสังเกต มันเป็นวิธีที่เสี่ยงมาก สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องพรรณนี้ แต่ดูเหมือนว่าฟ่งจะแสดงละครได้ดีเกินคาด อย่างน้อยก็ไม่มีใครสังเกตว่าเลือดที่เปื้อนอยู่นั้นไม่ได้ไหลออกมาจากร่างกายที่นอนอยู่ ดูเหมือนคนพวกนั้นจะสงสัยว่าอะไรกันแน่ที่ฆ่าผู้ชายคนนี้ รูฟัสหยิบเศษอะไรสักอย่างที่เขาเก็บได้ระหว่างทางขึ้นมา และโยนมันไปในอีกทางหนึ่ง เป้าหมายคือเบนความสนใจจากบริเวณที่ฟ่งนอนอยู่ เขาจำต้องล่อพวกนั้นขึ้นมาให้หมด เพราะถ้าเกิดจัดการแค่สองคนนี้ พวกที่เหลืออาจจะรู้ตัวทันทีว่านี่เป็นแผนลวง และอาจจะถล่มยิงเข้ามาเลยก็ได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ฟ่งที่นอนอยู่อาจจะได้รับอันตราย
          เสียงเหมือนวัตถุแข็งกระทบพื้นทำให้สองคนหันไปมองทันที ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนที่เหลือ ในที่สุดคนทั้งหมดก็ตกลงแยกย้ายกันสำรวจรอบๆ แม้จะผิดความคาดหมายในตอนแรกไปบ้าง แต่การแยกกันแบบนี้ ก็ถือว่ายังอยู่ในแผนที่จะกระทำการบางอย่างได้
          รูฟัสล้วงมีดขว้างอีกเล่มออกมา ใบสีเงินคมกริบของมันเป็นประกายวาววับในความมืด ข้อดีที่เด่นชัดของมีดคือมันเงียบกว่าปืนที่ติดเครื่องเก็บเสียงหลายเท่า หนุ่มตาสองสีหรี่นัยน์ตาแปลกประหลาดคู่นั้นลง และขว้างมีดเล่มนั้นออกไป มันปักเข้าตรงขมับของชายชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่ราวๆ สิบเมตร ชายคนนั้นล้มลงก่อนจะทันได้พูดจาอะไรเสียอีก
เสียงร่างและสรรพาวุธที่คล้องสะพายอยู่กระแทกพื้นนั้นดังพอที่จะดึงความสนใจของอีกห้าคนที่เหลือ
รูฟัสพาตัวเองกระโจนตามทางลับขึ้นไปบนระเบียงชั้นบน เขาจำต้องสร้างภาพว่าสิ่งที่ทำให้ร่างนั้นล้มลงไม่ได้มาจากบริเวณที่ฟ่งนอนอยู่ รูฟัสขว้างมีดออกไปอีกเล่ม มันปักลงบนท้ายทอยของอีกคนหนึ่งซึ่งหันกลับไปมองร่างของเพื่อนที่ล้มลงไป  คราวนี้สี่คนที่เหลือเคลื่อนไหวอย่างระวังตัวมากขึ้น พวกเขารู้แล้วว่ากำลังถูกจ้องเล่นงาน รูฟัสหมอบและคลานอย่างช้าๆ เสื้อผ้าที่มีระบบพรางตาทำให้คนพวกนั้นยังไม่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในมุมมืดของระเบียงด้านบน เมื่อมาถึงบริเวณที่สามารถกำบังลูกกระสุนได้  เขาจึงขว้างมีดออกไปอีกเล่ม มันปักลงกลางหน้าผากของชายคนหนึ่งซึ่งหันหน้ามาพอดี
“มันอยู่ด้านบน!”
เสียงกระซิบกระซาบที่ดังพอจะได้ยินในความเงียบเช่นนี้ดังขึ้นระหว่างคนที่เหลือทั้งสาม และเสียงสาดกระสุนก็ตามมาระรอกใหญ่ ต้องขอบคุณไอ้วัสดุบางๆ ที่สร้างจากนวัตกรรมระดับนาโนพวกนี้ ที่มันสามารถต้านทานกระสุนพวกนั้นเอาไว้ได้ รูฟัสนึกหงุดหงิดใจที่เขาไม่ได้เก็บมีดกลับมาตอนที่พาฟ่งออกมาจากห้องนั่น มันเลยเหลือจำนวนไม่พอกับคนที่ยังรอดอยู่ รอจนเสียงปืนเงียบลง ชายหนุ่มกระโดดจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ลงไปยังระเบียงที่อยู่ต่ำลงไปอีกราวๆ ครึ่งเมตร เสียงรองเท้ากระแทกกับพื้นผิวสังเคราะห์นั่นดังพอจะให้ฝ่ายตรงข้ามทราบตำแหน่งของเขา แต่ระหว่างที่กระโดด รูฟัสได้ขว้างอะไรบางอย่างออกไปด้วย
กลุ่มควันสีขาวเริ่มฟุ้งกระจายออกมาจากกระบอกสีเงินที่ถูกเขวี้ยงลงไป อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังตกใจ รูฟัสเก็บไปได้อีกหนึ่ง ก่อนที่ควันสีขาวนั้นจะปกคลุมจนทั่วบริเวณ ชายหนุ่มกระโดดลงจากระเบียงที่ซ่อนลงไปในกลุ่มควันหนาทึบนั้น เขากลิ้งตัวทันทีที่สัมผัสพื้นเบื้องล่าง แทบจะพร้อมกับห่ากระสุนที่สาดเข้ามา รูฟัสชักมีดสงครามขนาดพิเศษที่ราฟาแอลซื้อมาฝากเขาออกมาจากปลอก ควันพวกนี้จะกระจายตัวได้หนาขนาดพอจะให้เขาอาศัยซ่อนตัวได้ไม่น่าจะเกินห้านาทีในสภาพอับลมเช่นนี้ ห้านาทีนี้ขอให้เขาจัดการพวกนี้ได้หมดก่อนที่ราฟาแอลจะหมดความอดทนด้วยเถอะ
ฟ่งแทบจะไม่กล้าขยับตัวหรือลืมตาขึ้นมาเลย รูฟัสเสนอแผนกลลวงนี้ให้เขา และเขาก็เพิ่มความน่าสนใจให้มันด้วยการยอมกรีดแขนข้างหนึ่งของตัวเองเพื่อย้อมเสื้อ ซึ่งดูรูฟัสจะตกใจกับเรื่องนี้มาก ฟ่งเองก็รู้สึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าเขาจะเล่นละครตบตานี้ได้ดีขนาดไหน ในเมื่อมันเป็นละครที่เกี่ยวพันถึงชีวิต ชายหนุ่มตัดสินใจว่าเขาจะทุ่มเต็มที่ ผลคือตอนนี้เขาเจ็บหน้าผากอย่างมาก เหตุจากการที่พาตัวเองล้มฟาดลงกับพื้นนั่นแหละ
เสียงปืนห่าใหญ่นั้นทำให้ฟ่งใจหายวาบ เขาภาวนาให้รูฟัสปลอดภัย พยายามบอกตัวเองให้เชื่อถือผู้ชายคนนั้น รูฟัสผ่านเรื่องแบบนี้มามากกว่าเขา ผู้ชายคนนั้นคงจะเอาตัวรอดได้
รูฟัสหมอบต่ำอยู่ในกลุ่มควัน เขารู้ว่าคนที่ฝึกมาอย่างชำนาญการแล้วจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ สองคนที่เหลือคงอยู่ในที่กำบังหรืออยู่ในท่าตั้งรับที่รอบคอบและปลอดภัยที่สุด แต่การตั้งรับก็คือการตั้งรับ ในสถานการณ์แบบนี้มันคือการเปิดช่องให้กับฝ่ายที่ต้องการโจมตี
ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตาลง นับจากห่ากระสุนแรกที่ลั่นใส่เขาเมื่อครู่ หนึ่งในนั้นคงอยู่เยื้องจากเขาไปทางซ้าย รูฟัสไม่แน่ใจว่าคู่อยู่ด้วยกันหรือแยกกัน เพื่อความปลอดภัย เขาจำต้องเข้าถึงตัวของคนพวกนั้นให้เงียบมากที่สุด และอย่างที่เขากลัว สองคนนั่นยืนหันหลังเข้าหากัน มันเป็นท่าตั้งรับที่ค่อนข้างจะพื้นฐานและสมบูรณ์แบบในการรับการลอบโจมตีแบบนี้ รูฟัสกลั้นหายใจ ดูท่าเขาจะต้องเสี่ยงอีกครั้ง ก่อนที่กลุ่มควันจะสลายไป
มีดสงครามเล่มใหญ่พุ่งเข้าเสียบสีข้างของชายผู้ซึ่งกำลังหันปืนไปในทิศทางอื่น เมื่อรู้ถึงความผิดปกตของผู้ที่ยืนหลังพิงกันอยู่ ชายอีกคนหันกลับมาและรัวปืนใส่ทันที  รูฟัสพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระแทกร่างทั้งสองและอาศัยจังหวะนั้นดึงมีดออกมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ขณะที่รูฟัสจ้วงมีดเข้าใส่อีกคนหนึ่ง เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อใบมีดยาวกระแทกเข้ากับตัวปืนกลแบบพกพานั่น ชายหนุ่มไม่ยอมเสียจังหวะ เขาเตะตัดขาอีกฝ่ายทันที แทบจะพร้อมกันกับกระบอกปืนพกที่พุ่งตรงเข้ามา
ปังๆ!
กระสุนปืนเฉี่ยวหนังหัวของเขาไปนิดเดียว รูฟัสกลิ้งหลบไปอีกทาง เป็นไม่กี่ครั้งที่มีคนรับมีดของเขาได้ แถมยังสวนกลับมาด้วยปืนพกอีก เจ้าหมอนี่คงใจเย็นพอๆ กับเพื่อนร่วมงานของเขาเลยทีเดียว
อีกฝ่ายไม่ปล่อยเวลาให้เขาคิดมากนัก กระสุนถูกลั่นออกมาอีก รูฟัสกลิ้งตัวหลบ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ร่างนั้นอีกรอบ เพราะกลุ่มควันที่ยังไม่จางทำให้อีกฝ่ายเล็งระยะได้ลำบาก คมมีดเย็นเยียบจึงพุ่งเข้าถึงคอหอยของเขาได้ก่อนที่เขาจะทันได้เล็งปืนเข้าสู่จุดตายของคู่ต่อสู้ รูฟัสส่งคู่มือของเขาลงไปนอนกับพื้นก่อนที่จะจัดการให้อีกคนที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเงียบเสียงลง
ฟ่งยังคงนอนนิ่งในตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้า รอจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อนั่นแหละถึงได้เงยหน้าขึ้นมา
“คุณบาดเจ็บ?” ร่างบางร้องอย่างตกใจและพยายามจะยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล รูฟัสยิ้มพลางเช็ดเลือดออกจากใบหน้า
“เปล่า นี่ไม่ใช่เลือดผมหรอก” เขาว่า ฟ่งเพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าของรูฟัสด่างเป็นหย่อมๆ เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไป ไม่อยากจะจินตนาการว่าผู้ชายคนนี้เพิ่งทำอะไรมา
“รีบไปกันเถอะครับ” รูฟัสเอ่ย และคว้ามือของฟ่งขึ้นมา เขารู้สึกสงสารเมื่อเห็นว่าหน้าผากของฟ่งปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเสียงระเบิดที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องรีบพาผู้ชายคนนี้ออกไปจากสถานที่นี้ให้ไวที่สุด
ดูเหมือนราฟาแอลจะหมดความอดทนในการรอคอยแล้ว
—————————————————
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่64 p11 16/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 17-11-2011 09:25:03
          วรุตสะดุ้งสุดตัวในตอนที่เสียงระเบิดดังขึ้น เขากำลังกุมมือของอิทธิเดชอย่างวิตกกังวล ลำพังแค่รอการติดต่อกลับจากผู้เป็นพ่อก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มร้อนรุ่มพออยู่แล้ว ยังมีเสียงระเบิดพวกนี้อีก และคราวนี้มันไม่ใช่แค่การระเบิดตูมเดียวเหมือนหนแรก มันดังติดกันหลายรอบจนถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อแล้วว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะระเบิดสถานที่นี้จริงๆ ในที่สุดความอดทนก็สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มวิ่งไปคว้าโทรศัพท์จากมือของผู้ที่เขาเรียกว่าอารัตน์ และติดต่อขึ้นไปหาบิดาของเขาทันที
          “พ่อ!!”
          ทวีศักดิ์รู้สึกดีใจมากตอนที่ได้ยินเสียงลูกชาย ก่อนหน้านี้วรุตปฏิเสธที่จะคุยกับเขา และตัวเขาเองก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการเจรจากับตำรวจ ดูเหมือนพวกนั้นรู้ว่าเขากำลังซ่อนอะไรเอาไว้ แต่ยังหาเหตุผลจะเข้าไปค้นไม่ได้ ประโยคต่อมาของวรุตทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับตัวชา
          “ด้านล่างมีระเบิด พ่อต้องให้พวกผมกลับขึ้นไป เราต้องการหมอ พี่เดชกำลังจะตาย”
          “ลูกพูดว่าอะไรนะ ระเบิด?” คำหลังทวีศักดิ์ถึงกับต้องยกมือขึ้นป้องปากของตัวเอง เขาไม่อยากให้นายตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินบทสนทนานี้ วรุตกรอกเสียงกลับมา
          “พ่อฟังดูสิ”
          ทวีศักดิ์หลับตาลงอย่างสยดสยอง เสียงนั่นดังพอที่จะได้ยินผ่านหูโทรศัพท์ เขากัดฟันกรอด นึกสาปแช่งทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งไอ้สายลับพวกนั้น และตำรวจพวกนี้ด้วย ชายวัยห้าสิบเศษหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับนายตำรวจที่ยืนอยู่
          “พวกคุณต้องกลับไปเดี๋ยวนี้!!” เขาเอ่ยเสียงเครียด แต่ตำรวจนายเดิมกลับมีสีหน้านิ่งเฉย
          “หัวหน้าแจ้งกับผมให้จับตาดูคุณเอาไว้ เราจะยังไม่ไปไหนในตอนนี้ จนกว่าจะได้หลักฐานที่สายรายงานมา”
          “อยากได้หลักฐานอะไรอีก ก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้มีอะไรอย่างที่คุณว่า” ทวีศักดิ์เอ่ยอย่างร้อนรน เขาเป็นห่วงวรุตมากกว่าที่จะห่วงผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดช แต่ปัญหาคือดูเหมือนวรุตจะห่วงผู้ชายคนนั้นมากกว่าตัวเอง
          “ผมว่าคุณมีแน่ๆ เอาล่ะครับ คุณทวีศักดิ์ ผมว่าเราควรจะทำอะไรๆ ให้มันง่ายขึ้น”
          นายตำรวจผู้ซึ่งเดินเข้ามาสมทบเอ่ยปากขึ้น ทวีศักดิ์เงยหน้ามองเขาและขมวดคิ้ว พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง ตำรวจนายนั้นยิ้มบางๆ
          “เราจะกันตัวลูกชายคุณไว้ในฐานะพยาน คุณต้องการรถพยาบาลไม่ใช่หรือครับ?”
 ——————————————————–
          “เฮ้ ใจเย็นๆ สิ ราฟี่ รูฟัสยังไม่มาเลย” รัสเลอร์พูดอย่างร้อนรน เมื่อได้ยินเสียงระเบิดติดกันหลายระลอก เขารู้ว่าราฟาแอลไม่รอแล้ว และหมอนี่เพิ่งกดสวิตช์ระเบิดไปเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วนี่เอง
          “เราเกินเวลามาเยอะแล้ว รัสเลอร์ ฉันคงต้องยอมให้คลาวเดียด่า ทำงานของนายได้แล้ว”
          รัสเลอร์เองอยากจะรีรอเพื่อถ่วงเวลาอีกพักหนึ่ง แต่พอเห็นนัยน์ตาสีเขียววาวโรจน์ที่มองมาแล้วก็ต้องรีบแจ้นไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา เสียบต่อเข้ากับแผงวงจรหน้าลิฟท์รูปไข่แบบเดียวกับที่พวกเขาอาศัยเข้ามาในตอนแรก ซึ่งคราวนี้มันคงไม่ถล่มอีก ราฟาแอลฟังเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องขึ้นด้วยความรู้สึกเงียบงันอย่างบอกไม่ถูก
          คงถึงเวลาที่เขาจะต้องหาคู่หูคนใหม่แล้ว
          นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นเหม่อมองออกไป ให้ตายสิ กะอีแค่ขาดไอ้ตัวกวนประสาทนั่นไปคนเดียวคงไม่ทำให้ชีวิตเขาขาดสีสันมากมายนักหรอก ถึงอย่างนั้น ไอ้เวลาที่ทำงานกันมาตั้งสิบสองปีนี่มันช่างสร้างความทรมานที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ เมื่อจะต้องคิดว่าคงไม่มีหมอนั่นอีกแล้ว
          “Dam!! Fucking Rufus” ราฟาแอลพึมพำออกมาในขณะที่รัสเลอร์ปลดระบบล็อก แรงระเบิดทำให้ระบบกลางตัดเข้าสู่ภาวะฉุกเฉิน กลไกประตูของห้องรูปไข่เปิดอ้าออก รัสเลอร์ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ถ้าราฟาแอลเป็นห่วงรูฟัสขนาดนั้นแล้วทำไมไม่รอต่ออีกสักหน่อย แต่ป่วยการจะพูดกับผู้ชายอารมณ์ร้อนคนนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้าไปในลิฟท์ เพื่อนร่วมงานที่ยังเหลืออยู่คนเดียวของเขาก้าวตามเข้ามา ห้องเริ่มเคลื่อนที่ขึ้น ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนคุ้นหูก็ดังขึ้น
          “Hey!! Who you call Fucking! Let’s us go with you, Raphy”
          รัสเลอร์อ้าปากค้างด้วยความตกใจระคนดีใจ เสียงกวนประสาทแบบนี้ต้องเป็นหมอนั่นไม่ผิดแน่ ขณะที่หนุ่มสติเฟื่องกำลังตกอยู่ในอารามดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ราฟาแอลได้สติเร็วกว่านั้นมาก เขาเอื้อมมือลงไปคว้าเพื่อคว้ามือของคู่หูไว้
          “Спасиơо!” รูฟัสเอ่ย แต่ผู้ที่ราฟาแอลคว้ามือเอาไว้กลับไม่ใช่คู่หูของเขา แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งที่รูฟัสผลักเข้ามาแทน
          “God dam! You again?” ราฟาแอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ได้ว่าพอใจหรือโมโหกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดึงตัวฟ่งขึ้นมา ฟ่งไถลตามแรงกระชากที่มหาศาลจนน่าตกใจไปตามพื้นลิฟท์ และชนเข้ากับรัสเลอร์ซึ่งยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
          “Wow! I get a gift!” รัสเลอร์อุทานและคว้าตัวของฟ่งเอาไว้ ฉวยโอกาสที่ยังชุนละมุนอยู่ ดึงร่างบางเข้ามากอด ฟ่งเผลอกอดตอบด้วยความตกใจ ขณะที่ราฟาแอลขว้างอะไรบางอย่างลงไป
          “Quickly! I bet I will kick your ass after this!!”
          รูฟัสคว้าเชือกที่ราฟาแอลเขวี้ยงลงมาให้ขณะที่ลิฟท์เคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ
          “Ok! I will let’s you do that later” หนุ่มนัยน์ตาสองสีกล่าวและยึดเชือกเพื่อดึงตัวขึ้นไปบนลิฟท์ ราฟาแอลคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันทีที่อยู่ในระยะ และดึงขึ้นไป
          “Большое спасиσо!” รูฟัสเอ่ยทันทีที่ขึ้นมาได้แล้ว
          “Ладно” ราฟาแอลกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับยกเท้าถีบรูฟัสโครมใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองเต็มที่ “Dam! How dare you let’s me waiting!!”
          รูฟัสหัวเราะออกมา “You talk like a woman, Well I’m back now.”
          “Fucking Rufus!” ราฟาแอลว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะรัดวงแขนเข้าหากันด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
          “Thank god to make you waiting for me” รูฟัสเอ่ย เขารู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่ราฟาแอลไม่ออกไปเสียก่อน ราฟาแอลทุบหลังเขาอย่างแรง ก่อนจะผละออก
          “Tell me who I must thank about this, Who save you, God or… him?”
          ประโยคสุดท้ายทั้งคู่หันไปมองฟ่ง ซึ่งยังคงถูกรัสเลอร์กอดด้วยความยินดี รูฟัสถึงกับขมวดคิ้วยิ้ม
          “Hi! Rusler. How dare do you that!!”
          “Ouch! Fucking you Rufus, you wanna kill me?” รัสเลอร์โวยวายออกมาหลังจากที่หลบเท้าของรูฟัสที่ถีบเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด เขาปล่อยฟ่ง และหันมาเอ็ดอีกฝ่ายต่อ “ฉันอุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอนายอีกรอบ แต่นายดันตอบแทนแบบนี้เนี่ยนะ”
          “อืม…สำหรับคนฉวยโอกาสแบบนาย ฉันว่ามันก็สมควรแล้ว” รูฟัสตอบ รัสเลอร์นึกสาปแช่งว่าทำไมหมอนี่ไม่ติดอยู่ในห้องนั้นตลอดไปเสียเลย ฟ่งหัวเราะขึ้นมา
          “ดีจริงๆ ที่ทุกคนปลอดภัย” ร่างบางกล่าว ทันใดนั้นสติของเขาก็ดับวูบลง
——————————————— 
**จบตอนนี้...

ทุกคนต้องใจหายกับคู่เถียนซานและเว่ยจินหยินแน่เลย... อาซาน!!

แต่โดยส่วนตัวคนเขียน เรากลับชอบแก๊งสามช่าที่มีรูฟัส ราฟาแอล และรัสเลอร์เป็นการส่วนตัวในตอนนี้ล่ะ รู้สึกว่าราฟาแอลนี่ซึนจริงๆ เลยน๊า (โดนเอาลูกปืนยัดปาก)

ราฟาแอลเป็นคาแรคเตอร์ที่น้องคนหนึ่งซึ่งช่วยดูเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มๆ ให้ชื่อมาค่ะ และเราก็ชอบหมอนี่เป็นการส่วนตัวอยู่พอสมควร (แม้คนอ่านจะประนามว่าเป็นตัวสร้างความแตกแยกและเป็นผู้ชายเส็งเคร็งอย่างที่สุด)

ที่จริงพยายามจะเขียนอดีตของหมอนี่เพื่อลงในเล่มพิเศษอยู่ แต่ก็ไปไม่ถึงไหนสักที เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องไงดี... :a5:

แต่คงไม่ให้วายอะไรกับรูฟัสหรอกนะคะ (เพราะเกินจะรับประทานกล้ามคู่ได้ เดี๋ยวติดคอ ฮ่าๆ)

อยากชวนคุยเรื่องตัวละครในเรื่องนี้จังเลยค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีตัวละครมาก แล้วก็เป็นเรื่องแรกที่เราเขียนค่ะ เรารักตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวเลยค่ะ^^

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ

****โพสติดกันสามช่วงอีกแล้ว=[]=
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 17-11-2011 10:47:13
ท่าทางจินหยินจะช็อคมากเลยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 17-11-2011 12:58:04
อาซานนนนน!! ซาน ซาน ซาน,,, *echo*

เย๊ยยยยยยยยยยยยย ระเบิดดด!!!
ถึงกับช็อกเลยหรอจินจิน !~ *ปลอบ*

รอดออกมาได้ซะทีนะฟ่ง~

ทอล์ค : .ก็ยังลุ้นระทึกได้สม่ำเสมออออ

มา! ไหนๆคนเขียน ก็อยู่บ้านไม่มีใครพูดด้วยเรามาทอล์คเรื่องตัวละครกัน(เค้าไม่ได้รอกเรื่องน้ะพี่โมดุที่เคารพรัก)

*ตั้งโต๊ะทอล์ก*

ส่วนตัวเราชอบจินจินมากเลยย (แต่น้อยกว่าคงฉ่วย นะ ฮ่าๆ)

จินจินมีปมที่น่าสนใจมากเลย บวกกับความร้ายกาจและอ่อนไหวแล้วเนี่ยย ช่างน่ารักน่าเอ็นดู(?) ที่สุดด!! *หยิกแก้ม*

และอีกคนคือฟ่ง เป็นตัวที่ถ่ายทอดฟีล ลังเลไม่มั่นคง ออกมาได้เจ๋งมากอ่ะ! ความไม่แน่ใจ,สับสน อะไรเทิอกนั้นน แต่สุดท้ายก็แพ้ทางคุณรูฟัสจนได้อ่ะะะะะ หวังว่าคงจะรักกันดีในเร็ววัน(?)

คนเขียนต้องเอามาลงทุกวันนะ ละถ้าาลืมอามาลงนะฮึ่มมมม!!!
เขาก็จะรออออ  // ตาวิ้ง

*โดนถีบ*

ยาวอีกละ จิ้มมือถือมาตามสเตป

ขอบคุณคนเขียนมากนะเฮิ๊ฟฟฟ!!~~


หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 17-11-2011 17:55:11
ฟ่งเป็นลม (อีกแล้ว)  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 17-11-2011 18:53:47
ใจหายใจคว่ำอะ อาซานจะเป็นอะไรมั้ยเนี้ย ไม่อยากให้พี่เดชเป็นอะไรเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 17-11-2011 19:36:25
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ไอคนแต่งเรื่องนี้เขาเป็นโรคจิตระยะสุดท้ายหรือไงกันนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 17-11-2011 22:47:27
ยาวสะใจมากคะ >__<~

และแล้วฟ่งๆแอนด์เดอะแก๊งก็กำลังจะออกมาได้แล้ว ปลาบปลื้ม~~


แต่อิทธิเดชกะอาซานนี่สิที่น่าเป็นห่วง

ชอบตอนที่เฟิงปิงเดินไปตบเรียกสติจินหยิน ให้ความรู้สึก เค้าก็ยังมีความห่วงใยกับพี่น้องบ้าง(แม้จะน้อยเต็มที!!)

เอาละคะ ยังไงก้รอตอนต่อไปอยู่นะคะ อย่างใจจดใจจ่อ ~
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-11-2011 17:12:43
**เกือบลืมอัพอีกแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ แบบว่ามันลืมอ๊ะ :-[ ( :z6:)

--------------------------------------

บทที่66 เพราะเวลาคนเราไม่เท่ากัน

   ฟ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและได้กลิ่นแปลกๆ ชายหนุ่มหรี่ตาเพื่อปรับให้คุ้นกับแสดงสว่าง ดูเหมือนเขาจะอยู่ในห้องที่ไหนสักแห่ง กลิ่นแบบนี้ดูคุ้นอย่างประหลาด เหมือนว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน แต่ว่าสภาพห้องนั้นไม่คุ้นตาเลย
ร่างบางคว้ามือเปะปะไปตามหมอนหนุนเพื่อหาแว่นของเขา และตอนนั้นเองที่เขาพบว่ามีสายบางอย่างถูกโยงไว้กับมือข้างหนึ่งของเขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามสายที่พาดลงมานั้นและเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที เขากำลังอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง มิน่าเล่ากลิ่นถึงได้คุ้นนัก กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดที่ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนๆ ก็จะมีกลิ่นแบบเดียวกันหมด
ฟ่งเอื้อมมือไปคว้าแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัว เขาคงวูบไปตอนที่กำลังคุยอยู่กับรูฟัส ชายหนุ่มหันมองรอบๆ ตัว ด้านนอกสว่างจ้า คงจะเป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองหานาฬิกาที่น่าจะอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้อง แล้วประตูห้องก็เปิดออก
   “You wake up, finally” เสียงทักทายเป็นภาษาอังกฤษแบบสบายๆ ดังขึ้น ฟ่งขมวดคิ้ว เสียงเดิมหัวเราะอย่างเริงร่า
   “ผิดหวังหรือครับ รูฟัสยังคุยกับตำรวจอยู่เลย ผมเลยแวะมาหาคุณก่อน” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เขาเดินเข้ามาในห้องและลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฟ่งผุดลุกขึ้น
   “ตำรวจ? เขาโดนตำรวจจับหรือ”
   ผู้ถูกถามหัวเราะออกมา “ถ้าหมอนั่นถูกจับผมก็โชคดีน่ะสิ จะได้มาตื้อขอหัวใจคุณโดยไม่มีใครคอยตามกระทืบอีก แต่สบายใจเถอะครับ รูฟัสไม่ได้ถูกจับหรอก เขาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการครั้งนี้น่ะ”
   “พวกคุณทำงานให้ตำรวจเหรอ?” ร่างบางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ารูฟัสจะทำงานให้ตำรวจ ดูช่างขัดกันอย่างไม่น่าเชื่อ  รัสเลอร์สั่นศีรษะ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลหลวมๆ สวมกางเกงลูกฟูกสีครีมอ่อน
   “เปล่า ตำรวจของประเทศคุณทำงานร่วมกับเบื้องบนของผมอีกที”
   ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เบื้องบนของคุณนี่คือใครกันแน่น่ะ?”
   รัสเลอร์ยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ และยกนิ้วขึ้นโบกไปมา ”ไม่ใช่เรื่องที่คุณสมควรจะรู้ตอนนี้หรอกครับ เอาไว้ถ้าคุณอยากจะทำงานกับผมเมื่อไหร่ ผมจะบอกคุณแล้วกัน”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง และหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ชอบเวลาใครมาทำกับเขาเหมือนเป็นเด็กๆ ไม่รู้เดียงสาแบบนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะชอบใจ
   “หันมาคุยกันก่อนสิครับ บอกผมได้หรือเปล่าว่าคุณเข้าไปที่นั่นได้ยังไง?”
   ฟ่งคิดว่ารูฟัสควรจะเป็นคนแรกที่เข้ามาถามคำถามนี้ แต่กลับกลายเป็นเจ้าหมอนี่เสียได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหันกลับมาตอบ
   “ผมให้วินพาเข้าไป เอ้อ จริงสิ เขาเป็นยังไงบ้าง?”
   “หมายถึงลูกชายของทวีศักดิ์น่ะหรือ?” รัสเลอร์ทวนคำ แล้วพูดต่อ “คุณตอบคำถามผมให้หมดก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะพาไปพบพวกเขา”
   “คุณนี่พูดอย่างกับพวกตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกต เขาไม่ยักรู้สึกมาก่อนว่าผู้ชายที่ชื่อรัสเลอร์คนนี้สามารถจะพูดอะไรเป็นการเป็นงานได้ อีกฝ่ายหัวเราะ
   “คุณบอกให้วรุตพาคุณเข้าไปที่นั่น เพื่ออะไรหรือครับ?”
   “ผมอยากเข้าไปช่วยรูฟัส” ฟ่งตอบตามความจริง คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วบ้าง “คุณพูดจริงๆ รึ?”
   “ผมจะโกหกทำไมล่ะ” ฟ่งตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก รัสเลอร์รีบโบกมือทันที “ก็ผมเห็นว่าคุณไม่ค่อยสนใจรูฟัสเท่าไหร่ อืม..คุณดูไม่น่าจะเป็นห่วงเขาถึงขนาดนั้น”
   “นี่เขาจ้างให้คุณมาหลอกให้ผมพูดอะไรรึเปล่า?” ฟ่งถามอย่างกังขา รัสเลอร์รีบสั่นศีรษะ
   “เปล่า นี่ผมตั้งใจจะถามคุณเอง คุณอยากจะช่วยเขาขนาดเสี่ยงเข้าไปในที่แบบนั้นเลยเหรอ คุณไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมาก”
   “ผมไม่คิดว่ามันอันตรายมากมายอะไรหรอก ถ้าพวกคุณไม่วางระเบิดหรือยิงกันน่ะ” ฟ่งแย้งทันที หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “คุณคิดตื้นไปหรือเปล่าครับ คุณรู้ได้ไงว่ารูฟัสต้องการให้คุณช่วย แล้วรู้ได้ยังไงว่าจะช่วยเขาออกมาได้”
   “ผมรู้แล้วกัน!!” ฟ่งตอบเสียงห้วน แล้วพูดต่อ “นี่คุณมาหาเรื่องผมหรือเปล่าเนี่ย?”
   “ผมเปล่า” รัสเลอร์รีบปฏิเสธทันที และเปลี่ยนคำถาม “แล้ว อืม... คุณทำงานให้กับคุณทวีศักดิ์มานานหรือยัง นอกจากเรื่องเขียนแปลนแล้ว คุณรู้เรื่องอย่างอื่นที่เขาทำด้วยหรือเปล่า?”
   “คุณถามอย่างกับเป็นตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง แต่ก็ยอมตอบคำถาม   “ผมแค่เขียนแบบให้เขา เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก เอาจริงๆ ผมน่าจะถูกเขาเก็บด้วยซ้ำ”
   รัสเลอร์พยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ยังถามเพิ่มเติม “แล้ววรุตล่ะ คุณรู้จักเด็กคนนั้นดีขนาดไหน เขามีส่วนอะไรกับงานของพ่อเขารึเปล่า?”
   “ผมไม่รู้” ฟ่งตอบ รู้สึกขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเจ้าหมอนี่อาจจะเป็นรัสเลอร์คนละคนกับที่เขารู้จักก็ได้ หรือพอไม่มีพวกรูฟัสอยู่ด้วยแล้ว เจ้าหมอนี่เลยมีท่าทีเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
   “ผมไม่ได้รู้จักเขามาก่อนหรอก เขาเพิ่งมาหาผมวันเดียวกับที่คุณมาที่นี่แหละ ไม่เชื่อคุณลองไปถามเขาดูก็ได้”
   “ครับๆ” รัสเลอร์รับปาก และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
   “เอาล่ะ ผมขอถามคำถามสุดท้าย คุณไม่ได้เล่าเรื่องพวกผมให้ใครฟังเลยใช่ไหม?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ผมไม่ได้พูดกับใครหรอก ถึงพูดไปก็คงมีมีใครเชื่อ”
   รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ฟ่งเอ่ยถามขึ้นบ้าง “บอกผมได้หรือยังว่าวินกับพ่อเขาเป็นไงบ้าง”
   “ขอผมถามอีกสักอย่าง” รัสเลอร์ยังคงตื้อจะถามต่อ ฟ่งขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเงียบเพื่อฟังคำถาม
   “คุณสนใจจะมาทำงานกับผมหรือเปล่า  เอ้อ มันไม่ใช่งานอันตรายแบบที่พวกรูฟัสทำหรอก ผมรับรองว่าคุณจะปลอดภัย รับรองว่าจะดูแลคุณเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
   ฟ่งขมวดคิ้ว เริ่มสงสัยว่าเจ้าหมอนี่ตั้งใจจะล่อลวงเขาไปทำอะไรซักอย่าง
   “งานอะไรของคุณน่ะ คุณรัสเลอร์ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณทำงานอะไรกันแน่”
   “ไม่บอกเขาไปเลยล่ะว่านายเป็นซีไอเอ” เสียงของราฟาแอลดังขึ้น หนุ่มผมสีบล็อนด์ก้าวเข้ามาในห้อง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และหาวหวอดออกมาอย่างน่าเกลียดตอนที่เดินมาหยุดที่ข้างเตียง ฟ่งทวนคำอย่างตกใจ “ซีไอเอ?”
   รัสเลอร์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ ขณะที่ราฟาแอลพูดต่อ “อืม... ตกใจใช่ไหมล่ะ พอคิดว่าไอ้บ้าบ๊องตื้นปัญญาอ่อนชอบทำอะไรพิลึกๆ นี่เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ อย่าว่าแต่นาย ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย”
   “ฉันไม่ได้ต้องการคำรับรองแบบนั้นจากนายเลยนะ ราฟี่” รัสเลอร์หันไปเอ็ด ราฟาแอลยักไหล่อย่างไม่แยแส
   “นายควรจะรีบขอบคุณฉันที่แวะมาบอกนายว่า รูฟัสกำลังจะมาแล้ว และถ้าหมอนั่นรู้ว่านายพยายามจะสอบปากคำอะไรเด็กคนนี้ล่ะก็ ฉันรับรองว่าศพนายไม่สวยแน่ๆ”
   “บ้าน่ะ ฉันเพิ่งหลอกหมอนั่นให้ไปเอาของที่ห้องตะกี้นี่เอง” รัสเลอร์ว่า อีกฝ่ายสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ
   “ถ้ารูฟัสโง่ขนาดถูกนายหลอกง่ายๆ แบบนั้นคงไม่เป็นคู่หูกับฉันมานานขนาดนี้หรอก นี่ฉันช่วยหลอกถ่วงเวลาให้นายหรอกนะ ไม่งั้นเจ้าหมอนั่นคงมาถึงนี่ก่อนฉันแล้ว ว่าไง หรือนายอยากจะอยู่พิสูจน์?”
   “ไม่ล่ะ ขอบใจ” รัสเลอร์ว่า และผุดลุกขึ้น
   “ไปก่อนนะครับฟ่ง ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก แล้วก็อย่าไปเชื่อราฟี่เชียวนะ ผมไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอหรอก” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดเร็วปรือ และเดินลิ่วออกไปราวกับกลัวรูฟัสจะมาเจอเข้าจริงๆ ราฟาแอลทรุดตัวลงนั่งบ้าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย
   “รัสเลอร์เป็นซีไอเอจริงๆ หรือครับ?”
   “ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่าหมอนั่นเป็นไอ้บ้าตัวหนึ่ง” ราฟาแอลตอบ นัยน์ตาสีเขียวหันมาจับจ้องคู่สนทนา ฟ่งรู้สึกได้ทันทีถึงความกดดันจากนัยน์ตาคู่นั้น
   “เรื่องของพวกฉันเป็นความลับ เธอเข้าใจใช่ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้า ราฟาแอลพูดต่อ “ฉันไม่รู้ว่าเธอเข้าไปที่นั่นด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ก็ขอบใจที่ช่วยเจ้ารูฟัสออกมา”
   ถึงตรงนี้ฟ่งยิ้มออกมาบ้าง ดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้จะไม่ใช่คนแล้งน้ำใจไปเสียทีเดียว
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากช่วยเขาอยู่แล้ว”
   อีกฝ่ายพยักหน้า และพูดต่อ “แต่เธอทำคุณเมี่ยงปวดหัวมาก ฉันไม่ค่อยชอบหรอกนะ เวลาเห็นผู้ชายที่ไหนทำให้ผู้หญิงลำบากใจเนี่ย”
   “ผมขอโทษครับ แล้วคุณเมี่ยงเป็นยังไงบ้าง?”
   “ก็สบายดี เธอฝากมาบอกว่า วันหน้าวันหลังอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก”
   “ครับ ผมขอโทษจริงๆ” ฟ่งพูดอย่างสำนึกผิด เขาเริ่มคิดว่าควรจะไปกราบขอโทษผู้หญิงคนนั้นสักที ราฟาแอลยักไหล่
   “ถามจริงเหอะ เธอคิดจะอยู่กับรูฟัสจริงๆ รึ?”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง และพยักหน้าในที่สุด ราฟาแอลถามต่อ “แล้วเธอจะอยู่ยังไง เธอก็รู้แล้วนี่ว่ารูฟัสทำงานแบบนี้”
   “ผมรู้  ผมอยากให้เขาเลิก” ฟ่งโพล่งออกมา แล้วระลึกได้ทันทีว่าที่เขาพูดออกไปนั้น คงไม่สบอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ก็รูฟัสกับราฟาแอลเป็นคู่หูกันนี่
   “เธอคิดว่าอาชีพนี้มันคิดจะเลิกได้ง่ายๆ หรือไง รู้หรือเปล่าว่ามีใครบ้างที่อยากได้ตัวหมอนั่น”
   ฟ่งสั่นศีรษะ เขาไม่รู้ว่าคนอยากได้ตัวรูฟัสมีมากขนาดไหน แต่เขาคิดว่าคงรู้จักอยู่คนหนึ่ง คนที่จับเขาไปที่ฮ่องกง ราฟาแอลกล่าวต่อ
   “ไม่ได้มีแต่เว่ยเฟิงปิงหรอกนะที่คิดจะเอาตัวเธอไปเป็นข้อต่อรองกับหมอนั่น เธอควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะพูดอะไรที่จะกลายเป็นสิ่งผูกมัดรูฟัสเอาไว้ ถึงหมอนั่นจะจริงจังกับเธอ แต่ถ้าเธอยืนยันจะปฏิเสธล่ะก็ ฉันยืนยันว่าสุดท้ายเขาจะเลิกไปเอง”
   “อืม...ผมคิดว่าคุณจะเลิกพูดเรื่องนี่กับฟ่งแล้วเสียอีก” เสียงของรูฟัสดังขึ้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีน้ำเงิน ในมือมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่ สีหน้าดูบอกบุญไม่รับนัก ราฟาแอลผุดลุกขึ้นทันที “ซื้อดอกไม้เร็วจังนะ”
   “ต้องขอบคุณที่คุณเป็นคนออกไอเดีย ผมเพิ่งเห็นว่ามีร้านที่ใกล้ๆ อยู่ เอาล่ะ ราฟี่ ย้ายก้นของคุณออกไปได้แล้ว ผมไม่คิดจะมาทะเลาะกับคุณที่นี่หรอก”
   “ฉันก็ไม่คิดจะตีกับนายที่นี่เหมือนกัน”
   หนุ่มผมสีบลอนด์พูด เขาเหลือบมองฟ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ รูฟัสเดินเข้ามา และถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “อย่าไปฟังคำพูดของเขามากเลยครับ... ผมให้คุณ”
   ฟ่งรับดอกไม้จากรูฟัสมาอย่างงงๆ และพูดขึ้น “ขอบคุณนะ แต่ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่”
   “ดอกไม้ไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะคนบาดเจ็บนี่ครับ” รูฟัสว่า และยกมือลูบศีรษะฟ่งที่ปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยสายตาเจ็บปวดลึกๆ ตรงแขนยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ นี่ยังจะพูดอีกหรือว่าไมได้บาดเจ็บ ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำตัวเองก็เถอะ
   “คุณล้มพับไปตอนที่กำลังคุยกันอยู่ คุณนี่ทำให้ผมตกใจได้ตลอดเลย ผมคิดว่าคุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนเสียอีก โชคดีที่คุณแค่เพลีย กับตกใจมากไปหน่อย”
   “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ฟ่งกล่าว และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเขารักษาสติรอดมาได้ยังไงจนถึงตอนนั้น ความจริงเขาควรจะสลบไปตั้งแต่ตอนที่กำลังจะถูกอิทธิเดชยิงด้วยซ้ำ
   “จริงสิ วินเป็นยังไงบ้าง?” หนุ่มสวมแว่นรีบถามในสิ่งที่เขาถามคนอื่นมาตั้งแต่แรก รูฟัสขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง และพูดอย่างน้อยใจ “ทำไมคุณถามถึงคนอื่นกับผมอีกแล้ว?”
   “ก็ผมอยากรู้นี่ วินเป็นคนพาผมเข้าไปที่นั่น” ฟ่งตอบ ดูจะยังไม่รู้สึกตัวว่ารูฟัสกำลังขอความสงสารอยู่ หนุ่มตาสองสีพยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ
   “ผมรู้ล่ะครับ คุณให้เขาพาคุณเข้าไปเพื่อช่วยผมไม่ใช่หรือ?”
   ฟ่งพยักหน้า รูฟัสนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นมา “นี่คุณไม่คิดจะพูดอะไรต่อเลยหรือ?”
   ผู้ถูกถามมองอย่างแปลกใจ “คุณจะให้ผมพูดอะไรล่ะ? ผมอยากเจอวิน เขาเป็นอะไรรึเปล่า? ถูกระเบิดมั้ย?”
   รูฟัสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่ตกลงฟ่งเป็นห่วงเขาจริงๆ หรือว่าทำไปเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นี่คุณเข้าไปที่นั่นแค่เพราะอยากจะช่วยผมจริงๆ หรือ?”
   “จริงสิ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมจะลำบากเสี่ยงเข้าไปทำไม มาคิดดูอีกทีแล้วผมยังรู้สึกโมโหอยู่เลยที่คุณทำกับผมแบบนั้น คุณใช้ให้ผมถอดเสื้อแล้วยังล้วงก้นผมอีก ผมน่าจะเตะคุณอีกหลายที”
   “อา...” รูฟัสครางออกมา แทบจะยกมือกุมศีรษะ เขาแค่อยากได้ยินฟ่งพูดอะไรให้ชื่นใจบ้าง แต่กลับกลายเป็นถูกเอ็ดไปเสียได้ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
   “มีใครมาถามอะไรคุณก่อนที่ผมจะมารึเปล่าครับ นอกจากราฟี่น่ะ”
   “รัสเลอร์” ฟ่งตอบออกไปทันที รูฟัสขมวดคิ้ว “เขาถามอะไรคุณบ้าง?”
   “ก็ไม่ได้ถามมากหรอก” ฟ่งตอบเลี่ยงๆ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่อยากให้รัสเลอร์สอบถามอะไรเขา หนุ่มตาสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “ไม่ได้ถามอะไรแปลกๆ นะครับ วันหลังถ้าเขาถามอะไรคุณอีก ให้บอกว่าจะเรียกทนาย ไม่ก็บอกว่าถามมากฉันจะกระทืบแก”
   ฟ่งหัวเราะขืนๆ พลางคิดว่าคงไม่มีคนมารยาทดีที่ไหนเขาพูดอย่างที่รูฟัสแนะนำหรอก
   “จริงสิ รัสเลอร์เป็นซีไอเอเหรอ?” ฟ่งถามออกไปอย่างใคร่รู้ เขาคิดว่ารูฟัสน่าจะตอบเขาได้ชัดเจนกว่าราฟาแอลผู้ซึ่งเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ดันเลี่ยงที่จะตอบเมื่อถูกถาม คราวนี้รูฟัสทำหน้าพิกล
   “ไม่มีซีไอเอคนไหนงี่เง่าบ้าบอแบบนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ” ฟ่งพยักหน้า และหัวเราะฝืนๆ ดูสองคนนี่จะไม่ต้องการให้เขารู้ว่ารัสเลอร์เป็นใครจริงๆ ช่างเถอะ ถึงจะเป็นใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย อีกไม่นานเขาคงจะได้หลุดพ้นจากเรื่องวุ่นๆ พวกนี้เสียที
   “นี่ รูฟัส งานของคุณน่ะ เสร็จแล้วใช่ไหม?”
   รูฟัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “จริงๆ ก็เหลือที่ต้องทำอีกไม่มากหรอกครับ แค่ให้ปากคำเฉยๆ คุณจะให้ผมย้ายของไปห้องคุณเลยไหม?”
   “ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าจะให้คุณย้ายเข้ามา” ฟ่งพูดทันที รูฟัสถือวิสาสะดึงมือคู่นั้นขึ้นมาจูบ
   “ก็คุณพูดว่าอยากจะอยู่กับผมนี่ครับ อย่าบอกนะว่าคุณลืม ผมว่าเรารีบออกจากโรงพยาบาลแล้วไปที่ห้องกันเถอะ ผมอยากกอดคุณใจจะขาด”
   ฟ่งรีบดึงมือออก หน้าแดงด้วยความขวยเขิน
“ผม..ผมอยากเจอคนอื่นก่อน” ร่างบางกล่าว แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่รูฟัสก็ยอมตกลง
“คุณอยากเจอใครล่ะครับ ผมจะพาไปหา”
--------------------------------------------
อิทธิเดชได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนเรียกชื่อเขาจากที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มพยายามฝ่ามองออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่าที่เหมือนแสงสว่างห่อหุ้มตัวเขาไว้ และเสียงเหมือนเครื่องมือโลหะกระทบกันเบาๆ ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้น แล้วความรู้สึกของเขาก็ขาดไปอีก
เสียงปิ๊บ ปิ๊บ ของเครื่องมือบางอย่างทำให้สติของอิทธิเดชกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา และพบว่ามีอะไรบางอย่างครอบอยู่เหนือปากและจมูกของเขา รู้สึกปวดศีรษะ และกระหายน้ำ ร่างบางพยายามยันตัวขึ้น และทรุดฮวบลงไปเมื่อความเจ็บปวดแบบแสนสาหัสแล่นแปลบขึ้นมาจากสีข้างของเขา เสียงพึมพำอย่างตกใจดังขึ้นทันที
“คุณฟื้นแล้ว!!” วรุตโพล่งขึ้น ความจริงเขาควรจะรู้สึกดีใจกว่านี้ ถ้าไม่พบว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามลุกขึ้นในตอนที่เขาผล็อยหลับ ชายหนุ่มยกมือจับร่างที่ทรุดลงไปนั้นอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากหรือเปล่า ผมจะเรียกพยาบาล เผื่อว่าแผลคุณฉีก”
อิทธิเดชคว้ามือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาลของวรุตเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “น้ำ ฉันหิวน้ำ”
วรุตมีสีหน้าเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก เขาตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาล ไม่นานนักพยาบาลสาวนางหนึ่งก็เดินเข้ามา และจัดการแสดงวิธีการให้น้ำแก่ผู้ป่วยที่สวมเครื่องช่วยหายใจให้วรุตได้เห็น
“ขอโทษที คุณใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ผมไม่รู้ว่าควรจะให้น้ำคุณยังไง” วรุตกล่าวขึ้นหลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว อิทธิเดชผงกศีรษะ เสียงของเด็กคนนี้เองที่เรียกเขาในความฝัน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกผู้ชายชาวต่างชาติที่บุกรุกเข้ามายิงใส่ แล้ววรุตก็เข้ามาขวางเอาไว้ หนุ่มหน้าสวยหันกลับไปหาลูกชายของผู้เป็นเจ้านาย
“เธอ..บาดเจ็บรึเปล่า?”
   วรุตเดินกลับมานั่งข้างๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมไม่เป็นไรหรอก ห่วงตัวเองเถอะ โชคดีที่ลูกกระสุนไม่ฝังเข้าไปในปอด หมอบอกว่ามันพุ่งผ่านกล้ามเนื้อส่วนที่ไม่สำคัญของคุณไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนั้นผมคิดว่าคุณจะตายแล้วเสียอีก เลือดคุณออกเยอะมากเลย”
   คนบาดเจ็บเงียบไปอีกพักหนึ่ง นัยน์ตาหวานฉ่ำจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ท้ายที่สุดจึงเอ่ยถ้อยคำออกมา “ฉันอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ ถ้าเธอไม่ขวางเอาไว้”
   “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” เด็กหนุ่มคราง ก่อนจะถอนหายใจยาว ดึงมือของอิทธิเดชข้างที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามา และจูบลงไปอย่างรักใคร่ “ผมดีใจที่คุณฟื้นขึ้นมาคุยกับผมได้”
   อิทธิเดชมองดูวรุตอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง เด็กคนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขา ข่มขืน เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ด้วยการแบล็กเมล์ ต่อมาก็พยายามจะหนีไปจากเขา แถมยังพาตัวเองไปสู่อันตรายที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ว่าถ้าวรุตไม่ดึงมือของผู้ชายคนนั้น เขาอาจจะตายจริงๆ อิทธิเดชไม่เคยเห็นแววตาของใครน่ากลัวขนาดนั้นเลย แววตาสีเขียวที่เหมือนดวงตาของสัตว์นักล่า
   “ท่านประธานล่ะ?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาถูกยิง การประชุมนั้นล้มเหลวรึเปล่า แล้วมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีกไหม เหมือนว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
   “พ่อ....” วรุตพูดค้างเอาไว้แบบนั้น นั่นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลทันที หนุ่มหน้าสวยโพล่งขึ้นอย่างตระหนก “เกิดอะไรขึ้นกับท่านประธาน? เขา..เขาบาดเจ็บหรือ?”
   วรุตรีบกดร่างของอิทธิเดชลงไปบนเตียง ด้วยกลัวว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นบาดแผลอาจจะฉีกขาด เขาสั่นศีรษะ
   “เปล่า พ่อไม่เป็นอะไรหรอก คุณสบายใจได้ เขาปลอดภัยดี”
   “แล้วทำไมเธอถึงพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น” หนุ่มหน้าสวยไม่วายตั้งข้อสังเกต เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
   “พ่อถูกจับ”
   “ถูกจับ?!” อิทธิเดชทวนคำอย่างตกใจ เขามองหน้าวรุตอย่างไม่เชื่อ
   “ท่านประธานน่ะหรือ เขาถูกจับได้ยังไง? ตำรวจรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?!”
   “ผมไม่รู้” เด็กหนุ่มกล่าว สิ่งที่เขาทราบตอนนี้คือ ผู้เป็นพ่อยอมถูกตำรวจควบคุมตัว หลังจากเกิดระเบิดต่อเนื่องกันหลายระลอก ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขา เด็กหนุ่มเองก็คาดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะทำลายล้างกันถึงขนาดนี้ ดีที่อานุภาพของระเบิดที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้อุโมงค์ถล่ม ถึงอย่างนั้นมันก็รุนแรงพอที่จะทำให้ตำรวจรู้ถึงการมีอยู่ของห้องลับได้
   “ตำรวจมีหมายค้น มีหลักฐานด้วยว่าพ่อผมทำผิดกฎหมาย คุณก็รู้ใช่ไหมว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องถูกต้องไปเสียหมด”   วรุตตัดสินใจสรุปใจความสำคัญ เขายังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกราฟาแอลร่วมมือกับตำรวจหรือเปล่า แต่ดูจากรูปการแล้วก็คงไม่ผิดไปจากนี้นัก ประเด็นคือ ทำไมตำรวจถึงต้องส่งสายลับพวกนี้เข้ามา
อิทธิเดชเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เขาหันไปทางอื่น วรุตเองก็นิ่งเงียบไป
   “แล้ว..เธอจะทำยังไงต่อ?” ในที่สุดหนุ่มหน้าสวยก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกรอบ เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา และก้มศีรษะลง “ผมคงต้องต่อสู้คดีให้เขา ถึงเขาจะทำเรื่องไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อผม”
   ใบหน้าของอิทธิเดชปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะมีบ่อยนัก โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต “ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองทันที “ผมไม่ได้ทรพีถึงขนาดปล่อยให้พ่อตัวเองติดคุกไปเฉยๆ หรอกน่า” เด็กหนุ่มกล่าว พลางถอนหายใจอีกรอบ เขาหวังว่าผู้เป็นพ่อจะสำนึกได้จากเหตุการณ์ในคราวนี้ วรุตไม่ต้องการให้พ่อของเขาทำเรื่องเลวร้ายอีก
   “นี่ เดช ถ้าคุณหายดีแล้ว มาช่วยงานผมได้ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ผู้ถูกถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย อีกฝ่ายพูดต่อ “พ่อผมถูกฝากขัง ผมยังไม่แน่ใจว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือเปล่า ผมคงไม่ได้ไปเรียนต่อ อารัตน์บอกให้ผมอยู่ดูแลกิจการไปก่อน”
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่65 p12 17/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-11-2011 17:18:36
   “อา...” หนุ่มหน้าสวยครางเสียงยาว จนถึงตอนนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าทวีศักดิ์ถูกจับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบนี้
   “คุณรัตน์ให้คำแนะนำเธอได้ดีกว่าฉัน ฉันไม่ได้รู้อะไรมากมาย” อิทธิเดชเอ่ยตอบ วรุตหันไปมองหน้าเขาทันที
   “แต่ผมต้องการคุณ อิทธิเดช ผมอยากให้คุณอยู่ข้างๆ ผม ถ้าคุณไม่พอใจ ผมสัญญาว่าจะไม่แตะต้องร่างกายคุณอีก แค่อยู่ใกล้ๆ ผมก็พอ”
   คนเจ็บบนเตียงถึงกับอึ้งไปอีกพักใหญ่ นัยน์ตาหวานฉ่ำจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ปะปนกับความงุนงง และความสนเท่ห์ใจ เนิ่นนานจึงเอ่ยคำพูดออกมา
   “ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?” ร่างบางถามเสียงพร่า และแทบจะกลั้นใจเมื่อได้ยินคำตอบ
   “เพราะผมชอบคุณ ผมรักคุณ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ และผมคิดว่าผมคงมีความสุขถ้าหากคุณจะยอมมาอยู่ใกล้ๆ”
   “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ยอมให้เธอทำอะไรอย่างนั้นหรือ?” อิทธิเดชถามกลับ เขาไม่อยากจะคิดไปเองนัก เพราะก่อนหน้านี้ดูท่าวรุตจะต้องการเพียงร่างกายของเขามากกว่า คนถูกถามพยักหน้าอย่างหนักแน่น
   “ได้ ผมยอม ถ้าคุณไม่พอใจผมก็จะไม่ทำอะไร แค่คุณยอมอยู่ใกล้ๆ ผมก็พอ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างที่ผ่านๆ มากับคุณอีก”
   “ฉันจะลองคิดดู” อิทธิเดชเอ่ย และหันหน้าไปทางอื่น เขาไม่อยากให้วรุตเห็นรอยยิ้มของเขา ชายหนุ่มยังไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขารู้สึกดีใจที่ทางนั้นแสดงความต้องการเขาอย่างจริงๆ จังๆ  อิทธิเดชคิดว่าเขาอาจจะคิดเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก เขาไม่ควรเป็นตัวถ่วงอนาคตของวรุต แต่คำพูดและสีหน้าของวรุตที่แสดงออกมาทำให้เขารู้สึกมีความสุข จะเป็นอะไรไหมถ้าเขาจะตอบรับข้อเสนอนี้
   วรุตกุมมือของอิทธิเดช จากท่าทีที่ไม่ได้แสดงว่าปฏิเสธไปเสียทีเดียวทำให้เขารู้สึกมีความหวัง วรุตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเขาบ้าง อาจจะโกรธ เกลียดเขาอยู่ลึกๆ ก็ได้ แต่พอเห็นใบหูที่แดงก่ำไปด้วยเลือดฝาดนั้นแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง บางทีอิทธิเดชอาจจะพอมีเยื่อใยให้เขาอยู่บ้าง เด็กหนุ่มตัดสินใจลองรุกต่ออีกสักหน่อย
   “มาอยู่กับผมเถอะนะ” วรุตกล่าว และดึงมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ อิทธิเดชหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปว่าอะไร แล้วเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นก็ช่วยยืดเวลาเอาไว้
   ฟ่งโพล่เข้ามาด้วยสีหน้าเคอะเขิน เมื่อเห็นว่าสองคนที่อยู่ในห้องกำลังกุมมือกันอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ “โทษที ผมไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวน”
   “ไม่เป็นไรหรอก” วรุตกล่าว พลางหันไปมองหน้าผู้มาเยือน
   “ได้ยินว่าคุณสลบไปเฉยๆ?”
   “อา..ครับ” ฟ่งกล่าว และเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ก่อนจะมองไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
   “คุณ...เป็นยังไงบ้าง” อิทธิเดชคิดว่าฟ่งตั้งใจจะถามเขา แต่คงนึกประโยคที่ดีกว่านี้ไม่ออก หนุ่มหน้าสวยสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก” วรุตช่วยตอบแทนให้ “กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ”
   “ดีจัง ผมไม่อยากให้ใครตาย”
   “คุณควรจะห่วงตัวเองนะ” อิทธิเดชพูดขึ้นในที่สุด ทั้งสองหันกลับไปมอง หนุ่มหน้าสวยนิ่งไปพักหนึ่ง
   “คุณใจดีเกินไปแล้ว คุณอภิวัฒน์” ร่างที่นอนอยู่เอ่ย เขาไม่คิดว่าคนที่เคยถูกเขาจ่อยิง จะมาถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บของเขาแบบนี้ ฟ่งยิ้มออกมา
   “อย่าคิดมากเลย ผมไม่ได้โกรธเคืองอะไรคุณหรอก แต่ไม่ใช่ว่าผมชอบที่ถูกทำแบบนั้นนะ”
   อิทธิเดชเบือนหน้าไปทางอื่น วรุตมองดูทั้งคู่อย่างงุนงง “พวกคุณมีเรื่องอะไรกันหรือไง?”
   ฟ่งรีบสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไรหรอก อืม..ผมเสียใจเรื่องพ่อคุณด้วยนะ”   เขาหันมาพูดกับวรุต เด็กหนุ่มโบกมือ
   “พ่อผมแค่ถูกจับ ไม่ได้ตายเสียหน่อย ผมเองก็เคยคิดอยู่หลายหนว่าสักวันเขาคงโดนจับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมหาทางช่วยเขาแน่ ยังไงเขาก็เป็นพ่อผม”
   ฟ่งพยักหน้า “ผมรู้ นายเป็นคนดี อืม...ผม.....ผมขอโทษ”
   วรุตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับคำพูดของฟ่ง เขาเกือบจะอ้าปากถามออกไปแล้วว่าทางนั้นขอโทษเรื่องอะไร โชคดีที่นึกขึ้นมาได้ก่อน ฟ่งคงหมายถึงเรื่องของพวกราฟาแอล
   “ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะหยุดพ่อ แล้วคุณก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”
   ฟ่งนิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่ง ถึงแม้วรุตจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกผิดในหลายๆ อย่าง เขาเป็นคนชักนำให้เด็กหนุ่มเข้ามาเสี่ยงอันตราย และยังมีส่วนทำให้พ่อของเขาถูกจับ ฟ่งรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากกับเรื่องนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอยากพบวรุตนัก
   วรุตมองหน้าฟ่งและถอนหายใจ ท่าทางหนุ่มสวมแว่นคนนี้จะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อด้วยซ้ำ วรุตคิดว่าถ้าฟ่งอยากจะขอโทษเขาล่ะก็ ฟ่งควรจะขอโทษเรื่องที่พยายามข่มขู่เขาให้พาเข้าไปมากกว่า แต่พอมาคิดดูอีกที หากฟ่งไม่เข้าไปที่นั่นล่ะก็ บางทีเขากับอิทธิเดชคงไม่ได้พูดคุยกันเช่นเมื่อครู่ อิทธิเดชบาดเจ็บเพราะต้องการช่วยเขาก็จริง แต่ถ้าเขาไม่ได้เข้าไปที่นั่นก็ไม่ได้ประกันว่าผู้ชายคนนี้จะไม่บาดเจ็บ แล้วก็ไม่มีอะไรประกันอีกว่าจะมีใครช่วยเหลือเขาได้ทัน คิดถึงตรงนี้วรุตเริ่มเข้าใจความคิดของฟ่งขึ้นมาบ้าง ฟ่งเองก็คงกลัวว่าคู่รักของเขาจะเป็นอะไรไปด้วยเหมือนกัน นั่นทำให้เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมา
   “ฟ่ง คุณเจอแฟนคุณหรือยัง?”
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่าวรุตจะถามออกมาแบบนี้
   “มะ..หมายถึงรูฟัสเหรอ? ผมเจอเขาแล้วล่ะ” ฟ่งตอบ วรุตพยักหน้า เขาเจอรูฟัสตอนมาถึงโรงพยาบาลโดยบังเอิญ ดูเหมือนทางนั้นจะขุ่นเคืองเขาอยู่พอสมควร ท่าทางจะเป็นเรื่องที่เขาพาฟ่งเข้าไปในห้องลับนั่นแน่ๆ ถึงไม่พูดออกมาวรุตก็พอจะเดาได้จากสายตาสองสีคู่นั้น เด็กหนุ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของรูฟัส คงไม่มีใครอยากให้คนรักของตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นหรอก
   “ท่าทางเขาจะโกรธผม เรื่องที่พาคุณเข้าไป” เด็กหนุ่มเอ่ย ฟ่งทำหน้าแปลก
   “นายคุยกับเขาล่ะรึ? ความจริงแล้วเขาควรจะโกรธผม  ถ้าเขายังนึกโกรธนายผมจะไปอธิบายให้เขาฟังอีกที”
   วรุตรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ผมแค่จะพูดว่า เขาห่วงคุณมาก คุณไม่ควรทำอะไรแบบนี้อีก
   ฟ่งพยักหน้า “ผมไม่ทำอีกหรอก ตราบเท่าที่เขาไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ”
   วรุตมองหน้าหนุ่มสวมแว่น ผู้ที่ดูจะทำให้อะไรๆ วุ่นวายขึ้น และก็ดูจะเป็นคนที่ทำให้เรื่องจบลงด้วยความลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
------------------------------------
   รูฟัสยืนรออยู่นอกห้อง เขาไม่รู้ว่าจะเข้าไปกับฟ่งเพื่ออะไร เพราะถึงเข้าไปนอกจากไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อาจจะเผลอแสดงอาการไม่พอใจออกไปด้วยก็ได้ หนุ่มตาสองสีจึงตัดสินใจยืนรออยู่เฉยๆ เขาไม่รู้ว่าฟ่งจะเป็นห่วงอะไรคนอื่นนักหนา ขณะที่กำลังนึกหงุดหงิด เสียงทักทายเป็นภาษาจีนที่แสนจะคุ้นแก้วหูก็ดังขึ้น
   “ไง รูฟัส นายกำลังยืนรอใครอยู่ รอฟ่งหรือ? แต่นั่นมันห้องคนอื่นนี่นา” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย โดยมีจางซื่อเยี่ยนเดินตามมาด้านหลัง รูฟัสขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ธุระของเธอหรอกนะ”
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าไม่พอใจทันที ขณะที่ผู้เป็นเจ้านายหัวเราะร่วน “สนุกจริงๆ ที่ได้เห็นนายมีสีหน้าแบบนี้น่ะ อา.... ฉันคงต้องขอบคุณฟ่งอีกหลายรอบ หมอนั่นทำให้นายหัวปั่นได้จริงๆ สินะ”
   “รีบหุบปากแล้วไสหัวไปได้แล้ว” รูฟัสเอ่ยอย่างรำคาญ จางซื่อเยี่ยนเกือบจะเดินเข้าไปต่อยปากคนพูดแล้ว ดีที่เว่ยเฟิงปิงยกมือห้ามไว้ ไม่งั้นคงมีการวางมวยขึ้นกลางโรงพยาบาลแน่ๆ
   “ไม่เอาน่า ฉันไม่ได้มาจับตัวแฟนนายสักหน่อย แค่จะแวะมาทักทาย อ้าว ว่าไง ฟ่ง” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงในตอนที่ฟ่งเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี ฟ่งหันไปยิ้มแห้งๆ
   “สวัสดีครับ โชคดีจังที่พวกคุณปลอดภัย”
   “อืม..โชคดีที่ฉันกับซื่อเยี่ยนไม่เป็นอะไรมาก” เว่ยเฟิงปิงกล่าว พลางนึกถึงแผลที่แขน มันดูเล็กน้อยจริงๆ เมื่อเทียบกับฟากของพี่ชายของเขา นั่นทำให้คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง
   “ฉันคงต้องขอตัวล่ะนะ นายเองก็อย่ามัวแต่เป็นห่วงคนอื่นมาก เดี๋ยวคนด้านหลังนั่นจะโกรธเอา” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยกล่าว และเดินจากไป โดยมีจางซื่อเยี่ยนที่มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก เดินตามไปติดๆ ฟ่งหันกลับไปมองรูฟัสซึ่งดูจะมีสีหน้าปั้นปึงพอสมควร
   “คุณโกรธผม?”
   คนถูกถามรีบสั่นศีรษะทันที แต่ในใจก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าฟ่งควรจะรู้ตัวบ้าง หนุ่มสวมแว่นกะพริบตาปริบๆ
   “ผมอยากคุยกับคุณหน่อย”
------------------------------------------------
   “ทำไมคุณไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าคุณดีใจที่เขาไม่เป็นอะไร” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่แยกออกมาจากพวกรูฟัสได้พักหนึ่งแล้ว เว่ยเฟิงปิงหันมามองอย่างแปลกใจ
   “นายหมายถึง รูฟัสหรือ?” อีกฝ่ายพยักหน้า ร่างบางหยุดเดิน หันกลับมามองผู้เป็นลูกน้องอย่างจริงๆ จังๆ
   “นายไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ทำไมอยากจะให้ฉันพูดแบบนั้น?”
   “ก็คุณดูจะห่วงเขามากนี่ครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว เขานึกถึงสีหน้าของเว่ยเฟิงปิงตอนที่เห็นว่ารูฟัสถูกจับได้ แม้จะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่าเจ้านายของเขายังคงฝังใจกับผู้ชายคนนี้อยู่ ที่น่าโมโหคือ เจ้าหมอนั่นดูจะไม่ใยดีด้วยซ้ำ มันน่าต่อยปากนัก
   เว่ยเฟิงปิงเบิ่งนัยน์ตาสีฟ้าของเขามองจางซื่อเยี่ยนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พูดออกมา “นายหึงเหรอ?”
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มปฏิเสธออกไปทันที แล้วก็ถูกผู้เป็นเจ้านายต่อยเบาๆ ที่หน้าอก
   “งั้นก็หุบปากซะ!” ร่างบางกล่าวเสียงห้วน ก่อนจะก้าวพรวดๆ ไปด้านหน้าอย่างไม่ใยดี จางซื่อเยี่ยนรีบก้าวตามออกไป
-------------------------------------
   ฟ่งเดินกลับมายังห้องพักในโรงพยาบาลพร้อมกับรูฟัส เขาได้คุยกับวรุตแล้ว และได้ทราบคร่าวๆ กับสิ่งที่พวกของรูฟัสทำลงไป ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถามที่เขาเคยถามตัวเองเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้
   เขาคิดยังไงกันแน่กับผู้ชายที่เรียกตัวเองว่ารูฟัส
   ร่างบางเดินผ่านเตียงนอนตรงไปยังระเบียง เขายังไม่อยากประจันหน้ากับผู้ชายตาสองสีคนนั้น ฟ่งต้องการเวลาลำดับความคิดของตัวเองสักหน่อย มันดูเป็นเรื่องน่าอายและชวนให้หงุดหงิด เมื่อทุกครั้งที่เขาหันกลับไปมองผู้ชายคนนั้น หัวใจก็พลันหวั่นไหวและอ่อนยวบไปเสียทุกที ยิ่งได้เห็นสายตาออดอ้อนและได้ยินถ้อยคำหวานหูพวกนั้นแล้ว ฟ่งคิดว่าเขาควรจะทำใจให้หนักแน่นกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจทำหรือพูดอะไรลงไป
   ไม่อย่างนั้นมันคงจะเกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านๆ มา
   อากาศตรงระเบียงแม้จะร้อนอบอ้าวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแสบจมูกเหมือนเวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศ ฟ่งค้ำมือลงกับราวสแตนเลส สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจคือ ความรู้สึกพิเศษที่เขามีให้กับรูฟัส ผู้ชายต่างชาติตาสองสีที่ยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาแน่ชัดคนนั้นกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา ในห้วงอารมณ์หลายๆ แบบ ทั้งอบอุ่น อ่อนโยน ห่างเหิน น่าหวาดหวั่น และบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกผูกพันกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ มันเป็นเยื่อใยที่หาที่มาไม่ได้ เสียงเรียกร้องของหัวใจที่ไม่ฟังซึ่งเหตุผลทุกอย่าง บางคราวมันรุนแรงเสียจนฟ่งเองยังหวาดหวั่น หวาดหวั่นว่าเมื่อมันเงียบลงแล้ว เขาจะถูกทิ้งให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ตัวเองไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการเวลา เวลาในการคิดทบทวนเรื่องราวโดยปราศจากเสียงยุยงของหัวใจปรารถนานั้น

   รูฟัสยืนอยู่ตรงประตูระหว่างระเบียง เขาตัดสินใจไม่ตามฟ่งออกไป ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าวรุตพูดคุยอะไรกับฟ่งบ้าง การเอ่ยปากขอพูดด้วยแต่พอเอาเข้าจริงกลับเดินออกไปคนเดียวโดยไม่พูดอะไรแบบนี้ทำให้รูฟัสรู้สึกไม่ดีนัก เขาเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งคงไม่พูดอะไรให้เขาชื่นใจแน่ๆ บางทีทางนั้นอาจมีเรื่องขุ่นเคืองอะไรอีก แต่ก็ดีที่แสดงทีท่าว่าอยากจะพูด รูฟัสอยากให้ฟ่งพูดกับเขาไม่ว่าเรื่องที่พูดจะดีหรือร้าย มากกว่าที่ทางนั้นจะเงียบและหนีจากเขาไปเหมือนที่เคยผ่านมา ชายหนุ่มคิดว่านี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการใช้ชีวิตคู่ของเขา ถ้าหากฟ่งเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นหรือความต้องการออกมาก่อนบ้าง ดังนั้นรูฟัสจึงยืนรอ รอฟังในสิ่งที่คนที่เขารักที่สุดต้องการจะพูด

   บางคนกล่าวว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ติด แต่บางครั้งคนเรากลับรู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน ตอนนี้ฟ่งกำลังรู้สึกถึงคำพูดทั้งสองอย่างนั้นในเวลาเดียวกัน เขากำลังนึกทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ครั้งที่ได้พบกับรูฟัสคราวแรก ผู้ชายชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆ เดินเข้ามาเพื่อช่วยขนของด้วยความมีน้ำใจ ความสัมพันแบบปกติที่พลันพบจุดเปลี่ยนเมื่อได้พบกันอย่างไม่ได้คาดหมายในคลับของผู้หญิงที่ชื่อว่าเมี่ยง ฟ่งนึกสงสัยว่าเขาเริ่มเกิดความรู้สึกมากกว่าคนข้างห้องกับรูฟัสเมื่อไหร่ ความรู้สึกนั่นไม่เหมือนเมื่อครั้งเขาตกหลุมรักดา อดีตแฟนสาวของเขา ครั้งนั้นฟ่งรู้สึเหมือนโลกทั้งโลกเป็นสีชมพู มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดวงตากลมโต และได้ยินแต่เสียงพูดน่ารักๆ ของดา
แต่สำหรับรูฟัส เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นเลย มันคล้ายอะไรบางอย่างที่ได้พบได้เห็นจนเคยชิน แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นแปลกแยกออกไปจากเดิม มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มต้นจากความผูกพันในช่วงเวลาอ่อนไหวของความรู้สึก การที่รูฟัสมาอยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงเวลานั้นทำให้หัวใจของเขาพลั้งเผลอไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความรู้สึกนั้นถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาอย่างเด่นชัดเมื่อเขาพบว่ารูฟัสสนิทกับคนอื่นด้วย ในตอนนั้นฟ่งพยายามหาเหตุผลเพื่อบอกตัวเองว่ารูฟัสก็ทำไปตามมารยาทหรือสิ่งที่ควรทำ เขาจะสนิทกับเมี่ยงหรือชอบพอกับคนไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัว  ถึงอย่างนั้นความรู้สึกริษยาและน้อยอกน้อยใจก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจยับยั้งได้
   ความอ่อนโยนที่รูฟัสมีให้เขาโดยไม่ได้คิดอะไรนั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ดังนั้นเมื่อพบว่าอีกฝ่ายอ่อนโยนกับคนอื่นด้วย จึงทำให้หัวใจมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา
   คิดถึงจุดนี้ฟ่งรู้สึกละอายใจอย่างมากจริงๆ เขาเรียกร้องจากรูฟัสมาโดยตลอด ฟ่งเชื่อว่าก่อนหน้าที่จะพบกันในคืนนั้นรูฟัสไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลย และเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าคิดกับผู้ชายคนนั้นมากเกินปกติ หากไม่มีการพบกันในวันนั้น รูฟัสก็คงทำงานไปตามปกติ ตัวเขาเองก็คงจะกลายเป็นเพื่อนกับผู้ชายคนนั้น และเมื่อต้องจากกัน ก็คงทำใจยอมรับได้ ความรู้สึกพิเศษที่ผิดธรรมชาตินั้นคงไม่ลุกลามขยายใหญ่เช่นนี้เลย หากว่ารูฟัสไม่มาหาเขาในวันรุ่งขึ้น
   วินาทีที่ได้รู้ว่าผู้ชายตาสองสีคนนั้นคิดเกินกว่าคำว่าเพื่อน ในหัวของเขาสับสนไปหมด ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ทั้งปริวิตก นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบปกติเลย มันไม่ควรจะเกิดขึ้น กับคนที่ไม่ได้รู้จักลึกซึ้งกันมาก่อน กับคนที่ไม่รู้ที่มา กับคนที่เป็นเพศเดียวกัน ในตอนนั้นฟ่งไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความสัมพันธ์เพียงชั่วครู่ หรือความสัมพันธ์ในระยะยาว เขาแทบไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากรู้สึกดีไปกับสัมผัสของผู้ชายคนนั้น รู้สึกดีไปกับความอบอุ่นที่ได้รับนั้น และเมื่อได้สติ เขาก็ไล่ผู้ชายคนนั้นออกไป
   ความลังเลและหวั่นไหวนั่นทำให้เขาปฏิบัติต่อรูฟัสโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฝ่ายนั้น เขาเฝ้าคิดถึงความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด โดยไม่พยายามจะทำความเข้าใจ แต่กลับปิดกั้นเอาไว้ ฟ่งไม่คิดว่ารูฟัสจะเจ็บปวดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก เพราะผู้ชายคนนั้นดูช่ำชองและเจนโลกจนไม่น่าจะมีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ ได้อีก แต่วันที่เขาได้เห็นสายตาเจ็บปวดที่มองมา สีหน้าที่เหนื่อยล้าของผู้ชายคนนั้น กับคำถามซึ่งเขาไม่เคยอยากจะตอบ
   รักผมบ้างรึเปล่า?
   คำถามที่ผู้ถามนั้นตอบเองครั้งแล้วครั้งเล่า คำรักที่รูฟัสเอ่ยให้เขานั้นมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน มากจนบางครั้งทำให้เขาหงุดหงิด เพราะดูเหมือนรูฟัสจะใช้คำตอบนั้นอธิบายการกระทำทุกอย่าง ผู้ชายคนนั้นดูจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยกับการพูดคำแบบนั้น ฟ่งเคยคิดว่ารูฟัสไม่มีอะไรจะต้องเสียในการพูดคำว่ารัก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว รูฟัสได้แสดงให้เขาเห็นอย่างไม่ตั้งใจว่าคำว่ารักที่เอ่ยออกมานั้นแลกกับอะไรไปบ้าง  ที่น่าปวดใจคือคำรักนั้นไม่เคยได้รับการตอบสนองอย่างจริงจังเลย ถึงอย่างนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ แต่ฟ่งกลัวเหลือเกิน กลัวว่าสักวันหนึ่ง เมื่อความอดทนและความพยายามนั้นสิ้นสุดลง เมื่อรูฟัสเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยคำนั้นเพื่อเขาอีก
   หากเขายังไม่ยอมยืนยันความรู้สึกของตัวเอง วันนั้นก็คงจะมาถึง
   นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการหรือ?
   ร่างบางเม้มริมฝีปาก เขาไม่ต้องการให้รูฟัสจากเขาไป เขาไม่ต้องการให้ผู้ชายคนนั้นหมดรักเขา แต่ว่าอีกด้านหนึ่ง ฟ่งรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำใจยอมรับกับสิ่งที่รูฟัสเป็น และที่ยากกว่านั้น คือการให้คนอื่นยอมรับในสิ่งที่เขากำลังจะตัดสินใจ
   คำพูดจากใจที่แทบจะแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา
   ฟ่งจับราวระเบียงแน่น ขาทั้งสองข้างสั่นไหว เขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ หรือ เขาจะเข้มแข็งได้อย่างที่ตัวเองคิดแน่หรือ แม้จะผ่านเรื่องเลวร้ายมาแล้ว แต่ความมั่นใจกับความรู้สึกนั้นจะเพียงพอหรือ
   “รูฟัส...” ร่างบางเอ่ยเสียงแผ่ว และค่อยๆ หันกลับมา ความสับสนที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นน่าหวาดหวั่นเสียเหลือเกิน จะเป็นอะไรมากไหมหากจะขอผัดผ่อนออกไปอีกสักหน่อย ขอพักหัวใจโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ กับผู้ชายคนนั้นอีกสักช่วง
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปยังบานประตูที่ไร้เงาผู้คน ไม่มีใครอยู่ในห้องอีก รูฟัสคงออกไปในระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรอยู่
   ฟ่งยิ้มเยาะให้กับตัวเอง คงถึงคราวที่เขาจะต้องเข้มแข็งอย่างที่ต้องการจริงๆ สักทีแล้ว
   เพราะเวลาของคนเราไม่เท่ากัน
--------------------------------------------------------
** ตอนนี้เหมือนจะคลายความตึงเครียดไปได้เปลาะหนึ่งนะคะ ฮาๆ

ในที่สุดรูฟัสกับฟ่งก็เหมือนจะได้มาอยู่ด้วยกันแล้ว เอ๊ะ แต่จะได้อยู่ด้วยกันจริงๆ รึเปล่านะ

ฟ่งนี่เป็นเคะหนึ่งเดียวที่อภิมหาโลเลกับชีวิตอย่างถึงที่สุดเลยล่ะค่ะ (ช่างแตกต่างกับหงคงฉ่วยอย่างสิ้นเชิง)

ขณะที่รูฟัสนี่ก็เป็นเมะที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นตั้งใจซะเหลือเกิน (ที่สำคัญ ยังตอแหลได้เก่งอย่างที่สุด :laugh:)

ส่วนเว่ยเฟิงปิงกับจางซื่อเยี่ยน หลายคนชอบคู่นี้นะ แต่คนเขียนเฉยๆ ล่ะ (ดังนั้น... บทมันจะเริ่มหล่นหายไปอย่างรวดเร็ว<<โดนคนอ่านกระทืบ :z6:)

ท่านนักอ่านใจร้าย.... อิฉันไม่ได้เป็นโรคจิตขั้นสุดท้ายนะคะ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นนิยายที่เขียนสมัยวัยรุ่น (เอ๊ะ ตอนนี้ก็วัยรุ่นนี่) เนื้อหามันเลยซัดหนัก และค้าง (ค่ะ.. ไม่รู้จะจบไงให้ไม่ค้างนะคะ เพราะขนาดค้างมันยังยาวเป็นสิบๆ หน้าเลยค่ะ=[]=)

ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่พยายามจะคอมเม้นต์กันจริงๆ ค่ะ ดิฉันชอบค่ะ ฮ่ะๆๆ (เราจริงใจ บอกกันตามตรงเลยค่ะ<<แกซาดิสม์เร้ออออ) :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 18-11-2011 17:39:32
สามคำให้เรื่องที่ไม่ว่าจะอ่านกี่ตอนก็
ยาว มาก มาก  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 18-11-2011 18:49:56
ฟ่งจะได้อยู่กะรูฟัสมั้ยอะเนี้ย มันจะเป็นยังงัยต่อ ไม่อยากให้จากกันเลยอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 19-11-2011 18:29:16
ค้างอีกแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 19-11-2011 18:49:32
 :z3: :z3:

เมื่อไหร่เค้าจะได้รักกันแบบจริงจังซะที ฟ่งเอ๊ยยยยยยยยยย

เชียร์ต่อไปทุกคนค่ะ แต่คู่เฟิงปิงคงหมดห่วงแล้วล่ะมั้ง(รึป่าว ฮ่าๆ)



 :L2: :L2: ส่งดอกไม้ให้คนแต่ง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 20-11-2011 08:11:02
อย่าบอกนะว่าจบแล้วอ้าาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-11-2011 08:50:06
**มาต่อกันเถอะค่ะ (เมื่อวานลืม ไปข้างนอกมาค่ะ)

------------------------------------------------
บทที่67 ด้วยรักและภักดี
   เว่ยจินหยินนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ด้วยสีหน้าอิดโรยและอ่อนล้า ยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เปรอะไปด้วยเลือด แม้ผู้เป็นลูกน้องจะนำชุดใหม่มาเพื่อให้เปลี่ยน แต่เว่ยจินหยินไม่นำพา เขาไม่ต้องการจะสนใจอะไรอีกแล้วนอกจากความเป็นความตายของคนที่อยู่ในห้องผ่าตัด แต่ละนาทียาวนานราวนับปี เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน จึงทำได้เพียงแต่รอ
   “น้ำมั้ย?” เสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่ดังไม่เบานัก เว่ยเฟิงปิงเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เขายื่นแก้วใส่น้ำเปล่าใบหนึ่งในผู้เป็นพี่ชาย และถือเอาไว้อีกใบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเว่ยจินหยินเพียงเงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ยื่นมือขึ้นมารับ จึงพูดต่อ “ผมไม่ใส่ยาพิษเอาไว้หรอก ดื่มหน่อยเถอะ พี่นั่งอยู่แบบนี้มาสามชั่วโมงแล้วนะ”
   เว่ยจินหยินยังเงยมองเว่ยเฟิงปิงอยู่อีกพักใหญ่ เหมือนกับพยายามทำความเข้าใจคำพูดของผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะยื่นมือสั่นเทาออกมารับแก้วน้ำ เว่ยเฟิงปิงมองดูพี่ชายที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อน เพียงเวลาไม่ถึงค่อนคืน ผู้ชายอายุสามสิบกว่าคนหนึ่ง คล้ายกลายเป็นคนอายุห้าสิบหกสิบเสียแล้ว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสะเทือนใจจะมีผลต่อร่างกายคนเรามากมายถึงเพียงนี้
   สีหน้าของเว่ยจินหยินอ่อนระโหย ดวงตาสีดำที่เคยเป็นประกายเย็นเยียบบัดนี้หม่นหมองไร้ประกายใดๆ สีหน้าที่เคยปั้นแต่งได้ง่ายๆ กลับห่อเหี่ยวไร้จิตใจ ร่างกายที่เคยดำรงอยู่อย่างสง่างามงองุ้มราวกับเศษใบไม้แห้งๆ เว่ยเฟิงปิงทรุดกายลงนั่งข้างผู้เป็นพี่ชายโดยไม่พูดอะไรอีก
   เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในที่สุดเว่ยจินหยินที่นั่งเหม่ออยู่ก็เอ่ยปาก “เฟิงปิง...ขอบใจนะ”
   ผู้ถูกเอ่ยถึงหันหน้ามามองอย่างงุนงง ผู้เป็นพี่ชายถอนหายใจยาว ในมือยังถือแก้วน้ำเอาไว้ “ขอบใจที่ช่วยห้ามพี่”
   หากเว่ยเฟิงปิงไม่ตบเขาในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเถียนซานจะได้มาถึงห้องผ่าตัดในตอนนี้รึเปล่า ตอนนั้นเว่ยจินหยินรักษาสติไม่ได้จริงๆ เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมไปเลยว่าควรจะช่วยชีวิตลูกน้องคนนี้ของเขายังไง ถ้าหากไม่ได้น้องชายคนนี้เรียกสติกลับมาล่ะก็...
   “ไม่เป็นไรหรอก”
   ต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่งถึงพอเข้าใจว่าเว่ยจินหยินขอบใจเขาเรื่องอะไร ความจริงเว่ยเฟิงปิงเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเว่ยจินหยินจะควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เขาอยากจะอ้าปากถามอยู่หรอกว่าลูกน้องชื่อเถียนซานสำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ถามออกไปในตอนนี้คงยิ่งกระทบกระเทือนอารมณ์ของเว่ยจินหยินหนักเข้าไปอีก ก่อนถึงฮ่องกง เขาไม่อยากให้พี่ชายเสียสติไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครรับประกันชีวิตพวกเขาได้ เพราะเว่ยจินหยินเป็นคนวางแผนทั้งหมด หากคนวางแผนเกิดสติแตกเสียเอง แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรล่ะ
   เว่ยจินหยินถอนหายใจยาว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสงครามชิงอำนาจและความรักจากบิดา เขาจมปลักอยู่กับความเคียดแค้นชิงชัง จมดิ่งลงในความดำมืดทะมึนที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ จมอยู่กับแผนการชั่วร้ายสารพัดที่เขาคิดสรรค์มาเพื่อการแย่งชิงโดยเฉพาะ จนแทบจะลืมไปแล้วว่าอะไรคือความรู้สึกที่แท้จริงกันแน่ จิตใจของเว่ยจินหยินชาด้าน ไม่รู้สึกรู้สมกับความเป็นความตายไม่ว่าจะของใครก็ตาม ขอแค่ให้บรรลุเป้าหมาย จะต้องสังเวยอะไรเท่าไหร่เขาไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเสียดายเลย แม้กระทั่งเถียนซาน เขาเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่พอเอาเข้าจริง เว่ยจินหยินไม่อาจหักใจได้ เพิ่งรู้สึกตัวว่าหัวใจของเขายังเต้นเหมือนคนธรรมดาอยู่ ยังไม่ชืดชาตายด้าน ยังคงมีความรักให้กับคนคนนี้อย่างเต็มหัวใจ อัดแน่นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปรมาตลอดสามสิบปี
   เขารักเถียนซานมากที่สุด เพราะเถียนซานรักเขามากที่สุด
   ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษที่สภาพแทบดูไม่ได้เพราะถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรงเบือนหน้าหันมามองน้องชายเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยคิดอยากดูน้ำหน้าน้องชายคนนี้ชัดๆ เลย ไม่สิ เขาไม่เคยคิดอยากดูน้ำหน้าน้องชายคนไหนของเขามาก่อน ไม่ว่าคนไหนก็เกะกะเขาทั้งนั้น ไม่ว่าคนไหน พ่อก็คิดว่าดีกว่าเขาทั้งนั้น กับคนที่ใช้แซ่เดียวกันแต่แทบไม่เคยเจอกันเลยพวกนั้น เขาไม่รู้สึกว่าอยู่ร่วมโลกเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่น้องชายที่ถูกสังหารโหดสองคนที่ทุกคนสงสัยว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง เขาเองยังลืมชื่อไปแล้ว กับเว่ยเฟิงปิงเองก่อนหน้านี้เขาไม่อยากจะใส่ใจมองด้วยซ้ำ และยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาอย่างเด่นชัดยิ่งรู้สึกรกหูรกตา แต่เว่ยจินหยินแน่ใจว่ากับกรณีของเว่ยเฟิงปิง เว่ยชิงบิดาของเขาไม่มีทางปล่อยอำนาจให้เด็ดขาด จึงคร้านจะกำจัดให้เปลืองมือเท้า อย่างน้อยเฟิงปิงก็เป็นคนใช้งานได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายยุแหย่ให้พ่อรู้สึกไม่พอใจลูกชายคนนี้เกี่ยวกับเรื่องความรักร่วมเพศที่เว่ยเฟิงปิงเป็นอยู่ แต่ครั้นเห็นว่าเว่ยชิงดูไม่เดือดร้อนอะไรนัก แถมดูท่าจะพอใจที่เรื่องเป็นอย่างนั้น เขาเลยพลอยเซ็งไปด้วย คร้านที่จะสนใจน้องชายคนนี้อีก ไว้มีเวลาว่างหรือมีโอกาสเหมาะสมค่อยหาทางกำจัดยังไม่สาย ความจริงเขาวางแผนจะลบเว่ยเฟิงปิงออกไปจากโลกหลังกลับถึงฮ่องกงด้วยซ้ำ เพราะหลังจบงานนี้ น้องชายคนนี้ของเขาก็แทบไม่มีความจำเป็นอะไรอีก
   แต่ตอนนี้เว่ยจินหยินคล้ายคนเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น เขาจงใจปล่อยให้เฟิงปิงกลับขึ้นไปก่อน ดูว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรหากไม่พบเขา หากเฟิงปิงทิ้งเขาเอาไว้ เว่ยจินหยินตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าเขาจะกำจัดน้องชายคนนี้ทันที แต่เฟิงปิงยังโชคดีที่เลือกลงมาตามหาเขา ระหว่างเสียสติ ก็เป็นน้องชายคนนี้อีกนี่แหละที่ดึงเขากลับมา ถ้าไม่มีเว่ยเฟิงปิง นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะกล้าหาญทำแบบนั้นกับเขาบ้าง ชั่วชีวิตนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาถูกตบ ไม่นับตอนที่แสดงละครหลอกมิคาเอล ลอว์ออกมาเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นรู้สึกจะโดนยิ่งกว่าตบ แต่ช่างเถอะ เว่ยจินหยินชักรู้สึกว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์น้อยลงทุกที กับน้องชายร่วมสายเลือดที่นั่งอยู่ข้างๆ นี้ เขาสมควรรู้สึกตอบยังไงกันแน่
   “เฟิงปิง...” เว่ยจินหยินเรียกชื่อน้องชายอีกครั้ง คล้ายทวนความจำว่าตัวเองยังจำได้อยู่ เว่ยเฟิงปิงมองพี่ชายของเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจ นี่เว่ยจินหยินกำลังคิดอะไรอยู่นะ คงไม่ใช่อาการเพี้ยนหลังช็อคหนัก นัยน์ตาสีดำกระพริบมองเขาอยู่หลายครั้งจนเว่ยเฟิงปิงขยับตัวอย่างอึดอัด ปกติเว่ยจินหยินไม่แม้แต่จะชายตาขึ้นมองด้วยซ้ำนี่นา
   “เอ้อ....” เว่ยจินหยินครางอย่างนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรต่อ มันเหมือนจะมีคำพูดหลายๆ อย่าง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี กับความรู้สึกระหว่างพี่น้อง เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
   “น้องเจ็ด....”
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้าง จริงอยู่ตามธรรมเนียมปฏิบัติพี่น้องในตระกูลจะเรียกกันตามลำดับอาวุโส แต่สำหรับเขา เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ออกจากปากพี่ชายคนรอง ตั้งแต่มาเหยียบฮ่องกง เว่ยจินหยินเรียกชื่อจริงเขามาโดยตลอด คล้ายกับว่าเจ้าตัวคร้านจะนับรวมเขาเป็นพี่น้องด้วย เพราะอย่างนั้นเว่ยเฟิงปิงจึงเรียกชื่อจริงของเว่ยจินหยินเป็นการตอบแทนมาโดยตลอดเช่นกัน ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเจ้าตัวจะเรียกลำดับของเขาออกมา ไม่คิดว่าเว่ยจินหยินจะจำได้ว่าเขาเป็นน้องคนที่เท่าไหร่
   “พี่รอง...”
   ทำง่ายๆ ที่พอพูดออกไปแล้วรู้สึกจั๊กจี๋หัวใจพิลึก อย่างกับคนเพิ่งพบญาติใหม่ๆ งั้นแหละ จู่ๆ เว่ยจินหยินก็หัวเราะออกมา “อืม...พี่... ไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นน้องชายมาก่อนเลย”
   คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดเข้าหากัน นี่เว่ยจินหยินจะพูดอะไรให้มันเข้าหูสักหน่อยไม่เป็นหรือไง สรุปว่าไอ้นิสัยพูดแดกดันกวนประสาทของพี่ชายคนนี้ น่าจะไหลเวียนอยู่ในตัวมากกว่าถูกสร้างเป็นภาพขึ้นมาเสียแล้ว เว่ยเฟิงปิงตอบกลับ “ผมก็ไม่เคยคิดว่าพี่เป็นพี่ชายผมเหมือนกัน”
   เว่ยจินหยินหัวเราะอีก คล้ายไม่นำพาอารมณ์ที่แฝงมากับคำพูดนั้น เขาพูดต่อ “แต่เราเป็นพี่น้องกันจริงๆ ใช่ไหม?”
   คำถามนี้ทำเอาอีกฝ่ายงงไปนานเลยทีเดียว หรือว่าจู่ๆ เว่ยจินหยินคิดอยากจะพิสูจน์ดีเอ็นเอกับเขา นี่จะหาเรื่องไล่เขาออกจากตระกูลอีกหรือไง ให้ตายสิ นี่ขนาดสภาพดูไม่ได้ยังมีกะใจจะคิดเรื่องนี้อีก เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงอย่างไม่พอใจทันที
   “ถ้าพี่อยากจะพิสูจน์สายเลือดกับผมล่ะก็เชิญตามสบายเลย ผมไม่คิดว่าคุณพ่อจะหิ้วเด็กไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาทำลูกหรอก”
   “อ้อ... อืม....นี่พี่ทำให้เธอโกรธสินะ ขอโทษที” เว่ยจินหยินกล่าวขึ้นมาเหมือนนึกได้ และรีบพูดต่อ “พี่แค่คิดว่าน่าจะแสดงออกกับเธอเหมือนพี่น้องปกติดู”
   “?” คราวนี้นัยน์ตาสีฟ้าหันมาจับจ้องพี่ชายคนรองของเขาอย่างจริงๆ จังๆ บ้างแล้ว พี่น้องเหรอ? กับเว่ยจินหยินแล้วก่อนหน้านี้เขามีแค่คำว่าเหม็นขี้หน้าและอยากฟาดปากเท่านั้นเอง เผลอๆ บางทีก็รู้สึกอยากฆ่าทิ้ง เว่ยเฟิงปิงมองดูใบหน้าของพี่ชาย คนคนนี้น่ะหรือเป็นพี่ชายของเขา เอาเถอะ ถ้าเว่ยจินหยินรู้สึกเป็นพี่น้องกับเขาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ลองมีพี่ชายที่มีปากชวนให้อยากฆ่าสักคนคงน่าสนุกดีเหมือนกัน
   “นี่ น้องเจ็ด...กลับไปคราวนี้ถ้าพี่ไม่รอด...เธอช่วยพาคุณพ่อมางานศพพี่ได้มั้ย?” จู่ๆ เว่ยจินหยินที่เงียบไปอยู่พักหนึ่งก็พูดประโยคนี้ขึ้น เล่นเอาทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกใจเอามากๆ มากยิ่งว่าที่เว่ยจินหยินนับพี่น้องกับเขาอีก ถึงกับถามสวนออกไปอย่างลืมตัว
   “พี่พูดอย่างกับว่าคุณพ่อจะไม่ดูดำดูดีพี่งั้นแหละ”
   เว่ยจินหยินไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “สัญญาสิ สัญญาว่าจะทำยังไงก็ได้ให้คุณพ่อมางานศพพี่”
   เว่ยเฟิงปิงมองหน้าพี่ชาย รู้สึกตกใจอยู่มากจริงๆ “พี่ไม่ตายหรอกน่า..ใช่มั้ย?”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินหลับลง ก่อนจะลืมขึ้น และหันไปมองยังประตูห้องผ่าตัด เขาตัดสินใจแล้ว หากเถียนซานไม่ได้ตามเขากลับไปฮ่องกงด้วย หากว่าไม่มีผู้ชายคนนั้นบนโลกอีก หลังจบเรื่องนี้แล้ว เขาก็จะขอตามไปเหมือนกัน
   เว่ยเฟิงปิงมองดูสายตาพี่ชายของเขา เหมือนเดาใจได้ รีบโพล่งออกมา
   “เถียนซานไม่ตายหรอก!”
   ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเว่ยจินหยินจะตีโพยตีพายตัวเองขนาดนี้ นี่ขนาดยังผ่าตัดไม่สำเร็จ ทางนั้นก็ไม่คิดอยากอยู่ดูโลกเสียแล้ว ให้ตายสิ ไม่นึกเลยว่าจะยึดติดกับอดีตลูกน้องมากขนาดนี้ ขนาดเขาที่เคยรักรูฟัสแทบเป็นแทบตาย ยังไม่เคยคิดอยากตายตามเลย ที่ว่าเว่ยจหยินอำมหิตไร้หัวใจ ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงเป็นคนหนึ่งที่ขอค้าน ดูยังไงผู้ชายคนนี้ก็ยังมีหัวใจอยู่ แถมยังอ่อนไหวมากๆ เสียด้วย
   ยังไม่ทันที่เว่ยจินหยินจะพูดอะไรตอบ ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก แพทย์เจ้าของไข้เดินออกมา แทบจะพร้อมๆ กับที่พี่ชายของเขาลุกพร่วดพราดขึ้น เว่ยเฟิงปิงยังนึกขำ ตอนที่เว่ยจินหยินเอ่ยถามเป็นภาษาจีนออกไป จนแพทย์คนนั้นทำหน้าแปลกๆ และตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ “ไม่เป็นไรครับ อาการปลอดภัยแล้วล่ะ”
   ถ้าหากความสะเทือนใจทำให้คนดูแก่ลงได้ในชั่วข้ามคืนล่ะก็ ความดีใจก็คงส่งผลที่ตรงกันข้าม เว่ยจินหยินเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ใบหน้าซูบซีดห่อเหี่ยวดูมีสีเลือดฝาดขึ้นมาทันที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยหม่นหมอง เขาปราดเข้าไปยังเตียงที่บุรุษพยาบาลเข็นออกมา ฉวยมือข้างหนึ่งของร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่พร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ พูดทั้งๆ ที่ยังน้ำตาไหลด้วยความปิติ
   “อาซาน...”
------------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนขยับตัวทันทีที่เห็นบุรุษพยาบาลเข็นเตียงออกมาเช่นเดียวกับพวกลูกน้องคนอื่นๆ เว่ยจินหยินกุมมือเถียนซานอยู่ข้างๆ อย่างที่คิดเอาไว้ ดูจากสีหน้าดีใจแบบไม่เสแสร้งนั้นแล้ว ก็เบาใจได้ว่าลูกพี่ของเขาคงปลอดภัยแล้ว เถียนซานนั้นเป็นที่เคารพรักของทุกคน แม้จะดีใจที่ปลอดภัย แต่ไม่กล้ามีใครเข้าไปใกล้มากนัก ทุกคนไม่อยากรบกวนช่วงเวลาดีใจของเว่ยจินหยิน จึงปล่อยให้เจ้านายเดินตามเตียงเข็นเข้าไปในห้องพักโดยที่พวกตนยืนเฝ้าไข้กันหน้าประตู เว่ยเฟิงปิงเดินตามออกมาหลังจากนั้น สีหน้าบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่คงไม่ได้หงุดหงิดสักเท่าไหร่ อาจจะโล่งใจอยู่ลึกๆ
ความจริงเว่ยเฟิงปิงอารมณ์ดีพอสมควร การได้พูดคุยกับเว่ยจินหยิน ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขารู้สึกเต็มตื้นอยู่บ้าง เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะแสดงออกเพื่อให้จางซื่อเยี่ยนได้รับรู้ความรู้สึกส่วนลึกที่เขามี แต่พอออกมาเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของคนที่อยู่ในห้วงความคิดซึ่งกำลังเดินมาหากลับพาลทำให้เกิดหงุดหงิดขึ้นมาอีก พอย้อนกลับไปนึกถึงตอนก่อนจะเดินมาที่ห้องผ่าตัดแล้ว ความไม่พอใจของเว่ยเฟิงปิงก็หวนกลับมาและยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ เขาหวังอะไรจากเจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นี่
   เจ้าหมอนี่มีความรู้สึกจริงๆ รึเปล่า?
   นึกถึงตอนที่เขาเดินลงไปพบจางซื่อเยี่ยนกำลังทำท่าเหมือนไว้อาลัยศัตรูคนนั้นแล้ว เว่ยเฟิงปิงแอบนึกอิจฉาขึ้นมาอยู่นิดๆ เหมือนกัน ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะแสดงความรู้สึกกับคนอื่นได้ ยกเว้นเขา มันเพราะอะไรกันล่ะ เพราะว่าเป็นเจ้านายลูกน้องกันหรือ? เพราะเป็นเจ้านายถึงได้แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นเด่นชัดไม่ได้งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นแล้วดันมาชอบเขาทำไมกัน
   “โอ๊ย!” จางซื่อเยี่ยนร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ เว่ยเฟิงปิงก็หยุดเดินและหันมาเตะเข้าที่หน้าแข้งของเขาเต็มแรง ผู้เป็นเจ้านายถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง
   “ไอ้บ้า!” เว่ยเฟิงปิงว่าและนึกอยากจะเตะซ้ำอีก แต่พอเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่ายก็พอจะทำให้เกิดความปราณีขึ้นมาได้บ้าง อีกทั้งคนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มหันมามองอย่างงุนงง เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงออกทางจมูก ให้รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจกับการจ้องมองนี้ ก่อนจะสะบัดหน้า ออกเดินหนีไปอีก จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนัก แต่ก็รีบเดินตามเจ้านายออกไปทั้งๆ ที่ยังเจ็บหน้าแข้งนั่นแหละ
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งออกมาในที่สุด เมื่อเห็นท่าว่าเว่ยเฟิงปิงโกรธเขาอยู่เป็นแน่ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่น่าจะทำอะไรผิด ผู้เป็นเจ้านายหันกลับมาทันที
   “มีอะไร!?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามเสียงห้วน ทำเอาผู้เป็นลูกน้องปั้นหน้าไม่ถูก จางซื่อเยี่ยนอ้าปากอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นครึ่งค่อนวัน จนนัยน์ตาสีฟ้านั้นหรี่ลงอย่างรำคาญและทำท่าจะหันหน้าหนีไปอีก ถึงได้พูดออก “คุณโกรธผมเรื่องอะไร?”
   “นายดูออกด้วยหรือว่าฉันโกรธนาย?” ผู้เป็นเจ้านายย้อนถาม จางซื่อเยี่ยนแทบจะร้องออกมา “ก็จู่ๆ คุณก็มาเตะผม ไม่โกรธผมแล้วจะเตะผมทำไมกันล่ะ?”
   “ฉันอาจจะโกรธคนอื่นแล้วมาลงกับนายก็ได้” เว่ยเฟิงปิงว่า จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
“คุณเห็นผมเป็นกระสอบทรายหรือไงครับ” เขาครวญอย่างที่ไม่ค่อยจะทำนัก เว่ยเฟิงปิงส่งเสียงเฮอะในลำคอและหันหน้า เดินหนีอีก คราวนี้จางซื่อเยี่ยนคว้ามือเจ้านายของเขาไว้ อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองอีก
   “ไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่าครับ” ผู้เป็นลูกน้องกล่าว และกึ่งเดินกึ่งดันเจ้านายออกไป
------------------------------------------------
   สิ่งที่เถียนซานรู้สึกในวินาทีสุดท้ายคือแรงอัดมหาศาลที่กระแทกเข้ามา กับร่างของเว่ยจินหยินที่อยู่ในอ้อมกอด ก่อนเสี้ยววินาทีนั้นเขาทำได้เพียงคว้าร่างของเจ้านายไว้และดันตัวพร้อมกับก้มหลบ อย่างๆ น้อยๆ พวกที่ตามมาด้านหลังจะได้ไม่โดนลูกหลง ปฏิกิริยานี้เป็นไปโดยอัตโนมัติก่อนที่สมองจะทำความเข้าใจเสียอีก หลังจากนั้นสิ่งที่เถียนซานเห็นคือความมืด ความมืดที่มีจุดสว่างสีขาวคล้ายดวงดาวแตกซ่าน ฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวโพลน นิ่งสงบ ภาพที่คล้ายลืมเลือนไปแล้วในอดีต ค่อยๆ ผุดขึ้นเหมือนกำลังดูหนังฉายซ้ำ นี่ไม่ใช่ประสบการณ์เฉียดตายครั้งแรกของเขา
   เถียนซานผ่านเรื่องพวกนี้มาหลายครั้ง จนเรียกได้ว่าแทบจะชินชาไปแล้ว ประสบการณ์เฉี่ยวตายที่ไม่อยากจะนับครั้งทำให้ในความรู้สึกของเขา เสี้ยววินาทีนั้นมีความยาวราวหลายวินาที ตอนนี้บุรุษวัยกลางคนรู้ตัวแน่ชัด เขาตกลงมาอยู่ในห้วงความเป็นความตายอีกหนหนึ่งแล้ว
   ในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่แคบไม่กว้าง เขาเดินตามหลังผู้มีศักดิ์เป็นลุงห่างๆ เว่ยชิงซึ่งครั้งนั้นยังอยู่ในวัยฉกรรจ์นั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่ตั้งอยู่เกือบจะกึ่งกลางห้อง จ้องมองไปยังประตูบานน้อยซึ่งเปิดแง้มออกมา เถียนซานไม่เคยเห็นว่าผู้ชายคนนี้มีสายตาอย่างไรในตอนนั้น ที่ผ่านประตูเข้ามาเป็นเด็กผู้ชายอายุราวๆ สามสี่ขวบ ที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวพี่เลี้ยง ทันทีที่เห็นผู้เป็นบิดา นัยน์ตาสีดำราวลูกกวางเป็นประกายด้วยความยินดี เมื่อขาน้อยๆ แตะสู่พื้น เด็กน้อยก็วิ่งตรงเข้าหาผู้เป็นบิดา ระหว่างนั้นดวงตาสีดำราวลูกกวางน้อยช้อนตาขึ้นมองเขาแว้บหนึ่งอย่างไม่สนใจนัก และหันไปคุยกับผู้เป็นบิดาต่อ แต่คุยกันได้เพียงครู่ก็ถูกผลักไสออก นัยน์ตาสีดำช้อนมองผู้เป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจ แววตาสั่นระริก ถึงอย่างนั้นก็ยอมถอยออกโดยมิได้ปริปาก หลังจากนั้นเถียนซานจึงได้สบกับดวงตาสีดำนั้นอีกหน
   นัยน์ตาสีดำที่ไร้เดียงสา ซื่อบริสุทธิ์ และสั่นระริกคล้ายอัดอั้นบางสิ่งบางอย่างเอาไว้
   นัยน์ตาของเด็กสี่ขวบที่พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกไป ประทับเข้าไปในหัวใจของเถียนซานแทบจะในทันที วินาทีนั้นเขาอุทิศทุกอย่างในชีวิตให้กับเว่ยจินหยิน
   เจ้านายน้อยๆ ที่แสนเข้มแข็ง
   หากมีคนกล่าวว่าความรักทำให้คนอ่อนแอ สำหรับเถียนซานแล้วเรื่องนี้ดูเหมือนจะให้ผลตรงกันข้าม สำหรับเขายิ่งมีความรักให้เว่ยจินหยินมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองยิ่งต้องเข้มแข็งมากเท่านั้น เข้มแข็งพอจะปกป้องเจ้านายคนนี้จากเรื่องร้ายๆ เข้มแข็งพอจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเจ้านายน้อยๆ คนนี้
   ขอแค่เพียงเว่ยจินหยินพอใจ ไม่ว่าเรื่องใด เขาพร้อมกระทำให้ทั้งสิ้น
   ความรักที่เถียนซานทุ่มให้กับเจ้านายของเขานั้น มากมายเสียจนไม่อาจบรรยายออกมาได้หมด ทุกเรื่องทุกอย่างของเว่ยจินหยินแทบจะเป็นลมหายใจของเขา เรียกได้ว่าแค่เว่ยจินหยินปรายสายตา เถียนซานก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เขาตามใจเว่ยจินหยินมาโดยตลอด ทำหน้าที่คอยเคียงข้างอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทำทุกอย่าง กระทั่งเรื่องที่ไม่สมควรจะทำทั้งหลายก็กระทำไปแล้ว ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว
   เพื่อให้เจ้านายคนนี้มีความสุข
   หากจะถามเขาว่าสิ่งใดที่เขาต้องการจากการรักผู้ชายคนนี้ เถียนซานตอบได้อย่างเต็มปาก มันเป็นสิ่งง่ายๆ สิ่งง่ายๆ ที่เขาคิดมาตลอดสามสิบปีเต็ม สิ่งนั้นคือรอยยิ้มและสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแท้จริงของเว่ยจินหยิน นอกจากนี้เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีก แต่ถึงกระนั้นเว่ยจินหยินก็ได้มอบสิ่งตอบแทนสูงค่าให้เขา สิ่งตอบแทนที่เขาแทบไม่มีปัญญาจะรับเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจตัดใจละทิ้ง สิ่งที่เขามอบคุณค่าให้อย่างสูงสุด
   หัวใจ....
   สามสิบปีที่เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง หัวใจของเว่ยจินหยินอัดแน่นไปด้วยความรัก กับตัวเขาที่ทำงานรับใช้มาเนิ่นนาน มีหรือจะมองสิ่งนี้ในหัวใจเจ้านายไม่ออก แต่เขาหยุดหัวใจของเว่ยจินหยินไม่ได้ เพราะต้นเหตุแห่งความรักฝังใจทั้งมวลที่เว่ยจินหยินมีให้เข้า คือตัวเขาเอง
   ความรักที่เขาให้คือชนวนความรักฝังใจที่เว่ยจินหยินมีให้เขา และเขาก็ไม่อาจหยุดทุ่มเทความรักของตนให้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
   เพราะเขารักเว่ยจินหยินอย่างที่ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ และเว่ยจินหยินก็รักเขาอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้เช่นกัน
   มีเพียงอีกฝ่ายที่ได้รับความรักเท่านั้นที่เข้าใจถึงหัวใจเปี่ยมรักของอีกฝ่าย
   ฉะนั้นต่อให้ต้องตะเกียกตะกายหนีตายจากขุมนรก เถียนซานก็จะทำ ชีวิตเขาให้เว่ยจินหยิน เว่ยจินหยินอุทิศหัวใจให้เขา แม้ความตายจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เขาจะต่อสู้กับมันจนถึงวินาทีสุดท้าย ต่อสู้กับมันจนถึงที่สุด เพื่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้
   ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะอยู่ที่ไหน เขาจะอยู่ด้วยเสมอ จะไม่จากไปไหนเด็ดขาด
   เถียนซานรักษาสัญญานี้มาตลอดสามสิบปี และต้องการจะรักษามันไว้ตลอดไป จวบจนกระทั่งเจ้านายคนนี้ไม่ต้องการให้เขารักษามันอีก
   จวบจนห้วงลมหายใจของคนสองคนสิ้นสูญ
   ลมหายใจของคนสองคน ที่แทบจะมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียว
------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-11-2011 08:52:49
   จางซื่อเยี่ยนพาผู้เป็นเจ้านายมาจนถึงระเบียงทางเดินด้านนอกซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านนัก ก่อนจะยอมปล่อยมือ เว่ยเฟิงปิงสะบัดตัวออกอย่างแง่งอน และหันมาค้อนใส่
   “นายมีอะไรอยากพูดหรือไง?”
   “มีครับ”   ผู้ถูกถามเอ่ยออกมา สีหน้าบ่งบอกถึงความอึดอัดเต็มที่ ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงชอบเป็นแบบนี้กับเขาอยู่เรื่อยเลยนะ เหมือนกับว่าพอได้รู้ความในใจของเขาแล้วจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขายิ่งกว่าเดิม อดีตหน่วยดำเอ่ยคำพูดต่อ “ทำไมคุณไม่เคยพูดจาดีๆ กับผมเลย?”
   “ฉันพูดไม่ดีกับนายตอนไหน?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง จำได้ลางๆ ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาเหมือนจะถูกเว่ยเฟิงปิงตอกด้วยคำถามแบบนี้เหมือนกัน ชายหนุ่มอ้าปากพะงาบๆ เหมือนหุ่นที่ถูกเชิดโดยไร้เสียงพากย์ สักพักใหญ่จึงมีคำพูดหลุดออกมา
   “คุณเกลียดผมมากหรือครับ?”
   “.....................”   เว่ยเฟิงปิงเงียบไปพักใหญ่ สองมือกำแน่น เขาอยากจะตบจางซื่อเยี่ยนสักฉาก แต่พอเห็นดวงตาสีอีกาที่มองมาอย่างเจ็บปวดนั่นแล้วก็ต้องหยุดมือไว้ ผู้ชายคนนี้เองก็มีความรู้สึก
   “ฉันไม่ได้พูดว่าเกลียดนาย” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยและเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ค่อยชอบผู้ชายคนนี้ แต่ว่าความรู้สึกตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ในวันที่ไปทานอาหารด้วยกันเขาก็เอ่ยปากบอกความรู้สึกกับเจ้าหมอนี่ไปแล้ว แต่ทำไมกันนะ ทำไมความสัมพันถึงได้ไม่คืบหน้าไปไหนเสียที
   “ทำไมนายถึงเย็นชากับฉันนัก ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยพลางหันหน้ากลับมา นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก “ฉันบอกกับนายแล้ว บนรถนั่น คืนนั้น ฉันไม่ได้ต้องการการเคารพจากนาย ฉันอยากได้ความรัก ซื่อเยี่ยน ฉันต้องการความรัก ความรักของนาย”
   “คุณชาย!” จางซื่อเยี่ยนโพล่งขึ้น เขามองดูดวงตาสีฟ้าที่มีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างตระหนก ร่างแกร่งตรงเข้าไปประคองเจ้านายของเขาไว้
   “ยากนักหรือ ซื่อเยี่ยน การจะแสดงความรักกับฉัน สำหรับนายแล้ว มันยากนักหรือไง?”
   เว่ยเฟิงปิงคร่ำครวญ จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขา ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด กับคำถามนั่น คำตอบนั้นช่างยากลำบาก
   “คุณไม่เข้าใจ” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้น พลางมองดูผู้เป็นนายในอ้อมกอด ถึงแม้เข้าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่กับผู้ชายคนนี้ เขายิ่งต้องเก็บอารมณ์มากเข้าไปอีก นั่นเพราะฐานะที่ต่างกัน ถึงแม้เว่ยเฟิงปิงจะไม่แคร์ และเขาอาจจะไม่สนใจ แต่คนอื่นๆ เล่า เขาจะปล่อยให้ตัวเองเป็นสาเหตุให้เจ้านายถูกซุบซิบนินทาได้อย่างไรกัน ไม่มีลูกน้องคนไหนต้องการให้เจ้านายตัวเองตกเป็นขี้ปากชาวบ้านหรอก
   “ฉัน..ไม่เข้าใจตรงไหน?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม โดยไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ชายหนุ่มพอจะเดาได้ว่าจางซื่อเยี่ยนจะอ้างเหตุผลอะไร คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ ที่เป็นสาเหตุให้เขาหงุดหงิดอยู่เป็นแน่
   “ผมรักคุณอย่างเปิดเผยไม่ได้หรอกครับ คุณชาย” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมา คงป่วยการจะอธิบายเหตุผลให้คนอย่างเว่ยเฟิงปิงฟัง เพราะเจ้านายคนนี้ดูจะไม่ยอมฟังอะไรอยู่แล้ว เขากล่าวต่อ “แต่ได้โปรดเชื่อเถอะครับว่าผมรักคุณจริงๆ ผมรักคุณมากที่สุด”
   “จะให้ฉันเชื่อนายได้ยังไง?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ย และเงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมาอย่างสงสัย
   “นายจะพูดให้ฉันรู้สึกดีสักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ จะพูดว่าหึงฉันสักคำก็ไม่ได้หรือ ฉันไม่โกรธเลยถ้านายจะหึงฉัน... ถ้านายจะหวงฉัน... ถ้านายจะต้องการฉันแบบนั้น”
   “ถ้าผมหึง แล้วคุณจะตัดใจจากเขาหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยถามขึ้น พอนึกถึงสายตาที่เว่ยเฟิงปิงมองรูฟัสแล้ว เขารู้สึกท้อแท้อยู่ทุกที ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ จะแสดงออกขนาดไหน แววตานั่นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
   จะเมื่อไหร่เว่ยเฟิงปิงก็ยังมีหัวใจให้ผู้ชายคนนั้นอยู่
   “นายหมายถึงรูฟัสหรือ?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมา นัยน์ตาสีฟ้ากลอกมองหน้าอีกฝ่ายและยิ้ม
   “ฉันรักรูฟัส ฉันรู้ตัวดีว่าฉันรักเขา แต่ฉันไม่ต้องการเขาแล้วซื่อเยี่ยน ฉันไม่ต้องการผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว ฉันต้องการนาย ต้องการความรักจากนาย”
   “เพื่อเป็นตัวแทนเขาหรือครับ?” จางซื่อเยี่ยนเอ่ยออกมา เว่ยเฟิงปิงจะรู้ไหม คำรักที่พูดถึงรูฟัสนั้น เสมือนลิ่มหนาหนักที่ตอกย้ำลงไปบนหัวใจของเขา ความรักต่อผู้ชายคนนั้น ยังมีอยู่ในหัวใจของเว่ยเฟิงปิงอย่างเต็มเปี่ยม
   “รักผมไม่ได้หรือครับ รักผมที่เป็นผม”
   เว่ยเฟิงปิงยกนิ้วเรียวแตะริมฝีปากของอีกฝ่าย และกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มๆ
   “ซื่อเยี่ยน นายน่ะไม่คล้ายรูฟัสสักนิด ทั้งซื่อบื้อ ทั้งทื่อ ทั้งเย็นชา นายเป็นตัวแทนรูฟัสไม่ได้หรอก แต่ฉันก็ยังพูดว่าต้องการนาย ไม่เข้าใจอีกหรือ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าใสพลันมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงกล่าวเสียงเครือ “ไม่เข้าใจเลยหรือ ฉันต้องการความรักจากคนเย็นชาอย่างนาย เข้ามาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในหัวใจฉัน ช่องว่างหัวใจของฉันที่ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนั้นเคยขโมยมันไปด้วยความอบอุ่น ฉันต้องการความอบอุ่นจากคนเย็นชาอย่างนาย เพราะอะไรไม่รู้เลยหรือ? เพราะฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะรักนายได้อย่างสนิทใจ ฉันจะรักนาย นายที่จะไม่ทรยศฉัน สักวันที่ฉันจะรักนายได้อย่างเต็มหัวใจ”
   จางซื่อเยี่ยนยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาสีฟ้าใสนั้น อยากจะเอ่ยคำขอโทษราวร้อยล้านครั้ง ด้วยไม่คิดเลยว่าเว่ยเฟิงปิงจะมีใจให้กับเขามากมายเพียงนี้ เขาสำคัญตัวเองผิดไป เขาอาจจะแข่งกับรูฟัสไม่ได้ แต่เขาสามารถรักเว่ยเฟิงปิงอย่างที่เขาสามารถรักได้ และเว่ยเฟิงปิงเองก็ต้องการเช่นนั้น
   “คุณชาย..” ผู้เป็นลูกน้องกระซิบเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเบาๆ ก้มลงจูบหน้าผากนั้นอย่างอ่อนโยน และรั้งร่างแบบบางมากอดไว้แนบแน่น
   “ผมจะรักคุณให้ดีที่สุด”
   เว่ยเฟิงปิงโอบวงแขนกอดรัดแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นลูกน้องเอาไว้ ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทื่อ จะซื่อบื้อ จะเย็นชาเพียงใด แต่อ้อมกอดนี้อบอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เขาวางใจเอาไว้ได้ว่า เขาจะสามารถรักผู้ชายคนนี้ได้ในที่สุด
   ผู้ชายที่เต็มใจจะเติมเต็มความรักให้กับหัวใจว่างเปล่าของเขา
-----------------------------------------------
   เถียนซานตะกายขึ้นมาจากขุมนรกแล้ว ตะกายหนีออกมาจากอุ้งมือพญามัจจุราชได้อีกครั้ง
   ทุกครั้งที่ผ่านประสบการณ์แห่งความเป็นความตายเช่นนี้ ยามเมื่อลืมตาขึ้น เขามักรู้สึกว่าตัวเองหลับลืมโลกไปนาน รู้สึกเหมือนอายุเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบๆ ปี แต่ความรู้สึกนี้ไม่ได้ทำให้เขาท้อแห้ห่อเหี่ยว ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาแก่ชรา ตรงข้าม เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจิตใจของเถียนซานยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น คล้ายห้วงความเป็นตายมอบพลังแห่งการมีชีวิตให้เขาเพื่อตอบแทนพลังใจที่ทุ่มเทอย่างถึงขีดสุด นัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกกระพริบอย่างเชื่องช้า สมองที่คล้ายหลับใหลมาเนิ่นนานค่อยๆ ทำงานของมัน เวลานี้เขาคงอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง
   อณูความรู้สึกวิ่งแล่นแผ่ขยายออกไปทุกทั่วปลายประสาท สิ่งต่อมาที่เขาสัมผัสได้คือความอบอุ่นในมือข้างหนึ่ง ฝ่ามือสากหนาขยับและกำความอบอุ่นนั้นเอาไว้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้สมองคิดก็เข้าใจว่าความอบอุ่นนั้นคืออะไร จะเป็นอะไรไปอีกไม่ได้นอกเสียจากเจ้าชีวิตคนนั้น เจ้าชีวิตที่มอบชีวิตให้กับเขา
   เว่ยจินหยินอ่อนล้ามากจริงๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์ไม่คาดคิด ร่างกายของเขาคล้ายรองรับอะไรไม่ไหวอีก หากเป็นในยามปกติ ชายหนุ่มคงต้องเอนกายลงบนเตียงสี่เสาตัวโปรด เอนตัวหลับพักไปบนฟูกนอนนุ่ม ผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้หัวสมองแจ่มใสต้อนรับสิ่งที่จะเผชิญในเช้าวันใหม่ แต่ในตอนนี้จิตใจของเขาไม่อาจผ่อนคลายได้เช่นนั้น แม้จะรู้ว่าอาการปลอดภัย หากเถียนซานไม่ลืมตาตื่นขึ้นมามองดูเขา เว่ยจินหยินไม่วางใจสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอ เฝ้ารออย่างใจจดจ่ออยู่ข้างเตียงนอน เฝ้ามองร่างสูงใหญ่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขามาตลอดสามสิบปี ลูบไล้ฝ่ามือสากหยาบที่อัดแน่นไปด้วยความรักจนแทบทำให้ตัวเขาปริฉีก กับความรักที่เถียนซานมอบให้ เว่ยจินหยินไม่มีปัญญาหาสิ่งใดมาตอบแทน นอกจากความรัก...
   แรงกระทำเบาบางที่ขยับอยู่ในอุ้งมือของเขาแรงพอที่จะทำให้เว่ยจินหยินรู้สึกตัวตื่น ความตื้นตันแล่นเข้าสู่หัวใจของเขาเหมือนน้ำที่ไหลทะลักเข้าสู่ภาชนะ ร่างบางชันตัวลุกขึ้น ลืมเลือนความเหนื่อยล้าทุกอย่าง ที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือนัยน์ตาสีดำราวหินน้ำตกที่มองมาอย่างอบอุ่น
   “อาซาน!” เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาที่หลุดออกมาจากปาก สำหรับเว่ยจินหยินนั้นดังราวเสียงฟ้าคำราม เขาหูอื้อด้วยความยินดีที่เอ่อล้นอยู่ในหัวใจ เกาะกุมมือสากหนาข้างนั้นแนบแน่น สัมผัสไออุ่นแห่งชีวิตที่เขาเคยได้รับมาตลอดสามสิบปี หยาดน้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามเอาไว้ได้ เถียนซานกุมมือตอบเจ้านายของเขา บีบมือเรียวอุ่นนิ่มนั้นอย่างปลอบโยน เขาไม่อาจกล่าวถ้อยคำใด และไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าว สิ่งที่เขารับรู้คือ เว่ยจินหยินปลอดภัย เพียงแค่นี้เถียนซานก็รู้สึกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก ของรางวัลที่ได้รับจากการเผชิญหน้ากับความตาย เพียงเท่านี้ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
   ฝ่ามืออบอุ่นที่สัมผัสซึ่งกันและกัน ถ่ายทอดความรักที่ต่างมีให้อย่างไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งใดอีก
   เพราะความรักนี้ ไม่มีใครในโลกสามารถอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้
   ความรักที่อยู่เหนือคำบรรยายใดๆ
-------------------------------------------
   รูฟัสนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับรองพิเศษที่ถูกดัดแปลงจากห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลตำรวจ เขาเพิ่งเสร็จจากการให้ปากคำเพิ่มเติม ราฟาแอลโผล่ไปตามเขาออกมาระหว่างที่เขาเองกำลังรอให้ฟ่งพูดอะไรบ้าง รูฟัสจึงตัดสินใจจากมาเงียบๆ เขาอยากให้ฟ่งคิดอะไรให้ลึกซึ้งก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป ชายหนุ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายคงกำลังต้องการจะตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ซึ่งคงจะชี้ชะตาอนาคตาชีวิตคู่ว่าจะดำเนินต่อหรือจะยุติ ตอนนี้ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาจึงเป็นคู่หูและเพื่อนร่วมงานซึ่งรู้จักกันมาเกือบจะครึ่งค่อนชีวิต
   “นี่ ราฟี่ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าจบงานนี้แล้วผมจะเลิกเป็นคู่หูกับคุณ” รูฟัสเอ่ยขึ้น และพบว่าราฟาแอลขมวดคิ้วทันที ผู้ถูกถามเอ่ยตอบ
   “ว่าแน่... ว่าแต่แกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะไปอยู่กับเด็กคนนั้นจริงๆ หมายถึง แกแน่ใจนะว่าเขาอยากอยู่กับแก?”
   “ผมคิดว่าเขาอยากอยู่กับผมนะ” รูฟัสกล่าว และรีบพูดต่อ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเขาคิดไปเองคนเดียวอีก
   “คราวนี้เขาบอกผมเองว่าเขาอยากอยู่ด้วย”
   “อืม... ฉันรู้ล่ะ” ราฟาแอลโบกมืออย่างรำคาญ ก็จริงอยู่ที่เขาไม่อยากเสียคู่หูไป แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจแล้วแบบนี้ เขารู้จักรูฟัสมานานพอที่จะรู้ว่าลองเจ้าเด็กนี่ตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว คงห้ามไม่ได้ง่ายๆ
   “ตามใจแกแล้วกัน ฉันจะหาคำแก้ตัวไปบอกคลาวเดียเอง”
   “ผมว่าผมบอกคลาวเดียแล้วนะว่าผมจะมาอยู่กับฟ่ง คุณนั่นแหละต้องหัดอยู่บ้านไว้บ้าง คุณไม่สงสารคลาวเดียหรือไง?”
   “หึ! คลาวเดียไม่ใช่คนงองแงอยากมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ตลอดหรอกนะ” ราฟาแอลตอบ รูฟัสทำหน้ามุ่ย
   “ถ้าคลาวเดียเลิกกับคุณผมจะไม่แปลกใจเลย”
   “ฉันจะถือว่านายพูดเล่นแล้วกัน” ราฟาแอลพูด พลางมองมาอย่างขุ่นเคือง รูฟัสพยักหน้าส่งเดช เขารู้อยู่หรอกว่าราฟาแอลรักคลาวเดียมาก แต่พฤติกรรมบางทีก็สุดจะทนอยู่เหมือนกัน ไม่เข้าใจเลยว่าคลาวเดียทนเข้าไปได้ยังไง เอาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของสองคนนี่ ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย
   “ราฟี่ ผมจะไม่กลับไปฮังการีกับคุณนะ ผมจะอยู่ที่นี่”
   “อืม...” ราฟาแอลส่งเสียงอย่างรำคาญ และกล่าวขึ้นบ้าง “ฉันรู้แล้วน่าว่านายจะไม่กลับไป จะปักหลักอยู่ที่นี่ก็ตามใจนายเถอะ แต่ว่างๆ ก็ไปเยี่ยมคลาวเดียบ้างแล้วกัน”
   “ผมรู้ว่าคุณก็คิดถึงผมน่า” รูฟัสเอ่ยต่อ ราฟาแอลทำหน้าเบี้ยว เหมือนคนถูกเข็มเม่นทิ่มลงบนหน้า
   “ใครจะคิดถึงเด็กเวรตะไลอย่างแก ไม่อยู่สิดี ฉันจะได้ไม่มีคนคอยกวนใจ”
   คนถูกค่อนแคะหัวเราะ เขามองหน้าราฟาแอลอยู่นาน จึงได้พูดต่อ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมรู้จักกับคุณมาสิบสามปีแล้ว”
   ราฟาแอลรีบโบกมือทันใด “เฮ้ย ไม่ต้องมาระลึกความหลังตอนนี้เลยนะ จะไปก็รีบไป ฉันไม่อยากนึกถึงความหลังน่าคลื่นไส้กับแกหรอก”
   รูฟัสถอนหายใจออกมา เขามองราฟาแอล รู้สึกขอบคุณผู้ชายคนนี้ในหลายๆ เรื่อง เขารู้ว่าราฟาแอลไม่ใช่คนแสดงออกตรงๆ หนุ่มผมบล็อนด์คนนี้เก็บความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ และก็ไม่ชอบให้ใครมาสะกิดเสียด้วย ดังนั้นรูฟัสจึงได้แต่พยักหน้า
   “อืม งั้นผมขอลาตรงนี้เลยแล้วกัน ขอบคุณนะราฟี่ ฝากความคิดถึงถึงคลาวเดียด้วย บอกว่าถ้ามีเวลาผมจะแวะไป”
   “ขอให้ไปจริงๆ เถอะ” ราฟาแอลว่า พลางโบกมือ รูฟัสยิ้มให้คู่หูของเขา ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง ชายหนุ่มมองตรงไปยังทางเดินด้านหน้า  หวังว่าคงจะยังคงรอเขาอยู่ในห้องนั้นนะ
----------------------------------------
   หลังจากตรวจอาการของเถียนซาน แพทย์เจ้าของไข้ให้ความเห็นอย่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่าผู้ป่วยคนนี้คงไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจอีก ดังนั้นคนทั้งสองจึงได้มีโอกาสสนทนากันเป็นครั้งแรก นับจากวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น
   “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” นั่นคือคำถามแรกที่เถียนซานพูดออกมา คำพูดแรกที่ดังขึ้นต่อจากห้วงเวลาอันน่าใจหาย คำพูดที่เขาคิดจะพูดหลังจากช่วยเว่ยจินหยินเอาไว้แล้ว น่าตลกดีที่ได้พูดในเวลาหลังจากนั้นเนิ่นนานทีเดียว ดูเหมือนเขาจะอยู่ในโรงพยาบาลมาเกือบจะค่อนคืนแล้ว คำตอบที่ได้กลับมาคือใบหน้าเปื้อนน้ำตาพร้อมกับสั่นศีรษะ
   เว่ยจินหยินอาบน้ำสะอาดเรียบร้อย เปลี่ยนผลัดเสื้อผ้าใหม่หลังจากที่รู้ว่าอดีตลูกน้องคนนี้พ้นขีดอันตราย เขาจำต้องแน่ใจว่าเถียนซานจะไม่ตื่นขึ้นมาเจอเจ้านายของตนในสภาพดูไม่เป็นผู้เป็นคน กับคนที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายเพื่อช่วยเหลือใครคนหนึ่ง เวลาฟื้นขึ้นมาก็ต้องอยากเห็นผู้ที่ตนช่วยเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงทุกอย่าง ยิ่งร่าเริงได้ยิ่งดี แต่ตอนนี้สิ่งที่เว่ยจินหยินทำได้ดีที่สุด คือการยิ้มทั้งที่น้ำตายังรินไหลอยู่ เขาอับจนคำพูดไปชั่วครู่ คำพูดที่เขาสมควรจะชิงถาม เถียนซานก็ได้ถามมันออกมาก่อนอีกแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เคยอ้าปากได้ทันความคิดของผู้ชายคนนี้เลย เหมือนกันว่าแค่เขาเริ่มคิด อีกฝ่ายก็เดาทุกอย่างได้จนจบแล้ว นิ่งอยู่เป็นค่อนวัน อีกฝ่ายจึงได้พูดต่อ
   “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมอยากให้คุณพักผ่อนบ้าง”
   ฝ่ามือสากหนายกขึ้นลูบไล้ใบหน้าเรียวได้รูปที่ถึงแม้จะฝืนทำให้ดูดีเท่าไหร่ แต่ร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าและความสะเทือนใจยังปรากฏชัด นิ้วมือหนาสัมผัสหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาและเช็ดมันออกอย่างเบามือ เว่ยจินหยินได้แต่พยักหน้า พยายามอยู่อีกนานเพื่อจะเค้นคำพูดออกมา
   “อาซาน...”
   คำพูดชะงักค้างกลางอากาศ เขาไม่มีแม้คำปลอบประโลมใดให้อีกฝ่ายหลังจากตื่นขึ้นมาแล้ว และคำพูดที่เขาจะพูดต่อไปเป็นอะไรที่จริงๆ แล้วไม่สมควรจะพูดออกไปในเวลานี้เลย แต่เว่ยจินหยินจำต้องพูด เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้ว
   “บ่ายนี้ฉันจะบินกลับฮ่องกงตามกำหนดเดิม... ฉันจะทิ้งคนเอาไว้ดูแลนายส่วนหนึ่ง...”
   คำพูดที่ฟังผิวเผินคล้ายดูชืดชาไร้น้ำใจ กับคนที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยตัวเองเอาไว้ พอตื่นขึ้นมา คำพูดที่ได้รับประโยคแรกคือการจากลาและทอดทิ้ง แต่สามสิบปีที่ดูแลรับใช้เว่ยจินหยิน นี่คือสิ่งที่เถียนซานภาคภูมิใจมากที่สุด เขารู้ดีว่าเว่ยจินหยินเข้มแข็งและฝืนตัวเองแค่ไหนที่จะกล่าวคำพูดนี้ออกมา แม้ฝ่ามือจะเย็นเฉียบและสั่นระริกอยู่ในตอนที่พูด แต่นัยน์ตาสีดำนั้นเป็นประกายแน่วแน่ จะอย่างไรเสียแผนการที่วางเอาไว้แล้วจะต้องดำเนินการต่ออย่างไม่สะดุด ไม่อย่างนั้นที่เขาทุ่มเททำลงไปทั้งหมดจะสูญเสียเปล่า
   เถียนซานไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้เว่ยจินหยินกลับมาฟูมฟายใส่เขาโดยไม่เป็นอันทำอะไร และเจ้านายของเขาก็ทราบเรื่องนี้ดีที่สุด ดังนั้นแม้จะต้องฝืนความรู้สึกมากมายสักแค่ไหน จะต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดสักเท่าไร จะต้องทนแบกรับคำว่าอำมหิตอีกสักกี่รอบ เว่ยจินหยินจะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าคนภายนอกจะมองอย่างไร เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความในใจของผู้ชายคนนี้ดีที่สุด และเถียนซานก็รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของเว่ยจินหยินดีที่สุด จึงพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยน
   “ไปเถอะครับ ผมอยู่ข้างคุณเสมอ”
   สัญญาสามสิบปี เถียนซานรักษามันได้ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเวลาไหนที่เว่ยจินหยินต้องการ เขาจะอยู่ข้างๆ เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากเรียก และครั้งนี้ก็เช่นกัน
-------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่66 p12 18/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-11-2011 08:56:24
   เพื่อขจัดปัญหาความวุ่นวาย เว่ยจินหยินซื้อเหมาเครื่องบินยกลำ เพื่อนำพาบรรดาลูกน้องและเชลยที่จับได้กลับสู่ฮ่องกง ลูกน้องคนสนิทที่ชื่อไมเคิลวิ่งวุ่น และเมื่อไม่มีคู่หูที่ชื่อโจซึ่งถูกมอบหมายให้ดูแลงานอยู่ที่ฮ่องกงมาช่วยรองมือรองเท้ารับใช้ความต้องการที่จู้จี้จุกจิกของเจ้านาย คนที่ถูกลากไปจึงเป็นเว่ยเฟิงปิงและจางซื่อเยี่ยนแทน ตอนนี้ทั้งสามคนแทบจะกลายเป็นคนรับใช้ของเว่ยจินหยินอยู่แล้ว แม้แต่เว่ยเฟิงปิงที่คิดจะยอมพี่ชายคนนี้สักครั้ง ก็ยังรู้สึกอยากแว้งกัดขึ้นมา
   พอมีโอกาส เว่ยจินหยินใช้คนได้อย่างคุ้มค่าเสมอ เว่ยเฟิงปิงเพิ่งระลึกถึงข้อนี้หลังจากหัวปั่นกับรายการคำสั่งจุกจิกจู้จี้ที่เขาต้องอธิบายกับคนของทางสายการบินว่าพี่ชายของเขาต้องการเครื่องบินแบบไหนและสิ่งอำนวยความสะดวกใดบ้าง ถึงเว่ยจินหยินจะออกเงินเองก็เถอะ แต่ให้ทำแบบนี้ก็เท่ากับเขากลายเป็นเลขาส่วนตัวไปแล้วน่ะสิ!
เพราะจางซื่อเยี่ยนและไมเคิลต้องคอยควบคุมดูแลบรรดาลูกน้องที่เหลือและเชลยที่จับได้ ดังนั้นหน้าที่เลขาจึงตกเป็นของเว่ยเฟิงปิงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ขณะที่นึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ที่สนามบินเพื่อรอการมาถึงของพี่ชายคนรองอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน คนที่เขารอคอยก็ปรากฏ
   เว่ยจินหยินเดินมาท่ามกลางบรรดาผู้อารักขาหนาแน่นเช่นเคย แม้จะลดจำนวนผู้ติดตามลงแล้ว แต่สภาพก็ยังเป็นขบวนใหญ่อยู่ดี เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าพี่ชายคนนี้มีคนจ้องจะกำจัดอยู่มาก แค่มองดูจำนวนบอดีการ์ดพวกนี้ เขาก็รู้สึกละเหี่ยใจแทน โชคดีที่ดูเว่ยจินหยินเคยชินกับเรื่องดังกล่าวจนเหมือนชืดชา เขายังคงสภาพดูดีอย่างที่เคยเป็นในทุกๆ ครั้ง ใช่ล่ะ คนคนนี้กลับมารักษาภาพพจน์และดวงตาแวววาวราวสุนัขจิ้งจอกนั่นได้ในชั่วข้ามคืนจริงๆ ทั้งๆ ทีก่อนหน้านั้นฟูมฟายแทบตายจนเกือบจะจินตนาการสารรูปเดิมไม่ออก
เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าหัวใจของเว่ยจินหยินทำจากอะไรกันแน่ บางทีดูชืดชาอำมหิต บางทีก็ดูอ่อนแออ่อนไหว แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาอยากชักสีหน้าใส่เว่ยจินหยินสักหน่อย กระแทกคำพูดใส่สักนิด พอให้ได้ระบายความอัดอั้นที่ถูกจิกหัวใช้ในยามเผลอนี้ รอจนได้ระยะ เว่ยเฟิงปิงอ้าปาก แต่ดูเหมือนจะช้ากว่ารอยยิ้มพิมพ์ใจนั่นอยู่หลายวินาที คล้ายว่าพี่ชายคนนี้เดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร ลิ้นของเว่ยจินหยินตวัดราวจงใจตัดหน้าคำพูดเขาอย่างมีมารยาท
   “ขอบใจมากนะน้องเจ็ด ถ้าไม่ได้เธอพี่คงแย่”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง ถึงกับเกือบจะพะงาบๆ ลมออกมา เขาเพิ่งเข้าใจจางซื่อเยี่ยนตอนนี้เองว่า ไอ้ที่พูดไม่ออกนั้นเป็นยังไง ไม่เพียงแค่พูดตัดหน้า มือเรียวของเว่ยจินหยินยังตบมาที่บ่าของเขาเบาๆ เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งเฮือก เขายังจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกมือที่สวมแหวนเงินเกลี้ยงๆ นั้นตบเป็นอย่างไร ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะมองเห็นอาการนี้ และแทนที่จะรู้สึกอย่างที่คนปกติควรจะรู้สึกหลังจากเคยทำอะไรแบบนั้นกับน้องชายไปแล้ว เจ้าตัวดันกลับหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนจะกระซิบเบาๆ “พี่ไม่วางยาเธอตอนนี้หรอก”
   เว่ยเฟิงปิงไม่คิดว่านี่เป็นคำปลอบใจเลยสักนิด เขาเปลี่ยนใจไม่อยากพูดกระแนะกระแหนแล้ว แต่อยากชักมีดออกมาแทงพี่ชายคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไร อ้าปากแต่ละทีชวนให้อยากฆ่าทิ้งดีชะมัด แต่คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยมีสติดีพอว่านี่คงเป็นได้แค่เพียงความคิด เขายังไม่ปัญญาอ่อนขนาดจะฆ่าเว่ยจินหยินจริงๆ ก็แค่หมั่นไส้
   ให้ตายสิรู้งี้ปล่อยให้ฟูมฟายอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ ก็ดีหรอก
   จะว่าไปเหมือนเว่ยจินหยินจะตัดใจทิ้งเถียนซานเอาไว้ที่โรงพยาบาล หลังจากเห็นอาการฟูมฟายแทบเป็นแทบตายก่อนหน้านี้ เขาเกือบไม่เชื่อเลยว่าพี่ชายคนนี้จะหักใจทิ้งคนสำคัญคนนั้นได้ง่ายๆ ได้ยินว่าเว่ยจินหยินอยู่เฝ้าทั้งคืน คอยดูแลเช็ดตัว เป็นธุระตามทั้งหมอ ตามทั้งพยาบาล ในขณะที่ตัวเองใช้งานคนอื่นเป็นขี้ข้า คิดไปไม่รู้ว่าสมควรจะอิจฉาเถียนซานดีรึเปล่า ที่มีคนแบบเว่ยจินหยินคอยเป็นห่วงเป็นใยเสียขนาดนั้น และเถียนซานก็อึดอดทนเหลือเชื่อเหมือนกัน ที่แค่ผ่านไปไม่ถึงวันก็ถอดเครื่องช่วยหายใจออกได้แล้ว ทั้งๆ ที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ดูท่าคำว่าปิศาจคงไม่ห่างไกลจากผู้ชายตัวใหญ่คนนี้เท่าไหร่ ไม่รู้เอาพลังใจมาจากไหนนักหนา
   ขณะที่กำลังคิดต่างๆ นานา เสียงล้อรถเข็นก็ทำใจเว่ยเฟิงปิงเข้าใจอย่างกระจ่าง ทำไมเว่ยจินหยินจึงได้สั่งเรื่องเครื่องบินจู้จี้จุกจิกนัก สั่งทั้งแอร์โฮสเตทที่มีความรู้เรื่องการพยาบาล สั่งทั้งชุดดูแลผู้ป่วย ตอนแรกเขาคิดว่าไว้สำหรับเผื่อพวกเชลยเกิดแข็งข้อขึ้นในเครื่องกับพวกลูกน้องที่บาดเจ็บประปรายจากสะเก็ดระเบิด หรือไม่ก็สำหรับฟารุคซึ่งถูกเถียนซานทำอะไรซักอย่างจนกระดูกซี่โครงแตก แถมยังถูกเว่ยจินหยินใช้ยาเลี้ยงชีวิตเอาไว้เพื่อเอาไปเค้นคอต่อที่ฮ่องกง จะว่าไปสองคนนี่ดูจะเข้าคู่กันได้ดีอย่างน่าสยดสยอง และคำตอบของความจู้จี้จุกจิกนั้นคือชายร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงเข็น
   เว่ยจินหยินถึงกับพาลูกน้องที่เพิ่งพ้นความตายออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ทันครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีด้วยซ้ำ กับเรื่องแบบนี้เว่ยเฟิงปิงได้แต่อ้าปากค้างไปอีกรอบหนึ่งแล้ว
   ดูเหมือนเถียนซานกำลังหลับ หลับด้วยสีหน้าปกติเรียบร้อยเหมือนคนแข็งแรงดีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่ฟื้นไข้เลยสักนิด ถึงอย่างนั้นไอ้แผลฉกรรจ์ข้างหลังนั่น ต่อให้ดูแลดีขนาดไหน กับการเคลื่อนย้ายในระยะไกลๆ แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลย เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจเว่ยจินหยิน ไม่เข้าใจกับการยึดติดนี้ ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าความอ่อนไหว หรือความเอาแต่ใจจนอำมหิตกันแน่
   แม้จะเจ็บเจียนตาย แต่เว่ยจินหยินก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ห่างจากตัว
   “รบกวนคุณชายเจ็ดแล้วนะครับ” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาดดังขึ้น เว่ยเฟิงปิงสะดุ้ง เขากำลังเดินตามขบวนของเว่ยจินหยิน และด้วยความคิดที่ชะงักค้าง ทำให้เขาเดินอยู่ข้างๆ เตียงเข็นของเถียนซานอย่างลืมตัว โดยมีจางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก ผู้นอนอยู่บนเตียงลืมตาอยู่ คล้ายดั่งมองเขามาแต่แรก เว่ยเฟิงปิงรู้สึกขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แววตาสดชื่นแจ่มใสที่มองมา ยังเจือความอบอุ่นที่ไม่น่าจะเห็นได้จากดวงตาของคนที่อาศัยคลุกคลีอยู่ในวงการสายมืดที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้
   “เพราะผมดึงดันจะตามมา เลยพลอยทำให้คุณต้องเป็นธุระเดือดร้อนไปด้วย” เถียนซานเอ่ยต่อ ราวกับเดาความในใจของเขาออก เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง ตกลงแล้วคนที่ตะเกียกตะกายพาสังขารร่อแร่ออกมา คือหมอนี่เองล่ะหรือ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดตามองร่างสูงใหญ่บนเตียงเข็นนั่นอีกครั้ง พอสบเข้ากับสายตาอ่อนโยนนั้น ก็อับจนคำพูดจะกล่าวตอบ
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขามีโอกาสได้สนทนากับผู้ชายที่คล้ายตำนานคนนี้ เว่ยเฟิงปิงไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมจึงมีคนให้ความเคารพนับถือเถียนซานนัก แม้กระทั้งลูกน้องของเขาเองที่เคยได้สัมผัส ยังเกรงใจผู้ชายคนนี้อยู่มาก เผลอๆ จะมากกว่าที่เกรงใจเขาเสียอีก บางทีอาจจะรวมถึงจางซื่อเยี่ยนด้วย พอคิดได้สายตาก็หันกลับไปมองลูกน้องคนสนิททันที
   จางซื่อเยี่ยนยืนอยู่ข้างๆ กำลังยิ้มอย่างเบิกบาน เสียแต่ว่าไม่ได้ยิ้มให้เขา แต่ยิ้มให้กับผู้ที่นอนอยู่บนเตียงเข็นต่างหาก
   “ผมดีใจที่พี่ปลอดภัย ไว้ผ่านเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปล้างจานงานเลี้ยงฉลองที่บ้านพี่”
   เถียนซานหัวเราะให้กับคำพูดของอดีตลูกน้อง จางซื่อเยี่ยนเคยทำงานกับเขา เคยไปนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่บ้านเขาบ่อยครั้ง แม้ระยะหลังๆ จะไม่ค่อยได้เจอกันเพราะทำงานแยกออกไป แต่ความรู้สึกเดิมๆ ยังคงอยู่ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนกำลังรู้สึกดีใจเรื่องลูกพี่ของเขา นัยน์ตาสีฟ้าที่ถลึงใส่ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติทันที
   เวยเฟิงปิงก้าวฉับๆ อย่างแสดงออกเด่นชัดว่าไม่พอใจการกระทำตรงหน้านี้ จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง หันมามองหน้าลูกพี่เขาอย่างอ้อนวอนและไม่เข้าใจ เหมือนกำลังจะถามว่า เขาทำอะไรผิดไปกันแน่ เถียนซานได้แต่ถอนหายใจ และโบกมือไล่ส่ง
   กับเรื่องแบบนี้ มีแต่จางซื่อเยี่ยนต้องพยายามทำความเข้าใจเอาเอง
--------------------------------------
   เพราะเว่ยจินหยินยืนกรานยืนยันแน่ชัดว่าจะนั่งข้างๆ เตียงของเถียนซานซึ่งถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่พิเศษท้ายเครื่อง คนที่นั่งอยู่ในที่นั่งด้านหน้าจึงกลายเป็นเว่ยเฟิงปิงและจางซื่อเยี่ยนแทน จนกระทั่งเครื่องบินบินถึงเพดานบินแล้ว เว่ยเฟิงปิงก็ยังไม่พูดกับเขาเลยสักคำ ขนาดหน้าก็ยังไม่หันกลับมามองด้วย สภาพแบบนี้จางซื่อเยี่ยนแทบจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว
   เขาไม่เข้าใจเว่ยเฟิงปิงสักนิดว่าต้องการอะไรกันแน่
   ครั้นจะเอ่ยถามก็คงได้รับคำตอบแบบเดิมๆ เผลอๆ จะไม่ได้รับอะไรเลยนอกจากสายตาเกรี้ยวกราดที่จิกเข้าใส่อย่างดุร้าย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว บอกกับเขาเองว่าไม่ได้เกลียด แล้วไหงไปๆ มาๆ ก็กลับมาเป็นแบบนี้อีก จางซื่อเยี่ยนไม่เข้าใจเลยจริงๆ
   เมื่ออยู่ต่อหน้าอารมณ์แปรปรวนของเว่ยเฟิงปิง ต่อให้ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองโง่ สุดท้ายก็ต้องรู้สึกว่าโง่อยู่ดี ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่แล้ว
   เขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์คนอื่นเหมือนอย่างที่เถียนซานสามารถทำได้ สำหรับจางซื่อเยี่ยน คงไม่มีใครในโลกรู้ใจกันได้ทะลุปรุโปร่งเท่าลูกพี่ของเขากับคุณชายรองคนนั้นอีกแล้ว บางทีเขาเองยังนึกสงสัย สองคนนี่น่าจะเกิดมาเป็นพี่น้องกันมากกว่า ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะกระดิกตัวไปทางไหน จะทำอะไร ดูเหมือนเถียนซานจะรู้ล่วงหน้าได้หมด แล้วเขาล่ะ?
   อย่าว่าแต่กระดิกตัว ขนาดเอ่ยปากถามโต้งๆ แล้ว ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจเลยว่าเว่ยเฟิงปิงคิดอะไรกันแน่
   ในเมื่อไม่ได้ฉลาด แล้วก็ไม่ได้รู้ใจกันเป็นพิเศษ จางซื่อเยี่ยนเลือกจะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบที่คนโง่ๆ อย่างเขานึกออก
   เขาฉวยมือของเว่ยเฟิงปิงมากุมไว้
   ปฏิกิริยาที่ได้รับคือ เจ้านายของเขาชักมือออกอย่างแง่งอนทันที จางซื่อเยี่ยนสูดหายใจอีกครั้ง ถ้าหากเป็นเรื่องความอดทน เขาไม่แพ้เว่ยเฟิงปิงแน่ ขออย่างเดียว อย่าให้ต้องอ้าปากแข่งด้วยก็พอ
มืออันเปี่ยมไปด้วยพละกำลังยื่นคว้ามือนุ่มนิ่มที่เพิ่งหนหนีไปเอาไว้ต่ออย่างรวดเร็ว และเกาะกุมไว้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดโอกาสให้หดหนีได้อีก ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็หันมา หันมาพร้อมนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ถลึงใส่อย่างเอาเรื่อง ก่อนที่จะต้องพ่ายแพ้ให้กับถ้อยคำก่นด่าเสียดแทงจิตใจที่อีกฝ่ายเตรียมจะสาธยายออก จางซื่อเยี่ยนชิงตัดหน้าก่อน เท่าที่สมองโง่ๆ เขานึกได้ ชิงจัดการคู่ต่อสู้ก่อนตัวเองก็ไม่ตายแล้ว ถ้าชิงสยบการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามก่อน ตัวเองต้องมีเปรียบแน่นอน  ว่าแต่เขาจะเอาอะไรหยุดริมฝีปากของเว่ยเฟิงปิงกันเล่า?
   ถ้าหากอยากเอาชนะปากก็คงต้องใช้ปาก
   แต่จางซื่อเยี่ยนเถียงแข่งกับใครไม่เป็น อย่าว่าแต่เถียงแข่งกับเว่ยเฟิงปิง ขนาดเถียงแข่งกับเด็กขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดโต้รุ่ง เขายังพ่ายแพ้มาแล้ว นับประสาอะไรกับเจ้านายฝีปากกล้าคนนี้ เพราะฉะนั้นจางซื่อเยี่ยนเลือกที่จะไม่อ้าปากเถียง
   เขาเลือกที่จะเอาปากตัวเองปิดปากเจ้านายไว้
   ขออย่าให้เว่ยเฟิงปิงได้อ้าปากเอ่ยคำพูด เรื่องอย่างอื่นชายหนุ่มมั่นใจ เขาไม่น่าจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
   นัยน์ตาสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเบิ่งค้างอยู่เป็นครู่ใหญ่ สมองเกือบจะลืมเลือนความขุ่นข้องหมองใจที่อมพะนำเอาไว้ก่อนหน้านี้แทบหมดสิ้น ถึงกับลืมไปชั่วครู่เลยว่าวินาทีก่อนหน้านี้ยังอยากที่จะอ้าปากด่าจางซื่อเยี่ยนอีกสักหลายสิบประโยค ถึงกับลืมรูปประโยคเจ็บแสบที่ร่างแบบเอาไว้ในหัวสมอง มีเพียงความแปลกใจผุดขึ้นมาแทน
   ที่แท้เจ้าหุ่นยนต์นี่ก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่....
   ความจริงจางซื่อเยี่ยนโง่ อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโง่เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาจิกกัดและคำพูดทารุณจิตใจของเว่ยเฟิงปิง พอไม่ถูกคำพูดจิกกัดนั้นก่อกวน ก็รู้สึกตัวเองฉลาดขึ้นมาหน่อย ปลายลิ้นร้อนตวัดม้วนสำรวจภายในช่องปากอุ่นๆ ของผู้เป็นเจ้านายทันที
   คราวนี้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกตัวเองโง่ขึ้นมาบ้างแล้ว!
---------------------------------------
   รูฟัสเดินกลับมาที่ห้องพิเศษที่ฟ่งพักรักษาตัวอยู่ด้วยความรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเคยคิดว่าการต้องพรากจากกันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต กับเขาและราฟาแอลที่ทำงานเสี่ยงอันตราย ต้องมีวันใดวันหนึ่งไม่ได้กลับไปด้วยกันอีก ถึงคราวนี้จะเป็นการแยกจากแบบเห็นตัวกันเป็นๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็รู้สึกโหวงเหวงในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่าวที่โดนตัดสายป่าน รูฟัสยกมือขึ้นทาบลงบนประตูห้องพิเศษ ออกแรงนิดเดียวก็จะผลักประตูเข้าไปได้ วินาทีนั้นชายหนุ่มนึกหวั่นใจ  หากสายป่านของเขาคราวนี้ขาดลงโดยไม่มีใครมาเชื่อมประสานต่อล่ะ?
   หากว่าฟ่งไม่ยอมเชื่อมประสานกับเขา แล้วเขามิกลายเป็นคนไร้บ้านไปจริงๆ หรือนี่?
   ถึงกับออกปากลาเพื่อนเก่าไปขนาดนั้นแล้ว หากฟ่งเกิดไม่ยอมให้เขาไปอยู่ด้วยอย่างที่หวังจริงๆ รูฟัสก็ไม่หน้าหนาพอจะแบกหน้ากลับไปขอพึ่งใบบุญความอบอุ่นในบ้านหลังน้อยที่ราฟาแอลปลูกให้แฟนสาวที่เมืองทะเลสาบนั่นได้อีก คราวนี้เขาคงได้เป็นคนไร้บ้านจริงๆ แน่
ความหวาดกลัวเล็กๆ วิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของชายหนุ่มทันที ฉับพลันเหมือนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วร่าง ทำให้ยืนค้างอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที กระทั่งประตูเปิดออกจากด้านใน
   แพทย์เจ้าของไข้ดูจะมีสีหน้าตกใจที่เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนยกมือค้างอยู่หน้าประตูโดยไม่ยอมเปิดเข้ามา แต่ก็พอจะตั้งสติพูดได้อยู่
   “คุณคงเป็นญาติคนไข้ หมออนุญาตให้คุณอภิวัฒน์กลับบ้านได้แล้วล่ะ”
   ฟ่งนั่งรออยู่บนเตียงนอน ยังคงอยู่ในชุดของโรงพยายาบ เขายิ้มให้รูฟัสในตอนที่เห็นอีกฝ่ายเดินสวนกับแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาในห้อง
   “ไปไหนมาหรือครับ?” ร่างบอบบางในชุดของโรงพยาบาลสอบถาม รูฟัสยิ้ม เขามองดูฟ่งด้วยความเอ็นดูระคนรักใคร่ ก่อนจะตอบคำถามออกไป
   “ไปคุยกับราฟาแอลมาน่ะครับ แต่คุณวางใจเถอะ เราไม่ได้ทะเลาะกันหรอก”
   ฟ่งพยักหน้า เงยมองรูฟัสอีกรอบ “มีเสื้อผ้าให้ผมเปลี่ยนรึเปล่าครับ เราจะได้กลับบ้านกัน”
   รูฟัสยิ้ม เป็นยิ้มที่จริงใจครั้งที่สุดครั้งหนึ่งที่เขาเคยยิ้ม ชายหนุ่มฉวยมือที่วางอยู่ขึ้นมากุมเอาไว้ โชคดีที่เขาไม่ใช่ว่าว ว่าวที่ขาดไปคงไม่อาจผูกกับแกนใหม่ได้เอง แต่เขาเป็นคน ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องผูกยึดผู้ชายที่เป็นเสมือนบ้านพักทางใจของเขาคนนี้เอาไว้ให้ได้
   “เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้นะครับ แล้วเราจะได้กลับบ้าน”
   บ้าน....
   บ้านของเรา....
--------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: killermoonlit ที่ 20-11-2011 14:31:33
อยากอ่านภาคสองจ้างงงงงงงงงงงงงงง
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนจบเลยมีเรื่องนี้เหละที่จบนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 20-11-2011 15:51:28
อยากอ่านภาคสองจ้างงงงงงงงงงงงงงง
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนจบเลยมีเรื่องนี้เหละที่จบนะ
ยังไม่จบนะคะ เรื่องนี้มี88ตอนจบค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 20-11-2011 18:57:34
อยากจะกลับบ้านด้วยจัง :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5: :haun5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 20-11-2011 20:05:13
ไปค่ะ กลับบ้านกัน   :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 20-11-2011 20:39:46
แอบน้ำตาซึมช่วงของ เว่ยจินหยินกับเถียนซาน :monkeysad:

เพื่อเธอตลอดไปจริงๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 20-11-2011 21:22:49
กรี๊ดดดดด บ้านของเรา....

ดูเหมือนทุกคู่จะเริ่มคลี่คลาย...รักกันได้แล้ว  :กอด1:

รอลุ้น ๆ จะลงเอยกันยังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-11-2011 14:59:18
**ตอนที่แล้วพักให้หายใจหายคอกันหนึ่งตอนค่ะ (และทำให้เกือบลืม ฮ่าๆ)

มาต่อแล้วค่ะ
----------------------------------

บทที่68 ความฝันข้ามคืน
   1127…….
   ฟ่งหยุดยืนหน้าห้องพักซึ่งมีตัวเลขที่สลักจากไม้สี่ตัวเรียงกันเอาไว้ เขาเพิ่งเดินทางกลับมาถึงคอนโดที่พัก และกำลังหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักซึ่งเขาย้ายเข้ามาเมื่อราวๆ เกือบครึ่งปีก่อน
   ครึ่งปีที่ให้ความรู้สึกเหมือนนานนับปี
   ถัดไม่อีกไม่ถึงสองเมตร บานประตูไม้หนาแบบเดียวกับที่เขากำลังยืนมองอยู่ยังคงปิดสนิท ไม้สลักตัวเลขที่ถูกติดเอาไว้บนประตูบานนั้นเรียงกันเป็นเลขสี่ตัวที่มีเพียงเลขท้ายเท่านั้นที่ต่างกัน
   1129.........
   หมายเลขห้องพักซึ่งเจ้าของห้องเป็นชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง ชายชาวต่างชาติที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ชายผู้มีนัยน์ตาสองสีที่อาสามาช่วยเขาขนของในคืนวันที่เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องนี้เป็นวันแรก
   ชายที่แนะนำตัวเองว่าชื่อรูฟัส
   ริมฝีปากของฟ่งกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นความจริง เกือบหกเดือนที่แล้วเขาย้ายเข้ามาในห้องนี้ พบเจอกับเพื่อนต่างชาติที่มีนัยน์ตาสองสีคนนั้น ถูกจ้างให้ออกแบบห้องลับที่ใช้ในการประชุมเกี่ยวกับยาเสพย์ติดตัวใหม่ ถูกตามล่า ถูกจับตัวไปฮ่องกง ไปพเนจรอยู่ในฮังการี และกลับมาเสี่ยงชีวิตในห้องพิสดารที่ตัวเขาเองเป็นคนเขียนขึ้น และตอนนี้ เขากลับมายืนอยู่หน้าห้องนี้ ห้องที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ในสภาพราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกเสียจากรอยกรีดบริเวณท้องแขนที่มีผ้าพันแผลปิดเอาไว้ รอยถลอกและอาการปูดบวมบนหน้าผากอีกอีกสักสองสามวันคงจะยุบหายไปเอง
   ฟ่งถอนหายใจยืดยาว ยังคงยืนอยู่หน้าห้อง ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานไหลย้อนกลับเข้ามาในสมอง ความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายนัยน์ตาสองสีคนนั้น
   ผู้ชายที่เขากำลังจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วย
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฟ่งไม่เคยคิดเลยว่าตัวเขาผิดปกติ เขาไม่เคยมีอารมณ์กับผู้ชายหน้าไหนมาก่อน แม้จะคบเพื่อนเป็นกระเทยก็เถอะ แต่นั่นก็คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาโอนอ่อนจนถึงขั้นตกลงปลงใจกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ บางทีอาจเพราะผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาในช่วงเวลาที่เขาอ่อนไหวอย่างที่สุด
   รอยยิ้มและความอ่อนโยนนั้น ชักนำหัวใจของเขาเข้าสู่เส้นทางความใคร่อันบิดเบี้ยวอย่างไม่รู้ตัว
   เสียงถอนหายใจยืดยาวดังขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงเหม่อมองหมายเลขห้องพักอันเป็นจุดเริ่มของทุกสิ่ง ผู้ชายคนนั้นจารึกรอยประทับอันยากจะลืมเลือนให้กับเขาเป็นครั้งแรกในห้องพักของตัวเขาเอง
   ความสัมพันธ์ทางร่างกายของผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน
   น่าแปลกที่ตอนนั้นเขารู้สึกโกรธรูฟัสน้อยกว่าที่ควรจะเป็น นั่นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบปกติ ไม่น่าจะเป็นความสัมพันธ์ของคนข้างห้องสองคนเลยด้วยซ้ำ กับคำรักที่รูฟัสเอ่ยออกมาคืนนั้น คำรักที่สร้างความรู้สึกผิดปะปนกับความพึงพอใจอยู่ลึกๆ
   ฟ่งไม่ต้องการให้ใครมารักเขา เพราะหัวใจของเขาสับสนเกินกว่าที่จะตอบสนองความรักของใครคนอื่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นคงไม่มีใครในโลกไม่รู้สึกดีหากมีคนมารัก
   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลอย่างรูฟัส
   แม้จะน่าละอายและตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดอยากจะยอมรับ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินคำบอกรัก ทุกครั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำทุกอย่างให้เขา ฟ่งรู้สึกพอใจอยู่เงียบๆ รู้สึกมีความสุขอยู่ลึกๆ และรู้สึกทุกข์ไปพร้อมๆ กัน เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่มีวันจะตอบแทนความรักที่ได้มานี้ได้ดีสมกับที่อีกฝ่ายต้องการอย่างเด็ดขาด
   ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเกาะเกี่ยวความรักของรูฟัสเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัวที่สุด
   ต่อให้พยายามพร่ำบอกตัวเองถึงข้อเสียทุกอย่างของผู้ชายคนนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังคิดถึงรูฟัสอยู่ทุกที ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นเคยโกหกเขา เคยทำร้ายจิตใจเขา ผู้ชายที่ไม่ได้ทำอาชีพสุจริต ผู้ชายที่ขโมยของและฆ่าคนเป็นอาชีพ ผู้ชายที่เขาสมควรจะหวาดกลัวมากกว่าคิดถึงแท้ๆ
   อา...รูฟัส.......
   เสียงเปิดประตูทำเอาร่างบางสะดุ้ง เขาหันไปยังประตูห้อง1129ที่ถูกเปิดออก ใบหน้าคุ้นเคยกับนัยน์ตาสีประหลาดนั่นมองมาทางเขาอย่างสงสัย
   “ยังไม่เข้าห้องหรือครับ? มีอะไรหรือ?” รูฟัสเอ่ยถามอย่างสงสัย เขาแวะเข้าห้องตัวเองก่อนเพื่อเตรียมข้าวของ แม้ฟ่งจะไม่พูดออกมาเต็มปากว่าจะให้เขาย้ายมาอยู่ด้วย แต่เตรียมตัวเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย จนถึงตอนนี้รูฟัสยังไม่กล้าแน่ใจจริงๆ ว่าฟ่งตกลงจะอยู่ร่วมกับเขาแน่รึเปล่า ยิ่งพอเห็นเจ้าตัวยังยืนเหม่ออยู่หน้าห้องแบบนี้ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวมากเข้าไปอีก
   ถ้าฟ่งเกิดลังเลขึ้นมาอีกล่ะ?
   ความลังเลของฟ่งทำให้เขาเจ็บปวดมาหลายต่อหลายหนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟ่งไม่เคยแสดงความแน่ใจในความรู้สึกให้เขาเห็นอย่างจริงๆ จังๆ เลย แต่ถ้าจะให้คิดเข้าข้างตัวเองอีกรอบ ที่พยายามจะตามเข้าไปถึงในห้องลับนั่น เพราะจริงจังกับเขาใช่รึเปล่า? รูฟัสไม่กล้าระบุ เขาไม่กล้าระบุอะไรกับผู้ชายสวมแว่นคนนี้อีกแล้ว ถ้าฟ่งไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เขาก็ไม่อยากเสี่ยงตีความไปเองอีก
   เขาไม่อยากจะเจ็บปวดหัวใจแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   แต่ถึงอย่างนั้น รูฟัสยังแอบหวังลึกๆ หวังว่าในเร็ววันนี้ฟ่งจะเปิดหัวใจให้กับเขา หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาแล้ว ฟ่งดูไม่ได้รังเกียจรังงอนเขานัก อย่างน้อยก็ดูจะเข้าใจเขามากขึ้นกว่าช่วงที่ได้รับรู้ถึงเบื้องหลังของเขาใหม่ๆ หากฟ่งรับเขาได้ หากฟ่งยอมตกลงปลงใจกับเขาล่ะก็
   บนริมฝีปากของรูฟัสปรากฏรอยยิ้มชนิดที่ฟ่งยังต้องเอ่ยทัก
   “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   “ผมเปล่า” รูฟัสปฏิเสธ แต่ไม่อาจจะหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าได้ แค่คิดเขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากฟ่งเปิดใจให้เขาบ้าง ถ้าหากนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นจะมองมาทางเขาด้วยความรักบ้าง
   หากฟ่งรักเขา เขาคงกลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
   ฟ่งรู้สึกสงสัยระคนตกใจกับท่าทางที่เกิดขึ้นกับคนข้างห้องของเขา ผู้ชายคนนี้ขอตัวไปเก็บข้าวของ ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่รูฟัสคงหวังจะย้ายมาอยู่ด้วยจริงๆ แล้วพอเปิดประตูออกมาก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแบบนี้อีก คงต้องคิดอะไรไม่น่าดูอยู่แน่ๆ ถึงตอนนี้ใบหน้าของฟ่งร้อนวูบวาบ ที่รูฟัสกำลังคิดอยู่จนต้องยิ้มออกมาแบบนั้น เกี่ยวกับตัวเขาใช่รึเปล่า
   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” รูฟัสถามออกมาบ้าง เมื่อเห็นฟ่งยืนก้มหน้านิ่ง ใบหูเริ่มกลายเป็นสีแดงเรื่อ นี่ฟ่งกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ดูจะเขินเสียขนาดนั้น อ่า...หูแดงขนาดนี้แก้มที่พยายามก้มลงหลบสายตานั่นก็คงแดงปลั่งน่าดู กำลังคิดถึงเรื่องเขารึเปล่า?
   “อ๊ะ!” ฟ่งสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือของรูฟัสแตะเข้าที่บ่าของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนกับนัยน์ตาสองสีที่กำลังมองมานั้นอีกครั้ง
   “คิดถึงผมอยู่หรือครับ?” หนุ่มรัสเซียถามออกมา ฟ่งนั้นน่ารักมากจริงๆ ยิ่งพอตอนที่เขินจนแก้มแดงแบบนี้ยิ่งน่ารักมากเข้าไปอีก รูฟัสไม่ได้หวังคำตอบอะไรมากกับสิ่งที่เขาถาม ก็คงไม่พ้นที่อีกฝ่ายจะตอบปฏิเสธออกมาอย่างที่เคยๆ นั่นแหละ เขาแค่อยากจะเห็นแก้มแดงๆ นั่นแดงยิ่งขึ้นตอนที่ตอบปฏิเสธเลี่ยงไปแบบนั้น
   ถึงฟ่งจะปากไม่ค่อยตรงกับใจนัก แต่การแสดงออกทางสีหน้าคงปกปิดกันไม่มิดหรอก
   ฟ่งอยากจะเอาเข็มมาเย็บปากรูฟัสจริงๆ ในเมื่อรู้อยู่แล้วจะมาถามเขาทำไมอีก ร่างบางเกือบจะสะบัดหน้าหนีอยู่แล้ว แต่ก็มาคิดได้ว่าหากทำแบบนี้ก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงต้องปฏิเสธเรื่องเล็กๆ แบบนี้ด้วย ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ
   “อืม..” ร่างบางส่งเสียงอ้อมแอ้มเป็นเชิงยอมรับในลำคอ แต่ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับโพล่งออกมา
   “Really?” รูฟัสเผลอหลุดประโยคนั้นออกไปแล้วจึงเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าเขาไม่น่าพูดออกไปเลย แก้มของฟ่งแดงขึ้นกว่าเดิมก็จริงหรอก แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นดันถลึงใส่เขาอย่างไม่พอใจด้วยนี่สิ ฟ่งล้วงคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋ากางเกง สอดมันเข้ากับประตูห้อง และผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว รูฟัสรีบตามเข้าไป
   “ผมขอโทษ” ร่างสูงเอ่ยขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฟ่งโกรธ แค่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นจะยอมรับออกมาตรงๆ ฟ่งยืนนิ่ง ใบหูทั้งสองกลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเขินมากหรือกำลังโกรธมากกันแน่ รูฟัสพยายามจะพูดแก้ตัวอีกรอบ “ผมไม่ได้ตั้งใจ อย่าโกรธผมเลยนะ”
   ฟ่งยืนกำมือแน่น เขาไม่ได้โกรธอะไรรูฟัสนักหนาหรอก ก็แค่เคืองนิดหน่อยที่ฝ่ายนั้นโพล่งออกมา ไม่เชื่อเลยหรือว่าเขาคิดถึงอยู่ เห็นเขาเป็นขนาดนี้แล้วยังดูไม่ออกอีกหรือ
   “คุณตาบอดหรือไง?” ร่างบางกล่าวเสียงขุ่น เขาตัดสินใจพาลใส่อีกฝ่ายแทน แม้จะรู้สึกว่าไม่สมควรจะทำนัก แต่รูฟัสทำให้เขาเขินมากนี่ เขินขนาดนี้จะให้เขาทำยังไงล่ะ
   รูฟัสทำหน้าเหวอ เขาไม่รู้ว่าฟ่งอยู่ในอารมณ์ไหนแน่ คงเขินจนโกรธ เขาผิดเองที่ดันโพล่งอะไรแบบนั้นออกไป ทั้งๆ ที่ฟ่งเป็นฝ่ายยอมรับออกมาเองแท้ๆ
   “ผมขอโทษ” ชายหนุ่มนัยน์ตาสองสีเอ่ยวลีซ้ำซากที่เขาพูดอยู่ทุกครั้งเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ฟ่งกัดฟันอย่างขุ่นเคือง อยากที่จะเตะใส่รูฟัสอีกสักที ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ถนัดทำให้เขาเป็นแบบนี้นัก ไม่รู้หรือไงว่าเขาอายขนาดไหน
   ร่างบางสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อถูกโอบกอดจากด้านหลัง ร้อนวูบไปทั่วร่างกายขณะได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู “อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
   ลมหายใจอุ่นๆ กระทบกับใบหู ยิ่งทำให้มันแดงหนักเข้าไปอีก ฟ่งเขินจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นี่รูฟัสอยากจะแกล้งเขาจนถึงที่สุดเลยหรือไง
   “คุณทำผมอาย!” ฟ่งโพล่งออกมา พยายามดิ้นหนีจากอ้อมกอดนั้น แต่กลับถูกรัดแน่นเข้าไปอีก รูฟัสดึงร่างนั้นเข้ามาแนบอก จูบเบาๆ ลงบนพวงแก้มแดงปลั่ง มันอุ่นมากจนเขายังรู้สึกตกใจ
   “รูฟัส!” ฟ่งโพล่งชื่อของอีกฝ่ายออกมา และตีแขนของรูฟัส ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้เขาเขินจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว และฟ่งก็ต้องตกใจยิ่งกว่านั้น เมื่อรูฟัสดึงใบหน้าของเขาเข้าไปจูบ และผลักเข้าเข้าหาผนัง เบียดร่างเข้ามาอย่างจงใจจะแสดงให้เห็นว่ามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
   ร่างบางพยายามจะผลักไสอีกฝ่ายออก ร่างกายยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบ เมื่อต้นขาถูกเบียดด้วยอวัยวะที่กำลังสำแดงว่าตื่นเต้นเต็มที่ ริมฝีปากที่พยายามจะเปล่งเสียงร้องห้ามถูกเรียวลิ้นชำนาญการรุกไล่เบียดกระชั้น ริมฝีปากร้อนผ่าวของรูฟัสดูดดึงริมฝีปากอุ่นอ่อนนั้นอย่างหิวกระหาย มือแกร่งคว้ามือที่พยายามต่อต้านกดลงกับผนังห้อง
   “ฮ๊า!!” ฟ่งอ้าปาก สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายในตอนที่รูฟัสยอมถอนริมฝีปากออก หนุ่มนัยน์ตาสองสีหอบหายใจอย่างหนักหน่วง มองดูร่างบอบบางที่ถูกดันจนชิดผนัง พวงแก้มแดงปลั่งกับริมฝีปากที่ถูกดูดดึงจนกลายเป็นสีแดง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างอ้อนวอนนั้นยิ่งทำให้เขากระหายใคร่ได้เรือนร่างนี้มากขึ้น ร่างแกร่งโน้มใบหน้าลง ซุกไซร้ปลายจมูกไปตามซอกคอของอีกฝ่ายด้วยความปรารถนา เม้มริมฝีปากลงบนเนินไหล่ขาว ประทับรอยรักฝังลงบนผิวเรียบนั้นอีกครา ฟ่งอ้าปากพยายามจะพูดห้ามออกไป
   “อย่า!”
   รูฟัสชะงักร่างทันที หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามนี้ แม้กระทั้งตอนนี้เขาก็ยังอยากจะบอกว่าไม่ได้ยินอยู่ แต่รูฟัสเคยมีประสบการณ์มาแล้ว เขาไม่เคยฟังเสียงห้าม และฟ่งไม่เคยตื่นมาและยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง ชายหนุ่มพลันนึกถึงคำพูดของเพื่อนต่างวัยเจ้าของร้านเหล้าที่เขาเคยไปปรึกษา
   “ไอ้ทนไม่ได้นี่แหละ คือปัญหา  แกต้องแยกระหว่างเซ็กซ์กับความรัก  ฉันเข้าใจว่าตอนนี้สำหรับแกแล้วสองอย่างนี่แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นเขาไม่ได้คิดแบบแก  ถ้ามีเซ็กซ์กันโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ถือเป็นความรัก ก็ไม่ต่างอะไรจากการไปข่มขืนเขาหรอก  ถ้าแกไม่รู้จักอดทน  รอให้เขาพร้อม รับรองว่าแกได้ล่ามเขาไว้กับเสาเตียงแน่ๆ และก็คงไม่มีปัญญาจะได้ยินคำบอกรักไปตลอดชาติ”
   หนุ่มตาสองสีเสียวสันหลังวาบ เขาอยากได้ยินคำนั้นจากปากของฟ่ง และเกือบไปแล้วที่จะทำเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา มือแกร่งที่กดข้อมือของอีกฝ่ายแนบผนังค่อยๆ คลายออก พร้อมด้วยลมหายใจหนักหน่วงที่ถูกระบายออก
   “ผมขอโทษ” รูฟัสพูดเสียงอ่อน รู้สึกผิดมากจริงๆ ที่ทำอะไรแบบนี้ลงไป เขาเกือบจะไม่ฟังเสียงทัดทานของอีกฝ่าย เกือบจะระบายความใคร่ของตัวเองลงไปเพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว ฟ่งมองรูฟัสอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่ารูฟัสจะหยุดง่ายๆ แบบนี้ ปกติทุกครั้งที่ผ่านมา รูฟัสแทบไม่เคยฟังเสียงห้ามของเขาเลย
   “คุณหยุดเพราะผมหรือ?” ฟ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและพยักหน้ายอมรับ “ผมขอโทษ ผมเกือบจะฝืนใจคุณแล้ว”
   “อา...” ฟ่งคราง และยิ้มออกมาหน่อยๆ “ในที่สุดคุณก็ฟังผม”
   ผู้มีนัยน์ตาสองสีพยักหน้าอีกครั้ง มองดูร่างบางที่ขยับตัวอย่างเขินอายตรงหน้า พลางคิดว่าฟ่งจะมีอารมณ์ตอบเขาบ้างไหม ที่พูดห้ามออกมานี่คือห้ามแค่ชั่วคราว หรือว่าให้หยุดทำไปเลย ถ้าเป็นอย่างหลังรูฟัสชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เขาจะดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปดี
   “ฟ่ง...”
   ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ร่างแกร่งกลืนน้ำลาย ภาวนาว่าฟ่งคงไม่โกรธเขามากนักกับประโยคคำถามที่เขากำลังจะถาม
   “คุณไม่ชอบเวลามีอะไรกับผมเหรอ?”
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งค้างอย่างตกใจ ทำเอารูฟัสใจฝ่อ นี่จะทำให้ฟ่งให้ยิ่งขุ่นเคืองเข้าไปอีกรึเปล่า แต่สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
   “ขอโทษนะครับ แต่ว่าผมขำหน้าคุณ” ฟ่งพูดออกมาในที่สุด รูฟัสอ้าปากค้าง
   “คือคุณทำหน้าเหมือน...เหมือนตกใจมาก..อืม...จริงๆ ก็ไม่ใช่ผมไม่ชอบหรอก แต่...” ร่างบางกล่าวพลางหลบสายตาไปทางอื่นเสีย นี่เขากำลังจะพูดเรื่องน่าอายอีกแล้ว แต่ดูจะใจร้ายไปหน่อยถ้าไม่พูดอะไรออกไปเลย ก็รูฟัสดูจะหวังเอาไว้มากนี่ ถึงกับทำหน้าแบบนั้นออกมา หน้าอย่างกับจะร้องไห้อย่างนั้นแหละ
   “ผมตกใจ แล้วมันก็เจ็บมากนะ เวลาที่คุณฝืนทำผมแบบนั้น ถ้าคุณจะค่อยๆ...”
   “อา..” รูฟัสคราง มองดูแก้มแดงๆ ที่ก้มหลบสายตาของฟ่งอีกครั้งด้วยความรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเป็นกอง ฟ่งไม่ได้เกลียดที่จะทำเรื่องนี้ แค่ตกใจเท่านั้นเอง
   “ผมจะค่อยๆ ทำ ไม่ให้คุณตกใจแล้วกัน โอเคนะครับ?”
   “อ่ะ!!” ฟ่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างตระหนก ก่อนจะหลบสายตาอีกครั้ง พวงแก้มสองข้างยิ่งแดงปลั่ง ไอ้เขินน่ะมันเขินอยู่หรอก ก็รูฟัสเล่นพูดออกมาแบบนี้ แต่ไอ้ครั้นจะพูดปฏิเสธออกไปก็ใช่ที่ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะหยุดอยู่แค่นี้เสียหน่อย
   รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ ใช้มือเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมา โน้มใบหน้าลงต่ำ ทอดตามองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลสั่นระริกคู่นั้น ฟ่งเผยอปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็ค่อยๆ ปิดลง พร้อมกับใบหน้าที่แหงนขึ้นน้อยๆ อย่างตั้งใจและเชิญชวนอยู่ในที
   ริมฝีปากได้รูปแตะเข้ากับริมฝีปากที่รอคอยอยู่ คราวนี้รูฟัสรู้สึกต่างออกไปจากจูบก่อนหน้า มันไม่ได้ร้อนรนทุรนทุรายอย่างทุกครั้ง ไม่เร่าร้อน ไม่วูบวาบ แต่กลับอบอุ่น นี่น่ะหรือคือรสชาติของจูบที่เกิดจากความรัก นี่น่ะหรือคือรสชาติของความรัก
   ฟ่งขยับสองแขนขึ้นโอบกอดร่างแกร่งตรงหน้า พยายามสลัดความเขินอายและปล่อยใจไปตามห้วงอารมณ์อ่อนไหวที่ก่อตัวอยู่ในหัวใจของเขา เขาควรจะต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองบ้าง เพื่อไม่ให้ทำร้ายน้ำใจของอีกฝ่ายมากเกินไปนัก คงจะไม่เป็นอะไรมาก หากเขาจะลองเปิดหัวใจของตัวเองดูอีกครั้ง
   สองแขนโอบรั้งร่างนั้นแน่นขึ้น และรู้สึกถึงวงแขนแกร่งที่โอบมาเช่นกัน ความอบอุ่นแผ่นซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย นานแล้วที่ฟ่งไม่รู้สึกวาบหวามแบบนี้ ความรู้สึกเต็มอิ่มและตื้นตันนี้ เพราะความรักของรูฟัสหรือเพราะหัวใจของเขาเปิดรับความรักนี้แล้วกันแน่ หรือบางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
   เขาคงจะสามารถรักผู้ชายคนนี้ได้
   รูฟัสดึงรั้งร่างของฟ่งเข้ามาแนบชิด ไล้มือต่ำลงไปยังปั้นเอว และเลื่อนสูงมาจนถึงคอเสื้อด้านหน้า ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายสวมอยู่ออก นิ้วเรียวขยับผ่านแผงอกกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า เสียงครางอืมในลำคอกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาซุกหัวไหล่อย่างออดอ้อนนั้นยิ่งทำให้ใจสั่น ฟ่งไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขาเลย นี่ถือเป็นครั้งแรก
   ยั่วยวนเสียจนแทบจะอดทนรอไม่ไหว
   มืออุ่นล้วงลึกเข้าไปในอกเสื้อ บีบดึงยอดอกที่ซุกซ่อนอยู่อย่างเบามือ ก่อนจะล้วงต่ำลงจนถึงขอบกางเกง รูฟัสเลื่อนริมฝีปากต่ำลงมาจรดยอดอกสีชมพูที่ตั้งชันท้าทายการสัมผัส ดึงทึ้งเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก เล็มเลียตลอดแผงอกนั้น ขบกัดจุดสวาทสีชมพูเบาๆ มืออีกข้างเลื่อนต่ำผ่านขอบกางเกงลงไปถึงบริเวณหว่างขา ฟ่งแอ่นร่างอย่างอย่างเสียวสะท้าน คล้ายพยายามหลบเลี่ยงมือที่ขยับอย่างซุกซนตรงหว่างขาอย่างเอียงอาย แต่กลับกลายเป็นเสนอยอดอกสีชมพูชูชันนั้นให้แทน รูฟัสขบกัดยอดอกนั้นอย่างหยอกเย้า ขยับมืออีกข้างหนึ่งคลึงเค้นยอดอกนูนอีกด้าน เพิ่มความเสียวซ่านให้กับร่างที่แอ่นรับการเล้าโลมอยู่
   ฟ่งจิกนิ้วลงบนหัวไหล่กว้างนั้นแนบแน่น ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอารมณ์ร่วมตามมากมายขนาดนี้ ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น เกรงกลัวจะส่งเสียงร้องน่าเกลียดออกไป สัมผัสของเรียวลิ้นเปียกชื้นและร้อนที่โลมเล่นอยู่บนยอดสวาทนั้น กระตุ้นความกระสันที่อัดแน่นอยู่ภายในอกจนแทบระเบิดออก จะน่าอายมากไหม หากแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขาเองก็ต้องการมากเช่นกัน
   รูฟัสถึงกับสะดุ้ง เมื่อมือเรียวของอีกฝ่ายขยับลงมาลูบตรงหว่างขาของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาละริมฝีปากจากยอดอกนั้น เงยหน้าขึ้นมอง พวงแก้มแดงซานและดวงตาสีน้ำตาลนั้นมองลงมาอย่างเขินอาย พลางหดมือกลับอย่างขัดเขิน ร่างแกร่งยิ้มละไม ฟ่งกำลังแสดงให้เห็นว่าต้องการเขา รูฟัสดึงมือข้างที่หดกลับไปนั้นขึ้นมาจูบ ก่อนจะไล่ริมฝีปากไปตามท้องน้อยของอีกฝ่าย ดึงทั้งกางเกงและชั้นในที่ยังปกปิดอวัยวะสำคัญตรงหว่างขาของฟ่งออก
   ฟ่งบีบมือลงบนแผงไหล่กว้างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขา กระแทกศีรษะเข้ากับผนังห้องด้วยความวาบหวามที่เกิดขึ้นจากกระทำของอีกฝ่าย ช่องปากของรูฟัสร้อนผ่าว เรียวลิ้นเปียกชื้นดูดดึงส่วนนั้นของเขา บางคราตวัดโลมยอดปลายสีชมพูนั้นอย่างยั่วเย้า คล้ายดั่งต้องการเร่งเร้าให้ปลดปล่อย บางคราเนิบนานเนิ่นช้า คล้ายดั่งต้องการลิ้มชิมรสของมันให้เต็มอิ่ม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำให้เขารู้สึกดีทั้งนั้น
   สองมือเลื่อนขึ้นจับศีรษะของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เรียวนิ้วสอดประสานเข้าไปในไรผมสีดำของร่างที่คุกเข่าอยู่ ออกแรงเล็กน้อยก็ขยับอีกฝ่ายได้ดั่งใจหวัง
   เสียงลมหายใจถี่กระชั้น รูฟัสโลมเล้าอวัยวะนั้นอย่างชำนาญ เขาอยากให้ฟ่งปลดปล่อยออกมาสักหนหนึ่งก่อน เพื่อไม่ให้ร่างกายเขม็งเกรงกับการร่วมรักที่กำลังจะเกิดขึ้นมากนัก
   ริมฝีปากและเรียวลิ้นร้อนขยับอย่างรุนแรงมากขึ้น ฟ่งตระหนักได้ทันที นี่ไม่ใช่เพราะแรงมือของเขาอีกแล้ว รูฟัสกำลังเร่ง เร่งเร้าให้เขาปลดปล่อยออกมา ร่างบางกระแทกลำตัวกับผนังห้องอีกรอบ แม้สองมือยังสัมผัสอยู่บนศีรษะของผู้ที่คุกเข่าอยู่ แต่ก็ไม่มีปัญญาจะลดทอนหรือผ่อนผันปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดและริมฝีปากที่ดูดดึงโดยแรงนั้นได้ ในลมหายใจที่เริ่มขาดห้วง ฟ่งพยายามส่งเสียงออกไป
   “จะเสร็จแล้ว...” ถ้อยคำนั้นเอ่ยเพียงต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัว ฟ่งไม่อยากทำให้รูฟัสเปรอะเปื้อนด้วยของเหลวที่น่าอับอายนั่น แต่คล้ายอีกฝ่ายเข้าใจไปคนละอย่าง
   “ยะ..หยุด” แม้จะส่งเสียงห้ามอีก แต่ดูเหมือนรูฟัสจะไม่ฟังดั่งครั้งแรกเสียแล้ว ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดเน้นบริเวณนั้นรุนแรงขึ้น ลิ้นร้อนลูบเร้ายอดสวาทที่เริ่มเขม็งเกร็งอย่างต่อเนื่อง ฟ่งกระแทกตัวเข้ากับผนังอีก ลมหายใจติดขัด คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น หากรูฟัสไม่ยอมหยุดในตอนนี้ เขาคง...
   ของเหลวอุ่นร้อนทะลักออกจากยอดที่เขม็งเกร็งถึงขีดสุด พร้อมกับเสียงหอบหายใจเหนื่อยอ่อน
   “ขะ...ขอโทษ” ฟ่งเอ่ยวลีออกมาอย่างรู้สึกผิด เขาไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่อีกฝ่ายเร่งเร้าเสียจนไม่อาจหักห้ามได้ รูฟัสไม่พูดอะไร เขาถอนริมฝีปากออก แทบไม่อยากเชื่อ ฟ่งเห็นว่ารูฟัสกลืนสิ่งน่าอายของตนลงไป
   “Wanna test?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากที่ยังเห็นรอยเปื้อน รูฟัสยันตัวขึ้นและจ้องมองใบหน้าเรียวที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายออกมา ลมหายใจของฟ่งยังคงปั่นป่วน เมื่อไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ รูฟัสจึงแนบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากซึ่งถูกดูดดึงจนกลายเป็นสีแดงเรื่อก่อนหน้า ฟ่งหลับตา เขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าของเหลวนั้นรสชาติเป็นอย่างไร จนกระทั่ง.....
   เรียวลิ้นอุ่นร้อนที่เคลือบด้วยเมือกลื่นเล็มเลื้อยลึกเข้ามาในช่องปาก คล้ายดั่งต้องการป้อนของเหลวที่ว่าให้ถึงที่ ฟ่งขยับลิ้นสัมผัสเมือกลื่นนั้นอย่างหวั่นใจ ก่อนจะหลับตาลงอย่างโล่งอก รสชาตินั้นดูไม่แย่มากนัก
   รูฟัสดูดดื่มริมฝีปากซึ่งเคยแง่งอนใส่เขาอยู่บ่อยครั้ง น้ำหนักที่ฟ่งโถมลงมาบนตัวเขาคล้ายบ่งบอกกลายๆ ว่าไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะทรงตัวได้ดีอีก รูฟัสเลื่อนมือโอบเอวน้อย ก่อนดึงร่างนั้นขึ้นจากพื้นห้อง วงแขนผอมบางเกี่ยวกระหวัดโอบรัดหัวไหล่กว้างของผู้โอบอุ้มด้วยความตกใจ ก่อนซุกหน้าอิงแอบในอกอุ่นอย่างเขินอาย เมื่อครู่เขากำลังรู้สึกดีกับรสชาติที่รูฟัสมอบให้
   ร่างไร้เรี่ยวแรงถูกวางลงบนเตียงกว้าง ก่อนที่อีกฝ่ายจะดึงกางเกงที่หลุดกองอยู่ตรงข้อเท้าของเขาออก ขณะที่รูฟัสกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง ร่างที่เพิ่งผ่านห้วงเวลาซ่านกระสันก็ยันตัวลุกขึ้น อย่างไม่เคยคิด ฟ่งลูบมือลงไปบนเป้ากางเกงของอีกฝ่าย พลางช้อนตาขึ้นมอง
   รูฟัสกลืนน้ำลาย ชะงักไปพักใหญ่ เขาไม่ใช่คนที่ไม่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่โง่ขนาดดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าหนุ่มสวมแว่นที่กำลังช้อนตามองเขาอยู่นี้ จะต้องการทำแบบนี้ด้วย
   ร่างแกร่งปลดตะขอกางเกงออก ดึงชั้นในลง เผยให้เห็นอวัยวะสำคัญที่กำลังขยายตัวอย่างตื่นเต้น เขาหวังว่าจะไม่ตีเจตนาของสายตานั้นผิด แม้จะรู้สึกเหลือเชื่อและคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ วินาทีต่อมาฟ่งก็ตอกย้ำถึงสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด
   ริมฝีปากอ่อนเผยออ้า ปลายลิ้นน้อยขยับออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ สัมผัสส่วนนั้นอย่างแผ่วเบา คล้ายดั่งต้องการทดลองรสชาติก่อน ฟ่งขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ดูมุ่งมั่นจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ริมฝีปากนั้นอ้ากว้างขึ้น ก่อนรับเอาอวัยวะที่แข็งตัวอยู่เข้าไป และขยับศีรษะช้าๆ
   รูฟัสรู้ทันทีว่าฟ่งเป็นมือใหม่จากฟันซี่น้อยที่เริ่มขูดส่วนนั้นของเขา แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจ ดีใจที่ฟ่งพยายามจะกระทำเรื่องแบบนี้ให้เขา ดูท่าทางจะอยากมอบความสุขตอบแทนให้เขาเช่นกัน
   ฟ่งรู้สึกตกใจอยู่พอสมควร เขาไม่เคยมองส่วนนี้ของรูฟัสอย่างตั้งใจมาก่อน ตอนที่ปรากฏกับสายตาครั้งแรก เขาเองคิดไว้แล้วว่าขนาดของมันคงไม่เล็กน้อย จากสัมผัสในยามร่วมรักที่ผ่านมาทุกครั้ง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะขยายจนคับปาก ร่างบางรู้สึกหวั่นใจอยู่ลึกๆ หากว่านี่ยังไม่ใช่จุดตื่นตัวที่สุดล่ะก็..... เขาจะขยับริมฝีปากต่อไปได้อีกไหม
   แม้จะไม่ได้เก่งกาจชำนาญการอย่างไรเลย ออกจะอ่อนด้อยและน่าหงุดหงิดด้วยซ้ำ แต่รูฟัสกลับรู้สึกดีมากกับสิ่งที่ฟ่งกระทำอยู่ คงเป็นเพราะความรู้สึกตื้นตันที่คนที่มักเขินอายและปกปิดความรู้สึกอยู่ตลอดทุกครั้ง พยายามแสดงออกมาว่าตั้งใจจะให้ความสุขเขาเพียงไหน ถึงอย่างนั้นเขาคงปล่อยให้ฟ่งใช้ฟันขูดตรงนั้นนานๆ ไม่ได้
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่67 p12 20/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 22-11-2011 15:02:28
   “Enough….” ร่างสูงเอ่ยแผ่วเบา พลางดึงศีรษะของอีกฝ่ายออก ฟ่งช้อนตาสีน้ำตาลขึ้นมองอย่างรู้สึกผิด ริมฝีปากที่ยังเปรอะของเหลวใสเอ่ยเสียงเบา “ไม่ดีหรือ?”
   รูฟัสยิ้ม และก้มลงจูบริมฝีปากนั้น ก่อนกระซิบข้างหู “ดีครับ แต่ผมอยากเสร็จในตัวคุณมากกว่า”
   คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าของฟ่งกลับมาแดงปลั่งอีกครั้ง เรียวลิ้นร้อนของรูฟัสรุกไล่เข้ามาในช่องปาก พร้อมทั้งกดร่างลงไปบนเตียงนอน จูบเร่าร้อนชำนิชำนาญคล้ายดูดเอาเรี่ยวแรงของฟ่งไปจนหมด ร่างบางครางในลำคอ รู้สึกเหมือนกับจะขาดอากาศ สองมือบีบรัดไหล่กว้างแนบแน่น กว่าที่รูฟัสจะยอมถอนริมฝีปากออก เขาก็แทบจะหมดสติ
   แว่นตาบนใบหน้าถูกถอดออกแล้ว พร้อมกับร่างที่ยังสั่นน้อยๆ ด้วยอาการหอบเหนื่อยจากรสจูบเร่าร้อนเมื่อครู่ รูฟัสมองดูเรือนร่างที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้เขาเคยผ่านประสบการพวกนี้มามาก ผ่านทั้งหญิงและชาย ผ่านคนมาหลายรูปแบบ แต่ไม่มีคนไหนเลยที่เขาจะรู้สึกอุบอุ่นเต็มอิ่มไปมากกว่าคนคนนี้ เพราะสำหรับฟ่ง มันมิใช่แค่การระบายความใคร่ที่เกิดขึ้นจากภาวะร่างกายตามธรรมชาติเท่านั้น แต่มันคือการแสดงความรัก ความรักที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน  ความอ่อนไหวที่เขาเกือบจะหลงลืมมันไปแล้ว จนได้ประสบกับสายตาสีน้ำตาลหม่นหมองคู่นี้
   รูฟัสเหม่อมองนัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือนั้นอยู่นาน ก่อนจะก้มลงจูบด้วยความรักใคร่ คนคนนี้ทำให้เขาเพ้อคลั่ง ทำให้เขาหลงใหล ทำให้เขาคิดถึง และทำให้เขาเจ็บปวด ถึงอย่างนั้นในหัวใจของเขาก็ยังมีคำว่ารักให้กับผู้ชายคนนี้มากมายเหลือเกิน บางครั้งก็อัดอั้นจนแทบระเบิด หากฟ่งจะตอบสนองความรักของเขาบ้าง.....
   ใบหน้าน้อยขยับขึ้นมาตอบสนองจูบนั้นราวกับต้องการจะยั่ว รูฟัสประสานมือเข้ากับมือเรียวที่วางแผ่อยู่ ไล้ผ่านกลุ่มผ้าพันแผล กดแนบลงไปบนฟูกนุ่ม ประโลมจูบหอมหวานลงไปอีกครา คิ้วสีน้ำตาลใต้เรือนผมยุ่งขมวดมุ่น ร่างแกร่งเลื่อนริมฝีปากออก ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ ขณะพรมจูบลงไปบนพวงแก้มแดงซ่าน เน้นขบซอกคออย่างเคยชิน แม้ฟ่งจะเคยพูดว่าให้หยุดทำรอยตรงนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว รูฟัสก็หักห้ามใจไม่ได้เสียที เขาอยากแสดงความเป็นเจ้าของเรือนร่างนี้ อยากประทับรอยรักให้จารึกฝังลงในร่างกายบอบบางที่สั่นสะท้านอยู่ราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ อยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผู้ชายคนนี้เป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขารักและหวงแหน ไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้าใกล้หรือสัมผัสแตะต้อง
   ฟ่งขยับร่างสั่นไหว จากสัมผัสที่รูฟัสมอบให้ เขารู้ดีว่าทางนั้นคงตั้งใจประทับรอยรักลงบนร่างกายของเขาอีก แต่ตอนนี้ฟ่งไม่มีอารมณ์อยากจะห้ามปราม เขาปล่อยใจล่องลอยไปกับสัมผัสนั้น ปล่อยความรู้สึกของตัวเองให้จมลงสู่อารมณ์รักบิดเบี้ยวที่เขาเคยหวาดหวั่นมาตลอด เพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจนั้นอีก และไม่ต้องการสูญเสียบุคคลคนนี้ไป แม้ยากยอมรับ แต่ฟ่งรู้ตัวแล้วว่า เขาต้องการรูฟัสอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้
   ลิ้นร้อนขยับซุกซนผ่านซอกคออุ่น จูบขบหัวไหล่ขาว ก่อนเลยลงมาจนถึงเนินอกแบนราบที่ไหวกระเพื่อมตามจังหวะหายใจเหนื่อยหอบ เลือดฝาดสูบฉีดรุนแรงตลอดร่างที่นอนราบอยู่จนกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกต้องการให้พุ่งสูงขึ้น รูฟัสพรมริมฝีปากไปบนยอดปลายสีชมพูบนเนินอกที่แข็งขืนท้าทายสัมผัสของปลายลิ้น ร่างที่หอบเหนื่อยเกร็งขึงขึ้นมาทันทีเมื่อถูกขบกัดอย่างหยอกเย้า ริมฝีปากอุ่นดูดดึงยอดถัน ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งล่วงล้ำผ่านท้องน้อยลงไปยังส่วนน่าอายเบื้องล่าง ฟ่งรู้สึกถึงไอร้อนจากมือข้างนั้นขณะสัมผัสและรูดดึงอวัยวะของเขา มือน้อยเลื่อนขึ้นมาจับข้อมือหนานั้นไว้อย่างลืมตัว ขณะมืออีกข้างหนึ่งสัมผัสอยู่ในไรผมเรียบลื่นของอีกฝ่ายอย่างเคลิบเคลิ้ม ลมหายใจเริ่มขาดห้วงอีกครา
   แทบจะสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อรูฟัสกระตุ้นเขาจนหลั่งออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง ร่างผอมบางหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่เหลือแรงพอจะผงกศีรษะขึ้นมองด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรืออย่างเลื่อนลอย สติสัมปชัญญะคล้ายจะหลุดออกจากร่าง
   สัมผัสร้อนของนิ้วมือเรียวที่สอดลึกเข้ามาในร่างทำให้สติกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลขยับตัว แบะอ้าช่วงขาออก พยายามจะอำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ รูฟัสก้มลงจูบบนช่วงขาขาวเนียน ตอนที่ฟ่งนิ่งไปนั้น เขาเกิดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะหมดสติไปกลางทาง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองนี้ก็พอให้รู้สึกอุ่นใจอยู่บ้าง
   การเล้าโลมในครั้งนี้ของรูฟัสเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ราวกับพยายามจะทำให้นุ่มนวลมากที่สุด นิ้วมือที่ชุ่มของเหลวลื่นค่อยๆ สอดคว้านขยายส่วนนั้นออกช้าๆ อย่างเนิบนาบ อุ้งมืออุ่นอีกข้างคอยประคองอารมณ์ร่วมของอีกฝ่ายมิให้จืดจางไปเสียก่อน ฟ่งหลับตาพริ้ม ส่งเสียงครางอืมในลำคออย่างผ่อนคลาย บอกตัวเองให้พร้อมกับการร่วมรักที่ใกล้จะเกิดขึ้น
   อย่างช้าๆ รูฟัสเบียดส่วนร้อนระอุนั้นเข้ามา ค่อยๆ ดันมันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยกำลังเพียงน้อย ตั้งใจทำให้เบามืออย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ ฟ่งขยับตะโพก พยายามตอบรับคำของเข้ามานั้นอย่างเต็มที่ แต่กระนั้นก็ดูจะเชื่องช้าเกินทน รูฟัสจึงเพิ่มน้ำหนักเข้ามาอีก ยอดปลายร้อนชำแรกเข้ามาในร่างกาย พร้อมกับคิ้วสีน้ำตาลที่ขมวดเข้ากันกันจนมุ่น ฟ่งขบกรามแน่น บอกตัวเองให้เคยชินกับความเจ็บปวดนี้ รูฟัสพยายามดันตัวเข้ามาอย่างยับยั้ง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฟ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญ แม้จะแสดงความยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่ แต่ส่วนที่ไม่ค่อยได้ถูกสัมผัสเช่นนี้บ่อยๆ ก็ใช่ว่าจะยอมเปิดรับออกโดยง่าย และรูฟัสต้องยอมรับ คราวนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมากจนกระทั่งส่วนนั้นขยายใหญ่กว่าปกติ การสอดใส่จึงยากลำบากมากขึ้น
   ฟ่งไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ส่วนที่แทรกลึกเข้ามานั้นคล้ายขยายมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา ความเจ็บปวดจึงเพิ่มตามไปด้วย นิ้วมือเรียวจิกลงไปบนผ้าปูเตียงอย่างมิอาจอดรน ริมฝีปากแดงสะกดกั้นเสียงร้องเอาไว้ หัวคิ้วขมวดหากันจนมุ่น รูฟัสหอบหายใจ ฟ่งเริ่มเกร็งกับการร่วมรักในครั้งนี้ แต่เขายังไม่อยากหยุด
   “Please…relax. You can cry for help this.”
   ฟ่งไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดนั้นนัก จวบจนกระทั้งรูฟัสสอดนิ้วมือเข้ามาในปาก พลางเสือกส่วนนั้นลึกเข้ามาอีก ครั้งนี้เสียงร้องครางหลุดลอดออกมาทันที หยาดน้ำตาที่ไหลซึมอยู่แล้วเอ่อทะลักออกมา
   “Please cry.” รูฟัสยังคงย้ำถ้อยคำ และก้มลงจูบใบหน้าเปื้อนคราบน้ำใส นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือขึ้นมอง ก่อนจะพริ้มนัยน์ตาลงอีกครั้ง คล้ายพยักหน้าน้อยๆ ร่างแกร่งจึงดันตัวลึกเข้ามาอีก ร่างบางสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด เขาเพิ่งรู้ว่าการร้องออกไปนั้นช่วยผ่อนคลายร่างกายได้ดีขึ้น เสียงร้องครางดังขึ้นอีกครั้ง แผ่วเบา แต่ยาวนาน
   ชายหนุ่มลดความรุนแรงในการขยับลง พยายามออกแรงแต่เพียงน้อย สลับกับหยุดเพื่อให้อีกฝ่ายเคยชินกับความเจ็บปวด เขารู้ดีว่าช่วงนี้เป็นช่วงยากลำบากที่สุดสำหรับฟ่ง การต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะรู้สึกดีขึ้น
   ฟ่งหอบหายใจหนัก สลับกับร้องครางเป็นระยะ ความเจ็บปวดนี้สำหรับเขาแล้วไม่ว่าเมื่อไรก็ยากจะรู้สึกคุ้นชิน ถึงอย่างนั้นส่วนลึกของร่างกายกลับรู้ดีว่าหลังความเจ็บปวดนี้ ความหฤหรรษ์ที่อยากจะบรรยายจะตามสมทบเข้ามา และนั่นคือสิ่งที่หัวใจเขาปรารถนา
   รูฟัสขยับร่างอย่างเชื่องช้าตั้งใจให้ฟ่งได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเกร็งกับการร่วมรักเสียเอง ขณะพยายามยับยั้งชั่งใจ ความรู้สึกตื่นเต้นเริ่มหดหายไปด้วย แม้กลัวจะหมดอารมณ์กลางคัน แต่การขืนดึงดันจะร่วมรักทั้งๆ ที่ทางนั้นยังไม่พร้อมดีก็คงไม่ใช่สิ่งสมควรเหมือนกัน
   ร่างบางรู้สึกแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเหมือนจะเชื่องช้าไปดื้อๆ เขานึกสงสัยว่าเพราะเสียงร้องของตัวเองหรือเปล่า? รูฟัสอาจเข้าใจผิดว่าเขาไม่ค่อยจะมีความสุขนัก ฟ่งไม่ต้องการให้เพลงรักครั้งนี้สิ้นสุดลงเพราะความหวั่นเกรง แม้จะดีที่รูฟัสนึกถึงความรู้สึกเขา แต่หากต้องหยุดไปเพราะความเกรงใจ เขาเองคงไม่รู้สึกเป็นสุขเท่าไหร่ ร่างบางผ่อนลมหายใจอย่างพยายามผ่อนคลาย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “แรงอีก”
เหมือนรอประโยคนี้อยู่นาน ทันทีที่คำพูดหลุดจากปาก เรี่ยวแรงมหาศาลก็โหมกระแทกเข้าสู่ตะโพกอย่างไม่ยั้ง ฟ่งเผลอร้องออกมาเสียงลั่น ความเจ็บปวดแบบที่คาดเอาไว้แล้วแต่ไม่ค่อยจะพึงปรารถนานักแล่นเข้าสู่ร่างกาย ผ่านช่องเปิดที่ส่วนร้อนนั้นเคลื่อนเข้าออกอย่างรุนแรง ร่างบางดึงรั้งผ้าปูเตียงจนแทบจะฉีกขาด เสียงหอบหายใจราวสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่งตอบเขาได้อย่างดีว่าแม้เอ่ยปากยับยั้งตอนนี้ อีกฝ่ายคงไม่เหลือสติจะหยุดตัวเองเอาไว้อีกแล้ว
   คำขอของฟ่งแทบจะพร้อมกับความอดทนที่สิ้นสุดลง เหมือนลืมตัวไปชั่วขณะ รูฟัสกระแทกร่างเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างไร้สติ ก้มลงกัดปลายคางและลำคอที่ส่งเสียงร้องครางอย่างน่าสงสารด้วยอารมณ์เสียวกระสันที่บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นน้ำตาของฟ่งไหลรินลงมาเป็นสาย ขณะมีสติคิดจะยับยั้งตัวเอง วงแขนไร้เรี่ยวแรงก็โอบกอดเข้ามา พร้อมกับริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบมาอย่างเร่งเร้า
   น่าอายจนไม่อยากเอ่ยปาก ในความรู้สึกเจ็บปวดนี้ ฟ่งรู้สึกมีความสุขอย่างแปลกๆ ยามถูกกระแทกอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยกำลังของผู้ชายคนนี้ แม้เจ็บปวดจนบรรยายออกมาไม่ได้ แต่ความสุขก็ถูกเติมลงมาด้วยเช่นกัน ฟ่งตะกายกอดรัดร่างหนาอย่างหิวกระหาย คร่ำครวญเสียงร้องและหอบหายใจถี่หนัก ในความรุนแรงนั้นเขาได้ยินเสียงครางต่ำๆ ของอีกฝ่าย สองร่างกอดกระหวัดกันแนบแน่น ลืมเลือนทุกสิ่ง ในห้วงอารมณ์รักที่บ้าคลั่ง รูฟัสกระแทกตะโพกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปลดปล่อยความรู้สึกอัดอั้นของตนลงไปอย่างเต็มที่ ขณะที่ฟ่งเปิดรับความรู้สึกนั้นอย่างสุขสมและทรมาน สองมือขูดจิกลงบนแผ่นหลังกว้างจนกลายเป็นทางยาว  พายุแห่งความปรารถนาที่เกิดจากห้วงอามรณ์ลึกซึ้งที่ต่างฝ่ายต่างเปิดออกให้กัน ดึงดูดสติสัมปชัญญะของทั้งคู่ลงสู่ความหฤหรรษ์ในความใคร่ที่บิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงร้องครวญครางราวกับจะขาดใจ ทำนบความสุขที่ปิดกั้นเอาไว้ได้ปริแตกออก
   รูฟัสก้มลงจูบร่างบอบบางที่แทบจะสิ้นสติกับความสุขสมในอ้อมแขน รับรู้รสละมุนของเรียวลิ้นนุ่มที่ตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน
ห้วงลมรักเฉื่อยฉิวหลังพายุแรงนั้นช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
---------------------------------------------------
   ความปวดร้าวแล่นไปทั่วทุกปลายประสาทสัมผัส ขณะที่ฟ่งลืมตาตื่น แสงสีทองของรุ่งอรุณสาดผ่านร่องม่านกันเป็นแนวอยู่ตรงมุมห้องนอน เขาพลิกตัวเพื่อหยิบแว่นตา รับรู้ถึงอาการปวดจากการถูกหักโหมใช้งานอย่างหนักตรงตะโพก มองเห็นผ้าปูเตียงยับย่น และผ้าห่มที่ถูกดึงมาปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าเอาไว้ และเหนือจากนั้น ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดเขาไว้อย่างหลวมๆ
   ฟ่งรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ปกติรูฟัสรู้สึกตัวไวเสมอ และมักตื่นอยู่แล้วตอนเขาลืมตาขึ้นมา แต่ครั้งนี้ ใบหน้าได้รูปที่มีดวงตาสองสียังคงหลับสนิท แผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งเปลือยออกมานอกผ้าห่มขยับเป็นจังหวะคงที่ คิ้วสีดำได้รูปปล่อยสบายๆ ฟ่งยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ร่วงลงมาปรกใบหน้านั้นออกอย่างเบามือ ด้วยเกรงจะทำให้อีกฝ่ายตื่น เขาไม่เคยเห็นรูฟัสหลับสนิทแบบนี้มาก่อนเลย ดูท่าทางจะเหนื่อยอ่อนจากเรื่องที่เกิดขึ้น
   จะว่าไปแล้วรูฟัสออกไปก่อนหน้าเขาสองสามวัน และคงไม่ได้มีเวลานอนมากสักเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นเมื่อคืนก็ยังอุตส่าห์ฝืนมอบความรักให้เขาอย่างยาวนานต่อเนื่อง หากจะรู้สึกอ่อนล้าบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรูฟัสเองก็เป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่แค่ใช้ชีวิตแปลกจากคนทั่วไปอยู่สักหน่อย
   นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองใบหน้าได้รูป ไม่ว่ามองเมื่อไหร่รูฟัสก็ดูดีเสมอ ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมากเสียจนดูยังไงๆ ก็ไม่น่าจะมาชอบคนที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นอย่างเขา ฟ่งเชื่อว่ารูฟัสสามารถเลือกได้ดีกว่านี้ แต่ก็ยังเลือกเขา แม้รู้สึกหวั่นไหวว่าอนาคตหัวใจของรูฟัสอาจเปลี่ยนแปลง แต่ฟ่งก็รู้สึกดีอยู่ลึกๆ อย่างน้อยสิ่งที่รูฟัสทุ่มเทให้เขาก่อนหน้านี้ แม้จะมีเรื่องโกหกสารพัด แต่หลายๆ อย่างรูฟัสตั้งใจทำเพื่อเขาจริงๆ และแม้เขาจะสับสน ทำร้ายจิตใจออกไปโดยไม่รู้ตัวหลายหน ก็ยังไม่ยอมแพ้ ฟ่งยิ้มออกมาบางๆ พิศดูใบหน้านั้นอีกรอบ วันนี้แหละเขาจะพูดคำในใจคำนั้นให้รูฟัสได้ยิน ให้รูฟัสได้แน่ใจเสียทีว่าเขาคิดอย่างไร
   เสียงเคาะประตูทำให้ฟ่งสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด สิ่งแรกที่รู้สึกคือใครกันหนอที่มาเคาะประตูป่านนี้ อาจจะเป็นราฟาแอลหรือรัสเลอร์ก็ได้ ร่างบางขยับอย่างระวังที่สุด เพื่อไม่ให้บุรุษร่างสูงที่นอนหลับสนิทอยู่ตื่น ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คุ้ยหาชุดนอนออกมาได้ชุดหนึ่ง เนื่องจากเมื่อวานรูฟัสและเขาหมดสติไปโดยยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และฟ่งไม่อยากจะสวมชุดเดิมซึ่งตอนนี้หล่นอยู่ปลายเตียง ย้ำให้คิดถึงรสรักที่ได้รับเมื่อคืน
   เสียงเคาะประตูเร่งร้อนทำให้ฟ่งติดกระดุมเสื้อไม่ครบเม็ด ท่าทางคนมาเคาะจะรีบร้อนเอาการอยู่ ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเปิดประตู ก่อนจะผงะ
   “นอนหลับอยู่เหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นฟ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นน้ำเสียงที่เขาได้ยินมาตั้งแต่ยังเล็ก
   “เจ๊ผิง!” ฟ่งเอ่ยเรียกชื่อผู้เป็นพี่สาว หล่อนยิ้มให้เขา และพูดต่อ “เจ๊มาปลุกใช่ไหมล่ะ?”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และเปิดประตูให้พี่สาวเข้ามา ก่อนจะได้ยินเสียงพูดต่อ “บอกแล้ว เฮียฟ่งยังไม่ตื่นหรอก”
   ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้า ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด จะผิดกันตรงทรงผมตัดสั้น และไม่ได้สวมแว่นเท่านั้นเอง ฟ่งเอ่ยทักอย่างแปลกใจ “อ้าว เล้ง?”
   แม้จะมีใบหน้าละม้ายกัน แต่เล้งนั้นดูตัวใหญ่กว่าฟ่ง แถมยังดูจะแข็งแรงกว่า เด็กหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นพี่ชาย
   “เฮียนึกไม่ถึงล่ะสิว่าผมจะมา” กล่าวจบก็เดินเข้ามาในห้อง ผิงหันมามองน้องชายทั้งสอง
   “เจ๊เห็นหายไปหลายวัน มือถือก็ไม่ยอมซื้อใหม่ เลยแวะมาดู เป็นห่วงน่ะ  พักนี้ฟ่งหลบใครรึเปล่า?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ผู้เป็นพี่สาวนั่งลงตรงโซฟา นึกดีใจที่ไม่ได้เปิดประตูห้องนอนทิ้งเอาไว้
   “งั้นก็รีบซื้อมือถือใหม่เร็วๆ แล้วกัน แล้วนั่นแขนไปโดนอะไรมา?” ผู้เป็นพี่สาวถามต่อ เมื่อเห็นผ้าพันแผลที่แขน ฟ่งพยายามนึกข้อแก้ตัวในเวลาอันจำกัด เขาไม่คิดว่าจะได้เจอพี่สาวในวันนี้
   “อืม.. ผมวางมีดไม่ค่อยดี ก็เลยบาด”
   ข้อแก้ตัวดูฟังไม่ค่อยขึ้นนัก ถึงอย่างนั้นโดยนิสัยของฟ่ง การวางของระเกะระกะชนิดคาดไม่ถึงกับเรื่องประเภทนี้ก็ดูจะเป็นไปได้เหมือนกัน
   “วางยังไงของเธอน้า….” ผิงครางออกมา มองสำรวจน้องชาย นอกจากผ้าพันแผลที่แขนแล้ว หัวยังมีรอยปูด แถมตรงคอยังมีรอยจ้ำสีแดงอีก เจ้าน้องชายคนนี้ไปทำอะไรมากันแน่ แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เธอไม่ควรถาม ดังนั้นผู้เป็นพี่สาวจึงหันไปพูดถึงธุระที่ทำให้เธอแวะมาที่นี่
   “งานยุ่งอยู่รึเปล่า ช่วงนี้?”
คนถูกถามสั่นศีรษะอีก ก่อนถามตอบ “ทำไมเหรอเจ๊?”
   “ก็ว่าจะฝากเล้งมาอยู่ด้วยสักพัก ติดต่อเธอไม่ได้ เจ๊เลยยังไม่ได้บอก เล้งมันสอบติดมหาลัยแถวนี้ล่ะ”
   “จริงเหรอเนี่ย?” ฟ่งโพล่งออกไปอย่างไม่เชื่อ ผู้เป็นน้องชายที่เดินสำรวจห้องอยู่จึงเอ่ยปาก “เฮียฟ่งไมทำเสียงงั้นอ่ะ ไม่เชื่อว่าผมสอบติดอ่ะดิ?”
   ฟ่งทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ “จริงๆ ก็กลัวว่าจะไม่ติดอยู่หรอก เฮียว่าเล้งไม่โง่ แต่เกเรเกตุงไปหน่อย”
   “แหม..วัยต่อต้านก็ต้องมีบ้าง” น้องชายตอบคำ พลางก้มลงมองเครื่องเกมใต้ทีวีที่ฝุ่นจับเขรอะ
   “เจ๊ผิง ผมว่านะ ถ้ามาอยู่กับเฮียฟ่งผมได้กลายเป็นแม่บ้านแหงเลย ดูห้องดิ โคตรรก”
   ฟ่งทำหน้าหงิก ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวหัวเราะ
   “ว่าไงฟ่ง ให้เล้งมาอยู่ด้วย ประหยัดค่าใช้จ่ายดี เธอก็ใช้มันทำความสะอาดห้องไปแล้วกัน”
   ฟ่งยิ้มแบบกึ่งรับกึ่งสู้ จริงๆ เขาก็ดีใจอยู่หรอกที่น้องชายจะย้ายมาอยู่ด้วย ถ้าเกิดว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้จักกับรูฟัส และเผชิญอะไรแบบนั้นมา ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผล
   “อืม.. จริงๆ ผมคิดว่าจะย้ายออกอยู่”
   ร่างบางตอบออกมา ทำเอาพี่สาวขมวดคิ้ว “ย้ายอีก? นี่ฟ่งหนีใครอยู่ใช่ไหม?”
   ฟ่งรีบสั่นศีรษะ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด เขาเหลือบไปเห็นน้องชายกำลังจะเปิดประตูห้องนอน
   “เฮ้ย เล้ง อย่าเปิดนะ” ผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงห้าม เล้งหันมาและหัวเราะ
   “อายอะไรเฮียฟ่ง ผมไม่ว่าเฮียหรอก ถ้าห้องนอนเฮียจะรกมากกว่าด้านนอกน่ะ”
   “ไม่ได้ เดี๋ยว!!” ฟ่งร้องห้ามและลุกพร่วดขึ้น แต่ดูจะสายไปสักหน่อย เมื่อน้องชายได้เปิดประตูเข้าไปแล้ว
------------------------------------------------
   รูฟัสได้ยินเสียงเหมือนใครพูดอะไรกันแว่วๆ สำหรับเขานั้นเหมือนเพิ่งผ่านความฝันยาวนาน ที่บทสรุปสุดท้ายช่างหอมหวานจนไม่อยากตื่น ร่างแกร่งปรือนัยน์ตาสีแปลกขึ้นอย่างเกียจคร้าน นานจนแทบจำไม่ได้แล้วที่เขาไม่ได้หลับสนิทอย่างนี้ รอยผ้าปูเตียงยับย่นที่ปรากฏกับสายตาตอกย้ำความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างแจ่มชัด
ร่างสูงขยับแขนเพื่อคว้าร่างที่เพิ่งมอบความสุขกับเขาเมื่อวานมากอดอย่างไม่ค่อยได้สตินัก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคว้าพบความว่างเปล่า งั้นฟ่งคงตื่นนอนก่อนและลุกไปแล้ว ร่างแกร่งยันตัวขึ้น พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาจากวังวนรักหวานซึ้ง รู้สึกเสียดายที่พลาดการคลอเคลียกับฟ่งบนเตียงนอน แต่ช่างเถอะ หากฟ่งยอมเปิดใจและอยู่ร่วมกับเขา เวลาแห่งความสุขแบบนี้ก็คงจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ ขณะกำลังจะลงจากเตียง ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมด้วยเสียงใครสักคนตะโกนแว่วๆ
   นัยน์ตาสองสีของรูฟัสจ้องเขม็งไปยังผู้ที่ก้าวเข้ามา แวบแรกที่ประตูเปิดออก เขานึกว่าเป็นฟ่งเพราะเสียงที่ได้ยิน แต่วินาทีต่อมาก็รู้สึกตัวว่าคิดผิด ร่างนั้นสูงกว่าฟ่งพอสมควร แม้มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันบ้าง แต่ผมสีดำตัดสั้น และแว่นตาที่หายไปนั้น ตอบเขาได้เป็นอย่างดีว่านี่ไม่ใช่ฟ่ง ถ้าอย่างนั้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ล่ะ?

   เล้งยืนตัวแข็งค้าง เขาคาดว่าจะได้พบอภิมหาความรกในห้องนอนของผู้เป็นพี่ชาย ดั่งที่เคยพบมาแล้วที่บ้าน แต่ตอนนี้เขารู้สึกตกใจยิ่งกว่านั้น เพราะนอกจากกองเสื้อผ้าที่ถูกถอดระเกะระกะในห้องแล้ว ยังมีผู้ชายชาวต่างชาติที่เกือบจะเปลือยนั่งอยู่บนเตียงนอน สภาพเหมือนเพิ่งตื่น ดูจะมองมาทางเขาอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มพูดไม่ออก หันกลับมามองพี่ชายซึ่งหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
   “เฮียฟ่ง...นี่.....?”
------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p12 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 22-11-2011 16:30:07
อั๊ยยะะะะ!!!

ฟ่งงงง!~~~~~

เอามีดมาจ้วงกันเถอะคนเขียนนน~~
กำลังจะเปิดใจรับอยู่แล้วเชียววววววววววววววว


 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: คนเขียนนนน!!!!!  แง่งงงงงงงง

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p12 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 23-11-2011 21:37:36
ฟ่ง!!เดินหน้าต่อไปเพื่อรูฟัส อ้ากกกกอาเล้งอ่า ลื้อมาทำม๊าย~รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อฮะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p12 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 23-11-2011 22:17:13
เย้ๆ :mc4:  ในที่สุดหลังจากอดทนอ่าน 4 วันรวดก็ตามทันแล้ว
เป็นเรื่องที่ยาวมากจริงๆ  อ่านกันตาแฉะ
ชอบความน่ารักของฟ่งมาก  อยากอ่านแต่ฉากของฟ่งกันเลยทีเดียว :-[
แต่ฉากของตระกูลเว่ยก็สนุก น่าติดตาม  และทำให้รู้ว่าไม่ควรอ่านเรื่องนี้ขณะเครียด :z3:
ปมแต่ละอย่างช่างซับซ้อนโดยเฉพาะคุณชายรอง  ท่านคิดอะไรอยู่คนอ่านไม่เคยตามทัน
ตอนล่าสุด ชอบน้องเล้งมาก  พูดให้คิด  ให้อยากอ่านต่อมากที่สุด
นี้ก็เรื่องที่ 3 แล้วที่ติดตามผลงานของท่านพี่ juon และยังคงจะติดตามต่อไปอีก
+1  เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p13 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 24-11-2011 00:27:34
มาถึงก็เจอชอตเด็ดเลย :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p13 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 24-11-2011 02:49:39
โอ๊ะ!!

แย่แล้วรูฟัสตื่นเร๊วววววว

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p13 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 24-11-2011 06:15:49
พี่จู ค้างอะ
ลงด่วนๆ
ปล.เอ๊ะ นี่เม้นท์ครั้งแรกรึเปล่า ฮาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p13 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-11-2011 09:51:08
พี่จู ค้างอะ
ลงด่วนๆ
ปล.เอ๊ะ นี่เม้นท์ครั้งแรกรึเปล่า ฮาาา

ใครเนี่ย ฮ่าๆ กรุณาแนะนำตัวด่วน

มาลงต่อแล้วจ้า (ทำท่าว่าจะลืมอีกแล้ว)

ความดราม่าเรื่องนี้มันยังไม่หมดไปง่ายๆ!!
----------------------------------

บทที่69 มิติของความรักและนิยามของความปวดร้าว
   แม้ระยะเวลาจากกรุงเทพถึงฮ่องกงนั้นจะกินเวลาไม่มาก แต่เว่ยจินหยินก็เผลอหลับสนิท กลับไปบนเก้าอี้พิเศษที่จัดไว้ข้างๆ เตียงผู้ป่วยท้ายเครื่องบิน หลับไปพร้อมกับกุมมือสากหยาบนั้นเอาไว้ หลับไปทั้งๆ ที่ยังสวมแว่นอยู่
   หากเถียนซานไม่ขอตามมาด้วยเขาคงไม่หลับสนิทขนาดนี้
   สำหรับเว่ยจินหยิน นอกจากจะพึ่งพาลูกน้องคนนี้จัดการงานอย่างที่คนอื่นไม่ทำกันแล้ว เถียนซานยังเปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บอย่างหนักเขาคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้อยู่ห่างจากตัวในช่วงเวลาสำคัญที่สุดนี้ กระนั้นเถียนซานก็ดูจะตระหนักในข้อนี้ดี ถึงแม้เขาจะออกปากไปแล้วว่าจะกลับไปก่อน แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวก็ขอตามมาด้วย เว่ยจินหยินไม่รู้จะบอกขอบคุณผู้ชายคนนี้อย่างไรดี สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือการก้าวไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ก้าวไปให้ถึงจุดหมายที่วางเอาไว้แต่แรก เพื่อให้สิ่งที่เถียนซานทุ่มเทไปไม่เสียเปล่า
   เพื่อผู้ชายที่มอบความรักให้เขามากที่สุด
   เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด
---------------------------------------------
   สองชั่วโมงสำหรับเว่ยเฟิงปิงตอนนี้นั้น เหมือนยาวนานเสียเต็มประดา จางซื่อเยี่ยนที่จู่ๆ ก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่คาดคิด ทิ้งรอยจูบลึกล้ำเอาไว้ในความรู้สึก บัดนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือที่เขาหยิบยื่นให้ราวกับไม่มีความทรงจำกับการกระทำก่อนหน้า แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดเต็มทนแล้ว เสียแต่เขายังมีสติพอจะระลึกได้ว่าการอาละวาดให้ลูกน้องทึ่มคนนี้บนเครื่องบินไม่ใช่เรื่องน่าดูนัก ไว้ให้กลับถึงฮ่องกงก่อนคงได้เห็นดีกันแน่
---------------------------------------------
   สำหรับจางซื่อเยี่ยน ไม่บอกก็รู้ว่าเว่ยเฟิงปิงต้องกำลังไม่พอใจแน่ๆ ดูจากนัยน์ตาสีฟ้าใสที่จ้องมาอย่างคุกคามนั้นแล้วคงไม่มีปัญญาตีความไปเป็นแบบอื่นได้ แต่จนใจที่ตอนนี้อยู่บนเครื่องบิน จะทำอะไรลงไปใช่ว่าจะสะดวกง่ายดายอย่างใจต้องการ อีกอย่าง ไอ้ที่จูบลงไปเมื่อครู่ก็กระตุ้นให้เขาตื่นเต้นเสียแล้ว จางซื่อเยี่ยนไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร จึงได้แต่เอ่ยปากขอหนังสือจากผู้เป็นเจ้านายมาอ่านแก้ขัดแทน หวังว่าสองชั่วโมงบนเครื่องบินคงทำให้อารมณ์คุกรุ่นของเว่ยเฟิงปิงทุเลาลงไปได้บ้าง
---------------------------------------------
   เถียนซานไม่ได้หลับ เขากุมมือของเว่ยจินหยินเอาไว้และหลับตาลงเฉยๆ หัวหน้าหน่วยล่าสังหารของตระกูลเว่ยทราบดีว่าบาดแผลจากระเบิดที่อยู่บนหลังรุนแรงสาหัสขนาดไหน โชคยังดีที่ไม่กระเทือนอวัยวะภายในมากนัก แต่บาดแผลฉกรรจ์พวกนี้กินเวลานานกว่าจะหายขาด เขาคงจะขยับไปไหนมาไหนไม่ได้อีกสักพัก มันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเมื่อตัวเขาเองรู้ว่าแผนการต่อไปของอดีตเจ้านายเป็นอย่างไร ถึงแม้ไม่อาจเป็นมือเป็นเท้าได้ แต่เขายังสามารถเป็นหลักหนุนสภาวะจิตใจของเจ้านายในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้
   สภาพของเว่ยจินหยินที่หลับสนิท ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้รู้สึกเบาใจอยู่บ้าง เถียนซานแน่ใจว่าต่อจากนี้เว่ยจินหยินจะไม่ได้นอนหลับดี การกลับไปในครั้งนี้ ถึงแม้ยังเดาใจไม่ออกว่าเว่ยชิงผู้เป็นหัวหน้าตระกูลจะรู้สึกยินดีกับผลงานนี้ของลูกชายคนรองหรือไม่ แต่ทางริเวิลคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ การที่เว่ยจินหยินทำเรื่องขนาดนี้ ถ้าไม่รีบเด็ดหัวในเร็ววัน รังแต่จะคุกคามความมั่นคงของกลุ่มไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าอดีตเจ้านายของเขาทราบเรื่องนี้ดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงรีบกลับฮ่องกงนัก
   การชิงลงมือก่อนได้เปรียบเสมอ
----------------------------------------------
   ผลัวะ!!
   เสียงกำปั้นกระแทกเข้ากับใบหน้ามนุษย์ดังพอที่จะทำให้รูฟัสซึ่งกำลังงุนงง กระเด้งตัวขึ้นจากเตียงโดยเกือบจะลืมหาอะไรมาปิดส่วนน่าอับอายของตนเองเอาไว้ สิ่งที่เขาเห็นคือใครคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าคล้ายคลึงกับฟ่งซึ่งแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ประเคนกำปั้นใส่บุคคลที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
   “ฟ่ง!!” รูฟัสโพล่ง และพยายามจะฉวยอะไรซักอย่างแถวนั้นมานุ่งเพื่อปิดท่อนล่างที่เปลือยอยู่ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงเรียก ฟ่งก็ยกกำปั้นสวนกลับไปทันที ได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนร้องขึ้นมา
   “ฟ่ง!! เล้ง!!”
   เสียงกำปั้นกระแทกกับร่างกายดังชัดเจน โดยไม่รอให้ใครได้ตั้งตัว ต่างฝ่ายต่างประเคนกำปั้นเข้าใส่กันราวกับว่าแค้นเคืองกันมานับแรมปี รูฟัสเคยเห็นการชกต่อยมามาก แต่เขาไม่คิดว่าคนอย่างฟ่งเวลาเลือดขึ้นหน้าจะดุเดือดได้ขนาดนี้ กระนั้นอีกฝ่ายก็ดูจะดุเดือดไม่แพ้กัน และนี่ไม่ใช่เวลาจะมาดูมวย หนุ่มตาสองสีคว้าผ้าห่มมานุ่งเอาไว้ลวกๆ และถลันเข้าไปห้ามศึกซึ่งเขาเองก็ยังงงๆ กับมันอยู่
   คู่วางมวยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันดูท่าจะไม่ยอมลดราวาศอกกันง่ายๆ รูฟัสถึงกับต้องออกแรงไม่น้อยในการแยกทั้งคู่ออกจากกัน แม้จะดูรุนแรงไปบ้าง แต่ขืนไม่ทำให้เด็ดขาดจะกลายเป็นตัวเขาอยู่ท่ามกลางห่ากำปั้นแทน
   ฟ่งหอบหายใจถี่หนัก ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษโทสะ มุมปากมีรอยเลือดไหลซิบ ขณะที่ถูกรูฟัสดึงตัวออกมา ในขณะที่เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งถูกผลักกระเด็นออกไปจนแทบชนกับตู้เสื้อผ้า และแล้วสาวนางหนึ่งก็ปราดเข้ามาคว้าตัวหนุ่มน้อยเอาไว้ ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสายตาตกตะลึง
   หลังจากนั้นอีกหลายวินาที รูฟัสถึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
----------------------------------------
   ถ้าหากจะใช้คำว่า ดูไม่จืด กับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ภายในห้อง1127ก็คงให้ความหมายได้ไม่ผิดนัก ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่รูฟัสต้องลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงหลังจากเพิ่งมีสัมพันธ์รักกับใครคนใดคนหนึ่ง ครั้งก่อนจำได้ว่าเขาเกือบตายเพราะแรงมือของโจวยี่ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มมั่นใจว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านั้น ดูจากสภาพใบหน้า หนุ่มสาวสองคนตรงหน้าเขาต้องเป็นญาติส่วนใดส่วนหนึ่งของฟ่งแน่ จะว่าไปแล้วผู้หญิงก็ดูจะคุ้นๆ เหมือนเคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ที่แย่กว่านั้น ตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ การนอนเปลือยอยู่บนเตียงในห้องคนอื่น คงมีความหมายให้ตีความได้ไม่มากนัก
   ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างยังอึ้งๆ กันอยู่ หนุ่มตาสองสีถือโอกาสสะสางปัญหาส่วนตัวของตัวเองก่อน เขาพูดขึ้นมาเร็วปรื๋อ
   “ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่าครับ”
   ไม่รอให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หนุ่มตาสองสีเดินปราดเข้าไปดันตัวหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวออกไปนอกห้องนอนทันที ก่อนจะรีบปิดประตูล็อคกลอน และหันมาเผชิญหน้ากับหนุ่มสวมแว่นที่ตอนนี้แว่นตาดูเหมือนจะกระเด็นไปที่ไหนสักแห่ง
   “หาแว่นให้ผมที คงตกอยู่แถวๆ ที่คุณยืนนั่นแหละ” ฟ่งเอ่ยออกมาในที่สุด การมองเห็นของเขาย่ำแย่ลงมากหากไม่ได้ใส่เจ้าอุปกรณ์ช่วยมองนี้ และถ้ามันหลุดกระเด็นไป การขอร้องให้คนอื่นช่วยหาให้นั้นดูจะเร็วกว่าการที่เขาพยายามจะมองหาเอง รูฟัสหันซ้ายหันขวา ไม่กี่วินาทีต่อมา แว่นตาก็กลับมาสถิตอยู่บนหน้าเจ้าของ โชคดีที่มันไม่เสียหาย ฟ่งกระพริบตาถี่ๆ มองหน้ารูฟัส
   “น้องชายผม” นั่นคือวลีแรกที่ฟ่งพูดขึ้น รูฟัสพยักหน้า เขากำลังสวมเสื้อผ้า นึกปวดหัวที่ต้องให้คนอื่นมาเห็นสภาพไม่น่าดูของตัวเอง ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาต้องนุ่งผ้าห่มแทนกางเกง นี่ถ้าราฟาแอลรู้คงหัวเราะจนขาดใจตายแน่ๆ
   รูฟัสทำหน้าเหยเกทันทีที่นึกถึงคู่หู ซึ่งตอนนี้คงจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว หวังว่าราฟาแอลจะเป็นอดีตคู่หูเขานานๆ สักหน่อย ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เขาต้องซมซานกลับไปขอพึ่งหลังคาบ้านของคลาวเดียที่บาลาตอนฟูเรสอีก เพราะถูกเครือญาติของฟ่งไล่ตะเพิด เผลอๆ บางทีอาจจะถูกฟ่งไล่ตะเพิดเสียเอง ความคิดนี้ทำให้รูฟัสเสียวสันหลังวาบทันที
ตะกี้ฟ่งบอกว่าน้องชาย งั้นผู้หญิงอีกคนก็คงเป็นพี่สาว ก็ว่าทำไมคุ้นๆ หน้า รูฟัสแทบจะเอามือกุมศีรษะ นี่ตกลงเขาเกือบจะแก้ผ้าต่อหน้าพี่สาวกับน้องชายของฟ่งหรือนี่ ทำไมชีวิตมันถึงได้มีอุปสรรค์นัก
   “คุณโกรธเหรอ?” ฟ่งเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เขาเห็นรูฟัสทำหน้าแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ก็น่าอยู่หรอก กำลังหลับอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมา แถมยังต้องลุกขึ้นมาห้ามมวย ทั้งๆ ที่นุ่งแค่ผ้าห่มผืนเดียวอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาคงไม่มีสติเหลือพอจะจัดการเอาคนอื่นออกไปก่อนเพื่อสวมเสื้อผ้าแน่ๆ
รูฟัสสั่นศีรษะ หันมามองฟ่งอย่างแปลกใจ “ผมไม่โกรธหรอก ผมคิดว่าคุณกำลังโกรธเสียอีก”
   ฟ่งเลิกคิ้ว ก่อนจะสั่นศีรษะบ้าง “อืม..ผมไม่คิดว่าพี่สาวจะมาวันนี้”
   หนุ่มตาสองสีฝืนยิ้ม ไม่มีใครเขาอยากให้เป็นแบบนี้หรอก ที่น่าเป็นห่วงคือ แล้วฟ่งจะเอายังไงต่อไปต่างหาก หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ ยกมือขึ้นจับปากที่เริ่มบวมปูดขึ้นมา
   “ผมคงต้องจัดการให้จบๆ”
------------------------------------------
   สภาพของสองพี่น้องดูไม่จืดจริงๆ ฟ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเล้งนั่งอยู่บนโซฟา เกือบจะหันหน้าเข้าหากัน แต่ละคนใบหน้าบวมปูดด้วยกันทั้งคู่ ดูไม่ออกเลยว่าใครแย่กว่าใคร ที่นั่งข้างๆ เล้งคือผิง ซึ่งมีสีหน้าประหนึ่งได้เห็นเยติบุกห้องน้องชาย รูฟัสนั่งเก้าอี้อยู่ข้างฟ่ง รู้สึกดีใจที่ในที่สุดตัวเองก็ได้ใส่เสื้อผ้าเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที หลังจากที่นุ่งผ้าห่มในตอนแรก
   ทั้งห้องไม่มีเสียงอะไรอีก นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศ ดูเหมือนต่างคนต่างรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน รูฟัสรู้สึกเหมือนหูอื้อ เขาเหลือบตามองสองพี่น้อง ซึ่งดูจะจดจ้องฟ่งมากกว่าตัวเขา ชายหนุ่มนึกโล่งใจระคนหวั่นใจนิดๆ หรือว่าสองคนนี่ตั้งใจจะมองผ่านเขา ผู้มีนัยน์ตาสองสีหันกลับมามองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ฟ่งนั่งก้มหน้า รู้ตัวดีว่าต้องพูดอะไรออกไปบ้าง แต่พยายามเค้นสมองอยู่นานก็ไม่รู้ว่าสมควรจะเริ่มอย่างไร กับเรื่องนี้ แม้เขาจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกะทันหันและโจ่งแจ้งชัดเจนจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด
   “เจ๊ผิง...”
   เมื่อนึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไร ฟ่งจึงได้แต่เรียกชื่อผู้เป็นพี่สาว ด้วยหวังว่าทางนั้นจะยิงคำถามอะไรออกมาเพื่อช่วยเปิดประเด็นได้บ้าง ได้ยินเสียงถอนหายใจ
   “อธิบายมา ฟ่ง นี่มันยังไงกันแน่ ทำไมคนข้างห้องถึงได้มาอยู่ในห้องนอนของลื้อ?”
   ผิงตัดประโยคขยายเกี่ยวกับสภาพเปลือยของรูฟัส เพื่อที่ตัวเธอจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของตัวเอง ฟ่งคอตก
   “คือผม....” หนุ่มสวมแว่นยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยไม่รู้จะพูดอธิบายไปว่าอย่างไรดี จะให้พูดว่าเพราะเขานอนกับรูฟัสเมื่อคืน ผู้ชายคนนี้ถึงได้อยู่ในห้องนอนของเขา พูดออกไปก็รังแต่จะทำให้เสียเรื่องเปล่าๆ ฟ่งคิดว่าเขาน่าจะคิดคำพูดอธิบายได้ดีกว่านี้
   เล้งดูจะใช้ความอดทนมากที่สุด ในการรอฟังคำตอบจากปากผู้เป็นพี่ชาย เด็กหนุ่มบีบมืออย่างหงุดหงิด ราวกับว่าอีกไม่นานถ้าฟ่งยังไม่ยอมพูด เขาจะลุกขึ้นมาง้างปากผู้เป็นพี่ชายออกเอง รูฟัสหวั่นๆ ว่าจะเกิดมวยคู่พี่น้องเป็นรอบที่สอง จึงพยายามนั่งในท่าเตรียมป้องกันอย่างเต็มที่ ถึงจะเป็นน้องชายฟ่งก็เถอะ ถ้าขืนยังพรวดพราดเข้ามา เขาคงต้องยันออกไปเหมือนกัน หลังจากนั้นถึงจะโดนฟ่งด่าก็ค่อยไปว่ากันอีกที
   ก็เขาไม่อยากให้ใครทำร้ายฟ่งนี่...
   โชคดีที่ฟ่งเอ่ยปากขึ้นก่อนที่ใครจะหมดความอดทน
   “จะอธิบายยังไงดี อืม...”
   ชายหนุ่มเงียบไปอีก แต่พอเจอกับสายตากดดันทั้งสามคู่แล้วก็หลับตาอย่างจนใจ พยักหน้าหงึกหงักและเค้นคำพูดออกมา
   “ผมกับเขา...อืม... เรากำลังคบกันอยู่” ฟ่งว่าพลางพยักพเยิดมาทางรูฟัส เล้งลุกพรวดขึ้นทันที “ไอ้ฟ่ง!!”
   เด็กหนุ่มทำท่าจะปราดเข้ามาวางมวยอีก เดือดร้อนถึงผู้เป็นพี่สาวที่คุมสติได้ดีกว่าต้องรีบฉุดมือเอาไว้ และกระชากให้นั่งลง
   “ใจเย็นๆ ซิเล้ง!” ผิงเอ็ด ก่อนจะหันมามองฟ่งอย่างจริงๆ จังๆ
   “ฟ่ง.... ฟ่งกำลังจะบอกเจ๊ว่า ฟ่งคบกับผู้ชายเหรอ?”
   คนถูกถามพยักหน้าอย่างอับจนคำพูด ผิงถามต่อ “นานรึยัง? ที่เลิกกับน้องดาเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า?”
   ฟ่งอ้าปาก ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจกลืนมันลงไป ความจริงเขาไม่ได้เลิกกับดาเพราะรูฟัส แต่ถึงปฏิเสธไปก็ใช่ว่าเรื่องจะง่ายขึ้น สู้ยอมรับไปเลยดีกว่า ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
   “อืม...”
   คำตอบสั้นๆ นั้น สำหรับผิงเสมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางอก หล่อนมองดูน้องชายอีกครั้ง ฟ่งที่หล่อนรู้จักมาตั้งแต่เกิด ดูยังไงก็ไม่มีทางจะเป็นพวกวิปริตไปได้ ถึงร่างกายจะดูบอบบางไปหน่อยก็เถอะ แต่ฟ่งก็ไม่เคยออกท่าทางตุ้งติ้ง หรืออะไรทำนองเบี่ยงเบนเลย น้องชายคนนี้ใช้ชีวิตสมชายชาตรีมาโดยตลอด กระทั่งเรื่องชกต่อยก็ไม่ค่อยจะแพ้ใคร แล้วทำไมถึงได้.....
   “ฟ่ง....ฟ่งพูดจริงๆ ?” ผิงพูดตะกุกตะกัก ยังไงหล่อนก็ยังทำใจเชื่อลงไปไม่ได้ว่าน้องชายที่เลี้ยงมากับมือจะกลายเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันไปได้ ฟ่งรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ เขารู้เรื่องนี้ดีที่สุด รู้ว่าคงไม่มีใครรับความเปลี่ยนแปลงนี้ของตัวเองได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะยอมรับนัก แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว
   หนุ่มสวมแว่นเหลือบตาไปมองผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่ตั้งใจ รูฟัสยิ้มให้เขา รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นทำให้ฟ่งต้องหลบสายตา
   อา... เขากำลังจะแลกทุกอย่างในชีวิตกับรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้
   นี่เขาคิดดีแล้วจริงๆ ?
------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่68 p13 22/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 24-11-2011 09:54:04
   ความจริงรูฟัสไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้แค่พยายามทำให้ฟ่งยอมรับตัวเองก็ยากลำบากเต็มที ตอนนี้ยังต้องมาเผชิญกับเรื่องทางบ้านของฟ่งอีก นี่เองสินะที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฟ่งอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เสมอมา หนุ่มตาสองสีรู้สึกขึ้นมาทันใด ว่านี่คงเป็นช่วงเวลาชีวิตที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฟ่งลังเล
นัยน์ตาสองสีเหลือบมองคนนั่งข้างๆ อีกครั้ง นี่คือเรื่องที่ฟ่งต้องตัดสินใจ ทางนั้นคงกำลังลำบากใจมาก เมื่อเห็นสภาพของพี่สาวและน้องชายที่ดูจะรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด เขาอยากจะช่วยแบ่งเบาความหนักใจนี้ของฟ่ง แต่จะทำยังไงล่ะ จะให้พูดเสริมออกไปก็ใช่ที่ ก็นี่มันเรื่องภายในครอบครัว ครั้นจะเอื้อมมือไปจับมือฟ่งเพื่อให้กำลังใจก็ไม่ใช่วิสัยที่ควรจะทำในตอนนี้อีก ชายหนุ่มคิดไปคิดมา ก็สรุปเอาว่าคงไม่พ้นเขาต้องทำตัวใจกว้างอีกรอบ แม้จะเสี่ยงกับการถูกไล่ตะเพิดก็เถอะ เพราะเขาเป็นคนดึงดันลากฟ่งมาสู่หนทางนี้เอง ก็ควรจะเป็นฝ่ายที่ลดความกดดันก่อน
   ถึงแม้สุดท้ายเขาจะต้องเป็นฝ่ายออกไปเองก็ตาม
   “พูดเถอะครับฟ่ง ผมไม่เป็นไรหรอก” รูฟัสเอ่ยเบาๆ ฝืนยิ้มอีกครั้ง เขาไม่หวังให้ฟ่งหันมาสบตาหรือมองหน้าเขาในตอนนี้ แค่สิ่งที่ฟ่งมอบให้กับเขาเมื่อคืนก็ทำให้หัวใจเต็มตื้นมากแล้ว อย่างน้อยรูฟัสก็รู้ชัด ในหัวใจของฟ่งมีเขาอยู่แน่ๆ หากไม่มีเลย เจ้าตัวคงไม่อ้ำอึ้งนานขนาดนี้
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง และหลุบสายตาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ ไม่ว่าจะตอนไหนเขาก็ไม่สามารถสู้ฝืนสบนัยน์ตาสองสีคู่นี้ได้นานๆ ซักที นัยน์ตาของรูฟัสทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ นัยน์ตาสองสีนั่นเวลามองมาทางเขามักเหมือนนัยน์ตาของสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังอ้อนขอความรัก และก็ดูจะได้ผลเสียทุกครั้ง ทำใจแข็งเท่าไหร่ก็ไม่อาจต่อต้านอำนาจสายตาคู่นี้ได้เลย หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจ กับเรื่องของเขา รูฟัสมักเป็นฝ่ายรองรับทุกครั้ง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก จวบจนกระทั่งถึงเมื่อวาน ผู้ชายคนนี้เป็นฝ่ายง้อและรอเขาเสมอ กระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อน ฟ่งถอนหายใจอีกรอบ ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้มแข็งอย่างที่คิดเสียที
แม้จะต้องเสียใจในอนาคต แต่หากไม่ตัดสินใจในตอนนี้ ยังไงก็ต้องเสียใจอยู่ดี
“ผมพูดจริงๆ เจ๊ผิง ผมชอบรูฟัส”
   เสียงฉาดดังขึ้นแทบจะทันทีที่กล่าวประโยคออกไปจนจบ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวอย่างตระหนก ก่อนจะถูกตบซ้ำอีกครั้ง คราวนี้แว่นตาที่สวมอยู่เลยหลุดกระเด็นออกไปจริงๆ
   “เจ๊!!”
คราวนี้ฝ่ายที่วิ่งเข้ามาห้ามกลับกลายเป็นเล้งแทน เด็กหนุ่มฉวยมือของพี่สาวที่ตบเอาๆ แบบไม่ยั้งเอาไว้ ผิงหอบหายใจหนัก ใบหน้าแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาจากดวงตากลมโต
   “ใครสั่งใครสอนให้แกไปชอบผู้ชาย!!”
   แก้มของฟ่งปรากฏรอยนิ้วมือสีแดงเป็นปื้นยาว อย่าว่าแต่ก้มลงไปหยิบแว่นที่ตกอยู่ แค่พยามจะสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมา ฟ่งก็ไม่มีปัญญาจะทำได้ ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมา
   รูฟัสถึงกับอึ้ง เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวมาก่อน เพราะเขากลายเป็นคนไร้บ้านตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจมากจริงๆ ฟ่งกำลังร้องไห้ ร้องไห้แบบที่ไม่อายใครอีก ร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างที่สุด เสียงกรีดร้องนั้นเหมือนคมมีดกรีดเข้าไปให้หัวใจของเขา
รูฟัสเคยเสียใจ เสียใจกับการสูญเสียคนในครอบครัว แต่นั่นเป็นตอนที่เขายังเด็กมาก สำหรับอารมณ์สะเทือนใจของฟ่งในวัยยี่สิบเศษ มันคงรุนแรงกว่าตัวเขาหลายเท่า ชายหนุ่มอยากจะโอบร่างที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่นนั้นเข้ามากอดปลอบ แต่การทำแบบนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดีแน่ เขาจึงทำได้เพียงจับบ่าของอีกฝ่ายและบีบเบาๆ
   “เอามือออกไปจากน้องชายฉัน!” ผิงตวาดแว๊ด ดูท่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว หล่อนสะบัดมือจากการเกาะกุมของน้องชาย ก่อนจะปราดเข้าไปผลักผู้ชายร่างสูงออก รูฟัสยื่นมือออกปัดโดยสัญชาติญาณ ยิ่งทำให้หญิงสาวขุ่นเคืองมากเข้าไปอีก
   “ออกไปให้พ้น!!” หล่อนกระชากเสียงจนแทบจะเป็นเสียงตะโกน ชี้มือออกไปที่ประตู ก่อนจะตวาดซ้ำ “ออกไป!!”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังโมโหจนตัวสั่น ในอกของเขาปวดแน่น นัยน์ตาสองสีปรายมองดูคนรักที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร เขาควรจะทิ้งฟ่งเอาไว้อย่างนี้หรือ? แต่นี่เป็นปัญหาของคนในครอบครัว สมควรแล้วที่คนนอกอย่างเขาจะออกไปก่อน รูฟัสพยายามเต็มที่แล้ว พยายามนั่งอยู่จนกระทั่งถูกออกปากไล่
ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น ตัดใจแล้วว่าปัญหาในครอบครัวฟ่งคงต้องเป็นคนสะสางเอง แต่ขณะที่กำลังลุกออก มือเรียวที่เปื้อนคราบน้ำตาก็เอื้อมมาดึงแขนเสื้อของเขาไว้ ขณะที่ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของเงยมองขึ้นมาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสั่นระริก ราวกับว่าถ้าเขาออกไปตอนนี้ ฟ่งคงไม่สามารถดำรงตัวตนได้อีก
   รูฟัสไม่คิดอะไรอีกแล้ว เขาก้มลงกอดฟ่งเอาไว้ทันที ลูบเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ และโอบร่างอันสั่นเทาเอาไว้แนบอกอย่างปลอบประโลม
   หากคิดจะแยกเขาออกจากฟ่งตอนนี้ คงต้องฆ่าเขาให้ตายก่อน
--------------------------------------------
   ผิงยืนตะลึงไปแล้ว หล่อนไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพอย่างที่เห็นตรงหน้า ลำพังแค่พยายามจะสลัดจินตนาการในหัวออกไปก็ยากลำบากพอแล้ว การเห็นผู้ชายคนอื่นนอนแก้ผ้าอยู่ในห้องน้องชายตัวเองมันจะมีอะไรให้ตีความได้เท่าไหร่กัน ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังเชื่อ เชื่อว่าฟ่งจะมีข้อแก้ตัวดีๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เพราะผิงไม่อยากจะเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อว่าน้องชายคนโตของเธอกลายเป็นพวกรักชอบไม้ป่าเดียวกัน
แต่กับสภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ฟ่งดึงตัวผู้ชายที่หล่อนพยายามไล่ให้ออกไปเอาไว้ และผู้ชายคนนั้นก็กอดปลอบน้องชายของเธอราวกับคนรักกันมาเนิ่นนาน ผิงรู้สึกเหมือนมีของแหลมทิ่มเข้าไปในหน้าอก ทะลุหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ หล่อนเรียกชื่อน้องชายพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพร่าเลือนไปจนหมดสิ้น
   ฟ่ง.....
-----------------------------------
ฟ่ง...
ชื่อเล่นง่ายๆ ที่ผู้เป็นพ่อที่เสียไปหลังจากนั้นไม่กี่ปีเป็นคนตั้งให้ น้องชายที่แสนน่ารัก หลังจากที่ผู้เป็นพ่อเสียไปในตอนที่ฟ่งเพิ่งอายุได้ห้าขวบ ทั้งผิงและน้องชายคนนี้จึงต้องช่วยแม่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว เพราะตอนนั้นน้องชายคนเล็กที่ชื่อเล้งยังแบเบาะอยู่ ฟ่งนั้นเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะมีความคิดแปลกๆ อยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดื้อรั้นขนาดพูดไม่รู้เรื่อง ผิงรู้สึกภูมิใจอยู่มาก ที่แม้ว่าพ่อจะเสียไปตั้งแต่ฟ่งกับเล้งยังเด็กๆ แต่เธอกับแม่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูน้องชายทั้งสองให้เติบโตมาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ได้
ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ฟ่งเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์มาโดยตลอด ตาโตเวลาเห็นสาวสวย แอบหนังสือลามกเอาไว้ใต้ที่นอน เก็บซีดีหนังเอวีเอาไว้บนชั้นหนังสือ และมีคนรักเป็นผู้หญิง คบกันจริงจังจนกระทั่งเธอคิดว่าคงจะได้อุ้มหลานในวันใดวันหนึ่งใกล้ๆ นี้ แล้ววันหนึ่ง ฟ่งก็เลิกกับแฟน หอบข้าวหอบของย้ายที่อยู่ใหม่อย่างไม่บอกให้ทราบล่วงหน้า ผิงรู้ดีว่าน้องชายคนนี้บางอารมณ์ก็อ่อนไหวง่ายเสียจนคาดไม่ถึง แต่หล่อนไม่คิดว่าเหตุผลที่ฟ่งเลิกกับดาจะเป็นเพราะฟ่งหันมาชอบผู้ชาย
ทำไม...เพราะอะไร?
-----------------------------------
   “เจ๊?!” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นอย่างเป็นห่วง ผิงปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่หล่อนมองเห็นคือใบหน้าคุ้นเคยของผู้เป็นน้องชาย ที่ปวมปูดอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสีดำหรี่เล็กลง
   “ฟ่ง?”
   “ครับ” ฟ่งขานรับ ยิ้มอย่างดีใจ ทั้งๆ ที่เจ็บปากนั่นแหละ ผิงเงียบไปพักหนึ่ง และถอนหายใจออกมา “บอกสิว่าเจ๊ฝัน ฟ่งหน้าปูดเพราะชกกับเล้งเรื่องแย่งห้องนอนใช่ไหม?”
   ฟ่งนิ่งอึ้งไปบ้าง พูดอะไรตอบออกไปไม่ออก กระทั้งสีหน้ายังไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไรดี พี่สาวคนนี้ของเขาคงช็อคหนัก ถึงกับเป็นลมทั้งยืนตอนที่เห็นรูฟัสกอดเขา ฟ่งไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร จึงได้แต่นิ่งเงียบ ได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้ง ผิงยกตัวขึ้นนั่ง ข้างๆ ฟ่งคือเล้งที่หน้าปูดพอๆ กัน เพียงแต่ไม่มีรอยฝ่ามือเป็นปื้นๆ ให้เห็นบนแก้ม เป็นครั้งแรกที่ผิงรู้สึกดีใจที่น้องชายทะเลาะกัน ฟ่งที่ยังชกต่อยได้ดีขนาดนี้ จะเป็นกระเทยไปได้ยังไง
   “ฟ่งทะเลาะกับเล้งจริงๆ ด้วย เจ๊ว่าพวกเธอสองคนต้องไปทายาแล้ว”
   ฟ่งกับเล้งหันไปมองหน้ากันทันที ก่อนที่ผู้เป็นน้องชายคนเล็กจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “เจ๊ผิง เจ๊ผิงจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้มั้ย?”
   “เรื่องทีฟ่งทะเลาะแย่งห้องนอนกับเล้งน่ะเหรอ?” หญิงสาวตอบ สองหนุ่มหันหน้ามองกันอีกรอบ ยังคงเป็นเล้งที่เอ่ยคำพูด
   “เจ๊เป็นลมไปตอนเห็นเฮียฟ่งกอดกับผู้ชาย จำได้มั้ย?”
   ผิงนั่งมองหน้าน้องชายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลหยดลงอาบพวงแก้ม
   “สรุปว่าเจ๊ไม่ได้ฝันสินะ ฟ่งรักกับผู้ชาย...ทำไม?” หล่อนเงยหน้าขึ้นถามน้องชายคนโต ฟ่งทำหน้าปั้นยาก
   “ผมไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบอย่างหมดหนทาง นัยน์ตาสีดำของผิงมองมายังน้องชายอย่างเจ็บปวด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายของเธอจะรักผู้ชายด้วยกัน
   “เจ๊ทำอะไรผิด ฟ่ง... เจ๊เลี้ยงฟ่งผิดตรงไหน ทำไมจู่ๆ ฟ่งถึงหันไปชอบผู้ชาย น้องดาเขาทำไม่ดีมากหรือไงฟ่งถึงได้ประชดชีวิตแบบนี้”
   “ดาไม่ได้ทำไม่ดี!” ฟ่งตอบ รู้สึกปวดแปลบเมื่อนึกถึงคนรักเก่า จนถึงตอนนี้เขายังรักผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย บางวันยังเผลอฝันถึงด้วยซ้ำ ฝันเห็นตากลมๆ กับรอยยิ้มน่ารักๆ ที่เขาเป็นฝ่ายจากมาเอง
   “แล้วทำไมล่ะฟ่ง? เกิดอะไรขึ้น ฟ่งไม่ใช่คนทำตามกระแสไม่ใช่เหรอ? ถึงเพื่อนฟ่งจะเป็นตุ๊ดเป็นกระเทย เจ๊ก็ไม่เคยว่าเลย เจ๊ไม่เคยคิดเลยว่าฟ่งจะเป็นไปกับเขาด้วย หรือว่าเจ๊ปล่อยปละละเลยฟ่งเกินไป?”
   “ไม่ใช่นะเจ๊..คือ....ผม....” ฟ่งพูดค้าง นึกหาคำบรรยายไม่ออกจริงๆ ทำไมเขาถึงหันไปชอบผู้ชายได้ จริงๆ แล้ว ณ ตอนนี้ ถ้ามีผู้ชายคนอื่นมาแก้ผ้าต่อหน้า ฟ่งคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากไปกว่าเบือนหน้าหนี เขาไม่ได้มีอารมณ์กับเรือนร่างผู้ชาย ไม่ได้มีอารมณ์เวลาเห็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายคนไหนมาก่อน ยกเว้น...ผู้ชายตาสองสีคนนั้น
---------------------------------------
   รูฟัสนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากโซฟานัก เขาพยายามไม่ทำตัวให้เป็นจุดสังเกต จริงๆ เขาควรจะออกไประหว่างที่ผิงเป็นลม แต่ถูกฟ่งรั้งไว้ ดูเหมือนหนุ่มสวมแว่นจะอยากให้เขาประจักษ์กับตาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หากฟ่งเลือกที่จะเดินคู่ไปกับเขา รูฟัสจึงไม่อาจปฏิเสธ เขาทำได้เพียงเฝ้าดู ไม่พยายามทำตัวให้สะกิดต่อมพี่สาวของฟ่งมากนัก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนไล่ตะเพิดเขาออกไปเมื่อไหร่อีก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองจะช่วยเหลือฟ่งแก้ไขปัญหาส่วนตัวนี้ได้อย่างไร คงมีแต่นั่งเป็นกำลังใจและเผชิญหน้าด้วยแบบนี้ไปก่อน
   ก็หวังว่าผิงตื่นมาแล้วจะไม่ออกปากไล่เขาอีก
---------------------------------------
   ผิงนั่งมองหน้าน้องชายเนิ่นนาน นานเสียจนเหมือนว่าเวลาถูกหยุด แล้วในที่สุดหล่อนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
   “กลับกันเถอะ เล้ง”
   เล้งเงยหน้าขึ้นมองพี่สาว ยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกฉุดมือให้เดินออกไปจากห้อง ฟ่งวิ่งตาม พลางฉวยแขนข้างหนึ่งของพี่สาวไว้ ก่อนจะถูกปัดออกอย่างไม่ใยดี
   “เจ๊!!” ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อพี่สาว และถูกปิดประตูใส่หน้า ร่างบางถึงกับยืนอึ้งอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ เสียงกระแทกของประตูยังคงดังก้องอยู่ในหัว สมองของฟ่งหมุนติ้ว เขานึกอะไรไม่ออก ได้แต่เบือนหน้ากลับมาช้าๆ และพบว่ารูฟัสยืนรออยู่ พร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
   ฟ่งโผเข้ากอดร่างสูงนั้นทั้งน้ำตา
-------------------------------------------
   รูฟัสจูบหน้าผากของร่างที่แอบอิงอยู่ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ระคนปวดร้าวในหัวใจ ฟ่งร้องไห้เกือบจะตลอดทั้งวัน มันทำให้รูฟัสนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับผู้ชายคนนี้  สีหน้าของฟ่งในวันนั้นกับเวลานี้แทบจะเหมือนกันไม่มีผิด สีหน้าของคนที่เหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ครั้งนี้คงดูแย่กว่า เพราะนอกจากสีหน้าเศร้าโศกนั้นแล้ว รอยบูดบวมต่างๆ รวมถึงแผลแตกที่ปากยังส่งให้ผู้ชายผมยุ่งคนนี้ดูโทรมกว่าทุกทีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี่เพียงเพราะเขาเป็นต้นเหตุอย่างนั้นหรือ?
   ชายหนุ่มขบริมฝีปากอย่างรวดร้าว ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความรักจะมีมิติที่ทำให้คนต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ เขาเคยเจ็บปวดจากความลังเลไม่แน่ใจของฟ่ง แต่ตอนนี้กลับเจ็บปวดเพราะความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่อีกฝ่ายมี เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าฟ่งต้องอาศัยความกล้าหาญขนาดไหนในการพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตคู่กับคนอย่างเขา กับผู้ชายด้วยกัน ที่ไม่ยอมตัดสินใจลงไปเสียทีก็คงเพราะเป็นห่วงเรื่องนี้
   การใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขา สำหรับฟ่งแล้วก็คงเหมือนการตัดขาดจากครอบครัวเดิมนั่นแหละ
   รูฟัสเคยเสียใจกับการสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รัก ครอบครัวของเขาสูญเสียไปอย่างไม่มีทางเรียกคืนกลับมาได้ และเป็นการสูญเสียที่ไม่คาดฝัน มันคือความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ถูกพรากสิ่งที่รักไป แต่สำหรับฟ่ง ครอบครัวไม่ได้ถูกพรากไป แต่เป็นตัวฟ่งเองที่เลือกจะทิ้งครอบครัวออกมา กับการทำร้ายจิตใจบุคคลอันเป็นที่รัก กับการถูกคนที่ตัวเองรักและรักตนมาโดยตลอดรังเกียจ กับการยอมตัดเยื่อใยสายสัมพันธ์ของครอบครัวด้วยตัวเอง ความเจ็บปวดนั้นจะมากมายสักเพียงไหน รูฟัสไม่อยากจะจินตนาการเลย ฟ่งคงเจ็บปวดกว่าที่เขารู้สึกอยู่เป็นร้อยๆ เท่า
สายตาปวดร้าวในตอนที่ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนที่ผิงเอ่ยปากไล่ ไม่ต่างอะไรกับคนที่กระโดดลงจากเรือ และพยายามไขว่คว้าหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อลอยคอต่อไปในทะเลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ทางเลือกที่ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่าโง่เง่า แต่ฟ่งเลือกแล้ว เลือกที่จะกระโดดออกมาหาเขา เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา
   ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บขึ้นมาจุกที่อก รูฟัสขบริมฝีปาก กลั้นความรู้สึกอัดอั้นไม่ให้ล้นทะลักออกมา เมื่อคืนนี้เขายังกอดฟ่งเอาไว้บนเตียงหลังนี้อย่างมีความสุข สัมผัสกันและกันด้วยความรักที่ร้อนแรงที่แทบจะแผดเผาให้มอดไหม้ ลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ปรารถนา แต่ในเวลานี้ ทุกอย่างเหมือนเป็นแค่ความฝัน ความเศร้าและปวดร้าวกับเรื่องจริงที่ได้รับคล้ายกับแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับมีเพียงหยาดน้ำตาเท่านั้นที่พอจะเป็นเครื่องปลอบประโลมใจได้ในยามนี้
ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากคนรักอีกครั้ง เลื่อนมือเช็ดหยดน้ำตาที่ยังคงไหลอาบพวงแก้มของร่างที่ซุกอยู่ในอ้อมกอด  ฟ่งหลับตาลงนานแล้ว นานจนไม่คิดว่ายังตื่นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาก็ยังคงไหลซึมออกมาเรื่อยๆ ดังความปวดร้าวที่เจ้าตัวมีอยู่ในหัวใจนั้น ต่อให้อยู่ในห้วงแห่งความฝัน ก็ยังคงตามหลอกหลอนไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่เขาไม่มีปัญญาจะช่วยเหลืออะไรได้ แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ แม้ว่าฟ่งจะยอมเปิดใจให้เขาแล้ว แต่กับความเจ็บปวดที่ฟ่งแลกมา เขากลับไม่อาจช่วยแบ่งเบาหรือบรรเทาลงได้เลย
   รูฟัสขบริมฝีปากอีกครั้ง เขารักฟ่ง รักมากที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาจะรักได้ รักและต้องการให้ผู้ชายคนนี้เป็นครอบครัวของเขา แต่ควรแล้วหรือที่เขาจะพรากผู้ชายคนนี้ออกมาจากครอบครัวอันอบอุ่น ครอบครัวอันเป็นที่รัก เขาเคยถูกคนอื่นพรากครอบครัวอันเป็นที่รักไป และตอนนี้เขากำลังพรากครอบครัวของคนอื่นด้วยความรู้สึกง่ายๆ
   ความรู้สึกง่ายๆ ที่เรียกว่ารัก
   ความรักของเขากำลังพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่ฟ่งเคยมี รูฟัสนึกถึงคำพูดของราฟาแอล นึกถึงคำพูดของเมี่ยง
หรือว่าคนอย่างเขาไม่ควรที่จะมีความรัก หรือว่าคนอย่างเขาไม่สมควรที่จะรักผู้ชายคนนี้?
ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ถึงใครจะมีเหตุผลขนาดไหน ตัวเขาในตอนนี้จะรู้สึกเจ็บปวดเพียงใด และกำลังทำลายชีวิตฟ่งให้พังทลายไปแค่ไหน แต่รูฟัสห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ เขาตัดสินใจแต่แรกแล้ว ตัดสินใจจะคว้าเอาความรักครั้งนี้มาไว้กับตัวให้ได้ ต่อให้ฟ่งต้องแตกสลายไปต่อหน้า รูฟัสก็จะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด
เขารักผู้ชายคนนี้ รักจนไม่อยากส่งกลับคืนหรือมอบให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อฟ่งตัดสินใจจะอยู่กับเขาแล้ว ต่อให้ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหน เขาจะไม่ปล่อยไป
 รูฟัสหลับตา ได้แต่หวังว่า เมื่อแสดงอรุณแห่งวันใหม่จับขอบฟ้า หัวสมองของเขาคงโล่งขึ้น คงคิดอะไรดีๆ ที่พอจะปลอบประโลมหัวใจปวดร้าวของฟ่งได้บ้าง
คงจะมีวิธีที่ทำให้ฟ่งไม่ต้องเจ็บปวดขนาดนี้เพียงเพราะต้องการใช้ชีวิตร่วมกัน
-------------------------------------
   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟ่งรู้สึกว่าตัวเขาช่างเก่งกาจในการทำร้ายจิตใจคนอื่นเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คนรอบๆ ตัวถึงได้มีความรักมอบให้เขามากนัก ฟ่งรับรู้ความรักที่ทุกคนมอบให้ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความรักเหล่านั้น แต่เขาทำได้ไม่ดีเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความรักของแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง แม้กระทั่งความรักฉันหนุ่มสาว ฟ่งไม่เคยรู้สึกว่าเขาตอบแทนความรักเหล่านั้นได้เพียงพอเลย มันคงเป็นความเอาแต่ใจที่แก้ไม่หาย
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาจะยอมแพ้ทุกอย่าง หมดความพยายามเอาดื้อๆ เพียงเพราะเขารู้สึกว่าความรักที่ได้รับมานั้นมากมาย มากจนอัดล้นและแทบจะท่วมตาย โดยที่เขาไม่มีปัญญาพอจะตอบสนองได้ ดังนั้นก่อนที่จะถูกสามัญสำนึกตีตราว่าเห็นแก่ตัว ฟ่งจึงได้พยายามทอดทิ้งความรักทุกอย่าง หลีกเร้นจากการถูกรัก พยายามใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาความรักจากใคร แต่ก็เหมือนเป็นเวรเป็นกรรม ในช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจทิ้งความรักที่เขาสัญญากับตัวเองว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะขอความรักจากคนอื่น ผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนี้ก็ก้าวเข้ามา ก้าวเข้ามาในภาวะที่จิตใจของเขาอ่อนไหวถึงขีดสุด และหัวใจที่อ่อนไหวดวงนี้ก็ดึงรั้งดวงตาสองสีนั้นเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
   ฟ่งไม่รู้ว่าเขามีใจให้รูฟัสตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะชอบผู้ชายด้วยกัน ขนาดกระเทยที่แปลงเพศแล้วเดินผ่าน เขายังไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ฟ่งมองผู้หญิงมาโดยตลอด ชื่นชอบเรือนร่างโค้งเว้าได้รูป หน้าอกหน้าใจ ผิวนิ่มๆ และเสียงหวานๆ เขาใช้ชีวิตแบบผู้ชายปกติตลอดมา จนกระทั่งพบรูฟัส
   ฟ่งยอมรับว่ารูฟัสเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่ยังไงๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น แค่รู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่ใจดีจนน่าประทับใจเท่านั้น รูฟัสที่ชวนเขาไปไหนมาไหนราวกับเพื่อนเก่าที่พยายามจะปลอบโยนกันโดยไม่ไถ่ถามสาเหตุแห่งความทุกข์ ในเวลานั้นฟ่งแค่รู้สึกว่าการที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ เขาไม่รู้สึกอ้างว้างอีก  ในตอนนั้นเขาเพียงรู้สึกดีที่มีใครสักคนให้คุยด้วย ในช่วงเวลาที่เขาเปล่าเปลี่ยวถึงขีดสุด
   และที่คลับของเมี่ยงในวันนั้น แม้ฟ่งจะพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด แต่คืนนั้นเขาหึงรูฟัส เขาหึงคนข้างห้อง หึงผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแค่มาชวนเขาออกไปกินข้าวทุกวัน ต่อให้รู้ว่าไม่สมควร แต่พิษแอลกอฮอลที่ซึมเข้าไปในกระแสเลือดทำให้สติสัมปชัญญะของเขาทำงานได้ไม่ค่อยเต็มที่ ฟ่งแสดงอาการหึงหวงออกไปอย่างเห็นได้ชัด ชัดพอที่จะทำให้รูฟัสสังเกตออก
   และรูฟัสก็ตอบสนองความหึงหวงของเขาในรูปแบบที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
   ฟ่งทำผิดสัญญาของตัวเองด้วยการอ้อนวอนขอความรักจากผู้ชายข้างห้องโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจมาก่อน
   และรูฟัสก็รักเขาอย่างที่เขาไม่อาจจะบ่ายเบี่ยงได้อีก
   ชายหนุ่มปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบพวงแก้ม ไม่ว่าเขาจะตื่นหรือจะหลับอยู่ ความเจ็บปวดรวดร้าวยังคงกัดกินหัวใจอยู่แทบจะทุกวินาที ฟ่งไม่อยากจะถามตัวเองอีกแล้วว่าที่เขาตัดสินใจทำลงไปนั้นถูกต้องรึเปล่า ความปวดร้าวที่เขาได้รับจากท่าทีของพี่สาวและน้องชายรุนแรงพอจะทำให้รู้สึกปวดแน่นในอก แรงพอที่จะทำให้น้ำตาเอ่อทะลักออกมา
ฟ่งไม่อยากลืมตาขึ้นเลย เพราะเมื่อลืมตา ความทรงจำแสนดีก็จะแล่นเข้ามาในสมอง ทั้งแว่นตา ทั้งเสื้อผ้า และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เขาใช้อยู่ หลายชิ้นครอบครัวของเขาเลือกสรรให้ด้วยความรัก หลายอย่างที่ผิงทำให้กับเขา ของขวัญหลายชิ้นที่เล้งแอบเอามาซุกเอาไว้บนโต๊ะรกๆ ในวันเกิด ฟ่งเก็บเอาไว้ทุกชิ้น เก็บเอาไว้อย่างดี ทุกสิ่งที่ทุกคนทำให้เขาด้วยความรัก เขาเก็บอย่างดีเสมอมา
   เพราะฟ่งรู้ดีว่าความรักของคนในครอบครัวดีที่สุด
   แต่ตอนนี้ เขาทอดทิ้งความรักนั้น เพื่อผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันคนหนึ่ง ผู้ชายที่ทำให้ชีวิตของเขาผลิกผัน แทบจะเรียกได้ว่าดึงเขาจากโลกปกติเข้าสู่โลกอันตรายที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่ถึงอย่างนั้น รูฟัสก็เป็นฝ่ายช่วยเหลือเขาเอาไว้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือบังเอิญก็ตาม หากไม่มีผู้ชายที่ชื่อรูฟัสเข้ามาในชีวิตของเขา ฟ่งไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขายังมีโอกาสเจ็บปวดหรือหลั่งน้ำตาแบบนี้หรือเปล่า ทวีศักดิ์อาจจะเก็บเขาไปแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ และคงไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะเอาไปอ้างกับครอบครัว
   ฟ่งนึกถึงแม่ หากพี่สาวเขาเสียใจกับการเปลี่ยนแปลงของเขาขนาดนี้ คนเป็นแม่คงไม่ต้องพูดถึง ฟ่งรักแม่ เขาไม่อยากให้แม่เสียใจ แต่...เขาได้เลือกแล้ว....
   หยาดน้ำตาร้อนระอุไหลอาบใบหน้า ฟ่งไม่อยากคิดอะไรอีก ไม่อยากลืมตาตื่น ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
   หวังเพียงหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ของผู้ชายคนหนึ่งที่เขาพยายามจะรัก ที่เขาต้องการมอบหัวใจให้
   หากพรุ่งนี้มาไม่ถึงก็คงจะดี
--------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 24-11-2011 10:23:38
จิ้มๆๆๆ
เดมเองค่ะจำได้มั้ย*^*
Kanokwan@facebook

อยากให้ครอบครัวฟ่งเข้าใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 24-11-2011 11:07:20
 :m15: จบศึกรบก็เป็นศึกรัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 24-11-2011 11:33:01
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 24-11-2011 13:50:44
บร๊ะะะะ!!! สงสารฟ่งแฮะะะะะ!!~~

จุกแทนอ่ะะะะะะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 24-11-2011 15:40:18
เรื่องมันเส้า

ครอบครัวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถ้าเข้มแข็งทุกอย่างจะต้องฆผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 24-11-2011 20:49:29
เฮ้อ  แล้วเรื่องมันก็กลับมาเศร้าอีกแล้ว
ตอนนี้ฟ่งใจแข็งมาก อยากให้ครอบครัวฟ่งเข้าใจฟ่งเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 25-11-2011 09:11:28
**แอบมาเติมความดราม่า...

อย่าเพิ่งท้อกันไปก่อนนะคะ นี่ลูกสุดท้ายแล้วค่ะ

-----------------------------------

บทที่70 เหนือการคาดคำนวณ

   การกลับมาเหยียบพื้นดินโดยสวัสดิภาพของพี่น้องตระกูลเว่ยนั้นสร้างความปั่นป่วนให้กับวงการอิทธิพลของฮ่องกงเป็นอย่างมาก ข่าวเรื่องที่เอียนและนีดเดิลถูกฆ่า กับเรื่องที่ฟารุคและพวกถูกคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยกักตัวไว้รีดความลับ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าหยดหมึกที่หกบนกระดาษ ทุกซอกทุกมุมไม่ว่าจะเป็นในบาร์ ในผับ หรือแม้แต่ในโกดังสินค้า ต่างซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องราวของสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ ที่ตอนนี้ทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ การที่เว่ยจินหยินแพร่กระจายข่าวของฟารุค ยิ่งทำให้เขาเป็นที่หมายหัว คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเก็บตัวเงียบอยู่ในตึกสำนักงานเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกลอบสังหาร ถึงกระนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา ความวุ่นวายระรอกสองก็เกิดขึ้น
   สมาชิกหน่วยดำออกไล่ล่าบรรดาขาใหญ่ของริเวิล เริ่มต้นจากระดับเรฟที่เคยอยู่ใต้คำสั่งของเอียนและฟารุค รวมไปถึงการลอบสังหารไฮท์ที่เหลือ การรุกคืบของเว่ยจินหยินเป็นไปอย่างราวเร็วและเงียบเชียบ เขาส่งคนเข้าไปแฝงตัวในริเวิลก่อนหน้านี้พักใหญ่แล้ว และยังหยอดน้ำหวานด้านผลประโยชน์ให้กับผู้บริหารบางคนที่อยู่ใต้อาณัติปกครองของแก๊งตรงข้าม ว่าหากริเวิลถึงคราวเพลี่ยงพล้ำ หากช่วยซ้ำ จะมีรางวัลให้อย่างงามจากการกระทำนี้
   เล่ห์ลิ้นของเว่ยจินหยิน ปฏิบัติการขั้นเฉียบขาดของหน่วยดำ รวมถึงความลับที่ได้มา สั่นคลอนริเวิลให้สะเทือนอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน มากกว่าตอนสมัยหกเจ็ดปีที่แล้วที่ถูกทางการอังกฤษกวาดล้างเสียอีก เหล่าผู้ตกอยู่ใต้อาณัติที่กำลังเสียขวัญกับสภาพง่อนแง่นกะทันหันของผู้ปกครอง ต่างตะลีตะลานเข้าพึ่งใบบุญของตระกูลเว่ยอย่างไม่รีรอให้ภัยมาถึงตัว เนื่องจากเว่ยจินหยินปฏิเสธไม่รับแขก ดังนั้นสถานที่ที่ทุกคนมุ่งไปจึงเป็นคฤหาสน์ริมน้ำของเว่ยชิงผู้นำสูงสุดของตระกูลเว่ย
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว เขาไม่เคยมาเหยียบคฤหาสน์ของพ่อมาก่อน และไม่เคยพบกับสภาพโกลาหนอันเกิดจากการรวมตัวกันของพวกพ่อค้าวานิช และผู้มีอิทธิพลต่างๆ ที่หวังจะเข้าประจบขอพึ่งบารมีของอสูรเฒ่าวัยหกสิบเศษก่อนที่จะซวยถูกกวาดทิ้งไปพร้อมกับริเวิล
   รถติดเป็นขบวนยาวเหยียด สร้างความหงุดหงิดให้กับคุณชายเจ็ดเป็นอย่างมาก เว่ยเฟิงปิงไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่มาก่อน และหลังจากนี้คงไม่มาอีก ต่อให้คฤหาสน์ร้อยล้านของผู้เป็นพ่อจะวิจิตรพิสดารขนาดไหนเขาก็ไม่อยากชายตามอง ของของผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้น เป็นไปได้เว่ยเฟิงปิงไม่อยากจะเหลือบมองด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องพาตัวเองกับบรรดาลูกน้อง มาแออัดอยู่ในดงรถติดและสิ่งปลูกสร้างของบุคคลอันไม่พึงปรารถนาคือคำขอร้องของพี่ชายต่างมารดาที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
   ตึกที่เว่ยจินหยินพักอยู่อันเป็นสำนักงานใหญ่ของตระกูลนั้นตั้งอยู่บนที่ตั้งเดิมของคฤหาสน์เก่าของตระกูลเว่ย เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เว่ยฟู่ฉินยังไม่ประกาศแยกตัวออกไป เว่ยชิงยังพักอาศัยอยู่ในตึกนั้นพร้อมกับลูกชายทั้งสองคนของเขา แต่เมื่อลูกชายคนโตประกาศแยกตัวออกจากแก๊งอย่างเป็นทางการ บุคคลที่เรียกขานกันว่าเจ้านายใหญ่ หรือคุณท่าน ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปสร้างคฤหาสน์สุดหรูใกล้ที่ทำงานใหม่ของลูกชาย แทบจะไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาเลยทีเดียว ได้ยินมาว่าเว่ยชิงรักลูกคนโตคนนี้มาก ถึงจะทำให้ช้ำใจในตอนที่ประกาศไม่รับช่วงต่อจนทำให้ผู้เป็นพ่อล้มป่วยนับเดือนโดยไม่แยแสสนใจก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองหรือแสดงว่าไม่พอใจให้เห็นเลย
   คฤหาสน์ใหม่ของเว่ยชิงกับตึกสำนักงานนั้นอยู่ไกลกันพอสมควร ในภาวะที่เว่ยจินหยินจำต้องเก็บตัวเงียบเพื่อความปลอดภัย และบรรดาลูกน้องคนสนิททั้งหลายก็ทำงานกันมือประวิงเพื่อบีบต้อนริเวิลให้จนมุม ลูกชายคนรองคนนี้ยังมีกะใจอยากจะรู้สารทุกข์สุกดิบของผู้เป็นพ่อ เว่ยเฟิงปิงเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยจินหยินต้องการคำยืนยันว่าเว่ยชิงกำลังพอใจในการทำงานเอาใจขนาดออกนอกหน้านี้ จึงเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยแวะมาเยี่ยมเยียนและดูสถานการณ์ที่คฤหาสน์หลังงามริมน้ำนี้ให้หน่อย
   ถ้าไม่นับว่าติดหนี้บุญคุณเรื่องตอนถูกส่งไปเมืองไทย กับอำนาจมหาศาลในตระกูลที่เว่ยจินหยินครอบครองอยู่ เว่ยเฟิงปิงไม่มีทางบากหน้ามาเด็ดขาด
   กว่าที่เขาจะได้ก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์ของผู้เป็นพ่อก็กินเวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง สิ่งแรกที่คุณชายเจ็ดทำคืออัดบุหรี่ให้ชุ่มปอด แน่นอนว่าเขาสูบมันต่อหน้าลูกน้องคนสนิทที่มีชื่อว่าจางซื่อเยี่ยน
   เว่ยเฟิงปิงจงใจระบายควันบุหรี่ใส่ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทย เขาไม่คุยเรื่องอื่นกับหมอนี่เลยนอกจากเรื่องงาน ด้วยหวังว่าลูกน้องทึ่มคนนี้จะรู้สึกตัวบ้างว่าการพูดถึงเรื่องงานอย่างเดียวน่าเบื่อขนาดไหน แต่กลับกลายเป็นว่าจางซื่อเยี่ยนยังคงทึ่มเสมอต้นเสมอปลาย นอกจากจะไม่รู้สึกอะไรแล้วยังเหมือนจะพอใจกับการกระทำประชดประชันของเขาด้วยซ้ำ เว่ยเฟิงปิงมองดูควันบุหรี่ที่ฟุ้งกระจายไปในอากาศ ก่อนจะเบือนสายตาเมื่อใบหน้าของผู้เป็นลูกน้องปรากฏขึ้นหลังม่านควัน
   จางซื่อเยี่ยนเกือบสำลัก เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงจงใจพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าเขา อดีตหน่วยดำทราบมานานแล้วว่าเจ้านายคนนี้คงยังรู้สึกไม่พอใจเขาอยู่ จากพฤติกรรมที่ปกติก็เย็นชาอยู่แล้ว ระยะหลังมานี้ยิ่งเย็นชาหนักเข้าไปอีก กระทั่งนอนเตียงเดียวกันยังเขยิบออกห่าง โชคยังดีที่ไม่เอ่ยปากไล่เขาออกไปนอนที่อื่นเหมือนคราวนั้น จางซื่อเยี่ยนจำต้องก้มหน้าก้มตารับใช้และตอบอารมณ์แปรปรวนนี้ต่ออย่างไม่รู้หนทางแก้ไข เหมือนบางครั้งเจ้านายคนนี้จะมีใจให้เขา เหมือนบางครั้งก็ดูจะรำคาญเขาเสียเต็มประดา ส่วนไหนคือความในใจจริงๆ ของเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนตอบตัวเองไม่ได้เลย เขาต้องทำยังไงเจ้านายคนนี้ถึงจะพอใจกันนะ อดีตหน่วยดำยังคงก้มหน้าก้มตาทนกับควันบุหรี่ที่อีกฝ่ายพ่นใส่หน้าด้วยความจงใจ ด้วยหวังว่าเว่ยเฟิงปิงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างหลังจากทำแบบนี้กับเขา
   การก้มหน้าก้มตารับการประชดประชันโดยไม่ปริปากของผู้เป็นลูกน้องกลับทำให้เว่ยเฟิงปิงหงุดหงิดหนักขึ้นอีก เขาคีบบุหรี่ไว้ในมือ ถลึงตาจ้องมองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง เว่ยเฟิงปิงยังไม่ได้เข้าไปภายในตัวคฤหาสน์ เขาเดินมาหลบอยู่ตรงมุมสงบมุมหนึ่ง เพราะบรรดาพวกข้างนอกที่ทยอยกันเข้ามา พอรู้ว่าเขาเป็นใครก็ปรี่เข้ามาประจบประแจงจนน่ารำคาญ เว่ยเฟิงปิงพาบอดีการ์ดมาไม่มาก และไม่อยากถูกเหมาว่ามีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้เป็นพ่อ ดังนั้นจึงปลีกตัวออกมาเงียบๆ และให้ลูกน้องคนอื่นยืนกันคนอยู่ด้านนอก เพื่อจะได้มีเวลาพักอัดบุหรี่ให้หายหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขาหงุดหงิดกว่าเดิมเพราะเจ้าซื่อบื้อที่ยืนทึ่มอยู่ตรงหน้านี่แหละ
   สองคนยืนจ้องหน้ากันพักหนึ่งโดยปราศจากคำพูด จางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าเจ้านายเขาจะเอายังไงอีก และนึกไม่ออกว่าสมควรจะพูดอะไร ดังนั้นจึงได้แต่ยืนเฉยๆ ถ้าเว่ยเฟิงปิงอยากจะจ้องเขาเขาก็ยอมให้จ้อง ถ้าอยากจะด่าเขาเขาก็ยอม ขอแค่ให้เจ้านายคนนี้หายหงุดหงิดงุ่นง่านใส่เขาเสียที นัยน์ตาสีฟ้ามองมาอย่างเย็นชา ประหนึ่งนัยน์ตาอ่อนหวานที่เคยมองเขาในบางเวลาก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝัน ใช่ล่ะ โดยปกติเว่ยเฟิงปิงก็เย็นชาแบบนี้กับเขาเสมอมาอยู่แล้ว แต่ช่วงเวลาอ่อนหวานนั้นก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ปัญหาคือช่วงเวลาแบบนั้น เขาจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง
   เว่ยเฟิงปิงมองจางซื่อเยี่ยนด้วยอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด เกือบสัปดาห์แล้วที่เขาอดทนกับความไม่พอใจนี้ และเวลานี้ก็ใกล้จะถึงจุดระเบิดไปทุกที ประกอบกับการต้องทนมาเหยียบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์ นัยน์ตาสีฟ้าลุกวาวราวกับต้องการบางสิ่งบางอย่าง บุหรี่ที่ยังสูบไม่ทันหมดมวน ถูกมือเรียวจับขยี้เข้ากับปกคอเสื้อสูทของอีกฝ่าย กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อผ้าผสมกับกลิ่นนิโคตินไม่ชวนให้รู้สึกดีเลยสักนิด เว่ยเฟิงปิงจงใจขยี้มันลงไปอย่างช้าๆ พร้อมกับนัยน์ตาที่จ้องมองมาอย่างเยียบเย็น ควันสีขาวยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่อีกพักใหญ่ ผู้เป็นเจ้านายมองดูลูกน้องซึ่งใบหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขากำลังหวังอะไรกับเจ้าหมอนี่อยู่กันแน่
   กลิ่นบุหรี่คลุ้งเข้ามาในระบบรับกลิ่น ผิดแต่ว่ามันไม่ได้เข้ามาทางจมูก แต่ผ่านมาจากริมฝีปากบางที่บดขยี้เข้ามาต่างหาก ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของผู้เป็นเจ้านายยิ่งทำให้จางซื่อเยี่ยนตั้งตัวไม่ติด เว่ยเฟิงปิงเพิ่งแสดงอาการดูถูกเขาชนิดแทบจะรับไม่ได้ แต่จู่ๆ กลับจูบเอาอย่างจริงๆ จังๆ เรียวลิ้นร้อนที่กวาดเข้ามาอย่างกระหายนั้นแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นของคนคนเดียวกับที่จี้บุหรี่ใส่เขาเมื่อครู่
   เว่ยเฟิงปิงหงุดหงิด หงุดหงิดมากจริงๆ ที่จางซื่อเยี่ยนไม่ยอมแสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เขารู้บ้าง ถ้าเจ้าหมอนี่มันซื่อบื้อขนาดนี้ ก็คงต้องเป็นเขาที่แสดงความรู้สึกออกไปก่อน จะมาหวังให้มนุษย์สมองทึ่มเข้าใจเอาเองคงเหมือนฝันให้กาออกลูกมาเป็นตัวนั่นแหละ
   ร่างบางผลักอีกฝ่ายเข้ากับผนัง จูบและกัดริมฝีปากนั้นอย่างแฝงความขุ่นเคืองอยู่บ้าง เพราะขนาดตัวที่ต่างกันเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายรุกขนาดนี้แล้ว เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกเลยว่าสามารถจัดการสยบลูกน้องคนนี้ได้ การกดจางซื่อเยี่ยนเข้ากับผนังให้ความรู้สึกเหมือนกำลังผลักท่อนซุง
   จางซื่อเยี่ยนรู้สึกว่านี่ออกจะผิดที่ผิดทางมากไปหน่อย ทำไมเว่ยเฟิงปิงไม่ทำแบบนี้กับเขาในห้อง แต่กลับมาทำในมุมหนึ่งในคฤหาสน์ของเจ้านายใหญ่ เขาไม่เข้าใจเจ้านายคนนี้เลยจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถจะตามใจเจ้านายของเขาในตอนนี้ได้ ที่นี่เสี่ยงเกินไป ถ้ามีใครเดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจะดูไม่ดีกับตัวเว่ยเฟิงปิงเอง ชายหนุ่มตัดสินใจผลักอีกฝ่ายออก แต่ดูเหมือนเฟิงปิงจะไม่ยินยอมให้ทำแบบนั้นได้ง่ายๆ เจ้านายของเขาต่อต้านสุดฤทธิ์ จนอดีตหน่วยดำนึกหงุดหงิดใจ ทำไมเว่ยเฟิงปิงถึงได้มาดื้อเอาในสถานการณ์แบบนี้ จางซื่อเยี่ยนจึงต้องออกแรงเต็มที่ เพื่อหยุดเจ้านายของเขาจากการกระทำสุ่มเสี่ยงดังกล่าว หลังจากต่อสู้ดิ้นรนอยู่พักใหญ่ ข้อมือสองข้างของเว่ยเฟิงปิงก็ถูกตรึงเข้ากับผนังแทน ร่างบางหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาสีฟ้าถลึงใส่อย่างโมโหโทโส จางซื่อเยี่ยนอยากจะพูดอธิบายเหตุผลกับเจ้านายของเขา แต่ก่อนจะทันอ้าปาก เว่ยเฟิงปิงก็ชิงอ้าปากขึ้นก่อน สุดท้ายเขาจึงต้องใช้วิธีก่อนหน้าซึ่งดูจะได้ผลในสภาพการณ์เช่นนี้
   ลิ้นร้อนที่บุกรุกเข้ามาอย่างดุเดือดผลักเอาคำพูดก่นด่าของเว่ยเฟิงปิงหลุดหายกลับเข้าไปในคอจนหมด ถึงอย่างนั้นผู้เป็นเจ้านายก็ยังไม่หายหงุดหงิด เขาจำได้ดีว่าครั้งก่อนที่จางซื่อเยี่ยนจูบเขาแบบนี้มันจบลงยังไง เว่ยเฟิงปิงตกลงใจจะระบายโทสะใส่ลูกน้องคนนี้อย่างถึงที่สุด เขาไม่โอนอ่อนไปตามจูบของอีกฝ่าย ทั้งผลักทั้งดิ้น แถมในปากยังก็ยังต่อต้านสุดฤทธิ์
   จางซื่อเยี่ยนสำนึกรู้มานานว่าเว่ยเฟิงปิงอารมณ์รุนแรง ยิ่งแสดงอาการต่อต้านขัดขืนขนาดนี้แปลว่ากำลังหงุดหงิดมากจริงๆ แต่ขืนเขาหยุดกลางคันสถานการณ์คงได้เลวร้ายกว่าเดิม หากมีใครผ่านมาเห็นเขาคงต้องอธิบายเหตุผลโดยเอาตัวเองเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งเขาก็คงทำผิดจริงๆ แต่ตอนนี้ ขอจัดการให้อารมณ์พลุ่งพล่านของเว่ยเฟิงปิงสงบลงก่อน
   เว่ยเฟิงปิงจูบกับจางซื่อเยี่ยนมาหลายหนแล้ว มีทั้งที่รู้สึกแย่มาก และรู้สึกเฉยๆ ไปจนถึงรู้สึกดีในระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าลูกน้องที่ทื่อเป็นหุ่นยนต์คนนี้จะอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ จางซื่อเยี่ยนไม่ได้จูบเขาเพราะถูกบังคับ ไม่ได้จูบเขาเพราะอยากเอาใจ แต่จงใจจูบเขาเหมือนต้องการปรามให้ยอมแพ้ นั่นยิ่งทำให้เว่ยเฟิงปิงขัดขืนหนักเข้าไปอีก เขายอมไม่ได้จริงๆ ถ้าจะต้องพ่ายแพ้กับเจ้าซื่อบื้อคนนี้
   อดีตหน่วยดำพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองมาโดยตลอด กระทั้งตอนนี้เขาก็ยังอยากจะอ่อนโยนกับเจ้านายของเขาให้มาก แต่เว่ยเฟิงปิงนั้นดื้อดึงจนน่าระอา และดูท่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จากที่ตั้งใจจะปฏิบัติอย่างอ่อนโยน จางซื่อเยี่ยนจำต้องใช้ความรุนแรงขึ้นบ้าง เขากระแทกร่างเข้ากับร่างผอมบางที่แนบผนังอยู่ บดเบียดริมฝีปากและล้วงลิ้นเข้าไปในช่องเปิดนั้นอย่างไม่ปราณีอีก เมื่อพบกับการต่อต้าน เขาก็จัดการดูดดึงลิ้นของอีกฝ่ายเข้ามาและขบกัดอย่างพอให้รู้สึกตัว ก่อนจะคว้านลึกเข้าไป แทรกสำรวจจนทั่ว ดูดดึงริมฝีปากนั้นอย่างแรง เผยอออกพอให้ได้จังหวะหายใจครู่หนึ่ง และบดขยี้ซ้ำลงไปอีก
   เดิมเว่ยเฟิงปิงตั้งใจจะต่อต้านลูกน้องคนนี้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ยอมแพ้กับคนงี่เง่าแบบนี้ แต่ตอนนี้ถ้ามีผ้าขาวอยู่ข้างๆ เว่ยเฟิงปิงคงรีบโยนมันออกไปอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นลม นัยน์ตาพร่าไปหมด ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมาเสียทีกับชั้นเชิงที่คาดไม่ถึงของลูกน้องที่ปกติทื่ออย่างกับหุ่นยนต์ สิ่งเดียวที่เว่ยเฟิงปิงคิดตอนนี้คืออยากให้จางซื่อเยี่ยนหยุด หยุดก่อนที่เขาจะหมดสติ
   จางซื่อเยี่ยนยอมผละริมฝีปากออกในตอนที่ร่างกายของเว่ยเฟิงปิงสั่นกระตุกอย่างแรง และรีบช้อนตัวของเจ้านายซึ่งอ่อนปวกเปียกจนแทบจะล้มลง เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจถี่หนัก ใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาปรือจนแทบจะปิด อย่าว่าแต่อ้าปากด่า ขนาดแรงที่จะเอื้อมมือมาจับอีกฝ่ายเพื่อพยุงร่างก็ยังไม่มี ผู้เป็นเจ้านายปล่อยให้ลูกน้องโอบร่างแนบชิดโดยไม่อาจตอบโต้ คล้ายดังถูกจูบเมื่อครู่สูบเอาเรี่ยวแรงไปจนหมด เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงพ่ายแพ้ให้กับจางซื่อเยี่ยนอย่างหมดสภาพ
   แม้จะรู้สึกผิดที่ทำให้เจ้านายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่หัวใจของจางซื่อเยี่ยนกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนเป็นครั้งแรกที่เขาเอาชนะอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นเจ้านายได้ เว่ยเฟิงปิงยามนี้หอบหายใจราวกับคนเพิ่งพ้นจากการจมน้ำ ร่างผอมบางที่อ่อนระทวยแผ่ไอร้อนที่ชวนให้เคลิ้มออกมา ใบหน้าและลำคอแดงซ่าน ริมฝีปากที่ถูกดูดดึงอย่างรุนแรงแดงเจ่อ จางซื่อเยี่ยนแทบทนไม่ไหว เขาอยากจะรุกล้ำเจ้านายให้มากกว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม และก่อนหน้านี้เขาเองที่เป็นฝ่ายต้องการจะบอกกล่าวเว่ยเฟิงปิงในเรื่องนี้
   กว่าเว่ยเฟิงปิงจะลืมตาขึ้นมาได้เต็มที่ก็กินเวลาเป็นนาที สิ่งแรกที่เขาทำคือมองจางซื่อเยี่ยนอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับสงสัยว่านี่จะไม่ใช่จางซื่อเยี่ยนที่เขารู้จัก ชายหนุ่มยิ้มให้เขา พร้อมกับคำพูดเดิมๆ อย่างที่เคยพูด
   “ขอโทษครับ”
   ปกติหลังผ่านช่วงเวลาน่ารัญจวนและเจอคำพูดหักอารมณ์แบบนี้ เว่ยเฟิงปิงคงขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด แต่ตอนนี้เขาอ่อนล้าเกินไปที่จะรู้สึกแบบนั้น ร่างบางได้แต่ผงกศีรษะ และส่งเสียงอืมในลำคอเหมือนยอมรับคำขอโทษนั้น จางซื่อเยี่ยนเผยยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ จะว่าไปเหมือนจะไม่ค่อยเห็นผู้ชายคนนี้ยิ้มเท่าไหร่นัก เพราะโดยปกติเว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่มีเวลามาพินิจพิจารณาใบหน้าของลูกน้องคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ เลย ที่จำได้คือสีหน้าเฉยชากับนัยน์ตาสีอีกาที่เตรียมพร้อมรอรับคำสั่งเท่านั้น
   นัยน์ตาสีฟ้าหรี่เหมือนต้องการปรับโฟกัส ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขานึกอยากพิจารณาใบหน้าลูกน้องคนนี้ เขาก็ควรจะดูให้ละเอียด สมัยก่อนที่จางซื่อเยี่ยนไว้ผมยาว เว่ยเฟิงปิงก็ไม่เคยมีโอกาสได้มองหน้าลูกน้องคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ กระทั่งตอนที่มีอะไรกันครั้งแรกเขายังจำไม่ได้เลยว่าหน้าตาจางซื่อเยี่ยนเป็นแบบไหนแน่ ในหัวมีแต่คำว่า”เจ้าของ”เท่านั้น เขาอยากได้ตัวจางซื่อเยี่ยน อยากได้ผู้ชายคนนี้มาอยู่ใต้อำนาจ อยากจะแย่งชิงสิ่งที่เป็นของพ่อเขา จำได้แต่เพียงว่าจางซื่อเยี่ยนคือหมากของพ่อตัวหนึ่ง ซึ่งเขาจำต้องแย่งเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ กับรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้ เว่ยเฟิงปิงแทบจะไม่ได้คิดจดจำเลย
   รอยยิ้มของจางซื่อเยี่ยน แม้ไม่ได้เปี่ยมเสน่ห์แบบรูฟัส แต่ก็จริงใจใสซื่ออย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าเรียวที่อดีตคงยังไว้ด้วยเรือนผมยาวสลวยที่มัดรวบเอาไว้เป็นประจำ ยามนี้มีปอยผมสั้นๆ ร่วงลงมาปรกหน้าผาก หน้าผากของจางซื่อเยี่ยนไม่แคบไม่กว้าง กำลังพอดี คิ้วก็ดกได้รูป อืม..ตาสีดำสนิทนั่น ถึงจะไม่ชวนให้ประทับใจแบบตาสองสีแสนประหลาดคู่นั้น แต่เวลาที่มองมาทางเขาก็ดูจะมีอะไรอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้หัวใจเว่ยเฟิงปิงอิ่มเอมอย่างประหลาด เขาไม่เคยพินิจแววตาของลูกน้องคนนี้เลย ไม่ว่าก่อนหน้าที่มีอะไรกัน หรือหลังจากนั้น ไม่รู้เลยว่าจางซื่อเยี่ยนจะมองเขาด้วยสายตาเต็มเปี่ยมขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงตัดสินใจละสายตาจากดวงตาสีดำคู่นั้นไปพิจารณาส่วนอื่น ก่อนที่เขาจะรู้สึกหวั่นไหวไปมากกว่านี้
   จมูกของจางซื่อเยี่ยนไม่ได้เป็นสันสวยแบบชาวยุโรป แต่พอประกอบเข้ากับริมฝีปากหนาพอเหมาะ กรามเป็นสัน กับนัยน์ตาเรียวยาวสีดำแบบนั้น ก็ดูไม่เลวเลยทีเดียว เว่ยเฟิงปิงเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า จางซื่อเยี่ยนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ถึงกับดีมากด้วย เผลอๆ จะหน้าตาดีกว่าเขาเสียอีก ส่วนเรื่องร่างกายคงต้องไว้พิจารณากันตอนหลัง ที่แน่ๆ ผู้ชายคนนี้แข็งแรงกว่าเขาแน่นอน
   “อืม...ทำไมนายไม่ไปทำอาชีพอื่น” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างพาซื่อ ไม่บ่อยนักที่เขาจะถามอะไรโดยไม่ผ่านการคัดกรองอีกชั้นหนึ่งก่อน สติของเขายังไม่กลับคืนมาจากรสจูบลืมโลกเมื่อครู่เท่าไหร่นัก ดังนั้นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่จึงถูกกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขานึกสงสัยว่าเว่ยเฟิงปิงจะมาไม้ไหนอีก จะไล่เขาไปทำงานอย่างอื่นหรือ ร่างแกร่งเอ่ยถามเสียงค่อย “คุณอยากให้ผมเปลี่ยนงานหรือครับ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย เริ่มคิดได้ว่าเขาอาจจะถามคำถามไม่ครบถ้วน
   “นายเป็นคนหน้าตาใช้ได้ ทำไมมาทำอาชีพนี้ล่ะ?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาทันที ถ้าไม่ได้ยินไม่เห็นเองต่อหน้าเขาคงไม่เชื่อ เว่ยเฟิงปิงตอนนี้พ่ายแพ้หมดสภาพจริงๆ กระทั่งหันมาพิจารณาหน้าตาของเขา และยังพาซื่อถามคำถามแบบนี้ออกมา จางซื่อเยี่ยนเอ่ยตอบเจ้านายของเขา
   “ผมถูกคุณพ่อคุณเก็บมาเลี้ยง จำไม่ได้แล้วหรือครับ?”
   “อ้อ...” เว่ยเฟิงปิงคราง พลางพยักหน้า สติเขาเริ่มคืนกลับมาแล้ว ใช่ล่ะ จางซื่อเยี่ยนเป็นเด็กในสังกัดของพ่อของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้เย็นชากับลูกน้องคนนี้นัก เว่ยเฟิงปิงระบายลมหายใจ
   “นายรักฉันมากว่าคุณพ่อหรือยัง?”
   จางซื่อเยี่ยนอ้ำอึ้งไปอีก กับคำถามนี้ของเว่ยเฟิงปิง เขาตอบยากจริงๆ แต่ขืนตอบช้า ก็คงไม่วายโดนหงุดหงิดใส่ซ้ำ ผู้เป็นเจ้านายโบกมือหลังจากนั้น
   “ไม่ต้องตอบล่ะ ฉันขี้เกียจฟัง เอาว่าตอนนี้นายรักฉันใช่ไหม?”
   “ครับ”
   กับคำถามอย่างนี้จางซื่อเยี่ยนตอบได้อย่างไม่ลังเลใจเลย เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า ก่อนจะเบือนสายตามามองอีกรอบ
   “ตอนนี้ฉันขอแค่นายรักฉันก็พอ”
----------------------------------------------
   ทั้งๆ ที่มีคนรอเข้าพบเป็นจำนวนมาก แต่เว่ยชิงยังอุตส่าห์เจียดเวลาให้กับลูกชายคนที่เจ็ดซึ่งเดินทางมาอย่างไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งผิดความคาดหมายของเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง เพราะไม่คิดว่าผู้เป็นพ่อจะลงทุนต้อนรับเขาซึ่งเคยถูกขับออกจากตระกูล ความจริงเว่ยเฟิงปิงแค่ต้องการแวะมาดูลาดเลาตามคำขอร้องของเว่ยจินหยินเท่านั้น
   ที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้คือชายชาวจีนวัยหกสิบเศษ ที่มีใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยอย่างน่าตกใจ เว่ยชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ฉลุลายอย่างจีนตัวใหญ่ สีดำสนิท สวมชุดแพรอย่างที่คนสมัยก่อนนิยมสวมใส่กัน ท่าทีดูน่าเกรงขามเช่นเคย กับนัยน์ตาสีดำราวน้ำครำที่มองมาเหมือนยังมีเยื่อใยพ่อลูกนั้น เว่ยเฟิงปิงไม่อยากเหลือบมองเลยสักนิด  เขาแทบจะไม่รู้สึกผูกพันอะไรเลยกับผู้ชายที่ให้สายเลือดแก่เขา กับผู้ชายที่เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา
   คงเพราะความห่างเหินที่เย็นชาและยาวนานจนเกินไป
   “เป็นยังไงบ้างล่ะ ตั้งแต่กลับจากเมืองไทย พ่อยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมพวกเธอเลย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยวาจานำขึ้นก่อน แม่บ้านคนเก่าคนแก่ยกน้ำชาเข้ามาให้ถึงในห้อง เว่ยเฟิงปิงปฏิเสธอย่างสุภาพ ของที่มาจากคำสั่งของเว่ยชิง อันตรายพอๆ กับที่มาจากมือของเว่ยจินหยินนั่นแหละ กับคนที่ต้องตรวจสอบอาหารเป็นประจำอย่างพ่อของเขา เดาได้เลยว่าก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์ทำอะไรมาบ้าง
   “ก็ดี” เว่ยเฟิงปิงตอบเสียง เขาไม่ได้ต้องการจะมานั่งเผชิญหน้าและตอบคำถามน่าเบื่อกับชายแก่วัยหกสิบคนนี้ ลูกชายคนที่เจ็ดเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนต้องการทันที
   “คุณพ่อล่ะเป็นยังไงบ้าง คนมาออขนาดนี้คงปลื้มน่าดูเลยสิ”
   เว่ยชิงแค่นหัวร่อ ดูจะผิดแผกจากพฤติกรรมสำหรับคนที่กำลังดีใจอยู่บ้าง คล้ายกับว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้ว
   “จินหยินสั่งให้เธอแวะมาเยี่ยมพ่อหรือ?”
   ผู้ถูกถามสั่นศีรษะ ถึงแม้เขาจะมีความคิดอ่อนข้อให้ผู้เป็นพี่ชาย แต่ก็ใช่ว่าต้องป่าวประกาศความตั้งใจนี้ให้คนอื่นรับรู้เสียหน่อย ผู้เป็นพ่อแค่นหัวเราะอีก นั่นทำให้เว่ยเฟิงปิงนึกรำคาญ เหมือนว่าเว่ยชิงกำลังมีแผนอะไรอยู่
   “เรื่องผู้สืบทอดน่ะ ลูกหวังขนาดไหน?”
   จู่ๆ คำถามที่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เขากับเว่ยจินหยินเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปร่วมประชุมที่เมืองไทยก็ถูกเอ่ยขึ้นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นัยน์ตาของเว่ยเฟิงปิงไหววูบทันที เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ ตอบออกไปอย่างฉาดฉาน
   “พี่จินหยินหวังขนาดไหน ผมก็หวังขนาดนั้นแหละ” เขาตอบโดยยั้งความเกรงใจเอาไว้บ้าง ใจจริงเว่ยเฟิงปิงหวังจะโค่นเว่ยชิงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ศักยภาพของเขายังไม่เพียงพอจะทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่ผู้เป็นพ่อ แค่พี่ชายคนรองเขาก็แทบจะยกธงขาวแล้ว ถ้าจะให้ต่อกรกับเว่ยจินหยินตัวต่อตัว เขายอมอยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่หากมีผู้เป็นพ่อช่วยปูทางล่ะก็ไม่แน่ ถึงจะเกลียดเว่ยชิงเข้าไส้ แต่ถ้าหากการเสนอหน้านี้ทำให้เขามีโอกาสไต่ขึ้นไปได้อีก เว่ยเฟิงปิงก็ไม่รังเกียจ ถือว่านี่เป็นผลพลอยได้ของการลำบากมาดูสถานการณ์ให้เว่ยจินหยินก็แล้วกัน
   เว่ยชิงยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของลูกชาย ก่อนจะพูดต่อ “พักนี้ลูกเข้ากับจินหยินได้ดีรึเปล่า?”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที หรือว่าพ่อของเขาตั้งใจจะให้เขารับหน้าที่เป็นมือขวาของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มแค่นเสียงทันที “ก็พอสมควร แต่ใช่ว่าผมอยากรองมือรองเท้าเขาไปตลอดหรอกนะ”
   คำตอบกับท่าทีเย่อหยิ่งนี้ดูจะทำให้ผู้เป็นพ่อพออกพอใจ ดูจากสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกับเสียงหัวเราะ
   “ดี เฟิงปิง ถ้าลูกจะมีส่วนดีอยู่ก็ตรงที่ทะเยอทะยานนี่แหละ ลูกไม่อยากเป็นรองจินหยิน ลูกอยากขึ้นเป็นใหญ่ใช่ไหม?”
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่69 p13 24/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 25-11-2011 09:21:06
   “พ่อรู้แล้วจะถามผมทำไมอีก” ผู้เป็นลูกชายตอบสวนกลับทันที มีแต่เขาเท่านั้นที่กล้าต่อปากต่อคำกับผู้เป็นพ่ออย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ หลังจากถูกขับออกจากตระกูล เว่ยเฟิงปิงไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีก ต่อให้พ่อลิดรอนเขี้ยวเล็บของเขา ไล่ตะเพิดเขาออกไปอีกครั้งตอนนี้ มันคงไม่แย่เท่ากับครั้งแรกแล้ว เว่ยชิงหัวเราะชอบใจ พลางล้วงหยิบซองกระดาษซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับลูกชาย เว่ยเฟิงปิงจำต้องรับมาอย่างเสียมิได้ หวังว่าพ่อเขาคงไม่ได้วางยาพิษอะไรเอาไว้
   ในซองจดหมายนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เขียนด้วยพูกันเป็นลายมืออักษรหวัดสวยงาม เนื้อหาด้านในทำให้มือของเว่ยเฟิงปิงสั่นเทา นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก อ่านจนจบจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่ออย่างตื่นตะลึง
   “หมายความว่าไง? พ่อจะยกตำแหน่งให้ผม?” ผู้เป็นลูกชายถามด้วยเสียงสั่นไหวอย่างพยายามจะควบคุมอารมณ์เต็มที่ เขาไม่แน่ใจว่านี่คือลายมือของพ่อของเขารึเปล่า แต่ตราประทับนี่เป็นของจริงไม่ผิดแน่ แม้เขาจะไม่ได้เห็นบ่อยนักแต่ก็พอจำลักษณะพิเศษของมันได้ ตราประทับที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้ พอจะรับรองเนื้อหาด้านในได้อย่างสบาย เว่ยชิงพยักหน้า
   “พ่อจะยกตำแหน่งผู้สืบทอดคนต่อไปให้ลูก ในเงื่อนไขที่จินหยินจะต้องไม่มีชีวิตอยู่”
   “?!” นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองชายชราตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ครู่ใหญ่จึงมีคำพูดหลุดออกมา
   “หมายความว่าไง? พ่อหวังให้ผมฆ่าเขาหรือ?”
   เว่ยชิงคลี่ยิ้ม กับริมฝีปากที่เริ่มหย่อนยานตามวัย ทำให้รอยยิ้มนั้นดูน่าเกลียดขึ้นมาถนัด ผู้เป็นพ่อพูดตอบอย่างใจเย็น “นั่นลูกต้องคิดเอาเอง พ่อมองดูแล้ว ตำแหน่งผู้สืบทอดตอนนี้มีแต่ลูกกับจินหยินเท่านั้นที่เหมาะสม พ่อคงต้องเลือกเอาคนใดคนหนึ่ง แต่พ่อคิดว่าพ่อจะเลือกลูก”
   “งั้นทำไมพ่อไม่แต่งตั้งผมไปเลยล่ะ ทำไมต้องตั้งเงื่อนไขว่าพี่รองจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ด้วย ถ้าพ่อหวังให้ผมเอาชีวิตไปทิ้งในเงื้อมมือของเขาล่ะก็ พ่อเลิกคิดไปได้เลย ผมไม่หลงกลลวงงี่เง่าของพ่อหรอก”
   เว่ยชิงนั่งฟังคำพูดของลูกชายจนจบอย่างทดทน จึงพูดตอบบ้าง “ลูกไม่เข้าใจหรือ ถ้าพ่อแต่งตั้งลูกตอนนี้ ลูกคงตายจริงๆ ลูกคิดว่าจินหยินอำมหิตขนาดไหน?”
   ไม่รอให้ลูกชายได้พูดตอบ เว่ยชิงเอ่ยขึ้นต่อ “ลูกรู้หรือเปล่าว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับปิงเซียงพี่ชายลูก กับน้องชายอีกสองคนของลูก เป็นฝีมือของจินหยินทั้งนั้น ที่พ่อต้องส่งซื่อหลิวออกไปที่อังกฤษ เพราะถ้าปล่อยเอาไว้ก็คงจะถูกฆ่าอีกเหมือนกัน”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนเป็นพ่อกล่าวหาลูกตัวเอง แถมยังกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าพี่น้องอีกด้วย จริงอยู่ เขาเคยได้ยินข่าวลือพวกนี้มาบ้าง ที่ว่าเว่ยจินหยินวางแผนฆาตกรรมน้องชายเพื่อฮุบอำนาจ แต่ว่าคนอย่างเว่ยจินหยิน ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็น่าจะได้อำนาจมาง่ายๆ อยู่แล้ว ก็พี่ชายใหญ่ถอนตัวไปแล้ว อำนาจก็ควรจะถูกส่งต่อมายังลูกชายคนรองสิ
   “ถ้าพ่อจะหาเรื่องมาหลอกผม ก็น่าจะให้แนบเนียนกว่านี้หน่อย พี่รองยังไงก็ต้องได้ตำแหน่งพวกนี้อยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องทำเรื่องบ้าๆ พรรณนั้นด้วย ถึงผมจะเกลียดพี่ แต่ผมไม่ได้โง่หรอกนะ พ่อรักพี่จะตาย นี่กะจะหลอกผมไปตายล่ะสิ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวอย่างมีอารมณ์ แต่อีกฝ่ายพอฟังจบกลับหัวเราะอย่างขบขัน ราวกับว่าเพิ่งดูหนังตลกเลวๆ เรื่องหนึ่ง เว่ยชิงกล่าวต่อ
   “พ่อดูเหมือนจะรักจินหยินมากงั้นรึ?”
   คำพูดนี้ทำเอาคนฟังถึงกับอึ้งไปนาน เว่ยเฟิงปิงกะพริบตามองพ่อของเขาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด เขากำลังถูกตาเฒ่านี่ปั่นหัวเพื่ออะไรกันแน่ นัยน์ตาสีน้ำครำของเว่ยชิงเป็นประกาย แววตาคบกริบ ที่อำมหิตเยียบเย็นจ้องมายังลูกชายคนที่เจ็ด ก่อนที่ริมฝีปากหย่อนคล้อยจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “ฆ่าจินหยินซะ พ่อไม่ต้องการให้มันมีชีวิตอยู่”
   เว่ยเฟิงปิงเย็นวาบขึ้นมาตลอดไขสันหลัง รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในห้องลดต่ำลงจนร่างกายรู้สึกหนาวเหน็บ เว่ยชิงพูดต่ออย่างไม่เร่งร้อน
   “พ่อรู้ว่าจินหยินใช้ให้ลูกมาที่นี่ เถียนซานอยู่ที่โรงพยาบาล คนเดียวตอนนี้ที่จินหยินไว้ใจยอมให้เข้าใกล้คือลูก มันไม่ยอมออกมาจากตึกเลย แต่ต้องยอมให้ลูกเข้าไปพบแน่ ฆ่ามันซะ นี่คือคำสั่ง”
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกร่างกายสั่นกระตุก อารมณ์พลุ่งพล่านระอุขึ้นมาในอก นี่มันเกินไปหน่อยแล้ว เขารู้ว่าเว่ยชิงอำมหิต แต่ไม่คิดว่าจะอำมหิตขนาดนี้ ไม่ว่าจะต้องการให้เขาฆ่าจินหยินจริงๆ หรือจะส่งเขาไปให้จินหยินฆ่า แบบไหนก็เลวร้ายทั้งนั้น นัยน์ตาสีฟ้ามองดูนัยน์ตาสีน้ำครำที่เหมือนจะมองเลยเขาไปแล้วด้วยอาการสะกดกลั้นถึงขีดสุด ก่อนจะกระชากเสียง “เชิญพ่อบ้าไปคนเดียวเถอะ!!”
   พลางผุดลุกขึ้นอย่างไม่รักษามารยาทอีก ก่อนจะผลุนผลันออกไปนอกห้องโดยไม่เอ่ยคำร่ำลา เว่ยชิงได้แต่ทอดถอนใจ
----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงใช้เวลาขบคิดนานพอสมควร ในที่สุดจึงตัดสินใจไปพบกับเว่ยจินหยิน เขามองไม่ออกว่าเว่ยจินหยินมีเหตุผลอะไรที่จะกำจัดเขา และนึกไม่ออกว่าถ้าเว่ยชิงอยากกำจัดเขา ทำไมต้องทำเรื่องให้วุ่นวายขนาดร่างหนังสือขึ้นมาและแต่งเรื่องงี่เง่าให้เขาไปฆ่าพี่ชายคนรอง  เว่ยจินหยินเคยพูดว่าคนเป็นมีประโยชน์กว่าคนตาย และเว่ยเฟิงปิงแน่ใจว่าการที่เขาตายคงมีประโยชน์ต่อเว่ยจินหยินน้อยกว่าตอนเป็นๆ แน่ๆ อย่างน้อยเขาก็ยังยอมให้เว่ยจินหยินจิกหัวใช้
   เว่ยจินหยินให้เขาเข้าพบในห้องทำงาน และให้ลูกน้องคนสนิทออกไปก่อน เหลือแต่ตัวเขากับจางซื่อเยี่ยนเท่านั้น ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของห้องจะเอ่ยปากถามขึ้น
   “คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง?”
   รอยยิ้มปั้นแต่งของเว่ยจินหยินนั้นแนบเนียนทุกครั้ง แต่ละครั้งที่ยิ้มออกมาดูไม่ออกเลยว่ายิ้มออกมาจริงๆ หรือเสแสร้งกันแน่ และครั้งนี้เว่ยเฟิงปิงก็ยังคงเดาไม่ออก เขาจึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของพี่ชายยังไงดี เว่ยจินหยินอยากจะฟังอะไรล่ะ ฟังว่าพ่อดีใจกับผลงานของเขางั้นหรือ แต่ในความจริงแล้ว....
   ได้ยินเสียงถอนหายใจ เว่ยจินหยินพูดต่อ “พ่อพูดอะไรกับเธองั้นสิ บอกพี่มาเถอะ พ่อบอกให้ฆ่าพี่ใช่ไหม?”
   เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งวาบ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายทันที เว่ยจินหยินยิ้มอีกรอบ “แปลว่าพ่อพูดแบบนั้นจริงๆ รึ? พ่อบอกให้เธอฆ่าพี่รึ?”
   เมื่อไม่รู้ว่าจะบ่ายเบี่ยงยังไง เว่ยเฟิงปิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะถามคำถามที่สงสัย “ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมฆ่าพี่ หรือพ่อต้องการให้พี่กำจัดผม?”
   เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา ช่างดูขัดกับคำพูดที่ดำเนินอยู่จริงๆ เจ้าตัวอธิบายต่อ “น้องเจ็ด เธอว่าลำพังคุณพ่อไม่มีปัญญาจะฆ่าเธอเหรอ? ไม่ต้องอาศัยพี่ถ้าพ่ออยากจะฆ่าเธอ เธอมาไม่ถึงที่นี่หรอก เธอควรจะเชื่อพ่อ เพราะคราวนี้คุณพ่อพูดจริง”
   เว่ยเฟิงปิงผงะร่างอย่างตกตะลึง เขามองเว่ยจินหยินเหมือนมองสัตว์ประหลาด ก่อนจะเค้นเสียงเอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น
   “ทำไมล่ะ? ทำไมพ่อถึงอยากให้ผมฆ่าพี่? ไม่ใช่ว่าพี่เป็นลูกรักเหรอ?”
   คนถูกถามถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นขยับแว่นให้เข้าที่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย
   “ลูกรัก? อืม.. พี่คงทำให้เธอเข้าใจแบบนั้นสินะ เอาเถอะ พี่ก็ตั้งใจให้คนอื่นเข้าใจแบบนั้นแหละ แต่ในความเป็นจริง... พ่อเกลียดพี่มากกว่าเกลียดเธอเสียอีก”
   นัยน์ตาสีดำสนิทปรากฏแววรันทดออกมาแว้บหนึ่ง แว้บเดียวเท่านั้นจริงๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปนิ่งสนิทเหมือนเดิม ได้ยินเสียงเว่ยเฟิงปิงพึมพำ “ทำไม.......?”
   น้ำเสียงเดิมเอ่ยตอบ “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนพ่อจะเริ่มเกลียดพี่มานานมากแล้ว แต่พ่อไม่มีปัญญาจะฆ่าพี่ด้วยตัวเอง อืม.. จริงๆ เพราะพ่อมัวแต่ไปสนใจธุรกิจใหม่ของพี่ชายใหญ่นั่นแหละ พี่ถึงได้กุมอำนาจเอาไว้ได้มากขนาดนี้ ที่พี่รอดมาได้คงเพราะบารมีของพี่ชายใหญ่ด้วยมั้ง”
   พูดจบก็หัวเราะราวกับเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เว่ยเฟิงปิงมองพี่ชายอย่างงงงัน เหมือนคนถูกด้ามปืนฟาดหัว เรื่องราวดูสับสนวุ่นวายไปหมด ทำไมจู่ๆ พี่ชายที่เขาคิดว่าพ่อรักมากถึงได้กลายเป็นลูกที่พ่อเกลียดถึงขนาดอยากฆ่าทิ้งไปได้ล่ะ
   “แล้วพี่จะเอายังไงต่อ?” ผู้เป็นน้องชายเอ่ยขึ้นในที่สุด คงเหลือแต่คำถามนี้ล่ะมั้งที่เขายังอยากฟังคำตอบอยู่ เว่ยจินหยินยักไหล่
   “ก็ทำงานให้คุณพ่อต่อ เธอไม่คิดจะฆ่าพี่จริงๆ ไม่ใช่รึ?”
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะทันที “ผมไม่ทำตามคำสั่งงี่เง่าของพ่อหรอก”
   เว่ยจินหยินหัวเราะออกมา และโบกมือ “งั้นก็ดี พี่ว่าเธอควรถอยออกไปก่อน”
   เว่ยเฟิงปิงเงยมองพี่ชายของเขาด้วยความงุนงงอีกครั้ง และพบว่าเว่ยจินหยินลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน นัยน์ตาสีดำสนิทราวสุนัขจิ้งจอกจ้องผ่านด้านหลังเขาไป เว่ยเฟิงปิงหันหน้าตามไปทันที และพบว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจ้องตอบพี่ชายของเขาอยู่
   “ถอยไปก่อนครับ คุณชาย” ผู้เป็นลูกน้องเอ่ยและผลักเขาออกไปข้างๆ อย่างพยายามจะเบามือที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ลงน้ำหนักแรงพอที่จะทำให้เขาขยับออกไปได้หลายก้าว ระหว่างที่เว่ยเฟิงปิงยังคงงุนงง เว่ยจินหยินก็เอ่ยต่อ “เอาจริงรึ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า “คำสั่งคุณท่านครับ”
   ไม่ทันได้พูดจบประโยค ลวดสีเงินเส้นบางเบาก็ถูกเหวี่ยงออกไป เว่ยเฟิงปิงเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่า “คำสั่ง” ที่พ่อของเขาพูดออกมา ไม่ได้พูดกับเขา แต่พูดกับผู้ชายคนนี้ต่างหาก
   คนที่พ่อเก็บมาเลี้ยง กำลังจะฆ่าลูกชายแท้ๆ ของคนที่เก็บเขามา
   ฆ่าด้วยคำสั่งของผู้เป็นพ่อแท้ๆ
---------------------------------------------
   เว่ยชิงหยุดพักจากการต้อนรับแขกเหรื่อที่แวะเวียนมาตลอดทั้งวัน ตอนนี้ชายวัยหกสิบเศษกำลังนั่งทอดกายอยู่บนเก้าอี้นวมตัวโปรด ที่ขนมาจากตึกหลังเดิม เก้าอี้นวมที่สั่งทำเหมือนของเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่คนที่เคยนั่งข้างๆ เขาเวลานอนบนเก้าอี้นวมนี้ไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว
   เกือบห้าสิบปีก่อน คฤหาสน์ของตระกูลเว่ยถูกไฟไหม้อย่างหนัก ไหม้จนเสียหายทั้งหลัง เป็นเหตุให้เขาต้องหาทุนทรัพย์เพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ เว่ยชิงตัดสินใจจะสร้างตึกสำนักงานทับที่คฤหาสน์หลังเดิม เพราะมันดูมีคุณค่ากว่าย้อนกลับไปยังสิ่งเก่าๆ
   สิ่งที่ทำให้เขาหวนคิดถึงอดีตอันร้าวลึก
   ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสั่งทำของหลายอย่างให้เหมือนที่ถูกไฟไหม้ไป หนึ่งเพื่อให้เขารู้สึกเหมือนยังอยู่ที่บ้านเดิม สองคือเพื่อไม่ให้ลืมบทเรียนที่คนคนนั้นฝากฝังไว้
   คนที่เขาไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงหน้า
   เจ้าบ้านเว่ยคนปัจจุบันถอนหายใจยาวอีกรอบ เหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล
   จินหยินล่ะ นานแล้วล่ะมั้งที่เขาไม่อยากมองหน้าลูกชายคนนี้
   นานแล้วที่เขาไม่เคยเอ่ยเรียกชื่อที่เขาตั้งให้
   จินหยิน....
   ความทรงจำเลือนรางราวภาพความฝัน เว่ยจินหยินในวัยเด็ก หน้าตาเป็นอย่างไร เว่ยชิงไม่อยากจำเอามาใส่ในหัวสมองนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าลูกชายคนนี้ เว่ยชิงไม่อยากเก็บความทรงจำเกี่ยวกับตัวลูกชายเอาไว้อีกเลย เขาเหินห่าง เย็นชา ทอดทิ้ง
   นั่นเพราะเว่ยจินหยินช่างละม้าย ทั้งหน้าตาและนิสัยละม้ายคล้ายกันจนน่าเจ็บปวด ละม้ายคล้ายกับผู้ชายคนนั้น
   ผู้ชายที่มีสายเลือดร่วมกับเขา แต่เขาไม่ต้องการจะใช้ชีวิตร่วมโลกด้วย
   เว่ยจินหยินเองก็เช่นกัน
   เว่ยชิงหลับนัยน์ตาสีน้ำครำลง
   บทสรุปสุดท้ายก็คงใกล้เข้ามาทุกที บทสรุปของเรื่องราวความแค้นที่สุมอยู่ในอกขามาเกือบห้าสิบปี
---------------------------------------
   ในชีวิตของจางซื่อเยี่ยน สิ่งแรกที่ถูกฝึกให้ติดเป็นนิสัยจนฝังเข้าไปในจิตสำนึกคือการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และคำสั่งสูงสุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือคำสั่งของจ้าวชีวิต ผู้ยื่นมือเข้ามาส่งเสริมเลี้ยงดูเขา
   เว่ยชิง
   หน่วยดำแทบจะทั้งหมดถูกเว่ยชิงเก็บมาเลี้ยงทั้งสิ้น มันเป็นความภัคดีแบบฝังจิตฝังใจ ความซื่อตรงต่อคำสั่งแบบไม่อาจต่อต้านได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาตอบคำถามของเว่ยเฟิงปิงไม่ได้สักที
   เขารักเฟิงปิง แต่ภัคดีกับเว่ยชิงเท่าชีวิต
   ถ้าหากคนที่ถูกสั่งเก็บเป็นเว่ยเฟิงปิง จางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเขาคงจะต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่นี่คือเว่ยจินหยิน ผู้ชายที่แสนอำมหิต การต้องฆ่าผู้ชายคนนี้ จางซื่อเยี่ยนไม่ลังเลเลย
-------------------------------------
   ท่าทางที่จางซื่อเยี่ยนโจมตีเข้าใส่เว่ยจินหยิน ต่อให้คนปัญญาอ่อนยังรู้ว่ากะเอาถึงตายแน่นอน สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงทำได้คือยืนค้าง พูดอะไรไม่ออก เขาไม่คิดมาก่อนจริงๆ ว่าจางซื่อเยี่ยนจะจงรักภัคดีกับพ่อของเขามากมายขนาดนี้ หากคนที่ถูกสั่งฆ่าเป็นเขา จางซื่อเยี่ยนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เว่ยเฟิงปิงสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ เพราะอย่างนี้เองหรือผู้ชายคนนี้จึงตอบไม่ได้สักที ระหว่างเขาและพ่อจางซื่อเยี่ยนจะเลือกใครก่อน ก็เพราะเลือกไม่ได้สินะ
   แต่เว่ยเฟิงปิงไม่อยากให้พี่ชายตาย
   เขาเคยเกลียดขี้หน้าเว่ยจินหยินจนนึกอยากฆ่า แต่ไม่ได้อยากเห็นพี่ชายคนนี้ถูกฆ่าเพราะคำสั่งของพ่อตัวเอง เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาทำอะไรผิด ทำไมเว่ยชิงถึงต้องสั่งฆ่าลูกชายที่ทำงานถวายหัวคนนี้ ไม่มีใครตอบเหตุผลนี้ได้ นอกจากตัวของเว่ยชิงเอง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยรู้สึกปวดร้าวที่หน้าอก เว่ยจินหยินรักพ่อมากไหม เขาตอบไม่ได้ เพราะท่าทีของเว่ยจินหยินเหมือนแสดงละครตลอดเวลา แต่กระทั่งเขาที่รังเกียจพ่อตัวเอง ยังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อคิดว่าตัวเองจะถูกพ่อแท้ๆ สั่งฆ่า นับประสาอะไรกับลูกชายที่ทำงานให้มาหลายสิบปี
   เขาควรจะรีบหยุดจางซื่อเยี่ยน แต่จนใจที่เปล่งเสียงอะไรไม่ออก
   เขาไม่รู้ว่าเสียงของเขาตอนนี้ จางซื่อเยี่ยนจะยังฟังอยู่อีกรึเปล่า
-------------------------------------
   ลวดบางเบา พลิ้วอยู่ในอากาศด้วยลักษณะพิสดาร กับอาวุธประหลาดแบบนี้ น้อยครั้งจะได้เห็นเองจริงๆ เว่ยจินหยินมองเส้นลวดบางผ่านเลนส์แว่นตาหนาเตอะ เขารู้ดีว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้พูดเล่น เขารู้ว่าลวดแปลกประหลาดที่พุ่งเข้ามานี้ ฆ่าคนได้ และคนที่จะฆ่าในคราวนี้คือตัวเขาเอง
   บางครั้งในชีวิต เว่ยจินหยินเคยรู้สึกว่าตัวเขาน่าจะตายไปให้พ้นๆ เพราะแม้กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้ายังดูจะไม่ต้องการมองขี้หน้า แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แต่ความคิดนั้นถูกลบทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขานึกถึงใครคนหนึ่ง ใครที่คอยดูแล คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาเสมอมา ใครคนนั้นที่รักเขาโดยไม่หวังสิ่งใด
   เพื่อตอบแทนความรักของคนคนนั้น เขาไม่ยอมตายง่ายๆ เด็ดขาด
------------------------------------
   นัยน์ตาสีอีกาของจางซื่อเยี่ยนไหววูบ เมื่อเห็นโต๊ะไม้ตัวงามที่อยู่ตรงหน้าเว่ยจินหยินพุ่งเข้าใส่ โต๊ะไม้มะค่าฝังมุก น้ำหนักไม่ใช่เล่นๆ แต่เว่ยจินหยินเตะมันเหมือนเป็นลังกระดาษ โต๊ะไม้ที่พ่วงน้ำหนักมหาศาลมากับแรงเตะ เร็วไม่แพ้ความเร็วของลวด  เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเว่ยจินหยินฝึกกังฟู แต่ทำงานอยู่หน่วยดำมาหลายปี นอกจากเดินมาสั่งโน่นสั่งนี่ เขาไม่เคยเห็นเว่ยจินหยินวาดลวดลายเองสักครั้ง สำหรับครั้งแรกที่ได้เห็น จางซื่อเยี่ยนยอมรับจริงๆ ว่าเขาประเมินเว่ยจินหยินผิดไปถนัด
   ดูท่า ถ้าเขากำจัดเว่ยจินหยินไม่ได้ คนที่ถูกกำจัดคงจะเป็นตัวเขาเอง
--------------------------------------
   สิ่งที่เว่ยจินหยินเกลียดเป็นอันดับต้นๆ คือการวางข้าวของระเกะระกะ และการทำลายข้าวของ โดยเฉพาะข้าวของส่วนตัวที่ใช้เป็นประจำ เว่ยจินหยินจัดอย่างดีและเป็นระเบียบเสมอมา ตอนนี้ทั้งโต๊ะตัวโปรด ทั้งกองเอกสาร ทั้งเครื่องเขียนราคาแพง กำลังปลิวว่อนอยู่ในอากาศด้วยสภาพที่ไม่น่าดูชมนัก แม้จะรู้สึกปวดใจ แต่การรับมือกับคนระดับจางซื่อเยี่ยน ต่อให้ต้องทำลายของทิ้งทั้งห้อง ก็ยังดูจะคุ้มค่ากว่ามากนัก
   เพราะผู้ชายคนนี้เป็นมือสังหารมือดีคนหนึ่งของหน่วยดำ
   ฤทธิ์เดชหน่วยดำนั้น เว่ยจินหยินทราบกระจ่าง ตั้งแต่อายุสี่ขวบ เขาก็คลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้แล้ว เรียกว่าเขี้ยวเล็บเป็นยังไง เว่ยจินหยินเคยเห็นมาหมด สำหรับจางซื่อเยี่ยนนั้น สมัยยังทำงานด้วยกัน ก็เป็นคนที่เขาเรียกใช้บ่อยที่สุด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเว่ยชิงถึงจงใจเอ่ย”คำสั่ง”กับผู้ชายคนนี้ จะว่าไปแล้วตัวเขาเองนั่นแหละที่ส่งจางซื่อเยี่ยนไปรับคำสั่ง
   ทำไมเขาจึงต้องขอร้องเว่ยเฟิงปิงให้ไปหาเว่ยชิงที่บ้านทั้งๆ ที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าผู้เป็นพ่อจะสั่งอะไร...
   คงเพราะเว่ยจินหยินยังมีความหวังเล็กๆ อยู่ หวังแบบเพ้อฝันว่าพ่อจะเอ่ยชมเขาผ่านน้องชาย พ่อของเขาอาจจะพูดแบบนั้นก็ได้ คราวนี้เขาทำงานคืบหน้าไปได้มาก เว่ยชิงต้องดีใจแน่นอน ที่เขาส่งเว่ยเฟิงปิงไป เพราะหวังจะฟังเท่านี้เอง แต่เขารู้อยู่ลึกๆ สิ่งที่เขาได้รับต้องไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่เป็นอย่างที่คิดไว้ต่างหาก
   กระทั่งลูกชายลักเพศที่เคยถูกขับออกจากตระกูล เว่ยชิงดูยังรักมากกว่าเขาเสียอีก
   เว่ยจินหยินไม่เสียใจ เพียงแต่เหนื่อยใจอยู่บ้าง อีกนานหรือเปล่าว่าที่เขาจะได้รับอะไรอย่างที่เขาหวัง คงต้องผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายนี่ไปก่อน
   โชคดีที่ทุกอย่างยังอยู่ในแผนที่คาดคำนวณเอาไว้แล้ว
----------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนจำต้องหลบโต๊ะไม้ที่พุ่งเข้าใส่ ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นฝ่ายเจ็บหนัก กระนั้นแทนที่จะถอยหลังและรั้งลวดเข้ามาเพื่อป้องกันตัว อดีตหน่วยดำกลับทำให้สิ่งตรงกันข้าม เขาพุ่งเข้าใส่เว่ยจินหยินพร้อมลวด เป็นการกระทำที่จงใจเอาชีวิตเข้าแลกอย่างเห็นได้ชัด
   นั่นทำให้นัยน์ตาสุนัขจิ้งจอกไหววูบ
------------------------------------
   การต่อสู้มีหลายรูปแบบ ได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันไป นอกจากระดับฝีมือแล้ว ความมุ่งมั่นก็เป็นแรงผลักอีกส่วนหนึ่ง และการมุ่งมั่นชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ว่าจะมากับการต่อสู้แบบไหน ล้วนส่งเสริมให้อันตรายถึงขีดสุด
   ตอนนี้เว่ยจินหยินกำลังเผชิญกับความตั้งใจที่ว่านั้นอยู่
   ภาวะเสียเปรียบเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะในขณะที่จางซื่อเยี่ยนตั้งใจจะตาย เขากลับมุ่งมั่นจะรักษาชีวิตเอาไว้ แค่นี้ความต่างก็เห็นกันได้ชัดแล้ว
   ห่วงลวดเส้นบางร้อยรัดเข้ามาใกล้ พร้อมกับเจ้าของที่ตั้งใจเสี่ยงชีวิต เว่ยจินหยินขยับแขนข้างหนึ่ง
   ถึงกำลังใจจะสู้ไม่ได้ แต่แผนรับมือถูกวางเอาไว้แล้ว
   การต่อสู้เสี่ยงชีวิตของจางซื่อเยี่ยนก็ไม่อยู่นอกเหนือการคำนวณ
---------------------------------------------
   นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งค้าง เคยคิดว่าเข็มของนีดเดิลนั้นเป็นปฏิปักษ์กับลวดของเขาอย่างที่สุดแล้ว แต่ที่อยู่ในมือของเว่ยจินหยินตอนนี้ดูจะแย่ยิ่งกว่า กระบี่อ่อนความยาวปกติตามมาตรฐาน ไม่ได้ตกแต่งอะไรพิสดารนัก แต่ที่แย่คือ ห่วงลวดของเขาสูญเสียรูปทรงเมื่อเข้าใกล้ใบกระบี่
   เว่ยจินหยินรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะทำแบบนี้ รู้กระทั่งว่าผู้เป็นพ่อจะใช้”คำสั่ง” ไม่อย่างนั้นคงไม่เตรียมอาวุธรับมือพิสดารขนาดนี้มารับมือได้ทัน
   กระบี่อ่อนที่ใบเป็นแม่เหล็กแรงสูง
   นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จางซื่อเยี่ยนแพ้ให้กับคู่ต่อสู้โดยที่ยังไม่ได้แตะตัว พ่ายแพ้ก่อนที่จะเริ่มอะไรเสียอีก
   พ่ายแพ้ตั้งแต่ตกอยู่ใต้การคาดเดาที่แม่นยำอย่างร้ายกาจ
   คนแบบเว่ยจินหยินไม่สามารถฆ่าได้ง่ายๆ จริงๆ
   อดีตหน่วยดำหลับนัยน์สีอีกาลง ขณะที่อีกฝ่ายเสือกกระบี่เข้าใส่อย่างไม่ปราณี
   เขาพร้อมยอมรับโทษทัณฑ์ของสิ่งที่ก่อไว้โดยไม่อิดออด
------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงพูดอะไรไม่ออก ก่อนหน้านี้เขายังคิดจะตะโกนห้ามจางซื่อเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้เขาแทบจะเปลี่ยนคำพูดไม่ทัน กับเว่ยจินหยินที่เตะโต๊ะไม้ที่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ ราวกับเตะกล่องกระดาษ กับกระบี่ที่พุ่งออกมาจากใต้แขนเสื้ออย่างเตรียมรับมือไว้แล้ว เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนทั้งเขาและจางซื่อเยี่ยนตกหลุมพรางจังเบ้อเร่อ เหมือนเป็นตัวอะไรซักอย่างที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในอุ้งมือของพี่ชายและพ่อ ภาพของลูกน้องที่กำลังจะถูกกระบี่อ่อนเสือกเข้าใส่คอ ทำให้อุณหภูมิความคับแค้นของเว่ยเฟิงปิงถึงจุดเดือด เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมา ไม่ต้องคิดว่าเป็นคำสั่งของใครอีกแล้ว ถ้าเว่ยจินหยินฆ่าจางซื่อเยี่ยน เขาก็จะฆ่าพี่ชายของเขาเอง
------------------------------------------------
   !!
   เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นทำให้เว่ยชิงสะดุ้งตื่น และพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว จากแสงอาทิตย์อัสดงที่ทอดจับผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลายอย่างวิจิตร เขาคงเผลอหลับไประหว่างนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย นัยน์ตาสีน้ำครำที่ผ่านโลกมากว่าหกสิบปีทอดตามองไปยังพื้นไม้ขัดมันเบื้องหน้า กรอบรูปถ่ายรูปหนึ่งร่วงอยู่บนพื้น เสียงเมื่อครู่คงมาจากเจ้านี่เอง
   ชายชรายันตัวลุกขึ้น คร้านจะเรียกแม่บ้านในตอนนี้ แข้งขาที่ผ่านกาลเวลามายาวนานจนเริ่มไม่มั่นคงค่อยๆ ก้าวไปใกล้กรอบรูปถ่ายที่มีเศษกระจกเล็กๆ กระจายอยู่รอบๆ รู้สึกลำบากนิดหน่อยในการค่อมตัวลงหยิบรูปที่อยู่ใต้กรอบนั้นขึ้นมา
   กาลเวลาช่างทำร้ายผู้คนเสียจริงๆ
   เว่ยชิงหรี่ตามองรูปถ่ายในมือ นี่เป็นรูปถ่ายตัวเขากับลูกชายคนรองตอนที่อายุได้สามขวบ เกือบลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเขาเคยรักลูกชายคนนี้ขนาดไหน แต่ถึงตอนนี้ ความทรงจำแบบนั้นคงไม่จำเป็นอีกแล้ว
   ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะอ่านเกมขาดสักขนาดไหน แต่คงไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าหัวใจได้
   เว่ยเฟิงปิงรักจางซื่อเยี่ยน และคงไม่ยอมให้ผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาแน่
    ชายชราหลับตาลง และเอ่ยปากเรียกแม่บ้านให้เข้ามาทำความสะอาด
   คงได้เวลาที่เขาต้องหารูปถ่ายวางในงานศพอีกแล้ว
-------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-11-2011 15:28:32
โห ครอบครัวนี้ สุดยอดมากกกก โดยเฉพาะคุณพ่อเนี่ย  น่ากลัวว่ะ  แล้วจินหยินจะเป็นไรมั้ย เถียนซานมาช่วยไม่ได้แน่เจ็บซะขนาดนั้น

แล้วรูฟัสกับฟ่งอีกล่ะ ..... ตัวละครเกือบทุกตัวตอนนี้เจอแต่ปัญหา -*-
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 25-11-2011 19:45:26
บีบหัวใจมาก

สงสารจินหยินที่สุด,,,อาซานมาช่วยเร็วเข้า ฮืออออ~
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ratrirattikan ที่ 25-11-2011 20:45:50
เอ...แล้วสามคนนั้นจะเป็นยังไงต่อ?
จินหยินดูไม่น่าเป็นห่วง เฟิงปิงก็ยังเฉยๆ แต่ซื่อเยี่ยนสิ.! ไม่ใช่ว่าใครสักคนที่น่าจะตายเป็นหมอนี่นะ!!
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 25-11-2011 21:58:12
โว้ย :z6:  เว่ยชิงจะอะไรกันหนักหนาเนี่ย
ทำเหมือนจินหยินไม่ใช่ลูกแท้ๆอย่างนั้นแหละ  ทำเหมือนจินหยินเป็นลูกน้องชายตัวเองซะงั้น
กรอบรูปตกแบบนี้เป็นลางไม่ดี  แต่แอบลุ้นไม่อยากให้จินหยินตาย
อยากเห็นจินหยินเล่นงานเว่ยชิงกลับ  คงโหดพิลึก
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 26-11-2011 10:25:48
**
ดราม่ายังคงถล่มอย่างต่อเนื่อง

บัญชีเลือดบ้านเว่ยขโมยซีนจริงๆ อิอิ :laugh:

มาอัพต่อล่ะค่ะ

------------------------------------

บทที่71 คำที่เคยอยากได้ยิน

   “ฟ่งครับ นอนเถอะครับ”
   รูฟัสจำได้ว่าตัวเองเอ่ยประโยคนี้แทบทุกคืนตั้งแต่วันที่ฟ่งทะเลาะรุนแรงกับพี่สาว หลังจากวันนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นก็ดูเหมือนจะพาตัวเองหลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง ฟ่งทานอาหารน้อยมาก เรียกว่าถ้าไม่เรียกให้กินก็เหมือนจะลืมไปเลย วันทั้งวันนอกจากคุยกับเขาเป็นพักๆ แล้ว ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเครื่องเกม ชนิดที่ถ้ายังลืมตาได้ก็ไม่ยอมนอน เป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
   แม้รอยจ้ำบนใบหน้าจะจางไปมากแล้ว แต่ฟ่งกลับดูซูบลงไปมาก รูฟัสไม่นึกมาก่อนเลยว่าฟ่งจะสะเทือนใจกับเหตุการณ์นั้นมากขนาดนี้ เขาลืมไปเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้อ่อนไหวขนาดไหน ฟ่งละสายตาจากหน้าจอแวบหนึ่ง และหันมายิ้มเซียวๆ ให้เขา
   “นอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเล่นเสร็จแล้วจะตามไปนอน”
   รูฟัสได้แต่ยิ้มตอบ ที่น่าเจ็บปวดคือการที่เขาอยู่ก็ดูจะเยียวยาหัวใจของฟ่งได้ไม่มากนัก ฟ่งเริ่มปิดขังตัวเองเอาไว้กับความเจ็บปวดอีกครั้ง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ การได้อยู่ด้วยกันคงไม่ใช่เรื่องมีความสุขอีกแล้ว
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และคว้าตัวของอีกฝ่ายมากอดเอาไว้ ฟ่งปล่อยจอยเกมส์ออกจากมือ ไม่ได้โวยวายอย่างที่เคยทำ แต่กลับกอดตอบเขาแนบแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน
   ฟ่งร้องไห้อีกแล้ว
   เสียงสะอื้นที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน หนุ่มสวมแว่นคนนี้กล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้อย่างเงียบเชียบ หยดน้ำอุ่นร้อนไหลซึมสัมผัสกับหัวไหล่กว้าง ร่างบอบบางสั่นไหวราวใบไม้ที่กำลังจะปลิดหลุดออกจากก้านเพราะแรงลม รูฟัสกอดฟ่งแน่นขึ้น ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างปวดร้าว ไม่มีคำพูดใดกับความรู้สึกแบบนี้ เขาได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้ไปเรื่อยๆ
   ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดกับความเจ็บปวดของคนอื่นได้ขนาดนี้
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นจากไหล่กว้าง หยาดน้ำสุกใสหนุนเนื่องออกมาตามร่องหางตา ไหลอาบพวงแก้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลสั่นระริกยามเพ่งมองดวงหน้าของอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา รูฟัสถอดแว่นตาที่เลอะเลือนเพราะหยาดน้ำใสออกอย่างเบามือ ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฟ่งแนบหน้าเข้ากับมือแกร่ง หลับตาลง โอบรัดแนบแน่นขึ้น ก่อนที่จะลืมนัยน์ตาขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปเผยออ้าออก
   “ผมรักคุณ”
   ประโยคสั้นๆ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รูฟัสเคยคิดว่าวันที่ฟ่งเอ่ยบอกรักเขา มันคงเป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด แต่ตอนนี้ ฟ่งพูดประโยคที่เขาอยากฟังออกมาแล้ว แต่มันกลับทำให้หัวใจปวดแปลบ รูฟัสก้มลงจูบใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้น แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่อให้ฟ่งไม่พูดออกมา เขาก็รับรู้เต็มอกแล้ว รับรู้แล้วว่าฟ่งรักเขาจริงๆ รักกระทั่งยอมเจ็บปวดและทรมานตัวเองเพื่อตอบรับความรักนี้
   “ผมรักคุณ.. รักคุณ” ฟ่งเอ่ยย้ำคำพูดเดิมเหมือนจะย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด สำหรับรูฟัสแล้วการที่ฟ่งเอ่ยปากบอกรักเขาในสภาพแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจปวดจี๊ดราวกับถูกไฟจี้ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า อับจนปัญญาจะเอ่ยคำพูด เพราะความรู้สึกที่มีล้นทะลักออกมาแทบจะถึงคอ เขารั้งร่างบางเข้ามาแนบตัวให้ชิดขึ้นอีก จูบปลอบลงไปบนใบหน้าเปียกชื้น ฟ่งตะกายกอดเขา กระซิบเสียงแหบแห้ง “รูฟัส ผมรักคุณ”
   หัวใจของรูฟัสแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นเรื่องตลกอย่างร้ายกาจ เขากำลังเจ็บปวดกับการถูกบอกรักจากปากของคนที่เขาอยากให้บอกมากที่สุด ชายหนุ่มขยับริมฝีปากอย่างยากเย็น ฟ่งพยายามจะสื่อว่ารักเขา พยายามจะทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่พูดนั้นจริง หัวใจอ่อนไหวนั้นกำลังอ้อนวอนหาที่พึ่งสุดท้าย เขาจำต้องพูดอะไรบ้าง ก่อนที่ฟ่งจะแตกสลายไปมากกว่านี้
   “I understand…understood.” รูฟัสเอ่ยเสียงสั่น ไม่รอให้ฟ่งทนพูดอะไรอีก เขาก้มลงจูบไล้พวงแก้ม แนบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่าย ประโลมจูบลงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
   น้ำตาของฟ่งไหลเป็นสายยาว กระชับแขนโอบรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับกลัวจะถูกทอดทิ้ง ร่างบางสะอื้นจนตัวสั่น ตอนนี้รูฟัสเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่จริงๆ
   รูฟัสถอนจูบออก และใช้ปลายจมูกสัมผัสพวกแก้มเปียกชื้น เขารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน ความรักที่สับสนปนเปพ่วงไปกับความเจ็บปวด ฟ่งขยับเลื่อนใบหน้าเข้ามา เสนอริมฝีปากให้กับเขาด้วยท่าทีที่ต้องการการพึ่งพิงอย่างไม่ปิดบัง รูฟัสจูบตอบด้วยความรู้สึกขมไปทั่วทั้งปาก ไม่มีความหวานหลงเหลืออยู่อีกแล้ว มีเพียงรสชาติขมเฝื่อนของความปวดร้าวที่แพร่กระจายไปทั่วทุกอณูสัมผัส
   ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องการซึ่งกันและกัน
   ชายหนุ่มประคองร่างสั่นเทาวางลงบนพื้นพรมอย่างเบามือ จูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ด้วยความรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ ฟ่งยกมือขึ้นลูบไล้เรือนร่างของอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน ในความปวดร้าวของความรักที่ต้องตัดขาดบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังโหยหาสิ่งเติมเต็ม โหยหาบางสิ่งเพื่อปลอบประโลมหัวใจแตกสลาย
   รูฟัส....
   วงแขนผอมบางกอดรัดร่างหนาหนักเอาไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นปะปนขมขื่น ไออุ่นจากเรือนร่างแข็งแรงแผ่นซ่านมาตามท้องน้อย รูฟัสแนบร่างเข้ากับร่างผอมบางที่นอนราบอยู่ เล็มเลียหยาดน้ำตาสุกใสที่ไหลเอ่อออกมาราวกับไม่มีวันเหือดแห้ง ฝ่ามือแกร่งลูบไล้เรือนร่างสั่นสะท้าน เลื่อนผ่านท่อนแขน ลงไปยังฝ่ามือ ยกมันกดแนบลงเหนือศีรษะผู้เป็นเจ้าของ ประโลมจูบปลอบโยนลงบนใบหน้าเรื้อน้ำตานั้นอีกรอบ ฟ่งขยับตัว ตอบรับการปลอบประโลมนั้นอย่างโหยหา ริมฝีปากสั่นเทาเอ่ยเรียกชื่อของผู้ที่มอบจูบให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า มือที่ถูกกดเอาไว้อย่างหลวมๆ บีบรัดฝ่ามือของอีกฝ่ายขณะที่ถูกแสดงเจตจำนงในการล่วงล้ำ
   ความเจ็บปวดแผ่พุ่งขึ้นมาจากตะโพก แล่นขึ้นไปถึงสมอง แต่สำหรับห้วงอารมณ์นี้ คงไม่มีความเจ็บปวดใดจะเจ็บปวดมากไปกว่าความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจอีกแล้ว
   ฟ่งปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหล ซึมซับความเจ็บปวดที่กระแทกกระทั้นเข้ามาในร่าง ตะกายกอดร่างกายอันเต็มไปด้วยไออุ่นเอาไว้แนบอก พร่ำเรียกชื่อเดิมซ้ำๆ
   ชื่อของคนที่เขามอบหัวใจและทุกสิ่งทุกอย่างให้
   ชื่อของคนที่ทำให้เขาขยี้หัวใจดวงเดิมของตัวเอง
   ชื่อของคนที่รักเขาจนแทบจะทำให้เขาตายทั้งเป็น
   รูฟัส.....
-------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินไม่เคยลังเลหลังจากตัดสินใจไปแล้ว สำหรับการเสี่ยงชีวิตของจางซื่อเยี่ยน อีกฝ่ายคงสำนึกตัวแล้วเหมือนกันว่าถ้าไม่สำเร็จจะได้รับโทษทัณฑ์ยังไง เขารู้สึกพอใจที่เห็นฝ่ายตรงข้ามยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ สมกับเคยเป็นสมาชิกหน่วยดำ แบบนี้แหละที่เขาจะได้ฆ่าอย่างไม่ตะขิดตะขวง แต่ความคิดบางอย่างทำให้แขนที่วาดกระบี่เข้าใส่ลำคอนั้นชะงัก
   ภาพของเว่ยเฟิงปิงลอยเข้ามาในหัว
   ถึงไม่อยากจะจดจำ แต่นัยน์ตาสีฟ้ายาวเรียวราวกับงูนั้น ต่อให้ไม่อยากจำก็ต้องจำอยู่ดี เว่ยจินหยินไม่เคยพออกพอใจน้องชายคนนี้มาก่อนเลย พูดให้ถูกคือเขาไม่เคยพอใจใครก็ตามที่พ่อพยายามจะยกขึ้นมาแก่งแย่งตำแหน่งกับเขา แต่เหตุการณ์ที่ประเทศไทย ทำให้เว่ยจินหยินต้องมองน้องชายคนนี้ใหม่ ดูท่าเว่ยเฟิงปิงจะมีส่วนน่ารักอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ยังแสดงท่าทีเหมือนจะห่วงใยเขาอยู่ ยามที่เขาขาดสติ น้องชายคนนี้ก็ช่วยดึงกลับมา
หัวสมองของเว่ยจินหยินคำนวณการตัดสินใจใหม่อย่างรวดเร็ว เขาควรลองเปลี่ยนตัวเองสักครั้ง ลองรักน้องชายคนนี้อย่างที่พี่ทั่วไปสมควรทำ... ถ้าอย่างนั้น การไม่ฆ่าจางซื่อเยี่ยนน่าจะเป็นผลดีกว่า
   อย่างน้อย หากจางซื่อเยี่ยนต้องถูกลงโทษ ก็ควรจะถูกเจ้านายของตัวเองลงโทษ
   เว่ยจินหยินหยุดกระบี่เอาไว้ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนจะเบือนหน้าไปหาน้องชาย
----------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนั้นคิดจะยิงพี่ชายคนรองของเขาจริงๆ ยิงด้วยโทสะที่ก่อตัวขึ้นมาในชั่วเสี้ยววินาที เขาเกือบจะเหนี่ยวไกอยู่แล้ว ในตอนที่นัยน์ตาราวสุนัขจิ้งจอกเบือนกลับมา
   นัยน์ตาที่เคยเยือกเย็นนั้นไหววูบ ราวกับน้ำนิ่งที่ถูกก้อนหินโยนเข้าใส่
   สีหน้าเรียบเฉยของเว่ยจินหยินแปรเปลี่ยนทันที
----------------------------------------------------
   เสียงวัตถุโลหะกระแทกกันทำให้จางซื่อเยี่ยนลืมตาโพล่ง กระบี่ที่ควรจะแทงคอหอยเขาไม่ได้อยู่ในมือของเว่ยจินหยินอีกแล้ว ถึงจางซื่อเยี่ยนจะทำใจยอมรับชะตากรรม แต่ในจังหวะที่คู่ต่อสู้หยุดลงมือและดูจะเผลอไปดื้อๆ ถือเป็นโอกาสที่เขาไม่ควรพลาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ชายหนุ่มกระแทกหมัดเข้าใส่ร่างซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณ
---------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินชะงัก ชะงักไปเลยจริงๆ เขาไม่คิดว่าเว่ยเฟิงปิงจะเล็งปืนใส่เขา สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองยามนั้นคือ ทำไม? เว่ยเฟิงปิงมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้
   เขาไม่ได้นึกเอ็นดูเว่ยเฟิงปิงเพราะรูปร่าง หรือหน้าตา แต่เว่ยจินหยินมองว่าเว่ยเฟิงปิงมีหัวคิด ถึงจะยังเด็กอยู่ แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีสติพอจะไตร่ตรองและทำอะไรโดยไม่บุ่มบ่าม การฆ่าเขาตามคำสั่งผู้เป็นบิดาไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเจ้าตัวเลย ไม่รู้ล่ะหรือว่าต่อให้ฆ่าเขาตายตรงนี้ บรรดาลูกน้องที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ปล่อยให้ออกไปอยู่ดี และถ้าออกไปได้ แน่ใจล่ะหรือว่าเว่ยชิงจะยอมปล่อยไป
   เว่ยเฟิงปิงโง่ขนาดมองแผนการนี้ของผู้เป็นพ่อไม่ออกเลยหรือ
   แต่เมื่อเว่ยเฟิงปิงกล้าเล็งปืนใส่เขา ก็ไม่แน่ว่าจะไม่กล้ายิง
   กระบี่ถูกซัดออกไปอย่างรวดเร็ว เขายังปราณีเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง เว่ยจินหยินทำอะไรย่อมมีเหตุผลเสมอ และการฆ่าคนโดยไม่เอ่ยปากสอบถามหรือรีดประโยชน์ก่อนไม่ใช่วิธีของเขา อย่างไรก็ตาม การแบ่งสมาธิไปให้ความสนใจน้องชายนั้น เปิดช่องว่างมากพอที่จะทำให้คนที่เพิ่งแสดงทีท่ายินยอมพ่ายแพ้เมื่อครู่ แว้งกลับมาจัดการกับเขาใหม่
   ลืมไปเลยว่านี่คือมือสังหารที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่ง
----------------------------------------------------
   เลือดไหลอาบข้อมือของเว่ยเฟิงปิง ดูเหมือนเว่ยจินหยินจะจงใจซัดกระบี่เข้าใส่ปืนมากกว่าจะทำร้ายเขา อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนจังหวะกะทันหันแบบนั้นใช่ว่าจะเล็งให้แม่นกันได้ง่ายๆ เว่ยเฟิงปิงบาดเจ็บ แต่ปืนก็หลุดออกจากมือไปด้วยเช่นกัน ก่อนจะทันคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อ สถานการณ์ตรงหน้าก็พลิกผันอีกครั้ง
   จางซื่อเยี่ยนชกเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างไม่รอให้ตั้งตัว ถึงเว่ยจินหยินจะหันหน้ากลับไปแล้ว แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี แรงกระแทกทำให้เขาเซถลาถอยหลังไปหลายก้าว เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายขอบคุณชายรองคนนี้ไม่ทนทานกับความรุนแรงที่ได้รับ
   อดีตหน่วยดำไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ เขารับ”คำสั่ง”มาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องปฏิบัติให้สำเร็จ จางซื่อเยี่ยนพุ่งเข้าใส่ร่างที่เซถลาอย่างตั้งตัวไม่ติด ห่วงลวดบางเบาลอยหวิวอยู่ในอากาศ คล้องเข้าใส่ลำคอนั้นอย่างแม่นยำ เว่ยเฟิงปิงตะโกนออกไป
   “หยุดนะ!!”
   จางซื่อเยี่ยนชะงักทันที เสี้ยววินาทีแรกเขาชะงักเพราะเสียงของผู้เป็นเจ้านาย แต่เสี้ยววินาทีต่อมาทำให้อดีตหน่วยดำหยุดชะงักไปจริงๆ เว่ยจินหยินที่กำลังเสียหลักไม่เป็นท่า ยกมือขึ้นมาเหมือนพยายามจะปัดป้อง แต่สิ่งที่ทำให้นัยน์ตาสีอีกาเบิ่งกว้างคือเลสท์ข้อมือสีเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อ
   กว่าจะตระหนักถึงอันตรายของการปัดป้องนั้น ภาพตรงหน้าก็วูบลงเหมือนถูกตัดไฟ
------------------------------------------
   เว่ยจินหยินสำลัก เหมือนจะมีเลือดออกมาด้วยนิดหน่อย หมัดของจางซื่อเยี่ยนเบาๆ เสียที่ไหน และร่างกายของเขาก็ไม่ได้ถูกฝึกมาให้รับการกระทบกระเทือนแบบนี้ ถึงอย่างนั้นคุณชายรองก็ยังมีแก่ใจจะเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อร่างที่กำลังจะล้มทั้งยืนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยลงกับพื้น และไอซ้ำอีกครั้ง
   “ไม่ตายหรอก” เขากล่าว เมื่อเห็นเว่ยเฟิงปิงวิ่งเข้ามาประคองตัวลูกน้อง นัยน์ตาสีฟ้าเงยมองเขาอย่างงุนงงและตื่นกลัว
   “ทำไม?”
   เว่ยจินหยินไออีกรอบ ละอองเลือดที่กระเซ็นใส่ฝ่ามือทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย
   “พี่ก็อยากจะถาม เธอหักหลังพี่ทำไม?”
-----------------------------------------
   ความเงียบอย่างน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นภายในห้องทำงานของเว่ยจินหยิน ซึ่งสภาพในตอนนี้ดูคล้ายเพิ่งถูกพายุถล่ม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ล้มตะแคงอยู่มุมหนึ่ง ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เว่ยเฟิงปิงประคองร่างของจางซื่อเยี่ยนวางลงบนตัก ใบหน้านั้นขาวซีดราวคนตาย เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามพี่ชาย โดยไม่ได้ตอบคำถามเดิม
   “พี่ทำอะไรซื่อเยี่ยน?”
   เมื่อเห็นว่าเว่ยเฟิงปิงไม่ได้มีท่าทีจะคุกคามชีวิตของเขาอีก สีหน้าของเว่ยจินหยินก็ดูผ่อนคลายลง ถึงกับเป็นฝ่ายยอมตอบคำถามก่อน
   “ยา” ผู้เป็นพี่ชายตอบสั้นๆ ก่อนจะพูดอธิบายต่อ “ไม่ถึงตาย แค่เป็นอัมพาตชั่วคราว”
   คนเป็นน้องมองนัยน์ตาสีดำอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ก็พยักหน้า ถึงสงสัยไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อทางนั้นยืนยันแล้วว่าไม่ตาย เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ให้มากอีก เกิดเว่ยจินหยินเปลี่ยนใจโมโหขึ้นมา ตัวเขาเองนั่นแหละจะแย่เปล่าๆ
   “ทำไมเธอถึงโกหกพี่?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอย่างมีน้ำอดน้ำทนเมื่อเห็นผู้เป็นน้องชายยังคงนิ่งเงียบ เว่ยเฟิงปิงเงยหน้ามองเขาอีกรอบ ขมวดคิ้ว “ผมโกหกพี่เรื่องอะไร?”
   “เธอพูดเองว่าจะไม่ทำตามคำสั่งคุณพ่อ แต่เธอก็ฉวยโอกาสเล็งปืนใส่พี่” เว่ยจินหยินเอ่ย นัยน์ตาสีดำวาววับจับจ้องไปยังมือที่มีเลือดแห้งกรังของผู้เป็นน้องชาย เว่ยเฟิงปิงชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
   “พี่บังคับให้ผมทำ”
   คิ้วได้รูปของผู้ฟังขมวดเข้าหากันทันที เหมือนกับจะถามหาเหตุผล เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ “พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน พี่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ พี่ให้ผมไปหาคุณพ่อ ให้ซื่อเยี่ยนรับคำสั่ง พี่เห็นพวกผมเป็นตัวอะไร?”
   นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริกอย่างมีโทสะ มาคิดดูแล้วก็น่าหงุดหงิดใจจริงๆ ที่พวกเขาสองคนเอาชีวิตมาแขวนไว้กับแผนการสลับซับซ้อนที่หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอของผู้เป็นพ่อและพี่ชาย เว่ยจินหยินกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ออ..อืม... พี่คงทำให้รู้สึกแบบนั้น”
   คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้เว่ยเฟิงปิงพอใจสักนิด เขาถลึงตาใส่ผู้เป็นพี่ชายอย่างเอาเรื่อง
   “อธิบายมา ผมอยากรู้ว่าพี่กับพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้หลอกใช้ผมกับซื่อเยี่ยนอย่างนี้”
   ก็รู้อยู่หรอกว่าเจอแบบนี้อาจจะไม่พอใจ แต่สำหรับเว่ยจินหยิน เฟิงปิงยังไม่ได้ตอบคำถามของเขาเลย
   “เธอยังไม่ได้ตอบพี่เลยว่าทำไมถึงหันปืนใส่พี่”
   เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง นี่พี่ชายของเขาฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ไอ้ที่เขาพูดไปไม่ใช่เหตุผลรึ ชายหนุ่มถึงกับต้องกระชากเสียง “ก็พี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน!”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินไหววูบ ดูเหมือนจะแปลกใจอยู่มาก ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยช้าๆ “เพราะพี่จะฆ่าซื่อเยี่ยน เธอเลยจะฆ่าพี่? ฆ่าพี่เพราะซื่อเยี่ยนเหรอ?”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไอ้คำถามที่ถามกลับมายังไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับท่าทีที่แสดงออก พี่ชายของเขาทำอย่างกับว่าการที่เขากลัวจางซื่อเยี่ยนตายเป็นเรื่องประหลาดเสียเต็มประดา อีแบบนี้ไม่โมโหก็ต้องโมโหกันบ้างล่ะ
   “ผมไม่อยากให้ซื่อเยี่ยนตาย ประหลาดนักหรือไง? ทีพี่ยังจะเป็นจะตายตอนเถียนซานถูกระเบิดเลย!!”
   เมื่อถูกตอกหน้าเรื่องในวันนั้น เว่ยจินหยินถึงกับอับจนคำพูดไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า
   “ไม่ยักรู้ว่าเธอผูกพันกับซื่อเยี่ยนขนาดนี้ เห็นทีพี่คงเข้าใจผิด เธอไม่ได้ยอมนอนกับซื่อเยี่ยนแค่หวังผลประโยชน์เท่านั้นสินะ”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชายอย่างโกรธเคือง “ผมจะนอนกับใครมันก็เรื่องของผม แล้วถ้าผมจะรักซื่อเยี่ยน มันไปหนักส่วนไหนของพี่!”
   คำต่อล้อต่อเถียบแบบไม่ไว้หน้าของน้องชายทำเอาเว่ยจินหยินสะอึก ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่รักษามารยาท เว่ยเฟิงปิงนั้นแต่ไหนแต่ไรไม่เคยรักษามารยาทกับเขาอยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เว่ยจินหยินตระหนกคือคำว่ารักที่เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาต่างหาก
   น้องชายของเขางับเหยื่อล่อตัวโตของผู้เป็นบิดาเข้าเสียแล้ว
   เว่ยจินหยินเคยสงสัย ว่าทำไมเว่ยชิงต้องจงใจส่งจางซื่อเยี่ยนไปเป็นบอดีการ์ดให้กับเว่ยเฟิงปิงด้วย เพราะคนที่เคยถูกไล่ออกไปหนหนึ่ง ต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกัน ตำแหน่งและอำนาจที่ได้หลังกลับมาในตอนแรกไม่มีคุณค่าคู่ควรกับการส่งหน่วยดำไปคุ้มกันด้วยซ้ำ เขาเข้าใจว่าผู้เป็นพ่อต้องการจะจับจ้องพฤติกรรมของลูกชายลักเพศคนนี้อย่างใกล้ชิด แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่า จางซื่อเยี่ยนเองก็ดูจะไม่ได้ติดต่อกับเว่ยชิงบ่อยนัก ทุกอย่างดูแปลกๆ
เว่ยจินหยินนึกหงุดหงิดใจ กระทั่งบากหน้าไปหาผู้เป็นพ่อเพื่อหยอดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดูว่าเว่ยชิงจะจัดการยังไงกับลูกชายที่ดูจะมีความสัมพันธ์เกินเลยกับคนที่ส่งไปคุม และก็แปลกใจเมื่อพบว่าพ่อของเขาปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
   เว่ยจินหยินเพิ่งเข้าใจเหตุผลตอนนี้เอง
   บ่วงรักบงการคนได้ดีที่สุด
   คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยถอนหายใจยืดยาว เขาเกือบพลาดแล้วจริงๆ ถ้าหากเขาไม่หยุดมือและหันมามองน้องชาย เว่ยเฟิงปิงยิงเขาแน่นอน คิดมาถึงตรงนี้เว่ยจินหยินรู้สึกวูบในหัวอย่างบอกไม่ถูก เว่ยชิงถึงกับวางหมากไว้หลายชั้น วางกลยุทธ์ที่พร้อมจะหยิบมาใช้ได้เมื่อมีโอกาส รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเขาเตรียมจะรับมือเอาไว้ รู้แน่ว่าเขาคงไม่ปล่อยจางซื่อเยี่ยน และรู้ว่าเว่ยเฟิงปิงจะไม่ปล่อยให้จางซื่อเยี่ยนตายโดยไม่ทำอะไร
   ทำไมคนที่คาดเดาหัวใจคนอื่นได้ดีขนาดนี้ จึงไม่เคยรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้บ้าง
   ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังเขานัก
-----------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงเงยมองผู้เป็นพี่ชาย จนแล้วจนรอดเว่ยจินหยินก็ยังไม่ตอบคำถามของเขา ว่าวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่ คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่สมควร ในเมื่อเขาตอบคำถามแล้ว อีกฝ่ายก็ต้องตอบบ้าง
   “พี่รอง พี่บอกผมได้หรือยังว่าพี่กับพ่อวางแผนอะไรกันเอาไว้”
   เว่ยจินหยินหันมาเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่กำลังจะอ้าปาก เขาก็สำลักอีกครั้ง
   เลือดสีแดงกระจายเต็มพื้นห้อง
------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่70 p13 25/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 26-11-2011 10:29:19
   ท้องฟ้ามืดครึ้มลงแล้ว เว่ยชิงยังคงใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้นวมตัวโปรด หลังเสร็จจากอาหารมื้อเย็นบนโต๊ะตัวใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดอีก เขาไม่ทานอาหารร่วมกับใครมานานมากแล้ว และไม่เคยนัดใครมานานอาหารที่บ้าน นอกเสียจากลูกชายคนโต ซึ่งก็ไม่ค่อยแวะมาบ่อยนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโปรดปรานฟู่ฉินเสมอมา
   ความจริงแล้วเว่ยชิงรักชอบลูกๆ ของตนทุกคน แม้กระทั่งเว่ยเฟิงปิงที่ดันกลายเป็นคนลักเพศ เพียงแต่เขาอาจจะต้องใช้วิธีแสดงความรักต่างกันบ้าง ตามนิสัยของลูกแต่ละคน  เพื่อให้ลูกๆ อยู่ในโอวาท และทำงานให้เขาอย่างสมบูรณ์ที่สุด
   ยกเว้นเสียแต่เว่ยจินหยิน
   เหมือนจะมีความทรงจำเบาบางว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรักลูกชายคนนี้มากแค่ไหน ลูกชายตัวน้อยๆ ที่ถือกำเนิดจากภรรยาคนที่สอง กับเขาที่ช่วงนั้นกำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์และได้อำนาจมาไว้ในมืออย่างเต็มที่ หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้าย การได้ลูกชายคนใหม่ในตอนนั้นทำให้เขามีความสุข แม้จะงานยุ่งแต่เขาก็หาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนลูกชายคนนี้เสมอ นัยน์ตากลมโตน่ารักมองเขาอย่างยินดีเมื่อได้เห็น เว่ยจินหยินช่างพูดช่างจามาแต่เด็ก หน้าตามีเสน่ห์ เว่ยชิงในตอนนั้นรักใคร่ลูกชายคนใหม่นี้มากจริงๆ ถึงกับจัดคนดูแลไม่ห่าง หากระทั่งเพื่อนเล่นไว้ให้ เขาพาเถียนซานเข้ามาเพื่อให้ดูแลลูกชายตัวน้อยและคอยปกป้อง ซึ่งเถียนซานทำได้ดีเสมอมา
   ความรักทุ่มเทในตอนนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเว่ยชิงเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่ยังเยาว์วัย เขาเคยรักเคยเอ็นดูใครคนหนึ่ง เคยทุ่มเทให้กับใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นที่ช่างพูดช่างจา ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ รู้ใจเขาไปทุกอย่าง
   ราวกับเงาสะท้อนของอดีตที่ยังความขมขื่นมาให้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เว่ยชิงรู้สึกตัว หวาดกลัวในความรักที่เขามี เขาตัดสินใจตัดเยื่อใยกับลูกชายที่ละม้ายกับอดีตคนนี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใจแข็งพอจะเด็ดหัวทิ้ง เหมือนที่ไม่ใจแข็งพอกับคนคนนั้นนั่นแหละ
   เพราะความอ่อนแอนั้นแหละ มันถึงได้กลายเป็นหนามยอกอกเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้
   เว่ยชิงไม่อยากทำพลาดซ้ำหลายครั้ง ก่อนที่เว่ยจินหยินจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เขาคงต้องหักใจกำจัดทิ้งก่อน
   แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดได้ช้าเกินไป กว่าที่เขาจะรู้ตัวว่าควรจะลงมือกับลูกชายคนนี้ จินหยินก็รวบอำนาจเอาไว้ได้เยอะแล้ว ช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนกับช่วงเวลานั้นไม่มีผิด จะต่างก็เสียแต่ เขามีประสบการณ์มาแล้ว รู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่มีทางจะถูกทำลายอีกเป็นครั้งที่สอง
   กระนั้นเขาก็ยังเคยคาดหวังจะใช้วิธีละมุนละม่อมจัดการกับเว่ยจินหยิน การหักใจฆ่าลูกชายนั้น สำหรับคนเป็นพ่อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ก็เหมือนกับการหักใจตัดอวัยวะสำคัญทิ้งนั่นแหละ เว่ยชิงลองหว่านล้อมให้จินหยินแต่งงาน หว่านล้อมให้ลูกชายคนนี้ผูกสมัครรักใคร่กับใครสักคน ใครที่เขาจะเอาไว้ใช้เป็นหลักประกันได้ว่าจะไม่ทำให้เว่ยจินหยินหักหลังเขา แต่กลับถูกทางนั้นปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อไม้นวมใช้ไม่ได้ผล และเว่ยจินหยินยิ่งกระทำการคล้ายกับอดีตที่เขาเคยเผชิญมากไปทุกที เว่ยชิงจึงต้องคิดวางแผนกำจัดลูกชายอย่างเงียบๆ
   กระทั่งวางยาพิษในตอนที่เชิญมาทานข้าว เขาก็ทำมาแล้ว แต่อะไรที่เขาคิด มีหรือเว่ยจินหยินจะคาดไม่ได้ เว่ยชิงรู้ว่าลูกชายคนนี้ไม่ไว้ใจเขา แบบเดียวกันกับเขานั่นแหละ แต่หากเว่ยจินหยินจะมองเขาด้วยสายตาชิงชังหรือเย็นชาอย่างที่ลูกคนอื่นมอง เขาคงทำใจยอมรับได้มากกว่านี้
   แต่นัยน์ตาสีดำนั่นกลับมองมายังเขาอย่างอ้อนวอน ขอความเห็นใจ ที่เหมือนมีม่านบางๆ มาขึงไว้อีกชั้นหนึ่ง
   คล้ายกับนัยน์ตาคู่เดิมที่เป็นอดีตของเขาจริงๆ
   หลังจากครั้งนั้น เว่ยชิงตระหนักดีว่าเขาต้องกำจัดลูกชายคนนี้ให้ได้ เขาจะไม่เสี่ยงจนถึงวินาทีสุดท้าย เว่ยจินหยินที่พยายามจะสร้างความดีความชอบกับเขา จึงทำให้เพาะศัตรูเอาไว้รอบด้าน เว่ยชิงเคยเฝ้ารอ เฝ้ารอวันแล้ววันเล่าว่าเว่ยจินหยินจะถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลอบสังหาร แต่เจ้าตัวก็รอดมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายเขาจึงต้องลงมือเอง
   โดยการส่งเว่ยจินหยินไปร่วมประชุมที่เมืองไทย
   การที่เขาตกลงจะส่งคนเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายแค่สองอย่าง คือหักแขนหักขาริเวิล และยืมมืออีกฝ่ายฆ่าลูกชายตัวเอง สำหรับเขา เว่ยจินหยินกับริเวิล ไม่ว่าใครจะเพลี่ยงก็ดูจะสมผลประโยชน์ทั้งนั้น การส่งเว่ยเฟิงปิงไปด้วยก็แค่การตบตาคนอื่นๆ ไม่ให้สงสัยว่าเขาวางแผนสังหารลูกชายตัวเอง และอีกอย่างเว่ยเฟิงปิงดูจะมีทีท่าอยากแว้งกัดเว่ยจินหยิน ในเมื่อเขาตกลงใจจะกำจัดลูกชายคนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด
   แต่เว่ยจินหยินก็ยังรอดมาได้ และย้อนเกล็ดริเวิลเสียจนอ่วม
   เว่ยชิงบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเขารู้สึกดีใจหรือเสียใจกับเรื่องนี้
   เสียงใบไม้เสียดสียามต้องกับสายลมยามค่ำดังแว่วมาที่หน้าต่าง เว่ยชิงเงี่ยหูฟังอย่างสงบ เขาได้ยินเสียงอย่างอื่นนอกจากเสียงของสายลมแล้ว
   อีกไม่กี่อึดใจ ชายคนหนึ่งก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา ในสภาพเหนื่อยหอบ เว่ยชิงนั่งรออย่างอดทน รอให้ฝ่ายนั้นหอบหายใจจนเต็มที่ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ คงไม่รีบร้อนมารายงานขนาดนี้
   “คะ.. คุณชายรองบาดเจ็บสาหัส เพิ่งตามหมอเข้าไปดูอาการเมื่อครู่นี้เอง”
   นัยน์ตาสีน้ำครำหลับลง แม้จางซื่อเยี่ยนจะไม่ได้ฆ่าเว่ยจินหยินในทันที แต่ฟังแค่บาดเจ็บสาหัสกับสถานการณ์ล่อแหลมในตอนนี้ เว่ยจินหยินต้องไม่ไปโรงพยาบาลแน่ เพราะถ้าออกไป ก็เสี่ยงกับการถูกลอบสังหารอยู่ดี เจ้าตัวคงจะเลือกรักษาตัวอยู่ที่ตึก หวังว่าอาการบาดเจ็บสาหัสนั่นจะสาหัสพอให้เว่ยจินหยินเหลือเวลามองโลกนี้อีกไม่มาก
   เว่ยชิงโบกมือให้ผู้รายงานข่าวกลับออกไป ก่อนจะถอนหายใจ
   บทสรุปสุดท้ายคงใกล้มาถึงแล้ว
   แต่มันจะเป็นอย่างที่เขาหวังจริงๆ หรือ?
-----------------------------------
   ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสาม เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเห็นใครกระอักเลือดจริงๆ ซักที นอกจากการแสดงในละครโทรทัศน์ เขาไม่คิดว่าจะมีใครที่ไหนในโลกถูกมือธรรมดาๆ กระแทกจนอวัยวะภายในเสียหายขนาดสำลักเลือดมาก่อน
   แต่สิ่งที่เว่ยจินหยินสำลักคือเลือดไม่ผิดแน่ กลิ่นคาวฉุนเฉียวและสีแดงสดแบบนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
   ดูท่ามันจะเป็นผลมาจากหมัดที่จางซื่อเยี่ยนต่อยใส่
   เว่ยเฟิงปิงพูดอะไรไม่ออก ก่อนที่เว่ยจินหยินจะหมดสติ เขาเรียกลูกน้องเข้ามาและสั่งกำชับว่าไม่ว่าอาการจะเลวร้ายแค่ไหน ห้ามพาเขาออกไปจากตึกนี้เด็ดขาด ผู้เป็นลูกน้องปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด แม้แพทย์ที่ถูกตามเข้ามาจะลงความเห็นว่าต้องไปที่โรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด แต่อีกฝ่ายยังคงยืนยันในคำสั่งอย่างเคร่งครัด จนฟังดูเหมือนอำมหิต สุดท้ายแพทย์จึงต้องตรวจอาการของเขาและลงมือรักษาในห้องนอนของตัวเขาเอง
   เว่ยเฟิงปิงไม่มีน้ำหน้าจะอยู่คอยดูแลอาการของพี่ชาย เขาปล่อยให้ลูกน้องของเว่ยจินหยินจัดการทุกอย่าง และปลีกตัวออกมาเงียบๆ สมทบกับลูกน้องของตนที่รอคอยอยู่
   ไม่มีใครถามอะไรเขา ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุการบาดเจ็บของเจ้านาย
   ทุกคนในตึกของเว่ยจินหยินปล่อยให้เขากลับออกมาง่ายๆ
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าควรจะโล่งใจดีหรือเปล่า
   มันประหลาดเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้ ราวกับคนในตึกถูกสั่งเอาไว้ล่วงหน้า
   จนถึงตอนนี้ เว่ยเฟิงปิงหมดความสามารถจะเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าพี่ชายคนรองของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
   หลังจากกลับมาถึงสำนักงาน เว่ยเฟิงปิงให้คนพาร่างที่ยังคงไร้สติของจางซื่อเยี่ยนไปไว้ที่ห้องนอน ก่อนจะเฝ้าดูอาการอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง
------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส เคยหมดสติ เคยเจ็บจนแทบขาดใจ มันเป็นเรื่องที่เขาต้องพร้อมจะเผชิญอยู่ทุกเมื่อ แต่สิ่งที่เขาประสบอยู่นี้ ดูพิสดารและออกแนวเลวร้ายกว่าสิ่งที่เคยเจออยู่มาก
   หูของจางซื่อเยี่ยนยังได้ยินทุกอย่าง ร่างกายทุกส่วนยังรับสัมผัสได้ แต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนใดๆ ได้เลย เหมือนกระดูกและกล้ามเนื้อถูกบางสิ่งบางอย่างยืดเอาไว้จนแข็งไปหมด
   รสชาติยาพิษของเว่ยจินหยินแต่ละอย่าง สุดทานทนจริงๆ
   จางซื่อเยี่ยนคิดเอาไว้หลายอย่าง หลังจากได้รับ”คำสั่ง” เขารู้ดีว่าขัดขืนคำสั่งนี้ไม่ได้ แต่การสังหารเว่ยจินหยินในตอนที่เว่ยเฟิงปิงยังอยู่ด้วย ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่จะได้รับอันตราย ต่อให้เว่ยจินหยินถูกกำจัดจริง ก็ใช่ว่าลูกน้องด้านนอกจะปล่อยพวกเขาไปเสียหน่อย แต่คำสั่งคือคำสั่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไร จางซื่อเยี่ยนยังคงต้องลงมือ
   โชคยังดีที่เว่ยเฟิงปิงไม่เอาด้วยกับพ่อของเขา
   เว่ยจินหยินแม้จะอำมหิต แต่ก็เป็นคนฟังเหตุผล และหากยังมีประโยชน์ เจ้าตัวคงไม่ลงมือฆ่าทิ้งแน่ ในเมื่อเว่ยเฟิงปิงไม่มีกะใจจะมุ่งร้ายกับเว่ยจินหยิน แม้เขาทำพลาด คนที่จะถูกกำจัดคงเป็นเขาแค่คนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้ทำให้จางซื่อเยี่ยนเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่หากเขาทำสำเร็จ เว่ยเฟิงปิงต้องถูกสงสัยด้วยแน่ๆ เรื่องนี้จางซื่อเยี่ยนคิดว่าเขาคงต้องหักใจทำร้ายเจ้านายสักครั้ง
   หากเว่ยเฟิงปิงถูกทำร้ายด้วย โทษทัณฑ์ทุกอย่างก็จะตกแก่เขาเพียงผู้เดียว
   แต่ทุกอย่างไม่มีสิ่งไหนเป็นไปตามการคาดการณ์ของเขาเลย เว่ยจินหยินไม่ฆ่าเขา ซ้ำยังยิงเข็มพิษบางอย่างใส่เขาในวินาทีสุดท้าย พิษที่หากมันฆ่าเขาตายคงไม่ทำให้เขาปวดใจมากขนาดนี้ จางซื่อเยี่ยนได้ยินบทสนทนาหลังจากนั้นทุกประโยค รู้สึกด้วยซ้ำว่าถูกมือใครหิ้วไว้ ถูกใครให้หนุนตัก
   รู้สึกชัดว่าร่างกายที่ให้เขาหนุนอยู่นั้นสั่นสะท้านขนาดไหนในตอนที่พูดคำนั้นออกไป
   รัก...
   จางซื่อเยี่ยนไม่เคยคิดมาก่อนว่าเว่ยเฟิงปิงจะรักเขาจริงๆ ถึงแม้เขาจะรักเจ้านายคนนี้มาก แต่ก็หวังเพียงเป็นคนที่ช่วยเยียวยาหัวใจบาดเจ็บดวงนั้น อยากให้เว่ยเฟิงปิงพอใจเขาบ้าง ยอมรับความรักที่เขามือ แต่ไม่เคยหวังให้อีกฝ่ายรักเขาขนาดยอมเสี่ยงด้วย
   ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้านายที่แสนเย็นชาคนนี้จะยกปืนเล็งพี่ชายเพราะเขา
   ถ้าอย่างนั้น กระบี่ที่หายไปและท่าทีชะงักของเว่ยจินหยินก็เพราะน้องชายคนนี้นี่เอง จางซื่อเยี่ยนรู้สึกโล่งใจอยู่ที่กระบี่นั้นดูจะไม่ได้ทำให้เจ้านายของเขาบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกนั่นได้เด็ดขาด ดูเว่ยเฟิงปิงจะห่วงเขามากจริงๆ หากไม่ใช่เผชิญเหตุการณ์แบบนี้ การแสดงความห่วงใจต่อเขาอย่างจริงใจของผู้เป็นเจ้านายคงทำให้เขามีความสุขไม่น้อย เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกลูบศีรษะเป็นรางวัล แต่สำหรับตอนนี้ทุกอย่างผิดกันไปหมด เขาพลาด และเว่ยเฟิงปิงเสี่ยงชีวิตเพราะเขา หากเว่ยจินหยินไม่ใจเย็นขนาดนึกถามเหตุผลก่อนจะลงมือแล้ว เว่ยเฟิงปิงจะรอดหรือ?
   จางซื่อเยี่ยนอดรู้สึกสะท้านขึ้นมาไม่ได้ เขาเพิ่งรู้นี่เองว่าความรักซับซ้อนเกินกว่าที่คิดเอาไว้ การที่เว่ยเฟิงปิงลงมือกับเว่ยจินหยินเพราะเขา ใครเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ อา.... ถ้าใครจะคาดเอาไว้ ก็คงต้องเป็นคนคนนั้นนั่นแหละ
   คนที่เอ่ย”คำสั่ง”กับเขา
   จริงๆ แล้วจางซื่อเยี่ยนแปลกใจมากพอสมควรเลยที่ได้ยินว่าเจ้านายใหญ่อยากจะกำจัดลูกชายคนรองของตัวเอง ตลอดเวลาเขาเข้าใจอยู่เสมอว่าเว่ยชิงโปรดปรานลูกชายคนนี้ไม่น้อยไปกว่าคนโต เพราะเว่ยจินหยินทำงานตอบสนองเขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแค่ไหน ผู้ชายที่เจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกคนนี้สามารถเอาอยู่แทบทุกอย่าง เรียกว่าถ้าไม่รักก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แม้จะไม่ค่อยเห็นเว่ยชิงอยู่กับเว่ยจินหยินบ่อยนัก แต่ทุกคนก็เชื่อเหมือนกันหมดว่า สองพ่อลูกนี้รักกันจริงๆ เพราะเว่ยจินหยินเองก็ชอบอ้างถึงเว่ยชิงบ่อยๆ
   ดังนั้นการสั่งฆ่าเว่ยจินหยินจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
   แต่ทุกคนที่อยู่ในหน่วยดำรู้ดีว่าเว่ยชิงไม่เอ่ย”คำสั่ง”พร่ำเพรื่อ คำสั่งนั้น ถ้ากล่าวออกมา ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร ทุกคนในหน่วยไม่สนใจอยู่แล้ว พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งทันที
   การที่เว่ยชิงเอ่ย”คำสั่ง”กับเขา แปลว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เก็บลูกชายคนนี้เอาไว้
   เหตุผลนั้นคงมีแต่ตัวเว่ยชิงเองที่รู้
   การที่เว่ยชิงเอ่ย”คำสั่ง”กับเขานั้น ครั้งแรกจางซื่อเยี่ยนไม่ได้รู้สึกสะกิดใจอะไร หากอยากจะฆ่าเว่ยจินหยิน ก็ต้องฆ่าในจังหวะที่เจ้าตัวระวังตัวน้อยที่สุด เหตุผลที่เว่ยชิงยกมาอ้างก็ดูจะเข้าที แต่ถึงตอนนี้ จางซื่อเยี่ยนเริ่มสะกิดใจแล้วว่า การที่เจ้านายใหญ่จงใจเอ่ย”คำสั่ง”กับเขา เพราะคิดไว้แล้วหรือเปล่าว่าเว่ยเฟิงปิงจะกระโดดเข้าร่วมด้วย
   หากเว่ยจินหยินไม่ถูกกิน คนที่จะถูกกินคงเป็นเขากับเว่ยเฟิงปิงนั่นแหละ
   ตาหมากซับซ้อนและอำมหิตแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
----------------------------------------
   เว่ยชิงยังคงลืมตาอยู่บนเก้าอี้นวม แม้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว จริงๆ สมควรที่คนอายุหกสิบกว่าอย่างเขาจะพักผ่อน แต่คงเพราะเผลอนอนกลางวันไป จึงยังไม่รู้สึกง่วงมากนัก และบางสิ่งบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าทุกอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามแผน
   อย่างน้อยตอนนี้เว่ยจินหยินก็ยังไม่ตาย
   เสียงแค่นหัวเราะหลุดออกมาจากลำคอที่หย่อนคล้อย ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกหลายสิบปีต่อมา เขาจะต้องมานั่งพะว้าพะวงกับการนั่งสาปแช่งลูกชายตัวเองให้ตายไปต่อหน้า
   ถ้าให้ถามจริงๆ เว่ยชิงตอบไม่ได้ว่าเว่ยจินหยินมีความผิดอะไรจึงได้รับโทษทัณฑ์เช่นนี้ เฉกเช่นเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ตอนนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่าคนคนนั้นจะทำผิดอะไรให้เขาต้องโกรธแค้นแสนสาหัส แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว คนที่รู้ใจและไว้ใจมากที่สุด หักหลังเขาในช่วงเวลาสำคัญที่สุด
   และช่วงเวลานั้นกับช่วงเวลานี้ก็ใกล้เคียงกันเหลือเกิน
   เว่ยชิงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ หากเว่ยจินหยินรอดกลับมาได้ เขาจะใช้คนที่ไว้ใจได้ที่สุด และทำงานเรียบร้อยที่สุดให้กำจัดลูกชายเสีย หากเอ่ยปากใช้คนคนนี้ เว่ยจินหยินจะต้องตายแน่นอน
   ลูกชายคนรองที่ระวังตัวแจและเจ้าเล่ห์อย่างที่สุดของเขาคนนี้ มีเพียงคนเดียวที่ได้รับความเคารพและเชื่อใจ
   เถียนซาน
   เว่ยชิงมั่นใจว่าแม้เถียนซานจะผูกพันกับเว่ยจินหยินสักเพียงไหน หากเขาเอ่ย”คำสั่ง”ก็คงจะต้องทำตามอย่างไม่ปริปากถามแน่นอน  สำหรับเถียนซานแล้ว ถ้าจะพูดกันให้ตรงๆ เขายังไว้ใจมากกว่าลูกๆ ของตนเสียอีก เพราะเถียนซานเป็นคนที่เด็ดขาดและมั่นคงมาแต่ไหนแต่ไร แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือหน้าที่สิ่งไหนคือความรู้สึก ไม่น่าแปลกใจถ้าคนคนนี้จะขึ้นมากินตำแหน่งหัวหน้าหน่วยลอบสังหารได้ยาวนานเกือบยี่สิบปี
   เถียนซานจะต้องฆ่าเว่ยจินหยินให้เขาได้แน่ แต่หลังจากนั้นเขาคงต้องสูญเสียลูกน้องฝีมือดีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
   เถียนซานคงไม่ฆ่าคนที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือแล้วยังลอยหน้าลอยตาทำงานกับเขาได้เหมือนเดิมหรอก
   เว่ยชิงไม่อยากเสียลูกน้องคนสำคัญคนนี้ไป จึงรอจนถึงขีดสุด รอให้ถึงจุดที่วิกฤติที่สุด น่าเสียดายที่จุดที่ว่ามาถึงแล้ว แต่เถียนซานกลับไม่อาจทำงานให้เขาได้
   หรือนี่จะเป็นฟ้าลิขิตให้เว่ยจินหยินยังมีชีวิตต่อไป
   เว่ยชิงเพิ่งรู้สึกตัว ว่าเขากำลังถูกอดีตและปัจจุบันตามหลอกตามหลอนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
-----------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 26-11-2011 13:49:47
อ๋าาาาาาา   เครียดกันใหญ่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 26-11-2011 13:58:37
ปวดหัวกะเว่ยชิง
ใครก็ได้เอาไปเก็บไกลๆ ทีซิ  :m16:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 26-11-2011 15:21:18
เยอะแยะมากมายหลายประเด็นมากค่ะ สนุก
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 26-11-2011 20:50:15
แงแง เศร้าไปกับฟ่งด้วยอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 26-11-2011 23:13:12
สรุปอีตาเว่ยชิงเหี้ยมสุด บทสรุปคือทุกคนสมหวังแต่เว่ยชิงเป็นบ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 27-11-2011 00:01:29
สงสารจินๆหว่ะะ!!

แบบว่า เว่ยชิงแมร่ง,, บ้า!
ลูกทั้งคนเหอะ เหอๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 27-11-2011 01:24:45
 :o211: :o211: :o211: :o211:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: yuuki ที่ 27-11-2011 08:12:44
สงสารจินหยิน โฮ!!

หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 27-11-2011 16:27:51
ไอ้บ้าเว่ยชิง :angry2:  คนละคนกันจะไปทรยศเหมือนกันได้ยังไง
แต่ถ้ายังทำร้ายจินหยินอยู่แบบนี้มันก็ไม่แน่หรอก :m16:
ฟ่งกับรูฟัสเศร้าเกินไปแล้ว :m15:  สงสารทั้งฟ่ง  สงสารทั้งรูฟัสเลย
แล้วใครจะเป็นคนช่วยแก้ปัญหาให้ฟ่งกับรูฟัสหละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ISee ที่ 30-11-2011 09:34:30
ไปตามอ่านในบล็อกจนจบแล้วค่ะ ขออภัยไม่ได้เม้นในบล็อก
สนุกมากเลยค่ะ แม้เรื่องจะโครตยาว แต่ก็มีอะไรให้ตามให้ตื่นเต้นตลอด
ตอนนี้ชักอยากอ่านต่อไปเรื่อยให้ภาระกิจใหม่ๆ กับพวกเขาหน่อยสิค่ะ อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Cc-kun ที่ 03-12-2011 00:07:02
ฉากนี้เป็นฉากที่ชอบที่สุดในเรื่อง

โดยเฉพาะตอนจินหยินตัดพ้อว่าทำไมถึงไม่รับรู้ถึงความรักที่มีให้บ้าง
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 05-12-2011 02:25:35
ทำไมตระกูลนี้แลดูซับซ้อนยังไงไม่รู้สินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-12-2011 10:37:34
**กลับมาต่อแล้วค่ะ หลังจากคอมกลับมาใช้ได้ (เพราะเสียเงินซื้อบอร์ดใหม่ไปอีกตัว-*-)

---------------------------------------------------

บทที่72 Stay with me.

   ในที่สุดจางซื่อเยี่ยนก็พอจะขยับตัวได้ ชายหนุ่มเผยอเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ และพบว่าอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของเจ้านาย ซึ่งปัจจุบันก็เป็นห้องนอนของเขาด้วย แสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าตาหนาเข้ามาทำให้จางซื่อเยี่ยนเดาเอาว่าเขาคงหลับไปตื่นหนึ่ง นี่คงเป็นเช้าวันใหม่ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว แถมดูอ่อนแรงอย่างประหลาด ราวกับว่ากล้ามเนื้อไม่ได้ใช้งานมานานมาก ขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับสภาพของตัวเองอย่างงุนงง ประตูก็ถูกผลักเข้ามา
   เว่ยเฟิงปิงชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงรี่เข้ามา ยังไม่ทันที่คนที่นั่งอยู่จะเดาได้ว่าฝ่ายนั้นกำลังดีใจ เป็นห่วง หรืออย่างไรกันแน่ ฝ่ามือเรียวก็ฟาดเข้าที่หน้าเขาอย่างจัง
   สัมผัสนี้เล่นเอาจางซื่อเยี่ยนตื่นเต็มตา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเจ้านาย แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกตบซ้ำอีกรอบ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านร้าวไปถึงกระบอกตา จนกระทั่งผ่านไปสี่ครั้งนั่นแหละ เว่ยเฟิงปิงถึงได้หยุดมือ
   “ไอ้บ้าซื่อเยี่ยน!!” เจ้านายบริภาษ จางซื่อเยี่ยนถูกตบจนหูอื้อตาลาย ยังฟังประโยคไม่ทันชัด น้ำหนักของอีกฝ่ายก็โถมเข้ามา
   “ไอ้เจ้าบ้า!!” เว่ยเฟิงปิงยังคงไม่หยุดด่า แต่มือกลับกอดเขาเอาไว้แน่น อย่างกับเพิ่งได้ของสำคัญที่หายไปกลับคืนมา จางซื่อเยี่ยนกอดตอบเจ้านายไปโดยอัตโนมัติ และพบว่าอีกฝ่ายกำลังสะอื้นจนตัวสั่น
   “คุณชาย?!”
   คนที่เขาเรียกตอบสนองเสียงเรียกอย่างตกใจนั้นด้วยการจิกมือเข้าไปในหลังของเขา ไม่สิ เรียกว่าหยิกอย่างแรงจะถูกกว่า ถึงความเจ็บจะห่างจากสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนเคยได้รับ แต่มันก็ทำให้เขาสะดุ้ง
   “ไอ้คนงี่เง่า สมองนายเป็นเครื่องจักรหรือไง?!!”
   คำด่าคราวนี้พ่วงเอาคำถามมาด้วย แต่เหมือนไม่ต้องการจะให้ตอบในทันที เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าแดงก่ำและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ “นายน่ะ เชื่อฟังพ่อฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าพ่อบอกให้ฆ่าฉันนายก็จะฆ่าด้วยสินะ!!”
   จางซื่อเยี่ยนตัวชาจนเกือบวูบ เขารีบกอดเว่ยเฟิงปิงเอาไว้ “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก!”
   อีกฝ่ายผลักอกเขาออกทันที ก่อนจะย้อนถาม “ทีพี่รองนายยังทำได้หน้าตาเฉย นายคิดถึงฉันบ้างไหม? นายคิดบ้างไหมว่าฉันจะทำไงยังตอนนั้น”
   จางซื่อเยี่ยนอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า สร้างความพิศวงให้กับผู้ถามเป็นอย่างมาก เขาจึงต้องพูดในสิ่งที่คิดออกไป เว่ยเฟิงปิงตอบแทนเขาด้วยการตบอีกหนึ่งฉาด แรงพอๆ กับรอบแรก จางซื่อเยี่ยนได้กลิ่นคาวของเลือดในปาก เว่ยเฟิงปิงกระชากเสียง   “โง่เง่า! นี่ฉันหลงชอบไอ้คนไร้สมองอย่างนายได้ยังไง!!”
   สีหน้าของผู้เป็นเจ้านายแดงก่ำจนแทบจะคล้ำ นัยน์ตาสีฟ้าเขม่นขึงลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะ ตั้งแต่ทำงานมาให้หกปี รวมถึงระยะเวลาก่อนหน้านี้ จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเห็นเว่ยเฟิงปิงโมโหขนาดนี้มาก่อน มันไม่ใช่ความโกรธเกรี้ยวอันเกิดจากการเอาแต่ใจ แต่เป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้น เว่ยเฟิงปิงหอบหายใจอีกพักหนึ่ง ถึงได้กระชากเสียงต่อ
   “คิดว่านายตายแล้วฉันจะดีใจหรือไง! นายคิดว่าฉันไม่มีหัวใจ คิดว่าที่ฉันพูดๆ ไปพูดเล่นงั้นเหรอ? นายรักฉันจริงๆ รึเปล่า?”
   จางซื่อเยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง เขาดึงรั้งร่างของเจ้านายมากอดอีกรอบ กอดจนแน่น แม้จะถูกผลักไสอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย “ผมขอโทษครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยังคงฮึดฮัดอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งหมดหนทางแล้วนั่นแหละจึงยอมหยุด ร่างผอมบางหอบหายใจสั่นไหวอยู่ในอ้อมกอด จางซื่อเยี่ยนนั้นพูดไม่เก่งเอาเสียเลย กระทั่งเว่ยเฟิงปิงหยุดพักจังหวะเพื่อหายใจอยู่นาน ก็ยังไม่มีปัญญาจะพูดอะไรออกมา ในที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้านายที่กล่าวต่อ
   “ฉันจะไม่พานายไปพบคุณพ่ออีก ฉันรู้แล้วว่านายโง่!”
   จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดสั้นๆ “ครับ”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมา จ้องใบหน้านั้นราวกับพิจารณาสัตว์ประหลาด “นายพูดอะไรไม่เป็นหรือไง?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมาในที่สุด ยิ้มๆ ทั้งๆ แก้มบวมปูด และมีเลือดกบปากนั่นแหละ เขากอดเว่ยเฟิงปิงอีกครั้ง “ผมรักคุณมากนะครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายอ้าปากค้าง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ในเวลาแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนกอดเขาแน่นแถมยังฝังหน้าเข้าไปบนหัวไหล่ ทำอย่างกับเด็กๆ ได้ตุ๊กตาแล้วจับมาดมมาหอมด้วยความรัก ถึงคราวเว่ยเฟิงปิงงุนงงบ้างแล้ว
   “นายเป็นอะไรของนาย?” ร่างบางถามต่อ ขณะที่อีกฝ่ายยังซุกไซ้ไม่หยุด เรียกว่าผิดกาลเทศะไปไกลจนผิดวิสัยเลยทีเดียว จางซื่อเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมา ตอบคำถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม
   “ผมดีใจครับ ดีใจที่คุณปลอดภัย ดีใจที่คุณคิดถึงผม”
   เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียงในจมูก สวนกลับทันที “นายควรจะคิดถึงฉันด้วย รู้มั้ยว่านายสลบไปกี่วัน?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะอย่างงุนงง เขาไม่ได้หลับไปหนึ่งคืนหรอกหรือ?
   “นายหลับไปสามวัน หลับจนฉันคิดว่าจะไม่ตื่นอีกแล้ว ไอ้เจ้าบ้า!! พี่รองให้ยาอะไรนายฉันก็ไม่รู้ แถมนายยังชกเขาเสียปางตาย ฉันเลยไม่รู้จะหาวิธีไหนมาช่วยนาย ถ้านายหัดมีหัวคิดสักนิด ฉันคงไม่ต้องมานั่งด่านายแบบนี้หรอก”
   จางซื่อเยี่ยนอ้าปากค้าง เขาหลับไปสามวันเลยหรือ มิน่าล่ะตื่นมาถึงได้อ่อนแรงผิดปกติ คิ้วดีสำขมวดเข้าหากัน
   “เมื่อกี้คุณว่า ผมชกคุณชายรองปางตายเหรอ?”
   นัยน์ตาสีฟ้าถลึงใส่เขาอย่างโมโห ก่อนจะกระชากเสียง “ใช่! ฉันไม่รู้ว่านายต่อยยังไง แต่พี่รองช้ำในจนกระอักเลือด ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
   จางซื่อเยี่ยนมีสีหน้างุนงงมากจริงๆ ตอนนั้นเขาคิดว่ามีสติได้ยินสิ่งที่พี่น้องสองคนนี่พูดกันโดยตลอด ชายหนุ่มพยายามนึก ความทรงจำของเขาสิ้นสุดตอนที่เว่ยเฟิงปิงถามเหตุผลของเว่ยจินหยิน หรือว่าเป็นตอนนั้น....
   “แล้ว..คุณกับผม ออกมาได้ยังไงน่ะ?”
   “เดินออกมา” เว่ยเฟิงปิงตอบห้วนๆ ก่อนจะขยายความต่อ
   “พี่รองไม่ได้สั่งให้คนขวางเอาไว้ ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการจะปล่อยพวกเราตั้งแต่แรก”
   “ทำไมล่ะครับ?” ผู้เป็นลูกน้องถามอย่างงุนงง เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะ
   “ฉันก็ไม่รู้”
----------------------------------------
   ตลอดชีวิตสามสิบหกปี เว่ยจินหยินคล้ายเด็กถูกพ่อปล่อยทิ้งกลางทางรกร้างตั้งแต่อายุสี่ขวบ โดยมีพี่เลี้ยงที่ชื่อเถียนซานคอยเดินร่วมไปกับเขา แค่เดินร่วมเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเขาตัดสินใจเองหมด ในหนทางอ้างว้าง ทุกคนเป็นแค่ตัวหมาก ถ้ามีประโยชน์ก็เก็บมาใช้ ถ้าเสียก็โยนทิ้ง นี่คือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขา เป็นสิ่งที่ทำให้เขาก้าวข้ามความรู้สึกถูกทอดทิ้งได้ แม้กระทั่งคนที่อยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุดอย่างเถียนซาน เขาก็เคยมองเป็นตัวหมากเช่นกัน แต่สุดท้ายเขาก็รักเถียนซานเกินกว่าที่จะมองเป็นแค่หมากตัวใหญ่ คนคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีหัวใจ ยังรักเป็นอยู่
   เว่ยจินหยินรักเถียนซานเพราะเถียนซานรักเขา
   แต่กับเว่ยชิง เว่ยจินหยินตอบไม่ได้ว่าเขารักหรืออะไรกันแน่
   การถูกพ่อทิ้งขว้างทำให้เขาไม่ยอมไว้ใจใครทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นผู้เป็นพ่อที่ทิ้งเขาไปอย่างไร้เหตุผลเลย เหมือนจะมีแค่ความสงสัยที่ไม่เคยได้คำตอบ
   เว่ยชิงไม่เคยบอกหรือแสดงให้รู้ถึงเหตุผลที่หมางเมินและเกลียดขี้หน้าเขา
   ถึงอย่างนั้นเว่ยจินหยินก็ยังพยายาม พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ต้องใจพ่อ เผื่อหวังว่าสักวันเขาจะได้รับความรักตอบกลับมา แต่ยิ่งทำยิ่งคล้ายสร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เขาแน่ใจว่านี่คือสิ่งที่พ่อต้องการแล้วแท้ๆ
   เหมือนกับว่าถ้าเขาเป็นคนทำ อะไรๆ ก็ชั่วร้ายทั้งนั้น
   หลายครั้งที่เว่ยจินหยินเหนื่อย อยากจะตายไปให้พ้นๆ แต่เพราะผู้ชายที่ชื่อเถียนซานคอยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจเขามาโดยตลอด เว่ยจินหยินยังมีกำลังใจฝันต่อไปว่าสักวันหนึ่ง พ่อจะหันมารักเขา สักวันที่เขาทำให้ผู้เป็นพ่อพึงพอใจสูงสุด สักวันที่เขากำจัดศัตรูคู่แค้นที่เว่ยชิงไม่อยากอยู่ร่วมโลกด้วย
   แต่กระทั่งเขาแทบจะลากตัวคนคนนั้นไปกราบกรานเว่ยชิงได้ เว่ยชิงก็ยังเกลียดชังเขา ถึงขนาดออกตาหมากซ้อนทับเพื่อฆ่าเขาซ้ำอีกรอบ กระนั้นเขาก็ตะเกียกตะกายหนีความตายอย่างถึงที่สุด วางแผนรับมือทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก ดิ้นรนทุกวิถีทาง แต่ก็ยังโดนเข้าจนได้ ถึงขนาดนี้แล้วเว่ยจินหยินเหนื่อยอ่อนมากจริงๆ
   หากเว่ยชิงจะมีสีหน้าดีใจเมื่อเห็นการตายของเขา เขาก็ควรจะภูมิใจ เพราะการที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เพื่อประการนี้ไม่ใช่หรือ?
   เว่ยจินหยินล้มตัวลงนอนบนทางรกร้าง ไม่ต้องการจะลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
---------------------------------------------
   ไม่มีใครเข้าใจความเกลียดชังที่เว่ยชิงมีต่อลูกชายคนรองของตัวเอง ว่ามีเหตุผลมาจากอะไร แม้กระทั่งคนรับใช้ใกล้ชิดและทำงานมานานอย่างเถียนซานก็ยังไม่เข้าใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจแน่ชัด วันใดวันหนึ่งเว่ยชิงจะต้องลงมือสังหารลูกชายคนนี้จนสำเร็จ
เขาประจักษ์มาแล้ว ว่าเจ้านายใหญ่ต้องการกำจัดลูกชายคนนี้อย่างจริงจังแค่ไหน และทุกครั้งที่เว่ยชิงแสดงเจตจำนง เถียนซานหวั่นอยู่ทุกครั้ง หวั่นว่าสักวัน “คำสั่ง” จะมาถึงเขา หากวันนั้นมาถึง สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือ ทำให้เว่ยจินหยินหลับสบายอย่างที่สุด หลับอย่างมีความสุข หลับใหลไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล หลังจากนั้นแล้วเขาคงเลิกทำงานให้กับเจ้านายใหญ่ กลับไปใช้ชีวิตธรรมดากับน้องสาว หรือถ้าให้เลือกอย่างเห็นแก่ตัวกว่านั้น เขาจะหลับไปพร้อมเว่ยจินหยินด้วย เพราะเถียนซานนึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่มีเว่ยจินหยินแล้ว เขาจะมีเป้าหมายอะไรอีกในการดำรงชีวิต
   คงจะอยู่ต่อไปเหมือนซากไม้ผุๆ ซากหนึ่ง
   เว่ยชิงก็คงเดาความคิดของเขาออก “คำสั่ง” เลยมาไม่ถึงเขาสักที คิดว่าคงรอจนหมดหนทางเท่านั้นแหละ เถียนซานได้แต่หวังว่าครั้งนี้อดีตเจ้านายของเขาจะทำสำเร็จ การทุ่มเทครั้งใหญ่ที่เอาชีวิตเดิมพันเพื่อกระชากตัวคู่อริที่ฝังแค้นให้กับผู้เป็นพ่อมานานออกมาคงทำให้เว่ยชิงพอใจลูกชายคนนี้ได้บ้าง และเวลาที่ว่าก็คงใกล้มาถึงแล้ว
   เถียนซานรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม เขารับทราบข่าวโดยตลอดว่าแผนการของเว่ยจินหยินดำเนินไปถึงขั้นไหน ทุกอย่างเป็นไปได้สวย อีกไม่นานริเวิลคงจะแตกอย่างสมบูรณ์แบบ ใกล้เวลาสำคัญแบบนี้ เถียนซานยิ่งต้องรีบหาย ในเวลาวิกฤติการมีคนช่วยอีกสักคนสองคนย่อมเป็นสิ่งที่ดี เขาทราบว่าเว่ยจินหยินใช้คนเต็มอัตราศึก
ทันทีที่ลุกได้ เถียนซานกลับไปหาอดีตเจ้านายของเขาทันที ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเต็มที่ แต่แล้วสิ่งที่เขาพบคือร่างไร้สติที่นอนอยู่บนเตียงนอนสี่เสา ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หากไม่เห็นทรวงอกที่ไหวอย่างแผ่วเบา แทบจะระบุไปได้เลยว่านี่คือคนที่ตายไปแล้ว
   หัวใจเถียนซานเหมือนถูกขยี้ลงตรงนั้น กล่องใส่ขนมเค็กที่เขาซื้อมาฝากเจ้านายด้วยความเคยชินทุกทิ้งลงกับพื้นราวกับมันถูกถ่วงด้วยหินหนัก ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาผู้ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงนอนช้าๆ ก้าวแต่ละก้าวเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้
 มิน่าเล่า พักนี้ถึงไม่มีใครพูดรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเว่ยจินหยินให้เขาฟังเลย ชายวัยสี่สิบแปดเบือนหน้าช้าๆ ไปยังแม่บ้านที่เรียกกันว่าเสี่ยวผิง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างแทบจะไร้ซุ่มเสียง
   “นานหรือยัง?”
   “เกือบสัปดาห์แล้วค่ะ” เสี่ยวผิงตอบ และยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา การแสดงออกของเถียนซานยิ่งทำให้หล่อนสะเทือนใจ เสี่ยวผิงเป็นลูกสาวของแม่ครัวคนเดิมที่เข้ามารับช่วงดูแลงานอาหารและรับใช้ในตึกนี้ต่อ เว่ยจินหยินดีต่อหล่อนไม่น้อยเลย บางครั้งยังเคยชวนทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นขนมเค๊ก สำหรับเสี่ยวผิง คุณชายรองคนนี้บางทีก็เหมือนเด็กๆ เพียงแต่พยายามปิดบังตัวตนเอาไว้เท่านั้น การได้เห็นเว่ยจินหยินในภาพแบบนี้สร้างความสะเทือนใจมากมายจริงๆ
   เถียนซานยืนนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ   “ใครเป็นคนทำ?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะพูดเสียงกระท่อนกระแท่น “คุณชายสั่งไม่ให้บอกค่ะ เรื่องบาดเจ็บก็ให้ปิดเป็นความลับที่สุด”
   ร่างสูงใหญ่นิ่งไปอีกครั้ง และถอนหายใจ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง สัมผัสมือลงไปบนใบหน้าซีดขาวนั้น ก่อนจะหลับตาลงอย่างเจ็บปวด แทบจะไม่มีไออุ่นเหลืออยู่เลย แม้แต่มือเรียวที่เคยใช้การได้ดีก็เย็นและอ่อนปวกเปียก เถียนซานยกมือข้างนั้นขึ้นมาแนบหน้า ถึงเว่ยจินหยินจะไม่ให้บอก แต่เขาพอเดาได้ว่าใครเป็นคนสั่ง
   คงเป็น “คำสั่ง” แน่นอน
   ใครคนหนึ่งได้รับ “คำสั่ง” แทนเขา เถียนซานไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี สุดท้ายคนที่ฆ่าเว่ยจินหยินไม่ใช่เขา แต่เป็นใครสักคนหนึ่งซึ่งเขาคงรู้จักดี เสี่ยวผิงพูดต่อ
   “ได้ยินคุณหมอบอกว่าคุณชายได้รับการกระทบกระเทือนอวัยวะภายในอย่างหนักค่ะ ต้องพักผ่อนหลายวันกว่าจะทุเลา”
   เถียนซานพยักหน้าอีกรอบ เขาคิดว่าคนรับคำสั่งคงพลาด แต่ร่างกายของเว่ยจินหยินไม่ได้ทนทาน คนที่มีฝีมือพอจะทำร้ายเว่ยจินหยินได้ ในหน่วยดำมีไม่มาก และมีโอกาสพอจะทำร้ายคนที่มีแผนป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ได้ มีอยู่น้อยคนจริงๆ แถมเหมือนเว่ยจินหยินจะไม่อยากให้ใครรู้ด้วย คงเป็นคนใกล้ชิดนั่นแหละ เขาหันไปหาแม่บ้านอีกรอบ
   “แล้วคุณชาย.... ฟื้นขึ้นมาบ้างหรือยัง?”
   อีกฝ่ายพยักหน้า “ค่ะ..แต่...”
   ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ ฝ่ามือเรียวที่เถียนซานกุมอยู่ก็ขยับเบาๆ ร่างสูงใหญ่หันกลับไปอย่างยินดี “คุณชาย!”
   ไม่มีเสียงตอบ นัยน์ตาของเว่ยจินหยินลืมขึ้นอย่างช้าๆ แต่ไม่มีประกายใดอยู่ในแววตานั้นเลย เหมือนลืมขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้ตัวว่ากำลังมองอะไรอยู่ด้วยซ้ำ เถียนซานเอ่ยปากอีกรอบ
   “คุณชาย?”
   ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรมากไปกว่านั้นอีก เว่ยจินหยินแค่ลืมตาขึ้นเฉยๆ แม่บ้านเดินถือถ้วยยาเข้ามา พูดเสียงเบา “คุณชายคะ ทานยานะคะ”
   เว่ยจินหยินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนเดิม เสี่ยวผิงบอกให้เถียนซานช่วยประคองร่างที่นอนอยู่ขึ้น ก่อนจะยกถ้วยยาไปแตะริมฝีปากที่ยังดูซีดเซียว อย่างช้าๆ เว่ยจินหยินค่อยๆ ดื่มยานั้นลงไป จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างไม่รับรู้อะไรอีกไม่สนใจว่าจะอยู่ในท่าไหน เสี่ยวผิงต้องประคองให้นอนลง เถียนซานพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน ได้แต่มองร่างขาวซีดหายใจแผ่วๆ เหมือนจะหลับไปอีกครั้ง ได้ยินเสียงเสี่ยวผิงสะอื้น
   “เป็นแบบนี้แหละค่ะ คุณชายไม่ยอมรับรู้อะไรเลย เหมือนกับตอบสนองตามสัญชาตญาณ แต่หมอบอกว่าสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไร”
   เถียนซานหลับตาลง และถอนหายใจยืดยาว เขาพอจะเดาอาการลักษณะนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่เขาเคยหวั่นในอดีต แต่เว่ยจินหยินเข้มแข็งเสมอมา อดทนมาโดยตลอด จนเถียนซานคิดว่าเจ้าตัวจะทนไปได้เรื่อยๆ
   เห็นทีครั้งนี้เว่ยจินหยินจะอดทนต่อไปไม่ไหวอีก เจ้านายคนนี้เลิกความต้องการอยากมีชีวิตอยู่ คงถอดใจแล้วจริงๆ
   แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งเรื่องนี้ได้
--------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงแวะมาเยี่ยมสามวันหลังจากนั้น โดยเหน็บจางซื่อเยี่ยนมาด้วย และได้รับการต้อนรับที่มึนตึงพอสมควร นี่ถ้าไม่มีคำสั่งของเว่ยจินหยินค้ำคอไว้ รับรองว่าคนพวกนี้ไล่สับเขาสองคนแล้วแน่นอน ข่าวเรื่องเว่ยจินหยินได้รับบาดเจ็บนั้นถูกปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่สภาพจริงๆ คือเจ้าตัวยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง หน้าซีดเหมือนศพ โดยมีอดีตลูกน้องคนสนิทคอยดูแลใกล้ชิด เมื่อดูจากอาการบาดเจ็บแล้ว การที่เถียนซานโผล่หน้ากลับมารับใช้อดีตเจ้านายได้ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ นับว่าเร็วมากจริงๆ ชายวัยสี่สิบใกล้ห้าสิบยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยนผิดกับพวกด้านล่างทันทีที่เปิดประตูเข้าไป
   “นั่งก่อนสิครับ” ร่างสูงกล่าวพลางลากเก้าอี้ไม้ฝังมุกสองตัวมาให้ เว่ยเฟิงปิงนั่งลงอย่างรักษามารยาท แต่จางซื่อเยี่ยนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่ยอมนั่งลงสักที ชายวัยกลางคนหันมาอีกครั้ง และยิ้ม “พี่ไม่โกรธเธอหรอก”
   อดีตหน่วยดำยืนอึ้งไปสักพัก จึงถอนหายใจออกมา “ผมขอโทษ”
   เถียนซานพยักหน้า กล่าวต่อ “ไม่เป็นไร พี่รู้ล่ะว่าเป็น “คำสั่ง””
   ทั้งจางซื่อเยี่ยนและเว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที เถียนซานลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งฝั่งตรงข้าม และอธิบายเรื่องราว
   “พี่รู้อยู่แต่แรก?”   จางซื่อเยี่ยนพูดอย่างตระหนกเมื่อฟังจบ เถียนซานพยักหน้า แต่เขาก็ยังให้เหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเว่ยชิงถึงอยากฆ่าลูกชายคนรองมากขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงจึงหันไปถามอย่างอื่น
   “แล้วอาการพี่รองเป็นยังไงบ้าง?”
   คนถูกถามอมยิ้มอย่างซึมๆ และตอบสั้นๆ “ก็ดีครับ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอีกรอบทันที นอนเป็นศพแบบนั้นยังพูดได้ว่าดีอีกหรือ เจ้าหมอนี่เป็นคนยังไงกันแน่ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น “ขอฉันดูหน่อยนะ”
   ไม่รอให้อนุญาต ก็เดินตรงไปที่เตียงทันที สภาพของเว่ยจินหยินไม่เหมือนคนนอนหลับ แต่เหมือนคนตายมากกว่า ผ้าห่มที่ห่มก็ดูหนาจนเกินจริง จนเว่ยเฟิงปิงสงสัยว่านี่เป็นการอำพรางศพรึเปล่า เขาแตะนิ้วเข้าที่ปลายจมูกพี่ชาย และพบว่ามันยังมีลมหายใจอุ่นๆ อยู่ คุณชายเจ็ดถอนหายใจอย่างโล่งอก และยกมือแตะหน้าผากพี่ชาย ก่อนจะสะดุ้งวาบ มันเย็นจนน่าตกใจ
   “แบบนี้เรียกว่าดีได้ยังไง?” ชายหนุ่มหันมาถามทันที เถียนซานได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ “ดีแล้วล่ะครับ เฮ้อ...”
   ร่างสูงถอนหายใจ เว่ยเฟิงปิงมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มออกอย่างไม่เกรงใจ เว่ยจินหยินสวมชุดนอนแพรเรียบร้อย ไม่มีแผลไม่มีสายอะไรเสียบอยู่สักอย่าง ก็เหมือนจะปกติ แต่ทำไมถึงได้ตัวเย็นและหน้าซีดขนาดนี้ เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียกพี่ชาย
   “พี่รอง พี่จินหยิน พี่!”
   ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เว่ยเฟิงปิงยังไม่ยอมแพ้ เขาจับมือพี่ชายขึ้นมา บีบเบาๆ และเรียกซ้ำอีก คราวนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาบ้าง มือเรียวนั้นบีบมือเขาเบาๆ ก่อนนัยน์ตาสีดำจะลืมขึ้นช้าๆ
   “พี่รอง!” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยอย่างดีใจ แต่ก็ชั่วประเดี๋ยว เพราะนัยน์ตาที่ลืมมาดูไม่มีสติเอาเสียเลย เถียนซานเดินตรงเข้ามาพร้อมกับถ้วยยา หันไปยิ้มให้คุณชายเจ็ด
   “เขาคงชินกับผมแล้ว พอคุณมาก็เลยยอมตื่นง่ายๆ”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ขณะมองดูพี่ชายกินยาอย่างไร้หัวจิตหัวใจ หลังจากจัดการให้เว่ยจินหยินนอนลงแล้ว เถียนซานจึงอธิบายต่อ
   “ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ คุณชายไม่รับรู้สภาพภายนอก จะตื่นตอนที่ถูกจับตัวหรือเขย่าแรงๆ ไม่ก็ถูกคนที่ไม่คุ้นจับ”
   “เป็นแบบนี้ได้ไง?” เว่ยเฟิงปิงพูดอย่างตกใจ เขาแน่ใจว่าจางซื่อเยี่ยนไม่ได้ทำอะไรกับหัวสมองของเว่ยจินหยิน นี่มันอาการของคนบาดเจ็บทางสมองชัดๆ แม้แต่ตัวจางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกแปลกใจไม่แพ้กัน เถียนซานได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง
   “พวกคุณจะอยู่นานหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจะให้แม่บ้านจัดอาหารว่างมาให้”
   หนุ่มใหญ่เลี่ยงจะตอบคำถาม สองคนหันมองหน้ากัน ก่อนที่เว่ยเฟิงปิงจะพูดขึ้น “พี่ชายฉันไม่ยอมตื่นเองเหรอ?”
   เถียนซานพยักหน้า
   “กระทั่งกับนายก็ไม่ยอมตอบสนองเหรอ?”
   ฝ่ายนั้นพยักหน้าอีกรอบ เว่ยเฟิงปิงถอนหายใจ
   “’งั้นคุณพ่อคงทำสำเร็จ”   เขากล่าว ก่อนจะขอตัวกลับ
-----------------------------------------------
   เว่ยจินหยินหลับฝันในทางรกร้างที่เขาเหนื่อยแล้วที่จะแผ้วถาง ในฝันเลือนรางเขารู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งคอยปลอบโยนเขา มือคู่ที่เหมือนจะคุ้นเคยมานาน สัมผัสเขาอย่างทะนุถนอม อบอุ่นอ่อนโยน สัมผัสนั้นทำให้เว่ยจินหยินมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเลิกงานหนักกลับมาแช่น้ำอุ่นพักผ่อนแล้วนอนหลับไปบนเตียงกว้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ อีก จมปลักอยู่ในความฝันเลื่อนลอย กับสัมผัสคุ้นเคยที่อาบไปด้วยความรัก
-----------------------------------------------
   ผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายของเว่ยจินหยินดีขึ้นมากแล้ว อาการช้ำในทุเลาจนเป็นปกติ แต่สำหรับด้านจิตใจ ทุกอย่างยังคงที่ เถียนซานไปทำงานในช่วงเช้าและกลับมาที่ตึกอันเป็นที่พักของอดีตเจ้านายทุกวัน แม้ว่าเว่ยชิงจะใช้คำสั่งจัดการกับลูกชายคนนี้แล้ว แต่เขายังสานต่องานที่ยังคั่งค้างอยู่ของเว่ยจินหยินเพื่อเจ้าตัวเอง เถียนซานรู้ดีว่าเว่ยจินหยินทุ่มเทกับงานครั้งนี้แค่ไหน แม้เจ้าตัวจะถอดใจไปแล้ว แต่เขาจะต้องสานต่อให้เสร็จ ไม่อย่างนั้น ที่ทุ่มเทมาทั้งหมดก็คงสูญเปล่า หัวหน้าหน่วยดำมีความหวังเล็กๆ ว่าสักวันสติของเว่ยจินหยินจะกลับคืนมา
   เขาเช็ดตัวให้กับอดีตเจ้านาย เว่ยจินหยินลืมตาขึ้นบ้างเวลาที่เขาเช็ดไปตามที่ต่างๆ เถียนซานพยายามทำให้นุ่มนวลที่สุดด้วยกลัวว่าเจ้านายของเขาจะรู้สึกเจ็บ บางครั้งในเวลาที่เขาบีบนวดมือเท้าเพื่อกระตุ้นเลือดลม ฝ่ายนั้นก็จะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเลื่อนลอยแต่ดูมีความสุขจากใจจริง เว่ยจินหยินเคยยิ้มแบบนี้เวลาอยู่กับเขา แต่ตอนนี้เหมือนยิ้มให้เขาที่ไม่ได้มีอยู่จริง เถียนซานไม่รู้ว่านี่จะเป็นการดีหรือเปล่า เขาชอบที่จะเห็นเว่ยจินหยินมีความสุข และตอนนี้ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขดี แม้จะไม่รับรู้โลกภายนอกเลยก็ตาม
   บางทีแบบนี้อาจจะดีก็ได้
-------------------------------------------
   มีคนหลากหลายแวะมาเยี่ยมคารวะเว่ยชิงแทบทุกวัน ข่าวการล้มป่วยของเว่ยจินหยินถูกปิดเงียบ ที่ไม่มีเล็ดลอดออกมาเลยเพราะเขาเองก็เห็นด้วยเช่นกันว่าต้องปิดเป็นความลับ ได้ยินว่าเว่ยจินหยินไม่มีทีท่าว่าจะลุก ได้แต่นอนหน้าซีดราวกับคนตาย
เว่ยชิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนใช้ลูกไม้อะไรถึงทำให้เว่ยจินหยินกลายเป็นแบบนี้ แต่สำหรับตัวเขา การที่ลูกชายเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกดีใจอย่างไรเลย เพียงโล่งใจอยู่เปลาะหนึ่ง อย่างน้อยในช่วงเวลาแบบนี้ เว่ยจินหยินไม่มีทางหันมาแว้งกัดเขาแน่ เหลือแค่จัดการอีกคนให้เสร็จ
   แล้วความแค้นที่สุมอกเขามานับสิบๆ ปีก็จะสิ้นสุดไปเสียที
   แต่วันนี้คนที่แวะมาแล้วทำให้เขาแปลกใจไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เถียนซานเดินเข้ามาในห้องรับรองด้วยสีหน้าสงบและท่าทีเรียบร้อยเป็นงานเป็นการเช่นเคย ใบหน้ามั่นคงดั่งแท่งศิลากับนัยน์ตาสีหินน้ำตกนั่นไม่แปรเปลี่ยนไปจากสามสิบกว่าปีก่อนเลยสักนิด เว่ยชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายนั่งลง
   “ผมมาเรียนคุณท่านเกี่ยวกับอาการของคุณชายรอง” เถียนซานเปิดปากพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่สุด ไร้อารมณ์อย่างที่สุด น้ำเสียงฟังชัดถ้อยชัดคำสมเป็นการรายงาน
   “คุณชายรองเสียสติไปแล้วครับ”
   นัยน์ตาสีน้ำครำไหวไปเล็กน้อย แต่คนพูดยังคงหนักแน่นเช่นเดิม จนอีกฝ่ายส่งเสียงอืม ก่อนจะถามกลับ   “เป็นแบบไหนล่ะ?”
   “ไม่รับรู้โลกภายนอกเลยน่ะครับ” คนถูกถามตอบ และอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด ละเอียดเสียจนคนฟังต้องถามกลับ
   “พูดจริงๆ หรือ?”
   “ครับ” น้ำเสียงและนัยน์ตาหนักแน่นนั้นแปรความเป็นอื่นไม่ได้แน่ บางทีเว่ยชิงก็นึกเห็นด้วยกับฉายาปิศาจของเถียนซาน แต่เอาเถอะ คนที่สั่งฆ่าลูกตัวเองอย่างเขาจะไปเที่ยวพูดว่าคนอื่นได้อย่างไรกัน
   เถียนซานนิ่งอยู่อีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่พูดอะไร จึงเอ่ยถามต่อ
   “คุณท่านครับ ผมละลาบละล้วงถามสักเรื่องได้ไหมครับ ทำไมถึงอยากจะกำจัดคุณชายรองนักล่ะครับ?”
   เว่ยชิงไม่ได้มองหน้าคนถาม เขาหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยปาก “จะให้ฉันลงไปส่งเธอรึเปล่า?”
---------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่71 p13 26/11/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-12-2011 10:42:15
   เถียนซานกลับไปแล้ว เจ้าตัวรู้กาลเทศะดีเป็นที่หนึ่ง ที่ถามคำถามนั้นออกมาก็คงเพราะสุดอดกลั้นแล้วจริงๆ แต่เว่ยชิงไม่มีปัญญาจะอธิบาย มันเป็นปัญหาซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล แม้เถียนซานจะมีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ ก็ใช่ว่าจะมีส่วนรับรู้ได้ เรื่องไม่น่าคิดถึงนี้ให้มีแต่เขากับคนคนนั้นรับรู้ก็พอ เว่ยชิงนับถือลูกน้องคนนี้มากจริงๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเถียนซานจะมาขอลาออก แต่ก็จบลงที่การถามคำถาม และยอมกลับไปโดยไม่ปริปากอะไรอีก ลูกน้องที่รู้หน้าที่และกาลเทศะแบบนี้คงหาได้ไม่มากแล้ว ยิ่งทำงานรับใช้กันมานานยิ่งไม่อยากเสียไป เขานึกดีใจที่ไม่ได้ใช้ “คำสั่ง” กับคนคนนี้
   การมารายงานของเถียนซานนั้น นับว่าเป็นอาการโดยละเอียดที่สุดของเว่ยจินหยินนับตั้งแต่ล้มป่วยลง เว่ยชิงไม่รู้ว่าสมควรจะดีใจหรืออย่างไรดี ลูกชายของเขาไม่ตาย แต่เสียสติ จะด้วยเหตุอะไรนั้นเขาไม่อยากจะคิดให้มาก เพียงแต่นึกสะท้อนใจอยู่
   เขาเสียลูกชายไปสองคน นิทราไปอีกคนหนึ่ง และยังเสียสติไปอีกคนหนึ่ง เพียงเพราะความหวาดกลัวเงาหลอนในอดีต แต่หากปล่อยไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปเหมือนในครั้งนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เว่ยชิงไม่หันหลังกลับ เขาจะดำเนินการต่อจนถึงที่สุด
   เพื่อดับไฟแค้นที่สุมแน่นมาตั้งแต่ครั้งอดีต
----------------------------------------
   เถียนซานกลับมาที่ห้องนอนของเว่ยจินหยินในเวลาหัวค่ำ จัดการเช็ดตัวและป้อนข้าวอดีตเจ้านายบนเตียง ช่วงหลังๆ นี้เว่ยจินหยินลืมตาบ่อยขึ้น สามารถทานอาหารได้บ้าง แต่ต้องป้อน และพอกินไปได้สักพักก็จะหยุด เหมือนกลับไปหลับอีก เวลาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ดูจะมองไม่เห็นอะไร เหมือนดวงตานั้นมองออกไปในที่ไกลแสนไกลจนไม่มีใครมองตามได้
เถียนซานลูบศีรษะเจ้านายเขาอย่างสะทกสะท้อน แม้แต่เสียงเรียกของเขาเว่ยจินหยินก็ไม่ได้ยิน แม้ว่าเขาจะอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจมอง แต่จะยิ้มออกมาบ้างเมื่อถูกแตะตัว เถียนซานไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินฝันอะไรอยู่ แต่สีหน้ายามยิ้มนั้นมีความสุขมากจริงๆ
   หนุ่มวัยสี่สิบแปดหยิบถุงใส่ขนมขึ้นมา มันเป็นขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ที่เจ้านายของเขาเคยชอบทาน เว่ยจินหยินนั้นชอบกินของพื้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ใช่เขาคงไม่มีใครรู้ การไปพบกับเว่ยชิงทำให้เขารู้ว่าอย่างไรสัมพันธ์พ่อลูกก็คงตัดไม่ขาด แม้ว่าสุดท้ายจะไม่ทราบสาเหตุของการเกลียดชังดังกล่าว เจ้านายใหญ่ของเขาดูจะพอเหลือเยื่อใยกับลูกชายคนนี้อยู่บ้าง แม้จะบางเบาเต็มทีก็ตาม เถียนซานอยากจะให้เว่ยจินหยินกลับมาดำรงสติแบบปกติมากกว่าจะอยู่แบบนี้ เขาบิขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ พอจะไม่ได้ติดคอ และหยิบไปจ่อที่ปากของอีกฝ่าย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
   “คุณชายครับ นี่ขนมปังที่คุณชอบไงครับ”
   เว่ยจินหยินยังคงนิ่งเงียบ ไม่ขยับอะไรแม้แต่ลูกนัยน์ตา เถียนซานพยายามพูดอีกครั้ง
   “จำได้รึเปล่าครับ ร้านนี้ที่เราไปซื้อกันประจำตอนที่คุณยังเรียนอยู่ไงครับ”
   รออีกพักใหญ่เว่ยจินหยินจึงอ้าปากรับขนมปังชิ้นนั้นเข้าไป เถียนซานยิ้มอย่างดีใจ
   “เป็นไงบ้างครับ อร่อยเหมือนเดิมไหม?”
   “................”
   นัยน์ตาของเว่ยจินหยินว่างเปล่าเหมือนเดิม เถียนซานบิขนมปังออกมาอีกชิ้นหนึ่ง และทำเหมือนเดิม คราวนี้ทางนั้นยอมรับในเวลาเร็วขึ้น กินไปได้สักพักหนึ่ง เว่ยจินหยินก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ นัยน์ตาสีดำดวงนั้นเหมือนจะมองมาทางเขา แต่เถียนซานรู้ดี เว่ยจินหยินมองไม่เห็นเขา คงกำลังมองตัวเขาที่อยู่ในความคิดมากกว่า นั่นทำให้หัวใจของชายวัยกลางคนปวดแปลบ เขาเลื่อนมือไปจับมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้
   “คุณชายครับ มองผมได้ไหมครับ ผมอยู่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงหน้าคุณ”
   นิ้วมือเรียวนั้นบีบมือของเขาตามสัญชาตญาณ แต่นัยน์ตายังคงเลื่อนลอยเช่นเดิม เถียนซานยกมือที่ไร้กำลังขึ้นมาแนบหน้า จูบลงไปเบาๆ แล้วกระซิบอีกครั้ง
   “ได้โปรดกลับมาเถอะนะครับ ผมอยู่กับคุณที่นี่ตรงนี้ ผมมาอยู่กับคุณตามสัญญาแล้ว”
   นัยน์ตาของเว่ยจินหยินพริ้มหลับลงช้าๆ
---------------------------------------------
   เถียนซานเก็บกวาดห้องนอนของเจ้านาย และปัดเศษอาหารที่ร่วงอยู่บนผ้าห่มและเตียงออกจนสะอาด ระหว่างนั้นเว่ยจินหยินลืมตาขึ้นมาบ้าง และหลับตาลงสลับกันไป แต่ก็ยังไม่พูดหรือแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากนั้น รอจนเถียนซานอาบน้ำเสร็จ กลับมาอีกทีก็เห็นเว่ยจินหยินยังลืมตาอยู่ เจ้าตัวยังคงอยู่ในท่านั่งท่าเดิมที่เขาจัดไว้ให้ ไม่รู้ว่าหลับไปทั้งๆ ที่ลืมตาหรืออย่างไร เถียนซานเอ่ยถามออกไป
   “คุณชายครับ?”
   เมื่อเห็นว่าไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เถียนซานจึงจับไหล่เจ้านายของเขาเบาๆ เว่ยจินหยินจึงกระพริบตาครั้งหนึ่ง อดีตลูกน้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่ชอบเลยถ้าต้องเห็นเจ้านายนั่งตาแข็งค้างแบบนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนรูปปั้นไม่มีผิด ร่างกายของเว่ยจินหยินอุ่นขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเย็นกว่าปกติอยู่ดี เถียนซานนั่งลงข้างๆ บีบนวดมือและเท้าของอีกฝ่ายเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ระหว่างนี้เว่ยจินหยินยิ้มออกมาอีกหลายหน เหมือนจะชอบที่ถูกบีบนวดอย่างนี้ เถียนซานอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็รู้สึกปวดใจระคนกันไป เขาเอ่ยแทรก
   “คุณชายครับ ตรงนี้แรงอีกนิดดีไหมครับ จะให้นวดตรงข้อเท้าอีกรึเปล่า?”
   เว่ยจินหยินไม่มีคำตอบ มีแต่รอยยิ้มค้างคาอยู่บนใบหน้า สักพักก็หลับตาลงอีก เถียนซานนวดมือนวดเท้าเจ้านายของเขาจนอุ่นดี จึงพยุงร่างนั้นให้เอนตัวลง เพราะเว่ยจินหยินหลับตาแล้ว พอหัวถึงหมอน นัยน์ตาสีดำคู่นั้นก็ลืมขึ้นมาอีก แต่ยังคงเลื่อนลอยเหมือนเดิม ผู้เป็นลูกน้องคลี่ยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของเจ้านายอย่างอ่อนโยน
   “จะนอนรึยังครับ? หรืออยากฟังนิทาน?”
   เว่ยจินหยินหลับตาลงอีก เถียนซานก้มลงจูบหน้าผากเจ้านายเบาๆ ก่อนจะปีนข้ามมานอนอีกฝั่งหนึ่ง โอบกอดเว่ยจินหยินไว้หลวมๆ เหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ ชายวัยกลางคนหลับตาลงอย่างรู้สึกตื้อในหัว
ถึงอย่างนั้นเขายังเชื่อว่าสักวันเว่ยจินหยินจะกลับมายิ้มให้เขา
-------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนอนพลิกตัวอยู่ในอ้อมกอดของจางซื่อเยี่ยน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ เว่ยเฟิงปิงกระสับกระส่ายแบบนี้มาสองสามวันแล้ว หลังจากไปเยี่ยมพี่ชาย จางซื่อเยี่ยนพยายามเอ่ยถามถึงสาเหตุ แต่ฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธที่จะตอบ คืนนี้เขาเลยตัดสินใจไม่ถาม
   “นี่ ซื่อเยี่ยน” ในที่สุดเว่ยเฟิงปิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาหันหน้ากลับมาหาลูกน้องซึ่งนอนอยู่ข้างๆ จางซื่อเยี่ยนพยายามแสดงสีหน้าว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เว่ยเฟิงปิงนิ่งไปสักพักจึงพูดต่อ “หนีไปด้วยกันเถอะ!”
   คนฟังทำหน้าแปลกทันที เว่ยเฟิงปิงไม่รอให้เขาอ้าปากถาม กระนั้นก็ไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิด แต่เป็นสีหน้าเอาจริงเอาจัง
   “เราหนีไปด้วยกันนะ พี่รองเป็นแบบนั้นแล้ว นายว่าคุณพ่อจะยอมปล่อยฉันหรือ?”
   จางซื่อเยี่ยนยิ้มออกมา พยายามจะปลอบใจเจ้านาย “คุณท่านไม่น่าจะฆ่าคุณหรอกครับ ก็คุณท่านไม่ได้เกลียดคุณ”
   “ฉันยังทำแผลโบยบนหลังฉันได้” ผู้เป็นเจ้านายตอกกลับ ทำเอาจางซื่อเยี่ยนต้องหุบปาก เว่ยเฟิงปิงพูดต่อ
   “ฉันนอนคิดๆ มาหลายวันแล้วนะ ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าคุณพ่อฆ่าพี่รองทำไม แต่ลองสั่งฆ่าคนที่ทำงานได้ดีแบบนั้นได้ กับฉันก็คงจะสั่งได้เหมือนกัน บางทีฉันอาจจะไปทำให้อะไรให้ไม่ถูกใจเอาไว้ก็ได้”
   จางซื่อเยี่ยนเกือบจะพยักหน้าแล้ว เพราะเว่ยเฟิงปิงทำตัวให้ไม่น่าพอใจจริงๆ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า ทำแบบนั้นก็คงไม่ส่งผลดีอะไร จึงได้แต่กะพริบตาทำหน้าตั้งใจฟังต่อ
   “ตกลงนายจะหนีไปกับฉันไหม?”
   “พูดจริงๆ หรือครับ?”
   เว่ยเฟิงปิงมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังฝืนทนไว้ พูดต่อ “นายน่ะ คิดว่าเถียนซานจะยอมยกโทษให้หรือไง ถึงเขาจะเดาเอาไว้แล้วก็เถอะ นายเล่นพี่รองไว้ขนาดนั้น เขาจะยอมให้อภัยนายเหรอ?”
   “พี่เถียนเป็นคนคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลนะครับ ไม่ฆ่าผมตอนนี้หรอก”
   คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก และพูดต่ออย่างไม่สนใจ “นายตกลงหนีไปกับฉันนะ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแทนคำตอบ
   “หนีไปไหนก็ไม่พ้นหรอกครับ คุณก็รู้คุณท่านเป็นคนกว้างขวาง ยิ่งคุณชายรองกลายเป็นแบบนี้อำนาจก็หวนกลับไปหาเจ้าของเก่า ผมคิดว่าเราอยู่กันแบบนี้น่าจะดีกว่า”
   “อ๋อ แล้วพอถึงเวลานายก็จะรับ “คำสั่ง” แล้วมาฆ่าฉันสินะ” เว่ยเฟิงปิงค่อนแคะ จางซื่อเยี่ยนถอนหายใจ
   “ผมไม่ฆ่าคุณหรอกครับ สาบานได้ ถ้าถูกสั่งแบบนั้นผมจะรีบยิงตัวตายก่อน”
   “ฉันไม่ให้นายไปถูกสั่งหรอก คนงี่เง่าแบบนายน่ะ...” ชายหนุ่มพูดค้าง จู่ๆ ก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายดื้อๆ   
   “ไปกับฉันเถอะนะ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งคุณพ่อจะสั่งนายไปทำอะไรอีก ฉันกลัวนายจะกลับไปหาคุณพ่อ นายขัดขืนเขาไม่ได้ ซื่อเยี่ยน ฉันอยากให้นายอยู่กับฉัน อยู่กับฉัน”
   จางซื่อเยี่ยนกอดตอบเจ้านาย รู้สึกสงสารอยู่ลึกๆ เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้าง แม้จะไม่เคยรู้จักหน้าพ่อตัวเองเลยก็ตาม การที่พ่อคิดจะฆ่าลูกในไส้ ยังไงก็คงหนีไม่พ้นคำว่าอำมหิต แล้วก่อนหน้านี้เว่ยชิงก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเอ็นดูลูกชายคนนี้มาก่อนเลย แต่เขายังเชื่อว่าเว่ยชิงจะไม่ฆ่าเว่ยเฟิงปิง
   “ผมอยู่กับคุณอยู่แล้วครับ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และดันตัวเจ้านายออกมาหน่อยหนึ่ง สบนัยน์ตาเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าใสนั้น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
   “เชื่อผมสักครั้งเถอะครับ ผมปกป้องคุณได้แน่ คุณไม่ต้องหนีไปไหนหรอกครับ เชื่อผมนะครับ”
   เว่ยเฟิงปิงยกมือขึ้นทุบหน้าอกของจางซื่อเยี่ยนทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เชื่อนายหรือ? คนงี่เง่าแบบนาย ฉันเชื่อได้ด้วยหรือ?”
   คนถูกด่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เว่ยเฟิงปิงซุกหน้าเข้ากับแผงอกเขา
   “ฉันจะเชื่อนายสักหนก็ได้... หนนี้หนเดียวนะ”
   จางซื่อเยี่ยนดึงตัวเจ้านายของเขามากอด และจูบหน้าผากอย่างอ่อนโยน
-----------------------------------------------
   คืนนี้จางซื่อเยี่ยนกอดเขาแน่นกว่าปกติ และเว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้หันหลังให้อย่างที่เคยทำทุกวัน เขานอนโดยซบหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าทางนั้นหลับไปแล้วรึเปล่า แต่ตัวเขาเองยังนอนไม่หลับ สมองกำลังคิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
จนถึงตอนนี้เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจพ่อของตัวเองเลยสักนิด ถึงเขาจะเกลียดพ่อเพราะพ่อไม่เคยสนใจใยดีเขา แต่สำหรับกรณีของเว่ยจินหยิน เว่ยเฟิงปิงสะเทือนใจหนักกว่าเดิม พ่อของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ คนแบบนี้ยังเป็นพ่อคนได้อีกหรือ เขารู้สึกหวาดกลัวคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แม้จะรู้ดีว่าการหนีออกไปนั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าอยู่แบบนี้เสียอีก แต่เว่ยเฟิงปิงกลัวมากจริงๆ กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะโดนเหมือนที่เว่ยจินหยินโดน
ถ้าเขาถูกจางซื่อเยี่ยนฆ่า เขาจะทำหน้ายังไง เว่ยเฟิงปิงไม่เคยรักใครขนาดยอมให้ถูกฆ่า และไม่เคยเข้าใจความคิดแบบนั้น ถ้าเขารักใคร เขาก็อยากจะอยู่ด้วยอย่างมีความสุข กับจางซื่อเยี่ยน จนถึงตอนนี้ก็ยังแทบจะหาสิ่งที่เรียกว่าความสุขไม่ค่อยเจอ เจ้าหมอนี่ทำเขาปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานอะไรดลใจนัก ไปๆ มาๆ สุดท้ายเขาก็ดันไปริรักเจ้าซื่อบื้อนี่เข้าจริงๆ จนได้
เว่ยเฟิงปิงไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลย เขาพอบอกได้อยู่หรอกว่ารักรูฟัสเพราะผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์ แต่สำหรับจางซื่อเยี่ยน เว่ยเฟิงปิงนึกเหตุผลดีๆ ไม่ออก เหตุผลเดียวที่ฟังยังไงก็ดูไม่เข้าท่าสักนิด แต่เป็นอย่างเดียวที่เขาระบุได้ คือเจ้าหมอนี่ดูจะทำอะไรๆ หลายอย่างเพื่อเขาจริงๆ
   รักคนที่เขารักเรา มันคงจะดีกว่าการรักเขาข้างเดียวเป็นไหนๆ ที่น่าตกใจคือเขาก็รักเจ้าหมอนี่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่บ้าขนาดยกปืนขึ้นจ่อพี่ชายหรอก การยกปืนใส่เว่ยจินหยินฉลาดที่ไหน โชคยังดีที่เขาไม่ตาย โชคยังดีที่พี่ชายคนนี้ดูจะมีเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์
เว่ยเฟิงปิงลองมาคิดๆ ดู บางทีพี่ชายเขาอาจจะเผื่อใจเอาไว้ก่อนแล้วก็ได้ ถึงกับสั่งคนในตึกให้ปล่อยพวกเขาออกไป เว่ยจินหยินเผื่อสถานการณ์ไว้มากจริงๆ แต่สภาพแบบนั้น คนคนหนึ่งที่ไร้จิตวิญญาณอยู่ในร่าง ความสะเทือนใจแบบไหนที่ทำให้คนเป็นได้ขนาดนั้น กระทั่งกับคนที่ทำให้เว่ยจินหยินคลั่งอย่างเถียนซาน คนที่ดูจะมีความสำคัญกับหัวใจของเว่ยจินหยินมากที่สุดคนนั้น ก็ไม่อาจจะเยียวยาได้
   หากจะหาเหตุผลความสะเทือนใจของพี่ชาย สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงเดาคือการถูกหักหลังจากพ่อซ้ำซาก และตัวเขาเองไม่อยากจะโดนแบบเว่ยจินหยิน นอนคิดอยู่หลายวันสุดท้ายคำตอบก็คือการหนี ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจบอกจางซื่อเยี่ยน แล้วก็พบปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่คาด ดูท่าจางซื่อเยี่ยนจะมีสติดีกว่าเขาในตอนนี้จริงๆ ไม่ก็อำมหิตกว่าที่เขาคิด
   เว่ยเฟิงปิงขยับตัวซุกเข้าไปอีก อ้อมกอดแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนกอดเขาด้วยใจรึเปล่า แต่การกอดคืนนี้แนบแน่นกว่าทุกคืน เหมือนกับการกอดก่อนหน้านี้ เหมือนว่าผู้ชายคนนี้แสดงออกกับเขามากขึ้น เขาควรจะเชื่อเจ้าหมอนี่สักครั้งไหม?
   อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จางซื่อเยี่ยนรั้งตัวเขาแนบแน่นขึ้นอีก ก่อนจะซุกหน้าลงบนหัวไหล่เขา กระซิบเสียงแผ่ว “ผมรักคุณมากนะครับ”
   ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหูของเว่ยเฟิงปิงเหมือนจงใจ ผู้เป็นเจ้านายขมวดคิ้ว จางซื่อเยี่ยนไม่เคยแสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงละเมอ แต่ถ้านี่คือการละเมอจริงๆ ล่ะก็ เว่ยเฟิงปิงคงจะรู้สึกโมโหมากกว่าที่เป็นอยู่ โชคยังดีที่จางซื่อเยี่ยนขยับใบหน้าขึ้นมาสบนัยน์ตาเขา คนละเมอคงไม่มีสายตาแจ่มใสแบบนี้หรอก
   ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ริมฝีปากได้รูปก็โน้มมาประกบริมฝีปากของเขาไว้ จูบคราวนี้ผิดแผกจากครั้งที่ผ่านๆ มาค่อนข้างมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จางซื่อเยี่ยนจูบเขาอย่างแสดงความต้องการออกมาอย่างเด่นชัด เรียวลิ้นที่กวาดเข้ามาอย่างหิวกระหายทำให้ร่างบางถึงกับผงะ ราวกับว่าอีกฝ่ายเก็บงำความต้องการนี้เอาไว้เป็นเวลานาน มือใหญ่ขยับขึ้นมาช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ เพื่อรองรับแรงจูบที่เพิ่มมากขึ้น โดนแบบนี้เว่ยเฟิงปิงลืมวิธีตอบโต้ไปหมด เขาทำได้แค่บีบมือเข้ากับอกเสื้อของอีกฝ่ายแน่น การจู่โจมแบบกะทันหันและร้อนแรงจนคิดไม่ถึง ทำให้เขาพ่ายแพ้แทบจะสิ้นท่า
   เกิดมายังไม่เคยถูกใครจูบจนหน้ามืดแบบนี้มาก่อนเลย
   เพิ่งนึกขึ้นมาได้จริงๆ ว่าชั้นเชิงที่จางซื่อเยี่ยนใช้กำราบเขาเมื่อหลายวันก่อนก็ดุดันผิดกับก่อนหน้านี้ไปลิบลับ นี่คือการค่อยๆ แสดงความรู้สึกของฝ่ายนั้นรึเปล่า
ขนาดถูกจูบจนหูอื้อตาลาย เว่ยเฟิงปิงยังมีกะใจจะนึกหงุดหงิด เขาไม่คิดว่าเจ้าซื่อบื้อนี่จะมีเทคนิคการจูบดีเยี่ยมขนาดนี้ ก่อนหน้านี้คงเคยผ่านอะไรๆ มามากแล้วสิ แต่ก็ดันงี่เง่าที่เพิ่งงัดมาใช้กับเขาตอนนี้ ความโมโหเล็กๆ ทำให้เว่ยเฟิงปิงออกแรงต่อต้านไปบ้าง และสิ่งที่จางซื่อเยี่ยนตอบกลับมาก็คือริมฝีปากที่แนบแน่นขึ้น และการรุกไล่อย่างไม่ปล่อยให้มีจังหวะสวนกลับ อย่างกับว่าการต่อต้านของเขายิ่งเป็นเชื้อปะทุให้อารมณ์ของอีกฝ่ายพุ่งพล่านอย่างนั้นแหละ
   เจอแบบนี้เว่ยเฟิงปิงแทบจะโยนผ้าขาว อารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ สลายไปหมด ยามที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเพื่อพักหายใจ เขาเพิ่งมีโอกาสสังเกต ดวงตาสีอีกานั้นเต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ยังไม่ทันได้ดูให้เต็มที่ ริมฝีปากก็เคลื่อนเข้ามาผนึกกันอีก แม้จูบครั้งนี้จะไม่รุกเร้าอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนแรก แต่ก็ถี่และกระชั้นจนเว่ยเฟิงปิงผงะไปหลายรอบ หนำซ้ำมือใหญ่ก็เลื่อนลงไปกอบกุมตะโพกเขาอย่างไม่เกรงใจ
จางซื่อเยี่ยนแสดงความต้องการกับเขาอย่างไม่สงวนท่าที ร่างบางผงะ นี่เป็นสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงไม่เคยเผชิญมาก่อน มือแข็งแรงตะโบมลูบไปรอบสะโพกของเขาอย่างหื่นกระหาย เรียวลิ้นที่รุกเข้ามาก็เร่งเร้ามากขึ้น ร่างที่เบียดเสียดกันทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาจากท้องน้อยของอีกฝ่าย ตัวของจางซื่อเยี่ยนตอนนี้แทบจะร้อนเป็นไฟ
   ในที่สุดร่างสูงก็ยันตัวลุกขึ้นมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ และค่อยๆ ถอดเสื้อผ้า แทบจะเหมือนต้องการให้เขามองดูมัดกล้ามเนื้อสมส่วนใต้ร่างนั้นชัดๆ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกหายใจติดขัดมากจริงๆ เดิมทีเขาก็มีอารมณ์กับเรือนร่างของชายหนุ่มอยู่แล้ว และเรือนร่างของจางซื่อเยี่ยนก็ไม่เลวเลย สวยงามและปลุกเร้าอารมณ์ในยามนี้จนแทบจะเตลิด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นคนคนเดียวกับที่เคยร่วมรักกับเขาอย่างแทบจะจืดชืดจนแทบไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ
เว่ยเฟิงปิงเกือบจะเบือนหน้าหนีด้วยความกลัวว่าจะแสดงสีหน้าพ่ายแพ้ตอนที่จางซื่อเยี่ยนถอดกางเกงออก แต่ความกระหายใคร่รู้ก็เอาชนะ นัยน์ตาสีฟ้าเบิ่งมองอวัยวะที่อวดศักดิ์ดาของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ลมหายใจถึงกับชะงัก นี่จางซื่อเยี่ยนเคยใส่ไอ้ขนาดนี้เข้ามาในตัวเขางั้นหรือ ไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้น ร่างบางก็สะดุ้งเฮือก เมื่อสันจมูกโด่งสัมผัสเข้ากับข้างแก้มอย่างจงใจ ความร้อนวาบขึ้นมาในตัวแทบจะทันที
   “คุณชาย..” จางซื่อเยี่ยนกระซิบเสียงแผ่ว พ่นลมหายใจอุ่นๆ ใส่ใบหูเขาอย่างกับจะแกล้ง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นหยอกล้ออย่างอ่อนโยน เว่ยเฟิงปิงเผลอร้องครางออกมา นี่เป็นจุดที่ไม่มีใครเคยยุ่งมาก่อน กระทั่งก่อนหน้านี้จางซื่อเยี่ยนก็ไม่เค่อยจะทำอะไรกับมัน ผู้เป็นลูกน้องกดแนบร่างกายแข็งแรงลงมาบนร่างที่นอนหงายอยู่
สิ่งแรกที่เว่ยเฟิงปิงสัมผัสได้คือความแข็งขึงและร้อนผะผ่าวที่สัมผัสตรงหว่างขา เหมือนเลือดทั้งหมดจะพร้อมใจกันสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้สึกเหมือนถูกไฟเผาอย่างนี้ จางซื่อเยี่ยนยังคงเล่นกับใบหูของเขาสักพัก ก่อนจะเลื่อนไปที่อื่นอย่างช้าๆ เหมือนต้องการสำรวจร่างกายของเขาอย่างละเอียด มือแข็งแรงค่อยๆ ปลดดึงเสื้อผ้าของเขาออกทั้งๆ ที่ร่างยังทาบอยู่นั่นแหละ ถอดออกไปได้ครึ่งทาง มือนั้นก็เลื่อนเข้ามานวดเฟ้นหน้าอกของเขาอย่างตะกรุมตะกราม ราวกับว่าไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการถอดเสื้อจนหมด
เว่ยเฟิงปิงจิกมือลงบนผ้าปูที่นอนแน่น มือของจางซื่อเยี่ยนร้อนราวกับเหล็กเผาไฟ ยามลูบไปตามร่างกายก็เหมือนจะถ่ายความร้อนมาด้วย จนร่างบางหลุดเสียงครางออกมาอีกรอบ ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกผนึกด้วยจูบร้อนแรงจนแทบเผาไหม้
   จางซื่อเยี่ยนถอดเสื้อผ้าเขาจนหมดหลังจากนั้น เลื่อนมือและริมฝีปากลงมาสำรวจแผงอกขาวเนียนอย่างตั้งใจ ปลายนิ้วที่ลากผ่าน เรียวลิ้นร้อนที่หยอกเย้ายอดของเนินต่ำ เว่ยเฟิงปิงไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้อีก เสียงครางอ่อนหวานลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่แดงระเรื่อเพราะแรงจูบก่อนหน้า และสะดุ้งอีกครั้งเมื่อส่วนนั้นถูกดูดดุนเข้าไปในช่องปากร้อนระอุ
การหยอกเย้าด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นกับส่วนนั้นเร่งเร้าจนลมหายใจเริ่มขาดห้วง แต่ฝ่ายนั้นดูจะไม่ต้องการให้เขาปลดปล่อยในตอนนี้ ริมฝีปากเลื่อนต่ำลงไปจนถึงช่องปิดด้านล่าง หลังจากสร้างความเปียกชื้นอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือก็เริ่มถูกสอดเข้ามา ขณะที่ริมฝีปากพรมจูบไปทั่วโคนขาอ่อน เว่ยเฟิงปิงแยกขาออกโดยไม่คิดอะไรให้มากอีก ซ้ำยังขยับตะโพกอย่างท้าทายไปกับการรุกรานของปลายนิ้ว
จนรู้สึกว่าช่องทางนั้นผ่อนคลายได้ที่ ส่วนร้อนระอุก็ค่อยๆ ถูกดันเข้ามา เว่ยเฟิงปิงสะดุ้งอีกคราเนื่องจากความร้อนที่จ่ออยู่ตรงช่องทางอ่อนไหว เขาเกิดความกลัวขึ้นอย่างไม่อาจหักห้าม ทั้งๆ นี่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กลัวจะตอบสนองความใหญ่โตนั้นไม่ได้เต็มที่ กลัวกระทั่งอาจจะหมดแรงไปก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาจนสุด ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนโน้มเข้ามาจูบเขาราวกับจะปลอบประโลม ก่อนที่ส่วนแข็งนั้นจะถูกดุนเข้ามาด้วยกำลัง
เว่ยเฟิงปิงร้องอย่างตกใจราวกับเพิ่งเผชิญเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ความร้อนระอุเบียดแทรกเข้ามาในร่าง ลมหายใจติดขัดไปหมด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านพุ่งผ่านไขสันหลังขึ้นมาถึงสมอง ร่างบางครางเสียงหนัก คิ้วขมวดจนมุ่น ปกติถ้าเขาแสดงอาการแบบนี้ จางซื่อเยี่ยนจะหยุดทันที แต่ครั้งนี้ผิดไป ทางนั้นยังคงค่อยๆ ประสานส่วนแข็งนั้นเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับดึงดันจะเอาเข้ามาให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ในที่สุดสะโพกของเขาก็สัมผัสกับท้องน้อยของอีกฝ่ายเต็มที่
เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนเริ่มขยับตัว เขาร้องครางไม่เป็นภาษา ดึงรั้งผ้าปูเตียงอย่างคนคิดอะไรไม่ออก หลังจากนั้นร่างทั้งร่างก็เหมือนถูกกระชากลงสู่ห้วงหฤหรรษ์ที่ยากจะต่อต้าน เว่ยเฟิงปิงถึงจุดครั้งแล้วครั้งเร่า แต่อีกฝ่ายยังคงดำเนินบทรักไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าต้องการให้ขาดใจตายไปทั้งอย่างนี้เลย
ในเพลงรักที่ยากจะรักษาสติ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่สัมผัสเข้ากับแผ่นหลังของเขา จูบลงบนริ้วรอยที่ไม่อยากให้ใครเห็นอย่างรักใคร่ หัวใจของเขาเต็มตื้นขึ้นในวินาทีนั้นเอง
   เขาจะลองเชื่อจางซื่อเยี่ยนดูสักครั้ง
---------------------------------------------------
**ตอนนี้เป็นตอนที่อารมณ์สวิงมากจริงๆ ของทั้งสองพี่น้องบ้านเว่ย... ด้านเฟิงปิงนี่แอบชอบฉากตบๆ คนอย่างไอ้ซื่อมันควรจะตบให้หัวหลุดจริงๆ ฮ่าๆๆ :laugh:

ส่วนคุณชายรอง... เป็นสุดรักสุดสวาทของเราอยู่แล้ว เพราะงั้น... ต้องบอบช้ำเจ็บหนักปางตาย ดราม่ากระหน้ำ ซ้ำเติมปัญหา (เอาเข้าไป)

ตอนต่อไปถ้าไม่ลืม พรุ่งนี้จะเอามาลงต่อนะจ้ะ^^

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่72 p14 8/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 08-12-2011 15:16:03
ถูกใจอาซื่อก็ตอนนี้นี่แหล่ะ  5555
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่72 p14 8/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 08-12-2011 18:17:01
กดไลค์ให้จางซื่อเยี่ยนรัวๆๆๆๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่72 p14 8/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 08-12-2011 20:10:41
คุณชายรอง แง้ๆ  อย่าเป็นอะไรไปนะ
อืมๆคู่เฟิงปิงร้อนแรงกันจริงๆ
แล้วคู่ของรูฟัสหละไปถึงไหนแล้ว  รออยู่นะ
ปล.  แอบจิ้นคู่เถียนซานกับคุณชายรองไปไกลแล้วนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่72 p14 8/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-12-2011 12:54:16
**มาอัพต่อล่ะค่ะ
------------------------------------

บทที่73 เงาสะท้อนของอดีต

   เว่ยเฟิงปิงตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว แทบจะลุกไม่ขึ้น ขณะที่กำลังนิ่วหน้าอยู่กับอาการหลังยอก ใครคนหนึ่งก็พูดกับเขา
   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย”
   จางซื่อเยี่ยนซึ่งแต่งตัวเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำ ใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใส ถึงจะไม่ได้มีเสน่ห์ขนาดทำให้คนหลงใหลได้ปลื้มก็เถอะ แต่สำหรับเวลาแบบนี้ เว่ยเฟิงปิงรู้สึกพอใจอยู่มากเลยทีเดียว ถึงกับรู้สึกว่าจางซื่อเยี่ยนหล่อเหลาขึ้นมาทันตาเห็น
   อาการตกหลุมรักทำให้คนหน้ามืดได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
   คุณชายเจ็ดมองหน้าลูกน้องอยู่พักหนึ่ง พลางถามย้ำว่าเขาเพิ่งเห็นความดีงามของจางซื่อเยี่ยน หรือจางซื่อเยี่ยนเพิ่งจะแสดงมันออกมากันแน่ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะตอบอะไรก็ดูไม่น่าพอใจทั้งนั้น ชายหนุ่มจึงรับเสื้อคลุมอาบน้ำมา แต่ยังไม่ยอมลุก
   “ลุกไม่ไหวหรือครับ งั้นผมอุ้มไปนะ”
   อีกฝ่ายพูดขึ้น เว่ยเฟิงปิงไม่รู้ว่าจางซื่อเยี่ยนพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ แต่ความอยากลองดีที่เป็นนิสัยส่วนตัวของเขาทำให้ส่งเสียงอืมออกไป ทันใดนั้นร่างก็ถูกยกขึ้นจากเตียงทันที อารามตกใจทำให้หลุดเสียงร้องออกมา
   “เฮ้ย!”
   แทนที่จางซื่อเยี่ยนจะพาซื่อวางเขาลงอย่างที่ทำทุกครั้ง กลายเป็นยิ้มกว้างขึ้นอีก แทบจะหัวเราะออกมา
   “ผมไม่ทำหล่นหรอก”
    เว่ยเฟิงปิงเริ่มคิดจริงๆ จังๆ แล้วว่าถ้าเขาไม่ละเมอ จางซื่อเยี่ยนก็คงกินยาผิดขวด แต่น่าจะเป็นกรณีหลัง
   “วันนี้นายเป็นอะไร?”
   เขาเอ่ยถามหลังจากนั่งลงตรงขอบอ่างน้ำ อีกฝ่ายได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบคำถามเหมือนเดิม เว่ยเฟิงปิงนิ่วหน้าเมื่อเห็นจางซื่อเยี่ยนเปิดน้ำลงอ่าง จริงอยู่ว่าเขาอยากจะแช่น้ำร้อน เพราะอาการปวดเอวจากไอ้คนซื่อบื้อนี่แหละ แต่ปกติกิจวัตรพวกนี้เว่ยเฟิงปิงจะทำเองทั้งหมด เขาไม่ได้โตมาท่ามกลางคนรับใช้แบบเว่ยจินหยิน จึงไม่ค่อยชินกับการถูกคนอื่นเข้ามายุ่งยามในชีวิตส่วนตัว
สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนกำลังทำจึงทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกแปลกๆ แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น เขาไม่คิดว่าจางซื่อเยี่ยนจะรู้ใจคนอื่นเป็นกับเขาด้วย ปกติเห็นแต่ทำอะไรทื่อๆ อยู่ตลอด หรือไม่ก็ทำอะไรขัดหูขัดตา ใช่ล่ะ วันดีคืนดีก็เอาเหล้าเอาบุหรี่ไปซ่อน นี่เรียกว่าเดาอารมณ์เขาได้มานานแล้วรึเปล่า?
   น้ำร้อนกำลังพอดีจริงๆ เว่ยเฟิงปิงเกียจคร้านจะเสียเวลาหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องในตอนเช้า ที่สำคัญจางซื่อเยี่ยนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ดูออกจะน่าพอใจมากด้วยซ้ำ ที่จะผิดอยู่อย่างเดียวคือผิดปกตินี่แหละ
   ชายหนุ่มหย่อนกายลงแช่น้ำในอ่าง หลับตาและถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย นึกอยากจะหยุดงานนอนพักสักวันหนึ่ง แต่เท่าที่จำได้ หมายกำหนดการวันนี้ก็แน่นเหมือนทุกวัน ที่ยิ่งแน่นมากขึ้นเพราะเหตุการณ์การใกล้ล่มสลายของริเวิล เหล่าพวกลูกกระจ๊อกทั้งหลายที่กลัวไม่มีใครคุ้มหัวแห่แหนกันเข้าพึ่งบารมีคนบ้านเว่ยให้วุ่นวาย ยิ่งจินหยินมาเป็นแบบนั้น สองทางที่พวกนั้นจะไปคือที่คฤหาสน์ของเว่ยชิง กับสำนักงานของเขา
เว่ยเฟิงปิงมุ่นคิ้วอย่างนึกหงุดหงิด ก่อนจะลืมตาขึ้นหมายจะเรียกจางซื่อเยี่ยนมาปรึกษาเรื่องหมายกำหนดการ แล้วก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าคนที่กำลังจะเรียกยังยืนอยู่ที่เดิม แถมเหมือนจะกำลังมองเขาอยู่ด้วย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเล็กๆ นั้นทำให้เว่ยเฟิงปิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
   “ไม่มีอะไรจะทำหรือไง?” อีกฝ่ายพูดแดกดันออกไปอย่างเคยชิน สำหรับเขาการพูดแบบนี้จางซื่อเยี่ยนดูจะง่ายกว่าการหาประโยคคำพูดสวยๆ เสียอีก ฝ่ายรับฟังได้แต่ยิ้ม เว่ยเฟิงปิงเพิ่งรู้ว่าการเงียบก็เหมือนการเถียงอีกอย่างหนึ่ง แถมในบางโอกาส ก็ได้ผลชะงักดีอีกด้วย ที่สำคัญ นัยน์ตาสีดำที่มองมายังเรือนร่างของเขาชนิดที่แทบจะไม่ปิดบังความรู้สึกทำให้เว่ยเฟิงปิงเกือบพูดไม่ออก
   “หันหลังไปซะ!” ผู้เป็นเจ้านายลงเสียงแทบจะตวาด คราวนี้จางซื่อเยี่ยนยอมหันหลังโดยดี เว่ยเฟิงปิงพ่นลมหายใจ รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด บอกไม่ได้ว่าโมโหหรืออะไรกันแน่ เขาเงยมองแผ่นหลังของจางซื่อเยี่ยนและรู้สึกว่ามันดูกว้างกว่าที่คิด คิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างรำคาญใจ วันนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอะไรๆ แปลกไปหมด ไอ้หลังนี่เขาก็เคยเห็นมาแล้วตอนที่หมอนี่เอาตัวเข้าปกป้องเขา ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันกว้าง แต่หลังจางซื่อเยี่ยนก็เป็นแบบนี้อยู่นานแล้ว ทำไมวันนี้เขาถึงต้องใจเต้นกับอีแค่มองหลังเจ้าซื่อบื้อนี่ด้วย
   “นี่ซื่อเยี่ยน” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียก และได้ยินเสียงตอบรับ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเบือนหน้ากลับมา
   “ฉันเรียกนายทำไมไม่หันมาตอบ”
   “ก็คุณสั่งให้ผมหันหลัง” จางซื่อเยี่ยนตอบกลับ เล่นเอาเส้นโมโหในตัวของเว่ยเฟิงปิงกระตุกกึก แต่ก่อนที่จะได้รีดเร้นโทสะออกมา ทางนั้นก็เบือนหน้ากลับมาเสียก่อน แถมยังยิ้มจนตาเยิ้ม โดนเข้าไปแบบนี้เส้นที่กำลังเต้นตุบๆ ถึงกับหยุดไปดื้อๆ นัยน์ตาสีฟ้ากระพริบถี่ๆ ถามตัวเองซ้ำอีกรอบว่าวันนี้ใครกันแน่ที่กินยาผิดขวด
   ในที่สุดผู้เป็นเจ้านายก็ตัดสินใจไล่ลูกน้องออกไป เขาตัดสินใจว่าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะคุยธุระกับเจ้าหมอนี่ ให้ตายสิ สมัยก่อนเขายังไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ขนาดแก้ผ้าเองต่อหน้าจางซื่อเยี่ยนเขาก็ทำมาแล้ว ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาได้
   เว่ยเฟิงปิงก้าวเท้าออกมาพร้อมกับสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ เขาเห็นว่าจางซื่อเยี่ยนกำลังจัดเสื้อผ้าให้เขาอยู่ ความสงสัยแล่นเข้ามาทันที ผู้เป็นเจ้านายยกเรื่องหมายกำหนดการทิ้งไปก่อน เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่กินยาผิดขวด
   “นี่ซื่อเยี่ยน วันนี้นายเป็นอะไรกันแน่?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยถามอย่างจริงๆ จังๆ ขณะที่จางซื่อเยี่ยนหยิบเสื้อเชิ้ตมาทำท่าจะสวมให้เขา ชายหนุ่มยิ้มบางๆ และตอบไม่ตรงคำถาม
   “ใส่เสื้อผ้าก่อนสิครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายตวัดสายตามองลูกน้องครั้งหนึ่ง แต่ก็ยอมใส่เสื้อผ้าโดยดี จนแต่งตัวเสร็จ ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมตอบคำถาม จนเขาต้องถามออกไปอีกรอบอย่างอดกลั้น “วันนี้นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย?”
   ใบหน้าของจางซื่อเยี่ยนกลายเป็นสีแดงเรื่ออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังหลบสายตาเหมือนกำลังเขินอาย บนมุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่ดูจะพยายามสะกดกลั้นเอาไว้
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกว่ามีคนกินยาผิดขวดแน่ๆ !
   จางซื่อเยี่ยนยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ซึ่งปกติเขาก็อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้เป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ปัญหาคือท่าทีที่กำลังอ้ำๆ อึ้งๆ นี่สิ ชวนให้สงสัยว่านี่คงไม่ใช่จางซื่อเยี่ยนคนเดิม
   “นายเป็นบ้าอะไร?!” เว่ยเฟิงปิงขึ้นเสียงถาม มันพิสดารเกินกว่าที่เขาจะรับได้ หรือจางซื่อเยี่ยนได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจแบบเว่ยจินหยิน แต่เจ้าหมอนี่ไม่ได้นอนไม่รู้สึกตัว แต่กลับทำเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้แทน แบบนี้เขาควรจะดีใจดีรึเปล่า?
   “คุณชาย ผมชอบคุณจริงๆ นะครับ”
   คนฟังขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้ยิน เมื่อคืนจางซื่อเยี่ยนก็บอกเขาแล้ว บอกเสร็จก็จัดการทำให้เขาลุกไม่ขึ้นในวันต่อมา แต่นี่ไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุวิปลาสแบบนี้
   “ฉันรู้แล้ว ที่ฉันจะถามคือ นายเป็นอะไรของนาย ปกตินายไม่ทำอะไรแบบนี้นี่?”
   เว่ยเฟิงปิงพยายามลดอุณหภูมิอารมณ์ตัวเอง เพราะไม่ว่าจะดูมุมไหน จางซื่อเยี่ยนทำไม่ผิดซักอย่าง จริงๆ คือถูกใจเขาอยู่มากด้วยซ้ำ ปัญหาคือเพราะจางซื่อเยี่ยนเป็นคนทำนี่แหละ มันเลยดูผิดปกติ
   “แล้วคุณชอบรึเปล่าล่ะครับ?” จางซื่อเยี่ยนตอบ แต่พอเห็นนัยน์ตาสีฟ้าถลึงอย่างเอาเรื่องจึงรีบพูดต่อ “คือผม..อืม...อยากจะลองจีบคุณดูนะ”
   เว่ยเฟิงปิงเกือบจะหลุดเสียงร้องแบบไม่อยากเชื่อออกมา ดีที่ตั้งสติได้ก่อน ถึงอย่างนั้นเสียงที่ถามไปก็ออกจะสั่นอยู่มากจริงๆ
   “จีบ? จีบฉันเนี่ยนะ?”
   จางซื่อเยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก และแก้มแดงหน่อยๆ
   “คือ.. ผมไม่คิดมาก่อนว่าคุณจะรักตอบผม ผมเลย... อยากจะจีบคุณอย่างจริงๆ จังๆ”
   คนฟังอึ้งไปนานจริงๆ คิ้วของเว่ยเฟิงปิงขมวดหากันจนมุ่น มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “นายเพี้ยนไปแล้วเรอะ! เพิ่งคิดจะมาจีบฉันตอนนี้เนี่ยนะ?”
   อีกฝ่ายหัวเราะเขินๆ “ขอโทษนะครับ คือผมคิดว่าไหนๆ คุณก็อุตส่าห์รักผมแล้ว ผมก็ควรจะจีบคุณอย่างคนรักกัน”
   เว่ยเฟิงปิงขนลุกไปทั้งตัว เขารู้ล่ะว่าคงจางซื่อเยี่ยนคงไม่ได้ยาผิด ท่าทางเจ้าหมอนี่จะเข้าใจคำว่าจีบผิดประเด็น มันต้องเริ่มจีบก่อนที่จะรักสิ ไม่ใช่รอให้รักแล้วค่อยมาจีบ สรุปว่ายังซื่อบื้อเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นทำไมเขาดันใจเต้นตุบๆ ไปตามคำพูดไม่เป็นสัปปะรดนั้นล่ะ จางซื่อเยี่ยนยิ้มกว้าง เดินเข้ามากอดเขา และหอมแก้มเบาๆ
   “ผมรักคุณนะครับ”
   ผู้เป็นเจ้านายยังคงถือทิฐิอย่างตั้งแง่ ผลักไสอีกฝ่ายออก และแค่นเสียง “เฮอะ! นี่แปลว่าปกตินายจีบคนอื่นแบบนี้เหมือนกันล่ะสิ ไม่ยักรู้ว่านายเก่งเรื่องพวกนี้”
   “ผมจีบคุณคนแรกนี่แหละครับ” อีกฝ่ายตอบและหน้าแดงด้วยความขวยเขิน
   “คือผมแอบรักคุณมานานมาก เคยคิดจะจีบคุณอยู่เหมือนกัน แต่คุณไม่ชอบขี้หน้าผม แถมเป็นเจ้านายผมอีก ผมเลยทำไม่ลง ผมกลัวอกหัก”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่จางซื่อเยี่ยน เขาควรจะรีบตะเพิดไอ้คนที่มีระบบความคิดผิดปกติแบบนี้ออกไปให้พ้นๆ แต่หน้าตาซื่อๆ ดูน่าสงสารทำให้เขาหยุดความฮึดฮัดลงไปนิดหน่อย ร่างบางแค่นเสียงถาม “แล้วไหงตอนนี้ถึงได้กล้าจีบขึ้นมาล่ะ?”
   “ก็คุณรักผมแล้วนี่ครับ” จางซื่อเยี่ยนตอบ คราวนี้เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างกับจะฆ่าจะแกง และดูจางซื่อเยี่ยนจะกลัวขึ้นมาอย่างจริงจัง ถึงกับรีบเอามือปิดตาเขาไว้และจูบปิดปาก เว่ยเฟิงปิงจิกมือลงไปบนเสื้อของลูกน้อง ก่อนจะตัดสินใจเงียบๆ
   ให้ไอ้พวกที่รออยู่ด้านล่างรอต่อไปอีกหน่อยแล้วกัน
-------------------------------------------------
   พฤติกรรมพิลึกพิลั่นของจางซื่อเยี่ยนนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นปุ๊บปั๊บ เจ้าตัวใช้เวลาตัดสินใจอยู่หลายวัน ตั้งแต่วันที่เขาถูกเว่ยเฟิงปิงตบจนหูอื้อ จางซื่อเยี่ยนเริ่มสำนึกขึ้นมาว่าเขาสมควรดูแลหัวใจของเจ้านายให้ดีกว่านี้ คิดไปคิดมา ไอ้ที่เคยพยายามจะตามใจก็ดูจะไม่ได้เรื่อง ที่ทำมาก่อนหน้าก็ดูเว่ยเฟิงปิงจะไม่พอใจเอาเสียเลย
จริงๆ จางซื่อเยี่ยนก็พอเดาใจคนออกบ้าง แต่กับเจ้านายคนนี้ การตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ตั้งแต่แรกพบ ทำให้จางซื่อเยี่ยนไม่กล้าคาดเดาอะไร เหมือนต่อให้เขาทำถูกทางนั้นก็ต้องหาว่าทำผิดอยู่ดี อีกอย่างเขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งอยู่แล้ว จะพูดอะไรให้เข้าหูก็ลำบาก และขนาดไม่พูดอะไรก็ดูจะขัดหูขัดตาไปหมด พอรู้แน่ๆ ว่าเว่ยเฟิงปิงเริ่มมีใจให้เขาแล้ว จางซื่อเยี่ยนพยายามคิดหาวิธีอย่างหนักที่จะตอบแทนความรู้สึกนี้ สุดท้ายก็นึกออกแต่เรื่องบ้าๆ ที่เขาเคยจินตนาการอย่างเพ้อพก ว่าถ้าเขาสามารถจีบเจ้านายคนนี้ได้ เขาจะทำอะไรบ้าง
   จางซื่อเยี่ยนจึงงัดกลยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่ในสมองเอามาใช้กับสถานการณ์จริง และดูจะใช้ได้ผลไม่เลวเลยทีเดียว
--------------------------------------------------
   ฟ่งทอดถอนใจเงียบๆ เขากำลังนั่งเหม่ออยู่ริมระเบียง รูฟัสลงไปซื้ออาหารที่ด้านล่าง สมองชายหนุ่มนึกทบทวนสิ่งต่างๆ ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์บนถนนเบื้องล่าง และลมร้อนผ่าวที่พัดเข้ามา
   ฟ่งจมปลักอยู่ในหล่มความเศร้าที่ขุดขึ้นเองมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว นี่เป็นหนึ่งในนิสัยที่เขาไม่ค่อยชอบใจตัวเองนัก มันเป็นความคิดที่แก้ไม่หาย เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาจะแช่ตัวเองในความเจ็บปวด คร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมานที่สุด ด้วยความรู้สึกลึกๆ ว่านี่คือการไถ่โทษอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงมันคือการทำร้ายคนรอบข้างที่มีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำร้ายคนที่รักเขาซ้ำเข้าไปอีก นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่เขาบอกเลิกกับอดีตแฟนคนเก่า
ฟ่งท้อแท้กับนิสัยแบบนี้ของตัวเองจริงๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ เขากลับไม่อยากทำกับรูฟัสเหมือนที่เคยทำกับดา เหตุผลอาจจะดูน่าเกลียดนิดหน่อย ตรงที่กับดา เขาเป็นฝ่ายได้ ขณะที่กับรูฟัส เขาเป็นฝ่ายเสีย เพราะฉะนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รูฟัสก็ไม่น่าจะคิดมาก
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ สรุปแล้วนิสัยเขาเป็นปัญหามากจริงๆ ไม่ว่าใครจะได้จะเสีย เขาก็ควรจะหยุดอาละวาด หยุดทำอะไรงี่เง่าสักที ที่ตัดสินใจพูดกับรูฟัสว่าจะอยู่ด้วย ก็เพราะเขาแน่ใจว่าการได้อยู่กับผู้ชายคนนี้จะทำให้เขามีความสุข และเขาอยากเห็นผู้ชายคนนี้มีความสุข แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ ทั้งเขาทั้งรูฟัสไม่มีความสุข แถมยังออกจะขมเอามากๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเขาทั้งนั้น
ฟ่งถอนหายใจเฮือก เขาทำใจเรื่องครอบครัวได้ยาก ไม่เคยอยากให้อะไรจบแบบนี้ ไม่อยากรักรูฟัสแล้วต้องสูญเสียครอบครัวไป แต่เขาก็ไม่อยากจะเสียรูฟัสไปด้วยเหมือนกัน เสียงถอนหายใจดังแทรกไปกับสายลม
   ในเมื่อเขาผ่านเรื่องบ้าๆ ก่อนหน้านี้มาได้ตังเยอะแยะ แค่เรื่องในครอบครัวเขาก็น่าจะผ่านมันไปได้เหมือนกัน
   เสียงเปิดประตูทำให้ฟ่งหันไปมองโดยอัตโนมัติ รูฟัสที่ออกไปซื้อของกินเข้ามาหยุดยิ้มให้เขา ฟ่งยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดตั้งแต่เขาฝังตัวเองในความขมขื่น
   เขาจะก้าวไปข้างหน้า ไปพร้อมกับผู้ชายคนนี้
-----------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินนอนหลับบนทางรกร้างที่แผ้วถางเท่าไหร่ก็ดูจะหาหนทางดีๆ ไม่ได้ ทางรกร้างที่มีเพียงตัวเขาและความฝันเลือนราง สัมผัสของมือคู่หนึ่งอบอุ่นอ่อนโยนปลอบประโลมเขาจากการเดินทางยาวนาน
ชายหนุ่มจมอยู่ในความฝันเลอะเลือน ลืมไปเกือบหมดแล้วว่าเขากำลังทำอะไร ลืมไปสิ้นแล้วว่าตัวเองเป็นใคร หลงใหลอยู่ในฝันเพ้อที่มีแต่ความสุขสันต์ เวลาผ่านไป ความฝันหอมหวานคล้ายกลุ่มควัน เนิ่นนานก็พลิ้วหายไปกับสายลม ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาหยุดฝัน ไม่สิ ฝันของเขาเริ่มว่างเปล่า เหมือนดั่งทางร้างที่เขานอนอยู่ ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีสัมผัสอ่อนโยน ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก เหมือนว่าเวลายาวนานทำให้เขาเริ่มลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมกระทั้งความรู้สึกของสัมผัสคุ้นเคย ลืมกระทั่งชื่อเรียกของตัวเอง ลืมไปจนเกือบหมดสิ้น
ท่ามกลางความทรงจำที่คล้ายแก้วเปล่า ความรู้สึกอ้างว้างแล่นเข้ามาราวกับล้อรถบดทับ เขานึกอะไรไม่ออก หวาดกลัวทุกสิ่งอย่าง ได้แต่ขดตัวร้องไห้ พยายามนึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น ใครกันที่เคยปลอบโยนเขาอยู่ตลอดเวลา ใครกันที่เคยเดินเคียงข้าง ชายหนุ่มลืมตาขึ้นในความว่างเปล่า เขานึกไม่ออกแล้วว่าคนคนนั้นคือใคร สิ่งที่เขานึกออกคือ เขาเคยมีความอบอุ่นนั้นอยู่
ชายหนุ่มหยัดยืนขึ้น เขาต้องออกตามหาความอบอุ่นนั้น ความอบอุ่นที่เขาลืมเลือนไป
--------------------------------------------------------
   เสียงอะไรหนักๆ ล้มลงกับพื้นทำให้ไมเคิลสะดุ้ง เขายืนเฝ้าเวรหน้าของของเว่ยจินหยินตามปกติ และถูกอดีตลูกพี่กำชับนักกำชับหนาว่าให้คอยฟังเสียงในห้องเอาไว้ เผื่อว่าคุณชายตื่นมาอาจจะต้องการอะไร แต่ดูสภาพเว่ยจินหยินแล้ว ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะลุกขึ้นมาพูดได้ ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คงเพราะการดูแลของเถียนซานนั่นแหละ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านายที่ทรงอำนาจคนนี้จะกลับกลายเป็นเหมือนซากศพมีชีวิต
สำหรับไมเคิล ถ้าตัดเรื่องความกดดันและการทดลองแปลกๆ ออกไป เว่ยจินหยินถือว่าเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง อย่างน้อยก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะทำดีกับลูกน้อง และก็ไม่เคยแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามให้เห็น ทำงานมาให้หลายปี พอเห็นเจ้านายเป็นแบบนี้ เขาก็อดใจหายไม่ได้
   ทันทีที่ตั้งสติได้ ไมเคิลเปิดประตูห้องเข้าไปทันที
--------------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินงุนงงกับตัวเองมากจริงๆ เขาลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนฟูกนุ่ม ซึ่งก็ใช้เวลาอีกพักหนึ่งถึงพอจะนึกออกว่าอยู่ที่ไหน เหมือนว่าเขาจะหลับไปนานมากจนเกือบจะหลงลืมทุกอย่างไปแล้ว
เว่ยจินหยินพยายามจะลุกขึ้นนั่ง และพบว่าเรี่ยวแรงหายไปพอสมควร เขามองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ฟื้นความทรงจำมาทีละน้อย นี่คือห้องนอนของเขา เขาคงหลับไปนานพอสมควร ดูจากอาการอ่อนแรงของแขนขา ไม่มีใครอยู่ในห้อง เว่ยจินหยินพยายามนึกทบทวน เหมือนเขาจะตื่นขึ้นเพราะต้องการหาใครสักคนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็นึกชื่อนั้นออก
   เถียนซาน!
   เว่ยจินหยินเลื่อนตัวลงจากเตียง พอทิ้งน้ำหนังลงบนเท้าทั้งสองข้างก็ล้มโครมลงไป ขณะกำลังงุนงงกับสภาพตัวเอง ไมเคิลก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
   “คุณชาย!!” ผู้เป็นลูกน้องอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้าไม่เห็นนัยน์ตาสีดำราวสุนัขจิ้งจอกที่มองตรงมายังเขาอย่างพิศวง เขาคงคิดว่าเจ้านายคนนี้กำลังละเมอ ไมเคิลตรงไปพยุงเว่ยจินหยินขึ้นมาจากพื้น
   “เกิดอะไรขึ้น?” ผู้เป็นเจ้านายถามอย่างงุนงง ความทรงจำของเขาย้อนกลับมาเรื่อยๆ นี่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย ทำไมถึงได้ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยืนเอง ไมเคิลพาเว่ยจินหยินกลับไปนั่งที่เตียง ก่อนจะมองด้วยสายตาตื่นเต้นยินดี “คุณชายรู้สึกตัวแล้วหรือครับ?”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า เอ่ยถามอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น? ฉันเป็นอะไรไป?”
   “เอ่อ...คุณนอนหลับไปน่ะครับ อืม..คือเหมือนคุณจะเสียสติ พวกเราคิดว่าคุณคงไม่กลับมาแล้ว”
   “เสียสติ?” เว่ยจินหยินย้อนถามอย่างงุนงง พยายามแยกแยะความทรงจำที่ไหลย้อนกลับมาอย่างสับสน เขาน่ะรึเสียสติ? คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน เหมือนจะนึกออกลางๆ เขาโดนจางซื่อเยี่ยนทำร้าย แล้วก็ไม่คิดว่าจะบาดเจ็บภายใน อ่า..ใช่ ตอนนั้นแค่หายใจก็เจ็บปวดจนแทบตาย เขาเผลอถอดใจไปตอนนั้นเอง
   “ฉันนอนไปกี่วัน? วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว?”
   “คุณหลับไปเกือบสามสัปดาห์แล้วครับ วันนี้วันที่ยี่สิบสอง”
   เว่ยจินหยินอ้าปากค้าง ไมเคิลหยิบแว่นตาส่งให้เจ้านายของเขา และเล่าต่อ “พี่เถียนมาดูแลคุณทุกวัน เขาซื้อของมาฝากคุณด้วย เขาอยากให้คุณกลับมาไวๆ พวกผมก็เหมือนกัน”
   เว่ยจินหยินตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามออกไปทันที “อาซานอยู่ไหน?”
   “คฤหาสน์คุณท่านครับ” ไมเคิลตอบ เว่ยจินหยินขมวดคิ้วทันที ถึงเถียนซานจะทำงานอยู่ที่หน่วยดำก็จริง แต่ปกติไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคฤหาสน์ส่วนตัวของพ่อเขานี่ ผู้เป็นลูกน้องอธิบายความต่อ
   “วันนี้คุณลี่เหลียนจะไปที่นั่นครับ ก็เลยต้องเรียกกำลังเกือบทั้งหมดไปเตรียมรับมือ”
   นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเบิ่งโพลง และออกคำสั่งทันที
   “ไปเตรียมรถ ฉันจะไปคฤหาสน์คุณพ่อ”
-------------------------------------
   เว่ยจินหยินรีบจนเกือบจะไม่มีเวลาสางผมให้เข้าที ผลจากการนอนเฉยๆ เกือบสามสัปดาห์ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาของเขาอ่อนแรงไปมาก ตอนนี้เขากำลังพยายามหวีผมให้เรียบร้อยในรถลีมูซีน ฟังไมเคิลกับโจรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาหลับ แล้วเว่ยจินหยินก็ต้องตระหนกเมื่อแผนที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมดถูกสานต่อจนดำเนินราบรื่นไปได้ด้วยดี จนในที่สุดผู้ชายที่ชื่อลี่เหลียนก็ยอมออกโรงเอง ทั้งหมดเป็นฝีมือของอดีตลูกน้องคนนั้น
เว่ยจินหยินกำมือที่สั่นเทาของตัวเองไว้ รู้สึกตื้อขึ้นมาในหัว เหมือนอะไรจะระเบิดออก
   โจเล่าว่าพอเถียนซานลุกได้ก็มาเยี่ยมเขาทันที เมื่อรู้ว่าอดีตเจ้านายกลายเป็นแบบนั้นก็คอยดูแลทุกๆ อย่าง แวะมาเยี่ยมทุกครั้งที่ถึงเวลาพักเที่ยง และรีบกลับมาให้ไวที่สุดในตอนเย็น เรียกว่างานเดิมก็ไม่ทิ้ง แล้วยังทุ่มเทดูแลเขาอย่างเต็มกำลัง ถึงตรงนี้เว่ยจินหยินก็พูดอะไรไม่ออกอีก ได้แต่พยักหน้า
   เขาบ้าเองที่ถอดใจไปก่อน
   ตอนนี้คนที่เขาอยากเจอที่สุดไม่ใช่คุณพ่อ ไม่ใช่ลี่เหลียน แต่เป็นผู้ชายที่ทุ่มเทให้เขาจนหมดหัวใจคนนั้น
-------------------------------------------
   เถียนซานแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเกือบจะวิ่งอย่างไม่เกรงใจลงมาจากตัวคฤหาสน์ด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นรถลีมูซีนคันนั้นแล่นเข้ามาจอด ไม่มีใครในตึกต้าเหยินกล้าใช้รถคันนี้โดยพละการแน่ นอกจากคนคนนั้น
   หัวใจของเถียนซานเต้นแรงด้วยความยินดีเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวออกมาจากรถ แม้จะซูบไปมากแต่เว่ยจินหยินยังคงรักษาบุคลิกภาพเอาไว้ได้อย่างดี ผมหวีเป็นระเบียบอย่างที่เคยทุกครั้ง แม้ผลจากการไม่ได้ขยับร่างกายติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ต้องใช้คนช่วยพยุง แค่เจ้าตัวก็ยังสามารถรักษาบุคลิกอันงามสง่าไว้ได้ นี่แหละคือเว่ยจินหยิน
   ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปหาอดีตเจ้านายทันที เว่ยจินหยินสวมสูทสีขาว คงไม่อยากใส่สีเข้มๆ เพราะผิวของเขาตอนนี้ซีดจัดจนน่าตกใจ แต่แววตาคมวาวนั้นไม่เหมือนคนเพิ่งหายจากอาการป่วย แค่ได้เห็นแววตานั้นเถียนซานก็โล่งใจ
   “อาซาน ฉันกลับมาแล้ว” เว่ยจินหยินเอ่ย และยิ้มออกมา เถียนซานแทบจะกอดเจ้านายของเขาตรงนั้น เขารู้ว่าสักวันเว่ยจินหยินจะต้องกลับมา คนที่เข็มแข็งมากคนนี้คงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ
   “ฉันกลับมาเพราะนาย” เจ้าตัวพูดต่อ เถียนซานมองมือสั่นเทาที่เอื้อมมา ทั้งดีใจทั้งปวดใจ เขาจับมือข้างนั้นเอาไว้และยกขึ้นจูบอย่างเคารพ
   “ยินดีต้อนรับกลับครับ”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า มองดูผู้เป็นลูกน้อง คำพูดทั้งหลายที่พยายามคิดมาตลอดทางเหมือนถูกอัดอยู่ในคอจนพูดไม่ออก ยังไม่ทันที่จะหายตื้นตัน เสียงที่ไม่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้น
“นั่น...จินหยินสินะ”
   ผู้ที่เอ่ยทักเป็นชายวัยราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบเศษ ผมสีดำที่เริ่มมีสีขาวแซมถูกตัดสั้นและหวีเป็นทรงเรียบร้อย เขาอยู่ในชุดสูทลำลองสีน้ำตาล แม้จะใช้ไม้เท้าในการช่วยเดิน แต่ท่าที่เดินเข้ามานั้นดูมีสง่าราศีไม่รู้สึกน่าเวทนาเลยสักนิด ดูราวกับว่าต่อให้อยู่บนรถเข็น คนคนนี้ก็ยังรักษาความสง่างามนี้เอาไว้ได้ เถียนซานหลบฉากไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกระซิบบอก
   “คุณลี่เหลียน อาคุณครับ”
   เว่ยจินหยินตัวชาไปตลอดร่าง เขารู้มานานแล้วว่าศัตรูที่พ่อเขาเกลียดชังนักชื่อลี่เหลียน รู้มานานแล้วด้วยว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้องชายต่างมารดาของผู้เป็นพ่อ เป็นอาแท้ๆ ของเขาเอง และตัวเขาก็ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดอาให้กับพ่อของเขา แต่ที่ทำให้เว่ยจินหยินตัวชาด้วยความตระหนก ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เพราะนัยน์ตาสีดำที่สบเข้ามาต่างหาก
   ราวกับเขากำลังจ้องเข้าไปในดวงตาของตัวเอง
   เหมือนจะเคยมีคำพูดทำนองว่า คนประเภทเดียวกันแค่สบตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไง สำหรับเว่ยจินหยิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ แววตาสีดำลึกล้ำ อ่อนโยนแต่เหมือนมีหมอกกั้น เข่าที่อ่อนแรงอยู่แล้วของเว่ยจินหยินอ่อนยวบ จังหวะเดียวกับที่คนคนนั้นเดินมาถึงพอดี มือที่ยังดูดีแต่เสื่อมไปตามวัยยืนเข้าคว้าตัวเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ถ้าลี่เหลียนคิดจะฆ่าเว่ยจินหยินตอนนี้ เว่ยจินหยินคงตายไปแล้ว เพราะไม่มีใครนึกว่าคนอายุห้าสิบหกสิบที่ต้องใช้ไม้เท้าในการเดินจะมีความเคลื่อนไหวว่องไวขนาดนี้ แต่ที่ลี่เหลียนทำคือประคองร่างของหลานชายเอาไว้ และกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
   “ฉันรู้แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงได้อยากฆ่าเธอนัก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
   เป็นครั้งแรกที่เว่ยจินหยินหายใจติดขัดต่อหน้าคนอื่น เขาไม่รู้ว่ากำลังหวาดกลัวชายชราที่อยู่ตรงหน้าหรือหวาดกลัวเงาสะท้อนของตัวเอง เว่ยจินหยินแทบจะเข้าใจเหตุผลที่พ่อเกลียดชังเขาทันที
   เพราะเขากับลี่เหลียนเป็นคนประเภทเดียวกันนี่เอง
   “แต่เธอทำงานได้ดีจริงๆ อานับถือเธอมาก” ผู้สูงวัยกว่ายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถ้านับอายุแล้ว ปีนี้ลี่เหลียนก็คงอยู่ที่ราวๆ หกสิบ เพราะเขาเกิดห่างจากพี่ชายไม่กี่ปี ใบหน้าเกลี้ยงได้รูปเรียบร้อย แม้มีริ้วรอยจากกาลเวลาอยู่บ้างแต่ก็ยังพอจะเดาได้ว่าครั้งหนึ่งต้องหล่อเหลาเอาการ ผิวขาวละเอียด นิ้วมือเรียวได้รูป บุคลิกเรียบร้อยและสง่างาม แม้จะใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ก็ไม่ทำให้ความผึ่งผายนี้ลดลงไปเลย แม้ใบหน้าจะไม่ได้ละม้ายคล้ายกันมาก แต่โดยสภาพรวมแล้ว ลี่เหลียนกับเว่ยจินหยิน ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกัน
   ความรู้สึกของสุนัขจิ้งจอก
   “ชมผมเกินไปแล้วครับ”
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่72 p14 8/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-12-2011 12:58:28
   ถ้าวัดจากสภาพจิตใจที่เพิ่งฟื้นจากอาการทางประสาท เว่ยจินหยินถือว่าตั้งตัวได้ไวทีเดียว ไม่นานเขาก็กลับไปรักษาสภาพเรียบร้อยเหมือนเดิมได้ ยิ่งทำให้สองคนนี้คล้ายกันมากจริงๆ ลี่เหลียนดูจะพอใจจะสนทนากับหลานชายที่ทำลายแก๊งของเขา
   “ถ้าอาได้เธอมาเป็นลูกก็คงดี”
   คำพูดนั้นถูกสวนกลับแทบจะในทันที “ผมเป็นลูกคุณพ่อครับ”
   แต่แทนที่จะมีสีหน้ามึนตึง อีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจ ผู้ชายคนนี้หัวเราะได้น่าดูจริงๆ สำหรับวัยขนาดนี้ เขากล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี “อืม..อารู้ล่ะ เอาเถอะ มีลูกนิสัยเหมือนกันก็คงไม่สนุกเท่าไหร่”
   เว่ยจินหยินยิ้มตอบอย่างสุภาพ และเอ่ยขึ้นบ้าง “คุณอาวันนี้แวะมาเยี่ยมคุณพ่อ มีเรื่องอะไรหรือครับ?”
   เป็นคำเหน็บแนมเจ็บแสบ เป็นที่รู้กันว่าเว่ยชิงและลี่เหลียนสะบั้นสายเลือดกันนานแล้ว การมาเยือนในวันนี้คงไม่ใช่การแวะมาเยี่ยมฉันญาติมิตรแน่ๆ แต่สาเหตุคงจะมาจากคนพูดนั่นแหละ
   “อาแวะมาเยี่ยมพี่ใหญ่ เธออย่าใส่ใจธุระของผู้ใหญ่ให้มากนักเลย ดูสิ ซูบผอมไปหมด อย่างกับคนป่วยเพิ่งลุกจากเตียงอย่างนั้นแหละ”
   หากว่าการฟังบทสนทนาของเว่ยจินหยินในยามปกติสร้างความกดดันแล้ว การได้ฟังบทสนทนาของคนที่มีลักษณะเดียวกันสองคนคงยิ่งกดดันกว่านั้นหลายเท่าตัว คุยกันไม่กี่ประโยค แต่เหมือนมีบรรยากาศอึมครึมเกิดขึ้นรอบๆ ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ยังยิ้มอย่างสง่างามอยู่
   “ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ ห่วงแต่คุณอาเถอะครับ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ทางที่ดีน่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านจะดีกว่านะครับ”
   ลี่เหลียนหัวเราะชอบใจอีก เขาหัวเราะอยู่นานจนเกือบจะหอบ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่าเว่ยจินหยิน
   “ได้คุยกับเธออารู้สึกดีจริงๆ บางทีที่เธอรอดกลับมาคงเพราะฟ้าอยากให้เรามาพบกันสักครั้งก็ได้”
   “ก็คงอย่างนั้นแหละครับ” เว่ยจินหยินกล่าวตอบ ดูท่าเขาคงมีชะตากรรมจะได้พบคนเหมือนตัวเองสักครั้งอย่างที่ลี่เหลียนพูดจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตื่นมาในวันนี้ แล้วตะกายมาจนถึงที่นี่หรอก
   “ผมพยุงไปนะครับ” เถียนซานเอ่ยขึ้นเมื่อชายชราหันตัวออก เขาลาเว่ยจินหยินด้วยสายตาและเข้าประกบลี่เหลียนทันที เจ้าตัวหัวเราะร่วน
   “แหม..ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าจะช่วยกันพยุงล่ะก็ เอาแค่คนเดียวก็พอ”
   เว่ยจินหยินเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังของลี่เหลียนมีหน่วยดำตามประกบอีกสองคน เถียนซานยิ้มอย่างสุภาพ และเอ่ยเรียบๆ “จะขึ้นไปพบคุณท่านเลยรึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามหัวเราะอีกครั้งและพยักหน้า
   “เอาสิ พี่ใหญ่ไม่ใช่คนที่ชอบรออะไรนานๆ เสียด้วย”
------------------------------------------
   “นี่ เถียนซาน” น้ำเสียงเดิมเอ่ยขึ้น เสียงของลี่เหลียนเวลาพูดออกมาดูอบอุ่นและน่าไว้ใจจนน่ากลัว เขาหันมามองเถียนซานที่กำลังเดินขนาบข้างอย่างพินิจพิเคราะห์
   “ฉันเคยจินตนาการหน้าเธอที่ถูกเรียกว่าปิศาจเอาไว้หลายแบบ แต่เธอดูธรรมดากว่าที่คิดไว้เยอะเลย”
   เถียนซานผงกศีรษะ เขารู้ดีว่าสามสิบปีมานี้สร้างความเสียหายอะไรให้กับลี่เหลียนบ้าง ชายชราพูดต่อ “ฉันดีใจที่พี่ใหญ่ได้ลูกน้องดีๆ แบบเธอ”
   “ขอบคุณครับ” เถียนซานเอ่ยเรียบๆ พลางหยุดหน้าประตูไม้บ้านใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่เว่ยชิงใช้ประจำ เจ้านายใหญ่ของเขายืนยันจะต้อนรับศัตรูคู่แค้นร่วมสายเลือดในห้องนี้เพียงลำพัง เรื่องระหว่างพี่น้อง คงไม่อยากให้คนภายนอกรับรู้
   “ขออนุญาตนะครับ ผมต้องค้นตัวคุณอีกรอบ” หนุ่มใหญ่กล่าว และตรวจเช็คทุกจุดที่ดูจะซ่อนอาวุธได้บนตัวชายชราอย่างละเอียด โดยมีอีกสองคนตรวจซ้ำ ระหว่างนั้นลี่เหลียนหัวเราะครื้นเครง
   “กลัวฉันจะฆ่าพี่ใหญ่หรือ อายุปานนี้แล้วฆ่าแกงกันไม่ไหวแล้วล่ะ”
   เถียนซานไม่แสดงท่าทีอย่างไรตอบ แต่ตรวจค้นจนเสร็จ จึงเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปในห้อง พอประตูเปิดออก สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แค่วูบเดียวจริงๆ แล้วประตูก็ปิดลง
---------------------------------------------
   “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่ใหญ่” เสียงเอ่ยทักอย่างสุภาพ ทำให้เว่ยชิงหรี่ตาลง เสียงนั้นที่เขาไม่ได้ยินมาเกือบห้าสิบปี แม้จะมีแววแห่งความชราแฝงอยู่บ้าง แต่นี่คือเสียงคนคนนั้นไม่ผิดแน่ นัยน์ตาสีน้ำครำเพ่งพิศดวงหน้าของผู้เข้ามา ก่อนจะพูดตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะ เสี่ยวเหลียน”
   “นานมากจริงๆ” ลี่เหลียนตอบ พลางทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้าม จับจ้องมองพี่ชาย และถอนหายใจ “เวลาทำให้พี่เปลี่ยนไปมากเลย”
   เว่ยชิงพยักหน้าอย่างยอมรับ เวลากว่าห้าสิบปี เปลี่ยนชีวิตเขาไปมากจริงๆ จากชายฉกรรจ์แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมจะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็นคนแก่ร่างงุ้มเหมือนไม้ผุเข้าไปทุกที เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นในความเงียบ นัยน์ตาสีน้ำครำเบือนขึ้นมองหน้าน้องชายในที่สุด
   “แต่เธอ...เหมือนจะไม่เปลี่ยนไปเลย...”
   ลี่เหลียนหัวเราะ เหมือนจะเป็นการหัวเราะแก้เขินมากกว่าจะหัวเราะเยาะ นัยน์ตาสีดำที่เหมือนมีม่านกั้นเหลียวมองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ก่อนจะกลับมามองพี่ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม
   “พี่สร้างห้องนี้ใหม่? พี่คิดถึงผมหรือ?”
   เว่ยชิงทั้งไม่สั่นหน้าทั้งไม่ผงกศีรษะ เขากล่าวเรียบๆ “พี่เคยอยู่ในห้องแบบนี้”
   “เราต่างหาก” อีกฝ่ายแทรก พลางถอนหายใจ “ผมรู้ว่าพี่เกลียดผมมากจริงๆ แต่ผมยังหวังจะได้ยินพี่บ่นคิดถึงผมบ้าง”
   “......”
   นัยน์ตาสีดำจ้องมองร่างของชายชราที่อยู่ตรงหน้า แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไปมาก แต่แววตาเย็นชาเด็ดขาดนั้นเหมือนเดิมไม่มีผิด เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีก หลังจากนั้น ความเงียบที่กินระยะเวลายาวนานก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนต่างฝ่ายต่างไม่เหลืออะไรจะพูดอีก ท้ายที่สุด ลี่เหลียนก็เป็นฝ่ายขยับก่อน เขาเอื้อมมือไปรินน้ำชาจากกาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ เว่ยชิงสั่งทำของใหม่ทั้งหมด เขาจำได้ดีว่าห้องนี้เคยอยู่ในคฤหาสน์หลังเก่า เป็นห้องที่พวกเขาสองพี่น้องเติบโตมาด้วยกัน ห้องที่เป็นเหมือนความทรงจำแสนดี มือของลี่เหลียนสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะลืม แต่พี่ชายของเขากลับสร้างมันขึ้นมาใหม่ เลียนแบบของเดิมทุกอย่าง กาน้ำชา พรมปูพื้น แม้แต่รอยบุ๋มบนเก้าอี้ตัวที่เขาชอบนั่ง
   มือที่สั่นทำให้ชาหกออกนอกถ้วย ลี่เหลียนถอนหายใจ “ผมจะเรียกคนมาเช็ด”
   เว่ยชิงโบกมือทันที ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นวม ร่างกายของเขาเล็กลงกว่าสมัยก่อนมากจริงๆ ยามเดินก็ไม่ค่อยสง่าแล้ว แต่ยังดีตรงไม่ต้องพึ่งไม้เท้า ชายชราล้วงผ้าเช็ดหน้าแพรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเช็ดน้ำชาที่หกบนโต๊ะ
   “พออายุมากๆ ร่างกายก็ไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่ใจต้องการหรอก” เขาพูด และเหลือบดูขาน้องชาย ลี่เหลียนได้แต่ยิ้ม ถึงจะพูดเป็นคนแก่แบบนั้น แต่สำหรับเขาตอนนี้เหมือนเวลาย้อนกลับ ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เขากับพี่ยังใช้ห้องนี้ร่วมกัน ยังเล่นซนกันอยู่
   หากตัดเหตุการณ์ระหว่างห้าสิบปีออกไป เขาอาจจะอยู่ที่นี่ยาวไปเลยก็ได้ ผู้มีอายุน้อยกว่าถอนใจอีกรอบ “พวกเราแก่กันแล้ว?”
   “อืม”
   ลี่เหลียนมองดูมือตัวเองที่กำลังสั่นอยู่ มันเกิดจากอาการทางประสาท หรือมาจากความรู้สึกที่อัดอยู่กันแน่ เว่ยชิงเดินย้อนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม โดยทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้
   “ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเธอกลับมาที่ห้องนี้อีก” เว่ยชิงกล่าว นัยน์ตาสีน้ำครำมองดูน้องชาย เสี่ยวเหลียน เขาไม่เอ่ยเรียกชื่อนี้นานเท่าไหร่แล้ว กระทั่งพยายามลืมไปด้วยซ้ำ แต่พอได้พบจริงๆ เขาแทบจะจำรายละเอียดของน้องชายคนนี้ได้ทุกอย่าง ตำหนิทุกตำหนิ แม้แต่ความรู้สึกตอนที่หักขาข้างนั้น เขาก็ยังจำได้ ราวกับเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง
   ในวินาทีนี้ เขาตอบไม่ได้ว่ายังรู้สึกเคียดแค้นน้องชายอย่างที่รู้สึกวันนั้นรึเปล่า
   สิ่งที่ค้ำจุนเขามาเกือบห้าสิบปีคือการสุมไฟแค้นของน้องชายคนนี้ น้องชายต่างแม่ แต่ก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของเขา เนื่องจากอายุห่างกันไม่มาก ทั้งคู่จึงสนิทกันมาแต่เด็กๆ ในห้องห้องนี้ ห้องที่เหมือนกับโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคน ลี่เหลียนนั้นเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารัก รู้ใจเขาไปทุกอย่าง ไม่เคยทำอะไรให้ขัดเคืองเลยสักเรื่อง
เว่ยชิงรักชอบน้องชายคนนี้มากที่สุด ทั้งคู่ตัวติดกันอย่างกับแฝด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน กระทั่งไปจีบผู้หญิง ก็ยังไปด้วยกัน แข่งกันด้วยซ้ำว่าใครมีเสน่ห์มากกว่า ถ้าไม่นับว่าเขามีศักดิ์เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเว่ยแล้ว ลี่เหลียนได้รับความนิยมมากกว่าเขาแน่นอน ชายหนุ่มหน้าตาดีมารยาทเรียบร้อย พูดจาสุภาพอ่อนโยน เรียกว่าดูดีไปทุกเรื่อง ขนาดตัวเขาเองยังเคยรู้สึกอิจฉามารยาทเรียบร้อยของน้องชาย ลี่เหลียนดีกับเขาเสมอมา กับน้องชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่แบเบาะ รู้เรื่องของกันและกันดีทุกอย่าง คำว่าทรยศไม่เคยมีอยู่ในหัวของเว่ยชิงเลย จนกระทั่งวันที่ลี่เหลียนจุดไฟเผาบ้าน
   มันเป็นวันหลังจากสิ้นสุดการไว้ทุกข์เนื่องในการจากไปของผู้เป็นบิดาซึ่งนานหลายเดือน วันที่อากาศร้อนจนน่าอึดอัด เว่ยชิงที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ตั้งใจจะแต่งตั้งน้องชายให้คุมกิจการสำคัญ เขาเพิ่งไปเลือกซื้อแหวนหมั้น ด้วยความไว้ใจ เขาฝากหญิงคนรักให้น้องชายดูแลระหว่างนั้น เพราะไม่อยากให้เธอรู้ข่าวว่าเขาเตรียมตัวจะหมั้น และก็ไม่ได้บอกลี่เหลียนว่าเขาเตรียมตำแหน่งอะไรไว้ให้ เขาอยากให้คนทั้งคู่แปลกใจ
เว่ยชิงกลับมาถึงในตอนพลบค่ำ แต่ท้องฟ้าตรงคฤหาสน์ที่ตกทอดกันมานานกลับเป็นสีแดงฉาน เปลวไฟพวยพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ คฤหาสน์ไม้โบราณทั้งหลังกำลังถูกเพลิงผลาญ เว่ยชิงแทบจะเข่าอ่อน สมบัติของบรรพบุรุษกำลังมอดไหม้ต่อหน้าเขา แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากกว่าคือชีวิตของคนที่อยู่ด้านใน คนรับใช้คนหนึ่งซึ่งเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยคราบเขม่า วิ่งตะลีตะลานมาหาทันทีที่มองเห็นเขา และละล่ำละลักจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์
   “คุณชายรอง คุณชายรองฆ่าคุณหลินแล้วจุดไฟเผาห้องครับ!!”
   เว่ยชิงตัวชาวูบ เขาถึงกับกระชากคอผู้รับใช้ขึ้นมาอย่างมีโทสะ “พูดอะไร! เสี่ยวเหลียนน่ะนะฆ่าหลินหลิน เสี่ยวเหลียนน่ะนะจุดไฟเผาบ้าน?!!”
   ผู้รับใช้พยักหน้าพลางร้องไห้พลาง หวาดกลัวจนตัวสั่น
   “ผมพูดจริงๆ ครับคุณท่าน ผมเห็นกับตา ผมเห็นกับตา คุณชายรองยิงคุณหลิน ยิงคนในบ้านที่ห้าม แล้วลงมือจุดไฟด้วยตัวเองเลยครับ”
   เว่ยชิงรู้สึกเหมือนถูกทุบศีรษะ เขาเค้นเสียงถามคนรับใช้ “แล้วยังไงต่อ เสี่ยวเหลียน..เสี่ยวเหลียน...”
   เขาได้แต่ค้างคำพูดเอาไว้แบบนั้น เพราะเบื้องหน้า บุคคลที่เขาอยากพบเดินเข้ามาช้าๆ ใบหน้าของลี่เหลียนเต็มไปด้วยคราบเขม่า และเหมือนจะมีคราบน้ำตาปะปนอยู่ด้วย เพราะนัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เว่ยชิงปล่อยคนรับใช้ลง ก่อนวิ่งเข้าไปหาน้องชายด้วยอารามดีใจและเป็นห่วง
   “เสี่ยวเหลียน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ดีจริงๆ ที่เธอปลอดภัย หลินหลินล่ะ?”
   มุมปากของลี่เหลียนกระตุกขึ้นคล้ายพยายามจะยิ้มออกมาเต็มที่ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ปล่อยให้ตกลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา
   “ผมฆ่าไปแล้ว”
   เว่ยชิงยังจำนัยน์ตาของน้องชายในวันนั้นได้ดี นัยน์ตาซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล นัยน์ตาอ่อนโยนที่เขาไว้ใจมาโดยตลอด เขาไม่เคยสังเกตเลย ภายในดวงตานั้น มีม่านบางๆ กั้นอยู่ วินาทีนั้นเหมือนเขาไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้มาก่อน เว่ยชิงยังพอจะนึกถึงอารมณ์ขุ่นเคืองอย่างที่สุดในตอนนั้นได้ เป็นการโมโหครั้งรุนแรงที่สุดในชีวิตของเขา แม้ลี่เหลียนจะไม่ยอมอธิบายเหตุผล แต่เขาก็ยังไม่อำมหิตพอจะฆ่าน้องชายคนเดียวทิ้ง
เว่ยชิงลงโทษลี่เหลียนจนสาแก่ความผิด หักขาข้างหนึ่งทิ้งเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ทำ ก่อนจะขับไล่ออกจากตระกูล ด้วยความหวังเสี้ยวเล็กๆ ว่าลี่เหลียนจะสำนึก และซมซานกลับมาสารภาพความผิด แต่แล้วหลังจากนั้นเว่ยชิงก็ต้องตอกย้ำตัวเองว่า เขาไม่เคยรู้จักน้องชายคนนี้เลยจริงๆ เพราะนอกจากลี่เหลียนจะไม่กลับมาสำนึกแล้ว ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขาและตระกูล โดยการร่วมมือกับต่างชาติตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่าริเวิลขึ้นมา เข้าแย่งชิงและครอบงำกิจการในอาณัติของตระกูล เว่ยชิงสาบานกับตัวเองว่า เขาจะต้องกำจัดน้องชายคนนี้ให้ได้
   แต่ตอนนี้ ลี่เหลียนกลับมายืนตรงหน้าเขา กลับมายืนในห้องที่มีบรรยากาศเดิมๆ ในสมัยก่อน
สิ่งที่เว่ยชิงรู้สึกคือ เขาฝัน..ฝันและตื่นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองแก่ชราเสียแล้ว
   “เสี่ยวเหลียน เธอบอกพี่ได้รึเปล่า ว่าเธอฆ่าหลินหลินแล้วเผาบ้านทำไม?”
   มุมปากของลี่เหลียนกระตุกคล้ายกับวันนั้น และรอยยิ้มก็ไม่สามารถปรากฏออกมาเช่นเดียวกัน แต่แววตาต่างออกไปมาก เหมือนหมอกบางๆ กำลังสั่นไหว ก่อนจะถอนหายใจออกมา
   “ผมชอบห้องนี้ที่มีพี่อยู่ เราคุยเรื่องอื่นกันสักพักไม่ได้หรือ?”
   เว่ยชิงทอดตามองน้องชาย บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร จนถึงป่านนี้ลี่เหลียนก็ยังไม่อยากบอกเหตุผล จริงๆ เวลาห้าสิบปี พี่น้องไม่ได้เจอกันควรจะมีเรื่องให้พูดกันเยอะ แต่สำหรับเขา นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก เว่ยชิงไม่รู้จริงๆ ว่าจะคุยอะไรกับน้องชายคนนี้
   น้องชายที่สุมไฟแค้นเอาไว้ในอกเขามาค่อนชีวิต
   ลี่เหลียนเองก็คงรู้ตัวว่าพี่ชายคงไม่มีความต้องการจะพูดอะไรกับเขาอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปริปาก มือได้รูปขยับลงหยิบถ้วยน้ำชาที่รินทิ้งเอาไว้ขึ้นมาจิบ และหรี่นัยน์ตาที่มีม่านกั้นมองพี่ชาย
   ความเงียบที่เกิดขึ้นกินเวลาในความรู้สึกนานเกินจริง กว่าที่ลี่เหลียนจะวางถ้วยชาลง ในความรู้สึกของคนทั้งคู่ ก็เหมือนเวลาผ่านไปอีกห้าสิบปีแล้ว ความรู้สึกต่างๆ หมุนวนย้อนแย้งกันอยู่ในความรู้สึก เสียงทอดถอนใจดังขึ้นอีก
   “ผมเคยคิดจะอยู่กับพี่ไปตลอด ผมคิดอยู่เสมอว่าผมกับพี่คงจะได้อยู่ด้วยกันจนตาย”
   เว่ยชิงพยักหน้า ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดแบบนั้น เขาไม่เคยอยากจะเคียดแค้นน้องชายคนเดียวมากมายขนาดนี้เลย ลี่เหลียนพูดต่อ “เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ชีวิตผมมีแต่พี่ และผมก็คิดว่าชีวิตพี่มีแต่ผม เราอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอ?”
   เว่ยชิงถอนหายใจยืดยาว เงยสายตาสีน้ำครำขึ้นมองน้องชาย ด้วยความรู้สึกอย่างไรแม้แต่เจ้าตัวก็ยากจะบอกได้
   “เราเคยอยู่ด้วยกัน เธอบังคับให้พี่ไล่เธอออกไปเอง”
   ลี่เหลียนพยักหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ถึงผมไม่ทำแบบนั้น สักวันพี่ก็ต้องไล่ผมออกไปอยู่ดี”
   “พี่จะไล่เธอทำไม?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “ช่างมันเถอะ ผมรู้อยู่นานแล้วล่ะว่าเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด”
   “เราอยู่ด้วยกันได้ เสี่ยวเหลียน บอกพี่เถอะ เธอหักหลังพี่ทำไม”
   แววตาในม่านหมอกไหววูบ ผู้เป็นเจ้าของหลุดยิ้มออกมา ยิ้มที่ไร้เดียงสา เว่ยชิงถึงกับต้องหลบตา ถ้ากลับไปเป็นเหมือนก่อนห้าสิบปีที่แล้วก็คงดี ตอนที่พวกเขายังสนิทกันอยู่ แต่เขาคงไม่มีวันลืมมันได้ นี่คืออดีตที่คอยหลอกหลอนเขามาโดยตลอด ทำให้เขาต้องสั่งฆ่าแม้แต่ลูกชายตัวเอง แล้วเขาจะลืมมันไปได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
   ก่อนจะสะสางความแค้น เขาอยากรู้สาเหตุให้แน่ชัดก่อน
   เหมือนลี่เหลียนจะเข้าใจว่าพี่ชายเขาคิดอะไร ชายชรากล่าวต่อ “พี่ไม่ต้องหลอกให้ผมดีใจเล่นก็ได้ ยังไงผมก็คิดจะบอกเหตุผลกับพี่อยู่แล้วล่ะ แต่..ผมแค่อยากใช้เวลาอยู่กับพี่ให้นานสักหน่อย”
   เว่ยชิงผงกศีรษะ ไม่รู้ว่าเข้าใจสาเหตุจริงๆ หรือรับรู้แบบขอไปทีกันแน่ ลี่เหลียนจ้องหน้าพี่ชายอยู่พักใหญ่ จึงพูดต่อ “ผมคิดมาตลอด ว่าสักวันหนึ่งพี่จะต้องไล่ต้อนผมจนจนมุม วันนั้นแหละผมจะกลับมาสารภาพกับพี่”
   “ทำไมต้องรอถึงตอนนี้?” เว่ยชิงย้อนถามทันที ลี่เหลียนคลี่ยิ้ม
   “เพราะคงเป็นตอนที่ผมหมดแรงหมดความอดทนแล้วล่ะมั้ง นี่ พี่ใหญ่ สมัยพี่อยู่กับผม พี่มีความสุขรึเปล่า?”
   เว่ยชิงพยักหน้า อีกฝ่ายพูดต่อ “พี่ชอบผมมั้ย?”
   “อืม”
   “แต่ไม่ได้รักผมใช่มั้ย?”
   คนถูกถามลืมตาขึ้นทันที รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏอยู่บนใบหน้าได้รูป
   “ผมรู้ว่าพี่มองผมไม่ได้ตลอด คิดถึงผมไม่ได้ตลอด วันหนึ่งพี่ก็จะมองคนอื่น คิดถึงคนอื่น แต่ผมคิดถึงพี่คนเดียว ผมมองพี่คนเดียว ผมอาจจะบ้าก็ได้ แต่ถ้าความแค้นทำให้พี่มองแต่ผม คิดถึงแต่ผมได้ ผมยอม”
   เว่ยชิงอ้าปากค้าง เนิ่นนานจึงกล่าวคำพูดออกมา “เสี่ยวเหลียน.. พี่....”
   รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อ
   “ผมรักพี่นะ”
----------------------------------------------
   เสียงระเบิดของลูกตะกั่วทำเอาผู้รับใช้ที่รออยู่ภายนอกสะดุ้ง ก่อนจะพังประตูเข้าไปทันที และทุกก็ต้องผงะ เมื่อเห็นสภาพภายในห้อง เว่ยชิงยังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม เหมือนจะแก่ลงไปถนัด ตรงข้ามเขา ร่างไร้วิญญาณของน้องชายนั่งอยู่ในสภาพเอียงไปข้างหนึ่ง ปืนที่ซ่อนมาในไม้เท้าตกอยู่ข้างๆ เลือดกับเศษมันสมองกระจายเกลื่อนพื้นห้อง เถียนซานตั้งสติได้คนแรก รีบถลันไปหาเจ้านายใหญ่
   “คุณท่านเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
   เว่ยชิงนิ่งไปสักพักจึงโบกมือให้ลูกน้องถอยไป ก่อนจะยันตัวผุดลุกขึ้น เดินตรงไปยังร่างไร้วิญญาณของน้องชาย ยกมือขึ้นลูบนัยน์ตาที่เบิ่งค้างของอีกฝ่ายลง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คลุมร่างนั้นไว้ ก่อนเอ่ยสั้นๆ
   “เรียกคนมา ฉันต้องเตรียมงานศพ”
---------------------------------------------
   เว่ยจินหยินที่รออยู่ในห้องรับรองได้ยินเสียงปืนเช่นกัน เขารีบผุดลุกออกจากห้อง ตรงไปยังห้องของบิดาทันที โดยยังต้องอาศัยลูกน้องช่วยประคองไม่ห่าง
   เว่ยชิงยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเบือนหน้ามากลับมาเห็นร่างของลูกชาย นัยน์ตาสีน้ำครำฉายแววประหลาดใจ
   “จินหยิน....?”
   น้ำเสียงนั้นดูอ่อนแรงมากจริงๆ เว่ยจินหยินประคองตัวไปหาผู้เป็นพ่อ ถึงไม่ได้เจอกันเป็นเดือน แต่พ่อของเขาไม่น่าจะดูแก่ลงไปได้มากขนาดนี้ เว่ยชิงมองลูกชายซ้ำอีกครั้ง เว่ยจินหยินซูบไปมาก ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยคิดอยากจะใส่ใจลูกชายคนนี้นัก แต่ก็พอรู้ว่าเจ้าตัวดูแลตัวเองเป็นอย่างดี นี่คงเป็นผลจากการเสียสติงั้นหรือ เว่ยจินหยินคืนสติกลับมาได้เพราะอะไร เว่ยชิงไม่อยากขบคิด เช่นเดียวกับเหตุผลที่ทำให้ลูกชายเสียสติ
   เว่ยจินหยินเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นพ่อ จนแล้วจนรอดนัยน์ตาสีน้ำครำนั้นก็ไม่เบือนมาสบตาเขาสักที เหมือนเว่ยชิงจะหลบสายตากับเขามานานมากแล้ว ชายหนุ่มได้แต่กล่าวคำพูด
   “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
   ผู้เป็นพ่อไม่ตอบ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเขา ก่อนจะก้มหน้านิ่ง เป็นอากับกิริยาที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ความเงียบที่กินเวลานานในความรู้สึกเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
   “ไปซะ”
-------------------------------------------------------
**ที่จริงแอบอยากเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับเว่ยชิงกับเว่ยลี่เหลี่ยนเหมือนกัน แต่ไอ้ที่เขียนไปแล้วก็แทบจะไม่มีอะไร และไอ้ที่ต้องเขียนก็เขียนไม่ทันแล้ว เพราะงั้น.. ปล่อยให้เป็นความอยากลึกๆ ต่อไปแล้วกัน ฮ่วย!! (แล้วจะบ่นทำไมเนี่ยยย)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่73 p14 9/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 09-12-2011 21:22:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่73 p14 9/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 09-12-2011 23:18:55
ครั้งที่แล้วไม่ได้คอมเม้นท์ มาไม่ทัน เลยได้อ่านสองตอนรวด  ครั้งนี้ขอคอมเม้นท์ยาวๆเลยละกัน

เพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียน

ระหว่างอ่านก็เหมือนถูกเหวี่ยงไปเหวียงมาในรถที่แล่นผ่านหลายโค้ง :sad4:

เพราะหลากอารมณ์จริง ทั้งอึดอัด เพราะสงสารโศกนาฏกรรมของจินหยินที่พ่อไม่เคยรัก

และซาบซึ้งใจไปพร้อมกันที่เถียนซานอุทิศแล้วซึ่งชีวิตที่ให้กับจินหยิน

และมาเขินอายวาบหวาม ตอนที่ซื่อเยี่ยนเริ่มจีบเฟิงปิง ร้อนแรงน่าดู (เลิกซื่อบื้อซะที  :laugh:)

แต่


แต่

แต่ ตอนที่เป็นจุดพีคของเรื่องนี้ เราคาดไม่ถึงเลย ว่าจะเป็นตอนของพ่อของตัวเอกทั้งสอง

ก่อนหน้านั้นแอบรำคาญเว่ยชิง จะคั่งแค้นอะไรนักหนา

วันนี้กระจ่างแล้ว อ่านจบแล้วตะลึงและอึ้งไปสิบสี่ตลบ  :z3: เราคิดไว้แล้วว่า ลี่เหลียนคงไม่ทรยศฆ่าคนรักพี่ชายโดยไม่มีสาเหตุหรอก

ทุกอย่างเกิดขึ้นต้องมีเหตุผล แอบสังหรณ์ไว้แล้วเชียวว่าต้องเศร้า

แต่คาดไม่ถึงว่าจะจบลงแบบโศกนาฏกรรมขนาดนี้

นี่เป็นฉากโศกนาฏกรรมที่สุดของนิยายคุณที่เราเคยอ่านมาเลย

กับตัวละครที่โผล่มาแค่นิดเดียว แต่กระชากอารมณ์และทำให้เป็นที่จดจำไปนาน (อินหน่อยนะ  :monkeysad: ตอนลี่เหลียนสารภาพความในใจแล้วย่อหน้าถัดไปก็........  :o12:)

จังหวะที่ลี่เหลียนสารภาพความในใจ ที่ปิดไว้มาทั้งชีวิต

ยอมเป็นฝ่ายปฏิปักษ์ ยอมโดนเกลียดชัง และสุดท้าย ยอมจบชีวิตเพียงเพื่อให้พี่ชายที่ตัวเองรักหันมามมอง

เรานึกถึงเพลงนี้เลย มันขึ้นมาทันที  :o12: เศร้ามาก

เราชื่นชมตอนนี้นะว่าเขียนได้ดีมาก

แต่ก็ไม่อยากได้โศกนาฏกรรมอีกแล้ว  :m15:

http://www.youtube.com/v/A9LVrXis3ww


เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบาน อวดแสงตะวัน
ช่างงดงามเกินจะเอ่ย

ดอกเหลืองอำพัน ไม่หันมามอง
แม้เหลียวมา ยังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝัน ข้างเดียว
ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม
แต่แสงจากดวงอาทิตย์

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง
จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง
สักครั้ง


เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
สาดแสงในใจ ไม่นาน
ดอกเหลืองอำพัน จึงหันมามอง
และพบเพียงกองเถ้าถ่าน

เจ้าไม้ขีดไฟ ก้านน้อยเดียวดาย
เพราะรักจริงใจ อย่างนั้น
เพียงแค่เธอหัน เพียงแค่เธอมอง ก็พอ
ดอกไม้จะบาน และหันไปตาม
แต่แสงจากดวงอาทิตย์


จุดตัวเอง ก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ให้มีลำแสง สีทอง
จุดตัวเอง ก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟ ขึ้นมา
เพียงปรารถนา ดอกทานตะวัน หันมอง
สักครั้ง.....


 :o12:  :o12:  :o12: [ซับน้ำตาเบาๆ ก่อนกดรีเพลย์เพลง]
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่73 p14 9/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-12-2011 06:19:09
ู^
ตอบคุณSilver.

ที่มาของคู่นี้ มาจากเพลงนี้ค่ะ (ใช่มั้ย?? เขียนนานแล้วชักจำไม่ได้?!)

แต่ว่าเคยวางแผนอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับเพลงนี้อยู่เหมือนกัน อาจจะเป็นคู่นี้ก็ได้นะ (โห... สาบานนะว่าหล่อนเขียนนิยายเรื่องนี้เองน่ะ!!)

ขอบคุณที่ติดตามและเป็นกำลังใจนะคะ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่73 p14 9/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-12-2011 06:43:12
***ลงต่อเนื่องเลยค่ะ วันนี้พอดีมีธุระต้องออกไปข้างนอก อัพให้แต่เช้าเลย

-----------------------------------

บทที่74 ครอบครัว

   “ไปเที่ยวบ้านผมมั้ย?”
   นี่คือคำพูดของฟ่งในระหว่างมื้ออาหารเย็นวานนี้ มันคือสาเหตุที่ทำให้รูฟัสมาอยู่ในรถแท็กซี่ โดยมีคนข้างห้องซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนร่วมห้องไปแล้วนั่งอยู่ข้างๆ ฟ่งวางกระเป๋าเป้อำพรางมือที่กุมกันอยู่
รูฟัสรู้สึกชื้นใจขึ้นมามากที่ฟ่งนึกอยากมาหาครอบครัวเอง ในที่สุดฟ่งก็แสดงให้เขาเห็นถึงการพยายามจะแก้ไขปัญหา ไม่ใช่จมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างที่ผ่านๆ มา ถึงฟ่งจะกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เป็นอาทิตย์ แต่ถ้าคิดได้ กี่วันเขาก็จะรอ ที่สำคัญ รูฟัสอยากรู้พื้นเพของฟ่ง ฟ่งรู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร มีประวัติยังไง แต่เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟ่งเลย รู้แค่ว่าฟ่งทำงานเขียนแบบ มีพี่สาวคนหนึ่ง น้องชายคนหนึ่ง นี่อาจจะเป็นโอกาสที่รูฟัสจะได้รู้ ว่าฟ่งเขียนแบบยังไงกันแน่ ถึงได้มีคนจ้างไปออกแบบห้องนรกแตกพรรค์นั้น การได้ไปเยี่ยมบ้าน อาจทำให้เขารู้จักหนุ่มสวมแว่นคนนี้มากขึ้นก็ได้
   คงจะเข้าใจผู้ชายอ่อนไหวคนนี้ได้มากขึ้น
   ฟ่งบอกให้แท็กซี่จอดหน้าตึกแถวริมถนนใหญ่ ก่อนจะจ่ายสตางค์และเปิดประตูรถลงไป
   “นี่บ้านผม”
   สิ่งที่รูฟัสเห็นคือตึกแถวขนาดสามชั้น สองคูหา ดูเหมือนจะเปิดเป็นร้านขายอะไรสักอย่าง แต่เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ประตูเหล็กม้วนก็เลยปิดสนิท และเขาก็อ่านป้ายหน้าร้านที่เป็นภาษาไทยไม่ออก ฟ่งยกมือกดออดแทนที่จะใช้โทรศัพท์ รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งกลัวจะถูกไล่กลับ หรือไม่อยากใช้โทรศัพท์ที่เขาซื้อให้กันแน่ เหมือนฟ่งจะบ่นๆ ว่ามันแพงเกินไป สักพักหนึ่งประตูเหล็กม้วนก็ถูกเลื่อนขึ้น
   “มาทำไม?”
   นั่นคือคำแรกที่ผิงทักเมื่อเห็นว่าผู้มากดออดเป็นใคร ท่าทีมึนตึงแบบนี้คงยังโกรธเรื่องเมื่อคราวที่แล้วอยู่ ฟ่งยิ้มแห้งๆ “มาหาหม๊า”
   ผู้เป็นพี่สาวกวาดตามองน้องชายขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะไล่สายตามองชายหนุ่มชาวต่างชาติด้านหลังอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะเค้นเสียงรอดไรฟัน “อย่าให้หม๊ารู้ล่ะ”
   ฟ่งและรูฟัสลอดประตูเหล็กม้วนเข้าไปด้านใน รูฟัสเงยมองไปรอบๆ ตัวบ้านที่มีชั้นวางของเต็มไปหมด เหมือนว่าบ้านฟ่งจะขายพวกเครื่องมือก่อสร้าง เหนือชั้นพวกนั้นไปหน่อยมีห้องเล็กๆ ที่สร้างยื่นออกมา ฟ่งเรียกมันว่าชั้นลอย ในตอนที่พารูฟัสเดินขึ้นบันไดไป ดูชายหนุ่มจะไม่กล้าพูดกับเขาบ่อยนัก คงกลัวพี่สาวจะเคืองมากขึ้นกว่าเดิม รูฟัสเดินผ่านสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชาแบบของคนจีนที่วางเอาไว้ติดพื้น เอาไว้สักการะวิญญาณที่คุ้มครองบ้าน
   “ใครมาน่ะผิง?” ซุ่มเสียงของผู้หญิงวัยกลางๆ คนที่สำเนียงติดไปทางชาวจีนดังขึ้นในตอนที่ผิงเปิดประตูไม้ที่กั้นระหว่างบันไดกับตัวห้องเข้าไป หญิงสาวส่งเสียงตอบ
   “ฟ่งมากับเพื่อนน่ะหม๊า”
   ได้ยินเสียงอุทานอย่างดีใจ “ฟ่งมาเหรอ?”
   เสียงเคาะตะหลิวดังขึ้นมาจากส่วนด้านหลังของชั้นลอยซึ่งกั้นออกไปเป็นห้องครัว ฟ่งวางกระเป๋าเป้ เดินเข้าไปทันที เลยเหลือรูฟัสอยู่กับผิงด้านนอกสองคน
   “นั่งสิ” หญิงสาวกล่าว ท่าทีมึนตึงถูกส่งมาให้เขาด้วย รูฟัสพยายามจะยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว
   “ขายวัสดุก่อสร้างหรือครับ?” ชายหนุ่มพยายามชวนคุยเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ผิงพิจารณาดูเขาพักหนึ่ง แล้วจึงยกเก้าอี้มานั่งตรงข้าม
   “...................”
   ปกติรูฟัสคุ้นเคยกับการถูกจ้องหน้า ทั้งที่จ้องเขาอย่างรักใคร่ จ้องอย่างจงเกลียดจงชัง หรือจ้องอย่างกับจะฆ่ากันให้ตาย แต่กับแววตาของพี่สาวฟ่งที่จ้องมา รูฟัสบอกไม่ได้ว่ายังไงกันแน่ ที่สำคัญเพราะเป็นพี่สาวของฟ่งนี่แหละ เขาถึงได้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจ
   อย่างกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าขโมยของแล้วอีกฝ่ายกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะลงโทษยังไงดี
   เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่หญิงสาวจะลุกออกไปรินน้ำมายื่นให้เขา
   “ฟ่งอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด” หล่อนกล่าว ขณะที่รูฟัสจิบน้ำ ชายหนุ่มพยักหน้า พลางกวาดตามองรอบๆ ห้อง บ้านถูกจัดไว้เป็นระเบียบพอสมควร ถึงขนาดที่พอเทียบกับห้องฟ่งแล้ว ถึงแม้ดูข้าวของที่นี่จะมากกว่า แต่ก็เรียบร้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวพูดต่อ “คุณรู้จักน้องชายฉันได้ยังไง?”
   “ผมอยู่ข้างห้องเขา” รูฟัสตอบ นัยน์ตาสีดำน้ำตาลจ้องหน้าเขาอีกสักพัก ก่อนถอนหายใจ “เลิกยุ่งกับฟ่งได้ไหม”
   ผิงรู้ดีว่านี่เป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย แต่หล่อนอยากจะบอกกล่าวให้ผู้ชายตรงหน้ารู้ ว่าหล่อนไม่พึงพอใจเลยกับสภาพที่เป็นอยู่
   “ฟ่งเป็นลูกชายคนโต เขาควรแต่งงานกับผู้หญิงสักคน มีลูกมีหลานเอาไว้สืบสกุล คุณเข้าใจรึเปล่า?”
   รูฟัสเกลียดจริงๆ กับการถูกตอกหน้าเรื่องนี้ ชายหนุ่มมีความอดทนดีกับทุกๆ เรื่อง ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฟ่งเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามทำใจให้เย็นและตอบออกไป
   “ผมทราบครับ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ห้ามกันไม่ได้หรอก”
   “ฟ่งเป็นเด็กอ่อนไหว.....” ผิงพูดค้าง แล้วเงียบไปพักหนึ่ง หล่อนมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอีกรอบ และลดเสียงลงจนแทบจะเรียกว่าเป็นการขอร้อง “คุณปล่อยน้องชายฉันไปเถอะ”
   รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้ม เรื่องของฟ่งทำเขาจุกเสียดที่หน้าอกมาโดยตลอดจริงๆ กระทั่งถึงตอนนี้ ก็ยังมีคนพยายามจะห้ามพวกเขาอยู่ รูฟัสตัดสินใจไม่กล่าวอะไร รอให้ฟ่งมายืนยันเอง ถ้าฟ่งหนักแน่น เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว
   ฟ่งเดินหน้าบานออกมาจากครัว เป็นสีหน้าเบิกบานที่รูฟัสไม่เห็นมาเป็นเวลานานมาก จำได้ว่านี่เป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตั้งแต่รู้จักกับฟ่งมา ยังไม่เคยเห็นฟ่งทำหน้าสบายใจขนาดนี้เลย
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ขณะที่ในมือถือหม้อสแตนเลสหม้อใหญ่ที่มีควันลอยฟุ้งออกมา
   “ผมจะกินให้ท้องแตกเลย” ชายหนุ่มพูด ท่าทีมีความสุขของเขาทำให้บรรยากาศในห้องที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้ดูบรรเทาลงไปบ้าง ผิงถึงกับอดไม่ได้ต้องเอ่ยปากออกมา “มีลาภปากจริงนะ มาถูกเวลาเชียว”
   ฟ่งหัวเราะ ขณะที่ได้ยินเสียงน้องชายตะโกนออกมา “เฮียฟ่ง ห้ามกินหมดนะ!”
   “โห เยอะขนาดเลี้ยงคนทั้งตำบลนี่ เฮียกินไม่หมดหรอก” ฟ่งว่า เขาวางหม้อลงบนโต๊ะกินข้าวที่เป็นไม้ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ รูฟัสอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา
   พอเห็นฟ่งมีความสุข เขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย อย่างกับว่าหัวใจติดกันงั้นแหละ ความรักนี่มีแงมุมแบบแปลกๆ ให้ฉงนใจได้เสมอจริงๆ
   “คุณชอบน้องชายฉันจริงๆ?” ผิงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ดาเคยมาที่บ้าน และยิ้มให้ฟ่งแบบนี้เหมือนกัน ผิดแต่คราวนี้คนที่ยิ้มไม่ใช่หญิงสาวสวยน่ารักน่าถนอม แต่เป็นผู้ชายชาวต่างชาติร่างใหญ่ที่ก็หน้าตาดีอยู่หรอก ปัญหาคือเป็นผู้ชายนี่แหละ
   “ครับ” รูฟัสหันกลับมาและยังยิ้มอยู่โดยไม่ปิดบังอารมณ์ เขาตัดสินใจลองรุกเองบ้าง “ผมจีบเขามานานแล้วล่ะ”
   ผิงรีบโบกมือทันที “อย่าพูดตรงนี้” หล่อนกล่าวและดึงมือรูฟัสไปนั่งตรงห้องที่แบ่งไว้ด้านหน้าซึ่งติดกระจก คราวนี้สีหน้าของผิงขึงขังขึ้นกว่าเดิม “คุณจริงจังกับน้องชายฉัน?”
   รูฟัสพยักหน้า เขานั่งลงบนโซฟา และมองดูพี่สาวของฟ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาคู่เดิมมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
   “คุณทำยังไงน่ะ น้องชายฉันไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน คุณข่มขืนเค้ารึเปล่า?”
   เจอประโยคนี้เข้าไปรูฟัสถึงกับจุกไปอีกรอบ จะมีสักคนมั้ยที่ไม่กล่าวหาเขาแบบนี้เรื่องฟ่ง แต่เอาเถอะตอนนั้นก็เกือบจะถือได้ว่าขืนใจอยู่เหมือนกัน อืม... ที่จริงๆ แล้วก็เหมือนฟ่งมีใจให้เขาก่อนนี่นา
   “ผมไม่ได้ข่มขืนเขาหรอกครับ สาบานได้” ชายหนุ่มกล่าว พยายามตีหน้าซื่ออย่างที่สุด แต่ต่อให้เขาเป็นคนปัญญาอ่อน ทางนั้นก็ดูจะไม่เชื่ออยู่ดี สังเกตจากอาการตั้งแง่ที่มีมาแต่ต้น
   “แล้วไปทำอีท่าไหนน่ะ?” สาวเจ้ายังไม่เลิกที่จะค้นหาคำตอบ รูฟัสไม่อยากตอบ เขานึกสงสัยว่าผิงจะอยากรู้ไปทำไม แต่ขืนถามออกไปแบบนี้มีหวังจะไปจุดเชื้อปะทุเดิมให้ลุกหนักข้อเข้าไปอีกน่ะสิ เขาไม่อยากถูกไล่ตะเพิดในจังหวะที่ฟ่งดูมีความสุขแบบนี้ ชายหนุ่มปั้นหน้ายิ้มๆ แล้วตอบออกไป “เพราะน้องชายคุณน่ารักน่ะครับ”
   เป็นคำตอบที่ไม่ได้ตรงคำถามเลยสักนิด แต่หญิงสาวกลับพยักหน้า “ใช่ ฟ่งน่ารัก เพราะอย่างนั้นคุณน่าเลิกยุ่งกับเขานะ”
   ดูพี่สาวจะมีความภูมิใจกับน้องชายคนนี้อยู่เยอะจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยิ้มออกมาตอนได้ยินคำชมหรอก แต่ก็แว้บเดียว หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงต่อ รูฟัสยังคงปั้นหน้าปั้นตา พยายามจะสร้างความประทับใจกับพี่สาวของว่าที่คู่ชีวิตของเขา ไม่สิ ฟ่งเป็นคู่ชีวิตเขาแล้วต่างหาก เหลือแค่ให้คนพวกนี้ยอมรับเท่านั้น
   “ผมรักน้องชายคุณจริงๆ นะครับ มันก็เหมือนผู้ชายกับผู้หญิงเวลาตกลงใจจะแต่งงานกันนั่นแหละ เพียงแต่ผมมีลูกไม่ได้”
   “มันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ!” อีกฝ่ายกล่าว รูฟัสรู้สึกเหมือนเคยได้ยินประโยคแบบนี้ที่ไหนสักแห่ง เขานึกสงสัยจริงๆ ว่าความรักระหว่างเขากับฟ่ง ไม่เหมือนคนอื่นตรงไหน ก็แค่ร่างกายดันเหมือนกันไปหน่อยเท่านั้นเอง
   “คุณเป็นเกย์ แล้วจะมาเหมาว่าคนอื่นเป็นเกย์ไปด้วยไม่ได้หรอกนะ ฟ่งอาจจะยังสับสนอยู่ก็ได้”
    รูฟัสอยากจะให้ฟ่งมายืนยันต่อหน้าพี่สาวตอนนี้จริงๆ แต่จะว่าไป ฟ่งก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์มาก่อนเหมือนกัน ชายหนุ่มสะดุ้ง เขาปัดความคิดนี้ทิ้ง พลางนึกภาวนาว่าฟ่งคงมีวิธีอธิบายให้ญาติๆ เข้าใจได้ดีกว่าเขา แต่ครั้นตัวเขาเองจะเงียบไปเองก็ดูเหมือนยอมรับว่าทำผิดนั่นแหละ จึงพูดต่อ
   “น้องชายคุณไม่สับสนหรอกครับ ไม่อย่างนั้นเขาเลิกกับผมไปตั้งแต่วันที่คุณโกรธเขาแล้ว เขาเสียใจเรื่องคุณมาก”
   ผิงโบกมือทันที “ฉันรู้”
   มีหรือคนเป็นพี่สาวจะไม่รู้ ฟ่งที่ดูซูบซีดไปขนาดนั้น ถ้าไม่เพราะเสียใจจนกินอะไรไม่ลงคงจะหาสาเหตุอื่นไม่ได้อีก ตอนที่เห็นที่หน้าประตู ผิงใจหายวูบกับสภาพน้องชาย และรู้สึกปวดใจที่เห็นผู้ชายอีกคนที่ไม่ควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้มาด้วย ฟ่งคงจริงจัง นั่นทำให้หล่อนปวดหัว ทั้งๆ ที่โมโหใส่ไปขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เสียใจขนาดนั้น ก็ยังอุตส่าห์ยืนยันความคิดเดิม สำหรับคนเป็นพี่แล้ว แบบนี้ทำเอาพูดไม่ออกจริงๆ หล่อนจึงพยายามไล้เบี้ยกับอีกทางฟากหนึ่งแทน
   “นี่คุณ.......”
   “รูฟัสครับ” ชายหนุ่มตอบ หญิงสาวพยักหน้าอย่างไว้เชิงก่อนจะพูดต่อ
   “คุณทำงานอะไร เป็นคนที่ไหน มีที่ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่งรึเปล่า คุณตรวจเลือดบ่อยมั้ย?”
   เจอคำถามแบบรัวปืนกลแบบนี้รูฟัสถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ปกติเขาชินกับการถูกสาวๆ เลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่นั่นเพราะพวกเธอต้องการจะจีบเขา แต่สำหรับกรณีนี้ เหมือนว่าพี่สาวฟ่งพยายามจะหาเรื่องจับผิดเขามากกว่า ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ถึงฟ่งจะไม่ค่อยชอบ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเรื่องโกหกดูจะดีกว่าเรื่องจริงเป็นไหนๆ
   “ผมทำงานสอนภาษาครับ”
   อาชีพง่ายที่สุดสำหรับคนต่างชาติในประเทศนี้ และดูปลอดภัยไร้กังวลอีกด้วย
   “ก่อนหน้านี้ล่ะ คุณคงไม่ได้อยู่เมืองไทยมาแต่เกิดหรอก ใช่ไหม?”
   รูฟัสตัดสินใจตอแหลต่อไปทันที “ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดแหละครับ แต่กลับไปอยู่กับพ่อตอนอายุได้สิบสี่ แล้วก็เพิ่งบินกลับมาที่นี่ เพราะแม่ผมท่านอยากจะจัดงานศพที่บ้านเกิดน่ะครับ ผมก็เลยถือโอกาสอยู่ยาวเสียเลย เพราะคุณพ่อท่านก็มีลูกหลายคน”
   ชายหนุ่มกล่าวและทำหน้าละห้อย ราวกับว่าตนเป็นลูกที่ไม่มีใครต้องการ ผิงมีท่าทีอ่อนลงนิดหน่อย
   “เสียใจกับเรื่องแม่ของคุณด้วยนะ ว่าแต่คุณเป็นลูกครึ่งเหรอ?”
   “ครับ แม่ผมเป็นคนไทย”
   นี่คือความจริงอย่างเดียวที่รูฟัสตอบได้อย่างภาคภูมิ ถึงเขาจะลืมเรื่องจริงตัวเองไปเยอะแล้ว ลืมกระทั่งชื่อจริงๆ แต่เขายังจำได้อยู่ว่าแม่เป็นคนยังไง เป็นคนชาติไหน ผิงมองเขาอีกรอบ
   “แล้วก่อนหน้านี้ตอนอยู่เมืองนอกคุณทำงานอะไรน่ะ? คุณไปอยู่ประเทศอะไร?”
   “อยู่อเมริกาน่ะครับ แต่พ่อผมเป็นคนเยอรมัน ผมเรียนจบมาก็ต้องคอยดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตก็เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่”
   รูฟัสพยายามทำหน้าสู้ชีวิต ชนิดที่ถึงชีวิตเขาจะรันทด แต่ก็ยังยิ้มอยู่ได้ ซึ่งชีวิตเขาก็รันทดจริงๆ เพียงแต่ไอ้ความรันทดที่เล่าออกไปมันไม่ตรงกับความจริงเท่านั้นเอง ผิงพยักหน้า ดูจะรู้สึกเห็นใจผู้ชายตรงหน้าอยู่บ้าง หน้าตาก็ดูไม่ได้ชั่วร้ายอะไรมากมาย หญิงสาวลดเสียงลง
   “พ่อคุณทำอะไรหรือ?”
   “ทำบริษัทจัดไฟแนนซ์น่ะครับ ” ชายหนุ่มตอบและตัดสินใจเพิ่มความน่าเชื่อถือของตัวเองเข้าไปอีก
   “ผมศึกษางานจากเขามานิดหน่อย สมัยที่ยังดูแลคุณแม่อยู่ผมหันเล่นหุ้นผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยน่ะ”
   “เอ๋? เล่นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ด้วยเหรอ?”
   อีกฝ่ายมีท่าทีสนใจทันที ตลอดชีวิต รูฟัสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มามาก ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว เพื่อเอาไว้ให้การโกหกของเขาแนบเนียนที่สุด รูฟัสรู้จักที่จะโกหกมาตั้งแต่สูญเสียครอบครัว การโกหกสำหรับเขาคือการพาชีวิตรอด โกหกพลาดก็เหมือนก้าวเท้าลงไปในหลุมบ่อแห่งความตายกว่าครึ่ง ดังนั้นที่รูฟัสรอดมาได้โดยตลอด สิ่งหนึ่งเพราะเขาโกหกเก่งนี่แหละ เก่งขนาดที่ใครก็ยากจะจับได้ เพราะการจะโกหกได้แนบเนียนที่สุด คือการหลอกตัวเองว่าเรื่องโกหกนั้นเป็นเรื่องจริงก่อน พอหลอกตัวเองได้สำเร็จ การหลอกคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก
   ตอนนี้รูฟัสผันตัวเองเป็นนักเศรษฐศาตร์และนักธุรกิจทางการเงิน เขากำลังอธิบายวิธีเล่นหุ้นแบบง่ายๆ ให้หญิงสาวซึ่งเป็นพี่ของคนรักของเขาฟังอยู่อย่างเพลิดเพลิน ขออยู่ประการเดียว อย่าให้เธอไปถามไล่เบี้ยกับฟ่ง ว่าเขาทำอาชีพอะไรกันแน่
   รูฟัสลืมไปเลยว่าต้องตระเตรียมเรื่องนี้กับฟ่งก่อน
----------------------------------------
   “คุณคุยอะไรกับพี่สาวผมเนี่ย ท่าทางดูสนุกจัง” ฟ่งเอ่ยถามอย่างแปลกใจตอนที่เดินเข้ามาเรียกให้ทั้งคู่ออกไปกินข้าว รูฟัสยิ้มกว้าง ท่าทางดูสนุกสนานจริงๆ
   “ผมคุยเรื่องเล่นหุ้นน่ะ”
   แววตาของฟ่งปรากฏความสงสัยขึ้นมาแว้บหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม
   “อ้อ” ฟ่งร้องเสียงยาว รูฟัสมองเขาอย่างขอความเห็นใจเงียบๆ เขารู้ว่าฟ่งไม่ชอบให้โกหก แต่คราวนี้เขาจำเป็นจริงๆ ร่างบางพยักหน้าเหมือนรับรู้ รูฟัสกลัวฟ่งจะเข้าใจเรื่องโกหกของเขาไม่ตรงกัน จึงแสร้งพูดออกไป อธิบายให้อีกฝ่ายได้รับรู้
   “แต่ผมไม่กลับไปเล่นหุ้นหรอกนะครับ ผมเป็นอาจารย์สอนภาษาแบบนี้ดีกว่า จะได้มีเวลาอยู่กับคุณเยอะๆ”
   ฟ่งรู้อยู่ก่อนว่ายังไงรูฟัสจะต้องโกหกแน่ๆ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ารูฟัสโกหกอะไรไว้กับพี่สาวเขาบ้าง จะได้ไม่ผิดคิวหากถูกถาม ซึ่งรูฟัสก็อธิบายกับเขาอย่างแนบเนียนจนน่ากลัว แต่ประโยคท้ายนี่ทำเอาฟ่งหน้าแดงขึ้นมานิดหน่อย จะโกหกก็โกหกสิ อย่าหยอดเรื่องแบบนี้เข้ามาได้ไหม ฟังแล้วมันน่าอายยังไงไม่รู้
   รูฟัสรู้สึกโลกสดใส ฟ่งไม่ทำหน้าขัดเขินให้เขาเห็นมาเป็นอาทิตย์แล้ว เห็นแบบนี้รูฟัสมีกำลังใจจะสู้ชีวิตต่ออีกเป็นกอง
--------------------------------------
   บนโต๊ะกินข้าว ฟ่งได้ตระหนักว่าคนข้างห้องของเขาช่างมีพรสวรรค์กับการทำให้คนไว้เนื้อเชื่อใจจริงๆ รูฟัสโกหกแนบเนียน ชนิดที่ถ้าไม่รู้กันมาก่อน ต่อให้สงสัยยังไงก็ต้องเชื่อโดยสนิทใจแน่ๆ ขนาดทำให้ฟ่งรู้สึกว่าถ้าเขาไม่ผ่านเหตุการณ์บ้าๆ ก่อนหน้านี้มา เขาคงเลิกไว้ใจผู้ชายคนนี้ไปเลย แต่สิ่งที่ฟ่งทำตอนนี้คือ เออออไปกับการโกหกนั่นด้วย
   ทำไงได้ล่ะ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่
   มื้ออาหารผ่านไปอย่างเบิกบาน ฟ่งกับเล้งแย่งกันกินกระเพาะปลาหม้อใหญ่ที่ดูจะพอสำหรับสองพี่น้องเหลือเฟือ ขณะที่ผิงคุยกับรูฟัสอย่างกับลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้โกรธเคืองอะไรอยู่ โดยมีแม่นั่งมองอย่างมีความสุข
   แม่ของฟ่งเป็นหญิงร่างเล็ก อายุราวๆ ห้าสิบกว่าๆ ผมหยกสกมัดรวบไว้ด้านหลัง ดวงตาเรียว คิ้วปล่อยตามธรรมชาติ จะว่าไปแล้วฟ่งก็ได้เค้าแม่มาหลายส่วน ยกเว้นเรื่องตา ดูว่าแม่ของฟ่งจะมีนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวแข็งแกร่งมากกว่าลูกชายเยอะทีเดียว ถึงอย่างนั้นก็ยังฉายแววโศกอยู่ลึกๆ คงเป็นธรรมดาของคนที่สูญเสียสามีไปและต้องเลี้ยงลูกทั้งสามคนมาโดยตัวคนเดียวตลอดล่ะมั้ง รูฟัสนับถือผู้หญิงแข็งแกร่งแบบนี้
   ขณะที่สามพี่น้องยกถ้วยชามไปล้าง รูฟัสก็มีโอกาสจะได้คุยกับแม่ของฟ่ง ดูเธออยากจะคุยกับเขาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
   “ลูกชายฉันเล่าเรื่องเธอให้ฟังแล้ว”
   สำเนียงยังคงติดไปทางชาวจีนอยู่มาก เหมือนฟ่งจะเคยเล่าให้เขาฟังว่าแม่กับพ่อเป็นคนจีน รูฟัสยิ้ม นี่ฟ่งเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาให้แม่ฟังล่ะนี่
   “คนหนุ่มๆ สมัยนี้หาน้ำใจยาก ขนาดอยู่บ้านติดกันบางทียังไม่พูดกันเลย” เธอพูดต่อ รูฟัสพอจะเดาได้ลางๆ ว่าฟ่งคงเล่าเรื่องสมัยตอนที่เจอกันใหม่ๆ
   “ผมก็แค่รู้สึกว่าต้องช่วยเท่านั้นแหละครับ”
   คนฟังพยักหน้า นัยน์ตาสีดำน้ำตาลมองดูเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ไม่ได้ตั้งแง่เหมือนลูกสาว
   “เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
   “ยี่สิบแปดครับ”
   จริงๆ เรื่องอายุรูฟัสก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่คงไม่เคลื่อนจากนี้ไปมากหรอก บวกลบปีสองปีแค่นั้นเอง
   “มีแฟนหรือยัง?”
   “ครับ” ชายหนุ่มตอบออกไป และหวังว่าคงไม่ถึงกับต้องปั้นเรื่องแฟนผู้หญิงออกมาเป็นตัวเป็นตน เขาอยากตอบคำถามนี้ตรงๆ มากกว่า โชคดีที่แม่ของฟ่งไม่ถามเรื่องนั้นต่อ เธอกวาดตาดูเขาอีกรอบ และยิ้ม
   รูฟัสใจเต้น ยิ้มนั้นดูอ่อนโยนราวกับว่ามองเขาเป็นลูกแล้วก็ไม่ปาน ทำเอาชายหนุ่มอยากจะสารภาพออกไปเลยว่ากำลังคบกับลูกชายของแม่อยู่ ให้ทางนั้นจะยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสียเลย แต่ปัญหาคือถ้าสารภาพออกไปแล้ว จะกลายเป็นถูกไล่ตะเพิดแทนที่จะมองอย่างเอ็นดูแทนน่ะสิ
   เสียงออดที่ดังหยุดความคิดฟุ้งซ่านของรูฟัสเอาไว้ เมื่อผู้เป็นแม่ขอตัวลงไปดูบุคคลที่มาใหม่ด้านล่าง ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจริงจังกับใครมากขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะต้องถึงขั้นมาหาครอบครัวของอีกฝ่ายเพื่อปรับความเข้าใจ เรื่องการสู่ขอยิ่งไม่เคยมีอยู่ในความคิด
แต่ตอนนี้รูฟัสถึงขั้นคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเขาจะต้องทำตัวให้ดีพอที่จะอ้าปากขอฟ่งมาเป็นคู่ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิให้ได้ มีอยู่เรื่องเดียวที่น่าหนักใจ แล้วเขาจะอยู่ในฐานะไหนกันแน่ ระหว่างลูกเขย กับลูกสะใภ้
   “ฟ่ง เล้ง มาช่วยหม๊าหน่อย มีของมาลง” ผู้เป็นแม่แง้มประตูเข้ามาและตะโกนเรียกลูกชาย สองพี่น้องรีบออกมาจากห้องครัวในภาพที่ยังเช็ดมือไม่ทันแห้ง รูฟัสถือโอกาสลุกตามไปด้วยทันที แม้จะรู้สึกว่ากำลังถูกน้องชายฟ่งเมินใส่อยู่บ้างก็เถอะ
   ของที่มาลงเป็นถังสี หนักเอาเรื่อง แม่ฟ่งบ่นอุบอิบว่าของมาส่งช้า แถมยังมาวันอาทิตย์คนงานก็หยุด คนส่งของเลยแก้ตัวว่าของออกมาช้าเพราะติดน้ำท่วม เข้ามาถึงได้ก็เลยรีบมาส่งเลย คนจ่ายเงินเลยไม่รู้จะบ่นอะไรต่อ
   รูฟัสเพิ่งรู้ว่าฟ่งแข็งแรงมากกว่าที่เขาคิด ไม่ก็เขาคิดไปเองว่าฟ่งบอบบาง ชายหนุ่มยกถังสีน้ำหนักราวๆ ยี่สิบกิโลกับผู้เป็นน้องชายอย่างแข็งขัน ราวกับว่ากำลังแข่งกันอยู่ รูฟัสหวนนึกถึงวันแรกที่ฟ่งพยายามดันลังใส่ของเข้าไปในห้อง อืม...แสดงว่าตอนนั้นเจ้าตัวขนสมบัติทั้งหมดนั่นขึ้นมาเอง แล้วมาหมดแรงเอาตอนจะใส่เข้าไปในห้องสินะ ได้ยินเสียงเล้งพูดแซวพี่ชาย
   “เฮียฟ่ง เฮียไม่ยกของหนักนานแล้วไม่ใช่เหรอ ระวังจะเดี้ยงอีกล่ะ”
   ฟ่งได้แต่หัวเราะ พลางหอบเหนื่อย จริงๆ แม่ของฟ่งบอกให้รูฟัสกลับขึ้นไปก่อน แต่เขาจะกลับขึ้นไปทั้งๆ ที่คนอื่นทำงานกันอยู่ได้ยังไงล่ะ สุดท้ายชายหนุ่มก็เลยเข้าไปช่วยขนถังสีด้วย
   “เออ ฝรั่งนี่แข็งแรงดีนะ”
   นั่นคือทำแรกที่เล้งพูดถึงเขา เมื่อเห็นคนที่เขาเจอในห้องนอนของพี่ชายหิ้วถังสีขนาดยี่สิบกว่ากิโลทีเดียวสองถังได้สบายๆ ขณะที่สองพี่น้องถังเดียวก็ยกกันแทนตาย รูฟัสทำหน้าแปลก ถังสีอย่างเก่งก็รวมกันก็ไม่น่าเกินห้าสิบกิโล ไอ้อย่างอื่นที่หนักกว่านี้เขายังยกโดยแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีแปลกเหลือบมองคนรักอย่างไม่ตั้งใจ
   ฟ่งกำลังหอบ เม็ดเหงื่อไหลหยดเต็มใบหน้า เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ด รูฟัสนึกสงสัยรสนิยมของตัวเอง ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นผู้ชาย เขาชอบเด็กหนุ่มๆ รูปร่างบางๆ คางมนๆ ตาโตๆ ปากแดงๆ เวลานอนด้วยแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเล่นกับลูกแมวอยู่ แต่กับฟ่งที่เป็นหนุ่มเต็มที่ รูปร่างก็ไม่ได้อ้อนแอ้น ถึงจะผอมอยู่สักหน่อย ไหล่ก็ผึ่งผายแบบผู้ชายทั่วไป หน้าตาก็คมสันอยู่พอสมควร ไม่มีส่วนไหนเข้าข่ายสวย แถมยังหน้าซีดแทบจะตลอดเวลาอีกต่างหาก ไม่นับอาการซูบผอมที่เกิดจากการตรอมใจก่อนหน้า มิน่าใครๆ ถึงได้แปลกใจนัก เมื่อรู้ว่าฟ่งหน้าตายังไง
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับความคิดนี้ ช่างประไรล่ะ สเป็กเดิมเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง ฟ่งจะหน้าตาไม่น่ารักในสายตาใครเขาไม่สน ในสายตาเขาตอนนี้ ฟ่งน่ารักที่สุด และคงจะดีถ้าคนอื่นไม่เห็นแบบที่เขาเห็น ปัญหาคือทำไมเขาถึงชอบเห็นใครต่อใครทำตาเยิ้มใส่ฟ่งทุกที รูฟัสสรุปเอาเองเลยว่า ฟ่งต้องน่ารักแน่ๆ
   เพราะมีรูฟัสมาช่วยยก เลยเหมือนมีคนงานจริงๆ เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถังสีทั้งหมดจึงถูกนำไปวางไว้บนที่ของมันอย่างที่ควรจะเป็นในเวลาไม่นานเท่าไหร่ ฟ่งเดินมาช่วยเขายกถังสีถังสุดท้ายขึ้นชั้น ขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังง่วนอยู่กับการลงบัญชี
   “เหนื่อยคุณเลย ขอบคุณนะ” ฟ่งเอ่ย เพราะอากาศที่ร้อนและการออกแรงทำให้หน้าของรูฟัสที่ปกติก็เป็นสีเลือดฝาดอย่างที่คนต่างชาติเป็นกันอยู่แล้วแดงหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อมาซับเหงื่อบนใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อผ้าเช็ดหน้าผืนบางสัมผัสกับใบหน้าของตน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
   รูฟัสมองดูใบหน้าที่เขากำลังใช้ผ้าซับเหงื่ออย่างเอ็นดู สภาพของฟ่งดูจะแย่กว่าเขาอีก เหงื่อท่วมตัวไปหมด  หน้าที่ซูบเพราะอาการโศกเศร้าก่อนหน้านี้เลยยิ่งดูโทรมเข้าไปอีก ดูท่าทางฟ่งจะเป็นคนที่เลือดไม่ค่อยสูบฉีดเท่าไหร่ ทั้งที่ออกแรงไปมาก แถมอากาศยังร้อน แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายยังไม่ค่อยมีสีเลือดเท่าไหร่เลย ความคิดของรูฟัสพลันเตลิดไปถึงตอนที่เขาต้อนฟ่งให้เขินจนหน้าแดง ตอนที่ร่างกายขาวๆ นี่กลายเป็นสีชมพูเรื่ออยู่ใต้ร่างของเขา หัวใจของฟ่งจะเต้นแรงขนาดไหนในตอนนั้น รูฟัสไล้สายตาลงบนใบหน้าที่เขากำลังซับเหงื่ออยู่อีกครั้ง และรู้สึกอยากจะจูบขึ้นมา เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปอย่างลืมตัว
   “น้ำค่ะ!”
   น้ำเสียงที่เกือบเรียกได้ว่ากระชากดังขึ้น หยุดความคิดและการกระทำของรูฟัสไว้ได้อย่างถนัด ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับมามองอย่างรู้สึกตัวก่อนจะยิ้มแห้งๆ ผิงยกแก้วน้ำยื่นให้เขา และอีกแก้วหนึ่งยื่นให้น้องชาย แน่นอนว่าสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ คงจะเห็นแล้วว่าเขากำลังจะทำอะไร
   “ห้ามทำอะไรแปลกๆ ให้หม๊าเห็นนะ!” หญิงสาวเค้นเสียงรอดไรฟัน ก่อนจะรับแก้วน้ำที่ดื่มแล้วจากทั้งคู่ และเดินกลับออกไป ได้ยินเสียงถอนหายใจ
   “เฮ้อ..เฮียฟ่ง เฮียเป็นแล้วจริงๆ ดิ?”
   เล้งยืนอยู่อีกฟาก เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย นับกันแล้วถึงฟ่งจะดูแข็งแรงกว่าที่เขาคิด แต่กับน้องชายที่หน้าคล้ายๆ กันแล้ว ดูจะแข็งแรงกว่าอีก อย่างน้อยๆ ก็ตัวใหญ่กว่าล่ะ รูฟัสทำหน้าแปลกๆ ในขณะที่ฟ่งหัวเราะแหะๆ เล้งขมวดคิ้ว และเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเงยหน้ามองรูฟัสขึ้นๆ ลงๆ และไม่อำพรางสายตาปฏิปักษ์ รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้ม
   “เฮียฟ่ง รสนิยมเฮียเปลี่ยนไปโคตรๆ” เล้งกล่าวและหันกลับมามองพี่ชาย ฟ่งหัวเราะต่อ
   “เอ่อ...มันก็ไม่เชิงอย่างนั้นหรอกนะ” ชายหนุ่มพยายามจะอธิบาย แต่ดูอีกฝ่ายไม่ได้อยากฟังเท่าไหร่ เพราะไม่ทันไรก็พูดแทรกออกมา
   “ไปหาขนมกินกันดีกว่า”
   พูดพลางสอดมือเข้าไปในแขนข้างหนึ่งของฟ่ง และดึงตัวเข้าไปในบ้านทันที ทิ้งให้รูฟัสยืนอึ้ง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกชายหนุ่มว่าสงครามในรูปแบบแปลกๆ กำลังจะปะทุขึ้นในอีกไม่นาน
---------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่73 p14 9/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-12-2011 06:46:40
   “ขอบใจเธอมากจริงๆ นะ อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนฟ่งแล้วยังต้องมาลำบากแบกหามอีก” แม่ของฟ่งกล่าวด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ และออกปากให้รูฟัสอยู่ต่อเพื่อทานอาหารเย็น ฟ่งเลยถือโอกาสเสนอว่าจะค้างคืน เพราะถึงตอนนี้เขายังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มพูดกับแม่เรื่องรูฟัสยังไงต่อ จะให้กลับไปเลยก็ใช่ที่ ซึ่งแม่ของฟ่งดูจะมีความสุขที่ลูกชายจะมาค้าง
   แน่นอนว่าการสละแรงกายทำให้รูฟัสดูน่าเอ็นดูในสายตาคุณแม่มาอีกเป็นกอง แต่ในสายตาของคุณพี่สาวและคุณน้องชาย ดูจะไม่ค่อยรื่นรมย์กับเขานัก ผิงน่ะยังไม่เท่าไหร่ เพราะถึงจะดูตึงๆ บ้างแต่ก็อยู่ในลักษณะปรามไม่ให้ทำอะไรล่อแหลม แต่เล้งนี่สิออกลวดลายอย่างกับจะยั่วโมโหเขาอย่างนั้นแหละ
   หลังจากทานอาหารเย็นและจัดการในครัวเสร็จ รูฟัสเตรียมตัวจะอาบน้ำ เนื่องจากเขาไม่ได้เตรียมตัวพักค้างมาก่อน จึงไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน ฟ่งลองรื้อๆ ในตู้เสื้อผ้าเดิมก็ดูจะไม่มีไซต์ที่เขาใส่ได้ สุดท้ายจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากน้องชายที่ตัวใหญ่กว่า
   “เล้งหาเสื้อให้พี่เขายืมหน่อยสิ”
   ผู้เป็นน้องชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย ที่จริงฟ่งใช้ห้องร่วมกับน้องชายมาก่อน กระทั่งย้ายออกไปแล้วเล้งก็ยังใช้ตู้เสื้อผ้าอีกฟากหนึ่งอยู่ แล้วปล่อยตู้เดิมทิ้งเอาไว้พร้อมกับเสื้อผ้าบางส่วนของพี่ชาย แต่แทนที่เขาจะรื้อเสื้อผ้าในตู้ตัวเอง กลับเดินออกไปจากห้อง และสิ่งที่เขานำกลับมายื่นให้รูฟัสคือ ผ้าถุง โดยให้คำอธิบายว่า
   “ก็ผมดูแล้วคงไม่มีไซต์ให้เขาใส่หรอก ตัวใหญ่ขนาดนี้ ผ้าถุงนี่แหละ ใส่ได้สบายชัวร์”
   รูฟัสพยายามกดข่มอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้สุดชีวิต ถึงเขาไม่ใช่คนไทยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อาศัยอยู่เมืองไทยมานานอย่างที่อ้าง แต่เขาก็ยังพอรู้ว่าผ้าถุงเอาไว้ให้ผู้หญิงใส่ ชายหนุ่มหันไปมองหน้าฟ่งอย่างขอความเห็นใจที่สุด ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ ไม่พูดอะไร แต่ถือวิสาสะเปิดตู้น้องชายแล้วหยิบเสื้อตัวใหญ่ตัวหนึ่งออกมา พร้อมกับกางเกงเลสีฟ้าอีกตัวหนึ่ง รูฟัสค่อยรู้สึกโล่ง ขณะที่เล้งมีสีหน้าบึ้งตึง เดินเอาผ้าถุงไปเก็บ
   แน่นอนว่ารูฟัสตั้งใจจะอาบน้ำคนเดียวแต่แรก เขาไม่บ้าพอจะชวนฟ่งไปอาบด้วยในสถานการณ์และสถานที่แบบนี้ แต่ทันทีที่เล้งกลับเข้ามา สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดคือ
   “อาบน้ำกันเฮียฟ่ง”
   ฟ่งพยักหน้าและพูดตอบ “อืม เล้งไปอาบก่อนสิ อาบห้องด้านบนก็ได้”
   เด็กหนุ่มสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ แบบนั้นเสียเวลา เฮียอาบกับผมนี่แหละ แล้วให้เพื่อนเฮียอาบห้องข้างล่าง”
   ไม่พูดเปล่าเหลือบตามามองคนด้านหลังอย่างเยาะเย้ย ฟ่งพยักหน้าอย่างพาซื่อ ขณะที่รูฟัสรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประกาศสงครามซึ่งๆ หน้า
-------------------------------------
   ฟ่งถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ชายหนุ่มจึงแง้มมันออกไปและพบกับใบหน้าคุ้นเคยในสภาพขอความช่วยเหลือ
   “ผมใช้ขันอาบน้ำไม่เป็น” รูฟัสพูดออกมา สีหน้าดูเป็นทุกข์มากจนฟ่งอดขำไม่ได้ ลืมไปว่าเมืองนอกปกติมีแต่ฝักบัว แถมที่คอนโดฯก็เป็นฝักบัว ขณะที่ฟ่งกำลังนึกว่าจะสอนรูฟัสยังไงเรื่องใช้ขัน ชายหนุ่มก็รีบพูดแทรก “คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
   ฟ่งขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “อืม อาบด้านบนนี่ก็ได้ มีฝักบัวอยู่ คุณรอพวกผมอาบเสร็จก่อน”
   “ผมอาบด้วยเลยก็ได้”
   โดยไม่รอให้เจ้าตัวตอบตกลงหรือปฏิเสธ รูฟัสแทรกตัวเข้ามาทันที ฟ่งได้แต่ยืนอึ้งๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่รู้จะทำยังไง
   “เออ ก็ได้”
   ความจริงถึงรูฟัสเกิดในเมืองหนาว แต่ชีวิตโชกโชนของเขา กะอีแค่เอาขันตักน้ำอาบไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่เป็น แต่รูฟัสนึกหงุดหงิดที่ฟ่งอาบน้ำกับคนอื่น ถึงจะเป็นน้องชายแท้ๆ ก็เถอะ ใครใช้ให้ทำหน้ากวนประสาทเขาแบบนั้นกันล่ะ ในเมื่อคิดจะทำสงครามกัน เขาก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้อย่างสมน้ำสมเนื้อเลย
   เล้งยืนแก้ผ้าอล่างฉ่างบ่งบอกความสนิทชิดเชื้อของตัวเองกับพี่ชายเต็มที่ และไม่มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อยเมื่อเห็นผู้ไม่ได้รับเชิญพรวดเข้ามา หนำซ้ำดูจะท้าทายอยู่อีกด้วย รูฟัสถอดผ้าเช็ดตัวออกอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน ถ้าจะประชันรูปร่างกันล่ะก็ รูฟัสมั่นใจไม่แพ้ใคร แต่ปัญหาคือ ฟ่งคงไม่มีอารมณ์กับรูปร่างน้องชาย และก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าพึงใจกับรูปร่างของเขาด้วย ดังนั้น การประชันของทั้งสองฝ่ายในสายตาฟ่งไม่ได้มีค่าอะไรเลย ชายหนุ่มเดินมาที่ขอบอ่างน้ำที่ก่อปูนขึ้นมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อใส่น้ำ และหยิบขันตันขึ้นมาตักน้ำราดตัวเอง เจอเข้าไปแบบนี้ฝ่ายที่ประกาศสงครามกันอย่างเงียบๆ ต้องรีบเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ เล้งปราดเข้าไปหาพี่ชายโดยจงใจจะเบียดอีกฝ่ายออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
   “เฮียฟ่ง เฮียขยับมาอาบตรงนี้ดีกว่า เพื่อนเฮียจะได้ใช้ฝักบัว”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมา ใช้มือปาดน้ำออกจากตา ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายและไหลเป็นทางยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่อย่างประหลาด แต่ตอนนี้รูฟัสไม่มีกะใจจะรู้สึกอะไรทำนองนั้น เมื่อฟ่งขยับไปทางน้องชาย และบอกให้เขาเข้าไปใช้ฝักบัว สิ่งที่เล้งทำต่อคือเบียดเข้าไปอาบน้ำใกล้พี่ชายอย่างจงใจ ชนิดที่ต่อให้คนที่ไม่คิดอะไรก็คงต้องคิดมาก พี่น้องโลกไหนอาบน้ำกันอย่างกับจะโอบแบบนั้น ชายหนุ่มพยายามจะหาข้ออ้างเรียกร้องความสนใจบ้าง แต่ยังนึกไม่ออก มือแกร่งเลื่อนไปจับหัวก๊อกฝักบัว
   “ฟ่ง ก๊อกฝักบัวคุณรั่ว” รูฟัสพูดอย่างตกใจ ฟ่งยังไม่ทันจะตักน้ำขันที่สองต้องหันมาและพบว่าหัวก๊อกฝักบัวหลุดติดอยู่กับมือของอีกฝ่าย รูฟัสพยายามยัดมันกลับที่เดิมอย่างน่าสงสาร น้ำที่พุ่งออกมาจากท่อเปียกร่างเขาไปหมด ฟ่งเลยต้องรีบเข้าไปช่วย
   เล้งอึ้งอยู่พักใหญ่ เขาจำได้ว่าก๊อกฝักบัวนั่นสภาพดี นี่คนที่พี่ชายพามาเป็นยักษ์เป็นมารหรือไงนะ เมื่อเห็นว่ารูฟัสเริ่มลามปามเบียดกระแซะพี่ชายของเขาอย่างจงใจ เล้งก็คิดว่าเขาควรจะทำอะไรซักอย่าง
   น้ำหยุดฉีดเมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้ามาปิดวาล์วก๊อกน้ำที่อยู่เยื้องไปตรงผนัง ฟ่งพูดขอบใจไปทันที พลางนึกสงสัยว่าก๊อกน้ำมันพังได้อย่างไร
   รูฟัสนึกขอโทษอยู่ในใจตอนแรก เขาตั้งใจว่าจะซื้อก๊อกอันใหม่มาชดใช้ให้ตอนหลัง ด้วยเพราะนึกหาข้ออ้างไม่ออก เลยจงใจบิดก๊อกเดิมจนพัง ฟ่งเข้ามาช่วยอย่างไม่รอช้า ความจริงรูฟัสอยากอยู่แบบนี้นานๆ อีกสักหน่อย แต่เจ้ามารน้อยนี่ก็เข้ามาขวางจนได้
   “อาบน้ำกับขันแล้วกัน เดี๋ยวผมสอนคุณอาบ”
   ฟ่งพูดในที่สุด หนุ่มนัยน์ตาสีแปลกอาศัยจังหวะที่ฟ่งยื่นขันน้ำมาให้เขายิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะ เล้งไม่แสดงสีหน้าตอบ แต่เดินงุดๆ ไปหยิบขันอีกลูกขึ้นมา แล้วทำหล่น จนพี่ชายของหันไปมอง
   “เป็นอะไรน่ะ?”
   “เจ็บมืออะ” เด็กหนุ่มตอบ และลูบมือป้อยๆ “สงสัยตอนบิดก๊อกตะกี้มันผิดท่าไปหน่อย”
   ฟ่งขมวดคิ้ว พลางคิดว่าทำไมการอาบน้ำหนนี้มันถึงดูวุ่นวายแปลกๆ เขาเดินไปหยิบขันที่หล่น แล้วถามน้องชายซ้ำ
   “ถือขันไม่ไหว?”
   “อือ ก็ลองแล้ว” เล้งตอบ ฟ่งพยักหน้า และถอนหายใจ “งั้นสองคนยืนด้วยกันแล้วกัน เดี๋ยวจะอาบให้”
   วิธีการของฟ่งสงบสงครามประสาทได้ชะงัก สองคนยืนเรียบร้อยรอให้เขาตักน้ำอาบ คนดูนึกเหนื่อยใจ เจ้าพวกนี้ตัวเล็กๆ กันที่ไหน กว่าสองคนจะอาบน้ำเสร็จ ฟ่งก็รู้สึกว่าตัวเองต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ เพราะตัวเขาเริ่มมีเหงื่ออีกแล้ว จะว่าไปเขาเองยังไม่ได้เริ่มอาบด้วยซ้ำ ฟ่งบอกให้สองคนที่กำลังเช็ดตัวขยับหลบ เพราะเขาจะอาบน้ำบ้างแล้ว ขณะที่กำลังถูสบู่ เสียงของเล้งก็ดังขึ้น
   “เฮีย ผมขัดหลังให้นะ”
   ไม่รอให้อนุญาต เด็กหนุ่มคว้าสบู่อีกก้อนถูไปบนแผ่นหลังขาวๆ ของฟ่งทันที ฟ่งส่งเสียงอืมในลำคออย่างขอบใจ รูฟัสหูอื้อ นึกหาวิธีเข้าไปแทรก แต่จนฟ่งอาบน้ำเสร็จเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไร จนฟ่งเดินมาจะหยิบผ้าเช็ดตัวนั่นแหละ
   “ผมเช็ดตัวให้” รูฟัสพูดเร็วปรื๋ออย่างกับกลัวจะถูกแย่ง ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่คลุมลงบนศีรษะของอีกฝ่าย ฟ่งหัวเราะคิกคักเมื่อถูกเช็ดที่หู คราวนี้เล้งเลยต้องเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง
   แม้จะมีเหตุแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ฟ่งก็รู้สึกสบายดีทีเดียวที่มีทั้งคนถูหลังทั้งคนเช็ดตัวให้ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี พลางนึกว่ารูฟัสกับน้องชายของเขาเข้ากันได้ดีกว่าที่คาด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ด้านหลังของเขา ทั้งคู่ทำหน้ามึนตึงใส่กันอยู่
-------------------------------------
   รูฟัสไม่เคยคิดมาก่อนตลอดชีวิต ว่าวันหนึ่งเขาต้องมานั่งทำสงครามประสาทกับเด็กที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบปี แถมยังเป็นน้องชายของคนที่เขาชอบอีก ดูเหมือนอะไรๆ ในตัวเขาจะเปลี่ยนไปมากตั้งแต่มุ่งมั่นตั้งใจจะคว้าความรักเอาไว้ เขากลายเป็นคนขี้หึงและขี้อิจฉาไปแล้ว นี่ถ้าพวกราฟาแอลและชานดอร์รู้คงหัวเราะกันจนตายไปข้างแน่ๆ
   เพราะฟ่งไม่ชอบดูละครหลังข่าวที่แม่และพี่สาวติดงอมแงม เจ้าตัวเลยขึ้นมาบนห้องก่อน รูฟัสตามขึ้นมาติดๆ โดยมีเล้งเดินตามหลัง ตอนที่เดินเข้ามาในห้อง รูฟัสถือโอกาสถามเกี่ยวกับรูปวาดที่อยู่บนผนัง
   “นั่นคุณวาดเหรอ?”
   รูปวาดบนกระดาษขาวที่แปะแบบจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้อง วาดด้วยดินสอหรือปากกาสีเข้ม เป็นรูปทรงเรขาคณิตซ้อนทับกันจนแปลกตา ฟ่งพยักหน้า ขณะที่รูฟัสรู้สึกคุ้นตาแปลกๆ
   “ผมวาดตอนอยู่มัธยมปลาย มันเป็นรูปเขาวงกต คล้ายๆ ที่ผมเขียนให้คุณทวีศักดิ์นั่นแหละ แต่งานนั้นมันเป็นจริงเป็นจังมากกว่า” ฟ่งอธิบายอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่รูฟัสแทบจะเอามือกุมหัว
   “คุณบอกว่า เขียนไอ้ของแบบนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมหรือครับ?”
   มัธยมคงราวๆ สักอายุสิบกว่าๆ รูฟัสหันมองฟ่งที่กำลังพยักหน้าอีกครั้ง ได้ยินเสียงเล้งพูดแทรก
   “เฮียฟ่งไม่เคยวาดอะไรธรรมดาเหมือนคนอื่นเขาหรอก ผมเคยเห็นเฮียวาดลูกบอลแล้วบอกว่าเป็นห้องด้วย”
   “อ้อ..ไอ้ห้องกลิ้งได้นั่น” ฟ่งพูดเหมือนนึกได้ ตาเป็นประกาย เดินไปดึงม้วนกระดาษอะไรที่วางอยู่มุมห้องออกมา เล้งพูดขึ้นทันที
   “เฮีย รื้อแล้วเก็บด้วยนะ!!”
    “อือๆ” ฟ่งส่งเสียงงืมงำในคอ แล้วคลี่กระดาษออก หยิบแผ่นหนึ่งออกมา
   “รูฟัส ผมอยากทำห้องแบบนี้”
   สิ่งที่รูฟัสเห็นบนแผ่นกระดาษคือลูกบอลทรงกลมที่มีฟอร์นิเจอร์รูปทรงโค้งรับกับทรงอยู่ด้านใน ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งว่างเปล่า ฟ่งอธิบายต่อ
   “คุณเคยเห็นลูกบอลใส่น้ำครึ่งหนึ่งมั้ย? ผมทำเครื่องเรือนอยู่บนพื้นที่ลอยน้ำได้ ใส่น้ำลงไปในพื้นโล่งๆ นี่ คุณอยากจะกลิ้งห้องไปไหนก็ได้ รับรองว่าคนในห้องจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
   รูฟัสคิดว่าเขาคนหนึ่งล่ะที่รู้สึก อย่างน้อยการได้เห็นห้องแบบนี้ก็รู้สึกแปลกแล้วล่ะ เขามองฟ่งด้วยความพิศวง ก่อนจะเห็นฟ่งหยิบกระดาษมาอีกแผ่นหนึ่ง
   “อันนี้ห้องที่เป็นแบบรูบิกคิว เหมือนในหนังไง คุณเคยดูรึเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะทันที ก่อนจะพูดขึ้น “นี่คุณวาดเล่นหรือครับ?”
   อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ผมวาดส่งอาจารย์นะ แต่มันประหลาดเกินไป เขาเลยให้ผมเอากลับมาแก้”
   รูฟัสนึกเห็นด้วยทันที นอกจากจะประหลาดแล้ว ยังใช้สอยแบบปกติไม่ได้อีกด้วย เขาถามออกไปอีก “ฟ่งครับ งานของคุณเนี่ย เป็นแบบนี้หมดเลยเหรอ?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ แต่น้องชายกลับพูดขึ้นมาแทน “งานปกติธรรมดาก็มี” เขาว่า และเปิดลิ้นชักตัวเอง หยิบกระดาษออกมาใบหนึ่ง
   “นี่รูปผมตอนอายุสิบห้า เฮียวาดให้”
   ลายเส้นเรียบๆ ไม่ลงสีลงเงาแต่ให้ความรู้สึกพลิ้วอยู่ในตัว เป็นรูปเหมือนกึ่งๆ เหนือจริงเล็กน้อยที่ยังพอดูรู้เรื่องอยู่ รูฟัสนึกประท้วงทันทีว่านี่ดูเหมือนฟ่งมากกว่า แต่ตอนนั้นเด็กอายุสิบห้าคงยังไม่จะกำยำล่ำสันอย่างตอนอายุหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้หรอก เหมือนเล้งน่าจะอายุสักสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว
   “แต่ถ้าเฮียฟ่งวาดตัวเอง มันจะเป็นแบบนี้”
   เส้นอะไรสักอย่างดูยุ่งวุ่นวายไปหมดเลื้อยอยู่บนกระดาษที่เล้งหยิบออกมา ฟ่งเลยต้องอธิบายเพิ่ม
   “อืม... รูปนั้นผมได้อิทธิพลจากดาลี..ศิลปินนะครับ คุณต้องถอยออกมาอีกหน่อย ถึงจะเห็นว่าเป็นรูปอะไร”
   รูฟัสทดลองขยับออกมาอีก และต้องขมวดคิ้ว “คุณวาดแว่นตา?”
   “เอ้อ ใช่ คุณเดาถูก” ฟ่งพูดและยิ้มกว้าง เล้งพยักหน้าและพูดแทรก
   “ชีวิตเฮียฟ่งขาดแว่นตาคงขาดใจ”
   “ก็เฮียสายตาสั้น” ฟ่งสวนทันที รูฟัสเข้าใจในข้อนี้ ชายหนุ่มสูดหายใจลึก เขารู้แล้วว่าฟ่งเป็นคนคิดอะไรพิสดารมาแต่กำเนิด ชายหนุ่มไม่อยากดูของแปลกๆ อีก เขาหันไปเห็นรูปถ่ายวางอยู่บนโต๊ะ เลยเปลี่ยนเรื่อง
   “บนโต๊ะนั่น รูปคุณเหรอ?” ชายหนุ่มกลั้นใจถาม เพราะคนในรูปไม่ได้ใส่แว่น เผลอๆ อาจจะเป็นรูปน้องชายตัวแสบก็ได้ แถมตัดผมเสียสั้น แต่ดวงตาเศร้าๆ นั้นทำให้รูฟัสเอ่ยทักออกไป
   “เห?” ฟ่งส่งเสียงอย่างแปลกใจ ก่อนจะวางกระดาษลง เดินเข้ามา “อ้อ.. เล้งเอามาวางไว้เหรอ?”
   น้องชายพยักหน้า และพูดต่อ “ก็ตอนจัดห้องเห็นมันหล่นอยู่ หาอัลบั้มใส่ไม่เจอ ไม่รู้เฮียใส่เอาไว้ในไหน”
   “เฮียอัดเอาไว้ให้ดา” ฟ่งพูด เสียงครึ่งหนึ่งหายไปในคอ พอพูดถึงดาทำไมถึงรู้สึกน้ำลายฝืดขึ้นมาทุกทีก็ไม่รู้ รูฟัสรีบฉวยโอกาสนั้นพูดขึ้นบ้าง “งั้นผมขอนะ”
   ฟ่งที่กำลังหยิบรูปขึ้นมาดูหันมามองเขาทันที ชายหนุ่มพูดต่อ “ผมยังไม่เคยเห็นรูปคุณตอนเด็กๆ เลย”
   ฟ่งส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะหันไปถามน้องชายเรื่องที่เก็บรูป เล้งดูลังเลพักหนึ่ง แต่ก็ยอมจะดึงลิ้นชักอีกตัวที่อยู่ข้างโต๊ะออกมา หยิบอัลบั้มรูปออกมาสองสามอัลบัม แน่นอนว่าเกือบทุกรูปเป็นรูปถ่ายคู่ ไม่ก็ถ่ายกันสามคน แต่ก็ทำให้รูฟัสแน่ใจว่าฟ่งน่ารักจริงๆ ตอนนี้ก็น่ารัก ตอนเด็กๆ ยิ่งน่ารัก เหมือนฟ่งจะเริ่มใส่แว่นตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ตอนอายุสิบสี่สิบห้าหน้าตากำลังใสได้ที่
รูปถ่ายที่ดูจะมีรอยยิ้มอย่างมีความสุขนั้นทำให้เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้ นี่เขากำลังพรากฟ่งออกมาจากครอบครัวที่มีความสุข รูฟัสคิดว่าเขายิ่งต้องแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถดูแลให้ฟ่งมีความสุขได้เช่นเดียวกัน ปัญหาคือไม่รู้ว่าครอบครัวของฟ่งจะต้อนรับเขาที่เป็นผู้ชายรึเปล่าน่ะสิ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าการที่รักเพศเดียวกันมันลำบากลำบนมากมายขนาดนี้ คงเพราะเขาใช้ชีวิตปล่อยตัวแถมยังอยู่ในโลกคนละแบบกับฟ่งล่ะมั้ง
   เล้งพยายามขวางการดูรูปถ่ายอย่างเต็มที่ เรียกว่าถ้าไม่เกรงใจฟ่ง คงดึงอัลบั้มรูปออกจากมือเขาไปแล้ว แถมยังแย่งพูดเกือบหมด หนุ่มตาสองสีตัดสินใจสู้ศึกครั้งนี้ด้วยกันนั่งเงียบๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาเห็นรูปน่ารักๆ เดี๋ยวฟ่งก็จะทำหน้าแดงแล้วอธิบายให้เขาฟังเองแหละ ขณะที่กำลังดูรูปถ่ายและทำสงครามประสาทกันอยู่ ผิงก็เปิดประตูเข้ามา
   “เล้ง ลงไปข้างล่างหน่อยสิ หม๊าเรียก”
   เล้งทำท่าจะถามว่าเรียกทำไม แต่พอเห็นหน้าตาจริงจังของพี่สาวเลยต้องออกไปจากห้องโดยไม่เอ่ยถาม ก่อนออกจากห้องผิงหันมาสำทับ “ห้ามทำอะไรบ้าๆ กันนะ”
   “ครับ” ฟ่งกับรูฟัสพูดแทบจะพร้อมกัน ฝ่ายนั้นมองอย่างไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมออกไปในที่สุด ฟ่งถอนหายใจออกมา
   “รูฟัส ขอโทษนะ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มยังไง”
   รูฟัสยิ้มให้ร่างที่นั่งตรงข้าม เขาอยากกอดฟ่งใจจะขาด แต่เมื่อสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำอะไรรุ่มร่าม เขาก็จะอดทนให้ถึงที่สุด เผื่อครอบครัวของฟ่งจะใจอ่อนยอมรับเขาเข้าบ้าน
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่อยๆ คิด จะให้ผมช่วยพูดด้วยไหม?”
   ฟ่งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง และสั่นศีรษะ “ผมพูดเองดีกว่า จริงๆ ผมก็ลองเล่าเรื่องคุณคร่าวๆ ให้แม่ผมฟังแล้วล่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงให้แม่ไม่เสียใจมาก ผมไม่เคยมีเรื่องแบบนี้ด้วยสิ”
   รูฟัสยกมือขึ้นตบไหล่ฟ่งเบาๆ “ช่วยกันคิดเถอะครับ ยังไงคุณสองคนก็เป็นแม่ลูกกัน ถ้าคุณตัดสินใจดีแล้ว ท่านก็คงเข้าใจคุณแหละ”
   ฟ่งพยักหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมายิ้มเศร้าๆ “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ผมอยากอยู่กับคุณ”
   รูฟัสมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เหมือนรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ผ่านสายตา ชายหนุ่มจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมา จูบลงไปเบาๆ
   ไม่มีคำพูดใด ฟ่งมองรูฟัสด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ที่แน่ๆ คือเขารักผู้ชายคนนี้ รักจนปวดหัวใจไปหมด รักจนอยากอยู่ข้างๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ตลอดไปก็คงดี
   “ฟ่ง ลงไปข้างล่างหน่อย คุณด้วย”
   ผิงเปิดประตูเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน สองคนหันมองหน้ากัน
-------------------------------------------
**จริงๆ เราอยากบอกว่า รูฟัสเป็นพระเอกที่เราชอบมากที่สุดเลยล่ะ เป็นผู้ชายประเภทที่น่ารักน่าตบจริงๆ

(แน่นอนว่าถ้าไม่ได้รักเดียวใจเดียวกับฟ่ง คงไม่เหลือข้อดีอะไรเอาไว้ให้พูดถึงอีกแล้วนะเนี่ย เพราะพ่อคุณเป็นสุดยอดนักต้มตุ๋น โกหกตอแหลได้ทุกเรื่องจริงๆ)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ^^

ปล.ร่างปกเล่ม0ซึ่งเป็นเล่มพิเศษเสร็จแล้ว แบบว่า น่ารักเวอร์ ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่74 p14 10/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 10-12-2011 11:22:12
อาซื่อเนี่ยน้าา~สมชื่อจริงๆให้ดิ้นตาย!ว่าแต่จินหยิ่นจะกลับมามั้ยอ่ะ รอลุ้นตอนต่อไป(เว่ยชิงจะมีจุดจบยังไง)ขอบคุณคนแต่งคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่74 p14 10/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-12-2011 10:44:49

บทที่75 Love feeling.

   เกือบสามสัปดาห์แล้ว ที่วรุตต้องหัวหมุนอยู่กับธุรกิจของผู้เป็นพ่อ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้เลิกงานพวกนี้ไม่ได้สักที  งานสกปรกจะเลิกไม่ใช่ว่าเลิกได้ง่ายๆ วรุตเริ่มต้องมีบอดีการ์ด เริ่มต้องใช้คนขับรถ หากไม่มีรัตน์และอิทธิเดชคอยให้คำปรึกษาและกำลังใจ เขาคงจะหนีไปจากงานแบบนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนไป นับตั้งแต่พ่อของเขาถูกควบคุมตัว
   ตั้งแต่วันที่ทวีศักดิ์อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของตำรวจ เด็กหนุ่มพยายามทุกวิถีทางที่จะประกันตัวพ่อออกมา แต่ข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงที่ทวีศักดิ์โดนทำให้การประกันตัวทำได้ยาก หนำซ้ำยังมีข้อกล่าวหามาจากต่างประเทศว่าด้วยเรื่องการค้ายาเสพย์ติดข้ามชาติ วรุตได้รู้อะไรอีกหลายๆ เรื่องว่าพ่อของเขาทำธุรกิจมืดมากมายหลายอย่าง เรื่องที่คนเป็นลูกอย่างเขาไม่เคยรู้เลย
   “วิน...” เสียงเรียกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเฉื่อยชากับเขาตอนนี้ฟังดูอ่อนโยนมากขึ้น อิทธิเดชเดินเข้ามาในห้องทำงานเดิมที่ทวีศักดิ์เคยใช้ ตอนนี้วรุตตกแต่งมันเพิ่มพอสมควร ภาพวาดทิวทัศน์ง่ายๆ กับแจกันดอกไม้ที่เพิ่มเข้ามาทำให้บรรยากาศดูแปลกไปพอสมควร เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะยิ้มเซียวๆ “พี่เดช”
   อิทธิเดชมองหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ เดิมทีวรุตเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุครบยี่สิบไม่นาน บินกลับมาจากต่างประเทศระหว่างปิดภาคเรียน และควรจะกลับไปเรียนต่อได้แล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้คือเด็กหนุ่มคนเดิม แต่ดูอายุจะเพิ่มขึ้นอีกสามสี่ปีภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ วรุตปรับตัวและแสดงความเฉลียวฉลาดด้านการบริหารออกมาอย่างเด่นชัด สมกับเป็นสายเลือดกับทวีศักดิ์ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ถึงจะเด็ดเดี่ยวแค่ไหนก็ยังอ่อนไหวในเรื่องบางอย่างอยู่ดี อีกทั้งสถานการณ์ที่วรุตกำลังเผชิญเป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่เคยประสบมาก่อน ไม่มีพื้นเพเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มเคยทำไว้กับเขาแล้ว อิทธิเดชรู้สึกแปลกใจกับความจริงเรื่องนี้ วรุตนั้นไร้เดียงสากว่าที่เขาคิดไว้มาก เหมือนว่าเรื่องเลวร้ายก่อนหน้านี้เป็นการพยายามแสดงเลียนแบบเท่านั้นเอง หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจ กล่าวขึ้น “ออกไปสูดอากาศสักพักไหม?”
   วรุตเหลือบตามองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอก ผมยังอ่านสำนวนคำขอประกันตัวไม่จบเลย”
   อิทธิเดชพยักหน้าเหนือยๆ วรุตทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ติดกันหลายวันแล้ว เวลาสามทุ่มโดยปกติควรจะเป็นเวลาเลิกงาน แม้ว่าต้องอยู่ทำโอทีก็ตาม แต่เด็กหนุ่มยังคงใช้เวลาจนถึงที่สุด แม้เรื่องงานบางอย่างเด็กหนุ่มจะยกให้รัตน์เป็นผู้ดูแล แต่เรื่องการว่าความของผู้เป็นพ่อ วรุตจะดูอย่างละเอียด จะเรียกว่าเป็นความใส่ใจต่อผู้เป็นพ่อก็คงได้
   “งั้นฉันจะอยู่เป็นเพื่อน” อิทธิเดชพูดพลางลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ ผ่านจากเหตุการณ์คราวนั้น วรุตไม่ทำตัวรุ่มร่ามกับเขาอีกเลย เด็กหนุ่มยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและเคารพสิทธิ์ของเขามากขึ้น
อิทธิเดชไม่รู้ว่านี่คือการพยายามจะพิสูจน์ความรักของเด็กหนุ่มรึเปล่า วรุตเคยพูดว่ารักเขาข้อนี้คงจะจริงในความคิดของเจ้าตัว แต่อิทธิเดชกลับตอบไม่ได้ชัดว่าตอนนี้เขารู้สึกกับเด็กคนหนึ่งซึ่งเคยใช้กำลังข่มขืนและทารุณเขาอย่างไร แต่อย่างน้อยๆ เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังวรุตอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว ความรู้สึกที่ยังเหลือมาจากตอนนั้น คงเป็นความรู้สึกเคยชินที่มีเด็กหนุ่มอยู่ข้างๆ ล่ะมั้ง
   วรุตเบือนหน้าออกมาจากเอกสารทันทีที่ผู้เข้ามาใหม่นั่งลงข้างๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้ผมจะไปศาล ทำเรื่องขอประกันตัวอีกรอบ”
   คนฟังพยักหน้า สีหน้าของเด็กหนุ่มมีแววเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เขามองหน้าชายหนุ่มอย่างเหมือนมีอะไรจะพูด ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ผมจะทำให้ดีที่สุด”
   สีหน้าที่แสดงออกมาทำให้อิทธิเดชอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนวรุตเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่พยายามจะทำเรื่องเกินตัวอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ดูไม่ไหวเอาเสียเลย เมื่อนึกทบทวนวรุตคงเป็นแบบนี้อยู่นานแล้ว เจ้าตัวพยายามทำเรื่องอะไรหลายๆ อย่างอย่างที่ไม่น่าจะทำได้ ทั้งควรทำและไม่ควรทำ แต่ก็พยายามทำมันจนถึงที่สุด ด้วยตัวคนเดียว
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามที่ยกมือลูบศีรษะเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “พี่เดช ขอกอดทีได้ไหม?”
   อิทธิเดชมองดูดวงตาที่เริ่มแดงเรื่อด้วยความกดดันของผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่พูดอะไรอีก แต่รั้งตัวของเด็กหนุ่มเข้ามากอดเอาไว้ วรุตกอดเขาแน่น เหมือนเด็กๆ ที่รอผู้ปกครองมารับจนเย็น พอเห็นหน้าก็โผเข้าหา มือบางลูบไล้เรือนผมดำ ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะเบาๆ
--------------------------------------------
   วรุตออกไปกับทนายความในตอนเช้า พ่อของเขาไม่ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ แต่อยู่ในห้องขังพิเศษของหน่วยพิเศษ ซึ่งเกณฑ์การให้เยี่ยมวุ่นวายพอสมควร ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้คุยกับพ่อผ่านตู้กระจก คล้ายๆ ที่เคยเห็นในหนัง แต่นี่คือเรื่องจริง และคนที่อยู่ด้านในคือพ่อแท้ๆ ของเขาเอง สองพ่อลูกเอ่ยทักทายกันตามธรรมเนียม หน้าตาของทวีศักดิ์ดูซูบไปสักหน่อย แต่พอเห็นหน้าลูกชายก็ดูจะสดใสขึ้น หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่พักหนึ่ง วรุตก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
   “พ่อ วันนี้ผมจะยื่นประกันตัวพ่ออีกรอบ ผมจะพาพ่อออกไปเร็วๆ นี้แหละ”
   ทวีศักดิ์พยักหน้า มองดูลูกชาย วรุตดูเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะแต่งตัวหวีผมเรียบร้อย แต่ร่องรอยบนใบหน้าและดวงตาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กหนุ่มกรำงานหนักและไม่ค่อยได้พักผ่อน
   “พักผ่อนบ้างนะ”
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขา เด็กหนุ่มวางมือลงตรงหน้ากระจกเหมือนอยากจะแตะมือของพ่อที่อยู่อีกฟาก ทวีศักดิ์ยื่นมือมาแตะมือของลูกชาย ก่อนหน้านี้เขามีโอกาสมากมายมหาศาลที่จะจับมือของเด็กคนนี้ แต่เขากลับไม่เคยคว้ามันเอาไว้เลย ได้แต่จมปลักกับกองเอกสาร ฟังรายงานของคนอื่นๆ การฟังลูกชายพูดอย่างตั้งใจ คงหลังจากถูกควบคุมตัวเอาไว้นี่แหละ กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรสำคัญ ก็เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว แผ่นกระจกกั้นนั้นเย็นเฉียบ แต่เหมือนมีความอบอุ่นมาจากนัยน์ตาและน้ำเสียงของลูกชาย ก้อนบางอย่างเข้ามาจุกอยู่ที่คอ ทวีศักดิ์เค้นคำพูดตอบอย่างยากลำบาก
   “พ่อขอโทษ”
   จะยังมีโอกาสให้เขาแก้ตัวไหม? จะยังมีโอกาสให้เขากลับไปรักลูกชายอย่างที่ควรจะเป็นได้อีกไหม?
----------------------------------------------------
   วรุตกลับมาจากศาลในตอนบ่ายบ่าย อีกสองสัปดาห์ศาลจึงนัดให้เขาไปรับฟังคำตัดสินเรื่องการขอประกันตัว เด็กหนุ่มอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน และผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ใครบางคนห่มผ้าห่มให้เขา เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น พลางเอ่ยถาม “กี่โมงแล้ว”
   “ทุ่มครึ่ง” น้ำเสียงเฉื่อยๆ แต่เจือความอ่อนโยนเอ่ย อิทธิเดชมีกุญแจที่ใช้เข้าออกห้องพักเขาได้อย่างอิสระ แต่น้อยครั้งที่ทางนั้นจะเป็นฝ่ายเข้ามาเองแบบนี้ วรุตยันตัวลุกขึ้น
   “เธอจะทานอะไรรึเปล่า?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถาม ตอนนี้เขาทำงานคล้ายๆ เลขาส่วนตัวของวรุต มีหน้าที่จัดการเรื่องความเป็นอยู่ส่วนตัว และเรื่องอาหาร ต่อให้เขาไม่อยากจะใส่ใจก็ต้องใส่ใจเด็กคนนี้อยู่ดี วรุตยังคงกระพริบตาเพื่อไล่ความง่วงอีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณจะทานกับผมด้วยรึเปล่า?”
   คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ
--------------------------------------------
   มื้ออาหารเย็นสิ้นสุดนานแล้ว แต่คนที่ทานอาหารด้วยยังไม่ออกไปไหน อิทธิเดชจัดข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ในห้องของวรุตให้เข้าที่ สมกับที่ได้รับมอบหมายงาน วรุตมองดูแผ่นหลังเล็กบางเหมือนของผู้หญิงด้วยความรู้สึกแปลกใจตัวเอง
   ครั้งหนึ่งเขาเคยกระหายในร่างกายนี้แทบจะคลั่ง ถึงกระทั่งใช้กำลังและฐานะยึดครองเอาไว้ โดยไม่สนใจจิตใจของอีกฝ่าย กว่าเขาจะคิดได้ก็ทำร้ายผู้ชายคนนี้ไปมากแล้ว วรุตเคยเตรียมรับความเกลียดชังที่เขาควรจะได้รับ หรือความเย็นชาที่เจ้าตัวจะแสดงออกกับเขา โดยตั้งใจแน่วแน่ว่าต่อให้อิทธิเดชปฏิบัติกับเขายังไง เขาจะไม่เลิกรักฝ่ายนั้นเด็ดขาด วรุตรักษาสัญญาทุกอย่าง ไม่เคยทำรุ่มร่ามกับผู้ชายคนนี้อีกเลย และจากภาระการงานหนักหน่วงที่ประดังประเดเข้ามาอย่างแทบตั้งตัวไม่ติด พอได้มองแผ่นหลังบางนี้อีกครั้ง เขาก็แทบจะไม่หลงเหลืออารมณ์รุนแรงอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงพบกันใหม่ๆ อีกเลย เพียงแต่รู้สึกว่ามันดูเหมือนภาพวาดที่ได้แค่มอง
   ถึงอย่างนั้นคำว่ารักก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ
   “คุณไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องจัดแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มกล่าว และยิ้มอย่างอ่อนโยน อิทธิเดชเบือนหน้ากลับมา และเอ่ยถาม “เธอจะอาบน้ำอีกรึเปล่า?”
   “ไม่ล่ะ ผมเปลี่ยนเสื้อกับแปรงฟันก็พอ”
   หนุ่มหน้าสวยพยักหน้า และเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนชุดหนึ่งส่งให้เขา วรุตรับมาและยิ้มอีกครั้ง “ขอบคุณนะ คุณไม่ต้องดูแลผมขนาดนี้ก็ได้”
   อิทธิเดชไม่พูดอะไร วรุตเดินออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็เห็นชายหนุ่มจัดที่นอนให้เขาอยู่ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปช่วยดึง
   “เธอจะเข้านอนเลยรึเปล่า?”
   “สักพัก” วรุตตอบ เขานอนไปตลอดบ่าย ตอนนี้เลยยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ อิทธิเดชพยักหน้า และเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เสียงฝักบัวอาบน้ำดังขึ้น หัวใจของวรุตเต้นแรงทันที เหมือนกับผ่านมานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายอาบน้ำ ช่วงหนึ่งเขาเคยนอนฝังเสียงแบบนี้ด้วยอารมณ์อยากครอบครองและเป็นเจ้าของด้วยที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายปะปนกับโทสะ เขาไม่เคยรู้สึกอะไรนอกจากนั้นในการฟังเสียงนี้
แต่ครั้งนี้ต่างกันไป หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับคาดหวังเรื่องบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ เสียงสายน้ำที่ไหลตกกระทบเรือนร่างซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยสัมผัสล้ำลึกทำให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มปั่นป่วน แต่ในแบบที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้ เขากำลังกลัวหัวใจตัวเอง กลัวว่านี่อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาหวัง
วรุตใช้กำลังกับอิทธิเดชกับเรื่องนี้มาโดยตลอด พอเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกับอีกฝ่ายจะเข้าหาเขาเอง ความคิดของเด็กหนุ่มก็สับสนยุ่งเหยิง เขาไม่คิดว่าอิทธิเดชจะมีวันทำแบบนี้ ทางนั้นไม่เคยแสดงให้เห็นว่าพึงพอใจเขามาก่อนในเรื่องแบบนี้ เห็นแต่ท่าทีเกลียดชังและจำยอมเท่านั้นแหละ วรุตถึงกับอยากมุดผ้าห่มหลับไปเลยจริงๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ตกใจขนาดนี้ ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะรับมือยังไง ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก
   เรือนร่างขาวบางนุ่งผ้าเช็ดตัวปิดเพียงท่อนล่าง เรือนผมหยักสกสีดำยาวประบ่าที่ถูกเช็ดจนเกือบจะแห้งปรกอยู่ที่ต้นคอและแนวใบหน้า เรียวคางกลมมนรับกับเครื่องหน้าที่สะสวยราวกับหญิงสาว ลำคอเรียว แผงไหล่เล็กแคบไม่เหมือนชายหนุ่มเลยสักนิด ลำตัวเพรียวบางที่หากไม่ประกอบเข้ากับแผงอกราบเรียบก็คงจะระบุเพศได้ยาก เรียวขากลมมนที่ต่อเข้ากับตะโพกกลมกลึงที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าเช็ดตัวเด่นชัดขึ้นมาในความทรงจำทันที ต่อให้วรุตพยายามควบคุมสติตัวเองขนาดไหน เจอแบบนี้เข้าไปไม่เตลิดจนอยากจะเอาผ้าห่มคลุมหัวก็ใกล้เต็มที
   แพขนตายาวหลุบต่ำอำพรางนัยน์ตาฉ่ำน้ำคู่นั้น อิทธิเดชเดินมาที่เตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ วรุตต้องทำใจแข็งพูดออกไป เขาเดาเจตนาอีกฝ่ายไม่ออกจริงๆ
   “คุณจะทำอะไร?”
   “เธอควรจะผ่อนคลายตัวเองบ้าง”   น้ำเสียงที่แทบจะบอกได้ว่าเฉื่อยชาตอบ ก่อนที่ร่างบอบบางจะขยับขึ้นมาบนเตียง วรุตสัมผัสได้ถึงนิ้วมือที่เย็นจัดเพราะการอาบน้ำ เขาหันหน้าไปมองอิทธิเดช พลางใช้มือจับข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้
   “ผมไม่ใช่พ่อนะ คุณไม่ต้องปรนนิบัติผมขนาดนี้หรอก”
   “ไม่พอใจฉันแล้วหรือ?” น้ำเสียงเดิมเอ่ยถาม แต่ครั้งนี้เจือความน้อยใจปะปนอยู่ วรุตมองใบหน้าที่พยายามหลบสายตาด้วยความรู้สึกปวดจี๊ดในหัวใจ เขาน่ะหรือไม่พอใจ เขาพอใจมากด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้ให้อิทธิเดชมาดูแลเพื่อที่จะทำแบบนี้กับเขาเพราะมันเป็นหน้าที่
   “คุณไม่ใช่เครื่องระบายอารมณ์ของผมอีกแล้ว คุณไม่ต้องทำหน้าที่แบบนี้หรอก”
   “ฉันไม่ได้คิดว่ามันเป็นหน้าที่สักหน่อย” เสียงเดิมเอ่ย แต่แผ่วลง วรุตเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหูของอิทธิเดชแดงเรื่อ ก่อนที่เสียงเดิมจะพูดขึ้น “ฉันก็แค่อยากให้เธอมีความสุขบ้าง เธอ...ไม่ชอบใจหรือ?”
   วรุตอ้ำอึ้งไปนาน กว่าจะนึกหาคำตอบได้ “ผมไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมไม่อยากมีอะไรกับคุณแบบฝืนใจอีก ผมรักคุณ ผมก็อยากให้คุณมีอะไรกับผมแบบคนรักกัน”
   “ไม่ได้ฝืนใจสักหน่อย” เสียงเดิมกล่าว พลางช้อนนัยน์ตาขึ้นมองในที่สุด นัยน์ตาฉ่ำน้ำที่ปกติก็หยาดเยิ้มจนแทบจะทำให้คลั่งอยู่แล้ว เวลานี้ยังหยาดเยิ้มกว่าเก่าอีกหลายเท่า ทำเอาหัวใจวรุตแทบหยุดเต้น
   “ฉันต้องทำยังไงถึงจะเหมาะสมเป็นคนรักของเธอ?”
   คำตอบของคำถามนั้น อยู่บนริมฝีปากที่ผู้ถูกถามประกบแนบเข้ากับริมฝีปากแดงฉ่ำ วรุตจูบอิทธิเดชอย่างไม่สงวนท่าทีอีก อารมณ์ความต้องการของเขาถูกปลุกขึ้นมาแทบจะในทันที เขารั้งร่างบอบบางนั้นเข้ามาแนบตัว จูบลงไปอีกอย่างห้ามใจไม่อยู่
อิทธิเดชสะท้านกายเฮือก มือเรียวของเด็กหนุ่มตวัดเกี่ยวผ้าเช็ดตัวที่หุ้มเอวเขาอยู่ออกทันที ก่อนจะตะปบลงไปบนหว่างขาของเขาด้วยน้ำหนักไม่แรงไม่เบา พอสัมผัสความแข็งขืนที่จุดนั้นได้ถนัด จูบนั้นก็ลึกเข้าไปอีก อิทธิเดชครางในลำคอ ก่อนหน้านี้เขาคุ้นชินกับการร่วมรักที่เรียกได้ว่ารุนแรงของวรุต แต่ครั้งนี้ดูจะต่างออกไป แม้อีกฝ่ายจะรุกเขาอย่างดุดัน แต่ยังยั้งอารมณ์เอาไว้ได้บ้าง ทั้งๆ ที่เหมือนจะยั้งเอาไว้ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มกระหายตัวเขามากกว่าเดิม วรุตไล้ปลายจมูกและจูบไปทั่วใบหน้า ขบกัดติ่งหูอย่างกับจะกินเข้าไป อิทธิเดชครางเสียงสั่น สองมือเกาะเกี่ยวแผ่นหลังของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น ความรู้สึกเสียวสะท้านพุ่งวาบไปทั่วทั้งตัว ริมฝีปากเปียกชื่นและปลายนิ้วที่ร้อนผ่าวไล้เล็มไล่ตั้งแต่ซอกคอลงไปจนถึงทรวงอก ขบเน้นจุดอ่อนไหวตรงนั้นจนสาแก่ใจจึงเลื่อนต่ำลงมายังท้องน้อย อิทธิเดชสะดุ้งเฮือก ทันทีที่รู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงหว่างขา เขาแข็งใจผลักศีรษะของวรุตออก
   “มันสกปรก” ร่างบางกล่าวทั้งๆ ที่ยังหอบหายใจสะท้าน เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
   “คุณเพิ่งอาบน้ำ”
   ดวงตาที่มองขึ้นมาฉ่ำเยิ้มอย่างกับลูกสุนัข หนำซ้ำใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยไออารมณ์รัก ทำให้ความรู้สึกของอิทธิเดชพุ่งพล่านมากขึ้น เขาไม่เคยสังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มเวลามีอะไรกับเขาเลย ที่เขารู้สึกคือความเกลียดชังและความรุนแรงเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวรุตจะมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ ร่างผอมบางกลืนน้ำลาย นี่เป็นเรื่องผิดคาดอยู่บ้างที่วรุตทำให้เขาขนาดนี้ แม้จะรู้สึกดีจนเคลิ้ม แต่อิทธิเดชยังไม่ลืมความต้องการของตัวเองในตอนแรก
   “ฉันอยากทำให้เธอด้วย”
   นัยน์ตาของเด็กหนุ่มมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นมา ใช้มือโอบร่างของเขาไว้และจับพลิก อิทธิเดชคว้ามืออย่างตกใจ ที่เขาคว้าได้คือท่อนขาแข็งแรงที่หุ้มด้วยกางเกงนอนของเด็กหนุ่ม และที่อยู่ตรงหน้าเขาคือส่วนแข็งขึงที่ดุนดันเสื้อผ้าจนนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่กำลังงุนงง ความเปียกชื้นในช่องทางด้านหลังก็ทำให้เขาผงะ
   ร่างบางครางเสียงสั่น พยายามถอดกางเกงของอีกฝ่ายออกขณะที่ส่วนกลางลำตัวและด้านหลังของเขาถูกรุกเร้าอย่างไม่เกรงใจ หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง ส่วนใหญ่โตก็อวดยอดสีสวยของมันตรงหน้าเขา อิทธิเดชรู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันที เขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน แม้กระทั่งทวีศักดิ์ ตอนที่มีอะไรกันครั้งนั้นทวีศักดิ์อ่อนโยนกับเขาซึ่งยังไม่ประสีประสาเรื่องราวมากจริงๆ แต่ตอนนี้เขารู้อะไรมากขึ้น และต้องการจะมอบความสุขให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าส่วนอ่อนไหวนี่จะมีขนาดชวนให้สะดุ้ง มิน่าเล่าทุกครั้งถึงได้เจ็บแทบขาดใจ ถึงแม้จะจดจำได้ดีว่าวรุตเคยมอบความทรมานอย่างไรบนร่ายกายของเขาบ้าง แต่ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในความคิดของชายหนุ่มคืออยากจะสัมผัสส่วนตึงแน่นนี้ อยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสุข อยากจะมอบร่างกายให้อีกฝ่ายดูแล อยากให้วรุตได้เป็นเจ้าของสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ
   อยากที่จะกลายเป็นของเด็กคนนี้
   อิทธิเดชแตะริมฝีปากเข้ากับส่วนร้อนผ่าวนั้นแล้วดูดดึงเข้าไปไว้ในปาก พยายามจะใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่ทำไปได้สักพักก็ต้องสะดุ้ง เมื่อช่องทางด้านหลังถูกปลายนิ้วร้อนสอดใส่พร้อมกับดูดดึงส่วนด้านหน้าอย่างดุดัน อย่างกับต้องการจะท้าทายกันอย่างนั้นแหละ อิทธิเดชพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องผละริมฝีปากออกและครางเสียงพร่าอย่างเสียวกระสัน ความต้องการถูกโหมกระพือมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหอบหายใจหนัก พยายามใช้มือนวดคลึงความใหญ่โตนั้นไว้
   วรุตแปลกใจกับการพยายามของอิทธิเดช ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญเรื่องนี้ จึงตั้งใจจะวัดชั้นเชิงกันอย่างเต็มที่ แต่ปรากฏว่าอิทธิเดชไม่ได้ชำนาญการขนาดนั้น ร่างบางหยุดการกระทำไปอย่างรวดเร็วเมื่อถูกเขาเร่งเร้า อย่างกับไม่ได้มีความทนทานกับเรื่องนี้มาก่อน จะว่าไปแล้วตั้งแต่มีอะไรกัน เขาไม่เคยเล้าโลมอิทธิเดชขนาดนี้มาก่อน วรุตจับร่างบอบบางที่หอบกระเส่าอยู่ตรงหว่างขาของตัวเองพลิกกลับมาอีกครั้ง และปรนเปรอจูบร้อนแรงลงบนริมฝีปากที่ยังหอบเหนื่อยอยู่ หลังจากจูบได้สักพัก วรุตก็ขยับขึ้นคร่อม อิทธิเดชรู้สึกถึงส่วนแข็งขืนที่ดุนดันตะโพกอย่างต้องการ ชายหนุ่มร้องครางเสียงสั่น บีบมือลงไปบนแขนของเด็กหนุ่มซึ่งจับเอวของเขาไว้แน่น  ประคองสะโพกกลมกลึงประสานเข้ากับส่วนที่จ่อรออยู่
   ส่วนร้อนผ่าวที่แนบประชิดค่อยๆ สอดเข้ามาในร่าง แค่ครึ่งทางก็ทำเอาคนอยู่ด้านล่างแทบจะหายใจไม่ทัน  อิทธิเดชรู้สึกร่างตัวเองร้อนเร่าราวกับถูกไฟแผดเผา เขาไม่เคยร่วมรักโดยที่รู้สึกมากขนาดนี้มาก่อน หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงอย่างน่าแปลกใจ หลังจากขยับเข้าออกอยู่พักหนึ่ง ส่วนแข็งขืนนั้นก็เข้าไปได้จนสุดความยาว เสียงครางสั่นพร่าอย่างสุขสมดังต่อเนื่องพร้อมกับวงแขนขาวบางที่โอบตะกายร่างอยู่เหนือเอาไว้อย่างกระหายไร้สติ อิทธิเดชเผยอริมฝีปากอิ่มตอบรับริมฝีปากที่บดเบียดเข้ามาอย่างเหมือนไม่รู้จักพอ บทรักดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายหมดเรี่ยวหมดแรง ระหว่างที่กำลังสะลืมสะลือ อิทธิเดชได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
   “ผมรักคุณนะ ผมรักคุณ”
   อิทธิเดชพยักหน้าน้อยๆ แต่กลับอับจนคำพูดจะพูดตอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะมีคำตอบให้อีกฝ่ายได้ชัดเจน ตอนนี้ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกอยากเป็นที่ต้องการ อยากถูกรักสักครั้ง อยากที่จะเป็นที่รัก
   ที่รักของใครสักคนที่เขาจะใช้เวลาร่วมด้วยไปตลอดชีวิต
---------------------------------------
   “มีอะไรหรือครับหม๊า?” ฟ่งพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกที่อยู่ตรงชั้นลอย เขาเห็นเล้งนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ขณะที่ผิงปิดประตูกระจกตามหลัง ผู้เป็นแม่มองหน้าเขาก่อนจะบอกให้ทั้งคู่นั่งลง
   “ฟ่ง...ฟ่งเป็นลูกหม๊า ฟ่งรู้ใช่ไหมว่าหม๊าไม่ชอบคนพูดโกหก”
   ชายหนุ่มพยักหน้า เขารู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกตามตัวลงมาแบบนี้ และคงเป็นเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่เหมือนกัน
   “งั้นฟ่งตอบหม๊าตามตรงนะ เพื่อนฟ่งที่มาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันหรือว่าเป็นอะไรแน่?”
   ฟ่งก้มหน้านิ่งทันที ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ผู้เป็นแม่เปิดโอกาสให้เขาก่อน ท่าทางพี่สาวของเขาจะคุยอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก พยายามจะหาคำพูดที่ดูนุ่มหูที่สุดสำหรับตอบคำถามนี้ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยกระตุ้น
   “ฟ่ง?”
   “ครับ!” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าลำบากใจเต็มที “ผม..เอ่อ...”
   ฟ่งไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย แต่เขายังละล้าละลังอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองที่มีต่อคนข้างห้อง แต่เขาไม่อยากเผชิญสีหน้าผิดหวังของผู้เป็นมารดา เขาควรจะทอดเวลาให้ยืดออกไปดี หรือควรจะเผชิญกับสิ่งที่เขาเลือกเลยดี ริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่น คงต้องกล้าหาญเสียทีจริงๆ
   “ผมกับเขา..เรา...เป็นแฟนกัน” ชายหนุ่มพูดออกไป และก้มหน้านิ่ง สุดท้ายเขาก็ยังไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดี ฟ่งกลัวจะได้เห็นแววตาทุกคนมองเขา ได้แต่ทำใจยอมรับกับโทษทัณฑ์ที่จะตามมาอยู่เงียบๆ ยังไงเขาก็ตัดสินใจไปแล้ว
   “ฟ่ง...เงยหน้ามองหม๊าสิ” เสียงแหบเครือของมารดาทำเอาหัวใจของชายหนุ่มปวดร้าว เขาเคยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาสีดำน้ำตาลที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำใส หยาดน้ำตารินหลั่งออกมาจากดวงตาของผู้ให้กำเนิดชีวิตและเลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ฟ่งรู้สึกตีบตันไปทั้งลำคอ กระทั่งดวงตาก็พร่ามัวไปหมด ได้ยินเสียงแม่พูดอย่างยากลำบาก
   “ฟ่ง...ฟ่งเป็นจริงๆ? ทำไมล่ะฟ่ง บอกหม๊าได้มั้ย?”
   ฟ่งพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้มากที่สุด แต่แล้วมันก็ไหลร่วงออกมาจนได้ ชายหนุ่มกล่าวเสียงสั่น
   “ฟ่ง...ฟ่งไม่รู้เหมือนกัน แต่ฟ่ง...ฟ่งชอบเขา...ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้ชาย หม๊า ฟ่งไม่ได้ชอบผู้ชาย ฟ่งชอบแค่คนนี้”
   “ทำไมล่ะ?” ผู้เป็นมารดากล่าวเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “ทำไมล่ะฟ่ง เขาอาจจะดีกับฟ่ง แต่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ไม่ใช่หรือ? ฟ่งยังชอบผู้หญิงอยู่ใช่ไหม?”
   ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ตอบคำถามออกไป “ฟ่งยังชอบผู้หญิง แต่...ฟ่ง....ฟ่งรักเขาแล้วหม๊า”
   หนุ่มสวมแว่นบีบมือแน่น พลางเม้มริมฝีปากอย่างอับจนหนทาง รูฟัสอยากจะจับมืออีกฝ่ายเพื่อให้กำลังใจ แต่สถานการณ์คงไม่เหมาะจะทำแบบนั้น เขาจึงทำได้แค่นั่งบีบมือไปด้วย และจับตาดูปฏิกิริยาตอบรับของบรรดาพี่น้องของฟ่งซึ่งนั่งร่วมอยู่ภายในห้อง เล้งยังคงนั่งก้มหน้า ไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนผิงก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้จะสำนึกตัวได้ตอนนี้ว่าฟ่งต้องสละอะไรมากแค่ไหนที่จะรักและอยู่ร่วมกับเขา แต่รูฟัสก็ไม่อยากถอยหลังกลับอีกแล้ว เขาหวังว่าครอบครัวของฟ่งจะเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
   “ฟ่ง...ฟ่งแน่ใจตัวเองแล้ว? ฟ่ง.. ฟ่งไม่กลัวหม่าหม๊าเสียใจ?” ผู้เป็นแม่กล่าวเสียงเครือ ก่อนจะร้องไห้ออกมา ผู้เป็นพี่สาวตรงไปประคองมารดาทันที ฟ่งตัวสั่นไปหมด เขาเดินไปหามารดาที่นั่งร้องไห้อยู่กับพี่สาว และโอบกอดเธอเบาๆ ก่อนจะร้องไห้ด้วย
   “ฟ่งขอโทษหม๊า แต่..ฟ่งไม่อยากให้หม๊ามารู้ทีหลัง ฟ่ง...ฟ่งอยากให้หม๊าเข้าใจ”
   ผู้เป็นมารดาขยับตัวมาหาลูกชาย ก่อนจะโอบแขนขึ้นกอดตอบ น้ำตารินหลั่ง
   “ฟ่ง...” เธอเรียกชื่อลูกชายคนแรกที่ผู้เป็นสามีที่ล่วงลับตั้งให้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในระดับของคนที่เป็นแม่เท่านั้นถึงจะเข้าใจ มือกร้านลูบไล้ศีรษะของสายเลือดที่เธอให้กำเนิดมาและเลี้ยงดูส่งเสีย ชายหนุ่มกอดตอบผู้เป็นมารดา หมดปัญญาจะเอ่ยคำพูดอะไรอีก ได้แต่ร้องไห้
   รูฟัสสะเทือนใจกับสิ่งที่เห็น ถึงแม้จะรู้สึกผิดอย่างหนักหนาสาหัส แต่รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด เขาจะรักฟ่งให้ดีที่สุด และไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว
   ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายที่พยายามดึงรั้งความรักครั้งนี้เอาไว้แต่แรก เขาจะดึงรั้งมันเอาไว้จนถึงที่สุด ต่อให้มันจะทรมานใครคนอื่นหรืแม้แต่ตัวเขาเองสักแค่ไหนก็ตาม ขอแค่ฟ่งยังรักเขาอยู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่74 p14 10/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 11-12-2011 10:47:20
   สองแม่ลูกร้องไห้กันอยู่นาน กระทั่งเล้งยังเอามือขึ้นปาดใบหน้า ส่วนผิงนั้นร้องไห้อยู่ก่อนแล้ว หล่อนโอบแม่และน้องชายไว้เบาๆ
   “หม๊ารู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่เจ๊กับเล้งกลับมาวันก่อนแล้ว” ผู้เป็นมารดาสะกดเสียงสะอื้นและพูดต่อทั้งน้ำตา
   “เจ๊ไม่บอกหม๊าว่าทะเลาะอะไรกับฟ่ง เล้งก็ไม่ยอมบอก แต่เล้งกับฟ่งต่อยกัน หม๊าคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ”
   ฟ่งได้แต่พยักหน้า เขาบีบมือของผู้เป็นมารดาแน่น
   “แล้วฟ่งก็มาหาหม๊า พาผู้ชายมาด้วย หม๊านึกเล่นๆ ว่าฟ่งทะเลาะกับเจ๊เรื่องเพื่อนคนนี้รึเปล่า? แต่พอฟังฟ่งเล่าให้หม๊าฟังแล้วเขาก็ดูจะเป็นคนดี ฟ่งยังเล่าเลยว่าเขาเคยไปกินข้าวด้วยกันตอนที่เจ๊แวะไป” เสียงของผู้เป็นมารดาหายไปในลำคอ อีกพักหนึ่งถึงจะพูดต่อได้
   “หม๊ายังนึกเลยว่าฟ่งท่าทางจะชอบเพื่อนคนนี้มาก เพราะหม๊าไม่ค่อยเห็นฟ่งพูดถึงเพื่อนด้วยความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย” เสียงพูดหายไปอีกช่วงหนึ่ง
   “ฟ่งย้ายคอนโดตอนเลิกกับอาดา ทุกคนก็เป็นห่วง เห็นฟ่งดูมีความสุขกับที่อยู่ใหม่ดีแบบนี้ หม๊าก็รู้สึกสบายใจ แต่หม๊ายังสงสัยว่าแล้วฟ่งทะเลาะกับเจ๊เรื่องอะไรกันแน่ หม๊าเลยถามเจ๊ แล้วเจ๊ก็เลยเล่าให้หม๊าฟัง”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง หยดน้ำตาไหลร่วงลงสู่มือของผู้เป็นมารดา เธอดึงตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้
   “ฟ่ง หม๊าไม่พูดหรอกนะว่าหม๊าเข้าใจฟ่ง ฟ่งเป็นลูกชาย ยังไงหม๊าก็อยากเห็นฟ่งพาว่าที่ลูกสะใภ้มาให้ดูมากกว่า” ผู้เป็นแม่พูดและหัวเราะทั้งน้ำตา ฟ่งยิ่งน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเดิม เขากอดแม่ไว้แน่น
   “แต่ฟ่งเป็นลูกหม๊า ต่อให้หม๊าผิดหวังขนาดไหน แต่คนเป็นแม่อยากให้ลูกมีความสุขทั้งนั้นแหละฟ่ง หม๊าก็อยากเห็นฟ่งมีความสุข ในเมื่อฟ่งเป็นแบบนี้ ฟ่งชอบแบบนี้ หม๊าก็คงต้องทำใจใช่ไหม? หม๊าคงต้องทำใจเสียลูกชายไปคนหนึ่ง ถึงมันจะยาก แต่หม๊าก็คงต้องพยายาม ฟ่งจะได้มีความสุข”
   “หม๊า...” ฟ่งเรียกแม่เสียงพร่า ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีก ผู้เป็นมารดาลูบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู
   “ไอ้ตี๋เอ๊ย ไอ้ตี๋ของหม๊า ทำไมขี้แยแบบนี้ เป็นผู้ชายแท้ๆ”
   ฟ่งซบหน้ากับอกของผู้เป็นแม่ ร้องไห้อยู่อีกพักใหญ่ จึงค่อยสงบลง ผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้น รับผ้าจากลูกสาวมาซับน้ำตาบนใบหน้าให้ลูกชาย ฟ่งเม้มปาก ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแม่ ริ้วรอยบนใบหน้าที่ผ่านเรื่องต่างๆ เพื่อเขาและลูกๆ มามากทำให้ฟ่งรู้สึกตื้นในลำคอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาหลับตาและปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงลงมาอีก
   “เล้งเอ๊ย มาหาหม๊าหน่อย ผิงก็ด้วย”
   เล้งลุกขึ้นยืน และเดินไปหาผู้เป็นแม่โดยเหลือบมามองรูฟัสนิดหนึ่ง เดาไม่ออกเลยว่ารู้สึกอย่างไร ไม่รู้ว่ารำคาญหรือว่าหมั่นไส้กันแน่ รูฟัสเดินตามเข้าไปโดยเว้นระยะห่างพอสมควร
   “เฮียฟ่ง เฮียไม่น่าเป็นเกย์เลยรู้มั้ย เฮียน่ะ ทั้งสกปรก ทั้งรก ทั้งมือหนัก คนหน้ามืดเท่านั้นแหละ ถึงจะชอบเฮียลง” เล้งค่อนแคะใส่พี่ชาย ทำให้สามคนพลอยหัวเราะขึ้นมาได้นิดหน่อย ผู้เป็นแม่เรียกให้เขานั่งลง
   “เล้งก็รักฟ่ง เจ๊ก็รักฟ่ง ฟ่งรู้ใช่ไหม?”
   ฟ่งพยักหน้าให้กับมารดา เธอถอนหายใจ
   “ต่อจากนี้เธอสามคนก็ต้องรักกันนะ หม๊ามีลูกแค่สามคน จะเป็นลูกชายหรือลูกสาว หรืออะไร หม๊าก็อยากจะให้รักกันไว้ อย่าทะเลาะกันอีก”
   สามคนพยักหน้า ผู้เป็นแม่กวาดตามองลูกทั้งสามก่อนจะเงยหน้าขึ้น เรียกให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินเข้ามา รูฟัสคุกเข่าลงใกล้ๆ กับที่ที่สามคนนั้นนั่งอยู่ เงยหน้าขึ้นสบตาผู้พูด
   “เธอ...เฮ้อ....” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเสียงยาว มองดูใบหน้าของเขาอีกพักหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอีก
   “เธอจริงจังกับลูกชายฉัน?”
   รูฟัสพยักหน้าหนักแน่น และได้ยินเสียงถอนหายใจอีกครั้ง
   “ฉัน..ควรจะให้เธออยู่ในฐานะอะไรดี ลูกเขยหรือลูกสะใภ้?”
   ชายหนุ่มยิ้มอย่างดีใจ เขาตอบคำถามออกไป “ยังไงก็ได้ครับ ยอมรับผมก็พอ”
   แม่ของฟ่งมองดูเขาอีกพักใหญ่ และทำหน้ายุ่งยาก
   “เธอตัวใหญ่ เป็นลูกสะใภ้ไม่เหมาะแน่”
   หันไปมองดูลูกชายคนโต แล้วก็ถอนหายใจอีก “เป็นลูกเขยก็ไม่เหมาะ เพราะลูกชายฉันเป็นผู้ชาย อืม...”
   รูฟัสยิ้มแห้งๆ ไม่ใช่ว่าแม่ฟ่งจะคิดเปลี่ยนใจเพราะหาที่ยืนให้เขาไม่ได้หรอกนะ อีกพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงระบายลมหายใจ
   “อืม....เธอมาเป็นลูกชายฉันอีกคนแล้วกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ ว่าไง?”
   รูฟัสยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ เขาพยักหน้าอย่างดีใจ
   “ครับ...เอ่อ... คุณแม่?”
   ทั้งสามคนหันมามองเขาทันที ผิงทำหน้าแปลกๆ คล้ายๆ กับฟ่ง ส่วนเล้งพูดออกมา
   “ผมได้พี่ชายเพิ่ม? อืม... คงทนมือทนเท้าเฮียฟ่งมากกว่าผม” เด็กหนุ่มสรุปเองเสร็จ ฟ่งทำหน้าประท้วงว่าตัวเขาไม่ใช่เลวร้ายขนาดนั้น ในขณะที่ผิงหัวเราะโดยที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ ผู้เป็นมารดาเอ่ยต่อ
   “ถ้าไม่รีบกลับ อยู่พักที่นี่สักสองสามวันสิ ฉันอยากรู้จักเธอสักหน่อย ไหนๆ เธอก็จะมาเป็นลูกชายฉันแล้ว”
   รูฟัสตอบรับแทบจะในทันที เขายิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปมองฟ่ง ซึ่งยิ้มตอบกลับมา ผู้เป็นแม่ระบายลมหายใจออกมา เอ่ยปากบอกให้ทั้งสามคนขึ้นไปนอนก่อน
   “หม๊าทำถูกแล้วใช่ไหม?” หล่อนกระซิบเสียงพร่า หลังจากลูกชายทั้งสามออกไปแล้ว ผิงพยักหน้า กอดมารดาของตนเอาไว้
   “ดีแล้วล่ะค่ะหม๊า”
   ผู้เป็นแม่หลับตาลง กอดลูกสาวเอาไว้แน่น
---------------------------------------------
   ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยตัวของทวีศักดิ์ชั่วคราว เนื่องจากเหตุผลว่าเจ้าตัวไม่น่าจะมีพฤติกรรมหลบหนี ประกอบกับที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่เขาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ คือจะต้องอยู่ในสายตาของตำรวจติดตามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นเอง ทวีศักดิ์ได้รับแจ้งข่าวนี้ก่อนหน้าที่จะเจอหน้าลูกชายไม่กี่นาที สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากออกมาจากห้องขังคือตรงเข้าสวมกอดลูกชายเอาไว้แน่น ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาเลยตลอดเวลาเกือบยี่สิบปี
   วรุตกอดตอบผู้เป็นพ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ทวีศักดิ์กอดเขา หัวใจของเด็กหนุ่มเต็มตื้นอย่างประหลาด ราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับความรักจริงๆ จากพ่อบังเกิดเกล้าเป็นครั้งแรก ไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้สองพ่อลูกกอดกันอยู่แบบนั้น จนผู้เป็นลูกเอ่ยขึ้นมาก่อน
   “พ่ออยากกินอะไร ผมจะทำให้กิน ผมทำกับข้าวเก่งนะ”
   ทวีศักดิ์แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาทำได้เพียงแต่พยักหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของเขาเป็นอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง แม้ว่านี่อาจจะสายไปเสียหน่อย แต่คงยังไม่หมดโอกาสที่เขาจะรักลูกชายของเขาอย่างที่คนเป็นพ่อควรจะทำ
   วรุตยิ้มให้พ่อของเขา ก่อนจะพูดต่อ “กลับบ้านกันเถอะพ่อ รับรองผมจะทำของที่พ่อชอบกินให้สุดฝีมือเลย”
-----------------------------------------
   เหตุการณ์ที่ลี่เหลียนยิงตัวตายที่คฤหาสน์ของพี่ชายผ่านมาหลายวันแล้ว เว่ยชิงจัดพิธีศพให้ผู้เป็นน้องชายตามพิธีการปฏิบัติที่สืบต่อกันมาในตระกูล ราวกับการตายนั้นชดใช้ความผิดที่ก่อไว้ในอดีตจนหมดสิ้น เว่ยจินหยินกลับมาทำงานอย่างปกติ และพบว่ามีกองเอกสารมากมายที่กองรอการกลับมาของเขาอยู่ แน่นอนว่าเถียนซานจัดการมันไปบ้างแล้ว แต่หลายอย่างผู้ชายคนนั้นก็ทิ้งเอาไว้ เหมือนมีความหวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมาจัดการเองได้ในสักวัน
เว่ยจินหยินทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และยังต้องเจียดเวลาไปออกกำลังกายเพื่อฟื้นคืนเรี่ยวแรงให้กลับมา ระหว่างนี้เถียนซานแวะมาช่วยเขาโดยตลอด และยังนอนเป็นเพื่อนแทบทุกคืน
   วันนี้เว่ยจินหยินปลีกตัวจากงานเอกสารไปงานศพของผู้เป็นอาในช่วงเย็น บรรยากาศค่อนข้างจะโศกเศร้าและตรึงเครียด นั่นเพราะลี่เหลียนเป็นผู้บริหารของแก๊งคู่แข่งที่มีชื่อว่าริเวิล คนที่มางานศพส่วนใหญ่จึงเป็นคนของทางริเวิล ซึ่งตอนนี้กำลังระส่ำระสายใกล้สลายตัวเต็มที คนของตระกูลเว่ยก็ตื่นตัวเต็มที่ เพราะกลัวพวกนี้จะมาลอบสังหารบุคคลสำคัญในตระกูลที่ทยอยแวะมางานศพ
ตอนเว่ยจินหยินไปถึง บรรยากาศที่ว่านี้ยิ่งขมวดเกลียวของมันมากกว่าเดิม ต่อให้เป็นสมาชิกระดับเรฟยังรู้ ว่าเขานี่แหละเป็นตัวใหญ่ที่ทำให้ริเวิลระส่ำระสาย และเป็นต้นเหตุสำคัญที่บีบให้ลี่เหลียนต้องยิงตัวตาย
   ถึงแม้จะพอเดินเองอย่างไม่เข่าอ่อนกะทันหันได้แล้ว แต่ข้างตัวเขายังต้องอาศัยบอดีการ์ดขนาบข้างจนกระทั่งไปถึงหน้าศพ เว่ยจินหยินจุดธูปในบรรยากาศเงียบกริบ ควันธูปสีขาวลอยละล่อง ในตอนที่เขาปักมันลงไปในกระถาง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองรูปของบุคคลที่นอนอยู่ในโลงไม้สีดำขนาดใหญ่ มันคงเป็นรูปของเว่ยลี่เหลียนในวัยหนุ่ม ใบหน้านั้นละม้ายคล้ายพ่อของเขาอยู่หลายส่วน แต่ก็ดูอ่อนโยนและใจดีกว่า
เว่ยจินหยินไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้ทรยศพี่ชายตัวเองราวกับว่าจงเกลียดจงชังกันมาเนิ่นนาน ไม่มีใครรู้สาเหตุนอกจากพ่อของเขา และดูเว่ยชิงจะไม่อยากพูดถึงสาเหตุนี้ แต่ก็น่าแปลกใจที่ยังอุตส่าห์เก็บรูปถ่ายของน้องชายเอาไว้เป็นอย่างดี อย่างกับคิดเอาไว้แล้วว่าสักวันจะต้องเตรียมงานศพ
   เว่ยจินหยินทำความเคารพศพตามประเพณี ก่อนจะเดินเดินไปหาผู้เป็นพ่อซึ่งนั่งเป็นประธานในงานศพ ได้ยินมาว่าเว่ยชิงนั่งเป็นประธานทุกวัน ราวกับว่าอาลัยในน้องชายที่ตัวเองเกลียดชังหนักหนา เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นพ่อที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำครำที่แปรเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลา เสมือนหนึ่งเรื่องราวต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่า ความเจ็บช้ำรันทดที่ถูกฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัดผ่านดวงตาสีดำคู่นั้น
เว่ยจินหยินตระหนักรู้ทันทีว่าเขาคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกซับซ้อนของผู้เป็นพ่อที่มีกับน้องชายคนนี้ได้ ราวกับทั้งคู่มีเรื่องที่ไม่อาจบอกใคร ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจเงียบๆ และสะท้อนทุกอย่างผ่านดวงตาที่ต่างฝ่ายต่างคงไม่มีโอกาสได้สบกันนานมากแล้ว เว่ยจินหยินเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อเงียบๆ และเอ่ยทัก “สวัสดีครับคุณพ่อ”
เว่ยชิงพยักหน้าเชิงรับรู้ แต่ไม่ได้เหลือบตามามอง ดวงตาสีน้ำครำยังคงทอดยาวไปเบื้องหน้า ก่อนจะถอนหายใจ แล้วกล่าว “นั่งก่อนสิ”
   ลูกน้องคนหนึ่งของเว่ยชิงยกเก้าอี้สีดำมาให้ เว่ยจินหยินนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นพ่อ มองดูมือแห้งกรังที่วางหลวมๆ เอาไว้บนแขนเก้าอี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของ
   พ่อของเก่าแก่ลงไปเยอะมากจริงๆ
   เหมือนริ้วรอยที่หางตาเมื่อไม่กี่วันก่อนยังไม่ยาวและลึกขนาดนี้ ทั้งลำตัวที่ดูห่อลีบลงไปมากกว่าเดิม ไหนจะมุมปากที่ตกมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวพ่อของเขาเหมือนกับถูกการเวลาเร่งเข้าทำร้ายอย่างรวดเร็ว นี่คืออาการสะเทือนใจงั้นหรือ?
   “อาการเธอเป็นยังไงบ้าง?”
   เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เว่ยชิงเอ่ยถามเกี่ยวกับตัวเขา เว่ยจินหยินตอบออกไป “ก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ ผมออกกำลังกายทุกเย็น เลยพอจะมีแรงกลับมาบ้าง”
   ผู้เป็นพ่อพยักหน้า แต่ยังคงไม่หันหน้ากลับมามอง “ลูกคุยกับเสี่ยวเหลียนแล้วใช่ไหม?”
   เว่ยจินหยินเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพ่อของเขาเรียกน้องชายตัวเองว่าอย่างไร น้ำเสียงที่เรียกไม่มีความเกลียดชังเลยสักนิด มีแต่ความอาลัย และความรักแฝงอยู่ ผู้เป็นลูกชายจึงได้แต่พยักหน้า
   “ลูกรักพ่อรึเปล่า?” เว่ยชิงเอ่ยถามต่อ เว่ยจินหยินหันไปมองหน้าพ่อของเขา ก่อนจะพยักหน้าอีกรอบ “ครับ”
   ได้ยินเสียงทอดถอนใจยืดยาว “มาใกล้ๆ สิ”
   ชายหนุ่มลุกขึ้นตามคำสั่ง คุกเข่าลงตรงหน้าพ่อ ยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้นมอง ก็ถูกฝ่ามือแห้งกรังหยุดเอาไว้ และลูบลงบนศีรษะของเขา
   “จินหยิน....” ผู้เป็นพ่อเอ่ยเรียกชื่อเขาแผ่วเบาราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือชื่อเรียกจริงๆ ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งไวลูบลงบนศีรษะของลูกชายด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งสงสาร เห็นใจ เอ็นดู และรัก ซึ่งล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่เขาเพิกเฉยกับลูกชายคนนี้ไปนานแล้ว
   เว่ยจินหยินรู้สึกถึงอาการสั่นจากมือของผู้เป็นพ่อ เขาอยากเงยหน้าขึ้นไป แต่ก็ถูกฝ่ามือนั้นออกแรงกดเอาไว้อย่างห้ามปราม
   “ลูกงานยุ่ง วันหลังไม่ต้องแวะมาหรอก”
   ผู้เป็นลูกยังไม่ทันได้ตอบหรับหรือสั่นศีรษะ ผู้เป็นพ่อก็พูดขึ้นต่อ
   “ตระกูลจำเป็นต้องพึ่งลูก รักษาตัวเอาไว้”
   แม้จะถูกกดศีรษะอยู่ แต่เว่ยจินหยินก็ฝืนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ แว้บเดียวที่เขาได้เห็นความรู้สึกหลายอย่างในดวงตาสีน้ำครำคู่นั้น ก่อนที่เว่ยชิงจะหลับมันลง
   “กลับไปทำงานเถอะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปาก ก่อนจะเรียกคนให้ออกไปส่งโดยไม่ถามความสมัครใจ เว่ยจินหยินจึงจำต้องเดินออกไปทั้งอย่างนั้น
เว่ยชิงมองดูแผ่นหลังของลูกชาย และถอนหายใจยืดยาว
   เขายังมีอะไรหลงเหลือพอให้กล้าสบตาลูกชายคนนี้อีก?
---------------------------------------
   “อาซาน”
   เถียนซานโค้งให้กับเจ้านายใหญ่ และเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีน้ำครำที่มองตรงมา เขาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยในงานศพครั้งใหญ่ที่ดูจะมีแต่บรรยากาศตรึงเครียด การมาเยือนของเว่ยจินหยินทำให้เขาต้องเพิ่มความระวังโดยรอบมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่พบกับอดีตเจ้านาย เว่ยชิงให้คนไปตามตัวเขามาหลังจากนั้น
ผู้เป็นเจ้านายใหญ่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในตำแหน่งประธานของงาน เขาดูทรุดโทรมลงไปมากจริงๆ เถียนซานเห็นเจ้านายคนนี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กอายุสิบกว่าขวบ เว่ยชิงเป็นผู้ชายร่างแม้ไม่ถึงกับกำยำใหญ่โต แต่ก็จัดอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ยามนี้ความแข็งแกร่งนั้นดูจะถูกกาลเวลาและความสะเทือนใจกระชากมันออกไปจากตัวผู้ชายคนนี้จนแทบไม่เหลือให้เห็นเค้า ยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์การยิงตัวตายต่อหน้าต่อตาของลี่เหลียนที่แม้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตแต่ก็เป็นน้องชายแท้ๆ สภาพร่างกายของเว่ยชิงยิ่งดูทรุดโทรมลงไปอีก แม้กระทั่งนัยน์ตาที่เคยสุกใสเต็มไปด้วยความคิดซับซ้อนก็ดูพร่ามัวลงไปถนัด ได้ยิงเสียงเอ่ยถามอย่างแหบพร่า
   “ลูกชายฉัน...จินหยิน เป็นเด็กดีมั้ย?”
   คนถูกถามพยักหน้า เว่ยชิงถามถึงเว่ยจินหยินครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่เหมือนนานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ถามด้วยประโยคที่แฝงความอื้ออาทรแบบนี้
   “อืม...” เว่ยชิงส่งเสียงในลำคอ เงียบไปอีกพักหนึ่งถึงได้กล่าวต่อ “ขอบใจที่ดูแลลูกชายฉัน”
   พูดพลางหยิบเอาห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับผู้เป็นลูกน้อง
   “ฉันฝากเธอเก็บเอาไว้” เขากล่าวและหยิบซองจดหมายสีครีมอีกอันหนึ่งขึ้นมา วางลงไปบนห่อผ้านั้น ก่อนจะพูดสั้นๆ “เธอรู้ว่าควรจะให้มันกับใคร ตอนไหน เก็บไว้ให้ดีล่ะ”
   เถียนซานยื่นมือออกไปรับทั้งห่อผ้าและถุงกระดาษ ทันทีที่สัมผัสโดนฝ่ามือสากหยาบ เขาก็รู้ทันทีว่าของในห่อคืออะไร ผู้เป็นลูกน้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาตื่นตะลึง เว่ยชิงพยักหน้า เหมือนพยายามจะเค้นรอยยิ้มแต่ก็ดูยากเต็มที ในที่สุดจึงตัดสินใจกล่าวต่อทั้งแบบนั้น
   “ขอบใจนะ”
   หนุ่มวัยสี่สิบย่างห้าสิบพยักหน้า พยายามสะกดอาการสั่นในมือขณะประคองถุงผ้านั้นเก็บเอาไว้อย่างดีในกระเป๋าเสื้อด้านหน้า น้ำหนักแม้เบา แต่พอใส่เข้าไปแล้วกลับรู้สึกหนักอึ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับออกไปเงียบๆ
-----------------------------------------------
   เว่ยชิงระบายลมหายใจยาวเหยียด ยิ่งดึกคนยิ่งมาก เสียคุยจ๊อกแจ๊กต่อให้แม้แต่ในงานศพก็ยังพอมีให้ได้ยิน แต่สำหรับตัวเขาแล้ว เหมือนเสียงทุกอย่างเงียบไปนานแล้ว เงียบไปตั้งแต่สิ้นเสียงลั่นไกของผู้เป็นน้องชาย
   มันเป็นบทสรุปสุดท้ายที่เขาไม่เคยคาดถึงมาก่อน
   เวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา เว่ยชิงจินตนาการบทสรุปเอาไว้หลายแบบ กระทั่งการลงมือปลิดชีวิตด้วยตัวเองเขาก็เคยคิด แต่ไม่เคยคาดว่ามันจะจบลงแบบนี้ ลี่เหลียนที่กลับมาหาเขา แล้วก็จากไปแทบในทันที ทิ้งความรู้สึกค้างคาที่เขาไม่เคยอยากรับรู้เอาไว้ อดีตที่จากไปแล้วตลอดกาล
   อดีตที่ทั้งขมขื่นและอ่อนหวาน
   ผู้นำตระกูลเว่ยมองดูโลงศพสีดำอย่างซึมเซา รูปถ่ายหน้าศพเขาเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง รูปถ่ายที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว รูปของน้องชายที่เขาเก็บเอาไว้ในส่วนลึกสุดของลิ้นชักที่รอดออกมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งอดีต ความทรงจำของเขาถูกขุดขึ้นมาเหมือนตะกอนนอนก้นที่ถูกกวนจนขุ่น
   เสี่ยวเหลียน...
   ห้าสิบกว่าปีที่เขาเคียดแค้น ห้าสิบกว่าปีที่เขาชิงชัง ในบางช่วงเวลาเว่ยชิงเคยถามตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาทำพลาดอะไร ทำผิดตรงไหน ทำไมน้องชายคนเดียวที่ดีกับเขามาตลอดกลับทรยศหักหลังอย่างเจ็บแสบ ราวกับสุมความเคียดแค้นต่อเขามาอย่างยาวนาน ตอนนี้คำถามนั้นกลับมาอยู่ในห้วงคำนึงอีกครั้งหนึ่ง กับคำตอบเล็กๆ ที่ผุดขึ้นในหัวสมอง
   รัก...
   บ่วงที่เขาเรียนรู้ที่จะใช้คล้องผู้อื่นมาโดยตลอด รักทำให้คนมีความสุข รักทำให้คนลืมทุกข์ รักทำให้คนอยู่ใต้อำนาจบงการ และบางครั้ง รักก็ทำให้คนเป็นบ้า
   เว่ยชิงหลับนัยน์ตาสีน้ำครำลง ก่อนถอนหายใจยืดยาว
   หากรักแล้วต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ ทำไมถึงยังเลือกที่จะรักอีก หรือเพราะรักเลยเลือกที่จะยอมทุกข์ทรมาน?
   นัยน์ตาสีน้ำครำลืมขึ้นมาอีกครั้ง มองออกไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า
   เสี่ยวเหลียน...
-----------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่75 p14 11/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 11-12-2011 16:21:01
สองตอนรวดเลย  จุใจริงๆ :กอด1:
ตอนที่ 73 เกิดการหมั่นไส้เพิงปิงนิดๆเพราะความรักดูจะแซงหน้าคู่อื่นซะเหลือเกิน :m16:
   ในที่สุดคุณชายรองก็ฟื้น  แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องความรักระหว่างพี่น้องเกิดขึ้นกับคุณพ่อสุดโหด
    สงสารคุณอาที่สุดเลยหละ :o12:
ตอนที่ 74 เหตุการณ์ท่าทางจะไปได้ดีแล้ว  แต่รูฟัสกับเล้งดูเด็กมาก  แต่ก็น่ารักมากๆค่ะ :-[
ตอนที่ 75 น้ำตาแทบท่วมจอ  หลายเรื่องหลายคนแต่ซึ้งได้กับทุกคนจริงๆ :sad4:[/color]
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่75 p14 11/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: lookfa ที่ 11-12-2011 20:00:32
โอ๊ยยยยย เศร้าอ่ะ

 :o12:

แต่ต้องยกนิ้วให้เลย  o13 แต่งได้สุดยอด

อะฮื้อออออออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่75 p14 11/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 11-12-2011 22:35:37
มาแบบหวานปนเศร้า~ดีใจที่วรุตกับอิทธิเดชกำลังไปกันด้วยดี^^ขอบคุณคนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่75 p14 11/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 14-12-2011 22:40:45
อ่านไปน้ำตาคลอไป
ฮือ ดีใจที่แม่ของฟ่งรับรูฟัสได้ กระซิกๆ TT^TT
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่75 p14 11/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 15-12-2011 09:43:59
**ตอนนี้เป็นตอนจบของเรื่องนี้...

แต่... ยังมีต่อนะคะ
-----------------------------------
บทที่76 บทสรุป
   ครอบครัว...
   นี่คือสิ่งที่ครั้งหนึ่งรูฟัสเคยรักมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาพยายามจะลืมเลือนมันไปให้หมดสิ้น ถึงอย่างนั้นในบางเวลา ภาพอดีตอันสวยงามก็ยังตามหลอกหลอนเขา ชายหนุ่มเงยหน้ามองร่างที่เดินอยู่เบื้องหน้า
   ฟ่งไม่ใช่อดีต ฟ่งเป็นปัจจุบันของเขา เป็นคนที่ยังมีชีวิต มีตัวตนอยู่จริงๆ และตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาแล้ว
   ครอบครัว....
   รูฟัสเอื้อมมือออกไปอย่างอดไม่ได้ เขารู้ว่าไม่ควรทำตัวรุ่มร่ามที่นี่ แต่เขาเพียงอยากจะสัมผัสร่างตรงหน้า อยากให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝัน
   “มีอะไรหรือครับ?” ฟ่งหันมาถามอย่างงุนงง จู่ๆ รูฟัสก็ดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ คนถูกถามยิ้มละไม “เปล่า”
   คิ้วสีน้ำตาลขมวดเข้าหากันน้อยๆ แม้จะพูดแบบนั้น แต่รูฟัสยังไม่ยอมปล่อยมือ ฟ่งมองเข้าไปในดวงตาสองสีคู่นั้น ก่อนจะสะท้านในใจ แววตาที่เต็มไปด้วยความรักทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว
   ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมรูฟัสถึงได้รักเขามากขนาดนี้ สิ่งเดียวที่เขาเข้าใจคือ เขาเองก็รักผู้ชายคนนี้ รักผู้ชายคนนี้ที่มีแววตาเปี่ยมรักให้เขา
   รักและไม่อยากจะทอดทิ้งไปอีก
   เหมือนจะมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ รูฟัสคลี่ยิ้มที่อ่อนโยนกว่าเดิม
   ความรักของเขาได้เดินทางมาถึงจุดบรรจบแล้ว

   คืนนั้นรูฟัสนอนในห้องนอนเดิมของฟ่ง ซึ่งเคยใช้ร่วมกับน้องชาย โดยที่น้องชายตัวแสบถูกสั่งให้ย้ายไปนอนห้องพี่สาว ส่วนพี่สาวก็ย้ายไปนอนห้องคุณแม่ ดังนั้นทั้งคู่จึงได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงที่บ้าน ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ทำตัวรุ่มร่ามแต่อย่างใด เขาหอมแก้มฟ่งก่อนนอน และโอบกอดฝ่ายนั้นเอาไว้หลวมๆ แม้ฟ่งจะนอนหันหลังให้เขา แต่รูฟัสรู้ว่าอ้อมกอดของเขาสื่อความรู้สึกถึงอีกฝ่ายได้จริงๆ เพราะฟ่งกอดมือของเขาที่กอดตัวเองเอาไว้อีกทีหนึ่ง ไออุ่นที่ถ่ายทอดมาทำให้ชายหนุ่มอบอุ่นในหัวใจ
   เขาดีใจที่ได้รักผู้ชายคนนี้ และยังคงยืนยันความรู้สึกนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
--------------------------------------------------
   ตลอดชีวิตยี่สิบห้าปีของฟ่ง เขาไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่าจะลงเอยด้านความรักแบบนี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยวาดหวังจะแต่งงานกับอดีตแฟนสาว จะเป็นพ่อที่ดี แต่แล้วเวลาหกปีก็ตอกย้ำให้เขาสำนึกตัวเองว่า เขาคงไม่อาจเป็นอย่างที่หวังได้ อารมณ์ของเขาแปรปรวนเกินไป รุนแรงเกินไป และเอาแน่เอานอนไม่ได้ สุดท้าย เมื่อไม่สามารถแก้นิสัยตัวเองได้สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจบอกเลิกกับผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะรัก รสชาติความขมขื่นนั้นยังคงแจ่มชัดในความทรงจำ  ห้วงเวลาแห่งความขมขื่นนั้นเองที่ผู้ชายที่โอบกอดเขาอยู่ก้าวเข้ามา
   รูฟัส...
   ผู้ชายที่จนถึงบัดนี้เขาเองก็ยังไม่ทราบพื้นเพแน่ชัดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา กลายเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อสำนึกอีกทีเขาก็ไม่อาจตัดขาดจากคนคนนี้ได้แล้ว ไม่ว่ารูฟัสจะเป็นใคร มีอดีตยังไง ฟ่งไม่อยากจะคิดให้มากอีกแล้ว เขารู้เพียงปัจจุบันผู้ชายคนนี้มีความรักให้แก่เขา ความรักที่ยืนยันได้จากการกระทำ
   ฟ่งตัดสินใจจะรักษาความรักนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่านิสัยเสียของเขาจะแก้ให้หายลำบากมากก็ตาม
   เพราะรูฟัสนั้นเป็นมากกว่ารัก รูฟัสคือที่พึ่งทางจิตใจของเขาด้วย
   คนคนเดียวที่ดูจะอดทนกับหัวใจโลเลของเขาได้
   เขาจะทำให้ดีที่สุด เพื่อประคับประคองความรักและความอ่อนโยนนี้เอาไว้
   ให้อยู่ใกล้ๆ เขาตลอดไป
-------------------------------------------------
   ความรักมีอานุภาพยิ่งใหญ่ บางครั้งสามารถชุบชีวิตคนได้ และบางครั้งสามารถคร่าชีวิตคนได้
   หลังงานศพของลี่เหลียน สุขภาพของเว่ยชิงทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าน้องชายที่ตายไปพาเอาวิญญาณของเขาไปด้วย อาการทรุดหนักนี้ไม่ใช่การเสแสร้งอย่างที่เคยทำ ดังนั้นแม้แต่ฟู่ฉินเองที่ไม่เคยคิดจะดูดำดูดีพ่อของตัวเองในก่อนหน้านี้ ยังแวะเวียนมาเยี่ยมอาการแทบทุกวัน ถึงอย่างนั้นเว่ยชิงก็ไม่ดีขึ้น
   การตายของน้องชายที่สุมไฟแค้นเอาไว้ให้เขาเป็นสิบๆ ปี ดูจะทำให้เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของชายชราสิ้นสูญตามไป
   ในวันสุดท้ายแห่งชีวิต ลูกๆ ทุกคนมารวมตัวกัน นั่งอยู่ข้างเตียงของผู้เป็นพ่อ แต่เว่ยชิงเพียงกวาดตาสีน้ำครำมองดูพวกเขา โดยปราศจากคำพูดใด ก่อนจะสั่งให้คนเชิญบรรดาลูกๆ ออกไป
   เสียงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนดังขึ้นหลังจากนั้น
   คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับไปในที่ที่ควรกลับ กลับไปยังที่ที่นั้น
   ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะรอเขาอยู่หรือเปล่า
   เสี่ยวเหลียน....
--------------------------------------------------
   งานศพของเว่ยชิงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่แทบจะพร้อมกับการล่มสลายของริเวิล ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะพอใจกับเรื่องนี้หรือเปล่า หรือบางทีอาจจะไม่สนใจอีกแล้วก็ได้
เว่ยฟู่ฉินซึ่งเป็นบุตรชายคนโตเป็นประธานในงานตามธรรมเนียม ที่นั่งอยู่ข้างๆ คือน้องชายคนรองของเขาที่มีชื่อว่าเว่ยจินหยิน
บรรยากาศในงานถือว่าโศกเศร้า แต่ระหว่างพี่น้องในบรรยากาศคำว่าโศกเศร้าดูจะมีความโล่งใจตามมาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเว่ยชิงเลี้ยงดูลูกตนเองอย่างไร นอกจากบรรดาลูกๆ ของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจเลยที่ทุกคนจะถูกไล่ออกมาในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้เป็นพ่อ เว่ยชิงรู้จักที่จะใช้ความรักของคนอื่นตลอดมา แต่ไม่เคยเลยที่จะทุ่มความรักให้ใครถึงที่สุด แม้แต่บรรดาลูกๆ ของตัวเอง แม้กระทั่งลูกชายคนที่เขารักมากที่สุด
แต่ฟู่ฉินเข้าใจส่วนนี้ของผู้เป็นพ่อดี เว่ยชิงรักเขามากที่สุด เพราะเขาเป็นกำลังหลักในตอนที่ตระกูลระส่ำระสายเพราะการหักหลังของลี่เหลียน เรียกได้ว่าเขาโตมาพร้อมกับการฟื้นฟูตระกูลนั่นแหละ แม้ผู้เป็นพ่อจะไม่เคยพูด แต่เขาเคยอยู่ในช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่เว่ยชิงยังมีเค้าลางแห่งความรักและความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นน้องชาย และเพื่อหนีจากความรู้สึกนั้น เว่ยชิงสุมความแค้นให้กับตนเอง จบแทบจะเป็นความบ้าคลั่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ฟู่ฉินตัดสินใจไม่รับช่วงต่อ เขาทนรับความบ้าคลั่งจากความรักของผู้เป็นพ่อไม่ไหว
“น้องรอง...” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเรียก เว่ยจินหยินเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีดำสนิทเหมือนนิลมองเขาด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดสั้นๆ
“คุณพ่อน่ะ.. น่าสงสารนะ”
เว่ยจินหยินมองดูพี่ชายเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า ความเงียบระหว่างพี่น้องกินเวลาเนิ่นนาน ในขณะที่เสียงรอบๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แม้จะรักษามารยาทไม่ให้ดังมาก แต่บรรดาสมาชิกที่ทยอยมาร่วมงานศพ ต่างอดซุบซิบกันไม่ได้ เนื่องเพราะจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบเลยว่าใครกันแน่ที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป
แม้ฟู่ฉินจะปฏิเสธการรับช่วงไปนานแล้ว แต่เว่ยชิงที่ตายจากไปกลับไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าจะให้ใครรับช่วงต่อ ดังนั้นสิทธิ์ในตำแหน่งสูงสุดยังคงตกเป็นของลูกชายคนโตอยู่ดี ในงานศพของอดีตหัวหน้า บรรดาสมาชิกทุกคนจะต้องเดินทางมาร่วม ดังนั้นงานศพจึงเหมือนงานแต่งตั้งผู้นำคนต่อไปกลายๆ ปัญหาคือตราประจำตระกูลและแหวนตำแหน่งไม่ได้อยู่ในมือและบนนิ้วของฟู่ฉิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งเว่ยฟู่ฉินและเว่ยจินหยินรวมถึงคนอื่นในตระกูลต่างเข้าใจเป็นอย่างดี ภาวะการขาดผู้นำเช่นนี้จะปล่อยให้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ แม้เพียงแค่วันสองวันก็นับว่าแย่มากแล้ว ทั้งแหวนทั้งตราไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในทีที่ควรอยู่ บางทีเว่ยชิงอาจจะฝากมันไว้กับใครสักคน และใครคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาสองพี่น้อง
ความสูงของเถียนซานนั้นเป็นที่สะดุดตาผู้คนอยู่แล้ว และด้วยตำแหน่งของเขา แม้แต่สมาชิกระดับต่ำๆ ยังรู้ว่าควรจะหลีกทางให้กับผู้ชายคนนี้ เถียนซานเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเว่ยฟู่ฉิน ที่มีเว่ยจินหยินนั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีหินน้ำตกยังคงนิ่งสนิทเหมือนเดิม
“กำลังรออยู่เลย” เว่ยฟู่ฉินเอ่ยเสียงเรียบ เขาปรายตามองคนตรงหน้า เถียนซานนั้นถือเป็นกำลังหลักอีกคนหนึ่งในการฟื้นฟูตระกูล เป็นคนเก่าคนแก่ การที่เจ้าตัวเดินเข้ามาโดยไม่ถูกเรียกแบบนี้ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ
ชายวัยสี่สิบเศษผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรไม่พูดอะไร ดวงตาสีหินน้ำตกไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจหวั่นไหวน้อยๆ เมื่อล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ห่อผ้าเล็กๆ กับซองจดหมายน้อยนั้นดูหนักเหลือเกินเมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ชายสองคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขารักมากที่สุด
เถียนซานรู้ดีว่าของในห่อผ้าน้อยนี้คืออะไร และก็รู้ว่าเว่ยชิงต้องการมอบมันให้ใคร เขาต้องหักห้ามความหวั่นไหวเอาไว้อย่างเงียบๆ ขณะส่งถุงผ้านั้นให้กับเว่ยฟู่ฉิน
คนที่สมควรจะได้รับของสิ่งนี้มากที่สุด
แววตาสีดำของเว่ยจินหยินไหววูบ ทันทีที่เห็นอดีตลูกน้องหยิบห่อผ้าน้อยออกมา หัวใจของเขาเต้นถี่ และดูจะสงบลงอย่างน่าประหลาดทันทีที่ห่อผ้านั้นไปอยู่ในมือของพี่ชาย
ใช่ล่ะ... นี่เป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้นแล้ว เว่ยฟู่ฉินเป็นลูกชายคนโต และเว่ยชิงก็ไม่มีคำสั่งแต่งตั้งใครเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้นำคนต่อไปก็ต้องเป็น....
บรรยากาศในงานศพเงียบกริบขึ้นมาทันที หลังจากที่ห่อผ้าแพรห่อเล็กปรากฏโฉมให้เห็น หัวใจของทุกคนเต้นระส่ำ นัยน์ตาเป็นประกายกระหายใคร่รู้ ที่น่าแปลกคือคนที่รับกลับมีสีหน้าและท่าทีเรียบเฉยอย่างน่าตกใจ
เว่ยฟู่ฉินรับห่อแพรและซองจดหมายนั้นมาเงียบๆ ก่อนจะแกะเปิด รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ในซองจดหมายยังมีซองจดหมาย ซองจดหมายที่จ่าหน้าถึงใครคนหนึ่ง
เว่ยจินหยินเงยหน้ามองพี่ชายอย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายยื่นซองจดหมายมาให้เขา ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร ลายมือหวัดที่เขาไม่ค่อยได้เห็นนักบนซองจดหมายก็ช่วยตอบคำถามเอาไว้
ถึง จินหยิน
เว่ยจินหยินเห็นมือของตัวเองสั่นในตอนที่รับซองจดหมายมา ลายมือแบบนี้เป็นของผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไม่ผิดแน่ บรรยากาศในงานยังคงเงียบสนิท เงียบเสียจนเว่ยจินหยินได้ยินเสียงตัวเองฉีกซองจดหมาย กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงออกมา เนื้อหาว่าอย่างไรนั้นคงมีแต่คนอ่านที่ทราบ  มือเรียวของเว่ยจินหยินยังคงสั่นน้อยๆ ในตอนที่พับจดหมายเก็บ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย และเห็นรอยยิ้มเรียบง่าย กับห่อแพรห่อน้อยในมือ
------------------------------------------
   “เรียนคุณท่าน คุณเถียนซานมาแล้วครับ”
   คนฟังพยักหน้า เว่ยจินหยินยังคงสวมเสื้อตัวเดิม สวมแว่นตากรอบทองอันเดิม หวีผมเรียบแปล้เหมือนเดิม ยืนอยู่ในห้องทำงานเดิม อยู่ในตึกสำนักงานเดิม แต่คำเรียกขานตัวเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
   “คุณท่าน” คำเรียกใหม่ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เว่ยจินหยินขมวดคิ้ว เขาหันหน้ากลับมาและพบว่าเถียนซานเปิดประตูเข้ามาแล้ว ชายผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรยังคงดูเหมือนวันวาน รอยแผลเป็นใต้แก้มก็ยังคงชัดอยู่แบบนั้น นัยน์ตาสีหินน้ำตกที่นิ่งสนิทยังไงก็คงยังนิ่งสนิทอยู่แบบนั้น ใบหน้ายังคงดูเป็นการเป็นงานไม่เปลี่ยน เว่ยจินหยินเงียบไปพักหนึ่ง เขามองสำรวจลูกน้องอีกรอบ
   ตอนนี้เถียนซานเป็นลูกน้องเขา เช่นเดียวกับทุกคนในแก๊ง
   ทั้งตราทั้งแหวน เว่ยฟู่ฉินมอบมันให้เขาอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม การที่พี่ชายใหญ่ปฏิเสธการรับช่วง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเขา เว้นเสียแต่เรื่องจดหมาย
   เว่ยจินหยินไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าเว่ยชิงจะเขียนจดหมายถึงเขา
   ข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เรียกความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกออกมาจากจิตใจของเว่ยจินหยิน ชายหนุ่มเคยอยากรู้สึกแบบนี้ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ความรู้สึกนี้กลับเกิดขึ้นตอนผู้เป็นพ่อจากไปแล้ว
   เป็นรสชาติที่ยากจะบรรยายจริงๆ
   “อาซาน..” แม้แต่คำที่เขาใช้เรียกคนอื่นก็ยังคงเป็นคำเก่า เว่ยจินหยินเรียกชื่อลูกน้องและเว้นจังหวะไปเนิ่นนาน “ฉันควรจะทำยังไงต่อ?”
   “ทำอย่างที่คุณต้องการเถอะครับ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง” เถียนซานกล่าวพร้อมกับยิ้ม รอยยิ้มบนใบหน้าที่มั่นคงราวกับแท่งศิลานั้นอบอุ่นเหมือนเก่า ผู้เป็นเจ้านายยิ้มตอบ
   “อาซาน”
   มือสากหยาบเลื่อนเข้ามากุมมือเรียวของเขาไว้แนบแน่น นัยน์ตาสีหินน้ำตกมองมาอย่างอ่อนโยน หนักแน่น และอบอุ่น
   “ผมจะอยู่ข้างคุณตลอดไป”
   เว่ยจินหยินพยักหน้า คลี่ยิ้มบางๆ บีบมือสากหยาบนั้นเบาๆ
-----------------------------------------
   รูฟัสพักอยู่บ้านฟ่งสองวัน ระหว่างนั้นเขาได้เรียนรู้ชีวิตครอบครัวของฟ่งมากขึ้น และรู้สึกถึงครอบครัวอีกมากโข แม้จะยังเข้าหน้ากันไม่ติดนัก แต่ครอบครัวของฟ่งก็พยายามจะทำใจรับความเปลี่ยนแปลงนี้ของลูกชายตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้รูฟัสรู้สึกซาบซึ้งถึงคำว่าความรักในครอบครัวมากเข้าไปอีก จนเกือบจะร้องไห้ในตอนที่บอกลาคนที่เขาเรียกเต็มปากว่า แม่
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้ชายข้างห้องที่มีชื่อเรียกง่ายๆ ว่าฟ่ง จะทำให้หัวใจของเขามีความอ่อนไหวได้มากมายขนาดนี้ รูฟัสมองดูร่างผอมบางที่กำลังสอดคีย์การ์ดเพื่อเปิดห้อง พลางคิดว่าตลอดชีวิตเขาจะรักใครได้มากขนาดนี้อีกไหม ฟ่งผลักประตูห้องเข้าไปก่อนจะหันมายิ้มให้เขา
   อ้อมแขนแกร่งยื่นเข้าไปรวบร่างผอมบางเอาไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง หัวใจของรูฟัสเต็มปรี่ไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าความรัก และแทบจะล้นทะลักเมื่อวงแขนผอมบางกอดตอบเขาแน่น ริมฝีปากของทั้งคู่โน้มเข้าหากันอย่างไม่ต้องใช้แม้สายตาไถ่ถาม จูบแห่งรักกินเวลาเนิ่นนานกระทั่งใบหน้าของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ หยุดหอบหายใจได้ครู่หนึ่ง สองร่างก็บดเบียดริมฝีปากกันอีกรอบ รสจูบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของฟ่งแดงเจ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังจูบกันอีกหลายรอบ จูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับกระหายกันและกันมาเป็นเวลานาน
   ในระหว่างจูบอันต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกันออก ยังไม่พ้นจากประตูห้องมาเท่าไร สองร่างก็แทบจะเปลือยเปล่าแล้ว ร่างกายแข็งแกร่งแนบชิดเข้ากับร่างผอมบางอย่างแทบจะไม่เหลือช่องว่างใดอีก ลมหายใจของทั้งคู่ติดขัด สองแขนโอบรัดซึ่งกันและกัน ริมฝีปากยังคงประกบกันแนบแน่นจนแทบจะกลืนกินกันลงไป
   เสียงหอบหายใจถี่กระเส่า รูฟัสกดฟ่งลงบนเคาน์เตอร์อย่างหักห้ามตัวเองไม่อยู่ เสียงข้าวของหล่นร่วงลงไปบนพื้น แต่ไม่มีใครสนใจ รูฟัสเล้าโลมร่างผอมบางอยู่บนนั้นพักหนึ่ง จนอีกฝ่ายครางเสียงพร่า ทั้งหว่างขาและส่วนหลังเหนอะชื้น จากนั้นจึงสอดใส่ความต้องการของตัวเองเข้ามาในร่างกายซึ่งยังสั่นสะท้าน ต่างฝ่ายตอบสนองอารมณ์ของกันและกันบนเคาน์เตอร์อย่างไม่อาจควบคุม เสียงร้องครางสลับกับเสียงหอบหนัก แผ่นอกหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสั่นสะท้าน ขณะที่ร่างผอมบางระริกร้อนไปกับจังหวะรัก วงแขนสองคู่เกี่ยวกระหวัดกันและกันอย่างโหยหา การสอดประสานเป็นไปอย่างเหือดหิวและเกือบจะเรียกได้ว่ารุนแรง แต่กลับสนองความต้องการของผู้ถูกกระทำในยามนี้ได้อย่างอัศจรรย์
   ฟ่งถึงจุดด้วยอาการสั่นกระตุกอย่างแรงจนแทบจะหมดสติ รูฟัสโอบรัดวงแขนแกร่งรองร่างที่สิ้นเรี่ยวแรงก่อนที่จะฟาดลงกับเคาน์เตอร์ ขณะที่สติยังไม่กลับมาจากห้วงแห่งความสุขดี ร่างผอมบางก็ถูกช้อนขึ้น แรงกระแทกที่ถูกส่งเข้ามาทำให้ฟ่งถึงกับผงะ สองแขนโอบรัดร่างแข็งแกร่งเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ
   รูฟัสอุ้มเขาเดินไปทั้งอย่างนั้น แต่ยังไม่ทันถึงประตูห้องนอน คนถูกอุ้มก็ถูกดันเข้าหาผนังเพื่อสานต่อจังหวะรักอีกรอบอย่างอดรนทนไม่ได้ ฟ่งตะกายฝ่ามือไล่ไปตามผนังห้องเย็นเฉียบอย่างหาที่ยึดเกาะด้วยความเร่าร้อนจนแทบจะลุกไหม้ กว่าที่อีกฝ่ายจะพอใจ เขาก็ไปถึงจุดอีกหนหนึ่งแล้ว
   ฟ่งซบหน้าเข้ากับหัวไหล่กว้างอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงซุกไซ้ไปตามซอกคอและหัวไหล่ของเขา หอบหายใจได้ไม่นาน รูฟัสก็อุ้มเขาขึ้นอีกรอบ คราวนี้ฟูกนุ่มบนเตียงก็ถึงหลังของเขาเสียที ฟ่งครางเสียงพร่า เมื่ออีกฝ่ายสานความต้องการต่อเนื่องอย่างไม่อยากเสียเวลา แว่นตาถูกแรงกระแทกที่ส่งขึ้นมาตามไขสันหลังจนเลื่อนหลุด ร่างบางดึงทึ้งผ้าปูที่นอนด้วยความเสียวกระสัน แอ่นร่างอ่อนเปลี้ยตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายอย่างพยายามจะให้ความร่วมมือเต็มที่
   รูฟัสกระแทกตัวเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมีความต้องการที่อัดแน่นมาเป็นเวลานาน ร่างผอมบางสั่นระริก ทุกๆ จังหวะกระแทกกระทั้น พรากเอาสติสัมปชัญญะให้พร่าเลือนไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นริมฝีปากหนาบดขยี้ลงมาอีกครั้ง ในห้วงลงหายใจที่ไร้จังหวะ ฟ่งได้ยินเสียงกระซิบที่เขาเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว
“Я вас люốлю”
ภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง แต่ในยามนี้เหมือนว่าฟ่งสามารถเข้าใจความหมายในใจของผู้ที่กล่าวมันออกมาได้อย่างชัดเจน
------------------------------------------------------------
   ร่างบางปรือเปลือกตาอย่างอ่อนล้า ราวกับว่าถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจนหมด เขารู้สึกตัวได้เพียงครู่หนึ่งก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด แต่รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ใครบางคนกำลังคลอเคลียพวงแก้มของเขาอยู่
   ฟ่งลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกง่วงงุ่นและตื้อในหัว แน่นอนว่าเขาเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ชัดนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออกเลย ยังไม่ทันจะปรับโฟกัสดี แว่นตาก็ถูกสวมลงมาบนหน้าของเขาอย่างเบามือ รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของผู้ที่นอนเคียงอยู่ปรากฏชัดในคลองจักษุ ฟ่งจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อน ระหว่างที่รูฟัสดึงตัวเขาเข้าไปจูบหน้าผาก ก่อนจะจูบไล้ตามพวงแก้มมาจบที่ริมฝีปาก ร่างบางพอจะนึกออก เหตุการณ์ที่ว่าคล้ายกันนี้คงจะเป็นตอนที่รูฟัสมีอะไรกับเขาครั้งแรกแน่ๆ ตอนนั้นเขาออกปากไล่อีกฝ่ายออกไปทันทีที่รู้สติดี แต่ตอนนี้.......
   ร่างบางตอบสนองจูบนั้นด้วยเรียวลิ้นอ่อนก่อนจะเป็นฝ่ายผละออกมา แม้จะไม่ได้โมโหโกรธาอะไร แต่เขาไม่เหลือแรงพอจะรองรับบทรักของรูฟัสไหวอีกแล้ว ขืนปล่อยให้ทางนั้นมีอารมณ์อีก มีหวังเขาได้ตายคาเตียงจริงๆ แน่
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ เหมือนจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปกับร่างกายอีกฝ่ายบ้าง จึงไม่ดึงดันจะจูบต่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังหอมแก้มเขาอีกหลายหน
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” ร่างแกร่งพูดขึ้นในที่สุด หลังจากสำรวจพวงแก้มอุ่นของผู้ที่นอนเคียงข้างจนพอใจแล้ว ฟ่งได้แต่พยักหน้า เขาหมดแรงขนาดที่แค่จะเค้นคำพูดออกมายังลำบาก เมื่อเห็นใบหน้านิ่วกิ่วของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็เริ่มหน้าเจื่อนลง
   “โกรธหรือครับ?” รูฟัสถามเสียงละห้อย ฟ่งสั่นศีรษะ พยายามสูดอากาศเข้าปอด อ้าปากอยู่หลายครั้ง คำพูดก็ไม่ยอมออกมา นัยน์ตาสองสีมองเขาอย่างเป็นห่วง
   “ผมไปหยิบน้ำมาให้คุณดีกว่า”
   ฟ่งเผลอยกมือดึงแขนอีกฝ่ายไว้อย่างลืมตัว แม้จะไม่ได้ออกเรี่ยวแรงมาก แต่รูฟัสก็หยุดชะงักในทันที เขาหันกลับมาอีกรอบ และคลี่ยิ้มกว้าง ฟ่งไม่แน่ใจว่ารูฟัสรู้สึกอย่างไรในรอยยิ้มนี้ เขาพยายามกลืนน้ำลายอีกหลายครั้ง และสูดหายใจซ้ำอีกหลายรอบ จึงค่อยพูดออกมาได้ คำแรกที่เขาพูดคือ
   “น้ำ....”
   รูฟัสก้มลงจูบปลายจมูกเขาก่อนจะผละออกไป ครู่เดียวก็มาพร้อมแก้วน้ำ ร่างแกร่งประคองร่างที่นอนสิ้นสภาพอยู่บนเตียงขึ้นมาอย่างเบามือ ฟ่งรับแก้วไปและรู้สึกมือสั่นกึกๆ เขากะพริบตาปริบๆ ใจอยากจะหันไปมองค้อนอีกฝ่าย แต่อีกใจก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องควรจะทำในเวลาแบบนี้ ดังนั้นร่างผอมบางจึงก้มลงดื่มน้ำเงียบๆ
   ฟ่งดื่มน้ำและหลับไปอีกตื่นหนึ่ง ลืมตามาคราวนี้สติสัมปชัญญะและร่างกายของเขาแจ่มใสขึ้น พอหรี่ตามองผ่านม่านหน้าต่าง แสงแดดแผดกล้าที่ลอดเข้ามาก็พอจะบอกเขาได้ว่าเป็นเวลาไหนแล้ว ขณะเอื้อมมือไปหยิบแว่น กลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอก็ลอยมาแตะจมูก กระเพาะของฟ่งร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตามองดูนาฬิกาที่วางอยู่ใกล้เตียง ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้น
   รูฟัสยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยนตอนที่เขาเปิดประตูห้องออกมาหลังจากแปรงฟันและอาบน้ำล้างตัวแล้ว
   “ผมขออนุญาตใช้เครื่องครัวคุณหน่อยนะ” ร่างแกร่งพูด ขณะตักข้าวผัดอะไรซักอย่างจากกระทะใส่จานสองใบที่เตรียมเอาไว้ ฟ่งพยักหน้า กลิ่นเจ้านี่เองที่ทำให้ท้องเขาร้องโครกคราก
   ฟ่งนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว และนึกแปลกใจระคนเกรงใจที่พบว่ารูฟัสจัดห้องของเขาไปหลายส่วน ถ้าเป็นปกติเขาคงต้องแหวกโต๊ะเพื่อวางอะไรลงไป แต่ตอนนี้โต๊ะกินข้าวที่ถูกเช็ดจนสะอาดกำลังสะท้อนภาพใบหน้าง่วงซึมหลังแว่นของเขาอย่างชัดเจน
   รูฟัสยกจานข้าวผัดมาวางให้เขาถึงที่และนั่งลงตรงข้าม ฟ่งมองดูชายหนุ่ม ขณะที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน
   “รู้สึกไม่สบายหรือเปล่าครับ?” ร่างสูงถามอย่างเป็นห่วง จนถึงตอนนี้นอกจากคำว่าน้ำ ที่พูดออกมาก่อนจะหลับไปอีกรอบแล้ว ฟ่งยังไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวหรือแสดงท่าทีปฏิเสธแบบที่แล้วๆ มา แต่เป็นแบบนี้รูฟัสก็อดไม่สบายใจไม่ได้ เขายอมรับว่าเมื่อคืนอาจจะทำรุนแรงไปหน่อย แต่ใช่ว่าเขาจะควบคุมตัวเองได้ง่ายๆ ยามอยู่ต่อหน้าคนที่รักแทบเป็นแทบตายแบบนี้
   คนตรงข้ามสั่นศีรษะอีกรอบ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก และพยักหน้ากับตัวเอง
   ฝีมือทำกับข้าวของรูฟัสไม่เลวเลย ถ้าจะให้นับแล้ว นี่คงเป็นเช้าวันแรกสำหรับชีวิตคู่ที่แสนแปลกประหลาดของเขา การตื่นมาแล้วได้ทานอาหารอร่อยๆ แถมยังมีคนคอยดูแลแบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส และยิ้มให้อีกฝ่าย
   “อร่อยดี” เสียงที่พูดออกไปแหบพร่าจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทันที ในขณะที่รูฟัสหน้าแดง ชายหนุ่มหัวเราะเขินๆ อีกครั้ง ไม่ยอมพูดอะไรแต่ไปหยิบแก้วน้ำมาวางให้เขา ฟ่งยกมือขึ้นลูบคอ พอนึกถึงสาเหตุว่าทำไมเสียงของเขาถึงเป็นแบบนี้ ความหงุดหงิดก็พุ่งแวบขึ้นมาให้สมอง ชายหนุ่มเงยหน้า เตรียมจะถลึงตาใส่ให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่พอใจ ทางนั้นก็รีบชิงพูดขึ้นก่อน
   “ผมขอโทษครับ” คำพูดพร้อมกับสีหน้าสำนึกผิดเต็มที่ทำเอาฟ่งต้องเปลี่ยนเป็นกะพริบตาปริบๆ แทน ท้ายที่สุดร่างบางก็ถอนหายใจหนัก มองหน้ารูฟัสอย่างจริงจัง แต่พอคิดจะอ้าปาก ไอ้เสียงแหบๆ ก็พาลทำให้หุบปากลงไปอีก รูฟัสยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน และพูดออกมาราวกับเดาความคิดเขาได้
   “ผมจะไม่ทำรุนแรงขนาดนี้อีกแล้วล่ะ”
   ฟ่งพยักหน้า แม้จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่หากเกิดเรื่องแบบนี้อีกก็ใช่ว่าเขาจะยอมรับไม่ได้ ก็เขาตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนี้แล้วนี่นา ถึงอย่างนั้น...
   “สัญญานะ” ฟ่งเอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า ถึงเขาจะทำใจยอมรับได้ แต่ถ้าโดนแบบนี้บ่อยๆ เขาอาจจะหมดแรงตายคาเตียงจริงๆ ก็ได้ รูฟัสยิ้มให้เขา และโน้มหน้าเข้ามาจูบหน้าผากเขาแทนคำตอบ
   ฟ่งไม่แน่ใจว่ารูฟัสจะรักษาสัญญาจริงๆ หรือเปล่า เขามองดูใบหน้าได้รูปของอีกฝ่ายที่ขยับกลับไปนั่งบนเก้าอี้ มองดูอาหารในจาน ก่อนจะพยักหน้าให้กับตัวเองอีกรอบ
   จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เขาตัดสินใจรักคนข้างห้องคนนี้ไปแล้วนี่นา
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่76 p14 15/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 15-12-2011 22:03:49
^
^
^
จิ้มคนเขียน  ทำไมมันสั้นๆอ่ะ  ลงยังไม่ครบตอนอ่ะเปล่า
ตอนสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย  หวานได้ใจจนเลือดหมดตัวจริงๆ :m25:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่76 p14 15/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-12-2011 05:51:24
^
^
^
จิ้มคนเขียน  ทำไมมันสั้นๆอ่ะ  ลงยังไม่ครบตอนอ่ะเปล่า
ตอนสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย  หวานได้ใจจนเลือดหมดตัวจริงๆ :m25:

ครบค่ะ แต่มันมีตอนต่ออีก เดี๋ยวสายๆ ลงให้นะคะ^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่76 p14 15/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 16-12-2011 06:55:57
ยาวได้ใจจริงๆ เรื่องนี้
แต่ก็มีเนื้อเรื่องให้น่าติดตามอ่า
อ่านได้ไม่เบื่อเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่76 p14 15/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-12-2011 09:22:35
**นั่งอ่านเรื่องStairเพลินๆ เกือบลืมอัพ (แล้วเรื่องอื่นล่ะยะ เขียนหรือยัง!!)

ตอนนี้เป็นตอนต่อ เรียกว่าAfter story นะคะ(แต่ไม่ใช่ตอนพิเศษเน้อ เป็นตอนของเรื่องหลักนี่แหละค่ะ)
----------------------------------------
บทที่77 หมอนข้าง

   รูฟัสเกือบจะพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก เขาได้นอนกอดฟ่งอย่างแนบชิดสนิทใจ และได้ตื่นมาคลอเคลียอย่างที่เคยอยากทำในทุกเช้า อะไรๆ ดูเหมือนจะดีไปหมด ยกเว้นแต่.....
   ฟ่งยังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าน้อยๆ ยามไม่สวมแว่นก็ดูน่ารักไปอีกแบบ เขาใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้มาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว หลังจากวันนั้น รูฟัสไม่ได้ทำอะไรหักโหมกับฟ่งอีกเลย แต่พอมีอะไรกันอีกสองวัน ฟ่งก็เริ่มพูดกับเขาอย่างจริงๆ จังๆ เรื่องการมีเซ็กซ์ ชัดเจนว่าทางนั้นไม่ค่อยรู้สึกพอใจนักหากต้องมีอะไรกับเขาทุกวัน รูฟัสจำต้องทำใจเรื่องข้อเสนอของฟ่งที่ว่าจะยอมให้มีอะไรด้วยแค่สัปดาห์ละสองครั้ง นับแล้วก็ราวๆ สามวันหนนั่นแหละ คงไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ปัญหาคือฟ่งนับย้อนหลังที่เขาทำไปก่อนหน้านี่ด้วยนี่แหละ สรุปแล้วคือหลังจากสามวันแรก รูฟัสยังไม่ได้แนบชิดฟ่งแบบนั้นอีกเลย เอาเถอะ เขาอดทนกับฟ่งมามากแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ ถึงไม่ได้มีอะไรด้วย แค่นอนกอดก็ยังดี
   ฟ่งยังคงหลับอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอ และดวงตาหลับพริ้มดูมีความสุขน่าเอ็นดู แต่รูฟัสกลับต้องกะพริบตาปริบๆ เขานอนกอดฟ่งเฉยๆ มาได้เกือบสัปดาห์แล้ว เรื่องมีอะไรกันสัปดาห์ละสองครั้งและนับย้อนหลังนั่นเขาทนได้ แต่สิ่งที่ดูจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายขึ้นมาคือไอ้หมอนข้างที่ฟ่งนอนกอดอยู่นี่แหละ
   ก็รู้อยู่หรอกว่าฟ่งคงติดหมอนข้าง เพราะเตียงนอนที่นอนแค่คนเดียวแต่มีหมอนข้างอยู่ถึงสามใบ คนปกติธรรมดาที่ไหนเขาจะนอนกับหมอนข้างเยอะขนาดนี้ รูฟัสคิดว่าฟ่งคงเหงาเลยต้องมีอะไรวางไว้ข้างๆ เยอะแยะเวลานอน ตอนนี้มีเขานอนข้างทุกวันก็น่าจะเอาเจ้าพวกหมอนข้างนี่ออกไปได้แล้ว รูฟัสจัดแจงย้ายของพวกนี้ออกจากเตียงของฟ่งในวันที่สอง ด้วยเหตุผลว่ามันเกะกะ แต่สุดท้ายฟ่งก็ไปรื้อมันออกมา โยนกองเอาไว้บนเตียง ด้วยเหตุผลว่า ติดหมอนข้าง แค่ใบเดียวยังพอทำเนา แต่สามใบที่กองเต็มเตียงจนคนนอนข้างแทบไม่มีที่ทำให้รูฟัสอดคิดไม่ได้ว่าฟ่งกลัวเขาจะทำอะไรเลยเอาหมอนข้างมาขวาง หรือว่ารักหมอนข้างมากกว่าเขากันแน่
   นี่ตัวเขาแย่กว่าหมอนข้างอีกรึ?!
   รูฟัสพยายามทำใจกว้าง เอาเถอะ มันก็แค่หมอนข้าง ฟ่งกอดหมอนข้าง เขากอดฟ่งต่ออีกทีก็ได้ แต่เห็นอีกฝ่ายกอดหมอนข้างแน่นไม่ปล่อยแบบนี้ แล้วจะไม่ให้เขาคิดน้อยใจได้อย่างไร
   นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ปรือขึ้นมาอย่างง่วงงุ่น พอปรับโฟกัสได้ก็ยิ้มบางๆ ให้เขาหน่อยหนึ่ง รอยยิ้มแว้บเดียวของฟ่งทำเอารูฟัสลืมเรื่องหมอนข้างไปหมด เขาคว้าร่างผอมบางเข้ามากอด หอมแก้มเบาๆ และจูบอรุณสวัสดิ์อย่างที่ทำอยู่ทุกวัน
   “อืม...” ฟ่งส่งเสียงในคออย่างพอใจ และยิ้มหวานให้เขาอีกรอบ รูฟัสเลยจูบซ้ำลงไปอีก เพียงแต่คราวนี้ไม่ใช่จูบอรุณสวัสดิ์ แต่เป็นจูบที่บ่งบอกเจตนาคนจูบอย่างเห็นได้ชัด เรียวลิ้นที่ฟ่งตอบกลับมาทำให้รูฟัสยิ่งเคลิ้ม เขารั้งร่างบางแนบเข้ามามากขึ้นและเริ่มล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาพบคือหมอนข้างทั้งลูกที่ขวางอยู่ อารมณ์ของรูฟัสพลันกระตุกกึกทันที แทบจะพร้อมๆ กับที่ฟ่งผลักเขาออกเบาๆ
   “ผมไปอาบน้ำดีกว่า” ร่างบางกล่าว ยิ้มให้เขาอีกครั้ง หันไปหยิบแว่นมาสวมและไถลตัวเดินไปยังห้องน้ำ รูฟัสมองดูแผ่นหลังบอบบางที่หายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะหันมามองหมอนข้างสามใบบนเตียง
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ใจ ปกติรูฟัสจะพยายามจะกอดเขานอนให้ได้ทุกคืน ความจริงฟ่งก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากนักหรอก แต่ถ้าจะให้ผู้ชายตัวแข็งๆ นอนกอดไปทุกวันก็ใช่ที่ แถมตัวของรูฟัสเองก็ใช่ว่าจะเล็กๆ เสียเมื่อไหร่ จะให้เขานอนกอดแทนหมอนข้างก็ดูจะให้ความรู้สึกห่างไกลกันลิบลับ กระนั้นสิ่งที่ทำให้ฟ่งต้องขมวดคิ้วใต้แว่นตาหนาคือภาพของรูฟัสที่วันนี้ไม่ได้นอนรอเขาอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกวัน แต่ร่างสูงใหญ่กำลังพยายามนอนกอดหมอนข้างของเขาอยู่ ถ้ากอดเพียงใบเดียวฟ่งคงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก แต่นี่รูฟัสกอดมันอยู่ถึงสามใบ!
   ฟ่งเดินไปที่เตียง ระหว่างที่นั่งลงรูฟัสยิ้มให้เขาหน่อยหนึ่งผ่านกองหมอนข้าง ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะทำยังไงดีกับพฤติกรรมแปลกประหลาดนี้ ในที่สุดเขาก็ปิดไฟหัวเตียงและล้มตัวนอนข้างๆ รูฟัส โดยมีกองหมอนข้างสามลูกขวางอยู่.....
   ฟ่งยอมรับว่าตัวเองติดหมอนข้าง อาจจะขนาดหนัก วันไหนไม่ได้กอดจะถึงขั้นนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นพอรูฟัสย้ายมันออก เขาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องไปรื้อมันออกมาวางกองเอาไว้ ฟ่งรู้สึกว่ากอดหมอนข้างแล้วหลับสบายกว่ากอดผู้ชายที่ทั้งตัวแข็ง ตัวใหญ่ แถมวันดีคืนดีก็ชอบเล่นซนกับร่างกายของเขา แต่วันนี้ดูเหมือนผู้ชายที่ว่าจะคว้าเอาหมอนข้างสุดรักของเขาไปครอบครองไว้จนหมด ทำให้ฟ่งต้องนอนอ้างว้างอยู่บนเตียงอีกข้างหนึ่ง
   ร่างบางได้แต่กะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   ฟ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับรูฟัส จะบอกให้คืนหมอนข้างก็ใช่ที่ ดูเหมือนรูฟัสอยากจะกอดมันมาก เพราะไม่แค่เอามือกอด ยังตะกายขาใหญ่โตขึ้นมาทับไว้อีกด้วย เห็นแบบนี้ก็ทำให้เจ้าของถึงกับพูดอะไรไม่ออก ฟ่งนอนนิ่งๆ จ้องมองกองหมอนข้างตรงหน้า เขาอยากรู้ว่ารูฟัสหลับแล้วหรือยัง และกำลังทำหน้าแบบไหน แต่กองหมอนข้างเจ้ากรรมขวางเอาไว้หมด ปกติระหว่างเกือบสองสัปดาห์มานี้ แม้ฟ่งจะนอนกอดหมอนข้าง แต่เขาก็นอนหันหน้าหารูฟัสทุกคืน เขายอมให้รูฟัสกอด ขอกอดแค่หมอนข้างเอาไว้เท่านั้นเอง ก็ใครบ้ามันจะนอนกอดผู้ชายตัวแข็งๆ ด้วยกันไปได้ตลอดกันล่ะ?
   ร่างบางเผชิญหน้ากับกองหมอนข้างตัวเองอยู่พักใหญ่ พลางคิดไปต่างๆ นาๆ หรือว่ารูฟัสจะโกรธเขา หรือว่าทางนั้นอาจจะติดหมอนข้างเหมือนกัน เพียงแต่อยากจะก่ายกอดเขาไปตามเรื่อง วันดีคืนดีก็นึกเบื่อเลยหันไปกอดหมอนข้างเสียอย่างนั้น ฟ่งนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกวูบขึ้นมาทันที นี่เขาน่าเบื่อขนาดนั้นเลย? จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้มีเสน่ห์อะไรมาก แค่รูฟัสอยากอยู่ด้วยก็แปลกมากแล้ว แต่แค่เกือบสองอาทิตย์รูฟัสก็เบื่อเขาจนหันไปกอดหมอนข้างแทนล่ะหรือ?
   ฟ่งทนนอนเผชิญหน้ากองหมอนข้างไม่ไหวอีก เขาพลิกตัว หันหลังให้ และพยายามข่มตาให้หลับ โดยไร้ซึ่งสิ่งใดในอ้อมกอดเว้นเสียแต่ผ้าห่มเท่านั้น
-----------------------------------------------
   รูฟัสตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ใคร่จะแจ่มใสเท่าไหร่นัก ปกติเขาไม่ใช่คนติดหมอนข้าง อย่างเดียวที่เขาจะนอนกอดเวลาอยู่บนเตียงคือคนเป็นๆ ด้วยกัน และตอนนี้คนที่เขาอยากกอดก็นอนอยู่ข้างๆ แต่เขาดันต้องกอดหมอนข้างเอาไว้ถึงสามใบ ถึงมันจะมีกลิ่นฟ่งติดอยู่ก็เถอะ ใช่ว่าทดแทนกันได้เสียเมื่อไหร่
ที่ชายหนุ่มทนกอดหมอนข้างนิ่งๆ เอาไว้ถึงสามลูกด้วยหวังเพียงว่าฟ่งจะเอ่ยทักเขาแล้วเขาจะได้พูดถึงสาเหตุที่มาของมันเสียที เพราะครั้นจะให้เอ่ยปากเองอาจจะถูกอีกฝ่ายนึกระแวงในใจว่าเขาอยากทำนั่นทำนี่ก็ได้ แต่ดันกลายเป็นว่าฟ่งไม่พูดอะไร และยอมนอนเงียบๆ ไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รูฟัสแทบจะแน่ใจว่าพฤติกรรมที่เขาทำอยู่แปลกจนแม้แต่คนที่ไม่ได้นอนด้วยกันยังควรจะเอ่ยปากถามแท้ๆ
   ถึงจะหงุดหงิด แต่รูฟัสยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงกอดหมอนข้างไว้แน่น เผื่อว่าฟ่งตื่นมาอาจจะมีอารมณ์อยากถามก็ได้
---------------------------------------------
   ฟงตื่นมาด้วยความรู้สึกเหมือนคนนอนผิดที่ และพอหันหลังกลับก็พบว่ารูฟัสกอดกองหมอนข้างเอาไว้ไม่ยอมปล่อยและแทบจะอยู่ในท่าเดิมเป๊ะๆ เจอแบบนี้เขาเลยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องลุกขึ้น เดินไปเข้าห้องน้ำ
---------------------------------------------
   รูฟัสเกือบจะร้องไห้ เขารอให้ฟ่งพูดอะไรซักคำระหว่างที่ต้องทนอยู่กับกองหมอนข้างพวกนั้น ฟ่งหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่และออกมาด้วยสภาพที่เหมือนจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่ฟ่งพูดกับเขาคือ
   “วันนี้เราออกไปหาซื้อหมอนข้างเพิ่มกันไหม?”
   ถ้าความคิดของเขามีเสียงป่านนี้เสียงนั้นคงดังทะลุไปอีกหลายห้อง แต่ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์สู้ทนกอดหมอนข้างมาได้ตั้งหนึ่งคืนแล้ว และฟ่งก็เริ่มมีแก่ใจจะถามแล้ว รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะดำเนินแผนการสู้รบกับหมอนข้างพวกนี้ต่อ
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเกิดมาจะต้องมาทะเลาะกับหมอนข้าง
   “ทำไมหรือครับ?” ชายหนุ่มถามพลางปั้นหน้าสงสัย และแสดงอาการกอดก่ายหมอนข้างเอาไว้อย่างสุดรักสุดหวง ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ อยู่หลายที ถึงจะพูดออกมาได้
   “ก็...ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณติดหมอนข้าง..”
   ความจริงฟ่งไม่ได้อยากออกไปซื้อหมอนข้างใหม่ เขาแค่อยากจะให้รูฟัสพูดว่า อืม ไม่เป็นไรผมแบ่งใช้กับคุณก็ได้ แต่คำตอบของรูฟัสคือการกอดกองหมอนนั้นแน่นเข้าไปอีก แถมถูไถมันอย่างรักใคร่จริงๆ เจอแบบนี้เข้าไปฟ่งถึงกับพูดต่อไม่ออก
   “ผมไม่ได้ติดหมอนข้างหรอกครับ” รูฟัสตอบในที่สุด พอเห็นฟ่งทำหน้าสงสัย เขาจึงฉวยโอกาสพูดต่อทันที
   “ผมเห็นคุณนอนกอดทุกวัน เลยสงสัยว่าหมอนข้างพวกนี้มันมีอะไรดีกันแน่”
   “อ้อ” ฟ่งร้อง พยักหน้าพลางยิ้ม “ผมว่ามันนิ่มดี”
   ถ้าเอาหัวโขกหมอนข้างได้รูฟัสคงทำไปแล้ว ฟ่งให้คำตอบที่ทำให้เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ร่างผอมบางพูดต่อด้วยสีหน้ายินดี
   “ถ้าคุณชอบ เราไปซื้อมาเพิ่มก็ได้” ฟ่งไม่คิดมาก่อนว่ารูฟัสจะติดใจหมอนข้างทีเดียวสามใบ เขายอมยกหมอนข้างพวกนั้นให้รูฟัสก็ได้ แต่เขาจำเป็นต้องมีอะไรซักอย่างกอดในตอนนอน
   รูฟัสคิดว่าเขาอดทนได้ดีมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนวันนี้ความอดทนนั้นดูจะสะบั้นลง เพราะไอ้หมอนข้างสามใบนี้แหละ
   “ผมไม่ได้ชอบหมอนข้าง” สุดท้าย ชายหนุ่มก็ยังต้องสารภาพออกมาก่อน ดูท่าวิธีหว่านล้อมอ้อมค้อมจะใช้กับฟ่งไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะไม่รู้ตัวแล้ว ยังตอกย้ำให้เขารู้สึกว่า ฟ่งเห็นหมอนข้างดีกว่าตัวเขาเป็นไหนๆ คิดถึงตรงนี้รูฟัสอดน้อยอกน้อยใจไม่ได้จริงๆ
   สรุปแล้วคุณค่าของเขายังเทียบกับหมอนข้างไม่ได้หรือนี่?
   “อ้าว..” ฟ่งทำเสียงแปลกใจ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรอีก รูฟัสก็ผุดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งอย่างนั้น บรรยากาศอึมครึมเกิดขึ้นในห้องทันที  ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ มองดูหมอนข้างสามใบบนเตียง
-------------------------------
   ดูเหมือนรูฟัสจะงอนอย่างจริงๆ จังๆ เพราะโดยปกติชายหนุ่มตื่นขึ้นมาแล้ว ต้องกอดจูบเขาก่อนสักพัก ถึงจะยอมลุกไปอาบน้ำทำกับข้าว ไม่ก็วนเวียนหอมแก้มเขาเมื่อมีโอกาส แต่วันนี้พฤติกรรมเหล่านั้นดูจะวับไปเหมือนถูกเช็ด ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบๆ ยังดีที่ยังไม่งอนถึงขนาดไม่ยอมทำกับข้าวให้กิน แต่ไอ้การทนนั่งกินข้าวโดยที่อีกฝ่ายไม่ยอมมองหน้าหรือพูดคุยด้วยทำให้ฟ่งรู้สึกอึดอัด
   เขาไม่เข้าใจว่ารูฟัสงอนเรื่องอะไรกันแน่
   ฟ่งไม่ชอบคนขี้งอน สมัยคบอยู่กับดา ดายังไม่เคยงอนเขานานๆ มาก่อน ในกรณีที่เขารู้สึกว่าผิด ฟ่งจะยอมทนง้อสักครั้งหรือสองครั้ง แต่ในตอนนี้ฟ่งยังนึกไม่ออกสักนิดเดียวว่าเขาผิดตรงไหน ดังนั้นตอนนี้เขาเลยตีสีหน้าปั้นปึงใส่อีกฝ่ายที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากจานอาหาร แต่ขนาดเขาตีหน้าบึ้งอย่างนี้ รูฟัสยังไม่มีแก่ใจจะถามอะไรเขาซักคำ แค่รอยยิ้มปลอบใจบนริมฝีปากก็ดูจะไม่ผุดออกมาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรอจนเขากินข้าวเสร็จก็เก็บจานไปล้างเงียบๆ เรียกได้ว่าเมินเขาเต็มรูปแบบ
   เจอเข้าแบบนี้ หน้าที่บูดบึ้งเป็นปกติของฟ่งยิ่งบูดหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น และเดินออกไปจากห้องทันที
-------------------------------------
   รูฟัสบอกตัวเองว่าเขาควรจะสำนึกได้ก่อนหน้านี้ว่าฟ่งเป็นคนที่ไม่ควรจะงอนใส่ เพราะนอกจากเจ้าตัวจะไม่ยอมง้อเขาแล้ว ยังทำประชดใส่อย่างไม่เกรงใจอีกด้วย แต่กระนั้นดูจะสายไปสักหน่อย เมื่อฟ่งกลับเข้ามาพร้อมกับหมอนข้างที่เพิ่งซื้อมาใหม่อีกสามใบ!
   ตอนนี้บนเตียงเลยมีหมอนข้างหกใบ อย่าว่าแต่นอนสองคน แค่คนเดียวยังหาที่นอนลำบาก ผ่านไปยังไม่ถึงสองอาทิตย์ แค่หมอนข้างอย่างเดียวก็ดูจะทำให้ชีวิตคู่ของเขามีปัญหาเสียแล้ว
   คืนนั้นฟ่งหนีไปนอนท่ามกลางกองหมอนข้าง ทอดทิ้งให้รูฟัสต้องอพยพไปนอนบนโซฟาคนเดียว
---------------------------------------
   ฟ่งชอบนอนกลางกองหมอนก็จริง แต่เขายังไม่เคยนอนท่ามกลางหมอนข้างถึงหกใบ เรียกได้ว่าพลิกตัวไปทางไหนก็มีที่ทางให้ขยับน้อยมากเหลือเกิน ชายหนุ่มชักเริ่มคิดว่าเขาทำตัวงี่เง่าแบบนี้ไปเพื่ออะไร ฟ่งโยนหมอนข้างทิ้งไปสองสามลูก และพบว่านอกจากหมอนข้างแล้ว บนเตียงไม่มีใครอีก รูฟัสคงจะออกไปนอนด้านนอก ถึงตอนนี้ฟ่งเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
   รูฟัสคงงอนเขาเรื่องหมอนข้างแน่ๆ
   ถึงเขาจะไม่อยากกอดผู้ชายตัวแข็งๆ นอน แต่เกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา รูฟัสกอดเขามาโดยตลอด จากที่นอนไม่ค่อยหลับในวันแรกๆ ก็กลายเป็นความเคยชิน พอไม่มีอ้อมกอดนั้น ก็เหมือนขาดอะไรไปซักอย่าง ฟ่งมองดูเหล่าหมอนข้าง
   นี่เขาจะต้องเลือกแล้วล่ะรึ? ระหว่างหมอนข้าง กับรูฟัส
-------------------------------------------
   รูฟัสเป็นคนไม่เคยคิดมากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยนึกน้อยใจ และไม่เคยงอนใคร แต่เหมือนทุกอย่างที่เขาไม่เคยเป็น กลับกลายมาเป็นตัวเขาทั้งหมดในตอนนี้ ชายหนุ่มพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก มันก็แค่หมอนข้าง ฟ่งก็แค่..แค่ชอบกอดหมอนข้าง เอาเถอะ คนเราคงมีความชอบต่างกัน เขาคงผิดเองที่คิดมากแล้วงอนใส่ฟ่งแบบนั้น คิดแล้วก็น่าอนาถตัวเอง กับอีแค่เรื่องหมอนข้างเขาก็เก็บมาคิดมากขนาดนี้ รูฟัสไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลยจริงๆ เขาคงต้องพยายามทำใจกว้าง มันก็แค่หมอนข้างหกใบ ไม่ใช่ชายชู้หกคนเสียหน่อย
   ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น นี่เขาเอาเรื่องหมอนข้างไปโยงกับเรื่องชายชู้ได้ยังไง ถ้าจะคิดหาเรื่องปลอบใจตัวเองก็ควรจะคิดเรื่องที่ดีกว่านี้สิ ในที่สุดหลังจากตรวจพบว่ายิ่งคิดคงยิ่งจะเพ้อเจ้อจนไม่เป็นอันหลับอันนอน รูฟัสก็ตัดสินใจเลิกคิดทุกอย่าง หลับตาลงเสีย เอาไว้ตื่นมาพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
   มันก็แค่หมอนข้างหกใบเท่านั้นล่ะน่ะ...
---------------------------------------------------
   ฟ่งแง้มประตูห้องนอนออกมา แม้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่ชายหนุ่มสวมแว่นเรียบร้อย เขาทนนอนท่ามกลางกองหมอนข้างโดยไม่มีไออุ่นของผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นไม่ไหวจริงๆ แต่ครั้นจะออกไปง้อก็ไม่รู้ว่าควรจะง้อแบบไหน ปกติเขาไม่ใช่คนที่ง้อใครเป็นเสียด้วย เพียงแต่คราวนี้เกิดรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาเท่านั้นเอง รูฟัสนอนทอดร่างอยู่บนโซฟา พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะหลับไปแล้ว ฟ่งก็ยิ่งรู้สึกละล้าละลังหนักเข้าไปอีก เขายังหวังว่ารูฟัสอาจจะตื่นอยู่ และพอเห็นเขาโผล่หน้าออกมาจะยอมเดินเข้ามาหา ดันกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นหลับไปแล้ว หลับไปบนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ทั้งๆ ที่เขานอนไม่หลับเนี่ยนะ
   อารมณ์อยากง้อของฟ่งพลันกลายเป็นอารมณ์ขุ่นเคืองอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะปิดประตูห้อง ร่างสูงใหญ่ก็ขยับตัว เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกเบาๆ
   “ฟ่ง?”
   ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นพลันสลายหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฟ่งแง้มประตูค้างเอาไว้  ขณะที่รูฟัสยันตัวลุกขึ้น สองคนจ้องตากันในความเงียบพักใหญ่ ท้ายที่สุดฟ่งก็เปิดประตูกว้างขึ้น ขณะที่รูฟัสเดินเข้ามาหา ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของอีกฝ่าย ฟ่งก็ยื่นแขนออกไปโดยไม่รู้ตัว
   รู้แล้วว่าควรจะเลือกอะไรดี
------------------------------------------
   รูฟัสตื่นเช้าขึ้นมาท่ามกลางกองหมอนข้าง แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดกับพวกมันอีกต่อไป เพราะในอ้อมกอดเขามีเจ้าของหมอนข้างพวกนี้อยู่ เมื่อคืนฟ่งกอดเขาแน่น ราวกับคิดว่าเขาเป็นหมอนข้างไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่นึกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในใจ
   ในที่สุดเขาเอาชนะใจฟ่งไปได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
--------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-12-2011 09:56:28
ชายชู้คือหมอนข้าง :z1:

แต่ตอนหลังก็เข้าใจกัน  :mc4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 16-12-2011 18:57:29
อืม  อ่านตอนนี้แล้วนิยามไม่ถูกจริง
รู้สึกแค่ว่า  ทำไมพวกแกติ๊งต๋องแบบนี้ :angry2:  ศึกแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างหมอนข้างกับคนรึไง :z3:
ถึงมันจะดูน่ารักดี แต่มันก็ดูประหลาดๆหละนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-12-2011 19:24:27
อืม  อ่านตอนนี้แล้วนิยามไม่ถูกจริง
รู้สึกแค่ว่า  ทำไมพวกแกติ๊งต๋องแบบนี้ :angry2:  ศึกแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างหมอนข้างกับคนรึไง :z3:
ถึงมันจะดูน่ารักดี แต่มันก็ดูประหลาดๆหละนะ

รูฟัสยังมีฉากติงต๊องกว่านี้อีกเยอะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (หัวเราะสะใจ... ที่จริงแล้วตอนafterเป็นตอนทำลายมาดพระเอกต่างหากล่ะ!!!)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Anonymus ที่ 16-12-2011 19:53:38
ชีวิตคู่...คือการปรับตัวเข้าหากัน  มองผิวเผินกะอีแค่หมอนข้าง จะอะไรกันนักหนา
เหมือนที่สามีภรรยา หลายๆคู่มีปัญหา กะอีแค่เข้าห้องน้ำไม่ยกฝาชักโครก  กะอีแค่บีบยาสีฟันกลางหลอด กะอีแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งเรี่ยราดไม่ใส่ตะกร้า ฯลฯ   
ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้  ถ้าไม่คุยกันให้เคลียร์ สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่อง “แค่หมอนข้าง” นี่แหละ 
ดีแล้วที่ต่างคนต่างลดทิฐิ เพราะมีเจ้านี้เมื่อไหร่ ชีวิตคู่ก็หายนะ เมื่อนั้น ...
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-12-2011 19:56:15
ชีวิตคู่...คือการปรับตัวเข้าหากัน  มองผิวเผินกะอีแค่หมอนข้าง จะอะไรกันนักหนา
เหมือนที่สามีภรรยา หลายๆคู่มีปัญหา กะอีแค่เข้าห้องน้ำไม่ยกฝาชักโครก  กะอีแค่บีบยาสีฟันกลางหลอด กะอีแค่ถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งเรี่ยราดไม่ใส่ตะกร้า ฯลฯ   
ปัญหาเล็กๆน้อยๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้  ถ้าไม่คุยกันให้เคลียร์ สุดท้ายก็ต้องทะเลาะกันด้วยเรื่อง “แค่หมอนข้าง” นี่แหละ 
ดีแล้วที่ต่างคนต่างลดทิฐิ เพราะมีเจ้านี้เมื่อไหร่ ชีวิตคู่ก็หายนะ เมื่อนั้น ...


จริงค่ะ นี่เรื่องจริงนะคะเนี่ย (ไม่ประสบกับตัวไม่รู้เลยทีเดียว)

ปล.ถอดเสื้อผ้าเรี่ยราดรับไม่ได้จริงๆ บ้านไม่กวาดก็รับไม่ได้ กับข้าวไม่ทำก็รับไม่ได้ (เอ๊ะ เราอยู่ฝ่ายไหนหว่า?!!)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Pizeiro ที่ 16-12-2011 19:57:16
ยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุดเลย

อ่านข้ามวันข้ามคืนจนตาแฉะเลยแฮะเรื่องนี้ =.,=
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jelatin99 ที่ 16-12-2011 19:57:37
หมอนข้างคือมารชีวิตคู่(!?)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 16-12-2011 20:47:33
โถ่ๆๆๆ น่าสงสารหมอนข้างเนอะ ดูจิ มาให้เค้ากอดมะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 29-12-2011 22:33:37
แบบว่า......นานแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่77 p15 16/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-12-2011 10:09:57
**ลืมอัพค่ะ (ชัดเจน<<พอดีไม่มีกระทู้ขึ้น ถึงกับลืมเลยจริงๆ ฮ่ะๆ)

-------------------------------------------------
บทที่78 เข้าครัว

   กลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยลอยมายั่วน้ำลายแต่เช้า ฟ่งปรือตาอย่างง่วงงุ่นแต่ก็ยอมลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟันหลังจากได้กลิ่นดังกล่าว รูฟัสตื่นเช้าเสมอ หลังจากคลอเคลียกับเขาจนพอใจแล้วเจ้าตัวมักจะลุกขึ้นมาทำอาหารเตรียมไว้ให้ ระหว่างที่เขายังต้องพักฟื้นร่างกายต่ออีกหน่อยหลังจากผ่านบทรักหนักหน่วงมาแทบทั้งคืน
   สุดท้ายนอกจากฟ่งจะยอมเอาหมอนข้างทั้งหกใบไปเก็บในตู้แล้ว เขายังยอมให้รูฟัสมีอะไรตามความพอใจของเจ้าตัวอีกด้วย
   ก็พอไม่มีอะไรขวางแล้ว รูฟัสยอมนอนกอดเขาเฉยๆ เสียที่ไหน ยังโชคดีที่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการแทบทุกคืน ไม่อย่างนั้นฟ่งคงได้ตายคาเตียงสักวันแน่ๆ เวลารูฟัสเริ่มต้นทำอะไรแบบนั้นใช่ว่าเขาจะปฏิเสธได้เสียเมื่อไหร่ พอทำแล้วก็ใช่ว่าจะหยุดได้ง่ายๆ อีกด้วย ดูเหมือนเจ้าตัวจะชดเชยเรื่องดังกล่าวด้วยการเตรียมอาหาร เก็บกวาดห้อง จัดข้าวของที่วางระเกะระกะให้เข้าที่ ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้ภรรยาที่เพียบพร้อมมาคนหนึ่ง
   หนุ่มสวมแว่นเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวครึ่งตัว เขาหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงที่อาศัยอยู่ร่วมกันซึ่งกำลังคลี่ยิ้มพิมพ์ใจให้เขาในขณะที่มือถือกระทะและตะหลิวอยู่
   “อรุณสวัสดิ์ครับ” รูฟัสเอ่ยคำนี้ขึ้นเป็นรอบที่สอง เขาเอ่ยมันแล้วในตอนเช้ายามที่ฟ่งปรือตาขึ้นมาพร้อมกับจูบรับอรุณ รูฟัสทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันแม้แต่ในวันที่ไม่ได้มีอะไรกัน จนฟ่งรู้สึกเคยชินเสียแล้ว วันไหนไม่ได้ยินหรือไม่ได้เห็นและสัมผัสริมฝีปากและรอยยิ้มแบบนี้ เขาคงคิดว่าตัวเองยังไม่ตื่น
   กลิ่นหอมของอาหารในกระทะช่างยั่วยวนชวนให้นึกอยากชิมขึ้นมาทันใด ฟ่งจึงเดินเข้าไปหารูฟัสทั้งๆ ที่ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่อย่างนั้น และชะโงกหน้าไปดูว่าในกระทะมีอะไรอยู่กันแน่ รูฟัสก้มลงหอมแก้มเขาทีหนึ่ง
   “คุณชอบแบบดิบหรือแบบสุก หรือกึ่งดิบกึ่งสุกครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขากำลังทอดสเต๊กอยู่ ฟ่งเหมือนจะเห็นแล้วว่ารูฟัสหมักเนื้อพวกนี้เอาไว้เมื่อคืนวาน กลิ่นหอมของมันทำให้ร่างบางน้ำลายสอ เขาเกยคางเข้ากับหัวไหล่กว้าง ก่อนจะสูดหายใจเฮือก
   “เอาแบบสุกดีกว่า หอมจัง”
   รูฟัสพยักหน้า ก่อนจะหันมาจูบพวงแก้มบนใบหน้าที่วางเกยอยู่ ก่อนจะเลยไปเคล้าริมฝีปากอ่อนอย่างรักใคร่ ขณะที่สองมือยังทำอาหารอยู่นั่นแหละ ฟ่งกลัวว่าเขาจะได้กินสเต๊กแบบไหม้ แทนที่จะแค่สุก ร่างบางจึงรีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายหน้าแดงเมื่อเห็นรูฟัสยิ้มกริ่มพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
   พอเปลี่ยนเสื้อออกมา ฟ่งก็พบว่ารูฟัสจัดจานสเต๊กเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมของมันทำให้ฟ่งอดอมยิ้มไม่ได้ และพอแตะลิ้น รสชาตินุ่มละมุนก็ซึมซาบเข้าสู่ประสาทรับรสทันที รูฟัสเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมากจริงๆ ฟ่งกลืนลงไปคำหนึ่งก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามคนนั่งตรงหน้า
   “อร่อยจัง คุณเคยเป็นพ่อครัวมาก่อนหรือ?”
   คนถูกถามกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ ก่อนจะตอบ “ก็..ทำนองนั้นแหละครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยต้องปลอมเป็นพ่อครัว”
   “อ้อ...” ฟ่งร้องเสียงยาว เขาย้อนนึกถึงอาชีพของรูฟัสทันที นั่นสินะ รูฟัสทำงานเป็นสายลับนี่ คงจะเคยผ่านอะไรมาเยอะแน่ๆ ฟ่งยังจำได้ถึงตอนที่รูฟัสคุยเรื่องเล่นหุ้นกับพี่สาวของเขาราวกับเป็นมืออาชีพ ร่างบางเงยหน้ามองคนตรงหน้าอีกครั้ง พลางคิดว่าถ้ารูฟัสอยากจะหลอกเขา เขาคงจะไม่รู้ตัวหรอก
   “ทำเป็นหลายอย่างจัง คุณใช้เวลาเรียนเรื่องพวกนี้นานรึเปล่า?” ฟ่งถาม แม้จะรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆ แต่ก็พอแน่ใจว่ารูฟัสคงจะไม่ได้หลอกเขาอยู่แน่นอน ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ
   “ก็แล้วแต่บางอย่างน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็สักสองสามเดือน อย่างภาษาไทยผมก็เรียนแค่สามเดือนเอง”
   “โห...” คนถามทำตาโต รูฟัสมองดูใบหน้าของฟ่งแล้วต้องยิ้มออกมาอีกรอบ มองยังไงฟ่งก็น่ารักไม่เปลี่ยน ยิ่งทำตาโตมองเขาแบบนี้ ยิ่งดูน่ารักจนอยากจับมากอดเอาไว้แน่นๆ
   “แค่สามเดือนคุณพูดได้ขนาดนี้ผมว่าเก่งมากเลยนะ แม่คุณเป็นคนไทยจริงหรือ?”
   “อืม..อันนี้ผมยืนยันแน่นอนเลยล่ะ” รูฟัสพูดอย่างแข็งขัน ฟ่งพยักหน้า จิ้มสเต๊กเข้าปากอีกรอบ รูฟัสมักจะออกไปจ่ายตลาดในตอนเช้า ในตอนที่เขายังหลับอยู่ ฟ่งกินไปพลางมองหน้ารูฟัสไปพลาง ในที่สุดก็พูดขึ้นอีก
   “รูฟัส เย็นนี้ไปซื้อของกันเถอะ ผมทำอาหารให้คุณกินบ้างดีกว่า”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอย่างไม่เชื่อหู “เอาจริงหรือครับ?”
   คนถูกถามพยักหน้า “ผมอยากทำอาหารไทยให้คุณกินบ้าง คุณทำเป็นแต่อาหารฝรั่งไม่ใช่หรือ?”
   รูฟัสพยักหน้ายอมรับ ก็เขาเคยเป็นพ่อครัวในฝรั่งเศส ไม่ใช่เมืองไทยนี่นา
----------------------------------
   เย็นวันนั้นฟ่งออกไปจ่ายตลาด รูฟัสได้เห็นเครื่องปรุงแปลกๆ หลายๆ อย่าง ฟ่งบอกเขาว่าจะทำแกงส้มให้กิน จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่เมืองไทย รูฟัสยังไม่ได้ทดลองกินอาหารประจำชาติอย่างจริงๆ จังๆ เลย ที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ่งนึกจะทำอาหารให้เขา
   แค่คิดก็ดีใจจนแทบจะหุบยิ้มไม่ลงแล้ว
   ฟ่งกลับมาถึงห้องและลงมือทำครัวด้วยโทรศัพท์ รูฟัสคิดว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด ฟ่งทำครัวด้วยโทรศัพท์จริงๆ ตอนออกไปจ่ายตลาดเขาก็ต้องถือโทรศัพท์ติดตัวเอาไว้ เพื่อโทรถามพี่สาวว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง และพอมาถึงห้องก็ถามวิธีการทำต่อ
   เอาเถอะ พี่สาวกับแม่ของฟ่งเป็นคนทำอาหารเก่ง ลูกชายก็คงได้เชื้อมาบ้างแหละ
   ฟ่งทำครัวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ อย่างที่สุด เหมือนคนไม่เคยเข้าครัวเลย จะจับมีดทีนึงก็ดูหวาดเสียวน่ากลัวจนรูฟัสต้องออกปากช่วย แต่ฟ่งยืนกรานจะทำเองทั้งหมด ตอนนี้เขาเลยได้แต่นั่งดูฟ่งปอกหอมแดงไปน้ำตาไหลไป
   จะว่าไปแบบนี้ก็ดูเพลิดเพลินบวกตื่นเต้นดีเหมือนกัน
   หลังจากฝ่าวิกฤติเครื่องแกงมาได้อย่างทุลักทุเล ฟ่งยังต้องมาเผชิญกับวิกฤติปลาสดต่อ เขาเพิ่งพบว่าร้านไม่ได้ดึงเครื่องในออกให้ หลังจากหน้ามืดหน้ามึนอยู่กับปลาได้พักหนึ่ง ฟ่งก็ต้องยอมให้รูฟัสเข้ามาช่วย ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้กินอะไรแน่ๆ พอมีรูฟัสเข้ามา อะไรๆ ก็เหมือนจะเร็วขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงดูจะคล่องแคล่วไปเสียทุกอย่าง แค่บอกให้ทำอะไรทางนั้นก็จะทำเตรียมเอาไว้ให้อย่างรวดเร็ว จนฟ่งนึกสงสัยว่าใครกันแน่ที่ทำอาหารมื้อนี้
   กว่าแกงส้มจะเสร็จก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง ไม่รู้ว่ารูฟัสหิวแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ท้องของฟ่งร้องโครกคราก ร่ำๆ จะกินหม้อกินจานลงไปให้รู้แล้วรู้รอด ร่างผอมบางล้างมือ และระลึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลืมหุงข้าว ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอกรูฟัสว่าต้องลงไปซื้อข้าวเปล่า สายตาก็เหลือบไปเห็นหม้อหุงข้าวที่บ่งบอกสถานะว่าสุกแล้ว รูฟัสหันมายิ้มให้เขา
   “ผมหุงข้าวไว้ให้แล้วล่ะ”
   ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาหันมองรูฟัส โดยไม่รอให้ถาม หนุ่มตาสองสีพูดต่อ
   “ผมเคยหุงนะครับ สมัยที่ไปเรียนภาษา”
   “อ้อ” ฟ่งส่งเสียงและพยักหน้ารับรู้ รูฟัสจัดแจงยกหม้อข้าวไปไว้ที่โต๊ะ ฟ่งเลยหันไปตักแกงส้มใส่ถ้วยและนำไปวางคู่กัน
   แม้ท่าทางจะทุลักทุเลจนไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือจะกินได้หรือเปล่า แต่รสชาดของแกงส้มก็ดูจะไม่เลวนัก อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้คนทำแปลกใจ
   “อืม... พอกินได้เหมือนกันนะเนี่ย” ฟ่งว่าหลังจากตักแกงมาใส่ในจานข้าว รูฟัสมองดูร่างผอมตรงหน้าแล้วยิ้มไม่หุบ
   ฟ่งอุตส่าห์ทำอาหารให้ แบบนี้เขาต้องกินให้หมด
   “มันเผ็ดนะ!” ฟ่งเอ่ยเตือน เมื่อเห็นคนนั่งตรงข้ามตักแกงส้มใส่จานช้อนใหญ่ แต่ดูเหมือนจะสายไปหน่อย รูฟัสตักแกงส้มเข้าปาก ความเผ็ดร้อนพุ่งปรี๊ดขึ้นแทบจะในทันที
   ไม่ใช่ว่าไม่เคยกินอาหารไทยมาก่อน แต่อาหารเผ็ดแบบนี้รูฟัสเพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรก
   ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าอาหารที่ใส่พริกเยอะๆ ในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติแบบเขาควรหลีกเลี่ยง และเขาก็เห็นอยู่ว่าฟ่งใส่พริกลงไปในเครื่องแกงหลายดอก แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเผ็ดขนาดนี้
   “รูฟัส ถ้าเผ็ดมากไม่ต้องกินก็ได้นะ” ฟ่งพูดอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย อาการเผ็ดทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงจัด กระนั้นก็ยังทนฝืนกินอาหารจานนั้นเข้าไปต่อ เพราะฟ่งอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำให้ ถึงจะกินยากกินเย็นยังไงเขาก็ต้องกินให้หมด
   ฟ่งมองดูรูฟัสอย่างเป็นห่วง ระลึกขึ้นมาได้ทันทีว่าไม่ควรทำอาหารรสจัดแบบนี้ให้ทางนั้นทานเลย ร่างบางลุกขึ้นจากโต๊ะ หยิบหม้อใบเล็กๆ ขึ้นมาต้มน้ำ
   “พอแล้วล่ะ” ฟ่งพูดในที่สุด เมื่อเห็นว่ารูฟัสดูจะใช้ความอดทนมากเกินไปแล้วในการกินอาหารของเขา รูฟัสกินไปได้ครึ่งจาน ฟ่งก็ดึงจานออก แล้วหยิบจานมาตักข้าวให้ใหม่
   “เดี๋ยวผมทำไข่เจียวให้คุณกินดีกว่า” ร่างบางว่า และวางแก้วน้ำแก้วหนึ่งลงบนโต๊ะ
   “กินน้ำอุ่นสักหน่อยนะ มันช่วยแก้เผ็ดได้” ชายหนุ่มสวมแว่นว่า ขณะผละกลับไปที่ครัว รูฟัสมองดูแก้วน้ำตรงหน้า ด้วยอารามความเผ็ด เขารีบยกขึ้นมาดื่มทันที
   พอน้ำกระทบเข้ากับโพรงปาก ดีกรีความเผ็ดเหมือนจะยิ่งสูงขึ้น รูฟัสเกือบจะสำลักน้ำ เกิดมายังไม่เคยกินอะไรที่ทรมานขนาดนี้มาก่อน ไอ้ที่ว่าเผ็ดจนควันออกหูอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
   ท้ายที่สุดรูฟัสก็ลงเอยกับข้าวไข่เจียว โชคยังดีที่ความเผ็ดดังกล่าวไม่ลามไปปลุกโรคเก่าของเขาขึ้นมาด้วย
   “ขอโทษนะ ผมลืมไปเลยว่าคุณกินอาหารเผ็ดๆ ไม่ได้” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิด ขณะมองรูฟัสที่ใบหน้าเริ่มคืนมาสู่สภาพปกติบ้างแล้ว คนนั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มให้
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณทำให้ผม ผมก็รู้สึกดีแล้วล่ะ”
   “วันหลังผมจะทำอะไรที่รสชาติมันไม่เผ็ดแบบนี้แล้วกัน” ฟ่งพูดต่อ รูฟัสยิ้มกว้าง แม้ก่อนหน้านี้ความเผ็ดจะเป็นเรื่องทรมานสำหรับเขา แต่ตอนนี้รูฟัสรู้สึกว่าในความเผ็ดก็มีความสุขอยู่เหมือนกัน สุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายดูเป็นห่วงเป็นใยเขานี่แหละ ระหว่างยกจานไปล้าง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มคนรัก
   ฟ่งหน้าแดงด้วยความเขินอายเช่นเคย ทั้งคู่ช่วยกันเก็บกวาดครัว และนั่งดูโทรทัศน์ต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะลุกไปอาบน้ำ
   รูฟัสคิดว่าหลังจากทานอาหาร จนถึงตอนเข้านอน รวมเวลาก็เกินสามชั่วโมงแล้ว แต่ทำไมเขายังรู้สึกร้อนๆ เหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในร่างกาย ร่างสูงใหญ่พลิกตัวไปมา จนคนนอนข้างต้องเอ่ยทัก
   “นอนไม่หลับหรือ?”
   “อืม...ผมร้อนน่ะ”
   ฟ่งจัดแจงลุกขึ้นจากเตียงนอนไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้ต่ำลง ปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบอากาศเย็นสักเท่าไร อุณหภูมิแค่ยี่สิบห้าก็ถือว่าหนาวแล้ว แต่รูฟัสเป็นคนที่เกิดเมืองหนาว แถมยังกินอะไรเผ็ดๆ เข้าไปอีก คงไม่แปลกอะไรที่จะรู้สึกร้อน
   ร่างผอมบางเดินกลับมาที่เตียงและเตรียมตัวจะซุกร่างเข้าไปในผ้าห่ม แต่ยังไม่ทันจะห่มผ้าให้ดี วงแขนแกร่งก็ขยับมารวบร่างของเขาเอาไว้ ก่อนจะซุกใบหน้าไปตามซอกคอของเขาอย่างไม่เกรงใจ
   ฟ่งขยับตัวด้วยความตกใจเช่นเคย พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหน้าแดงจัด นัยน์ตาสองสีฉ่ำวาวเป็นประกาย เจอแบบนี้ร่างผอมบางก็อดจะรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาบ้างไม่ได้
   รูฟัสแน่ใจว่าตัวเองกินจนอิ่มแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหิว แต่ไม่ใช่หิวในสิ่งที่เรียกว่าอาหาร เรียกว่ากระหายคนนอนข้างน่าจะถูกกว่า จริงอยู่ว่าเขาเพิ่งมีอะไรกับฟ่งไปเมื่อคืน และทางนั้นก็ดูจะไม่ได้ชอบมีอะไรติดๆ กัน ส่วนตัวเขาเองแม้จะมีความต้องการอยู่เกือบตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับระงับไม่ได้ กระนั้นในคืนนี้กลับดูต่างออกไป เหมือนอาหารที่ทานลงไปในตอนหัวค่ำปลุกเร้าร่างกายของเขาให้ร้อนรุ่ม ต่อให้อากาศเย็นสักเท่าไหร่ก็ใช่ว่าจะสลายความร้อนรุ่มแบบนี้ไปได้ง่ายๆ
   รูฟัสถอดเสื้อผ้าของร่างผอมบางออก เสียงครางเบาๆ ยิ่งทำให้จิตใจวาบหวาม เขาก้มลงดูดดึงยอดอกสีอ่อน นี่คงเป็นอย่างเดียวที่จะลดระดับความร้อนรุ่มที่สุมร่างกายเขาอยู่ได้
   ไม่รู้ว่าฟ่งตั้งใจรึเปล่า แต่รูฟัสรู้สึกดีที่ได้ทานทั้งอาหารที่คนนอนข้างอุตส่าห์ทำให้ และยังได้ทานคนทำต่ออีกหลังจากนั้น
------------------------------------------
   ฟ่งสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่ทำอะไรเผ็ดๆ ให้รูฟัสกินอีก คืนก่อนหน้าว่าหนักแล้ว แต่เมื่อคืนบทรักของรูฟัสยิ่งหนักหน่วงกว่า กว่าที่ทางนั้นจะหมดแรงก็แทบจะรุ่งสาง ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาที่เกือบจะสลบไปในอ้อมแขนร้อนผ่าวหลายต่อหลายหน
   ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายแก่ๆ และพบกับดวงหน้าหล่อเหลาที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นเคย อาหารถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว รูฟัสพยุงเขาที่แทบจะไม่มีแรงเดินไปเข้าห้องน้ำ
   หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฟ่งมานั่งมองอาหารในจานตรงหน้า วันนี้รูฟัสทำบางสิ่งบางอย่างที่เรียกกว่ากราแตง กลิ่นของมันหอมหวนยั่วน้ำลายเหมือนทุกวัน ชายหนุ่มมองดูอาหารในจานที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองคนนั่งตรงข้ามที่ยังคงยิ้มละไม
   หน้าที่ทำอาหารยกให้เป็นของรูฟัสอย่างเดิมนั่นแหละดีแล้ว
--------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 30-12-2011 13:34:19
เค้าสอบเสดแล้วววว!!!
กลับมาอ่านละเน้อออว์

รูฟัส...หื่นอ่ะ! 555.
คิดถึงคนเขียนด้วย *กระโดดกอด*
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 30-12-2011 14:00:37
แกงส้มมีฤทธิ์อย่างนั้นด้วยหรอ :laugh: เพิ่งรู้อ้ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 30-12-2011 15:43:28
นั่งนึกส่วนผสมแกงส้ม มันมีอะไรที่ทำให้คึกได้บ้างหว่า
รึคุณสายลับเค้าหื่นอยู่แล้ว พอเจออาหารเผ็ดๆ ร้อนๆ นิดหน่อย
เลยกลายเป็นซุปเปอร์หื่นขึ้นมา  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: area71 ที่ 30-12-2011 16:02:06
มันยาวมากๆ จะเริ่มอ่านแล้วนะคราฟ
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-12-2011 16:35:20
นั่งนึกส่วนผสมแกงส้ม มันมีอะไรที่ทำให้คึกได้บ้างหว่า
รึคุณสายลับเค้าหื่นอยู่แล้ว พอเจออาหารเผ็ดๆ ร้อนๆ นิดหน่อย
เลยกลายเป็นซุปเปอร์หื่นขึ้นมา  :laugh:

555+ รูฟัสเป็นพระเอกที่หื่น(มาก)อยู่แล้วค่ะ ไม่มีเหตุก็หาได้ตลอดเวลาน่ะ (จริงๆ เลยนะ พ่อคู๊ณ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: jesus_fin ที่ 31-12-2011 12:38:12
ถูกต้องที่สุดค่า
อาหารให้รูฟัสทำ
เพราะไม่งั้นหนูฟ่งน่วมแน่

5555++
 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 01-01-2012 22:12:26
ฟ่งน่ารักอ่ะ


 :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-01-2012 17:14:11
ปิดจองแล้วนะคะ

แจ้งเลื่อนส่ง เป็นวันที่5 มี.ค. นะคะ

ส่วนเรื่องโอน เปิดให้โอนเลทได้ถึงวันที่26ค่ะ ขออภัยในความล่าช้าด้วยนะคะTTATT

----------------------------------

ขออัพเรื่องเปิดจองหนังสือชุดนี้ก่อนนะคะ เพราะว่าจะออกเล่มสุดท้ายแล้ว

**เปิดจอง**

 My neighbor is a spy. เล่ม1-8+0(พิเศษ) พร้อมกล่องBox setสำหรับสะสม

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/1-8.jpg)

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/cshow.jpg)

ฺBox set

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/Myneighborboxset.jpg)

ราคาชุดละ 2000บ. + ค่าจัดส่ง(แบบพัสดุ) 50บ. ใส่กล่อง+เพิ่มอีก20บ. หากต้องการให้ส่งเป็นEMS.ติดต่อผ่านทางอีเมลค่ะ

รายละเอียดราคาต่อเล่มดังนี้

1-7 ราคาเล่มละ220บ. เล่ม8 ราคาเล่มละ240บ. เล่ม0(พิเศษ) ราคาเล่มละ220บ.

และเปิดรีปริ๊น

Yes!Master. ซึ่งเป็นเรื่องราวต่างหากของเว่ยจินหยิน (ซึ่งเคยออกไปก่อนหน้าี้นี้แล้ว)

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/copy.jpg)

ราคาเล่มละ220บ.

รายละเอียดการสั่งจองและโอนเงิน

(http://i45.photobucket.com/albums/f68/juonkung/My%20neighbor%20is%20spy/42ae91b9.jpg)

ตั้งแต่วันที่3 มกราคม - 19 กุมภาพันธ์ 2555 (หนังสือจะจัดส่งหลังปิดจองประมาณ1สัปดาห์ค่ะ<<ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบ)

ตรวจสอบและเช็กรายชื่อผู้จองได้ที่

http://juon.exteen.com/my-neighbor-is-spy-1-54
หัวข้อ: Re: [เรื่องโคตรยาว!!]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่78 p15 30/12/2554
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 03-01-2012 17:19:04
บทที่79 Look at!
   รูฟัสเป็นผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แน่นอนว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างก็เรียกได้ว่าเพอร์เฟกซ์ ไปที่ไหนต่อให้แต่งตัวธรรมดายังไงก็ยังต้องมีคนหันมองอย่างชื่นชม รูฟัสรู้ข้อดีของตัวเองทุกอย่าง และใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ทุกเมื่อ เขาเคยชินกับการถูกสายตาปรารถนาจ้องมอง และรู้ดีกว่าจะใช้ประโยชน์จากสายตาพวกนั้นยังไง แต่ตอนนี้ความมั่นใจเหล่านั้นกลับถูกสั่นคลอนเนื่องเพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นของคนร่วมห้อง
   ไม่ใช่ว่าเพราะฟ่งมองเขาถึงเสียความมั่นใจ ปัญหาคือฟ่งไม่ยอมมองต่างหาก!
   รูฟัสเพิ่งมารู้สึกตัว ตั้งแต่พบกันมาฟ่งไม่เคยมองเขาด้วยสายตาแสดงความปรารถนาอย่างที่คนอื่นๆ ทำเลย ส่วนใหญ่ออกไปในทางหลบสายตาด้วยซ้ำ หนักเข้าก็เบือนหน้าหนี ทั้งๆ ที่รูฟัสแน่ใจว่ารูปร่างหน้าตาแบบเขา เป็นใครใครก็ต้องอยากมองแน่ๆ แต่ไหงฟ่งถึงเมินเขาเสียได้
   “ไปว่ายน้ำกันไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยปากชวนในเช้าวันหนึ่ง เพราะไม่ได้มีอะไรกันในคืนที่ผ่านมา ฟ่งจึงตื่นเช้ากว่าปกติ หนุ่มสวมแว่นหันมามองเขาอย่างงงๆ
   ความจริงรูฟัสไปออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่แล้ว เขาออกกำลังกายจนเคยชิน แม้จะเลิกอาชีพเดิมไปแล้วแต่กิจวัตรประจำวันใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ต่างเสียแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชวนฟ่งลงไปด้วยเลย นั่นเพราะอีกฝ่ายมักจะยังไม่ตื่นนอน และฟ่งก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าอยากจะตามลงไป
   “ไปสิ” ฟ่งตอบตกลงหลังจากนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น หลังจากก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ทางนั้นหยิบถุงที่ใส่กางเกงว่ายน้ำออกมา
   “ผมไม่ค่อยได้ใช้ เลยเก็บไว้ในตู้เย็น กลัวยางมันจะเสียน่ะ” ร่างผอมอธิบายหลังจากเห็นสีหน้าแสดงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดของคนร่วมห้อง รูฟัสพยักหน้า หันไปเตรียมของตัวเองบ้าง
------------------------------------
   ที่รูฟัสชวนฟ่งลงมาว่ายน้ำ เพราะต้องการให้คนร่วมห้องได้มองรูปร่างของเขาชัดๆ จริงอยู่ที่รูฟัสมักจะเดินแก้ผ้าโทงๆ หลังอาบน้ำเสร็จ แต่ฟ่งก็มักจะไล่ให้เขาไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอยู่เสมอ และเหมือนไม่เคยจะชายตามองเลยสักครั้ง หรือว่าฟ่งอาย?
   รูฟัสคิดว่าสระว่ายน้ำนี่แหละเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ที่เขาจะได้อวดร่างกายที่น่าภูมิใจให้ฟ่งได้เห็น ไม่ว่าอย่างไรฟ่งจะต้องหันมามองบ้างแน่ๆ
   ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ร่างกายของเขาไม่ว่าจะดูมุมไหนก็สมบูรณ์เพียบพร้อม ยิ่งอยู่ในชุดโชว์เรือนร่างแบบนี้ ถ้าฟ่งไม่ยอมมองเลยก็แปลกล่ะ
   รูฟัสยืนรอฟ่งหน้าห้องเปลี่ยนเสื้ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยอยากเห็นสีหน้าของคนร่วมห้องยามได้ยลเรือนร่างของเขาเต็มตา ฟ่งออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อในที่สุด แต่แทนที่จะเป็นฝ่ายมอง ดันกลับเป็นฝ่ายถูกมองแทน
   รูฟัสจ้องฟ่งเขม็ง
   เขาเห็นฟ่งตอนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกจากห้องน้ำบ่อย เปลือยเปล่าไปทั้งร่างเลยก็มี แต่ฟ่งในชุดว่ายน้ำเป็นอะไรที่เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก กางเกงว่ายน้ำของฟ่งก็ธรรมดา ไม่ถึงขั้นโชว์สัดส่วนชวนสยิว ร่างกายผอมบาง ไม่ได้มีกล้ามเนื้ออะไรไว้ให้อวด แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาคลั่งแทบทุกคืน รอยจ้ำจางๆ ยังมีให้เห็นอยู่ตามแผงอกและซอกคอ รูฟัสพลันหวนนึกถึงยามที่ฟ่งอ้าแขนกอดเขา บิดร่างเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอก ส่งเสียงครางหวานหูให้ได้ยิน
   “รูฟัส?”
   เสียงเรียกของฟ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งจากภวังค์ หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง ฟ่งยังคงน่ารักเช่นเคย และดูน่ารักเข้าไปอีกเมื่อสวมแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวแบบนี้ ปัญหาคือไอ้ส่วนที่อยู่ในกางเกงของเขาเองมันดันตื่นขึ้นมาจนได้น่ะสิ โชคดีที่ฟ่งดูจะยังไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ รูฟัสจึงรีบเดินเข้าห้องน้ำทันที
   ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
   เดิมทีรูฟัสเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดีเสมอมา เรื่องความต้องการก็ใช่ว่าจะมากกว่าคนปกติ เขาก็ต้องการอย่างที่ผู้ชายปกติต้องการนั่นแหละ ไม่ได้ถึงขั้นหื่นหน้ามืดอยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย และยังไม่เคยมีใครคนไหนทำให้เขาเป็นแบบนี้มาก่อน
   ฟ่งดูจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ
   ระหว่างที่รูฟัสยังนึกไม่ตกว่าทำยังไงถึงจะให้ไอ้ส่วนที่กำลังตื่นเต้นสงบลง เสียงของฟ่งก็ดังขึ้น
   “รูฟัส คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
   น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทำให้รูฟัสรู้สึกชื้นใจ แต่ชายหนุ่มกลับนึกคำตอบไม่ออก จะตอบว่าไม่เป็นไรก็ใช่ที่ ครั้นจะบอกว่าเป็นอะไรก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าบอกนัก เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบไป
   “ผมเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งครับ คุณไปว่ายน้ำก่อนก็ได้”
   “อ้อ...อืม” ฟ่งรับคำ และเงียบไป คงจะออกไปแล้ว ถึงตอนนี้รูฟัสค่อยหายใจได้คล่องคอหน่อย ชายหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่ ถึงจะพอทำให้ตรงนั้นสงบลง ตอนแรกเขานึกไปถึงขั้นช่วยตัวเองแก้ขัดสักครั้ง แต่ก็นึกได้ว่ามันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าพิลึกในเมื่อคนที่อยากกอดอยู่ใกล้มือแท้ๆ ดันต้องมาช่วยตัวเองอีก ในที่สุดชายหนุ่มจึงกัดฟัน ระงับยั้งความรู้สึกจนสงบลงได้
   รูฟัสเดินออกมายังสระว่ายน้ำ โดยยังไม่ลืมความตั้งใจเดิม ฟ่งเกาะอยู่ริมขอบสระ เพราะไม่ได้สวมแว่น ร่างบางหรี่ตามองอยู่พักหนึ่ง พอเข้าใจว่าคงไม่ผิดคน จึงยกมือโบกทักทาย รูฟัสแทบจะกระโดดพุ่งเข้าไปหา สำหรับเขาไม่ว่าฟ่งจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ท่าทางที่ฟ่งโบกมือเรียกเขาก็ดูน่าวิ่งเข้าใส่ รูฟัสแข็งใจเดินอย่างมาดมั่นไปริมขอบสระ เขาอยากจะกระโดดลงไปแล้วคว้าตัวฟ่งมากอดจูบเสียให้หนำ ติดว่านี่เป็นสระว่ายน้ำที่ค่อนข้างจะสาธารณะ และตอนนี้ก็ไม่ได้มีแต่พวกเขา ถึงรูฟัสจะหน้ามืด หื่น หรืออะไรก็สุดจะกล่าว แต่ยังรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงหันไปยิ้มให้กับฟ่งทีหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปในสระ
   เขาตั้งใจจะให้ฟ่งได้เห็นท่วงท่าและเรือนร่างในยามว่ายน้ำให้เต็มตาสักครั้ง ชายหนุ่มวาดวงแขนอวดลีลาของตนอย่างเต็มที่ จนกลับมาแตะขอบสระอีกครั้งจึงเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยหวังจะเห็นใบหน้าชื่นชมของอีกฝ่าย แต่ฟ่งไม่ได้อยู่ตรงขอบสระเสียแล้ว
   รูฟัสเหลียวหลังกลับมามอง จึงเห็นใครคนหนึ่งว่ายน้ำเข้ามา
   “คุณว่ายน้ำเก่งจัง” ฟ่งพูดขึ้นหลังจากหอบหายใจอยู่พักหนึ่ง รูฟัสนึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวจะว่ายน้ำตามเขาไปด้วย ฟ่งตอนตัวเปียกมีหยดน้ำเกาะยิ่งดูน่ารักเซ็กซี่ท่ามกลางแสดงแดดอ่อนๆ ในตอนสาย หนุ่มตาสองสีมองแล้วนึกไม่ออกว่าควรจะรู้สึกแบบไหนดี ฟ่งชมเขาเรื่องว่ายน้ำ ออกจะดูไม่ตรงจุดประสงค์ไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยฟ่งก็ชมเขาล่ะ
   รูฟัสคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ว่ายน้ำแข่งกัน ฟ่งมีทักษะว่ายน้ำไม่เลวเลยทีเดียว จนรูฟัสนึกอยากจะขึ้นไปนั่งมองอยู่บนขอบสระ คงเพลิดเพลินเจริญใจดีไม่น้อย แต่ว่านี่มันผิดจุดประสงค์นี่นา
   เมื่อแสงแดดแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆ ฟ่งจึงชวนเขาขึ้นจากสระ ร่างผอมบางเหนื่อยจนตัวแดง ขณะที่อีกฝ่ายยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม ปกติรูฟัสออกกำลังกายนานกว่านี้ จะว่ายน้ำทีก็ต้องสองชั่วโมงขึ้นไป แถมเขายังมองขาขาวๆ ของฟ่งยามแหวกว่ายอยู่ในน้ำไม่เต็มอิ่ม พอต้องขึ้นจากน้ำเลยเกิดอาการอารมณ์ค้าง
   ฟ่งไม่ได้ออกกำลังกายมานานมากแล้ว เขาเป็นพวกขี้เกียจออกแรงมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นการว่ายน้ำในวันนี้จึงเรียกได้ว่าหักโหมอย่างสาหัส ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังรู้สึกสนุกสนานจากการได้แข่งว่ายน้ำแม้ว่าจะแพ้ตลอดก็ตาม
   ฟ่งเช็ดตัวและหยิบแว่นขึ้นมาสวม ก่อนหันไปมองรูฟัสกำลังสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ หนุ่มสวมแว่นเอียงคอมองคนร่วมห้องอย่างพินิจพิเคราะห์
   “หุ่นคุณดีจัง” ฟ่งพูด รูฟัสชะงักมือกึกทันที เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มกว้าง
   “จริงหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม รู้สึกภูมิอกภูมิใจว่าในที่สุดฟ่งก็เห็นความดีงามของเขาเสียที หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “ผมฟิตหุ่นอย่างคุณบ้างดีกว่า สาวๆ เห็นจะได้หันมองบ้าง”
   “?!” รูฟัสยิ้มค้าง นัยน์ตาสองสีมองสวนกลับไปอย่างไม่เชื่อ “คุณว่าอะไรนะครับ?”
   ฟ่งยังคงไม่รู้ตัว หัวเราะและพูดต่อ “ผมว่า ผมหันมาฟิตหุ่นอย่างคุณบ้างดีกว่า เผื่อจะมีสาวๆ หันมองบ้าง ใครๆ ก็มองแต่คุณนี่”
    “...........................”
   “มีอะไรหรือ?” ฟ่งถามเมื่อเห็นว่ารูฟัสเงียบไป ชายหนุ่มรีบตอบ “เปล่าหรอกครับ เรากลับห้องกันเถอะ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงงๆ แต่ก็ยอมเดินตามกลับห้องไปแต่โดยดี
-------------------------------------------------
   กลับมาถึงห้อง ยังไม่ทันที่ฟ่งจะเปิดฝักบัวล้างตัว รูฟัสก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามา พร้อมกับถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออก
   “ผมอาบน้ำด้วยนะ”
   เจอแบบนี้ฟ่งมีแต่จะต้องพยักหน้า เพราะนึกไม่ออกว่าจะห้ามรูฟัสไม่ให้อาบด้วยทำไม แม้จะรู้สึกหวาดเสียวอยู่ว่าจะไม่จบแค่อาบน้ำเฉยๆ ก็เถอะ
   รูฟัสก้าวเท้าเข้ามาในอ่างอาบน้ำ เหมือนจงใจ ร่างสูงขยับเข้าหาฝักบัว โดยโอบตัวคนอาบก่อนเข้าไปด้วย ฟ่งจึงรีบดึงฝักบัวออก ยื่นให้ทันที
   “แล้วผมจะถูสบู่ยังไงล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นฝักบัวมาให้ ฟ่งหัวเราะแหะๆ ยกฝักบัวไปเสียบไว้ที่เดิม พอหันกลับมาอีกทีก็เกือบจะชนเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย ฟ่งไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมรูฟัสถึงต้องยืนเบียดขนาดนี้ เพราะอยู่ใกล้กันมาก สายตาของเขาจึงถูกบังคับให้มองแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
   รูฟัสร่ำๆ จะจับฟ่งปล้ำให้รู้แล้วรู้รอด ที่สระว่ายน้ำ แทนที่ฟ่งจะเป็นฝ่ายมองเขา เขาดันกลายเป็นฝ่ายมองไปเสียได้ แถมยังมองอย่างเอาเป็นเอาตายเสียด้วย พอขึ้นมาฟ่งก็เหมือนจะมองเห็นความดีความงามของเขา แต่ก็เปล่า เจ้าตัวกลับมองไปในมุมอื่น รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งตั้งใจจะแกล้งเขาหรือพูดมาจากใจจริงกันแน่ แต่ไม่ว่าจะข้อไหนก็กระทบกระเทือนจิตใจเขาทั้งนั้น รูฟัสอยากให้ฟ่งมองเขา ไม่ใช่ให้คนอื่นหันมามองฟ่ง เมื่อแผนว่ายน้ำใช้ไม่ได้ผล ก็คงต้องบังคับให้ดูกันในห้องน้ำนี้ล่ะ
   ตั้งแต่รู้จักกันมา ฟ่งไม่เคยมองร่างกายของรูฟัสชัดๆ เลย แหงล่ะ ก็เขาเป็นผู้ชายปกติไม่ใช่ผู้หญิงหรือเกย์สักหน่อย จะบ้ามานั่งมองร่างกายผู้ชายด้วยกันทำไม แค่มองเห็นป้ายโฆษณาที่เป็นผู้ชายเปลือย ฟ่งก็แทบสำลักแล้ว อะไรมันจะกล้ามโตข่มขวัญกันขนาดนั้น ยิ่งพอมาเทียบกับหุ่นตัวเองแล้วยิ่งแสลงใจ นี่เองสินะที่สาวๆ ไม่ค่อยนิยมหันมามองแล้วยิ้มให้เขาสักเท่าไร แต่ก็ช่างสิ ก็มันเป็นตัวตนของเขานี่นา
   กระนั้น เมื่อต้องมาเดินหรือทำอะไรคู่กับรูฟัส ไอ้เรื่องนี้ก็เหมือนกลายเป็นหนามยอกอก ไอ้ข้อด้อยที่เคยพยายามมองผ่านของตัวเองก็ดูจะกลายเป็นข้อเปรียบเทียบขึ้นมาทันที ครั้นจะไปโทษรูฟัสก็ใช่ที่ ต้องโทษตัวเขาเองนี่แหละที่ขี้เกียจ
   ฟ่งมองดูกล้ามเนื้อบนร่างกายรูฟัสแล้วนึกอยากมีขึ้นมาบ้าง ไหนๆ รูฟัสก็อยู่กับเขาแล้ว แบบนี้ก็คงเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ร่างผอมบางกวาดสายตามองตั้งแต่หน้าอก ต่ำลงไปถึงหน้าท้อง และรีบเงยขึ้นมามองใบหน้าของเจ้าของ ก่อนจะเลยพ้นไปมองเห็นไอ้จุดที่ไม่อยากมอง หารู้ไม่ว่าสายตาที่ไม่คิดอะไรเลยนี้กลับทำให้คนถูกมองวูบวาบ
   รูฟัสพอรู้ว่าการมองก็กระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ปกติเขามักเป็นฝ่ายมองเสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกมองแล้วเกิดอารมณ์ ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ในที่สุดฟ่งก็หลงเสน่ของเขาแล้ว
   “อืม....รูฟัส พรุ่งนี้พาผมไปว่ายน้ำอีกสิ ผมอยากมีกล้ามเหมือนคุณบ้าง” ฟ่งพูดออกมาหลังจากพิศมองร่างกายของคนร่วมห้อง ถ้าเขามีร่างกายกำยำได้สักครึ่งของรูฟัส คงจะพอสู้หน้ายามเดินคู่กันได้บ้างแหละ
   “!!” รูฟัสเกือบจะแหกปากร้องออกมา ไอ้ความวูบวาบเมื่อครู่ปลิวไปเหมือนถูกพายุพัด ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
   “โธ่ ผมหวังจะได้ยินคุณชมผมบ้างแท้ๆ” หนุ่มตาสองสีถึงกับต้องสารภาพออกมา ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอกแตกตายแน่ๆ ฟ่งดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อเลย หนุ่มสวมแว่นทำหน้างุนงง
   “ผมก็ชมคุณอยู่นี่ไง”
   “...........................” รูฟัสพูดต่อไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่พยักหน้า “ตกลงครับ ผมจะช่วยคุณออกกำลังกาย”
   ฟ่งยังไม่ทันเอะใจในความผิดปกติของรูปประโยค มือใหญ่ของรูฟัสก็ตะปบเข้ามา รั้งตัวเขาเข้าไปแนบชิด ร่างบางร้องเหวอ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว แล้วก็ถูกริมฝีปากหน้าบดลงมาจนต้องเบือนหน้า รูฟัสขยับมืออีกข้างขึ้นช้อนท้ายทอยเอาไว้ บังคับบดเบียดริมฝีปากแน่นขึ้นอีก ฟ่งสะดุ้งอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเรียวลิ้นถูกเกี่ยวเข้าไปขบกัด การจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงนี้ นอกจากจะทำให้ตกใจแล้ว ยังทำให้ความไม่พอใจพุ่งสูงขึ้นมาทันที พอริมฝีปากเป็นอิสระ ฟ่งจึงร้องโวยวายขึ้น
   “ทำอะไรของคุณ!!”
   “ก็ช่วยคุณออกกำลังกายไงครับ” รูฟัสตอบด้วยสีหน้าพาซื่อ ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “นี่มันออกกำลังกายตรงไหน?!”
   “ตรง...” รูฟัสพูดไม่จบ เขาก้มลงไซ้ไปตามซอกคอ ฟ่งผงะหน้าหนี จะอ้าปากด่าอีก สายน้ำจากฝักบัวก็สาดเข้าหน้าพอดี ทำเอาชายหนุ่มเกือบสำลักน้ำ ฟ่งคว้ามือเปะปะพยายามจะปิดฝักบัว ขณะที่อีกฝ่ายยังลวนลามไม่หยุด ทั้งปากทั้งมือขยันลูบขยันจูบ กว่าจะปิดฝักบัวได้ รูฟัสก็ขย้ำจูบเขาจนเป็นรอยแดงไปทั่วตัวแล้ว ฟ่งอ้าปากหอบ หันมาพยายามผลักร่างสูงออกอีกรอบ
   “นี่มันออกกำลังกายตรงไหนเนี่ย!?” ร่างผอมบางโวยวาย และสะดุ้งเฮือกเมื่อมือแกร่งขย้ำขยี้ตะโพกเขาราวกับจะจับปั้น ปลายลิ้นของรูฟัสล้วงเข้ามาในโพรงปากอีกรอบ ตวัดกวาดสำรวจและเริ่มบุกรุกอย่างแสดงเจตนา
   ฟ่งดิ้นขลุกขลัก รูฟัสขยับมือทั้งลูบทั้งขยำไปทั่วเรือนร่างของเขา สองคนยืนอยู่ในอ่างน้ำ ในสภาพเปียกแฉะ แม้ฝักบัวจะถูกปิดไปแล้วก็ตาม ผิวเนื้อที่เบียดเสียดกันทำให้ความร้อนเริ่มแผ่ออก ฟ่งที่เพิ่งเสร็จจากออกกำลังกายมีความร้อนอยู่ในตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเจอการรุกเร้าแบบนี้ เลือดฝาดเลยยิ่งถูกขับออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ไม่นานร่างก็กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
   รูฟัสเม้มริมฝีปาก ฝากรอยรักไว้บนซอกคอในจุดเดิมซ้ำๆ จนเป็นปื้นแดงจัด จึงยอมเปลี่ยนที่ ไม่มีเสียงโวยวายจากร่างผอมบางอีกต่อไป มีเพียงเสียงครางต่ำๆ ในลำคอ ที่ดูจะปลุกเร้าอารมณ์วาบหวามของร่างสูงใหญ่ให้โหมกระพือมากขึ้น
   เรียวลิ้นร้อนลากผ่านซอกคอต่ำลงมาจนถึงแผงอก ดูดดึงยอดถันอุ่นอ่อนกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ร่างกายของฟ่งแดงจัดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการเล้าโลม รูฟัสลูบฝ่ามือหนักๆ ลงบนแผ่นหลังผอมบางหลายรอบ บดเบียดส่วนกลางของลำตัวเข้ากับส่วนอ่อนไหวที่แข็งขึงของอีกฝ่าย หลังประโลมจูบหอมหวาน มือแกร่งก็เลื่อนลงไปกำรอบอวัยวะที่กำลังแข็งตัวซึ่งเบียดชิดกันอยู่ รวบมันเข้าด้วยกันและดึงรูด
เสียงครางของฟ่งถี่กระชั้น ลมหายใจเริ่มผิดจังหวะ มือที่เคยปัดป่ายกลับเกาะเกี่ยวไหล่กว้างเอาไว้แนบแน่น ขยับเอวขึ้นตอบสนองจังหวะการรุกเร้า ดูยั่วยวนจนแทบทนไม่ไหว รูฟัสลิ้มชิมริมฝีปากบูดบึ้งนั้นอีกครั้ง ระหว่างใช้มือตอบสนองอารมณ์ความต้องการของกันและกัน ฟ่งจิกเล็บแน่น หัวคิ้วขมวดมุ่น จิกปลายเท้าลงบนพื้นอ่างเย็นเยียบจนชาไปหมด ท่อนเอวเขม็งเกร็งและกระตุกอย่างแรง ขณะของเหลวสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมา ร่างบางครางเสียงพร่า เขาถึงจุดสูงสุดของอารมณ์แล้ว แต่อุ้งมือนั้นกลับไม่ยอมหยุด
   รูฟัสกัดฟันอย่างข่มใจ ลืมไปเลยว่าฟ่งอาจจะถึงก่อน ครั้นจะดึงดันทำต่อเพื่อให้ตัวเองถึงตามก็เห็นทีว่าทางนั้นอาจจะทนไม่ไหว สังเกตจากเสียงร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จะให้หยุดทันทีก็ทรมานกันจนเกินไป รูฟัสจึงขยับมือต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนจะกระซิบข้างใบหูแดงจัด
   “เหนื่อยจนเหงื่อออกแล้วนะครับ”
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่น อยากจะอ้าปากด่ารูฟัสจริงๆ ปกติรูฟัสมักไม่ค่อยพูดเวลาทำอะไรกันแบบนี้ คราวนี้พอนึกจะพูดขึ้นมา ก็ดันพูดอะไรที่น่าหงุดหงิด ร่างบางอ้าปาก แต่แทนที่จะได้เค้นเสียงด่า กลับกลายเป็นถูกอีกฝ่ายบดจูบลงมาแทน เจอแบบนี้ คำต่อว่าก็ถูกดันหายลงไปในลำคออีกรอบ
   แม้จะยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่บนร่างกายของทั้งคู่กลับปรากฏหยาดเหงื่อผุดพรายออกมา ร่างของฟ่งร้อนราวกับถูกไฟสุม ยิ่งเบียดเสียดกับกลางลำตัวที่ร้อนระอุของรูฟัสยิ่งเหมือนทวีความร้อนให้เพิ่มมากขึ้น
   รูฟัสลิ้มรสริมฝีปากอ่อนอยู่พักหนึ่งจึงเอื้อมไปหยิบสบู่ สัมผัสเปียกลื่นบนหนั่นสะโพกทำให้ฟ่งสะท้านกายเฮือก ร่างสูงไล้ปลายนิ้วไปตามร่องลึกด้านหลัง ล้วงเข้าไปในจุดซ่อนเร้น ฟ่งสะดุ้งอีกครั้ง ริมฝีปากหนาขยับเข้ามาประกบจูบอีกรอบ ขณะนิ้วมือสอดลึกเข้าไปเรื่อยๆ
   ฟ่งอ้าปากด้วยความตกใจ ตอนที่รูฟัสถอดนิ้วมืออก และยกขาข้างหนึ่งของเขาขึ้น ร่างบางเซถลาเข้าหาผนัง และต้องใช้มือเกาะฝาผนังเอาไว้ ในจังหวะที่ส่วนร้อนระอุถูกดุนดันเข้ามา
ขยับสักพัก ผิวหน้าท้องแข็งแรงก็สัมผัสกับเรียวขาอ่อนที่ถูกยกสูง ฟ่งครางเสียงหนัก รูฟัสกระทั้นกายเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ ก่อนจะเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงครางสั่นพร่า ขณะที่ฟ่งพยายามจะยกมือดันผนังห้องน้ำเพื่อไม่ให้ศีรษะกระแทก รูฟัสจับขาข้างที่ยกอยู่พาดบ่า และใช้มือจับท่อนเอวของฟ่งและออกแรงกระแทกหนักเข้าไปอีก เจอแบบนี้เข้าไปฟ่งแทบล้มพับ ตอนขึ้นมาจากสระก็เหนื่อยอยู่แล้ว ยังมาโดนทำด้วยท่าทรมานแบบนี้อีก ไม่ทรุดลงไปก็ใกล้เต็มที
   ก่อนที่จะล้มฮวบ รูฟัสก็ยกขาเขาออก ประคองร่างสั่นเทาให้คว่ำหน้าลง ตรึงไว้กับผนัง และเริ่มสาวกายเข้าออกอีกรอบ ฟ่งร้องครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ แทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ กว่าที่อารมณ์รูฟัสจะขึ้นถึงขีดสุด เขาก็แทบจะหมดสติแล้ว
   ร่างบางตัวอ่อนปวกเปียก ของเหลวอุ่นร้อนยังคงไหลอ้อยอิ่งอยู่ในร่าง รูฟัสอุ้มเขาขึ้นมากอดจูบอยู่พักหนึ่ง จึงดึงส่วนที่เชื่อมประสานกันอยู่ออก ฟ่งสะดุ้ง และรู้สึกถึงสายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลกระทบร่างกาย รูฟัสเปิดฝักบัวล้างคราบเหงื่อไคลบนร่างกาย และยังช่วยทำความสะอาดหยาดอารมณ์ที่ตกค้างอยู่ภายในด้วย
   ฟ่งนั่งพิงผนังอย่างสะลึมสะลือปล่อยให้รูฟัสทำความสะอาด แต่แล้วความโอฬารชนิดที่ต้องลืมตาขึ้นด้วยความตกใจก็เบียดเข้ามาอีกรอบ ริมฝีปากที่เผยออย่างตระหนกถูกปิดด้วยจูบวาบหวาม ท้ายที่สุด หลังจากรูฟัสปลดปล่อยความต้องการจนพอใจแล้ว เขาก็จัดการอาบน้ำและทำความสะอาดส่วนนั้นให้ฟ่งอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัวจนแห้ง แล้วพาไปที่เตียง
   ฟ่งคิดว่าถ้ารู้สึกดีจนเห็นสวรรค์รำไร เขาในตอนนี้คงรู้สึกดีจนใกล้ได้เห็นสวรรค์จริงรอมร่อ รูฟัสไม่ยั้งความต้องการเอาบ้างเลย ถ้ายังมีรอบสาม ฟ่งคงได้ขาดใจตายจริงๆ ชายหนุ่มเห็นแสงแดดที่แผดแรงลอดเข้ามาในห้อง แต่หนังตาและร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว หัวถึงหมอนยังไม่ทันเท่าไร สติสัมปชัญญะก็เลือนหายไปพร้อมกับความอ่อนล้า
-------------------------------------------
   รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาเห็นแล้วว่าฟ่งคงเหนื่อยมากจริงๆ ถึงขนาดหลับข้ามคืนมาตื่นเอาอีกวันหนึ่ง ชายหนุ่มยอมรับว่าตัวเองอาจจะทำเกินไปบ้าง แต่ที่ฟ่งทำกับเขาเมื่อวานก็ดูจะเกินไปหน่อย เขาแค่อยากให้ฟ่งสนใจบ้างแท้ๆ แต่เจ้าตัวดันทำเหมือนไม่รู้เรื่องจนเขาอดหมั่นเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่ฟัดให้หนักก็คงนอนไม่หลับกันพอดี
   ปัญหาคือ ฟ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง
   ฟ่งนิ่วหน้า ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเขายังไม่คลายคิ้วที่ขมวดกันออกเลย จะไม่ให้หน้าบูดหน้าบึ้งได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายของเขาเจ็บไปหมด เพราะไม่ได้ออกกำลังกายนานมาก กล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยได้ใช้งานมาถูกใช้งานกะทันหันย่อมต้องแสดงอาการประท้วงเป็นธรรมดา แต่รูฟัสก็ดันทำเขาด้วยท่าทรมานแบบนั้นอีก แถมยังทำเสียหนัก ดังนั้นตอนนี้ แค่ขยับตัวนิดหน่อยความเจ็บแปลบก็แล่นไปทั่วทั้งร่าง ต่อให้ไม่อยากนิ่วหน้าก็คงต้องนิ่วหน้านั่นแหละ
   “เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?” รูฟัสถามอย่างเป็นห่วง ฟ่งตวัดสายตาขึ้นมองคนถามด้วยความรู้สึกตำหนิอย่างไม่เก็บงำ “เจ็บ”
   หนุ่มตาสองสีได้แต่ยิ้มแห้งๆ จริงอยู่ว่าระยะหลังนี้ฟ่งให้เขาร่วมรักบ่อยขึ้นโดยไม่มีการอิดออด แต่เห็นทีคราวนี้คงไม่เป็นแบบนั้น ร่างผอมบางขมวดคิ้วมุ่น แค่ยันตัวขึ้นมานั่งก็เจ็บระบมไปทั้งตัว อย่างว่าแต่จะไปอาบน้ำ แค่ยกขาก็เจ็บแทบตายแล้ว
   “เจ็บ!” ฟ่งพูดซ้ำ หน้าตาหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“คุณทำไมชอบทำอะไรไม่นึกถึงร่างกายผมทุกที” ร่างบางต่อว่า รูฟัสหน้าแห้ง จะให้เขาตอบว่าอะไรดีล่ะ
“ขอโทษนะครับ” วลีที่เหมือนจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจไปแล้วถูกเอ่ยออกมา กระนั้นฟ่งยังหน้าบูดหน้าบึ้งเหมือนเดิม รูฟัสเคยเจออาการแบบนี้มาแล้ว แต่จะมานึกเสียใจเอาตอนนี้คงสายไปเสียหน่อย แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะเสียใจเรื่องอะไร
“ขอโทษนะครับ ผมแค่อยากให้คุณหันมามองผมบ้าง” หนุ่มตาสองสีตัดสินใจสารภาพความจริง ฟ่งหันมามองเขาอย่างงุนงง “ผมก็มองคุณอยู่แล้วไง”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” รูฟัสพูด และอธิบายต่อ “คือ ผมอยากให้คุณมองผมแบบคนรักกัน ยังไงดีล่ะ ก็แค่อยากให้คุณต้องการผมบ้าง”
ฟ่งทำหน้าย่น “ผมไม่รักคุณไม่มาอยู่กับคุณหรอก”
รูฟัสตาเป็นประกาย รีบพูดต่อ “งั้นมองผมหน่อยสิครับ”
ร่างผอมบางหรี่ตา เบือนหน้าไปทางอื่น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดหงอยๆ “ฟ่ง...”
“ผมหาแว่น” ฟ่งพูด ทันใดนั้นแว่นตาก็ถูกสวมลงมาบนดั้งของเขา ร่างบางยกมือขึ้นจับและขยับอย่างเคยชิน ตอนนี้ภาพใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันปรากฏให้เห็นชัดเจนตรงหน้า รูฟัสคลี่ยิ้ม ฟ่งมองอยู่พักหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลง หนุ่มตาสองสีขยับตัวลงนั่งข้างเตียง ฉวยมือของอีกฝ่ายขึ้นมาจับ
“มองผมหน่อยสิครับ บอกผมหน่อยสิครับว่าชอบผม รักผม”
ฟ่งเหลือบตาขึ้นมองอีกแวบหนึ่ง พอสบกับนัยน์ตาสองสีหวานเยิ้มก็หลุบลงไปอีก
“มองผมสักนิดไม่ได้หรือครับ กระซิบบอกผมก็ได้ครับ” รูฟัสยังคงรุกต่อ ขยับตัวเข้ามาใกล้อีก ฟ่งเม้มปาก ร้อนวูบไปทั่วใบหน้า
“นะครับ” รูฟัสกระซิบเสียงอ้อน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะชน ฟ่งหน้าแดงขึ้นมาทันที
“คะ... คุณหันไปก่อน แล้ว...แล้วผมจะบอก”
รูฟัสจ้องใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าออกไปตามคำขอ ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา
“ผมรักคุณนะ”
ไออุ่นจากลมหายใจแผ่วสัมผัสหลังใบหู รูฟัสอุ่นวาบไปทั้งตัว ความดีใจเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ ยังไม่ทันจะตอบอะไร ริมฝีปากนิ่มก็แนบเข้ามาที่แก้มของเขาเบาๆ แล้วผละออก อย่างกับฝัน หนุ่มตาสองสีอดไม่ได้ต้องหันกลับไปมอง และพบว่าคนนั่งอยู่บนเตียงแก้มแดงแจ๋ ฟ่งถลึงตาใส่เขาและพูดเสียงหนัก
“ห้ามทำอะไรผมแล้วนะ!”
“ครับๆ” รูฟัสรับปากและยิ้มกว้าง กระนั้นยังไม่วายฉวยมือฟ่งขึ้นมาจูบ และโน้มใบหน้าลงเคล้าพวงแก้มแดงเรื่อนั้นอีกพักใหญ่
   “หิวรึเปล่าครับ?” ร่างสูงถามต่อ ขณะจัดหมอนให้ฟ่งเอนหลัง ร่างผอมบางพยักหน้า รูฟัสจึงเดินออกจากห้องไป และกลับมาพร้อมถ้วยซุปที่มีควันลอยกรุ่น
   ฟ่งมองถ้วยซุปในมืออีกฝ่าย รูฟัสตักมันขึ้นมาและเป่าให้เขา ไอควันลอยห้อมลอมใบหน้าคมสันของชายหนุ่ม ความอ่อนโยนของรูฟัสทำให้ฟ่งรู้สึกอบอุ่น เขาอ้าปากทานซุปที่อีกฝ่ายตักป้อน ป้อนกันไปได้พักหนึ่ง รูฟัสจึงเอ่ยถามขึ้น “อร่อยรึเปล่าครับ?”
    คนถูกถามพยักหน้า มองมือที่ตักซุปอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “มือคุณสวยดี”
   “จริงหรือครับ” หนุ่มตาสองสีทำหน้าดีใจ ฟ่งพยักหน้า ยอมรับว่ามือของรูฟัสสวยจริงๆ ทั้งยาวทั้งเรียว ดูไม่เหมือนมือคนผ่านอะไรหนักๆ นอกเสียจากความสากหยาบบนมือที่ดูจะมีมากกว่าเขานิดหน่อย
   “พรุ่งนี้จะไปว่ายน้ำอีกรึเปล่าครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยถามหลังจากเก็บชามซุปแล้ว ฟ่งสั่นศีรษะทันที
   “มะรืนนี้ล่ะครับ?”
   “..............”
   “น่า...ผมสัญญา จะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วครับ”
   “ไม่เอาดีกว่า” ฟ่งว่า และนึกว่าคำสัญญาของรูฟัสเคยเชื่อได้ที่ไหน หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มบางๆ อ้อนเขาต่อ
   “ไปดูก็ได้ครับ ผมอยากให้คุณไปนั่งดู”
   “ไม่ล่ะ”
   “ทำไมล่ะครับ?”
   “ก็ผมไม่ได้ชอบกล้ามผู้ชายนี่” ฟ่งว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายคราง “โธ่ แล้วกัน ผมอยากให้คุณดูผมนะเนี่ย”
   “จะบ้าเรอะ! ผมไม่พิศวาสกล้ามคุณหรอกนะ” ร่างบางโวย ก่อนจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายเค้นลอดออกมาจากไรฟัน “พูดจริงๆ หรือครับ?”
   “อย่า...เดี๋ยว!! รูฟัส ผมเจ็บ โอ๊ย!!!”
   ฟ่งดิ้นขลุกขลักเมื่อรูฟัสกระโดดขึ้นมากดเขาไว้บนเตียง หนุ่มตาสองสียิ้มพลางพูดต่อ “ไม่ต้องตกใจนะครับ ผมแค่อยากให้คุณดูร่างกายผมชัดๆ”
   “อยากให้ดูคุณถอดให้ผมดูข้างเตียงก็ได้ จะขึ้นมาบนนี้ทำไม!” ฟ่งโวยต่อ รูฟัสยิ้มกริ่ม
   “ก็ผมอยากถอดคุณด้วยนี่”
   ฟ่งถลึงตาใส่รูฟัส มองดูชายหนุ่มค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ปลดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็หันมาปลดของเขาบ้าง ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู
   “ถึงคุณไม่ชอบดูผม แต่ผมชอบดูคุณนะ”
   ใบหน้าของฟ่งกลายเป็นสีแดงจัด
   “ไอ้บ้า ไอ้คนลามก!!!”
---------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่79 p15 3/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 03-01-2012 19:14:15
อ๊าย  กรี๊ดกร๊าด
รูฟัสหื่นมากๆ  ชักสงสารฟงแล้วสิ :impress2:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่79 p15 3/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 04-01-2012 10:39:30
อยากได้อ่ะ   แต่ตอนนี้ตังงค์ไม่มี    จะมีเปิดจองอีกรอบมั๊ยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่79 p15 3/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 04-01-2012 11:19:19
อยากได้อ่ะ   แต่ตอนนี้ตังงค์ไม่มี    จะมีเปิดจองอีกรอบมั๊ยค่ะ

ขึ้นอยู่กับยอดการสอบถามค่ะ (แต่คิดว่าจบรอบนี้คงอีกนาน เพราะไม่น่ามีใครถาม!!) ถ้าไงลองไปสอยที่that's yดูนะคะ ที่นั่นขายแยกค่ะ แต่ราคาจะสูงว่าสั่งตรงประมาณเล่มละ50บาท
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่79 p15 3/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-01-2012 11:08:20
**เรื่องนี้เปิดจองรวมเล่มครบชุดแล้วนะคะ พลาดแล้วพลาดเลย!! (แน่นอน เพราะเรามั่นใจว่าอาจจะไม่ได้รีปริ๊นอีกยาว เนื่องจากยอดมันก็................อย่างว่านั่นแหละ ฮ่ะๆ... :o8:<<<แล้วใครใช้ให้หล่อนเขียนยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ล่าห์!!! :angry2:)

--------------------------------------------------------
บทที่80 Добро пожаловать в Россию
   ฟ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ในตอนที่รูฟัสเปิดประตูห้องเข้ามา หนุ่มสวมแว่นให้มายิ้มให้กับคนร่วมห้องที่เพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกายในตอนเช้า หนุ่มตาสองสียิ้มตอบพลางวางถุงพลาสติกใส่กล่องอาหารซึ่งเขาแวะลงไปซื้อหลังจากออกกำลังกายเสร็จ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ
   สายน้ำจากฝักบัวไหลรดร่างกำยำ รูฟัสปีบแชมพูลงในมือ มันดูน่าเหลือเชื่อ เขาใช้ชีวิตแบบคนปกติมาได้เดือนเศษแล้ว ชีวิตที่มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่า ความสงบสุขแบบนี้จะดำรงอยู่ได้อีกไม่นาน
   ชายหนุ่มขยี้แชมพูลงไปบนศีรษะ ที่อยู่ตอนนี้ของเขาไม่ปลอดภัย เว่ยเฟิงปิงรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ ราฟาแอลก็รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แค่นี้ก็ดูแปลกพอแล้วที่เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนคนธรรมดามาได้เป็นเดือน
   รูฟัสคิดว่าเขาจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ใหม่
   แชมพูถูกล้างออกจากศีรษะ ขณะผู้เป็นเจ้าของร่างหยิบสบู่ขึ้นมาไล้ถูไปตามเรือนร่างกำยำ จะอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรประกันได้ว่าพวกไม่พึงประสงค์จะตามมาเจอ รูฟัสรู้ว่าเขามีศัตรูมาก ที่สามารถพักอยู่ในบ้านหลังน้อยของราฟาแอลที่บาลาตอนฟูเรสได้นั้นเพราะมีการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย ที่พวกเขาเคยทำงานให้ แต่ตอนนี้ เขาแยกกับราฟาแอลแล้ว และเครือข่ายในประเทศไทยก็ดูไม่แข็งแรงพอจะช่วยในเรื่องนี้ ซ้ำที่อยู่ของเขาในตอนนี้ก็คงรู้กันไปทั่ว ที่ใช้ชีวิตสงบสุขมาได้ขนาดนนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากจริงๆ
   รูฟัสหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดศีรษะ เขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับฟ่ง แต่จะคุยอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกตระหนกนัก รูฟัสรู้ว่าถ้าเขาเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกไปตรงๆ คงไม่เป็นการดี มันเหมือนกับประกาศข้อเสียยิ่งใหญ่ของตัวเองให้ฟ่งรู้ อาจจะตอกย้ำให้เห็นว่าการใช้ชีวิตร่วมกับเขาลำบากและไม่ปลอดภัยแค่ไหน
   แต่ยังไงเสียพวกเขาจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ รูฟัสเช็ดตัวพลางครุ่นคิดถึงคำพูดที่จะหลอกล่อให้ฟ่งเห็นด้วยกับการย้ายที่อยู่โดยไม่รู้สึกว่าเขาเป็นต้นเหตุ
   รูฟัสเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ พอหันหน้าไปก็มองเห็นใบหน้าใต้แว่นตาหันมายิ้มให้เขาอย่างน่ารัก ชายหนุ่มยิ้มตอบพลางนึกสะท้อนใจ เขาจะทำลายรอยยิ้มแบบนี้ของฟ่งลงด้วยความจริงพวกนั้นได้อย่างไร รูฟัสคิดว่าต้องมีวิธีการดีๆ ที่จะทำให้ฟ่งเห็นด้วยกับการย้ายที่อยู่โดยไม่เพ่งเล็งว่าการอยู่กับเขานั้นไม่ปลอดภัย
   “รูฟัส คุณมาดูนี่เร็ว นี่ไง โดมรูปหัวหอมที่ผมอยากไปดู” ฟ่งพูดและกวักมือเรียก รูฟัสเดินเข้าไปและพบว่าคนร่วมห้องของเขากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับประเทศรัสเซียอยู่
   “อ้อ...นี่มันที่красная площадъ นี่” รูฟัสพูด ก่อนจะนึกขึ้นได้ “อืม..ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ..อ้อ จัตตุรัสแดง”
   “นั่นแหละ” ฟ่งว่า และนึกขอบคุณที่รูฟัสนึกคำแปลภาษาไทยออก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องงงอีกนานว่าทางนั้นพูดถึงอะไร
   “ผมคิดว่าคุณอยากไปดูเซนต์เจอเจียสที่เซอกีเยฟ โปซัสซะอีก” รูฟัสว่า ฟ่งทำหน้างง “อะไรนะครับ?”
   “อ๋อ” รูฟัสพูด มองดูคนร่วมห้องที่นั่งอยู่บนโซฟาและยิ้มอย่างเอ็นดู “เป็นโบสถ์ที่คนรัสเซียให้ความนับถือกันมากนะครับ คล้ายๆ วัดที่นี่นั่นแหละ อืม...ที่คุณชี้ให้ผมดูนี่คือเซนต์เบซิล เป็นโบถส์เด่นของมอสโคว์วเลยครับ”
   ฟ่งฟังและพยักหน้าหงึกหงัก “โบสถ์ที่คุณว่าอีกที่สวยรึเปล่าครับ?”
   “สวยสิครับ” รูฟัสว่า เขามองหน้าฟ่งอีกครั้งและฉุกคิดบางอย่างได้ทันที
   “ไปดูกันไหมล่ะครับ”
   “หา?” หนุ่มสวมแว่นอุทานอย่างงุนงง “คุณพูดอย่างกับอยู่ใกล้ๆ งั้นแหละ”
   “ไม่ใกล้หรอกครับ แต่ผมจะพาคุณไปดูถึงที่ ไปเที่ยวรัสเซียกันไหมล่ะครับ?”
   ฟ่งหันมามองหน้าเขาทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นที่มีท่าทีแปลกใจนั้นดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ร่างผอมบางนิ่งไปพักหนึ่งจึงถามออกมา
   “ค่าเดินทางเท่าไหร่หรือ ผมจะได้ดูเงินเก็บ”
   คนถูกถามรีบโบกมือทันที “ไม่ต้องดูหรอกครับ ไปกับผม คุณเอาแต่ตัวกับหัวใจไปก็พอ”
   ฟ่งทำหน้าเบ้ “ไม่ได้หรอก ก็ผมอยากจะไปเที่ยวเอง ผมก็ต้องจ่ายสิ”
   รูฟัสมองหน้าคู่สนทนาครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา
   “ครับ งั้นคุณจ่ายให้ผมคืนนี้ก็ได้”
   “อืม..เท่าไหร่ล่ะ?” ฟ่งถามพลางระลึกยอดเงินในบัญชีของตัวเอง ตั้งแต่จบเรื่องร้ายๆ เกือบเดือนแล้วเขายังไม่มีงานใหม่ ไม่รู้ว่าทวีศักดิ์โอนเงินเข้าบัญชีแล้วหรือยัง เห็นว่าทางนั้นถูกจับ หรือว่างานนี้เขาจะเหนื่อยฟรี
   ฟ่งคิดไปต่างๆ นาๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อรูฟัสขยับลงนั่งข้างๆ ร่างกำยำมองหน้าเขาและยิ้มกริ่ม
   “เท่านี้ก็พอครับ” รูฟัสพูดพลางดึงตัวฟ่งเข้าไปกอด ทำเอาคนถูกกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวหน้าแดงทันที ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร รูฟัสก็ก้มลงหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ แถมยังจูบปลายจมูกอย่างรักใคร่ แม้เกือบเดือนที่ผ่านมาจะถูกจู่โจมแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ฟ่งก็อดหน้าแดงออกไปไม่ได้อยู่ดี
   รูฟัสก้มลงจูบพวงแก้มสีชมพูนั้นอีกรอบ และพูดต่อ
   “ไปเที่ยวรัสเซียกับผมนะ”
-------------------------------------------
   หลังจากนั้นอีกสองวัน รูฟัสก็พาฟ่งออกจากห้องได้สำเร็จ แม้จะยังไม่ใช่การย้ายที่อยู่ถาวร แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ออกมาแบบนี้ คงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของเขาดูจะยาวขึ้นอีกหน่อย รูฟัสไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับ เขาให้เหตุผลกับฟ่งว่าไหนๆ ก็ไปแล้ว ฟ่งควรจะได้เที่ยวจนพอใจแล้วถึงค่อยกลับ พอทางนั้นพูดเรื่องค่าใช้จ่าย เขาก็ถือโอกาสหากำไรจากร่างบางๆ นั้นทันที พอโดนบ่อยๆ เข้าฟ่งจึงเลิกถามไปในที่สุด
   รูฟัสมองดูร่างผอมบางที่พริ้มตาหลับอยู่บนที่นั่งข้างๆ เมื่อคืนเหมือนฟ่งจะตื่นเต้นจนนอนไม่ค่อยหลับ พอขึ้นเครื่องและคุยกับเขาได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไปทันที ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงแว่นตาออก และพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ จัดผ้าห่มที่ทางนั้นห่มอยู่ให้เข้าที่ โดยไม่ลืมจะคลุมมือที่กุมกันเอาไว้
หนุ่มตาสองสีอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้เมื่อนึกถึงไออุ่นที่ฝ่ามือ เขาลองขอฟ่งจับมือในตอนที่เครื่องออกใหม่ๆ ทางนั้นดูอิดออดนิดหน่อย แต่พอมีผ้าห่มมาคลุมก็ตอบตกลง และปล่อยให้เขากุมอยู่แบบนั้นจนกระทั่งหลับ รูฟัสอยากจะหอมแก้มฟ่งสักที แต่คงไม่เหมาะนักที่จะทำในเครื่องบิน ช่างเถอะ เวลาแค่เก้าชั่วโมงกว่าๆ ของเขาในการบินครั้งนี้คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอีกช่วงหนึ่ง
--------------------------------------------------
   รูฟัสไม่เคยกลับมาเหยียบรัสเซียอีกเลยตั้งแต่อเล็กเซซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาตายลง และราฟาแอลมารับไปอยู่ด้วย นี่เป็นการกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในรอบสิบสามปีของเขา
   ประเทศที่เต็มไปด้วยความหลังอันแสนปวดร้าว
   ชายหนุ่มทิ้งอดีตอันขมขื่นเอาไว้เบื้องหลัง ก้าวออกไปสู่โลกอันตรายโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด เขาไม่เคยต้องการหวนกลับมาที่นี่อีกเลย
   ที่ที่ความรักของเขาถูกพรากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
   แต่ตอนนี้ ตัวเขาที่เคยทิ้งคำว่ารักไปแล้ว กลับถูกคนข้างห้องที่แสนจะธรรมดาๆ ขุดค้นความอ่อนไหวที่ซ่อนลึกเอาไว้ออกมาเปิดเผย เขารักผู้ชายคนนี้หมดหัวใจ รักและอยากจะอยู่เคียงข้างตลอดไป และฟ่งก็ยอมจะอยู่เคียงข้างเขา
   รูฟัสบีบมือที่กุมอยู่เบาๆ อีกไม่นานเขาก็จะได้ไปเหยียบประเทศที่ฝังความหลังเอาไว้ ความหลังที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง เขาพร้อมที่จะเผชิญกับมันแล้ว เนื่องเพราะมีคนคนนี้อยู่ข้างๆ
   คนที่เขารักที่สุดและจะรักตลอดไป
-------------------------------------------
   เก้าชั่วโมงเศษผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสนามบินมอสโคว์ เป็นโชคดีที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีกับประเทศรัสเซียมาตั้งแต่สมัยร.5 เพื่อเป็นการฉลองความสัมพันธ์อันยาวนาน ทำให้การเข้าประเทศในระยะสั้นๆ สำหรับคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ก็ยังเสียเวลารอกระเป๋าอยู่พักใหญ่ ถึงกระนั้นฟ่งก็ดูจะให้ความสนใจกับการถามคำแปลและคำอธิบายของป้ายต่างๆ ในบริเวณสนามบิน
   สองหนุ่มนั่งรถของสนามบินออกมาจนถึงถนนด้านหน้า ฟ่งลงจากรถและได้สัมผัสอากาศหนาวยะเยือกของรัสเซียเป็นครั้งแรก รูฟัสบอกว่านี่เป็นฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังสบาย แต่ที่ฟ่งรู้สึกคือ เขากำลังหนาวแทบตาย
   ชายหนุ่มกระชับเสื้อสเวทเตอร์ที่รูฟัสซื้อให้ตอนที่ไปฮังการีเข้ากับตัว แต่กระนั้นความหนาวดูจะแทรกเข้ามาตามรูห่างของเนื้อผ้าก็ไม่ปาน รูฟัสโบกมือเรียกรถแท็กซี่ และอมยิ้มเมื่อเห็นว่าฟ่งหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ
   “เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่โรงแรมแล้วผมจะพาไปซื้อเสื้อกันหนาวนะครับ” รูฟัสพูดขณะที่ฟ่งก้าวขึ้นรถ หนุ่มสวมแว่นพยักหน้าหงึกหงัก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ารูฟัสใส่คอนแทกต์เลนต์สี คงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นสีตาที่แปลกประหลาดล่ะมั้ง
   ในรถเปิดฮีตเตอร์ ฟ่งจึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขาเริ่มชะเง้อมองดูทัศนียภาพรอบด้าน และพบว่าที่รัสเซียก็มีรถติด
   รูฟัสอธิบายว่านี่เป็นปัญหาปกติของมอสโคว์ เนื่องจากคนรัสเซียมีฐานะต่างกัน คนมีรถก็ชอบเอารถออกมาวิ่ง ฟ่งพยักหน้าเข้าใจในทันที มันก็คงเป็นปัญหาเหมือนในประเทศไทยนั่นแหละ แต่รถติดที่มอสโคว์ดูจะทำให้หนุ่มสวมแว่นตื่นเต้นอยู่มาก เมื่อเขาพบเห็นทั้งรถที่เก่าบุโรทั่งราวกับใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ไปจนถึงรถแบบแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็น
   “โห...ผมเพิ่งเคยเห็นลีมูซีนตอนยาวของจริงเป็นครั้งแรกนะเนี่ย” ฟ่งพูดออกมาหลังรถเพิ่งผ่านสี่แยกไฟแดงมาได้แยกหนึ่ง รถลีมูซีนสีดำคันยาวแล่นแซงหน้ารถแท็กซี่ของพวกเขาไป
   “อยากนั่งรึเปล่าล่ะครับ?” รูฟัสถามยิ้มๆ ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เอาล่ะ ผมไม่อยากเป็นมาเฟีย”
   “รู้ได้ไงล่ะครับว่ามาเฟียนั่งรถแบบนั้น”
   “ไม่มีชาวบ้านตาดำๆ คนไหนมีเงินซื้อรถแบบนั้นหรอกครับ นอกจากมาเฟีย” ฟ่งสรุปเหตุผล รูฟัสพยักหน้ายิ้มๆ ฟ่งช้อนตาขึ้นมองเขา “หรือว่าผมเข้าใจผิด”
   “เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ” ชายหนุ่มตอบ หลังจากนั้นฟ่งก็ได้เห็นรถแปลกๆ อีกหลายอย่าง ดูเหมือนคนขับจะชวนรูฟัสคุยระหว่างนั้น กว่าจะผ่านพ้นดงรถติดมา ฟ่งก็แทบจะพูดภาษารัสเซียได้ รูฟัสคุยกับคนขับรถราวกับคนรู้จักกันมานาน หลังลงจากรถ คนขับจึงเหน็บนามบัตรแถมมาให้เขาด้วย
--------------------------------------------------
   “ระ....เราจะพักที่นี่เหรอ?” ฟ่งถามอย่างไม่แน่ใจเมื่อลงมายืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงห้าชั้นที่ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของศตวรรษที่สิบเก้า ดูภายนอกหรูหราราวกับพระราชวัง
   “ครับ ที่นี่แหละ” รูฟัสตอบยิ้มๆ ฟ่งตะลึงมองตัวอาคารที่ก่อสร้างตามลักษณะแบบเก่าจนลืมเรื่องอากาศหนาวไปเสียสนิท แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดทาบเข้ากับตัวอากาศเป็นอณูสีแดง ขับเน้นให้สถาปัตยกรรมดูน่ามองเข้าไปอีก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รูฟัสเรียกนั่นแหละ
   “เข้าไปข้างในเถอะครับ คุณหนาวไม่ใช่หรือ?”
   หนุ่มตาสองสีถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูน่าซีดๆ ฟ่งผงะอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะถูมือเข้ากับใบหน้าและจมูก และพบว่าเย็นจัดทั้งคู่ นอกจากนั้นเขายังเริ่มรู้สึกชาที่มืออีกด้วย หนุ่มสวมแว่นหัวเราะเขินๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้สภาพน่าเป็นห่วงน้อยลงนัก รูฟัสจึงจัดแจงพาตัวเขาเข้าไปด้านในของอาคาร
   ล็อบบีด้านในตกแต่งหรูหราไม่แพ้ด้านนอก แค่ความกว้างของมันก็ทำเอาฟ่งนึกไม่ออกแล้วว่าจะมองไปทางไหนดี รูฟัสให้พนักงานนำกระเป๋าเดินทางใส่รถเข็น และปล่อยให้ฟ่งยืนชมสถานที่ไปพลางๆ ระหว่างที่เขาไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์
   ฟ่งไม่เคยเยือนรัสเซียมาก่อน ชีวิตนี้เขาเพิ่งจะได้เคยเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกก็ตอนอายุยี่สิบห้านี่แหละ แถมยังเป็นการเดินทางแบบพิสดารอีกด้วย จะว่าไปการมารัสเซียคราวนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่ธรรมดาที่สุดแล้วก็ได้ หากตัดข้อสงสัยว่ารูฟัสใช้พาสปอร์ตอะไรผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมา
   สถาปัตยกรรมของรัสเซียนั้นค่อนข้างจะแปลกไปจากประเทศในกลุ่มยุโรปด้วยกัน เพราะรัสเซียถูกมองโกละครอบครองระหว่างเกิดการปฏิวัติวงการศิลปะ ในช่วงยุคเรอเนสซองส์ พอหลุดจากมองโกลมาได้ พระเจ้าซาร์จึงสั่งเดินหน้าปฏิรูปศิลปะให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เพราะตกขบวนรถไฟขบวนนี้แหละ ศิลปะและสถาปัตยกรรมในรัสเซียจึงแปลกออกไป
   ฟ่งเดินชมล็อบบีและหันไปเห็นร้านขายของที่ระลึก เขาเห็นตุ๊กตาที่เรียกกันว่าตุ๊กตาแม่ลูกดก ขณะที่กลังจะเดินเข้าไปดู รูฟัสก็กลับมาพอดี
   “ไปที่ห้องกันเถอะครับ”
   ฟ่งจึงจำเป็นต้องละสายตาจากตุ๊กตาที่มีชื่อเสียงนั้นไปก่อน และเดินตามรูฟัสไป
------------------------------------------------
   “มีอะไรหรือครับ?” รูฟัสถามเมื่อเห็นว่าฟ่งยืนนิ่งหลังจากก้าวเข้ามาในห้องพัก เขาลากกระเป๋าเดินทางมาวางไว้หน้าห้องนอน และหันกลับไปมองคนมาด้วยกันอย่างสงสัย
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ เขากำลังมองสำรวจห้องพักที่กว้างขนาดเอาคณะทัวร์มานอนเบียดกันได้สบายๆ ตั้งแต่เกิดมาเขารู้จักแต่โรงแรมที่มีแต่เตียงนอนกับห้องน้ำ เพิ่งเคยเห็นแบบที่แบ่งเป็นห้องๆ เป็นครั้งแรก แถมตกแต่งอย่างหรูหราราวกับอยู่ในคฤหาสน์ก็ไม่ปาน
   “ห้องใหญ่จัง...ฮือ...” ฟ่งพูดและครางออกมาอย่างระงับความรู้สึกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรืออะไรดี แค่ลองจินตนาการถึงราคาค่าห้องพัก ชายหนุ่มก็แทบเกิดอาการเข่าอ่อน นี่รูฟัสไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย
   “ไม่ชอบหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีถามด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาตั้งใจเลือกโรงแรมแห่งนี้ เพราะเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในมอสโคว์ และมีสถาปัตยกรรมแบบเก่าซึ่งสถาปนิกแบบฟ่งน่าจะชอบ แถมยังเลือกจองห้องที่ดูสวยที่สุดด้วยหวังจะได้เห็นสีหน้าดีอกดีใจของคนร่วมทาง แต่กลายเป็นว่าฟ่งทำหน้าเหมือนจะเป็นลมแทน
   “ก็ชอบนะ... แต่แบบนี้มันไม่แพงหรือ? ผมว่าเราพักสักคืนแล้วเปลี่ยนห้องก็ได้” ฟ่งพูดอย่างนึกประหม่าชอบกล รูฟัสยิ้มกว้างออกมาทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณชอบ ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิตแล้วกันครับ หรือว่าคุณอยากจะลองนอนห้องแบบอื่นด้วย จริงๆ ที่นี่มีห้องหลายแบบนะครับ แต่คิดว่าคุณน่าจะชอบสไตล์นี้”
   “แบบนี้ก็สวยแล้วล่ะครับ” ฟ่งพูด แม้จะนึกอยากเห็นห้องสไตล์อื่น แต่พอมาคิดดูว่าต้องเปลี่ยนห้องทุกวันก็คงดูตลกพิลึก และคงจะรบกวนรูฟัสมากเข้าไปอีก หนุ่มตาสองสีเดินยิ้มๆ เข้ามา โค้งตัวและผายมือออก
“Добро пожаловать в Россию ยินดีต้อนรับสู่รัสเซียครับ”
--------------------------------------------
   เพราะในห้องพักมีฮีตเตอร์ ฟ่งจึงรู้สึกดีขึ้นมาก เขากำลังเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง ท้ายที่สุดจึงเดินมานั่งปุตรงโซฟา มองตรงไปยังเปียโนที่วางเยื้องออกไปจากโต๊ะทานอาหารซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามด้วยความสงสัย
   “รูฟัส เปียโนนี่ของจริงหรือตั้งไว้ประดับเฉยๆ น่ะ?” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยถามคนร่วมห้องซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ รูฟัสหันไปมองเปียโนแล้วหันมาพูดกับเขา
   “ของจริงสิครับ คุณอยากให้ผมเล่นให้ฟังไหม?”
   ฟ่งทำหน้าแปลกใจทันที “คุณเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
   “เป็นสิครับ” คนถูกถามตอบ และเดินตรงไปยังเปียโนหลังนั้นทันที
   “อยากฟังเพลงของใครล่ะครับ?” รูฟัสเอ่ยถามหลังจากจัดการเปิดฝาด้านหลังเปียโนออกแล้ว เขาเลื่อนโคมไฟมาตั้งตรงส่วนหน้าแทน และนั่งลงบนเก้าอี้ ฟ่งเดินมานั่งตรงเก้าอี้ที่วางอยู่ในช่องเฉลียงติดหน้าต่างซึ่งอยู่ห่างจากตัวเปียโนไม่มากนัก
   “ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยรู้จักเพลงคลาสสิกเท่าไหร่ คุณเล่นให้ผมฟังเลยดีกว่า”
   รูฟัสผงกศีรษะและเริ่มไล่นิ้วลงบนแป้นตัวโน๊ต เสียงกังวานของสายโลหะขึงเส้นบางดังสะท้อนขึ้น
   เพลงที่รูฟัสเล่นเริ่มต้นด้วยทำนองเชื่องช้าเป็นจังหวะเหมือนคนกำลังเดินเท้า ก่อนจะทอดทำนองอบอุ่นเหมือนรุ่งอรุณที่มีแสงแดดอ่อนๆ เร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้น ฟ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินชมทัศนียภาพของธรรมชาติในยามเช้า ที่มีผีเสื้อบินว่อนไปทั่ว เขามองนิ้วเรียวยาวของรูฟัสที่ไล่ไปตามคีย์เปียโนอย่างเพลิดเพลิน จังหวะทอดช้าลง จนมือเรียวหยุดนิ่ง ชั่วอึดใจ นิ้วมือสวยงามก็ขยับอย่างรวดเร็ว ท่วงทำนองสนุกสนานเหมือนกำลังออกวิ่งก็ดังขึ้น
ฟ่งรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งอยู่จริงๆ เขามองมือของรูฟัสเกือบไม่ทัน และเกือบลืมหายใจในตอนที่จังหวะถูกยื้อให้ช้าลงอย่างกะทันหัน ฟ่งรู้สึกอยากจะหอบหายใจออกมาจริงๆ ท่วงน้ำนองอ่อนหวานเหมือนกำลังเดินเล่นถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้ง ทำนองคล้ายตอนเริ่ม แต่เหมือนหลังจากผ่านช่วงกลางที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นมากะทันหัน ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาก็ดูจะมีมากขึ้นกว่าเดิม คงเหมือนช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้ชายคนนี้
   ตอนที่รูฟัสเคาะนิ้วลงบนตัวโน๊ตสุดท้าย ฟ่งรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสมือนภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ที่รูฟัสเดินมายกของให้เขาในวันนั้น เรื่องราวต่างๆ ที่ได้เผชิญหลังจากนั้น ความสุข ความเศร้า ความเสียใจ ความทุกข์ใจ และความอบอุ่น ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงนั้นก็ไม่ปาน
   “เพลงเพราะจัง” ฟ่งว่า และพยายามสอดนิ้วเข้าไปใต้แว่นเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาโดยไม่ให้ผิดสังเกต แต่ก็ยังโดนทักเข้าจนได้
   “ร้องไห้หรือครับ?” รูฟัสเอ่ยถาม เขาไม่ได้เล่นเปียโนนานมากแล้ว คงสักห้าหกปีเห็นจะได้
   “เปล่า ผมแสบตาเฉยๆ” ฟ่งเฉไปทางอื่น
   “แหม...ผมคิดว่าคุณกำลังซึ้งกับเพลงที่ผมเล่นเสียอีก” รูฟัสพูดเย้า แต่ก็ต้องเบิ่งตาอย่างแปลกใจเมื่อฟ่งพยักหน้า
   “อืม....เพลงของใครหรือ?” ฟ่งถามต่อ พยายามกลบเกลื่อนคำเฉไฉเมื่อครู่ของเก่า
   รูฟัสตัดสินใจว่าเขาจะไม่แกล้งเย้าฟ่งต่อ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าฟ่งเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ถึงกับน้ำตาไหลเพราะเพลงที่เขาเล่น แบบนี้รูฟัสก็อดดีใจไม่ได้
   “ของไซโคฟสกีน่ะครับ เป็นนักดนตรีรัสเซีย เพลงที่ผมเล่นเป็นท่อนนึงของConcero for piano and orchestra no1 น่ะครับ ไม่รู้ทำเหมือนกันนะครับ พอมองหน้าคุณแล้ว ผมก็อยากจะเล่นเพลงนี้ขึ้นมา”
   “อืม...” ฟ่งพูดต่อไม่ออก รูฟัสเล่นเพลงนี้ออกมาเพราะนึกถึงเรื่องราวระหว่างพวกเขาอยู่ด้วยรึเปล่า? ฟ่งไม่รู้ว่าดนตรีสามารถสื่อหัวใจกันได้จริงไหม แต่ที่แน่ๆ ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่รูฟัสเล่นเพลงนั้น หัวใจของเขาล้นทะลักไปด้วยความรู้สึก
!
   รูฟัสโอบร่างที่โผเข้ามาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ฟ่งกอดเขาแน่น แนบหน้าลงบนหัวไหล่กว้าง เหมือนความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของฝ่ายนั้นไหลท่วมเข้ามาในใจเขาด้วย รูฟัสลูบศีรษะยุ่งๆ นั้นอย่างอ่อนโยน
   ไม่มีคำพูดอะไรที่ดีพอจะสื่อความรู้สึกนั้นให้อีกฝ่ายได้รับรู้ได้ แต่ก็เหมือนอ้อมกอดแนบแน่นนั้นได้ถ่ายทอดถ้อยคำที่ไม่อาจบรรยายให้แล้ว
--------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่79 p15 3/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 05-01-2012 11:13:50
   รูฟัสพาฟ่งมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารของโรงแรม เนื่องจากฟ่งยืนกรานว่าอยากจะดูโรงแรมในหลายๆ ส่วน หนุ่มตาสองสีรู้สึกเสียดายบรรยากาศหวานๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้อง เขาอยากจะอยู่กับความอ่อนหวานของฟ่งอีกสักหน่อย แต่เหมือนทางนั้นจะรู้สึกตัวและพยายามจะหลีกเลี่ยง เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน เขาจะขัดใจฟ่งไปทำไมให้เสียเรื่องเปล่าๆ
   ฟ่งกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่ารูฟัสจะเผลอฉวยโอกาสที่บรรยากาศเป็นใจจัดการทำให้เขาลุกไม่ขึ้นจนถึงรุ่งเช้า ดังนั้นพอรู้สึกตัวจึงรีบหาทางหลบออกจากสถานการณ์ดังกล่าวทันที
   ที่ห้องอาหาร ฟ่งได้เห็นคาร์เวียของจริงเป็นครั้งแรก ยังคงเป็นรูฟัสที่อธิบายความเป็นมาเป็นไปให้ฟังอีกเช่นเคย
   “คาเวียร์แปลว่าไข่ปลาน่ะครับ ปกติจะใช้ไข่ของปลาสเตอร์เจียน”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก พยายามนึกว่าปลาสเตอร์เจียนรูปร่างหน้าตายังไง
   “แต่ของปลอมจะใช้ไข่ปลาแซลมอนทำ อืมในโรงแรมนี่คงเป็นของจริงล่ะครับ” หนุ่มตาสองสีพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว ฟ่งเปิดเมนูอาหารอยู่ และค้างเอาไว้ตรงคาร์เวียพอดี
   “แล้วสีดำกับสีแดงต่างกันยังไงน่ะ” หนุ่มสวมแว่นถามต่อ เขาได้ยินว่าคาร์เวียเป็นอาหารราคาแพงมาก แต่ไม่รู้มาก่อนว่ามีสีดำด้วย รูฟัสยิ้มเล็กๆ
   “สีดำนี่ถือเป็นคาเวียร์ชั้นดีเลยล่ะครับ ทำจากไข่ปลาเบลูก้า อืม...ไว้เดี๋ยวผมเห็นรูปแล้วจะชี้ให้คุณดู” หนุ่มตาสองสีว่า ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ
   “แล้วมัน คาวรึเปล่า?”
   “ลองดูไหมล่ะครับ?” รูฟัสว่า ฟ่งสั่นศีรษะทันที เขาเห็นราคาด้านหลังแล้วอดสยองไม่ได้ รูฟัสจ่ายให้เขาเยอะแล้ว กับเรื่องของกิน ฟ่งคิดว่าเขาไม่ควรจะรบกวนทางนั้นอีก ก็แค่อยากรู้ว่ามันต่างกันยังไงเท่านั้นเอง
   “ไม่อยากลองชิมจริงๆ หรือครับ?” รูฟัสยังคงแหย่ต่อ ฟ่งสั่นศีรษะอย่างจริงจัง
   “ไม่ล่ะ ผมว่ามันคงกินไม่อิ่ม เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกันอีกนี่ กินอะไรที่มันอิ่มท้องดีกว่า” ชายหนุ่มหาเหตุผลมาอ้าง ทางหนึ่งคือหยุดยั้งไม่ได้รูฟัสจ่ายเงินเกินเหตุ อีกทางก็ปลอบใจตัวเองด้วยว่ามันก็แค่ไข่ปลาที่กินไม่อิ่มเท่านั้นเอง
   “ก็ได้ครับ” รูฟัสยอมง่ายๆ สองคนจึงพลิกเมนูอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่รูฟัสจะเรียกบริกรมาสั่งอาหาร
-------------------------------------------
   อาหารเย็นมือแรกในรัสเซียไม่ถึงกับเลวร้ายมากนัก แม้จะรสชาติแปลกลิ้นไปบ้าง แต่ก็ถือว่าอร่อยทีเดียว สิ่งที่ฟ่งสั่งไปรูฟัสมาอธิบายตอนหลังว่ามันคือ Vareniki อธิบายเป็นภาษาไทยก็คล้ายๆ กับเกี๊ยวที่ใส้ในทำจากมันฝรั่งและกระหล่ำปลีเป็นส่วนผสมหลัก อาจจะมีผลไม้ผสมบ้างนิดหน่อย
   ฟ่งเดินออกจากโรงแรมอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเจอกับสายลมหนาวเหน็บยามพลบค่ำ จากที่ตกลงกับรูฟัสว่าจะเดินไป เพราะรูฟัสบอกว่าห้างอยู่ไม่ไกลนี้เอง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกแท๊กซี่ไปแทน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองอาคารทรงยุโรปลักษณะคล้ายปราสาทสูงสามชั้นที่ตัวอาคารทอดยาวออกไปสองด้านด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ จากที่รูฟัสบอก ดูเหมือนนี่จะเรียกว่ากุม(GUM) เป็นห้างสรรพสินค้าที่หรูหราที่สุดในประเทศรัสเซีย หนุ่มสวมแว่นยืนมองตัวอาคารอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบแจ้นเข้าไปด้านในเพราะลมหนาวที่พัดวูบเข้ามา
   ทันทีที่เข้าไปในตัวห้าง ฟ่งก็ต้องยืนอ้าปากค้างอีกรอบ ห้างที่นี่ต่างหากห้างที่เขาเคยเดินในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง ด้านในเหมือนเป็นเมืองขนาดย่อมๆ มีหลังคากระจกใสบุด้านบน เลยเหมือนกับอยู่กลางแจ้งอย่างไงอย่างนั้น แถมยังมีน้ำพุอยู่ตรงจัตุรัสทางเดินอีก
   ฟ่งลืมเรื่องหนาวไปสนิท เขารีบยกกล้องมาถ่ายภาพเอาไว้เป็นการใหญ่ ถ้าไม่เห็นบันไดเลื่อนคงไม่เชื่อว่านี่คือห้างจริงๆ
   “โอ้โห....อลังการสุดๆ เลย” หนุ่มสวมแว่นอุทานพลางถ่ายรูปไว้อีกหลายมุม รูฟัสยิ้มแต้ด้วยความภาคภูมิใจราวกับเขาเป็นคนสร้างที่นี่ก็ไม่ปาน
   “สมัยก่อนที่นี่เป็นตลาดในร่มน่ะครับ พอถึงยุคคอมมิวนิสก็ถูกปิดไปช่วงนึง กลับมาเปิดอีกทีก็กลายเป็นห้างหรูไปแล้ว” รูฟัสอธิบาย ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก มองไปก็คงพอจะเทียบได้กับสำเพ็งล่ะมั้ง รูฟัสพาเขาเข้าไปในร้านขายเสื้อขนสัตว์ร้านหนึ่ง หลังจากวุ่นวายกับป้ายราคาและขนานของเสื้อที่ดูจะหายาก สุดท้ายฟ่งก็ลงเอยที่ชุดกันหนาวสำหรับเด็กวัยรุ่นสีน้ำตาลอ่อนที่มีขนกระต่ายอยู่ตรงคอพอน่ารัก ที่พอหยิบมาปุ๊บ รูฟัสคะยั้นคะยอให้ลองใส่ทันที
   “ชอบรึเปล่าครับ?” หนุ่มตาสองสีถาม หลังฟ่งยืนมองตัวเองหน้ากระจก ไอ้ชอบก็ชอบอยู่หรอก อยู่เมืองร้อนมาตั้งยี่สิบกว่าปี เพิ่งเคยลองใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์จริงๆ จังๆ ครั้งแรกนี่แหละ แต่ราคาก็พาลจะฆ่าให้ตายเหมือนกัน ฟ่งคิดว่าขืนเขาทำท่าอะไรออกไปรูฟัสต้องรีบจ่ายเงินให้แน่ๆ ครั้นจะหาตัวอื่น ราคาก็ไม่ต่างกันมากนัก ขณะที่กำลังยืนคิดอยู่ หมวกใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้เขา
   “นิ่มจัง” ฟ่งพูด ขณะรับหมวกมาจากมือของรูฟัส ขนกระต่ายที่คอก็ว่านุ่มแล้ว พอมาเป็นหมวกทั้งใบ ก็ชวนให้อยากเอาหน้าถูไถ
   หมวกที่รูฟัสเลือกมาให้เข้าคู่กันพอดีกับเสื้อที่ฟ่งสวมอยู่ ฟ่งเอียงคอดูตัวเองหน้ากระจก รู้สึกขบขันนิดหน่อย หน้าแบบเขาพอมาอยู่ในชุดกันหนาวแบบนี้แล้วดูแปลกตาจริงๆ
   พนักงานขายเดินมาพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่ออก
“เขาบอกว่า คุณใส่แล้วน่ารักดีครับ ทำให้นึกถึงน้องชายที่บ้าน”
   ฟ่งหัวเราะแหะๆ และพูดขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษออกไป รูฟัสจึงบอกให้เขาลองพูดเป็นภาษารัสเซียดู
   “Благодарю”
   แค่ฟังรูฟัสออกเสียง ฟ่งก็รู้สึกสยองตัวเองขึ้นมาทันที เขาลองพูดตามออกไป พนักงานสาวหัวเราะชอบใจและหันมาพูดอะไรกับรูฟัสอีกสองสามประโยค หนุ่มตาสองสีตอบยิ้มๆ
   “เขาบอกว่าคุณน่ารักจัง ผมเลยบอกเขาว่าคุณเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม ผมมีญาติน่ารักๆ น่าภูมิใจนะครับเนี่ย”
   ฟ่งยิ้มเขินๆ ไม่รู้ว่ารูฟัสตั้งใจแปลเอาใจเขารึเปล่า แต่เขารู้สึกดีที่ทางนั้นไม่ได้บอกความสัมพันธ์จริงๆ ออกไป เป็นลูกพี่ลูกน้องก็ดูจะดีเหมือนกัน
   “งั้นคุณก็เป็นพี่ชายผมน่ะสิ ผมเรียกคุณว่าอะไรดี พี่รูฟัส” ฟ่งพูดและหัวเราะออกมา รูฟัสยิ้มค้างไปพักหนึ่ง
   นานแล้วที่ไม่ได้ยินใครเรียกว่าพี่
   “ผมแต่งตัวแบบนี้ไม่ผิดปกตินะ?” ฟ่งถามอย่างกังวล เพราะตอนเดินเข้ามาในห้างเหมือนจะไม่ค่อยเห็นใครใส่เสื้อโค้ทขนสัตว์แบบนี้สักเท่าไร รูฟัสสั่นศีรษะ
   “ไม่หรอกครับ ก็คุณหนาวนี่นา เดี๋ยวผมซื้อไปด้วยสักตัวดีกว่า เห็นว่าหิมะอาจจะตก”
   รูฟัสเลือกเสื้อโค้ทได้ในเวลาอันรวดเร็ว เขาไม่มีปัญหากับขนาดเสื้อผ้า และเหมือนจะใส่ชุดอะไรก็ดูดีทั้งนั้น ชุดที่รูฟัสเลือกเป็นชุดโค้ทยาวสำหรับผู้ใหญ่สีเทา มีเข็มขัดคาดปิดแทนกระดุม ท่าทางจะจงใจเลือกที่มีขนสัตว์ที่คอเพื่อให้เข้าชุดกัน
   “สีเทานี่ขนอะไรน่ะ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย หลังจากทั้งคู่เดินออกมานอกร้านแล้ว สุดท้ายฟ่งก็จำต้องปล่อยให้รูฟัสจ่ายเงินซื้อตามสบาย เพราะพอทำท่าจะอ้าปาก ทางนั้นก็หันมายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฟ่งกลัวรูฟัสจะให้เขาจ่ายด้วยอย่างอื่นอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจเงียบเอาไว้ดีกว่า
   “ขนหมาป่าน่ะครับ” รูฟัสตอบ ฟ่งทำตาโต “ขอจับหน่อยได้ไหม?”
   คนถูกขอพยักหน้า ฟ่งเลยเอื้อมมือไปลูบๆ ขนสัตว์สีเทาที่แพลมออกมาจากปกเสื้อ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ
   “นิ่มเหมือนกันแหะ แต่ผมชอบขนกระต่ายมากกว่า” หนุ่มสวมแว่นว่าและยกมือขึ้นลูบหมวกขนกระต่ายที่ซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ รูฟัสยิ้มแต้
   “ขนกระต่ายเหมาะกับคุณแล้วล่ะครับ”
   ฟ่งพยักหน้าอย่างพาซื่อ รูฟัสหันมองร่างผอมบางที่ตอนนี้อยู่ในเสื้อโค้ทที่มีปกเสื้อปุกปุยแล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งดูน่ารักมากจริงๆ ชายหนุ่มพาคนร่วมห้องเดินไปตามระเบียงทางเดินก่อนจะหยุดหน้าคาเฟ่แห่งหนึ่ง
   “ทานเครื่องดื่มกันดีไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากชวน “ที่นี่มีเครื่องดื่มแปลกๆ ที่เมืองไทยไม่มีด้วยนะครับ”
   “ถ้าวอดก้าผมไม่กินนะ” ฟ่งว่า รูฟัสหัวเราะ “ผมไม่ชวนคุณกินวอดก้าตอนนี้หรอกครับ ผมอยากให้คุณลองชิมКифирดูน่ะ”
   พอเห็นฟ่งทำหน้าสงสัย รูฟัสก็ถือโอกาสจูงเจ้าตัวเข้าไปทันที ชายหนุ่มเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ริมระเบียง เพื่อให้ฟ่งมองเห็นด้านล่างได้ชัดๆ พอเปิดเมนู หนุ่มสวมแว่นก็ดูจะมีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที
   “ไอ้สีดำๆ นี่เรียกว่าอะไรน่ะ?” เขาถาม พลางชี้มือลงไปในเมนู
   “อ๋อ Квас ครับ มันเปรี้ยวๆ นิดหน่อย จะสั่งมาลองไหมล่ะครับ?”
   “แล้วที่คุณบอกผมเมื่อตะกี้ล่ะ?” ฟ่งถามต่อ รูฟัสจึงชี้มือลงไปบนรูปอีกรูปหนึ่งในเมนู ฟ่งพยักหน้า ได้ยินเสียงคนนั่งตรงข้ามพูดต่อ
   “สั่งกันคนละอย่างแล้วกันครับ คุณจะได้ลองกินทั้งสองอย่าง”
   ไม่นานนักฟ่งก็ได้ลองชิมเครื่องดื่มชื่อประหลาดทั้งสองอย่าง อย่างหนึ่งคล้ายนมบูด อีกอย่างรสชาติอธิบายไม่ถูก เอาว่าพิสดารพอๆ กับชื่อนั่นแหละ พอเห็นคนลองทำหน้าเหยเก รูฟัสจึงเรียกบริกรมาสั่งบางอย่างเพิ่ม
   “เปรี้ยวแบบนี้ไม่เอาแล้วนะครับ” ฟ่งพูดและทำหน้าน่าสงสาร รูฟัสหัวเราะเบาๆ
   “ผมสั่งขนมมาเพิ่มน่ะ กินกับพวกนี้เข้ากันดี”
   ที่รูฟัสสั่งเพิ่มมาเป็นขนมคล้ายๆ แพนเค๊กซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราดด้วยน้ำผึ้งดูน่ากิน พอได้ของหวานเข้าไป ฟ่งเริ่มรู้สึกว่าเครื่องดื่มพวกนั้นอร่อยขึ้นมาทันที ระหว่างที่ฟ่งเพลิดเพลินกับขนมและเครื่องดื่มต่างถิ่น รูฟัสก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จริงๆ ฟ่งอยากไปเข้าด้วย แต่ยังจัดการขนมตรงหน้าไม่หมด และก็ยังไม่ปวดมาก ดังนั้นจึงปล่อยให้รูฟัสไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ส่วนตัวเองตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับอาหารต่อ
   แต่รูฟัสหายไปเข้าห้องน้ำนานมากจริงๆ จนฟ่งกินเกลี้ยงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมา หนุ่มสวมแว่นเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาบ้าง แต่นึกอีกทีรูฟัสอาจจะท้องเสียก็ได้ ก็เครื่องดื่มมันเปรี้ยวเสียขนาดนี้ ไม่สิ ถ้าใครจะท้องเสียก็ควรจะเป็นเขามากกว่า ขณะที่เริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ คนที่อยู่ในห้วงภวังค์ก็กลับมาพอดี
   “ขอโทษทีครับ พอดีห้องน้ำคนเยอะมากเลย สงสัยจะเป็นวันห้องน้ำแห่งชาติ” รูฟัสอธิบายเหตุผลที่มาสาย ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และนึกเห็นด้วยว่าคงเป็นวันห้องน้ำแห่งชาติจริงๆ นานๆ ทีจะเห็นว่าห้องน้ำชายคิวยาวขนาดนี้
   “อืม..อร่อยมั้ยครับ” รูฟัสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าของที่สั่งมาถูกจัดการเรียบไปแล้ว ฟ่งพยักหน้า และรีบพูด “จริงๆ ตอนแรกผมว่าจะแบ่งไว้ให้คุณนะ แต่เห็นคุณหายไปนานมาก ผมเลย...เผลอกินจนหมด”
   ประโยคสุดท้ายอดจะกระดากความตะกละของตัวเองไม่ได้ รูฟัสยิ้มร่าเริง
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณอร่อย ผมก็อิ่มล่ะ ออกไปเดินย่อยขนมกันหน่อยดีไหมครับ”
-----------------------------------------
ทั้งคู่เดินออกจากห้างมาที่ถนนใหญ่ซึ่งเปิดไฟสว่างไสว หนุ่มตาสองสีก็ชี้มือไปยังอะไรบางอย่าง พอฟ่งหันไปก็เห็นโดมรูปหัวหอมที่มีไฟสป็อตไลท์ส่งไปยังยอด
   “นั่นคือโบสถ์เซนต์เบซิลครับ คนที่นี่เรียกว่าซาโบร์ วาซิเลีย บลาเชนนาวา”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก และคิดว่าเขาเรียกเซนต์เบซิลอย่างเดิมแหละดีแล้ว ภาษารัสเซียนี่ออกเสียงประหลาดจริงๆ
   ยอดโดมนั้นตั้งห่างออกไปโดยมีสวนสาธารณะกั้นกลาง รูฟัสบอกว่านี่คือพื้นที่ของจัตุรัสแดง แต่เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว รูฟัสจึงพาฟ่งเดินกลับออกไปอีกทาง ผ่านพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของรัสเซีย รูฟัสอธิบายเพิ่มเติมว่าทั้งโบสถ์เซนต์เบซิล และพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เรียกว่าจัตุรัสแดง และบนจัตุรัสแดงนี่ยังมีพิพิธภัณฑ์เลนินตั้งอยู่ ถัดออกไปคือพระราชวังเคลมลิน ระหว่างเดินรูฟัสชี้ให้ดูยอดโดมที่ถูกไฟส่องอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป เขาบอกว่านั่นคือวิหารเคลมลิน ฟ่งพยักหน้าหงึกหงักและหมายมั่นปั้นมือว่าพรุ่งนี้จะต้องตระเวนดูสถานที่พวกนั้นให้สมอยาก
   อากาศในช่วงใกล้ดึกเริ่มหนาวจัด หนุ่มสวมแว่นถึงกับต้องหยิบหมวกขนสัตว์ขึ้นมาใส่ และพบว่ามันทำให้อุ่นขึ้นมากจริงๆ ฟ่งดึงหมวกให้เข้าที่แล้วหันไปมองคนเดินข้าง แก้มและจมูกของรูฟัสเริ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อเพราะความหนาว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกอะไรนัก ฟ่งคิดว่ารูฟัสดูดีในชุดเสื้อโค้ทขนสัตว์แบบนี้จริงๆ อืม.. จะว่าไปเขายังไม่เคยเห็นว่ารูฟัสใส่อะไรแล้วดูไม่ดีเลย
ถึงตรงนี้ฟ่งอดอิจฉาปนอนาถตัวเองไม่ได้ เขาอยากจะเดินข้างกับรูฟัสอย่างภาคภูมิใจบ้าง ไม่ใช่ใครเห็นใครก็ทักว่าดูผอมไปบ้างล่ะ ดูแก่ไปบ้างล่ะ ฟ่งคิดว่าเขาต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ แต่คงต้องตัดเรื่องที่จะให้รูฟัสเป็นพี่เลี้ยงในการออกกำลังกาย เรื่องคราวที่แล้วยังฝังใจเขาไม่หาย หรือรูฟัสอยากให้เขาดูแย่แบบนี้ไปเรื่อยๆ?
   “นี่รูฟัส ผมเปลี่ยนไปใส่คอนแทกต์เลนส์ดีมั้ย?” ฟ่งเอ่ยถามขณะเดินผ่านสวนเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่จะมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรม รูฟัสหันมาทำหน้าสงสัย “ทำไมล่ะครับ?”
   “อืม... เผื่อจะดูดีขึ้น” ฟ่งพูด และนึกว่าตั้งแต่ใส่แว่นมาเขายังไม่เคยอยากจะลองไปใส่คอนแทกต์เลนส์เลยสักหน นี่คงเป็นหนแรก
   “ผมว่าคุณใส่แว่นก็ดูดีอยู่แล้วนะครับ แต่ถ้าคุณคิดว่ามันลำบาก จะเปลี่ยนไปใส่คอนแทกต์เลนส์ก็ได้”
   “จริงๆ ผมชอบใส่แว่นมากกว่า แต่ผมอยากดูดีเหมือนคุณบ้างนี่” ฟ่งว่า รูฟัสก้าวเลยหน้าเขามาหน่อยหนึ่ง แล้วหันกลับมาพูด
   “โธ่ แค่นี้คุณก็ดูดีดูน่ารักสุดๆ แล้วล่ะครับ ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้”
   “แต่คนอื่นเขาไม่มองแบบคุณนี่” ฟ่งแย้ง และพูดต่อ “ผมอยากให้คุณภูมิใจบ้าง แบบว่าถ้าต้องมาเดินคู่กับคนโทรมๆ อย่างผม มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ?”
   “ใครบอกคุณว่าไม่ดีล่ะครับ” รูฟัสพูดสวนขึ้นบ้าง “คุณจะไปสนใจคำพูดคนอื่นทำไม ผมชอบคุณที่คุณเป็นแบบนี้ แค่นี้ก็พอแล้วนี่ครับ แล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าคุณโทรมสักหน่อย ขนาดพนักงานขายเสื้อผ้ายังบอกว่าคุณน่ารักเลย”
   “คนอย่างผมน่ารักตรงไหน” ฟ่งทำหน้าบู้บี้ รูฟัสอยากจะพูดเสียจริงๆ ว่า”ก็ตรงที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ” สำหรับเขาแล้วไม่ว่าฟ่งจะทำอะไรก็ดูน่ารักน่ากอดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเป็นอยู่คนเดียวรึเปล่า รูฟัสภาวนาให้เขามีอาการแบบนี้เพียงคนเดียวในโลก จะได้ไม่มีไอ้บ้าตัวไหนมาแย่งฟ่งไปจากเขา
   “ฟ่งครับ คุณไม่รู้จริงๆ หรือครับว่าตัวเองน่ารัก” รูฟัสพูดต่อ ฟ่งทำหน้าแสลงใจ “ผมไม่น่ารักหรอก”
   “ก็คุณคิดแบบนั้นของคุณเองนี่ครับ คุณคิดว่าตัวเองไม่น่ารัก ผมบอกว่าคุณน่ารัก คุณก็ไม่เชื่อ แล้วคุณคิดว่าแบบไหนถึงจะน่ารักล่ะ”
   “......”
   “เห็นไหมล่ะครับ พอเอาเข้าจริงคุณก็ไม่รู้ว่าน่ารักคืออะไร”
   “อืม....ผมว่า...ถ้าผมเด็กกว่านี้อีกสักหน่อย หรือไม่ก็....” ฟ่งนึกต่อไม่ออก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าน่ารักสำหรับผู้ชายด้วยกันคืออะไร เพราะเขาไม่เคยนึกชอบผู้ชายมาก่อน และครั้นจะมองหาความน่ารักในตัวรูฟัส ก็ไม่รู้จะกำหนดยังไง เขาแค่รู้สึกว่ารูฟัสเป็นผู้ชายที่ดูดีมากเท่านั้นเอง
   “คุณอยากดูดีเพราะผมรึเปล่าล่ะครับ?” หนุ่มตาสองสีถามต่อ ฟ่งพยักหน้ายอมรับ รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยน
   “อยากทำอะไรเพื่อผม ให้ผมภูมิใจในตัวคุณใช่ไหมครับ?”
   “อืม...” แม้อากาศจะหนาว แต่ไม่รู้ทำไมฟ่งถึงรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว และต้องหน้าแดงกว่าเดิม เมื่อนัยน์ตาสุกใสคู่นั้นมองตรงมา
   “คุณรักผมมากจนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่ไหมครับ?”
   “อื้ม..” ฟ่งเค้นเสียงสูง รู้สึกร้อนผ่าว่ขึ้นมาทั้งใบหน้าจริงๆ เขาไม่กล้ามองสบตารูฟัสอีกแล้ว ร่างบางเบือนหน้าไปทางอื่น
   ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นถนนสาธารณะ รูฟัสคงกอดฟ่งแล้วจูบลงไปเสียตอนนี้ นานๆ ทีฟ่งจะยอมรับต่อหน้าว่าคิดยังไงกับเขา แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอีกครั้ง
   “ถ้าคุณรักผม อยากทำให้ผมภูมิใจล่ะก็... ขยับมาใกล้ๆ อีกสิครับ”
   ฟ่งร้อนผ่าวไปทั้งตัว ก้าวเท้าทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า ไปยังตำแหน่งที่เท้าของรูฟัสยืนอยู่ ก่อนจะกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
   ใบหน้าหล่อเหล่าคลี่ยิ้มละมุนละไม
   “ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองล่ะก็ เปลี่ยนมารักผมให้มากๆ สิครับ มองแต่ผม คิดถึงแต่ผมก็พอ ผมอยากให้คุณมองแค่ผม เพราะผมมองแค่คุณ อย่าพยายามให้ใครมองคุณอีกเลยนะครับ เพราะผมอยากมองคุณคนเดียว อย่าสร้างคู่แข่งให้ผมอีกเลยนะ”
   ฟ่งร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว ขณะที่รูฟัสยื่นมือมากุมมือเขาไว้
   “รู้ไหมครับ คุณน่ารักจะตาย ไม่น่ารักไอ้รัสเลอร์มันจะขโมยจูบคุณทำไมล่ะครับ รู้รึเปล่าว่าคุณทำให้เจ้าสติเฟื่องนั่นถึงกับเสนอตัวเองมาเป็นคู่แข่งกับผม ไม่เคยสังเกตเลยหรือครับว่าคนรอบตัวเขารู้สึกกับคุณยังไง กี่คนที่ขโมยจูบคุณล่ะครับ? อย่าโปรยเสน่ห์ให้ผมคลั่งไปมากกว่านี้เลยครับ แค่นี้ผมก็แทบจะแอบคุณเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นอยู่แล้ว”
   ฟ่งตัวร้อนทนคิดว่าใกล้จะเดือดเต็มที เลยรีบพูดตะกุกตะกัก “รูฟัส..คะ..คุณกำลังจะทำให้ผมหลงตัวเองนะ”
   “ก็ดีสิครับ ผมไม่อยากให้คุณเศร้าเวลาต้องเดินคู่กับผม คุณน่ารัก ผมภูมิใจที่มีคนรักน่ารักๆ แบบคุณ ภูมิใจในตัวเองหน่อยสิครับ นะครับ ผมรักคุณนะ”
   “อืม...” เกิดมาฟ่งยังไม่เคยเขินจนรู้สึกตัวร้อนจัดขนาดนี้มาก่อนเลย คงเป็นพราะอากาศหนาวนี่ด้วยล่ะมั้ง เขาช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง
   “รูฟัส...” ฟ่งพูดค้าง มองดูดวงหน้าคมเข้มนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน รักจนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่ไม่เคยอยากจะทำมาก่อนตลอดชีวิต แต่ผู้ชายคนนี้ก็ชอบที่เขาเป็นเขาแบบนี้
   “กลับห้องกันเถอะครับ ผมหนาวจะแย่แล้ว” หนุ่มตาสองสีพูดขึ้น ฟ่งพยักหน้า และออกเดินคู่กันไปอีกครั้ง ฝีเท้าของคนทั้งคู่ประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างไม่ตั้งใจ รูฟัสก้มลงกระซิบข้างหูฟ่งตอนก่อนจะถึงหน้าประตูโรงแรม
   “ขึ้นไปแล้วช่วยทำให้ผมอุ่นทีสิครับ นะครับ คนน่ารักของผม”
   ใบหน้าของฟ่งกลายเป็นสีแดงจัด เขาอดไม่ได้ต้องทุบรูฟัสไปทีหนึ่ง
   ไม่รู้ว่าตัวเองน่ารักรึเปล่า แต่ฟ่งรู้ว่าตอนนี้รูฟัสน่าทุบที่สุดเลย
--------------------------------------------
**ช่วงAfter storyนี่เป็นอะไรที่เวิ่นเว้อแบบสุดๆ ขนาดเขียนเองกลับมาอ่านเองยังขนลุกกับความติงต๊องและน้ำเน่าของคู่นี้... เอาน่า.... คนมีความรักมันก็งี้แหละ (แก้ตัวไปวันๆ จริงๆ :o8:)

เรื่องน่าตกใจคือเราสามารถเวิ่นเิ้ว้อมันจนจบได้ที่88ตอน (เยี่ยมเลยรูฟัส!!)

เหลืออีกแค่8ตอนเรื่องนี้จะจบสักที (ส่วนที่เหลือไปเก็บตกเอาในตอนพิเศษและในรวมเล่มฉบับพิเศษนะจ้ะ<<ใครจะเก็บกับหล่อนย้า!!! :angry2:)

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ^^ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 05-01-2012 15:04:05
ลง 8 ตอนรวดเลยไม่ได้หรอค่ะ


ฟงน่ารักเกิน  :bye2:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 06-01-2012 00:45:16
สวีตกันจนคนอ่านอิจฉาตาเนี่ยลุกเป็นไฟแล้วว!!
ทำไมชีวิตเราไม่มีอย่างงี้บ้างอ่ะ TT^TT

/me --> วิ่งไปที่หน้าผา : ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัสมันหายไปไหนหมดค้าา !!
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 06-01-2012 04:15:11
เจอฮ่องกงน้ำตาไหล
กลับมาไทยเล่นหวานซ่า
บินไปรัสเซีย อูยยยยยยยยย

อิจฉาโว๊ยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-01-2012 09:02:04
**เปิดโหวตตัวละครแล้วนะค้า ชอบใครรักใครโหวตกันได้ แต่ไม่มีรางวัลอะไรนะเออ ฮ่าๆ**

ตอบคอมเม้นต์ก่อน

ลง 8 ตอนรวดเลยไม่ได้หรอค่ะ


ฟงน่ารักเกิน  :bye2:

ลง20ตอนเคยทำมาแล้วค่ะ ปรากฏว่าคนอ่านอ่านกันไม่ทัน แหะๆ อัพมันวันละตอนนี่ล่ะค่ะ อีกไม่กี่วันก็จบแล้ว^^

สวีตกันจนคนอ่านอิจฉาตาเนี่ยลุกเป็นไฟแล้วว!!
ทำไมชีวิตเราไม่มีอย่างงี้บ้างอ่ะ TT^TT

/me --> วิ่งไปที่หน้าผา : ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัสมันหายไปไหนหมดค้าา !!

"ผู้ชายดีๆ อย่างรูฟัส"<<แอบช็อก!!! ไอ้นี่มันผู้ชายกะล่อน ตอแหล หื่น หน้าด้าน หน้าทน มีดีอย่างเดียว รักจริงหวังแต่ง รักแท้หวังฟัน (โห... นี่คือสิ่งที่เราคิดกับพระเอกเรื่องนี้นะเนี่ย ฮ่าๆ)

แต่เราก็รักนะคะ อิอิ

-----------------------------------------------------
ต่อตอน81เลยค่ะ
-----------------------------------------------------

บทที่81 เหตุผลโง่ๆ ของฮีโร่จำเป็น
แม้เมื่อคืนทั้งคู่จะมาถึงห้องด้วยบรรยากาศหวานหวิว แต่จนแล้วจนรอดฟ่งก็ยังยืนกรานจะขอนอนเฉยๆ เพราะกลัวจะตื่นไปดูอะไรต่อมิอะไรพรุ่งนี้ไม่ไหว พอเห็นดวงตาสีน้ำตาลมองอย่างจริงจังตั้งใจแบบนั้น ถึงจะอยากทำมากกว่ากอด รูฟัสก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้ฟ่งอารมณ์เสียในวันรุ่งขึ้น
สองคนนอนอิงแอบกันอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มท่ามกลางสายลมหนาวยะเยือกที่พัดวูบอยู่นอกหน้าต่าง
ฟ่งเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการนอนกอดคนเป็นๆ ด้วยกัน อุ่นกว่ากอดหมอนข้างเป็นไหนๆ เพราะมาจากประเทศในเขตร้อนชื้น แม้จะปรับฮีตเตอร์แล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี ร่างผอมบางซุกตัวเข้าไปอิงอาศัยไออุ่นจากร่างกำยำที่นอนเคียงข้างจึงรู้สึกค่อยยังชั่ว ฟ่งนอนอิงอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไป กระทั่งถึงรุ่งเช้าก็ยังไม่อยากผละออก
อ้อมกอดของรูฟัสอบอุ่นอ่อนโยนจริงๆ
รูฟัสลูบศีรษะร่างผอมบางที่นอนแนบชิด ก้มลงจุมพิตเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ นั้น คงต้องขอบคุณความหนาวเหน็บแห่งรัสเซีย ที่ทำให้ฟ่งกระแซะตัวเข้ามาใกล้ชิดเขาขนาดนี้ ตอนอยู่เมืองไทย กอดได้ไม่เท่าไร ฟ่งก็มักจะตะกายออกไปในตอนหลับทุกที คงรู้สึกว่าร้อนล่ะมั้ง แต่ถ้าอากาศหนาวแบบนี้ ฟ่งคงต้องซุกเขาไปตลอด นี่ขนาดยังไม่ใช่หน้าหนาว รูฟัสชักอยากจะอยู่ให้ถึงหน้าหนาว บางทีฟ่งอาจจะยอมให้เขากอดทั้งวันเลยก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกวูบวาบในหัวใจแล้ว หรือจะขอให้ฟ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เลยดีนะ...
ขณะที่กำลังคิดไปต่างๆ นาๆ ร่างบางในอ้อมกอดก็ปรือตาขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงงัวเงีย “กี่โมงแล้ว?”
รูฟัสก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ “เจ็ดโมงเช้าครับ”
ฟ่งทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นทันที  จนรูฟัสต้องรีบคว้าตัวไว้ “เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก”
ฟ่งถูกดึงจนต้องกลับมานั่งปุอยู่บนเตียง ก่อนจะหันซ้ายหันขวา “แว่น แว่นผมล่ะ?” เขาเรียกหาสิ่งเดิมๆ ที่เรียกหาอยู่ทุกเช้า รูฟัสหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นมา สวมให้อย่างเบามือ ร่างบางกะพริบตาปริบๆ “ผมต้องอาบน้ำ”
“หนาวขนาดนี้ไม่ต้องอาบหรอกครับ” รูฟัสว่า และคลี่ยิ้ม ฟ่งทำหน้างงๆ “อ่อ...อืม..งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกันเถอะ”
กล่าวจบทำท่าจะผุดลุกขึ้นอีก รูฟัสจึงดึงร่างนั้นเข้ามากอด และหอมแก้มฟอดหนึ่ง ดูท่าทางฟ่งจะตื่นเต้นอยากออกไปเที่ยวมากจริงๆ ร่างกำยำยกมือขึ้นลูบศีรษะยุ่งๆ นั้นอย่างเอ็นดู
“โบสถ์เปิดสิบโมงครับ คุณนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้
“อ่ะ...อ่อ...อืม...” ฟ่งพยักหน้าพลางทำหน้าเขินๆ เขาผลักรูฟัสออกนิดหนึ่ง “ขอโทษที แบบว่าผมกลัวคนเยอะน่ะ”
“คนไม่เยอะมากหรอกครับ ก็เหมือนสถานที่สาธารณะทั่วไปนั่นแหละ” รูฟัสตอบและยิ้มกริ่ม “ที่นั่นคู่แต่งงานชอบไปถ่ายรูปด้วยนะครับ”
“เป็นพวกสตูดิโอหรือ?” ฟ่งถาม รู้สึกว่าถ้าเจอกองคาราวานถ่ายภาพที่มีทั้งรีเฟลกทั้งขาตั้งแฟลตยั้วเยี้ยเต็มหน้าโบสถ์เขาคงปวดหัวตาย คนถูกถามสั่นศีรษะ “ถ่ายกันธรรมดานี่แหละครับ”
ร่างบางพยักหน้า และล้มตัวลงซุกเข้ามาในผ้าห่มต่อ “งั้นเดี๋ยวผมค่อยลุกแล้วกัน”
รูฟัสคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกรอบ และก้มลงจูบหน้าผากฟ่งเบาๆ “Добрыѝ утро อรุณสวัสดิ์ครับ”
------------------------------------------------------
หลังอาหารเช้า ทั้งคู่ตกลงจะเดินเท้าไปยังโบสถ์เนื่องจากใช้เวลาไม่นานนัก และฟ่งจะได้เห็นทัศนียภาพของมอสโคว์ในยามสายๆ ด้วย ฟ่งเห็นรูฟัสหยิบแว่นตากันแดดสีชาขึ้นมาสวมตอนก่อนจะออกจากห้อง คงอยากจะพรางนัยน์ตาสีแปลกนั้นกระมัง หนุ่มตาสองสีหันมายิ้มแผล่พอรู้ว่าเขามองอยู่ ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูแปลกตาไปมากจริงๆ เมื่อสวมแว่นตากันแดดแบบนี้ ดูเจ้าเล่ห์ยังไงพิกล
ในตอนที่เดินออกมาด้านหน้าของโรงแรม รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูโรงละครบอลชอย
“บอลชอยจริงๆ แปลว่าใหญ่นะครับ แต่เหมือนคนจะเรียกจนกลายเป็นชื่อไปแล้ว”
“อ่าว แล้วชื่อจริงๆ ชื่ออะไรล่ะ?” ฟ่งถามพลางเขม่นมองอาคารสีขาวในสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคในสมัยคริสต์ศตวรรษที่สิบแปด
“อืม...” รูฟัสพยายามนึก “เหมือนจะชื่อแกรนด์ อิมพีเรียลมั้งครับ ผมไม่แน่ใจแล้วเหมือนกัน เย็นนี้คุณจะแวะเข้าไปดูบัลเล่มั้ยครับ?”
ฟ่งทำตาโต “ผมไม่เคยดูบัลเล่ อืม...ผมคิดว่ามีละครสัตว์ด้วยเสียอีก”
รูฟัสยิ้ม “ละครสัตว์ก็มีนะครับ ไว้ผมจะหาซื้อตั๋วเอาไว้ จะได้ไปดูกัน ละครสัตว์ที่นี่สนุกมากเลย”
สองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นทั้งที่อากาศหนาวแทบตาย รูฟัสยังมีแก่ใจจะแวะซื้อไอศกรีม
“เอาด้วยไหมครับ?” หนุ่มตาสองสีหันมาถาม ร่างบางสั่นศีรษะ มองดูคนร่วมทางเดินเข้าไปซื้อไอศกรีม เหมือนคนที่นี่จะไม่สนใจอากาศ ฟ่งเห็นว่ามีหลายคนยืนรอคิวอยู่ สักพักชายหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับโคนใส่ไอศกรีมรสช็อกโกแลต
“คุณไม่หนาวหรือนี่?” ฟ่งว่า มองดูรูฟัสกินไอศกรีมเหมือนไม่รู้สึกว่าอากาศด้านนอกเป็นอย่างไร หนุ่มตาสองสีซึ่งสวมแว่นตาสีชาหันมายิ้ม “ก็นิดหน่อยครับ เห็นแล้วมันอยากจะซื้อมาทานน่ะ คุณลองชิมมั้ย?”
ฟ่งไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยเอาลิ้นแตะดูสักทีหนึ่ง รสชาติขมกว่าที่เมืองไทยนิดหน่อย
“อร่อยดี” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสจึงอาสาจะไปซื้อก้อนใหม่มาให้ แต่ฟ่งรีบห้ามเอาไว้ เขาคงหนาวตายแน่ๆ ถ้ากินของเย็นๆ แบบนี้เข้าไป
ทั้งคู่เดินมาถึงโบสถ์เซนต์เบซิลราวๆ สิบโมงกว่าๆ แสงแดดยามสายทำให้ทัศนียภาพแตกต่างออกไปจากตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง ฟ่งนัยน์ตาเป็นประกาย
“โอ้โห....สวยอย่างกับไม่ใช่ของจริงแน่ะ” หนุ่มสวมแว่นอุทาน ตะลึงมองดูโบสถ์รูปโดมหัวหอมหลากสีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของประเทศนี้ ผนังด้านนอกโบสถ์ก่อด้วยอิฐสีแดง ปิดด้วยกระเบื้องสีสันต่างๆ บนยอดโดมที่เป็นเอกลักษณ์ก็ประดับด้วยสารพัดทรงกระเบื้อง แถมสีสันก็ฉูดฉาดบาดตา ไม่ซ้ำกันเลยสักหัว เป็นความหลากหลายที่ดูลงตัว กลายเป็นความสวยงามที่น่าประทับใจ
“คนสร้างที่นี่เก่งจัง” ฟ่งเปรยออกมาหลังจากยืนตะลึงอยู่พักใหย่ๆ รูฟัสซึ่งเพิ่งทานไอศกรีมเสร็จยิ้มเผล่ “ได้ยินว่าสถาปนิกที่สร้างที่นี่พอสร้างเสร็จปุ๊บ ก็โดนเอาตัวไปตัดมือปั๊บเลยนะครับ เพราะซาร์ไม่อยากให้ไปสร้างอะไรที่สวยกว่านี้อีก”
ฟ่งทำหน้าสยดสยอง นึกถึงเรื่องปราสาทหินที่เคยได้ยินเหมือนกันว่าคนสร้างพอสร้างเสร็จก็ทุบมือทิ้ง
“คุณเองก็ระวังไว้นะครับ ยิ่งชอบสร้างอะไรแปลกๆ อยู่” รูฟัสแหย่ ฟ่งทำหน้าบูดใส่เขาทันที “พูดงี้แปลว่าคุณจะไม่ช่วยผมแล้วสิ”
“โถ....ผมไม่ช่วยคุณแล้วจะไปช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นผมไม่ระวังดีกว่า จะได้ให้คุณไปช่วย” ฟ่งแหย่กลับ รูฟัสคราง “โธ่..แล้วกัน”
หนุ่มสวมแว่นไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาเดินจ้ำเข้าไปถ่ายภาพโบสถ์ในระยะใกล้ รูฟัสเดินตามไปห่างๆ อดจะยกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทไม่ได้
เมื่อวานตอนที่ฟ่งนั่งทานขนมอยู่ รูฟัสไม่ได้แวะไปห้องน้ำ เขาแวะไปซื้อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากให้ฟ่งรู้ ชายหนุ่มหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบเล็กออกมา แง้มฝาดูด้านในอย่างอดใจไม่ได้ แหวนพลาสตินั่มสีเงินสองวงนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น
อาจจะฟังดูตลก แต่เขาอยากจะขอฟ่งแต่งงาน
ชายหนุ่มหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาสวมเอาไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย หวังว่าอีกวงคงจะพอดีกับนิ้วฟ่ง เขาอยากเห็นฟ่งสวมมันไวๆ อยากจะเห็นสีหน้าดีใจตอนที่เขาสวมแหวนให้
อยากจะสาบานรักกับคนคนนั้น แม้ว่าพระเจ้าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ก็ช่างพระเจ้าสิ เขาจะรักเสียอย่าง
รูฟัสอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เขาเก็บกล่องกำมะหยี่เข้ากระเป๋าเสื้อโค้ท คงมีจังหวะเหมาะๆ ที่เขาจะได้สวมมันบนนิ้วมือของฟ่งในบรรยากาศแสนโรแมนติกแบบนี้
ฟ่งดูจะชอบอกชอบใจโบสถ์เซนต์เบซิลมาก วิ่งไปถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ พออยู่ในชุดโค้ทที่มีขนปุยแบบนั้นแล้วก็เหมือนกระรอกกระต่ายที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในสวนหลังบ้าน รูฟัสยืนมองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เขาเห็นคู่แต่งงานหลายคู่มาถ่ายรูปกันด้านหน้าโบสถ์ มีคู่หนึ่งมาขอร้องให้เขาถ่ายภาพให้ ยิ่งทำให้รูฟัสอยากจะสวมแหวนลงไปบนนิ้วของฟ่งไวๆ หลังจากคืนกล้องให้ผู้ที่มาของช่วยแล้ว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังนึกหาจังหวะ ฟ่งก็ตะโกนเรียกเขา
“รูฟัส!”
หนุ่มตาสองสีเดินเข้าไปหาทันที ฟ่งที่ทั้งวิ่งทั้งเดินเพื่อถ่ายรูป ใบหน้าเลยกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ยิ่งดูน่ารักน่ากอด รูฟัสร่ำๆ จะหยิบแหวนออกมาสวมให้ตอนนี้เลย แต่หนุ่มสวมแว่นชิงพูดขึ้นก่อน
“ตรงนั้นประตูอะไรน่ะ?”
ฟ่งชี้มือไปยังซุ้มประตูอิฐสีแดงที่ปิดประตูสนิทซึ่งด้านบนเป็นหอนาฬิกาก่อจากอิฐมียอดสีเขียวสูงขึ้นไปมีดาวสีแดงประดับอยู่ที่ตั้งติดอยู่กับกำแพงอิฐซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ไปไม่มาก
“อ้อ...สปัสสกาย โวโรตา” รูฟัสว่า และรีบเปลี่ยนมาพูดอะไรที่ฟังง่ายกว่านั้น “ประตูสปัสสกีน่ะครับ เป็นประตูที่ว่ากันว่าถ้าสวมหมวกเดินเข้าไปจะโชคร้ายนะ”
ฟ่งยกมือขึ้นจับหมวกบนหัวตัวเอง ทำหน้าแปลกๆ “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็มันปิดนี่ แล้วด้านในเป็นอะไรล่ะ?”
“พระราชวังเครมลินไงครับ” รูฟัสตอบยิ้มๆ “จะเข้าไปไหมล่ะครับ ประตูเข้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เดี๋ยวผมพาเดินไป”
ฟ่งจึงถ่ายรูปอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะเดินตามรูฟัสไปตามถนนเส้นใหญ่ และเลี้ยวซ้ายเดินผ่านสวนAleksandrovsky ซึ่งต้นไม้กำลังผลัดไปเป็นสีทองอร่ามตา แล้วรูฟัสก็ชี้มือให้เขาถูทิวกำแพงยาวที่ทอดเข้าสู่พระราชวังเครมลิน
“ประตูตรงนี้เรียกว่าหอคอยตรีเอกภาพน่ะครับ เป็นทางเข้าหลัก เดี๋ยวเราต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน” เขาว่าและพาฟ่งเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านซุ้มประตูด้านหน้ากำแพงยาว ตัดเข้าไปในสวนอีกรอบ จึงเจออาคารจำหน่ายบัตรเข้าชม
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว รูฟัสจึงพาฟ่งเดินผ่านซู้มประตูอิฐใหญ่ ผ่านทางเดินยาวเข้ามาสู่บริเวณที่เรียกกันว่าพระราชวังเครมลิน
ความกว้างของบริเวณด้านในและสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ทำให้ฟ่งอ้าปากค้าง แค่นึกว่าต้องเดินไปดูนั่นดูนี่ ขาก็ดูจะปวดรอท่าเสียแล้ว
รูฟัสชี้ให้ฟ่งดูยอดหลังหาทรงหัวหอมสีทองอร่ามที่อยู่ด้านหลังอาคารทรงยุโรป เยื้องออกไปด้านหน้าทางขวามือ
“อื้อหือ ดงหัวหอมสีทอง” หนุ่มสวมแว่นอุทาน และยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีก รูฟัสจึงพาเขาเดินผ่านลานกว้าง ไปยังกลุ่มอาคารสีขาวที่มียอดหลังคาเป็นโดมสีทองอร่าม
“ตรงนั้นเรียกว่าวิหารเครมลินน่ะครับ” หนุ่มตาสองสีที่ทำหน้าที่ไกด์จำเป็นไปแล้วอธิบายต่อ ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองยอดหอมสีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยความชื่นชม
“เพื่อนผมต้องไม่เชื่อแน่ๆ ของจริงมันสวยมากเลย” หนุ่มสวมแว่นกล่าวอย่างลิงโลด รูฟัสยิ้มกว้าง
“เอากล้องมาสิครับ เดี๋ยวผมถ่ายรูปคุณให้”
“ถ่ายด้วยกันสิ” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มเจื่อน “เอาแค่คุณดีกว่า เพื่อความปลอดภัย” เขาพยายามจะพูดให้ติดตลก หนุ่มสวมแว่นมองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ “ผมเข้าใจล่ะ”
รูฟัสเลยถ่ายรูปฟ่งคู่กับวิหารเครมลินไปภาพสองภาพ ก่อนส่งกล้องคืนให้ “ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกับโบสถ์ตะกี้เลย”
“เอาไว้ขากลับก็ได้ครับ” รูฟัสรีบบอก เขาคิดว่าควรจะใช้ช่วงเวลานั้นสวมแหวนให้ฟ่งด้วย
พระราชวังเครมลินนั้นใหญ่โตอลังการ ประกอบกลุ่มอาคารมากมาย ทั้งอาคารคลังแสง และโบสถ์ต่างๆ ที่เด่นสะดุดตานอกจากวิหารเครมลินที่เป็นโบสถ์ทรงโดมรูปหัวหอมสีทองแล้ว ก็คงจะเป็นหอระฆังของซาร์อีวานมหาราช ซึ่งตั้งสูงเด่นเป็นสง่าและมีโดมรูปหัวหอมสีทองเช่นเดียวกัน ด้านล่างของหอระฆังยังมีตั้งเอาไว้ให้ชมอีกด้วย
เนื่องจากอาณาเขตของพระราชวังนั้นกว้างขวางมาก แม้มีนักท่องเที่ยวมากก็ยังดูไม่แออัดหนาแน่น หลังจากอธิบายความเป็นมาของอาคารหลังต่างๆ อย่างคร่าวๆ แล้ว รูฟัสก็นัดแนะว่าถ้าเกิดหลงทางให้กลับมายืนรอที่หอระฆัง เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดที่สุด ก่อนจะปล่อยให้ฟ่งได้ถ่ายภาพตามสบาย โดยที่ตัวเองเดินตามห่างๆ เนื่องจากสังคมรัสเซียยังไม่ค่อยยอมรับพวกรักร่วมเพศ และที่นี่เป็นสถานที่เปิด ชายหนุ่มเกรงว่าถ้าแสดงท่าทางใกล้ชิดกันจนเกินไปจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนบางกลุ่มได้
ฟ่งเดินชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนและอิฐเหล่านั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย เขามีโอกาสได้เรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบยุโรป แต่ยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง และที่รัสเซียเองก็ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเทศในแถบยุโรปอื่น
“พี่ชายต้องการไกด์รึเปล่าฮ่ะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษาอังกฤษขณะที่ฟ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่สร้างจากเหล็กและกระจกซึ่งดูจะขัดกับลักษณะอาคารโดยรอบ พอก้มหน้าลงไปก็พบเด็กผู้ชายอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ ผมสีบลอนด์น้ำตาลยืนยิ้มอยู่
“ผมเป็นไกด์ยุวชนของที่นี่ฮะ” เด็กน้อยพูดพลางยกบัตรที่เขียนด้วยภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษให้เขาดู ส่วนใหญ่เป็นทับศัพท์มาจากภาษารัสเซียซึ่งฟ่งอ่านไม่ค่อยออก พอจะตีความได้ว่าคงมาจากโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งแถวนี้
ฟ่งไม่ได้ตอบทันที เขามัวแต่มองหน้าหนูน้อยด้วยความแปลกใจ เด็กน้อยพูดต่อ “พี่มาคนเดียวหรือฮะ พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?”
“ดะ ได้” ฟ่งตอบออกมาในที่สุด เด็กน้อยยิ้มกว้าง และแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อเกรเกอรีฮะ ตึกนี้เรียกว่าดราเสียส สเยซโดฟ หรือว่าวังคองเกรซ สร้างในปี1916 เป็นอาคารในยุคที่เรายังเป็นสหภาพโซเวียตอยู่นะฮ่ะ เลยดูแปลกไปจากอาคารหลังอื่น”
หนูน้อยในชุดสเวตเตอร์ผ้าร่มสีฟ้าอ่อนอธิบายปร๋อและยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจ ฟ่งอดไม่ได้ต้องพยักหน้าและยิ้มตอบ
“พี่อยากไปดูอาคารคลังแสงมั้ยฮะ ตรงนั้นมีปืนใหญ่ตั้งอยู่ด้วยนะฮะ” เด็กน้อยเกรเกอรีเอ่ยถามต่อ ฟ่งมองหน้าหนูน้อย และยิ้มบางๆ
“เดี๋ยวนะ พี่ต้องบอกเพื่อนก่อน”
“พี่มีเพื่อนมาด้วยหรือฮะ” เกรเกอรีถาม ฟ่งเลยชี้มือไปทางรูฟัสและพบว่าทางนั้นกำลัง
นั่งคุกเข่าคุยอยู่กับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งวัยไล่ๆ กับเกรเกอรี่ เหมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่ด้วย
“อ้าว นั่นมันเอ็ดการ์ดนี่นา สงสัยจะเดินหกล้มอีกแล้ว” เกรเกอรี่ว่า ฟ่งหันมาถาม “นั่นเพื่อนเธอหรือ”
“ครับ” เด็กน้อยตอบ และพูดต่อ “เขามาเป็นเพื่อนผมน่ะ เห็นว่าจะไปซื้อไอศกรีมมาให้ ดันไปยืนร้องไห้ซะแล้ว นั่นเพื่อนพี่หรือฮะ”
“อ้อ ใช่” ฟ่งว่า และกำลังนึกว่าจะบอกรูฟัสอย่างไรดี ท่าทางเด็กคนนี้ตั้งใจจะนำเที่ยวอย่างจริงๆ จังๆ จะบอกปัดก็กลัวจะเสียความตั้งใจ จังหวะนั้นรูฟัสเงยหน้าขึ้นมาพอดี
“ฟ่ง ผมเปล่าตั้งใจแกล้งเด็กนะครับ พอดีผมมัวแต่ดูคุณเลยชนเจ้าหนูนี่เข้า”
ฟ่งยกมือเกาศีรษะ เมื่อไรรูฟัสจะเลิกเอาเขามาอ้างซักทีนะ
“อืม..รูฟัส เด็กคนนี้เขาบอกผมว่าจะพาทัวร์น่ะ คุณว่าไง?”
ดูรูฟัสจะลำบากใจเรื่องเจ้าหนูน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จนคนเดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามอง เขาไม่อยากให้ฟ่งเสียเวลาอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เลยตะโกนกลับไป
“คุณไปกับเขาก็ได้ครับ เขามีบัตรไกด์ใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวผมจะตามไปแล้วกันนะ”
พูดภาษาไทยจบก็พูดอีกภาษาสำทับไป “เฮ้ย ไอ้หนู อย่าพาเขาไปที่แปลกๆ ล่ะ”
เกรเกอรีมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาพูดกับฟ่ง “เพื่อนพี่เป็นคนที่นี่นี่ฮะ”
“อ้อ..ใช่ แต่ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า และพูดต่อ “เดี๋ยวเขาจะตามมา เธอจะไปดูเพื่อนก่อนรึเปล่าล่ะ”
เด็กน้อยสั่นศีรษะ “ไม่หรอกฮะ ปล่อยไว้เดียวก็คงหยุดร้องไปเองแหละ ขืนผมเดินเข้าไปอีกหมอนั่นจะยิ่งร้องไห้น่ะสิ”
ฟ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงได้แต่ยิ้ม เกรเกอรี่ดึงแขนเสื้อของเขาและชี้ไปที่อาคารทรงยุโรปแถวยาวที่อยู่ติดกับซุ้มประตูใหญ่อีกประตูหนึ่ง “นั่นไงฮะ อาคารคลังแสง ติดกับประตูที่พี่เดินเข้ามาไงล่ะ”
“ซุ้มประตูที่พี่เดินเข้ามาเรียกว่าตรอยต์สกายา บาชเนียฮะ สมัยก่อนเป็นทางที่ซาร์กับเชื้อพระวงศ์ใช้เสด็จเข้า ส่วนประตูที่อยู่ตรงโน้น”
เด็กน้อยชี้มือไปยังยอดสีเขียวติดดาวแดงที่ฟ่งเพิ่งเอ่ยปากถามรูฟัสไปก่อนหน้านี้
“ตรงนั้นเรียกสปัสสกายา โวโรตา ตอนที่นโปเลียนเอากองทัพฝรั่งเศสมาบุกเรา ดันไปเข้าประตูนั้นฮะ เห็นว่าตอนเข้าประตูหมวกที่ใส่อยู่ประจำดันหลุดหรืออะไรซักอย่าง แล้วหลังจากนั้นนโปเลียนก็แพ้สงคราม เลยเชื่อกันว่าถ้าใส่หมวกเข้ามาทางประตูนั้นแล้วจะโชคร้ายน่ะฮะ แต่ตอนนี้ประตูปิดไปซะแล้ว”
ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ  เกรเกอรีอธิบายได้สมกับเป็นไกด์จริงๆ เด็กหนุ่มนำเขามาที่แท่นวางปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอาคารคลังแสงนัก เพื่อให้ถ่ายรูป
“อาคารคลังแสงนี่สร้างในสมัยซาร์ปีเตอร์มหาราชฮะ รู้สึกจะประมาณปี1736มั้งฮะ อ้อ พี่ฮะ ผมลืมพูดเรื่องดาวแดง ที่ติดอยู่ด้านบนยอดหอคอยตามกำแพงนั่นไม่ได้มีมาแต่แรกนะฮะ มันเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสน่ะฮะ พิ่งมาติดหลังสมัยปฏิวัติการปกครอง”
ภาษาอังกฤษของเกรเกอรีดีมากจริงๆ ฟ่งฟังไปเพลิดเพลินกับเนื้อหา เด็กน้อยอธิบายหันมาอธิบายเสียงจ้อจนไม่ทันมองด้านหน้า ผลคือชนกับชายคนหนึ่งอย่างจัง ดีว่าฟ่งคว้าตัวไว้ทัน
“Простите пожалуйста!” เกรเกอรี่กล่าวอย่างตกใจ แต่คนชนเดินผ่านไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มเลยหันมาบอกขอบคุณคนช่วยจับไว้แทน
“ขอบคุณฮะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” ฟ่งว่า มองหน้าเด็กน้อย แล้วจึงพูดต่อ “เธอไปยืนตรงฐานปืนใหญ่นั่นหน่อยสิ พี่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก”
“ได้สิฮะ” หนูน้อยเกรเกอรียิ้มร่า และเดินไปที่ฐานปืนใหญ่อย่างว่าง่าย ฟ่งถ่ายรูปหนูน้อยสองสามรูป แล้วจึงชวนกันเดินต่อ
“ตรงนั้นเป็นอาคารอะไรน่ะ” ฟ่งชี้ไปยังด้านขวามือซึ่งมีกลุ่มอาคารที่มีหลังคาทรงโดมอยู่ด้านใน
“อ๋อ ตรงนั้นเป็นอาคารวุฒิสภาน่ะฮะ เรียกว่าอาคารเซนัต เลนินเคยอยู่ที่นี่ด้วยล่ะฮะ พี่ไปพิพิธภัณฑ์เลนินแล้วยังฮะ?”
ฟ่งสั่นศีรษะ หนูน้อยเลยพูดต่อ “เดี๋ยวผมพาไปก็ได้ฮะ พี่ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วให้ผมหรอก เพราะผมมีบัตรผ่านได้ทุกประตู” เกรเกอรีว่า และยกมือขึ้นแตะบัตร แต่ปรากฏว่าบัตรไม่อยู่บนคอของเขาเสียแล้ว เด็กน้อยหน้าเสียทันใด เขาพึมพำอะไรซักอย่างในภาษาที่ฟ่งไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมาพูดด้วย
“ผมคงทำบัตรหล่นหาย ต้องไปหาก่อนนะฮะ พี่รอตรงนี้ก่อน..”
“ไม่ๆ พี่ไปด้วยดีกว่า ช่วยหาไง” ฟ่งว่า เด็กน้อยมีสีหน้าเกรงอกเกรงใจ “ผมทำพี่เสียเวลารึเปล่าฮะ”
“ไม่หรอก รีบไปเดินหากันเถอะ” หนุ่มสวมแว่นตอบและยิ้มอย่างใจดี เกรเกอรีพลอยยิ้มออกมาบ้าง
ทั้งคู่จึงเดินย้อนกลับมาทางเดิม และช่วยกันมองหาบนพื้นลานกว้าง ขณะที่ฟ่งกำลังก้มมองพื้นเพื่อหาของ เท้าของใครคนหนึ่งก็มาหยุดตรงหน้าเขา ดูจากสภาพของเท้าเก่าเขรอะแบบนี้คงไม่ใช่ของรูฟัสแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมอง
ชายชาวยุโรปรูปร่างสูงใหญ่ไว้หนวดที่ใต้จมูกกำลังเขม่นมองเขาเขม็ง เหมือนกับว่าไปเหยียบเท้าเข้านั่นแหละ ฟ่งถึงกับผงะถอยหลังกับสายตาคุกคาม ยังไม่ทันจะพูดอะไร แผ่นหลังก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง ฟ่งหันกลับไปด้วยความตกใจและพบว่ามีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจปรากฏขึ้นบนมุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้เคราสีทองอ่อน ขณะที่กำลังจะถอยหลัง มือสากหยาบข้างหนึ่งก็กดไหล่เขาเอาไว้ ขณะที่ชายตรงหน้าขยับเข้ามาพร้อมกับมีดพกปลายแหลมซึ่งขยับมาจ่อที่ท้อง
“อยู่เงียบๆ ไว้นะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงเพี้ยนแปร่งถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากที่กระตุกนั้น ฟ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงปลายแหลมของมีดที่ดันเสื้อโค้ทเข้ามา “อยู่เงียบๆ อย่างนี้แหละ”
ฟ่งกลืนน้ำลาย เขาอาจจะโดนจี้ เหงื่อเย็นยะเยียบซึมออกมาตามฝ่ามือ เขาเงยหน้าขึ้นมองชายที่จี้เขาอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูเจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับเว่ยเฟิงปิง นัยน์ตาสีน้ำตาลนี้ดูจะบ้าคลั่งกว่านั้นมาก ราวกับว่าถ้ามีอะไรสะกิดสักเล็กน้อย มีดปลายแหลมที่จี้อยู่คงพร้อมจะทะลวงเข้ามาในท้องของเขาได้ทุกเมื่อ
ฟ่งนึกถึงเด็กที่มากับเขา ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอีกรอบก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปมองข้างๆ และพบกว่าเกรเกอรีกำลังถูกชายอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลดำจูงออกไป นัยน์ตาของเด็กน้อยมองมายังเขาอย่างอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มองดูเด็กน้อยถูกจูงออกไปโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปาก เขาได้แต่ยืนนิ่งๆ มองดูเกรเกอรีถูกจูงออกไป
ฟ่งมองไล่ตามชายคนนั้นไปจนสุดสายตา ชายคนนั้นไปทางประตูที่เขาเพิ่งเดินเข้ามา โดยสภาพไม่เร่งร้อน ฟ่งคิดว่าเกรเกอรีคงโดนผู้ชายคนนั้นใช้มีดหรืออะไรซักอย่างบังคับเหมือนที่เขากำลังโดนอยู่ ชายหนุ่มชักเริ่มกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่ออีก แต่พอชายคนนั้นเดินหายลับออกไปในฝูงชน ชายสองคนที่ขนาบเขาอยู่ก็ผละออก และเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ่งยืนงงอยู่เกือบหนึ่งนาที ก่อนจะได้สติ
เขาต้องรีบไปบอกรูฟัส
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-01-2012 09:05:19
ระหว่างที่ฟ่งกับเกรเกอรีกำลังเดินชมพระราชวังกันอย่างเบิกบาน รูฟัสกำลังนั่งปวดหัวอยู่กับเด็กน้อยเจ้าปัญหา เขากำลังเดินตามฟ่งอย่างสบายอารมณ์อยู่ดีๆ เจ้าหนูนี่ก็ดันมาสะดุดหกล้มตรงหน้าเขา พอเขานั่งลงจะปลอบ พ่อหนูก็เอาแต่ร้องไห้ ชี้ไอศกรีมที่หล่นเละอยู่บนพื้น รูฟัสปลอบอยู่นานก็ดูจะไม่เข้าใจ บอกแต่ว่า ถ้าไม่เอาไปให้เกรเกอรีแล้วเกรเกอรีจะไม่เล่นด้วย ทำเอาชายหนุ่มปวดหัวอยู่หลายตลบ ขนาดตัวเขาเห็นพ่อแม่ตายไปตั้งแต่เด็ก ยังไม่เคยร้องไห้โยเยขนาดนี้เลย
“เอาล่ะ พ่อหนุ่มน้อย” รูฟัสพูดหลังจากบอกกับฟ่งให้ไปกับเด็กอีกคนซึ่งอาสามาเป็นไกด์ให้แล้ว “ฉันไม่รู้ว่าเกรเกอรีเป็นคนยังไง แต่เขาต้องไม่ภูมิใจแน่ๆ ที่มีเพื่อนขี้แยอย่างเธอ”
เด็กน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม คนที่เดินผ่าน ต่างเริ่มหันมามองเขาอย่างตำหนิ รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ พยายามปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนอย่างที่สุด
“โอ๋ๆ พ่อคนดี พี่ขอโทษแล้วกันที่ทำไอศกรีมเธอหล่น ไหนบอกมาซิจะให้พี่ทำยังไง”
“ผมต้องไปซื้อใหม่” เจ้าหนูน้อยพูดทั้งน้ำตา “คิวยาวมากเลย ถ้าผมไปช้า เกรเกอรีต้องโกรธผมแน่”
รูฟัสรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ “สรุปว่า ที่เธอร้องไห้เพราะกลัวจะเอาไอศกรีมไปให้เพื่อนช้า แต่เธอมัวแต่ร้องแบบนี้ มันก็ช้าเหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นหยุดร้อง แล้วไปกับพี่ เราจะได้ไปซื้อไอศกรีมใหม่ให้เกรเกอรี ก่อนที่เขาจะโมโหเธอไปมากกว่านี้ เข้าใจมั้ย?”    โชคดีที่เด็กน้อยพยักหน้าในที่สุด ไม่อย่างนั้นรูฟัสคงต้องเล่นบทโหด อุ้มเด็กพาดไหล่ไปซื้อไอศกรีมกันบ้าง
ร้านไอศกรีมอยู่นอกวัง รูฟัสจึงต้องจูงมือหนูน้อยกลับออกไป ระหว่างทางจึงถือโอกาสชะเง้อมองหาว่าฟ่งไปเที่ยวถึงไหน หวังว่าเจ้าเด็กนั่นคงไม่พาไปเจอคนแปลกๆ เข้าหรอกนะ
ระหว่างที่กำลังนึกว่าคงไม่มีอะไรบ้าบอเกิดขึ้นในที่สาธารณะที่มีคนเดินพลุกพล่าน คนที่เขากำลังมองหาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“รูฟัส แย่แล้ว” สีหน้าแตกตื่นของฟ่งพลอยทำให้รูฟัสตกใจไปด้วย “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณถูกจับก้น?”
ฟ่งอยากจะเงื้อเท้าถีบรูฟัสสักที แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำเรื่องแบบนั้น
“เด็ก เด็กที่ไปกับผมน่ะ” ชายหนุ่มพูดกระหืดกระหอบแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ รูฟัสถามย้ำ“เด็ก เด็กทำไมหรือครับ?”
ชายหนุ่มพยายามสะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน และปรับลมหายใจให้เข้าที่ ก่อนจะพูดต่อ “เด็ก เด็กที่ไปกับผมน่ะ เขาถูกจับตัวไป!”
“แค่นั้นนะครับ? คุณไม่ได้ถูกทำอะไรใช่ไหม?”
   “อือ ทำไมคุณดูไม่ตกใจเลย” ฟ่งอดถามไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของรูฟัส
“ก็คุณไม่โดนทำอะไรนี่ครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ เขายกมือขึ้นขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ฟ่งนิ่วหน้าและพูดต่อ
 “ผมโดนเอามีดจี้”
คราวนี้คิ้วคู่งามบนใบหน้าคมสันขมวดเข้าหากันทันที “พวกมันไปทางไหนครับ?”
ฟ่งชี้มือไปที่ประตูทางเข้า ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นรูฟัสเดินจ้ำๆ ออกไป
“ไอศกรีมผมล่ะ” เด็กน้อยผมสีน้ำตาลอ่อนร้อง และเอามือรั้งชายเสื้อโค้ทรูฟัสเอาไว้ หนุ่มตาสองสีเหลียวกลับมามองแวบหนึ่ง
 “เดี๋ยวซื้อกลับมาให้แล้วกัน” เขาตอบเสียงห้วน สีหน้าดูโมโหสุดๆ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกไปจนเด็กน้อยเกือบหน้าคะมำ ดีที่ฟ่งคว้าตัวไว้ทัน
 “รูฟัส คุณจะไปไหนน่ะ” ฟ่งร้องถาม ขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา หนุ่มตาสองสีตอบโดยไม่หันมามอง
“ก็จะไปอัดพวกมันไงครับ ให้รู้ว่าอย่ามายุ่งกับแฟนผม”
ฟ่งอ้าปากค้าง พะงาบๆ กินอากาศอยู่หลายวินาที กว่าจะพูดออกมาได้ “เราต้องไปแจ้งตำรวจนะ”
“ตำรวจที่นี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ” รูฟัสว่า พลางเขม่นมองผ่านซุ้มโค้งของประตูออกไปทางเดินเชื่อมถนนด้านนอก
“พวกนั้นรึเปล่า?” เขาชี้มือไปยังกลุ่มชายสามคนที่จูงเด็กผู้ชายผมสีบลอนด์น้ำตาลอยู่ ฟ่งพยักหน้า ขณะที่ชายสามคนนั้นพาตัวเกรเกอรีเขาไปในรถเก๋งตอนยาวสีดำสนิทที่จอดรออยู่
“นั่นเกรเกอรีนี่นา” เด็กน้อยผมสีน้ำตาลร้องขึ้นและชี้มือออกไป คิ้วของรูฟัสขมวดเข้าหากัน
“เด็กที่ถูกจับตัวไปนั่นเพื่อนเธอรึ?”
เด็กน้อยพยักหน้า ก่อนจะพูดทวนคำ “จับตัว?”
รูฟัสหรี่ตาอย่างชั่งใจในสถานการณ์ที่เวลามีจำกัด เขาหันไปพูดกับฟ่ง
“ฟ่งครับ เอาเจ้าเด็กนี่ไปสถานีตำรวจ หรือพาไปแจ้งหายกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วก็ได้ แล้วคุณจะเดินดูอะไรที่นี่ไปพลางๆ หรือจะกลับโรงแรม ผมจะอัดพวกมันเผื่อคุณให้หนักๆ เลย”
ฟ่งยืนฟังด้วยความงุนงง ยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร รูฟัสก็ยกมือขึ้นโบกรถแท็กซี่และกระโดดเข้าไป
“ตามไอ้รถสีดำคันนั้นไปเลยครับ” เขาว่า ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อฟ่งเปิดประตูรถ และมุดตามเข้ามาด้วย แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มสวมแว่นจะเอื้อมมือไปปิดประตู เจ้าเด็กจอมยุ่งก็มุดตามเข้ามา ฟ่งปิดประตูทันที แทบจะพร้อมๆ กับรถแท็กซี่ที่แล่นพุ่งทะยานออกไป
คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายพูดไม่ออกบ้าง
“คุณจะทำอะไรของคุณน่ะ!” ฟ่งพูดอย่างเอาเรื่อง ขณะที่รูฟัสกะพริบตาปริบๆ อยู่หลังแว่น
“ก็พวกมันเอามีดจี้คุณนี่ จะให้ผมอยู่เฉยๆ ได้ไงล่ะ” รูฟัสพูด ฟ่งเกือบจะพูดไม่ออก หมอนี่ใช้เหตุผลแค่นี้ไล่ตามพวกนั้นหรือนี่
“’งั้นผมจะไปกับคุณด้วย เราจะไปช่วยเกรเกอรีกัน” ชายหนุ่มว่า อีกฝ่ายพูดตอบเขาทันที
 “ไม่ครับ ผมจะไปอัดพวกนั้นแทนคุณ ส่วนเด็กนั่น ปล่อยให้พ่อแม่เขาจัดการแล้วกัน” รูฟัสตอบหน้าตาเฉย ฟ่งนั่งอ้าปากค้าง ขณะที่รถเร่งความเร็วเพื่อตามรถคันข้างหน้า รูฟัสดึงเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาด ก่อนจะพูดต่อ
“ที่นี่รัสเซียนะครับ คุณไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่เด็กนั่นไปทำอะไรไว้ให้ใครเขาแค้นบ้าง ผมแค่จะตามไปสั่งสอนเจ้าพวกนั้นเพราะมันเอามีดจี้คุณ ส่วนเด็กคนนั้น เราก็ต้องปล่อยให้พ่อแม่เขามาจัดการเอาเอง ผมไม่ได้มีหน้าที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่”
คิ้วของฟ่งขมวดเข้าหากันจนยุ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องดูรูฟัสเขม็ง จนคนถูกจ้องรู้สึกไม่สบายใจ
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจจืดใจดำขนาดนี้ ผมหลงคบกับคุณมาได้ยังไงเนี่ย”
รูฟัสทำหน้าเหมือนคนถูกยิงระยะประชิด ละล่ำละลักพูดออกมา “โธ่ ฟ่งครับ ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะครับ จะได้เที่ยวช่วยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว”
ฟ่งตีสีหน้าบูดบึ้ง “คุณไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเองก็ได้” เขาว่า รูฟัสทำหน้าเหมือนโลกจะแตก
“โธ่…..” ชายหนุ่มคราง นึกรันทดชีวิตขึ้นมาทันที
“ตกลงครับ ผมช่วยเด็กนั่นด้วยก็ได้ คุณรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนนะครับ”
คราวนี้ฟ่งยิ้มอย่างดีใจทันที “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดี”
รูฟัสได้แต่ฝืนยิ้มแกนๆ เขาหันไปคุยกับคนขับรถ ขณะที่ฟ่งรัดเข็มขัด โดยไม่ลืมขยับตัวของเอ็ดการ์ดขึ้นมานั่งบนตัก
---------------------------------------------------
“เขาพูดกันว่า พวกที่จับตัวเกรเกอรีไปเป็นพวกแก๊งวันเสาร์ล่ะฮะ” เอ็ดการ์ดพูด ขณะที่รูฟัสยังคงคุยง่วนอยู่กับคนขับรถ ซึ่งวิ่งไล่รถเก๋งสีดำนั้นอยู่ในระยะที่ไกลพอจะไม่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกผิดปกติ ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าเหมือนจะเป็นคนขับคันเดียวกับที่ขับมาส่งเขาที่โรงแรมเมื่อวาน  เขาก้มลงมองเอ็ดการ์ดซึ่งหันหน้ามาพูดด้วย
“แก๊งวันเสาร์คืออะไรหรือ?” ฟ่งถาม เด็กน้อยอธิบายต่อ
“เป็นแก๊งอันธพาลที่รวมตัวกันทุกวันเสาร์น่ะฮะ เลยเรียกกันว่าแก๊งวันเสาร์” เด็กน้อยเงียบไปอีก เหมือนจะตั้งใจฟังสิ่งที่รูฟัสกับคนขับรถคุยกันอยู่
“เห็นว่าพวกแก๊งนี้จะจับตัวเกรเกอรีไปขู่คุณพ่อของเขาน่ะฮะ พรุ่งนี้จะประชุมสภา พ่อของเกรเกอรีเป็นสมาชิกวุฒิสภา”
เอ็ดการ์ดพูดก่อนจะเหลือบตาไปมองรูฟัสอีกครั้งสองครั้ง และหันมากอดแขนฟ่ง
“ผมกลัวพี่ชายคนนั้นจัง เขามองเหมือนจะกินผมเลย” เด็กน้อยร้องอย่างประหม่า ฟ่งเลยมองไปที่รูฟัส ซึ่งหันหน้ากลับไปคุยกับคนขับแล้ว หนุ่มสวมแว่นจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะหนูน้อยเป็นเชิงปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เขาเป็นคนดี เชื่อสิ”
ฟ่งพูด พลางยิ้มอ่อนโยน ถ้าเงยหน้าขึ้นมาตอนนั้น คงได้เห็นรอยยิ้มดีอกดีใจอย่างเงียบๆ ของรูฟัส
“เราจะไปช่วยเกรเกอรี่กันใช่ไหมฮะ?” เอ็ดการ์ดถามต่อ ฟ่งพยักหน้า แล้วเสียงรูฟัสก็ดังขึ้น
“เอาล่ะ พ่อหนูน้อย” รูฟัสตั้งใจจะพูดภาษารัสเซียเพื่อคุยกับเอ็ดการ์ดโดยตรง ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ที่แยกระหว่างถนนMokhovaya กับถนนTverskaya ดูเหมือนรถเก๋งสีดำคันนั้นจะยังไม่ทันสังเกตว่ามีคนตามมา เนื่องจากมีรถในบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก
“เธอกับเกรเกอรีออกไปที่เครมลินได้ยังไง พ่อของเขาสั่งให้เขาอยู่แต่ในบ้านไม่ใช่หรือ?”
เอ็ดการ์ดพยักหน้า และพูดตอบ “เกรเกอรีหนีออกมาน่ะฮะ เห็นบอกว่าอยู่ในบ้านอึดอัด เขาเลยโทรมาชวนผม แล้วบอกว่ามาที่เครมลินไม่เป็นไรหรอก คนก็เยอะ ใครจะกล้าทำอะไร ผมก็เลยมากับเขา”
รูฟัสทำหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ได้สอบสวนอะไรมากกว่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองฟ่งและถามคำถามกับหนุ่มสวมแว่นต่อ
“คนที่เอามีดจี้คุณลักษณะยังไงครับ”
ฟ่งพยายามระลึกความทรงจำ “อืม....เหมือนจะเป็นผู้ชายอายุสักสามสิบกว่าๆ ได้มั้ง ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะเขาไว้หนวด อ้อใช่ๆ ผมเขาสีบลอนด์สว่างน่ะ หนวดก็เลยพลอยสีนั้นไปด้วย ผมยังคิดเลยว่าเพราะสีอย่างนั้นเลยทำให้เขาไม่ดูแก่เท่าไหร่ เขาใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเทาตุ่นๆ มั้งครับ ท่าทางเจ้าเล่ห์หน่อยๆ อ้อ ยังมีอีกคนนะ คนนี้ตัวใหญ่กว่า อายุไม่แก่กว่าก็คงพอๆ กันล่ะมั้งครับ เขาไว้หนวดน่าเกลียดกว่าคนแรกที่ผมพูดถึง เหมือนสีดำดำออกน้ำตาลนะ อ้อ ผมเขาบางมากด้วยล่ะ”
“แล้วคนที่จับตัวเด็กไปล่ะ?” รูฟัสถามต่อ ฟ่งขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “คนนี้ผมมองไม่เห็นหน้าน่ะ เห็นแต่ด้านหลัง ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลแก่ล่ะมั้ง ส่วนสีผม..อืม ไม่แน่ใจว่าสีดำหรือสีน้ำตาลนะ”
“แค่นี้ใช่ไหมครับ” หนุ่มตาสองสีถามย้ำ ฟ่งพยักหน้า เขาจึงยิ้มให้ฟ่งหน่อยหนึ่งและหันไปคุยกับคนขับต่อ
“พี่ชายกำลังถามเรื่องผู้ชายสามคนน่ะฮะ” เอ็ดการ์ดกระซิบ “พี่เห็นคนที่จับเกรเกอรีไปหรือฮะ?”
ฟ่งพยักหน้า เด็กน้อยจึงถามต่อ “แล้วทำไมพี่ไม่ช่วยเกรเกอรี่เอาไว้ฮะ?”
ฟ่งถึงกับอึ้งไปเลย เขามองดูดวงตาสีฟ้าอ่อนที่มองมาอย่างไร้เดียงสาแล้วอดรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ได้ ตอนที่เห็นว่าเด็กโดนจับ เขาได้แต่ยืนตัวแข็งด้วยความกลัวเท่านั้นเอง
“เพราะพี่เขาก็จะถูกจับไปเหมือนกันน่ะสิ” รูฟัสหันมาตอบแทนให้ จงใจจะใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้ฟ่งเข้าใจด้วย “ถ้าเขาถูกจับไปพร้อมเกรเกอรี แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเกรเกอรีถูกจับไปที่ไหน เธอต้องขอบคุณที่เขารอดมาบอกเราได้ถึงจะถูก”
เอ็ดการ์ดฟังอย่างงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับในที่สุด ฟ่งรู้สึกกระดากมากจริงๆ รูฟัสเลยหันมาพูดกับเขาต่อ “อย่าคิดมากนะครับ เด็กพวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ที่คุณทำน่ะถูกแล้วล่ะ”
ฟ่งได้แต่ยิ้มขืนๆ รูฟัสช่วยเขาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เขาเองก็ปล่อยให้เกรเกอรีถูกจับไปต่อหน้า ยังจะไปว่ารูฟัสใจจืดใจดำอีก เขานี่แย่จริงๆ
“พี่ฮะ ผมขอโทษนะฮะ แล้วก็ ขอบคุณนะฮะ” เอ็ดการ์ดหันมาพูดอย่างว่าง่าย ฟ่งไม่รู้จะตอบอะไรเลยได้แต่ยิ้มออกไป
 
“ว่าแต่ทำไมพวกเธอพูดภาษาอังกฤษคล่องจัง” ฟ่งเอ่ยถามขณะที่รถทะยานตัวออกเมื่อสัญญาณไฟเขียวติดขึ้น รูฟัสบอกเขาว่าคนรัสเซียไม่ค่อยนิยมพูดภาษาอังกฤษนัก ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะตั้งแต่มานอกจากพนักงานโรงแรมแล้ว เขายังไม่ได้ยินใครพูดภาษาอังกฤษเลย เอ็ดการ์ดช้อนนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนมองเขา “แม่ของเกรเกอรีสอนฮะ เธอเป็นคนอเมริกัน แต่ใจดีแล้วก็สุภาพมากเลยนะฮะ”
“อ้อ...มิน่าล่ะ มีเมียเป็นอเมริกันนี่เอง” รูฟัสซึ่งเอนหลังกลับมาพิงเบาะพึมพำขึ้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ฟ่งครับ พ่อของเด็กที่ถูกจับไปน่ะ เป็นสมาชิกวุฒิสภาที่ต่อสู้เรื่องกฎหมายเสรีภาพตัวเอ้เลยล่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้จะมีประชุมสภา แล้วเขาจะเสนอร่างกฎหมายนี้ พวกที่จับตัวเด็กไปคงหวังจะข่มขู่ให้เขาถอนยติออก เพื่อจะลดความน่าเชื่อถือล่ะมั้ง เห็นว่ามีคนสนับสนุนเขาเยอะเสียด้วย”
“คุณว่าตอนนี้พ่อเขารู้หรือยัง?” ฟ่งถาม รูฟัสสั่นศีรษะ “คงยังไม่รู้หรอกครับ น่าจะประชุมอยู่กับทีมงานเพื่อเตรียมยติพรุ่งนี้ อีกอย่างเขาคงไม่คิดหรอกว่าลูกชายจะหนีออกมา ตลกดีเหมือนกัน พ่อต่อสู้เรื่องเสรีภาพ แต่ต้องขังลูกชายเอาไว้ในบ้าน พระเจ้านี่ตลกร้ายจริงๆ”
รูฟัสพูดด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าอยากจะให้ขำหรืออะไรกันแน่ ฟ่งจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เขารู้สึกสะเทือนใจกับสิ่งที่รูฟัสพูด
คนที่ทำเพื่อคนอื่น โดยที่ต้องทำให้คนใกล้ตัวเดือดร้อนนี่ เรียกว่าเป็นคนดีได้เต็มปากเต็มคำรึเปล่านะ ก็คงจะดีนั่นแหละ แต่ก็น่าสงสารคนอยู่ใกล้ๆ
ฟ่งหันไปมองรูฟัส ซึ่งตอนนี้ขยับตัวไปมองกระจกคนขับอีกรอบ เขาพูดแรงไปรึเปล่าที่บอกว่ารูฟัสใจดำ ที่รูฟัสพูดมาก็ถูก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย นี่เขากำลังให้รูฟัสไปเสี่ยงเพราะความรั้นของตัวเองเฉยๆ รึเปล่า
หนุ่มสวมแว่นเอื้อมมือไปดึงเสื้อโค้ทของอีกฝ่าย รูฟัสหันหน้ากลับมามองเขา ฟ่งช้อนนัยน์ตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มที่คลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขาแล้วรู้สึกสะทกสะท้อน ทั้งๆ ที่รูฟัสดีกับเขามาตลอดแท้ๆ เขากลับพูดจาทำร้ายจิตใจของทางนั้นไปไม่รู้กี่ครั้ง
“ผมขอโทษนะ” ฟ่งพึมพำออกไป รูฟัสหยุดยิ้มและขยับเข้ามาใกล้ “ว่าอะไรนะครับ”
“ผมขอโทษ ที่พูดว่าคุณใจดำ”
รูฟัสยิ้มละไม “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
แม้ฟ่งจะพูดจาทำร้ายจิตใจเขาบ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็มีส่วนน่ารักตรงนี้แหละ ขณะที่รูฟัสกำลังมีความสุขกับคำพูดนั้น ฟ่งก็พูดขึ้นต่อ
“ผมจะไปช่วยเกรเกอรีกับคุณ”
--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่80 p15 5/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 06-01-2012 09:07:24
รถเก๋งสีดำวิ่งเข้าถนนTverskaya และขับต่อไปเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นความโชคดีปนกับความโชคร้าย เพราะรถจำนวนมากที่ทำให้คนขับรถเก๋งคันนั้นไม่สังเกตว่ามีคนตามมาแล้ว ไอ้รถจำนวนเยอะขนาดนี้แหละยิ่งทำให้คลาดสายตาได้ง่ายขึ้น แต่คนขับแท็กซี่ก็เก่งสมกับทำอาชีพนี้ สามารถขับแซงรถคันแล้วคันเล่าและตามรถคันนั้นในระยะที่ไม่เป็นที่สังเกตมากนัก
รถทั้งสองคันวิ่งหลบรถตามถนนเส้นใหญ่ไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีสี่แยกเป็นระยะๆ การติดตามจึงยังไม่เข้าข่ายการไล่ตามมากนัก รถเก๋งสีดำคันนั้นยังคงขับด้วยความเร็วปกติ ทำเอาฟ่งอดพูดออกมาไม่ได้
“พวกนั้นดูใจเย็นจัง”
“เป็นผมผมก็คงไม่รีบหรอกครับ ทำตัวลนลานมันสังเกตได้ง่าย อีกอย่างเขาคงยังไม่รู้หรืออาจจะไม่แน่ใจว่ามีใครตามมาหรือเปล่า?”
ฟ่งพยักหน้า และพูดต่อ “นี่รูฟัส ที่นี่น่ะ เค้าลักพาตัวกันกลางที่สาธารณะแบบนี้เลยเหรอ?” หนุ่มสวมแว่นพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาเคยโดนลักพาตัวก็จริง แต่ตอนนั้นพวกเว่ยเฟิงปิงไปดักรอเขาถึงที่คอนโด ไม่ใช่โผล่มาจับกันกลางฝูงคนแบบนี้
“ก็ไม่เสมอไปหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกนั้นมีใครหนุนหลังด้วยน่ะ อีกอย่าง เขาคงเห็นว่าคุณเป็นแค่นักท่องเที่ยว ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากยุ่งวุ่นวายระหว่างมาเที่ยวหรอกครับ อย่างดีคุณก็คงได้แต่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งก็คงให้รายละเอียดอะไรได้ไม่มาก”
ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกสงสารเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“คุณว่าเกรเกอรีจะถูกพวกนั้นทำอะไรมั้ย?”
หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มอ่อนโยน “โดยหลักแล้วตัวประกันจะต้องปลอดภัยนะครับ เพราะถือเป็นข้อต่อรอง”
“อืม” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง และนึกว่ารูฟัสเคยจับตัวประกันบ้างรึเปล่า แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะรู้หรอก
 
พวกเขาตามรถคันนั้นจนผ่านบริวเณที่เป็นแฟลตเก่าซึ่งเป็นอารยะธรรมที่หลงเหลือมาจากสมัยสังคมนิยม รูฟัสอธิบายว่าสมัยก่อนประชาชนทั่วไปจะอาศัยอยู่ในแฟลต ซึ่งแบ่งไว้เป็นห้องๆ และสมัยนี้ก็ยังนิยมอยู่ในแฟลตกันอยู่ เพราะราคาบ้านนั้นสูงลิบลิ่ว
แฟลตสูงหลายหลังรายล้อมอยู่สองข้างถนน เอ็ดการ์ดที่เงียบไปพักใหญ่เพราะพยายามจะชะเง้อมองด้านข้าง พูดขึ้นอีกครั้ง
“ผมไม่เคยออกจากบ้านไกลขนาดนี้เลย” เด็กน้อยพูด และเริ่มทำปากแบะ “เกรเกอรีจะเป็นอะไรรึเปล่าฮะ เราจะช่วยเขาได้จริงๆ ใช่ไหมฮะ?” หนูน้อยถามอย่างไร้เดียงสา ฟ่งยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างปลอบประโลม ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ช่วยได้สิ ต้องช่วยได้แน่นอนเลย”
ฟ่งว่า แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึกๆ เขารู้ว่ารูฟัสทำงานด้านนี้ และก็เก่งพอตัว แต่ฟ่งมีลางสังหรณ์ว่าพวกนั้นจะไม่ได้มีกันแค่สามคน แล้วรูฟัสคนเดียวจะเอาอยู่หรือ ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส หนุ่มนัยน์ตาสองสีคลี่ยิ้มให้เขา
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมรับรองว่าจะไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ”
ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก เขามองหน้ารูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับทางที่รถกำลังวิ่งอยู่
 
รูฟัสทอดถอนใจอยู่ลึกๆ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วอดจะปวดใจไม่ได้ ตั้งใจจะพาฟ่งมาเที่ยวและขอแต่งงานแท้ๆ อยากให้ทางนั้นยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง ทำให้ฟ่งต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำอีก ความจริงตอนแรกรูฟัสกะจะไปอัดไอ้พวกนั้นเพื่อระบายอารมณ์เฉยๆ เขาตั้งใจจะซัดมีดเข้าไปสักสองสามเล่ม เพื่อให้เจ้าพวกนั้นรู้ว่ามีคนไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเขาคงต้องเปลี่ยนแผน เพราะฟ่งมาด้วย แถมยังต่อว่าเขาใจจืดใจดำ ถึงเจ้าตัวจะมาขอโทษทีหลังก็เถอะ
รูฟัสยอมรับว่าเขาไม่เคยคิดเป็นฮีโร่หรือคนดีเด่ที่ทำเพื่อคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เขาอยากทำเด่นอวดฟ่งสักครั้ง ก็หวังว่าเขาคงไม่ต้องเล่นบทพระเอกที่ยากเกินไปนัก
รถแล่นผ่านเขตแฟลตหน้าแน่นในตัวเมือง ออกมาสู่ย่านชานเมือง ที่แฟลตดูจะเก่าและโทรมกว่าด้านในอย่างเห็นได้ชัด ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจายทิ้งใบสีเหลืองจนบางต้นเหลือแต่กิ่งก้านโกร๋นโล้น รถบนถนนเริ่มบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด รูฟัสที่จ้องหน้ารถอยู่ และคุยกับคนขับเป็นบางครั้ง หันกลับมาพูดกับคนที่นั่งข้างๆ
“ระวังนะครับ เหมือนพวกนั้นจะรู้ตัวแล้วว่าถูกตาม”
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะพยักหน้า รถแท็กซี่ก็เร่งความเร็วจนคนนั่งหลังติดเบาะ รูฟัสยันมือเข้ากับเบาะนั่งด้านหน้า นัยน์ตาสองสีมองผ่านแว่นตาสีชาไปยังรถเก๋งคันสีดำที่เร่งความเร็วอยู่เบื้องหน้า ขณะที่เด็กน้อยเอ็ดการ์ดกอดฟ่งแน่นด้วยความตกใจ
รถแท็กซี่ไม่เก่าไม่ใหม่พุ่งทะยานไปบนถนนด้วยความเร็วสูง ไล่กวดรถเก๋งสีดำในระยะกระชั้นชิด รถแท็กซี่ส่ายไปมาอย่างน่ากลัวระหว่างที่เร่งเครื่องแซงรถคันอื่นเพื่อไล่จี้รถเป้าหมาย ฟ่งต้องยกมือขึ้นเกาะกับประตูรถเพื่อพยุงตัวเอง จังหวะนั้นเองที่รถแท็กซี่หักเลี้ยวกะทันหัน
“Вдувать!” คนขับรถสบถเสียงลั่น ได้ยินเสียงล้อบดกับถนนดังบาดแก้วหู ฟ่งถูกเหวี่ยงไปชนกับประตูรถจนหน้าแนบกระจก ยังไม่ทันจะตั้งหลักได้ รถแท็กซี่ที่เพิ่งหักเลี้ยวก็พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
“รูฟัส!” ฟ่งโพล่ง และเงยหน้าขึ้นมองคนนั่งข้าง รูฟัสยังคงสวมแว่นตาสีชาเหมือนเดิม ดูเหมือนเขาจะได้รับผลกระทบน้อยมากจากการหักเลี้ยงของรถ มือสองข้างยังคงยึดเบาะหน้ามั่นคง ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังรถเก๋งคันสีดำเบื้องหน้า เขาพยักหน้าน้อยๆ ในตอนที่ถูกเรียก
รถเก๋งสีดำหักเลี้ยวเข้ามาในซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง ซึ่งมีรถแล่นสวน ทำให้รถแท็กซี่ต้องคอยหักหลบรถที่ถูกรถเก๋งสีดำขับเบียดจนต้องเบี่ยงพวงมาลัยออกมาและหวิดจะชนกับรถของพวกเขาหลายหน ฟ่งกับเอ็ดการ์ดถูกเหวี่ยงไปมาเหมือนอยู่ในกล่อง ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เลยยังไม่ถึงกับกลิ้ง ส่วนรูฟัสนั้นดูจะจัดการตัวเองได้ดีราวกับมีประสบการณ์ในเรื่องทำนองนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ฟ่งตะกายมือขึ้นจับที่จับที่อยู่เหนือศีรษะ ขณะที่อีกข้างยึดพนักพิงเบาะด้านหน้าเอาไว้ เอ็ดการ์ดยังคงกอดเขาแน่นเหมือนเดิม แถมเหมือนจะร้องไห้อยู่ด้วย หนุ่มสวมแว่นก้มหน้าลงใช้ไหล่ดันแว่นให้เข้าที่ ขณะที่รถยังคงวิ่งเหมือนเหวี่ยง ไม่รู้ว่ารูฟัสพูดอีท่าไหน คนขับแท็กซี่ถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นขับรถไล่ตามไม่ลดไม่ละขนาดนี้
ยังไม่ทันที่ฟ่งจะดันแว่นให้เข้าที่ เพราะรถที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา รูฟัสก็พุ่งมือเข้ามาอย่างรวดเร็วและกดศีรษะของเขาลง ฟ่งเกือบจะบ่นออกมา เพราะรูฟัสทำให้แว่นของเขาเลื่อนออกไปมากกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันจะอ้าปาก เสียงระเบิดเหมือนประทัดตามด้วยเสียงวัตถุบางอย่างพุ่งทะลุกกระจกดังขึ้นติดๆ รถแท็กซี่หักพวงมาลัยกะทันหันอีก ฟ่งต้องรีบยกมือขึ้นดันแว่น ดังนั้นศีรษะของเขาจึงกระแทกเข้ากับประตูรถเสียงดัง แต่คงไม่ดังเท่ากับเสียงระเบิดของดินประสิวที่ดังอยู่ด้านนอก
ปืน!
เหมือนเลือดจับตัวเป็นน้ำแข็ง ความทรงจำเลวร้ายในครั้งก่อนผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาทันที ฟ่งหมอบลงจนคางแทบจะชิดกับหัวเข่า กอดเอ็ดการ์ดเอาไว้แนบอก หนูน้อยเองก็คงจะตกใจไม่แพ้กัน ดูจากมือเล็กๆ ที่เกาะเขาแน่น
ขณะที่รถแล่นแฉลบไปแฉลบมา คนขับยังคงสบถอย่างอารมณ์เสียอีกหลายหน ลูกกระสุนพุ่งเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน ฟ่งรู้สึกใจเสีย เรื่องนี้อันตรายเกินไปแล้ว เขาไม่ควรจะดึงดันบอกให้รูฟัสตามมาเลย ถ้าเขาเอ่ยปากห้ามแต่แรก....
ฟ่งนึกถึงสายตาของเกรเกอรีที่มองมาที่เขาในตอนที่ถูกจับตัวไป ดวงตาคู่นั้นคล้ายถูกซ้อนทับด้วยนัยน์ตาสองสีที่เขาคุ้นเคย ภาพรูฟัสที่ยิ้มละไมให้เขาเป็นประจำ แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น!
ฟ่งเกือบจะกรีดร้องออกมา น้ำตาไหลทะลักอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าเกิดรูฟัสเป็นอะไรไป ถ้าเกิดว่ารูฟัส......
มือแกร่งข้างหนึ่งจับเข้าที่หัวไหล่ของเขาไม่แรงไม่เบา ฟ่งเบือนหน้าขึ้นมองทันที
“หมอบไว้นะ” รูฟัสกล่าว พลางยิ้มหน่อยๆ ก่อนจะตะกายไปตรงที่นั่งด้านหน้าคนขับ หลังจากนั้นอีกชั่วอึดใจ ฟ่งก็ได้ยินเสียงปืนที่เหมือนจะดังมาจากที่นั่งหน้ารถ
!!
--------------------------------------------
รูฟัสกระชับปืนเข้ากับมือ ก่อนจะยื่นออกไปนอกรถ เหนี่ยวไกใส่รถเก๋งสีดำด้านหน้า เสียงระเบิดลั่นของดินประสิวและแสงแปลบปลาบของประกายไฟยามลูกตะกั่วกระแทกเข้ากับตัวถัง คราวนี้รถเก๋งคันสีดำเป็นฝ่ายแล่นแฉลบบ้าง
หนุ่มตาสองสียังคงสวมแว่นตาสีชา แต่สีหน้าดูหงุดหงิดเอาเรื่อง หยดน้ำตาใต้แว่นที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ยิ่งทำให้รูฟัสโมโหหนัก เขาก้มหมอบหลบกระสุน และดันกระชังหน้ารถให้เปิดออก Beretta 96 SF ขนาดลำกล้อง.40 สีเงินปรากฏให้เห็นทันที และยังมีแมกกาซีนสำรองอีกหลายชุด ได้ยินเสียงคนขับพูดอะไรอีกบางอย่าง แล้วกระสุนปืนจากรถคันข้างหน้าก็พุ่งเข้ามาอีก
พวกเขาอยู่ในซอยที่มีถนนขนาดลองเลนซึ่งขนาบด้วยอาคารแฟลตเก่าที่มีป้ายกำลังดำเนินการรื้อถอน เนื่องจากไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว ถนนตรงนี้จึงไม่มีรถวิ่ง เหมือนเป็นโชคดีในโชคร้าย ที่คงไม่มีใครโดนลูกหลงจากการปะทะครั้งนี้ แต่รถทั้งสองคันก็เป็นเป้าของกันและกันโดยไม่มีที่ให้หลบหลีก เพราะซอยเกือบจะเป็นทางตรง
เสียงแผดลั่นของกระสุนที่ถูกลั่นออก และอาการส่ายอย่างน่ากลัวของรถทำเอาฟ่งกับเอ็ดการ์ดกอดกันกลม ขณะที่การไล่ล่าเป็นไปอย่างดุเดือด เสียงปืนก้องสะท้อนอยู่ระหว่างกำแพงตึกสีน้ำตาลซีดๆ และต้นไม้ที่ส่วนใหญ่เหลือแต่กิ่งก้าน ควันปืนลอยคลุ้งเข้ามาในรถ
รูฟัสพยายามเล็งปืนไปยังล้อรถคันหน้า เพื่อให้รถเสียหลัก แต่รถที่ขับส่ายไปส่ายมาทำให้เล็งเป้าได้ลำบาก เขานึกอยากให้ราฟาแอลมาด้วยจริงๆ
คนขับรถเหมือนจะมองจุดประสงค์ของคนนั่งข้างๆ ออก เขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น และชนเข้ากับท้ายรถเก๋ง
โครม!
แรงกระแทกทำเอาฟ่งหน้าคะมำไปด้านหน้า ดีกว่ามีเข็มขัดนิรภัยรั้งเอาไว้ ได้ยินเสียงรูฟัสสบถออกมาอย่างหัวเสีย ตามด้วยเสียงปืนอีกหลายนัด รถทั้งสองคันถอยห่างออกจากกันอย่างรวดเร็ว รถเก๋งสีดำแล่นพุ่งไปด้านหน้า ขณะที่รถแท็กซี่ต้องถอยหลังออกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะเร่งเครื่องตามไป
ฟ่งเหลือบขึ้นมองรูกระสุนที่เจาะทะลุกระจกหน้ารถ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนขับ จากนั้นรถแท็กซี่ก็ลดความเร็วลง
รูฟัสปลดแมกกาซีนเก่าออก และเปลี่ยนอันใหม่ ซึ่งหยิบออกมาจากกระชังหน้ารถ กลิ่นควันปืนยังคงคลุ้งอยู่ในรถ
รถสองคันทิ้งระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ พอเห็นว่าเสียงปืนเงียบไปนานพอสมควรแล้ว ฟ่งจึงเงยหน้าขึ้นมา
“ปะ...เป็นยังไงบ้าง?” เขาถามเสียงสั่น “พวกมันคงใกล้จะจอดรถแล้วน่ะครับ คุณอย่าเพิ่งเงยหน้าขึ้นมามากนะ ผมกลัวจะถูกยิงอีก”
ฟ่งพยักหน้า ในขณะที่หนูน้อยเอ็ดการ์ดยังคงตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอด
รถเก๋งคันสีดำที่มีรอยกระสุนแถมไว้ตรงท้ายหลายจุดเลี้ยวเข้าไปตรงหัวมุมที่มีแฟลตเก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ มันเป็นลานกว้าง รถแล่นเข้าไปด้านในและหยุดอยู่ตรงแฟลตหลังที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
รูฟัสพูดอะไรบางอย่างกับคนขับ จากนั้นรถแท็กซี่ก็แล่นตรง เลยลานกว้างนั้นออกไป ผ่านอาคารแฟลตที่ตั้งอยู่คู่กัน ก่อนจะอ้อมโค้งผ่านมายังอีกด้านหนึ่งของแฟลต
----------------------------------
รถแท็กซี่หยุดอยู่ตรงเกือบจะสุดระยะตึกพอดี รูฟัสสอดส่ายสายตามองรอบๆ ยังไม่มีคนหรือรถคันไหนไล่ตามพวกเขามา ชายหนุ่มกระชับปืนเข้ากับมือ ก่อนจะหันมาพูดกับคนนั่งด้านหลัง
“พวกคุณอยู่บนรถไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”
ฟ่งนิ่วหน้าทันที “คุณจะปล่อยผมไว้กับคนไม่รู้จักเหรอ?”
รูฟัสคลี่ยิ้ม “ก็ไม่เชิงไม่รู้จักหรอกครับ” เขาพูด พลางหันไปคุยอะไรบางอย่างกับคนขับรถ “เอาว่าเขาเชื่อใจได้แล้วกันครับ รออยู่ในรถนี้นะครับ มีอะไรก็หมอบไว้ก่อน นะครับฟ่ง”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเขม่นมอง ก่อนจะพยักหน้าขืนๆ รูฟัสยิ้มอีกครั้งและเปิดประตูรถออกไป
---------------------------
รูฟัสเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาจนแทบจะเรียกว่าย่อง สุดตึกมีสวนขนาดเล็กซึ่งต้นไม้ยืนต้นกำลังผลัดใบสีเหลืองจนแทบจะเหลือแต่กิ่ง ชายหนุ่มพยายามผุดแผนที่ในความทรงจำขึ้นมา เขาจากมอสโคว์ไปสิบกว่าปีแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นจะเรียกว่าเขารู้จักที่นี่แทบจะเกือบทุกซอกทุกมุมก็ได้ ที่ตรงนี้เคยเป็นแฟลตที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นที่หนึ่ง เวลาสิบกว่าปีเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกลุ่มอาคารร้างไปเสียแล้ว ชายหนุ่มลัดเลาะไปตามแนวพุ่มไม้ที่แห้งแทบจะเหลือแต่ก้าน หวังว่าใบไม้ที่ร่วงอยู่คงพรางสายตาได้บ้าง
แฟลตเก่านั้นตั้งเลยแนวป่านั้นไปหน่อยหนึ่ง สามารถมองเห็นได้จากจุดที่เขายืนอยู่ สักพักหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ชายหนุ่มเหลือบไปมองแวบหนึ่งและเห็นรถแท็กซี่คันนั้นแล่นออกไปแล้ว รูฟัสหวังว่าฟ่งจะอยู่นิ่งๆ ในรถอย่างที่เขาสั่ง เขาให้รถจอดอยู่ที่นี่นานๆ ไม่ได้ เพราะพวกนั้นจะต้องออกมาตรวจดูแน่ๆ รูฟัสฝ่ากองใบไม้แห้งที่ยังคงตกทับถมลงมา เพื่อลอบมองไปยังตึกหลังนั้น พลางนึกขบขันตัวเอง
นี่เขากำลังเอาชีวิตมาเสี่ยงกับอันตราย โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กคนนั้นเลยสักนิด แถมค่าจ้างก็ไม่มี ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ ที่เขาเคยค่อนแคะราฟาแอลเอาไว้หลายต่อหลายหน
ก็แค่อยากให้ฟ่งประทับใจในตัวเขาบ้าง
รูฟัสเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า หลายครั้งที่ราฟาแอลทำอะไรที่มันดูงี่เง่าต่อหน้าสาวๆ พวกนั้น เพราะเหตุผลแบบนี้นี่เอง รูฟัสเคยมองว่าไร้สาระสิ้นดี ที่จะต้องทำอะไรโง่ๆ จากคำพูดของเหล่าสาวๆ แต่แล้ววันนี้เขาก็ต้องมาประสบกับตัวเอง
รูฟัสได้แต่หวังว่า ฟ่งคงจะประทับใจในการทำงี่เง่าครั้งนี้
ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองให้สดชื่นขึ้น เขาช่วยเด็กคนนั้นมา ฟ่งคงจะทำหน้าดีใจ แล้วเขาจะได้ถือโอกาสขอฟ่งแต่งงาน ยังไงๆ ฟ่งคงจะต้องยิ้มแก้มปริด้วยความภูมิใจแน่ๆ
ถ้าเขาช่วยเจ้าเด็กนั่นออกมาได้โดยไม่เลือดตกยางออกน่ะนะ
รูฟัสถอนหายใจยืดยาว ระหว่างอยู่ในรถเขาได้รู้เรื่องแก๊งวันเสาร์ เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าในมอสโคว์เป็นแหล่งรวมของอาชญากรหลายระดับ ตั้งแต่ระดับกุ๊ยกระจอก ไปจนถึงมาเฟียใหญ่ที่เป็นที่นับหน้าถือตา ซึ่งไม่ว่าแบบไหนก็มีแต่ความน่าปวดหัวทั้งนั้น โดยเฉพาะหากคนเหล่านั้นมารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และแก๊งวันเสาร์ก็เป็นพวกประเภทนั้น
การรวมตัวกันของกุ๊ยข้างถนน และพวกนักฉกชิงวิ่งราว รูฟัสเคยอยู่กับแก๊งเด็กมาก่อน เขารู้ดีกว่าเมื่ออยู่รวมกัน กลุ่มจะมีพลังขับเคลื่อนทำให้คนพวกนี้กล้าทำอะไรหลายๆ อย่างที่คนไม่คาดคิด อย่างการเข้าไปลักพาตัวกลางเครมลิน ใครมันจะกล้าคิดกันล่ะ แต่พวกนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว และเขาก็ดันงี่เง่าเองที่ทะลึ่งจะตามมา ถ้าไปแจ้งตำรวจเสียแต่แรกก็สิ้นเรื่อง รูฟัสเริ่มรู้สึกว่าเขางี่เง่าแต่แรก...ไม่นึกไม่ฝันว่าจะอยากเด่นในสายตาฟ่งจนทำอะไรโง่เง่าซ้ำซ้อนลงไปถึงสองหนในวันเดียว
แต่มาถึงจุดนี่ รูฟัสถอยไม่ได้อีก เขาคงต้องเล่นบทพระเอกจำเป็นให้ถึงที่สุด ดีกว่าต้องถูกฟ่งมองด้วยสายตาผิดหวัง ดีกว่าให้ฟ่งรู้สึกว่าไม่น่ามาหลงคบกับเขาเลย
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเข้าไปทางไหน เสียงย่ำใบไม้ก็ดังขึ้นด้านหลัง รูฟัสหันกลับไปพร้อมกับปืนในมือทันที
-------------------------------------------------------------------------------
**เรื่องนี้ไม่มีความสงบสุขที่แท้จริงหรอก เชื่อสิ!!! :a5:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenejeng ที่ 06-01-2012 11:50:26
ฟ่งตามมาชัวร์ป้าบ!!!
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 06-01-2012 13:00:06
หวานกันได้แป๊บๆ ก็บู๊อีกละ  :laugh:

ก็นิยายเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสายลับนี่เนาะ!!
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 06-01-2012 17:52:56
รูฟัสนี่เป็นพระเอกแสนดีจริงๆ แม้จะดีกับฟ่งแค่คนเดียวก็เหอะ
เราว่าตอนนี้ก็ดูเป็นตอนที่มีความสุขนะคะ ดูเป็นบู๊แบบอบอุ่น ยิงกันไป ห่วงใยกันไป  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 06-01-2012 22:58:37
สนุกมากค่ะ
เป็นตอนพิเศษใกล้จบที่บู๊ได้สนุกสมกับชื่อเรื่องมากๆ
เหลืออีกแค่ 7 ตอนก็จบแล้วสินะ  อ๊าย :z2:  อยากอ่านไวไวจัง
+ เป็ดน้อยโทษฐานบู๊ได้ใจค่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: windel ที่ 07-01-2012 00:15:33
ไอ้หย๋าาาาา  ...ไปๆมาๆเรายังอ่านได้ไม่จบหน้าสามเลยอ่ะ  :serius2: :serius2:
เปิดจองแล้วซะด้วยย แต่ติดที่ว่าเงินขาด  :z3:

ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องนี้นะ!   ตอนนี้รู้สึกสงสารรูฟัส  แต่ก็นะใครเป็นฟ่งก็ต้องระแวงแหละน้อ~
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-01-2012 11:59:42
ูู**มาต่อแล้วค่ะ (เกือบลืมอีกแล้ว^^")**


บทที่82 ยุทธการชิงตัวประกัน
   ฟ่งนึกใจหายตอนที่รูฟัสก้าวออกไปนอกรถ เขาน่าจะห้ามรูฟัสไว้แต่แรก เรื่องนี้อันตรายเกินไป เขาไม่น่าพูดกับรูฟัสแบบนั้นเลย ถ้าวิ่งไปบอกให้รูฟัสกลับมาตอนนี้ จะยังทันรึเปล่า?
   มือน้อยๆ ของเอ็ดการ์ดเอื้อมมาดึงเสื้อของเขาเอาไว้ “พี่ฮะ....”
   ฟ่งมองดูนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอย่างตั้งความหวังแล้วต้องเม้มริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดประตูออกไป
--------------------------------------------------
   ภายในรถเงียบสนิท ประตูถูกปิดไปพักหนึ่งแล้ว พร้อมกับชายชาวต่างชาติที่ก้าวออกไป เอ็ดการ์ดกะพริบตาปริบๆ เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ รู้แต่ว่าเขาคงจะไปช่วยเกรเกอรี
   เกรเกอรี....
   พอนึกถึงภาพของเพื่อนที่ถูกจูงออกไป เจ้าหนูน้อยก็พาลน้ำตาไหล เกรเกอรีคอยช่วยเขาอยู่เสมอ ถ้าไม่มีเกรเกอรีแล้ว เขาจะอยู่อย่างไร เด็กน้อยเริ่มสะอึกสะอื้น
   “เฮ้ ไอ้หนู นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้นะ”
   เสียงห้วนๆ ของคนขับรถแท็กซี่ดังขึ้นด้านหน้า เอ็ดการ์ดเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ชายคนนี้ไว้หนวดเคราไม่เป็นทรงเหมือนพ่อของเขาเลย แต่ผู้ชายคนนี้ไม่มีกลิ่นบุหรี่ติดตัว เด็กน้อยทำจมูกฟุดฟิด เขาได้กลิ่นอย่างอื่นที่ต่างออกไป เหมือนกลิ่นของดอกไม้ไฟ
   “นี่ เด็กที่ถูกจับไปน่ะ เพื่อนเธอรึ?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้า คนขับรถถามต่อ “ชื่ออะไรล่ะ?”
   “เกรเกอรีฮะ”
   “ไม่ๆ หมายถึงเธอนะ”
   “เอ็ดการ์ด”
   “อ้อ เอ็ดการ์ด” คนขับรถทวนชื่อ และหันมายิ้มจนเห็นฟันปลอมที่ทำจากเงินหลายซี่ “เอาล่ะ เจ้าหนูเอ็ดการ์ด เคยดูหนังใช่ไหม? ในหนังเด็กที่ร้องไห้จะไม่ใช่พระเอก เธออยากช่วยเพื่อนเธอรึเปล่า?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้า คนขับรถพูดต่อ “งั้นดี เปิดเบาะรถออกสิ”
   หนูน้อยทำตามอย่างว่าง่าย เขาออกแรงดันเบาะรถให้เปิดออก แล้วก็ต้องเบิ่งตาอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นของที่อยู่ด้านใน
   “หยิบปืนนั่นมาให้ฉัน” คนขับรถชี้ ใต้เบาะถูกดัดแปลงเป็นช่องใส่ของ ด้านในมีปืนและตลับลูกปืนอีกหลายตลับ ผิดเสียแต่ว่าปืนแบบนี้เอ็ดการ์ดไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูจะใหญ่โตกว่าปืนที่เขาเคยเห็นในรูปหรือในภาพยนตร์ สำหรับแรงแขนของเด็กอายุแปดขวบ การยกปืนอันนี้ขึ้นถือว่าลำบากมากทีเดียว
   “เจ้านี่เรียก แพททิเชียร์ เป็นScorpion SV361 รับรองว่ามันเป็นเพื่อนร่วมทางอย่างดีของเราแน่ๆ” คนขับรถรับปืนไปแล้วยิ้มยิงฟันพลางพูดอธิบาย เอ็ดการ์ดมารู้ภายหลังว่ามันคือปืนกลมือแบบหนึ่ง
   “เอาล่ะ เจ้าหนูน้อย ถ้าเราไม่ซวย ก็คงไม่ต้องใช้มัน แต่ฉันว่าเราคงไม่โชคดีขนาดนั้น เธออยู่ด้านหลังนี่แหละ หมอบนิ่งๆ แล้วคอยส่งตลับสีดำนั่นมาให้ฉัน จำไว้ว่าพระเอกต้องไม่ร้องไห้ เข้าใจใช่ไหม?”
   เอ็ดการ์ดพยักหน้าหงึกหงัก มองดูตลับสีดำในกล่องใต้เบาะ และหันไปมองคนขับรถที่ยิ้มจนเห็นฟันสีเงินหลายซี่
-------------------------------------------------------
   รูฟัสเบิ่งตาค้างใต้แว่นตาสีชา เขาลดกระบอกปืนลงขณะที่ฝ่ายที่เดินเข้ามายกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ
   “ผมเอง” หนุ่มผมสีน้ำตาลพูดและพยายามจะยิ้ม “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
   รูฟัสระบายลมหายใจยาว และพูดขึ้น “คุณตามผมมาทำไมเนี่ย?”
   “ผม....” ฟ่งพูดค้างพลางนึกสงสัยตัวเอง ตอนแรกเขาคิดจะมาตามรูฟัสกลับไป แต่พอคิดไปคิดมา เขารู้สึกว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำเท่าไร
   “ผมมาช่วยคุณ”
   รูฟัสทำหน้าเหมือนฟ้าถล่ม และพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “คุณกลับไปที่รถดีกว่า ที่นี่อันตรายนะครับ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ “ก็เพราะรู้ว่าอันตรายน่ะสิ ผมถึงได้มา”
   “คุณทิ้งเด็กเอาไว้คนเดียวหรือครับ?” รูฟัสพูดต่อ เขาพยายามนึกเรื่องหว่านล้อมให้ฟ่งกลับไปที่รถ ให้ตายสิ ลืมนึกไปเลยว่าฟ่งชอบทำอะไรแบบนี้ คราวก่อนตอนที่อยู่ในห้องลับก็เหมือนกัน เขาเพิ่งมารู้จากปากของวรุตตอนหลังว่าฟ่งบ้าดีเดือดขนาดไหน รูฟัสยอมรับว่าเขาพลาดเองที่ปล่อยให้ฟ่งขึ้นรถตามมา ไม่สิ พลาดตั้งแต่ไม่ยอมสั่งให้คนขับรถขับออกไปไกลๆ แล้ว แต่ถึงจะสั่ง ก็ไม่แน่ว่าฟ่งจะกระโดดตามลงมาอยู่ดี
   “ทิ้งไว้กับคนขับรถ ก็คุณบอกว่าเขาไว้ใจได้” ฟ่งย้อนคำพูดที่รูฟัสเพิ่งพูดออกไป หนุ่มตาสองสีมีสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด ฟ่งรีบพูดขึ้นต่อ “ให้ผมไปกับคุณเถอะ ผมรับรองว่าไม่เกะกะแน่ๆ”
   “ไม่ได้หรอกครับ คุณกลับไปที่รถเถอะนะ ผมขอร้อง” รูฟัสพูด และนึกวิธีที่จะพาฟ่งกลับออกไป ถ้าทุบให้สลบตอนนี้ แล้วลากออกไป มันจะปลอดภัยและทันเวลารึเปล่านะ
   ฟ่งขมวดคิ้วมุ่นทันที เขามองผ่านแว่นตาไปยังแฟลตร้างที่อยู่ห่างออกไป ก่อนจะพูดขึ้น
   “เด็กถูกจับไปที่ตึกนั้นสินะ ถ้าคุณไม่ไปกับผม เดี๋ยวผมไปเอง”
   ไม่พูดเปล่า ก้าวฉับๆ ไปอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม รูฟัสแทบครางออกมา เขายื่นมือไปคว้าตัวของฟ่งเอาไว้
   “ฟ่ง....” พูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของรูฟัสก็ถูกผนึกด้วยริมฝีปากที่มักจะบูดบึ้งอยู่เสมอ จูบที่คาดไม่ถึงนี้ กินเวลาสักหนึ่งถึงสองวินาที ฟ่งถอนริมฝีปากออก กระตุกรอยยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวต่อ
   “ให้ผมไปกับคุณเถอะ”
   เจอไม้นี้รูฟัสถึงกับอึ้งไปหลายวินาที เขามองดูร่างผอมบางในเสื้อโค้ทกันหนาวตรงหน้า จ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่มองตรงเข้ามา และชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
   ฟ่งยกมือขึ้นจับหัวไหล่ของรูฟัสด้วยความตกใจ เมื่อร่างถูกรวบเข้าไปใกล้ พร้อมกับริมฝีปากของอีกฝ่ายที่บดลงมา รูฟัสดูดดึงริมฝีปากนั้นอยู่พักหนึ่งจึงยอมผละออก ก่อนจะพูดขึ้น
   “ตามผมมา แล้วอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ นะ”
----------------------------------------------------
   เอ็ดการ์ดนั่งปิดปากเงียบกริบอยู่ในรถ บรรยากาศเงียบสนิททำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาพาลจะไหลออกมาเสียให้ได้ เด็กน้อยกัดฟันแน่น นี่คงเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่เขาเรียนรู้ที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ มือน้อยๆ เอื้อมไปจับตลับสีดำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่วางอยู่ด้านใบของกล่องใส่ของใต้เบาะ ความเย็นเฉียบของโลหะถ่ายถอดมายังปลายนิ้วทันที เอ็ดการ์ดหยิบมันขึ้นมาอันหนึ่ง และกอดเอาไว้แน่น
   เขาจะต้องช่วยเกรเกอรีให้ได้
-----------------------------------------------------
   เสียงฝีเท้าหลายคู่ ที่ทั้งเดินบ้างวิ่งบ้าง สะท้อนไปมากับผนังแฟลตเก่า ทำลายความเงียบ คนขับรถแท็กซี่หรี่นัยน์ตาสีเทาหม่นของตนเองลง ขับรถแท็กซี่มาสี่ห้าปี มันก็เจอเรื่องสนุกมากอยู่หรอก แต่เรื่องสนุกขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กนั่น ก็คงต้องย้อนเวลากลับไปอีกไกล
   สงสัยพระเจ้าจะเห็นว่าชีวิตของเขาจืดชืดน่าเบื่อเกินไปล่ะมั้ง เลยดลให้เจอเจ้าหนูตาสองสีนั่นอีก
-------------------------------------------------------
   “อื้อหือ...อโลช่า เด็กนี่น่ะนะที่จะให้ทำงานด้วย” ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มและไว้เคราหรอมแหรมกล่าวขึ้นพลางเบิ่งนัยน์ตาสีเทากว้างอย่างแปลกใจปนไม่เชื่อถือ ขณะมองดูเด็กหนุ่มวัยสักสิบสองสิบสามตรงหน้า
   “อือ ใช่” คนถูกถามตอบ พลางตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ “เขาชื่อรูฟัส นี่นิโคลัย”
   เด็กหนุ่มที่ชือว่ารูฟัสยื่นมือออกไป เขาอยู่ในชุดรัดกุมสีดำสนิท ส่วนสูงน่าจะยังไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบด้วยซ้ำ เรียกว่ายังเด็กอยู่จริงๆ หน้าตาก็บอกบุญไม่รับ แถมยังมีดวงตาสีแปลกที่ชวนให้นึกว่าจะมองเห็นได้จริงๆ รึเปล่า
   นิโคลัยยื่นมือไปสัมผัสมือที่ยื่นออกมาพอเป็นพิธี แล้วพูดยิ้มๆ “ขนขึ้นรึยังเนี่ยเรา”
   “อยากดูไหมล่ะ” รูฟัสว่า และทำท่าจะถอดกางเกงออก นิโคลัยยกมือขึ้นตบศีรษะ พลางหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า อโลช่า คุณสอนเด็กยังไงเนี่ย ใครเขาถอดกางเกงโชว์ขนให้คนอื่นดูกัน”
   “นายถามไม่ใช่รึ?” อเล็กเซตอบยิ้มๆ นิโคลัยหยุดหัวเราะทันที กลอกนัยน์ตาสีเทามองดูคนตรงหน้า “แหม...ช่วยป้องให้เลยหรือครับ”
   “ก็เขายังเด็กอยู่นี่” อเล็กเซว่า คนฟังยักไหล่ “แล้วคุณฝากเด็กให้ทำงานกับทีมผมเนี่ยนะ?”
   อเล็กเซหัวเราะขึ้นบ้าง “อืม..ฉันพูดว่าเขายังเด็ก หมายถึงร่างกายน่ะนะ แต่หัวใจรับรองผู้ใหญ่อย่างนายต้องอายแน่ๆ พาไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเขาหรอก ถ้าเป็นอะไรก็ถือเสียว่าฉันสอนไม่ดีเองแล้วกัน”
   “พูดงี้ระวังเจ้าหนูนี่ร้องไห้นะ” ชายหนุ่มแหย่
   “เขาไม่ร้องไห้หรอก ฉันยังไม่เคยเห็นเขาร้องไห้เลย รูฟัสอยู่กับฉันมาสี่ห้าปีแล้วล่ะ”
   คนฟังขมวดคิ้ว หันไปมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งทันที
   “อืม...ไม่เคยเห็นใครอยู่กับคุณนานขนาดนี้เลย ตัวแค่นี้จับปืนไหวเร้อ” นิโคลัยตั้งข้อสังเกต เกิดมาเขาก็เพิ่งเคยเห็นเด็กสิบสองสิบสามสะพายปืนกลมือนี่แหละ อเล็กเซยิ้ม
   “นายจะทดสอบดูก่อนก็ได้นะ”
   นิโคลัยกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปที่ถังสีซึ่งวางระเกะระกะห่างออกไปสักสิบเมตร
   “เอาไอ้ถังสีกองนั้นก็ได้ ยังไงโกดังนี่ปกติก็เอาไว้ซ้อมปืนอยู่แล้ว ยิงให้ร่วงให้หมด แล้วยิงให้หมดแม็กด้วยนะ ถ้าทำไม่ได้ผมไม่รับนะอโลช่า”
   “ตามสบายเลย” อเล็กเซว่า รูฟัสก้าวเข้าไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง ประทับปืนกลเข้ากับบ่าด้วยท่วงท่าที่ไม่ขัดหูขัดตาสักนิด ถ้าไม่พูดว่าฝึกมาดีก็คงต้องเรียกว่าใช้บ่อย ความแข็งแรงของแขนผิดจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ
   นิโคลัยยังจำเสียงกระสุนที่สะท้อนอื้ออึงในวันนั้นได้ดี โจทย์ของเขากลายเป็นเรื่องหมูๆ ของเด็กอายุสิบสองสิบสาม
   นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับ รูฟัส เวสธ์
------------------------------------------------
   รูฟัสนึกปวดหัวกับตัวเอง ความจริงเขาไม่อยากให้ฟ่งตามมาด้วย แต่ครั้นจะไล่ให้กลับไป ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะยอมกลับไปจริงๆ เขาไม่ควรประมาทความบ้าบิ่นของหนุ่มสวมแว่นคนนี้ และจะให้เดินกลับไปส่งเองที่รถ ก็ใช่ว่าจะยอมนั่งอยู่ในนั้นเฉยๆ เสียหน่อย เผลอๆ ระหว่างเดินกลับไป ถ้าเจอเจ้าพวกแก๊งนั่นกลางทางคงกลายเป็นเรื่องหนักเข้าไปอีก
   รูฟัสจึงตัดสินใจให้ฟ่งตามมาด้วย อย่างน้อยอยู่ใกล้ๆ เขายังพอจะเห็นว่าฟ่งจะทำอะไร และคงพอจะสั่งให้ทำหรือไม่ทำได้บ้างล่ะมั้ง
   สองหนุ่มย่องเงียบๆ มาจนถึงด้านหลังของแฟลต เอาเข้าจริงฟ่งก็ทำตามคำสั่งพอใช้ได้ทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ก้าวพรวดๆ เหมือนอย่างตอนแรก รูฟัสอาศัยเศษใบไม้แห้ง กับกิ่งไม้ที่กองระเกะระกะ เป็นเครื่องกำบัง โชคดีที่เสื้อโค้ทของเขาและฟ่งสีไม่ค่อยฉูดฉาดนัก จึงพอจะกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้
   รูฟัสบอกฟ่งให้หมอบลงต่ำ คลานเข้าไปใกล้ตัวแฟลตนั้นอีกหน่อย เขาเห็นเงาคนเดินอยู่ที่ชั้นล่าง เพราะรอการบูรณะจึงมีการทุบผนังออกบางส่วน เพื่อให้ห้องเปิดเข้าหากัน รูฟัสไม่แน่ใจว่าทุบเข้าหากันทั้งหมดเลยหรือเปล่า แต่ดูจากเงาคนที่เดินไปเดินมา อย่างน้อยคงทุบไปหลายส่วนอยู่ ชายหนุ่มนึกสยองอยู่ในใจ มิน่าเล่า เจ้าพวกนี้ถึงได้เลือกที่นี่เป็นที่สุมหัว เพราะห้องในแฟลตมีจำนวนมาก แถมมีการทุบผนังเข้าหากันอีก จะตรวจสอบคนเข้าออกก็ง่าย จะใช้เป็นที่กำบังตัวก็ง่าย เพราะคนที่เพิ่งเข้าไปใหม่คงต้องงงกับสภาพสถานที่สักพัก
   ระเบียงอยู่ห่างจากศีรษะไปไม่ถึงฟุต แค่ยืดตัวก็ปีนเข้าไปได้ง่ายๆ แล้ว แต่ถ้าปีนเข้าไปจริงๆ โอกาสถูกจับได้ก็มีสูง ไม่รู้ว่าพวกนั้นมีอาวุธอะไรบ้าง อย่างเบาก็คงมีด ปืนพก อย่างสาหัสก็อาจจะปืนกล จะแบบไหนก็ดูไม่น่าเสี่ยงทั้งนั้น โดยเฉพาะเขามีฟ่งมาด้วย และจุดประสงค์ก็แค่จะช่วยเจ้าเปี๊ยกนั่นออกไปเฉยๆ ไม่ใช่มาถล่มฆ่าคนสักหน่อย
   ถ้ามีราฟาแอลมาด้วยก็คงง่าย
   ปกติรูฟัสทำงานเป็นทีม เขากับราฟาแอลจะทำหน้าที่สลับกัน แล้วแต่สถานการณ์ ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นผู้ดึงความสนใจ ขณะที่อีกคนเข้าไปทำภารกิจ และภารกิจแบบนี้ก็เหมาะที่สุดที่จะให้ราฟาแอลเปิด แต่ตอนนี้ไม่มีราฟาแอล แถมตัวเขาเองก็มีแค่ปืนพกกระบอกเดียว เห็นทีจะต้องหาทางอื่นที่ดูปลอดภัยกว่า ขณะที่กำลังนึกถึงสภาพแผนผังของแฟลต มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาสะกิดเขาเบาๆ
   “เข้าไปไม่ได้หรือ?” ฟ่งกระซิบถาม เขาไม่กล้าชะเง้อมอง เพราะกลัวจะโดนเห็นเข้า รูฟัสพยักหน้า และอธิบายสภาพคร่าวๆ ให้ฟัง นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ
   “ทางโน้น” ฟ่งกระซิบพลางชี้มือไปยังสุดทางของกำแพง รูฟัสมองไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า ฟ่งจึงกระซิบอีกรอบ “ผมว่าน่าจะมีช่องทิ้งขยะ”
   หนุ่มตาสองสีเข้าใจความหมายทันที เขาพาฟ่งเดินเลียบขอบกำแพงเพื่อไปยังกำแพงด้านข้างของแฟลต และก็พบว่ามีช่องทิ้งขยะอยู่ตรงนั้นจริงๆ รูฟัสเอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?”
   “ผมเดา” ฟ่งว่า และพูดต่อ “แฟลตใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีที่ทิ้งขยะสิ”
   หนุ่มตาสองสีพยักหน้ายอมรับ เขาเองก็พอจะนึกออกลางๆ ที่น่าแปลกคือฟ่งเพิ่งเคยเห็นแฟลตแท้ๆ แต่กลับเดาได้ว่ามีช่องทิ้งขยะอยู่ตรงนี้
   โชคดีที่ช่องทิ้งขยะถูกทิ้งรกร้างนานพอๆ กับตัวแฟลต จึงมีทั้งเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งหล่นทับถมจนกลายเป็นสิ่งพรางตาอย่างดี
   รูฟัสและฟ่งปีนเข้าไปในกล่องเหล็กขึ้นสนิม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นที่ใส่ขยะ พวกเขามุดเข้าไปในช่องที่ติดกับกำแพง ซึ่งด้านบนเป็นปล่องขนาดพอจะให้คนคนหนึ่งผ่านขึ้นไปได้ ตอนนี้ทั้งสองคนเลยยืนเบียดกันอยู่ในช่องแคบๆ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองปล่องสูงด้านบนพลางห่อไหล่ ด้วยไม่รู้ว่าจะขึ้นไปยังไง
   “คุณรออยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ” รูฟัสว่า และยันมือกับเท้าเข้ากับกำแพงแต่ละด้าน ก่อนจะถัดตัวขึ้นไปอย่างชำนาญการ ฟ่งเพิ่งนึกออกว่ายังมีวิธีปีนแบบนี้ เมื่อครู่เขากำลังมองหาช่องเพื่อเหนี่ยวตัวขึ้นไปแทบตาย
   “คุณไม่หล่นใส่หัวผมนะ” หนุ่มสวมแว่นว่า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายกระซิบเบาๆ “ไม่ร่วงลงไปหรอกครับ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก และทดลองปีนแบบรูฟัสบ้าง
-----------------------------------------------
   เศษฝุ่นและซีเมนต์ที่หลุดล่อน ร่วงใส่ศีรษะเป็นระยะๆ ระหว่างที่ฟ่งขยับตัวขึ้นไปตามผนังแคบๆ ชายหนุ่มจึงจำต้องก้มหน้าลง เนื่องจากไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน แขนขาจึงเกร็งจนสั่นพับๆ ฟ่งนึกทุเรศตัวเองที่ไม่ได้เรื่องทางแรงกายเอาเสียเลย ถ้าเขาขยันออกกำลังกายสักหน่อย อาจจะทำอะไรๆ ได้สะดวกกว่านี้
   ชายหนุ่มแข็งใจกัดฟัน ปีนผนังไปอย่างทุกลักทุเล ไม่รู้ว่ารูฟัสขึ้นไปถึงไหนแล้ว ผู้ชายคนนั้นดูจะชำนาญเรื่องแบบนี้เสียเหลือเกิน ขนาดเสียงขยับเท้ายังไม่ค่อยจะดังมาให้ได้ยิน

   ความจริงรูฟัสกำลังเงี่ยหูฟังเสียงอยู่ตรงช่องทิ้งขยะบริเวณชั้นสอง ซึ่งฝาปิดที่ทำจากเหล็กผุไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังดีที่ยังพอจะใช้เป็นที่กำบังตัวได้ เขาเห็นวัยรุ่นสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ รูฟัสพยายามจะจับใจความ เผื่อว่าจะได้รู้จุดที่อยู่ของเด็กที่จับตัวไป แต่ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นจะคุยกันถึงเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับปืนหรืออะไรซักอย่าง ขณะที่กำลังนึกชั่งใจว่าจะไปต่อยังไงดี เสียงปืนก็ดังขึ้น
----------------------------------------------
   นิโคลัยตัดสินใจสตาร์ทเครื่อง เยียบคันเร่งถอยรถแท็กซี่ออกจากที่จอด ตอนที่เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เขาตัดสินใจไม่เลือกที่จะเป็นเป้านิ่ง เพราะยังไงเสีย เจ้าพวกนี้มาก็คงไม่ประสงค์ดีต่อเขาอยู่แล้ว ไม่มีไอ้บ้าคนไหนจอดรถที่มีรูกระสุนพรุนแบบนี้แล้วบอกว่าหลงมาหรอก แล้วก็เป็นอย่างที่คาด พอเจ้าพวกนั้นเห็นรถของเขา ก็กรูกันสาดกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ไถ่ไม่ถามทันที
   เจอแบบนี้ใครมันจะอยู่เฉยๆ ให้ยิงกันล่ะ
------------------------------------------------
    เสียงกระสุนปืนถี่ยิบทำเอาหนูน้อยเอ็ดการ์ดตัวสั่นพับๆ เขาหมอบอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหลังรถ กอดแมกกาซีนปืนแน่น พยายามเม้มริมฝีปาก เพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา เอ็ดการ์ดไม่อยากเป็นพระเอก แต่เขาอยากช่วยเกรเกอรี
   ถ้าเป็นพระเอกแล้วช่วยเกรเกอรีได้ เขาก็จะยอมเป็นพระเอก
   “รถฉันไม่ใช่เป้าซ้อมยิงนะโว้ย” เสียงตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดอย่างบ้าคลั่งของลูกปืนดังขึ้น ขณะที่รถส่ายไปมาอย่างน่าเวียนหัว นิโคลัยขับรถไปพลางคุ้ยปืนพกที่อยู่ในกระชังขึ้นมายิงสวนไปพลาง เรื่องแบบนี้มันก็ดูจะปลุกความร้อนในตัวได้ดีเหมือนได้กินวอดก้าหน้าหนาวนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเจ้ารูฟัสไปถึงไหนแล้ว หวังว่าคงไม่ถูกพ่อหนุ่มสวมแว่นนั่นรั้งเอาไว้หรอกนะ เขาไม่รู้มาก่อนว่ารูฟัสมีญาติเป็นคนเอเชีย บางทีเจ้าเด็กนั่นอาจจะวางแผนทำอะไรอีกก็ได้ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี เขี้ยวเล็บคงขึ้นมามากอยู่หรอก ขนาดตอนอายุยังไม่ถึงสิบห้ายังแสบเสียขนาดนั้น
-----------------------------------------------------
   “ตรงนั้นจะมียามเฝ้าอยู่ ฉันอยากได้เธอดึงความสนใจพวกนั้น เอาแบบเนียนๆ อย่าให้โหวกเหวกจนทางนั้นรู้ตัวล่ะ”
   นิโคลัยหันมาพูดกับเด็กหนุ่มผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆ รูฟัสตอนอยู่ในชุดเสื้อแจ๊กเก็ตขนสัตว์แบบนี้พอปล่อยผมแล้วก็ดูคล้ายเด็กผู้หญิง แต่หน้าบูดเป็นตูดกับตาสีประหลาดแบบนี้ไม่รู้ว่าใครที่ไหนจะรักจะเอ็นดูบ้าง ถึงฝีมือด้านการใช้อาวุธจะพอพาไปออกงานได้ก็เถอะ งานแบบนี้ต้องการแค่เด็กที่เล่นปืนเป็นอย่างเดียวที่ไหน
   “ได้” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะขยับตัว เดินออกไปอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นสักพัก นิโคลัยก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้น เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนพอจะกระตุ้นความสนใจของยามเฝ้าประตู หลังจากนั้นเขาก็เห็นเจ้าหนูนั้นเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา ส่งเสียงร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิง
   ท่าเดินอย่างเสียใจสุดแสนของเด็กน้อยกระตุ้นความสงสารบวกเห็นใจของยามได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าไม่ได้ยินเสียงเรียก ยามจึงเดินเข้าไปหา จังหวะที่ก้มตัวลงเพื่อจะพูดคุยด้วยนั้นเอง มือน้อยๆ ก็พุ่งเข้าใส่ท้ายทอย กระแทกทีเดียวก็ส่งยามที่ตัวใหญ่กว่าลงไปกองกับพื้น จังหวะนั้นเองที่ยามอีกคนเดินมา เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
   เพราะไม่มีใครคิดว่าเด็กผู้หญิงอายุสิบสองสิบสาม จะล้มยามผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าได้ ดังนั้นเหล่ายามรักษาการจึงไม่นึกสงสัยกับเรื่องนี้เลย ต่างมุ่งความสงสารไปยังเด็กผู้หญิงแทบทั้งหมด เป็นโอกาสให้ทีมที่เหลือฉวยจังหวะเคลื่อนกำลังไปได้ง่ายๆ
   รูฟัสตามมาหลังจากนั้นไม่นาน พอถามว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เจ้าเด็กตาสองสีก็ทำหน้าเศร้า สะอึกสะอื้นแล้ว แค่นเสียงอย่างน่าสงสาร “อย่าขู่หนูเลยค่ะ”
   ให้ตายสิ เกิดมายังไม่เคยนึกอยากง้างเท้าถีบเด็กคนไหนมากขนาดนี้มาก่อนเลย
--------------------------------------------
   เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้รูฟัสมีโอกาสได้ฟังบทสนทนาที่เป็นประโยชน์ เด็กหนุ่มที่นั่งคุยกันอยู่ลุกขึ้นยืนทันที สักพักก็มีเสียงตะโกนเข้ามา
   “เจอไอ้คนที่แอบตามมาแล้ว พวกนายจะลงไปช่วยลุยหรือจะขึ้นไปอยู่กับลุดวิกด้านบน?”
   คนได้ฟังตอบอย่างไม่รอช้า “ต้องออกไปลุยอยู่แล้ว ใครมันจะอยากนั่งคุยกับเด็กกันล่ะ ไปกันเถอะ”
รูฟัสนึกดีใจที่เจ้าพวกนี้เป็นแค่นักเลงกระจอก ไม่นึกระแวดระวังอะไรมาก ถ้าพวกนี้เฮกันออกไปหมด งานเขาก็ง่าย สงสัยจะต้องขอบคุณนิโคลัยที่มาแทนราฟาแอลได้ตรงเวลา
---------------------------------------------
   นิโคลัยยิงโต้ไปพลางถอยรถไปพลาง เป็นโชคดีที่ถนนข้อนข้างกว้าง และมีมุมตึกให้พอจะหลบกระสุนได้ ชายวัยกลางคนผู้มีฟันทำจากเงิน เปิดช่องกระจกด้านบนรถออก คว้าปืนกลกึ่งอัตโนมัติที่วางอยู่ตรงเบาะข้างขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยปากเรียก
   “เฮ้ย ไอ้หนู ขยับมาตรงนี้หน่อยซิ ให้ไวเลย หยิบแมกกาซีนมาด้วย สักสองสามอัน”
   เอ็ดการ์ดตะลีตะลานคลานไปยังเบาะหน้าทั้งที่ตัวยังสั่นพับๆ โดยไม่ลืมจะหยิบตลับสีดำยาวนั้นติดมือไปด้วย มันหนักเอาการทีเดียวสำหรับเด็กอายุแค่แปดขวบ
   “เอาล่ะ มุดลงไป กดคันเร่งไว้นะ เออ อันแบนๆ นั้นแหละ”
   เด็กน้อยไถลตัวลงไปใต้ที่นั่ง มองเห็นคันเหยียบสองคัน เขาเลือกกดลงไปอันหนึ่ง รถแท็กซี่หยุดกึกทันที
   “โอ๊ย ไม่ๆๆ” ชายวัยกลางคนรัวเสียง ขณะที่กลุ่มคนวิ่งมาพ้นมุมตึก เขาตะโกนขึ้นต่อ
   “กดอีกอัน!”
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่81 p15 6/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 07-01-2012 12:03:05
   เอ็ดการ์ดทำตามทันที ผลคือรถพุ่งถอยหลังจาคนยืนเกือบหน้าคะมำ เสียงสาดกระสุนดังตามหลังจากนั้น
   “โอเคแล้วไอ้หนู ยกมือขึ้นมาหน่อย อย่ากดแน่น” นิโคลัยตะโกนแข่งกับเสียงกระสุน ขณะที่รถพุ่งถอยหลังด้วยความเร็วน่าหวาดเสียว เขาใช้ขาข้างหนึ่งประคองพวงมาลัย และสาดปืนกลเข้าใส่พวกที่วิ่งดาหน้าเข้ามา พลางนึกดีใจที่เพิ่งเปลี่ยนรถเป็นเกียร์ออโต้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องปวดหัวกับการสอนเด็กขับรถแน่ๆ
   เสียงปืนกลดังอื้ออึงจนหูอื้อ เอ็ดการ์ดเพิ่งเรียนรู้ว่าการกดคันเร่งแรงเบาทำให้รถเคลื่อนที่เร็วต่างกัน และแป้นเหยียบอีกข้างเหมือนจะเป็นเบรก ในความอื้ออึง เขารู้สึกเหมือนคนขับรถขยับตัวลงมาจากด้านบน
   “แจ๋ว” นิโคลัยว่า เขาหดตัวหลบกระสุนที่สาดเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแมกกาซีนปืน ดูเหมือนปืนกลจะเป็นคำขู่ที่ได้ผล พวกนั้นไม่กล้าทะเล่อทะล่าวิ่งตามมาอีก เขาเปลี่ยนแมกกาซีนเสร็จแล้วจึงดึงตัวเด็กน้อยขึ้นมา
   “ไปนั่งตรงนั้น แล้วถือนี่เอาไว้”
   เอ็ดการ์ดรับปืนกลมาถือขณะที่ปืนไปนั่งเบาะข้าง น้ำหนักของมันหนักพอสมควร แต่ด้วยอารามตกใจ เด็กน้อยจึงอุ้มมันและกอดไว้แน่น นิโคลัยกลับมาประจำที่นั่งคนขับ และขับรถถอยเลี้ยวผ่านมุมตึกอีกมุมหนึ่ง พลางภาวนาไม่ให้มีใครแอบซุ่มอยู่ด้านหลัง
-----------------------------------------------------
   ฟ่งตกใจกับเสียงปืน เขาเงยหน้าขึ้นไปและเห็นรูฟัสกำลังจ้องผ่านรูที่มีแสงลอดเข้ามา ชายหนุ่มส่งเสียงด้วยความร้อนใจ “รูฟัส!”
   หนุ่มตาสองสีส่งเสียงชู่วเบาๆ ก่อนจะผลักบานเลื่อนสนิมเขรอะนั้นออกไป เสียงครืดของมันทำเอาฟ่งเผลอกลั้นหายใจ
   เศษซากผุพังของบานปิดโลหะร่วงหล่นลงมาจนทำให้ฟ่งต้องก้มหน้าอีกครั้ง รูฟัสปีนออกไปทางช่องทิ้งขยะ และค่อยโผล่หน้าเข้ามา
   “ไหวรึเปล่าครับ?”
   ฟ่งแข็งใจตะกายขึ้นไป รูฟัสเอื้อมมือมาด้วยดึงหนุ่มสวมแว่นออกมาจากช่องทิ้งขยะอย่างทุลักทุเล ฟ่งเลื่อนแว่นตาที่เกือบเลื่อนหลุดให้เข้าที่ และปัดเศษปูนเก่าออกจากมือที่เจ็บจนชาไปหมด โชคดีที่ใส่ถุงมือเอาไว้เลยทำให้ผิวไม่ถึงกับถลอก รูฟัสยิ้มให้นิดหน่อย ก่อนจะพูดเสียงเบา
   “เอาหมวกมารึเปล่าครับ?”
   ฟ่งพยักหน้า ชายหนุ่มจึงพูดต่อเร็วปรื๋อ “เอามาสวมไว้เร็วครับ”
   หนุ่มสวมแว่นทำตามอย่างไม่เข้าใจนัก รูฟัสดึงขอบหมวกลงมาจนเกือบจะชนกับตัวแว่น และพูดต่อ “ใส่เอาไว้แบบนี้นะครับ อย่าพยายามเงยหน้ามองใคร แล้วตามผมมานะ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ รูฟัสยันตัวลุกขึ้น ถูเศษดินออกจากมือ และก้าวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
   ฟ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามรูฟัสไปด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก เสียงปืนด้านนอกยังดังอยู่เป็นระยะๆ ฟ่งนึกเป็นห่วงเอ็ดการ์ดและคนขับรถ เสียงปืนที่ดังขึ้นนั่นมาจากพวกแก๊งอันธพาลเหล่านี้ หรือมาจากรถแท็กซี่คันนั้นกันแน่ ฟ่งคิดว่าคนขับรถธรรมดาคงไม่บ้าขนาดขับรถฝ่าห่ากระสุน แล้วยังปล่อยให้คนนั่งยิงปืนในรถแบบนี้หรอก บางทีรูฟัสกับคนขับรถอาจจะรู้จักกันมาก่อน  พอนึกว่ารูฟัสเกิดและเติบโตที่นี่ ทำอาชีพแบบนี้ ที่ว่าไว้ใจได้ของรูฟัสนี่ ไว้ใจแบบไหนกันนะ?
   เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากบันไดทางด้านบน ฟ่งที่คิดจะอ้าปากถามจึงต้องรีบก้มหน้าและหุบปากทันที เขานึกสงสัยว่ารูฟัสจะทำอย่างไรกันแน่ หากคนพวกนั้นเดินมาพบเข้า หนุ่มตาสองสียังคงก้าวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเหล่านั้นก็ปาน
   ฟ่งกลั้นใจ วิ่งตามรูฟัสขึ้นไป เขาไม่รู้ว่าคนข้างหน้าตั้งใจจะให้ถูกพบตัวหรืออะไรแน่ แต่เรื่องแบบนี้รูฟัสมีประสบการณ์มากกว่าเขา เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ เรื่อยๆ แล้วฟ่งก็ได้ยินเสียงพูดกึ่งตะโกนที่เขาฟังไม่ออก หนุ่มสวมแว่นแทบหยุดหายใจ รูฟัสพูดคุยอะไรบางอย่างกับคนพวกนั้นแล้วออกวิ่งต่อ ราวกับคนที่ผ่านมาเป็นพวกเดียวกันก็ปาน
   หนุ่มสวมแว่นวิ่งตามคนด้านหน้าขึ้นไปต่อ รู้สึกพิศวงกับความใจเย็นของรูฟัส นี่สินะความชำนาญด้านอาชีพที่ใครๆ พูดถึง เขาที่วันๆ นั่งๆ นอนๆ ทำงานอยู่กับโต๊ะ ถ้ามาเจอสถานการณ์แบบนี้สงสัยจะไปไม่รอดตั้งแต่ก้าวแรก ฟ่งก้าวเท้าตามรูฟัสไปด้วยความมั่นใจมากขึ้น
ถ้าเป็นผู้ชายคนนี้ ต้องทำสำเร็จแน่ๆ
รูฟัสกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนแฟลตชั้นแล้วชั้นเล่า จนฟ่งเริ่มหอบแฮ่ก ขณะที่วิ่งขึ้นมาถึงราวๆ ชั้นที่สี่ จู่ๆ รูฟัสก็หยุดกึก ยื่นมือมาคว้าตัวเขาเอาไว้กะทันหัน ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ขอโทษนะครับ”
ฟ่งอ้าปากเหวอ รูฟัสดึงหมวกเขาออกและใช้แขนล็อกคอเอาไว้ ก่อนจะลากตัวเขาขึ้นบันไดต่อไป ฟ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนชั้นนี้มีคนยืนจับกลุ่มกันราวๆ ห้าหกคน เขาได้ยินเสียงรูฟัสตะโกนอะไรบางอย่าง ฟ่งดิ้นขลุกขลักทันที
“เฮ้ นี่มันไอ้หนุ่มต่างชาติที่เจอพร้อมกับไอ้หนูนั่นนี่นา” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น ผมสีดำน้ำตาลที่ขึ้นหรอมแหรมอยู่บนหัวและเคราที่ตัดแต่งอย่างไม่ได้เรื่อง ทำให้รูฟัสพอจะเดาได้ว่าคงเป็นหนึ่งในพวกที่จี้ฟ่งเอาไว้ ในขณะที่อีกคนไปพาตัวเด็กออกมา เขาเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ ขณะที่ทางนั้นพูดต่อ “แกไปเจอมันที่ไหน?”
“ด้านล่าง” ชายหนุ่มตอบและพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ผมเห็นเจ้านี่เดินลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างแฟลต เลยจับตัวเอาไว้”
คนตัวใหญ่เดินเข้ามาใกล้ ใช้มือหน้าหนักจับใบหน้าของฟ่งขึ้นมา หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วด้วยความโมโห
“เออ ใช่จริงๆ ” ชายตัวใหญ่ว่า อีกเสียงหนึ่งดังแหวกออกมา
“มุงอะไรกันน่ะ?”
เป็นคนเคราสีอ่อนที่ใช้มีดจี้ฟ่งเอาไว้นั่นเอง พอเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น ชายคนนั้นก็เบิ่งตาอย่างแปลกใจ “นักท่องเที่ยวผู้กล้าหาญเรอะ ฆ่าเจ้าพวกนี้ไม่ได้ด้วยสิ เดี๋ยวจะเป็นปัญหาใหญ่ เอาไปเก็บไว้ก่อนแล้วกัน นี่ แล้วมีใครมาบอกแล้วยังว่าไอ้แท็กซี่เวรนั่นมันเป็นใคร?”
คนที่เหลือสั่นศีรษะ ชายผู้มีเคราสีอ่อนพูดต่อ “มันไม่ธรรมดาแน่ แท็กซี่บ้าที่ไหนจะให้ผู้โดยสารยิงปืนออกมาจากรถวะ ไอ้หนุ่มนี่อาจจะเป็นตัวล่อให้เราเขวก็ได้ ฉันจะลงไปดูด้วย ยังไงก็ต้องเก็บพวกมันให้ได้”
พูดพลางก้าวพรวดๆ ลงบันไดไปทันที รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่เป็นเชิงถาม
“แล้วจะให้ทำไงกับหมอนี่ล่ะ”
   คนถูกถามมองดูชาวต่างชาติที่กำลังดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ ทำเอาคนจับต้องใช้แขนอีกข้างล็อกมือเอาไว้ ชายร่างสูงพูดต่อ “เดี๋ยวฉันไปถามลุดวิกก่อนแล้วกัน ชิ เบื่อพวกต่างชาติชะมัด”
   เขาว่า และหันหลัง เดินตามทางเดิน เลี้ยวไปยังห้องห้องหนึ่งที่ยังทุบผนังออกไม่หมด
   “เฮ้  ลุดวิก มีคนจับไอ้หนุ่มต่างชาติที่อยู่กับเด็กได้ที่ชั้นล่างแนะ จะให้ทำยังไง”
   ลุดวิกที่กำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสถานการณ์ด้านล่างหันหลับมาทันที “หืม?”
   “นายจำไอ้ผู้ชายต่างชาติที่อยู่กับเด็กได้ไหม?” ชายตัวใหญ่พูดต่อ เกรเกอรี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกจับมัดมือไพล่หลังเอาไว้ ตาและปากถูกผูกผ้าปิดเอาไว้อยู่ เลยไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้บ้าง แต่ลุดวิกมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด
   “เจ้าหนุ่มนั่นรึ? มันมากับแท็กซี่? ใครจับมันได้ล่ะ?”
   คนตัวใหญ่ถึงกับอึ้งไปทันที ลุดวิกมองดูเพื่อนร่วมอาชีพ และถามต่อ “ใครจับมันได้?”
   คนถูกถามไม่ตอบ เขาพึมพำออกมา “ตายห่า!”
   “ช่าย ตายห่า” เสียงพูดทวนดังมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันจะหันไปมอง เสียงแผดลั่นของลูกตะกั่วที่ถูกอัดด้วยดินประสิวก็ดังขึ้น ลุดวิกชักปืนออกมาในวินาทีนั้น แต่ก็ดูจะช้าไป เสียงลั่นกระสุนดังขึ้นอีกครั้ง ปืนในมือหล่นลงทันที ขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงร้องพร้อมกับเอามือกุมหัวไหล่ ชายร่างใหญ่ซึ่งยืนอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ยกมือขึ้นกุมรอยกระสุนที่ขา
   รูฟัสยังคงเล็งปืนในมือไปยังพวกที่นอนโอดโอยอยู่ ขณะที่ฟ่งวิ่งแผล่วไปหาเด็กที่ถูกจับมัดเอาไว้ เขาใช้มีดพกที่รูฟัสหยิบให้ระหว่างที่จัดการกับพวกด้านนอกออกมาตัดเชือกที่มัดเกรเกอรีอยู่ จัดการถอดผ้าปิดตาและปิดปากออก
   “พี่ชาย!” เด็กน้อยพูดอย่างดีใจและเบิ่งนัยน์ตากว้างเมื่อเห็นคนมาช่วย ฟ่งยิ้มและรีบอุ้มเขาขึ้นมา ได้ยินเสียงปืนอีกหนึ่งนัด หนุ่มสวมแว่นรีบยกมือขึ้นปิดตาเด็กน้อยทันที
   ชายร่างใหญ่ร้องเสียงลั่น เมื่อหัวไหล่ถูกยิง เขาปล่อยปืนในมือทิ้ง และยกมือขึ้นกุมบาดแผล เลือดไหลนองพื้น
   “ฟ่งครับ ออกไปก่อน” รูฟัสว่า และใช้เท้าเตะปืนที่หล่นอยู่ออกไป ลุดวิกถลึงตามองเขาเหมือนคนบ้า
   “แกเป็นใครว่ะ?! ตำรวจรึไง?”
   “เปล่า” รูฟัสตอบ และเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงทางนั้นหัวเราะ “แกเองสินะที่เป็นคนยิงปืนจากแท็กซี่นั่น แต่แกหนีไม่รอดหรอก พวกฉันที่อยู่ด้านล่างไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่”
   “ก็คงงั้น” รูฟัสว่า และยกปืนขึ้นจ่อหน้าผากของผู้ที่นอนอยู่ “โทษฐานที่แกไปยุ่งกับแฟนฉัน”
   เสียงแผดของดินประสิวดังสะท้อนกับกำแพงแฟลต ลุดวิกหน้าซีด กลิ่นเหม็นไหม้ลอยมาจากด้านบนศีรษะ พร้อมกับความเจ็บแปลบบนหนังหัว แต่ที่เหนืออื่นใด ดวงตาใต้แว่นตาสีชานั่น...
   “กะ...แก!!!”
   รูฟัสพยักหน้า พลางมองดูคนที่เส้นผมตายไปแถบหนึ่งบนหัวฟุบหน้าลงไปทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ
   ยิงถากหนังหัวแค่นี้ คงไม่ประสาทอ่อนจนช็อกตายไปหรอกนะ
--------------------------------------------------
   นิโคลัยถอยรถออกมาได้พักหนึ่งแล้ว ความเอะอะเอ็ดตะโรเบาลงไปได้ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนดังก้องมาจากแฟลต ชายวัยกลางคนหักพวงมาลัยรถเพื่อเปลี่ยนทิศทางทันที
---------------------------------------------------
   ฟ่งอุ้มเกรเกอรี่วิ่งลงมาตามทางเดินบันได้ เขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งวิ่งตามหลัง
   “รู้ทางแน่นะครับ”
   รูฟัสนั่นเอง ฟ่งไม่รู้ว่าเขาฆ่าใครในห้องไปรึเปล่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องแบบนั้น หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า
   “พอเดาได้น่ะ” เขาตอบ รูฟัสนึกแปลกใจ แต่ก็วิ่งตามไปเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าฟ่งไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทั้งๆ ที่เพิ่งมาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรกแท้ๆ ขนาดเขาเองที่อยู่มาตั้งหลายปี ยังไม่กล้าแน่ใจเลย ปกติเวลาทำงาน เขามักจะต้องศึกษาโครงสร้างของสถานที่เป้าหมายและรอบๆ อย่างคร่าวๆ ถึงละเอียด เพื่อใช้คำนวณเส้นทางหลบหนี แน่นอนว่ารูฟัสทำงานโดยวางแผนไว้ก่อน คงจะมีแค่คราวนี้แหละที่เป็นงานแบบฉุกละหุก และไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ไม่ว่าฟ่งจะเอาความมั่นใจมาจากไหน ก็หวังว่าจะวิ่งออกไปตรงที่ตรงเวลา ไม่เจอกับไอ้เจ้าพวกด้านล่างที่กำลังวิ่งกรูกันขึ้นมา
   รูฟัสแน่ใจว่าคนที่อยู่ด้านนอกต้องได้ยินเสียงปืน เขาตั้งใจยิงออกไปเอง เพราะการปล่อยให้นิโคลัยรับมือกับคนพวกนั้นนานๆ ใช่ว่าจะปลอดภัย ไหนจะมีเด็กอยู่ด้วยอีก ชายหนุ่มจำต้องดึงความสนใจของพวกนั้นบ้าง
   ฟ่งอุ้มเด็กและพารูฟัสวิ่งตามบันได ข้ามกำแพงห้องที่ถูกทุบเหลือไว้แค่เข่า ผ่านทะลุระหว่างห้องและไปออกยังบันไดอีกฝั่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงตะโกนและเสียงคนกำลังวิ่งขึ้นบันได ฟ่งมองซ้ายมองขวา และวิ่งข้ามกำแพงเตี้ยๆ ออกไปอีกฝั่งหนึ่ง เข้าไปหลบหลังผนัง ด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก
   รูฟัสไม่รู้ว่าฟ่งทำได้ยังไง หนุ่มสวมแว่นพาเขาวิ่งลัดเลาะ มาโผล่ยังบันไดอีกฟากหนึ่ง ทั้งสามคนวิ่งลงบันไดจนมาออกที่ชั้นหนึ่ง ฟ่งพาเขาวิ่งไปยังลานซึ่งเคยเป็นห้องชุดแถวหลัง พอออกไปถึงระเบียง รูฟัสก็เห็นรถแท็กซี่คันเดิมจอดอยู่ เขารับเด็กมาจากฟ่ง และกระโดดตามหนุ่มสวมแว่นลงไป ตรงไปยังรถแท็กซี่ ก่อนที่คนขับจะใส่เกียร์ พุ่งรถออกไป
--------------------------------------------
   ฟ่งรู้สึกดีใจจนแทบจะร้องออกมา เขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนี้ได้ ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถแท็กซี่และพูดกับเอ็ดการ์ดเพื่อให้บอกคนขับว่าต้องขับรถไปรับพวกเขาตรงไหน แล้วก็เดินไปหารูฟัสทั้งอย่างนั้น ตอนที่แกล้งถูกจับ ฟ่งยังนึกแขยงว่าเขาจะโดนชกท้องอีกหรือเปล่าที่อาละวาดสมจริงสมจังขนาดนั้น ดีหน่อยที่รูฟัสพยายามล็อกเขาไว้ทัน
   หนุ่มสวมแว่นหอบหายใจแฮ่กอยู่ในรถที่แล่นออกไปด้วยความเร็วสูง รูฟัสส่งตัวเกรเกอรีมายังเบาะหลัง เมื่อเห็นหน้าเอ็ดการ์ด หนูน้อยทั้งสองก็โผเข้ากอดกันทันที แต่ยังไม่ทันที่ฟ่งจะซาบซึ้งกับภาพการพบกันนั้น เสียงลั่นของลูกกระสุนก็ดังขึ้นด้านหลัง ชายหนุ่มหมอบลงกับเบาะรถทันที และเจ้าหนูทั้งสองที่ยังอยู่ในอาการตกใจให้หมอบลงด้วย
   เสียงปืนยังคงดังอีกสี่ห้านัด จากนั้นฟ่งก็ได้ยินเหมือนเสียงเปิดประตูรถ และเสียงรัวเป็นตับราวกับจุดประทัดก็ดังตามมา ตามด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์
----------------------------------------------
   รูฟัสไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเล็ง เพราะเขาไม่ใช่มือปืนที่ชำนาญขนาดจะยิงให้แม่นบนรถที่ขับส่ายแบบนี้ได้ และเขามีปืนกลอยู่ในมือ แล้วจะเสียเวลาเล็งไปทำไมกันล่ะ
   รถที่ตามมาเสียหลักพุ่งออกข้างทางทันที แม้จะยังมีตามหลังมาอีกสองสามคัน แต่ก็ทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ ลงเพราะไอ้เจ้า Scorpion SV361ในมือของเขาล่ะมั้ง ให้ตายสิ ไม่รู้ดีหรือบ้ากันแน่ที่นิโคลัยพกของอย่างนี้ติดมาในรถด้วย ชายหนุ่มหรี่ตามอง ยังมีอีกเรื่องที่เขายังไม่ได้สะสาง
   “เฮ้ย รูฟัส จะทำอะไรวะ?” นิโคลัยถามอย่างสงสัยเมื่อหนุ่มตาสองสีมุดกลับเข้ามาในรถ วางปืนลงและโผล่ศีรษะออกไปอีกรอบ รูฟัสพูดสั้นๆ
   “สั่งสอนนิดหน่อย”
   ในมือของชายหนุ่มปรากฏมีดพกเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง นัยน์ตาสองสีหรี่มองผ่านแว่นตาสีชา เขาอาจจะยิงปืนไม่แม่นก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องขว้างมีดล่ะก็.....
   ชายผู้มีเคราสีอ่อนแหกปากร้องลั่น เขากำลังชะลอรถ เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีปืนกล และกำลังจะออกถนนใหญ่ จึงไม่ควรเสี่ยงออกไปลุยด้วย จังหวะนั้นเองที่วัตถุบางอย่างลอยทะลุกระจกเข้ามา เสียบเข้าตรงใบหูของเขาพอดี เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาเจิ่งหัวไหล่
   หนุ่มตาสองสีขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ขณะมองรถที่เสียหลักไถลไปตามไหล่ทาง
---------------------------------------
   รถแท็กซี่วิ่งเข้ามาสู่ถนนใหญ่ ฟ่งรู้สึกหายใจได้คล่องคอขึ้น เพราะไม่มีใครตามมาอีก เขาชะโงกหน้ามาถามคนนั่งด้านหน้า
   “รูฟัส นี่มันอะไรกันน่ะ?”
   คนถูกถามทำหน้าแปลก “อ้าว ก็คุณบอกให้ผมมาช่วยเด็กไงครับ”
   “ไม่ใช่ ผมหมายถึง คุณกับคนขับรถแท็กซี่ คุณสองคนเป็นอะไรกัน?”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสียิ้มออกมา เขาหันไปคุยกับคนขับรถสองสามคำ แล้วจึงหันมาพูดต่อ
   “อ้อ เขากับผมเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันน่ะ อืม...คุณรู้จักเคจีบีรึเปล่าครับ? เป็นหน่วยงานลับทางทหารของรัสเซียน่ะ อ้อ...แต่เขาไม่ใช่เคจีบีหรอกนะ ผมก็เหมือนกัน”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ เขาเคยได้ยินเรื่องของเคจีบีมาบ้าง เหมือนจะเป็นสายลับของรัฐบาลรัสเซียนี่แหละ ต่อให้รูฟัสกับคนขับรถเป็นเคจีบีจริงๆ เขาก็คงไม่รู้สึกแปลกใจตรงไหน ก็ดูที่คนพวกนี้ทำสิ
   “สรุปว่า เขาเป็นแค่เพื่อนเก่าคุณ? อืม...ผมไม่ยักรู้ว่าที่รัสเซีย คนขับแท็กซี่จะพกปืนกลไปไหนมาไหนด้วย” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มแห้งๆ
   “เอ่อ....ก็คงไม่ทำขนาดนี้ทุกคนหรอกครับ เอาว่าเขากับผมเคยเกี่ยวข้องกับพวกเคจีบีนิดหน่อย อืม เรียกว่าผู้ช่วยก็คงได้”
   “แต่ไม่ได้เป็นเคจีบี”
   “ไม่ได้เป็นครับ ก็แค่เคยทำงานด้วยกันเฉยๆ “
   ฟ่งรู้สึกว่าถึงถามต่อ รูฟัสก็คงไม่บอกอะไรกับเขาเท่าไรหรอก แต่ที่น่าสงสัยคือ สองคนนี่บังเอิญมาเจอกันได้ยังไง
   “คุณนัดเขาไว้เหรอ?”
   “?”
   “ก็เรามาถึงรัสเซียวันแรก คุณก็ขึ้นแท็กซี่คันนี้ วันนี้ก็คันนี้อีก พวกคุณนัดกันใช่ไหม?”
   รูฟัสหัวเราะออกมา เขาหันไปคุยอะไรกับคนขับอีกหนหนึ่ง
   “พูดไปคุณคงไม่เชื่อ ผมอาจจะวางแผนอะไรๆ ไว้เยอะในทริปเที่ยวครั้งนี้ แต่เรื่องเจอนิโคลัยนี่ บังเอิญขนานแท้เลยล่ะครับ เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเจอผมเหมือนกัน”
   ได้ยินเสียงนิโคลัยพูดแทรกด้วย แต่ฟ่งฟังไม่ออก จึงหันไปมองรูฟัส
   “อ้อ...เขาบอกว่า ยินดีที่ได้เจอคุณกับผมมากเลยล่ะ”
   เป็นโชคดีแล้วที่ฟ่งฟังภาษารัสเซียไม่ออก เพราะสิ่งที่นิโคลัยพูดคือ “ไอ้เด็กเวรนี้มันเป็นตัวนรกเลยล่ะ”
   ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะนี่เองที่เกรเกอรีและเอ็ดการ์ดซึ่งพอจะตั้งสติได้แล้วมีโอกาสถามแทรกขึ้นมา
   “พวกเราจะไปไหนต่อฮะ?” เกรเกอรีเอ่ยถามขึ้นเป็นภาษารัสเซีย หน้าของเขายังคงมีรอยผ้าที่ใช้ปิดปากอยู่ แต่ไม่มีบาดแผลอื่น ฟ่งรู้สึกดีใจจริงๆ ที่เด็กคนนี้ไม่เป็นอะไรมาก รูฟัสหันหน้ามาพูดอีกครั้งหนึ่ง
   “เอาเธอไปส่งที่บ้านไง คุณหนู”
   ทันใดนั้นเอง สายตาของรูฟัสก็ชะงักกึก เขาจ้องเกรเกอรี่เหมือนเห็นเขางอกอยู่บนหน้าของเด็กน้อย ก่อนจะถอดแว่นตาสีชาออก ดวงตาของเกรเกอรีและเอ็ดการ์ดเบิ่งกว้างทันที หลังจากนั้นสักพัก ฟ่งถึงได้พูดแทรกขึ้น
   “ผมกำลังจะบอกคุณพอดี ว่าเกรเกอรีตาสองสีเหมือนคุณเปี๊ยบเลย”
------------------------------------------------------
** ตอนนี้ไม่เหมาะกับเด็กอย่างรุนแรง ฮ่าๆๆ นิโคลัยสอนอะไรเด็กคะ!!! o22

และ... ก็ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังขอรูฟัสมาอีกนิดนึง (จริงดิ? นั่นเรียกรู้เหรออออ!!!)

ความลับของรูฟัสยังเฉลยไม่หมด (แน่นอนว่ากระทั่งตอนนี้คนเีขียนก็ยังไม่สามารถระบุบางเรื่องได้ว่าจริงหรือไม่<<อ้าว ตกลงเอ็งเขียนจริงป่าวเนี่ย!!)

พระเอกคนนี้เป็นคนที่ลึกลับสุดๆ เลยล่ะค่ะ^.^
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่82 p16 7/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 07-01-2012 20:28:16
บู๊สนุกที่สุด o13
ฟ่งบ้าดีเดือดได้ใจมากๆค่ะ  กลุ้มแทนรูฟัสจริงๆ
หวังว่าหนูเกเกอรีจะไม่ใช่ญาติฝ่ายไหนของรูฟัสหรอกนะ  เป็นญาติกับ สส. คงเท่ไม่หยอก
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่82 p16 7/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 07-01-2012 21:15:25
สนุกมากเหมือนดูหนังสายลับ
รูฟัสเจอญาติ??
+1
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่82 p16 7/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 07-01-2012 21:34:13
ว้าวว

เกรเกอรี่เป็นพระเอกเรื่องถัดไปป่าว :laugh:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่82 p16 7/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 07-01-2012 22:44:56
เอ่อออออออออออออออ





















คงไม่ใช่ลูกของรูฟัสหรอกน่ะ
 :a5:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่82 p16 7/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 08-01-2012 17:01:07

บทที่83 คำสาบานที่ปราศจากคำพูด
   รถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนพรุนไปครึ่งคัน แล่นมาจอดหน้าอาพาร์ตเมนต์ระดับกลางแห่งหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยเก่าของกรุงมอสโคว์
   “ที่นี่น่ะรึ?” คนขับรถแท็กซี่ถาม เด็กน้อยเกรเกอรีพยักหน้า
   “บ้านผมอยู่ชั้นบนนี่แหละฮะ” เขากล่าว และพูดต่อ “ลุงจะขึ้นไปด้วยกันรึเปล่าฮะ?”
   นิโคลัยหัวเราะหึๆ “ไม่ดีกว่า เธอไปกับพ่อหนุ่มสองคนนี่ก็พอแล้ว ฉันยังต้องรีบไปรับผู้โดยสารอีก”
   เด็กน้อยทำหน้าแปลก ขณะที่รูฟัสย่นคิ้ว “นี่ไม่ใช่วางแผนจะไปทำเรื่องอะไรอีกนะ?”
   “ประโยคนั่นฉันน่าจะพูดกับแกมากกว่า” คนถูกถามย้อน พลางยิ้มแยกเขี้ยว “ก่อนลงอย่าลืมจ่ายค่ามิเตอร์ด้วยนะเฟ้ย”
   รูฟัสควักเงินรูเบิ้ลออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งโดยไม่นับ เขายื่นมันให้เพื่อนเก่า ก่อนจะก้าวลงจากรถ “หวังว่าคงพอซ่อมสีนะ”
   นิโคลัยหัวเราะลงลูกคอ ขณะที่คนอื่นๆ ทยอยลงจากรถ เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
   “คุณลุงฮะ” เอ็ดการ์ดยื่นหน้ามาจากที่นั่งด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปยังใบหน้าของชายซึ่งเพิ่งพาเขาสู่โลกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
   “อ้าว เจ้าหนูขี้แยนี่ ไม่ร้องไห้แล้วรึ?” นิโคลัยเย้า เอ็ดการ์ดสั่นศีรษะ “ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วล่ะฮะ ขอบคุณนะฮะ”
   ผู้สูงวัยกว่าทำหน้าแปลก ก่อนจะก้มลงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากใต้เบาะ
   “เออ ฉันให้ ถือว่าเป็นที่ระลึกแล้วกัน”
   ปลอกกระสุนปืนกลกึ่งอัตโนมัติถูกหย่อนลงในมือเด็กน้อย เอ็ดการ์ดเบิ่งตากว้าง
   “เอาไปทำจี้ห้อยคอก็ได้นะ ถ้าพ่อแม่เธอไม่ว่า” นิโคลัยพูดพลางหัวเราะ เอ็ดการ์ดเก็บปลอกกระสุนในกระเป๋าเสื้อ กว่าที่เขาจะรู้ว่ามันคืออะไร ก็หลังจากนั้นอีกหลายปี เด็กน้อยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะลงจากรถ
   คนทั้งสี่มองดูรถแท็กซี่ที่มีรอยกระสุนครึ่งคันแล่นออกไปด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน รูฟัสนึกโล่งใจที่นิโคลัยไม่ถามถึงสีตาของเขากับเกรเกอรี ไม่สิ ทางนั้นคงรู้อยู่แล้วว่านี่เป็นเรื่องไม่ควรถาม และไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรู้
ฟ่งมองไล่หลังรถแท็กซี่ นึกสงสัยว่าจะมีตำรวจกล้าเรียกระหว่างทางรึเปล่า แล้วถ้าถูกเรียก คนขับจะตอบว่าอย่างไร แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนพวกนี้ล่ะมั้ง
เกรเกอรีรู้สึกแปลกใจกับคนขับรถแท็กซี่ปริศนา ที่มารับเขาด้วยรอยกระสุนทั้งคัน และยังผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่อีก คนพวกนี้เป็นใครกันนะ เป็นตำรวจรึเปล่า ทำไมถึงเสี่ยงเข้าไปช่วยเขา แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือคนที่ยืนจับมือเขาอยู่นี่แหละ
เกรเกอรีหันไปมองเอ็ดการ์ดอย่างแปลกใจเป็นที่สุด ปกติเจ้าหมอนี่มักจะร้องไห้อยู่เสมอๆ นี่นา ขนาดแค่ทำไอศกรีมหล่นยังร้องโยเยขนาดนั้น แต่ตอนนี้ เจ้าหมอนี่นั่งรถที่มีรอยกระสุนแบบนั้น แถมถูกไล่ยิงอีกต่างหาก แต่กลับไม่ร้องสักแอะ เอ็ดการ์ดหันมามองเขา และยิ้มกว้าง
“ดีใจจังที่นายกลับมาได้ ไว้คราวหลังฉันจะไปซื้อไอศกรีมให้ใหม่นะ”
ไม่รู้ทำไม คราวนี้เกรเกอรีกลับเป็นฝ่ายที่อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเอง เขามองหน้าเอ็ดการ์ดพลางกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
“ขึ้นไปหาคุณแม่ดีกว่า” เด็กน้อยว่า และหันหน้าไปมองผู้ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่
“พวกพี่ก็ขึ้นไปด้วยกันสิฮะ”
-------------------------------------------------
   บ้านที่เกรเกอรีเรียก อยู่ในอาพาร์ตเมนต์ที่ถูกตกแต่งใหม่หลังจากพรรคคอมมิวนิสหมดอำนาจไปแล้ว เพื่อขายต่อให้กับคนที่พอมีฐานะ ตอนที่เขาไปถึงห้อง เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเอ่ยทักอย่างตกใจ
   “ตายแล้ว เกรเกอรี เธอจริงๆ หรือนี่ พระเจ้าทรงโปรด! เธอกลับมาแล้ว ฉันต้องรีบโทรหาอลิซาเบธ”
   อลิซาเบธเป็นชื่อแม่ของเกรเกอรี เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน “ทำไมหรือฮะ ป้ากายาห์”
   หญิงวัยราวห้าสิบปีเศษพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ “ก็เธอหายตัวไป อลิซาเบธกลับมาหาที่ห้องก็ไม่เจอ แม่เธอดูเป็นกังวลมาก พอฉันบอกว่าเธอคงออกไปกับเอ็ดการ์ด อลิซาเบธก็พึมพำว่าแย่แล้ว แล้วก็ผลุนผลันออกไปเลย”
   เกรเกอรีพยักหน้า ตอนที่เขาถูกจับ เหมือนคนพวกนั้นจะโทรศัพท์หาแม่เขาด้วย คงตั้งใจจะข่มขู่จริงๆ นั่นแหละ พอนึกถึงเรื่องถูกลักพาตัว เด็กน้อยก็ตัวสั่นขึ้นมา
   “อ้าว แล้วพ่อหนุ่มสองคนนี่...” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่มาด้วยกันดูไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย รูฟัสยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมบังเอิญเจอสองคนนี่ทะเลาะกันอยู่ใกล้ๆ วัง เลยพากลับมาบ้านน่ะครับ”
   “โถ...ทะเลาะกันอีกแล้ว พวกเธอนี่น๊า สนิทกันก็ดีอยู่หรอก แต่เผลอก็ทะเลาะกันทุกที ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ฉันคงต้องรีบโทรหาแม่ของเขาก่อน เธอจะได้ไม่เป็นห่วงเกินเหตุ” หล่อนว่า และผลุนผลันเข้าห้องไป สักพักก็ได้ยินเสียงเรียก “เกรเกอรี แม่เธออยากคุยด้วยน่ะ”
   เกรเกอรีเดินเข้าไปในห้องของหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อรับโทรศัพท์ สักพักเขาก็กลับออกมา และยิ้มให้กับสามคนที่เหลือ
   “คุณแม่บอกว่าอยากพบพวกคุณมาก ยังไงไปรอที่บ้านผมก่อนได้ไหมครับ”
   ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส ชายหนุ่มซึ่งยังคงสวมแว่นตาสีชายืนคิดพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
-------------------------------------------
   ห้องพักที่เกรเกอรีเรียกว่าบ้านนั้น แม้จะไม่ได้ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ก็ถือว่าจัดได้สวยงามสะอาดตา รูฟัสหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ขณะที่ฟ่งมองไปรอบๆ อย่างชื่นชม เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ด เดินไปที่ครัว เพื่อหาของว่างมาให้แขก
   รูฟัสเงยหน้ามองหลังฟ่ง มองแหวนบนนิ้วตัวเอง นึกถึงกล่องใส่แหวนที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
   ทำไมชีวิตถึงได้ดูมีอุปสรรค์นัก
   ฟ่งหันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจ “มีอะไรหรือ?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ เอาเถอะ เขาคงหาโอกาสมอบมันให้ฟ่งได้เองนั่นแหละ ก่อนอื่นคงต้องจัดการปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้านี้ก่อน
   ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าการกลับมาเหยียบประเทศบ้านเกิดหลังจากห่างไปถึงสิบสามปีจะมีอะไรบังเอิญหลายๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันแบบนี้
   การที่เขาได้เจอนิโคลัยก็ว่าบังเอิญมากแล้ว แต่การที่ได้เจอเจ้าเด็กที่ชื่อเกรเกอรีนี่สิ คงต้องเรียกว่าสุดยอดความบังเอิญ
   รูฟัสถึงกับพูดไม่ออกไปนาน หลังจากเห็นสีตาของเด็กน้อย ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะต้องพบผ่านส่วนหนึ่งของอดีตที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว
   พ่อของเด็กคนนี้.....
   รูฟัสผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังตู้โชว์ ซึ่งวางกรอบรูปเอาไว้หลายกรอบ ส่วนใหญ่เป็นรูปของผู้ชายวัยเกือบสี่สิบ มีทั้งที่แต่งตัวสบายๆ และแบบที่สวมสูท แต่ส่วนใหญ่มักจะถ่ายกับครอบครัว อลิซาเบธ แม่ของเกรเกอรีจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีและมีความทันสมัยที่ไม่ฟุ้งเฟ้อแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็น เธอตัดผมสั้นรับกับใบหน้า ดวงตาสีฟ้าอ่อนเป็นประกายคมกริบ ตัดกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ข้างเธอคือผู้ชายที่เป็นพ่อของเกรเกอรี ผู้ชายที่รูฟัสเกือบจะลืมหน้าไปแล้ว
   ดวงตาสีแปลกซึ่งอยู่บนใบหน้าที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน
   ดวงตาที่เป็นเช่นเดียวกับเขา
   “ขนมมาแล้วฮะ” เสียงของสองหนูน้อยดังขึ้น เกรเกอรีเดินมาพร้อมถาดใส่แคร็กเกอร์ โดยมีเอ็ดการ์ดถือขวดน้ำหวานและแก้วตามมาติดๆ ฟ่งเดินไปช่วยเด็กๆ ถือของ ขณะที่รูฟัสยังคงยืนมองรูปถ่ายอยู่
   “รูฟัส?” ฟ่งเอ่ยเรียกชื่อเขาเบาๆ เมื่อพบว่าฝ่ายนั้นยืนค้างอยู่เป็นนานสองนาน ขณะที่เด็กน้อยทั้งสองเองก็เงยมองเขาอย่างเป็นห่วง รูฟัสกะพริบตาสีแปลกใต้แว่นของเขาสองสามหน ก่อนจะยิ้มออกมา
   “โทษที พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ชายหนุ่มว่า และหันไปช่วยยกถาดขนมวางบนโต๊ะ ฟ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
   “คุณกับเกรเกอรี ไม่สิ คุณกับพ่อของเขา เป็นพี่น้องกันหรือ?”
   รูฟัสที่กำลังหยิบแคร๊กเกอร์ขึ้นมา หยุดมือทันที เขามองหน้าฟ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “ก็ไม่เชิงหรอกครับ อืม...” เหมือนรูฟัสจะไม่อยากพูดถึงอดีตของตัวเองมากนัก ตอนที่เห็นสีตาของเกรเกอรี เขามองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเฉไปพูดเรื่องอื่น ฟ่งมองรูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า
   รูฟัสคงมีเรื่องหลายอย่างที่ไม่อยากจะพูดถึง เขาก็ไม่ควรจะเซ้าซี้ถาม
   “ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรคุณหรอกนะครับ” รูฟัสรีบพูด เขากลัวว่าฟ่งจะน้อยใจอีก หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะทันที
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าคุณไม่อยากเล่า” ฟ่งว่า กระนั้นกลับปั้นรอยยิ้มตอบกลับไปยากเหลือเกิน ถึงเขาจะทำใจไว้แล้ว แต่ลึกๆ ฟ่งเองก็อยากรู้จักรูฟัสให้มากขึ้น อยากรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ชายที่เขาตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยคนนี้
   รูฟัสกะพริบตาอีกหลายหน เขารู้ว่าฟ่งคงไม่ได้รู้สึกเหมือนที่พูดทั้งหมด นานมาแล้วที่รูฟัสไม่เคยพูดถึงอดีตของตัวเอง ไม่สิ เขาไม่เคยพูดถึงมันกับใครเลยต่างหาก ยกเว้นผู้ชายสวมแว่นที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ หากว่าเขาจะพูดเพิ่มอีกสักหน่อย......
   “คุณ เอ่อ..จำที่ผมเคยเล่าได้ไหมครับ ที่ว่าผมเคยไปอาศัยอยู่กับป้า”
   ฟ่งพยักหน้าทันที ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้ง แล้วเล่าต่อ
   “พ่อของเด็กนี่ คือลูกชายของป้าผมน่ะ จะเรียกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมก็ได้”
   “ออ....ครับ” ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ออกจะธรรมดานี่นา ทำไมรูฟัสถึงทำหน้าไม่อยากเล่าในตอนแรกล่ะ?
   “คุณเคยทะเลาะกับเขาหรือครับ?” ฟ่งถามต่อ คนถูกถามสั่นศีรษะ พร้อมมีสีหน้าแปลกใจ “ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ?”
   “ก็...คุณดู ไม่อยากพูดถึงเขาเท่าไหร่”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องนั้น อืม....จริงๆ ผมเป็นคนที่ทิ้งอดีตไปแล้วน่ะ จู่ๆ มาเจอแบบนี้ ก็เลย........”
   ฟ่งรู้สึกว่ารูฟัสดูจะเจ็บปวดกับอดีตของเขามากมายจริงๆ ชายหนุ่มนึกเสียใจที่ไปเซ้าซี้ให้ทางนั้นพูดออกมาจนได้ ร่างผอมบางช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมอง พร้อมเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงห่วงใย “รูฟัส...”
   รูฟัสมองสบเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น พลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในหัวใจอย่างประหลาด ฟ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา กำลังมองมาด้วยสายตาห่วงหาอาทร ผู้ชายคนนี้แหละคือคนที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเขา ผู้ชายที่เป็นชีวิตใหม่ของเขา
   รูฟัสคลี่ยิ้มอีกครั้ง อยากเหลือเกินที่จะดึงฟ่งเข้ามากอด พอได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่นี้ที่มองมาแบบนั้นแล้ว ความเจ็บปวดในอดีตคล้ายถูกบรรเทาเบาบางลง รูฟัสนึกดีใจมากจริงๆ ที่เขามีฟ่งอยู่ที่นี่ การที่มีผู้ชายคนนี้มาด้วย ทำให้เขากล้ามายังแผ่นดินที่เก็บฝังความหลังขมขื่นในชีวิตของเขา
   แผ่นดินแม่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ และจากไปอย่างเจ็บปวด
   “พวกพี่ชายเป็นอะไรกันฮะ?” เกรเกอรีเอ่ยถามขึ้น หลังจากมองสองหนุ่มจ้องหน้ากันอยู่นาน โดยไม่มีใครพูดใครจา รูฟัสหันกลับมา และยกมือลูบศีรษะเล็กๆ นั้น
   “ปีนี้เธออายุเท่าไหร่น่ะ?”
   “แปดขวบฮะ”
   “อืม...แล้วพ่อเธอ....ใจดีมั้ย?”
   “ใจดีที่สุดเลยล่ะฮะ” เกรเกอรีว่า และทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “จริงสิฮะ วันนี้พ่อมีออกทีวีด้วยแหละ เดี๋ยวผมเปิดให้ดูดีกว่า”
   เด็กน้อยว่า และวิ่งไปเปิดโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้น ภาพบนจอสว่างวาบ เขาหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมา และกดเปลี่ยนช่อง สักพักภาพใครคนหนึ่งที่มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนในชุดสูทสีกรมท่า ก็ปรากฏขึ้นบนจอ
   “นั่นล่ะฮะ ลุงมิคาอิล เอ่อ..พ่อของเกรเกอรีน่ะฮะ” เอ็ดการ์ดที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้น ความจริงคือเขากำลังง่วนกับขนมตรงหน้า เกรเกอรีหันมา และย่นคิ้ว “เอ็ดการ์ด นายเลิกพูดตอนยังเคี้ยวขนมอยู่ซักทีสิ”
   “โทษที” เด็กน้อยว่า และพยายามกลืนขนมลงไปจนหมด ฟ่งมองคนทั้งสามอย่างงงๆ เขาฟังภาษารัสเซียไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าเกรเกอรีจะอยากให้ดูผู้ชายที่อยู่ในโทรทัศน์มาก รูฟัสหันมามองเขา และอธิบายรายละเอียดให้ฟัง
   ฟ่งพยักหน้าเป็นระยะๆ และฟังคำปราศรัยด้วยภาษาที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ พ่อของเกรเกอรีอยู่ในการประชุมสภา และกำลังอภิปรายถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานที่ประชาชนรัสเซียควรได้รับอย่างเผ็ดร้อน รูฟัสหันมาแปลให้ฟ่งฟังเป็นพักๆ ด้วยสีหน้าที่ดูจะภูมิใจ แต่ก็ดูจะแฝงแววของความแปลกใจเอาไว้เหมือนกัน
   “นี่ ทำไมพ่อเธอถึงเป็นนักการเมืองล่ะ?” เขาหันมาเอ่ยถามเด็กน้อย เกรเกอรีนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ไม่แน่ใจเหมือนกันฮะ เหมือนคุณพ่อจะเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ได้แรงบัลดาลใจมาจากคุณน้าน่ะฮะ”
   รูฟัสกะพริบตาอีกครั้ง และเงียบไปนาน นานจนฟ่งต้องเอ่ยเรียกอีกรอบ “รูฟัส?”
   คนถูกเรียกกะพริบตาอีกสองสามหน และระบายลมหายใจออกมา พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง “ไม่อยากจะเชื่อ....”
   คำพูดนั้นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตูอย่างเร่งร้อน เกรเกอรีเบิ่งนัยน์ตากว้าง “คุณแม่มาแล้ว”
   ประตูถูกเปิดออก หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มก้าวเข้ามา เธอโผเข้ากอดลูกชายที่วิ่งเข้าไปหาทันที
   “เกรเกอรี ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่เป็นอะไร” หล่อนพึมพำ และลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างรักใคร่ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลอาบหน้า เกรเกอรีกอดแม่เขาแน่น ร้องไห้ออกมาเช่นกัน
   ฟ่งกับรูฟัสลุกขึ้นยืน มองภาพการพบกันของสองแม่ลูกด้วยความสุขปนความสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองหันมองหน้ากัน ฟ่งยิ้มให้เขา นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมอย่างที่รูฟัสไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดมาทั้งชีวิต นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกดีใจจนร้อนวาบไปทั้งตัว รูฟัสอมยิ้มเล็กๆ ความพยายามแบบโง่ๆ ของเขาได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ แก้มของชายหนุ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
   “อา...พวกคุณคง...” อลิซาเบธเอ่ยทักชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง หลังจากกอดลูกน้อยจนหายห่วงแล้ว เกรเกอรีผละจากอ้อมอกแม่ ยกมือปาดน้ำตา และพูดถึงทั้งสองคนด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ
   “พี่ชายสองคนนี่แหละฮ่ะ ที่ช่วยผมออกมา อ้อ...เอ็ดการ์ดด้วย” เขาไม่ลืมพูดถึงเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยืนเงียบอยู่ พอถึงคำพูดนี้ เอ็ดการ์ดก็หน้าแดงขึ้นมาเหมือนกัน “ผม...ผมเกือบไม่ได้ทำอะไรเลย”
   “อย่างน้อยนายก็ไม่ได้ร้องไห้โยเยล่ะน่า” เกรเกอรีว่า ไม่รู้คนฟังควรจะดีใจหรือเปล่า แต่อลิซาเบธนั้นดีใจจนลืมว่าควรจะดุเด็กน้อยทั้งสองเรื่องหนีออกไปนอกบ้านเสียสนิท
   “ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนพวกคุณอย่างไรดี”
   หล่อนพูด พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ถ้าไม่รังเกียจ ยังไงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหมคะ สามีดิฉันรู้ข่าวแล้ว เขาจะรีบกลับมาหลังจากประชุมเสร็จ”
   รูฟัสยกมือขึ้นดันแว่นตาสีชาบนใบหน้า พูดพลางยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณนาย พวกผมแค่บังเอิญผ่านไปเห็นเฉยๆ ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเถอะครับ”
   “ไม่ได้หรอกค่ะ พวกคุณน่ะ....” หล่อนพูดค้าง เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ผู้ชายสองคนนี่ช่วยลูกชายของหล่อนจากเงื้อมมือของแก๊งลักพาตัว พวกเขาเป็นใครกันนะ?
   “ลูกชายของคุณนายน่ารักมากครับ” รูฟัสเปลี่ยนเรื่องพูด พลางเดินไปหาเกรเกอรี คุกเข่าลง จูบหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ “ไม่ต้องบอกใครเรื่องสีตาของฉันนะ”
   หนุ่มตาสองสีกระซิบ เด็กน้อยที่มีตาสีแปลกเช่นเดียวกันมองหน้าเขาอย่างงุนงง แต่ก็ยอมผงกศีรษะ รูฟัสคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้น “พวกผมคงต้องขอตัวก่อน”
   ฟ่งมองรูฟัสอย่างงงๆ เมื่อฝ่ายนั้นหันหน้ากลับมา “ไปกันเถอะครับฟ่ง”
   “ไม่อยู่รอเจอพี่ชายคุณหรือครับ?” หนุ่มสวมแว่นย้อนถามอย่างไม่ทันได้คิด รูฟัสยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ไม่ดีกว่าครับ”
   หนุ่มสวมแว่นมองเขาครู่หนึ่ง และผงกศีรษะ ก่อนจะเดินตามไป ได้ยินเสียงสองเด็กน้อยร้องขึ้น “พวกพี่จะไปแล้วหรือฮะ?”
   รูฟัสกับฟ่งหันมาเกือบจะพร้อมกัน สองหนุ่มยิ้มให้เด็กน้อย ฟ่งเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “พี่คงต้องไปแล้วล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
   เกรเกอรีกับเอ็ดการ์ดเบิ่งนัยน์ตากลมโตมองเขา จากนั้นสองเด็กน้อยก็โผเข้ามาพร้อมกัน “แล้วพี่จะมาอีกมั้ยฮะ?”
   น่าแปลก ทั้งๆ ที่คนคนนี้เป็นผู้ชายต่างชาติแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแท้ๆ เกรเกอรีกอดฟ่งแน่น ผู้ชายคนนี้อุ้มเขาออกมา เป็นคนช่วยเขาออกมาจากคนพวกนั้น เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น มองไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างใจดี เขาคงไม่มีวันลืมดวงตาคู่นี้ เช่นเดียวกับดวงตาของชายอีกคนที่มาด้วยกัน
   เอ็ดการ์ดกอดฟ่งด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากเกรเกอรีนัก เขาไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ผู้ชายคนนี้กอดเขาไว้แน่น แม้ว่าตัวเองจะร้องไห้อยู่ เอ็ดการ์ดไม่เคยเห็นผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้ เขาคิดว่าตอนนั้นฟ่งคงกลัวเหมือนกัน แต่ผู้ชายคนนี้ไม่หนี เอ็ดการ์ดเงยหน้ามองฟ่ง เขาคงไม่ลืมผู้ชายสวมแว่นคนนี้ เช่นเดียวกับคนขับรถที่มีเครารกๆ คนนั้น
   รูฟัสมองฟ่งถูกเด็กน้อยสองคนรุมกอดด้วยความรู้สึกทั้งสงสารทั้งเอ็นดู จะว่าไปแล้วสามคนนี่คงเรียกได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายด้วยกันแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมหรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไป ยกมือแตะไหล่ผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ “กลับกันได้แล้วล่ะครับ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าคมคายนั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เขาเช่นเคย ชายหนุ่มยิ้มตอบ เขาคว้ามือที่ยื่นมาเอาไว้ และยันตัวลุกขึ้น สองเด็กน้อยมองตามด้วยสายตาอาวรณ์
   “แล้วเราจะเจอกันอีกใช่มั้ยฮะ?!”
   ฟ่งไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่ยิ้ม ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองผู้ชายที่ยืนข้าง รูฟัสยิ้มให้เขา และหันไปยิ้มให้กับแม่ของเกรเกอรีที่ยืนมองอยู่
   “พวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
   “ดะ...เดี๋ยวสิคะ” อลิซาเบธโพล่งออกมา “บอกชื่อที่อยู่ของพวกคุณไว้หน่อยได้ไหมคะ อย่างน้อย...คริสมาสต์นี้ ฉันจะได้ส่งการ์ดอวยพรไปให้”
   รูฟัสยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฝากความคิดถึงถึงสามีคุณด้วย ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะครับ”
   อลิซาเบธยืนค้างอยู่หน้าประตูที่ถูกปิดไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อครู่ ใต้แว่นตาสีชานั่น ดวงตาคู่นั้น ดูเหมือนว่าจะต่างสีกันออกไป หรือว่า..................
----------------------------------------------
   ฟ่งและรูฟัสนั่งรถแท็กซี่กลับออกมาจากอาพาร์ตเม้นต์ที่เกรเกอรีพักอยู่ ฟ่งรู้สึกโล่งใจที่คราวนี้เป็นแท็กซี่คันอื่น ขืนเจอกับคนขับแท็กซี่คนเดิมอีก เขาต้องเค้นความจริงจากปากของรูฟัสบ้างแล้ว หนุ่มสวมแว่นหันมามองคนที่นั่งข้างๆ
   “รูฟัส วันนี้น่ะ...ขอบคุณมากเลยนะ”
   รูฟัสหันมามองฟ่งอย่างงุนงง “เรื่องอะไรหรือครับ?”
   “ก็...เรื่องที่คุณอุตส่าห์ไปช่วยเกรเกอรี....คุณ....เอ่อ....เท่มากเลยล่ะ”
   อุณหภูมิในรถแท็กซี่ไม่ร้อนไม่หนาว แต่แก้มของฟ่งกลับเป็นสีชมพูระเรื่อ คนได้ยินได้เห็นยิ้มแก้มแทบปริ “ผมดีใจจัง”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส หนุ่มตาสองสียังคงสวมแว่นตาสีชา นอกจากรอยยิ้มยินดีอย่างไม่ปิดบังบนใบหน้านั้นแล้ว แก้มของรูฟัสก็กลายเป็นสีชมพูขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม เห็นกันมาตั้งนาน ฟ่งเพิ่งรู้สึกว่ารูฟัสน่ารักเอามากๆ ก็ตอนนี้แหละ ร่างผอมบางรู้สึกร้อนวาบบนใบหน้า จนต้องก้มหลบ
   รูฟัสหัวใจเต้นตึกตัก เขามองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ถ้าหากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ เขาคงคว้าตัวฟ่งมากอดไว้แล้ว
--------------------------------
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างงุนงง เมื่อรถแท็กซี่แล่นมาจอดหน้าโบสถ์เซนเบซิลที่พวกเขาแวะมาเมื่อตอนเช้า รูฟัสจ่ายค่าแท็กซี่ และดึงมือฟ่งออกมา ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงลานหน้าโบถส์ แสงแดดยามเย็นโลมไล้หลังคาที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสีจนเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดง และสีแดงที่ว่านั้นก็ไล้อยู่บนใบหน้าคมสันของชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแปลกที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
   ไม่อยากเชื่อเลยว่า พวกเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญไปในช่วงวันที่ผ่านมา และสุดท้าย ก็กลับมายืน ณ จุดเริ่มต้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
   กระนั้นฟ่งกลับรู้สึกว่าผู้ชายผมสีดำตรงหน้าเขาดูน่ามองกว่าทุกวัน    รูฟัสถอดแว่นตาสีชาออก นัยน์ตาสองสีสะท้อนประกายแสงแดดจนดูแปลกตา เขามองดูร่างผอมบางตรงหน้า แสงสีแดงอาบร่างที่มีเรือนผมสีน้ำตาลนั้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง
   บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ แม้แต่พวกนักท่องเที่ยวเองก็ดูบางตาจนแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่ รูฟัสมองดูใบหน้าที่ถูกแสงแดดโลมไล้ กรอบแว่นตาหนาสะท้อนภาพของเขาให้เห็นลางๆ ชายหนุ่มมองผ่านภาพสะท้อนเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลนั้น ซึ่งกำลังมองตรงมายังเขาเช่นกัน
   “ฟ่ง..” รูฟัสเอ่ยเรียกชื่อนั้นและรู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นด้วยความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เขาล้วงกล่องใส่แหวนออกมาจากอกเสื้อ มองเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาอย่างแปลกใจนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่รู้ว่าฟ่งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง จะเขินอาย หรือจะทำหน้าแปลกใจไปกว่านี้ หรือบางทีอาจจะเฉยๆ กระนั้นดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นที่มองมา และบรรยากาศที่ดูจะเป็นใจเสียเหลือเกินก็ทำให้รูฟัสอดนึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้
   รูฟัสฉวยมือข้างซ้ายของฟ่งขึ้นมา ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะกระดอนออก เขาใช้มืออีกข้างเปิดตลับแหวนออก แหวนพลาสตินัมสีเงินสะท้อนประกายแสงแดดเป็นสีแดงอ่อนๆ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ก่อนที่ทางนั้นจะทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “แต่งงานกับผมนะครับ”
   รูฟัสเหมือนหัวใจหลุดไปพร้อมคำพูด ไม่อยากเชื่อว่าพูดคำพูดสั้นๆ แค่นี้ จะทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ชายหนุ่มรู้สึกหูอื้อไปหมด เขามองหน้าฟ่ง รู้สึกวุ่นวายใจ มองเห็นริมฝีปากของอีกฝ่ายเผยอออก
   “..........................”
   ไม่มีคำพูดอะไรหลุดจากริมฝีปากคู่นั้น แต่พวงแก้มที่มีเรือนผมสีน้ำตาลไล้อยู่ เริ่มกลายเป็นสีแดงระเรื่อไปกับแสงแดดสุดท้ายของวัน ฟ่งขบริมฝีปาก แก้มยิ่งแดงกว่าเดิม
   “อืม..” ร่างผอมบางส่งเสียงสั้นๆ ในลำคอ รูฟัสเบิ่งตามองอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านั่นหมายถึงการตอบรับรึเปล่า แต่แก้มแดงๆ นั่นคงพอช่วยให้เขาตีความเอาเองได้ล่ะมั้ง ชายหนุ่มหยิบแหวนสีเงินออกมาจากตลับ บรรจงสวมมันลงบนนิ้วนางด้านซ้ายของมือที่กุมอยู่ แหวนสีเงินไหลลื่นลงไปบนนิ้วนางข้างนั้นได้อย่างพอดิบพอดี ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสอีกครั้งด้วยพวงแก้มแดงปลั่งน่ารัก ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม พลางยกมือข้างซ้ายของตนขึ้น แหวนสีเงินแบบเดียวกันสะท้อนประกายอยู่บนนิ้วนางเช่นกัน
   ฟ่งมองดูแหวนวงนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
   “คุณ...ถอดออกมาก่อนได้รึเปล่า?”
   รูฟัสมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างงงงันทันที ฟ่งขบริมฝีปาก ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง “ถอดออกมาก่อน”
   แม้จะรู้สึกใจแป้วอยู่บ้าง แต่รูฟัสก็ยอมจะถอดแหวนของตัวเองออก ฟ่งยื่นมือมาจับมันเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงค่อย “ผม...จะอยู่กับคุณ”
   แหวนสีเงินเกลี้ยงถูกสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้าย รูฟัสรู้สึกถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วของฟ่งที่แตะนิ้วของเขา มันแผ่นซ่านไปถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
   นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองเขาอีกครั้ง แสงสีแดงสุดท้ายของวันสาดต้องร่างของคนทั้งคู่ รูฟัสยกมือขึ้นไล้ใบหน้านั้นเบาๆ ไม่มีคำสาบานใดๆ ใบหน้าของทั้งคู่โน้มเข้าหากันช้าๆ สัมผัสแผ่วเบาของริมฝีปากที่แตะกัน ยังความอบอุ่นให้แผ่ไปทั่วหัวใจทั้งสองดวง
   หัวใจสองดวงที่เต้นไปด้วยจังหวะเดียวกัน
---------------------------------------
**ปิดตา ไม่กล้าอ่านซ้ำตอนนี้ หวานเกิ้ :a5:น (ผิดปกติของคนเขียน ฮ่าๆๆๆ :laugh:)
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 08-01-2012 17:28:18
อยากรู้อดีตของรูฟัสอ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: maxsextex ที่ 09-01-2012 02:13:32
vอ่าน ต่อ 
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 09-01-2012 03:40:04
อ๊ายยย กรี๊ดดด อิจฉา บทจะหวานกันก็หวานเกิ๊นนน
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 09-01-2012 05:00:45
 :-[
+1
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-01-2012 14:41:22
บทที่84 With out word.
   ลมหนาวยามพลบค่ำพัดกรรโชกแรงอย่างน่ากลัว แต่รูฟัสไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด เพราะตอนนี้ข้างๆ เขา มีคนที่รักที่สุดเดินเคียงอยู่ แม้จะไม่ได้จับมือกันหรือสัมผัสตัวกันเลย แต่เหมือนความอบอุ่นถ่ายทอดถึงกันได้ ชายหนุ่มเหลือบมองคนเดินข้างหลายครั้ง แก้มของฟ่งเป็นสีแดงระเรื่อ จะด้วยความหนาวหรืออะไรก็ตามแต่ ยังไงก็ดูน่ารักเป็นที่สุด พอเดินมาถึงหน้าโรงแรม รูฟัสจึงพูดขึ้น
   “คืนนี้ทานอาหารกับผมบนห้องนะครับ ผมจะเลี้ยงคุณเอง”
   ฟ่งมองหน้าเขาผ่านเลนส์แว่น หัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “อือ”
   นานๆ ทีฟ่งจะหัวเราะหรือยิ้มด้วยความสบายใจขนาดนี้ รูฟัสอดไม่ได้ต้องยิ้มตอบจนแก้มแทบปริ รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งตัว ความสุขมันอบอุ่นแบบนี้เอง
   สองหนุ่มขึ้นลิฟท์และเดินมาจนถึงห้องพัก ฟ่งรู้สึกเหมือนเขาเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปได้วันสองวัน ทั้งๆ ที่นี่เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวเอง ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนล้าไปหมด เรื่องปีนกำแพงกับการวิ่งท่อกๆ หนีลูกกระสุนแบบนั้น เป็นเรื่องที่เขาทำบ่อยเสียที่ไหน
   ร่างผอมบางมองดูอีกฝ่ายเดินไปโทรสั่งอาหารกับรูมเซอร์วิส เขาถอดเสื้อโค้ทออก และรู้สึกหนาวจับใจ ฮีตเตอร์ในห้องยังทำงานไม่เต็มที่ อากาศเลยยังเย็นอยู่บ้าง ฟ่งยกมือขึ้นกอดอก และคิดว่าระหว่างรอให้ฮีตเตอร์ทำงาน เขาควรจะแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายร่างกาย
   “รูฟัส อาบน้ำไหม?” ฟ่งเอ่ยถาม คนที่เพิ่งสั่งอาหารเสร็จหันมาทันที พอเห็นสายตาสนเท่ห์นั่น ฟ่งจึงรีบพูดต่อ “คือผมหมายถึงอาบน้ำ อาบน้ำเลยนะ ห้ามทำอะไรมากกว่านั้น”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง และหัวเราะออกมา “ผมยังไม่ทันคิดเลยนะ”
   ฟ่งรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าขึ้นมาทันที รูฟัสพูดต่อยิ้มๆ “แต่พอเห็นหน้าคุณ ผมก็คิดปุ๊บเลยล่ะ”
   แก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนัก แต่ฟ่งไม่ตอบโต้อะไร ยังคงยืนเฉยๆ เหมือนรอคำตอบ รูฟัสมองแก้มแดงๆ นั่นแล้วรู้สึกตัดสินใจลำบากขึ้นอีกเป็นกอง
   ก็อยากอาบน้ำกับฟ่งอยู่หรอก แต่อีกใจก็อยากจะเตรียมอาหารมือเย็นนี้ให้เป็นมือพิเศษเหมือนกัน
   “คุณอาบไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวไม่มีใครเปิดประตูให้ตอนอาหารมา” ในที่สุดรูฟัสก็จำต้องเลือกอย่างหลัง เขาไม่อยากทำให้ฟ่งหมดแรงก่อนที่จะได้กินอะไร อาบน้ำกับฟ่ง รูฟัสเองไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะอาบแบบปกติธรรมดาได้ ขนาดฟ่งยังถอดเสื้อผ้าไม่หมด เขาก็อยากจะจับถอดเองอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนเปลือยเปล่าไปทั้งตัวเล่า แค่คิดมือไม้มันก็พาลจะนำไปก่อนแล้ว
   รูฟัสบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ อย่าเพิ่งหน้ามืดไปกับแค่คำชวนง่ายๆ แบบนี้ ฟ่งมองหน้าเขาพักหนึ่ง แล้วพยักหน้า “อือ”
--------------------------------------------------
   ไอน้ำสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวน้ำในอ่าง ฟ่งไม่เคยแช่ตัวในอ่างอาบน้ำใหญ่ขนาดนี้ เอาเข้าจริงๆ คือเขาไม่ค่อยจะได้แช่ตัว เมืองไทยมีอ่างอาบน้ำทุกบ้านเสียที่ไหน แล้วผู้ชายอย่างเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียเวลาอาบน้ำนานๆ ด้วย แต่ด้วยอากาศหนาวเย็นบวกกับความเมื่อยล้าทำให้ฟ่งนึกอยากจะลองแช่น้ำอุ่นๆ ดูบ้าง ที่เอ่ยปากชวนรูฟัส เพราะเห็นว่าทางนั้นน่าจะเหนื่อยเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ แต่ดูเหมือนรูฟัสจะมีอย่างอื่นต้องทำอีก
   ฟ่งหย่อนตัวลงในอ่างอาบน้ำ ด้วยความรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยเขาก็ยังได้แช่น้ำแบบคนปกติ ถ้ารูฟัสเข้ามาด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่หยุดอยู่แค่แช่น้ำก็ได้ นึกว่าถ้าเกิดน้ำอุ่นๆ แบบนี้เข้าไปในตัวของเขาแล้วจะรู้สึกยังไง ฟ่งก็หน้าแดงแล้ว เขามัวคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่นี่
   ร่างบางยกมือขึ้นวักน้ำใส่หน้า เพื่อเรียกสติ แต่ก็พบว่านอกจากน้ำจะร้อนจนเกือบลวกหน้าแล้ว เขายังลืมถอดแว่นอีกด้วย ฟ่งดึงแว่นออกมาจากหน้า นึกว่าตัวเองช่างเฉิ่มอะไรแบบนี้ ขนาดแว่นยังลืมถอดตอนอาบน้ำเลย
   ชายหนุ่มวางแว่นไว้ตรงขอบอ่าง และเหลือบไปเห็นวัตถุสีเงินวาวที่สวมอยู่บนนิ้ว สิ่งที่รูฟัสเพิ่งมอบให้เขาเมื่อช่วงเย็น หัวใจของฟ่งเต้นตึกตักขึ้นมาทันที
   ฟ่งไม่เคยใส่แหวน ขนาดแหวนรุ่นเขายังเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดี ลองสวมครั้งเดียวตอนได้มานั่นแหละ ระหว่างคบกับดา เขาก็ไม่เคยคิดจะซื้อแหวน ใช่สิ จะหมั้นผู้หญิง แหวนถูกๆ ใช้ได้นี่ไหนล่ะ ยิ่งผู้หญิงน่ารักๆ อย่างพิฌาดาด้วยแล้ว ฟ่งเคยคิดว่าเขาคงต้องทำงานเก็บเงินอย่างสาหัส เพื่อซื้อแหวนเพชรเม็ดงามที่เหมาะจะอยู่บนนิ้วสวยๆ ของดาได้ แค่นึกว่าเธอจะยิ้มขนาดไหนตอนที่เขาสวมแหวนให้ หัวใจก็อุ่นวาบขึ้นมา
   น่าเสียดายที่นั่นดูจะเป็นความฝันที่สลายหายไปตั้งนานแล้ว
   ตอนนี้เขาไม่มีดาเคียงข้างอีก ไม่มีฝันแบบคนปกติธรรมดาอีก ความจริงที่ไม่น่าเชื่อตอนนี้คือ เขามีผู้ชายคนหนึ่งอยู่เคียงข้าง ผู้ชายที่ดูเหมือนจะพูดเรื่องจริงอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องที่รักเขา ผู้ชายที่ไม่ยอมบอกกระทั่งชื่อจริงของตัวเอง แต่บอกว่าจะอยู่กับเขา แต่งงานกับเขา และเขาเองก็ยอมให้ผู้ชายคนนี้สวมแหวน แถมยังยอมอยู่ด้วยอีก
   ฟ่งคิดว่าถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนต้องด่าว่าเขาบ้าแน่ๆ
   ผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกัน ฟ่งไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ดวงตาสองสีนั่นดูเชื่อมั่นเหลือเกิน เหมือนรูฟัสจะมีความเชื่อมั่นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป กระทั่งความเชื่อมั่นนั้นพลอยถ่ายทอดมาถึงคนที่ไม่เคยมั่นใจอะไรเลยอย่างเขาด้วย
   ฟ่งไม่รู้ว่าอาบน้ำต้องถอดแหวนด้วยไหม แต่ถอดแล้วก็กลัวว่าจะลืมทิ้งเอาไว้ แบบนั้นคงจะไม่ดีแน่ กระนั้นพอเห็นว่าเป็นแหวนเงินเกลี้ยงๆ ฟ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า รูฟัสจะสลักอะไรเอาไว้ด้านในรึเปล่า
   ท้ายที่สุด ฟ่งก็ตัดสินใจถอดแหวนออกมาดู ด้านในมีอะไรสลักอยู่จริง แต่ไม่ใช่ถ้อยคำบอกรัก ไม่ใช่ภาษาที่เขารู้จัก มันไม่ใช่ภาษาด้วยซ้ำ แต่เป็นเลขหกหลักซึ่งฟ่งไม่เข้าใจความหมายของมันเลยจริงๆ
   หรือนี่จะเป็นหมายเลขซีรีส์ของแหวน
   ชายหนุ่มอยากเขกกะโหลกตัวเอง แหวนที่ไหนมันจะสลักหมายเลข แล้วรูฟัสก็คงไม่สลักหมายเลขพวกนี้เอาไว้โดยไร้ความหมายแน่ๆ แต่คงเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่ไม่เข้าใจความหมายของมัน อาจจะเป็นรหัสลับอะไรซักอย่าง ฟ่งคิดว่าเขาต้องหน้าด้านถาม คงน่าเกลียดพิลึก หากคิดว่าตัวเองสวมแหวนแต่งงานโดยที่ไม่รู้ความหมายของสิ่งที่สลักอยู่ด้านใน
   นี่เขาแต่งงานแล้วล่ะหรือ?
   คำขอแต่งงานของรูฟัสทำเอาเขาอึ้งไปหมด ไม่คิดเลยว่าในชีวิตจะต้องมาถูกผู้ชายขอแต่งงาน แต่คนที่ขอดันเป็นผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อรูฟัสนี่สิ ผู้ชายตาสองสีที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง ผู้ชายที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ด้วย แล้วจะให้เขาพูดอะไรล่ะ แค่เห็นดวงตาสีแปลกที่มองมาอย่างตั้งความหวัง เขาก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว
   ไม่นึกเลยว่าผู้ชายด้วยกันจะทำให้เขาใจเต้นแรงได้ขนาดนี้
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหลงใหลนัยน์ตาสีประหลาดนั้นมากเพียงไร ชายหนุ่มร้อนวูบขึ้นมาบนใบหน้า และตัดสินใจว่าจะหยุดคิดเรื่องรูฟัสก่อน เขาสวมแหวนกลับเข้าไปบนนิ้วนาง และวักน้ำมารดตัวอย่างขัดเขิน
   คงต้องทำความสะอาดร่างกายอย่างละเอียดสักหน่อย
   ฟ่งผุดลุกขึ้น ปล่อยน้ำออกจากอ่าง กดแชมพูมาสระผม ก่อนจะฟอกสบู่ตั้งแต่ตัวจรดเท้า แถมยังให้ความสำคัญกับจุดที่ไม่เคยนึกจะทำความสะอาดดีๆ มาก่อน อย่างเช่นปลายเท้า ซอกขาด้านใน หรือกระทั่งส่วนนั้นที่รูฟัสเคยทำให้เขา ฟ่งคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว เขาแค่อยากดูสะอาดและดีที่สุด ในคืนแรกของวันแต่งงาน
   ชายหนุ่มล้างร่างกายจนสะอาด เช็ดตัวจนแห้ง โดยไม่ลืมจะเช็ดผม แล้วตรงไปยังอ่างล้างหน้า หยิบมีดโกนหนวดขึ้นมา พลางลูบมือไปบนใบหน้า
   หนวดเคราก็ดูเกลี้ยงดีอยู่ แต่เก็บไอ้ที่เพิ่งงอกออกมาสักหน่อยแล้วกัน
   ฟ่งโกนหนวดด้วยความระมัดระวังที่สุดในชีวิต เขานึกถึงวันแรกที่รูฟัสชวนเขาออกไปด้านนอก วันนั้นเขารีบจัดกระทั่งทำมีดโกนบาดหน้า แต่วันนี้คงไม่พลาดอีก
   ใช่ว่าเขาหน้าตาดีขนาดจะทำให้พลาสเตอร์ที่ปิดบนใบหน้าดูดีไปด้วยเสียเมื่อไหร่
   ชายหนุ่มมองดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง หน้าก็ดูเกลี้ยงดีแล้ว รอยบาดก็ไม่มี เหลือแต่ผมซึ่งดูยุ่งมากจริงๆ จะตัดเองตอนนี้ก็กระไรอยู่ คงแหว่งเหมือนหนูแทะมากกว่าที่จะดูดีขึ้น ฟ่งตัดสินใจหยิบหวีขึ้นมาหวีผม หวีอย่างที่ตัวเองไม่เคยคิดจะหวีมาก่อน เพื่อให้มันดูเป็นทรงบ้างเท่านั้น พอหวีผมเสร็จ เขาจึงเพิ่งมานึกขึ้นได้ถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย
   เขาไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเข้ามาเลย
   ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ โดยลืมไปเลยว่าเพิ่งหวีผม บ้าจริง ขนาดเสื้อผ้ายังลืมหยิบเข้ามา แล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะนี่ ชายหนุ่มมองไปรอบๆ นอกจากผ้าเช็ดตัวที่เขาพาดบนบ่าแล้ว ดูเหมือนบนชั้นจะมีอะไรพับอยู่อีก อาจจะเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำก็ได้ เสื้อคลุมก็ยังดี ดีกว่าต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวโทงๆ ออกไปแบบนี้ คงดูไม่จืดแน่ๆ
   โชคดีที่ไอ้ที่พับอยู่เป็นเสื้อคลุมอาบน้ำจริงๆ แต่โชคร้ายที่ตัวใหญ่จนเขาใส่แล้วหลวมโคร่ง คนยุโรปอะไรจะตัวใหญ่ขนาดนี้ ฟ่งนึกบ่นอยู่ในใจ ขณะพยายามรัดสายรัดเอวเพื่อไม่ให้อกหน้าของเสื้อคลุมแบะอ้าออกจนน่าเกลียด กระนั้นมันก็ยังตัวใหญ่เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี รีบเดินออกไปหาเสื้อผ้าที่มันดูได้กว่านี้ใส่ดีกว่า
-------------------------------------------
   ฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเหมือนรูฟัสจะปิดประตูห้องนอนไว้ อาจจะอยากทำอะไรตรงห้องอาหารที่ไม่อยากให้เขาเห็น แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็ไม่อยากให้รูฟัสเห็นตัวเองในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้หรอก
   ฟ่งรื้อเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเดินทาง พยายามเลือกตัวที่ใส่แล้วน่าจะดูดีที่สุด แต่เหมือนจะใส่ตัวไหน เขาก็ยังดูเก้ๆ กังๆ เหมือนเดิม บางทีถอดแว่นออกน่าจะดูดีขึ้น แต่พอถอดออกแล้ว กลายเป็นว่าเขามองตัวเองในกระจกไม่ชัดอีก ท้ายที่สุดฟ่งก็จบลงด้วยการใส่เสื้อยืดหุ้มคอสีออกครีมๆ กับกางเกงยีนส์สีสนิมอีกตัวหนึ่ง
   เอาน่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าใส่เสื้อคลุมอาบน้ำหลวมโคร่งเป็นกอง
   ชายหนุ่มดันแว่นให้เข้าที่ สูดหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะจับประตูเปิดออกไป
   รูฟัสยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารโดยมีแสงไฟสีเหลืองอ่อนจากโคมไฟด้านบนที่เปิดไว้สลัวๆ โลมไล้ร่าง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เขา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ฉวยมือของฟ่งขึ้นมา และจูบลงไปเบาๆ
   บรรยากาศก็เหมือนจะโรแมนติกดีอยู่หรอก แต่ฟ่งไม่ใช่ผู้หญิง แล้วก็ไม่เคยจินตนการถึงอะไรแบบนี้ เขาเลยเกิดอาการประหม่าและเกร็งขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
   “นี่...ทำแบบปกติธรรมดาก็ได้ ผม...ผมไม่ชิน”
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองเขา บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มละไม ฟ่งไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดงรึเปล่า รู้แต่ร้อนวูบบนใบหน้า บ้าจัง ทำไมเขาถึงต้องใจเต้นกับรอยยิ้มแบบนี้ของรูฟัสด้วยนะ ก็เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน....แล้วก็ใจเต้นมันอย่างนี้อยู่ทุกวัน
   รูฟัสจูงมือเขาไปที่โต๊ะอาหาร เลื่อนเก้าอี้ให้เขา ฟ่งมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะได้พูดอะไร รูฟัสก็ตอบคำถามที่เขาคิดอยู่ในใจก่อน
   “คาร์เวีย ลองทานดูสิครับ” รูฟัสว่า ขณะที่นั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ฟ่งมองดูไข่ปลาสีดำเม็ดเขื่องในจานตรงหน้า นี่คือคาร์เวียหรือ? ปกติเหมือนที่เขาเคยเห็นจะมีแต่สีแดงนี่นา
   “เป็นคาร์เวียดำน่ะครับ” รูฟัสพูดต่อ ดูจะเดาใจคนตรงหน้าออกได้จากสีหน้า ฟ่งพยักหน้า ยกช้อนขึ้นเขี่ยไข่ปลาสีดำขึ้นมา จ้องมองมันอีกพักหนึ่ง นี่น่ะรึ คาร์เวีย
   ฟ่งมองตาปริบๆ มันก็กลมๆ เหมือนไข่ปลาปกติ...รสชาดล่ะ? คิดเอาเองคงจะบอกอะไรไม่ได้มาก ชายหนุ่มจึงยกช้อนเข้าใกล้จมูก อืม... ก็ไม่คาวเท่าไหร่ ท้ายที่สุด หลังจากลองเอาลิ้นแตะๆ ดู ฟ่งก็ยอมจะเอาไข่ปลาแสนแพงพวกนั้นเข้าปาก
   “เป็นไงบ้างครับ?” รูฟัสถามอย่างใคร่รู้ เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของฟ่ง ท่าที่เอาลิ้นแตะๆ คาร์เวียดูน่ารักน่าฟัดชะมัด ถ้าไม่มีโต๊ะขวางอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายไปแล้วก็ได้
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้า “ก็แปลกๆ ดี ผมไม่ค่อยชินนะ แต่...ก็อร่อยแหละครับ”
   ชายหนุ่มตอบ และได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “นี่ก็อร่อยนะครับ”
   เขาว่าและตักอาหารซึ่งเหมือนซุบครีมข้นๆ ที่ใส่ลงในกระทงขนมปังให้ฟ่ง และตักไข่ปลาที่อยู่ในจานวางลงไป “ลองชิมดูสิครับ”
   ฟ่งลองกินอย่างว่าง่าย จะว่าไปแล้วตอนนี้ท้องของเขาก็เริ่มร้องแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นลงมือทานอาหารตรงหน้า โดยมีคนตรงข้ามคอยตักและอธิบายสรรพคุณของมันให้
   “คุณเองก็ทานบ้างสิ” ฟ่งทัก เมื่อเห็นว่ารูฟัสมัวแต่คอยตักอาหารให้เขาจนเกือบไม่ได้แตะของตัวเองเลย ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ผมมองแค่คุณก็อิ่มแล้วล่ะ”
   ฟ่งเบิ่งตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขินหรืออึ้งกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง แต่ยังไงก็น่ารักสุดๆ อยู่ดีนั่นแหละ หลังจากนั้นชายหนุ่มสวมแว่นก็ก้มหน้าก้มตากินราวกับกลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นมามองแล้วจะเห็นของประหลาด รูฟัสจึงจำต้องหันไปจัดการอาหารในจานตัวเองบ้าง
   ฟ่งทานไปได้พักหนึ่งจึงพอทำใจเงยหน้าขึ้นมาได้ ทำไมรูฟัสถึงได้กล้าพูดอะไรที่ชวนให้สำลักขนาดนั้นนะ ฟ่งนึกขนลุกว่าสมัยเขาคบกับดาเคยพูดอะไรน้ำเน่าขนาดนี้รึเปล่า แต่แล้วความคิดของเขาก็หยุดชะงักเมื่อเห็นว่ารูฟัสกำลังรินเครื่องดื่มบางอย่างใส่แก้วใบเล็กๆ
   “อะไรน่ะ?” ฟ่งถามอย่างสงสัย รูฟัสรินให้เขาเสร็จก็รินให้ตัวเองด้วยแก้วหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถาม “วอดก้าน่ะครับ ที่นี่เขากินกับคาร์เวีย แก้หนาวดีนักแหละ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสพลางกะพริบตาปริบๆ ไอ้วอดก้านี่มันเหล้าอย่างแรงเลยไม่ใช่หรือไง เหมือนเคยจะเห็นในโทรทัศน์ว่าแค่เอาไฟแช็คไปจ่อก็ลุกพรึ่บแล้ว รูฟัสคิดจะมอมเหล้าเขาหรือไง?!
   หนุ่มตาสองสีไม่ได้พูดอะไร ไม่มีกระทั่งสายตาส่อเจตนาลามกด้วยซ้ำ เขาหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาและกระดกกรึ๊บลงไปรวดเดียว ใบหน้าของชายหนุ่มแดงวาบขึ้นมาทันทีหลังจากนั้น เขาหันมายิ้มให้อีกครั้ง
   “ลองดูสิครับ”
   ฟ่งก้มลงมองแก้วของตัวเอง กะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์โชคดีได้มาถึงรัสเซียแล้ว แค่แก้วเดียวจะเป็นอะไรไป แก้วเล็กๆ แค่นี้คงไม่ถึงกับเมาหัวทิ่มหรอก ชายหนุ่มกลั้นใจ ยกแก้วใบเล็กขึ้นกระดกอย่างที่เห็นตัวอย่างเมื่อครู่
   !!
   ความรู้สึกยิ่งกว่าถูกอะไรสักอย่างลวกคอทำเอาสำลัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าไอ้น้ำใสๆ นี่มันจะแรงหฤโหดขนาดนี้ ได้ยินเสียงรูฟัสอุทานอย่างตกใจ ขณะที่ตัวเองไอจนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด
   รูฟัสลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ความจริงเขามีเจตนาแฝงนิดหน่อย ก็แค่คิดว่าถ้าฟ่งแก้มแดงๆ มากกว่านี้อีกสักหน่อย คงยิ่งน่ารักมากขึ้น และวอดก้าก็ดูจะพอช่วยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าทางนั้นจะถึงกับสำลัก
   ท่าทางจะแรงเกินไปจริงๆ
   ฟ่งรู้สึกแสบหน้าไปหมด ความร้อนวูบบวกกับกลิ่นฉุนของแอลกอฮอลพุ่งจี๊ดขึ้นไปถึงหัวสมอง ทะลักออกทางตา ทางจมูก ชายหนุ่มไอโขลกๆ รู้สึกขายหน้าสิ้นดี เหมือนรูฟัสวิ่งเข้ามาประคองเขาเอาไว้ ลูบหลังอย่างเป็นห่วงเป็นใย
   ฟ่งไออยู่แบบนั้นพักใหญ่ จนพอสงบลงบ้าง แก้วน้ำใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้อย่างเงียบๆ ชายหนุ่มรับแก้วนั้นไปดื่ม ก่อนจะยกมือขึ้นขยับแว่น
   “ไม่เป็นอะไรนะครับ?” รูฟัสถาม ดวงตาสองสีมองมาอย่างห่วงหาอาทรเช่นเคย ฟ่งสั่นศีรษะ แม้จะรู้สึกแสบๆ หน้าและมึนอยู่นิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
   “ทานกันต่อเถอะ” ฟ่งพยายามพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ โดยการทำให้รูฟัสรู้สึกผิดที่ชวนเขากินอะไรแบบนั้นจนเขาสำลัก ชายหนุ่มก้มลงตักไข่ปลาขึ้นมากินอีก แล้วก็ต้องเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง
   “ผมขอโทษนะ” รูฟัสพูดออกมา ไม่รู้ทำไม ฟ่งถึงได้รู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่มองลงมาอย่างสำนึกผิดถึงได้ดูมีเสน่ห์นัก ปกติรูฟัสเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีอยู่แล้ว จะยิ้มจะหัวเราะแต่ละทีมีแต่คนหันมอง เขาเองก็ไม่เคยนึกรังเกียจอะไร แต่ทำไมคราวนี้ถึงได้รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดูมีเสน่ห์จนอดใจไว้ไม่อยู่
   รูฟัสกะพริบตาปริบๆ ฟ่งมองเขานานๆ แบบนี้ก็เหมือนจะดีอยู่หรอก แต่ทางนั้นเพิ่งสำลักวอดก้า หน้าก็ยังแดงก่ำ แถมเมื่อครู่ก็ไอเสียจนน่ากลัว ไม่ให้เขารู้สึกผิดเลยก็แปลกล่ะ ยิ่งพอเห็นฟ่งพยายามจะดำเนินมื้ออาหารต่อแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มกลับหักใจกลับไปนั่งทานต่อไม่ได้จริงๆ เขาอยากกอดฟ่งสักครั้ง พูดขอบคุณที่อุตส่าห์ยอมทนยอมทำเพื่อเขา
   รูฟัสโน้มตัวลงต่ำ ด้วยจุดประสงค์เพียงแค่อยากจะกอดเท่านั้น แต่ยังไม่ทันได้อ้าแขนดี ริมฝีปากของทางนั้นก็แนบเข้ามาประกบริมฝีปากของเขา กลิ่นวอดก้าและรสชาติของคาร์เวียฟุ้งไปทั้งโพรงปากทันที พร้อมกับเรียวลิ้นน้อยๆ ที่ตวัดกวาดเข้ามา
   มือแกร่งคว้าร่างผอมบางเข้ามากอดโดยอัตโนมัติ ก่อนจะจูบตอบอย่างลืมตัว รูฟัสไม่ได้กินคาร์เวียนานแล้ว และไม่เคยรู้สึกว่ามันวิเศษวิโสอะไร จนกระทั่งได้มากินในปากฟ่งนี่แหละ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่83 p16 8/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-01-2012 14:43:42
   รูฟัสล้วงปลายลิ้นเข้าไปราวกับคนหิวจัด ไม่รู้ว่าคาร์เวียหรือปากของฟ่งอะไรอร่อยกว่ากัน คงเป็นอย่างหลัง ชายหนุ่มบดจูบอย่างหน้ามืดตาลายจนได้ยินเสียงครางอย่างอึดอัดในลำคอของอีกฝ่าย จึงได้ยอมผละริมฝีปากออก พอถอนใบหน้าออกมาได้หน่อยก็ประสบกับดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้มหลังแว่น และริมฝีปากที่ถูกดูดดึงจนแดงเจ่อ
   เจอแบบนี้คำว่ายับยั้งชั่งใจดูจะปลิวออกไปจากสมองของเขาแทบจะในทันที
   รูฟัสโน้มหน้าลงดูดดึงริมฝีปากอุ่นนั้นอีกครั้งอย่างอดรนทนไม่ได้ สองแขนสอดรัดเข้าใต้ร่าง อุ้มฝ่ายนั้นลงจากเก้าอี้โดยไม่ถามความสมัครใจ ก่อนจะจับกดลงบนโซฟา ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังบดเบียดกันอยู่ นอกจากมือที่จิกลงมาด้วยความตกใจแล้ว ก็เหมือนไม่มีสัญญาณอะไรว่าทางนั้นไม่พอใจ
   ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกเพื่อหอบหายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลยิ่งฉ่ำเยิ้มกว่าเก่า จะเพราะฤทธิ์วอดก้าหรืออะไร รูฟัสไม่มีกะใจจะคิดอีกแล้ว รู้แต่ฟ่งตอนนี้น่ารักสุดๆ น่ารักจนเขาหยุดตัวเองไม่อยู่
   มือแกร่งตะปบลูบไปตามร่างกายของอีกฝ่ายด้วยอาการหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง แก้มของฟ่งยิ่งแดงจัด กระนั้นดวงตาฉ่ำเยิ้มยังคงมองมาที่เขา ยังความวูบวาบในหัวใจอย่างประหลาด ที่ผ่านมาฟ่งไม่เคยมองเขาแบบนี้ ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่เริ่มเล้าโลมกัน ปกติทางนั้นจะเอาแต่หลบสายตา ไม่ก็หลับตาเกือบตลอด
   ฟ่งขบริมฝีปาก ไม่รู้ทำไม ตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่ารูฟัสดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งอยากจะจูบด้วย แล้วเขาก็ทำลงไปจริงๆ เขาอยากกอด อยากจูบผู้ชายคนนี้ อยากสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายที่ทำเพื่อเขา
   ท่าขบริมฝีปากของฟ่งว่าเซ็กซี่แล้ว แต่วงแขนผอมบางที่ตวัดรัดดึงตัวเขาลงไป พร้อมกับจูบที่แนบมาอีกรอบทำเอารูฟัสจิตใจกระเจิดกระเจิง ชายหนุ่มจูบตอบ จนแทบจะกลืนกินคนในอ้อมกอดลงไป ต่างลูบไล้ซึ่งกันและกันจนร่างกายร้อนผ่าวไปหมด เสียงหายใจหอบกระเส่า กระทั่งส่วนกลางของลำตัวดุนดันกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมละริมฝีปากออกจากกัน
   จูบร้อนแรงดำเนินไปอย่างยาวนานบนโซฟาตัวยาวจนกลัวว่าใครสักคนอาจจะขาดอากาศ ท้ายที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออก ฟ่งหน้าแดงจัด ริมฝีปากยิ่งแดงจนบวมเจ่อ นัยน์ตายิ่งฉ่ำเยิ้มจนแทบจะหยดออกมา เสียงหอบหายใจก็เซ็กซี่เสียจนรูฟัสแทบจะฉีกเสื้อของฝ่ายนั้นออกแทนที่จะถอดธรรมดา
   แว่นถูกถอดออกไปพร้อมๆ กันกับเสื้อ กางเกงถูกดึงออกหลังจากนั้นไม่นาน แก้มของฟ่งยังคงแดงปลั่ง สายตาฉ่ำเยิ้มบางทีก็เขม่นมองเขาเหมือนกำลังเขินจัด แต่ก็ยอมให้เขาถอดเสื้อผ้าออกแต่โดยดีไม่ได้ขัดขืนหรือมีท่าทีตกใจเหมือนทุกครั้ง รูฟัสร่ำๆ จะกินฟ่งลงท้องไปตอนนี้เลย เขามองร่างเปลือยตรงหน้า ก่อนจะซุกใบหน้าลงไปตรงซอกคอขาวอย่างไม่อยากจะเสียเวลา ได้ยินเสียงครางต่ำๆ ในลำคอ น่ารักอย่างที่สุด
   รูฟัสเชยชมร่างบางนั้นอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แต่ก็ยังไม่วายเสียดายดวงตาสีน้ำตาลที่นานๆ จะมองเขาหยาดเยิ้มขนาดนี้ ท้ายที่สุดเขาก็จับฟ่งนั่งบนตัก ท่านี้ เขาคงได้ทั้งสองอย่าง ได้เห็นสีหน้า และดวงตาคู่งามนั้น ซ้ำยังสามารถสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายได้ง่ายอีกด้วย
   ฟ่งยกมือขึ้นจับไหล่เขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบไล้ด้วยอารมณ์วาบหวามไม่แพ้กัน รูฟัสลูบมือลงไปบนร่างผอมบางนั้นด้วยอารมณ์ที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้คลั่ง โน้มหน้าลงใช้ริมฝีปากบดคลึงยอดอกอุ่น และประคองร่างนั้นขึ้นมาจูบไล่ไปจนเกือบจะถึงสะดือ ส่วนนั้นของฟ่งที่ผงาดขึ้นมาจนแทบจะชนปลายคางของเขายิ่งทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
   ปลายเล็บจิกไล่ลงไปบนแผ่นหลัง รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของร่างที่แอ่นตัวอยู่ในอ้อมกอด ริมฝีปากแดงจัดถูกขบเบาๆ คิ้วสีน้ำตาลขมวดมุ่น เสียงครางๆ ต่ำๆ ช่างปลุกเร้าอารมณ์ได้ดีเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มโอบอุ้งมือไปรอบส่วนที่กำลังแข็งตัวของอีกฝ่าย โดยโอบมืออีกข้างไปตรงสะโพก เพื่อประคองร่างนั้นเอาไว้
   มือน้อยๆ ที่โอบไหล่เขาอยู่จับแน่นขึ้นมาทันที เสียงครางกระเส่ายิ่งทำให้รูฟัสหายใจถี่หนักมากขึ้น เขาดึงรูดส่วนนั้นอย่างอดทนอดกลั้น ขณะที่ปลายนิ้วอีกข้างควานหาช่องเปิดด้านหลัง และพบในไม่ช้า กระนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ เหมือนส่วนนั้นจะนิ่มกว่าปกติ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองฟ่งทันที หรือว่าฟ่งจะเตรียมตรงนี้ไว้เพื่อเขาตอนที่อาบน้ำ
   พอเห็นใบหน้าที่กระตุกเกร็งด้วยอารมณ์วาบหวาม รูฟัสก็แทบคลั่งใจตาย
   เขาดึงฟ่งเข้ามาจูบอีกครั้ง ถอดกางเกงของตัวเองออก กดร่างนั้นลงบนตัก ประคองส่วนร้อนจัดที่กำลังเสียดสีกันไว้ในอุ้มมือ ดึงรูดจนเสียงหอบกระเส่าดังถี่ ก่อนจะใช้เมือกลื่นๆ พวกนั้น หล่อช่องทางอุ่นอ่อนเบื้องหลัง และเบียดส่วนร้อนจัดของตนเข้าไป
   เสียงครางต่ำในลำคอเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ ฟ่งกัดริมฝีปากของตัวเอง ขณะที่ความร้อนระอุสอดใส่เข้าไปในร่าง รูฟัสขบฟันเบาๆ ส่วนร้อนจัดนั้นหุ้มปลายยอดของเขา ก่อนจะดูดกลืนมันเข้าไปทีละน้อย จนอดสูดหายใจแรงๆ ไม่ได้ ด้านในของฟ่งวันนี้อุ่นร้อนกว่าทุกครั้ง ราวกับมีไฟสุมอยู่ก็ไม่ปาน
   เสียงครางในลำคอค่อยๆ หลุดออกมาทางริมฝีปาก ขณะที่ร่างผอมบางถูกกระแทกกระทั้นจนตัวสั่นอยู่บนตักกว้าง รูฟัสเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่บิดเกร็งไปตามอารมณ์ของอีกฝ่าย เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารักจนแทบบ้าเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่สิ เขาคงรักฟ่งจนใกล้บ้ามานานแล้ว มีฟ่งคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นบ้าได้ขนาดนี้
   ฟ่งร้องครางเสียงพร่า แต่ก็ยังพยายามจะโน้มใบหน้าเข้ามาประกบริมฝีปากกับเขาระหว่างที่ถูกกระแทกอยู่แบบนั้น รูฟัสกอดรัดร่างผอมบางแน่น ไม่รู้ว่าตัวของฟ่ง ริมฝีปากที่นัวเนียกันอยู่ กับส่วนที่กำลังเชื่อมประสานกัน อะไรร้อนที่สุด รู้แต่ทุกส่วนร้อนระอุจนแทบจะหลอมละลาย
   ขยับอยู่แบบนั้นได้สักพัก รูฟัสก็รู้สึกว่ายังไม่พอ เขากดฟ่งลงบนโซฟา สาวกายเข้าออก เสียงเสียดสีกันของส่วนล่างดังชัดจนเข้าหู พอๆ กับเสียงครางกระเส่านั่นแหละ ฟ่งกำฟูกโซฟาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น แต่ก็ยังลืมตาขึ้นมองเขาในบางครั้ง แทบจะทำให้คลั่งตาย
   รูฟัสจับฟ่งเปลี่ยนท่าหลายครั้ง ทั้งจับพาดจับกดสลับกันไป ก็ยังไม่พอใจในอารมณ์ และอีกฝ่ายก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ ร่างกายเสียดสีกันจนเหงื่อออกเหนอะ หลังจากเปลี่ยนท่าไปมาอีกพักหนึ่ง รูฟัสก็พบว่าโซฟายังไม่ใช่ที่ที่จะทำให้เขามองฟ่งอย่างเต็มตาได้ ดังนั้นเขาจึงอุ้มร่างที่ยังคงสั่นสะท้านและเชื่อมประสานกันอยู่ไปที่เตียง
   ร่างผอมบางถูกวางลงบนเตียงไม่หนักไม่เบา ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะถูกอีกฝ่ายประกบมือประสานและกดลงบนฟูกนุ่ม เบื้องล่างถูกกระแทกกระทั้นอีกครั้ง รูฟัสอ้าปากขบซอกคอชื้นเหงื่อนั้น สลับกับเม้มริมฝีปากลงไปจนกลายเป็นปื้นแดง กลิ่นสบู่และแชมพูจางๆ ที่ระเหยขึ้นมายิ่งทำให้อยากสัมผัสมากขึ้นอีกเหมือนทุกครั้ง
   ไม่รู้ว่าเขาจูบลงไปกี่ครั้ง กัดไปกี่รอบ หรือสร้างรอยจ้ำสีแดงนั้นไว้มากเพียงไร รู้แต่ฟ่งลืมตามองเขาเป็นพักๆ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้ม เสียงหอบหายใจ เสียงครางกระเส่า และเสียงเรียกชื่อเขาซ้ำๆ
   รูฟัส....
---------------------------------------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการตื้อในหัวอย่างหนัก ถึงขั้นงงตัวเองว่ากำลังตื่นอยู่หรือหลับอยู่หรือฝันอยู่กันแน่ และยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีนึกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นจึงพอจะนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
   เมื่อคืนเขากินมื้อเย็นกับรูฟัส และสำลักวอดก้า เหมือนว่าจะมึนๆ นิดหน่อย แล้วก็รู้สึกว่ารูฟัสดูน่ารักเป็นที่สุด จากนั้น.....
   ฟ่งหน้าแดงวาบ พอนึกออกความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามา จะว่าไปเมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าเขาเมามากหรืออะไร ก็แค่กึ่มๆ และเพราะบรรยากาศชวนหวิวทำให้เขาลืมเรื่องการยับยั้งชั่งใจไปเสียสนิท เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงอารมณ์ออกมาให้รูฟัสรับรู้ตรงๆ
   แค่คิดก็อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินแล้ว
   น่าเสียดายที่ฟ่งไม่มีวิชาดำดิน แล้วเขาก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นจริงๆ ชายหนุ่มนึกจะขยับตัว แล้วก็พบว่ามีอะไรบางอย่างหนักๆ ทับอยู่
   รูฟัสเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาและสีหน้างุนงงไม่แพ้กัน แต่พอเห็นใบหน้าคุ้นเคยบนเตียงนอน เขาก็ยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ “อรุณสวัสดิ์ครับ”
   อืม..ดูท่าเขาจะติดภาษาไทยเสียแล้ว ขนาดหาสติไม่ค่อยเจอขนาดนี้ ปากยังจำได้ว่าพอเห็นหน้าแบบนี้แล้วต้องพูดอะไร ฟ่งดูอึ้งๆ นิดหน่อย แต่ก็ยิ้มตอบกลับมา
   นัยน์ตาสองสีกะพริบต่อหลังจากนั้น รูฟัสระลึกความจำช้าๆ เมื่อคืนเขามีอะไรกับฟ่ง เรียกได้ว่าปลดปล่อยกันอย่างเต็มที่ แถมฟ่งก็ตอบสนองเป็นอย่างดี จะเพราะเมาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีเซ็กซ์จนถึงขั้นหมดแรงไปพร้อมกับคู่นอน
   พอคิดถึงตรงนี้ รูฟัสไม่รู้ว่าควรจะอายหรืออย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ เขามีความสุขมากที่สุด และเมื่อครู่ฟ่งเพิ่งยิ้มให้เขา
   นัยน์ตาสองสีตวัดขึ้นมองอีกครั้งทันที ฟ่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ดวงตาสีน้ำตาลมองมาอย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มขึ้นอีก “รูฟัส ผมหนัก”
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสนึกอยากจะหยิกตัวเอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี ใครบ้าจะฝันกลางวันขนาดต้องหยิกตัวเอง แต่ว่าตอนนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาเคยฝันเคยหวังมานานว่าวันหนึ่งฟ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วยิ้มให้เขาหลังจากผ่านการร่วมรักอย่างดูดดื่ม นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
   “หยิกผมที”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ คิดว่าตัวเองฟังอะไรผิด “คุณว่าไงนะ?”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง และคิดว่าตัวเองงี่เง่าจริงๆ นั่นแหละ เขาขยับตัวออก โดยลืมไปเลยว่าส่วนล่างยังคงเชื่อมประสานกันอยู่ ฟ่งหน้าแดงวาบ ร้องอ๊ะออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปาก
   น่ารักจนอยากกินซ้ำอีกรอบ
   ยังไม่ทันจะหายใจเต้นดี ฟ่งก็พบว่าตัวเองถูกตะปบ พุ่งเข้าใส่แบบนี้ไม่เรียกว่าตะปบแล้วจะเรียกว่าอะไร รูฟัสไม่พูดอะไร พุ่งเข้าใส่เขาแบบนั้น แล้วถูหน้าเข้ากับข้างแก้มเขาอย่างรักใคร่ เจอแบบนี้ฟ่งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หน้าแดงอยู่แบบนั้น
   สองคนกอดกันไปกอดกันมา จนเผลอหลับกันไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็พบว่ารูฟัสกำลังลูบศีรษะเขาอยู่ ฟ่งเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสองสีคู่นั้นส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง ไม่รู้เพราะเหนื่อยเกินไปหรืออากาศมันหนาว เขาไม่อยากจะลุกไปไหนเลย อยากจะนอนอิงไออุ่นแบบนี้ไปอีกสักพัก ขออิงแผ่นอกกว้างนี้ต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน
-------------------------------------------------------
**สำลักน้ำตาลตาย!!! :m25:

เหลืออีก4ตอนแล้วค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่84 p16 9/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 09-01-2012 14:59:52
อ่านมาถึงสามบรรทัดสุดท้ายแล้วต้องเอามือปิดปาก เนื่องจากยิ้มกว้างเกินไป
กลัวคนรอบข้างจะเข้าใจผิด ว่าอินี่ท่าจะบ้า นั่งเขินอยู่หน้าคอมได้คนเดียว   :o8:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่84 p16 9/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 10-01-2012 03:23:39
ไกล้แล้ว
ไกล้จบแล้ว

รอดูว่าฟงจะประจำที่ไหน ประเทศไหน
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่84 p16 9/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Anonymus ที่ 10-01-2012 09:00:49
สำลักความหวาน....น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงปรี๊ด!
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่84 p16 9/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-01-2012 09:27:08

บทที่85 คำอธิฐาน
   หลังจากผ่านคืนอันหวานชื่น ร่างกายของฟ่งก็แสดงอาการรวดร้าวตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อมากนักออกมา สืบเนื่องจากการผจญภัยเล็กๆ ในแฟลตร้างนั่นเอง
   หนุ่มสวมแว่นถึงกับไม่มีอารมณ์จะออกไปไหน ด้วยอาการเจ็บกล้ามเนื้อแปล๊บๆ บวกอากาศหนาวด้านนอก ดังนั้นสองวันต่อมา เขาจึงขลุกอยู่แต่ในห้อง โดยมีรูฟัสคอยดูแลหานั่นหานี่ให้ โดยไม่ฉวยโอกาสซ้ำเติมร่างกายของเขาด้วยบทรักหักโหมบนเตียงอย่างเช่นที่ผ่านมา
   แต่การกอดและจูบเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
   “ดีขึ้นเยอะไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยถามหลังจากแนบจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของร่างผอมบางที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และถูกทางนั้นดึงตัวเข้าไปจูบอีก
   “ผมสั่งอาหารมาแล้วล่ะ” รูฟัสพูดต่อ ฟ่งหัวเราะแหะๆ “สงสัยถ้าผมไม่รีบหาย คงอ้วนเพราะโดนคุณขุนแน่ๆ”
   หนุ่มนัยน์ตาสองสียิ้มพลางหัวเราะตอบเบาๆ ฟ่งดันตัวเขาออกจากห้องนอน เพื่อที่จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า พอออกมาก็พบว่ารูฟัสนั่งรออยู่ที่โต๊ะ พร้อมกับอาหารแล้ว
   ความจริงอาหารที่นี่ก็คงไม่ถือว่ารสชาติแย่ ดูจากที่รูฟัสทานอย่างเอร็ดอร่อย แต่ฟ่งชักนึกถึงอาหารที่เมืองไทยขึ้นมาบ้างแล้ว เขาควรจะรีบเที่ยวให้เต็มที่แล้วกลับบ้านเสียที การอยู่แต่บนห้องเฉยๆ มาสองวันทำให้เขารู้สึกเหมือนเสียเวลาไปฟรีๆ
   “รูฟัส วันนี้ไปเฮอมิเทจกัน” ฟ่งเอ่ยขึ้นขณะที่ทั่งคู่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ รูฟัสเงยหน้าขึ้นมาและพูดยิ้มๆ “เฮอมิเทจอยู่เซนต์ปีเตอร์เบิร์กนะครับ”
   ฟ่งทำตาโต รูฟัสเพิ่งพูดเรื่องพิพิธภัณฑ์เฮอมิเทจให้เขาฟังเมื่อวาน ตกลงไม่ได้อยู่ที่มอสโคว์หรอกรึ?
   “ไกลมากรึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นถามต่อ เขาอยากเห็นรูปปั้นคิวปิดสุดน่ารักที่รูฟัสเล่าให้ฟังเมื่อวานตะหงิดๆ คนถูกถามนิ่งนึกไปพักหนึ่ง
   “มีรถไฟออกตอนเที่ยงคืนน่ะครับ ถึงโน่นก็เช้าพอดี”
   ฟ่งเกือบครางออกมา เขากะพริบตาปริบๆ จนอีกฝ่ายต้องพูดต่อ
   “ไว้เที่ยวที่นี่เสร็จ เดี๋ยวผมจะพาไปครับ จริงสิ วันนี้เราไปเซนต์เจอเจียสกันดีกว่า”
   “เป็นที่แบบไหนหรือ?” ฟ่งถามต่อ นึกดีใจที่ยังมีอย่างอื่นให้เที่ยวอีก จะว่าไปเขาเพิ่งได้เที่ยวมอสโคว์ไปแค่สองที่เอง รูฟัสพูดต่อ
   “เป็นโบสถ์ทรงหัวหอมหลังคาสีฟ้าๆ น่ะครับ อืม...เป็นที่ที่คนที่นี่นับถือกันมาก นั่งรถออกไปจากนี่สักครึ่งวันก็ถึงครับ”
   ได้ยินว่าครึ่งวัน ฟ่งชักรู้สึกเข่าอ่อน แต่เอาเถอะ ถือโอกาสดูทัศนีย์ภาพข้างทางไปในตัวก็ไม่เสียเที่ยว เขาพยักหน้าตอบกลับไป
------------------------------------------------
   ระยะทางจากมอสโคว์ไปยังเซอกีเยฟ โปซัด เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์เจอเจียสยาวราวๆ เจ็ดสิบกิโลเมตรโดยประมาณ ระหว่างทางฟ่งได้มองทั้งทัศนีย์ภาพของมอสโคว์ และเมืองรอบนอก รวมถึงยังได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับโบสถ์ที่จะไปดูจากไกด์ข้างตัวอีกด้วย ถือว่าไม่เสียเที่ยวจริงๆ
   รูฟัสอธิบายว่าเซนต์เจอเจียสเป็นโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้กับนักบวชที่มีชื่อว่าเจอเจียส ซึ่งเป็นนักบวชที่บทบาทสำคัญในการปกป้องเมืองมอสโคว์ในสมัยโบราณ จนได้รับการยกย่องเป็นนักบุญ
   ดูวิวบนถนนGolden Ring และฟังเรื่องเล่าจนเต็มอิ่ม ฟ่งก็มาถึงที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์เจอเจียสพอดี
   ยังไม่ทันลงจากรถ ชายหนุ่มก็อ้าปากค้างเพราะหลังคาทรงหัวหอมที่ละลานตาไปหมด ยิ่งพอลงจากรถ ได้เห็นยอดหัวหอมสีฟ้าประดับดาวสีทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายระยับราวกับภาพวาด หนุ่มสวมแว่นถึงกับอึ้งไปอึดใจใหญ่ จึงพอนึกถึงกล้องถ่ายรูปในมือขึ้นมาได้
   “รูฟัส” ฟ่งถ่ายรูปไปเกือบครึ่งโหลจึงนึกถึงคนร่วมทางขึ้นมาได้ รูฟัสยืนอยู่ข้างๆ เช่นเคย และรับกล้องถ่ายรูปมาอย่างรู้หน้าที่ แล้วฟ่งก็ได้รูปตัวเองกับโดมรูปหัวหอมสีทองสีฟ้าสมใจอยาก
   “เข้าไปด้านในกันเถอะครับ” หนุ่มตาสองสีเอ่ยชวน หลังจากถ่ายรูปให้เรียบร้อยแล้ว ฟ่งเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปด้านใน
   พื้นที่ในโบสถ์กว้างใหญ่มาก มีสวนดอกไม้ประดับอยู่เป็นหย่อมๆ ฟ่งเกือบจะแวะซื้อตุ๊กตาที่เรียกกันว่าตุ๊กตาแม่ลูกดก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขึ้นชื่อของรัสเซียตรงแผงลอยขายด้านหน้าทางเข้าแล้ว แต่รูฟัสบอกว่าจะพาไปซื้อที่ที่สวยกว่านี้ หนุ่มสวมแว่นจึงผละจากแผงขายของ เดินตามคนนำทางต่อไป
   รูฟัสดูจะเรียบร้อยผิดหูผิดตาต่างกับตอนอยู่นอกโบสถ์อย่างสิ้นเชิง คงจะจริงที่เล่าว่าคนที่นี่ในชีวิตของมาถึงโบสถ์แห่งนี้สักครั้ง ฟ่งที่เดินตามมาจึงต้องพลอยสงบเสงี่ยมตามไปด้วย
ที่เซนต์เจอเจียส ต่างกับเซนต์เบซิลอย่างสิ้นเชิง ตอนไปที่เซนต์เบซิล ฟ่งเห็นแต่นักท่องเที่ยว จิตกร แต่ที่นี่ ที่เขาเห็นคือชาวรัสเซียทั้งชายและหญิง เข้าแถวเพื่อจุ่มน้ำมนต์จากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของโบสถ์
รูฟัสพาเขาไปยังวิหารสีขาว อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอธิบายว่าคนที่มาที่นี่จะต้องมาทำความเคารพอัฐิของเซนต์เจอเจียสที่ฝังอยู่ข้างใต้วิหารนี้สักครั้ง ฟ่งมองดูคนที่กำลังเข้าแถวยาวเหยียดแล้วอยากเดินเลยไปเสีย แต่พอเห็นสีหน้าที่ดูจะอยากเข้าไปของรูฟัส เขาจึงจำต้องรออยู่ด้านนอก เพราะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ เข้าไปคงจะทำให้คนที่ต่อคิวอยู่ด้านหลังเสียโอกาสเปล่าๆ ฟ่งจึงบอกรูฟัสว่าเขาจะรออยู่ด้านนอก หนุ่มตาสองสีมองเขาอย่างเป็นห่วง และชวนเขาเข้าไปด้วย ฟ่งมองดูคิวเข้าแถวแล้วปฏิเสธอีกครั้ง ก่อนจะขอร้องให้รูฟัสเข้าไปและยืนยันว่าเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ไม่เดินหลงทางระหว่างที่รูฟัสไม่อยู่หรอก
ท้ายที่สุดหนุ่มตาสองสีจึงเดินไปเข้าแถว แต่ก็ยังคงมองมาเป็นระยะๆ อย่างเป็นห่วง ฟ่งยิ้มให้เขา และเลือกม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นนั่งคอย เพื่อที่รูฟัสจะได้ไม่เป็นห่วงมากนัก
สักพักใหญ่ รูฟัสจึงเดินออกมา และมีสีหน้าโล่งใจที่เห็นฟ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แม้ว่าเจ้าตัวจะแสดงอาการว่าหนาวมากก็ตาม
“เดี๋ยวไปดูโบสถ์อีกหลังแล้วผมจะพาไปกินอะไรอุ่นๆ นะครับ” หนุ่มตาสองสีกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่รออยู่ ฟ่งพยักหน้าหงึกหงัก ขยับแว่นให้เข้าที่ เขานึกสงสัยว่ารูฟัสขอพรอะไรตอนเข้าไปในโบสถ์หลังนั้น จะขอเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาหรือเปล่า? แต่ศาสนาคริสต์ไม่สนับสนุนเรื่องรักร่วมเพศนี่นา รูฟัสคงไม่ขออะไรที่พระเจ้าลงโทษแบบนั้นหรอก
ฟ่งตัดสินใจเลิกคิดแทนคนอื่น เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินตามรูฟัสไปยังโบสถ์อีกหลัง และรู้สึกหายหนาวทันทีที่เข้าไปด้านใน
หลังคาโค้งที่ประดับด้วยปูนปั้นและภาพวาดตรึงชายหนุ่มให้ต้องแหงนมองคอตั้งบ่า เขาได้ยินเสียงรูฟัสอธิบายเป็นระยะๆ ขณะที่ยกกล้องขึ้นถ่ายรูป
กว่าจะออกจากโบสถ์ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว รูฟัสพาเขาแวะทานเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ร้านค้าเล็กๆ แถวนั้น ก่อนจะเรียกรถกลับที่พัก
---------------------------------------------------
พอมาถึงหน้าโรงแรม เพิ่งจะจ่ายค่ารถที่พามาส่งเสร็จ รถแท็กซี่อีกคันก็แล่นเข้ามาต่อ ทั้งฟ่งและรูฟัสมองดูอย่างงุนงง ก่อนที่คนขับรถจะไขกระจกลง รูฟัสทำท่าจะอ้าปากบอกปฏิเสธบริการที่ไม่ได้รับเชิญนี้ แต่พอเห็นคนขับรถ ชายหนุ่มก็พลันเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วทันที ฟ่งจึงมองตามเข้าไปบ้าง และพบว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่พาพวกเขาไปที่แฟลตร้างเมื่อวันก่อน
นิโคลัยยิ้มเห็นฟันทองในปากหลายซี่ พลางพูดอะไรที่ฟ่งฟังไม่เข้าใจ รูฟัสทำสีหน้าปั้นยาก และหันไปบอกฟ่งให้กลับขึ้นไปที่พักก่อน ฟ่งอยากจะถามถึงเหตุผล แต่พอเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของทางนั้นก็เปลี่ยนใจพยักหน้า และขึ้นห้องไปก่อนตามคำขอร้อง เขาเห็นรูฟัสก้าวขึ้นรถแท็กซี่คันนั้น หลังจากที่เห็นเขาเดินเข้าประตูโรงแรมแล้ว ท่าทางรูฟัสจะมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกให้เขารับรู้จริงๆ แต่ฟ่งเดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
หนุ่มสวมแว่นเดินเข้ามาในห้อง ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทันทีทีสิ้นเสียงปิดประตู ห้องทั้งห้องดูเงียบจนวังเวง นี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่มารัสเซีย ที่รูฟัสไม่ได้อยู่กับเขา ไม่สิ คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาตัดสินใจจะอยู่กับผู้ชายคนนี้เลยต่างหาก
จู่ๆ ฟ่งก็นึกกลัวขึ้นมา ถ้ารูฟัสทิ้งเขาไปล่ะ
ร่างกายที่เหมือนจะหายจากอาการอ่อนล้าแล้วกลับอ่อนยวบลงไปดื้อๆ ชายหนุ่มถึงกับตาพร่าไปวูบหนึ่งจนต้องจับเคาน์เตอร์ที่ตั้งอยู่ข้างประตูเอาไว้
   บ้าจริง เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ก็แค่รูฟัสไปธุระ ทำไมถึงต้องเก็บเอามาคิดมากด้วย
   ฟ่งเริ่มคิดว่านิสัยแย่ๆ ของเขาแก้ยากจริงๆ ชายหนุ่มตัดสินใจ เดินไปห้องน้ำ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เผื่อว่าจะได้เลิกคิดอะไรวิตกจริตเกินเหตุได้บ้าง พอยื่นมือลงไปเพื่อรองน้ำ สายตาก็ประสบเข้ากับแหวนทองคำขาวในมือ ภาพของรูฟัสย้อนเข้ามาในห้วงความคิดอีกครา
   ผู้ชายคนนั้นให้แหวนเขา ขอเขาแต่งงาน บอกรักเขาทุกวัน ดีกับเขาทุกอย่าง แต่เขากลับแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลย
   คนเราทุกคนต้องมีความลับหรือเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ ฟ่งคิดว่าตัวเองทำใจยอมรับได้แล้ว ตั้งแต่คิดจะอยู่กับผู้ชายคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาอาจจะรับมันไม่ได้ แต่รูฟัสแสดงความจริงใจกับเขามาโดยตลอด และเขาเองก็ตัดใจยากผู้ชายคนนี้ได้ยากเสียแล้ว
   แค่คิดว่าถ้ารูฟัสจะทิ้งเขาไป หัวใจก็ปวดแน่นขึ้นมาแล้ว
   ฟ่งเพิ่งรู้ตัวนี่เองว่าเขารักรูฟัสมากแค่ไหน แค่ห่างกันไม่กี่นาที หัวใจเขาก็ปวดตุบๆ หลังจากที่ตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับรูฟัสแล้ว เขาวิ่งตามผู้ชายคนนั้นมาโดยตลอด พยายามตะเกียกตะกายไปในสถานที่ที่ไม่น่าไป ไปในห้องลับที่ตัวเองออกแบบ ใช้ทั้งวิธีขู่กรรโชก หน้าด้านหน้าทน เผชิญกับห่าลูกปืน เพียงเพราะอยากให้แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะกลับมาหาเขา กลับมาอยู่กับเขา
   ฟ่งกัดฟันแน่น รู้สึกรำคาญตัวเองขึ้นมาจริงๆ ชายหนุ่มฝืนใจวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า และบอกตัวเองว่า หยุดคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้ว เดี๋ยวรูฟัสก็กลับมา ก็แค่ไปธุระเท่านั้นเอง
   หนุ่มสวมแว่นออกจากห้องน้ำ และตัดสินใจเดินไปเปิดโทรทัศน์ ภาพผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดโบราณปรากฏขึ้น พร้อมกับภาษาที่เขาฟังไม่ออก คงเป็นภาพยนตร์อะไรซักเรื่อง ฟ่งนั่งปุลงบนเก้าอี้ มองดูโทรทัศน์ และคิดว่าเขาน่าจะขอให้รูฟัสช่วยสอนภาษารัสเซียให้ เผื่อจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น เผื่อว่าเขาจะได้พูดภาษาบ้านเกิดให้เจ้าตัวฟังบ้าง
   ภาพยนตร์โทรทัศน์ทำให้ฟ่งคลายความฟุ้งซ่านได้พักใหญ่ ถึงจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เครื่องแต่งกายและเนื้อเรื่องก็พอจะทำให้เขารู้สึกคล้อยตามและเกิดความสนใจได้ เหมือนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับขุมทรัพย์พระเจ้าซาร์หรืออะไรซักอย่าง เขาเพลินจนลืมดูเวลาเสียสนิท รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเคาะประตูนั่นแหละ
   ฟ่งเดินไปเปิดประตูโดยลืมดูช่องตาแมวเช่นเคย โชคดีที่คนมาเคาะเป็นคนที่เขาอยากเจอมากที่สุด รูฟัสเดินเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันจะถอดเสื้อโค้ทออก ร่างผอมบางก็โผเข้าใส่และกอดเขาไว้แน่น ลำแขนแกร่งรวบร่างนั้นเอาไว้แนบอกทันที
   ทั้งคู่กอดกันอยู่นานจนกระทั่งเพลงจบของภาพยนตร์สิ้นสุดลงและตัดเข้าสู่ช่วงข่าว ฟ่งหัวเราะเขินๆ อย่างรู้สึกตัว และผละตัวออก แต่รูฟัสยังคงรั้งตัวเขาเอาไว้อีกพักหนึ่ง จึงยอมปล่อยออกมา หรือว่ารูฟัสเองก็คิดถึงเขามากเหมือนกันนะ?
   “ไปไหนมาหรือ?” ฟ่งถาม รู้สึกว่ารูฟัสตัวเย็นมาก หนุ่มตาสองสีมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ถึงค่อยยิ้มออกมา ก่อนจะถอดเสื้อโค้ทและแว่นตาออก
   “หิวรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ฟ่งรู้สึกขมๆ ในคอนิดหน่อย รูฟัสไม่ตอบคำถามเขาอีกแล้ว เขา....ควรจะนึกปลงกับเรื่องนี้ได้เสียที หนุ่มสวมแว่นสั่นศีรษะ
   “ผม..ไม่หิว”
   ไม่รู้ทำไม เสียงถึงได้สั่นนัก รูฟัสหันมามองเขาทันที พอเห็นเจ้าตัวทำท่าจะพูดอะไรต่อ ฟ่งก็รีบพูดตัดหน้า “เมื่อตะกี้ผมดูหนังด้วยล่ะ”
   ประโยคดูไร้สาระสิ้นดี แต่ฟ่งกลัวว่ารูฟัสจะถามว่าเขาเป็นอะไร ถ้าถามออกมาเขาไม่รู้จะตอบว่าอะไรเหมือนกัน ฟ่งไม่อยากบอกเหตุผลออกไปตามตรง ในเมื่อรูฟัสไม่อยากบอกเขา เขาก็ไม่ควรทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ เขาเคยทำให้ทางนั้นลำบากมามากแล้ว ในเวลาแบบนี้ ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เขาควรจะทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด
   รูฟัสทำหน้างงๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “หนังเรื่องอะไรหรือครับ?”
   “ไม่รู้เหมือนกัน ผมฟังไม่ออกหรอก แต่สนุกดีนะ” ฟ่งพูด และรีบพูดต่อ “คุณสอนผมพูดภาษารัสเซียบ้างสิ”
   คนถูกขอกะพริบตาปริบๆ “เอาจริงๆ หรือครับ?”
   “ผมรู้ว่าผมพูดไม่คล่องแน่ คุณอาจจะฟังไม่ออก แต่ผมอยากจะพูดนะ” ฟ่งตอบ พยายามทำเสียงขึงขัง รูฟัสมองหน้าเขา และยิ้มออกมา “อยากจะพูดกับผมหรือครับ?”
   “อือ” อีกฝ่ายยอมรับออกไป ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงโทรทัศน์ดังแว่วให้ได้ยิน
   “ฟ่ง....” ในที่สุดรูฟัสก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน เขามองดูร่างตรงหน้า และเห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองตรงมา ดวงตาของฟ่งยังคงแฝงแววเศร้าสร้อยเอาไว้เหมือนเดิม แต่ก็มองมายังเขาอย่างมีความหวัง และมีความห่วงหาอยู่ในนั้นด้วย
   สายตาที่เขาปรารถนาจะได้จากคนข้างห้องมานานแสนนาน
   รูฟัสดึงตัวฟ่งเข้ามากอดอีกครั้ง ไม่รู้จะเริ่มต้นคำพูดว่าอย่างไรดี เขากอดร่างผอมบางนั้นไว้เนิ่นนาน จูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอีกฝ่ายส่งเสียงอย่างตกใจ “กะ...เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
   รูฟัสยังคงกอดและจูบเขาอย่างนั้นอยู่อีกพักใหญ่ ในที่สุดก็พูดต่อ “ผมรักคุณมากนะ”
   ฟ่งพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น แต่รูฟัสน่าจะมีเรื่องอะไรในใจมากกว่านี้
   “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า เล่าให้ผมฟังก็ได้”
   รูฟัสมองหน้าเขาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา ฟ่งตัดสินใจทำสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน เขายกมือขึ้น บีบจมูกรูฟัสเบาๆ และพูดยิ้มๆ “พูดมาเถอะน่า ผมเป็นคู่ชีวิตคุณนะ มีอะไรก็ควรจะปรึกษากันสิ”
   รูฟัสมองหน้าเขา กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะดึงเขาเข้าไปกอดแน่น
   “ผมไปบ้านพี่ชายมา เอ่อ...พ่อของเกรเกอรีน่ะ” รูฟัสเริ่มเล่า หลังจากกอดจนฟ่งคิดว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจตาย เหมือนรูฟัสกลัวว่าเขาจะหนีหายไปอย่างนั้นแหละ
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า และคิดว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าปิดบังอะไรนี่นา รูฟัสนิ่งไปสักพักและพูดต่อ
   “เขารู้แล้วว่าผมเป็นน้องชายเขา แต่ผมคิดว่ามันวุ่นวาย คุณก็รู้ ผม..เอ่อ....ผมไม่ใช่น้องชายคนเดิมที่วิ่งไล่ตามเขาเหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว”
   “อือ ผมรู้ ถ้ามีใครรู้ว่าเขาเป็นญาติกับคุณ เขาก็จะลำบากใช่ไหมล่ะ?”
   “อืม” รูฟัสคราง และมองหน้าฟ่งอย่างวิงวอน ฟ่งมองเขาอีกพัก และหัวเราะออกมา “คุณกำลังจะบอกว่าเหมือนที่ผมรู้จักกับคุณสินะ”
   “ผม...” รูฟัสพูดค้าง หน้าสลดลงทันที ฟ่งหัวเราะ และพูดต่อ “ที่คุณไม่ยอมพูด เพราะกลัวผมจะนึกกลัวแล้วหนีคุณไปอีกหรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฟ่งยิ้มให้เขา และจูบที่จมูกโด่งๆ นั้นเบาๆ “นั่นมันเรื่องเก่าแล้ว รูฟัส มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมไม่หนีคุณไปไหนหรอก คุณ...อย่าทิ้งผมไปก็พอ”
   รูฟัสช้อนดวงตาสีแปลกขึ้นมอง และรั้งตัวเขาเข้าไปกอดอีกรอบ เพิ่งรู้ว่าผู้ชายคนนี้ก็อ่อนไหวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
   “ผมไม่ทิ้งคุณหรอก ต่อให้พระเจ้าไม่รับคำสาบาน ต่อให้สวรรค์สาปส่ง ผมก็จะรักคุณ”
   ฟ่งรู้สึกขนลุกด้วยความตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เขายกมือขึ้นกอดตอบรูฟัส เหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะกอดกันบ่อยและนานเป็นพิเศษ อ้อมกอดของกันและกันที่อบอุ่นและบริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ
----------------------------------------------------
   “แล้ว..คุณบอกเขาว่ายังไงหรือ พี่ชายคุณน่ะ?” ฟ่งถามต่อ หลังจากผละออกจากกันแล้ว รูฟัสพูดยิ้มๆ
   “ผมก็บอกเขาไปตามตรงนั่นแหละ ว่าผมไม่ใช่น้องชายคนเดิมของเขาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนอีกแล้ว เขาก็ดูจะยอมรับ แต่ผมกลับรู้สึกแสลงใจ เพราะผมไม่ได้เล่าเรื่องตัวเองให้คุณฟังเลย แถมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยน่าคบเท่าไหร่”
   ฟ่งยกมือตบแก้มรูฟัสเบาๆ “รู้สึกตัวช้าไปหน่อยแล้ว”
   รูฟัสหัวเราะเขินๆ และดึงมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ ฟ่งมองเห็นแหวนสีเงินบนนิ้วของรูฟัสแล้วนึกขึ้นได้
   “รูฟัส คุณมีสลักอะไรไว้ในแหวนรึเปล่า?” เขาเอ่ยถามเรื่องที่นึกจะถามตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ลืมทุกที รูฟัสพยักหน้า ฟ่งจึงถามต่อ
   “เป็นตัวเลขหกตัวใช่ไหม?”
   “อืม”
   “หมายความว่าอะไรหรือ?”
   คราวนี้รูฟัสมีสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาถามกลับ “คุณจำไม่ได้หรือครับ?”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นึกให้ตายเขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเลขพวกนี้ที่ไหน นี่รูฟัสคิดว่าคนอื่นจะเข้าใจรหัสลับของตัวเองได้โดยไม่ต้องการคำอธิบายเลยหรือไง รูฟัสมองหน้าฟ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
   “ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณงง มันเป็นวันเดือนปีที่ผมเจอคุณวันแรกน่ะ วันที่ผมไปช่วยคุณขนของ”
   “คุณจำได้เหรอ?” ฟ่งถามอย่างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่ารูฟัสจะจำกระทั่งวันที่ได้ เขาเองยังจำไม่ได้เลยว่าวันที่เท่าไร จำได้แต่เดือนเท่านั้นเอง หนุ่มตาสองสีพยักหน้า
   “ผมอยากจะสลักอะไรเอาไว้เป็นที่ระลึกน่ะ แต่จะสลักชื่อผมกับคุณก็ยาวไป จะสลักว่าผมรักคุณก็ดูยังไงๆ ไม่รู้ ก็เลยคิดว่าสลักวันที่เราเจอกันวันแรกไว้ดีกว่า”
   “ขอโทษนะ ผม...ผมจำไม่ได้เลย” ฟ่งพูดอย่างกระดาก ดูเหมือนรูฟัสจะจำอะไรได้ดี ต่างจากเขาลิบลับ หนุ่มตาสองสียิ้มอีกรอบ
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้ วันนั้นผมช่วยคุณยกของ วันนี้ผมขอยกคุณนะ”
   ยังไม่ทันที่ฟ่งจะได้อ้าปากพูดอะไรตอบ ร่างก็ถูกยกขึ้นจริงๆ ร่างผอมบางโวยวายทันที “ทำอะไรน่ะ!?”
   “ก็ยกคุณไปที่เตียงไงครับ” ร่างสูงใหญ่ตอบอย่างอารมณ์ดี ฟ่งถลึงตาใส่ทันที “บ้า ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ”
   “อ้าว ไหนคุณว่าไม่หิวไงครับ?”
   “ตอนนี้ผมหิวแล้วล่ะ” ฟ่งตอบทันที รูฟัสชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าต่อไปจนถึงเตียง และวางร่างผอบบางลงบนนั้น
   “กินก่อนเดี๋ยวจะจุกนะครับ ขอผมก่อนแล้วกัน”
   ฟ่งถลึงตาใส่รูฟัส ก่อนแขนทั้งสองข้างจะถูกกดรวบลงบนเตียง
   “ขอผมก่อนได้ไหมครับ เมื่อครู่ผมคิดถึงคุณมากเลย” ทางนั้นเอ่ยถามเสียงอ้อน ฟ่งถลึงตาใส่อีกรอบ ก่อนจะยื่นหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากนั้นเบาๆ แทนคำตอบ ริมฝีปากหนาประกบแนบลงมาทันที พร้อมกับร่างที่โถมลงมา
   รูฟัสไม่รู้ว่าคำอธิฐานของเขาจะไปถึงนักบุญหรือถึงพระเจ้า หรือถึงหูซาตานกันแน่ แต่ไม่ว่าใครจะได้ยิน ตอนนี้เขาก็พอใจมากแล้ว
   ไม่ว่าจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ขอแค่เขามีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ก็เพียงพอแล้ว
-------------------------------------------------------
**เจ้ารูฟัส เอ็งเชื่อในพระเจ้าด้วยเรอะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 10-01-2012 12:53:39
ลงท้ายก็หื่นเหมือนเดิม  :-[
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 10-01-2012 14:27:52
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 10-01-2012 16:06:26
กำลังคิดว่าทำไมตอนนี้รูฟัสดูสงบเสงี่ยมจัง
แต่สุดท้ายแล้วพี่แกก็ไม่พลาดที่จะหื่น  :laugh:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 10-01-2012 20:02:55
คงความหื่นตลอดศก น่ะรูฟัส
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 10-01-2012 20:08:32
โอ๊ยหวานๆ หวานมากๆ
เป็นฉากแต่งงานที่ดูเรียบง่าย  แต่ทำเอาคนอ่านยิ้มเขินกันไปเลยทีเดียว :-[
ไม่ไหวแล้วคู่นี้อ่านไปเขินไปสุดๆ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-01-2012 12:18:57
***555+ :laugh:ทุกคนเข้าใจถูกแล้วค่ะ รูฟัสเป็นพระเอกที่หื่นที่สุดเท่าที่เราเคยเขียนมาเลย (มีตอนไหนบ้างที่มีโอกาสแล้วไม่หื่น??)

วันนี้ลงให้2ตอนรวดชดเชยเมื่อวานนะคะ^^

--------------------------------

บทที่86 ขอบคุณที่เคียงข้างกัน
   “วันนี้ไปสถานีรถไฟกันไหมครับ?” รูฟัสเอ่ยปากขึ้นระหว่างอาหารมื้อเช้าในห้องพัก ฟ่งช้อนตาขึ้นมองผ่านแว่น
   “จะไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเหรอ?”
   หนุ่มตาสองสีคลี่ยิ้มละไม “ยังหรอกครับ แต่ผมนึกขึ้นได้ว่าคุณยังไม่ได้ไปเที่ยวสถานีรถไฟเลย สถานีรถไฟใต้ดินที่นี่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยนะครับ”
   ฟ่งเบิ่งตากว้าง “จริงหรือ? อืม...ใช่ เหมือนผมจะเคยเห็นในสารคดีนำเที่ยว นั่งรถไฟก็ดีเหมือนกันนะ”
   ชายหนุ่มพูดพลางตัก Сельдь под шубой ซึ่งเป็นสลัดชนิดหนึ่งเข้าปาก รูฟัสมองดูคนตรงหน้า และพูดขึ้น
   “ปากเลอะนะครับ”
   ฟ่งทำหน้างงๆ แต่พอเห็นอีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และยื่นหน้าเข้ามา ชายหนุ่มก็รีบยื่นมือออกไปทันที
   “ไม่ต้องเลยนะ ผมเช็ดเองได้” ฟ่งว่า รูฟัสยิ้มๆ และแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
   “ผมอยากกินสลัดบนปากคุณจัง”
   ร่างบางหน้าแดงวาบ รีบผลักอีกฝ่ายให้กลับไปนั่งทันที “หยุดคิดอะไรแบบนี้กับผมเสียที!”
   รูฟัสหัวเราะในลำคอ ฉวยมือที่ผลักไสอยู่ขึ้นมาจูบ ก่อนจะยอมกลับไปนั่งแต่โดยดี ฟ่งถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่วายหน้าแดงอยู่อย่างนั้น

   หลังทานอาหารเช้าเสร็จ รูฟัสพาฟ่งออกจากโรงแรม เนื่องจากเริ่มชินกับอากาศหนาวบ้างแล้ว พอรู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ไม่ไกลมาก ฟ่งจึงเลือกที่จะเดินมากกว่านั่งรถ ซึ่งคนร่วมทางก็เห็นดีด้วย ทั้งคู่จึงเดินเลียบถนนมาเรื่อยๆ
   “รถที่นี่เยอะจัง” ฟ่งว่า ระหว่างที่ทั้งคู่เดินข้ามถนนเส้นหนึ่ง รูฟัสพยักหน้า
   “ที่นี่คนขับรถเยอะครับ แต่สถานีรถไฟก็คนเยอะเหมือนกัน”
   “เหมือนที่กรุงเทพฯ เลย สร้างรถไฟฟ้าแล้ว ก็ไม่เห็นรถจะหยุดติดตรงไหน”
   คนฟังหัวเราะ อีกฝ่ายพูดต่อ “จริงสิ ที่นี่มีรถเมล์สองชั้นรึเปล่า?”
   “นั่นมันที่อังกฤษนะครับ ที่นี่ไม่มีหรอก มีแต่...เอ่อ....รถเมล์แบบนั้น” รูฟัสกล่าว พลางชี้ให้ดูรถเมล์สีแดงดำคันหนึ่งที่แผ่นผ่านมา ฟ่งมองแล้วนึกว่าไม่เห็นจะต่างจากรถเมล์ในกรุงเทพฯ ตรงไหน คนแน่นเอี๊ยดแถมโทรมพอๆ กัน   
   พอใกล้ๆ ถึงสถานีรถไฟ ก็เริ่มมีแผงขายของข้างทางวางเรียงกันอยู่ ฟ่งอดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปดู ที่เด่นสะดุดตาบนแผงเห็นจะเป็นตุ๊กตาที่สามารถใส่ซ้อนกันได้
   “ตุ๊กตานี่ที่นี่เรียกว่าอะไรหรือ?”
   “เรียกว่า Матрьошка ครับ” รูฟัสตอบ ฟ่งขมวดคิ้วกับภาษาที่ได้ยินทันที เขากลั้นใจถามอีกครั้ง
   “เรียกว่าอะไรนะ?”
   “เรียกว่า Matryoshkas ครับ”
   การพยายามออกเสียงอย่างช้าๆ ของรูฟัส ทำให้ฟ่งพอจะฟังออกบ้าง หนุ่มสวมแว่นพยายามจะพูดเลียนแบบ
   “มาตรีโอสคา..”
   รูฟัสเผลอหัวเราะออกมาจนแก้มของคนพูดกลายเป็นสีแดงเรื่อ ได้ยินเสียงเหมือนคนขายของหัวเราะเบาๆ และพูดอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่ออก รูฟัสจึงหันไปคุยกับเขา
   “เขาว่าอะไรหรือ?” ฟ่งสะกิดอีกฝ่ายหลังจากทั้งคู่พูดคุยกันได้พักหนึ่ง รูฟัสหันมายิ้มให้
   “เขาถามว่าผมพาเพื่อนมาเที่ยวหรือ? ผมเลยตอบไปว่าใช่ เขาก็เลยถามต่อว่าเพื่อนจากไหน ผมเลยบอกว่าจากประเทศไทย อืม... เขาบอกว่าเคยเห็นในหนังสือนำเที่ยวแล้ว อยากไปมาก”
   “อื้อ ไปสิ ที่เมืองไทยมีอะไรน่าเที่ยวเยอะเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าอากาศร้อน”
   รูฟัสหัวเราะอีก ก่อนจะหันไปแปลความกับพ่อค้า
   “เขาว่า หน้าร้อนที่นี่ตอนนี้ก็ร้อนเหมือนกัน คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” หนุ่มตาสองสีหันมาแปลความ ก่อนจะขยับแว่นตาสีชาให้เข้าที่ ฟ่งมีสีหน้าแปลกใจ
   “แต่ตอนนี้ผมหนาวมากเลยล่ะ” เขาว่า พลางยกมือขึ้นกอดอก ทั้งรูฟัสและพ่อค้าขายของพากันหัวเราะอีก ฟ่งเลยหันกลับไปสนใจของบนแผงขายต่อ
   “Can I touch?” ฟ่งพูดกับคนขายและชี้ไปที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ทางนั้นรีบพยักหน้าและพูดอะไรเร็วปรื๋อจนเขาฟังไม่ออกและหยิบตุ๊กตาส่งให้ ฟ่งรับมาพลิกดู ระหว่างนั้นได้ยินคนขายพูดอะไรอีกหลายอย่าง เหมือนจะเป็นภาษารัสเซียบ้าง อังกฤษบ้าง แต่จนใจที่เขาไม่คุ้นเคยกับสำเนียงเลย จึงแปลไม่ออก รูฟัสจึงเป็นคนแปลสารเช่นเคย
   “เขาบอกว่าตุ๊กตานี้เป็นเรื่องของต้นเทอนิบน่ะครับ” หนุ่มตาสองสีว่า ฟ่งเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ รูฟัสจึงชี้ให้ดูที่ฐานด้านล่างของตุ๊กตา ซึ่งพอสังเกตดีๆ แล้ว เพิ่งเห็นว่าเป็นรูปวาดที่ไม่ใช่ลายเสื้อผ้า แต่เป็นรูปคล้ายผักชนิดหนึ่ง ใบสีเขียวๆ คล้ายหัวผักกาด
   “ที่ฐานของตุ๊กตาจะเป็นภาพจากนิทานหรือเรื่องเล่าโบราณน่ะครับ ” รูฟัสอธิบายต่อ ฟ่งพยักหน้า เขานึกว่าตุ๊กตาพวกนี้จะเป็นแค่ตุ๊กตารูปผู้หญิงเฉยๆ เสียอีก รูฟัสดึงส่วนหัวของตุ๊กตานั้นออก ฟ่งเห็นว่าที่ฐานของตุ๊กตาตัวที่สอง นอกจากต้นผักแล้ว ยังเพิ่มรูปของชายชราอีกคนหนึ่งกำลังถอนต้นผักนั้นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส หนุ่มตาสองสีซึ่งสวมแว่นตาสีชาอยู่ไม่ว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มๆ และถอดหัวตุ๊กตาตัวที่สองออก
   ฟ่งขมวดคิ้ว จากเดิมที่มีรูปชายชราถอนต้นผัก ตอนนี้เพิ่มรูปหญิงชรามาอีกคนกำลังช่วยชายชราถอนต้นผักอยู่ พอดึงตุ๊กตาตัวนั้นออก ก็มีหลานสาวอีกคนมาช่วยตายายทั้งสองดึงต้นผัก หลังจากนั้นก็มีสุนัขตัวหนึ่งมาสมบท ตามด้วยแมลงเต่าทองอีกตัวหนึ่ง และอีกตัวหนึ่ง และ...อีกตัวหนึ่ง ท้ายที่สุดต้นผักนั้นก็หลุดออกมา พร้อมๆ กับสายโซ่ของคนสาม สุนัขหนึ่ง เต่าทองอีกสาม
   ฟ่งเบิ่งตามองภาพตรงฐานตุ๊กตาตัวสุดท้ายที่เล็กเสียจนเขาต้องก้มหน้ามองลงไปใกล้ๆ แล้วหัวเราะออกมา
   “ตลกจัง เหมือนเรื่องเล่าพวกนี้เล่ามาเพื่อทำภาพลงในตุ๊กตาเลย”
   รูฟัสยิ้ม “เรื่องเล่าทำนองนี้ที่รัสเซียมีเยอะนะครับ ไว้ว่างๆ ผมจะเล่าให้คุณฟัง”
   “อือ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “คุณว่าตุ๊กตาตัวนี้ใช้ได้มั้ย? ผมว่ารูปก็ดูละเอียดดีนะ”
   “อืม...” รูฟัสครางในลำคออย่างใช้ความคิด ก่อนจะพลิกตุ๊กตาขึ้นมาดูทีละตัว ฟ่งเพิ่งรู้ว่ารูฟัสละเอียดลออกับเรื่องเลือกซื้อของเหมือนกัน
   ชายหนุ่มพลิกดูตุ๊กตาอยู่พักหนึ่ง ลองใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลูบดูสีที่ใช้เขียน ก่อนจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับคนขาย แล้วหันมาพูดยิ้มๆ “ชอบรึเปล่าล่ะครับ?”
   “อือ ก็ลายมันน่ารักดี สีก็สวย เรื่องก็ตลกดีด้วย” ฟ่งว่า รูฟัสหันไปคุยกับคนขายอีกรอบ ก่อนจะส่งตุ๊กตาให้และหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา
   “เดี๋ยวๆ รูฟัส ผมจ่ายเองนะ” หนุ่มสวมแว่นรีบแทรกตัวเข้ามา และเกือบจะชนเข้ากับแผงขายของ รูฟัสใช้มือข้างหนึ่งกันตัวเขาออกไปอย่างง่ายๆ ก่อนจะหันมาพูดยิ้มๆ
   “ไว้จ่ายคืนนี้แล้วกันครับ”
   คนฟังหน้าแดงวาบ ยอมถอยกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก รูฟัสจ่ายสตางค์เสร็จก็ส่งถุงใส่ตุ๊กตาให้ฟ่ง หนุ่มสวมแว่นรับมาและกะพริบตาปริบๆ

   “รูฟัส ค่าตุ๊กตาเมื่อกี้น่ะให้ผมจ่ายเถอะ” ฟ่งพูด ระหว่างที่ทั้งคู่ออกเดินจากแผงขายของไปยังสถานีรถไฟ รูฟัสหันมามองหน้าคู่สนทนา
   “ผมไม่สบายใจเลยที่คุณซื้อของให้ คือ...ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจคุณนะ แต่ของนี่ผมอยากได้เอง ผมก็ควรจะจ่ายเอง เพราะฉะนั้นให้ผมจ่ายเถอะนะ อย่าเอาเรื่องบนเตียงมาขู่ผมเลย” ฟ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังเสียจนรูฟัสพลอยมีสีหน้าเอาจริงเอาจังไปด้วย
   “รู้สึกไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ?” หนุ่มตาสองสีเอ่ย ฟ่งพยักหน้า
   “ผมเข้าใจนะเวลามีแฟนน่ะ คุณเองก็คงอยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองพึ่งพาได้ ผมเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ตอนนั้นผมก็พยายามทำแบบคุณนี่แหละ แต่ว่า ผมเป็นผู้ชายนะ คุณไม่ต้องทำแบบนี้หรอก”
   รูฟัสหน้าเจื่อนลงหน่อยหนึ่ง “ผมแค่อยากจะทำให้คุณมีความสุขเวลาอยู่กับผม เอาเถอะครับ ถ้าคุณพูดแบบนั้น ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร”
   ฟ่งยิ้มให้รูฟัส “เท่าไหร่ล่ะ บอกผมตามจริงเลยนะ ถ้าผมรู้ว่าคุณลดให้ ผมโกรธจริงๆ ด้วย”
   รูฟัสนิ่งนึกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “สี่หมื่นสองพันรูเบิลครับ”
   ฟ่งหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ดึงแบงก์รูเบิลออกมานับ ก่อนจะขมวดคิ้ว
   “ผมไม่ได้บวกเพิ่มนะครับ” รูฟัสว่า ฟ่งเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบแบงก์รูเบิลปึกหนึ่งออกมา
   รูฟัสรับธนบัตรมานับและเงยหน้ามองคนตรงหน้า ฟ่งมีสีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สี่หมื่นสองพันรูเบิล เทียบเป็นเงินไทยแล้วก็คงประมาณสี่หมื่นห้าพันบาทนั่นแหละ รูฟัสไม่แน่ใจว่าฟ่งแลกเงินมาเท่าไหร่ แต่คงไม่น่าเกินแสนบาท แค่ค่าตุ๊กตาอย่างเดียวเงินก็หายไปเกือบครึ่งแบบนี้ ไม่หนักใจเลยก็แปลกล่ะ หนุ่มตาสองสีนับธนบัตรอีกหนและแยกเอาไว้ส่วนหนึ่ง
   “ฟ่งครับ”
   คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เขากำลังนึกสงสัยว่ารูฟัสซื้อของเกินราคาที่ควรจะเป็นอีกหรือเปล่า แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายออกปากเองว่าจะจ่าย ถ้าถามออกไปก็คงจะดูเสียหน้า เหมือนกันว่าพอจ่ายแพงแล้วหาข้ออ้างนั่นนี่ ดังนั้นหนุ่มสวมแว่นจึงได้แต่กล้ำกลืนคำถามเอาไว้ และกัดฟันควักเงินแทบจะหมดกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าตุ๊กตาตัวเดียว
   “ตุ๊กตาตัวนั้นความจริงก็ถูกใจผมอยู่เหมือนกัน คือ ผมไม่ได้พูดเอาใจคุณนะ แต่ให้คุณจ่ายหมดเลยแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะเดิมทีผมตั้งใจจะซื้อของที่คุณชอบให้อยู่แล้ว เอาแบบนี้ดีกว่าไหมครับ เราช่วยกันออกคนละครึ่ง เพราะยังไงเดี๋ยวมันก็ไปตั้งในห้องของเราอยู่ดี ให้ผมกับคุณมีส่วนร่วมเท่าๆ กัน”
   พูดพลางยื่นเงินครึ่งหนึ่งคืนให้ ฟ่งนิ่งนึกไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมรับเงินเอาไว้ “ก็ได้... ไหนๆ เราก็ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันแล้วนี่”
   รูฟัสมองดูแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ฟ่งรีบหันมาพูดต่อ “แต่วันหลังถ้าผมอยากได้อะไรคุณต้องบอกราคาผมก่อนนะ”
   “ครับ แต่ถ้าผมอยากจะซื้อให้คุณ คุณต้องยอมให้ผมซื้อนะ”
   “ก็ได้ แต่ถ้าเป็นของที่ผมอยากได้ คุณต้องให้ผมช่วยออกเงินนะ ผมจะจ่ายเท่าที่ผมจ่ายไหว”
   “ตกลงครับ” รูฟัสว่าและยิ้มออกมาอีก “เอาที่เราสบายใจกันทั้งคู่น่ะครับ ถ้าไม่ได้ซื้ออะไรให้คุณเลยผมคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน คุณเองก็คงเข้าใจความรู้สึกผมนะครับ”
   ฟ่งนิ่งไปอีกพักหนึ่งจึงพยักหน้าตอบ
“เป็นผู้ชายทั้งคู่นี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ” หนุ่มสวมแว่นพูดเปรยๆ รูฟัสสั่นศีรษะ
“ไม่ลำบากหรอกครับ ถ้าเราเจอกันครึ่งทาง เอาทั้งที่ผมและคุณสบายใจด้วยกันทั้งคู่ ผมว่าง่ายเสียอีก เพราะทั้งคุณและผมก็มีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น”
ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองรูฟัส ก้มลงมองถุงตุ๊กตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ถูกของคุณ ผมขอโทษที่พูดเอาแต่ใจไปหน่อยนะ”
“ผมเองก็ขอโทษที่ทำให้คุณอึดอัดใจนะครับ”
ทั้งคู่หยุดยืนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดแนะ ต่างฝ่ายต่างหันมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ลงไปสถานีรถไฟกันเถอะ ผมอยากรู้ว่าสวยเหมือนในรูปถ่ายรึเปล่า” ฟ่งว่า และดึงแขนเสื้อรูฟัสให้เดินตามไป
-----------------------------------------------------
   สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโคว์โอ่อ่ากว้างขวางและวิจิตรตระการตายิ่งกว่าที่คิดไว้จริงๆ ชนิดที่อย่าได้เอาไปเปรียบเทียบกับสถานีรถใต้ดินในประเทศไทยเลยจะดีกว่า
   ฟ่งอ้าปากค้างไปกับซุ้มทางเดินโค้งที่ทำด้วยหินอ่อน ประดับบัวปูนปั้นทาสีสันสวยงาม ด้านบนประดับด้วยโคมระย้าแบบโบราณ ด้านข้างมีภาพกระเบื้องโมเสกประดับอยู่ในกรอบหินสลัก
   หนุ่มสวมแว่นยกกล้องขึ้นถ่ายภาพและต้องคอยหลบผู้ที่สัญจรผ่านไปผ่านมา เส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินของมอสโคว์มีเยอะกว่าประเทศไทยหลายเท่า ผู้คนที่ใช้บริการจึงหนาแน่นคับคั่ง แต่รถบนถนนก็ยังติดอยู่ดี
   รูฟัสรับหน้าที่เป็นไกด์อีกเช่นเคย เขากำลังอธิบายความหมายของภาพโมเสกที่ประดับอยู่ตามกำแพงและซุ้มประตู
   “ภาพพวกนี้เป็นภาพในอุดมคติของสังคมยุคคอมมิวนิสนะครับ อย่างคุณเห็นนี่เขาก็พยายามจะทำให้พวกเราเชื่อว่าการอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสจะทำให้เราอยู่ดีมีสุข ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่”
   ฟ่งพยักหน้าพลางมองดูภาพโมเสกขนาดใหญ่ที่เป็นรูปชายหญิงชาวรัสเซียจำนวนมากพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
   “สมัยคอมมิวนิส ผู้คนต้องย้ายไปอยู่ในแฟลตที่รัฐบาลสร้างให้ ใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียรเพื่อจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล” รูฟัสพูดพลางถอนหายใจ “แฟลตพวกนั้นสมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่เลยครับ แบบที่เราเข้าไปวันก่อนก็ใช่”
   “อือ... ผมก็ว่ามันน่าจะลำบากอยู่นะ โดนจำกัดอิสระแบบนั้นน่ะ”
   “แต่เราก็ทนกันมาได้นั่นแหละครับ จริงสิ คุณอยากเห็นรางรถไฟรึเปล่า?” รูฟัสเปลี่ยนเรื่อง เพราะเห็นว่าบทสนทนาดูจะไม่ค่อยน่าบันเทิงใจเท่าไหร่ ฟ่งพยักหน้า ทั้งคู่จึงพากันเดินออกไปยังส่วนที่เชื่อมสู่ทางรถไฟ
   ส่วนของรางรถไฟตั้งอยู่ในซุ้มโค้งสวยงามไม่แพ้ส่วนที่เป็นทางเดิน แต่พอรถไฟแล่นเข้ามาเท่านั้นแหละ ฟ่งแทบจะยกมือขึ้นขยี้ตา เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มองผิดไป
   “เป็นไงครับ รถไฟกับตัวสถานี แตกต่างกันลิบลับเลยใช่ไหมล่ะ?” รูฟัสพูดยิ้มๆ ฟ่งพยักหน้าทันที เขานึกว่ารถไฟที่นี่จะเป็นขบวนที่ออกแบบให้เป็นขบวนรถไฟแบบโบราณหน่อยๆ แต่ที่ไหนได้ รถไฟที่แล่นเข้ามาสภาพแทบไม่ต่างกับขบวนรถไฟชั้นสามที่สถานีหัวลำโพง จวนจะพังแหล่มิพังแหล่ ขัดกับตัวสถานีอย่างที่สุด
   “เห็นโทรมๆ แบบนี้ ยังวิ่งได้อยู่นะครับ” รูฟัสพูดและหัวเราะออกมา “ผมว่ารถไฟฟ้าที่เมืองไทยน่ะสภาพดีแล้วล่ะ ที่เช็กเวลาจะออกบางตู้ต้องถีบประตูอยู่เลย”
   ฟ่งทำหน้าเหวอ “พูดจริงๆ หรือ?”
   คนถูกถามพยักหน้า “รถไฟฟ้านี่ จริงๆ โดยทั่วไปมันก็โทรมกันแบบนี้เกือบทุกประเทศแหละครับ เพราะใช้กันมานานแล้ว เอาแค่วิ่งได้ก็พอ ยกเว้นขบวนที่เดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามประเทศ ก็จะดีขึ้นหน่อย ในเมืองก็เอาแบบพอใช้”
   ฟ่งมองดูผู้คนเบียดกันขึ้นรถไฟแล้วพยักหน้าอีก “เอาน่ะ อย่างน้อยก็ยังมีให้ใช้ จริงสิ ผมได้ยินมาว่าที่ญี่ปุ่นน่ะต้องใช้พนักงานดันคนเข้าไปในรถไฟฟ้าด้วย มันมีจริงๆ หรือ?”
   “ไม่รู้สิครับ ผมยังไม่เคยไปเหมือนกัน คราวหลังไปเที่ยวกันไหมล่ะครับ?”
   “อือ เดี๋ยวผมขอเวลาเก็บเงินก่อนนะ มีของที่อยากซื้อแล้วก็อยากไปดูที่นั่นเยอะเหมือนกัน”
   รูฟัสยิ้มพลางมองหน้าคนเดินข้าง “ก่อนไปเบียดรถไฟที่ญี่ปุ่น อยากลองเบียดรถไฟที่มอสโคว์ก่อนไหมล่ะครับ”
---------------------------------------------------
   รูฟัสพาฟ่งขึ้นรถไฟไปดูสถานีอีกหลายแห่ง ก่อนจะกลับขึ้นมาที่สถานีแห่งหนึ่ง พอขึ้นมาถึงพื้นดินด้านบน ท้องฟ้าก็เริ่มครึ้มแล้ว
   “ที่นี่ที่ไหนหรือ?” ฟ่งถาม หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาและพบว่าเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รูฟัสยิ้มพลางตอบคำถาม
   “อยากดูละครสัตว์รึเปล่าครับ?”
   คนถูกถามพยักหน้าทันที ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “จะพาไปดูหรือ?”
   “ครับ เดินเลยขึ้นไปจากนี้หน่อยจะเป็นโรงละครสัตว์ชื่อดังของที่นี่เลยครับ ผมซื้อตั๋วไว้แล้ว”
   ฟ่งมองรูฟัส และเข้าใจในที่สุดว่ารูฟัสแวะซื้ออะไรที่สถานีรถไฟก่อนหน้านี้ คงจะเป็นตั๋วชมละครสัตว์นั่นเอง เขาเป็นใบปลิวที่ติดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้ว แต่เพราะมัวให้ความสนใจกับโคมระย้าและแผงปูนั้นตรงทางเดินใกล้ๆ ตรงนั้น เลยลืมถามเสียสนิท
   “ขอบคุณนะ ว่าแต่ละครสัตว์เริ่มตอนกี่โมงหรือ?”
   “ทุ่มหนึ่งน่ะครับ เดี๋ยวเราแวะทานอะไรกันก่อนก็ได้” รูฟัสว่า และเดินนำออกไป

   ทั้งคู่มาถึงโรงละครสัตว์ตอนเกือบทุ่มพอดี หลังคาของอาคารสร้างเป็นทรงโดมเปิดไฟหลากสี ชวนให้นึกถึงเต้นท์ละครสัตว์ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์เก่าๆ ด้านหน้ามีลานน้ำพุ และลานขายของซึ่งประกอบด้วยอาคารร้านค้าเล็กๆ ที่ทำเป็นรูปทรงต่างๆ และเครื่องเล่นสองสามอย่าง
   “เหมือนสวนสนุกเลย” ฟ่งว่า ขณะเดินผ่านร้านขายไอศกรีม แน่นอนว่าอากาศเย็นขนาดนี้ยังคงมีคนเข้าแถวซื้อกันอย่างหนาตา
   “จะซื้ออะไรเข้าไปทานรึเปล่าครับ?” รูฟัสถาม ฟ่งมองซ้ายมองขวา ก่อนจะสะดุดอยู่กับตัวตลกที่ยืนอยู่หน้าร้านขายน้ำตาลสายไหม
   “เอาสายไหมก็ได้” ฟ่งว่า รูฟัสพยักหน้า ทั้งคู่จึงเดินไปเลือกซื้อน้ำตาลสายไหมกันมาได้คนละแท่ง ฟ่งมองแท่งสายไหมสีชมพูตรงหน้าและยิ้มออกมา
   “รู้สึกเหมือนเป็นเด็กๆ เลย จะดูละครสัตว์ก็ต้องซื้อน้ำตาลสายไหมที่มีตัวตลกขายแบบนี้สินะ” เขาว่า รูฟัสยิ้มขึ้นบ้าง
   “ถ้าให้ดีต้องกินแล้วเลอะหน้าด้วยนะครับ”
   ฟ่งย่นคิ้วทันที
“ผมโตแล้วน่า” ร่างผอมบางในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพูด แต่รูฟัสสังเกตว่าบนใบหน้าของฟ่งมีเศษน้ำตาลสายไหมติดอยู่ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่ลูกโป่งใบหนึ่งลอยผ่านพวกเขาไป โน้มหน้าลง ใช้ลิ้นเลียสายไหมที่ติดบนแก้มของอีกฝ่าย ฟ่งหน้าแดงวาบ เงยขึ้นมองรูฟัส ขณะที่ลูกโป่งสีชมพูลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ คนถูกมองพูดยิ้มๆ
“ละครสัตว์จะเริ่มแล้วนะครับ”
----------------------------------------------
   ละครสัตว์สนุกกว่าที่คิด ฟ่งปรบมือกราวด้วยความตื่นตาตื่นใจแทบทุกครั้งหลังจากจบชุดการแสดง สายไหมหมดไปนานแล้ว และไม่รู้ว่ามือของรูฟัสเข้ามาแทนที่เมื่อไร หลังจากปรบมือให้กับชุดแสดง ฟ่งจะลดมือลงไปกุมมือแข็งแรงนั้นเอาไว้ และบีบมันแน่นเมื่อถึงช่วงผาดโผนที่ชวนให้หวาดเสียว กว่าการแสดงจะจบเหงื่อก็ออกจนชุ่มมือ
   ทั้งคู่เดินเคียงกันออกมาตอนโรงละครเลิก ฟ่งหันมาพูดกับรูฟัสด้วยสีหน้าเบิกบานใจเต็มที่ “ผมชอบจัง ขอบคุณที่พามานะ”
   “ดีแล้วครับที่คุณชอบ เห็นคุณมีความสุขผมก็ดีใจล่ะ” รูฟัสตอบ ทั้งคู่เดินเรื่อยมาตามถนน จนฝูงชนรอบข้างเริ่มบางตาลง สองร่างเดินชิดกันมากขึ้น จนกระทั่งมือสัมผัสกันและกัน ก่อนที่จะรวบจับกันแน่น
   ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บยามค่ำคืน ละอองสีขาวเล็กๆ ก็ค่อยๆ โปรยปรายลงมา ฟ่งยกมือขึ้นรองเกล็ดสีขาวนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคนเดินข้าง ไอน้ำจากลมหายใจระเหยออกมาเป็นควันสีขาวบางๆ ยามต้องกับแสงไฟบนถนน ดวงตาสีน้ำตาลมองผ่านเลนส์แว่น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น
   “ขอบคุณนะ”
   รูฟัสคลี่ยิ้มตอบ และจูบหน้าผากของฟ่งเบาๆ
   “ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างผมนะครับ”
-------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่85 p16 10/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 12-01-2012 12:23:31
หนุ่มนักดีไซน์ กับนายสายลับ
บทที่87 Дмитрий
   “ฟ่งครับ ตื่นได้แล้วครับ จะถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้ว” เสียงเรียกและมือที่ยื่นมาแตะแขนเขาเบาๆ ทำให้ฟ่งลืมตาตื่นขึ้น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นมาจนเกือบจะชนกับคนที่มาปลุก
   “ถึงแล้วเหรอ?!” ฟ่งถามอย่างงุนงงไม่หาย ก่อนจะหันรีหันขวาง ควานหาแว่นที่น่าจะหล่นอยู่ใกล้ๆ หมอนหรือที่ไหนสักแห่ง รูฟัสเลยต้องก้มลงช่วยหาอีกแรง สักพัก แว่นก็มาสถิตอยู่บนดั้งของผู้เป็นเจ้าของในที่สุด
   “ผมต้องรีบเก็บของ” ฟ่งว่า และตะลีตะลานลงจากเตียง ก่อนจะนึกได้ว่าสัมภาระอยู่บนชั้นด้านบนที่นั่งนี่นา แล้วเมื่อคืนเขาก็ไม่ได้รื้ออะไรออกมาก่อนนอน
   รูฟัสหัวเราะเบาๆ แล้วพูดตอบ “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกครับ ยังไม่ถึงหรอก อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมมาปลุกคุณก่อน จะได้ไปล้างหน้าแปรงฟัน”
   “อ้อ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า รู้สติขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เมื่อสองวันก่อน รูฟัสเสนอว่าไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นั่งเครื่องบินไปจะประหยัดเวลากว่า แต่ฟ่งเห็นว่าไหนๆ ก็มาถึงรัสเซียแล้ว อยากจะลองใช้บริการรถไฟเที่ยวยาวดูสักครั้ง สุดท้ายเขาก็เลยได้นั่งรถไฟสายRed arrow ไปเซนต์ปีเตอร์ฯสมอยาก แต่รถไฟออกตอนเที่ยงคืน กว่าเขาจะหลับก็ปาไปค่อนรุ่ง เลยตื่นเอาสายโด่ง ฟ่งไม่รู้ว่าควรจะภูมิใจในตัวเองดีรึเปล่า รถไฟโคลงเคลงขนาดนี้ เขายังจะมีหน้าหลับสนิทจนรูฟัสต้องมาปลุกได้อีก ถ้ามีการแข่งขันกันหลับ เขาน่าจะลองไปสมัครดู ไม่แน่ว่าอาจจะได้แชมป์โลกก็ได้
   รูฟัสมองดูแผ่นหลังของร่างผอมบางที่พาเรือนผมยุ่งๆ ออกไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
   เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก...
   กี่ปีมาแล้วนะที่เขาไม่ได้เหยียบย่างเข้าเมืองแห่งนี้ เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของเขา แห่งความหลัง เมืองที่เขาทิ้งตัวตนเดิมเอาไว้ แล้วจากมาโดยที่ไม่เคยหวนกลับมาก่อน
   จนกระทั่งวันนี้.....
   
   ฟ่งเดินกลับออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าสดใส เขาชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วหันมาถามเพื่อนร่วมทาง “กี่โมงแล้วน่ะ”
   “เจ็ดโมงกว่าครับ อีกสักพักก็น่าจะถึงแล้ว” รูฟัสตอบ และมองฟ่ง “ฟ่งครับ เตรียมหมวกไว้ด้วยนะครับ เมื่อตะกี้ผมถามพนักงานรถไฟ เห็นเขาว่าที่นั่นอุณหภูมิสักสององศาได้”
   “โห...” ฟ่งร้อง และทำตาโต รีบหยิบเสื้อโค้ทที่พาดเอาไว้มาถือ แล้วค้นหมวกออกมาจากในเสื้อ “สององศา ผมจะตายรึเปล่าเนี่ย” หนุ่มสวมแว่นว่า รูฟัสหัวเราะหึๆ
   “เมื่อวานที่มอสโคว์ห้าองศานะครับ คุณยังออกไปเดินตากหิมะเล่นเลย”
   “ก็ผมไม่เคยเห็นหิมะนี่” ฟ่งแย้ง “แถมเมื่อวาน เกรเกอรีมาเล่นหิมะเป็นเพื่อนผม ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกหนาวไงล่ะ”
   รูฟัสพยักหน้า หนุ่มสวมแว่นทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ “จริงสิ รูฟัส คุณกับพี่ชายคุณ ดีกันแล้วหรือยัง?”
   “?”
   “ผมหมายถึง พ่อของเกรเกอรีน่ะ เขาเป็นพี่ชายคุณไม่ใช่เหรอ ผมลองถามเกรเกอรีแล้ว เขาเห็นว่าคุณไปที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกับพ่อเขา ตกลงคุณสองคนดีกันหรือยังน่ะ?”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ผมกับเขาไม่ได้ทะเลาะอะไรกันนะ”
   “งั้น... เขารู้แล้วใช่ไหมว่าคุณเป็นน้องชายเขาน่ะ” ฟ่งถามอีก รูฟัสพยักหน้า
   “คงรู้ล่ะครับ แต่ผมไม่ได้บอกเขาตรงๆ หรอก เขาเรียกผมไปขอบคุณเรื่องที่ช่วยลูกเขาเอาไว้นะ”
   “แค่นั้นเองหรือ?” ฟ่งถามด้วยความแปลกใจ รูฟัสมองหน้าเขา แล้วยิ้มอีก “เขายังพูดอีกเรื่องน่ะ แต่ไว้เดี๋ยวพอถึงที่แล้วผมจะบอกคุณก็แล้วกัน”
   “อือ....” ฟ่งลากเสียง ตอนแรกว่าจะเซ้าซี้ต่อแล้ว แต่มาคิดอีกที รูฟัสบอกว่าจะบอก ไว้รอให้ถึงตอนนั้นก็ได้ เขาควรจะพยายามทำให้ตัวเองเคยชินกับความลับสารพัดของรูฟัสได้แล้ว
-----------------------------------------------------
   ฟ่งเห็นตัวเองหายใจออกมาเป็นไอ ตอนที่ลงมาจากรถไฟ แถมไอน้ำยังเกาะแว่นจนเป็นฝ้าขาวอีกต่างหาก ชายหนุ่มเลยต้องหยุดเช็ดแว่นแป๊บหนึ่ง แล้วเขากับรูฟัสรีบลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในสถานี ก่อนที่ร่างผอมบางจะห่อตัวด้วยความหนาว
   “โห... หนาวจริงๆ นะเนี่ย ผมว่าก่อนจะลง เขาควรปิดฮีตเตอร์สักห้านาทีนะ ผู้โดยสารจะได้ชินอากาศ” ฟ่งว่า และเอามือมาห่อปาก ก่อนจะเป่าลมหายใจลงไป รูฟัสหัวเราะ
   “ทำอย่างกับเลี้ยงปลาแน่ะครับ ผมว่าคุณใส่ถุงมือด้วยดีกว่านะ”
   “อือ ผมกำลังจะใส่” ฟ่งว่า และพูดต่อ “ตะกี้ผมกลัวยกกระเป่าไม่สะดวกน่ะ”
   รูฟัสพยักหน้า มองดูฟ่งหยิบถุงมือหนังสีน้ำตาลขึ้นมาสวม แล้วยกมือขึ้นจับหมวกขนกระต่ายให้เข้าที่
   ฟ่งซุกมือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทสักพัก ก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะหันมามองหน้ารูฟัส
   “ไปกันเถอะ ผมพร้อมจะสู้กับอากาศหนาวแล้วล่ะ!”

   “รูฟัส เฮอมิเทจไกลมั้ย?” ฟ่งหันมาถามรูฟัส หลังจากเอากระเป๋าเข้ามาในห้องพักแล้ว รูฟัสหันไปมองหน้าคนถาม “ไม่ไกลครับ จะออกไปเลยหรือ?”
   “อื้อ” หนุ่มสวมแว่นพยักหน้า รูฟัสถามต่อ “งั้นนั่งรถไปนะครับ”
   “ตกลงไกลหรือไม่ไกลกันแน่น่ะ” หนุ่มสวมแว่นย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัย รูฟัสเลยหันมาตอบคำถามเขา “ไม่ไกลหรอกครับ แต่เห็นคุณหนาว ผมว่านั่งรถดีกว่า”
   “ไม่เอา ผมจะเดิน เดินไปก็ได้ใช่ไหมล่ะ?” ฟ่งพูด และรีบอธิบายเหตุผลต่อเมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของรูฟัส “ผมอยากเห็นพวกอาคารบ้านเรือนน่ะ นั่งรถก็ไม่เห็นใช่ไหมล่ะ คุณไม่ต้องกลัวผมหนาวขนาดนั้นหรอก ถ้าหนาวมาก เดี๋ยวผมจะวิ่งเอา คงจะอุ่นขึ้นบ้างล่ะ”
   คนได้ฟังยิ้มออกมา “งั้นก็ได้ครับ ไม่ต้องวิ่งหรอก ถ้าคุณหนาวมาก เรากลับมาอบอุ่นร่างกายกันที่ห้องก็ได้ เดี๋ยวผมจะทำให้คุณร้อนเลย”
   ฟ่งถลึงตามองรูฟัส ถ้าอยู่ใกล้ๆ กัน เขาคงง้างมือทุบเข้าให้แล้ว
   พอวางของเสร็จ ทั้งฟ่งและรูฟัสก็ออกจากโรงแรม เพื่อไปพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อว่า Hermitage.
---------------------------------------------
   ถึงจะไม่ได้กลับมาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนานแล้ว และตอนที่อาศัยอยู่ก็แทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเฮอมิเทจเลย แต่รูฟัสยังไม่ลืมภาษาบ้านเกิดของตัวเอง ดังนั้น หลังจากซื้อสมุดไกด์กับแผนที่ของพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว รูฟัสก็พอจะทำตัวเป็นไกด์จำเป็นพาฟ่งเดินดูของในเฮอร์มิเทจได้สำเร็จ
   “โอ้โห....” ฟ่งอุทาน เมื่อเห็นรูปสลักหินอ่อน The Farnese Hercules ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในห้องแรกของพิพิธภัณฑ์
   ฟ่งไม่เคยออกมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์นอกประเทศมาก่อน ของพวกนี้ที่เคยเห็นก็มีแต่ในหนังสือเท่านั้นแหละ
   ชายหนุ่มพินิจมองรูปปั้นอย่างจริงๆ จังๆ จนรูฟัสอดไม่ได้ต้องทักขึ้น “ไหนว่าไม่ชอบผู้ชายไงครับ”
   ฟ่งหันมามองรูฟัสอย่างงงๆ ก่อนจะถลึงตาใส่ “นี่มันรูปสลักนะ คุณคิดอะไรของคุณเนี่ย ผมแค่กำลังทึ่งว่าเขาแกะหินยังไง ถึงได้ดูอ่อนช้อยขนาดนี้”
   รูฟัสหัวเราะอย่างกระดากๆ “ขอโทษทีครับ พอดีผมไม่ค่อยเข้าใจงานศิลปะ”
   ฟ่งทำหน้าหงิก จากนั้นก็เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางมีรูปสลักจากหินอ่อนวางเรียงกันเต็มไปหมด
   “ชั้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานปั้นน่ะครับ เอ้อ จริงสิ ไปดูนี่ดีกว่า” รูฟัสพูด และพาฟ่งเดินลัดเลาะผ่านห้องต่างๆ จนไปถึง The Second Chamber of the Gold Room ซึ่งมีเครื่องทองในยุคราวๆ สี่ถึงห้าร้อยปีก่อนคริสตกาลวางโชว์อยู่ในตู้กระจก
   “โอ้โห...” ฟ่งอุทานอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองรูฟัส และพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด
   “มีอะไรเหรอ?” ฟ่งถาม รูฟัสหันมามองเขาแล้วหัวเราะแหะๆ “เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าพิพิธภัณฑ์นี่ต้องวางระบบรักษาความปลอดภัยกันน่าดูเลยนะ”
   ฟ่งหน้ายู่ “รูฟัส คุณเคยขโมยของในพิพิธภัณฑ์รรึเปล่าเนี่ย?”
   “เอ่อ...” คนถูกถามทำหน้ายุ่งยาก “ไม่ถึงกับเคยหรอกครับ พิพิธภัณฑ์น่ะเคยเข้าไปขโมย แต่ไม่ได้ขโมยของที่เป็นคอลเลกชั่นนะครับ เข้าไปขโมยเอกสารลับน่ะ”
   คราวนี้ฟ่งหันมามองรูฟัสอย่างพินิจพิจารณาเสียยิ่งกว่ามองข้าวของในพิพิธภัณฑ์เสียอีก “รูฟัส คุณบอกผมตรงๆ นะ คุณถูกทางการประเทศไหนล่าตัวอยู่บ้างรึเปล่า?”
   รูฟัสสั่นศีรษะทันที “ไม่มีนะครับ สาบานได้ แค่ที่มีอยู่ผมก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ผมไม่ทำอะไรที่เป็นปัญหากับรัฐบาลหรอก คุณวางใจได้เลย”
   ฟ่งมองรูฟัสอยู่อีกพักหนึ่ง “คุณห้ามขโมยอะไรในนี้นะ”
   รูฟัสครางออกมาทันที นี่ถ้าเกิดมีคนที่เดินไปเดินมาฟังภาษาไทยออก เขาคงถูกภัณฑารักษ์เรียกไปสอบสวนแล้วมั้ง “ผมไม่ใช่โจรนะครับฟ่ง!”
   “ใครจะไปรู้ล่ะ” ฟ่งพูดและทำหน้าซื่อ เล่นเอารูฟัสชักอยากจะกัดสักคำ หนุ่มตาสองสีเลยก้มลงดูแผนที่ แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
   “ฟ่ง ไปชั้นสองกันดีกว่า เห็นว่ามีนาฬิกานกยูงรำแพนด้วย”
   “หา?” ฟ่งหันมา ยังไม่ทันหายงงดี ก็ถูกรูฟัสลากมือขึ้นไปชั้นสอง ตรงส่วนของ The Pavilion Hall
   พอไปถึงฟ่งก็เห็นคนนับสิบๆ ยืนมุงนกยูงสีทองที่อยู่ในครอบแก้วอยู่ เขาหันไปมองรูฟัส “นี่นาฬิกาเหรอ?”
   คนถูกถามพยักหน้า “เข้าไปดูใกล้ๆ เลยก็ได้ครับ คุณตัวเล็กๆ แทรกเข้าไปไหวอยู่แล้ว นี่เป็นของมีชื่อของที่นี่เลยนะครับ”
   ฟ่งเห็นว่ารูฟัสดูท่าทางอยากจะนำเสนอมาก แล้วเขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสดูของดี ก็เลยพยายามแทรกตัวผ่านเข้าไป จนพอจะมองเห็นนกยูงสีทองตัวนั้นได้ทั้งหมด
   นกยูงตัวนั้นเกาะอยู่บนคอนไม้สีทอง ประดับเถาไม้สีทอง ด้านข้างเป็นนกฮูกที่มีกรงทรงกลมล้อมรอบและกำลังหมุนอยู่ ส่วนอีกฟากหนึ่งเป็นไก่สีทองยืนเกาะอยู่
   ฟ่งได้ยินเสียงเพลงดังออกมา แต่ยังมองไม่ออกว่าเจ้านกยูงตัวนี้จะเป็นนาฬิกาได้อย่างไร ดูยังไงก็ไม่เห็นหน้าปัด แต่ก็เห็นหลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกกล้องขึ้นรอถ่ายวีดีโอ เขาเลยเอากล้องขึ้นมาบ้าง
   ยืนรออยู่สักพัก ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากนกฮูกหมุนไปหมุนมา ขณะที่ฟ่งกำลังคิดว่าจะเบียดกลับไปหารูฟัส เสียงแกร่กๆ ก็ดังขึ้น จากนั้น นกยูงสีทองที่อยู่ด้านบนก็เริ่มรำแพน
   “โห!” ฟ่งอุทานพร้อมกับคนอีกเป็นสิบๆ คนที่ยืนรออยู่ เหลือเชื่อเลย นกยูงตัวนั้นขยับได้อย่างกับนกยูงจริง ทั้งๆ ที่เหมือนจะทำจากโลหะแท้ๆ แพหางสีทองแผ่กว้างออก ก่อนที่ตัวนกยูงจะหมุนสลับให้เห็นแพหางด้านหลังซึ่งเป็นสีเงิน ก่อนจะหมุนกลับไปที่เดิม แล้วหุบหางลง จากนั้นไก่ตัวที่เกาะอยู่ด้านล่างก็เริ่มขัน ขยับได้เหมือนจริงอย่างที่สุด
   ฟ่งยืนมองตาค้าง จนทั้งนกฮูกหยุดหมุน ทั้งเพลงจบแล้วยังอึ้งไม่หาย
   “เป็นไงครับ ชอบไหม?” รูฟัสเดินเข้ามาถามยิ้มๆ ฟ่งหันไป และพยักหน้าหงึกๆ “สุดยอดเลยล่ะ ทำได้ไงน่ะ” เขาถาม รูฟัสตอบยิ้มๆ “เห็นว่าเป็นงานของช่างฝีมืออังกฤษน่ะ เดี๋ยวก่อนกลับซื้อหนังสือกลับไปสิครับ ผมจะแปลให้ฟัง”
   “อื้อ” ฟ่งพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปดูเจ้านกยูงตัวนั้นใกล้ๆ
   “ตรงนี้มีกระรอกด้วยล่ะ” ฟ่งพูด พร้อมกับกวักมือเรียกรูฟัสเข้าไปดู รูฟัสมองแล้วพยักหน้า “ครับ” พลางนึกว่าเขาเองก็กำลังเจอกระรอกอยู่ตัวหนึ่งเหมือนกันนล่ะ
   ขณะยืนรอฟ่งสำรวจนกยูงตัวนั้น รูฟัสก็ยืนอ่านแผนที่นำเที่ยวไปพลาง ก่อนจะชวนฟ่งออกเดินอีก
   “ฟ่งครับ ไปดูคิวปิดกัน”
   “หา?”
   รูฟัสไม่รอให้ฟ่งทำหน้างงนาน เขารีบจูงชายหนุ่ม เดินผ่านห้องต่างๆ และต้องแวะหยุดเป็นระยะๆ เพราะฟ่งอยากดูอย่างอื่นก่อน กว่าจะถึงคิวปิดที่ว่า ก็เล่นเอาเย็นแล้ว
   พอได้เห็นคิวปิดตัวที่ว่า ฟ่งก็ร้องอุทานออกมาอีก “น่ารัก!”
   ก่อนจะเดินมาถึงคิวปิดตัวนี้ เขาได้ดูคิวปิดไปหลายตัว ส่วนใหญ่เป็นรูปชายหนุ่ม บางงานปั้นก็นัวเนียอยู่กับไซคี คิวปิดที่เป็นเด็กๆ ก็พอมีบ้าง แต่ตัวนี้ถือว่าน่ารักที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งจากที่เห็นด้วยตามาก่อนหน้านี้ แล้วก็ที่เห็นมาจากหนังสือด้วย ฟ่งยืนมองอยู่พักตามประสาคนชอบงานศิลปะ โดยมีรูฟัสยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
   ทั้งคู่เดินดูพิพิธภัณฑ์กันอยู่จนเกือบทุ่ม ฟ่งถึงยอมแพ้สังขาร ทั้งหิวทั้งเมื่อย สุดท้ายเลยต้องจำจากเฮอร์มิเทจออกมาเพื่อหาอะไรทาน แล้วพักแข้งพักขาเสียก่อน รูฟัสเลยเสนอว่าพรุ่งนี้ไปดูในตัวเมืองกันก่อน แล้วอีกวันค่อยกลับมาเที่ยวที่นี่อีกที ฟ่งยอมรับข้อเสนอ และรู้สึกตัวเองโชคดีแบบแปลกๆ ที่ได้มาเที่ยวแบบไม่ต้องมีกำหนดกลับแบบนี้ แถมมีคนนำทางติดมาด้วยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีกต่างหาก
----------------------------------------------------
   วันต่อมารูฟัสพาเขานั่งรถไปดูChurch of blood หรือที่คนรัสเซียเรียกกันว่า Храм Спаса на Крови พอได้เห็น ฟ่งก็นึกไปถึงเซนต์เบซิลที่มอสโคว์ เพราะหลังคาดูเป็นสีสันละลานตาดีเหมือนกัน แต่ลักษณะการก่อสร้างคนละแบบ
   หลังจากดูโบสถ์หยาดเลือดเสร็จแล้ว รูฟัสก็พาเขาเดินซื้ออะไรกิน ก่อนจะเรียกรถพาเวียนรอบตัวเมือง เพื่อให้ฟ่งได้ดูอาคารร้านรวงต่างๆ ให้อย่างเต็มอิ่ม
   “เดี๋ยวจะไปไหนต่อล่ะ?” ฟ่งถามขึ้น หลังจากทั้งสองคนเดินออกมาจากวิหารเซนต์ไอแซก ซึ่งนอกจากจะเป็นโบสถ์ที่มีความสวยงามทางด้านสถาปัตย์กรรมแล้ว ยังมีเสาทรงโรมันที่ทำจากมาลาไคต์ และลาปิสฯ ทั้งแท่งวางค้ำอาคารอยู่ให้ตะลึงในความแพง
   รูฟัสเงยดูท้องฟ้าแล้วก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันหน้ากลับมาตอบ “ขอนอกโปรแกรมเที่ยวสักสองสามชั่วโมงนะครับ ผมอยากพาคุณไปสุสาน”
   ฟ่งเบิ่งตากว้างใต้แว่น ก่อนจะพยักหน้า “อื้อ”

   สุสานที่รูฟัสว่านั้นอยู่ห่างออกมาจากตัวเมืองพอสมควร พอมาถึงแล้วก็ให้ได้บรรยากาศสุสานในหนังฝรั่งจริงๆ เพราะเป็นฤดูหนาวด้วยมั้ง ต้นไม้เลยแห้งหมด ยิ่งดูเศร้าเข้าไปใหญ่
   โชคดีที่ตอนทั้งคู่มาถึง สุสานยังไม่ปิด รูฟัสเลยเดินผ่านประตูเข้าไป แล้วยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ฟ่งจึงเดินไปข้างๆ แล้วจับแขนเสื้อเขาไว้ รูฟัสหันมามองเขา แล้วยิ้มให้ ไม่มีใครพูดอะไรอีก
   จากนั้นสักพัก ชายหนุ่มตาสองสีก็เริ่มออกเดินไปตามทางเก่าๆ ผ่านสุสานที่ตั้งเรียงรายกันไปเป็นแถว ฟ่งเดินตามไป และได้เห็นว่าแต่ละหลุมสลักชื่อของผู้ตายเอาไว้ตรงฐานหินใต้ไม้กางเขน
   รูฟัสเดินวนไปวนมาสักพัก ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง ซึ่งอยู่กลางๆ ตรงหน้าหลุมศพนั้นมีช่อดอกลิลลี่สีขาววางอยู่ก่อนแล้ว ดูจากสภาพคงเพิ่งมาวางได้สักวันหรือสองวัน หนุ่มตาสองสีถอนหายใจแล้ววางช่อดอกไม้ในมือลงข้างๆ ก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง
   หนุ่มสวมแว่นยืนเก้ๆ กังๆ ฟังอีกคนพึมพำด้วยความขัดๆ เขินๆ สุดท้ายก็เลยยกมือขึ้นพนมบ้าง พอรูฟัสหันมาเห็นก็ทักขึ้นทันที “ทำอะไรน่ะครับ”
   “ผมพยายามสวดมนต์ให้อยู่” ฟ่งว่า และรีบพูดต่อ “ผมเป็นคนพุทธนะ ไม่เข้าใจธรรมเนียมคริสต์หรอก แต่คนที่อยู่ในนี้เป็นญาติคุณใช่ไหมล่ะ? ผมก็ควรต้องเคารพสิ”
   รูฟัสยิ้มออกมา “พ่อ แม่ กับน้องสาวผมน่ะ”
   “?” ฟ่งมองหน้ารูฟัส อึ้งไปพักหนึ่ง ได้ยินเสียงลมหนาวพัดวูบมาจนแสบหู หนุ่มสวมแว่นหันไปมองหลุมศพอีกครั้ง แล้วหันกลับมา “สามคน... ในที่เดียวเหรอ?”
   “เปล่าครับ” หนุ่มตาสองสีตอบยิ้มๆ แล้วชี้มือไปที่สองหลุมซึ่งอยู่ถัดไป “นี่ของแม่ผม ส่วนอันนี้ของน้องสาว” เขาเดินไปหยุดหน้าหลุมศพหลุมเล็ก แล้วทรุดตัวลงนั่ง เหม่อมองดูป้ายหลุมศพนั้นเป็นเวลานาน ฟ่งเลยเดินมาใกล้ๆ แล้วนั่งลงข้างๆ บ้าง
   ทั้งคู่นั่งเงียบๆ กันอยู่พักหนึ่ง รูฟัสเลยพูดออกมา “ขอบคุณนะครับ”
   ฟ่งหันหน้ามามองรูฟัส ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้า สองคนยังนั่งอยู่อย่างนั้นอีกสักพัก ก่อนที่รูฟัสจะผุดลุกขึ้น แล้วฉุดมือฟ่งให้ลุกตาม
   “ท่าทางพี่ชายผมจะแวะมาแล้วเมื่อวาน คงจะให้คนมาทำความสะอาดน่ะ” รูฟัสพูด และมองดูหลุมศพพวกนั้นอีกครั้ง
   “ที่เขาพูดกับคุณคือให้คุณแวะมาเยี่ยมหลุมศพพ่อแม่บ้างสินะ” ฟ่งเดา และกวาดตามองไปยังหลุมศพพวกนั้นบ้าง ขณะที่รูฟัสพยักหน้า
   “ผมยอมรับตรงๆ เลยนะว่า ผมไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเลยล่ะ ผมอยากจะคิดว่าชีวิตของผมตอนนั้นเป็นแค่ความฝันแสนสุข ผมไม่ได้เสียอะไร แค่ตื่นจากฝันเท่านั้นเอง”
   ฟ่งได้แต่พยักหน้า ไม่รู้จะพูดตอบว่าอะไรดี ทั้งคู่ยืนนิ่งกันอีกสักพัก ก่อนที่รูฟัสจะรู้สึกว่าฟ่งยื่นมือมาจับมือเขาเอาไว้ ชายหนุ่มกุมมือนั้นไว้แน่น ก่อนจะหันหน้ามายิ้ม “ขอบคุณนะครับ”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะเงียบไปอีก เขากำลังมองเหม่อไปยังหลุมศพร้างที่อยู่ติดกัน รูฟัสมองตามไปแล้วส่งเสียงขึ้นต่อ “นั่นหลุมศพผมน่ะ”
   ฟ่งหันกลับมามองเขาทันที ได้ยินเสียงรูฟัสพูดต่อ “ป้าผมคงซื้อเผื่อเอาไว้มั้ง เห็นว่าเขาปลงแล้วล่ะว่าผมน่าจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีศพ จะฝังโลงเปล่าก็ไม่ได้ เลยต้องทิ้งร้างไว้แบบนั้นแหละ”
   “เอ๋? งั้นชื่อบนป้ายหลุมนั่นก็....”
   “อืม.. ชื่อผม แต่ไม่ใช่ชื่อผมตอนนี้หรอกนะ” รูฟัสตอบ ฟ่งพยักหน้า “อืม.. ผมรู้”
   รูฟัสมองหน้าฟ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ฟ่งครับ ผมขอร้องอะไรสักอย่างหนึ่งนะ”
   “อะไรล่ะ?” ฟ่งหันหน้ามาถาม หนุ่มตาสองสีมองเขาอยู่อีกพัก
   “ถ้าผมตายน่ะ ไม่ต้องเอาผมมาฝังไว้ที่นี่หรอกนะ ผมรู้สึกว่าคนพุทธเขาเก็บเถ้ากระดูกบางส่วนเอาไว้ที่บ้านเหมือนกันใช่ไหมล่ะ เก็บผมไว้ข้างๆ คุณนะ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ กับคุณ”
   “รูฟัส!” ฟ่งเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะบีบมือแน่น “คุณอย่ามาพูดเรื่องแบบนี้กับผมนะ... คนเราใครมันจะกำหนดวันตายได้กันล่ะ”
   หนุ่มสวมแว่นเงียบไปพักหนึ่ง แก้มแดงเป็นปื้นขึ้นมาเหมือนกำลังโกรธจัด จนรูฟัสอดตกใจตามไม่ได้ “ฟ่ง!”
   “ผมน่ะ” ฟ่งพูดต่อ และเงยหน้าขึ้นจ้องมองดวงตาสองสีนั้น “ผมน่ะ ตอนนี้อยู่กับคุณแล้ว คุณเองก็ตั้งใจจะอยู่กับผมเหมือนกันใช่ไหมล่ะ เพราะอย่างนั้นน่ะ เรื่องตายไม่ต้องพูดถึงหรอก คุณคิดว่าผมเป็นอมตะหรือไง?”
   “ฟ่ง....”
   “ผมจะอยู่กับคุณ ตอนที่ยังเป็นๆ นี่แหละ เพราะฉะนั้น ห้ามพูดเรื่องตายอีกนะ” ฟ่งโพล่งออกมา รูฟัสมองหน้าเขา ก่อนจะดึงร่างนั้นเข้ามากอดไว้แน่น จนฟ่งตะกุกตะกักพูดขึ้นต่อ “รูฟัส! นี่สุสานนะ!”
   “ครับ” ชายหนุ่มยอมรับ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย เขากอดฟ่งไว้อย่างนั้น จนลมหนาวพัดวูบมาอีกครั้ง และได้ยินเสียงสัปเหร่อขยับประตูรั้ว ถึงได้ยอมผละออกไป
   “ขอบคุณมาก ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ” รูฟัสพูด และมองคนตรงหน้าซึ่งยังคงมีหน้าตาบึ้งตึงอยู่ “อืม.. ห้ามพูดอีกล่ะ”
   หนุ่มตาสองสียิ้ม และชวนฟ่งเดินกลับออกไป ก่อนที่ประตูจะปิด

   ตอนที่เดินผ่านประตูออกมา รูฟัสก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูเขา
   “Дмитрий”
   ฟ่งหันกลับไปมองหน้ารูฟัสทันที ก่อนจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านั้นอีกครั้ง
   “ชื่อผม... ถ้าคุณอยากจะเรียกน่ะนะ...”
   ฟ่งเบิ่งตามองรูฟัส เผยอปากออกน้อยๆ ก่อนจะพูดออกมา “ด...”
   รูฟัสจ้องหน้าฟ่ง จนแล้วจนรอด เขาก็ได้ยินไม่จบคำพูดสักที ดูเหมือนฟ่งจะหยุดเสียงไว้แค่นั้น หนุ่มสวมแว่นจ้องหน้าเขากลับ แล้วถอนหายใจออกมา “คุณพูดเร็วไป ผมฟังไม่ทันนะ”
   “อา... งั้น....” รูฟัสทำท่าคิดหนัก “ผมพูดให้ฟังอีกที”
   ฟ่งจ้องหน้าเขาต่อ “ผมถามคุณก่อนดีกว่า คุณอยากให้ผมเรียกรึเปล่า?”
   “เอ่อ.....” รูฟัสอึ้งไปพัก ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถาม “ผมแค่อยากให้คุณรู้ ให้คุณรู้ว่าผมไม่มีความลับกับคุณแล้ว”
   ฟ่งอยากหยิกรูฟัสสักที เพราะเชื่อแน่ว่า เจ้าหมอนี่ยังมีความลับอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้บอกเขา และท่าทางคงจะบอกไม่หมดไปตลอดชาติ ฟ่งถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นอีก
   “ผมไม่สนความลับในอดีตหรอก ผมจะเรียกคุณว่ารูฟัสเหมือนเดิมนี่แหละ”
   หนุ่มตาสองสีเบิ่งตาสีแปลกบ้าง ก่อนจะยิ้มกว้าง “ฟ่ง”
   ฟ่งหันหน้าไปหารูฟัสอีกรอบ “ผมไม่สนความลับที่เป็นอดีตของคุณแล้วก็จริงนะ แต่ต่อไปนี้ ห้ามมีความลับกับผมอีกนะ ห้ามโกหกผมนะ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเราน่ะ”
   รูฟัสมองคนที่เดินข้างด้วยสายตาตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะโพล่งออกมา “ครับ ผมสาบาน”
   ฟ่งดึงหมวกขนกระต่ายเข้ามาปิดหูให้มิดอีก แล้วห่อตัวด้วยความหนาว “รูฟัส จะกลับกันยังไงน่ะ”
   เขาพูดและมองท้องฟ้าซึ่งเริ่มจะมืดครึ้มลงแล้ว รูฟัสชี้มือออกไปที่ถนนใหญ่ “เดี๋ยวไปขึ้นแท็กซี่ตรงนั้นน่ะครับ”
   “อือ” ฟ่งพยักหน้า ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไป หิมะเริ่มตกให้เห็นเป็นละอองสีขาวอีกครั้ง ในขณะที่ทั้งคู่เดินเคียงกันไปเรียกแท็กซี่... ฟ่งหันไปมองหน้ารูฟัส
   Дмитрий…………….
-----------------------------------------------------------

-------------------------------------------------
***แปะไว้ตัวใหญ่ๆ ใครที่แกะคำอ่านชื่อเจ้ารูฟัสออก กรุณา อุบเงียบนะคะ (ถ้าโพล่งขึ้นมาเราขอแจ้งลบเน้ เอิ๊ก)

อนึ่ง คำอ่านจริงๆ จะไปเฉลยในรวมเล่มค่า^^
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่87 p17 12/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 12-01-2012 12:39:50
ชื่อจริงรูฟัสเพราะนะเนี่ยไรเตอร์
ตอนเราเรียนประวัติศาสตร์รัสเซียเราอย่างชอบคนชื่อนี้เลยอ่ะ
>///<
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่87 p17 12/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: @BUA@ ที่ 12-01-2012 15:20:55
กลัวออกเสียงไม่ถูก  :o8:
แล้วก็อย่างที่ฟ่งว่าเลย รูฟัสง่ายกว่าเยอะ   :laugh:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่87 p17 12/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 12-01-2012 23:10:17
รอตอนสุดท้าย

ว่าแต่
จะมีตอนพิเศษบ้างป่ะ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่87 p17 12/1/2555
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-01-2012 08:54:27
รอตอนสุดท้าย

ว่าแต่
จะมีตอนพิเศษบ้างป่ะ


ตอนพิเศษตามเก็บในบล็อกกับรวมเล่มค่ะ ในนี้จะลงให้แค่ตอนหลักนะคะ (เพราะแค่นี้ก็ยาวจนจุก อิิอิ)

บทสุดท้ายแ้ล้วค่ะ


------------------------------
บทที่88 (จบ)
   ฟ่งดูจะมีความสุขกับทุกอย่างในทริปเที่ยวรัสเซียครั้งนี้ เสียอย่างเดียว อาหารที่นั่นถึงจะอร่อย แต่ก็ไม่ถูกปากเท่ากับอาหารที่ประเทศไทย ดังนั้น หลังจากกลับมาแล้ว รูฟัสเลยถูกลากให้ไปกินอาหารไทยขนานดั้งเดิมสารพัดอย่าง ก่อนที่วันรุ่งขึ้น ฟ่งจะลากเขาไปกินอาหารที่บ้านต่อ พร้อมกับของฝากคนในครอบครัว
   รูฟัสตั้งใจเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้วว่าเขาจะทำตัวให้คนที่บ้านฟ่งประทับใจในฐานะลูกชายคนใหม่ เลยซื้อ ไข่ฟาเบอเช่ที่ทำจากหินควอร์ตไซต์สีขาวใส กับตุ้มหูอำพัน มาให้แม่ กับพี่สาวฟ่ง ส่วนเล้งได้กล่องเปเปอร์มาเช่ที่ราคาเหยียบหลักครึ่งหมื่นไปเป็นที่ระลึก
   ฟ่งนึกโล่งใจที่รูฟัสซื้อของพวกนี้มา แทนที่จะซื้อเครื่องเพชร ที่เขาไม่ต้องเห็นราคาก็พอจะรู้ว่าคงไม่มีใครที่บ้านปลื้มแน่ๆ แถมจะพาลสงสัยเอาอีก เลยพยายามเกลี้ยกล่อมให้รูฟัสซื้ออะไรที่ธรรมดาๆ แทน
   หลังจากกินกันจนอิ่ม และต่างคนต่างแกะของฝากแจกกันหมดแล้ว ทั้งหมดก็คุยกันต่อเรื่องไปเที่ยวจนดึก รูฟัสเลยเสนอให้นอนค้างไปเสียเลย และเช้าวันต่อมา ก็กระวีกระวาดลุกขึ้นมาเป็นคนงาน ช่วยขนนั่นขนนี่ตั้งแต่เช้า จนฟ่งนึกสงสัยว่ารูฟัสมีแผนจะย้ายมาอยู่ที่บ้านเขาหรือเปล่า
   หลังจากที่ถูกเสนอให้ค้างอีกวัน ฟ่งเลยต้องคุยกับรูฟัสตรงๆ เสียที พออาบน้ำอะไรเสร็จ เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็เปิดฉากถามขึ้น “รูฟัส คุณจะมาอยู่บ้านผมเหรอ?”
   “เอ่อ... ก็ทำนองนั้นล่ะครับ” หนุ่มตาสองสีตอบ พลางหัวเราะแหะๆ ซึ่งไม่ใช่ท่าทางยามปกติเท่าไหร่นัก ฟ่งชักนึกสงสัยว่ารูฟัสคงมีอะไรปิดบังเขาอีก เลยเค้นถามต่อ “บอกผมมานะ คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
   “เอ้อ...” รูฟัสคราง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และขยับมาใกล้ กระซิบเบาๆ
   “ฟ่งครับ ความจริงผมเองก็ไม่อยากจะปิดบังคุณหรอก แต่ก็ไม่อยากจะทำให้คุณวิตกน่ะ ผมว่าเราต้องย้ายที่อยู่กันแล้วล่ะ ไปที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่คอนโดที่เราอยู่ตอนนี้น่ะ”
   “หา!” ฟ่งร้องออกมา “มีคนตามล่าคุณอีกแล้วหรือ?!”
   รูฟัสจำต้องยกมือขึ้นปิดปากฟ่งเอาไว้ “อย่าพูดดังสิครับ ผมบอกคุณตรงๆ เลยนะว่า ผมถูกล่าตัวอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ที่อยู่ห้องคุณได้ตั้งเดือนกว่าโดยไม่มีอะไรเลย ผมยังว่าแปลกเลยล่ะ”
   ฟ่งทำหน้าสงสัยสุดๆ รูฟัสเลยเอามือออก
   “ทำไมล่ะ? สมัยก่อนคุณก็อยู่บ้านคุณราฟาแอลเหมือนกันนี่ อยู่ที่นั่นไม่โดนตามล่าหรือไง”
   “ไม่โดนครับ” รูฟัสพูด “บ้านนั้นรัฐบาลคุ้มครองนะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยู่ตลอด ปกติผมอยู่นานที่สุดก็สองสัปดาห์เท่านั้นแหละ”
   “?!” ฟ่งกะพริบตาปริบๆ อย่างคนนึกคำพูดอะไรไม่ออกทันที รูฟัสมองหน้าอีกฝ่าย แล้วพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ผมรู้ว่าคุณลำบากใจแน่ เลยไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่ แต่ยังไงเราก็ไม่ควรจะกลับไปอยู่ที่ห้องนั้นอีกแล้วล่ะ ผมกับคุณต้องย้ายที่อยู่ จะไปที่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่ห้องนั้นก็พอ เพราะทั้งเฟิงปิง ทั้งราฟี่ ก็รู้ว่าผมกับคุณอยู่ที่นั่น แค่เฟิงปิงรู้ ก็รับประกันได้แล้วว่าคนอื่นก็ต้องรู้ ดังนั้น เราต้องย้ายที่อยู่นะครับ”
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอย่างอึ้งสนิทอยู่นาน กว่าจะอ้าปากพูดขึ้นได้ “แล้ว... ต้องย้ายเรื่อยๆ รึเปล่า?”
   เขาชักนึกถึงคำพูดของรัสเลอร์ขึ้นมา อยู่กับรูฟัสแล้วต้องหลบๆ ซ่อนๆ จริงๆ หรือนี่ ก่อนหน้านี้เขาก็คิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดอย่างจริงๆ จังๆ มาก่อน เห็นท่าทางของรูฟัสวันนี้ สงสัยรัสเลอร์จะไม่ได้แค่พูดขู่เขาเฉยๆ เสียแล้ว
   “อืม... ถ้าไม่มีใครรู้เราก็อยู่กันได้เรื่อยๆ แหละครับ” รูฟัสตอบ ฟ่งมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด “แล้วงานล่ะ?”
   “ไปหาทำเอาแถวนั้นก็ได้ครับ ผมว่าจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ คุณว่าไง”
   “โห....” ฟ่งร้อง สีหน้าดูหนักใจสุดๆ “ผมไม่ชอบอาหารที่เชียงใหม่เลย คุณอยู่ในกรุงเทพฯไม่ได้เหรอ ที่อื่นก็ได้”
   “อืม... จริงๆ ก็ได้อยู่หรอกครับ แต่ผมว่าเปลี่ยนเมืองไปเลยน่าจะปลอดภัยกว่า”
   “.........” ฟ่งยกมือขึ้นเกาศีรษะ ดูท่าทางจะคิดหนัก “งั้น... ย้ายไปปริมณฑลก็ได้ นนทบุรี ไม่ก็สมุทรปราการ มีหมู่บ้านเปิดใหม่เยอะ ผมไม่อยากจากบ้านไปไกลๆ น่ะ”
   ฟ่งอธิบายเหตุผลของตัวเอง รูฟัสมองหน้าเขา แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอางั้นก็ได้ครับ ผมขอโทษด้วยนะ”
   ฟ่งถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต “ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่ ผมคงต้องไปกับคุณนั่นแหละ”
   “งั้น... พรุ่งนี้เราออกไปหาบ้านใหม่กันเลยนะครับ จะได้รีบย้ายออก”
   “โห.... ต้องรีบขนาดนั้นเลยหรือ?”
   “ครับ”
   ฟ่งกะพริบตาปริบๆ อีกครั้งแล้วพยักหน้า รูฟัสดึงตัวเขาเข้ามากอด หอมแก้มเขาหลายฟอด และกระซิบข้างหู “ผมขอโทษนะ”
   “อือ” ฟ่งส่งเสียงในคอ ก่อนจะนึกขึ้นมาในใจว่า เขาคิดผิดรึเปล่านะที่ว่าจะอยู่กับรูฟัสน่ะ
   แต่... ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้ เขาคงเสียใจอยู่เหมือนกัน
----------------------------------------------------
   หลังจากตระเวนดูบ้านอยู่สองวัน ฟ่งกับรูฟัสก็ตัดสินใจซื้อบ้านเดี่ยวราคาราวๆ สี่ล้านกว่า ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง โดยใช้ชื่อฟ่งเป็นผู้ซื้อ และรูฟัสเป็นคนจ่ายเงิน
   พอดาวน์แล้ว รูฟัสก็ชวนฟ่งนั่งรถออกไปเที่ยวอยุทธยาอีกสองวัน เพื่อให้เข้าใจว่าไปทำเรื่องกู้อยู่ ก่อนจะกลับมาจ่ายเงินค่าบ้าน จากนั้นก็กลับไปขนของของฟ่งที่คอนโดเดิม เพราะฟ่งยืนยันว่ายังไงก็ต้องขนไปด้วย เพราะของบางอย่างหาซื้อไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะหนังสือ อีกอย่าง ถ้าหายไปเฉยๆ เลย ก็ต้องถูกคนอื่นสงสัยอยู่ดี สุดท้าย รูฟัสจึงจำต้องกลับไปที่คอนโดแห่งนั้นอีกครั้ง

   ฟ่งนึกใจหาย เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ทันได้ถึงปี เอาเข้าจริงคือไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ เพราะที่เหลือต้องระหกระเหินไปนั่นไปนี่ พอกลับมาก็ต้องย้ายออกเสียแล้ว แต่อีกมุมก็นึกขำดีเหมือนกัน เพราะวันแรกที่ย้ายเข้ามา คนข้างห้องของเขาเข้ามาช่วยขนของให้ ตอนนี้พอจะย้ายออก คนข้างห้องคนเดิมก็กำลังช่วยเขาแพกของอยู่
   คิดแล้วก็เหมือนชะตาเล่นตลก ไม่คิดเลยว่าคนคนเดียวจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปได้มากมายถึงขนาดนี้
   ที่สำคัญ เขากลับสัญญาที่จะอยู่กับผู้ชายคนนี้ด้วยน่ะสิ
   เรื่องนี้จะเล่าให้ใครฟังไม่ได้เด็ดขาด เพราะคงจะเหลือเชื่อยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าแน่ๆ
   ขณะที่กำลังนั่งเก็บแผ่นซีดี ฟ่งก็พบว่า กล่องที่ซื้อมาไม่พอ เขาเลยหันไปบอกรูฟัส
   “รูฟัส เราต้องลงไปซื้อลังมาเพิ่มล่ะ ผมว่าผมไม่ค่อยได้ซื้ออะไรนะเนี่ย ทำไมถึงยังไม่พออีกนะ”
   “งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อให้แล้วกัน ร้านข้างล่างที่ซื้อกันตะกี้ใช่ไหมล่ะครับ คุณจะได้จัดของต่อ”
   ฟ่งนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ได้ๆ งั้นฝากด้วยนะ”
   “ครับ อย่าลืมนะ ห้ามเปิดประตูให้คนไม่รู้จักเด็ดขาดนะครับ” รูฟัสกำชับ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ฟ่งนิ่วหน้า อยากจะเถียงว่าเขาไม่ใช่เด็กแล้วนะ เสียแต่รูฟัสปิดประตูไปก่อนนั่นแหละ เขาเลยต้องหันมาง่วนกับการจัดของต่อ
---------------------------------------------------------
   รูฟัสซื้อลังขึ้นมาอีกหกเจ็ดใบ ขณะเดินมาถึงหน้าประตูห้อง เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง หนุ่มตาสองสียกมือขึ้นเคาะประตู สักพัก มันก็เปิดออก หนุ่มสวมแว่นผมยุ่งคนเดิมเดินมาเปิดประตูให้เขา ก่อนจะยิ้มกว้าง “มาพอดีเลย”
   เขาว่า แล้วเปิดประตูให้รูฟัสเข้าไป พอเดินเข้าไปในห้อง หนุ่มตาสองสีก็แทบจะขว้างกล่องใส่สองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้อง เขาหันไปหาฟ่งซึ่งปิดประตูแล้วเดินเข้ามาสมบท ก่อนจะถามเสียงเข้ม
   “คุณเปิดให้พวกเขาเข้ามา?”
   ฟ่งพยักหน้า แล้วมองรูฟัสงงๆ “คุณราฟาแอลมาเยี่ยมคุณนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ผมไม่ได้เปิดประตูให้คนไม่รู้จักเข้ามาเสียหน่อย”
   รูฟัสมองหน้าฟ่ง หลับตาลงอย่างคนยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
   “ไง รูฟัส ไม่เจอกันแค่เดือนเดียว มาทำหน้าเหมือนเห็นปิศาจไปได้” ราฟาแอลว่า ขณะที่รัสเลอร์ซึ่งนั่งอยู่ตรงโซฟาอีกตัวพูดขึ้นบ้าง “รูฟัส นายเตรียมตัวให้ฟ่งเก็บของแล้วย้ายไปกับพวกเราใช่ไหม?”
   “ใครจะย้ายไปกับพวกนายไม่ทราบ!” รูฟัสพูดสวนออกไปทันที พลางนึกว่าปัญหาที่เขาไม่อยากให้เกิดที่สุด กำลังมาเกิดอยู่ตรงหน้าของเขาเรียบร้อยแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รูฟัสนึกอยากย้อนเวลา แล้วพูดกับฟ่งใหม่ว่า นอกจากเขาแล้วห้ามเปิดประตูให้คนอื่นเด็ดขาด แต่ดูท่าว่าคงสายไปเสียแล้ว
   “รูฟัส ผมว่าเราควรไปกับคุณราฟาแอลนะ” ฟ่งที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดขึ้นบ้าง คราวนี้รูฟัสตาเหลือก หันมามองทันที “ว่าไงนะครับ?!”
   “ผมว่า เราควรไปกับพวกเขานะ ผมฟังเรื่องที่คุณราฟแอลเล่าแล้ว เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
   รูฟัสหันกลับไปมองราฟาแอลอีกรอบ “คุณเล่าอะไรให้เขาฟังน่ะ?!”
   ราฟาแอลยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันแค่เล่าว่า ตอนนี้มีรัฐบาลประเทศC เกณฑ์เด็กๆ ไปฝึกอาวุธ เพื่อให้กลายเป็นกองกำลังพิทักษ์ประธานาธิบดี แต่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด เบื้องบนเลยส่งเราไปสืบก่อน ก็แค่นั้นแหละ”
   “นี่คุณรับงานเบื้องบนมาอีกแล้วเรอะ!!” รูฟัสโพล่งออกมา หันไปจ้องรัสเลอร์ ที่ยิ้มเผล่อยู่ ก่อนจะหันกลับมาหาราฟาแอลอีกรอบ “ไหนคุณบอกไม่ชอบทำงานร่วมกับเบื้องบนไง”
   “เออ แต่มันจะปฏิเสธได้ไหมล่ะ?!” ราฟาแอลย้อย “หรือแกกล้า”
   รูฟัสทำหน้าอึกอัก แต่ก็เถียงออกไป “ถึงงั้นก็เถอะ คุณก็ไม่น่าจะเอาเรื่องเก่าสมัยยี่สิบกว่าปีที่แล้วมาหลอกฟ่งแบบนี้ ไอ้จับเด็กไปฝึกอาวุธน่ะ”
   “เฮ้ย นี่ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ” ราฟาแอลตีหน้าเครียดขึ้นมาทันที “แกคิดว่าฉันอารมณ์ดีพอจะเอาอดีตพรรค์นั้นมาพูดล้อเล่นหรือไง!”
   รูฟัสอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขอโทษออกมา “อืม... แต่ผมล้างมือแล้วล่ะ คุณไปหาคนอื่นเถอะ”
   ราฟาแอลพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายๆ “เออ ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ได้สมาชิกใหม่มาคนหนึ่งแล้ว คงพอใช้แทนแกได้หรอก”
   “อืม... ได้ใครมาล่ะ” รูฟัสพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ พลางนึกสงสัยว่าราฟาแอลได้คนแทนแล้ว ยังจะมาหาเขาทำไมอีกนะ
   “ผม” ฟ่งพูดขึ้น และยกมืออย่างภาคภูมิใจ “ผมว่าจะไปช่วยเขาล่ะ คุณรัสเลอร์บอกว่าที่นั่นเป็นอาคารลับ ค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่ จะให้ผมไปช่วยแยกข้อมูลให้”
   “!!!” รูฟัสหันกลับมามองฟ่ง แล้วจับไหล่เขาไว้อย่างลืมตัว “ว่าไงนะครับ คุณตกลงไปแล้วเหรอ?!”
   “อื้อ!” ฟ่งพยักหน้า รู้สึกตกใจกับแรงที่รูฟัสจับไหล่เขา “ก็เขามาขอให้ช่วยนี่นา ผมจะนิ่งดูดายได้ไงนะ แล้วก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กด้วยนะ ผมยังไม่ใจดำพอหรอก”
   รูฟัสชักนึกสงสัยว่าฟ่งหาว่าเขาใจดำทางอ้อมรึเปล่า หนุ่มสวมแว่นพูดต่อ “อีกอย่าง ไหนๆ คุณกับผมก็ต้องหาที่อยู่ใหม่กันไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว สู้ย้ายให้เป็นประโยชน์ดีกว่า ถูกไหมล่ะ?”
   “ฟ่ง....” รูฟัสครางออกมา แทบจะอยากทรุดลงกองกับพื้น “ไหนคุณบอกว่าอยากให้ผมเลิกไง”
   “อืม...” ฟ่งพยักหน้า แต่ก็พูดแย้งขึ้น “แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องมนุษยธรรมนะ ถ้าคุณไม่อยากทำแล้ว ผมทำเองก็ได้ เดี๋ยวให้คุณราฟาแอลหาคนมาเพิ่ม ผมฝากดูบ้านด้วยแล้วกัน”
   “ฟ่ง!!!!” รูฟัสร้องเสียงลั่น ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างคนหมดสิ้นหนทางคิดต่อ ก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟ่งฟังไม่รู้เรื่อง หนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้ว “ตกลงคุณจะเอายังไงน่ะ? จะไปด้วยกันรึเปล่า?”
   รูฟัสเงยมองหน้าเขา ก่อนจะหันไปมองหน้าสองคนที่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟา ถลึงตาใส่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะหันมาพูดกับฟ่งด้วยสีหน้าจำยอมอย่างที่สุด
   “ถ้าคุณไป ผมก็ไปครับ ยังไงผมก็อยู่กับคุณทุกที่อยู่แล้ว ผมปล่อยคุณไปคนเดียวไม่ได้หรอก”
   ฟ่งยิ้มร่า “ผมรู้ ว่าคุณเป็นคนดี” พูดจบก็กระโดดเข้ากอดรูฟัสทีหนึ่ง ชายหนุ่มรีบรวบตัวอีกฝ่ายไว้แล้วกอดแน่น ก่อนจะหันไปเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับสองคนที่นั่งอยู่
--------------------------------------------------------------------
(อวสาน)
** 555+ แล้วมันก็จบ... จนได้ เอิ๊กๆๆ

เรื่องนี้เปิดให้จองรวมเล่มตั้งแต่วันนี้ - 19ก.พ.55นะคะ พลาดรอบนี้ คาดว่าอีกนานกว่าจะรีปริ๊นค่ะ

ขอบคุณที่ให้การติดตาม และขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้จนจบนะคะ :L2: :L2:

ท่านเป็นนักอ่านที่อ่านเก่งมากค่ะ เพราะเนื้อหาเรื่องนี้ยาวราวๆ 1000หน้ากระดาษเอสี่เป็นอย่างต่ำค่ะ^^  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 13-01-2012 11:34:23
เฮ้อ ~ สรุปสองคนนี้ก็คงต้องผจญภัยไปเรื่อยๆสินะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่า สนุกมากเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 16-01-2012 18:57:45
 o13 o13 o13 จองยังไงค่ะ จองในนี้ได้เลยรึป่าว
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 16-01-2012 21:12:33
^ดูรายละเอียดหน้า15.เลยค่า

ส่งรายละเอียดมาทางเมลที่ลงไว้นะคะ^^
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 16-01-2012 22:57:20
เป็นตอนจบส่งท้ายที่น่ารักมากๆค่ะ
อิจฉาคู่นี้จริงๆ :-[
แต่แอบฮารูฟัสมาก ฟ่งใสซื่อได้อีกแม้ในตอนท้ายเรื่อง
ดีใจที่รูฟัสกลับไปทำงานอีกครั้งเพราะมันตื่นเต้นอีกออก
+1 ประเดิมตอนจบค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 18-01-2012 20:01:52
จบลงอย่างที่คิด

แต่ที่ติด หนุ่มทางจีนอ่ะ
เป็นงัยบ้าง
หลังจากที่รับตำแหน่งแล้ว
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 18-01-2012 20:32:30
จบลงอย่างที่คิด

แต่ที่ติด หนุ่มทางจีนอ่ะ
เป็นงัยบ้าง
หลังจากที่รับตำแหน่งแล้ว

หาอ่านได้จากตอนพิเศษนะคะ (มีอยู่ในบล็อกและรวมเล่มค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-01-2012 08:08:46
ทุกท่านคะ!!!!!!!!!!!

อิฉันเพิ่งได้พบข้อผิดพลาดมหันต์ที่ให้อภัยไม่ได้ของตัวเอง

เนื้อเรื่องช่วงบทที่81-83 ว่าด้วยเนื้อหาของเกรเกอรี

มันเป็นความบิดเบี้ยวผุพังด้านการวางพล็อตขั้นเทพของฉันเลยล่ะค่ะ (แบบว่า... อะไรมันจะรั่ว พัง ง่าวขนาดน้านนน :z3: :z3:)

ดังนั้น ในรวมเล่ม อิฉันจะแก้สามบทนี่ใหม่หมดทั้งดุ้นเลยนะคะ

ขออภัยในความมึนเมา และสะเพร่าด้วยค่ะTTATT

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 29-01-2012 02:53:28
อาาาาาาา
ในที่สุดก็จบซะที
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องสนุกๆมาใหเอ่าน

จากใจเลยหนูชอบ เว่ยเฟิงปิง ที่สุดดดด ชอบคุ๋นี้มาก
ตรงโหวตด้านบนหนูก้โหวตเว่ยเฟิงปิง!!

คงเป็นเพราะเฟิงปิงในสายตาหนูมีบางอย่างคล้ายๆกับ คงฉ่วย...(เขียนชื่อผิดขออภัยนะคะT T)

ทำให้ต้องกลับไปอ่านนกยูงแดงอีกรอบนึงเพราะ อาเว่ยเฟิงปิงเชียวนะค๊าบบ  :z2:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 29-01-2012 06:53:30
อาาาาาาา
ในที่สุดก็จบซะที
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องสนุกๆมาใหเอ่าน

จากใจเลยหนูชอบ เว่ยเฟิงปิง ที่สุดดดด ชอบคุ๋นี้มาก
ตรงโหวตด้านบนหนูก้โหวตเว่ยเฟิงปิง!!

คงเป็นเพราะเฟิงปิงในสายตาหนูมีบางอย่างคล้ายๆกับ คงฉ่วย...(เขียนชื่อผิดขออภัยนะคะT T)

ทำให้ต้องกลับไปอ่านนกยูงแดงอีกรอบนึงเพราะ อาเว่ยเฟิงปิงเชียวนะค๊าบบ  :z2:

เฟิงเฟิงน้อยเหมือนคงฉ่วย (ตรงไหน? ฮ่าๆ)  เฟิงเฟิงกับคงฉ่วยขี้วีนเหมือนกันใช่มั้ยคะ?? (ม่ายน๊า คงฉ่วยเค้าไม่ขี้วีนนะ ฮ่าๆ)

โอ๊ย อยากเขียนตอนพิเศษน้องงูน้อยอีกนะ แต่.. คิดไม่ออก= ="
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 05-02-2012 22:18:08
เห้อ เรื่องนี้ต้องขอเมนท์แรงๆนิดนึง เป็นเรื่องแรกที่ใช้เวลาอ่านนานมากกว่า 4 วัน เพราะอ่านติดกันแล้วรู้สึก สำลักตัวอักษร

เนื้อเรื่องเล่าแบบผู้เขียนเป็นพระเจ้า ทราบในทุกจุดและทุกมุม
เล่าผ่านสายตาของบุคคลที่เกี่ยวข้อง สลับฉากกันเล่าในบางมุม หรือเล่าผ่านสายตาของพระเจ้าเองในบางจุด (ถ้าจำไม่สับสนนะ)
เขียนได้ดีครับ ไม่ค่อยสับสนมากนัก ถึงจะมีสลับในบางตอนถี่ยิบ
เนื้อหาค่อนข้างเยอะกว้างและกระจาย นี่ละคือสิ่งที่ผมกำลังจะแนะนำ แต่ไว้ก่อน ขอชมก่อน
ภาษา สมดุลดีและสม่ำเสมอ ไม่แหวกหรือฉีกไปมา พิมพ์ผิดบ้างเล็กน้อยไม่ว่ากันครับ
พล็อทเรื่องและคอนฟลิก เกือบดีครับ มีบางจุดที่ยังดูทะแม่งๆ แต่เข้าใจละ ว่านี่มันนิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ (ถ้ามีปราปริก้า)
ไทม์ไลน์ของเรื่องไม่นานนัก อยู่เกณฑ์ที่ดี เนื้อหาเข้มข้น

แต่ บางครั้งการเอ่ยภูมิหลังของเนื้อหา ใน 2 บทที่เป็นจุดเดียวกันให้ระวังเล่าต่างกัน
และสำคัญมากๆ มีบางจุดที่เอ่ยถึงว่าภายภาคหน้าอีก นานที่เขาจะมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าสามบทถัดมา เขากลับตายไปซะละ
เป็นจุดที่จะสร้างความสับสนได้ หรือแม้กระทั่ง การสลับฉาก สลับคนเล่ามากไป
ก็อาจทำให้ผู้อ่านสงสัยกับห้วงเวลาที่เกิด เช่น ช่วงเวลาที่มีการปฏิการครั้งสุดท้ายในห้องลับ

ที่อยากแนะนำเพิ่มนะครับ พล็อทหลักและพล็อทรอง คอนฟลิกของแต่ละตัวละคร มันมากจริงๆ
มันแย่งซีนกันเองจนบางครั้งแยกไม่ออก ว่าอะไรหลักอะไรรอง ดูเด่นและสำคัญๆเหมือนกันหมด

ลองถามคำถามดูว่าทำไมเรื่องนี้ยาวนัก คำตอบคือ มีหลายคู่มาก และมีทั้งเรื่องอดีต เรื่องปัจจุบัน เนื้อหาจึงยาวมาก
และตัวอักษรเยอะๆ มากๆนี่แหละ ทำให้คนอื่านท้อได้ครับ คนที่ไม่เข้มแข็งพอกับการอ่าน อาจจะเลิกและถอดใจ
ดังนั้น ถ้าผมจะแนะนำว่าเขียนอย่างไรให้น่าสนใจ ตัดเนื้อหาลงครับ สโคปเฉพาะคู่หลักก่อน
ส่วนเนื้อหาที่ปลีกย่อยของคู่อื่นๆ แนะนำให้ใช้การตัดทิ้งแบบปริศนา หรือเขียนพาดไว้แต่ไม่เอ่ยต่อ ทิ้งให้คนสงสัย
เพื่อเป็นฐานให้เราเขียนภาคสอง เรื่องราวของเว่ยจินหยิน หรือ ภาคสาม เรื่องราวของเว่ยเฟิงปิง
หรือ ภาคสี่ เรื่องราวของวรุต หรือ ภาคห้า เรื่องราวของศึกรักตระกูลชิง

แบ่งซอยออกมาให้พอดีๆ มันจะน่าอ่านขึ้นมาก แน่นอนว่าฝีมือ สำนวนการเขียนของคุณดีอยู่แล้ว
การทิ้งไว้แบบปริศนา เพื่อให้คนสงสัยและอยากรู้จนอ่านต่อให้เล่มภาคใหม่ เป็นอะไรที่น่าทำอยู่ครับ
เพื่อลดทอนความยาวของเล่ม ของตัวอักษรและจำกัดเหตุการณ์รวมทั้งเน้นพล็อทหลักและคอนฟลิกให้ชัดเจนขึ้น

เป็นครั้งแรกที่อยากแนะนำจากใจจริงและลงทุนเขียนยาวๆ ถึงผมเองจะไม่ได้มีผลงานออกมาให้ได้อ่านกันมาก
แต่ก็ผ่านการอบรมงานเขียนหลายครั้ง รวมทั้งอ่านมามากมายจริงๆ จึงอยากใช้ประสบการณ์ที่มีแนะนำให้ผู้เขียนที่ดีอยู่แล้ว
ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยมมากขึ้นครับ

ปล. เมื่อบ่ายคงมีคนบนบีทีเอสหาว่าผมบ้าบ้างละ อ่านนิยายบนบีทีเอสแล้วหน้าแดง แอบอมยิ้ม หัวเราะ คนเดียว
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 09-02-2012 21:14:28
เห้อ เรื่องนี้ต้องขอเมนท์แรงๆนิดนึง เป็นเรื่องแรกที่ใช้เวลาอ่านนานมากกว่า 4 วัน เพราะอ่านติดกันแล้วรู้สึก สำลักตัวอักษร

เนื้อเรื่องเล่าแบบผู้เขียนเป็นพระเจ้า ทราบในทุกจุดและทุกมุม
เล่าผ่านสายตาของบุคคลที่เกี่ยวข้อง สลับฉากกันเล่าในบางมุม หรือเล่าผ่านสายตาของพระเจ้าเองในบางจุด (ถ้าจำไม่สับสนนะ)
เขียนได้ดีครับ ไม่ค่อยสับสนมากนัก ถึงจะมีสลับในบางตอนถี่ยิบ
เนื้อหาค่อนข้างเยอะกว้างและกระจาย นี่ละคือสิ่งที่ผมกำลังจะแนะนำ แต่ไว้ก่อน ขอชมก่อน
ภาษา สมดุลดีและสม่ำเสมอ ไม่แหวกหรือฉีกไปมา พิมพ์ผิดบ้างเล็กน้อยไม่ว่ากันครับ
พล็อทเรื่องและคอนฟลิก เกือบดีครับ มีบางจุดที่ยังดูทะแม่งๆ แต่เข้าใจละ ว่านี่มันนิยาย อะไรก็เกิดขึ้นได้ (ถ้ามีปราปริก้า)
ไทม์ไลน์ของเรื่องไม่นานนัก อยู่เกณฑ์ที่ดี เนื้อหาเข้มข้น

แต่ บางครั้งการเอ่ยภูมิหลังของเนื้อหา ใน 2 บทที่เป็นจุดเดียวกันให้ระวังเล่าต่างกัน
และสำคัญมากๆ มีบางจุดที่เอ่ยถึงว่าภายภาคหน้าอีก นานที่เขาจะมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าสามบทถัดมา เขากลับตายไปซะละ
เป็นจุดที่จะสร้างความสับสนได้ หรือแม้กระทั่ง การสลับฉาก สลับคนเล่ามากไป
ก็อาจทำให้ผู้อ่านสงสัยกับห้วงเวลาที่เกิด เช่น ช่วงเวลาที่มีการปฏิการครั้งสุดท้ายในห้องลับ

ที่อยากแนะนำเพิ่มนะครับ พล็อทหลักและพล็อทรอง คอนฟลิกของแต่ละตัวละคร มันมากจริงๆ
มันแย่งซีนกันเองจนบางครั้งแยกไม่ออก ว่าอะไรหลักอะไรรอง ดูเด่นและสำคัญๆเหมือนกันหมด

ลองถามคำถามดูว่าทำไมเรื่องนี้ยาวนัก คำตอบคือ มีหลายคู่มาก และมีทั้งเรื่องอดีต เรื่องปัจจุบัน เนื้อหาจึงยาวมาก
และตัวอักษรเยอะๆ มากๆนี่แหละ ทำให้คนอื่านท้อได้ครับ คนที่ไม่เข้มแข็งพอกับการอ่าน อาจจะเลิกและถอดใจ
ดังนั้น ถ้าผมจะแนะนำว่าเขียนอย่างไรให้น่าสนใจ ตัดเนื้อหาลงครับ สโคปเฉพาะคู่หลักก่อน
ส่วนเนื้อหาที่ปลีกย่อยของคู่อื่นๆ แนะนำให้ใช้การตัดทิ้งแบบปริศนา หรือเขียนพาดไว้แต่ไม่เอ่ยต่อ ทิ้งให้คนสงสัย
เพื่อเป็นฐานให้เราเขียนภาคสอง เรื่องราวของเว่ยจินหยิน หรือ ภาคสาม เรื่องราวของเว่ยเฟิงปิง
หรือ ภาคสี่ เรื่องราวของวรุต หรือ ภาคห้า เรื่องราวของศึกรักตระกูลชิง

แบ่งซอยออกมาให้พอดีๆ มันจะน่าอ่านขึ้นมาก แน่นอนว่าฝีมือ สำนวนการเขียนของคุณดีอยู่แล้ว
การทิ้งไว้แบบปริศนา เพื่อให้คนสงสัยและอยากรู้จนอ่านต่อให้เล่มภาคใหม่ เป็นอะไรที่น่าทำอยู่ครับ
เพื่อลดทอนความยาวของเล่ม ของตัวอักษรและจำกัดเหตุการณ์รวมทั้งเน้นพล็อทหลักและคอนฟลิกให้ชัดเจนขึ้น

เป็นครั้งแรกที่อยากแนะนำจากใจจริงและลงทุนเขียนยาวๆ ถึงผมเองจะไม่ได้มีผลงานออกมาให้ได้อ่านกันมาก
แต่ก็ผ่านการอบรมงานเขียนหลายครั้ง รวมทั้งอ่านมามากมายจริงๆ จึงอยากใช้ประสบการณ์ที่มีแนะนำให้ผู้เขียนที่ดีอยู่แล้ว
ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีเยี่ยมมากขึ้นครับ

ปล. เมื่อบ่ายคงมีคนบนบีทีเอสหาว่าผมบ้าบ้างละ อ่านนิยายบนบีทีเอสแล้วหน้าแดง แอบอมยิ้ม หัวเราะ คนเดียว

ขอบคุณสำหรับคำติชมค่ะ (สำหรับคำตินี่ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ)

อนึ่ง เรื่องนี้เป็นนิยายที่เริ่มเขียนเป็นเรื่องแรกค่ะ ยอมรับอย่างศิโรราบว่าทุกอย่างที่ท่านผู้อ่านติมา เป็นจริงทุกประการ

แต่เรามีความคิดส่วนตัวว่าอยากจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นที่ระลึก (มันคล้ายๆ บันทึกการเขียนนิยายของเรา นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราใช้เรียนรู้การวางพล็อต การเล่าเรื่อง และอื่นๆ อีกมากมาย) เลยไม่อยากจะแก้ไขอะไรมาก (แต่ก็แก้ไปเยอะมากสำหรับรวมเล่ม)

เอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่ตั้งใจจะขายให้ติดตลาดสักเท่าไหร่ (ที่จริงตอนเริ่มเขียนก็แค่ว่าอยากน่ะค่ะ)

และเนื่องจากเนื้อหาเกือบ90%รวมเล่มไปหมดแล้ว (ตอนนี้มันก็ใกล้จะรวมครบแล้วล่ะค่ะ)

เพราะงั้น... เราจะใช้วิธี เอาเนื้อหาเรื่องนี้ไปปูดในเรื่องหลังๆ ที่เราเขียน แล้วให้คนพยายามกลับมาอ่านเรื่องนี้แทน(โดนเตะ)

ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างนะคะ แค่ท่านผู้อ่านอ่านจบ ดิฉันก็ดีใจและนับถือมากๆ แล้วค่ะ

ส่วนเรื่องที่ติมา จะพยายามนำไปแก้ไขในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ^^ ขอบคุณมากๆ ค่ะ

ขอบคุณนะคะ^^
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 12-02-2012 19:39:28
ยินดีครับ

ผมชื่นชมนะ สำหรับคนที่เขียนได้จบ และยาวขนาดนี้ ด้วย นับถือเลยละ

หลายๆคนที่ไม่เคยเขียนอาจจะคิดว่ามันไม่ยาก แต่ผมว่ามันเป็นอะไรที่ต้องใช้ พลังกาย พลังใจ และพลังทางความคิดมากๆ

เคยขีดๆเขียนๆไว้เหมือนกัน บรรดาอาจารย์นักเขียน ก็ชื่นชอบพล็อท แต่ปัยหาเดียวคือ เขียนไม่จบ นี่ละ ...  :z1:

เลยชื่นชมครับ ยังไงจะรอติดตามอ่านผลงานเรื่องหน้า ต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: ENG❤LUCKY ที่ 14-02-2012 23:16:04
อ่านจบแล้วววววววว
ดีมากๆ เลย ติดเรื่องนี้ที่สุด ต้องมาตามอ่านให้จบให้ได้ T T
ติดบ่วงมากจากผีเสื้อค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 19-02-2012 02:24:10
 :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เปิดจองหนังสือp.15]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 28-02-2012 11:23:04
เรื่องยาวมากกว่าจะอ่านจบเล่นเอาเหนื่อยเลย
แต่สนุกครับ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: bookoki ที่ 16-03-2012 13:55:02
กว่าจะอ่านเรื่องนี้จบกินเวลาไปเกือบเดือน เป็นนิยายที่เราติดงอมแงมเลยค่ะ
ถูกใจทั้งภาษาเขียน ทั้งการเล่าเรื่อง ถึงเรื่องนี้จะมีหลายตัวละครแต่ว่าสำหรับเราทุกตัวละครมันโดดเด่นแตกต่างกันหมดเลย
เหมือนกับว่าถ้าไม่มีคนนี้ คนนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เขียนได้ดีมากๆ
ประทับใจการบรรยายฉากบู๊  ฉากรักและฉากเรท 5555555
เพิ่งเคยได้อ่านฉากเรทที่กินหน้าไปเกือบสามหน้า อู๊ววว จุใจ 55555555
ขอบคุณมากที่เขียนนิยายดี ๆ อย่างนี้ออกมาให้ได้อ่านกันนะคะ :pig4: แอบเสียใจที่ต้องจบ ; w ;
จะติดตามนิยายของคุณไปเรื่อยๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: nishiauey ที่ 23-05-2012 15:25:36
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่า สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: amito ที่ 28-05-2012 20:01:26
ใช้เวลาอ่านเป็นเดือนเลยค่ะกว่าจะ happy ending เรื่องสนุกมาก ถึงจะยาวแต่ไม่เบื่อเลยค่ะ เขียนได้น่าติดตามมีทั้งบู้ รัก ดราม่า เรียกว่าครบรส เก่งจริงๆนะคะสำหรับคนเขียนเรื่องแรกแล้วทำออกมาได้ขนาดนี้

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: netsu ที่ 01-06-2012 22:23:37
จบได้น่ารักมากค่ะ ฮิฮิ o13
เดาใจฟ่งไม่ถูกเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 24-06-2012 13:36:16
อ่านจบทั้งซีรี่ส์แล้วค่ะ สนุกมากๆ แต่งเก่งมาก ยาวสะใจหนอน 555
อ่านแบบลืมวันลืมคืน เนื้อเรื่องมีปมปริศนาให้ตามแกะไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อเลย
ชอบตัวละครทุกตัวเลย
ฟ่งน่ารักติสท์แตก สับสนในตัวเอง :really2: แต่ถ้าตัดสินใจแล้วก็แน่วแน่มาก
รูฟัสสายลับหล่อเท่ :m19: โกหกเก่ง แต่เพื่อฟ่งแล้วยอมทุกอย่าง เลิฟฟ่งมากมาย ฮิ้วว~
เว่ยเฟิงปิง เคะราชินี  :a14: เชิดๆ หยิ่งๆ วีนๆ โหยหาความรัก ฮาคู่นี้ ซื่อเยี่ยนไม่ค่อยได้ดั่งใจ ทำราชินีหงุดหงิดตลอด 555
เว่ยจินหยิน จิ้งจอกเลือดเย็น เก๊กนิ่งได้ตลอด ยอมทำชั่วเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อ(เศร้า :monkeysad:)
แต่โหวตให้เถียนซานผู้สุภาพ อ่อนโยน แต่เก่งกาจเหลือเชื่อ (อิจฉาจินหยินอ่ะ) :o8:
กับโหวตให้ซื่อเยี่ยน ซื่อๆ ถึกๆ ทื่อๆ แต่รักจริง ภักดี แล้วตอนต่อสู้ก็ไม่ทื่อนะ เก่งเท่ไม่เลว o13
 :pig4: :pig4: :pig4:
+vote+เป็ด
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: mazz ที่ 10-07-2012 19:15:31
สนุกมากค่ะเรื่องนี้  สนุกจนต้องอ่านจนจบ  แต่พอถึงตอนจบกลับไม่อยากให้จบซะงั้น :laugh:  อยากจะรู้ต่อไปว่าถ้าทั้งสี่คนมาทำงานด้วยกันจะน่าติดตามขนาดไหน  แล้วก็อยากรู้เรื่องของวรุตกับอิทธิเดชด้วยค่ะ  ว่าจะเป็นไงต่อไป

แต่เสียดายจังเลยค่ะที่จองหนังสือไม่ทัน  คงต้องรอรอบหน้า 

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆ มาให้อ่าน  มีครบทุกรสชาติจริงๆ ค่ะ o13   
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 10-07-2012 20:28:59
สนุกมากค่ะเรื่องนี้  สนุกจนต้องอ่านจนจบ  แต่พอถึงตอนจบกลับไม่อยากให้จบซะงั้น :laugh:  อยากจะรู้ต่อไปว่าถ้าทั้งสี่คนมาทำงานด้วยกันจะน่าติดตามขนาดไหน  แล้วก็อยากรู้เรื่องของวรุตกับอิทธิเดชด้วยค่ะ  ว่าจะเป็นไงต่อไป

แต่เสียดายจังเลยค่ะที่จองหนังสือไม่ทัน  คงต้องรอรอบหน้า 

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆ มาให้อ่าน  มีครบทุกรสชาติจริงๆ ค่ะ o13   


หนังสือยังหาซื้อได้อยู่ที่ร้านแดทวายนะคะ (แต่จะไม่ได้art bookที่เป็นของแถมพิเศษค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 13-11-2012 05:15:50
 o13 o13 o13

จบแล้ววววววววววววววววววววววววววว
88ตอน เรื่องนี้มีทุกความรู้สึกมีทุกอารมณ์เลย

แต่ชอบฟ่งมากเลยยยยยย เป็นตัวละครที่ดูธรรมดา แต่มีความไม่ธรรมดาในตัวเอง
ถึงขนาดทที่สาบลับยังคิดไม่ออกบอกไม่ถูก

ไงก็เป้นกำลังใจให้ค่ะ แล้วก็ตอนนี้ตามอ่าน เรื่องครูผมเป็นมาเฟีย M & M อยู่ แบบกรี้ดพี่เฆมมากกกก
ไม่มีเมพตนใด เกรียนหื่นได้เท่าพี่แกละ

 o1 o1 o1 o1 o1 o1 o1 o1 o1

โค้งงามๆให้คนเขียน  นับถืบในความคิดและจิตนาการของท่านมากกกก
นับเป็นไอดอล เสมอพี่ตา มณีจัทร์เลย

หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-11-2012 14:06:57
^ ขอบคุณที่อ่านจบจบค่ะ^^

ปล. เรื่องพี่เมฆ อิฉันไม่ได้เขียนนะคะ แต่ก็ติดตามอยู่ค่ะ พี่เมฆแกกวน teenเป็นที่หนึ่งจริงๆ ฮ่าๆๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: GggG ที่ 16-01-2013 17:01:48
จากแอ๊คชั่น ไซไฟ ปรับอารมณ์มาเป็นโรแมนติกกึ่งนำเที่ยว
เรื่องสนุก ดำเนินเรื่องน่าติดตาม ที่สำคัญจบแบบแฮปปี้ทุกคู่ ทุกคน  o13
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: cokebundit ที่ 07-05-2013 20:05:04
 o13 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆคับ สนุกมากเลย  :katai2-1:

 :mc4: เยอะมาก อ่านรวดเดียว เกือบตาย แต่สนุกมากเลยนะคับ  o13
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: waris ที่ 12-05-2013 18:11:54
อ่านมาสองวันติด ณ ตอนนี้ยังแค่ตอนที่46เองค่ะ 555

คนเขียนขยันจัง อัพติดกันมากมายเห็นแล้วเหนื่อย :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 13-05-2013 21:51:17
เรื่องนี้เีขียนจบนานแล้วค่ะ เพิ่งเอามาลงในเล้า(ช่วงนั้น) กลัวลงแล้วลืม เลยลงทีนึงหลายๆ ตอนค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: waris ที่ 14-05-2013 16:47:11
โอ๊ย จบแล้วววววว :heaven :heaven

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้อ่านค่ะ อยากอ่านที่มีจินหยินกับอาซานโผล่มากกว่านี้-3-

ชอบคู่นี้มาก ดูเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ดี 555555555555

ตามจินหยินมาจากเรื่องหงคงฉ่วยค่ะ ตัวจริงดูผิดกับที่คิดไว้มาก :a5: น่ารักดีค่ะ 55
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 21-05-2013 16:25:22
^
จินหยินกับเถียนซานมีเรื่องแยก ชื่อเรื่อง Yes!Master.ค่ะ มีลงไว้ในเล้าเป็ด ลองหาดูนะคะ^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: ~!!Ome!!~ ที่ 28-05-2013 00:17:06
ตามอ่าน 3-4 วัน กว่าจะจบ น่าตื่นเต้น ลุ้นระทึกจริงๆ วันนี้ตอนไปนั่งทานข้าวนอกบ้าน ยังหยิบไอแพดมาเปิดอ่านพร้อมกับปิ้งหมูไปด้วย XD
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่มีให้อ่านนะครับ สนุกมากจริงๆ พระเอกก็น่าร๊ากกกกกกก~ จนทำให้อยากมีแฟนแบบรูฟัสนะเนี่ย หาแฟนลูกครึ่งรัสเซียบ้างดีกว่า ๕๕๕ ><"
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: MangoBlue ที่ 04-06-2013 01:55:44
อ่านมาราธอนมากกกกกพึ่งถึงแค่ตอน44เอง อยากบอกว่าสนุกมากๆเขียนเรื่องวางปมนู้นนี่นั้นได้ดี
ตัวละครก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ฟ่งนี่เก่งมากๆเขียนมาได้ยังไงน่ะไอ้แปลนนรกนั้น555555 รูเฟียสก็น่ารัก  :impress2:
แอบขัดใจตอนฟ่งกลัวรูเฟียสมากแบบพ่อพระเอกเราน่าสงสารสุดๆแต่ก็พอเข้าใจว่าทำไมกลัว เล่นโดนมาสะขนาดนั้น

เอาไว้อ่านจบแล้วจะมาเม้นให้ใหม่นะ วันนี้อ่านจนเบลอเลย ชอบมากๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: TonmaiTree ที่ 09-06-2013 13:43:46
ขอบอกว่า เรื่องนี้สนุกมากๆ! เป็นเรื่องในดวงใจที่สองเลย! แถมยาวจุใจสุดๆ ภาษาทั้งไทยและอังกฤษก็ดี เขียนได้ลื่นมาก เป็นธรรมชาติสุดๆ ไอ้ตรงเรื่องยาวนี่ เราว่าไม่เห็นจะเป็นปัญหาซักนิด ยิ่งยาวซิยิ่งดี จะได้มีอ่านเยอะๆ คนที่เขาเข้ามาอ่านก็จะต้องอยากอ่านอยู่แล้วแหละ แล้วก็ดำเนินเรื่องได้เร็วดี สนุกทุกตอนจริงๆ และที่ชอบคือ เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก มีสาระ ดูเป็นธรรมชาติ อย่างตอนไปเที่ยวรัสเซียเงี้ย คนแต่งต้องหาข้อมูลพวกอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวด้วยแน่ๆเลย ขอขอบคุณในความอุตสาหะมากฮะ อ่านแล้วเหมือนอ่านบันทึกท่องเที่ยวจริงๆนะ ชอบคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละคนด้วย ชัดเจนดี รูฟัสนี่ดูอบอุ่น ราฟาแอลดูโหดๆหน่อย รัสเลอร์ดูกวนทีนไงไม่รู้ ฟ่งก็น่ารัก >///< กดไลค์รัวๆ!!!
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 14-06-2013 00:59:09
ขอบอกว่าชอบมากกกกกกกกกก ค่ะ
เรื่องสนุกมากกกกกก
อ่านจนอดหลับอดนอน ขอบตาช้ำไปหมดแล้ว  :katai1:
ภาษาก็สวย อ่านแล้วรื่นมากกกกกกกกก
ทำเราเสียน้ำตาไปหลายตอน
โดยเฉพาะคุณชายเจ็ด  คนนี้เรียกน้ำตาได้ตลอด

ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ สนุกๆ ภาษาสวยๆ
ขอตามไปอ่านตอนพิเศษในบล็อคนะคะ  เห็นแล้วตาวาวเลย
เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 19-06-2013 16:11:57
สนุกที่สุดเลยเรื่องนี้ น้องฟ่ง กระรอกน้อยของเจ๊  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 23-06-2013 00:07:24
สนุกมากคะ อ่านมันส์มาก หลงรักพระเอกอย่างรูฟัสจนหมดหัวใจ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 11-09-2013 22:20:34
สนุกค่ะ อ่านยาวนานมากกกกก เรื่องราวน่าติดตาม สลับซับซ้อน ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 23-12-2013 18:45:15
 o13  สนุกมากคะ   ยาวได้ใจ + โดนใจทุกตอนเลยคะ 
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 03-04-2014 18:39:19
เป็นอะไรที่ยาวได้ใจมาก แต่กระนั้นยังอ่านจบภายในสองวัน( :hao7:)รูฟัสคงต้องหาพารามาซื้อเตรียมไว้ท่าทางน้องฟ่งจะทำปวดหัวอีกเยอะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 16-05-2014 23:21:33
สนุกมากๆ ขอบคุณคนแต่งมากๆจ้า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 22-05-2014 05:06:08
ตามอ่านตั้ง 2-3 วัน 555555
สนุกมากๆเลยค่ะ
อ่านจบอยากไปเที่ยวรัสเซียเลย 55555
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Chompooiriza ที่ 10-06-2014 13:25:26
 :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1:

ในที่สุดเรื่องก็จบอย่างแฮปปี้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาวที่สุดตั้งแต่หนูอ่านนิยายเลยค่ะ อย่างกะมหากาพย์

ตอนแรกคิดว่าลองๆอ่านฆ่าเวลาไปค่ะเห็นว่ายาวดี แต่อ่านไปอ่านมา...

มันดันสนุกจนวางไม่ลงเลยค่ะ บรรยายละเอียดมากแบบหนูเห็นภาพเป็นฉากๆเลยค่ะ

โดยส่วนตัว ตัวละครที่หนูชอบที่สุดเห็นจะเป็นพี่ฟ่งเรานี้แหละ

ถึงใครจะไม่เข้าใจความโลเลบ้าระห่ำของพี่ฟ่ง แต่นัองเข้าใจนะคะ  น่ารัก~

ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ รักคนเขียน~<3333
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Pine_apple ที่ 12-09-2014 03:34:54
 :laugh: :laugh: ใช้เวลาสามวันกว่าจะอ่านจบ ว่าจะไปหาซื้อมานอนกอดสักชุด (ถ้ามีงบอ่ะนะ  :hao5: )

ฟ่งน่ารักขนาด
 :o8:

ส่วนรูฟัส ก็ขอแอบหมั่นไส้มันเบาๆ โดยเฉพาะที่ทำกับฟ่งตอนอยู่ในรังวงกตนี่ขอตื้บสักที  :z6:

สนุกมากๆเลยค่ะ เดี๋ยวไปตามเรื่องอื่นต่อด้วย  :hao7:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 12-10-2014 00:25:56
สนุกมากกกกก ยาวมากกกกก อ่านมาเป็นอาทิตย์เลยกว่าจะจบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 23-05-2015 16:21:25
แปะไว้ก่อน แล้วแว้บไปอ่าน :m7:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Raccoooon ที่ 29-06-2015 22:56:32
เกือบหนึ่งอาทิตย์กับเรื่องนี้
สารภาพก่อนเลยว่าเรื่องนี้เพื่อนแนะนำให้อ่านตั้งแต่ม.6แล้ว(เอ่ะ หรือม.5นี่แหละ)
แต่ได้อ่านจริงๆตอนจะขึ้นปีสามค่ะ5555555555555555 เพราะเห็นแล้วยาวมากเลยดองซะ
แต่มาได้มาอ่านก็คิดว่าคุ้มค่าจริงๆทีไ่ด้สัมผัสนิยายเรื่องนี้
ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกยังไง มันมากกว่าคำว่าสนุกแล้วอ่ะ

คนเขียนเขียนดีมากๆทั้งเรื่องการใช้ภาษา พล็อตเรื่อง ปมและการคลายปม
เรียกได้ว่าผูกปมเฉียบ และแก้ปมได้ขาดมากค่ะ ฮือออ
ประทับใจมาก
อีกอย่างคือคนเขียนหาข้อมูลดีมากเลยค่ะ แทบจะไม่มีจุดที่ทำให้ตงิดใจเลย
โดยเฉพาะตอนอยู่รัสเซีย แอบคิดว่าคนเขียนนี่เคยไปอยู่รัสเซียมาก่อนรึเปล่านะ ทำไมบรรยายได้เห็นภาพขนาดนี้ ;w;

ภาษาเรียกได้ว่าขั้นเทพเลยค่ะ ฮือออ บรรยายเก่งมากๆ
บรรยายได้เห็นภาพและไม่งงค่ะ จะมีแอบงงหน่อยๆก็ในอาคารลับที่ฟ่งสร้างเนี่ยแหละ55
บรรยายความรู้สึกตัวละครก็เยี่ยมค่ะ บรรยายฉากเอ็นซีก็สุดยอดค่ะ เอิ้กๆ  :hao6:
เราอ่านแล้วรับรู้ได้ถึงความตั้งใจเขียนของคนเขียนมาก
ทุกคำ ทุกประโยค บางทีเราก็รู้สึกว่าต้องทำยังไงนะถึงได้เรียบเรียงคำพูดออกมาได้ดีขนาดนี้

บางทีก็อยากจะชำแหละสมองคนเขียนมาดูเหมือนกันค่ะว่าคิดอะไรอยู่5555 (โดนเตะ)
เขียนเก่ง...มาก

จะมีส่วนที่ตงิดหน่อยๆก็ตรงที่ระยะเวลาที่ฟ่งใช้ออกแบบกับระยะเวลาในการก่อสร้างไอ้สิ่งพิลึกกึกกือนี่แหละค่ะ
เพราะคิดๆดูแล้วว่าถึงฟ่งจะอัจฉริยะแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถจะขีดๆออกมาแล้วสร้างได้เลยจริงๆนะคะ
มันต้องผ่านหลายขั้นตอนมาก เลยคิดว่าที่ฟ่งทำมันเร็วเกินไปหน่อย แหะๆ
รวมถึงระยะเวลาในการก่อสร้างไอ้ตึกพิลึกด้วยค่ะ ตงิดใจหน่อยๆที่มันสร้างออกมาได้เร็วขนาดนี้
เพราะอะไรแบบนี้น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยก็เป็นปีแหน่ะ
แต่เข้าใจว่าเป็นนิยาย และอย่างอื่นดีมากจนยอมให้อภัยข้อนี้ไป แหะๆ

นอกจากไทม์มิ่งในการออกแบบและก่อสร้างแล้วอย่างอื่นก็ดีมากเลยค่ะ
ตอนเว่ยชิงเองในช่วงแรกๆที่รู้ว่าเว่ยชิงอยากจะฆ่าลูกตัวเองเพราะแค่กลัวว่าลูกจะไปเหมือนใครเราก็คิดว่าให้จินหยินกับเฟิงปิงรวมหัวกันฆ่าเว่ยชิงเลยแมะ จะได้จบๆ55555
แต่พอเว่ยชิงตายกลับรู้สึกสงสารค่ะ เง้อออ
ตอนเฉลยเรื่องลี่เหลียนก็ทำเราแอบช็อกหน่อยๆ ไม่คิดว่าคนเขียนจะคิดอะไรแบบนี้ไว้ กรี๊ด คิดไม่ถึงเลยค่ะ55555

ตอนพิเศษก็หวานกันสุดๆ อ่านเพลินมากค่ะรู้ตัวอีกทีก็จบแล้ว555
แถมตอนจบก็เป็นอะไรที่น่ารักมากๆด้วย
เรากลัวว่าถ้าตอนจบเป็นการจบที่ปิดเรื่องไปเลยเราจะเคว้งมากค่ะ555
เพราะผูกพันกับเรื่องนี้มานานเหมือนกัน ทำใจอ่านตอนจบก็ใช้เวลานานอยู่
แต่พอปิดเรื่องให้เหมือนกับเรื่องยังคงดำเนินต่อไปแบบนี้เลยโล่งใจเลยค่ะ ไม่เคว้งเท่าที่คิด 55555

พิมเยอะมากเพราะชอบมากค่ะ
สุดท้ายอยากจะขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆมาให้ได้รับชมกันนะคะ
บอกอีกครั้งว่านิยายเรื่องนี้มันมากกว่าคำว่าสนุกสำหรับเรา ^^

//หลังจากนี้ไปเราคงคิดถึงฟ่งกับรูฟัสไปอีกนานเลยยย

 :L1: :pig4: :L1: :pig4: :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: juon ที่ 30-06-2015 09:44:10
ูตอบหค.บนค่ะ (ขออนุญาตไม่โควต้า นะคะ)

เรื่องสร้างตึก ดิฉันมโนเอาค่ะ ขอโทษจริงๆ ฮ่าๆ พอมาโดนทักแล้วก็คิดว่า นั่นสินะๆๆๆๆ  :serius2:

แต่ว่ามาถึงจุดนี้จะแก้ก็แก้ไม่ได้แล้วค่ะ (มันฟิกไปหมดทุกอย่างแล้ว) ทำเบลอไปแล้วกันนะคะ  :monkeysad:

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จะเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อไปค่ะ

ขอบคุณค่ะ^^

ปล. รัสเซียยังไม่เคยไปค่ะ อันนั้นเขียนโดยอ้างอิงจากหนังสือนำเที่ยวและกูเกิลแมพค่ะ (ใจจริงก็อยากจะไปสักครั้งในชีวิตเหมือนกันค่ะ)
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 04-09-2015 13:58:24
ไอย๊า ใช้เวลาไปหลายวันเลยกว่าจะอ่านเรื่องนี้จบ  55555 เต็มอิ่มมาก พออ่านจบแล้วก็ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านต่ออีกเรื่อยๆ 555 ขอบคุณมากจ้า
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: jennyha ที่ 29-01-2016 17:38:51
เป็นนิยายที่สนุกมากๆเลย คะ แบบ เนื้อหาเข้มข้อน่าติดตามทุกตอนเลย ถึงแม้ว่าตอนจะเยอะขนาดนี้แต่อ่านแล้วแบบ อยากให้มีต่อเรื่อยๆ
อ่านแล้วไม่เบื่อเลยคะ ตอนดราม่าก็น้ำตาไหล ตอนหวานก็ฟินจนแก้มปริ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ที่แต่งนิยายสนุกขนาดนี้มาให้อ่าน
อยากให้มีภาค2ฮาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: fabaceae ที่ 08-05-2016 12:49:24
เรารู้สึกว่าเรื่องนี้แบบน่าจะดังกว่านี้ได้อีกจากศักยภาพที่มีอยู่เราชอบมากค่ะ
คือชอบการดำเนินเรื่อง ตัวละคร

โดยเฉพาะฝั่งตระกูลเว่ย ที่เราชอบมากๆแบบรักทุกคนเลย ประทับใจเว่ยชิงกับเสี่ยวเหลียนมากกกกกจริงๆ ตราตรึงสุด เป็นฉากสั้นๆไม่กี่บรรทัดแต่ฉากเสี่ยวเหลีบนฆ่าตัวตายเราประทับใจมากจริงๆ

สำหรับเว่ยเฟิงปิงกับเว่ยจินหยินก็ชอบมากเหมือนกัน พอเจอเสี่ยวเหลียนเรารู้สึกเลยว่าจริงๆเฟิงปิงโชคดีนะมีคนที่รักมากๆได้รับรู้ว่าเค้ารักแต่ได้รักตอบ ส่วนจินหยินขอไปอ่านเยสมาสเตอร์ก่อน 555

เราอ่านหลายวันจบอยู่ค่ะแต่ชอบมาก ยาวมากกกแบบที่หลายคนอาจจะยอมแพ้ได้ง่ายๆ 55555
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 30-08-2016 10:43:38
ชอบมากกก คู่กระรอกน้อยกับน้องหมาน่ารักน่าตื้บ ตามไปอ่านตอนพิเศษที่เด็กดีมาด้วยอมยิ้มไม่หยุดจริงๆขอบคุณที่มีนิยายดีๆให้อ่าน เรื่องนกยูงก็สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-10-2016 21:25:39
โอ้ว อ่านจบแล้ว
นั่งอ่านกันจนตะแฉะเลยทีเดียว 555
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุกๆและน่ารักนะคะ
หัวข้อ: Re: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 19-04-2017 23:10:37
ขอบคุณนะคะนิยายสนุกมากๆค่ะ  :pig4: