พิมพ์หน้านี้ - คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-02-2014 02:03:13

หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-02-2014 02:03:13
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1 : เต็มฟ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-02-2014 02:08:13
คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก

เรื่องย่อ :
เพราะโปสการ์ดที่ไม่ได้เขียนเลขที่บ้านทำให้พนักงานไปรษณีย์บรรจุใหม่อย่าง ‘ศิธาพัฒน์’ จำต้องเดินตามหาผู้รับเสียจนเหนื่อย
และเพราะโปสการ์ดเจ้าปัญหาใบนี้เองจึงทำให้เขามีโอกาสได้พบกับ ‘เต็มฟ้า’ หนุ่มอารมณ์ศิลปินผู้ต้องสูญเสียแม่ไปในวันที่น้องชายถือกำเนิด
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเต็มฟ้าจึงเย็นชากับ ‘ตามตะวัน’ น้องแท้ ๆ ที่อายุห่างกันถึง 11 ปีนัก
วันเวลาผ่านไปทำให้ช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างกันยิ่งขยายกว้าง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตามตะวันท้อถอย
น้องชายยังคงใช้จดหมายฉบับน้อยเป็นสื่อกลางถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อพี่ชายที่ดูเหมือนว่าจะเกลียดตนเองเสียเหลือเกิน
และผู้รับหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ...คุณบุรุษไปรษณีย์คนใหม่นั่นเอง

เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)

สารบัญ

ตอนที่ 1 เต็มฟ้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2632474#msg2632474)
ตอนที่ 2 ศิธาพัฒน์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2634368#msg2634368)
ตอนที่ 3 จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2647547#msg2647547)
ตอนที่ 4 รับน้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2658560#msg2658560)
ตอนที่ 5 ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2659864#msg2659864)
ตอนที่ 6 คู่กัด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2669942#msg2669942)
ตอนที่ 7 ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2673096#msg2673096)
ตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้าและคำบอกลาพี่ชาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2679489#msg2679489)
ตอนที่ 9 คำขอบคุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2729926#msg2729926)
ตอนที่ 10 เรื่องชกต่อย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2732376#msg2732376)
ตอนที่ 11 ทบทวน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2739903#msg2739903)
ตอนที่ 12 มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2741761#msg2741761)
ตอนที่ 13 ความรู้สึกแปลก ๆ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2746634#msg2746634)
ตอนที่ 14 คนเป็นน้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2751855#msg2751855)
ตอนที่ 15 ไม่ใช่ใครก็ได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2754208#msg2754208)
ตอนที่ 16 สนธิสัญญาระยะทดลอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2756084#msg2756084)
ตอนที่ 17 ก่อนวินาทีสุดท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2759167#msg2759167)
ตอนที่ 18 อุ่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2771894#msg2771894)
ตอนที่ 19 ไม่เป็นไร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2781492#msg2781492)
ตอนที่ 20 คนในภาพถ่าย (ไม่เป็นไรจริง ๆ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2802709;topicseen#msg2802709)
ตอนที่ 21 คำถามของคุณย่า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2816152#msg2816152)
ตอนจบ รักแบบไม่ครอบครอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2818161#msg2818161)

ตอนพิเศษ
ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41128.msg2930353#msg2930353)



ตอนที่ 1 : เต็มฟ้า




ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะให้แสงสว่าง ไดอารี่เล่มเก่าถูกหยิบจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาเปิดกางเอาไว้ที่หน้ากระดาษหน้าหนึ่งซึ่งตัวหนังสือตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง มันเป็นสมุดที่ใช้เขียนบันทึกเหตุการณ์ตลอดระยะเวลาเก้าเดือนเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งรู้ว่ากำลังมีชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นในท้องของเธอ... 


‘....พ่อของลูกถูกแม่ปลุกให้ลุกขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดเพราะอาการเจ็บท้องที่มันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจเอารถออกจากไร่เพื่อพาแม่ไปโรงพยาบาล ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก มารู้ตัวอีกทีแม่ก็นอนอยู่บนขาหยั่งแล้ว  ตอนนั้นในใจของแม่คิดอะไรให้วุ่นวายไปหมด อย่างหนึ่งก็คือขอให้ลูกปลอดภัย เจ็ดชั่วโมงเต็มกับการนอนทรมานอยู่ในห้องคลอด ความเจ็บค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้น มันเป็นความเจ็บอย่างที่สุดจนแม่ไม่รู้จะหาคำอะไรมาบรรยายได้ รู้เพียงแค่ว่าความเจ็บในคราวนี้มันทำให้แม่ไม่รู้สึกกลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในโลกอีกเลย ....แล้วในที่สุดเราก็ได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรกนะจ๊ะ เด็กชายเต็มฟ้า ลูกชายตัวน้อย ๆ ที่เกิดในวันที่บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีของดวงอาทิตย์ทรงกลด’



เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ลูกชายยังคงอ่านข้อความในไดอารีซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรนับตั้งแต่วันที่แม่จากไป ชายหนุ่มเจ้าของไดอารีผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะค่อย ๆ ปิดบันทึกความทรงจำเล่มนั้นลงและใส่มันในลังกระดาษข้างโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อรอแพ็ครวมกับสิ่งของอื่น ๆ  หน้าคมหันไปมองร่างของเพื่อนร่วมห้องที่นอนหลับอยู่บนเตียงฝั่งที่อยู่ติดกับห้องน้ำ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงคนที่เอาแต่บ่นเสียดายผมที่เฝ้าทะนุถนอมมาเกือบสี่ปี เพราะอีกไม่นานผมทรงเดทร็อคที่ดูรุงรังขัดลูกตาคนมองนั่นก็ต้องถูกตัดตามระเบียบ และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าชีวิตการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยของพวกเขาก็จะต้องสิ้นสุดลง


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งเป็นระบบสั่นซึ่งดังครืดคราดอยู่บนโต๊ะทำให้ชายหนุ่มต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า เขารีบลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ก่อนจะเลื่อนประตูกระจกออกไปรับสายที่ระเบียงเพราะกลัวว่าการสนทนากับคนที่ปลายสายจะรบกวนการนอนของเพื่อนร่วมห้อง


‘เต็ม หลับหรือยังลูก’ ทันทีที่กดรับคนที่ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน แม้จะเป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ทำให้คนฟังรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ได้ยิน เสียงอันแสนอ่อนโยนนี้ช่างเหมือนเสียงของแม่ไม่มีผิด


“ยะ ยังครับน้าเดือน เต็มยังไม่นอน”


‘ทำอะไรอยู่ อ่านไดอารีของแม่อีกแล้วละสิ’ เมื่อได้ยินเสียถอนหายใจเบา ๆ คนถูกถามจึงจำต้องหาสาเหตุของการยังไม่นอนที่ทำให้คนที่ปลายสายสบายใจ


“เปล่าหรอกครับ เต็มเก็บของน่ะ ว่าแต่น้าเดือนเถอะโทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ” 


‘ก็พ่อเต็มนั่นแหละ ให้น้าโทรมาถามว่าจะให้เอารถที่บ้านไปขนของไหม’


“ไม่ต้องหรอกครับ ของไม่เยอะ บางอย่างเต็มถือขึ้นรถไฟไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นพวกของใหญ่ ๆ เต็มว่าจะใช้บริการโลจิสโพสต์ พ่อจะได้ไม่ต้องให้คนงานขับรถมาไกล ๆ”


‘อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเต็มแล้วกันนะ’


‘น้าเดือนคุยกับพี่เต็มเหรอครับ’ เสียงของเด็กชายที่ดังลอดเข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องเงี่ยหูฟัง ‘จ้ะ’


‘ตามขอคุยกับพี่เต็มได้ไหมครับ’


ยังไม่ทันที่คนเป็นน้าจะได้พูดอะไร ฝั่งของพี่ชายก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “เต็มไม่คุยนะ”


‘เต็ม’ มีแต่ความเงียบเมื่อสิ้นเสียงอันแผ่วเบานั้น ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายจนในที่สุดผู้เป็นน้าก็เป็นฝ่ายต้องแก้สถานการณ์ ‘พี่เต็มเขายุ่งน่ะตาม ตามขึ้นไปนอนก่อนนะลูก เดี๋ยวเอาไว้พี่เต็มกลับมาเมื่อไร ตามชวนพี่เต็มคุยทั้งวันให้หายคิดถึงไปเลยนะ’


 ‘ครับน้าเดือน’ น้ำเสียงกระตือรือร้นนั้นยิ่งตอกย้ำถึงความไม่หมดหวัง


เมื่อเสียงรองเท้าเดินในบ้านที่เสียดสีกับพื้นไม้ปาเก้เริ่มห่างออกไป คนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ‘น้องคิดถึงนะเต็ม’


“แต่เต็มคิดถึงแม่มากกว่า”


‘เต็ม ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก ยังไงตามก็เป็นน้องของเต็มนะ’


“ถ้าเกิดมาแล้วทำให้แม่ต้องตาย จะเกิดมาทำไม” แม้จะเป็นคำพูดที่หลานชายแท้ ๆ พูดให้ได้ยินบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ทำเอาหัวใจของคนเป็นน้าแทบแตกสลาย


‘เต็มรู้ไหม ทำไมแม่ของเต็มถึงได้ตั้งชื่อให้น้องว่าตามตะวัน’


คนถูกถามได้แต่นิ่งเงียบ นั่นไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบแต่เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้คำตอบ ไม่เคยรู้...


‘นั่นก็เพราะแม่ของเต็มอยากให้ตามเด็กดี เป็นน้องชายที่น่ารัก คอยเดินตามพี่ชายของเขาไปเรื่อย ๆ เแม่เขารู้ตัวเองว่าเขาสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเต็ม ตามแล้วก็พ่อไปได้อีกนานแค่ไหน...’


“พอเถอะน้าเดือน เต็มไม่อยากฟังเรื่องเก่า ๆ”


คำพูดตัดบทของหลานชายทำให้คนเป็นน้าต้องกลืนคำพูดที่จะพูดต่อลงคอ การสนทนาจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้นก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างวางสาย


ดวงตาหม่นเศร้าจ้องมองโทรศัพท์ในมือพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ คำพูดเมื่อสักครู่ยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับน้องชายที่อายุห่างกันถึงสิบเอ็ดปี หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้สนใจใคร่รู้จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีน้องชายอีกคน น้อง...ที่ทำให้แม่ต้องจากเขาไปเมื่อสิบปีก่อน น้อง...ที่มีวันเกิดวันเดียวกับวันตายของแม่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ตลอดสิบปีที่ผ่านมาระหว่างเขากับน้องชายจึงไม่เหมือนพี่น้องครอบครัวอื่น ๆ
   


ติ๊ง!


สัญญาณเตือนประตูลิฟท์ดังขึ้นจากโถงกลางใกล้บันไดตามด้วยเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดชวนเสียวฟันของพื้นยางของรองเท้าผ้าใบเก่า ๆ ขาด ๆ ที่เสียดสีไปกับพื้นหินแกรนิตขัดมันตรงช่องทางเดินระหว่างห้องเรียน


“มีใครเห็นไอ้เต็มบ้างวะ” ชายหนุ่มเจ้าของทรงผมเดทร็อคยาวถึงกลางหลังชะโงกหน้าเข้ามาถามกลุ่มนักศึกษาชายหญิงที่นั่งสุมหัวทำงานกลุ่มกันอยู่ภายในห้องสโมสรนักศึกษาภาควิชาทัศนศิลป์


“เห็นขลุกอยู่ในช็อปเซตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว พี่ลองลงไปดูสิ” ในที่สุดก็มีเสียงตอบจากสวรรค์ ที่ว่าเป็นเสียงสวรรค์ก็เพราะว่าในช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนส่งงานแบบนี้แต่ละคนมักจะขยันกันเป็นพิเศษ  ถ้าไม่ทำงานกันจนไม่กินข้าวกินปลาก็แทบจะไม่มีใครคุยกับใครเลย พอถึงฤดูกาลสอบทีไร แทนที่จะรวมหัวกันติวหนังสือกลับทำตัวให้เป็นภาระสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นกันแบบนี้ทุกรุ่นแม้จะเป็นปี 1 เพิ่งเข้าใหม่ก็ตาม หนุ่มเดทร็อคพยักหน้าก่อนจะมุ่งหน้าสู่ ‘ช็อปเซ’ ตามที่รุ่นน้องบอกทันที


‘ช็อปเซ’ หรือ ‘ช็อปเซรามิค’ อาศัยพื้นหนึ่งในสามส่วนใต้ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์เป็นห้องปฏิบัติการเซรามิคสำหรับนักศึกษา ข้าง ๆ กันเป็นช็อปสำหรับปฏิบัติการภาพพิมพ์ อีกส่วนถูกจัดให้เป็นลานพลาซามีโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือพักผ่อนของนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา


หนุ่มเดทร็อคเดินผ่านประตูลูกกรงอะลูมิเนียมขนาดใหญ่เข้าไปภายในห้องเปิดโล่งที่เต็มไปด้วยชั้นวางดินเหนียวที่ถูกปั้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อรอนำเข้าเตาเผาพร้อมกับมองหาใครคนหนึ่ง เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือที่เปิดแบบไม่สนใจสุขภาพหูของชาวบ้านทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาค้นหาตำแหน่งของเจ้าของโทรศัพท์ได้ไม่ยากนัก อีกอย่างคนที่จะทำแบบนี้ได้ในช็อปเซรามิคต้องเป็นพี่ที่ชั้นปีสูงที่สุดเท่านั้นนั่นก็คือพี่ปี 4 ปี 5 หรืออาจจะมากกว่านั้น? เพราะเป็นปีที่ใหญ่คับฟ้า แต่ถึงจะใหญ่มาจากไหนสุดท้ายคนที่ใหญ่ที่สุดก็คืออาจารย์อยู่ดี เหมือนเพลงที่มักจะได้ยินในห้องประชุมสโมสรนักศึกษาทุก ๆ ปีการศึกษา



....ปีหนึ่ง ปีหนึ่งน้องใหม่ ปีหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีหนึ่ง ปีหนึ่งว่าใหญ่ ยังสู้ปีสองไม่ได้ เพราะปีสองใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น     
ปีสอง ปีสองว่าใหญ่ ยังสู้ปีสามไม่ได้ เพราะปีสามใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีสาม ปีสามว่าใหญ่ ยังสู้ปีสี่ไม่ได้ เพราะปีสี่ใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น
ปีสี ปีสี่ว่าใหญ่ ยังสู้อาจารย์ไม่ได้ เพราะอาจารย์ใหญ่กว่า ใคร ๆ ทั้งนั้น...




ชายหนุ่มเจ้าของผมทรงเดทร็อคยืนกอดอกมองดูชายหนุ่มสวมเสื้อช็อปสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีเข้มที่กำลังนั่งกระดิกปลายรองเท้าผ้าใบตามจังหวะเพลงอย่างสบายใจ ในขณะที่ดวงตาจ้องมองปลายเป็นห่วงลวดของเครื่องมือปั้นที่ค่อย ๆ เฉือนก้อนดินเหนียวตรงหน้าออกทีละน้อย


“มาอยู่นี่เอง หาเสียรอบมหาวิทยาลัย” หนุ่มเดทร็อคนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตะโกนแข่งกับเสียงเพลง


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับปากพอจับใจความได้ว่า “อะไรนะ”


คิ้วหนาของคู่สนทนาขมวดเข้าหากันก่อนที่จะตัดสินใจเอื้อมมือกดปิดเพลงที่ดังน่ารำคาญนั้นเสีย


“บอกว่า มาอยู่นี่เอง ตามหาจนจะรอบมหาวิทยาลัยแล้ว”


“มากไป” เจ้าของโทรศัพท์กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะจรดปลายนิ้วแต่งขอบดินที่ถูกตัดออก


“เออ มากก็มาก จริง ๆ ก็รู้แหละว่าถ้าแกไม่อยู่ที่หอสมุดก็ต้องอยู่ที่คณะ”


“แล้วมีอะไร”


“ก็ไม่มีอะไร พอดีตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอ อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีเรียนด้วยเลยสงสัยว่าแกไปไหน”


“ไม่มีเรียนแต่มีงานต้องเอาเข้าเตานะโว้ย ทำชะล่าใจไป เดี๋ยวงานก็เสร็จไม่ทันนิทรรศการหรอก ไหนจะต้องถ่ายสูจิบัตรอีก”


“ขี้บ่นจังวะ บ่นยังกับผู้หญิง” หนุ่มเดทร็อคกล่าวพร้อมกับมองสำรวจคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เกือบสี่ปีสำหรับความเป็นเพื่อนที่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักนักศึกษาค่อย ๆ พัฒนามาเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว จนกระทั่งถึงปัจจุบันถ้าจะใช้คำว่า ‘เพื่อนยาก’ ก็คงไม่เกินไปนักสำหรับความสัมพันธ์ของพวกเขา


‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ คือชื่อของเด็กหนุ่มจากลำปางที่เจอกันครั้งแรกเมื่อวันรับน้องของภาควิชาทัศนศิลป์ ในความคิดของหนุ่มจากแดนใต้อย่าง ‘กีรติ  กิ่งแก้ว’ หรือ ‘เก้’ ของพ่อและแม่ ‘น้องเก้’ ของพี่ ๆ ‘พี่เก้’ ของน้อง ๆ และ ‘ไอ้ห่านเก้’ ของเพื่อน ๆ มันช่างเป็นชื่อที่แปลกประหลาดเหมาะกับคนนิสัยแปลก ๆ อย่างไอ้หน้าจืดนี่เสียจริง ๆ


“ตกลงที่ตามหาน่ะมีอะไร”


“เอ๊า! ไอ้นี่ ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี”


“มีอะไรก็ว่ามา แค่แกอ้าปากก็มองเห็นไปถึงไส้ติ่งแล้ว”


“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” กีรติกล่าวพร้อมกับใช้มือถูท้องตัวเองอย่างใช้ความคิด


“เออสิ”


“อะ ๆ มีก็ได้ ก็ว่าจะชวนไปสมัครงานบริษัทที่อาจารย์แนะนำเมื่อวันก่อน ที่ว่าเป็นบริษัทของรุ่นพี่น่ะ”


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


“อย่างนายเต็มฟ้า ตติยพัฒน์น่ะ ไม่ต้องดิ้นรนหางานหรอก” ชายหนุ่มเจ้าของเคราแพะม้วนเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายคางกล่าวพร้อมกับโอบไหล่เจ้าของชื่อเอาไว้ “เป็นถึงลูกพ่อเลี้ยงเมืองลำปางยังไงก็สบายไปทั้งชาติอยู่แล้ว จริงไหววะไอ้เต็ม”


“ไปไกล ๆ ไปไอ้ดุ่ย” คนถูกโอบกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะดึงแขนหนัก ๆ บนบ่าของตัวเองออก


“เรียกพี่ดุ่ยสิครับน้องเต็ม”


“เข้าก่อนสิแล้วจะเรียก ไม่เคยได้ยินเหรอวะที่เขาว่าเข้าก่อนเป็นพี่ เข้าทีหลังเป็นน้อง เข้าพร้อมเป็นเพื่อนน่ะ แก่กว่าตั้งหลายปีแต่ดันเข้าเรียนพร้อมกันที่ยอมลดตัวเพื่อนด้วยก็บุญหัวแล้ว” กีรติหัวเราะ


“โห ไอ้พวกนี้ ชอบรังแกพี่ดุ่ยอยู่เรื่อย” หนุ่มเคราแพะบ่นก่อนจะล้วงมือลงไปควานหาอะไรบางอย่างในย่ามที่สะพายมา


“เฮ่ย ๆ อย่าบอกนะว่าควานหาข้าวสารเสก”


“ไอ้บ้าเต็ม ไม่ใช่โว้ย ข้ากำลังหานี่โว้ย...” พูดพลางหยิบกระดาษยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งออกมาจากย่าม “นี่บริษัทเพื่อนข้า ก็รุ่นพี่พวกเอ็งนั่นแหละ เขารับสมัครคนทำกราฟฟิก ข้าเอามาฝากเผื่อพวกเอ็งจะสนใจ”


กีรติรับกระดาษแผ่นนั้นมาดูอย่างสนใจ


“ไม่ต้องขอบใจพี่ดุ่ยนะครับ”


“เออ ไม่ขอบใจอยู่แล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับยกมือไล่


“หูย ไอ้เต็ม ไอ้เนรคุณ ไอ้อกตัญญู ไอ้ ๆๆ ๆ โอ๊ย! ไม่รู้จะหาอะไรมาด่าให้เอ็งเจ็บ” 


“เอ้า ๆ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึก เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก อายุยิ่งเยอะอยู่” เต็มฟ้าหัวเราะก่อนจะใช้เท้าเขี่ยเก้าอี้ให้ “อ่ะ นั่งก่อน”


“เออ ขอบใจ” หนุ่มเคราแพะกล่าวห้วน ๆ ก่อนจะนั่งลง


“เอามาให้คนอื่น ทำตัวเองไม่ไปสมัครวะ”


“ไม่เอาหรอก มันคนกันเองไปว่ะ”


“อย่างนี้ก็มีด้วย ได้ทำงานกับคนกันเองแทนที่จะชอบ”


“มันเป็นสไตล์ว่ะเต็ม เอ็งไม่เข้าใจหรอก”


“สไตล์อะไรวะ”


“ก็สไตล์ดุ่ยไง” หนุ่มเคราแพะยักไหล่ “สบาย ๆ สไตล์ดุ่ย ว่าแต่พวกเอ็งเถอะ สนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจก็รีบ ๆ ไปสมัครนะโว้ย บริษัทเขามีชื่อเสียง ใคร ๆ ก็อยากเข้า”


“แล้วข้าสองคนจะสู้เขาได้เหรอวะ” คนที่เพิ่งอ่านรายละเอียดในแผ่นกระดาษจบเอ่ยขึ้น “ข้อแม้ก็เยอะ ต้องมีประสบการณ์ ต้องใช้ระบบปฏิบัติการแม็คอินทอช ต้องอดทนต่อแรงกดดันได้”


“เอาน่า อย่าเพิ่งถอดใจสิวะ เอ็งเคยได้ยินสุภาษิตกะเหรี่ยงคอยาวไหม ที่เขาว่ากะเหรี่ยงคอยาวหว่านเมล็ดผักเพื่อให้ได้ต้นผักไว้กินฉันใด คนเราก็หว่านใบสมัครไปเพื่อให้ได้งานทำฉันนั้น”


“สุภาษิตบ้าบออะไรวะ” เต็มฟ้าพึมพำทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับผลงานดินปั้นตรงหน้า


“เฮ่ย ก็จริงของไอ้ดุ่ยมันนะเว้ย แล้วนี่มันก็ที่เดียวกับที่ฉันจะชวนแกไปเลยว่ะเต็ม แต่ที่เปลี่ยนใจไม่ชวนเพราะนึกได้ว่าแกเคยบอกจะกลับไปช่วยงานที่บ้าน”


“ลองดูก็ได้” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


“อ้าว แล้วเรื่องช่วยงานที่บ้านล่ะ” กีรติท้วง










“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”


 


 
   

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: imetvxq ที่ 25-02-2014 02:13:41
รอติดตาม ชอบภาษาแบบนี้มาก <3
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 25-02-2014 02:27:57
แปะก่อนนนนน เดี๋ยวมาอ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 25-02-2014 02:39:18
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: MK ที่ 25-02-2014 06:43:14
ติดตามๆ   o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 25-02-2014 07:10:24
เห็นชื่อคนแต่ง รู้เลยว่าต้องเข้ามาอ่าน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 25-02-2014 07:43:54
สงสารเต็ม แต่น้องตามไม่ได้ทำอะไรผิดนะถ้าน้องโตพอที่จะรู้เรื่องเราว่าน้องก็คงรู้สึกแย่เหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 25-02-2014 08:41:26
สงสารน้องงง  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: babaaa ที่ 25-02-2014 09:52:46
ตามน่าสงสารร
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 25-02-2014 10:25:02
สงสารน้องตามจัง   :o12:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 25-02-2014 11:35:33
มาเจิมเรื่องใหม่   

โหยเต็มอคติกะน้องมากไป  จริงๆต้องสงสารน้องนะ เพราะน้องไม่มีโอกาสได้รับความรักความอบอุ่นจากแม่เลย   

พระเอกอยู่ไหนเพื่อนพี่ดุ่ยป่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-02-2014 12:27:55
มาตามเรื่องใหม่จ้ะ
สงสัยว่านายเต็มฟ้าต้องไปเจอคนที่โหด ๆ ดัดนิสัยเจ้าทิฐิเสียกระมัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 25-02-2014 12:53:26
เข้ามาบวกและเป็ดเรื่องใหม่
เต็มนิสัยเด็กน้อยรั้นอย่างนี้ เชียร์ให้ถูกพี่มอบความรักสมชื่อเต็มฟ้าหน่อยแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 25-02-2014 13:19:30
กด+1 และกดเป็ดเหลืองเปิดเรื่องใหม่จ้า :mc4:
เห็นชื่อคนแต่งแล้วรีบกดเข้ามาอ่านทันที
ชอบชื่อตัวละครจัง เต็มฟ้า ตามตะวัน
สงสารน้องตาม คิดว่าน้องคงรู้สึกแหละว่าเต็มเกลียดน้อง
แต่น้องคงไม่รู้เหตุผลเท่านั้นเองว่าทำไมเต็มถึงเกลียด :เฮ้อ:
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 25-02-2014 13:31:50

สงสารน้องตามอ่ะ  :hao5: รู้สึกว่าเต็มไม่มีเหตุผลเลย เข้าใจนะถ้าตอน 11 ขวบจะโทษน้องที่เกิดมาว่าทำให้แม่ตาย แต่ผู้ชายอายุ 21 ยังคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ  :hao3:  เด็กนะจ๊ะเรา //แอบมโนเก้-เต็มนี้ดส์นุง  แต่รักของเต็มฟ้าน่าจะมาจากพรหมลิขิตมากกว่า (ว่าไปนั่น)   :o8:

ปล.  รังกระดาษ  ต้องเป็น  ลังกระดาษ  ฮับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 25-02-2014 14:53:11

ดีใจที่มีผลงานใหม่มาให้ติดตามกันอีก
แต่สงสารน้องที่โดนเกลียดจัง

ว่าแต่มันจะเกี่ยวกับบุรุษไปรษณีย์ยังไงนะ
จะมีใครไปต่างประเทศเหมือนเรื่องเก่ารึเปล่า

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: mm03 ที่ 25-02-2014 15:01:25
 เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 25-02-2014 15:39:44
ทําไมถงได้ดึงดูดขนาดนี้น้าาาา

จะอัพอะไรจะแต่งอะไรก็ต้องตามดูตามเม้นต์ทู้กที 5555

แปะป้าบไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวขออ่านยาวๆ เม้นต์ยาวๆ ให้หนําใจ ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 25-02-2014 18:19:41
จะเกี่ยวกับคุณบุรุษไปรษณีย์ตรงไหนหนออ  :mew3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 25-02-2014 19:37:28
อ๊ายยยย สนุกอ่ะ แค่ชื่อเรื่องก็น่าสนใจแล้วว  :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 25-02-2014 20:46:57
มารอติดตามค่ะ ชอบภาษาของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามาก ๆ

สู้ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 25-02-2014 21:43:27
ตามมาอ่านแล้วค่าา
เป็นกำลังใจนะคะ~^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-02-2014 22:12:37
รออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-02-2014 22:32:49
แบบนี้พี่น้องจะดีกันมั้ยเนี่ย
แอบกระซิบว่าความคิดแรกที่อ่าน เราจิ้นว่าเป็นคู่พี่น้องอ้ะ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: 28016 ที่ 25-02-2014 23:07:14
คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเปิดเรื่องใหม่แล้ววว :-[
เปิดเรื่องมาก็เห็นแววดราม่า
คนที่จะมาคู่กับเต็มจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ตามชื่อรึเปล่านะ
อาจจะเป็นสื่อกลางการคุยของพี่น้อง ประมาณว่าเต็มไม่คุยตามเลยเขียนจดหมายเอา #มโนที่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 26-02-2014 00:54:44
สงสารตามเลย ถ้าน้องได้ยินคงเสียใจแย่
เต็มลองคิดใหม่ คิดได้ตอนนี้ยังไม่สาย U _ U
คู่เต็มต้องมาเพราะพี่ดุ่ยชัวร์5555555555555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 26-02-2014 10:43:14
เต็มเปิดตัวมาก็ หน่วงๆเรื่องครอบครัวเลยนะ

เข้ามาอ่านเพราะชอบคนแต่ง อ่านง่ายสบายตา
ภาษาสวย  ติดใจจากเรื่องก่อน

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 26-02-2014 11:02:03
มารอเรื่องใหม่ครับ  :a3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 26-02-2014 15:35:33
มารอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 26-02-2014 18:41:37
ใครพระเอก ใครนายเอก!!
สงสารน้องตามม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 26-02-2014 19:22:04
น่าสนุกจังเลยค่ะ >_<
เราชอบพ่อหนุ่มเดรทร็อค!  :o8:

น้องตามน่าสงารจังเลย ความสัมพันธ์ของพี่น้องนี่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ

รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 26-02-2014 19:41:27
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลยค่ะ

รอ รอ รอ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 26-02-2014 20:18:44
ตามมาจากคุณตังค์และคุณจ้า เห็นชื่อคนแต่งไม่เข้ามาอ่านไม่ได้แล้ว
ฝากบอกว่าคิดถึงคุณตังค์และคุณจ้ามากๆๆๆๆๆๆๆๆ
จะโรแมนติกเหมือนเรื่องแรกมั้ยนะ เปิดมาก็หน่วงเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: justonce ที่ 26-02-2014 20:29:24
สงสารน้องตาม พี่เต็มแอบใจร้าย TT^TT


ปล. พี่เต็มอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์ด้วย จะมีโอกาสได้เจออาจารย์จ้ามั้ยน้ออออ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 1)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-02-2014 23:41:09
เข้ามาเพราะเห็นชื่อคนแต่งเลยเนี่ย
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-02-2014 10:12:59
ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์



‘จับมือกันเดินไปพร้อมฟันฝ่า ด้วยหัวใจและศรัทธาเพื่อจุดหมาย
เปิดหนทางการสื่อสารสื่อโลกกว้างไกล ให้มั่นคงและก้าวไกลในสากล
นี่คือความภูมิใจของพวกเรา สิ่งที่เรานั้นก้าวมาสู่จุดหมาย
สิ่งที่เราพัฒนาเพื่อประเทศไทย สู่หลักชัยไปรษณีย์เพื่อปวงชน
ทุกทิศทั่วไทยแห่งใดโยงใยถึงกัน สุดแผ่นน้ำข้ามขอบฟ้าก็ไม่สำคัญ
จะอยู่แห่งไหนไปรษณีย์ช่วยสื่อถึงกัน เราพร้อมจะทำเพื่อคุณและเมืองไทย’




เสียงเพลงมาร์ชที่ดังแว่ว ๆ มาจากเครื่องขยายเสียงเป็นเพลงที่นักเรียนโรงเรียนการไปรษณีย์ต่างก็คุ้นเคยกันดีตลอดหนึ่งปีของการเรียนในรั้วสีเลือดหมูแห่งนี้ หนุ่มสาวหลายคนกำลังยืนถ่ายรูปกันที่ด้านหนึ่งของอาคารสูงสามชั้นที่ถูกทาทับด้วยสีแดง มีตัวอักษรสีขาวเขียนว่า ‘โรงเรียนการไปรษณีย์’ รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของแต่ละคนเป็นรอยยิ้มแห่งความสำเร็จอีกก้าวก่อนที่หนุ่มสาวเหล่านี้จะแยกย้ายกันไปบรรจุเป็นพนักงานไปรษณีย์ตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ บ้างอาจสมหวังบ้างอาจผิดหวังคละเคล้ากันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความภาคภูมิใจในอาชีพของตัวเอง   



“พี่ศิธา มาถ่ายรูปกัน” เสียงสาวน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียกสติของใครคนหนึ่งที่กำลังปล่อยใจคิดอะไรเพลิน ๆ ขณะแหงนหน้าขึ้นมองต้นชมพูพันทิพย์ที่มักจะออกดอกสีชมพูสะพรั่งในช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นช่วงการสอบของเหล่านักเรียนไปรษณีย์ หนึ่งปีสำหรับการเรียนที่นี่อาจไม่นานนักแต่มันก็ทำให้พวกเขาผูกพันกันได้ไม่ยาก


“เฮ้ย ๆ หลบ ๆ ให้พี่ศิธายืนข้างหน้าเลย ในฐานะพี่ใหญ่ของรุ่น” ชายหนุ่มที่ในมือถือช่อดอกไม้เอ่ยขึ้น


‘พี่ใหญ่ของรุ่น’ ชายหนุ่มร่างสูงผู้ได้รับเกียรตินี้ยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปยืนตรงที่ซึ่งบรรดาน้อง ๆ เว้นไว้ให้ จะมีใครคิดว่าอยู่ ๆ นักการตลาดมือดีก็ตัดสินใจสมัครสอบเข้าเรียนเป็นนักเรียนไปรษณีย์ทั้งที่หน้าที่การงานกำลังไปได้ดีแท้ ๆ ดังนั้นเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นนักเรียนไปรษณีย์ของเขาจึงเป็นบรรดาเด็ก ๆ ที่เพิ่งเรียนจบในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ไม่ก็นิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1  ที่ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาตามหาความฝันของตัวเองกับระยะเวลา 1  ปี ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองว่ามันเป็นการทำอะไรที่เสียเวลา แต่สำหรับ ‘ศิธาพัฒน์ กษิศภูมิ’ มันเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถทำให้เขาสามารถย้อนคืนสู่วันเวลาเก่า ๆ ได้


ไม่นานเสียงชัตเตอร์ก็ดังรัวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของหนุ่มสาว วันสุดท้ายของการใช้ชีวิตร่วมกันในโรงเรียนแห่งนี้กำลังจะหมดลง และอีกไม่นานที่แห่งนี้ก็จะมีนักเรียนไปรษณีย์รุ่นต่อไปเข้ามายืนแทนที่

 
“โชคดีพี่ อย่าลืมส่งข่าวถึงกันบ้างล่ะ ไปบรรจุเสียไกลเชียว” ชายคนเดิมกล่าวพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้


“ขอบใจนะ อย่าลืมส่งรูปให้บ้างล่ะ” คนตัวสูงรับดอกไม้มาพร้อมกับตบบ่าคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินจากมา ชายหนุ่มเดินตรงไปยังม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ซึ่งมีใครอีกคนกำลังรอเขาอยู่ ตาคมกริบทอดมองไปยังหญิงชราในชุดผ้าไหมสีตองอ่อนที่กำลังนั่งคุยอยู่กับบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ คนอื่น ๆ ที่มาแสดงความยินดีในวันจบการศึกษาของลูก ๆ  ผมสีดอกเลาถูกเซ็ตตีกระบังดูเนี้ยบกว่าตอนที่เธอเดินดูต้นไม้ในสวนของเธอเมื่อตอนอยู่ที่บ้านหลายเท่า ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินเข้าไป


“กลับกันเถอะครับย่า”


“อ้าว ทำไมรีบกลับ ย่าคิดว่าแกจะอยู่ถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ นานกว่านี้เสียอีก”




หลานชายส่ายหน้ายิ้ม ๆ “นานแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดีแหละครับ”
   



หญิงชราวัยแปดสิบปีกระชับวงแขนที่โอบกอดดอกไม้ช่อโตก่อนจะเหม่อมองสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนแต่ถนนเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยรถราที่จอดติดเป็นอัมพาต ครู่หนึ่งเธอก็ละสายตาจากภาพตรงหน้าก้มลองมองมืออันเหี่ยวย่นของตัวเองที่กำลังลูบคลำไปบนตราสัญญาลักษณ์รูปเครื่องบินกระดาษสีน้ำเงิน แดง ขาว ทำจากเรซินนูนซึ่งประดับอยู่บนปกผ้าไหมสีแดงสดมีตัวอักษรพิมพ์ทองเขียนว่า ‘โรงเรียนการไปรษณีย์’ ที่วางอยู่บนตักก่อนจะเปิดมันออกอ่านข้อความบนกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านใน



ดวงตาสีเทาหม่นไล่ไปตามตัวอักษรในประกาศนียบัตรซึ่งมอบให้แก่ผู้สำเร็จหลักสูตรนักเรียนการไปรษณีย์ปีล่าสุดจนกระทั่งมาหยุดที่ชื่อเจ้าของ


‘ศิธาพัฒน์ กษิศภูมิ’


หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มวัยย่างเบญจเพสที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ในตำแหน่งที่นั่งคนขับ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดตาถูกสวมมาตั้งแต่เมื่อเช้ายังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อย ที่คอผูกเนคไทสีน้ำเงินเข้มตัดกับแหนบเหน็บเนคไทสีทอง ผมรองทรงถูกหวีเสยเปิดหน้าผากเผยให้เห็นคิ้วเข้มหนารับกับดวงตาคมกริบ ในความคิดของคนที่เฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ นั้นเขาช่างเป็นหลานชายในบรรดาหลาน ๆ ทั้งสามคนที่นอกจากจะมีใบหน้าละม้ายคล้ายผู้เป็นพ่อแล้วนิสัยก็อย่างกับถอดแบบกันมา แม้ภายนอกจะดูใจเย็น สุขุม แต่หากรู้จักกันจริง ๆ หรือเป็นคนใกล้ชิด จะรู้ว่าเมื่อเขาคิดจะทำการอะไรแล้วไม่มีทางที่จะล้มเลิกง่าย ๆ หลานชายคนโปรดคนนี้จึงได้ชื่อว่า ‘ดื้อเงียบ’ ที่สุดในบรรดาหลาน ๆ ทั้งหมด 


“แกนี่มันดื้อเหมือนพ่อไม่มีผิด” แม้ปากจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่ในแววตาของคนเป็นย่าก็แสดงออกถึงความภูมิใจในความสำเร็จนี้ “แทนที่จะเรียนต่อปริญญาโท ก็รั้นมาเรียนโรงเรียนการไปรษณีย์”


แม้จะโดนบ่นแต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าหล่อเหลา แถมยังย้อนถามเสียด้วยซ้ำ “ย่านี่บ่นตั้งแต่ผมเข้าเรียนยันเรียนจบเลยนะ ปีหนึ่งแล้วนะย่า ย่าไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ”


“เหนื่อยสิ ย่าเหนื่อยจะบ่นแกแล้ว แต่แกนั่นแหละที่ทำให้ย่าต้องบ่น” หญิงชราขมวดคิ้วพร้อมกับปิดปกประกาศนียบัตรลง “อยู่ดีไม่ว่าดี ทำงานบริษัทดี ๆ ไม่ชอบ ดันอยากเป็นพนักงานไปรษณีย์” น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย


 “แล้วเป็นพนักงานไปรษณีย์มันไม่ดีตรงไหนล่ะครับ ลูกชายย่าก็เป็นนะ”


“มันก็ดีอยู่หรอก ถ้าแกไม่เดินเข้ามาบอกย่าว่าจะขอไปบรรจุที่ลำปาง”


ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “สามปีเองย่า ผมขอเวลาสามปีนะ”


ผู้เป็นย่าได้แต่เพียงฟังเฉย ๆ เธอเข้าใจกฎระเบียบนี้ดี เพราะนอกจากตอนนี้เธอจะเป็นย่าของว่าที่พนักงานไปรษณีย์ระดับ  2 แล้ว เธอยังเป็นแม่ของอดีตหัวหน้าสำนักงานไปรษณีย์จังหวัดด้วยเช่นกัน   


“ให้มันจริงเถอะ ย่าละกลัวจริง ๆ กลัวว่าประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย”


“โธ่..ย่าครับ นี่มันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนะครับ จนพี่ปุนจะแต่งงานแล้วย่ายังไม่ลืมอีกเหรอ”


“ใครจะลืมได้ พ่อแกน่ะทำย่าไว้แสบ อุตส่าห์ทาบทามลูกสาวเจ้าสัวเอาไว้ให้ สุดท้ายก็ไปคว้าลูกสาวชาวสวนมาเป็นเมีย”


“แต่สุดท้าย แม่ก็ชนะใจย่าได้” ชายหนุ่มยิ้มหวาน


“ย่ะ” น้ำเสียงงอน ๆ ของผู้เป็นย่าทำให้หลานชายอดนึกขำไม่ได้ เพราะแม่ของเขาเป็นคนขยันทำมาหากิน การเอาชนะใจ ‘คุณนายยุพา’ เศรษฐีนีเจ้าของสวนผลไม้เมืองนนท์จึงไม่ใช่เรื่องยาก


“แล้วนี่แกบอกพ่อกับแม่แกแล้วหรือยัง”


“ผมโทรไปบอกแล้วละครับ พ่อกับแม่บอกว่าจะบินกลับจากสงขลามาให้ทันส่งผมไปลำปาง”


“แล้วแกได้คุยกับเจ้าปุ้นมันบ้างหรือเปล่าว่าจะกลับบ้านเมื่อไร”


“อืม ก็เห็นพ่อบอกว่าเทอมหน้าปุ้นต้องออกไปฝึกงานในโรงพยาบาล ก็คงอีกนานเลยละครับกว่าจะได้กลับบ้าน” ศิธาพัฒน์ลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งข้าง ๆ กันก่อนจะยิ้ม “ทำไมครับ ย่ากลัวเหงาเหรอ”


หญิงชราไม่ได้ตอบอะไร เธอยังคงเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ซึ่งขณะนี้สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น จนกระทั่งสัมผัสอุ่น ๆ ที่หลังมือทำให้ต้องละสายตาหันกลับมา


“ย่าไม่ต้องกลัวเหงาหรอกครับ อีกหน่อยพอพี่ปุนแต่งงานมีหลาน ย่าก็จะมีเจ้าตัวเล็ก ๆ ไว้ให้ปวดหัวแล้ว”


“ปวดหัวกับพวกแกสามคนย่าก็จะแย่แล้ว” คุณนายยุพากล่าวอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับวางมือที่เหลือลงบนมือของหลานชายพลางนึกถึงเด็กหญิงและเด็กชายจอมซนสามคนที่มักจะทำให้ต้องปวดหัวอยู่บ่อย ๆ ถ้าไม่ทะเลาะกันเรื่องแย่งของเล่น ก็ทะเลาะกันเรื่องที่เถียงกันว่าพ่อแม่รักใครมากกว่ากัน แต่ทุกครั้งเหตุการณ์ทุกอย่างก็จะคลี่คลายลงได้ด้วยฝีมือของคุณย่าเสมอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากหลาน ๆ แห่งบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ทั้งสามคน ทั้ง ‘ปุน’ หรือ ‘ศิตางค์’ และ ‘ปุ้น’ หรือ ‘ศิลา’ รวมถึงศิธาพัฒน์จะสนิทกับคุณย่าเอามาก ๆ


สายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนทำให้การจารจรในช่วงบ่ายเป็นอัมพาตตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนค่อย ๆ ซาลงเมื่อรถนั่งแบบครอบครัวเลี้ยวเข้าซอยที่แวดล้อมไปด้วยสวนผลไม้ในชุมชนชาวสวนเก่าแก่ริมน้ำเขตจังหวัดนนทบุรี ไม่นานนักรถก็แล่นลัดเลาะสวนผลไม้มาจนถึงบ้านสองชั้นหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่กว้างขวาง คุณนายยุพามองหญิงสาวในชุดนางพยาบาลที่รีบวิ่งออกมารับหน้าก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ


“ยัยปุน ย่าบอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง สะดุดล้มไปจะทำยังไง โตเป็นสาวแล้วยังต้องให้ย่าพูดปากเปียกปากแฉะ”


ศิตางค์เดินเข้ามารับของจากมือของผู้เป็นย่า “ก็ปุนตื่นเต้นนี่คะ อยากเห็นนายไปรษณีย์คนใหม่” พูดจบเธอก็หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้น้องชายคนรองเป็นอันรู้กันว่าย่าสามารถบ่นได้ทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องที่ไม่น่าบ่น


“จะตื่นเต้นอะไรกันหนักหนา”


“แหม ย่าน่ะไม่ตื่นเต้นเลยนะคะ ปุนเห็นไปตัดชุดตั้งแต่สองเดือนที่แล้วแถมออกไปทำผมตั้งแต่เมื่อวาน”


คุณนายยุพาค้อนขวับ “แม่เราเขาซื้อผ้ามาให้ตั้งนานแล้วย่ากลัวมันจะเก่าก็เลยเอาไปตัด ๆ เสีย ส่วนผมย่าก็ไปทำของย่าเป็นปกติ” มือเหี่ยวย่นยกขึ้นจัดทรงผมแก้เก้อก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน 


“ค่ะ ปกติก็ปกติ” หลานสาวคนโตยิ้มหวาน มองหญิงชราที่กำลังเดินผ่านหน้าเธอไป รู้ดีว่าการเถียงกับคุณย่าจอมดื้อ เถียงอย่างไรก็ไม่ชนะ ดังนั้นเธอจึงหันไปหาคนตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ


“พี่ยินดีด้วยนะปุ่น”


“ขอบคุณครับพี่ปุน” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะดึงช่อดอกไม้มาถือเอาไว้เองในขณะที่พี่สาวของเขากำลังเปิดประกาศนียบัตรออกอ่าน


“พ่อกับแม่ต้องภูมิใจในตัวปุ่นมาก ๆ แน่ ๆ” เธอกล่าวทั้งที่สายตายังคงไล่อ่านข้อความในกระดาษอย่างตั้งใจ


“พ่อกับแม่เขาก็ภูมิใจในตัวพวกเราทุกคนนั่นแหละ” พูดจบแขนแกร่งก็โอบไหล่พี่สาวเอาไว้


“แล้วนี่ต้องไปสามปีเลยเหรอ”


“ครับ”


“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจพร้อมกับปิดประกาศนียบัตรลง “น้องชายฉันแต่ละคน ทำไมถึงอยู่ไกลบ้านกันนักนะ”


“โธ่..พี่ปุน เดี๋ยวเจ้าปุ้นมันเรียนจบมันก็กลับมาแล้ว เผลอ ๆ อาจจะได้มาเป็นเภสัชกรที่โรงพยาบาลเดียวกับพี่ก็ได้นะ”


“หึ คงได้ทะเลาะกันตายสิไม่ว่า” พี่สาวคนโตยิ้มพลางนึกถึงน้องชายตัวแสบประจำบ้าน “แล้วเราล่ะ ทำไมถึงเลือกไปไกลจัง ทั้งที่จริง ๆ ก็เลือกบรรจุในที่ทำการไปรษณีย์ใกล้ ๆ บ้านได้ แต่ก็ยังเลือกไปไกลถึงลำปาง”


“คงอยากไปในที่ที่พ่อกับแม่เคยอยู่ด้วยกันมั้ง” ริมฝีปากหนาขยับยิ้ม “เห็นชอบทบทวนความหลังให้ลูก ๆ อิจฉากันอยู่เรื่อย”


“พี่เองก็จำอะไรเกี่ยวกับที่นั่นไม่ได้เลย จำได้ว่าตอนที่พ่อกับแม่ย้ายกลับมาอยู่กับคุณย่าพี่ยังเด็กมาก นี่ถ้าแม่ไม่ตัดสินใจขายทั้งบ้านทั้งสวนที่นั่นปุ่นก็คงไม่ต้องไปลำบากหาที่อยู่ใหม่ แต่จากที่ฟังแม่เล่ากว่าพ่อจะตัดใจย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะ” 




 “นั่นน่ะสิ อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมพ่อถึงได้รักที่นั่นนัก”


ตาคมทอประกายเมื่อนึกถึงการเดินทางที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน...
   
 


....


สวัสดีค่ะ พบกันอีกแล้ว 

ก่อนอื่นต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

รู้สึกเกร็ง ๆ เหมือนกันเวลาคุณคนอ่านบอกว่า เข้ามาอ่านเพราะเห็นชื่อคนเขียน

(แหะ ๆ ไม่อยากให้คาดหวังกับเราเยอะค่ะ รู้ตัวว่ายังเขียนไม่ดี ^^")

ขออนุญาตออกตัวแรง ๆ ก่อนเลยค่ะว่าเราไม่ใช่นักเขียน อาจจะเขียนได้ไม่ดีนัก ต้องขออภัยนะคะ

แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ อ่านคอมเม้นท์แล้วสนุกดีเวลาคนอ่านเดาเรื่องต่อ

มีคนเดาถูกด้วยละ น่ากลัวจริง ๆ (นี่มาสิงร่างเราหรือเปล่า)

หลังจากตอนนี้ไปคงเว้นช่วงนานหน่อยนะคะ ขอไปเคลียร์การงานส่งก่อน

จะหมดคอร์สเวิร์คแล้วต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวหน่อย (ทั้งที่แอบดีใจสุด ๆ)

ขอบคุณ คุณ hembetaro ที่ช่วยดูคำผิดให้นะคะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-02-2014 10:52:21
คุณบุรุษไปรษณีย์ตัวเป็น ๆ มาแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-02-2014 11:12:13
 :mew1: :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 27-02-2014 11:27:33
อรั๊ยยยย คุณบุรุษไปรศนีย์มาแล้วววว  :-[

ครอบครัวนี้ดูน่ารักอบอุ่นจังเลยค่ะ
มีความหลังอะไรน้าที่ทำให้พี่ศิธาของเราต้องถ่อไปไกลถึงลำปาง

อ่านแล้วรู้สึกได้ว่าบรรยากาศอบอุ่นดีจังเลยค่ะ เขียนได้ละมุนมากๆ รอติดตามนะคะ ><
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 27-02-2014 11:32:15
ไปรษณีย์ปุ่นนี่เอง >.<

ขอบคุณนะคะ +1
ติดตามและเป็นกำลังใจค่ะ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 27-02-2014 11:40:45
ตอนนี้เรากำลังคาดหวังว่ามันจะอบอุ่นเหมือนเรื่องที่แล้วนะ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-02-2014 12:19:49
คุณไปรษณีย์มาแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 27-02-2014 12:44:47
คุณไปรษณีย์มาแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-02-2014 14:37:40
คุณปุ่นดูมาดแมนแฮนซั่มมากเลยค่ะ5555555
ไปพบรักกันที่ลำปาง โหยยยยยย
อยากให้เจอกันแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 27-02-2014 14:42:00
อุ้ย!!! มีพูดถึงเราด้วย แอบเขินนี้ดส์นุง  :o8:

รอลุ้นพี่ปุ่นกับน้องเต็มจะเจอกันยังไงน้อ~ 




สายฝนที่ตกลงมาอย่าไม่ลืมหูลืมตา

สายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  (ตก ง.งู ไปตัวฮะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 27-02-2014 14:55:19
ใกล้จะเจอกันแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: 28016 ที่ 27-02-2014 15:06:04
ชอบคุณย่าจังเลย คุณย่าที่เห่อยิ่งกว่าหลานแต่ไม่ยอมพูด :กอด1:
คุณศิธาแค่ชื่อก็รู้สึกได้ถึงความมาดแมน(?)
บรรจุไกลบ้านสามปีไปตามรอยความรักคุณพ่อคุณแม่  :o8:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 27-02-2014 16:33:36
ย่าตลกดีนะ ทั้งทีแอบไปตัดชุดทำผมด้วย  :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 27-02-2014 16:44:10

แหม---ไปตามรอยพ่อกับแม่
สงสัยจะได้เจอเนื้อคู่แบบเดียวกันเลยมั้งเนี่ย

คราวที่แล้วพ่อก็ขัดใจย่าด้วยการไปคว้าสาวชาวบ้านมาคนนึงแล้ว
คราวนี้ลูกก็ท่าทางจะขัดใจย่าด้วยการมีสะใภ้เป็นผู้ชายแน่ๆเลย
คุณย่าจะรับได้มั้ยเนี่ย

+ 1 + เป็ดจ้า

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: justonce ที่ 27-02-2014 17:56:32
คุณบุรุษไปรษณีย์มาแล้ว

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 27-02-2014 19:09:44
พี่ปุ่นไปไกลถึงลำปาง แถมไปตั้งสามปีด้วย
ได้ไปแล้วก็หาคำตอบให้ได้นะคะพี่ปุ่นว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงรักที่นั่น

สู้ต่อไปค่ะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-02-2014 20:59:10
ครอบครัวพี่ปุ่นอบอุ่นจัง
ชอบคุณย่า คุณย่าชอบบ่นแต่ใจดี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 27-02-2014 23:39:55
ชอบชื่อบ้านนี้จัง ปุน ปุ่น ปุ้น
แอบสงสารน้องตามของพี่เต็ม
รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-02-2014 13:07:52
คุณบุรุษไปรษณีย์มาแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 28-02-2014 15:08:42
ไปตามรอยความรักของพ่อแม่
แล้วอาจจะได้เจอรักแท้ของตัวเองนะคะพี่ปุ่น
ฮิ้วววว   o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: arakanji ที่ 02-03-2014 19:13:37
เห็นจากFBว่ามีเรื่องใหม่แล้ว
ตามมาด่วนๆเลยค่ะ
เม้นก่อนอ่าน55++
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 02-03-2014 21:09:25
ครอบครัวคุณไปรษณีย์ดูอบอุ่นจังเลยนะคะ
อย่างนี้พระเอก?ของเราต้องมาเติมเต็มความรักให้กับนายเอก?แน่นอน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 04-03-2014 22:36:09
เข้ามาส่องคุณไปรษณีย์ :m22:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 06-03-2014 19:26:17
เสียความมั่นใจในการคาดเดาเนื้อเรื่องไปอีกครั้งสําหรับการอ่านนิยาย

ตอนแรกขึ้นเรื่องมา นึกว่าคุณเต็มฟ้าจะออกแนวนิ่งๆ ขรึมๆ (ติดนิสัยจากจ้ามาประมาณนั้น)

แต่จากที่ดูจากการพูดคุยกับเพื่อน

อืม...แลดูธรรมดาเป็นเด็กวัยรุ่นแบบธรรมดาทั่วไปที่มีปม

ยังคงชอบความเป็น 'ธรรมดา' ของเนื้อเรื่องที่นักเขียนแต่งอยู่ดี อะไรที่ธรรมดามักดึงดูดได้ดีเสมอ ขอยืนยัน  :really2:

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^ ตอนแรกกะว่าลงให้ครบก่อนแล้วค่อยอ่านทีเดียวเหมือนเรื่องก่อน

แต่แหม...อดใจไม่ไหวอ้ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 2 : ศิธาพัฒน์)
เริ่มหัวข้อโดย: นลระชาย ที่ 07-03-2014 17:48:22
เขียนดีครับ น่าอ่าน
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-03-2014 15:52:01
ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน




วิดวิ้ว!!



เสียงลมผ่านริมฝีปากดังขึ้นทุกครั้งเมื่อบรรดาสาว ๆ ในชุดนักศึกษาเดินผ่านบันไดข้างหอสมุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของคณะศิลปกรรมศาสตร์คณะที่ได้ชื่อว่ารวมความเป็นที่สุดในหลาย ๆ เรื่องของมหาวิทยาลัยเอาไว้ หนุ่ม ๆ คณะศิลปกรรมศาสตร์พากันยึดเอาจุดยุทธศาสตร์นี้เป็นที่ตั้ง รอแซวสาว ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา จนหลายคนพากันเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า ‘สามแยกปากหมา’


“พ่อเป็นนกเหรอวะไอ้ดุ่ย” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาสะอาดสะอ้านกล่าวขณะกำลังหย่อนตัวลงนั่ง จากนั้นก็เปิดหนังสือเล่มหนาที่เพิ่งยืมมาจากหอสมุดออก พลิกดูภาพไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจเสียงผิวปากที่หยุดตั้งแต่เริ่มต้นคำถาม


หนุ่มเคราแพะรีบหุบยิ้มให้สาวน้อยที่กำลังเดินผ่านมาทันทีก่อนจะหรี่ตามองคนข้าง ๆ “อ้าวไอ้เต็ม มาถึงก็พูดจากวนเบื้องล่างพี่ดุ่ยเลยนะครับ”


“ก็เห็นวิดวิ้ว ๆ อยู่นั่นแหละ เลยคิดว่ามีพ่อเป็นนก วันหลังจะได้ฝากหนอนไม้ไผ่ไปให้กิน”


“โห ไอ้เต็ม เล่นถึงบุพการีเลยนะเอ็ง”  พูดจบพี่ดุ่ยของน้อง ๆ ก็หันกลับไปแซวสาวต่อ สี่ปีที่เรียนด้วยกันมาทำให้เต็มฟ้ารู้ดีว่าใครที่สามารถจะพูดจาเล่นหัวกันแรง ๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธ  ซึ่งนอกจากกีรติแล้ว ‘ดุ่ย  ก็คือหนึ่งในนั้นด้วย 




เมื่อสี่ปีก่อน...


“ผมชื่อเอกชัย ไชยคีรี หรือ มรว.ดุ่ยครับ” เมื่อจบประโยค หลาย ๆ คนอดไม่ได้ที่ตั้งคำถามขึ้นเงียบ ๆ ภายในใจ ‘หม่อมราชวงศ์เหรอวะ’


“อะไรของเอ็งวะ มรว. น่ะ หม่อมราชวงศ์เหรอ” คนถามถามแบบกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ไม่วายมองตั้งแต่หัวจดเท้าชายหนุ่มร่างกระทัดรัด สวมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาติดกระดุมยันคอเสื้อดูเรียบร้อยเกินชาวบ้าน  แทนที่จะสะพายกระเป๋าแบบที่วัยรุ่นเขาสะพายกันก็กลับสะพายย่ามให้กระแทกลูกตาคนมองเสียอย่างนั้น


“แม่เรียกว่าดุ่ยครับ” เสียงนั้นตอบอย่างหนักแน่นแต่ก็เรียกเสียงฮาจากบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมสาขาวิชาได้ไม่น้อย และนั่นก็คือครั้งที่แรกที่ใคร ๆ ได้รู้จักกับชายหนุ่มสะพายย่ามคนนี้

แม้ว่านายเอกชัย ไชยคีรีจะพยายามบอกใคร ๆ ว่าตัวเองคือ ‘มรว.ดุ่ย’ แต่อย่างไรเสียเขาก็คือ ‘ไอ้ดุ่ย’ ของเพื่อน ๆ อยู่ดี ถึงอายุจะเยอะกว่าเพื่อนในรุ่นหรือรุ่นพี่บางคนอยู่มากเพราะเปลี่ยนที่เรียนมาหลายที่ ถึงใบหน้าจะนำอายุไปอีกไกลก็ตาม แต่ดุ่ยก็ยังคงทำตัวเด็กเสมอ จนกลายเป็นคนที่รักของเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมสาขาวิชา และเป็นที่รู้จักของทุกคนในคณะตั้งแต่คณบดียันยามเฝ้าตึก เวลาย่างกรายไปที่ไหนก็มักจะมีแต่คนทักและมักจะรู้จักคนอื่นเขาไปทั่วจนบางครั้งเพื่อน ๆ ก็รำคาญในความป๊อปปูลาร์นี้


“เฮ้ย ๆ ไอ้เต็ม ๆ” มือของคนข้าง ๆ ที่ปัดป่ายให้มั่วไปหมดทำให้เต็มฟ้าต้องเงยหน้าจากหนังสือในมือ


“อะไรวะ” ปากบางขยับพร้อมกับปัดมือของเพื่อนให้พ้นหน้าตัวเอง


“น้องคนนั้นน่ะ เอ็งรู้จักหรือเปล่าวะ”


เต็มฟ้ามองตามหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถแท็กซี่สีเขียวเหลือง
“อ๋อ น้องแป้งที่อยู่เอกนาฏศิลป์ไง”


“งั้นลุก” ไม่พูดเปล่าดุ่ยลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเองที่ไม่ค่อยจะสูงนักเมื่อเทียบกับเพื่อนผู้ชายคนอื่น ๆ ก่อนจะหันกลับมารั้งแขนเต็มฟ้าให้ลุกขึ้นตาม


“อะไรวะ”


“แนะนำให้ข้ารู้จักหน่อย”


“เดี๋ยวก็ได้”


“ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ ไปเร็ว ข้าอยากรู้จักน้องเขา”


คนตัวสูงกว่าส่ายหน้าพร้อมกับกระชับหนังสือสองเล่มใหญ่ในมือก่อนจะเดินตามแรงรั้งของเพื่อนข้ามฝั่งกลับไปยังคณะของตัวเอง




นักศึกษากลุ่มสุดท้ายกำลังพยายามเบียดกันเข้าไปยืนในลิฟท์เป็นภาพชินตาในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ เสียงเตือนน้ำหนักเกินทำให้สาวร่างบางที่ก้าวเข้าไปเป็นคนสุดท้ายต้องชักเท้ากลับ เธอโบกมือให้เพื่อนก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง ตาคู่สวยภายใต้คอนแท็คเลนส์สีน้ำตาลเข้มจ้องมองนาฬิกาข้อมือด้วยท่าทางที่ดูไม่รีบร้อนนักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิตัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามชั้น


“อ้าวพี่เต็ม พักนี้ไม่ค่อยเหนหน้าเห็นตา” หญิงสาวที่เพิ่งละสายตาจากตัวเลขดิจิตัลเหนือประตูลิฟท์ทักทาย “มีเรียนเหรอคะ”
 

“เปล่าหรอก พี่จะแวะไปเอาของที่ล็อกเกอร์น่ะ” ชายหนุ่มกล่าวเพียงแค่นั้นจนกระทั่งเสียงกระแอมของคนข้าง ๆ ดังขึ้น


“ตี..น ติด..” เต็มฟ้าเหลือบมองคนข้าง ๆ นึกขึ้นมาได้ว่าที่ต้องพากันมายืนอยู่หน้าลิฟท์นี้เพราะมีจุดประสงค์ เขาจึงจำต้องกลืนคำพูดนั้นลงคอแล้วเปลี่ยนมาเป็นการแนะนำให้หนุ่มทัศนศิลป์และสาวนาฏศิลป์ได้รู้จักกันแทน


“เอ้อ..น้องแป้ง นี่เพื่อนพี่ ชื่อพี่ดุ่ย” เสียงนั้นดูเป็นมิตรทีเดียวเมื่อเทียบกับตอนที่เขาหันไปพูดกับคนที่มาด้วยกัน “ไอ้ดุ่ยนี่น้องแป้ง นาฏศิลป์”


“สวัสดีค่ะพี่ดุ่ย” หญิงสาวยกมือไหว้


“สะ สวัสดีครับ”


“แม่มันขายดอกไม้อยู่ปากคลองตลาดน่ะ แนะนำให้รู้จักไว้เผื่อน้องแป้งมีงานแล้วต้องใช้ดอกไม้เยอะ ๆ ก็สั่งกับไอ้ดุ่ยมันได้เลยนะ เดี๋ยวมันเอามาส่งให้”   


“จริงเหรอคะ ดีจังเลยค่ะ งั้นแป้งขอเบอร์พี่ดุ่ยหน่อยได้ไหมคะ”


เต็มฟ้าเหลือบมองแพะแคระที่ยืนตะลึงอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าเก็บในย่ามของเพื่อนแล้วส่งให้เธอแทน
แม่สาวนาฏศิลป์คว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ของตัวเองแล้วกดโทรออกจนแน่ใจว่ามีเสียงเตือนสายเข้าจากกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูลิฟท์เปิดออกทั้งหมดจึงพากันก้าวเข้าไปในลิฟท์


“ชั้นไหนคะ” คนที่ยืนอยู่ใกล้ปุ่มกดเลือกชั้นที่สุดเอ่ยขึ้น


“ชั้นรักเธอครับ” หนุ่มเคราแพะตอบ ในขณะที่หญิงสาวทำหน้าเบ้เหมือนอยากเอาข้าวเช้าออกจากกระเพาะเสียเดี๋ยวนี้


“ถุย!  เสี่ยวตลอด” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “ชั้นเจ็ดครับ”
ในขณะที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดพลันเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาก็ดังขึ้น


“รอด้วยคร้าบบบบบ”
รองเท้าผ้าใบเก่า ๆ ขาด ๆ รอดผ่านช่องว่างแคบ ๆ ตัดเซ็นเซอร์ทำให้ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง สามคนที่ยืนอยู่ก่อนต่างเบี่ยงตัวหลบรัศมีบาทากันให้วุ่น โดยเฉพาะสาวน้อยที่ยืนชิดมุมด้านหนึ่งหน้าของเธอบอกให้รู้ว่ากำลังตกใจสุดขีด


“โธ่ ไอ้เวร นึกว่าใคร” รุ่นพี่เคราแพะกล่าวก่อนจะพาร่างของตัวเองออกจากผนังที่เกาะเป็นตุ๊กแกอยู่เมื่อครู่


“แหะ ๆ ขอโทษครับ” เจ้าของรองเท้าผ้าใบขาดกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่ในสาขาก่อนจะเดินเข้าไปยืนด้านในอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว


“วันหลังมาแค่เสียงก็ได้นะ ไม่ต้องเอาเท้านำมา รีบอะไรขนาดนั้นวะ” เต็มฟ้ากล่าว


“โหพี่ ไม่รีบได้ไง นี่จะแปดโมงสี่สิบแล้ว อีกห้านาทีอาจารย์จะล็อคห้องแล้วเนี่ย” ชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่กล่าวพร้อมกับกระชับสายสะพายกระเป๋ากล้องที่บ่า


“ว่าจะคุยกับเอ็งเรื่องถ่ายรูปทำสูจิบัตรก็คงไม่ได้คุยแล้วสิ”


“วันหลังแล้วกันพี่ดุ่ย วันนี้ผมรีบจริง ๆ”


“เรียนอะไรวะถึงได้รีบขนาดนั้น” เต็มฟ้าถามอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตอบนัก


“เรียนโฟโต้พี่ วันนี้เข้าห้องมืดด้วย”


“กับอาจารย์อาทิตย์ทัศน์น่ะเหรอ”


“ช่ายยยยยยยยพี่เต็ม” หนุ่มสกินเฮดกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือกดลิฟท์


สาวน้อยที่ยืนเงียบ ๆ ขยับยิ้มเมื่อนึกถึงอาจารย์หนุ่มหล่อผู้ได้รับการโหวตแบบลับ ๆ จากสาวแท้หนุ่มเทียมให้เป็นขวัญใจชาวคณะศิลปกรรมศาสตร์คนนั้นก่อนจะแสดงความเห็น “ท่าทางใจดีออก”


“อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ใจดีเหมือนหน้าตานะเธอ”


ประตูลิฟท์เปิดอีกครั้งที่ชั้นเจ็ด ทั้งเต็มฟ้าและดุ่ยจึงต้องแยกกับรุ่นน้องของพวกเขาโดยปล่อยให้การสนทนาหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงเหลือบมองเพื่อนเคราแพะที่กำลังยืนโบกมือให้สาวน้อยหน้าสวยที่ยืนอยู่ในลิฟท์ด้วยความรู้สึกขบขัน


“เกิดมายังไม่เคยมีสาวขอเบอร์เลยว่ะไอ้เต็ม” คนที่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์เอ่ยขึ้น


“เป็นเอามากว่ะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสโมสรนักศึกษา ซึ่งนอกจากภายในห้องจะมีโต๊ะสำหรับให้นักศึกษานั่งทำงานแล้วยังมีล็อกเกอร์สำหรับเก็บของส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียงเป็นแถวตามชั้นปีอีกด้วย ชายหนุ่มเดินตรงไปยังล็อกเกอร์ที่อยู่ติดหน้าต่างก่อนจะหยิบกุญแจเล็ก ๆ จากกระเป๋าเสื้อมาไขเปิดตู้ กลิ่นหอมจากพวงมาลัยดอกมะลิที่ซื้อจากคุณยายที่มักจะมานั่งร้อยมาลัยขายที่ตรอกเล็ก ๆ ใกล้กับประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยยังคงส่งกลิ่นจาง ๆ แม้ว่าเขาจากฝากป้าแม่บ้านเอาไปบูชาพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในห้องพักอาจารย์แล้วก็ตาม ในวันครบรอบวันตายของแม่เช่นนี้คนเป็นลูกก็คงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงการทำบุญขอพรพระให้แม่มีความสุขในที่ที่แม่อยู่เท่านั้น ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมดึงเอาเป้สะพายหลังออกมา ซิปที่ถูกรูดเปิดคาเอาไว้เมื่อตอนหยิบถุงใส่พวงมาลัยออกจากเป้ทำให้สมุดสเก็ตซ์ที่อยู่ข้างในตกลงบนพื้น


“มือไม้อ่อนเชียวนะเอ็ง” หนุ่มเคราแพะที่เดินตามเข้ามาเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงที่โต๊ะในขณะที่คนถูกเหน็บค่อย ๆ ก้มลงเก็บสมุดสเก็ตซ์และซองจดหมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกอ่าน มือเรียวเอื้อมหยิบซองจดหมายก่อนจะนั่งลงเอนหลังพิงล็อกเกอร์ ดวงตาทอดมองลายมือแชมป์คัดไทยของระดับชั้นที่เขียนไว้ที่หน้าซอง



‘พี่เต็ม’



มันเป็นจดหมายจากน้องชายคนเดียวที่ถูกฝากมากับ ‘ชลธร’ ลูกสาวของน้าแท้ ๆ ของเขาซึ่งช่วยผู้เป็นแม่ดูแลกิจการเกสต์เฮาส์และร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวในจังหวัดลำปาง



จดหมายเจ้าปัญหานี้ถูกส่งถึงมือของเขาตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากนั้นเกือบทุกวันเขาก็มักจะได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากน้าเดือนถามว่าเมื่อไรจะตอบกลับจดหมายฉบับนั้นเสียที
นิ้วเรียวค่อย ๆ ฉีกซองออกก่อนจะดึงกระดาษมีเส้นที่ถูกพับสอดเอาไว้ออกมาคลี่อ่าน ข้อความในจดหมายถูกเขียนด้วยดินสอ ตัวครึ่งบรรทัดหัวกลมหลังคาโค้งอ่านง่าย ดวงตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ค่อย ๆ ไล่มองไปทีละตัวอักษรที่ประกอบกันจนเป็นคำ...



สวัสดีครับพี่เต็ม

จดหมายฉบับนี้น้าเดือนช่วยตามเขียนละ พี่เต็มเป็นยังไงบ้าง น้าเดือนบอกว่าพี่เต็มยุ่ง ๆ ไม่มีเวลารับโทรศัพท์ ตามก็เลยเขียนจดหมายฝากพี่ชลมา น้าเดือนบอกว่าอีกไม่กี่เดือนพี่เต็มก็จะเรียนจบ กลับไปอยู่บ้านเรา ทั้งพี่ชล น้าเดือน แล้วก็พ่อพากันทำความสะอาดห้องพี่เต็มทั้งที่ร้านแล้วก็ที่ไร่ไว้รอ ตามอยากให้พี่เต็มกลับมาเร็ว ๆ จัง ตามคิดถึง ^^

                                                                                                   

                                                                                                            จาก ตาม





เต็มฟ้าผ่อนลมหายใจเบา ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามตัวอักษรในบรรทัดสุดท้ายซึ่งเป็นชื่อน้องชายของเขา ที่ท้ายข้อความมีรูปดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งดวงเล็ก ๆ มีรัศมีห้าเส้น นอกจากรูปครอบครัวที่มีกันทั้งหมดสี่คนพ่อแม่และลูก ๆ  นั่นก็เป็นรูปภาพรูปแรก ๆ ที่เขามักจะเห็นในกระดาษวาดเขียนเมื่อน้องของเขาเริ่มขีด ๆ เขียน ๆ ได้คล่องขึ้น



“จดหมายใครวะเต็ม หลานเทคเหรอ” หนุ่มเคราแพะเจ้าของล็อกเกอร์ข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้นขณะเดินมาเปิดหยิบนิตยสารพระเครื่องที่วางอยู่ข้างในก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ โดยมีเต็มฟ้าลุกตามไปนั่งด้วยกัน


“จดหมายน้องว่ะ” คนถูกถามกล่าวก่อนจะพับจดหมายใส่ซองตามเดิม จากนั้นจึงจัดการสอดมันไว้ในสมุดสเก็ตซ์


“น้อง นี่เอ็งมีน้องด้วยเหรอวะ ข้าไม่ยักรู้”


“มีสิวะ ไม่เหมือนไอ้พวกลูกคนเดียว ไม่มีใครอยากเกิดตาม”


“พูดจากวนเบื้องล่างพี่ดุ่ยตลอดเลยนะครับน้องเต็ม” หนุ่มเคราแพะกล่าวพร้อมกับเปิดนิตยสารในมือออกอ่าน เต็มฟ้าไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงแต่กลับเงี่ยหูฟังเสียงพื้นยางของรองเท้าผ้าใบซึ่งเสียดสีกับหินแกรนิตที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ช้าร่างของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของทรงผมเดทร็อคก็ปรากฏขึ้น


“มาอยู่นี่กันนี่เอง เมื่อกี้ไปดูที่ช็อปมาไม่เจอใคร ทำอะไรกันอยู่วะ” กีรติกล่าวขณะเดินมานั่งลงข้าง ๆ เต็มฟ้า


“กำลังคุยเรื่องน้องไอ้เต็ม” คนที่ก้มหน้าก้มตาดูภาพพระผงเนื้อดีในหน้าหนังสือเอ่ยขึ้น “เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานไม่ยักรู้ว่ามีน้องด้วย”


กีรติเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ถึงความเป็นไปภายในครอบครัวของคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ “เอ้อ ฉันเอาใบสมัครบริษัททำกราฟิกของพวกแกไปส่งกับอาจารย์แล้วนะ อาจารย์บอกว่าจะเอาไปให้รุ่นพี่ที่ทำอยู่ในนั้นอีกที ทีนี้ก็แค่รอแลเขาเรียกมาแล้วว่ะ”


“เอ่อ...นี่น้องเก้อย่าบอกนะครับ ว่าน้องเก้เขียนใบสมัครให้พี่ดุ่ยแล้วก็ส่งไปด้วย”


“ก็ใช่ไง” กีรติตอบหน้าตาเฉย


“อะ ไอ้เวรเก้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่สมัคร พวกเอ็งจะสมัครก็สมัครไปสิ” ดุ่ยโวยวายอย่างไม่เกรงใจพระสงฆ์องค์เจ้าองตรงหน้า


“อะไรวะ เป็นเพื่อนกันก็ต้องไปด้วยกันสิ” อีกคนก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจคำทักท้วงใด ๆ หนุ่มเคราแพะเองได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก


“แกจะหงุดหงิดทำไม ส่งไปก็ใช่ว่าจะได้แน่ ๆ เสียเมื่อไร”


คนหน้ามุ่ยช้อนตามองเพื่อนพร้อมกับกอดอกพูด “ก็คนมันโพรไฟล์ดี มีการศึกษา หน้าตาเพอร์เฟค ใคร ๆ ก็อยากรับเข้าทำงาน”
“นั่นแกพูดถึงไอ้เต็มใช่ไหม”


“ถุย! ข้าพูดถึงตัวข้าเองโว้ย”


“นึกว่าตัวเองเป็นพระเอกในนิยายหรือไง” กีรติยังคงต่อล้อต่อเถียง


“ว่าแต่ข้า แล้วเอ็งล่ะ ไปชวนไอ้เต็มมันทำงานในกรุงเทพฯ ทั้งที่มันตั้งใจจะกลับไปช่วยพ่อมันดูแลโรงงานเซรามิคที่บ้าน ระวังเถอะพ่อมันจะเอาปืนมายิงเอ็ง โทษฐานที่ทำให้ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน”


กีรติชะงักนิดหนึ่งก่อนจะหันไปหาคนที่ถูกพาดพิงเมื่อสักครู่ ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ในมือเหมือนไม่ได้สนใจฟัง ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่หรือไม่


“แล้วนี่เอ็งบอกพ่อหรือยังวะเต็ม” คนจุดประเด็นตั้งคำถาม


เต็มฟ้ายังคงจ้องมองปลายนิ้วที่ลากไปมาบนหน้าจอสัมผัส เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคนถามเพียงแต่ตอบปฏิเสธอย่างแผ่วเบา
“แล้วแกจะไปอยากรู้เรื่องของมันทำไมวะ” กีรติแทรกขึ้น


“ผมก็อยากมีส่วนร่วมบ้างสิครับ”


“แต่แบบนี้แถวบ้านฉันเขาเรียกว่า..สะ..” 


“หยุด! ไอ้เก้ อย่าใช้คำแบบนั้นกับพี่ดุ่ย พี่ดุ่ยขอร้อง”


เต็มฟ้ามองดูสองคนที่กำลังเถียงกันก่อนจะตัดสินใจห้ามทัพอย่างอดรนทนไม่ไหวด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงเสียงดัง “จะเถียงกันทำไมวะ น่ารำคาญ ฟังเพลงดีกว่า”


“ไอ้เต็ม!!!!” สองหนุ่มที่กำลังเถียงกันอยู่เมื่อสักครู่ต่างร้องเสียงหลงก่อนจะพร้อมใจทิ้งฝ่ามือลงบนศีรษะทุย ๆ ของคนที่เอาแต่โยกตามจังหวะเพลงโดยไม่ได้สนใจชาวบ้าน


“เจ็บนะโว้ย!” เต็มฟ้าโวยวายพร้อมกับยกมือขึ้นจับศีรษะของตัวเอง


“ใครใช้ให้กวนตีน” กีรติกล่าวก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือของเพื่อนมากดปิด


“ทีอย่างนี้ละสามัคคีกันขึ้นมาเลยนะ”


“ไอ้นี่...ชอบให้ใช้กำลังอยู่เรื่อย” พูดจบหนุ่มเดทร็อคก็ส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เพื่อน “เอาคืนไป”


“สมองเสื่อมหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“เวอร์แล้วไอ้เต็ม โดนตบกบาลแค่นี้ทำสำออย เดี๋ยวปั๊ดซ้ำด้วยหนังสือพระ” ดุ่ยกล่าวพร้อมกับม้วนนิตยสารพระเครื่องในมือทำท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็เตรียมตั้งการ์ดสู้ไม่ถอย


“พอเลย แกนี่นอกจากตัวเองจะก่อกรรมทำเข็ญแล้ว หลวงพ่อท่านไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยังจะดึงท่านมาทำบาปด้วยอีก อะ..ไอ้คนเลว ไอ้ดุ่ย ไอ้คนบาป”


“เต็ม” สัมผัสอุ่น ๆ ที่ไหล่ทำให้ต้องชะงัก เต็มฟ้าลดมือลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สายตาของกีรติที่มองมาเตือนว่าเขากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกเศร้าหมองที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจด้วยการทำตัวเองให้ดูร่าเริงอีกแล้ว


“ไอ้ดุ่ยด้วย” หนุ่มเดทร็อคละสายตาจากคนตรงหน้าก่อนจะหันไปหาเพื่อนเคราแพะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “เดี๋ยวหลังจากจบนิทรรศการพวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า”


“นึกยังไงชวนไปเที่ยววะ”


“ก็เที่ยวอำลาความเป็นเด็กไง เที่ยวอำลาชีวิตมหาวิทยาลัยอะไรทำนองนี้”


“ไปไหนวะ” เต็มฟ้าถาม


“สุราษฎร์ดีไหม”


“บ้านเอ็งเลยนี่หว่า”


“ใช่” กีรติกล่าวพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น อ้าแขนเหมือนจะเตรียมรับลำแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ยามเช้า “จะพาพวกแกไปอยู่ในอ้อมกอดขุนเขาและสายน้ำของเขื่อนเชี่ยวหลาน พายเรือกินลมชมวิว” ท่าทางและน้ำเสียงของเขาเกือบทำเพื่อน ๆ เคลิ้มตาม ถ้าใครคนหนึ่งไม่สอดขึ้น


“มีคลื่นหรือเปล่าวะ”


“อ้าวไอ้ดุ่ย ก็บอกอยู่ว่าไปเขื่อนไม่ได้ไปทะเล มันจะมีคลื่นได้ยังไงวะ”


“ข้าหมายถึงคลื่นโทรศัพท์โว้ย เผื่อน้องแป้งนาฏศิลป์โทรหาข้า เราสองคนจะได้ไม่ขาดการติดต่อ” ดุ่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าของตัวเองออกมากดดูเบอร์ที่เพิ่งได้มา


“โทรศัพท์เก่าเก็บแบบนี้ แกเก็บไว้ทับกระดาษเถอะ” เต็มฟ้านั่งฟังมานานเอ่ยขึ้น


“อ้าว ๆ ถึงจะเก่าเก็บ ถึงจะใช้ปลายนิ้วสัมผัสไม่ได้ แต่รับสายเมื่อไรใจก็สัมผัสได้ว่าคิดถึงนะครับ”





สามัคคี...ถุย!!!!!!


ในที่สุดก็วงแตก...





(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-03-2014 15:52:38
ที่บ้านไม้หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ด้านหลังของบ้านมีระเบียงยื่นออกสำหรับเป็นมุมพักผ่อนของสมาชิกในครอบครัว จากจุดนี้ “พ่อเลี้ยงตรัย” ผู้เป็นเจ้าของบ้านมักจะออกมายืนรับลมมองดูความเป็นไปของ “ไร่แสงดาว” ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลในทุก ๆ เช้า นัยน์แข็งกร้าวกลับอ่อนลงเมื่อภาพความทรงจำเก่า ๆ ปรากฏขึ้นในความคิด ในตอนสายของวันนี้ของเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเขาเป็นชายหนุ่มที่ต้องเป็นทั้งผู้ได้รับและผู้สูญเสียในเวลาเดียวกัน เมื่อภรรยาที่รักต้องเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดทารกเพศชายหน้าตาน่ารัก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารัก “ตามตะวัน” ลูกชายคนสุดท้องน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เขาต้องดูแลลูกชายตัวน้อยมากเป็นพิเศษเพราะโชคชะตาที่ทำให้เกิดมาโดยปราศจากแม่ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาพ่อเลี้ยงตรัยยังคงครองตัวเป็นโสดแม้จะมีสาวน้อยสาวใหญ่แวะเวียนเข้ามาให้พิจารณาอยู่เนือง ๆ แต่เขาก็ไม่อาจลบภาพของ “ดารกา” ภรรยาสุดที่รักออกจากใจได้



“พ่อ!!” เสียงเจื้อยแจ้วคุ้นหูที่ดังขึ้นเรียกรอยยิ้มของผู้เป็นพ่อกลับคืนมาอีกครั้ง พ่อเลี้ยงตรัยในวัยใกล้ห้าสิบยกมือหนาขึ้นปาดคราบน้ำตาก่อนจะหันไปหาเจ้าของเสียงที่กำลังวิ่งเข้ามาหา ผู้เป็นค่อยจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งพร้อมกับอ้าแขนรับลูกชายที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน เด็กชายโถมตัวเข้าใส่ผู้เป็นพ่อพร้อมกับสวมกอดด้วยความคิดถึง


“ไง ไอ้ลูกชาย” ริมฝีปากหนาขยับยิ้มพร้อมลูบไปบนแผ่นหลังเล็ก ๆ ของลูกชาย “ดื้อกับน้าเดือนหรือเปล่า”


หนุ่มน้อยยิ้มก่อนจะขยับตัวออกห่างเพื่อมองหน้าของพ่อให้ชัด ๆ “ตามทำตามที่พ่อสอนครับ ไม่ดื้อแล้วก็ช่วยน้าเดือนทำงานบ้านด้วย แต่น้าเดือนไม่ค่อยยอมให้ตามทำ”


“อะไรกัน ไม่ทันไรก็นินทาน้าแล้วเหรอ” หญิงวัยไล่เลี่ยกับพ่อของหนูน้อยที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน
“เปล่าครับ ตามไม่ได้นินทา” หนุ่มน้อยกล่าวซื่อ ๆ


“เป็นยังไงบ้างเดือน เจ้าตามมันดื้อไหม” พ่อเลี้ยงตรัยถามพร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อทำให้ลูกชายต้องเงยหน้ามองตาม การคลอดก่อนกำหนดของผู้เป็นแม่ทำให้เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเต็มผู้นี้ตัวเล็กกว่าเด็กชายในวัยเดียวกันซ้ำยังเป็นเด็กขี้โรค


“ไม่เลยค่ะพี่ตรัย ตาตามแกเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย พี่ตรัยไม่ต้องห่วงค่ะ”


“เห็นไหมพ่อ ตามบอกแล้วก็ไม่เชื่อ”


เมื่อได้ฟังคำพูดของลูกชาย พ่อเลี้ยงตรัยก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือหนาโยกศีรษะเล็ก ๆ นั้นเบา ๆ รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินเสียงใส ๆ นี้ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาตามตะวันถูกส่งให้ไปอยู่กับเดือนดาราผู้เป็นน้าแท้ ๆ ในเมือง เนื่องจากพ่อเลี้ยงตรัยต้องเดินทางไปนู่นมานี่อยู่บ่อย ๆ อีกทั้งโรงเรียนของตามตะวันก็อยู่ใกล้ ๆ กับเกสต์เฮาส์ของเธอ การรับตัวหลานชายไปอยู่ด้วยกันจึงน่าจะทำให้ผู้เป็นพ่อของเขาคลายความเป็นห่วงลงได้


“เมื่อเช้าเดือนพาตามไปทำบุญวันเกิดแล้วก็ทำบุญให้แม่ ใช่ไหมตาม”


“ใช่ครับ” หนุ่มน้อยตอบอย่างภาคภูมิใจ


“เมื่อเช้าพี่ก็ไปทำบุญให้เขามาเหมือนกัน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งประจัญหน้ากับลูกชายอีกครั้ง มือหนาเอื้อมวางบนศีรษะส่วนมืออีกข้างจับที่ไหล่ของหนุ่มน้อยเอาไว้แน่น


“สุขสันต์วันเกิดนะลูก พ่อดีใจที่ลูกเกิดมา” กล่าวจบผู้เป็นพ่อก็รวบตัวลูกชายมากอดเอาไว้ “พ่อรักลูกมากนะ”


น้ำเสียงสั่นเครือของผู้เป็นพ่อทำให้รู้ว่าพ่อกำลังร้องไห้ เด็กชายตามตะวันจึงใช้มือเล็ก ๆ ของตัวเองลูบลงบนหลังของพ่อเบา ๆ





“ตามก็รักพ่อครับ พ่ออย่าร้องไห้นะ”



มันคือสิ่งที่หนุ่มน้อยมักจะพูดเสมอในวันเกิดของตัวเอง...




เพียงไม่นานก็ถึงเวลาสำคัญของบรรดานักศึกษาสาขาทัศนศิลป์ชั้นปีสุดท้ายที่จะต้องจัดนิทรรศการแสดงงานก่อนจบการศึกษาของตัวเอง หอศิลป์เล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ถูกเปิดให้ใช้งานอีกครั้งหลังจากปิดเงียบมานาน ภาพเขียนสีน้ำมัน สีอะคริลิค และสีน้ำ ถูกวางเรียงรายรอการติดตั้งเข้ากับผนังสีขาวสะอาดตา ตรงกลางห้องมีแท่นแสดงงานสื่อประสม งานประติมากรรม และเซรามิค ซึ่งขณะนี้งานส่วนใหญ่ถูกนำมาติดตั้งเรียบร้อยแล้ว


“หลบๆๆๆๆๆ หลบพี่ดุ่ยหน่อยครับน้อง” เสียงเอะอะโวยของหนุ่มป๊อบปูลาร์ทำเอาบรรดานักศึกษาที่กำลังช่วยกันเตรียมงานและจัดสถานที่กันอยู่ภายในหอศิลป์ต้องมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ซึ่งภาพที่เห็นก็คือหนุ่มร่างเล็กที่กำลังแบกประติมากรรมดินเผาสีนวลของเขาเข้ามาภายในห้องจัดแสดงอย่างทุลักทะเล


“โอ้โห...เพิ่งออกจากเตามาเลยเหรอพี่ งานร้อนจริง ๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น


“เขาเรียกงานสดครับน้อง” หนุ่มเคราแพะกล่าวก่อนจะวางผลงานของเขาลงที่แท่นกลางห้อง


“ไอ้ดุ่ยเผางานอีกแล้ว เผาตั้งแต่ปีหนึ่งยันจะเรียนจบ แล้วดูสิ ในสูจิบัตรถ่ายงานมันได้แค่ตอนขึ้นรูป ขืนรอมันเอาออกจากเตาพอดีไม่ต้องพิมพ์สูจิบัตรกัน” กีรติกระซิบบอกเต็มฟ้าซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการติดป้ายอธิบายงานเซรามิคของตัวเองอยู่อีกด้านหนึ่ง


ชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะกล่าว “มันเผางานส่ง แต่งานมันก็ได้เอทุกครั้งนะ”


“ก็นั่นน่ะสิ ฉันถึงบอกแกว่าความยุติธรรมมันไม่มีในโลก”


“ฮ่า ๆ นี่ยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่าว่าฝีมือตัวเองสู้มันไม่ได้”


“แหม..ไอ้เต็ม ไอ้คนเพอร์เฟค” กีรติกล่าวอย่างหมั่นไส้ “นั่น คนเพอร์เฟคมาอีกคนแล้ว” พูดจบหนุ่มเดทร็อคก็ลุกขึ้นเดินไปที่กลางห้องจัดแสดง


“อะไรของมันวะ” คนที่กำลังมองตามด้วยความงุนงงพึมพำกับตัวเอง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อใครคนหนึ่งทิ้งตัวนั่งลงใกล้ ๆ กัน



“เหนื่อยไหม” กระป๋องน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่งถูกยื่นมาให้



เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตา “ยุทธภูมิ” หนุ่มนักเรียนแพทย์ชั้นปีเท่ากันก่อนจะรับกระป๋องอะลูมิเนียมเย็นเฉียบนั้นมาถือเอาไว้ “ขอบใจนะ”


“ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่าจะแสดงงาน”


“คิดว่าน่าจะยุ่ง ๆ เลยไม่ได้บอกให้รู้” พูดจบก็เปิดกระป๋องน้ำอัดลมก่อนจะยกขึ้นดื่ม


“คิดเอาเองอยู่เรื่อยเลยนะ” ริมฝีปากหนากดยิ้มพร้อมกับส่งสายตาวิบวับ “ยุ่งแค่ไหนก็มาได้ งานสำคัญของคนสำคัญน่ะ”
คำพูดของคนข้าง ๆ ทำเอาสำลักน้ำ เต็มฟ้าใช้หลังมือซับน้ำหวาน ๆ ที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากก่อนจะวางกระป๋องน้ำลงข้างตัว


“ยังไม่ชินอีกเหรอ” หนุ่มหน้าตี๋ยิ้มหวาน


“ใครจะไปชินวะ” น้ำเสียงห้วน ๆ ทำเอาคนฟังถึงกับอมยิ้ม นั่นเป็นเพราะสีหน้าของคนพูดไม่ได้แสดงความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเสี้ยวหน้าขาวเนียนนั้นกลับเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ กระป๋องน้ำอัดลมถูกคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกยกขึ้นมาดื่มอีกครั้ง


“คบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชินเองแหละ”


“ใครคบด้วย พูดให้มันดี ๆ”   


“อ้าว แล้วหลายเดือนผ่านมามันคืออะไร ยังจะบอกว่าไม่คบกับเราอีกเหรอ” พูดจบมือหนาก็คว้ากระป๋องน้ำอัดลมในมือคนข้าง ๆ ขึ้นมาทำท่าจะยกดื่ม แต่เต็มฟ้ากลับยื้อเอาไว้


“จะทำอะไร”


“ก็ดื่มน้ำไง พูดมากคอแห้ง”


“คอแห้งก็ไม่ซื้อเอาใหม่สิ”


“ขี้เกียจ อยากดื่มกระป๋องนี้ไม่ได้เหรอ”


“งั้นก็ปล่อยก่อน” เต็มฟ้ามองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาทั้งสองคน เพราะต่างก็ง่วนอยู่กับการเตรียมงาน ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันกลับมาทำตาดุใส่คนตรงหน้าที่ยังคงเอาแต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี


“ทำไมล่ะ กลัวคนเห็นเหรอ”


“บอกให้ปล่อยไง”


“ปล่อยก็ได้คร้าบบบบ” พูดจบยุทธภูมิก็ค่อย ๆ คลายมืออก


“แล้วก็ไปซื้อกินเองโน่น”


“ก็จะดื่มกระป๋องนี้น่ะ” หนุ่มหน้าตี๋ยิ้มพร้อมกับคว้ากระป๋องน้ำอัดลมจากมือของคนที่ไม่ทันระวังตัวมาถือเอาไว้ “กระป๋องอื่นมันไม่หวานเท่ากระป๋องนี้”


 “เฮ้ย!” ห้ามไม่ทันแล้ว เพราะยังไม่ทันขาดคำเขาก็ยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่ม


“หวานจริง ๆ ด้วย”


เต็มฟ้ารู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ความกล้าหน้าด้านมันถึงหายไปหมด หรือเพราะเจอคนกล้าและหน้าด้านกว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนโดนแกล้งตัดสินใจลุกเดินออกไปจากห้องจัดแสดงเพื่อให้พ้นจากสายตาของคนอื่น ๆ โดยมีหนุ่มนักศึกษาแพทย์เดินตามไปติด ๆ ทั้งคู่เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงช็อปปฏิบัติการเซรามิคซึ่งไม่มีใครอยู่


“ทำไมชอบแกล้งเรานักวะ”


“ก็เต็มอยากน่ารัก เราก็เลยอยากแกล้ง” ยุทธภูมิกล่าวก่อนจะวางกระป๋องน้ำอัดลมลงบนโต๊ะ “ขอโทษนะที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มาเจอกันเลย”


เต็มฟ้านิ่งไป มันก็จริงอย่างที่เขาว่า ตลอดหลายเดือนที่ตกลงคบหากัน เขาทั้งคู่แทบจะไม่มีเวลาได้ทำอะไรร่วมกันเลย หรือนี่อาจจะเป็นกรรมของการมีแฟนเป็นนักเรียนแพทย์? นั่นคือสิ่งที่เต็มฟ้าคิดอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับเขาการได้อยู่ด้วยกันมันไม่สำคัญเท่ากับเวลาดีใจ เศร้าหรือเสียใจแล้วมีใครให้นึกถึง


“เราบอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ปัญหา” นั่นอาจเป็นเพราะเขาอยู่ไกลจากคนที่รักจนชินชาไปแล้ว 


“เรากลัวเต็มน้อยใจ จริง ๆ เราอยากทำเหมือนที่คนที่เป็นแฟนกันเขาทำ ไปกินข้าว ไปดูหนัง หรือเดินเล่นด้วยกัน”


“ว่าคนอื่นชอบคิดเอาเอง ตัวเองก็ชอบคิดเอาเองเหมือนกันนั่นแหละ”


“เรากลัวเต็มน้อยใจ” พูดจบยุทธภูมิก็สาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับสอดมือรั้งเอวของคนตรงหน้าเข้ามายืนใกล้ ๆ “แล้วสุดท้ายเต็มก็จะทิ้งเราไป”


“เลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว เราไม่เคยน้อยใจ เรารู้ว่านายก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ” เต็มฟ้าตอบอย่างมั่นใจ เพราะเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ และนี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้คนตรงหน้าสบายใจ


“แฟนใครนะ ทำไมน่ารักจัง” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้น ก่อนจะโน้มศีรษะลงใกล้ ๆ เต็มฟ้าเงยหน้ามองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของคนตรงหน้าสลับกับริมฝีปากหนาที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทุกที ยิ่งใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง


“ได้คืบจะเอาศอกเหรอ”  ปากบางเอื้อนเอ่ยพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเรียวห้ามริมฝีปากที่จ้องจะขโมยจูบแรกของเขาเอาไว้
คนถูกห้ามหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ใครว่าได้คืบจะเอาศอก จะจูบต่างหาก ได้หรือเปล่า” เมื่อได้ฟังดังนั้นคนถูกถามจึงส่ายหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ


“คิดอยู่แล้วเชียว รักนวลสงวนตัวจังเลยนะ ระวังเถอะวันหลังจะไม่ขอแต่จะเปลี่ยนเป็นขโมยแทน”


“ก็ลองดู จะต่อยให้คว่ำเลย” พูดจบเต็มฟ้าก็ขยับออกจากการเกาะเกี่ยวของคนตรงหน้า


“เราล้อเล่นหรอกน่า” หนุ่มนักศึกษาแพทย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“จะกลับไปทำงานต่อแล้วนะ”


“งั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


เมื่อสองหนุ่มเดินกลับเข้ามาที่ห้องแสดงงานอีกครั้งพวกเขาก็พบว่าภาพเขียนที่เคยวางอยู่บนพื้นถูกติดตั้งกับผนังไปได้เกือบครึ่งแล้ว


“เราไปก่อนนะ ไว้โทรคุยกัน”


เต็มฟ้าพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะโบกมือไล่


“แต่อยากเห็นหน้ามากกว่า เราชอบเวลาที่เต็มเขินนะ น่ารักดี”


“ไม่ได้เขินโว้ย รีบ ๆ ไปเลย”


คำพูดไล่หลังของคนที่บอกว่าไม่ได้เขินทำเอาว่าที่คุณหมอยิ้มอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เต็มฟ้าได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินพ้นประตูออกไป


“นี่ไอ้เดือนคณะแพทย์มันบุกมาเหยียบหนวดเสือถึงในคณะเราเลยเหรอวะ” หนุ่มร่างกระทัดรัดถลกแขนเสื้อขึ้นขณะเดินไปเกาะประตูชะโงกมองคนที่เพิ่งเดินออกไป


“พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้ามันเลยนะ นึกว่าเลิกกันไปแล้วเสียอีก” กีรติกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือดึงคอเสื้อของเพื่อนช่างอยากรู้อยากเห็นให้กลับมายืนข้าง ๆ กัน


“ไม่ค่อยว่างน่ะ” เต็มฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “แต่อีกหน่อยก็อาจจะเป็นอย่างที่แกว่าก็ได้”


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดี”


“ฮะ? ตะกี้เอ็งพูดว่าอะไรนะไอ้เก้” 


“ก็ถ้าไอ้เต็มมันเลิกคบกับไอ้หมอก็ดีไง”


“ดะ..ดี ดียังไงวะ” เต็มฟ้าตัดสินใจถาม


“ไม่รู้ว่ะ รู้แค่ว่าเวลาแกอยู่กับมัน ดูแกไม่เป็นตัวแกเลยก็เท่านั้น”


เต็มฟ้าพยักหน้าคิดทบทวนคำพูดของเพื่อนและสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับยุทธภูมิ ในขณะที่หนุ่มเคราแพะค่อย ๆ เดินมายืนข้าง ๆ พร้อมกับพยายามโอบไหล่คนที่ตัวสูงกว่าพร้อมกับกระซิบ


“แต่ข้าว่านะ ไอ้เก้มันจะเก็บเอ็งเอาไว้เองว่ะ”


“หือ! คิดได้เนอะไอ้แพะแคระ” กีรติโวยวายก่อนจะจับเพื่อนล็อคคอ “ถึงฉันจะไม่ชอบขี้หน้ามันแต่ก็ไม่ได้จะอยากให้แกต้องเสียใจนะ ถ้าคบกันได้นาน ๆ ก็ดี” ถึงจะฟังดูห้วน ๆ แต่คนฟังก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจ


“อะ...เออจริง” คนที่กำลังดิ้นพราด ๆ เพราะขาดอากาศหายใจเสริม  “แต่...ถะ..ถ้าวันไหนน้องเต็ม...เสียใจ ไหล่พี่ดุ่ยก็ พะ...พร้อมจะเสมอที่จะให้เธอมาซบนะจ๊ะ”




“ไอ้เก้ ฝากเก็บมันที” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเดินหันหลังให้สงครามย่อม ๆ




หลังจากเตรียมงานกันอยู่จนดึกดื่นหลายวันติดต่อกัน ในที่สุดก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย นิทรรศการแสดงผลงานก่อนจบการศึกษาของนักศึกษาสาขาทัศนศิลป์ถูกเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการในบ่ายวันหนึ่ง การแสดงในพิธีเปิดได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ต่างสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นสาขานาฏศิลป์ การแสดงและกำกับการแสดง รวมถึงสาขาดุริยางคศาสตร์สากล ในส่วนของอาหารเครื่องดื่มและพิธีการต่าง ๆ ก็ได้น้อง ๆ ร่วมสาขามาดำเนินการให้ ซึ่งทุกคนต่างเสนอตัวมาช่วยด้วยความเต็มใจ ดังนั้นการเปิดนิทรรศการในวันนี้จึงได้รับคำชื่นชมจากผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานหลายท่าน หลังพิธีการต่าง ๆ เสร็จสิ้นลง บรรดานักศึกษาสาขาทัศนศิลป์ชั้นปีที่สี่ต่างก็ยืนประจำที่เพื่อรออธิบายแนวคิดการสร้างผลงานของตัวเองให้กับผู้เข้าชมได้ฟัง



“วันนี้ไอ้หมอมันไม่มาเหรอวะ” กีรติซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กันกระซิบ


“คงไม่ เมื่อกี้ส่งข้อความมาบอกว่าต้องตามอาจารย์ไปดูเคส” เต็มฟ้าตอบทั้งที่มือยังคงกำโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง “ทำไม คิดถึงเหรอ”


“ไอ้บ้าเต็ม ใครจะไปคิดถึงมัน หน้าตาวอนโดนด่าแบบนั้น” หนุ่มเดทร็อคกล่าวก่อนจะปั้นหน้าหล่อให้รุ่นน้องที่บังเอิญถือกล้องผ่านมาถ่ายภาพ


 
“พี่เต็ม มีคนส่งดอกไม้มาให้น่ะพี่” หนุ่มรุ่นน้องที่เดินเข้ามาพร้อมกุหลาบสีแดงช่อโตกล่าว


“ขอบใจมากนะ”


“โว้วววว ใคร ๆ ๆ ใครกันนะที่ส่งกุหลาบแดงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกมาให้เต็มฟ้าสุดหล่อ” เสียงที่นำมาก่อนตัวนั้นทำให้คนที่กำลังพิจารณากุหลาบช่อใหญ่ในมือถึงกับคิ้วกระตุก


“นั่นไง ไอ้นี่ก็อยากมีชื่อเกาหลีอีกคน” กีรติพึมพำ


“ชื่อเกาหลีอะไรวะไอ้เก้” หนุ่มเคราแพะเกาหัวแกรก


“วอน โดน ตีน ไงครับพี่ดุ่ย ” หนุ่มเดทร็อคหัวเราะก่อนจะลากคอเพื่อนเดินกลับไปที่ผลงานของตัวเอง “ไป ๆ ไปยืนที่งานตัวเองโน่น”




เต็มฟ้ามองเพื่อนยิ้ม ๆ ก่อนจะค่อย ๆ พลิกอ่านการ์ดใบเล็ก ๆ ที่เสียบมากับช่อดอกไม้



ยินดีด้วยนะครับ


                  ภูมิ





ทันทีที่อ่านจบเสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นจนเจ้าของต้องรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง



ภูมิ : ไม่ต้องขอบคุณนะ ไม่ได้ให้เปล่า ๆ ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ^^




เพียงข้อความสั้น ๆ ก็สามารถเรียกรอยยิ้มจากคนที่โดนผิดนัดได้ไม่น้อย...




...

สวัสดีค่ะ ตอนที่ 3 แล้วนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ

ส่วนนี่ http://my.dek-d.com/aminthesky/supertest/view.php?id=21277 เป็นควิซขำ ๆ จากเรื่องก่อน

ลองทำสนุก ๆ นะคะ เผื่อใครยังไม่ได้ลอง มาดูกันซิว่าใครจะเป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้


ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: coloursal ที่ 14-03-2014 17:16:01
 อ้าวเต็มมีแฟนแล้วหรอ  :a5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 14-03-2014 17:43:16
เมื่อไหร่จะได้เจอกันหล่ะนี่

ปล.คิดถึงอาจารย์จ้านะ แค่ชื่อโผล่มาก็ฟินแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 14-03-2014 18:47:12
น้องเต็มมีแฟนแล้วนิ แล้วพี่ไปรษณีย์จะคู่กับใคร
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-03-2014 19:02:24
อ้าว เต็มมีแฟนแล้วเหรอ
พี่บุรุษไปรษณีย์ล่ะ เมื่อไรจะได้เจอกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: mahaki ที่ 14-03-2014 20:44:01
ถ้าภูมิไม่ใช่คุณบุรษไปรษณี งั้นก็ต้องเลิกกันจริงๆเหมือนที่เก้พูดใช่ไหม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 14-03-2014 21:09:13
เต็มมีแฟนแล้ว งั้นยกบุรุษไปรษณีย์ให้เรานะ <3
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: my manGo ที่ 14-03-2014 22:49:46
คุณหมอ มาผิดเรื่องรึเปล่า :m16: :m16:
นี่มันเรื่องของคุณบุรุษไปรษณีย์นะ :angry2:

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :ling1:
เต็มต้องเป็นแฟนคุณบุรุษไปรษณีย์สิ  :o12: :o12:

ปล.แต่ก็แอบเขินคุณหมอเหมือนกันนะ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 15-03-2014 01:21:58
แป่วววว น้องเต็มมีแฟนแล้ว หนุ่มนักศึกษาแพทย์ซะด้วย
คู่นี้ดูมุ้งมิ้งกันดีจังเลย ส่วนจะเลิกกันรึเปล่านี้คงต้องดูกันต่อไป

แต่.. บอกอีกทีว่าเราชอบหนุ่มเดรทร็อค แอร๊ยยยย  :-[
ทำไมชอบหนุ่มสไตล์น้องเก้จังเลย ดูธรรมดา แต่รู้สึกว่าไม่ธรรมดา 555555

แล้วอย่างนี้พี่บรุษไปรษนีย์จะมีความสำคัญในเรื่องยังไงนะ?
โฮ้วววว ดูห่างไกลกันจังเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 15-03-2014 06:37:51
อ่าวมีแฟนแล้วอย่างงี้จะไปป๊ะกันตอนไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 15-03-2014 07:41:43
รักแท้แพ้ใกล้ชิดนะเออ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 15-03-2014 10:13:10
ยังอ่านไม่จบแต่อยากเข้ามาเม้นต์อ่ะ  :o8:

พี่จ้าแอบมาแจมด้วย ขอเดาว่าบริษัทที่เต็มฟ้าจะไปทำงานต้องเป็นบริษัทที่พี่ตังทำงานอยู่แน่ๆ เลย  :-[

กลับไปอ่านต่อก่อนนะ   :กอด1:

หื้ออออ...น้องเต็มมีแฟนแล้ว เป็นปู้จายด้วย  o22 

อ่าว อ้าว....ยังงี้คุณพี่ไปรฯ ของหนูล่ะ จะเจอกันได้ไงเนี่ยะ พระเอกทำงานที่ลำปาง นายเอกทำงานที่กรุงเทพฯ
แถมน้องเต็มยังมีแฟนแล้ว (แต่แฟนเป็นผู้ชาย...ไม่เป็นไรตอนพี่ไปรฯ มาจีบน้องเต็มจะได้ไม่ต้องลังเลนาน)
ขอเผือกเดาว่าอิหมอภูมิต้องแอบมีกิ๊กแน่เลย   :serius2:

ปล.

“พ่อ!!” เสียงเจื้อยแจ้วคุ้นหุยที่ดังขึ้น

คุ้นหู

หอศิลปเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์

ตัวนี้ต้องมี  การันต์ เหมือนอันนี้ปะคับ  //แอบเยอะเหมือนกันนะเรา  :ling3:

เสียงเอะอะโวยของหนุ่มป๊อบปูลาร์ทำเอาบรรดานักศึกษาที่กำลังช่วยกันเตรียมงานและจัดสถานที่กันอยู่ภายในหอศิลป์ต้องมองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 15-03-2014 10:55:53
หมอหรือจะสู้บุรุษไปรษณีย์
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: Tasaitatsu ที่ 15-03-2014 11:43:03
ในที่สุดก็มีเวลามานั่งอ่านเรื่องใหม่ของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเสียที

อ๋าาาาาาา น้องเต็มอย่าใจร้ายกับน้องตามเลย ส่งสารน้องตาม
อยากให้น้องเต็มยอมรับน้องตามได้เร็วๆจัง

น้องเต็มมีแฟนแล้ว!!! แต่ก็คงมีเหตุให้เจอกับพี่ปุ่นแน่ๆ

อ่านรวดเดียว3ตอนแล้วก็พบว่า... ชอบเรื่องนี้!!! (⌒▽⌒)

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 15-03-2014 13:58:48

สงสารน้องจัง---วันเกิดตัวเองแต่เป็นวันตายของแม่
แล้วพี่ก็ยังไม่รักอีก

ชอบมรว.ดุ่ยอ่ะ---ดูเป็นคนตลกดี

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของ
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 15-03-2014 17:26:08
อ้าวๆๆ เต็มมีแฟนแล้ว
แหล่วๆๆ พี่ไปรษณีย์ของเราจะยังไงหล่ะนี่  :serius2:
ถึงหมอจะดูดีมีสกุลแต่ก็เลิกกะเต็มซะเถอะคุณหมอ :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: 28016 ที่ 15-03-2014 22:54:38
สงสารน้องตามจัง น้องเค้าก็ไม่ได้ผิดที่เกิดมานะ :hao5:
ตอนนี้ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว เต็มกับคุณหมอภูมิอาจจะอยู่กันไม่ยาว
แต่ถ้าจะคู่กันเราก็พร้อมสนับสนุน จะเลิกกันก็พร้อมเชียร์(??)
เก้นี่เป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่าดูจากคำพูด :hao3:
ตอนนี้อ.จ้าโผล่มาด้วย เห็นชื่อนี่คือฟินแล้วจริงๆ :o8:
ปล. หรือคุณบุรุษไปรษณีย์จะหักมุมไปคู่กับตาม!?
ปลล. แต่ยังไงก็ยังขอเดาอยู่ว่าคุณบุรุษไปรษณีย์จะเป็นคนนำส่งจม.น้องตามและประสานรอยร้าวสองพี่น้องนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 16-03-2014 10:57:28
อ้าว เต็มดันมีแฟนซะแล้ว
แบบนี้มันชักจะยุ่งซะแล้วสิ
คุณบุรุษไปรษณีย์จะได้เจอกับเต็มเมื่อไหร่น้อ :ruready
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 16-03-2014 15:30:55
อ่านตอนน้องตามแล้วน้ำตาไหล o18
รู้สึกสงสารน้องมาก พี่เต็มอย่าทำแบบนี้กับน้องเลยนะ น้องไม่รู้เรื่อง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-03-2014 17:15:41
ว้าว  มหาวิทยาลัยเดียวกับอ.อาทิตย์ทัศน์ด้วย 
รอตอนได้เจอกันนะ  แม้อีกคนจะมีพันธะทางใจแล้วก็ตาม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-03-2014 18:02:44
หลายปมจังงงงงงง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 16-03-2014 20:21:38
มีแฟนเรียนหมอไม่ดีหรอกเต็ม
ต้องหาแฟนบุรุษไปรษณีย์โน่น กิกิ

หมอภูมิดูไม่ค่อยมีเวลาให้นะ เดี๋ยวก็เลิก 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 20-03-2014 15:19:50
หมอภูมิมีแววแห้วแล้วนะ

ป.ล.เรายังว่างอยู่ #เขินน

 :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 20-03-2014 16:34:58
เพิ่งได้เรื่องนี้  ชอบค่ะ 

เต็มมีแฟนแล้ว??  แล้วจะเจอกับคุณไปรษณีย์ยังไงน้าา

รอตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 20-03-2014 19:26:25
เรื่องนี้อบอุ่นจัง น่ารักมากๆ

เต็มกับภูมิก็โอเคนะ ไม่รู้ว่าเจอปุ่นแล้วอะไรๆจะเปลี่ยนไปรึเปล่า :ruready
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-03-2014 21:16:23
ตอนที่ 4 : รับน้อง


หลังจากผ่านนิทรรศการแสดงผลงานก่อนจบมาได้เกือบสองสัปดาห์ เต็มฟ้าจึงมีโอกาสได้พบกับชายหนุ่มเจ้าของดอกไม้ช่อโตที่ส่งมาร่วมยินดีในความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของเขา ตาคมหรี่มองคนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่บนผืนหญ้าตรงหน้า นิ้วเรียวขยับหมุนดินสอ EE กลับไปกลับมา ในขณะที่ใจคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนซึ่งทำให้ได้รู้จักกับชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะแพทยศาสตร์เป็นครั้งแรก แต่กว่าว่าที่คุณหมอคนนี้จะสามารถทลายกำแพงที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากความสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าการเป็นคนรู้จักได้นั้นเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบปีครึ่ง การเป็นคนไม่สนใจโลกทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ศิลปินผู้นี้ดูน่าสนใจไม่น้อยในสายตาคนที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเป็นเหตุเป็นผลอย่าง ‘ยุทธภูมิ วรารักษ์’

แก้มใสเริ่มเจือสีชมพูจาง ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายไม่ได้ทอดมองสายน้ำในสระกว้างตามที่ได้ตกลงกันก่อนหน้า เมื่อไม่อาจทนสายตาหวานเยิ้มที่มองมายังตนเองได้อีกต่อไป จิตรกรจำเป็นจึงจำต้องก้มลงมองภาพสเก็ตซ์ในกระดาษปอนด์ที่ถูกหนีบเอาไว้กับกระดานวาดรูปขนาด A3 บนหน้าตัก มือที่จับดินสอหลอม ๆ ย้ายกลับมาวางในตำแหน่งเดิมอีกครั้งก่อนจะจรดปลายแกรไฟต์ที่ถูกเหลาจนแหลมเกลี่ยไปตามโครงของริมฝีปากหยักที่เผยอยิ้มเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ


 
“นี่นะเหรอสิ่งแลกเปลี่ยนที่ว่า นึกว่าจะให้ทำอะไรยากกว่านี้เสียอีก” ปากบางบ่นพึมพำในขณะลอบมองดวงตาเป็นประกายของคนในภาพแทนการเงยหน้าขึ้นสบตากันโดยตรง


“แค่นี้แหละ ไม่ยากใช่ไหม” คนนั่งเป็นแบบถาม สายตาที่แฝงความนัยยังคงทอดมองไปยังคนที่กำลังพยักหน้าเป็นคำตอบสลับกับการมองภาพของตัวเองในกระดาษที่ตอนนี้เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทุกที


“อีกนานไหมกว่าจะเสร็จ”


“อีกสักพักน่ะ ทำไม เมื่อยแล้วเหรอ” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาดูภาพวาดบนกระดาษอย่างสนอกสนใจจนตอนนี้ใบหน้าของเขาทั้งคู่ห่างกันแค่ปลายจมูกกั้นเท่านั้น


“เปล่าเสียหน่อย อยากให้วาดนาน ๆ ด้วยซ้ำไป”


“มีเวลาเยอะนักหรือไงถึงได้มานั่งให้วาดรูป”


“ก็เพราะมีเวลาน้อยน่ะสิ เลยต้องมานั่งเป็นแบบให้เต็มวาด” เสียงทุ้มพูดเพียงให้ได้ยินกันแค่สองคน “อยากให้เต็มมองเรานาน ๆ จะได้ไม่ลืมกันไปเสียก่อน เต็มเคยบอกว่าข้อดีของภาพคือได้บันทึกความทรงจำ แต่เราว่าไม่ใช่ สมองกับหัวใจต่างหากที่บันทึกความทรงจำ”


ดวงตาหลุบต่ำลงทันทีเมื่อได้ฟังคำตอบ มันต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกินที่จะซ่อนความรู้สึกร้อนผ่าว ๆ ที่สองแก้มเอาไว้ แต่แล้วในที่สุดรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนฟัง “ใครสอนให้พูดแบบนี้เนี่ย”


“ไม่ต้องมีใครสอนหรอก เราคิดเองได้ ที่สำคัญคือเลือกพูดกับบางคนเท่านั้นแหละ”


“มีให้เลือกเยอะหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าระบายยิ้มกล่าวพร้อมกับจรดปลายดินสอลงบนกระดาษ แค่ตวัดข้อมือเพียงไม่กี่ทีก็ได้ขนคิ้วหนาเรียงเส้นสวยรับกับดวงตาคมกริบ


“เยอะ” คำตอบสั้น ๆ นั้นเรียกความสนใจจากคู่สนทนาได้มาก เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดนิดหนึ่ง คิ้วหนาขยับเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่า ‘แล้วยังไง?’ ก่อนจะย้ายปลายดินสอไปที่ตำแหน่งของคิ้วอีกข้างอย่างไม่ใส่ใจนัก


“แต่เลือกไม่ได้แล้ว มีเจ้าของแล้ว” ยุทธภูมิกดยิ้มที่มุมปากพร้อมกับยักคิ้วให้คนที่กำลังพยายามสะกดอาการเขินตรงหน้า



“พูดมากว่ะ” น้ำเสียงประชดประชันนั้นสร้างความพอใจให้คนช่างเจรจาได้ไม่น้อย เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะลงมือเก็บรายละเอียดในภาพต่อเงียบ ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไป ในที่สุดภาพวาดลายเส้นของนายแบบกิตติมศักดิ์ก็เสร็จเรียบร้อย


“วาดเก่งจัง” มือหนาดึงกระดานวาดรูปจากตักของคนตรงหน้ามาพิจารณาอย่างชื่นชม “เดี๋ยวเราจะเอาไปใส่กรอบ ซื้อคอนโดเมื่อไรจะหาที่ติดรูปที่เต็มวาดให้ทุกชิ้นเลย” ว่าที่คุณหมอกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายแต่ก็ไม่วายชื่นชมภาพวาดในมือ เต็มฟ้ามองดูคนตัวโตที่กำลังยิ้มร่าไม่ต่างกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่อย่างพอใจ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่มีให้ในขณะนี้มันจะเรียกว่าอะไร รู้เพียงว่าการมียุทธภูมิเข้ามาในชีวิตมันทำให้เขามีคน ๆ หนึ่งที่ต้องใส่ใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลาที่ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างก็มักจะเอาตัวเองเป็นหลัก แต่ตอนนี้กลับต้องคิดให้มากขึ้น แถมยังต้องคิดเผื่อคนข้าง ๆ กันเสียด้วยซ้ำ แม้เวลาจะผ่านมานานพอสมควรที่ได้รู้จักกัน แต่เวลาในการเรียนรู้กันและกันนั้นเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน ความรู้สึกกลัวที่จะต้องผิดหวังจึงยังคงแอบซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนายเต็มฟ้าผู้ที่เพื่อน ๆ สนิทต่างก็รู้ว่ามันไม่ง่ายนักที่เขาจะเปิดใจยอมรับใครสักคน


ชายหนุ่มจัดการเก็บอุปกรณ์วาดรูปลงในกระเป๋า พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับนิตยสารท่องเที่ยวเล่มหนึ่งที่ถูกเพื่อนตัวดียัดใส่ไว้หลังจากเปิดออกมากางเพื่อวางแผนการเที่ยวเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาก่อนจะแยกย้ายกัน มันยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ที่ก้นกระเป๋าเหมือนเดิม ทำให้นึกถึงคำพูดของใครคนหนึ่งขึ้นมาได้




‘แกจะชวนไอ้หมอไปก็ได้นะ’




นิ้วเรียวลูบไปตามหน้าปกที่ค่อนข้างจะเยินเบา ๆ อย่างตัดสินใจก่อนจะปิดกระเป๋าและลุกขึ้นยืน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นขณะเดินตามจ้องแผ่นหลังของคนข้างหน้ามาสักพัก


“เดือนหน้าเราจะไปสุราษฎร์นะ”


ยุทธภูมิหยุดเดินก่อนจะหันกลับมาถาม “ไปเที่ยวเหรอ”


“ใช่ ไปเที่ยวบ้านไอ้เก้” ปากบางปิดสนิทหลังจากจบประโยค


“ไม่คิดจะชวนกันบ้างเหรอ”


“ชวนก็ไม่ว่างไปอยู่ดีใช่ไหมล่ะ” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนักในขณะที่คู่สนทนาพยักหน้ารับอย่างจนใจ


“ขอโทษนะเต็ม”


“ขอโทษเราเรื่องอะไร”


“เราควรจะมีเวลาดูแลเต็มให้มากกว่านี้”


“คิดมากไปหรือเปล่า ดูแลอะไรกัน เราโตแล้วนะไม่ใช่เด็ก ๆ”


“ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ เราก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี”


“ถ้าไม่สบายใจ...ก็คุยกันแค่นี้ไหม” เป็นอีกครั้งที่ต้องถามคำถามนี้ ถาม...เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ถามเสียตั้งแต่วันที่ยังพอจะกลับตัวได้ทันจะได้เจ็บน้อย ๆ


ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับเอื้อมจับที่เหนือศอก “บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ให้พูดแบบนี้ ยังไง ๆ เราอยากคุยกับเต็ม อยากคุยไปเรื่อย ๆ แบบนี้”


“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกคิดมากเรื่องไม่มีเวลาได้แล้ว เราก็เคยบอกนายตั้งหลายครั้งแล้วว่าสำหรับเรามันไม่ใช่ปัญหา” ใช่..สำหรับเขาไม่ว่าจะเวลาหรือระยะทางมันไม่ใช่อุปสรรค ถ้ารักไปแล้วไม่ว่าจะอยู่ไกลกันสักแค่ไหนก็ยังคง..รัก ต่อให้ต้องพรากจากกันโดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบหน้าอีกเลยก็ตาม


คงเหมือนกับที่อาจารย์มักจะพูดเสมอ ๆ ว่าเราควรจะเหลือสเปซในงานบ้าง เพื่อให้คนมองภาพแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ระยะทางสำหรับเต็มฟ้าก็คงเหมือนกับบริเวณว่างที่ล้อมรอบตัวคนสองคน ยิ่งมีพื้นที่ว่างมากก็ยิ่งใส่ความคิดถึงเข้าไปได้เยอะ






“ไอ้หมอมันไม่ว่างเหรอวะ”


เสียงของคนที่นั่งข้าง ๆ กันเรียกสติที่กำลังถูกปล่อยให้ลอยไปกลับคืนมาอีกครั้งหลังจากที่รถทัวร์ปรับอากาศแบบ VIP 32 ที่นั่ง เส้นทางกรุงเทพฯ-พังงาแล่นออกจากสถานีขนส่งสายใต้มาได้สักพัก เต็มฟ้าละสายตาจากภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ด้านนอกกระจกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมาตอบ “ไม่ได้ชวน”


“ทำไมวะ ไม่อยากหาโอกาสไปเที่ยวด้วยกันบ้างเหรอ หรือแกยังมีอะไรที่ไม่แน่ใจ”


“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”


“เออ แต่มันไม่มาก็ดีเหมือนกัน” หนุ่มเดทร็อคกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก


“อ้าวไอ้นี่ แล้วบอกให้ชวน” คิ้วหน้าขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นคนบอกให้ไปชวนแท้ ๆ แต่กลับเห็นดีเห็นงามเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มาด้วยกัน


“ก็เห็นไม่ค่อยได้เจอกันไง”


“ไอ้เก้มันก็ทำเป็นพระเอกไปอย่างนั้นแหละ” คนที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งด้านหลังพูดแทรกขึ้นทำเอาคนถูกพาดพิงคิ้วกระตุก “จริง ๆ ลึก ๆ เอ็งก็ไม่อยากให้มันมานักหรอก”


“แสนรู้เหลือเกินนะครับพี่ดุ่ย” กีรติกล่าว


หนุ่มเคราแพะยิ้มรับก่อนจะเอื้อมมือเกาะไหล่คนนั่งติดหน้าต่าง “เชื่อข้าสิไอ้เต็ม ไอ้เก้น่ะมันกั๊กเอ็ง”


“กั๊กบ้านแกสิ” คนถูกกล่าวหายังคงไม่ยอมแพ้


“เถียงกันอีกแล้วไอ้พวกนี้” เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะหยิบหูฟังมาใส่หูเพื่อฟังเพลงที่ชอบแทนการที่ต้องมานั่งฟังเพื่อนรักทั้งสองคนเถียงกัน ชายหนุ่มนั่งเอนหลังพิงพนักในท่าสบาย ดวงตาทอดมองแสงไฟจากบ้านเรือนสองข้างทาง ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
 

‘เดินทางปลอดภัยนะครับ อย่าเที่ยวเพลินจนลืมคิดถึงคนทางนี้ล่ะ’



ทันทีที่อ่านข้อความจบรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่แทนที่เขาจะตอบกลับ เขากลับเลือกที่จะใส่โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหลับตาลงจนในที่สุดก็เคลิ้มหลับไป


รถทัวร์ปรับอากาศกรุงเทพฯ-พังงาวิ่งฝ่าความมือตลอด 8 ชั่วโมงจนกระทั่งถึงที่หมายที่ตลาดบ้านตาขุน จังหวัสุราษฎร์ธานีเมื่อเวลาสี่นาฬิกาของอีกวัน สามหนุ่มสะพายเป้เตรียมพร้อมเมื่อพนักงานต้อนรับบนรถแจ้งเตือนตั้งแต่เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน ทันทีที่ก้าวลงจากรถพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นของอากาศตอนเช้ามืด เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองป้ายบอกทางที่ถูกอาบด้วยแสงสีนวลของหลอดไฟฟูออเรสเซนต์ซึ่งระบุที่หมายสุดท้ายที่พวกเขากำลังจะไปนั่นคือ ‘เขื่อนรัชชประภา’


ที่ฝั่งตรงข้ามมีรถกระบะเก่า ๆ คันหนึ่งจอดรออยู่ เจ้าของรถเป็นชายวัยกลางคนซึ่งเต็มฟ้าประมาณด้วยสายตาแล้วคิดว่าน่าจะอ่อนหรือแก่กว่าพ่อของเขาเพียงไม่กี่ปี กีรติพาเพื่อนเดินข้ามฝั่งตรงไปยังระกระบะคันนั้นก่อนแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักพ่อของเขาซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเรือนำเทียวในเขื่อนรัชชประภา เมื่อพ่อลูกได้พบกันภาษาถิ่นทางใต้ก็ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร  สำเนียงนั้นเร็วและห้วนเสียจนจับใจความแทบไม่ได้ ทำเอาหนุ่มกรุงเทพฯอย่างดุ่ยและหนุ่มเหนืออย่างเต็มฟ้างงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว


รถกระบะคันเก่าพาทุกคนมุ่งหน้าฝ่าความมืดและอากาศที่หนาวเย็นจนกระทั่งมาถึงจุดหมายเมื่อตอนฟ้าสาง ทุกคนแวะพักรับประทานอาหารเช้าซึ่งผู้เป็นแม่ได้เตรียมไว้ให้ที่เพิงไม้ไผ่ใกล้กับท่าเรือ หลังจากนั้นพ่อก็ส่งมอบหน้าที่ไกด์นำเที่ยวให้กับ ‘พี่ไข่นุ้ย’ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของกีรติ เมื่อทุกคนกินข้าวกินปลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มร่างกายกำยำผิวคล้ามแดดก็กระโดดลงเรือด้วยความคล่องแคล่ว ปลายทางสุดท้ายคือแพที่พักกลางเขื่อนซึ่งเป็นของเพื่อนพ่อนั่นเอง 


เมื่อทั้งสามหนุ่มนั่งประจำที่ในลำเรือหางยาวขนาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายท้ายเรือก็จัดการสตาร์ทเครื่องก่อนจะเบนหัวเรือมุ่งหน้าออกสู่ผืนน้ำราบเรียบดังแผ่นกระจกที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าแสนกว้างใหญ่และโอบล้อมไปด้วยขุนเขาสลับซับซ้อนปกคลุมด้วยสายหมอกจาง ๆ ยิ่งไกลออกจากฝั่งเท่าไร สัญญาณโทรศัพท์ก็ยิ่งน้อยลงทุกที ยิ่งไกลออกไป ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกที่แสนวุ่นวาย แม้จะดูเว้งว้างแต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ความว่างเปล่า มันคือความสวยงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นไม่ต่างอะไรกับภาพวาดระดับมาสเตอร์พีซของจิตรกรมือหนึ่ง


“วู้!!!!!! ยินดีต้อนรับสู่โลกที่เทคโนโลยีไม่มีความหมาย” หนุ่มเคราแพะที่นั่งอยู่ตรงกลางลำเรือร้องตะโกนขึ้น มือหนึ่งกำโทรศัพท์รุ่นเก่าพร้อมกับอ้าแขนรับแสงแดดอุ่น ๆ ในยามเช้า คำพูดของเขาทำให้คนที่นั่งอยู่หัวเรืออดยิ้มไม่ได้ เต็มฟ้าหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดปิดเครื่องและใส่มันไว้ในเป้สะพายที่วางอยู่บนตักก่อนจะทอดสายตาชมทิวทัศน์รอบ ๆ อย่างสบายใจ สายลมอ่อน ๆ ที่ปะทะเข้ากับใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของคุณแม่บ้านชาวเกาหลีเจ้าของรถโฟ้คเต่าที่มักจะขับผ่านสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในตอนเช้า ๆ ถึงได้ชอบโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถ มันคงจะชอบลมเย็น ๆ ที่ปะทะเข้ากับใบหน้าเหมือนกันซึ่งก็ไม่ต่างจากเขาในตอนนี้



พักใหญ่ ๆ เรือหางยาวของพี่ไข่นุ้ยก็พาทุกคนมาถึงแพที่พักอันเงียบสงบ นั่นเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุดยาวหรือช่วงเทศกาล คนจึงไม่มากนัก ทั้งสามตกลงกันว่าจะพักค้างคืนกันในเขื่อน 2 คืนแล้วจึงเดินทางกลับ ซึ่งช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนนี้จะมีพี่ไข่นุ้ยร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย  หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็พากันออกมานั่งเรือชมทิวทัศน์และจุดแวะพักสำคัญ ๆ รอบ ๆ เขื่อนรัชชประภา แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่แพชื่อดังก่อนจะมุ่งหน้าสู่กุ้ยหลินเมืองไทยหรือเขาสามเกลอซึ่งเป็นภูเขาหินสามลูกที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ซึ่งพี่ไข่นุ้ยก็ทำหน้าที่ไกด์ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี เขาอธิบายอะไรบางอย่างด้วยภาษาท้องถิ่นที่รัวและเร็วเสียจนคนฟังคิ้วขมวด


“ข้าอยากได้ซับว่ะไอ้เต็ม” หนุ่มเมืองกรุงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้น


“อ่ะนี่” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับคว้าผ้าผืนหนึ่งที่ใต้ท้องเรือขึ้นมาซับหน้าให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง


“เออ ขอบใจ” หนุ่มเคราแพะกล่าวก่อนจะรับผ้าต่อจากมือของเพื่อน “ถุย! ไอ้เต็ม นี่มันผ้าขี้ริ้ว”


“อ้าว ก็เห็นบอกอยากได้ซับ”


“ข้าหมายถึงซับไตเติ้ลโว้ย ไม่ใช่เอาผ้าขี้ริ้วมาซับหน้าแบบนี้ สับไท้เทิ้ลน่ะ ดู ยู้ โหนวววววว?” พูดจบก็จัดการปาผ้าสีมอ ๆ ใส่ผู้หวังดีทันที


“ฮ่า ๆๆ ก็พูดสั้น ๆ ใครจะไปรู้”


“อย่ามาเถียง ไอ้เต็ม เอ็งตั้งใจกวนตีน ข้ารู้”


“พอ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน” กีรติรีบห้ามทัพ


“เมื่อกี้พี่นุ้ยแกพูดว่าอะไรวะเก้” 


“แกเล่าว่าข้างใต้น้ำตรงนี้น่ะมีซากของวัดแล้วก็บ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ ก่อนที่จะเป็นเขื่อน ฝรั่งชอบมาดำน้ำกันตรงนี้”
สองหนุ่มต่างถิ่นพากันพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ไกด์กิตติมศักดิ์ จากนั้นทั้งหมดกลับเข้าที่พักอีกทีในตอนใกล้ค่ำ หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน



เต็มฟ้าลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรือหางยาวซึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาถึงก่อนหน้าพวกเขาออกไปชมทิวทัศน์รอบเขื่อนในเช้าวันใหม่ เมื่อเดินออกมาหน้าห้องพักเขาก็พบเรือหางยาวลำใหญ่ที่นั่งมาจอดเทียบอยู่ข้าง ๆ แพที่พักโดยมีเจ้าของเรือกำลังนอนเอกเขนกกระดิกเท้าอ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะอย่างสบายอารมณ์



ตูม!!!!!!



เสียงเหมือนวัตถุขนาดใหญ่ตกลงในน้ำ ตาคมเลื่อนลงไปมองยังผิวน้ำที่กระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น เพียงไม่ถึงอึดใจร่างของใครอีกคนก็ทะลึ่งโผล่ขึ้นพนน้ำใช้มือลูบหน้าลูบตาตัวเองพร้อมกับชี้หน้าคนตัวสูงที่กำลังยืนกอดอกหัวเราะชอบใจ



“ไอ้เก้ เอ็งถีบข้าทำไม!!!!” คนในน้ำโวยวาย


“ก็เห็นลีลา ทำยังกับจะลงอ่างจากุซซี”


“แหม มันก็ต้องมีมาดหน่อยสิวะ เรือลำเมื่อกี้สาว ๆ เพียบ”


“โถ่..ไอ้แพะแคระ ที่แท้ก็อ่อยสาว”


“เอ็งน่ะ รีบ ๆ ลงมาเลย” หนุ่มเคราแพะกล่าวพร้อมกับใช้สายตาส่งสัญญาณให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปาก อาศัยจังหวะที่กีรติเผลอยกเท้าถีบคนตรงหน้าให้ตกน้ำตามแพะแคระไปอีกคน


“เหวอออออ!!!! อะ...ไอ้เต็ม!!!!” เสียงร้องโหยหวนกับความพยายามวาดแขนเพื่อทรงตัว สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้


ตูม!!!!    


เจ้าของลูกถีบไม่อยู่รอให้คนถูกกระทำได้โผล่หน้าขึ้นมาสบถด่า รีบวิ่งไปที่ปลายแพก่อนจะลงเรือคายัคที่จอดนิ่งอยู่แล้วพายออกไปทันที...



เรือคายัคสีสดลอยเอื่อย ๆ มาหยุดนิ่งที่กลางเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ จากจุดนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มองเห็นทิวทัศน์ของเขื่อนที่โอบล้อมด้วยแนวเขาชนิดคืบก็เขื่อนศอกก็เขื่อน เต็มฟ้าวางไม้พายก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเปากางเกงพร้อมกับกดเปิดเครื่องอีกครั้ง โชคดีที่ตรงนี้พอมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่บ้าง เขาจึงได้อ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง



‘น้าโทรหาไม่ติดเลย อย่าลืมตอบจดหมายน้องบ้างนะเต็ม’


จดหมาย?


น้าเดือนคงหมายถึงกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขาพับสอดไว้ในกระเป๋าสตางค์ เกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ...



วันนี้หนุ่ม ๆ ทั้งหมดใช้เวลาอยู่กับการนั่งเล่นนอนเล่นที่แพจนกระทั่งพลบค่ำ คืนนั้นบนแพมีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนเพียงไม่กี่ดวง ไม่มีเครื่องปรับอากาศแต่ก็เย็นสบายได้ด้วยสายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไม่มีรายการบันเทิงให้ดู แต่ก็เสียงกีตาร์กับเมาส์ออร์แกนจากกลุ่มที่พักอยู่แพใกล้ ๆ กันขับกล่อม อาหารก็มีเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยกระดาษที่ซื้อติดกระเป๋ามาตั้งแต่อยู่ในเมือง มันก็เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มกินกันทุกครั้งตอนอ่านหนังสือสอบหรือทำงานส่งอาจารย์ดึก ๆ ดื่น ๆ แต่เมื่ออยู่ที่นี่รสชาติของมันกลับอร่อยเป็นพิเศษ นั่นอาจเป็นเพราะวันนี้ไม่มีเรื่องใด ๆ ให้ต้องเป็นกังวลแถมยังได้นั่งกินกับเพื่อนที่คุยกันถูกคอ


พี่ไข่นุ้ยจุดตะเกียงเจ้าพายุเดินมาจากฟากหนึ่งของแพก่อนจะวางลงข้างตัวคนที่กำลังนั่งพิงเสา อาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องอ่านข้อความบางอย่างบนกระดาษแผ่นเล็กที่ถืออยู่ในมือ กลิ่นน้ำมันก๊าดลอยคลุ้งเคล้ากับกลิ่นยาเส้นชวนเวียนหัว แต่เต็มฟ้าก็ยังเงยหน้าขึ้นยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจของเขา หนุ่มคนเรือยิ้มตอบจนเห็นฟันขาวยังกับโลโก้ยาสีฟันยี่ห้อดังก่อนจะเดินไปสมทบกับกีรติและดุ่ยซึ่งนั่งร้องเพลงกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มตั้งแต่เมื่อช่วงหัวค่ำ



‘ตามคิดถึง’



ข้อความลงท้ายในจดหมายชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ต้องย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ภาพของเด็กผู้ชายตัวน้อยที่ถูกผู้เป็นพ่อรั้งตัวเอาไว้ไม่ให้วิ่งตามขบวนรถไฟในวันที่ต้องไปส่งพี่ชายซึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงปิดเทอมค่อย ๆ ปรากฏขึ้นชัดเจนในความคิด



‘ตะ ตาม...ตามไม่ให้พี่เต็ม...ไม่ให้พี่เต็ม ไม่ให้ไป’ เด็กชายสะอื้นฮั่ก ๆ น้ำหูน้ำตาไหลจนพ่อต้องทั้งปลอบประโลมทั้งใช้มือคอยเช็ดหน้าเช็ดตาให้ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าหนูน้อยจะหยุดร้อง เต็มฟ้ามองภาพนั้นจากหน้าต่างรถไฟกระทั่งเสียงหวูดดัง จนในที่สุดภาพนั้นก็ค่อย ๆ ลับตาไป



‘เต็มอยากมีน้องสาว เต็มจะซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องใส่’ นั่นคือสิ่งที่เขาเคยพูดกับแม่เมื่อตอนที่รู้ว่าแม่กำลังจะมีน้อง ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบก็หยอดเหรียญใส่กระปุกออมสินทุกวัน พอใครถามว่าจะเก็บเงินไปทำอะไร เขาก็มักจะตอบว่า ‘จะเก็บไว้ซื้อชุดให้น้องสาว’ ในที่สุดก่อนที่แม่จะคลอดน้องเพียงไม่กี่วัน หนุ่มน้อยก็จัดการทุบกระปุกออมสิน ชวนพ่อไปตลาดเพื่อซื้อชุดใหม่ มันเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าน่ารักเหมาะกับเด็กผู้หญิง แต่กว่าที่น้องของเขาจะใส่ได้พอดีก็คงอีกหลายปีทีเดียว


เสียงเพลงจากแพข้าง ๆ เงียบไปนานแล้วเพราะหลายคนแยกย้ายกันไปนอน จะเหลือก็แต่เสียงพูดคุยของคนที่ยังไม่ง่วง นิ้วเรียวค่อย ๆ พับจดหมายในมือใส่ลงในกรเป๋าเสื้อก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้องพักทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนแข็ง ๆ ในใจยังคงนึกถึงชุดกระโปรงสีฟ้าชุดนั้น ป่านนี้คงถูกยกให้ลูกคนงานไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้หยิบมันออกมาจากล่องอีกเลยตั้งแต่วันที่น้องเกิด เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อน้องของเขาเป็นผู้ชาย ดวงตาแข็งกร้าวแต่จริง ๆ แล้วแฝงไปด้วยความเศร้าค่อย ๆ หรี่ลงเพราะความอ่อนเพลียก่อนจะหลับไปในที่สุด...





..มีต่อค่ะ..
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 25-03-2014 21:21:34

 :laugh: มาจองที่ฮะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-03-2014 21:22:39
ในตอนเช้าของวันถัดมากิจกรรมที่สองหนุ่มนักผจญภัยอย่างกีรติและดุ่ยชวนกันทำตั้งแต่ตื่นนอนก็คือการพายเรือเล่น ในขณะที่เต็มฟ้าเลือกที่จะนั่งซึมซับบรรยากาศอยู่ที่หน้าแพที่พัก ชายหนุ่มค่อย ๆ นั่งหย่อนขาลงในน้ำสีมรกตที่ใสเสียจนมองเห็นลำไม้ไผ่ที่ผูกกันเข้าเป็นแพปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว จากนั้นกระดาษสมุดพับครึ่งก็ถูกหยิบออกจากกระเป๋าเสื้อมาคลี่อ่านอีกครั้ง 



“อยากได้โปสการ์ดตอบกลับไอ้จดหมายฉบับนี้สักใบไหม” คนที่พายเรือมาขนาบข้างแพเอ่ยขึ้น “เห็นนั่งอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้อความก็มีอยู่แค่ไม่กี่บรรทัด อ่านไม่จบสักที”


“พูดมากว่ะ จะไปไหนก็ไป” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับรีบพับจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง ชะเง้อมองหนุ่มเคราแพที่กำลังชูไม้ชูมือพร้อมกับพายเรืออยู่ไกล ๆ “แล้วนั่นไอ้ดุ่ยมันทำอะไรของมัน”


“หาคลื่นมั้ง” พูดจบกีรติก็พายเรือห่างออกไปอีกทางหนึ่ง ไม่รู้ว่ากลับขึ้นแพมาตอนไหน เต็มฟ้ามารู้ตัวอีกทีหนุ่มเดทร็อคก็หย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้ว


“อ่ะนี่” โปสการ์ดใบหนึ่งถูกยื่นให้ “เขียนซะ”


ปากบางบ่นพึมพำว่าไม่รู้จะเขียนอะไรแต่ก็รับมันมา


“เยอะแยะไป เรื่องที่จะให้เขียนน่ะ ยังพอมีเวลานะ ลองเขียนดู” พูดจบก็ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นโบกไม้โบกมือตะโกนเรียกคนที่ยังคงพยายามพายเรือหาคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ให้กลับเข้าแพเพื่อกินอาหารเช้าและเตรียมตัวเก็บของกลับขึ้นฝั่ง


มีคนบอกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เผลอลืมดูเวลาไปไม่นานมารู้ตัวอีกทีก็วันสุดท้ายแล้ว เต็มฟ้านั่งจ้องโปสการ์ดบนโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ในห้องพักมาร่วมชั่วโมงแม้พื้นที่ในการเขียนจะมีอยู่ไม่มากแต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเขียนชื่อผู้รับซึ่งคิดว่าเขียนง่ายที่สุดลงไปก่อน


‘ตาม’



“บ้านน้าเดือน...?”  ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หรือที่ไร่...?”



“เลขที่อะไร?”




อยากเขกกะโหลกตัวเองที่ละเลยเรื่องง่าย ๆ พวกนี้ ทั้งที่เป็นบ้านของตัวเองแท้ ๆ แต่กลับจำไม่ได้ กำลังจะคว้าโทรศัพท์ออกมาโทรถามแต่นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโลกที่เทคโนโลยีไม่มีความหมาย เต็มฟ้าจึงจำต้องเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเอาไว้เหมือนเดิม เมื่อสิ่งที่คิดว่าเขียนง่ายที่สุดกลับกลายเป็นสิ่งที่เขียนยากที่สุด เขาจึงย้อนกลับไปเขียนสิ่งที่เคยคิดว่าเขียนยากที่สุดก่อน กะว่ากลับขึ้นฝั่งเมื่อไรค่อยโทรศัพท์ไปถามน้าเดือนก็แล้วกัน...



เรือหางยาวลำใหญ่ของพี่ไข่นุ้ยพาทุกคนกลับขึ้นฝั่งอีกครั้งในตอนบ่าย กีรติพาเพื่อน ๆ แวะไปลาพ่อกับแม่ที่บ้านก่อนจะให้พี่ไข่นุ้ยขับรถมาส่งทุกคนที่ท่ารถ



“เฮ้ย! เร็ว ๆ เข้า เดี๋ยวก็ไม่ทันรถออกกันพอดี” เสียงเจ้าถิ่นที่ตะโกนไล่หลังทำให้คนที่เดินหอบของพะรุงพะรังอยู่ข้างหน้าต้องเร่งฝีเท้าแข่งกับเวลา


“อย่าเร่งนักสิวะไอ้เก้ นี่ข้าก็รีบจะแย่แล้ว จะหายใจทางปากอยู่แล้วเนี่ย” หนุ่มเคราแพะหันมาบ่น


“ทำบ่น บ่นแล้วเดินด้วยไอ้ดุ่ย มัวแต่ซื้อของฝากอยู่นั่นแหละ ดูซิอีกไม่กี่นาทีรถจะมาอยู่แล้วเนี่ย”


“เอ็งอีกคนไอ้เต็ม ไม่ช่วยถือแล้วยังซ้ำเติมอีก ข้าก็อยากซื้อของไปฝากแม่ข้าบ้าง ผิดตรงไหนวะ”


“แม่ไหนวะ”


“อ้าวไอ้นี่ แม่น่ะแม่ แม่บังเกิดเกล้า”


“นึกว่าแม่คุณแม่ทูนหัว” เต็มฟ้าหัวเราะ


“อย่ามัวแต่เถียงกัน รีบเดินเข้า” กีรติกล่าวพร้อมกับมองนาฬิกาข้อมือซึ่งแสดงเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ในใจอดห่วงไม่ได้ว่าสองคนจะไปด้วยกันรอดไหม กว่าจะถึงกรุงเทพฯ คงเถียงกันจนคนในรถรำคาญ ซึ่งประเด็นก็มาจากเรื่องที่ก่อนหน้านี้พี่ไข่นุ้ยพาทุกคนไปแวะซื้อของฝากกลับบ้านตามคำขอของลูกกตัญญูอย่างดุ่ยซึ่งทำให้เสียเวลาไปมาก จากนั้นจึงพามาส่งที่ตลาดบ้านตาขุนซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาลงรถเมื่อวันที่มาถึง แต่วันนี้จะมีก็เพียงแต่กีรติเท่านั้นที่ไม่ได้กลับพร้อมเพื่อน ๆ
หลังจากยืนรอสักพักรถทัวร์ปรับอากาศคันใหญ่ก็แล่นเข้ามาจอด ผู้โดยสารที่รออยู่ต่างทยอยกันขึ้นไปบนรถเพื่อหาที่นั่งของตัวเอง


“ถึงกรุงเทพฯแล้วก็โทรมาบอกด้วยล่ะ” หนุ่มเดทร็อคกำชับคนที่ยืนหันหลังให้  เต็มฟ้าหันมาพยักหน้าพร้อมกับช่วยดันหลังแพะแคระที่พยายามใช้ขาสั้น ๆ ปีนขึ้นไปบนรถ พลันนึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่เขาคงต้องรบกวนให้เพื่อนช่วยทำแทน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบจัดการปลดเป้สะพายหลังก่อนจะหยิบโปสการ์ดใบหนึ่งออกมาอย่างรีบร้อน


“ฝากส่งด้วยนะ” กล่าวพร้อมกับยื่นโปสการ์ดที่ติดแสตมป์เรียบร้อยให้เพื่อนโดยลืมบางอย่างไปเสียสนิท...
 

หลังจากใช้เวลาจอดรับผู้โดยสารอยู่เพียงไม่นาน รถทัวร์สายพังงา-กรุงเทพฯก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากที่จอด การเดินทางที่แสนยาวนานในค่ำคืนนี้จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...




ในขณะที่หลายคนกำลังเดินทางเพื่อกลับไปยังที่ที่จากมา ก็มีอีกหลายคนต้องเดินทางจากที่ที่เคยอยู่ไปสู่อีกที่ที่ไม่คุ้นเคยและอยู่ไกลออกไป


“ดูแลตัวเองด้วยนะปุ่น” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นก่อนจะดึงร่างสูงของลูกชายคนกลางเข้ามากอด นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องจากกันไปไกลขนาดนี้


“แม่ก็ดูแลตัวเองเหมือนกันนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปหาผู้เป็นพ่อซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กัน “ฝากแม่ปุ่นด้วยนะพ่อ” ชายวัยกลางคนที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับเขาพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะกล่าว “พ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะ” มือหนาของพ่อเอื้อมบีบไหล่ทั้งสองข้างของลูกชายเบา ๆ เพื่อเป็นการย้ำในคำพูดนั้น


“ขอบคุณครับพ่อ” ว่าที่พนักงานไปรษณีย์ระดับสองกล่าว เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินหันหลังให้ทุกคนไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เครื่องบินของสายการบินเชิงพาณิชย์จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็จะพาเขาเหินฟ้าข้ามขุนเขาและป่าไม้สู่จังหวัดลำปางซึ่งเป็นปลายทางของจุดเริ่มต้นการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัลบั้มภาพถ่ายขาวดำสมัยพ่อกับแม่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวถูกหยิบติดมือมาเพื่อเป็นแผนที่ในการเดินทาง ด้วยความตั้งใจว่าจะต้องไปทุกที่ที่พ่อและแม่เคยไปให้ได้ระหว่างการทำงานอยู่ที่นั่น



เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงศิธาพัฒน์ก็เดินทางถึงท่าอากาศยานลำปางและได้พบกับ ‘บดินทร์’ ซึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อที่อุตส่าห์ขับรถจากเชียงใหม่เพื่อมารอรับเขาอยู่ก่อนแล้ว ‘บดินทร์’ หรือ ‘พี่ดิน’ เคยเป็นเพื่อนคู่หูของศิธาพัฒน์ตั้งแต่สมัยเรียนประถมยันมัธยมเพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมก็มีเหตุให้ต้องห่างกันไปเนื่องจากพ่อของบดินทร์ต้องย้ายไปรับราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ จนในที่สุดก็ตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่นั่นและไม่ได้กลับมาที่บ้านสวนเมืองนนท์อีกเลย



“ไงไอ้น้อง ไม่เจอกันหลายปี หล่อขึ้นจนแทบจำไม่ได้” เป็นประโยคแรกที่ทักทายกันแบบเห็นหน้าเห็นตาหลังจากคุยกันผ่านโทรศัพท์มานาน


“พี่ก็ไม่เบาเลยนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมกับตบที่พุงของชายหนุ่มร่างหมีเบา ๆ


“เออ พักนี้กินดีอยู่ดีไปหน่อยว่ะ” จากนั้นสองหนุ่มเดินคุยกันตามประสาคนไม่ได้พบกันนานไปจนถึงรถที่จอดอยู่


“มาไกลแบบนี้แฟนไม่ว่าเหรอวะปุ่น” เจ้าของรถเอ่ยขึ้นขณะสตาร์ทรถ


“มีให้ว่าก็ดีสิพี่” คนถูกถามกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“เฮ้ย! เป็นไปได้? หล่อยังกับพระเอกหนังกลางแปลงขนาดนี้เนี่ยนะไม่มีแฟน”


“โสดมาหลายปีแล้ว”


“เออ ไม่เป็นไร อยู่ลำปางอีกตั้งหลายปี ค่อย ๆ หาไป สาว ๆ ลำปางน่ารักทั้งนั้น”


“แล้วพี่ล่ะ เมื่อไรจะแต่งงาน เห็นพ่อบอกว่าเตรียมสร้างเรือนหอแล้วนี่”


“อืม..ก็คงเร็ว ๆ นี้แหละ ทางบ้านผู้หญิงเขาก็เร่ง ๆ อยู่” บดินทร์กล่าวขณะเลี้ยวรถรถออกจากเขตของสนามบิน


“คนเชียงใหม่เหรอ”


“ใช่ รู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย”


“ถึงว่าทำไมขายบ้านที่เมืองนนท์ทิ้ง”


“จะมาเป็นเขยเมืองเหนืออีกคนด้วยไหมล่ะ เดี๋ยวพี่จะแนะนำน้อง ๆ ที่ทำงานให้รู้จัก”


“ไม่เอาหรอก ผมหาเองดีกว่า” ปากหยักคลี่ยิ้มก่อนจะทอดสายตาชมทิวทัศน์สองข้างทาง พักใหญ่ ๆ รถก็เข้าสู่เขตเทศบาลนครลำปาง ตรงหน้าคือห้าแยกหอนาฬิกาที่ศิธาพัฒน์มักจะเห็นบ่อย ๆ ในโปสการ์ด ทั้งที่มีคนบอกว่าลำปางเป็นแค่ 'เมืองทางผ่าน' แต่สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมพ่อของเขาจึงไม่ผ่านเลยที่นี่ไป...


“เดี๋ยวถึงที่พักแล้วพี่จะพาไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนพี่ มันทำงานอยู่ในที่สำนักงานไปรษณีย์เดียวกับปุ่นนั่นแหละ เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของพี่เอง ที่พักนี่ก็ให้มันหาให้” หนุ่มร่างหมีกล่าว



ในที่สุดรถก็มาจอดหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวหลังหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานไปรษณีย์นัก ที่นั่นศิธาพัฒน์ได้รู้จักกับ ‘วิษณุ’ หนุ่มเหนือท่าทางใจดี เป็นรุ่นพี่พนักงานไปรษณีย์ซึ่งจะต้องรับหน้าพี่เลี้ยงคอยดูแลเขาในระยะแรก การได้พบเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ในเวลาเดียวกัน รวมถึงการขับรถตระเวนชมเมือง ทำให้หนึ่งวันในลำปางของศิธาพัฒน์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว



เสียงไก่ชนของคุณลุงเจ้าของบ้านเช่าซึ่งปลูกอยู่ในรั้วติดกันที่โก่งคอขันอย่างกับใส่ถ่านทำให้หนุ่มกรุงเทพฯ ต้องสะดุ้งตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้วศิธาพัฒน์จึงถือโอกาสนี้ออกไปเดินที่ตลาดเช้าตามคำแนะนำของเจ้าถิ่นอย่างวิษณุ หาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋รองท้องก่อนจะกลับเข้าบ้านเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและไปรายงานตัวที่สำนักงานไปรษณีย์เพื่อรับตำแหน่งใหม่ 



เครื่องแบบสีกากีที่รีดจนเนี้ยบพร้อมติดอินทนูสีทองขลิบแดงและเครื่องหมายต่าง ๆ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนถูกหยิบมาสวมด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพส่งไปให้พ่อดู



‘ขอให้วันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มต้นที่ดีของลูก’
   


ข้อความให้กำลังใจจากผู้เป็นพ่อทำให้ลูกชายอย่างศิธาพัฒน์ยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อเห็นว่าจวนได้เวลาเข้างานเขาจึงรีบออกจากบ้านทันที เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่นอกรั้วทำให้ต้องเร่งสวมรองเท้าหนังขัดจนเงาวับก่อนจะรีบวิ่งออกมาเพราะกลัวว่าอีกคนจะรอนาน



“วุ้ย! มันหล่อปะล้ำปะเหลือเน้อ” ชายหนุ่มที่สวมชุดไม่ต่างกันเอ่ยขึ้น


“แปลว่าอะไรพี่ ไอ้หล่อปะล้ำปะเหลือเนี่ย”


“อืม..ถ้าภาษากรุงเทพฯ เขาเรียกว่า หล่อขั้นเทพ หล่อฝุด ๆ อะไรทำนองนี้แหละมั้ง ฟังไอ้ดินมันพูดบ่อย ๆ”


“อ๋อ..” ศิธาพัฒน์หัวเราะก่อนจะขึ้นนั่งรถท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เพียงไม่นานก็มาถึงที่ทำงานใหม่ของเขา หลังจากเข้ารายงานตัวต่อหัวหน้าสำนักงานไปรษณีย์เรียบร้อยแล้วเขาก็ถูกพาไปแนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ จากนั้นจึงมานั่งเป็นผู้ช่วยของวิษณุที่เคาท์เตอร์


“ปุ่น นี่ไอ้ซ้งเป็นพนักงานนำจ่าย คนลำปางโดยกำเนิด” พี่เลี้ยงจำเป็นแนะนำเมื่อพนักงานนำจ่ายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา “มันรู้จักเส้นทางแถวนี้ดีจนแทบจะหลับตาขับมอเตอร์ไซค์เลยละ”


“อุ้ย...ให้ผมลืมตาเถอะพี่ เดี๋ยวจะชนเสาไฟฟ้า” หนุ่มเหนือเชื้อสายจีนกล่าวพร้อมกับวางหมวกกันน็อกลงบนโต๊ะยกมือไหว้คนแปลกหน้า


“สวัสดีครับ” ศิธาพัฒน์ทักทายผู้มาใหม่


“คนนี้เขาชื่อศิธา...ศิธาอะไรนะ” คนแนะนำหันมาถาม


“ศิธาพัฒน์ครับ”


“เอ้อ..ศิธาพัฒน์ เพิ่งมาบรรจุใหม่”


“แล้วให้ผมเรียกพี่ว่าอะไรดี”


“เรียกปุ่นก็ได้


“ครับ พี่ปุ่น งั้นผมไปทำงานก่อนนะพี่นุ พี่ปุ่น ไว้ค่อยคุยกันพี่” พูดจบหนุ่มนำจ่ายก็คว้าหมวกกันน็อกเดินออกจากห้องไป


“มันมาเร็วไปเร็วแบบนี้แหละ เพราะชีวิตมันอยู่กับความเร็ว”


คนคิ้วขมวดพยักหน้าหงึก ๆ ทั้งที่ไม่ค่อยจะเข้าใจตรรกะนี้สักเท่าไร


“ส่วนไอ้ช่องข้าง ๆ นั่นชื่อบัด”


“บัส พี่นุ บัส บอกกี่ทีแล้ว อยู่ด้วยกันมาเป็นปีป่านนี้ยังเรียกชื่อผมไม่ถูกอีก”


“ก็ชื่อเอ็งมันไม่เหมาะกับหน้าตานี่หว่า”


คำพูดของพี่เลี้ยงทำให้ศิธาพัฒน์ต้องแอบลอบมองพนักงานไปรษณีย์หน้าตาธรรมะธัมโมเคาท์เตอร์ข้าง ๆ อีกครั้ง เขาสวมเสื้อยืดแบรนด์ไปรษณีย์สีแดงติดกระดุมคอทุกเม็ด ผมรองทรงชโลมน้ำมันถูกหวีปัดจนเรียบแป้แทบจะติดไปกับหนังศีรษะ บุคลิกกับชื่อช่างสวนทางกันจริงตามที่วิษณุว่า


“เออนั่นแหละ ไอ้บัส เพิ่งมาบรรจุเมื่อปีที่แล้ว จบจากโรงเรียนการไปรษณีย์มาเหมือนกัน เหตุผลที่มาทำงานไปรษณีย์เพราะอยากส่งโทรเลข”


“เขาเลิกใช้ไปตั้งนานแล้วนี่พี่” ศิธาพัฒน์ท้วง


“ก็ใช่ไง ถึงได้ปวดใจอยู่จนทุกวันนี้ไง” คนถูกพาดพึงกล่าว


“นี่เลยเป็นที่มาของชื่อบัด” 


“มันเกี่ยวอะไรกันเหรอครับพี่นุ”


“มาจากบัดซบไง ชีวิตมันบัดซบขนาดไม่รู้ว่าโทรเลขเขาเลิกใช้ไปหลายปีแล้ว”


ศิธาพัฒน์หัวเราะ...คนที่นี่ดูเป็นกันเองกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะทีเดียว...



การมาใหม่ของหนุ่มจากกรุงเทพฯ ทำให้หลาย ๆ คนให้ความสนใจ ใส่ใจดูแลเขาเป็นพิเศษ ดังนั้นการอยู่ไกลบ้านเช่นนี้จึงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้แก่ศิธาพัฒน์นัก ที่จะเป็นปัญหาก็เห็นจะเป็น ‘ไอ้โต้ง’ ของคุณลุงเจ้าของบ้านเช่าที่ขันปลุกทุกเช้าไม่เว้นแม้เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์จนบางครั้งก็ทำให้นึกอยากกินต้มยำไก่เป็นอาหารเช้าขึ้นมาตะหงิด ๆ



..มีต่อค่ะ...
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-03-2014 21:25:29
สองสัปดาห์แรกของการทำงานผ่านไปอย่ารวดเร็ว เช้าวันนี้สำนักงานไปรษณีย์ดูเงียบเชียบผิดปกติเพราะย่างเข้าฤดูฝนอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้หลายคนลาป่วยกันเป็นแถว วันนี้บัสจึงต้องออกไปทำหน้าที่นำจ่ายแทนพนักงานนำจ่ายตั้งแต่เช้า


“อ้าว จะไปไหนน่ะพี่นุ ฝนยังปรอยอยู่เลย” ชายหนุ่มที่นั่งประจำที่เคาน์เตอร์ถามคนไอค้อกแค้กที่กำลังเอื้อมหยิบหมวกกันน็อกสีแดงซึ่งวางอยู่บนหลังตู้เก็บเอกสาร


“ต้องออกไปส่งจดหมายว่ะ วันนี้ป่วยกันหลายคน ไอ้ซ้งก็ลาพาแม่ไปหาหมอ”


“อืม..ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปดีกว่า พี่เองก็ยังไม่หายป่วยเลย”


“ไหวเหรอวะปุ่น”


“โธ่..แค่นี้เองพี่ ไอ้ซ้งมันพาผมทัวร์ทุกซอกทุกมุม ยังกับมันวางแผนมาแล้วว่าจะให้ผมเป็นตัวตายตัวแทน” คำพูดติดตลกของพนักงานรุ่นน้องเรียกรอยยิ้มบนหน้าซีด ๆ ของวิษณุกลับคืนมาอีกครั้ง 


“เออ งั้นพี่ฝากหน่อยแล้วกัน พอดีมันมีพัสดุ EMS ไม่ถึงปลายทางวันนี้โดนต่อว่าแย่เลย”


“สบายมากพี่” พูดจบก็รับหมวกกันน็อกกับกุญแจรถมาไว้ในมือ จากนั้นงานนำส่งจดหมายให้ถึงมือผู้รับก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสายฝน


พัสดุรวมถึงจดหมายในกระเป๋าหนังท้ายรถมอเตอร์ไซค์ถูกทยอยส่งถึงมือผู้รับตามบ้านต่าง ๆ จนกระทั่งใกล้เที่ยงสายฝนที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้าจึงเริ่มขาดเม็ดลง ท้องฟ้ากลับมีแสงแดดอีกครั้ง พนักงานไปรษณีย์หนุ่มจอดมอเตอร์ไซค์หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ท้ายซอยก่อนจะกดกริ่งรอจนเจ้าของบ้านออกมารับจดหมายกับมือแทนการใส่มันไว้ในกล่องรับที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ในที่สุดจดหมายฉบับสุดท้ายก็ถูกส่งมือผู้รับ สิ่งที่พนักงานนำจ่ายทุกคนได้รับนอกจากคำขอบคุณแล้วก็คงเป็นการได้เห็นรอยยิ้มหลังได้รับจดหมายหรือพัสดุจากคนไกลของผู้รับปลายทาง มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขานึกอิจฉาคนที่มักจะพูดเสมอว่าตัวเองเป็นบุรุษไปรษณีย์ที่หน้าตาดีที่สุดในลำปางไม่น้อย


ศิธาพัฒน์ถอดเสื้อกันฝนออกแต่เมื่อกำลังจะยัดมันใส่ไว้ที่ท้ายรถก็พบว่าที่ก้นกระเป๋าหนังยังคงเหลือโปสการ์ดหนึ่งใบ มือหนาเอื้อมหยิบกระดาษที่มีภาพของเรือหางยาวซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่โอบล้อมด้วยแนวเขาสลับซับซ้อนปกคลุมด้วยหมอกสีจาง ๆ ในบรรยากาศยามเช้าขึ้นมาดู มันดูสวยงามเสียจนอดนึกไม่ได้ว่าคนที่ได้รับโปสการ์ดใบนี้ต้องอยากไปที่นั่นแน่ ๆ เมื่อได้เห็น


ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองก่อนจะพลิกดูชื่อและที่อยู่ของผู้รับ


ตาม

ถนนตลาดเก่า
อ.เมือง
จ.ลำปาง
52000





ที่พื้นที่ข้าง ๆ ไม่ได้เขียนอะไรนอกจาก ‘พี่เต็ม’



“ท่าจะไม่เต็มแล้วละ เล่นไม่เขียนเลขที่แบบนี้จะส่งให้ถูกไหม แถมชื่อคนรับก็เขียนมาแต่ชื่อเล่น”



คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน งานง่าย ๆ จะกลายเป็นงานหินก็เพราะโปสการ์ดใบเล็ก ๆ ใบนี้...

 

       
 
...

สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษที่หายไปนานนะคะ

เพิ่งจะมีเวลาเขียน รู้สึกว่าเขียนตอนนี้ใช้พลังงานมาก ๆ ยาวอีกต่างหาก

ขอบคุณผู้ให้ข้อมูลด้วยค่ะ ^^


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 25-03-2014 21:45:51

ยาวมว๊ากกกก....

น้องเต็มน่ารักอ่ะ  ดูกวนนิดๆ อยากให้พี่ปุ่นมาส่งของแถวนี้บ้างจัง จะสั่งของให้มาส่งทุกวันเลยเชี่ยว  :hao3:

ปล.  เว้งน้ำ   ต้องเป็น  เวิ้งน้ำ    นะฮร้าฟฟ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้ของใครบางคน)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 25-03-2014 21:51:51
เต็มมีแฟนแล้ว แล้ว แล้ว แล้วววว
แถมแฟนยังเป็น(ว่าที่)หมอด้ววยยย
แล้วจะเจอกับคุณไปรเมื่อไหร่  :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 25-03-2014 22:02:13
เขียนมาแบบนี้คุณไปรจะส่งให้ถึงมือผู้รับได้ยังไงล่ะคะพี่เต็มมมมม
น้องตามีหวังคอยจดหมายพี่เต็มเก้อแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: justonce ที่ 25-03-2014 22:08:47
เข้ามาตามอ่าน 2 ตอนรวดเลย
ในที่สุดก็เจออาจารย์จ้า >.<

น้องตามน่ารักอ่ะ
ว่าแต่...น้องตามจะได้รับโปสการ์ดจากพี่เต็มมั้ยน้ออออ
หรือคุณบุรุษไปรษณีย์ จะทำเนียนเก็บไว้อ่านเองคะ ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 25-03-2014 22:16:13
พี่เต็มน้องตามจะได้รับไหม
ไม่มีบ้านเลขที่ผู้รับ

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองคน
มารู้จักกันก็ได้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-03-2014 22:23:36
ลุ้น ๆ โปสการ์ดสื่อรักกำลังออกเดินทางแล้ว
เต็มฟ้าแข็งนอกอ่อนใน ที่จริงก็รักน้องใช่ไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 25-03-2014 22:54:45
พ่อหนุ่มไปรษณีย์จะส่งโปสการ์ดถึงเจ้าของป่าวเนี่ยยย

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 26-03-2014 01:57:41
สงสารน้องตามจัง อยากให้พี่เต็มเข้าใจไวไวว่าน้องไม่ผิด
คนเขียนอย่าทำร้ายน้องตามนานนักนะคะ  :hao5: :hao5:


ปล.พอดีเป็นคนลำปางค่ะ พอบรรยายถึงแยกหอนาฬกานี่ร้อง'อ๋อออออออออ'เลย
ปล2.นึกถึงไปรษณีย์ลำปางแล้วไม่ฟิน สภาพช่างย่ำแย่ 555  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: mahaki ที่ 26-03-2014 03:11:05
พระเอกมาแล้ว!!!
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: coloursal ที่ 26-03-2014 03:45:57
พระเอกมาสักที
นี่ก็งงว่าใครเป็นพระเอกกันแน่
บทน้อยเกิน
แต่ต่อไปบทคงเยอะขึ้นหล่ะเนาะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 26-03-2014 06:33:49
ภาษาสวยมาก อ่านเพลินเลย o13
หมอภูมิรอน้องตามโตล่ะกันเนอะ
ปล่อยเต็มให้พี่ปุ่นเถอะ :z1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 26-03-2014 10:15:12
ตลกคุณไปร คิดว่าพี่เต็มไม่เต็มซะงั้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 26-03-2014 11:58:59
อ้าว....ละจะไปส่งถูกไหมนั่น สู้ๆนะคะพี่ปุ่น
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 26-03-2014 12:12:44
งานเข้าไหมล่ะพี่ปุ่นน :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 26-03-2014 12:16:59
เต็มจำบ้านเลขที่ไม่ได้ซะงั้น
แล้วมันจะไปถึงน้องตามไหมละนั่น :m20:
แล้วปุ่นจะหาทางส่งให้ได้หรือเก็บไว้เองน๊อ
ที่ทำงานใหม่ปุ่นเป็นกันเองจริงๆ ท่าทางน่าสนุก
พูดถึงโปสการ์ดทีไรทำให้คิดถึงอาจารย์จ้ากับตังขึ้นมาทันทีเลย :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 26-03-2014 12:39:44
แอบตามไปทำควิซในเด็กดีมา คะแนนแบบไม่น่าดูมากค่ะ 5555
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องอุ่นๆแบบเรื่องที่แล้วอีกมั้ยนะ
อ่านแล้วสบายใจมากๆเลยค่ะ ตอนนึงก็ยาวมากกกกกกก (ชอบ 55)

รอลุ้นตอนหน้านะคะว่าโปสการ์ดจะถึงมือน้องตามรึเปล่า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 26-03-2014 14:39:22
ยาวมากๆ เต็มเขียนแบบนี้ เค้าจะส่งถูกไหม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 26-03-2014 15:41:36
ชอบมากเลยค่ะ  ติดตามแน่นอนค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 26-03-2014 16:58:32
ยาวมากกกกกกกกกก อ่านจุใจกันเลยทีเดียวค่ะ

ตอนนี้อ่านแล้วอยากได้เที่ยวใต้บ้าง พ่อหนุ่มเดรทร็อคพอจะเป็นไกด์ให้เราบ้างได้มั้ยจ้ะ? *จีบ* กร้ากกก
ชอบอ่ะ ชอบมากจริงๆ ยิ่งตอนนี้หน้าร้อน คนเขียนทำให้เราอยากไปนอนเล่นบนแพแล้วตื่นเช้ามาพาย
เรือเล่นบ้างเลยค่ะ บรรยากาศดีมากๆ จนอยากไปเที่ยวบ้างเลย >___<

ดูเหมือนว่าอุปสรรคระหว่างน้องเต็มกับเดือนคณะแพทย์นี่คงจะเป็นเรื่องเวลาสินะ ไม่แน่ใจด้วยสิว่า
นอกจากเวลาที่ไม่ค่อยจะมีให้กันแล้วจะรวมไปถึงระยะห่างรึเปล่า ชอบน้องเต็มตรงที่ถ้าจะหยุดก็หยุดตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่จะเสียใจ มันใช่อ่ะ โฮฮฮฮฮฮ

แต่เราชอบโมเม้นท์ของน้องเต็มกับพ่อหนุ่มเดรทร็อคมากเลย ฮ่าาาาา ชอบในความสัมพันธ์ค่ะ แต่เก้จะกั๊กเต็มไว้อย่างที่พี่ดุ่ยว่ารึเปล่าน้าาาาา???

ตอนนี้คุณบุรุษไปรศนีย์กับน้องเต็มเจอกันแล้ว เจอผ่านโปสการ์ดเนี้ยแหละ 5555
แต่เดี๋ยวอีกสักหน่อยโปสการ์ดใบนี้ก็คงจะทำให้รู้จักกันเองล้ะเนอะ

:'))
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 26-03-2014 17:31:50
ตายๆๆ ถ้าบุรุษไปรษณีย์ไม่เก่งจริง จะหาตามเจอมั้ยนั่น .. พรหมลิขิตละเนี่ย  :mew2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 4 : รับน้อง)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-03-2014 18:35:59
ละเมียดละไมมาก 
จะเจอกันแล้ว
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-03-2014 02:22:21
ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่



มอเตอร์ไซค์เก่าคร่ำคร่าเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้ามาในซอยที่เชื่อมกับถนนอีกสายซึ่งขนานกับลำน้ำวัง ป้าย ‘ถนนตลาดเก่า’ ทำให้มั่นใจว่ามาไม่ผิด แต่ทันทีที่มอเตอร์ไซค์ขี่พ้นซอยก็กลายเป็นว่ามีสองทางให้เลือก



ไม่ซ้ายก็ขวา



แต่สุดท้ายคุณบุรุษไปรณีย์ฝึกหัดก็เลือกที่ขี่ย้อนกลับออกไปเพื่อเริ่มต้นสำรวจมาตั้งแต่หัวถนน ซึ่งเป็นที่ตั้งของย่านชุมชนเก่าแก่ที่ชาวบ้านพากันเรียกติดปากว่ากาดกองต้าหรือตลาดจีน ถนนทั้งสายแวดล้อมไปด้วยอาคารสวย ๆ แปลกตา รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นการผสมผสานระหว่างยุโรป จีน และพม่า มีทั้งที่เปิดเป็นเกสต์เฮาส์ หอศิลป์ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึก และที่เป็นที่อยู่อาศัยจริง ๆ ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดรถเมื่อมาสายตาสะดุดเข้ากับสะพานโค้งครึ่งวงกลมสีขาว ซึ่งเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กทอดข้ามแม่น้ำวัง ที่บริเวณสะพานมีเครื่องหมายไก่ขาวและครุฑประดับอยู่



“เริ่มจากตรงนี้ก็แล้วกัน” มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมก่อนจะหยิบโปสการ์ดในกระเป๋าเสื้ออกมาพลิกดูที่อยู่ “อย่างน้อยก็แค่ถนนสายนี้”


มอเตอร์ไซค์เก่าค่อย ๆ เคลื่อนไปตามถนนที่ดูเงียบเหงาเพราะร้านรวงต่าง ๆ ยังไม่เปิดให้บริการ เสียงดังแต้ก ๆ ของมันฟังแล้วน่ารำคาญจนคุณลุงเจ้าของร้านขายยาจีนต้องแง้มประตูออกมาดู ทันทีที่ประตูบานพับซึ่งทำจากเหล็กถูกเปิดออก กลิ่นหอมของสมุนไพรหลายชนิดก็ฟุ้งกระจายสัมผัสเข้ากับปลายจมูกโด่ง บุรุษไปรษณีย์หนุ่มจึงถือโอกาสนี้จอดรถเพื่อถามหาเบาะแสของชื่อคนในโปสการ์ด



“สวัสดีครับลุง” ศิธาพัฒน์ทักทายอย่างมีไมตรี ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงพับประตูไปรวมกันไว้ที่ด้านหนึ่งก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูออกมา


“ว่ายังไงหนุ่ม”


“คือ..ผมมีเรื่องจะรบกวนถามคุณลุงหน่อยน่ะครับ” ริมฝีปากอิ่มฝืนยิ้มแบบกล้า ๆ กลัว ๆ นั่นเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันช่างแปลกประหลาดนัก แต่ที่แปลกประหลาดกว่าก็คงไม่พ้นเจ้าของโปสการ์ดที่ไม่ยอมเขียนเลขที่บ้านของผู้รับใบนี้ “คุณลุงพอจะรู้จัก..คุณตามไหมครับ”

หน้าผากที่เต็มไปด้วยรอยย่นของคนถูกถามยิ่งย่นหนักเข้าไปอีก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด “นามสกุลอะไรล่ะ ลูกเต้าเหล่าใคร


“เอ่อ...คือ...ผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ครับ ทราบแค่ว่าชื่อคุณตาม บ้านอยู่ถนนตลาดเก่า”


“ถนนตลาดเก่ามันก็ถนนสายนี้ทั้งสายนะหนุ่ม บ้านช่องก็มีเป็นร้อย ไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้เรอะ”


“ผมก็ทราบแค่นี้จริง ๆ ครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มแหย ๆ


“ลุงไม่รู้หรอกถ้าบอกมาแค่นี้น่ะ ลองไปถามที่ร้านโชห่วยกลางตลาดดูก็แล้วกัน” พูดจบคุณลุงเจ้าของร้านก็หันกลับไปเปิดร้านต่อเล่นเอาไปรษณีย์จำเป็นถึงกับคอตก ขี่รถจากมาพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาคนที่พอจะให้ถามได้ ในที่สุดก็มาถึงร้านโชห่วยที่ว่า ซึ่งอาม่าเจ้าของร้านก็ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่าง แสงแดดที่เริ่มร้อนระอุขึ้นทำให้ศิธาพัฒน์ต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ทั้งเข็มยาวและเข็มสั้นต่างก็พร้อมใจเดินมาพบกันตรงจุดกึ่งกลางหน้าปัดพอดี มีเวลาเพียงแค่เพียง 60 วินาทีเท่านั้นในการทักทายกันก่อนจะต้องเดินจากกันไปในที่สุด


จากจุดนี้ก็เป็นจุดกึ่งกลางของถนนสายยาวพอดี ร้านต่าง ๆ เริ่มเปิดให้บริการ เกสต์เฮาส์มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินเข้าออกพอให้เห็นบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือสร้างความลำบากขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มตัดสินใจจอดมอเตอร์ไซค์ที่ข้างทางก่อนจะใช้วิธีการเดินถามตามบ้านโดยไม่คิดจะย้อนกลับไปเริ่มที่จุดเริ่มต้นอีกแน่นนอน ไม่ใช่สมองที่สั่งให้ทำแบบนั้น แต่เสียงโครกครากในท้องต่างหากที่ทำให้เขาย้อนกลับไม่ได้



‘ฉันมาไกล...มาไกลเหลือเกิน ไม่คิดจะเดิน เดินกลับหลังไป’



อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น..ศิธาพัฒน์อดคิดไม่ได้เมื่อเพลงดังของนักแสดงชาวฮ่องกงที่มาโด่งดังในประเทศไทยเมื่อสมัยเขายังเด็กดังขึ้นจากร้านขายของที่ระลึกที่ฝั่งตรงข้ามของถนน ซึ่งเป็นอาคารไม้สองชั้น ด้านหน้าเป็นบานเฟี้ยมแบบพับเก็บด้านข้าง ภายในร้านเต็มไปด้วยของที่ระลึกน่ารัก ๆ และโปสการ์ดมากมาย ไปรษณีย์หนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงขอถือโอกาสนี้เข้าไปนั่งพักให้หายเหนื่อยหน่อยก็แล้วกัน


“โปสการ์ดสวยดีนะครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยกับคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดของอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ซึ่งถ้าคาดเดาไม่ผิดก็คงเป็นเจ้าของร้าน เพราะเท่าที่พยายามสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ในร้านก็ไม่ใครอีกแล้วนอกจากเขา


“ขอบคุณครับ” คนที่น่าจะอายุมากกว่าอยู่สัก 4-5 ปียิ้มให้พร้อมกับลอบสำรวจหนุ่มหน้ามนในชุดพนักงานไปรษณีย์ที่เพิ่งเข้ามาอย่างถ้วนถี่ “เพิ่งมาทำงานใหม่เหรอครับ ผมก็ไปทำธุระที่ไปรษณีย์บ่อยนะ แต่รู้สึกไม่คุ้นหน้าคุณเลย”


“เพิ่งย้ายมาน่ะครับ” 


คนถามพยักหน้าอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก่อนจะก้มลงเรียงโปสการ์ดในกระบะ จนในที่สุดตัวเองก็เป็นฝ่ายโดนถามบ้าง ด้วยคำถามเดียวกันกับที่ศิธาพัฒน์ให้ถามคุณลุงเจ้าของร้านขายยาจีน

“อืม...ไม่เคยได้ยินนะ ตามอะไรล่ะ ตามใจ ตามลำพังหรือว่าตามสะดวก” หนุ่มเจ้าของร้านพูดไปหัวเราะไป แต่ดูเหมือนบุรุษไปรณีย์คนใหม่จะไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย จนคนที่กำลังหัวเราะร่วนรีบเม้มปากแทบไม่ทัน “มุกนี้ไม่ขำเหรอ”


ศิธาพัฒน์ส่ายหน้าช้า ๆ อย่างอ่อนใจ


“งั้นนั่งพักก่อนแล้วค่อยเดินหาต่อก็แล้วกันนะ” เดินไปหมุนเร่งเสียงลำโพงแต่ก็ยังไม่วายหันกลับมายิ้ม “ตาม..สบายนะ”


'เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน มันเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แม้เรี่ยวแรงจะเดินนั้นยังหมด...'



“เฮ้อ...ตามลำบากสิไม่ว่า” ศิธาพัฒน์พึมพำเมื่อเดินออกจากร้าน จากนั้นก็เดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกือบสุดถนน กลิ่นหอมจากกระทะผัดปลุกให้พยาธิที่เคยร้องระงมจนหมดแรงร้องตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงดังโครกครากในท้องทำให้ต้องตัดสินใจเดินตามกลิ่นผ่านรั้วไม้เข้าไปในเกสต์เฮาส์ซึ่งด้านหน้ามีป้ายติดว่าบริการอาหารตามสั่ง


“เชิญนั่งก่อนค่ะ” หญิงสาวผิวพรรณดีที่กำลังยกถาดอาหารไปเสิร์ฟให้แขกชาวต่างชาติเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน


“มาส่งจดหมายหรือมาทานข้าวคะ”


“ทานข้าวครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มให้เธอขณะนั่งลงที่โต๊ะริมระเบียงที่ยื่นออกสู่แม่น้ำ


“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวไปเอาเมนูมาให้”


ชายหนุ่มละสายตาจากเจ้าของเกสต์เฮาส์หน้าหวานมองสำรวจไปรอบ ๆ ถัดจากระเบียงเป็นสนามหญ้ามีซุ้มประตูเปิดออกไปเป็นบันไดปูนเล็ก ๆ ที่ทอดตัวลงสู่แม่น้ำซึ่งตอนนี้ระดับน้ำยังคงไม่สูงมากนัก ส่วนที่เขานั่งอยู่เป็นส่วนของใต้ถุนของเรือนหลังใหญ่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับเขียวครึ้มให้ความรู้สึกเย็นสบายตั้งแต่ที่ได้ก้าวเท้าเข้ามา เว้นช่องตรงกลางเป็นโถง จัดเป็นสวนหย่อม ปลูกต้นปาล์มที่สูงขึ้นไปถึงชั้นสองของตัวบ้าน ดูแล้วอาณาบริเวณก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนักแต่ก็ถือว่าใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เรือนหลักปลูกด้วยไม้ทั้งหลัง ซึ่งชั้นบนน่าจะประกอบด้วยห้องพักไม่ต่ำกว่า 5-6 ห้อง พื้นที่ที่เหลือถูกแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนมีทั้งส่วนที่เป็นห้องพักและส่วนที่ให้คนงานอยู่ ฝั่งหน้าบ้านซึ่งติดถนนถูกจัดเป็นมุมสำหรับนั่งพักผ่อนดื่มน้ำชากาแฟ



“นี่ค่ะเมนู” หญิงสาวที่ศิธาพัฒน์คาดคะเนว่าน่าจะวัยไล่เลี่ยกับพี่สาวของเขาวางเมนูอาหารลงที่โต๊ะก่อนจะตั้งท่าจด


“ผมเอาข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ แล้วก็น้ำเปล่าครับ” สั่งแบบไม่เหลียวแลเมนูจนคนรับออร์เดอร์อดขำไม่ได้


“ไม่ดูเมนูหน่อยเหรอคะ ร้านเราอาหารอร่อยหลายอย่างนะคะ”


“วันนี้เอาแบบนี้ก่อนแล้วกันครับ วันไหนหิวไม่มาก ผมจะอ่านให้ครบทุกรายการเลย” คำตอบของบุรุษไปรษณีย์หนุ่มเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหวานได้อีกครั้ง เธอจัดการจดสิ่งที่เขาสั่งลงสมุดฉีกก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็กลับมาพร้อมกับน้ำเย็น ๆ หนึ่งแก้ว


กลิ่นหอมของอาหารทำให้ศิธาพัฒน์ลืมภารกิจของเขาไปเสียสนิท ไม่นานนักข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า และด้วยความหิวเขาก็ใช้เวลาไม่นานนักจัดการมันจนเกลี้ยง


“คิดเงินด้วยนะครับ”


“ทั้งหมดสามสิบห้าบาทค่ะ”


ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับปริมาณ ส่วนคุณภาพและความอร่อยให้แปดจุดห้าเต็มสิบ ร้านนี้จะเป็นอีกหนึ่งร้านที่ถูกบันทึกเอาไว้ในลิสต์ร้านอร่อยของศิธาพัฒน์ ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์จากออกมาก่อนจะหยิบธนาบัตรใบแดงส่งให้


“รอเงินทอนสักครู่นะคะ” พูดจบสาวหน้าหวานก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“ชล ลุงตรัยมาหรือยังน่ะลูก” หญิงวัยกลางคนที่เดินหอบถุงใส่ของจากซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น


“ยังเลยจ้ะแม่” ชลธรกล่าวก่อนจะเดินถือเงินทอนมาให้ไปรษณีย์หนุ่มพร้อมกับกล่าวขอบคุณเขา


“อ้อ นั่นไงคะมาพอดีเลย” เธอกล่าวเมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน ครู่หนึ่งหนุ่มใหญ่วัยใกล้ห้าสิบก็เปิดประตูลงมาจากรถ ทั้งการแต่งตัวรวมถึงท่วงท่าการเดินชวนให้นึกถึงพระเอกหนังคาวบอยย้อนยุคที่มักจะหยิบปืนขึ้นมาควงเท่ ๆ ก่อนจะยิงกันกระจายในที่สุด


“มารับน้องกลับบ้านเหรอคะลุง”


“ตอนแรกก็ว่าจะอย่างนั้นแหละ พอรู้ว่าไอ้พี่ชายตัวดีจะกลับมาก็โทรไปอ้อนให้มารับตั้งแต่เมื่อคืน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าว พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของชายหนุ่มในชุดพนักงานไปรษณย์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหารไม่ไกลนัก รู้สึกคุ้นหน้าแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน หรืออาจจะเคยเจอที่ไปรษณีย์? พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่หยุดความคิดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะมองหาลูกชายคนเล็ก “แล้วนี่ไอ้เจ้าลูกชายลุงมันไปไหนเสียล่ะ ชลถึงต้องเสิร์ฟอาหารอยู่คนเดียว”


“อยู่ในห้องนั่งเล่นค่ะลุง ช่วยชลมาตั้งแต่เช้าแล้ว ก็เลยบอกให้ไปทำอย่างอื่นบ้าง งั้นเดี๋ยวชลเรียกให้นะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินหายเข้าไปในทางเดินเล็ก ๆ ระหว่างห้องครัวกับห้องอีกห้องหนึ่ง จากนั้นเธอก็กลับมาพร้อมกับเด็กตัวเล็กที่สะพายเป้ใบโตที่หลัง 


“เตรียมพร้อมเลยนะจ๊ะพ่อหนุ่ม” ผู้เป็นน้าเอ่ยขึ้นในขณะที่หลานชายของเธอได้แต่อมยิ้ม จริงอย่างว่าเขาเตรียมเก็บเสื้อผ้าใส่เป้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนที่รู้ว่าพี่ชายคนโตกำลังจะกลับมาบ้าน หลายปิดเทอมแล้วที่ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย


“เก็บของมาครบแล้วใช่ไหมจ๊ะ”


“ครบแล้วครับน้าเดือน”


“แล้วนี่พี่ตรัยมาเอาป่านนี้ รถไฟไม่ถึงสถานีไปแล้วเหรอคะ จะเที่ยงครึ่งแล้วนะ” เดือนดาราหันมาถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานชายคนโตของเธอจะต้องมากับรถไฟซึ่งจะถึงนครลำปางตอนสิบโมงเศษ หากรถเสียเวลาก็ไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วโมง แต่นี่เที่ยงกว่าแล้วผู้เป็นพ่อยังดูมีทีท่าว่าจะรีบร้อน


“วันนี้ไม่ได้ไปรับเจ้าเต็มแล้วละ มันโทร.มาบอกว่าซื้อตั๋วได้เที่ยวที่จะมาถึงพรุ่งนี้เช้า บอกให้นั่งเครื่องมาก็ไม่เอา ไม่รู้จะอารมณ์ศิลปินอะไรนัก” ผู้เป็นพ่อถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงมองดูลูกชายคนเล็กที่แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด


“เดี๋ยววันนี้ลูกคงต้องอยู่บ้านน้าเดือนไปก่อนนะ เพราะว่าพรุ่งนี้พ่อต้องไปเชียงใหม่” เมื่อสิ้นคำของพ่อเด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย


“อ้าว แล้วถ้าพรุ่งนี้พี่เต็มมาล่ะครับ”




‘พี่เต็ม?’




ไม่ได้แอบฟังแต่บังเอิญได้ยิน ศิธาพัฒน์พยายามเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ให้เบาที่สุด เมื่อกี้เด็กผู้ชายคนนั้นพูดว่า ‘พี่เต็ม’



แล้ว ‘ตาม’ ล่ะ?


คำถามของลูกชายคนเล็กทำให้นึกขึ้นมาได้ พ่อเลี้ยงตรัยจึงหันไปกล่าวกับน้องสาวแท้ ๆ ของภรรยาผู้ล่วงลับ “พรุ่งนี้พี่คงต้องฝากเดือนช่วยรับเจ้าเต็มให้ด้วยนะ เพราะว่าพี่ต้องขึ้นไปงานศพเพื่อนที่เชียงใหม่ พี่บอกมันไว้แล้วละว่าให้มันกับน้องอยู่บ้านเดือนสัก 2-3 วันแล้วพี่จะมารับกลับไร่”


เดือนดารารับปากด้วยความเต็มใจก่อนจะขอตัวเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน


“เดี๋ยววันนี้พ่อพาซื้อหนังสือเรียน แล้วเราไปกินไอติมแก้เซ็งไอ้พี่ชายตัวดีก็แล้วกันนะ” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะใช้มือหนาโยกศีรษะของลูกชายเบา ๆ


“ถ้าอย่างนั้นตามเอากระเป๋าไปเก็บก่อนนะพ่อ” พูดจบหนุ่มน้อยก็หมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรวดเร็ว แต่ก็ยังได้ยินคำที่พ่อตะโกนบอกว่าจะไปรอเขาที่รถ



‘ตาม?’



เด็กผู้ชายคนเมื่อกี้ชื่อตาม ศิธาพัฒน์คิดทบทวนให้แน่ใจว่าเขาได้ยินไม่ผิด คนที่พอจะให้ถามได้ก็สบายตัวกันไปหมด ชายหนุ่มวางหนังสือลงบนโต๊ะทันทีที่ได้ยินเสียงรองเท้าเตะกระทบกับพื้นปูนดังใกล้เข้ามา


ริมฝีปากที่เม้มแน่นค่อย ๆ คลายออก ตัดสินใจเปล่งเสียง “น้องครับน้อง” ทำให้เด็กชายที่กำลังจะวิ่งพ้นชายคาบ้านต้องชะงัก


“พี่เรียกผมเหรอครับ”


ศิธาพัฒน์พยักหน้า เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับหยิบโปสการ์ดเจ้าปัญหาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “น้องชื่อตามใช่ไหม”


“ครับ”


ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงก่อนจะยื่นโปสการ์ดใบนั้นให้ “พี่คิดว่านี่อาจจะเป็นของน้อง”


ตามตะวันรับมันมาก่อนจะอ่านข้อความทั้งหมด พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มน้อย


“พี่เต็มตอบจดหมายตามแล้ว” เสียงนั้นดังพอที่จะเรียกคนที่กำลังยืนคิดเงินอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดให้หันกลับมามอง ชลธรเดินเข้ามาหาน้องชายด้วยความแปลกใจก่อนจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกเฉลยโดยคุณบุรุษไปรณีย์ที่ยืนยิ้มชื่นชมผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเอง...



ตามตะวันนั่งรถออกไปกับพ่อของเขาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม แม้วันนี้จะไม่ได้พบกับพี่ชาย แต่โปสการ์ดใบเล็ก ๆ ใบนี้ก็เหมือนเป็นตัวแทนที่ทำให้ยิ้มได้เมื่อได้เห็น



‘พี่เต็ม’




“คงเหนื่อยแย่เลยนะคะที่ต้องเดินตามหาตั้งแต่หัวถนนแบบนี้” ชลธรเอ่ยขึ้นขณะเดินออกมาส่งศิธาพัฒน์ที่หน้าบ้าน


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของไปรษณีย์อยู่แล้วที่ต้องนำส่งจดหมายให้ถึงมือผู้รับ” ตาคมสะดุดเข้ากับมอเตอร์ไซค์คลาสิคสีฟ้าที่จอดอยู่หน้าบ้าน มันเป็นรถแบบที่เขาเคยคิดจะซื้อขี่ไปทำงานตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักการตลาด แต่ทุกคนในบ้านลงความเห็นว่ามันไม่น่าจะเหมาะกับสภาพการจราจรและสาพอากาศในกรุงเทพฯ สุดท้ายก็เลยนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิม


“รถสวยจังครับ”


“อ๋อ ค่ะ พี่ก็เห็นมันสวยดี เลยยืมเจ้าของเขาไว้โชว์หน่อย เห็นไม่ค่อยได้ใช้”


“อ้าว ไม่ค่อยได้ใช้เหรอครับ แล้วเขาคิดจะขายหรือเปล่า”


“น้องปุ่นสนใจเหรอจ๊ะ”


“ก็เห็นว่าสวยดีน่ะครับ อีกอย่างมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีอะไรเลยทั้งจักรยานทั้งมอเตอร์ไซค์”


“อืม..ถ้าอย่างนั้นพี่จะลองถามเจ้าของเขาให้นะ ได้ความว่ายังไงจะบอกอีกทีก็แล้วกัน”


ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดอะไรกันต่อ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นผ่านมา คนขับก็คือ “บัส” พนักงานไปรษณีย์ที่ออกมานำส่งจดหมายตั้งแต่เช้านั่นเอง


“มาทำอะไรแถวนี้วะปุ่น”


“เอาจดหมายมาส่ง เลยแวะกินข้าวน่ะ”


“แล้วมายังไง”


“เอามอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งไอ้ซ้งมา จอดอยู่กลางซอยโน่น”


“งั้นซ้อนท้ายเลย เดี๋ยวพาไปเอารถจะได้กลับกัน ร้อนจะแย่แล้ว”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะหันไปลาชลธร จากนั้นจึงกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ระหว่างทางเขาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้บัสฟังไปด้วย


“แหม่....มาทำงานไม่ถึงเดือนก็โดนรับน้องเสียแล้ว”


“เออ รับโหดด้วยนะ ให้เดินหาทั้งถนนเนี่ย”


“แล้วถ้าไม่เจอน้องเขาจะทำยังไง”


“อืม..ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่ได้คิดเลย คิดแต่ว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอ” ศิธาพัฒน์ค่อย ๆ คลี่ยิ้ม นึกถึงเจ้าของโปสการ์ดใบนั้น เขาต้องเป็นเด็กผู้ชายอายุ 12-13 ขวบที่ไม่ตั้งใจฟังครูสอนในชั่วโมงการเขียนจดหมายแน่ ๆ



..มีต่อค่ะ..
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-03-2014 02:26:36
จากการต้องออกไปนำส่งจดหมายท่ามกลางสายฝนเมื่อวันก่อนทำให้อาการหวัดเริ่มถามหา แต่พนักงานใหม่อย่างศิธาพัฒน์ก็ยังคงฝืนสังขารไปทำงานจนได้ วันนี้บรรดาหนุ่ม ๆ ไปรษณีย์พากันไปรับประทานอาหารเที่ยงกันที่เกสต์เฮาส์สุดถนนตลาดเก่าอีกครั้ง นั่นไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าถึงความอร่อยของศิธาพัฒน์ แต่กลับเป็นเพราะคำอวดอ้างสรรพคุณของบัสที่เที่ยวเอามาพูดว่าลูกสาวเกสต์เฮาส์นั้นสวยจนหลาย ๆ คนอยากจะยลโฉม


“ไหนวะ ไหน ๆๆๆ” วิษณุชะเง้อจนคอยาวก็ไม่เห็นสาวสวยที่ว่า


“วันนี้ไม่อยู่มั้งพี่” บัสกล่าวทั้งที่ยังคงชะเง้อคอยาวไม่แพ้กัน


“ทานอะไรดีจ๊ะหนุ่ม ๆ” เดือนดารากล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนจะวางเมนูลงบนโต๊ะ


“ข้าวผัดหมูไม่ใสหอมใหญ่ครับ” ศิธาพัฒน์ก็ยังคงไม่เหลียวแลเมนูเหมือนเดิม


“เฮ้ย! รู้นะว่าเป็นคนกินง่าย แต่นี่มันง่ายไปไหมวะไอ้ปุ่น” บัสกล่าว


“ก็เมื่อวานมากินแล้วมันอร่อยดี วันนี้เลยอยากกินอีก ผมผิดเหรอครับคุณบัด”


“เดี๋ยวนี้มันเริ่มเถียงคำไว้ตกฟากวุ้ย” พี่ใหญ่ในโต๊ะหัวเราะก่อนจะสั่งอาหาร


“ก็ได้พวกพี่แหละครับที่เสี้ยมสอน”


“อ้าวไอ้นี่...”


“เหมือนโดนมันด่าเลยเนอะพี่นุเนอะ” ชายหนุ่มเจ้าของทรงผมเรียบกริ๊บสะกิด


“เออ ข้ารู้แล้ว เอ็งไม่ต้องย้ำ”


เสียงตะหลิวกระทบกระทบดังโป้กเป้กมาจากในครัวพร้อมกับกลิ่นหอม ๆ ของวัตถุดิบต่าง ๆ ในกระทะ ไม่นานอาหารก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟ


“ของน้องคนนี้ ข้าวผัดหมูนะจ๊ะ” เดือนดาราเอ่ยขึ้นก่อนจะแสดงท่าทางลังเลขณะส่งจานให้ “น้าต้องขอโทษแทนน้องคนทำด้วยนะจ๊ะ เขาทำเพลินไปหน่อยเลยใส่หอมใหญ่มาด้วย พอดีมาแทนแม่ครัวคนเดิมเลยยังไม่คล่อง”


“ไม่เป็นไรครับคุณน้า เดี๋ยวผมเขี่ยออกก็ได้”  ศิธาพัฒน์กล่าว เขาจัดการเขี่ยหอมใหญ่ออกมากองไว้ที่ข้างจานอย่างที่ว่าจริง ๆ ถึงหน้าตาของข้าวผัดในวันนี้จะไม่เหมือนกับเมื่อวาน แถมยังมีอุปสรรคมาขัดขวางการกิน แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ารสชาติของมันดีกว่าเมื่อวานจนอยากจะให้คะแนนสิบห้าเต็มสิบเสียด้วยซ้ำ แต่แค่สิบเต็มสิบก็คงคู่ควรกับความอร่อยในวันนี้แล้ว คิดได้ดังนั้นก็ไม่ปล่อยให้ความเย็นชืดมาพรากความอร่อย เหลังจากอาหารถูกทยอยยกออกมาเสิร์ฟได้เพียงไม่นาน เพียงไม่นานทุกจานบนโต๊ะก็กลายเป็นจานเปล่ายกเว้นก็แต่จานของคนที่ไม่ชอบในรสของหัวหอมใหญ่เท่านั้น
 



‘พ่อครัวจำเป็น’ ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นหอมใหญ่ซอยเกือบครึ่งลูกถูกเขี่ยมากองรวมกันข้างจานที่ผู้เป็นน้าเพิ่งยกเข้ามาเก็บในครัว เขาเทมันใส่ถังขยะพร้อมกับบ่นกับตัวเอง “สงสัยตอนเด็ก ๆ ไม่ตั้งใจเรียนเลยไม่รู้ว่าผักมีปะโยชน์” จากนั้นจึงจัดการล้างภาชนะที่กองสุมอยู่ในอ่างจนสะอาดเอี่ยม



วันต่อมาเมื่ออาการป่วยไม่ดีขึ้นเพื่อน ๆ จึงบังคับให้ศิธาพัฒน์หยุดงานและไปหาหมอ จากนั้นเขาก็แวะไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อฝากท้องในมื้อกลางวันเป็นวันที่สาม ชายหนุ่มเดินตรงไปหาหนุ่มน้อยที่พบกันเมื่อวันก่อนซึ่งกำลังนั่งเปิดหนังสือพลิกไปพลิกมาอยู่ที่โต๊ะริมระเบียง



“พี่นั่งด้วยคนได้ไหม” เจ้าของใบหน้าซีดเซียวเพราะอาการไข้กล่าว


“ได้เลยครับพี่ไปรษณีย์” หนุ่มน้อยยิ้มให้


“น้องตามเรียกพี่ปุ่นก็ได้”


“ครับพี่ปุ่น” ตามตะวันกล่าวก่อนจะหันไปให้ความสนใจหนังสือตรงหน้าอีกครั้ง มันเป็นหนังสือแบบเรียนที่พ่อเพิ่งพาไปซื้อเมื่อวันก่อนซึ่งจะต้องใช้เรียนในเทอมถัดไปนั่นเอง


“อ่านอะไรอยู่ครับ” ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ


“เรื่องการเขียนจดหมายครับ”


“อืม...ดีเลย ตามจะได้ไปสอนพี่ชายให้เขียนจดหมาย คราวหลังจะได้เขียนถูก ไม่เป็นภาระกับไปรษณีย์”
ประโยคท้ายนั่นทำเอาคนที่เดินมารับออร์เดอร์แทบสำลักอากาศ เสียงกระแอมดังขึ้นก่อนที่เมนูอาหารจะถูกวางลงบนโต๊ะ “รับอะไรดีครับ”


ศิธาพัฒน์ไม่ได้สนใจเมนูตรงหน้า สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือในแบบเรียนของเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน กระนั้นปากอิ่มก็ยังอุตส่าห์ตอบคำถาม “ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่แล้วก็น้ำเปล่าครับ”


“อย่าลืมนะน้องตาม อ่านจบแล้วไปสอนพี่ชายด้วย” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มยังไม่วายกำชับซ้ำ


หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มแหย ๆ แอบสบตาคนที่กำลังยืนจดออร์เดอร์นิดหนึ่งก่อนจะกล่าวเบา ๆ “ตามไม่กล้าสอนพี่เต็มหรอกครับ เดี๋ยวพี่เต็มดุเอา”


ศิธาพัฒน์มองเด็กชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ พี่ชายที่อายุห่างกันไม่กี่ปีจะมีอิทธิพลอะไรหนักหนา มันก็คงไม่ต่างอะไรไปจากเขาและน้องชายนัก



“ข้าวผัดหมูครับ”



จานที่มีข้าวผัดพูนจานถูกยกมาวางตรงหน้า เมื่อศิธาพัฒน์สังเกตดี ๆ เขาก็พบว่ามันเป็นข้าวผัดหมูไม่ธรรมดา แต่มันเป็นข้าวผัดหมูใส่หอมใหญ่ซอยละเอียดยิบ ละเอียดเสียจนความขยันที่มีในตัวไม่สามารถจะทำให้เขี่ยออกได้หมด



“พี่เต็ม พี่ปุ่นเขาสั่งข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่นะครับ”




‘พี่เต็ม’




ชื่อนี้ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อ ไม่ใช่หนุ่มน้อยม.ต้นอย่างที่คิดเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มผิวขาวละเอียด คิ้วเข้มรับกับดวงตาแข็งกร้าว ปากนิดจมูกหน่อย



ไม่ใช่คนหล่อ แต่สาวกรี๊ดแน่นอน




น่ารัก?

ใช้คำนี้พอจะอธิบายทั้งหมดได้ไหม? ศิธาพัฒน์นึกในใจ










“อ้าว แล้วพี่ทำไม่ถูกตรงไหน นี่ไงข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่” เต็มฟ้าที่วันนี้เป็นทั้งพ่อครัวและพนักงานเสิร์ฟตอบหน้าตาเฉย “ใส่แต่หอมเล็ก” เน้นคำว่าเล็กเสียจนน่าหมั่นไส้ “เล็กมากด้วย” คิ้วหนาขยับยักให้คนที่นั่งงงเป็นไก่ตาแตกเล็กน้อยอย่างผู้มีชัย พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในครัวโดยไม่รอให้ไก่ได้สติ



“งั้นเดี๋ยวตามไปเอาน้ำให้นะครับ” น้องชายเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งตามหลังพี่ชายไปติด ๆ ทิ้งให้คนไม่กินหอมใหญ่นั่งเหวออยู่อย่างนั้น



“ไอ้เด็กบ้า...”




ศิธาพัฒน์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะตักข้าวเข้าปาก จำใจกล้ำกลืนฝืนทนกิน ๆ ให้มันหมด ๆ ไป ‘ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก’ 






....


ขอโทษด้วยนะคะ ยังไม่ได้อ่านทวนเลย


ไว้เดี๋ยวจะเข้ามาแก้คำผิดนะคะ  ^^



หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: my manGo ที่ 27-03-2014 03:07:21
เต็ม น่ารัก :mew1:
กวนซะด้วยนะ หอมเล็กเนี่ย คิดได้ไงอ่ะ  :katai2-1: o13 :laugh: :m20:
คุณไปรษณีย์ งานนี้ไม่หมูซะแล้ว  o18
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 27-03-2014 03:36:49
เต็มน่ารักกกกก :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 27-03-2014 03:42:34
กรี๊ดดดดดดด คิดถึงบรรยากาศกองต้าจัง ตั้งแต่มาเรียนมหาลัยก็ไม่ได้ไปเดินอีกเลย  :hao5: :hao5:
พี่ปุ่นดูอ่อนโยนมาก สงสัยจะเป็นตัวเชื่อมให้น้องตามกับพี่เต็มเป็นแน่แท้ อ่านไปยิ้มไปตอนน้องตามได้รับจดหมาย
และยิ่งยิ้มมมมมมจนแก้มจะระเบิดตอน 'ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก' ของพี่เต็มนี่แหละ



.
บอกได้คำเดียวว่า น่าร้ากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 27-03-2014 03:49:21
5555 ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก (มากกกกกกก)

PS. เพลงไมเคิล หว่อง!!!!
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-03-2014 04:08:39
ขอบคุณที่มาต่ออย่างรวดเร็ว
ขิงก็ราข่าก็แรง  อิอิ
คนอ่านกับคนเขียน  น่าจะรุ่นเดียวกันป่าวหว่า  ทันเพลงไมเคิลหว่องด้วย 
ปล.อ่านแล้วอยากกินข้าวผัดไข่เลยอ่ะ  แต่เราชอบหอมใหญ่นะ
+1 จ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 27-03-2014 06:38:40
พี่ปุ่นกับน้องเต็มเจอกันแล้ววววว
เจอกันครั้งแรกก็ป่วนพี่ปุ่นเลยน้าน้องเต็ม  :laugh: :laugh:
อร๊ายยยย ป่วนพี่ปุ่นแบบนี้ระวังจะเจอเอาคืนน้าาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 27-03-2014 06:40:01
ห๊ะ เต็มกลับมาบ้าน อ่าวว นึกว่าไมกลับเพราะไปทำงานเลยส่งโปสการ์ดให้น้องตาม  :mew4:

แต่เค้าเจอกันแล้ววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 27-03-2014 06:55:10
พี่เต็มกวนดีจริงๆ
สงสารพี่ปุ่นเลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 27-03-2014 06:55:41
เขาเจอกันแล้ววววว  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: bobby_bear ที่ 27-03-2014 07:46:13
โหยยยยยยย

แสบมากกกกกกกกกกกกกกกกนะพี่เต็ม 555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 27-03-2014 07:57:37
ตอนนี้เต็มชนะเลิศ o13
พี่ปุ่นเอาคืนเร็วนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-03-2014 08:08:31
เจอกันแล้ว....
กลิ่นหอมใหญ่ หอมเล็กอบอวลกันเลยทีเดียว
หิวข้าวผัดหมูขึ้นมาตะหงิด ๆ

ปล.พึ่งเข้าใจคำว่ารับน้องของพี่ไปรฯ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-03-2014 08:49:58
ในที่สุดโปสการ์ดก็ถึงน้องตาม

พี่ปุ่นกับเต็ม เจอหน้ากันก็ไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไร
เต็มกวนมาก หอมใหญ่ หอมเล็ก (ไม่ไหวจะเคลียร์)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 27-03-2014 09:12:41
 o22 โธ่ พี่ปุ่น โดนเล่นซะแล้ว :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-03-2014 10:53:01
เห้ยเทออ เราอยากได้บุรุษไปรษณีย์แบบนี้มั่งอ้ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 27-03-2014 12:37:45
กวนทั้งคู่ รอการเอาคืนจากพี่ปุ่นนะ 555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: AGALIGO ที่ 27-03-2014 13:04:26

จากลูกค้าจะได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกเขยรึเปล่าเนี่ย

+ 1 + เป็ดจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 27-03-2014 14:26:58
อ่านไปได้กลิ่นข้าวผัดไปด้วยเลย

เต็มแอบเปิดศึกหรอจ๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 27-03-2014 17:20:57
นี่จะเป็นคู่กัดมากกว่ามั้งคะ55555555555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 27-03-2014 19:37:45
เต็มจัดให้เต็มๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-03-2014 19:53:00
คุณบุรุษไปรษณีที่รักได้ทำงานก็โดนรับน้องเลยเชียว อร่อยอ่ะเปล่าข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 27-03-2014 20:35:01
โอ๊ยฮา ชอบอ่ะมุกนี้ ทั้งฮาทั้งเงิบเลย "ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่" :jul3:
เพิ่งทำงานก็โดนรับน้องซะหนักเลยนะปุ่น
แต่มีความพยายามในการตามหามาก
ดีนะที่เจอ ไม่งั้นคงเหนื่อยหนักกว่านี้
น้องตามน่ารัก เต็มอย่าเย็นชากับน้องเลยนะ
เต็มกับปุ่นเจอกันแล้ว ถึงจะไม่ใช่แบบประทับใจกัน
แต่แบบนี้แหละดี ชีวิตเต็มกับปุ่นมันจะได้มีสีสัน o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 27-03-2014 22:02:32
ปุ่นโดนรับน้องสองรอบแล้วนะคะ จากคน ๆ เดียวกัน
5555555

พรุ่งนี้สั่งข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ตามรอยปุ่นดีกว่า อิอิ

 :katai5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 27-03-2014 22:06:52
เจอกันแล้ว แบบน่ารักมุ้งมิ้งด้วย  :hao7:


รอติดตามต่อนะคะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 27-03-2014 22:44:44
อ๊ายยยย ในที่สุดก็เจอกันแล้ววว
น่ารักจริงนะ หอมเล็กเนี่ย แสบจริงๆเต็มฟ้า
เป็นไงล่ะพ่อบุรุษไปรษณีย์ ข้าวผัดอร่อยมั้ย 555
มาเร็วมากเลย มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 28-03-2014 14:28:30
โอ๊ยยยยยยย มันจะน่ารักเกินไปแล้ว
ดีนะที่น้องเต็มเอาหอมใหญ่มาซอย ไม่เอาหัวแดงใส่มาให้ ฮา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: coloursal ที่ 29-03-2014 03:02:32
พฮือได้เจอกันสักที  :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 29-03-2014 13:56:52
ฮ่าๆๆๆ  น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 29-03-2014 15:34:00
เต็มน่ารักอ่ะ   :m20: :m20:

แต่เข้าใจอารมณ์ปุ่นนะ  เพราะไม่กินหอมใหญ่เหมือนกัน   สงสารนิดๆแฮะ..

ขอบคุณที่มาอัพ
รอตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: นักอ่านเงา ที่ 31-03-2014 09:08:32
เจอกันซํกที..........
กาดกองต้าสวยจิงๆ สมัยเรียนอยู่ลำปางไปเดินทุกอาทิตเลย 555+
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 31-03-2014 11:34:32
ฮ่าๆ เพิ่งเจอกันก็ได้เรื่องแล้ว  :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Shin Heeyoo ที่ 31-03-2014 16:24:08
เพิ่งหาผลงานของ "ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า" เจอ

ติดตามมาจาก เรื่อง "ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า"

ชอบภาษาที่ละมุนๆ

เพิ่งอ่านได้ตอนเดียว

ขออ่านตอนที่เหลือก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวมาเม้นใหม่

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 31-03-2014 20:52:56
กำลังจะไปอ่าน "ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า" รอบที่สองแล้วเชียว
พอดี๊ เจอเรื่องนี้ซะก่อน แค่เห็นชื่อคนแต่ง คลิกเข้ามาอ่านมือสั่นเลย
เหมือนเป็นซีรีส์นะคะ "ถ้าเธอเป็นท้องฟ้าก็เป็นโปสการ์ด
เรื่องนี้ก็มีโปสการ์ด หวังว่าเรื่องราวจะอบอุ่นๆเหมือนกัน
อย่าดราม่าน้า ไม่มี NC เราไม่ว่า เราจะจิ้นเอง แต่มีมาม่านี่ เสียน้ำตาเป็นลิตรแน่ๆ

อ่านตอนแรกๆก็เดามั่วไปหมด นึกว่าจะคู่กับเก้มั่งล่ะ คู่กับรุ่นพี่ของพี่ดุ่ยมั่งล่ะ จะคู่กับ นศพ.มั่งล่ะ
ยังงงว่าจะมาเจอกันได้ไง เพราะเต็มทำท่าจะทำงานที่ กรุงเทพ ซะแล้ว
ดีนะ ที่กลับมาเป็นพ่อครัวหัวป่าก์ที่ลำปาง ถึงจะชั่วคราว
แต่ก็สร้างความประทับใจให้พี่ปุ่นไปเต็มๆกับ "ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก" ฮ่าๆๆๆๆ

โอ๊ะ! อ่านแล้ว เม้นแล้ว ลืมบวกเป็ดนะ ขอไปบวกเป็ดก่อน ตอนใหม่มาเร็วๆน้าาา ออดอ้อนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 05-04-2014 15:55:10
สงสัยน้องตามจะได้เป็นกามเทพตัวน้อยซะแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 05-04-2014 19:07:25
 :L2:น่ารัก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 05-04-2014 21:20:22
อยากกินข้าวผัดหมูใส่หอมเล็กบ้างคงจะอร่อยน่าดูนะคะพี่ปุ่น
 :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-04-2014 21:42:24
 :katai4: :katai4:
รอพี่ปุ่นน้องเต็ม พี่ปุ่นจะได้เอาคืนเต็มไหม
หรือจะโดนเล่นหนักกว่าะเดิม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 07-04-2014 00:47:59
น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
เริ่มหัวข้อโดย: moon ที่ 07-04-2014 06:45:15
อ่านไปเรื่อยๆๆๆมีแต่คำว่าน่ารัก น่ารัก แบบโคตรน่ารักเต็มไปหมดเต็มน่ารักพี่ปุนน่ารักชอบเรื่องนี้มาต่อนะคะเรารอนะ^^
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-04-2014 22:59:08
ตอนที่ 6 : คู่กัด




เดือนดาราผู้เป็นเจ้าของ ‘แสงจันทร์เกสต์เฮาส์’ ยืนเกาะประตูมองดูหลานชายที่รับอาสาช่วยงานในครัวแทนแม่ครัวที่เพิ่งจะลาออกไปเมื่อ 2-3 วันก่อน แม้จะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถหยิบจับอะไรได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นคงเป็นเพราะหลังจากที่แม่เสียชีวิตลงเขาก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด ฝีมือการทำอาหารก็ถือว่าไม่เป็นรองใครเพราะได้รับการถ่ายทอดวิชาจากพ่อเลี้ยงตรัยผู้ที่เป็นทั้งพ่อและพ่อครัวหัวป่าก์ประจำบ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ 2-3 วันมานี้แสงจันทร์เกสต์เฮาส์จะมีลูกค้าทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่แวะเวียนกันมาไม่ขาด หรือหากจะมีอะไรผิดปกติก็คงจะเป็นออเดอร์ “ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่” ที่ถูกสั่งโดยคนคนเดิมเป็นวันที่สาม


“กินซ้ำกันทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง” พ่อครัวจำเป็นบ่นอุบขณะเทหอมใหญ่สับละเอียดยิบลงในกะทะก่อนจะผัดรวมกับข้าว หมู และไข่ เสียงตะหลิวกระทบกับผิวของกะทะและกลิ่นหอม ๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยบรรดาลูกค้าที่นั่งรออยู่ด้านนอกได้ไม่น้อย


“สงสัยเต็มจะผัดอร่อยละมั้ง คุณคนนั้นเขาถึงได้สั่งทานทุกวันไม่เบื่อเลย”


“แต่เต็มเบื่อ” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งขณะเหยาะซอสปรุงรสเติมลงไปอีกเล็กน้อย ผัดต่อไปอีกหน่อยก็ตักใส่จานที่มีผักกาดหอม แตงกวาและมะเขือเทศวางประดับเอาไว้


“เดี๋ยวน้าทำต่อเอง เต็มยกออกไปเสิร์ฟแล้วก็ไปบอกน้องให้เตรียมเก็บกระเป๋าเถอะ เมื่อกี้พ่อเขาเพิ่งโทรมาบอกว่ากำลังจะมารับ อีกสักพักก็น่าจะถึงแล้วละ” เดือนดารากล่าวขณะเดินเข้ามาดูกระดาษจดออเดอร์ที่เหลือ เมื่อได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าก่อนจะจัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกแขวนและยกจานข้าวผัดออกไป  ทันทีที่ก้าวพ้นประตูห้องครัว สายตาก็สอดส่ายหาเจ้าของออเดอร์ จนในที่สุดก็พบร่างสูงที่กำลังนั่งทอดสายตามองดูสายน้ำในลำน้ำวังที่กำลังไหลเอื่อย ๆ เต็มฟ้าเดินตรงไปยังโต๊ะที่อยู่ริมระเบียงก่อนจะวางจานข้าวผัดลงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ




“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ได้แล้วครับ”



เสียงที่เคยได้ยินมาแล้วก่อนหน้านี้ทำให้ศิธาพัฒน์จำต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าเปลี่ยนมาพิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานแทน เป็นไปตามคาด มันคือ ‘ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ ใส่แต่หอมเล็ก’ เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขอบคุณไอ้เด็กบ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นที่กำลังจะเดินจากไป เป็นอีกมื้อที่ต้องจำใจกล้ำกลืนฝืนทนกินสิ่งที่ไม่ชอบ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่สั่งเมนูอื่น หรืออาจเป็นแค่เพียงต้องการที่จะเอาชนะเท่านั้น?



หลังจากพนักงานไปรษณีย์หนุ่มกลับไปได้สักพัก พ่อเลี้ยงตรัยซึ่งเพิ่งกลับจากงานศพของเพื่อนที่เชียงใหม่ก็ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ หนุ่มใหญ่ก้าวลงจากรถอย่างอารมณ์ดีเพราะจะได้พบกับลูกชายคนโตซึ่งไม่ได้เจอกันนาน ในใจนึกถึงสัญญาที่เคยให้กันไว้เมื่อสี่ปีก่อนว่าหากเต็มฟ้าเรียนจบเมื่อไร เขาจะกลับมารับช่วงดูแลกิจการโรงงานเซรามิคของแม่เพื่อแลกกับการที่พ่อจะไม่ขายมันให้กับใคร



“ไงไอ้ลูกชาย” พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่กล่าวขณะเดินเข้าไปสวมกอดลูกชาย “เห็นน้าเดือนบอกว่าทำกับข้าวอร่อยจน 2-3 วันนี้ลูกค้าแน่นร้านเลยเหรอ”


“ช่วงนี้ลูกค้าแน่นร้านจริง ๆ ครับพ่อ สงสัยติดใจฝีมือพี่เต็มแน่ ๆ เลย” ตามตะวันเสริม


“ไม่ขนาดนั้นหรอกพ่อ อย่าไปฟังตามมาก” ลูกชายคนโตปฏิเสธ


“เดือนว่าจะขอซื้อตัวตาเต็มจากโรงงานเซรามิคของพี่ตรัยมาเป็นพ่อครัวที่เกสต์เฮาส์จะได้ไม่ต้องประกาศรับคนใหม่”


พ่อเลี้ยงตรัยมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก่อนจะยิ้ม “เรื่องนั้นน่ะ ให้เจ้าเต็มมันตัดสินใจเถอะ”


เมื่อประเด็นที่ตั้งใจเตรียมมาคุยถูกยกขึ้นมาพูดเร็วกว่ากำหนด เต็มฟ้าจึงตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองให้ทุกคนในครอบครัวได้รู้


“เต็ม...ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับน้าเดือนรู้อยู่พอดี” ชายหนุ่มพยายามเรียบเรียงคำพูด “เต็มได้งานที่กรุงเทพฯ เป็นบริษัทของรุ่นพี่ เต็มก็เลยจะขอทำงานที่กรุงเทพฯ สักพัก”


เดือนดารามองหน้าคนพูดสลับกับพี่เขยของเธอ แม้สีหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ก็ตาม แต่เธอรู้ดีว่าตรัยรอเวลานี้มานาน เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เวลาที่เต็มฟ้าจะกลับมาช่วยดูแลกิจการที่โรงงานเซรามิคของพี่สาวของเธอ ซึ่งอันที่จริงพ่อเลี้ยงตรัยตัดสินใจจะขายมันตั้งแต่ 3-4 ปีหลังการเสียชีวิตของดารกา แต่เด็กหนุ่มกลับขอให้เก็บสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่เอาไว้ และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเต็มฟ้าจึงเลือกเรียนเซรามิค


“ตามใจแกก็แล้วกัน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินไปที่รถ โดยมีลูกชายทั้งสองสะพายเป้เดินตามไปห่าง ๆ


ตั้งแต่ออกมาจากเกสต์เฮาส์สามพ่อลูกก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ผู้เป็นพ่อยังคงขับรถเงียบ ๆ ตามตะวันซึ่งนั่งกอดเป้อยู่ที่นั่งด้านหลังก็เอาแต่มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ส่วนเต็มฟ้าเองก็มองดูบ้านเรือนสองข้างทาง ทุก ๆ ที่ที่รถของพ่อขับผ่านล้วนมีแต่ความทรงจำ ซึ่งเป็นความทรงจำในตอนที่แม่ยังคงมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น




เพียงไม่นานรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อของพ่อพาทุกคนตัดออกจากถนนสายหลักซึ่งทางเริ่มคดเคี้ยวและชันขึ้นเล็กน้อย แวดล้อมไปด้วยเรือกสวนไร่นา เมื่อถึงทางแยกซึ่งมีป้ายบอกทางปักเอาไว้ พ่อเลี้ยงตรัยก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า ‘ไร่แสงดาว’ ทันที รถเล่นไปตามทางบนเนินเขาที่ขนาบข้างด้วยนาขั้นบันไดและสวนลำไยของชาวบ้าน หลังคาสีขาวปรากฏขึ้นไกล ๆ เหนือยอดไม้ใหญ่จากนั้นจึงค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทุกทีเหมือนความทรงจำเก่า ๆ ที่แจ่มชัดขึ้นทุกขณะ ในที่สุดรถก็มาหยุดที่หน้าบ้านไม้สองชั้นสีฟ้าอ่อนซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ


เต็มฟ้าเปิดประตูลงจากรถ เงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จะว่าไปมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่เขายังเด็กเลยด้วยซ้ำ พ่อเลี้ยงตรัยเดินมาตบบ่าลูกชายคนโตเบา ๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน


ที่ห้องใต้หลังคาซึ่งพ่อและแม่เตรียมไว้สำหรับเป็นห้องส่วนตัวของลูกคนแรกถูกทำความสะอาดไว้รอตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เต็มฟ้าเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับมองสำรวจไปรอบ ๆ ที่โต๊ะเขียนหนังสือมีกรอบรูปตั้งโต๊ะซึ่งเป็นภาพถ่ายครอบครัววางเรียงรายอยู่ ชายหนุ่มเจ้าของห้องวางเป้ใบใหญ่ลงก่อนจะหยิบกรอบรูปอันหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ตาคมจ้องมองภาพของหญิงสาวท่าทางใจดีที่กำลังย่อตัวลงเพื่อจัดเสื้อนักเรียนให้ลูกชายเมื่อวันแรกของการไปโรงเรียน นิ้วเรียวค่อย ๆ สัมผัสลงบนแผ่นกระจกใส รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของแม่ยังคงตราตรึงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแสนนานเพียงใด





ก๊อก ๆ



เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เจ้าของห้องต้องรีบปาดน้ำตาทันที “ไม่ได้ล็อคครับ”


เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่อยู่ด้านนอกจึงเอ่ยปากขออนุญาตเปิดประตูเข้าไป “ตามขอเข้าไปนะครับ”


 เด็กชายร่างเล็กค่อย ๆ โผล่หน้าเข้ามาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้ามายืนในห้อง


“ถึงแล้ว แล้วแกล่ะเป็นยังไงบ้าง” เต็มฟ้าที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบกับหูกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับวางกรอบรูปลงข้างตัวก่อนจะหันไปมองน้องชาย “มีอะไรหรือเปล่า พี่กำลังคุยโทรศัพท์”


“ปละ เปล่าครับ งั้นเดี๋ยวตามออกไปก่อนดีกว่า” พูดจบหนุ่มน้อยก็ค่อย ๆ หันหลังกลับเปิดประตูเดินออกไป


เต็มฟ้าถอนหายใจทันทีเมื่อประตูถูกปิดลงก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง เขาเดินไปเปิดประตูกระจกออกไปยืนที่ระเบียง จากตรงนี้สามารถมองเห็นแนวทิวสนที่ท้ายไร่ซึ่งเป็นที่ที่เขามักจะไปบ่อย ๆ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ คิดถึงโรงงานเซรามิคเล็ก ๆ ของแม่ และต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ที่มักจะผลิดอกสีชมพูสะพรั่งเมื่อถึงฤดูหนาว เมื่อคิดได้ดังนั้นเต็มฟ้าจึงออกจากบ้านตรงไปยังโรงรถเพื่อจูงจักรยานคันเก่งออกมาและปั่นไปยังจุดหมายปลายทางทันที


ชายหนุ่มปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามแปลงผัก ผ่านเรือนเพาะชำกล้าไม้และและโรงเพาะเห็ด จนกระทั่งมาถึงทางดินแคบ ๆ ระหว่างแนวทิวสนที่กั้นด้วยรั้วสีขาวเตี้ย ๆ ไม่นานก็ถึงโรงนาเก่าที่ถูกแปรสภาพเป็นโรงงานเซรามิคซึ่งเป็นธุรกิจเล็ก ๆ เมื่อสมัยที่แม่ยังมีชีวิต คนงานจำนวนหนึ่งกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นนั่นคงเพราะมีออเดอร์จากลูกค้าประจำเหมือนเคย ถัดจากโรงงานเซมิคไปไม่ไกลนักมีธารน้ำเล็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตรอบ ๆ ไร่แสงดาวแห่งนี้ เต็มฟ้าจอดจักรยานที่ริมลำธารก่อนจะทอดสายตามองระดับน้ำซึ่งมีไม่มากนักก่อนจะก้มลงพับขากางเกงขึ้นเพื่อเดินข้ามไปยังอีกฝั่ง ชายหนุ่มเงยหน้ามองต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสเปลือกแข็งของลำต้นพร้อมกับลูบไปมาเบา ๆ ราวกับได้พบเพื่อนเก่า...   








แม้จะดึกมากแล้วแต่แสงไฟที่ห้องใต้หลังคายังคงสว่าง พ่อเลี้ยงตรัยเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องที่เจ้าของกำลังยืนรับลมอยู่ที่ระเบียง



“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับโอบไหล่ลูกชายเอาไว้


“เต็มยังไม่ง่วงน่ะพ่อ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะทอดสายตามองออกไปยังแสงไฟจากบ้านเรือนของชาวบ้านที่เห็นอยู่ลิบ ๆ “พ่อโกรธหรือเปล่าที่เต็มตัดสินใจแบบนั้น”


พ่อเลี้ยงตรัยผ่อนลมหายใจเบา ๆ พร้อมกับวางมือบนศีรษะของลูกชายและโยกเบา ๆ  “พ่อบอกแกแล้วไงว่าทุกอย่างมันแล้วแต่แก ไอ้ลูกชาย”


รอยยิ้มแสนอ่อนโยนของพ่อทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย เต็มฟ้าโอบเอวผู้เป็นพ่ออย่างประจบพร้อมกับกล่าวขอบคุณ  แต่ไหนแต่ไรมาพ่อไม่เคยบังคับให้เขาทำอะไรหรือห้ามไม่ให้ทำอะไร  ไม่ว่าจะเรื่องเรียนหรือเรื่องของการใช้ชีวิต นั่นคือสิ่งที่รู้สึกขอบคุณพ่อจนทุกวันนี้


‘เต็มขอเวลาพิสูจน์บางอย่างสักพักนะพ่อ แล้วเต็มจะกลับมา เต็มสัญญา’ แม้จะเป็นคำสัญญาที่ไม่มีเสียง แต่มันกลับดังก้องอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม...



ช่วงพักกลางวันของวันต่อมา พนักงานไปรษณีย์หนุ่มยังคงเลือกฝากท้องที่ครัวของแสงจันทร์เกสต์เฮาส์โดยไม่ลืมสั่งเมนูเดิม ๆ อีกเป็นวันที่สี่ ศิธาพัฒน์ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อจานข้าวถูกยกมาวางตรงหน้าโดยลูกสาวคนสวยของเจ้าของเกสต์เฮาส์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจในวันนี้ก็คือ “ข้าวผัดหมูใส่หอมเล็ก” ที่เขาต้องฝืนกินมาตลอดสามวัน เพราะพ่อครัวจงใจซอยหอมเสียละเอียดยิบจนไม่สามารถเขี่ยออกได้หมดนั้นเปลี่ยนเป็นข้าวผัดหมูที่ไม่ใส่หอมแม้แต่ชิ้นเดียวไม่ว่าจะหอมชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ ที่ผ่านมาตัวเขาเองก็จงใจสั่งเมนูเดิมทุกวันเพราะต้องการเอาชนะ ซึ่งก็ได้ผลในวันที่สี่นี้เอง ชายหนุ่มยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะค่อย ๆ ตักข้าวเข้าปาก แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้ว่าวันนี้พ่อครัวจอมกวนของเขาต้องลาป่วยแน่ ๆ


“วันนี้ไม่อร่อยเหรอจ๊ะ” ชลธรถามคนที่กำลังทำท่าจะรวบช้อน ทั้งที่ข้าวผัดในจานพร่องไปไม่ถึงครึ่ง

ศิธาพัฒน์ยิ้มให้หญิงสาวผู้มีอัธยาศัยไมตรีก่อนจะตอบอย่างมีมารยาท “อร่อยครับ แต่ผมยังไม่ค่อยหิว”


“แหม พี่ตกใจแย่ คิดว่าฝีมือแม่ครัวคนใหม่จะสู้ฝีมือพ่อครัวจำเป็นไม่ได้เสียแล้ว แต่ถ้าไม่อร่อยน่ะปุ่นบอกพี่ได้เลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ ช่วงนี้เป็นช่วงให้เขาทดลองงาน พี่เองก็ต้องคอยถามลูกค้าคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน” 


“ครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ อย่างไรเสียเขาก็ต้องรักษาน้ำใจกันไว้อยู่ดี


“เอ้อ พี่ถามเจ้าของมอเตอร์ไซค์ให้แล้วนะจ๊ะ”


“เขาว่ายังไงบ้างครับ”


“ตกลงเขายอมขายให้จ้ะ ที่สำคัญคือขายให้ในราคาไม่แพงด้วยนะ”


เมื่อได้ฟังราคาของมอเตอร์ไซค์คลาสิคสภาพดีที่จอดอยู่หน้าบ้านแล้วศิธาพัฒน์ถึงกับไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกัน “ทำไมขายถูกนักล่ะครับ”


“เขาบอกว่ามีคนเอาไปใช้ก็ยังดีกว่าจอดทิ้งไว้เฉย ๆ น่ะจ้ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเย็นวันพรุ่งนี้ผมจะเอาเงินมาให้ก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องโอนก็แล้วแต่ทางพี่ชลสะดวกก็แล้วกัน”


“เรื่องเงินไม่ต้องรีบก็ได้จ้ะ ส่วนเรื่องโอนน่ะเจ้าของเขาฝากให้พี่จัดการแทนให้ ยังไงปุ่นก็ลองเชคสภาพรถดูก่อนก็แล้วกันเพราะมันจอดเฉย ๆ มานานแล้ว ถ้าเรียบร้อยเราค่อยนัดวันไปโอนกัน”


“ขอบคุณมากนะครับพี่ชลที่ช่วยเป็นธุระให้” ศิธาพัฒน์กล่าวกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าแต่สายตากลับมองไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ที่ถูกต่อเติมแยกออกไปจากส่วนของที่พักอาศัย



(มีต่อค่ะ)

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 07-04-2014 23:02:15
เด็กชายตามตะวันยืนมองพี่ชายที่กำลังล้างรถอยู่ที่หน้าบ้านจากหน้าต่างห้องนอน หลายวันแล้วที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแต่ก็กลับคุยกันจนแทบนับประโยคได้ แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วันพี่ก็ต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ  แต่หนุ่มน้อยก็อยากจะใช้ช่วงเวลานี้อยู่กับพี่ชายของเขาให้นานที่สุด..ให้หายคิดถึง เมื่อคิดได้ดังนั้นตามตะวันก็ผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะวิ่งลงมาที่สนามหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว


"พี่เต็มล้างรถจะไปไหนเหรอครับ"


"พี่จะไปค้างบ้านน้าเดือน" พี่ชายตอบขณะใช้สายยางฉีดน้ำเพื่อล้างฟองสบู่ออก



หลังจากกลับมาอยู่ที่ไร่ได้ 2-3 วัน เต็มฟ้าก็ถูกชลธรขอร้องให้กลับไปช่วยงานที่เกสต์เฮาส์ระหว่างที่ยังหาแม่ครัวคนใหม่ไม่ได้ ส่วนคนที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อหลายวันก่อนนั้นหลังจากซาวเสียงลูกค้าแล้วต่างก็ลงความเห็นว่าไม่น่าจะเอาดีทางการทำอาหาร เดือนดาราจึงย้ายให้เธอไปทำหน้าที่อื่นแทน พ่อครัวจำเป็นจึงต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง


"ให้ตามไปด้วยคนได้ไหมครับ"


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด แม้จะไม่ได้เซ้าซี้เอาคำตอบ แต่สายตาวิงสอนคู่นั้นกลับทำให้เขาต้องตัดสินใจพยักหน้าตกลง ดังนั้นในตอนสายสองพี่น้องจึงพากันเก็บกระเป๋าขับรถเข้าไปในเมือง



วันนี้แขกในร้านเยอะกว่าทุกวันเพราะเป็นวันเสาร์ ถนนตลาดเก่าคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเดินเล่นในกาดกองต้า พ่อครัวหนุ่มปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกเมื่อเห็นว่าได้เวลาครัวปิดในตอนบ่ายแก่ ๆ เสียงรองเท้าแตะกระทบพื้นทางเดินที่ดังรัวขึ้นทำให้ต้องหันมองที่ประตู ไม่นานนักร่างเล็กของน้องชายก็มายืนหอบอยู่ตรงหน้า ในมือกำกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สำหรับจดรายการอาหารเอาไว้แน่น


"บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่ง" ผู้เป็นพี่ชายกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่สบอารมณ์นัก


"ตามขอโทษครับ" หนุ่มน้อยพูดทั้งที่ยังหายใจทางปาก "ตามกลัวมาไม่ทันพี่เต็มปิดครัว" กล่าวจบก็ส่งกระดาษในมือให้พี่ชาย


"ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่" เต็มฟ้าอ่านข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือเดียวกับที่เคยเห็นในจดหมาย


"ของพี่ปุ่นครับ"


ชื่อนี้อีกแล้ว?


คิ้วหนาขมวดเข้าหากันขณะอ่านทวนข้อความในกระดาษอีกครั้งก่อนจะสวมผ้ากันเปื้อนและเดินไปหยิบหอมหัวใหญ่ในตู้เย็น...



“ไม่เบื่อหรือไงกินเมนูเดิมซ้ำ ๆ” ไม่รู้อะไรดลใจให้พ่อครัวจำเป็นถามขึ้นขณะวางจานที่มีข้าวพูนลงบนโต๊ะ


ศิธาพัฒน์ก้มมองข้าวผัดใส่หอมเล็กก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนถามให้ชัด ๆ อดนึกถึงน้องชายของตัวเองไม่ได้ สองคนนี้น่าจะอายุไล่ ๆ กัน แต่หากพูดถึงเรื่องความกวนประสาทแล้ว เจ้าปุ้นของเขาคงแพ้ราบคาบเมื่อมาเจอนายเต็มฟ้าคนนี้


“ถ้าเบื่อแล้วจะสั่งเหรอ”


คำตอบเพียงสั้น ๆ ของชายหนุ่มแปลกหน้าทำเอาคนถามอึ้งไปเลยทีเดียว รู้สึกอยากตบปากตัวเองที่ถามแบบนั้นออกไป เต็มฟ้าแอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ สงบสติอารมณ์ขณะมองปากอิ่มที่กำลังเผยอยิ้มจนเห็นฟันสวยเรียงเป็นระเบียบ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูยียวนที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา ตัดสินใจพาตัวเองไปให้ไกลจากรอยยิ้มบ้า ๆ แต่ก็ยังทันที่จะได้ยินเสียงพูดไล่หลัง


 


“กะว่าจะสั่งแบบนี้ทุกวันให้คนทำเบื่อไปเลย จนกว่าจะได้กินข้าวผัดที่ไม่ใส่หอมใหญ่จริง ๆ” เสียงหัวเราะในลำคอยิ่งชวนให้คนฟังหงุดหงิดเข้าไปใหญ่




เต็มฟ้าเดินหน้าตึงสวนกับน้องชายที่กำลังยกแก้วใส่น้ำเย็น ๆ ออกมาเสิร์ฟ หนุ่มน้อยตามตะวันเดินยิ้มร่าเข้ามาหาพนักงานไปรษณีย์หนุ่มก่อนจะวางแก้วลง


"น้ำครับ"


"ขอบใจมากนะสุดหล่อ ถ้าไม่ได้น้องตาม พี่คงต้องหิ้วท้องไปกินที่อื่นแน่ ๆ" ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมทั้งใช้มือลูบท้องตัวเอง


"ไม่เป็นไรครับ พี่ปุ่นก็อุตส่าห์เอาโปสการ์ดของพี่เต็มมาให้ตาม ถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณครับ" หนุ่มน้อยยิ้มแฉ่ง "แล้วทำไมวันนี้พี่ปุ่นทานข้าวกลางวันตอนนี้ล่ะครับ"


"เมื่อเช้าพี่ไปทำงานมาน่ะ กะว่าทำให้เสร็จแล้วค่อยหาอะไรทานทีเดียวก็เลยยาวมาเกือบเย็นนี่แหละ" ชายหนุ่มกล่าวขณะตักข้าวเข้าปา


"ถ้าพี่ปุ่นไม่รีบกลับ ก็อยู่รอเดินถนนคนเดินสิครับ มีของขายเยอะแยะเลย ตอนนี้ข้างนอกน่าจะเริ่มตั้งร้านกันแล้ว"


"อืม น่าสนใจเหมือนกันนะ" ศิธาพัฒน์ยิ้ม เคยได้ยินเหมือนกันว่าในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ถนนตลาดเก่าจะมีถนนคนเดิน แต่ก็ยังไม่เคยมาเดินเล่นเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ละเลียดกินเพื่อรอเวลาที่ร้านรวงต่าง ๆ จะตั้งเสร็จ ถือโอกาสนี้เดินเล่นในกาดกองต้าเสียหน่อย



"จะรวยไปไหนเนี่ยพี่ชล กลางวันเปิดเกสต์เฮาส์แถมขายอาหารตามสั่ง ตกเย็นยังจะไปตั้งแผงขายเซรามิคอีก" เต็มฟ้าบ่นขณะยกกระบะใส่ตุ๊กตารูปสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ทำจากเซรามิคตามหลังพี่สาว


"อย่าบ่นน่า นี่พี่อุตส่าห์เอาของที่โรงงานลุงตรัยมาช่วยขายให้นะเนี่ย คนจะได้รู้จัก ที่โรงงานจะได้มีอออเดอร์เยอะ ๆ ไง"


"คร้าบบบบบบ ขอได้รับการขอบคุณจากครอบครัวตติยพัฒน์นะครับ"


"เต็มนี่ ยังจะมากวนพี่อีก" ชลธรกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหันไปตีแขนน้องชายเบา ๆ


"จะไปไหนกันเหรอครับ ให้ผมช่วยไหม" พนักงานไปรษณีย์หนุ่มที่ยังคงนั่งคุยอยู่กับเด็กชายตามตะวันที่มุมนั่งเล่นที่หน้าบ้านเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ


"อ้าว พี่นึกว่าปุ่นกลับไปแล้วเสียอีก"


"ยังหรอกครับพี่ชล วันนี้กะว่าจะลองเดินเล่นที่ถนนคนเดินเสียหน่อย เลยมานั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาอยู่หน้าบ้านพี่ชล พี่ชลคงไม่ว่านะครับ" ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะมองไปถึงคนข้างหลังที่ยังคงทำหน้าตึงใส่เขา


"ตามสบายเลยจ้ะสำหรับลูกค้าประจำ เอ้อ... แล้วนี่รู้จักกันหรือยังจ๊ะปุ่น นี่น่ะนายเต็ม เจ้าของโปสการ์ดเจ้าปัญหาที่ทำให้คุณบุรุษไปรษณีย์ต้องเดินตามหาตั้งแต่หัวถนนไง"


คำพูดของพี่สาวมันช่างแทงใจดำนัก เต็มฟ้ากระแอมเบา ๆ "ไปเถอะพี่ชล เต็มหนัก"


"อย่าเพิ่งสิ พี่ยังไม่ได้แนะนำเลย คนนี้ไงที่ซื้อมอเตอร์ไซค์ของเต็ม เขาชื่อปุ่นจ้ะ น่าจะอายุมากกว่าเต็ม 3-4 ปี"


สิ้นเสียงพี่สาวเต็มฟ้าก็ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว ตอนที่พี่ชลมาถามเรื่องขายมอเตอร์ไซค์ก็ไม่ได้ซักว่าคนซื้อคือใคร ถ้ารู้ว่าเป็นคนนี้ละก็คงไม่ขายแน่ ๆ


"เรียกพี่ปุ่นก็ได้" ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


"คงไม่ได้หรอกครับ บังเอิญเป็นลูกคนเดียว"


คำพูดที่ตั้งใจจะตอกกลับเพื่อความสะใจโดยไม่ทันคิดของพี่ชายนั้นทำเอาสีหน้าของน้องชายที่ยืนฟังอยู่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มน้อยมองตามพี่ชายที่กำลังเดินพ้นรั้วหน้าบ้านไปด้วยหลายความรู้สึก แต่ที่แน่ ๆ ก็คือคำพูดเมื่อสักครู่มันยิ่งตอกย้ำความคิดที่ว่าพี่ชายไม่รักซึ่งซ่อนเอาไว้ภายในใจมาสิบกว่าปี


"น้องตาม" เสียงอันอ่อนโยนของคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันดังขึ้นพร้อมสัมผัสอุ่น ๆ ที่หัวไหล่เรียกสติของตามตะวันกลับคืนมาอีกครั้ง หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงเจ้าของฟันสวย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ทำให้ศิธาพัฒน์ออกแรงบีบไหล่เล็กนั้นเบา ๆ  "เป็นไกด์พาพี่เดินเที่ยวหน่อยได้ไหม"


"ได้ครับ" ตามตะวันตอบเสียงดังฟังชัดก่อนจะหันไปขออนุญาตพี่สาวซึ่งเธอก็ยอมแต่โดยดี


เต็มฟ้าเดินถือกระบะใส่ตุ๊กตาเซรามิคมาตามถนนสายแคบ ๆ ที่ขณะนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายอาหาร ของที่ระลึกและเสื้อผ้า ในที่สุดเขาก็มาหยุดที่โต๊ะไม้สีขาวขนาดใหญ่ที่คนงานช่วยกันยกออกมาจองพื้นที่เมื่อก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มวางกระบะลงก่อนจะค่อย ๆ เรียงตุ๊กตาเซรามิคลงบนโต๊ะจนกระทั่งชลธรเดินตามมา  เขาจึงขอตัวไปเดินเล่นในถนนคนเดินให้หายคิดถึง ในที่สุดแสงสุดท้ายของวันก็ถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน ถนนสายยาวที่เคยเงียบสงบกลับมากไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เสียงพูดคุยด้วยสำเนียงต่าง ๆ ดังแข่งกันจนฟังไม่ได้ศัพท์  ชายหนุ่มเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดถนนก็ตัดสินใจเดินหันหลังให้ความวุ่นว่ยนั้นก่อนจะเดินไปยังสะพานโค้งที่ทอดข้ามลำน้ำวังซึ่งถูกประดับประดาไปด้วยไฟหิ่งห้อย สองตาทอดมองเงาสะท้อนแสงไฟบนผืนน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ พร้อมกับปล่อยใจคิดอะไรเพลิน ๆ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนจะเรียบเฉยทันที นิ้วเรียวกดรับสายก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูเป็นฝ่ายรอฟังเสียงของคนที่ปลายสายโดยไม่ได้พูดอะไร


"อุตส่าห์หนีคนไข้โทรมาเพราะอยากได้ยินเสียง แต่เขากลับไม่พูดอะไรกับเราสักคำ มันน่าน้อยใจ" ประโยคยืดยาวของอีกฝั่งทำให้อดยิ้มไม่ได้ พยายามสกัดกลั้นอาการเขินก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติที่สุด


"เป็นยังไงบ้าง"


"ไม่ค่อยสบายครับ"


คำตอบของคนที่ปลายสายทำเอาคนฟังนึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที


"เป็นอะไร ไปหาหมอหรือยัง"


"หาหมอที่ไหนก็ไม่หายหรอก เพราะมันเป็นอาการของคนไกลแฟน"


เต็มฟ้าหัวเราะหึก่อนจะตามน้ำ "แล้วจะรักษายังไง"


"ก็ต้องให้แฟนรีบกลับมาไว ๆ ไง"


สิ้นเสียงของยุทธภูมิต่างคนก็ต่างเงียบ จนได้ยินเพียงเสียงรถราที่แล่นไปมาอยู่บนสะพาน


"เมื่อไรเต็มจะกลับ ภูมิคิดถึงนะ แล้วเต็มล่ะคิดถึงกันบ้างไหม"


"อื้อ" เต็มฟ้าได้แต่ครางในลำคอแทนคำตอบ "อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว รอไอ้เก้มันหาหอใหม่ให้ได้ก่อน"


"ไปรบกวนเก้ทำไม ภูมิชวนให้มาอยู่ด้วยกันก็ไม่ยอม ไม่รู้จะหวงเนื้อหวงตัวไปถึงไหน"


"เราคิดว่านายก็ควรจะมีโลกส่วนตัวของนายบ้าง ได้มีเวลาอยู่กับเพื่อน ติวหนังสือกัน ให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว"


"ก็ได้คร้าบบบบบ ภูมิตามใจเต็มอยู่แล้ว"


เต็มฟ้ายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ฟัง แต่แล้วเขาก็รีบหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อหันไปเห็นแขกไม่ได้รับเชิญกำลังยืนทอดสายตามองสายน้ำอยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มจึงรีบตัดบทและวางสายทันที


"ทำไมไม่ยักพูดกับน้องดี ๆ เหมือนที่พูดกับคนอื่น...ไม่สิ เหมือนที่พูดกับแฟนบ้าง" แม้จะดูเป็นคำกล่าวลอย ๆ แต่เต็มฟ้าก็มั่นใจว่าคนพูดกำลังหมายถึงเขาแน่ ๆ


"จะพูดยังไงแล้วเกี่ยวอะไรด้วย" ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองคนที่ตัวสูงกว่ากันไม่กี่เซ็นก่อนจะเดินหันหลังให้


“จริง ๆ ก็ไม่เกี่ยวหรอกนะ แต่ถ้าวันนั้นนายได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นตอนที่ได้รับโปสการ์ดละก็ นายอาจทำแบบเดียวกับที่ฉันทำอยู่ตอนนี้”



เต็มฟ้าเลือกที่จะเดินจากมาเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อช่วงหัวค่ำทำให้ถนนสายยาวยิ่งยาวมากขึ้นอีกในความรู้สึก ผู้คนจำนวนมากต่างเดินเบียดเสียดทำให้การจารจรทางเท้าไม่รวดเร็วดั่งใจของใครหลาย ๆ คน  เต็มฟ้าหันกลับไปมองทางที่เดินผ่านมา ซึ่งเห็นแนวโค้งของโครงสะพานอยู่ไกล ๆ ทั้งที่ระยะทางก็เพิ่มความห่างให้มากขึ้นทุกขณะ  และคำพูดของใครคนนั้นก็จบลงไปนานแล้ว แต่ทำไมจึงรู้สึกว่ามันยังคงดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในโสตประสาท พยายามพร่ำบอกตัวเองดัง ๆ ตลอดทางว่าเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องใด ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอยู่แล้ว แต่นั่นก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น


ทันทีที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงทีวีดังมาจากห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล เมื่อเดินไปตามเสียงภาพที่เห็นก็คือน้องชายของตัวเองกำลังนอนกอดตุ๊กตาหมีตัวใหญ่อยู่ที่โซฟา เต็มฟ้าค่อย ๆ เลื่อนประตูกระจกเข้าไปหยิบรีโหมตกดปิดทีวี จากนั้นจึงย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ โซฟามองเด็กชายที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างพิจารณา มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมายังที่ที่ตาจดจ้องนั่นก็คือใบหน้าของคนที่กำลังนอนหลับ แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจชักมือกลับและรีบลุกขึ้นถอยห่างออกมาเมื่อเห็นตามตะวันเริ่มขยับตัวเพราะเสียงเปิดประตูของแขกที่เข้าพักซึ่งอยู่ห้องด้านบน


“พี่เต็มกลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มน้อยกล่าวงังเงียพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นขยี้ตา


“เห็นทีวีเปิดอยู่ พี่เลยเข้ามาปิด ทีหลังถ้าไม่ดูแล้วก็ปิดแล้วก็ไปนอนที่ห้องสิ”


“ตามขอโทษครับ ตามเผลอหลับ” ตามตะวันลุกขึ้นหอบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ก่อนจะเดินผ่านร่างสูงของพี่ชายกลับเข้าห้องตัวเองไป ในขณะที่เต็มฟ้าผ่อนลมหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอกหนุ่มน้อยก็โผล่หน้าออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


“ฝันดีนะฮะพี่เต็ม”


เมื่อได้ฟังดังนั้นพี่ชายจึงพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้องทันที



เต็มฟ้าทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพยายามสลัดคำพูดของชายแปลกหน้าออกจากหัวแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน



“ถ้านายได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นตอนที่ได้รับโปสการ์ดละก็ นายอาจทำแบบเดียวกับที่ฉันทำอยู่ตอนนี้”


รอยยิ้มของเด็กคนนั้นตอนที่ได้รับโปสการ์ด มันจะเหมือนกันกับรอยยิ้มเมื่อกี้ที่เขาเห็นไหม?


   



วันต่อมาเดือนดาราลงมือทำครัวด้วยตัวเอง เพราะเธอตั้งใจจะแบ่งกับข้าวไปให้ญาติของสามีซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน ทำให้ต้องรับช่วงดูแลกิจการเกสต์เฮาส์โดยมีลูกสาวอย่างชลธรเป็นผู้ช่วย ดังนั้นวันนี้ครัวแสงเดือนจึงปิดให้บริการอาหารตามสั่งแก่ลูกค้าทั่วไปเป็นเวลาหนึ่งวัน


“ถ้าขนมจีนน้ำเงี้ยวของน้าเดือนจะใช้เวลาทำนานครึ่งค่อนวันอย่างนี้ เต็มว่าเดินไปซื้อร้านป้าป๋องมากินดีกว่า ป่านนี้อิ่มนอนกลิ้งตีพุงไปแล้ว” เต็มฟ้ากล่าวขณะที่สองคนพี่น้องกำลังเกาะประตูมองแม่ครัวใหญ่ที่กำลังยืนเคี่ยวกระดูกหมูในหม้อ


“แหม...จะทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือเราก็ต้องลงมือทำเองสิจ๊ะ” เดือนดารากล่าว “เดี๋ยวเสร็จแล้วน้าจะวานให้เต็มช่วยขับรถเอาไปให้ลุงเดชกับป้าบัวแกหน่อย เดี๋ยวน้าจะบอกให้ชลพาไป”


“พี่ชลขับรถเต็มไปส่งของชำร่วยเซรามิคที่บ้านเพื่อนที่ลำพูนตั้งแต่เช้าแล้วครับ”


“ตายจริง น้าก็ลืมไปเลย ยัยชลบอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเต็มไปให้ คิดว่าน่าจะไปถูก บ้านหลังใหญ่ ๆ ใกล้ไปรษณีย์ใช่ไหมครับ”


“จ้ะ บ้านหลังที่น้าชาติเคยพาเต็มวิ่งไล่ไก่ชนบ่อย ๆ น่ะ เมื่อวันทำบุญร้อยวันเต็มก็ขับรถพาน้าแวะเอาของทำบุญไปให้เขามา เต็มจำได้ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้า จากนี้ก็เหลือเพียงรอเวลาให้น้ำเงี้ยวของเดือนดาราเสร็จเรียบร้อยเท่านั้น



“พี่เต็ม น้าเดือนบอกว่าขนมจีนน้ำเงี้ยวเสร็จแล้ว ให้พี่เต็มเอาไปให้ลุงเดชได้เลยนะครับ” เสียงของเด็กชายตามตะวันดังพอที่จะเรียกความคิดซึ่งถูกปล่อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำของคนที่กำลังนั่งเสียบหูฟังฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือที่ระเบียงกลับมา เต็มฟ้าลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ใส่ลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปรับปิ่นโตเถาสั้นจากมือผู้เป็นน้องชาย


“ตามขอไปด้วยได้ไหมฮะ”


“จะไปทำไม ฟ้าครึ้มขนาดนี้ เดี๋ยวฝนตกไม่สบายก็เดือดร้อนกันไปหมด”


แม้คำปฏิเสธของพี่ชายทำเอาตามตะวันหน้าจ๋อย แต่หนุ่มน้อยที่แสนจะว่านอนสอนง่ายผู้นี้ก็ไม่คิดจะเซ้าซี้เหมือนเคยซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พี่ชายอย่างเต็มฟ้ารู้ดี


“ดะ..เดี๋ยวขากลับจะซื้อขนมมาฝากก็แล้วกัน” พูดจบพี่ชายก็เดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้น้องชายอย่างตามตะวันมองตามด้วยความงุนงงปน ๆ ดีใจ อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าพี่ชายจะซื้ออะไรอะไรกลับมาฝาก


เต็มฟ้าเลือกที่จะเดินคิดอะไรไปเรื่อย ๆ ผ่านบ้านเรือน ศาลหลักเมืองและวัดวาอารามจนกระทั่งมาถึงถนนหน้าที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งปิดทำการในวันอาทิตย์ ชายหนุ่มข้ามถนนก่อนจะเดินเข้าไปในซอย จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่แวดล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ เสียงไก่โต้งตัวเขื่องยังคงโก่งคอขันแม้ว่าดวงอาทิตย์จะเคลื่อนมาตรงศีรษะแล้วก็ตาม เสียงลูกสุนัขสีดำวัย 5-6 เดือนที่กำลังเกาะรั้วเห่าไล่คนแปลกหน้าอยู่ที่หน้าบ้านทำให้คุณลุงผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องแง้มประตูออกมาดู ผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนราวบันไดถูกดึงมาคาดไว้ที่เอวก่อนจะเดินตรงเข้ามา เสียงใหญ่ ๆ ที่ร้องดุเจ้าลูกสุนัขทำให้มันเงียบเสียงไปได้พักหนึ่งก่อนจะอ้าปากเห่าขึ้นมาอีก


“สวัสดีครับคุณลุง” เต็มฟ้ายกมือไหว้อย่างนอบน้อม


“ไปไงมาไงล่ะหนุ่ม” ลุงเดชมองสำรวจผู้มาเยือนอย่างไม่ไว้ใจนัก


“ผมเต็มไงลุง จำไม่ได้เหรอครับ หลานน้าเดือนกับน้าชาติ”


“อ่อ..จำได้ ๆ เจ้าเต็ม ไม่เจอกันหลายปีมันโตเป็นหนุ่มหล่อเหมือนพ่อไม่มีผิด  เมื่อก่อนชอบมาวิ่งไล่ไก่ชนจนโดนไล่ไก่จิก” ชายวัยกลางคนเจ้าของผมสีดอกเลาหัวเราะชอบใจ


“เรื่องหล่อนี่ไม่เถียง แต่เรื่องไก่จิกนี่เลิกจำได้ไหมลุง” ชายหนุ่มส่ายหน้า


“แล้วนี่ลมอะไรหอบมาถึงบ้านลุงได้”


“วันนี้น้าเดือนทำขนมจีนน้ำเงี้ยว เลยให้เต็มเอามาให้ลุงกับป้าชิม” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับส่งปิ่นโตให้ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีตรงหน้า ก่อนจะก้มลงมองเจ้าลูกสุนัขสีดำที่กำลังทำจมูกฟุดฟิด ๆ ใกล้ ๆ กับขาของเขา


“มันกัดหรือเปล่าครับลุง”


“ไม่กัดหรอก มันขี้เล่นน่ะ”


เต็มฟ้าพยักหน้าก่อนจะย่อตัวลงเอื้อมมือลูบหัวลูกสุนัขหูตูบเบา ๆ “ชื่ออะไรเนี่ย”


“ชื่อนังแรมโบ้”


“โอ้โหสาวน้อย ชื่อแกแมนมากนะ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมจับขาหน้าของเจ้าหมาน้อยขึ้นเพื่อให้มันยืนสองขา จากนั้นเขาก็ปล่อยมันลงก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้า


“หวัดดีก่อน หวัดดีเป็นหรือเปล่าแกน่ะ”


เจ้าหมาน้อยเดินเข้ามาดมที่มือของคนแปลกหน้าพร้อมกับกระดิกหางทำจมูกฟุดฟิด


“เร็วสิ หวัดดีก่อน” เต็มฟ้ายังคงเพลิดเพลินอยู่กับการทักทายเพื่อนใหม่ตัวดำของเขาโดยไม่ทันได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเข้ามาจอดที่ข้างรั้ว


“สวัสดีครับ” เสียงนั้นฟังคุ้น ๆ จนทั้งหูคนและหูสุนัขกระดิก เจ้าแรมโบ้กระดิกหางแทบหลุดพร้อมกับวิ่งวนไปมาเมื่อพบหน้าคนมาใหม่


“เอ้อ..ศิธามาพอดี เห็นป้าเขาพูดถึงอยู่ว่าจะให้มาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟที่ชายคาให้ นี่ก็ซื้อหลอดไฟเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน” ลุงเดชกล่าวก่อนจะเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าไปในบ้าน แต่เต็มฟ้าปฏิเสธเมื่อเห็นว่าภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้ว


“แล้วนี่เต็มมายังไง” คุณลุงยังคงถามด้วยความเป็นห่วง


“เต็มเดินมาน่ะลุง แถวนี้ไม่ได้เดินนานแล้ว”


“แล้วจะเดินกลับเรอะ นี่ฝนฟ้ามันก็ทำท่าจะตกอีกแล้วนะ”


“เต็มโบกรถสองแถวกลับก็ได้ งั้นเต็มไปก่อนนะลุง” ชายหนุ่มรีบตัดบทเมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มครึ้ม


“รอก่อนสิ เดี๋ยว...เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ชายหนุ่มที่กำลังจูงมอเตอร์ไซค์คลาสิคเข้ามาจอดในรั้วบ้านเสนอ และนั่นก็ทำให้ลุงเดชเห็นด้วยจนออกปากคะยั้นคะยอให้หลานชายอยู่ต่อ


เต็มฟ้าก้มลงมองเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วนที่กำลังครางหงิง ๆ พร้อมกับเอาเท้าสะกิดขาของเขาก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตามลุงเดชเข้าไปในบ้าน โดยมีศิธาพัฒน์และเจ้าแรมโบ้เดินตามไปห่าง ๆ



เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองชายคาบ้านไม้ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูงก่อนจะร้องถามคนที่กำลังปืนขึ้นไปบนบันไดไม้ไผ่ที่พาดอยู่กับเสาเหล็กลำเท่าแขนเด็กที่ใช้ค้ำยันชายคาบ้านที่ทำยื่นออกมาเพื่อบังแดด



“ไหวเหรอ”



“ไหวสิ เมื่อก่อนอยู่เกาะสมุย ปืนเก็บมะพร้าวบ่อย ๆ” คำพูดติดตลกนั้นชวนให้อยากกระโดดถีบบันไดให้รู้แล้วรู้รอดไป นี่ถ้าลุงเดชกับป้าบัวไม่ยืนลุ้นให้กำลังใจชิดขอบสนามแบบนี้คงจัดให้ไปแล้ว



“ขี้โม้ว่ะ” พึมพำกับตัวเองก่อนจะรับหลอดไฟที่เพิ่งถูกปลดลงมาวางไว้กับขั้นบันได ก่อนจะส่งหลอดไฟนีออนยาวหลอดใหม่แกะกล่องให้ถึงมือคนที่กำลังรออยู่ ศิธาพัฒน์ได้แต่ยิ้มก่อนจะรับหลอดไฟมาใส่คืนที่เดิม เมื่อเรียบร้อยแล้วป้าบัวก็เดินไปกดสวิชต์ ในขณะที่สองหนุ่มต่างก็ยืนมองผลลัพธ์ที่ได้อย่างพอใจ


“เดี๋ยวแวะไปเอาเสื้อกันฝนที่บ้านก่อนแล้วจะขี่รถไปส่ง” ศิธาพัฒน์กล่าวหลังจากที่ทั้งคู่ลาเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว


“ไม่ต้อง กลับเองได้”


“รู้ว่ากลับเองได้ แต่ฝนมันใกล้จะตกแล้ว หัดฟังเหตุผลบ้าง” แม้สีหน้าและน้ำเสียงของคนพูดจะดูจริงจังจนเต็มฟ้ารู้สึกหวาด ๆ แต่เขาก็ยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ชายหนุ่มไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น เขาเดินผ่านรั้วบ้านของลุงเดชออกมาโดยมีศิธาพัฒน์จูงมอเตอร์ไซค์ตามมาติด ๆ



“หยุด แล้วก็รออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่เข้าไปเอาเสื้อกันฝนที่บ้านก่อนแล้วจะไปส่งที่เกสต์เฮาส์” พูดจบร่างสูงก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านที่อยู่ข้าง ๆ กันทันที


“ทำมาสั่ง คิดว่าจะเชื่อเหรอ” เต็มฟ้าพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินไปโดยไม่สนใจคำสั่งเมื่อสักครู่ เสียงหงิง ๆ ที่ตามหลังมาทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดเดินพร้อมกับหันไปมองเจ้าของเสียง


“แรมโบ้ แกตามมาทำไมเนี่ย” กล่าวจบก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก ๆ จำใจต้องเดินกลับไปส่งเจ้าหมาน้อยที่บ้านอีกครั้ง


“เข้าบ้านเร็วแรมโบ้ ฝนจะตกแล้ว” เต็มฟ้าพยายามไล่ แต่เพื่อนตัวดำก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตาม


“สงสัยจะมีเสน่ห์กับทุกสปีชีส์ละมั้ง”



โอ้โห...นี่ชมหรือด่า เต็มฟ้าคิดในใจก่อนจะหันขวับไปมองหน้าเจ้าของประโยคยียวนกวนเบื้องล่างเมื่อครู่


“ไป! เข้าบ้านได้แล้วแรมโบ้” ลงที่ใครไม่ได้ก็ลงกับหมาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป “ยัง ยังจะมาเห่าอีก เก็บปากไว้ห่อฟันเหอะ นังแรมโบ้” พูดจบเต็มฟ้าก็ดันก้นเจ้าหมาน้อยให้กลับเข้าบ้านก่อนจะรีบปิดประตูทันที


ศิธาพัฒน์ยังคงยืนทบทวนประโยคที่เต็มฟ้าพูดกับเจ้าแรมโบ้เมื่อสักครู่ “แรมโบ้มันเห่าตอนไหนวะ” เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าโดนไอ้เด็กแสบหลอกด่าเข้าให้แล้ว เขาจึงรีบสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ชี่ตามคนที่กำลังเดินไปทันที



“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”


“ไม่ กลับเองได้”



 “ทำไม? ซ้อนท้ายศัตรูนี่มันเสียศักดิ์ศรีมากเลยเหรอ? หรือว่า….” ปากอิ่มพูดทิ้งจังหวะชวนโมโห


“หรือว่าอะไร”


“หรือว่า..กลัว”


“ไม่ได้กลัว” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ ก่อนจะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามของถนน


“นี่..ไม่กลัวแล้วไม่อายคนอื่นเขาหรือไง มีผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์ตามเนี่ย ตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงนะ ฝนก็จะตกแล้วด้วย”


คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิดพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงทุกขณะ ในที่สุดก็จำใจกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์


“เกาะดี ๆ นะน้อง” ศิธาพัฒน์ล้อเลียนก่อนจะออกรถ


“พูดมากว่ะ นี่ยอมนั่งก็ถือว่ายอมลดตัวลงไปมากแล้วนะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนขับก็หัวเราะหึ “มีใครเคยบอกไหม”


“ว่า?”


“ว่าเราเป็นคนกวนตีน”





เต็มฟ้าจ้องมองแผ่นหลังที่ไหวไปมาของคนข้างหน้า ถึงจะไม่มีเสียงไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังหัวเราะ แต่ยังไม่ทันที่จะนึกอะไรมาตอบโต้ได้ตึกแถวเก่า ๆ ที่สร้างจากไม้ซึ่งอยู่ข้างทางก็เตือนให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหาก่อนก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่กำลังคิดออกไป


“ขอแวะร้านขนมสุดตึกแถวนี่หน่อยได้ไหม”


ศิธาพัฒน์ตอบคำถามกึ่งขอร้องนั้นด้วยการผ่อนความเร็วลงก่อนจะขี่เลาะไปตามริมฟุตบาทจนกระทั่งมาหยุดที่หน้าร้านขายขนมและของเล่นโบราณได้ทันเวลาฝนตกพอดี...




....



ช่วงคุยกันก่อนฟ้าสางค่ะ ช่วงนี้สนับสนุนโดยผ้าอ้อมผู้ใหญ่มามีโปโกะ
เขียนตอนที่ 6 ไป ปาดเหงื่อไป คิดไม่ออกด้วยแล้วก็มีหลาย ๆ อย่างให้รู้สึกว่าต้องเอามันมาคิดด้วย
คือจริง ๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นดราม่านะคะ ซึ่งนิยามความดราม่าของแต่ละคนอาจจะต่างกัน
ส่วนเราให้นิยามเรื่อง "คุณบุรุษไปรษณีย์ฯ" ว่าไม่ดราม่านะ แค่จะบอกว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้สวยหรูเสมอไป
ยังไงก็อยากให้คุณคนอ่านอ่านกันแบบไม่ดราม่านะจ๊ะ ^^ ลองอ่านไปเรื่อย ๆ นะ
สุดท้ายอาจจะพบว่าหมอภูมิ แกคือ ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมาสืบราชการลับใช่ไหม ^^ 555 ฝันดีค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 07-04-2014 23:24:30
เป็นคู่ที่น่ารักจริงๆ ต่อปาก ต่อคำกันเก่งจริงคู่นี้ ไม่มีใครยอมใครเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-04-2014 23:38:00
เป็นคู่กัด  ต่อไปพัฒนาเป็นคู่รักรึป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-04-2014 23:40:41
สงสารน้องตาม น้องออกจะน่ารักและว่าง่าย
เต็มฟ้าดื้อมาก พี่ปุ่นช่วยปราบทีเถอะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 07-04-2014 23:45:12
แหงะ ทำไมเต็มจะไปทำงานที่กรุงเทพซะล่ะ

แล้วจะรักกันกับพี่ปุ่นได้ยังไงงงงงง นี่ก็ยังกัดกันไม่เลิก

แล้วไหนจะตามอีก น้องเสียใจนะ เต็มใจร้ายยย

ไม่ปลื้มหมอภูมิ จ้องจะฟันเต็มอยู่ล่ะสิ เรารู้นะ

ไม่อยากให้เต็มไปกรุงเทพ เอาม้าลำปางมาฉุด จะอยู่ม๊ายยยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: my manGo ที่ 08-04-2014 00:11:47
น้ำตาเกือบไหลตอนที่พี่เต็มบอกเป็นลูกคนเดียว  :mew4: สงสารน้องตามมมมมมมมมมมมมมม :mew6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 08-04-2014 00:18:40
พี่เต็มเริ่มที่จะใจอ่อนกับน้องตามแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: 28016 ที่ 08-04-2014 00:20:10
เต็มบางครั้งก็ดูเย็นชากับน้องตามมากแต่บางทีก็ดูเหมือนจะใจดีด้วย อย่าใจร้ายนักเลย สงสารน้อง :hao5:
คุณหมอภูมิก็ดูเหมือนจะเป็นคนดีนะ แต่ชอบนิสัยพี่ปุ่นมากกว่า :o8:
แต่ถ้าเต็มย้ายไปกรุงเทพพี่ปุ่นก็จะไม่ได้กินข้าวผัดใส่หอมเล็กแล้วสินะ  :z10:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 08-04-2014 00:30:22
สงสารน้องตาม   ถ้าตัดเรื่องนี้ไปเต็มจะดีมากกกกกกกเลย :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 08-04-2014 00:59:01
มีใครอ่านแล้วอยาก  :beat: เต็มมันเหมือนเราบ้างป่าวอ่ะ
ยิ่งเวลาอยู่กับตามทีไรคือสงสารตามมากอ่ะ  ตามนี่มันบทนายเอกชัดๆ
คือเราไม่รู้หรอกนะว่าเต็มรู้สึกยังไง แต่โตมาจนป่านนี้อายุก็ไม่ใช่5ขวบ10ขวบ
แล้วยังแยกแยะไม่ออกอีกหรอว่าไม่ใช่ความผิดน้อง ปกติเราก็ชอบนายเอกแรงๆ ไม่ใสซื่อนะ
แต่เรื่องนี้เราเชียร์ตาม+ปุ่นจะผิดไหม จัดโชตะไปเลย รอวันตามโตและตบเต็มมันซักทีเราคงสะใจดีนะ หมั่นไส้ 555+++
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 08-04-2014 01:07:13
เค้าไม่อยากให้มีดราม่าน้องตามนานๆเลยอะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-04-2014 01:15:03
มีใครอ่านแล้วอยาก  :beat: เต็มมันเหมือนเราบ้างป่าวอ่ะ
ยิ่งเวลาอยู่กับตามทีไรคือสงสารตามมากอ่ะ  ตามนี่มันบทนายเอกชัดๆ
คือเราไม่รู้หรอกนะว่าเต็มรู้สึกยังไง แต่โตมาจนป่านนี้อายุก็ไม่ใช่5ขวบ10ขวบ
แล้วยังแยกแยะไม่ออกอีกหรอว่าไม่ใช่ความผิดน้อง ปกติเราก็ชอบนายเอกแรงๆ ไม่ใสซื่อนะ
แต่เรื่องนี้เราเชียร์ตาม+ปุ่นจะผิดไหม จัดโชตะไปเลย รอวันตามโตและตบเต็มมันซักทีเราคงสะใจดีนะ หมั่นไส้ 555+++



ชอบอ่ะ....รักเลยดีกว่า ^^


ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 08-04-2014 04:11:55
อ่านแล้วหงุดหงิดเต็มจัง...
สงสารน้องตาม ถ้าเราที่เป็นน้องแล้วรู้ดีแก่ใจแต่แรกว่าพี่ไม่รักตัวเหมือนน้องตาม ยิ่งมาได้ยินสิ่งที่เต็มพูดแบบนั้นเราคงยิ่งเสียใจ
แต่น้องตามเป็นเด็กดีมากนะคะ อ่านแล้วทั้งสงสารทั้งเอ็นดู
พี่ปุ่นก็น่ารัก จริงๆก็คิดอยู่ว่าคนแบบพี่ปุ่นนี่แหละที่น่าจะดัดนิสัยคนแบบเต็มได้

ส่วนเรื่องหมอภูมิ (ตลกดี คนรู้จักเราก็เป็นหมอชื่อภูมิค่ะ 555 เวลาอ่านนี่ หน้าคนรู้จักก็ลอยมาเลย)
อ่านตอนแรกๆก็รู้สึกว่าก็ดูรักเต็มดี แต่เรายังเดาทางไม่ถูกว่าจะเป็นยังไงต่อไป
เรื่องอยากให้ไปอยู่ด้วยกันคงเป็นปกติของคนเป็นแฟนมั้ง? อันนี้ไม่ได้อยากมองแง่ลบเท่าไหร่
แต่ถ้าจะมีเรื่องให้ต้องเลิก เราเดาว่าน่าจะเพราะการเป็นหมอที่ไม่ค่อยมีเวลามากกว่า? (อันนี้ก็เดาเอาล้วนๆ)

ไม่เดาแล้วดีกว่าค่ะ รออ่านต่อนะคะ
อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป อยากรู้ว่าเมื่อไหร่ที่พี่ปุ่นกับเต็มจะคุยกันดีๆ
จริงๆเราเริ่มรู้สึกว่าลึกๆเต็มก็รักน้องนะ แต่ดูจะเป็นคนรั้นๆก็เลยไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่

สู้ๆนะคะ ติดตามและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-04-2014 06:07:52
ไม่มีใครยอมใครเลย แบบนี้ล่ะลูกดก
ส่วนหมอภูมิตัดทิ้งไปเหอะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 08-04-2014 06:16:07
สงสารน้องตาม  :hao5:  พี่เต็มใจร้ายยยยยย  :o12:

เมื่อได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าก่อนจะจัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกแหวนและยกจานข้าวผัดออกไป

แขวน

ทางเริ่มคดเคี้ยวและชันขึ้นเล็กน้อย แวดล้อมไปด้วยเลือกสวนไร่นา

เรือกสวนไร่นา

ชายหนุ่มเงยหน้ามองต้นชมพูพันธุ์ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ตรงหน้า

ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์



ชายหนุ่มกล่าวขณะตักข้าวเข้าปา

เข้าปาก


ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ ละเรียดกินเพื่อรอเวลาที่ร้านรวงต่าง ๆ จะตั้งเสร็จ

ละเลียด

แต่แล้วเจาก็รีบหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อหันไปเห็นแขดไม่ได้รับเชิญกำลังยืนทอดสายตามองสายน้ำอยู่ข้าง ๆ

เขา  ,  แขก

เต็มฟ้าค่อย ๆ เลื่อนประตูกระจกเข้าไปหยิบรีโหมตกดปิดทีวี

รีโมท

“พี่เต็มกลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มน้อยกล่าวงังเงียพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นขยี้ตา

งัวเงีย

“สงสัยจะมีเสน่ห์กับทุกสปีชีย์ละมั้ง”


สปีชีส์

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 08-04-2014 06:47:32
ไม่ดราม่านะ แต่มันอึดอัดอ้ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 08-04-2014 06:50:04
ข้าวผัดสื่อรัก :mew1:
หมอภูมิไปเป้นแฟนเพื่อนเต็มเถอะ
สงสารตาม :o12:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-04-2014 09:51:13
สงสารน้องตาม เมื่อไรคุณพี่จะปล่อยเรื่องเก่าๆทิ้งไป
แล้วกลับมาเป็นครอบครัวอบอุ่นสักที
 :katai1: :katai1:
พี่ปุ่นกับเต็มก็ยังเป็นคู่กัดกันอยู่ เมื่อไรจะได้เจอกันอีก
ถ้าเต็มจะกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ไหนจะเรื่องหมอภูมิอีก

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 08-04-2014 09:55:29
กิ่งทองใบหยก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 08-04-2014 10:39:42
เต็มกวนๆๆๆๆ


แต่ชอบๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 08-04-2014 11:43:03
เต็มก็น่ารักดีนะ ยกเว้นเรื่องน้องตาม เราซึ่งเป็นคนรักน้องหงุดหงิดเลยที่เต็มเฉยชากับน้องขนาดนี้ :m16:
อีกหน่อยคู่กัดคงกลายเป็นคู่รัก แต่หน่อยที่ว่าไม่รู้จะนานขนาดไหน :mew5:
ชอบแพะแคระดุ่ยกับเก้นะคะ ดูเป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วคงสนุกมาก :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 08-04-2014 11:55:01
เต็มโคตรกวนเลย ดื้อด้วย 555555

สงสารน้ิองตาม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 08-04-2014 15:56:27
เราว่ามันดราม่าแน่ๆ ละ ถ้าหนุ่มไปรฯ เป็นพระเอก แสดงว่างานนี้หมอต้องบาดเจ็บ  :ling3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 08-04-2014 16:39:41
เลือกไม่ถูกว่าระหว่างน้องเต็มกับพี่ปุ่นนี่คนไหนกวนกว่ากัน 555555
คนหนึ่งดูกวนแบบผู้ใหญ่ อีกคนดูกวนแบบเด็กๆ น่ารักดีค่ะ

เราชอบบรรยากาศของเรื่องนี้จริงๆ นะเนี้ย

แต่สงสารน้องตามจังเลย คือน้องให้ฟีลนายเอกของพี่ปุ่นมาก กร้ากกกก
เอ๊ะ? หรือจริงๆ แล้วจะเป็นปุ่นตาม????? (นี่ก็มั่วไปเรื่อย 555555)
เลี้ยงให้โตก่อนนะคะพี่ปุ่น กร้ากกกกกกก

ตอนนี้น้องเก้ของพี่โผล่มาแค่ชื่อ คิดถึงพ่อหนุ่มเดรทร็อตจังเลยค่าาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 08-04-2014 18:10:27
มนต์รักข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่

 :mew1:

พี่ปุ่นก็แสบ น้องเต็มก็ใช่ย่อย อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-04-2014 19:47:08
 :3123:ชอบๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: Noi_Noi ที่ 08-04-2014 21:00:45
ทำไมตอนนี้สงสารน้องตามจัง ;_;
พี่เต็มก็นะ อย่าใจร้ายกับน้องนักเลย
เดี๋ยวน้องตามงอแงฟ้องพี่ปุ่นให้มาจัดการนะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-04-2014 22:06:48
แอบไม่พอใจเต็มเบาๆ สงสารน้องตาม
แบบนี้ต้องโดนดัดนิสัยให้เข็ด
ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 09-04-2014 00:42:31
สงสารน้องตาม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 09-04-2014 10:29:22
พี่ปุ่นน่ารักมากกกกกกกกกกกกก
ใครอยู่ใกล้ต้องใจอ่อนแน่ๆ
อยากให้แบ่งความใจดีให้เต็มบ้าง เต็มทั้งกวนตีนทั้งเย็นชา (ถึงจะดีขึ้นหน่อยแล้วก็เถอะ)
สู้ๆนะพี่ปุ่นน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 09-04-2014 17:01:37
ปล่อยเต็มจมอยู่กับความคิดแบบเห็นแก่ตัว
แล้วให้รีบๆกลับไปหาแฟนหมอเถอะ
ส่วนน้องตามก็ให้รักกันกับปุ่นซะ
จะได้มีความสุขกันทุกฝ่าย วินวิน :ruready
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 6 : คู่กัด)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 09-04-2014 22:43:51
สนุกค่ะ เต็มกับปุ่นดูเป็นมวยถูกคู่
แต่ว่าพูดอะไร ทำอะไรคิดถึงใจน้องตามนิดนึง
น้องไม่มีแม่เหมือนกันนะค่ะ แถมไม่มีมาตั้งแต่แรกเลยด้วย
ผิดกับเต็มนะ ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่เต็มไปหมด
ทำไมไม่แชร์ให้น้องรู้บ้าง น้องออกจะรักพี่เต็มขนาดนี้
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-04-2014 18:50:04
ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา



เต็มฟ้าซึ่งนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กระโดดแผล็วลงไปยืนตั้งแต่รถยังไม่จอดสนิทเลยด้วยซ้ำ เล่นเอาคนขับถึงกับส่ายหน้า หากเป็นน้องเป็นนุ่งคงจะโดนอบรมไปหลายกระบุงโกย ศิธาพัฒน์มองตามคนที่กำลังเดินตรงไปยังแผงขายขนมโบราณหลากชนิดทั้งลูกกวาดสีสวย บ๊วยเค็ม  ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นทั่วไปตามท้องตลาด



“ยังมีขายอยู่อีกเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามมาเอื้อมมือหยิบขนมโก๋รูปปลารองด้วยกระดาษสีบานเย็นใส่ในซองพลาสติกมีของแถมเป็นแหวนทองวงเล็กขึ้นมาดูอย่างพิจารณา



“พวกขนมหรือของเล่นสมัยเด็ก ๆ น่ะ ร้านนี้มีทุกอย่างแหละ” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันกล่าวก่อนจะหันไปยิ้มกับอาม่าเจ้าของร้านที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ฟังเสียงสนทนาของพระเอกนางเอกละครวิทยุซึ่งดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเล็กที่วางอยู่เหนือตู้โชว์ของเล่นโบราณ ในมือของเธอกำพัดใบลานกวัดแกว่งไปมาคลายความร้อนอบอ้าวของอากาศยามเมื่อฝนใกล้ตกเช่นนี้



“ยังกับย้อนเวลาได้”



เต็มฟ้าพยักหน้าเห็นด้วยกับคนพูด มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เขารู้สึกทุกครั้งที่ได้แวะเวียนมาที่นี่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตังเมไม้ที่ถูกเย็บติดกับแผงกระดาษซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปเล็กน้อย พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะเอื้อมมือดึงถุงขนม



“เดี๋ยวหยิบให้” คนตัวสูงกว่ากล่าวก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ ‘ใกล้เกินไป’ จนอีกคนต้องขยับหนีปล่อยให้เขาดึงถุงขนมลงมา



“เอาอีกไหม” ศิธาพัฒน์หันมาถามพร้อมกับยื่นถุงขนมให้



“อีกอันเดียวก็พอ เดี๋ยวซื้ออย่างอื่นด้วย” พูดจบก็หันไปคว้าถุงเจลลี่รูปขวดโคล่า 2-3 ถุงกับกังหันลมของเล่นที่ด้ามจับทำจากพลาสติกใสใส่ลูกอมเม็ดเล็ก ๆ หลายสีอีก 2 อัน



“อาม่าคิดเงินด้วยครับ”



“ลื้อคิดมาเลยอาเต็ม ราคาเท่าเดิม เงินทอนก็อยู่ในกระป๋องนั่นทอนเอาเอง” หญิงชราเจ้าของร้านกล่าว เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของกำไรหรือขาดทุนนั้นชวนให้อดีตนักการตลาดอย่างศิธาพัฒน์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย



“ติดละครตามเคย” เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือหยิบกระป๋องนมสนิมเขรอะที่ถูกผูกไว้กับเชือกไนลอนร้อยเข้ากับรอกบนขื่อลงมาจัดการทอนเงินให้ตัวเองเสร็จสรรพ



“อาม่าแกไม่กลัวโดนโกงเหรอถึงได้ปล่อยให้ลูกค้าบริการตัวเองขนาดนี้” คนที่ยังคงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเอ่ยขึ้น



“ไม่มีใครกล้าหรอก ส่วนใหญ่คนที่มาซื้อของร้านอาม่าก็คนในละแวกนี้ทั้งนั้น” คนที่กำลังหยิบขนมใส่ถุงกล่าวก่อนจะหันไปลาเจ้าของร้านที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับฉากในละครวิทยุที่พระเอกกำลังต่อปากต่อคำกับนางเอก



ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากร้านขนมฝนเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็กลับหนาเม็ดขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นม่านน้ำฝนปกคลุมไปทั่วบริเวณ เต็มฟ้าขยับมายืนชิดประตูห้องแถวข้าง ๆ กันที่ถูกปิดเอาไว้เฉย ๆ ซึ่งเจ้าของเพิ่งเอาป้ายประกาศขายมาติดได้ไม่นาน จมูกโด่งสูดเอากลิ่นที่เขาเรียกว่า ‘กลิ่นฝน’ เข้าเต็มปอดแบบที่ไม่สามารถทำได้เมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ  ยังจำได้ดีว่าดุ่ยเคยถามอยู่หลายครั้งว่าไอ้กลิ่นฝนที่เขามักจะพูดถึงมันเป็นอย่างไร ซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้คนถามเข้าใจได้เหมือนกัน



“รีบกลับหรือเปล่า ถ้ารีบจะขี่ไปส่งก่อน มีเสื้อกันฝน” คนที่เดินมายืนข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้น



คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น “มีเสื้อกันฝนก็กลับไปก่อนก็ได้”



“นี่ที่พี่พูดตั้งแต่แรกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง” พูดจบศิธาพัฒน์ก็นั่งลงถัดไปไม่ไกล เต็มฟ้าไม่ได้ใส่ใจคนพูดเท่าไรนัก เขานั่งเอนหลังพิงบานประตูไม้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองน้ำฝนที่ไหลลงมาเป็นสายตามแนวโค้งเป็นคลื่นของชายคากระเบื้อง ละอองฝนเย็น ๆ สาดกระทบใบหน้า ราวกับทุกสิ่งรอบตัวกำลังเคลื่อนที่ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง มันเป็น ‘บรรยากาศชวนเหงา’ แบบที่ใครสักคนได้ให้นิยามเอาไว้ ในที่สุดตาคมเลื่อนลงมามองขนมในถุงที่วางอยู่บนหน้าตักแทน     



“ซื้อไปทำไมเยอะแยะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์” เสียงนั้นดังขึ้นแข่งกับเสียงฝน ศิธาพัฒน์อดไม่ได้ที่จะถามตามประสาคนเคยถูกคุณย่าบ่นเมาก่อน ตอนนั้นรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมย่าต้องบ่น แต่เมื่อวันหนึ่งที่กลายเป็นพี่ขึ้นมาบ้าง เขาเองก็มักจะบ่นแทนย่าอยู่บ่อย ๆ เมื่อเปิดเจอขนมไม่มีประโยชน์เหล่านี้ในเป้ใส่หนังสือของน้องชาย



“บางอย่างก็ไม่ได้กินเพื่อเอาประโยชน์นี่”



“ถ้าไม่เอาประโยชน์แล้วจะเอาอะไร พูดแปลก ๆ”



“รำลึกความหลังไง” คนที่ยังคงเงยหน้ามองสายฝนกล่าวเสียงเรียบ “แค่กินเพื่ออยากจะนึกถึงสมัยเด็ก หลาย ๆ คนก็คิดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ บางครั้งก็อยากจะทำอะไรเพื่อนึกถึงความหลังครั้งยังเด็กบ้าง ยิ่งคนแก่ ๆ น่ะ”



ทำไมต้องหรี่ตามองมาทางนี้? เขายังไม่แก่นะ แม้อยากจะเถียง แต่หนุ่มวัยเบญจเพสก็เลือกที่จะเบนสายตาหนีสายตาเจ้าของตรรกะบ้า ๆ บอ ๆ นั้นแทน 



“ก็เหมือนอาม่า ถ้าอยากได้เงินเยอะ ๆ แค่อยู่เฉย ๆ เก็บค่าเช่าตึกแถวฝั่งตรงข้ามก็พอแล้ว ไม่ต้องมาเปิดร้านขายขนมก็ได้”



ศิธาพัฒน์มองดูตึกแถวสร้างใหม่หลายคูหาตรงหน้าที่ขณะนี้ถูกจับจองจนเต็มหมดแล้ว “ตึกแถวข้างหน้านั่นของอาม่าเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพียงแค่ต้องการตอกย้ำความจริงที่เพิ่งได้รู้เมื่อครู่ก็เท่านั้น


สองหนุ่มนั่งมองฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายโดยไม่ได้พูดอะไรกัน นาน ๆ ถึงจะมีรถยนต์ขับผ่านมาสักคันพอให้ได้ลุ้นว่าความเร็วจะทำให้น้ำที่นองอยู่บนพื้นถนนสาดถึงตัวพวกเขาหรือไม่ ในที่สุดคนหนึ่งก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ



“น้องตามบอกว่าเราเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ใช่ไหม”



“ต้องตอบด้วยเหรอ”



“อ้าว ถามดี ๆ นะ ทำไมต้องตอบกวน” ศิธาพัฒน์ยังคงพยายามข่มใจ “ว่าไงล่ะ นี่จบแล้วใช่ไหม”



เต็มฟ้าเพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบ



“น้องชายพี่ก็เรียนไกลบ้านเหมือนกัน ไปเรียนถึงสงขลาโน่น คุยกันทีไรก็บ่นให้ฟังว่าเหงา คิดถึงบ้านทุกที เราล่ะไม่เหงาเหรอ ไปเรียนไกลบ้านแบบนั้น”



คำถามนั้นทำให้ดวงตาทอประกายวูบหม่นลง ได้แต่ตอบตัวเองในใจ ...คำว่าเหงาสะกดยังไงแทบจะลืมมันไปแล้ว?



ศิธาพัฒน์มองคนข้าง ๆ อย่างรอคำตอบ แต่ชายหนุ่มยังคงเอาแต่นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฝนเริ่มขาดเม็ด



“ฝนหยุดแล้ว” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับลุกขึ้น จงใจที่จะไม่ตอบคำถามนั้น ศิธาพัฒน์ลุกขึ้นตามพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่ายที่ขณะนี้ถูกแต้มด้วยสีทั้งเจ็ดของรุ่งกินน้ำที่ขอบฟ้าด้านหนึ่งก่อนจะเดินไปที่รถ มือหนาปาดน้ำฝนที่ค้างอยู่บนเบาะก่อนจะหันมาพูดกับร่างโปร่งที่เดินตามมาติด ๆ



“เปียกหน่อยนะ”



“ไม่เป็นไร ฝนตกจะให้มันแห้งได้ยังไง”



“เออ ไม่เถียง” คำตัดบทห้วน ๆ ทำคนพูดจากวนประสาทนึกสะใจเล็ก ๆ แต่ก็พยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้  เจ้าของมอเตอร์ไซค์ทำท่าฮึดฮัดด้วยความขัดใจก่อนขึ้นนั่งประจำที่สตาร์ทแชะ ๆ อยู่ไม่กี่ทีเครื่องก็ติด จากนั้นคนรอก็ขึ้นซ้อนท้ายโดยไม่ต้องให้บอก ใช้เวลาไม่นานมอเตอร์ไซค์คลาสสิคสีฟ้าก็พาสองหนุ่มลัดเลาะถนนที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนกระทั่งมาถึงเกสต์เฮาส์ซึ่งอยู่สุดปลายถนน คนซ้อนท้ายก็กระโดดลงโดยไม่รอให้รถหยุดเป็นครั้งที่สอง



“รอให้รถหยุดก่อนไม่ได้หรือไงถึงค่อยลง” ศิธาพัฒน์ว่าจะไม่พูดแต่ก็อดไม่ได้



“บ่นยังกับคนแก่” เต็มฟ้ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะล้วงหยิบกังหันของเล่นในถุงแล้วยื่นให้ “เอาไปกินไป จะได้รำลึกความหลัง เผื่อจะจำได้ว่าเคยเป็นเด็กมาก่อน ไม่ใช่เกิดมาแล้วแก่เลย”



“ไอ้เด็กบ้า” ศิธาพัฒน์พึมพำด้วยรอยยิ้มก่อนจะรับกังหันของเล่นมาถือเอาไว้ มองหน้าคนที่กำลังยักคิ้วกวน ๆ

 

“ไปละ”



“นี่ไม่คิดจะขอบคุณเลยหรือไง เป็นเด็กเป็นเล็ก”



“ก็อุตส่าห์ให้ขนมเป็นการตอบแทนแล้วไง ยังต้องขอบคุณอะไรกันอีก”



“แค่นี้น่ะไม่พอค่าน้ำมันหรอก”



“แล้วจะเอายังไง”



“เลี้ยงข้าวสักจานก็แล้วกัน ข้าวผัดไม่ใส่ทั้งหอมเล็กหอมใหญ่น่ะ”



“อือ” เจ้าของกังหันพลาสติกตอบส่ง ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในบ้านทิ้งให้คนมาส่งยังคงนั่งยิ้มคนเดียวอยู่อย่างนั้น…









ประตูห้องนอนถูกปิดลงส่วนถุงใส่ขนมก็ถูกวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ เต็มฟ้าทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มก่อนจะเอนหลังนอนแผ่ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากมองดูพัดลมเพดานที่กำลังหมุนช้า ๆ คำถามที่เขาไม่ได้ตอบยังคงก้องอยู่ในความรู้สึก     
 
 

“เราล่ะไม่เหงาเหรอ ไปเรียนไกลบ้านแบบนั้น”



ถ้าให้ย้อนกลับไปตอบได้ คงจะบอกว่ามันคงไม่มีช่วงไหนจะเหงาเท่ากับตอนที่ต้องไปโรงเรียนประจำที่เชียงใหม่หลังจากแม่เสียชีวิตลงอีกแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะพ่อให้เหตุผลว่าจะต้องดูแลน้องที่ยังเล็กดังนั้นจึงตัดสินใจส่งเขาไปเรียนโรงเรียนประจำเพื่อจะให้ครูดูแลอย่างใกล้ชิด  และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้ต้องอยู่ไกลบ้านครั้งแรก จะได้กลับบ้านแต่ละทีก็ต้องรอให้ปิดเทอมเสียก่อน ดังนั้นในปีท้าย ๆ ของการเรียนมัธยมหากมีโอกาสได้กลับมาที่ลำปางเต็มฟ้าจึงมักจะมาขลุกอยู่ที่บ้านของน้าเดือนเป็นส่วนใหญ่ เมื่อใกล้ถึงวันเปิดเทอมก็จะอิดออดไม่อยากกลับทุกครั้งไป จนพ่อและน้าต่างพากันบ่นในความขี้เกียจและเกเรของเขาโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเหตุผลในการไม่อยากกลับไปที่โรงเรียนประจำเป็นเพราะคำนิยามที่ฟังแล้วเจ็บปวดในความรู้สึกของเด็กที่ถูกส่งให้มาอยู่ไกลบ้านซึ่งผู้ใหญ่หลายคนใช้อธิบายเกี่ยวกับตัวของเขานั่นเอง




“ไอ้พวกเด็กเหลือขอ พ่อแม่เขาไม่เอาแล้วยังไม่รู้ตัว เขาถึงต้องส่งมาดัดนิสัยที่โรงเรียนประจำนี่ไง”



คำพูดไล่หลังของแม่ครัวในโรงอาหารมีให้ได้ยินแทบทุกวันเมื่อเด็ก ๆ ทำอะไรให้รู้สึกไม่สบอารมณ์ เช่นทำช้อนหล่นบ้าง ทำถาดอาหารหลุดมือบ้าง แรก ๆ ก็ฟังแล้วอยากจะเถียงกลับ แต่เมื่อได้ฟังทุกวันก็กลายเป็นซึมซับและยอมรับสภาพนั้นไปโดยปริยาย นึกอยากขอบคุณคนที่ประดิษฐ์เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา แม้จะมีราคาแพง ณ ขณะนั้นแต่มันก็ช่วยให้เขาไม่ต้องได้ยินคำพูดเหล่านั้นได้ หูฟังเล็ก ๆ มักจะถูกหยิบออกมายัดใส่หูทันทีหลังออกจากห้องเรียน จากเด็กชายนิสัยเรียบร้อยน่ารักที่เคยใส่ใจดูแลคนรอบข้างกลับกลายเป็นเด็กที่ไม่สนใจโลก จากเด็กธรรมดา ๆ ซุกซนไปตามประสาเด็กก็กลายเป็น ‘เด็กเหลือขอ’ ตามที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็นในที่สุด ดังนั้นชีวิตการเรียนมัธยมของเต็มฟ้าจึงไม่ได้สวยงามสักเท่าไรนัก การเรียนจบชั้นม.6 และการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้จึงเป็นหนทางในการพาตัวเองสู่ความเป็นอิสระ



แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่พ่อก็ให้อิสระเขาในการเลือกที่เรียน ให้อิสระในใช้ชีวิต ให้อิสระในการคิดและตัดสินใจ รวมถึงการให้อิสระในการที่รักใครสักคน มีก็แต่ตัวเขาเองที่ยังคงขังตัวเองด้วยกำแพงแห่งความกลัว



กลัวที่จะต้องรักใครสักคน


กลัวที่จะต้องเสียใจเมื่อคนที่รักจากไป...










“พี่เต็ม”




เสียงนั้นดังอยู่ไกล ๆ ในความมืดมิด



“พี่เต็มครับ” เสียงนั้นค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ท่อนแขน




เด็กชายตัวเล็กจ้องมองเปลือกตาของคนตรงหน้าที่ค่อย ๆ ปรือขึ้น ดวงตาคู่นั้นที่ขณะนี้มีเงาของตัวเองตะท้อนอยู่ข้างใน เต็มฟ้ามองหน้าน้องชายก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร มองนาฬิกาติดฝาผนังถึงกับตกใจเมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหารเย็น



ตามตะวันยิ้มให้ก่อนจะเอื้อนเอ่ยฉะฉาน “น้าเดือนให้มาเรียกพี่เต็มไปทานข้าวกันฮะ วันนี้มีของโปรดพี่เต็มทั้งนั้นเลย” พูดจบหนุ่มน้อยก็หันหลังกลับเดินผ่านประตูออกไป ชายหนุ่มมองตามพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นจึงเดินตามน้องชายไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบถุงขนมติดมือไปด้วย



เต็มฟ้าพบชลธรซึ่งเพิ่งกลับมาจากลำพูนที่โต๊ะอาหาร เธอบอกให้ทุกคนรู้ว่าแสงเดือนเกสต์เฮาส์กำลังจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ “นภา” แม่ครัวคนใหม่ที่เพื่อนของเธอหาไว้ให้ ดังนั้นอาหารมื้อนี้จึงเป็นมื้อของการทดสอบฝีมือในด่านที่หนึ่งนั่นเอง ซึ่งหลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วกรรมการในด่านที่หนึ่งต่างก็ลงความเห็นให้แม่ครัวคนใหม่ได้ไปต่อ ซึ่งเธอจะต้องรับการทดสอบด่านที่สองซึ่งเป็นสนามจริงในวันพรุ่งนี้



“ตาม เดี๋ยวเช็ดโต๊ะเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำซะนะลูก” เดือนดารากำชับหลานชายก่อนจะออกไปนั่งคุยกับนภาถึงข้อปฏิบัติต่าง ๆ ในการเข้ามาทำงานที่แสงเดือนเกสต์เฮาส์แห่งนี้



เด็กชายตามตะวันล้างไม้ล้างมือก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็พบพี่ชายกำลังนั่งดูทีวีอยู่ หนุ่มน้อยจึงเดินผ่านไปเงียบ ๆ


“ตาม”



เพียงคำเรียกชื่อสั้น ๆ ก็ทำเอาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่พี่ชายไม่ได้เรียกชื่อของตัวเอง ตามตะวันหันมองเต็มฟ้าด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ



“พี่ซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยื่นถุงขนมให้ “ไม่รู้ว่าชอบกินหรือเปล่า” สารภาพออกไปตามตรงเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าน้องชอบหรือไม่ชอบอะไร



ตามตะวันยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะรับถุงขนมมากอดเอาไว้แน่น “ชอบครับ ตามชอบทุกอย่างเลย” มันแน่นอนอยู่แล้ว ของชิ้นแรกที่พี่ชายซื้อให้ยังไงก็ต้องชอบ



เต็มฟ้าพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน “กินแล้วก็แปรงฟันด้วยล่ะ เดี๋ยวฟันผุ”



“ครับ” น้องชายรับคำหนักแน่นพร้อมกับมองขนมในถุง ดวงตากลมใสทอประกายระยิบระยับราวกับมันเป็นของมีค่าที่หาไม่ได้ในโลกนี้ “ขอบคุณนะครับพี่เต็ม”



ผู้เป็นพี่ชายไม่ได้พูดอะไร เขาได้แต่ยักคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง



เขินเหรอ?


เต็มฟ้าเฝ้าถามตัวเองตลอดทางที่เดินกลับมายังห้องนอนของตัวเอง หากเป็นความรู้สึกเขิน ก็ไม่เข้าใจว่าจะเขินทำไม ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาพยายามสลัดความคิดแปลก ๆ ออกไปขณะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หรือนี่เขาจะเขินจริง ๆ ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง หากเขาแวะมองกระจกก่อนหน้านี้คงได้เห็นเงาสะท้อนใบหน้าตัวเองที่ถูกแต้มด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ แน่ ๆ




     
ฝนที่ตกไปเมื่อตอนบ่ายทำให้อากาศยามค่ำคืนเย็นกว่าทุกวัน ศิธาพัฒน์ยังคงนอนลืมตามองดูกังหันของเล่นในมือก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเบา ๆ เพียงสัมผัสเบา ๆ เท่านั้น กังหันสีสวยก็หมุนไปตามแรง นึกถึงวิธีใช้ที่คนให้พูดกำกับแล้วยังรู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ ไม่หาย 



“ใครจะไปกิน” พูดเบา ๆ เพียงแค่ให้ตัวเองได้ยินคนเดียวก่อนจะวางกังหันลมพลาสติกลงที่ข้างหมอน ในที่สุดเปลือกตาก็ไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกและอากาศที่แสนจะเย็นสบายได้ ศิธาพัฒน์หลับตาลงช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม คืนนี้นคงมีอย่างน้อยสามคนที่นอนหลับฝันดี...           
   


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-04-2014 18:57:02
 :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: Zalzah_iP ที่ 11-04-2014 19:06:18
เรื่องน่ารักๆ รอต่อออ ฮี่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 11-04-2014 19:11:40
น่ารักกกกก เต็มยังกวนทรีนตลอดดด


ทำไมเราเขินเต็มกับตาม กำ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 11-04-2014 19:35:44
เค้าละลุ้นความสัมพันธ์ของพี่น้องมากกว่าจะเชียร์คุณพี่ไปรษณีย์รูปหล่อเสียอีก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 11-04-2014 19:43:21
จีบกันสักที ลุ้นเหนื่อย

เหนื่อยพี่กะน้อง ลุ้นให้เค้าจูนกันติดซะที  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-04-2014 19:51:31
ลอกบนขื่อ>>>>>>>>>>รอก
ตึกแถวข้างนั่นของอาม่าเหรอ”>>>>>>>>>>>ข้างหน้า
โดยไม่รอยให้รถหยุดเป็นครั้งที่สอง>>>>>>>>>>>รอ
ในความมืดมึด>>>>>>>>>>>>มืดมิด
ก่อนจะรับถงขนมมากอด>>>>>>>>>>>>ถุง

วัยเด็กของเต็มฟ้าเป็นอย่างนี้เอง
เปลือกนอกที่แข็งหุ้มห่อคนขึ้เหงาเอาไว้
หวังว่าสักวันคงเจอคนที่จะทำให้เด็กน่ารักอ่อนโยนคนนั้นกลับมาและเลิกเหงาเสียที

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 11-04-2014 20:07:23
ละมุนมาก ๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 11-04-2014 20:39:25
เต็มก็ช่างกวน(ทีน)พี่เค้า อิอิ >.<
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 11-04-2014 20:41:08
น่ารักมากค่ะ  ทั้งเต็มฟ้า  ตามตะวัน และศิธาพัฒน์เลย

ขอบคุณที่มาอัพ 
รอตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 11-04-2014 21:17:15
จีบกันเถอะนะ ลุ้นอยู่ทุกตอน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-04-2014 21:27:03
ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มดีขึ้นแล้ว เย้ๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-04-2014 21:27:29
เต็มมีปมความเหงามาตั้งแต่เด็ก
 :katai5: :katai5: :katai5:
พี่ปุ่นกับเต็มเมื่อไรจะได้คุยกันดีๆนะ
เต็มกวนพี่ปุ่นตลอด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 11-04-2014 21:44:53
ไม่อยากให้เต็มกลับไปทำงานที่กรุงเทพเลย  :serius2:

ความสัมพันธ์กับตามกำลังดีขึ้นแล้วเชียว  o13

พออ่านตอนนี้แล้ว ทำให้นึกไปว่าหรือจะกลายเป็น incest ฮ่าๆๆๆ ก็ว่าไป เพ้อจ้า!  :hao6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 11-04-2014 22:09:16
พี่เต็มกวนตรีนว่ะ สงสารพี่ปุ่น :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 11-04-2014 22:43:22
อ่านไปยิ้มไป
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-04-2014 23:05:13
เต็มน่ารักนะเนี่ย  แต่ปากแข็งมาก 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: justonce ที่ 11-04-2014 23:28:02
น่ารักกกกกก




คำพูดที่เกิดจากอารมณ์ของผู้ใหญ่ มันสร้างปมในใจของเด็กตัวเล็กๆ คนนึงไปซะแล้ว

สู้ๆ นะพี่เต็ม คลายปมนั้นให้ได้นะ
ถ้าคลายเองไม่ไหว เดี๋ยวส่งคุณบุรุษไปรษณีย์ไปช่วย..... :กอด1:

ปล. หลงรักน้องตามอย่างต่อเนื่อง  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 12-04-2014 03:13:34
เต็มนี่กวนจริงๆ
ชอบช็อตที่เอาขนมให้น้องอ่ะ น่ารักเชียว
 :mew3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 12-04-2014 10:12:40
ปุ่น-เต็ม น่าร๊าาากกจัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 12-04-2014 10:52:34
ซื้อของร้านอาม่าก็คนในระแวกนี้ >> ซื้อของร้านอาม่าก็คนในละแวกนี้

รู้ชีวิตในวัยเด็กเต็มแล้ว น่าสงสารเนาะ :mew6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 12-04-2014 13:52:55
พอเต็มไปเรียนกรุงเทพ ปุ่นก็สานสัมพันธ์กับตามต่อทันที
ผัวะ! ไม่ใช่มั้ง
ลุ้นมากอะว่าไกลกันจะรักกันได้ยังไง
แต่ปุ่นน่ารักมาก ดูเป็นคนมีสเน่ห์ตลอดเวลาาา ชอบๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 12-04-2014 23:43:07
อ่านแล้วอบอุ่นละมุนละไม
เหงาเนอะ บรรยากาศฝนตกแบบนี้
ชอบกลิ่นไอฝนเหมือนกับน้องเต็มเลยค่ะ รู้สึกสดชื่นดี ฮ่าาา (เม้นท์นอกเรื่องนิยายไปล่ะ)

พี่ปุ่นน่ารักเน้อออออ
เป็นผู้ชายที่ให้ความรู้สึกว่ามีความเป็นผู้ใหญ่และอบอุ่นตลอดเวลาจริงๆ
ถึงบางครั้งพี่แกจะกวนน้องเต็มบ้างก็เถอะ แต่ก็โดนน้องกวนใส่ก่อนนี่นา เนอะ
ชอบอ่ะ

น้องตามตอนนี้น่ารักกก น้องเต็มก็น่ารักกกกก
ถึงคนพี่จะเขินคนน้องอยู่บ้าง แต่การซื้อขนมมาฝากแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ
ดีใจแทนน้องตามจริงๆ ฮืออออออออ TvT

ส่วนน้องเต็ม ไม่ต้องเขินนะคะ ซื้อให้บ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเองค่ะ ฮี่  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 13-04-2014 08:03:26
รอบข้างเต็มมีแต่คนดีๆ เป็นเต็มเองนั่นแหละที่ปิดตัวเอง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 14-04-2014 12:29:58

อยากเอาอะไรเจาะปากอิป้าแม่ครัวมากอ่ะ

เก็บปากไว้ห่อฟันเหอะ ...ขิอยืมหน่อยฮะ

 :z6:  ต้ป๋
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: Satanza321 ที่ 15-04-2014 08:55:39
เต็มเริ่มยิ้มแล้ว :m4:
ดูเต็มมีความสุขขึ้นนะตั้งแต่ได้เจอพี่ปุ่นเนี้ย :m1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 15-04-2014 13:24:08
ค่อยๆเถียงกัน
น่ารักดีค่ะ :katai5:
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-04-2014 00:22:14
ตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย




จำนวนลูกค้าที่ยังคงหนาตาในช่วงเที่ยงของวันใหม่สร้างความพอใจให้กับหม้ายสาวใหญ่เจ้าของเกสต์เฮาส์อย่างเดือนดาราไม่น้อย แม้ฝีมือการทำอาหารของเธอจะดีจนลูกค้าต่างออกปากชม แต่ด้วยภาระล้นมือที่ไหนจะต้องดูแลเกสต์เฮาส์ ไหนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวและการช่วยบริหารโรงงานเซรามิคของพี่เขย ทำให้เธอจำเป็นจะต้องมีผู้แบ่งเบาภาระ ดังนั้นการควานหาแม่ครัวคนใหม่แทนคนเดิมที่เพิ่งลาออกไปจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นการด่วน ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่า ๆ เป็นต้นมากระดาษจดรายการอาหารถูกวางเรียงกันไว้ที่โต๊ะ ในขณะที่แม่ครัวคนใหม่เองก็ยังสาละวนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบไว้เป็นชุด ๆ ทั้งกระเทียม พริก เนื้อสัตว์และผัก จนกระทั่งทุกอย่างพร้อมก็เทลงในกะทะที่ตั้งน้ำมันร้อนฉ่า ผัดจนสุกดีก็ตักขึ้นราดข้าวเตรียมเสิร์ฟ



"วันนี้มากันพร้อมหน้าเลยนะจ๊ะ" ชลธรกล่าวอย่างยิ้มแย้มงขณะวางเมนูอาหารลงบนโต๊ะของเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ที่เพิ่งมาถึง



"ไม่ได้มาหลายวัน คิดถึงข้าวอร่อย ๆ ของครัวแสงจันทร์น่ะครับ" คนอายุมากที่สุดในกลุ่มยิ้มกริ่มพร้อมส่งสายตาวิบวับเสียจนคนฟังออกอาการเขินจนต้องหลบสายตา



"ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนให้ทุกคนช่วยให้คะแนนฝีมือการทำอาหารของแม่ครัวคนใหม่ด้วยแล้วละ" 



"หาคนใหม่ได้แล้วเหรอครับพี่ชล" ศิธาพัฒน์ที่ไม่ได้ใส่ใจกับเมนูอาหารเหมือนกับสองหนุ่มที่เหลือเอ่ยขึ้น



"ใช่จ้ะ วันนี้เริ่มงานวันแรก ยังไงก็ช่วยคอมเมนท์ด้วยนะจ๊ะ" หญิงสาวกล่าวขณะควานหยิบสมุดฉีกกับปากกาในกระเป๋าหน้าท้องของผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ขึ้นมาเตรียมพร้อม



เมื่อได้ฟังดังนั้นหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็รับคำด้วยความยินดี จะมีก็แต่เพียงศิธาพัฒน์เท่านั้นที่เอาแต่นั่งนิ่ง



"ผมเอาผัดผักบุ้งราดข้าวกับไข่เจียวครับ" ประโยคสั้น ๆ ที่เพิ่งจบลงทำเอาคนที่กำลังจดรายการอาหารต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ



"เบื่อข้าวผัดหมูแล้วเหรอจ๊ะ" ชลธรเย้าขณะจดลงกระดาษ



ชายหนุ่มสวมแว่นตากรอบกลมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นจากเมนูอาหาร มองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ตอนนี้ศิธาพัฒน์พบว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของทั้งลูกสาวเจ้าของเกสต์เฮาส์หน้าหวานและเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน



"เออ นั่นสิ วันนี้มาแปลก" วิษณุหรี่ตามอง



"แปลกอะไรกันพี่นุ ผมก็เปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้างสิพี่ เมนูร้านพี่ชลเขามีตั้งเยอะ" คนถูกจ้องทำเฉไฉพลางมองไปทางห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งแยกออกจากตัวบ้าน เพียงแค่อยากเห็นหน้าไอ้เด็กบ้ากวนประสาทอีกสักครั้ง...




แม้ว่าจำนวนลูกค้าจะมีมากแต่ส่วนใหญ่ได้อาหารที่สั่งกันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่บางโต๊ะก็อยู่ในระหว่างการรอเรียกคิดเงิน รายการอาหารที่เพิ่งสั่งไปได้ไม่นานก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟโดยหญิงสาวแปลกหน้าซึ่งเหล่าหนุ่ม ๆ พนักงานไปรษณีย์ต่างก็พากันคาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นแม่ครัวคนใหม่ที่ชลธรพูดถึง เธอสวมผ้ากันเปื้อนคลุมทับชุดที่ใส่อยู่ ผมยาวถูกรวบเก็บไว้ภายใต้หมวกตาข่ายสีขาวสำหรับสวมทำอาหาร ที่แขนสวมทับด้วยปลอกแขนกันความร้อน มองโดยรวมก็เหมือนชุดพนักงานกลาย ๆ และหากคะเนไม่พลาดเธอน่าจะอายุราว ๆ สามสิบปลาย ๆ เห็นจะได้


“เจินจิมผ่อเน้อ รสชาติเป๋นจะไดก่ะติชมได้นะเจ้า” รอยยิ้มที่เป็นมิตรและน้ำเสียงนิ่มเนิบทำเอาหนุ่มเมืองกรุงอย่างศิธาพัฒน์อดที่จะตั้งใจฟังและยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นคนลำปางก็ตาม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวตั้งแต่เมื่อต้องย้ายตามพ่อเข้าไปอยู่ที่บ้านสวนเมืองนนท์ทำให้น้อยนักที่จะได้ยินแม่พูดภาษาถิ่นฐานบ้านเกิดที่เนิบนาบนุ่มนวลชวนฟังเช่นนี้



"ปี้ใจ้ก่อครับตี้เป๋นแม่ครัวคนใหม่ของตี้นี่" วิษณุถามขณะที่นภาค่อย ๆ วางจานข้าวลงบนโต๊ะ



"ใจ้เจ้า" 



"คนตี้ไหนครับเนี่ย"




"คนหละปูนเจ้า"




"อ้อ บ่ไกล๋ๆ" คนพูดพยักหน้าพลางดึงจานที่เป็นของตัวเองมาไว้ตรงหน้า 




"แล้วคุณคนตี้ไหนเจ้า"




"ผมคนหละปางครับ" 



“อ้าว ผมคิดว่าพี่นุเป็นคนทุกที่เสียอีก นี่ผมเข้าใจผิดหรอกเหรอ” อยู่ ๆ คนที่เริ่มลงมือตักข้าวเข้าปากนำคนอื่น ๆ ไปก่อนก็แทรกขึ้นทำให้การสนทนาต้องสะดุด นภายิ้มขณะวางจานข้าวจานสุดท้ายลงตรงหน้าศิธาพัฒน์ที่เอาแต่นั่งยิ้ม



“ไอ้เวรบัส กินข้าวไปเงียบ ๆ ก็ไม่มีใครเขาหาว่าเป็นใบ้นะ” วิษณุกล่าวก่อนจะตักข้าวเข้าปาก



“แหม...ผมล้อเล่นนิดเดียวภาษากลางชัดเป๊ะมาเลยนะพี่”




“วอน ๆ เดี๋ยวพ่อโบกลืมบ้านเกิด” คนพูดไม่พูดเปล่า ยังทำท่าประกอบจนอีกคนเตรียมหลบแทบไม่ทัน



ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะไปมาละสายตาจากสองคนที่กำลังเถียงกัน พิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนเองสั่งไปในทีแรก “ข้าวผัดจานนี้ผมไม่ได้สั่งนะครับ น่าจะส่งผิดโต๊ะหรือเปล่า”




"อืม...บ่ได้สั่งกะเจ้า"



“ครับ ผมสั่งข้าวราดผัดผักบุ้งกับไข่เจียว ไม่ใช่ข้าวผัดหมูครับ”



"แปลก ก่อตะกี้คุณเต็มเปิ้นบอกว่าลูกก๊าขอเปลี่ยนเป๋นข้าวผัดหมูจานนึ่ง แล้วเปิ้นก่อเป๋นคนลงมือผัดคนเดียวตวยนาเจ้า"




“คุณเต็ม?” ศิธาพัฒน์ทวนชื่อที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่พร้อมกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ



“เจ้า” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงลังเลกับอาหารตรงหน้า แม่ครัวคนใหม่จึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น "ถ้าจะอั้นเดียวปี้ไปยะหื้อใหม่ก่อแล้วกั๋นนาเจ้า"



“สงสัยจะหยิบกระดาษผิดใบมั้ง ให้พี่เขาทำให้ใหม่ไหมปุ่น” วิษณุเสริม



“มะ..ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องทำใหม่หรอกครับ ผมกำลังนึกอยากทานข้าวผัดอยู่พอดี” พูดจบมือหนาก็รีบดึงจานข้าวเข้าหาตัว จับช้อนและส้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกลัวจะโดนใครแย่ง แม้จะงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายนภาก็ยอมทำตามความต้องการของลูกค้าแต่โดยดี



....



“พี่ชลคร้าบบบบบ คิดเงินด้วยครับ” เสียงอ่อนเสียงหวานของลูกค้าขาประจำเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชลธรอีกครั้ง ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นมาเธอแทบจะไม่ได้พักเลยเพราะไหนจะต้องรับออเดอร์ ไหนจะต้องวิ่งวุ่นคิดเงินให้ลูกค้าและรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ     



“วันนี้อาหารเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”



“อร่อยมากครับพี่ชล” ชายหนุ่มหวีผมเรียบแปล้กล่าวพร้อมกับตบพุงตัวเองเบา ๆ



“นี่ไม่ได้พูดเพื่อรักษาน้ำใจกันใช่ไหม”



“โถ่..อร่อยจริง ๆ ครับพี่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเดี๋ยวจะเข้างานแล้วผมจะสั่งอีกสักจาน”


 
“จะสั่งไหมล่ะจ๊ะ วันนี้มีเจ้าภาพนะ”



“หมายความว่ายังไงครับพี่ชล” บัสถามอย่างแปลกใจ 



“มื้อนี้ฟรีจ้ะเพราะมีผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”



เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนุ่มต่างก็ร้องหาเหตุผลขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย



“ก็...ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วยชิมฝีมือแม่ครัวคนใหม่ให้ไงจ๊ะ”



แม้เพื่อนร่วมงานจะพากันพยักหน้าหงึก ๆ แต่ศิธาพัฒน์รู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง สิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดของเขาก็คือจานข้าวตรงหน้าที่ตอนนี้ไม่เหลือซากให้ใครเดาถูกว่ามันเคยมีข้าวผัดหมูแสนอร่อยอยู่เต็มจาน



ข้าวผัดหมูที่ไม่ใส่ทั้งหอมชิ้นเล็กหรือหอมชิ้นใหญ่...ตามสัญญา...



พยายามมองหาเจ้าภาพตามที่ชลธรว่าเพื่อจะขอบคุณก็ยังหาไม่เจอ...




ศิธาพัฒน์ละสายตาจากสองหนุ่มที่เพิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากหน้าเกสต์เฮาส์ หันกลับมากล่าวขอบคุณกับคนที่เดินออกมาส่งและขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยมื้อนี้



“ไปขอบคุณเจ้าภาพเขาดีกว่าจ้ะ พี่ถามว่าไปติดหนี้อะไรกันมาก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเดี๋ยวมื้อนี้เต็มจ่ายให้เอง นี่ก็ว่าจะถามปุ่นอยู่ว่าเรื่องอะไร” ชลธรถือโอกาสนี้หาคำตอบให้ตัวเอง



คนฟังได้แต่เพียงอมยิ้ม ในใจยังคงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ทั้งที่เขาพูดเล่นแท้ ๆ แต่ ‘ไอ้เด็กบ้า’ นั่นกลับเอาคิดเป็นเรื่องจริงจังเสียนี่ คิดแล้วก็เผลอส่ายน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถามเมื่อสักครู่ “เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะครับ ว่าแต่นี่เขาไปไหนเสียล่ะครับว่าจะขอบคุณเสียหน่อย”



“สงสัยกำลังเก็บของเตรียมกลับไร่กันอยู่น่ะจ้ะ นี่ก็ขอยืมตัวมาจากพ่อเขาหลายวันแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่วันนายเต็มก็จะกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วละ”



คำตอบของชลธรก่อให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นภายในใจ ซึ่งศิธาพัฒน์ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเองว่ามันอาจเป็นเพราะคู่ปรับกำลังจะจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณสำหรับข้าวผัดในวันนี้ก็ได้...



.....


“พอกันเลยทั้งสองคน ถามใครก็ไม่มีใครยอมบอกว่าติดค้างอะไรกันไว้” สาวสวยกล่าวพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หลังเคาท์เตอร์เครื่องดื่ม



“บ่นอะไรนักพี่ชล เต็มก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” ร่างสูงที่เดินสะพายเป้ออกมาพอดีเอ่ยขึ้น


“ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะ ร้อยวันพันปีน้องชายพี่ไม่เห็นจะใจดีกับใคร” ชลธรกล่าวพร้อมกับจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างจับผิด “นี่เต็มฟ้าถึงขนาดลงมือผัดข้าวให้กิน แถมให้กินฟรีอีกต่างหาก มันต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”



เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปากอย่างมีแผนการก่อนจะเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เท้าแขนลงกับเคาท์เตอร์จากนั้นก็ขยับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หันซ้ายหันขวาอย่างลุกลี้ลุกลนราวกับกลัวว่าใครจะผ่านมาได้ยิน “พี่ชลอยากรู้จริง ๆ น่ะเหรอ”



ชลธรพยักหน้ารัว ๆ ลนลานตามน้องชายไปด้วย เธอจ้องมองปากสวยที่กำลังเม้มแน่น เหมือนกำลังกักเก็บความลับอะไรบางอย่างไว้ จนในที่สุดเต็มฟ้าก็ค่อย ๆ คลายริมฝีปากออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม



“งั้น...” แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทที่สุด “เต็ม ไม่ บอก”



“ไอ้น้องบ้า” พูดจบมือเล็ก ๆ ก็ตีเข้าที่แขนของน้องชายดังเผียะ



“ตีทำไม เต็มเจ็บนะพี่ชล” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันพร้อมกับลูบแขนตัวเองป้อย ๆ



“ก็ตีให้เจ็บไง อยากกวนดีนัก” ชลธรกอดอกมองน้องชายอย่างหมั่นไส้แต่แล้วในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมา เพราะอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นน้องชายที่เธอเอ็นดูเสมอมา 



“กลับบ้านดีกว่า” ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะหันไปตะโกนเรียกน้องชาย เพียงไม่นานเด็กชายตามตะวันก็วิ่งออกมาพร้อมกับเป้ใบโตที่หลัง จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินไปที่รถโดยมีพี่สาวคนโตเดินตามไปส่ง



“เต็มไปนะ” เจ้าของรถหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากวางเป้ของทั้งตัวเองและของน้องชายที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว รู้ดีว่าเวลาที่จะต้องไกลกันใกล้จะมาถึงอีกแล้ว   



“วันกลับอย่าลืมแวะมาล่ะ” ชลธรยังคงสั่งเหมือนทุกครั้ง 


“รู้แล้วน่า” เป็นคำตอบที่เหมือนคนถูกสั่งจะรำคาญแต่เขาก็กลับมาตามที่เธอบอกทุกครั้ง



พี่สาวคนโตมองตามน้องชายทั้งสองที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในนั่งในรถ เพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ทำงานก็ดังขึ้น เด็กชายตามตะวันซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ “ตามไปแล้วนะครับพี่ชล”



ชลธรพยักหน้ายิ้มตามน้องชายคนเล็ก รอยยิ้มที่ดูปลอดโปร่งของตามตะวัน เป็นรอยยิ้มที่เธอแทบจะลืมมันไปแล้ว...



ศิธาพัฒน์จอดมอเตอร์ไซค์แอบไว้ที่โรงรถ นึกชื่นชมรายการพยากรณ์อากาศที่เปิดดูเมื่อตอนเช้าก่อนออกไปทำงานที่บอกว่าวันนี้จะมีฝนตกในช่วงบ่ายถึงค่ำทำให้เขาไม่ลืมที่จะพกเสื้อกันฝนติดไปด้วย ฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่ยังไม่เลิกงานจนกระทั่งตอนนี้กลับหนาเม็ดขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ  ฟ้าสีหม่นที่คำรามเสียงดังราวกับกำลังโกรธเกรี้ยวทำเอาเจ้าลูกสุนัขสีดำของคุณลุงข้างบ้านที่วิ่งเข้ามาอาศัยหลบฝนในโรงรถครางหงิง ๆ ด้วยความกลัว พนักงานไปรษณีย์หนุ่มเอื้อมมือลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ ให้มันคลายความตื่นกลัวก่อนจะอุ้มมันขึ้นบ้านจากวางมันลงที่ม้านั่งริมระเบียงหน้าบ้าน จัดการถอดเสื้อกันฝนพลาสติกพาดตากก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนตัวดำที่กำลังนั่งตัวสั่นไม่รู้เพราะกลัวเสียงฟ้าหรือเพราะอากาศที่หนาวเย็นกันแน่ มือหนาโอบกระชับลำตัวของมันราวกับกอดคอเพื่อนสนิท



“แกไม่ชอบเสียงฟ้าร้องใช่ไหมนังหนูแรมโบ้” ปากอิ่มขยับยิ้มเมื่อเจ้าหมาน้อยเงยหน้าขึ้นมาร้องหงิง ๆ



“ไม่ต้องกลัวน่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็อุ้มมันมาวางบนตักพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ จนกระทั่งเจ้าแรมโบ้ที่ดิ้นขลุกขลักเริ่มสงบลง ในที่สุดมันก็หลับตาพริ้มยอมนอนอยู่บนตักของเขาแต่โดยดี ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองกังหันของเล่นที่เสียบเอาไว้ที่หน้าต่าง ใบกังหันสีฟ้าหมุนเร็วบ้างหมุนช้าบ้างไปตามแรงลม แต่ใจของเขาตอนนี้ไม่รู้ว่าลอยตามแรงของอะไร...
 


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-04-2014 00:23:33
เสียงดังกุกกักที่ชั้นล่างของบ้านปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ค่อย ๆ ปรือตาตื่นขึ้นแต่เช้า ฝนที่ตกทั้งคืนทำให้อากาศวันนี้เย็นสบายจนหลายคนแทบจะไม่อยากลุกจากที่นอน ชายหนุ่มเจ้าของห้องนอนที่ใต้หลังคายันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับใช้มือขยี้ผมตัวเองด้วยความงัวเงียก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ


 
"เจ้าแยกของตามตี้ป้อเลี้ยงบอกแล้วเน้อเจ้า แล้วป้อเลี้ยงจะเอาของหมู่นี้ไปเยียะอะหยังกาเจ้า" หัวหน้าแม่บ้านที่กำลังลากลังกระดาษออกมาจากห้องเก็บของกล่าวกับนายใหญ่ของบ้านที่ยืนสั่งการอยู่ไม่ไกลนัก



“ถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าน่ะ เดี๋ยวเอาไปแจกกันก็แล้วกันนะ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวก่อนจะเดินเข้ามารื้อ ๆ ค้น ๆ ของกองพะเนินที่ถูกนำออกมาจากห้องเก็บของ “ของเล่นกับเสื้อผ้าของเจ้าเต็มสมัยเด็ก ๆ ก็ให้ลูกคนงานไป แม่เขาเก็บของเขาอย่างดี น่าจะยังใช้การได้ดีอยู่ ส่วนหนังสือ....” พูดพลางจับปลายคางตัวเองพร้อมกับมองหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรที่วางกองเป็นตั้ง ๆ อย่างใช้ความคิด “ให้คนขนเอาไปไว้ที่ห้องสมุดประชาชนของหมู่บ้านก็แล้วกัน คนอื่นจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้”



"ถ้าจะอั้นขวาย ๆ เจ้าจะฮื้อคนงานป้อจายเข้ามาจ่วยขนออกไปฮื้อเน้อเจ้า" เธอกล่าวขณะดึงกล่องกระดาษมีฝาปิดใบหนึ่งออกมาจากกองหนังสือ เมื่อเปิดฝาออกก็พบชุดกระโปรงสีฟ้าน่ารักถูกพับเก็บอยู่ในนั้น



"ชุดนี้หละเจ้า มันยังใหม่ ๆ อยู่เลย ป้อเลี้ยงจะฮื้อเจ้าเยียะจะใด"



พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่จ้องมองชุดกระโปรงในมือของหัวหน้าแม่บ้านตาไม่กะพริบ ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งที่กำลังลงบันไดมาก็ดังขึ้น



“ทำอะไรกันแต่เช้าเลยน่ะพ่อ” ลูกชายคนโตที่เพิ่งเดินลงบันไดมาเอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดปากหาว




“พ่อสั่งให้คนรื้อห้องเก็บของน่ะ ปล่อยไว้นานกลัวว่าปลวกมันจะขึ้น” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะหันไปสั่งการหัวหน้าแม่บ้านต่อ “เอาเก็บใส่กล่องไว้ก่อน”



หญิงสาวที่กำลังรอฟังคำสั่งจากนายพยักหน้าก่อนจะพับชุดกระโปรงใส่คืนลงในกล่องเหมือนเดิมจากนั้นจึงวางรวมไว้กับของที่ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี




“เต็มคิดว่าพ่อให้คนอื่นไปแล้วเสียอีก” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใบนั้นมาถือไว้




“พ่อจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ในเมื่อมันเป็นของแก แกเป็นคนเก็บเงินซื้อมัน” ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมกับเดินมาโอบไหล่ลูกชาย “ไปกินข้าวเถอะ”



เต็มฟ้าวางกล่องกระดาษในมือลงบนโต๊ะอาหารก่อนที่สองพ่อลูกจะนั่งลงเงียบ ๆ เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง ไม่นานร่างเล็ก ๆ กับรอยยิ้มแจ่มใสของน้องชายก็ปรากฏขึ้นที่ประตู ตามตะวันกึ่งวิ่งกึ่งเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะทักทายพ่อและพี่ชาย




“กล่องอะไรเหรอครับพี่เต็ม” เด็กชายเอ่ยขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร แต่แทนที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะตอบคำถามนั้น เขากลับนั่งนิ่งจ้องมองกล่องกระดาษที่วางอยู่ห่างมือไม่มากนัก




“กล่องใส่ความทรงจำของพี่เต็มเขา” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม



คำพูดนั้นนอกจากจะทำให้ลูกชายคนโตที่กำลังนั่งเงียบ ๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเด็กเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อแล้วยังสร้างความสนใจให้ลูกชายคนเล็กได้ไม่น้อย



“ข้างในใส่อะไรไว้เหรอฮะ” หนุ่มน้อยพูดไปทั้ง ๆ ในใจก็ไม่ได้หวังว่าพี่ชายจะเปิดให้ดูว่าข้างในมีอะไร



“ขอพี่เขาดูสิ” ผู้เป็นพ่อกล่าวทั้งที่ยังสบตาลูกชายคนโต



เต็มฟ้าวางมือลงบนกล่องก่อนจะกำแน่น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้น “เต็มอิ่มแล้ว เต็มไปท้ายไร่นะพ่อ” พูดจบก็เดินออกจากโต๊ะอาหารไปดื้อ ๆ สร้างความงุนงงให้ตามตะวันไม่น้อย



“ในนั้นคงมีของสำคัญใช่ไหมฮะพ่อ” ลูกชายคนสุดท้องกล่าวกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงมองตามคนที่ผลุนผลันเดินออกไปโดยไม่ได้คัดค้าน พ่อเลี้ยงตรัยค่อย ๆ หันกลับมาก่อนจะยิ้มจาง ๆ และตอบคำถามนั้น



“สำคัญมากเลยละ”









เต็มฟ้าจอดจักรยานที่ริมลำธารที่วันนี้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากฝนตกติดต่อกันหลายวัน ร่างสูงเดินลุยน้ำไปอย่างทุลักทุเลในมือยังคงถือกล่องกระดาษใบนั้นเอาไว้แน่น เมื่อเดินมาถึงต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับวางกล่องกระดาษลงบนตัก ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออกความทรงจำเก่า ๆ ก็พรั่งพรูออกมาราวกับมันเป็นกล่องเก็บความทรงจำอย่างที่พ่อพูดไม่มีผิด มือเรียวก็ค่อย ๆ สัมผัสลงบนชุดกระโปรงสีฟ้าก่อนจะลูบไปมาอย่างทะนุถนอม...






‘เต็มอยากมีน้องสาว เต็มจะซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องใส่’





ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคำรามครืน ๆ อยู่ไกล ๆ หน้าคมแหงนขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกลงมาอีกระลอก เสียงเท้าแหวกสายน้ำชวนให้ต้องขยับตัวลุกขึ้นยืน ตาจ้องมองไปยังร่างเล็ก ๆ ที่เดินใกล้เข้ามาพลันคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันทันที




“มาที่นี่ทำไม พ่อรู้หรือเปล่า”         




“พ่อออกไปไร่ฮะ แต่ตามบอกพี่แจ่มเอาไว้ ตามเห็นฝนมันจะตกก็เลยเอาร่มมาให้พี่เต็ม” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับยื่นร่มคันใหญ่ในมือให้พี่ชาย



“แล้วมายังไง” เต็มฟ้าถามขณะรับร่มมาถือเอาไว้




“ตามเดินมาฮะ” คำตอบนั้นยิ่งทำให้คิ้วหนาขมวดมุ่นมากขึ้นไปอีก




“ปล่อยให้เดินกลับเองเสียดีไหม” ชายหนุ่มกล่าวแบบไม่จริงจังนัก แต่ดูเหมือนว่าคนฟังกำลังจริงจังกับสิ่งที่ได้ยิน ตามตะวันยังคงยืนมองพี่ชายที่กำลังเดินผ่านเขาไป ในที่สุดหนุ่มน้อยก็ตัดสินใจเดินตามพี่ชายไปจนถึงริมลำธาร




ชายหนุ่มที่ในมือถือของพะรุงพะรังจุ่มเท้าลงไปในน้ำความสูงระดับหน้าแข้ง พยายามตั้งหลักหาที่ยืนมั่น ๆ ก่อนจะหันกลับมามองน้องชายที่ยังคงยืนลังเลอยู่บนฝั่ง “ไม่กลับบ้านหรือไง” พูดจบก็ยื่นมือให้น้องชายจับ



ตามตะวันมองมือเรียวที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างตัดสินใจ ตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยมีโอกาสจับมือของพี่ชายเลยสักครั้ง หนุ่มน้อยค่อย ๆ วางมือเล็ก ๆ ของตัวเองลงบนมือของคนตรงหน้า



มือพี่เต็ม....นิ่มแล้วก็อุ่น... นั่นคือสิ่งที่ตามตะวันรู้สึกได้ มือนิ่ม ๆ นั่นค่อย ๆ กุมกระชับมือเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะพากันเดินข้ามลำธารไปยังอีกฝั่ง



เต็มฟ้ารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือเล็กที่เกาะเกี่ยวมือของเขาแน่นยิ่งขึ้นขณะเดินไปตามก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ คงเป็นเพราะกลัวว่าจะลื่นล้ม พี่ชายจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “เดินข้ามมาได้ยังไงคนเดียว น้ำแรงขนาดนี้” ร่างสูงกล่าวโดยที่ไม่ได้หันมาสบตาคนฟัง ตามตะวันเองก็ไม่ได้โต้เถียงใด ๆ นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเดินข้ามมาได้อย่างไร ขนาดเต็มฟ้าที่ตัวสูงกว่ามากเมื่อยืนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของลำธารระดับน้ำยังเกือบถึงหัวเข่า หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนตัวสูงตรงหน้า



...รู้แต่เพียงว่าจะต้องข้ามมาเพื่อเอาร่มมาให้พี่ชายให้ทันก่อนที่ฝนจะตกก็เท่านั้น




ฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ทำให้ต้องเร่งฝีเท้าขึ้นจนในที่สุดก็ถึงฝั่ง “ตามถือให้ไหม” เด็กชายตามตะวันเอ่ยขึ้นขณะมองดูพี่ชายที่กำลังขึ้นนั่งคร่อมบนอานจักรยานพร้อมกับกางร่มไปด้วยดูเก้ ๆ กัง ๆ ไม่น้อย เต็มฟ้าพยักหน้าก่อนจะส่งกล่องกระดาษในมือให้น้องชาย หนุ่มน้อยตามตะวันรับกล่องใบนั้นมากอดเอาไว้แน่นก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย ต่อจากนั้นภาพที่คนงานในไร่เห็นก็คือภาพพี่น้องที่พากันขี่จักรยานลัดเลาะไปตามทางดินแคบ ๆ ที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา มือหนึ่งของพี่ชายกำคันร่มแน่นโดยพยายามที่จะเอนไปด้านหลังเพื่อไม่ให้น้องเปียกแต่สุดท้ายเมื่อมาถึงบ้านก็เปียกมะล่อกมะแล่กกลายเป็นลูกหมาตกน้ำของพ่อด้วยกันทั้งคู่




.....



“แกแน่ใจเหรอว่าไม่ต้องให้พ่อไปส่ง” พ่อเลี้ยงตรัยถามอีกครั้งขณะเดินออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน



“ไม่ต้องหรอกพ่อ เดี๋ยวเต็มติดรถพี่แจ่มไปนี่แหละ ยังไงพี่แจ่มก็ต้องออกไปซื้อของในเมืองอยู่แล้ว” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณให้แก่หัวหน้าแม่บ้านสาวเชียงใหม่ว่าเขาพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว ดังนั้นคนที่นั่งเตรียมพร้อมอยู่ในตำแหน่งคนขับจึงติดเครื่องรอทันที 




“แต่น้องมันอยากไปส่ง...”



เต็มฟ้าสบตาผู้เป็นพ่อก่อนจะหันกลับไปมองเด็กชายที่กำลังยืนเกาะประตูมองมาที่เขา




“ให้ไปส่ง เดี๋ยวก็ไปร้องไห้กลางสถานีรถไฟอีก ไม่ต้องไปนั่นแหละดีแล้ว” ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีสายตาวิงวอนก่อนจะยื่นกล่องกระดาษให้ผู้เป็นพ่อ




“เต็มฝากพ่อเอาให้ลูกคนงานด้วยแล้วกันนะครับ”




“แกแน่ใจเหรอ”




เต็มฟ้าพยักหน้า “เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ พ่ออยากเอาไปให้ใครก็ให้เถอะ”




พ่อเลี้ยงตรัยพนักหน้าพร้อมกับรับกล่องใบนั้นมาถือเอาไว้ ได้แต่มองดูลูกชายที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถด้วยแววตาเศร้าสร้อย




“พี่เต็ม!!!!”


ยังไม่ทันที่คนถูกเรียกจะหันกลับไปมอง ร่างเล็กก็ปะทะเข้าที่ด้านหลัง แขนเล็ก ๆ โอบรัดพี่ชายเอาไว้หวังจะตรึงเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยก็ยังดี เสียงสะอื้นฮั่กทำเอาผู้เป็นพ่อต้องเบือนหน้าหนี


เต็มฟ้ายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ แกะมือน้องชายออก เขาหันกลับมาช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งเงยหน้าขึ้นสบตาแดงก่ำของหนุ่มน้อยตรงหน้า “เป็นลูกผู้ชายน่ะเขาไม่ขี้แยหรอกนะรู้ไหม”


“แต่ตาม ตะ..ตาม ไม่อยากให้พี่เต็มกลับ ฮือ...” มือเล็ก ๆ ยกขึ้นขยี้ตาตัวเอง



เต็มฟ้าผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะค่อย ๆ ดึงมือของน้องออก ดวงตาที่เคยสว่างสดใสกลับแดงช้ำอยู่หลังม่านน้ำตา “หยุดร้องได้แล้ว เราเป็นลูกผู้ชายนะ”



น้องชายรีบปาดน้ำตาพร้อมกับพยักหน้ารับคำ พยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นแต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เต็มฟ้ายืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะรีบหันหลังให้ ทั้งที่บอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แต่ตัวเองกลับต้องน้ำตาซึมเสียเอง....






รถกระบะที่ใช้ขนผลผลิตทางการเกษตรขับพาลูกชายเจ้าของไร่มาแวะที่เกสต์เฮาส์เพื่อร่ำลาเดือนดาราและชลธร ก่อนที่จะไปส่งยังจุดหมายปลายทางนั่นคือสถานนีรถไฟนครลำปาง เต็มฟ้ากล่าวขอบคุณคนมาส่งก่อนจะลงจากรถ สะพายเป้ขึ้นหลังแล้วเดินหายเข้าไปหลังประตูโค้งขนาดใหญ่ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า...



หนักงานไปรษณีย์หนุ่มชะลอรถมอเตอร์ไซค์มองดูอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้รูปทรงที่แปลกตา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมล้านนาและยุโรปเข้าไว้ด้วยกัน สิ่งที่สะดุดตาคือมีประตูทางเข้ารูปโค้ง มีลายไม้ฉลุตามระเบียงและเหนือวงกบประตูและหน้าต่าง ศิธาพัฒน์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่ด้านหน้าของอาคารก่อนจะหยิบอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำออกมาเปิดหาภาพที่ตรงกับสถานที่ตรงหน้า ในที่สุดเขาก็มาหยุดที่ภาพถ่ายใบหนึ่งซึ่งพ่อกับแม่ถ่ายด้วยกัน นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ามาไม่ผิดแน่ นี่คือสถานีรถไฟนครลำปาง ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองก่อนจะเก็บอัลบั้มใส่กระเป๋าสะพายข้างจากนั้นจึงเดินเข้าไปในสถานี




เต็มฟ้าหยิบตั๋วรถไฟจากกระเป๋ากางเกงออกมากางก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบอกเวลาเรือนใหญ่ซึ่งเข็มสั้นและเข็มยาวแสดงให้รู้ว่าขณะนี้เลยเวลาเคารพธงชาติมาเกือบสามสิบนาที อีกสามสิบนาทีรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 จากสถานีเชียงใหม่ปลายทางสถานีกรุงเทพฯ จะเข้าจอดเทียบชานชาลา ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่ม้านั่งริมชานชาลาซึ่งมีเลขแสดงโบกี้ตรงกับที่ระบุไว้ในตั๋ว เป้ใบโตถูกวางลงกับพื้น ดวงตาทอดมองไปตามรางเหล็กที่วางทอดยาวขนานกันไปบนไม้หมอนรถไฟ เป็นอีกครั้งที่เขามารอขึ้นรถไฟโดยไม่มีคนในครอบครัวมาส่ง




‘กลัวว่าถ้ามีคนไปส่งแล้วจะไม่อยากไปใช่ไหมล่ะ’ นั่นเป็นคำถามที่ชลธรมักจะถามเขาเสมอ ๆ เมื่อเธอถูกห้ามไม่ให้ตามมาด้วย บางครั้งก็แอบยอมรับในใจว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เธอว่า แต่ถ้าการมาส่งจะต้องทำให้มีใครคนหนึ่งเสียน้ำตา และน้ำตานั้นทำให้คนอีกคนไม่สามารถจะตัดใจจากไปได้ สู้ร่ำลากันเสียแต่ที่บ้านแล้วไม่ต้องมีใครมาส่งดีกว่า เพราะถึงแม้จะอยู่ด้วยกันนานเพียงใด สุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวก่อนก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้จวนได้เวลารถจอดเทียบชานชลาเข้าไปทุกขณะ บริเวณรอบ ๆ สถานีปกคลุมไปด้วยความมืด วันนี้ผู้โดยสารที่รอเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับวันเสาร์หรืออาทิตย์ ครู่หนึ่งเสียงประกาศจากนายสถานีก็ดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารที่รอเดินทางทราบว่ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ที่มีกำหนดเข้าเทียบชานชาลาในเวลาหนึ่งทุ่มตรงจะถึงสถานีนครลำปางล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด เมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศหลายคนต่างพากันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หลายคนชวนกันออกไปหาอะไรรองท้องที่ร้านค้าหน้าสถานี ในขณะที่อีกหลายคนก็ยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ที่เดิมเพื่อฆ่าเวลาโดยไม่รู้เลยว่ารถจะมาถึงสถานีเมื่อไร




“ถ้านั่งเครื่องป่านนี้คงถึงไปแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้นใกล้ตัว ทำเอาคนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง


“นึกว่าใคร ที่แท้ก็.........” เต็มฟ้าลากเสียงในขณะที่ศิธาพัฒน์เองก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร



“ใครวะ”



“กวนตีนว่ะ” เจ้าของร่างสูงหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ



“มาได้ไง”



“มาตามกลิ่น”



คนถามทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะยกแขนตัวเองขึ้นดม “กลิ่นอะไร ไหน ๆ กลิ่นอะไร”



“ไอ้เด็กบ้า เลิกพูดจากวนประสาทได้แล้ว คุยกันดี ๆ สักวันไม่ได้เลยหรือไง” ศิธาพัฒน์กดยิ้มที่มุมปากมองชายหนุ่มข้าง ๆ ที่รีบหุบปากสนิท



“จะกลับกรุงเทพฯ เหรอ”



“อือ” เต็มฟ้าตอบเพียงสั้น ๆ



“แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องกลับ ก็รู้ ๆ อยู่ว่ารถไฟมันเสียเวลา”



“ก็ไม่ได้บอกสักคำว่ารีบ” คำพูดที่ยังคงยียวนกวนเบื้องล่างนั้นทำเอาคนถามต้องลอบถอนใจ



“รู้ว่าไม่รีบ แต่ถ้านั่งเครื่องกลับก็จะได้มีเวลาอยู่กับคนที่บ้านนาน ๆ ไม่ต้องมานั่งรอให้เสียเวลาแบบนี้”



“จะอยู่นานอีกกี่ชั่วโมงสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” มันเป็นประโยคที่ยากจะหาเหตุผลใด ๆ มาหักล้าง เพราะศิธาพัฒน์เองก็คิดแบบนั้นไม่ต่างกัน



“เมื่อกี้ยังไม่ตอบเลยว่ามานี่ได้ยังไง” เต็มฟ้าย้อนกลับไปถามคำถามแรกอีกครั้ง



“มาตามลายแทง”



“หมายความว่ายังไงมาตามลายแทง” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยขณะที่ดวงตาจ้องมองชายหนุ่มซึ่งกำลังควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าสะพาย


“นี่ไง” ปากอิ่มเผยอยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับยื่นอัลบั้มรูปมาให้



“อัลบั้มรูปเหรอ” เต็มฟ้ามองอัลบั้มรูปในมือหนาอย่างลังเล แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตจึงรับอัลบั้มรูปนั้นมาเปิดดูอย่างถือวิสาสะ



“พ่อกับแม่พี่เอง”



“ใครนะ”



“พ่อกับแม่พี่ไง คนในรูปน่ะ”



“ใครถาม” คนพูดหัวเราะชอบใจ เล่นเอาศิธาพัฒน์คิ้วกระตุกหุบยิ้มแทบไม่ทัน มือหนาเอื้อมคว้าอัลบั้มรูปคืนมา



“พอเลย ไม่ต้องดูแล้ว”



“เฮ้ย! ดูๆๆๆๆ แหม....ล้อเล่นแค่นี้” พูดจบก็ดึงอัลบั้มรูปจากคนข้าง ๆ ที่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมาเปิดดูต่อไปเรื่อย ๆ



“นี่กะว่าจะไปทุกที่ในภาพเลยใช่ไหม”



“อือ” คนถูกถามพยักหน้า



“ทำยังกับตามรอยซีรีย์เกาหลี แล้วนี่ไปมาครบหรือยัง”



“ยังเลย บางที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ถ้าไกล ๆ ก็ต้องไปวันหยุด ไม่มีคนนำทางก็ไปไม่ถูก”



เต็มฟ้าพยักหน้าขณะก้มลงพิจารณาภาพสองหนุ่มสาวที่ยืนข้าง ๆ กันที่เชิงบันไดนาคซึ่งทอดยาวขึ้นสู่ซุ้มประตูใหญ่ นิ้วเรียวชี้ลงบนภาพนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับคนที่นั่งข้าง ๆ กัน “นี่น่ะ วัดพระธาตุลำปางหลวง”



“อยู่ไกลไหม”



“อืม..จากนี่ไปเกาะคาก็สักยี่สิบกิโลละมั้ง” พูดจบเต็มฟ้าก็ส่งอัลบั้มรูปคืนเจ้าของ



“ไว้จะลองไปดู” ศิธาพัฒน์กล่าวขณะรับอัลบั้มรูปคืนมาก่อนจะเก็บลงกระเป๋า



“เมื่อกี้ถามยังไม่ตอบเลยว่าทำไมไม่นั่งเครื่องกลับ”



“ติสท์ไง”



“เหอะ! ติสท์กับนิสัยเสียมันแบ่งด้วยเส้นบาง ๆ นะ”



“ว่าแต่คนอื่นกวนตีน” เต็มฟ้าเหล่มองคนข้าง ๆ อย่างหมั่นไส้



“ก็ตอบดี ๆ สิ คนเขาถามดี ๆ”
 


“อืม...ก็...” เต็มฟ้าใช้นิ้วเคาะที่ปลายคางเป็นจังหวะอย่างใช้ความคิด “การนั่งรถไฟทำให้ได้เห็นอะไรที่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”




“เนี่ยนะคำตอบ” คนตั้งคำถามทอดถอนลมหายใจ “แล้วอะไรบ้างที่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”



ยังไมทันที่คนถูกถามจะได้ขยายความ เสียงประกาศของนายสถานีก็ดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่าขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดเทียบชานชาลาคือขบวนรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 นั่นเอง สิ้นเสียงประกาศแสงไฟจากหน้าขบวนรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้สถานีจนในที่สุดเสียงหวูดก็ดังขึ้น บรรดาผู้โดยสารต่างเตรียมหิ้วกระเป๋าสัมภาระมายืนรอที่ริมชานชาลา



“ไว้วันหลังค่อยมาตอบก็แล้วกันนะ รถไฟมาแล้ว” พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกขึ้นสะพายเป้ก่อนจะขยับไปยืนที่ขอบชานชาลาโดยมีศิธาพัฒน์ลุกตามไปยืนใกล้ ๆ กัน




“ขอบคุณสำหรับข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่นะ”



คำพูดนั้นทำให้ต้องเหลียวกลับมา เต็มฟ้าพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังแสงไฟหน้าขบวนรถ ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ซึ่งมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็เข้าจอดเทียบชานชาลาเป็นที่เรียบร้อย เสียงประกาศจากสถานีดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความวุ่นวาย บรรดาผู้โดยสารต่างรีบขนสัมภาระขึ้นไปบนขบวนรถเพื่อหาที่นั่งของตัวเอง


“เดินทางปลอดภัยนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวกับคนที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับความวุ่นวายตรงหน้า เขายังคงยืนนิ่ง ๆ และหลีกทางให้ผู้โดยสารโบกี้เดียวกันหอบสัมภาระขึ้นไปบนขบวนก่อนเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อคนสุดท้ายขึ้นไปบนขบวนเป็นที่เรียบร้อย เต็มฟ้าจึงขยับทำท่าจะก้าวขึ้นตามไป แต่แล้วเขาก็ชะงักก่อนจะหันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง



“ไปก่อนนะ พี่ศิธา” พูดจบก็กระโดดแผล็วขึ้นไปบนขบวนรถทันที


ศิธาพัฒน์มองตามร่างสูงที่สะพายเป้ใบโตเดินหาที่นั่ง ในที่สุดก็เดินไปหยุดที่กลางโบกี้ก่อนจะนั่งลงทอดสายตามองออกไปในความมืด เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่ถึงอึดใจรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาของสถานีนครลำปาง ภาพของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา...แล้วก็ผ่านไปในที่สุดจนกระทั่งลับหายไป





‘พี่ศิธา’ อย่างนั้นเหรอ ศิธาพัฒน์กดยิ้มที่มุมปาก ถึงมันจะเป็นชื่อเรียกที่ดูห่างเหินเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยวันนี้เขาก็มี ‘น้อง’ เพิ่มขึ้นอีกคน








...



สวัสดีค่ะ ตอนที่ 8 มาแล้วนะคะ เขียนตอนนี้มันส์มาก ๆ
อยู่ ๆ ก็อยากมีตัวละครพูดเหนือขึ้นมาซะงั้น
ทีนี้ก็เลยเดือดร้อนคุณคนอ่านต้องมาช่วย translate ให้
ต้องขอบคุณ translator ทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ
(เป็นการเขียนนิยายแบบผู้อ่านมีส่วนร่วมมาก ๆ ฮ่าๆๆ ^^)
จบตอนนี้เราขออนุญาตพักยาว ๆ เพื่อส่งการบ้าน “ตัง จ้า” กับ สนพ. หน่อยนะคะ
แล้วไว้พบกันในตอนที่ 9 ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยตรวจคำผิดให้
และขอบคุณที่แนะนำเรื่องนี้ในกระทู้แนะนำนิยายด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 19-04-2014 01:11:48
น่าฮักขนาดดดดดเลยเจ้า

พี่ศิธา อร๊ายย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 19-04-2014 01:34:30
นี่ที่อุตส่าห์แอบไปถอดหมอนรถไฟออก ถ่วงเวลาได้แค่นี้เองใช่มั้ย? ฮือออออ
แม่ยกพี่ปุ่นช้ำใจ ทำไมพระนายต้องไกลกัน
ยังไม่พอ ปลายทางยังมีอีตาหมออีก ฮืออออออออ

เปิ้นบ่ายอมหนา เปิ้นอยากหื้อเต็มอยู่ลำปางกับอ้ายปุ่นอ่ะ  ไปลากคอเต็มปิ๊กลำปางบ่าเดี่ยวนี้ (โหดแต้) :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 19-04-2014 01:45:53
เค้าจากกันแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 19-04-2014 03:47:03
พี่เต็มหลงรักน้องตามและใช่ม้าาาาา  :mc4: :mc4:
ดีใจแทนน้องตามผุดๆ ค่อยๆเปิดใจนะพี่เต็ม แล้วความสุขจะตามมา รอตอนต่อไปค่าาา

ปล.ภาคเหนือปกติไม่ใช้คำว่า 'นาย' แทนตัวนายจ้างนะคะ ใช้คำว่า "พ่อเลี้ยง (ป้อเลี้ยง)"
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 19-04-2014 04:51:32
พี่ศิธา น้องเต็ม น่าฮักๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 19-04-2014 06:34:26
เป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นนะระหว่างเต็มกับพี่ปุ้น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-04-2014 06:36:02
จะร้องไห้ตามน้องตาม การลาจากช่างเจ็บปวด :mew6:
จังหวะชีวิตชอบเป็นอย่างนี้เนอะ พอความสัมพันธ์เริ่มดีก็ต้องห่างกัน :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 19-04-2014 08:06:36
ใจ๋ลอยโตยลมฮักลมกึ๊ดเติงเหียก้าอ้ายปุ่น :-[
อย่างน้อยก็เลื่อนเป็นน้องแล้ว สำหรับ ปุ่น เต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 19-04-2014 08:33:33
อยากได้ยินประโยค แล้วเจอกัน ชะมัด
เข่้าใจเลย เราเวลาแม่มาหานานๆก็ไม่อยากให้กลับ คิดถึง 55555 กลายเป็นน้องตามไปแล้ว
เรื่องจะเป็นยังไงต่อเนี่ย อยากรู้จังๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-04-2014 09:05:29
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 19-04-2014 09:11:07
อยากให้เต็มหันกลับมามองน้องตามดีๆสักครั้ง
แล้วจะรู้ว่าน้องรักมากแค่ไหน :hao5:
แต่ความสัมพันธ์จะต้องค่อยๆพัฒนาละนะ
เหมือนกับพี่ศิธานี่ไงเนอะ :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 19-04-2014 09:23:12
น้องตามน่ารักอ่ะ น่าสงสารด้วย อยากเชียร์ให้พี่ปุ่นชะมัด  แต่ดูท่าจะช้าไป พี่ปุ่นหวั่นไหวไปกับพี่เต็มซะแร้วววว  :o8:

จะเขี่ยคุณหมอออกไปยังไงดี  o18

ปอลอลิง   :กอด1:


มันอาจเป็นเพราะคู่ปรับกำลังจะจากไปโดยยังไม่ได้มีโอกาสขอคุณสำหรับข้าวผัดในวันนี้ก็ได้...


ขอบคุณ


เพียงไม่นานเสียงเคลื่อนยนต์ทำงานก็ดังขึ้น เด็กชายตามตะวันซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับลดกระจกลงพร้อมกับส่งยิ้มมาให้


เครื่องยนต์


"ชุดนี้หละเจ้า มันยังใหม่ ๆ อยู่เลย ป้เลี้ยงจะฮื้อเจ้าเยียะจะใด"


น่าจะตก อ.อ่าง นะฮะ


ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคำรามคลืน ๆ อยู่ไกล ๆ


ครืน


ฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ทำให้ต้องเริ่งฝีเท้าขึ้นจนในที่สุดก็ถึงฝั่ง


เร่ง



เขาหันกลับมาช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งเงยหน้าขึ้นสบตาแดงกร่ำของหนุ่มน้อยตรงหน้า


แดงก่ำ /  แดงกล่ำ


อีกสามสิบนาทีรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 จากสถานีเชียงใหม่ปลายทางสถานีกรุงเทพฯ จะเข้าจอดเทียบชานชลา ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่ม้านั่งริมชานชลา

ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ขณะนี้จวนได้เวลารถจอดเทียบชานชลาเข้าไปทุกขณะ

รถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ที่มีกำหนดเข้าเทียบชานชลาในเวลาหนึ่งทุ่มตรง

ขบวนรถที่กำลังจะเข้าจอดเทียบชานชลาคือขบวนรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 นั่นเอง สิ้นเสียงประกาศแสงไฟจากหน้าขบวนรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้สถานีจนในที่สุดเสียงหวูดก็ดังขึ้น บรรดาผู้โดยสารต่างเตรียมหิ้วกระเป๋าสัมภาระมายืนรอที่ริมชานชลา

พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกขึ้นสะพายเป้ก่อนจะขยับไปยืนที่ขอบชานชลาโดยมีศิธาพัฒน์ลุกตามไปยืนใกล้ ๆ กัน

ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ซึ่งมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็เข้าจอดเทียบชานชลาเป็นที่เรียบร้อย

พียงไม่ถึงอึดใจรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนออกจากชานชลาของสถานีนครลำปาง


ชานชาลา







หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 19-04-2014 10:32:32
จากกันอีกแล้ว เมื่อไหร่จะรักกันนะ ลุ้นอยู่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 19-04-2014 11:52:16
ไกลกันแล้ว :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: justonce ที่ 19-04-2014 12:10:06
น้ำตาซึมตามน้องตามเลย  :mew4:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 19-04-2014 12:27:09
แอบจิ้นพี่เต็มกับน้องตาม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 20-04-2014 03:01:48
อ้ากกกก...เต็มกลับเมืองกรุงไปแล้ว  :ling1:
แล้วจะยังไงต่อหล่ะนี่.....
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ThyRist ที่ 20-04-2014 04:21:25
แวะมาลงชื่อครับ ตามอ่านรวดเดียวจนจบ 8 ตอนเลย วันนี้


ชอบภาษา แล้วก็ตัวละครในเรื่องครับ

น่ารักมากจริง ๆ ><
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-04-2014 14:02:35
เรายังแอบขัดใจกับเต็มเล็กๆ อยู่เลยอ้ะ
สงสารน้องตาม 5555555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 20-04-2014 23:46:19
โอ้ยยยยยยยยย น่ารักมากกกกกกกกกกกกก:)

อ่านแล้วแบบหลงรักคุณบุรุษไปรษณีย์เลยแหละ

มาต่อไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-04-2014 17:46:37
น้องตามน่ารักมากเลยลูก อยากกอด ๆ
ส่วนเต็มกับพี่ปุ่นเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกละเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-04-2014 00:04:49
เมื่อไรจะได้ปะกันอีก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 23-04-2014 15:58:43
อ้าววว เผลอแป๊บเดียว ห่างกันซะแล้ว
จะมีโปสการ์ดจากพี่ชายบุรุษไปรศนีย์ส่งไปหาน้องเต็มบ้างมั้ยคะ? :'))
เอาไว้กัดกันเวลาคิดถึงไง กัดกันผ่านโปสการ์ดน่ารักดีออกนะ ไม่ค่อยมีใครทำด้วย 55555

ตอนนี้ชอบโมเม้นท์พี่น้องปั่นจักรยานมากเลยค่ะ
พี่เต็มดูใจดีกับน้องตามขึ้นเยอะเลย จริงๆ ก็รักน้องใช่มั้ยล่ะ?
แต่เพราะสิ่งที่ยังคงฝังอยู่ในใจเลยทำให้ทิฐิบังตาอยู่อย่างนี้ไง
แต่ค่อยๆ รักไปแบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ

น้องตามนายเอกมาก 5555555555

รอตอนหน้าค่ะ

ปล.คิดถึงพ่อหนุ่มเดรทร็อคจังเลยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbabobean ที่ 23-04-2014 16:33:23
ช่วงเวลาแห่งการจากลาและรอคอยมักทรมานเสมอ TT
กลับมาตอบคำถามพี่ศิธาไวไวนะคะน้องเต็มฟ้า
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกเย็นสบายจริงๆค่ะ (แม้อากาศตอนอ่านจะร้อนแค่ไหน)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 26-04-2014 03:16:56
แอบน้ำตาไหล
คิดถึงตอนที่ต้องมาเรียนไกลพ่อค่ะ
เข้าใจความรู้สึกของเต็มเลยค่ะ ที่ว่าเหงาจนไม่รู้จะเหงายังไง

แล้วจะเป็นยังไงต่อไป ไกลกันแล้วจะรักกันยังไง
ลุ้นค่ะลุ้น เอาใจช่วย  :katai4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: kuankao ที่ 12-05-2014 23:38:22
เรื่องนี้เงียบหายไปเลยแงงง :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Trin ที่ 13-05-2014 17:21:22
รอเรื่องนี้อยู่นะครับ  ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Nemasis ที่ 30-05-2014 01:54:23
คิดถึงนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-06-2014 01:57:38
มาตามหาคนเขียนค่ะ   :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: seraty ที่ 02-06-2014 19:53:46
พักยาวจัง คิคถึงน้องตามตะวันแล้ว....เต็มฟ้าก็คิดถึงนะ
 :mew6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-06-2014 22:46:08
อย่าลืมกันนะ  รออ่าน :hao4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 8 : ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-06-2014 01:48:23
ฉากระหว่างพี่เต็ม น้องตามเรียกน้ำตาได้ตลอดเลยอะ  :monkeysad:
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-06-2014 14:45:42
ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ



เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ก็เคลื่อนขบวนเข้าหาความวุ่นวายที่กำลังจะเริ่มขึ้นในมหานครที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาอยู่ เมื่อพนักงานรถไฟขานชื่อสถานีปลายทางผู้คนที่โดยสารมากับขบวนรถก็เตรียมตรวจสอบสัมภาระต่าง ๆ ที่นำติดตัวมาตามคำแนะนำของพนักงานรถไฟ ทันทีที่รถไฟจอดเทียบชานชาลาที่สถานีหัวลำโพงซึ่งเป็นสถานีปลายทางประตูรถก็เปิดออก ความโกลาหลเร่งรีบก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งราวกับกำลังก้าวเข้าไปในสายการผลิตที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา เสียงประกาศจากสถานีดังแทรกเสียงเครื่องจักรรถไฟคละเคล้าไปกับเสียงยวดยานที่สัญจรไปมาฟังอื้ออึงเสริมให้ทุกอย่างรอบตัวดูวุ่นวายไปหมด เต็มฟ้าก้าวลงจากขบวนรถคิดจะหลบลี้หนีจากความอลหม่านจึงมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่นั่นก็ไม่ใช้ความคิดที่ดีนักสำหรับชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ แม้จะเป็นสถานีต้นทางแต่คนรอโดยสารก็หนาตาทีเดียวเนื่องจากเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟ  เมื่อประตูรถไฟฟ้าใต้ดินเปิดออกผู้คนจำนวนมากก็ต่างกรูเข้าไปหาที่นั่งทันที


ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนในขบวนรถ ที่ฝั่งตรงข้ามของช่วงรอยต่อขบวนคือหญิงสาวในชุดนักศึกษาดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน มือหนึ่งถือกระเป๋าผ้าใส่ตำราและสมุดจดส่วนอีกมือหนึ่งถือเอกสารที่น่าจะสำเนามาอีกทอดหนึ่ง บางบรรทัดก็ขีดทับด้วยปากกาไฮไลต์เพื่อเน้นในส่วนที่สำคัญ  เห็นแล้วก็ทำให้คิดถึงช่วงเวลาของการเรียนขึ้นมาขึ้นมาทันที หากวันไหนจะสอบคืนนั้นก็จะมีแรงฮึดผิดปกติสามารถอ่านหนังสือได้ยันสว่าง แต่หากวันไหนเรียนตามปกติก็แทบจะไม่อยากตื่นไปเรียนเลย แต่วันนี้...เช้าวันแรกของการไม่ต้องไปเรียนหนังสือมันทำให้รู้สึกเคว้งคว้างแปลก ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยโหยหาอิสระอยากจะเรียนจบและมีทำงานไว ๆ แต่พอต้องก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานจริง ๆ กลับนึกอยากจะกลับไปเรียนอีกครั้ง



ยิ่งรถไฟฟ้าใต้ดินเคลื่อนห่างจากสถานีหัวลำโพงมากขึ้นเท่าไรผู้โดยสารก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น พักใหญ่ ๆ ก็มาถึงสถานีหนึ่ง ชายหนุ่มขยับตัวเบียดเสียดผู้คนมายืนรอที่หน้าประตูและเขาก็พบว่าสาวน้อยในชุดนักศึกษาคนนั้นก็ลงที่สถานีเดียวกับเขาด้วย เมื่อประตูเปิดออกร่างสูงก็เดินปะปนไปกับบรรดาหนุ่มสาววัยทำงานจนกระทั่งมาถึงที่หน้าประตูทางออกของสถานีพลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงผิวคล้ามแดดที่ยืนหันหลังอ่านแผ่นที่อยู่ไกล ๆ รู้สึกคุ้นกับท่าทางของเขาเสียเหลือเกิน เต็มฟ้าเดินเข้าไปใกล้ในที่สุดรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้จะเห็นแค่เสี้ยวหน้าแต่ก็จำได้ ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินตรงเข้าไปเอื้อมมือตบลงที่ศีรษะทุย ๆ ของร่างสูงอย่างแรง


   
“อื้อหือ...ใครวะ..เจ็บนะโว้ย!” มือหนากุมที่ศีรษะพร้อมกับหันขวับกลับมาเพราะเกรงว่าคนลงมือจะหนีไปเสียก่อน แต่ที่ไหนได้เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของมือที่โบกเข้าเต็มแรงเมื่อสักครู่ยังคงยืนยิ้มให้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปไหน


   
“หูยยยย ไอ้เต็ม เจ็บนะโว้ย! ตบมาได้” กีรติบ่นพลางลูบศีรษะตัวเองป้อย ๆ


   
“ตัดผมแล้วค่อยตบถนัดมือหน่อย”


“เออ เพิ่งไปตัดมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นไงบ้าง ดูดีไหม”


คนถูกถามกอดอกหรี่ตามองสำรวจอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้า ผมทรงเดทร็อคที่อยุ่ประคบประหงมมาหลายปีตอนนี้ถูกตัดเป็นแบบรองทรงสั้นรับกับใบหน้าคมเข้มดูสะอาดสะอ้านขึ้นผิดหูผิดตา


“ของมันแน่อยู่แล้ว อย่างนี้แหละคนมันหน้าตาดี”


“เออ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ”


“อ้าว...ไอ้เต็ม ทำไมพูดแบบนี้วะ” กีรติขมวดคิ้วนึกทบทวนในสิ่งที่เพื่อนพูด ตกลงที่อุตส่าห์ยอมกัดฟันตัดผมนี่มันดีหรือไม่ดีกันแน่ ในที่สุดความคิดก็ต้องหยุดลงมื่อมือของอีกฝ่ายตบเบา ๆ ที่หัวไหล่


“ไปเถอะ”


เจ้าของร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเดินนำไปยังบันไดเลื่อน


“จริง ๆ ไม่ต้องมารับก็ได้” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นขณะก้าวลงบันไดสถานีรถไฟฟ้า ตาคมมองไปรอบ ๆ พบว่าเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาเสียเท่าไรนัก มีทั้งทางยกระดับ ตึกสูง ๆ และรถราจำนวนมาก


“ก็กลัวแกหาไม่เจอ หอที่หาได้มันเดินเข้าซอยไปลึกหน่อย”


“ไม่ใช่เด็กแล้วนะโว้ย แค่เดินหาหอทำไมจะหาไมเจอ”


“ครับ ๆ คุณชายเต็ม หยุดเห่าสักทีเถอะครับ ผมรำคาญ” กีรติกล่าวพลางล้วงมือจกกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาด ๆ พร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดีเดินนำเพื่อนรักไปตามฟุตบาทก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบ ๆ ที่ขนาบด้วยหอพักจนกระทั่งมาถึงหอพักสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่อยู่ท้ายซอย


“แกมาเจอที่นี่ได้ยังไงวะ” เต็มฟ้าถามขณะเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูง 5 ชั้นตรงหน้า


“แถวนี้มันดูแออัดไปหน่อย แกพออยู่ได้ไหมวะ” อยู่ ๆ ร่างสูงก็ถามขึ้นขณะกดลิฟท์


“ได้สิ แย่กว่านี้ยังอยู่มาแล้วเลย”


กีรติมองดวงหน้าเรียบเฉยนั้นรู้ดีว่าเพื่อนหมายถึงอะไรจึงคิดที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศคลี่คลายขึ้น “เห็นว่ามันอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งไปต่อบีทีเอสเดี๋ยวก็ถึงที่ทำงาน อีกอย่างก็คือมันถูกด้วย เดี๋ยวเอาไว้ได้เงินเดือนเมื่อไรค่อยคิดขยับขยายก็แล้วกัน”


คนฟังพยักหน้าพลางมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในสุดลิฟท์ก็มาเปิดออกที่ชั้นสาม สองหนุ่มพากันเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ดูทึม ๆ มีเพียงโคมไฟนีออนสีนวลที่ให้แสงสว่างเป็นระยะ ๆ


เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องเต็มฟ้าก็ถอดเป้วางกับพื้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ยังคงปูผ้าเรียบร้อยส่วนกีรติก็เดินอ้อมไปนั่งบนเตียงของตัวเองจ้องมองเพื่อนรักที่กำลังลืมตามองเพดานว่างเปล่า


“พ่อแกว่ายังไงบ้าง” เจ้าริมฝีปากหยักตัดสินใจถามขึ้น


“ไม่ว่ายังไง ที่ผ่านมาพ่อก็ไม่เคยขัดใจอะไรอยู่แล้ว แต่ลึก ๆ ก็คงอยากให้กลับไปอยู่บ้านนั่นแหละ”


“แล้วตัวแกเองล่ะ คิดยังไง”


เต็มฟ้าไม่ได้ตอบอะไรในทันทีแต่กลับค่อย ๆ หลับตาลงพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากราวกับใช้วามคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่างจนในที่สุดริมฝีปากอิ่มก็ขยับอีกครั้ง


“ตัดสินใจไปแล้วก็ตามนี้”


“ตามใจแกก็แล้วกัน แต่ถ้าวันไหนก็อยากกลับไปละก็ ไปได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจพวกฉัน”  ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าลากเอาลังกระดาษใบหนึ่งออกมา “ของที่แกแยกเอาไว้น่ะ ฉันส่งไปรษณีย์กลับไปให้ที่บ้านแกตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ย้ายของออกจากหอเดิมแล้วนะ จะมีก็ไอ้กล่องใบนี้แหละ” พูดจบก็เดินมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวนอนก่อนจะกลับไปนั่งที่เตียงหยิบรีโมตเปิดทีวี


เต็มฟ้าลืมตาพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นมาวางบนตัก ข้างในมีทั้งดินสอดำสำหรับวาดรูป พู่กัน และไดอารีเก่า ๆ เล่มหนึ่ง...

....


ตามตะวันยืนเกาะขอบประตูห้องนั่งเล่นมองพ่อของตนเองที่กำลังนั่งลูบ ๆ คลำ ๆ กล่องกระดาษที่ให้คนงานรื้อออกมาจากห้องเก็บของ ดวงตาเศร้าหมองของผู้เป็นพ่อทำให้อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ พ่อเลี้ยงตรัยเงยหน้าขึ้นมองลูกชายพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเรียกเขาเข้ามานั่งใกล้ ๆ เด็กชายตามตะวันเดินเข้ามานั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ ผู้เป็นพ่ออย่างว่าง่ายมองกล่องกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำถามที่ยังคงค้างอยู่ในใจออกมา


“ในกล่องใบนี้มีอะไรเหรอครับพ่อ”


ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอื้อมมือลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ “กล่องใบนี้ไม่มีอะไรนอกจากความรักของพี่ชายคนหนึ่ง” ดวงตาของพ่อยังคงทอดมองมาที่ดวงหน้าเล็ก ๆ ที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูด


“ลูกลองเปิดดูสิ”


ตามตะวันสบตาผู้เป็นพ่ออย่างลังเลเพราะเห็นว่านั่นคือของของพี่ชาย แต่ด้วยความที่อยากจะรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่ มือเล็กก็ค่อย ๆ เอื้อมเปิดฝากล่องออก ข้างในเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวอะไรกับที่พ่อบอกเลยแม้แต่น้อย


พ่อเลี้ยงตรัยขยับนั่งตัวตรงพลางโอบไหล่ลูกชายคนเล็กเอาไว้  “ชุดนี้น่ะพี่ตามเขาเก็บเงินซื้อเพื่อจะให้เป็นของขวัญวันเกิดน้องสาว ถึงขนาดไม่ยอมกินขนม ไม่ซื้อของเล่นที่อยากได้ ใครถามว่าเก็บเงินไปทำไมก็ตอบว่าจะซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องสาว พอรู้ว่าอีกไม่กี่วันแม่จะคลอดน้องก็รบเร้าให้พ่อพาไปตลาดจัดการเลือกแบบเลือกสีเองเสร็จสรรพ คอยแต่ละนับวันว่าเมื่อไรจะได้เห็นหน้าน้อง”


“น้องสาวเหรอฮะ” ริมฝีปากบางทวนคำของผู้เป็นพ่อ


“อืม..พี่เราเขาอยากมีน้องสาวมาก ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกให้รู้ว่าน้องเป็นผู้ชาย เห็นเขากำลังเห่อ”
เด็กชายนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผู้เป็นพ่อ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ชายอยากจะมีน้องสาว หรือที่พี่เต็มไม่ชอบเขาอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้


“แล้วพ่อจะเอามันไปไหนครับ”


พ่อเลี้ยงตรัยถอนหายใจเบา ๆ พลางปิดฝากล่องลง “ในเมื่อเจ้าของเขาเอาแล้วพ่อก็คงต้องให้คนอื่น อาจจะให้ลูกคนงานเผื่อเขาจะเอาไปใช้ได้”


“ถ้าอย่างนั้น...ตามขอได้ไหมฮะ”


ผู้เป็นพ่อมองลูกชายอย่างแปลกใจก่อนจะพยักหน้าอนุญาตในที่สุด แม้จะไม่เห็นประโยชน์ของการเก็บเอาไว้แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะดีที่ของขวัญซึ่งถูกเก็บมาสิบกว่าปีจะถูกส่งถึงมือผู้รับ


หนุ่มน้อยตามตะวันกอดกล่องกระดาษที่ข้างในมีชุดกระโปรงสีฟ้าเอาไว้แน่นขณะเดินกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง ถึงแม้จะรู้สึกน้อยใจบ้างเมื่อได้รู้จากพ่อว่าพี่ชายซื้อเตรียมเอาไว้ให้น้องสาว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าพี่ชายยินดีกับการมีเขามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม


เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเด็กชายผู้เป็นเจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเปิดฝากล่องหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าขึ้นมากางดูอีกครั้ง หนุ่มน้อยล้มตัวลงนอนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากตนเองเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิงคงจะได้สวมชุดที่พี่ชายซื้อให้และคงจะได้จับมือวิ่งเล่นไปด้วยกัน

....



เช้าวันแรกของการทำงานกีรติ เต็มฟ้าและดุ่ยนัดพบกันที่หน้าอาคารสูงยี่สิบห้าชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทครีเอทีฟสตูดิโอซึ่งเป็นบริษัทรับออกแบบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าพบกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้วพวกเขาก็ถูกพาไปแนะนำตามแผนกต่าง ๆ ของบริษัท


“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวร่างอวบที่ยืนหายใจหอบอยู่หน้าประตูทำให้บรรดาเหล่านักออกแบบที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างเงียบ ๆ ต้องเงยหน้าขึ้นมองมายังต้นเสียงเป็นตาเดียว


“อะไรของแกวะยัยแนนนี่” ร่างสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเขียนแบบ ถือโอกาสนี้เอนหลังลงกับพนักพิงพลางถอดแว่นเพื่อพักสายตาไปในคราวเดียวกัน


“ก็เมื่อกี้ฉันแวะไปคุยกับน้องดาวคนที่ทำบัญชีนั่งห้องฝ่ายบุคคลน่ะ เจอพนักงานใหม่อ่ะแกแต่ละคน หล่อ เข้ม น่ารัก เห็นแล้วหัวใจมันกระชุ่มกระชวย” กล่าวพลางกวาดสายตามองแต่ละหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้อง “ไม่เหมือนเห็นหน้าแก่ ๆ อย่างพวกแก” พูดจบดีไซเนอร์สาวก็เดินมานั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง


“อ้าว ๆ น้อย ๆ หน่อยยัยแน่น”


“แนนนี่ย่ะไอ้พัฒน์แกเรียกให้มันถูกหน่อย”


“เป็นหมูกินหยวกกล้วยดี ๆ ไม่ชอบ ริจะเป็นวัวแก่ ๆ แทะเล็มหญ้าอ่อน ฟันฟางจะหักหมดปากแล้วยังไม่เจียมตัว”


“ไอ้พัฒน์!” ไม่พูดเปล่า กลับมีแฟ้มเอกสารลอยตามเสียงมาจนคนแซวหลบแทบไม่ทัน


เจ้าของร่างสูงได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจปล่อยให้สงครามย่อม ๆ ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งประตูห้องทำงานเปิดออกอีกครั้งทุกอย่างจึงสงบลง เมื่อสายสุนีย์ย์ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลพาพนักงานใหม่มาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก


“วันนี้พี่มีน้องใหม่มาแนะนำให้รู้จักจ้ะ” เธอกล่าวพลางหันไปยิ้มกับสามหนุ่มที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างหลัง “ห้องนี้มีแต่พวกพี่ ๆ ซีเนียร์เขี้ยวลากดินทั้งนั้นมีอะไรก็ปรึกษาได้นะจ๊ะ พี่ผู้ชายไว้พุงนั่นน่ะชื่อพี่พัฒน์จ้ะ ส่วนสาวเปรี้ยวหนึ่งเดียวในห้องของเราชื่อพี่แนนนี่ ด้านหลังคนที่ไม่ค่อยอยากจะลืมตามองโลกนั่นพี่กอล์ฟ ส่วนที่นั่งชะตาขาดเพราะงานไม่เสร็จชื่อพี่เอก แล้วก็คนที่หล่อที่สุดในห้องชื่อพี่ตังจ้ะ”


สิ้นเสียงหัวหน้าฝ่ายบุคคลสามหนุ่มก็พากันยกมือไหว้ทักทายพนักงานรุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ในห้อง


 “โห่! พี่นีน่ะแนะนำพี่ตังดีอยู่คนเดียว” หนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งอยู่หลังห้องเอ่ยขึ้น


“ก็น้องตังของฉันน่ะหล่อที่สุดในห้องจริง ๆ นี่ยะ”


ดีไซเนอร์หนุ่มร่างท้วมที่ยืนฟังอยู่นานกดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ เพื่อรักพลางยกมือที่สวมแหวนของเขาขึ้นให้คนพูดเห็น “ของพี่ที่ไหนละครับพี่นี ไอ้ตังน่ะมันมีเจ้าของแล้วนะ”


“แกไม่ต้องมาตอกย้ำฉัน เห็นแล้วมันบาดตาบาดใจ” พูดจบสายสุนีย์ก็กอดอกมองค้อนร่างสูงที่เอาแต่ยืนยิ้ม 


“พี่นีทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะครับ” ตฤณกรกล่าวพลางยกมือขึ้นเกาศีระษะแก้เก้อ


“พี่เสียใจที่น้องตังไม่เลือกพี่” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่ในห้องได้ไม่น้อย
“ว่าแต่น้อง ๆ ชื่ออะไรกันบ้างคะพี่นี” แนนนี่ถามแทรกขึ้นแววตาเป็นประกาย


“คนตัวสูงนี่ชื่อน้องเก้จ้ะ ส่วนอีกคนชื่อน้องเต็ม แล้วก็นี่น้องดุ่ย น้อง ๆ เขาจะนั่งห้องเดียวกับนายกบทำในส่วนของการออกแบบกราฟิกสื่อโฆษณาของบริษัทเราจ้ะ”


“แหม..มีตั้งแต่สูงใหญ่ไปจนถึงฉบับกระเป๋าเลยนะคะ” สาวตุ้ยนุ้ยกล่าวพร้อมกับส่งสายตาวิบวับให้หนุ่ม ๆ


“ฉันว่ายัยแนนนี่มันไปห้องไอ้กบทุกวันแน่เลยว่ะ” พัฒน์กระซิบบอกเพื่อน ๆ


“อะไรยะไอ้พัฒน์ฉันได้ยินนะแก” คนถูกพาดพิงค้อนขวับก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้พนักงานน้องใหม่ “ฉันน่ะเดินทักทายทุกห้องเป็นปกติอยู่แล้วจ้ะ”


ตฤณกรส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยิ้มให้สามหนุ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับตอนแรกที่ได้พบกัน “มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพวกพี่ได้นะ บริษัทเราอยู่กับแบบพี่ ๆ น้อง ๆ คุยได้ทุกคนแหละ”


“คร้าบบบบบ ขอบคุณคร้าบบบบ” เด็กหนุ่มสามคนต่างก็กล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะร่ำลาทุกคนเพื่อไปยังแผนกถัดไป
ครึ่งวันทำงานของเต็มฟ้าหมดไปกับการถูกพาไปแนะนำให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้รู้จัก กว่าจะได้กลับมานั่งในห้องทำงานก็ใกล้เที่ยงแล้ว


“เฮ้ย! กินข้าวกันน้อง ๆ” คนที่นั่งอยู่ด้านในสุดเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นมาตบไหล่กีรติและเต็มฟ้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“ใครน้องเอ็งวะ” ชายหนุ่มร่างเล็กที่นั่งเต๊ะท่าอยู่ห่าง ๆ เอ่ยขึ้น


“ข้าพูดกับน้องเต็มน้องเก้โว้ย ไม่ได้พูดกับไอ้แพะแคระอย่างแก”


“หูย! ไอ้กบ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นหัวหน้างานจะตบให้หน้าม้าแตก” ดุ่ยกล่าวพลางหันไปบ่นกับเพื่อนอีกสองคน “นี่แหละเป็นเหตุผลให้ข้าไม่อยากมาทำงานที่นี่”


“อ้าวไอ้นี่ มีงานให้ทำแล้วยังจะบ่น” พูดจบกบก็ยื่นมือไปตบลงบนศีรษะทุย ๆ ของดุ่ยเบา ๆ


“ไอ้กบ พอ ๆ เดี๋ยวข้าฉี่รดที่นอน” หนุ่มร่างเล็กพยายามใช้มือปัดป้องก่อนจะรีบลุกขึ้น


“แล้วนี่พี่กบกับไอ้ดุ่ยไปยังไงมายังไงถึงได้รู้จักกันครับ” ชายหนุ่มผิวคล้ามแดดเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย


“อ๋อ...พี่กับมันน่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนช่างแล้วละ แต่มันน่ะเปลี่ยนที่เรียนไปเรื่อย เรียนได้ไม่ถึงปีก็ออก ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนทำไมนัก”


“ความซวยเลยตกมาอยู่ที่พวกผม” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่ง


“อ้าว..ไอ้เต็ม มีเพื่อนแบบพี่ดุ่ยน่ะถือว่าเป็นมหากุศลนะครับ”


“มหากุศลตรงไหนวะ” อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมแพ้


“เออ ๆ เลิกกัดกันได้แล้ว จะไปกินข้าวก็ไป หิวแล้ว” กีรติกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น จากนั้นทั้งสี่หนุ่มก็ขึ้นไปที่ฟู้ดคอร์ทบนชั้นสูงสุดของตึก


เต็มฟ้ามองตามหัวหน้างานของเขาที่เดินแยกไปซื้ออาหารและไปนั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกับสาว ๆ ฝ่ายบุคคลอย่างสนิทสนม หลังจากที่ได้อาหารแล้วชายหนุ่มก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะซึ่งเพื่อน ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้วพลางมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งมาจากใครบางคนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดี




‘ยินดีด้วยสำหรับงานใหม่นะ เย็นนี้เจอกันหน่อยนะครับ’




เมื่ออ่านข้อความจบพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจนที่นั่งข้าง ๆ กันอดถามไม่ได้


“ยิ้มอะไรครับน้องเต็ม”


เต็มฟ้ารีบหุบยิ้มก่อนจะหรี่ตามองหนุ่มเคราแพะที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนจะโดนผลักออกไปในที่สุด


“ไอ้เต็ม ผมพี่ดุ่ยเสียทรงหมด” ดุ่ยบ่นพร้อมกับใช้มือจัดทรงผมให้เข้าที่แต่ก็ไม่วายยืนหน้าเข้าไปให้ถูกด่าอีกครั้ง


“ใครใช้ให้ยุ่งวะ”


“แหม..ทำเป็นมีความลับ อ่านข้อความแล้วยิ้มแบบนี้ข้าว่ามีคนเดียวแหละ ไอ้หมอชัวร์” พูดจบก็หันไปขอความเห็นจากคนผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“จะเหลือ” กีรติตอบพลางตักข้าวเข้าปาก


เต็มฟ้ามองเพื่อนรักทั้งสองที่วันนี้ดูจะเข้าขากันผิดปกติก่อนจะตัดสินใจตัดบท “เออ กิน ๆ ไปอย่าพูดมาก” พูดจบก็หงุดหงิดกลบเกลื่อนก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าแล้วลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ โดยไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อน ๆ ที่กำลังมองมาอย่างจับผิด


เย็นวันนั้นยุทธภูมิมารอพบเต็มฟ้าที่หน้าบริษัทก่อนจะพากันไปที่สวนสาธารณะที่เคยไปด้วยกันบ่อย ๆ สองคนเดินไปนั่งบนผืนหญ้าใกล้บันไดซึ่งทอดตัวลงสู่สระน้ำกว้างใหญ่


“ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง”


“เหมือนไม่ได้ทำเลย แค่ถูกพาไปแนะนำให้คนทั้งบริษัทรู้จักก็ปาเข้าไปครึ่งวันแล้ว”


“แล้วมีใครมาจีบหรือเปล่า”


เต็มฟ้าหันไปสบตาเจ้าของทำถามก่อนจะหัวเราะ “ใครจะจีบ”


“ไม่รู้ไง ก็เต็มของเราน่ารัก เราก็กลัวไว้ก่อน” ยุทธภูมิกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายในขณะที่คนฟังได้แต่หลบสายตาโดยการทอดมองเงาสะท้อนของตึกสูงบนผิวน้ำที่ราบเรียบราวกับกระจกใสก่อนจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ 


“เหนื่อยเหรอ”


“เปล่าหรอก แค่ยังไม่ชินน่ะ กลับไปบ้านเสียนาน พอกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูวุ่นวายไปหมดไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน”


มือหนายกขึ้นวางบนศีรษะของคนที่นั่งข้าง ๆ กันก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยนมองอีกฝ่ายให้เต็มตา นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบกัน เพราะตัวเขาเองก็มีภารกิจด้านการเรียน ส่วนเต็มฟ้าก็กลับไปอยู่บ้านที่จังหวัดลำปาง นาน ๆ จะได้มีโอกาสโทรศัพท์คุยกันสักครั้ง
“ข้างนอกอากาศไม่ดี รถก็ติด ชวนให้ไปที่ห้องเราก็ยอมหรือว่าเต็มไม่ไว้ใจเรา”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” เต็มฟ้าหันกลับมามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองนกฝูงใหญที่กำลังบินผ่านไปบนท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังเปลี่ยนสี


“บางครั้งเราก็รู้สึกนะว่าเรายังรู้จักเต็มไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าเพราะเรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไป หรือว่าเต็มยังไม่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักเต็มจริง ๆ กันแน่”


เมื่อได้ฟังความในใจของยุทธภูมิเต็มฟ้าก็ได้แต่นั่งนิ่ง รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“ถะ...ถ้าอย่างนั้น เราไปเที่ยวกันไหม”


ประโยคสั้น ๆ ที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบทำเอาคนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อย


“เต็มอยากไปไหน”


“ที่ไหนก็ได้ เราให้ภูมิเลือก”


“ถ้าอย่างนั้นไปเยาวราชนะ วันเสาร์นี้เราว่างพอดี เดี๋ยวเย็น ๆ เราไปรับนะ จะได้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน แล้วก็ไปเดินเล่นด้วยกัน”


“อืม ได้สิ” เต็มฟ้าตอบยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังเองก็ยิ้มจนแก้มแทบปริเช่นกัน


ดังนั้นในตอนบ่ายของวันเสาร์ยุทธภูมิจึงมารับเต็มฟ้าที่หอพักเพื่อไปเที่ยวด้วยกันตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้


“ที่นี่ไม่เห็นจะน่าอยู่เลยนะเต็ม เราบอกให้เต็มไปอยู่กับเราก็ไม่เอา” คนยืนรอบ่นพลางมองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยอะพาร์ตเมนต์และหอพักราคานักศึกษา


“ตอนนี้เพิ่งทำงาน ก็ต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน คุยกับเก้ไว้ว่าอีกหน่อยมีเงินมากขึ้นค่อยหาทางขยับขยายก็ได้ อีกอย่างที่นี่ก็ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ของกินก็มีเยอะแยะ”


“แต่ว่า....”


“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ วันนี้เราจะไปเที่ยวกันนะ”


“ก็ได้ครับ” ยุทธภูมิฝืนยิ้มแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจนักกับที่อยู่ใหม่ของเต็มฟ้ารวมถึงเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนร่วมห้องของเขา


....


เต็มฟ้าทอดสายตามองดูตึกแถวรูปทรงแปลกตาจากหน้าต่างรถโดยสารปรับอากาศ ในที่สุดคนที่นั่งข้าง ๆ ก็สะกิดให้ลง ทันทีที่รถโดยสารปรับอากาศเคลื่อนออกจากป้ายหยุดรถ เต็มฟ้าก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในชุมชนคนจีนขนาดใหญ่ ถนนทั้งสายดูแน่นขนัดไปด้วยป้ายชื่อห้างร้านและห้างทองจำนวนมากเหมือนกับที่เคยเห็นตามหน้านิตยสารหรือในรายการทีวีไม่มีผิด


“ไปเถอะเต็ม เวลามีน้อย ถ้าเต็มอยากแวะตรงไหนละก็บอกเราได้เลยนะ” คนเดินนำหน้ากล่าวในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปในตรอกแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของ


เต็มฟ้าพยักหน้า ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นสมุนไพรจากร้านขายยาจีนที่มีอยู่ทั่วไปในขณะที่หูก็ได้ยินทำนองจีนเก่า ๆ ภาษาที่ใช้ในสื่อสารก็มีทั้งภาษาจีนและภาษาไทยนับว่าการมาเยาวราชในครั้งนี้ทำให้ได้เห็นวัฒนธรรมของคนสองเชื้อชาติที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัว   


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-06-2014 14:46:44
ดวงอาทิตย์ที่เคยแผดแสงร้อนแรงเคลื่อนหายไปหลังแนวตึกนานแล้ว ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงทุกขณะแต่ถนนทั้งสายก็ยังคงสว่างด้วยไฟจากป้ายร้านต่าง ๆ ยิ่งค่ำผู้คนก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นและดูเหมือนว่าระยะห่างระหว่างสองคนก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน ชายหนุ่มเดินเบียดเสียดไปกับฝูงชน ดวงตายังคงจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่มาด้วยกันเพราะเกรงว่าจะคลาดสายตาและพลัดหลงกันไปในที่สุดจนลืมมองทางทำให้คอยจะสะดุดล้มเอาบ่อย ๆ  เมื่อมีจังหวะเต็มฟ้าจึงพยายามเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นยุทธภูมิเดินห่างออกไปทุกทีกระทั่งตามทันกันเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน


“มีอะไรหรือเปล่า” คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้นขณะมองเข้าไปในร้านอาหารที่มีลูกค้านั่งเต็มหมดทุกโต๊ะ


“ตอนแรกว่าจะพาเต็มมากินร้านนี้ เราเคยมากินกับเพื่อน ๆ เขาทำอาหารอร่อยมาก ๆ  แต่เห็นคนแล้วไม่อยากรอเลย”


“ถ้าอย่างนั้นไปร้านอื่นก็ได้นะ เรายังไม่ค่อยหิวหรอก”


“อืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราไปกินราดหน้าเจ้าอร่อยที่หัวมุมถนนกันดีกว่า” พูดจบยุทธภูมิก็เดินนำเต็มฟ้าไปยังที่หมายทันที ครู่หนึ่งก็มาหยุดที่ห้องแถวสองคูหาที่หน้าร้านมีกะทะใบใหญ่ใส่น้ำราดหน้าตั้งอยู่บนเตา เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนร่างกายกำยำกำลังใช้กระบวยตักน้ำราดลงบนเส้นที่ถูกเตรียมไว้ในจานก่อนที่เด็ก ๆ ในร้านจะยกไปเสิร์ฟตามโต๊ะ เหนือขึ้นไปบนประตูนอกจากจะป้ายชื่อร้านแล้วยังมีป้ายรับประกันความอร่อยจากนักชิมชื่อดังติดอยู่คู่กันอีกด้วย


“ร้านนี้น่ะเหรอ” เต็มฟ้าพยายามหายใจลึก ๆ เพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยหอบหลังจากที่เดินไม่ได้หยุดมาตั้งแต่ลงจากรถ


“ใช่ ร้านนี้แหละ” ยุทธภูมิกล่าวพลางกวาดสายตามองหาโต๊ะว่าง ในที่สุดเขาก็เดินนำคนที่มาด้วยกันเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ด้านในสุดของร้านที่เพิ่งจะมีคนลุกออกไป


หลังจากสั่งอาหารได้เพียงไม่นาน เด็กในร้านก็ยกจานราดหน้าจานใหญ่มาเสิร์ฟในขณะที่เต็มฟ้ามองดูกุ้งตัวโต หมึกและหมูชิ้นใหญ่ที่โปะมาบนเส้น มันดูน่ากินแต่เขากลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อยนั่นอาจเป็นเพราะยังคงรู้สึกเหนื่อย ชายหนุ่มตัดสินใจตักแบ่งส่วนในจานของตนเองใส่จานคนตรงหน้าก่อนจะเริ่มลงมือกินช้า ๆ


“ทำไมกินน้อยจัง หน้าซีดด้วย ไม่สบายหรือเปล่า”


“เปล่าหรอก แต่มันยังไม่รู้สึกหิวน่ะ”


“เหนื่อยหรือเปล่าที่เราพามาเดินแบบนี้”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเจ้าของใบหน้าซีดเซียวก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที


“ไว้วันหลังเรามีรถ เราจะขับพาเต็มมานะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินแบบนี้”


“ไม่ต้องหรอก นั่งรถเมล์แบบนี้ก็สะดวกดี”


“อืม..แต่ยังไงเราก็อยากให้เต็มสบายนะ อยากให้ไปอยู่ที่คอนโดด้วยกัน เดี๋ยวเดือนหน้าพ่อเราก็จะมาจัดการเรื่องคอนโดให้ พอเรียบร้อยก็กะว่าจะขอให้พ่อซื้อรถ เพราะอีกหน่อยคงต้องออกไปฝึกงานตามโรงพยาบาลต่าง ๆ จะได้เดินทางสะดวก”


“เราว่าค่อย ๆ คิดดีกว่าไหม ถึงตอนนั้น...บางทีอะไร ๆ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดก็ได้นะ”


“เต็มหมายความว่ายังไง”


คนถูกถามนิ่งสบตาคนตรงหน้า “เราหมายถึงมันอาจจะไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อกับแม่ไง” กล่าวพลางค่อย ๆ ตักอาหารใส่ปาก


“ภูมิก็อยากมีเงินเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องกวนพ่อกับแม่”


“เดี๋ยวอีกหน่อยเรียนจบได้ทำงานก็มีเงินแล้ว เผลอ ๆ จะได้มากกว่าเรา ได้มากกว่าคนที่อายุเท่ากันด้วยซ้ำ”


“แต่มันไม่เยอะนี่ เงินเดือนหมอน่ะไม่เยอะหรอกนะ” ยุทธภูมิวางช้อนลงก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่มไปพร้อม ๆ กับคิดอะไรบางอย่าง มือหนาวางแก้วลงเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ดูอย่างบอมส์ เดอะแชมป์สิ คนที่เรียนคณะเดียวกับเต็มน่ะ อายุก็เท่ากับพวกเราแต่มีเงินมหาศาล”


เต็มฟ้าขวมดคิ้วเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่ดังเปรี้ยงเพียงชั่วข้ามคืนเมื่อเขาได้รับโหวตจากผู้ชมให้เป็นผู้ชนะในรายการ ‘เดอะแชมป์’ ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงระดับประเทศไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันเลยสักนิด


“แต่ทุกคนก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นบอมส์ เดอะแชมป์นี่”


“แต่ยังไงเราก็อยากมีเงินเยอะ ๆ เหมือนเขาอยู่ดีจะได้ดูแลเทคแคร์คนที่เรารักได้เต็มที่ไง” พูดจบว่าที่คุณหมอก็ยิ้มให้ก่อนจะลงมือรับประทานราดหน้าในจานอีกครั้ง


“จริง ๆ นายไม่เห็นจะต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครเลย บางทีคนที่นายรักเขาอาจจะต้องการแค่ตัวนายที่เป็นคนธรรมดา ๆ ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้าก็ได้”


“แต่ยังไงเราก็คิดว่าเงินเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ดีแหละ”


เต็มฟ้ามองดูคนตรงหน้าพลางถอนหายใจเบา ๆ รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าตัวเขาเองก็ยังรู้จักผู้ชายคนนี้น้อยเกินไปหรือแทบจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ


....


กีรตินอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงมองดูนาฬิกาติดฝาผนังที่แสดงเวลาเกือบตีหนึ่ง แต่ก็ยังไร้ซึ่งเงาของเพื่อนร่วมห้อง ในที่สุดร้างสูงก็ผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไขประตู 


“ยังไม่หลับเหรอวะ” คนที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าวเมื่อเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของเพื่อนก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง


“ไปทำอะไรมาวะกลับเสียข้าวันข้ามคืน”


“ไปเยาวราชมา”


“แล้วทำไมหมดสภาพแบบนี้วะ” กีรติกล่าวพลางลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟ


“ตระเวนหาของกินจนเหนื่อย” เต็มฟ้ากล่าวขณะขยับตัวนอนหงายพยายามลืมตาสู้แสงไฟบนเพดาน


ร่างสูงเดินมายืนข้างเตียงพร้อมกับกอดอกมองคนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ


“ทำไมหน้าซีดแบบนี้วะ ไม่สบายหรือเปล่า” พูดจบก็เอื้อมมือแตะที่หน้าผากของเพื่อนทันที “ตัวอุ่น ๆ นี่หว่า กินยากันไว้หน่อยก็แล้วกันเดี๋ยวฉันไปเอาให้”


เต็มฟ้ามองตามเพื่อนที่กำลังเดินไปรื้อ ๆ ค้น ๆ บางอย่างในตะกร้าใส่ของที่วางอยู่บนหลังตู้เย็นก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกระปุกยาและแก้วใส่น้ำเปล่า


“ลุกขึ้นกินยาก่อน”


แม้จะไม่ค่อยอยากจะทำตามเสียเท่าไรแต่พอเห็นแววตาจริงจังของเพื่อนแล้วทำให้รู้สึกว่าคำสั่งเมื่อสักครู่คือประกาศิตจนทำให้เต็มฟ้าต้องพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะรับยาเม็ดสีขาวในมือเพื่อนมาใส่ปากจากนั้นจึงดื่มน้ำตามจนหมดแก้วด้วยความกระหาย


“เล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


“เล่าอะไร”


“ก็เล่าว่าทำไมแกถึงกลับมาหมดสภาพแบบนี้ไง เร็ว ๆ เล่ามา”



เป็นคำสั่งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกัน อะไรก็ตามที่เป็นคำสั่งมักจะทำให้คนอย่าง ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ ไม่เคยคิดจะทำตามอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคำสั่งที่ออกจากปากของเพื่อนรัก ชายหนุ่มจึงจำใจต้องเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง


กีรติขมวดคิ้วพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากเพื่อน


“ไอ้หมอนี่ท่าจะเป็นเอามากว่ะ”


“เออ คนทุกคนมันไม่ได้เกิดมาเพื่อนจะเป็นบอมส์ เดอะแชมป์นะโว้ย”


“ไอ้หมอมันบ้าไง ไอ้เต็มเอ๊ย! แกจะไปกับมันรอดไหมวะ”


“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ จริง ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่คาดหวังก็จะได้ไม่ผิดหวัง”


“เออ ยังไงก็อย่าให้ถึงกับต้องใช้คำว่าทนเลยนะ ถ้าคำนี้ผุดขึ้นในหัวแกเมื่อไรละก็หยุดเถอะ เรื่องแบบนี้บางทีมันก็ใช้ความอดทนไม่ได้” พูดจบก็ตบไหล่เพื่อนเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นกลับไปนอนที่เตียง


กีรตินอนฟังเสียงน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำจนกระทั่งผล็อยหลับไป ในขณะที่เต็มฟ้ายังคงยืนปล่อยให้สายน้ำนำพาเอาความคิดล่องลอยไป


‘มีเงินเยอะ ๆ จะได้ดูแลเทคแคร์คนที่เรารักได้เต็มที่ไง’


สำหรับเต็มฟ้า หากต่อไป 'คนรัก' ที่ยุทธภูมิพูดถึงคือตนเองแล้วละก็ เขาเองไม่อยากให้อีกฝ่ายมาทำอะไรมากมายขนาดนั้นเพราะเพียงแค่อยู่ข้าง ๆ ข้างกันในทุกช่วงเวลานั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว



ครึ่งปีของการทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว การทำงานที่ต้องพบปะผู้คนทำให้ในแต่ละวันศิธาพัฒน์มักจะพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาให้ต้องคิดแก้ปัญหาแต่ชายนหนุ่มก็ยังคงนั่งประจำที่ของตนเองด้วยความเข้มแข็ง ตาคมทอดมองร่างเล็กของเด็กชายในชุดนักเรียนที่กำลังเดินผลักประตูเข้ามาพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า


“มาทำอะไรครับหนุ่มน้อย”
ตามตะวันยิ้มให้ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพนักงานไปรษณีย์สีกากีพลางถอดเป้ใบโตวางไว้ที่เก้าอี้ก่อนจะรูดซิปหยิบกล่องใบเล็ก ๆ ที่ห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญออกมาจากนั้นจึงเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์


“ตามมาส่งพัสดุครับพี่ปุ่น” หนุ่มน้อยกล่าวพลางยื่นกล่องให้


“อืม...ถ้าอย่างนั้นน้องตามต้องไปให้พี่ผู้หญิงทางด้านโน้นเขาใส่กล่องให้นะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาหาพี่” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางชี้ไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะขายกล่องสำหรับใส่พัสดุ


เด็กชายตามตะวันพยักหน้าก่อนจะเดินไปจัดการทำตามที่พี่พนักงานไปรษณีย์รูปหล่อแนะนำ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีเด็กชายในชุดนักเรียนก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกล่องไปรษณ์ย์สีขาวผูกเชือกเรียบร้อย


“จ่าหน้าหรือยังครับ”


“เรียบร้อยแล้วครับพี่ปุ่น ตามเขียนชื่อกับที่อยู่แล้วก็เบอร์โทรศัพท์ของผู้รับไว้ในช่องตรงกลาง ส่วนที่อยู่ผู้ส่งตามเขียนชื่อตามกับเลขที่บ้านแล้วก็เบอร์โทรศัพท์ของน้าเดือนไว้ในช่องที่อยู่ผู้ส่งตามที่พี่ผู้หญิงคนนั้นบอก”


ศิธาพัฒน์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะรับกล่องใบนั้นมาตรวจดูความเรียบร้อย ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เมื่อเห็นว่าเป็นจริงตามคำบอกของเด็กชาย “เก่งมากครับ แล้วน้องตามจะส่งแบบไหนดี แบบลงทะเบียนหรือว่าอีเอ็มเอส”


“อืม..ตามส่งแบบอีเอ็มเอสดีกว่าจะได้ไปถึงทันก่อนที่พี่เต็มจะรับปริญญา”


เกือบจะลืมชื่อนี้ไปแล้วเชียว...ศิธาพัฒน์คิดในใจ นานแล้วที่ไม่ได้พบกันแม้เขาจะแวะไปที่เกสต์เฮาส์บ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้รู้ข่าวคราวของหลานชายจอมกวนของเจ้าของเกสต์เฮาส์อีกเลยนับตั้งแต่วันที่จากกันที่สถานีรถไฟ


“เดี๋ยวพี่ช่างน้ำหนักก่อนนะ” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มกล่าวพลางวางกล่องพัสดุลงบนเครื่องชั่งน้ำหนัก จัดการคีย์ข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์จากนั้นจึงติดแสตมป์บนกล่องก่อนจะวางมันไว้ที่โต๊ะด้านหลัง


ศิธาพัฒน์ยื่นใบเสร็จและเงินทอนให้เด็กชายโดยไม่ลืมที่จะกำชับให้เขาเก็บมันไว้จนกว่าพี่ชายจะได้รับของเรียบร้อยแล้ว


“ตามกลับยังไง มีใครมารับหรือเปล่า รอกลับพร้อมพี่ไหม เดี๋ยวพี่ก็จะเลิกงานแล้ว”


“ไม่เป็นไรครับพี่ปุ่น ตามนั่งรถสองแถวกลับเองได้ครับ ขอบคุณนะครับ” เด็กชายตามตะวันกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะเดินไปหยิบเป้สะพายขึ้นหลังเดินสวนกับผู้มาใหม่อีก 2-3 คน


ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากวางพัสดุลงทะเบียนกล่องสุดท้ายลงในตะกร้า เสียงฟ้าร้องที่ด้านนอกทำให้อดเป็นห่วงเด็กชายที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่ไม่ได้ เพียงไม่กี่นาทีถัดมาฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ชายหนุ่มพยายามมองผ่านม่านน้ำฝนภาวนาในใจให้หนุ่มน้อยขึ้นรถได้ทันก่อนที่ฝนจะตก ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือเมื่อเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมาพอสมควรแล้วจึงเก็บของตั้งใจจะกลับบ้าน แต่เมื่อเปิดประตูออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์ก็พบว่าฝนเพิ่งซาเม็ดลงไปเมื่อไม่นาน พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นร่างของหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งกอดเข่ามองม่านน้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคา ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งพลางยิ้มให้


“พี่นึกว่าตามกลับไปแล้วเสียอีก”


“ตามออกไปยืนรอตั้งนานก็ไม่มีรถผ่านมาเลยสักคันครับ เห็นฝนมันใกล้จะตกเลยเข้ามาหลบฝนก่อน”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”


เด็กชายตามตะวันพยักหน้ามองร่างสูงที่กำลังนั่งลงข้าง ๆ กัน


“เมื่อกี้ตามส่งของขวัญรับปริญญาไปให้พี่ชายใช่ไหม แล้วทำไมไม่เอาไปให้เองกับมือล่ะ”


“ตามไม่ได้ไปด้วยครับ พ่อไม่อยากให้ขาดเรียนเพราะใกล้สอบแล้ว พ่อเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหรือเปล่า ตอนนี้แม่ม้าที่ไร่ใกล้จะตกลูกเต็มที”


“ตามคิดถึงพี่ชายไหม”


คำถามนั้นทำให้หนุ่มน้อยต้องละสายตาจากน้ำฝนที่ไหลลงมาเป็นสายอยู่ตรงหน้าหันมาสบตาคนถาม


“คิดถึงครับ ตามไม่ค่อยได้เจอพี่เต็ม เพราะตอนเด็ก ๆ พ่อส่งพี่เต็มไปเรียนโรงเรียนประจำที่เชียงใหม่ กว่าจะกลับทีก็ปิดเทอม เวลากลับมาพี่เต็มก็ชอบไปอยู่กับน้าเดือนที่เกสต์เฮาส์ไม่ค่อยไปที่ไร่”


เมื่อศิธาพัฒน์ได้ฟังคำบอกเล่าของตามตะวันก็ให้รู้สึกว่าเต็มฟ้าคนนี้มันน่าถูกจับตีเสียให้เข็ดจะได้เลิกเอาแต่ใจตัวเองและทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเช่นนี้

.....


เต็มฟ้านั่งจ้องกล่องพัสดุที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือตั้งแต่กลับมาถึงห้อง เดาได้ว่ากีรติคงหยิบมันมาจากเคาท์เตอร์ที่อยู่ด้านล่างของหอพัก ผู้ส่งมาให้คือ ‘ตามตะวัน ตติยพัฒน์’ น้องชายแท้ ๆ ของตัวเอง มือเรียวค่อย ๆ แก้เชือกจากนั้นจึงเปิดฝากล่องออก พบว่าข้างในมีกล่องของขวัญเล็ก ๆ กล่องหนึ่งซึ่งห่อด้วยกระดาษสาสีขาว เพียงแค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าน้องชายคงจะห่อมันด้วยตัวเอง เต็มฟ้าบรรจงแกะกระดาษห่อของขวัญออกราวกับกลัวว่ามันจะขาด จากนั้นก็ดึงสิ่งที่อยู่ในกล่องออกมา มันคือกล่องเหล็กสำหรับใส่เครื่องเขียนกับการ์ดใบหนึ่ง



‘ตามภูมิใจมาก ๆ ที่มีพี่ชายเก่ง ๆ อย่างพี่เต็ม’


เพียงข้อความสั้น ๆ ก็ทำให้นึกสะท้อนใจ อยากจะบอกให้น้องชายรู้เหลือเกินว่าเขาไม่ใช่คนเก่งและอาจจะไม่มีค่าพอที่สำหรับความภูมิใจที่น้องมีให้ก็ได้ ชายหนุ่มเก็บทุกอย่างลงในกล่องจัดการผูกเชือกไว้แบบเดิม ดวงตาที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ไล่มองไปตามตัวอักษรตัวโตเสมอกันที่ถูกเขียนด้วยปากกาอย่างเป็นระเบียบ ก่อนหน้านี้นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมน้าเดือนจึงโทรศัพท์มาถามที่อยู่ของหอพักที่แท้ก็ถามให้น้องชายของเขานี่เอง แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจจนดวงหน้าคมต้องมุ่นคิ้วก็คือลายมือของใครคนหนึ่งที่มุมกล่อง ไม่ใช่ลายมือของพี่สาวและมั่นใจว่าไม่เคยเห็นลายมือแบบนี้มาก่อนแน่นอน



‘ยินดีด้วยนะน้องชาย’

 

....





“พี่ปุ่นว่าพี่เต็มจะได้รับพัสดุของตามหรือยังครับ”


ศิธาพัฒน์ยิ้มให้เด็กชายที่มานั่งรอเขาตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน “ส่งอีเอ็มเอสวันเดียวก็ถึงแล้วครับ พี่ว่าเขาน่าจะได้รับแล้วละ เขาไม่โทร.มาบอกเหรอ”


ตามตะวันส่ายหน้าแทนคำตอบ ถึงจะได้รับการยืนยันจากพนักงานไปรษณีย์ว่าของที่ส่งไปน่าจะถึงมือผู้รับแล้วแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี


“ตามอยากโทร.ไปถามไหมล่ะ เดี๋ยวพี่โทร.ให้ก็ได้”


“ไม่ดีกว่าครับ เปื่อพี่เต็มกำลังยุ่ง” หนุ่มน้อยตอบก่อนจะลุกขึ้น “เดี๋ยวมะรืนนี้พี่ชลกับพ่อจะไปหาพี่เต็ม ตามฝากพ่อถามก็ได้”


ศิธาพัฒน์มองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของเด็กชายตามตะวันอย่างเอ็นดู อดคิดไม่ได้ว่าคนเป็นพี่จะรู้ไหมว่าน้องชายห่วงความรู้สึกของเขามากขนาดไหน


....


บรรยากาศการแสดงความยินดีแก่บัณฑิตใหม่ในวันเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นไปอย่างชื่นมื่น เสียงลั่นชัตเตอร์ดังแข่งกับเสียงบูมของเหล่านักศึกษาในขณะที่เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยก็ยังคงอื้ออึงไปทั่วบริเวณ แม้จะมีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยบังแดดแต่อากาศก็ยังร้อนจนทั้งบัณฑิตและญาติ ๆ ต่างก็เหงื่อตกไปตาม ๆ กัน ชลธรยืนมองน้องชายในชุดครุยอย่างชื่นชมที่ยืนข้าง ๆ กันคือชายวัยกลางใบหน้าเปี่ยมสุข


“ชิด ๆ กันหน่อยค่ะพ่อลูก” เสียงเจื้อยแจ้วของตากล้องจำเป็นทำให้สองพ่อลูกขยับเข้ามายืนชิดกัน


“พ่อภูมิใจในตัวแกนะไอ้ลูกชาย” พ่อเลี้ยงตรัยยิ้มก่อนจะยกแขนโอบไหล่ลูกชายเอาไว้แน่น ถ้าหากภรรยาของเขายังอยู่ก็เชื่อเหลือเกินว่าเธอคงจะภูมิใจและยิ้มจนแก้มแทบปริเหมือนเขาในตอนนี้เช่นกัน


“ขอบคุณครับพ่อ” เต็มฟ้ากล่าวพลางหันไม่ยิ้มหวานให้กล้อง หลังจากตระเวนถ่ายรูปกันอยู่พักใหญ่ ๆ เขาก็พาพี่สาวและพ่อมานั่งพักที่ใต้ตึกคณะ ชายหนุ่มรับกล้องจากมือของชลธรมาเช็คภาพที่เพิ่งถ่ายไป เมื่อเห็นเห็นรอยยิ้มของพ่ออยู่ในทุก ๆ ภาพก็พาให้ยิ้มตามไปด้วย


“นายตามฝากมาถามว่าพี่ชายได้รับของขวัญหรือเปล่า” สาวหน้าหวานเอ่ยขึ้น


“ได้แล้ว” เต็มฟ้ากล่าวพลางเลื่อนภาพไปเรื่อย ๆ ทั้งภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ ซึ่งตอนนี้ต่างแยกย้ายพาครอบครัวไปถ่ายภาพตามมุมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย


“แล้วไม่เห็นส่งข่าวให้น้องรู้บ้าง”


“ก็เต็มยังไม่มีเวลา” ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนเซ้าซี้


“จ้ะ พ่อคนไม่มีเวลา นี่จะครบปีแล้วนะที่ไม่กลับบ้าน”


“พี่ชลเลิกบ่นได้แล้วน่า บ่นมาก ๆ อย่างนี้สิถึงไม่มีใครกล้ามาจีบ”


ชลธรมองน้องชายด้วยดวงตาพิฆาตก่อนจะตีที่แขนแกร่งเบา ๆ จากนั้นเธอก็เดินไปฟ้องคุณลุงของเธอที่กำลังนั่งลูบ ๆ คลำ ๆ ปริญญาบัตรของลูกชายพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่โต๊ะ หลังจากถ่ายรูปกับบัณฑิตใหม่จนหนำใจเวลาแห่งการร่ำลาก็มาถึง เต็มฟ้าเดินไปส่งพ่อและพี่สาวที่รถ แม้อยากจะขอร้องให้ทั้งคู่พักด้วยกันต่ออีกสักคืนแต่ก็เข้าใจว่าผู้เป็นพ่อคงจะเป็นห่วงงานที่ไร่ตามที่ชลธรได้บอกให้รู้ว่ามีแม้ม้าไม่แข็งแรงตัวหนึ่งใกล้จะตกลูก


“ชวนพ่อคุยบ้างนะ อย่ามัวแต่หลับ” ผู้เป็นน้องชายกำชับ


หญิงสาวพยักหน้า ไม่ลืมที่จะเตือนน้องชายกลับบ้าง “แล้วก็อย่าลืมโทร.ไปคุยกับน้องบ้างล่ะ”


“รู้แล้ว ๆ” เต็มฟ้าทำเสียงรำคาญก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ผู้เป็นพ่อ


“ขับรถดี ๆ นะพ่อ”


พ่อเลี้ยงตรัยวางมือบนศีรษะลูกชายพร้อมกับโยกเบา ๆ เหมือนที่เคยทำก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ ไม่นานรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อของผู้เป็นพ่อก็ลับตาไป แม้เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นหลายครั้งตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาแต่ทั้งพ่อและลูกชายก็ยังไม่รู้ชินกับมันเสียที


หลังจากลางานไปหลายวันเพื่อเตรียมตัวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร สามหนุ่มก็กลับมาทำงานอีกครั้ง แม้จะเป็นวันเสาร์แต่ก็ยังพบว่ามีหลายคนที่มาทำงานคงเป็นเพราะมีหลายโปรเจ็กต์ที่ต้องปิดก่อนสิ้นเดือน เต็มฟ้าเปิดกล่องเหล็กหยิบดินสอออกมาร่างงานที่ทำค้างไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนลงบนกระดาษพลางนึกนึกถึงคนที่ส่งมันมาให้ ชายหนุ่มตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของเกสต์เฮาส์ซึ่งเดาเอาว่าน้องชายของเขาน่าจะอยู่ที่นั่น เพียงไม่นานก็มีคนรับสายมันเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยดี 


“สวัสดีครับ”


“....”


“สวัสดีครับ แสงจันทร์เกสต์เฮาส์ครับ”


“.....”


“เอ่อ...งั้นผมวางแล้วนะครับ”


“ดะ..เดี๋ยวตาม พี่เอง”


“พี่เต็ม!” คนปลายสายละล่ำละลัก


“พี่ชลไม่อยู่เหรอ” เต็มฟ้ากล่าวเสียงเรียบ


“ไม่อยู่ครับ พี่ชลไปส่งของชำร่วยตั้งแต่เช้าแล้วครับ ตามอยู่กับน้าเดือน แล้วนี่พี่เต็มอยู่ไหนครับ” เสียงฉะฉานยังคงดังมาตามสาย


“พี่อยู่ที่ทำงาน”


“วันเสาร์ยังต้องทำงานอีกเหรอครับ”


“อืม”


“เดี๋ยวพี่ชลมาตามจะบอกให้นะครับว่าพี่เต็มโทร.หา”


เต็มฟ้ารีบปฏิเสธทันทีก่อนจะพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้น้องชายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “พี่ตั้งใจโทร.มาหาตาม จะขอบคุณเรื่องของขวัญ”


พี่ชายขมวดคิ้วเงี่ยหูฟังเมื่อเห็นว่าน้องเงียบไป “ฟังพี่อยู่หรือเปล่า”


“ตะ ตามฟังอยู่ครับ แล้วพี่เต็มชอบหรือเปล่า”


“อื้อ...ขอบใจมากนะ”


แม้จะคุยกันได้เพียงไม่กี่คำเพราะพี่ชายบอกว่าต้องรีบไปทำงานต่อ แต่แค่เพียงประโยคสั้น ๆ นั้นก็ทำให้คนที่ปลายสายยิ้มจนแก้มแทบปริ....

 




...


สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานมาก ๆ

ตั้งใจว่าจะปรับเรื่องเก่าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาเขียนต่อ

แล้วก็มีหลายเรื่องให้ต้องคิดต้องทำเยอะแยะไปหมด เผลอแป๊บเดียวผ่านไปเดือนกว่า

แต่ตอนนี้ก็ปรับเรื่องเก่าเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ


 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 08-06-2014 15:05:09
มาต่อแล้ว ^^

มีตังโผล่มาด้วย :)
ชอบช่วงสุดท้ายที่เต็มโทรหาตาม ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 08-06-2014 15:28:12
กำลังคิดถึงเลยๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 08-06-2014 15:42:53
อร๊ายย พี่ตังขราา //เบลอเม้นท์นี้ไปส์

เขินละซี่ เขินละซี่ ขอบคุณน้องแบบนี้ เขินละซี่ :m12:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 08-06-2014 17:44:55
อ่านกี่ตอนๆก็ไม่รู้สึกว่าจะชอบเต็มขึ้นมาได้ซักที ยิ่งอ่านยิ่งอยาก  :z6: มากมาย
แม้จะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็นะ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ทัศคติของเต็ม
มันก็ทำให้อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยจริงๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-06-2014 18:04:20
กว่าจะคุยกับน้องได้แต่ละทียากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็ยังดีกว่าไม่คุยละน้า...
พระเอกนายเอกช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ทั้งระยะทางและความคืบหน้า
เพื่อนเก้ยังมีภาษีมากกว่าเสียอีก
แต่ก็ยังรอลุ้นอยู่น้า...
ชอบน้องตามทุกตอน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 08-06-2014 18:05:14
หลังจากรอมานานก็ได้อ่านสมใจ
หลงรักน้องตามขึ้นทุกวัน รอวันที่กำแพงในใจพี่เต็มพังครืนลงมา
ขอบคุณคนแต่งครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 08-06-2014 18:12:57
พี่ตังมาแล้วพี่จจ้าหล่ะ คิดถึงงง อิอิ

รู้สึกว่าพี่เต็มเริ่มจะใจอ่อน?ลงกะน้องตามรึเปล่าน๊าาา น้องตามนี่น่ารักนะคิดถึงงพี่เต็มตลอดเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 08-06-2014 18:40:46
ยังไม่ชอบอีหมอเหมือนเดิม
ดีแล้วล่ะ ที่เต็มเริ่มรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง

แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือความใจร้ายของเต็มนะ
ถึงจะเอากล่องเหล็กไปใช้ แต่ก็ควรโทรหาน้องตามโดยไม่ต้องให้ใครมาเตือนสิ

เดี๋ยวเชียร์ให้พี่ปุ่นเลี้ยงต้อยตามซะเลยนิ่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 08-06-2014 19:12:38
อย่าเขิน หรือรู้สึกไม่ดีที่คุยกับน้องเลยนะ
น้องตารักพี่เต็ม พี่ชายคนนี้มากเลยนะ

ปล.จะรักกันยังไงน่าาา อยู่ไกลกันขนาดนี้ :hao4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 08-06-2014 20:28:28
ความสุขเล็กๆของตาม  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-06-2014 20:39:17
สงสารน้องตามที่รอพี่เต็ม
กว่าพี่เต็มจะโทรหา ลุ้นจนเหนื่อย

ปล.  เครื่องชั่ง น่าจะเขียนอย่างนี้หรือป่าว ไม่แน่ใจ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 08-06-2014 21:45:50
คุยกันซะทีพี่น้อง
ปอลิง คิดถึงตัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-06-2014 22:15:25
ลุ้นๆๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-06-2014 22:22:23
 เต็มฟ้า ตามตะวัน รักกัน รักกันน้า กลับมาอยู่บ้านเราน้ารักรออยู่ อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 08-06-2014 22:52:37
หายไปนานเลยนะคะ
อบอุ่นจังค่ะสำหรับตอนนี้ ถึงแม้ว่ามันอาจมีเส้นบางๆกั้นอยู่ระหว่างเต็มกับน้องชายก็ตาม แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเต็มเริ่มรู้สึกดีกับตามแล้ว ด้วยความที่ไม่สนิทด้วยมั่งทำให้ไม่รู้ว่าเต็มจะแสดงความรักออกมากับน้องยังไง เอาใจช่วยคู่นี้นะคะ ส่วนพ่อบุรุษไปรษณีย์น่ารักไม่เบานะเนี่ยมีเขียนแสดงความยินดีให้เต็มด้วย เมื่อไรจะได้เจอกันอีกน้อ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 09-06-2014 02:52:37
อ่านเรื่องนี้แล้วมีหลายความรู้สึกมากเลย ทั้งเศร้า เหงาในส่วนของเต็ม และสงสารตาม

เป็นแนวครอบครัวมาก เข้าใจเต็มนะเรื่องน้องเพราะรักแม่มากทำให้มีความคิดเกี่ยวกับน้องไม่ดี

แต่ชอบเวลาเต็มพยายามเข้าหาน้อง และชอบที่ตามดีใจในสิ่งที่พี่ทำให้ถึงจะไม่ใหญ่โตก็ตาม

แนวคิดจากเรื่องนี้มีเยอะด้วย สุดยอดเลย ตามต่อนะจ้ะว่าคุณบุรุษไปรษณีย์กับเต็มจะมารักกันได้ยังไง o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 09-06-2014 06:52:23
อยากให้เต็มเลิกกะหมอ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 09-06-2014 07:00:56
สองศรีพี่น้องน่ารักเชียว
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 09-06-2014 08:02:49
งืออออ ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจอย่างแรง มันเรื่อยๆไม่หวือหวา แต่เราชอบมาก นุ่นละมุนสุดๆ รักคนแต่งค่ะ
จะติดตามต่อไปนะคะ ตอนนี้เริ่มดีใจแล้วที่เต็มยอมเปิดใจให้น้อง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 09-06-2014 11:39:45
ตอนนี้อ่านแล้วน้ำตาไหลอ่ะ สงสารตาม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 09-06-2014 16:14:30
รอเต็มกลับไปเที่ยวบ้าน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 10-06-2014 15:05:06
รู้สึกไปทุกๆอย่างกับน้องตามเลย เหงา เศร้า คิดถึง ปลื้มใจ รัก ดีใจ
มีแววว่าเต็มจะเลิกกับหมอเร็วๆนี้แล้ว :katai3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-06-2014 18:27:32
ยิ่งอ่านยิ่งสงสารตาม นี่ถ้าจิตใจไม่ดีพอคงกลายเป็นเด็กที่มีปัญหากัยพี่ชายแบบต่างคนต่างอยู่แน่ๆ เต็มนี้ก็ยังไงก็โทรหาน้องบ้าง นาทีสองนาทีคงไม่หนักหนาหรอก
พระนายแต่ละคู่ของคนแต่งกว่าจะได้เจอ ได้รักและได้อยู่ด้วยกันต้องใช้เวลานานมากๆเป็นปีสองปี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 10-06-2014 18:50:29
มาต่อแล้วววว 


เป็นเรื่องที่เราเดาตอนต่อไปหรือตอนจบไม่ออกเลยค่ะ ต้องติดตามอ่านอย่างเดียว

อยากให้เต็มกลับบ้าน  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-06-2014 17:25:12
ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย



พ่อเลี้ยงตรัยลดกระจกลงมองลูกชายคนเล็กที่กำลังเดินถือกระเป๋าเข้าประตูโรงเรียน พลันรอยยิ้มจาง ๆ ของคนเป็นพ่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า การมาส่งลูกในวันแรกของการเปิดเทอมกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วตั้งแต่ตามตะวันโตขึ้นและสามารถมาโรงเรียนเองได้ อดคิดไม่ได้ว่าเวลาสิบสองปีมันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน นอกจากจะเป็นสิบสองปีของการอยู่กันลำพังตามประสาพ่อลูกแล้วยังเป็นสิบสองปีที่เต็มไปด้วยความคิดถึงที่มีต่อภรรยาผู้ล่วงลับและก็จะยังคงคิดถึงเช่นนี้ตลอดไป


เด็กชายร่างเล็กถือกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของอาคารเรียน เช้าวันแรกของการเปิดเทอมมักจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าจะได้เรียนกับเพื่อน ๆ ห้องเดิมบ้างหรือไม่ คุณครูประจำชั้นคนใหม่รวมถึงเพื่อน ๆ จะเป็นอย่างไร ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ราวนกกระจอกแตกรัง หนุ่มน้อยมองหาที่นั่งก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางค่อนมาทางหน้าห้อง นับว่าเป็นโชคดีของเด็กผู้ชายตัวเล็กเช่นเขาที่ยังพอมีที่ว่างด้านหน้าเหลืออยู่จะได้ไม่ต้องคอยชะเง้อคอมองกระดานเหมือนเมื่อเทอมที่ผ่านมา แล้วก็โชคดีเข้าไปใหญ่เมื่อพบว่าคนที่นั่งข้าง ๆ กันก็คือสาวน้อยผมเปียที่เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นป.สี่


“เฮ้ย ๆ นั่นมันไอ้ชื่อยาวที่เทอมก่อนอยู่ห้องสามนี่หว่า” เด็กชายรูปร่างตุ้ยนุ้ยที่ดูท่าทางจะเป็นหัวโจกเอ่ยขึ้น


“เออใช่ ๆ ไอ้นี่ไงที่ทำห้องสามแพ้วิ่งผลัดเมื่องานกีฬาสีปีที่แล้ว”


“แล้วปีนี้ห้องเราจะรอดไหมวะ” เจ้าของแก้มยุ้ยเกาศีรษะแกรกพร้อมกับส่ายหน้าไปมา


คนถูกพาดพิงยังคงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในที่ของเขาในขณะที่บรรดาเด็กผู้ชายที่จับกลุ่มกันอยู่หลังห้องต่างพากันหัวเราะคิกคัก แต่นั่นก็ไม่อาจสร้างความรำคาญใจให้ตามตะวันได้แม้แต่น้อย


วันแรกของการเรียนผ่านไปได้ด้วยดี ลูกชายคนเล็กไม่ลืมที่จะโทร.กลับไปเล่าให้พ่อฟังตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ การเรียนในปีสุดท้ายของในระดับประถมศึกษาของลูกชายไม่สร้างความกังวลให้กับพ่อเลี้ยงตรัยมากนัก นั่นเป็นเพราะตามตะวันเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอดเขาจึงไม่ต้องถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนกวดวิชาเหมือนกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ดังนั้นเด็กชายร่างจึงมีเวลาเล่นสนุกอยู่ในไร่ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำรวมถึงการช่วยงานที่เกสต์เฮาส์บ้างเป็นบางเวลาตามแบบที่เด็ก ๆ ในวัยนี้ควรจะได้ทำ
 


วันหนึ่งในชั่วโมงสุดท้ายซึ่งเป็นชั่วโมงเรียนวิชาภาษาไทย คุณครูสายสมรซึ่งเป็นคุณครูประจำชั้นก้าวเข้ามาในห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง ตาคมดุจดวงตาของนางพญาเหยี่ยวมองลอดแว่นสำรวจนักเรียนแต่ละคนที่หน้าตาดูเหน็ดเหนื่อยหลังจากเรียนกันมาทั้งวันต่างจากตอนที่พบกันในชั่วโมงโฮมรูมเมื่อช่วงเช้าอยู่มาก เธอเป็นสาวใหญ่วัยย่างสี่สิบปีท่าทางใจดีเวลาที่อยู่นอกห้องเรียน แต่เด็ก ๆ ต่างรู้ดีว่าเมื่อถึงชั่วโมงสอนเมื่อเธอจะจริงจังกับการสอนและไม่ใจดีดังเช่นหน้าตา ดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นทางเดินดังใกล้เข้ามา เสียงพูดคุยกันของเหล่านกกระจิบกระจอกก็เงียบลงทันที


“นักเรียนทำความเคารพ”   


สิ้นเสียงหัวหน้าห้องบรรดาเด็กหญิงชายร่วมสี่สิบชีวิตที่นั่งอยู่ในห้องก็พากันเปล่งเสียงสวัสดีขึ้นพร้อมกัน


สายสมรทักทายตอบก่อนจะสั่งให้เด็ก ๆ หยิบสมุดการบ้านและหนังสือแบบเรียนขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มสอนในเรื่องที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนจนกระทั่งสัญญาณเตือนหมดชั่วโมงดังขึ้น


“เอาละจ้ะ วันนี้เราได้รู้แล้วว่าองค์ประกอบของการเขียนความเรียงมีอะไรบ้าง และเนื่องจากเดือนหน้าโรงเรียนของเราจะจัดกิจกรรมวันแม่ ครูก็เลยจะให้นักเรียนเขียนเรียงความเกี่ยวกับแม่ส่งเข้าประกวดจ้ะ แล้วครูก็จะเอาคะแนนจากเรียงความนี่แหละมาเป็นคะแนนเก็บด้วยเพราะฉะนั้นพวกเธอต้องตั้งใจให้มาก ๆ”


คุณครูสายสมรยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงบ่นงึมงำดังขึ้นจากด้านหลังห้องจนต้องปรามกันด้วยดวงตาพญาเหยี่ยว


“เอาละ ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ครูรู้ว่าพวกเธออยากเขียนมาก” เธอเน้นเสียงสูงที่ทำว่า ‘มาก’ จนเด็ก ๆ พากันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นกลับไปเขียนมาคนละหนึ่งหน้ากระดาษสมุด เช้าวันพุธหน้าให้หัวหน้ารวบรวมเอาไปส่งไว้บนโต๊ะครูในห้องหมวดภาษาไทยนะคะ ครูจะตรวจให้ก่อนแล้วจะคืนให้ในชั่วโมง เราจะมาโหวตกันว่าจะส่งเรียงความของใครเข้าประกวด ใครส่งตรงเวลาครูจะบวกให้ห้าคะแนนแต่ถ้าใครไม่ส่งละก็ครูจะหักวันละห้าคะแนนเหมือนกัน”


การบ้านของคุณครูสายสมรได้สร้างความหนักใจให้กับเด็ก ๆ ไม่น้อย โดยเฉพาะเด็กชายที่นั่งเงียบอยู่ที่กลางห้อง


ผ่านมา 2-3 วันแล้วหลังจากได้รับการบ้านจากครูประจำชั้น แต่ตามตะวันก็ยังคงนั่งทอดถอนใจจ้องมองหน้ากระดาษสมุดการบ้านที่ยังคงว่างเปล่าในขณะที่เพื่อน ๆ หลายคนเริ่มคุยกันเรื่องเรียงความของตนเองที่เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว


“ยังเขียนไม่เสร็จเหรอตาม” เด็กหญิงผมเปียหันมาถามเด็กชายที่นั่งข้าง ๆ กัน


“ยังเลย เราไม่รู้จะเขียนอะไร” ตามตะวันทำหน้ามุ่ยพลางพาดคางลงกับโต๊ะท่าทางท้อแท้


เด็กพยักหน้าอย่าเข้าใจ เธอรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น “อืม...ทำไมไม่ลองให้พ่อ น้าเดือน หรือพี่ชายเล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่ให้ฟังล่ะ”
ตามตะวันนิ่งคิด ที่ผ่านมาแทบจะไม่มีใครพูดถึงแม่ให้เขาฟังเลย ที่คิดว่าแม่น่าจะเป็นผู้หญิงใจดีก็เพียงเพราะเห็นจากภาพถ่ายเท่านั้น การจะให้ไปเที่ยวถามเอาจากคนในครอบครัวก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ หนุ่มน้อยถอนหายใจเบา ๆ พลางจรดปลายปากกาลงบนกระดาษตั้งใจจะเขียนในแบบที่ตนเองรู้สึกได้ก็แล้วกัน


“เฮ้ย! ไม่มีแม่แล้วเขียนได้เหรอวะไอ้ชื่อยาว”


เสียงที่ดังขึ้นจากหลังห้องทำเอามือเล็กกำปากกาแน่น ตัวหนังสือตัวสุดท้ายที่กำลังเขียนถูกลงน้ำหนักเสียจนกระดาษแทบทะลุ ตามตะวันยังคงนั่งนิ่งในขณะที่บรรดาเพื่อนสนิทต่างก็มองเขาอย่างเป็นห่วงก่อนจะพากันส่งสายตาพิฆาตไปยังเดกชายร่างตุ้ยนุ้ยที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หลังห้อง


“ไอ้หมูอ้วน เงียบปากไปเลยนะ” สาวน้อยผมเปียกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


“อะไรยัยผมเปีย เธอเกี่ยวอะไรด้วย ฉันพูดกับไอ้ชื่อยาวต่างหาก”


เด็กหญิงค้อนขวับก่อนจะหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ กัน “อย่าไปสนใจมันเลยตาม ไอ้หมูอ้วนมันปากไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพื่อนห้องเดิมไม่มีใครชอบมันหรอก”


“ไหน ๆ ดูหน่อยสิเขียนว่าอะไรบ้าง”


อยู่ ๆ สมุดที่วางอยู่ตรงหน้าก็ถูกใครคนหนึ่งดึงให้ลอยขึ้น


“เอาสมุดของเราคืนมา” ตามตะวันโวยวายพร้อมกับลุกขึ้นคว้าสมุดการบ้านของตัวเองแต่ก็ช้าไป เพราะมันถูกโยนมือต่อมือจนกระทั่งไปอยู่ตรงหน้าของเด็กชายตุ้ยนุ้ยซึ่งนั่งเต๊ะท่าอยู่หลังห้อง


เจ้าของแก้มยุ้ยไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่เพิ่งจะเขียนได้ไม่ถึงบรรทัด “แม่ของผมเป็นคนสวย....”


“เอาคืนมา” เด็กชายร่างเล็กกล่าวขึ้นเป็นครั้งที่สอง


“แกไม่มีแม่แล้วแกรู้ได้ยังไงวะว่าแม่แกสวย” สิ้นเสียงลูกพี่บรรดาลูกกะจ๊อกก็พากันหัวเราะร่วนจนน่าหมั่นไส้


“เราเคยเห็นในรูป” ตามตะวันตอบซื่อ ๆ


“นี่! ไอ้หมูอ้วน! แกเอาสมุดของตามคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเราจะฟ้องคุณครูสายสมร”


“ไปฟ้องเลย จ้างให้ก็ไม่กลัวหรอก แบร่!!!! ยัยเปียขี้เหร่” คนพูดทำแลบลิ้นปลิ้นตา


“เอาของเราคืนมาเถอะ” เด็กชายเจ้าของสมุดขอร้อง แต่คำขอร้องของเขาก็ไม่เป็นผล เด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยยังคงอ่านอ่านข้อความนั้นต่อไปอีก


“ในความคิดของผมแม่เป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลก...”


“หยุดอ่านได้แล้ว แล้วก็เอาสมุดของเราคืนมาสักที” ตามตะวันกำมือแน่นก่อนจะเดินตรงไปยังหลังห้องทันที น้ำเสียงแข็งกร้าวและแววตาดุดันไม่ได้ทำให้คนตั้งใจแกล้งรู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย


“เฮ้ย ๆ หมูอ้วน ไอ้ชื่อยาวมันโกรธแล้วว่ะ” กองหนุนพากันโห่ร้องเกรียวกราวยิ่งทำให้หัวโจกได้ใจ


เด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยปิดสมุดลงพลางหัวเราะชอบใจ “โกรธจนหน้าแดงเลยโว้ย”


“เอาของเราคืนมาเถอะ” เจ้าของสมุดพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแม้ในใจจะกรุ่นไปด้วยไฟแห่งความโกรธก็ตาม


“ไม่ให้ มีอะไรไหม ไอ้คน...ไม่...มี...แม่” คนพูดทำลอยหน้าลอยตาจนน่าหมั่นไส้


ตามตะวันจ้องหน้าเด็กชายที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองตาเขม็ง มือที่กำแน่นค่อย ๆ คลายออกเปลี่ยนไปจับคอเสื้อคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
“ทำไมวะ แกจะทำไม จะต่อยฉันเหรอ แกกล้าเหรอไอ้เด็กไม่มี...” ยังพูดไมทันจบหมัดเล็ก ๆ ก็อัดเข้าที่แก้มยุ้ยเต็มแรง จากนั้นการตะลุมบอนระหว่างเด็กชายอ้วนผอมก็เกิดขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อน ๆ ....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-06-2014 17:28:20
เสียงครืดคราดของโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะทำงานทำให้เต็มฟ้าต้องละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทร.มา


“ไงพี่ชล โทร.มาเสียดึกเชียว”


“เต็มอยู่ไหนน่ะ” ชลธรกรอกเสียงมาตามสายอย่างไม่รีรอ


“อยู่ที่ทำงาน มีอะไรหรือเปล่า”


“เสาร์อาทิตย์นี้เต็มกลับบ้านหน่อยได้ไหม”


“มีอะไรเหรอ”


“วันจันทร์พี่อยากให้เต็มไปโรงเรียนกับนายตามหน่อยน่ะ”


“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เต็มฟ้าถามด้วยความแปลกใจ


“คือ.....” ชลธรเงียบไปครู่หนึ่ง อันที่จริงตั้งใจว่าจะเล่าให้น้องชายฟังเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน แต่ถ้าไม่ยอมบอกรายละเอียดให้รู้คนดื้อย่างเต็มฟ้าคงไม่ยอมกลับไปตามที่ร้องขอแน่ ๆ ดังนั้นพี่สาวคนโตจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง


“ตามได้บอกพี่ชลไหมว่าทำไมถึงไปชกต่อยกับเพื่อนแบบนั้น”


“ไม่นะ พี่ถามก็เอาแต่เงียบ ที่พี่รู้ก็เพราะคุณครูเขาโทร.มาที่บ้าน เขาเชิญผู้ปกครองของเด็กสองคนไปพบ นี่โชคดีนะที่เขาติดต่อลุงตรัยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลุงตรัยคงต้องโกรธตามมาก ๆ แน่”


“แล้วนี่พ่อไม่อยู่เหรอ”


“ลุงตรัยพาแม่พี่กับเพื่อนไปดูที่ที่เชียงรายกว่าจะกลับก็วันอังคาร พี่ก็คิดว่าเต็มน่าจะเหมาะที่สุดเพราะเต็มเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนายตาม อีกอย่างวันจันทร์พี่ต้องเอาของไปส่งให้เพื่อนที่ลำพูนตั้งแต่เช้าแล้วก็ต้องไปส่งของต่ออีกหลายที่เพราะช่วงนี้คนงานลาออกเยอะเราก็เลยผลิตไม่ทัน”


“ไม่เป็นไรพี่ชล เดี๋ยวเต็มไปเอง”


“แล้วนี่เต็มจะมาพรุ่งนี้เลยไหม”


“อืม...คงไม่ได้หรอก พอดีเต็มมีงานหลายชิ้นที่ต้องปิดให้ได้ในเสาร์อาทิตย์นี้น่ะ เอาเป็นว่าเช้าวันจันทร์เจอที่บ้านเลยก็แล้วกัน” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะวางสาย


 ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ  คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันแต่ก็พอมองออกว่าตามตะวันเป็นเด็กหัวอ่อน  ยังนึกสาเหตุไม่ออกเลยว่าทำไมน้องชายคนเล็กถึงได้ก่อเรื่องชกต่อยกับเพื่อนเช่นนี้


......


ตามตะวันตื่นแต่เช้าหรืออาจะเรียกว่าแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ เรื่องชกต่อยที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารวมถึงการที่คุณครูประจำชั้นโทรศัพท์มาเชิญผู้ปกครองไปพบยิ่งทำให้เขาถึงกับนอนไม่หลับ ทันทีที่ถือกระเป๋านักเรียนออกมาจากห้องเด็กชายร่างเล็กก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าพี่ชายกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่ก็คาดเดาได้ว่าเขาคงจะรับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากปากของพี่สาวคนโตจนหมดสิ้นแล้ว เด็กชายวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นพี่และนั่งลงรับประทานอาหารเช้าเงียบ ๆ
เต็มฟ้ามองสำรวจดวงหน้าที่ดูไม่ค่อยสดชื่นนักของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นรอยช้ำเล็ก ๆ ที่มุมปาก ส่วนที่แขนยังคงปรากฏร่องรอยฟกช้ำจาง ๆ เมื่อประมาณด้วยสายตาแล้วก็ชวนให้คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่น่าดูน้องชายถึงได้แผลขนาดนี้


“ถ้าอิ่มแล้วก็ตามมานะ พี่รอที่หน้าบ้าน” พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินจากไปเงียบ ๆ จนตามตะวันนึกประหวั่นในใจ คิดไปต่าง ๆ นานาว่าพี่ชายจะโกรธที่ตนเองทำแบบนั้นลงไปหรือไม่


เพียงไม่นานหนุ่มน้อยก็เดินตามออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่มอเตอร์ไซค์คลาสิคเข้ามาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ ตามตะวันยกมือไหว้คนที่เพิ่งมาถึง ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็มองอีกฝ่ายที่ไม่ได้พบกันเสียนานอย่างแปลกใจไม่คิดว่าจะเจอเขาตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้


“จะไปไหนกันสองพี่น้อง” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


“กำลังจะไปโรงเรียนครับ” ตามตะวันตอบในขณะที่พี่ชายของเขายังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าและแววตาไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกยินดียินร้ายใด ๆ


“แล้วจะไปยังไงกัน ให้พี่ไปส่งไหม”


“งานการไม่ทำหรือไง”

เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียง คำถามนั้นยังฟังยียวนกวนประสาทเหมือนเดิม
   

“วันนี้ลาพักร้อนน่ะ ว่าจะแวะมากินข้าวก่อนค่อยไปทำธุระ จะให้ไปส่งไหม”
   

“ไม่เป็นไร” เต็มฟ้าตอบเสียงเรียบก่อนจะหันไปเตือนน้องชายให้รีบออกเดินทาง
   

“ถ้าอย่างนั้นเอามอเตอร์ไซค์พี่ไปสิ” เจ้าของใบหน้าระบายยิ้มกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจให้
   

อดีตเจ้าของรถมองกุญแจในมือของคนตรงหน้าอย่างลังเลก่อนจะรับมันมาในที่สุด “เดี๋ยวเอามาคืนนะ”
   

ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะหันไปส่งสายตาให้กำลังใจหนุ่มน้อยที่กำลังเดินหน้าจ๋อยตามพี่ชายไปติด ๆ นึกถึงภาพของเด็กชายใบหน้าช้ำบวมเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่มายืนรออยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์แล้วยังตกใจไม่หาย ตาคมมองดูสองพี่น้องที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปแม้ในใจจะนึกเป็นห่วงแต่ก็ภาวนาขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี


......   
   

ตามตะวันมองแผ่นหลังกว้างของพี่ชายขณะที่มอเตอร์ไซค์คลาสิคกำลังพุ่งทะยานพาทั้งสองคนเลาะไปตามคนแคบ ๆ ขนานกับลำน้ำวัง สายลมเย็น ๆ พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ ปะทะเข้ากับปลายจมูกจนแทบอยากจะแนบแก้มลงพักกับแผ่นหลังของคนตรงหน้า


“บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงไปชกต่อยกับเพื่อน”


น้ำเสียงราบเรียบของพี่ชายที่ดังแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงของเครื่องยนต์ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที หนุ่มน้อยนั่งนิ่งมือกำชายเสื้อของพี่ชายจนแน่น


“ได้ยินที่พี่ถามหรือเปล่า” เจ้าของคำถามเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเหลียวมองคนที่นั่งซ้อนท้าย


"มะ...หมูอ้วนบอกว่าตามเป็นไอ้เด็กไม่มีแม่"


คำตอบที่หลุดออกจากปากของน้องทำให้เอาพี่ชายอย่างเต็มฟ้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก



ไม่นานชายหนุ่มก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดในโรงเรียน ก่อนจะตรงไปยังห้องฝ่ายปกครองตามที่ชลธรได้บอกเอาไว้ ที่นั่นเขาพบกับอาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครอง คุณครูสายสมรและผู้ปกครองของเด็กชายตัวอ้วนซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคู่กรณี ดูจากสภาพหน้าตาของอีกฝ่ายก็สาหัสไม่แพ้กันหรือดูจะสาหัสกว่าเสียด้วยซ้ำ เต็มฟ้าและตามตะวันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนในห้องก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ


“คุณคือผู้ปกครองของตามตะวันอย่างนั้นเหรอครับ” ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น


“ครับ ผมเต็มฟ้า ตติยพัฒน์เป็นพี่ชายของตามตะวัน”


อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองพยักหน้ารับทราบก่อนจะชี้แจงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ซึ่งหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เต็มฟ้าก็รู้ได้ทันทีว่าน้องชายของเขาผิดเต็มประตูที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอโทษผู้ปกครองของเด็กชายตุ้ยนุ้ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


“อันที่จริงผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ก็อยากจะให้ไกล่เกลี่ย”


“ดิฉันก็ไม่ติดใจเอาความอะไรหรอกค่ะอาจารย์ เท่าที่ฟังลูกชายของดิฉันก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่พูดจาไม่ดีแบบนั้น” หญิงร่างท้วมกล่าวพร้อมกับมองลูกชายตนเองอย่างคาดโทษ “แม่ไม่เคยสอนให้ลูกพูดจาไม่ดีกับคนอื่นโดยเฉพาะกับเพื่อนนะหมูอ้วน ลูกควรจะขอโทษเพื่อนนะ”


เจ้าของแก้มยุ้ยที่นั่งก้มหน้างุดค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่อย่างหวาดกลัวก่อนจะหันมาสบตาคู่กรณีก่อนจะกล่าว
“ระ...เรา...เราขอโทษนะตาม”


เต็มฟ้ามองเด็กชายผิวขาวเจ้าของพวงแก้มยุ้ย ๆ ตรงหน้า แววตาของเขาแสดงให้รู้ว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อสักครู่มันถูกส่งผ่านออกมาจากใจไม่ใช่สมองอย่างแน่นอน ตาคมค่อย ๆ กดต่ำลงมองคนที่นั่งข้าง ๆ กันซึ่งยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ มือเล็ก ๆ กำแน่นวางบนหน้าขา จ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง


“ตาม เพื่อนขอโทษน่ะ” เสียงและสัมผัสอ่อนโยนของพี่ชายเรียกสติของตามตะวันคืนมาอีกครั้ง มือหนาที่วางลงบนบ่าค่อย ๆ เปลี่ยนแววตาแข็งกร้าวให้กลับมาเป็นแววตาสดใสอีกครั้ง หนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชายก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนที่กำลังรอการให้อภัยจากเขาเช่นกัน


“ไม่เป็นไร เราก็ต้องขอโทษหมูอ้วนเหมือนกันนะ”


รอยยิ้มยิ้มที่เด็กชายสองคนมอบให้แก่กันทำให้บรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในห้องต่างก็คลายความกังวลลงไม่น้อย อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองแจ้งว่าจะไม่มีการทำทัณฑ์บนใด ๆ เนื่องจากเด็กทั้งสองต่างก็มีความประพฤติดีมาโดยตลอด ครั้งนี้จึงเป็นเพียงการเชิญมาเพื่อปรับความเข้าใจกันเท่านั้น


เต็มฟ้าเดินออกจากห้องฝ่ายปกครองไปที่ยังที่จอดรถโดยมีน้องชายเดินตามไปส่ง


“พะ..พี่เต็มโกรธตามหรือเปล่า ตามขอโทษนะครับ”


ผู้เป็นพี่ชายหันมากลับมาส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบก่อนจะขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์เตรียมจะสตาร์ท “ทีหลังอย่าทำอีกก็แล้วกัน”


น้องชายรับคำหนักแน่นพร้อมกับสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกก่อนจะถามคำถามหนึ่งที่อยากจะถามผู้เป็นพี่ตั้งแต่ออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง


“พี่เต็มจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้เลยหรือเปล่าครับ”


“ยังหรอก” พี่ชายตอบเสียงเรียบก่อนจะสตาร์ทรถ “เย็นนี้รอที่โรงเรียนนะเดี๋ยวพี่มารับ”


เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจแฟบ ๆ ของน้องชายกลับพองฟูขึ้นอีกครั้ง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-06-2014 17:32:26
เต็มฟ้าขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่เกสต์เฮาส์อีกในตอนสายแต่ก็ไม่พบศิธาพัฒน์แล้ว เมื่อไปที่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์ก็พบว่าประตูรั้วถูกล่ามโซ่เอาไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ที่หน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอในบ้านของลุงเดชและป้าบัว ถือโอกาสแวะเยี่ยมนังหนูแรมโบ้ที่ไม่ได้เจอกันเสียนานเดาเอาว่าป่านนี้คงโตเป็นสาวแล้ว


เมื่อเข้าไปในบ้านชายหนุ่มก็พบเพียงภรรยาเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งคัดผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาจากในสวนก่อนจะนำไปฝากขายที่ตลาด ป้าบัวบอกว่าลุงเดชไปดูไก่ชนตัวใหม่ของเพื่อนซึ่งอยู่ต่างอำเภอตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับก็คงบ่ายคล้อย เพราะรายนั้นลองได้คุยเรื่องไก่ก็แทบจะลืมกินข้าวกินปลาเลยทีเดียว


ชายหนุ่มนั่งคุยกับหญิงวัยกลางคนไปเรื่อย ๆ พร้อมกับมองที่นอกรั้วไปด้วยรอว่าเมื่อไรเจ้าของบ้านข้าง ๆ จะกลับมาเสียที พลันที่เท้าก็รู้สึกอะไรหนัก ๆ ที่กดลงมา เมื่อก้มลงไปมองก็พบเจ้าลูกสุนัขสีดำขาวตัวอ้วนกลมกำลังนอนหลับตาพริ้มพาดอยู่บนเท้าของตนเอง เต็มฟ้ากดยิ้มที่มุมปากก่อนจะค่อย ๆ อุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมามองหน้ามันให้ชัด ๆ


“ลูกใครเนี่ย” ชายหนุ่มกล่าวพลางวางเจ้าขนปุยลงบนตักพร้อมกับใช้มือลูบเบา ๆ


“ลูกนังแรมโบ้มันน่ะ” ป้าบัวกล่าวพลางวางผลไม้ลงในตะกร้า “แม่มันโดนรถชนตายไปเมื่อเดือนก่อน ออกมาห้าใครมาใครก็ขอเอาไปเลี้ยง ลุงเขาก็ให้ไปเพราะกลัวว่าเดี๋ยวโตขึ้นมันจะรุมกัดไก่ชนจนหมด เหลือมันอยู่ตัวเดียวนี่แหละ เพราะว่าเป็นตัวเมียเลยไม่มีใครอยากได้”


“น่าสงสารมันนะป้า” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองลูกสุนัขที่กำลังพยายามขยับตัวตัวลุกขึ้นนั่ง “ตื่นแล้วเหรอสาวน้อย” พูดจบมือเรียวก็ค่อย ๆ ยกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะหินอ่อน


“เต็มเอาไปเลี้ยงไหมล่ะ ป้ายกให้”


“อืม...” คนถูกถามทำท่าลังเลจนในที่สุดเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


“ชอบก็เอาไปเลี้ยงสิ ป้าบัวอุตส่าห์ยกให้แล้ว”


เต็มฟ้าหันไปสบตาร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาก่อนจะมองเจ้าหมาน้อยที่กำลังนั่งกระดิกหางด้วยความดีใจราวกับคุ้นเคยกันดีกับคนที่เพิ่งมาถึง


“คิดนานจัง” ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมกับนั่งลงที่ม้านั่งตัวข้าง ๆ


“ไม่เอาดีกว่าครับป้า”


ชายหนุ่มนั่งมองเจ้าหมาน้อยที่กำลังอ้าปากงับนิ้วหนาของคนที่นั่งใกล้ ๆ กัน เมื่อเห็นว่าออกจากบ้านมานานแล้วจึงลาป้าบัวกลับ


“ไม่เอาไปเลี้ยงจริง ๆ น่ะเหรอ” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มที่เดินอุ้มลูกสุนัขตามมาเอ่ยขึ้น


“ไม่เอาหรอก พ่อกับน้าเดือนคงไม่ให้เลี้ยง”


“ทำไมล่ะ”


“ตามร่างกายอ่อนแอ เจออะไรแปลกปลอมก็แพ้ไปหมด”


ศิธาพัฒน์พยักหน้า นึกไม่ถึงว่าคนที่ทำท่าเฉยชาเวลาอยู่ต่อหน้าน้องจริง ๆ แล้วก็ใส่ใจในรายละเอียดและเป็นห่วงน้องอยู่เหมือนกัน


“พี่เลี้ยงให้ไหม เพราะถ้าไม่มีใครเอาไปเลี้ยงอีกหน่อยมันก็คงถูกรถชนตายเหมือนกับแม่ของมัน หรือไม่อย่างนั้นลุงเดชแกคงเอาไปปล่อยเพราะแกห่วงไก่ชนของแกมากกว่า แต่เต็มต้องสัญญาว่าจะมาเยี่ยมมันบ้าง”


“เอาสิ” เต็มฟ้าตอบก่อนจะเอื้อมมือลูบหัวเจ้าหมาน้อยเบา ๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งชื่อให้มันก่อน”


“อืม...” เต็มฟ้าทำท่านึกก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “มันมีพี่น้องทั้งหมดห้าตัว ถ้าอย่างนั้นชื่อว่าอลิซาเบธมิเชลสเตฟานี่ที่ห้าก็แล้วกัน”


“นี่ตัวเดียวใช่ไหม”


“ใช่”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนฟังก็ถึงกับหน้าเบ้ “ยาวไป”


“อ้าวเหรอ” เต็มฟ้าหัวเราะ “ชื่อมันยาวไปหน่อแต่แกชอบใช่ไหมเจ้าหนู” พูดจบมือเรียวก็กดหัวเจ้าตัวปุกปุยให้พยักหน้า
   

“นั่นไง มันบอกว่ามันชอบ”


“เต็ม....” ศิธาพัฒน์ลากเสียงเมื่อเห็นว่า ‘ไอ้เด็กบ้า’ เริ่มพูดจาเลอะเทอะไปกันใหญ่


“ก็ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นชื่อแข็งแรงก็แล้วกัน มันจะได้แข็งแรงสมชื่อ”


“อืม...ก็ดีนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางชูเจ้าหมาน้อยขึ้นในอากาศ “แกชอบชื่อนี้ไหมนังหนู” เมื่อสิ้นเสียงชายหนุ่มเจ้าลูกสุนัขก็เห่าเสียงดังพร้อมกับกระดิกหางดุ๊กดิ๊กราวกับมันเข้าใจในสิ่งที่เขาถาม


สองหนุ่มเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์คลาสิคซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ศิธาพัฒน์ค่อย ๆ วางลูกสุนัขขนปุยลงในตะกร้ารถก่อนจะรับกุญแจที่อีกฝ่ายยื่นให้


“จะกลับเลยไหม พี่จะไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กลับเองได้”


เมื่อเห็นว่าเต็มฟ้าต้องการเช่นนั้น ศิธาพัฒน์จึงไม่อยากจะขัด ดังนั้นเขาจึงเดินไปยืนรอส่งชายหนุ่มขึ้นรถก่อนจะเปิดประตูและจูงมอเตอร์ไซค์เข้าไปเก็บในบ้าน


เย็นวันนั้นเต็มฟ้าไปรับน้องชายที่โรงเรียนตามที่ได้บอกเอาไว้ เมื่อกลับถึงบ้านเด็กชายตามตะวันอาบน้ำอาบท่ากินข้าวตนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการทำการบ้านมหาศาลอยู่ภายในห้องนั่งเล่น โดยมีพี่ชายนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาเงียบ ๆ อยู่ที่โซฟา ที่เงียบก็เป็นเพราะว่าเต็มฟ้าหรี่เสียงมันลงจนกระทั่งแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั่นเอง


“พี่เต็มจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนฮะ” น้องชายเอ่ยขึ้นพลางมองดูหน้าจอทีวีที่ถูกเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย


“พรุ่งนี้เย็น ๆ มั้ง มีอะไรหรือเปล่า”


เด็กชายร่างเล็กส่ายหน้าก่อนจะลงมือทำการบ้านต่อเงียบ ๆ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย สมุดยับยู่ยี่เล่มหนึ่งก็ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า ตามตะวันพลิกเปิดไปยังหน้าที่เขียนค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ที่หัวกระดาษมีข้อความสั้น ๆ เขียนว่า ‘แม่ของฉัน’ ถัดลงมาคือเนื้อหาของเรียงความที่ยังเขียนไปได้ไม่ถึงไหนก็มีเหตุให้ชกต่อยกับเพื่อนเสียก่อน หนุ่มน้อยจดปลายปากกาลงบนกระดาษอีกครั้งในที่สุดข้อความก็เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งเต็มหน้ากระดาษ

....


เต็มฟ้าลุกออกไปยืนคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ๆ ที่โทร.มาถามข่าวที่หน้าบ้านได้พักใหญ่ ๆ กว่าจะกลับเข้ามายังห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็เกือบสองทุ่ม เมื่อไม่เห็นน้องชายก็เดาเอาว่าเขาคงเข้านอนไปแล้วตั้งแต่ทำการบ้านเสร็จ สมุดหนังสือที่จะต้องให้เรียนในวันพรุ่งนี้ถูกจัดลงในกระเป๋าเรียบร้อยในขณะที่หนังสือแบบเรียนและสมุดการบ้านบางส่วนถูกวางเรียงไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือย่างเป็นระเบียบ


ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือของน้องชายพลางกวาดตามองข้าวของที่อยู่บนโต๊ะพลันสายตาก็มาสะดุดเข้ากับสมุดยับ ๆ เล่มหนึ่ง เต็มฟ้าเอื้อมมือหยิบสมุดเล่มนั้นมาวางตรงหน้าก่อนจะพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าสุดท้าย


แม่ของผมเป็นคนสวย ในความคิดของผมแม่เป็นผู้หญิงที่ใจดีที่สุดในโลก ถึงผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่จริง ๆ เลยสักครั้ง แต่ผมก็รักแม่มาก ๆ ผมเคยนึกอิจฉาคนอื่นที่เขาได้เดินจับมือกับแม่ ได้กอดแม่ของเขาแน่น ๆ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกเวลาที่มีแม่อยู่ข้าง ๆ มันจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าคงจะมีความสุขมาก ๆ .....


อ่านมาได้เพียงไม่ถึงครึ่งหน้ากระดาษเต็มฟ้าก็จำต้องปิดสมุดลงเพราะม่านน้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าเลือนลางไปหมด ชายหนุ่มวางสมุดเล่มนั้นเอาไว้ที่เดิมก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา นัยน์ตาที่เจือด้วยแววแห่งความเศร้าหมองทอดมองไปยังเพดานที่มีเพียงพัดลมทรงโบราณที่กำลังหมุนเอื่อย ๆ ในที่สุดภาพของแม่ที่ไม่เคยถูกลบออกไปจากความทรงจำจะปรากฏชัดเจนขึ้นอีกครั้ง


เต็มฟ้าลืมตาตื่นขึ้นในตอนบ่ายของวันถัดมานั่นเป็นเพราะเรื่องที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวทำให้เพิ่งมาผล็อยหลับไปเมื่อตอนฟ้าสาง  ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวอาบน้ำอาบท่าจัดข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ


“พี่แวะไปจองตั๋วมาให้แล้วนะเต็ม” ชลธรกล่าวขณะยกจานอาหารมาวางตรงหน้าน้องชายที่กำลังอ้าปากหาว


“ขอบคุณครับ” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“เมื่อวานกว่าพี่จะกลับมาก็เกือบสามทุ่ม เห็นปิดไฟนอนกันหมดแล้วเลยไม่ได้ถามเลยว่าโรงเรียนเขาว่ายังไงบ้าง”


“คุณแม่น้องหมูอ้วนเขาก็ไม่ได้เอาความอะไร”


“อืม...ก็ดีแล้ว เกิดเอาความขึ้นมาสงสัยเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินไปยังเคาท์เตอร์เมื่อเห็นว่าแขกกลุ่มใหม่กำลังเดินผ่านประตูรั้วเข้ามา


เต็มฟ้ามองดูพี่สาวกำลังพูดคุยกับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวที่ตั้งใจตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเธอจะเรียนการโรงแรมเพื่อจะเข้าทำงานในโรงแรมที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายหลังจากพ่อเสียชีวิตลงเธอก็ต้องกลับมาช่วยแม่บริหารงานเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ ซึ่งเป็นกิจการที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้แทน ซ้ำยังต้องช่วยดูแลโรงงานเซรามิคของที่ท้ายไร่แสงดาวแทนเขาอีกด้วย ร่างเล็กที่ดูบอบบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรกลับดูซูบผอมลงผิดหูผิดตาถึงแม้เธอจะบอกว่ามันเป็นหุ่นมาตรฐานของนางแบบดัง ๆ ก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นก็คงเพราะต้องวิ่งรอกทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรวบช้อนจากนั้นก็หายกลับเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตลอดบ่าย


เสียงหัวเราะคิกคักของน้องชายทำให้เต็มฟ้าปรือตาขึ้น ชายหนุ่มรีบยันตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯในเย็นวันนี้ นาฬิกาติดฝาผนังบอกเวลาห้าโมงเย็น เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงเขาจึงอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะสะพายเป้ออกไปจากห้อง ภาพที่เห็นคือน้องชายของเขากำลังอุ้มเจ้าลูกสุนัขขนฟูสีขาวดำเอาไว้แนบอกโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวเชื้อโรคที่จะติดมากับเจ้าหมาน้อยเลยสักนิด


“ตาม ทำไมอุ้มมันแบบนั้น” เสียงพี่ชายที่ดังขึ้นทำให้หนุ่มน้อยต้องรีบส่งเจ้าลูกสุนัขคืนให้เจ้าของทันที


“พี่อาบน้ำมันมาอย่างดีเลยนะ รับรองสะอาดแน่ เนอะนังหนูเนอะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางวางเจ้าขนปุยลงกับพื้น


“วางใจได้ที่ไหน เมื่อตอนเด็ก ๆ อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะแพ้ก็แพ้จนพ่อต้องพาไปโรงพยาบาลทุกที” พี่ชายกล่าวก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ม้านั่ง


“ตามไม่เป็นไรหรอกครับพี่เต็ม ก่อนพี่เต็มจะออกมาตามก็เล่นกับเจ้าแข็งแรงอยู่ตั้งนาน” หนุ่มน้อยกล่าวก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่ม ๆ อย่างเบามือ “เอาไว้ตามจะพามันไปวิ่งเล่นที่ไร่นะครับพี่ปุ่น”


“ได้สิ” ศิธาพัฒน์ตอบยิ้ม ๆ พลางมองนาฬิกาข้อมือจากนั้นก็หันไปถามคนที่กำลังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ


“จะไปแล้วเหรอ”


“อีกสักพักน่ะ รถเพิ่งออกจากเชียงใหม่”


“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่สถานีก็แล้วกัน”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนงานไปส่งก็ได้” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองไปรอบ ๆ พบว่าคนงานที่ไม่ได้อยู่ประจำเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมดแล้วในขณะที่ศิธาพัฒน์เองได้แต่ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจให้กับความดื้อดึงของอีกฝ่าย


ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทุกขณะ ทำให้เต็มฟ้าที่กำลังนั่งทอดอารมณ์มองสายน้ำในลำน้ำวังที่กำลังไหลเอื่อย ๆ อยู่ที่ท่าน้ำต้องก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าจวนได้เวลารถไฟมาถึงสถานีนครลำปางชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินกลับเข้าหยิบเป้ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสะพายก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน พบว่าพนักงานไปรษณีย์หนุ่มยังคงนั่งอยู่ที่ม้านั่งโดยมีน้องชายของเขานั่งอยู่เป็นเพื่อนกัน บนตักของหนุ่มน้อยคือเจ้าลูกสุนัขขนปุยที่กำลังนอนหลับตาพริ้มหลังจากกินข้าวจนพุงกางไปตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า


“จะไปแล้วใช่ไหม” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


เต็มฟ้าได้แต่พียงพยักหน้าก่อนจะหันไปมองน้องชายที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน


“ฝากบอกพี่ชลด้วยนะว่าพี่ไปแล้ว”


“ครับ” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับค่อย ๆ วางเจ้าหมาน้อยที่กำลังหลับลงกับพื้น


“แล้วพี่เต็มจะมาอีกเมื่อไรฮะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน” เต็มฟ้าตอบตามความจริง


“ตามอยากไปส่งพี่เต็ม” ตามตะวันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนพลางมองร่างสูงตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ


“ไม่ต้องไปหรอก ค่ำแล้ว รีบอาบน้ำทำการบ้านเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะหันหลังให้เจ้าของดวงตาหม่นเศร้า





“เป็นเด็กดีล่ะ อย่าทำให้พี่ชลต้องปวดหัวอีก”

เสียงนั้นลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่พี่ชายจะเดินพ้นประตูไป


ศิธาพัฒน์เอื้อมมือวางบนศีรษะของเด็กชายร่างเล็กก่อนจะโยกเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ จากนั้นเขาก็เดินไปสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่ที่นอกรั้วขับตามมนุษย์ที่สุดแสนจะดื้อดึงออกไปทันที


“ขึ้นมาเร็ว”


“บอกแล้วไงว่าไปเองได้”


“ใช่เวลาดื้อไหม ขึ้นมาเร็ว ๆ เข้า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ “กลัวเสียฟอร์มกับน้องน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ากลัวเสียฟอร์มกับพี่น่ะตกรถไฟแน่”


เต็มฟ้ามองคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้พร้อมกับรีบสะบัดมือออกขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถอย่างจำใจ มอเตอร์ไซค์คลาสิคพาสองหนุ่มลัดเลาะไปตามถนนที่เต็มไปด้วยรถราจนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟนครลำปางเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีกำลังประกาศให้ผู้โดยสารทราบว่ารถด่วนพิเศษนครพิงค์ปลายทางสถานีกรุงเทฯกำลังจะเคลื่อนเข้าจอดเทียบชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


“เกือบไม่ทันแล้วเห็นไหม มัวแต่กลัวเสียฟอร์มอยู่ได้” ศิธาพัฒน์บ่นขณะจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าสถานีในขณะที่คนซ้อนท้ายกระโดดลงตั้งแต่รถยังไม่จอดสนิทเสียด้วยซ้ำ


“ขี้บ่นจริง” เต็มฟ้าที่เดินตามหลังเอ่ยขึ้นก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่นังคงนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์


ศิธาพัฒน์มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนอะไรเลย ผิดกับตนเองที่อุตส่าห์รีบแทบแย่


“ขอบคุณนะคร้าบบบบบที่มาส่ง” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในสถานีทันทีที่ได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น



“ก็เลยไม่ได้รู้สักทีว่าอะไรที่คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น”


ศิธาพัฒน์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังห่างออกไปทุกทีพลางโครงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงเจือด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้

...

ตอนที่ 10 แล้วนะคะ คิดว่าน่าจะผ่านมาได้เกือบครึ่งทางแล้วค่ะสำหรับเรื่องคุณบุรษไปรษณีย์ที่รัก
ต้องขอบคุณทุกคนมากๆค่ะที่อดทนต่อวิธีการดำเนินเรื่องสไตล์เรา
หากเต็มฟ้าทำให้ต้องคันยุบยิบในหัวใจหรือปลายเท้าประการใดต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 11-06-2014 17:53:19
อยากให้พี่ชายเข้าใจกันกับน้องชายมากกว่านี้อีกจัง ทลายกำแพงออกเหอะ  :mew6: สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 11-06-2014 18:28:24
แฮ่...แล้วพี่ปุ่นกับเต็มก็ได้เจอกันอีกครั้ง
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆก็เถอะ
แล้วนี่มีเสนอตัวเลี้ยงลูกหมาให้เค้า
กว่าเต็มจะกลับมาเล่นกับนังแข็งแรง คงมีลูกไปหลายคอก
แต่ว่าไม่ได้ เต็มเริ่มคิดสงสารพี่ชลที่ต้องทำงานหนักแล้ว
อาจจะตัดสินใจกลับมาทำโรงงานเซรามิกเองก็ได้ ลุ้นต่อไป

พฤติกรรมเต็มที่มีกับพี่ปุ่นนี่ เหมือนสาวน้อยแสนงอนเลยนะ
ตะบึงตะบอน เล่นตัวโก่งราคากับพี่ปุ่นตลอด ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-06-2014 18:35:04
อ่านตอนนี้แล้วอยากจะทุบไอ้หมู้อ้วน ยังนี้ที่แม่เด็กยังเป็นคนที่ยุติธรรมพอไม่ปิดตาเข้าข้างลูกตัวเองแบบผิดๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 11-06-2014 18:55:17
กลัวเหลือเกินนะ เสียฟอร์มเนี่ย ขี้เก๊กว่ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: igaga ที่ 11-06-2014 20:17:14
อ่านแล้วทำให้อยากไปลำปางตามรอยนิยายจังเลยครับ
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาศได้ไปรึปล่าว
 o18
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 11-06-2014 20:54:04
แล้วเขาจะไปรักกันตอนไหนล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 11-06-2014 21:03:40
ปุ่นเต็มๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 11-06-2014 21:28:13
เมื่อไรทั้งสองคนจะรักกันน้อ แต่รู้อย่างนึงว่าความรักของสองพี่น้อง เต็มตามดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-06-2014 21:45:35
มีเค้าลาง ๆ ว่าเต็มฟ้าน่าจะกลับมาอยู่บ้านเสียที ภาระทางบ้านมากมายมาช่วยกันแบ่งเบาได้แล้ว
น้องตามทั้งน่ารัก น่าสงสาร แต่ก็เข้มแข็งน่าดู สู้คนด้วยนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-06-2014 21:54:24
 :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 11-06-2014 22:21:07
เจอกันอีกทีในช่วงเวลาสั้นๆ แต่รู้สึกเหมือนใกล้กันกว่าเดิมเลย  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 11-06-2014 22:58:14
อ่านรวบสองตอนไม่ว่ากันนะคะ : )

ตอนนี้รู้สึกดีกับเต็มมากขึ้นเยอะเลยค่ะ
อาจเพราะว่าน้องตามนี่แหละ
เต็มดูเป็นเด็กมีทิฐิสูง จริงๆคือรักน้องน่ะแหละ แต่แค่ยังฝังใจ
พอมารู้เรื่องแม่ที่ทำให้น้องชกกับเพื่อน เดาว่าเต็มน่าจะรู้สึกได้เองนะว่าตัวเองยังโชคดีกว่าน้องเยอะเลย
อยากให้เต็มฟ้ารักน้องชายแบบตามตะวันให้มากๆ แทนความรักของแม่ที่น้องไม่มีโอกาสได้รับมันเหมือนที่เต็มฟ้าเคยได้รับ
ถ้าแค่ไม่ปากหนัก แล้วก็แสดงออกให้มากกว่านี้ น้องตามคงมีความสุขอีกเยอะเลย
สำหรับตอนนี้เราอิ่มใจนะคะ พี่ปุ่นกับเต็มจะมีใจให้กันแบบจริงๆจังๆเมื่อไหร่เรารอได้เสมอเลยค่ะ
บางทีความรักมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ มาแบบเรื่อยๆอย่างนี้ก็รู้สึกดีไปอีกแบบนึง
ขอบคุณมากนะคะ อ่านแล้วยิ้มเลย : )

ปล. ส่วนของตอนที่แล้ว ผิดไหมเนี่ยที่ไม่ชอบหมอ 555555
เดาเอาว่าเต็มเองก็คงเซ็งเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 11-06-2014 23:22:46
พี่เต็มนี่ใจแข็ง (แอบใจร้ายนิดๆ) จริงๆ อยู่ใกล้ๆ จะหยิกให้เนี้อเขียวเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 12-06-2014 17:45:38
พี่เต็มตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเถอะน้าาาาาาาาาา พลีสสสสสส
มาอยู่เป็นเพื่อนน้องตาม แล้วก็มาสานต่อกะพี่ปุ่น อิอิ พี่ปุ่นอยู่อีกแค่สองปีเองใช่มะ
อย่าปล่อยให้พี่สาวสุดสวยทำงานหนักแทนสิ ไม่ดีๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 12-06-2014 18:28:34
แอบหมันไส้เต็มนะ ดูฟอร์มเยอะแต่ทำไมบางมุมน่ารัก

ถึงจะไม่ค่อยใกล้น้องแต่ก็เอาใจใส่ตลอด :myeye:

ส่วนพี่ปุ่น ใจดีสุดยอด ท่าทางเอ็นดูน้องทั้งสองคนเลย

รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 12-06-2014 21:48:16
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 13-06-2014 13:07:33
เต็มดูเป็นเด็กๆทุกทีเลยที่อยู่กับปุ่น
ทั้งๆที่พออยู่เองก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดีแท้ๆ
ขอให้คนเขียนขยันยิ่งๆขึ้นไปปป
ผ่านมาครึ่งตอนแล้ว เริ่มรักกันบ้างรึยังเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 13-06-2014 15:18:47
อ่านเรียงความเรื่องแม่ของตาม แล้วน้ำตาไหลเลยอะ
เข้าใจความรู้สึกเลย
ดีใจที่ดูเหมือนเต็มจะเปิดใจให้ตามที่ละน้อย
ลุ้นเรื่องเต็มกับตามมากกว่าพี่ปุ่นอีกอะ 555

กลับบ้านบ่อยๆนะเต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 13-06-2014 16:07:29
อ่านรวดเดียวเลย หลังจากได้คำแนะนำจาก น้องคนหนึ่ง
สนุกมากครับ แม้เรื่องจะดำเนินอย่างเนิบนาบก็ตาม แต่มันเนิบนาบแบบคลาสสิก :z1:
ปมแต่ละปม ยังไม่ถูกคลีคลาย แต่อีกหน่อยคงคลีคลายทีละปม ๆ
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 13-06-2014 20:25:17
เวลาปุ่นกับเต็มอยู่ด้วยกัน รู้สึกอบอุ่นดีนะคะ~

ขอบคุณค่ะ ติดตามตลอด^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 14-06-2014 07:05:43
เฮ้อ ไอ้เรื่องล้อเพื่อนว่าไม่มีพ่อมีแม่ ไม่ว่าโรงเรียนที่ไหนๆก็มีตลอด
ถ้าเราเป็นตามก็คงซัดมันเหมือนที่ตามทำนั่นล่ะ :z6:
พี่ปุ่นกับเต็มมีการเลี้ยงหมาน้อยไว้ให้กันด้วย
เอ๊ะ!! แบบนี้ขอจิ้นว่าเป็นลูกของสองคนนี้ได้เปล่าหว่า :hao7:
ทิฐิของเต็มเริ่มลดลงมาบ้างแล้ว น้องตามสู้ๆนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 16-06-2014 18:28:17
เต็มเห็นเรียงความของน้องแล้วหวังว่าจะเข้าใจอะไรมากขึ้นนะ
กับพี่ปุ่นเจอนิดนึงเอง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอละนะ
แถมเค้ามีเลี้ยงลูกไว้ด้วยอ่ะ....ว๊ายๆ
 :-[
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-06-2014 23:36:52
สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ

เนื่องจากหายไปนานมาก คนเขียนก็ลืมตัวละครเหมือนกันเลยทำเป็นแผนผังมาฝากค่ะ


(http://www.bloggang.com/data/rimping/picture/1403195468.jpg)

ตอนที่ 11 : ทบทวน




พ่อเลี้ยงตรัยจ้องมองกระดาษเนื้อดีในมือที่ผู้เป็นเจ้าของเพิ่งเปิดกระเป๋าเอาออกมาอวดทันทีที่มาถึงบ้าน ข้อความในกระดาษระบุว่าลูกชายคนเล็กของเขาได้รับรางวัลรองชนะเลิศการเขียนเรียงความวันแม่ที่ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นรางวัลที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักแต่มันก็ได้สร้างความสุขเล็ก ๆ ให้กับคนเป็นพ่อ ตรัยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางลูบศีรษะหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเอ็นดู


“ลูกเก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ”


“ขอบคุณฮะพ่อ” ตามตะวันยิ้มก่อนจะรับเกียรติบัตรมาเก็บลงในกระเป๋า


“ไม่ค่อยจะเห่อเลย” ชลธรแสร้งกล่าวด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “ตั้งแต่ได้มาพี่ก็เห็นเอาออกมานั่งชื่นชมทุกวัน แถมยังโทร.มาโม้ให้พ่อฟังแล้วด้วยรอบหนึ่ง”


“ก็พ่อยังไม่เห็นของจริงนี่นา” คนโดนแซวตอบเขิน ๆ


“พ่อก็มีของจะให้ลูกเหมือนกันนะ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาก่อนจะส่งให้ลูกชาย
ตามตะวันยกมือไหว้งง ๆ รับถุงใบนั้นมาเปิดดู พบว่าข้างในมีกล่องของขวัญใบหนึ่ง มือเล็กค่อย ๆ หยิบกล่องนั้นออกมาบรรจงแกะกระดาษห่อของขวัญและทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออกหนุ่มน้อยก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที


“ชอบหรือเปล่า”


“ชอบมากเลยครับพ่อ ขอบคุณครับ” พูดจบก็ดึงกล้องโพลารอยด์สีสดใสมีลวดลายการ์ตูนเล็ก ๆ ในซองกันกระแทกออกมาลูบ ๆ คลำ ๆ ราวกับกลัวว่ามันจะช้ำ “ตามจะเอาไปถ่ายเจ้าแข็งแรง”


“ใครกัน เจ้าแข็งแรง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


“ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากพี่ปุ่นเลี้ยงครับพ่อ”


“ปุ่น?”


“พนักงานไปรษณีย์ที่ชลเคยเล่าให้ลุงฟังไงคะ ลุงก็เจอเขาตั้งหลายครั้งแล้ว เขาชอบมาทานข้าวที่เกสต์เฮาส์บ่อย ๆ”
พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ากับหลานสาวเมื่อถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เคยพบกันที่เกสต์เฮาส์ แต่ละครั้งที่เจอก็รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกเสียทีว่าเคยพบกันที่ไหน


.....


ศิธาพัฒน์ทอดสายตามองเจ้าลูกสุนัขสีดำขาวตัวอ้วนที่นั่งชูคอโต้ลมอยู่ที่ตะกร้าหน้ารถพลางยิ้มน้อย ๆ สังเกตมาหลายหนว่าเจ้าแข็งแรงคงจะชอบเวลาที่สายลมเย็น ๆ ปะทะเข้ากับหน้า เพราะมันมักจะนั่งนิ่งเชิดหน้าไม่กระดุกกระดิกให้ต้องเจ้าของต้องคอยระวังเวลาเอาใส่ตะกร้าหน้ารถไปไหนมาไหนด้วยกันเช่นนี้ เสียงหวีดหวิวลอดผ่านริมฝีปากอิ่มเป็นทำนองเพลงโฟล์กซองคำเมืองตลอดทางจนกระทั่งเมื่อถึงที่หน้าเกสต์เฮาส์ซึ่งอยู่สุดปลายถนน ชายหนุ่มค่อย ๆ ชะลออความเร็วลงในขณะที่เจ้าแข็งแรงก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนพลางส่งเสียงเห่าพร้อมกับกระดิกหางด้วยความดีใจเมื่อพบหน้าเด็กหญิงชายสามคนที่กำลังยืนรออยู่


“มาแล้วเด็ก ๆ” พี่ชายใจดีกล่าวพร้อมกับอุ้มเจ้าลูกสุนัขส่งให้เด็กชายร่างเล็ก


“ตัวหนักนะเนี่ยแข็งแรง”


“ขอเราอุ้มบ้างสิตาม” เด็กชายตัวอ้วนกลมกล่าวพลางใช้มืออวบ ๆ ลูบหัวเล็ก ๆ ของเจ้าขนปุยอย่างเบามือ


“ก็ได้” พูดจบก็ส่งเจ้าหมาน้อยให้เพื่อนอุ้มบ้าง


“โห! ตัวมันหนักขึ้นเยอะเลยนะครับพี่ปุ่น ไม่เจอแค่สองอาทิตย์เอง” หมูอ้วนกล่าวพร้อมกับชูลูกสุนัขขึ้นในอากาศ หางที่กระดิกไปมาจนแทบจะหลุดบอกให้รู้ว่าเจ้าหมาน้อยก็ชอบให้ทำแบบนี้เสียด้วย


“มันกินจุมากเลย สงสัยพี่ต้องพาไปวิ่งฟิตหุ่นบ้างแล้วละ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ปุ่นต้องพาหมูอ้วนไปด้วยนะคะจะได้ผอม ๆ” เด็กหญิงผมเปียหัวเราะ


“ว่าไงหมูอ้วน สนใจไปวิ่งกับเจ้าแข็งแรงตามที่ยะหยาว่าไหม” ศิธาพัฒน์หันมาถามเด็กชายแก้มยุ้ยที่กำลังส่ายหน้ารัว


“ไม่ได้หรอกครับพี่ปุ่น ขืนหมูอ้วนน้ำหนักลดแม่ต้องเป็นกังวลแน่ ๆ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


“ช่ายยยยยย เพราะหมูอ้วนเป็นโลโก้ของร้านนะ”


ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อนึกถึงห้องแถวสองคูหาในตลาดที่เปิดเป็นร้านข้าวขาหมู ซึ่งเจ้าของเป็นคู่สามีภรรยาร่างท้วม มีป้ายแผ่นใหญ่ติดอยู่หน้าร้านมองเห็นได้แต่ไกลเขียนว่า ‘ขาหมูลูกชาย’ กับโลโก้รูปเด็กแก้มยุ้ยคล้ายกับที่เห็นบนฉลากข้างขวดซีอิ๊วขาวที่แท้ก็มีที่มาที่ไปอย่างนี้นี่เอง


“พี่ปุ่น ยะหยา หมูอ้วน เข้าบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวตามจะไปเอากล้องแล้วเรามาถ่ายรูปกับเจ้าแข็งแรงกัน” ตามตะวันกล่าวพลางเลื่อนเปิดประตูรั้วนำทุกคนเข้าไปในบ้าน


ศิธาพัฒน์เดินไปนั่งกับชลธรที่หน้าเคาน์เตอร์มองพวกเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกับเจ้าขนปุยตัวอ้วนอยู่ที่สนามหญ้า เจ้าหมาน้อยวิ่งไล่คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเนื่อย บางครั้งก็นอนหมอบลงกับพื้นรอซุ่มโจมตี เมื่อสบโอกาสขาสั้น ๆ ก็วิ่งไล่กวดคนที่เข้ามาแหย่จนลื่นไถลกลิ้งไปกับผืนหญ้าพาให้เด็ก ๆ ได้หัวเราะคิกคักในความตลกของมัน พอเหนื่อยเข้าทั้งคนทั้งสุนัขต่างก็หยุดหอบแต่อยู่นิ่งได้ไม่นานก็เริ่มวิ่งวนไปมาอีกราวกับใส่ถ่าน


“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ทั้งที่เคยมีเรื่องต่อยกันจนหน้ายับขนาดนั้นแต่กลับมาเป็นเพื่อนกันได้” สาวร่างบางเอ่ยขึ้นขณะมองน้องชายคนเล็กที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเพื่อน ๆ


“เด็ก ๆ ก็อย่างนี้แหละครับ โกรธกันแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ลืมแล้ว”


“สองคนพี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด เจ้าพี่ชายน่ะลองเลือดขึ้นหน้าแล้วละก็ต่อให้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนไม่เคยกลัวอยู่แล้ว นี่พี่ยังขำที่นายเต็มกลับมาเล่าให้ฟังไม่หายเลย ตอนที่เปิดประตูห้องฝ่ายปกครองเข้าไปเจอสภาพหมูอ้วนน่ะ คิดไม่ถึงว่าตามจะทำได้ขนาดนั้น”


“ฟังที่ตามเล่า ตอนนั้นก็คงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วจริง ๆ แหละครับ”


ชลธรพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันไปปรามน้องชายที่กำลังวิ่งหน้าเริดเข้ามาพร้อมกับชูภาพถ่ายในมือ


“สวยไหมครับพี่ชล พี่ปุ่น” ตามตะวันกล่าวพร้อมกับอวดภาพที่ถ่ายกับเพื่อน ๆ และเจ้าลูกสุนัขตัวกลมให้พี่ ๆ ดู


“สวยมากจ้ะหนุ่มน้อย อืม...น่าจะส่งไปให้เจ้าของเขาดูเนอะ เผื่ออยากกลับมาเลี้ยงเองบ้าง” คำพูดของพี่สาวทำให้ตามตะวันต้องหันไปสบตาศิธาพัฒน์อย่างขอความคิดเห็น


......



“เย็นนี้ไปกินข้าวกันไหม”


เต็มฟ้ามองข้อความที่เพิ่งพิมพ์ส่งเข้าไปในโปรแกรมสนทนาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพียงไม่นานก็ปรากฏการแจ้งเตือนว่าคนที่ปลายทางได้อ่านแล้วแต่ก็ไม่มีข้อความใด ๆ ถูกตอบกลับมา ชายหนุ่มถอนใจพลางเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง รวบดินสอที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะลงในกล่องจากนั้นก็ลุกออกจากห้องทำงานไป


ชายหนุ่มเดินออกจากบริษัทตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าตั้งใจว่าจะกลับไปที่หอพัก แต่แล้วโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้งพลันใบหน้าเรียบเฉยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง


“ว่าไง”


‘เราเห็นเต็มส่งข้อความมา’ คนปลายสายกล่าว


“อืม..ก็เห็นว่าวันนี้ไม่ต้องอยู่ดึก เผื่ออยากกินข้าวด้วยกัน”


‘วันนี้เรานัดกับเพื่อน ๆ จะไปตีแบดน่ะ’


“เราก็แค่ถามเฉย ๆ เผื่ออยากเจอกัน เห็นว่าวันนี้ภูมิว่าง”


‘ก็ว่างแต่เรานัดเพื่อนตีแบดไง เรานัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ทำไมเต็มไม่ถามให้เร็วกว่านี้ล่ะ’ คนปลายสายกล่าวเสียงแข็ง


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ไว้วันอื่นก็ได้”


‘นี่ไม่ได้โกรธกันใช่ไหม’


“จะโกรธทำไม เรื่องแค่นี้”


‘เจอกันทั้งที ภูมิก็อยากเจอเต็มนาน ๆ อยากไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ด้วยกันทั้งวัน เจอกันแค่ไม่กี่นาทีจะเจอกันไปทำไม เต็มเข้าใจใช่ไหม’


ทั้งที่วันนี้อุตส่าห์รีบทำงานให้เสร็จและปฏิเสธนัดเพื่อนเผื่อเอาไว้เพราะเห็นว่าเป็นวันว่างของว่าที่คุณหมอ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไร ไม่เจอกันวันนี้วันหน้าก็ยังมี เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของใครสักคนที่ดังแทรกขึ้นมาเต็มฟ้าจึงตัดสินใจตัดบท       


“อืม..เข้าใจแล้ว ภูมิไปเถอะเดี๋ยวเพื่อนรอ”


หลังจากวางสายก็เสียบหูฟังเข้ากับโทรศัพท์ปลายนิ้วเลื่อนหาเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงถานีรถไฟฟ้า ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนสถานีก็เห็นบรรดาหนุ่มสาวอ๊อฟฟิศต่างก็ดูรีบเร่งแม้จะเป็นเวลาเลิกงานแล้วก็ตาม บางคนเดินมาด้วยกันแต่กลับไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะมัวแต่คุยกับอีกคนในโทรศัพท์ ในขณะที่บางคนก็ไม่ทันระวังเดินชนคนอื่นบ้างถูกคนอื่นชนบ้างแต่ก็ไม่มีแม้คำขอโทษเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แม้เหล่านี้จะเป็นภาพที่เห็นอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่ทำให้เต็มฟ้ารู้สึกชินสักที ในที่สุดดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนเท้าแขนกับแผงกั้นหันหลังให้ความวุ่นวายภายในสถานี ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่ไปมาด้วยความรีบเร่งเขากลับยืนสงบนิ่งทอดสายตามองออกไปยังที่ไหนสักที่ซึ่งเต็มฟ้าก็ไม่อาจคาดเดาได้ ชายหนุ่มถอดหูฟังพร้อมกับเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินเข้าไปทักเมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่บริษัทซึ่งตนเองทำงานอยู่


“พี่ตัง มายืนทำอะไรตรงนี้น่ะพี่ เห็นออกมาตั้งนานแล้วผมคิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก”


“กำลังรอคนน่ะ”


“สามสิบห้าหรือสี่สิบ”


“อะไรวะไอ้เต็ม” คนถูกถามขมวดคิ้วมองไอ้เด็กกวนประสาทตรงหน้า


“ถ้าสามสิบห้าก็ธรรมดา สี่สิบก็พิเศษ พี่ตังนี่ไม่วัยรุ่นเลยว่ะ ผมหมายถึงรอคนพิเศษหรือเปล่า” เต็มฟ้าทำหน้าทะเล้น สังเกตจากอาการของคนของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่เขากำลังรอยังไงก็ต้องเป็นคนพิเศษแน่ ๆ


“เออ แสนรู้เหลือเกินนะ” คนไม่ทันมุกกล่าวอย่างหมั่นไส้


“แล้วทำไมมารอตรงนี้ล่ะพี่ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน”


“เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปทำงานต่อ ใกล้จะปลายปีก็แบบนี้แหละ งานเยอะ”


“ทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอพี่”


“ถ้าไม่ติดว่ามีงานด่วนแบบวันนี้ก็นั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกันเกือบทุกวัน ต่างคนต่างทำงานก็ต้องอาศัยเจอกันแบบนี้แหละถ้าไม่อยากรอให้ถึงเสาร์อาทิตย์”


“เจอกันแค่ไม่กี่นาทีเนี่ยนะพี่”


“มันก็ยังดีกว่าไม่ได้เจอไม่ใช่เหรอ” ตฤณกรสบตาคนถาม “ถ้าอยากมีเวลามากกว่านี้ก็แค่นั่งย้อนกลับไปรอเขาที่สถานีที่เขาจะขึ้น แล้วก็นั่งไปส่งสถานีที่เขาลง แค่นี้ก็มีเวลาเพิ่มขึ้นอีกตั้งหลายนาที”


เต็มฟ้าพยักหน้าพลางเท้าแขนลงกับแผงกั้น เข้าใจความรู้สึกนั้นดี หากในใจเกิดความรู้สึกอยากจะเจอแล้ว ต่อให้เพียงนาทีเดียวก็มีค่าเหลือเกิน


“เป็นอะไรวะ เงียบเลย”


“กำลังคิดถึงใครคนหนึ่งที่มองเรื่องเวลาตรงข้ามกับพี่อยู่น่ะ”


“เพิ่มลูกชิ้นหรือเปล่า”


เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนเอาคืนใบหน้าเคร่งขรึมก็ค่อย ๆ เจือด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้าคำตอบคำถามเมื่อครู่พลางผ่อนลมหายใจยาว


“จริง ๆ ของแบบนี้น่ะอยู่ที่ว่าเราจะมองมันยังไง สมมติแกเดินจากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอย” ตฤณกรยกตัวอย่าง


“ผมไม่ชอบกินเป็ดอ่ะพี่”


“เออ สมมติว่าแฟนแกชอบกินก็ได้”


“แล้วไงต่อ”


“สมมติแฟนแกชอบกินกะเพราะเป็ดมาก แบบขาดไม่ได้ กินจนจะเดินส่ายเป็นเป็ดอยู่แล้ว”


“พอ ๆ พี่ แล้วยังไงต่อ”


“แกก็พาแฟนไปกินกะเพราเป็ดไง จากป้ายรถเมล์หน้าบริษัทไปร้านกะเพราเป็ดก้นซอยใช้เวลาห้านาที ป้าเจ้าของร้านผัดอีกห้านาที กินอีกห้านาที เดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกห้านาที รวมเบ็ดเสร็จยี่สิบนาที”


“เอาให้ฮานะพี่ตัง” เต็มฟ้าหรี่ตามองคนเจ้าหลักการพลางกอดอกรอฟังสิ่งที่เขากำลังพูดต่อไป


“นี่ไม่ได้พูดให้ขำนะโว้ย”


“อ่ะต่อ ๆ ไม่ขัดแล้ว”


“ยี่สิบนาทีนี้คือเวลาที่แกสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน ถ้าแกคิดว่ามันเป็นแค่ยี่สิบนาทีมันก็เป็นเวลาที่ไม่นานหรอก แต่ถ้าคิดว่ามันตั้งยี่สิบนาที เท่านี้แกก็จะรู้สึกว่าแกมีเวลาอยู่ด้วยกันนานตั้งยี่สิบนาทีแล้ว พี่ถึงบอกไงว่ามันแล้วแต่เราจะเลือกมอง”


“พี่ตังจะอ้อมไปร้านกะเพราเป็ดทำไมเนี่ย” เต็มฟ้ากล่าวพลางเกาศีรษะแกรก “มันแหม่ง ๆ ตรงกะเพราเป็ดนี่แหละ แต่โดยรวมก็ถือว่ายอมรับได้”


“นี่อุตส่าห์พูดให้สบายใจ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะ”


“ผมว่ายกตัวอย่างให้หิวมากกว่า” พูดจบก็ยกมือลูบท้องตัวเอง “ผมว่าผมรีบไปดีกว่า เริ่มหิวแล้ว”


“เออ จะไปไหนก็ไปเถอะ” ตฤณกรกล่าวพลางโบกมือไล่


“แหม กลัวผมจะเป็นก้างละสิ”


“เปล่า....” ร่างสูงลากเสียงพลางขยับกรอบแว่นตา “กลัวปลายเท้าลั่นต่างหาก”  แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มส่งมาให้ เป็นรอยยิ้มที่บรรดาสาว ๆ ในอ๊อฟฟิศต่างให้นิยามว่ามันคือ ‘ยิ้มใจละลาย’ เป็นรอยยิ้มที่เต็มฟ้าเองก็เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาว ๆ จึงได้พากันหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้


“พี่ตังใจร้ายว่ะ ผมไปดีกว่า” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ จากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูทางเข้าเพื่อแตะบัตรให้ประตูเปิดออก


เมื่อผ่านประตูเข้ามาในสถานีเต็มฟ้าก็เดินปะปนไปกับผู้คนจำนวนมาก ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังบันไดเลื่อนที่ทอดตัวขึ้นสู่ด้านบนของสถานี รอเพียงไม่นานรถไฟฟ้าก็เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนเบียดเสียดกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในขบวนรถก่อนที่ประตูจะปิดลง สังเกตว่าแม้รอบตัวจะรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมากแต่ทั้งขบวนกลับมีแต่ความเงียบ นัยน์ตาสีดำมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาหนุ่มสาววัยทำงานที่ต่างกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนในมือ ถ้าไม่เล่นเกมก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครสักหรือเสพข่าวสารความบันเทิงจากโซเชีลมีเดีย ในขณะที่หลายคนต่างก็กำลังอยู่ในโลกของตัวเอง โลกซึ่งเข้าถึงได้โดยปลายนิ้วสัมผัส แต่เต็มฟ้ากลับเลือกที่จะยืนปล่อยใจคิดอะไรไปเรื่อยจนลืมสนใจไปเลยว่ารถไฟฟ้าได้ผ่านสถานีใดมาแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีบางคนเริ่มขยับแทรกตัวเดินไปยืนรอที่ประตูทางออกขณะที่รถชะลอความเร็วลงและมาจอดสนิทที่สถานีหนึ่ง ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านกระจกออกไปยังชานชาลาฝั่งตรงข้าม ซึ่งภาพที่เห็นก็ไม่ได้ต่างไปจากในขบวนนัก


เมื่อประตูรถไฟฟ้าเปิดออกผู้โดยสารในขบวนก็ทยอยกันเดินออกไปจนภายในดูโล่งไปถนัดตา หายใจสะดวกชนิดที่ไม่ต้องกลัวว่าจะไปรดต้นคอใคร เสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกุญแจลูกกระพรวนดังขึ้นหลังจากสัญญาณเตือนประตูปิดเงียบลงเรียกสายตาหลายคู่ให้จับจ้องไปที่เด็กชายชั้นประถมปลายในชุดลูกเสือที่เพิ่งขึ้นมาจากสถานีเมื่อสักครู่ เขาสะพายเป้ใบโตจนพวกผู้ใหญ่อดรู้สึกหนักแทนไม่ได้  นอกจากจะสะพายเป้แล้วที่มือยังลากกระเป๋าลากมาด้วยอีกหนึ่งใบ มือเล็ก ๆ ข้างที่เหลือเลือกกำชายเสื้อของเด็กหนุ่มที่ยืนข้าง ๆ กันเอาไว้แทนการเกาะราวเหล็ก นั่นคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่า แม้จะต้องโคลงเคลงด้วยแรงเหวี่ยงของขบวนรถบ้างแต่ร่างสูงก็เป็นหลักยึดที่ดีในยามนี้


“พี่กันต์ ก้องขอซื้อหมูปิ้งหน้าปากซอยได้ไหม” เด็กชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูน


“นะ ๆ พี่กันต์นะ”


“เดี๋ยวก็โดนแม่ดุหรอก” เด็กหนุ่มมัธยมปลายกล่าวพลางปิดหนังสือการ์ตูนเก็บลงเป้นักเรียนที่หนีบใช้แขนหนีบเอาไว้ก่อนจะสะพายขึ้นหลังโดยไม่ได้สนใจสายตาเว้าวอนของน้องชายเลยแม้แต่น้อย มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังดังจากในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนอ่านข้อความที่เพิ่งถูกส่งมาจากนั้นก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป


“ถ้าพี่กันต์ไม่บอกแม่ก็ไม่รู้หรอก เดี๋ยวก้องจะรีบกินให้หมดนะ ๆ พี่กันต์นะ นะ ๆ”


เสียงออดอ้อนนั้นทำให้พี่ชายต้องถอนใจเฮือกในที่สุดก็จำใจพยักหน้า 


“เย้ พี่กันต์ใจดีจัง”


“พอเลย ไม่ต้องมาทำประจบ อาทิตย์นี้ซื้อให้กินสองวันติดกันแล้วนะ” พูดจบเด็กหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์เอื้อมมือรั้งกระเป๋าลากจากน้องชายมาถือเอาไว้เสียเองก่อนที่ทั้งคู่จะจูงมือกันเดินฝ่าผู้คนไปยืนรอที่หน้าประตูทางออก เต็มฟ้าเบนสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกจ้องมองเด็กชายตัวเล็กที่กำลังเดินห่างออกไป อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาไม่อายุต่างจากน้องชายถึงสิบเอ็ดปีก็คงได้จูงมือกันไปโรงเรียนแบบนี้ทุกวันแน่ ๆ ขายาวก้าวตามสองพี่น้องเมื่อเสียงขานชื่อสถานีซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งก็เป็นเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-06-2014 23:41:34
(ต่อค่ะ)

เมื่อขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเต็มฟ้าก็พบว่าดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนลับหายไปแล้ว ท้องฟ้ามืดมิดปราศจากแสงของดาวดวงใด ๆ แต่ภายในซอยเล็ก ๆ กลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ จากที่เคยเงียบเชียบเมื่อตอนกลางวันก็กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ซึ่งมีทั้งคนทำงานและบรรดานักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน


ทั้งที่เคยวางแผนกับเพื่อนว่าจะย้ายออกเมื่อมีเงินเดือนมากพอแต่สุดท้ายก็ยังอยู่ที่นี่มาได้ตั้งปีกว่าด้วยเหตุผลที่ว่ามันก็ไม่ได้ดูแย่อะไร ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปในอาคาร 5 ชั้น ก็มักจะได้พบกับรอยยิ้มของคุณป้าเจ้าของหอทุกครั้ง แม้ข้างนอกจะไม่มีใครยิ้มให้ แต่พอกลับมาที่นี่ทีไรก็จะเห็นรอยยิ้มนี้เสมอ ชายหนุ่มชะลอฝีเท้ามองหญิงวัยกลางคนที่มักจะคอยร้องบอกบรรดาลูกหอให้แวะดูจดหมายหรือพัสดุในล็อกเกอร์อยู่บ่อย ๆ วันนี้ก็เช่นกันแม้ละครกำลังถึงตอนสนุกจนต้องนั่งแทบจะติดจอทีวี แต่เธอก็ยังคอยมองคนที่เดินเข้าออกจากเงาสะท้อนของกระจกและแจ้งเรื่องของในล็อกเกอร์เหมือนทุกครั้ง


“เต็ม อย่าลืมแวะเปิดเอาจดหมายที่ล็อกเกอร์นะป้าใส่เอาไว้ให้แล้ว”


“ขอบคุณครับป้า” เต็มฟ้ากล่าวขณะเดินผ่านเคาท์เตอร์ จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดล็อกเกอร์เก่า ๆ สนิมเขรอะก่อนจะหยิบจดหมายหลายฉบับที่ถูกมัดรวมกันไว้ด้วยหนังยางออกมาดู นอกจากใบแจ้งหนี้ค่าใช้บริการโทรศัพท์มือถือ เอกสารจากธนาคารซึ่งเป็นของเพื่อนร่วมห้องแล้วในจำนวนนั้นยังมีจดหมายที่ถูกส่งมาจากลำปาง เป็นจดหมายฉบับที่สี่แล้วที่เขาได้รับในเดือนนี้ 


ชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงจ้องมองจดหมายที่หยิบมาจากล็อกเกอร์ นิ้วเรียวค่อย ๆ เปิดซองและดึงสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดมันคือรูปโพลารอยด์หนึ่งใบกับกระดาษสมุดพับครึ่ง ข้อความในกระดาษมีไม่มากแต่ก็บรรจงเขียนเสียจนคนอ่านต้องค่อย ๆ ไล่สายตาไปทีละตัวอักษร


‘สวัสดีครับพี่เต็ม....ตามส่งรูปเจ้าแข็งแรงมาให้พี่เต็มครับ คราวนี้มันไม่ยอมอยู่เฉย ๆ พี่ปุ่นต้องวิ่งไล่จับ ตอนนี้มันกินจุขึ้นกว่าเดิมอีกนะครับแล้วก็ตัวหนักมาก ๆ จนพี่ปุ่นต้องพาไปวิ่งเกือบทุกวันเลย อาทิตย์หน้าตามก็เลยจะชวนพี่ปุ่นพาเจ้าแข็งแรงไปที่ไร่ มันจะมีที่กว้าง ๆ ให้วิ่งเล่น แล้วตามจะถ่ายรูปส่งมาให้พี่เต็มดูอีกนะครับ....ตาม’



นัยน์สีเข้มทอดมองภาพที่ถูกส่งมาอย่างพิจารณา มันต่างไปจากภาพก่อน ๆ ซึ่งเป็นภาพของเจ้าหมาน้อยในท่าทางต่าง ๆ แต่ครั้งนี้กลับมีภาพของใครอีกคนที่ถูกพูดถึงในจดหมายติดมาด้วย แม้จะเบลอเพราะทั้งสุนัขทั้งคนต่างก็เคลื่อนไหวแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนมองถึงกับจำไม่ได้


เต็มฟ้าพับจดหมายของน้องชายใส่ซองเหมือนเดิมก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ จัดการติดรูปโพลารอยด์ใบที่สี่ลงบนกระดานเตือนความจำ เมื่อสังเกตว่าเจ้าลูกสุนัขในภาพมันโตขึ้นจริง ๆ หากเทียบกับภาพถ่ายสามใบก่อนหน้านี้รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในขณะที่เอื้อมหยิบไดอารีซึ่งวางอยู่ใกล้มือมาเปิดออกตั้งใจจะเสียบจดหมายฉบับล่าสุดรวมกับฉบับอื่น ๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับลายมือของใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงมุมซองด้านหลัง


‘ลำปางสบายดี คนที่นี่สบายไหม’


จำได้ว่าเคยเห็นลายมือนี้มาก่อน มันถูกเขียนอยู่บนกล่องพัสดุเมื่อคราวที่น้องชายส่งของขวัญรับปริญญามาให้ ว่าจะถามตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอกันแต่ก็ลืมเสียสนิท หัวคิ้วหนาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองภาพของชายหนุ่มผู้ที่ขันอาสารับเลี้ยงลูกสุนัขให้ ไม่รู้ว่าลายมือที่อยู่บนซองจดหมายจะใช่ลายมือของเขาหรือเปล่า


หลังจากส่งจดหมายฉบับที่สี่ไปไม่นานตามตะวันก็ได้รับพัสดุ EMS กล่องหนึ่งซึ่งถูกส่งมาจากกรุงเทพฯ ยิ่งได้รู้ว่าเป็นของที่พี่ชายส่งมาก็ยิ่งทำให้เก็บอาการตื่นเต้นดีใจไว้ไม่อยู่จนชลธรที่เป็นคนเซ็นรับไว้อดแซวไม่ได้ แต่ทันทีที่เปิดกล่องออกมาก็พบว่ามันคือปลอกคอสีแดงสำหรับลูกสุนัขกับคุกกี้ห่อใหญ่ ทั้งสองชิ้นมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่เขียนด้วยลายมือแปะติดมาด้วย หนุ่มน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่นั่งเท้าคางจ้องมองของสองสิ่งสลับกันไปมาอย่างใช้ความคิดจนไม่ได้ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ที่แล่นมาจอดที่หน้าเกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์วางเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วนลงบนพื้นหญ้า จากนั้นก็เดินตรงมายังโต๊ะอาหารริมระเบียงก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กชายที่กำลังนั่งทำคิ้วชนกัน


“เป็นอะไรไป ทำไมวันนี้หนุ่มน้อยถึงหน้ายุ่งแบบนี้ล่ะครับ”


ตามตะวันยิ้มกว้างเมื่ออยู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดีก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า “อืม..ตามมีเรื่องงง ๆ นิดหน่อยครับ”


“เรื่องอะไรบอกพี่ได้ไหม”


“คือว่าวันนี้พี่เต็มส่งพัสดุมาให้ฮะ เป็นปลอกคอกับคุ้กกี้แล้วก็เขียนโน้ตมาด้วย” พูดจบมือเล็ก ๆ ก็เลื่อนกล่องไปที่กลางโต๊ะ


“บอกว่าฝากให้ลูกหมากับคนเลี้ยงหมา”


“ตามไม่แน่ใจว่าจะเอาอันไหนให้ใคร กำลังคิดว่าพี่เต็มติดสลับกันหรือเปล่า”


ศิธาพัฒน์หัวเราะพรืดทันทีที่หยิบของสองอย่างขึ้นมาดู กระดาษโน้ตที่ติดอยู่บนถุงคุกกี้เขียนว่า ‘ฝากให้ลูกหมา’ ส่วนอีกใบที่ติดอยู่กับปลอกคอเขียนว่า ‘ฝากให้คนเลี้ยงลูกหมา’ พออ่านจบก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่การติดสลับกันอย่างที่ตามตะวันคิด แต่มันคือความตั้งใจของคนที่ส่งของพวกนี้มาต่างหาก



ไอ้เด็กแสบ...



......



บ่ายวันอาทิตย์ศิธาพัฒน์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปนอกเมืองตามแผนที่ที่ชลธรวาดใส่กระดาษมาให้โดยมีเจ้าหมาน้อยกับปลอกคออันใหม่นั่งชูคออยู่ในตะกร้าหน้ารถ เมื่อแยกจากถนนสายหลักมาสักพักก็เริ่มสังเกตป้ายไร่แสงดาวที่ทางแยกจึงค่อยอุ่นใจว่ามาไม่ผิดแน่ มอเตอร์ไซค์คลาสิกพาหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวลัดเลาะไปตามทางที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้น  ไม่นานภาพของบ้านไม้หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของพื้นที่ทำการเกษตรอันกว้างใหญ่ไพศาลของคุณพ่อลูกสองก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า


เมื่อเสียงของเครื่องยนต์เงียบแทนที่ด้วยเสียงเห่าของเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วน มันเห่าเสียงดังเสียจนเจ้าของบ้านต้องเดินออกมาดู พ่อเลี้ยงตรัยหรี่ตามองชายหนุ่มแปลกหน้าให้ชัด จำได้ว่าเคยพบเขามาแล้วที่เกสต์เฮาส์ของน้องสาวภรรยา แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยพบกันมาก่อนหน้านี้อยู่ดี


“สวัสดีครับคุณลุง” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม


“อืม..ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม นี่มาหาเจ้าตามใช่ไหม”


“ครับ” ยังไม่ทันจะได้อธิบายอะไร เสียงกระดิ่งจักรยานก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


พ่อเลี้ยงตรัยหันมองลูกชายที่กำลังจอดจักรยานพึงไว้กับต้นไม้ใหญ่ก่อนจะเดินยิ้มร่าเข้ามายกมือไหว้ผู้มาใหม่ด้วยท่าทางดูสนิทสนม


“นี่ไงฮะพ่อ เจ้าแข็งแรง ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากพี่ปุ่นเลี้ยง” พูดจบเด็กชายร่างเล็กก็อุ้มเจ้าตัวอ้วนขนปุยออกจากตะกร้าหน้ารถ แต่ตัวมันหนักเสียจนตามตะวันไม่อาจทานน้ำหนักไหวจึงตัดสินใจปล่อยให้มันยืนเอง ทันทีที่สี่ขาสัมผัสกับผืนหญ้าเขียวขจี เจ้าหมาน้อยก็วิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาจนตามตะวันต้องวิ่งตามเพราะกลัวว่าจะไปชนอะไรเข้า แต่ยิ่งทำแบบนั้นมันก็ยิ่งคิดว่าเจ้านายตัวน้อยกำลังเล่นด้วย เจ้าแข็งแรงเร่งฝีเท้าวิ่งวนไปมาพร้อมกับทำท่าหลอกล่อก่อนจะโดนจับได้จนล้มลงไปนอนกลิ้งทั้งคนทั้งสุนัข


“ตาม ระวังนะลูก เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่” ร่างสูงร้องปรามเสียงเข้มด้วยความเป็นห่วง สุขภาพที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทำให้เขาต้องเข้มงวดเรื่องการกินการอยู่ของลูกชายคนเล็กเป็นพิเศษ แต่ตามตะวันก็ไม่ค่อยจะยอมปฏิบัติตามเสียเท่าไร การแอบไปเล่นหรือรับประทานอะไรโดยไม่ระวังบางครั้งก็ทำให้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อจนต้องขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ


“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ตามเล่นกับแข็งแรงตั้งหลายครั้งแล้ว สบายมาก” พูดจบตามตะวันก็อุ้มเจ้าหมาน้อยเดินเข้ามายืนข้าง ๆ ผู้เป็นพ่อที่ได้แต่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ


“ถ้าอย่างนั้นตามขอพาแข็งแรงไปวิ่งเล่นในไร่นะฮะพ่อ”


“เอาสิ” ผู้เป็นพ่อกล่าวพลางโยกศีรษะลูกชายเบา ๆ


....



พ่อเลี้ยงตรัยยืนมองเด็กชายที่กำลังวิ่งนำลูกสุนัขตัวอ้วนไปตามผืนหญ้าที่ลาดลงสู่ไร่ส้มกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เจ้าปากเปราะยังคงเห่าไม่หยุดราวกับจะประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่ามันมีความสุขเหลือเกินที่ได้วิ่งเล่นในที่กว้าง ๆ แบบนี้ ทันทีที่ลงไปถึงแปลงปลูกมันก็ทำจมูกฟุดฟิดดมโน่นดมนี่ไปทั่ว ก่อนจะไปหยุดที่โคนต้นส้มใช้สองขาหน้าตะกุยดินอย่างเอาเป็นเอาตายจนคนงานต้องพากันไล่ แต่เจ้าจอมซนที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองก็ยังคงคิดว่าคนงานพวกนั้นกำลังเล่นกับมันอยู่ดี ตามตะวันยืนหัวเราะในท่าทางตลก ๆ บรรดาน้า ๆ คนงานที่กำลังช่วยกันไล่จับต้นเหตุของความวุ่นวาย ในที่สุดหนุ่มน้อยก็เลือกที่จะช่วยคู่หูโดยการร้องเรียกชื่อของมันก่อนจะวิ่งนำไปตามแปลงดินที่มีต้นส้มยืนต้นเรียงรายเว้นช่วงห่างเท่า ๆ กันไปตลอดแนวโดยมีเจ้าหมาน้อยวิ่งคลอเคลียไปไม่ห่าง 


“ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเลี้ยงหมาให้เจ้าเต็ม แต่ถ้ามันเป็นการเพิ่มภาระละก็เธอจะทิ้งมันไว้ที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวลุงจะให้คนงานให้ข้าวให้น้ำมันเอง” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะเดินนำศิธาพัฒน์ไปตามขั้นบันไดดินที่ทอดยาวลงสู่พื้นที่ทำการเกษตรเบื้องล่าง


“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ผมยินดี” ชายหนุ่มกล่าวพลางมองดูเด็กชายและเจ้าหมาน้อย คิดอยู่อย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องเลี้ยงมันตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเจ้าของ


“เจ้าเต็มน่ะมันขี้สงสาร เจอตัวอะไรก็อยากจะเก็บมาเลี้ยงเสียหมด เมื่อก่อนนี้ก็เลี้ยงทุกอย่าง กระต่าย หมา แมว เขารักสัตว์เหมือนแม่ แต่พอเจ้าตามเกิดลุงก็ยกให้คนงานเอาไปเลี้ยงหมดเพราะเจ้าตัวเล็กมันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่น”


คนเดินตามได้แต่ฟังเงียบ ๆ เพราะเคยรู้เรื่องการเสียชีวิตของนายหญิงแห่งไร่แสงดาวจากชลธรมาก่อนแล้วศิธาพัฒน์จึงไม่คิดจะถามเพื่อรื้อฟื้น แต่รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของคนเล่าก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความสุขที่ได้พูดถึงลูก ๆ และภรรยาที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


“ขนาดเต่าญี่ปุ่นของยัยชลมันยังจัดการปล่อยลงแม่น้ำเสียเกลี้ยงบ่อ ไม่ไหวจริง ๆ ไอ้ลูกคนนี้ ไม่รู้ว่ามีเมตตาหรือกวนบาทากันแน่” พ่อหม้ายหนุ่มใหญ่กล่าวพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ


เมื่อได้ฟังคนเป็นพ่อพูดถึงลูกชายเช่นนั้น อยู่ ๆ หน้าของไอ้เด็กบ้าท่าทางจองหองที่ชอบทำไม่รู้ไม่ชี้เวลาที่ได้พูดจากวนประสาทคนอื่นก็ลอยขึ้นมาในหัวทำเอาคนฟังก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้ 


“เอ้อ...มัวแต่โม้เรื่องตัวเองเพลินก็เลยยังไม่ได้ถามเธอเลยว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เป็นคนลำปางหรือเปล่า”


“แม่ของผมเป็นคนลำปางครับ ส่วนพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ ตอนที่ผมเกิดพ่อก็พาแม่กับพี่สาวย้ายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็ถูกส่งให้ไปอยู่กับคุณย่าที่บ้านสวนเมืองนนท์เพราะใกล้โรงเรียนมากกว่า”


“แม่เป็นคนลำปางงั้นเรอะ แล้วชื่ออะไรล่ะเผื่อลุงจะรู้จัก”


“ชื่อนวลตาครับ นามสกุลเดิมคือนรฤทธิ์ คุณลุงเคยได้ยินไหมครับ”


“อืม...นวลตา นรฤทธิ์...นรฤทธิ์” ร่างสูงที่เดินเอามือไพ่หลังหยุดกึกก่อนจะหันกลับมา มือใหญ่ยกขึ้นถูกปลายคางตัวเองอย่างใช้ความคิด


“คุ้น ๆ อยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้น่าจะหาคนนามสกุลนี้ไม่ได้แล้ว”


“แม่บอกว่าพอตากับยายสิ้นบุญแล้วก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก หลังจากแต่งงานกับพ่อได้ 5-6 ปีก็ย้ายกลับไปกรุงเทพฯ บ้านกับสวนที่เคยทำก็ขายหมด”


“แล้วคุณพ่อของเธอล่ะชื่ออะไร”


“พ่อผมชื่อศิลป์ กษิศภูมิครับ ท่านเคยมาบรรจุเป็นพนักงานไปรษณีย์ที่นี่”


“ศิลป์ กษิศภูมิ พอพูดชื่อนี้ขึ้นมาถึงนึกออกว่าเคยเห็นหน้าเธอที่ไหน”


ศิธาพัฒน์มองเจ้าของริมฝีปากหยักที่กำลังเผยอยิ้มอบอุ่นด้วยความแปลกใจ “คุณลุงหมายความว่ายังไงครับ”


“ก่อนหน้าที่ตอนที่พบเธอที่เกสต์เฮาส์ก็ยังนึกแปลกใจ รู้สึกเหมือนเคยเห็นรูปร่างหน้าตาแบบนี้มาก่อน ที่แท้ก็ลูกชายของศิลป์นี่เอง”


“หมายความว่าคุณลุงรู้จักพ่อของผมเหรอครับ”


คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่จ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาทอประกายระยับราวกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปในวัยหนุ่มอีกครั้ง


“เธอเหมือนพ่อมากนะ ทั้งรูปร่างหน้าตาการพูดการจา”


“คุณลุงรู้จักพ่อของผมได้ยังไงครับ” ศิธาพัฒน์กล่าวอย่างตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นพ่อจะพูดถึงเพื่อนคนนี้ให้ฟังเลยสักครั้ง


“หึ...พ่อเธอคงไม่เคยพูดถึงลุงให้ฟังละสิ”


“ไม่เคยครับ”


“มันก็น่าอยู่หรอก ใครจะพูดถึงคู่แข่งให้เจ็บใจเล่น”


“คู่แข่ง?”


“ใช่ เราเคยชอบผู้หญิงคนเดียวกัน” พ่อเลี้ยงตรัยยิ้มก่อนจะเดินต่อ “แม่เจ้าเต็มเขาเป็นคนสวย ใครเห็นก็ตกหลุมรัก รวมถึงไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ คนนั้นด้วย”


“หมายความพ่อของผมกับคุณลุง....”


“เราแข่งกันจีบดารกาแม่ของเจ้าเต็มน่ะ แต่ในที่สุดเธอก็เลือกที่จะแต่งงานกับหนุ่มชาวไร่จน ๆ อย่างลุง ยังจำหน้าจ๋อย ๆ ของเจ้าศิลป์เมื่อวันที่มาร่วมงานแต่งงานได้ไม่ลืมเลย” คนเล่ายกยิ้มที่มุมปากพลางโคลงศีรษะไปมา “สุดท้ายเจ้านั่นมันก็ได้แต่งงานกับเพื่อนเจ้าสาว ได้เป็นเขยคนลำปางสมใจ”


“นี่หมายความว่าแม่ผมกับภรรยาของคุณลุงเคยเป็นเพื่อนกันเหรอครับ”


“เป็นเพื่อนรักกันเลยละ ตอนที่รู้ว่านวลตาจะต้องย้ายไปอยู่กรุงเทพฯน่ะ แม่เจ้าเต็มก็ซึมเศร้าไปหลายวัน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางชี้ไปที่แนวทิวสนที่เห็นอยู่ไกล ๆ “เธอเห็นแนวสนนั่นไหม ตรงนั้นน่ะเคยเป็นของแม่เธอ พอต้องย้ายตามสามีก็เลยประกาศขาย แม่เจ้าเต็มเขาตัดสินใจซื้อเก็บเอาไว้เผื่อว่าวันหนึ่งเพื่อนจะกลับมา ส่วนโรงนาเก่าก็ทำเป็นโรงงานเซรามิค น่าเสียดายที่เขาบุญน้อยเลยไม่มีโอกาสได้พบกับลูกชายของเพื่อนรักในวันนี้”


“ถ้าเธออยากไป วันหลังก็ให้เจ้าตามพาไปก็แล้วกัน”


ศิธาพัฒน์มองตามด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แนวทิวสนตรงนั้นเคยเป็นที่ดินของแม่ของเขามาก่อนอย่างนั้นเหรอ แน่นอนว่าเขาจะต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง


...ที่ที่พ่อกับแม่เคยใช้เวลาร่วมกัน บางทีอาจจะได้คำตอบก็ได้ว่าทำไมพ่อถึงได้รักที่นี่นัก...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-06-2014 23:47:30
เต็มฟ้าลุกขึ้นจากโซฟาหน้าเคาท์เตอร์รอจ่ายยาของโรงพยาบาลทันทีที่ร่างสูงของยุทธภูมิปรากฏขึ้น เขาสวมชุดนักศึกษาสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวที่หน้าอกปักชื่อและตราสัญลักษณ์ของสถาบันดูเท่ไม่เบา เหลืออีกเพียงปีเดียวเท่านั้นว่าที่คุณหมอก็จะได้เป็นคุณหมอเต็มตัวเสียที


ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็มายืนยิ้มอยู่ตรงหน้า “มีอะไรเหรอถึงได้มาถึงที่นี่” 


“มีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ”


“นึกว่าจะคิดถึงกันเสียอีก ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”


เต็มฟ้าสบตาชายหนุ่มช่างเจรจาอยากจะบอกว่านั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งแต่สุดท้ายอะไรบางอย่างก็ทำให้เลือกที่จะเก็บเอาไว้คนเดียว


“เย็นนี้พอจะมีเวลาไปกินข้าวกันหน่อยไหม”


“อื้อ..ได้สิ”


ยุทธภูมิเดินนำเต็มฟ้าไปที่ลานจอดรถก่อนจะอวดบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 สีดำเงาวับที่เพิ่งเปลี่ยนจากป้ายแดงมาเป็นป้ายขาวเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าที่คุณหมอถอดเสื้อกาวน์ก่อนจะโยนแหมะไว้ที่เบาะหลังจากนั้นจึงนั่งลงประจำที่คนขับ ดวงตาคมกริบลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ กันพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ  เพียงมานานบีเอ็มดับเบิลยูคันงามก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากลานจอดรถของโรงพยาบาล


“เต็มอยากกินอะไร”


“อะไรก็ได้”


“อืม..ภูมิอยากกินกับข้าวฝีมือเต็มน่ะ ไปทำให้ภูมิกินที่คอนโดนะ” รอยยิ้มมีเลศนัยนั้นชวนให้รู้สึกหวั่น ๆ ในใจ แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องยอมตามใจเจ้าของรถ ดังนั้นเต็มฟ้าจึงจำต้องตอบตกลงหลังจากพยายามเลี่ยงมาหลายครั้ง


สองหนุ่มแวะซื้อวัตถุดิบที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ ก่อนจะเข้าคอนโด เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้อง ยุทธภูมิก็จัดการแช่ของสดไว้ในตู้เย็น ในขณะที่เต็มฟ้ากำลังยืนสำรวจว่ามีอุปกรณ์ทำครัวอะไรให้หยิบออกมาใช้งานได้บ้าง เมื่ออุปกรณ์พร้อมพ่อครัวคนเก่งก็เริ่มลงมือทำอาหารโดยมีเจ้าของห้องยืนคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ฟ้ายังไม่ทันมืดกับข้าวที่ทำง่าย ๆ 2-3 อย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมให้ผู้ช่วยพ่อครัวได้ลองชิม


“ฮ้า!!!! อิ่มจัง กินจนพุงกางเลย” มือหนาตบที่ท้องตัวเองเบา ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาข้าง ๆ คนที่กำลังกดรีโหมตเปลี่ยนช่องทีวีอย่างตั้งใจ


“ไปอดอยากมาจากไหน”


“ก็อาหารที่โรงพยาบาลมันไม่อร่อยนี่นา” พูดจบมือปลาหมึกก็โอบไหล่เล็กเอาไว้ก่อนจะรั้งเข้ามาใกล้ ๆ กัน


“นั่งห่าง ๆ หน่อยก็ได้ ที่ตั้งเยอะ”


“ก็อยากนั่งใกล้ ๆ แล้วใครจะทำไม”


“ก็ไม่ทำไมหรอก” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่งก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับรายการเล่าข่าวช่วงหัวค่ำที่พักนี้ไม่ได้มีโอกาสได้ดูสักเท่าไรนั่นเป็นเพราะต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นเกือบทุกวันจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ที่วันนี้พอจะมีเวลาว่างก็เพราะได้ส่งงานไปแล้วจากนี้ก็ต้องรอดูว่าจะมีแก้ไขอะไรบ้าง


“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมทำหน้าป่วยแบบนั้น”


“เปล่านี่”


“ไม่เชื่อหรอก อย่างนี้ต้องให้คุณหมอตรวจนะครับ” ไม่รอช้าว่าที่คุณหมอก็กดปลายจมูกลงบนแก้มเนียนจนคนไม่ได้ตั้งตัวถึงกับเบิกตากว้าง


“ทะลึ่งแล้ว” สองมือออกแรงดันแผงอกกว้างจนอีกฝ่ายให้ผละออก แต่สุดท้ายก็ถูกรวบมาไว้ในอ้อมกอดเข้าจนได้


“หมอกำลังจะรักษาโรคคิดถึง ไม่ได้ทะลึ่งสักหน่อย” ยุทธภูมิยิ้มเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าขึ้นสีชมพูจาง ๆ ของอีกฝ่าย ถึงปากจะไม่ยอมรับว่าคิดถึง แต่สีหน้าและแววตาของคนน่ารักก็บอกออกมาจนหมดแล้ว


“ปล่อยเลย” เต็มฟ้ากล่าวเสียงแข็งพร้อมกับดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งดิ้นเท่าไรแขนแกร่งก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น


“ไม่ปล่อย” พูดจบริมฝีปากหยักก็พรมจูบลงบนซอกคอขาวให้รู้สึกจั๊กจี้


สองมือของเต็มฟ้าเกาะบ่าหนาเอาไว้พร้อมกับออกแรงดันแต่ก็เปล่าประโยชน์ ริมฝีบางเฉียบเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะกล่าวสิ่งที่ตั้งใจจะมาพูดในวันนี้ออกมา


“ถ้าเราจะกลับไปอยู่ลำปางภูมิจะว่ายังไง”


สิ้นเสียงของคนในอ้อมกอดวงแขนแกร่งก็ค่อย ๆ คลายออก หน้าคมที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยเลื่อนถอยออกมามองอีกฝ่ายให้เต็มตา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาตอบคำถามนี้


“เต็มจะกลับไปทำไม ในเมื่องานที่ทำอยู่ก็มั่นคง เงินเดือนก็เยอะ”


“เราอยากกลับไปช่วยงานพ่อแล้วก็...ดูแล...น้อง” มันเป็นประโยคคำตอบง่าย ๆ แต่คนพูดกลับรู้สึกว่าเขาพูดมันออกมาได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน


“ไหนเต็มบอกว่าตอนนี้พี่สาวดูแลทุกอย่างแทนแล้วไง” ว่าที่คุณหมอกล่าวอย่างหัวเสีย


“พี่ชลน่ะเขาทำทุกอย่างแทนเรามานาน เราคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับไป”


“ถ้าเต็มกลับไปอยู่ลำปางแล้วเมื่อไรเราจะได้เจอกัน”


เต็มฟ้าฟังคำถามแบบเด็ก ๆ นั้นก่อนจะยิ้ม “เมื่อไรก็ได้ที่อยากเจอ”


“แต่มันไกลนะเต็ม”


“ถ้านายคิดว่าไกลมันก็ไกล แต่สำหรับเรา เราว่ามันไม่ไกลเลยนะ”


“ภูมิไม่อยากให้เต็มไป ไม่ไปไม่ได้เหรอ”


“เราก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลนะ นายเองก็เหมือนกัน”


ว่าที่คุณหมอนิ่งคิดก่อนจะยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างซึ่งทำให้เต็มฟ้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถ้าเต็มยืนยันว่าจะกลับไป เราคงต้องเลิกกัน ภูมิรักเต็มนะ แต่ภูมิทำใจไม่ได้หรอกที่เราต้องอยู่ไกลกันแบบนี้ ถ้ามีแฟนแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันจะมีไปทำไม”


“ทำไมถึงพูดแบบนั้น รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” เต็มฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจ


“เรามีสติดี แล้วก็หมายความตามนั้นจริง ๆ เต็มเลือกเอาก็แล้วกัน”


“เราว่าเรากลับก่อนดีกว่า เอาไว้นายอารมณ์ดี ๆ แล้วค่อยมาคุยกัน” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแต่มือหนากลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้   


“เดี๋ยวก่อน”


ทันทีที่หันกลับไปมองเจ้าของเสียงก็พบว่าดวงตาแสนอ่อนโยนของยุทธภูมิบัดนี้ได้กลายเป็นแววของของสัตว์ป่าที่หิวกระหายไปเสียแล้ว แม้คนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างเต็มฟ้าก็ยังคิดว่ามันดูน่ากลัว น่ากลัวเสียจนไม่กล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“คิดจะเดินหนีกันเฉย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ”


“เราไม่ได้หนี แต่นายไม่ฟังเหตุผลของเรา อันที่จริงที่เรามาวันนี้ เราตั้งใจจะมาถามความเห็นของนายก่อนเพราะนายคือคนสำคัญ เรามีเหตุผลของเราที่คิดว่านายน่าจะเข้าใจแต่นายกลับบังคับให้เราต้องเลือก” พูดไปโดยไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้คนฟังอารมณ์คุกรุ่นเป็นทวีคูณ


“ภูมิเสียเวลาไปกับเต็มมากนะ เต็มเป็นคนแรกที่ภูมิยอมไม่แตะต้องเลยมาเป็นปี ๆ”


ข้อมือเล็กรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้น มันเจ็บอย่างบอกไม่ถูกเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจไม่คิดว่าคนที่บอกว่ารักกันจะปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ แรงที่ส่งมาทำให้รับรู้ได้ว่าไฟแห่งความโกรธกำลังลุกโชนอยู่ภายในใจของอีกฝ่าย ทั้งที่ความกลัวเริ่มก่อตัวแต่เต็มฟ้าก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ ริมฝีปากบางยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เป็นปกติ “หึ การคบกับเรามันคือการเสียเวลาหรอกเหรอ เราชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าที่นายไม่อยากให้เราไปเพราะจริง ๆ นายรักเราหรือรักตัวเองกันแน่”


“จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อว่าภูมิรักเต็ม”


“ปล่อยเราสิ”


ยุทธภูมิจ้องมองลูกไก่ในกำมือด้วยแววตาลุกโชนด้วยแรงปรารถนาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก “ปล่อยเหรอ ถ้าปล่อยแล้วเต็มจะรู้ได้ยังไงว่าภูมิรักเต็ม ต้องกอดสิ” พูดจบก็ออกแรงเหวี่ยงจนคนตัวเล็กกว่าลงไปกระแทกกับโซฟาก่อนโผตามลงไปกดจูบลงบนซอกคอขาวราวกับหมาป่าหิวโหยที่กำลังพุ่งเข้าหาเหยื่อ มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออกอย่างช่ำชองจนกระทั่งเห็นแผงอกเนียนละเอียดที่รอคอยจะได้เห็นมานาน


“ปล่อยนะโว้ย” เต็มฟ้าโวยวายพร้อมกับมือที่ปัดป่ายไปมา


ไม่มีแม้เสียงตอบกลับที่อ่อนโยนและสัมผัสที่นุ่มนวลอีกต่อไป มันมีแต่เสียงหัวเราะเยาะและสัมผัสที่ชวนขยะแขยง แต่ลูกไก่สู้ไม่ถอยอย่างเต็มฟ้าก็ไม่ละความพยายามรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายก่อนจะถีบที่หน้าท้องจนร่างสูงหงายหลัง คนกำลังน้อยกว่าดีดตัวลุกขึ้นก่อนจะตามไปกระชากคอเสื้อ ง้างหมัดเตรียมจะอัดเข้าเต็มแรงให้สาสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อสบตาก็อีกฝ่ายก็ทำไม่ลงเอาดื้อ ๆ มือเล็กกำแน่นเกร็งจนสั่นพลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“นี่มันอะไรกัน” เสียงนั้นดังกังวานราวกับสายฟ้าที่ฟาด เต็มฟ้าหันไปสบตาเจ้าของเสียงก่อนจะลดมือลงและผละออกจากร่างของยุทธภูมิที่อยู่ในอารามตกใจไม่ต่างกัน


“พะ..พ่อ..เข้ามาได้ยังไงครับ”


“ก็ห้องนี้ฉันจ่ายเงินซื้อให้แก คีย์การ์ดฉันก็มีทำไมจะเข้ามาไม่ได้” ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันในชุดนายทหารยศสูงกล่าวพลางจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้าเสื้อผ้าหลุดลุ่ย


“แล้วนี่ทำอะไรกัน ทำไมสภาพถึงดูไม่ได้แบบนี้”


“มะ..ไม่มีอะไรครับ” เจ้าของห้องผุดลุกขึ้นพลางสบตาคู่กรณีเป็นเชิงขอร้องว่าไม่ให้กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น


“แล้วเธอล่ะเป็นใคร” ดวงตาแข็งกร้าวยังคงจ้องมองหน้าซีดชื้นเหงื่อไม่วางตา


“ผะ..ผม ผมเป็น...”


“เพื่อนน่ะพ่อ หยอกกันแรงไปหน่อย”


แม้การแนะนำของอีกฝ่ายจะทำให้รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจแต่เต็มฟ้าก็ไม่ได้ขัด เขายกมือไหว้และกล่าวสวัสดีผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างนอบน้อม


“แกแน่ใจนะว่าเพื่อน ไม่ใช่พวกประหลาดทำอะไรผิดธรรมชาติแบบที่คนที่โรงพยาบาลเขาลือกัน”


ไม่รู้ว่า ‘พวกประหลาดทำอะไรผิดธรรมชาติ’ ในความหมายของคุณลุงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคืออะไร แต่พอฟังแล้วน้ำตามันก็พาลจะไหลเอาเสียอย่างนั้น ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งไปพบยุทธภูมิที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรกแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อ แต่ทำไมคุณลุงคนนี้จึงพูดราวกับมันมีเรื่องพรรค์อย่างนั้นเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนคนต้องเอามาพูดกันหรือว่าจริง ๆ แล้วยุทธภูมิไม่ได้คบเขาแค่เพียงคนเดียว


เต็มฟ้าถอนใจเบา ๆ พยายามกลืนความความคิดทุกอย่างลงคอก่อนจะตัดสินใจย้ำให้คนเป็นพ่อมั่นใจในตัวลูกชายของเขามากขึ้น “เพื่อนจริง ๆ ครับคุณลุง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”


“เห็นไหมพ่อ ไม่มีอะไรจริง ๆ พ่ออย่าไปฟังคนพวกนั้นมากเลย พวกขี้อิจฉา เห็นว่าพ่อเป็นเพื่อนกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ผมเอาไปพูดตีไข่ใส่สี”


“ถ้าไม่มีอะไรก็ดี ขืนแกเป็นแบบนั้นละก็ชื่อเสียงของฉันจะพาลเสื่อมเสียไปด้วย” พูดจบผู้เป็นพ่อก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟามองไปรอบ ๆ ห้อง


“ถะ..ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” พูดจบเต็มฟ้าก็ยกมือไหว้นายทหารร่างใหญ่ที่ไม่ได้แยแสเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะอยู่หรือจะไป 


“เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”


“ไม่ต้อง!...นายอยู่กับพ่อเถอะ” แม้ประโยคที่ตามมาจะค่อย ๆ เบาลง แต่คำว่า ‘ไม่ต้อง’ ของเต็มฟ้าช่างหนักแน่นราวประกาศิตจนคนฟังไม่สามารถจะขยับเขยื้อนไปไหนได้ดั่งใจ ยุทธภูมิได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ


.....


แท็กซี่สีเขียวเหลืองขับฝ่าสายฝนมาจอดที่หน้าหอพักเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มที่นั่งด้านหลังเปิดประตูลงมายืนโงนเงนราวกับเรี่ยวแรงที่มีกำลังจะหมดในขณะที่สายฝนก็ดูเหมือนจะเป็นใจเหลือเกินที่โปรยปรายลงมาในช่วงเวลานี้ ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครได้เห็นน้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังไหลอาบทั้งสองแก้มอย่างแน่นอน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงหยุดสั่นไปได้พักใหญ่ ๆ นั่นคงเป็นเพราะมันสั่นมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากคอนโดของยุทธภูมิจนกระทั่งแบตเตอรี่หมดหมดโดยที่เจ้าของไม่คิดจะหยิบมันออกมาดูเลยด้วยซ้ำว่าใครโทร.เข้ามา


ทันทีที่ดันประตูเข้าไปเต็มฟ้าก็พบกับร้อยยิ้มของคุณป้าเจ้าของหอเหมือนเคย เธอยังคงร้องเตือนเรื่องจดหมายในล็อกเกอร์ แต่วันนี้พ่อหนุ่มน้อยในสายตาของเธอกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนอง ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มส่งคืนกลับมา ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปเงียบ ๆ ในขณะที่หญิงวัยกลางคนก็ได้แต่เพียงมองอย่างเป็นห่วง
ในที่สุดก็พาตัวเองขึ้นไปจนถึงห้องพักจนได้ มือสั่นเทาเอื้อมบิดลูกบิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เมื่อประตูเปิดออกเต็มฟ้าก็พบว่าเพื่อนรักทั้งสองคนกำลังนั่งรออยู่


กีรติและดุ่ยต่างก็ลุกขึ้นจ้องคนที่เนื้อตัวชุ่มไปด้วยน้ำฝนตรงหน้า มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนกำลังร้องไห้


“เต็ม แกเป็นอะไร” เพียงประโยคสั้น ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในนั้น เพียงแค่คนถูกถามเดินเงียบ ๆ เข้าไปก่อนจะซบหน้าลงบนบ่ากว้างก็พอจะตอบข้อสงสัยที่มีทั้งหมดได้ กีรติยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อนรักเบา ๆ โดยไม่ได้มีคำปลอบใจใด ๆ หลุดออกจากปากแม้แต่คำเดียว แต่กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก


“ข้อมือไปโดนอะไรมาวะ” ดุ่ยเอ่ยขึ้นขณะยกข้อมือเล็กที่มีแต่รอยเขียวช้ำขึ้นดูพลันแววตาขี้เล่นก็ลุกโชนด้วยความโกรธ “ฝีมือไอ้หมอใช่ไหม ข้าจะไปเอาเรื่องมัน” พูดจบหนุ่มร่างเล็กก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่มือเรียวก็คว้าแขนเขาเอาไว้ได้ทัน


“ไอ้ดุ่ยอย่า” เต็มฟ้ารีบห้ามพลางปาดน้ำตาที่กำลังไหล


“ได้ยังไงวะ มันอะไรกันนักหนาถึงต้องทำกันแบบนี้”


“ช่างมันเถอะ”       


“ไอ้ดุ่ยแกไปนั่งสงบสติอารมณ์ไปก่อนไป ส่วนแกไอ้เต็ม แกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยมาเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงจริงจังของกีรติทำให้ทุกคนยอมทำตามแต่โดยดี


เต็มฟ้าหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับดวงตาช้ำปวม ยังนึกไม่ออกเลยว่าที่กำลังร้องไห้เสียใจอยู่ในตอนนี้นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ยุทธภูมิทำกับตนเองหรือคำพูดเพียงไม่กี่คำของนายทหารยศสูงผู้นั้นกันแน่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียงตรงหน้าเพื่อนรักทั้งสองที่ต่างก็มองมาด้วยความเป็นห่วง


“ไอ้หมอมันโทร.มาถามฉันสองคนว่าเจอแกหรือยัง ถามมันว่าเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่ยอมบอก พูดแค่ว่าฝากขอโทษแกด้วย พวกฉันโทร.หาแกแกก็ไม่รับ”


“ขอโทษว่ะ”


“เออ เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ พวกข้าอยากรู้ว่ามันทำอะไรเอ็งถึงได้สภาพเป็นแบบนี้” ดุ่ยถามพลางจับแขนเพื่อนขึ้นมาพลิกไปมาเพื่อสำรวจว่ามีร่องรอยฟกช้ำตรงไหนอีกบ้าง


เต็มฟ้าสบตาสองหนุ่มก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ...


“ฮึ่ย! นึกแล้วมันน่าโมโหไอ้หมอนัก เวลามันจะคบใครมันคิดแต่เรื่องแบบนี้เหรอวะ” ดุ่ยกล่าวพลางคว้าหมอนขึ้นมาขยำระบายความคับแค้นใจ


กีรติถอนใจเบา ๆ ก่อนจะวางโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้ “เจ็บไหมวะ”


“บอกไม่ถูกว่ะ มันตื้อ ๆ อยากด่าตัวเอง ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่... แต่สุดท้ายยอมปล่อยให้บางคนเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิต”


“แก...รักมันไปแล้วหรือยัง”


คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรว่ะ มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกดีเวลาที่มีอีกคนให้นึกถึงละมั้ง”


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว คิดเสียว่ามันก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาทำเพื่อให้เราแข็งแรงขึ้น” พูดจบมือใหญ่ก็ตบลงที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายเบา ๆ  แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่เพื่อนรักทั้งสามคนได้นั่งปรับทุกข์กันยันเช้า


.....


“ไอ้เก้ เดี๋ยวข้ากลับบ้านก่อนนะ แล้วเจอกันที่บริษัท”


เสียงดังแว่ว ๆ นั่นทำให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงค่อย ๆ ปรือตาขึ้น ภาพที่เห็นก็คือร่างสูงใหญ่ของกีรติที่กำลังเดินมานั่งลงข้างเตียง มือใหญ่ค่อย ๆ ประคองข้อมือของเพื่อนขึ้นก่อนจะบีบยาออกจากหลอดใช้ปลายนิ้วแตะเนื้อครีมทาไปตามรอยช้ำอย่างเบามือ


“ตัวก็อุ่น ๆ นี่หว่า เดี๋ยวฉันจะไปซื้อข้าวมาไว้ให้ แกกินข้าวกินยาแล้วก็นอนพัก วันนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานหรอกฉันจะบอกพี่กบให้ว่าแกไม่สบาย”


“ขอบใจพวกแกมากนะ”


“ขอบจงขอบใจอะไรวะเรื่องแค่นี้เอง” พูดจบกีรติก็ขยี้ผมเส้นเล็กนุ่มมือนั้นเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากโดนบังคับขู่เข็ญให้กินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้วคนป่วยก็หลับยาวจนกระทั่งมาตื่นอีกทีก็เมื่อตอนบ่ายคล้อย ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าล้างหน้าล้างตาก่อนจะลงไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้าม และเมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งเขาก็พบกับคุณป้าเจ้าของหอที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารซิบซุบดาราอยู่ที่เคาท์เตอร์


“เต็ม เห็นเก้บอกว่าไม่สบายเหรอ หายหรือยัง”


“ดีขึ้นแล้วครับป้า ขอบคุณนะครับ” เจ้าของใบหน้าอิดโรยกล่าวพร้อมกับยิ้มบาง ๆ เพื่อให้คนถามสบายใจ


“อย่าลืมแวะเอาจดหมายด้วยนะ”


“ครับป้า”


เต็มฟ้าแวะไปเปิดล็อกเกอร์หยิบจดหมายก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้อง จดหมายจากน้องชายและรูปโพลารอยด์แสดงพัฒนาการของเจ้าหมาน้อยใบที่ห้า


‘สวัสดีครับพี่เต็ม พี่ปุ่นใส่ปลอกคอที่พี่เต็มส่งมาให้เจ้าแข็งแรงแล้วนะครับ ตอนแรก ๆ มันก็วิ่งสะบัดหัวครางหงิง ๆ  แล้วนอนกลิ้งไปกลิ้งมาจะเอาปลอกคอออกให้ได้ แต่พี่ปุ่นก็ไม่ยอมตามใจมัน พี่ปุ่นบอกว่าให้มันสวมปลอกคอแบบนี้ก็ดีเหมือนกันใครเห็นจะได้รู้ว่ามันมีเจ้าของ อาทิตย์นี้พี่ปุ่นพาเจ้าแข็งแรงไปวิ่งที่ไร่ ท่าทางมันจะชอบมากเลยครับวิ่งไม่หยุดเลย คราวนี้พี่ปุ่นเป็นคนถ่ายให้ครับ ส่วนพ่อก็ช่วยอุ้มเจ้าแข็งแรงให้ เอาไว้ตามจะเขียนมาหาใหม่นะครับ ตามคิดถึงพี่เต็มจัง....ตาม’



ทั้งที่ข้อความในจดหมายมีอยู่เพียงไม่กี่บรรทัดแต่ชายหนุ่มกลับใช้เวลาในการอ่านเป็นชั่วโมง นัยน์ตาสีดำสนิททอดมองรูปโพลารอยด์ในมือ มันเป็นภาพของพ่อที่กำลังอุ้มเจ้าลูกสุนัขตัวอ้วน การได้เห็นรอยยิ้มของพ่อคงจะเป็นความปรารถนาสูงสุดสำหรับเขาในขณะนี้





ที่หลังซอง...


‘ขอบคุณมากนะสำหรับปลอกคอ ไอ้เด็กแสบ’   



.....



หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเต็มฟ้าก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย จนเพื่อน ๆ ต่างก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ กีรติวางดินสอลงก่อนจะมองดูชายหนุ่มที่เอาแต่นั่งใจลอยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นเดินไปตบบ่าเพื่อนเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับมา


“ฉันว่าแกควรเอามันไปส่งได้แล้วนะ” พูดจบก็หยิบซองกระดาษสีขาวที่สอดอยู่กับกองหนังสือมาวางตรงหน้าเพื่อน


“แต่ว่า...”


“ไม่ต้องแต่แล้ว แกยังจะลังเลอะไรอีก หรือว่ายังจะรอไอ้หมอ”


“เปล่า ฉันแค่คิดว่าเวลาที่มีพวกแกอยู่ข้าง ๆ มันก็มีความสุขดี”


“ไม่ผิดหรอกที่แกจะคิดแบบนั้น พวกฉันเองก็มีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับแก แต่ตอนนี้ใจแกไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ฉันว่าแกกำลังคิดถึงบ้านว่ะเต็ม พ่อแก น้องแก เวลามีแกอยู่ข้าง ๆ เขาก็มีความสุขนะ และฉันก็เชื่อว่าแกจะรู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ข้าง ๆ พวกเขาเหมือนกัน ถึงเวลาที่แกต้องกลับไปแล้วว่ะ แกหนีความรู้สึกของตัวเองมานานเกินไปแล้วนะ”


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรัก กีรติก็ยังคงเป็นกีรติที่สามารถอ่านใจเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


ภายในห้องผู้จัดการบริษัทกลับเงียบสนิทหลังจากพนักงานหนุ่มได้แจ้งความประสงค์ที่จะลาออกให้ทราบ มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศได้อย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มใหญ่ทอดสายตามองซองสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้าพลางถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า


“มันเป็นเรื่องน่าเสียดายนะ คุณเป็นคนทำงานดี ผมอยากให้คุณลองกลับไปทบทวนดูอีกครั้ง”


“ผม...ผมทบทวนแล้วครับผู้จัดการ เหตุผลต่าง ๆ ก็ตามที่ได้เขียนเอาไว้ในใบลาออก”


“อืม..ในเมื่อคุณยังยืนยันแบบนั้นผมก็คงห้ามอะไรไม่ได้ ขอให้คุณโชคดีก็แล้วกันกลับไปทำหน้าที่ของลูกที่ดี”


“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจผม”



เต็มฟ้าเดินออกมาจากห้องที่อุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก


จากนี้ไปก็แค่นับวันรอที่จะกลับไป...



...กลับไปที่บ้าน...




หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 20-06-2014 00:03:37
ในที่สุด เต็มฟ้า ก็กลับบ้านแล้ววว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 20-06-2014 00:16:05
ในที่สุดเต็มก็กลับบ้านแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ภูมิแม่มแย่ :beat: :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 20-06-2014 01:12:04
ไม่มีที่ไหนอบอุ่นไปกว่าบ้านแล้วเต็ม
เวลาไม่สบายใจ แค่ได้กลับบ้าน ได้กอดคนที่เรารักแล้วก็รักเรามันทำให้หายเหนื่อยจริงๆนะ
ดีแล้วที่รู้นิสัยกันตั้งแต่ยังไม่ถลำลึก...อย่างน้อยๆก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีที่ทำให้เต็มรู้สึกว่าบ้านคือที่ๆเป็นของเต็ม

ตอนนี้เห็นถึงพัฒนาการของคนในครอบครัว แล้วก็เรื่องของคุณพ่อคุณแม่พี่ปุ่นด้วย
ต่อไปเต็มกลับบ้านแล้วความสัมพันธ์ของเต็มกับตามคงดีขึ้นมากๆ
ส่วนพี่ปุ่นก็เป็นยารักษาแผลใจ 5555

ขอบคุณมากนะคะ ติดตามๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-06-2014 01:27:44
โอ้ว ยาวสะใจ หายคิดถึงไปบ้าง
เต็มไม่ทันได้เจอพี่จ้าเลย
นั่นไอดอล เรื่องคิดบวกนะ สี่สิบของพี่ตังเค้าล่ะ ฮึฮึ

ยุทธภูมิไม่ได้เป็นอะไรที่ผิดคาดเลย
มีก็แค่เรื่องที่ยอมไม่แตะต้องมาเป็นปีนั่นแหละ
แต่ก็ดีแล้ว ที่จริงอยากให้ลุงทหารมาช้ากว่านี้สักนาที
ให้เต็มซัดให้น่วมเลย นิสัยไม่ได้ ไม่ควรเรียนหมอเลย แย่!

ไปเตรียมขันโตกรอเลี้ยงต้อนรับเต็มกลับบ้านดีกว่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-06-2014 01:40:54
“ลูกหมาของพี่เต็มที่ฝากปุ่นเลี้ยงครับพ่อ”>>>>>>>>>>>>>น่าจะเป็น "พี่ปุ่น" เนาะ

อ้าวหมอภูมิออกลายซะงั้น ไม่น่าเลยนะ ลำพังแค่ความคิดเรื่องเวลาและระยะทางนั่น
ก็ทำให้เต็มลำบากใจพออยู่แล้ว ยังมาทำนิสัยแย่ ๆ ให้เห็นอีก ที่สำคัญมีคุณพ่อที่น่ากลัวอีกต่างหาก
เลิกได้ก็เป็นบุญแล้ว
กลับบ้านไปปลูกต้นรักกับพี่ปุ่นดีกว่า

ปล.มุกสามสิบห้าหรือสี่สิบนี่บอกตรง ๆ ว่าพึ่งเคยเห็น เรานี่ก็ไม่วัยรุ่นเหมือนตังเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 20-06-2014 02:45:22
ดีใจที่เต็มเลิกกับหมอภูมิ ตอนแรกนึกว่าดีแต่พออ่านตอนไปเยาวราชก็เริ่มคิดแล้วว่านิสัยแปลกๆ

ในที่สุดเต็มก็จะกลับไปอยู่บ้าน อยากให้เต็มเจอแต่คนที่ทำให้มีความสุข :mew4:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-06-2014 03:29:59
กว่าจะได้พบพาน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 20-06-2014 06:07:17
ไม่รู้ทำไมว่าเราก็รู้สึกโล่งใจด้วยเหมือนกัน :mew1:

ดีนะที่พ่อของอิีตาหมอเข้ามาทันพอดี :mew4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 20-06-2014 06:41:26
กลับบ้านกันเถอะ เต็ม

อิหมอ อิเลววว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: helpmeiiz ที่ 20-06-2014 07:02:42
กลับบ้านเรา รักรออยู่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 20-06-2014 08:40:17
ลุ้น....ลุ้นทุกตัวอักษร :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 20-06-2014 13:39:30
อยากจะต่อยอีหมอสักหมัดสองหมัด
ที่แท้ก็พวกกลัวพ่อ ไม่กล้ายอมรับตัวเอง
แถมไม่ได้คบเต็มคนเดียวอีก มัน่าเอาให้สูญพันธ์ไปเลย

กลับบ้านนะเต็ม ดีใจที่เต็มเลือกกลับบ้าน
เชื่อว่าเต็มจะมีความสุขมากกว่าตอนนี้เยอะเลย
โดยเฉพาะมีพี่ปุ่นไว้กวนตีน 555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 20-06-2014 15:40:58
การกลับบ้านของเต็มครั้งนี้ หวังว่าเต็มจะมีความสุขกับการตัดสินใจนะ ในที่สุด เต็มเลิกกะไอ้หมอแล้ว ว่าแล้วเชียวว่าหมอต้องนิสัยไม่ดีแน่ๆ บังอาจมากนะมาทำให้น้องเต็มร้องไห้ เต็มไม่เป็นไรนะ กลับบ้านไปหาพี่ปุ่นดีกว่า เนอะๆ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 20-06-2014 16:43:46
การเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต กำลังจะเริ่มขึ้น
บ้านที่ซึ่งมีความรัก รออยู่อย่างเต็มเปรี่ยม
มารอลุ้นการพัฒนาการ ของ พี่ปุ่น กับไอ้เด็กแสบ  :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 20-06-2014 19:12:46
แบนอิหมอ  :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 20-06-2014 19:17:36
เย้ ตอนที่รอคอย ดีใจสุดๆๆๆๆเลยค่าาา อยากให้เค้าได้อยู่ใกล้ชิดกันไวๆ กลับไปอยู่บ้านที่แสนอบอุ่นดีกว่านะพี่เต็มนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 20-06-2014 21:31:01
แอบดีใจที่หมอเผยด้านมืดออกมา เต็มจะได้ตัดสินใจให้เด็ดขาดซะที


น้ำตาคลอเลยอ่ะที่เต็มจะกลับบ้าน ให้อารมณ์คล้ายๆส่งลูกถึงฝั่งฝายังไงยังงั้นเลย (มันเหมือนกันตรงไหนมั้ยอ่ะ 5555)   :hao7: :hao7: :hao7:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 20-06-2014 22:15:19
ไปหาพี่ปุ่นนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 20-06-2014 22:24:09
 :กอด1: กลับบ้านเรารักรออยู่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 21-06-2014 00:07:11
เริ่มคลี่คลายที่ละเปลาะ พี่เต็มเริ่มมีพัฒนาการที่ดีกับน้องตามขึ้นเรื่อยๆ เป็นปลื้ม
ทีนี้ก็ลุ้นต่อละว่าพี่เต็มจะเปิดใจรับพี่ปุ่นยังงัย
ขอบคุณคนแต่งครับ อ่านได้จุใจมากตอนนี้ รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 11 : ทบทวน)
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 21-06-2014 01:18:53
นี่มันนิยายดราม่าชัดๆ โอยยย น้ำตาไหลไม่หยุดเลย T____T
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-06-2014 03:13:37
นี่จ้ะ..ผืนสุดท้ายแล้ว

(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xap1/t1.0-9/10453476_272207559632305_5227060855329445552_n.png)

ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น



ตามตะวันนั่งมองพี่สาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาท์เตอร์จากระเบียงริมน้ำ ข้าง ๆ กันคือพนักงานไปรษณีย์หนุ่มหล่อที่มักแวะมาหาทุกวันพร้อมกับเจ้าลูกสุนัขขนฟูตัวอ้วนกลม ความรู้สึกเปียกชื้นปนจั๊กจี้ที่ปลายเท้าทำให้หนุ่มน้อยละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เพียงชั่วครู่ ตามตะวันผุดลุกขึ้นอย่างร้อนใจจนเจ้าหมาน้อยที่กำลังกระดิกหางดุ๊กดิ๊กนอนเลียเท้าของเขาอยู่ต้องทำหน้าฉงน โทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อ 3-4 นาทีก่อนและเขาก็เป็นรับสายนั้นเอง ดีใจสุด ๆ เมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือพี่ชาย แต่ยังไม่ทันจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบกันอีกฝ่ายก็ขอพูดกับชลธรเสียก่อน


หญิงสาววางหูโทรศัพท์พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเด็กชายร่างเล็ก สีหน้าเคร่งเครียดของเธอทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่ปลายสายหรือเปล่า


“พี่เต็มโทร.มาว่ายังไงเหรอฮะพี่ชล”


“เต็มฝากบอกตามว่าไม่ต้องเขียนจดหมายส่งไปให้อีกแล้วละจ้ะ”


“ทำไมล่ะครับ” ตามตะวันมองพี่สาวตาละห้อย สงสัยเหลือเกินว่าทำไมพี่ชายจึงไม่ให้ส่งจดหมายไปอีก หรือว่าเขาจะทำอะไรให้ไม่พอใจ


ชลธรสบตาน้องชายก่อนจะคลี่ยิ้มจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ก็เพราะว่าพี่เต็มจะกลับมาอยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วยังไงล่ะจ๊ะหนุ่มน้อย” พูดจบมือบางก็เลื่อนขึ้นไปวางบนศีรษะเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู


“ดีใจไหมจ๊ะ?”


“ดะ..ดีใจครับ” ดวงตาหม่นหมองกลับทอประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องถามย้ำให้แน่ใจ เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังคงพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อครู่ตามตะวันก็แทบจะกระโดดตัวลอย เด็กชายหันไปละล่ำละลักกับศิธาพัฒน์ที่นั่งยิ้มแฉ่งไม่ต่างกัน สองมือเล็กกุมกับมือหนากระโดดโลดเต้นไปมา ส่วนเจ้าลูกสุนัขปากเปราะก็ส่งเสียงเห่าไม่หยุดราวกับฟังทุกอย่างเข้าใจ

 
ชลธรมองตามเด็กชายวิ่งนำเจ้าหมาน้อยไปที่สนามหญ้าก่อนจะหันกลับมาหาคนที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่เดิม


“พี่ไม่แปลกใจหรอกที่น้องชายเขากระโดดโลดเต้นดีใจพอรู้ว่าพี่ชายกำลังจะกลับบ้าน แต่ที่พี่สงสัยก็คือทำไมคนเลี้ยงหมาต้องยิ้มหน้าบานขนาดนี้ด้วย”


เมื่อได้ฟังดังนั้นศิธาพัฒน์ก็รีบหุบยิ้มทันที ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนในหน้าคืออะไร แค่คำถามธรรมดา ๆ แต่ทำไมกลับทำให้ในใจรู้สึกปั่นป่วนไปหมด


เจ้าของคำถามมองหนุ่มหล่อหน้าเหรอหราที่โดนแซวหน่อยเดียวถึงกับไปไม่ถูก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะถามจริงจัง แต่พอเห็นอาการแบบนั้นแล้วคนหน้าหวานก็อดไม่ได้ที่จะกอดอกรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอย่างไร


“ผมดีใจแทนเจ้าแข็งแรงน่ะครับ ก็เจ้าของเขาจะกลับมาแล้วนี่”


“อ๋อ..ที่แท้ก็ดีใจแทนเจ้าแข็งแรงนี่เอง” ชลธรยิ้ม


.....   



ชายหนุ่มร่างเล็กวิ่งหน้าเริดฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่อยู่ในสถานีรถไฟหัวลำโพงออกมายังชานชาลาพลางสอดส่ายสายตามองหาบางสิ่ง ในมือของเขาถือถุงพะรุงพะรังมีทั้งน้ำและขนมขบเคี้ยว เสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบชานชาลาผสมกับเสียงเครื่องยนต์ของรถราที่จอดรับส่งผู้โดยสารอยู่ด้านนอกดังอื้ออึงไปหมด ความโกลาหลเริ่มขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออก ผู้โดยสารจำนวนมากก้าวลงจากรถไฟพร้อมสัมภาระ ต่างคนต่างมุ่งหน้าเข้าสู่สถานี ดุ่ยยังคงพยายามมองหาแต่ด้วยความสูงที่มีอยู่ไม่มากทำให้แทบจะมองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากคนที่เดินสวนมาพลันที่บ่าก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของใครคนหนึ่ง เมื่อหันหลังกลับก็พบว่าคนที่มองหากำลังส่งยิ้มมาให้


“นึกว่าจะไม่มาแล้ว”


“ไม่มาได้ไงวะ นี่คุยกับลูกค้าเสร็จปุ๊บก็รีบนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาเลย อ่ะนี่ซื้อขนมมาฝากด้วยเอ็งจะได้เอาไว้กินระหว่างทางเผื่อหิว”


“ขอบใจนะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะรับถุงขนมมาถือเอาไว้


“แล้วไอ้เก้ล่ะ”


“เอาเป้ขึ้นไปเก็บให้ นั่นไงมาพอดีเลย”


สองหนุ่มหันไปมองร่างสูงที่กำลังก้าวลงมาจากโบกี้รถไฟ กีรติเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนเคราแพะเอาไว้


“นึกว่าแกจะมาไม่ทันส่งไอ้เต็มแล้วนะเนี่ย”


“ทันสิวะ กะเวลาอยู่ รีบคุยแล้วก็รีบมาเลย”


“ขอบใจพวกแกมากนะที่มาส่ง” 


“นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องเคลียร์งานแทนเอ็ง พวกข้าจะไปส่งให้ถึงลำปางเลยนะ”


“เออ...แล้วก็ขอบใจมากนะเรื่องงานน่ะ”


“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อน้องเต็มจะได้กลับบ้าน พี่ดุ่ยยอมทั้งนั้น”


“แหม...ไอ้พระเอก” คนตัวสูงที่สุดในกลุ่มอดแขวะไม่ได้


“อยู่ที่โน่นฉันคงคิดถึงพวกแก”


“อยู่นี่พวกฉันก็คงคิดถึงแกเหมือนกัน” กีรติกล่าว มันเป็นความจริงที่ยากจะปฏิเสธ เพราะตลอดห้าปีที่อยู่ด้วยกันมานอกจากช่วงปิดเทอมแล้วก็แทบจะไม่เคยห่างกันไปไหนนาน ๆ ให้ต้องคิดถึงเลยสักครั้ง ถึงจะปิดเทอม...ก็ยังคิดได้ว่าเดี๋ยวพอเปิดเทอมก็เจอกัน แต่ครั้งนี้คงเป็นเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันจริง ๆ แล้ว


เสียงประกาศดังขึ้นท่ามกลางเสียงเครื่องจักรรถไฟที่กำลังทำงานบอกให้รู้ว่ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 จากสถานีกรุงเทพฯปลายทางสถานีเชียงใหม่กำลังจะเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผู้โดยสารต่างขึ้นไปบนขบวนเพื่อหาที่นั่งและจัดเก็บสัมภาระก่อนที่การเดินทางแสนยาวนานจะเริ่มต้นขึ้น


“เต็ม มาให้พี่ดุ่ยกอดที” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางกางแขนออก เต็มฟ้าคลี่ยิ้มก่อนจะเดินเข้าสู่อ้อมแขนของเพื่อนอย่างว่าง่าย


“ดูแลตัวเองดี ๆ นะไอ้เต็ม อย่าให้พวกข้าต้องเป็นห่วง” มือหนาตบลงบนแผ่นหลังของเพื่อนเบา ๆ


“แกก็เหมือนกันนะ”


“พอ ๆ ไม่ต้องกอดแน่นมาก ข้าหายใจไม่ออกว่ะ” ดุ่ยกล่าวพร้อมกับผละออกรีบใช้มือปาดน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตา


“รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว” กีรติเอ่ยเตือนเมื่อได้ยินเสียงประกาศครั้งสุดท้าย


“ไปก่อนนะ”


“โชคดี”


เต็มฟ้าจำใจหันหลังให้เพื่อนรักทั้งสอง ขายาวก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดก่อนจะหันกับมาสบตาคนตัวสูงที่กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน เพียงมองตาก็ราวกับว่าต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และแล้วแขนแกร่งของกีรติก็ผายออกทันเวลาก่อนที่ร่างเล็กจะโผเข้าหา


“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ” หน้าคมซบลงมาบนไหล่พูดด้วยเสียงอู้อี้แต่ก็ยังพอจับใจความได้


“ไม่เป็นไร” คำพูดสั้น ๆ ลอดผ่านริมฝีปากหยักอย่างแผ่วเบาแต่กลับมีความหมายหนักแน่นในความรู้สึกของคนสองคน มือใหญ่ตบเบา ๆ ที่แผ่นหลังเพื่อเตือนสติเต็มฟ้าจึงค่อย ๆ ขยับตัวถอยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลาแห่งการร่ำลากำลังจะหมดลงแล้ว ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจหันหลังให้ก่อนจะเดินดิ่งไปยังขบวนรถไฟที่จอดอยู่ เพราะกลัวว่าน้ำตาที่กำลังไหลจะทำให้คนข้างหลังต้องเป็นห่วงเขาจึงไม่ได้หันกลับไปมองเพื่อนรักทั้งสองอีกเลยจนกระทั่งก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เพียงไม่นานรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เคลื่อนออกจากชานชาลาพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟที่ดังขึ้น


กีรติทอดสายตามองม้าเหล็กตัวยาวฃที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในความมืด มันกำลังพาทุกคนไปให้ถึงจุดหมาย ม้าเหล็ก..ที่กำลังพาเพื่อนของเขากลับไปส่งยังบ้านเกิดที่จากมานานเหลือเกิน


“กลับเถอะไอ้เก้” ดุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบบ่าเพื่อนตัวสูงเบา ๆ “คืนนี้ข้าขอไปนอนหอเอ็งนะ”


“อือ” กีรติกล่าวพลางละสายตาจากไฟท้ายขบวนรถไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ


“เดี๋ยวคืนนี้พี่ดุ่ยจะร้องเพลงกล่อมน้องเก้เองนะครับ”


“เพลงอะไรวะ”


“รักในซีเมเจอร์ เหมาะกับไอ้พวกเก็บความรู้สึกเก่ง”


คนฟังเผยอยิ้มพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างอารมณ์ดี “เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้รู้คนเดียวนะ”


“ถุย! พ่อกีรติ พ่อคนดี” ดุ่ยกล่าวอย่างหมั่นไส้หรี่ตามองใบหน้าคมเข้มที่ยังคงอาบด้วยรอยยิ้ม


“เพื่อนพระเอกก็อย่างนี้แหละ” กีรติหัวเราะเบา ๆ จากนั้นสองหนุ่มก็พากันหันหลังกลับเดินกอดคอเข้าไปในสถานีที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ยังรอเดินทางไปกับรถไฟขบวนถัดไป


เต็มฟ้ายังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนที่ถูกกางออกโดยพนักงานบนรถไฟตั้งแต่รถยังไม่ออกนอกเขตกรุงเทพฯ ม่านทึบถูกรูดปิดเพื่อกันตัวเองจากสิ่งรบกวนในขณะที่เสียงพูดคุยกันของผู้โดยสารค่อย ๆ เงียบลง ได้ยินเสียงประตูเปิดและฝีเท้าของพนักงานที่ให้บริการอยู่บนรถไฟดังเป็นระยะ ๆ  ดวงตาที่ไม่แสดงถึงความรู้สึกใด ๆ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืดและความเวิ้งว้างไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือน อดคิดไม่ได้ว่าหากต้องถูกปล่อยให้อยู่ตรงนั้นตนเองจะเดินไปไหนได้ มันจะน่ากลัวสักเพียงใด โทรศัพท์ในมือยังคงสั่นเตือนว่ามีคนโทรเข้า ยี่สิบกว่าสายที่ไม่ได้รับเป็นเบอร์ของคนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้คุยกันร่วมสัปดาห์ตั้งแต่วันที่มีเรื่อง ข้อความขอโทษถูกส่งมาตลอดทั้งสัปดาห์แต่เต็มฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นั่นคงเป็นเพราะภาพที่ดุ่ยส่งมาให้ดูตั้งแต่เมื่อ 2-3 วันก่อน มันเป็นภาพของยุทธภูมิกับนักศึกษาแพทย์รุ่นน้องที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกันกระหนุงกระหนิงในโรงอาหารของโรงพยาบาล จากที่ตั้งใจจะไปเอาคืนให้สาสมกับที่ทำไว้กับเพื่อน ดุ่ยจึงจำต้องเปลี่ยนใจกะทันหัน


...


เสียงดังกุกกักและเสียงของผู้โดยสารที่กำลังจะเตรียมตัวลงปลุกให้คนที่เพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงตื่นขึ้น จะกดดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือก็พบว่าแบตเตอรีหมดไปเสียแล้ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาบอกเกือบตีห้า รถค่อย ๆ ชะลอความเร็วก่อนจะจอดนิ่งสนิทที่สถานีแม่ปิน เหลืออีกเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 มาถึงสถานีนครลำปาง เต็มฟ้ามาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนฟ้าสางเมื่อพนักงานรถไฟขานชื่อสถานีที่รถจะเข้าจอดในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นด้วยความงัวเงียก่อนจะหยิบแปรงและยาสีฟันที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกไปล้างหน้าล้างตาที่ท้ายโบกี้


เมื่อกลับมาถึงที่นั่งก็พบว่าเพื่อนร่วมทางที่นอนมาบนเตียงบนของเขาหายไปแล้ว เดาว่าคงจะลงที่สถานีเด่นชัยเมื่อตอนตีสี่ครึ่งที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ผู้โดยสารหลายคนเริ่มลุกจากที่นอนล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเตรียมตรวจสอบสัมภาระที่นำติดตัวมาเพื่อลงในสถานีหน้า ที่นอกหน้าต่างดวงอาทิตย์สีส้มดวงกลมได้เคลื่อนพ้นแนวยอดไม้ออกมาทักทายเหล่าคนเดินทาง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างกลับชวนให้รู้สึกเสียวที่ปลายเท้าเมื่อพบว่ารางเหล็กนั้นทอดตัวไปตามสันเขาที่ลาดชันปกคลุมด้วยต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนม้าเหล็กกำลังวิ่งอยู่เหนือยอดไม้ที่สูงลิบลิ่ว ในที่สุดรถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 ก็เข้าจอดเทียบที่ชานชาลาของสถานีนครลำปางเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้าของวันเสาร์ เต็มฟ้าสะพายเป้ก้าวลงมายืนมองภาพความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลามุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมองรางเหล็กที่ทอดตัวยาวขนานกันไปจนบรรจบกันที่จุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งซึ่งอยู่ไกลสุดสายตา รู้ว่าในความเป็นจริงแล้วการบรรจบกันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาแต่ไม่สามารถลวงหัวใจที่รู้ว่ามันจะเชื่อมลำปางกับที่ที่เขาจากมาไว้ด้วยกัน



....



เสียงไก่ชนของลุงเดชโก่งคอขันปลุกให้ทุกบ้านละแวกนี้ตื่นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ศิธาพัฒน์หลับ ๆ ตื่น ๆ ฟังเสียงไก่จนกระทั่งนาฬิกาปลุกเมื่อตอนฟ้าสว่างจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าสังเกตว่าฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้เช้านี้สดชื่นเป็นพิเศษ เสียงหงิง ๆ ของเจ้าลูกสุนัขที่ดังแว่ว ๆ ทำให้ต้องรีบเปิดประตูออกไปดู กลัวว่ามันจะมุดออกไปนอกรั้วแล้วหัวติดอยู่กับซอกประตูเหมือนวันก่อน ตาคมกริบหรี่ลงเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นอกรั้ว ส่วนเจ้าหมาน้อยก็กระดิกหางริก ๆ ยืนตะกายรั้วอยู่ไม่ห่าง


เจ้าของบ้านรีบเดินลงจากบ้านเพื่อไปดูให้แน่ใจ ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้รอยยิ้มแรกของเช้าวันใหม่ก็ปรากฏขึ้น เมื่อพบว่าคนที่นั่งอยู่นอกรั้วก็คือเจ้าของลูกสุนัขที่เขาอาสาเลี้ยงให้นั่นเอง หมูปิ้งไม้เล็ก ๆ ถูกสอดผ่านระหว่างช่องประตูเข้ามาให้เจ้าปากเปราะได้ลิ้มลองและท่าทางมันก็จะชอบเอามาก ๆ เสียด้วย


“ตะกละจริง ไม่รู้คนเลี้ยงปล่อยให้กินอด ๆ อยาก ๆ หรือไง ถึงได้ตะกละตะกลามแบบนี้” ปากบางบ่นพึมพำพลางดึงหมูปิ้งอีกไม้ออกจากถุง


“เลี้ยงให้อ้วนขนาดนี้แล้วยังว่าปล่อยให้อดอยากอีกเหรอ” ร่างสูงกล่าวอย่างอารมณ์ดี


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสีกากีที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าก่อนจะก้มลงสนใจลูกหมาอ้วน


“ใจคอจะไม่ทักทายกันเลยหรือไง” ศิธาพัฒน์กล่าวขณะไขกุญแจที่คล้องโซ่ ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าหมาน้อยก็วิ่งเข้าไปหาเจ้านายของมันทันที


มือเรียวจับที่โคนขาทั้งสองของเจ้าตัวอ้วนก่อนจะมันลอยขึ้นในอากาศ พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหมนังหนู” 


ศิธาพัฒน์ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อสิ้นเสียงของไอ้เด็กแสบ ที่บอกว่าทักทายน่ะหมายถึงทักทายคนเลี้ยงหมา ไม่ใช่ให้ทักทายหมาเสียหน่อย ชายหนุ่มได้แต่โคลงศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ


เต็มฟ้าปล่อยเจ้าแข็งแรงลงก่อนจะยื่นหมูปิ้งให้มันแทะเล่นเป็นของแถม


“จะไปทำงานแล้วเหรอ”


“อือ”


“กินหมูปิ้งไหม”


คนถูกถามเลิกคิ้ว “ก็หมูปิ้งนี่น่ะซื้อมาให้เจ้าแข็งแรงมันไม่ใช่เหรอ”


“เปล่า ซื้อมากินเอง แต่แบ่งให้แข็งแรงกินด้วย พี่ศิธาจะกินไหมล่ะ”


เรียกพี่ศิธาอีกแล้ว....


“เก็บไว้กินเถอะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินนำทั้งคนทั้งหมาเข้ามาในบ้าน    


“แล้วนี่มาตั้งแต่เมื่อไร”


“มาเมื่อคืน ถึงเมื่อเช้า”


“บอกใครหรือยังว่ามาถึงแล้ว”


เต็มฟ้าส่ายหน้าก่อนจะนั่งลงที่ระเบียง “ยังไม่ได้บอก แบตหมด ก็เลยแวะมาเยี่ยมเจ้าแข็งแรงมันก่อน”


“เอาเครื่องพี่โทร.ก่อนไหมหรือจะให้ไปส่งที่เกตส์เฮาส์”


“ขอชาร์จแบตก่อนได้ไหมจำเบอร์ไม่ได้”


คำตอบซื่อ ๆ ทำเอาคนถามอดขำไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมครั้งก่อนเขาถึงต้องเดินหาตามหาคนรับโปสการ์ดที่ไม่เขียนเลขที่ ก็เพราะไอ้คนส่งมันไม่จำอะไรเลยนี่เอง ศิธาพัฒน์มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเข้างานแล้วจึงยื่นกุญแจบ้านให้เต็มฟ้า


“พี่ฝากปิดบ้านด้วยก็แล้วกัน ส่วนกุญแจเอาไปฝากกับป้าบัวไว้ก็ได้ปกติแกไม่ได้ออกไปไหน”


ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนยังไม่ตื่นพยักหน้าส่ง ๆ พลางรับกุญแจมาถือไว้ มองดูร่างสูงที่กำลังเดินลงจากบ้าน ไม่นานเขาก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับออกไปโดยมีเจ้าแข็งแรงยืนกระดิกหางรอส่งอยู่ที่ปลายบันไดข้าง ๆ ชามอาหารเม็ดของมัน


“แข็งแรงมานี่มา”


เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านายตัวจริง เจ้าตัวอ้วนก็เห่ารับก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดมาหาอย่างว่าง่าย


“กินหมูปิ้งกันดีกว่าเนอะ กินอาหารเม็ดจนเบื่อแล้วมั้ง” พูดจบเขาก็ยื่นไม้หมูปิ้งให้นังหนูแข็งแรงเป็นรางวัล


เต็มฟ้าเดินเข้าไปในบ้านที่ทาด้วยสีฟ้าทั้งหลัง ภายในตกแต่งเรียบ ๆ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และมุมทำครัวเล็ก ๆ ที่ด้านในสุดของตัวบ้าน ส่วนตรงกลางเป็นโถงสำหรับนั่งดูทีวี ด้านและด้านข้างเป็นประตูบานพับใส่กระจกสีโบราณดูแปลกตาเปิดออกสู่ระเบียงที่เชื่อมถึงกัน ไหน ๆ เจ้าของบ้านก็ให้กุญแจเอาไว้แล้วก็ถือวิสาสะถอดเป้วางลงกับพื้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์จเสียเลย คิดว่ารอชาร์จโทรศัพท์เรียบร้อยก็จะโทร.บอกพ่อให้มารับกลับบ้าน ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเอนตัวลงนอนเหยียดยาวจ้องมองพัดลมเพดานที่หมุนเพราะแรงลมจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด


....


ศิธาพัฒน์กลับมาที่บ้านอีกครั้งในตอนเที่ยงหลังจากฝนหยุดตกไปได้ไม่นาน เมื่อพบว่าประตูยังไม่ได้ถูกคล้องโซ่ก็แน่ใจว่าเต็มฟ้าคงยังอยู่ในบ้าน เมื่อก้าวขึ้นมาบนบ้านก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ ไอ้ตัวแสบยังคงนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาแถมบนอกยังมีเจ้าขนฟูตัวอ้วนกลมนอนหลับตาพริ้มหาบใจรดกันอีก เจ้าของบ้านเห็นแล้วอยากจะเขกกะโหลกนักที่เอาลูกสุนัขเข้ามาในบ้านเพราะช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเขายังไม่มีเวลาจับมันอาบน้ำเลย ร่างสูงเตรียมจะอ้าปากบ่นแต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้ เขาย่อตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ โซฟามองดูคนที่กำลังนอนหลับ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองคนตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู พลางนึกไปถึง ‘เจ้าปุ้น’ น้องชายของตัวเอง เวลานอนหลับก็ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร แต่ลองได้ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็มักจะสร้างเรื่องปวดหัวให้ต้องตามบ่นอยู่เรื่อย มือหนาดึงกังหันพลาสติกสีสวยที่เคยให้กันไว้จากมือของอีกฝ่าย สังเกตเห็นรอยเขียวช้ำที่ข้อมือเล็ก แม้มันจะจางลงมากแล้วแต่ก็ยังดูออกว่าเป็นรอยนิ้ว ที่เกิดเป็นรอยขนาดนี้คนทำคงจะใช้แรงมากส่วนคนถูกกระทำก็คงจะเจ็บมาก ๆ เช่นกัน  ศิธาพัฒน์วางกังหันของเล่นลงบนโต๊ะก่อนจะยกตัวเจ้าลูกสุนัขที่กำลังหลับขึ้นวางลงกับพื้น เจ้าหมาน้อยปรือตาขึ้นเล็กน้อยแต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถเอาชนะความง่วงได้ ดวงตาฉายแววแห่งความอ่อนโยนมองเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เหนือขึ้นไปเป็นคิ้วหนาซึ่งจู่ ๆ ก็มุ่นเข้าหากันชวนให้คิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะมีเรื่องอะไรให้ต้องคิดนักหนาแม้กระทั่งในยามหลับ


“เต็ม ตื่นได้แล้ว”


เสียงที่ดังแว่ว ๆ อยู่ข้างหูทำให้เจ้าของชื่อต้องปรือตาขึ้น เต็มฟ้ายันตัวลุกขึ้นนั่งขยี้ตามองเจ้าบ้านพลางขมวดคิ้วราวกับเด็กที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม รู้สึกปวดหน่วง ๆ ในหัวจนต้องใช้เวลาตั้งสติอยู่นาน


“เช้าแล้วเหรอ”


“เช้าตั้งนานแล้ว นี่จะเที่ยงแล้ว” ร่างสูงกล่าวพลางลุกขึ้นเดินไปถอดปลั๊กที่ชาร์จแบตโทรศัพท์ก่อนจะมาวางให้บนโต๊ะ “โทร.ไปหาพ่อหรือพี่ชลแล้วหรือยัง”


“โทร.แล้วพ่อไม่อยู่ที่ไร่ โทร.ไปที่เกสต์เฮาส์ไม่มีใครรับ สงสัยแขกเยอะ”


“ถ้าอย่างนั้นให้พี่ไปส่งที่เกสต์เฮาส์ไหม พี่จะไปทานข้าวที่นั่นอยู่พอดี”


ไอ้เด็กแสบนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าตอบรับในที่สุด ดังนั้นศิธาพัฒน์จึงขี่มอเตอร์ไซค์พาเต็มฟ้ามาที่เกสต์เฮาส์ ลมเย็น ๆ หลังฝนตกที่ปะทะเข้ากับใบหน้าของคนซ้อนท้ายทำให้รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะมีสารใด ๆ เจือปนเช่นนี้ ถ้าจะมีสิ่งเจือปนก็คงเป็นกลิ่นดินกลิ่นกลิ่นหญ้าที่ได้กลิ่นเมื่อไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น น้ำในแม่น้ำวังที่เพิ่มระดับขึ้นมากทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปในสมัยเด็ก เมื่อถึงวันลอยกระทงพ่อกับแม่มักจะพาเขามาทำกระทงกันที่บ้านของน้าเดือน พอตกกลางคือก็ลอยกระทงกันที่ท่าน้ำหลังบ้านก่อนจะไปเที่ยวงานวันที่อยู่ห่างไปไม่ไกล


จะว่าไป...ในช่วงเวลาแบบนี้ถ้าแม่ยังอยู่ด้วยกันก็คงจะดี...





ศิธาพัฒน์รู้สึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่นิ่งเงียบผิดปกติตั้งแต่ออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถาม เมื่อมาถึงเกสต์เฮาส์ ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน


ชลธรที่กำลังยืนคุยอยู่กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่งมาเข้าพักรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบหน้าน้องชาย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้โทร.มาบอกล่วงหน้าว่าจะกลับมาจึงไม่มีใครไปรอรับ เต็มฟ้ายกมือไหว้ทักทายพี่สาวพลางหาวหวอด ๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย


“อื้อ...ถึงตั้งแต่เช้าแล้ว”


ศิธาพัฒน์มองชายหนุ่มที่ยืนขยี้ผมตัวเองอยู่หน้าเคาท์เตอร์ แปลกใจตัวเองอยู่ ๆ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาว่าอีกคนกำลังคุยกับใครอยู่ ร่างสูงเดินมานั่งที่โต๊ะก่อนจะจดรายการอาหารใส่กระดาษโน้ตเล็ก ๆ ส่งให้เด็กสาวที่เดินมารับออเดอร์


“โทษทีว่ะ พอดีแบตหมดเลยไม่ได้โทร.บอก เลิกบ่นได้แล้ว อือ ๆ แค่นี้นะ เดี๋ยวกลางคืนค่อยคุยกัน ไปทำงานเถอะ ฝากบอกไอ้ดุ่ยด้วยล่ะว่าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบเต็มฟ้าก็กดวางสายก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านปล่อยให้คนมาส่งได้แต่นั่งมองตามตาปริบ ๆ


ครู่หนึ่งสาวหน้าหวานก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟก่อนจะนั่งลงคุยกับพนักงานไปรษณีย์หนุ่มถึงสาเหตุว่าสองหนุ่มทำไมจึงมาด้วยกันได้ เมื่อถูกถามศิธาพัฒน์จึงเล่าทุกอย่างให้เธอฟังตามจริง


“นี่นายเต็มไปป่วนที่บ้านปุ่นแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย”


“ก็ไม่ได้ป่วนอะไรหรอกครับพี่ชล สงสัยจะคิดถึงเจ้าแข็งแรงน่ะครับ”


“เฮ้อ....เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ น้องชายพี่คนนี้นี่ไม่ไหวจริง ๆ เลย” ถึงแม้จะปากจะบ่นแต่ก็ยังยิ้ม ชลธรยอมรับกับตัวเองว่าเธอดีใจไม่น้อยที่น้องชายกลับมาอยู่ด้วยกัน ถึงจะทำชอบทำตัวให้คนอื่นต้องเป็นห่วง ทำเรื่องให้ต้องคอยบ่นคอยว่าแต่ก็อุ่นใจที่มีกันอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเมื่อก่อน


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-06-2014 03:20:49
(ต่อค่ะ)


พ่อเลี้ยงตรัยรีบขับรถมาที่เกสต์หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลูกชายคนโตเมื่อช่วงสาย วันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ไร่เพราะต้องเอาพ่อพันธุ์ม้าไปส่งให้เพื่อนที่จังหวัดลำพูนกว่าจะกลับถึงลำปางก็เกือบค่ำ เมื่อถึงเกสต์เฮาส์ก็พบว่าลูกชายทั้งสองคนเตรียมตัวรออยู่แล้ว เต็มฟ้านั่งประจำที่ข้างคนขับเหมือนเคย ในขณะที่หนุ่มน้อยร่างเล็กผู้เป็นน้องชายกอดตุ๊กตาหมอนข้างนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ด้านหลัง ผู้เป็นพ่อสบตาลูกชายคนเล็กในกระจก มั่นใจเหลือเกินว่าความรู้สึกของทั้งพ่อและลูกในตอนนี้คงไม่ต่างกันนักที่ได้รู้ว่าพี่ชายคนโตจะกลับมาอยู่ที่บ้านเป็นการถาวร


เมื่อรถขับเคลื่อนสี่ล้อของพ่อจอดสนิทที่หน้าบ้านเต็มฟ้าหันไปมองที่ด้านหลังก็พบว่าน้องชายหลับไปแล้ว เขาจึงลงจากรถเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหลังคนขับพลางเอื้อมมือสะกิดที่แขนเบา ๆ แต่หนุ่มน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น


“ท่าทางจะหลับยาว” ผู้เป็นพ่อกล่าวพร้อมกับหันไปบอกให้คนงานช่วยกันขนสัมภาระที่อยู่ท้ายรถเข้าไปเก็บก่อนจะแทรกตัวเข้ามาเพื่อจะอุ้มลูกชายเข้าบ้าน


“เดี๋ยวเต็มอุ้มน้องเข้าไปเองพ่อ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะพยายามปลุกน้องชายอีกครั้ง ตามตะวันปรือตาขึ้นแต่หนังตามันช่างหนักเสียเหลือเกิน


“ตามอย่าเพิ่งหลับ” พูดจบพี่ชายก็ดึงแขนน้องมาพาดกับบ่าของตัวเอง เด็กชายที่กำลังงัวเงียกอดคอพี่ชายเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงหลับตาสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก่อนจะหลับลงอีกครั้งพร้อมกับคิดว่าตนเองกำลังฝันไปและมันก็เป็นฝันดีมาก ๆ


พ่อเลี้ยงตรัยมองดูภาพน้องชายที่กำลังกอดคอขี่หลังพี่ชายตัวสูง มันเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะสองคนพี่น้องแทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย เมื่อลองนึกทบทวนดูก็ให้รู้สึกผิดอยู่ในใจไม่น้อยที่ส่งเต็มฟ้าไปเรียนโรงเรียนประจำ เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนั้นสองคนก็คงจะสนิทกันมากกว่านี้


เต็มฟ้าเปิดประตูเข้ามาในห้องค่อย ๆ วางร่างเล็กลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้ ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียงจ้องมองเด็กชายที่กำลังหลับจากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ ห้อง บนชั้นวางหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนเจ้าแมวสีน้ำเงินไม่มีหูที่กลัวหนูเป็นที่สุด นอกนั้นก็เป็นพวกหนังสือนิทานและหนังสือให้ความรู้ที่พ่อเคยซื้อให้เหมือนกันเมื่อสมัยยังเด็ก บนโต๊ะเขียนหนังสือนอกจากจะมีหนังสือเรียนแล้วยังมีเกียรติบัตรใส่กรอบอย่างดีซึ่งได้มาเมื่อช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง จึงไม่เคยรู้เลยว่าน้องชอบอ่านหนังสืออะไร อันที่จริงก็แทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าน้องชอบหรือไม่ชอบอะไร ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะเปิดออกดู พบว่ามันคือชุดกระโปรงสีฟ้าที่เขาเคยบอกให้พ่อยกให้ลูกคนงานไปนานแล้ว ไม่คิดว่ามันจะยังถูกเก็บเอาไว้ มือบางวางกล่องลงที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงพ่อกำลังคุยกับคนงาน จากนั้นจึงเปิดประตูออกจากห้องเดินกลับลงไปที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อหยิบสัมภาระของตัวเอง ทันทีที่ลงมาถึงก็เห็นผู้เป็นพ่อกำลังนั่งดูรายการข่าวภาคค่ำอยู่ที่โซฟาลูกชายคนโตจึงเดินมานั่งลงข้าง ๆ


“ทำไมจะกลับบ้านไม่โทรมาบอกก่อนพ่อจะได้ให้คนไปรับ แล้วลาออกกะทันหันแบบนี้งานทางโน้นเขาไม่เสียหายเหรอ”


คนถูกถามถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบคำถามที่คิดว่าพ่อน่าจะต้องการคำตอบมากที่สุด “เพื่อน ๆ เต็มช่วยรับช่วงต่อน่ะพ่อ งานมันก็ไม่ได้เร่งอะไร ก่อนจะลาออกก็พยายามจะเคลียร์ทุกอย่างให้หมดไม่ให้ต้องเป็นภาระใครอยู่แล้ว”


พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ารู้สึกหมดห่วงที่ได้ยินแบบนั้น เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาว่าลับหลังว่าลูกชายของเขาเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ


“พ่อเหนื่อยไหม”


“ทำไมถามแบบนั้น แกเป็นอะไรหรือเปล่าไอ้ลูกชาย” พูดจบร่างสูงใหญ่ของพ่อก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ


“เต็มแค่รู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่มันเหนื่อยจัง มันน่าจะดีถ้าเวลาของเราหยุดอยู่แค่ตอนเป็นเด็ก มีพ่อคอยจูงมือเดิน มีแม่คอยปลอบเวลาร้องไห้”


“เต็มเอ๊ย คนเรามันหนีการเติบโตไม่ได้หรอก ยังไงลูกก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ มันอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยหรือท้อบ้าง แต่นั่นมันก็จะทำให้ลูกแข็งแรงขึ้น และเมื่อลูกผ่านมันมาได้ลูกจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากเชื่อพ่อสิ”


ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอียงคอพิงไหล่หนาพลางมองดูโทรศัพท์มือถือในมือที่ยังคงสั่น


“อกหักมาหรือไง”


“คงงั้นมั้งพ่อ”


พ่อเลี้ยงตรัยหัวเราะในลำคอก่อนจะยกแขนขึ้นโอบไหล่ลูกชายเอาไว้ “อยากจะรู้จริง ๆ ว่าสาวคนไหนนะที่ทำให้แกเป็นได้ขนาดนี้”


เมื่อได้ฟังดังนั้นลูกชายจึงเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นพ่อ “พ่อจะโกรธไหม ถ้าเต็มบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง”


ผู้เป็นพ่อนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ยอมรับว่าตกใจอยู่เหมือนกันเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ลูกพูดออกมา แต่ในที่สุดความตื่นตะลึงในดวงตาวูบหายไปและกลับแทนที่ด้วยแววตาแห่งความอ่อนโยนเหมือนเดิม ผู้เป็นพ่อคลี่ยิ้มก่อนจะเลื่อนมือมาวางบนศีรษะของลูกชาย


“แกไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อจะโกรธแกทำไม”


“แต่เต็ม...เต็มทำให้พ่อผิดหวัง”


“พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวแก เพราะสิ่งที่พ่อหวังก็คือการได้เห็นแกเป็นคนดี แล้วแกก็ไม่ทำให้พ่อผิดหวัง” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวพลางมองดูโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือลูกชาย ทันทีที่เห็นรอยช้ำที่ข้อมือหัวใจของคนเป็นพ่อก็แทบหล่นวูบ ตั้งแต่เล็กจนโตแม้เต็มฟ้าจะดื้อจะซนบ้างเขาก็ไม่เคยถึงกับลงไม้ลงมือให้ลูกต้องเจ็บ แต่นี่ใครกันที่ทำให้ลูกชายต้องเจ็บตัวขนาดนี้ คิดได้ดังนั้นก็คว้าโทรศัพท์จากมือมากดรับสาย แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรคนที่ปลายสายก็เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน


‘เต็ม ทำไมไม่รับโทรศัพท์ภูมิ ภูมิโทรหาเต็มตั้งหลายวันแล้วนะ นี่ภูมิโทร.ไปหาเก้ถึงได้รู้ว่าเต็มกลับลำปางไปแล้ว ทำไมเต็มไม่บอกภูมิบ้าง ที่ทำแบบนี้แสดงว่าจะเลิกกันจริง ๆ ชะ...’


“แก...อย่ามายุ่งกับลูกชายฉันอีก อย่ามาแตะต้องให้ระคายแม้แต่ปลายเล็บ ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่” พูดจบก็กดปิดโทรศัพท์ทันทีโดยไม่รอให้คนที่ปลายสายได้อธิบายใด ๆ


เสียงของพ่อที่ได้ยินเมื่อกี้เป็นเสียงที่เหี้ยมเกรียมที่สุดตั้งแต่ที่เต็มฟ้าเคยได้ยินมา ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของผู้เป็นพ่อก่อนจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้ง


“พ่อบอกแกแล้วยังไงว่าแกไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อรักแกที่แกเป็นแก รักเพราะแกเป็นลูกของพ่อ ถ้าแม่แกยังอยู่พ่อเชื่อว่าแม่ก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกัน”


ชายหนุ่มค่อย ๆ เอียงคอซบลงบนไหล่ของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง “ขอบคุณนะพ่อ” ดวงตาหม่นหมองทอดมองมือหนาที่ประคองข้อมือของตัวเองเอาไว้ ได้ยินเสียงเครือ ๆ ของพ่อแว่ว ๆ   


“เจ็บมากไหมลูก”


เพียงคำถามสั้น ๆ ก็ทำเอาแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่


“เต็มบอกไม่ถูก มันเจ็บกว่าตอนวิ่งแล้วหกล้มหรือตอนที่ถูกครูตีเยอะเลย เจ็บ...เสียจนบอกไม่ถูก”
 

“ไม่เป็นไรนะลูก เดี๋ยวมันก็หาย”


สิ้นเสียงผู้เป็นพ่อชายหนุ่มก็โผเข้าซุกตัวในอ้อมกอดอุ่น ๆ ของพ่อเหมือนที่เคยทำเมื่อสมัยเด็ก ๆ มือของพ่อที่ลูบลงบนแผ่นหลังยังคงทำให้รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเสมอ


ตามตะวันยืนมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ เขายืนอยู่ตรงนี้มาสักพักใหญ่ ๆ ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบตุ๊กตาหมอนข้าง เมื่อนึกได้ว่าน่าจะลืมเอาไว้ในรถจึงเปิดประตูออกมาจากห้องตั้งใจจะขอกุญแจจากผู้เป็นพ่อไปเปิดรถเพื่อหยิบของที่ลืมไว้แต่ก็ล้มเลิกความคิดเมื่อลงมาพบว่าพี่ชายกำลังร้องไห้


หนุ่มน้อยเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนพยายามข่มตาแต่ก็ไม่อาจหลับลงได้ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดมา เขาไม่ได้หยุดที่ห้องฝั่งตรงข้ามแต่กลับเดินต่อขึ้นไปยังห้องใต้หลังคานั่นทำให้ตามตะวันรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นพี่ชายของเขาแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นเด็กชายก็ผุดลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป เด็กชายเดินขึ้นบันไดวนไปหยุดอยู่หน้าห้องที่อยู่สูงที่สุดของบ้าน มือเล็กเคาะประตูเบา ๆ เอ่ยปากขออนุญาตเปิดเข้าไป


“ทำไมยังไม่นอนอีก” เต็มฟ้าที่นั่งอยู่บนเตียงกล่าวเมื่อเห็นน้องชายเปิดประตูเข้ามา


น้องชายไม่ได้ตอบอะไร เขายังคงเดินเข้ามาใกล้ ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ จนในที่สุดก็มายืนอยู่ตรงหน้าพี่ชาย


“พี่เต็มเจ็บตรงไหน ตามจะเป่าให้” พูดจบมือเล็กก็เอื้อมจับข้อมือที่มีรอยเขียวช้ำจาง ๆ ขึ้นมาพร้อมกับเป่าอย่างแผ่วเบา “ตอนเด็ก ๆ เวลาตามหกล้มพ่อจะทำแบบนี้แป๊บเดียวก็หายเจ็บ”


เต็มฟ้าพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ชายหนุ่มจับที่แขนเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าก่อนจะดึงตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร


“พี่เต็มไม่ร้องไห้นะครับ” เด็กชายร่างเล็กกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบหลังพี่ชายเบา ๆ “ไม่ร้องนะ พี่เต็มเคยบอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้”


นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้กอดน้องชาย....


.....



เต็มฟ้าลืมตาตื่นขึ้นเมื่อตอนใกล้เที่ยงของวันอาทิตย์ ชายหนุ่มลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้าน เมื่อไม่พบทั้งน้องชายและพ่อจึงถามเอาจากคนงานจึงรู้ว่าพ่อไปส่งน้องชายทำรายงานที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เมื่อตอนเช้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเอารถออก


ศิธาพัฒน์ที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกต้องแปลกใจเมื่อรถเก๋งสีดำคันหนึ่งมาจอดบีบแตรอยู่หน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูออกมาก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนขับลดกระจกลงพอดี เสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์และแว่นกันแดดสีชาที่ตัดกับผิวขาวละเอียดทำให้วันนี้ไอ้เด็กแสบดูเท่ไม่หยอก อยากจะชมให้ได้ยินแต่ก็กลัวว่าคนถูกชมจะได้ใจ ศิธาพัฒน์จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้ดีกว่า 


“มีอะไรหรือเปล่า”


“จะไปวัดพระธาตุลำปางหลวงเลยแวะมาถามว่าพี่ไปมาหรือยัง”


“ยังเลย” ตอบไปแบบนั้นทั้งที่จริง ๆ เคยไปมาแล้วหนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีแก่ใจนึกถึงจึงจำต้องยอมผิดศีล


“ไปด้วยกันไหม”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกัน”


“เร็ว ๆ เข้า นานมากไม่รอนะ” พูดจบก็ดับเครื่องดึงกุญแจออกจากรถก่อนจะเดินไปนั่งเล่นกับเจ้าแข็งแรงที่บันได


ครู่หนึ่งร่างสูงก็เดินออกมาจากบ้านโดยไม่ลืมที่จะหยิบอัลบั้มรูปของพ่อกับแม่ติดมือมาด้วย เมื่อจัดการปิดประตูเรียบร้อยก็นั่งลงหยิบรองเท้าบูทสีน้ำตาลเข้มหุ้มข้อแบบมีเชือกผูกมาสวม เต็มฟ้าเลิกคิ้วมองชายหนุ่มที่นั่งลงข้าง ๆ กัน เขาสวมเสื้อลายสก็อตเล็ก ๆ สีน้ำเงินเข้มสลับขาวสาบเสื้อแต่งเก๋ ๆ กับกางยีนส์สีเข้มคาดเข็มขัดสีเดียวกันกับรองเท้า เป็นเพราะทุกครั้งที่พบกันก็มักจะเห็นสวมแต่ชุดทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ วันนี้จึงทำให้รู้สึกแปลกตาไม่น้อย


“แค่ไปวัดทำไมต้องแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้ด้วยเนี่ย”


“เอ้า ก็วันนี้เป็นผู้ติดตามลูกชายพ่อเลี้ยงทั้งทีก็ต้องแต่งตัวให้สมฐานะหน่อยสิ” ศิธาพัฒน์หัวเราะก่อนจะลุกขึ้น “เร็วสิ ช้าว่ะ” พูดจบก็เดินลิ่วพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดีทิ้งให้คนรอนั่งเกาหัวทบทวนว่าใครกันแน่ที่ช้า


พักใหญ่ ๆ รถเก๋งสีดำก็พาสองหนุ่มมาหยุดอยู่ที่หน้าวัดซึ่งตั้งอยู่บนเนินล้อมรอบด้วยกำแพงหนา มีบันไดนาคทอดยาวขึ้นสู่ซุ้มประตูด้านบน


“จะถ่ายรูปเป็นที่ระทึกไหม เดี๋ยวถ่ายให้” เจ้าของรถถามขณะกำลังเดินไปที่บันไดทางขึ้น


“เอาสิ เอามุมเดียวกับในรูปเลยนะ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ส่งอัลบั้มพร้อมกับโทรศัพท์มือถือให้


เต็มฟ้าถอดแว่นกันแดดออกเสียบเอาไว้ที่คอเสื้อก่อนจะรับอัลบั้มมาเปิดดู จากนั้นจึงมองหาจุดในการถ่ายภาพเพื่อจะให้ได้ภาพตามแบบที่เห็น ร่างสูงจ้องมองตากล้องจำเป็นเพิ่งรู้ว่าที่แท้แว่นกันแดดสีชานั่นก็ใช้เก็บซ่อนดวงตาที่ช้ำบวมเอาไว้นี่เอง  หลังจากถ่ายรูปเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินขึ้นไปบนบันไดนาค ทั้นทีที่ก้าวพ้นซุ้มประตูก็พบกับวิหารหลวงหลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งอยู่แนวเดียวกับซุ้มประตูและองค์พระธาตุ ซึ่งเป็นเป็นเจดีย์ทรงล้านนาก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมหุ้มด้วยแผ่นทองเหลืองฉลุลาย หลังจากนมัสการพระธาตุแล้วสองคนก็เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ศิธาพัฒน์รู้สึกว่าการมาวัดพระธาตุลำปางหลวงในวันนี้ของเขามีความหมายมากขึ้นเพราะได้ไกด์กิตติมศักดิ์ช่วยเล่าหลาย ๆ เรื่องให้ฟัง


“มาบ่อยเหรอ”


“ก็เกือบทุกครั้งที่กลับบ้านน่ะ ถ้ามีเวลาก็จะแวะมา” เต็มฟ้ากล่าวขณะที่เดินกลับมาที่รถ ระหว่างที่รถออกจากบริเวณของวัดพระธาตุลำปางหลวงมาได้สักพักเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น


“แล้วไปมาครบทั้งอัลบั้มหรือยัง”


“อืม...ก็เกือบหมดแล้วนะ ถ้าจะเหลือก็คงเป็น.....” เจ้าของอัลบั้มรูปกล่าวพลางพลิกภาพไปมาจนกระทั่งไปหยุดที่ภาพของโรงนาใกล้ลำธาร


“ที่นี่แหละ”


เต็มฟ้าเบนสายตาไปมองที่ภาพพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ไม่ทันได้สังเกตให้ถ้วนถี่ “เดี๋ยวเต็มขอแวะไปที่ไร่ก่อนนะแล้วจะไปส่ง”


ศิธาพัฒน์วางอัลบั้มรูปลงบนตักพยักหน้างง ๆ แทบไม่เชื่อหูที่เมื่อกี้ไอ้เด็กแสบแทนตัวเองว่า ‘เต็ม’
ฟังผิดไปหรือเปล่า?


“ฟังอยู่หรือเปล่า”


“ฟะ..ฟัง ฟังอยู่นี่ไง ได้ยินเต็มสองหู ว่าแต่เมื่อกี้ว่าไงนะ”


“อ้าว ตกลงฟังหรือไม่ฟังเนี่ย” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วก่อนจะสวมแว่นตากันแดดกลับเข้าที่ “เต็มบอกว่าซื้อปลอกคออันใหม่มาฝากเจ้าแข็งแรง จะเอาให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ลืม อันเก่าป่านนี้คงแน่นจนมันหายใจไม่ออกแล้วมั้ง”


“ก็คงเริ่มแน่นแล้วละ กินจุขนาดนั้น”  พูดจบศิธาพัฒน์ก็มองออกไปนอกพร้อมกับยกแขนขึ้นเท้าขอบหน้าต่าง นิ้วหนาถูกับปลายจมูกไปมาแก้เขิน พยายามนึกหาที่มาที่ไปของอาการที่เกิดขึ้นแต่สุดท้ายก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเขินทำไม


....


ท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มทำให้รู้สึกร้อนใจอยากจะไปให้ถึงบ้านก่อนที่ฝนจะตกลงมา เพราะความร้อนในใจสั่งให้ต้องเหยีบคันเร่งเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจนคนนั่งมาด้วยกันต้องเอ่ยปากปรามเป็นระยะ ๆ แต่คนขับก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไรนัก ทันทีที่กลับมาถึงบ้านเต็มฟ้าก็รีบขึ้นไปหยิบปลอกคอสุนัขที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯ บนห้องนอนก่อนจะกลับลงมาพบกับพ่อที่เพิ่งกลับมาจากไร่


“น้องล่ะเต็ม”


“อ้าว ก็พี่แจ่มบอกว่าพ่อไปส่งทำรายงานที่บ้านเพื่อนตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอ”


“พ่อไปรับกลับมาแล้วนะ เจ้าตามมันกลับมาไม่เห็นเต็ม ก็เลยขอเอาจักรยานออกไป นี่พ่อก็นึกว่าจะเจอกันเสียอีก ฝนก็จะตกแล้วด้วย ไม่รู้ว่าไปติดฝนอยู่ตรงไหน” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวอย่างร้อนใจ เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เห็นว่าเมฆสีดำกำลังเคลื่อนต่ำลงทางท้ายไร่ฝนน่าจะตกลงมาแล้ว


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเต็มออกไปตามเอง”


“แล้วแกจะไปตามน้องที่ไหน”


“น่าจะอยู่ที่ท้ายไร่นั่นแหละพ่อ” พูดจบเต็มฟ้าก็รีบเดินออกจากบ้านไปทันที


ศิธาพัฒน์มองตามร่างสูงที่วิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาก่อนจะเปิดประตูพรวดเข้ามานั่งในรถ


“มีอะไรหรือเปล่า”


“พ่อบอกว่าตามหายไป”


รถเก๋งสีดำขับลัดเลาะไปตามทางที่ศิธาพัฒน์ไม่คุ้นตา สายฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นจนที่ปัดน้ำฝนแทบจะกลายเป็นสิ่งไม่มีประโยชน์


“แล้วนี่รู้เหรอว่าจะไปหาน้องที่ไหน”


“น่าจะอยู่ที่ท้ายไร่” พูดจบเต็มฟ้าก็หักพวงมาลัยเลี้ยวลงไปตามทางดินที่ขนาบข้างด้วยรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ มุ่งหน้าไปยังแนวทิวสนที่ท้ายไร่ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้รถเคลื่อนไปได้อย่างช้า ๆ เสียงฟ้าคำรามฟังน่ากลัวจนบางครั้งต้องแอบหลับตาปี๋


“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ไป” คนนั่งมาข้าง ๆ เอ่ยขึ้นเตือนสติ


ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าโรงนาเก่าที่ถูกแปลงสภาพเป็นโรงงานเซรามิค เพราะเป็นวันอาทิตย์นายใหญ่ของไร่จึงอนุญาตให้คนงานหยุดงานหนึ่งวัน ดังนั้นโรงงานจึงถูกปิดเงียบมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เต็มฟ้ามองผ่านที่ปัดน้ำฝนเห็นจักรยานคันหนึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกล ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถอย่างรีบร้อนก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังโรงนาเก่า เดินหาจนรอบก็หาไม่พบ แสงที่วาบขึ้นเตือนให้รู้ว่าจะมีเสียงคำรมของฟ้าเกิดขึ้นตามมาชายหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นปิดหูหลับตาปี๋ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนดังกึกก้องน่ากลัว


“เต็ม เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงที่ดังแทรกขึ้นกับมือเย็นเฉียบที่แตะลงบนบ่าทำเอาเต็มฟ้าต้องสะดุ้ง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเป็นศิธาพัฒน์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“กลัวเหรอ”


อยากจะเงยหน้าขึ้นถามกลับว่ายืนอุดหูขนาดนี้คิดว่าชอบหรือไง แต่แสงแปลบปลาบก็ทำให้ต้องก้มหน้างุดหลับตาอยู่อย่างนั้น กระทั่งฝนซาเม็ดลงก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า


หน้าซีด ๆ นั่นทำให้ทำให้ศิธาพัฒน์แกล้งไม่ลงทั้งที่ในใจอยากแกล้งเสียให้เข็ด ชายหนุ่มเอื้อมดึงมือของคนที่เอาแต่ยืนหลับตาปิดหูเพราะกลัวเสียงฟ้าร้องพร้อมกับปลอบแบบเดียวกันกับที่ปลอบน้องชายเมื่อสมัยยังเด็ก


“ไม่ต้องกลัวนะ รามสูรไปแล้ว”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเต็มฟ้าก็ค่อย ๆ คลายมือออกก่อนจะมองไปรอบ ๆ ฝนเริ่มซาเม็ดลงในขณะที่ท้องฟ้าไม่ได้มืดดำจนน่ากลัวเหมือนเมื่อครู่ 


“กลับกันเถอะ”


“ยังหาน้องไม่เจอเลย” น้ำเสียงและท่าทางจริงจังของคนเป็นพี่ทำเอาศิธาพํฒน์อดนึกขันไม่ได้


“เมื่อกี้คุณลุงโทร.มาบอกว่าคนงานขับรถไปส่งตามที่บ้านแล้ว คงเป็นรถกระบะที่สวนกันก่อนที่เต็มจะเลี้ยวเข้ามาที่นี่นั่นแหละ”


สองหนุ่มเดินกลับมาที่รถอีกครั้ง โดยที่ขากลับออกไปศิธาพัฒน์อาสาเป็นคนขับเสียเอง รู้สึกขยาดนิด ๆ กับฝีมือการขับรถของไอ้เด็กแสบที่ตอนนี้คงจะหายซ่าส์ไปชั่วขณะเพราะเสียงฟ้าร้อง


“จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม”


“ไม่เป็นไร ไปเถอะ” เต็มฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในใจคิดทบทวนว่าจะถ้าคนงานไม่ได้มาพบน้องชายแล้วพาไปส่งที่บ้านจะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรหากหาน้องไม่พบ


เมื่อรถพ้นเขตไร่แสงดาวมาได้สักพักก็เป็นศิธาพัฒน์ที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ 


“จริง ๆ ก็รักน้องเหมือนกันนี่นา แต่ทำไมไม่แสดงออกให้น้องรู้บ้าง”


ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งของคนที่นั่งมาด้วยกัน นึกชมคนข้าง ๆ ว่าช่างเป็นมนุษย์ที่พูดแทงใจดำได้เก่งเหลือเกิน


“ถึงจะเป็นพี่ชายคนโต แต่ก็ไม่ต้องทำเข้มแข็งให้น้องเห็นตลอดเวลาก็ได้มั้ง อีกอย่าง...เข้มแข็งกับแข็งกระด้างน่ะมันต่างกันนะ”


“ถ้ามันทำง่าย ๆ ก็คงทำไปแล้วละ” ริมฝีปากบางกล่าวอย่างแผ่วเบาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง


“ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าเราน่ะ”


“ถามทำไม”


“ตอบมาก่อนสิว่าว่ายเป็นไหม ไม่เอาแบบยกมือไหว้นะ” เจ้าของคำถามเตรียมดักคอเอาไว้ก่อน


“เป็น ถามทำไม”


“ถ้าอย่างนั้นพี่จะบอกอะไรให้” พูดจบศิธาพัฒน์ก็จอดรถบนสะพานข้ามคลองส่งน้ำแคบ ๆ ที่ตอนนี้น้ำมากจนเกือบจะล้นตลิ่ง


“จอดรถทำไม”


“ลงไปก่อนเดี๋ยวก็รู้”


เต็มฟ้าได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ จากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากรถก่อนจะมายืนเกาะราวสะพานมองดูสายน้ำเบื้องล่าง


“อะไรที่เราไม่เคยทำ เรามักจะคิดว่ามันยากไว้ก่อนเสมอ แต่พอได้ทำแล้วครั้งต่อ ๆ ไปมันก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย” ร่างสูงหันมายิ้ม “ก็เหมือนกับการกระโดดจากตรงนี้ลงไปข้างล่างนั่นแหละ ครั้งแรกมันจะยาก กว่าจะตัดสินใจกระโดดได้ไม่รู้ใช้เวลาไปเท่าไร แต่พอได้กระโดดลงไปแล้วครั้งต่อไปมันก็กลายเป็นเรื่องสนุก ลองดูไหม”


“เฮ้ย! นี่พี่ศิธาเอาจริงเหรอ”


“จริงสิ” คนชวนถอดรองเท้าก่อนจะถลกขากางเกงปีนขึ้นไปยืนบนราวสะพาน ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็มองอีกฝ่ายอย่างลังเลก่อนจะถอดรองเท้าและถลกขากางเกงปีนขึ้นไปยืนอยู่บนราวสะพานข้าง ๆ กัน


“ตอนนี้รู้สึกกลัวใช่ไหม”   


“กลัวสิ ถามมาได้ สูงขนาดนี้”


“พี่ก็กลัวเหมือนกัน ถ้าเต็มกลัวก็จับไว้” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ผายมือออก


นัยน์สีเข้มมองลงไปเบื้องล่างอย่างชั่งใจก่อนจะวางมือของตัวเองลงบนมือของคนข้าง ๆ สองมือเกาะเกี่ยวกันเอาไว้ รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เต็มฟ้าได้เห็นก่อนที่สองร่างจะแหวกอากาศลงสู่สายน้ำเย็นฉ่ำเบื้องล่าง


ตูม!!!!



เมื่อทะลึ่งตัวโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ต่างคนต่างก็มองกลับไปบนสะพานและก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด...
   



มันน่ากลัวแค่ตอนแรก...



แล้วมันก็ยากแค่ในตอนที่จะเริ่มต้นทำเท่านั้น....




หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 22-06-2014 04:03:22
โอ้ยดีใจที่เต็มกลับบ้าน   :L2: :L2: :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 22-06-2014 06:56:07
พี่ปุ่นนนนน เท่สุดๆไปเลย :3
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 22-06-2014 07:12:28
พี่ศิธา น้องเต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 22-06-2014 07:12:55
น่ารักๆๆๆๆๆ ชอบจัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 22-06-2014 07:15:25
กลับมาแล้วนะเต็ม 


ลุ้นทุกครั้งที่ได้อ่าน :L1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 22-06-2014 07:20:09
อ่านแล้วแอบน้ำตาซึม
 :mew6: :mew6:

ดีใจที่เต็มกลับมาบ้านแล้ว
เต็มได้รับรู้ความรู้สึกที่ครอบครัวมีให้เต็ม
ซึ้งมากตอนที่พ่อลูกคุยกันกับตอนที่น้องตามเป่าแขน

เต็มก็ยังเป็นเด็กแสบจอมกวนของพี่ปุ่นอยู่เสมอ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 22-06-2014 07:26:39
ฮือออ ทำไมน่ารัก :mew6: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 22-06-2014 07:38:01
สงสารเต็มจังเลย น้ำตาไหลเลยอ่ะตอนที่เต็มกอดพ่อ
ไม่มีใครที่จะรักเราเท่าครอบครัวเราอีกแล้ว
แหม พี่ศิธา มีแอบเขินน้องเต็มด้วยนะ 55น่ารักดีอ่ะ
แล้วมาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 22-06-2014 09:24:57
กลับบ้านดีกว่านะเต็ม บ้านเราอบอุ่นจะตาย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-06-2014 11:30:43
ที่จริงต้องขอบคุณแฟนเก่าเต็มนะเนี่ย
เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เต็มตัดสินใจกลับบ้าน
แถมยังทำให้พี่น้องได้กอดกันด้วย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 22-06-2014 11:43:09
เริ่มสมหวังกันถ้วนหน้า ดีใจที่พี่เต็มกลับบ้าน
ปลื้มกับความรักต่อน้องที่พี่เต็มแสดงออกมา
พี่ปุ่น รุกคืบได้แล้ว หนทางสดใส
ขอบคุณคนแต่งครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 22-06-2014 12:02:56
 :mew1: ดีใจเต็มกลับบ้านแล้ว ได้เจอกับพี่ปุ่นทุกวัน
ตอนที่น้องตามปลอบเต็มน้ำตามาเลยเชียว...ซึ้งอ่ะ
จากนี้ไปก็ขอให้มุ้งมิ้งๆ....อิอิอิ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 22-06-2014 12:05:36
สมน้ำหน้ายุทธภูมิ โดนพ่อเลี้ยงตรัยด่าซะ สะใจ
เต็มอย่าเสียใจเสียน้ำตาอีกเลย มีคนที่รักอีกตั้งมากมาย
ดีใจที่เต็มเป็นห่วงน้อง แสดงออกว่ารักน้องเหมือนที่พี่ปุ่นบอกได้แล้วนะ
การที่เต็มกลับมาแล้วไปหาพี่ปุ่นก่อน แถมจะไปวัดก็แวะมาชวนนี่
สื่ออะไรได้บ้างมั้ยคะ จิ้นได้มั้ย จิ้นได้รึเปล่า ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-06-2014 12:50:22
กลับบ้านเรารักรออยู่
อ้อมกอดพ่อและน้องอบอุ่นใช่ไหมล่ะเต็ม
และยังมีพี่ปุ่นที่พร้อมจะเข้าใจอีกคนนะ
สงสารเพื่อนเก้ แอบรักเขาข้างเดียว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-06-2014 13:54:17
 :L1: ความรักเริ่มผลิดบานแบบไม่รู้ตัว
ครั้งแรกก็หวาดหวั่น ครั้งต่อไป  :haun4:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 22-06-2014 14:27:51
ดีใจที่น้องเต็มมีพี่ปุ่นอยู่ที่ลำปางด้วย
คอยให้ความคิดดีๆ
และดีใจกับเต็มที่มีเพื่อนดีๆทั้งพี่ตุ่ยทั้งกีรติ
เอาความสุขนี้ส่งต่อให้น้องตามด้วยนะ

ร้องไห้ตามพี่น้องคู่นี้ ชอบ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 22-06-2014 14:43:46
ตอนนี้ทำเราเสียน้ำตา แต่เป็นแรงบันดาลใจให้อาทิตย์นี้เรากลับบ้านไปหาพ่อนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2014 15:22:34
ถึงทีของลำปางบ้างแล้ว หลังจากอยู่กรุงเทพฯมานาน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 22-06-2014 16:08:22
 :monkeysad: ซึ้งอ่ะ คุณพ่อเท่มากเลย น้องตาม พี่ปุ่น เต็มฟ้าทุกคนรักเรานะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 22-06-2014 16:34:49
ฟ้าหลังฝนนะเต็มฟ้า
แค่คนๆเดียวที่ไม่รักเรา แต่ตอนนี้เต็มมีคนรอบตัวที่รักเต็มเยอะแยะเลย
บรรยากาศตอนนี้มันหน่วงๆอึนๆ แต่มันซาบซึ้งใจดีจัง
อ่านแล้วอยากไปลำปาง...
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 22-06-2014 16:46:13
ชอบเต็มตอนนี้มากๆเลยอ่ะ
น่ารักสุดๆ
พี่ปุ่นก็เท่มากกกก
คุณพ่อก็เหมือนกัน เห็นนิ่งๆนี่ก็ห่วงลูกนะ

ตอนนี้อ่านแล้วอบอุ่นมากเลยค่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 22-06-2014 18:02:39
อร๊ายยยยยยย นี่สินะคือที่มาของชื่อตอน 555+ พี่ศิคะ ทำไมพี่น่ารักเยี่ยงนี้เคอะ หลงรักเลยค่า อ๊ากกกกกก ผู้ชายอบอุ่น >////<
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 22-06-2014 21:32:13
ทำไมเราพลาดตอนที่แล้ว...
แต่อ่านรวดสองตอนเลยดีนะ ไม่อึน กำลังมุ้งมิ้งได้ที่
ครั้งแรกก็ยากแหละเต็ม เจ็บๆหน่อย ทนๆเอาเดี๋ยวอะไรๆก็ดีเอง /นังเวสต์พูดถึงเรื่องอะไร
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 23-06-2014 22:52:00
ตอนนี้เริ่มใกล้กันแล้ว ชอบที่พี่ปุ่นสอนเต็ม

เป็นการเปรียบเทียบกันให้เห็นจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 24-06-2014 11:09:20
หล่อ เท่ อบอุนขนาดนี้ รีหลงรักพี่ศิธา เร็วๆ นะ น้องเต็มมมมมมมมม 

โอ๊ยยยยยยยย หลงรักผู้ชายคนนี้ (เวลาเค้าเขินแบบไม่รู้ตัวมันน่ารักมากกกกกกอ่ะ) :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 25-06-2014 13:52:06
พี่ปุ่นของเรา เอ๊ยย~ ของเต็ม

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-06-2014 15:45:32
ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ


"เต็ม ขึ้นมาได้แล้ว"



มือหนาป้องปากตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่ยังคงดำผุดดำว่ายอยู่ในสายน้ำเย็นฉ่ำ ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรแล้วที่เขาต้องโก่งคอไปโดยไม่เกิดประโยชน์แบบนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไรแล้วที่เต็มฟ้ากระโดดจากราวสะพานลงไปนับจากครั้งแรกที่ทั้งสองคนกระโดดลงไปด้วยกันจนตอนนี้ศิธาพัฒน์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดผิดที่ชวนไอ้ตัวแสบมากระโดดน้ำเอาเมื่อตอนดวงอาทิตย์คล้อยต่ำท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายเช่นนี้ เดี๋ยวคงได้ไม่สบายกันไปข้างหนึ่งแน่ ๆ ดวงตาคมทอดมองตัวซีดที่กำลังว่ายกลับเข้าฝั่งมองหาที่ยึดเกาะเพื่อพาตัวเองขึ้นจากน้ำ ทันทีที่มือบางเกาะเกี่ยวกอหญ้าได้ก็ตะเกียกตะกายขึ้นนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับขึ้นมาบนสะพานอีกครั้ง


“พอหายกลัวแล้วเอาใหญ่เลยนะ” ศิธาพัฒน์ที่นั่งอยู่บนราวสะพานเอ่ยขึ้นขณะเต็มฟ้ากำลังพาร่างสูงโปร่งสมส่วนที่ชุ่มไปด้วยน้ำตรงเข้ามา เสื้อเชิ้ตสีเข้มเมื่อเปียกน้ำก็แนบติดไปกับลำตัวจนเห็นเอวสอบชัดเจน ช่วงไหล่กว้างอย่างกับนักกีฬาว่ายน้ำชวนให้อดที่จะถามไม่ได้ แต่จะถามอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่คิดว่ากำลังถูกลอบสำรวจรูปร่างอยู่นั่นคือปัญหา มองคนหายใจหอบยันตัวขึ้นนั่งบนราวสพานแล้วให้นึกขำ นี่น่ะหรือพี่ชายที่ชอบทำหน้านิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าน้อง พอได้ทำอะไรที่หลุดไปจากกรอบที่ตีขึ้นมาบังคับตัวเองกลับแสดงความเป็นเด็กออกมาจนน่าตีนัก


มือบางเสยผมที่ลงมาปกหน้าผากในขณะที่ริมฝีปากซีดเผยอน้อย ๆ ช่วยกอบโกยอากาศร่วมกับจมูกโด่งก่อนจะเหลียวกลับไปมองสายน้ำเบื้องล่าง ลมแรงที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ๆ ช่วยให้เสื้อผ้าแห้งไวขึ้นแต่ก็ทำเอาหนาวสั่นอยู่เหมือนกัน 


“จะโดดอีกไหม”


เต็มฟ้าโคลงศีรษะไปมาแทนคำตอบ โดดลงไปไม่กี่ครั้งก็หอบแฮกพูดอะไรไม่ออกแล้ว ตอนแรกที่ขึ้นไปยืนรู้สึกขาแข้งสั่นไปหมด แทบไม่อยากจะมองลงไปข้างล่าง แต่พอกระโดดลงไปแล้วความรู้สึกกลัวนั้นกลับหายเป็นปลิดทิ้ง จริงอย่างศิธาพัฒน์ว่า มันกลายเป็นเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับวันที่อากาศขมุกขมัวแบบนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน


“เห็นไหมว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ยากเลย ก็เหมือนการแสดงความรักให้น้องรู้นั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องยากเลย”


คนฟังก้มต่ำมองปลายเท้าเปลือยเปล่าตัวเองก่อนที่ริมฝีปากบางจะกลับมาทำหน้าที่ของมันเหมือนเดิม


“แค่พูดเฉย ๆ ก็ง่ายน่ะสิ”


ศิธาพัฒน์ถอนใจเบา ๆ มองคนฟอร์มเยอะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ถ้าการพูดหรือการกระทำมันยากไปก็เริ่มจากการเขียนดีไหม”


“เขียนเหรอ?”


“ใช่ รู้สึกแบบไหนก็เขียนออกไป อย่างน้อยน้องจะได้รู้ว่าพี่ชายที่ชอบทำตัวเย็นชา แข็งกระด้าง วางฟอร์ม ขี้เก๊ก พูดจามะนาวไม่...ม...มี...”


“พอได้แล้วมั้ง ที่พูดมานี่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง” เจ้าของสรรพคุณทั้งหมดหรี่ตามองเมื่อรู้สึกกำลังถูกหลอกด่าอยู่กลาย ๆ ในขณะที่คนพูดเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง


“ก็นั่นแหละ เริ่มต้นจากแบบนี้ก่อน”


“อืม..จะลองทำดูก็แล้วกัน” สิ้นเสียงชายหนุ่มบรรยากาศก็กลับเงียบลงอีกครั้ง นัยน์ตาสีเข้มยังคงก้มต่ำคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนในที่สุดก็เป็นศิธาพัฒน์เองที่ทำลายความเงียบนั้นลง


“ว่ายเก่งเหมือนกันนี่ เคยเป็นนักกีฬาเหรอ”


“เคยเรียนน่ะ สมัยที่อยู่โรงเรียนประจำไม่มีอะไรทำก็ไปว่ายเล่นอยู่บ่อย ๆ แต่หลัง ๆ พอโดนบังคับให้ซ้อมไปแข่งก็เลยเลิก ไปทำอย่างอื่นแทน”


เหตุผลที่ฟังดูเอาแต่ใจเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนถามได้ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเหมือนจะถามว่ามีอะไรน่าขำ ชายหนุ่มก็จำต้องรีบเบนหน้าหนีดวงตาคู่สวยที่ถูกล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวทันที


“ศิลปินจริง ๆ”


“ใคร ๆ ก็พูดอย่างนั้น”


“แล้วเต็มคิดยังไงที่คนเขาพูดแบบนั้น”


“ฟังเฉย ๆ ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป”


“ทำแบบนี้น่ะ ไม่กลัวคนอื่นเขาจะคิดว่าเราเอาแต่ใจตัวเองบ้างหรือไง”


“ก็คงห้ามไม่ได้” ริมฝีปากบางที่ตอนนี้กลับซีดลงเพราะอากาศที่หนาวเย็นเอื้อนเอ่ยวาจาอย่างไม่ยี่หระ “ทำอะไรแล้วไม่มีความสุขก็ไม่ทำ คิดอยู่แค่นี้แหละ ก็คงเหมือนที่พี่ศิธาชวนกระโดดน้ำเมื่อกี้ กระโดดเล่น ๆ มันก็สนุก แต่ถ้าจะให้กระโดดไปเพื่อไปโอลิมปิกเต็มก็ไม่เอาหรอก พอมีเรื่องการแข่งขันขึ้นมาเกี่ยวมันก็ไม่สนุกแล้ว”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าเข้าใจ ถึงจะฟังดูยอกย้อนแต่ก็ยังมีเหตุผลให้ยอมรับได้ หากเป็นเมื่อก่อนอดีตนักการตลาดอย่างเขาคงเถียงสุดใจขาดดิ้น


‘ต้องแข่งขันสิ ชีวิตมันถึงจะมีรสชาติ’ 



....



แสงไฟหน้ารถที่สาดผ่านช่องประตูทำให้เจ้าลูกสุนัขที่นอนอยู่บนบันไดต้องผงกหัวขึ้นมองฝ่าความมืดไปยังประตูรั้ว ทันทีที่เห็นเงาตะคุ่มของคนที่เปิดประตูลงมามันก็เห่าเสียงดังจนคนเลี้ยงนึกชมอยู่ในใจว่านังหนูขนฟูช่างทำหน้าที่ของมันได้ดีจริง ๆ เสียงโซ่ถูกดึงครูดกับลูกกรงเหล็กจากนั้นประตูรั้วก็ถูกเปิดกว้างให้รถเก๋งสีดำเคลื่อนผ่านเข้ามา เมื่อเห็นชัด ๆ ว่าใครเป็นใครเจ้าแข็งแรงก็กระดิกหางริก ๆ เดินวนไปมาอยู่บนลูกบันไดหน้าแคบ


“ขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม ขับกลับแบบนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้เป็นหวัดกันพอดี”


“ไม่เป็นไรหรอก”


ความกังวลของศิธาพัฒน์ดูว่าจะกลายเป็ยความจริงขึ้นมาแล้วทันทีที่ได้ยินเสียงตอบกลับที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย


“ไม่เป็นไรได้ยังไง เสียงเปลี่ยนแล้วเนี่ย”


“Copyman Show ไง มนุษย์ร้อยเสียง”


“ยังจะกวน”


เต็มฟ้าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถือว่ามันคือคำชม ทิ้งตัวลงนั่งข้างเจ้าหมาน้อยปล่อยเจ้าของบ้านส่ายหน้าเดินขึ้นบันไดไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในบ้าน มือเรียวค่อย ๆ ถอดปลอกคอที่เริ่มตึงออกจากคอเจ้าตัวอ้วน จากนั้นก็ใส่อันใหม่ให้มัน ไม่นานอะไรนิ่ม ๆ ก็ถูกวางแหมะไว้บนหัว ตามด้วยเสียงเตือนให้เช็ดผมให้แห้ง ชายหนุ่มเอื้อมมือข้างหนึ่งจับผู้ขนหนูผืนนุ่มซับน้ำที่เส้นผมเบา ๆ ในขณะที่อีกมือก็ยังคงห่วงเล่นกับเจ้าหมาน้อย เมื่อรู้สึกว่าผมหมาดเขาก็คล้องผู้ขนหนูเอาไว้กับคอก้มมองแก้วน้ำซึ่งถูกยื่นข้ามไหล่มาให้


“กินยาด้วย เดี๋ยวเป็นหวัด”


“ยุ่งจริง” ปากบางขยับบ่นพลางรับแก้วน้ำและเม็ดกลมสีขาวสะอาดสองเม็ดมาถือไว้ในมือ เรื่องกินยาเป็นเรื่องที่ไม่ชอบเอาเสียเลยแล้วคนที่สามารถบังคับเขาได้ก็มีเพียงกีรติคนเดียวเท่านั้น


“กินสิ จ้องอยู่ได้ มันไม่ซึมเข้าผิวหนังหรอกนะ”


หัวคิ้วหน้ากระตุกเล็กน้อยก่อนจะหันไปค้อนคนที่เดินกลับไปนั่งเอกเขนกอยู่ที่ระเบียง ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูก ดวงตาขุ่น ๆ จ้องเม็ดยาสีขาวอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจโยนเข้าปาก รีบดื่มน้ำตามหวังจะไล่ลงท้องไปเสียให้หมดแต่ความขมของยาก็ยังหลงเหลือติดโคนลิ้นให้ต้องกลืนน้ำลายลงคอ


“ขมเป็นบ้า”


“ยาที่ไหนเขาก็ขมทั้งนั้นแหละ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางมองโทรศัพท์ที่เต็มฟ้าหยิบมันมาจากคอนโซลตอนลงจากรถซึ่งขณะนี้ถูกวางเอาไว้ข้างตัว เพราะไม่ได้เปิดเสียงและไม่ได้ตั้งสั่นจึงทำให้เจ้าของไม่ทันสังเกตว่ามีคนโทร.เข้ามา ภาพลายเส้นดินสอของชายหนุ่มแปลกหน้าที่แสดงอยู่ที่หน้าจอกับชื่อที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษบอกให้รู้ว่าเขาโทร.เข้ามาหลายครั้งแล้วตั้งแต่เมื่อตอนที่ติดฝนอยู่ที่โรงนา


“เขาโทร.มาหลายครั้งแล้วนะ ไม่รับหน่อยเหรอ”


เต็มฟ้าหันมองโทรศัพท์ที่หน้าจอสว่างมีข้อความแจ้งเตือนสายไม่ได้รับสิบกว่าสาย ไม่นานภาพวาดของยุทธภูมิที่ตั้งไว้เป็นภาพประจำตัวของเจ้าของเบอร์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“ไม่มีอะไรจะคุย”


“แฟนเหรอ”  แม้ใจจะสั่งไม่ให้ถาม แต่ปากก็ไวกว่าใจไปเสียแล้ว


เป็นอีกครั้งที่มนุษย์ผู้เก่งกาจในเรื่องพูดแทงใจดำสามารถทำแต้มได้ เต็มฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะตัดสายและปิดเครื่อง


“เคยเป็นน่ะ”


“ทำไมถึงเลิกกันล่ะ” ศิธาพัฒน์นึกอยากจะตบปากตัวเองอยู่เหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็ถามออกไปแบบนั้น


“เพราะลำปางมันไกลจากกรุงเทพฯ”


แม้คนพูดจะหันหลังให้ แต่คนฟังก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดจากวนประสาทแน่ ๆ น้ำเสียงนั้นเย็นเยือกพอ ๆ กับอากาศที่โอบล้อมพวกเขาอยู่


“เรื่องแค่นี้เองเหรอ”


“บางครั้งระยะทางก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับบางคนนะ”


“อืม..ก็จริง” ดวงตาคมกริบของศิธาพัฒน์วูบหม่นลง รู้สึกเห็นตามอย่างไร้ข้อโต้เถียง ระยะทางสำหรับบางคนเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่แปลกที่ระยะทางถูกนำมาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ความรัก’


“แล้วพี่ล่ะ มาทำงานไกลขนาดนี้แฟนไม่ว่าเหรอ”


'แฟน' อย่างนั้นเหรอ...แทบจะลืมคำนี้ไปแล้ว


“อ้าว เงียบเลย อย่าบอกนะว่าปูนนี้แล้วยังไม่มีแฟน”


รู้สึกหมั่นไส้กับคำว่า ‘ปูนนี้’ และรอยยิ้มที่มุมปากของคนที่เอี้ยวตัวกลับมารอฟังคำตอบเสียเหลือเกิน หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากัน นึกตำหนิว่าไอ้ตัวแสบมันใช้คำว่าปูนนี้กับหนุ่มวัยเบญจเพสอดีตเดือนมหาวิทยาลัยคนนี้ได้อย่างไรกัน


“ยี่สิบห้าเองนะ เรื่องแบบนี้ไม่เห็นจำเป็น” พูดไปแล้วให้เจ็บจี๊ดในใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“นี่ไม่ได้กัดฟันพูดใช่ไหม”


“เปล่า”


“ถามจริง หน้าตาพี่มันไม่น่าเชื่อถือว่ะ”


“ทำไม หน้าตาพี่มันทำไม”


“หน้าแบบนี้ ทำคิ้วขมวดแบบนี้ มันบ่งบอกว่าเป็นคนมีอดีตชัด ๆ โดนพูดแทงใจดำเข้าบ้างเจ็บจี๊ดจากภายในสู่ภายนอก”


“ขนาดนั้น?”


เต็มฟ้าหัวเราะพรืด “เปล่า กะว่าพูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้นเองมันต้องโดนบ้างแหละ ทำไมล่ะสรุปว่าตรงกับชีวิตจริงว่างั้น”


ศิธาพัฒน์เพียงแต่กอดอกมองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ ไม่นานร่างสูงสมส่วนก็คว้าโทรศัพท์ลุกขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมกับดึงผ้าขนหนูที่คอพาดไว้กับราวบันได


“กลับดีกว่า”


“อ้าว ถามแล้วก็จะไป ไม่รอฟังคำตอบก่อนหรือไง”


“ม่ายยยยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงแบบไม่ใส่ใจ


“ไม่ต้องตอบก็ได้ ไม่ได้สนิทกันขนาดจะต้องเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้กันฟัง เนอะแข็งแรงเนอะ”



ฟังแล้วยิ่งเจ็บจี๊ดหนักเข้าไปกันใหญ่ ตาคมมองคนที่กำลังโน้มตัวลงลูบหัวก่อนจะโบกมือไหว ๆ ให้เจ้าลูกหมาอย่างกับสนิทกันมาสักร้อยชาติ ทำไมไอ้เด็กบ้านี่มันช่างสามารถพูดให้พูดให้คนอื่นนึกน้อยใจได้เก่งขนาดนี้


‘น้อยใจ’

ใช้คำนี้ไม่น่าจะถูก ศิธาพัฒน์คิดในใจ ได้เพียงคิดในใจเพราะหากพูดให้อีกฝ่ายได้ยินเข้าแล้วละก็ คำตอบที่จะได้ก็คงไม่พ้น ‘สนิทอะไรถึงจะต้องมาน้อยใจกัน’


ไม่ผิดแน่ ๆ



เต็มฟ้ากลับไปตั้งนานแล้ว ส่วนเจ้าแข็งแรงก็นอนขดอยู่ในตะกร้าบุนวมอุ่น ๆ ของมันที่ระเบียง สายฝนที่ซาเม็ดไปเมื่อตอนหัวค่ำกลับโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายอีกครั้ง ศิธาพัฒน์นอนเหยียดยาวฟังเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบหลังคาอยู่บนโซฟากลางบ้าน นัยน์ตาทอดมองรูปภาพที่พกติดกระเป๋าสตางค์มาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี เป็นภาพหมู่ของชายหนุ่มหญิงสาในชุดนักศึกษา ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามโครงหน้ารูปไข่ของใครคนหนึ่งก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ในที่สุดก็สอดรูปใบนั้นไว้ด้านหลังสารพัดบัตรในหลืบที่ลึกที่สุดของกระเป๋าเหมือนที่เก็บเรื่องราวเกี่ยวกับคนในภาพเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้งของหัวใจ


....



“พี่เต็ม”



“พี่เต็ม”



เสียงนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นในความมืดพร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบที่หน้าผาก เจ้าของชื่อพยายามจะลืมตาขึ้นแต่เปลือกตาบาง ๆ วันนี้มันช่างหนักเหลือกำลัง ไม่รู้ว่าเหตุที่ทั้งร่างสั่นเทาอยู่ในขณะนี้จะเป็นด้วยอากาศหนาวเย็นเนื่องจากฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งคืนหรือเพราะฤทธิ์ไข้กันกันแน่ รู้เพียงว่าตอนนี้ร่างกายร้อนผ่าวราวกับถูกห่อหุ้มด้วยเกราะสุมไฟ มือบางดึงผ้าห่มผืนหนาเข้ามากอดไว้แน่นขยับตัวนอนขดหลบหนีมือเย็นที่ยังคงคลอเคลียอยู่กับข้างแก้มและต้นคอ

 
“พี่เต็ม ไม่สบายหรือเปล่าฮะ ตัวร้อนจี๋เลย”


เต็มฟ้าปรือตาตื่นขึ้นเมื่อเสียงนั้นยังคงไม่ไปไหน ภาพของน้องชายที่มองมาด้วยแววตาแห่งความห่วงใยค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นท่ามกลางแดดยามสายที่ทอแสงจาง ๆ ผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา


“ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ” ฟังเสียงที่เปล่งออกไปแล้วแทบจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง ข้างในลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายไล่ความสากราวกับโรยด้วยเม็ดทรายรู้สึกเจ็บในช่องคอไปหมด


“วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนฮะเพราะพรุ่งนี้จะสอบ ตามเห็นว่าสายแล้วพี่เต็มยังไม่ลงไปทานข้าวเลยขึ้นมาดู”


พี่ชายพยักหน้าพยายามยันตัวขึ้นนั่งแต่เหมือนมีบางอย่างถ่วงไว้ให้รู้สึกหนัก ๆ อยู่ในหัว


“เดี๋ยวตามจะลงไปบอกพี่แจ่มให้ยกข้าวขึ้นมาให้พี่เต็มนะฮะ”


“มะ..ไม่เป็นไร พี่ยังไม่อยากกิน” พูดจบก็ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโคลงศีรษะไปมาพยายามลืมตาสู้แสงแต่หนังตาก็หนักจนแทบจะยกไม่ขึ้น


“แต่ว่า....” น้องชายคิดอยากจะค้านแต่เพราะกลัวว่าจะโดนดุจึงต้องกลืนทุกคำพูดลงคอ นิ่งเงียบอยู่เพียงไม่นานเสียงของพ่อก็ดังมาจากชั้นล่าง


“ตาม เสร็จหรือยังลูก”


ตามตะวันมองตามเสียงก่อนจะหันมาสบตาพี่ชายด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงเขากำลังจะขึ้นมาเก็บของเตรียมไปบ้านน้าเดือน แต่เพราะเห็นว่าพี่ชายตื่นสายผิดปกติจึงได้แวะเข้ามาดู


“นี่ต้องไปบ้านน้าเดือนใช่ไหม”


“ครับ เดี๋ยวพ่อจะไปส่งตามก่อนค่อยไปไร่”


“ถ้าอย่างนั้นลงไปบอกพ่อให้ไปไร่ได้เลย เดี๋ยวพี่ไปส่งตามเอง บ่าย ๆ หน่อยได้ใช่ไหม”


“ครับ ตะ...แต่พี่เต็มมะ...ไม่..ส...”


“ไปเถอะน่า ไปบอกให้พ่อไปทำงานเถอะ”


“ครับ”



ดังนั้นในตอนบ่ายเต็มฟ้าจึงหอบสังขารขับรถไปส่งน้องชายที่เกตส์เฮาส์ ตามตะวันทอดสายตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถยนต์ เห็นว่าท้องฟ้ายังคงฉ่ำด้วยน้ำ เหนือขึ้นไปบนเนินเขาเตี้ยปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกสีขาวและก้อนเมฆที่ลอยต่ำราวกับจะเอื้อมมือคว้ามาไว้ได้ เขาชอบฤดูฝนเพราะฝนทำให้รอบ ๆ ตัวมีแต่สีเขียวขจี พืชผลในไร่เมื่อได้น้ำก็กลับงอกงามดีซึ่งพลอยทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อตามมาด้วย เสียงจามของคนข้าง ๆ ทำให้ต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าหันกลับมามองคนขับด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าถ้าบอกให้ลองไปหาหมอดูไหมจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พี่ชายรำคาญหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่ามันเป็นหนทางที่จะทำให้อีกฝ่ายหายจากอาการป่วย หนุ่มน้อยก็ตัดสินใจพูดขึ้น


“พี่เต็มไปหาหมอไหมครับ จะได้หายป่วยไว ๆ”


ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ พี่ชายยังคงมองไปข้างหน้าโดยไม่มีทีท่าสนใจคำพูดเมื่อสักครู่ มันคงเป็นคำพูดชวนรำคาญจริง ๆ ดังที่คิดเอาไว้ในตอนแรก ดังนั้นตามตะวันจึงเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ภาพผืนนาสีเขียวข้างทางค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพของตึกรามบ้านช่องและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เมื่อรถเริ่มเข้าเขตตัวเมือง อีกเพียงไม่กี่อึดใจก็จะถึงเกสต์เฮาส์ อีกเพียงไม่กี่อึดใจเวลาที่จะได้นั่งอยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้ก็จะหมดลง


“ไปร้านไหนดี”


เป็นประโยคแรกที่ได้ยินตั้งแต่ออกมาจากไร่ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยหันมามองคนพูดด้วยความแปลกใจจนอีกฝ่ายก็คงรู้สึกได้เหมือนกัน


“หมอน่ะ ไปหาร้านไหนดี”


“พี่เต็มจะไปหาหมอเหรอครับ”


พี่ชายเพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ ตายังคงมองไปที่สัญญาณไฟที่เพิ่งจะเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวจึงทำให้ไม่เห็นรอยยิ้มของน้องชาย


“ก็ตามบอกให้พี่ไปหาหมอไม่ใช่เหรอ”


“เอ้อ...คะ..ครับ”


“พี่ก็ถามอยู่นี่ไงว่าไปร้านไหนดี”


“ถ้าอย่างนั้นไปคลินิกคุณอาหมอพ่อของยะหยาไหมฮะ อยู่ตรงสามแยกก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอยเกสต์เฮาส์ เวลาตามไม่สบายพี่ชลก็จะพาไปที่นี่บ่อย ๆ”


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้แหละ”



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-06-2014 15:51:53
(ต่อค่ะ)


รถเก๋งดำชะลอความเร็วลงและมาจอดสนิทที่หน้าคลินิกรักษาโรคทั่วไปขนาดหนึ่งคูหา คนไข้ที่นั่งรออยู่ในมีจำนวนมากพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ๆ นั่นคงเป็นเพราะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ป่วยได้ง่าย สองพี่น้องพากันเดินเข้าไปด้านในตรงไปยังเคาท์เตอร์ซึ่งมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจัดยาใส่ซองตามใบสั่งของแพทย์โดยมีหนูน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักถักเปียสองข้างนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาพบตามตะวันเธอก็กล่าวทักทายด้วยเสียงเจื้อยแจ้วจนผู้ใหญ่หลายคนพากันมองด้วยความเอ็นดู


“ที่แท้ก็ลูกชายคนโตพ่อเลี้ยงตรัยนี่เอง โตเป็นหนุ่มแล้วแทบจำไม่ได้ ยังไม่เคยมาหรือยังจ๊ะ”


“ยังครับ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเขียนชื่อกับที่อยู่ให้น้าหน่อยนะคะ” ภรรยาคุณหมอละจากการจัดยาก่อนจะคว้ากระดาษแผ่นเล็ก ๆ ยื่นให้ จากนั้นเธอก็ซักอาการเล็กน้อยแล้วจึงให้คนไข้ไปนั่งรอที่เก้าอี้


“นี่ ๆ พี่ชายตามเหรอ” เด็กหญิงผมเปียสะกิดถามเมื่อเดินมานั่งลงข้าง ๆ เด็กชายร่างเล็ก


“อื้อ..ทำไมเหรอ”


“เปล่า ก็ยะหยาไม่เคยเจอเลยถามดูน่ะ” เธอกล่าวพลางลอบมองชายหนุ่มที่กำลังเงยหน้ามองสำรวจไปรอบ ๆ ที่ผนังมีทั้งรูปครอบครัว รูปรับพระราชทานปริญญาบัตรรวมถึงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของนายแพทย์เจ้าของร้านติดเรียงรายนัยยะหนึ่งก็คงเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่คนที่มารับการรักษา


“พี่เต็มกลัวหรือเปล่า ให้ตามเข้าเป็นเพื่อนไหมฮะ”


คำถามนั้นทำให้ต้องละสายตาหันกลับมามองเจ้าของคำถามอย่างแปลกใจ นี่เขาอายุปาเข้าปียี่สองแล้วนะ ยังต้องมีคนเข้าไปพบหมอเป็นเพื่อนอีกเหรอ


“ทำไมล่ะ”


“ก็...พี่ชลถามตามแบบนี้เวลาที่มาด้วยกัน ตามก็เลยถามพี่เต็มบ้าง”


“แล้วพอพี่ชลถามแบบนั้นตามตอบว่ายังไง”


“ตามบอกว่าตามเข้าไปคนเดียวได้ แต่พี่ชลก็ตามเข้าไปทุกที”


เต็มฟ้ารู้สึกไม่แปลกใจเลยเมื่อได้ยินแบบนั้น นั่นเป็นเพราะชลธรมักจะเป็นห่วงคนอื่นไปทั่วมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แม้จะถูกแกล้งแรง ๆ ก็ไม่เคยโกรธ นึกถึงตอนที่แอบเอาเต่าญี่ปุ่นของพี่สาวไปปล่อยลงแม่น้ำแล้วยังขำไม่หาย ทั้งที่ตอนแรกมาเห็นว่าบ่อว่างเปล่าก็แทบจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็เป็นชลธรที่เอาขนมมาให้แถมยังมานั่งคุยเป็นเพื่อนหลังจากเขาถูกพ่อกับน้าเดือนทำโทษด้วยการให้นั่งอ่านหนังสือสำนึกผิดอยู่ในห้อง


“ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าไปคนเดียวได้” พี่ชายกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ตามตะวันพยักหน้ารับมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินผลุบเข้าไปในห้องตรวจที่อยู่ด้านในสุด ไม่นานเต็มฟ้าก็กลับออกมาก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ กับน้องชายอีกครั้ง


“คุณอาหมอว่ายังไงบ้างฮะ”


“ก็เป็นหวัดธรรมดา สั่งยาให้กลับไปกิน”


“คิดว่าคุณพ่อจะฉีดยาให้เสียอีกค่ะ คนที่เป็นหวัดมาคุณพ่อฉีดยาให้เข็มเดียวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว” เด็กหญิงผมเปียเอ่ยขึ้น


“พี่ว่าพี่กินยาดีกว่า ไม่อยากหายเร็ว” เต็มฟ้ากล่าว ถ้าให้เลือกระหว่างเข็มแหลม ๆ ที่แม้จะจิ้มเข้าไปในเนื้อแล้วเจ็บครั้งเดียวกับกินยาขม ๆ เขาเลือกอย่างหลังดีกว่า


“หรือว่าพี่เต็มกลัวเข็มคะ”


ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรเมื่อรู้สึกว่าจะโดนจับได้เข้าให้แล้ว เขาเพียงแต่ยิ้มให้สาวน้อยช่างพูดก่อนที่แม่ของเธอจะเรียกให้ไปรับยาที่เคาท์เตอร์


รอยยิ้มแบบนั้น...


มันเป็นรอยยิ้มที่คนเป็นน้องชายอย่างตามตะวันไม่เคยเห็นมาก่อน


รู้สึกอิจฉายะหยาเหลือเกินที่เป็นคนที่พี่ชายของเขายิ้มให้


มันเป็นรอยยิ้มที่น่ารักและอ่อนโยนเสียจนอยากจะเห็นซ้ำ ๆ อีกหลาย ๆ ครั้ง


.....



ศิธาพัฒน์พาเจ้าหมาน้อยแข็งแรงมาที่เกตส์เฮาส์ในตอนเย็นเหมือนทุก ๆ วันเพราะรู้ว่าในวันจันทร์ถึงศุกร์หากไม่ใช่ช่วงปิดเทอมตามตะวันจะอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของรถจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยแน่ ๆ ชายหนุ่มจอดมอเตอร์ไซค์ที่นอกรั้วก่อนจะอุ้มเจ้าตัวอ้วนเข้าไปด้านใน มองไปรอบ ๆ ก็เห็นเพียงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่กี่คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตามมุมต่าง ๆ ที่โต๊ะริมระเบียงด้านในสุดปรากฏร่างของเด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่าขะมักเขม้น เสียงเจ้าลูกสุนัขครางหงิง ๆ ทำให้ตามตะวันละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นมองคนที่เพิ่งมาถึง พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มน้อย


“ตามนึกว่าพี่ปุ่นจะไม่มาแล้วเสียอีก”


“ต้องมาสิ ก็พี่บอกไว้แล้วว่าจะพาเจ้าแข็งแรงมาหาตาม แต่พอดีพี่ช่วยเพื่อน ๆ เขาคัดแยกจดหมายอยู่น่ะก็เลยเพิ่งมา แล้วนี่ตามทำอะไรอยู่ครับ”


“กำลังอ่านหนังสือฮะ พรุ่งนี้ตามจะสอบ”


“อืม..เร็วเหมือนกันเนอะ เผลอแป๊บเดียวจะหมดเทอมอีกแล้ว”


“ฮะพี่ปุ่น” เด็กชายยิ้มกว้างพลางลูบหัวเจ้าตัวกลมที่เริ่มโตขึ้นทุกวัน ๆ เบา ๆ


“ทำไมไม่ให้พี่ชายช่วยติวให้ล่ะ”


“วิชานี้ไม่ยากครับ ตามอ่านเองได้ พี่เต็มกำลังไม่สบายด้วย”


เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด ก็เมื่อวานไอ้ตัวแสบกระโดดน้ำไปตั้งหลายรอบแถมยังตากฝนอีก ยาที่ให้กินกันไว้ก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก


“แล้วนี่ไปหาหมอแล้วหรือยัง”


“เมื่อตอนบ่ายแวะไปให้คุณอาหมอพ่อของยะหยาตรวจแล้วครับ คุณอาหมอให้ยากลับมาทาน”


คนพนฟังพยักหน้ารับก่อนจะวางเจ้าตัวอ้วนขนฟูที่ดิ้นขลุกขลักลงกับพื้นปล่อยให้มันเดินสำรวจไปรอบ ๆ แบบที่มันเคยทำ วันนี้เจ้าแข็งแรงดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวผิดวิสัยลูกสุนัขปากเปราะ มันไม่เห่าแม้แต่อะเดียวตั้งแต่มาถึงจนคนพามานึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน


“พี่ปุ่นช่วยติวเลขให้ตามหน่อยได้ไหมฮะ พี่ชลบอกว่าพี่ปุ่นเก่งเลข”


“ได้สิ แต่พี่ขอดูก่อนนะว่าตามเรียนอะไรบ้าง” พูดจบศิธาพัฒน์ก็หยิบหนังสือแบบเรียนมาเปิดอ่านก่อนจะลงมือติวให้ตามที่หนุ่มน้อยขอร้อง


ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะเมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำและลับหายไปหลังทิวไม้ด้านทิศตะวันตก เวลาเกือบสองชั่วโมงในการติวหนังสือผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้เด็กแสบ เสียงรถที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านทำให้ทั้งศิธาพัฒน์และตามตะวันต้องชะเง้อมองและก็พบว่าเป็นชลธรที่เพิ่งกลับมาจากซื้อของ เธอหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังลงจากรถก่อนจะส่งให้คนงานเอาไปเก็บจากนั้นก็เดินมาหาสองหนุ่มที่ระเบียง


“ได้ติวเตอร์คนเก่งมาติวให้แบบนี้สงสัยเทอมนี้ต้องได้เกรดสี่แน่ ๆ เลย”


“เก่งอะไรกันล่ะครับพี่ชล” คนถูกยอรีบปฏิเสธพัลวัน


“แต่พี่ปุ่นก็สอนเข้าใจนะฮะ ตามชอบเวลาที่พี่ปุ่นยกตัวอย่าง มันเห็นภาพดี”


“แบบนี้สงสัยตามต้องเลี้ยงข้าวพี่ปุ่นแล้วละมั้ง อุตส่าห์อยู่ติวให้จนค่ำเลย”


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่ปุ่นอยู่ทานข้าวด้วยกันนะครับ”


ศิธาพัฒน์มีท่าทางลังเลกลัวว่าคนชวนจะเสียใจแต่สุดท้ายก็ต้องปฏิเสธเพราะรับปากป้าบัวกับลุงเดชเอาไว้ว่าจะกลับไปทานอาหารเย็นด้วยกันฉลองที่วันนี้ไก่ชนของลุงเดชตีชนะคู่แข่ง


“ไว้วันอื่นก็ได้จ้ะ” ชลธรกล่าวก่อนจะหันไปหาน้องชายคนเล็ก “แล้วนี่พี่เต็มเขาออกมาทานข้าวหรือยังน่ะเต็ม”


“ยังไม่เห็นออกมาเลยฮะ สงสัยจะหลับอยู่”


“ตายจริง นี่ตั้งแต่พี่ไปซื้อของยังไม่ตื่นเลยเหรอ ไม่กินข้าวกินปลาแล้วจะกินยาได้ยังไง แบบนี้ก็ไม่หายกันพอดี หมอให้ฉีดยาก็ไม่ยอมฉีด ยังกับตัวเองกินยาง่ายอย่างนั้นแหละ ไม่รู้แอบเอาทิ้งบ้างหรือเปล่าเดี๋ยวพี่ต้องเข้าไปดูหน่อยแล้ว” ชลธรบ่นจบชุดใหญ่ก็เดินหายเข้าไปในบ้าน


“พี่ชลชอบบ่นแบบนี้แหละครับ จริง ๆ แล้วใจดีมาก ๆ” หนุ่มน้อยยิ้มน่ารัก ถึงตามตะวันจะไม่พูดเพื่อปกป้องพี่สาวแต่ศิธาพัฒน์เองก็คิดแบบนั้นเพราะชลธรมีส่วนคล้ายกับศิตางค์อยู่มาก การเป็นพี่สาวคนโตที่ต้องคอยดูแลน้องชายจอมซนให้อยู่ในกฎระเบียบของบ้านทำให้ต้องจ้ำจี้จ้ำไชบ่นโน่นบ่นนี่อยู่เรื่อยแต่ทั้งเขาและศิลาต่างก็รู้ว่าที่เธอทำก็ด้วยความหวังดี


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่กลับก่อนก็แล้วกันนะหนุ่มน้อย แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ จะแวะมาถามข่าวว่าทำข้อสอบได้ไหม”


“ครับพี่ปุ่น ขอบคุณนะครับ”


ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปที่สนามหญ้าพร้อมกับร้องเรียกเจ้าหมาน้อยที่นอนหมอบอยู่ มันขยับหางขึ้นลงอย่างเกียจคร้านพลางเหลือกตามองเจ้านายที่ย่อตัวนั่งลงขยี้หัวมันอย่างมันเขี้ยว


“วันนี้แกสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากไปนะนังหนู”


เจ้าแข็งแรงได้แต่ครางหงิง ๆ ราวกับจะบอกว่ามันไม่อยากส่งเสียงดังรบกวนคนป่วยที่ต้องการเวลาพักผ่อน มือใหญ่ช้อนตัวเจ้าลูกสุนัขขึ้นมาก่อนจะอุ้มมันไปวางในตะกร้าหน้ารถ แสงสีนวลจากโคมไฟที่หน้าบ้านทำให้เห็นว่าตะกร้าดูจะเล็กเกินไปเสียแล้ว อีกไม่นานมันคงจะนั่งประจำที่ตรงนี้ไม่ได้อีกต่อไป 


“ขี่รถกลับดี ๆ นะฮะพี่ปุ่น” เด็กชายตัวเล็กที่เดินตามมาส่งเอ่ยขึ้น


“อื้อ...แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ขอให้ทำข้อสอบได้นะหนุ่มน้อย ข้อไหนทำไม่ได้ก็ขอให้เดาถูก”


“ได้พรจากพี่ปุ่นต้องทำได้แน่นเลยฮะ”


ชายหนุ่มสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ก่อนจะขี่ออกมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารตามคำเชิญของเจ้าของบ้านก็เลยไม่ได้รู้อาการคนป่วย แต่ไปหาหมอแล้วอีกไม่นานก็คงหายละมั้ง แม้จะคิดแบบนั้นแต่ก็มีหลายคำถามผุดขึ้นในหัว


จะเป็นอะไรมากไหม?


ป่านนี้พี่ชลจะปลุกให้ลุกขึ้นจากที่นอนได้หรือยัง?


จะยอมกินข้าวไหม?


แล้วจะกินยาที่หมอให้หรือเปล่า?



ศิธาพัฒน์ส่ายศีรษะรัวเพื่อไล่ความคิดต่าง ๆ นั้นออกไป


จะไปอยากรู้เรื่องของเขาทำไมกัน?


ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเก็บเอาเรื่องของไอ้เด็กกวนประสาทนั่นมาคิดให้ปวดหัว ถ้าเป็นเพราะตัวเองมีส่วนทำให้อีกฝ่ายไม่สบายการนึกเป็นห่วงก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกละมั้ง


เหมือนมีศิธาพัฒน์สองคนกำลังเถียงกันอยู่ในหัว แต่แล้วเสียงเห่าของเจ้าตัวอ้วนในตะกร้าหน้ารถก็ทำให้ต้องหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้นพร้อมกับลมหายใจร้อนถูกผ่อนผ่านปลายจมูกออกมายืดยาว ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้วนอกจากรู้สึกหมั่นไส้เจ้าปากเปราะที่เห่าไม่รู้จักเวลาตัวนี้


“เฮ้อ!!!! อยู่ในบ้านตั้งนานไม่เห่านะนังหนู เห่าตอนนี้ใครเขาจะได้ยิน” 



....



ความรู้สึกแปลก ๆ คงไม่ได้เกิดแต่กับศิธาพัฒน์เพียงคนเดียว เต็มฟ้าเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองไม่น้อยทั้งที่เมื่อคืนนอนซมด้วยพิษไข้แต่วันนี้กลับตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเข้าครัวทำอาหาร จะหยิบจะจับอะไรก็มือไม้สั่นไปหมดราวกับกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า พยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงกลับไปนอนต่อ สุดท้ายความแปลกใจทั้งหมดก็ไปตกอยู่กับหนุ่มน้อยที่ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมสะพายกระเป๋าไปเรียนเมื่อพบหม้อใส่ข้าวต้มอุ่น ๆ วางอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ที่เขียนข้อความสั้น ๆ แต่พออ่านแล้วกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังพองฟูอยู่ใต้อกเสื้อด้านซ้าย



“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ”

 




....


สวัสดีค่ะ ตอนนี้ขอมาแบบสั้น ๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ได้อ่านคอมเมนต์ที่บอกว่าตามมาอ่านเรื่องนี้เพราะมีคนแนะนำมา
ก็เลยขอขอบคุณไปถึงคนแนะนำด้วยนะคะ ^^
หวังว่าเราจะมีความสุขแบบเนิบ ๆ กับการอ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันค่ะ แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-06-2014 16:11:02
เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเต็มกับตาม มีกำลังใจสอบแล้ว
ได้พรจากพี่ปุ่น ได้ข้าวต้มจากพี่เต็ม ดีใจกับน้องตาม

พี่ปุ่นกับเต็มเริ่มแปลกๆในหัวใจแล้ว คงอีกไม่นาน
เด็กแสบเริ่มกวนหัวใจพี่ปุ่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 27-06-2014 17:16:22
กำลังน่ารัก พี่ศิธาให้คำแนะนำเต็มดีตลอด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 27-06-2014 17:37:55
กำลังสบายๆ  :mew1:

*อยากให้ใส่เลขที่หน้า กับวันที่ ที่หัวเรื่องจังค่ะ*  :mew1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 27-06-2014 17:52:46
เข้าเริ่มมีความรู้สึกถึงกันแล้วๆๆๆๆ


ชอบจังๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 27-06-2014 18:07:27
ตั้งใจอ่านอย่างแรง :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 27-06-2014 18:11:09
เต็มหายเร็วๆๆๆนะพี่ปุ่นเป็นห่วงงง :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-06-2014 18:29:00
ให้เวลาสองคนพัฒนาความสัมพันธ์อีกสักหน่อย ก็นะกับคนเก่าก็ยังกรุ่น ๆ อยู่
ว่าแต่พี่ปุ่นเถอะแอบมีใครซ่อนไว้ก็ไม่บอก
น้องตามจะเป็นเด็กน้อยที่มีความสุขมากแล้ว พี่ชายแสนดื้อกำลังทำตัวเป็นพี่ชายแสนดี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 27-06-2014 18:42:36
ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆแล้วเนอะ น่าจะเป็นเพราะพี่ปุ่นด้วยแหละมั่งที่ช่วยแนะนำให้
แล้วเมื่อไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่ปุ่นกะเต็มจะพัฒนาอีก ลุ้นๆค่ะ มาตีออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2014 19:09:01
หุบไม่ลงจริงกับปากที่คอยแต่จะยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่อ่านเรื่องนี้และความพยายามของพี่ที่อยากจะสานสัมพันธ์กัับน้องชาย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 27-06-2014 19:28:14
ชอบ สายสัมพันธ์เนียนๆ นุ่มๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 27-06-2014 19:55:37
ตั้งใจอ่านแบเนิ่บๆค่ะกลัวหมดตอนเร็วิิอิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 27-06-2014 20:51:23
ติดตามอยู่ตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 27-06-2014 21:02:19
ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เรื่อยๆ แบบอุ่นๆ  แบบที่พี่ปุ่นเป็น  พี่
ปุ่นเป็นคนที่อบอุ่นจริงๆ ฉลาดด้วย   ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมของเต็มไปเรื่อยๆ นะคะ
และน้องตาม รอพี่เต็มอีกนิดนะน้องนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 27-06-2014 21:52:02
เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วหล่ะเต็ม  o13
ต้องให้รางวัลพี่ปุ่นแล้วนะเนี่ยเต็ม  :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 27-06-2014 22:09:13
กรี๊ดดดดดด ดีใจกะน้องตามด้วย ดีมากค่ะพี่เต็มทำดีมาก อย่างนี้รักเลย ว่าแต่อย่าทำให้พี่ปุ่นน้อยใจสิคะ ไม่ดีเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 27-06-2014 22:16:18
พัฒนาของพี่น้องดูดีเชียว
แต่พัฒนาความสัมพันธ์กับพี่ศิธาคงต้องอีกสักพัก
เปิดใจรับพี่ปุ่นเร็วๆน่าาา จะได้ไม่ใช่คนอื่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-06-2014 22:33:47
พี่เต็มน้องตามกำลังไปได้ดีเลยน๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 27-06-2014 22:40:07
พี่ปุ่นน้อยใจ ชอบเต็มต้องอดทนค่ะพี่ เดี๋ยวดีเอง  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 27-06-2014 23:07:49
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 28-06-2014 23:11:50
สายสัมพันธ์สองพี่น้องเริ่มก่อตัว แล้วสองหนุ่มอย่างพี่เต็มกับพี่ปุ่นละ
รอฉากหวานๆ ของสองหนุ่มครับ
ขอบคุณคนแต่ง ที่ทำให้คนอ่านใจพองโตเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-06-2014 16:49:24
ค่อยๆ  รักๆ  ละมุนละไมมากจ้า
เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 29-06-2014 21:40:58
ว้า ป่วยซะแล้ว
น่าจะให้บุรุษพยาบาลพิเศษดูแลน้า

แต่เต็มตอนนี้น่ารักนะ ทั้งๆที่ไม่สบาย
ยังลุกมาทำกับข้าวให้กำลังใจน้อง
อย่างนี้สิ ค่อยน่าชื่นชมหน่อย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 01-07-2014 18:49:22
ความสำพันธุ์กับน้องชายเริ่มดีขึ้น
กับพี่ปุ่น ยัง คงมีแผ่นบาง ๆ ขวางอยู่  :impress2:
+1 ให้กับความน่ารักของ เด็ก ๆ  :z2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 13 : ความรู้สึกแปลก ๆ)
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 01-07-2014 19:48:57
เต็มกำลังทำตามคำแนะนำของพี่ปุ่นละน๊าา^^
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-07-2014 10:29:07
ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง



เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์ที่ดังขึ้นเรียกให้หนุ่มน้อยในชุดนักเรียนที่กำลังง่วนอยู่กับการยืนเลือกขนมต้องหันกลับไปมองตามเสียง นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็คือพนักงานไปรษณียหนุ่มหล่อซึ่งมาพร้อมกับเจ้าลูกหมาตัวอ้วนในตะกร้าหน้ารถนั่นเอง ตามตะวันยิ้มให้พลางกระชับเป้สะพายหลังก่อนจะหันไปจ่ายเงินให้อาม่าเจ้าของร้าน จัดการเก็บขนม 2-3 ชิ้นลงกระเป๋ากางเกงขณะเดินมาหาศิธาพัฒน์ที่จอดมอเตอร์ไซค์รออยู่


“สวัสดีครับพี่ปุ่น” เด็กชายร่างเล็กกล่าวพร้อมกับแหย่นิ้วหลอกล่อเจ้าขนฟูที่กำลังไล่งับอากาศพร้อมกับเห่าเสียงดังเมื่อทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ


“เป็นยังไงบ้างหนุ่มน้อย ทำข้อสอบได้หรือเปล่า”


“ทำได้ฮะ”


“แล้วนี่เหลือสอบอีกวิชา”


“พรุ่งนี้อีกวันเดียวก็ปิดเทอมแล้วฮะ” ตามตะวันกล่าว หนุ่มน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อโดนฟันเล็ก ๆ ของเจ้าแข็งแรงงับที่ปลายนิ้ว มันกดเขี้ยวแหลมเล็กลงบนเนื้อนิ่มราวกับกำลังแทะหมูปิ้งของโปรดก็ไม่ปาน แต่แค่เพียงตามตะวันเอื้อมมือบีบปากบนของมันเบา ๆ เจ้าหมาน้อยก็ยอมปล่อยนิ้วเล็ก ๆ ให้เป็นอิสระทันที


“จะกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”


“ขอบคุณครับพี่ปุ่น”


“เกาะดี ๆ นะ”


ศิธาพัฒน์เอี้ยวตัวมาดูให้แน่ว่าเด็กชายขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะออกรถ ฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นานทำให้อากาศกำลังเย็นสบาย ชายหนุ่มมองนังหนูแข็งแรงที่นั่งชูคออยู่ในตะกร้าหน้ารถสลับกับเงาสะท้อนของดวงหน้าเล็ก ๆ ในกระจกมองข้าง นังหนูของเขาขณะนี้ปราศจากซึ่งอาการตื่นกลัวผิดกับช่วงแรก ๆ ที่เริ่มจับลงตะกร้าไปไหนมาไหนด้วยกัน มันนั่งเชิดหน้าส่งเสียงเห่าเป็นระยะเมื่อเจอสุนัขแปลกหน้าท่าทางดุจดังสิงโตเจ้าป่าคงลืมไปว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงหมาเจ้าเนื้อเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้เจ้าตัวกลมดูมีความสุขกว่าใคร ในขณะที่คนนั่งซ้อนท้ายนั้นก็ดูเปี่ยมไปด้วยความสุขไม่แพ้กันเลย


สายลมเย็น ๆ และละอองน้ำเล็ก ๆ ที่สาดกระทบเข้ากับใบหน้านำพาความคิดของตามตะวันล่องลอยไป ดวงตาสดใสทอดมองตึกแถวสองข้างทาง มันเป็นภาพที่เห็นอยู่เกือบทุกวันบนเส้นทางจากบ้านไปโรงเรียน อีกไม่ไกลก็จะถึงร้านข้าวขาหมูเจ้าอร่อยที่ไม่ว่าจะผ่านมาเมื่อไรก็เห็นลูกค้าแน่นร้านทุกครั้ง นึกถึงลูกชายเจ้าของร้านที่ป่านนี้คงกำลังเตะฟุตบอลกับก๊วนเพื่อน ๆ อยู่ที่สนามของโรงเรียนชดเชยที่ต้องโดนเตี่ยกับแม่เคี่ยวเข็ญให้อ่านหนังสือมาเสียหลายวัน 


“มาซื้อขนมร้านอาม่าบ่อยเหรอ”


“ไม่หรอกครับ นาน ๆ ซื้อที ซื้อบ่อย ๆ เดี๋ยวพี่ชลเห็นแล้วตามโดนดุ พี่ชลบอกว่ากินเยอะ ๆ ฟันจะผุ”


คนขับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถามถึงใครอีกคน “แล้วพี่ชายล่ะ ดุไหม”


“อืม...ตามไม่แน่ใจฮะ พี่เต็มไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้ม จนบางครั้งตามก็กลัว”


“แล้วทำไมตามไม่บอกให้เขายิ้มล่ะ ชวนคุยก็ได้”


“ก็...ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน”


“แต่นี่ก็ได้อยู่ด้วยกันแล้วนี่ ทำไมไม่ลองดูล่ะ”


คนนั่งซ้อนท้ายนิ่งคิด มันก็น่าจะดีเหมือนกันถ้าหากทำแบบที่ศิธาพัฒน์ว่า


“แล้วพี่ปุ่นละฮะ มีน้องหรือเปล่า”


“พี่มีน้องชายน่ะ”


“เหรอครับ แล้วอายุเท่าไรครับ เท่าตาม แก่กว่า หรือว่าอ่อนกว่า”


คนถูกถามส่ายหน้า ดวงตาคมกริบยังคงมองไปที่ทางข้างหน้า “น่าจะอายุพอ ๆ กับพี่ชายของตามละมั้ง”


“ดีจัง แบบนี้ก็คงได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ตอนเย็นก็รอกลับบ้านพร้อมกันใช่ไหมฮะพี่ปุ่น”


ศิธาพัฒน์ครางรับในลำคอพลางนึกถึงเจ้าน้องชายตัวป่วนที่ทำให้เขาและพี่สาวต้องปวดหัวอยู่บ่อย ๆ


“ตามอยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง”


คำพูดนั้นทำให้คนฟังอดหัวเราะไม่ได้ ในความคิดของศิธาพัฒน์บางทีการมีพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกันมันก็ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด วันไหนถ้ามีใครตื่นสายสักคนวันนั้นเหมือนฟ้าจะถล่มดินจะทลายพากันสายยกครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีไปส่งลูกลิงไปโรงเรียน ยิ่งพอขึ้นมัธยมทั้งเขาและศิลาก็ถูกแยกให้ไปเรียนโรงเรียนชายล้วนซึ่งอยู่คนละทางกับที่ทำงานของพ่อและโรงเรียนของศิตางค์ ดังนั้นลูกชายคนรองอย่างศิธาพัฒน์จึงต้องรับหน้าที่กำกับดูแลน้องชายจอมกวนแทนพ่อที่ต้องคอยรับส่งพี่สาว การเป็นลูกผู้ชายส่งผลให้พวกเขาถูกสอนให้ทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง โดยมีพ่อและแม่คอยให้การสนับสนุนหรือให้คำปรึกษาเมื่อเจอกับปัญหา   


“อาจจะไม่ดีอย่างที่ตามคิดก็ได้นะ”


น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายทำให้ตามตะวันนึกสงสัย การได้ไปโรงเรียนกับพี่ชายและกลับบ้านด้วนกันตอนเย็นมันจะไม่ดีได้อย่างไรกัน เขาเองยังนึกอิจฉาเพื่อน ๆ หลายคนที่มีพี่สาวหรือพี่ชายมายืนรอรับเพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมกันอยู่บ่อย ๆ


“ทำไมล่ะครับพี่ปุ่น”


“น้องชายพี่มันแสบ ชอบก่อเรื่อง เอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งก็ดื้อจนน่าตี” มาถึงตรงนี้คนพูดอดคิดไม่ได้ว่านี่เขากำลังพูดถึงน้องชายตัวเองหรือ ‘ไอ้เด็กแสบ’ นั่นกันแน่


“อยู่ด้วยแล้วทำให้พี่ต้องกลายร่างเป็นยักษ์เป็นมารอยู่เรื่อย แล้วก็ชอบบ่นว่าพี่ใจร้ายทุกที”


“แต่ตามว่าพี่ปุ่นใจดีนะฮะ ตามชอบพี่ปุ่น ยะหยากับหมูอ้วนยังบอกเลยว่าพี่ปุ่นใจดี ขนาดพี่ชลก็ยังชอบพี่ปุ่นเลย ใคร ๆ ก็ชอบพี่ปุ่นกันทั้งนั้นเลยนะครับ”


คนถูกชมได้แต่ยิ้ม ใคร ๆ ที่ว่าคงไม่มี ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ รวมอยู่แน่ ๆ 


.....



เมื่อมาถึงเกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์ก็พบว่าสมาชิกในบ้านต่างก็อยู่กันอย่างพร้อมหน้า ยกเว้นก็แต่ใครบางคนที่ยังไม่ได้พบหน้ากันเลยตั้งแต่เมื่อวาน  เดือนดาราออกมาต้อนรับแขกขาประจำก่อนจะชวนให้เขาอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันเพื่อตอบแทนที่ศิธาพัฒน์มาส่งตามตะวันแถมยังช่วยติวให้เมื่อวาน ส่วนเจ้าแข็งแรงก็ปิดปากเงียบตั้งแต่มาถึงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเห่ามาตลอดทางอยู่แท้ ๆ ลูกสุนัขตัวอ้วนกลมท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นพิเศษเสียจนคนพามารู้สึกหมั่นไส้ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะริมระเบียงมานั่งลงยีหัวมันเล่นพลางบ่นให้ได้ยินกันแค่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัว


“แกจะไม่เห่าเรียกพ่อแกหน่อยเหรอ หืม..นังหนู”


ทันทีที่มือหนาห่างออกไปเจ้าหมาน้อยก็สะบัดหัวไปมาทำท่ารำคาญก่อนจะนอนลงเงียบ ๆ อย่างไม่แยแสคนที่ให้ข้าวอยู่ทุกวันเลยแม้แต่น้อย


ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินคอตกกลับไปนั่งที่เดิม หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด พลันริมฝีปากอิ่มก็ยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ เมื่อแผนการหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว


“แข็งแรงมานี่มา” ศิธาพัฒน์ร้องเรียกเสียงดังทั้งที่เจ้าตัวอ้วนก็นอนอยู่ห่างออกไปไม่มาก แครกเกอร์อบกรอบที่วิษณุแบ่งให้เมื่อตอนกลางวันถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ร่างสูงย่อตัวลงนั่งมองลูกสุนัขที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีแม้แต่จะผงกหัวขึ้นมาดูเลยด้วซ้ำว่าเจ้านายเรียกทำไม แต่ถึงอย่างนั้นพนักงานไปรษณีย์หนุ่มก็ยังไม่ละความพยายาม เพียงขยับมือเล็กน้อยเสียงดังก๊อบแก๊บของห่อขนมที่เสียดสีกันก็เกิดพลังมากพอที่จะทำให้หูเล็ก ๆ ซึ่งปกลุมไปด้วยขนขยับเป็นจังหวะ ทันทีที่ซองขนมถูกฉีกเจ้าขนฟูก็พรวดพราดลุกขึ้นราวกับถูกจู่โจมด้วยคลื่นเสียงความถี่ที่สามารถทำให้น้ำลายหยดติ๋งได้


“หึ...แกอยากกินใช่ไหม...นังหนู”


เสียงครางหงิง ๆ และน้ำลายที่หยดแหมะลงกับพื้นพอจะใช้เป็นคำตอบได้ ศิธาพัฒน์ยิ้มก่อนจะยื่นขนมไปใกล้ รอจังหวะที่เจ้าแข็งแรงยื่นปากมางับก็รีบชักมือกลับทันที ได้ยินเสียงปากยาวกระทบกันดังปับ ๆ


“แกต้องเห่าก่อนนะรู้ไหม” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับคำพูดเมื่อสักครู่ให้อดนึกไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็ร้ายกาจไม่ใช่เล่น


เจ้าลูกสุนัขที่เลียปากตัวเองแผล็บ ๆ พร้อมกับหายใจฟืดฟาดใช้ขาหน้าปัดจูมกราวกับเด็กที่หงุดหงิดเมื่อโดนแกล้ง


“แข็งแรง ทำยังไงก่อน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเสียงดังไปทำไมทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้


“พี่ปุ่นจะสอนให้แข็งแรงสวัสดีเหรอฮะ” ตามตะวันที่เดินออกมาจากบ้านเอ่ยขึ้นขณะวางหนังสือที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะ
มันแยบยลกว่านั้น ศิธาพัฒน์คิดในใจ อยากจะบอกออกไปแต่ก็ได้เพียงแค่ยิ้มรับ


“แข็งแรงสวัสดีก่อนเร็ว ยกขาสิยกขา” สิ้นเสียงเจ้านายตัวเล็กแทนที่เจ้าแข็งแรงจะยกขาทำท่าสวัสดี มันกลับเห่าเสียงดังจนคนสั่งต้องขมวดคิ้ว ยิ่งแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นเจ้าของขนมกล่าวชื่นชมและยื่นแครกเกอร์อบให้เจ้าหมาน้อย เพียงไม่กี่วินาทีมันก็ทำให้สสารลงไปอยู่ในท้องเข้าสู่กระบวนการย่อยอย่างสมบูรณ์ก่อนจะนั่งเลียปากจ้องมองส่วนที่เหลือในมือของชายหนุ่ม   


“ดีมากนังหนู” มือหนาส่งแครกเกอร์เข้าปากยาวพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ


“อ้าว ยังไม่ได้สวัสดีเลย”


“ให้มันไปเถอะครับ สงสารมัน” ศิธาพัฒน์พูดไปก็นึกขำตัวเอง นี่ถ้าเจ้าแข็งแรงมันพูดได้มันคงจะฟ้องตามตะวันไปแล้วว่าเขาแผนสูงขนาดไหนและทำอะไรกันมันบ้าง


“อีกชิ้นไหม”


ด้วยพลังของแครกเกอร์อบนี้เองทำให้นังหนูขนฟูแสดงร่างจริงของมันจนได้ มันเห่าเสียงดังพลางวิ่งวนไปมาเมื่อจับทางได้ว่าความปากเปราะจะทำให้ได้รางวัล และไม่นานแครกเกอร์ก็ถูกทำให้หายไปด้วยพลังความตะกละตะกลามของเจ้าหมาน้อย




“ลูกสาวใครเนี่ยเห่าเสียงดังจัง เดี๋ยวจับถ่วงน้ำเสียเลยนี่”



‘เฮ้อ...ในที่สุดก็ออกมาเสียที’ ศิธาพัฒน์มองหาต้นเสียง หน้าตาที่ดูอิดโรยกับเสียงขึ้นจมูกนั่นบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หายป่วยแน่ ๆ แต่ถ้ามีแรงพูดจากวนประสาทได้แบบนี้แล้วละก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง


“พี่เต็มจะจับแข็งแรงถ่วงน้ำจริงเหรอฮะ”


“อื้อ..เดี๋ยวพี่จะจับมันใส่หม้อถ่วงน้ำไปพร้อมกับขนมในปากมันนั่นแหละ” เต็มฟ้ากล่าวขณะเดินมานั่งลงตรงหน้าต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองไม่สบายพร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ


“เต่าญี่ปุ่นของพี่ชลก็ปล่อยลงน้ำจนเกลี้ยงบ่อ นี่ยังจะจับหมาถ่วงน้ำอีก ใจร้ายจริง ถามคนเลี้ยงของเขาหรือยังว่าเขายอมหรือเปล่า”


“ก็คนเลี้ยงปล่อยให้มันเห่ารบกวนคนอื่นแบบนี้ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” เจ้าของใบหน้าซีดเซียวยิ้มเยาะ แต่แล้วหัวคิ้วก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อนึกทวนคำพูดเมื่อสักครู่ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พูดถึงเต่าพี่ชล รู้ได้ยังไงใครเล่าให้ฟัง”


“เขาแซ่ซ้องสรรเสริญกันไปทั้งโลกแล้วไม่รู้หรอกเหรอ”


คนฟังมองตาขุ่น ๆ ก่อนจะอุ้มเจ้าหมาน้อยมาไว้แนบอก รู้สึกได้ว่าตัวมันหนักขึ้นทุกวัน ๆ อีกหน่อยคงจะอุ้มแบบนี้ไม่ไหวแล้ว


“พูดอะไรไร้สาระเนอะแข็งแรงเนอะ” ริมฝีปากที่ไร้ซึ่งสีของเลือดกล่าว เดาว่าคงจะเป็นพี่สาวหรือไม่ก็พ่อของเขาที่เอาเรื่องนี้มาเล่าเป็นเรื่องสนุกทั้งที่ตัวเขาต้องโดนทำโทษให้สำนึกผิดอยู่นานสองนาน


“พูดไร้สาระก็ยังดีกว่า คนที่รู้สึกยังไงก็เก็บเอาไว้เนอะน้องตามเนอะ”


ศิธาพัฒน์กล่าวพลางยืนขึ้นโอบไหล่เล็กของเด็กชายเอาไว้ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมาต่อปากต่อคำกับไอ้เด็กกวนประสาทที่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ แทนที่จะพูดกันดี ๆ


ตามตะวันที่จู่ ๆ ก็ถูกลากเข้ามาเกี่ยวได้แต่หัวเราะแหะ ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสมรภูมิการต่อสู้ของเหล่าดิจิทัลมอนสเตอร์ที่กำลังแผ่คลื่นไฟฟ้าใส่กันแบบที่เห็นในรายการการ์ตูนตอนเช้า


“เอ่อ....ตามว่าตามไปอ่านหนังสือดีกว่า” พูดจบเด็กชายร่างเล็กก็เดินหนีเอาดื้อ ๆ ปล่อยให้สองคนยังคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกันอยู่อย่างนั้น


“จะพูดดี ๆ กันบ้างไม่ได้หรือไง”


“ใครเริ่มก่อน” เต็มฟ้าทำปากขมุบขมิบ พูดไปแบบนั้นทั้งที่รู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตู


“โตแล้วน่าจะรู้”


“เออ ๆ ก็ได้ ๆ เต็มเริ่มก่อน แต่ถ้าพี่ศิธาทนฟังไม่ได้ อุดหูไว้ก็จบ”


“ไอ้เด็กบ้า เป็นเด็กเป็นเล็กแทนที่จะขอโทษ” ศิธาพัฒน์โคลงหัวมองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังอุ้มลูกสุนัขลุกขึ้น


“ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักให้อภัยถูกไหมครับ”


รอยยิ้มที่มุมปากกับหางคิ้วที่ขยับขึ้นลงถี่ ๆ นั้นทำเอาคนมองแทบอดใจไว้ไม่อยู่ นี่ถ้าเป็นน้องชายคงได้ง้างเท้าเตะเข้าป้าบใหญ่ไปแล้ว ตาคมหรี่มองร่างสูงสมส่วนที่กำลังเดินผิวปากผ่านหน้าไปพร้อมกับท่อง ‘ไม่เตะหนอ..ไม่เตะหนอ’ ในใจ


ศิธาพัฒน์เดินไปไปล้างมือก่อนจะมานั่งลงที่โต๊ะริมระเบียงพลางถอนใจเบา ๆ สายตายังคงจ้องมองแผ่นหลังคนที่นั่งอยู่ที่บันไดท่าน้ำ


“พี่ปุ่นโกรธพี่เต็มเหรอฮะ”


คำถามของตามตะวันทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง “ตามอยากให้พี่โกรธไหม”


“ไม่ฮะ ตามไม่อยากให้พี่ปุ่นโกรธพี่เต็ม ตามอยากให้พี่ปุ่นพาแข็งแรงมาบ้านเราบ่อย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่โกรธ ดีไหม”


เมื่อได้ฟังดังนั้นเด็กชายร่างเล็กก็ยิ้มออก “ดีฮะ ดีมาก ๆ เลย”


ศิธาพัฒน์มองเด็กชายร่างเล็กอย่างเอ็นดู ที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะไม่ได้รู้สึกโกรธจริง ๆ แต่ทำไมจึงรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า หัวใจก็เต้นแรงแปลก ๆ ทบทวนดูแล้วก็คิดว่าตัวเองไม่ได้กำลังโกรธ แล้วนี่มันอะไรกัน?



“หนุ่ม ๆ ทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ”


เสียงของเจ้าของเกสต์เฮาส์ทำให้ทุกคนต้องหยุดกิจกรรมต่าง ๆ และหันไปมองเธอเป็นตาเดียว วันนี้เดือนดาราลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง นาน ๆ เธอจะทำเช่นนี้แสดงว่าต้องมีอะไรเป็นพิเศษ อาหารพื้นเมืองหลายอย่างถูกยกมาวางบนโต๊ะโดยพี่สาวคนโตของบ้าน จากนั้นทุกคนก็มารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร


“วันนี้มีอะไรพิเศษครับ น้าเดือนถึงลงมือทำกับข้าวเอง” เต็มฟ้ากล่าวขณะวางเจ้าแข็งแรงลงให้มันกินอาหารที่คนงานเตรียมให้ชามพลาสติกเอาไว้ให้


“พอดีวันนี้น้าไปเจอเพื่อนเก่ามาจ้ะ เขาเป็นอาจารย์อยู่ที่เชียงรายน่ะ เห็นว่าสอนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางอะไรนี่แหละ น้าก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ในมหาวิทยาลัยมีคณะอะไรแบบนี้ด้วย ตอนนี้เขาหันมาจับธุรกิจสปา จะทำพวกผลิตภัณฑ์สปาแบรนด์ของตัวเองก็เลยอยากได้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร พอน้าบอกว่าโรงงานของเรารับทำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเซรามิกเขาก็สนใจใหญ่ นี่เห็นว่าจะหาเวลาว่าง ๆ แวะไปคุยกับพ่อของเต็มที่ไร่ด้วยนะ” เดือนดารายิ้มก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ


“นี่ถ้าตกลงกันเรียบร้อย อีกหน่อยคนที่จะต้องเหนื่อยก็คงต้องเป็นเต็มแล้วนะ” ชลธรกล่าวกับน้องชายพร้อมกับวางโถใส่ข้าวลงบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็จัดการตักข้าวแจกจ่ายให้ทุกคนที่ต่างก็นั่งประจำที่ของตัวเอง


“ล้างมือหรือยัง” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น แต่คนที่นั่งข้างกันกลับทำไม่รู้ไม่ชี้


“เมื่อกี้อุ้มเจ้าแข็งแรงน่ะ ล้างมือแล้วหรือยัง”


“มันไม่ได้สกปรกนี่” คนดื้อดึงกล่าวพลางทำท่าจะหยิบช้อน แต่อีกคนมือไวกว่าถึงจานหนีออกได้ทัน


“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ต้องล้างอยู่ดี จะรู้ได้ยังไงว่าวันทั้งวันมันไปทำอะไรมาบ้าง ยิ่งไม่สบายแบบนี้ด้วยยิ่งต้องรักษาความสะอาดนะรู้ไหม”


คำพูดยืดยาวตามประสาพี่ชายผู้คุ้มกฎทำให้ชลธรอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นน้องชายคนรองจำใจลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ “นี่ที่ไปล้างมือเพราะเชื่อพี่ปุ่นใช่ไหมว่าต้องรักษาความสะอาด”


เต็มฟ้าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะตอบคำถามที่เรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งโต๊ะ “เปล่า เต็มรำคาญ บ่นอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ไปล้างมือคงบ่นจนกับข้าวชืดหมด”


สาวหน้าหวานส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะหันมาสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ดีจังเลยนะที่มีปุ่นช่วยกำราบนายเต็มให้ ไม่งั้นก็ทำอะไรตามใจอยู่เรื่อย”


“ลืมตัวไปหน่อยน่ะครับคิดว่าอยู่ที่บ้าน” ศิธาพัฒน์หัวเราะแก้เก้อ “เจ้าปุ้นน้องชายของผมก็ดื้อแบบนี้เหมือนกัน ต้องให้ใช้ไม้แข็งกันอยู่เรื่อย”


“ดีจ้ะ น้าสนับสนุน ต้องให้มีคนคอยขัดใจบ้างอย่างนี้แหละจะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง” เดือนดารากล่าวพลางมองหลานชายที่เดินหน้ามู่ทู่กลับมาที่โต๊ะอาหาร


ศิธาพัฒน์เหลือบมองคนนั่งข้าง ๆ ที่ลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ รู้สึกขบขันกับใบหน้าบอกบุญไม่รับนั่นเหลือเกิน ช่างเหมือศิลาไม่มีผิด ด้วยความที่เป็นน้องชายคนเล็ก เวลาโดนพี่ ๆ ขัดใจก็จะแสดงสีหน้าไม่พอใจแบบนี้ทุกครั้งไป แต่พอพี่ ๆ ง้อเข้าหน่อยก็ยิ้มหน้าบานหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเต็มฟ้าคนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับน้องชายของเขาด้วยหรือเปล่า   


“เอ้อ เมื่อเช้าพี่ไปตลาดกลับมาไม่ทันตามไปโรงเรียนเสียก่อนก็เลยไม่ได้ทานอะไรเลยน่ะสิ” ชลธรเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้


“ทานฮะ เมื่อเช้าพี่เต็มทำข้าวต้มให้ตามทาน”


“จริงเหรอเต็ม”


“เปล่า” ผู้เป็นพี่ชายปฏิเสธ


“อืม..แต่เต็มจำได้นะฮะว่าลายมือบนกระดาษโน้ตเป็นลายมือพี่เต็ม” ตามตะวันเกาหัวแกรก ๆ จำได้จริง ๆ ว่านั่นคือลายมือของพี่ชาย แต่ทำไมอีกฝ่ายจึงกลับปฏิเสธเสียได้


“เขียนว่าอะไรเหรอจ๊ะ” พี่สาวคนโตของบ้านหันไปซักไซ้น้องชายคนเล็ก แต่ก็โดนเต็มฟ้าทะลุขึ้นกลางปล้องเสียก่อน


“เขียนว่า......ทานข้าวเถอะนะพี่ชลนะ นะจ๊ะ” ชายหนุ่มยิ้มหวานพลางตักกับข้าวให้พี่สาวอย่างประจบ มองค้อนคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อยจากนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ


ชลธรมองน้องชายอย่างรู้ทัน คิดว่าอย่างไรเสียวันนี้เธอก็ต้องถามให้ได้ความจากตามตะวันให้ได้


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ศิธาพัฒน์ก็ถือโอกาสลากลับ เขาเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่นอกรั้วโดยมีเต็มฟ้าเดินอุ้มเจ้าแข็งแรงตามไปห่าง ๆ


“ทำแล้วทำไมต้องบอกว่าไม่ได้ทำด้วย”


“ทำอะไร”


“ก็ทำอะไรดี ๆ แบบที่ทำให้คนอื่นเขายิ้มได้น่ะ”


“ก็...มันไม่ชิน”


“ไม่ชินก็ทำให้มันชินสิ แค่ยอมรับเอง แล้วนี่จะกลับไปอยู่ที่ไร่เมื่อไร”


“ไม่รู้เหมือนกัน ก็คงรอตามสอบเสร็จก่อนละมั้ง”


คนถามพยักหน้าพลางรับเจ้าตัวอ้วนจากมือของอีกฝ่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสกันเท่านั้นก็ทำให้อากาศเย็นสบายหลังฝนตกก็กลับร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันที ใบหน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุทั้งที่ตัวต้นเหตุก็ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ขยับไปไหน



โชคดีเหลือเกินที่ความมืดและแสงไฟสีเหลืองนวลช่วยอำพรางแก้มสีชมพูของเขาเอาไว้ได้




เมื่อเต็มฟ้าเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งก็พบว่าน้องชายกำลังยืนรอเขาอยู่ ตามตะวันสบตาพี่ชายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ


“มีอะไรหรือเปล่า”


“คือตาม...ตามจะขอบคุณพี่เต็มสำหรับข้าวต้มเมื่อเช้า”


พี่ชายมองน้องชายที่ยืนตัวลีบก้มหน้างุดพลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า มันอาจจะไม่ชัดเจนจนสังเกตได้ แต่เต็มฟ้าก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังยิ้ม นั่นเพราะท่าทางของน้องทำให้รู้สึกได้ว่าเขาคงเป็นพี่ชายที่ใจร้ายเอามาก ๆ น้องถึงได้กลัวขนาดนี้


“พรุ่งนี้อยากกินอะไร”


“ฮะ? อะไรนะฮะ”


“พี่ถามว่าพรุ่งนี้ตามอยากกินอะไร”


“อะ..อะไรก็ได้ฮะ ตามทานได้หมด”


....สำหรับน้องชายแล้ว พี่ชายทำอะไรให้ก็กินทั้งนั้น.... 
 

....



ศิธาพัฒน์หรี่ตามองเจ้าลูกสุนัขตัวกลมที่กำลังยืนสองขาเกาะรั้วทำจมูกฟุดฟิด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่าที่แท้จุดหมายของมันก็คือการเอาถุงพลาสติกใส่ข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เกี่ยวอยู่กับเหล็กดัดลงมาจัดการเสียให้เรียบร้อย กลิ่นหอมยั่วยวนนั่นทำเอาเจ้าหมาน้อยน้ำลายไหลยืดเป็นทาง ตาแป๋วมองตามมือหนาที่เอื้อมปลดถุงลงมาพร้อมกับเลียปากแผล็บ ๆ ที่ถุงมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเขียนติดเอาไว้ว่า ‘แบ่งกันนะ อย่าแย่งกันล่ะ’ ทำเอาศิธาพัฒน์หัวเราะหึเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไอ้เด็กแสบ’ นอกจากจะกวนประสาทคนเลี้ยงแล้วยังทรมานหมาอีกต่างหาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปที่เกสต์เฮาส์เพราะเขาต้องอยู่ช่วยงานที่ที่ทำงการไปรษณีย์จนมืดค่ำทุกวัน ร่างสูงยกยิ้มมุมปากเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่สะกิดที่ขาพร้อมกับเสียงร้องหงิง ๆ


“ไงนังหนู แกอยากกินเหรอ” พูดจบก็ย่อตัวลงนั่งก่อนจะหยิบไม้หมูปิ้งส่งให้ เจ้าแข็งแรงอ้าปากงับพลางนอนลงแทะชิ้นหมูอย่างเอร็ดอร่อย


“พ่อแกนี่ใจร้ายจังเนอะ ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนนักหนา”


เย็นวันนั้นทั้งหมาทั้งคนก็พากันแวะไปที่เกสต์เฮาส์ ศิธาพัฒน์พบว่ารถเก๋งสีดำไม่ได้จอดอยู่ในที่ประจำของมันเหมือนเคย เมื่อถามจากชลธรก็รู้ว่าตามตะวันสอบเสร็จแล้ว สองพี่น้องจึงพากันกลับไปอยู่ที่ไร่แสงดาว



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 03-07-2014 10:36:14
อัพแล้วววววว ดีใจจจจ ขอตัวไปอ่าน แว๊บบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-07-2014 10:37:26
(ต่อค่ะ)


พ่อเลี้ยงตรัยเปิดประตูนำลูกชายเข้าไปในโรงนาเก่าที่ถูกแปรสภาพเป็นโรงงานเซรามิกตั้งแต่ที่ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่ เต็มฟ้ามองไปรอบ ๆ พลางนึกถึงสมัยเด็ก ๆ ถ้าไม่ไปนั่งเล่นนอนเล่นที่ใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ซึ่งอยู่อีกฟากของลำธารก็จะมาขลุกอยู่ที่นี่ช่วยหยิบจับโน่นนี่ไปตามประสา เมื่อเวลาผ่านไปจึงพอจะได้วิชาจากแม่และบรรดาลุงป้าน้าอาที่เป็นคนงานติดตัวมาเป็นต้นทุนอยู่บ้าง ร่างสูงแยกตัวออกมาก่อนจะเดินไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างชั้นวางภาชนะรูปทรงต่าง ๆ ที่รอการเผาเคลือบ งานทุกชิ้นล้วนปราศจากตำหนิเนื่องจากผ่านกระบวนการคัดกรองที่ค่อนข้างละเอียด งานที่มีรอยแตกร้าวเมื่อนำออกจากเตาเผาก็จะถูกคัดแยกออกไป ดังนั้นงานที่ผลิตจากโรงงานเซรามิกแห่งไร่แสงดาวเป็นที่ยอมรับในเรื่องของฝีมือมาแต่ไหนแต่ไร จึงน่าเสียดายที่จะขายโรงงานนี้ให้กับนายทุนที่คิดแต่จะแสวงหาผลกำไร ดังนั้นลูกชายคนโตของครอบครัวจึงตัดสินใจสอบเข้าเรียนในสาขาเซมิกเพื่อกลับมาสานต่อในสิ่งที่แม่รักและจะได้รักษาโรงงานเซมิกแห่งนี้เอาไว้


“พ่อคิดว่ายังไงถ้าเต็มจะยกเครื่องที่นี่ใหม่”


“ก็เอาสิ โรงนานี่น่ะมันก็เก่าเต็มทีแล้ว ซ่อมแซมใหม่เสียทีก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องเงินทุนละก็ไม่ต้องเป็นห่วง แกลองร่างแบบคร่าว ๆ มาก่อนก็แล้วกัน พ่อจะให้ช่างเขาประเมินราคาให้”


“ถ้าอย่างนั้นเต็มจะเขียนแบบให้ก็แล้วกัน”


ดวงตาแข็งกร้าวของผู้เป็นพ่อกลับอ่อนลงในทันที พ่อเลี้ยงตรัยพยักหน้ารับข้อเสนอก่อนจะเดินเข้าไปโอบไหล่ลูกชายเอาไว้


“พ่อดีใจนะที่แกกลับมา แม่แกเขาก็คงดีใจเหมือนกัน”


“พ่ออย่าทำซึ้งตอนนี้น่า อายคนอื่นเขา”


“บ๊ะ! ไอ้ลูกคนนี้ จะองจะอายอะไรกัน ในนี้ก็พี่ป้าน้าอาที่เห็นแกมาตั้งแต่เด็ก บางคนยังคอยปลอบเวลาแกโดนแม่ดุจนร้องไห้ขี้มูกโป่งด้วยซ้ำ”


“ก็ตอนนี้โตแล้วนี่นาพ่อ ไม่อยากร้องไห้ให้ใครต้องคอยปลอบแล้ว”


“ห่วงหล่อว่างั้น”


“ช่ายยยยยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงทะเล้น แต่กระนั้นคนเป็นพ่อก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น นั่นเป็นเพราะเขาสอนลูกเสมอให้เป็นคนเข้มแข็งและอดทน เต็มฟ้าจึงโตมาเป็นเด็กที่เข้มแข็งเสียจนน่าใจหาย เรื่องราวต่าง ๆ ที่ลูกได้ประสบพบเจอระหว่างเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำใช่ว่าคนเป็นพ่ออย่างเขาจะไม่รู้ เขารู้เรื่องราวทั้งหมดจากชลธรซึ่งเป็นคนเดียวที่เต็มฟ้าไว้ใจยอมเล่าทุกอย่างให้ฟัง ลูกต้องร้องไห้ ลูกถูกรังแก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกเจ็บปวดเสมอทุกครั้งที่ได้รับรู้


“ฝนจะตกแล้ว แกจะกลับบ้านพร้อมพ่อเลยไหม นี่คนงานก็จะกลับกันหมดแล้ว”


“พ่อกลับก่อนเถอะ เต็มอยากอยู่ที่นี่ต่อ”


“ตามใจ” พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากโรงนาไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ท่ามกลางบรรยากาศฝนตั้งเค้า ภายในโรงนาไม่เหลือใครนอกจากนายน้อยลูกชายคนโตของพ่อเลี้ยง


เต็มฟ้าเดินไปหยุดที่แท่นหมุนสำหรับขึ้นรูป มือเรียวค่อย ๆ สัมผัสลงบนผิวหยาบของโลหะที่เกรอะกรังไปด้วยดินแห้ง นัยน์ตาสีเข้มกวาดมองไปรอบ ๆ รู้สึกว่าตัวเองหนีหายไปเสียนาน ทั้ง ๆ ที่คนที่นี่และโรงงานเซมิกแห่งนี้ยังคงรอการกลับมาของเขา แต่นับจากวันนี้เขาสัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาทำในสิ่งที่รักอีกครั้งและจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังของเขาจะทำได้


เสียงเปิดประตูทำให้ร่างสูงต้องหยุดความคิดเอาไว้เพียงแค่นั้น เต็มฟ้าหันไปมองยังต้นเสียงที่น่าจะมาจากด้านหน้าของโรงนา ในที่สุดร่างเล็ก ๆ ของน้องชายก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา


“ตามมาที่นี่ได้ยังไง”


“ขี่จักรยานมาฮะ ตามเห็นพ่อกับพี่เต็มเอารถออกมาก็เลยคิดว่าน่าจะมาที่นี่ ตามก็เลยตามมา”


“แล้วนี่พ่อรู้หรือเปล่า”


“รู้ฮะ สวนกันตรงโรงเพาะเห็ด”


“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรอให้ฝนหยุดก่อนค่อยกลับ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม้เตี้ย ๆ พลางเรียกน้องชายให้เข้ามานั่งด้วยกัน


เสียงฟ้าร้องคลืนที่ด้านนอกทำเอาพี่ชายต้องรีบใช้มืออุดหู


“พี่เต็มกลัวเสียงฟ้าร้องเหรอฮะ”


คนถูกถามรีบลดมือลงแต่ก็ยอมพยักหน้ารับความจริง นอกจากไม่ชอบเสียงฟ้าร้องแล้วเขายังไม่ชอบเสียงที่ให้ต้องสะดุ้งตกใจอีกหลายเสียง อย่างเช่นเสียงลูกโป่งแตกหรือแม้กระทั้งเสียงของโทรศัพท์มือถือ และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่ค่อยรับโทรศัพท์เวลาที่มีคนโทร.เข้ามา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าโทรศัพท์ถูกตั้งให้เป็นระบบสั่นนั่นเอง


“ไม่ต้องกลัวนะครับ เดี๋ยวรามสูรก็ไปแล้ว”


“รามสูรเหรอ” รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยจากปากของใครสักคน


“ใช่ครับ หนังสือภาษาไทยที่ตามเรียนบอกว่าเสียงฟ้าร้องเป็นเพราะรามสูรขว้างขวาน ส่วนที่ฟ้าแลบนั่นก็เพราะว่านางเมขลาออกมาล่อแก้ว เดี๋ยวอีกสักพักพอสองคนนั้นเหนื่อยก็คงกลับบ้านแล้วละฮะพี่เต็ม”


เต็มฟ้าเลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มปลอดโปร่งแม้จะรู้สึกระแวงเสียงคลืน ๆ นั้นก็ตาม


“พี่เต็มยิ้มแล้ว” ตามตะวันร้องขึ้นพร้อมกับยิ้มตามพี่ชายไปด้วย


“ทำไมล่ะ”


“ก็พี่เต็มไม่เคยยิ้มให้ตามแบบนี้เลยนี่ครับ ตามชอบเวลาเห็นพี่เต็มยิ้ม”


ฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจ นี่เขาไม่เคยยิ้มให้เห็นสักครั้งเลยหรือน้องชายถึงได้แสดงท่าทางดีใจขนาดนั้น


“แล้วทำไมตามไม่บอกให้พี่ยิ้มล่ะ”


“ตะ ตาม...”


“พี่น่ากลัวเหรอ”


ตามตะวันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่เต็มไม่ไม่น่ากลัวฮะ แต่ตามคิดว่าพี่เต็มไม่ชอบตาม”


“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”


“ก็เพราะชุดกระโปรง....ชุดกระโปรงสีฟ้าชุดนั้น พ่อบอกว่าพี่เต็มตั้งใจซื้อเตรียมไว้ให้น้องสาว แต่ตาม....”


“ตามก็เป็นน้องพี่ไง”


“แต่ตามไม่ใช่น้องสาว” ประโยคนั้นช่างแผ่วเบาแต่กลับหนักอึ้งอยู่ในหัวอกคนฟัง ตามตะวันคิดว่าที่เต็มฟ้าทำเฉยชานั่นเป็นเพราะว่าตนเองไม่ใช่น้องสาวแบบที่พี่ชายคาดหวัง ถึงจะฟังดูเจ็บปวดแต่นั่นก็ทำให้คนเป็นพี่รู้สึกโล่งใจไม่น้อย เพราะมันน่าจะดีกว่าการได้รู้ความจริงที่เจ็บปวดยิ่งกว่า อย่างน้อยก็ดีที่น้องชายเข้าใจแบบนั้น แทนการเข้าใจตนเองเป็นสาเหตุของการจากไปของผู้เป็นแม่อย่างที่เต็มฟ้าฝังใจมาตลอด


“จะเป็นน้องสาวหรือน้องชายก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเป็นน้องของพี่ก็พอ” พูดจบมือบางก็คว้าร่างเล็ก ๆ ของน้องเข้ามากอดไว้แน่น


“ต่อไปนี้ ให้โอกาสพี่ได้ทำหน้าที่ของพี่ชายดีบ้างนะ”


“พี่เต็ม...”


มือเล็ก ๆ ตบลงเบา ๆ ที่แผ่นหลังกว้างของพี่ชาย พร้อมกับคำปลอบโยนที่ออกมาจากใจ...


“ไม่ร้องไห้นะฮะ ตามอยากเห็นพี่เต็มยิ้ม"
 

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-07-2014 10:38:00
(ต่อค่ะ)


 
ในที่สุดฤดูฝนก็ผ่านไป หากลมฝนได้หอบเอาหยาดน้ำตาของใครหลายคนติดไปด้วย ลมหนาวที่กำลังจะมาก็คงพัดพาเอารอยยิ้มมาแต่งแต้มบนใบหน้าของคนรอ


เต็มฟ้ามองดูเจ้าลูกสุนัขวัยรุ่นที่นั่งเชิดหน้าอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์จากอีกฟากของลำธาร มันสวมเสื้อยืดสีชมพูดูตลกพิลึก ขนที่ค่อนข้างยาวและหางที่เป็นพวงทำให้คาดเดาเอาได้ว่าจะต้องมีส่วนผสมของสุนัขพันธุ์บางแก้วไม่ผิดแน่ จากที่เคยนั่งอยู่ในตะกร้าหน้ารถ ตอนนี้มันต้องย้ายตำแหน่งเพราะตัวที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ทันที่มอเตอร์ไซค์จอดสนิท เจ้าแข็งแรงก็กระโดดแผล็วลงมาวิ่งเหยาะ ๆ สำรวจไปรอบ ๆ แม้ศิธาพัฒน์จะร้องเรียกแต่มันก็ไม่ยอมหยุด


ร่างสูงก้าวลงมายืนมองอาคารสีลูกกวาดที่เพิ่งปรับปรุงครั้งใหญ่เสร็จเมื่อไม่นาน ตอนนี้หากจะนำภาพเก่าจากอัลบั้มมาเทียบก็คงไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น เพราะโรงนาเก่าบัดนี้ได้กลายเป็นโรงงานเซรามิกอย่างสมบูรณ์แบบ จะมีก็แต่ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์เท่านั้นที่ยังคงยืนต้นตระหง่านออกดอกสีชมพูสะพรั่งต้อนรับลมหนาวที่กำลังมาเยือนโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง


เต็มฟ้ามองตามชายหนุ่มที่กำลังเดินตามเจ้าสุนัขเพศเมียจอมซนที่เดินคุ้นโน่นเขี่ยนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตอนที่รู้ว่าที่ดินแถบนี้เคยเป็นของแม่ของศิธาพัฒน์มาก่อนนั้นก็ตกใจไม่น้อย ยิ่งรู้ว่าแม่ของเขาทั้งสอนคนเคยเป็นเพื่อนรักกันรวมถึงเหตุผลที่นายหญิงของไร่ตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ก็ให้ประหลาดใจหนักเข้าไปใหญ่ พ่อเลี้ยงตรัยเองก็เคยถามศิธาพัฒน์อยู่เหมือนกันเมื่อตอนเริ่มปรับปรุงโรงงานว่าอยากได้ที่ดินผืนนี้คืนหรือไม่แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากอีกฝ่าย เต็มฟ้าจึงไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนี้จะเป็นสาเหตุของการที่พนักงานไปรษณีย์หนุ่มผู้นี้สามารถเข้าออกไร่แสงดาวได้อย่างสะดวกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าศิธาพัฒน์คนนี้จะกลายเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวตติยพัฒน์ไปเสียแล้ว ศิธาพัฒน์ยังคงพาเจ้าแข็งแรงมาวิ่งเล่นในไร่ทุก ๆ วันอาทิตย์ทิตย์ถ้าหากพ่อและนายน้อยของมันไม่ได้อยู่ที่เกสต์เฮ้าส์


มือหนารีบคว้าปลอกคอสีน้ำตาลทันทีเมื่อเจ้าขนยาวกำลังเผลอ จากนั้นก็คล้องสายจูงเข้ากับปลอกคอยื้อยุดฉุดรั้งกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพาเจ้าจอมซนเดินลุยน้ำระดับหน้าแข้งข้ามไปยังอีกฟากของลำธาร เมื่อถึงฝั่งเจ้าแข็งแรงก็ก้มลงดมไปตามพื้นดินโดนไม่สนใจคนจูงและสายจูงที่ตึงเปรี๊ยะเลยแม้แต่น้อย


“ทำไมมาวันนี้” เต็มฟ้าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนผืนหญ้าใต้ต้นที่ปกคลุมไปด้วยดอกสีชมพูถามขึ้นอย่างแปลกใจนั่นเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์


“พี่จะเอาเจ้าแข็งแรงมาฝาก พอดีจะไม่อยู่หลายวัน” ร่างสูงกล่าวพร้อมกับนั่งลงใกล้ ๆ ปล่อยมือจากสายจูงให้เจ้าหมาน้อยวิ่งเล่นตามใจชอบ


“พี่ศิธาจะไปไหน”


“จะไปกรุงเทพฯ ไปงานรับปริญญาน้องชายแล้วก็ลาพักร้อนยาว กลับมาอีกทีก็น่าจะหลังปีใหม่”


“แล้วนี้ไปยังไง เครื่องบินเหรอ”


ศิธาพัฒน์ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะนั่งเครื่องบินกลับเพราะมันเร็วกว่ากันเยอะ แต่คราวนี้กลับอยากนั่งรถไฟเพียงเพราะอยากจะหาคำตอบของคำถามที่คาใจ “อยากรู้ว่านั่งรถไฟเห็นอะไรที่คนนั่งเครื่องงบินไม่เห็นบ้าง”


“ลงทุนเนอะ” เต็มฟ้ากล่าวพร้อมกับปิดหนังสือลง “แล้วจะไปวันไหน”


“คืนนี้แหละ”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเต็มขับรถไปส่งก็แล้วกัน พี่ศิธาก็เอามอเตอร์ไซค์ไปจอดที่เกสต์เฮาส์ กลับมาเมื่อไรก็แวะไปเอา”
ศิธาพัฒน์พยักหน้ารับข้อเสนอก่อนจะลุกขึ้นเดินไปรั้งสายจูงที่ติดอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่ทำเอาเจ้าสุนัขที่ปลายสายต้องวิ่งวนจนกระทั่งไปไหนไม่ได้


“มานี่มา” พูดจบมือหนาก็ออกแรงรั้งสี่ขาให้เดินตามมา


“ปรึกษามันก่อนไหม จับมันใส่เสื้อสีหวานขนาดนี้”


“ก็ลูกสาวนี่ ใส่แบบนี้น่ารักจะตาย เนอะแข็งแรงเนอะ”


ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้านายพูดอะไร แต่นังหนูก็ขานรับด้วยการเห่าตามประสาหมาน้อยปากเปราะเหมือนเช่นเคย


“ปลอกคอแกเริ่มแน่นหรือยังเนี่ยนังหนู” เต็มฟ้ากล่าวพลางจับที่ปลอกคอ เมื่อเห็นว่ายังพอมีรูเหลือให้ขยับสายได้ก็ค่อยวางใจ ห่วงอยู่ว่าถ้าหากมันโตขึ้นอีกแล้วไม่ได้ขยับปลอกคอให้กว้างตาม นังหูของเขาคงขาดอากาศหายใจกันพอดี


“ลูกสาวใครก็ไม่รู้กินก็จุ แถมยังดื้ออีกต่างหาก” ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมกับลูบหัวมันเบา ๆ   


“ดื้อตรงไหน ไม่เห็นจะดื้อเลย”


“ถ้าอย่างนั้นต้องลองพิสูจน์เอง” ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะส่งสายจูงให้เจ้าของตัวจริง


มือบางรับสายจูงมาพันไว้หลวม ๆ แต่ยังไม่ทันตั้งตัวเสียงเชียร์ให้วิ่งของคนข้าง ๆ ก็ทำให้เจ้าหมาน้อยเกิดคึกวิ่งแน่บจนลืมคนที่ปลายสายจูงไปเสียสนิท ร่างสูงถูกรั้งไปตามแรงของเจ้าสี่ขาจนหนังสือในมือกระจัดกระจาย แม้เต็มฟ้าจะร้องให้หยุดแต่เจ้าแข็งแรงก็ยังคงวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยคิดว่าเจ้านายกำลังเล่นกับมัน


เต็มฟ้าหอบแฮ่กพยายามเอื้อมมือเกาะสายจูงที่พันแน่นและในจังหวัที่สายจูงคลายออก แรงรั้งสุดท้ายก็ทำให้ร่างสูงล้มลงจนหัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหิน


“เต็ม!” ศิธาพัฒน์ร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งเข้าไปประคองคนเจ็บ หน้าเหยเกกับเลือดแดงฉานที่หัวเข่าทำเอาใจคอไม่ดี นึกอยากจะเขกหัวตัวเองซ้ำ ๆ ที่บังอาจทำให้ผิวเนียนต้องมีแผล “เป็นอะไรหรือเปล่า”


“โอ้โห! ถามมาได้ นี่นึกว่าใช้เอฟเฟกต์หรือไงเลือดออกขนาดนี้”


“ลุกไหวไหม” ปากอิ่มละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษพร้อมกับช่วยพยุงร่างเล็กกว่าให้ลุกขึ้น


“ดะ เดี๋ยว ๆ พี่ศิธา เจ็บว่ะ” เต็มฟ้ากล่าวพลางกำแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น รู้สึกตึงไปหมดทั้งขา


“ถ้าอย่างนั้นขี่หลังพี่ไปก็แล้วกัน เลือดออกแบบนี้ยังไงก็คงปล่อยให้ลุยน้ำไปไม่ได้ เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าแผลกันพอดี”


“ไม่ต้อง ๆ เต็มเดินเองได้ พี่ศิธาไปจูงแข็งแรงกลับเถอะ”


“อย่าดื้อน่า”


ดวงตาที่แฝงความห่วงใยคู่นั้นทำให้คนเจ็บแอบถอนหายใจเบา ๆ จำต้องกลืนคำโต้แย้งลงคอก่อนจะขึ้นหลังคนเสียงขรึมอย่างว่าง่าย แขนเล็กคล้องคอหนาเกาะแน่นเป็นลูกลิงขณะร่างสูงกำลังพาเดินข้ามลำธาร เหตุการณ์เมื่อครู่แม้จะเกิดขึ้นอย่ารวดเร็วแต่ก็เล่นเอาหอบ แก้มนิ่มแตะลงบนบ่ากว้างเอียงคอมองนังหนูที่เดินลุยน้ำตามมา ปลายจมูกได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายยี่ห้อดังที่มักจะเห็นบนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้า แม้จะเป็นน้ำหอมสำหรับพวกหนุ่มนักกีฬาแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติกอยู่เหมือนกัน     


ศิธาพัฒน์พาเต็มฟ้าเข้ามานั่งพักในโรงงานก่อนจะถามหากล่องปฐมพยาบาล เมื่อรู้พิกัดแน่ชัดเขาก็หายไปพักใหญ่ ๆ จากนั้นก็กลับมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและกล่องใส่เครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้น


“เจ็บมากไหม” กล่าวขณะที่มือบิดผ้าเช็ดหน้าซับคราบสกปรกที่หน้าข้าง


“395.25 หน่วย”


เมื่อได้ฟังคำตอบกวนประสาทคนถามที่อยู่ในอาการเครียดก็ถึงกับขมวดคิ้ว อยากจะดุแต่ก็ไม่กล้าดุเพราะตนเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเลือดตกยางออก


“เต็ม ตอบดี ๆ”


“เจ็บสิ เจ็บจะ...  โอ๊ย! พี่ศิธา!” เต็มฟ้ากัดฟันกรอดเมื่อสำลีชุ่มแอลกอฮอล์ถูกวางลงมาบนหัวเข่าพลันความแสบก็แล่นจี๊ดจนน้ำตาแทบเล็ด คิ้วหนาขมวดเข้าหากันราวกับจะผูกเป็นปม “ทำอะไรบอกกันบ้าง”


“แสบเหรอ”


“ตอนแรกก็ไม่แสบหรอก จนพี่โปะสำลีลงมานี่แหละ” คนเจ็บยังไม่หยุดโวยวาย แต่เมื่อลมเย็น ๆ ที่ถูกเป่าผ่านริมฝีบอกของคนหน้าเครียดกับสัมผัสแผ่วเบาของสำลีที่ถูกเช็ดวนรอบปากแผลก็ทำให้คลายความโมโหลงได้บ้าง


“พี่เป่าให้นะ เดี๋ยวก็หาย”


ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมประโยคนี้มันช่างเหมือนมีมนต์ขลัง ทั้งที่รู้ว่าเป็นเพียงคำพูดหลอกเด็ก แต่ก็รู้สึกหายเจ็บทุกทีเวลาที่ได้ฟัง เต็มฟ้าทอดสายตามองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า สีหน้านั้นดูจริงจังน่ากลัวเสียจนอยากจะบอกว่าให้ช่วยทำหน้าปกติได้ไหม อันที่จริงแผลแค่นี้มันเล็กน้อยและไกลหัวใจมาก แต่ถึงกระนั้นแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาดแผลก็ทำเอาแสบจนน้ำตาซึมอยู่เหมือนกัน



“พี่ขอโทษนะ” ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อเห็นน้ำใส ๆ ที่หางตาของอีกฝ่ายยิ่งทำให้รู้สึกผิดเป็นทวีคูณ ริมฝีปากอิ่มยังคงกล่าวคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น


“พอแล้วพี่ศิธา ไม่ต้องขอโทษแล้ว เต็มไม่เป็นอะไรแล้ว” พูดพลางวางมือบนบ่าหนาของคนตรงหน้าพร้อมกับออกแรงบีบเบา ๆ เป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้พูดออกไปแต่นั่นก็ไม่ทำให้ศิธาพัฒน์รู้สึกคลายใจเลยสักนิด ความรู้สึกผิดยังคงแล่นอยู่เต็มอกเมื่อเห็นผิวขาว ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วง ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อเงียบ ๆ ในขณะที่คนเจ็บเองก็มองตามในสิ่งที่เขาทำอย่างสนใจ


“ทำเป็นได้ยังไงน่ะ”


“พี่สาวพี่เป็นพยาบาล เคยเห็นเขาทำให้คุณย่า ให้น้องชายบ้างก็เลยจำ ๆ มา” น้ำเสียงเรียบ ๆ ทำให้คนถามต้องถอนหายใจเบา ๆ


“เลิกทำเสียงขรึมกับหน้าตาเครียด ๆ ได้แล้ว บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วไง”


“แล้วจะให้ทำหน้ายังไง”


“ก็ยิ้มไง ยิ้มน่ะยิ้ม” พูดจบสองมือก็จับที่แก้มเนียนก่อนจะดึงเบา ๆ


แค่ดึงเบา ๆ แต่ทำเอาหัวใจเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ศิธาพัฒน์รีบปัดมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะจัดการพันผ้าพันแผลเป็นอันเสร็จเรียบร้อย


....


หลังจากห้ามกันอยู่นานคนเจ็บก็ดื้อที่จะขับรถมาส่งที่สถานีรถไฟตามที่ได้พูดเอาไวจนได้ มาถึงสถานีรถไฟฟนครลำปางก็ตอนเกือบหนึ่งทุ่ม เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ กว่าที่รถด่วนพิเศษขบวนที่ 2 ซึ่งมีต้นทางอยู่ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่จะมาถึง เต็มฟ้าเดินกระเผลกไปนั่งลงที่ที่นั่งริมชานชาลาพลางทอดสายตามองไปตามรางเหล็กเหล็ก ยังรู้สึกเจ็บแป๊บที่หัวเข่าแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ให้ใครต้องมาเป็นห่วง


“ยังเจ็บอยู่ไหม” ร่างสูงถอดเป้บนหลังก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ


“ไม่แล้ว”


“หึ อ่อนแอบ้างก็ได้มั้ง เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ไม่เห็นจะต้องฝืน”


“ก็ไม่เจ็บแล้วจริง ๆ”


ยังไม่ทันที่ศิธาพัฒน์จะโต้แย้งเสียงประกาศแจ้งจากนายสถานีก็ดังขึ้น รถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 กำลังจะเข้าจอดเทียบชานชาลาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บรรดาผู้โดยสารทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างก็ลุกจากที่นั่งเตรียมสัมภาระก่อนจะเดินไปยืนระตามหมายเลขโบกี้ที่ระบุไว้ในตั๋วรถไฟ


“แปลกเนอะ ได้ยินแต่คนบ่นว่ารถไฟช้าบ้างละ เก่าบ้างละ แต่ก็ยังมีคนเยอะแยะที่เลือกเดินทางด้วยรถไฟ”


“ถึงจะเก่าหรือช้าก็พาทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางนะ”


“แล้วที่เต็มเคยบอกล่ะมันคืออะไร”


คนถูกถามนิ่งนึก คงจะหมายถึงเรื่องที่บอกว่า ‘คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็น’ ละสิ ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปที่แสงไฟหน้าขบวนรถที่ปรากฏขึ้นและกำลังใกล้เข้ามา ไม่นานเสียงหวูดก็ดังขึ้นพร้อมกับหัวรถจักรที่เคลื่อนผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ม้าเหล็กตัวยาวค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงจนกระทั่งจอดสนิท และแล้วความโกลาหลและเสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังไปทั้วทั่งสถานี


ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้งบาง ๆ  “ข้อแรกนะ”


นิ้วเรียวชี้ไปที่หน้าต่างบานหนึ่งของขบวนรถไฟที่ยังคงจอดนิ่ง ภาพที่เห็นคือภาพคุณตาคุณยายที่กำลังช่วยกันประคองหลานสาวตัวน้อยซึ่งกำลังเกาะขอบหน้าต่างดูความเป็นไปภายนอก โดยมีหญิงสาวกับชายหนุ่มซึ่งคงจะเป็นพ่อกับแม่ของเด็กนั่งมองอยู่ห่าง ๆ “มันทำให้เราไปไหนด้วยกันได้ทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย”


“แล้วข้อต่อไปล่ะ”


“ข้อสองก็คือ.....” เต็มฟ้ากลอกตาขึ้นอย่างใช้ความคิดจนกระทั่งเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น “ได้เห็นวิถีชีวิตที่ต่างออกไปไง ได้เห็นต้นข้าวเขียว ๆ ในทุ่งนา ได้เห็นวัด เห็นบ้านในมุมที่คนธรรมดาเห็น แบบที่ไม่ต้องมองจากมุมสูงก็เห็น มันอาจจะเห็นได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็เห็นในแบบที่จับต้องได้ รายละเอียดชัดกว่า”


“แล้วข้อสามล่ะ”


“นี่ยังจะเอาอีกเหรอ”


“มีอีกไหมล่ะ” ศิธาพัฒน์กอดอกรอฟัง


“อืม..” คนถูกถามนิ่งคิดพร้อมกับมองขบวนรถไฟที่เคลื่อนออกไปช้า ๆ “ทำให้เราได้มีเวลาอยู่ด้วยกันานขึ้น” เขากล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันที่ริมหน้าต่างตู้รถไฟที่เคลื่อนผ่านหน้าไป


“เต็มว่าเขารู้จักกันเหรอ ไม่เห็นคุยกันเลย”


“ไม่รู้สิ” ถ้าให้เดาละก็ การที่ต่างคนต่างมองไปคนละทางทำให้คิดได้ว่าทั้งคู่คงไม่ได้มาด้วยกัน “แต่กว่าจะถึงปลายทางคงได้คุยกันบ้างละ ก็เลยทำให้เกิดเป็นข้อสี่....”


“ข้อสี่ว่าไง”


“เราอาจจะได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคนไง”


“หมดหรือยัง”


“ไม่หมดก็พอเฮ้อะ! ขี้เกียจคิด” เต็มฟ้ากล่าวพลางเกาขาตัวเองแกรก ๆ ในขณะที่ศิธาพัฒน์เองก็มองชายหนุ่มช่างคิดอย่างเอ็นดู จะลองดูก็แล้วกันว่ารถไฟขบวนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจะทำให้เขาเห็นในสิ่งต่าง ๆ ที่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็นจริงหรือเปล่า




“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง แล้วจะซื้อขนมมาฝาก” ปากอิ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ


คำพูดที่ดูเหมือนคำพูดที่พี่ชายพูดกับน้องเวลาต้องจากกันไปไกล ๆ ทำให้ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอีกครั้ง


“ขอบคุณเหมือนกัน”


“เรื่อง?”


“ก็เรื่องที่ทำให้รู้ว่าการเป็นน้องมันรู้สึกยังไงไงล่ะ”



คนฟังไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายกับประโยคที่จบลงไปเมื่อครู่ นั่นเป็นเพราะตัวเขา...



   
‘ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายสักหน่อย’






....


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม (ติดเต็ม ติดปุ่น) นะคะ
ผ่านมาถึงตอนที่ 14 แล้ว ตามความตั้งใจกะว่าจะให้จบภายใน 20 ตอน โดยไม่มีตอนพิเศษค่ะ
ตอนนี้วางแผนเอาไว้แบบนี้ค่ะ เผื่อหลาย ๆ คนคาดหวัง
พอดีว่าใกล้เปิดเทอมแล้ว เด็กวัยกำลังเรียนอย่างเรา (เหรอ) มีภารกิจหลายเรื่องที่ต้องทำ
ช่วงนี้รู้สึกงานยุ่ง ๆ ด้วย เลยอยากเขียนให้เสร็จ จะได้ทำอย่างอื่นแบบสบายใจ คนอ่านก็ไม่ต้องรอด้วย
ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ^^




หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 03-07-2014 11:04:17
อ่านเรื่องนี้ทีไรรู้สึกอบอุ่นใจทุกที เอาใจช่วยพี่ศิธานะ สู้ๆ
มันก็ต้องค่อยเป็น ค่อยไปเนอะ เดี๋ยวจากนัอง ก็กลายเป็นคนรักเองแหละ รีบๆกลับมาทำคะแนนเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 03-07-2014 11:04:56
พี่ศิน้องเต็มๆๆๆๆๆ น่ารัก อบอุ่นๆๆๆ

ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายสักหน่อย บอกให้เขาได้ยินสิๆๆๆ


>////////////<

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 03-07-2014 11:09:44
แหนะะะ พี่ศิธาคิดอารายยยยยย  :-[ :-[

ชอบเรื่องนี้ม๊ากกกกกก มากกกกก
เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวจนเป็นความรัก ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผิวเผิน
มันค่อยๆเป็นค่อยๆไป ค่อยๆเกิดเป็นความรู้สึกที่มั่นคงแข็งแรง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนต่อไปค่ะ ติดตามเฟสบุ๊คตลอดแต่เคยเม้นแค่ทีเดียว แหะๆ

ปล.บรรยายบรรยากาศได้ดีมากเลยค่ะ เห็นภาพ
ถึงจริงๆในเมืองลำปางจะรถติด แต่รอบนอกเป็นบรรยากาศแบบที่เล่าเลย
กลิ่นฝน กลิ่นหมอกทำให้คิดถึงบ้าน  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 03-07-2014 11:20:03
แล้วเค้าจะจีบ จะเป็นแฟนกันตอนไหน เต็มยังไม่รู้สึกรัยกะพี่ปุ่นเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 03-07-2014 11:34:30
ไม่ได้อยากเป็นพี่นะจ๊ะนะ
อยากให้เต็มรู้เร็ว ๆ จัง~ ยู้ฮูววว~

>////<
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 03-07-2014 11:35:57
น่ารักที่สุด  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 03-07-2014 12:30:08
 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-07-2014 12:36:20
อ่านเรื่องนี้ทีไรมันอบอุ่นใจทุกที
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 03-07-2014 12:38:44
ตอนนี้น่ารักมากเลย รู้สึกถึงการเปิดใจของเต็มที่มีทั้งให้น้องแล้วก็ให้พี่

อ่านแล้วอบอุ่นมาก ชอบความคิดที่นั่งรถไฟด้วย ไว้จะลองไปนั่งดูบ้าง o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 03-07-2014 13:16:57
 ชอบจังเลย เขียนได้น่ารักมาก
มีความสุขแบบหม่นๆ บางตอนก็ยิ้มทั้งน้ำตา
ชอบน้องตาม อยากมีน้องชายแบบนี้มั้ง ดูเป็นเด็กน่ารักๆ และรักพี่ชายมากๆเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-07-2014 13:18:24
อ่านไปอมยิ้มไป ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือเป็นน้องเพียงเรามีความรัก ความห่วงใย ใส่ใจดูแลกัน นั่นก็วิเศษสุด ๆ แล้ว
พี่ปุ่นไม่อยากเป็นพี่ชายก็เดินหน้าจีบอย่างเป็นทางการได้ล่ะ
ชอบเวลาน้องตามปลอบใจพี่ ตบหลังปุ ๆ น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 03-07-2014 14:01:53
อ่านแล้วรูสึกอบอุ่นจัง
พี่ปุ่นไม่อยากเป็นแค่พี่ชายเต็มแล้ว
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 03-07-2014 14:19:52
ข้อความสุดท้ายต้องบอกให้เต็มรู้แล้วหล่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 03-07-2014 15:19:13
ไม่บอกออกไปละ ว่าคิดยังไง :hao4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-07-2014 17:09:05
'อยากเป็นแฟนตะหาก' :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 03-07-2014 17:55:46
 :mew1: :mew1: :mew1:ตอนนี้น่ารักกกก อ่านแล้วน้ำตาคลอ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 03-07-2014 18:48:06
ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปเนอะ~  :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-07-2014 19:40:36
ยาวสะใจมาก
อบอุ่นประทับใจมาก
ชอบมากๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-07-2014 19:54:30
ว้า...จะมาซาบซึ้งกับการเป็นน้องชายอะไรตอนนี้ เต็มฟ้า
นี่อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วนะ มุ้งมิ้งได้แล้วมั้ย จะได้มีคนปลอบตอนฟ้าร้อง
แถมด้วยกอดให้อุ่นตอนหน้าหนาว วั้วๆๆๆๆๆ

ปล. วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ไม่มี ค์ นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-07-2014 20:11:02
น่ารักมาก  น้องเต็มกับพี่ศิธา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 03-07-2014 20:12:11
กย๊าาาาาาาาาาา พี่ปุ่นก็บอกไปเลยว่า พี่มีน้องอยู่แล้ว ไม่อยากได้น้องแล้ว อยากได้อย่างอื่นมากกว่า คริๆ ฟินค่าาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 03-07-2014 20:50:31
เปิดเผยใจออกมาแล้วคนนึงยังเหลือตัวแสบอีกคนนึง
อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้ว เค้ายังไม่ได้รักกันเลยนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 03-07-2014 22:35:31
หน้าฝนผ่านไป หน้าหนาวเข้ามา แต่ขอให้ใจทั้งสามดวงของพี่ปุ่น พี่เต็ม น้องตามอบอุ่นจ้า

ตั้งตารอตอนต่อไป ขอบคุณคนแต่ง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 03-07-2014 22:42:47
น่ารักจริงๆเลย แต่สั้นอะ 20ตอนเองหรอ อย่างอ่านไปเรื่อยๆๆ เนื้อเรื่องสบายๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 04-07-2014 08:56:04
ไม่อยากเป็นพี่ชายก็บอกเขาไปเลยสิคะพี่ปุ่น  :hao7:

อ่านเรื่องนี้ทีไรรู้สึกอบอุ่น คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวทุกที
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 04-07-2014 09:46:28
บรรยากาศดีขึ้นเยอะเลยระหว่างสองพี่น้อง
และเต็มกับพี่ปุ่น เค้าไม่ได้อยากได้เต็มเป็นน้อง แต่อยากได้เป็นแฟนต่างหาก
ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้ น่ารักไปอีกแบบ ไม่หวือหวาด้วย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 05-07-2014 00:57:30
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น มีความสุข  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 05-07-2014 15:20:26
ตามอ่านเสียหลายตอน ทำเอาน้ำตาซึมเลย อารมณ์มาเต็ม :hao5:
ดีใจที่เต็มกลับบ้าน แล้วกับน้องตามก็ดีขึ้นมาก
เหลือแต่ลุ้นกับพี่ปุ่นนี่แหละ กลับมาจากกรุงเทพฯ น่าจะมีอะไรดีๆเนอะ อิอิ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 05-07-2014 22:07:40
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย นั่ลลัคคคคคคคคคค
ไ่ม่ได้อยากเป็นพี่ชาย อยากเป็นอะไรล่ะจ๊ะพ่อหนุ่มไปรษณียยยย์
รออ่านตอนต่อไป คนเป็นน้องจะรู้สึกหรือยังว่าไม่ได้อยากได้พี่ชายซักหน่อย
กรีดร้องงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 14 : คนเป็นน้อง) 03-07-2557 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 05-07-2014 23:52:12
พี่ปุ่นเขาไม่ได้อยากเป็นพี่ชายนะเต็ม
อั๊ยยะ!! รอวันที่เต็มไม่อยากจะเป็นแค่น้องชายพี่ปุ่นจ้ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-07-2014 03:48:15
ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้



20.10 คือเวลาที่รถด่วนพิเศษขบวนที่ 2 หรือพนักงานขายตั๋วเรียกว่า ‘ด่วนนครพิงค์’ เข้าจอดเทียบชานชาลาสถานีรถไฟนครลำปาง ศิธาพัฒน์สะพายเป้ขึ้นหลังก่อนจะลุกขึ้นโบกมือลาคนมาส่ง เมื่อก้าวขึ้นไปบนขบวนรถ เขาก็พบว่าบนขบวนมีผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ชายหนุ่มกางตั๋วในมือออกดูหมายเลขระหว่างเดินไปตามทางแคบ ๆ ที่ขั้นกลางระหว่างที่นั่ง ในที่สุดเขาก็หย่อนตัวลงนั่งที่ที่นั่งฝั่งเดียวกับสถานีพลางมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างติดฟิล์มทึบและพบว่าเต็มฟ้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาชวนมองคู่นั้นทอดมองไปตามความยาวของขบวนรถ จนเขาเองนึกอยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่


“น้องชายมาส่งหรือจ๊ะ”


เสียงของหญิงวัยกลางคนในที่นั่งฝั่งตรงข้ามดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ชายหนุ่มละสายตาจากภาพตรงหน้าในขณะที่ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธการคาดเดาของเธอ แต่ในใจก็ยังยืนยันว่าไม่ได้อยากเป็นพี่ของน้องชายคนนี้อย่างแน่นอน


“น้องชายหน้าตาน่ารักจัง”


“ครับ” ศิธาพัฒน์ตอบด้วยรอยยิ้ม นี่คงเป็นการเริ่มต้นของสี่สิ่งที่คนนั่งรถไฟเห็นแต่คนนั่งเครื่องบินไม่เห็นตามทฤษฎีของไอ้เด็กแสบสินะ


“คุณป้ามาคนเดียวเหรอครับ”


“ป้ามากับลูกชาย ลูกสะใภ้แล้วก็หลานน่ะ นี่กำลังจะไปนครสวรรค์กัน พอดีลูกสาวคนสุดท้องกำลังจะคลอด”


คนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ ก็ได้ฟังเรื่องราวอย่างละเอียดทั้งที่ก็เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก


“แล้วพ่อหนุ่มล่ะจ๊ะจะไปไหน”


“กรุงเทพฯ ครับ...” ยังไม่ทันที่ศิธาพัฒน์จะได้พูดถึงรายละเอียด เด็กหญิงในชุดกระโปรงก็กระโดดแผล็วลงจากที่นั่งอีกฝั่งก่อนจะวิ่งเข้ามาเกาะที่ตักของคู่สนทนาของเขาเสียก่อน


มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตบลงเบา ๆ ที่ก้นโด่ง ๆ ซึ่งกำลังส่ายไปส่ายไปมา จากนั้นก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมานั่งบนตัก เมื่อเส้นผมสีดำสนิทที่ล้อมกรอบใบหน้าถูกจับทัดหูยิ่งทำให้เห็นแก้มยุ้ยของเธอชัดเจนยิ่งขึ้น ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มพร้อมกับฮัมเพลงเบา ๆ ราวกับกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว ดวงตากลมโตมองนิ้วหัวแม่มือป้อม ๆ ของตัวเองที่เกี่ยวไขว้กันในขณะที่นิ้วที่เหลือนั้นขยับพร้อมกันช้า ๆ ดูแล้วเหมือนนกน้อยที่กำลังบินถลาเล่นลม


“คุณยาย คุณยาย ท้องฟ้าอยากให้คุณยาย คุณยาย เล่าเรื่องนกกระจาบให้ฟัง”


“เดี๋ยวสิลูก เอาไว้คุณพนักงานรถไฟเขามากางเตียงให้ก่อนแล้วยายจะไปเล่าให้หนูฟังนะลูก”


“จริง ๆ นะคะคุณยาย คุณยาย”


คุณยายได้แต่เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งที่คล้องเอวเล็กเอาไว้เลื่อนขึ้นมาลูบศีรษะหลานสาวเบา ๆ ก่อนจะหันมาสบตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ แต่ศิธาพัฒน์ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมทั้งยายและหลานเอาไว้ นึกขอบคุณใครบางคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากลองนั่งรถไฟก็เลยได้เห็นในสิ่งที่คนนั่งเครื่องบินเช่นเขาไม่เคยได้เห็น



....



เต็มฟ้ายืนมองเจ้าแข็งแรงที่กำลังนอนขดอยู่ใต้ต้นส้มจากระเบียงหลังบ้าน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็นคนงานจึงพากันออกมานั่งล้อมวงผิงไฟที่ลานกว้าง เจ้าหมาน้อยก็เลยพลอยได้อุ่นไปกับเขาด้วย คิดเอาไว้ว่าหากวันต่อ ๆ ไปอุณหภูมิยังคงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องคงจะต้องหาที่อยู่อุ่น ๆ ให้มันเสียหน่อย มือเย็นถูกันไปมาก่อนจะยกป้องปากเป่าลมร้อนจากร่างกายเพื่อให้คลายความหนาว อาการปวดหน่วง ๆ ที่หัวเข่าดูเหมือนจะทุเลาลงด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดผิดกับเมื่อตอนหัวค่ำที่เจ็บเสียจนคนเกลียดการกินยาทนไม่ไหวต้องแวะไปที่คลีนิกรักษาโรคทั่วไปของนายแพทย์กิตติวุฒิซึ่งเป็นคุณพ่อของยะหยา หลังจากตรวจดูบาดแผลแล้วเห็นว่าไม่กระทบกระเทือนถึงกระดูกคุณหมอจึงสั่งยาให้กลับมารับประทานถุงใหญ่ กระแทกลงไปเสียแรงขนาดนั้นดีแค่ไหนแล้วที่กระดูกไม่แตก เจ็บก็เจ็บแต่พอนึกถึงหน้าซีด ๆ ของศิธาพัฒน์ตอนที่เห็นเลือดแล้วยังขำไม่หาย ที่สำคัญคือยังจะถามมาได้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว


“บ้าเอ๊ย! จะไปนึกถึงทำไมกัน”


“พี่เต็มพูดกับใครเหรอฮะ”


เสียงของน้องชายที่ดังขึ้นใกล้เล่นเอาใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เล่นมาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง


“ปละ เปล่านี่ พี่ไม่ได้พูดอะไรเลย” พี่ชายยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้


“แต่ตามได้ยินนี่นา” ตามตะวันหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ บรรยากาศข้างนอกนี่ก็ช่างเงียบสงัดชวนขนหัวลุกเหลือเกิน


“ผะ...ผีหลอกแล้ว” พูดจบเต็มฟ้าก็วิ่งแบบลืมเจ็บกลับเข้าไปในบ้านจัดการปิดประตูลงกลอนแกล้งน้องชายที่กำลังวิ่งตามมา เสียงทุบกระจกทำเอาพ่อเลี้ยงตรัยที่กำลังนั่งดูข่าวภาคดึกต้องหันกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นก็คือพี่ชายใจร้ายที่ยืนหัวเราะน้องชายที่ทุบกระจกส่งเสียงร้องโหวกเหวกให้เปิดประตูให้อยู่นอกระเบียง ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พักหลัง ๆ ภาพเหล่านี้ดูจะกลายเป็นภาพชินตาที่เกิดขึ้นในบ้าน จากบ้านที่เคยเงียบสงบกลับมีแต่เสียหัวเราะ


“เต็ม” เสียงขรึม ๆ ของพ่อทำให้พี่ชายที่กำลังหัวเราะร่วนต้องหยุดราวกับเหยียบเบรก เต็มฟ้าอมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือดึงกลอนลง ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างเล็กของตามตะวันก็โถมเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็น ๆ ร่างเล็กของหนุ่มน้อยโถมเข้าหาพี่ชายปากก็ต่อว่าไปด้วย


“พี่เต็มน่ะ แกล้งตามอีกแล้ว” พูดไปมือก็กวัดแกว่งไปมาแต่เพราะมือบางของอีกฝ่ายที่ดันศีรษะเอาไว้ทำให้เขาคว้าได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น


“ฮ่า ๆ ๆ อะไร ๆ คิดจะหือเหรอ”


“ปล่อย ๆๆๆๆ”


“ไม่ปล่อย ยังไงแกก็ไม่สามารถครองโลกได้หรอกไอ้ปีศาจเปลือกส้ม” พูดจบเต็มฟ้าก็จับการล็อกคอน้องชายก่อนจะลากกันไปยังที่นอนตุ๊กตาแมวหุ่นหนต์ที่อยู่ไม่ไกลจากโซฟา


“ปีศาจเปลือกส้มอะไรเล่า” ตามตะวันบ่นอุบก่อนที่จะถูกเหวี่ยงลงไปกับที่นอน


“แบบนี้ต้องเจอท่าไม้ตายของยอดมนุษย์”


เด็กชายร่างเล็กรู้ดีว่า ‘ท่าไม้ตาย’ ที่ว่าคืออะไรจึงรีบเบี่ยงตัวหลบร่างสูงของพี่ชายที่กำลังจะล้มลงมาทับทันที หนุ่มน้อยยันตัวลุกขึ้นนั่งหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นหน้าตาเหยแกของอีกฝ่าย


“หัวเราะพี่เหรอ มานี่เลย” มือของพี่รวบข้อมือเล็กให้น้องล้มทับมาบนตัวเองก่อนจะจัดการขั้นเด็ดขาดจนโดยการจี้ที่เอวหนุ่มน้อยหัวเราะคิก


“ยอมแพ้หรือยัง”


“ไม่ยอม” ตามตะวันกล่าวทั้งที่ยังหัวเราะ โดยแกล้งแล้วสนุกแบบนี้ใครจะยอมแพ้ง่าย ๆ


“เดี๋ยวน้องก็หายใจไม่ทันกันพอดี” ผู้เป็นพ่อปราม


“เฮ่ย! นี่แกพานายใหญ่ของแกมาด้วยเหรอไอ้ปีศาจเปลือกส้ม แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะกลัวนายใหญ่ของแก” นิ้วเรียวยังคงขยับยุกยิกอยู่ที่เอวของอีกฝ่ายโดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดง่าย ๆ


พ่อเลี้ยงตรัยหัวเราะพลางปาหมอนที่วางอยู่ข้างตัวใส่ไอ้ยอดมนุษย์ตัวแสบแต่มีหรือที่ยอดมนุษย์จบหลบไม่ทัน


“พี่เต็ม!!! ตามจั๊กจี้ พอแล้ว ๆ ตามยอมแพ้แล้ว”


“ฮ่า ๆ และแล้วโลกก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง”


“เออ นอกจากโลกจะกลับมาสงบสุขแล้วพ่อก็กลับมาสบายหูด้วย จะดูข่าวเลยไม่ได้ดูกันเลย” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวในขณะที่ลูกชายสองคนยังคงหัวเราะร่วน


ตรัยกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับนมอุ่น ๆ สองแก้วจากแม่วัวในไร่ที่คนงานรีดแบ่งมาให้ก่อนจะส่งขาย


“ดื่มนมแล้วก็เตนียมเข้านอนได้แล้ว เจ้าเต็มแกก็แกล้งน้องไม่ได้ดูสังขารตัวเองเลย”


“โธ่พ่อ เต็มไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


“เดี้ยงขนาดนี้ยังจะบอกไม่เป็นไร เอ้า ๆ ระวัง ๆ” พ่อเลี้ยงตรัยมองลูกชายที่เดินกระเผลกมานั่งลงข้าง ๆ พลางส่ายศีรษะ


“พี่เต็ม คืนนี้ตามไปนอนห้องพี่เต็มได้ไหมฮะ” ตามตะวันกล่าวหลังจากวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ คราบนมที่ติดอยู่ที่ขอบปากทำเอาพี่ชายอดยิ้มไม่ได้


“ได้สิ แต่ต้องไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ พี่ไม่อยากนอนกับเด็กมีหนวดน่ะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นน้องชายก็ยิ้มแฉ่งลุกขึ้นไปจัดการตัวเองตามที่พี่ชายบอกอย่างกระตือรือร้น คืนนี้บานเลื่อนบานใหญ่ที่ทำจากไม้จึงถูกเปิดออกเหลือเพียงบานเลื่อนกระจก ตำแหน่งของมันอยู่ตรงกับตำแหน่งของเตียงนอน ซึ่งเจ้าของห้องมักจะนอนมองออกไปในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว


“ดาวสวยจัง” เด็กชายตัวเล็กกว่าเมื่อหัวถึงหมอน         


“ถ้าตามชอบ เราแลกห้องนอนกันไหมล่ะ” พี่ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ กล่าว


“ไม่เอาฮะ พ่อบอกว่าห้องนี้พ่อกับแม่ทำไว้ให้สำหรับพี่เต็ม”


“แต่พี่ยกให้ตามได้นี่” พูดพลางวางมือลงบนหน้าเล็ก ๆ “เอาไหม”


ตามตะวันยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เอาฮะ มานอนกับพี่เต็มแบบนี้ดีกว่า”


เต็มฟ้ายิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนมองออกไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายระยิบระยับ ความเงียบโอบล้อมสองร่างที่นอนอยู่เคียงข้างกันเอาไว้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่เจ้าของห้องจะเคลิ้มหลับเสียงของคนที่นอนข้าง ๆ กันก็ปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง   


“พี่เต็ม”


“หืม?”


“แม่ใจดีไหมฮะ”


“ถามทำไมเหรอ”


“ตามอยากรู้ว่าแม่ใจดีไหม เสียงของแม่เป็นยังไง มือของแม่นุ่มหรือปล่า อยากให้พี่เต็มเล่าให้ฟัง”


เต็มฟ้าเหลียวมองน้องชายที่ตอนนี้จ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง นึกถึงตักอุ่น ๆ ที่เคยหนุนนอน มือนุ่ม ๆ ที่ลูบลงมาบนเส้นผม เสียงฮัมเพลงเบา ๆ และกลิ่นหอม ๆ จากครีมทาผิวที่แม่ชอบใช้ หากคืนไหนที่ฝนตกแม่จะมานอนอยู่ข้าง ๆ และกอดเขาเอาไว้แน่น ม่านหน้าต่างถูกปิดจนแสงแปลบปลาบไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ แม้จะยังได้ยินเสียงคำรามของท้องฟ้าแต่เสียงของแม่ที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูก็ทำให้ลืมความกลัวและหลับลงอย่างง่ายดาย


“แม่ของเราเป็นคนสวยแล้วก็ใจดีมาก ส่วนมือของแม่ก็นิ่มที่สุด ตัวแม่หอมเวลาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ พี่รู้สึกว่ามันอุ่นสุด ๆ เลยละ”


“พ่อบอกว่าแม่ของเราขึ้นไปเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ตามว่าแม่ต้องเป็นดาวที่สวยที่สุดแน่ ๆ พี่เต็มคิดอย่างนั้นไหม”


“อืม”


“ตามอยากกอดแม่บ้างจัง อยากได้ยินเสียง....”


“มานอนกับพี่นี่มา” พูดจบแขนแกร่งก็กางออกสอดลงใต้ร่างเล็ก ๆ ที่ขยับเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ตามตะวันนอนลงบนบ่ากว้างรู้สึกได้ถึงมือนุ่ม ๆ ของพี่ชายที่ประคองศีรษะของตนเองเอาไว้ เด็กชายค่อย ๆ หลับตาสูดกลิ่นหอม ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด



.....



“ตื่นแล้วเหรอครับท่าน แหม..นั่งรถไฟกลับบ้านถึงกับสลบ”



น้ำเสียงยียวนกวนประสาททำเอาคนที่กำลังเดินงัวเงียลงบันไดมาตาสว่างทันที เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนที่แท้ก็ ‘ศิลา กษิศภูมิ’ ว่าที่เภสัชกรหนุ่มหล่อน้องชายคนสุดท้องของบ้านนั่นเอง


“เจอหน้าก็กวนประสาทเลยนะไอ้น้อง”


“เห็นแม่บอกว่านั่งรถไฟกลับมาเหรอ ทำไมถึงแล้วไม่โทร.บอก ปุ้นจะได้ไปรอรับ”


“จากสถานีหลักสี่มาบ้านแค่นี้ นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้ แล้วนี่คนอื่นไปไหนกันหมด”


“พ่อกับแม่พาย่าไปดูผ้าตัดเสื้อน่ะ บ่าย ๆ คงกลับ”


คนฟังกดยิ้มที่มุมปากนึกถงึย่าที่มักจะบอกว่าไม่เห่อ ไม่ตื่นเต้นกับวันสำคัญของหลาน ๆ แต่ก็เตรียมหาผ้าตัดชุดใหม่หรือไม่ก็ออกไปทำผมเสียจนสวยพริ้งทุกครั้งไป


“แล้วแกล่ะทำอะไรอยู่” ศิธาพัฒน์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟามองน้องชายที่ยังคงง่วนอยู่กับการจดบางอย่างลงในสมุด


“อ่านหนังสือ”


“อะไรกัน นี่เรียนจบแล้วยังจะต้องอ่านอะไรกันอีก”


ชายหนุ่มผิวเข้มขยับแว่นสายตาพลางเกาศีรษะแกรก ๆ “พี่ปุ่นนี่ขี้บ่นไม่เปลี่ยนเลย ปุ้นยังเหลือสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมอีกนะพี่ปุ่น ถ้าสอบไม่ได้พี่จะไม่ได้กลับมาคอยโบกรถที่หน้าร้านขายยาของปุ้นนะ”


“หล่อ ๆ อย่างนี้ให้แค่โบกรถเนี่ยนะ”


“คุณค่าที่คุณคู่ควรไง”


“กวนเบื้องล่างตลอด” พี่ชายส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เมื่อเช้าตอนที่มาถึงไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลง คุยกับพี่สาว พ่อแม่ และย่าได้เพียงไม่กี่คำก็ขอตัวขึ้นไปนอนเพราะรู้สึกง่วงเหลือเกินกว่าจะตื่นอีกทีก็เกือบเที่ยง ทุกอย่างในบ้านดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก จะมีก็แต่สีที่ถูกทาใหม่ตามที่แม่เคยโทร.ไปเล่าให้ฟังก็เท่านั้น


“หิวหรือเปล่า เดี๋ยวปุ้นทำอะไรให้กิน”


“แกทำอะไรได้บ้างนอกจากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”


“อ้าว ๆ อย่าดูถูกเด็กหอนะครับ จะกินอะไรว่ามาเลยดีกว่า”


“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่เป็นไง”


“ข้าวไข่เจียวแล้วกัน”


ศิธาพัฒน์มองค้อน “มีต่อรอง ๆ รีบ ๆ ไปทำไป จะทำอะไรก็ทำ หิวแล้ว”


“คร้าบบบบบบบ รอสักครู่นะครับ” พูดจบศิลาก็ถอดแว่นวางทับลงบนหนังสือก่อนจะกระโดดลงจากโซฟาวิ่งหายเข้าไปในครัว แม้กาลเวลาจะให้ให้เขาเติบโตขึ้นแต่ในสายตาของคนเป็นพี่แล้ว ‘เจ้าปุ้น’ ก็ยังคงเป็นน้องชายจอมทะเล้นเสมอ



ได้ยินเสียงโครมครามที่ดังจากในครัวแล้วให้คนที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟารู้สึกหวั่น ๆ ในใจ ศิธาพัฒน์ลุกขึ้นนั่งพลางชะเง้อมองดูความเคลื่อนไหว เมื่อเริ่มได้กลิ่นหอม ๆ ของไข่เจียวแล้วค่อยคลายใจ ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ แต่แล้วจานข้าวสวยที่มีไข่เจียวสีเหลืองทองโปะอยู่กือบเต็มจานก็ทำให้ต้องละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพ่อครัวหน้าตามอมแมมที่นั่งลงยิ้มอยู่ไม่ห่าง


“กินได้จริงหรือเปล่าเนี่ย แค่ทอดไข่ทำไมมันโครมครามอย่างกับจะซ่อมบ้าน”


“ลอง ชิม แล้ว จะติดใจ” ศิลาเน้นทีละคำจนน่าหมั่นไส้


“แล้วแกล่ะไม่กินเหรอ”


“พี่ปุ่นกินก่อนเลย ปุ้นเป็นน้อง เรื่องแค่นี้เสียสละได้”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทันทีที่ไข่เจียวสัมผัสลิ้นก็นึกชมน้องชายอยู่ในใจว่าเห็นท่าทางแบบนี้ก็มีฝีมือในการทำอาหารอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่อดตายเพราะมีข้าวไข่เจียวประทังชีวิต


“ให้พี่ปุ่นกินก่อนเลย ถ้าพี่ปุ่นกินแล้วไม่เป็นอะไร ปุ้นจะไปทำกินบ้าง”


สิ้นเสียงน้องชายศิธาพัฒน์ก็แทบจะพ่นข้าวออกจากปาก นี่มันเรียกว่าเสียสละยังไงกัน


“อ่ะ ๆ น้ำ ๆ เดี๋ยวติดคอ” หนุ่มหน้าทะเล้นรีบส่งแก้วน้ำให้พี่ชายทันที


“แค่ก ๆ นี่แกเสียสละ แค่ก...แค่ก ๆ ยังไงวะ”


“ก็เสียสละให้พี่ตายก่อนไง” พูดจบน้องชายก็ระเบิดหัวเราะลั่นบ้าน ศิธาพัฒน์มองคนตรงหน้าพลางนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อกี้ตอนที่กำลังเลื่อนหาเบอร์ดทรศัพท์ก็คิดอยู่ว่าจะโทร.ไปดีหรือไม่


“จะโทร.ไปรายงานตัวเหรอ” ศิลาเอ่ยขึ้นขณะยืดคอมองดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้

‘คนดี’



ดวงตาคมกริบมองตามสายตาของน้องชายก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาปิดหน้าจอลงทันที “รายงานตัวอะไรกัน” พูดจบก็ลงมือกินอาหารต่อเงียบ ๆ


“เขากลับมาแล้วนะ พี่ไม่รู้เหรอ เมื่อวันก่อนปุ้นพาย่าไปบ้านเขามา เห็นลุงยุทธ์บอกว่าพี่พรีมกลับมาแล้ว ตอนนี้เข้าไปทำงานในบริษัทเก่าที่พี่ปุ้นเคยทำอยู่นั่นแหละ”


“อืม ก็เขาได้ทุนบริษัทไปก็ต้องกลับมาทำที่นั่นอยู่แล้ว”


“แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า”


“เปล่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นถือจานไปล้างในครัวทิ้งให้น้องชายมองตามด้วยความเป็นห่วง


“พี่ปุ่นยังรักพี่พรีมอยู่หรือเปล่า”


คำถามของศิลาทำเอาชะงักไปชั่วขณะ มือใหญ่วางจานที่ล้างเรียบร้อยแล้วลงบนตะแกรงพักก่อนจะหันมาตอบคำถาม


“ไม่แล้ว มันจบไปตั้งนานแล้ว”


“อืม...แต่ย่ากับลุงยุทธ์ไม่น่าจะคิดแบบนั้นนะ ปุ้นเห็นเขาคุยกันเหมือนจะเชียร์ให้พี่สองคนกลับมาคบกันอีก”


“เชียร์ก็ไม่ขึ้นหรอก ป่านนี้พรีมเองก็คงมีใครไปแล้วละ”


“แล้วพี่ล่ะ มีใครแล้วหรือยัง”


“อยากรู้เหรอ” ศิธาพัฒน์ยิ้มที่มุมปาก มองหน้าน้องชายที่กำลังพยักหน้าตาวาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ ทำท่าเหมือนจะกระซิบแต่สุดท้ายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดตบท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังคันยุบยิบในหัวใจ


“ไม่ บอก เว้ย!”


“โห! อะไรวะพี่ปุ่น พูดให้อยากแล้วจากไป” ศิลาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่ชายที่เดินผิวปากออกจากครัวไปอย่างอารมณ์ดี แบบนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วกระมังเรื่องถ่านไฟกงถ่านไฟเก่าที่จะย้อนกลับมาเผาให้ไม่ใครก็ใครต้องเจ็บปวด



....



ด้วยแรงหมุนของเครื่องหมุนขึ้นรูปและสองมือที่คอยประคองก็ทำให้ดินก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นภาชนะทรงสูงที่มีความโค้งเว้าสวยงาม ดวงตาสีเข้มจ้องมองมันอย่างพอใจก่อนจะใช้เอ็นเส้นเล็ก ๆ ตัดให้ฐานแจกันหลุดออกจากฐานโลหะทรงกลม เต็มฟ้าใช้เวลาตลอดบ่ายในการสร้างชิ้นงานต้นแบบบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์สปาตามที่ได้ออกแบบไว้หลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนของน้าเดือนที่กำลังจะร่วมลงทุนกับสามีทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สปาในจังหวัดเชียงรายเนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนท้องถิ่นอยู่ในขณะนี้



ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าสุนัขขนยาวที่ลุกขึ้นเห่าทุกครั้งเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนบนโต๊ะเขียนสั่นครืดคราดก่อนจะส่งเสียงปรามมันเป็นระยะ เมื่อได้ลงมือทำงานที่รักจนเพลินหนุ่มอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มฟ้าก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาขึ้นรูปดินตามแบบที่วางอยู่ข้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายบ้างแล้วก็กลับมานั่งในตำแหน่งเดิม จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปท้องที่เริ่มร้องโครกครากเตือนให้รู้ว่าควรจะกลับบ้านเสียที ดังนั้นเต็มฟ้าจึงจัดการล้างไม้ล้างมือแล้วจึงพาเจ้าแข็งแรงกลับบ้าน 



บรรยากาศมื้อเย็นของบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ดูชื่นมื่นเป็นพิเศษเนื่องจากสมาชิกในบ้านอยู่กันครบ ทั้งคุณย่า พ่อแม่และบรรดาหลาน ๆ ทั้งสามรวมถึงว่าที่หลานเขยร่างใหญ่โตอย่าง ‘นราวิช’ ที่เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพซึ่งมีโครงการจะแต่งงานกับศิตางต์ในช่วงกลางปีหน้า เนื่องจากเป็นคนคุยสนุกเขาจึงสามารถเข้ากับน้องชายทั้งสองของเธอโดยเฉพาะหนุ่มน้อยอารมณ์ดีอย่างศิลาได้ไม่ยาก แต่กว่าจะฝ่าด่านคุณย่ามาได้ก็ถึงกับหืดขึ้นคอตามที่นราวิชเคยรำลึกความหลังอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน 


“เสียดายจังที่พ่อวิชไม่ได้ไปงานรับปริญญาเจ้าปุ้นด้วยกัน” คุณนายยุพาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น


“ผมก็เสียดายเหมือนกันครับคุณย่า เลยอดให้น้องปุ้นพาเที่ยวสงขลาเลย เพิ่งรู้ตัวว่าต้องไปประชุมแทนคณบดี” หนุ่มร่างใหญ่กล่าวพลางเอื้อมตักอาหารใส่จานให้คนรักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“ไว้ช่วงไหนว่าง ๆ พวกเราหาเวลาไปพักผ่อนกันสักทีก็ได้นี่ ไปช่วงรับปริญญาจะไปไหนมาไหรคงไม่สะดวกเท่าไร คนคงมหาศาล” ชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายที่นั่งถัดจากผู้อาวุโสที่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปหาลูกชายคนเล็ก “หรือลูกว่าไงปุ้น”


“คนเยอะจริงพ่อ ตอนนี้เห็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดบอกว่าทั้งโรงแรมแล้วก็หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยถูกจองเต็มหมดแล้ว ดีนะที่ปุ้นจองไว้ให้บ้านเราตั้งแต่ต้นปี ไม่งั้นคงลำบาก”


“แล้วนี่จองตั๋วเครื่องบินหรือยัง”


“ยังเลยพ่อ”


“ไปรถไฟกันบ้างไหมครับ” ข้อเสนอของศิธาพัฒน์ทำเอาทั้งโต๊ะมองมาที่เขาเป็นตาเดียว


“นึกยังไงจะไปรถไฟ” หญิงชราหัวโต๊ะมองรอดแว่นด้วยความสงสัย


“ก็เปลี่ยนบรรยากาศไงครับ นั่งเครื่องบินบ่อยแล้ว เผื่อว่าจะได้เห็นอะไรแบบที่คนนั่งเครื่องบินไม่เคยเห็น”


“อืม...พ่อว่าก็น่าสนใจนะ ไม่ได้นั่งรถไฟนานแล้วตั้งแต่ย้ายกลับมาจากลำปาง” ศิลป์หันไปยิ้มให้ภรรยา พอพูดถึงลำปางทีไรความทรงจำแสนหวานก็ย้อนกลับมาให้หวนนึกถึงอยู่ร่ำไป


“อะแฮ่ม!” กระแอมของลูกสาวทำเอาผู้เป็นพ่อหุบยิ้มแทบไม่ทัน “หวานกันไม่เกรงใจลูกเลยนะคะ”


“แกอิจฉาแกก็รีบแต่งเร็วเข้าสิ จริงไหมวิช”


“ครับคุณพ่อ” ว่าที่ลูกเขยรับคำก่อนจะส่งตาหวานให้คนที่นั่งข้าง ๆ กัน


“งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ปุ้นจะไปจองตั๋วรถไฟเลยก็แล้วกันนะครับ”


“เอ้อ..เดี๋ยว ๆ เจ้าปุ้น ย่าว่าลองถามบ้านโน้นเขาก่อนไหมว่าเขาสะดวกไปรถไฟกับเราหรือเปล่า”


เมื่อได้ฟังดังนั้นศิลาถึงกับขมวดคิ้ว ‘บ้านโน้น’ ที่ย่าของเขาพูดถึงคงเป็น ‘บ้านวรารักษ์’ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่กลางซอยซึ่งเป็นของ ‘พ.อ. ยุทธพงศ์ วรารักษ์’ นายทหารวัยไล่เลี่ยกับพ่อของเขาซึ่งคบค้าสมาคมกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายนั่นเอง และที่ย่าไปชวนเขาทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในครอบครัวก็คงไม่พ้นแผนการที่จะทำให้ลูกสาวบ้านโน้นกับพี่ชายของเขากลับมาคบกันเหมือนเดิม


“ปุ้นว่าเราไปกันเฉพาะครอบครัวเราดีกว่านะครับย่า”


“ย่าเปรยกับเขาไปแล้วนี่นา แล้วลุงยุทธ์ของแกเขาก็ท่าทางสนใจด้วย พรุ่งนี้ย่าชวนเขามาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา เดี๋ยวย่าจะถามเขาอีกทีว่าจะไปด้วยกันไหม ถ้าเขาปฏิเสธแกก็ค่อยไปจองตั๋วรถไฟก็ได้นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะเดินทาง”


ทั้งศิตางค์ ศิลาและศิธาพัฒน์ต่างก็สบตากันอย่างเข้าใจ เรื่องหัวดื้อไม่มีใครโค่นคุณย่าของพวกเขาลงได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ศิธาพัฒน์แอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ทั้งที่ฝีมือทำกับข้าวของแม่อร่อยที่ที่สุดในโลกแต่ทำไมกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หรือเป็นเพราะสิ่งที่น้องชายพูดเอาไว้เมื่อตอนกลางวันมันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง


.....



สามพี่น้องเดินออกมาส่งนราวิชที่รถก่อนที่ศิธาพัฒน์จะแยกตัวไปนั่งเล่นที่ศาลาท่าน้ำ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้หลังจากตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรเสียวันนี้ก็จะต้องได้ยินเสียงของเจ้าของเบอร์ให้ได้ แต่เมื่อโทร.ไปแล้วคนที่ปลายสายก็ไม่รับสักที


“จ้องแบบนี้แล้วคนทางโน้นเขาจะรู้ไหม ทำไมไม่กดโทร.ล่ะจ๊ะ” พี่สาวคนโตที่เดินเข้ามากับน้องชายหน้าทะเล้นเอ่ยขึ้น


“ผมโทร.เป็นร้อยสายแล้วมั้ง แต่เขาก็ไม่รับ” เจ้าของโทรศัพท์ขมุบขมิบพูด แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาแต่ก็พอจับใจความได้พอให้คนฟังหันสบตากันยิ้ม ๆ


“นั่นแน่! แสดงว่าคนสำคัญนะเนี่ยถึงโทร.หาเป็นร้อยสาย” น้องชายเมื่อเห็นพี่ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็อดที่จะแซวไม่ได้ก็อดแซวไม่ได้


“ยุ่งจริง”


“โธ่ ๆ พี่ปุ่น เราเป็นพี่น้องกันนะ เรื่องของพี่ก็เหมือนเรื่องของปุ้นกับพี่ปุน แฟนพี่ปุ่นก็เหมือนน้องพี่ปุน เหมือนแฟนของปุ้น”


“ตอนแรกก็จะซึ้งอยู่หรอก แต่ไอ้ตอนหลัง ๆ นี่ฟังแล้วอยากเตะให้หายฝัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ลุกขึ้นท่าทางเอาจริงตามที่พูด แต่ศิลาก็อาศัยความไวหลบหลังพี่สาวได้ทันแถมยังร้องให้พี่สาวช่วยไม่หยุดปาก


“เอาละ ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนปุ่น ปุ้นก็เหมือนกันไปแซวพี่เขาอยู่ได้” ศิตางค์หันไปปรามน้องชายคนเล็กก่อนจะหันมาทำตาวาวใส่น้องชายคนรอง “ว่าแต่เขาเป็นใครเหรอปุ่น สาวลำปางหรือเปล่า”


“โธ่! พี่ปุน” น้องชายคนรองทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่สาวและน้องชาย นึกว่าจะช่วยกันที่ไหนได้ก็พากันมาล้วงความลับนี่เอง


“พี่ล้อเล่นจ้ะ ยังไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แต่ถ้าวันหนึ่งมันถึงเวลาที่ต้องพูดพี่ว่าปุ่นก็ควรต้องพูดนะ ไม่งั้นเรื่องราวมันจะบานปลายสุดท้ายก็จะมีหลายคนที่ต้องเสียใจนะ” ศิตางค์กล่าวก่อนจะนั่งลงจบมือน้องชาย “ปุ่นเข้าใจความหมายของพี่ใช่ไหม”


ศิธาพัฒน์ยักหน้า รู้ดีว่าพี่สาวหมายถึงอะไร


“ปุ้นว่างานนี้คุณย่ากับลุงยุทธ์เอาจริงแน่ เห็นอยากเป็นดองกันจะแย่ นี่ถ้าไอ้ภูมิเป็นผู้หญิงคงจับคู่ปุ้นกับมันแหง ๆ” พูดจบศิลาก็ทำท่าขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงอิทธิฤทธิ์ของย่าที่พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟัง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-07-2014 03:54:48
(ต่อค่ะ)

เกือบสี่ทุ่มแล้วแต่ศิธาพัฒน์ก็ยังนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ สองขาจุ่มอยู่ในน้ำที่ท่วมขึ้นมาถึงบันไดขั้นบนสุดในขณะที่ตาจ้องมองโทรศัพท์มือถือในมือ ความคิดที่ว่า ‘เดี๋ยวเจ้าของเบอร์คงโทร.กลับ’ ถูกปาทิ้งไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน แต่กระนั้นนิ้วหนาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะกดโทร.ออกซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งเสียงสัญญาณรอสายถูกแทนที่ด้วยเสียงดังโครมจนต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู



“อูย!!!” ได้ยินเสียงครางเบา ๆ ดังมาตามสาย ก่อนที่เสียงนั้นจะเริ่มชัดเจนขึ้น “สวัสดีครับ” คนปลายสายกล่าวเสียงงัวเงีย


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์เนี่ย รู้ไหมว่าโทร.ไปไม่รู้กี่สายแล้ว จะโทร.กลับก็ไม่มีเลย มัวทำอะไรอยู่”


เต็มฟ้าตะเกียกตะกายขึ้นมานั่งบนโซฟาหลังจากลิ้งตกลงไปเมื่อตอนที่โทรศัพท์สั่นอยู่บนโต๊ะ ประโยคยืดยาวนั้นทำเอาตาสว่าง และหางคิ้วกระตุกจนต้องถามกลับบ้าง


“ใครวะ นี่ถ้าโทร.มาเพื่อจะปลุกขึ้นมาด่าละก็ จะวางแล้วนะ”


“ดะ..เดี๋ยวๆๆๆ เต็ม พี่เอง”


เต็มฟ้าขมวดคิ้ว “พี่? ขอโทษนะครับ พอดีเป็นลูกชายคนโต”


“หึ รู้แล้ว เคยบอกมาแล้วครั้งหนึ่ง”


“แล้วตกลงว่าพี่ไหน พี่ตูน บอดี้สแลม พี่เบิร์ด ธงไชย พี่ดู๋ สัญญา หรือว่าพี่เท่ง เถิดเทิง”


พอได้ฟังอย่างนั้นศิธาพัฒน์ก็เดาได้ทันทีว่าคนที่ปลายสายคงจะตื่นเต็มตาแล้ว


“พี่ปุ่นไง”


“อืม? อ๋อ!!! พี่ศิธา...”


พี่ศิธาอีกแล้ว....


“แล้วโทร.มาทำไม” พูดจบก็หยิบรีโมตปิดทีวีที่เปิดค้างไว้


“ก็จะถามว่าเป็นยังไงบ้าง”


“สบายดีระยะสุดท้าย”


“แผลล่ะ”


“ก็ยังปวดอยู่ แต่ว่าไปหาอาหมอพ่อของยะหยามาแล้วละ อาหมอให้ยามากิน”


“แล้วได้กินหรือเปล่า”


“ให้แข็งแรงกินแทน”


“เฮ้ย! จริง ๆ น่ะเหรอ”


“อือ ก็เห็นมันชอบมาทำตาปริบ ๆ แถมน้ำลายไหลเยิ้ม เต็มก็เลยแบ่งให้มันกินบ้าง”


“พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้ว”


“พี่ศิธาก็รู้ว่าเต็มพูดเล่นยังจะถามต่อให้ต้องคิดอีกทำไม”


“ว่าแต่มันเป็นยังไงกัน ไอ้สบายดีระยะสุดท้ายที่ว่าเมื่อกี้น่ะ”


ศิธาพัฒน์ยกยิ้มก่อนจะใช้มือวักน้ำเล่น จากนั้นก็จรดปลายนิ้ววาดรูปบางอย่างลงบนแผ่นไม้ระหว่างรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร


“ก็สบายแบบเต็มขั้น ขั้นสุงสุดยอดอะไรประมาณนี้ละมั้ง ไม่รู้เหมือนกันจำตามมาพูดอีกที” คนถูกถามหัวเราะก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้


“แล้วพี่ศิธาไปเอาเบอร์เต็มมาจากไหน” เป็นคำถามที่ศิธาพัฒน์ไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะตอบไปตามความจริง


“ก็เห็นมันเขียนอยู่บนกล่องพัสดุที่จะส่งมากรุงเทพฯ น่ะเลยจดไว้ เผื่อวันไหนต้องเอาโปสการ์ดไม่มีบ้านเลขที่ไปส่งอีกจะได้โทร.ถามว่าจะให้เอาไปส่งที่ไหน”


“โอ้โห อะไรจะรอบคอบขนาดนั้น”


น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นปกติของอีกฝ่ายทำเอาศิธาพัฒน์อยากจะร้องเพลง ‘ช่างไม่รู้เลย’ ให้ดังไปถึงลำปางเสียเดี๋ยวนี้





“คืนนี้ดาวเยอะจัง”



“เหรอ ๆ” พูดจบเต็มฟ้าก็ลุกพรวดขึ้นก่อนจะเปิดประตูออกไปยืนที่ระเบียง จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า คืนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด


“จริงด้วย เหมือนยืนอยู่ตรงศูนย์กลางจักรวาลเลยแฮะ”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ”


“ใช่ บนระเบียงเนี่ยเห็นดาวเยอะกว่ามองจากหน้าต่างใต้หลังคาอีกนะ”


ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเลือกที่จะมองหากลุ่มของดวงดาวที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดในขณะที่ปลายนิ้วยังคงลากไปบนผิวไม้หยาบ ๆ “เห็นดาวลูกไก่ไหม”


“อืม...” ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปบนท้องฟ้าก่อนจะไปหยุดที่กลุ่มดาวที่กรุจุกรวมกันอยู่ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นนับจำนวนเมื่อนับได้ครบเจ็ดดวงก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เห็นแล้ว ๆ”


“เห็นแล้วใช่ไหม” ศิธาพัฒน์อมยิ้ม เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคนที่ปลายสายกำลังมองไปยังจุดเดียวกัน “เห็นแล้วก็ไปนอนเถอะ น้ำค้างแรงเดี๋ยวไม่สบาย”


“อ้าว...อะไรวะ มาชวนดูดาวแล้วก็ไล่ไปนอน” เต็มฟ้าบ่นขมุบขมิบ “ถ้าอย่างนั้นเต็มวางแล้วนะ”


“อื้อ...”


รอจนคนปลายสายวางไปแล้วศิธาพัฒน์ก็ก้มลงมองรอยจาง ๆ ที่เขียนด้วยน้ำซึ่งก็มีแต่ ‘รูปหัวใจ’ เต็มไปหมด 



.....



เมื่อผ่านค่ำคืนที่แสนยาวนาน ในที่สุดช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้าก็มาถึง ศิธาพัฒน์จ้องมองเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำเงาวับที่ค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้าน นายทหารพลขับเปิดประตูลงจากฝั่งคนขับเดินก้มหน้างุด ๆ อ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนนั่งที่ด้านหลัง จากนั้นนายทหารวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็ก้าวลงมายืนอย่างองอาจก่อนจะหันกลับไปมองยังประตูอีกฝั่งที่ค่อย ๆ เปิดออกพลันร่างเล็กของหญิงสาวที่ไม่ได้พบกันเสียนานก็ปรากฏขึ้น เธอยิ้มให้ผู้เป็นพ่อก่อนจะส่งยิ้มให้ศิธาพัฒน์ที่ยังคงยืนนิ่ง



“ปุ่น ไปรับคุณลุงเถอะลูก” นวลตาสะกิดบอกลูกชาย ดังนั้นศิธาพัฒน์จึงเดินเข้าไปสวัสดีก่อนจะเชิญทั้งสองพ่อลูกเข้าไปในบ้าน มื้อเย็นสำหรับแขกพิเศษถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยที่วันนี้คุณนายยุพาถึงกับลงทุนเข้าครัวทำของโปรดของอดีตว่าที่หลานสะใภ้ด้วยตัวเองสร้างความแปลกใจให้กับนวลตาและเด็กรับใช้ในบ้านไม่น้อย เมื่อสมาชิกมากันพร้อมแล้วต่างคนต่างก็นั่งประจำที่ของตัวเอง ศิลาที่กำลังจะเดินมานั่งข้างพี่ชายชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของผู้เป็นย่า ที่ประจำของเขาจึงถูกเว้นไว้ให้กับผู้มาเยือนโดยอัตโนมัติ หากจะว่าไปจริง ๆ แล้วที่ตรงนี้ก็เคยเป็นของ ‘พรีม’ หรือ ‘พีรนันท์ วรารักษ์’ มาก่อน แม้ทั้งสองตระกูลจะชอบพอกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า แต่พีรนันท์และศิธาพัฒน์ก็เพิ่งจะได้มารู้จักกันจริง ๆ เมื่อตอนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย  นอกจากพีรนันท์จะเรียนคณะเดียวกับศิธาพัฒน์ เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงดาวคู่กับเขาที่เป็นเดือนมหาวิทยาลัยอีกด้วย สมัยนั้นใคร ๆ ต่างก็พากันจับตามองคู่หนุ่มหล่อสาวสวยคู่นี้กันทั้งนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจากความเป็นเพื่อนก็พัฒนามาเป็นคนรักในที่สุด เมื่อจบการศึกษาทั้งคู่ก็ยังเข้าทำงานในบริษัทเดียวกัน นั่นทำให้พีรนันท์เข้าออกบ้าน ‘กษิศภูมิ’ ได้อย่างสนิทใจจนเพื่อน ๆ ต่างก็ลงความเห็นว่าเธอและศิธาพัฒน์จะต้องเป็นคู่แต่งงานคู่แรกของรุ่นอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายความรักของทั้งสองคนก็พังครืนลงด้วยเหตุผลที่ศิธาพัฒน์ไม่เคยพูดให้ใครฟัง



“ไม่เจอกันเสียนาน ปุ่นดูไม่เปลี่ยนเลยนะ” หน้าสวยกระซิบ


“เปลี่ยนสิ เวลาเปลี่ยนอะไร ๆ ก็เปลี่ยนทั้งนั้นแหละ” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปเขาก็ยกยิ้มน้อย ๆ “ปุ่นหมายถึงอายุกับหน้าตาน่ะ ไม่วัยรุ่นเหมือนก่อนแล้ว”


คุณนายยุพามองหนุ่มสาวที่คุยกันกระหนุงกระหนิงอย่างพอใจก่อนจะหันไปบอกเด็กรับใช้ให้ตักข้าว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เชื้อเชิญให้ทุกคนลงมือรับประทานอาหาร


“เห็นคุณนวลบอกว่า คุณน้าจะไปงานรับปริญญานายปุ้น จะไปรถไฟกันเหรอครับ” ยุทธพงศ์เอ่ยขึ้น


“จ้ะ หลาน ๆ เขาคุยกันว่าอย่างนั้น แต่น้ารอปรึกษาพ่อยุทธ์ก่อนว่าจะสะดวกไปด้วยกันไม”


“อืม ผมว่ามันจะลำบากน่ะสิครับ คุณน้าจะขึ้นจะลงยังไง ใครกันครับเนี่ยที่เป็นคนเสนอความคิดนี้” คำถามของนายทหารหน้าดุทำเอาบรรดาหลาน ๆ ต่างเงยหน้าขึ้นสบตากัน


“ผมเองครับ” ศิธาพัฒน์กล่าวโดยไม่มีทีท่าเกรงกลัวใด ๆ


“ไม่เปลี่ยนเลยนะ เรื่องทำตัวติดดินเนี่ย” จู่ ๆ พีรนันท์ก็แทรกขึ้น


“ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะลำบากอะไรนะคุณยุทธ์” ศิลป์วางช้อนลงเงยหน้าขึ้นสบตาคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ท่าทางกระอักกระอ่วนของแขกทำให้ผู้อาวุโสที่สุดต้องตัดสินใจตัดบท “ถ้าพ่อยุทธ์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าจะให้เจ้าปุ้นเอาชุดครุยไปถ่ายรูปด้วยที่บ้านก็ได้”


“อย่างนั้นก็ได้ครับ” ยุทธพงศ์กล่าวก่อนจะหันไปหาหลานชายคนสุดท้องของบ้านก่อนจะกล่าวขอโทษที่คงไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีในวันสำคัญของเขา ซึ่งนั่นทำให้ศิลายินดีมากจนเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่เดือดร้อนให้ศิตางค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องส่งสายตาปราม


“เอ้อ แล้วนี่เมื่อไรจะย้ายกลับมาล่ะปุ่น”


คนถูกถามยังไม่ทันที่จะตั้งตัวตัว ผู้เป็นย่าก็ชิงตอบให้เสร็จสรรพ “เขาสัญญาว่าจะไปแค่สามปีแล้วจะกลับมาน่ะ”


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เหลืออีกแค่ปีกว่า ๆ น่ะสิครับ ผมว่ากลับมาก็ดีเหมือนกัน ถ้าจะมองกันยาว ๆ ไปเลย ลาออกแล้วมาเรียนต่อปริญญาโทก็ดีเหมือนกันจะได้กลับมาทำงานบริษัทเหมือนเดิม ดีกว่าเป็นพนักงานไปรษณีย์ต๊อกต๋อยไปวัน ๆ” คำพูดของยุทธพงศ์ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับเงียบกริบลงจนเจ้าตัวรู้สึกได้


“เอ้อ...ผมก็พูดในฐานะคนเป็นพ่อที่อยากให้ลูกสาวได้คู่ครองที่สมน้ำสมเนื้อกันน่ะครับ ทั้งเรื่องการศึกษาและน้าที่การงาน ถ้าจะกลับมาคบกันอีกครั้งก็อยากจะให้คิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้ด้วย ลูกสาวผะ...”


“เป็นพนักงานไปรษณีย์ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ อันที่จริงผมเองก็เคยเป็นมาก่อน” ศิลป์ทะลุขึ้นกลางปล้องจนผู้อาวุโสที่นั่งอยู่หัวโต๊ะถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก ตัวยุทธพงศ์เองก็หน้าเจื่อนไปเหมือนกัน ลืมไปเสียสนิทว่าศิลป์เองก็เคยเป็นพนักงานไปรษณีย์ต๊อกต๋อยแบบที่เขาว่ามาก่อน


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนับจากวินาทีนั้นดูตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้บรรดาหลาน ๆ ต่างก็ไม่เจริญอาหารไปตาม ๆ กัน ผู้เป็นย่าจึงตัดสินใจแก้สถานการณ์ด้วยการเบนความสนใจไปที่สาวน้อยหน้าหวานที่นั่งเงียบ ๆ ฟังผู้ใหญ่คุยกัน


“เอาละ ๆ พวกคนแก่ ๆ นี่ชอบรื้อฟื้นความหลังกันอยู่เรื่อยเลยเนอะหนูพรีม ย่าว่าเราทานข้าวกันต่อดีกว่า นั่นน่ะแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดหนูพรีม ย่าลงมือเข้าครัวเองเลยนะ ปุ่นตักให้หนูพรีมหน่อยสิ”


“ครับ” ศิธาพัฒน์รับคำก่อนจะเอื้อมมือตักแกงเขียวหวานสรรพคุณล้นหลามให้ในจานของคนที่นั่งข้าง ๆ กัน


“ขอบคุณค่ะ” พีรนันท์กล่าวพลางใช้ช้อนเขี่ยอาหารไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ดูเธอก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ในขณะนี้อยู่เหมือนกัน


“หนูพรีมมีแฟนหรือยังจ๊ะ”


น้องชายคนสุดท้องสบตาพี่สาวก่อนจะส่ายหน้าให้กับคำถามของผู้เป็นย่า เธอคงคิดว่ามันเป็นคำถามสบาย ๆ ที่จะทำให้ทุกบรรยากาศผ่อนคลายแต่ในความคิดของศิลามันน่าจะทำให้ทุกอย่างดูแย่เสียมากกว่า


“ยะ ยังค่ะ”


“เอ....ยังเพราะว่ารอใครหรือเปล่าจ๊ะ”


“เอ่อ....”


“สงสัยจะรอคนกลับจากลำปางมั้ง” ยุทธพงศ์ได้โอกาสแทรกขึ้นบ้าง


“ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องที่ทำให้พรีมอึดอัดกันดีกว่าไหมครับย่า ลุงยุทธ อย่างเช่นเรื่องที่จะทำให้เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งที่มันจบไปนานแล้วและมันก็เป็นไปไม่ได้” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ท่าทางจริงจังแบบนั้นทำให้ศิลาอดทึ่งไม่ได้ นี่แหละพี่ชายของเขา พี่ชายที่ไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่ตัวเองไม่ได้ขีด


“นี่เธอ!” นายทหารหน้าดุทำเสียงเข้มพลางกัดกรามแน่นจนคุณนายยุพาต้องกล่าวขอโทษขอโพยแทนหลานชาย หลังจากพยายามข่มอารมณ์อยู่นานเขาก็ลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ


....


ศิธาพัฒน์เดินเลี่ยงออกไปที่ศาลาท่าน้ำทอดสายตาออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่


“ทำไมปุ่นพูดกับพ่อของพรีมแล้วก็พูดกับคุณย่าแบบนั้น” สาวสวยที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้น


“ปุ่นไม่อยากให้พรีมต้องลำบากใจ”


“ปุ่นถามคนดีหรือยังว่าคนดีลำบากใจไหม ถามสักคำไหมว่าคนดีอยากอยู่แบบนี้หรืออยากให้ระหว่างเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม”


“มันเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ พรีมก็รู้ พรีมน่าจะรู้ดีว่าเหตุผลที่พรีมเลิกกับปุ่นมันคืออะไร ตอนนี้ปุ่นเลือกที่จะเป็นแบบนี้ เป็นในแบบที่พรีมกับพ่อไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก”


“ทำไมล่ะ ถ้าปุ่นยังรักคนดีปุ่นก็แค่เปลี่ยน แค่ทำตามความต้องการของพ่อเราจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แค่นี้ปุ่นทำไม่ได้เหรอ”


ศิธาพัฒน์ส่ายหน้า ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้เป็นครั้งที่สองหลังจากวันที่เธอเดินหันหลังให้


“แล้วถ้าพรีมรักปุ่น...”


พีรนันท์เบือนหน้าหนี คนตรงหน้าไม่เรียกเธอว่า ‘คนดี’ อีกต่อไป ไม่มีสักคำที่จะหลุดออกมาจากปากของเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันแทบจะกลายเป็นชื่อประจำตัวที่ใช้เรียกกันระหว่างคนสองคน


“....ทำไมพรีมถึงไม่ยอมรับในสิ่งที่ปุ่นเป็นล่ะ”


คำถามของร่างสูงตรงหน้าทำเอาพีรนันท์ถึงกับอึ้ง ภาพในวันนั้นปรากฏขึ้นชัดเจนอีกครั้งในความคิด ภาพของชายหนุ่มที่นั่งลงคุกเข่าท่ามกลางสายฝน เขาร้องขอไม่ให้เธอทิ้งเขาไป หากเธอต้องการที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศตามความต้องการของเธอเขาก็ยอม ขอเพียงแค่อย่าบอกเลิกกันแบบนี้ อย่าทิ้งให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่เธอก็ให้เขาไม่ได้ นั่นเพียงเพราะเขาตัดสินใจลาออกจากบริษัทเพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเขาเรียกว่า ‘ความฝัน’ แต่สำหรับสาวสวยหัวก้าวหน้าผู้มีความทะเยอทะยานเป็นแรงผลักดันอย่างพีรนันท์มันก็เป็นเพียงแค่ ‘เรื่องไร้สาระ’ ที่มีแต่จะทำให้คนเราเป็นเพียงความต้อยต่ำในสังคมตามแบบที่พ่อของเธอมักจะพร่ำสอนก็เท่านั้น   



เมอร์เซเดส-เบนซ์คันหรูเคลื่อนพ้นรั้วบ้านไปนานแล้ว คุณนายยุพาที่ทำท่าจะเป็นลมตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารก็ขึ้นนอนตั้งแต่หัวค่ำ โดยมีหลานสาวและหลานชายคนเล็กคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จะมีก็แต่ศิธาพัฒน์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำจนพ่อและแม่อดเป็นห่สวงไม่ได้


“ทำไมอยังไม่เข้าบ้านอีกล่ะลูก เป็นอะไรหรือเปล่า” 


ศิลป์นั่งลงข้าง ๆ พลางโอบไหล่ลูกชายเอาไว้


“เปล่าครับพ่อ ผมแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”


“คิดเรื่องสองพ่อลูกนั่นน่ะเหรอ”


“นั่นก็เรื่องหนึ่งครับ”


“แล้วมีเรื่องอะไรอีก เล่าให้พ่อฟังได้นะ”


ลูกชายคนรองมองพ่ออย่างตัดสินใจ เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะตัวเขาที่เป็นลูกชายคนรองที่เป็นความหวังของครอบครัว ยิ่งเมื่อศิตางค์กำลังลังจะออกไปมีครอบครัว ภาระหนักอึ้งก็ดูเหมือนจะมาตกอยู่ที่เขาเป็นลำดับถัดมา อีกหน่อยย่าคงหาใครต่อใครมาให้ดูตัวเหมือนสมัยที่พ่อยังเป็นหนุ่ม ทั้งที่เชื่อมั่นในความอดทนของตนเองแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะสามารถฟันฝ่ามันไปเหมือนกับที่พ่อเคยทำได้ไหม






“พ่อเคยตกหลุมรักคน ๆ เดียวซ้ำไปซ้ำมาบ้างไหมครับ ผมคิดว่าผมกำลังเป็นแบบนั้นอยู่”







‘ศิลป์ กษิศภูมิ’ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้กลับมาที่ลำปางอีกครั้งเพียงเพราะประโยคสั้น ๆ ประโยคนั้นของลูกชาย ชายวัยกลางคนลอบมองผู้เป็นแม่ที่นั่งหน้าตึงมาตั้งแต่ที่เครื่องบินออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจนกระทั่งเครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานลำปาง เข้าใจหัวอกคนเป็นย่าดี เธอคงจะช็อกอยู่ไม่น้อยที่ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากของหลานชายหัวแก้วหัวแขวน เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่เหมือนกันในครั้งแรกที่ได้ยิน



เทศกาลปีใหม่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความสุขเอาไว้ตามบ้านเรือนและถนนหนทางที่ดูเปลี่ยนแปลงไปจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม อดีตพนักงานไปรษณีย์มองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถเช่า อาคารโบราณบางหลังยังชวนให้หวนนึกถึงคืนวันเก่า ๆ ยิ่งรถห่างออกจากตัวเมืองมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความหวานหอมของอดีต ศิธาพัฒน์มองหญิงชราใบหน้านิ่งเฉยผ่านกระจกมองหลัง เธอแทบจะไม่พูดอะไรกับเขาเลยตั้งแต่วันที่เธอได้รู้จัก ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ จากปากของเขา



ไม่นานนักรถเช่าคันเก่าก็เคลื่อนเข้าสู่อาณาบริเวณที่แสนกว้างใหญ่ของไร่แสงดาว ที่นั่นศิลป์ได้พบกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนานเหลือเกินนับตั้งแต่ที่เขาย้ายครอบครัวกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ‘ตรัย ตติยพัฒน์’ ยังคงสง่างามน่าเกรงขามสมกับเป็นนายใหญ่ของลูกน้องนับร้อย ทั้งที่ความทรงจำระหว่างคนสองคนจะเป็นการแข่งขันกันเพื่อหญิงสาวเพียงหนึ่งคน แต่สุดท้ายผลของการแข่งขันนั้นก็ไม่ได้จบลงที่ความบาดหมาง แม้ต่างฝ่ายจะไม่เคยพูดถึงกันและกันให้คนรุ่นลูกฟังเลยก็ตาม



“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบนายอีก ตอนที่เจ้าปุ่นเล่าให้ฟังก็ยังแปลกใจไม่หาย”


พ่อเลี้ยงตรัยคลี่ยิ้มพลางมองสำรวจคู่สนทนา ‘ศิลป์’ ยังคงเค้าของความหล่อเหลาเหมือนสมัยหนุ่มไม่มีผิด ส่วนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กับคุณย่าของเขานั้นก็ช่างถอดแบบจากผู้เป็นพ่อมาได้อย่างครบถ้วนกระบวนความเสียเหลือเกิน


“ตอนที่เห็นปุ่นครั้งแรกฉันก็รู้สึกว่าคุ้นโครงหน้าแบบนี้จริง ๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอลูกของเพื่อนเก่าที่นี่”


‘เพื่อนเก่า’ คำนี้ของพ่อเลี้ยงตรัยชวนให้ประทับใจคนฟังนัก อดีตพนักงานไปรษณีย์หัวเราะพลางสบตาลูกชายแวบหนึ่งก่อนจะเข้าประเด็นเมื่อได้จังหวะ


“เจ้าปุ่นเล่าให้ฟังว่านายมีลูกชายสองคน แล้วนี่พวกเด็ก ๆ ไปไหนกันหมดล่ะ” ดวงตาคมกริบภายใต้กระจกแว่นตาสีชามองหนุ่มน้อยที่ยกถาดน้ำเข้ามาเสิร์ฟ พิจารณาจากผิวพรรณแล้วไม่น่าจะเป็นลูกคนงานหรือเด็กรับใช้ในบ้านอย่างแน่นอน


“เจ้าเต็ม ลูกชายคนโตเอาของไปส่งในเมืองน่ะ ส่วนนี่เจ้าตามลูกชายคนเล็ก” สิ้นเสียงผู้เป็นพ่อเด็กชายร่างเล็กก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนในที่นั้นก่อนจะยิ้มให้ศิธาพัฒน์อย่างคุ้นเคยจากนั้นก็เดินถือถาดหายเข้าไปในบ้านอีกครั้ง


“อืม เสียดายนะที่คุณนวลเขาไม่ได้มาด้วย พอดีมีนัดตรวจสุขภาพน่ะ เลื่อนหมอมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราวไปงานรับปริญญาเจ้าปุ้น ว่าแต่เจ้าปุ่นมันมารบกวนหรือเปล่า”


“ไม่เลย ดีเสียด้วยซ้ำบ้านจะได้ครึกครื้น เจ้าตามก็บ่นถึงแต่พี่ปุ่น ๆ ทุกวัน”


“เจ้าปุ่นมาบ่อยเหรอ”


“ก็ถ้าเจ้าเต็มมันเป็นผู้หญิง ฉันคงจะคิดว่าลูกชายนายมาจีบลูกฉันแล้วละ” พ่อเลี้ยงตรัยพูดติดตลก


“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ....ผมหมายถึงถ้าผมจีบลูกชายคุณลุงจริง ๆ คุณลงจะว่ายังไงครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับเบิกตากว้างแต่ไม่ช้าใบหน้านั้นก็กลับนิ่งเรียบเป็นปกติดังเดิม


“เธอแน่ใจแล้วเหรอที่พูดมาน่ะ"


“ผมแน่ใจครับ”


“ที่ฉันมาวันนี้นอกจากจะมาเยี่ยมเพื่อนเก่าก็กะว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับนาย ตอนที่เจ้าปุ่นมันไปบอกฉันกับคุณนวลก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ทำยังไงได้ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว”


“ฉันเองก็คงตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกนะ เรื่องนี้คงต้องแล้วแต่เจ้าเต็มมัน”


ศิลป์พยักหน้าอย่างเข้าใจ อย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้ทำหน้าที่ที่พ่อควรจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว ที่เหลือก็คงปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเด็กสองคนก็แล้วกัน ลูกชายสบตาผู้เป็นแม่ที่นั่งทำหน้าปั้นยากอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นครั้งที่สอง แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักแต่คุณนายยุพาก็ไม่วายขอตามมาด้วย ที่มาก็เพื่อจะมาเห็นเด็กหนุ่มที่หลานชายพูดถึงด้วยตาตัวเอง อยากจะรู้เหลือเกินว่าทำไมศิธาพัฒน์จึงกล้าพูดว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายทุกคนบนโลก ถ้าคนนั้นไม่ใช่ ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’




....



สวัสดีค่ะ ตอนที่ 15 แล้วนะคะ ตอนนี้นอกจากพี่ไปรฯ จะชักช้า (ตามประสาคนสุขุม)

แล้วยังทำอะไรแบบมีกระบวนการด้วยนะเออ เอาเข้าไป (555 สงสัย 20 ตอนเอาไม่อยู่)

เชียร์คุณย่า คุณย่าสู้ ๆ

ปล.ถ้ายังจำกันได้ จะเห็นว่าคุณลุงทหารแกกลับมาอีกแล้วนะคะ

คอยดูว่าลุงแกจะมาสร้างความปั่นป่วนอะไรบ้าง

ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนต์ค่ะ ^^

ตอนนี้เขียนยันเช้า ยังไม่ได้ทวนคำผิด ต้องขออภัยค่ะ



หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 06-07-2014 04:44:30
พี่ปุ่นของน้องเต็มช่างดีเหลือเกินนนนนนนนนนน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 06-07-2014 04:53:18
ไม่ค่อยชอบบ้านวรารักษ์เลย อยากจะดองกับบ้านของพี่ปุ่น

แต่ทำไมถึงต้องดูถูกอาชีพคนอื่นด้วย แถมยังเหตุผลที่พรีมบอกเลิกพี่ปุ่นอีก

อ่านแรกๆนึกว่าพ่อของพรีมจะเป็นคนเดียวแต่ไหงพรีมเป็นด้วย

ไม่เชียร์พี่ปุ่นกับพรีมนะจ้ะ ชอบที่พี่ปุ่นตอกกลับไปมากเลย

และดีใจที่พี่ปุ่นยอมรับตัวเองด้วย แล้วยังบอกผู้ใหญ่ในบ้านอีก

แต่ก็แอบกลัวว่าเต็มฟ้าจะห่างออกไปเพราะตอนนี้เต็มยังดูนิ่งอยู่เลย

รออ่านตอนต่อไปนะ พี่ปุ่นจะบอกเต็มหรือเปล่าว่าจะจีบ ลุ้น :a2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 06-07-2014 07:25:02
เรื่องราวน่าติดตามเริ่มมีตัวป่วนเพิ่มมาอีกหลายคน

และเรื่องยุ่งๆมันจะตามมาด้วยมั้ย!! :3123:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-07-2014 07:39:44
พี่ปุ่นมีจุดยืนของตัวเอง กล้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง
รู้สึกดีที่พี่ปุ่นเป็นคนแบบนี้

รอเต็มกลับมา เต็มจะว่ายังไงนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 06-07-2014 08:23:10
ชอบพี่ปุ่นจัง กำหนดชีวิตตัวเอง

ปุ่นเต็มๆๆๆๆน่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-07-2014 08:30:03
มัดมือชกซะแล้ว พี่ปุ่น ไม่กลัวเด็กแสบหรือไงนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 06-07-2014 08:57:51
ที่จริงเต็มก็รู้สึกแปลกๆ กับพี่ปุ่นบ้างแล้วนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 06-07-2014 09:31:34
พี่ปุ่นนนน :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 06-07-2014 10:06:05
พี่ปุ่นคะ ....น้องกลัวเต็มจะ อาละวาดน่ะสิ เดฌกแสบนั่นน่ะะะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-07-2014 10:27:34
 :hao7: :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: ghostreader ที่ 06-07-2014 10:28:06
เต็มยังไม่ตอบตกลงอะไรเลย ยังจะมีคุณย่ากับคุณลุงทหารมาป่วนเข้าไปอีก
ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องเธอเป็นท้องฟ้า เรื่องของผู้แต่ง ดูกลมกล่อมนุ่มนวลมากครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 06-07-2014 10:30:23
อัยยะ พาครอบครัวมาดูตัวถึงลำปางเลย พี่ปุ่นแมนมากอ่ะ กล้าสารภาพกับที่บ้านตรงๆ สุดยอด
ชอบเวลาที่เต็มกับตามเล่นกันอ่ะ น่ารักจริงๆพี่น้องคู่นึ้
เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว แบบว่าไม่อยากพลาดซักตอนเลยค่าาา
มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 06-07-2014 12:07:43
พี่ปุ่นนนนนนนนนน มัดมือชกปะเนี่ย ฮาาาาาาาาาาาา
แกรู้ได้ไงว่าเต็มคิดยังไง ทำไมกล้าาาาาาาาาา
แต่พี่ปุ่นนี่ปากร้ายกว่าที่คิดไว้นะ ฮาาา พูดแต่ละอย่าง ชวนเงิบทั้งนั้นน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 06-07-2014 12:09:34
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 06-07-2014 12:18:29
โห...พี่ปุ่นสุดยอดมากอ่ะ o13

ละน้องเต็มจะว่าไงน๊อ  :hao3:
รอๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 06-07-2014 12:27:46
พี่ปุ่น  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 06-07-2014 13:08:30
 o13 พี่ปุ่นสุดยอด แต่ด่านที่ยากน่าจะเป็นนะนี่เจ้าตัวเขารู้หรือยังหว่า อิอิ คุณลุงทหารค่ะช่วยรบกวนเก็บลูกชายให้ดีๆอย่ามาป่วนทั้งพ่อทั้งลูกน้าาาา

เรื่องนี้เสียน้ำตามาหลายรอบแระไม่อยากเสียอีกอะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 06-07-2014 13:28:32
พี่ปุ่นเปิดตัวอลังการเลย ว่าแต่เต็มรู้ตัวหรือยังเนี่ยว่าโดนพี่ปุ่นจีบ :m20:
น้องตามจะมีคนมาดูแลไหมอ่ะ แบบอยากให้น้องนามเป็นเคะน้อยน่ารักอย่างนี้ตลอดไปเลย อิอิ :o8:
รู้สึกว่าเหมือนใกล้จะจบเลยอ่ะค่ะ เห็นเค้าความสุขลางๆนะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 06-07-2014 13:55:17
พรีม - คนดี แฟนเก่าพี่ปุ่น
ภูมิ - ไอ้หมอแฟนเก่าเต็ม และเป็นน้องชายพรีม
คุณยุทธ - นายทหาร พ่อพรีมและภูมิ ที่ไปคอนโดและเจอกับเต็มวันที่ไอ้หมอภูมิจะข่มเหงเต็ม
ท่าทางว่าปุ่นกับเต็มจะงานเข้าเพราะครอบครัวนี้แน่ๆ
พี่ปุ่น!! สุดยอดมากที่ตัดสินใจบอกคุณพ่อไป เลยกลายเป็นได้พาผู้ใหญ่มาเจอกันซะเเลย
หวังว่าคุณย่าจะไม่ทำยุ่งไปมากกว่าเดิมขึ้นไปอีกนะคะ
เพราะแค่ครอบครัวพรีมก็น่าจะมีเรื่องทำให้วุ่นวายน่าดู
เต็มกับน้องตามน่ารัก เห็นโมเมนต์พี่กับน้องแล้วมีความสุข
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 06-07-2014 13:59:45
รักแท้ย่อมมีอุปสรรค
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-07-2014 14:11:44
ปุ่นระหว่างโดนเต็มแหวงนะพี่ ไม่บอกไม่กล่าวเจ้าตัว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 06-07-2014 14:32:53
พี่ปุ่นแม่งงงงงงงงงงง แน่นอนว้าาาาาาาาาา สุดยอดค่ะ  เอาใจไปเบยคนพี่ มาทาบทามกันแบบแมนๆ ไปเลยยยยยยย :m3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 06-07-2014 15:15:06
ปุ่น นายสุดยอดมาก
แอบหลงรักน้องปุ้นเพิ่มอีกคน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-07-2014 16:54:22
คุณย่าชอบจับคู่มาตั้งกะสมัยพ่อแม่พี่ปุ่นแล้วนี่ คราวนี้จะจับคู่หลาน แอบสงสารเล็กน้อยที่ต้องแห้วทั้งสองครั้ง
โชคดีจริง ๆ ที่พี่ปุ่นมีพ่อคอยหนุนหลัง ไม่งั้นซวยต้องมีพ่อตาอย่างอิตายุทธ
แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าพี่ปุ่นจะเอาจริงขนาดพาพ่อและย่ามาดูตัวเต็มฟ้า นายแน่มาก...
แล้วเต็มจะเล่นด้วยไหมนี่
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 06-07-2014 17:19:59
พี่ปุ่นข้ามขั้นหรือเปล่ายังไม่ได้บอกเจ้าตัวเลยไปบอกผู้ใหญ่ซะแล้ว ถ้าเต็มปฎิเสธจะทำไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 06-07-2014 18:57:21
อุกรี๊ดดดดดดด >////< พี่ปุ่น เท่ที่สุด น่ารักอ่ะ มาขออนุญาติพ่อก่อนด้วย อร๊ายยยย รักเลย เชียร์ๆ ช่วงนี้เต็มก็เริ่มแล้วแหละ พี่ปุ่นรุกเลยๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 06-07-2014 19:08:16
คือ...พี่ปุ่น...ไม่กลัวหน้าแหกเลยนะ
พฤติกรรมไหนของเต็มที่ทำให้พี่คิดว่าน้องมันมีใจหรือเล่นด้วยน่ะ ฮ้ะ?
ถ้ามาทาบทามตามนี่ ยังพอมีหวังมั้ย แค่รอให้น้องโต
แต่กับเต็มนี่ พี่อยากโดนต่อยว่างั้นเถอะ

เดี๋ยวรอดู feedback จากเต็มฟ้านะ ปูเสื่อก่อน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-07-2014 19:28:05
ขอให้พี่ปุ่นชนะใจน้องเต็ม  เร็วๆ  นะจ๊ะ
เอาใจนะพี่ปุ่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-07-2014 20:53:02
พี่ปุ่นรุกเร็วมาก
ชอบแบบพี่ปุ่นจริงๆ แมนๆ ไปเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 06-07-2014 22:44:46
ชอบนิสัยแบบพี่ปุ่นมากกกกกกกกกกก
เป็นตัวของตัวเอง ที่น่าอิจฉา เค้ายังต้องเดินตามกรอบบ้าง
แต่พี่ปุ่นไม่ได้ก้าวร้าว แต่แค่ทำตามความฝันมากกว่าความพอใจของคนอื่น
ยิ่งเรื่องเต็มก็พูดซะออกมาตรงๆกับครอครัวทั้งตัวเองและครอบครัวเต็ม
อ๊ายยย เขินอะ ไม่รู้ทำไม


หวังว่าเต็มจะมีใจให้พี่ศิธาสักนิดน่าาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้) 06-07-2557 หน้า 14
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-07-2014 14:35:41
พี่ปุ่นออกตัวแรงเลยอ่ะ 55555+
พาคุณพ่อมาสู่ขอน้องเต็มแล้ว กรี๊ดดดดด >//////<

โมเม้นท์น้องตามให้พี่เต็มเล่าเรื่องแม่ให้ฟัง .. ซึ้งมากค่ะ ชอบมาก ^^

ขอบคุณมาก ๆ นะคะ +1

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-07-2014 00:11:36
ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง



พ่อเลี้ยงตรัยจดรถก่อนเดินนำเพื่อนเก่าไปยังที่ตั้งของโรงนาที่ตอนนี้ปรับปรุงต่อเติมเป็นโรงงานเซมิกขนาดย่อม ๆ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ทำมาตั้งแต่ลูกชายคนโตยังเล็ก ชายวัยกลางคนผู้ไม่ทิ้งเค้าหน้าคมในวัยหนุ่มเดินสำรวจไปรอบ ๆ ราวกับจะซึมซับเอาไออุ่นของอดีตมาเก็บไว้ในตัวให้มากที่สุด ในที่สุดร่างสูงก็มาหยุดที่ริมลำธารมองดูต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่ยังคงยืนต้นตระหง่าน ดอกสีชมพูของมันเหมือนสีของความรักที่เคยผลิบานขึ้นที่นี่ ผืนดินโล่ง ๆ ปกคลุมด้วยต้นหญ้าเขียวขจีถัดจากตำแหน่งของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ไปไม่ไกลเคยเป็นที่ตั้งของบ้านไม้ชั้นเดียวซึ่งปลูกเป็นเรือนหอชั่วคราวก่อนที่คู่รักคู่ใหม่จะช่วยกันเก็บรวบรวมเงินที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงเพื่อปลูกบ้านและเริ่มต้นชีวิตครอบอย่างสมบูรณ์ในที่ดินที่ฝ่ายหญิงได้รับเป็นมรดกตกทอด แต่แล้วโทรเลขแจ้งข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อก็ทำให้นายไปรษณีย์หนุ่มตัดสินใจขอย้ายกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ  ที่ดินบริเวณนี้จึงถูกขายให้กับผู้หญิงที่เคยรักซึ่งเป็นเพื่อนรักกับภรรยาของเขา



"ที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนะ"


"ดาวเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้นวลน่ะ เผื่อว่าวันหนึ่งจะนายกับนวลจะอยากกลับมาใช้ชีวิตปั้นปลายกันที่นี่" พ่อเลี้ยงตรัยกล่าวขณะเดินมายืนเคียงข้างคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน "เสียดายก็แต่บ้านหลังนั้นที่ถูกพายุพัดพังในวันที่ดาวคลอดเจ้าตาม ตั้งแต่วันนั้นฉันก็แทบไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรอีกเลย งานศพก็บอกกันแต่ในหมู่ญาติ ๆ นึกถึงนวลอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะติดต่อได้ยังไง"
"ตอนที่เจ้าปุ่นบอกพวกเราว่าดาวเสียแล้ว นวลก็ตกใจจนเป็นลมไปเลย สองคนนั้นเขารักกันมากจริง ๆ นี่ถ้าดาวยังอยู่แล้ววันนี้นวลมาด้วยกันก็คงจะกอดกันร้องไห้แล้วละ"


คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย ไม่เคยลืมภาพของสองสาวที่มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันชนิดที่เห็นดารกาที่ไหนจะต้องเห็นนวลตาที่นั่นเลย


“คงจะคุยเรื่องความหลังกับเรื่องลูก ๆ กันไม่หยุด”


"ขอโทษด้วยนะที่เจ้าปุ่นทำให้ต้องอึดอัด" ศิลป์หันมาสบตาอีกฝ่ายที่ยังคงทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของลำธาร


"ขอโทษทำไมกัน ลูกชายนายมันก็ตรงไปตรงมาเหมือนนายนั่นแหละ ยอมเสี่ยงทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง"


"อืม ตอนแรกที่เจ้าปุ่นมาบอก ทั้งฉันกับนวลแล้วก็คุณแม่ ทุกคนต่างก็พากันคิดว่าเด็กสองคนนั่นคงตกลงคบหากันไปแล้ว ตอนที่คุยกับนายเมื่อกี้ถึงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่นะ ลูกจะเป็นยังไงสุดท้ายก็เป็นลูกอยู่ดี"


"นายทำหน้าที่ของนายได้ดีที่สุดแล้วละ" พูดจบมือหนาก็วางบนบ่าของเพื่อนก่อนจะบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ตรัยเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเพราะเขาเองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน


"นายไม่รังเกียจ..."


"ฉันจะรังเกียจแต่เฉพาะคนที่เจ้าเต็มรังเกียจเท่านั้นแหละ"


เมื่อได้ฟังดังนั้นดวงตาคมก็ค่อยคลายความกังวลลงไปบ้าง ศิลป์ผ่อนลมหายใจยาว นั่นเพราะยังรู้สึกข้องใจเกี่ยวกับลูกชายของตัวเอง "ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าปุ่นมันคิดยังไงถึงขอร้องให้ฉันมาที่นี่ มาพูดกับนายเรื่องนี้ทั้งที่มันเองก็ยังไม่ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลูกชายนายคิดกับเรื่องนี้แบบไหน แต่คิดว่ามันคงมีเหตุผลของมัน ฉันเชื่อว่ามันคงคิดทบทวนมาดีแล้ว”


“เจ้านี่น่ะถ้าให้เดินตามทางที่คนอื่นเขียนให้ล่ะก็ไม่ยอมเด็ดขาด หรือถ้าจะให้เดินตามก็จะต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะตอบมันได้ว่าทำไมมันต้องทำแบบนั้น"


คนฟังหัวเราะในลำคอนึกถึงลูกชายตัวเองที่ช่างมีบุคลิกตรงกันข้ามกับที่เพื่อนกล่าวมาเหลือเกิน


"ส่วนเจ้าเต็มน่ะ ถึงใครจะมีเหตุผลดีแค่ไหน ถ้ามันเลือกแล้วว่าจะไม่ทำตามต่อให้บังคับขู่เข็ญมันก็จะยังยืนยันแบบนั้น เจ้านี่มันเป็นประเภทไม่ชอบให้ใครมาบังคับ บอกให้ไปทางซ้ายมันก็ดื้อไปทางขวา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทางซ้ายน่ะเป็นทางที่ถูกต้อง ฉันก็เลยมักจะปล่อยให้มันไปเผชิญโลกด้วยตัวของมันเอง ให้มันตัดสินใจเอาเอง ถ้าเรื่องไหนที่การตัดสินใจของมันผิดมันก็จะถอยกลับมา คนเป็นพ่ออย่างเราก็มีหน้าที่นั่งข้าง ๆ ลูกเวลาที่ลูกต้องการใครสักคน ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ทำอยู่นี่มันถูกหรือเปล่า หลาย ๆ ครั้งก็นึกเหมือนกันว่าถ้าดาวยังอยู่เขาจะสอนลูกว่ายังไง"


"ฉันเชื่อว่านายเลี้ยงลูกได้ดี นายทำหน้าที่ของพ่อและแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด"


พ่อ ๆ ต่างสบตากันอย่างเข้าใจ จากนี้ไปก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่จะต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตกันเอาเอง ส่วนคนพ่อก็คงทำได้เพียงคอยมองและเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น


...



แม้นาฬิกาข้อมือจะบอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแต่บรรยากาศยามเย็นในฤดูหนาวก็ดูเหมือนใกล้ค่ำเต็มที ดวงตะวันสีส้มสดที่เคลื่อนคล้อยคลอเคลียอยู่กับแนวทิวสนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นอีกต่อไป มือเหี่ยวย่นควานหาสิ่งที่จะช่วยให้ความอบอุ่นในกระเป๋า ในที่สุดผ้าสีสวยที่ลูกสะใภ้เตรียมมาให้ก็ถูกคลี่ออก คุณนายยุพากระชับผ้าคลุมไหล่พลางทอดสายตาชมทิวทัศน์ของไร่แสงดาวจากใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ปลายเนิน นึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันที่หลานชายเข้ามากราบขอโทษที่พูดจาไม่ไว้หน้าและไม่เห็นความหวังดีของเธอที่ต้องการให้ศิธาพัฒน์และพีรนันท์ซึ่งเป็นอดีตคนรักได้กลับมาคบหากันอีกครั้ง นั่นเป็นเพราะคุณนายยุพาค่อนข้างพอใจในตัวลูกสาวนายทหารยศพันเอกผู้นี้อยู่มาก แถมสองครอบครัวยังสนิทสนมกันมานานนม ดังนั้นการได้ดองกันก็เข้าทำนองเรือล่มในหนองทองจะไปไหน 


วันนั้นศิธาพัฒน์อธิบายทุกอย่างจนหมดเปลือก เขาพูดถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมกับพีรนันท์ได้อีกซึ่งก็คือเรื่องของทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ไม่ตรงกัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้หญิงชราวัยเจ็ดสิบกว่าปีผู้ผ่านโลกมามากรู้สึกตัวชาได้เท่ากับตอนที่ได้รู้ถึงเหตุผลข้อต่อมาที่ว่าหลานชายของเธอบอกว่าเขามีใครคนในใจอยู่แล้วและที่สำคัญก็คือคนคนนั้นเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อที่บังเอิญได้พบกันที่ลำปาง


ความรู้สึกปวดร้าวถาโถมในอกของคนเป็นย่ายิ่งนัก นั่นเป็นเพราะศิธาพัฒน์ถือว่าเป็นหลานชายคนโตของบ้าน เป็นความหวัง และเป็นผู้ที่จะต้องสืบสกุลและสืบทอดกิจการต่าง ๆ ในวันหนึ่งที่คุณนายยุพาไม่อาจยืนอยู่ในตำแหน่งของเธอได้อีกต่อไป การไม่ขัดขวางเรื่องที่ศิธาพัฒน์ลาออกจากงานเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนการไปรษณีย์ถือเป็นสิ่งที่เธอยอมอ่อนข้อให้มากแล้ว แต่กับเรื่องนี้เห็นทีว่าคงจะยอมกันไม่ได้



เมื่อแรกที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของหลานชาย ยังอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะเอาหน้าไปสู้คนอื่นในวงสังคมได้อย่างไรกัน หากใครถามจะตอบว่าอย่างไร เธอจะทนต่อเสียงซุบซิบนินทาของใครต่อใครได้หรือไม่ ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกนับแต่วินาทีนั้น หวังจะให้ความกระอักกระอ่วนอึดอัดที่สุมอยู่ในอกหลุดออกมาด้วยแต่ก็ดูว่าจะเปล่าประโยชน์  เธอแทบจะไม่ได้พูดกับศิธาพัฒน์อีกเลยหลังจากเกิดเรื่อง จนกระทั่งสองพ่อลูกตกลงกันว่าจะมาที่ลำปางเธอจึงตัดสินใจที่จะติดตามมาด้วย เพียงเพราะอยากจะเห็นหน้าคนที่กระชากเอาความหวังทั้งหมดไปจากเธอ ดวงตาสีมัวยังคงฉายแววแห่งความกังวลอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาแสนอึดอัดมานานแล้วก็ตาม ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองรวมถึงพ่อเลี้ยงตรัยที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรกจึงนิ่งเฉยกับเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะปกตินี้ อีกทั้งพ่อเลี้ยงคนนี้ยังไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจหลานชายของเธอเสียด้วยซ้ำ 



"ทำไมแกถึงกล้าทำแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่แกเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเขาคิดยังไงกับแก ตอนแรกย่าหลงคิดว่าแกกับเด็กนั่นตกลงคบหากันแล้วเสียอีก" เป็นคำพูดยาวที่สุดที่ย่าพูดกับหลานชายนับตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น


"ผมอยากให้เขามั่นใจว่าถ้าคบกับผมแล้ว เขาจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวของผม ไม่ต้องคบกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผมก็เลยเลือกที่จะบอกให้พ่อแม่รวมถึงย่าและทุก ๆ คนทราบ ถ้าหากทุกคนยอมรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมได้พูดออกมา มันอาจต้องใช้เวลาสักพัก หรือถ้าสุดท้ายแล้วไม่มีใครยอมรับได้ผมคงเลือกที่จะไม่ดึงเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว"


"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แกคิดว่าแกจะทำใจได้หรือ"


"ถึงจะทำใจไม่ได้ อย่างน้อยก็มีผมคนเดียวที่เจ็บปวดไม่ใช่เหรอครับ" ศิธาพัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสุขุมรอบคอบยังคงเป็นคุณสมบัติประจำตัวของอดีตนักการตลาดผู้ที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานว่าเป็นนักคิดและนักวางแผนที่เยี่ยมยอด


นัยน์ตาสีหม่นจับจ้องที่ดวงหน้าคมคายของหลานชายก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็น


"ย่าเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กทำไมย่าจะไม่รู้ คนอย่างแกมันดื้อเงียบ ต่อให้สิ่งที่แกพูดออกมาไม่มีใครยอมรับ แกก็ไม่ละความพยายามหรอก แล้วสุดท้ายมันก็เป็นพวกหัวหงอกอย่างฉันที่ต้องยกมือยอมแพ้หลานชายตัวเอง"


"หึ ชักอยากจะเจอเด็กเต็มฟ้านั่นเสียแล้วสิ อยากรู้จริง ๆ ว่ามีดีอะนักรถึงทำให้แกเป็นได้ขนาดนี้"


"อาจจะไม่มีดีอะไรเลยก็ได้ครับ" ชายหนุ่มกล่าวพลางทอดสายตามองไปยังร่างเล็กที่กำลังวิ่งคู่กับเจ้าสุนัขขนฟูบนแนวแปลงปลูกต้นส้มที่อยู่เบื้องล่าง ภาพนั้นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อทั้งคนทั้งหมาวิ่งขึ้นมาตามแนวลาดชันของขั้นบันได ในที่สุดรอยยิ้มที่เหือดหายไปจากใบหน้าหล่อเหลาเสียหลายวันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


"พี่ปุ่นจะรับแข็งแรงกลับไปเลยไหมฮะ" ตามตะวันพูดไปหอบไป


"ยังหรอกครับ พี่ฝากตามไว้ก่อนก็แล้วกันนะ" ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวเจ้าหมาน้อยที่ไม่ได้เจอกันเสียหลายวัน


"มันชื่ออะไรจ๊ะหนุ่มน้อย" คุณนายยุพาที่พยายามปรับน้ำเสียและสีหน้าให้เป็นปกติถามขึ้น


"ชื่อแข็งแรงครับ" เด็กชายยิ้มกว้างพลางกระตุกสายจูงให้นังหนูจอมซนที่มัวแต่ทำจมูกฟุดฟิดดมโน่นดมนี่มายืนข้าง ๆ กัน


"ชื่อน่ารักเชียว หนูเป็นคนตั้งให้มันเหรอ"


"เปล่าครับ พี่เต็มเป็นคนตั้งชื่อครับ พี่ปุ่นเป็นคนเลี้ยง ส่วนตามเป็นคนพามันวิ่งเล่นฮะ" ตามตะวันอธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉานและดูจะภูมิใจเป็นพิเศษกับหน้าที่ของตนเอง


"แล้วนี่พี่ชายของหนูจะกลับเมื่อไรจ๊ะ"


"อืม...วันนี้น่าจะกลับค่ำ ๆ หรือไม่ก็ค้างที่บ้านน้าเดือนฮะ เพราะว่าพี่เต็มเอาตุ๊กตาเซรามิกไปส่งก็เลยอยู่ช่วยพี่ชลขายของที่ถนนคนเดิน"


"เหรอจ๊ะ"


"คุณย่าจะรอเหรอครับ" หลานชายถามขณะลุกขึ้นยืน


"รออีกหน่อยก็ไม่เสียหายนี่ ย่าก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน" ผู้เป็นย่ากล่าวอย่างมีเลศนัยก่อนจะเบนความสนใจไปที่หนุ่มน้อยและสุนัขอีกครั้ง


"หนูพาฉันไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม ที่แปลงส้มข้างล่างน่ะ"


"ได้ฮะ" คนถูกขอร้องกล่าวอย่างกระตือรือร้นก่อนจูงมือหญิงชราและเจ้าแข็งแรงเดินลงไปตามขั้นบันไดดิน ในขณะที่ศิธาพัฒน์เองได้แต่มองด้วยความหวั่นใจ คาดเดาไม่ถูกเลยว่านับจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง


“หนูชื่อตามตะวันใช่ไหม”


“ใช่ฮะ” หนุ่มน้อยกล่าวขณะเดินจูงมือคุณย่าเดินไปตามทางเดินระหว่างแปลงปลูกต้นส้ม “คุณย่าเป็นคุณย่าของพี่ปุ่นเหรอฮะ”


“ใช่จ้ะ อืม...แล้วนี่คุณแม่ของหนูไปไหนจ๊ะ ตั้งแต่มาฉันยังไม่เห็นเลย”


“แม่เสียตั้งแต่ตอนที่ตามเกิดแล้วละฮะ” คำบอกเล่าของเด็กชายทำเอาคุณนายยุพารู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ นึกตำหนิตัวเองที่เป็นผู้ใหญ่แต่ดันพูดให้เด็กต้องสะเทือนใจ


“ขะ..ขอโทษนะ”


“ไม่เป็นไรครับคุณย่า พี่เต็มบอกว่าจริง ๆ แม่ก็ไม่ได้ไปไหน แต่มองเราอยู่บนฟ้า”


หญิงชราพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วพี่ชายสอนอะไรหนูอีก”


“อืม...พี่เต็ม พี่เต็มสอนไม่ให้โกรธคนที่ล้อว่าตามเป็นเด็กไม่มีแม่ เพราะพ่อเป็นทั้งพ่อและแม่ของตาม ถ้าตามไปโกรธเขาแสดงว่าพ่อทำหน้าที่ไม่ดีตามถึงรู้สึกว่าตามขาดแม่ฮะ”


“พี่ชายหนูท่าทางจะใจดีมากสินะ”


“มากครับคุณย่า พี่เต็มใจดีสุด ๆ ใจดีเหมือนพี่ปุ่นเลย แต่พี่เต็มกับพี่ปุ่นชอบเถียงกัน ตลกดี”
เจ้าของเส้นผมสีดอกเลาพยักหน้าพอใจกับข้อมูลที่เธอได้รับ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน ความอยากเจอ ‘เต็มฟ้า คนนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ


ศิธาพัฒน์ที่ยืนมองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่เดิม พักใหญ่ ๆ ตามตะวันก็จุงมือหญิงชราเดินคุยกันขึ้นมาตามขั้นบันไดซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ท้องฟ้ากำลังจะเลือนหายไปในความมืด อากาศที่เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกขณะและน้ำค้างที่ลงจัดทำให้ศิธาพัฒน์ต้องรีบเตือนให้ทั้งสองคนกลับเข้าบ้านด้วยเกรงว่าเดี๋ยวทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะป่วยไปตาม ๆ กัน คบไฟทำจากไม้ไผ่ถูกทยอยจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่าง เจ้าแข็งแรงเดินหายไปหลังโรงจอดรถอย่างรู้งานเพราะแม่บ้านมักจะนำอาหารมาวางให้มันที่นั่นทุกวัน
ค่ำนี้พ่อเลี้ยงตรัยลงมือเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ น่าเสียดายที่ศิลป์ติดธุระที่กรุงเทพฯ จึงต้องบินกลับในตอนเช้าตรู่ ไม่เช่นนั้นคงจะพากันเที่ยวรำลึกความหลังกันเสียหน่อย ดูเหมือนว่าคนที่รู้สึกเสียดายยิ่งก่าจะเป็นคุณนายยุพาที่หมายมั่นปั้นมือว่าการมาลำปางคราวนี้ยังไงก็ต้องจะต้องเจอตัวต้นเหตุให้ได้   


“เอาไว้ถ้าคุณย่ามาอีก ตามจะพาคุณย่าเที่ยวให้ทั่ไร่เลยครับ” เด็กชายยังคงจ้อไม่หยุดขณะเดินมาส่งแขกที่รถ


“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ” ริมฝีปากแห้งฝากยิ้มเยือกเย็น ในใจคิดว่าหากได้พบกับเต็มฟ้าในคราวนี้นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอมาเหยียบที่นี่ก็ได้


“ฉันต้องกลับมาอีกแน่ ๆ”



คำพูดทิ้งท้ายของหญิงชราทำเอาสองพ่อลูกแห่งตระกูลกษิศภูมิมองตากันปริบ ๆ แม้แต่คนเป็นลูกอย่างศิลป์ก็ไม่อาจคาดเดาความคิดของผู้เป็นแม่ ได้เพียงแต่ภาวนาอย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายซ้ำรอยเหมือนในสมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม ๆ เลยก็แล้วกัน



.....


เช้าวันเสาร์หลังจากส่งพ่อและย่ากลับกรุงเทพฯแล้วศิธาพัฒน์ก็ไปทำงานตามปกติ วันนี้คนค่อนข้างเยอะคงจะเป็นเพราะเป็นวันแรก ๆ ที่ที่ทำการไปรษณีย์เปิดทำการหลังจากหยุดปีใหม่ และเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลของการส่งความสุขทั้งพัสดุและโปสการ์ดที่รอการคัดแยกจึงมีจำนวนมากจนหลาย ๆ คนต้องช่วยกันทำงานแม้จะนอกเหนือจากหน้าที่ของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ทำให้พนักงานไปรษณีย์อย่างศิธาพัฒน์รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย การได้อ่านชื่อจังหวัดที่เขียนอยู่บนกล่องพัสดุหรือโปสการ์ดถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางกล่องถูกส่งไปไกลถึงใต้สุดของประเทศ ในขณะที่บางกล่องถูกส่งข้ามทวีปก็มี ชายหนุ่มยังคงทำงานด้วยรอยยิ้ม ยิ้มและภาวนาให้ของทุก ๆ ชิ้น โปสการ์ดทุกใบ จดหมายทุกฉบับถึงมือคนรับอย่างปลอดภัย


“เลิกงานแล้วยังไม่กลับอีกเหรอศิธา” วิษณุที่เตรียมตัวจะกลับบ้านเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงยังคงนั่งเท้าคางอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์ทั้งที่ทำการไปรษณีย์ก็ปิดให้บริการแล้ว


“อีกสักพักน่ะพี่ทำใจก่อน” ชายหนุ่มกล่าวพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ


“อะไรวะ แค่กลับบ้านเนี่ยนะ”


คนถูกถามหัวเราะแห้ง ๆ ถ้ากลับบ้านคงไม่คิดหนักขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะตั้งใจว่าหลังเลิกงานจะแวะไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อสะสางเรื่องค้างคาใจผู้ใหญ่หลายคนให้เรียบร้อย แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะพูดกับเต็มฟ้ายังไงกัน ถ้าหากอีกฝ่ายรู้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้างจะเกิดอะไรขึ้น  ไม่พ้นคงได้อาละวาดบ้านแตกแน่ ๆ


“กลับบ้านหรือจะไปสารภาพรักถึงต้องทำใจก่อน” วิษณุพึมพำก่อนจะเดินออกหายเข้าไปด้านหลัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงแต๊ก ๆ ของมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่แต่เจ้าของก็ไม่ตัดใจซื้อใหม่เสียที เสียงนั้นห่างออกไปในขณะที่มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อตัวเองทั้งที่อากาศก็เย็นแถมในสำนักงานไปรษณีย์ยังเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียสตามนโยบาย แต่เหงื่อเม็ดโตกลับผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ




“สารภาพรัก? เรียกว่าอย่างนั้นจะได้หรือเปล่านะ” พูดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่



อด..เป็นห่วง....ตัวเองไม่ได้ ศิธาพัฒน์เอ๋ยศิธาพัฒน์ หรือจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียคราวนี้....



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-07-2014 00:23:07
(ต่อค่ะ)



นัยน์ตาคมจ้องมองจานข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ที่ถูกวางตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายเอื๊อก มั่นใจว่าไม่ใช่เพราะหิว แต่รู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในคอ ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นมองคนสวมผ้ากันเปื้อนที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“ก็รู้อยู่ว่าบ่าย ๆ ครัวก็ปิดแล้วคราวหลังก็มาให้มันทันหน่อย เต็มไม่ได้อยู่ทำให้ทุกครั้งหรอกนะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม เขาเพิ่งไปรับน้องชายมาจากไร่ เพราะตกลงกันไว้ว่าวันนี้จะไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินด้วยกัน กลับมาก็พบกับพนักงานไปรษณีย์หนุ่มที่มาเอาตอนแม่ครัวเก็บล้างอุปกรณ์และปิดครัวไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยเดือดร้อนให้พ่อครัวจำเป็นต้องแสดงฝีมือ



ศิธาพัฒน์ไร้ข้อโต้เถียงใด ๆ ยอมรับโดยดีว่าเขาผิดเองที่มาเอาป่านนี้ กว่าจะรวบรวมความกล้าได้ก็เลยเวลามื้อเที่ยงมานานโข ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ทีกับคนในครอบครัวทำไมพูดได้ง่าย ๆ แต่พอมาเจอเจ้าตัวกลับพูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ


“วันนี้มาแปลกแฮะ เงียบผิดปกติ” ริมฝีปากบางที่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลยยังคงเอื้อนเอ่ยคำที่บรรยายถึงคนตรงหน้าในตอนนี้ พูดจบเต็มฟ้าก็เดินหายกลับเข้าไปในครัวก่อนจะกลับมมอกมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าและกระป๋องน้ำอัดลมในมือ


ร่างสูงนั่งลงที่เดิมก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำให้ ศิธาพัฒน์สบตาคนตรงหน้าก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มหวังจะดับอความตื่นเต้นภายในใจ


“ตามเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานพี่ศิธาพาคุณพ่อกับคุณย่าไปที่บ้านเหรอ”


คำถามของอีกฝ่ายทำให้จู่ ๆ ในลำคอก็ต่อต้านของเหลวขึ้นมาจนแทบจะกลืนไม่ลง


“อื้อ ใช่” พูดจบก็รีบตักข้าวเข้าปากเคี้ยวกลืนให้มันหมด ๆ ไป


ศิธาพัฒน์มองคนที่นั่งหันข้างให้ ดวงตาชวนมองจับจ้องไปที่ใดไม่อาจรู้ได้ นิ้วเรียวจับกระป๋องน้ำอัดลมหลวม ๆ ก่อนจะจะยกขึ้นดื่ม


“ไม่ถามเหรอว่าไปทำไม”


“ไม่ได้อยากรู้”


คำตอบที่ได้ทำแทบสะอึก ‘อยากรู้หน่อยไม่ได้เลยเหรอ’


“เมื่อวานพี่พาพ่อกับย่าไปคุยกับพ่อเต็มที่บ้าน” ชายหนุ่มกล่าวพลางรวบช้อนมองคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด


“คุยเรื่อง....”





“เรื่อง...”





“เรื่อง....”




“วุ้ย!” เต็มฟ้าขยี้หัวตัวเองก่อนจะหันมาจ้องหน้าคนที่มัวแต่อ้ำอึ้ง “เรื่องอะไรเล่า มัวแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นั่นแหละ”


“เรื่อง...” ศิธาพัฒน์ถอยใจ “พูดลำบากว่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูด”


“เฮ้ย! ได้ยังไง ก็อยากพูดให้ฟัง”


“สรุปว่ามันเรื่องอะไรเนี่ย” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ตอนแรกก็ไม่ได้อยากรู้สึกเท่าไร แต่พอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วมันชวนให้สงสัยพิลึก


“เรื่อง....”


“เอาอย่างนี้นะ” คนขี้รำคาญถอนใจก่อนจะล้วงลงไปในกระเป๋าหน้าท้องของผ้ากันเปื้อน หยิบกระดาษโน้ตสำหรับจดรายการอาหารกับปากกาออกมาวางบนโต๊ะ “ถ้ามันพูดยากนักก็เขียน แบบที่พี่ศิธาเคยบอกไง”


“เอางั้นเหรอ” ถึงจะทำวิธีนี้แต่ศิธาพัฒน์ก็ยังคิดว่ามันยากอยู่ดี


“เฮ่อ! ถ้าอย่างนั้นเต็มไปละ” ทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกห้ามเอาไว้ได้ทันควัน เต็มฟ้ายกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มระงับความอยากรู้อยากเห็นพลางมองอีกฝ่ายที่ยังคงลังเล


ศิธาพัฒน์ถอนใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบกระดาษกับปากกามาวางตรงหน้า ในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนบางสิ่งลงไป ก่อนจะส่งคืนให้
เต็มฟ้าหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูขณะดื่มน้ำอัดลมไปด้วย ในนั้นไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากรูป...



...หัวใจ...



ดวงตาสีเข้มยังคงจ้องมองกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่หวานสีดำที่เพิ่งดื่มเข้าไปก็ยังคงถูกอมไว้จนแก้มตุ่ย


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสูดลมหายใจเข้าก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกมาเพื่อไล่ความตื่นเต้น ยังไงเขาก็คิดว่าการได้พูดด้วยปากตัวเองนั้นดีที่สุด


“พี่ขออนุญาตคุณลุงตรัย...จีบเต็ม”



พรวดดดดดดดดด!!!!!!!


ศิธาพัฒน์หลับตาปี๋ โชคดีที่อีกฝ่ายนั่งหันข้างให้ไม่เช่นนั้นคงโดนพ่นโคล่าใส่แน่ ๆ


“พะ...พี่ศิธาว่าอะไรนะ” คนที่ยังอยู่ในอารามตกใจใช้หลังมือซับน้ำหวานที่ติดปากตัวเองจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู


ที่ได้ยินเมื่อกี้ ‘ถีบ’ ใช่ไหม?


เต็มกวนประสาทมากจนพี่ศิธาขออนุญาตพ่อ ‘ถีบเต็ม’ ใช่ไหม



“พี่บอกว่า เมื่อวานที่พี่พาย่ากับพ่อไปที่บ้านเต็ม พี่ไปขออนุญาตพ่อของเต็มจีบเต็ม” ศิธาพัฒน์เน้นที่สองคำสุดท้ายเพื่อให้ได้ยินชัดเจน แต่คำพูดยืดยาวนั่นกลับทำให้คนฟังหูอื้อไปชั่วขณะ



ไม่ใช่ถีบ แต่เป็น ‘จีบ’ ต่างหาก   



ปัง! กระป๋องโลหะถูกกระแทกลงกับโต๊ะเสียงดังจนหนุ่มน้อยกับเจ้าสี่ขาขนฟูที่นั่งหยอกล้อกันอยู่ที่ท่าน้ำพากันสะดุ้งเหลียวหลังมามองเป็นตาเดียว


“ล้อกันเล่นใช่ไหม” เสียงเย็นเฉียบและหน้าขึงขังของเต็มฟ้าทำให้ศิธาพัฒน์ต้องย้ำในสิ่งที่ตนเองพูดอีกครั้ง


“พี่พูดจริง ๆ”


“รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”


“รู้สิ ตอนที่พาพ่อกับย่าไปที่ไร่ก็รู้สึกตัวตลอด”


ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกโด่งจ้องหน้าคนพูดนิ่ง “ใช่เวลาตลกไหม”


“พี่ก็ไม่ได้พูดให้เต็มขำนี่ ที่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาบอกว่าพี่จะจีบเต็ม ผู้ใหญ่ก็รับรู้กันหมดแล้ว”


“ฮึ่ย!” เต็มฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวด


“ที่โกรธเนี่ยเพราะว่าพี่ไปพูดแบบนั้นกับคุณลุงตรัยหรือโกรธเพราะเต็มรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย”


“จะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ก็ไม่น่าทำแบบนี้ พี่ศิธาน่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”


“เป็นไปได้สิ แล้วก็กำลังจะเป็นอยู่ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงพี่ให้เต็มเป็นคนตัดสิน”


คนฟังหัวเราะเหยียด ๆ “พี่ต้องเสียใจแน่ ๆ ที่คิดจะจีบเต็ม”


“ถ้าอย่างนั้นก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปเลยดีกว่า พี่ไม่อยากเสียใจ”


เต็มฟ้าวางหน้านิ่งทั้งที่ในใจดั่งลิงโลด มองคนตรงหน้าด้วยแววตาระรื่น ในสุดชัยชนะก็ตกเป็นของเขาที่สามารถพูดให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดที่จะจีบตนเองได้ 


“ข้ามไปเป็นแฟนเลยก็แล้วกัน”



“เฮ้ย!” คนฟังร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าจะโดนจู่โจมแบบนี้ ภาพของพนักงานไปรษณีย์ซื่อ ๆ ถูกปลดออกจากความคิดก็วันนี้ นอกจากจะดื้อด้านแล้วอย่างอื่นก็ยังด้านไม่แพ้กัน


“จะบ้าเหรอ”


“พี่พูดจริงนะ ระยะทดลองไง”


“หมายความว่ายังไง” คิ้วขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม ระยะทดลองอะไรกัน เคยได้ยินแต่ทดลองงาน ทดลองใช้ เป็นแฟนกันนี่มันมีทดลองได้ด้วยหรือ


“ก็สินค้าเขายังมีให้ทดลองใช้งานเลย ถ้าไม่พอใจยินดีคืนเงินภายในสามสิบวัน แต่สำหรับพี่น่ะแค่เจ็ดวันก็พอ”


“เชิญพี่ศิธาทดลองของพี่ไปคนเดียวเถอะ เต็มไม่เอาด้วยหรอก ไร้สาระว่ะ” คนหน้าตูมลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยประโยคสั้น ๆ


“ไร้สาระหรือว่ากลัวหวั่นไหว”



แม้จะเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ แต่ก็ทำให้คนถูกท้าทายหันขวับกลับมาได้ไม่ยาก ดวงตาขุ่น ๆ จับจ้องมาที่ใบหน้าคมในขณะที่ความโมโหแล่นจี๊ดขึ้นกลางอก เรื่องพูดแทงใจดำไม่มีใครเกินจริง ๆ ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการปากก็ตอบรับคำท้าในทันที


“แล้วพี่จะต้องเสียใจ” พูดจบเต็มฟ้าก็หันหลังให้เดินกลับเข้าไปในบ้านจนกระทั่งครู่หนึ่งเสียงโครมครามแว่วมาไกล ๆ 



ศิธาพัฒน์ยังคงนั่งกอดอกอมยิ้มอารมณ์ดีอยู่ที่เดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อผ่านระยะทดลองเขาจะต้องเสียใจตามคำนั้นหรือไม่ รู้เพียงแต่ตอนนี้ดีใจที่สุดที่อีกฝ่ายยอมรับคำท้า
   


เต็มฟ้าทรุดตัวลงนั่งกับพื้นกอดเข่าพิงข้างเตียง เสียงโครมครามเมื่อกี้ไม่ได้เกิดจากการโมโหจนขนาดสติถึงกับต้องขว้างปาสิ่งของ แต่เป็นเพราะทำอะไรไม่ถูกจนเดินสะเปะสะปะเตะโน่นชนนี่ไปทั่ว บอกตัวเองว่าไอ้ที่ร้อนผ่าวไปทั้งใหน้าอยู่นี่มันเป็นเพราะเขากำลังโกรธ โกรธมาก ๆ ด้วย มีอย่างที่ไหนกันอยู่ ๆ ก็เดินเข้าไปคุยกับพ่อว่าจะขอจีบ เขาคิดว่าตัวเขาเป็นดื้อด้านเอาแต่ใจตัวเองที่สุดในโลกแล้วแต่ศิธาพัฒน์กลับทำลายสถิตินี้เสียจนหมดสิ้น ทีนี้จะทำอย่างไรกันในเมื่อปากไว้รับคำท้าไปแล้ว



‘....หรือว่ากลัวหวั่นไหว’ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ ๆ เขาจะไม่ยอมต้องเจ็บอีกเป็นครั้งที่สอง



....



“เต็ม ออกไปเดินเล่นกัน” เสียงตะโกนอย่างเอาแต่ใจจากด้านนอกทำเอาหางคิ้วกระตุก เต็มฟ้าที่กำลังจะเคลิ้มหลับเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับขยี้หัวตัวเอง


“ยังจะหน้าด้านอยู่อีก” ปากบางพึมพำก่อนจะลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกจากห้องอย่างหัวเสีย เมื่อออกมาก็พบว่าศิธาพัฒน์กำลังยืนยิ้มแฉ่งรออยู่ ข้าง ๆ กันคือน้องชายของเขาและเจ้าสุนัขจอมซนที่กระดิกหางริก ๆ พร้อมกับส่งเสียงเห่าด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้าของ


“เห่าอยู่ได้น่ารำคาญจริง ได้ยินเข้าไปถึงในห้อง”


ศิธาพัฒน์โครงศีรษะอย่างอ่อนใจ รู้ดีกว่ามีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ในคำพูดนั้น


“หงุดหงิดแล้วยังมาพาลเอากับหมาเนอะแข็งแรงเนอะ” 


“เอ่อ...ตามว่าเราไปเดินเล่นกันดีกว่านะฮะ” ยังคงเป็นตามตะวันที่ช่วยแก้สถานการณ์ หนุ่มน้อยเดินไปเกาะแขนพี่ชายพร้อมกับกระตุกสายจูงให้เจ้าแข็งแรงเดินตาม


แสงแดดยามเย็นยังคงทอแสงอ่อน ๆ ให้ความอบอุ่นแก่นักท่องเที่ยวที่พากันออกจากที่พักมาเดินเล่นบนถนนสายยาวที่ขนาบด้วยสถาปัตย์กรรมทรงแปลกตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงบ่าย ทำนองเพลงสะล้อซอซึงที่ดังแว่วมาตามสายลมแห่งฤดูกาลยิ่งทำทั้งผู้เฒ่าผู้แก่และหนุ่มสาวรู้สึกเหมือนได้ย้อนวันวานกลับไปในสมัยที่ลำปางยังไม่เจริญดังเช่นปัจจุบัน เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอผืนเก่าถูกหยิบออกมาจากลิ้นชักเพื่อให้ความอบอุ่นหลังจากถูกพับเก็บเอาไว้นานเป็นปี และดูเหมือนว่าของเหล่านี้จะเป็นสินค้าขายดีที่มีให้เห็นทั่วไปบนถนนทั้งสายในช่วงที่ลมหนาวกำลังมาเยือน


เมื่อเดินออกจากบ้านมาได้สักพักตามตะวันก็ขออนุญาตพี่ชายแยกตัวออกไปเดินกับเพื่อน ๆ ที่บังเอิญพบกัน ทั้งหมูอ้วนและยะหยาต่างก็ตามบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ของตัวเองมาเดินหาอะไรกินกันที่ถนนคนเดินแห่งนี้กันเกือบทุกสัปดาห์ เมื่อบรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ พบกัน สิ่งที่มักจะทำก็คือการพูดถึงเรื่องความแสบซนและการเรียนของลูก ๆ ดังนั้นเด็ก ๆ จึงชวนกันเดินเที่ยวเล่นไปตามประสาซึ่งน่าจะดีกว่าการที่ต้องมายืนรอขาแข็งเพื่อฟังพ่อแม่คุยกัน     


“คิดว่าน่าจะกลับไปตั้งนานแล้ว” เต็มฟ้าเปรยขึ้น


“ก็อยากเดินเล่นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับ” ศิธาพัฒน์ที่เดินจกกระเป๋าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้าง ๆ กล่าวพลางผิวปากเบา ๆ คลอตามทำนองเพลงของศิลปินชาวเหนือ ‘จรัล มโนเพ็ชร’ ที่ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง พอจะคุ้นหูอยู่บ้างแต่ก็ไม่รู้ชื่อเพลง


“เพลงอะไรน่ะ เพราะดี”


“คนสึ่งตึง”


ศิธาพัฒน์เลิกคิ้ว แม้จะไม่เชี่ยวชาญในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือแต่ก็พอจะเดาได้ว่าความหมายของคำนี้น่าจะไม่ค่อยดีเท่าไรนักเพราะวิษณุมักจะใช้คำนี้เรียกบัสอยู่บ่อย ๆ เวลาที่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้เรื่อง


“ก็ชื่อเพลงไง คนสึ่งตึง”


“แปลว่าอะไรเหรอ”


“ก็แปลว่าคนไม่เต็มบาท เขาว่าตั๋วอ้ายเป๋นคนสึ่งตึง มีสองสลึงป๋ายแหมซาวห้า”


“แปลด้วยสิ”


“เขาบอกว่าตัวพี่น่ะเป็นคนไม่ค่อยเต็มบาท มีสองอยู่สองสลึงกับอีกยี่สิบห้าสตางค์”


“เพิ่งจะเคยได้ยินเต็มพูดภาษาเหนือ น่ารักดีเนอะ”


เต็มฟ้ายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ แม้คำพูดเมื่อสักครู่จะทำให้ร้อน ๆ ที่แก้มก็ตาม รู้สึกทำตัวไม่ถูกเพราะนับจากวินาทีที่ศิธาพัฒน์ประกาศตัวก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปทั้งคำพูดและดวงตาคู่นั้นที่มองมา


...มันเปลี่ยนไป หรือว่าที่ผ่านมาเขาเองที่ไม่ทันสังเกต? คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ


นี่ถ้าอีกฝ่ายเฉลยตอนนี้ว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องล้อเล่นก็จะไม่โกรธเลยสักนิด


“ท่อนเมื่อกี้พี่ฟังออกนะ” ริมฝีปากอิ่มกล่าวพลางเงี่ยหูฟัง “เขาร้องว่า ฮักเต๊อะน้องจายอ้ายคนสึ่งตึง”


“หูเพี้ยนแล้ว” คนฟังส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะแวะเข้าไปที่ร้านโปสการ์ดซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียงเพลง คิดว่าไว้นานแล้วว่าจะซื้อโปสการ์ดสักสองใบส่งให้เพื่อนรักแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้ามาเสียที
   

“อ้าวเต็ม ได้ข่าวว่ากลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ” หนุ่มผมยาวเจ้าของร้านที่กำลังคิดเงินให้ลูกค้าเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นคนมาใหม่
   

“ครับ กลับมาได้เกือบครึ่งปีแล้วละพี่” พูดจบก็เดินไปเลือกโปสการ์ดที่ด้านหนึ่งของร้านโดยไม่ได้สนใจคนที่มาด้วยกัน


ศิธาพัฒน์มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะเดินไปนั่งรอที่โต๊ะไม้ซึ่งอยู่หน้าร้านพลางหยิบกระดาษโน้ตที่วางอยู่ใกล้มือมาเขียนอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งเต็มฟ้าก็เดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับโปสการ์ดสองใบ ชายหนุ่มลงมือเขียนมันเงียบ ๆ ก่อนจะติดแสตมป์แล้วเดินไปหย่อนในตู้ใส่จดหมายที่แชวนอยู่หน้า เดี๋ยววันพรุ่งนี้ ‘พี่คม’ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านก็คงเอามันไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ใกล้ ๆ หรือไม่ก็เอาไปส่งที่ไปรษณีย์ในวันจันทร์



“เขียนถึงใครน่ะ” คนช่างสงสัยถามขึ้น


“ต้องบอกด้วยเหรอ”


“เป็นแฟนกันก็ต้องบอกสิ ตกลงกันแล้วไงจำไม่ได้เหรอ”


เต็มฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองไม่น่าปากไวรับคำท้านี้เลย


“ตกลงเขียนส่งให้ใคร”


“เพื่อน”


“เพื่อนชื่อ?”


“โอ๊ย! อะไรนักหนา” มือเรียวทึ้งหัวตัวเองเป็นรอบที่สามในเวลาสองชั่วโมง


“ถ้าเต็มไม่บอก เดี๋ยวพี่รอดูเองก็ได้ จำลายมือได้” คิ้วเข้มยักขึ้นกวน ๆ ถึงจะบอกว่าจีบก็เถอะ แต่เมื่อมีโอกาสแล้วก็ขอเอาคืนไอ้เด็กแสบให้เจ็บ ๆ คัน ๆ เล่นเสียบ้าง


“แบบนี้เขาเรียกใช้อำนาจหน้าที่ในทางไม่ชอบ”


“ใครว่าไม่ชอบ ก็เพราะชอบ.....น่ะสิ ถึงได้ทำแบบนี้”


คนฟังทำหน้าเหย ยิ่งฟังยิ่งขนลุก “พูดมากว่ะ ไปเหอะ”


“เดี๋ยวสิ ลงนามใยสนธิสัญญาก่อน” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้


“สนธิสัญญาอะไร”



“ก็สนธิสัญญาว่าด้วยการปฏิบัติตัวในระยะทดลองเป็นแฟนกันไง”


“นี่จริงจังขนาดนั้น?”


“เอ้า! จริงจังสิ เดี๋ยวเต็มทำตัวออกนอกลู่นอกทาง”


“มีอะไรบ้างว่ามา”


“ข้อแรกก็คือเต็มกับพี่ เราต้องทำทุกอย่างแบบที่คนเป็นแฟนเขาทำกัน”


“ทุกอย่าง? ขอแค่บางอย่างได้ไหม”


“อืม....ก็ได้” พูดจบมือหนาก็คว้าปากกาขีดฆ่าก่อนจะแก้คำใหม่ “บางอย่างที่ทำแล้วไม่ลำบากใจด้วย พี่แถมให้”


“ข้อต่อไปล่ะ”


“ข้อเดียวก็พอแล้ว อ่ะนี่ลงนามครับ”


เต็มฟ้ามองดูประโยคสั้น ๆ ที่เขียนไว้ในกระดาษ ที่ด้านล่างมีชื่อของศิธาพัฒน์เขียนเอาไว้แล้ว ชายหนุ่มหยิบปากกาก่อนจะเขียนชื่อตัวเองลงข้าง ๆ กัน มันช่างเหมือนฉากหนึ่งในละครไม่มีผิด


“สนธิสัญญานี้จะยุติลงในเวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันอาทิตย์หน้า เต็มฉีกมันทิ้งได้เลย” พูดจบศิธาพัฒน์ก็พับกระดาษและยื่นให้ชายหนุ่ม เต็มฟ้ารับมันมาก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ


“จับมือปิดประชุมก่อน”


“พอแล้ว!” คนหน้าตูมพูดด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ก่อนจะเดินออกจากร้าน


ยิ่งค่ำผู้คนก็ยิ่งมากขึ้น เต็มฟ้าเดินชะเง้อมองหาน้องชายแต่ก็ไม่พบจนกระทั่งสวนกับยะหยาและคุณอาหมอพ่อของเธอ สาวน้อยจึงจัดการรายงานเสร็จสรรพว่าตามตะวันกลับบ้านไปได้สักพักแล้วเพราะได้เวลาให้อาหารเจ้าแข็งแรง 


“หิวอะไรไหม” คนตัวสูงที่เดินข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านร้านขายลูกชิ้นลูกมหึมา


“ยังไม่หิวเลย เดี๋ยวเต็มจะแวะร้านขนมตรงโน้น จะซื้อกลับไปฝากน้อง ถ้าพี่ศิธาอยากดูอะไรก็เดินไปก่อนได้เลยนะ หรือถ้าอยากกลับก็กลับก่อนเลย” พูดจบเต็มฟ้าก็เดินข้ามฟากไปยังร้านรถเข็นขายขนมหวานจัดการสั่งขนมที่น้องชอบ เมื่อได้ขนมที่ต้องการแล้วก็หันหลังกลับและพบว่าศิธาพัฒน์ยังคงยืนรออยู่


“รอทำไม ก็บอกให้เดินไปก่อน”


“บอกแล้วไงว่าอยากมาเดินด้วยกัน ถ้าบอกว่าเดินด้วยกันแล้วอีกคนเดินตามไม่ทันหรือต้องเดินตามจนเหนื่อยมันจะเรียกว่าเดินด้วยกันได้ยังไง”


ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของพี่ชายใจดีแบบที่เต็มฟ้าเองเคยเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมวันนี้กลับไม่อยากเห็น หรือเป็นเพราะ...



กลัวหวั่นไหว...





....



ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ คิดว่าตอนนี้น่าจะตอบคำถามที่หลายคนสงสัยได้

แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ


ปล.อย่าเพิ่งเกลียดคุณย่านะคะ คุณนายยุพานี่กะว่าตัวฮาเลย ^^

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 08-07-2014 00:35:17
พี่ศิธาอบอุ่นม้ากกกก รอดูวันที่เต็มหวั่นไหว อรั๊งงงง  :-[ :-[
ว่าแต่คุณย่ากับบ้านนายพลคือตัวป่วนใช่ไหมนะ  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-07-2014 00:44:30
คุณย่าคงวางแผนไว้ในใจ

พี่ปุ่นข้ามขั้นมาเป็นแฟนเต็มเลย(ในระยะทดลอง)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 08-07-2014 01:01:33
จ้ะ พ่อนักวางแผน เต็มฟ้าไม่ใช่ตลาดหุ้นนะจ้ะ
อย่าคิดเก็งกำไร เพราะอาจขาดทุนถึงขั้นล้มละลายเลยนะจ้ะ พ่อคุ๊ณ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 08-07-2014 01:04:36
กดไลค์ พี่ปุ่น ระรัววววว วี๊ดด บึ้มม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 08-07-2014 01:39:04
หวั่นไหวเถอะเต็มมมมม พี่ปุ่นเยี่ยมจริงๆๆๆลุยเลยยยย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 08-07-2014 03:45:53
ตกลงเถอะนะเต็มๆๆๆๆ ผู้ชายแบบพี่ศิหายากนะๆๆๆๆๆ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 08-07-2014 07:07:49
พี่ปุ่นสู้ๆ  :mc4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-07-2014 07:38:32
จะเรียกว่าเจ้าเล่ห์หรือนักวางแผนดี พี่ปุ่นเห็นนิ่ง ๆ อย่างนั้น ร้ายกว่าที่คิด
เต็มฟ้าจะต้องถูกไล่ต้อนจนต้องยอมเป็นแฟนถาวรแน่ ๆ
น้องตามน่ารักอีกแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้คุณย่ายุพาต้องหลงรักหนูแน่นอน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-07-2014 07:43:23
ลุ้นเอาใจช่วยพี่ปุ่นเต็มที่ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 08-07-2014 08:47:37
น้องเต็มตกลงไปเห้อะะะะ เป็นแฟนพี่ปุ่นอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 08-07-2014 10:01:25
น้องเต็มกลัวหวั่นไหวชัวร์!!!!!! ไม่ต้องกลัวนะคะ หวั่นไหวและปล่อยใจปล่อยตัวไปเลนค่ะคุณน้อง คนอ่านคอยลุ้นนนนนนอยู่ค่าาาาาาาาาาา คึคึคึคึ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 08-07-2014 10:37:30
วางแผนมาดีซะเหลือเกินนะพี่ปุ่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 08-07-2014 12:12:35
ชอบพี่ปุ่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 08-07-2014 12:27:53
เอาน่าสู้ๆนัพี่ปุ่น อุปสรรคมักก่อให้รักบังเกิด เนอะ
น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อนเลย ทำคะแนนทุกวันแบบนี้ ไม่นานหรอกเต็มได้หวั่นไหวแน่นอน เอาใจช่วยนะค้าาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 08-07-2014 12:32:07
พี่ปุ่น นี่คือ ผู้ชายตัวอย่างจริงๆ  ดีจริงๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 08-07-2014 13:17:00
คุณย่าเป็นตัวพิสูจน์รักป้ะเนี่ย
เต็มเขินแล้วน่ารักง่อววว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 08-07-2014 14:52:19
พี่ปุ่นน่ารัก คือรู้จุดอ่อนที่เต็มไม่ชอบให้ท้าก็ท้า

เป็นแฟนกันแล้ว ถึงขั้นทดลองก็เถอะ

เต็มฟ้าแค่ไม่รู้ตัวว่าชอบพี่ปุ่นหรือเปล่า

อาจเพราะอยู่ด้วยกันบ่อย เจอกันบ่อยเลยไม่รู้ตัว

เชียร์พี่ปุ่นสุดใจจ้า ขอให้ได้ขอให้โดน อุ๊บ ผิด ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-07-2014 15:50:22
พี่ปุ่นสุดยอด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 08-07-2014 16:59:54
พี่ปุ่นนนน 555555555
ขอหัวเราะก่อน~

คนที่จะปราบเต็มได้ก็มีแต่พี่ปุ่นนี่แหละ
รู้ทางเต็มแล้วนี่
ถึงขั้นเนียน ๆ เป็นแฟน
เนียน ๆ จะขอจับมือ
เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะยะ

ขอบคุณมาก ๆ ค่าาา +1

+++++++++++++++

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 08-07-2014 17:48:07
หวั่นไหวแล้วล่ะสิ ใช่มะ~  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-07-2014 18:45:38
พี่ปุ่นจะฮาไปไหน 555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 08-07-2014 21:53:43
ชักอยากจะให้คุณนายยุพามาเจอกับเต็มฟ้าเร็วๆจังเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 08-07-2014 22:23:18
พี่ปุ่นทำคะแนนใหญ่เลยนะ
ชอบอ่ะพี่ปุ่นจริงใจมาก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-07-2014 23:13:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 08-07-2014 23:17:32
รุกฆาตเลยปุ่น เชียร์สุดใจ
น้องตามเป็นกามเทพตัวน้อยๆ ให้พี่ๆ เค้าด้วยนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 09-07-2014 08:16:25
เต็มจะทนไหวเหรอจ๊ะ พี่ปุ่นเขามาเต็มเลย อิอิ :laugh:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 09-07-2014 15:32:55
พี่ปุ่นนี่ ดูทำอะไรเป็นจริงเป็นจัง ตลอดและก็ทำเนียน ..... :z2:
รอดูว่า พี่ปุ่นจะมีทีเด็ดอะไร ที่จะทำให้ น้องเต็มฟ้า รับรัก :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจ ครับ
ปล. กลัวคนเกียจคุณยาย รีบสปอยไว้ก่อน  :m20: งั้นจะรอดูว่า ฮาขนาดไหน  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 10-07-2014 00:39:53
พี่ปุ่นก็ช่างคิดได้ มีการเขียนสัญญาไว้อีกแน่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง) 08-07-2557 หน้า 15
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-07-2014 12:21:50
รออ :L1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 11-07-2014 21:42:15
เอ๋!!แปลกๆนะ

ชื่อตอนเปลี่ยนแล้วนิ:hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 11-07-2014 21:49:58
ชื่อตอนมา เนื้อเรื่องไม่มา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-07-2014 22:39:24
เธออยู่ไหน รู้ไหมฉันรออยู่~~~
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-07-2014 23:08:56
หูยยยยยยย!!!! อุตส่าห์แอบมาอัพ ยังมีคนตามมาส่อง

ขอโทษนะคะ พอดีแก้ชื่อตอนแล้วย้อนกลับไปเขียนเติมอีกหน่อยเลยยังไม่ได้โพสต์ค่ะ


....


ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย


เต็มฟ้าขมวดคิ้วมองเจ้าของใบหน้าระรื่นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะถัดไปด้วยสายตาขุ่น ๆ ทั้งที่เพิ่งแยกย้ายกันไปเมื่อคืนตอนเกือบสี่ทุ่มนับมาถึงตอนนี้ยังไม่ครบสิบสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็เสนอหน้าหล่อ ๆ มาให้เห็นตั้งแต่เช้า มาก่อนหมูอ้วนกับยะหยาที่วันนี้นัดกันว่าจะมาลงสีเซรามิกที่ปั้นไว้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสียอีก

   
“พี่เต็มคะ ทำไมแก้วของยะหยามันถึงเป็นสีนี้ล่ะคะ เมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังเป็นสีดำ ๆ อยู่เลย” เด็กหญิงจ้องมองทรงกระบอกมีหูเบี้ยว ๆ ที่เธอให้นิยามมันว่า ‘แก้ว’ ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากสีดินดำกลายเป็นสีนวลแบบเปลือกไข่ไก่ไปแล้ว


“ก็พี่เอาไปตากแดดให้แห้งแล้วก็เข้าเตาเผาไง มันก็เลยออกมาเป็นสีนี้” ชายหนุ่มที่กำลังผสมสีให้เด็ก ๆ ที่ล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงอธิบาย


“แล้วถ้าเราระบายสีทับลงไปแล้วมันจะเป็นมัน ๆ เงา ๆ เหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลเอาไปขายที่ถนนคนเดินหรือเปล่าครับ” เด็กชายตุ้ยนุ้ยถามพลางยื่นหน้ามามองสีข้น ๆ ในถาด


“สีเนี่ยเขาเรียกว่าสีเคลือบ ตอนระบายลงไปสีมันก็จะยังซีด ๆ อยู่ พี่จะเอาเข้าเตาเผาเคลือบให้อีกที ทีนี้แหละก็จะออกมาเหมือนตุ๊กตาที่พี่ชลขายเลย”


“ว้าว!! ยะหยาอยากเห็นตอนเผาเสร็จแล้วจัง”


“อาทิตย์หน้าก็น่าจะเรียบร้อยแล้วพี่จะฝากตามไปให้นะ”


“อิจฉาตามจัง มีพี่เต็มคอยสอนให้ทำงานศิลปะด้วย” เด็กหญิงผมเปียกล่าวพลางหันไปพูดกับเด็กชายที่เอาแต่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ กัน


“ยะหยาอยากเรียนอะไรล่ะ ให้พี่เต็มสอนให้ก็ได้” พูดไปแบบนั้นเพราะลืมตัว มานึกได้ทีหลังว่ายังไม่ได้ถามความเห็นของคนสอน ตามตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาถามพี่ชาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็ค่อยยิ้มออก


“ได้เหรอคะพี่เต็ม”


“ได้สิ ยะหยาอยากเรียนอะไรบอกพี่ได้เลย”


“ยะหยาอยากให้พี่เต็มสอนวาดรูป ระบายสี แล้วก็สอนปั้นดินแบบนี้ค่ะ”


“สบายมาก”


“หมูอ้วนเรียนด้วย ๆ” เด็กชายแก้มยุ้ยละล่ำละลัก 


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เรียนกันหมดนี่แหละ อาทิตย์ไหนอยากเรียนอะไรก็บอกกับตามมาก็แล้วกัน พี่จะได้เตรียมอุปกรณ์ไว้รอ”


“เย้ๆ ๆๆๆ ๆ” เมื่อได้ฟังคุณครูใจดีพูดแบบนั้น เด็ก ๆ ก็พากันร้องดีใจจนบรรดาแขกต่างก็หันมามองกันเป็นตาเดียวจนหัวหน้าแก๊งเด็กต้องปราม


“เอาละ ลงมือระบายสีกันดีกว่า” ริมฝีปากบางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเลื่อนถาดที่ผสมสีเอาไว้แล้วไปที่กลางโต๊ะพร้อมกับแจกพู่กันให้เหล่าหนู ๆ


ทั้งหมูอ้วน ยะหยาและตามะวันต่างก็ลงมือระบายสีผลงานของตัวเองเงียบ ๆ หมูอ้วนใช้พู่กันจุ่มสีฟ้าระบายลงบนจานรูปหมูน้อยของตัวเองที่ตั้งใจว่าจะเอาไปให้แม่ใช้ใส่อาหารเช้าจะได้กินข้าวอร่อยขึ้น ส่วนยะหยาก็ระบายสีแก้วน้ำด้วยสีชมพูแบบที่เธอชอบ


“ของตามรูปอะไร” ร่างสูงที่เดินมาชะโงกหน้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มน้อยที่เงียบที่สุดในกลุ่มเริ่มลงมือระบายบนภาชนะครึ่งวงกลมที่มีรูปปั้นนูนต่ำยื่นออกมา


“ตามปั้นชามข้าวให้เจ้าแข็งแรงฮะ” ตามตะวันกล่าวพลางยกชามที่ว่าขึ้น ชี้ไปที่รูปทรงนูนต่ำพร้อมกับอธิบาย “นี่ตามปั้นเจ้าแข็งแรง ส่วนนี่คือพี่เต็ม ตาม แล้วก็พี่ปุ่น”


คนฟังฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกว่าตัวเองก็มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ก็หยุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อระบบเบรกเอบีเอสเริ่มทำงาน


“หึ ภูมิใจเนอะ ถูกจารึกชื่อไว้บนชามข้าวหมา”


“หมูอ้วนว่าแข็งแรงต้องเจริญอาหารแน่ ๆ เลย”


“นั่นน่ะสิ พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บสีลงในกล่อง แต่ถึงจะพยายามแค่ไหนแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อก็ไม่รอดพ้นสายตาต่อสายตาของคนที่กำลังเฝ้ามองอยู่ 


ศิธาพัฒน์เดินมานั่งลงข้าง ๆ คนช่างเหน็บก่อนจะพูดลอย ๆ ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “เห็นนะว่าแอบยิ้ม....” พูดจบก็หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นหน้าง้ำงอของคนอายุน้อยกว่าที่พยายามสงบปากสงบคำไม่แสดงร่างจริงต่อหน้าเด็ก ๆ


“หิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”


คำพูดเอาแต่ใจทำเอาคนฟังหันขวับ มือบางเอื้อมคว้ากระดาษกับปากกาที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยื่นให้ “อยากกินอะไรก็เขียนมา เดี๋ยวเต็มให้แม่ครัวทำให้”


“ไม่เอา” ผู้ใหญ่เอาแต่ใจตัวเองขมวดคิ้วน้อย ๆ “...อยากกินฝีมือเต็มนี่นา” คำพูดตอนท้าย ๆ นั้นมันช่างบางเบาราวกับปุยนุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศและค่อย ๆ ลอยต่ำลงจนกระทั่งมาคลอเคลียอยู่กับข้างแก้ม


“เรื่องเยอะอีก” เต็มฟ้าพึมพำ เมื่อเห็นว่าได้เวลาอาหารกลางวันพอดีจึงหันไปถามเด็ก ๆ ว่าอยากทานอะไร แต่ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ชิงตอบให้คันหัวใจเล่นหน้าตาเฉย


“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่”


เมื่อได้ฟังดังนั้นสามหนูน้อยที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการระบายสีก็เลยพร้อมใจกันสั่งตามบ้างจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิด


“ทานแบบพี่ศิธาไม่ได้หรอก เป็นเด็กเป็นเล็กต้องทานผักด้วย” คุณครูที่กำลังจะสลัดคราบมาเป็นพ่อครัวกล่าวก่อนจะลุกขึ้น แต่คำถามของเจ้าหนูจำไมอย่างยะหยาก็ทำให้ต้องชะงัก


“ทำไมพี่เต็มไม่รียกพี่ปุ่นว่าพี่ปุ่นล่ะคะ ทำไมถึงเรียกว่าพี่ศิธา”


ง่ายมาก....คนถูกถามนึกในใจ “ก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน เรียกแบบนี้ก็พอแล้ว”


ศิธาพัฒน์มองริมฝีปากสีส้มที่กำลังเผยอยิ้มน้อย ๆ นั่นแล้วให้รู้สึกอยากจะคว้าแขนมา....


....ตีมือเสียให้เข็ด


ไม่เข้าใจว่าปากบาง ๆ ที่ท่าทางจะนุ่มนิ่มนั่น ทำไมช่างพูดคำที่มันทำร้ายจิตใจคนฟังได้มากมายขนาดนี้


เต็มฟ้าหายเข้าไปในครัวพักใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับจานข้าวผัดร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายสี่จาน
เมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟกิจกรรมทุกอย่างก็หยุดลงชั่วขณะ เด็ก ๆ พากันเดินชักแถวไปล้างมือตามคำสั่งของรองหัวหน้าแก๊ง จากนั้นก็กลับมานั่งประจำที่จ้องมองข้สวผัดหน้าตาน่ากินในจาน


“สับเสียละเอียดเชียวนะ” คนไม่กินหอมใหญ่บ่นพลางโครงศีรษะไปมา มือก็หยิบช้อนเขี่ยข้าวผัดในจานไปด้วย นอกจากมีหอมใหญ่ซอยละเอียดแล้วยังมีใบคะน้าสีเขียวกับมะเขือเทศสีแดงสดผสมมาด้วยราวกับจะหลอกล่อให้เด็กไม่กินผักยอมกินผักในคราวนี้


“ช่วยไม่ได้” พ่อครัวดีเด่นตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลง บอกให้เด็ก ๆ เริ่มทานอาหาร แต่ก็ไม่วายหันมามองผู้ใหญ่ที่ยังคงนั่งเขี่ยผัก “ระวังแพ้เด็กนะ”


“ระดับนี้” พูดจบคนถูกท้าทายก็คุ้นมะเขือเทศที่อยู่ใต้ข้าวขึ้นมาจัดการส่งเข้าปาก กะว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมแพ้เหลือผักเอาไว้ให้อีกคนเหน็บแนมแน่ ๆ


“เด็ก ๆ เคยเห็นมังกรพ่นไฟไหม”


หนูน้อยสามคนพากันส่ายหน้าก่อนที่มังกรที่ว่าจะส่งเสียง “ฮ่า!!!” ศิธาพัฒน์อ้าปากกว้างจนเห็นไอร้อนจากมะเขือเทศชิ้นหนาที่เพิ่งตักเข้าปากลอยออกมา เพราะไม่อยากขายหน้าก็เลยไม่ทันเป่าให้หายร้อนเสียก่อน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนตักเข้าปากไปแล้วทำเอาชิ้นชาไปหมด จะคายก็ไม่ได้เพราะคนทำตักคอไว้เสียก่อน


“ห้ามคายนะ เต็มอุตส่าห์ทำ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนโดนแกล้งจึงจำใจต้องเคี้ยวมะเขือเทศร้อน ๆ ที่อยู่ในปากก่อนจะกลืนลงคอในที่สุดพร้อมกับตั้งใจว่ายังไงก็ต้องเอาคืนให้ได้


‘ไอ้ตัวแสบ’



หลังจากเด็ก ๆ รับประทานอาหารกลางวันแล้วก็ลงมือระบายสีกันต่อกระทั่งบ่ายคล้อยทุกอย่างจึงเสร็จเรียบร้อย ศิธาพัฒน์อาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งหมูอ้วนและยะหยาที่บ้านแทนการที่พ่อและแม่ของแต่ละคนต้องละจากงงานที่ทำอยู่มารับลูก ๆ ของตนเอง เมื่อส่งเพื่อน ๆ ที่หน้าบ้านแล้วตามตะวันก็กลับเข้ามาเล่นกับเจ้าแข็งแรงซึ่งกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่สนามหญ้าด้วยความดีใจราวกับเก็บกดมานาน นั่นอาจเป็นเพราะว่าวันนี้เด็ก ๆ ต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับผลงานของตัวเองจึงไม่มีใครสนใจเล่นกันมันเลย เจ้าขนยาวจึงต้องนอนหลบมุมอยู่เงียบ ๆ เกือบตลอดทั้งวัน เต็มฟ้ายืนมองน้องชายและเจ้าหมาน้อยจากด้านหนึ่งก่อนจะเดินไปเก็บอุปกรณ์ทั้งพู่กันและถาดผสมสีที่เด็ก ๆ ช่วยกันล้างตากเอาไว้มาใส่ลงกล่องแล้วจึงเดินไปเก็บที่ท้ายรถ  จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการจัดของให้เข้าที่เพราะเกรงว่างานของเด็ก ๆ จะได้รับความเสียหายระหว่างนำกลับไปเผาเคลือบที่โรงงาน เต็มฟ้ายืดตัวขึ้นตรวจดูวามเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือปิดฝากระโปรง ทันใดนั้นมือของใครคนหนึ่งก็วางลงข้าง ๆ กัน เพียงปลายจมูกสัมผัสน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นศิธาพัฒน์ไม่ผิดแน่ เมื่อฝากระโปรงปิดลงชายหนุ่มเจ้าของรถก็ได้ทำเพียงสบตาอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนที่ปรากฏอยู่บนกระจกติดฟิล์มทึบ ภาวนาว่าอย่าให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้เลย ไม่เช่นนั้นคงจะได้ยินเสียงรัวกลองใต้อกเสื้อด้านซ้ายแน่ ๆ




ศิธาพัฒน์หันข้างพิงท้ายรถใช้มือเท้าเข้ากับฝากระโปรง นัยน์ตาคมมองแก้มเนียนของเจ้าของมือบางซึ่งกำลังขยับออกห่างจากสัมผัสที่แตะกันอยู่เพียงบางเบา


"นึกว่าพี่ศิธาจะกลับเลยเสียอีก"


เมื่อประโยคนั้นลอยหายไปในอากาศ ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนถูกขัดใจก็ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกลดลงบนต้นคอระหงตามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ


"เมื่อไรจะเลิกเรียกแบบนี้สักทีนะ"


"เรียกแบบไหน”


“ก็เรียกว่าพี่ศิธาไง สงสัยจริง ๆ ว่าใครกันที่สอนให้เรียกแบบนี้ ไม่ชอบเลย”


เต็มฟ้ามุ่นคิ้วพร้อมกับสำรวจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก แน่ใจว่าตรงแก้มที่กำลังรู้สึกวูบวาบอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เปลี่ยนสีจนคนอยู่ใกล้สังเกตได้ เพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเจ้าของชื่อไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่จะไปสนใจทำไมกันว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบในเมื่อตัวเขาเองพอใจแบบนี้


“เรียกแบบนี้แล้วทำไม ลุงเดชกับป้าบัวก็เรียก" พูดจบเจ้าของริมฝีปากบางก็หันมาสบตาคนฟังเป็นครั้งแรก ในขณะที่ศิธาพัฒน์นั้นได้แต่โครงศีรษะอย่างเหนื่อยใจกับคนที่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยคนนี้


"ไม่เหมือนกันสักนิด"


"ไม่เหมือนกันยังไง"


"ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว ถึงจะระยะทดลองก็เถอะ"


เงื่อนไขนี้เล่นเอาคนเต็มฟ้าต้องรีบเบือนหน้าหนีแต่ร่างสูงก็ยิ่งขยับเข้าใกล้พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาชวนมองที่สะท้อนอยู่บนกระจก จมูกโด่งสูบกลิ่นหอมจากตัวของคนที่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะคิดว่าอีกฝ่ายก็เป็นแค่เพียงน้องชายร่วมโลก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าสมองไม่อาจแสดงอำนาจเหนือหัวใจได้


...ยิ่งใกล้มากกันเท่าไรก็ยิ่งห้ามหัวใจตนเองไม่ได้เท่านั้น...


ในขณะที่คนหนึ่งไม่อยากใกล้ แต่อีกคนหนึ่งกลับใกล้เข้ามาจนยากจะหลบลี้ ปากอิ่มเลื่อนไปที่ข้างหูของคนที่กำลังยืนนิ่ง ดวงตาสองคู่ยังคงไม่ละออกจากกันเลยแม้แต่สักวินาที 


"เมื่อไรรู้สึกว่าสนิทแล้วละก็ ช่วยเรียกพี่ปุ่นให้ชื่นใจหน่อยนะ"


หากการพ่ายแพ้คือความรู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งใบหน้า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและตัวเบาหวิวเหมือนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศแล้วละก็ เต็มฟ้าก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือตอนนี้เขากำลังพ่ายแพ้ให้เจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นอย่างราบคาบ




‘ไม่มีทาง’



(มีต่อค่ะ)


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-07-2014 23:19:09
(ต่อค่ะ)


นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองสองมือที่กำลังประคองก้อนดินเย็นเฉียบในที่กำลังหมุนอยู่บนแท่นโลหะสำหรับขึ้นรูป เรื่องราวที่เพิ่งผ่านมาไม่นานยังคงวนกลับมาให้คิด รอยยิ้มของใครบางคนยังคงตามหลอกหลอนจนบางครั้งก็พาให้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นหอมยังคงอบอวลราวกับติดอยู่ที่ปลายจมูกจนชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันคือกลิ่นของน้ำหอมหรือกลิ่นของ...


‘ความรัก’



....พยามยามจะคิดในใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้...



“เก่งจัง”



มันจะเบาเท่ากับเสียงที่ดังอยู่ข้างหูในตอนนี้ไหมนะ?


เต็มฟ้าหรี่ตามองหน้าคมที่กำลังยื่นข้ามบ่าของตนเองก่อนจะขยับตัวเบี่ยงออกถือโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ  ดวงตาทอประกายคู่นั้นจ้องไปที่ดินสีดำที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างเป็นแจกันทรงสูงราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทุกวัน? ไม่ผิดแน่...เพราะตั้งแต่วันที่ทำสนธิสัญญาระยะทดลองนั่นก็ยังไม่มีวันไหนเลยที่ผู้ชายคนนี้จะไม่เสนอหน้ามาให้เห็น ขนาดอุตส่าห์หนีมาหมกตัวอยู่ที่โรงงานเซรามิกท้ายไร่ก็ยังตามมาให้ต้องคันหัวใจอยู่ทุกเย็น


ศิธาพัฒน์ลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ มองดูตุ๊กตารูปสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่วางเรียงรายอยู่ในถาดด้วยความสนใจก่อนจะหยิบเจ้าเต่าน้อยที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพลิกไปมา


“รูเล็ก ๆ นี่เอาไว้ทำอะไรเหรอ”


เต็มฟ้าละสายตาจากดินก้อนใหม่ที่เพิ่งวางแหมะลงไปบนแท่นหมุนมองสิ่งที่อยู่ในมือของคนถาม ที่ท้องของตุ๊กตารูปเต่ามีรูเล็ก ๆ ซึ่งก็เหมือนกับตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ในถาด “เวลาที่เอาดินเข้าเตาเผาน่ะ ดินจะคลายความชื้นออกมา เพราะฉะนั้นขนาดของงานแต่ละชิ้นก็จะลดลงไปจากเดิมประมาณสิบห้าเปอร์เซนต์ เราก็เลยต้องเจาะรูให้ชิ้นงานที่มีความหนามาก ๆ เพื่อมันจะได้มีช่องทางระบายจะได้ไม่แตกหักเวลาอยู่ในเตา”


“อย่างนี้นี่เอง” หน้าเนียนขยับขึ้นลงแสดงความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ก่อนจะลองหยิบตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ขึ้นมาดูแล้วก็พบว่าแต่ละตัวก็ถูกเจาะรูเล็ก ๆ เอาไว้เช่นกัน


“เลิกงานแล้วไม่อยากกลับบ้านไปพักผ่อนบ้างหรือไง มาทำไมกันทุกเย็น ทำยังกับอยู่ใกล้ ๆ” ริมฝีปากบางบ่นพึมพำขณะใช้มือประคองเพื่อขึ้นรูปดินเป็นทรงกระบอก


“เป็นห่วงเหรอ”


“ใครว่าล่ะ เต็มยังไม่ได้พูดสักคำ”


“ก็เห็นอยู่”


“เห็น?”


“อื้อ...สายตามันฟ้องว่าเป็นห่วง”


“มองออกขนาดนั้น?”


“ใช่ ไม่เคยได้ยินหรือไงที่เขาบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ”


“แล้วขี้ตาล่ะ” คนถามยักคิ้วกวน ๆ แต่ก็โดนอีกฝ่ายสวนขึ้นทันควัน


“ก็เป็นบันไดเอาไว้ปีนขึ้นหน้าต่างมั้ง ถามมาได้” ศิธาพัฒน์เลิกคิ้วหัวเราะชอบใจที่สามารถทำแต้มขึ้นนำไปก่อน เล่นเอาเต็มฟ้าถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“ไปดีกว่า” พูดจบคนหน้าหงิกก็ถอนใจก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เดินไปที่อ่างล้างมือซึ่งอยู่ด้านในสุด จัดการเปิดก๊อกล้างเศษดินที่ติดมือออก


“จะกลับแล้วเหรอ”


“ยังหรอก ว่าจะเอางานเข้าเตาก่อน” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองถังน้ำดินที่เอาไว้สำหรับทำเป็นกาวประสานชิ้นส่วนต่าง ๆ ของงานปั้น ปลายนิ้วเรียวจุ่มลงไปในถังซึ่งมีดินเหลวเละอยู่เต็มถังก่อนจะปาดเข้าที่แก้มของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


“เฮ้ย!” ศิธาพัฒน์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโวยวาย เหมือนเป็นไปโดยอัตโนมัติที่สมองสั่งให้เอาคืนด้วยวิธีการแบบเดียวกันบ้างแต่ก็ต้องชะงักเพียงเพราะคำพูดธรรมดา ๆ ของอีกฝ่าย


“หยุดเลย คนเป็นแฟนกันเขาต้องให้อภัยกันสิ ถึงจะแค่ระยะทดลองก็เถอะ”


เมื่อโดนย้อนเข้าบ้างก็ให้รู้สึกจี๊ดในใจ ร่างสูงขมวดคิ้วมองสำรวจหน้าตัวเองในกระจกที่ตอนนี้มอมแมมไปหมดไม่ต่างกับเจ้าแข็งแรงเวลาที่มันได้ออกไปวิ่งเล่นในแปลงผักเลย


“เช็ดให้เลย” คนออกคำสั่งมองด้วยสายตาเอาเรื่องแต่มีหรือที่คนดื้ออย่างเต็มฟ้าจะยอมทำตามง่าย ๆ นั่นยิ่งทำให้เจ้าของแก้มเนียนท้าทายกลับด้วยการล้างมือไปผิวปากไปอย่างสบายอารมณ์เสียด้วยซ้ำ


“เช็ดเองสิ มือก็มี”


“ใครเป็นคนทำก็ต้องรับผิดชอบสิ”


“เชื่อก็กลัว” ไอ้ตัวแสบยังคงลอยหน้าลอยตา “ถ้าไม่ล้างออกเองก็หน้าเป็นแมวกลับบ้านแบบนี้ก็แล้วกัน” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีแต่มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กเอาไว้ได้ทัน


“เดี๋ยวสิ รอก่อน” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางเปิดก๊อกล้างคราบดินด้วยมือที่เหลืออยู่ ตาคมเหลือบมองคนข้าง ๆ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์จนคนถูกล็อกเอาไว้เริ่มใจคอไม่ดี


“อย่าได้คิดทำเด็ดขาด” เต็มฟ้าปรามเสียงเข้ม


“รู้เหรอว่าจะทำอะไร”


“ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัว...จะ...” ยังพูดทันจะจบประโยคคนฟังก็วักน้ำสาดใส่เต็มหน้าเข้าตาเข้าปากจนสำลักแต่เพราะข้อมือยังคงถูกตรึงเอาไว้ดังนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้มือข้างที่เหลือวักน้ำจากก๊อกสาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สงครามย่อม ๆ จึงเริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายก็เปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำทั้งคู่


เพียงแค่ศิธาพัฒน์กระตุกข้อมือเบา ๆ ร่างบางที่ไม่ทันระวังตัวก็โผเข้าหาอย่างง่ายดาย คนตัวสูงประคองเอวคอดของคนตรงหน้าที่ยังคงอยู่ในอารามตกใจ รู้สึกได้ถึงแรงต้านจากมือเล็กของอีกฝ่ายที่กำลังยันแผงอกของตนเองเอาไว้เพื่อให้เหลือระยะห่าง


“กลับเถอะ” เต็มฟ้ากล่าวทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด


“ยังไม่อยากกลับเลย ไม่เจอเกือบทั้งวัน เห็นหน้าแป๊บเดียวยังไม่ทันหายคิดถึง”


คนฟังก้มหน้างุด ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมเวลาได้ยินสุ้มเสียงและคำพูดแบบนี้ใจมันถึงได้สั่นทุกครั้ง


“เต็ม..” ร่างสูงกล่าวอย่างแผ่วเบาพลางเลื่อนมือขึ้นหนึ่งเชยคางเจ้าของชื่อที่กำลังพยายามหลบสายตาให้เงยหน้าขึ้นมามองกันบ้าง ทันทีที่ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กเล็กก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมสันที่ปรารถนาเพียงการได้มีตัวตนอยู่ในสายตาคู่นี้บ้าง


“อย่าฝืนใจตัวเองนักเลย”


เต็มฟ้าเบือนหน้าหนีเมื่อใบหน้านั้นขยับใกล้เข้ามาทุกที ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างริมฝีปากอิ่มนั่นก็คงไม่ปล่อยให้เขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำโต้แย้งใด ๆ อีก


หัวใจเจ้ากรรมก็ดันเต้นเสียงดังจนยากจะควบคุมให้เป็นปกติได้ ความอ่อนไหวดูเหมือนจะซึมไปทั่วทุกอณูของความรู้สึก



....นี่เขากำลังจะพ่ายแพ้ใช่ไหม?




‘ยังไงก็จะไม่ยอมเสียน้ำตาให้กับความรักอีกแน่ ไม่อยากถูกทิ้งอีกแล้ว’




ในที่สุดคำถามหนึ่งก็ลอดผ่านริมฝีปากบาง “หนะ...ไหนบอกว่า...จะไม่ทำให้ลำบากใจไง”


ทั้งที่ฟังแผ่วเบาเหลือเกินแต่กลับสร้างความหนักอึ้งขึ้นในภายใจคนฟัง ศิธาพัฒน์คลายมือออกเมื่อคำพูดนั้นทำให้รู้สึกตัวว่าการทำตามใจตนเองของเขากำลังทำให้อีกคนต้องอึดอัดใจ ร่างสูงถอยห่างออกมาช้า ๆ ก่อนจะกล่าวขอโทษกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป


“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องอึดอัด” พูดจบก็หันหลังให้แล้วเดินจากไปโดยไม่หันมามองกันอีกเลย


เพียงแค่นี้ก็ทำเอาคนมองตามใจหาย....



....


เย็นวันต่อมาพ่อเลี้ยงตรัยที่กำลังเดินตรวจความเรียบร้อยของเซรามิกที่เพิ่งเอาออกจากเตามองลูกชายคนโตที่ยังคงเอาแต่นั่งทอดถอนใจอยู่หน้าแท่นหมุนที่สงบนิ่ง  มือไม้เต็มไปด้วยเศษดินแห้งกรัง แม้จะเลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้วแต่นายน้อยแห่งไร่แสงดาวก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมผู้เป็นพ่อถึงต้องถึงต้องมาที่นี่ อาการเหม่อลอยของลูกชายทำให้อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ อีกเรื่องที่น่าแปลกก็คือทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพนักงานไปรษณีย์หนุ่มรูปหล่อที่พักนี้มักจะมาป้วนเปี้ยนให้เห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ


“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ทำไมวันนี้ไม่เห็นปุ่นมาที่นี่”


“เปล่านี่พ่อ” คนถูกถามลุกขึ้นเดินไปล้างมือในขณะที่ปากก็ยังคงพึมพำเบา ๆ “ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรของเขา”


“ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ไปถามเขาล่ะ มาถามเอากับอ่างล้างมือแล้วแกจะรู้ไหม”


“โธ่..พ่อ” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของพ่อในกระจก


ตรัยยิ้มให้ลูกชายก่อนจะวางมือลงบนบ่าพร้อมกับออกแรงบีบเบา ๆ “แกไม่จำเป็นต้องแข็งขืนให้ตัวเองได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในทุก ๆ เรื่องก็ได้นะไอ้ลูกชาย  เพราะบางเรื่องมันก็ไม่มีการคนชนะหรือคนแพ้ อาจจะมีแค่คนสองคนที่พร้อมจะเดินข้างกันเสมอ”


“หือ...ค้มคม”


“อ้าว! ไอ้แสบ นี่พ่อพูดจริงจังยังจะมาแซว”


ลูกชายคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อมือของพ่อย้ายตำแหน่งจากบ่ามาวางบนศีรษะพร้อมกับโยกเบา ๆ ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนทุกครั้งแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด


“แล้วตกลงจะไปถามไหมว่าเขาเป็นอะไร ถ้าจะไปก็เอารถออก เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”


“ไม่เด็ดขาด!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เต็มไปหาแข็งแรงดีกว่า”


คำตอบของเต็มฟ้าทำเอาคนเป็นพ่ออย่างตรัยต้องส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจให้กับความดื้อด้านและฟอร์มเยอะ แม้จะเป็นพ่อลูกกันก็ตามแต่ก็นึกเอาใจช่วยศิธาพัฒน์ให้ปราบพยศไอ้ตัวแสบนี่ให้ได้อยู่เหมือนกัน
   

....



เจ้าหมาขนยาวที่นอนพาดคางไปตามแนวยาวของขั้นบันไดกระดิกหางอย่างเกียจคร้านเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตัวเองที่หน้าบ้าน มันยืดคอมองหาต้นเสียงก่อนจะกระโดดแผล็ววิ่งตรงไปที่ประตูรั้วทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังยืนรอมันอยู่ แม้จะสี่ขาจะเยื้องย่างด้วยท่าทางอันสง่างามสมกับเป็นสุนัขพันธุ์ดี แต่กลิ่นหอมของหมูปิ้งก็ทำให้น้ำลายของสุภาพสตรีหยดติ๋ง เจ้าแข็งแรงกระดิกหางแทบหลุดด้วยความดีใจก่อนจะนั่งลงครางหงิง ๆ ใช้ขาหน้าเขี่ยประตูราวกับกำลังขอร้องเจ้านายให้รีบส่งอาหารอันโอชะในมือนั่นมาเสียที   


เต็มฟ้าอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางตลก ๆ ของนังหนูผู้เติบโตมาด้วยพลังหมูปิ้ง ร่างสูงย่อตัวลงนั่งพลางส่งไม้เสียบหมูปิ้งในมือผ่านช่องประตูให้เจ้าหมาน้อย ปากใหญ่รีบงับชิ้นหมูเคี้ยวไม่กี่ทีก็กลืนลงคอเหมือนใครจะแย่งเพียงไม่กี่วินาทีก็เหลือแต่ไม้


“ให้มันกินแบบนี้น่ะทำให้มันเสียนิสัยรู้ไหม” เจ้าของบ้านที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ๆ “เดี๋ยวอีกหน่อยใครส่งอะไรให้มันก็กินหมด คงโดนวางยาเข้าสักวัน”


“ขี้บ่นไม่มีใครเกินเลยน้า....แข็งแรง” เต็มฟ้าเปรยขึ้นขณะส่งหมูปิ้งไม้ที่สองให้เจ้าหมาน้อยที่นั่งน้ำลายไหลทำตาปริบ ๆ


“ถ้าอยากพูดด้วยก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกันตรง ๆ ไม่ต้องพูดฝากหมามาก็ได้หรอกมั้ง” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอกอดอกมองเจ้าของแก้มเนียนที่ตอนนี้เริ่มขึ้นสีชมพูจาง ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าร่างกายมันไม่ได้ให้ความร่วมมือกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว


“กลับดีกว่า ขี้เกียจฟัง” พูดจบมือเรียวก็แขวนถุงหมูปิ้งเอาไว้กับรั้วก่อนจะหันหลังเดินไปที่รถโดยไม่รอฟังคำทักท้วงของเจ้าบ้าน


“อะไรกัน มาถึงก็จะกลับ ยังไม่ได้เข้าบ้านเลยนะ” ศิธาพัฒน์ที่รีบเปิดประตูออกมาเอ่ยขึ้นขณะเดินตามมาที่รถ


“เต็มมาแค่นี้แหละ”


“อุตส่าห์ขับรถมาจากไร่เพื่อเอาหมูปิ้งมาให้แข็งแรงเนี่ยน่ะเหรอ แหม...น่าอิจฉาหมาจัง”


“ก็เห็นว่ามันไม่ได้ไปที่ไร่ตั้งหลายวัน เลยแวะมาดู”


“ห่วงแต่หมา ไม่ห่วงคนเลี้ยงหมาบ้างเหรอ ไม่เห็นถามกันสักคำว่าทำไมวันนี้ไม่ไปที่ไร่”


“อยากไปก็ไปไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ไม่มีใครว่าอะไรพี่ศิธาหรอก”


“สงสัยจังว่าปากบาง ๆ แบบนี้ทำไมถึงสรรหาคำมาพูดให้คนอื่นเขาน้อยใจเก่งจัง”


เต็มฟ้าหลบหนีสายตาแฝงความหมายของอีกฝ่าย เตรียมจะหันไปกดรีโมตปลดล็อกรถ แต่มือของอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้


“หายคิดถึงพี่แล้วเหรอถึงได้รีบกลับนัก”


ฟังแล้วให้รู้สึกคันในหัวใจ ‘ใครกัน ใครคิดถึงใคร อย่าทึกทักไปเองแบบนั้นสิครับคุณพนักงานไปรษณีย์’ ทั้งที่ในใจนึกเถียงแต่กลับไม่มีคำใด ๆ หลุดออกจากปาก


“ทำไมไม่เถียงล่ะ หรือว่าจริงตามที่พี่พูด เต็มก็เลยเถียงไม่ออก หืม?”


เจ้าของแก้มแดงไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยายามแกะมือของอีกฝ่ายออก ได้ยินเสียหัวเราะในลำคอนั่นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มาถึง รอยยิ้มของศิธาพัฒน์ยังคงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะเห็นในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทดลองเป็นแฟนกันตามสนธิสัญญาประหลาดนั่น นอกจากจะทำให้ใจเต้นแปลก ๆ แล้วมันยังทำให้รู้สึกวูบไหวสูญเสียความเป็นตัวเองในทุกครั้งที่ได้เห็น


“ยิ้มอะไร มีอะไรตลกหรือไง” เต็มฟ้าขมวดคิ้วพยามยามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ


“ไม่มีอะไรตลก แต่แค่ดีใจต่างหากที่เต็มมา นึกว่าจะไม่สนใจกันเสียแล้ว” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางรั้งอีกฝ่ายให้เข้ามายืนใกล้กัน อันที่จริงวันนี้เขาก็ตั้งใจจะไปที่ไร่แสงดาวเหมือนอยู่แล้ว ก็วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการระยะทดลองเป็นแฟนกันตามสัญญาที่ตัวเขาเป็นคนคิดขึ้นแล้วจะไม่ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าได้อย่างไรกัน แต่เพราะต้องช่วยงานที่สำนักงานไปรษณีย์ก็เลยทำให้เพิ่งจะได้กลับบ้านเอาเมื่อตอนใกล้ค่ำ เมื่อเตรียมตัวจะไปจู่ ๆ อีกฝ่ายก็โผล่หน้าชวนมองมาให้หายคิดถึงเสียก่อน


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-07-2014 23:19:39
(ต่อค่ะ)



เต็มฟ้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงตามองดูนาฬิกาที่บอกเวลาอีกยี่สิบนาทีจะเข้าสู่วันใหม่สลับกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือ ‘สนธิสัญญาว่าด้วยการปฏิบัติตัวในระยะทดลองเป็นแฟน’ อีกไม่กี่นาทีมันก็จะกลายเป็นเพียงกระดาษที่ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป เสียงครืดคราดทำให้ต้องผุดลุกขึ้นเดินไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือมากดรับสาย ไม่ได้พูดอะไรจนคนที่ปลายสายต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้น


‘ยังไม่หลับอีกเหรอ’


“อืม”


‘พี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน’ พูดจบก็เงียบไปได้ยืนเพียงลมหายที่แสดงว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้วางสาย ‘อีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะผ่านวันนี้ไปแล้วเนอะ’


ฟังดูเหมือนเป็นคำถามแต่เต็มฟ้าก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไร


‘ออกมาดูดาวกันไหม’


ประโยคนี้ต่างหากที่ทำให้คนฟังคงต้องพูดอะไรสักอย่าง....



ศิธาพัฒน์ยืนพิงมอเตอร์ไซค์มองคนที่กำลังเปิดประตูรั้วออกมายืนอยู่ตรงหน้าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่เหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีจะเข้าสู่วันใหม่


“นึกยังไงชวนดูดาวตอนนี้”


“ก็นอนไม่หลับ ไม่อยากทิ้งเวลาไปเปล่า ๆ เหลืออีกตั้งสิบห้านาทีกว่าจะหมดวัน ขึ้นรถเถอะ” เจ้าของมอเตอร์ไซค์คลาสิกกล่าวพลางขึ้นนั่งประจำที่ของตัวเองในขณะที่คนถูกชวนก็ยอมทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข


แม้ผู้คนจะเริ่มบางตาแต่บนถนนคนเดินก็ยังเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มทยอยเก็บข้าวของกลับบ้าน  ศิธาพัฒน์จึงขี่มอเตอร์ไซค์อ้อมไปอีกทางโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สะพานโค้งสีขาวที่ทอดข้ามแม่น้ำวัง ดวงตาสีเข้มของเต็มฟ้าทอดมองสองข้างทางที่มีเพียงไฟถนนสีนวลให้ความสว่าง ลมแรงปะทะเข้ามาจนหน้าชาไปหมดแม้ซุกหน้าหลบหลังคนขับแล้วก็ตาม อากาศในค่ำคืนนี้ช่างหนาวเย็นจับใจจนมือเรียวที่วางอยู่บนหน้าขาเย็นเฉียบไปหมด   


“อีกแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีแล้วนะ ใจคอจะนั่งห่างกันอย่างนี้น่ะเหรอ” เสียงนั้นดังแทรกขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บพร้อมกับเอื้อมดึงมือของคนนั่งซ้อนท้ายมากุมเอาไว้


“มือเย็นเฉียบเลยนี่นา” พูดจบก็จับมือบางสอดลงในกระเป๋าเสื้อกันหนาวของตนเอง ทำแบบนี้ทั้งสองข้างจนกลายเป็นว่าตอนนี้เต็มฟ้ากำลังกอดเขาอยู่


“กอดได้นะ พี่ไม่ลำบากใจหรอก” คนขับกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางมองเงาสะท้อนของแก้มเนียนในกระจกมองข้าง ใบหน้านั้นยังคงนิ่งเฉยปราศจากความรู้สึกยินดียินร้ายใด ๆ ครู่หนึ่งศิธาพัฒน์ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังยุกยิกอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อท่อนแขนเล็กของคนซ้อนกระชับเข้ากับเอวของเขาพร้อมกับแก้มอุ่น ๆ ที่แนบลงกับแผ่นหลัง


“ไปให้ถึงวัดพระธาตุลำปางหลวงเลยดีไหมจะได้อยู่แบบนี้นาน ๆ”


“อย่าเยอะ แค่สะพานขาวก็พอแล้ว” เสียงบ่นอู้อี้ของคนนั่งซ้อนท้ายเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อีกครั้ง เพียงไม่นานมอเตอร์ไซค์สีฟ้าทรงโบราณก็มาจอดนิ่งอยู่ที่เชิงสะพานรัษฎาภิเศก จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งน้ำแม่วังได้อย่างชัดเจน เกสต์เฮาส์ที่ตั้งอยู่ริมน้ำยังคงประดับไฟระยิบระยับแข่งกับแสงของดวงดาวที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้าให้ความรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในความฝัน


หรือนี่จะเป็นเพียงฝัน...


ดวงตาสะท้อนแสงไฟเหลือบมองคนที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ กัน เขาเท้าแขนกับราวสะพานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เส้นผมสีดำขลับปลิวไสวไปกับสายลมหนาวจนต้องยกมือขึ้นเสยผมเป็นระยะ ๆ ในที่สุดก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่แสดงให้รู้ว่าเวลาของวันนี้เหลืออีกเพียงอีกห้านาทีเท่านั้น


“เจ็ดวันที่ผ่านมามันเหมือนฝันเลยเนอะ”


“ฝันร้ายน่ะเหรอ” เต็มฟ้าหัวเราะพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเจ็ดวัน มันคล้ายกับมีบางอย่างเข้ามาแทรกตัวกลมกลืนจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากพ้นจากวันนี้ไปจะรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไปหรือไม่ ทั้งที่พยายามสรรหาวิธีการเพื่อจะทำให้อีกฝ่าย ‘ถอดใจ’ เลิกพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่มีบัญญัติศัพท์นี้อยู่ในพจนานุกรมของศิธาพัฒน์ ขณะเดียวกันแท่งศิลาภายในใจของตัวเขาเองกลับมีคำว่า ‘หวั่นไหว’ สลักไว้เต็มไปหมด


“ฝันดีต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตื่นได้แล้ว” พูดจบมือบางก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกระดาษโน้ตยับยู่ยี่ออกมากางออก อีกเพียงไม่กี่นาทีทั้งตัวเขาและเจ้าของสัญญานี้ก็จะได้ตื่นจากความฝันกันเสียที


“ไม่รู้ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นยังไงบ้างเนอะ”


“ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นในแบบที่มันควรจะเป็นไง” เต็มฟ้ากล่าวพลางก้มมองกระดาษโน้ตแผ่นเล็กในมือสลับกับเข็มวินาทีที่กำลังเดินเข้าใกล้เลขสิบสอง


“ตื่นเสียทีนะ” เจ้าของริมฝีปากบางกล่าวกับตัวเอง ขณะที่กำลังจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นสายลมแห่งฤดูหนาวก็ปะทะเข้ากับร่างพร้อมกับพัดเอากระใบน้อยที่อยู่ในมือปลิดปลิวไปในอากาศ ทั้งเต็มฟ้าและศิธาพัฒน์ต่างก็หันกลับไปมองหาว่ามันปลิวไปทางใดแต่ก็ไม่เห็นเสียแล้ว


“แย่จัง หาไม่เจอแล้ว” ร่างสูงกล่าวพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ


“ช่างเถอะน่า ยังไงก็หมดวันพอดีเท่านี้สนธิสัญญาอะไรนั่นของพี่ศิธาก็ยุติแล้ว”


รอยยิ้มกับสายตาน่าสงสัยของศิธาพัฒน์ทำให้เต็มฟ้าชักไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองพูดออกมาเสียแล้ว ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยไว้ใจอีกฝ่ายสักเท่าไร ชายหนุ่มหรี่ตามองคนที่ยังคงทอดสายตามองไปตามแนวยาวของลำน้ำอดรนทนไม่ไหวจึงต้องถามให้หายสงสัย


“พี่ศิธายิ้มอะไร”


คำถามนั้นยิ่งทำให้ศิธาพัฒน์ยิ้มกว้างขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเองไปมา หากไฟบนสะพานสว่างพอคงทำให้เต็มฟ้าได้เห็นใบหน้าที่เจือด้วยสีชมพูจาง ๆ ของเขาได้ไม่ยาก


“เต็มถามว่ายิ้มอะไรไง”


“บอกแล้วอย่าโกรธนะ”


“เรื่องอะไรเนี่ยถึงคิดว่าถ้าบอกแล้วเต็มจะโกรธ”


“ก็สัญญานั่นน่ะ มันจะยุติตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีของวันอาทิตย์และที่สำคัญก็คือ เต็มต้องฉีกมันทิ้ง”


“หมะ...หมายความว่า...”


“ก็หมายความว่าทุกอย่างยังจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าเต็มจะหากระดาษใบนั้นเจอน่ะสิ”


“ล้อเล่นกันอีกแล้วใช่ไหม”


“พี่พูดจริง ๆ จะโกหกเต็มทำไม” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะทำเอาคนฟังเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทั้งหมดมันเป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้หรือไม่


“พี่ศิธามันพวกเจ้าแผนการ เต็มไม่อยากจะเชื่ออะไรแล้ว” เต็มฟ้ากล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะหันหลังเดินหนี


“เดี๋ยวก่อนสิ” คนถูกต่อว่ารู้ดีว่าคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่อาจยื้อคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โมโหเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ไปไหน


“ถ้าไม่ทำแบบนี้ เต็มจะยอมตกลงเป็นแฟนกับพี่เหรอ”


“ใครตกลงด้วย พี่ศิธาพูดเองเออเองอยู่คนเดียว” เต็มฟ้ากล่าวเสียงแข็ง รู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อยแต่พอเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก


ศิธาพัฒน์สบตาคนตรงหน้าก่อนจะกระตุกข้อมมือเบา ๆ ดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “แล้วเต็มล่ะ ทำอะไรแบบที่ไม่ฝืนใจตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง อยากเอาชนะพี่มากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนเกินกว่าที่เต็มฟ้าจะทนสู้สบประสานอยู่ได้ ใบหน้าชวนมองเบือนหนีโดยไม่ได้โต้กลับด้วยวาจาอย่างที่เคยทำ นึกตำหนิตัวเองที่ทำปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ขณะที่กำลังคิดทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมือหนาของอีกฝ่ายจับเข้าที่ปลายคางก่อนจะรั้งเบา ๆ ให้หันกลับมาสบตากันอีกครั้ง


“หรือจริง ๆ แล้วเต็มเกลียดพี่ หืม?” ศิธาพัฒน์พูดพลางประคองสองแก้มเย็นเฉียบเอาไว้


“มะ..ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” คนฟังรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้เกลียด”


“ไม่เกลียดแล้วทำไมไม่ยอมมองหน้ากัน หรือว่าเขิน”


เต็มฟ้าถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย “พี่ศิธาไม่คิดบ้างเหรอว่าสุดท้ายคำตอบที่ได้จากเต็มมันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่พี่ศิธาอยากจะได้ก็ได้”


“ในส่วนของเต็มพี่ไม่รู้ พี่เองก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน แต่ใส่วนของพี่ พี่ตั้งใจว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด ยังไงพี่ก็จะทำให้เต็มยอมรับในตัวพี่ให้ได้”


“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?”


“ถ้าเป็นเกี่ยวกับตัวพี่เอง พี่มั่นใจว่าพี่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ แต่เกี่ยวกับเต็ม...พี่ไม่มั่นใจเลย จริง ๆ กลัวเสียด้วยซ้ำ”


“กลัวเหรอ ขนาดนี้แล้วพี่ศิธายังมีอะไรต้องกลัวอีก”


“กลัวว่าเต็มไม่คิดเหมือนกัน แต่พอเห็นหน้าเต็มวันนี้ถึงได้รู้...”


“รู้อะไร”


“ก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้วน่ะสิ เต็มล่ะจะเลิกฝืนใจแล้วยอมรับในความรู้สึกของตัวเองได้ไหม” ร่างสูงกล่าวพลางสัมผัสปลายนิ้วชี้ที่หน้าอกข้างซ้ายของคนตรงหน้า เพียงเท่านั้นก็ทำเอาหัวใจเต็มฟ้าเต้นรัวอีกครั้ง “ยอมรับเสียทีว่าข้างในนี้มีพี่แอบซ่อนอยู่”



พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนโน้มตัวลงกระซิบ “ได้ไหมครับ”



เต็มฟ้าจ้องหน้าคนตัวสูงด้วยแววตาเอาเรื่องเหมือนลูกแมวจ้องจะเอาคืนคนที่แหย่ให้มันรำคาญ “ตอบคำถามเต็มมาก่อน”


ศิธาพัฒน์ถอยออกมาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ “อยากรู้อะไรถามมาได้เลย”



“ชอบเต็มตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมถึงชอบ”


“อืม..ชอบตั้งแต่ตอนไหนน่ะเหรอ ตอบยากแฮะ รู้ตัวอีกทีก็ชอบไปแล้ว”


“ทั้ง ๆ ที่เต็มทำตัวไม่ดี กวนประสาทพี่เนี่ยนะ”


“ใช่ ทำไมล่ะ น่ารักดีออก”


“ประสาท”


“หมดคำถามแล้วหรือยัง”


“ยังมีอีกข้อ”


ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มให้ อยากรู้อะไรก็ถามมาให้หมดเขาจะได้ถามคำถามที่เขาอยากรู้บ้าง


“พี่ศิธาใช้วิธีมัดมือชกแบบนี้กับทุกคน.....เต็มหมายถึงทุกคนที่คิดจะจีบหรือเปล่า”


“วิธีนี้คงใช้กับเต็มฟ้า ตติยพัฒน์คนเดียวนี่แหละ เพราะคงไม่มีใครดื้อ ขี้เก๊ก แล้วก็ฟอร์มเยอะแบบนี้อีกแล้ว” พูดจบมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นบีบจมูกโด่งรั้นของเจ้าของคำถามอย่างหยอกเย้าจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนี


“เป็นอะไรไป เขินเหรอ”


“พี่ศิธา!” เจ้าของแก้มขึ้นสีมุ่นคิ้วพร้อมกับทุบเต็มแรงที่อกแกร่งให้รางวัลคนช่างพูดจี้ใจดำ


“โอ๊ย! เต็ม...ทุบมาได้ พี่เจ็บนะเนี่ย” ร่างสูงกล่าวพลางจับมือที่กำหลวม ๆ ของคนตรงหน้ามาแนบอกตัวเองพร้อมกับถามย้ำคำเดิม “เขินใช่ไหม หืม?”


“เลิกถามได้แล้ว”


“เอาล่ะ ๆ ไม่ถามคำถามนี้แล้วก็ได้ ถามคำถามอื่นแทนดีกว่า”


“จะถามอะไรเต็ม”


“พี่อยากรู้ว่า....” นัยน์คมจ้องมองลงไปในดวงตาที่กำลังสะท้อนเงาของเขาราวกับจะอาศัยช่องทางนี้เข้าไปค้นหาคำตอบให้ถึงในใจของอีกฝ่าย  “พอตื่นมาตอนเช้าเราจะเป็นอะไรกัน จะเป็นแฟนกันต่อไหม”
คนถูกถามทำหน้าง้ำ ไม่รู้จะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร ทำไมศิธาพัฒน์ถึงได้เจ้าเล่ห์แสนกลขนาดนี้ นึกแล้วอยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ ที่ใจร้อนไปรับคำท้านี้เข้า


“ว่ายังไงล่ะครับ”


“อีกตั้งนานกว่าจะเช้า เดี๋ยวเช้าค่อยมาตอบก็แล้วกัน”


ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ นึกไม่ถึงว่าไอ้ตัวแสบจะตอบคำถามของเขาแบบนี้ แต่มีหรือที่จะยอมแพ้ ริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้มรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน


“ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่จะมารอฟังคำตอบแต่เช้าเลยดีไหม ตีห้าครึ่ง หกโมง หรือเจ็ดโมงเช้าดีนะ”


“เหอะ บางทีพี่ศิธาก็เหมือนคนโรคจิตเนอะ มีใครเขาทำกันบ้างขอเป็นแฟนด้วยวิธีการแบบนี้ แทนที่จะขอกันดี ๆ”


“ก็เต็มไม่เหมือนคนอื่นนี่นา ถ้าขอดี ๆ จะยอมเหรอ”


“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง” ไอ้ตัวแสบยักคิ้วกวน ๆ


“เอางั้นเหรอ” คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนเอาคืนยิ้มเขิน ๆ ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับหน้าชวนมองที่กำลังพยักหน้าให้ โดนย้อนเข้าให้แบบนี้ถึงกับไปไม่ถูกเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจว่าจะจีบไอ้แสบนี่ก็แทบจะลืมไปเลยว่าความโรแมนติกมันคืออะไร ศิธาพัฒน์ผ่อนลมหายใจรวบรวมความกล้าทำในสิ่งที่เขาควรจะทำเสียที


“ตะ..เต็ม เต็มจ๋า...แบบนี้พอไหวไหม”


“เอาพอดี ๆ พี่ศิธา ฟังแล้วจั๊กจี้ว่ะ”


“โธ่! อย่าเพิ่งขัดสิ” ศิธาพัฒน์ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ในขณะที่เต็มฟ้าได้แต่โคลงศีรษะมองคนอายุมากกว่าที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงหน้าอย่างเอ็นดู เวลาที่เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองมันก็น่ารักเหมือนกันนะ



“เป็นแฟนกับพี่นะ”




“นะครับ”




เมื่อถึงวินาทีนี้เต็มฟ้ายากจะปฏิเสธได้ว่าความอยากเอาชนะที่เคยพุ่งพล่านกลับเหือดแห้งราวกับไอน้ำที่ระเหยไปในอากาศ ส่วนแท่งหินหนักอึ้งที่ล้อมกรอบหัวใจก็ถูกกัดกร่อนด้วยความรู้สึกหวั่นไหวจนแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี  ยากที่จะนำมาประกอบกันเป็นกำแพงปิดกั้นตัวเองได้อีกต่อไป



ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชายใจดีก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ เป็นคำตอบที่ไม่มีเสียง...แต่คนสองคนกลับรู้สึกว่ามันดังยิ่งกว่าเสียงของหัวใจสองดวงที่แนบชิดและเต้นสอดประสานกันอยู่ในตอนนี้เสียอีก


....


เพิ่งเขียนเสร็จ อาจจะมีคำผิดเยอะหน่อยต้องขออภัยนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 11-07-2014 23:40:54
อ่านตอนเวลาพี่ปุ่นอยู่กับเต็มแล้วรู้สึกอบอุ่นนนนนนน หัวใจทุกที  พี่ปุ่นทำหัวใจเราคันยุบยิบอ่ะะะะะะะะะะะะะะ   :man1::ling1: :ling1: เขินแทนน้องเต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 11-07-2014 23:41:15
เป็นแฟนกัน จริงๆ แบ้วววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 12-07-2014 00:03:29
คือว่ามัน...โรแมนติกมาก อร๊างงงง อิจฉา :-[
หวานกว่านี้ได้อีกสินะ เต็มจะเลิกเกรียนใส่พี่ปุ่นหรือเปล่านะ อิอิ :z1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 12-07-2014 00:22:42
เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม เป็นแบบไม่มีข้อตกลงใช่หรือเปล่า

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าทั้งคู่น่ารักมากเลย

เต็มที่ดูเฉยๆกลับบอกให้พี่ปุ่นขอเป็นแฟนแบบดีๆ

คือเต็มยอมรับพี่แล้วใช่ไหม ชอบมากเลย

พี่ปุ่นก็นะ อุตส่าห์มัดมือชกเขามาตั้งนาน

พอจะขอจริงๆ กลับเขินขนาดนี้ :mew1:

ดีใจจัง ตอนหน้าขอหวานๆนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 12-07-2014 00:23:49
 เป็นแฟนกันแล้ว:katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 12-07-2014 00:29:22
ว๊าวๆๆๆๆ เป็นแฟนกันแล้ว
พี่ปุ่นโรแมนติกจัง
ขอบคุณคนแต่งครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 12-07-2014 00:31:30
หวานแบบสุด  :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 12-07-2014 00:38:29
อ๊ายยยย....เขินอ่ะ :o8:
เค้าเป็นแฟนกันแล้วนะตัว :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 12-07-2014 00:43:22
ในที่สุดก็เป็นแฟนกันซักที หลังจากที่ลุันมานาน  :katai2-1:
ตอนนี้น่ารักดีอ่ะ แบบว่าวิธีการจีบของพี่ปุ่น ไม่เหมือนใครดี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 12-07-2014 00:46:25
โอ้ยยยย เค้าเป็นแฟนกันจริงๆ แล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 12-07-2014 01:30:35
กรี้ดดดดดดดดดด เขินที่สุด :-[
อิจฉาเต็มมากกกกกก เราเป็นคนนนท์ที่ย้ายมาลำปาง อ่านแล้วอินสุดๆ
ขอแบบพี่ศิธาสักคนได้ไหมคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 12-07-2014 04:49:15
เป็นแฟนกันแล้ววววว :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 12-07-2014 06:14:29
เขิน พี่ปุ่นทำเราเขิน :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 12-07-2014 08:48:23
อบอุ่นมาก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 12-07-2014 08:55:06
พี่ปุ่นนนนนน ทำไมน่ารักขนาดนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-07-2014 09:32:05
พี่ปุ่นผู้ชายอบอุ่น
อ่านแล้วละมุนในหัวใจจัง อิจฉาเต็มจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 12-07-2014 10:23:44
เขาฟินเขาเขิน มันน่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-07-2014 10:25:48
น่ารักน่าหยิกที่สุด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-07-2014 10:40:48
บรรยากาศ อบอุ่นดีจัง :กอด1:
"อยาเป็นเขาคนนั้น  ๆ ๆ ๆ"
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 12-07-2014 11:05:21
เขินๆ  :-[

เขาเป็นแฟนกันแล้วว~
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 12-07-2014 11:30:53
ถ้าพี่ปุ่นจะวางแผนเก่งขนาดนี้
อย่ามาเป็นบุรุษไปรษณีย์เลย
กลับไปเป็นนักการตลาดเถอะ

หลังจากเป็นแฟนกันแล้วมันต้อวมีเลิฟซีนนะ
:mew1:
จูบเลย!
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 12-07-2014 16:41:34
เพิ่งได้ตามมาอ่าน

ชอบจัง อ่านแบบวางไม่ลงเลยทีเดียว

อ่านไปยิ้มไป มีความสุข มาทันตอนเค้าเป็นแฟนกันพอดี พี่ปุ่นน้องเต็ม :o8:
 :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: feather7074 ที่ 12-07-2014 18:46:38
ยิ้มแก้มปริ  o22
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 12-07-2014 18:56:38
เขินอ่าาา   :o8: :o8:

เต็มน่ารักมากกก ซึนเว่อร์อ่ะ
ศิธาก็พยายามสุดๆ  น่ารักกก

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 12-07-2014 20:36:29
จูบบบบบบบบบบบบบบ
จูบสิจูบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
คือพี่ปุ่นน่ารักสุดดดด น่ารักมาก มากที่สุดในสามโลกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 12-07-2014 21:44:35
พี่ปุ่นน่ารัก อบอุ่น อ่อนโยน
ทั้งสองตอนที่ผ่านมาทำเค้าอมยิ้มแก้มตุ่ยเลย
ชอบวิธีการจีบแบบนี้
ชอบที่เต็มค่อยๆรู้ใจตัวเอว
พี่ปุ่นไม่หวือหว่า แต่เรืีอยๆอย่างมั่นคง ชอบบบ (ฟิน)

หาได้ที่ไหนเนี่ย พี่ปุ่นนนน
คนชัดเจนในตัวเองขนาดนี้ แถมเจ้าเล่ห์เจ้าวางแผนอีกต่างหาก

อ๊ายยย เค้าเป็นแฟนกันแล้วว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-07-2014 22:56:56
ยิ้มแก้มปริประหนึ่งว่าตัวเองกลายเป็นเต็มฟ้า พยักหน้ารัว ๆ กับจอคอมพ์ที่สมมติว่าเป็นพี่ปุ่น อิอิ มีความสุข
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 13-07-2014 02:44:22
โอยยยย อ่านแบบลืมหายใจเลยทีเดียวววว
เค้าเป็นแฟนกันแล้วววโอ๊ยยย กรีดร้อง ลุ้นกันมาตั้งนาน ฮืออ

หวานๆกันมาแล้ว สเต็ปต่อไปคือดราม่ากรุบกริบรึป่าวอะคะ เดา 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: uchikas ที่ 13-07-2014 12:03:55
เขาเป็นแฟนกันแล้ว
ชอบพี่ปุ่นนะจุดนี้ ส่วนน้องเต็มก็กวนได้ใจมาก
ผู้ชายแบบพี่ปุ่นนะมีอีกไหม ? 
ถ้าจะต้องเสียใจก็จะเสียใจแค่คนเดียว  ชอบประโยคนี้มาก
ขอให้หวานกันไปนานๆอย่าพึ่งได้เจอกับดราม่าเลย

รู้สึกว่าตอนที่ผ่านๆมาจะเห็นคำว่า ภูมิ
อย่าบอกนะว่าเป็นน้องของพรีม แฟนเก่าพี่ปุ่น ???
กลัวโลกกกลมนะรู้ยัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 13-07-2014 13:47:38
 :z3: อร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงอ่ะ ค้างเติ่งงงงงงงงงงงงงงงงเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 13-07-2014 14:10:32
 :-[ เค้าเป็นแฟนกันนนนนนนแล้วอะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 13-07-2014 16:36:27
กำแพงที่สร้างเอาไว้ ถูกทำลายลงไปด้วย สายตาอันอ่อนโยน
แล้วหัวใจที่ถููกกันเอาไว้ จะแข็งขืนต่อไปได้อย่างไร
คำกล่าวอื่นใด ก็ไม่เท่าหัวใจของคนสองคน  :mew3:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: charil.shiik ที่ 13-07-2014 23:23:25
เป็นแฟนกันแล้ววว
เขินมาก
ฮือ พี่ศิธาเป็นคนอบอุ่นจริงๆ
เขินกว่าเต็มแล้วนะเนี่ยยยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-07-2014 01:31:39
ยาวได้ใจคนอ่านจริงๆ ชอบมากๆ เขินๆแหะเขาเป็นแฟนกันแล้ว หลายๆตอนที่ผ่านมาเต็มฟ้าเนี่ยดูจะเปิดอกเปิดใจ คือดูมีความอ่อนโยนขึ้นเยอะ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 14-07-2014 11:56:06
เค้าตกลงเป็นแฟนกันแร้ววววว~

แอร๊ยๆๆๆๆๆๆๆ

 :katai5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 15-07-2014 22:28:07
กรี๊ด!!!!ชอบอ่ะ...น่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 16-07-2014 15:17:56
เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนน พี่ปุ่นกับน้องเต็มเลิฟๆ กันแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-07-2014 07:40:10
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 17 : ก่อนวินาทีสุดท้าย) 11-07-2557 หน้า 16
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 19-07-2014 08:49:02
มารอด้วยความคิดถึงพี่ปุ่น กับ น้องเต็ม --------- ก็เค้าเป็นแฟนกันแล้วอ่ะ อยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อ  :ling1: :man1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-07-2014 09:14:40
สวัสดีค่ะ (จริง ๆ แจ้งไว้ในเพจแล้ว แต่คิดว่าควรจะแจ้งที่นี่ด้วย ขออนุญาตนะคะ)

กำลังรอคุณบุรุษไปรษณีย์กันอยู่หรือเปล่าคะ ต้องขอโทษหลาย ๆ คนที่อาจจะกำลังรอตอนต่อไปอยู่นะคะ

พอดีเราเรียนหนังสือ แล้วมันกำลังจะมีการสอบครั้งสำคัญมาก ๆ ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าค่ะ

เหลือเวลาอ่านหนังสืออีกไม่มากเท่าไรกับหวังในใจว่าต้องผ่านในจำนวนครั้งที่กำหนด

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยอยากจะฟิตซ้อมร่างกายและจิตใจให้ดี ๆ ค่ะ (เหมือนจะไปรบเนอะ) ช่วงนี้อาจจะไม่ได้เขียนนิยายต่อ

หรือว่าอาจเว้นช่วงไปนานหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยที่มาเป็นแบบนี้ตอนท้ายเรื่องและเป็นช่วงสำคัญพอดี

ซึ่งที่จริงเราตั้งใจว่าจะเขียนให้จบเพราะมันมีส่วนที่คาบเกี่ยวกับ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

แต่ว่ามีหลายเรื่องที่ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร กลัวว่าหลายคนจะรอ เลยแจ้งให้ทราบก่อนดีกว่า

เอาไว้โล่ง ๆ แล้วจะมาเขียนต่อนะคะ (อยากให้จบก่อนที่เรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าจะออกมาเป็นเล่ม ไม่รู้จะทำได้ไหม)

ต้องขอโทษอีกครั้งค่ะ แล้วก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ

ปล.ใครที่รอเล่ม "ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า" เดือนตุลาคมนี้นะคะ เตรียมอ่านรับลมหนาวกันจ้ะ

ถ้าคนเขียนหายสาบสูญไปชั่วขณะ คุณคนอ่านลองติดตามรายละเอียดที่เพจ Hermit Books นะคะ

ขอบคุณค่ะ

 ถธปทฟ  :hao4:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 22-07-2014 09:44:29
เป็น กลจ ให้คนเขียน
สู้ๆค่ะ
รอได้เสมอ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 22-07-2014 10:30:10
รอได้เสมอค่ะ^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 22-07-2014 10:37:00
เป็นกำลังใจให้นะฮะ :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 22-07-2014 10:42:15
ค่ะๆๆ สู้จร้าาาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-07-2014 10:53:09
จ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 22-07-2014 14:00:40
กรี๊ดดดดดดดดดดด ไม่ไหวแล้วค่าาาาาาาาาาา >////////////////< ไม่ได้อ่านนาน กลับมาอ่านสองตอนรวด นี่มันอะไรกัน อ่านแล้วมัน อะฮึ่ยๆๆ พี่ปุ่นน่ารักมว๊ากกกกกกกกกกกก >,.< ไม่ไหวๆ อ่านไปยิ้มไป ปากจะฉีกอยู่แล้ววววว อร๊ายยยยยยยยยย อยากร้องดังๆ //แต่เกรงใจแม่ดูหนังอยู่ 5555+ รักคนแต่งที่ซู้ดดดดดดดด อ่านไปก็เขินแทน อ๊ากกกกกกกก น่ารักจริงๆน่ารักสุดๆ ไม่ไหวแล่ว หน้าเราบานหมดเลยอ่ะอ่านตอนนี้ 5555+

ปล.ไม่เป็นไรค่า ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบไปนะ เพราะตอนนี้จบไม่ค้าง อิอิ  :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-07-2014 16:04:42
รับทราบ
พร้อมกับเป็นกำลังใจให้ครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-07-2014 16:35:34
รอได้จ้า  ขอให้การสอบผ่านดังที่ปรารถนาไว้นะ
เป็นกำลังใจนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 22-07-2014 17:33:44
จ้าๆๆสู้ๆนะค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 22-07-2014 22:04:40
 :ped149: :ped149: :ped149: :ped149: :ped149:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตแจ้งเพื่อทราบค่ะ ^^")
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-07-2014 22:35:16
เป็นกำลังใจให้ค่าาา
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-07-2014 07:04:52
สวัสดีค่ะ แอบเห็นร่างปก ถทปทฟ. แล้วมี กลจ. ปั่นตอนที่ 18 มาฝากค่ะ

ลองอ่านกันดูนะคะ คนเขียนขอไปสลบก่อน



ตอนที่ 18 : อุ่น


นครลำปางค่อย ๆ  ตื่นขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายหมอกซึ่งแทรกตัวไปกับทุกอณูที่บ่งบอกถึงความเป็นเมืองทางผ่าน ถึงกระนั้นคนผ่านทางจำนวนไม่น้อยก็ยังหวนกลับมาใหม่เพื่อหวังจะได้ซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ ให้ชื่นฉ่ำหัวใจอีกหนเมื่อมีโอกาส แม้หมอกจะลงจัดความชื้นในอากาศมีอยู่มากแต่นาฬิกาที่ห้าแยกใจกลางเมืองก็ยังคงทำหน้าที่ของมันตามปกติ  หากตำแหน่งของเข็มยาวและเข็มสั้นไม่แสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าแล้ว คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาคงเข้าใจว่านี่ยังเป็นเวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนด้วยบรรยากาศขมุกขมัวไร้ซึ่งแสงของดวงอาทิตย์


อากาศยามเช้าเย็นเยือกไม่ต่างไปจากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเท่าไรนัก แต่ชายหนุ่มผู้ที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าความหนาวเหน็บกลับรู้สึกอบอุ่นข้างในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงปิ่นโตเถาเล็กที่มีคนใจดีเอามาแขวนไว้ให้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รู้ก็เพราะว่าเสียงครางหงิง ๆ ของเจ้าแข็งแรงที่ยอมละจากเบาะรองนอนอุ่น ๆ ไปนั่งน้ำลายหยดติ๋งอยู่ที่ริมรั้วแหงนหน้ามองถุงหมูปิ้งของมันตาละห้อย นอกจากจะมีของมาฝากหมาแล้วข้าง ๆ กันยังมีปิ่นโตใส่ข้าวสวยร้อน ๆ กับกับข้าวอีก 2-3 อย่างมาฝากคนเลี้ยงหมาด้วย แต่ดูจะใจร้ายไปหน่อยก็คือคนที่เอามาให้ไม่คิดจะอยู่รอเจอกันก่อน อุตส่าห์ไปหาที่เกสต์เฮาส์ก็ต้องผิดหวัง ทั้งที่แยกกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงกลับรู้สึกคิดถึงขึ้นมาจนเก็บไว้ไม่อยู่ นั่นคงเป็นเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ไม่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจอีกต่อไป นานเหลือเกินที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ นานจริง ๆ ที่อานุภาพแห่งความคิดถึงไม่เคยทำอะไรเขาได้ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความคิดถึงหน้าตาเป็นแบบไหน แต่ถ้ามีใครสักคนถามขึ้นมาในตอนนี้คงจะตอบได้ไม่ยากนัก


ศิธาพัฒน์ส่งยิ้มให้ตู้ไปรษณีย์สีแดงข้างรั้วไม้เตี้ย ๆ สีฟ้าอ่อนกลางเก่ากลางใหม่ปกคลุมด้วยเถาพวงแสดสีส้มสดราวกับสีของแสงแดดในยามเช้าที่ทอแสงฉาบทั่วท้องฟ้า หนึ่งในพยานปากสำคัญที่เห็นว่าเมื่อคืนมือของคนสองคนต่างก็กุมกันไว้ไม่ห่างตลอดเส้นทางกลับบ้าน สะพานสีขาวที่เป็นเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิดก็คงกำลังนึกขำอยู่แน่ ๆ ที่เห็นว่าสุดท้ายแล้วคนเจ้าแผนการอย่างเขาก็เสียท่าให้ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างราบคาบ จู่ ๆ ต้องมาขอเป็นแฟนซึ่ง ๆ หน้าแบบนั้นเล่นเอาเขินจะแย่  มาถึงตรงนี้ความรู้สึกอยากจะพบหน้าไอ้ตัวแสบก็กลับพวยพุ่งขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการร้อนวาบที่แผ่ซ่านไปทั้งสองแก้ม  แต่กระนั้นกลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่ายที่ยังติดอยู่กับเสื้อกันหนาวก็พอจะทำให้ความคิดถึงคลายลงได้บ้างอย่างน้อยก็ในระยะทางจากที่นี่ไปจนถึงไร่แสงดาว   


เมื่ออ้อมกอดของหมู่มวลเมฆค่อย ๆ คลายออก ดวงอาทิตย์ก็ทอแสงอุ่นอ่อนรอดผ่านช่องว่างระหว่างช่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ฉาบผืนหญ้าและผิวหน้าเนียนละเอียดของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ แผงอกกว้างใต้เสื้อกันหนาวเนื้อหนาขยับขึ้นลงสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจ ไอดินกับกลิ่นหญ้าตัดใหม่ ๆ หอมคลุ้งคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกยามเมื่อกระแสลมพัดผ่านมาเป็นระยะ เพียงไม่กี่ครั้งดอกสีชมพูที่ยอดไม้ใหญ่ก็ปลิดปลิวลอยละล่องหมุนวนก่อนจะแตะลงบนผิวแก้ม ชวนให้คิดว่าขนาดกลีบบาง ๆ ยังไม่อาจต้านทานแรงลมแห่งฤดูกาล แล้วหัวใจที่เป็นเพียงก้อนเนื้อนุ่มจะแข็งขืนต่อสายลมที่ก่อตัวในห้วงแห่งความคิดถึงได้อย่างไรกัน คนหลับขยับตัวนอนในท่าสบายพลันกลีบปากเย็นเฉียบก็กลับอุ่นชื้นขึ้นเมื่อผิวเนื้อนุ่มสัมผัสลงมาอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่น ๆ คลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มกับกลิ่นจาง ๆ ของน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตนั้นให้นึกถึงหน้าใครบางคนขึ้นมา หากนี่คือห้วงแห่งความฝันแล้วละก็ คงเป็นฝันที่สัมผัสได้โดยทั้งผิวกายและปลายจมูก เหมือนจริงเสียจนไม่กล้าจะลืมตาตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะกลัวว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเพราะกลัวว่าเมื่อลืมตาแล้วทุกสิ่งจะมลายหายไปกันแน่



“เต็ม...ตื่นเถอะ”




เจ้าของชื่อรู้สึกขัดใจเอามาาก ๆ เมื่อจู่ ๆ เสียงเพลงโปรดจากหูฟังก็เงียบหายไปทั้งที่ยังไม่ทันจบเพลง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าสุ้มเสียงทุ้มนุ่มที่ดังแผ่วเป็นชื่อตนเองนั้นน่าฟังเสียยิ่งกว่า เต็มฟ้าค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองสายของหูฟังที่ห้อยต่องแต่งจากมือหนาก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังนั่งกอดเข่าหันข้างให้ เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน เสี้ยวหน้าคมกับรอยยิ้มของเขานับวันยิ่งจะทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายและจิตใจกำลังสูญเสียการควบคุมเข้าไปทุกที ฝันเมื่อกี้กับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้กล้าดียังไงถึงได้เรียกเอาเลือดลมในกายทั้งหมดมารวมกันอยู่ตรงหน้า คนอายุน้อยยันตัวลุกขึ้นนั่งหลบสายตาที่กำลังพยายามสำรวจเมื่อสังเกตได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น


“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงแบบนั้น” พูดจบก็ปล่อยสายหูฟังลงก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มแดงจัด


“ปละ..เปล่า” เต็มฟ้าขยับตัวออกห่างจากสัมผัสอ่อนโยนจัดการคว้าหูฟังและโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋า หวังว่าการได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากสบตาของอีกฝ่ายจะช่วยให้อาการประหม่าที่กำลังเป็นอยู่บรรเทาลง ปากบางขมุบขมิบแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า


“แค่ฝันน่ะ”


“ฝันเหรอ ฝันดีหรือฝันร้าย”


“ไม่รู้เหมือนกัน”


“ถ้าอย่างนั้นเล่าให้พี่ฟังได้ไหม” มือหนาเลื่อนลงมาที่ลำคอระหงก่อนจะรั้งอีกฝ่ายให้หันมามองกันบ้าง



‘เล่าว่าโดนพี่ศิธาจูบเนี่ยนะ’



“เล่าอะไรกัน ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลย พี่ศิธาก็มาปลุกเสียก่อนคนกำลังหลับสบายแท้ ๆ”


“ก็อยากให้ตื่น อยากมองตา อยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่”


“เต็มจะหลับตา พี่ศิธาจะได้ไม่ต้องเห็น” พูดจบเปลือกตาบางก็ปิดลง ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำในสิ่งที่หัวใจกำลังปรารถนา


“ดี ถ้าอย่างนั้น พี่ก็....จะจูบแบบไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกันดีไหม”



ยังไม่ทันจะจบประโยคดี คนช่างท้าทายก็รู้สึกถึงแรงรั้งที่เพิ่มมากขึ้นจนต้องพยายามขืนตัวลืมตาขึ้นกล่าวคำทักท้วง แต่หน้าคมก็ยังเลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะ


“เต็มลืมตาแล้วไง” มือบางดันแผงอกกว้างเอาไว้พร้อมกับจ้องเขม็ง นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นพี่คงยันด้วยอย่างอื่นไปแล้ว “ทำไมยังไม่หยุดอีก”


“พี่ชอบเห็นเด็กพยศมันน่ารักดี” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ


“โรคจิตจริง ๆ” หน้าชวนมองส่ายไปมาอย่างโล่งอก คิดว่าจะต้องเสียจูบแรกในโลกแห่งความเป็นจริงเสียแล้ว


“ก็ยังดีกว่าคนใจร้าย เอาข้าวไปแขวนไว้ให้แทนที่จะอยู่รอเจอกันก่อน” ริมฝีปากอิ่มบ่นอุบก่อนจะถือโอกาสเอนหลังนอนลงบนตักอุ่นโดยไม่ฟังคำทักท้วงใด ๆ


เต็มฟ้าเบิกตากว้างจ้องมองคนที่กำลังทำไม่รู้ไม่ชี้ รู้สึกว่ามือไม้ทั้งสองข้างของตัวเองมันเกะกะไปหมดจนไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหน จนในที่สุดเจ้าของมือใหญ่รั้งไปวางไว้แนบอก นิ้วหัวแม่มือถูที่หลังมือเบา ๆ ก่อนจะพลิกไปพลิกมาพร้อมกับสำรวจด้วยสายตาในทุกซอกทุกมุม


“มือก็นิ่ม แก้มก็นิ่ม แต่ทำไมใจแข็งนัก อยู่รอกันก่อนก็ไม่ได้ อุตส่าห์ไปหาที่เกสต์เฮาส์ก็ไม่เจอ”
เต็มฟ้าโคลงศีรษะไปมาก่อนจะทอดสายตามองไปยังธารน้ำเบื้องหน้าที่เริ่มจะแห้งขอดลง ผู้ใหญ่เอาแต่ใจบางครั้งก็น่าตียิ่งกว่าเด็ก ๆ เสียอีก


“เต็มลืมไปว่าวันนี้เพื่อนน้าเดือนนัดมารับของที่โรงงาน”


“แล้วมายังไง พี่เห็นรถยังจอดอยู่ที่เกสต์เฮาส์”


“เต็มติดรถพี่แจ่มมา พี่แจ่มไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้ามืด พ่อก็เลยให้พี่แจ่มแวะมาเตือนอีกที” พูดจบมือข้างที่เหลือก็เอื้อมหยิบดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่เพิ่งร่วงลงมาบนยอดหญ้าขึ้นมาดูก่อนจะค่อย ๆ เสียบที่ข้างข้างหูของคนบนตัก มือบางยังคงเคล้าเคลียอยู่ที่แก้มสาก มองหน้าคนถูกแกล้งก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “แล้วแข็งแรงล่ะ ทำไมไม่พามาด้วย”


“ก็อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนบ้างไม่ได้เหรอ”


“ถ้าแข็งแรงมันได้ยินมันคงน้อยใจเนอะ”


“น้อยใจอะไรกัน มันต้องดีใจสิ แล้วก็คงบอกว่า พ่อ ๆ อยู่ด้วยกันดี ๆ นะ อย่าทะเลาะกัน”
เต็มฟ้าเลิกคิ้วพร้อมกับสบตาคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ไม่คิดว่าคนที่มักจะวางหน้านิ่งราวกับผู้คุมกฎ ทำอะไรก็มักอยู่บนหลักการจะมีมุมนี้กับเขาด้วย


“เมื่อเช้าพี่แวะไปที่บ้านน้าเดือน เห็นพวกเด็ก ๆ ไปรวมตัวกันที่นั่นก็เลยฝากเจ้าแข็งแรงเอาไว้ มันจะได้มีเพื่อนเล่น”


“อืม...คงไปตกลงกันเรื่องกีฬาสีละมั้ง”


“กีฬาสี?”


“อื้อ...ตามบอกว่ายังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะทำอะไร เพื่อน ๆ อยากให้ตามเป็นคฑากร แต่น้องอยากเป็นนักกีฬา”


“เป็นนักกีฬา...” ศิธาพัฒน์นิ่งคิด รู้ดีว่าคนที่กำลังถูกพูดถึงไม่ใช่เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงนัก เดาไม่ออกเลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร “แล้วเต็มว่ายังไง”


“เต็มตามใจน้อง อยากทำอะไรก็ทำ” คนเป็นพี่กล่าวอย่างหนักแน่น


“ถึงตามจะไม่ค่อยแข็งแรงอย่างนั้นน่ะเหรอ”


คนถูกถามใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปกหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ “ตอนเต็มเป็นเด็ก พ่อก็ปล่อยให้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ถึงพ่อจะรู้ผลของมัน แต่ก็ยอมให้ลองทำอยู่ดี เต็มก็เลยอยากให้น้องได้รับในสิ่งที่เต็มเคยได้รับบ้าง”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รั้งมือเล็กขึ้นมาก่อนจะกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมจากหลังมือนุ่มของชายหนุ่มที่หลายคนอาจมองว่าเป็นคนแข็งกระด้างให้ชื่นใจ ก็เพราะเต็มฟ้าเป็นเสียแบบนี้ เขาถึงได้เผลอใจหลงรักไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้



...


สองคนพากันเดินลุยน้ำข้ามลำธารเล็ก ๆ กลับมาที่โรงงานเซรามิกที่วันนี้เงียบเชียบผิดปกติ เพราะนายใหญ่ของไร่เกณฑ์คนงานไปช่วยกันสร้างฝายชะลออน้ำในป่า จะเหลือก็เพียงคนงานผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่กำลังช่วยกันเอางานเข้าเตาเผา เต็มฟ้าขอแวะเข้าไปทำธุระข้างในก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับลังกระดาษใบย่อม ๆ ที่ถูกปิดผนึกอย่างดี


“ไปเอาอะไรมา” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นขณะรั้งลังกระดาษจากมือของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง


“งานของพวกเด็ก ๆ ไง ออกจากเตาหลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้เอาไปให้เลย”


“แล้วนี่ล่ะ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากล่าวพลางก้มลงมองกระดาษ 2-3 แผ่นที่วางอยู่บนฝาของลังกระดาษ มันเกือบจะปลิวตามแรงลมไปแล้วถ้าหากเต็มฟ้าไม่เอื้อมมือคว้าเอาไว้เสียก่อน


“แบบสเก็ตซ์ของชำร่วยงานแต่งงานน่ะ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวขณะเสียบกระดาษสเก็ตซ์กับไดอารีที่ถือติดมือมาด้วย


“ทำของชำร่วยงานแต่งงานด้วยเหรอ”


“อืม ทำหมดแหละตั้งแต่ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ยันถ้วยชามหรือแจกันใหญ่ ๆ นี่เต็มก็ว่าจะรับทำอนุสาวรีย์อยู่เหมือนกัน”


ศิธาพัฒน์มองค้อนหนุ่มจอมกวนก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “พี่ว่าดีออกนะทำของชำรวยงานแต่งงานเนี่ย ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความรักเราเองก็มีงานให้ทำ เห็นเขายิ้มเราก็พลอยยิ้มไปด้วย”


“ถ้าอย่างนั้นละก็...เต็มเปลี่ยนไปเพาะถั่วงอกขายดีไหม มีงานทำแน่ ๆ ตราบใดที่คนยังกินก๋วยเตี๋ยว”


“ไม่จริงหรอก พี่สั่งเส้นเล็กไม่งอก”


ดวงตาดำสนิทมองคนหน้าทะเล้น กอดอกพร้อมกับถอนใจเบา ๆ “เฮ้อ...ในโลกนี้มีผักอะไรที่กินบ้างไหมนะ หอมใหญ่ก็ไม่กิน คะน้าก็เขี่ยทิ้ง”


“หึ เยอะไป แต่มันต้องมีกรรมวิธีในการกิน เอาไว้วันหลังพี่จะบอกให้ฟังนะ”


เต็มฟ้าพยักหน้าส่ง ๆ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ไม่รู้ว่าจะต้องมีกรรมวิธีอะไรนักหนา หรือว่าทั้งหมดมันก็คือข้ออ้างของผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมกินผักคนนี้กันแน่


“ว่าแต่พี่ศิธาเถอะ ทำไมถึงมาเป็นหนักงานไปรษณีย์ อย่าบอกนะว่าชอบอ่านจดหมายหรือโปสการ์ดของคนอื่น”


แววตาจ้องจับผิดของเจ้าของคำถามทำเอาศิธาพัฒน์อดหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะวางลังกระดาษลงในตะกร้าหน้ารถ จูงไปตามทางดินแคบ ๆ ซึ่งขนาบข้างด้วยต้นสนสูงใหญ่ซึ่งเรียงรายอยู่นอกแนวรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ ที่เอาไว้สำหรับแบ่งพื้นที่สำหรับเลี้ยงวัวนมกับพื้นที่ทำการเกษตรออกจากกัน


“ตอนแรกก็แค่อยากมาตามรอยพ่อน่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงได้รักที่นี่นัก แต่พอได้มาทำงานจริง ๆ ก็รู้สึกว่ามันมีความสุขดี เวลาได้อ่านที่อยู่ที่เขียนอยู่บนกล่องพัสดุหรือหน้าซองจดหมาย อยากจะให้มันไปถึงมือคนรับอย่างปลอดภัย เวลานึกถึงรอยยิ้มของคนรอตอนที่ได้รับจดหมายจากบุรุษไปรณีย์แล้วมีความสุขทุกที”


“แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าทำไมคุณพ่อของพี่ศิธาถึงได้รักที่นี่”


“อืม...ก็คงเพราะคนรักของพ่ออยู่ที่นี่ละมั้ง” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางหันมาสบตาคนถามนิ่ง “พี่เองก็รู้สึกว่าเริ่มจะรักที่นี่แล้วเหมือนกัน”


เต็มฟ้าที่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายนั้นดีเสมองไปทางอื่นก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มจะดังที่ข้างหู “เต็มไม่อยากรู้เหรอว่าเพราะอะไร”


“ไม่อยากรู้” ริมฝีปากบางกล่าวอ้อมแอ้มขณะวางไดอารี่ลงในตะกร้าหน้ารถก่อนจะเดินห่างออกมา มือเรียวเกาะรั้วไม้ทอดสายตามองฝูงวัวที่กำลังยืนเล็มหญ้าอยู่บนเนินที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียวสด


เจ้าของคำถามจอดรถก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ ขณะเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ กัน “ไม่อยากรู้หรือว่ารู้แล้ว”


“จะอะไรก็ช่างเถอะ” เจ้าของพวงแก้มสีชมพูระเรื่อกล่าวตัดรำคาญก่อนจะก้าวข้ามรั้วสีขาวเข้าไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจี มือบางเอื้อมดึงดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะนั่งลงบนคานไม้จริงที่เชื่อมระหว่างเสาสองต้น


“คนอะไร เขินแล้วชอบทำอารมณ์เสียกลบเกลื่อน” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะกระโดดข้ามรั้วมานั่งลงข้าง ๆ กัน


“เมื่อกี้พี่ศิธาพูดว่าอะไรนะ” เต็มฟ้าหันถามคนที่กำลังขยับเข้ามาใกล้


“เปล่านี่”


“ก็ได้ยินอยู่ว่าพูด แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร”


“อืม...อ๋อ...พี่บอกว่า....”


เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้เต็มฟ้ายังไม่ทันได้รู้เมื่อครู่อีกฝ่ายพูดว่าอะไรอะไรกันแน่ ศิธาพัฒน์ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมา ทันทีที่เห็นชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์เขาก็นิ่งไปจนน่าสงสัย แม้เสียงเรียกเข้าจะเงียบไปแล้วแต่ที่หน้าจอก็ยังแสดงชื่อของคนโทร.มา



‘คนดี’



“ไม่รับเหรอ”


ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นสบตาคนนั่งข้างกันสลับกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่แสดงว่ามีสายไม่ได้รับหนึ่งสาย


“คงเหมือนเต็มมั้ง ไม่มีอะไรจะคุย”


เต็มฟ้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ยิ่งได้เห็นดวงตาคมที่เคยเต็มไปด้วยแววแห่งความอ่อนโยนกลับวูบหม่นลงก็คิดว่าควรจะเงียบเอาไว้ดีกว่าหากโทรศัพท์ในมือของศิธาพัฒน์ไม่ดังขึ้นอีกครั้ง


“เขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะ พี่ศิธาไม่รับหน่อยเหรอ”


เจ้าของโทรศัพท์เม้มปากแน่นจ้องมองหน้าจอที่กำลังสว่างอยู่ในมือตาเขม็ง ในที่สุดเขาก็กดรับก่อนจะพูดด้วยน้ำเย็นเยือก ไม่เหมือนพี่ศิธาที่เต็มฟ้ารู้จักเลยสักนิด


“ครับ”


‘ปุ่น นี่ย่าเองนะลูก’ เสียงที่ดังมาตามสายทำให้รู้สึกโล่งใจไม่น้อย ความรู้สึกหนักอึ้งที่เกิดจากการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าค่อย ๆ เบาบางลงจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมย่าถึงได้ใช้โทรศัพท์ของใครคนนั้นโทร.มา


“ทำไมย่าถึงเอาเบอร์นี้โทร.มาล่ะครับ”


‘พอดีย่าชวนหนูพรีมเขามาทานข้าวที่บ้านน่ะ ได้ยินว่าพักนี้ย่าไม่ได้โทร.หาปุ่นเพราะโทร.ศัพท์ของย่ามันเสีย เจ้าปุ้นเอาไปซ่อมให้อยู่ หนูพรีมเขาก็เลยขอยืมโทรศัพท์ นี่ดีนะที่ปุ่นไม่ได้เปลี่ยนเบอร์’


“ครับ แล้วย่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”


‘ย่าจะอยากจะปรึกษาเรื่องของชำร่วยงานแต่งงานของยัยปุนน่ะ เห็นว่าอยากได้เซรามิกย่าก็เลยลองไปถามเพื่อนที่เขามีโรงงานเครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ด แต่เขาไม่มีคนออกแบบก็เลยมีแบบให้เลือกน้อย นึกถึงปุ่นขึ้นมาได้ว่าอยู่กับแหล่งทำเซรามิกเลยจะให้ช่วยย่าหาอีกแรง’


“ได้สิครับย่า เอาไว้ปุ่นจะคุยกับพี่ปุนก็แล้วกันนะครับว่าอยากได้แบบไหน”


‘เอาอย่างนั้นก็ได้ เอ้อ..แล้วนี่จะคุยกับหนูพรีมเขามะ..’


“ไม่ละครับย่า ถ้าย่าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะครับ แล้วปุ่นจะโทร.หานะ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็กดวางสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งเรียกสายตาที่กำลังทอดมองดอกหญ้าในมือให้กลับมามองที่ตนเองอีกครั้ง


ริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากันจนแน่นค่อย ๆ คลายออกให้เลือดเดินจนกลับแดงฉ่ำขึ้นเป็นปกติ รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต้องถามถึงที่มาที่ไปของอาการหนักใจของอีกฝ่าย ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คงจะเป็นมองดูเขาอยู่ห่าง ๆ ก็เท่านั้น


“กลับเถอะ เดี๋ยวทำข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ให้กินจะได้อารมณ์ดี ๆ”


“ก็ไม่ได้อารมณ์เสียนี่” รอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่มักจะเห็นบ่อย ๆ ทำให้เต็มฟ้าค่อยคลายความกังวลขึ้นมาได้บ้าง


“ทำหน้าอย่างกับลิงป่วยเนี่ยนะ”


ศิธาพัฒน์เลิกคิ้วก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยอมรับเลยว่าความรู้สึกเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเมื่อเทียบกับตอนนี้ช่างต่างกันเหลือเกิน แววตาที่แฝงแววห่วงใยของคนตรงหน้าทำให้รู้ว่าเขาไม่ควรจะปล่อยให้ความทรงจำเก่า ๆ หวนมาทำร้ายตนเองจนทำให้มีใครต้องเป็นห่วงเช่นนี้ การได้เห็นรอยยิ้มของกันและกันเป็นความปรารถนาของศิธาพัฒน์ที่เต็มฟ้าเองก็คงจะคิดไม่ต่างกัน


“สติดีหรือเปล่า เดี๋ยวก็หน้าบึ้งเดี๋ยวก็ยิ้ม”


“แล้วเต็มชอบแบบไหนมากกว่ากัน”


“ไม่ชอบสักแบบ”


ศิธาพัฒน์มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู คิดอยู่แล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบแบบนี้ ถ้าตอบธรรมดา ๆ คงไม่ใช่เต็มฟ้าตัวจริงแน่


“กลับเถอะ”


“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน” มือหนารีบคว้าไหล่เล็กเอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมจะหันกลับ “ถ้าจะให้เต็มช่วยออกแบบของชำรวยงานแต่งงานให้พี่บ้างจะได้ไหม”


เต็มฟ้าหันกลับมาสบตาคนพูดอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำร้องขอนั้น


“ไม่ใช่พี่หรอกน่า พี่สาวของพี่ต่างหาก”


“เพิ่งรู้ว่ามีพี่สาวด้วย”


“อืม...มีกันอยู่สามคน พี่ปุน ปุ่น แล้วก็เจ้าปุ้น”


“ปอ ปลากันทั้งบ้านเลยเนอะ”


“ก็เหมือนเต็มกับตามไง” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งมือคนข้าง ๆ มากุมเอาไว้ “พี่ปุ่น...ไหนเต็มลองพูดซิ”


เต็มฟ้ากลั้นยิ้มเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะหลงกลคุณพนักงานไปรษณีย์เจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว พยายามดึงมืออกแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ


“ออกเสียงก็ง่าย ทำไมถึงพูดยากจัง หืม?”


“บอกแล้วไงว่าไม่ได้สนิทอะไรกัน เรียกพี่ศิธาก็ดีแล้ว”


“แล้วต้องสนิทกันแค่ไหนถึงจะยอมเรียก” เจ้าของดวงตาทอประกายวิบวับไม่น่าไว้ใจกล่าวพลางขยับมายืนประจัญหน้าก่อนจะโน้มศีรษะลงมาใกล้ ๆ จับปลายคางมนให้เชิดขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากอิ่มที่ประกบลงมาจนแนบสนิท มือที่ไร้เรี่ยวแรงคลายออกปล่อยให้ดอกหญ้าร่วงลงสู่ผืนดิน ดวงตาจ้องมองภาพของศิธาพัฒน์ที่เลือนลางลงจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ แต่ลมหายใจอุ่น ๆ กับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ยังคงคลอเคลียปลายจมูกก็ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ต้องเป็นพี่ศิธาของเขาแน่ ๆ เมื่อรู้สึกแน่ใจและปลอดภัยเต็มฟ้าก็ปิดเปลือกตาลงฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัวเพียงเพราะสัมผัสแผ่วเบาและแสนอ่อนโยนเสียจนอยากจะอยากลอยตามขึ้นไปทันทียามที่ร่างสูงค่อย ๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง 


“สนิทแค่นี้พอหรือเปล่า”



ชายหนุ่มอายุมากกว่าพลางมองคนตรงหน้าที่ยังคงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ด้วยแววตาขี้เล่นจากนั้นจึงเลื่อนมือขึ้นมาประคองข้างแก้มขึ้นสีก่อนจะใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือถูเบา ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากเจ้าของใบหน้าชวนมองก็ถือโอกาสใช้แขนแกร่งโอบรัดรอบเอวสอบก่อนจะรั้งร่างเล็กไม่ให้หนีไปไหน  หมายจะลิ้มรสหวานจากกลีบปากบางอีกสักหน


“พะ...พอแล้วพี่ศิธา”


ปลายนิ้วเรียวที่แตะลงบนริมฝีปากซุกซนทำให้ศิธาพัฒน์ต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรั้งมือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้ 


“ถ้าเรียกพี่ศิธาอีกก็จะไม่พอ จะทำแบบนี้จนกว่าจะยอมเรียกพี่ปุ่น”


เต็มฟ้ามุ่นคิ้วอย่างขัดใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่เอาแต่ใจตัวเองที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา “ก็ลองดู ถ้าทำอีกเต็มจะกัดปากให้ขาดเลย”
คนถูกท้าทายยกยิ้มมุมปากก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน “กลัวว่าจะขาดอากาศหายใจไปก่อนน่ะสิ”


“พี่ศิธา!” เต็มฟ้าขึ้นเสียงพร้อม ๆ กับสองแก้มที่ขึ้นสี กำหมัดทุบลงที่บ่ากว้างด้วยกำลังไม่ถึงครึ่งที่มีในขณะที่คนถูกกระทำยังคงทำหน้าระรื่นแถมหัวเราะชอบใจเสียด้วยซ้ำ


“เรียกแบบนี้แสดงว่าอยากโดนจูบ” ยังพูดไม่ทันจบริมฝีปากที่มีความเร็วกว่าเสียงก็เตรียมจะฉกจูบอีกครั้ง แต่ก็ยังไวไม่พอเท่ากับชายหนุ่มที่กำลังติดบ่วงแสนหวาน เต็มฟ้าเบือนหน้าหลบแต่ก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากการสัมผัสของอีกฝ่ายได้อยู่ดี รู้ตัวอีกทีปลายจูมกโด่งก็กดลงบนแก้มเนียนก่อนจะสูดกลิ่นหอมไปได้ฟอดใหญ่เสียแล้ว


“ปล่อยเต็ม” ดวงตาสีดำสนิทหันมามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง 


“ไม่ปล่อย จนกว่าจะยอมเรียกกันสักที”


“ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”


“ก็แล้วทำไมเรียกชื่อพี่แค่นี้ถึงเรียกไม่ได้ล่ะ ยากตรงไหน”


นั่นสิ..ยากตรงไหน แล้วทำไมถึงเรียกไม่ได้ คนถูกถามก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


“ยากเหรอ?”


ทำได้เพียงส่ายหน้าแทนคำตอบ “อยู่ ๆ จะให้มาเรียกชื่ออะไรแบบนี้มันไม่ดูจะแปลก ๆ ไปหน่อยเหรอ”


“อืม...ถ้าอย่างนั้น....” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น “ช่วยตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยสิครับว่าแฟนเต็มชื่ออะไร” 


โอ้โห!!! มันช่างเป็นคำถามที่แยบยลมากจนคนถูกถามต้องยกธงยอมจำนน ในที่สุดริมฝีปากบางก็เอื้อนเอ่ยเสียงหวานเป็นถ้อยคำที่ศิธาพัฒน์รอฟังอย่างตั้งใจ


“พะ..พี่ พี่ปุ่น”


“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”


“พี่ปุ่นไง”


เต็มฟ้ากัดปากแน่นจ้องหน้าคนที่จู่ ๆ ก็หูตึงขึ้นมากะทันหันในขณะที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็ไม่มีท่าทีว่าจะสะทกสะท้าน เขายังคงยิ้มก่อนจะถามซ้ำด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมั่นไส้


“ใครกันพี่ปุ่น”


“แฟนเต็มก็พี่ปุ่นไงเล่า” ทันทีที่จบประโยคลมร้อนก็ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งรั้น มือบางรีบแกะมือปลาหมึกที่โอบรัดรอบเอวพร้อมกับหาจังหวะขยับร่างหนีจนในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากบ่วงบาศก์ของพรานหนุ่มเจ้าแผนการผู้นี้ได้


หน้าง้ำงอของไอ้ตัวแสบที่กำลังจะหันหลังเดินหนีทำเอาศิธาพัฒน์อดขำไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายอยากจะแกล้งต่อรีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้


“เดี๋ยวสิ พี่ยังไม่ได้ให้รางวัลเด็กว่าง่ายเลย”


“พอแล้ว!” เต็มฟ้ารีบสะบัดมือออกก่อนจะปีนข้ามรั้วเดินดิ่งกลับไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่โดยไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะของคนที่ด้านหลัง



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 27-07-2014 07:05:18
(ต่อค่ะ)


เต็มฟ้าละสายตาจากแผ่นหลังกว้างมองดูทิวทัศน์สองข้างทางที่แปลกตาเมื่อรถเลี้ยวไปตามเส้นทางหนึ่งหลังออกจากเขตของไร่แสงดาวมาได้สักพัก เป็นถนนสายที่ไม่รู้จัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปบรรจบกับทางเส้นไหน


“จะไปไหนเนี่ย”


“ไม่รู้เหมือนกัน”


“ไม่รู้แล้วพะ..พี่ปุ่น จะเข้ามาทำไม ทางมันจะยาวไปถึงไหนก็ไม่รู้”


“ก็ถ้าอยากรู้ว่ามันจะไปถึงไหนเราก็ลองไปดูด้วยกันสิ ถ้ามันตันเราก็แค่ย้อนกลับออกมา แต่ถ้ามันไปบรรจบกับถนนเส้นไหนเราก็จะได้เส้นทางใหม่เพิ่มขึ้นอีกทาง”


“จะไปออกพม่าหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินแถมได้เห็นอะไร ๆ ในมุมที่คนธรรมดาเห็นแบบที่เต็มว่าไง”


คนนั่งซ้อนท้ายนั่งเงียบก่อนจะแนบแก้มลงกับแผ่นหลังอุ่น ๆ ทอดสายตามองดอกหญ้าข้างทางที่กำลังไหวลู่ไปตามสายลม ทั้งที่เป็นคนลำปางแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้จักเส้นทางนี้ จากตรงนี้มองเห็นแนวทิวสนที่ท้ายไร่อยู่ไม่ไกล ที่สำคัญเป็นทางที่ขนานกับกับคลองส่งน้ำที่ศิธาพัฒน์เคยพาไปกระโดดแต่กลับไม่เคยมา นึกขอบคุณคนนำทางที่พามาพบกับวิวสวย ๆ ของทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยดอกหญ้าสีขาว เมื่อลมพัดผ่านมาทีไรก็พาเอากลีบดอกเล็ก ๆ ปลิดปลิวฟุ้งกระจายไปทั่วราวกับสายหมอกที่เพิ่งจางไปในตอนสาย


“เต็มชอบหรือเปล่า”


แม้จะไม่มีเสียงตอบแต่สัมผัสยุกยิกบนแผ่นหลังก็พอจะตอบคำถามนั้นได้


“เดี๋ยววันหลังพี่จะลองพาไปทางอื่น ๆ ดูบ้าง เผื่อว่าจะเจอที่สวย ๆ แบบนี้อีก”


“แต่เต็มว่าทางเดิมก็ดีอยู่แล้ว จากไร่ไปถึงบ้านน้าเดือนถ้าเหยียบหน่อยก็ไม่ถึงยี่สิบนาที คนอื่นเขาก็ใช้กัน”


“พี่ไม่ได้รีบนี่” ศิธาพัฒน์เหลียวมองคนที่ยังคงซุกหน้าอยู่กับแผ่นหลังของตนเองก่อนจะดึงมือของอีกฝ่ายมากุมไว้พร้อมกับกล่าวประโยคสั้น ๆ ที่ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นแรงอีกครั้ง


“อยากลองหาทางที่มันไกลกว่านี้จะได้อยู่กับเต็มนาน ๆ”
 

....


กลิ่นหอมของข้าวผัดหมูยังคงอบอวลไปทั่วบ้านทั้งที่ศิธาพัฒน์ส่งมันเดินทางสู่กระเพาะอาหารไปตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อน  ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยืนผิวปากอย่างอารมณ์ดีขณะยืนล้างจานอยู่ในครัว ในขณะที่พ่อครัวกิตติมศักดิ์ถูกเชิญให้ออกไปนั่งรอที่โซฟาด้านนอก


เต็มฟ้านั่งเกาะขอบหน้าต่างจ้องมองกังหันพลาสติกสีสวยที่หมุนแข่งกันยามต้องลม มือบางจับผ้าขนหนูที่คล้องกับคอซับน้ำชุ่มเส้นผม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลุกเดินมานั่งที่โซฟาตามพี่ชายร่างสูงได้กำชับเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำหน้าสำนึกความผิดที่ชวนกันลงเล่นน้ำจนเปียกปอนแถมทำให้กระเป๋าสตางค์ใบโปรดของศิธาพัฒน์ต้องเปียกน้ำเสียอีก


ร่างสูงที่ผมยังไม่แห้งดีเดินมานั่งลงที่โซฟา คว้ากระเป๋าสตางค์มากางออกเททุกสิ่งทุกอย่างข้างในออกมากองบนโต๊ะก่อนจะวางเรียงเพื่อผึ่งให้แห้ง ซึ่งมีทั้งธนบัตรและบัตรต่าง ๆ รวมไปจนถึงภาพถ่ายใบหนึ่ง


“นี่พี่ศิ...เอ้อ..พี่ปุ่นเหรอ” เต็มฟ้ายื่นหน้ามองภาพถ่ายเปียกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสนใจ แม้ในภาพจะมีใครหลายคนแต่ก็จำรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นได้แม่น


“อือ หล่อไหม”


“ก็งั้น ๆ”


“โอ้โห...ก็งั้น ๆ ที่เต็มว่าน่ะเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัยเลยนะ”


“โธ่..ของแบบนี้แค่หน้าตากับความสามารถบางทีก็ยังไม่พอนะ มันต้องอาศัยโชคช่วยด้วย”


“นี่หาว่าโชคช่วยเลยเหรอ” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะขยับมานั่งใกล้ ๆ นึกอยากจะจับล็อกคอแล้วตีเสียให้เข็ด โทษฐานที่ชอบพูดจาให้คนอื่นน้อยใจอยู่เรื่อยแต่ก็ทำได้เพียงรั้งผ้าขนหนูที่คอของคนเตรียมจะหนีไม่ให้หนีไปไหน คนอายุมากกว่าจับผ้าผืนนุ่มซับลงบนผมเส้นเล็กอย่างเบามือ


“แล้วนี่ล่ะใคร สวยจัง เพื่อนพี่ศิ...เอ้อ...พี่ปุ่นเหรอ” เต็มฟ้ากล่าวพลางมองดูสาวน้อยหนึ่งเดียวในภาพอย่างพิจารณา


เจ้าของชื่อมองชายหนุ่มผมยุ่งที่พยายามจะเรียกชื่อของเขาให้ถูกเพราะกลัวจะโดนทำโทษก่อนจะยิ้มขัน ๆ


“เคยเป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นแฟนน่ะ”


คนถามพยักหน้าและถ้าเดาไม่ผิดเธอของเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์นั่นแน่ ๆ “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ”


“ถ้าตอบแบบที่พวกคนในวงการบันเทิงเขาตอบกันก็คงเป็นเพราะเรื่องของทัศนคติที่ไม่ตรงกัน”


เต็มฟ้าโคลงศีรษะ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายยังจะมีอารมณ์มากวนประสาทกัน “แล้วถ้าตอบตามจริงล่ะ”


“ก็ตามนั้นแหละ”


“เลิกกันนานหรือยัง”


“ก็ตั้งแต่พี่เข้าเรียนที่โรงเรียนการไปรษณีย์แล้วก็มาทำงานที่นี่”


“ใครเป็นคนบอกเลิก”


มือที่ยุกยิกอยู่บนหัวหยุดราวกับกดรีโมต ผ้าขนหนูที่ละอยู่กับหน้าถูกคล้องเอาไว้กับคอเหมือนเดิม


“ทำไมซักมากจริง”


“ก็อยากรู้ แล้วสรุปว่าใครเป็นคนบอกเลิก” หน้ามนยื่นเข้ามาใกล้ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น


“เขาเป็นคนบอกเลิก” ศิธาพัฒน์ตอบเสียงเรียบ แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง


“โธ่...น่าสงสารเนอะ”


“สงสารก็ต้องดูแลดี ๆ เอาใจให้มาก ๆ นะรู้ไหม อย่าพูดอะไรให้ต้องน้อยใจนัก”


ร่างเล็กคิดจะขยับหนีสัมผัสอุ่น ๆ ชวนจั๊กจี้จากหลังมือใหญ่ที่เกลี่ยลงบนข้างแก้มแต่พอเอาเข้าจริงกลับนั่งนิ่งราวกับต้องมนต์เหมือนลูกแมวโดนเกาคางไม่มีผิด ถึงจะศิธาพัฒน์จะพูดแบบนี้แต่ก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงในภาพเป็นคนพิเศษอยู่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นคุณย่าของขอคงไม่ถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของเธอโทร.มาหาหลานชายแน่ ๆ


“คิดอะไรอยู่ หืม?” พูดจบก็ดึงแก้มคนใจลอยเบา ๆ


“พี่ปุ่นว่าคุณย่าของพี่ปุ่นจะ...”


“ไม่ต้องห่วงนะ ย่าเป็นคนใจดี ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”


ได้ฟังดังนั้นความกังวลที่ก่อตัวขึ้นภายในใจก็ค่อยคลายลงบ้าง


“แต่ถ้าจะกลัวละก็ กลัวหลานชายของย่าดีกว่า อย่าดื้อ อย่าซน อย่ากวนให้มากนัก ไม่งั้นจะโดนทำโทษ”


“พอเลย พูดอย่างกับเต็มเป็นเด็ก” เต็มฟ้ากล่าวพลางปัดมือของอีกฝ่ายออกจากแก้มของตนเอง


“พูดยังไม่ทันขาดคำก็ทำตัวไม่น่ารักเสียแล้ว” พูดจบศิธาพัฒน์ก็บีบที่ปลายจมูกของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ถึงปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่สิ่งที่หมายความอยู่ภายในใจกลับตรงกันข้ามและคงจะได้บอกให้อีกฝ่ายรู้ในสักวันหากไม่มีใครปล่อยมือจากกันไปเสียก่อน 


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 27-07-2014 07:26:41
 :กอด1:น่ารักมากทั้งสองคน


สมกับที่รอคอย :3123:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: loyal_mook ที่ 27-07-2014 08:19:36
น่ารัก  :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-07-2014 08:59:21
 :L1: คนเขียนอยู่ลำปางหรือเปล่านะ อ่านไปเหมือนตัวเองอยู่ในบรรยากาศนั้นจริง ๆ เลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 27-07-2014 09:26:41
บางทีก็กลัวใจคุณย่านะ อย่าไปยุ่งเรื่องการจับคู่ของเด็กๆ เลย :mew4:

ตอนนี้กำลังน่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 27-07-2014 09:58:59
อุ่นสมชื่อตอนนี้เลยอะ
น่ารักมากๆๆๆๆๆชอบอะ บรรยากาศก็ดี อยากไปเที่ยวลำปางเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 27-07-2014 10:01:41
จิกหมอนและอมยิ้มตลอดการอ่านเลยอ่ะ เขิลลลลลลลลลลลลลลลอ่ะ :-[ :ling1: สมกับที่รอคอยจริงๆๆ ขอบคุณนะค้าาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 27-07-2014 10:22:57
พี่ปุ่น พี่ปุ่น พี่ปุ่น :hao7: ในที่สุดน้องเต็มก็เรียกแล้ว

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 27-07-2014 10:25:17
อย่ามีอะไรมาทำให้เข้าใจผิดกันนะ

อยากให้น่ารักกันแบบนี้ๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 27-07-2014 10:33:01

ขุ่นย่าาาาาา...ไม่ยอมแพ้จริงๆ  :katai5:

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2014 10:58:09
น่ารักจังเลยอะทั้งคนเขียนที่แวะเอามาให้้อ่านกันก่อนรวมทั้งพี่ปุ่นและเต็มด้วยหวานได้น่ารักดี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 27-07-2014 11:14:53
เฮ้อออ อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลย อบอุ่นจริงๆ
ในที่สุดก็ยอมเรียกพี่ปุ่นจนได้นะ เต็ม ถ้าไม่เนียกก็โดนทำโทษอ่ะเนอะ 55 น่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 27-07-2014 11:23:00
มันอบอุ่นมาก
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 27-07-2014 13:00:28
หวานสุดๆ...อร๊ายยยย  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-07-2014 13:54:18
อ่านแล้วอุ่นจริงๆ
ชอบจัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 27-07-2014 14:01:17
น่ารักกันตลอดเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 27-07-2014 14:33:51
อบอุ่นมากๆๆๆๆๆ
ความรักคืออการก้าวเดินไปพร้อมๆกัน และเดินเคียงข้างกันไปเพชิญทุกๆอย่างแบบพี่ปุ่นกับน้องเต็มเนี่ยแหละ
ชอบบรรยากาศเบาๆ ล่องลอยนิดๆแบบนี้ที่สุดเลยยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-07-2014 14:50:39
อยู่กับพี่ปุ่นแล้วมันอุ่นจริง ๆ นะ
ปัญหาอะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะเล็กน้อยไปหมด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 27-07-2014 16:44:06
เง้อ บรรยากาศโลกสีชมพูนี้มันอะไรกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 27-07-2014 20:36:52
อ่านตอนนี้แล้วอุ่นตามชื่อตอนเลย ไม่หวานมากนะแต่ทำให้อมยิ้มได้ตลอด

คิดอยู่เหมือนกันว่าเต็มจะเป็นยังไงหลังคบกับพี่ปุ่น พอคบกันแล้วเลยรู้เลยว่าน่ารัก

พี่ปุ่นก็จับทางเต็มได้ทุกทางแล้วนะตอนนี้ รู้แล้วว่าการพูด ท่าทางอย่างไหนแปลว่าอะไร

ชอบจัง รอตอนต่อไปนะจ้ะ คนแต่งสู้ๆน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 27-07-2014 20:48:45
หลังจากแอบย่องมาอ่านตั้งแต่เมื่อตอนสายๆ
กว่าจะได้ฤกษ์มาเม้น ก็ค่ำมืด ทำงานวันหยุดนี่มันทรมานจริงๆ
ถือว่าคุณบุรุษไปรษณีย์ฯมาช่วยเยียวยาหัวใจคนทำงาน ฮรืออออ
เพราะในชีวิตจริงรอคุณบุรุษไปรษณีย์เอาของมาส่งได้หลายเดือนแล้ว ยังไม่เจอหน้าที

พี่ศิธาได้เป็นพี่ปุ่นสมใจซะที ถึงแม้จะต้องบังคับจิตใจเต็มก็เถอะ
จะยังไงก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องแหละนะ พี่ปุ่นเนี่ย พ่อนักวางแผน พ่อนักการตลาด

เต็มแปลกๆนะ ตั้งแต่เป็นแฟนกันเนี้ย ดูหงอแปลกๆ อะไรยังไงน้อ มีการฝันว่าโดนจูบด้วยเอ้าะ ><
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 27-07-2014 20:51:06
อุ่นไปทั้งใจสมกับชื่อตอนจริงๆ
พี่ปุ่นน้องเต็มสร้างบรรยากาศสีชมพู อบอุ่น
(พี่ปุ่นแอบเจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ)
 :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 27-07-2014 20:57:38
สงสัยปลายปีนี้ต้องไปเยือนเมืองลำปางซะแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-07-2014 20:59:12
 :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 27-07-2014 22:16:47
หุ๋ย......หวานนิดๆ ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 28-07-2014 13:04:25
โมเม้นท์สองคนน่ารัก ๆ แบบนี้ *ยิ้มแก้มแตก*

>///////<
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 28-07-2014 13:57:46
อุ่นสมชื่อตอนเลย
อ่านแล้วเขิน :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 28-07-2014 21:40:34
อบอุ่นสมกับชื่อตอนมากเลยอ่า :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 29-07-2014 00:41:35
อุ่นจริงงง
เล่นกับเต็มเหมือนเล่นกับลูกแมวเลยเนอะพี่ปุ่น
น่ายักกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: Brow_Ney ที่ 29-07-2014 15:03:39
อ่านเรื่องนี้แล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจ
เขินนนแทนน้องเต็มเลย ถ้าพี่ปุ่นจะหยอดซะหวานขนาดนี้  ><

...เห็นแล้วอยากไปเที่ยวลำปางงงง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 30-07-2014 18:16:20
ยิ้มได้ตลอดเหมือนคนเป็นบ้าเลยอ่ะ
เขินนนนนนนนน  :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: กำแพงเมืองจีน ที่ 30-07-2014 19:32:40
 :o8: :o8: :o8:

น่ารักจังเลย

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 18 : อุ่น) 27-07-2557 หน้า 18
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 03-08-2014 18:01:14
สมชื่อตอนจริง ๆ  " อุ่น " อ่านแล้วมันอบอวนไปด้วยความอบอุ่น ที่แผ่ออกมาจากคนร่างหนา  :m3:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-08-2014 11:37:21
สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 19 มาฝากค่ะ
ตอนนี้รีบปั่นอาจจะมีเขียนตกหรือพิมพ์ผิดบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ
ยังไม่มีเวลาอ่านทวนแก้คำผิดเลย
ยังไงก็จะกลับมาอ่านและแก้ไขอีกครั้งนะคะ

พูดถึงเนื้อเรื่องในตอนนี้กันหน่อย ตามชื่อก็คือ “ไม่เป็นไร”
ซึ่งอันที่จริงตามที่คิดเอาไว้เดิมคือมันต้องมีเหตุการ์อีกเหตุการณ์ต่อไปอีกหน่อยซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่องเข้้าไปอีกนิดถึงจะจบตอน
แต่ว่าคิด ๆ แล้วมันน่าจะทำให้อารมณ์สะดุด เลยขอย้ายไปไว้รวมกับตอนหน้าดีกว่า
หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ


ปล. เราแอบเห็นปกกับภาพประกอบเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าแล้วแอบตื่นเต้นละ
มีกำลังใจต่อสู้กับการงานและการเรียนที่หนักหน่วงเพิ่มมาหน่อย ยังไงก็รออีกนิดนะคะ ^^

ปล.2 ตอบคำถามก่อน เราไม่ใช่คนลำปางนะคะ แค่เคยนั่งรถไฟไปเที่ยวเท่านั้นเอง
เขียนเรื่องนี้แล้วก็นึกอยากจะกลับไปลำปางอีกครั้งเหมือนกันค่ะ เราอาจจะได้เดินสวนกันนะคะคุณ bon


ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร



หูใหญ่ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่มกระดิกไปมาก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านเมื่อได้ยินเสียงเฮของเด็ก ๆ ทันทีที่ลังกระดาษถูกเปิดออก แก้วน้ำของยะหยา จานข้าวของหมูอ้วน และชามอ่างสำหรับใส่อาหารที่ตามตะวันปั้นมันให้เจ้าหมาน้อยถูกยกออกมาวางบนโต๊ะให้เจ้าของได้ชื่นชมผลงานของตนเอง


"สวยจังเลยค่ะพี่เต็ม เหมือนกันที่ขายในตลาดเลย" เด็กหญิงผมเปียยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองผลงานของตัวเองตาไม่กะพริบ


"เดี๋ยวพี่จะห่อให้นะ ตอนพี่ศิธาไปส่งที่บ้านจะได้ไม่แตก" พูดจบชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมหนังสือพิมพ์เก่า 2-3 ฉบับ


"พี่ช่วยนะ" น้ำเสียงและแววตาของคนที่จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาประชิดตัวทำให้เต็มฟ้ารู้สึกไม่ปลอดภัยนัก


"ห่าง ๆ หน่อยก็ได้" ริมฝีปากบางกระซิบ


"ก็กลัวจะไม่สนิทน่ะสิ"


เพียงเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคงเผลอเรียกชื่อผิด ๆ ไปแน่ ๆ ร่างเล็กขยับห่างออกมาเล็กน้อยก่อนจะจัดการห่อผลงานของเด็ก ๆ แต่ละคนด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์


"แล้วนี่ยังไงกัน ตกลงกันได้หรือยังว่ากีฬาสีปีนี้ใครจะทำอะไร"


"ได้แล้วฮะ" ตามตะวันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเอ่ยขึ้น "ตามจะลงวิ่งฮะ"


"บอกให้เป็นคฑากรก็ไม่เอา" เด็กชายแก้มยุ้ยบ่นอุบ


"ที่หมูอ้วนไม่อยากให้เราลงวิ่งเพราะกลัวพาสีแพ้ใช่ไหม"


เมื่อได้ฟังน้ำเสียงกึ่ง ๆ ตัดพ้อของเพื่อน หมูอ้วนก็รีบปฏิเสธทันที "ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เรากลัวว่าตามจะไม่สบายต่างหาก ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริง ๆ"


"ไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาคิดแบบนั้นหรอกตาม" เต็มฟ้ายื่นมือวางบนศีรษะของน้องชายพลางโยกเบา ๆ ปลอบใจ


"หมูอ้วนกับยะหยาก็แค่เห็นด้วยกับเพื่อน ๆ ที่คิดว่าตามเหมาะจะเป็นคฑากร เพราะตามหน้าตาดีที่สุดในห้องน่ะ"


เมื่อเห็นสาวน้อยช่างพูดเริ่มทำหน้าที่กำลังเสริม เด็กชายตัวกลมก็รีบตอบ "ช่ายยยยยยย" ทันที

การสนทนาของเด็ก ๆ ทำเอาผู้ใหญ่ที่ร่วมวงอยู่ด้วยสบตากันยิ้ม ๆ ก่อนที่สุ้มเสียงหยอกเย้าของคนที่ยืนข้างกันทำเอาเต็มฟ้าหุบยิ้มแทบไม่ทัน


"ยิ้มทำไม เขาไม่ได้ชมตัวเองสักหน่อย"


.....


หลังอาหารเย็นศิธาพัฒน์รับอาสาไปส่งเด็ก ๆ ที่บ้านจากนั้นก็กลับเข้ามาที่เกสต์เฮาส์อีกครั้ง ตาคมกริบมองไปยังแผ่นหลังเล็กของเด็กชายที่ท่าน้ำ ร่างสูงย่อตัวลงนั่งพร้อมกับวางมือบนบ่าคนที่กำลังลูบหัวเจ้าสุนัขขนปุยนอนหลับตาพริ้มเอาคางเกยตักนุ่ม ความรู้สึกอุ่นเรียกให้เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือหนา ถึงเขาจะยังคงนิ่งงันแต่สัมผัสนั้นกลับเหมือนกำลังจะบอกอะไรสักอย่าง นัยน์ตาดำขลับสองคู่สบกันก่อนที่คนร่างเล็กจะมองตามดวงตาแสนอ่อนโยนที่ขณะนี้ไม่ได้มองมาที่เขาอีกแล้วแต่กลับมองไปยังน้องชายของเขาแทน


ตามตะวันนั่งอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ส่งเพื่อน ๆ กลับและยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหนทั้งที่เจ้าแข็งแรงเองก็นอนแผ่รอให้เล่นด้วยที่กลางสนาม เต็มฟ้าลุกไปล้างมือก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ หนุ่มน้อย ทอดสายตามองเงาสะท้อนบนผืนน้ำซึ่งเป็นภาพของดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตที่กำลังเคลื่อนคล้อยลับขอบฟ้านครลำปาง หากจะพูดกันตามจริงแล้วลำน้ำวังในฤดูหนาวก็ไม่ได้ชวนมองสักเท่าไรนัก เป็นเพราะปริมาณน้ำที่ลดต่ำลงจนเห็นแนวตลิ่ง สายน้ำไหลเนิบ ๆ จนดูคล้ายจะหยุดนิ่ง ไกลออกไปยังคงเห็นแนวโค้งของสะพานรัษฎาภิเษกตั้งเด่นเป็นสง่าเชื่อมสองฝากฝั่งไว้ด้วยกันท่ามกลางสายหมอกยามโพล้เพล้ที่กำลังแทรกซึมเข้าบดบังให้ทุกอย่างดูพร่ามัว แต่เมื่อทั้งหมดประกอบกันเข้าก็ให้ภาพที่สวยงามราวกับเป็นผลงานของจิตรกรเอกที่เขียนขึ้นจากความประทับใจ ณ ขณะนั้น มันเป็นภาพคุ้นตาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กเห็นทีไรก็ให้รู้สึกความสุขใจทุกครั้ง


ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกจากปลายจมูกเหมือนทุกครั้งที่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ความรู้สึกตอนนี้มันช่างแตกต่างกันกับที่ผ่านมานัก อคติในใจมลายหายไปตั้งแต่เมื่อไรเจ้าตัวก็ยังไม่อาจระบุได้ รู้เพียงแต่ว่าวันนี้มันช่างดีเหลือเกินที่ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนยากจะทลายทิฐิของตัวเอง วงแขนแกร่งโอบไหล่น้องชายเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ


"คิดอะไรอยู่ บอกพี่ได้ไหม"


"ตาม..." เด็กสบตาผู้เป็นพี่แต่แล้วที่สุดก็หรุบตาลงมองปลายเท้าของตัวเอง


"เรื่องเมื่อกลางวันใช่ไหม"


หนุ่มน้อยพยักหน้า ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังตั้งแต่แรก แต่ที่ไม่อยากพูดออกไปก็เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกมองเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองที่ต้องทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนในสายตาของพี่ชายก็เท่านั้น


"อืม..ถ้าอย่างนั้นบอกพี่หน่อยได้ไหมว่าทำไมตามถึงอยากลงแข่งกีฬา"


ตามตะวันสบตานิ่ง มือเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานกีฬาสีเมื่อปีก่อน ทั้งที่ทีมวิ่งผลัดของสีกำลังจะชนะอยู่แท้ ๆ แต่เพราะเขาเองที่ล้มลงไปนอนหอบอยู่กับพื้นจึงทำให้สีต้องพลาดเหรียญรางวัลสำคัญไป หลังจากวันนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกเอามาพูดคุยอย่างสนุกปากในหมู่เพื่อน ๆ และรุ่นพี่อยู่พักใหญ่ เขาถูกกีดกันจากการทำกิจกรรมและกีฬาทุกประเภทที่ต้องอาศัยพละกำลัง นั่นเพราะทุกคนต่างก็กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีก หนุ่มน้อยจึงไม่ได้วิ่งเล่นหรือเตะฟุตบอลหลังเลิกเรียนแบบที่อยากทำเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ดังนั้นการได้วิ่งเล่นกับแข็งแรงที่ไร่จึงเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก ๆ


"ตามแค่อยากทำให้ทุกคนเห็นว่าตามทำได้ ตามไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้ขี้แพ้แบบที่ใคร ๆ พูด ตามอยากเตะฟุตบอล อยากวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เหมือนที่วิ่งเล่นกับแข็งแรงในไร่ อีกหน่อยพอตามโตขึ้นตามก็จะดูแลพ่อกับพี่เต็ม"


เมื่อได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น มืออุ่นของพี่ชายเลื่อนขึ้นไปวางบนศีรษะทุยพลางโยกเบา ๆ พร้อมกับประโยคให้กำลังใจ "ตัวแค่นี้ทำไมคิดมากจัง"


"พี่เต็มว่าเพื่อน ๆ จะโกรธตามไหมครับ"


"จะโกรธทำไม เพื่อนกันก็ต้องสนับสนุนกันสิถ้าเรื่องที่เพื่อนทำเป็นเรื่องดี" พูดมาถึงตรงนี้แล้วก็อดนึกถึงคนไกลสองคนไม่ได้ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง


"เลิกคิดมากได้แล้ว จะเป็นนักกีฬาก็ต้องเอาเวลามาคิดแล้วว่าทำยังไงถึงจะชนะ"


รอยยิ้มและคำพูดเป็นปริศนาของคนตรงหน้าทำให้ตามตะวันอดสงสัยไม่ได้ หนุ่มน้อยนิ่งคิดจนในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายถาม "แล้วตามต้องทำยังไงครับพี่เต็ม"


"อืม...ไปบนดีไหม ศาลหลักเมืองก็ได้ หรือว่า...."


พูดยังไม่ทันจบเสียงกระแอมปรามก็ดังขึ้นจากหนุ่มหล่อที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ไม่ไกลนัก


"แอบฟังนี่หว่า" เต็มฟ้าหันไปมองตาขุ่น ๆ ก่อนจะกลับมามีสาระอีกครั้ง "แต่ถ้าตามซ้อมให้มาก ๆ ก็ไม่ต้องรบกวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านหรอกนะ เดี๋ยวท่านจะเหนื่อยเปล่า ๆ"


"ถ้าอย่างนั้นตามจะซ้อมทั้งเช้าทั้งเย็นเลยฮะ"


ชายหนุ่มกระชับวงแขนที่โอบไหล่เล็กเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่การได้ปล่อยให้น้องชายได้ทำอะไรตามใจบ้างก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี พี่ชายอย่างเขาก็คงทำได้ดีที่สุดคือการให้กำลังใจและคอยมองอยู่ห่าง ๆ


ศิธาพัฒน์ละสายตาจากสองพี่น้องมองดูเจ้าหมาน้อยที่ยังคงนอนหลับสบายใจก่อนจะขยี้หัวมันด้วยความมันเขี้ยว เจ้าแข็งแรงปรือตาขึ้นมองคนเลี้ยงพลางถอนใจเสียงดังอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหลับตาลงไม่แยแสเล่นเอาชายหนุ่มเซ็งในอารมณ์ เมื่อเห็นว่าจวนค่ำเต็มทีก็ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายจากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่หน้าเคาท์เตอร์ซึ่งลูกสาวเจ้าของเกสต์เฮาส์กำลังง่วนอยู่กับการทำบัญชีประจำวัน


"จะกลับแล้วเหรอปุ่น" หน้าสวยเงยขึ้นรอฟังคำตอบและยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง ยังคงเป็นรอยยิ้มน่ารักไม่ต่างกับวันแรกที่ได้รู้จัก นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้หญิงสวยหวานอย่างชลธรจะโกรธใครเป็นบ้างไหม ไหนจะต้องต่อกรกับน้องชายจอมกวนไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะต้องดูแลกิจกรรมแทนผู้เป็นแม่แต่เธอก็ยังยิ้มได้


"ว่าจะกลับแล้วละครับพี่ชลจวนค่ำแล้ว" ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินออกมาจากครัวที่ถูกต่อเติมแยกออกจากพื้นที่พักอาศัย


"อยู่ทานของหวานกันก่อนสิปุ่น นี่น้านึ่งขนมปุยฝ้ายเอาไว้ใกล้เสร็จแล้วนะ" เดือนดารากล่าวพลางร้องเรียกหลานชายทั้งสองให้กลับเข้าบ้านเพราะกลัวว่าอากาศที่เริ่มเย็นลงจะทำให้สองหนุ่มพากันไม่สบาย ผู้เป็นน้ายังคงยืนอมยิ้มมองดูหลาน ๆ อย่างมีความสุขขณะมองตามสองคนที่เดินโอบไหล่กันเข้ามา เห็นแบบนี้แล้วก็อดพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้านไม่ได้


"ดูสิ เดี๋ยวนี้ตัวติดกันยังกับปาท่องโก๋"


“น้าเดือนอยากกินปาท่องโก๋เหรอครับ เดี๋ยวเต็มออกไปซื้อให้” 


“น้าบอกว่าเราสองคนน่ะตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ต่างหาก”


“ฮะ? อ๋อ...เอาสองตัว” หลานชายคนโตกล่าวหน้าระรื่นก่อนจะจับน้องให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ กับพี่ชายใจดีที่ตามตะวันชมนักชมหนา


“เต็ม อย่ากวนน่า” ศิธาพัฒน์ลากเสียงพร้อมกับส่งสายตาปรามหนุ่มจอมกวนที่กำลังจะทำให้น้าเดือนปวดหัว


คนถูกดุกอดอกทำไม่ใส่ใจแถมยังผิวปากอารมณ์ดีราวกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่คือคำชม ร่างสูงเดินไปอ้อมไปกอดเอวของหญิงวัยกลางคนที่มีทั้งสุ้มเสียงและหน้าตาละม้ายคล้ายกับแม่ผู้ล่วงลับเอาไว้ก่อนจะกระซิบถามอีกครั้ง “ตกลงน้าเดือนจะเอาไหมเต็มจะไปซื้อให้”


เดือนดารามุ่นคิ้ว อ่อนใจกับหลานชายคนนี้เสียเหลือเกิน มือนิ่มตีลงที่แขนด้วยความหมั่นไส้ในขณะที่คนถูกตีก็ยังไม่วายแกล้งร้องโอดโอยเรียกรอยยิ้มของผู้เป็นน้าได้อีกครา


ชลธรวางปากกาลงพลางส่ายศีรษะ จากที่คิดว่าจะทำบัญชีให้เรียบร้อยคงต้องเปลี่ยนมาเป็นจัดการกับน้องชายให้เด็ดขาดเสียแล้ว “ดูสิ กลัวกันที่ไหนล่ะปุ่น เป็นลูกชายคนโตเลยถูกตามใจจนเคยตัว” ดวงตาคู่สวยเหล่มองหนุ่มจอมกวนอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดละ กระนั้นยังเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะรั้งสมุดบัญชีและเครื่องคิดเลขมาไว้กับตัวเองเสียอีก


“เอามานี่เลยไม่ให้ทำแล้ว”


“เต็ม เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ” ไม่พูดเปล่า มือบางก็ตีลงที่แขนแกร่งดังเผียะ


“ไม่ให้ นี่มันเวลาพักผ่อนแล้วนะ ยังจะมานั่งทำบัญชีอีก เงินทองมันไม่หายไปไหนหรอกน่า” พูดจบก็เท้าคางรอฟังสิ่งที่พี่สาวจะบ่นต่อไป เต็มฟ้านั่งลอยหน้าลอยตาเพลิน ๆ จนไม่ได้สนใจมือใหญ่ที่เอื้อมมาจับข้อมือของตนเอง มือที่กำลังเท้าคางก็ถูกดึงออกอย่างรวดเร็วหมายจะแกล้งให้ต้องเจ็บตัวกันบ้าง และเขาหากไหวตัวไม่ทันคางคงได้กระแทกพื้นไปแล้ว คนถูกแกล้งหันขวับมองไปยังเจ้าของมือที่กำลังนั่งยักคิ้วกวน ๆ พลันหัวคิ้วหนาก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอย่างขัดใจทำเอาตามตะวันหัวเราะคิก 


“ถ้าคางแตก สมองกระทบกระเทือนจะรับผิดชอบยังไงครับคุณ”


ศิธาพัฒน์หัวเราะหึในลำคอมองเด็กพูดจาเอาแต่ใจด้วยสายตาแบบที่เจ้าตัวไม่ชอบเห็นเลย 


“อืม...ถ้าคางแตกก็จะพาไปให้คุณพ่อของยะหยาเย็บให้ แต่ถ้าถึงขึ้นสมองเสื่อมพี่จะดูแลไปตลอดชีวิตเลย แค่นี้รับผิดชอบพอไหม”


สิ้นเสียงของคนตรงหน้าก็ให้รู้สึกร้อนวูบที่สองแก้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พูดอะไรไม่ถูกจนสาวสวยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันอดแซวไม่ได้


“ไง โดนเอาคืนบ้างถึงกับไปไม่เป็นเลยเหรอจ๊ะหนุ่มน้อย”


เต็มฟ้าใช้ลิ้นดุนแก้มตัวเองทำกวนประสาทกลบเกลื่อนแต่แก้มขึ้นสีก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของผู้ใหญ่ในวงสนทนาได้อยู่ดี


“นี่เต็มเป็นน้องพี่ชลนะ ไม่มีหรอกจะเข้าข้างกัน นี่ก็อีกคน” พูดจบก็ยื่นมือไปบีบจมูกน้องชายเบา ๆ   

 
“ไม่เข้าข้างแถมยังสมน้ำหน้าด้วยจ้ะ เรื่องทำตัวอาร์ตนี่ไม่มีใครเกิน นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ สงสัยต้องหาใครมาคอยปราบแล้วละมั้ง” ชลธรกล่าวพลางดึงสมุดบัญชีกับเครื่องคิดเลขกลับคืนมาก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ศิธาพัฒน์เป็นการขอบคุณที่ช่วยจัดการน้องชายให้


“ปุ่นก็ช่วยปราบอยู่นี่ไง” คำพูดของผู้เป็นแม่ทำเอาลูกสาวต้องกลั้นยิ้ม   


"เรียกว่าปราบจะได้เหรอจ๊ะแม่"


"ไม่เรียกว่าปราบแล้วจะเรียกอะไร ไหนบอกแม่ซิ"


"อืม...ชลไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วน่ะปุ่นปราบเต็มได้ หรือว่าอยู่กับเต็มมากจนซึมซับจากเต็มมากันมาเยอะ ตอนนี้ก็เลยมีพลังสูสีกัน" สาวสวยหันไปสบตาชายหนุ่มที่กำลังทำหน้างง เห็นว่าศิธาพัฒน์อาจจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ชลธรจึงถามคำถามหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องนึกทบทวนตัวเอง


"ปุ่นน่ะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่รู้จักกับเต็มตัวเองมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง นับวันจะเหมือนกันเข้าไปทุกทีแล้วนะ"


หนุ่มหล่อยิ้มก่อนจะเบนสายตาไปที่หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สบตากันอย่างขอความเห็น อาจจะจริงอย่างที่ชลธรพูดก็ได้ เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกับไอ้เด็กแสบนี่เขาก็ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะตามอีกฝ่ายให้ทันรวมถึงต้องคอยคิดหายุทธวิธีในการปราบให้อยู่หมัดจนบางทีก็ยังไม่อยากจะเชื่อในความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ของตัวเองเหมือนกัน


....


ภายในเกสต์เฮาส์กลับเงียบเชียบลงอีกครั้งหลังจากที่บรรดานักท่องเที่ยวต่างก็ทยอยกันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน อากาศยามค่ำค่อย ๆ ลดอุณภูมิลงจนหลายคนต้องหยิบเสื้อกันหนาวที่ถอดแขวนเอาไว้มาสวมใส่อีกครั้ง เต็มฟ้าถือถุงที่ข้างในมีกล่องพลาสติกใส่ขนมปุยฝ้ายร้อน ๆ ที่เพิ่งยกลงจากเตาซึ่งน้าเดือนฝากให้ศิธาพัฒน์เดินออกไปส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน ร่างเล็กวางถุงขนมในตะกร้าหน้ารถก่อนจะยิ้มให้เจ้าหมาน้อยที่กระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่กระดิกหางรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่หันกลับมาเจ้าของมอเตอร์ไซค์ก็เดินเข้ามาประชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนต้องถอยหนี แต่แขนแกร่งของอีกฝ่ายก็โอบรัดเข้ากับรอบเอวจนแทบจะขยับไปไหนไม่ได้ ดวงตาแสนอ่อนโอนจ้องมองเรียวหน้าอาบแสงนวลของโคมไฟหน้าบ้านไม่วางตา ยิ่งมือบางพยายามจะดันแผงอกให้ห่างออกเท่าไร เขาก็ยิ่งเพิ่มแรงรั้งอีกฝ่ายให้ใกล้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น


“ปล่อยสิ จะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ” คนในอ้อมกอดกล่าวทั้งที่ไม่ได้สบตากัน


“ยังไม่กลับ จนกว่าจะได้ทำโทษเด็กทำผิด”


“เต็มทำอะไรผิด”


“ไม่รู้ตัวเลยเหรอ ตั้งแต่บ่ายมาเรียกชื่อพี่ผิดไปห้าครั้ง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคนฟังก็อดรนทนไม่ได้รีบเงยหน้าขึ้นประท้วงทันที “เฮ้ย! สองครั้งเท่านั้นแหละ พี่ปุ่นมั่วว่ะ”


“รู้ตัวด้วยเหรอ นึกว่าไม่รู้ตัวเสียอีก”


เต็มฟ้ามุ่นคิ้วพยายามจะไม่ใส่ใจสายตาวิบวับของคนตรงหน้าที่กำลังทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ทำไม่ได้เสียที


“แสดงว่าอยากโดนจูบใช่ไหม”


“ไม่ใช่แบบนั้นเลย มั่วตลอด”   

 
ศิธาพัฒน์เพียงแต่ยิ้มรับถ้อยคำต่อว่าที่ดูไม่จริงจังนั่นพลางจ้องมองลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู จะทำอย่างไรได้การที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพียงเพื่อจะหาเรื่องให้ได้อยู่ใกล้ ๆ กันก็เท่านั้น


....


เสียงนาฬิกาปลุกที่น้องชายตั้งเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนยังดังหลอนอยู่ในโสตประสาทแม้ว่าตอนนี้เต็มฟ้าจะพาร่างกึ่งหลับกึ่งตื่นเดินโซซัดเซออกมาที่สนามหน้าบ้านแล้วก็ตาม


“พี่เต็มตื่น ๆ”


“พี่ก็ตื่นแล้วนี่ไง แต่ทำไมฟ้ามันยังมืดอยู่เลย” พี่ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางเดินสะเปะสะปะตามแรงรั้งที่ข้อมือ ในความมืดนั้นได้ยินเสียงลากประตูเปิดดังพร้อมกับเสียงไก่ขันอยู่ไกล ๆ 


“พี่เต็มลืมตาสิฮะ ลืมตา นี่สว่างแล้วนะ”


“สว่างที่ไหนกันยังมืดอยู่เลย” ชายหนุ่มบ่นพร้อมกับพยายามปรือตาซ้ายทีขวาทีต่อสู้กับความง่วง หมอกที่ลงจัดทำให้ต้องยกนาฬิกาขึ้นดูให้แน่ใจ หกโมงเช้าแล้วแต่บรรกาศยังชวนให้หวนกลับไปล้มตัวนอนบนที่นอนอุ่น ๆ ชดเชยเมื่อวันก่อนที่ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ดวงอาทิตย์ยังคงซ่อนตัวอยู่หลังมวลเมฆสีหม่น นึกอิจฉาอีกหลายต่อหลายคนที่ยังคงซุกไออุ่นของผ้าห่มผืนนุ่มอยู่บนเตียง  เช้าวันแรกของการซ้อมวิ่งเริ่มต้นกันตั้งแต่หกโมงเช้าเลยหรือนี่ พี่ชายสะบัดหน้ารัวไล่ความเกียจคร้านเอื้อมมือดึงฮูทเสื้อกันหนาวขึ้นคลุมศีรษะน้องชายที่กำลังนั่งลงผูกเชือกรองเท้าเพื่อป้องกันน้ำค้างที่ลงจัด หลังจากอบอุ่นร่างกายอยู่ครู่หนึ่งตามตะวันก็ออกวิ่งเยาะ ๆ เต็มฟ้าคลี่ยิ้มยืนมองแผ่นหลังเล็กก็เคลื่อนห่างออกไปทุกทีก่อนจะขยับเท้าเดินตามและเริ่มวิ่งในที่สุด



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-08-2014 11:41:58
(ต่อค่ะ)


สายหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนภาพที่เห็นตรงหน้ากลายเป็นสีเทาหม่น ๆ  แม้จะเป็นเช้าวันแรกของวันทำงานแต่ถนนตลาดเก่าทั้งสายกลับยังคงหลับใหล บ้านเรือนหลายหลังปิดเงียบไม่เหลือภาพความคึกคักของถนนคนเดินดังเช่นค่ำคืนที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่บ้านที่ผู้เฒ่าผู้แก่เปิดประตูออกมานั่งรอใส่บาตร สองพี่น้องเริ่งฝีเท้าขึ้นราวกับกำลังวิ่งหนีอากาศหนาวเย็นจนกระทั่งมาถึงสะพานโค้งสีขาว ดวงตาสีนิลทอดมองราวสะพานตรงหน้า จู่ ๆ ภาพความทรงจำแสนหวานก็แทรกซึมไปทุกซอกมุมของความคิด ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าก่อนจะหยุดนิ่งยังจุดที่เคยยืนประจัญหน้ากับใครคนหนึ่ง รอยยิ้มและแววตาแสนอ่อนโยนนั้นยังคงตราตรึงในขณะที่ไออุ่นและสุ้มเสียงของเขาก็ยังไม่สามารถที่จะหาอะไรมาลบออกไปได้ ถึงจะหากระดาษสัญญาแผ่นนั้นพบในตอนนี้เพื่อกลับคำแต่ก็คงยากหากจะกลับใจที่ให้กันไปแล้ว


ในที่สุดมือเย็นเฉียบของน้องชายซึ่งแตะลงบนข้อมือก็เรียกความคิดที่กำลังล่องลอยไปกลับคืนมาอีกครั้ง


“พี่เต็มเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตามเห็นพี่เต็มหยุดอยู่ตรงนี้นานแล้ว”


“ปละ เปล่านี่ พี่ไม่ได้เป็นอะไร วิ่งต่อเถอะ” พูดจบร่างสูงก็ออกวิ่งอีกครั้งโดยมีหนุ่มน้อยตัวเล็กวิ่งตามไปติด ๆ


“น่าจะชวนพี่ปุ่นกับแข็งแรงมาวิ่งด้วยกันนะครับ แข็งแรงมันน่าจะชอบ”


“ป่านนี้ยังไม่ตื่นกันเลยมั้ง ทั้งคนทั้งหมา”


“เดี๋ยวถ้าวันนี้พี่ปุ่นพาแข็งแรงมาตามจะขอให้พี่ปุ่นทิ้งเจ้าแข็งแรงไว้ที่บ้านเรา ตอนเช้าจะได้พามาวิ่งด้วยกัน”


เต็มฟ้าพยักหน้าพลางปาดเหงื่อที่ซึมอยู่กับไรผม วิ่งมาครึ่งทางเพิ่งจะมีเหงื่อซึม ๆ เท่านั้น พอจะรู้สึกอุ่นขึ้นมาหน่อยหลังจากที่ต้องวิ่งไปปากสั่นไปมานาน


“พี่เต็มไม่ชวนพี่ปุ่นมาวิ่งด้วยกันเหรอฮะ”


“ตามอยากให้พี่ปุ่นมาวิ่งด้วยเหรอ”


“ฮะ พี่ปุ่นมาวิ่งด้วยน่าจะสนุก เวลาพี่เต็มกับพี่ปุ่นอยู่ด้วยกันตามว่าสนุกดี พี่เต็มยิ้มกว้างเลย”


“ขนาดนั้นเชียว”


“ครับ”


“ตามชอบพี่ปุ่นเหรอ”


“ชอบครับ พี่ปุ่นใจดี สอนการบ้านเข้าใจ ตอนพี่เต็มไม่อยู่ ตามชอบให้พี่ปุ่นสอนทำโน่นทำนี่ แล้วพี่เต็มล่ะฮะ ชอบพี่ปุ่นหรือเปล่า”


คนถูกถามชะลอฝีเท้ารู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้าทั้งที่อากาศก็เย็นเท่าเดิม แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามนั้น เสียงเห่าของสุนัขที่ไหนก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน เมื่อสองหนุ่มหันกลับไปมองภาพที่เห็นก็คือเจ้าหมาน้อยสวมเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกำลังวิ่งลิ้นห้อยเข้ามาหา


ตามตะวันย่อตัวลงลูบหัวเจ้าหมาน้อยอย่างเบามือก่อนจะเงยหน้าขึ้นทักทายเจ้าของที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดใกล้  ๆ


“กำลังพูดถึงพี่ปุ่นกับแข็งแรงอยู่พอดีเลยฮะ”


“พูดว่าอะไร นินทาพี่หรือเปล่า” 


“เปล่าฮะ เมื่อกี้ตามบอกให้พี่เต็มชวนพี่ปุ่นมาวิ่งด้วยกัน แล้วก็กำลังถามพี่เต็มว่าพี่เต็มชอ....”


“วิ่งต่อเถอะ จะได้รีบกลับไปเตรียมตัวไปโรงเรียนกัน” เต็มฟ้าสบตาศิธาพัฒน์แวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาหนี กะว่าจะวิ่งยาวแบบม้วนเดียวจบเผื่อว่าเจ้าของสายตาแฝงความสงสัยจะลืม ๆ สิ่งที่น้องชายของเขาพูดเมื่อสักครู่ไปบ้าง คิดได้ดังนั้นก็ออกวิ่งอีกครั้งโดยไม่ลืมที่จะรั้งแขนเล็กให้วิ่งไปด้วยกัน


เจ้าแข็งแรงวิ่งตามสองพี่น้องไปตลอดทาง มันหยุดแวะดมโน่นดมนี่เป็นครั้งเป็นคราวเมื่อได้กลิ่นน่าสงสัยแต่ในที่สุดก็ผละออกมาวิ่งตามเจ้านายต่อจนกระทั่งถึงสะพานแขวนสีแดงที่ทอดข้ามแม่น้ำวัง สี่ขาค่อย ๆ ปีนขึ้นไปตามขั้นบันไดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดดมสำรวจที่ที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก


“แข็งแรงมานี่เร็ว”


เมื่อได้ยินเสียงเจ้านายตัวน้อยร้องเรียกเจ้าขนฟูก็ทำหูลู่รีบวิ่งกระดิกหางตรงเข้าไปหาทันที ตามตะวันลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนรั้งปลอกคอเบา ๆ ให้เดินตาม แต่เจ้าหมาน้อยก็ยังดูมีทีท่าเป็นกังวลกับสะพานแคบ ๆ และระยะทางยาวนี้


“เดี๋ยวตามจะพาแข็งไปกินข้าวนะฮะพี่ปุ่น” หนุ่มน้อยกล่าวกับพี่ชายตัวสูงที่กำลังเดินขึ้นสะพานมา


ศิธาพัฒน์พยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นชายหนุ่มผู้เก็บงำความสงสัยมาหลายกิโลเมตรจึงเอ่ยขึ้น “แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ที่คุยค้างไว้น่ะ ตกลงมันเรื่องอะไรเหรอ”


ทั้งที่มีแผนการอยู่ในหัวมากมายที่จะหลบเลี่ยงสถานการณ์นี้ แต่สิ่งที่เต็มฟ้าสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการหายใจทางปากแล้วปล่อยให้สองคนคุยกันไปเท่านั้น 


“อืม...อ๋อ เมื่อกี้ตามถามพี่เต็มว่าพี่เต็มชอบพี่ปุ่นหรือเปล่า”


“แล้วพี่เต็มตอบว่ายังไงครับ”


“พี่เต็มยังไม่ทันได้ตอบ พี่ปุ่นกับแข็งแรงก็มาพอดีฮะ”


จบกัน....พี่ชายทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งลงข้าง ๆ กัน รอยยิ้มปริศนาของเขาช่างมีอิทธิพลพอจะทำให้คนมองเริ่มรู้สึกไม่วางใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้เสียเหลือเกิน


“พี่เต็ม ถ้าอย่างนั้นตามกลับบ้านก่อนนะฮะ”


เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย อยากจะตอบแต่ก็พูดไม่ออกจึงได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ และโบกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าให้นำไปก่อนเท่านั้น


“แค่นี้ก็หอบแฮกแล้วเหรอ สู้ตามก็ไม่ได้” ศิธาพัฒน์พูดกล้าวหัวเราะมองดูแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด


“มะ...ไม่เหนื่อย บ้าง หรือไง” ปากบางขมุบขมิบก่อนจะยกมือขึ้นซับเหงื่อ พลันความเย็นจากขวดน้ำพลาสติกที่แตะเข้ากับข้างแก้มก็ทำเอาสะดุ้ง


“ดื่มน้ำก่อน จะได้หายเหนื่อย พอหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยพูด”


คำพูดแฝงปริศนานั่นทำเอาเต็มฟ้ากล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะรับขวดน้ำนั้นมา จนในที่สุดเจ้าของขวดน้ำก็เป็นฝ่ายเปิดฝาแล้วส่งให้


“ดื่มเร็ว ไม่ได้ใส่ยาพิษหรอกน่า รู้ว่าระดับนี้ยังไงก็ฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว”


คนฟังยักไหล่อย่างไม่ยี่หระแต่เมื่อจะรับขวดน้ำมาดื่มอีกคนกลับชักมือกลับเสียได้


“ฮึ่ย ผู้ใหญ่ให้ของต้องทำยังไงก่อน”


“ขอบคุณคร้าบบบบบบบบบ”


ถึงจะเป็นคำขอบคุณที่ฟังยียวนกวนประสาทที่สุดแต่ศิธาพัฒน์ก็ยอมส่งขวดน้ำให้อีกครั้ง และเพราะความกลัวว่าจะโดนแกล้งอีกมือเรียวรีบจึงรีบคว้าขวดน้ำมาดื่มดับกระหายทันทีในขณะที่ดวงตาคู่สวยก็ยังคงจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่วางใจอยู่ดี


เจ้าของขวดน้ำยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อที่ตกลงมาปรกหน้าผากของไอ้ตัวแสบ นึกสงสารอยู่เหมือนกันที่ต้องมานั่งหอบแฮกหมดแรงอยู่อย่างนี้แต่เพราะความกวนประสาทก็ทำให้อดที่จะแกล้งไม่ได้     


“ใส่แต่ยาเสน่ห์ให้หลงรักหัวปักหัวปำต่างหาก”


ประโยคสั้น ๆ ทำเอาคนฟังเบิกตากว้างก่อนจะ....


พรวดดดดดดดดด!!!!!!


“หือ!! เต็ม!! เกือบโดนหน้าแน่ะ” ศิธาพัฒน์โวยวายมองดูชายหนุ่มที่กำลังไอโครกเพราะสำลักน้ำ   


ทันทีที่ตั้งตัวได้เต็มฟ้าก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่น ๆ ถ้าจะโดนเข้าจริง ๆ ก็น่าจะสมควรแล้วกับการพูดอะไรไม่เข้าท่า


“กลัวไม่ขลัง เลยจะแถมน้ำมนต์ปลุกเสกโดยหลวงพ่อเต็มให้ด้วยไง” พูดจบก็ทำท่าจะใช้หลังมือซับน้ำทั้งที่ปากและจมูก แต่แล้วก็ต้องชะงักมือถูกคนข้าง ๆ รั้งเอาไว้


“สกปรก เดี๋ยวพี่เช็ดให้” เจ้าของแววตาอ่อนโยนกล่าวพลางใช้มืออีกข้างล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อกันหนาวก่อนจะซับน้ำให้อย่างเบามือ


“ปากเก่งไม่มีใครเกินจริง ๆ เลยนะเด็กคนนี้น่ะ”


“ใครใช้ให้พูดไม่เข้าหูล่ะ”


“ถ้าอยากให้คนอื่นพูดจาให้เข้าหู ตัวเองก็ต้องพูดจาให้เข้าหูคนอื่นก่อนสิ” ชายหนุ่มลดมือลงก่อนจะเก็บผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋าเสื้อ


“ก็พูดให้ได้ยินอยู่เต็มสองหูยังจะว่าเต็มพูดไม่เข้าหูอีกเหรอ”


“ใช่ ยังไม่ได้ยินเลย”


“ยังไม่ได้ยินอะไร”


“ก็ยังไม่ยินเต็มตอบคำถามที่ตามถามเมื่อกี้เลย”


“อืม..คำถามที่ตามถามเหรอ” ชายหนุ่มทวนคำทำเฉไฉลุกขึ้นยืนปิดขี้เกียจเหลือบมองคนที่ลุกตามขึ้นมายืนข้าง ๆ กัน


“ใช่”


“จำไม่ได้แล้วว่าตามถามอะไร ถ้าอย่างนั้นเต็มกลับไปถามน้องก่อนนะ” พูดจบก็รีบวิ่งจู๊ดลงสะพานไปปล่อยให้ศิธาพัฒน์ได้แต่โคลงศีระษาอย่างอ่อนใจ


“ไอ้ตัวแสบ เลี่ยงให้ได้ตลอดเถอะ”


เสียงตะโกนตามหลังเรียกรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังวิ่งห่างออกมาจากต้นเสียง ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงได้ตลอดหรือเปล่า และถึงแม้จะป็นคำถามที่มีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็ตามแต่วันนี้ขอข้ามไปก่อนก็แล้วกัน


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาภาพของสองพี่น้องที่วิ่งเคียงกันไปบนถนนในทุก ๆ เช้าและทุก ๆ เย็นโดยมีเจ้าสุนัขขนปุยคอยตามอยู่ไม่ห่างก็กลายเป็นภาพคุ้นตาของคนในละแวกตลาดเก่า จนกระทั่งหลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์งานกีฬาสีของโรงเรียนก็มาถึง


ศิธาพัฒน์จ้องมองร่างบางที่กำลังเดินนำหน้าด้วยความรีบร้อนเมื่อเสียงกลองของขบวนพาเหรดโรงเรียนประถมดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อเห็นพอจะมีช่องว่างเต็มฟ้าก็แทรกตัวเข้าไปยืนรวมกับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต่างก็เฝ้ารอดูลูกสาวลูกชายของตนเองอย่างใจจดใจจ่อ กล้องดิจิตัลตัวเล็กถูกดึงออกมาจากเป้สะพายหลังเมื่อเสียงฮือฮาดังขึ้นจากหัวถนน เสียงกลองและเสียงเครื่องเป่าดังใกล้ เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างเล็กของคฑากรหนุ่มหล่อปรากฏขึ้น ผู้ปกครองหลายคนต่างชี้ชวนกันดูบุตรหลานของตนเองที่อยู่ในขบวน จากนั้นต่างคนต่างก็หยิบทั้งกล้องดิจิตัลและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพความประทับใจที่หนึ่งปีจะมีสักครั้งเก็บเอาไว้


“หล่อมาเชียว น้องชายใครก็ไม่รู้” ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกันกล่าวพลางยกศอกสะกิดชายหนุ่มที่มัวแต่ยืนอมยิ้มจนลืมกดชัตเตอร์กล้องในมือเสียสนิท


“มีพี่ชายหล่อก็แบบนี้แหละ” พูดจบปลายนิ้วเรียวก็แตะลงบนชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพในขณะที่คฑาถูกโยนขึ้นลอยเคว้งอยู่กลางอากาศก่อนจะตกลงสู่มือของคฑากรคนเก่ง


ตามตะวันส่งยิ้มให้พี่ชายทั้งสองคนก่อนจะเดินนำขบวนผ่านไปอย่างสง่างาม จนในที่สุดขบวนก็ผ่านเข้าประตูโรงเรียนไปรวมกันอยู่ที่สนามหน้าเสาธงซึ่งพวกเด็ก ๆ ใช้ทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการเข้าแถวเคารพธงชาติหรือกีฬาและการละเล่นต่าง ๆ
เมื่อเสียงเพลงบรรเลงจากวงโยธวาทิตเงียบลง ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ขึ้นกล่าวเปิดงานก่อนจะมีการจุดไปที่กระถางคบเพลิงกีฬาสีของโรงเรียนจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์


“พี่ถ่ายรูปให้นะ” เต็มฟ้ากล่าวกับน้องชายที่กำลังยืนรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อน ๆ รอฟังเสียงประกาศของคุณครูว่าจะต้องทำอะไรต่อไป


“ยะหยาขอถ่ายกับตามด้วยนะคะ” มีต้นเสียง เด็ก ๆ คนอื่น ๆ ก็พากันกรูเข้ามาขอถ่ายรูปกับคฑากรหนุ่มหล่อด้วย ภาพที่ได้จึงเป็นภาพที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพของเพื่อน ๆ ที่ตามตะวันคงจะต้องจดจำไปอีกนาน


“พี่เต็มฮะ ตามขอกล้องของตามหน่อยสิฮะ” หนุ่มน้อยกล่าวขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ พากันสลายตัวไปถ่ายรูปกับคนอื่น ๆ บ้าง “ตามอยากถ่ายรูปพี่เต็มกับพี่ปุ่นบ้าง”


พี่ชายยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหยิบกล้องโพลารอยด์ตัวเก่งออกมาจากเป้ส่งให้กับน้องชาย


“พี่ปุ่นยืนชิด ๆ พี่เต็มหน่อยฮะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นศิธาพัฒน์ก็ไม่รีรอที่จะขยับเข้าไปใกล้ ๆ ชายหนุ่มร่างบางที่อยู่ไม่ห่างกันนัก


“ห่างหน่อยก็ได้” เต็มฟ้ากล่าวทั้งที่ยังมองไปที่ตากล้องตัวเล็ก


“ตากล้องสั่งให้ชิดก็ต้องชิดสิ เดี๋ยวภาพไม่สวย” พูดจบแขนแกร่งก็ยกขึ้นโอบไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้


“ยิ้มนะฮะ หนึ่ง..สอง...สาม”


แชะ!


ทันทีที่เงียบเสียงชัตเตอร์ รูปที่ผ่านกระบวนการล้างอัดภาพในตัวก็ไหลออกมาจากตัวกล้อง เพียงสัมผัสกับอากาศภาพที่ถูกบันทึกได้ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น


“ตาม ไปเตรียมเชียร์เพื่อน ๆ ที่อัฒจันทร์ได้แล้ว คุณครูเรียกแล้ว” หมูอ้วนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากล่าวละล่ำละลักพร้อมกับดึงแขนเพื่อนรักให้เดินไปยังอัฒจรรย์ของสี


“พี่ปุ่น พี่เต็ม เดี๋ยวตามไปเปลี่ยนชุดก่อนนะฮะ” พูดจบหนุ่มน้อยก็รีบเดินตามเพื่อนไปพร้อมกับกล้องโพลารอยด์และภาพถ่ายในมือ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-08-2014 11:42:20
(ต่อค่ะ)



เสียงประกาศให้สมาชิกของแต่ละสีไปรวมกันที่อัฒจันทร์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจราวนกกระจอกแตกรัง แต่กระนั้นเด็ก ๆ ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งของคุณครูได้อย่างถูกต้อง สนามหน้าโรงเรียนถูกเตรียมเพื่อใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า พ่อแม่ ผู้ปกครองต่างหาที่ร่มเพื่อหลบแดดรอดูลูกหลานของตนเองที่กำลังเตรียมตัวลงสนาม ศิธาพัฒน์และเต็มฟ้าพากันเดินไปยังอัฒจรรย์สีของตามตะวันก่อนจะหาที่เหมาะ ๆ เพื่อรอชมการแข่งขัน ไม่นานเสียงประกาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นการแนะนำรายการการแข่งขันชนิดกีฬาที่จะทำการแข่งขัน เช่น ชักเย่อ เก้าอี้ดนตรี กินวิบาก เหยียบลูกโป่ง แชร์บอล รวมไปถึงรายการสำคัญซึ่งก็คือการแข่งวิ่ง การแข่งขันกีฬาดำเนินไปท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ และสายลมเย็นกลางฤดูหนาว วันนี้เป็นวันที่โรงเรียนมีแต่เสียงหัวเราะ รอยยิ้มมีให้เห็นเกลื่อนไปหมดไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มของเด็ก ๆ และผู้ปกครองที่ยืนเกาะขอบสนาม สำหรับพี่ป.6 ถือว่านี่คือการทิ้งทวนสร้างชื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่อในชั้นมัธยมต้น ดังนั้นหลายคนจึงทุ่มเททำกิจกรรมอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงเพื่อเหรีญญรางวัลแต่หากเป็นการใช้ชีวิตแบบเด็ก ๆ ร่วมกับเพื่อน ๆ ให้คุ้มค่าที่สุด


เวลาผ่านไปจนกระทั่งบ่ายคล้อยในที่สุดรายการแข่งขันที่ทุกครอคอยก็มาถึง เป็นการแข่งขันรายการสุดท้ายก่อนที่จะมีพิธีปิดงานกีฬาสี เด็ก ๆ หลายคนพากันเปลี่ยนชุดก่อนจะไปยืนรอที่จุดนัดหมาย จากนั้นเด็ก ๆ ที่เป็นตัวแทนของสีในแต่ละกลุ่มประเภทของการวิ่งก็พากันเดินลงไปยังสนามถูกโรยด้วยปูนขาวตีเป็นเส้นแบ่งลู่ ยืนประจำที่ของตนเอง เมื่อสิ้นเสียงสัญญาณปล่อยตัว เสียงเชียร์และเสียงรัวกลองของสีต่าง ๆ ก็ดังขึ้นแข่งกันไปพร้อม ๆ กับการออกสตาร์ทของเหล่านักกีฬาตัวน้อยในสนาม การแข่งขันวิ่งยังคงดำเนินดำเนินไปจนกระถึงการวิ่ง 100 เมตร ซึ่งเป็นประเภทสุดท้ายก่อนพิธีปิด ซึ่งตามตะวันลงแข่งขันในประเภทนี้ โดยก่อนหน้านี้เขาและเพื่อน ๆ สามารถคว้าเหรีญทองจากการวิ่งผลัดมาให้สีได้ ดังนั้นในการแข่งขันครั้งสุดท้ายนี้สมาชิกในสีจึงพากันฝากความหวังเอาไว้กับหนุ่มน้อย


“พี่เชียร์อยู่นะ” เต็มฟ้ากล่าวพลางตบบ่าน้องเบา ๆ ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินลงไปในสนาม เสียงกระกาศ ‘เข้าที่’ ดังขึ้นสะกดให้ทุกสายตาจดจ้องไปที่จุดสตาร์ท และทันทีที่เสียงสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น บรรดาหนุ่มน้อยนักกีฬาก็ออกวิ่งกันแบบไม่คิดชีวิต พี่ชายจ้องมองน้องชายตาเขม็งในขณะที่สองมือที่เคยกุมกันไว้หลอม ๆ กลับบีบเข้าหากันแน่นลุ้นเสียจนนั่งไม่ติด เมื่อผ่านไปได้ครึ่งทางจู่ ๆ น้องชายที่เป็นฝ่ายนำอยู่ก็ถูกคู่แข่งตีคู่ขึ้นมาก่อนจะเบียดเข้าเส้นชัยไปก่อนเพียงนิดเดียวเท่านั้น


หนุ่มน้อยผู้แบกรับเอาความคาดหวังของเพื่อน ๆ และคุณครูเอาไว้ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นก่อนจะใช้กำปั้นทุบดินอย่างไม่กลัวเจ็บหรือหากจะเจ็บก็คงจะเจ็บที่ใจมากกว่าเพราะอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะสามารถทำเหรียญทองเพิ่มให้สีได้อยู่แล้วแต่กลับโดนแซงเสียได้ ทันทีที่เห็นหน้าพี่ชายเดินตรงเข้ามาหาก็ยิ่งรู้สึกเสียดายเวลาที่ฝึกซ้อม คิดแล้วน้ำใส ๆ พาลจะไหลออกจากตา


“พี่เต็ม..” ตามตะวันกล่าวเสียงเครือ มองดูมืออุ่นของพี่ชายที่กำลังปัดเศษหญ้าที่ปลายกำปั้นออกให้


“ไม่เป็นไรน่า เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะ” เต็มฟ้ายิ้มจาง ๆ ก่อนจะดึงร่างของหนุ่มน้อยเข้ามากอดไว้พร้อมกับตบลงบนแผ่นหลังเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจเหมือนกับที่น้องชายเคยทำให้


“แค่นี้ก็เก่งมากแล้วรู้ไหม เตรียมตัวไปรับรางวัลเถอะ เพื่อน ๆ กำลังรอตามอยู่นะ” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นมาจับที่ไหล่เล็กพร้อมกับดึงร่างของน้องชายให้ลุกขึ้น เมื่อตามตะวันมองกลับไปยังอัฒจันทร์สีของตนเองก็พบว่าทุกคนกำลังรอเขาอยู่จริง ๆ หลายคนต่างโบกมือพร้อมกับส่งเสียงเรียก มีแต่รอยยิ้มกับรอยยิ้มเท่านั้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเพื่อน ๆ หนุ่มน้อยหันมาสบตาพี่ชายด้วยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งไปหาเพื่อน ๆ ที่อัฒจรรย์


“บอกน้องไม่ให้ร้องไห้ พี่ชายก็อย่าร้องไห้เสียเองนะ” เสียงของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทำเอาเต็มฟ้าต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุบ้าง


“ร้องไห้ที่ไหนกันเล่า ระดับนี้แล้ว” พูดจบก็หันไปยักคิ้วให้เป็นการยืนยันว่าคนอย่างเต็มฟ้าไม่มีทางเสีน้ำตาให้กับเรื่องพวกนี้


“ก็ดีแล้ว นึกว่าจะสงสารน้องจนร้องไห้เสียเองซะอีก ไปเถอะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางตบบ่าคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังอัฒจันทร์ ครู่หนึ่งเสียงประกาศให้สมาชิกของทุกสีลงมารวมตัวกันที่สนามก็ดังขึ้นเพื่อรอทำพิธีมอบรางวัลต่าง ๆ จากการแข็งขันกีฬาที่มีขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า


เมื่อชื่อของเด็กชายตามตะวัน ตติยพัฒน์ถูกประกาศขึ้น บรรดาเพื่อน ๆ สีเดียวกันต่างก็ปรบมือโห่ร้องแสดงความยินดีกับรางวัลที่เขาได้ หนุ่มน้อยขึ้นไปยืนรับเหรียญเงินในการวิ่ง 100 เมตร จากผู้อำนวยการโรงเรียนก่อนจะตรงไปหาพี่ชายที่ยืนรอเขาอยู่ที่ท้ายแถวใกล้กับอัฒจันทร์


“ตามทำได้แค่นี้เองพี่เต็ม” เจ้าของร่างเล็กกล่าวพลางชูเหรียญรางวัลขึ้น ซึ่งดวงตาของพี่ชายนั้นไม่มีแม้แต่แววแห่งความผิดหวัง เต็มฟ้ายังคงยิ้มและเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจ ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งใช้สองมือบีบบนไหล่ของคนตรงหน้าเพื่อเป็นการยืนยันในทุกสิ่งที่เข้ากำลังจะพูดออกไป


“บางครั้งการชนะคนอื่นมันก็ไม่น่าภูมิใจเท่ากับชนะที่ตรงนี้หรอกนะ” พูดจบมือข้างหนึ่งก็เลื่อนลงมาจิ้มที่กลางอกคนฟัง “วันนี้ตามอาจจะไม่ได้เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขัน แต่วันนี้ตามชนะใจตัวเองนะรู้ไหม ตามเอาชนะคำพูดแล้วก็ความคิดของหลาย ๆ คนที่คิดว่าตามทำไม่ได้ แต่วันนี้ตามพิสูจน์ให้ใคร ๆ เห็นแล้วว่าตามทำได้ พี่กับพ่อ...แล้วก็แม่ ภูมิใจในตัวตามมากนะ”


“พี่เต็ม...” หนุ่มน้อยโผเข้ากอดพี่ชายแน่นจนแทบหายใจไม่ออก 


“อะ..ไอ้ปีศาจเปลือกส้ม นะ..นี่แกตั้งใจจะฆ่าฉันใช่ไหม”   

   
“พี่เต็มน่ะ ตามไม่ใช่ปีศาจเปลือกส้มนะ” ตามตะวันโวยวายแกล้งกอดให้แน่นขึ้นจนพี่ชายต้องรีบผละออกทันที


“เฮ้อ...ทำซึ้งกันอยู่ไม่เท่าไรก็ไปไม่รอดเสียแล้ว” ศิธาพัฒน์ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองเด็กหญิงผมเปียและเด็กชายตุ้ยนุ้ยที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา


“ตาม ยะหยาดีใจด้วยนะ ตามเก่งมากเลย”


“ช่ายยยย หมูอ้วนลุ้นจนตัวโก่งเลยนะ แหกปากเชียร์ตามจนคอแห้งเลย เสียดายที่โดนแซงไปได้ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ได้เหรียญเงินก็เก่งสุด ๆ แล้ว หมูอ้วนยังทำไม่ได้เลย”


“ขอบใจนะ” ตามตะวันยิ้มตาหยี


“อืม...ถ้าหมูอ้วนอยากได้เหรียญคงต้องลงแข่งกลิ้งหรือแข่งกินแล้วละ ยะหยาว่าต้องได้เหรียญทองแน่ ๆ เลย” สิ้นเสียงเด็กหญิงผมเปียทุกคนก็พากันหัวเราะชอบใจแม้แต่คนที่ถูกพาดพิงเอง


“เอาละเด็ก ๆ พี่ว่าเย็นนี้เราไปฉลองเหรียญเงินให้นักวิ่งลมกลดกันดีกว่านะ เดี๋ยวพี่จะเข้าครัวทำอาหารสูตรพิเศษให้ทุกคนได้ลิ้มลอง”


เต็มฟ้าหรี่ตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันอย่างไม่เชื่อหู ในขณะที่เด็ก ๆ กลับพากันร้องเฮด้วยความยินดีที่จะได้ชิมอาหารฝีมือพี่ชายใจดี


“ทำเป็นเหรอ โม้หรือเปล่า”


“อ้าว อย่าดูถูกกันนะครับคุณ ผมจะถือว่านี่คือการหมิ่นประมาทนะครับ”


“ประสาทจริง ๆ”


....


เย็นวันนั้นเด็ก ๆ นัดไปรวมตัวกันที่แสงจันทร์เกสต์เฮาส์ ของสดต่าง ๆ ถูกนำมาวางเตรียมไว้เพื่อรอพ่อครัวกิตติมศักดิ์ได้สำแดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน


“ซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้ ตกลงพี่ปุ่นจะทำอะไรกันแน่ บอกเต็มได้หรือยัง” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นขณะหยิบเนื้อหมูออกมาล้างตามคำบัญชาของ ‘ท่านผู้บัญชาการ’ ที่เขาเพิ่งตั้งให้หมาด ๆ


“พี่ว่าจะทำบาร์บีคิว เมื่อกี้บอกให้พี่ชลให้คนงานช่วยตั้งเตาที่สนามหญ้าแล้ว อืม...ส่วนผักพวกนี้ก็ว่าจะชุบแป้งแล้วก็ทอดกินกับน้ำจิ้มไก่ คิดว่าเด็ก ๆ น่าจะชอบ”


คนถามพยักหน้า เมื่อรู้รายการอาหารแบบนี้ก็ทำให้พอจะวางแผนได้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ชายหนุ่มหันไปเปิดถุงหยิบผักสดและพริกหยวกออกมาจัดการล้างให้สะอาดก่อนจะพักไว้บนตะแกรง ในขณะที่ศิธาพัฒน์เองก็เริ่มหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นก่อนจะหมักด้วยซอสปรุงรสและซอสมะเขือเทศในชามอ่างที่เตรียมเอาไว้


“พี่ปุ่น เต็มขอหอมหน่อย อยู่นะ...” ยังพูดไม่ทันจะจบคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหั่นผักก็จำต้องวางมีดเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างสูงที่อยู่ ๆ ก็เข้ามายืนเบียดอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นแก้มมาใกล้ ๆ


“พี่พร้อมแล้ว”


เต็มฟ้ามองแก้มขาว ๆ ที่เป่าลมจนป่องอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะใช้ศอกดันอีกฝ่ายให้ออกห่าง “ไม่ใช่หอมแบบนี้ เต็มหมายถึงหัวหอมใหญ่ตรงนั้น หยิบให้เต็มหน่อยเต็มจะล้าง”


“โธ่...ก็พูดไม่เคลียร์เองนี่นา ไอ้เราก็คิดว่าจะหอมแบบนี้” ไม่พูดเปล่า ยังสาธิตด้วยการกดปลายจมูกลงบนแก้มใสพร้อมกับสูดลมหายใจดังฟอด ทั้งที่คนอายุน้อยกว่าพยายามเอียงคอหนีแต่ก็ไม่อาจพ้นปลายจมูกที่มีความเร็วกว่าแสงของอีกฝ่ายไปได้

 
“เดี๋ยวก็ยืมพุงเป็นที่เก็บมืดเสียหรอก” เต็มฟ้ากล่าวอย่างขัดใจ ทำท่าจะสาธิตเช่นกันแต่ศิธาพัฒน์ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ทัน ไม่เช่นนั้นคงจะกลายเป็นที่เก็บมืดเข้าจริง ๆ


“ใจร้ายจริง” คนตัวสูงบ่นพึมพำก่อนจะเดินไปหยิบถุงใส่หอมใหญ่ให้ยังไม่วายที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาให้คนฟังคันยุบยิบในหัวใจ “อนุญาตให้เสียบลงมาแค่ที่พุงนะ ถ้าเสียบที่ใจละก็ เต็มไม่มีที่อยู่แน่ ๆ”


“เกี่ยวอะไรกัน”


“ก็ในใจพี่มีเต็มอยู่ในนั้นไง” พูดจบก็ระเบิดหัวเราะจนหน้าหมั่นไส้ แทนที่คนฟังจะขวยเขินก็กลายเป็นชบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดหาทางเอาคืนแทน


เต็มฟ้าโคลงศีรษะถอนใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปล้างหอมใหญ่ก่อนจะหั่นเป็นชิ้นเตรียมเอาไว้ จากนั้นจึงจัดการปอกสับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเตรียมใส่ถาด ระหว่างรอให้ซอสปรุงรสซึมเข้าไปในเนื้อหมูที่ถูกพักเอาไว้ในชามอ่าง ชายหนุ่มก็เตรียมผสมแป้งสำหรับชุบทอดก่อนจะขยับไปยืนข้าง ๆ ศิธาพัฒน์ที่กำลังยืนหั่นผักอยู่ไม่ไกลเห็นว่าผักบุ้งถูกเด็ดแยกใบและก้านออกจากกัน ส่วนข้าวโพดอ่อนและเห็ดก็ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ


“แสดงว่าตอนเด็ก ๆ ไม่ชอบกินผักละสิ ถึงต้องใช้วิธีนี้”


“ก็ไม่เชิงนะ แต่พี่ไม่ชอบกินผักชิ้นใหญ่ ๆ” ศิธาพัฒน์เลื่อนสายตาขึ้นมองแก้มเนียนของอีกฝ่ายที่ขณะนี้อยู่ใกล้กันเพียงแค่ปลายจมูกกั้น “ยิ่งทำให้มันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้มากเท่าไรก็ยิ่งลืมความเป็นผักของมันไปเลย”


“เฮ้อ...อะไรของพี่ปุ่น เต็มว่ามันเป็นข้ออ้างของเด็กที่ไม่ชอบกินผักมากกว่า” หน้าเรียวส่ายน้อย ๆ เกาหัวแกรกแต่ดวงตาก็ยังคงทอดมองไปที่ปลายมีดราวกับพยายามจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายเอาไว้


ศิธาพัฒน์คลี่ยิ้มก่อนจะจะวางมีดลงหันมาพูดกับเจ้าของกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คลอเคลียอยู่กลับปลายจมูก “ขอหอมหน่อยสิ”


“จะชุบแป้งทอ..ด..” ผู้ช่วยพ่อครัวเตรียมจะหันกลับไปหยิบถาดใส่วัตถุดิบที่วางอยู่ไม่ไกลมือ แต่รู้ตัวอีกถูกล็อกคอไปแล้ว ชั่วพริบตาลำแขนหนาของร่างสูงก็เหนี่ยวลำคอให้แก้มกับปลายจมูกสัมผัสกันอีกครั้ง


“เฮ้ย!!!!” คนตัวบางร้องเสียงหลงพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของอีกฝ่ายแต่ก็ไร้ผล ไม่มีทางแน่ที่คนชอบแกล้งอย่างศิธาพัฒน์จะยอมปล่อยง่าย ๆ  เต็มฟ้าเบนหน้าหนีไม่อยากเห็นรอยยิ้มที่ช่างมีอิทธิพลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจและเลือดลมในร่างกายนี่เอาเสียเลย คิ้วหนามุ่นเข้าหากันเมื่อความรู้สึกวูบร้อนแล่นไปทั่วทั้งใบหน้า ลมหายใจอุ่น ๆ ยังคงไม่ห่างไปจากผิวแก้ม สัมผัสนุ่มนวลจากปลายจมูกซุกซนลากไล้ไปตามสันกรามราวกับจะแกล้งกันให้ละลายลงไปกองอยู่กับพื้นตั้งแต่วินาทีนี้


“หอมจริง ๆ ด้วย”


เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นที่ข้างหูเรียกสติกระเจิดกระเจิงกลับคืนมาอีกครั้ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะคลายออกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชวนสะพรึงแทน มือเรียวเอื้อมหยิบหอมหัวใหญ่ที่หั่นเอาไว้มากำไว้ “นี่ต่างหากหอมจริง ๆ” พูดจบก็จัดการโปะหอมในมือใส่หน้าของอีกฝ่ายแถมยังขยี้จนศิธาพัฒน์ต้องรีบคลายวงแขนออก


“เต็ม!!! เล่นอะไรเนี่ย” ร่างสูงโวยวายพลางใช้มือลูบหน้าลูบตาตัวเอง จ้องหน้าไอ้ตัวแสบที่เล่นเอาน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด


“ไม่ได้เล่นนะ แค่จะบอกว่าเด็กชายศิธาพัฒน์ว่าหอมจริง ๆ มันหน้าตาเป็นแบบนี้”


คนฟังส่งสายตาเคืองมองหนุ่มน้อยที่ยังคงลอยหน้าลอยตากอดอกยักคิ้วยิ้มอย่างสะใจ นึกอยากจะจับมาสอนให้รู้ว่า ‘หอม’ ในความหมายของศิธาพัฒน์มันเป็นยังไงเสียให้แก้มช้ำ แต่ก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มสยองขวัญกลับไปเหมือนเป็นการประกาศกร้าวว่า ‘อย่าเผลอก็แล้วกันไม่อย่างนั้นจะโดนเอาคืนแน่ ๆ’


เย็นนี้เด็ก ๆ ต่างก็สนุกนานกับการช่วยกันปิ้งบาร์บีคิว เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากด้านหนึ่งของสนามหญ้า กลิ่นหอมของบาร์บีคิวทำเอาเจ้าแข็งแรงที่กำลังนอนหลับต้องเด้งตัวลุกนั่งกระดิกหางเกาะติดชิดขอบเตารอส่วนแบ่งกับเขาด้วย พ่อเลี้ยงตรัยที่มาถึงตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายเพื่อให้ทันถ่ายรูปคู่กับลูกชายคนเก่งกำลังนั่งลูบ ๆ คลำ ๆ เหรียญโลหะสีเงินทรงกลมแบนอยู่ที่โต๊ะโดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย


“อิ่มอกอิ่มใจหรือไงพ่อ” เต็มฟ้ากล่าวพลางรินน้ำใส่แก้วแจกจ่ายให้ทุกคน


“สงสัยอาหารฝีมือปุ่นกับเต็มจะเป็นหม้ายแล้วละมั้ง เห็นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลูบ ๆ คลำ ๆ เหรียญนี่อยู่เป็นนานสองนาน” เดือนดารากล่าวเสริมพร้อมกับวางจานบาร์บีคิวลงบนโต๊ะ คำพูดของน้องภรรยาทำเอาพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่เผลอยิ้มออกมาอย่างเขิน ๆ


“แหม...ก็มันปลื้มใจนี่นา คนเป็นพ่อมันก็อย่างนี้แหละ ปลื้มใจกับเรื่องของลูกได้ทุกเรื่องถึงจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จริงไหมปุ่น พ่อเราก็เป็นแบบลุงใช่ไหม”


“ครับคุณลุง” ศิธาพัฒน์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะรับแก้วน้ำที่ลูกชายพ่อเลี้ยงส่งให้


“เสียดายจังเลยนะที่คราวก่อนเต็มไม่ได้เจอกับคุณพ่อกับคุณย่าของปุ่น เห็นตามมาเล่าให้ฟังว่าทั้งสองคนใจดีมาก ๆ เลย” 


“พ่อกับย่าก็บ่นเสียดายอยู่เหมือนกันครับพี่ชล” พูดจบก็หันไปไปสบตาคนนั่งข้างกันที่กำลังนั่งเคี้ยวบาร์บีคิวตุ้ย ๆ ไม่สนใจโลกเอาเสียเลย



....
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-08-2014 12:28:49
อ่านเรื่องนี้ทีไรมันชวนอบอุ่นในใจทุกที
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 08-08-2014 12:49:14
พี่ปุ่นอบอุ่นจัง :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 08-08-2014 13:13:29
น้องตามพี่เต็ม พี่น้องคู่นี้น่ารักจริงๆ
ส่วนพี่ปุ่นมุขหอมหน่อย ยังหากินได้อยู่
หอมแก้มเต็มจนชื่นใจเลย พี่ปุ่นยังอบอุ่นเสมอ
แต่ติดกวนๆ ด้วย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 08-08-2014 13:18:23
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:  เต็มซึนนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 08-08-2014 13:38:00
น่ารักจังเลยย
ได้อ่านเรื่องอุ่นๆ ตอนที่ไม่สบายนี่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ 5555

อ่านแล้วนึกภาพตามตลอดก็อมยิ้มไปทั้งตอนเลยค่ะ
แต่แอบกังวลใจเรื่องคุณย่าพี่ปุ่นแฮะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-08-2014 13:43:05
ซึ้งใจกับความรักความอบอุ่นของพี่เต็มน้องตาม
พี่ปุ่นตอดเล็กตอดน้อยตลอดเลย

อัฒจรรย์>>>>>>>>>>อัฒจันทร์
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 08-08-2014 13:52:22
หวานไปไหนนนนนนนน
รักพี่ปุ่นอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 08-08-2014 14:51:49
เล่นมุขกันตลอดสองคนนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 08-08-2014 14:53:25
หยอกกันได้น่ารักมากเลย พี่ปุ่นกับน้องเต็มฟ้า :-[

ตามเก่งมาก o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 08-08-2014 15:03:32
เค้าหวานกันวันละนิด แต่ทุกวันดีจังอ่ะคู่นี้ อมยิ้มทุกที ที่มีพี่ปุ่นและน้องตาม คึคึคึคึ :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 08-08-2014 15:35:51
คู่นี้เค้าหวานกันดีนะ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-08-2014 15:44:13
 :man1:
ในชีวิตจริง จะมีแบบนี้บ้างไหมน้าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-08-2014 15:54:28
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 08-08-2014 17:40:42
 อยากจะหอมบ้าง
แต่ไม่เอาหอมที่เป็นผักนะ โหดร้ายสุดดด เอามาโปะหน้าได้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 08-08-2014 19:07:23
อิๆๆ มีสวีตตี้กันด้วยอ่ะ~~~
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 08-08-2014 19:21:08
ฮรืออออ ดีใจได้อ่านแล้ว ทำงานแทบไม่รู้เรื่อง อยากแต่จะอ่านนิยาย จะอู้ก็ไม่ได้

รู้สึกว่าเต็มอ่อนโยนขึ้น คงเพราะอยู่ใกล้ผู้ชายอบอุ่นแบบพี่ปุ่นแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 08-08-2014 20:05:43
อบอุ่นสุดๆๆๆๆๆๆ :mew1: :mew1:
รอติดตามตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-08-2014 20:40:15
มีแต่ความรักความเข้าใจอบอวลไปหมด
น่ารักจริงๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 08-08-2014 21:13:03
ชอบบรรยากาศจริงๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 08-08-2014 23:20:46
ขอหอมหน่อย......><><
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Brow_Ney ที่ 09-08-2014 00:23:38
ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 09-08-2014 00:46:21
สมกับความคิดถึง บรรยากาศชื่นมื่น
สงสัยต้องติดต่อคนแต่งให้เป็นไกด์พิเศษนำเที่ยวลำปางซะแล้ว ไปด้วยกันเลย ไม่ต้องเดินสวนกัน
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 09-08-2014 10:23:35
 :กอด1: น้องตามเก่งมากลูก
คุณพ่อภูมิใจน่าดู
ครอบครัวคือที่สุดแล้ว   o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 09-08-2014 10:51:46
ปุ่นตอนหน้าจัดยิ่งกว่าหอมเลยนะ เต็มอะกวนนนนนนนนน อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 09-08-2014 15:47:01
หอมๆๆๆๆๆๆ น่ารักๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 09-08-2014 17:03:22
 :-[  :-[ :-[  :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 09-08-2014 21:32:52
ครอบครัวอบอุ่นมาก ชอบช่วงหลังมานี้ที่เต็มคอยดูแลและให้กำลังใจน้อง

อ่านแล้วอมยิ้มทั้งเรื่องทุกตอนเลย พี่ปุ่นก็เจ้าเล่ห์ติดนิสัยจากเต็มมาแล้วแน่ๆ

เต็มก็นะ...ให้หอมพี่ปุ่นซะเยอะเลย เต็มหน้าเชียว :m20:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: Trin ที่ 11-08-2014 10:45:47
อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากๆครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 11-08-2014 22:37:53
ตามมาอ่านรวดเดียว
ช่วงแรกๆแอบเคืองเต็มมากกกกอ่ะ
น้องตามน่ารักน่าสงสารขนาดนี้ยังเย็นชากับน้องได้ลงคอ
โชคดีที่มีพี่ปุ่นมาช่วยเป็นคนประสานให้พี่น้องได้รักกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-08-2014 14:00:26
อุ่นใจดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 13-08-2014 17:32:54
ขอหอมหน่อยๆๆๆ

อรั้ยๆๆๆๆ

 :katai5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 15-08-2014 13:44:51
"ขอหอมหน่อย"
ช่างกล้าเล่นมุกนี้นะพี่ปุ่น :jul3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 15-08-2014 18:16:46
จะว่าไป สองคนนี้ เค้าพอ ๆ กัน  :z1:จะมีแต่น้องเต็มนี่แหละ ที่จะเสียดุลอยู่บ่อย ๆ  :m20:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 27-08-2014 10:31:57
อยากอ่านนนน  มารอค่ะ คิดถึง  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: M_M ที่ 27-08-2014 15:03:11
หายไปนานมากแล้วน่ะครับ  เข้ามาตามคนเขียน  อยากบอกให้รู้ว่ามีคนรออยู่น่ะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร) 08-08-2557 หน้า 19
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 28-08-2014 21:59:09
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกก
แอบมีอาจารย์อาทิตย์ทัศน์ กับพี่ตังมาโผล่
อุส่าห์อดใจไม่อ่านรอให้ได้หลายๆ ตอน
อดใจไม่ไหว เลยมาไล่อ่านซะแล้ว
ยังชอบวิธีการแต่ง และการดำเนินเรื่อง
การเล่าเรื่อง ทุกอย่างเลยยยย ชอบมากกก
อ่านแล้วแบบมีความสุข แอบเขินแทนบ้างตามประสา
รอให้มาต่อไวๆนะค้าบบบบ

 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-09-2014 11:38:13
สวัสดีค่ะ ตอนที่ 20 มาแล้วนะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ

มาคราวนี้มีข่าว เรื่อง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า มาแจ้งด้วยค่ะ ตอนนี้เปิดจองแล้ว

สามารถติดตามรายละเอียดที่เพจ Hermit Books นะคะ


 
ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย (ไม่เป็นไรจริง ๆ)


สายลมหนาวพัดพริ้วพาผิวน้ำที่เคยราบเรียบเกิดเป็นระลอกคลื่นระยิบระยับยามต้องแสงจันทร์ แสงไฟภายในเกสต์เฮาส์ทยอยกันดับลงเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม เหลือก็เพียงบริเวณทางเดินและหน้าบ้านที่ยังคงเปิดไว้สำหรับให้แสงสว่างกับผู้ที่ผ่านไปผ่านมารวมถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่งกลับจากการเดินเล่นชมเมืองยามค่ำคืน พ่อเลี้ยงตรัยกลับไร่แสงดาวไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแม้เดือนดาราอยากจะเอ่ยปากทักท้วงเพราะเป็นห่วงพี่เขยที่ต้องขับรถกลับคนเดียวแต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะปล่อยให้เขาได้ทำตามความปรารถนาด้วยเข้าใจดีว่าแต่ไหนแต่ไรถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ตรัยก็ไม่เคยคิดจากไร่ไปไหนได้นานเลยสักครั้ง อดนึกดีใจแทนพี่สาวไม่ได้ หากดารกายังมีชีวิตอยู่เธอคงเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งเพราะมีทั้งสามีที่ดีและลูก ๆ ที่น่ารัก หลังจากส่งนายใหญ่แห่งไร่แสงดาวกลับสมาชิกในบ้านก็ต่างแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตนเอง ปล่อยแขกคนสำคัญอยู่ในความดูแลของคนที่สมควรจะต้องทำหน้าที่นี้


ศิธาพัฒน์นั่งทอดอารมณ์อยู่ที่บันไดท่าน้ำโดยมีเจ้าแข็งแรงนอนมอบอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาคมจ้องมองรูปโพลารอยด์ในมือที่ได้มาจากตากล้องมือสมัครเล่นตั้งแต่เมื่อตอนเย็น เป็นรูปที่เขาถ่ายคู่กับเต็มฟ้าที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว นิสัยแบบที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำของอีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งที่ศิธาพัฒน์คุ้นชินไปเสียแล้ว หากเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มองข้ามไปบ้าง แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคนอื่นหรือทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องปรามกันบ้างตามนิสัยของพี่ชายผู้คุมกฎ


ชายหนุ่มเก็บรูปใบนั้นใส่ลงในกระเป๋าสตางค์ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ครู่หนึ่งคนที่กำลังนึกถึงก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับยื่นซองกระดาษให้ เมื่อรับมาเปิดดูศิธาพัฒน์ก็พบว่าสิ่งที่อยู่ข้างก็คือกระดาษปอนด์แผนหนา 2-3 แผ่น แต่ละแผ่วาดด้วยลายเส้นดินสอลงทับบาง ๆ ด้วยสีน้ำเป็นรูปภาชนะหลากหลายแบบ เดาได้ว่ามันน่าจะเป็นแบบสเก็ตซ์ของชำร่วยงานแต่งงานที่เคยขอให้ชายหนุ่มผู้มีใจรักศิลปะคนนี้ออกแบบให้ไม่ผิดแน่

 
“แบบสเก็ตซ์ของชำร่วยน่ะ พี่ปุ่นลองเอาให้พี่สาวเลือกนะ”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะสอดกระดาษลงในซองเหมือนเดิม


"แล้วก็...ขอบคุณ...”


“ขอบคุณ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ขอบคุณพี่เรื่องอะไร”


“ก็ขอบคุณที่พี่ปุ่นทำทั้งหมดในวันนี้นั่นแหละ ทั้งที่ไปโรงเรียนด้วยกันตั้งแต่เช้า ตอนเย็นก็ยังมาทำอาหารให้เด็ก ๆ กินอีก ทั้งที่วันนี้ควรจะเป็นวันที่ได้หยุดอยู่กับบ้านแท้ ๆ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นริ่มฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มน้อย ๆ  ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่านี่จะเป็นเรื่องที่ต้องเอามาขอบคุณกัน หรือหากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเขามากกว่าที่ต้องขอบคุณ “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขอบคุณเหมือนกันที่เต็มยอมให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในวันนี้”


สายตาที่ส่งมาทำเอาคนฟังต้องรีบพยักหน้าส่ง ๆ เป็นแววตาอบอุ่น..อุ่นจนร้อนแบบนี้มองอย่างไรก็ไม่ชินเสียที


“กลับเถอะ ดึกแล้ว” เต็มฟ้าถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง

“เดี๋ยวสิ ยังคุยไม่จบเลย”


“ยังมีอะไรอีก”


“เมื่อกี้น่ะ เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”


“อะไร”


ศิธาพัฒน์ไม่ตอบแต่ขยับเข้ามาใกล้ วางคางลงบนไหล่กว้างของอดีตนักว่ายน้ำพลางโคลงศีรษะไปมาโดยใช้คางเป็นจุดศูนย์ถ่วงเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตาล้มลุก เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่ารำคาญก็หยุดพร้อมกับเอียงแก้มพองลมให้ก่อนจะออกคำสั่ง


“เร็ว!”


“ไม่” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร นัยน์ตาสีเข้มเหล่มองแก้มป่อง ๆ ที่แทบจะแนบสนิทกับผิวแก้มของตัวเองอย่างหมั่นไส้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะขืนหันกลับไปปลายจมูกคงให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพอดี


“ไม่ได้ให้ทำเรื่องยากสักหน่อย”


“ไม่ยาก แต่ไม่ทำน่ะ มีอะไรไหม”


“จำไว้” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางขยับตัวออกห่าง “คนเขาอุตส่าห์เดินตากแดดตามต้อย ๆ ทั้งวัน ช่วยถือของ แถมตอนเย็นก็มา...”


“พอ ๆ หยุด ๆ บ่นเป็นคนแก่ไปได้”


“ไม่สงสารกันบ้างเลย” น้ำเสียงกับแวตาตัดพ้อทำเอาคนพูดต้องแอบถอนหายใจเบา ๆ เต็มฟ้ากอดอกมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เมื่อเห็นดังนั้นคนเจ้าแผนการก็ยังไม่วายทำเป็นถอนหายใจยืดยาว


“หลับตาก่อนสิ”


“อะไรนะ” ศิธาพัฒน์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง


“บอกให้หลับตาไง ถ้าช้าเดี๋ยวเต็มเปลี่ยนใจนะ”


“ก็ได้ หลับตานะ” ศิธาพัฒน์ยิ้มหวานก่อนจะหลับตาลงตามคำสั่งของชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างว่าง่าย เท่านั้นบรรยากาศรอบตัวกลับเงียบเชียบลง ได้ยินเพียงเสียงของเสื้อผ้าที่เสียดสีกัน ไม่นานปลายจมูกเย็นเฉียบก็กดลงมาบนผิวแก้มอย่างแผ่วเบาตามด้วยสัมผัสอุ่นชื้นจากปลายลิ้นร้อนที่ลากไปตามแนวสันกรามชวนจั๊กจี้
 


กับเสียงครางเบา ๆ
 



เสียงครางหงิง ๆ ?
 
 



ของเต็ม?
 

‘ไม่ใช่แล้ว’ ชายหนุ่มค่อย ๆ ปรือตาขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างมองหน้าคนกับหน้าหมาสลับกัน


“เฮ้ย! พอได้แล้ว เปียกไปหมดแล้ว”


เจ้าแข็งแรงดูจะไม่ได้ใส่ใจเสียโวยวายเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย มันยังคงเมามันกับการใช้ลิ้นเลียแก้มของเจ้านายพร้อมกับส่งเสียงหงิง ๆ อย่างประจบ


“เคลิ้มเชียว เอาอีกไหมจ๊ะ” เต็มฟ้าหัวเราะร่วนพลางยกขาหน้าของเจ้าหมาน้อยขึ้นกวักในอากาศ ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มล้อ ๆ นั่นยิ่งยั่วให้คนถูกแกล้งยิ่งอยากจะเอาคืนให้สาสม


“ขี้โกงนี่”


“โกงอะไร ไม่เห็นจะมีกติกาเลยเนอะแข็งแรงเนอะ” ไอ้ตัวแสบทำไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับขยี้หัวเจ้าตัวโตที่นั่งอยู่บนตักเบา ๆ ให้รางวัลที่มันทำงานได้ดีมาก


“ถ้าไม่มีกติกา อย่างนั้นพี่จะขอให้รางวัลตัวเองบ้างก็แล้วกัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็กระเถิบเข้าใกล้อย่างรวดเร็วจนเจ้าแข็งแรงที่นั่งขั้นกลางต้องรีบกระโดดพรวดเพราะความอึดอัด มือหนาประคองเอวสอบของคนที่กำลังถอยหนีหวังจะตรึงเอาไว้ไม่ให้ไปไหน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ทำอย่างนั้นเต็มฟ้าก็ไม่สามารถที่จะหนีไปไหนได้อีกแล้วเมื่อแผ่นหลังของตัวเองชนเข้ากับกรอบซุ้มประตู
เต็มฟ้าพยายามมองเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของคนตรงหน้า สงสัยจริง ๆ ว่าตัวเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่เวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าเจ้าของรอยยิ้มแบบที่ทำให้หัวใจเต้นแปลก ๆ คนนี้ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใกล้ความชินสักที และยิ่งสายตาเฉียบคมของศิธาพัฒน์แสดงให้รู้ว่าพร้อมที่จะเข้ามาค้นหาทุก ๆ คำตอบที่อยากรู้และทุก ๆ คำที่ตัวเขาเองไม่เคยได้พูดออกไปก็ยิ่งอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ ความคิดถูกหยุดเอาไว้แค่นั้นเมื่อมือหนาเลื่อนขึ้นประคองสองแก้มอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่าจะช้ำคามือ แสงไฟสีนวลที่สาดกระทบเสี้ยวหน้าชวนมองทำให้เห็นได้ชัดว่าผิวเนื้อเนียนละเอียดกำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อพลันปากอิ่มก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นแววตาไหวระริกของเจ้าของใบหน้าขึ้นสี


หน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้ค่อย ๆ ประกบปากลงกลีบปากบาง เพียงเสี้ยวนาทีเนื้อปากเย็นเฉียบก็ค่อย ๆ ซึมซับความอุ่นที่เขาถ่ายทอดไปให้ แผ่วเบาราวกับสายลมที่พัดผ่านมาทักทายทุ่งดอกไม้ พาให้เกสรฟุ้งขจรขจายส่งกลิ่นหอมงละมุมยั่วยวนเหล่าแมลงให้หลงใหล เต็มฟ้ากำแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นเมื่อสัมผัสบางเบาถูกแทนที่ด้วยการขบเม้มอย่างหยอกเหย้ายาวนานและดูจะลึกซึ้งเข้าไปทุกขณะจนนึกอยากจะถามว่านี่ตั้งใจจะแกล้งกันให้ขาดอากาศหายใจลงไปต่อหน้าต่อตาเลยใช่ไหม


“พี่ปุ่น...หยะ...หยุดเถอะ” เจ้าของริมฝีปากเจือสีเลือดฝาดหาจังหวะเอ่ยขึ้นทั้งที่เนื้อปากยังไม่ห่างจากกันไปไหน


“กรรมการยังไม่ได้เป่านกหวีดหมดเวลาสักหน่อย”


เหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัวเมื่อเมื่อโดนย้อนเข้าให้บ้าง ‘ปะ..เป่า นกหวีดอะไรเล่า’ หมัดที่กำหลวม ๆ ทุบเข้าที่หน้าอกคนพูดอย่างไม่จริงจังนัก


“เต็มขะ..ขอเวลานอกก็ได้เอ้า”


มันได้ผล คนถูกร้องขอไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิด ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองคนที่กำลังหอบตัวโยนอย่างเอ็นดู


“ถ้าอย่างนั้นพี่คงต้องทดเวลาบาดเจ็บนะ” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปกหน้าไอ้ตัวแสบที่เถียงไม่ออกเพราะมัวแต่นั่งหอบ


“อะไรกัน แค่นี้ก็หอบแล้วเหรอ ไม่เก่งเลย”


“ปัดโธ่โว้ย! มันใช่เรื่องที่ต้องเอามาข่มกันไหม เกิดมาเพิ่งจะเคยถูกจูบแค่สองครั้ง จะอะไรนักหนา”


คนล้อนึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่จูบทั้งสองครั้งนั้นล้วนเกิดจากฝีมือของตัวเขาเองทั้งสิ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องซ้อมบ่อย ๆ ไว้พี่จะเสียสละเป็นคู่ซ้อมให้ก็แล้วกัน”


เต็มฟ้ามุ่นคิ้ว ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่เรียกว่าเป็นการเสียสละเห็นมีแต่ได้กับได้ชัด ๆ


“เสียสละตรงไหน”


“ก็อยากได้ตรงไหนล่ะ พี่จะสละให้”


“ทะลึ่ง!”


“เฮ้ย! ใครกันแน่ที่ทะลึ่ง เต็มนั่นแหละคิดไปไกลถึงไหน” คนเจ้าแผนการยิ้มอย่างมีชัยมองคนฟังที่กำลังยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ


“กลับบ้านไป้! ดึกแล้ว” เจ้าของบ้านตัดสินใจตัดบท ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงเพราะไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็โดนดักหมด คิดแล้วก็มีแต่เขานี่แหละที่มีแต่เสียกับเสีย ทั้งเสียหน้าแถมยังต้องเสียจูบถึงสองครั้ง


“ยังไม่อยากกลับเลย” ศิธาพัฒน์ทำเสียงอ้อนในขณะที่สองมือก็ยังประคองเอวสอบเอาไว้ไม่ห่างจนเต็มฟ้าต้องสวมบทพี่ชายคนโตบ้าง


“กลับได้แล้ว ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”


เมื่อถูกถามแบบนั้นก็จำต้องพยักหน้ายอมรับ แต่ถ้าหากมีพรวิเศษละก็คงจะขอให้มีแต่คืนวันอาทิตย์แบบนี้เรื่อย ๆ ไป


“กลับก็ได้ ไปส่งหน่อยสิ” พูดจบก็ลุกขึ้นพร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกตาม


“เมื่อเช้ามายังเดินเข้ามาเองได้ ตอนกลับทำไมต้องให้ไปส่งด้วย” ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่สุดท้ายก็เดินตามต้อย ๆ ยอมให้เขาจูงมือไปจนถึงหน้าบ้านอยู่ดี


เมื่อเห็นเจ้านายเดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน เจ้าแข็งแรงก็รีบผุดลุกขึ้นวิ่งตามออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่ของมันอย่างรู้งาน


“พรุ่งนี้กลับไร่หรือเปล่า”


“กลับสิ ไม่ได้กลับไปตั้งหลายวันแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเย็น ๆ พี่แวะไปหา”


“ไปทำไมให้เหนื่อย ทำยังกับอยู่ใกล้ ๆ เลิกงานแทนที่จะพัก”


“รู้ได้ยังไงว่าเหนื่อย ถามพี่บ้างหรือเปล่า หรือว่าคิดเอาเอง”


เต็มฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่พลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันเหมือนเด็กโดนขัดใจ รู้สึกว่าพูดอะไรไปก็โดนดักโดนขัดอยู่ตลอด เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็หันไปใช้หัวเจ้าหมาน้อยเป็นที่ระบายอารมณ์เอาดื้อ ๆ มือบางกำหูใหญ่ ๆ ทั้งสองข้างเอาไว้หลวมพลางโยกหัวมันไปมาอย่างมันเขี้ยว ปากก็อุบอิบจนแทบไม่เป็นภาษาแต่คนฟังก็ยังสามารถจับใจความได้อยู่ดี ศิธาพัฒน์เดินเข้ามาใกล้สอดแขนรับรอบเอวคอดสวมกอดคนอายุน้อยกว่าจากด้านหลัง เกยคางลงบนบ่าไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัวก็ลากปลายจมูกไปตามแนวสันกรามก่อนจะกดลงที่ซอกคอสูดกลิ่นหอมให้ชื่นใจก่อนจะกระซิบแผ่วเบาทำเอาคนฟังแทบยืนไม่อยู่


“รู้หรอกน่าว่าเป็นห่วง แต่ถ้าไม่อยากให้พี่คิดถึงเต็มจนแทบคลั่งละก็ ให้พี่ไปหาเถอะนะ”



หม้อล้วน ๆ ไม่มีกระทะผสม....


(มี่ต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-09-2014 11:45:21
(ต่อค่ะ)

กว่าจะไล่กันให้กลับบ้านได้ก็เล่นเอาเหนื่อย วันนี้คงเป็นวันที่หัวใจทำงานหนักอีกวันหนึ่งสำหรับเต็มฟ้า ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เมื่อมองผ่านผ้าม่านสีขาวผืนบางก็พบว่าไฟในห้องนั่งเล่นถูกปิดไปแล้วแต่ยังคงมีแสงสว่างรอดออกมาจากใต้ช่องประตูของห้องที่อยู่ถัดเข้าไปแสดงว่าเจ้าของห้องยังไม่หลับจึงเลื่อนบานกระจกแหวกผ้าม่านเข้าไปอย่างเงียบเชียบก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของน้องชาย เคาะลงกับบานประตูที่ทำจากไม้เนื้อแข็งเบา ๆ เป็นสัญญาณให้คนข้างในได้ตั้งตัวก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดเข้าไปภายในห้อง


"ยังไม่นอนอีกเหรอ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนนะ" พี่ชายกล่าวพลางเดินมานั่งลงที่เตียง


"อีกแป๊บตามก็จะนอนแล้วครับ" เด็กชายร่างเล็กกล่าวพร้อมกับวางเหรียญรางวัลที่ได้รับลงในกล่องกระดาษบนตัก ก่อนจะหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าที่วางอยู่ข้างตัวมาบรรจงพับจนเรียบร้อย


"ทำไมยังเก็บไว้อีก พี่บอกพ่อให้เอาให้ลูกคนงานไปแล้วนี่"


"ตามขอพ่อเก็บไว้เองฮะ"


"ทำไมล่ะ"


"พ่อบอกว่าพี่เต็มตั้งใจเก็บเงินซื้อเป็นของขวัญให้ตาม"


เต็มฟ้าพยักหน้ายิ้ม ๆ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสมัยยังเด็กก็อดขำตัวเองไม่ได้ จำไม่ได้จริง ๆ ว่าอะไรกันที่ทำให้เขาฝังใจคิดว่าน้องที่เกิดใหม่จะต้องเป็นน้องสาว สู้อุตส่าห์เก็บออมเงินค่าขนมจนสามารถซื้อชุดใหม่เตรียมไว้รับขวัญน้องได้ แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นของไม่มีประโยชน์เมื่อน้องเกิดมาเป็นผู้ชาย
 

"พี่เต็มผิดหวังหรือเปล่าฮะที่ตามไม่ใช่น้องสาว"


"ไม่เลย พี่ดีใจที่สุดเลยละ ตอนที่เห็นน้องตัวเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ในตู้อบน่ะ ดีใจมาก ๆ ยิ่งพี่ชลนะยิ่งตื่นเต้นใหญ่ ไปเกาะกระจกมองดูตามทุกวันเลย"


“จริงเหรอฮะ”


“อื้อ...จริงสิ พอออกมาจากตู้อบก็กลายเป็นคนดังเลย” พี่ชายพูดพลางโยกศีรษะน้องอย่างเอ็นดู มองหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของตามตะวันก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “เป็นขวัญใจชาวหวอดเพราะว่าร้องเสียงดังมากจนพี่พยาบาลต้องคอยผลัดกันอุ้มเดินไปเดินมาถึงจะยอมเงียบ เผลอเดี๋ยวเดียวโตเป็นหนุ่มเสียแล้ว”


หนุ่มน้อยได้แต่ยิ้มก้มหน้าก้มตาเก็บชุดกระโปรงที่พับเรียบร้อยลงในกล่องปิดฝาแล้ววางมันเอาไว้ที่ข้างหมอน


“คิดหรือยังว่าขึ้นมัธยมแล้วจะเรียนที่ไหน”


“ตามจะเรียนที่ลำปางนี่แหละฮะ จะอยู่กับพ่อ พี่เต็มแล้วก็พี่ปุ่น”


เต็มฟ้าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่ได้ยินชื่อคนที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัว “เกี่ยวอะไรกับพี่ปุ่น”


“ก็...พี่ปุ่นเป็นแฟนพี่เต็มไม่ใช่เหรอครับ”


“ไปเอามาจากไหน ใครเป็นคนสอน หืม?”


“ยะหยาบอกครับ ว่า....พี่เต็มกับพี่ปุ่นเป็นแฟนกัน”


“แก่แดดใหญ่แล้วนะเด็กพวกนี้”


“ไม่ใช่เหรอครับ”


พี่ชายเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นแต่ถามคำถามหนึ่งกลับ “แล้วตามคิดว่ายังไง อยากให้พี่เป็นแฟนกับพี่ปุ่นหรือเปล่า”


“อืม...ตามแล้วแต่พี่เต็มครับ แต่จริง ๆ ก็.....อยากให้เป็น”


“แก่แดดจริง น้องใครเนี่ย” พูดจบก็จี้เอวจนน้องชายหัวเราะคิกลั่นบ้าน แทนที่จะห้ามกันกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงจนต่างคนต่างตาสว่าง คืนนี้กว่าที่สองพี่น้องจะได้นอนก็คงหัวเราะกันจนกรามค้างแน่ ๆ
 

...


เสียงครืดคราดของโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นไม่อาจทำให้ชายหนุ่มที่กำลังปล่อยใจเพลิน ๆ ไปกับกลิ่นดินละสายตาจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ กระทั่งดินก้อนเล็ก ๆ ที่ขึ้นรูปเรียบร้อยถูกยกออกจากแท่นหมุนไปวางผึ่งบนถาด เต็มฟ้าจึงใช้หลังมือซับเหงื่อที่ซึมอยู่ที่ไรผมก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือของตนเองแต่ก็ช้าไปเพราะคนที่โทร.เข้ามานั้นได้วางสายไปเสียแล้ว แทนที่จะโทร.กลับ ก็หยิบดินก้อนใหม่มาขึ้นรูป ไม่มีท่าทางร้อนอกร้อนใจใด ๆ


“โทร.มาก็ไม่รับ” 


"ฮึ่ย!" ร่างเล็กเอียงคอหนีตามสัญชาตญาณเมื่อปลายจมูกโด่งสัมผัสลงบนเนื้อแก้ม เสียงหัวเราะในลำคอของคนที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงยังคงดังอยู่ที่ข้างหูชวนให้รู้สึกจั๊กจี้


"ยังไม่ชินอีกเหรอ"


"ชินกับผีสิ ทำอะไรไม่อายคนอื่นเลย เกิดคนงานมาเห็นเข้าจะทำยังไง" ลูกชายพ่อเลี้ยงกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตัวต้นเหตุรู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะร่าดูอารมณ์ดีเกินเหตุเสียด้วยซ้ำ


"ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถ้าคนงานเห็นเขาก็คงซุบซิบกันแล้วก็บอกว่า.....น่าฮักแต๊ ๆ"
เต็มฟ้าเหล่มองคนช่างเจรจาที่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะย้ายหน้าหล่อให้ออกห่างจากข้างแก้มร้อนผ่าวของเขาสักที ในที่สุดก็เป็นเขาเองที่ต้องเบือนหน้าหนีแววตาขี้เล่นที่น้อยคนนักจะได้เห็น


มือหนาโยกศีรษะของคนที่ทำเป็นไม่สนใจเบา ๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มน้อย ๆ "อีกอย่างนะ คนงานเขากลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่ลูกชายพ่อเลี้ยงนี่แหละ ทำไมไม่ยอมกลับสักที หืม?" พูดจบศิธาพัฒน์ก็นั่งลงเท้าคางมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายไล่จากกลีบปากบางซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันหวานหอมละมุนละไมเพียงใด ส่วนปลายจมูกนั่นที่ครั้งหนึ่งก็เคยใกล้ชิดจนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน กระทั่งดวงตาคู่งามที่แม้ขณะนี้จะไม่ได้มองมาที่เขาแต่เมื่อสบกันทีทีไรศิธาพัฒน์ก็จะเห็นเงาสะท้อนของตนเองอยู่ในนั้นร่ำไป


นัยน์ตาดำสนิทมองเขม็งไปยังก้อนดินเล็ก ๆ ตรงหน้า มือค่อย ๆ ขึ้นรูป ไม่นานดินธรรมดา ๆ ก็กลายเป็นทรงแบน ๆ กลม ๆ เหมือนจานขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือคนปั้น และเมื่อลงน้ำหนักที่ปลายนิ้วเพียงเล็กน้อยก็ได้ขอบโค้งเป็นคลื่นเรียงต่อกัน เต็มฟ้ายิ้มอย่างพอใจก่อนจะยกผลงานขึ้นตรวจดูเพื่อเก็บรายละเอียดอีกครั้ง หลายวันมาแล้วที่เขานั่งปั้นดินแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา จนรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้การเป็นเครื่องจักรที่ถูกโปรแกรมให้ทำงานเข้าไปทุกที แรก ๆ ก็มีขลุกขลักบ้างในเรื่องการหาขนาดและการลงน้ำหนักมือที่เหมาะสมกว่าจะได้ชิ้นงานตามที่ได้ออกแบบเอาไว้ แต่เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจานรองเทียนหอมซึ่งพี่สาวของศิธาพัฒน์เลือกเป็นของชำร่วยในงานแต่งงานก็แทบจะมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน และที่สำคัญคือมันจะเป็นของชิ้นเดียวในโลกเพราะคนออกแบบปั้นเองกับมือทุกชิ้น


"ต้องทำเองแบบนี้จนครบจำนวนเลยเหรอ ทำไมไม่ให้คนงานช่วยทำ"


"กลัวไม่ถูกใจ ทำเองดีกว่า ไว้ตอนจะเคลือบค่อยให้คนงานทำ ตอนแรกก็ว่าจะเทลงแบบอยู่เหมือนกัน แต่เอาเอาอย่างนี้ดีกว่าคนให้จะได้ภูมิใจว่ามันมีชิ้นเดียวในโลก" ลูกชายพ่อเลี้ยงตอบโดยไม่ได้ใส่ใจคนถามสักเท่าไร ถึงแม้ใบหน้าของคนพูดจะไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ศิธาพัฒน์ก็ยังเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขาอยู่ดี


"เหนื่อยไหม นี่พี่ทำให้เต็มลำบากหรือเปล่า" พูดจบก็เอื้อมมือจับต้นคอก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยผิวแก้มเบา ๆ


"ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้น่ะสบายมาก" เต็มฟ้าเงยหน้าขึ้นสบตาพลางยักคิ้วกวน ๆ เป็นการยืนยันในสิ่งที่พูด


"วันนี้เพื่อนน้าเดือนเขาแวะเอาตัวอย่างเทียนสปามาให้เลือกนะ" มือเปื้อนดินเอื้อมหยิบกล่องกระดาษทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีเทียนรูปดอกไม้สีสวยเรียง 4-5 อันวางเรียงเป็นแถวในบล็อกสี่เหลี่ยมก่อนจะเลื่อนมาตรงหน้าคนนั่งข้าง ๆ กัน


"พี่ปุ่นลองเลือกให้พี่สาวสิว่าจะเอาอันไหน"


"จริง ๆ อันไหนก็ได้นะ เพราะพี่ปุนเขาชอบแบบที่เต็มทำให้อยู่แล้ว ออกแบบจานรองให้แล้วยังออกแบบเทียนให้ด้วย พี่ปุนไม่กล้ามีปัญหาหรอก"


"กลิ่นมันไม่เหมือนกันนะ 4-5 อันเนี่ย เต็มลองดมแล้ว ไม่เหมือนกันเลยสักอัน พี่ปุ่นลองดมสิว่ากลิ่นไหนดี"


ศิธาพัฒน์ทำตามโดยไม่อิดออด เขาหยิบเทียนในกล่องขึ้นมาดมทีละอันจนครบ ในที่สุดหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเมื่อต้องตัดสินใจเลือก คิดแล้วคิดอีก ดมซ้ำก็แล้ว แต่ก็เลือกไม่ได้ว่ากลิ่นไหนหอมกว่ากัน ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนจากปลายจมูก เสียง 'เฮ้อ' ยืดยาวทำให้คนข้าง ๆ ต้องช้อนตามอง มือบางวางงานชิ้นสุดท้ายของวันนี้ลงบนถาดพลางปิดสวิตซ์แท่นหมุนสำหรับขึ้นรูปก่อนจะหันกลับมามองให้เต็มตา เมื่อเห็นท่าทางคิดไม่ตกแบบนั้นเต็มฟ้าก็อดอมยิ้มไม่ได้


"มันเลือกยากขนาดนั้น?"


"ก็ใช่น่ะสิ มันก็หอมเหมือน ๆ กันหมด พี่ว่าเต็มเลือกให้เลยดีกว่า ถ้าให้พี่เลือกพี่ก็คงเลือกไม่ได้เพราะกลิ่นที่พี่ชอบมันไม่ได้อยู่ในกล่องนี่ แต่มันอยู่ตรงนี้"


กว่าจะไหวตัวทันคนที่กำลังนั่งฟังเพลิน ๆ ก็โดนปลายจมูกซุกซนขโมยสูดกลิ่นหอมที่ข้างแก้มเสียงดังฟอด


“พี่ปุ่น!” ผู้เสียหายกัดกรามแน่นลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ ในใจก็คิดหาวิธีเอาคืนไปด้วย แต่สุดท้ายก็โดนดักคอจนต้องล้มเลิกความคิด


“ไม่ต้องเลย กำลังคิดว่าจะเอาคืนพี่ยังไงใช่ไหม”


“เปล่าสักหน่อย ทำไมถึงชอบมองเต็มในแง่ร้ายนักนะ”


“แล้วร้ายจริงไหมล่ะคนนี้น่ะ” ปากอิ่มยกยิ้มน่ารักพร้อมกับใช้หลังมือถูที่แก้มเปื้อนคราบดินของอีกฝ่ายเบา ๆ “ไปล้างมือแล้วกลับบ้านกันดีกว่า” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางรั้งข้อมือคนอายุน้อยกว่าในขณะที่อีกฝ่ายก็ยอมเป็นน้องชายที่ดีทำตามที่พี่ชายบอกอย่างว่าง่าย เต็มฟ้าจ้องมองแผ่นหลังของคนที่เดินนำหน้า เมื่อมาถึงอ่างน้ำมือหนาก็หมุนเปิดวาล์วก่อนจะละมือไปกับสายน้ำแล้วแตะหลังนิ้วลงบนผิวแก้มพลันความเย็นของน้ำเรียกสติคนที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ให้กลับคืนมาอีกครั้ง     


“ดูสิ มอมแมมไปหมดเลย ซนทั้งวันเลยใช่ไหมถึงได้มอมแมมแบบนี้”


คิ้วหนาที่มุ่นหากันหลังจากถูกจู่โจมด้วยความเย็นคลายออกนิ่งฟังคำพูดที่น่าจะใช้กับเด็ก ๆ นั่น ยอมรับว่าศิธาพัฒน์มักจะทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นน้องชายตัวเล็ก ๆ อยู่เรื่อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาเองก็ชอบที่จะเป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ระยะห่างเพียงไม่มากทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมมียี่ห้อที่เขาใช้เป็นประจำ ตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็กลิ่นนี้ ตอนนั้นไม่เคยรู้สึกว่ามันหอมเลยสักนิดแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากจะได้กลิ่นแบบนี้ทุกวัน ก่อนที่ใจจะลอยไปไกลเต็มฟ้าก็ตัดสินใจเบี่ยงตัวหนีสัมผัสอ่อนโยนที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้พร้อมกับดึงสายตากลับมาที่สองมือซึ่งกำลังถูกันไปมา ปล่อยให้สายน้ำชะล้างสิ่งสกปรกให้หลุดออก


"พี่ปุ่นคิดไว้หรือยังว่าจะเอาเซรามิคพวกนี้กลับกรุงเทพฯ ยังไง"


"อืม...พี่กะไว้ว่าจะให้เจ้าปุ้นขับรถมาขนไปน่ะ"


"ถ้าอย่างนั้นเต็มขับไปส่งให้ไหม"


"นึกยังไงถึงรับอาสา มีแผนการอะไรไหนบอกพี่มาซิ" ศิธาพัฒน์กล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้ถือโอกาสโอบไหล่ เต็มฟ้าที่กำลังจะปิดวาล์วน้ำต้องชะงักเพียงเพราะคำถามจับผิดของคนที่ดูจะรู้ทันไปหมดเสียทุกเรื่อง


"แผนการอะไรเล่า ก็แค่จะได้ถือโอกาสไปหาเพื่อนเท่านั้นเอง"


“แค่นั้นจริง ๆ น่ะเหรอ” ไม่พูดเปล่า ยังเอาหัวหนัก ๆ มาวางบนบ่าให้จั๊กจี้เสียอีก


“ก็ใช่น่ะสิ จะให้แค่ไหน”


“ถ้าอย่างนั้นไปช่วงวันหยุดยาวดีไหม”


“อื้อ ตามใจพี่ปุ่น”


“พี่ฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย” ร่างสูงเอียงคอถามเสียงอ้อน ตั้งใจให้ปลายจมูกแตะแก้มคนที่วันนี้ทำตัวน่ารักจนน่าแปลกใจ “สงสัยฝนจะตกหน้าหนาว เต็มบอกตามใจพี่ปุ่น”


“ไม่ดีหรือไง”


“ก็ดีอยู่หรอกถ้าตามใจทุกเรื่อง”


แค่มองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เต็มฟ้าเงยหน้าสบตาเจ้าของร่างสูงที่กำลังยืนยิ้มหวาน อดคิดไม่ได้ว่าหากตัวเขายังยืนเฉยแบบนี้มีหวังต้องไม่รอดจากอ้อมกอดอุ่นหรือปลายจมูกเอาแต่ใจแน่ ๆ คิดได้ดังนั้นก็หมุนเปิดวาล์วให้น้ำไหลแรงขึ้นโดยที่อีกคนไม่ทันสังเกต


“ถ้าอย่างนั้นฝนก็คงตกหน้าหนาวตกจริง ๆ นั่นแหละ” พูดจบก็วักน้ำใส่เต็มหน้าศิธาพัฒน์ แม้คำห้ามปรามจากปากพี่ชายก็ไม่อาจหยุดหัวใจที่กำลังเล่นสนุกได้


“เดี๋ยวเถอะ ถ้าไม่หยุดจะโดนดีแน่ ๆ” คนถูกแกล้งปัดป้องพร้อมกับคำรามในลำคอ ถ้าจับได้จะจัดการเสียให้เข็ด


แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เต็มฟ้าหัวเราะร่วนและไม่มีท่าทีว่าจะยอมรามือง่าย ๆ “หยุดก็โดนไม่หยุดก็โดนอยู่ดี ขอเอาคืนให้สะใจหน่อยเถอะ”


ศิธาพัฒน์โคลงศีรษะไปมาพร้อมกับสบตาคนที่กำลังส่งยิ้มกวน ๆ มาให้ จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่ารัก...ใช่สิ ตอนนี้ใช้คำนี้น่าจะตรงที่สุดกับความรู้สึกที่มีภายในใจ ไม่รู้ว่ารักคนแบบนี้ไปได้อย่างไร เรื่องกวนประสาทไม่มีใครเกิน แถมยังดื้อเสียจนบางครั้งก็ทำให้ต้องปวดหัวแต่เขาก็ให้นิยามของสิ่งที่เต็มฟ้าทำว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารักทุกครั้ง ฤดูหนาวของปีนี้กำลังจะผ่านพ้นไป อีกไม่นานไออุ่นของฤดูร้อนก็จะแทรกตัวเข้ามาอย่างเงียบ ๆ จนหลายคนอาจไม่ทันได้รู้ตัวก็คงเหมือนความรักระหว่างคนสองคนที่ค่อย ๆ ก่อตัวช้า ๆ แต่เติบโตขึ้นทุกวัน
                        
...


กลางเดือนต่อมาของชำร่วยงานแต่งงานของ ‘ศิตางค์ กษิศภูมิ’ ก็เสร็จเรียบร้อยตามที่เต็มฟ้าประมาณเอาไว้ จานรองเซรามิคสีปลั่งแบบที่เรียกว่าศิลาดลแพ็ครวมกับเทียนสปากลิ่นหอมที่ถูกหล่อเป็นรูปดอกกุหลาบสีขาวจำนวนเกือบสามร้อยชิ้นถูกเรียงเอาไว้ในกล่องอย่างเรียบร้อยเพื่อรอขนย้ายในช่วงหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน และเมื่อวันนั้นมาถึงนายหญิงแห่งบ้านกษิศภูมิก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไร ดวงตาเอาแต่ทอดมองไปนอกรั้วบ้านรอว่าเมื่อเมื่อไรลูกชายจะมาถึง กระทั่งบ่ายคล้อยนวลตาก็ผุดลุกขึ้นเดินตามสามีออกไปที่หน้าบ้านเมื่อรถเก๋งสีดำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขับผ่านประตูเข้ามา ทันทีที่รถจอดสนิทชายหนุ่มสองคนก็เปิดประตูลงมาจากรถ หนึ่งในนั้นคือลูกชายคนกลางของเธอ ส่วนอีกคน...คือคนที่ทำให้ความทรงจำสมัยเยาว์วัยหวนคืนมาอีกครั้ง สองหนุ่มยกมือไหว้คนที่เดินออกมารับหน้าก่อนที่ศิธาพัฒน์จะแนะนำให้เต็มฟ้าได้รู้จักพ่อและแม่ของเขา นวลตาจ้องมองหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่วางตาในขณะมืออันสั่นเทาเกาะแขนผู้เป็นสามีเอาไว้แน่นจนกระทั่งมือใหญ่แตะลงเบา ๆ เพื่อเรียกสติเธอจึงหันไปสบตาคู่ชีวิตเหมือนกำลังขอความเห็น


“เหมือนมากนะคะคุณ”


ศิลป์พยักหน้าก่อนจะเบนสายตาไปที่หนุ่มน้อยแปลกหน้าอีกครั้ง “เหมือนมาก”


นวลตาคลายมือจากแขนของผู้เป็นสามีก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ ชายหนุ่มที่กำลังมองมาที่เธออย่างสงสัย มือเย็นเฉียบเอื้อมประคองสองแก้มเพื่อมองเขาให้ชัด เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายเพื่อนของเธอเหลือเกิน “นี่น่ะเหรอเต็มฟ้าลูกชายของดารกา มีใครเคยบอกไหมว่าเธอเหมือนแม่มาก เป็นลูกชายยังหล่อเหลาขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นลูกสาวก็คงจะสวยไม่แพ้แม่ตอนสาว ๆ แน่”
เต็มฟ้าได้แต่เพียงยิ้มรับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคนที่มีความคุ้นเคยกับแม่พูดแบบนี้ เขามักจะรู้สึกทำตัวไม่ถูกทุกครั้งด้วยรู้ดีว่าหน้าตาของตัวเองไม่ได้อยู่ในระดับที่จะต้องได้รับคำชื่นชมมากมายขนาดนี้ หากเทียบกับคนที่ยืนข้าง ๆ กันแล้วยิ่งให้รู้สึกว่าตัวเองยังห่างจากคำว่าหล่อเหลาลิบลับนัก แต่ถ้าจะชมกันว่าหน้าตาเหมือนแม่ซึ่งเป็นคนสวยแล้วละก็ สู้ยอมรับว่าหล่อแบบกล้อมแกล้มไปน่าจะดีกว่า


“เข้าบ้านก่อนเถอะ ป้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเธอเยอะแยะเลย” พูดจบนวลตาก็จับมือลูกชายของเพื่อนรักเดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้สามีและลูกชายได้แต่สบตากันยิ้ม ๆ


เสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบทำให้ทุกคนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านพากันมองหาต้นเสียง ไม่นานร่างบางในชุดนางพยาบาลก็ปรากฏขึ้น เธอวิ่งลงบันไดมาโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของทั้งพ่อและแม่ ซึ่งนี่ก็เป็นภาพชินตาของทุกคนในครอบครัวไปเสียแล้ว แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ศิตางค์ก็กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วและมักจะเล่นอะไรโลดโผนแบบเด็กผู้ชาย นั่นคงเป็นเพราะเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวในบรรดาลูก ๆ ทั้งสามคน แถมยังเป็นพี่สาวคนโตอีกด้วยจึงต้องไม่เหยาะแหยะหรืออ่อนแอให้เป็นภาระของน้อง ๆ


“ปุ่นมาแล้วเหรอคะแม่”


“มาแล้วครับ” เจ้าของชื่อที่เดินรั้งท้ายรีบแสดงตัว ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อใครคนหนึ่งก็แทรกขึ้น


“วิ่งลืมอายุเลยนะพี่ปุน” คนที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นกล่าวพลางยกมือไหว้ทุกคนยกเว้นก็แต่เต็มฟ้าที่เขาคิดว่าน่าจะอายุไล่ ๆ กัน


“อะไรยะนายปุ้น มาถึงก็พูดจาไม่น่ารักเลยนะ” คนถูกแซวทำหน้ามุ่ย


“นี่ถ้าย่าอยู่คงโดนดุไปแล้ว”


เต็มฟ้ามองสองพี่น้องที่กำลังเถียงกัน ถ้าให้เดาสาวสวยในชุดพยาบาลนั่นคงเป็น ‘พี่ปุน’ ว่าที่เจ้าสาวที่เขารับทำของชำร่วยให้ ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงคงเป็นน้องชายคนเล็กที่ศิธาพัฒน์มักจะพูดถึงอยู่บ่อย ๆ เสื้อกาวน์สีขาวที่เขาสวมปักตัวอักษร ‘ภก.ศิลา กษิศภูมิ’ ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่คาดเดาน่าจะถูกต้อง   


สาวน้อยหน้าหวานอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชลธรพักรบกับน้องชายชั่วขณะก่อนจะหันมายิ้มให้คนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก “แล้วนี่ก็คงเป็นน้องเต็มใช่ไหมจ๊ะ”


“ครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ


“ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะ”


“รูป?” เต็มฟ้าหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ อยากจะต่อว่าที่ไม่บอกกันให้รู้ตัวก่อนเลย


“ปุ่นเคยส่งรูปมาให้พี่ดูน่ะจ้ะ จริง ๆ ก็ส่งมาให้ทุกคนดูนั่นแหละ รู้จักเต็มกันทั้งบ้านแล้ว เพิ่งจะได้เจอตัวจริงก็วันนี้เอง ขอบใจมากเลยนะจ๊ะที่ช่วยออกแบบของชำร่วยให้พี่ สวยถูกใจมากเลยจ้ะ”


รอยยิ้มน่ารักทำให้คนมองพลอยยิ้มตามไปด้วย “ไม่เป็นไรครับ” รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองพูดน้อยเป็นพิเศษ


“แล้วทำไมวันนี้ลูกบ้านนี้ถึงกลับบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินกันได้ล่ะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้น


“ก็ย่าน่ะสิพ่อ โทร.ไปสั่งตั้งแต่ปุ้นยังไม่เลิกงานว่าให้รีบกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกัน ไม่รู้ว่ามีอะไร” ศิลากล่าวก่อนจะถอดเป้สะพายหลังวางบนโต๊ะเขียนหนังสือที่ได้เป็นมรดกตกทอดจากพี่ชาย


“สงสัยเห็นว่าเจ้าปุ่นกลับมาวันนี้ละมั้ง” ศิลป์เดา เรื่องทำนองนี้ดูจะเป็นเรี่องปกติ หากวันไหนที่ผู้เป็นแม่กำหนดว่าเป็นวาระพิเศษหรือวาระแห่งชาติแล้วละก็จะจัดการกำชับทุกคนให้กลับมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน


เต็มฟ้ามองตามร่างสูงของชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้าไปโอบไหล่ลูกชายคนเล็ก จำได้ที่พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณลุงศิลป์คนนี้คือหนึ่งในคนที่มาหลงรักแม่ของเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทำพ่อจึงบอกว่ายกให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวหากเทียบกับหนุ่ม ๆ คนอื่น ๆ ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังมีเค้าความคมคายให้เห็น ทั้งกิริยาท่าทางและการพูดการจาก็ดูสง่างามน่าเกรงขามสมเป็นหัวหน้าครอบครัว หากจะวาดภาพสมัยยังหนุ่มภาพที่ได้ก็คงไม่ผิดไปจากลูกชายคนกลางที่แทบจะถอดแบบกันมา


“เอ้อ ลุงลืมถามไปเลยว่าเต็มอายุเท่าไร แต่ดูแล้วก็น่าจะพอ ๆ กับเจ้าปุ้นละมั้ง”


“ปีนี้ยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ครับคุณลุง”


“เท่ากันเลยนี่นา” เภสัชกรหนุ่มกล่าวก่อนจะเดินผ่านหลังพี่สาวไปนั่งที่โซฟา ระหว่างนั้นก็ไม่วายแกล้งจี้เอวให้เธอต้องบ่นเล่นอย่างที่ศิตางค์มักจะพูดบ่อย ๆ ว่าหากวันไหนศิลาไม่โดนเธอบ่นวันนั้นคงนอนไม่หลับ
เต็มฟ้าพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน แอบนึกเปรียบเทียบครอบครัวของศิธาพัฒน์ที่มีกันสมาชิกหลายคนกับครอบครัวตัวเองที่มีกันอยู่เพียงสามคนอยู่เหมือนกัน มีกันเยอะ ๆ แบบนี้เวลาที่ทุกคนมารวมตัวล้อมวงทานอาหารหรือนั่งดูทีวีด้วยกันคงจะอบอุ่นน่าดู


“นั่งก่อนสิจ๊ะเต็ม” นวลตากล่าวพลางจูงมือชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเธออยู่มากไปนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับลูกชายคนเล็ก มองหน้าเขาให้ชัดอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าดารกากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ


“ขอบคุณครับ” คนถูกเชิญนั่งลงสบตาศิธาพัฒน์แวบหนึ่งพลันความรู้สึกอุ่นใจก็บังเกิดขึ้นเมื่อเห็นว่าเขายังคงอยู่ใกล้ ๆ ไม่ไปไหน


“แล้ววันนี้ค้างกับปุ่นหรือเปล่าจ๊ะ”


“เอ่อ...เดี๋ยวผมจะ...” คำพูดฟังขาด ๆ หาย ๆ จนร่างสูงต้องกระแอมปรามเมื่อรู้สึกได้ว่าวันนี้ไอ้ตัวแสบของเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างขอความเห็นก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็นก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นอีกครั้ง “เต็มบอกเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปหาแล้วก็คงจะนอนค้างที่คอนโดของเพื่อนครับ” 


“จริง ๆ ค้างด้วยกันเสียที่บ้านเราก็ได้นะ อุตส่าห์ขนของมาให้ อยู่ทานข้าวแล้วก็พักด้วยกันเสียเลยสิ เดี๋ยวพ่อเราเขาจะหาว่าลุงใจร้าย” ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปสบตาภรรยาที่ก็คงคิดไม่ต่างกัน
คนถูกชวนไม่กล้าปฏิเสธแต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ตอบรับด้วยเหตุผลตามที่ได้อธิบายไปเมื่อครู่ พยายามเรียบเรียงถ้อยคำที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกไปเสียงรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดก็ทำให้ทุกคนต้องชะเง้อหาต้นเสียง ไม่นานคุณนายยุพาก็ปรากฏตัวขึ้น หญิงชราเดินคู่มากับสาวสวยระดับดาวมหาวิทยาลัยที่เต็มฟ้าจำได้ว่าเคยเห็นเธอจากภาพถ่ายในกระเป๋าสตางค์ของศิธาพัฒน์ มือถือถุงพลาสติกจากซูเปอร์มาร์เกตพะรุงพะรังส่งให้เด็กรับใช้ในบ้านก่อนจะยกมือไหว้ผู้มีอาวุโสกว่าจนครบ ดวงตาพญาเหยี่ยวของคุณนายยุพามองปราดมายังหนุ่มน้อยที่ลุกขึ้นยกมือไหว้ตนเองตามหลานชายคนกลาง เท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่านี่คงเป็น ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ คนที่กำลังอยากเจอตัว


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-09-2014 11:54:49
(ต่อค่ะ)


“มาถึงนานแล้วเหรอเจ้าปุ่น” น้ำเสียงเย็นเยือกนั่นทำเอาบรรยากาศชักแปลก ๆ


“สักพักแล้วครับย่า เอ้อ...ย่าครับนี่ตะ....” ยังไม่ทันจะแนะนำคนมาด้วยกันให้รู้จัก ผู้ผู้เป็นย่าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน


“ย่าบอกหนูพรีมว่าแกจะมา หนูพรีมเลยรับอาสาพาย่าไปซื้อของมาทำขอโปรดแกไว้รอ ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็ว”


ศิธาพัฒน์สบตาพี่สาวที่ได้แต่ยืนส่งสายตาให้กำลังใจ แม้จะอยากแนะนำเต็มฟ้าให้ย่ารู้จักแต่เพราะหญิงชราไม่เปิดโอกาสสุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ต้องจำใจเปลี่ยนเรื่องตาม “จริง ๆ ย่าให้คนงานไปซื้อก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องไปเองเลย”


“คนอื่นเลือกแทนมันไม่ถูกใจเท่าเลือกเองหรอก” คุณนายยุพากล่าวพลางมองสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะหันมาให้ความสนใจสาวน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ


“หนูพรีมชวนเจ้าปุ่นไปคุยที่ศาลาท่าน้ำสิจ๊ะ เห็นว่ามีเรื่องอยากคุยเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ”


“ค่ะคุณย่า” พีรนันท์ยิ้มอย่างรู้กันก่อนจะหันไปกล่าวกับอดีตคนรัก “คือพรีม...มีเรื่องอยากรบกวนปรึกษาปุ่นหน่อยน่ะ เรื่องงานในส่วนที่คุณวาทินเขาเข้ามารับช่วงต่อจากปุ่น”


ศิธาพัฒน์สบตาเต็มฟ้าก่อนจะหันกลับไปมองคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างชั่งใจในขณะที่ศิลาแอบทำหน้าเบ้พร้อมกับส่งสายตาให้พี่สาว ก็เล่นเอาเรื่องงานนำมาก่อนแบบนี้มีหรือที่คนหนักแน่นในหน้าที่อย่างศิธาพัฒน์จะหลีกเลี่ยงได้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่มองตามพี่ชายกับอดีตว่าที่พี่สะใภ้เดินพ้นประตูบ้านออกไปด้วยกัน


“ตอนแรกว่าจะเข้าครัวเองสักหน่อย นึกขึ้นมาได้ว่านัดกับคุณสันต์เอาไว้ พอดีเขาจะขอเข้ามาดูกิ่งส้มโอที่มาขอตอนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนที่แล้ว วันนี้ฉันคงต้องฝากแม่นวลด้วยนะ ปล่อยคนงานทำกลัวจะไม่ถูกใจเจ้าปุ่นกับหนูพรีม” หญิงชราผู้มีดวงตาดุจพญาเหยี่ยวกล่าวกับลูกสะใภ้เมื่อคล้อยหลังหลานชาย


“ค่ะคุณแม่ ” นวลตากล่าวก่อนจะหันมายิ้มให้เต็มฟ้า “เต็มก็ไปด้วยกันสิลูก เห็นปุ่นคุยนักคุยหนาว่าเต็มทำกับข้าวเก่ง”


“อะ..เอ้อ..คะ...ครั...บ..” คนเก่งแทบอยากจะตบปากตัวเองที่อยู่ ๆ ก็พูดจาตะกุกตะกักขึ้นมา แต่ก็เหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ที่คอ ร่างกายแข็งเกร็งราวกับถูกตรึงเอาไว้โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นเพียงเพราะน้ำเสียงเย็นชาของหญิงชราที่ศิธาพัฒน์พร่ำบอกว่าใจดีที่สุด


"ไม่ต้องเข้าไปหรอก เธอเป็นแขก"


“ครับ คุณย่า”


“เอ้อ ถ้าอย่างนั้นให้ปุ้นไปสวนเป็นเพื่อนย่าสิคะ จะได้ถือโอกาสพาน้องเต็มไปเที่ยวด้วย” ศิตางค์เสนอขึ้นแล้วก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับเธอยกเว้นเต็มฟ้า


“ไม่ต้องหรอก ย่าเดินของย่ามาเป็นสี่ห้าสิบปี ไปคนเดียวก็พอไม่ต้องมีเพื่อนไปหรอก อีกอย่างในสวนน่ะไม่เห็นจะมีอะไรน่าเที่ยว หญ้ารกแถมยุงก็เยอะ รออยู่ที่นี่กันเถอะ นี่ก็ได้เวลาที่นัดกับเขาแล้ว มัวช้าจะเสียผู้ใหญ่” พูดจบหญิงชราก็เดินหายไปทางหลังบ้านทิ้งให้ลูกหลานได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กัน


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเต็มไปขนของลงจากรถให้ก่อนดีกว่า” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศแปลก ๆ ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าบ้าน จัดการเปิดท้ายรถแล้วยกกล่องกระดาษขนาดใหญ่ออกมา


“มา เราช่วย” ชายหนุ่มที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นก่อนจะรั้งกล่องมาอุ้มเอาไว้


“หนักนะ”


“คงหนักไม่เท่าที่นายกับพี่ปุ่นเจออยู่ตอนนี้หรอกมั้ง”


แม้ศิลาจะพูดไปหัวเราะไป แต่เต็มฟ้าก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่คำเยาะหยัน รู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีมาให้ทั้งที่ตัวเขาเองตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนนอกครอบครัว

 
“นั่นนะสิ ทำเย็นชาแบบนี้สู้ต่อว่ากันเสียเลยดีกว่า แบบนี้มันอึดอัด”


“กินยาลดกรดหน่อยไหมจะได้หาย เดี๋ยวเราจัดให้”


เพียงเท่านั้นก็พอจะเรียกรอยยิ้มของคนฟังได้บ้าง


“หนักหน่อยนะ แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ เดี๋ยวอะไร ๆ มันก็ดีขึ้น ย่าไม่ใช่คนใจร้ายหรอก” พูดจบศิลาก็อุ้มกล่องเดินอุ้ยอ้ายกลับเข้าไปในบ้าน



...


พีรนันท์เดินตามร่างสูงไปที่ศาลาท่าน้ำ อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเหมือนเมื่อก่อนวันนี้คงจะเดินจับมือเคียงคู่กันไป เขาคงจะยิ้มให้และพูดคำหวาน ๆ ที่ฟังกี่ทีก็ไม่เบื่อ แต่เพราะเหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ต้องโทษที่เขา....โทษที่เขาเลิกทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่เธอและพ่อต้องการ


ศิธาพัฒน์ชะลอฝีเท้าก่อนจะหยุดเดินก่อนจะหันมาสบตาคนเดินตามหลัง “อันที่จริงปุ่นก็ออกจากบริษัทมานานแล้ว งานในส่วนนั้นก็ถูกโอนไปให้คุณวาทินรับช่วงได้สองปีแล้ว อะไร ๆ มันน่าจะเปลี่ยนไปเยอะไม่รู้ว่าปุ่นจะช่วยพรีมได้หรือเปล่า”


“นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องงานเราสองคนจะคุยกันไม่ได้เลยเหรอ”


หนุ่มหล่อเบนหน้าหนีสายตาคาดคั้นของหญิงสาวพลางถอนหายใจเบา ๆ ทอดสายตามองผืนน้ำที่ฉาบด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น เรือบรรทุกผลไม้ที่เพิ่งแล่นผ่านไปเมื่อสักครู่ทำให้เกิดคลื่นน้ำระลอกใหญ่ซัดเข้าหาตลิ่ง เพียงไม่นานผืนน้ำก็กลับมาราบเรียบตามเดิม


“ได้สิ พรีมอยากคุยเรื่องอะไรล่ะ ปุ่นก็คุยกับพรีมได้ทุกเรื่องเหมือนเดิมนั่นแหละ”


พีรนันท์มองเสี้ยวหน้าคนพูด รู้ดีว่าอะไร ๆ มันก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


“พรีม...เอ้อ...เด็กนั่นน่ะชื่อเต็มฟ้าใช่ไหม”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักชื่อนี้ คาดเอาไว้แล้วว่าย่าของเขาคงจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง


“คุณย่าบอกว่าปุ่นกับเด็กนั่น...กำลังคบกัน” ท้ายประโยคแผ่วเบาไม่มั่นใจในสิ่งที่พูด ตอนแรกที่รู้เรื่องนี้จากปากของคุณนายยุพา พีรนันท์ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ยิ่งได้เห็นหน้าเด็กนั่นเห็นสายตาที่สองคนมองกันก็ยิ่งเจ็บใจอย่างที่สุด


“ผู้หญิงไม่มีให้คบแล้วหรือไง ถึงได้ไปคว้าเด็กนั่น คนดีเพิ่งจะรู้ว่าเดี๋ยวสำหรับปุ่นน่ะ...ใครก็ได้”


ศิธาพัฒน์ยืนนิ่ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้หลุดจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นคนรักกัน


"ปุ่นจะรักเด็กนั่นเท่ากับที่รักพรีมได้จริง ๆ น่ะเหรอ"


ริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากันระหว่างใช้ความคิดค่อย ๆ คลายออก ก่อนจะตอบคำถามที่อีกฝ่ายอยากรู้ "ไม่เท่าหรอก คงรักให้เท่าไม่ได้หรอก" ศิธาพัฒน์กล่าว ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดเมื่อสักครู่จะทำให้หัวของคนที่บังเอิญผ่านมาได้ฟังตกลงไปกองอยู่แทบเท้า แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาในเวลานี้สามารถยิ้มออกมาได้


เต็มฟ้าที่ตั้งใจจะมาบอกขอตัวกลับค่อย ๆ ถอยห่างจากแนวพุ่มไม้ที่สูงเกือบท่วมหัว นัยน์ตาสีเข้ายังคงจับจ้องไปที่สองหนุ่มสาวที่กำลังยืนคุยกันอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินจากมาเงียบ ๆ


“ปุ่นรักเขาเท่ากับพรีมไม่ได้หรอก ไม่เท่าจริง ๆ เพราะว่าปุ่นไม่ได้รักพรีมแล้ว”


รอยยิ้มของหญิงสาวเหมือนกำลังระเหยไปในอากาศ พรีนันท์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง นี่สาวสวยมีการศึกษาและหน้าที่การงานดีอย่างเธอกำลังถูกปฏิเสธโดยคนรักเก่าหรือนี่


“ขอโทษนะพรีม” ศิธาพัฒน์กล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา ขายาวก้าวพรวด ๆ กะว่าจะตามคนที่เห็นหลังไว ๆ ให้ทัน จนในที่สุดคนที่เขากำลังมองหาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เต็มฟ้ายืนกอดอกพิงรถคิดอะไรเพลิน ๆ จนไม่ทันได้มองคนที่กำลังสาวเท้าเข้ามาหากระทั่งเสียงเรียกชื่อทำให้ความคิดที่กำลังลอยไปกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง


“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


“กำลังจะกลับน่ะ รอบอกพี่ปุ่นอยู่”


“ทำไมจะกลับ พ่อกับแม่ก็ชวนให้อยู่ทานข้าวด้วยกันนี่นา เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หืม?” พูดจก็ใช้หลังมือแตะที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ


“เปล่า เต็มสบายดี” เต็มฟ้าตอบพลางเอียงหน้าหนีมือหนาด้วยเกรงว่าจะมีใครมาเห็นเข้า”


“แล้วทำไมรีบกลับ มีอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า”


“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปส่งนะ” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะทำท่าหันไปเปิดประตูฝั่งคนขับแต่ก็ถูกมือของอีกฝ่ายรั้วเอาไว้


“ไม่ต้องหรอกพี่ปุ่น เต็มไปเองได้ พี่ปุ่นอยู่ทานข้าวกับที่บ้านเถอะ เต็มบอกคุณลุงกับคุณป้าแล้ว แล้วก็ลาทุกคนแล้วด้วย”


ศิธาพัฒน์มุ่นคิ้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เป็นเต็มฟ้าทำอะไรไม่ปรึกษา แต่เขาก็รู้ดีว่าหากอีกฝ่ายตัดสินใจทำอะไรไปแล้ว ใครก็หยุดไม่ได้ ดังนั้นร่างสูงจึงเบี่ยงตัวหลบยอมให้เจ้าของรถเดินไปเปิดประตูรถแต่โดยดี







“เต็ม”



ร่างบางของชายหนุ่มถูกตรึงอยู่กับที่อีกครั้งด้วยมืออุ่น ๆ ของคนเดียวที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจในช่วงเวลาแบบนี้


“มีอะไรอยากถามพี่ไหม”


หน้าชวนมองหันมาสบตาพลางส่ายหน้าปฏิเสธ


“ไม่เป็นไรแน่นะ”


“เต็มไม่เป็นไรจริง ๆ สบายมาก”


“ถ้าอย่างนั้นสัญญาได้ไหมว่าถ้ามีอะไรจะบอกพี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะจับมือกันไปแบบนี้” ศิธาพัฒน์กล่าวพร้อมกับยกนิ้วขึ้นเพื่อเกี่ยวก้อยสัญญาแต่เต็มฟ้ากลับยกมือขึ้นกุมมือของเขาแทน


“เต็มไม่สัญญานะ แต่เต็มจะทำให้ดีที่สุด จะทำในแบบที่เต็มคิดว่ามันจะดีสำหรับทุกคนก็แล้วกัน พี่ปุ่นสบายใจได้”



รอยยิ้มจาง ๆ กับประโยคสุดท้ายที่ได้ฟังยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึกของชายหนุ่มที่กำลังนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงนอน แม้จะจากกันมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม คำบอกเล่าของน้องชายคนเล็กทำให้ศิธาพัฒน์รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้  แต่ก็ยังหวังใจว่าทั้งเขาและเต็มฟ้าจะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยกัน....


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 01-09-2014 12:16:39
เต็มฟ้า~ หนักแน่นนะลูก T^T
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-09-2014 12:46:25
อืมห์ อบอุ่นดีจังเลย ปุ่น&เต็ม
ยังไงก็ฝ่าฟันไปให้ได้นะ
สู้ ๆ สู้ ๆ
.
.
และคนเขียนอย่างทิ้งไปนานนะ
 :m23: :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 01-09-2014 13:17:25
อิปุ่นเอ้ย ลีลาจริง เวลาพูดเนี่ย

ไม่พูดทีเดียวให้มันหมด และไม่ยอมอธิบายด้วย รอแต่ให้ถาม

ย่านี่ก็ ตั้งกำแพงซะ ขี้เกียจจะปีน

ใครเป็นเต็มฟ้า ก็ถอยดีกว่า ถ้ามันจะยุ่งยากกันขนาดนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 01-09-2014 13:22:44
เข้มแข็งไว้นะเต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 01-09-2014 13:28:45
ไม่ชอบพรีมกับครอบครัวเลย

เต็มสู้ๆๆนะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 01-09-2014 13:40:31
 โกรธปุ่นอ่ะ
ตัวเองก็เห็นว่าเต็มฟ้าเดินมาทางนี้
ถึงได้รีบเดินไปหา
แล้วทำไมไม่อธิบาย ไม่ถามอะไรเลย
ถ้าถูกเต็มฟ้าถอยห่างนะ จะสมน้ำหน้า
มีโอกาสแล้วไม่พูด ลีลานัก :angry2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 01-09-2014 15:00:07
เต็มได้ฟังจนจบมั้ยว่าพี่ปุ่นไม่ได้รักยัยคนดี ยันพรีมแล้วน่ะ
อย่าคิดเองน่ะเต็ม
ความรักอยู่ที่การเข้าใจ และการปรึษากัน
หนักแน่นเข้าไว้
และผ่านมันไปให้ได้
เอาเต็มคนเดิมกลับมา อย่าตะกุกตะกัก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-09-2014 15:03:19
โถ ๆ น้องเต็ม ฟังไม่จบก็เอาไปคิดมากมายเลยสิ
พี่ปุ่นงานเข้าอีกแล้ว

แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นของไม่มีประโยชน์เมื่อน้องเกิดมาเป็นผู้หญิง>>>>>>>>>ผู้ชาย
เสื้อกราวน์สีขาวที่เขาสวมปักตัวอักษร ‘ภก.ศิลา กษิศภูมิ’>>>>>>>>>>เสื้อกาวน์
 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 01-09-2014 15:20:11
รู้สึกคันยุบยิบ ยุบยิบในใจยังไงไม่รู้ อบอุ่นมากเลย
พี่เต็มสู้ๆนะ ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 01-09-2014 17:09:59
แค่คุณย่าคนเดียวก็เกินพอละ นี่ยังจะมีพรีมอีก
โอ๊ยยยย เซ็ง ขอร้องยังไม่อยากกินมาม่า ฮือออ
พี่ปุ้นขอยาลดกรดด่วนน//เกี่ยว?
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-09-2014 18:17:05
ถ้าพี่ปุ่นไม่มัวประดิษฐ์คำพูดให้มันวกวนนัก
เต็มก็คงไม่เข้าใจผิดหรอก แล้วนี่จะแก้ไขยังไงล่ะ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-09-2014 19:04:49
เต็มอย่าคิดมากน่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 01-09-2014 19:13:30
เต็มพี่กับพี่ปุ่นให้เข้าใจด้วยๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-09-2014 19:15:57
พรีมนี่หลายทีละนะ !!!
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 01-09-2014 19:42:35
อ่านช่วงแรกก็ ดีอยู่นะ แบบว่าเขินแทนน้องเต็มเลย พี่ปุ่นใส่เต็มมากจริงๆ ชอบตรง หม้อล้วนๆ ไม่มีกระทะเลย ฮาดีอ่ะ พอมาช่วงท้าย แอบรู้สึกหน่วงนิดๆลุ้นแทนทั้งสองคนอ่ะ อยากให้คุณย่ายอมรับปุ่นกับน้องเต็มจัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 01-09-2014 19:48:10
หนักแน่นไว้นะเต็ม อย่าคิดอะไรไปคนเดียว
เชื่อใจพี่ปุ่นนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 01-09-2014 20:13:44
คุณย่าคะ เเหกตาดูให้ดีๆ ก่อนนะคะว่าชะนีพรีมกับเต็มใครจิตใจดีกันจริงๆ !!!!
คำก็เด็กนั้นสองคำก็เด็กนั้น โถยัยชะนีหลงตัว :z6:

ส่วนพี่ปุ่น ทำไมต้องรอให้น้องมันถาม รู้ทั้งรู้เต็มมันเป็นคนคิดมาก มีอะไรก็พูดไปสิวุ้ย :m16:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 01-09-2014 22:33:10
 :katai4: :katai4: :katai4:
มาเคลียร์ก่อน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 01-09-2014 23:18:19
เฮ้อ...ฉลาดทุกเรื่อง ยกเว่นตัวเองค่ะคุณย่า...
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 01-09-2014 23:39:38
ชะนีนี่ยังงัยนะ เห็นๆ ว่าหมดรักแล้วขนาดนี้ จะเอาชนะรัยกันนักหนา คุณย่าอีกคน :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 02-09-2014 00:39:36
เต็มใจเย็นๆนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 02-09-2014 19:21:26
สู้ๆนะเต็มฟ้า มีอะไรถามพีีปุ่นนะอย่าเแาไปคิดคนเดียว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 02-09-2014 19:22:29
กลัวน้องเต็มจะถอยอ่ะ  พี่ปุ่นอธิบายดิว๊าาาาาาาาาาาาาา :z3: :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 03-09-2014 15:31:48
แมะ คุณย่า ไม่อยากจะด่าเดี๋ยวจะหาว่าถอนหงอกคนแก่ ชิส์ :m16:
อู๊ย มันช่างเหมาะเจาะจริงๆนะเต็ม
มาได้ยินพอดี แต่ทำไมไม่ยืนฟังให้มันจบก่อน
ช่างสมกับเป็นนายเอกละครไทยจริงๆ
ยังไงก็อย่าเพิ่งถอยนะเต็ม เพราะไม่ใช่แค่ชะนีพรีม
แต่ตอนหลังคิดว่าจะต้องได้เจอน้องชายชะนีแน่ๆ
ไอ้หมอภูมิมันเป็นน้องชายชะนีนะเต็ม
อิพี่ปุ่น ไปง้อไปอธิบายกับน้องให้ไวเลยนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 04-09-2014 21:45:25
รอดูพี่ปุ่นจะจัดการกับปัญหายังงัย
เห็นบอกว่าจะหลงรักคุณย่างัย มุมไหนของคุณย่าดีนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 20 : คนในภาพถ่าย) 01-09-2557 หน้า 21
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 12-09-2014 19:20:41
เริ่มตอนมาอย่างเขิน อ่านไปบิดไป
ตอนจบมาอย่างหน่วง อ่านไปเฮ้อไป  :เฮ้อ:
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-09-2014 23:35:20
สวัสดีค่ะ เอาตอนที่ 21 มาฝากนะคะ

ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ และต้องขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม

ยังไงก็มาตามเอาใจช่วยเต็มในตอนหน้า ตอนที่ 22 เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องคุณบุรุษไปรษณีย์ฯ นะคะ


ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า


การจราจรที่แทบจะเป็นอัมพาตของกรุงเทพมหานครทำให้รถเก๋งสีดำเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถของคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงล่าช้ากว่าเวลาที่ประมาณเอาไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง ทันทีที่รถจอดสนิทร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่หน้าเคาท์เตอร์ต้อนรับก่อนจะเปิดประตูพรวดออกมายืนฉีกยิ้มรอเจ้าของรถที่เปิดประตูออกมา 


เป็นเวลานานทีเดียวที่ไม่ได้พบหน้ากัน...


กีรติไขกุญแจเปิดประตูก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้เพื่อนเดินเข้าไปในห้อง พอเข้ามาได้เต็มฟ้าก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่ว่าสภาพของมันดีกว่าหอพักที่เคยอาศัยอยู่เมื่อตอนเริ่มทำงานมากโข ทั้งที่กีรติเล่าให้ฟังนานแล้วว่าย้ายมาอยู่ที่นี่แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้มาเหยียบให้เป็นมงคลแก่ฝ่าเท้าเลยสักครั้ง


"เป็นอะไรวะ ทำหน้าอย่างกับมีกรดในกระเพาะ"


คนถูกแซวช้อนตามองหัวเราะขื่น ๆ พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา "เออ คงมีจริงแหละมันถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้" เสียงเรียบนิ่งทำให้คนเป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปีรู้ได้ทันทีว่าต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ ดวงตาคมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มใต้จ้องมองเสี้ยวหน้าที่เพียงเห็นก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องบางอย่างให้คิด ยิ่งลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกยิ่งให้อดเป็นห่วงไม่ได้


"เกิดอะไรขึ้นวะ วันนี้ไปบ้านเขามาไม่ใช่เหรอ"


"อือ"


"แล้วเป็นยังไงบ้าง ไม่ดีเหรอ"


"ดี ทุกคนน่ะดี ยกเว้นคุณย่าเขา"


"ทำไมวะ คุณย่าเขาพูดไม่ดีเหรอวะ"


"ถ้าพูดก็ดีสิ นี่เล่นไม่พูดอะไรเลย อึดอัดว่ะ"


"คิดมากน่า" พูดจบกีรติก็เดินมานั่งลงพร้อมกับขยี้ผมคนนั่งข้างกัน


"เวลาถูกมองด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้น มันรู้สึกเหมือนเป็นตัวน่ารังเกียจยังไงไม่รู้ว่ะ" เต็มฟ้ากล่าวพลางเอนศีรษะวางลงบนพนักโซฟา ดวงตาเลื่อนลอยจ้องมองเพดานโล่ง ๆ พลันภาพเก่าก็วนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง สายตาเย็นชาของนายทหารยศสูงผู้นั้นยังคงชัดเจนอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ ถ้าไม่นับรวมครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้รู้สึกไร้ตัวตนได้เท่าครั้งนั้นอีกแล้ว


“เฮ้ย! คิดมากว่ะ ตัวน่ารังเกียจอะไรกัน จะไปสนใจอะไรกับคนที่ไม่ชอบเรา ทำไมไม่รักษาความรู้สึกของคนที่รักเราให้มาก ๆ วะ”


“เฮ้อ!!!! ถ้ามันหยุดคิดกันได้ง่าย ๆ ก็ดีสิวะ แบบกดปุ่มหยุดไปเลยยิ่งดี”


“มา เดี๋ยวกดให้” พูดจบก็รั้งคออีกฝ่ายเข้ามาหาตัวก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือตบลงกลางกระหม่อมแบบเน้น ๆ จนคนไม่ทันระวังตัวร้องโอดโอย


“ไอ้เก้!! ตบมาได้ เจ็บนะโว้ย! หัวแตกหรือเปล่าวะ” เต็มฟ้าโวยวาย กว่าจะดิ้นหลุดไม่ได้โดนซ้ำก็เล่นเอาหอบแฮ่ก พอตั้งตัวได้ลูบศีรษะตัวเองพร้อมกับส่งสายตาขุ่น ๆ ให้เจ้าของมือหนักที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจ


“เยอะไป หัวตงหัวแตกอะไร ก็ทำให้เจ็บ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” หนุ่มผิวเข้มพูดกลั้วหัวเราะพลางสบตาคนตรงหน้า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังมีความปรารถนาดีให้แก่กันเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ยังมีความรู้สึกดี ๆ ที่พร้อมจะมอบให้ หากวันนี้ได้เป็นเพื่อนก็จะทำหน้าที่ของเพื่อนให้ดีที่สุด นี่คือคำสัญญาที่กีรติตะโกนก้องอยู่ในใจโดยที่อีกฝ่ายไม่มีวันได้ยิน รู้สึกสบายใจเมื่อในที่สุดริมฝีปากบางก็ยิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง....


ทั้งที่เป็นวันหยุดยาวแต่ทั้งกีรติและดุ่ยยังต้องเร่งทำงานเพื่อให้เสร็จตามกำหนด หนุ่ม ๆ จึงตกลงกันว่าจะใช้เวลาหลังเลิกงงานเป็นเวลาพบสังสรรค์กัน ตั้งแต่เช้าเต็มฟ้าจึงฆ่าเวลาด้วยการเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้อของขวัญให้คนสำคัญในโอกาสพิเศษที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจนแทบจะลืมคนที่ร่วมทางมาจากลำปางไปเสียสนิท มองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลาเลิกงานจึงรีบออกจากห้างสรรพสินค้าเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าไปยังที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้


หากจะเปรียบเทียบอากาศหน้าหนาวในกรุงเทพฯ กับลำปางแล้วก็ช่างต่างกันลิบลับ  ยังคงเป็นเมืองที่แออัดในความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัด แม้จะเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เสียหลายปีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชินตากับภาพที่เห็นอยู่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่ต่างก้มหน้าก้มตาอยู่ในโลกใบเล็ก ๆ บนฝ่ามือของตัวเอง บนถนนคลาคล่ำด้วยยวดยานพาหนะ ส่งเสียงดังจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าออกมาดูแต่คนที่โทร.เข้ามาก็วางสายไปเสียก่อน รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันที่หน้าจอแสดงตัวเลขของสายที่ไม่ได้รับเป็นสิบสาย ซึ่งเจ้าของเบอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่ยังไม่ได้คุยกันเลยหลังจากแยกกันตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำนั่นเอง


เต็มฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ก้าวลงบันไดเลื่อนมุ่งสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ด้ายล่าง พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่เห็นยืนอยู่ไกล ๆ ในฝั่งตรงข้ามกัน แว่นสายตากรอบหนาไม่อาจบดบังดวงตาคู่นั้นที่เคยให้ความรู้สึกวูบไหวยามเมื่อได้สบประสานกันได้เลย โชคดีที่เขาไม่ได้มองมาทางนี้แต่กำลังมองไปยังสาวน้อยร่างเล็กที่ยืนเกาะแขนกันไม่ห่าง เสื้อกาวน์แขนสั้นปักด้วยด้ายสีเขียวทำให้รู้ว่าเธอเป็นนักเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่เต็มฟ้าสำเร็จการศึกษา ผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนหลวม ๆ เข้ากับหน้ารูปไข่เคลือบทับด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ ยิ่งทำให้เธอดูสวยเด่นกว่าบรรดาหญิงสาวมากมายที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่บนบันไดเลื่อน ใคร ๆ ที่ได้มองคงก็ว่าเหมาะสมกัน...นายแพทย์หนุ่มหล่ออดีตเจ้าของตำแหน่งเดือนคณะแพทยศาสตร์กับนักเรียนแพทย์สาวสวย ภาพนั้นขยับเข้ามาใกล้เข้ามาทุกทีกระทั่งเมื่อถึงจุดที่สวนกันระยะห่างระหว่างคนสองคนใกล้แค่เอื้อม แต่เต็มฟ้าก็ไม่คิดจะเอื้อมมือคว้า เขาเลือกที่จะปล่อยให้ภาพนั้นค่อย ๆ ผ่านไป ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวกลับไปมองด้วยซ้ำ



ทันทีที่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงแต้มด้วยริ้วเมฆสีส้มให้บรรยากาศชวนเหงาอย่างไรบอกไม่ถูก นึกถึงตอนสมัยเรียนหากเป็นเวลานี้เขาคงขลุกอยู่ในห้องปฏิบัติการเซรามิคไม่เช่นนั้นก็คงชวนเพื่อน ๆ นั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่ที่ร้านประจำร้านไหนสักร้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัย  เดินจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงไม่นานก็เห็นป้ายบอกทางไปมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งพร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบห้านาที อาศัยช่วงจังหวะรถติดข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ ที่ขนาบข้างด้วยร้านค้าแผงลอย จากนั้นก็ข้ามสะพานข้ามคลองแล้วมาหยุดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้กับท่าเรือ ในร้านเต็มไปด้วยหนุ่มสาวคนทำงานและบรรดานักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน เพราะราคาถูกและรสชาติที่ถูกปาก ทั้งเขาและเพื่อน ๆ ต่างก็ยกให้ร้านนี้เป็นหนึ่งในทางเลือกเมื่อต้องคิดว่าจะกินอะไรดี


“ไอ้เต็ม!!!” ชายหนุ่มร่างเล็กตะโกนเรียก พาให้คนอื่น ๆ ในร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว เต็มฟ้ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเห็นแล้วก่อนจะเดินไปตามทางแคบ ๆ ระหว่างโต๊ะของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่คงจะพากันมาเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษเข้าไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด ซึ่งอยู่ติดกับแนวทางเดินยกสูงขนานลำคลอง มีลูกกรงเหล็กซี่ห่างที่กั้นแบ่งอาณาเขต


“มาช้าจังวะ” หนุ่มเคราแพะกล่าวพลางยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดื่ม


“พอดีไปซื้อของให้น้องมา” เต็มฟ้ากล่าวเมื่อนั่งลง ทอดสายตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสนานและเสียงหัวเฮฮาในหมู่เพื่อนฝูง ภาพผู้คนจำนวนมากที่กำลังรอเรือโดยสารอยู่บนโป๊ะเป็นสิ่งชินตาที่เห็นมาตั้งแต่สมัยเรียน ยามเมื่อเรือจอดเทียบท่าต่างคนก็ต่างก้าวลงเรือหาที่ยึดเกาะ เวลาเรือสวนกันก็ต้องยกผืนพลาสติกขึ้นกันตัวเองจากละอองน้ำสีดำสนิทที่กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศจนแทบจะไม่มีเวลาได้ซึมซับกับทิศทัศน์ริมฝั่งน้ำ

 
“มาที่นี่ทีไรนึกถึงไอ้เด็กคณะพละคนนั้นทุกทีเลยว่ะ” พูดพลางใช้หลอดคนน้ำในแก้วอะลูมิเนียมไปเรื่อยเปื่อย


“อ๋อ ที่มันก้าวพลาดตกลงไปในคลองใช่ไหม” กีรติกล่าวเมื่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาในมือมองตามสายตาของเพื่อนรัก 


“เออ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง”


“ได้ข่าวว่ามันเกือบติดทีมชาตินะ แต่เพราะต้องไปรักษาโรคผิวหนังเรื้อรังเลยตัดสินใจลาวงการ” น้ำเสียงจริงจังของพ่อหนุ่มเคราแพะทำเอาเต็มฟ้ารู้สึกสนอกสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดไม่น้อย คิ้วหนาเลิกขึ้นอยากแปลกใจไม่คิดว่าเพื่อนจะมีข้อมูลแน่นขนาดนี้


“จริง?”


“เชื่อเหรอวะ”


“ไอ้ดุ่ย เอาดี ๆ สิวะ” เต็มฟ้ากล่าวอย่างขัดใจ


“อ้าว ไอ้นี่ ใครจะไม่รู้กับมันวะ ข้าก็เจอมันครั้งเดียวตอนที่เห็นมันตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำครำนั่นแหละ เช้าวันรุ่งขึ้นก็จำหน้ามันไม่ได้แล้ว”


“โธ่...คิดว่าจะรู้จริง”


กีรติที่นั่งฟังอยู่นานส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในครัวที่ดูจะวุ่นวายเหลือเกิน ตั้งแต่นั่งรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะไม่หยุดแต่ก็ยังไม่ได้อาหารสักที พลันสายตาก็เลื่อนมาหยุดที่ร่างของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกจากทางเดินแคบ ๆ ข้างร้านตรงมาทางที่พวกเขานั่งอยู่ คงจะใช้ทางนี้เพื่อย่นระยะในการเดินไปที่ท่าเรือเหมือนกับคนอื่น ๆ


“เฮ้ย ๆ ไอ้ดุ่ย นั่นมันไอ้หน้าหล่อที่ไปนั่งกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทตึกเรานี่หว่า”


ดุ่ยกลืนน้ำที่อมไว้ในปากลงคอก่อนจะหันมองตาม “เออ จริงด้วยว่ะ”


เต็มฟ้ามองสองคนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหาอีกคนหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึง รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน ในที่สุดก็นึกได้เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ยิ้ม...เหมือนพี่ชายไม่มีผิด


“อ้าวเฮ้ย!? เต็ม มาทำอะไรแถวนี้” เภสัชกรหนุ่มหล่อทักทายเมื่อเดินมาหยุดที่โต๊ะ


“นัดเพื่อนกินข้าวน่ะ แล้วนายล่ะ”


“เราแวะมาหาเพื่อนแถวนี้ นี่ก็กำลังจะกลับ ว่าจะลองนั่งเรือสักหน่อย ไม่ได้นั่งนานแล้ว”


“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”


“อืม...” ศิลาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นว่าคงไปไม่ทันเเวลาอาหารเย็นของที่บ้านแล้วจึงตอบตกลง ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างเต็มฟ้าพลางยิ้มให้สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“นี่...รู้จักกัน?” กีรติถามด้วยความสงสัยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เพื่อนรักและคนแปลกหน้าสลับกัน


“อือ..รู้จัก” พูดจบก็คนถูกถามลุกขึ้นไปตักน้ำแข็งใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาวางให้ตรงหน้าของคนมาใหม่


“รู้จักกันได้ยังไงวะ” หนุ่มผิวเข้มพึมพำพลางหันไปสบตาเจ้าของเคราแพะที่นั่งส่ายหน้ายิกให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนมาก่อน


“เรื่องมันยาว แกมีเวลาสักสามวันไหมจะเล่าให้ฟัง” เต็มฟ้าตอบแบบไม่ทุกข์ร้อน ทำเอาศิลาอดขำหน้างง ๆ ของสองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะไม่ได้


“ลีลาทำไม ก็บอกเขาไปสิว่าเราเป็นน้องชายแฟนนาย” สิ้นเสียงเภสัชกรหนุ่มทุกคนก็ถึงบางอ้อ


“นี่เพื่อนเรา ชื่อเก้ ส่วนไอ้เคราแพะนี่ชื่อดุ่ย” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะหันไปแนะนำน้องชายของศิธาพัฒน์ให้เพื่อนทั้งสองรู้จักบ้าง “นี่ปุ้น”


“เราว่าเราคุ้นหน้าพวกนายนะ” พูดพลางใช้ปลายนิ้วถูคางไปมาอย่างใช้ความคิด


“น่าจะคุ้นอยู่หรอก ก็นายไปกินข้าวบนฟู้ดคอร์ทบนตึกที่พวกเราทำงานออกจะบ่อย บ่อยกว่าคนในนั้นเสียอีก” กีรติกล่าวขณะเทน้ำอัดลมสีดำลงในแก้ว


“อ๋อ ที่ครีเอทีฟสตูดิโอใช่ไหม เราว่าอาหารมันอร่อยดีนะ กินแต่อาหารโรงพยาบาลเบื่อจะแย่เลยลองเปลี่ยนบ้าง”


“เอ๊า ๆๆๆ พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ว่าความอร่อยที่แท้จริงมันเป็นยังไงใช่ไหม เดี๋ยววันหลังพี่ดุ่ยจะพาน้องปุ้นไปสัมผัสรสชาตินั้นนะครับ” พ่อหนุ่มเคราแพะแทรกขึ้น


“เฮ้ย! ขนาดนี้ยังว่าไม่อร่อยอีกเหรอ”


กีรติและดุ่ยสบตากันก่อนจะหันมาส่ายหน้าเป็นคำตอบ ถ้าไม่เป็นเพราะเขาทั้งสองคนกินบ่อยจนเบื่อ ศิลาคนนี้ก็คงลิ้นจระเข้เต็มที


“มีอะไรบ้างที่อร่อย” เต็มฟ้าถือโอกาสถาม ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรอร่อยจนต้องขึ้นไปกินทุกวัน ฟู้ดคอร์ทบนตึก ถ้าฝนไม่ตกหรืองานไม่เร่งจริง ๆ ก็แทบจะไม่ได้ย่างกลายเข้าไป

 
“ข้าวมันไก่ก็อร่อยนะ แต่เสียดายไปทีไรน้ำซุปหมดทุกที”


“หมดบ้าอะไร ร้านนั้นน่ะงกจะตาย บางทีก็ทำเนียนไม่ตักน้ำซุปให้นะ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม” หนุ่มผิวเข้มโคลงศีรษะให้กับความไม่รู้อะไรเลยของคนที่เพิ่งได้พบกัน


“โห...มีแบบนี้ด้วยเหรอ งกน้ำซุปน่ะ แบบนี้คนกินแล้วติดคอก็แย่เลยสิ”


“มันมีเคล็ดลับโว้ย”


“เคล็ดลับ?” ท่าทางกวน ๆ กับรอยยิ้มมีเลสนัยทำให้ศิลามองคนเคราแพะด้วยสายตาไม่ไว้ใจ


“ใช่..เคล็ดลับ รู้แล้วเหยียบเลยนะ” คนพูดป้องปากกระซิบกระซาบ “ถ้าติดคอ แค่ลากลงไปกินในน้ำก็จบ”


ศิลาหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างเซ็งในอารมณ์ ‘รู้แล้วว่าควรจะเหยียบอะไร เหยียบน่าจะดีที่สุด’ พยายามเก็บอาการไว้ก่อนจะพูดต่อหน้าตาเฉย “นอกจากข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวอีกนะ ไม่ต้องปรุงเลย”


“อร่อยขนาดนั้นเชียว?” กีรติมุ่นคิ้วสงสัย ‘ทำไมอร่อยหลายอย่างจังวะ?’


“ไม่รู้เหมือนกัน มันหกก่อนเลยไม่ทันได้ปรุง” พูดจบก็ยักคิ้วกวน ๆ รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยหลังจากได้เอาคืนบ้าง


“โห...คุณเภ-สัด……-ชะ-กอนครับ กวนตีนขนาดนี้ท่าจะคบกันยาวแล้วว่ะ ถ้ากินตีนนนนนน...ไก่แล้วเบื่อก็บอกนะ จะพาไปหาอร่อย ๆ กิน” สิ้นเสียงของพ่อหนุ่มเคราแพะ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับมิตรภาพใหม่ที่เริ่มก่อตัว และนั่นก็คือภาพใคร ๆ มักจะได้เห็นเมื่อมีโอกาสแวะเวียนมาที่ร้านอาหารริมคลองแห่งนี้.....


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-09-2014 23:42:59
(ต่อค่ะ)


เข็มที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีจะสามทุ่ม ศิธาพัฒน์ถอนหายใจพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างตัดสินใจ ดวงตายังคงจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าวันนี้กดโทร.ออกไปกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเจ้าของเบอร์ก็ไม่รับสายเสียที


“เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนนะ” เต็มฟ้ากล่าวกับกีรติขณะที่ทั้งคู่มาถึงคอนโด


“ไปสิ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” พูดจบก็พากันเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ที่ลานกว้าง


ทันทีที่เดินไปถึงสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่ง เต็มฟ้ามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะพบกับเขาที่นี่ “มาได้ยังไงวะ” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง 


“พี่ปุ่น มาทำอะไรที่นี่”


“ก็มาหาเต็มนั่นแหละ” คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบค่อนไปทางแข็งทื่อเสียด้วยซ้ำ   


กีรติเหลือบมองเพื่อนรักพลางหันไปสบตาชายหนุ่มแปลกหน้า เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้ว่าคนตรงคือใคร ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรต่อ เต็มฟ้าก็แนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน


“พี่ปุ่น นี่เก้เพื่อนเต็ม เก้...นี่พี่ปุ่น ที่เล่าให้ฟัง”


คนถูกแนะนำไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้ตามมารยาท จากนั้นจึงขอตัวเพื่อให้ทั้งสองคนได้คุยกัน


“พี่ปุ่นมาทำอะไรที่นี่”


“ก็เต็มไปรับโทรศัพท์พี่ โทร.กลับก็ไม่โทร. แล้วจะให้พี่ทำยังไง” ศิธาพัฒน์พูดพลางมองตามชายหนุ่มที่กำลังเดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับก่อนจะวางถุงกระดาษใบหนึ่งลงบนที่นั่ง


“เต็มไม่ได้เปิดเสียง กะว่าถึงคอนโดแล้วจะโทร.หา” เต็มฟ้าหันมากล่าวหลังจากปิดประตูรถ


“แล้ววันนี้ไปไหนมาบ้าง” เสียงนั้นอ่อนลงชวนให้คนฟังคลายความกังวลพอ ๆ กับวงแขนอุ่นที่โอบรัดรอบเอวสอบอยู่ในขณะนี้


“ไปซื้อของให้น้องแล้วก็ไปกินข้าวกับเพื่อนมา” พูดพลางมือก็ดันแผงอกกว้างไปพลาง


“เพื่อนคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”


“ใช่...เก้กับดุ่ยแล้วก็ปุ้นด้วย”


ศิธาพัฒน์ไม่แปลกใจนักเพราะน้องชายตัวดีส่งข้อความมารายงานตั้งแต่ตอนที่พวกเขานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน


“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นเต็มไปกินข้าวบ้านพี่นะ ย่าให้มาชวน”


นี่สิเรื่องที่น่าแปลกใจ....


เต็มฟ้าจ้องหน้าคนตัวสูงอย่างไม่เชื่อหู คิดไม่ออกเลยว่าทำไมหญิงชราท่าทางเย็นชาคนนั้นจึงให้หลานชายมาชวนเขาไปร่วมโต๊ะอาหารด้วยทั้งที่เมื่อวันก่อนแค่หน้าของเขาก็ไม่อยากจะมองเสียด้วยซ้ำ ขณะกำลังคิดเพลิน ๆ อยู่นั้นปลายนิ้วหนาก็กดเบา ๆ ลงบนปลายจมูกพร้อมกับรอยยิ้มแบบที่เห็นทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักที


“ทำไมทำหน้าแบบนี้ หืม?”


“แค่แปลกใจน่ะ”


“ก็เมื่อวานเต็มรีบกลับไปก่อน ย่ากลับมาจากสวนก็ถามหาบ่นว่ายังไม่ได้คุยกันเลย”


คนฟังหัวเราะขื่น ๆ ในเมื่ออยากเจอก็จะไปเจออีกสักครั้ง....



....
 


ดวงตาพญาเหยี่ยวของคุณนายยุพาจ้องมองรถเก๋งสีดำที่กำลังขับผ่านประตูบ้านเข้ามา ทันที่ที่รถจอดสนิทร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาวละเอียดที่เพิ่งได้พบกันเมื่อวันก่อนก็ปรากฏขึ้น เต็มฟ้าเดินตามหลังศิธาพัฒน์เข้ามาในบ้านก่อนจะยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่ยังคงทำหน้านิ่งและรับไหว้เขาแบบเสียไม่ได้ อดรู้สึกไม่ได้ว่าเธออยากจะพบเขาจริงตามที่หลานชายคนกลางของเธอบอกจริง ๆ หรือไม่


“ย่าจะไปสวนเหรอครับ” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นย่าหันไปคว้าหมวกใบเก่งสำหรับสวมเพื่อกันแดด


“ว่าจะเข้าไปดูเรือนกล้วยไม้สักหน่อย พอดีคนงานบอกว่ากล้วยไม้ในโรงเรือนมันเป็นโรค แย่จริง ๆ เพิ่งจะเริ่มปลูกก็เป็นโรคเสียแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกับเต็มไปกับย่าด้วยนะครับ”


“แกอยู่นี่แหละ คอยรับของจากคุณยุทธ์แทนย่า เห็นว่าจะให้พลทหารเอามาให้ เดี๋ยวมาแล้วจะไม่เจอใคร นี่พ่อกับแม่แกก็ไม่อยู่”
เต็มฟ้าและศิธาพัฒน์สบตาก่อนจะต่างฝ่ายต่างเงียบ กระทั่งเมื่อคุณนายยุพากล่าวขึ้นอีกครั้ง “ส่วนเธอ ถ้าอยากจะไปเที่ยวในสวนก็ไปด้วยกันสิ”


แม้จะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างแต่เต็มฟ้าก็มิได้มีท่าทางอิดออด ชายหนุ่มเดินตามหญิงชราออกจากบ้านไปเงียบ ๆ โดยมีศิธาพัฒน์ยืนส่งสายตาให้กำลังใจ


คุณนายยุพาในวัยเจ็ดสิบห้าปียังคงเดินเหินอย่างคล่องแคล่ว เธอพาเต็มฟ้าเดินลัดเลาะไปในที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นแผ่กิ่งก้านเขียวขจี เต็มฟ้ามองแผ่นหลังเล็กของคนเดินนำหน้าคิดว่าหากให้ประมาณระยะทางจากบ้านมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ตลอดทางหญิงชาราก็ยังคงเงียบมาตลอดทางกระทั่งผ่านต้นทุเรียนที่เริ่มออกผลเล็ก ๆ ให้เห็น


“เธอทานทุเรียนเป็นไหม”


“ทานได้ครับคุณย่า”


“อืม...ไม่เหมือนหลานบ้านนี้ ไม่มีใครทานสักคน”


“ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ครับ ทานได้หมด” เต็มฟ้าตอบยิ้ม ๆ ถึงนาทีนี้ก็พอจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง


“ยิ่งเจ้าปุ่นน่ะ ยิ่งกินยาก ไอ้โน่นก็ไม่กินไอ้นี่ก็ไม่กิน เวลาฉันจะทำกับข้าวแต่ละทีถึงกับกุมขมับ”


ริมฝีปากบ่งเผลอคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกภาพของอีกคนที่กำลังถูกพูดถึง “จริง ๆ ก็ทานไม่ยากนะครับ แต่เงื่อนไขเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง”


“เงื่อนไข?” คุณนายยุพาหันกลับมามองคนพูดอย่างแปลกใจก่อนจะเงยหน้ามองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงหลายชายที่มักจะทำให้ต้องปวดหัวอยู่เสมอ “จริงสินะ บางอย่างถึงจะชอบแค่ไหนถ้าไม่ถูกใจเสียแล้วละก็พาลไม่กินเอาเฉย ๆ”


คนฟังเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะเดินต่อ ไม่นานก็มาถึงเรือนเพาะชำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยกล้วยไม้หลายสีปลูกอยู่ในกระถางบนนั่งล้านยกสูงเรียงกันไปตามแนวลึกของโรงเรือน ทันทีที่เห็นคุณนายยุพาคนงานก็รีบเข้ามารายงานเรื่องอาการผิดปกติของกล้วยไม้ทันที เต็มฟ้าเดินไปตามช่องว่างระหว่างนั่งล้าน สังเกตว่าที่ใบของกล้วยไม้จำนวนหนึ่งที่ด้านหน้าและหลังใบเป็นจุดสีดำ


“แปลกจริง ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้” หญิงชราบ่นพลางพลิกใบกล้วยไม้ไปมาเพื่อสำรวจดูความเสียหายก่อนจะหันไปมองต้นที่ปลูกอยู่ข้าง ๆ กันที่ยังคงเป็นปกติ


“คุณย่าอย่าจับนะครับ” เต็มฟ้าทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นมือไปสัมผัสกล้วยไม้กรถางข้าง ๆ


เพียงเท่านั้นความรู้สึกขัดใจก็แล่นปรี๊ดขึ้นทันที หญิงชราหันไปสบตาคนพูดพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะถามถึงเหตุผลที่อยู่ ๆ หนุ่มน้อยผู้นี้ถือวิสาสะมาออกคำสั่งกับเธอ


“ผมว่ามันน่าจะเป็นโรคเพราะติดเกิดเชื้อรา ถ้าเราเอามือไปจับต้นที่เป็นโรคไปจับต้นอื่น ๆ มันก็จะติดต่อกันได้ พวกมีดตัดแต่งก็เหมือนกันครับ”


คำอธิบายที่ฟังดูมีน้ำหนักทำให้ความรู้สึกไม่พอใจคลายลงเล็กน้อย ถึงจะอธิบายได้เป็นฉาก ๆ แต่ชาวสวนผู้คลุกคลีอยู่กับต้นไม้มานานปีอย่างคุณนายยุพาก็ยากจะทำใจเชื่อ


“ทำไมเธอถึงรู้เรื่องพวกนี้”


“พ่อผมก็ปลูกกล้วยไม้พวกนี้เหมือนกัน หวงนักหวงหนายิ่งกว่าลูกตัวเองเสียอีก” พูดไปก็ยิ้มไป “แต่พอเวลาเป็นโรคขึ้นมาทีก็ต้องตัดใจทำลายทิ้งเหมือนกัน มันจะได้ไม่แพร่กระจายไปต้นอื่น”


“แล้วอย่างนี้ฉันควรจะทำยังไง” หญิงชราถือโอกาสลองภูมิ


“ต้นที่เป็นโรคแล้วก็ต้องเผาทิ้ง เชื้อราพวกนี้แพร่กระจายไปกับน้ำและลมรวมถึงจากมือเราด้วย โรงเรือนก็ต้องทำให้โปร่งเข้าไว้ แล้วก็ต้องฉีดพ่นด้วยสารเคมีหลีกเลี่ยงการพ่นปุ๋ยในอัตราความเข้มข้นสูงเวลาแดดจัดด้วยครับ”


“คุณพ่อเธอทำแบบนี้เหรอ”


“ใช่ครับ”


คุณนายยุพาพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะหันไปสั่งการคนงานให้ทำตามข้อแนะนำของชายหนุ่ม


“คราวก่อนที่ไปลำปางก็ได้คุยกันไม่กี่คำเลยไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงตรัยก็ปลูกกล้วยไม้ด้วย สงสัยไปลำปางคราวหน้าจะต้องแวะไว้คุยด้วยสักหน่อยก่อนที่จะไม่มีโอกาส”


คำพูดของอีกฝ่ายสร้างความสงสัยให้คนฟังไม่น้อย


“เธอรู้ใช่ไหมเรื่องที่เจ้าปุ่นเคยสัญญาเอาไว้”


“ครับ พี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังว่าสัญญาเอาไว้กับคุณย่าว่าจะขอทำงานที่ลำปาง 3 ปี แล้วจะกลับมาเรียนต่อ”


“อืม...แล้วเธอคิดว่ายังไง”


“ผมคิดว่าถ้าเราสัญญาอะไรกับใครไว้เราก็ควรจะรักษาสัญญาครับ”


“แล้วถ้าฉันขอให้เธอสัญญาว่าเมื่อถึงเวลานั้นเธอจะไม่มายุ่งกับหลานชายฉันอีกล่ะ”


คำถามนั้นทำเอาเต็มฟ้ารู้สึกชาไปทั้งตัว ชายหนุ่มสบตานิ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจผ่านปลายจมูกอย่างแผ่วเบา


“ฉันรู้ว่ามันอาจโหดร้ายไปหน่อยนะ แต่อยากลองคิดในมุมของคนในครอบครัว เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยโดยเฉพาะคนแก่หัวโบราณอย่างฉัน อีกอย่างครอบครัวเราค่อนข้างมีหน้ามีตาทางสังคมเธอจะรับได้เหรอเวลาที่หลายคนจะมองพวกเธอด้วยสายตาแปลก ๆ”


“ผมเข้าใจครับ” คนฟังกล่าวอย่างสุภาพ


“ฝากให้เธอไปลองคิดทบทวนก็แล้วกัน” คุณนายยุพากล่าวทิ้งท้าย


....


ลมหายใจหนัก ๆ ถูกส่งผ่านปลายจมูกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งที่เขาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ เต็มฟ้าทอดตามองผืนน้ำเบื้องหน้า เรือที่แล่นผ่านทำให้เกิดเป็นระลอกลูกใหญ่ซัดเข้าหาตลิ่งจนเกิดเป็นระลอกคลื่น แรงปะทะของน้ำทำให้เกิดเสียงดังแต่เพียงไม่นานสายน้ำก็กลับสงบนิ่งลงอีกครั้งต่างจากความรู้สึกภายในใจขณะนี้ที่ยังหาความสงบไม่ได้เลย คำพูดของหญิงชราเหมือนเกลียวคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าหาราวกับจะดูดกลืนตัวเขาให้หายไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหันหลังกลับ พลันร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมกริบภายใต้กระจกแว่นตาจ้องมองมาราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง 


“ตะ..เต็ม” ยุทธภูมิกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกดีใจระคนแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งที่นี่


เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรซ้ำยังทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือเอาไว้


“ดะ..เดี๋ยวก่อน คุยกันก่อน”


“ปล่อยเรา”


ยุทธภูมิจ้องมองอดีตคนรักที่กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาเรียบเฉย


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ระ..หรือว่าคนที่พี่พรีมพูดถึง....” คุณหมอหนุ่มกล่าวพลางทบทวนเรื่องราวของศิธาพัฒน์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากปากของพี่สาว “ตะ..เต็มกับพี่ปุ่น...ไม่จริงใช่ไหม”


“ไม่เกี่ยวกับนาย” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ พร้อมกับพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน


“จะทิ้งกันง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”


ประโยคนั้นทำเอาคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของคนที่กำลังบีบข้อมือของเขาแน่น “ใช้คำนี้ไม่น่าถูกนะ นายเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”


ยุทธภูมิถอนหายใจหนัก ๆ รู้ว่าตนเองผิดแบบเต็มประตูที่การโกหกผู้เป็นพ่อทำให้อีกคนหนึ่งต้องเสียใจ แต่จะทำอย่างไรได้ หากจะต้องเลือก อย่างไรเขาก็ต้องเลือกรักษาความรู้สึกของคนในครอบครัวก่อนแทนที่จะเป็นความรู้สึกของ ‘คนอื่น’ และยิ่งพ่อแสดงท่าทางรังเกียจความรักระหว่างเพศเดียวกันด้วยแล้วมันก็ยิ่งทำให้คนเป็นลูกอย่างเขาไม่กล้าที่จะแสดงออกถึงความต้องการของตนเอง “เราขอโทษนะ แต่นายก็น่าจะรู้ว่าพ่อเราไม่ชอบ....”


“ก็เลยต้องคบผู้หญิงบังหน้า แล้วแบบนี้มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”


“นี่นายรู้?”


ยังไม่ทันพูดอะไรต่อเสียงแว้ดก็ดังขึ้นดังขึ้นขัดจังหวะ “นายภูมิ เธอทำอะไรน่ะ ทะ...ทำไมจับไม้จับมือกันแบบนั้น” พีรนันท์ย่างสามขุมเข้ามาพลางกระชากแขนน้องชายก่อนจะใช้มือของตนเองระดมตีแขนแกร่งของคนเป็นน้องราวกับเขาได้สัมผัสกับสิ่งน่าขยะแขยงก็ไม่ปาน 


“นี่ ๆๆๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ทำไมแบบนี้”


“โอ๊ย! พี่พรีมหยุด ภูมิเจ็บ หยุดได้แล้ว!” น้องชายร้องห้ามพร้อมกับใช้มือปัดป้องแต่พี่สาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


“ทำไมจับมือกัน เธอสองคนรู้จักกันเหรอบอกพี่มาเดี๋ยวนี้”


“หยุดได้แล้วพี่พรีม ก็แค่คนรู้จักน่ะ เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน” ยุทธภูมิขึ้นเสียงก่อนจะผ่อนลมหายใจ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่หนักแน่นพอ ๆ กับหัวใจของตนเอง “เขามายุ่งกับภูมิเอง พี่พรีมก็รู้ว่าภูมิไม่คบหรอกคนแบบนี้น่ะ”


เต็มฟ้ากรอกตาขึ้นพลางถอนหายใจ เป็นอีกครั้งที่ยุทธภูมิโยนภาระทิ้งเช่นนี้เมื่อถึงยามจวนตัว คิดได้ดังนั้นก็ทำท่าจะเดินหนีแต่ก็ต้องชะงักกึก 


“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป เธอยังไปไหนไม่ได้จนกว่าจะบอกว่าเธอมายุ่งกับน้องชายฉันทำไม” พีรนันท์แผดเสียงดุ


“น้องชายคุณมายุ่งกับผมเอง” เต็มฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพลางมองคนขี้ขลาดที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“แต่น้องฉันเขาบอกว่าเธอไปยุ่งกับเขานี่ นี่ยุ่งกับปุ่นคนเดียวยังไม่พอหรือไง ถึงเที่ยวไปยุ่งกับชาวบ้านเขาระวังเถอะจะติดโรค”


“พี่พรีมพอเถอะน่า”


“เธอเงียบไปเลยนายภูมิ ฉันจะสั่งสอนพวกคนวิปริตนี่”


‘พวกคนวิปริต’ คนถูกกล่าวหาพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นของตนเองก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


“ผมก็เป็นคนปกติเหมือนคุณ ในความคิดของผมคนวิปริตน่าจะเป็นพวกที่คิดว่าตัวเองสูงส่งจนกระทั่งพูดจาดูถูกเหยียดหยามคนอื่นมากกว่า”


“เด็กบ้า! นี่เธอว่ากระทบฉันเหรอ”


“ผมไม่ได้ว่าคุณ แต่อยากจะให้คุณเข้าใจเสียใหม่”


“แก!!!” พีรนันท์กัดฟันกรอด “พวกผิดธรรมชาติ”


“พอเถอะครับ” เต็มฟ้าเม้มปากแน่น ทั้งที่คิดว่าจะไม่พูดให้อีกฝ่ายเสียหายเพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้กันมาก่อน แต่สุดท้ายอารมณ์ก็ทำให้สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้พังทลายลง “เพราะยิ่งคุณว่าผมก็เหมือนว่าน้องชายของตัวเอง”


“กะ..แก...หมายความว่ายังไง น้องฉันทำไม” หญิงสาวกล่าวก่อนจะหันไปส่งสายตาคาดโทษให้น้องชาย


“ถามน้องชายคุณเองดีกว่า ผมขอตัว”


“ไอ้เด็กบ้า บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าที่พูดเมื่อกี้แกหมายความว่ายังไง”


“พอเถอะน่าพี่พรีม อย่าไปฟังมากเลย ตัวเองน่ารังเกียจคนเดียวไม่พอยังจะดึงให้คนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองอีก คนแบบนี้น่ะอย่าไปเสียเวลาด้วยเลย”


เต็มฟ้าหันขวับจ้องตายุทธภูมิ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ยินคำพูดที่สะท้อนบางอย่างในจิตใจของเขา มือเล็กกำแน่นพยายามจะบอกตัวเองว่าสิ่งที่ได้ฟังมันเป็นเพียลงแค่สายลมที่พัดผ่านไม่อาจสร้างความเจ็บปวดได้เลยสักนิด


“ตัวเองต่ำแล้วยังดึงให้คนอื่นลงต่ำ” ผู้เป็นน้องชายยังคงย้ำในขณะที่พีรนันท์มองคนตรงหน้าด้วยสายตาขุ่น ๆ นึกสงสัยเมื่อริมฝีปากบางที่ค่อย ๆ เหยียดออก แปลกใจที่อีกฝ่ายกลับยังยิ้มได้


“แกยิ้มอะไร” หญิงสาวกล่าวเสียงเขียว


“ก็แค่...รู้สึกว่าตัวเองโชคดีน่ะครับ ที่คนในครอบครัวของผมยอมรับกับสิ่งที่ผมเป็น ไม่เหมือน....” เต็มฟ้าจงใจท้าทาย


“เต็ม! หยุดพูดได้แล้ว!” ยุทธภูมิขึ้นเสียง


 “ไม่เหมือนอะไร แกพูดมาให้จบนะ”


“ก็ไม่เหมือนน้องชายขะ..ของ....”



พลั่ก!



ยังพูดไม่ทันจบเต็มฟ้าก็ถูกยุทธภูมิผลักจนเซ อีกฝ่ายสาวเท้าตามมาคว้าคอเสื้อก่อนจะง้างหมัดใส่คนที่กำลังจะทำให้ความลับที่ตนเองไม่เคยบอกให้คนในครอบครัวรู้ถูกเปิดเผย เต็มฟ้าจ้องตาเขม็งกะว่าอย่างไรเสียการตกเป็นรองเช่นนี้ก็คงต้องเจ็บตัวแน่   


“อย่ามาทำนิสัยป่าเถื่อนในบ้านนี้” ศิธาพัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกในขณะที่มือหนารั้งข้อมือของคนอารมณ์พุ่งพล่านเอาไว้ ดวงตาแข็งกร้าวเขม็งจนอีกฝ่ายต้องรีบคลายมือที่กำคอเสื้อของเต็มฟ้าพร้อมกับรีบผละออก


“ปะ..ปุ่น...” พีรนันท์พยายามจะอธิบายเรื่องทั้งหมดแต่ศิธาพัฒน์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด

 
"ไปทานข้าวเถอะ ย่ารออยู่” เจ้าของร่างสูงหันคว้าข้อมือเล็กของคนที่ยืนอยู่ข้างกันก่อนก็เดินจากไปทิ้งให้สองพี่น้องยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-09-2014 23:49:08
(ต่อค่ะ)


บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบ เพราะสมาชิกในบ้านเหลือกันเพียงแค่คุณย่ากับหลานชายคนรองและหลานชายคนเล็กกับแขกอีกสามคนเท่านั้น ศิลามองคนนั่งข้าง ๆ กันสลับกับสองพี่น้องตระกูลวรารักษ์โดยเฉพาะผู้เป็นพี่สาวที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


“ภูมิกับเจ้าปุ้นนี่อยู่โรงพยาบาลเดียวกันใช่ไหม” ผู้อาวุโสที่สุดเอ่ยขึ้น


“อะ..เอ้อ...ใช่ครับคุณย่า” นายแพทย์หนุ่มหล่อกล่าว


“อืม...รู้แบบนี้ก็สบายใจ คนกันเองมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”


“รับรองว่าไม่พากันออกนอกลู่นอกทางแน่ค่ะคุณย่า” พีรนันท์แทรกขึ้นทำเอาศิลาอดนึกขำในคำพูดของเธอไม่ได้ นอกลู่นอกทางอะไรกัน ถ้าจะออกนอกลู่นอกทางก็คงจะมีแต่คุณหมอคาสโนวาที่นั่งอยู่ข้างเธอนั่นต่างหาก ไม่ใช่ตัวเขาแน่ ๆ


“ยิ้มอะไรเจ้าปุ้น” ผู้เป็นย่าเอ่ยขึ้น


“เปล่าครับ แค่ขำพี่พรีมที่พูดยังกับปุ้นเป็นเด็ก”


“แหม...ก็พี่ยังเห็นน้องปุ้นเป็นเด็กอยู่นี่คะ คนสมัยนี้มันไว้ใจได้ที่ไหน น่ากลัวจะตาย บางคนก็จ้องแต่จะเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้” เจ้าของริมฝีปากสีชมพูกล่าวพลางเหลือบมองชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม


“แต่ก็มีบางคนนะครับที่ตอนมีของบางอย่างอยู่กับตัวกลับไม่เห็นคุณค่า แต่พอไปเป็นของคนอื่นแล้วอยากจะได้คืน” คำพูดของเต็มฟ้าทำให้ศิธาพัฒน์ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มแทบสำลัก


“เออ จริงด้วย พูดเสียเห็นภาพเชียว” ศิลากล่าวลอยหน้าลอยตาพลางมองสองคนพี่น้องที่พากันทำหน้าเจื่อน


“เอาละ ทานข้าวต่อดีกว่านะ” คุณนายยุพาตัดบทก่อนจะลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบ ๆ


หลังรับประทานอาหารเย็นหญิงชราที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านหยุดยืนที่หน้าต่างพลางถอนใจเบา ๆ พร้อมกับทอดสายตามองสองหนุ่มที่กำลังเดินตามกันไปที่ศาลาท่าน้ำ ในที่สุดเธอก็ต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามา


“พรีมกับภูมิจะมาลาคุณย่านะค่ะ”   


คุณนายยุพาพยักหน้ายิ้มให้สองพี่น้องตระกูลวรารักษ์ นี่ถ้าหากศิธาพัฒน์และพีรนันท์ไม่เลิกรากันไปเสียก่อน ทั้งสองคนอาจเป็นคู่แต่งงานคู่ต่อไปของบ้านก็ได้ “ย่าขอบใจพรีมกับภูมิมากนะที่อุตส่าห์เอาของฝากมาให้ ฝากขอบคุณคุณพ่อด้วยนะ"


"ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า" หญิงสาวกล่าวพลางชะเง้อมองสองคนที่เห็นอยู่ไกล ๆ "หน้าตาก็ดี ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะเป็นพวกวิปริต” คำพูดที่ไม่ได้หวานตามน้ำเสียงรอดผ่านริมฝีปากเคลือบลิปติกสีชมพูอ่อน


แม้สังคมในมหาวิทยาลัยและสังคมเมืองนอกที่พีรนันท์ไปอยู่จะเปิดกว้างเรื่องเพศแต่เธอก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมกับพวกที่เธอให้คำจำกัดความของพวกเขาว่า 'วิปริต' อยู่ดี นั่นอาจเป็นเพราะเธอเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้นการถูกเลี้ยงดูจากพ่อซึ่งเป็นทหารจึงค่อนข้างเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะคบหากับใคร จะเรียนหรือจะเลิกทำงานอะไรก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้เป็นพ่อเสียก่อน เธอจึงเป็นประเภทที่ต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ


คำก็วิปริตคำก็ผิดธรรมชาติ ยุทธภูมิฟังพี่สาวพลางถอนใจเบา ๆ


“ตอนที่คุณย่าเล่าให้ฟังพรีมยังตกใจไม่หายเลยค่ะ”


"นั่นน่ะสินะ ตอนที่เจ้าปุ่นมาบอก ย่าก็แทบช็อกเหมือนกัน" คุณนายยุพากล่าวน้ำเสียงเรียบ ๆ จนยากที่ใครสามารถจะคาดเดาความรู้สึกในตอนนี้ได้แม้แต่หลานสาวคนสนิทอย่างพีรนันท์


"ยิ่งเห็นกิริยามารยาทวันนี้แล้วยิ่งรับไม่ไหวค่ะ แต่คุณย่าไม่ต้องคิดมากนะคะ ความรักแบบนี้มันไม่จีรังยั่งยืนหรอกค่ะ พรีมเห็นมาเยอะแล้ว"


"แล้วหนูล่ะ รู้แบบนี้แล้วยังคิดจะกลับมาคบกับเจ้าปุ่นอีกไหม"


คำถามนี้เล่นเอาคิดหนัก พีรนันท์ยืนนิ่งทบทวนความรู้สึกตัวเอง ตอนแรกก็คิดอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หวังจะเกลี้ยกล่อมศิธาพัฒน์ให้ละทิ้งจากสิ่งที่กำลังทำอยู่เพื่อมาทำในสิ่งที่เธอคิดว่าเขาควรจะทำ เพราะเขาคือคนที่เธอและพ่อได้เลือกแล้ว แต่สุดท้ายก็โดนตอกกลับจนยับเยิน ตอนนี้พอรู้ว่ามีเด็กนั่นเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญความคิดอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็กลายเป็นความอยากเอาชนะตราบใดที่ศิธาพัฒน์ยังไม่ถลำลึกเธอก็อยากจะได้เขากลับคืนมาอีกครั้ง


“คิดสิคะ คุณย่าก็รู้ว่าพรีมคบกับปุ่นมานาน...”


คนฟังพยักหน้า เธอรู้เรื่องนั้นดีและพอ ๆ กับรู้เหตุผลว่าทำไมทั้งสองคนถึงเลิกรากัน


“หนูบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นพวกวิปริต ตอนนี้เจ้าปุ่นคบหากับเด็กคนนั้นเท่ากับว่าเจ้าปุ่นก็วิปริตไปด้วย แล้วแบบนี้หนูจะยอมรับได้ไหมถ้าหากจะกลับมาคบกับเจ้าปุ่นอีกครั้ง”


"เอ่อ...คือ..."


เมื่อเห็นคนถูกถามมีท่าทีอึกอักคุณนายยุพาจึงกล่าวต่อ “เจ้าปุ่นกับเด็กคนนั้นก็คบกันมาได้พักใหญ่แล้ว ป่านนี้เพื่อน ๆ หรือคนรู้จักก็คงรู้กันหมด หนูจะทนได้ไหมที่ใคร ๆ จะต้องมองทั้งหนูและเจ้าปุ่นด้วยสายตาแปลก ๆ หนูยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ย่าแค่อยากฝากให้หนูกลับไปลองคิดทบทวนดู” หญิงชรากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปส่งทั้งคู่ที่หน้าบ้าน


.....



ศิธาพัฒน์เดินจูงมือเต็มฟ้ามาที่ศาลาท่าน้ำเพื่อถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็น  แม้จะทำอิดออดถ่วงเวลาแต่ในที่สุดคนโดนสอบสวนก็จำต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง


“เพิ่งรู้ว่าชอบหมอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดจนคนฟังต้องกอดอกถอนหายใจ


“ไม่อยากเล่าให้ฟังก็เพราะแบบนี้แหละ”


“พี่บอกแล้วยังไงว่าถ้ามีอะไรให้คุยกัน”


“ถ้าบอกแล้วพูดประชดกันแบบนี้ไม่บอกดีกว่า”


“ไม่ได้ประชดสักหน่อย”


“เนี่ยนะไม่ประชด ก็ได้ยินอยู่”


ศิธาพัฒน์คลี่ยิ้มพลางรั้งเอวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ “ไม่ได้ประชดจริง ๆ หึงต่างหาก มีอย่างที่ไหนอยู่ ๆ แฟนเราก็ไปจับมือถือแขนกับแฟนเก่า”


“ทีพี่ปุ่นยังคุยกระหนุงกระหนิงกับแฟนเก่าได้เลย”


“พูดอย่างนี้แสดงว่าหึง ไปได้ยินอะไรมาไหนบอกพี่ซิ หืม?” พูดพลางยกมือขึ้นเขี่ยปอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาคำตอบที่ถูกซ่อนเอาไว้


“ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่อยากฟัง”


“ไม่อยากฟังก็เลยเดินหนี ไม่ยอมฟังให้จบใช่ไหม”


คนฟังหลุบตาลงเสมองไปทางอื่น แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ร่างบางที่กำลังเดินเข้ามา พลันริมฝีปากบางก็เหยียดยิ้มราวกับกำลังนึกสนุกคิดทำอะไรแผลง ๆ เต็มฟ้าเบนหน้ากลับมาสบตาเจ้าของร่างสูงก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องคอหนาออกแรงเบา ๆ เพื่อโน้มตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ใกล้พอจะหลอกคนที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ ให้คิดว่าเขาทั้งสองคนกำลังจูบกัน


“อะไรเนี่ย” ศิธาพัฒน์กล่าวอย่างแปลกใจ


“พี่ปุ่นอยู่เฉย ๆ เถอะน่า” ปากบางที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบกล่าว

 
“แกล้งเขาอีกแล้วนะ” คนตัวโตกล่าวอย่างรู้ทันเพราะไม่มีทางแน่ที่ตัวแสบอย่างเต็มฟ้าจะทำตัวน่ารักแบบนี้ “ตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารก็แกล้งพูดกระทบเขา นี่ยังจะมาใช้พี่เป็นเครื่องมือแกล้งเขาอีก” เจ้าของร่างสูงกระซิบ


“ช่วยไม่ได้ อยากมาทำไม่ดีกับเต็มก่อน”


“เขาไปหรือยัง”


“ยังเลย ทำหน้าตลกเป็นบ้า” เจ้าของแผนการพยายามกลั้นหัวเราะ


ศิธาพัฒน์ยังคงยืนเงียบ ๆ ตาคมจ้องมองเด็กดื้อด้านในอ้อมแขนเสียจนเพลิน ในขณะที่ใจก็เต้นแรงทุกครั้งที่ริมฝีปากบางชวนสัมผัสขยับยิ้ม  ตาคู่สวยยังคงลอบมองหญิงสาวที่ยืนกระทืบเท้ากระฟัดกระเฟือดเป็นระยะ ๆ ในที่สุดเต็มฟ้าก็หลุดหัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายสะบัดก้นเดินหนีไป


“สมน้ำหน้า” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะคลายวงแขนออกให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแต่ดูเหมือนว่าศิธาพัฒน์จะไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
“ปล่อยได้แล้ว เขาไปแล้ว”


“เผื่อเขาแอบดูอยู่ล่ะ ต้องเล่นให้สมบทบาทสิ เดี๋ยวเขาไม่เชื่อว่าเราเป็นแฟนกันจริง ๆ”


“บทบาทอะไรกัน ปล่อยยยยยย”


คนฟังได้แต่อมยิ้มทำหูทวนลม แขนแกร่งยังคงโอบรัดเอวสอบ ยิ่งหนุ่มน้อยเจ้าแผนการพยายามจะขยับออกก็ยิ่งโดนรั้งให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้นเท่านั้น


“พี่ปุ่น ปล่อยยยยยยย! ไม่ได้ยินหรือไง”


“ได้ยิน แต่ไม่ปล่อย ชอบจังเวลาที่เต็มหึง”


“หึงอะไรเล่า! ไม่ได้หึงเลย”


“เนี่ยเหรอไม่ได้หึง” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอพลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู



“คัท!”


พลันเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะจนสองหนุ่มที่กำลังยืนกอดกันกลมต้องหันมองเป็นตาเดียว ไม่ช้าร่างสูงของศิลาก็ก้าวพ้นพุ่มไม้ออกมา เต็มฟ้าจึงใช้จังหวะนี้ผลักเจ้าของมือปลาหมึกให้ออกห่างตัว


“อะไรของแกเจ้าปุ้น”


“ผู้กินกับสั่งคัทไง เอ้านี่...” พูดจบก็ยื่นตลับขี้ผึ้งสำหรับทาแก้ฟกช้ำให้พี่ชาย


“เอามาทำไม” พี่ชายคนรองขมวดคิ้วมองตลับยากลม ๆ ในมือชายหนุ่ม


“ก็เห็นย่าบอกว่ามีคนโดนแมลงกัดตอนไปเดินในสวนกับย่าเลยให้ปุ้นเอายามาให้”


สิ้นเสียงของศิลาทั้งศิธาพัฒน์และเต็มฟ้าต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง


“ไม่ต้องทำหน้างง” น้องชายคนเล็กกล่าวพลางยัดตลับยาใส่มือพี่ชาย “จะทำอะไรก็ทำต่อ ไม่รบกวนแล้ว” พูดจบก็หันไปสบตาชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแวบหนึ่งพร้อมกับส่งยิ้มปริศนาให้ก่อนจะเดินจากไป


“ไหนมาให้พี่ดูซิ” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะเดินไปโอบเอวคนที่กำลังยืนทำหน้างงแล้วพากันเดินไปนั่งลงที่บันไดท่าน้ำ ตาคมมองสำรวจเนื้อตัวของคนตรงหน้าเห็นว่าตามแขนเต็มไปด้วยตุ่มสีแดงที่น่าจะเกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อย มือหนาจัดการปิดตลับยาก่อนจะควักเอาขี้ผึ้งสีเขียวออกมาทาให้



“เจ็บหรือเปล่า” เจ้าของริมฝีปากอิ่มกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่กำลังส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ


“ถ้าอย่างนั้นถามใหม่” ศิธาพัฒน์ยิ้มมีเลศนัยพลางกระชับมือที่เกาะกุมข้อมือเล็กเอาไว้


“ถามอะไร”


“ถามว่าหายหึงหรือยัง”


“บอกแล้วไงว่าไม่ได้หึง”


“ไม่ได้หึงแล้วทำไมวันนั้นต้องเดินหนี”


“ก็ไม่อยากฟัง พี่ปุ่นจะรักใครเท่าไหนมันก็เรื่องของพี่ปุ่น” หนุ่มน้อยที่โดนต้อนจนเกือบจะจนมุมรีบสวนกลับ


“พี่จะไปรักใครได้อีก ก็รักคนนี้ไปแล้ว” ปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ พลางจ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ได้หลบลี้หนีสายตาคู่นี้ไปไหน


“รักเท่าไหน มากกว่าคุณคนดีอะไรนั่นหรือเปล่า” น้ำเสียงเอาแต่ใจนั้นทำให้คนฟังอดยิ้มไม่ได้ ‘ไหนบอกว่าไม่ได้หึง’


“มากกว่าสิ ต้องมากกว่าอยู่แล้วเพราะพี่ไม่ได้รักเขาแล้วนี่ แต่เท่าไหนนี่ตอบยาก...อืม...เท่าฟ้าก็คงใหญ่ไป เท่าเต็มฟ้านี่แหละกำลังดี” พูดจบก็รั้งเอวของอีกฝ่ายเข้ามานั่งใกล้ ๆ กัน


เต็มฟ้าสบตาอีกฝ่ายก่อนจะวางศีรษะลงบนบ่าหนา นึกถึงคำถามของหญิงชราเมื่อตอนเย็น พลันรอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนในหน้า แม้อนาคตจะยังมาไม่ถึงแต่ก็พอจะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ตนเองแล้ว ชายหนุ่มหลับตาลงช้า ๆ ในเวลาเช่นนี้หากเป็นพี่ปุ่นของเขาแล้วละก็คงจะใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้และตัวเขาเองก็คิดว่าจะทำแบบนั้นเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-09-2014 00:36:09
มีความสุขในความหม่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-09-2014 00:40:01
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 16-09-2014 00:40:50
โอยยย คุณย่าา :m15:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 16-09-2014 00:44:31
พี่น้องคู่นี้เกินบรรยาย 
ผู้ชายอย่างหมอภูมิ มันน่ารังเกียจจริงๆ
เห็นแก่ตัวมาก ดีแล้วที่เต็มหลุดพ้นมาได้

เต็มไม่ได้หึงงงงงงงงงงงพี่ปุ่นเลย จริงๆ
เข้าง้อกันน่ารักดี อบอุ่นมาก
ชอบจังที่ปุ่นบอก "รักเท่าเต็มฟ้า" 
 :-[ :-[ :-[

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 16-09-2014 00:57:09
เหมือนคุณย่ากำลังทดสอบทั้งเต็มทั้งพรีม แกฉลาดนะ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-09-2014 01:28:01
รอคอยคนเขียนนาน แต่ก็เต็มอิ่ม
แต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยน้า
ชอบบรรยากาศที่อบอุ่นมาก ๆ
ในชีวิตจริง จะเป็นไปได้ไหมนะ
เพ้ออีกแล้วเรา
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 16-09-2014 02:09:57
เขาเล่นกันน่ารักอ่ะๆๆๆ  :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 16-09-2014 02:10:35
พริมกับภูมินี่สมควรเป็นพี่น้องกันจริงๆๆนิสัยแย่พอกัน :beat: :beat: :beat: :beat:

เต็มสู้ๆๆๆ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 16-09-2014 06:32:38
หวานกันแบบเรียบๆ แต่ก็ทำเราเขินตัวแตกอยู่ดี แอร้ยยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-09-2014 07:41:25
เหมือนเต็มจะยอมเลิกกับพี่ปุ่นจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 16-09-2014 08:32:39
จิตใจคับแคบ ตตัวน้องก็ขี้ขลาด
อย่าไปอยากดองกับครอบครัวแย่ๆแบบนี้เลยคุณย่า
เต็มมั่นใจได้น่ะ คุณย่าน่าจะมองตามความคิดและการตอบคำถาม
แถมพี่ปุ่นรักเต็มขนาดนี้ด้วย


ปลฺตอนหน้าจบแล้ว ใจหายยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 16-09-2014 08:43:44
ชอบที่เต็มพูดบนโต๊ะอาหาร รู้สึกสะใจจริงๆ o18
พี่ปุ่นกับเต็มหยอกกันน่ารัก :-[
3ปี เต็มคงทำให้คุณย่ารักเต็มได้แล้วล่ะ
เพราะแค่ที่มาวันนี้คุณย่าก็เริ่มรู้สึกดีกับเต็มด้วยแล้ว(รึเปล่าหว่า)
ใกล้จบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 16-09-2014 09:26:52
กรี้ดดด เขิลอ่ะ
ผ่านการทดสอบของคุณย่าให้ได้นะคะพี่เต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 16-09-2014 09:58:08
เต็มฟ้าก็เคยโง่นะ ไปรักคนอย่างภูมิได้ไง หลายปีที่คบกันมองไม่ออกเลยเหรอ

คุณย่าเหมือนจะดี แต่เงื่อนไข อะไรนั่นอีก ยุ่งยากซะจริง 75แล้ว ยังไม่ปลง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 16-09-2014 10:03:04
คุณย่ากำลังทดสอบอะไรอยู่.....สู้ต่อไปนะเต็ม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 16-09-2014 10:25:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 16-09-2014 11:09:16
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-09-2014 12:01:29
เต็มไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวคุณย่าก็เห็นเองว่าใครกันแน่ที่น่ารังเกียจ
ชอบพี่ปุ่นใจเย็นและใส่ใจเต็ม ไม่เคยปล่อยให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เคลียร์ได้หมด
ปุ้นก็น่ารักนะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 16-09-2014 12:41:20
หวังว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 16-09-2014 13:12:38
'รักเท่าเต็มฟ้า'~~

แงๆๆๆ ขอผู้ชายอย่างพี่ปุ่นคนนึงค่ะ โคตรอบอุ่น ~.~

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 16-09-2014 15:36:06
ไมตรีจากตลับสีผึ้งที่ฝากมาให้ คงเป็นนิมิตรหมายที่ดี  :mew1:
นั่งคุยกันต่อระวังมดในสวนจะตายด้วยความหวานของพี่ปุ่น หมดสวนนะ  :hao6:
+1 ให้เป็นกำลังใจให้น้องเต็ม รับมือกับคุณย่า
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 16-09-2014 17:27:37
โว้ววววว กว่าจะได้มาเม้น ต้องรอเลิกงานเลยนิ
กลัวที่ทำงานจับได้ว่าแอบอู้งานมาอ่านคุณบุรุษฯ

ครึ่งแรกนี่ อยากจับเต็มมาอบรม เรื่องไม่รับโทรศัพท์นี่เป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย
คือจะอะไรก็ได้นะ แต่ช่วยรับโทรศัพท์หน่อย บางทีคนโทรเป็นห่วงไง
คิดไปไกลถึงขั้นเป็นอะไร บาดเจ็บหรือเปล่า ได้รับอุบัติเหตุอะไรมั้ย
มันฟุ้งซ่านนะ จะเคืองมากอ่ะ ถ้าติดต่อได้แต่ไม่รับนี่ แบบ...ฮึ่ม น่าจับมาตีก้น


ครึ่งหลังนี่พอให้อภัยได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำตัวเป็นนางเอกให้เค้าโขกสับ
ตอกกลับอย่างนี้แหละ สะใจดี ช็อตยั่วพี่ปุ่นนี่ ยกนิ้วให้นะคะ แร่ดได้อีก กร๊ากกกก


รู้สึกว่าคุณย่าจะไม่ได้ทดสอบแค่เต็มแล้วนะ
คำถามของคุณย่าที่ถามยัยพรีม(แหม่ะ เคยชอบชื่อนี้ แต่พอเป็นพรีมนี้ละ ไม่ปลื้ม)
ก็เหมือนเป็นบททดสอบเหมือนกัน
ซึ่งคาดว่าเต็มคงสอบผ่าน

ตอนหน้าจบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลย อยากให้ต่อไปอีก ยาวๆ
ให้มีอะไรอ่านระหว่างรอเล่มของพี่ตังพี่จ้า เพราะระหว่างนี้ก็ต้องทำการบ้านด้วยจิ้นฉากหลังโคมไฟกันอีก โฮะๆๆๆ :fox2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 16-09-2014 21:29:10
...พรีม กับ...ภูมิ


ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงเป็นพี่น้องกัน


นิสัยนี่ส่งต่อกันมาอย่างกับคัดลอก   :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 16-09-2014 21:59:42
เอาน่า...ถึงคุณย่าจะไม่เปิดใจเต็มร้อย แต่ช่วยเขี่ยชะนีให้ก็เกินร้อยแล้วแหละค่ะ อิๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 16-09-2014 22:26:03
แอบหวานตลอดๆนะพี่ปุ่น อยากให้เต็มเชื่อใจพี่ปุ่นอย่าเพิ่งฟังใคร
ไม่แน่นี่อาจจะเป็นแผนของคุณย่า เพื่อสำหรับลองใจของทุกๆฝ่ายก็ได้
เดาเล่นๆนะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 16-09-2014 22:58:46
ตอนหนัาจะจบแลัวหรออ ขอตอนพิเศษเยอะๆเลยน้า ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 21 : คำถามของคุณย่า) 15-09-2557 หน้า 22
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วเจ้าจอม ที่ 17-09-2014 17:00:57
"รักเท่าเต็มฟ้า"
กรี๊ดดดดดดด >////< เขินแทน
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-09-2014 01:58:03
ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง



พ่อเลี้ยงตรัยจ้องมองช่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ลูกชายคนเล็กกำลังวางลงบนฝาบาตร ข้าง ๆ กันคือลูกชายคนโตที่ปีนี้เพิ่งจะมีโอกาสได้ใส่บาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่ด้วยกันเป็นครั้งแรก วันนี้นอกจากจะเป็นวันครบรอบการจากไปของภรรยาสุดที่รักแล้วยังเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่สิบสามของตามตะวันลูกชายคนสุดท้องอีกด้วย เมื่อกลับจากวัดทุกคนในครอบครัวต่างก็มารวมตัวกันที่แสงจันทร์เกสต์เฮาส์ตามคำเชิญของเดือนดารา ครัวของเกสต์เฮาส์ถูกปิดหนึ่งวันสำหรับทำอาหารรับประทานกันเองภายในครอบครัวโดยวันนี้เจ้าของบ้านอาสาเข้าครัวโชว์ฝีมือเอง โดยมีตามตะวัน หมูอ้วนและยะหยาช่วยหยิบจับนี่นั่นอยู่ในครัว ได้ยินเสียงชลธรโวยวายเป็นระยะ ๆ เมื่อบรรดาลูกลิงเริ่มซุกซนจนครัวป่วนไปหมด ส่วนเจ้าแข็งแรงก็คอยเห่าให้กำลังใจเด็ก ๆ อยู่ไม่ห่าง   


เต็มฟ้าที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้านพร้อมไดอารีสีฟ้าและถุงกระดาษในมือหยุดมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ระเบียง อดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายอย่างพ่อสามารถครองตัวเป็นโสดมาได้อย่างไรถึงสิบสามปีแต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความสงสัยที่ว่าพ่ออยู่โดยปราศจากแม่มาจนป่านนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงตรงหน้าพลางทอดตามองตามสายตาของผู้เป็นพ่อที่ไม่อยู่ว่าไปสิ้นสุดอยู่ตรงไหน


“พ่อคิดถึงแม่บ้างไหม” ลูกชายเอ่ยขึ้น


พ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ดึงสายตากลับมามองคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงภรรยาผู้ลาลับอยู่ร่ำไป ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่มีสักนาทีที่ไม่คิดถึง”


คำพูดของพ่อทำเอาคนฟังน้ำตารื้น บอกไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ คำถามที่ผุดขึ้นในใจตอนนี้คงเป็น ‘ทำไมพ่อถึงเข้มแข็งได้ขนาดนี้’


“ถ้าเป็นเต็ม...คงทนไม่ไหว สำหรับบางคนระยะทางทำให้รักกันมากขึ้นก็จริง แต่ถ้าเต็มรักใครสักคนไปแล้วก็คงอยากเห็นหน้าเขา ถึงจะอยู่ไกลกันแค่ได้ยินเสียงก็ยังดี ขอแค่รู้ว่าเขายังอยู่ วันหนึ่งเราคงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่นี่ไม่รู้เลยว่าจะได้พบกันเมื่อไร”


“เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดหรอกนะเต็ม ถ้าไม่เพราะมีความจำเป็นที่ทำให้ต้องแยกจากกันก็เพราะความตาย...” ผู้เป็นพ่อยังคงยิ้มให้ “พ่อเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับลูกสองคนไปได้อีกนานแค่ไหน แต่พ่อเชื่อว่าเมื่อพ่อจากไปแล้วลูกก็จะคิดถึงพ่อเหมือนกับที่พ่อคิดถึงแม่ แล้วเราก็จะเหมือนไม่ได้จากกันไปไหน”


“วันหนึ่งลูกจะรู้ว่าความรักไม่ใช่การครอบครองหรือจะต้องเป็นเจ้าของ ความรักไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ลูกเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”


ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าสบตานิ่ง นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 13 ปีที่ไม่มีแม่ แต่ละปี ๆ ผ่านไปไว้เหมือนที่ใคร ๆ มักจะพูดกัน แต่กว่าจะผ่านมันมาได้ก็ถือว่าเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน


เสียงถอนใจเฮือกใหญ่ทำเอาคนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ต้องเหลียวมองคนที่กำลังเดินอ้อมหลังมานั่งลงข้าง ๆ ตามตะวันพาดแขนพร้อมกับเกยคางลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเบื่อหน่ายจนพี่ชายและพ่อที่กำลังมองอยู่อดสงสัยไม่ได้


“เป็นอะไรไปไอ้ลูกชาย ถอนหายใจเสียยืดยาวยังกับคนแก่”


“ตามคิดถึงพี่ปุ่นฮะ”


“คิดถึงทำไม ไม่เห็นจะน่าคิดถึงเลย” พี่ชายกล่าวก่อนจะวางไดอารีและถุงกระดาษที่มีตราห้างสรรพสินค้าชื่อดังลงบนโต๊ะ


“ไม่ได้เจอตั้งนานแล้วก็เลยคิดถึงฮะ”


พี่ชายส่ายหน้าน้อย ๆ พลางโยกศีรษะน้องชายเบา ๆ “เลิกคิดถึงเขาได้แล้ว เขายังไม่เห็นจะคิดถึงเราเลย” พูดจบก็เลื่อนถุงกระดาษให้


“อะไรเหรอครับ” น้องชายรีบนั่งหลังตรงพลางควานหยิบของที่อยู่ในถุงออกมา มันเป็นกล่องของขวัญทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเด็กชาย ยังไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรแต่ตามตะวันก็ยิ้มร่าเอาไว้ก่อนนั่นเพราะของอะไรที่พี่ให้เขาก็ชอบทั้งนั้น


“เปิดดูสิว่าชอบหรือเปล่า”


พ่อเลี้ยงตรัยยิ้มน้อย ๆ มองลูกชายคนเล็กที่ง่วนอยู่กับการแกะกระดาษห่อของขวัญ ไม่นานก็เห็นยี่ห้อนาฬิกาแบบที่เด็ก ๆ นิยมใส่อยู่ที่ฝากล่อง


“โอ้โห! สวยจังเลยฮะพี่เต็ม” ตามตะวันร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นทันทีที่เปิดฝากล่องออกแล้วพบว่าข้างในคือนาฬิสีข้อมือสีดำแบบที่กำลังอยากได้


“ชอบไหม”


“ชอบที่สุดเลยครับพี่เต็ม ขอบคุณนะครับ” น้องชายละล่ำละลักพร้อมกับยกมือไหว้ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในครัวเพื่ออวดนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้ทุกคนดู


“บ้าเห่อเหมือนแกตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้น


“อะไรเล่าพ่อ เต็มขี้เห่อตรงไหน จำไม่ได้เลยว่าเคยเห่ออะไรบ้าง”


ตรัยหัวเราะหึก่อนจะตอบ “เรื่องเดียวที่เห็นเห่อก็เรื่องที่จะมีน้องนั่นแหละ เห่อไม่ได้ดูเหนือดูใต้เลยว่าน้องเป็นผู้ชาย”


“โธ่...เรื่องตั้งนานมาแล้วยังจะเอามาแซวอีก”


สองพ่อลูกพากันหัวเราะ หลังจากนั้นลิ้นชักแห่งความทรงจำก็ถูกเลื่อนเปิดอีกครั้ง โดยที่ทั้งสองคนเลือกที่จะหยิบเรื่องราวที่ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาฉายซ้ำแทนที่จะเป็นเรื่องที่รังแต่จะทำให้มีแต่คราบน้ำตายามเมื่อภาพฉายนั้นถูกเก็บลงในกล่อง


ค่ำแล้วแต่เต็มฟ้าก็ยังคงนั่งอยู่ที่บันไดท่าน้ำ ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกเมื่อภาพของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิด ถ้าวันนี้อยู่ด้วยกันคงจะได้เอนตัวพิงร่างหนาของเขา ทอดตามองสายน้ำที่ยังคงไหลเอื่อย ๆ แบบที่เคยทำเป็นปกติ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คงเป็นนั่งพิงเจ้าแข็งแรงที่นอนขดครางหงิง ๆ อยู่ไม่ห่าง อยากจะถามมันเหลือเกินว่ามันจะรู้สึกเหงาเหมือนกันบ้างไหมยามที่ใครคนนั้นไม่อยู่เช่นนี้


“พี่เต็ม ตามเก็บของเรียบร้อยแล้วนะฮะ” ตามตะวันที่เดินสะพายเป้มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยขึ้น


“อื้อ...” เต็มฟ้าหันมาพยักหน้า มือที่วางอยู่บนไดอารีบนตักทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ “นั่งก่อนสิตาม”


น้องชายพนักหน้าก่อนจะเดินมานั่งลงข้าง ๆ อย่างว่างง่าย


“พี่มีอีกอย่างจะให้” พูดจบก็ส่งสมุดบันทึกปกสีฟ้าให้


“ไดอารีเหรอครับ” เด็กชายตามตะวันรับมาก่อนจะเปิดออกดู “เขียนแล้วด้วยนี่ครับพี่เต็ม ของใครเหรอครับ”


“ของแม่น่ะ แม่เขียนไว้เมื่อตอนพี่ยังไม่เกิด”


“ละ..แล้วทำไม..พี่เต็มถึงให้ตามล่ะครับ”


“อ่านมันจนแทบจะจำได้ทุกตัวอักษรแล้ว ก็เลยอยากให้ตามเก็บเอาไว้ ตามเคยถามพี่ไม่ใช่เหรอว่าแม่ของเราใจดีไหม ถ้าอ่านไดอารีเล่มนี้จบตามก็จะรู้ว่าแม่ของเราใจดีแค่ไหน มันอาจจะเป็นเรื่องที่แม่เขียนไว้ตอนพี่ยังอยู่ในท้องของแม่นะ ถ้าแม่ไม่ป่วยเสียก่อนตอนที่มีตามพี่ว่าแม่ก็คงเขียนแบบนี้ให้ตามเหมือนกัน”


“ขอบคุณฮะพี่เต็ม” หนุ่มน้อยยิ้มกว้างพลางกอดไดอารีแน่น



....




ชายหนุ่มปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผมก่อนจะลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งขึ้นรูปแจกันตามแบบที่ลูกค้าสั่งมาร่วมชั่วโมงแต่ก็ยังไม่ได้ตามที่พอใจ รู้สึกพักนี้จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร เต็มฟ้าถอนใจเฮือกก่อนจะเดินออกไปล้างมือที่ลำธารที่อีกไม่นานระดับน้ำก็คงจะเพิ่มขึ้นเพราะฝนที่เริ่มตกลงมา นึกถึงฝายน้ำล้นที่เคยติดตามพ่อกับคนงานไปสร้างเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อนจึงเดินขึ้นไปตามแนวลำธารเพื่อสำรวจ ไม่นานลูกชายพ่อเลี้ยงก็เดินมาถึงแนวไม้ไผ่ซึ่งมีกรวดหินที่ถูกวางขึ้นซ้อนกันขวางกลางลำธารที่เชื่อมต่อกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อชะลออการไหลของน้ำ ไม่ให้ทำลายหน้าดินหรือสร้างความเสียหายให้พืชผลในยามน้ำมาก ถัดจากแอ่งน้ำขึ้นไปเป็นน้ำตกชั้นเตี้ย ๆ ที่มีน้ำตลอดทั้งปี



เต็มฟ้าเดินไปบนโขดหินเหนือม่านน้ำตกก่อนจะนั่งลงจุ่มขาในน้ำเย็นเฉียบปล่อยใจคิดอะไรเพลิน ๆ พลันภาพตรงหน้าก็ดับวูบลงเพราะมือหนาของใครคนหนึ่งที่ยกขึ้นปิดตาของเขาจากด้านหลัง น้ำหอมกลิ่นที่คุ้นติดปลายจมูกทำให้ความตื่นตระหนกภายในใจคลายลงจนหายเป็นปลิดทิ้งในขณะที่เสียงกระซิบข้างหูนั้นก็ชวนให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อได้ฟัง


“ทายซิว่าใคร”


คนถูกปิดตาถอนใจเบา ๆ พร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ “เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ”


“มีแฟนเด็กก็ต้องทำตัวเด็กสิ เร็ว! ทายมา”


“อืม...”


“แน่ะ! ช้าอีก”


“พี่ศิธา”


ศิธาพัฒน์ถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับคลายมืออกมองเจ้าของใบหน้าชวนมองที่กำลังลุกขึ้นยืน


“รู้ไหมว่าเรียกแบบนี้จะโดนอะไร” ร่างสูงกล่าวเมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากัน


“รู้” เต็มฟ้าตอบหน้าระรื่น เขารู้อยู่เต็มอกว่าถ้าหากเรียกแบบนี้จะโดนอะไร มีแต่พี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย


“รู้แล้วทำไมยังเรียกแบบนี้อีก หรือว่าอยากโดนจูบ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็สาวเท้าเข้ามาประชิดตัวก่อนจะประคองเอวของหนุ่มน้อยที่ไม่เจอกันหลายวันเอาไว้ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนเหมือนเคย แถมยังสร้างความประหลาดใจด้วยการใช้แขนเล็กคล้องคอของเขาเอาไว้ด้วยซ้ำ ดวงตาอ่อนโยนของคนตัวโตจ้องมองไปยังดวงตาทอประกายของคนตรงหน้าก่อนจะไล่ลงมาที่ริมฝีปากสีหวานที่กำลังเหยียดยิ้มท้าทายราวกับดอกไม้ที่กางกลีบดอกออกเพื่อล่อให้แมลงที่กำลังเพลินกับรูปสวยหลงเข้าไปติดกับ หากเป็นเช่นนั้นแล้วแมลงอย่างศิธาพัฒน์ก็คงจะยอมตายเพื่อให้ได้ชิมเกสรรสหวานสักครั้งหนึ่ง


“นี่ตั้งใจจะยั่วกันใช่ไหม” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยที่ปลายจมูกของอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า


“ไม่ได้ยั่วสักหน่อย”     


“ไม่ได้ยั่วแล้วทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักนัก” ริมฝีปากยิ้มยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน


 “เต็มแค่อยากให้พี่ปุ่นจำเต็มไปนาน ๆ เผื่อว่าวันไหนที่เราไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ กันแบบนี้”


คนฟังชะงักก่อนจะขยับออกมามองคนพูดให้ชัด ๆ “ทำถึงพูดแบบนี้ หืม?”


เต็มฟ้าส่ายหน้า เขาเลือกที่จะไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ปากบางยังคงสิ่งยิ้มชวนหลงใหลไปให้ในขณะที่ตาคู่สวยก็ไม่ได้มองไปทางอื่น “แล้วถ้ายั่วล่ะ ทนไหวไหม”


“ไม่ทนเด็ดขาด” พูดจบก็ฉกชิมริมฝีปากที่กำลังส่งยิ้มเชิญชวนราวกับกลัวว่าภาพที่เห็นอยู่จะระเหยไปในอากาศ


“อื้อ...” แขนเล็กที่เหนี่ยวรั้งต้นคอหนาค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเลื่อนมาเกาะบ่ากว้างเอาไว้แน่นทันทีที่สัมผัสบางเบาของริมฝีปากร้อนเปลี่ยนเป็นขบเม้มดูดดึงประหนึ่งจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว


“พะ..พี่ปุ่น พอเถอะ ตะ..เต็มล้อเล่น”
คนฟังชะงักพลางหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจพร้อมกับส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้ “ของแบบนี้เอามาล้อเล่นได้ยังไงกัน” เสียงกระซิบนั้นแทบจะจมหายไปในผิวเนื้อเนียนเมื่อปากอิ่มลากไล้จากใบหูมากดจูบที่ลำคอระหงทำเอาจั๊กจี้จนต้องเอียงคอหนี


“ไม่หยุดใช่ไหม” คนที่ตอนนี้แทบจะไม่มีแรงยืนกล่าวอย่างแผ่วเบา มือเรียวเลื่อนลงมายันแผงอกกำยำเอาไว้พลันริมฝีปากบางก็ค่อย ๆ ยกยิ้ม แววตาไหวระริกยามเมื่อถูกครอบครองด้วยปากอิ่มจู่ ๆ ก็วาวโรจน์ขึ้นอย่างไร้สาเหตุ กำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ถูกดึงมารวมกันไว้ที่สองมือก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายกะว่าจะให้หงายตกลงไปในน้ำโทษฐานที่ไม่ยอมฟังกัน แต่มีหรือที่คนอย่างศิธาพัฒน์จะไม่เท่าทันเล่ห์กลของคนในอ้อมแขนคนนี้ ร่างสูงอาศัยจังหวะก่อนที่จะไถลตกลงไปในแอ่งน้ำกว้างใหญ่กอดรัดเอวสอบเอาไว้ก่อนจะพากันตกลงไปสู่สายน้ำเย็นฉ่ำเบื้องล่าง


ตูม!!!!



เต็มฟ้าที่หลุดการกอดเกี่ยวของแขนแกร่งมาได้ทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำพลางลูบหน้าลูบตามองหาคนที่ดึงเอาตัวเขาตกลงมาด้วยแต่ก็หาไม่พบ ผืนน้ำรอบ ๆ แทบจะราบเรียบเป็นแผ่นกระจกใส มองหาเท่าไรก็ไม่เห็น ตัดสินใจร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ ชายหนุ่มหมุนตัวอยู่กลางน้ำที่ก็ไม่ได้ลึกเสียจนเท้าแตะไม่ถึงพื้นด้านล่าง


“พี่ปุ่น ออกมาเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาเล่นอะไรแบบนี้นะ”


เงียบ...ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดป่าที่ส่งร้องประสานเสียงเซ็งแซ่ ความเงียบงันยิ่งทำให้ใจคอไม่ดีแต่ก็ยังฝืนเก็บอาการเอาไว้


“ถ้าอย่างนั้นเต็มกลับแล้วนะ” พูดจบก็เดินงุ่นง่านแหวกสายน้ำเตรียมจะกลับเข้าฝั่งแต่แล้วร่างสูงของคนที่กำลังมองหาจู่ ๆ ก็ทะลึ่งตัวขึ้นมาขวางหน้าเอาไว้


ศิธาพัฒน์ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเสยผมที่ลงมาปรกหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้เหมือนเคย   


“จะรีบไปไหนยังคุยกันไม่จบเลย”


“คุยอะไรอีก ไม่มีอะไรคุยแล้ว” เต็มฟ้าทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรวบเอวเอาไว้


“ทำงอนเป็นสาวน้อยไปได้ งอนอะไรพี่เนี่ย” กล่าวพลางจ้องมองแพขนตาของคนที่กำลังเอาแต่ก้มหน้า


“งง งอนอะไรกัน”


“อืม...ถ้าไม่งอนเรื่องที่แกล้งพี่ไม่ได้ก็งอนเรื่องที่พี่ทำให้ตกใจใช่ไหม”


“ใช่ที่ไหนกันเล่า”


“เป็นห่วงใช่ไหมล่ะ”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงอมพะนำ ศิธาพัฒน์จึงแกล้งยั่ว “คิดไม่ผิดที่รีบกลับมา”     


“ทำไมจะกลับวันนี้ถึงไม่โทร.บอกเต็ม เต็มจะได้ไปรับ” คนฟังถือโอกาสต่อว่า


“พี่โทร.แล้ว แต่เต็มน่ะลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านนี่นา พี่โทร.ไป ตามรับสายบอกว่าเต็มน่าจะอยู่ที่ท้ายไร่ ถามเอากับคนงานบอกว่าเต็มมาทางนี้พี่ก็เลยตามมานี่แหละ คิดถึงจะแย่”


“ไม่ได้เจอแค่ห้าวันเนี่ยนะ” เต็มฟ้าขมวดคิ้วจ้องหน้าหล่อเหลาที่พูดว่าคิดถึงออกมาได้หน้าตาเฉย   


“ก็ใช่น่ะสิ สัมมนาเสร็จก็รีบนั่งเครื่องกลับมาเลย ก็เลยได้รู้ข้อดีของการนั่งเครื่องบินหนึ่งข้อ เป็นข้อดีที่คนชอบนั่งรถไฟอย่างเต็มต้องไม่รู้แน่ ๆ”


“ไหนว่ามาซิ” คนฟังเลิกคิ้วรอ อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่


“ก็...มันทำให้เราได้พบหน้าคนที่รักเร็วกว่าการนั่งรถไฟไง”


เจ้าของพวงแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อถอนหายใจพลางเสมองไปทางอื่น “ไหนบอกว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคไง”


“มันก็ไม่สำคัญหรอกถ้าเต็มจะรับโทรศัพท์พี่บ้าง นี่โทร.มาทีไรก็ไม่รับสาย แถมไม่ยอมโทร.กลับอีกต่างหาก”


“ก็ไม่ได้เปิดเสียง เห็นอีกทีก็เลยเวลาที่พี่ปุ่นโทร.หาเป็นชั่วโมงแล้ว พี่ปุ่นคงไม่มีอะไรหรือไม่ก็ลืมไปแล้วมั้ง”


“โทร.หาตอนเที่ยง เปิดดูตอนไหนถึงคิดว่าพี่คงลืมไปแล้ว” พูดพลางรั้งเอวคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ ๆ


“เช้าของอีกวัน” เต็มฟ้าตอบหน้าตาเฉย


คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่แทบจะทึ้งหัวตัวเอง


“ไม่เห็นใจคนคิดถึงบ้างเลย ใช่สิ! มีแต่เราที่คิดถึงเขาอยู่คนเดียวนี่”


ศิธาพัฒน์แสร้งทำงอแงเสียจนน่าหมั่นไส้ในขณะที่เต็มฟ้าเองก็ได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ อยากจะเถียงเหลือเกินว่าไม่ได้มีแค่พี่ปุ่นคนเดียวหรอกที่คิดถึง ตัวเขาเองก็คิดถึงไม่แพ้กัน เรื่องโทรศัพท์มันก็แค่ข้ออ้าง จริง ๆ เพียงอยากจะทดสอบใจตัวเองเท่านั้นว่าจะสามารถอดทนต่อการต้องอยู่โดยปราศจากอีกคนได้หรือไม่ อดคิดไม่ได้เลยว่าจะได้เห็นท่าทางแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน 


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-09-2014 02:02:27
(ต่อค่ะ)


คุณนายยุพาทอดตามองชายหนุ่มสองคนที่ซ้อนท้ายจักรยานขี่มาตามทางดินระหว่างแปลงผักจากบนระเบียงบ้าน หากดูเผิน ๆ พวกเขาก็เหมือนเพื่อนสนิทหรือพี่น้องกันมากกว่าจะเป็นคนรัก แต่หญิงชราก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนมันลึกซึ้งเกินกว่านั้น เธอถอนใจเบา ๆ ก่อนจะออกไปยืนรอหลานชายที่หน้าบ้าน จักรยานเริ่มไต่ระดับความชันของเนินเขาขึ้นมากระทั่งใกล้ถึงจุดหมายหนุ่มน้อยที่ซ้อนอยู่ด้านหลังก็กระโดดลงมายืนด้วยความเคยชินทั้งที่จักรยานยังไม่จอดสนิทจนโดนบ่นเสียยกใหญ่


“บ่นอยู่ได้ น่ารำคาญจริง”


“ถ้าไม่อยากให้บ่นคราวหลังก็อย่าทำแบบนี้สิ มันอันตรายรู้ไหม” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางจอดจักรยานไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่


“รู้แล้ว ๆ บ่นเป็นคะ..คนแก่..ไปได้” ท้ายประโยคแผ่วเบาจนฟังไม่ถนัดนัก เต็มฟ้ายกมือไหว้พลางยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเห็นสายตาเรียบเฉยที่กำลังมองมา แม้ศิธาพัฒน์จะบอกให้รู้ก่อนแล้วว่าย่าของเขามาลำปางในคราวนี้ด้วย แต่ทันทีที่พบกันก็อดรู้สึกหวั่น ๆ ในใจไม่ได้กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือรักษาท่าทีให้เป็นปกติที่สุด 


“ทำไมถึงเปียกเปียกม่อลอกม่อแลกแบบนี้ล่ะเจ้าปุ่น” สภาพเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำทำให้ผู้เป็นย่าอดที่จะเอ่ยปากบ่นไม่ได้


ศิธาพัฒน์ที่เดินมายืนข้าง ๆ ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าได้แต่ยิ้ม และยิ้มแบบนี้ก็มักจะทำให้ย่าเลิกบ่นได้ทุกที


“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียไป เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี” พยายามข่มเสียงให้เป็นปกติแต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่น้ำเสียงที่มาจากอารมณ์ปกติอยู่ดี หลังจากไล่หลายชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว คุณนายยุพาก็ได้แต่ถอนหายใจพลางยืนดูต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อย


“เจ้าสองคนนั่นคงพากันไปเล่นซนที่น้ำตกท้ายไร่แหละครับ” พ่อเลี้ยงตรัยที่เดินออกมาจากโรงรถกล่าวอย่างอารมณ์ดี


“นำกันทำอะไรแผลง ๆ เดี๋ยวพากันไม่สบายพอดี เจ้าปุ่นนี่โตเสียเปล่า”


เมื่อได้ฟังดังนั้นตรัยก็หลุดหัวเราะออกมา รู้ว่าเธอคงบ่นไปตามประสาคุณย่าเจ้าระเบียบ “อย่าไปว่าปุ่นเลยครับคุณป้า คนนำน่ะน่าจะเป็นเจ้าเต็มมากกว่า เจ้านี่มันชอบทำอะไรแผลง ๆ ไม่ค่อยฟังใครสักเท่าไร”


“พ่อเลี้ยงตรัยนี่ดูจะตามใจลูกชายมากนะ”


“อย่าเรียกว่าตามใจเลยครับคุณป้า ผมก็แค่ปล่อยให้เขาได้เลือกทางเดินเอง อาจเป๋ ๆ ไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าบังคับให้อยู่ในแต่กรอบแล้วสุดท้ายเขาก็พังกรอบที่เราสร้างขึ้น”


“ไม่กลัวเหรอว่าวันหนึ่งเขาอาจจะทำในสิ่งที่เราไม่ได้คิดอยากจะให้ทำก็ได้” หญิงชรากล่าวเมื่อรู้สึกได้ว่าทัศนคติและวิธีการเลี้ยงลูกของตรัยนั้นช่างแปลกประหลาดนัก


ตรัยยิ้มพลางส่ายหน้าน้อย ๆ “สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการที่ลูกเป็นคนไม่ดีครับ แต่ผมคิดว่าการล้อมกรอบไม่ใช่วิธีการป้องกันที่ให้ผลดี ผมไม่ได้คิดจะเก็บเขาเอาไว้เพียงคนเดียว เราเลี้ยงเขาได้แต่ตัวเท่านั้น หัวใจมันเป็นของเขา เขาสามารถเลือกเป็นหรือเลือกที่จะทำอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น นั่นคือสิ่งที่ผมมักจะบอกลูกเสมอ ถึงเขาเป็นลูกของผมแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยังต้องเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง หรือเป็นคนรักของคนที่รักเขาด้วย เขายังมีหน้าที่อื่นต้องทำนอกจากการเป็นลูกของผม แต่ถ้ารู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่รักเขามันยิ่งน่าภูมิใจนะครับสำหรับคนเป็นพ่อ มันทำให้รู้สึกว่าวิธีการเลี้ยงดูของเราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยหล่อหลอมเขา”
 

คุณนายยุพานั่งทอดสายตามองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าจากริมระเบียง แม้มันจะเป็นภาพที่สวยงามแต่ก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งให้คงอยู่เช่นนี้ตลอดไปได้ นั่นเป็นเพราะการที่โลกหมุนรอบด้วยเอง วันนี้ดวงอาทิตย์หมดหน้าที่ให้แสงสว่างกับซีกโลกนี้แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างกับอีกซีกโลกหนึ่งต่อไป เสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่ดังมาจากในครัวชวนให้คิดว่าลูก ๆ บ้านนี้คงมีความสุขไม่น้อยที่มีพ่อที่ให้ความรักแก่ลูกโดยไม่หวังอะไรทั้งนั้น


.....



เย็นนี้พ่อเลี้ยงตรัยเชื้อเชิญคุณนายยุพาให้พักด้วยกันเสียที่ไร่ ดังนั้นเต็มฟ้าจึงถูกฝากฝังให้ดูแลคุณย่าแทนหลานชายตัวจริงที่กลับเขียนรายงานการสัมมนาเพื่อผู้บังคับบัญชาในเช้าวันถัดไป หลังจากส่งศิธาพัฒน์แล้วลูกชายพ่อเลี้ยงก็กลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง จัดการเทนมสดลงในหม้อก่อนจะยกขึ้นตั้งไฟ จากนั้นก็ยืนคิดอะไรเพลิน ๆ จนกระทั่งเสียงของผู้เป็นพ่อดังขึ้น


“แกคุยกับน้องหรือยังว่าวันจันทร์ต้องไปกี่โมง”


“วันจันทร์ กี่โมง อะไรเหรอพ่อ” ลูกชายคนโตหันมาทำคิ้วขมวด


“ก็พาน้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนไง ที่แกบอกจะไปแทนพ่อน่ะ”


“จริงด้วย เต็มลืมไปเลย” ชายหนุ่มหัวเราะแหะ ๆ ยกมือขึ้นเกาหัว


“ไอ้ขี้หมา ยังไม่ทันจะแก่เลย ทำไมขี้ลืม”


“โธ่พ่อ ก็คนมันลืมนี่นา วัน ๆ มีเรื่องอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะ”


“มีเรื่องให้ทำเยอะแยะหรือมัวแต่ใจลอยคิดถึงใคร”


“แซวอีกแล้ว” เต็มฟ้าบ่นอู้อี้ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วเปล่ามารอไว้


“อย่าลืมคุยกับน้องล่ะ”


“ครับ” ชายหนุ่มรับคำก่อนจะเอื้อมมือปิดเตา จากนั้นจึงเทนมอุ่น ๆ ลงในแก้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็คิดว่าพ่อยังอยู่ในครัวด้วยกัน


“พ่อว่าคุณย่าจะชอบดื่มแบบหวาน ๆ มะ...ไหม เต็มจะได้สะ..ใส่ น้ำตาล” ท้ายประโยคนั้นฟังติด ๆ ขัด ๆ เมื่อหันมาเห็นว่าอีกคนที่อยู่ด้วยกันไม่ใช่พ่อของตนเองแต่กลับเป็นอีกคนที่กำลังพูดถึง


“คนแก่ทานหวานเยอะไม่ดีหรอก” หญิงชราเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้


“ครับ คุณย่า คืนนี้อากาศเย็น ดื่มนมอุ่น ๆ น่าจะช่วยให้หลับสบายนะครับ” พูดจบก็เทนมใส่แก้วและยกมาตั้งตรงหน้าของคนที่ยังเอาแต่วางหน้านิ่ง


“ขอบใจนะ” คุณนายยุพากล่าวพลางจ้องมองของเหลวสีขาวในแก้วราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างจนในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “เธอรีบไปไหนหรือเปล่า ถ้าไม่รีบไหนก็นั่งก่อนสิ” เจ้าของมือเหี่ยวย่นที่ประคองแก้วนมเอาไว้เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่กำลังนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกัน


“คุณย่ามีอะไรหรือเปล่าครับ” เต็มฟ้าถามทั้งที่พอจะเดาได้


คนถูกถามผ่อนลมหายใจ มองสำรวจใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย ในดวงตาคู่นั้นปราศจากความแข็งกร้าวหากแต่แสดงความสงสัยและหวาดหวั่นออกมา


“เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกินนะ อีกไม่กี่เดือนก็จะครบสามปีแล้วที่เจ้าปุ่นมาอยู่ที่นี่”
เต็มฟ้าสบตาคนพูดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่ประสานกันแน่นอยู่ตรงหน้า


“ตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไร เพราะเป็นหลานชายคนแรกน่ะ ก็เลยคาดหวังเอาไว้เยอะ อยากให้เขาทำโน่นทำนี่ในแบบที่ฉันเห็นว่ามันดี” ริมฝีปากเหยี่ยวย่นเหยียดออกราวกับกำลังยิ้มหยันตัวเอง “ที่เลือกเรียนการตลาดก็เพราะไม่อยากขัดคนแก่เอาแต่ใจ แต่สุดท้ายก็แอบไปสมัครสอบเข้าเรียนโรงเรียนการไปรษณีย์จนได้”


“ฉันพยายามจะเลือกสิ่งที่เห็นว่าดีให้กับหลาน รวมถึงคู่ครองด้วย แล้วคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือหนูพรีม ทั้งเรื่องฐานะหน้าตา การศึกษา แต่สุดท้ายเจ้าปุ่นก็เลือกเธอ”


คำพูดที่เพิ่งจบไปทำเอาคนฟังชาไปทั้งหน้า


“ไม่หรอกครับ ไม่ใช่หรอกครับ” ชายหนุ่มกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ถ้าสุดท้ายแล้วจะต้องเลือก ผมก็อยากให้เขาเลือกครอบครัวแทนที่จะเป็นผม” เต็มฟ้ากล่าวอย่างหนักแน่น


คุณนายยุพาหัวเราะหึ พลันใบหน้าเรียบเฉยก็กลับระบายด้วยรอยยิ้ม “ได้ฟังเรื่องของเธอจากเจ้าปุ่น คิดว่าเธอจะเป็นเด็กมุ่งมั่นและเข้มแข็งกว่านี้เสียอีก ที่ไหนได้...พอเจออุปสรรคก็ยอมแพ้เสียแล้ว คิดแล้วไม่มีผิดว่าเธอจะต้องพูดแบบนี้”


“ผมไม่ได้ยอมแพ้นะครับคุณย่า แต่ผมไม่รู้จะสู้ไปทำไม”


“สู้ไปทำไมอย่างนั้นเหรอ เธอยังต้องเจออะไรอีกมากนะ ถึงวันนั้นอาจต้องนิยามมันว่าคือการต่อสู้ก็ได้ ทั้งสายตาที่มองมา ทั้งคำพูดที่คนอื่นพูดถึงพวกเธอ ที่เธอบอกว่าสุดท้ายแล้วอยากให้เจ้าปุ่นเลือกครอบครัวแทนที่จะเป็นเธอ เธอถามเขาหรือเปล่าว่าเขาต้องการแบบนั้นไหม” หญิงชรายิ้ม “เธอมองหลานชายฉันผิดไปนะ เพราะถ้าเจ้าปุ่นมันคิดจะเลือกละก็ มันคงไม่เจ้ากี้เจ้าการพาเธอมาพบฉันที่บ้านสวนตั้งแต่คราวก่อนหรอก เพราะไม่ต้องการเลือกก็เลยพยามทำทุกอย่างให้เธอกลายมาเป็นคนในครอบครัวให้ได้ เพราะฉะนั้นเธอห้ามทำให้ความพยายามของหลานชายฉันเสียเปล่าเด็ดขาด”



ฟังคล้ายคำสั่ง...



คนอย่าง ‘เต็มฟ้า ตติยพัฒน์’ ที่ปกติไม่เคยยอมก้มหัวทำตามทำสั่งใครง่าย ๆ  แต่วันนี้กลับอยากจะทำตามคำสั่งนี้แบบพลีกายถวายชีวิต


“คะ...คุณย่าไม่ระ..รัง..”


“ฉันรักหลานของฉันมากกว่าชื่อเสียงนะ อีกอย่างในเมื่อคุณพ่อของเธอยังยอมรับเจ้าปุ่นได้แล้วทำไมฉันถึงจะรับเธอเป็นหลานอีกคนไม่ได้ล่ะ”


คำพูดของหญิงชราทำเอาน้ำใส ๆ ไหลเอ่อรอบตัวตา แต่กระนั้นก็ยังเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้ได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มแบบที่ศิธาพัฒน์เคยเล่าให้ฟัง รอยยิ้มของคุณย่าที่หลานชายมักจะคุยนักคุยหนาว่าใจดีที่สุด



วันนี้ได้เห็นแล้ว...



“คะ...คุณย่า...ผะ..ผม..” ความรู้สึกเต็มเต้นจนพูดอะไรไม่ออกมันเป็นแบบนี้เอง



“แล้วถ้าจะกรุณาคนแก่น่ะนะ ช่วยพูดกับฉันเหมือนที่เธอพูดกับคนอื่น ๆ ทีเถอะ ฟังแล้วดูห่างเหินยังไงไม่รู้”



....



“เป็นไงบ้างย่า แบบนี้หล่อไหมครับ ดูเหมือนพ่อคนแล้วหรือยัง” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นขณะดันหลังชายหนุ่มที่วันนี้ถูกจับแต่งตัวเพื่อไปเป็นตัวแทนพ่อเลี้ยงตรัยพาน้องชายไปรายงานตัวที่โรงเรียน


คุณนายยุพาขมวดคิ้วจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนติดกระดุมคอดูน่าอึดอัดก่อนจะหันไปกล่าวกับหลานชาย



“ย่าว่ามันดูน่าอึดอัด ปลดเม็ดบนออกดีกว่า”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าก่อนจะเอื้อมมือปลดกระตุมคอให้เต็มฟ้า จากนั้นก็หันมาขอความเห็นจากผู้เป็นย่าอีกครั้ง


“แบบนี้เป็นไงย่า”


“อืม...ค่อยหายอึดอัดหน่อย”


“แต่เต็มว่าแบบเมื่อกี้แนวกว่านะครับ” ชายหนุ่มอารมณ์ศิลปินกล่าวพลางสำรวจตัวเองอกระจกหลังเคาน์เตอร์ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย


“ย่าว่าเมื่อกี้มันเหมือนเด็กแว้นไปหน่อย”


คำพูดของหญิงชราทำเอาสองหนุ่มต้องมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะพรืด


“ขำอะไรกัน”


“คุณย่ารู้จักเด็กแว้นด้วยเหรอฮะ” ตามตะวันในชุดนักเรียนมัธยมที่กำลังนั่งเท้าคางมองผู้ใหญ่คุยกันเอ่นขึ้น


“รู้จักสิจ๊ะ” หญิงชรายิ้มก่อนจะยกมือประคองแก้มใสของเด็กชาย


เต็มฟ้ามองสองคนย่าหลานที่กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกระซิบบอกคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ศิธาพัฒน์โน้มตัวลงมาฟังพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตั้งท่ากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ตามกี่โมงแล้วน่ะ”


เด็กชายตามตะวันยิ้มพลางก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ที่สวมติดตัวแม้กระทั่งตอนนอน “เจ็ดโมงครึ่งครับ”
เมื่อได้ฟังคำตอบของน้องชาย สองหนุ่มก็พากันหัวเราะ


ไม่ถึงห้านาทีคราวนี้เปลี่ยนเป็นพี่ชายตัวดีถามบ้าง “กี่โมงแล้วน่ะตาม”


“เจ็ดโมงสามสิบสามนาทีฮะ”


ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็มีใครถามเวลาขึ้นมาอีก ตามตะวันก็ยังคงตอบอย่างไม่เบื่อถึงจะรู้ว่าพี่ ๆ แกล้งก็เถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้มองนาทีฬิกาที่พี่ชายซื้อให้ได้บ่อย ๆ แบบไม่ต้องกลัวถูกหาว่าบ้าเห่อ



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 18-09-2014 02:06:07
(ต่อนะคะ)



ก่อนที่หน้าร้อนจะผ่านไปงานแต่งงานของหลานสาวคนโตของบ้านก็ถูกจัดขึ้น เต็มฟ้าเองถูกรบเร้าให้มาร่วมงานด้วย ซึ่งคนที่เจ้ากี้เจ้าการโทร.ทางไกลไปหว่านล้อมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...



“แกไปนั่งข้างหน้าโน่นเจ้าปุ่น ฉันจะนั่งกับหลานชายของฉัน” คุณนายยุพากล่าวกับหลานชายคนเล็กที่กำลังยืนรอเปิดประตูรถให้ จากนั้นก็หันมาพูดกับคนกำลังประคองเธอลงบันได “เดี๋ยวเต็มมานั่งกับย่านะลูก”


คำพูดนั้นนอกจากจะเรียกเสียงหัวเราะแล้วยังเรียกเลือดในกายขึ้นมากระจุกรวมกันอยู่บนใบหน้าของ ‘หลานชายคนใหม่ของคุณย่า’ อีกด้วย เต็มฟ้าสบตาคนที่วันนี้อาสาเป็นพลขับก่อนจะยิ้มให้ เมื่อส่งคุณย่านั่งประจำที่เรียบร้อยเขาก็เดินอ้อมหลังรถจะมาเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่ง แต่กลับถูกขวางเอาไว้ ยังไม่ทันจะโวยวายก็โดยฉกหอมเข้าให้ฟอดใหญ่


คนโดนเอาเปรียบขมวดคิ้วเขินพลางส่งสายตาขุ่น ๆ มองเจ้าของหน้าหล่อที่ยังคงทำยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนออกหมัดตรงใส่อกแกร่งอย่างไม่เต็มแรงนัก ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มรับหน้าตาเฉยก่อนจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ



หญิงชราทอดสายตามองหนุ่มน้อยในชุดสูทที่เธอเป็นคนเลือกผ้าเลือกแบบให้เองกับมืออย่างเอ็นดู มือเรียวที่กำลังลูบแก้มแดงระเรื่อชวนให้อดสงสัยไม่ได้



“เป็นอะไรหรือเปล่าเต็ม ทำไมหน้าแดงแบบนั้น”


“เอ้อ..ปละ เปล่าครับ สงสัยอากาศมันจะร้อน” เต็มฟ้ากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นสบตาพลขับที่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง แม้จะเห็นแค่เพียงดวงตาแต่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม


“แอร์ก็ออกจะเย็นยังว่าร้อนอีกเหรอ ไม่สบายหรือเปล่า ไหนมาจับตัวซิ” ศิลากล่าวก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปด้านหลังทำท่าจะยกมือแตะหน้าฝากของคนหน้าแดงแต่ก็โดนพี่ชายสกัดดาวรุ่งเสียก่อน


ศิธาพัฒน์ตีแขนน้องชายเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ยุ่งอะไร นั่งเฉย ๆ เลย”


“อะไรวะ ห่วงก้างนี่หว่า” น้องชายคนเล็กหันกลับมานั่งกอดอกทำหน้ายู่


“หวงสิ น่ารักขนาดนี้ไม่หวงได้ยังไง”


คนถูกพาดพิงทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือเสมองออกไปนอกหน้าต่าง



เกลียดสายตาในกระจกนี่จริง ๆ ...



ศิธาพัฒน์ขับรถฝ่าการจราจรติดขัดเข้ามาภายในบริเวณของวัดคาทอลิกเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อจอดรถในที่ที่ถูกกันเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็พาผู้เป็นย่าตรงไปยังโบสถ์สไตล์โกธิค บนผนังเจาะช่องให้แสงเข้าประดับกระจกด้วยกระจกสี เมื่อก้าวพ้นซุ้มประตูเข้าไปภายในโบสถ์ก็พาย่าและน้องชายไปนั่งกับแม่ที่รออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็พาเต็มฟ้ามานั่งยังที่นั่งซึ่งค่อนมาทางด้านหลัง นั่นเพราะไม่คุ้นเคยกับพิธีแต่งงานแบบคริสต์สักเท่าไรจึงอยากจะสังเกตการณ์เพื่อให้เห็นภาพรวมของงานทั้งหมด ทันทีที่นั่งลงก็พบว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งต่างก็จับจองที่นั่งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วและยังทยอยกันมาอีกเรื่อย ๆ  จนกระทั่งไม่นานร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดสูททักซิโด้สีดำก็ก้าวออกมายืนสงบนิ่งต่อหน้าบาทหลวงที่สุดปลายทางเดิน ซึ่งว่าที่เจ้าบ่าวไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคืออาจราย์นราวิช อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะการถ่ายภาพที่เต็มฟ้าคุ้นหน้าคุ้นตาดี


เต็มฟ้าหรี่ตามองชายหนุ่มที่หันมาชะเง้อคอ ดูจากที่นั่งข้าง ๆ ที่ถูกเว้นเอาไว้ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาคงกำลังรอใครสักคนอยู่ ในจังหวะนั้นดวงตาสองคู่ก็สบกันเแวบหนึ่ง พลันเสียงซุบซิบกันของบรรดาสาว ๆ ที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ดังขึ้น พวกเธอกำลังพูดถึงหนุ่มหน้ามนที่กำลังชะเง้อหาใครคนหนึ่งอยู่นั่นเอง 


“จ้องเขาทำไมเนี่ย รู้จักเขาหรือไง” ศิธาพัฒน์ปรามคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“รู้จักสิ...อาจารย์อาทิตย์ทัศน์ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยน่ะ”


“อืม...พี่ไม่คุ้นหน้าเลย สงสัยจะเป็นเพื่อนพี่วิช” ศิธาพัฒน์ยังคงกระซิบ “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าสาว ๆ สมัยนี้เขายังชอบผู้ชายสไตล์เกาหลีอยู่”


“ฟินไง” พูดพลางชะเง้อมองชายหนุ่มที่นั่งถัดไปไม่ไกล ไม่ต่างอะไรกับสาว ๆ ด้านหน้า อยากรู้ว่าเขากำลังรอใครอยู่กันแน่


เจ้าของร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนนั่งข้าง ๆ กันก็เป็นไปกับเขาด้วย มือหนาเอื้อมจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะกล่าว “ให้โอกาสพูดใหม่ บอกมาซิว่าผู้ชายเกาหลีกกับผู้ชายคนนี้ใครฟินกว่ากัน”


“บอกก็กลัวสิ” เต็มฟ้าตอบห้วน ๆ พร้อมกับดึงมือออกยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะมองสำรวจไปรอบ ๆ สังเกตให้ดีก็พบว่าหลายคนที่มาร่วมงานต่างก็พกกล้อง DSLR เป็นอาวุธคู่กายกันทั้งนั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะเพื่อนของอาจารย์นราวิชส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นช่างกล้องมืออาขีพก็เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพ กล้องแต่ละตัวจึงแสดงถึงความไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของ


"แต่ละคนที่มานี่พกกล้องเทพกันทั้งนั้นเลยเนอะ" ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้น


"อืม..ก็อาจารย์นราวิชเขาเป็นช่างภาพมืออาชีพมาก่อนนี่นา มีแฟนเป็นช่างภาพนี่ดีเนอะ จะได้ถ่ายรูปฟรีตลอดปี"


"มีแฟนเป็นช่างภาพถ่ายรูปฟรีตลอดปี แต่ถ้ามีแฟนเป็นพี่ไปรษณีย์ส่งความรักให้ฟรีตลอดไปนะ" เจ้าของริมฝีปากอิ่มกระซิบ


"เสี่ยวได้ใครมาเนี่ย" คนฟังส่ายหน้ายิ้ม ๆ และเมื่อเสียงเปียโนบรรเลงเพลง   Romantic Wedding March ดังขึ้นสอดประสานกับเสียงทุ้มของระฆังบนหอสูง พิธีการต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น....


....



งานฉลองสมรสถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย อันที่จริงมันก็คือการรับประทานอาหารร่วมกันของคนในครอบครัวตามปกติ จะต่างไปก็ตรงที่วันนี้สมาชิกของครอบครัวมีจำนวนเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยทุกคนก็แยกไปทำภารกิจของตนเอง คุณนายยุพาเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใบหนึ่ง จากนั้นก็เดินมานั่งลงที่โซฟาซึ่งศิธาพัฒน์และเต็มฟ้ากำลังนั่งคุยกันอยู่


“มานี่สิเต็ม ย่ามีอะไรจะให้ดู”


เต็มฟ้าหันไปสบตาคนนั่งข้างกันก่อนจะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ หญิงชราอย่างว่าง่าย
มือเหี่ยวย่นค่อย ๆ เปิดกล่องก่อนจะหยิบกำไลข้อมือวงหนึ่งออกมาแล้วส่งให้ เมื่อเต็มฟ้ารับมันมาดูก็พบว่ามันเป็นกำไลเงินที่ด้านในสลักชื่อ ‘ศิธาพัฒน์’


“หลานบ้านนี้น่ะจะมีของขวัญตั้งแต่วันแรกเกิดกันคนละหนึ่งชิ้น ยัยปุนได้สร้อยคอ เจ้าปุ้นเป็นแหวน ส่วนของเจ้าปุ่นนี่ ตอนนั้นย่าคิดว่าน่าจะได้หลานสาวอีกสักคนก็เลนซื้อกำไลเตรียมไว้ให้ แต่ปรากฏว่าออกมาเป็นหลานชาย ย่าก็เลยต้องเก็บเอาไว้เฉย ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้เพิ่งเอาไปสลักชื่อเจ้าปุ่นมาแต่ก็เงื่อนไขเยอะไม่ยอมสวม เขินบ้าง อายบ้างละ” พูดพลางหันไปค้อนหลานชาย  “เห็นปุ่นบอกว่าเต็มเรียนศิลปะย่าเลยคิดว่าสวมเครื่องประดับพวกนี้น่าจะไม่เคอะเขิน ก็เลยจะให้เต็มไว้”


“แต่ว่า....”


“ผู้ใหญ่ให้ของนะ ปฏิเสธได้ยังไง” ศิธาพัฒน์เสริม


“อืม...ย่าก็คิดว่าเต็มเป็นหลานคนหนึ่ง นี่ก็ถือว่าเป็นของขวัญจากย่าก็แล้วกัน รับไปเถอะนะ มันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรหรอก”


เต็มฟ้าจ้องมองของที่คนให้บอกว่ามันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่สำหรับเขาแล้วมันช่างมีค่ามหาศาลนัก


“ไม่อายใช่ไหมที่จะสวมมันไว้”


“ไม่ครับ”


“มา พี่สวมให้”


“ไม่ต้องเลย” พูดจบเต็มฟ้าก็สวมกำไลที่ข้อมือโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของสายตาหยาดเยิ้มสวมให้ตามที่เขาเสนอ..

...



คุณนายยุพายืนมองสองหนุ่มที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ศาลาท่าน้ำพลางถอนใจเบา ๆ ในที่สุดวันนี้เธอก็ได้ทำในสิ่งที่ย่าที่รักหลานควรจะทำอย่างสมบูรณ์แล้ว จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปก็คงต้องขึ้นอยู่กับทั้งสองคน


“ขอบคุณคุณแม่มากนะคะ” นวลตาเอ่ยขึ้น


“ฉันไม่ได้แก่กะโหลกกะลานะจ๊ะแม่นวล แก่ปูนนี้แล้วไม่ยอมให้เด็ก ๆ มาว่าได้หรอกว่าไม่มีเหตุผล”


คนฟังยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นสบตาสามีที่ยืนโอบเอวตนเองอยู่ไม่ห่าง


“ปุ้นมีเรื่องสงสัยน่ะย่า สงสัยว่าย่าทำยังไงพวกบ้านโน้นเขาถึงไม่มาบ้านเราอีกเลย”


คนถูกถามอมยิ้ม เธอไม่ได้ตอบคำถามนั้น ได้แต่เพียงพูดทิ้งท้ายสั้น ๆ “เห็นฉันเงียบ ๆ ข้อมูลฉันก็เพียบนะยะ”



หลานชายคนเล็กหรี่ตามองคุณย่าวัยเจ็ดสิบห้าปีพลางถอนใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อและแม่ที่กำลังยืนยิ้ม “ปุ้นรู้แล้วว่าพี่ปุ่นเจ้าแผนการติดใครมา”


...



ส่งท้าย...


“ถ้าวันไหนเต็มไม่อยากสวมมันแล้วละก็..บอกพี่นะ” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางหมุนกำไลที่ข้อมือเล็ก


“ได้!”


น้ำเสียงสดใสทำเอาคนฟังคิ้วขมวด “อะไรกัน ไม่คิดหน่อยเหรอ”


คนถูกต่อว่าส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ถ้าวันไหนพี่ปุ่นอยากถอดมันออกก็บอกเต็มนะ” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี แขนแกร่งของอีกฝ่ายก็สอดรัดเข้าที่เอวสอบ เพียงออกแรงรั้งเบา ๆ ก็แทบจะหนีไปไหนไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำยังเลื่อนริมฝีปากเข้ามากระซิบที่ริมหู


“กำไลน่ะไม่อยากถอดหรอก อยากถอดอย่างอื่นมากกว่า”


“ทะลึ่งจริง ๆ” เต็มฟ้าได้แต่ยิ้มก่อนจะเอนตัวพิงร่างหนาอย่างที่ชอบทำ ดวงตาทอดมองมือของอีกคนที่กุมมือตัวเองเอาไว้ สัญญากับความเงียบว่ายังไงก็จะไม่ทำให้พี่ปุ่นอยากจะถอดกำไลวงนี้ออกแน่ ๆ   


....จบ....




สวัสดีค่ะ ในที่สุดก็จบสักทีนะคะ ตั้งใจว่าจะเขียนแค่สองเรื่อง ใจหายเหมือนกันค่ะเขียนมาถึงตอนจบของเรื่องที่ 2 แล้ว
นี่ก็อีกไม่กี่เดือนก็จะครบปีที่ได้รู้จักกันผ่านทางตัวหนังสือแล้วนะคะ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ติดตามค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ หรือเข้ามาอ่านแต่ไม่ได้คอมเมนต์ก็ขอบคุณค่ะ..เจนสัมผัสได้

เรื่องนี้คงไม่มีตอนพิเศษในเว็บนะคะ (เข็ดจากเรื่องก่อน เขียนตอนพิเศษในเว็บเยอะมาก พอตอนรวมเล่มคิดตอนพิเศษเพิ่มหัวแทบแตก) เอาไว้คิดอีกทีถ้าได้รวมเล่มก็แล้วกันนะคะ (แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้เขียนไม่ดีเท่าไร รวมไม่รวมค่อยว่ากันอีกทีค่ะ เอาเรื่องแรกให้รอดก่อนเนอะ)
ขอโทษที่ตอนท้าย ๆ ที่พรีมโผล่มาพูดจาไม่ดีนะคะ อาจจะทำให้คนอ่านบางท่านไม่สบายใจ   
ในที่สุดก็จะได้หนีไปอ่านหนังสืออย่างสบายใจซะที ^^ ขอพักยาว ๆ เลยค่ะ
แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในเพจนะคะ อาจจะตัดตอนพิเศษ ถธปทฟ มาฝากกันอีกถ้ามีโอกาสนะคะ
เดือนหน้าก็จะปิดจองแล้ว ใครได้หนังสือแล้วแวะมาคุยกันได้นะคะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ทุกคนได้รับหนังสือแล้วเราคงสอบเสร็จกลับมารักษาบาดแผลพอดี

ปล.ขอบคุณคุณ Samart Chocolateprince Scarletlead พนักงานไปรษณีย์ใจดีที่ช่วยให้ข้อมูลกับเรานะคะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 18-09-2014 02:41:04
มันอบอุ่นไปด้วยความรักของทุกคน ทั้งจากครอบครัวที่เข้าใจ ทั้งจากคนที่รักที่เข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 18-09-2014 03:27:05
มันดีมากกกก  และแล้วเค้าก็สมหวังงงงงงงงขอบคุณสำหรับนิยายดีๆๆๆนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 18-09-2014 06:10:49

คิดถึงพี่จ้า...อุ่ยผิดเรื่อง

น้องเต็มน่ารักกกกกก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 18-09-2014 06:26:09
มันอบอวลไปด้วยความรัก คือดีอะ ทุกอย่างลงตัว หวานละมุนไปหมด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 18-09-2014 07:04:29
จบแล้ว...ขอบคุณนะคะ  :pig4:
เราแอบอยากรู้ว่าคุณย่าจัดการยังไง  o13
เห็นเงียบๆข้อมูลเพียบนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: oiw08 ที่ 18-09-2014 07:30:28
>__< ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ
 ที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น
 ปล.น้องตามน่ารักจังคะ ชอบน้องตามมากๆเลย อิอิ >__<

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 18-09-2014 08:31:36
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆนะค้าาาาา  :pig4:สำหรับนิยายดีๆ อบอุ่นๆ อ่านแล้วละมุนละไมจนเหมือนล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าเลยค่ะ

รู้สึกใจหายจังเลยที่จะไม่ได้อ่านพี่ปุ่นกับน้องเต็มแล้ว แต่ก็ดีใจค่ะที่ทั้งคู่สมหวังในความรัก  ขอบคุณคนเขียนอีกครั้งนะคะที่ทำให้คนอ่านมีความสุขขนาดนี้ๆๆๆๆๆๆ  :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-09-2014 08:47:53
ในที่สุด คุณย่าก็ยอมรับและเข้าใจ
ดีใจกับพี่ปุ่นกะเต็มด้วยนะ ดูท่าเต็มจะเป็นคนโปรดด้วย
ต้องยกความดีให้คุณพ่อตรัยของเต็มด้วย

ขอบคุณสำหรับนิยาย อ่านแล้วอบอุ่นจริงๆ
 :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 18-09-2014 08:57:22
Fin.  :pig4: นักเขียน
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 18-09-2014 11:51:03
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-09-2014 13:49:11
ขอบคุณมากจริงๆค่ะ สำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-09-2014 14:52:08
ขอบคุณคนเขียนจ้า เป็นอะไรที่อบอุ่นมาก ๆ
อ่านแล้ว คิดถึงบรรยากาศต่างจังหวัด
ไม่เครียดไปกับตัวละคร
น่ารักมาก ๆ จ้า
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 18-09-2014 16:12:53
อบอุ่นจังเลยค่ะ
ชอบมาก ๆ
แต่จบแล้วง่าาา กาซิกๆๆๆๆ T^T
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ
ชอบตัวละครทุกตัวเลย^^
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 18-09-2014 17:30:39
อิ่มอกอิ่มใจ.....
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 18-09-2014 20:07:51
ขอบคุณ สนุกมาก หวังว่าคงจะได้อ่านเรื่องต่อๆ ไปอีกนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-09-2014 20:31:00
รักเลยเรื่องนี้
อบอุ่นมากๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 18-09-2014 20:33:27
เฮ้อ! จบซะแล้ว
อยากให้ทั้งสองคนลงเอยกันหรอกนะ แต่ยังไม่อยากให้จบเลย

อยากรู้"ข้อมูลเพียบ" ของคุณย่า มันต้องมีทีเด็ดแน่ๆ
ดีใจที่คุณย่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลและรักหลานมากพอที่จะยอมรับได้ ให้หลานมีความสุขในสิ่งที่เลือก

อาจารย์อาทิตย์ทัศน์มาเป็น cameo ให้นิดนึง แต่แย่งซีนพี่ปุ่นซะ

คงจะได้กลับมาอ่านเรื่องนี้อีกแน่ๆ กว่าจะได้ ถธปทฟ
หรือกว่าจะรวมเล่ม คงคิดถึงพี่ปุ่นและเต็มมากๆแน่ๆเลย

หวังว่าผู้แต่งจะตั้งใจอ่านหนังสือ รีบสอบได้เกรดสวยๆ แล้วมีแรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องที่สามมาฝากกันอีกนะคะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องอุ่นๆมาให้อ่าน ทำให้อยากไปเที่ยวลำปาง ไปเดินถนนคนเดินสักครั้ง เผื่อจะได้ไปพักที่เกสต์เฮ้าส์
จะลองไปสั่งข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่กินบ้าง แหม่ะ หิววว
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 18-09-2014 21:23:14
เป็นนิยายที่อบอุ่นมากจริงๆค่ะ ต้องขอบคุณนักเขียนที่เขียนนิยายดีๆเรื่องนี้ด้วย
ชอบคุณย่า ที่พูดว่า เห็นฉันเงียบๆข้อมูลชั้นเพียบนะยะ น่ารักมากเลยค่ะ
จริงอย่างที่ปุ้นบอกว่าเจ้าแผนการเหมือนใคร
แต่ก็ยังอยากรู้นะคะว่าบ้านโน่น หายไปได้ยังไงไม่มายุ่งอีกเลย
รอติดตามตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 18-09-2014 21:24:50
จะมีโอกาสได้อ่านตอนพี่ปุ่น "ถอดอย่างอื่น" ไหมหนอ :z1:
สุดท้ายคุณย่าก็หลงรักและเอ็นดูหลานชายคนใหม่
ขอบคุณสำหรับนิยายอบอุ่นๆนะคะ :pig4:
ปล.อาจารย์จ้าโผล่มานิดนึงให้คนอ่านคิดถึง :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 18-09-2014 21:38:49
ขอบคุณกับอีกหนึ่งนิยามของคำว่า “ความรัก” :L1:
ขอบคุณนักเขียนด้วยครับ :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: 28016 ที่ 18-09-2014 21:46:40
ในที่สุดก็จบไปอีกเรื่องแล้ว ต้องคิดถึงความกวนของเต็มแน่ๆเลย :hao5:
ชอบวิธีเลี้ยงลูกของพ่อเลี้ยงตรัยมากค่ะ ยังไงเราก็อยู่กับลูกไม่ได้ตลอดไป   
ควรให้ลูกได้เลือกชีวิตของตัวเองไม่ใช่เราที่ขีดให้ลูกต้องเป็นอย่างที่เราคิด
สุดท้ายเต็มก็กลายเป็นหลานรักคนใหม่ของคุณย่า 55
มีอ.จ้าโผล่มาด้วยนิดนึง แต่ก็ฟินนะคะ :o8:
พี่ปุ่นก็ขยันแหย่เต็มจนหยดสุดท้ายเลยจริงๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ เรื่องนี้ถ้ารวมเล่มยังไงก็จะอุดหนุนแน่นอนค่ะ :กอด1:

ปล. คำผิดตอนที่ 21
'รู้แล้วว่าควรจะเหยีบยอะไร เหยีบน่าจะดีที่สุด'
อีกฝ่ายกำลังยื่นมือไปสัมผัสกล้วยไม้กรถางข้าง ๆ
"ต้นที่เป็นโรคก็ต้องเผาทิ้งครั้ง
พร้อมกับพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้อยากเหลือเกิน
ไปทานข้าวเถอะ ย่ารออยู่" << ตกเครื่องหมายคำพูดด้านหน้า
มือหนาจัดการปิดตลับยาก่อนจะควักเอาขี้ผึ้งสีเขียวออกมาทาให้ << น่าจะเป็นเปิดมากกว่านะคะ
ตอนที่ 22
ชายหนุ่มสองคนที่ซ้อนท้ายจักยานขี่มาตามทางดินระหว่างแปลงผัก
ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้าง ๆ หญิงชราอย่างว่างง่าย

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-09-2014 00:59:18
ในที่สุดคุณย่าก็เห็นถึงความน่ารักของเต็มฟ้า
ชอบตอนที่คุณย่าคุยกับเต็มในครัว น้ำตารื้นเหมือนกัน
ผู้ชายอย่างพี่ปุ่นจะหาได้จากที่ไหนหนอ อบอุ่น อ่อนโยน ใจเย็น เป็นผู้ใหญ่แต่ไม่เคร่งเครียด
อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
ปณ.แถวบ้านมีแต่รุ่นพระเจ้าเหาสร้างโลก แก่ อ้วน ดำ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆอีกหนึ่งเรื่องนะคะ ทำให้เราได้ของที่ระลึกหลายชิ้นเลย
ขอให้สนุกกับการเรียนค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: LEO ที่ 19-09-2014 01:24:43
ชอบมากกๆๆๆ  ชอบนิยายเรื่องนี้ จริงๆชอลทั้ง สองเรื่องเลย ถธปทฟ ด้วยน่ะ ชอบแนวนี้ เรื่อยๆ แต่อบอุ่น ค่อยเป็นค่อยไป ดูสมจริง มีเหตุผล

อยากให้เขียนแนวนี้อีกสัก 10 เรื่อง 5555

จะติดตามผลงานอื่นๆน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Khan_htt ที่ 19-09-2014 12:44:47
ตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาตลอด วันนี้ก็คงจะได้เมม้นต์เป็นครั้งแรก
ชอบนิยายที่อบอุ่มแบบนี้ตัวละครทุกตัวมีเหตุผล
หลงรักความอบอุ่นของพระเอก และความเกรียนของตัวนายเอกมากๆ
อยากให้รวมเล่มนะเราชอบ
ปล.ใจหายมากๆที่จบแล้วฮืออออออ :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 19-09-2014 13:47:35
มันเป็นรักที่แบบอบอุ่นมากอ่ะ ชอบจัง  :-[

ขอบคุณผู้แต่งนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Greennut ที่ 20-09-2014 20:58:21
ชอบค่ะ  อ่านเพลินมาก  อ่านรวดเดียวจบเลย หลงรักพี่ปุ่นกับน้องเต็ม 
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆละมุนละไมให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 22-09-2014 17:22:34
 :m1: ขอบคุณสำหรับเรื่องอุ่นๆ ค่ะ :m1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 23-09-2014 23:06:15
ขอบคุณค่ะ สำหรับนิยายน่ารักๆเรื่องนี้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 24-09-2014 17:18:30
ที่สุดเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย
ความอบอุ่นของการดำเนินเรื่องทำให้รู้สึกเหมือน มันยังไม่สะเด็ด :katai3:
ยังรักและชอบที่จะอ่านอยู่นะครับ  :mew1:
แต่สุดท้าย ก็ต้องขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ ให้ได้อ่าน  :กอด1:
ปล. คงได้พบกับเรื่องใหม่ เร็ว ๆ นี้นะครับ  :z1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: bookie ที่ 24-09-2014 18:01:44
พี่ปุ่นอบอุ่นจนน่าอิจฉาเต็ม 55555
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 25-09-2014 12:14:17
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 26-09-2014 12:03:42
เป็นนิยายที่ดีค่ะ
อ่านมาทั้งเรื่องจะรู้สึกถึงบรรยากาศอบอุ่นทุกครั้ง
ทั้งในครอบครัวและระหว่างปุ่นกับเต็ม

ดีใจที่คุณย่ายอมรับและเปิดใจให้เต็มได้คบกับพี่ปุ่น
เห็นเงียบๆแต่คุณย่าข้อมูลเพียบนะจ๊าาา  อิอิ
ขอตอนพิเศษสักสองสามตอนน่า เค้าจะรอ อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 26-09-2014 22:21:48
เป็นนิยายที่อ่านแล้วสบายๆแต่เต็มอิ่มมากเลยค่ะ

ขอบคุณคนแต่งมากกจ้าาาา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Brow_Ney ที่ 27-09-2014 14:04:27
 เป็นนิยายที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกถึงความรักที่อบอุ่นระหว่างพี่ปุ่นกับน้องเต็ม และกับครอบครัว
ชอบภาษาที่ใช้เขียนบรรยาย ขอบคุณคนแต่งสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 01-10-2014 22:30:03
น่ารักมากเลย ><

แอบงงตอบจบเบาๆ ฮาา

ขอบคุณนะคะ สำหรับเรื่องราวดีๆเเบบนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 02-10-2014 11:28:26
ชอบการเขียนมากเลยค่ะ จับอารมณ์เก่งมากกก อ่านแล้วรู้สึกตามเกือบทุกเม็ด
ตอนไหนมาเศร้า เราผลิตน้ำตารื้นตามได้เลย ตอน 12 นี่แน่นอน จัดไป
อารมณ์เขิน เหงาอ้างว้าง กวนส้น และความจ๋อยของเด็ก อ่านแล้วอินตามสุดๆ
ประทับใจวิธีสร้างความรู้สึก ของการเป็นคนพิเศษระหว่างกัน ของพระ-นายคู่นี้ด้วย ถ่ายทอดดีจริงๆ
มีแอบฮา แบบมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว เช่นประโยค...หม้อล้วนๆไม่มีกระทะผสม เย้ยยย พี่ปุ่นมีโหมดนี้ด้วย! 555
แต่กับคุณย่านี่ค้างนิดๆนะคะ ส่วนตัวอยากได้ดีเทลว่าอะไรที่ทำให้คดีพลิกยอมรับเด็กเรา แล้วพรีมภูมิกระเด็นไปยังไง
หรือจะไปเผยในตอนพิเศษ อิอิ //จะติดตามอ่านงานอื่นๆต่อนะคะ สองเรื่องที่ผ่านมาชอบมากเลยค่ะ +1
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 02-10-2014 13:24:13
สวัสดีค่ะ แวะมาไขข้อข้องใจ ข้องตับ ข้องปอด เกี่ยวกับคุณย่านะคะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเม้นต์ค่ะ ^^


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/v/t1.0-9/10665671_316092188577175_7673338088233156203_n.jpg?oh=8c43d86000f77cca582642f068bd4ecb&oe=54B2C9D6&__gda__=1422447199_2240ec9d9d1f7691f87f0e35a1f4cb82)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 02-10-2014 21:03:30
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ แอบร้องไห้ด้วย ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-10-2014 21:45:45
 :really2: :really2:
จะมีตอนพิเศษหรือจ๊ะคนเขียน รอนะจ๊ะ
ถึงจะจบแล้ว แต่ก็แวะเวียนมาอ่านเม้นประจำ ยังคิดถึงอยู่
:--> ความคิดเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ
- ชอบบรรยกาศที่บรรยาย ทำให้คิดถึงทางบ้านจากมาอยู่กรุงเทพฯ นานแล้ว
- ฉากที่อยุ่บนสะพานรัษฎาภิเศก อ่านแล้วนึกภาพออก เพราะเคยไปเที่ยวครั้งหนึ่ง
  และอยุ่บนสะพานนั้น ว้าว มันใช่เลยอะ
- ชอบที่เนื้อเรื่อง ไม่มากคู่เกินไป พองาม ที่มาแนวนี้ มีพระเอก นายเอก เพื่อนนายเอกที่ไม่แสดงออกมากนัก
   แบบรักเขาไว้ในใจ ส่วนภูมินั้นต้องเก็บกดความเป็นตัวเองไว้ ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะ
- เอาเป็นว่าชอบหลาย ๆ อย่างในเรื่องนี้
- ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ตอนพิเศษเป็นหัวหน้าพี่ปุ่น จีบพี่ชลธร นะ ก็ยังโสดอยู่มิใช่หรือ
ขอนะ อิอิอิ 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 03-10-2014 18:12:25
แอบฮาคุณย่า เห้นฉันเงียบๆข้อมูลฉันเพียบนะยะ5555555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 03-10-2014 20:21:13
ชอบมากกๆๆๆค่ะ
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
:angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2: :angellaugh2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 05-10-2014 22:43:24
จบซะแล้ว อบอุ่นดีจริงๆ
ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายดีๆ แบบนี้  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 06-10-2014 20:01:49
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
ชอบมากเลยค่ะ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: —Bell♥— ที่ 09-10-2014 18:37:23
อ่านจบแล้ววว!! สนุก และฟินสุด ๆ

// จะติมตามผลงานต่อไป   :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: chisarachi ที่ 11-10-2014 23:10:21
เรื่องนี้แม้จะมีกลิ่นอายเหมือนเรื่องที่แล้ว  แต่บรรยากาศนี่แตกต่างกันมาก
ส่วนตัวชอบตอนแรกๆที่น้องเต็มเย็นชา ที่ร้ายใส่น้องชาย
ตอนนั้นนะ นี่คือเจ็บหัวใจมาก
สงสารน้องตามมากๆ น้องมันน่ารักอ่ า า าา

ตอนหลังๆน้องเต็มนี่แสนน่ารัก กวนโอ๊ยมาก ถ้าเป็นพีปุ่น
เราคงต้องขออนุญาตถีบเต็มจริงๆ  แต่น้องเต็มก็น่ารักนะ พอลองเปิดใจนี่้องสดใสมากอ่ะ
ส่วนคนนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ คุณพี่ปุ่นของศรี ที่กำหราบน้องได้อยู่หมัดมาก
น้องจะเล่นกระบวนท่าไหนคุณพี่รับได้หมด

พอมาอ่านเรื่องนี้แล้วมันฮามากนะที่จะบอกว่าเรื่องที่แล้วด้วยความที่ตัวละครอายุมากมั้ง
เวลาเล่่นมุกนี่มีแต่มุกเก่าๆไม่อัพเดตเลยนะพี่ตัง5 5 5 5 5
แต่เรื่องนี้มุกมันเก๋ากว่าเยอะ เพราะตัวละครยังเด็กมั้ง 5  5  5 5 55 
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-10-2014 00:35:40
น้องเต็มน้องตามน่ารักมากเลยค่ะ ทั้งชื่อและตัวละคร

พี่ปุ่น พ่อตรัย คุณย่า ปุ้น เก้ ดุ่ยทุกคนน่ารักกันหมดเลย

อ่านแล้วฟีลกู้ด รู้สึกหลงรัก

ชอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: naizoza ที่ 12-10-2014 14:03:57
แวะมาจากเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้า​ เมื่อวาน​มี​สอบ​  สอบเสร็จ​สิ่ง​แรก​ที่​ทำคืออ่านเรื่องนี้​ แล้วก็จบแล้ว​ ต้องขอบคุณ​คนเขียนมาก​ อ่านแล้วรู้สึกดี​ เหมืิอนเข้าไปอยู่ใน​เหตุการณ์​  ได้ยินเสียงกลิ่นรส​  ประทับใจทุกประโยคทุกคำพูด​ อ่านนิยายที่คุณแต่งไม่ได้ใช้สมองอย่างเดียวแต่ได้ใช้ใจรับรู้ความรู้สึดของตัวละคร  เราก็ได้ขัดเกลาหัวใจเราที่แข็งกระด้างจากการหล่อหลอมจากสังคม​ ให้อ่อนโยนลง(นิดนึง) ขอบคุณจริงๆ:)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 27-10-2014 23:11:45
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ

เป็นเรื่องที่อบอุ่นอีกเรื่องนึงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 02-11-2014 11:47:38
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดี

อ่านแล้วชอบทุกตัวละครเลยครับ
ทุกคนดูเสน่ห์มีตัวตนล้วนสำคัญขนาดจินตนาการลักษณะและบุคลิคถึงเลย5

พี่ปุ่น ~ พี่ชายคนกลางและผู้ชายใจดี มาดอบอุ่น. แต่จริงเจ้าแผนการ5. เป็นคนรักที่เห็นคุณค่าของเวลา "ตั้ง"หนึ่งนาที่ที่ได้อยู่ด้วยกันมีค่ามีความหมาย รักจริงและชัดเจนต่อความรู้สึกรักและไม่เคยกลัวที่จะต้องแสดงให้คนนรอบข้างเห็นว่า รัก ชัดเจนด้วยการกระทำที่บอกให้คนในครอบครัวรับรู้และขออนุญาตผู้ปกครองของคนรักในการขอจีบลูกชายเค้า 5 ตรงไปตรงมาและชัดเจนสำเนาถูกต้องจริงๆผชคนนี้5 

เต็มฟ้า ~ พี่ชายคนโตที่ดูกวนเหมือนไม่สนใจน้องชาย ทำเหมือนไม่แคร์น้องชาย แต่จริงๆแล้วรักน้องชาย และใส่ใจคนรอบข้างเสมอ พวกรักนะแต่ไม่แสดงออกให้เห็น5

น้องตาม ~ น้องชายคนเล็กที่รักพี่ชายมาก 
(เป็นลูกคนเล็กเหมือนกัน เวลาตามทำอะไร เลยอินกำตามมาก. อยากให้พี่ชายรักเหมือนตามเลย อยากบอกว่าก็ไม่ใช่ตามคนเดียวที่เป็นนะพี่เป็นเหมือนกันร้องไห้บ่อยๆเวลาอ่านตอนของตาม)
 ตามเป็นเด็กที่รู้สึกชอบมาก ว่าง่าย รู้สึกว่าถ้าได้ให้อะไรตาม คงจะรู้สึกดีมาก. เพราะตามเวลาได้รับสิ่งของจะแสดงให้เห็นว่ามีค่ามีความหมายว่าสำคัญ

พี่เลี้ยงตรัย. ~ คุณพ่อหม้ายลูกสอง ที่มีหัวใจรักมั่นคง และเป็นพ่อที่รักแบบให้อิสระทางความคิดแก่ลูก พ่อที่ไม่ทำร้ายลูกและไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกแม้ปลายก้อย ไม่ว่าด้วยการกระทำหรือทางใจ ก็ไม่เคยทำให้หม่นหมองระคายใจ เป็นคุณพ่อที่อบอุ่นมาก 

พี่ชล ~ พี่สาวคนโตผู้เสียสละความสุขส่วนตัว ที่คอยช่วยเหลือดูแลห่วงใยเอาใจใส่น้องๆและคนรอบข้างอยู่เสมอ ดูอย่างตอนทำขนมจีนน้ำเงี้ยวไปฝากลุงเดชกับป้าบัวด้วยตัวเอง ทั้งจริงไปซื้อเอาง่ายกว่าอย่างทึ่เต็มว่า แต่ของที่เราทำเองย่อมมีค่ามากกว่าคนรับเค้าจะได้ดีใจ. อยากมีพี่สาวเลย5

เก้.~ เพื่อนสนิทเพื่อนรักที่อยู่ข้างเพื่อนเสมอ แม้ลึกจะแอบรักแต่ยินดีที่จะเก็บไว้ลึกสุดใจ เพื่อนการเป็นเพื่อนที่ดี. เพื่อนที่มองตาก็รู้ใจมันยิ่งกว่าหายาก รักเลยเพื่อนแบบนี้(อยากให้เก้มีคู่แอบจิ้นอยู่ให้คู่กับพ่อหนุ่มเคราแพะ55)

ดุ่ย ~ เพื่อนรักมาดnerdที่ถึงตัวเล็กที่สุกในกลุ่มแต่ก็ใจใหญ่เพื่อนมีปัญหาพร้อมออกตัวปกป้องชี้เห็นเพื่อนเห็นึวามจริง และใช่ถึงไม่แสดงออกแต่เป็นเพื่อนจริง.  ที่ได้พูดแต่รู้ความรู้สึกคว่มเป็นไปของเพื่อน

น้องยะหยา ~ เพื่อนที่คอยปกป้องเพื่อนไม่ให้โดนว่าร้ายแม้เพียงวาจา เป็นเด็กแต่แอบรู้ด้วยนะว่าพี่ชายสองคนมีsomething กัน55น่ารัก

น้องหมูอ้วน ~เพื่อนที่ตอนแรกไม่ถูกกันด่ากันทะเลาะกันสุดท้ายยิ่งกว่าสนิท (มีเหมือนกัน5)

แข็งแรง ~ มีหมูปิ้งเป็นของโปรด เป็นตุ๊กตาที่ตะกร้าน่ารถ เป็นที่ดีที่สุดของมนุษย์

คุณย่า ~ คุณย่าภายนอกดูร้ายแต่จริงใจดีมากๆต่างหาก เห็นเงียบข้อมูลฉันเพียบนะจ้ะ5 แอบหลงคุณย่า รู้จักเด็กแว้นด้วย5 นึกถึงหนังเรื่องคุณยายผมดีที่สุดในโลก5

ตัวร้ายถึงร้ายแต่เป็นบทเรียนสอนใจ

นายภูมิ ~ แฟนกำมะลอที่มีมากมายทั่วไปบนโลกนี้ ความรักของคนประเภทนี้ รักลวง รักแค่รูปร่างหน้าตาภายนอก รักไม่ค่อยจริงจังยั่งยืน  ที่ว่าถ้าวันหนึ่งแก่ตัวคงทิ้งกันไป ผชที่ใช้ชีวิตแบบไร้ที่ติ ถ้าไม่ดีก็สัญกรรมเอา รักไม่จริง เลยไม่สนใจ ไม่รู้ "คุณค่าของเวลา คิด"แค่"หนึ่งนาทีที่ได้อยู่กับคนรัก"

ขอบคุณครับสำหรับทุกๆความอบอุ่นของเนื้อหาที่ถ่ายทอดให้
ได้อ่านได้รับความรู้สึกมากมายเหล่านั้นแล้ว

ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 03-11-2014 10:57:02
ว่าจะเข้ามาอ่านหลายที่แล้วสำหรับเรื่องนี้ ไงจบก่อนได้อ่านละ

ไม่เป็นไรตามอ่านทีหลังก็ได้เนอะ 555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: numilddy ที่ 03-11-2014 13:13:40
โอ้ย ฟินนน
อ่านแล้วแอบคิดถึงพี่จ้ากับตัง
ดีใจที่สุดท้ายคุณย่ายอมรับ ><
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 03-11-2014 22:03:52
อบอุ่นจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 09-11-2014 00:37:37
พี่ปุ่นทำไมอบอุ่นขนาดนี้ เต็มก็น่ารักเกินไปแล้ววววว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-11-2014 23:29:12
ต้องตบมือให้ปุ่นจริงๆ ที่สามารถรับมือเจ้าตัวแสบถึงขั้วอย่างเต็มได้
 :katai1: :katai1: :katai1:
อ่านไปอยากเอามีดเสียบเอาเกลือทาจริงๆ
 :laugh: :laugh: :laugh:

คุณย่านี่เล่นเอาใจหายใจคว่ำเลย
กว่าจะลงเอยกันได้
เหนื่อยเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 11-11-2014 16:57:42
ตามอ่านมาจาก ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ชอบสไตล์การเขียน บรรยายเรื่องนะค่ะ
อ่านคุณไปรษณีย์ที่รักไปได้ 3 ตอนแล้ว ชอบค่ะ
คอยเอาใจช่วยน้องตาม สงสารน้อง หวังว่า เต็มจะเปิดใจให้น้องน่ะ
พี่ปุ่นยังไม่เจอกันกับน้องเต็มเลย
ว่าแต่ แอบมีชื่อ อาจารย์ อาทิตย์ทัศน์ ห้อยมาด้วย คิดถึงพี่จ้าค่ะ
ว่าแต่เรื่องนี้จบแล้ว จะมีรวมเป็นเล่มเปล่าค่ะ สนใจนะค่อะ อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 15-11-2014 12:02:49
คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 3 : จดหมายจากน้องชายและช่อดอกไม้)
อ้าวเต็มมีแฟนแล้วแล้วจะเจอพี่บุรุษไปรษณีย์ได้อย่างไรกันเพื่อนดุ่ยกับเพื่อเก้น่ารักอะอ่านแล้วขำ
น้องตามน่ารักน่าเอ็นดูและน่าสงสารค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 15-11-2014 13:20:40
คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ตอนที่ 5 : ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่)
ในที่สุกพี่ปุ่นกับน้องเต็มก็เจอกันแล้ววิดวิ้ว น้องเต็มแสบมากใส่หัวหอมเล็ก
เขาจะจีบกันยังไงน้าาาาา
 :hao3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 15-11-2014 23:19:53
อ่านถึงตอนอุ่น.  หวานมากอ่านไปยิ้มไปเลยคะพี่ปุ่นกับเต็มจีบกันมุ้งมิ้งมากค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 16-11-2014 00:29:24
อ่านจบแล้วคะชอบคุณย่าอิอิขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุกๆมาให้อ่านนะค่ะหลงรักตัวละครทุกตัวเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Meowww ที่ 24-11-2014 00:29:21
กรี๊ดดดด คนแต่งทำให้กรี๊ดเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าแล้วก็ยังทำให้กรี๊ดเรื่องนี้ได้อีก กรี๊ดดดด  :impress2: o13
ชอบๆๆ พระเอกของนักเขียนทุกคนแซ่บๆทั้งนั้น ทั้งพี่ตังเอย พี่ปุ่นเอย อบอุ่นโคตรๆๆ  :o8: :-[
ส่วนนายเอกแต่ล่ะคนก็นะ ทั้งพี่จ้า น้องเต็ม แลดูซึนๆกันทั้งนั้น แต่ทำไมไม่รู้โคตรน่ารักเลย จับกินๆๆ  :hao6: :hao7:
สุดท้าย ขอบคุณคนแต่งค่ะ  :กอด1:
ยังไงก็รวมเล่มเรื่องนี้เถอะนะ อยากได้  :z2: เพราะที่ชั้นหนังสือก็มีเรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าวางไว้อยู่แล้วก็อยากให้เรื่องนี้ได้วางคู่กัน ตู้หนังสือที่บ้านจะได้แลดูอบอุ่นขึ้น 55555  :laugh: :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 26-11-2014 07:34:25
อ่านจบแล้ว เรื่องนี้น่ารักจัง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: sai ที่ 29-11-2014 00:42:41



ตามมาอ่านเรื่องนี้ เพราะชื่อนักเขียน จริงๆครับ เนื้อเรื่องดี บรรยายดี  ภาษาดี   o13  o13

(หิวหมูปิ้งอ่ะ ) :beat:  :z6:

พระเอกคิดได้ซับซ่อนในการขอเป็นแฟนจริง ๆ ชอบชอบ   


รอติดตามเรื่องต่อไปอยู่นะครับ   :กอด1:




หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: BIRD ที่ 17-12-2014 21:04:04
ชอบครับ :)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนจบ (ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง) 18-09-2557 หน้า 23
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-12-2014 11:48:54
เพิ่งมาตามอ่านจบค่ะ ชอบเนื้อเรื่องมาก รู้สึกอบอุ่นเวลาอ่าน ถ้าพูดถึงตัวละครที่ชอบเราชอบน้องตามมากค่ะ เป็นตัวละครที่น่ารักอยากได้เป็นน้อง

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 12-01-2015 16:39:02
เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน...
สวัสดีค่ะ กะว่าจะไม่เขียนตอนพิเศษเรื่องนี้แล้วเชียวน้าาาา แต่ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว
ใครก่อหวอด ใครเป็นกองหนุน ใครเป็นกำลังเสริมบ้างก็ไม่รู้เนอะ วันนี้เลยเอาตอนพิเศษมาให้อ่านกันค่ะ
ลืมไปเลยว่าวันเด็กยังไม่ได้พาเด็กคนหนึ่งไปเที่ยวเลย ไม่รู้ลืมกันหรือยัง หวังว่าจะชอบนะคะ

ขอบคุณที่ยังถามถึงกันอยู่ค่ะ มีตอนพิเศษกันไปแล้วนาาาาา ทั้งเรื่อง ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า แล้วก็เรื่องคุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก
ต่อไปจะปั่นหน้ากากดอกไม้มาให้อ่านนะคะ ขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้ต้องรอนานค่ะ


....


ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย



ในขณะที่ทุกสายตาพุ่งไปที่ปลาหมอทะเลตัวมหึมาที่กำลังโบกสะบัดครีบอยู่กลางอุโมงค์กระจกภายในศูนย์แสดงพันธ์ุสัตว์น้ำ แต่ดวงตาทอประกายวับวาวคู่หนึ่งกลับจับจ้องไปยังเจ้าปลากระเบนที่ว่ายวนอยู่เหนือขึ้นไปเกือบจะถึงผิวน้ำ  เห็นท้องสีขาว หางเรียวเล็ก หัวโหนก และครีบด้านข้างแยกออกจากหัวเห็นได้ชัดเจน ปลายครีบแหลมที่ขยายออกด้านข้างนั้นทำให้พวกมันเหมือนติดปีกบิน หากแต่เป็นการบินอยู่ใต้น้ำท่ามกลางปลานานาชนิด


“อย่างกับนกเลยเนอะพี่เต็ม” เด็กชายชี้มือให้พี่ชายดูฝูงกระเบนที่กำลังว่ายอยู่เหนือศีรษะ ก่อนหน้านี้เคยคิดอยากเป็นนกจะได้บินอย่างอิสระอยู่บนฟ้า แต่วันนี้กลับคิดอยากเป็นปลาบ้างเสียแล้ว


“เขาถึงได้เรียกมันว่ากระเบนนกไง เพราะเวลาว่ายน้ำเหมือนนกบิน”


“โอ้โห!! สวยจังเลยครับ” หนุ่มน้อยยังคงตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า ไม่ต่างจากเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่บางคนเกาะกระจกอ้าปากหวอ ในขณะที่บางคนก็ยืนชูสองนิ้วเต๊ะท่าให้พ่อแม่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เผื่อว่าโตขึ้นได้มีโอกาสเปิดรูปเก่า ๆ ออกมา ดูจะได้จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่นี่ ได้เที่ยวเล่นตามใจในวันที่ผู้ใหญ่บอกว่ามันคือวันของพวกเขา


“เอ้า! ถ่ายรูปคู่กันหน่อยสองพี่น้อง” ร่างสูงที่ถือกล้องโพลารอยด์อยู่ในมือเอ่ยขึ้น ก่อนจะรอให้คุณพ่อที่กำลังเดินจูงมือลูก ๆ ใกล้เข้ามาผ่านไปก่อน จากนั้นจึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพพี่ชายที่กำลังยืนกอดคอน้องชายโดยมีฉากหลังเป็นใต้ท้องทะเลจำลองที่เต็มไปด้วยปลาแปลกตาจำนวนมาก


เมื่อสิ้นเสียงชัตเตอร์กระดาษก็ค่อย ๆ เลื่อนออกมา เมื่อน้ำยาในกระดาษสัมผัสกับอุณภูมิค่อนข้างเย็นก็ทำให้ภาพปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เห็นภาพที่ถูกบันทึกไว้ได้อย่าชัดเจน ศิธาพัฒน์มองดูคนในภาพพลางยิ้มน้อย ๆ นั่นเป็นเพราะทิฐิที่เคยสะสมเป็นตะกอนทับถมกันจนกลายเป็นกำแพงกั้นระหว่างสองคนพังทลายไปแล้ว เหลือเพียงสายใยระหว่างพี่น้องที่นับวันก็ยิ่งจะผูกเกี่ยวกันแน่นขึ้นทุกที


ตามตะวันเดินปรี่เข้ามาก่อนจะชะเง้อมองภาพถ่ายในมือพี่ชายตัวสูง “ตามขอเก็บไว้นะฮะพี่ปุ่น”


“ได้สิ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ส่งภาพถ่ายใบนั้นพร้อมกับกล้องโพลารอยด์สีขาวคืนให้เจ้าของ


“ถ้าอย่างนั้นตามเดินไปดูม้าน้ำทางโน้นก่อนนะครับ” หนุ่มน้อยไม่รอฟัง คว้าของจากมือได้ก็รีบวิ่งแนบไปรวมกลุ่มกับบรรดาเด็ก ๆ ที่กำลังมุงดูปลารูปร่างประหลาดในตู้กระจก หน้าตาของมันดูไปก็คล้ายลูกม้าที่พ่อเลี้ยงเอาไว้ไม่น้อย หลายคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นครีบบางใสที่เอวของเจ้าปลากระดูกแข็งกระพือไปมา แต่เจ้าม้าน้ำเหล่านั้นก็เคลื่อนไหวขึ้นลงได้เพียงช้า ๆ เท่านั้น


ศิธาพัฒน์มองตามแผ่นหลังเล็กของเด็กชายที่แม้จะดูเรียบร้อยจนเกือบจะเข้าใกล้นิยามคำว่าอ่อนแอแต่จริง ๆ แล้วก็มีความซุกซนอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กผู้ชายอยู่เต็มเปี่ยม ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ คนที่ยังคงง่วนอยู่กับการถ่ายภาพปลาที่กำลังว่ายผ่านไปผ่านมาด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ


“สนุกไหม”


เต็มฟ้าเงายหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจกอย่างแปลกใจก่อนจะหันกลับมาหาเจ้าของคำถาม “ถามอย่างกับเต็มเป็นเด็ก”


“เป็นผู้ใหญ่ก็ถามได้ แล้วสนุกไหมล่ะ”


เต็มฟ้าสบตานิ่ง มันอาจจะไม่สนุกเท่ากับเมื่อตอนเขายังเด็ก ตอนที่จับมือพ่อและแม่เที่ยวเล่นไปตามใจ ไปที่ไหนก็ได้ที่อยากจะไปหรือเล่นอะไรก็ได้ที่อยากจะเล่น แต่ถ้าเทียบกันที่ความอบอุ่นแล้ว มันอุ่นไม่แพ้กันเลย ชายหนุ่มยักคิ้วกวน ๆ ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจปลาในอุโมงค์กระจกอีกครั้ง และก็ดูเหมือนว่าจะสนใจปลายิ่งกว่าคนที่มาด้วยกันเสียอีก แม้แต่เสียงพูดคุยเป็นนกกระจอกแตกรังของกลุ่มสาว ๆ ที่เพิ่งเดินมาถึงก็ไม่สามารถเรียกความสนใจของเต็มฟ้าได้จนกระทั่ง…


“พี่รูปหล่อคะ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ”


“ได้สิครับ” ศิธาพัฒน์ตอบรับคำขอด้วยไมตรีก่อนจะรับโทรศัพท์มือถือจากสาวสวย “นับหนึ่งถึงสามนะครับ หนึ่ง สอง สาม”


“ขออีกรูปนะคะพี่” คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่คนอื่นพากันหัวเราะคิกคักเดินสลับตำแหน่งกันอย่างสนุกสนาน และเมื่อเห็นว่าสาว ๆ คงถ่ายภาพกันจนหนำใจแล้ว ตากล้องจำเป็นจึงส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้


“ส่งคืนพร้อมกับเบอร์โทร.คนถ่ายด้วยได้ไหมคะ”


ศิธาพัฒน์ยังคงยิ้มและดูจะยิ้มกว้างกว่าเก่า


‘ยิ้มจนน่าหมั่นไส้’ นั่นคือสิ่งที่เต็มฟ้าที่ยืนมองเหตุการณ์กำลังคิด


“ไม่ดีละมั้ง” คำพูดที่ฟังแล้วไม่ต่างอะไรจากมะนาวปราศจากน้ำทำเอาสาว ๆ หันมองหนุ่มน้อยหน้ามนกันเป็นตาเดียว
“พอดีพี่ชายของผม เขามีแฟนแล้วน่ะครับ”


ศิธาพัฒน์หันขวับมองหนุ่มน้อยที่เดินมายืนข้าง ๆ รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากร่างของคนตัวเล็กกว่า 


“อ้าว มีแฟนแล้วหรอกเหรอคะ” คนพูดหน้าจ๋อยก่อนจะรับโทรศัพท์คืน แต่แล้วดวงตาของเธอก็กลับเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง
“พี่ชายมีแฟนแล้ว แล้วน้องชายล่ะคะยังโสดอยู่หรือเปล่า”


ไม่ทันที่เต็มฟ้าจะอ้าปากพูด ท่อนแขนแกร่งของ ‘พี่ชาย’ ก็โอบเข้าที่ไหล่ของเขาเสียแล้ว


“ไม่โสดหรอกครับ น้องชายของผมก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน”


เล่นเอา ‘น้องชาย’ หน้าแดงลามไปจนถึงใบหู ทำอะไรไม่ถูกได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ แม้จะรู้ว่าศิธาพัฒน์ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองขนาดไหน และไม่มีครั้งใดที่จะปิดบังความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาแสดงใครรู้กันง่าย ๆ เช่นนี้


มือหนาค่อย ๆ เลื่อนลงมาก่อนจะกระชับแน่นรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้ “ดุเสียด้วยสิ”


“อ...อย่าบอกนะคะ ว..ว่า...” พูดไปก็กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะหันไปสบตาคนอื่น ๆ  ที่ยืนจับกลุ่มอยู่ด้านหลังอย่างขอความเห็น ซึ่งพวกเธอที่เหลือก็พากันพยักหน้าหงึก ๆ เพื่อยืนยันในสิ่งที่เพื่อนกำลังคิด


“ฟ...แฟน หน้าตาดีนะคะ ท...ทั้งคู่เลย”


“ครับ” ศิธาพัฒน์ยิ้มร่าได้อย่างหน้าตาเฉย “ถ้าอย่างนั้นผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ”


“อ...เอ้อ ค่ะ”


เจ้าของร่างสูงยังคงยิ้มก่อนจะรั้งเอวคนที่กำลังยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เดินไปด้วยกัน และเมื่อคล้อยหลังทั้งคู่เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาว ๆ ก็ดังระงมราวกับพวกเธอกำลังถูกแผดเผาด้วยไอร้อนของความอิจฉาที่จุดขึ้นในดวงตาของแต่ละคน


ทันทีที่หลุดออกจากฝูงชนได้เต็มฟ้าก็รีบแกะมือที่เกาะเอวตนเองออกทันที “ทำไมพี่ปุ่นไปพูดกับเขาแบบนั้น” 


“พี่พูดอะไร”


“ก็พูดให้เขาเข้าใจว่า...ร...เรา”


“เป็นแฟนกันน่ะเหรอ”


คนถูกถามไม่ตอบ เพียงแต่นิ่วหน้าให้รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคาดเดานั้นถูกต้อง


“ก็แล้วทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ สำหรับพี่น่ะเป็นแฟนก็บอกว่าเป็นแฟน ไม่เหมือนบางคนหรอก มากับแฟนกลับบอกว่าเป็นพี่ชาย”


“ก็...” เต็มฟ้าถอนใจ อยากจะเถียงแต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาสู้เพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตู


“ก็อะไร เถียงมาสิ”


“ก็...ไม่เถียงก็ได้” เสียงอ่อยทำเอาศิธาพัฒน์เกือบหลุดหัวเราะ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเก็บอาการรักษามาดของพี่ชายผู้คุมกฎได้อย่างเหนียวแน่น นี่ก็เป็นอีกคนที่ข้างนอกอาจะดูแข็งกร้าวจนเกือบจะกลายเป็นความแข็งกระด้าง แต่จริง ๆ แล้วมันก็แค่เกราะป้องกันตัวเองที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นความอ่อนโอนข้างในก็เท่านั้น


“ดีมาก เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิค่อยน่ารักหน่อย” 
 

ยังไม่ทันจะได้พูดออกไป รอยยิ้มแปลก ๆ ของคนตรงหน้าจุดความสงสัยขึ้นในใจจนต้องถามให้รู้เสียก่อน “อารมณ์ดีอะไรนักหนา”


“วันนี้โชคดีจังได้เห็นคนหึง”


“ใคร? ใครหึง”


“ก็ใครล่ะที่บอกสาว ๆ พวกนั้นว่าพี่มีแฟนแล้ว”


“หรือไม่จริง”


“พี่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่ ยอมรับอย่างเต็มใจเลยละ” ใบหน้าคมคายเลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบจะชนกัน ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่เห็นทีไรก็พาให้หัวใจสั่นไหวอยู่ร่ำไป


“ห่าง ๆ หน่อยก็ได้” เต็มฟ้าขยับหนี หนีทั้งหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ หนีทั้งสายตาที่ยังคงมองมาที่เขา นึกอยากจะถามอยู่หลายครั้งว่าไม่เบื่อหรือไงถึงมองอยู่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้แต่กลืนสิ่งที่อยากจะพูดลงคอไปทุกที อยากจะเขกหัวตัวเองที่นับวันก็ยิ่งปล่อยให้คนตรงหน้าเข้ามามีอิทธิพลมากเข้าไปทุกที เคยคิดว่าหัวใจของตัวเองไม่ต่างอะไรกับดินที่ใช้ขึ้นรูปเซรามิค ยิ่งเจอความร้อนก็ยิ่งแข็งแกร่ง แต่พอเอาเข้าจริงมันก็แค่ขี้ผึ้งที่เพียงเจอไออุ่นก็อ่อนยวบ ในความเป็นคนรักกันมันมีอะไรมากกว่านั้น  บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นน้องชายที่มีพี่ชายคอยปกป้อง อีกหลายต่อหลายครั้งที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลจนจะเข้าใกล้ความเป็นสาวน้อยเข้าไปทุกที 


“พี่เต็ม พี่ปุ่น” เสียงของเด็กชายที่กำลังหอบของพะรุงพะรังวิ่งเข้ามาทำให้ศิธาพัฒน์ต้องละสายตาจากดวงหน้าที่มองทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด


“มาอยู่นี่เอง ตามเดินหาตั้งนาน”


“หอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ย” เต็มฟ้าถามอย่างแปลกใจพลางมองทั้งกล่องของขวัญ ตุ๊กตาเต่าและลูกโป่งรูปฉลามในมือน้องชาย


“ตามเล่นเกมชนะ พี่เจ้าหน้าที่เขาเลยให้มาครับ” หนุ่มน้อยยิ้มอย่างภูมิใจ


“เหนื่อยหรือยัง อยากไปไหนอีกไหม” พี่ชายถามขณะกอดคอน้องชายเดินออกมาจากอควาเรียม


“อืม...ไม่แล้วฮะพี่เต็ม” ปากเล็กยังคงฉีกยิ้มกว้าง


“ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านกันเนอะ” เต็มฟ้ากล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงที่วันนี้อาสาเป็นคนขับรถให้เพื่อจะขอความเห็น


“เต็มอยากไปไหนอีกหรือเปล่า” ศิธาพัฒน์ถาม


“ไม่แล้ว วันนี้ก็แค่จะพาน้องมาเที่ยวเท่านั้นแหละ”


“ถ้าอย่างนั้นกลับเลยก็ได้ ผ่านไปเร็วจังเลยน้าาา วันเด็กแห่งชาติเนี่ย” พูดจบก็โยกศีรษะเด็กชายอย่างเบามือ


“เดี๋ยวปีหน้าเรามาเที่ยววันเด็กด้วยกันอีกนะฮะ พี่ปุ่น พี่เต็ม”


เต็มฟ้าชะงักกึก จู่ ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว


‘ปีหน้าเหรอ?’


‘ปีหน้า...ยังจะได้มาด้วยกันอีกไหม?’
 


“เต็ม คิดอะไรอยู่”


“ป...เปล่า ไม่มีอะไร” เป็นคำตอบที่แสนจะแผ่วเบา


ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าก็ทำให้ศิธาพัฒน์รู้ได้อยู่ดีว่าต้องมีอะไรสักอย่าง “ไม่มีก็ไปเถอะ ดูสิตามวิ่งไปถึงรถแล้ว” พูดจบก็โอบไหล่เล็กเอาไว้แน่นราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีทั้งหมดให้อีกฝ่ายได้รับรู้


จริงอย่างว่า ตามตะวันกำลังยืนโบกไม้โบกมือให้กับพี่ชายทั้งสองคนอยู่ที่รถแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสดงให้รู้ว่าในใจคงกำลังมีความสุข สุขกับช่วงเวลาในปัจจุบัน...   


...


“ตามหลับแล้วเหรอ” ศิธาพัฒน์ที่กำลังนั่งอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์ถามขึ้นเมื่อร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีนวลที่มีต้นกำเนิดจากโคมไฟที่แขวนประดับไว้เป็นระยะตามแนวทางเดิน


“อื้อ กว่าจะเข็นกันอาบน้ำได้งอแงน่าดู” คนเป็นพี่ถอนใจเบาพลางนึกถึงเด็กชายที่นั่งหลับคอพับคออ่อนมาตั้งแต่รถยังไม่ออกจากเขตจังหวัดเชียงใหม่เสียด้วยซ้ำ คงเหนื่อยเพราะเล่นสนุกมาทั้งวัน ถึงบ้านจึงอยากจะเข้าห้องนอนท่าเดียว


“เต็มขอบคุณมากนะที่วันนี้อุตส่าห์ขับรถให้”


เป็นศิธาพัฒน์ที่ต้องถอนหายใจบ้าง “ใครสอนให้พูดกับแฟนแบบนี้นะ แทนที่จะถามว่าวันนี้พี่ปุ่นเหนื่อยไหมครับ กลับมาขอบอกขอบใจกันอย่างกับเป็นคนอื่น”


“ก็อยากขอบคุณจริง ๆ” เต็มฟ้ายังคงยืนยัน


“พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นดีกว่า” คนพูดยิ้มกริ่ม ชี้ที่แก้มป่อง ๆ จริง ๆ ก็แกล้งทำไปอย่างนั้นเองเพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเต็มฟ้าก็ไม่มีทางที่จะยอมทำแน่นอน


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 12-01-2015 16:43:09
(ต่อค่ะ)



ศิธาพัฒน์รู้ตัวว่าคิดผิดก็เมื่ออีกฝ่ายขยับมายืนตรงหน้า วางมือลงบนบ่า ใช้สายตาตรึงไม่ให้เขาสามารถมองไปที่ไหนได้อีก ใบหน้าชวนมองเลื่อนเข้าใกล้จนกระทั่งภาพที่เคยชัดเจนกลับพร่ามัวไปหมด ลมหายใจอุ่นพร่างพรมก่อนที่ปลายจมูกเย็นเฉียบแตะกับผิวแก้ว เพียงเท่านั้นหัวใจก็พองฟูไม่ต่างกับปุยเมฆในอากาศ


“มากกว่านี้ก็ได้นะ” เสียงกระซิบรอดผ่านริมฝีปากบาง ก่อนจะขยับห่างออกมาสบตาคนที่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์


มือหนาของศิธาพัฒน์เลื่อนขึ้นประคองเอวทั้งสองข้างราวกับจะเตือนให้รู้ว่าพูดอะไรออกมาก็ต้องทำให้จริง อย่าคิดหนีไปไหนเด็ดขาด เพราะเขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ “กล้าเหรอ”


“มะ...ไม่ ไม่กล้าหรอก แต่ถ้าเป็นพี่ปุ่น...”


“เป็นพี่แล้วทำไม”


เต็มฟ้าก้มลงสบตาคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า มันยากจะพูดว่าถ้าเป็นพี่ปุ่นของเขาแล้วละก็ ต่อให้อยากได้อะไรมากกว่านี้ก็ยอมทุกอย่าง


ถ้าพูดอย่างนั้นออกไปละก็ คนฟังคงยิ้มจนแก้มฉีกแน่ ๆ ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ…


...เสียฟอร์ม…




“หืม? ว่ายังไง ถ้าเป็นพี่แล้วยังไง” ปากถามในขณะที่มือก็รั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้


“ก็...” เต็มฟ้ากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะตัดสินใจตอบคำถามนั้นโดยการแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะเริ่มขบเม้มเบา ๆ อย่างไม่ประสาแต่ก็ทำเอาศิธาพัฒน์แทบควบคุมตัวเองไม่ได้


“อื้อ..ต..เต็ม หยุดก่อน...”


เจ้าของชื่อชะงักก่อนจะค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นกังวล “ท..ทำไมล่ะ ไม่ดีเหรอ”


ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะตอบ “ดีสิ ดีมากด้วย ดีจนน่ากลัวเลยละ”


“พี่ปุ่นหมายความว่ายังไง”


“มันดีเสียจนพี่กลัวว่าทั้งหมดจะเป็นแค่ความฝันน่ะสิ เต็มเป็นอะไรเนี่ย ทำไมทำอะไรแปลก ๆ”


คนฟังมุ่นคิ้วก่อนจะเผยสิ่งที่คิดอยู่ตลอดทางตั้งแต่เชียงใหม่กระทั่งถึงลำปางออกมา “เต็มก็แค่...อยากทำตัวให้น่ารัก เผื่อว่า...”


“เผื่อว่าวันเด็กปีหน้าเราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันอีก”


ศิธาพัฒน์มองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ที่แท้ก็คิดเรื่องนี้อยู่นี่เอง โธ่เอ๋ย…


“กลัวพี่ปุ่นไม่รักหรือไง หืม?”


เต็มฟ้าเพียงแต่พยักหน้า เพราะความรักเล่นตลกกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง การเริ่มต้นที่จะรักใครอีกครั้งจึงเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อคิดว่าจะทำอย่างไรให้ความรักนั้นอยู่ไปนาน ๆ จึงเป็นสิ่งที่ยากกว่า


“อย่ากลัวเลยนะ พี่จะสัญญาว่าจะรักเต็มให้นานกว่าที่เต็มรักพี่เสียอีก ถึงเต็มจะไม่ได้รักพี่แล้ว พี่ก็จะรักของพี่ไปแบบนี้แหละ ไม่เชื่อก็คอยดูสิ”


“ไม่มีทาง มันไม่มีวันนั้นแน่ เต็มไม่ยอมให้มีหรอก วันที่เต็มไม่รักพี่ปุ่นแล้วน่ะ”


“นี่กำลังบอกรักพี่อยู่หรือเปล่า”


“ไม่ใช่สักหน่อย” พูดจบก็รีบผละออกทันที กลัวว่าพี่ปุ่นจะได้ยินเสียงหัวใจที่มันร้องตะโกนขัดกับสิ่งที่พูดออกไป หรือถ้าแสงไฟสว่างกว่านี้พี่ปุ่นก็คงจะเห็นแก้มแดง ๆ ที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อกี้มันคือการบอกรักแน่ ๆ


“เดี๋ยวสิ จะไปไหน” ศิธาพัฒน์กล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินตาม


“อะไรอีก”   


“ถามอะไรหน่อยสิ”


“ถามว่า?” พูดจบก็เดินไปนั่งลงที่บันไดซึ่งทอดลงสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่โดยมีคนช่างตื๊อนั่งลงข้าง ๆ กัน


“ตอนนั้น…   ที่มาชวนไปวัดพระธาตุลำปางหลวงน่ะ คิดอะไรหรือเปล่า”


“คิดอะไร คิดว่าเต็มชอบพี่น่ะเหรอ”


“ก็มันชวนให้คิดแบบนั้นไหมล่ะ ตอนเช้าก็แวะมาบ้านพี่ก่อนแทนที่จะกลับบ้าน แถมตกบ่ายยังมาชวนไปวัดอีก เป็นใครใครเขาก็คิด” ศิธาพัฒน์ยิ้มหวานก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ กระซิบชิดริมหู “แล้วคิดอะไรหรือเปล่าล่ะ”


“บ้า ใครจะไปคิด ก็บอกแล้วไงแวะไปหาแข็งแรงเฉย ๆ แล้วที่มาชวนไปวัดน่ะ ก็เพราะเห็นว่าพี่ปุ่นเคยบอกว่ายังไม่เคยไป ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”


“อือ ไม่คิดก็ไม่คิด ไม่คิดก็แล้วไป แต่ก็ยังดีนะที่อุตส่าห์จำเรื่องของพี่ได้” ชายหนุ่มกล่าวพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองปรางแก้มนุ่มมือเอาไว้พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นถามใหม่ คราวนี้ถามว่า เต็มคิดอะไรกับพี่ตั้งแต่เมื่อไร”


“อืม...ตอนที่พี่ปุ่นคิดเรื่องสนธิสัญญาอะไรนั่น ตอนที่เห็นหน้ากันทุกวัน พอคิดว่าครบสัญญาแล้วจะไม่ได้เจออีกมันก็รู้สึกแปลก ๆ คงเป็นตอนนั้นละมั้ง” พูดจบก็รั้งมือหนามากุมเอาไว้ "ถ้าอย่างนั้นเต็มถามบ้าง”

 
“อยากถามอะไรพี่” พูดจบก็มองไปที่สะพานโค้งเชื่อมสองฝั่งน้ำที่มองเห็นอยูไกล ๆ


“ถ้าเต็มมีพรให้หนึ่งข้อ พี่ปุ่นจะขออะไร"


"ถ้ามีพรแบบนั้นจริงพี่คงขอให้มีพรเพิ่มขึ้นสักสิบข้อ ดีไหม?" เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางดึงสายตากลับมาที่เสี้ยวหน้าชวนมองที่อาบด้วยสีเหลืองนวลของโคมไฟ


"งก ข้อเดียวก็พอแล้ว"
 

ศิธาพัฒน์อมยิ้มน้อย ๆ นิ่งคิดก่อนจะตอบ "ถ้ามีพรแค่หนึ่งข้อ พี่คงจะขอให้พ่อกับแม่ยังคงอยู่ที่ลำปางนี่ ไม่ย้ายไปไหน”


“ทำไมล่ะ” เต็มฟ้าหันกลับมามองอย่างไม่เข้าใจ พี่ปุ่นของเขามักจะคิดอะไรซับซ้อนเสมอ


“พี่จะได้เจอเต็มเร็วขึ้นอีกสักยี่สิบปีไง ไม่ดีเหรอ”


“ถ้าเจอกันตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้นะ”


"เต็มคิดว่าอย่างนั้นเหรอ"


"อือ พี่ปุ่นอาจจะเป็นแค่พี่ชายที่ดี ส่วนเต็ม...เต็มก็เป็นแค่น้องชายดื้อด้านเอาแต่ใจ"


"แล้วเต็มชอบให้เป็นแบบไหนมากกว่ากัน"


“ขนาดนี้ยังต้องถามอีกเหรอ”


“ก็อยากรู้ ไม่รู้แล้วนอนไม่หลับ”


“แสดงว่าถ้าบอกก็จะกลับ?”


“ใช่ จะอยู่ทำไมล่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเต็มไม่บอก”


“ไม่อยากให้พี่กลับเหรอ”


เต็มฟ้าเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับเอียงศีรษะพิงไหล่คนข้าง ๆ แทน มือที่เหลือกระชับเสื้อกันหนาว ทอดสายตาที่ปราศจากแววแห่งความเย็นชาไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นเล็ก ๆ สะท้อนกับแสงไฟระยิบระยับ 


เพียงเท่านั้นศิธาพัฒน์ก็รู้คำตอบทั้งหมดได้ทันที สองมือยังคงกุมแน่นเพื่อพากันก้าวข้ามค่ำคืนอันหนาวเหน็บไปด้วยกัน


...


ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 12-01-2015 17:21:59
อ่อยยยย  :hao3:

อยากรู้ว่านอกจากจับมือกันแล้ว ทำไรกันอีกเปล่า   :m26:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: veeveevivien ที่ 12-01-2015 17:27:28



 :กอด1: :กอด1: :กอด1: หวานละมุน จริง ๆ พี่ปุ่น กะ น้องเต็ม ขอบคุณค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-01-2015 17:28:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 12-01-2015 17:31:27
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 12-01-2015 17:42:17
เขินตัวแตกข่ะ ณ จุดๆนี้
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 12-01-2015 18:08:43
 :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:
เขาก็อยากได้แบบพี่ปุ่น
อิจฉาเต็มมากกกกกกกกกกกก
ตอนพิเศษเย้
 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 12-01-2015 19:40:44
ทีแรกเห็นว่าเป็นตอนพิเศษก็คิดว่าคงเน้นเรื่องตามตะวัน เพราะเด็กสุดในเรื่อง
แต่พออ่านๆไปแล้ว อยากให้เปลี่ยนเป็น "ตอนพิเศษ วัน(กิน)เด็ก"
นำแสดงโดยพี่ปุ่น (กิน) เต็มฟ้า ในช่วงที่หนาวสุดๆไปเลยแบบนี้
หนาวเนื้อก็ต้องห่มเนื้อจะได้หายหนาวเนาะ พี่ปุ่นเนาะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 12-01-2015 20:05:51
อบอุ่นจริงๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 12-01-2015 20:11:33
วันเด็ก(โข่ง)
เต็มน่ารัก อ้อนพี่ปุ่น หวานๆรับลมหนาว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-01-2015 20:37:13
แหม หวานละมุนได้กระทั่งวันเด็กนะจ๊ะ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: My_yunho ที่ 12-01-2015 20:59:12
หวานกันน่ารัก อบอุ่น
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 12-01-2015 21:09:21
ละมุนละไม อบอุ่นจังงงง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 12-01-2015 21:12:18
ขอบคุณ  :pig4: ที่เขียนตอนที่แสนพิเศษมาให้นะคะ  :L2:  รักคนแต่งที่สุดเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย:กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 12-01-2015 21:24:12
เย้ย เด็กขี้อ้อนอ่ะเต็ม หัดขี้อ้อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย น่ารักอ่ะ
มิน่าพี่ปุ่นไม่ยอมไปไหนเลย :hao7:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-01-2015 21:27:05
อ่อยแฟนตัวเองไม่ผิดเนอะเต็มเนอะ คิคิ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-01-2015 21:40:00
นั่นเป็นเพราะฐิติที่เคยสะสมเป็นตะกอน   ---->  ทิฐิ

ชายหนุ่มไหวหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ คนที่ยังคงง่วนอยู่กับการถ่ายภาพปลาที่กำลังว่ายผ่านไปผ่านมาด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ  ---->  ส่ายหน้า

และไม่ครั้งใดที่จะปิดบังความสัมพันธ์  ---->  ไม่มี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 12-01-2015 22:05:00
อร๊ายยยย  น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 12-01-2015 22:40:06
ขี้อ้อน ขี้อ่อยอะเต็ม 555

น้องตามน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 12-01-2015 23:29:29
เต็มแปลกๆ...


แต่น่ารักดี!!!!
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-01-2015 23:44:42
อยากอ่านอีก นานทีจะเห็นเต็มหึงน่ารักดี ยั่วขนาดนี้จะไปไหนรอด
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 13-01-2015 08:17:27
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นจริงๆนะ

อยากได้พี่ชาย แบบพี่ปุ้นบ้างจังเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 13-01-2015 09:40:25
อ่านเรื่องนี้ไม่ว่าจะตอนปกติหรือตอนพิเศษ
ก็ทำให้รู้สึกดี มีความสุข และอบอุ่นเสมอ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: kautumn ที่ 13-01-2015 10:23:36
อ่านตอนพิเศษแล้วหวานอ่ะ

น้องเต็มมีหึงๆ คริคริ
อ่านแล้ว ฟิคกูดมากๆค่ะ
 :mew3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 13-01-2015 13:09:48
นี่ตอนพิเศษวันเด็กจริงหรอ นึกว่าวาเลนไทน์ หวานมากกกก :-[

คิดถึงคู่นี้ที่สุดดดดดดดดดดดดดด :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 13-01-2015 23:10:57
ค้างๆๆๆ ดีนะที่เป็นคืนวันเด็ก ถ้าเป็นคืนวันลอยกระทงละก็ เต็มเอ๊ย เสร็จ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: wavalove ที่ 14-01-2015 04:02:53
พี่ปุ่นนนนนนนนนนนนนนน   


 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 14-01-2015 07:01:20
งานอ่อยต้องมา
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: MinkMinkiie ที่ 14-01-2015 10:34:08
อ่อยยย พี่ปุ่นนนนนน -////////////-
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 15-01-2015 11:09:49
น้องเต็มเค้าก็น่ารักขึ้นนะคะนี่~

อรั้ยๆๆ เขินพี่ปุ่นจุง

 :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 16-01-2015 13:39:38
หวานนนนนนนนนน...มั๊กมาก
น้องเต็มอ้อนพี่ปุ่นน่าดู
อ่อยเข้าไว้ลูกพี่ปุ่นจะได้ไม่หนีไปไหนเนอะ
ขอบใจสำหรับตอนพิเศษนะจ๊ะ หายคิดถึงพี่ปุ่นน้องเต็มไปนิดนึงอ่ะ 5555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 16-01-2015 18:54:39
ฟินนน ดิ้นนน เขินนนนนน  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: real port ที่ 17-01-2015 21:27:42
พี่ปุ่นเป็นคนอบอุ่นมากๆ อยากได้สักคน :katai1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 19-01-2015 13:29:22
ติดตามผลงานมาอ่าน เป็น เรื่องที่ สองแล้วครับ

ประทับใจ

อบอุ่นหัวใจเช่นเดิม


คราวนี้ น้ำตาที่ไหลเอ่อท้นไปด้วยความตื้นตัน ซาบซึ้งกับ คู่พี่เต็ม น้องตา  ไม่แพ้่ พี่ปุ่น กะ เต็มฟ้า เลย :hao3:


ขอบคุณ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่แต่ง เรื่องราวดีดีที่ให้กับโลกของเรา




พี่ปุ่นเป็นคนอบอุ่นมากๆ อยากได้สักคน :katai1:

// อยากได้สักคน

   ตอนนี้ เราก้อมโนไปก่อนละกัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 23-01-2015 20:23:27
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-01-2015 00:42:49
เต็ม น่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กล้าบอกความรู้สึกตัวเองด้วย นึกว่าจะเขินจนเลี่ยงไปเลี่ยงมาซะแล้ว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: comai0618 ที่ 26-01-2015 16:48:22
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค๊าาาาา  :pig4:
ฟีลกู๊ดมากกก ชอบค่ะ รักเลยยย :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: thboy_t ที่ 03-02-2015 19:13:42
ขอบคุณที่มาต่อตอนพิเศษครับ ดีใจมากๆที่เห็นเรื่องนี้มาต่อตอนพิเศษอีก ยิ่งได้อ่านแล้วชอบมากครับ น่ารัก อบอุ่นจริงๆ

ถ้ามีโอกาส อย่าลืมเขียนตอนพิเศษเรื่องนี้อีกนะครับ จะคอยติดตามเสมอครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 09-02-2015 22:47:18
โอ้โหหห นี่มันมวยถูกคู่ชัดๆ เลย
ขอสารภาพค่ะ ชอบตัวละครแทบทุกตัวเลย ยกเว้นคนบ้านนายทหารนั่น ชิๆๆ

ชอบน้องตามมา เด็กอะไรน่ารัก อยากได้เป็นน้องชาย
ส่วนน้องเต็มนี่แมนๆ นะ ติสก์มากค่ะ แต่ยอมรับเลยว่าน่ารัก (แม้ว่าจะหมั่นไส้บ้างบางครั้ง)
พี่ปุ่นนี่อบอุ่นมว๊ากกกก
ชอบพี่เลี้ยงตรัย เป็นพ่อที่ดีมากๆ ทัศนคติในการเลี้ยงลูกดีมาก
พี่ดุ่ย เก้ และปุ้น ฮามากเลย แก๊งนี้เค้าน่ารัก
พี่ตังและพี่จ้าก็ยังคงน่ารักอยู่เสมอ พี่ตังนี่ได้ค่าจ้างกี่บาท ได้ออกหลายตอน ชิๆ พาพี่จ้ามาเยอะๆ มั่งสิคะ


ปล.ชอบบรรยากาศตามท้องเรื่องของนิยายคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าค่ะ บรรยากาซอุ่นๆ ฟิลกู้ด กับธรรมชาติหรือเมืองที่วุ่นวาย

ขอบคุณมากๆ สำหรับนิยาอุ่นๆ เรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 10-02-2015 22:15:30
อ่านจบแล้ว~~ นิยายเรื่องนี้ฟีลกู้ดมากค่ะ ภาษาดี ซึ้ง อิน
ช่วงแรกๆ อาจแบบรู้สึกเต็มใจร้ายกับน้องตามจัง เรานี่น้ำตาซึมตามน้องตลอด
แต่ที่จริงพี่เต็มเองเป็นคนน่ารักมากกกกกกก แค่ปากแข็ง ตอนเต็มตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านโคตรดีใจอ่ะ
ชอบความผูกพันธ์ของตัวละคร พี่ปุ่นน้องเต็ม มันค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิดๆ ผ่านเวลาเนิ่นนานไม่ใช้แป้บๆ
จนวนกลับมาเจอกันจริงจังตอนน้องกลับมาอยู่บ้านนี่ล่ะ พี่ปุ่นแอบชอบน้องนานแล้ว
ที่ชอบมากๆ สำหรับพระเอกคือความชัดเจน รอบคอบ จริงจังค่ะ ดูจากตอนที่ตัดสินใจพูดกับที่บ้านเลย
ทั้งที่ยังไม่เริ่มจีบน้องด้วยซ้ำ เหมือนปูพื้นฐานไว้ เพื่อน้องและครอบครัวน้องจะไม่รู้สึกแย่ๆ คือน่ารักมากกกกก
ครอบครัวพี่ปุ่นน่ารัก คุณย่าก็น่ารัก ตอนแรกแอบสะพรึงลุ้น สุดท้ายก็ออกมาดี ก็แหมคนที่คุณย่าอยากให้มาดองด้วยตอนแรก
แสนจะแย่ทั้งพี่ทั้งน้องอ่ะ ตอนเขารักกันแล้วนี่น่ารักมาก คนน้องปากแข็ง คนพี่ก็อ้อนจังเล้ย ขอนิดขอหน่อยยังดี
เต็มก็เขินไปสิ ตัวละครที่ชอบมากอีกคนคือน้องตาม บ้านนี้เลี้ยงลูกเก่ง น้องตามน่ารักมาก ทำไมน่ารักแบบนี้
เป็นเด็กดีสุดๆ คุณพ่อด้วย คุณพ่อก็น่าชื่นชมในวิธีการเลี้ยงลูก แนวคิด เอวี่ติงอ่ะ คุณพ่อตุณแม่พี่ปุ่นด้วยดี๊ดี
สรุปดีหมดเลยค่ะ ถ้าตัดบ้านนายทหารออก 5555

ชอบมากค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ จะไปอ่านเรื่องอื่นของผู้เขียนต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 20-02-2015 00:53:39
อ่านจบแล้วค่าาา ตามสัญญา แอบอู้งานอ่านฮ่าๆๆๆ
ตอนแรกดราม่าสงสารน้องตามมากกกก น้ำตาซึมสงสารน้องแทบทุกตอนเลย
แต่รักน้องตามมากอ่า น้องน่ารัก คุณนัทบรรยายซะเรารู้สึกว่าน้องยิ้มแล้วโลกสดใสเลย
ส่วนนายเอก ซึนมากอ่ะ ซึนมากกว่าพี่จ้าอีก ชีวิตดราม่าได้อีก เก็บความรู้สึกเก๊งเก่งจริงๆพี่เต็มเนี่ยเฮ้ออ
ส่วนพี่ปุ่น หื่นกว่าพี่ตังฮ่าๆๆๆ แต่อ่อนโยนเหมือนกัลล
คู่นี้กวนกันไปกวนกันมาจนบางทีคนอ่านก็ปวดหัว พี่เต็มดื้อจริงๆฮ่าๆๆๆ
เรื่องนี้รักน้องตามกับแข็งแรงค่ะ^^

ช่วยแก้คำผิดค่ะ

ตอนที่ 1 เต็มฟ้า---- เมื่อได้ยินเสียถอนหายใจ>> เสียง
ตอนที่ 7 : ชายหนุ่มผู้ชินชากับความเหงา---มีเงาของตัวเองตะท้อนอยู่ข้างใน >>สะท้อน
ตอนที่ 8 ชุดกระโปรงสีฟ้ากับคำบอกลาพี่ชาย---หนักงานไปรษณีย์หนุ่มชะลอ>>พนักงาน
ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ---นกฝูงใหญ>>> ใหญ่
ตอนที่ 10 : เรื่องชกต่อย---ขณะที่มอเตอร์ไซค์คลาสิค>>คลาสสิค
                กำลังพุ่งทะยานพาทั้งสองคนเลาะไปตามคนแคบ ๆ>>ไม่แน่ใจว่าคำว่าคนนี่หมายถึง ถนน รึเปล่าค่ะ
                รถด่วนพิเศษนครพิงค์ปลายทางสถานีกรุงเทฯ>>กรุงเทพฯ

ตอนที่ 11 : ทบทวน---นัยน์สีเข้มทอดมองภาพที่ถูกส่ง>>นัยน์ตา
                กำลังกดรีโหมตเปลี่ยนช่องทีวี
ตอนที่ 12 : มันจะยากก็แค่ตอนเริ่มต้น---กีรติทอดสายตามองม้าเหล็กตัวยาวที่ค่อย ๆ
                เจ้าขนฟูตัวอ้วนกลมนอนหลับตาพริ้มหาบใจรดกันอีก>>หายใจ
                พอตกกลางคือก็ลอยกระทงกันที่ท่าน้ำ>>กลางคืน
                ความกังวลของศิธาพัฒน์ดูว่าจะกลายเป็ยความจริง>>เป็น
ตอนที่ 13 ความรู้สึกแปลก ๆ---ยังไม่เคยมาหรือยังจ๊ะ” >> น่าจะเป็น เคยมาหรือยังจ๊ะ หรือเปล่าค่ะ
 ตอนที่ 15 : ไม่ใช่ใครก็ได้---จากบ้านที่เคยเงียบสงบกลับมีแต่เสียหัวเราะ  >>เสียง            
                 ที่นอนตุ๊กตาแมวหุ่นหนต์>>หุ่นยนต์
                 พ่อและแม่อดเป็นห่สวงไม่ได้
                 “ทำไมยังไม่เข้าบ้านอีกล่ะลูก เป็นอะไรหรือเปล่า”
                  คุณลงจะว่ายังไงครับ
ตอนที่ 16 : สนธิสัญญาระยะทดลอง---ตามจะพาคุณย่าเที่ยวให้ทั่ไร่เลยครับ
                บอกตัวเองว่าไอ้ที่ร้อนผ่าวไปทั้งใหน้า
                ลงนามใยสนธิสัญญาก่อน
ตอนที่ 17 ก่อนวินาทีสุดท้าย---จ้องมองข้สวผัดหน้าตาน่ากินในจาน
              ได้ยินเสียหัวเราะในลำคอ
ตอนที่ 18  อุ่น---สร้างฝายชะลออน้ำในป่า
ตอนที่ 19 : ไม่เป็นไร---ชบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ตอนที่ 22 : รักแบบไม่ครอบครอง---ายหนุ่มอารมณ์ศิลปินกล่าวพลางสำรวจตัวเองกระจก
               ตามตะวันในชุดนักเรียนมัธยมที่กำลังนั่งเท้าคางมองผู้ใหญ่คุยกันเอ่น
               ศิลากล่าวก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปด้านหลังทำท่าจะยกมือแตะหน้าฝาก
เจออีกสองคำ แต่จำไม่ได้ว่าอยู่บทไหนค่ะ คำว่า  นั่งล้าน>>นั่งร้าน
                                                         


โอยยย ตาลาย :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 21-02-2015 17:49:49
อยู่แบบนี้ผ้าห่มไม่จำเป็นต้องมีเลย :กอด1: อบอุ่นสุดๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 22-02-2015 20:07:33
นั่นเป็นเพราะฐิติที่เคยสะสมเป็นตะกอน   ---->  ทิฐิ

ชายหนุ่มไหวหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ คนที่ยังคงง่วนอยู่กับการถ่ายภาพปลาที่กำลังว่ายผ่านไปผ่านมาด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ  ---->  ส่ายหน้า

และไม่ครั้งใดที่จะปิดบังความสัมพันธ์  ---->  ไม่มี
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 25-02-2015 16:52:47
มาอ่านอีกรอบ นึกอีกคำนึงได้ บ่วงบาศก์ เราไม่แน่ใจว่าต้องใช้ว่า บ่วงบาศเฉยๆรึเปล่า
เพราะปกติ บาศก์จะใช้กับทรงลูกบาศก์แบบนี้อะค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 21-03-2015 09:31:00
หวานน่ารักกันจริงๆ
ช่วงแรก ตอนอ่านความคิดเต็มเรื่องน้องตาม
ไม่ชอบเต็มเลย
แต่พออ่านถึงตอนว่าพ่อส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ ก็เลย
พอจะนึกออกมา ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ก็ยังดีที่กลับไปเป็นพี่น้องกันได้อีก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: chi0chi0 ที่ 22-03-2015 01:37:08
เคยอ่านไปช่วงก่อน เพิ่งมีโอกาสมาเม้นขอโทษด้วยนะคะ

เราชอบเรื่องเรียบๆเรื่อยๆ แต่ตัวละครมีพัฒนาการ เข้าใจความห่างของพี่น้องมากกก  ได้แต่ลุ้นให้เข้าใจกัน 5555  ยิ่งกว่าลุ้นพี่ปุ้น   พี่ปุ้นน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกก  ตอนพิเศษหวานนนนน

เรารักทัศนคติของครอบครัวจัง  เปิดกว้าง  รับฟังและเข้าใจ และที่แน่ๆเกลียดครอบครัวทหาร ชิห์

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีให้อ่านค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Chrysan ที่ 05-04-2015 20:36:09
คิดถึงลำปาง ดีนะที่เคยไปมาก่อนอ่านเรื่องนี้
อ่านไปนึกถาพตามไป บรรยากาศกาดกองต้าตอนกลางคืน
มันเหมือนเราอยู่ที่นั่นแล้วเฝ้ามองเหตุการณ์เลยอะ

ตัวละครอบอุ่น
สถานที่อบอุ่น
ขนาดตอนฤดูหนาว(ในเรื่อง)อ่านแล้วยังอุ่น  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 11-04-2015 13:47:24
อิ่มเอมเปรมฤทัยมากๆ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 21-04-2015 07:15:33
น่าร๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: M_April ที่ 03-05-2015 10:07:46
หวานละมุนละไมอยู่ในทุกตอน :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: pannuna ที่ 04-05-2015 01:26:46
เรื่องนี้ก็ดีไปอีก ชอบค่ะ
อ่านมาสองเรื่องเริ่มสงสัย คนแต่งเรียนศิลปะมาหรอคะ
เราชอบคาแรคเตอร์ตัวละครไม่เหมือนเรื่องอื่น ไม่เกลื่อนไม่ซ้ำ
เป็นเรื่องที่ไม่มีเอ็นซีแต่เรามีความรู้สึกว่าไม่ต้องมีเรื่องนี้ก็สนุกได้
เราชอบทั้งภาษาการแต่ง บางอย่างที่นึกไม่ถึงเราได้จากเรื่องนี้ค่ะ
ภาษาไม่เหมือนเรื่องทั่วไป บทบรรยายพรรณนาดีเว่อๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 12-05-2015 15:14:09
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องค่ะ

ไม่รู้จะเม้นอะไรแล้ว อ่านแล้วรู้สึกดี อิ่มเอมใจที่สุด

ขอบคุณคนเขียนอีกครั้งค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 14-05-2015 17:00:08
เรื่องนีหลงรักพระเอกมากค่ะ

เต็มโชคดีเป็นที่น่าอิจฉามากมาย  มีคนแบบพี่ปุ่นอีกไหมค่ะ555
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: llmup ที่ 18-05-2015 15:27:40
 :L2: แอร้ยยยยย เต็มเอ้ยแกกวนทีนมากเลย อยากหยิกแก้ม 555
พี่ปุ่นทำไมน่ารักงี้ แถวนั้นมีอีกไหม ขอสักคนยังทันไหมค่ะ
เกลียดนัง2พี่น้องนั้นมากเลย ผีเจาะปากรึไงกัน อยากทืบๆๆ ตบๆๆ  :z3:
คุณยานี้ตอนท้ายได้ใจมากค่า55555 วัยรุ่นซะด้วยนะคุณย่า แม้แรกๆจะอึดอัดก็ตาม สงสารเต็ม

เราว่าเรื่องนี้กว่าจะรักกันได้ ปาไปครึ่งเรื่องทีเดียว555
แต่เหมือนมีใจให้กันนิดๆอยู่แล้ว เลยสานต่อไม่ยาก
ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดีนะค่ะ ภาษาดีไม่วิบัติ ชอบมากอ่านแล้วไม่น่ารำคาญ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 31-05-2015 12:30:13
คุณย่าน่ารักที่สุดเลยค่ะ

คู่นี้รักกันได้ละมุนจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก ตอนพิเศษ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย 12-01-2558 หน้า 25
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 12-06-2015 19:27:10
อ่านจบแล้ว สนุกมากๆ มันอบอุ่นมากๆ
มีความรักหลายแบบเลย ทั้งครอบครัว พี่น้อง คนรัก

ชอบพี่ปุ่นอ่ะ ดูอบอุ่น

ชอบพี่เต็มกับน้องตาม อ่านแล้ว อยากมีน้องชายแบบตามเลย

ขอบคุณนักเขียนสำหรับเรื่องดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตสอบถามความเห็นค่ะ) 05-07-2558
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-07-2015 16:32:48
สวัสดีค่ะ ไม่เจอกันนานเลย วันนี้มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ แฟนคุณบุรุษไปรษณีย์ฯ ค่ะ

ตอนนี้ตั้งคำถามไว้ในเพจ ประเด็นคือคนอ่านอยากเห็นอะไรบ้างในเล่มบ้าง (#ที่ไม่ใช่ncหรือกำเนิดคู่ใหม่)

ด้วยความที่เรื่องนี้เราปล่อยทิ้งมานานมาก  พอมีความคิดว่าควรจะลงมือปรับแล้วก็เขียนตอนพิเศษสักที

เลยอยากจะรบกวนทุกท่านที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ว่ามีประเด็นไหนไหมคะที่ยังสงสัย อยากให้เขียนขยาย

อยากให้เพิ่มประเด็นไหน  อยากให้เอาใครมาขยายความหน่อย เช่น พี่น้องลูกทหาร แก๊งเพื่อนไปรษณีย์ ฯลฯ

แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณย่า อันนี้ตั้งใจจะเขียนอยู่แล้วค่ะ

ยอมรับว่าตอนท้าย ๆ เรื่อง เราเร่งสปีดในการเขียนมากเพราะใกล้สอบ บางอย่างอาจจะห้วน ๆ หั่น ๆ หรือตกหล่นประเด็นอะไรไป

จนสร้างความไม่เข้าใจ ยังไงรบกวนทุกคนด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกความเห็นและจะเก็บเป็นไอเดียในการเขียนต่อไปค่ะ

คุยกันในนี้อาจจะผิดกฎหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ หลังไมค์มาบอกได้นะคะ หรือจะเข้าไปในเพจก็ได้ค่ะ ตามแต่ทุกคนสะดวกเลย

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตสอบถามความเห็นค่ะ) 05-07-2558
เริ่มหัวข้อโดย: michiko_love ที่ 28-08-2015 22:29:07
สนุกน่ารัก ละมุนละไม

เป็นนิยายที่ให้ความสำคัญเรื่องครอบครัว พี่น้อง ได้อบอุ่นจริงๆ

เยี่ยมคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตสอบถามความเห็นค่ะ) 05-07-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 12-09-2015 08:23:48
อ่านเรื่องนี้แล้วชอบเลย แต่ยืดเยื้อไปหน่อยอ่ะ ที่สำคัญเลย เวลาอ่านชื่อสามพี่น้อง ปุน ปุ่น ปุ้น เนี่ย ต้องมานั่งไล่เสียงกันเลยทีเดียว  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตสอบถามความเห็นค่ะ) 05-07-2558
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 13-12-2015 11:11:07
เรื่องนี้ก็น่ารัก ตามมาจากตังจ้า  เต็มกับปุ่นคู่นี้ก็ละมุน ชอบค่ะ ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (ขออนุญาตสอบถามความเห็นค่ะ) 05-07-2558
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 10-01-2016 15:04:50
เข้ามาอ่านรอบที่ 2 แบบว่างจัด  :hao7: :hao7: :hao7:

คิดถึงพี่ปุ่น กะ น้องเต็ม น้องตาม
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 12-08-2016 22:16:17


สวัสดีค่ะ แวะมาบอกว่ารวมเล่มแล้ว

รายละเอียดการขายสอบถามที่เพจ Hermit Books ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 14-08-2016 14:06:37
อ่านรวดเดียวจบงานดีมากๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 17-08-2016 11:54:22
เรนชอบเรื่องพี่น้องเต็มตามมากที่สุดในเรื่องค่ะ น่ารักดี  :กอด1:

เรนเชยเหมือนพี่บัด/บัสเลย เพิ่งจะรู้ว่าไม่มีโทรเลขแล้ว ตอนอ่านร้อง "เฮ้ย จริงดิ" ดังมาก 555

แอบสงสัยบ้าง เรื่องเพื่อนที่แอบชอบเต็ม ทำไมถึงไม่ยอมบอกไปหรือทำอะไรสักอย่าง, เรื่องที่พ่อของเต็มรู้ว่าลูกมีปัญหาตอนอยู่โรงเรียนประจำ ทำไมไม่รับกลับมา, เรื่องสัญญาทำงาน 3 ปี ครบแล้วพี่ปุ่นจะทำยังไงต่อ

ขอให้หนังสือขายดีๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-08-2016 22:18:07
ขอตอบข้อสงสัยข้างบนนะคะ

1. ทำไมเก้ไม่ทำอะไรสักอย่างให้เต็มรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ตอบในมุมคนที่เคยแอบรู้สึกดี ๆ กับเพื่อนสนิทนะคะ เราคิดว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะมีเรื่องให้ต้องขุ่นข้องหมองใจ วันหนึ่งเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีก ส่วนความสัมพันธ์ในแบบคนรัก ถ้าวันหนึ่งเลิกรักกัน บางทีแค่คนรู้จักยังเป็นไม่ได้เลย อย่างที่เก้เคยพูดกับดุ่ยว่า เรื่องบางเรื่องก็ควรเก็บไว้รู้อยู่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องบอกใคร ถ้าหากบอกไปแล้วเขารู้สึกแบบเดียวกับเราก็นับว่าโชคดี แต่ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น สู้เก็บเอาไว้แล้วยังคงเป็นเพื่อนกันต่อไปดีกว่าค่ะ เราเป็นคนไม่ชอบเสี่ยงค่ะ 555 เราว่าเก้คือตัวแทนของคนแอบรักที่ไม่ได้ทุกข์ทรมานใจเพราะการไม่บอกรัก แต่เขาแสดงความรักในแบบที่เพื่อนทำต่อเพื่อนและเขาก็มีความสุขกับความสัมพันธ์แบบนั้น
2. ทำไมพ่อเลี้ยงตรัยไม่พาเต็มกลับบ้าน เราไม่ได้อธิบายละเอียด แต่ตอนหนึ่งที่พ่อเลี้ยงตรัยพูดกับพ่อของปุ่น เกี่ยวกับลูกชายหัวดื้อที่บังคับหรือสั่งอะไรไม่ได้ เราเชื่อว่าคนอย่างเต็ม เมื่อคิดว่าพ่อไม่รักหรือไม่อยากให้อยู่บ้านด้วยจนต้องส่งไปโรงเรียนประจำ วันหนึ่งจะมาชวนให้กลับ ต้องไม่กลับแน่ ๆ ค่ะ และคนอย่างพ่อเลี้ยงตรัยก็คงอยากจะให้ลูกเข้มแข็ง เพื่ออยู่ได้ด้วยตัวเองในวันที่ไม่มีพ่อกับแม่
3. ปุ่นทำยังไงเมื่อครบสัญญาสามปี อันนี้เราเฉลยไว้ในตอนพิเศษในหนังสือค่ะ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะไม่ยากเกินการคาดเดาของคนอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 24-08-2016 00:36:00
หวานละมุนละไม คนแต่งเป็นคนลำปางรึเปล่าคะเนี่ย อิอิ ชอบค่ะ ตอนแรกเต็มนิสัยไม่น่ารักเลยที่ทำกับตามแบบนั้น แต่สุดท้ายก็แฮปปี้เข้าใจกันดีทั้งพี่และน้อง ขอบคุณมากนะคะสำหรับเรื่องราวน่ารัก ๆ กลิ่นอาย slowlife แบบวิถีชาวเหนือ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 14-09-2016 18:39:58
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 17-09-2016 14:01:39
งืออออออ ตอนนี้อยากรู้แค่ว่าพี่ปุ่นทำยังไงหลังครบสัญญา3ปี
ไม่ใช่ไรค่ะ เค้าสั่งหนังสือไม่ทัน :ling3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 19-09-2016 09:44:02
ประกาศ ประกาศ   :hao5:

เพสบุค ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า อันตรธานหาย  :mew2:

.... นายมาร์ค อุ้มคนเขียนไปไหน ...ขอ พื้นที่คืนด่วนๆๆๆ  แฟนๆๆ คลับ คิดถึงมากกก   :mew6:




งืออออออ ตอนนี้อยากรู้แค่ว่าพี่ปุ่นทำยังไงหลังครบสัญญา3ปี
ไม่ใช่ไรค่ะ เค้าสั่งหนังสือไม่ทัน :ling3:


แข็งแรงมาแน่นอน

รอ พบตัวเป็นๆๆ ได้ที่ สัปดาห์หนังสือเลยๆๆๆ  :heaven
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 29-09-2016 15:21:39
น่ารักมาก อบอุ่นมากค่ะะะะะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 07-10-2016 06:46:31
ขอบคุณเรืาองราวดีๆค่ะ

ภาษาที่เขียนสละสลวยมากเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: nalavanh ที่ 30-10-2016 20:05:31
ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายอบอุ่นแบบนี้มาให้อ่าน  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: MonKeez ที่ 05-11-2016 23:58:06
อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจเหลือเกินค่ะ
: )
อยากไปลำปาง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 03-02-2017 20:22:28
น่ารักมากเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป
มีความสุขมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 09-10-2017 23:56:25
 :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ส่งข่าวเรื่องรวมเล่มค่ะ 12-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 20-10-2017 00:09:31
จบแล้ว....อ่านสนุกมากครับ มีความน่ารักมากมาย ชอบช่วงที่พระเอกไปสั่งข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมที่ร้านช่วงแรกๆ มีการสู้รบปรมมือกับพ่อครัว อ่านแล้วยิ้มมาก มีความสุข ขอบคุณครับ....
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-02-2018 11:36:37
ตอนพิเศษ สัญญา


หลานชายเจ้าของเกสต์เฮาส์ละจากงานในครัวเมื่อเสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน ทันทีที่เดินพ้นชายคาก็พบพนักงานไปรษณีย์ยืนรออยู่ เขาสวมกางเกงสแล็คสีดำกับเสื้อยืดทีเชิตสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีดำแดง และเมื่อเขาเปิดหน้าหมวกนิรภัยเต็มฟ้าก็ได้เห็นรอยยิ้มที่แทบทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการทำงานไปเลย


“รับจดหมายด้วยครับ” หนุ่มไปรษณีย์กล่าวพร้อมกับยื่นซองเอกสารจำนวนหนึ่งให้


“ขอบคุณครับ” พูดจบหลานชายเจ้าของเกสต์เฮาส์ก็รับมาถือไว้ ก้มลงตรวจสอบชื่อที่หน้าซองแต่ละซอง “ทำไมวันนี้มาส่งเองล่ะ”


“ซ้งลาน่ะ ต้องพาแม่ไปหาหมอ” ศิธาพัฒน์ตอบ นัยน์ตาคมยังคงจับจ้องมองข้อมือขาวที่คล้องด้วยกำไลเงินซึ่งย่าของตนเป็นผู้มอบให้อีกฝ่าย


“เที่ยงพอดี เข้าบ้านก่อนไหม เดี๋ยวเต็มทำอะไรให้กิน”


“นึกว่าจะไม่ชวนเสียแล้ว” คนอายุมากกว่าว่าพลางถอดหมวกนิรภัยวางในตะกร้าหน้ารถ


“พี่ปุ่นอยากกินอะไร” เต็มฟ้าถามพร้อมกับเอื้อมมือซับเหงื่อเม็ดโตเหนือแนวคิ้วและใช้ปลายนิ้วเกี่ยวตวัดปอยผมที่ตกลงมาระลูกตาให้


“เต็มทำอะไรให้กินพี่ก็กินทั้งนั้น”


“ถ้าอย่างนั้น...ข้าวผัดหมูใส่หอมใหญ่เยอะ ๆ ดีไหม”


“พี่ปฏิเสธได้ด้วยเหรอ” คนฟังทำหน้ายู่ขณะรั้งมืออีกฝ่ายมากุมไว้ “ถ้าเต็มจะใจร้ายทำให้กินพี่ก็จะกิน”


“โห...พูดซะน่าสงสารเลย”


“ถ้าสงสารก็อย่าใจร้ายกับพี่นัก”


“ปล่อยมือเต็มได้แล้ว” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วเขิน รอกระทั่งอีกฝ่ายคลายมือออกจึงเดินถือซองเอกสารต่าง ๆ ไปวางไว้ให้ชลธรที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็หายกลับเข้าไปในครัว 


“พี่ก็นึกว่าใครมากดแตร ที่แท้ก็ปุ่นนี่เอง” หญิงสาวที่เพิ่งยกอาหารมาวางให้แขกเสร็จหันมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเคย


“ผมเอาจดหมายมาส่งแทนซ้งน่ะครับ” ศิธาพัฒน์บอก “แล้วนี่น้าเดือนไม่อยู่เหรอครับ”


“แม่ออกไปซื้อของจ้ะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง กว่าจะแวะคุยกับเพื่อนรายทางจนครบ บ่าย ๆ โน่นแหละถึงจะกลับ ตามสบายนะจ๊ะปุ่น” ชลธรทิ้งท้ายเมื่อแขกที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในยกมือเรียกให้คิดเงิน


ศิธาพัฒน์เดินไปนั่งลงที่โต๊ะประจำซึ่งอยู่ริมระเบียง ทอดตามองระดับน้ำในแม่น้ำวังที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น คงเป็นเพราะฝนที่ตกติดต่อกันหลายวันทำให้ทางการต้องระบายน้ำออกจากเขื่อน ฟังเสียงตะหลิวกระทบกับผิวกระทะดังอยู่ครู่หนึ่งพลันจมูกก็ได้กลิ่นหอม ในที่สุดอาหารจานโปรดก็ถูกยกมาเสิร์ฟ


“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่มาแล้วเจ้า”


ศิธาพัฒน์กล่าวขอบคุณเบา ๆ นึกแปลกใจที่คนที่ยกอาหารมาให้ไม่ใช่เต็มฟ้าแต่กลับกลายเป็นแม่ครัวใหญ่ประจำแสงจันทร์เกสต์เฮ้าส์


“จานนี้ฝีมือคุณเต็มเจ้า”


คนฟังชะเง้อมองไปยังห้องครัว ไม่ทันได้ถามหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน


“เดี๋ยวคุณเต็มออกมาเจ้า ไม่หนีไปไหนหรอกเจ้า”


ศิธาพัฒน์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อไม่อาจซ่อนความเป็นกังวลให้พ้นสายตาผู้ใหญ่ แต่จะว่าไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเต็มฟ้าก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนใกล้ชิดไปเสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ จนกระทั่งอิ่มก็ยังไม่มีว่าอีกคนจะโผล่หน้ามาให้เห็นจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อหย่อนเงินใส่ทิปบ็อกซ์ที่ทำจากเซมิครูปสุนัขตัวกลมฝีมือตามตะวัน เพราะหากเอาให้ชลธรเธอก็คงปฏิเสธเหมือนเช่นเคย


“เย็นนี้เต็มไม่ได้เอาข้าวไปส่งให้พี่ปุ่นที่บ้านนะ” เต็มฟ้ากล่าวเมื่อเดินมาหยุดพร้อมกับส่งปิ่นโตเถาเล็กให้


“ทำไมล่ะ” แม้จะรับแล้วแต่ศิธาพัฒน์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ


“เต็มต้องกลับไปที่โรงงานน่ะ”


“แล้วจะไปเมื่อไร”


“รอส่งพี่ปุ่นกลับก่อนแล้วค่อยไป”


ศิธาพัฒน์ยิ้ม “งานเยอะเหรอ”


“ลูกค้าขอเพิ่มจำนวน แถมจ่ายเงินมาแล้วด้วย”


“ก็ดีแล้วนี่นา”


“มันก็ดีอยู่หรอก ถ้าไม่มาขอเพิ่มหลังจากเอาไปแล้ว แถมให้เงินมาแล้วด้วย มัดมือชกกันชัด ๆ คงถือว่ารู้จักกับพ่อ เต็มยังมีของเจ้าอื่นที่เข้าคิวอยู่ตั้งเยอะ โรงงานเราก็ไม่ใช่โรงงานใหญ่”


“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปรับตามแล้วจะไปส่งที่บ้านให้ จะได้พาเจ้าแข็งแรงไปวิ่งเล่นด้วย”


เต็มฟ้าพยักหน้ายิ้ม ๆ ยอมรับว่าสายตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้คนแข็งกระด้างเช่นเขาต้องพ่ายแพ้ทุกครั้งที่ได้สบกัน


“ไปทำงานได้แล้ว เหลือจดหมายอีกตั้งเยอะ กว่าจะส่งครบเดี๋ยวก็ค่ำกันพอดี” พูดพลางเสมองเลยไปยังกระเป๋าหนังท้ายรถที่เต็มไปด้วยกล่องพัสดุและซองจดหมาย


“ถ้าเขียนชื่อที่อยู่ของผู้รับถูกต้องน่ะ เดี๋ยวเดียวก็ส่งจนครบแล้ว แต่ถ้าไม่เขียนบ้านเลขที่ แถมเขียนแค่ชื่อเล่นละก็มีหวังได้เดินทั้งวันแน่ ๆ” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มหัวเราะ ค่อย ๆ สืบเท้าใกล้เข้ามาอีกนิด ดวงตาจับจ้องใบหน้าของคนรัก


“เมื่อไรจะเลิกล้อเรื่องนี้สักที”


“พี่ไม่ได้ล้อ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้พี่คิดว่ามันเป็นความโชคดีมาก ๆ ต่างหาก”


“โชคดียังไง ต้องเดินตากแดดตามหาใครก็ไม่รู้”


“โชคดีที่สุดท้ายส่งโปสการ์ดใบนั้นก็ถึงมือคนรับ โชคดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องชายที่รอว่าเมื่อไรพี่ชายจะตอบจดหมายสักที ที่สำคัญ...” คนตัวสูงขยับเข้าใกล้พร้อมกับโน้มหน้ากระซิบ “ได้พี่ชายมาเป็นแฟน”


พูดจบศิธาพัฒน์ก็ขโมยหอมเข้าฟอดใหญ่ ส่วนเต็มฟ้าที่ไม่ทันตั้งตัวก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบแก้มของตนเองที่ขณะนี้ร้อนฉ่าไปหมด


“เดี๋ยวใครมาเห็น”


“เห็นก็เห็นสิ แต่พี่ว่าป่านนี้เขาคงชินแล้วละ” ว่าแล้วก็เตรียมจะทำแบบเมื่อครู่กับแก้มอีกข้าง แต่ก็เพราะเต็มฟ้าใช้มือที่เหลือดันแผงอกเอาไว้จึงต้องหยุด


“พ...พี่ปุ่น พอแล้ว”


“ยังไม่หายเหนื่อยเลย ขอพลังหน่อยไม่ได้เหรอ”


คนอายุน้อยกว่าได้แต่ส่ายหน้า สบสายตาเว้าวอนด้วยความเอ็นดู “ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวเต็มก็จะไปเหมือนกัน”


“ถ้าอย่างนั้น...ช่วยเติมพลังให้พี่หน่อยได้ไหม”


เต็มฟ้าโคลงหัวน้อย ๆ มองแก้มพองลมที่อีกฝ่ายยื่นเข้ามารอรับพลัง


“นะ”


“ไม่”


“นะ ๆ” ศิธาพัฒน์ยังคงรบเร้า


“ไม่เอา”


“นิดเดียวเอง”


เต็มฟ้าส่ายหน้ารัว เลื่อนมือทั้งสองขึ้นประคองสองแก้มของคนอายุมากกว่า ยืนกรานเสียงแข็ง “เต็มบอกว่าไม่ไง”


“ไม่ก็ไม่” ศิธาพัฒน์ทำหน้าผากย่นจำใจถอยห่างออกมาแล้วเลื่อนมือขึ้นวางบนศีรษะของคนตรงหน้าพร้อมกับโยกเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปแล้วนะ”


“อือ”


“ตอนเย็นเจอกัน”


“อื้อ” เต็มฟ้ารับคำ กำลังจะยกมือขึ้นไล่ อีกฝ่ายก็ก้าวเข้าประชิดตัวเสียแล้ว


มือใหญ่เลื่อนลงยึดที่ต้นคอได้ก็โน้มหน้าเข้าหาประกบจูบบนกลีบปากบาง ไม่ยอมให้ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่อว่า เพียงชั่วพริบตาศิธาพัฒน์ก็ถอนริมฝีปากออก


“พี่ปุ่นทำอะไรเนี่ย” เต็มฟ้าบ่นขมุบขมิบ


“จูบไง หรือถ้าเต็มยังไม่แน่ใจ พี่ทำให้ดูอีกครั้งก็ได้”


เพื่อไม่ให้ทำอย่างที่ปากว่า เต็มฟ้าจึงยกมือขึ้นห้าม “พอแล้ว พี่ปุ่นไปทำงานได้แล้ว”
คนอายุมากกว่าคลี่ยิ้ม แม้ใจจะไม่อยากห่างไปไหน แต่สมองกลับสั่งร่างกายให้ถอยออกมา ด้วยภาระหน้าที่ที่รออยู่จึงทำให้จำต้องไปแล้วจริง ๆ

...


จานโลหะสำหรับขึ้นรูปดินเพิ่งหยุดหมุนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหลังจากทำงานอย่างต่อเนื่องมาตลอดบ่าย เต็มฟ้าคว้าเอ็นเส้นเล็ก ๆ ม้วนกับปลายนิ้ว ขึงให้ตึงเพื่อตัดฐานแจกันทรงสูงให้หลุดออก จากนั้นจึงถือไปวางลงบนโต๊ะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ชายหนุ่มกลับมานั่งลงที่เดิมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่กับไรผมแล้วหยิบดินก้อนใหม่ขึ้นวางบนจานโลหะ กำลังจะกดปุ่มเริ่มต้นการทำงานพลันเสียงเห่าของเจ้าสุนัขพันธุ์ผสมบางแก้วก็ทำให้ต้องหยุด เอี้ยวตัวหมุนเก้าอี้มองหาต้นเสียง ไม่นานเจ้าแข็งแรงวิ่งผ่านประตูเข้ามา มันกระดิกหางแบบที่ศิธาพัฒน์มักพูดบ่อย ๆ ว่า “กระดิกจนหางจะหลุด” พร้อมกับกระโจนใส่ผู้เป็นเจ้าของด้วยความคิดถึง


“คิดถึงกันเหรอนังหนู” เต็มฟ้าว่าพลางลูบหัวเจ้าหมาขนยาวที่ตอนนี้ตัวโตจนเขาแทบจะทานแรงของมันไม่ไหว


“ขนาดคนไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังคิดถึง แล้วนี่เจ้าแข็งแรงมันไม่ได้เจอเต็มตั้งนานก็ต้องคิดถึงสิ เนอะแข็งแรงเนอะ” ศิธาพัฒน์กล่าวเมื่อเดินมาถึง


“หลายวันที่ไหนเนอะ แค่วันเดียวเอง” ว่าแล้วก็กอดเจ้าสุนัขที่ยังคงแสดงท่าทางดีใจไม่หยุดเอาไว้แน่น 


“พี่ไปส่งตามที่บ้าน คุณลุงตรัยบอกว่าเต็มยังไงกลับ เลยออกมาตาม”


“กี่โมงแล้ว”


ศิธาพัฒน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะตอบ “จะทุ่มแล้ว นี่เลยเวลาเลิกงานมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมยังไม่กลับอีก คนงานก็กลับกันหมดแล้ว”


“งานยังไม่เสร็จนี่นา วันนี้คนงานก็ทำงานล่วงเวลากัน จะให้เต็มทิ้งไปได้ยังไง”


“แต่นี่ถึงเวลาพักแล้ว ต้องกลับไปกินข้าวไปอยู่กับคนที่บ้านสิ นี่พ่อกับน้องเขารอกินข้าวจนรอไม่ไหวแล้ว”


“พูดมาก กลับก็ได้” พูดจบก็ปล่อยเจ้าแข็งแรงลงแล้วเดินไปล้างไม้ล้างมือ


ศิธาพัฒน์วางปิ่นโตเถาเล็กลง ผิวสัมผัสยังอุ่น ๆ เพราะเขาให้พี่แจ่มช่วยอุ่นอาหารที่เต็มฟ้าทำให้ก่อนจะมาที่โรงงานเซรามิคท้ายไร่ ตาคมจับจ้องแผ่นหลังกว้างจากนั้นจึงสาวเท้าเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูด แขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวกอดคนตรงหน้าเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาอ่อนโยนกดต่ำลงมองสายน้ำที่แทรกผ่านมือขาว   


“อยากให้เต็มกลับบ้านจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย”


“อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก่อน แค่นาทีเดียวก็ได้”


คนฟังชะงัก หมุนปิดก๊อกน้ำแล้วกล่าว “ทำไมน้อยจัง”


“เต็มจะได้กลับไปอยู่กับพ่อกับน้องไง คนที่บ้านเขาก็ต้องการเต็มนะ รู้หรือเปล่า”


“ร...รู้” ลูกชายพ่อเลี้ยงตอบไม่เต็มเสียง


“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวแล้วกลับบ้านกัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตามไปนั่ง


“พี่ปุ่นยังไม่ได้กินอีกเหรอ” เต็มฟ้าถามขึ้นเมื่อเห็นปิ่นโตเถาเดิมที่เขาเพื่อให้อีกฝ่ายไปเมื่อตอนเที่ยง


“ยัง ตั้งใจจะมากินที่นี่ ตอนที่แวะเข้าไปที่บ้านเห็นพี่แจ่มกำลังตั้งโต๊ะอาหารก็เลยให้พี่แจ่มช่วยอุ่นกับข้าวให้ พี่บอกคุณลุงตรัยไว้แล้วว่าจะมากินกับเต็ม ตอนแรกตามจะขอมาด้วยแต่คิดอยู่แล้วว่าเต็มต้องยังทำงานอยู่แน่ ๆ ก็เลยบอกให้น้องอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อ”


“จะหิ้วท้องมาทำไม”


ศิธาพัฒน์ทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งลงเปิดปินโตเถาเล็กออก เขาไม่ตอบคำถามนั้นทั้งที่รู้ดีว่าเหตุผลคืออะไร


“พี่ปุ่นกินเลย เต็มกินกับพวกคนงานไปแล้ว เดี๋ยวเต็มไปหยิบน้ำให้” ว่าแล้วลูกชายพ่อเลี้ยงก็ไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำแล้วเดินกลับมากระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาบนโต๊ะ ตามองคนที่เริ่มตักข้าวมือก็เปิดขวดน้ำไปด้วย “อร่อยไหม”


“อร่อย”


“กินคนเดียวไม่อร่อยละสิ” กล่าวพร้อมกับวางขวดน้ำลงใกล้มือ


“ก็รู้เหมือนกันนี่ ถ้ารู้...ครั้งต่อไปกลับมาบ้านก็กลับไปกินข้าวกับพ่อที่บ้านด้วยนะ”


“รู้น่า” เต็มฟ้ากล่าวตัดรำคาญ


คนอายุมากกว่าส่ายหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย นอกจากปากจะไม่ตรงกับใจแล้วยังแสดงออกต่างจากที่ใจคิด


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ได้เวลากลับ เต็มฟ้าเดินตรวจตรารอบ ๆ โรงงานเซรามิคก่อนจะเดินมาหาศิธาพัฒน์ที่ยืนใส่กุญแจประตูอยู่ที่ด้านหน้า เสียงเตือนข้อความรับเข้าทำให้ชายหนุ่มต้องดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า


“เก้กับดุ่ยส่งรูปมาให้ดู”


ศิธาพัฒน์พยักหน้าพลางนึกถึงสองหนุ่มที่เพิ่งอำลากันที่สถานีรถไฟนครลำปางเมื่อเช้าวันก่อน “ป่านนี้ไปเที่ยวถึงไหนกันแล้ว”


“อยู่เชียงใหม่น่ะ เพิ่งเจอกับพี่ ๆ ที่ทำงานที่เขานั่งเครื่องบินมา เห็นว่าพรุ่งนี้จะไปแม่ฮ่องสอนกัน”


“น่าเสียดายนะที่เต็มไม่ได้ไปด้วย มัวแต่ทำงาน ระวังเถอะเพื่อน ๆ เขาจะหาว่าทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง”


“บ่นอีกแล้ว ก็งานมันเร่งจริง ๆ นี่นา” เต็มฟ้าว่าพลางใช้ปลายนิ้วเลื่อนภาพบนหน้าจอสัมผัส “ดูรูปดีกว่า สวยไหม”


“ที่ไหนน่ะ”


“สะพานทาชมภู เมื่อวานสองคนนั้นไปลงที่สถานีแม่ทา”


“สวยจัง เหมือนสะพานขาวที่บ้านเราเลย” ศิธาพัฒน์ว่าพลางจ้องมองภาพสะพานโค้งสีขาวที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจี


เต็มฟ้าเหล่มองคนที่ถือโอกาสกอดตนเองจากด้านหลังพร้อมกับทิ้งน้ำหนักวางคางลงบนบ่าของตน “บ้านเต็มคนเดียวต่างหาก”


“ใจร้าย” พูดพร้อมกับแกล้งใช้ปลายจมูกถูที่แก้มของคนในอ้อมแขนแล้วกระซิบ “ต้องทำยังไงพี่ถึงจะได้เป็นเขยลำปาง”


“ก็ต้องไปขอลูกสาวบ้านไหนสักบ้านแต่งงาน”


“พี่หลงรักลูกชายบ้านนี้ไปแล้วด้วยสิ ถ้าอย่างนั้นขอลูกชายบ้านนี้ได้ไหม พี่อยากอยู่บ้านนี้”


“ไปถามพ่อโน่น” เต็มฟ้าทำเสียงแข็งมุ่นคิ้วเขิน ๆ ก่อนจะขยับจนหลุดจากวงแขน


“ถ้าอย่างนั้นรีบกลับบ้านกัน พี่จะไปถามคุณลุงตรัย” ศิธาพัฒน์บอกก่อนจะหันไปเรียกเจ้าหมาน้อยที่นอนพิงล้อรถจักรยานยนต์คันเก่ารอเวลาที่เจ้านายทั้งสองจะพากันกลับบ้าน “แข็งแรงขึ้นรถ”


เจ้าสุนัขตัวอ้วนรีบผุดลุกขึ้นกระดิกหางเดินวนไปรอบ ๆ และเมื่อศิธาพัฒน์ขึ้นนั่งประจำที่มันก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้า เพราะตัวที่ใหญ่โตทำให้มันไม่สามารถนั่งชูคอในตะกร้าได้อีกต่อไป


เต็มฟ้ารู้ดีว่าสิ่งที่ศิธาพัฒน์พูดจบเมื่อครู่เพียงต้องการจะล้อเขาเล่น เพราะทุกวันนี้อีกฝ่ายก็กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านไปแล้ว แต่สิ่งที่เป็นจริงคือภาพปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้รู้ว่าช่วงเวลาของการที่ต้องแยกย้ายกันไปใกล้เข้ามาทุกที 


“เต็มนำไปเลย เดี๋ยวพี่ขี่มอเตอร์ไซค์ตาม” หนุ่มไปรษณีย์หันมาบอกคนที่ยังคงยืนนิ่ง


คนอายุน้อยกว่าส่ายหัว “เต็มจะไปกับพี่ปุ่น” พูดจบลูกชายพ่อเลี้ยงก็กระโดดขึ้นนั่งซ้อนหลัง


“เกาะแน่น ๆ ด้วยล่ะ ระวังตก” ศิธาพัฒน์กำชับพลางรั้งมือขาวให้จับชายเสื้อของตน แต่แทนที่เต็มฟ้าจะทำตาม เขากลับกอดเอวของอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมกับแนบแก้มลงกับแผ่นหลังกว้าง “พี่ปุ่นก็ขี่ไปช้า ๆ สิ เต็มจะได้ไม่ตก”


“อยากอยู่กับพี่นาน ๆ เหรอ” เมื่ออีกฝ่ายตอบรับโดยการพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นพี่พาไปวนที่พระธาตุลำปางหลวงก่อนดีไหมแล้วค่อยเข้าบ้าน”


“ตามใจพี่ปุ่นเลย”


เมื่อได้ฟังดังนั้น ศิธาพัฒน์จึงกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะออกรถ หากมองจากที่ไกล ๆ จะเห็นแสงไฟค่อย ๆ เคลื่อนไปตามเส้นทางคดเคี้ยว รถจักรยานยนต์คลาสิกเคลื่อนที่อย่างช้าที่สุดเพราะเจ้าของต้องการยืดเวลาที่จะได้กุมมือกันเช่นนี้ออกไปให้นานที่สุด


...

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-02-2018 11:39:42
(ต่อค่ะ)

ศิธาพัฒน์มองเด็กชายวัยสิบสี่ปีกับเจ้าสุนัขเพศเมียที่แย่งกันโผล่หน้าออกนอกหน้าต่างผ่านกระจกมองหลังยามเมื่อภาพของสะพานโค้งสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั้งคนและหมาดูตื่นเต้นเป็นพิเศษพอ ๆ กับตัวเขาในตอนนี้ที่เพิ่งมีโอกาสมาที่นี่เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มดึงสายตากลับมายังเสี้ยวหน้าของคนนั่งข้าง ๆ ที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนที่มือใหญ่จะสัมผัสกับกับท่อนแขนเย็นเฉียบเรียกให้อีกฝ่ายได้เห็นภาพน่ารัก


เต็มฟ้ายิ้มน้อย ๆ เมื่อเหลียวไปมองด้านหลังกระนั้นก็ยังอดปรามน้องไม่ได้ “ตาม อย่ายื่นหน้าออกไปเยอะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เต็ม แถวนี้ไม่มีรถเลยสักคัน” ว่าแล้วก็ใช้มือเกาะพนักรั้งตัวเองขึ้นกระซิบคนขับ “ตามอยากไปถึงที่สะพานนั่นเร็ว ๆ จัง พี่ปุ่นขับเร็ว ๆ หน่อยได้ไหมฮะ”


“อย่าใจร้อนนักสิวัยรุ่น” ศิธาพัฒน์หัวเราะ


ทันทีที่รถเก๋งสีดำแล่นมาจอดที่ริมแม่น้ำ ตามตะวันก็รีบเปิดประตูวิ่งไปที่ระเบียงไม้ ดวงตาจับจ้องสะพานโค้งสียาวที่ทอดยาวเชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกันเพื่อให้รถไฟสัญจรได้สะดวก กล้องโพราลอยด์ที่คล้องอยู่กับคอถูกยกขึ้นบันทึกภาพ และเมื่อเจ้าแข็งแรงมายืนร้องหงิง ๆ อยู่ใกล้ ๆ เขาก็ย่อตัวลงลูบหัวมันก่อนจะพากันวิ่งเล่นไปบนผืนหญ้าสีเขียวสด ปล่อยให้พี่ชายทั้งสองเดินจูงมือกันขึ้นไปบนเนินซึ่งพาดทับด้วยรางรถไฟ ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง อีกไม่นานความมืดจะโรยตัวบดบังของสะพานแห่งนี้ แต่เมื่อถึงเช้าวันใหม่สะพานสีขาวจะกลับมาอวดความงามให้ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่เดินทางผ่านไปมาอีกครั้ง 


เต็มฟ้ามองเจ้าของร่างสูงที่ยื่นมือให้เกาะขณะที่เขาพยายามทรงตัวเดินบนรางโลหะ อดถามสิ่งที่อยากรู้ไม่ได้ “พี่ปุ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ตอนไหน”


“อืม...ก็คงเป็นตอนที่ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำแล้วไปสมัครสอบเป็นนักเรียนไปรษณีย์นั่นละมั้ง มันเหมือนเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ แล้วก็ต้องรับผิดชอบในผลที่ตามมา เต็มถามทำไมเหรอ”


คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ตอบ ขายาวก้าวไปเรื่อย ๆ ในขณะที่สองมือยังไม่คลายจากกัน มีบ้างที่เกือบจะหล่นลงจากราง แต่ศิธาพัฒน์ก็ช่วยประคองให้เดินต่อได้ทุกครั้ง


หนุ่มไปรษณีย์จ้องใบหน้าเรียบนิ่งของคนรักก่อนจะรั้งให้หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้น “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังได้นะ” 
แม้คำตอบจะเป็นเพียงการเงียบ แต่ศิธาพัฒน์ก็พอจะมองเห็นคำตอบอยู่บนใบหน้าเรียบนิ่งนั้น


“ลงไปข้างล่างกันเถอะ” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้น


ดังนั้นสองคนจึงเดินลงจากสะพานแล้วพากันไปนั่งยังม้าหินตัวยาวที่ริมแม่น้ำ


“เป็นอะไรไป ไหนบอกให้พี่ซิ”


เต็มฟ้าไม่ตอบแต่กลับเอนกายลงนอนหนุนตักแล้วดึงมืออีกฝ่ายมาวางบนศีรษะ “ลูบหัวเต็มหน่อย”


ศิธาพัฒน์ยิ้มพลางทอดตามองเปลือกตาที่ค่อย ๆ ปิดลง สัมผัสมือลงบนเส้นผมสีเข้มอย่างอ่อนโยน “บอกให้พี่ได้ไหมว่าเต็มกำลังรู้สึกยังไง หรือคิดอะไร”


“เหนื่อย” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่หลุดออกจากปาก


“ถ้าอย่างนั้นวันหลังก็ให้คนงานเอางานเข้าเตาให้สิ เล่นทำเองหมดทุกขั้นตอนแบบนี้ก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา”


“ไม่ใช่เรื่องนั้น เต็มไม่ได้เหนื่อยเพราะทำงาน แต่เต็มเหนื่อยที่ต้องพยายามเป็นผู้ใหญ่” คนพูดพรูลมหายใจ “ไม่รู้ว่าแม่จะภูมิใจในสิ่งที่เต็มกำลังทำอยู่ไหม ส่วนที่คิดว่าจะแบ่งเบาภาระของพ่อด้วยการดูแลน้อง เต็มก็ไม่รู้ว่าเต็มทำมันได้ดีแล้วหรือยัง บางครั้งก็เป็นอิสระจากเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ไม่อยากทำนะ แต่ไม่อยากคิดหาคำตอบอีกแล้ว อยากกลับไปเป็นเด็ก นอนหนุนตักแม่ หลับตาฟังนิทานที่พ่อเล่า”


“ถ้าเหนื่อยก็นอนนะ” มือใหญ่ยังคงลูบเบา ๆ บนศีรษะอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ “พี่เล่านิทานให้ฟังเอาไหม”


ได้ยินดังนั้นเต็มฟ้าจึงเปิดเปลือกตาขึ้น “ไม่เอากระต่ายกับเต่านะ พ่อเล่าให้ฟังจนเบื่อแล้ว”


คนอายุมากกว่าคลี่ยิ้ม “ไมใช่หรอก มันเป็นเรื่องของนกพิราบสีขาวน่ะ” ศิธาพัฒน์บอกพลางเสยผมของอีกฝ่ายขึ้น “หลับตานะ แล้วพี่ปุ่นจะเล่าให้ฟัง”


เต็มฟ้าพยักหน้า ทำตามอย่างว่าง่าย


“ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปเป้นทหารที่ชายแดน เขาก็เลยเอานกพิราบที่เลี้ยงไปด้วย เวลาผ่านไปหลายเดือน ชายหนุ่มรู้สึกคิดถึงคนรักมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะหนทางนั้นยากลำบากและเกินเกินกว่าที่ความคิดถึงจะเดินทางไปถึงคนที่ปลายทาง เจ้านกพิราบจึงรับอาสานำจดหมายไปส่งให้ ตอนแรกเขาก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้สักเท่าไร แต่เพราะความคิดถึงเขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายใส่กระดาษแผ่นเล็กใส่ปลอกที่ติดอยู่กับขาของเจ้านก ปล่อยมันบินไปพร้อมกับภาวนาให้มันเดินทางปลอดภัย นำจดหมายแผ่นน้อยที่อัดแน่นด้วยความรักไปให้ถึงมือหญิงสาวผู้เป็นที่รักให้จงได้ เจ้านกพิราบสีเขาบินไปกลับแบบนี้อยู่หลายปี...” ตาคมหยุดมองเด็กชายตัวเล็กและเจ้าสุนัขตัวอ้วนกลมที่กำลังพยายามหาทางขึ้นไปบนเนินอย่างทุลักทุเล แต่เมื่อทั้งคู่สามารถขึ้นไปวิ่งเล่นบนรางรถไฟได้ คนที่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ ก็พลอยยิ้มไปด้วย


“...จนบางทีมันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร มันควรจะได้บินอย่างอิสระไปในที่ที่อยากไป และเพราะหนทางแสนไกล ต้องพบกับภัยต่าง ๆ มากมาย บางครั้งมันจึงคิดอยากมีปีกที่แข็งแกร่งเหมือนนกอินทรีย์และบินได้รวดเร็วแบบเหยี่ยว แต่สุดท้ายเงาสะท้อนบนผิวน้ำก็ทำให้รู้ว่ามันคือนกพิราบ และหน้าที่ของมันก็คือการส่งข่าวจากคนรักไปถึงคนรัก เแม้นายทหารหนุ่มจะไม่เคยเอ่ยปากชื่นชมในสิ่งที่มันทำเลยสักครั้ง แต่เจ้านกพิราบก็ยังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน รอยยิ้มของเจ้านายเมื่อได้รับข้อความตอบกลับคือกำลังใจให้มันพยายามบินไปให้ถึงปลายทาง และพยายามรักษาตัวให้ปลอดภัยเพื่อจะมีชีวิตอยู่ทำหน้าที่นี้ได้นานที่สุด...”


“แล้วสุดท้ายเป็นยังไง”


“สองปีต่อมา หลังจากปลดประจำการชายหนุ่มก็กลับไปยังบ้านเกิดเพื่อขอหญิงสาวเป็นคู่ชีวิต เจ้านกพิราบสีขาวถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ในขณะที่พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เวลาผ่านไปหลายปีจนความตายทำให้ต้องกล่าวคำอำลากัน”


“นกพิราบตายเหรอ” เต็มฟ้าลืมตาขึ้น


“มันเป็นกฎของธรรมชาติ” ศิธาพัฒน์บอกเสียงเรียบก่อนจะเล่าต่อ “ภรรยาของชายหนุ่มให้กำเนินลูกชายหนึ่งคน แต่เมื่อลูกชายเติบโตขึ้น ชายคนนั้นก็มักจะเปิดอัลบั้มรูปให้ลูกดูพร้อมกับเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต เกือบทุกรูปจะมีเจ้านกพิราบอยู่กับเขาไม่ห่าง แม้แต่ในวันสุดท้ายของชีวิตมัน จบแล้ว”


“กำลังจะบอกให้เต็มเป็นนกพิราบ ไม่ต้องเป็นนกอินทรีย์หรือเหยี่ยวใช่ไหม”


“เปล่า พี่จะบอกให้เต็มเป็นเต็ม ไม่ต้องเป็นแบบใคร ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ถ้าวันไหนอยากพักก็นอนตักพี่ แล้วก็เลิกคิดหาคำตอบ เพราะเต็มมีคำตอบให้กับตัวเองอยู่แล้ว...” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มคนฟังเบา ๆ กำลังจะพูดต่อแต่เสียงของตามตะวันก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน


“พี่เต็ม! พี่ปุ่น! มาถ่ายรูปกันครับ พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว!”


เต็มฟ้าอมยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง หันไปยกมือเป็นสัญญาบอกว่าเขาได้ยินแล้ว


“เต็มไม่ต้องหาคำตอบหรอกว่าที่ทำอยู่มันดีแล้วหรือยัง เพราะคำตอบมันก็อยู่ในรอยยิ้มของทุกคนที่เต็มรักอยู่แล้ว เข้าใจที่พี่พูดไหม”


คนอายุน้อยกว่าหันมาพยักหน้าสบตา “สัญญาว่าจะทำให้พี่ปุ่นยิ้มทุกวัน”


“นี่บอกรักพี่เหรอ”


“บอกรักอะไรเล่า” พูดจบก็ ดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “ไปถ่ายรูปกัน”


พนักงานไปรษณีย์หนุ่มโคลงหัวก่อนจะลุกยืน จากนั้นสองคนก็เดินจูงมือกันมุ่งหน้าสู่สะพานสีขาว


เมื่อเต็มฟ้าและศิธาพัฒน์เดินขึ้นไปถึงบนเนินก็พบว่าน้องชายได้ตั้งกล้องรออยู่แล้ว เด็กชายวางโพราลอยด์ตัวเก่งลงกับขอบสะพาน ก้มลงมองภาพที่ช่องมองภาพแล้วเงยหน้าบอกตำแหน่งการยืนของทุกคน


“พี่ปุ่นชิด ๆ พี่เต็มหน่อยฮะ”


“แค่นี้พอไหม” ศิธาพัฒน์ถามพลางขยับเข้าใกล้


“อีกนิดฮะ”


“ได้หรือยัง”


“อีก ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่กอดพี่ชายตามแล้วนะ”


เต็มฟ้าหันขวับ แต่ก็ยังไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำตามที่พูดจนกระทั่ง...


“กอดเลยครับ”


“นี่ก็ไม่ได้หวงกันเลย” คนพี่บ่นงึมงำเมื่อแขนแกร่งของศิธาพัฒน์แนบลงที่เอว


“จะหวงทำไม พี่หวงคนเดียวก็พอแล้ว” ศิธาพัฒน์กระซิบ ไม่นานก็ต้องละสายตาจากพวงแก้มขึ้นสี เมื่อได้ยินเสียงเรียกของตามตะวัน


“พี่ปุ่นมองกล้องนะครับ ยิ้มด้วย” พูดจบหนุ่มน้อยก็กดชัตเตอร์แล้ววิ่งมารวมกับพี่ ๆ “แข็งแรงมานี่เร็ว”


เมื่อแข็งเรงได้ยินเสียง มันก็รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายตัวน้อยของมันทันที ตามตะวันกอดคอเจ้าสุนัขขนปุยแน่นพร้อมกับยิ้มกว้าง และภาพที่ได้ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน...


“ตามไปถ่ายทางโน้นนะฮะ” พูดจบตามตะวันก็คว้ากล้องเดินไปตามรางรถไฟ


ดวงตาสองคู่จับจ้องไปยังร่างเล็กของเด็กชาย ข้างกันคือเจ้าสุนัขขนยาวที่เดินตามเจ้านายไม่ห่าง 


“ปล่อยได้แล้วมั้ง” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้น


“ไม่ปล่อยจนกว่าจะตอบว่าเมื่อกี้บอกรักพี่หรือเปล่า” พูดจบศิธาพัฒน์ก็ยกแขนข้างที่เหลือโอบเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น


“ก็บอกว่าเปล่าไง” เต็มฟ้าว่าพลางขยับตัวให้หลุด แต่ยิ่งพยายาม ท่อนแขนแกร่งก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก “ปล่อยเลย ถ้าไม่ปล่อยเต็มจะเรียกน้องมาจัดการพี่ปุ่น”


ศิธาพัฒน์ยิ้มกว้างแล้วโน้มหน้าเข้าหาจนหน้าฝากชนกัน “เมื่อกี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าตามเป็นพวกใคร” พูดจบก็เลื่อนมือขึ้นประคองสองแก้มสีเรื่อก่อนจะมอบจูบแสนหวานให้คนที่อาจขยับหนี


ริมฝีปากอุ่นขบเม้มกลีบปากบางซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพอใจแล้วผละออกในขณะที่ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง


“สัญญากับพี่นะว่าถ้าต่อไปเต็มมีเรื่องทุกข์ใจจะบอกให้พี่รู้”


เต็มฟ้าพยักหน้า   


“ต้องบอกกันทุกเรื่อง ห้ามเก็บไปคิดคนเดียว”


“อือ...เต็มสัญญา สัญญาว่าจะบอกทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องที่...” พูดจบเต็มฟ้าก็ยกแขนขึ้นคล้องคอคนตรงหน้าแล้วขยับเข้ากระซิบที่ข้างหู...


“เต็มรักพี่ปุ่น”



จบ


หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-02-2018 13:50:25
 :L2: :pig4: :L1:

ดีใจที่ได้อ่านตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2018 15:13:47
 :กอด1:   :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 16-02-2018 16:06:29
หวานละมุนแบบนี้ รักเลยยย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 16-02-2018 16:48:47
น่ารัก  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 16-02-2018 22:55:25
 :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Yukina ที่ 16-02-2018 23:00:22
 :mew1: :mew1: :mew1:

ฮือออออออกลับมาแล้วว

ตอนพิเศษ หวาน ซึ้ง คู่ชีวิตตตตต

โอ้ยยยยยยย ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ขอบคุนครับบบบ ยังไม่เคยลืม เต็ม ปุ่น เลย ผ่านมากี่ปีแล้วก้อช่าง
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 17-02-2018 20:39:37
ตอนพิเศษจริงๆค่ะ  เป็นความรักในหลายรูปแบบในตอนเดียวเลย o13

เรื่องนั้แม้เต็มจะไม่น่ารักตั้งแต่แรกๆ555  แต่เพราะได้เจอคนใจดีอย่างพี่ปุ่นที่เป็นแบบอย่างในทุกเรื่องเลย  จึงเป็นอีกคู่รักที่น่ารักมากๆค่ะ :mew3:

เป็นคู่รักที่ได้เจอรักแท้แล้วเนอะ  ไม่ได้รักอย่างเดียวแต่ต่างก็เข้าใจกัน  ให้กำลังใจกัน  และพยายามผ่านอุปสรรคไปด้วยกันให้ได้ :o8:

ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ  ยิ้ม  ดีใจ  และมีความสุขที่ได้อ่านนะคะ :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-02-2018 21:45:44
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 18-02-2018 06:28:24
ความรักที่จริงใจและมั่นคง
หลอมละลายพฤติกรรมได้จริง ๆ
.. เนอะ เต็มเนอะ :mew3:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 18-02-2018 12:24:28
อุ่นใจมาก
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 18-02-2018 17:31:20
น่ารักอบอุ่นจริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-04-2018 23:49:29
ชอบมากเลยค่ะ น่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 30-11-2018 22:44:23
ยังไม่มีเวลาอ่านเลย :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 09-12-2018 22:09:47
 :mew1:  ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 08-08-2019 13:14:58
          ต้องขอบคุณนักเขียนก่อนเลยค่ะ นิยายสนุกมากค่อยค่อยพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครไปเรื่อยๆ
          ถึงการดำเนินเรื่องจะไม่กระชับแต่มันคือเสน่ห์อย่างมากที่ทุกๆ อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามแบบที่ควรจะเป็น
          ความัมพันธ์ทุกอย่างค่อยๆเริ่มต้นอย่างลึกซึ้ๆ
          ตามตะวัน เต็มฟ้า ในมุมพี่น้องก็ค่อยๆปรับตัว
จนสนิทไม่มีช่องว่างของวัยหรือระยะห่าง
          ในมุมคนรักเต็มฟ้ากับปุ่นก็ค่อยๆเรียนรู้กันจนรักกันและในที่สุดก็มีความสุขในแบบที่ตัวเองต้องการท่ามดลางครอบครัวที่เข้าใจและสนับสนุน
          ส่วนแข็งแรงคงจะไม่พูดถึงไม่ได้เพราะทุกฉากที่มีแข็งแรงหมาอ้วนจะดูอบอุ่นทุกฉสด..อิอิ
      ส่วนหมูอ้วนที่เคยต่อยกับตามตะวันก็กลายมาเป็นเพื่อนรักกันรวมถึงยะหย่าสาวสวยผมเปียด้วย
          ทุกๆตัวละครช่างมีความน่ารักและมีความเป็นธรรมชาติมากค่ะ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะนิยายสนุกมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมสัมปันนี ที่ 08-08-2019 16:06:27
ขอบคุณนักเขียนนะครับ เรื่องนี้สนุกมากครับ รอผลงานต่อไปครับ o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 11-08-2019 23:45:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-08-2019 23:08:38
น่ารักอบอุ่นมากๆๆ
ตอนพิเศษหวานละมุนเชียว
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 08-04-2020 12:52:02
เรื่องนี้คือน่ารักไปหมดเลย
(ยกเว้นครอบครัวพริมภูมิไว้นิดนึง)

จริงๆตอนต้นเรื่องหลายคนอาจรู้สึกไม่ค่อยชอบเต็ม
แต่เรากลับเข้าใจเต็มนะ
ด้วยวัยแม้ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้โตมากมายจนรู้ความแบบผู้ใหญ่ ความน้อยใจ ไม่เข้าใจ เสียใจ อ้างว้างที่เต็มได้รับมันทำให้เกิดบาดแผลมนใจ และทิฐิได้ไม่อยากเลยนะ

แต่สุดท้ายพอได้เจอน้องตามแล้วกลับสามารถลดกำแพงลงได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ จริงๆเต็มก็ไม่ใช่คนใจแคบทิฐิล้นมากมายเลย จนแอบคิดว่าถ้าตอนนั้นพ่อไม่ส่งเต็มไป รร.ประจำ ระหว่างพี่น้องคงไม่อึดอัดแบบตอนต้นเรื่องแน่ๆ

ดีใจจริงๆที่เต็มได้มีเพื่อนดีๆและเจอกับพี่ปุ่น

สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายน่ารัก ๆ เรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: terd3232 ที่ 27-08-2020 22:43:37
ขอบคุณค่ะ
 :-[
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: SeventeenCarat ที่ 26-08-2022 13:22:52
เนื้อเรื่องน่ารักดี

ความสัมพันธ์ไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป

อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากๆ ทั้งความรักพี่น้อง คนรัก ครอบครัว เพื่อนฝูง

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณบุรุษไปรษณีย์ที่รัก (จบแล้ว) ตอนพิเศษ สัญญา 16-02-2561
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 30-08-2022 20:24:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: