พิมพ์หน้านี้ - | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: 23August ที่ 16-01-2017 23:34:22

หัวข้อ: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-01-2017 23:34:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼▲▼

23August's World

- เรื่องยาว -
"ที่หนึ่ง" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48590.0) • ♚ PITCH BLACK ♛ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) • | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57367.0) •  × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0)
Now Loading
มิอาจก้าวล่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67260.0)

- เรื่องสั้น -
FREEZE | FLY (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) • With Love, ด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) • ﹉ RESTART ﹍ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61080.0) • สมุดกระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64163.0) • ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) • E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0)

หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - บทเกริ่นนำ [16.01.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-01-2017 23:41:51
| Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก |

บทเกริ่นนำ


Fairy Tale (n.) เทพนิยาย 


   ผมกำลังอ่านเทพนิยายอยู่

   มันเป็นเรื่องของ 'อสูร' ผู้โหดร้ายที่กักขัง 'เทวดา' เอาไว้ในปราสาทหลังใหญ่ของตน

   เทวดาแสนธรรมดา ไร้เสน่ห์ต่างจากทูตทั่วไปที่มักจะเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล มันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจว่าอสูรร้ายจะครอบครองเขาไว้ด้วยเหตุใด โลกคู่ขนานของเทวดากับปีศาจนั้นถูกขีดเส้นแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน และมันไม่ควรมีการย่างกรายเข้าไปอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่ายไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม

   จนกระทั่งวันหนึ่งที่เทวดาบังเอิญไปรู้ว่าอสูรร้ายมี 'กล่องความลับ' เก็บไว้

   สิ่งที่อาจบอกได้ว่าเพราะเหตุใดชายแสนดีจึงกลายเป็นอสูรร้ายน่าหวาดหวั่น

   มันเป็นเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายไม่ต่างจากเทพนิยายทั่วไป ไม่มีส่วนไหนตื่นตาตื่นใจพอที่จะพาให้ผมรู้สึกคล้อยตามไปกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติจำนวนมากข้างใน

   แม้ความใกล้ชิดภายหลังจะทำให้เทวดาได้ค้นพบว่าที่จริงแล้วคำอ้างเกี่ยวกับความโหดร้ายไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมด ทูตตัวน้อยก็ยังคงไม่ละความพยายามที่จะตามหาความลับของอสูรโดยหวังว่ามันจะเป็นทางหนีให้สามารถออกไปจากอาณาเขตแสนกว้างใหญ่

   ในที่สุดเทวดาก็ค้นพบกล่องเก็บความลับนั้น

   ...

   .

   น่าเสียดายที่พอผมเปิดอ่านไปจนถึงส่วนที่สำคัญที่สุด มันกลับถูกฉีกออกไป

   ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่า 'ความลับ' ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร หรือแม้กระทั่งว่าในท้ายที่สุดแล้วเทวดาจะยอมเปิดกล่องแห่งความลับนั่นหรือไม่ เพราะผมเองก็ไม่กล้าอ่านข้ามไปว่าในท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของทั้งสองคนมันจะจบลงในรูปแบบไหน

   ไม่รู้สิ

   ผมคงกลัว...ว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าสุดท้ายอาจไม่ได้จบอย่างสวยงามเช่นเดียวกับเทพนิยาย

   เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจเป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้นเอง


Fairy Tale (n.) เรื่องโกหก


***
   เจ้าไม่ชอบนิสัยอยากเปิดเรื่องเมื่อไหร่ก็ทำของตัวเองมากเลยค่ะ (หัวเราะ) อันเนื่องมาจากการที่แต่งพี่แบล็คไม่ได้ดังใจสักทีเราเลยแอบหนีมาทำการลงบทเกริ่นเอาไว้ก่อนค่ะ ยังไงก็ฝากตัวอีกครั้งนะคะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หนึ่ง [16.03.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-03-2017 22:10:18
เรื่องเล่าที่หนึ่ง

   แล้วสิ่งใดวิ่งได้เร็วที่สุดบนโลกใบนี้
   - What is the fastest thing in the world?



   ผมรู้จักผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   ...และไม่รู้จักเช่นกัน

   ใบหน้าไม่ค่อยปรากฎรอยยิ้ม มันมักจะมีเพียงความว่างเปล่าอยู่ข้างในจนอ่านความคิดไม่ได้ ริมฝีปากที่ยังอยู่ชิดกันคล้ายเส้นตรงไม่ช่วยบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันหมายถึงอะไร ผมปล่อยให้เราประสานสายตากันอยู่อย่างนั้น รออยู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาหรือไม่

   และการคาดคะเนก็ไม่พลาดเมื่อมีนมกล่องรสจืดไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อวางลงบนโต๊ะ

   ไม่มีการทักทาย ไม่ว่าจะทางวาจาหรือผ่านท่าทาง เขาจะปรากฎตัวเพื่อนำเจ้ากล่องกระดาษสี่เหลี่ยมมาวางไว้แล้วก็เดินออกไปเหมือนทุกครั้ง

   มองชายคนนั้นเดินหายไปตรงมุมตึกพร้อมด้วยเพื่อนสนิทที่เห็นอยู่ด้วยกันเป็นประจำจนชินตา ผมกระพริบตาถี่ๆ เป็นการทดสอบความมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เกิดจากการที่ผมเพ่งสมาธิอยู่กับตัวหนังสือจนเบลอไปเอง

   ถึงจะเจอหลายครั้งจนควรชินได้แล้ว แต่พอได้เจอใกล้ๆ อย่างนี้ทีไรก็อดกลัวไม่ได้

   แอบมองซ้ายขวาไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต บริเวณข้างในสุดของห้องสมุดในช่วงเพิ่งเปิดภาคเรียนไม่นานร้างผู้คนจนกลายเป็นห้องเงียบชั้นดี นึกขอบคุณที่เลือกเก้าอี้ตัวในสุดเพราะจะได้ไม่มีใครอื่นเป็นพยานในเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

   ธชา

   นั่นคือชื่อของผู้ชายคนนั้น

   จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาเพิ่มเติมผมก็ไม่รู้ว่าจะให้อะไรดี เอาเป็นว่าไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งมากเท่าไหร่เนื่องด้วยวีรกรรมและชื่อเสียงไม่ดีส่วนตัวอันสะสมมาจากช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ลากยาวมาจนถึงปีสองเทอมสองอย่างนี้ เช่นช่วงเข้ามาใหม่มันก็ต้องมีประกวดดาวเดือนอะไรพวกนี้ใช่ไหมล่ะ ธชาก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกวางตัวเอาไว้นะ แล้วก็อาละวาดบ้านแตกจนคนให้ฉายาว่า ‘อสูร’ มา

   ก็ทำตัวไม่ค่อยดีด้วยแหละ ในคณะเป็นอันรู้โดยทั่วกันว่าเขาเป็นจำพวก 'อย่าเข้าใกล้โดยไม่มีเรื่องจำเป็น' ไม่ค่อยน่าอยู่ใกล้ แล้วก็ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนอกเหนือจากเพื่อนคนเดียวที่เดินข้างกันไปเมื่อสักครู่

   ให้นับครั้งที่เคยเจอกันตั้งแต่ปีหนึ่งก็ยังได้ เล่าไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยทักทายกันหรือเปล่าเพราะแค่หน้ายังไม่คิดจะมอง คือเราสองคนเหมือนกันในแง่ที่ว่าไม่ค่อยมีสังคมเท่าไหร่ แต่เราก็ยังเป็นซับเซตย่อยที่ต่างกันอยู่ดี

   หนังสือเรียนที่เอามาอ่านทบทวนถูกปิดลงหลังจากยอมรับแล้วว่าคงอ่านต่อไปไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องที่เจอเมื่อกี้มันมากเกินกว่าที่จะยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่าอยู่ดีๆ ก็มีชายคนดังของคณะเดินเข้ามาหา แล้วเขาทำอย่างนี้มาหลายสัปดาห์แล้ว

   เดินออกจากโต๊ะที่นั่งอยู่ไปตามทางเดินประจำ ผมชอบห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนี้เพราะความเก่าแก่ของมัน ดีไซน์ที่ยังมีกลิ่นไอของการตกแต่งแบบสมัยก่อน เห็นได้ตั้งแต่ชั้นหนังสือไปจนถึงบริเวณนั่งอ่าน บวกกับปริมาณหนังสือที่ไม่รู้ว่าต้องเกิดกี่ชาติถึงจะอ่านได้ครบทุกเล่ม บางเล่มนี่เก่าเสียจนการเปิดอ่านในแต่ละหน้าต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด แค่พลิกรุนแรงกว่าปกตินิดหน่อยมันอาจจะหลุดออกมาทั้งแผ่นก็ได้

   จนมาหยุดอยู่ตรงชั้นหนังสือที่เกือบติดกับนิทานเด็กอย่างหมวดเทพนิยาย ความน่าประหลาดใจของมันคือการแบ่งหมวดหมู่และประเภทของผู้อ่านว่าเหมาะสมกับช่วงอายุใดอายุหนึ่งเท่านั้น เราถูกบังคับว่าต้องจัดประเภทของเทพนิยายให้อยู่ในส่วนของหนังสือสำหรับเด็ก ทั้งที่เนื้อในของบางเรื่องมันรุนแรงจนผู้ใหญ่ยังต้องเบ้หน้า

   มองไล่ไปตั้งแต่ชั้นบนสุดจนมาจบอยู่ตรงชั้นที่อยู่ในระดับสายตา กระทั่งเจอกับหนังสือปกทำมือแบบที่เห็นได้ทั่วไปตามห้องสมุด ผมชอบที่เขาทำปกให้เป็นแบบแข็งอย่างนี้นะ ไม่อย่างนั้นแล้วหนังสือที่ต้องผลัดกันใช้ไม่เคยอยู่ในสภาพสวยสักเล่ม

   น่าโมโหที่สุดคงเป็นพวกหนังสือเรียน ขีดอย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของ

   แอบแปลกใจนิดหน่อยตรงที่หน้าปกสีกรมท่านั้นเป็นของดั้งเดิมไม่ใช่การปรับเปลี่ยนใหม่อย่างที่เข้าใจทีแรก รอยปั๊มสีทองที่ลึกลงไปเขียนเพียงคำว่า Fairy Tales ไร้ชื่อคนเขียนหรือว่าคนแปล ผมค่อยๆ พลิกกระดาษสีน้ำตาลที่มาพร้อมกลิ่นเฉพาะตัวทีละหน้า สารบัญช่วยบอกได้คร่าวๆ ว่ามีเรื่องไหนที่ผมยังไม่เคยอ่านบ้าง

   ถ้าอยากลองเปิดโลกให้กว้างขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปไหนก็ได้ ก็แค่ลองนั่งอ่านเทพนิยายแบบที่ไม่ใช่เรื่องของพี่น้องกริมม์หรือว่าเจ้าหญิงเจ้าชายในดิสนีย์ดูสิ ทั้งโหดร้ายแล้วก็ไม่ได้จบด้วยความสุข ที่ได้ยินกันทุกวันนี้มันคือฉบับปรับปรุงทั้งนั้น

   ขอเรียกว่าเป็นโชคดีของวันที่ได้เจอหนังสือเล่มที่แทบไม่เคยอ่านเรื่องด้านในเลย ผมเดินกลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มที่เอาไปลงทะเบียนยืมเรียบร้อย เก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเป้เตรียมพร้อมกลับบ้าน จะเว้นไว้ก็แต่นมกล่องที่วางเอาไว้ที่เดิม

   ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะใส่พวกยาพิษลงไปข้างในหรอก คนอย่างธชามีวิธีทำลายมนุษย์เยอะแยะ ไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรอย่างนี้ทุกวันก็ได้ ผมแค่ไม่ไว้ใจใน  'ความหวังดี' นี่ต่างหาก

   อีกอย่างคือผมเกลียดนมรสจืด

   "วันนี้กลับเร็วนะ"

   หันไปตามเสียงทัก ตอบกลับสั้น "อืม แอร์หนาวไป"

   โกหกออกไปเสียอย่างนั้น ผมมองเพื่อนในเอกของตัวเองสาละวนอยู่กับการหาบัตรนักศึกษาเพื่อใช้เป็นตั๋วผ่านออกไปยังด้านนอก เราเจอกันข้างในห้องสมุดหลายครั้ง เป็นคนจำพวกที่ไม่อยากรีบกลับบ้านเพราะไม่รู้จะทำอะไรเลยมาหาที่ที่มีแอร์ฟรี ไฟฟรี ไวไฟฟรีใช้เหมือนกัน

   ชื่อชินหรือเชน...อะไรประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้เพราะว่าไม่ใส่ใจจะจำ ที่จริงก็ไม่อยากจะคุยด้วยเท่าไหร่หรอก

   "กลับบ้านเลยป่ะ ไปหาอะไรกินกับเราก่อนไหม"

   "ไม่ล่ะ" ปฏิเสธกลับไปเช่นทุกที ผมไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น "ที่บ้านรออยู่"

   แล้วก็ต้องเก็บไว้เป็นสถิติให้ตัวเองว่าวันนี้ได้ทำการโกหกสองครั้งติดในเวลาห่างกันไม่ถึงนาทีดี ผมไม่ชอบการอยู่ในสังคมใหญ่ก็เพราะอย่างนี้ เราต้องมานั่งรักษามารยาทไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นพวกแกะดำไปทันที แค่รู้จักเคารพความแตกต่างยังทำกันไม่ได้แล้วยังไปยุ่งวุ่นวายคนอื่นอีก

   พอออกมาข้างนอกอุณหภูมิของอากาศที่ต่างกันในระดับหนึ่งก็สร้างปฏิกิริยาขึ้นบริเวณเลนส์แว่นตาอันใหญ่ของตัวเอง ผมหยิบเครื่องช่วยเพิ่มความคมชัดให้การมองออก เก็บมันไว้ในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาขนาดพอดีตัว ปล่อยให้สายตาได้มองเห็นในมุมกว้างกว่าเดิม

   "เหรอ งั้นไว้คราวหน้าแล้วกันเนอะแฟร์"

   "อือ"

   ก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีครั้งหน้าอย่างที่บอกไป ยังไงผมก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยงได้อยู่ดี ทางเดินจากห้องสมุดออกไปยังถนนใหญ่มีเพียงทางออกเดียว นั่นเลยทำให้ทั้งผมแล้วก็เขายังต้องเดินเคียงข้างกันต่อไป

   "นี่ซุ่มอ่านจบไปกี่เล่มแล้วล่ะ"

   "ไม่จบ อ่านอย่างอื่น" ผมชักรำคาญคนที่เอาแต่ถามไม่มีหยุดแล้วล่ะ นี่อุตส่าห์ทำตัวไม่อยากคุยด้วยขนาดนี้ไม่สังเกตหน่อยหรือไง "เราไปก่อน..."

   คำที่ตั้งใจใช้เพื่อตัดบทสนทนาออกมาไม่ครบ เมื่อผมเห็นว่าตรงรั้วทางออกมีใครยืนอยู่

   ชายเจ้าของกล่องนมพวกนั้น

   "เราไปขึ้นรถไฟฟ้าดีกว่า" กลับหลังหันพร้อมเปลี่ยนใจทันควัน จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์ปรับอากาศจากหน้าถนนเพราะว่ามันประหยัดแล้วก็จอดตรงหน้าซอยบ้านเลยต้องใช้ทางเลือกที่สองคือรถไฟฟ้าแทน "บาย"

   "เฮ้! เราไปด้วยดิ"

   คงเห็นเหมือนกันแล้ว คนอะไรไม่รู้ ขนาดไม่รู้จักยังแผ่รังสีความไม่น่าเข้าใกล้ออกมาได้

   "ชาน่ากลัวเนอะ" พ้นจากตรงนั้นคนพูดมากก็เปิดประเด็นใหม่ ธชามีชื่อเล่นที่ย่อมาจากชื่อจริง เรียกง่ายแต่ก็ไม่อยากเรียกเท่าไหร่

   "...คงอย่างนั้น"

   "แฟร์ไม่ใส่แว่นก็เห็นเหรอ"

   ผมเงียบไปแป๊บหนึ่งเพื่อเลือกคำตอบที่ดีที่สุด แบบที่ไม่ใช่บอกว่าเพราะเมื่อกี้เพิ่งเจอ "เด่น..."

   "ก็จริง"

   ปล่อยให้คนอยากพูดได้ขยับปากตามที่ต้องการ ส่วนตัวเองก็ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาพร้อมกับตอบรับไปในบางครั้งแบบไม่ให้เสียน้ำใจเท่าไหร่ มีทั้งเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องกิจกรรม รวมถึงเรื่องราวของผู้ชายที่เป็นอสูรคนนั้นด้วย สิ่งที่ได้ยินแต่ ‘เขาเล่าว่า’ ไม่เคยได้สัมผัสว่าความจริงมันเป็นอย่างไร

   "แต่เพื่อนคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันบอกว่าสมัยก่อนชาไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ มาเปลี่ยนช่วงจบมัธยมก่อนเปิดเทอมเข้ามหาลัยเอง"

   นั่นเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว คนในคณะเองนินทากันให้แซ่ด

   ธชาไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะข่าวด้านลบในเรื่องของความสัมพันธ์แบบของคู่รัก จะเด่นอยู่เรื่องเดียวคือการเรียนที่ไม่ถึงกับท็อปตลอด แต่ว่าถ้าวิชาไหนโดดเด่นแล้วเขาก็จะเป็นที่หนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน อย่างเช่นพวกวรรณกรรม นั่นแหละส่วนโปรดปรานของอสูรเลยล่ะ

   "ได้ข่าวเรื่องที่แตงกับยีนส์ทะเลาะกันเพราะดอกกุหลาบของชาไหม ตัวอย่างก็มีตั้งหลายคนเมื่อไหร่จะเข็ดกันนะ"

   ดอกกุหลาบเจ้าปัญหา

   ไม่ต่างอะไรกับแอปเปิ้ลทองคำในสงครามกรุงทรอย

   มันเริ่มจากงานเฟรชชี่เมื่อช่วงปีหนึ่ง สำหรับการเลือกดาวเดือนในคณะจะใช้วิธีการให้เด็กเข้าใหม่ทุกคนมีกุหลาบในมือคนละดอก แล้วใช้วิธีการเอาไปใส่ไว้ในแจกันของผู้เข้าประกวดแต่ละคน

   ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่าธชาได้ดอกไม้กลีบสวยนี่ไปถล่มทลาย ส่วนแรกคงเพราะว่าในคณะที่เกือบแปดสิบเปอร์เซนต์เป็นผู้หญิงอย่างนี้ไม่ค่อยมีผู้ชายแท้โผล่เข้ามาเท่าไหร่ แล้วยิ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีแล้วด้วย แล้วจำที่ผมบอกช่วงต้นได้ไหม ที่บอกว่าอาละวาดบ้านแตกน่ะ เขาก็แค่เดินมาหยิบแจกันใบใหญ่นั้นไปทิ้งในถังขยะใบใหญ่ตรงริมห้องโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ผมยังจำความเงียบที่แผ่กระจายไปทั่วห้องตอนนั้นได้ดีเลยล่ะ

   ส่วนดอกกุหลาบในส่วนของธชาเองเขาไม่ได้ให้กับเพื่อนคนไหน แต่กลับข้ามขั้นไปส่งให้รุ่นพี่ปีสี่ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในรุ่น คนอื่นเลยเข้าใจว่านั่นเป็นการ 'จีบ' แบบโจ่งแจ้ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็จบตรงที่ว่าพี่คนนั้นต้องรอเก้อเพราะว่าไม่เคยมีอะไรเพิ่มเติมมาจากธชาอีกเลย

   เลยกลายเป็นอสูรร้ายเลือดเย็นที่เล่นสนุกกับ 'หัวใจ' ผ่านดอกกุหลาบ

   และสุดท้ายเรื่องที่พันกันจนยุ่งเหยิงกลายเป็นความท้าทายของผู้หญิงและชายในมหาวิทยาลัยว่าความหมายของดอกกุหลาบที่ให้ไปคืออะไรกันแน่ บางคนธชาเองก็สานต่อนะ ส่วนบางคนก็เพียงได้รับแล้วก็ไม่เคยมีอะไรเพิ่มเติม

   ผมรู้เรื่องเขาเยอะใช่ไหมล่ะ ถึงบอกว่าผมทั้งรู้จักแล้วก็ไม่รู้จักเขาไง

   บอกเลยว่าคณะที่เต็มไปด้วยผู้หญิงน่ะไม่ค่อยมีเรื่องไหนหลุดออกไปจากวงสนทนาหรอก

   "ถ้าแฟร์ได้ดอกกุหลาบบ้างจะทำไง"

   "หืม?" คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้ฟังว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่

   "เราถามว่าถ้าได้ดอกกุหลาบจากชา แฟร์จะทำยังไง"

   "คนอย่างเรา?"

   ท้ายเสียงผมปรับให้เป็นคำถาม รถยนต์ที่จอดเอาไว้ข้างทางกลายเป็นกระจกที่สะท้อนตัวตนของ 'กาลวินท์' กลับมา ผมธรรมดาแบบที่ตัดให้สะดวกต่อการจัดทรงเป็นหลัก แว่นกรอบโตทรงแบบที่กึ่งฮิตกึ่งเนิร์ดอยู่ตามสมัย ชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ แล้วก็กระเป๋าเป้แบบที่เน้นการใช้สอยเป็นหลัก ดูยังไงก็เป็นแค่เด็กสายแว่นคงแก่เรียนโคตรธรรมดา

   กับกุหลาบดอกสวยอย่างนั้น...

   "ไม่มีทาง"

   มันก็มีแค่นมกล่องรสจืดแค่นั้นแหละ


 
   "เล่นงี้จริงดิ..."

   มองป้ายหน้าห้องเรียนตอนเช้าที่ติดเอาไว้ว่า 'งดการสอน' พร้อมกับเหตุผลว่าติดประชุมด่วน นี่มันทำลายความตั้งใจในการตื่นเช้ามาเรียนให้ทันวิชารอบแปดโมงของผมไปหน่อยไหม

   เป็นพวกที่มีโทรศัพท์มือถือเอาไว้ให้รู้ว่ายังพอมีทางติดต่อบ้าง รวมถึงเอาไว้กรอกเวลาต้องให้เบอร์โทรติดต่อกลับก็เท่านั้น ผมเองมีเฟซบุ๊กเอาไว้สำหรับอยู่ในกรุ๊ปรุ่นอย่างเดียว เผื่อเอาไว้สำหรับงานเร่งด่วน แต่ดูเหมือนว่าการแจ้งเตือนที่เพื่อนบางคนส่งให้ตั้งแต่เมื่อคืนมันมาไม่ถึงผมด้วยเหตุผลว่าตัวเองไปปิดส่วนการแจ้งเอาไว้

   สงสัยหลังจากนี้คงต้องไปปรับเปลี่ยนการตั้งค่าบ้างแล้ว

   เดินทอดน่องลงมาถึงชั้นล่างของตึกเรียน คิดว่าไปหาเครื่องดื่มเบสิกสำหรับการเข้าไปหมกตัวอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยก่อนดีกว่า เลยไปจบตรงร้านค้าประเภทที่มีทุกอย่าง พุ่งไปยังตู้น้ำพร้อมกับหยิบขวดน้ำเปล่าออกมา

   ผิดจากที่คาดเอาไว้รอบสองเมื่อเห็นว่าตรงจุดชำระเงินมีใครอีกคนที่ผมให้นิยามว่ารู้จักแต่ก็ไม่รู้จักคนที่สอง เพื่อนของธชาที่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอทั้งที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ผมไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเรียนอยู่คณะไหนกันแน่ ดูจากลุกแล้วคงเป็นพวกสายสังคม

   ชุดนักศึกษาแบบที่ไม่ได้ถูกระเบียบเท่าไหร่ ช่างพูดช่างเจรจาต่างกับเพื่อนของตัวเอง มองจากภายนอกแล้วดูเป็นผู้ชายอบอุ่นมากกว่า คือถ้าต้องเลือกว่าจะเป็นเพื่อนกับคนไหนร้อยทั้งร้อยคงเลือกคนนี้ ส่วนผมจะคนไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ

   ส่วนลึกของในใจบอกผมว่าเขาน่ากลัวกว่าธชาอีก

   ตอนที่อีกคนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากเก็บเงินทอนลงกระเป๋ายังเป็นตอนที่ผมจ้องทุกอิริยาบทอยู่ ตาของเราเลยสบหากันแบบที่ไม่มีช่วงให้ได้หลบ เขาชะงักไปนิดหน่อยจากนั้นถึงกระตุกยิ้มมุมปากให้ ทางผมเองไม่ได้ตอบกลับอะไรเป็นพิเศษ

   "น้ำเปล่าเหรอ?"

   "..."

   คำทักที่เหมือนกับคำถามสะดุดความรู้สึกบางอย่าง ความเย็นของน้ำที่แช่ตู้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งในมือของผมไม่ช่วยให้ความตระหนกลดลง

   ผมรู้ว่าตัวเองกำลังกลัว ...แต่กลัวอะไรผมไม่อาจบอกได้

   "เหนื่อยไหม?"

   และไม่เข้าใจว่านั่นหมายถึงอะไร

   นั่นคือการพบเจอกันทั้งหมด ผมไม่มีเรียนในภาคบ่าย รวมถึงไม่ได้มีนัดใครตอนเย็น จะให้กลับบ้านเลยมันก็ทำได้แหละ ก็แค่คิดว่าอุตส่าห์ลากสังขารมาเรียนแล้วทำไมต้องกลับไปมือเปล่าอย่างนั้น เลยพาตัวเองไปอยู่พื้นที่มีแอร์ฟรีดีกว่า

   บรรณารักษ์ที่ผมไม่รู้จักชื่อยิ้มให้เช่นทุกที ผมเองตอบกลับไปด้วยการผงกหัวทักทาย มันก็เป็นความสัมพันธ์ผิวเผินที่มีความสุขดีเหมือนกัน ไม่ต้องรู้จัก ก็แค่คนที่เจอกันในทุกวันไปเรื่อยๆ

   สถานที่เดิม บรรยากาศเดิม พาให้ผมจมดิ่งลงไปอยู่กับตัวอักษรในหนังสือเล่มหนาได้ไม่ยาก เพลงสากลสลับกับเพลงไทยแล้วแต่ว่าเพลย์ลิสต์จะสุ่มส่วนไหนขึ้นมาไม่ได้ทำลายสมาธิสักนิด บางทีผมแค่อาจต้องการสร้างสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมาเพื่อเป็นการบอกว่าห้ามรบกวน

   วันก่อนกลับบ้านไปก็ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยสักหน้าเพราะว่ามีเรื่องนิดหน่อย การที่ต้องดูแลบ้านคนเดียวในขณะที่ผู้ปกครองหนีไปทำงานประจำอยู่ต่างจังหวัดนี่มันก็ลำบากไม่ใช่เล่น แม้จะชินแล้วมันก็ยังอดเบื่อหน่ายไม่ได้อยู่ดี

   จะเรียกว่าคนไม่มีเพื่อนก็ได้มั้ง ถ้าผมจะบอกว่าตัวเองนี่แหละที่เลือกไม่เป็นเพื่อนกับใครจะเชื่อหรือเปล่า คือสไตล์ของตัวเองก็ไม่น่าจะมีใครสนหรอกนะ ทำตัวแบบที่เห็นวูบแรกแล้วจะมีสเตอริโอไทป์ของพวกคงแก่เรียนโผล่ตามมา แล้วอุปนิสัยก็ไม่น่าคบหาเท่าไหร่

   เอาน่า บางครั้งการที่เราได้เป็นตัวของตัวเองมันก็น่าภูมิใจออก

   กล่องที่เห็นอยู่ตรงหางตาบอกว่ายังมีอีกหนึ่งสิ่งเดิมๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกับทุกวัน

   ผมไม่ได้หันไปมองหน้าเจ้าของนมกล่องไร้ประโยชน์นั่น ยังแสดงออกเหมือนว่าตัวเองให้ความสนใจอยู่กับหนังสือจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนอื่นเข้าใกล้ โดยปกติเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้ว เขาจะเดินเข้ามาเงียบๆ สมกับที่อยู่ในห้องสมุดตลอด

   ธชาเองก็ไม่ได้อ่านโพสต์ในเฟซเหมือนผมอย่างนั้นสิ หรือไม่ก็มีวิชาเรียนเสรีในภาคบ่ายตัวที่ต่างจากผม คณะที่มีตัวเลือกเสรีค่อนข้างหลากหลายทำให้การเรียนในปีสองหลังจากที่เลือกวิชาเอกไปแล้วประสบกับตารางเรียนที่ต่างจากเพื่อนคนอื่นมากพอสมควร อย่างผมเองก็เรียนหลายตัวที่ออกนอกคณะ ไม่ค่อยได้เจอหน้าคนในเอกเท่าไหร่

   ลุ้นไปกับเนื้อหาที่กำลังเกิดขึ้น เรื่องของเทพนิยายสมัยกรีกที่คล้ายกับเรื่องราวสมัยใหม่หลายเรื่องผสมกัน ผมกำลังลุ้นว่าระหว่างพี่ชายที่โง่เขลาผู้มีลูกสาวแสนปราดเปรื่องอยู่เบื้องหลัง กับน้องชายที่ทะนงว่าตัวเองนั้นฉลาดกว่าใคร คนไหนจะเป็นคนตอบคำถามทั้งสามข้อของพระราชาได้ก่อนกัน ให้เดานะต้องเป็นพี่ชายคนโง่แหง

   นั่นไงล่ะ

   หรือว่าผมจะลองเสี่ยงดวงกับพวกเกมเสี่ยงโชคดีนะ

   ความคิดในโลกส่วนตัวที่กำลังแล่นได้ที่ถูกกระชากให้กลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงเมื่อผมเห็นว่าสายของหูฟังข้างหนึ่งอยู่ในมือของอสูรร้าย เล่นดึงอย่างนั้นถ้าพังขึ้นมาเขาจะรับผิดชอบหรือเปล่า

   "...อย่าหนี"

   "?"

   แล้วก็อย่างนี้ ไม่ปล่อยให้ผมได้รวบรวมแล้วก็กลั่นกรองจนได้ข้อสรุปเขาก็ทิ้งสายหูฟังของผมลงตรงนั้น เดินกลับหลังหันออกไปอย่างทุกที ถึงยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็ไม่อยากใส่ใจมาก กลับมาลองทดสอบการใช้งานว่ามันยังทำงานได้เต็มที่หรือไม่ หลังจากนั้นถึงมองเลยไปยังของประจำวันต่อ

   นมกล่องรสจืดเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง เขาจะรู้บ้างไหมว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ทุกวันนี้มันคือการลงทุนที่เสียเปล่า ผมไม่มีเวลามากพอจะมานั่งตามสืบเสาะหาความจริงหรอกว่าธชาทำมันไปเพื่ออะไร เสียดายเวลาชีวิตน่ะ เอาไปอ่านหนังสือเพิ่มยังได้ประโยชน์มากกว่าอีก

   ไม่มีใครที่พอให้ข้อมูลได้ว่านอกจากกุหลาบดอกสวยแล้วคนอย่างอสูรยังมีวิธีการล่อลวงอย่างอื่นอีกหรือไม่ แล้วไอ้การเอานมกล่องมาใช้เป็นเครื่องมือจะเป็นหนึ่งในกลเม็ดหรือเปล่า ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นเลยนะ อาจจะมีแต่ว่าเขาไม่เอามาพูดออกสื่อก็เป็นไปได้

   ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้น เอื้อมมือไปปรับหน้าจอให้เปลี่ยนเป็นเพลงถัดไป กลับมาอยู่กับเนื้อหาของเรื่องที่อ่านค้างไว้

   คำถามแรกของพระราชาคือสิ่งใดหนักที่สุดในโลก น้องชายคนฉลาดนั้นตอบอย่างไม่มีความลังเลว่าก้อนหินขนาดมหึมาหรือว่าก้อนเหล็ก ในขณะที่สาวน้อยผู้อยู่เบื้องหลังให้คำตอบผ่านบิดาของตนเองไปว่าของที่หนักที่สุดคือเปลวไฟ เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อาจยกมันขึ้นได้

   เป็นความคิดที่แปลกดี

   คำถามข้อที่สอง สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ คราวนี้คนน้องตอบว่าเงิน นี่ขนาดเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยกรีกแล้วก็ยังเหมือนกับยุคปัจจุบันเหมือนกัน ผมยังไม่อ่านบรรทัดต่อไปที่จะเป็นส่วนเฉลย ลองจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเองจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี ถ้าต้องอยู่ในยุคนั้นเหรอ...อาจเป็นการที่ได้เป็นคนโรมันแล้วไม่ต้องเป็นทาส หรือว่าจะเป็นการที่เกิดเป็นลูกผู้ชายผู้มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งหมด

   พอได้คำตอบให้ตัวเองแล้วผมจึงอ่านต่อ เห...ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่แฮะ คราวนี้ด้วยความช่วยเหลือของลูกสาวเช่นเดิม พี่ชายคนโง่ตอบว่าของที่สำคัญที่สุดคือพื้นดิน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เรายังยืนอยู่ได้บนโลกใบนี้

   จนมาถึงคำถามข้อที่สาม

   แล้วสิ่งใดวิ่งได้เร็วที่สุดบนโลกใบนี้

   อืม มันเป็นการถามแบบรูปธรรมหรือว่าเป็นเพียงนามธรรมกันล่ะ ก็รู้กันอยู่ว่ายุคกรีกนั่นเป็นต้นกำเนิดของปรัชญาเลยนะ ถ้าไม่มีคนช่างคิดสามคนนั้น เราอาจไม่ต้องปวดหัวอย่างทุกวันนี้ก็ได้

   น้องชายตอบอย่างไม่มีความลังเลว่านกหรือว่าม้านี่แหละที่วิ่งเร็วที่สุดแล้ว ก็รับได้แหละเพราะนั่นมันยุคกรีกนี่นา ถ้าลองให้ผมไปตอบคงเสือชีตาร์อะไรประมาณนั้น พวกแสงหรือเสียงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์กว่าจะรุ่งเรืองคืออีกพันๆ ปีต่อมา

   ผมว่าเรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดก็ตรงที่คนตอบยังคงเป็นลูกสาวอยู่นี่แหละ แล้วคำตอบที่เธอบอกบิดาคือ

   "..."

   นิ่งไปพักใหญ่เมื่อเห็นประโยคนั้น บางอย่างสะกิดใจเสียจนต้องย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้นย่อหน้าอีกครั้ง ผมไล่สายตาไปตามตัวอักษรเพื่อค้นพบว่าแม้จะทวนซ้ำอีกครั้งคำตอบก็ยังเหมือนเดิม

   นั่นสิ เธอก็ตอบถูกนะ

   สิ่งที่วิ่งได้เร็วที่สุดคงไม่พ้นหัวใจ...


***
   เป็นเรื่องที่เล่นใหญ่กว่าทั้งสองเรื่องที่ผ่านมาค่ะ (หัวเราะ) ขอฝากชากับแฟร์ด้วยนะคะ /โค้ง
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tell ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หนึ่ง [16.03.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-03-2017 21:30:43
นึกว่าจะเป็น ความคิด เสียอีก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tell ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หนึ่ง [16.03.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-05-2017 19:03:16
 o13
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สอง [12.05.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 12-05-2017 22:18:18
เรื่องเล่าที่สอง


   บอกทางมา ...แล้วหลังจากนั้นฉันจะตามหาคุณจนพบเอง
   - East of the sun and West of the moon

 

   มีใครบางคนเคยบอกว่าการทำอะไรสักอย่างติดต่อกันเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันมันจะกลายเป็นนิสัย

   พวกคุณเคยทำได้บ้างไหม?

   ผมทำไม่ได้เลยล่ะ ต่อให้ลองใหม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็มักจะประสบความล้มเหลว อย่างของผมเองวันอันตรายจะอยู่ประมาณวันที่สิบถึงสิบสาม เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ต้องทำอะไรซ้ำๆ ความเบื่อหน่ายที่มีมากกว่านำไปสู่ความคิดที่ว่าทำไมต้องทรมานตัวเองขนาดนี้ด้วย

   อ้อ! ถ้ารอดก็มีอยู่อย่างเดียว คือการนั่งอ่านหนังสือนานๆ แบบที่ไม่ต้องขยับไปไหนทั้งวัน ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ผมถนัดสุด

   ตอนนี้ผมอ่านเทพนิยายเล่มหนานั่นได้หลายส่วนแล้วล่ะ มีความน่าสนใจนิดหน่อยตรงที่ว่าถึงชื่อเรื่องจะเหมือนไม่เคยอ่านแต่เนื้อหาข้างในหลายครั้งมันคือการเอาเรื่องหลายเรื่องมาผสม หรือบางทีก็เหมือนกันด้วยซ้ำไปเพียงแค่ว่าเป็นเทพนิยายของคนละประเทศเท่านั้น

   เรื่องราวเหนือธรรมชาติ ปีศาจ ภูต คนแคระ เวทมนตร์ เจ้าหญิงและเจ้าชาย มันมักจะวนเวียนไปอยู่แค่นั้นไม่หนีไปไหน ส่วนที่ยังพอให้ลุ้นได้หน่อยคือช่วงจบของเรื่องที่พลิกไปจากการจบแบบทั่วไปอยู่บ้าง มันน่าเบื่อเกินไปหน่อยถ้าจะจบแบบ 'อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปนิรันดร์' การได้เจอเรื่องที่จบในรูปแบบอื่นมันก็เป็นการสร้างความหลากหลายที่ดี

   "เรียงแถวออกมาจับฉลากเลยค่ะ"

   วิชาบังคับของเอกเป็นอะไรที่ไม่น่ารื่นเริงใจ นี่เป็นเอกหนึ่งของคณะที่ได้ชื่อว่าการแข่งขันสูงที่สุด ใครหลายคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแลกกับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมคงโชคดีกว่าบางคนที่รู้ตัวเองว่าอยากเรียนอะไรตั้งแต่ช่วงเข้ามัธยมห้า ในระหว่างที่คนอื่นยังบอกไม่ได้ว่าอยากเรียนต่อในคณะไหนผมตั้งเป้าหมายในการเรียนจนจบชั้นปริญญาไว้แล้ว การเตรียมตัวที่ดีกว่าช่วยให้ผมได้ในสิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือ

   คนเราควรมีแผนสำหรับการดำเนินชีวิตเอาไว้หลายๆ ทางนะ

   และคงอยู่กับอะไรเดิมๆ มาจนเบื่อ การทำงานคู่ที่มักจะเป็นการจับกันเองคราวนี้ถูกเพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจด้วยการเปลี่ยนเป็นจับฉลากหน้าห้อง ผมรอจนเพื่อนเกือบทั้งเอกเข้าแถวเรียงหนึ่งแล้วจึงขยับลุกจากที่นั่งของตัวเองไปต่อบ้าง ยืนเงียบๆ ฟังคนอื่นตั้งข้อสันนิษฐานว่าเพราะอะไรอาจารย์ถึงปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา

   "กาลวินท์ ...สิบห้าครับ" อ่านตัวเลขในกระดาษพร้อมกับบอกชื่อจริง ผมมองตามช่องตารางที่แบ่งเอาไว้เป็นสองส่วนในแต่ละบรรทัด ผมอยู่ตรงช่องแรกแสดงว่ายังไม่มีใครจับได้เลขนี้ ข้างหลังผมเองก็เหลือไม่กี่คน ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น

   ขอให้ได้ผู้หญิงแล้วกัน ไม่เรื่องมากดี ผมว่าพอเป็นเพศตรงข้ามแล้วการวางตัวในฐานะเพื่อนที่ต้องทำงานร่วมกันมันง่ายกว่าเพศเดียวกัน ถ้าผมไปทำตัวเงียบๆ ใส่เพื่อนผู้ชายเดี๋ยวก็กลายเป็นหาเรื่องอีก

   หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านคำสั่งและอ่านรายละเอียดของงานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ มันจำเป็นที่เราต้องรู้ว่างานนี้ต้องทำอะไรบ้าง แล้วกำหนดส่งคือวันไหน สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยคือคนในคณะบางคนยังมีสกิลการจับใจความสำคัญที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาก

   รออีกไม่นานภาพบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ที่เคยเป็นส่วนอธิบายคำสั่งก็กลายเป็นกระดาษจดรายชื่อของสมาชิก ผมไล่จากเลขหนึ่งลงมาถึงเลขของตัวเอง ชื่อแรกนั้นเป็นของตัวเองอยู่ ส่วนชื่อหลังก็...

   "..."

   อสูรร้ายจะต้องเสกคาถาสักบทใส่อาจารย์แหง

   เพราะตารางช่องหลังนั้นถูกเติมด้วยคำว่า 'ธชา' ไงล่ะ

   "จับคู่ได้เลยค่ะ มีอะไรให้รีบถามได้เลยก่อนหมดคาบ"

   แล้วห้องเรียนที่เคยเงียบก็เกิดเสียงจอแจจากทุกพื้นที่ ผมนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะยังตกใจในสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ ตายแน่ๆ ทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนั้นด้วยนะ

   "จะแบ่งยังไง"

   สติหลุดไปจนถึงช่วงที่ได้ยินเสียงเขาข้างตัวนั่นแหละ โต๊ะแบบเลคเชอร์เดี่ยวตัวใกล้ที่สุดถูกหมุนให้เปลี่ยนมาหันหน้าชนกัน ผมหลับตาลงพลางยกมือขึ้นดันแว่นให้กลับไปอยู่ตรงสันจมูกตามเดิม ช่วงเวลาอาจไม่นานเท่าไหร่ก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเขาโดยไม่มีการเตรียมใจ

   "เลือกก่อนเลย เราทำที่เหลือเอง"

   "ควรเลือกส่วนที่คิดว่าจะทำได้ดีก่อน"

   "เราไม่คิดว่าตัวเองทำได้ดีสักอย่าง"

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขา "งั้นเอาที่คิดว่าโอเคที่สุด"

   "เลือกก่อนเถอะ" เส้นแบ่งที่ขีดความเป็นคนไม่รู้จักกันมันมากเสียจนผมไม่กล้าคุยแบบสะดวกใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเรียกชื่อแบบไหนดี ถ้าเรียกแค่ชื่อเล่นจะดูล้ำเส้นไปหรือเปล่า แต่ถ้าให้ผมเรียกแบบเต็มยศมันก็ดูพิลึกไปหน่อย "เราได้หมด"

   งานของเด็กคณะอักษรมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานเดี่ยวแสนสบายไปจนถึงงานที่นึกว่าต้องระดมคนทั้งคณะมาช่วยทำ ส่วนงานนี้ก็ไม่ใช่งานที่ส่งได้ในห้องเลย แต่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมมากเสียจนคิดว่าไม่น่าจะจบง่ายๆ แล้วยิ่งคู่ทำงานของผมเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความถนัดในด้านวรรณกรรมแล้วด้วย งานนี้คงต้องเตรียมใจรับงานใหญ่

   มันก็ดูไม่ยากนะ ก็แค่ให้หางานเขียนตามที่สนใจเอามาวิเคราะห์พวกเนื้อหาแล้วก็ความเป็นมาทั่วไป จะยากก็ตรงที่ต้องมานั่งเปรียบเทียบว่าเบื้องหลังของเรื่องที่ส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันนี่แหละ มันเลยทำให้เรื่องที่จะทำต้องผ่านการคัดสรรมาอย่างดี

   "งั้นเลือกเรื่องก่อน ไว้ค่อยแบ่งงานกัน" ผมบอกตามที่คิดออกไป

   "มันก็ต้องไปดูก่อนแหละ มีเรื่องไหนอยากทำอยู่แล้วหรือเปล่า"

   ธชาเก่งวิชานี้เป็นพิเศษ เขาอาจจะมีอะไรที่สนใจก่อนแล้วก็ได้

   "ไม่มี"

   "ถ้าอย่างนั้น..." ผมเตรียมเสนอไปว่าต่างคนก็หาข้อมูลไปก่อน แล้วค่อยมานัดคุยกันอีกที

   "เจอกันที่ห้องสมุด"

   เพียงแต่เจ้าของฉายาอสูรตัดให้เหลือเพียงคำตอบเดียวไปก่อนแล้ว

   "อ่า..." อยากจะบอกความต้องการเดิมของตัวเองไปอยู่นะ ผมต้องลองชั่งน้ำหนักความปลอดภัยก่อนว่ามันควรจะทำตัวขัดใจเขาหรือไม่ "ไว้ค่อยนัดคุยกันก็ได้นะ เผื่อสะดวกอย่างนั้นมากกว่า"

   "ห้องสมุด เวลาเดิม"

   มันเป็นการนัดที่ผมยังไม่ได้ตอบตกลง แล้วธชาก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับสายตาหลายคู่ตามไล่หลัง คนที่เพิ่งตกอยู่ในตำแหน่งน่าลำบากใจอย่างผมคงได้แต่ยอมรับสภาพไปตามระเบียบ อย่างน้อยเรื่องการทำงานก็ไม่น่าห่วงล่ะมั้ง เขาไม่ใช่คนจำพวกที่กินแรงคนอื่นอยู่แล้ว

   "สู้นะแฟร์"

   "อือ" คนร่วมเอกคนเดียวกับที่เจอครั้งก่อนเดินมาพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ ได้ยินคนอื่นเรียกว่าบี เขาไม่ได้ชื่อชินหรือเชนอย่างนั้นเหรอ แล้วผมไปจำจากไหนมานะ "ไม่น่าจะมีอะไร"

   "ชาทำงานดี"

   "ดีแล้ว"

   "ระวังไว้นะ"

   "ไม่มีอะไรหรอก" พับกระดาษคำสั่งจนมันกลายเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก พลิกแพลงไปมาโดยตั้งเป้าหมายให้มันเป็นใบหน้าของหมีน้อยตัวหนึ่ง "ทำงานแล้วก็จบกันไป"

   ได้แค่สร้างความมั่นใจให้ไป ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดเลยสักนิด


 
   "ลองอ่านเรื่องนี้ดู"

   เทพนิยายที่ธชาส่งมาให้ผมอ่านเป็นเรื่องสี่สามหรือสี่ เราสองคนตกลงกันว่าวันนี้จะลองค้นหาแบบคร่าวๆ ให้พอรู้ว่าเรื่องที่อยากจะทำเป็นแนวไหน มีแหล่งข้อมูลเป็นหนังสือจำนวนมากตรงหน้าเราสามคน

   ใช่ ตรงนี้มีสามคน

   นอกจากธชาแล้วยังพ่วงมาด้วยเพื่อนคนที่ผมบอกว่า 'ไม่น่าเข้าใกล้ยิ่งกว่า' อย่างเชน คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงเอาชื่อของเขาไปปะปนกันเพื่อนร่วมเอกได้ เขาเดินมานั่งเงียบๆ แบบที่ไม่พูดอะไร ทำราวกับว่าผมไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้น แล้วว่างขนาดไหนถึงมาช่วยพวกผมทำงานได้นะ

   "ตะวันออกของดวงตะวั..."

   "อย่าพยายามแปลไทยเลย อ่านไปเถอะ"

   ยังอ่านชื่อเวอร์ชั่นแปลเองโง่ๆ ไม่จบก็โดนขัดเสียก่อน มันก็ดีแหละ พออ่านชื่อจบทั้งหมดก็เข้าใจว่าทำไมธชาถึงบอกไม่ต้องแปล ในเมื่อแปลออกมาแล้วนอกจากจะดูไม่มีความหมายแล้วถ้าต้องทำจริงอาจต้องไปหาคำไวพจน์ที่ยากเกินกว่าเข้าใจได้มาใช้ดัดแปลงอีก

   มันเป็นเรื่องของหมีขาวตัวหนึ่งซึ่งยื่นข้อเสนอให้กับชายแก่ผู้ยากจน ว่าถ้าหากเขายกลูกสาวคนเล็กที่งดงามที่สุดให้แล้วหมีขาวจะเสกให้ชายแก่กลายเป็นมหาเศรษฐี เขาได้ตกลงตามข้อเสนอนั้น โดยยอมยกลูกสาวคนเล็กแสนสวยให้กับหมีขาวไป

   เจ้าหมีขาวพาหญิงสาวไปยังปราสาทหลังใหญ่ ณ ที่นั้นร่างจริงที่ซ่อนเอาไว้ใต้รูปลักษณ์ของสัตว์ตัวใหญ่ก็เผยออกมา ที่แท้แล้วหมีขาวเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผู้ซึ่งเข้านอนพร้อมกับเธอทุกค่ำคืนโดยซ่อนร่างจริงไว้ใต้ความมืดมิดของราตรี

   ผมอ่านถึงตรงนั้นแล้วนึกถึงเรื่องเทพนิยายกรีกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เรื่องราวความรักของเทพเจ้าแห่งความรักกับหญิงสาวนามไซคี ผู้ซึ่งผิดคำสัญญาด้วยการลอบมองใบหน้าของชายปริศนาในยามค่ำคืน ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่มีโครงเรื่องคล้ายกัน เทพนิยายมันคือการเอาเรื่องนั้นมาผสมกับเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ

   ส่วนถัดมาก็ไม่ต่างอะไร เธอกลับบ้านไปแล้วโดนมารดาล่อลวงว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหลังม่านสีดำนั้นอาจเป็นพวกโทรลก็ได้ พอกลับมาอยู่ในปราสาทหล่อนจึงผิดสัญญาโดยการแอบเอาเทียนไขส่องดูว่าใครหรือสิ่งใดกันแน่ที่อยู่กับเธอทุกค่ำคืน

   ตรงนี้ก็ยังเหมือนอยู่ แล้วก็เหมือนจนถึงตรงที่หล่อนพลาดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าถูกหักหลัง มาต่างก็ตรงที่ชายหนุ่มผู้ซ่อนอยู่ในร่างหมีตัวขาวไม่ได้กลับไปอยู่ในร่างเดิมแล้วหนีไป เขาเฉลยว่าตนเองเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ผู้ถูกคำสาปจากแม่เลี้ยงให้หาหญิงสาวมาอาศัยอยู่ด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงของพวกโทรล ลูกเลี้ยงของเธอ

   อืม...ตรงนี้เริ่มน่าสนใจขึ้น
   
   พักสายตาด้วยการเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน เชนยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มใหญ่ในมือของตัวเอง โดยที่มืออีกข้างนั้นจดอะไรก็ไม่รู้ลงกระดาษเอสี่เป็นระยะ สำหรับธชาเขามองผมอยู่ก่อนแล้วตอนที่ตัวเองหันไปหา เราเริ่มเกมจ้องตาไม่ต่างจากทุกที มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องหลบนี่นา

   ถ้าให้ลองเทียบ อย่างเขาจะมี 'ร่างจริง' แบบไหนอยู่ข้างในนั้นนะ

   "อ่านจบแล้ว?"

   เสียงของเขาเย็นกว่าแอร์ที่กำลังเปิดกระหึ่มอยู่ตอนนี้เสียอีก

   "เหลืออีกเยอะ ปวดตา" ผมอ่านมาตั้งหลายเรื่อง วันนี้ใช้สายตาเยอะกว่าทุกวันอีก

   "พักหน่อย เดี๋ยวค่อยอ่านต่อ" ธชาปิดหนังสือตรงหน้าของตัวเองลง ก้มหน้าลงไปหยิบอะไรบ้างอย่างข้างตัว "เอานี่ไป"

   เกือบหลุดขำตอนที่เห็นว่าสิ่งที่เขานำมาวางไว้บนโต๊ะคืออะไร มันเป็นเครื่องดื่มสำหรับบำรุงสายตายี่ห้อที่ผมเห็นตามโฆษณาอยู่บ่อยๆ ได้ฟังกี่รอบก็ไม่เคยเชื่อคำอวดอ้างสรรพคุณนั่นเลย

   "ไม่เป็นไร ขอบคุณ"

   "กิน"

   "ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร"

   เสียงหัวเราะจากบุคคลที่สามผู้แทรกเข้ามาในบทสนทนาเรียกให้เราทั้งคู่หันไปหา เจ้าของเสียงยังก้มหน้าอ่านสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองไม่รู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องอยู่ เรื่องที่กำลังอ่านมันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ

   "ไม่เนียน"

   ปากกาที่เสกเข้ามาอยู่ในมือของธชาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พุ่งตรงเข้าไปหาเพื่อนของตัวเอง มันปะทะกับตัวปกพอให้อีกคนรู้ว่ามีคนเรียกอยู่ ผมมองเพื่อนสนิทสองคนโต้ฝีปากกันไปมาเงียบๆ แบบคนรู้สถานะของตัวเองดี

   "ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น"

   "อ่านของมึงไป"

   เสียงของธชาที่ใช้คุยกับเพื่อนคนสนิทต่างไปจากเวลาใช้พูดกับผมอยู่พอสมควร อบอุ่น ดูปลอดภัย แล้วก็ไม่มีรังสีความน่ากลัวแผ่ออกมา รวมถึงท่าทีสบายๆ ดูเข้าถึงง่ายไม่เหมือนกับที่เห็นทุกที ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

   "บอกแฟร์?"

   "..."

   เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้เชนเรียกชื่อเล่นของผมเหรอ

   "มันเรียกง่ายกว่ากาลวินท์ แฟร์คงไม่อยากเรียกเราว่าเชนินทร์หรอกใช่ไหมล่ะ"

   บอกแล้วไงว่าเขาไม่น่าเข้าใกล้ พอเพื่อนแสนดีของธชาหันมาเห็นว่าผมทำหน้าแปลกไปหลังจากได้ยินชื่อเล่นของตัวเองออกจากปากทั้งที่ยังไม่ได้ทักทายอะไรกันเลยสักครั้งเลยมีการขยายความเพิ่มขึ้นมาหน่อย ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นมากขึ้นเท่าไหร่

   "วันนี้ต้องได้ห้าเรื่อง อ่านต่อไปซะ"

   พอโดนตัดเข้าโฆษณาสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นชัดบนใบหน้าของเชนินทร์คือยิ้มเล็กตรงมุมปาก สิ่งที่ควรจะสื่อความหมายถึงบรรยายการที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองมันกลายสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้ผมระวังตัวเองอยู่เสมอ ห้ามให้เขาเล็ดรอดเข้ามาในพื้นที่ของผม ไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจโดนยึดครองได้ไม่ยาก

   ถ้าโควตาของวันนี้มันแค่ห้าเล่มอย่างนี้ผมก็อ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายก็พอแล้วสินะ รีบอ่านให้จบดีกว่า

   นอกจากเรื่องการแต่งงานของเจ้าชายรูปงามกับเจ้าหญิงชาวโทรลแล้ว เจ้าชายยังบอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่าเขาจะต้องไปอาศัยอยู่ในปราสาทที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระอาทิตย์และตะวันตกของพระจันทร์ นี่คือที่มีของชื่อเรื่องสินะ ผมขออนุญาตแปลแบบตรงตัวไปก่อนแล้วกัน คือไม่มีอารมณ์มานั่งตัดเติมแต่งถ้อยคำให้สวยงาม

   'ฉันจะตามหาคุณจนพบเอง'

   หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาภายหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เช้าวันต่อมาปราสาทแสนสวยงามที่หล่อนอยู่กับเจ้าชายก็สลายหายไปกับความทรงจำ เธอออกตามหาจนกระทั่งพบกับหญิงชราคนหนึ่งพร้อมกับแอปเปิ้ลทองคำ น่าเสียดายตรงที่หญิงชราผู้นั้นไม่อาจให้คำตอบได้ว่าปราสาทที่ว่าอยู่ตรงไหน สิ่งที่เธอมอบให้กับหญิงสาวแสนสวยคือแอปเปิ้ลลูกนั้นพร้อมกับม้าหนึ่งตัวสำหรับการเดินทาง

   หญิงผู้ตามหาปราสาทปริศนาดังกล่าวเดินทางต่อมาจนพบกับชาวบ้านบนภูเขาลูกถัดไป เขากำลังนั่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหวีทองคำในมือ และเหมือนกับหญิงชราคนแรก เขาไม่รู้ว่าปราสาทที่กำลังตามหาอยู่นั้นคือที่แห่งใด ถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจหวีทองคำนั้นกลายเป็นสมบัติชิ้นที่สองต่อจากแอปเปิ้ล

   นอกจากนั้นเธอยังได้เครื่องปั่นด้ายทองคำจากชาวบ้านคนที่สาม พร้อมคำตอบที่เหมือนเดิมว่าไม่รู้จักปราสาทนั้น ส่วนที่เพิ่มเติมคือคราวนี้หญิงสาวไม่ต้องไปตามหาชาวบ้านรายที่สี่ เนื่องจากคำแนะนำใหม่ที่ให้ลองไปหาเทพแห่งลมทางทิศตะวันออกแทน

   จากนั้นด้วยความร่วมมือของเทพเจ้าแห่งลมทั้งสี่ทิศในท้ายที่สุดหญิงสาวก็พบปราสาทดังกล่าว เธอได้สร้างเงื่อนไขว่าจะยอมมอบแอปเปิ้ลทองคำให้กับเจ้าหญิงโทรลหากหล่อนยอมให้เธอได้พบกับเจ้าชาย เจ้าหญิงโทรลตกลงตามนั้น โดยยอมให้เธอได้พบกับเจ้าชายผู้หลับไหลด้วยฤทธิ์ยา (ถือว่าเจ้าหญิงเองก็ฉลาดนะ...) ในวันต่อมา หล่อนได้ขอพบกับเจ้าชายอีกครั้ง คราวนี้แลกกับหวีทองคำ และเหมือนกับครั้งก่อนหน้า แม้เธอได้พบกับเจ้าชายแต่ก็ไม่อาจสื่อสารถึงกันได้เนื่องจากยานอนหลับ

   ในครั้งที่สามนี้ เจ้าชายไม่ได้ดื่มน้ำผสมยานอนหลับที่เจ้าหญิงโทรลนำมาให้ นั่นนำไปสู่การพบเจอกันภายหลังจากที่หญิงสาวยอมแลกเครื่องปั่นด้ายทองคำกับการได้พบหน้า เจ้าชายได้วางแผนการหลบหนี เขาประกาศว่าจะแต่งงานกับใครก็ตามที่สามารถลบรอยเปื้อนของไขสัตว์ที่อยู่ตรงเสื้อของเขาได้ แน่นอนว่าทั้งเจ้าหญิงโทรลและมารดาไม่อาจทำได้ แต่หญิงสาวสามารถทำได้สำเร็จเพราะได้มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

   เจ้าชายยังปลดปล่อยเหล่านักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน อีกทั้งนำข้าวของสมบัติติดตัวไปจากปราสาทแห่งนั้น ทั้งเจ้าชายรูปงามผู้ปลอมตัวอยู่ใต้รูปลักษณ์หมีขาวและหญิงสาวผู้ตามหาจนพบก็ได้อยู่ด้วยกันนิรันดร์

   "..."

   เอาจริงเลยนะ โคตรไม่ประทับใจ

   ตั้งแต่ว่าหญิงสาวนั่นหลงรักเจ้าชายเมื่อไหร่ เธอจะจิตใจโอบอ้อมอารีถึงขนาดที่ว่ารักหมีขาวทั้งที่หล่อนเป็นแค่ของแลกเปลี่ยนกับความร่ำรวยของบิดาเลยเหรอ หรือว่าพอรู้ว่าเป็นเจ้าชายรูปงามก็เลยเกิดพิศวาท

   ตอนนี้ผมฟันธงไปแล้วว่าเธอรักเพราะเขาเป็นเจ้าชาย

   คือถ้ายังเป็นหมีขาวต่อไปคงได้แอบลอบฆ่าสักวัน

   "ชอบเรื่องนี้เหรอ?"

   ผมถามพลางเคาะนิ้วลงไปบนปกหนังสือเล่มหนาเป็นจังหวะ นึกไปถึงเจ้าหมีกระดาษตัวที่พับเอาไว้ช่วงก่อนจบคาบเรียน ดันทิ้งไปตอนเจอถังขยะหน้าห้องเรียนเสียแล้วสิ ไม่อย่างนั้นเอามาประกอบการอ่านได้เลยนะ

   "เปล่า"

   "..."

   ใช้สายตาแทนการบอกว่าไม่เข้าใจ ผมนั่งอ่านเรื่องไม่จรรโลงใจนี้ตั้งนานเพราะนึกว่าอีกคนสนใจ ถ้าอย่างนั้นแล้วจะให้ผมอ่านทำไม

   "ผมจะตามหาคุณจนพบ"

   คำที่หญิงสาวบอกกับเจ้าชายก่อนจากลา

   เสียงเรียบที่มาพร้อมกับนัยน์ตาคมมันปลุกความรู้สึกบางอย่างข้างในตัวผม ธชาไม่เปลี่ยนสีหน้าขณะพูดมันออกมาเลยสักนิด ถ้าหากผมเป็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นแล้วการได้ยินคำเอ่ยนั้นออกมามันอาจพาให้หัวใจพองโตได้ไม่ยาก เพียงแต่เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงแล้วก็ต้องเข้าใจหน่อยว่าทั้งตัวผมเองเป็นผู้ชายที่อยู่ในชั้นมหาวิทยาลัยและเขาเองก็ไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือลมปากเสียเท่าไหร่

   ผมไม่ได้โง่

   แค่ยังไม่เข้าใจบางเรื่องก็เท่านั้น

   "เราไม่เชื่อ 'ความรัก' ของผู้หญิงคนนี้"

   "ก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อ"

   จากการอ่านเทพนิยายเพื่อความสนุกสนานกลายเป็นการสนทนาเชิงวิเคราะห์เจาะลึกไปเสียแล้ว บนโต๊ะตัวยาวในห้องสมุดมีสองโทนเสียงที่แตกต่างกันกำลังโต้ไปมาไม่มีหยุด

   ฝ่ายแรกคือตัวผมเอง ยังยืนกรานอยู่เช่นเดิมว่าไม่เชื่อในเรื่องที่หญิงสาวคนนี้จะรักเจ้าชายในร่างหมีขาว และผมก็ไม่เชื่อว่าทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำเพื่อเทิดทูนสิ่งที่เรียกว่าความรัก ลองคิดตามตรรกะง่ายๆ เลยนะ การที่ต้องตกอยู่ในสถานะนั้นมันเต็มไปด้วยความกดดันระดับไหน แล้วจะเอาเวลาไหนไปเปลี่ยนความรู้สึก

   อีกฝ่ายที่ไม่ถึงกับเป็นฝ่ายตรงกัน คือมีบางส่วนเท่านั้นที่เห็นเหมือนกัน คือธชาเชื่อว่าหล่อนมีความรู้สึกดีกับหมีขาวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และการออกตามหาก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความรักแต่รวมไปถึงความรู้สึกผิดจากการผิดสัญญาด้วยอีกหนึ่งอย่าง

   สรุปแล้วเราก็ยังเห็นเหมือนกันว่าสิ่งที่หญิงสาวทำลงไปมันไม่ใช่เพราะเรื่องความรักทั้งหมด มันอาจมีองค์ประกอบอื่นเข้ามาด้วย ธชาเองก็อ้างเรื่องเดียวกับผมว่ามันก็เหมือนกับเรื่องของคิวปิดและไซคีนั่นแหละ ไอ้เรื่องนั้นก็คิดไม่ออกว่ารักกันตอนไหน คิวปิดพอเข้าใจได้เพราะเผลอทำศรปักตัวเอง แต่ไซคีล่ะ

   “งั้นวันนี้เอาไว้แค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ว่าง เดี๋ยวนัดอีกทีนะ”

   ประโยคปกติของอสูรเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากเพื่อนได้อีกครั้ง ผมเพิ่งรู้ว่าเชนเป็นพวกเส้นตื้นที่ขำได้ทุกเรื่อง ตอนนี้พวกเราอ่านสิ่งที่อาจจะกลายมาเป็นคะแนนในการทำงานได้มากพอสมควรแล้วล่ะ เจอเรื่องที่คิดว่าจะเอามาเป็นหัวข้อรายงานแล้วเหมือนกัน เพื่อความไม่ประมาทเราว่าจะอ่านอีกสักครั้งสองครั้งแล้วถ้าไม่เจอเรื่องไหนน่าสนใจกว่าก็คงเลือกได้ไม่ยาก

   “อยู่ห้องสมุดตลอด”

   บอกไปแบบที่อีกคนก็คงรู้อยู่แล้ว เขาชอบมาในเวลาเดียวกันซ้ำๆ อย่างกับว่าเป็นความเคยชินที่ต้องทำในทุกวันไปแล้ว จะว่าไปมันก็เลยยี่สิบเอ็ดวันแล้วด้วย นี่กลายเป็นนิสัยของเขาไปแล้วใช่ไหมนะ

   ส่วนผมเองก็คงติดนิสัยการไม่ยอมรับของจากคนแปลกหน้าไปแล้วเหมือนกัน

   "ไปล่ะน..."

   "ไปด้วย"

   ยังไม่ทันบอกลาได้จบประโยคเสียงเย็นเรียบนั้นก็แทรกขึ้นมาก่อน คราวนี้เชนไม่ได้หัวเราะออกมาเหมือนครั้งก่อนหน้า เขาพูดเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงคนเดียว น่าเสียดายที่ผมมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินเลยไม่สามารถคำนวณหรือคาดเดาได้ว่าเขาพูดอะไร ส่วนเพื่อนสนิทอย่างธชาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าด่ากลับไปด้วยคำหยาบคายต่อเนื่องจนคล้ายการแรป

   จากที่มักจะเดินคนเดียววันนี้เลยมีผู้ร่วมเดินทางคนใหม่ เชนบอกว่าจะอยู่ในห้องสมุดต่อมันเลยเหลือแค่ผมกับธชาที่เดินออกมาพร้อมกัน ลองเทียบเอาจากครั้งที่แล้วเราคงต้องยืนข้างกันอย่างนี้ไปจนกว่าผมจะออกจากรั้วคณะไปได้

   "ให้ไปส่งไหม?"

   "ไม่ ขอบคุณ"

   ปฏิเสธกลับไปในเสี้ยววินาที ผมตั้งเส้นแบ่งสำหรับเราสองคนเอาไว้ชัดเจนอีกครั้ง

   "ค่อยแยกกันตรงทางออก"

   บอกอย่างนั้นก็หมดทางหนี ผมไม่ได้กลัวที่ต้องมาเดินข้างอย่างนี้เหมือนอย่างที่หลายคนไม่กล้าแม้แต่อยู่ในรัศมีที่ห่างออกไปพอสมควร บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความน่ากลัวของธชาที่จริงแล้วมันอยู่ตรงไหน เพราะอะไรคนถึงชอบบอกกันว่าเขาน่ากลัว

   อาจเป็นเพราะการแต่งตัวแบบที่ไม่ค่อยถูกต้องตามรูปแบบ มีการเสริมให้เข้ากับแฟชั่นเท่าที่เป็นไปได้ รวมถึงต่างหูแบบห้อยจี้ลายไม่คุ้นนั่น

   มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่วิ่งสวนไปมาบนถนนเท่านั้นเป็นสิ่งช่วยให้บรรยากาศรอบข้างไม่เงียบจนเกินไป ไม่แม้แต่จะลองเหลือบหันไปมองว่าคนด้านข้างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพอมองออกว่ามีใครหลายคนจ้องมาทางเรา ธชาเป็นผู้ชายที่ไม่ถึงกับดังจนคนรู้จักทั่วไป นอกจากคนในคณะแล้วก็จะมีแค่คนส่วนหนึ่งที่ให้ความสนใจเท่านั้น ส่วนมากคนที่มองมักจะประทับใจในความสูงแล้วก็หน้าตามากกว่า

   ผมหยุดเท้าตอนที่ยืนอยู่ชิดรั้ว ส่วนอีกคนนั้นก็ทำตามไม่ต่างกัน

   "รบกวนหน่อยแล้วกันนะช่วงนี้" หมายถึงการทำงานคู่กันที่ผมคงต้องอาศัยความสามารถพิเศษด้านภาษาของเขาเยอะอยู่ "ถ้าทำเร็วหน่อยคงไม่ต้องใช้เวลานาน"

   "ไม่รีบ"

   แต่ผมอยากให้รีบจัง

   "เอาตามสะดวกแล้วกัน เราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

   "แค่เสร็จในเวลาก็พอ"

   "อืม อย่างนั้นก็ได้" ยกมือขึ้นมาแบบไม่ได้โบกอะไร การบอกลาที่มีคนติว่าไม่จริงใจเท่าไหร่ "ไปก่อนล่ะ"

   "เดี๋ยวก่อน"

   เขาไม่ได้เอื้อมมือมาจับตัวผมไว้ หรือว่ารั้งสายกระเป๋าให้หยุดเดิน สิ่งที่อสูรร้ายใช้มีเพียงเสียงเย็นแบบเดิม แค่นั้นมันก็ทำให้ผมไม่กล้าขัดคำสั่ง

   "อยากให้เราไปหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเหรอ?" เมื่อกี้เราไม่ได้แบ่งงานกันชัดเจน บางทีเขาอาจเพิ่งนึกอะไรเกี่ยวกับตัวรายงานของเราออก

   ชายที่สูงกว่าผมหลายเซนติเมตรก้มลงมาคล้ายกับกำลังเปรียบเทียบอะไรบางอย่าง ผมเอียงคอรอว่าเขาต้องการจะสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า การอยู่กับอสูรอย่าไปทำอะไรที่ขัดใจเลย ไหลตามน้ำไปนั่นแหละเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว

   "ให้"

   จนไม่ทันได้รู้สึกตัวว่ามือของเขากำลังยื่นอะไรบางอย่างแสนคุ้นเคยมาให้ ผมมองเครื่องดื่มที่นักวิชาการบอกว่ามันดีต่อสุขภาพสลับกับใบหน้าไร้อารมณ์ ตัดสินใจสารภาพบางสิ่งออกไปด้วยความหวังเล็กๆ ว่ามันจะช่วยให้เขาเลิกทำอะไรที่ผมไม่สามารถตอบสนองกลับไปได้สักที

   "เผื่อไม่รู้ เราไม่เคยเอานมนั่นกลับมาด้วยเลย"

   "งั้นถ้ารู้อยู่แล้วล่ะ"

   "..."

   ผมคิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างอสูรร้ายไม่มีทางปล่อยให้สิ่งที่ต้องการหลุดมือไป คำตอบรับของเขามันง่ายเสียจนความไม่เข้าใจที่มีมากอยู่แล้วทวีมากขึ้นไปอีก ถ้าเขารู้แล้วจะทำมันไปทำไมกัน

   อยากรู้เหลือเกินว่าใต้ร่างของอสูรนั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่

   "รับไปเถอะ อยากให้"

   "เราไม่กิน"

   "รับ"

   เมื่อลองคิดถึงอนาคตข้างหน้าของตัวเองแล้วการทำตามคำสั่งมันคงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ยังไม่วายปากพล่อยพูดออกไป "ทิ้งมันลงตรงนี้เลยได้ไหม"

   "เชิญ"

   "..."

   ราวกับว่าอีกคนไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความลังเล ผมเล่นตัดบทไร้เยื่อใยขนาดนั้นยังสามารถโต้กลับมาได้จนกลายเป็นผมเองที่นิ่งไป

   "เราไม่รู้ว่านายทำไปเพื่ออะไร" เป็นการเปลี่ยนความเคยชินมากกว่ายี่สิบเอ็ดวันของตัวเองเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผมเก็บมันลงกระเป๋ารวมกับของอย่างอื่น ความหนักของมันมากกว่าที่คิดเอาไว้ไม่น้อย "ช่วยบอกให้เราเข้าใจสถานะของตัวเองหน่อยได้ไหม"

   สบกับนัยน์ตาสีดำสนิทสวยงามราวกับพระเจ้าได้มอบความรักให้มากกว่าใคร เคยได้ยินหลายคนบอกว่าตาเขาสวย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้พิสูจน์คำเล่าลือนั้น

   "สักวันหนึ่งก็จะรู้เอง"


***
   น้อมรับผิดกับการหายตัวไปค่ะ... ช่วงนี้เจ้าเคลียร์หลายๆ อย่างในชีวิตให้เข้าที่อยู่ค่ะ แล้วอีกอย่างคือยังไม่ค่อยมั่นคงกับทางที่อยากให้เรื่องนี้เป็นเท่าไหร่ เลยยังไม่อยากลงถ้ายังรู้สึกว่าไม่โอเคกับมัน ก็หวังว่าตัวเองจะเจอทางที่ใช่เร็วๆ ค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tell ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สอง [12.05.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Map ที่ 08-07-2017 22:57:19
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้นะ
จะรอติดตามเสมอค่า ชอบมากทั้งการบรรยาย การดำเนินเรื่องราว ความลึกลับ  :o8:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tell ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สอง [12.05.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-07-2017 19:30:16
เรื่องนี้ดีมากกกกกก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สาม [08.08.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-08-2017 22:36:50
เรื่องเล่าที่สาม

   อย่ากังวลไปเลยที่รัก ข้าพร้อมจะตายไปกับท่าน
   - King Kojata

 

   ผมกำลังคิดถึงพล็อตอมตะในนิยายทุกยุคสมัยอยู่

   เรื่องเกี่ยวกับตัวเอกที่ความจำเสื่อมจนไม่อาจจำใครในชีวิตได้

   ค่อนข้างเป็นพล็อตที่พบได้ทั่วไปและสามารถรับรู้ได้โดยประสบการณ์ว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไปเปิดอ่านบทวิจัยทางการแพทย์ก็ได้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ส่วนมากมักเป็นความทรงจำที่หายไปชั่วคราวเสียมากกว่า

   เหตุผลที่ผมคิดเรื่องนี้อยู่เหรอ ก็เพราะกำลังมโนว่าตัวเองเป็นตัวเอกอยู่ล่ะมั้ง

   ‘ผมจะตามหาคุณจนพบ’

   คำพูดนั้นราวกับว่าเขารู้จักผมมาก่อน...

   ไม่เคยมีประวัติการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุรุนแรง ไม่เคยมีประวัติทางจิต แล้วก็ไม่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาในกรณีจำคนผิด

   นี่ผมขุดมาทุกมุกแล้วนะ

   กลิ้งไปมาบนเตียงขนาดสองคนนอนจนเบื่อ ความนุ่มของมันนอกจากไม่ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแล้วยังกล่อมให้เคลิ้มจนต้องลุกขึ้นมานั่งดีๆ ก่อนที่จะเผลอหลับไปแบบที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ภาพที่กระทบเข้าตาเป็นสิ่งแรกคือกล่องนมสีส้มบนโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเตียง ผมปล่อยให้สายตาหลุดโฟกัสจนกลายเป็นภาพเบลอไปช่วงใหญ่ถึงสะบัดหัวไล่ความคิดล้านแปดออกไป

   และพอภาพมัวนั้นหายไป เสียงของเขาก็กลับมาก้องในหัวจนยากจะลืม

   "...คุณกำลังตามหาใครอยู่เหรอ"

   เดินไปแตะตรงขอบมุมหนึ่งของกล่อง ส่งคำถามที่ไร้คนตอบออกไป

   ยังชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำทั้งใบหน้าแล้วก็น้ำเสียงยามเอ่ยคำนี้ออกมา เขาพูดต่อหน้าผม...แต่เหมือนไม่ได้ต้องการให้ผมเป็นผู้รับรู้คนเดียว ข้างในนั้นมันมีใครอื่นอยู่

   ใครสักคนที่ไม่ใช่ผม

   ...

   แล้วมันใช่เรื่องที่ต้องมาคิดมากไหมเนี่ย

   สุดท้ายก็ทิ้งมันลงไปในถังขยะข้างโต๊ะ ของเหลวที่มีความหนาแน่นมากบวกกับกฎแรงโน้มถ่วงของโลกพาเสียงตกกระทบสะท้อนกลับมาหา เดินไปนั่งพิงกับขอบหน้าต่างบานใหญ่กินพื้นที่เกือบทั้งกำแพงห้องด้านหนึ่ง มันถูกออกแบบไว้สำหรับการชมทิวทัศน์กลางคืน เพราะห้องนี้อยู่ชั้นสามที่สามารถมองออกไปได้เกือบร้อยแปดสิบองศา ส่วนข้อเสียคือตอนกลางวันต้องปิดม่านเอาไว้สนิทไม่งั้นจะกลายเป็นโชว์รูมห้องนอนสำหรับคนเดินผ่านไปมา

   บ้านในซอยเล็กมีเพียงแสงริบหรี่จากตึกคุ้นเคย ส่วนใหญ่ในซอยจะเป็นบ้านสองชั้นมีเพียงไม่กี่บ้านที่ทำตัวไม่เหมือนชาวบ้าน

   อย่างหลังที่ผมกำลังอาศัยอยู่เป็นต้น คุณพ่อและคุณแม่ของผมไม่ใช่สถาปนิก แต่ว่าเรามีญาติผู้อาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่เกือบเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นผู้ช่วยออกแบบให้

   ถ้าย้อนเวลาได้ก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องจินตนาการกว้างไกลขนาดนี้ก็ได้ ผมขอห้องธรรมดาก็พอแล้ว
   
   วิวตรงหน้าดีกว่าในห้องนิดหน่อย เหยียดขาออกให้สะดวกกับการนั่งเหม่อมองจุดไฟสีแดงจากการจราจรบนท้องถนนที่อยู่ไกลออกไป บางคนเรียกมันว่าหิ่งห้อยเมืองหลวง สว่างแต่ไร้ชีวิต

   อยู่อย่างนั้นได้ไม่นานเสียงเดิมก็กลับมาหลอนหูอีกครั้ง ถอนหายใจออกมาเสียงดังได้เพราะว่าอยู่คนเดียว เอื้อมไปหยิบหนังสือปกสวยจากห้องสมุดมาไว้ตรงตัก ท่องบอกตัวเองว่ามันสามารถช่วยให้ผมหายจากอาการฟุ้งซ่านได้

   จากที่บอกว่ามันค่อนข้างต่างจากที่เคยอ่านมาตลอดชีวิตคงใช้ไม่ได้แล้ว สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องที่วนเวียนไปมาระหว่างราชา เจ้าชาย เจ้าหญิง แม่มด ปีศาจ แล้วก็เวทมนตร์ น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่าเทพนิยายที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศจะชุดภาพความคิดเกี่ยวกับแม่มดที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร บอกเลยว่าพล็อตยอดฮิตที่สุดตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงหนึ่งส่วนสามของเล่มคือราชาแต่งงานใหม่กับหญิงม่ายที่เป็นแม่มดปลอมตัวมา

   ส่วนเรื่องที่ผมกำลังเริ่มอ่านตอนนี้เป็นเรื่องของพระราชาผู้ออกตรวจบ้านเมืองอย่างที่เคยทำ เจ้าผู้ครองนครเกิดกระหายน้ำในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ในป่า ณ ที่นั้นกลุ่มผู้ตามเสด็จได้พบกับน้ำพุขนาดใหญ่ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนพระราชาก็ไม่อาจดื่มน้ำนั้นได้

   กระทั่งหมดความอดทน พระราชาจึงยอมแพ้ ตั้งพระทัยที่จะกลับไปยังแคมป์ของเมือง หากมีผู้วิเศษคนหนึ่งสาปไม่ให้ไปไหนได้ ข้อต่อรองของอิสรภาพคือการที่พระราชาต้องมอบของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่เคยคาดฝันเมื่อกลับไปถึงเมืองให้ เพชร พลอย ทองคำ นั่นคือสิ่งที่พระราชาคิดออก โดยไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเดินทางกลับไปแล้วจะพบกับสมาชิกใหม่ในครอบครัวอย่างเจ้าชายน้อยวัยแรกเกิด

   พระราชาลืมคำสัญญาที่ให้เอาไว้เสียสนิท เวลาล่วงเลยไปจนเจ้าชายเติบใหญ่ ชายชราผู้วิเศษตนนั้นก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าชายและเล่าถึงสัญญาที่พระบิดาของพระองค์เคยให้เอาไว้ คำสัญญาของกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชายจึงนำตัวเองไปเป็นเครื่องบรรณาการตามคำสัญญาของพระบิดา

   ระหว่างทางเขาได้พบกับเป็ดสิบสามตัวว่ายอยู่ในแม่น้ำ โดยมีเครื่องแต่งกายของสตรีวางอยู่ริมสระ ด้วยความสงสัยเจ้าชายเลยหยิบมาหนึ่งชุด นั่นทำให้ความจริงปรากฎว่าฝูงเป็ดแท้จริงแล้วเป็นบุตรสาวของชายวิเศษผู้นั้น โดยชุดที่เขาถืออยู่เป็นของลูกสาวคนสุดท้อง เจ้าชายยอมคืนชุดให้กับหญิงสาว โดยได้รับคำขอบคุณเป็นการเตือนให้อย่าแสดงอาการตระหนกยามได้พบกับบิดาของตน

   ด้วยความช่วยเหลือของบุตรคนเล็ก ผู้วิเศษจึงพึงพอใจในตัวของเจ้าชายไม่น้อย ในขั้นแรกผู้วิเศษออกคำสั่งให้เจ้าชายสร้างปราสาทหินอ่อนภายในหนึ่งวัน สิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงถูกเนรมิตด้วยฝีมือของบุตรสาวคนสุดท้อง ขั้นที่สองเป็นการตามหาตัวบุตรสาวคนเล็กจากบรรดาบุตรสาวทั้งสิบสามคน คราวนี้เจ้าชายสามารถชี้ตัวได้ถูกต้องเนื่องจากหญิงสาวได้ทำรอยตำหนิเอาไว้บริเวณใบหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกต
   
   คำบัญชาทั้งสองครั้งผ่านไปอย่างง่ายดายด้วยฝีมือการแก้ไขปัญหาของลูกสาวคนสุดท้อง และในครั้งล่าสุดเช่นกัน ผู้วิเศษสั่งให้เจ้าชายเย็บรองเท้าให้คู่หนึ่งซึ่งมีความพอดีกับขนาดของตน เจ้าชายผู้จนปัญญาในการตามหาขนาดเท้าของผู้วิเศษได้รับความช่วยเหลืออีกครั้ง โดยลูกสาวได้เสกให้มีหิมะจำนวนมากสุมบริเวณรอบปราสาท เมื่อบิดาของตัวเองเดินออกไปภายนอกจึงทิ้งรอยเท้าเอาไว้

   เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้เตือนให้นอนได้แล้วดังขึ้นคั่นจังหวะ ในช่วงหลังผมต้องปรับเปลี่ยนนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้เข้าที่มากขึ้นหน่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็อ่านหนังสือเพลินกว่าจะรู้ตัวตีสองตีสาม ในห้องเองก็ไม่มีนาฬิกาคอยบอกเวลาหลังจากเรือนเก่าได้ทำการสละชีพไปได้สักพักแล้ว

   เอาที่คั่นกระดาษสามาเสียบเอาไว้ วางมันลงบริเวณขอบหนึ่งของหน้าต่างเผื่อไว้สำหรับการพักผ่อนในค่ำคืนต่อไป ห้องที่มีการวางผังเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างดีดับลงพร้อมกันเมื่อผมป้อนคำสั่งตรงหัวเตียง ซุกตัวลงในผ้าห่มผืนใหญ่ ปล่อยให้ตัวเองได้จมอยู่กับความเงียบสงัดรอบตัวเช่นเดียวกับทุกวัน

   ในราตรีนั้นผมเข้าสู่ห้วงนิทราพร้อมคำถามหนึ่งในใจ

   จะมีใครสักคนไหมที่พร้อมสละทุกอย่างเพื่อผมเช่นนี้
 


   หลังจากเป็นผู้ครอบครองมุมลึกของห้องสมุดคนเดียวกลายเป็นสามคนเสียอย่างนั้น เคยเสนอไปว่าให้ต่างคนต่างทำในส่วนของตัวเองไปแล้วค่อยมารวบรวมทีเดียวจะได้ไม่ต้องมาพบปะพูดคุยกันมาก ก็ไม่ได้พูดอย่างนั้นออกไปตรงๆ ใช้คำอ้อมประมาณว่าถ้าอีกฝ่ายไม่สะดวกจะได้ไม่เกิดปัญหา

   กลายเป็นธชาบอกว่าสะดวกเสมอสำหรับการมาทำงานที่นี่ด้วยกัน

   “ไปกินข้าวด้วยกันต่อเลยสิ”

   “...”

   มองหน้าผู้ชายสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกันไปมา อ้าปากเตรียมปฏิเสธอย่างที่ทำมาโดยตลอด

   “เลือกร้านไว้เลยแล้วกัน”

   และไม่มีช่องให้ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เลย

   จะพูดว่าชินมันก็ได้อยู่ อย่างที่เคยบอกเรื่องความเคยชินจากการทำอะไรซ้ำๆ ไง พอต้องเจอหน้าเขาทั้งคู่อยู่ทุกเย็นในวันที่มีเรียนมันก็คลายความกระดากในฐานะคนแปลกหน้าลงไปมาก ผมไม่ค่อยแปลกใจที่เจอธชาเพราะว่าเขาเป็นคู่ทำงานของผม แต่ว่ากับเชนนี่ผมก็เคยหลุดประชดไปเหมือนกันว่าย้ายมาเรียนคณะอักษรตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เคยเห็นเขาสองคนห่างกันสักที

   ตอนนี้เราตกลงกันได้แล้วว่าจะทำเรื่องไหน จากการที่ได้ตะลุยอ่านมาเกือบสัปดาห์จนเกือบแยกซับเซตของรูปแบบเทพนิยายได้แล้วเราก็พบว่าควรกลับมาอยู่กับเรื่องราวของเทพนิยายที่คนคุ้นเคยในระดับหนึ่งดีกว่าไปเลือกเรื่องที่อยู่ในหลืบ หนึ่งคือมันง่ายต่อการหาข้อมูล และสองคือมันช่วยให้เรามั่นใจได้มากขึ้นว่าเรื่องที่ตัวเองอ่านมันเข้าใจตรงกับผู้เขียน อย่างบางเรื่องที่มีเนื้อหาเกือบเหมือนกันแตกต่างกันไปตรงรายละเอียดไม่สำคัญบางส่วน ผมไม่อยากจะมานั่งไล่หาว่าเรื่องราวที่แท้จริงประเทศไหนเป็นต้นตำรับ

   มันเรื่องที่เหมาะกับคนเป็น ‘อสูร’ มากที่สุด

   เดาได้ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ

   พวกผมสรุปว่าจะเลือกเรื่อง Beauty and the Beast ในการทำงานโดยมีมติเป็นเอกฉันท์สามต่อศูนย์เสียง

   จะเรียกว่าเล่นง่ายมันก็ใช่แหละ อาจารย์เองก็ไม่ได้ห้ามให้ทำซ้ำหัวข้อกันด้วย ตอนที่พวกผมกรอกหัวข้อลงไปในแบบฟอร์มเพื่อนคนเดิมยังเดินมาบอกเลยว่ามันก็เหมาะกับพวกผมดี

   “โหย เพิ่งรู้ว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้นิทานชาติอื่นด้วย” ท่ามกลางความเงียบเสียงแทรกอย่างนี้มักเกิดขึ้นเป็นปกติ เชนสมาชิกในกลุ่มคนที่สามทำหน้าตื่นเต้นพลางไล่ไปตามบรรทัด จากนั้นไม่นานมันก็แปรเป็นการขมวดคิ้วก่อนจะปิดมันลง “...แทบจะลอกมาเลยนี่”

   หัวเราะเบาๆ ให้กับการวิจารณ์ชุดต่อมา ได้รู้แล้วว่าการเรียนไม่ควรผูกติดอยู่กับความถนัดในทางใดทางหนึ่ง เชนเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ เอกปิโตรเคมีอะไรทำนองนั้น บอกง่ายๆ ว่าอยากเรียนอะไรที่คนอื่นเขาไม่ค่อยสนใจจะได้ไม่ต้องเจอผู้คนมาก แต่ยังต้องทำเงินได้เยอะอยู่

   ยอมใจกับความคิด

   รู้อย่างหนึ่งแล้วก็ตั้งคำถามต่อไป ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ผมไม่ได้โอเวอร์นะ นอกจากคาบเรียนที่แตกต่างกับไปตามคณะและความถนัดแล้วพอได้สังเกตจริงถึงพบว่าในเวลาว่างที่เหลือทั้งหมดผมต้องเจอเชนอยู่ข้างธชาเสมอ

   ไม่เคยมีใครตั้งข้อสังเกตเลยเหรอว่าเพื่อนสนิทนี่ต้องตัวติดกันขนาดนี้เลยไหม ผมบอกแล้วว่าตัวเองไม่มีเพื่อนเท่าไหร่เลยไม่เข้าใจฟีลนั้น ไปไหนมาไหนคนเดียวจนไม่ชินกับการรอคนอีกสองให้เดินไปพร้อมกัน

   “แล้ววันนี้ต้องหาอะไรเพิ่มอีกไหม ไม่อย่างนั้นก็ออกเร็วหน่อยแล้วกัน ร้านข้าวคนจะได้ไม่เยอะ”

   “ไปเลยก็ได้”
   
   ทั้งหมดนั้นไม่มีเสียงของผมเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ ได้แต่ปลงแล้วก็เก็บความรู้สึกเบื่อหน่ายของตัวเองเอาไว้ข้างในคนเดียว ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมด้วยการเก็บเครื่องเขียนทั้งหมดลงกระเป๋า นี่ต้องแวะไปซื้อปากกาแท่งใหม่ด้วย ตั้งแต่เปิดเทอมมานี่มีรายงานที่ต้องเขียนด้วยลายมือส่งมากจนลืมเช็กว่าน้ำหมึกใกล้หมดแล้ว

   เชนขับรถมาเรียน นั่นช่วยให้การเดินทางในช่วงเย็นของเราไม่ต้องอาศัยรถโดยสารสาธารณะที่อาจต้องใช้เวลามากกว่าชั่วโมงในการพาเราทั้งสามคนไปยังจุดหมาย คนรู้ตำแหน่งของตัวเองดีอย่างผมเลยหยุดรออยู่ตรงประตูหลัง ปล่อยให้เพื่อนสนิทสองคนนั่งข้างหน้าไปแทน

   ถึงอย่างนั้นตอนที่เสียงปิดประตูบานสุดท้ายจบลง มันกลายเป็นว่าเบาะหลังที่ควรมีผมเพียงคนเดียวกลับมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้านขวามือ

   “กูไม่ใช่คนขับรถ”

   “แล้วจะให้แฟร์นั่งข้างหลังคนเดียวเหรอ"

   “ใช่”

   “ขับไปซะ”

   เรียกได้ว่าเป็นบุญอยู่เหมือนกันที่ได้ยินได้เห็นอะไรอย่างนี้ บรรยากาศการพูดคุยระหว่างอสูรกับคนสนิทมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น จะเป็นเชนที่ชอบแหย่แล้วธชาก็จะตบกลับนิ่งๆ ตามสไตล์ของเขานั่นแหละ

   ผมเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง คงเป็นเพราะไม่คุ้นกับเส้นทางสิ่งที่เห็นมันเลยดูแปลกประหลาดในบางความรู้สึก เสียงเพลงช่องไทยไม่ค่อยคุ้นหูจากนิสัยไม่ชอบตามข่าวสารของตัวเอง ก็ถ้าขึ้นรถเมล์มันจะมีอยู่สองออฟชันให้ หนึ่งคือเพลงโจ๊ะลั่นรถอย่างกับแหล่งมั่วสุมเคลื่อนที่ หรือไม่ก็จะมีเสียงของกระเป๋ารถเมล์บอกชื่อป้ายเป็นระยะไป

   “นี่บอกแฟร์แล้วใช่ไหมว่าเราจะไปกินที่ไหน” เป็นเชนที่ถามขึ้นมาตอนเราติดไฟแดง

   “ยัง”

   เพิ่งรู้สึกตัวสินะว่าลืมอะไรไป

   “ไอ้...” เสียงก่นด่ามาเพียงต้นสาย หลังจากนั้นมันเบาจนผมแทบจับใจความไม่ได้ “เดี๋ยวเราไปกินตรงหลังมหาลัยกันนะ ปกติกินข้าวเย็นเยอะไหม”

   "แล้วแต่สถานการณ์"

   ถ้าลืมทานข้าวกลางวันก็สั่งเยอะหน่อย สมมุติว่าเผลอกินขนมตอนคาบบ่ายมากไปก็ลดเหลือแค่ของกินเล่น การกินให้ชีวิตตัวคนเดียวผ่านไปอีกหนึ่งวันไม่ต้องไปละเมียดละไมกับมันมากนักหรอก

   "ต้องกิน"

   ตั้งแต่เขาพูดกับผมมานี่เป็นการสั่งไปแล้วกี่ครั้งกัน เกือบจะคลุมเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของการเปิดปากเลยมั้ง "เราบอกแล้วว่าแล้วแต่อารมณ์ตอนนั้น"

   "จากนี้ต้องกิน"

   "อย่ามาสั่งเรา"

   ได้ยินเสียงผิวปากหวือตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ขอบอกเลยว่าถึงจะดูเป็นมนุษย์จำพวกไม่สู้คนแต่ความจริงแล้วถ้ามันเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกของตัวเองผมสู้ไม่ถอย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นอสูรก็ตามที ถ้าผมไม่ใช่ลูกน้องบริวารหรือว่าคนในโอวาทเขาก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่ง

   เรามาทานร้านอาหารกึ่งตามสั่งกัน คือมีเมนูประจำอยู่แล้วตายตัว เสริมด้วยตัวเลือกพิเศษถ้าอยากได้อะไรพลิกแพลงก็บอกได้ เก๋อยู่เหมือนกัน

   "เคยมากินไหม"

   "ไม่เคย คนละทิศกับทางกลับบ้าน"

   ผมใช้ชีวิตโดยอาศัยศูนย์อาหารขนาดใหญ่แถวบ้านมากกว่า พออยู่นอกเมืองหน่อยมันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริโภค แล้วก็ยังได้ปริมาณที่มากกว่าด้วย

   "ดีเลย พามาเปิดหูเปิดตา"

   เชนพูดเก่งกว่าธชา ทุกประโยคจะเป็นการเปิดประเด็นจากผู้ชายลุกอบอุ่นคนที่ผมขอย้ำคำเดิมว่าไม่น่าเข้าใกล้ มีเจ้าอสูรคอยตอบในบางประเด็นที่เกี่ยวกับตัวเอง นอกนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องสัพเพเหระ

   ร้านที่ว่าก็เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เรียงรายต่อกันไปภายในพื้นที่ที่ถูกจัดไว้เพื่อเป็นศูนย์อาหาร ผมก้มหน้าทำเป็นไม่มองสายตาคนรอบข้าง ถึงไม่ใช่คนดังแต่ธชาก็สะดุดตาคนเดินผ่านไปมาได้อยู่ดี ผมชินแล้วล่ะพอต้องทำงานกับเขาเป็นเวลาพอสมควร

   "แฟร์ไม่กินนี่ล่ะ"
   
   นี่ที่เขาว่าคือต้มแซบกระดูกอ่อนที่ใส่หมูสับมาแทน แม้ไม่มีสีแดงจัดแต่เม็ดพริกที่ลอยอยู่ก็ไม่น่าดึงดูดใจเลยสักนิด ผมส่ายหน้าไปมาพลางอธิบายเหตุผล "ไม่กินเผ็ด เป็นพวกจืดชืด"

   "ถึงว่าไม่ปรุงอะไรเลย"

   ยังมีมนุษย์ที่ไม่ปรุงอาหารทุกชนิดอยู่บนโลกเยอะไหมนะ ทำไมผมถึงกลายเป็นตัวประหลาดเวลาไปทานอะไรสักอย่างแล้วไม่เคยแตะกล่องเครื่องปรุงไปได้ อาหารทุกชนิดมันได้รับการปรุงมาอย่างดีจนกลายเป็นรสชาติที่เหมาะสมที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ การที่ยัดพริกและน้ำตาลไม่สนใจโลกนั่นเป็นการหยามเกียรติคนทำอาหารชัดๆ

   "อืม มันก็ดีอยู่แล้ว"

   "เราว่าร้านนี้จืด ต้องใส่เผ็ดหน่อย" ไอ้คำว่าหน่อยที่ใช้มันคือการตักพริกป่นพูนช้อนใส่ลงไปในต้มแซบเพิ่ม "อย่างชามันชอบกินเผ็ด"

   "กูกินได้หมด"

   "เหรอ"

   "ส่วนมึงน่ะ เงียบแล้วกินไปซะ"

   ช่างเป็นมื้อเย็นนี่น่าภิรมย์เสียเหลือเกิน

   "นี่เราทำตามสำนวนไทยไง กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่"

   การมาทานอาหารเย็นกับพวกเขาสองคนไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อเราจบมื้ออาหารแล้วเชนก็เดินนำไปยังร้านของหวานที่เพิ่งเปิดใหม่ (ตามที่ธชาบอก) ไม่ไกลจากร้านอาหารตามสั่ง

   ใครบ้างไม่เคยได้ยินคำพูดนั้น นั่นมันเป็นสำนวนที่ใช้แบ่งแยกระหว่างชนชั้นเพราะคนในสมัยก่อนถ้าไม่ใช่พวกมีอันจะกินแล้วก็ไม่ค่อยสนเรื่องอาหารกันหรอก ต่างจากพวกมีเศรษฐีที่จะมีอาหารทั้งคาวหวานเสร็จสรรพ ไม่ได้หมายความว่าถ้ากินอาหารมื้อคาวเสร็จแล้วไม่มีของหวานต่อจะกลายเป็นพวกไพร่เสียหน่อย

   น่าจับส่งไปเรียนภาษาไทยใหม่ทั้งคู่เลย

   "แฟร์ชอบช็อกโกแลตหรือสตรอว์เบอรีมากกว่ากัน"

   "ไม่ชอบทั้งคู่"

   "เอาสตรอว์เบอรี"

   เสียงแรกคือคนที่ยังไม่หยุดพูด ตามมาด้วยการตอบจากผม ตบท้ายก็เหลือแค่ธชาอยู่คนเดียว ถ้าจะเจ้ากี้เจ้าการขนาดนี้ทีหลังไม่ต้องหันมาถามผมหรอก อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ

   "มึงก็ได้ยินว่าแฟร์บอกไม่ชอบ"

   "แต่กูจะกิน"

   "มะม่วงแล้วกัน"

   ตลกดีเหมือนกันตอนได้ยินธชาสวดส่งเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยถ้อยคำหยาบคาย เชนเดินตัวปลิวไปสั่งสินค้าหน้าเคาท์เตอร์โดยปล่อยให้ผมต้องยืนอยู่ข้างอสูรลำพัง สายตาผมสอดส่องไปยังบริเวณอื่นโดยอัตโนมัติ หาที่นั่งภายในร้านขนมหวานที่เต็มแล้วเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์

   "ทางนี้มีโต๊ะว่าง"

   เลยต้องเดินตามผู้นำไปไม่ปริปาก เราได้ที่นั่งตรงกลางๆ ของร้าน เป็นโต๊ะไม้ตัวยาวสำหรับสี่ที่ รอบข้างขนาบด้วยกลุ่มของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกัน พอผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ของตัวเองสิ่งแรกที่ทำคือการเปิดกระเป๋าหาหนังสืออ่านเล่นที่มักจะติดเอาไว้เผื่อสำหรับเหตุการณ์อย่างนี้เสมอ เน้นไปทางหนังสือเล่มเล็กที่พกพาง่าย อ่านไม่นานก็จบ

   "แปลกดี เดี๋ยวนี้พอว่างหน่อยใครเขาก็หยิบมือถือขึ้นมาดูกันแล้ว นี่แฟร์เอาหนังสือมาอ่าน" เชนคนเดิมเพิ่มเติมคือถือถาดของหวานขนาดใหญ่มาด้วยทัก

   "ไม่ชอบใช้โทรศัพท์ แล้วก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาอยู่แล้ว"

   "ให้เราโทรไปหาไหม?"

   เหล่มองใบหน้ากึ่งเล่นกึ่งจริง เชนินทร์เติมความไม่น่าเชื่อถือให้ประโยคด้วยการยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้น "ไม่เป็นไร ขอบคุณ"

   "โทรได้นะ ปกติใช้ค่าโทรไม่เคยเกินเลยสักเดือน"

   "ขอบคุณ ไม่เป็นไร"

   ใช้คำเดียวกับที่เคยบอกกับธชาอีกครั้ง ผมปั้นหน้าเฉยชาเสร็จก็ก้มลงมาอ่านหนังสือต่อ ไม่คิดจะกินของหวานเหมือนกับสองคนที่เหลือ ยังไม่ทันได้พลิกหน้าถัดไปมันก็มีที่คั่นหนังสือขนาดใหญ่มาวางทับเอาไว้ เครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหม่ค้างไว้ตรงหน้าโทรออก ผมช้อนตาขึ้นมามองคนฝั่งตรงข้าม ใช้สายตาแทนการถามออกไป

   "กดเบอร์แล้วเมมเลย"

   "ไม่"

   "ศูนย์แปด ศูนย์เก้า หรือศูนย์หก"

   "ไม่ได้เอามือถือมา จำเบอร์ไม่ได้"

   "โกหก" นัยน์ตาคนขี้เล่นแปรเป็นคมกริบไม่ต่างจากของเพื่อน "สมัยนี้ใครไม่พกโทรศัพท์กัน"

   ผมคุมอารมณ์ไม่พอใจที่ปนเปไปกับความรู้สึกรำคาญเอาไว้ข้างใน ทำไมเชนินทร์ต้องมาเซ้าซี้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองขนาดนี้ด้วย

   “เราไง”

   “มีชีวิตอยู่ได้ยังไง”

   “ก็ยังเห็นนั่งอยู่ตรงนี้นี่”

   ไม่ชอบเริ่มสงครามก่อน และไม่ใช่ว่าจะยอมหลบอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเสมอไป ถ้ายังหาเรื่องผมอยู่เราก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องญาติดีกัน

   “หึ” มุมปากที่ยกขึ้นคล้ายกำลังเย้ยหยันบางสิ่ง “ก็ไม่รู้สินะ มันอาจเป็นแค่เรื่องหล...”

   “ก็แค่พูดเล่น ทำไมต้องทำคิ้วขมวด”

   การประชันผ่านสายตาแล้วก็คำพูดเริ่มไปได้ไม่เท่าไหร่ทั้งตัวผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้รับสัมผัสอ่อนโยนตรงระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วของอสูรจิ้มตรงนั้นสองสามครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นนวดเบาๆ พอให้ผ่อนคลาย ผมสูดลมหายใจลึกโดยหวังว่าออกซิเจนที่เข้าไปจะช่วยลดจังหวะการบีบตัวของเส้นเลือดบริเวณหัวใจได้มากขึ้น

   เมื่อปลายประสาทตรงนั้นไม่มีสิ่งใดไปกระตุ้นต่อผมถึงบอกกลับ "ไม่ชอบ"

   "เชนมันชอบแหย่"

   แค่นหัวเราะให้การอธิบายนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่าเชนไม่น่าเข้าใกล้จนคำว่า 'เป็นคนชอบแหย่' ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด

   "ใช่..." ท้ายเสียงถูกลากให้ยาวกว่าปกติ นัยน์ตาแพรวระยับที่มองตรงมาที่ผมไม่น่าไว้วางใจเหมือนตัวของเขาเอง "เวลาเห็นเปลือกนอกค่อยๆ กะเทาะออกมา มันสนุกจะตายไป"


 
   พอเสร็จภารกิจทุกอย่างในวันนี้ก็กลับมานั่งอยู่ตรงพื้นที่เดิมตรงริมหน้าต่าง หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดหน้าที่มีที่คั่นทำมืออันเก่าเก็บแทรกเอาไว้ เป็นของที่ระลึกจากการเยี่ยมชมงานโอเพ่นเฮาส์สมัยมัธยมปลายของโรงเรียนอื่นที่ห่างออกไปจากสถานศึกษาของตัวเองครึ่งค่อนเมืองตามคำชวนของบางคน

   คนที่ตอนนี้อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล...

   จากที่คิดว่าจะอ่านหนังสือเลยกลายเป็นจ้องกระดาษเคลือบพลาสติกแข็งในมือแทน กระดาษสาสีครีมสว่างตัดกับตัวดอกไม้แห้งที่ผ่านการถนอมให้อยู่ในสภาพดี ตอนที่ทำก็มีคนมาอธิบายเรื่องกรรมวิธีอยู่เหมือนกัน มีไม่กี่ขั้นตอนแต่ก็ลืมไปหมดแล้ว

   พลิกไปดูด้านหลัง ตรงมุมขวาล่างของกระดาษทรงเหลี่ยมมีลายมือของผมเขียนเลขหกหลักเอาไว้ เรียงจากเดือน วันแล้วก็ปี มันช่วยบอกผมว่าสิ่งนี้กำเนิดขึ้นจากฝีมือของผมเมื่อไหร่ตามคำแนะนำของใครคนเดิมคนที่ให้ความรู้เรื่องการประดิษฐ์ ตอนนั้นไม่น่าบ้าจี้เขียนลงไปตามเลยแฮะ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่หลุดคำนวณไปเองว่าวันเวลาที่ดีผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

   เสียงเครื่องยนต์ปลุกให้หลุดจากภวังค์ความคิด ผมตวัดหน้าลงไปมองจุดสีแดงขนาดใหญ่เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่เห็นรายละเอียด มันเป็นรถจักรยานยนต์ปรับแต่งคันใหญ่ของบ้านหลังสุดในซอย พอดึกหน่อยก็จะเริ่มออกอาละวาดไม่สนใจผู้คน จะร้องเรียนก็ไม่ค่อยได้ผลเพราะว่าซอยที่เคยมีผู้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตอนนี้มันบางตาลงไปเยอะ พอความเจริญไม่เข้ามาสู่ภายในหมู่บ้านมันเลยทยอยกลายเป็นบ้านร้างทีละหลังสองหลัง ตอนนี้เหลืออยู่ห้าหลังเองมั้ง บอกไปนอกจากเสียงจะไม่ลดลงแล้วอาจอันตรายต่อชีวิตอีกต่างหาก

   เป็นครั้งแรกที่ต้องขอบคุณเสียงรบกวน ผมวางที่คั่นทำมือไว้ข้างตัว เริ่มอ่านต่อจากส่วนที่ค้างเอาไว้เมื่อคืนก่อน เมื่อเจ้าชายสามารถตอบคำถาม (ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าหญิง) ได้ครบทั้งสามข้อ ทั้งคู่ต่างตกลงที่จะหนีออกไปจากปราสาทแห่งนี้ด้วยกัน แล้วก็มีปัญหาตอนกลับเมืองอีกนิดหน่อย แต่สุดท้ายแล้วก็ครองรักกันนิรันดร์

   "..."

   โคตรไม่เป็นเหตุเป็นผลอีกแล้ว เรื่องแบบนี้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกสืบทอดต่อกันมาทำไมนะ ผมว่ามันควรหายไปกับกาลเวลาอย่างเดียวเลย

   เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารช่วยบอกผมว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหว เพราะว่ามันเป็นส่วนเดียวที่ผมเปลี่ยนคำสั่งให้แจ้งเตือนตลอดเวลา เฉพาะกับสิ่งนี้เท่านั้นที่ผมให้ความสำคัญในระดับเหนือกว่า

   หยิบกระเป๋าเป้ใบเดียวของตัวเองขึ้นมา เปิดช่องด้านหลังสุดเพื่อหยิบสิ่งที่เพิ่งส่งเสียงร้องเตือน ด้านล่างสุดบอกว่านอกจากการแจ้งเตือนครั้งล่าสุดแล้วมันมีสายที่ไม่ได้รับจำนวนสี่สายจากเบอร์แปลกหนึ่งรายการ ผมท้าพนันเลยก็ได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้น

   การเตือนบอกผมว่าในห้องสนทนาบนแอปพลิเคชันออนไลน์มีสมาชิกส่งรูปภาพมาให้พร้อมกับข้อความยาวเหยียดต่อท้าย ผมเปิดเข้าไปดูรูปแล้วยิ้มให้กับหน้าจอคนเดียว มือเปลี่ยนไปกดคำสั่งบันทึกรูปภาพจากนั้นถึงกลับมาไล่อ่านข้อความตัวอักษร เมื่อสรุปใจความได้แล้วถึงส่งกลับไปด้วยความยาวไม่แพ้กัน


***
   อ่า...ตอนเปลี่ยนวันที่ตรงหัวข้อก็นึกไม่ถึงเลยค่ะว่าจะหายไปนานขนาดนี้ จะพยายามให้มันไม่นานเท่านี้แล้วค่ะ
   ตอนนี้ก็คิดว่าโครงเรื่องนี้เสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว มีทิศทางที่จะให้ไปค่อนข้างชัดเจนแล้วล่ะ สำหรับเทพนิยายในแต่ละตอนเจ้าจะพยายามให้มันตรงตามเนื้อเรื่องเดิมมากที่สุดนะคะ อาจมีผิดพลาดบ้างจากความไม่ถนัดทางด้านภาษาของเจ้า หรือว่าการดัดแปลงเพื่อให้มันเข้ากับเนื้อเรื่องค่ะ ตรงไหนที่เจ้าดัดแปลงก็จะอธิบายเอาไว้ให้ชัดเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดนะคะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สี่ [29.08.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 29-08-2017 22:19:55
เรื่องเล่าที่สี่

   ใยเจ้าจึงกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนก หากไม่อาจโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
   - Peter and the Wolf

 

   มันเป็นวันอาทิตย์ที่แสนธรรมดาสำหรับผม ตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมของใส่บาตร หลังจากเสร็จกิจวัตรประจำวันหยุดแล้วก็ไล่เรียงงานที่ต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการซักและตากผ้า ส่วนภาคบ่ายตั้งใจว่าจะจัดการรายงานส่วนของตัวเอง แต่ตอนที่พาตัวเองมายังโต๊ะเขียนหนังสือตัวประจำดันนึกถึงอะไรบางอย่างออก

   ผมยังไม่ได้ซื้อปากกาแท่งใหม่เลย

   เป็นคนโรคจิตที่ไม่ชอบใช้เครื่องเขียนยี่ห้อใหม่ จะใช้แต่สิ่งเดิมซ้ำๆ จนกว่ามันจะหาซื้อไม่ได้ ลองซื้ออย่างอื่นมาใช้แล้วก็รู้สึกติดขัดไปหมด หัวปากกาใหญ่ไป สีไม่สวย ตวัดแล้วไม่คม สารพัดข้อติที่จะเอามาใช้เพื่อหลอกตัวเองว่าคงไม่มีแบบไหนดีเท่าที่ใช้อยู่

   ช่วงบ่ายเลยออกมาเจอแดดแรงราวกับกลางฤดูร้อนเพื่อมาจบที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ต้องเลือกเดินทางเข้ามาเพราะแถวบ้านไม่มีร้านที่ขายปากกายี่ห้อนี้

   เดินเข้าร้านหนังสือที่มีขายอุปกรณ์เครื่องเขียนด้วย ไม่ชอบเข้ามาในช่วงวันหยุดเพราะจะมีเด็กตัวน้อยเดินไปมาจนน่าปวดหัว พาตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าโซนของใช้ที่ตัวเองต้องการ หัวเสียจนอยากสบถออกมาให้คนอื่นได้ยินเมื่อเห็นว่าช่องใส่ไส้ปากกาสีน้ำเงินดำของตัวเองว่างเปล่า

   เป็นอย่างนี้ทุกที

   จะไม่เจ็บใจเลยถ้าหัวแบบศูนย์จุดห้ามีจนเต็ม ส่วนศูนย์จุดสามแปดแบบที่ผมใช้ว่างเปล่า นี่พระเจ้ากำลังโกรธแค้นอะไรผมอยู่หรือเปล่านะ แค่ของราคาไม่เท่าไหร่ยังเสกให้ผมไม่อาจจับต้องมันได้เลย

   หลอกตัวเองด้วยการหยิบวัตถุในช่องศูนย์จุดห้าขึ้นมาดูว่ามีหลงติดไปบ้างหรือไม่ จนต้องยอมรับความจริงและเปลี่ยนแผนเพื่อไม่ให้การออกมาถึงที่นี่ของตัวเองเสียเปล่า ใช้สีน้ำเงินธรรมดาไปก่อนก็ได้ ไว้หมดเมื่อไหร่ค่อยมาซื้อแบบเดิม

   "มาทำอะไร?"

   เกือบทำปากกาในมือร่วงเพราะเสียงเย็นๆ แบบนั้น ความสูงของอีกฝ่ายมีความแตกต่างจากผมพอสมควรจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ระหว่างที่ยังย้ายสติจากส่วนของการเลือกหาปากกามาสู่การตอบคำถามก็กวาดตาสำรวจการแต่งกายไปพลาง

   วันนี้ธชามาในชุดลำลองแปลกตา เพราะมหาวิทยาลัยของเรามีกฎระเบียบเรื่องการใส่ชุดนักศึกษามาเรียนการได้พบคนรู้จักในชุดไปรเวทมันเลยไม่คุ้น เสื้อยืดสีเทาสกรีนโลโก้เล็กๆ ตรงอกซ้ายกับกางเกงยีนส์พอดีตัว มีสายเงินร้อยอยู่ตรงหูกางเกง รสนิยมดีใช่เล่น

   "ซื้อไส้ปากกา" ชูไส้ปากการีฟิลในมือขึ้นให้เขาเห็นชัด ใบหน้าเรียบเฉยมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบริเวณคิ้วข้างหนึ่งเหมือนกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

   "แต่ปกติไม่ได้ซื้อสีนี้"

   "...หมดน่ะ"

   เว้นช่องว่างให้สูดอากาศเข้าไปก่อนตอบ ผมไม่กล้ามองหน้าชายผู้ไม่ต่างอะไรกับอสูรร้ายในคราบของมนุษย์ยามที่เกิดความตะขิดตะขวงในใจว่าเขาจำได้ถึงสีปากกาที่ผมใช้เลยเหรอ

   "ไปที่อื่นไหม" ที่อื่นจากคำอธิบายเพิ่มเติมคือร้านขายเครื่องเขียนขนาดใหญ่บนถนนที่ถัดออกไปอีกสองเส้น "ไปด้วยได้"

   "ไม่เป็นไร ใช้ไปก่อนแหละ"

   ไม่แน่ใจว่าเลิกนำเข้าแล้วหรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมสังเกตมาสักพักแล้วล่ะว่ามันค่อนข้างจะบางตาไปเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยแฮะ การตามหาปากกาที่เหมาะกับตัวเองได้สักแท่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

   "ธชามาซื้ออะไรล่ะ"

   "หนังสือ"

   ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่นี่ก็จำหน่ายหนังสือเหมือนกัน

   "ขยัน"

   "คงไม่เท่าคนที่อยู่ห้องสมุดทุกวัน"

   "ประชดเหรอ เห็นอยู่ว่าไปทำอะไร"

   "ก็เพราะเห็นอยู่ทุกวันเลยรู้ไง"

   ประโยคนั้นอาจน่าประทับใจสำหรับสาวน้อยวัยสดใส ธชาเป็นผู้ชายที่มีความน่าสนใจในระดับต้นๆ ของเอก ครบทั้งรูปลักษณ์แล้วก็ฐานะ ต้องขอโทษด้วยที่ตรงนี้ไม่ใช่สาวน้อยอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้า ฟังแล้วนอกจากไม่ใจเต้นแล้วยังพาความน่าสะพรึงตามมาอีก

   "เราไม่ประทับใจหรอกนะ"

   "งั้นต้องทำแบบไหนล่ะ"

   "อย่าทำอะไรเลยดีที่สุด" เทียบไส้ปากกาที่อยู่ในมือเป็นครั้งสุดท้าย เลือกอันที่สองจากทางขวาเพราะว่ามันมากที่สุด ผมไม่ชอบซื้อเผื่อเอาไว้เยอะๆ ไว้หมดเมื่อไหร่ค่อยออกไปซื้อเพิ่ม "ไปล่ะ"

   ยกมือขึ้นบอกลาแบบทุกที เดินลัดเลาะตามช่องต่างๆ ไปจนถึงเคาท์เตอร์จ่ายเงิน ผมวางสินค้าลงบนที่ว่าง หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเตรียมหาบัตรสมาชิกแล้วก็เงินสด

   "จ่ายรวมเลยใช่ไหมคะ?"   

   คำถามที่แปลกไปกว่าทุกครั้งเรียกให้ผมต้องรีบยกหน้าขึ้นมามอง และในขณะที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักอีกเสียงก็ตอบกลับไปก่อนแล้ว

   "ครับ"

   ถึงเห็นว่าบริเวณที่เคยมีเพียงไส้ปากกามันถูกเพิ่มเติมด้วยหนังสือวรรณกรรมภาษาต่างประเทศหนึ่งเล่ม พร้อมกับธนบัตรสีเทาหนึ่งใบบนนั้น

   "มีบัตรสมาช..."

   "จ่ายแยกครับ"

   สงสารพนักงานอยู่เหมือนกันที่ต้องมาเจอกับลูกค้าอย่างเราสองคน ผมแยกเอาสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมาซื้อออกจากของของอีกคน ส่งสัญญาณว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้ามายุ่งกับส่วนของผมเด็ดขาด "นี่บัตร"

   "แต่ถ้าใช้บัตร หนังสือลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะคะ"

   "..."

   พอได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็ไม่กล้ายืนยันความต้องการของตัวเอง มันคงดูเป็นพวกคนแล้งน้ำใจเกินไปหน่อยใช่ไหมล่ะ ผมแอบเห็นมุมปากข้างหนึ่งของธชายกขึ้นเล็กน้อย เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เห็นได้ไม่ค่อยบ่อยนัก

   "แฟร์คงไม่ใจร้ายหรอกใช่ไหม"

   "อยากให้เป็นไหมล่ะ"

   "ทำอย่างนั้นกับเราลงเหรอ"

   คำอุทานเบาๆ จากพนักงานส่งสัญญาณให้ผมรีบทำอะไรบางอย่างก่อนที่ทุกอย่างมันจะกู่ไม่กลับ "คิดรวมไปเลยครับ"

   อีกฝั่งหนึ่งของเคาท์เตอร์คงอยากให้ลูกค้าที่น่าปวดหัวอย่างผมหายไปเร็วที่สุด สินค้าทุกชิ้นถูกตรวจสอบราคาแล้วใส่ลงไปในถุงเดียวกัน ผมปล่อยให้คนอยากหาเรื่องเสียเงินจัดการในส่วนที่เหลือไป ตัวเองเก็บบัตรสมาชิกใส่กระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวออกไปรอนอกร้าน

   "นี่ค่าปากกา" เตรียมเงินให้พอดีกับค่าสินค้าของตัวเอง เป็นการแลกเปลี่ยนที่เข้ากับกับนิยามเศรษฐกิจในโลกของทุนนิยมอย่างแท้จริง การใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

   "หักลบไปกับส่วนลดแล้วกัน"

   "ไม่เป็นไร"

   ไม่อยากมีข้อข้องเกี่ยวกับเขาไม่ว่าจะเป็นเรื่องแค่นี้ก็ตาม ธชาปรายตามองธนบัตรที่อยู่ในมือของผมราวกับว่าไม่เห็นสิ่งใด 

   "เรื่องแค่นี้เอง"

   "เราไม่ชอบ" นิสัยบางอย่างก็แก้ไม่ได้ อย่างเรื่องไม่ชอบรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบคนอื่น "รับไป"

   "ไม่"

   ดื้อด้านชะมัด ก็เพราะมนุษย์น่ารำคาญอย่างนี้ไงผมเลยชอบอยู่คนเดียวมากกว่า

   สีหน้าของผมแสดงออกชัดว่าหงุดหงิดที่โดนขัดใจ ส่วนคุณอสูรคงไม่สนหรอกว่าผมรู้สึกแบบไหนอยู่ ธชาแยกหนังสือของตัวเองออกจากถุง แล้วยื่นที่เหลือมาให้ ผมรับมันด้วยความระมัดระวังไม่ให้มือของตัวเองต้องสัมผัสกับอีกคน

   "แล้วจะตอบแทน 'คนใจดี' ทีหลังนะ"


 
   "แฟร์ ไปกินข้าวเย็นกันไหม"

   มือข้างขวาที่ขีดตัวอักษรอยู่บนกระดาษหยุดกะทันหัน ผมสบตาสมาชิกหมายเลขสามที่จะไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่เสี้ยวคะแนน เตรียมปฏิเสธไปอย่างทุกที

   "ไม่ไป วันนี้กูจองตัวแล้ว"

   แต่เร็วไม่เท่าอีกคน

   "หือ..." ผมเคยบอกหรือยังว่าเวลาเชนทำเสียงคล้ายกับประหลาดใจมันน่าหวาดระแวงมากเลย "จองไปไหน ทำไมไม่บอกกู"

   "ไปดูคอนเสิร์ต จะไปเหรอ"

   "ออเคสตราอีกล่ะสิ"

   "ก็มีอย่างเดียว"

   ต้องเป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหนถึงรู้จากการที่บอกแค่นั้น ธชาพยักหน้าขึ้นลงไม่ได้ตอบอะไร เหลือแต่เชนผู้ทำเสียงอือออรับทราบพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานแบบที่ผมไม่อยากได้มาให้

   "ถึงจะอยากไปดูกับแฟร์ก็เถอะ งานนี้คงต้องขอบาย"

   "เราก็ยังไม่ได้บอกว่าอยากไปดูกับนาย"

   เสียงหัวเราะหยันเหยียดกับสายตาของเราที่จ้องกันไม่มีละลดคงคล้ายกับภาพในการ์ตูนญี่ปุ่นไม่น้อย ผมไม่ใช่คนชอบสงบปากสงบคำมากเท่าไหร่ พวกเขาก็คงเข้าใจในนิสัยข้อนี้ของผมแล้ว นอกจากการอวยพรแล้วมันเลยไม่มีการปะทะคารมอะไรอีก

   "ดูให้สนุกนะ"

   กิจวัตรหลังเลิกเรียนในวันนี้ต่างออกไปจากทุกที

   ของตอบแทนที่ว่าคือบัตรชมการแสดงออเคสตร้าที่จัดแสดงในหอประชุมของมหาวิทยาลัย จากโรงเรียนสอนดนตรีชื่อดังที่เข้ามาขอใช้สถานที่ ธชายื่นให้ผมเมื่อวานตอนที่เรากำลังรอเชนอยู่ตรงหน้าหอสมุด

   "งานใหญ่อยู่นะ"

   ดูจากจำนวนผู้ชมหน้าประตูทางเข้า ไม่ค่อยมีเด็กใส่ชุดนักศึกษาแบบผม ส่วนใหญ่จะเป็นวันทำงานในชุดเรียบร้อยจนถึงคุณปู่ที่นั่งรถเข็นมากับลูกหลาน ผมที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีมากเท่าไหร่เลยได้โอกาสเปิดหูเปิดตาในโลกอีกมิติ

   "นักไวโอลินมือหนึ่งของไทย กับวาทยกรระดับโลก"

   "อ้อ..." มีปฏิกิริยาตอบกลับพอให้รู้ว่ารับทราบ คนไทยเองก็สนใจดนตรีสากลไม่น้อยเลยนะเนี่ย "แล้วถ้าไม่เคยฟังดนตรีคลาสสิกเลยจะเข้าใจไหม"

   "เข้าใจ"

   "ไม่ง่วงใช่ไหม"

   เข้าประเด็นเลยแล้วกัน ความคิดของผมที่มีต่อการแสดงประเภทนี้คือต้องช้าๆ เนิบๆ เสียงเพลงพร้อมกล่อมให้หลับฝันดี ผมไม่ได้ปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนแรกที่เขาบอกเพราะรู้ดีว่าบอกไปแล้วก็ใช่ว่าอีกคนจะยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ

   ที่นั่งของเราอยู่ตรงกลางเยื้องไปข้างหลังของหอการแสดง ที่นั่งบริเวณตอนกลางมีผลเสียกับการเดินเข้าไปที่ยากลำบากนิดหน่อย ผมเคยเข้ามาข้างในแค่ครั้งเดียวสมัยปฐมนิเทศชั้นปีที่หนึ่ง แล้วก็เอาแต่อ่านหนังสือไม่สนใจสิ่งที่อยู่บนเวทีเลย

   "มันมาจากเรื่องเล่า อาจจะต่างจากความคิดเกี่ยวกับออเคสตราหน่อย เพราะนี่จะไม่ได้เล่นแต่ดนตรี วาทยกรจะเล่าเรื่องประกอบไปด้วย"

   "เล่าเรื่องประกอบ?"

   "เดี๋ยวดูก็จะเข้าใจ เป็นการแสดงดนตรีประกอบกับเทพนิยายของรัสเซีย"

   ผงกหัวกลับไปแบบที่ในใจย้อนกับการกระทำ ภาพที่ผมคิดออกเกี่ยวกับการแสดงดนตรีพวกนี้คือเสียงเพลงติดต่อกันยาวไปหลายสิบนาที ไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร พวกวิชาเกี่ยวกับเสียงเพลงนี่ได้น้อยตลอดตั้งแต่เด็กยันโต

   เปิดดูใบสูจิบัตร การแสดงจะเริ่มในอีกประมาณสิบนาที ผมไม่เคยได้ยินชื่อของนักประพันธ์คนนี้มาก่อน เป็นคนรัสเซียเมืองที่เต็มไปด้วยความลึกลับ

   ความมืดรอบตัวส่งสัญญาณว่าการแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เสียงปรบมือดังต้อนรับนักรังสรรค์เสียงเข้าประจำที่  ขอบคุณความเป็นเด็กอักษรของตัวเองเลยพอเข้าทุกส่วนของการแนะนำเบื้องต้นที่มีแต่ภาษาอังกฤษ วาทยกรที่เห็นเพียงผมขาวอยู่ไกลๆ กำลังแนะนำว่าเสียงดนตรีไหนแทนตัวละครใดบ้าง อย่างเช่นหมาป่าก็เป็นเฟรนซ์ฮอรน์ (ธชาบอก) ปีเตอร์เป็นพวกเครื่องสาย (ธชาอธิบาย) แล้วแมวเป็นคลาริเน็ต (แน่นอนว่าธชาอีกเช่นกัน)

   ตัวเองของเราคือมนุษย์นามว่าปีเตอร์ เขาเป็นนักสำรวจรุ่นเยาว์ผู้อาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าใหญ่ วันหนึ่งขณะออกไปทำความสะอาดบริเวณตัวบ้าน เขาเผลอเปิดประตูสวนของตัวเองเอาไว้ เป็นเหตุให้เจ้าเป็ด (แทนด้วยโอโบ) ที่เลี้ยงเอาไว้สบโอกาสออกไปว่ายน้ำในบึงใกล้เคียง ณ ที่นั้นเจ้าเป็ดได้มีปากเสียงกับนก (แทนด้วยฟลุ๊ต) บริเวณนั้น

   'ใยเจ้าจึงกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนก หากไม่อาจโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้'

   ในห้วงความทรงจำของเจ้านกนั้นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับตนเองจะต้องมีความพิเศษยิ่งกว่าผู้ใด นั่นคือการบินถลาอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ

   'แล้วนกตัวใดกันเล่า ที่ไม่อาจว่ายอยู่ในผืนน้ำได้'

   เจ้าเป็ดย้อนกลับ เพราะในช่วงชีวิตของมันสิ่งที่นกควรทำได้คือการแหวกว่ายในธาราเช่นเดียวกับที่ตนเองกำลังกระทำอยู่

   มันเป็นเรื่องที่น่าคิดนะ...

   ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างยกความคิดของตัวเองขึ้นมาโต้เถียงกันไม่มีใครยอมใคร มันไม่รู้เลยว่ามีผู้ชมที่ไม่ได้รับเชิญกำลังจ้องมองไม่วางตา เจ้าแมวที่ปีเตอร์เลี้ยงไว้นั่นเอง มันแทรกตัวเข้าไปใกล้สัตว์ปีกทั้งสองช้าๆ เตรียมตะครุบเหยื่ออย่างไร้ความปรานี

   โชคดีที่เรื่องเศร้าไม่เกิดขึ้น ปีเตอร์ได้ร้องเตือนทั้งสองได้ทัน ต่างฝ่ายต่างนำข้อเด่นของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือหนีความตายได้อย่างดี เจ้านกก็บินขึ้นฟ้า ส่วนเจ้าเป็ดก็ว่ายอยู่ในบึงต่อไป

   ผมเข้าใจคำว่าเล่าเรื่องประกอบที่บอกแล้วล่ะ วาทยกรที่มักจะสะบัดไม้ทูบาไปตลอดการแสดงคราวนี้ต้องหันมาเล่าเรื่องให้ฟังด้วย พอจบหนึ่งฉากถึงกลับไปกำกับเครื่องดนตรีตามเนื้อหาที่ได้เล่าเอาไว้แล้ว มันลื่นไหลต่อกันไม่สะดุด ไม่มีความรู้สึกขัดตากับการเปลี่ยนตำแหน่งไปมาจนผมดื่มด่ำกับการแสดงโดยไม่รู้ตัว จากที่กังวลว่าจะเข้าไม่ถึงศิลปะชนิดนี้กลายเป็นว่าผมไม่อยากหลุดออกไปจากภาพตรงหน้าเลย

   จากเหตุการณ์นั้นปีเตอร์ถูกคุณปู่ของตัวเองดุเสียยกใหญ่

   'ถ้ามีหมาป่าโผล่มา เจ้าจะทำอย่างไร'

   'ลูกผู้ชายอย่างข้าไม่กลัวหมาป่า'


   ปีเตอร์ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ นั่นยิ่งทำให้คุณปู่ของเขาโกรธเป็นอย่างมาก เจ้าหนุ่มผู้ห้าวหาญถูกพากลับบ้านพร้อมกับคำสั่งห้ามออกไปนอกรั้วบ้านอีก หลังจากนั้นไม่นานคำขู่ของปู่กลับกลายเป็นความจริง เมื่อเจ้าหมาป่าสีเงินปรากฎตัวขึ้น เจ้าแมวตัวร้ายหลบหนีขึ้นไปบนต้นไม้ได้ทัน เจ้านกบินอยู่บนท้องฟ้า ส่วนเจ้าเป็ดผู้โชคร้ายไม่อาจหนีเงื้อมมือของหมาป่าได้พ้น
   
   คนประกาศตัวว่าไม่เกรงกลัวหมาป่ารีบคว้าเชือกแล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้ วางแผนให้เจ้านกบินสำรวจพื้นที่และกลับมารายงานเมื่อเจอหมาป่า กระทั่งเจ้าตัวร้ายเข้ามาใกล้ ปีเตอร์จึงจับมันไว้ด้วยเชือกแล้วผูกเอาไว้กับต้นไม้ ยิ่งหมาป่าพยายามดิ้นหนีมากเท่าไหร่ เชือกที่ทำปมเอาไว้ก็มัดแน่นมากเท่านั้น

   ดนตรีคงเป็นภาษากลางที่คนทั้งโลกเข้าใจได้จริง คนที่ไม่สามารถอ่านโน้ตดนตรีบนบรรทัดห้าเส้นได้ถูกต้องครบทุกตัวอย่างผมยังจับอารมณ์ของการแสดงได้ ช่วงไหนน่าตื่นเต้น แล้วตอนไหนจังหวะที่เร่งขึ้นกลายเป็นลุ้นระทึก

   ฉากต่อมาเป็นการปรากฎตัวของนายพราน เขาตามล่าหมาป่าแสนดุร้ายตัวนี้มานานแล้ว โชคคงยังเป็นของหมาป่าตัวนี้อยู่เมื่อปีเตอร์ต่อรองไม่ให้นายพรานสังหารเสีย เขาเสนอให้นำตัวของเจ้าวายร้ายไปอยู่ในพาเหรดเฉลิมฉลองชัยชนะในช่วงวันแรงงานแห่งชาติ ณ ที่นั้นทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างมีความสุข

   ไม่เว้นแต่เจ้าเป็ดที่ยังมีชีวิตอยู่ในท้องของหมาป่าตัวร้าย

   เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่มีหยุด นักดนตรีและผู้ควบคุมต่างยืนขึ้นรับคำชมเชย ผมปล่อยให้ตัวเองล่องลอยอยู่ในโลกของสัมผัสการได้ยินจนเต็มอิ่มถึงดึงให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

   มันก็ไม่ได้ง่วงเท่าไหร่นะ


 
   “เป็นไง?”

   การแสดงทั้งหมดกินเวลาเกือบชั่วโมง เป็นหกสิบนาทีที่ผมเต็มอิ่มกับความสวยงามของเสียงดนตรีและการสร้างสรรค์ คนประพันธ์นี่นอกจากจะต้องมีความรู้เรื่องดนตรีแล้วยังแต่งเทพนิยายได้สนุกไม่ใช่น้อยเลย

   “สนุกดี”

   “ไว้จะพามาดูอีก”

   “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”

   คำบอกแกมบังคับไม่น่าไว้วางใจจนต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน เราสองคนรอจนผู้ชมทยอยออกไปยังทางออกเกือบหมดแล้วถึงเริ่มลุกจากที่นั่ง หอแสดงอยู่อีกฟากหนึ่งของรั้วมหาวิทยาลัย ผมเลยต้องเดินมากกว่าปกติเพื่อไปขึ้นรถประจำทางตรงป้ายประจำ

   "เอารถมา เดี๋ยวไปส่ง"

   เห็นแต่เชนขับเลยนึกว่าเขาไม่ใช้รถ ผมส่ายหัววืด ไม่อยากจะรับความหวังดีอะไรเพิ่มอีก

   "กลับเองแหละ"

   "ไปส่ง"

   "จะกลับเอง"

   ผมเถียงกับเขาวันหนึ่งกี่เรื่องกัน หรือควรจะบอกว่ามีเรื่องไหนบางที่เราไม่เถียงกันดีกว่า คนอย่างธชานี่ก็แปลกนะ เข้ามาแบบไม่น่าไว้วางใจแล้วยังจะให้ผมเชื่อถืออย่างนั้นเหรอ บวกกับชื่อเสียงที่ไม่น่าเข้าไปยุ่งนั่นถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานคู่ด้วยกันคงโบกมือลาไปนานแล้ว

   "งั้นไปส่งที่ป้าย"

   "ปกติเดินคนเดียว"

   "ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสองคนแล้วเหรอ"

   ...

   จะโต้กลับก็ไม่เจอทางชนะ หลังออกจากห้องสมุดแล้วธชาจะชอบเดินออกไปกับผมจนถึงทางออกเสมอ จากนั้นเขาถึงย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อกลับกับเชน พูดจนเลิกพูดว่าไม่ต้องทำตัวเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้นก็ได้ อย่างน้อยข้างในมหาวิทยาลัยความปลอดภัยก็ยังมีเยอะ ธชาก็ไม่เคยคิดจะเอาคำพูดของผมกลับไปคิดหรอก อยากทำอะไรก็ทำ

   "ดึกแล้ว เดินเป็นเพื่อนดีกว่า"

   "ไม่เป็นไรจริงๆ"

   "ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้"

   แล้วคนบอกว่าจะเดินเป็นเพื่อนก็นำลิ่วออกไปปล่อยให้ผมกระพริบตาถี่ แผ่นหลังของชายตัวสูงที่ยังอยู่ตรงนั้นบอกว่ามันไม่ใช่ภาพหลอน และกลายเป็นผมต้องก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเดินตามให้ทัน

   "ชอบตรงไหนมากที่สุด"

   "อืม...ตอนที่เป็ดทะเลาะกับนก"

   "ทำไมล่ะ"

   "น่าคิดดี"

   ต่างฝ่ายต่างเรียกว่าตัวเองเป็นนก มีปีกเหมือนกัน แต่ความสามารถในบางเรื่องไม่เหมือนกัน เพียงแค่นั้นกลับทำให้เราแบ่งแยกจนตัดสินว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกของตน

   "ในวันที่เราบอกว่าจะไม่แบ่งแยก แต่พอเกิดเรื่องหนึ่งขึ้นก็ยังมีการยกเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาสู้"

   การอ่านจากในหน้าหนังสือหรือว่าสิ่งที่พบเจอได้ในชีวิตจริง ในโลกที่เราเรียกร้องความเท่าเทียมและให้เคารพความเป็นมนุษย์สุดท้ายแล้วยังติดอยู่ในกับดักของการแบ่งอยู่ดี ไม่ว่าจะเรื่องง่ายๆ เช่นเรื่องเชื้อชาติหรือว่าโครงสร้างความสัมพันธ์ในเรื่องของความรัก

   เราไม่ได้เคารพความเป็นมนุษย์กันเลย

   มันทั้งน่าเศร้าแล้วก็ขบขันในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือว่าพัฒนาแล้วก็ตามทีเถอะ มันยังมีประเด็นอีกมากมายที่คนเราเรียกร้องแต่ไม่ยอมทำตาม และมันคงเกิดขึ้นไม่ได้เร็วๆ นี้หรอก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบความคิดเดิมเหมือนนกกับเป็ดตัวนั้นอยู่

   "โลกมันก็อย่างนี้แหละ"

   ถนนเส้นกว้างยังมีรถวิ่งสวนไปมาหนาแน่น ส่วนหนึ่งก็คงมาจากผู้ชมการแสดงเมื่อกี้ ผมมองซ้ายขวาตรวจดูว่าจะสามารถเดินข้ามไปได้เมื่อไหร่ พอเห็นจากสุดสายตาว่าถนนจะกลับมาโล่งสักพักหนึ่งจึงหันหน้ามาเพื่อนัดแนะเวลาข้าม

   "งั้นเทวดานี่เป็นมนุษย์ไหม?"

   ...เลยไม่มีเวลาได้เตรียมตัวกับคำถาม

   "แล้วอสูรเป็นมนุษย์ไหมล่ะ?"

   ใช้ปฏิภาณไหวพริบทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ในการโต้กลับไป สุดท้ายแล้วคนเป็นอสูรก็ยังร้ายกาจไม่มีเปลี่ยน

   ชื่อเล่นของผมคือแฟร์ แบบที่ให้เรียกเต็มๆ คือ 'แฟรี่' ที่แปลว่าเทวดาไม่ก็นางฟ้านั่นแหละ ไม่ได้แปลว่าความเท่าเทียมหรือว่าสีอ่อน อย่าถามว่าใครเป็นคนตั้งเลย มีอย่างที่ไหนคุณแม่ของผมตกลงกับน้องสาวว่าถ้ามีลูกจะแลกกันตั้งชื่อเล่น เป็นไงล่ะ ผลงานของความคิดพิลึกนั่น

   การจราจรอันแสนวุ่นวายเคลื่อนตัวออกไปแล้ว หลงเหลือเพียงเสียงของใบไม้แห้งปลิวไปตามแรงลม ถ้าเป็นตัวผมก่อนเข้าไปฟังอาจไม่ถามอะไรอย่างนั้น คงเป็นเพราะสิ่งที่ตกค้างอยู่ในความทรงจำเลยนำไปสู่มุมมองใหม่เกี่ยวกับผู้ชายคนหน้า

   มีบางคนบอกว่าอสูรเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ตอนนี้ผมจะได้รู้ความจริงข้อนั้นแล้วใช่หรือไม่   

   "นั่นยังต้องถามอีกเหรอ"
   
   "คิดว่าไม่ต้องแล้ว"

   ธชาไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่ใครร่ำลือกัน ถ้าเอาแค่เท่าที่ผมได้เจอมาเองกับตัวนะ อย่างน้อยเขาก็ยังมีมุกที่เอาไว้ตบกับเชนตอนเฮฮา แล้วก็ไม่ได้หัวเสียใส่ใครพร่ำเพรื่อ ใต้ชื่อที่ใครต่อใครเรียก ผมว่าเขาเองก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ข้างในสุดอยู่ดี

   จนไม่รู้เลยว่าใครกันที่อยากทำลายเขาได้เท่านี้

   "อ้อ วันนี้ไม่มีนม เอานี่ไปแทนก่อนแล้วกัน" มันเป็นนมจืดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ยี่ห้อเดิมที่ซื้อมาเป็นประจำ น้ำนมสีขาวขุ่นในขวดแก้วพร้อมติดยี่ห้อเอาไว้ด้วยสติกเกอร์พลาสติกเรียบง่ายไม่ต่างจากคนซื้อ

   "...เราต้องอยู่อย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่"

   ผมคิดอย่างนั้นจริงนะ เราทำงานร่วมกันมาเกือบเดือนแล้ว ไม่รวมเวลาก่อนหน้านั้นอีกไม่น้อยด้วย จนถึงตอนนี้ผมยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย ไม่ต้องหวังจากเชน รายนั้นน่ะปิดปากสนิทจนนึกว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างส่วนการออกเสียงมาด้วย ลองเลียบเคียงแค่ไหนก็ไม่เคยได้ผล

   คิดเหรอว่าผมไม่เคยถามว่าเพราะอะไรตัวเองถึงต้องมาอยู่ในสถานะอย่างนี้ แต่คิดมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้คำตอบกลับมายังไงล่ะ โลกแห่งความเป็นจริงสอนให้ผมเลิกไขว่คว้าในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วยอมรับว่าเราควรพอใจกับสถานะของตัวเองไป

   เพราะบางตำแหน่งมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

   "อยากอยู่นานแค่ไหนล่ะ" แล้วทำไมกลายเป็นว่าผมโดนย้อนถามนะ เขาต่างหากที่ต้องบอกว่าเมื่อไหร่จะจบระบบความสัมพันธ์นี้

   "นายต่างหากที่ต้องบอกเรา"

   "ไม่รู้สิ"

   "..."

   "จนกว่าจะยอมรับอะไรบางอย่างได้ล่ะมั้ง"


***
   เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเทพนิยายที่เจ้าชอบมากที่สุดเลยค่ะ (ยิ้ม) เจ้าชอบตอนที่นกกับเป็ดถามกันมากๆ เลย และยอมรับเลยว่ามันย้อนคำถามกลับมาหาเจ้าจำนวนหนึ่งเลยล่ะ ถ้าใครสนใจลองเข้าไปดูในยูทูบได้นะคะ เป็นซิมโฟนียาวประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tell ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สี่ [29.08.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-10-2017 11:54:39
จะรักกันยังไงเนี่ยสองคนนี้ ต่างคนต่างเข้าไม่ถึงกัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 28-10-2017 21:24:36
เรื่องเล่าที่ห้า

   เจ้าเหมือนชายชราแห่งท้องทะเล ชายแห่งพื้นพิภพ และทารกแห่งโลกันต์ ไม่สิ เจ้าเหมือนคนพวกนั้นทั้งหมด
   และเจ้าก็ยังเป็นผู้ชายคนเดิมของข้า!
   - The Golden Key

 

   "ไม่เบื่อบ้างหรือไงอยู่แต่ในตึก"

   "ไม่นะ"

   "แต่เราเบื่ออะ"

   เพราะคำพูดนั้น กิจวัตรในช่วงวันเสาร์ของผมเลยแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา ตื่นมาตอนเช้าทำอะไรเสร็จสรรพก็ต้องรีบพาตัวเองออกจากบ้านไปยังจุดนัดพบ ขนาดไปก่อนเวลาตั้งสิบห้านาทียังเจอผู้ชายสองคนที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้รออยู่แล้วเลย

   "สาย"

   "นัดสิบเอ็ดโมง" โชว์ให้คนบ่นเห็นว่าเข็มสั้นบนนาฬิกาตรงข้อมือของตัวเองยังอยู่ที่เลขสิบ "มาเร็วกันเอง"

   "ชามันโรคจิต มันกลัวบางคนไม่รอ"

   "มึงมาสายบ่อยไง"

   "เดี๋ยวเราฟังต่อในรถ ตอนนี้ไปกันได้หรือยัง"

   มายืนเถียงกันกลางแดดตอนเกือบเที่ยงอย่างนี้มีใครเขาทำกัน ผมต้องเป็นฝ่ายปรามทั้งสองคนเอง ฉุดกระชากลากถูให้ขึ้นไปบนรถคันเก่งของเชนที่กลายเป็นเพื่อนคุ้นตาไปอีกอย่าง เช่นเดียวกับทุกครั้งคือคนขับอยู่ข้างหน้าคนเดียวแล้วผมกับธชาจะเป็นผู้โดยสารบนเบาะหลัง ตอนแรกๆ ก็บ่นไม่ยอมหยุดแหละ พอเพื่อนตัวเองไม่รับมุกแล้วเลยเลิกไป

   เพลงไทยในช่องวิทยุหนึ่งทำหน้าที่สร้างความผ่อนคลายให้กับผู้ฟังได้อย่างดี ก็เหมือนอย่างทุกทีคือผมจะมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้สนใจว่าคนด้านข้างจะทำอะไรบ้าง ถ้าเชนชวนคุยผมก็จะตอบไปเท่าที่อยากตอบ

   "ไม่ถามหน่อยเหรอว่าเรากำลังไปที่ไหน"

   เช่นคำถามนี้เป็นต้น "ถ้าถามแล้วไม่อยากไปจะเปลี่ยนที่ไหมล่ะ"

   ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่กลอกตาใส่ เพื่อนสุดสนิทสองคนเขาชอบเอาทฤษฎีความเป็นพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในทางที่ผิด เลือกกันเอาเองว่าอยากจะไปที่ไหนแล้วถือสองมติในมือเป็นเสียงส่วนมาก ส่วนผมก็ต้องเป็นเสียงส่วนน้อยที่ไม่มีสิทธิได้แสดงความคิดเห็นกับใครเขา

   "ไม่เปลี่ยน"
   
   "นั่นแหละเราเลยไม่ถาม"

   หนึ่งคนนำ แล้วก็อีกคนก็เสริม เป็นการรวมตัวกับที่ลงตัวเสียเหลือเกิน ธชากับเชนินทร์ไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามของกันและกัน แต่เป็นคนสองคนที่อยู่ในส่วนอินเตอร์เซคของวงกลมเดียวกัน ข้อสรุปของผมเป็นอย่างนั้น

   การได้มาอยู่กับเขาทั้งสองคนมันก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของผม ระหว่างเรียนยังเหมือนเดิม ไม่มีการก้าวก่ายชีวิตของกันและกัน จะเจอกันแค่ในช่วงของหลังเลิกเรียนในห้องสมุด กลายเป็นว่าผมเจอเชนระหว่างคาบเรียนบ่อยกว่าอีกมั้ง

   คงเป็นอีกหนึ่งอานิสงค์จากการได้ทำงานคู่อสูร

   "แฟร์รับหน่อย"

   "หืม"

   "กลัวชนคนอื่น เองไปอ่านเองนะ"

   รีบเอื้อมมือไปรับสมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่จากคนข้างหน้า ไม่ค่อยได้จับต้องเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้มากนักจนรู้สึกว่ามันหนักจนไม่น่าจะสะดวกต่อการพกพา ตรงหน้าจอถูกปลดล็อกและเข้าส่วนของเว็บไซต์หนึ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ใช้นิ้วไล่ลงไปเรื่อยๆ เพื่ออ่านรายละเอียด

   มันเป็นรีวิวของที่อ่านหนังสือนอกตัวเมืองแห่งหนึ่ง เท่าที่ดูจากภาพแล้วค่อนข้างมีสไตล์น่าสนใจพอควร ด้วยแนวคิดของเจ้าของที่อยากให้มันเป็นแหล่งการศึกษาที่ไม่อยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมเลยสร้างให้พื้นที่บ้านทั้งหมดของตัวเองกลายเป็นห้องสมุดธรรมชาติขนาดใหญ่ ต่อเติมให้บรรยากาศเอื้ออำนวยต่อการอ่านมากยิ่งขึ้น

   เปิดแบบดูรูปเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยอ่านเนื้อหามากนักเพราะตัวอักษรมันเล็กจนน่ากลัวว่าจะเมารถไปเสียก่อน คนเราจะสายตาเสียเพิ่มขึ้นจากการจ้องแสงสว่างขนาดนี้นานๆ นี่แหละ

   "น่าสนไหม ชาบอกว่าแฟร์น่าจะชอบ"

   สิ่งแรกที่น่าประหลาดใจคือการเล่าแบบนั้นมันสามารถแปลความหมายได้ว่าคนที่เลือกทำงานนอกสถานที่ในวันนี้คือธชา ไม่ใช่คนที่บ่นว่าเบื่อห้องสมุดอย่างเชน

   "ก็น่าสน แต่ไม่รู้จะชอบหรือเปล่า"
   
   "ทำไมต้องดักอย่างนั้น"

   “เพราะพวกนายไม่รู้จักเราไง”

   อาจรู้สึกไปคนเดียวว่าอุณหภูมิภายในรถยนต์สูงขึ้นเล็กน้อยจากคำพูดของตัวเอง สิ่งแรกที่พวกเขาพลาดคือการคิดไปเองว่าผมจะชอบสถานที่นี้ ส่วนอย่างที่สองที่ไม่น่าให้อภัยยิ่งกว่าคือการที่หลงคิดไปเองว่ารู้จักผม

   “เหรอ...แปลกจัง” ชายที่ผมไม่อยากเข้าใกล้ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดก่อนหน้า น้ำเสียงร่าเริงเป็นมิตรยังคงอยู่ในประโยคหลังไม่มีหายไป “แต่เราคิดว่าเรารู้จักแฟร์ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ”
 


   ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการมาสู่จุดหมายปลายทาง ลมเย็นที่ปะทะหน้าในวูบแรกบอกได้ถึงความแตกต่างของพื้นที่ชานเมือง อากาศไม่ถึงกับบริสุทธิ์อย่างพวกแหล่งฟอกปอด แต่ก็ยังดีกว่าการที่ต้องมาเผชิญกับมลพิษทุกวันและทุกเวลา

   "แฟร์เอานมจืดไหม"

   "...น้ำเปล่า"

   "อ้าว เห็นชาซื้อไปให้ทุกวัน นึกว่าชอบ"

   "ไม่ชอบ"

   ตอบกลับชัดถ้อยชัดคำ แบบที่ให้อีกคนตรงนั้นได้ยินเต็มสองรูหู ถึงเคยพูดแล้วแต่ให้พูดอีกก็ไม่มีปัญหา จนกว่ามันจะทะลุผ่านส่วนของจิตสำนึกว่าผมไม่ต้องการมัน

   "งั้นเหรอ"

   เราสามคนโชคดีที่มาวันนี้ เจ้าของว่าอย่างนั้น เพราะทีแรกทีมงานที่คอยช่วยเหลือดูแลความเรียบร้อยขอลาพร้อมกันทีเดียวสามคนจนไม่เหลือคนทำงาน พวกเขาเลยโพสต์ประกาศลงเพจไปว่าวันนี้ปิดทำการหนึ่งวัน ส่วนผู้มาเยือนหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างพวกผมเลยเกือบได้เป็นผู้โชคร้าย ถ้าเจ้าของไม่ใจดียอมเปิดทำการเป็นกรณีพิเศษ พวกเราเลยได้อานิสงค์พิเศษให้เข้าไปใช้บริการได้แบบวีไอพี ไร้สมาชิกอื่นเข้ามารบกวน

   ถ้าให้ผมนิยามที่นี่เอง ผมคงเรียกมันว่าบ้านสมุด เพราะมันไม่ใช่แค่ห้องเก็บสมุดเท่านั้น แต่หนังสือยังกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งบริเวณไม่เว้นแม้แต่ข้างเก้าอี้ผ้าใบตรงระเบียงนอกตัวเรือน มีทั้งของสะสมส่วนตัวจากเจ้าของบ้านผู้รักการอ่านตั้งแต่จำความได้ ญาติสนิทมิตรสหาย รวมถึงคนในโลกออนไลน์ที่ได้รับรู้ข่าวสารเป็นทอดต่อกันมา

   มันเลยมีหนังสือทุกประเภทจริงๆ ตั้งแต่หนังสือของเด็กเริ่มหัดอ่านไปจนถึงหนังสือปรัชญาเฉพาะทางที่ผมไม่มีทางแตะมันถ้าไม่ต้องใช้สอบ เราสามคนแยกย้ายกันไปตามพื้นที่โปรดของตัวเอง เชนหลบไปอยู่ตรงมุมห้องสมุดขนาดกลางดัดแปลงจากน้องนั่งเล่นเดิม ส่วนธชาผมหาเขาไม่เจอตั้งแต่บอกว่าไม่ชอบนมจืดนั่นแหละ

   สำรวจพื้นที่ด้านในจนครบถึงมาปักหลักอยู่ตรงเก้าอี้โยกตรงสวนหญ้าขนาดเล็กด้านหลังของบ้าน ถ้าตอนสร้างบ้านที่อยู่ปัจจุบันผมสามารถออกความเห็นได้แล้วก็จะบอกให้พ่อแม่ทำสวนอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ตอนนี้มันบ้านคอนกรีตของแท้เลยล่ะ

   หนังสือที่อยู่ในมือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียน มันเป็นเล่มที่ถูกวางทิ้งไว้ตรงทางออกโดดเดี่ยว เห็นแล้วรู้สึกเหงาแทนจนเลือกหยิบมันมาด้วย

   เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แค่ไม่อยากให้มันต้องตั้งอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็เท่านั้นเอง ผมดูชื่อเรื่องเพียงผ่าน พลิกด้านหลังไปอ่านเรื่องย่อแทน นิยายพีเรียดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ผมไม่คุ้นชื่อของผู้เขียน และหวังว่าเนื้อหาของมันจะแปลกไม่ต่างจากชื่อคนแต่ง

   สายลมพัดเอื่อย กลิ่นใบหญ้า แสงแดดมีเพียงรำไรจนไม่ต้องอยู่ใต้ต้นไม้ก็ยังได้ เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด ผมเปิดระบบตัดสัญญาณในตัว เตรียมด่ำดิ่งลงไปอยู่ในโลกของตัวอักษรเรียงรายเพียงอย่างเดียว

   "อ่านให้ฟังหน่อย"

   "..."

   มองหนังสืออีกเล่มบนตักของตัวเองไม่พูดอะไรออกมาเพิ่ม ผมไม่ว่าหรอกนะถ้าเขาจะมาอ่านแถวนี้เหมือนกัน สิ่งที่ธชาเห็นอยู่แล้วคือผมกำลังเริ่มอ่านของตัวเอง เขาไม่ควรมาสั่งทำตัวเป็นเจ้าชีวิตของผมอย่างนี้ นอกจากจะทำตัวไม่น่าคบแล้วยังทำนิสัยน่ารังเกียจอีก

   "เรามีเล่มของตัวเองแล้ว" สายตาก็ไม่ได้สั้นอะไรเขาต้องเห็นอยู่แล้วสิ "อ่านเองคงไม่ยากเท่าไหร่หรอก"

   "ไม่อยากอ่านเอง"

   "ก็ไม่ต้องอ่าน"

   เงื่อนไขมันยากตรงไหนกัน ถ้าไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่าน เรื่องแค่นี้เขาน่าจะเข้าใจอยู่แล้วนะ

   "อยากให้แฟร์อ่านให้"

   ไม่พอยังลากเอาเก้าอี้ตัวถัดไปมาชนหลังกันอีกต่างหาก ผมก่นด่าพอให้ได้ยินถนัดทั้งสองคน ส่งหนังสือของเขากลับไปพร้อมกับเตรียมเปิดโหมดปฏิเสธสัญญาณรบกวน ยังไม่ทันจะได้อ่านหน้าแรกเลยภาพก็วนลูปกลับไปเหมือนช่วงก่อนหน้าไม่กี่นาที คือการที่เขาโยนหนังสือลงมาพร้อมกับพูดว่า

   "อ่านให้ฟังหน่อย"

   "เรามีเล่มที่จะอ่านแล้ว" และผมว่างพอที่จะเล่นเกมเดิมซ้ำๆ ต่อไป "ไปให้เชนอ่านเถอะ"

   "ปล่อยมันนอนไปเถอะ"

   "นอน? ไม่ได้อ่านหนังสือเหรอ"

   "เฮอะ ตอนนี้คงฝันหวานไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"

   ให้ตาย ผมนึกว่าเขาจะมาเพื่ออ่านหนังสืออย่างที่กระตือรือร้นมาตั้งแต่วันก่อนเสียอีก กลายเป็นการเปลี่ยนที่งีบแค่นั้นเหรอ ถ้ารู้อย่างนี้ผมจะไม่ยอมมาตามที่เขาบ่นว่าเบื่อห้องสมุดเด็ดขาดเลย ดันไปห่วงคนที่ต้องมาติดแหงกอยู่กับเพื่อนจนยอมให้ทำตามใจได้

   "ไปปลุกสิ ไม่น่ายากหรอก"

   "ลองได้หลับแล้วรอมันตื่นเองได้เลย ไม่เคยมีใครปลุกได้เรื่องสักคน"

   "รู้จักกันดีจังเลยนะ"

   ถามเหมือนแอบประชดในตัวเลยเนอะ ขอสาบานต่อหน้าทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าคำพูดของผมไม่ได้ต้องการสื่อไปในทางนั้นเลยสักนิด หวังว่าเขาจะเข้าความหมายตามที่พูดจากคนที่ไม่มีโมเมนท์เพื่อนสนิทมากเท่าไหร่

   "ก็รู้จักกันมานานแล้ว"

   "สมัยมัธยมเหรอ"

   "ประมาณประถมปลาย"

   นานมากเลยนะนั่น ผมคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยจนเกือบลืมไปแล้วว่าจุดประสงค์ของธชาที่มาคืออะไร จนเขากลับมาพูดประเด็นเดิมซ้ำอีกครั้งถึงจะปรับโหมดกลับมาได้

   "แฟร์อย่าลืมอ่าน”

   "ไม่"

   “อ่าน”

   ยังมีทางไหนให้เลือกอีกไหม ผมทำตัวกระฟัดกระเฟียดใส่พลางพลิกดูหน้าปก มันเป็นรูปวาดนางฟ้ามีปีกตัวน้อยกำลังถือกุญแจซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อเรื่อง ภาพที่เป็นลายเส้นขาวดำทั้งหมดสวยแปลกตา

   เรื่องของเด็กชายกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับกุญแจวิเศษสีทองที่อยู่ตรงปลายสายรุ้ง วันหนึ่งที่สายรุ้งแสนสวยปรากฎขึ้น เด็กชายก็ไม่มีความลังเลที่จะออกตามหาสิ่งที่อยู่ในเรื่องเล่า เขาตามแสงเจ็ดสีไปจนถึงเมืองนางฟ้า เมืองวิเศษที่ยามเย็นแสงรุ้งกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนพาเขาไปเจอกับปลายสายรุ้งและกุญแจสีทองในที่สุด

   "ปลายสายรุ้งไม่มีจริงสักหน่อย"

   ยังไม่ทันจบบทที่หนึ่งผมก็โดนสกัดดาวรุ่งครั้งแรก การที่เราหันหลังชนกันอยู่อย่างนี้ผมเลยไม่รู้ว่านั่นเป็นการขัดแบบจริงจังตามแนวทางวิทยาศาสตร์หรือว่าเขาแค่ต้องการแกล้งผมไปเรื่อย

   "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเทพนิยาย"

   "น่าจะสมจริงกว่านี้หน่อย"

   "ไปเขียนเองแล้วกัน"

   ไม่เก็บคำทักท้วงมาใส่ใจ เริ่มอ่านต่อไปคงจะดีกว่า

   แน่นอนว่าพอมีกุญแจ สิ่งต่อไปที่ต้องตามหาคือมันใช้สำหรับการไขอะไรกันแน่ เนื้อเรื่องตัดไปยังอีกฉาก มันเป็นบ้านของพ่อค้าผู้มีบุตรสาวแสนสวยผู้กำลังตกเป็นเหยื่อรังแกของเหล่านางฟ้าตัวร้ายทั้งหลาย ความพยายามในการแกล้งสำเร็จเมื่อหญิงสาวเข้าใจผิดไปว่ามีหมีสามตัวกำลังบุกเข้ามาที่ห้องนอนของตน เธอจึงเอาชีวิตรอดโดยการหนีเข้าไปในป่าไป

   โชคร้ายยังไม่จบเท่านั้นเมื่อเธอตกลงไปในหลุมพรางลึก ส่วนเรื่องดีคือมันยังมีเจ้าสิ่งมีชีวิตประหลาดรูปร่างคล้ายปลาแต่มีขนคล้ายปีกนกบินเข้ามาช่วยเหลือไว้ และนำไปยังบ้านของหญิงสาวแสนสวยนางหนึ่ง เรื่องเหนือธรรมชาติที่เธอพบคือที่นั่นมีหม้อน้ำเดือดต้มรอไว้อยู่แล้ว และปลาเหล่านั้นก็จบชีวิตของตัวเองด้วยการกระโดดเข้าไปอยู่ในหม้ออย่างเต็มใจ

   หญิงสาวถามชื่อ หล่อนตอบว่าทุกคนต่างเรียกเธอว่า 'ยุ่งเหยิง' เพราะเรือนผมหยักเรียงตัวไม่สวยงามของตน

   "คนอะไรชื่อยุ่งเหยิง"

   "ก็เรียกแบบภาษาอังกฤษไง มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขั้นนั้นสักหน่อย"

   ชื่อแบบอังกฤษของเธอคือ Tangle นี่ผมเอาความรู้จากวิชาการแปลเบื้องต้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดล่ะนะ ทำไมเขาต้องทำเสียงเอือมขนาดนั้นด้วยล่ะ

   “อะไรที่แปลแล้วยากไม่ต้องทำก็ได้นะ”

   “อ่านเองดีไหมจะได้ถูกใจ” ประชดไปทุกครั้งที่มีโอกาส ที่ท่องบอกตัวเองว่าได้บุญจากการอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังมันเริ่มอยากจะทำบาปแทน

   “ไม่ อ่านต่อไปสิ”

   “ก็อย่าวิจารณ์ทุกตอนสิ”

   “เราต้องคิดตามไปด้วย ใช้สมองหน่อย”

   จะเถียงก็เห็นเกรดวิชาวรรณกรรมของตัวเองลอยขึ้นมาห้ามเอาไว้ก่อน กับเขาคนที่ได้คะแนนสูงสุดในประวัติการสอนของอาจารย์มหาโหดไม่ควรจะเอาตัวเองไปอยู่ในวังวนนั้นให้ช้ำใจ

   ยุ่งเหยิงจึงอาศัยอยู่กับหญิงผู้เรียกตัวเองว่าคุณย่าผู้อยู่มานับพันปีต่อไป ที่นั่นเธอได้อาศัยอยู่อย่างสุขสบาย มีเจ้าปลาขนคอยดูแลในทุกเรื่อง คุณย่าบอกว่าที่นี่คือโลกวิเศษ ที่ที่ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้เสมอ

   กลับมาที่เด็กชายผู้ได้กุญแจสีทองแล้ว เขาเดินทางจนมาพบกับคุณย่าและยุ่งเหยิง ที่นี่เขาได้ชื่อว่ามอสซีเพราะว่าตนถืออัญมณีที่มีตะไคร่ปกคลุมมาด้วย นอกจากนั้นแล้วยังได้คำแนะนำเกี่ยวกับในการออกตามหาส่วนเติมเต็มของกุญแจ และต้องรับเงื่อนไขในการพาหญิงยุ่งเหยิงเดินทางไปด้วย แม้ทั้งสองจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณสุภาพสตรีผู้มากฤทธิ์ก็ตาม ยุ่งเหยิงก็ต้องยอมทำตามคำสั่ง

   ทั้งสองเดินทางต่อไปจนพบกับพื้นที่โล่งกว้างที่มีความประหลาดคือมันเต็มไปด้วยเงาสิ่งมีชีวิต แต่มองไปทางไหนก็ไม่พบตัวตนปรากฎ ด้วยความสงสัยพวกเขาจึงตกลงกันว่าจะต้องตามหาเมืองแห่งเงานี้ให้เจอ

   น่าเศร้าที่โชคชะตาพลัดพรากทั้งสองออกจากกัน หญิงสาวพบกับต้นไม้ที่อดีตเคยเป็นปลาผู้ช่วยเหลือของตน  และนำพาเธอไปพบกับชายชราแห่งท้องทะเล ชายวิเศษไม่อาจพาเธอไปยังจุดหมายปลายทางได้ เขาจึงส่งเธอไปหาพี่น้องของตัวเองอย่างชายชราแห่งผืนพิภพผู้มีชีวิตยืนยาวกว่าตน

   แม้จะประหลาดใจที่ชายชราแห่งผืนพิภพคือคนหนุ่ม ไม่มีเค้าของความชราอย่างที่ชายชรามแห่งท้องทะเลได้บอกเอาไว้ เธอก็ยังหาทางเพื่อไปยังเมืองแห่งเงานั้นให้เจอ ไม่ต่างกับชายคนแรกเขาเองก็ให้คำตอบเธอไม่ได้ คำแนะนำสำหรับเธอคือการลองไปพบกับชายแห่งไฟกัลป์

   เขาบอกให้เธอเดินลงไปในหลุมไร้แสงสว่างจากทางออกอีกฟากฝั่ง หล่อนแย้งว่ามันไม่มีทางให้เดินต่อไปได้ แต่ชายแห่งผืนพิภพเองก็ยังคงยืนยันว่าเธอต้องกระโดดลงไปในหลุมนั้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเธอจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้

   "ถ้าเป็นแฟร์จะโดดไหม?"

   อ่านได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเปลี่ยนย้ายที่อยู่ของสติ ผมชักจะแยกประสาทเก่งแล้วล่ะ

   "เราคงไม่ยอมมากับผู้ชายตั้งแต่แรก" ตอบไปตามสิ่งที่คิด ในเมื่อการอยู่กับคุณสุภาพสตรีแสนใจดีมันมีครบทุกอย่างแล้ว ผมคงไม่พาตัวเองไปเจอความลำบากอีกหรอก "อยู่อย่างนั้นก็สบายอยู่แล้ว"

   "เหรอ..."

   "เหมือนไม่เชื่อนะ"

   "อ่านต่อเถอะ"

   ขนาดผมไม่ค่อยทันคนมากเท่าไหร่ยังรู้เลยว่าเขาจงใจเลี่ยงการตอบ ขี้เกียจจะยื้อให้ยืดยาวต่อไปเลยอ่านต่อไปดีกว่า

   ที่สุดปลายทางของอุโมงค์เธอได้พบกับชายชราแห่งไฟกัลป์ในร่างของทารกน้อยเปลือยเปล่า ผู้แนะนำตัวว่าเป็นอายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสาม เขาให้คำแนะนำว่าจงตามเจ้างูไป แล้วมันจะพาเธอไปยังปลายทางที่วาดหวังเอาไว้

   ส่วนมอสซีไปพบกับชายชราแห่งท้องทะเลและได้รับพลังวิเศษที่สามารถเดินข้ามบนท้องทะเลได้ เขาเดินบนน้ำไล่ตามสายรุ้งไปจนพบกับหน้าผา และด้านบนสุดนั้นเขาได้พบกับหญิงสาวยุ่งเหยิงที่รออยู่ก่อนแล้ว มันเป็นเวลามากกว่าเจ็ดปีนับตั้งแต่พวกเขาพลัดพรากจากกัน และพวกเขาก็มีเรื่องราวการผจญภัยมากมายที่รอการเล่า

   พวกเขาตามออกตามหาจนพบประตูของกุญแจทอง เบื้องหลังมันคือบันไดแสนสวยที่จะพาพวกเขาไปยังเมืองแห่งเงาอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ และทั้งสองเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ไปด้วยกัน

   "แค่นั้น?"

   ผมลองพลิกดูว่ามันมีบทต่อไปหรือว่าส่วนไหนที่บอกให้อ่านต่อเล่มสองหรือไม่ แต่ก็ไม่เจอ "ใช่ จบแล้ว"

   "เชื่อเลย..."

   อยากจะพูดคำนั้นอยู่เหมือนกัน ปูมาทั้งเรื่องจนนึกว่ามันต้องมีสมบัติมหาศาลหรือไม่ก็ของวิเศษอะไรรออยู่ กลายเป็นว่ามันเป็นกุญแจที่นำไปสู่แผ่นดินแห่งใหม่เท่านั้นเอง ตั้งแต่คุณสุภาพสตรีอายุพันปี ชายบนหุบเขา ชายแห่งไฟ ชายแห่งท้องทะเล ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะจบอย่างนี้

   "เลือกมาผิดเล่มไปหน่อยนะ"

   "ก็ไม่ขนาดนั้น เนื้อหาใช้ได้อยู่"

   หลังที่พิงกันไว้ได้ตามหลักแรงต้านและแรงผลักไหววูบเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้น ผมหันไปมองคนเข้าใจยากปัดละอองฝุ่นออกจากเสื้อ จากนั้นถึงยื่นมือมาให้

   คิดว่าเขาคงหมายถึงหนังสือในมือ เลยส่งคืนไปให้ตามที่ขอ ธชารับมันไปแล้วย้ายไปไว้ในมืออีกข้างส่วนข้างขวายังกลับมาอยู่ในท่าเดิม ก็ยังไม่เข้าใจความหมายเลยส่งเล่มของตัวเองที่ยังไม่ได้อ่านไปให้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็กลับเข้ามาสู่ลูปเดิมอีก

   "งั้นเราเริ่มออกเดินทางกันบ้างดีไหม"

   กลัวว่าหลอนไปเองเลยต้องทวน "หือ?"

   "เข้าไปข้างในได้แล้ว"

   "ทั้งที่เรายังไม่ได้แตะของตัวเองสักหน้าเลยเนี่ยนะ" ได้เปิดไปถึงแค่หน้าปกใน ขยายความให้อีกหน่อย "เข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะกลับแล้วค่อยออกมาตาม"

   ธชาคงเบื่อข้างนอกแล้วมั้ง ถึงจะไม่ได้มีแดดแรงจัดแต่มันก็ยังอบอ้าวในระดับหนึ่ง พวกเกลียดอากาศร้อนอย่างเขาน่าจะทนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

   ผมไม่ได้เจออากาศธรรมชาติอย่างนี้มานานแล้วเลยอยากจะดื่มด่ำกับมันอีกหน่อย ชีวิตคนที่เรียนในเมืองมันจะหนีไปหาอากาศบริสุทธิ์เจอได้ง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ นี่เรียกได้ว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้รักษาปอดให้อยู่กับผมไปอีกนานได้เหมือนกัน

   จะว่าไปถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมอาจเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอื่น ที่ไม่ต้องอยู่กับความวุ่นวายอย่างนี้

   ความวุ่นวายที่รวมอสูรร้ายตนนี้เข้าไปด้วย

   "เข้าไปด้วยกัน"

   คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชีวิตของใครต่อใครไปทั่วหรือยังไง เมินคำบอกกึ่งสั่งนั้นแล้วโน้มตัวไปคว้าหนังสือของตัวเองกลับมา เปิดอ่านแบบไม่เกรงกลัวว่านั่นเป็นการท้าทายทางตรงหรือไม่

   “แฟร์ เข้าไป”

   “เราควรแบ่งเส้นขอบเขตความสัมพันธ์หน่อยไหม?”

   โผล่งขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ ผมว่าเรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วล่ะ และถ้าจนถึงเวลานี้ธชาเองยังไม่สามารถหาตำแหน่งที่ลงตัวสำหรับตัวเองได้เราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นทั้งเขาแล้วก็ผมต้องมาตกอยู่ในวังวนความยุ่งเหยิงนี้

   ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวผู้ต้องเดินทางกับคนแปลกหน้า

   “อยู่อย่างนี้ก็ได้”

   “แต่เราไม่โอเค” และนั่นไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องที่เขาทำเมื่อสักครู่ ขอย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน

   “แล้วไง?”

   อสูรร้ายเป็นพวกเอาแต่ใจ เคยมีคนบอกผมเอาไว้แล้ว

   “เรายังต้องทำงานกันอีกยาว เรื่องแค่นี้อย่าทำให้มันเป็นปัญหา” ใช้ทุกสกิลการเชื่อมโยงเข้ากับวาทศิลป์โน้มน้าวที่ตัวเองไม่ค่อยมีกับใครเขา ดึงเอาเรื่องที่คิดว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดขึ้นมาพูด

   “งานนี้ให้เราทำคนเดียวยังได้เลยนะแฟร์”

   “...”

   ตอนนี้ผมเข้าใจแจ้งชัดเลยว่าตัวเองเป็นแค่เชลยของอสูรเท่านั้น และต่อให้ผมยกเอาเหตุผลขึ้นมาอ้างล้านแปดแค่ไหนมันก็ไม่มีทางช่วยให้อะไรดีขึ้นมา

   “เอานี่ไป”

   ตะครุบซองกระดาษยับยู่ยี่เอาไว้ตามสัญชาติญาณ ส่งคำถามผ่านการเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่จะให้ผมทำอะไรอีกล่ะพ่อคนไม่เคยโดนขัดใจ

   “หาซื้อยากชะมัด เปลี่ยนยี่ห้อเถอะ” ยังไม่ทันได้เปิดดูข้างใน เขาก็เฉลยไปก่อนแล้ว “อย่านั่งนานล่ะ เดี๋ยวฟ้ามืดแล้วยุงจะมาหาม”

   คนทำตัวใจดีเดินหายเข้าไปในส่วนของตัวบ้านแล้ว ปล่อยให้ผมอยู่กับหนังสือหนึ่งเล่มแล้วก็ไส้ปากกาสีโปรดอีกจำนวนหนึ่งต่อไป
 


   ขากลับเจ้าของรถงอแงไม่ยอมเป็นสารภีอีก อสูรเพื่อนสนิทเลยต้องระเห็จตัวเองเป็นคนขับโดยไม่ลืมที่จะบังคับให้เชนต้องนั่งอยู่ข้างหน้าเป็นเพื่อน ปล่อยให้ผมได้ครองพื้นที่ข้างหลังเพียงคนเดียว มีเพื่อนเอาแต่ใจอย่างนี้คบกันรอดได้ยังไงกัน

   นั่งเหงาอยู่คนเดียวสักพักร่างกายก็เริ่มส่งสัญญาณว่าต้องการการพักผ่อน วันนี้ผมตื่นเช้าแล้วยังต้องออกมาเตร็ดเตร่กับพวกเขา เปลือกตาเริ่มเข้ามาชิดกันเรื่อยๆ จนภาพเคลื่อนไหวข้างตัวกลายเป็นความมืดมิด

   ประสาทสัมผัสส่วนของการรับฟังได้ยินเสียงดีเจประจำคลื่นวิทยุบอกชื่อเพลงถัดไป จากนั้นถึงตามมาด้วยทำนองแปลกที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน มันช้า เบา แล้วก็ไม่ค่อยเข้ากับน้ำเสียงของคนร้องเท่าไหร่ในความคิด คงเพราะง่วงได้ที่แล้วถึงปล่อยให้มันเลยผ่านไปได้

   "แล้ว...ไงบ้าง" ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้ม เสียงแทรกก็เกิดขึ้น

   "หมายถึง"

   "ปล่อยให้ได้อยู่กันสองคนแล้ว ได้อะไรบ้างล่ะ"
   
   ...นั่นหมายถึงเชนจงใจให้มันเป็นอย่างนี้เหรอ

   ฝืนลมหายใจให้เข้าออกสม่ำเสมอคล้ายคนยังอยู่ในนิทราลึก นึกกลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นเสียงของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอาจดังไปถึงคนที่ห่างออกไปหนึ่งช่วงเบาะ พอเข้าใจฟีลลิ่งของตัวละครเวลาแอบดักฟังเลยล่ะ

   "แฟร์อยู่ข้างหลัง"

   ได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับเบาะนิดหน่อย เดาไปเองว่าคนนั่งเบาะหน้าคงขยับตัวมามอง "เห็นจากกระจกหลังแล้วว่าหลับ ...นั่นไงหลับสนิทเลย"

   หลับบ้าอะไรกันล่ะ!

   คนแกล้งทำเป็นหลับก็เลยต้องเล่นให้สมบทบาทมากที่สุด จากนั้นมันมีเพียงเสียงของเครื่องเล่นดนตรีบรรเลงเพลงไทยร่วมสมัยอีกช่วงใหญ่ธชาถึงตอบกลับไป

   "...คล้าย"

   "คือไม่ใช่?"

   เสียงแรกมาจากคนขับ และสวนด้วยคนนั่งข้างแทบจะทันที

   อะไรคือคล้าย แล้วที่บอกว่าไม่ใช่คืออะไรกัน...

   "ก็อาจจะ...เป็นไปได้"

   "อย่าพูดเรื่องอะไรที่มั่นใจอยู่แล้วชา"

   "พอ เดี๋ยวแฟร์ตื่น"
   
   บทสนทนาที่ยังจับประเด็นไม่ได้จบลงพร้อมกับข้อกังขาที่เพิ่มขึ้นจนเกือบล้น ความสงสัยเดิมก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผยแล้วยังต้องมาเจอเรื่องใหม่อีกเหรอ นี่พวกเขากำลังเล่นเกมอะไรกับผมอยู่หรือเปล่า ให้มาเป็นตัวละครที่ต้องเดินตามเส้นทางที่วางเอาไว้แล้วมันน่าโมโหนะ

   เอาเถอะ

   อย่างน้อยมันบอกว่าผมยังต้องผจญภัยต่อไปเหมือนกัน


***
   มาเร็วกว่าที่บอกเอาไว้นิดหน่อย รอบนี้ยังไงก็จะลงให้จบให้ได้ค่ะ เห็นวันเปิดเรื่องแล้วกลุ้มใจ (หัวเราะ)
   เทพนิยายในตอนนี้โหดกว่าตอนแรกที่ตั้งใจเลือกมากเลย เจ้าดันไปเจอพวกวิเคราะห์เนื้อหา มีหลายคนออกมาอธิบายสัญลักษณ์ที่ซ่อนเอาไว้เยอะแยะอยู่เหมือนกันค่ะ เจ้าอ่านไปสักพักแล้วต้องบอกตัวเองว่ากลับมาแต่งให้จบก่อน ไม่งั้นอีกนานแน่...แต่บางคนก็บอกในอีกแง่ว่ามันเป็นการแต่งที่ไม่มีอะไรแอบแฝงนะคะ
   ส่วนเนื้อหาหลักก็บอกไม่ได้ว่ามีแอบเอาไว้เยอะแค่ไหนเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-11-2017 00:03:19
ทำไมชาดูมีเงื่อนงำในการเข้ามาหาแฟร์ แต่แฟร์คือตัดเชือกทิ้งทุกสะพานเลยจริงๆ อยากรู้ตอนต่อไปแล้วค่าาา  :impress2:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: คุณพระ ที่ 05-11-2017 10:47:57
 o13
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 05-11-2017 10:55:04
หื้ออออออ  ภาษาดีมากเลยค่ะ  แล้วก็น่าติดตามมากๆ พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง๊ :katai1:
สู้ๆนะคะ  เป็นกำลังใจให้ค่ะ 
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 05-11-2017 17:31:21
การบรรยายเรื่องดีจังเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกกลัวธชาไปด้วย เพราะไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆมาเข้าหาแฟร์แบบนี้ทำไม
มันว่างไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย55555

แต่เชนเหมือนจะรู้อะไรนะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 05-11-2017 17:50:53
อ่านจนถึงตอนล่าสุดแล้วกลัวจัง คล้ายที่คืออะไร? แล้วสรุปคือใช่หรือไม่ใช่ งงไปหมดแล้ววว
แฟร์ก็ดูเป็นพวกปิดกั้นตัวเองมากๆ แต่ก็มีคนที่แฟร์พอจะคุยด้วยอยู่ เช่นคนที่ส่งรูปมากับข้อความยาวๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงพ่อแม่ไหม

ไหนจะคนในอดีตแฟร์ที่เคยไปทำที่คั่นหนังสือด้วยกันอีก
จะบอกว่าความจำเสื่อมก็ไม่ใช่ เพราะเนื้อหาก็ดักทางมาแล้วว่าไม่จริง5555

จะคอยติดตามนะคะ พลอตน่าสนใจมากเลย
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-11-2017 20:53:42
เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก เป็นกำลังใจให้นะค้า มีเราคนนนึงนะคะที่อ่านอยู่  :impress3:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 06-11-2017 06:10:06
มาติดตามนะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 08-11-2017 00:27:48
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบในทุกๆ อย่างของเรื่องนี้เลยค่ะ มันดีไปหมด ;///;
ภาษาสวยมาก อ่านง่าย ชอบเรื่องที่เป็นเทพนิยายต่างๆ ด้วยค่ะ
ความรู้เรื่องเทพนิยายมีน้อยมาก พอได้อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้อ่านเทพนิยายไปด้วยเลย ชอบมากค่ะ
ชอบพระนายในเรื่องด้วย ส่วนมากชอบเห็นคาแรคเตอร์คล้ายๆ แฟร์ที่จะเป็นฝ่ายไปชอบพระเอกที่คาแรคเตอร์แบบธชาก่อน
แต่เรื่องนี้ธชาเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน อีกทั้งไม่ได้แอบชอบกันมาก่อนทั้งคู่ด้วย(? รึเปล่าน้า)
ชอบความเชนที่เหมือนจะเฟรนลี่แต่ดูลึกลับสุดด้วย 5555

ยังไงก็ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ แบบนี้มานะคะ ติดตามเลยค่า  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ห้า [28.10.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 08-11-2017 02:15:17
ลึกลับสุดๆ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หก [9.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 09-11-2017 21:51:56
เรื่องเล่าที่หก


   จำไม่ได้หรือว่าข้ามักจะนอนอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ
   - Kisa The Cat

 

   "หนาว"

   "..."

   "หิวด้วย"

   "..."

   "แฟร์ เราออกไปกินข้าวกันเถอะ"

   ผมปิดสมุดตรงหน้าลง ลุกขึ้นพรวดพราดพร้อมกับหนังสือเล่มหนาในมือ เดินออกจากที่นั่งประจำไปยังชั้นวางหนังสือโดยไม่สนเสียงร้องเรียกที่ไล่ตามหลังมา

   ตรวจเลขรหัสตรงสันกับหน้าชั้นวางทำจากเหล็กแบบโบราณ เดินเข้ามาข้างในจนเจอกับช่องที่หยิบมาเมื่อช่วงต้น วางมันไว้ตามเดิมพลางตรวจดูว่ามีเล่มอื่นน่าสนใจกว่าหรือเปล่า ไม่ชอบงานเดี่ยวที่ต้องใช้พลังงานในการเล่นใหญ่อย่างนี้เลย กว่าจะเจอสักเรื่องต้องเปิดหาหลายเล่มแล้วยังทวนเป็นร้อยรอบ

   "งานเดี่ยวเหรอ"

   เจ้าของความน่ารำคาญยังคงตามมาหลอกหลอน ผมปรายตามองเชนินทร์ผู้ยืนอยู่อีกฝั่งของชั้นที่ทะลุถึงกันได้ ส่งสายตาเอือมระอาเต็มทนผ่านเลนส์แว่นไป "อืม"

   "ช่วยไหม"

   "เงียบสิ นั่นจะช่วยมากเลยล่ะ"

   ถ้าจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนน่ากลัวยอมทำเองแล้วได้คะแนนตามเนื้อผ้าดีกว่า ดีไม่ดีให้เชนช่วยอาจจะทำให้งานเสร็จช้าลงกว่าเดิมอีก

   เสียงหยันในลำคอบอกผมให้รู้ว่าใบหน้าของอีกคนแสดงออกอย่างไรโดยไม่ต้องเห็น "ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ ถามจริง"

   วันนี้ธชาไม่ได้มา บอกไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วว่าต้องไปธุระกับทางบ้าน วันนี้ผมเลยมีนมรสหวานต่างจากทุกวัน เชนนี่ก็แปลก ขนาดผมจิกไปว่าทำตัวเหมือนพวกซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเขาก็ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อได้อีก

   เลื่อนหนังสือสภาพโทรมออกมา เปิดหาหน้าสารบัญว่ามีหัวข้อที่ผมต้องการหรือไม่ ถ้ามันไม่ได้มีข้อมูลที่ดีมากจนได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องคนยืมรายก่อนๆ คงเป็นพวกไม่รักษาของขั้นสุด

   "เรียนแบบนี้ก็เหนื่อยอยู่แล้ว"

   "หมายถึงเรื่องของชา”

   เสียงพลิกกระดาษที่เคยดังเป็นซาวด์ประกอบหายไปแล้ว ผมถอนหายใจออกมาให้อีกคนรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากใส่ใจเท่าไหร่

   “ต้องทำงานด้วยกัน” ย้ำว่าเรารู้จักกันในฐานะไหน

   “วันนี้ชาไม่อยู่ เปิดโปรโมชั่นให้ถามอะไรก็ได้ฟรี”

   “เพื่อนนี่เขาขายกันลับหลังอย่างนี้เหรอ”

   “นี่ช่วยเพื่อนอยู่ต่างหากล่ะ”

   “ขอบคุณในความหวังดี แต่ถ้าอยากรู้อะไรเดี๋ยวเราไปหาเอง”

   กลับมามองตั้งหนังสือตรงหน้า สองจิตสองใจกับอีกเล่มที่วางไว้ต่อจากนั้น หัวข้อเรื่องเดียวกันแต่อีกเล่มมีชื่อคนอื่นเป็นผู้แก้ไขเพิ่มเติม พวกนี้เปิดอ่านไม่กี่หน้าจะไม่เห็นความแตกต่าง แต่ก็ไม่อยากหยิบไปเพื่อเจอว่ามันแทบจะเป็นการคัดลอกแล้ววางลง

   “ถามมาเถอะ อะไรก็ได้”

   “เอาเล่มนี้ไปด้วยดีไหม?” ลากคนช่างยุมาใช้ประโยชน์ดีกว่า ทั้งไม่ต้องได้ยินเขาร่ายมนตร์กรอกหูแล้วก็ไม่ต้องตัดสินใจเองอีกต่างหาก

   “อะไรนะ?”

   “เราจะเอาเล่มนี้กลับไปอ่านดีไหม”

   ใบหน้ายุ่งติดปรับอารมณ์ไม่ทันของเชนตลกดีเหมือนกัน เขายังคงยืนอยู่ในล็อกถัดไปจากของผม เสียงพึมพำในลำคอบอกว่ากำลังใช้สมาธิในการเลือกอยู่ไม่น้อย

   “แล้วมันต่างกันยังไง”

   “เรื่องเดียวกัน แต่เล่มนี้มีคนเพิ่มเติม” ยกให้เห็นว่าหน้าปกทั้งสองเล่มมีชื่อคนแต่งเหมือนกัน

   “เพิ่มเติม?”

   “หนังสือมันเก่าก็ต้องมีการปรับปรุง”

   “แล้วทำไมไม่เอาไปแต่เล่มใหม่?”

   “เผื่อบางอย่างเอาออกไปแล้ว” ระหว่างอธิบายก็เปิดหนังสือเทียบกันไปด้วยเลย ดูจากสารบัญก็มีหลายส่วนที่ไม่ตรงกัน “อย่างเช่นเรื่องของการตีความหมาย...”

   “ก็เอาไปทั้งคู่”

   “นั่นสิ ไม่เห็นยาก”

   เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าที่ผมถามทั้งหมดก็แค่หาเรื่องบ่ายเบี่ยงไม่คุยในประเด็นที่น่าปวดหัว เหมือนเชนจะลืมไปแล้วว่าตอนแรกเดินตามผมมาเพราะอะไร เราสองคนถึงกลับไปอยู่ในพื้นที่ประจำได้โดยไม่ต่อปากต่อคำกันอีก

   หนังสือตรงหน้าสองเล่มถูกจ้องไม่วางตาโดยคนฝั่งตรงข้าม ตามเดิมบนโต๊ะสี่เหลี่ยมจะมีแค่ผมนั่งหันหน้าเข้าหากำแพงคนเดียว พอมีอีกสองคนเข้ามาเสริมมันเลยจะมีมุมหนึ่งถูกเว้นว่างเอาไว้สำหรับวางของใช้ส่วนตัวปะปนกันไป ปกติเชนจะนั่งถัดออกไปทางขวาส่วนธชาเปลี่ยนไปมาตามอารมณ์

   “อยากเอาไปอ่านก่อนไหม”

   ยังเหลือที่ต้องเคลียร์อีกเล่ม เขาส่ายหัวไปมาจนเส้นผมยาวเกือบปรกหน้าไหวไปตามแรง ชั่ววูบหนึ่งนัยน์ตาของคนแสนดีฉายแววเจ้าเล่ห์จนผมนึกหวั่น

   บอกแล้วไงว่าเชนินทร์ไม่น่าเข้าใกล้

   "มีอะไร?"

   "แฟร์นี่เก่งจังเนอะ" เสียงทุ้มนิดหน่อยตามสไตล์ผู้ชายมีความนัยแฝงอยู่ "เอาเป็นว่าเราจะขยายโปรโมชันให้จนกว่าจะอยากถามแล้วกัน"

   วกกลับมาเรื่องนี้จนได้ "ไม่ถาม"

   ผมไม่รู้จัก 'ธชา' หรอก

   แล้วผมก็ไม่รู้จัก 'เชนินทร์' เหมือนกัน

   จากสิ่งที่พวกเขาหลุดปากคุยกันเมื่อวันก่อนเป็นบทเรียนให้ผมรู้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามไว้ใจทั้งนั้น

   “โห่ อย่างนี้ก็ไม่สนุกสิ”

   ขยับยิ้มเล็กน้อยส่งคืนไปให้ “แต่เราสนุกมากเลยล่ะ”

   พอหาข้อมูลทำงานต่อก็ไม่สนใจเสียงรบกวน คนขี้เบื่อเลยขอออกไปหาอะไรกินข้างนอกเรียบร้อย นี่ผมไล่ทางอ้อมด้วยการบอกว่าถ้าไม่สะดวกก็กลับไปได้เลยเชนินทร์ก็ยังยืนยันที่จะปักหลักอยู่ด้วย บอกว่าถ้าธชาโทรมาเช็กแล้วไม่อยู่จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

   จงรักภักดีเสียเหลือเกิน

   เปิดอ่านเล่มหลักในส่วนที่ตัวเองต้องการ ผมไม่ชอบหาข้อมูลเบื้องต้นจากอินเทอร์เน็ต มันมักจะเป็นข้อมูลชุดเดียวกันที่ไม่ผ่านการคัดกรองสักเท่าไหร่ เพื่อความสบายใจผมชอบหาจากหนังสือมากกว่า เผื่อว่าถ้าผิดพลาดอะไรก็ยังเอาตรงนี้ไปใช้อ้างได้

   เจอส่วนที่ต้องการครบถ้วนแล้วจึงเอาโพสต์อิทแผ่นเล็กมาคั่นเอาไว้ เปลี่ยนไปเปิดอีกเล่มในช่วงเวลาเดียวกับที่เพื่อนร่วมโต๊ะกลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกสกรีนชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นในห้าง ผมถลึงตาใส่คนแหกกฎห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มใส่แก้วเข้ามาข้างในเพื่อที่จะได้รับรอยยิ้มกวนๆ กลับมา

   “ออกไปกินข้างนอก”

   “อยู่แล้ว นี่มาเรียกให้ไปกินด้วยกันไง”

   “ไม่เป็นไร”

   ถึงจะบอกตัวเองว่ามันคงเป็นนิสัยของคนห่วงใยเพื่อนฝูงเสมอผมก็ยังไม่ชอบมันอยู่ดี ทั้งคู่มักจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากอยู่เป็นประจำรวมถึงลากให้ผมทำกิจกรรมอย่างอื่นร่วมกันตลอด อย่างเรื่องอาหารตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมทานมื้อเย็นคนเดียวแบบนับครั้งได้เลยล่ะ

   “ซื้อมาแล้ว”

   “เอากลับไปกินเป็นข้าวเช้าพรุ่งนี้สิ” บอกด้วยตรรกะของคนทั่วไป

   “ไม่เอา ไม่ชอบของเวฟ”

   "งั้นจะทำอะไรก็เชิญ” ให้พื้นที่ไว้ทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเถอะ ต้องทำตามคนอื่นตลอดเวลามันทรมานจะตายไป "เราไม่กิน โอเคนะ"

   "ไม่โอเค"

   เชนคิดว่าชีวิตของผมมันเรียบง่ายเกินไปเลยอยากจะทำให้มันมีอะไรน่าตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมาหน่อยหรือเปล่า

   “เราหิว แล้วเราก็ต้องอยู่กับแฟร์ เพราะงั้นเรากินตรงนี้นะ”

   “จะบ้าเหรอ!” เอ็ดเข้าให้ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องหนึ่งกับเรื่องสองมาประกอบแล้วสรุปใจความเอาเอง

   “แอบกินขนมตั้งหลายรอบแล้วยังไม่เป็นไรเลย”

   “เพราะนั่นเป็นแค่ขนม”

   อีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกประสาทจะกินคือการแหกกฎทุกครั้งเท่าที่ทำได้ของคู่เพื่อนนี่แหละ ธชาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเชนนี่ตัวดีเลย จากของทานเล่นไม่มีกลิ่นอย่างพวกลูกอมมันก็เริ่มขยับเป็นขนมถุงใหญ่ ไม่นานนี้มันกลายเป็นถุงคุกกี้จากร้านเบเกอรี่มีชื่อแถวมหาวิทยาลัย เปรยๆ ว่ากำลังหาวิธีเอาแก้วกาแฟเข้ามาแบบไม่ให้ใครเห็นอยู่

   "เอาน่า" การพยายามปลอบใจด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาสำหรับผม เชนินทร์ยักคิ้วขึ้นคล้ายกำลังบอกว่ามีแค่ผมนี่แหละที่จริงจังกับทุกอย่างไปเอง "การรักษาความลับมันมีกฎแค่ข้อเดียวเองแฟร์"

   เป็นอีกครั้งที่ผมทำได้เพียงปั้นหน้านิ่งซ่อนความหวาดระแวงเอาไว้

   "อย่าให้ใครจับได้ก็พอ"


 
   ในท้ายที่สุดผมก็ต้องพาตัวเองออกมาอยู่ตรงม้านั่งข้างตึกจนได้ มันยังเปิดไฟเอาไว้สว่างทั่วบริเวณสำหรับอำนวยความสะดวกและให้ความปลอดภัยกับนักศึกษาที่เดินไปมาช่วงกลางคืน หลังจากมีการร้องเรียนไปตั้งแต่หลายปีก่อน

   ช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงสอบที่จะเห็นกลุ่มติวจนกลายเป็นติวเตอร์เซ็นเตอร์ เกือบจะเป็นส่วนร้างที่มีไว้ให้สุนัขประจำตึกครอบครองแล้วด้วยซ้ำ

   เชนเลือกโต๊ะตัวเกือบในสุดไร้ผู้คนรอบข้าง ผมนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขาบริการทุกอย่างเสร็จสรรพ ถ้าอยากจะลากผมออกมาด้วยขนาดนี้ก็ต้องมีการจูงใจที่ได้ผลหน่อยล่ะ

   "ดูแลดีจังนะ"

   จะว่าไปแล้วเชนนี่ก็แสนดีอย่างนี้ตลอดเลยนะ เวลาอยู่กันสามคนเขาก็มักจะเป็นคนไปสั่งอาหาร หรือไม่ก็จัดวางอะไรให้เป็นระเบียบพร้อมสำหรับการรับประทาน  เรียกได้ว่าถ้าเป็นเพื่อนกันธรรมดาคงจะเป็นจำพวกพ่อพระมาโปรด เพื่อนแสนประเสริฐ อะไรทำนองนั้น

   "ก็เฉพาะกับแฟร์นี่แหละ"

   "ถือว่าเมื่อกี้เราไม่ได้พูดแล้วกัน"

   “หึ แพ้บุหรี่หรือเปล่า?”

   มองข้าวหน้าปลาสีส้มตรงหน้าตัวเองแล้วเงยขึ้นมาหา ในมือของคนไม่น่าเข้าใกล้มีซองบุหรี่ลายแปลกกับไฟแช็กราคาสูงอยู่ จะสูบหรือไง

   “ไม่” หยิบช้อนส้อมพลาสติกงานดีมาไว้ในมือ เตรียมพร้อมสำหรับมื้อเย็น ได้กินข้าวฟรีอีกมื้อแล้วสิ

   “งั้นจุดไล่ยุงได้ไหม”

   หยุดมือของตัวเองไว้ที่อีกครึ่งเซ็นต์จะถึงตัวปลา ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงในขณะที่อีกคนส่งยิ้มแจ่มใสมาให้

   “ไม่เคยได้ยินเรื่องที่เขาว่าบุหรี่ไล่ยุงได้หรือไง”

   “ไม่”

   และก็ไม่เชื่อด้วยว่ามันไล่ได้จริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องมียากันยุงออกมาเป็นหลายสิบแบบหรอก

   “พูดแต่คำว่า ‘ไม่’ นี่ไม่เบื่อเหรอ”

   พอได้ยินอย่างนั้นทำไมผมถึงกระตุกยิ้มก็ไม่รู้สิ “ไม่”

   “แต่ถ้าเราจุดก็ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

   “ไม่นะ แต่เราคิดว่ามันไร้ประโยชน์”

   บอกไปอย่างที่คิด คนเรียนคณะทางสายวิทยาศาสตร์อย่างเขาน่าจะรู้ดีกว่าคนที่เอาแต่เรียนความเป็นมาและการเปลี่ยนไปของภาษาอย่างผม นอกจากควันของบุหรี่ไม่น่าจะช่วยกำจัดแมลงกวนใจแล้วกลิ่นของมันอาจเพิ่มสารพิษในปอดของคนเรามากกว่าอีกด้วย

   “ก็ได้” ซองกระดาษในมือถูกวางลงอย่างเบามือ “เราสั่งปลาแซลมอนมาให้นะ ชามันชอบ”

   อยากจะเสกให้มีเครื่องมือที่เจาะเข้าไปถึงข้างในสมองส่วนของการประมวลผลของเชนได้ ดีที่ยังไม่แบ่งส่วน เรื่องอย่างนี้ควรบอกผมตั้งแต่หยิบแล้วไหม “งั้นเก็บไปให้ธชาด้วย”

   “ไม่อะ นี่เราสั่งให้แฟร์”

   “ด้วยของที่คนอื่นชอบ?”

   คนเราต้องมีระบบความคิดที่ประหลาดขนาดไหนถึงใช้วิธีการนี้ หรือถ้าไม่บอกเลยจะดีกว่าหรือเปล่า

   “ก็ไม่รู้ว่าแฟร์ชอบอะไร แต่รู้ว่าชาชอบอะไรไง”

   หมดทางจะต่อล้อต่อเถียง ต่อให้ผมมีเหตุผลที่ดีและเข้าท่ากว่านี้มากแค่ไหนเขาก็หาเรื่องอื่นมาตลบได้อยู่ดี อีกอย่างคือไม่อยากคิดไปเองว่ามุมปากยกขึ้นติดร้ายที่มาพร้อมประโยคท้ายสุดนั่นมันมีอะไรซ่อนเอาไว้ ถึงไม่ใช่คนเซ้นส์ดีก็ใช่ว่าจะเป็นพวกนอกโลกที่เข้าใจยาก

   “งั้นรู้ไว้ว่าเราชอบซีฟู้ด”

   “อ่าฮะ จะจำไว้นะ” ท่ารับปากแบบขอไปทีที่แสดงออกมาไม่ได้สอดคล้องกับคำพูดเลยสักนิด เราสองคนเริ่มทานมื้อเย็นของตัวเองไปเงียบๆ ไม่รบกวนกัน เรื่องดีคือเชนไม่จุดบุหรี่เพื่อไล่ยุงอย่างที่บอก ส่วนเรื่องแย่คือตอนนี้ทั่วบริเวณเหลือแค่ผมกับเขาสองคน ไม่มีใครคิดอยากจะนั่งตากลมตอนช่วงเย็นบ้างเลยหรือไง

   เมื่ออิ่มตามความเคยชินของเด็กรุ่นใหม่ก็จะหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองขึ้นมา โทรศัพท์ของเชนเป็นรุ่นที่รองรับการใช้ปากกาเป็นอุปกรณ์เสริม ผมเห็นเขาชอบหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อย่างนี้บ่อย บางทีก็เป็นลายมืออ่านยากยาวติดต่อกันเป็นพรืด หรือบางครั้งก็เป็นรูปวาดลายเส้นเป็นเอกลักษณ์บอกเล่าเรื่องราว

   ส่วนผมคนที่ไม่ได้หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากห้องสมุดด้วยเลยต้องมองรอบข้างเรื่อยเปื่อยแทน

   “น่ารักไหมแฟร์”

   “หือ?” กำลังดูใบไม้แห้งร่วงหล่นสู่พื้นดินตามกฎของธรรมชาติเลยไม่รู้สึกตัวว่าตรงหน้ามีของบางอย่างวางอยู่ มือถือของเชนโชว์รูปวาดสัตว์แสนเอาแต่ใจอย่างเจ้าแมวเหมียวเอาไว้ มันมีขนยาวฟูฟ่องเห็นได้จากรอยหยักแทนขอบ หูตั้ง ตาดุไม่น่ารัก เขาวาดไว้แต่โครงเส้นผมเลยบอกไม่ได้ว่าแมวตัวนี้มันมีสีอะไร

   “แมว น่ารักไหม”

   “ก็ดี” หมั่นไส้ไม่อยากให้เหลิง แม้ว่ามันจะน่ารักมากก็ตามที

   “ชื่อคิสา ถ้าอ่านไม่ผิดนะ”

   “เลี้ยงเองเหรอ”

   “เปล่า แมวในเทพนิยาย”

   ไม่คุ้นชื่อนั้น อาจเป็นเพราะผมอ่านมากจนไม่อาจจำรายละเอียดได้หมด

   “อ่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ชอบเลยเอามาทำเป็นการ์ตูนอ่านเล่นเอง”

   หน้าจอสี่เหลี่ยมของเครื่องสารพัดประโยชน์ถูกเจ้าของกดคำสั่งบนหน้าจอสองสามครั้ง จนไปจบที่รูปของหญิงสาวในชุดคล้ายกับราชินีเพราะมีเทียร่าสวมอยู่ตรงศีรษะ ด้านข้างมีแมวแม่ลูกอ่อนนอนอยู่

   “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”

   มันเป็นเรื่องของราชินีผู้ไม่มีบุตรเสียที เธอรู้สึกอิจฉาที่แมวมีลูกได้ในขณะที่เธอพยายามมากแคไหนมันก็ไม่เคยสำเร็จ หล่อนเฝ้ารำพันถึงความเศร้าโศกที่ตนเองต้องเผชิญ เมื่อแม่แมวได้ยินดังนั้นจึงไปปรึกษากับนางฟ้า ด้วยพรวิเศษในที่สุดราชินีก็ให้กำเนิดบุตรสาวสมความปรารถนา

   ภาพต่อมาเป็นทารกตัวน้อยในเปลกับเจ้าลูกแมวนอนอยู่เคียงข้างกัน ผมชอบที่เชนวาดเส้นผมสั้นๆ ของทารกแทนรายละเอียดของเด็กนั่นจัง

   เจ้าหญิงน้อยกับลูกแมวเป็นคู่สนิทที่มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ หากแมวหายไปไหนเจ้าหญิงก็จะร้องเรียกจนกว่าจะเจอสหายของตนเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าแมวน้อยก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ แม้ราชินีจะให้คนทั้งวังตามหาทุกซอกทุกมุมแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยใด

   เวลาถัดมาหลายปีทารกน้อยก็เติบใหญ่เป็นเจ้าหญิงแสนสวย วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังเล่นกับลูกบอลอยู่นั้นปรากฏว่าบอลหายไปไกลจนต้องออกตามหา ในที่ที่ไม่คุ้นเคยเธอได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง เสียงนั้นแนะนำตนเองว่าเป็นน้องสาวของเธอ เจ้าหญิงผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวย่อมไม่เชื่อเสียงปริศนา เธอกลับมาที่วังพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดที่ประสบให้มารดาฟัง

   ราชินีเมื่อได้รับฟังเรื่องทั้งหมดจึงเล่าความทรงจำในช่วงเวลาเยาว์วัยเกี่ยวกับเจ้าแมวตัวลูกให้บุตรสาวฟัง เมื่อเจ้าหญิงได้ทราบดังนั้นวันต่อมาเธอจึงออกตามหาเจ้าของเสียง แต่โชคไม่เข้าข้างเมื่อเธอถูกยักษ์จับตัวไป ในช่วงแรกเจ้ายักษ์สั่งให้เธอเดินตาม แต่ไม่นานนักเจ้าหญิงน้อยก็หมดแรงที่จะก้าว เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ยักษ์แสนดุร้ายทำคือตัดขาทั้งสองข้างของเจ้าหญิงออกไปเสีย จากนั้นก็จากไปพร้อมกับขาแล้วทิ้งหล่อนไว้ในป่าเพียงลำพัง

   คราวนี้รูปวาดบนหน้าจอของเชนคือเจ้าหญิงที่กำลังร้องไห้โดยไร้ขาทั้งสองข้าง มีสีแดงฉานแทนความเจ็บปวดที่ได้รับ รูปที่ผมบอกว่าน่ารักคราวนี้มันก็ยังใช้คำนั้นได้อยู่แหละถ้าไม่คิดอะไรมาก เขาทำให้เนื้อเรื่องแสนโหดร้ายลดความน่ากลัวลงไปได้ไม่น้อยเลยล่ะ

   “ทำไมไม่เรียนทางศิลปะ” เชนน่ะให้ฟีลลิ่งของเด็กสายศิลป์แบบสุดโต่งจะตายไป

   เจ้าของรูปวาดยกไหล่ขึ้น “ชอบวาด แต่ไม่ชอบทฤษฎี”

   “เรียนวิทยาน่าจะต้องจำมากกว่าอีกนะ”

   “มันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ได้จริง อีกอย่างมันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลมากกว่า”

   พอเข้าใจไม่ตรงกันเลยวกกลับเข้าสู่เรื่องเดิมได้ ถัดไปเป็นเจ้าแมวเหมียวช่วยพาเจ้าหญิงไร้ขาไปกบดานในบ้านพัก เชนวาดให้แมวมันตัวใหญ่จนคล้ายหมีมีหางยาว เขาบอกว่ามันไม่เมคเซ้นส์เท่าไหร่ที่แมวจะพามนุษย์หนีไปได้

   เจ้าแมวบุกเข้าไปในบ้านของยักษ์ใจร้าย มันแอบเทเกลือจำนวนมากลงไปในอาหารของคู่ยักษ์สามีภรรยา นั่นทำให้อมนุษย์ตัวใหญ่รีบออกไปตามหาแหล่งน้ำเพื่อดับกระหาย เปิดโอกาสให้ผู้บุกรุกได้เข้าไปตามหาขาที่ถูกตัดออก เจ้าแมวออกมาพร้อมกับขาทั้งสองข้างและหญ้าวิเศษที่จะช่วยสมานแผลให้หายดี

   ด้วยความช่วยเหลือนี้เจ้าหญิงจึงกลับสู่อ้อมกอดของราชินีได้โดยปลอดภัย แต่ไม่มีใครพบกับเจ้าแมวสหายรักของเจ้าหญิงอีกเลย ด้วยความผิดหวังที่เจ้าแมวผู้ช่วยชีวิตจากไปโดยไม่ลานางจึงตรอมใจ ไม่ยอมกินหรือนอน พระราชาจึงได้แก้ปัญหาด้วยการจัดงานอภิเษกให้กับเจ้าหญิงเสีย

   ในคืนวันแต่งงานนั้นเองเจ้าแมวได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันร้องขอสิ่งหนึ่งจากเจ้าหญิงนั่นคือการขอให้ตนได้นอนหลับตรงปลายเตียงของเธอ แน่นอนว่าเจ้าหญิงไม่มีทางปฏิเสธ เช้าวันถัดมาเจ้าแมวกลับกลายเป็นเจ้าหญิงแสนงดงาม แล้วความจริงก็ปรากฏว่าที่แท้แล้วเจ้าแมวแม่ลูกทั้งสองตัวนั้นเป็นมนุษย์ที่ถูกนางฟ้าสาปให้กลายร่างเป็นแมวจนกว่าจะถอนคำสาปได้ นั่นคือการทำความดีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

   และเหมือนกับเทพนิยายทั่วไป เจ้าหญิงแมวก็ได้อภิเษกสมรสกับคนรัก และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

   “ลำเอียงอยู่เหมือนกันนะ”

   ผมเปรยเมื่อเห็นชัดๆ ว่าเขาลงรายละเอียดรูปในส่วนของเจ้าหญิงแมวมากกว่าเจ้าหญิงที่เคยขาขาด อ่านมาหลายเรื่องจนทำใจได้กับการเล่าเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย สักแต่จะจบแบบมีความสุขให้ได้ก็พอ

   “ก็น่าสงสารกว่านี่”

   “ตรงไหน”

   “ทุกอย่างเลย”

   หน้าจอที่สว่างมาเป็นเวลานานดับลงไปแล้ว ผมผละตัวเองออกมาเก็บกล่องอาหารเย็นให้เรียบร้อย ตบท้ายด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่หยิบติดตัวออกมาด้วย

   “แต่เจ้าหญิงก็ไม่ต้องทำอะไรดีนะ” ขนาดถูกฟันขาขาดยังมีคนเอามาต่อให้ถึงที่

   “ทำไมไม่เอานมออกมาด้วยล่ะ”

   “บอกแล้วว่าไม่ชอบ”

   “ไม่เสียดายเงินเราหน่อยเหรอ”

   “ไปเรียกเก็บเอาจากเพื่อนตัวเองแล้วกัน”

   มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย ในเมื่อบอกแล้วว่าไม่ต้องการแต่ก็ยังเอามาไม่หยุดหย่อนก็ปล่อยให้เอาเงินมาทิ้งเสียเปล่าเอง ผมลองคำนวณดูแล้วว่าถ้าธชาเอาเงินส่วนนี้ไปทำอย่างอื่นมันก็ได้ของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตหลายชิ้นอยู่เหมือนกัน

   เราสองคนเดินกลับเข้าไปในตัวตึกพร้อมกัน มารยาทขั้นพื้นฐานในการใช้ห้องสมุดลดระดับเสียงการพูดคุยของเราตามไปด้วย

   “สรุปแล้วชอบเรื่องนี้เพราะอะไร”

   นั่งฟังเขาเล่าแล้วไม่เห็นจะมีส่วนไหนที่น่าประทับใจเลยสักนิด อย่างแมวตัวแม่เองก็เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้ถอนคำสาป ยังไม่รวมที่ตัดขาขาดเป็นเวลานานแล้วสามารถเอามาต่อได้สนิท ตามหลักการแพทย์แล้วเจ้าหญิงควรจะตายเพราะขาดเลือดไปแล้วด้วยซ้ำ

   “ก็ชอบตอนจบ”

   “ที่อยู่ดีๆ ก็ได้แต่งงานกับเจ้าชาย?”

   “เปล่า..."

   แสงสว่างตรงหน้าจอกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ผมถึงเห็นว่ามันคือไฟล์ที่อยู่นอกเหนืออัลบั้มก่อนหน้าที่ใช้เล่าเรื่อง เป็นภาพกึ่งวาดจริงกึ่งวาดเล่นของตัวละครปีกโตแสนสวย มันถูกลงสีไว้แค่ส่วนของเสื้อผ้าให้ความรู้สึกสดใส แต่ส่วนของปีกนั้นยังเป็นสีดำร่างเอาไว้รีบๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไร

   คล้ายกับว่าร่างจริงของเธอไม่ใช่เทวาแสนใจดี

   "ชอบตรงที่เฉลยว่าคนสาปเป็นนางฟ้าต่างหาก”

   แต่เป็นภูตตัวร้ายจากขุมนรก


***
   ช่วงนี้ก็ไปกันเรื่อยๆ ก่อนเนอะคะ ให้แฟร์ได้รู้จักกับคู่เพื่อนเพิ่มขึ้นหน่อย
   ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมกันนะคะ (ยิ้ม) เจ้ามีความสุขกับทุก feedback มากจริงๆ ค่ะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หก [9.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 09-11-2017 23:42:54
เรื่องเริ่มลึกลับมากขึ้นทุกที
"การรักษาความลับมันมีกฎแค่ข้อเดียว...อย่าให้ใครจับได้ก็พอ" ประโยคนี้ทำเราสะกิดใจเลยค่ะ
ว่าแฟร์แอบปิดบังอะไรไว้อยู่รึเปล่า
ความลึกลับของเรื่องนี้ทำเราคิดไปต่างๆ นาๆ ถึงขั้นออกไปทางแฟนตาซีเลยก็มี555555

 :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หก [9.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-11-2017 15:25:12
ทุกคนดูมีความลับเต็มไปหมด ตอนเชนให้ถามทำไมแฟร์ไม่ถามมมม คนอ่านอยากรู้หลายอย่างมากค่ะ ฮือ  :katai4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่หก [9.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 10-11-2017 17:16:26
ความลับมันน่าค้นหามากๆ ชอบคาแรกเตอร์ของแฟร์มากๆ เป็นลึกลับน่าค้นหาจริงๆ ชอบเรื่องเทพนิยายด้วยมันช่างสอดคล้องกับสถานการณ์เหลือเกิน ภาษาดีมากๆอ่านง่าย ชอบความลึกลับของเรื่องนี้จริงๆ อ่านแต่ละตอนก็ชวนให้สงสัย ทุกคนดูลึกลับ 555 ช่างยั่วยวนจริงๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เจ็ด [17.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-11-2017 21:20:45
เรื่องเล่าที่เจ็ด


   ข้าไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริง!
   - Maid Maleen

 

   ผมเคยถามตัวเองว่า 'เพื่อน' สำคัญระดับไหนในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมมนุษย์ ตั้งแต่เด็กก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับความรู้สึกพวกนั้นมากเท่าไหร่ การได้รู้จักคู่เพื่อนอย่างธชากับเชนเองก็เป็นการเปิดโลกอยู่เหมือนกัน

   เชนเรียกมันว่าความคิดแบบเด็กๆ เมื่อธชาไล่เพื่อนของตัวเองออกไปจากห้องสมุดเพราะเมื่อวันก่อนเขาได้อยู่กับผมแค่สองคนไปแล้ว

   จากใจเลยนะ ไม่ต้องอยู่เลยนี่แหละดีที่สุด

   นมกล่องวางเอาไว้แบบเดิม และผมก็คงทำเหมือนทุกวันที่ปล่อยให้มันเป็นของประดับไป วันนี้ทั้งผมแล้วก็เขาไม่มีเวลามาทำงานกลุ่มเพราะต้องอ่านหนังสือสำหรับควิซอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะเรียกว่าใจร้ายก็ไม่เชิง แค่อาจารย์บอกว่าที่นัดเป็นสัปดาห์หน้าต้องเลื่อนเข้าเนื่องจากมีประชุมด่วนที่ต่างจังหวัด และเพื่อไม่ให้ไกลเกินไปเลยต้องใช้วิธีนี้

   วิชาเกี่ยวกับวรรณคดีน่ากลัวเสมอสำหรับผม และคนที่ฟาดตำแหน่งท็อปเสมอๆ ก็ยังนั่งอ่านหน้านิ่งไม่พูดจาอะไร ก็นะ นี่มันวิชาที่รู้กันรุ่นต่อรุ่นว่าคนได้เอมีนับหัวได้ ส่วนการได้ซีเป็นเรื่องธรรมดาสุด เขาก็คงหวังที่เดิมไว้แหละ

   หยิบไฮไลต์ออกมาขีดส่วนที่คิดว่าสำคัญ ตั้งใจว่ากลับบ้านจะไปทวนอีกสักรอบ ผมไม่ได้หวังคะแนนอะไรสูงมากมายเลยขอแค่ผ่านก็มีความสุข อ่านไปจนถึงส่วนที่เพิ่งนึกได้ว่าจะจดเพิ่มเติมเลยหยิบปากกามาขีดเขียนลงไปก่อนจะลืมอีกครั้ง

   “...”

   สะดุดกับสีหมึกแปลกตากว่าของคนอื่น สีน้ำเงินเกือบดำคล้ายกรมท่าในบางที มันเคยเป็นสีที่ผมคุ้นมาเสมอจนกระทั่งเขาเป็นผู้หยิบยื่นมันมาให้ เพราะพอเห็นมันทีไร...ผมก็จะต้องตั้งคำถามขึ้นมาทุกทีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   “ไม่เข้าใจเหรอ?”

   เสียงเรียบเรียกให้ออกจากภวังค์ ผมรีบปฏิเสธกลับไปพลันด้วยการส่ายหน้าไปมา กดหน้ามองลายมือของตัวเองที่เขียนประโยคประหลาดนอกเหนือจากบทเรียนลงไป ช่วงต้นมันก็ยังเป็นคำที่ผมเขียนเกี่ยวกับข้อสอบอยู่แหละ ส่วนที่อยู่ในบรรทัดสุดท้าย

   Who are you?

   คุณเป็นใครกันแน่ธชา...

   “อยากรู้ตรงไหนก็ถาม ไม่ค่อยชอบวิชานี้นี่”

   “เราก็ไม่ชอบสักวิชา”

   เหมือนเป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติเวลาเขาบอกอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวผมเอง มันสั่งให้ผมรีบโต้กลับคืนไปก่อนที่อสูรร้ายจะหลงระเริงตนว่าเป็นผู้หยั่งรู้ในทุกเรื่อง

   “ตรงเรื่องของวรรณคดีกับปรัชญาระวังหน่อย คนชอบพลาดกัน”

   "ขอบคุณ"

   ธชาเป็นคนใจดีนะ ถ้าถามผมตอนนี้

   “แล้วก็ตรงประวัติความคิด อย่าจำสลับกันล่ะ"

   เข้าใจว่าตัวเองเหมือนคนที่ดูไม่มีความรู้ แต่ถ้าเรื่องไหนที่อาจารย์ย้ำทุกครั้งที่เข้าสอนนี่ก็ต้องเน้นเอาไว้แล้วไหมล่ะ ทำอย่างกับผมไม่เคยเรียนไปได้ ตัวเขาเองมากกว่าที่เข้าห้องเรียนน้อยกว่าผมไม่รู้กี่เท่า ยังไม่เคยเห็นอยู่ครบคาบได้เลยสักครั้ง

   “รู้แล้วๆ” ตอบรับไปให้จบบทสนทนาไปอย่างนั้น “ไม่ต้องห่วงเราก็ได้ เราโอเค”

   “อยากห่วง”

   “...”

   ผมเกลียดคำที่เขาเอ่ยออกมา

   “ไม่ต้อง” และปากก็โพล่งออกไปเร็วไม่ต่างกับสิ่งที่อยู่ในใจ

   รอยยิ้มจางปรากฏตรงมุมปากไร้ความหมาย อสูรร้ายต้องเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรกับอะไรอย่างนี้ไม่ใช่หรือไง แล้วเพราะอะไรยามเห็นมันประดับอยู่ถึงดูลงตัวยิ่งกว่าการฉีกยิ้มกว้างของบางคนอีก

   “งั้นเหรอ”

   “อ่านต่อไปเถอะ เราไม่กวนแล้ว”

   กลายเป็นรู้สึกผิดเสียอีกที่ทำให้ต้องมาเสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้สาระ ก็ถ้าบังเอิญคะแนนของเขามันลดลงมาแล้วอาจถูกโบ้ยให้เป็นความผิดของผมก็ได้ไง ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อนสิ

   เรียงชีตไว้บนโต๊ะเป็นชุดตามลำดับการสอน มันเป็นทางสองแพร่งเหมือนกันนะว่าเราจะเลือกชีตหรือว่าหนังสือถ้ามีเวลาในการอ่านไม่เพียงพอ พอจะอ่านแต่หนังสืออย่างเดียวก็กลัวว่าสิ่งที่จดเพิ่มเติมในชีตมันอาจจะดีกว่า แต่ถ้าให้อ่านแค่ชีตมันก็กลัวว่าจะไม่ครบอีก

   ชีวิตการเรียนทำไมต้องยากขนาดนี้นะ

   สมองของผมยังพยายามจดจำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แค่เนื้อหาก็ทำเอาอยากตะโกนโวยวายออกมาแล้ว ยังไม่รวมกับการวิเคราะห์ที่ต้องทำสำหรับการวิจารณ์อีก นี่ผมเป็นนักศึกษาหรือว่ากำลังเตรียมตัวเป็นศาสตราจารย์กัน

   เสียงแผ่นกระดาษเคาะลงกับโต๊ะบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นมา ในมือของธชามีกระดาษกรีนรี้ดจำนวนหนึ่ง ดูจากแผ่นแรกแล้วมันเป็นการซีรอกซ์สมุดจดด้วยลายมือ หัวข้อที่อยู่ด้านบนสุดคือเรื่องที่ผมกำลังอ่านอยู่นี่แหละ อีกข้างถือสมุดเล่มที่สันนิษฐานว่าเป็นต้นฉบับเคาะกับบ่าเอาไว้

   "ไว้พรุ่งนี้จะมาติวให้ วันนี้พอแล้ว"

   "แต่นี่เพิ่งสี่โมงกว่า"
   
   พลิกดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองว่ายังเหลือเวลาในการทบทวนอีกนานเท่าไหร่ วันนี้ผมกับธชามีเรียนแค่ภาคเช้าเลยเข้ามาสิงอยู่ในห้องสมุดตั้งแต่บ่าย ตั้งใจว่าจะอยู่ไปถึงดึกเลย

   "อืม เวลากำลังดี"

   "กำลังดี?"

   ถามพลางนึกตัวเลือกที่ดูเข้าท่า ไม่ใช่การทานข้าวเย็นแน่ และเขาก็ไม่ได้นัดหมายก่อนว่าจะให้ไปไหนด้วย

   "ตอนนี้รถบนสะพานน่าจะยังไม่เยอะเท่าไหร่"


 
   ให้สรุปตามความเข้าใจ ธชาแค่ไม่อยากจะนั่งอ่านหนังสือต่อไปแล้วเท่านั้นแหละ

   "ชุดนี้ทำดีกว่าคราวที่แล้วอีกนะ"   

   พลิกตามกระดาษชุดใหม่ไปเรื่อยจนถึงหน้าสุดท้าย จากนั้นถึงวางเอาไว้บนตักตามเดิม ลายมือเป็นระเบียบแบบที่ไม่น่าจะเป็นเลคเชอร์ของคนไม่ค่อยเข้าเรียน ทุกอย่างถูกจัดเป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการเชื่อมโยง ส่วนไหนที่ต้องระวังก็มีดอกจันขนาดใหญ่เตือนเอาไว้

   สมุดจดของธชาเรียบร้อยอ่านง่ายเหมือนที่ผ่านมา ผมเคยรอดตายในวิชามนุษย์กับศาสนามาเพราะชีตผีที่แจกว่อนทั่วชั้นของเขานี่แหละ แต่มันก็มีไม่กี่วิชา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนทำในตอนนั้น

   เคยมีคนเอาไปขายต่อแบบเก็งกำไรให้รุ่นน้องด้วย เลยโดนอสูรขู่เสียจนไม่กล้าหน้าเลือด

   "ไม่หรอก"

   "ซีมาเท่าไหร่"

   “ให้”

   “คำนวณมา” ใช้กระดาษอย่างนี้แพงจะตาย

   “บอกว่าให้”

   “ไม่เป็นไร ถึงจะไม่อยากได้แต่นายก็เสียเงินไปแล้ว”

   เป็นความจริงเกือบหมดคือเขาเสียเงินไปแล้ว ส่วนที่เป็นความเท็จคือผมไม่อยากได้

   มองทางด้านหน้าที่ไม่คุ้นตา เหมือนกับว่าธชากำลังเดินทางไปยังสะพานสักแห่งอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น แต่จะไปทำไมกันนะ

   "ก็มาด้วยแทนแล้วไง"

   อยากจะหัวเราะออกมาจัง ถึงไม่มีเรื่องนี้แต่ถ้าอยากให้ผมไปด้วยมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น นึกแล้วถ้าเชนอยู่ด้วยก็ดีสิ เขาต้องช่วยให้บรรยากาศมันดีกว่าตอนนี้แน่

   แสงแดดช่วงก่อนเย็นไม่มากเท่าทุกวัน ที่เห็นได้ชัดเลยคือการที่ผมไม่ต้องหรี่ตาลงเพื่อลดปริมาณของแสงที่ผ่านเข้ามา เสียงดีเจจากคลื่นวิทยุบอกสภาพอากาศว่ามีเมฆมากในช่วงเย็นและอาจมีฝนตกในบางพื้นที่ จากนั้นถึงเป็นอินโทรของเพลงอินเตอร์ที่กำลังฮิตในช่วงนี้

   เสียงร้องตามในลำคอจากคนขับเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน ผมฝืนตัวเองไม่ให้หันไปมองคนด้านข้างพร้อมกับทำหน้าตกใจที่ได้ยินอะไรอย่างนั้น เชนเคยบอกว่าธชาไม่ฟังเพลงไทย ส่วนเหตุผลจำได้แต่ว่ามันเป็นอะไรที่เด็กน้อยมากๆ

   จากถนนใหญ่เขาเลี้ยวเข้าสู่ทางใต้สะพานขนาดเล็ก ในช่วงแรกมันมีสองเลนแล้วยุบเหลือเพียงหนึ่งเมื่อผ่านไปครึ่งทาง ดูจากการเบี่ยงให้กับรถที่สวนมาแล้วแล้วคงคุ้นเคยพอควร มันอาจจะเป็นทางกลับบ้านหรือไม่ก็ขับรถเล่นประจำ

   จนในที่สุดเราก็เจอสะพานที่ว่า ผมยังไม่ทันอ่านชื่อสะพานได้ครบรถยนต์ของเขาก็ทะยานผ่านไปเสียแล้ว หน้าต่างทั้งสองข้างขยับลงตามคำสั่งที่ได้รับ แรงจากลมที่ปะทะเข้ามากะทันหันมากเสียจนภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำไปชั่วขณะ

   "ดูวิวฝั่งตัวเองไป เดี๋ยวขับอ้อมกลับมาอีกรอบอยู่แล้ว"

   ตอนแรกมันเป็นตึกประปรายตรงตีนสะพาน แล้วขยับเป็นกำแพงปูนต่อขึ้นมาจนมองอะไรไม่เห็น ก่อนที่ภาพมุมกว้างของเมืองหลวงจะปรากฎต่อสายตาเมื่อมันกลายเป็นกระจกใสแทน ผมจ้องมองมันไม่วางตา พาหนะที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไม่เท่าไหร่ช่วยให้ผมเก็บรายละเอียดได้หลายอย่าง

   จนถึงกลางสะพานสูงธชาก็หยุดรถ กดปุ่มไฟฉุกเฉินไว้แทนการบอกว่ารถมีปัญหา

   ซึ่ง...มันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยไง

   "น่าจะอยู่ได้เกือบสิบนาที ลงได้เลย"

   บอกเร็วๆ แล้วก็เปิดประตูฝั่งตัวเอง ผมทำตาปริบมองเขาปีนออกไปยืนตรงทางเดินคนด้านนอกของสะพาน มีการหันมากวักมือเรียกให้รีบออกไปอีกต่างหาก

   คราวนี้ลมเย็นปะทะทั้งตัวไม่เฉพาะแค่หน้า ก้าวข้ามออกไปยืนอยู่ด้านนอกเหมือนอย่างที่ธชาทำ เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องมาเวลานี้ ก็ถ้าขืนมาหยุดรถเพื่อชมทิวทัศน์ตอนเวลาเลิกงานนี่คงโดนด่าไปเจ็ดชั่วโคตร

   "สวยไหม?"

   "ก็สวยดี"

   ตอบไปตามตรง เหม่อมองแม่น้ำสายใหญ่ที่แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง ตึกสูงเรียงรายด้านซ้ายเป็นตัวแทนของฝั่งที่เจริญกว่า ส่วนอีกข้างยังมีพื้นที่สีเขียวพอให้เห็นอยู่ไม่น้อย นึกเสียดายที่วันนี้เมฆมาก ไม่อย่างนั้นแล้วท้องฟ้ากับก้อนปุยสีขาวมันจะเป็นองค์ประกอบที่ดีเหมือนกัน

   ลมยังพัดผ่านเข้ามาต่อเนื่อง ผมหลับตาลงแล้วสูดอากาศเข้าไปลึก มันคงไม่ได้สะอาดหรือว่าเต็มไปด้วยออกซิเจน ก็แค่อยากจะเก็บความรู้สึกเอาไว้เท่านั้นเอง

   "เราชอบมาขับรถเล่นเวลาเครียดๆ" ฟันธงไปเองว่าเรื่องเครียดที่เขากำลังบอกคือเรื่องสอบย่อย "คิดว่าก็น่าจะชอบ"

   "ทำไมชอบคิดแทนกัน"

   ถามโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองหน้า ผมยังคงปล่อยให้ประสาทสัมผัสการมองเห็นซึมซับความสวยงามตรงหน้าต่อไป โอกาสที่ได้มาเห็นมันมีไม่มาก เพราะงั้นควรที่จะเก็บเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

   "เผื่อว่าจะได้เข้าใจแฟร์มากขึ้นไง"

   คิ้วสองข้างขยับเข้ามาหากัน ตะหงิดใจกับมันในระดับเล็กน้อยพอที่จะเลยผ่านไปได้โดยไม่ต้องจี้ให้ได้คำตอบ

   เวลาที่เหลือเราไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในโลกของตัวเองไปเงียบๆ ไม่รบกวนกัน พอผมชำเลืองเห็นว่าธชาเริ่มขยับตัวแล้วมันก็เป็นการบอกว่าช่วงเวลาคลายเครียดได้หมดลงไปแล้ว ต่อจากนี้คือการกลับเข้าสู่ความเป็นจริง

   "...ขอบคุณนะ"

   คงเป็นคนนิสัยไม่ดีเกินไปหน่อยถ้าไม่ขอบคุณสำหรับการพามาเจอบรรยากาศน่าประทับใจ ชายที่ผมยังคงไม่รู้จักมากเท่าไหร่นักหันกลับมามองเพียงเสี้ยวหน้า ต่างหูแบบห้อยที่เปลี่ยนไปแบบไปจากคราวครั้งที่แล้วขยับตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย

   ก่อนรอยประดับสวยจะปรากฏตรงมุมปาก "ไม่เป็นไร"

   มันงามเสียผมจับได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไป


 
   ถือว่าเป็นการควิซที่ผมมั่นใจมากกว่าทุกครั้ง ด้วยอานิสงค์ของชีตผีงานพรีเมียมแล้วก็การติวหลักสูตรเร่งรัดก่อนเข้าเชือดหน้าห้องสอบสิบห้านาที แล้วก็เหมือนกันทุกทีที่ผมแยกกลับตรงประตูรั้ว รอรถโดยสารประจำทางเพื่อกลับบ้าน

   คว้าหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองออกมาจากกระเป๋า เข้าไปส่วนแอปพลิเคชันสำหรับพูดคุยเพียงชนิดเดียวในนั้น เมินข้อความใหม่ล่าสุดจากคนที่เพิ่งแยก นิ้วกดเข้าไปตรงห้องสนทนาที่อยู่ติดกันแทน

   ข้อความสุดท้ายคือสิ่งที่ผมส่งไปเมื่อคืน ยังไม่ปรากฏคำว่ารี้ดตรงหน้าประโยคแสดงว่ายังไม่เปิดอ่าน ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เก็บมันลงไปตามเดิมแล้วกว่าจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ตอบธชาก็เกือบเข้านอนแล้ว

   กดเข้าไปอ่านถึงรู้ว่ามันคือลิงก์ต่อไปยังไฟล์บางอย่างที่เป็นชื่อผสมระหว่างตัวอักษรภาษาอังกฤษกับตัวเลข มีคำอธิบายต่อจากนั้นว่าเป็นตัวงานส่วนของเขาที่เริ่มทำแล้ว

   ส่วนล่างสุดคือคำแนะนำว่าควรเปิดอ่านในคอมมากกว่า คนที่โดนเตียงดูดแล้วอย่างผมไม่มีทางลุกขึ้นไปเปิดโน้ตบุ๊กหรอก แค่กดไปตรงลิงก์ยังขี้เกียจเลย

   ต้องใช้ความพยายามจำนวนมากในการสัมผัส หน้าจอใหม่เผยขึ้นมาให้เห็นว่ามันคือส่วนของโปรแกรมเวิร์ดแบบออนไลน์ที่มีข้อความบางอย่างพิมพ์เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ส่วนของหน้าแรกเป็นคำอธิบายให้ผมเข้าใจง่ายๆ ว่ามันมีไว้ทำอะไร


   ไว้ทำงานด้วยกัน มันแก้ไขได้เลย

   เราทำสารบัญคร่าวๆ ไว้แล้ว แก้ได้ตามสะดวก



   ผมไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้าย ธชากำหนดหัวข้อเอาไว้ให้แล้วเสร็จสรรพ ตรงไหนที่เป็นส่วนของผมก็มีเขียนเครื่องหมายเตือนเอาไว้ข้างหลังด้วยกันผิดพลาด ตรงหน้าแรกๆ นอกจากหัวข้อแล้วยังมีเนื้อหาหลายบรรทัด

   อ่านไปแค่ไม่กี่ประโยคก็รู้แล้วว่าเขาเองอ่านเนื้อหาสำหรับทำงานนี้เยอะขนาดไหน

   เอาเวลาไหนไปทำนะ

   ตั้งคำถามในใจแล้วก็คงค้างไว้ตรงนั้น เล่นในโทรศัพท์อย่างนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ ผมเลยไล่ลงมาจนถึงหน้าสุดท้ายให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรเล็ดรอดออกไปจากสายตาได้แล้วย้อนกลับมาในกล่องสนทนาอีกครั้ง

   รูปตัวแทนของธชาเป็นด้านหลังของเขาในมุมที่คงมีใครสักคน (แบบที่ไม่ต้องเดามาก) แอบถ่ายเก็บเอาไว้ ดูจากบรรยากาศต้นไม้สีเขียวโดยรอบแล้วคงเป็นสวนสาธารณะสักแห่ง ความหนาแน่นของพื้นที่สะสมออกซิเจนจุดประกายความคิดให้ผมอยากแวะไปเยี่ยมสถานที่อย่างนั้นบ้าง

   ธชาเอาเวลาไหนไปเสาะหาพื้นที่พวกนี้นะ


   T’CHA : อ่านนี่สิ


   ประโยคที่มาพร้อมกับลิงก์ที่สองเป็นส่วนต่อขยายที่ผมว่ามันไม่น่าเกี่ยวกับเนื้อหาแรก ลองกดเข้าไปถึงรู้ว่ามันเป็นหน้าเว็บการ์ตูนแบบผิดกฎหมาย นี่เขาช่วยรู้สึกตัวหน่อยได้ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยน่ะ

   คนที่ไม่มีการสอบติดเป็นเงาตามตัวแล้วย่อมทำตัวเอ้อระเหยได้ ผมกดเข้าไปตรงเครื่องหมายเริ่มต้นที่นำไปยังตอนหนึ่งของการ์ตูนที่ว่า ช่วงแรกต้องใช้จินตนาการขั้นสูงอยู่หน่อยเพราะว่ามันไม่ใช่ช่วงต้นของเรื่อง แต่พออ่านไปได้สักพักก็พอจะปะติปะต่อเรื่องเองได้อยู่

   เมทมาลีน ไม่ใช่ชื่อมาลีนแล้วเป็นคนใช้ เธอเป็นเจ้าหญิงที่รักกับเจ้าชายองค์หนึ่ง ความรักของคนทั้งคู่ถูกขัดขวางจากพระราชาผู้เป็นบิดาของเธอ พระองค์สั่งห้ามไม่ให้เธออภิเษกแล้วยังจับเธอขังไว้ในหอคอยใหญ่โตพร้อมกับคนใช้ ทุกทางถูกปิดตายไว้สนิท ส่วนอาหารนั้นมีเพียงพอสำหรับช่วงเวลาเจ็ดปี

   เวลาล่วงเลยผ่านมาจนครบ อาหารทั้งหมดก็ไม่เพียงพอสำหรับประทังชีวิต เจ้าหญิงผู้ถูกคุมขังจึงตกลงใจที่จะหนีออกมาจากหอคอยแห่งนั้น เมื่อเธอหนีออกไปข้างนอกได้สำเร็จความจริงจึงปรากฏว่าเพราะอะไรเสบียงอาหารจึงไม่เข้าไปเติม

   เมืองแสนสวยงามที่เธอเคยรู้จักกลับกลายเป็นเมืองร้างจากสงคราม มีข้าศึกบุกเข้ามาในเวลาที่หล่อนอาศัยอยู่ในกรงขังไร้ทางออก พระราชาถูกสังหาร ประชาชนต่างแตกกระสานซ่านเซ็นกันไป เมื่อสิ่งที่เคยวาดฝันไว้ไม่มีอยู่แล้วหล่อนกับสาวใช้จึงเดินทางออกไปยังเมืองของเจ้าชายเจ้าของหัวใจ

   สมกับเป็นเรื่องดัดแปลง เธอพบกับเจ้าชายผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง ตรงนี้ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดคือเจ้าชายคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าชายที่นางรักมาก่อน เขากำลังจะสมรสกับเจ้าหญิงแสนสวยงามอีกองค์หนึ่ง ด้วยแรงแห่งรักเมทมาลีนปลอมตัวเข้าไปในปราสาทในฐานะของนางกำนัล แอบผสมยานอนหลับเข้าไปในของเสวยของเจ้าหญิงในวันอภิเษกแล้วปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงแทน

   ร้ายกาจใช่เล่น

   ผมไม่ได้อ่านเนื้อหาตอนอื่น เลยไม่เข้าใจว่านักฆ่าที่จ้องจะทำร้ายเจ้าชายมาจากไหน เมทมาลีนปกป้องคนที่หล่อนรักเอาไว้ด้วยชีวิต แล้วเรื่องทั้งหมดก็มาเฉลยว่าเจ้าหญิงในหอคอยสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เพราะคงไม่มีใครที่อาศัยอยู่ในหอคอยที่ถูกปิดตายตั้งเจ็ดปีได้

   “โหดร้ายจังนะ...”

   ถึงจะไม่เข้าใจในบางช่วงแต่ก็ประทับใจการดัดแปลงจนต้องไปตามอ่านเรื่องจริง ที่ไม่เหมือนกับเนื้อหาการ์ตูนในหลายตอน
ในเรื่องต้นฉบับเจ้าหญิงออกมาพบบ้านเมืองถูกทำลายราบคาบ แล้วเธอก็ต้องใจสลายอีกครั้ง เมื่อเจ้าชายกำลังจะสมรสกับหญิงสาวอีกคน เจ้าหญิงผู้นั้นเป็นหญิงผู้ไม่มีความเชื่อมั่นใจตนเอง เธอคิดว่าตนเองไม่ควรค่าพอกับเจ้าชาย ตลอดเวลาเธอจึงหลบอยู่แต่ในห้องของตนเองไม่ออกไปพบผู้ใด

   เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์และจิตใจที่โหดร้ายเกิดความละอายในรูปลักษณ์ของตัวเอง จึงบังคับให้เมทมาลีนแต่งตัวเป็นเจ้าสาวแทนตัวเองในงานอภิเษก ระหว่างทางนางพยายามบอกใบ้ให้เจ้าชายรู้ว่าตนเองคือเมทมาลีนผู้เป็นความรัก ไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริงที่พระองค์จะต้องแต่งงานด้วย แต่เจ้าชายก็ไม่รับรู้

   ในงานนั้นเจ้าชายได้มอบสร้อยคอทองคำให้กับเจ้าสาวตัวปลอมเอาไว้ และเมื่อถึงช่วงราตรีเจ้าสาวตัวจริงก็กลับมาทวงพื้นที่ แล้วยังสั่งให้ทหารออกไปสังหารเมทมาลีนอีกต่างหาก ส่วนเจ้าชายเมื่อหาสร้อยที่มอบให้หญิงสาวไม่พบจึงรู้ได้โดยพลันว่านั่นไม่ใช่เจ้าสาวช่วงกลางวันของตน

   ชายหนุ่มรีบออกตามหาเจ้าสาวของตนเอง เสียงร้องขอความช่วยเหลือและสร้อยคอที่ส่องแสงออกมาเป็นตัวช่วยให้เจ้าชายหาเมทมาลีนจนพบ แล้วทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ส่วนเจ้าสาวตัวจริงถูกประหารชีวิต

   จากที่คิดว่าจะนอนเร็วนี่เกือบตีหนึ่งเข้าไปแล้วผมยังไม่ได้ห่มผ้าเลย ทั้งเรื่องดัดแปลงแล้วก็ต้นฉบับมันหน่วงแตกต่างกันไปคนละแบบ แล้วในความคิดผมตามแบบฉบับต้นฉบับมันน่าเศร้ายิ่งกว่าการที่ต้องรู้ว่าตนเองไร้ร่างกายไปแล้วเสียอีก แต่ภาพรวมเรื่องแบบดัดแปลงมันสนุกกว่านะ


   T’CHA : อ่านจบหรือยัง?

   เขาแอบส่งลูกน้องในปราสาทใหญ่มาอยู่ในห้องของผมหรือเปล่า อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองได้ไม่เท่าไหร่ก็ส่งข้อความมาแล้ว

 
   FAIR_ : อือ
   T’CHA : เป็นไง
   FAIR_ : สงสารเจ้าสาว
   T’CHA : ทำไม?
   FAIR_ : หมายถึงเจ้าสาวคนแรก
   FAIR_ : ในการ์ตูนนะ



   ถ้านับแค่เรื่องที่สั่งให้เมทมาลีนไปงานแต่งแทนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ตัวเจ้าหญิงในหอคอยนั่นร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอีก


   T’CHA : พิมพ์แล้วไม่ค่อยเข้าใจ
   T’CHA : โทรคุยไหม?



   “...”

   ค้างเอาไว้ตรงหน้านั้นไม่ส่งข้อความอะไรกลับไปด้วยความหวาดระแวง คิดไปว่าถ้ารีบเปิดโหมดเครื่องบินตอนนี้จะทันหรือเปล่า


   Line Call : T’CHA


   ...ผมโง่ไอทีเองแหละ

   “อืม”

   (นอนดึกนะ)

   เสียงปลายสายแบบผ่านคลื่นความถี่มีความแตกต่างจากที่เคยได้ยินทุกครั้ง

   “ปกติ”

   (วีดีโอไหม)

   “ไม่” เกลียดความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็วันนี้แหละ แค่เสียงก็ไม่อยากได้ยินแล้วยังต้องมาเห็นหน้าอีกเหรอ

   (อยู่กับคนอื่นเหรอ)

   “เปล่า คนเดียว”

   ไม่มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดเชิงลึกไปมากกว่านั้น ผมป้อนคำสั่งเปลี่ยนไปใช้โหมดลำโพงพลางเดินไปนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง คงยังไม่ได้นอนง่ายๆ แล้วล่ะ ที่ตั้งใจว่าจะนอนเร็วเปลี่ยนไปเริ่มต้นใหม่พรุ่งนี้แล้วกันนะ

   (งั้นคุยได้นาน พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้า)

   “ไม่คิดว่าเราอยากจะนอนเยอะๆ บ้างเหรอ”

   (แฟร์นอนน้อย)

   “หึ...”

   แค่นเสียงหัวเราะออกไปได้อย่างเดียว ก็ชินกับการเปรยเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างของธชามาสักพักแล้วล่ะ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เขาไปเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนนะ หรือเพราะเห็นว่าผมเป็นเด็กเนิร์ดเลยมาเหมารวมว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

   (แล้วสงสารที่ฤทธิ์ยาหมดก่อนงั้นเหรอ)

   อ้อ ผมเล่าข้ามไปนิดหน่อยว่าในฉบับการ์ตูนดัดแปลงเจ้าสาวตัวจริงไม่ได้สวยงามเช่นที่เห็น นั่นเป็นผลจากยาวิเศษจากแม่มดต่างหาก พอยาหมดฤทธิ์แล้วนางก็กลับกลายเป็นหญิงอ้วนหน้าตาธรรมดาทั่วไป

   “ไม่ เราสงสารที่เขากลายเป็นตัวประกอบไร้ค่า” กลัวว่าจะอธิบายไม่เข้าใจเลยเสริมเข้าไปอีก “เราว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ เธอควรจะได้ในสิ่งที่คู่ควรกับตัวเองไม่ใช่หรือไง”

   (แต่ตามเนื้อเรื่องเจ้าชายไม่ได้อยากอภิเษกอยู่แล้วนี่ มันก็เป็นแค่แผนหลอกมาลีนแค่นั้นเอง)

   “มันก็ใช่” ผมยอมรับในส่วนนั้น ในขณะที่บางส่วนก็ยังค้านอยู่ “แต่มาลีนก็ต้องรู้อยู่แล้วสิว่านั่นไม่ใช่เจ้าชายที่ตัวเองรัก”

   (เธอรัก ‘เจ้าชาย’ ไงแฟร์)

   "..."

   มุมของเขาแตกต่างจากผมมากทีเดียวล่ะ ผมไม่เถียงนะว่ามันอาจเป็นทางที่ดีกว่าก็ได้สำหรับคนที่ตั้งทัศนคติในเรื่องการแต่งงานว่าต้องเป็นความรักของคนสองคน ซึ่งในความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปสักหน่อย มันต้องมีอะไรอีกมากมายที่เอามาใช้ประกอบ

   (...ชอบแบบไหนมากกว่า)

   “อะไรนะ?” คิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ทันฟังว่าเขาพูดอะไร ธชาเองก็อ่านทั้งสองแบบแล้วเลยคุยกันได้ยาวมาจนถึงตอนนี้

   (ถามว่าชอบเรื่องเวอร์ชั่นไหนมากกว่า)

   “ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ”

   มนุษย์ที่โหยหาความรัก...น่ากลัว

   อย่างเจ้าหญิงในหอคอยตามแบบการ์ตูน ถึงจะรักมากไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เล่ห์กลเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา เธอควรจะรักตัวเองให้ได้มากกว่าที่จะเที่ยวออกไปตามหารักจากคนอื่น

   หรือบางทีผมควรถามว่าเธอรู้จัก ‘รัก’ หรือเปล่า

   ปลายสายเงียบหายไปหลังจากประโยคนั้น ในเมื่ออีกคนไม่เอ่ยปากอะไรผมก็ทำตัวเป็นกฎของแรงสะท้อนที่ไม่มีสิ่งใดย้อนกลับไปเหมือนกัน รออีกเกือบนาทีก็ยังไม่ได้ยินอะไรผมถึงตัดสินใจบอกลา

   “นอนก่อนล่ะ”

   กดปุ่มวางสายตามไปแทบจะในทันที ผมตั้งนาฬิกาปลุกของวันรุ่งขึ้นเอาไว้ให้เรียบร้อย วางมันลงบนโต๊ะข้างเตียงที่อยู่ไม่ไกลจากรัศมีการเอื้อมหยิบในตอนเช้า ตบท้ายด้วยการเปลี่ยนคำสั่งอัตโนมัติของแผงไฟ

   สะดุดกับหนึ่งแสงสว่างวาบกลางความมืด มันคือการแจ้งเตือนบนหน้าจอว่ามีข้อความใหม่ส่งมาถึงจากผู้ชายคนเดิม

   คำที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจ


   T'CHA : See you in the morning, wrong bride


***
   เรื่องนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนนะคะ คือพาร์ทเรื่องต้นฉบับกับเรื่องที่มีการ์ตูนเอามาดัดแปลง ส่วนที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนเรื่อง Ludwig Kakumei (Ludwig Revolution) มีพิมพ์กับสยามอินเตอร์คอมมิกค่ะ
   เจ้าเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็ตอนที่อ่านไปแล้วครึ่งเรื่องค่ะ (ฮา)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เจ็ด [17.11.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 17-11-2017 22:59:50
อยากรู้แล้วว่าชาต้องการอะไรจากแฟรรรรรรรรรรรรรรรร  :hao4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่แปด [25.12.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-12-2017 20:56:46
เรื่องเล่าที่แปด


   ลูกขอเพียงดอกไม้สีแดงเป็นของฝากจากแดนไกล
   - The Scarlet Flower

 

   “สามกล่องครับ เซ็นต์รับตรงนี้ได้เลย”

   เครื่องมือสื่อสารสารพัดประโยชน์ถูกยื่นมาให้ ผมใช้นิ้วลากเส้นให้กลายเป็นชื่อจริงของตัวเองจนเรียบร้อยถึงรับของทรงเหลี่ยมทั้งหมดมา ชื่อกับที่อยู่ของผู้ส่งเรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏได้อย่างดี

   พ่อกับแม่ของผมนี่น่ารักจังนะ

   อย่างที่บอกว่าทั้งพ่อแล้วก็แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณพ่อเป็นข้าราชการในสายงานปกครองที่ติดใจชีวิตบ้านนอกจนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นั่นจนแก่ ส่วนคุณแม่ตอนแรกเองไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่จนได้ลองไปอยู่แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่กรุงเทพอีก แล้วยังลามไปถึงน้องสาวของแม่หรือคุณน้าของผม รายนั้นก็ย้ายตามไปด้วยทั้งครอบครัว

   ผมเคยไปเยี่ยมในช่วงปิดเทอมอยู่เหมือนกัน อยู่ได้สั้นๆ ไม่เกินเดือน วันแรกก็ไม่ชินเท่าไหร่จนผ่านช่วงสัปดาห์แรกไปเลยเข้าใจว่าเพราะอะไรทั้งสองถึงไม่ยอมกลับเข้ามาอยู่ในเมืองอีก

   ก็แอบคิดอยู่ว่าถ้าเรียนจบแล้วน่าจะย้ายไปอยู่ด้วย ชักจะไม่ชอบสังคมเมืองแล้ว

   ลำเลียงพัสดุเข้าไปทีละชิ้นตามที่กำลังเอื้ออำนวย จนถึงกล่องสุดท้ายที่สะดวกพอสำหรับการถือด้วยมือเดียว ผมใช้กุญแจบ้านที่แขวนติดกับบานประตูในการเปิดผนึกกล่องทั้งหมด หยิบมันออกมาทีละชิ้นตามประเภทการใช้งาน

   กล่องแรกเป็นพวกของฝากขึ้นชื่อในจังหวัด มีทั้งของคาวแล้วก็ของหวานปะปนกันไป เพราะอย่างนี้เลยเลือกใช้บริการขนส่งเอกชนสินะ ไม่อย่างนั้นแล้วตอนที่ผมเปิดกล่องออกมามันอาจมีแต่ความว่างเปล่าก็เป็นได้ ด้านล่างสุดมีกระดาษแข็งเขียนด้วยลายมือบุพการีว่าให้ทานอาหารเยอะๆ หน่อย แถมยังย้ำมาด้วยว่าห้ามลืมทานให้ครบทุกมื้อ

   ก็มันน่าเบื่อที่ต้องมานั่งคิดว่าวันนี้จะทานอะไรดีนี่นา

   อ่านรายละเอียดของแต่ละชิ้นไปเรื่อย แม่ของผมก็ชอบทำอะไรอย่างนี้แหละ มีลูกเล่นที่แสดงถึงความใส่ใจ อย่างกระดาษก็ต้องมีลวดลายประดับเอาไว้เสมอ ส่วนมากจะเป็นลายดอกไม้ของโปรด อย่างใบนี้เป็นดอกกุหลาบ ส่วนก่อนหน้าเป็นดอกบัว

   คราวนี้ไม่ยอมถ่ายรูปอุปกรณ์สำหรับการออกกำลังเพราะยังรู้สึกหมั่นไส้คำสั่งที่เขียนติดมาด้วยกันอยู่ เลยไปยังกล่องที่สามที่แตกต่างจากพวก เครื่องหมายรอยยิ้มกับลายมือเขียนกำกับเอาไว้ว่ากล่องแห่งความสุข

   “...”

   มุมปากทั้งสองข้างขยับองศาขึ้นเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ก็สมชื่ออยู่นะ

   มันเป็นอุปกรณ์สำหรับการเย็บสมุด งานอดิเรกเดียวของผมที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน คือผมเป็นพวกได้เกรดบีในวิชาศิลปะและดนตรีทุกชนิดไง อะไรที่ต้องใช้จินตนาการในการทำนี่ไม่เคยไปด้วยกันได้ แค่ผสมสีให้มันกลายเป็นงานสีตรงกันข้ามผมยังทำให้มันกลายเป็นสีใกล้เคียงกันได้เลย โดนพ่อแม่บ่นว่าควรหาอะไรทำเป็นหลักแหล่งจนมาจบที่นี่แหละ พอดีมีคนคอยเคี่ยวเข็ญตลอดด้วยมันเลยมาถึงจุดนี้ได้ รู้ตัวเองดีว่าถ้ามีตัวคนเดียวมันก็คงต้องเก็บเข้ากรุไม่ต่างจากอย่างอื่น

   กระดาษบางอย่างหาซื้อยากในเมือง อย่างพวกที่เอามาทำหน้าปก ผมชอบอะไรที่มันแปลกๆ จนโดนบ่นว่าเป็นคนโรคจิตที่ชอบของไม่เหมือนใคร ถ้าเริ่มเห็นใครใช้คล้ายกันก็จะหลีกตัวออกมาแล้วหาของใหม่ อาจเรียกอีกอย่างได้ว่าเป็นพวกโลเลไม่มีความชัดเจนก็ได้มั้ง

   พื้นที่แถวนั้นเป็นแหล่งผลิตกระดาษ พ่อของผมเคยเอามาอวดตั้งแต่สมัยย้ายไปใหม่ๆ แล้ว และนั่นก็เป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่จะพาผมไปอยู่ที่นั่นตาม อาจเปิดร้านฝึกสอนทำสมุดเล็กๆ ของตัวเอง คงมีความสุขไม่น้อย

   "อา...เคี่ยวชะมัด"

   รำพันกับตัวเองพร้อมกับหวังว่ามันจะส่งไปถึง ผมอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นเล็กที่ระบุรายละเอียดราคาของสินค้าแต่ละชิ้น ข้อความบนนั้นตบท้ายด้วยการย้ำว่าถ้าลงมาหาเมื่อไหร่ผมต้องจ่ายให้ครบด้วย

   คราวนี้ถ่ายเฉพาะกระดาษในมือ กดเปลี่ยนไปยังโปรแกรมสนทนาสีเขียวอันเดียวในเครื่อง เลือกห้องแชทด้านบนสุดแล้วส่งรูปไปตามระเบียบ

   FAIR_ : รีบมาทวงหนี้เลยนะ

 

   ทำเสร็จทุกอย่างก็มานั่งจมอยู่ตรงโซฟา เปิดทีวีไปแบบไร้จุดหมายจบที่ชาแนลการ์ตูนเก่าในยูทูบ ลายเส้นของมันต่างจากที่คุ้นตาในปัจจุบันจนต้องจ้องว่ามันมาจากชาติไหนกันแน่ ผมอ่านตัวอักษรโรมันที่ไม่คุ้นเคยพวกนั้นไม่ออก จะมีพวกตัวพื้นฐานบางตัวเหมือนกับของภาษาอังกฤษ แต่ว่าบางส่วนนี่นึกว่าเป็นสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า

   สำเนียงแบบไม่คุ้นเลยสักนิด โชคดีที่มีซับภาษาอังกฤษอยู่ข้างล่าง ระหว่างที่เรื่องดำเนินไปไม่ถึงไหนผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันชื่อ Scarlet Flower เป็นเรื่องของ Beauty and the Beast เวอร์ชันรัสเซีย อืม...นี่ผมกำลังฟังภาษาที่เขาว่ายากติดหนึ่งในสิบของโลกอยู่ล่ะ

   สร้างขึ้นเมื่อปี 1952 หรือเกือบเจ็ดสิบปีที่แล้ว ถือว่าเป็นงานที่โอเคในสมัยนั้น ถ้าเทียบแล้วก็ช่วงของซินเดอเรลล่าแล้วก็เจ้าหญิงนิทรา

   เรื่องของเศรษฐีม่ายที่มีลูกสาวสามคน วันหนึ่งเขาจำต้องไปค้าขายที่แดนไกลจึงเรียกลูกสาวมาถามว่าต้องการสิ่งใดเป็นของฝากหรือไม่ ลูกสาวคนแรกขอมงกุฎทองประดับด้วยเพชรแสนสวย ลูกสาวคนที่สองขอกระจกที่สะท้อนแต่ความเยาว์วัยอยู่ข้างในนั้น ส่วนลูกสาวคนที่สามขอดอกสการ์เล็ตที่เห็นในความฝัน

   แม้บิดาจะรู้ว่าความปรารถนาของบุตรสาวทั้งสามคนยากจะทำให้สำเร็จตามขอ หัวใจของพ่อก็ยังมุ่งมั่นที่จะเสาะหามาให้ เขาออกเดินทางไปยังพื้นที่แสนไกลเพื่อขายสินค้า ระหว่างทางเขาสามารถตามหากระจกแห่งความอ่อนเยาว์และมงกุฎแสนสวยที่ไม่มีใครเหมือน กระทั่งการซื้อขายสินค้าได้สิ้นสุดลง ชาวเรือต่างยินดีที่จะได้กลับไปยังบ้านเกิดของตนแต่ว่าบิดาม่ายยังมีเรื่องที่ติดค้างในใจเพราะเขายังตามหาดอกไม้แสนสวยของลูกสาวคนเล็กอย่างนาเชนก้าไม่ได้

   ฉากต่อมาคือพ่อค้าบนเรือสำเภาของตัวเอง ฟ้าที่สดใสกลับกลายเป็นพายุที่พาไปยังเกาะวิเศษแห่งหนึ่ง ที่นั่นบิดาถูกต้อนรับด้วยความสะดวกสบายทั้งอาหารและที่พัก และยังได้เจอกับดอกไม้สีเลือดหมูแสนสวยคล้ายกับความปรารถนาของบุตรสาวคนสุดท้อง

   ด้วยความยินดีที่ได้พบสิ่งที่ตามหาเขาจึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกไม้ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปโดยพลัน เสียงปริศนาอนุญาตให้เขาสามารถนำดอกไม้กลับไปได้แต่จะต้องส่งบุตรสาวคนหนึ่งกลับมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

   อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกตาก็คงเป็นการใช้สีของเรื่องนี้ ติดภาพการ์ตูนฝั่งยุโรปที่ใช้สีสดใสตัดกันไปมาจนเห็นการเล่นสีโทนเดียวกันเป็นเรื่องที่ประหลาด

   เสียงเรียกเข้าแบบไม่คุ้นดังมาได้สักพักแล้ว ช่วงแรกก็หาแทบแย่ว่าตัวเองลืมปิดเสียงของโทรทัศน์หรือว่าอะไร จนต้องเตือนตัวเองเอาไว้ว่านั่นคือเสียงไลน์คอลจากคนคนเดียวที่ใช้ฟังก์ชันนี้ เผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังตอนที่มันหายไปช่วงหนึ่งก่อนจะกลับมาดังอีกครั้ง ปลอบใจตัวเองซ้ำๆ ก่อนกดรับสายแบบไม่เต็มใจสักนิด

   (กว่าจะรับ)

   “ไม่ได้ใช้”

   (เปิดวีดีโอหน่อย)

   “ไม่ เปลืองเน็ต” ผมไม่ชอบทำตามคำสั่งของเขาเลย จริงๆ นะ “จะให้เราทำงานตรงไหนเหรอ”

   (เปล่า แค่อยากเห็นหน้า)

   "แต่เราไม่อยากเห็นนายเลยล่ะ"

   (เสียงอะไร ดูหนัง?)

   "จะดูอะไรก็เรื่องของเรา"

   (ดูด้วยสิ)

   เกือบสบถตามออกไปแล้วไหมล่ะ ทำไมจะต้องแทรกตัวเองเข้ามาในทุกวิถีทางขนาดนั้น แล้ววันนี้คุณเพื่อนตัวดีไม่อยู่หรือไงถึงมาหาเรื่องป่วนผมได้

   "เปิดเน็ตดูสิ ชื่อเรื่อง Scarlet Flower"

   (จะดูด้วย)

   ไม่ได้ตั้งใจจะดูจริงจังตั้งแต่แรก ที่ยังนั่งดูอยู่ก็เพราะว่าไม่มีอะไรทำ แล้วมันใช่เรื่องไหมเนี่ยที่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมานั่งถือโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้เพื่อให้ธชาได้ดูหนังไปพร้อมกัน ภาพก็เล็กแค่นั้นดูรู้เรื่องที่ไหน

   "ถ้าเมื่อยจะวางมือนะ"

   ไม่ได้ใส่หูฟังเสียงเลยออกลำโพงอยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องราวดำเนินมาจนถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้วล่ะ เรื่องก่อนหน้านี้ก็ประมาณว่านาเชนก้ายอมเดินทางไปที่เกาะแห่งนั้นตามการแลกเปลี่ยน ที่นั่นเธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และให้สัญญากับเสียงปริศนาว่าจะไม่หนีไปไหน

   จนได้รู้ว่าบิดาของตนล้มป่วยลง อสูรยอมปล่อยให้เธอกลับมาโดยมีเงื่อนไขว่าต้องกลับไปเพียงสามวันเท่านั้น การกลับมาบ้านครั้งนี้เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่สาวทั้งสองฟัง ด้วยความริษยาพวกเธอจึงแกล้งปรับเวลาของนาฬิกาให้ช้ากว่าความเป็นจริง กว่านาเชนก้าจะทราบว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาที่ถูกบิดเบือนก็นานพอสมควร เธอกลับไปพบกับอสูรที่กำลังจะสิ้นลมหายใจข้างต้นสการ์เล็ต หญิงสาวแสนดีร่ำไห้พร่ำบอกว่าเธอรักเขามากแค่ไหน

   จากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก อสูรกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม แบบที่ผมไม่ค่อยเข้าใจค่านิยมความสวยงามของคนรัสเซียเท่าไหร่ เขาเฉลยว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาปให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในร่างอสูรจนกว่าจะมีคนรักเขาจากภายใน

   "ยังอยู่หรือเปล่า"

   หน้าจอของอีกฝั่งคือเพดานห้อง ส่วนของผมที่อยู่มุมบนขวาเป็นหน้าจอทีวีจอแบนขนาดใหญ่ รออยู่สักครึ่งนาทีผมก็ไม่เห็นว่าจะมีสัญญาณใดส่งกลับมา ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็วางสายเลยแล้วกัน เปลืองแบตของผมเกินไปแล้ว แทนที่จะอยู่ได้สามวันนี่คงเหลือไม่เท่าไหร่

   "เราปิดก่อนนะ" หยิบมันขึ้นมาเตรียมปิดอย่างที่บอก

   (อย่าเพิ่งสิ)

   "มีอะไรอีก"

   (สรุปแล้วสการ์เล็ตไม่ใช่ชื่อดอกไม้)

   นี่เขาหายไปหาข้อมูลมาอย่างนั้นเหรอ กับเรื่องอื่นนี่เต็มที่ได้เท่านี้ไหมนะ อย่างที่มีคนบอกเลยว่าเรามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ไม่ควรสนใจ

   "ก็แค่ดอกไม้สีแดง" ดูจากในรูปแล้วมันก็บอกไม่ได้หรอกว่าเอาต้นไหนมาเป็นต้นแบบ อารมณ์แบบอยากจะวาดแบบไหนลงไปก็ทำตามใจ "จะดอกอะไรมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอยู่แล้วนี่"

   (แต่บ้านสวยดี)

   ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอย้ายมุมกล้องเป็นบริเวณรอบห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นหน้าจอทีวีอย่างเดียว "...ขอบคุณ"

   (ไม่เปลี่ยนให้เห็นหน้าบ้างเหรอ)

   "ไม่ล่ะ"

   อีกฝั่งตอนนี้คือช่วงบนของธชานั่งอยู่ในร้านกาแฟตกแต่งสวย ผมเห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะแค่ไม่สนใจ เดี๋ยวนี้ร้านพวกนี้ผุดขึ้นอย่างกับเสกขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในทำเลที่มั่นคงจริงแล้วก็หายไปได้ง่ายไม่แพ้กัน

   (อยากไปเยี่ยมบ้าง)

   "ไม่ต้องมา เกรงใจ" ทั้งสั่งทั้งขู่ เจ้าของบ้านไม่ต้อนรับยังจะเสนอตัวอีก

   (ใจร้ายเนอะ)

   "แน่นอน"

   (นี่ ถ้าให้ขอของฝากได้หนึ่งอย่าง แฟร์จะขออะไร?)

   จู่ๆ จากเรื่องของการเยี่ยมบ้านมันกระโดดมาเรื่องของฝากได้ยังไงกัน ยังไม่ทันได้นึกให้ถี่ถ้วนดีคำตอบหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาเสียก่อน

   "...ขอได้จริงเหรอ?" เสียงของผมที่ถามกลับไปมันแหบกว่าที่เคยเป็น จนเห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของอีกฝั่งเปลี่ยนไปจากเดิม

   (อืม)

   เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียทั้งหมดเท่าที่คิดได้หากพูดมันออกไป ซึ่งถ้าเน้นที่ความสบายใจแล้วผมควรพูดอย่างที่คิด ติดอยู่ก็ตรงที่ฉุกนึกขึ้นมาได้ว่ามันคงทำให้อีกคนไม่พอใจแน่

   “เราขอหนังสือที่มีตอนจบของเรื่องนี้ได้หรือเปล่า”

 

   “ชาจะมากี่โมงกันแน่”

   เสียงติดแหลมของหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนขนาดใหญ่ลอยมากระทบโสต ที่ได้ยินชัดขนาดนั้นเพราะว่าผมกำลังนั่งหันหลังชนกับเธอยังไงล่ะ

   “น่าจะอีกไม่นาน วิชานี้ชาเข้าเรียนตลอด”

   “โอ๊ย! ไม่อยากรอแล้วนะ”

   “ใจเย็นน่า แล้วตอนคุยก็อย่าไปเหวี่ยงล่ะ”

   จากสไตล์ที่ผมเห็นผ่านๆ ตอนเดินเข้ามานั่งหญิงสาวกลุ่มนี้คงไม่ใช่เด็กในคณะ ซึ่งไม่อยากจะเดาไปเองว่าคราวนี้จะมาจากคณะไหน ตอนที่ได้ยินเขาคุยกันก็อยากจะเข้าไปแทรกเพื่อแก้ความเข้าใจผิดในหลายส่วนอยู่ เช่นเรื่องที่บอกว่าธชาเข้าเรียนวิชานี้ตลอด เมื่อคาบที่แล้วอาจารย์ยังเตือนอ้อมๆ เลยว่าคนที่ขาดเรียนบ่อยต้องพยายามรักษาวินัยของตัวเองให้มากกว่านี้

   จะบอกว่าตัวเองชินก็ไม่ถึงขั้นนั้น ใต้ตึกคณะของผมมักจะมีสมาชิกหน้าแปลกแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดอยู่แล้ว ทั้งมาส่องสาวแล้วก็ฝากท้องไว้ที่โรงอาหารที่อยู่ติดกัน บางครั้งก็เป็นคนแปลกหน้าที่ดีแต่บางทีก็ต้องบอกว่าคนพวกนั้นควรจะกลับไปอยู่แค่ในพื้นที่ของตัวเองก็พอ

   เอาจากที่ตั้งใจฟังบางช่วงบางตอนมันก็เกือบเป็นเรื่องเดิมแหละ เรื่องของอสูรร้ายแห่งคณะที่ดูท่าว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกแล้ว

   บางทีผมก็คิดนะว่าเพราะอะไรถึงยังมีคนปรารถนาดอกไม้ดอกนั้น

   รู้สึกว่าช่วงสัปดาห์ที่แล้วมันมีงานอะไรสักอย่างที่เชนลากชาไปทำ แล้วดันอุตริเอาเรื่องเล่ากุหลาบไปใช้อ้างอิงอีก มันเลยกลายเป็นว่าใครก็ตามที่ถูกแรนดอมขึ้นมาก็คิดไปเองว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น

   ข้อความที่พิมพ์สั้นๆ ว่าให้เข้าทางประตูหลังจะปลอดภัยกว่ายังไม่ได้ส่งออกไปสักที เพราะถ้าเขามาติดกับดักตรงนี้รับรองได้เลยว่าต้องเข้าเรียนสายแหง เลยชั่งใจอยู่ว่าควรจะทำตัวเป็นคนดีหรือปล่อยให้เขามาเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองสร้างเอาไว้

   เลือกเป็นคนดีเผื่อว่าอานิสงส์จะสะท้อนกลับมาเยอะๆ แล้วกัน

   ยังไม่ทันกดออกจากห้องแชตคำว่ารี้ดก็ปรากฏ ผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะส่งอะไรมาให้ต่อจากนั้น ยังปล่อยเวลาให้ไหลผ่านต่อไปโดยมีเสียงวงสนทนาเดิมคอยบรรเลง อีกประมาณสิบห้านาทีจะได้เวลาเข้าเรียน นั่งได้อีกสิบนาทีสบายๆ

   “นั่นไงชา!”

   คิ้วข้างหนึ่งของผมกระตุกขึ้นไม่รู้ตัว รีบหยิบโทรศัพท์มาดูว่าคำเตือนส่งถึงเขาแน่หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำไมถึงยังมาเข้าทางประตูหน้าอีกล่ะ

   “เข้าเรียนกัน”

   รีบสะบัดหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง อ้าปากค้าทำตาโตเหมือนจะพูดแต่ว่าไม่มีเสียงใดหลุดออกมา เพราะในหัวมีตั้งแต่คำด่ายาวไปถึงคำถามว่าทำไมเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้

   “ลุก” แถมยังถือวิสาสะฉวยเอาหนังสือตรงหน้าของผมไปถือเอาไว้เองอีก ถ้ามือไม่เร็วพอที่จะหยิบกระเป๋าของตัวเองมันต้องไปอยู่กับเขาเพิ่มแหง

   “...”

   “จะให้ลากหรือไง”

   “...”

   “แฟร์”

   เรียกเสียงเข้มอย่างนั้นให้ไม่ลุกได้ไหมล่ะ ผมเลี่ยงสายตาไม่ยอมหันไปสบกับโต๊ะด้านหลัง ไม่ต่างกับเขาที่ทำเหมือนกับว่าเสียงเรียกชื่อของตัวเองในตอนนี้ไม่มีอยู่จริง สงสารตัวเองขึ้นมาจับใจเลย ถ้าผมมีตาทิพย์มองเห็นอนาคตจะไม่นั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้หรอก

   คนมีชื่อเล่นว่าอสูรเดินนำตรงเข้าไปยังประตูทางเข้าตึก ไม่หันซ้ายขวามองสิ่งรอบข้างตัวเองเลย ผมเองก็เดินตามไปเงียบๆ ไม่ได้ทักในเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เขาอาจไม่อยากพูดถึงมันก็ได้ใครจะรู้

   "นี่ชา..."

   ไม่รู้ทำไม ระหว่างการเดินขึ้นบันไดผมถึงย้อนกลับไปคิดถึงการ์ตูนที่เราคุยกันก่อนหน้าไม่นาน ดอกไม้สีแดงที่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนของนาเชนก้า สิ่งแสนสำคัญสำหรับอสูรตัวร้าย

   "กุหลาบพวกนั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม?"

   ช่วงตาอ่านไม่ออกว่ากำลังสื่อถึงสิ่งใด มันไร้อารมณ์ไม่ต่างจากเสียงที่ให้คำตอบผมกลับคืนมา

   "ก็รู้อยู่แล้วนี่"

 

   เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมไม่ได้เข้าห้องสมุดหลังเลิกเรียนเพราะธชาบอกว่าไม่อยากอ่านหนังสือ เลือกไปมาก็จบที่ร้านไอศกรีมไม่เคยได้ยินชื่อ อยู่ลึกเข้ามาในห้างกลางเมืองไม่ห่างจากคณะ คนในร้านมีพอประมาณไม่ได้แน่นหนาจนรู้สึกอึดอัดอะไร การตกแต่งเป็นสีโทนสว่างแล้วก็วางของวินเทจประดับ ตรงด้านหลังที่ผมนั่งอยู่ก็มีแอปเปิลทำจากไม้วางเรียงลำดับกันอยู่

   “เดี๋ยวมา”

   มองธชาผุดลุกออกจากที่นั่งไปโดยไม่มีสาเหตุ เราสองคนมองสมาชิกคนที่สามเดินไปยังทางออกของร้าน เขาจะกลับมาก่อนของหวานมาเสิร์ฟไหมนะ ผมไม่อยากจะนั่งกินกับเชนสองคนหรอก

   “ไม่สนใจเรื่องที่ชาเจอมาวันนี้หน่อยเหรอ” ธชาเล่าเรื่องที่เจอเมื่อกลางวันคร่าวๆ ให้เพื่อนตัวเองฟังแล้ว

   “ไม่ใช่เรื่องของเรา จะยุ่งทำไม” ทั้งเตือนตัวเองแล้วก็แขวะคนถาม “อยู่กับตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า”

   ตั้งแต่รู้จักกับเชนมาบอกเลยว่าสกิลการตอบโต้ของผมดีขึ้นมาก จากที่ไม่ค่อยปากร้ายใส่ใครกลายเป็นว่าเขาพูดอะไรมาผมก็พร้อมที่จะเป็นด้านตรงข้ามที่ตีกลับทุกสิ่ง

   ใช้สายตาฟาดฟันแทนคำพูด ระหว่างเราสองคนมีเพียงเสียงเพลงสากลที่เปิดคลอภายในร้านเท่านั้นคอยขับกล่อม เอาสิ อยากจะทำอย่างนี้ผมก็ไม่ขัด

   ไม่รู้มาก่อนว่านิสัยใจคอของอีกคนแท้จริงเป็นอย่างไร หรือว่าโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงหาเรื่องจิกกัดคนอื่นได้ตลอดเวลาอย่างนี้ ก็อยากจะถามเชนเหมือนกันว่าชาติที่แล้วผมไปดักตีหัวหรือว่าทำเวรกรรมอะไรเอาไว้ชาตินี้ถึงได้ตามมาจองล้างจองผลาญไม่มีหยุด

   "แต่แปลกดีเหมือนกันนะที่บอกว่าชาตอบเร็ว มันมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับแชตเท่าไหร่เลยไม่ค่อยตอบ”

   ปิดปากเงียบแล้วใช้แต่หูฟังเรื่องเล่าที่ไม่เคยรู้มาก่อน เท่าที่เจอมาธชาเป็นคนที่ผมจัดอยู่ในไทป์ตอบเร็วนะ ไม่น่าจะเป็นพวกไม่ค่อยตอบ ว่าแต่ว่า 'ความทรงจำที่ไม่ดี' อย่างที่บอกมันหมายถึงอะไรกัน

   "เหรอ" แสร้งว่าไม่สนใจ เป้าหมายคือการหลอกล่อให้รายละเอียดหลุดออกมาเอง

   "อือ มันเคย..."

   "เมนูที่สั่งได้แล้วค่ะ"

   อยากจะเดาะลิ้นระบายความไม่สบอารมณ์ ของหวานถูกนำมาเสิร์ฟในจังหวะที่พอดีจนเกินไป

   “โอ้ กลับมาพอดีเลยชา”

   คนหายตัวไปไหนไม่รู้กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษทรงเหลี่ยม ถุงสีน้ำเงินเข้มเล่นลายกราฟิกสีครีมตัดกัน สวยเสียจนถ้าเป็นผมคงไม่กล้าหยิบมาใช้ ผมไม่สนใจว่าเขาไปซื้ออะไรมา ยังไม่มีข้าวเย็นตกท้องแต่ต้องมาทานของหวานก่อนก็คงช่วยบรรเทาความหิวไปได้พอควร

   เราสามคนเหมือนกันตรงที่ไม่มีใครถ่ายรูปอาหารก่อนทาน พอทุกอย่างวางเอาไว้พร้อมแล้วสิ่งที่พวกเราทำคือการตักจ้วงของหวานเนื้อครีมแบบไม่ต้องให้สัญญาณ ชาเลือกวานิลลา เชนเลือกรสแปลกๆ ที่ผมฟังพนักงานอธิบายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ส่วนผมเลือกเป็นผลไม้อย่างมะนาว

   “ของแฟร์อร่อย”

   “ทีหลังก็สั่งเองสิ” ทีอย่างนี้มาชม ตอนสั่งทำแบะปากแล้วบ่นว่าผมกินแบบคนแก่ คือคนแก่ที่ไหนจะมากินของเปรี้ยวๆ อย่างนี้ให้ปวดฟันกัน “แล้วก็กินของตัวเองไปให้หมดด้วย”

   ปรายตามองช้อนอีกฝ่ายที่ยังค้างอยู่ในถ้วยของผม ของเชนน่ะเพิ่งกินไปได้คำกว่าเองมั้ง สมน้ำหน้าคนอยากสั่งอะไรแปลกๆ

   “มันไม่อร่อยอะ”

   “เดินไปพูดตรงเคาท์เตอร์สิ”

   “ก้มหน้ากินของมึงไปชา”

   กลับเข้าสู่ช่วงเวลาของการทะเลาะกันอีกแล้ว สองคนนี้มีเคล็ดลับอะไรในการอยู่ด้วยกันโดยไม่ฆ่ากันตายไปก่อน ผมไม่ได้รับหน้าที่เป็นกรรมการเลยทำตาปริบๆ ใส่ แอบชิมเจ้าก้อนครีมเดียวที่ยังเหลืออยู่ว่ารสชาติมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ

   "..."

   อืม รับประทานไม่ลงจนเหลือจริง

   คนที่ชอบก็อาจจะชอบเลยนะ แต่สำหรับคนที่กินแต่ของรสเปรี้ยวอย่างผมมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำออกมาขายได้เลย จะว่าหวานก็ไม่เชิง ผสมอะไรบางอย่างที่ให้กลิ่นฉุนแบบพืชสมุนไพรเข้าไปอีก นี่กินน้ำตามเข้าไปแล้วยังรู้สึกว่าสัมผัสเดิมยังไม่จางไปเลย

   พอหมดหน้าที่กินต่อมาก็ได้เวลาจ่ายเงิน เราจะชอบหารสามกันแบบที่ให้แต่ละคนมีส่วนต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

   “วันนี้เลี้ยงแฟร์”

   ยังไม่ทันได้เห็นบิลใบเสร็จก็โดนมัดมือชกอีกแล้ว “ไม่”

   “เนื่องโอกาสพิเศษไง”

   “เราไม่ได้เกิดวันนี้” ถึงจะเป็นการเปิดช่องให้คำถามอื่นมาก็ไม่สน สำหรับผมแล้ววันพิเศษที่ว่าไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงวันครบรอบ วันแรกพบ วันบ้าวันบออะไรทั้งนั้น

   “ใช่ ไม่ใช่วันเกิด” เชนพยักหน้าขึ้นลง กระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเอง “บอกแฟร์ไปสิชาว่าทำไมเราถึงมากินกัน”

   “...”

   “จะขอบคุณที่ช่วยเรื่องเมื่อกลางวันไม่ใช่หรือไง”

   อยากจะมองอยู่หรอกว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ผมไม่กล้าอะเอาจริง อสูรที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือคนเดียวกับที่ใครต่อใครหวาดกลัวอย่างนั้นเหรอ

   จบมื้อของหวานก็แยกกันตรงชั้นสอง ผมต้องไปทางเชื่อมรถไฟฟ้าลงไปป้ายรถเมล์ข้างล่าง ส่วนเขาสองคนจะไปเอารถที่จอดเอาไว้อีกตึก

   "แฟร์"

   เป็นอีกครั้งที่ได้ยินเสียงคนอื่นเรียกชื่อของตัวเอง ผมหันหน้ากับมาทางต้นเสียงว่าใครเป็นคนเรียก เพื่อพบกับธชาที่เพิ่งแยกกันไปได้ไม่กี่นาทีดี

   "เอานี่ไปด้วย"

   ไม่ทันได้สังเกตว่าเขาไม่ได้มามือเปล่า มือข้างซ้ายของธชามีถุงกระดาษที่เพิ่งได้มาตอนทานของหวานอยู่ด้วย

   "ไม่เอา"

   "รับไป"

   "ไม่"

   สงสัยพูดยาวไปเลยไม่เข้าใจ ต้องให้ใช้คำตรงๆ อย่างนี้ถึงจะเข้าหูบ้าง หรือว่าในสมองส่วนการควบคุมของเขาจะเข้าใจว่าการพูดคำว่า 'ไม่' มีค่าเท่ากับ 'ใช่' ก็ไม่รู้สิ

   ธชาขยับปากเตรียมพูดอะไรบางอย่าง แต่กลายเป็นล้วงหาของในกระเป๋ากางเกงตัวเองแทน สิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้คือเครื่องมือสื่อสารไม่ใส่เคสเอาไว้

   "...ส่งมาเหรอ ยังไม่ได้เปิด ...มาวันไหน ...ได้ ...เจอกัน" ผมไม่รู้หรอกว่าเขากับปลายสายกำลังสนทนาในหัวข้ออะไรกันอยู่ ครั้นจะช่วงชิงจังหวะนั้นในการหนีก็ทำไม่ได้เพราะตาดุที่มองตรงมาไม่ขยับไปทางอื่น "...ไปรับอยู่แล้วน่า กลัวอะไร ...สัญญาครับ"

   "..."

   ผมไม่เคยเห็นธชาในพาร์ทอบอุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยล่ะ อ่อนโยนยิ่งกว่าช่วงเวลาทั้งหมดที่ผมรู้จักรวมกันเสียอีก นี่เขากำลังคุยกับใครกัน เพื่อนคนอื่นของอสูรอย่างนั้นเหรอ

   หรือเป็นมากกว่านั้น

   แปลกใจนะ ก็ตลอดมาผมไม่เคยเห็นเขาสองคนพูดถึงเพื่อนคนอื่นจนเหมือนกับว่าไม่มีใครคบอีกแล้วบนโลกใบนี้ จะมีก็แต่เชนเอาเพื่อนในคณะมานินทาให้ฟังว่าตอนเรียนมีเรื่องอะไรน่ารำคาญบ้างเท่านั้นเอง ส่วนธชาก็อย่างที่เห็นแหละ ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้

   จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย

   คิดได้อย่างนั้นสายตาที่ปรามมาก็ไร้ความหมายไปเลย ผมเดินลิ่วย้อนกลับไปยังทางเดิมที่ผ่านมา ตัดสินใจว่าจะเดินไปอีกป้ายก่อนหน้าแทน

   ยังคงได้ยินเสียงคุยผ่านคลื่นความถี่ตามมาอยู่ตลอดการก้าวเท้าเดิน "อือ ถ้าอย่างนั้นวางสายก่อนนะ ...แฟร์ หยุดเดิน"

   "ธชา!"

   ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาขึ้นเสียงใส่เลยถ้าไม่ติดว่าคนเอาแต่ใจเดินเร็วจนกระทั่งแซงแล้วก็บังทางเดินแคบๆ นี้เอาไว้ทั้งหมด

   "เอาของไปด้วย"

   อารมณ์ไม่ดีจากหลายเรื่องผสมกัน ทั้งเข้าเรียนสาย โดนคนเจ้ากี้เจ้าการบังคับชีวิต แล้วยังต้องมาฟังเขาคุยอะไรก็ไม่รู้กับคนอื่น ท่าการหยิบถุงใบนั้นเลยเรียกได้ว่าเป็นการกระชากเข้ามาหาตัว "ที่จริงไม่ต้องขอบคุณเรื่องที่เราเตือนเมื่อกลางวันก็ได้"

   "อยากจะขอโทษมากกว่าที่ทำให้ต้องเจออะไรแบบนั้น"

   "เราเฉยๆ อะ" ยักไหล่ขึ้น ไม่ได้เก็บสิ่งที่ตัวเองเจอมาคิดมาก "เพราะวันหนึ่งเราอาจต้องเป็นคนตรงนั้นก็ได้"

   จะว่าพูดตรงมันก็ใช่อยู่ จะให้ย้ำอีกครั้งก็ได้ว่าผมรู้ฐานะตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิที่จะละลาบละล้วงอะไร แล้วก็ยังเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้ตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกัน

   กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีของชิ้นอื่นติดมือกลับมาด้วยก็ก่อนเข้านอน เปิดดูข้างในถุงกระดาษว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน อย่างแรกคือสิ่งที่ได้มาเป็นประจำอย่างนมกล่องรสจืด ส่วนอีกชิ้นเป็นสมุดปกแข็งสีน้ำตาลอ่อนไร้ลวดลายประดับ หน้าแรกเป็นกระดาษแบบถนอนมสายตาไร้เส้นรวมถึงไม่มีร่องรอยของการขีดเขียนใด

   ...ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคย 'ขอ' อะไรเอาไว้

   ผมคว่ำสมุดไปด้านหลัง ทาบมือเอาไว้อย่างนั้นแต่ไม่กล้าที่จะเปิดดูว่ามันจะซ่อนอะไรอยู่ รอบกายเงียบเสียจนจับได้ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นแค่ไหน

   ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก บังคับให้ตาของตัวเองโฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้าไม่เบนไปทางอื่น ช่วงบนว่างเปล่าไม่ต่างจากหน้าแรก ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนเจอลายมือคุ้นตาเขียนข้อความเอาไว้ในทำนองว่าอสูรได้กลับมาเป็นเจ้าชายอีกครั้ง

   แต่ไม่มีข้อความไหนเอ่ยถึงเทวดาผู้โชคร้ายแม้แต่น้อย


***
   Merry Christmas ค่ะ (ยิ้ม) แล้วก็สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าด้วยเลยนะคะ ช่วงเทศกาลก็ต้องฉลองหน่อยเนอะ เคยบอกแต่ในทวิตแต่ว่ายังไม่ได้บอกในนี้ว่าเจ้าจะหยุดลงเรื่องนี้จนกว่าจะแต่งจบ เพื่อไม่ให้ความคาดหวังเรื่องการตอบรับมันมีผลกับสุขภาพใจของเจ้าเกินไปค่ะ แต่ยังไงจะพยายามแต่งให้จบแน่ๆ อาจต้องรอกันหน่อยนะคะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่แปด [25.12.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 25-12-2017 21:56:37
งือออ คิดถึงง  :hao5:
ชอบอ่านพาร์ทที่เป็นนิทานหรือเรื่องเล่ามากเลยค่ะ
เชนทำท่าจะเฉลยอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สำเร็จอีกแล้วว แวว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ติดตามเสมอค่า
Merry Christmas ค่าา :กอด1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่แปด [25.12.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 25-12-2017 22:24:52
โอ๊ยยย ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อน เหมือนไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิงแต่เราก็ยังพยายามที่จะคล้ายมันออก ชาแฟร์นี้ทำเราตึ้บจริงๆนะเนี่ย มันเดาไม่ออกเลยว่าตอนต่อไปจะมาแนวไหนอีก นิทานก็สนุกชอบมาก เหมือนพยายามจะเปิดปม(แต่อินี่ดันเปิดไม่ออกเรียกสั้นๆว่าโง่ :m15: ) ฮ้อยยยย คิดถึงสุดๆไปเลยชาแฟร์
Merry X'masนะคะพี่เจ้า :)
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่แปด [25.12.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 05-01-2018 10:38:57
สนุกกกกกกก เราเดาไม่ถูกเลยว่าต่างฝ่ายต้องการอะไรจากกัน แฟร์กับชาเหมือนมีโลกของเทพนิยายเชื่อมทั้งสองคนไว้ แฟร์น่ะ...เหมือนจะไม่ยอมลงแต่ก็ลงให้ตลอด ส่วนเชนเหมือนเป็นคนแต่งเทพนิยายเรื่องนี้ ทำให้สงสัย ทิ้งความอยากรู้ไว้ตลอด เหมือนจะบอกใบ้ให้ตลอดเวลาที่อยู่กับแฟร์


คุณเจ้าอ่านหนังสือเยอะมากเลยสินะคะ ข้อมูลเทพนิยายเยอะมาก อ่านแล้วจับใจความเก่งมากอ่ะ สามารถผูกโยงเรื่องราวได้ลื่นไหล สนุก และชวนสงสัย อยากรู้อยากติดตามตลอดการเล่าเรื่องเลย ชื่นชมจากใจเลย o13
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่แปด [25.12.17] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 05-01-2018 14:47:51
อ่านถึงตอนที่หกแล้วชอบตอนจบมากเลย ฮื่ออออ เป็นประโยคที่จึ้ก...
ประทับใจมากเลยค่ะ ทำไมทุกคนดูมีลับลมคมในไปหมด เราอึดอัดแงงง
อยากรู้จังว่าแต่ละคนซ่อนอะไรไว้
แต่เชนนี่เหมือนองครักษ์ที่เจ้าชายส่งมาปกป้องคุ้มครองเจ้าหญิงเลยนะคะ 5555
จริงๆ เราแอบชอบเชนมากกว่าธชาล่ะ ดูเป็นผู้ชายที่แพรวพราวดี

เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบคุณสับหรับนิยายดีๆ ค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-01-2018 20:57:28
เรื่องเล่าที่เก้า


   จำไว้นะลูกรัก ห้ามกินเนื้อแกะเด็ดขาด
   - The Wonderful Birch

 

   ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมากอยู่คนหนึ่ง และนั่นคงเรียกว่าเป็นพี่น้องคนเดียวที่ผมมี

   ระดับความสัมพันธ์ของเราคือสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าพี่น้องตามกันมาบางครอบครัวเสียอีก เรารู้ทุกเรื่องของกันและกันไม่ปกปิดเอาไว้ ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความลับ’ ระหว่างเราสองคน แต่ว่าตอนนี้เราต้องห่างกันชั่วคราวเพราะความถนัดในการเรียนมันต่างกัน ผมอยากเรียนต่อในคณะอักษรศาสตร์ ส่วนเขาสนใจสายวิทยาศาสตร์จนสอบตรงติดในมหาวิทยาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

   และเพราะว่าเราโตมาด้วยกันนี่แหละ ผมเลยไม่มีความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เด็ก’ เท่าไหร่

   “พี่แฟร์อ่านให้ชินาฟังหน่อยได้ไหมคะ”

   เด็กสาวในชุดนักเรียนอนุบาลสีสันสดใสยื่นหนังสือสำหรับเด็กเล่มหนามาให้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับทรงผมเปียสองข้างเป็นผลงานของคุณครูที่ดูเข้ากับเธอดี ผมรับมันมาโดยไม่เต็มใจ ก่นด่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่สู้นัยน์ตากลมโตไร้พิษภัยไม่ได้

   “พี่เล่าน่าเบื่อนะ”

   "ไม่เป็นไร เล่าเถอะค่ะ"

   “ก็ได้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”

   สงสัยใช่ไหมล่ะว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ คำใบ้อย่างแรกคือคนอย่างกาลวินท์ไม่มีทางมีจิตอาสามากพอที่จะมาทำหน้าที่เป็นครูสอนเด็กเล็กในเวลาว่าง อย่างที่สองคือผมไม่ได้สติฟั่นเฟือนจนถึงขั้นมาทำตัวญาติดีกับเด็กวัยช่างเจรจาอายุไม่กี่ขวบ

   เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมต้องมาติดแหงกอยู่ตรงนี้คือผู้ชายที่ชื่อธชา

   อ้อ! กับเพื่อนของเขาที่ชื่อเชนินทร์ด้วย

   “ฝากด้วยนะ บอกครูเอาไว้แล้ว”

   ยังจำคำฝากฝังได้ไม่มีลืม ผมให้ข้อมูลได้โดยละเอียดเลยว่าตอนนั้นตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่ มันเป็นช่วงเย็นที่เหมือนกับทุกวันคือเราจะมาเจอหน้ากันจนกว่าจะเบื่อไปข้าง บรรยากาศรอบตัวมาคุมากกว่าเดิมอยู่หน่อยเพราะใกล้เดดไลน์ในการส่งงานส่วนแรกแล้ว

   อยู่ดีๆ เชนินทร์ก็เล่าเรื่องของตัวเองว่ากำลังจะต้องเข้าสอบใหญ่ในวันที่ทั้งบ้านมีธุระต้องเดินทางไปต่างจังหวัด จนไม่มีใครสามารถมารับหน้าที่ผู้ปกครองในวันกิจกรรมรวมของเด็กหญิงชินานางได้

   ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวต้องผิดหวังเลยขอให้ผมกับธชาช่วยไปเป็นผู้ปกครองแทนหน่อย เพื่อนตัวดีก็รับลูกคู่โดยการตอบรับแบบไม่ถามข้อมูลเพิ่มเติมสักอย่าง เช่นเดิม พวกเขาไม่เว้นช่วงให้ผมได้ค้านแม้แต่หนึ่งคำ

   แล้วทำไมถึงไม่เอาลูกไปด้วยให้หมดเรื่อง ผลักภาระมาให้คนอื่นง่ายๆ มันใช้ได้ที่ไหนกัน ผมนึกถึงเรื่องในอดีตขณะที่มือเปิดไปยังหน้าแรก ก็เหมือนกับหนังสือเด็กทั่วไปที่มีรูปเป็นหลัก คนที่มักอ่านในแบบตัวอักษรยาวเป็นพรืดติดต่อกันไปจนสุดหน้ากระดาษอย่างผมมาเจอแบบนี้ก็ช่วยให้สายตาไม่ต้องทำงานหนักดีเหมือนกัน

   ไม่คุ้นชื่อเรื่องสักเท่าไหร่ นี่แก่เกินไปจนตามเทรนด์ของหนังสืออ่านเล่นสมัยนี้ไม่ทันแล้วสินะ

   “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวอันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ แล้วก็...”

   "แล้วก็ลูกสาว!"

   “ถ้ารู้อยู่แล้วจะให้พี่อ่านทำไม”

   โดนแทรกทั้งที่เพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่กี่ประโยค ผมหรี่ตามองเด็กสาวที่บอกว่าอยากให้อ่านนิทานให้ฟัง บังคับให้เสียงที่ออกมาไม่ตึงจนน้องกลัว

   ผมมากับธชา แต่ว่ารายนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตอนแรกบอกว่าจะไปฝ่ายธุรการด้วยเรื่องเกี่ยวกับการเรียนพิเศษในช่วงเย็นของชินาตามที่พี่ชายฝากเอาไว้ สงสัยฝ่ายธุรการที่ว่าคงอยู่อีกฟากของเมือง

   “ก็ชินาชอบเรื่องนี้”

   เด็กสาวไม่ได้แก่แดดแก่ลมอย่างที่กลัวเอาไว้ ตอนที่บอกว่าเชนมีน้องสาวผมก็ไม่อยากจะนึกภาพไปเองว่าคนพี่เป็นอย่างนั้นแล้วคนน้องควรจะเป็นแบบไหน พอเจอกันครั้งแรกเธอก็สร้างความประทับใจให้ด้วยการย่อไหว้สวยงามแถมยังส่งยิ้มหวานมาให้ เรียกได้ว่าผมกดคะแนนให้เยอะเลย

   ชินารู้อยู่แล้วว่าวันนี้นอกจากธชาแล้วจะมีเพื่อนคนอื่นของพี่เชนตามมาด้วย ถ้าผมไม่โผล่หน้ามาจะกลายเป็นคนไม่รักษาสัญญาไปหรือเปล่านะ แล้วไหนบอกว่าไม่มีอะไรนอกจากมาคุยเรื่องทั่วไปกับคุณครูประจำชั้น ส่วนอื่นเดี๋ยวธชาจะเป็นคนจัดการเอง

   "วันหนึ่งแกะที่บ้านนี้เลี้ยงเอาไว้หายไป พ่อกับแม่เลยแยกย้ายออกไปตามหา แต่โชคร้ายที่คนแม่ไปเจอกับแม่มดร้ายผู้เปลี่ยนนางให้กลายเป็นแกะ แล้วเสกให้ตัวเองกลายเป็นภรรยาแทน"

   "ถ้าชินาเป็นพ่อนะ ชินาต้องรู้แล้วว่าที่กลับมาไม่ใช่ภรรยาตัวเอง"

   "นางแม่มดหลอกล่อให้ผู้เป็นพ่อฆ่าแกะแล้วกินเสียให้สิ้นเรื่อง บุตรสาวที่แอบฟังอยู่จึงรีบไปหาเจ้าแกะเพื่อพบความจริงว่าแกะตัวนั้นคือมารดาของตน เมื่อแม่ในร่างสัตว์ขนฟูรู้ชะตากรรมจึงปลอบประโลมบุตรสาวของตนเองพร้อมกับสั่งว่าหากนางถูกฆ่าแล้วห้ามกินเนื้อของแกะตัวนี้เด็ดขาด"

   "แล้วให้เอากระดูกไปฝังไว้ในสวน ชินาจำได้!"

   "เล่าเองไหมชินา" โดนขัดมาตั้งแต่ต้นเรื่องล่ะ ไม่ค่อยเข้าใจเด็กอย่างนี้เลย

   "ไม่ค่ะ พี่แฟร์เล่าต่อเลย"

   สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะโฟกัสสายตาให้อยู่กับเรื่องเล่า ผมบอกไม่ได้ว่าเคยผ่านตามาหรือเปล่า ระหว่างการทำงานต้องอ่านกี่เรื่องก็ไม่ได้นับ ไม่แน่นะ พออ่านไปมาอาจเจอการขมวดปมที่คล้ายกันในช่วงหลังก็ได้

   "พื้นดินตรงที่กระดูกฝังเอาไว้ปรากฎต้นเบิร์ชแสนงดงามงอกขึ้นมา เวลาผ่านไปแม่มดในร่างของภรรยาก็ได้ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคน และความสงบสุขก็หมดไปเมื่อวันหนึ่งพระราชาได้ประกาศว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ด้วยความริษยามารดาเลี้ยงจึงกลั่นแกล้งลูกสาวคนแรกสารพัดเพื่อไม่ให้เธอมีโอกาสได้ย่างเหยียบเข้าไปในงาน"

   "ผู้ปกครองคะ งานจะเริ่มแล้วนะคะ"

   เรื่องของลูกสาวยังเล่าได้ไม่ครบเพราะว่ามีเสียงตามสายส่งสัญญาณว่ากิจกรรมในวันนี้กำลังจะเริ่มแล้ว ปล่อยให้ชินาเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของตัวเอง ส่วนผมก็ปลีกตัวออกมาอยู่ตรงมุมที่เต็มไปด้วยผู้ปกครองในวัยกลางคน จนตัวเองกลายเป็นจุดแตกต่างชัด

   มองสาวน้อยนั่งฟังคุณครูอย่างตั้งใจ ตากลมโตจ้องบนกระดานไม่กะพริบ ลองนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองพอจำเรื่องในช่วงเวลาเดียวกันนี้ได้หรือไม่ ผมเข้าเรียนในโรงเรียนที่ไม่ห่างจากบ้านมากนัก ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าสะดวกต่อการรับส่ง วีรกรรมคืองอแงไม่ยอมแยกกับพ่อโดยการกัดแขนคุณครูที่มาพาเข้าโรงเรียน

   กิจกรรมในวันครอบครัวไม่ค่อยต่างจากที่คิดเอาไว้มาก เกมสานสัมพันธ์ง่ายๆ เน้นให้เด็กได้แสดงความเป็นตัวเองเต็มที่ ชินาเป็นเด็กร่าเริงเข้ากับคนอื่นได้ดีไม่ต่างจากพี่ชายของเขา ลองมองอนาคตเมื่อเด็กหญิงตัวน้อยโตขึ้นแล้วก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เหมือนพี่ชายไปเสียทั้งหมด

   ในฐานะผู้ปกครองเพียงคนเดียวของเด็กหญิงชินานางในเวลานี้ทำให้ทุกกิจกรรมจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผม จากที่ตั้งใจว่าจะหลบอยู่ตามมุมก็กลายเป็นจุดเด่นในห้องเรียนไปเสียได้ ขอโทษเด็กหญิงตัวเล็กในใจที่ต้องมีคนอย่างกาลวินท์เป็นคนดูแล

   กิจกรรมที่ต้องร่วมเล่นอย่างไม่เต็มใจคือวิ่งแข่งหาคำใบ้ ไม่ชอบออกกำลังกายแล้วยังไม่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน เป็นการรวมกันของสิ่งที่ผมเกลียดเอาไว้ในที่เดียวชัดๆ

   "พี่แฟร์วิ่งเร็วๆ หน่อยสิ"

   "พี่ไม่ชอบวิ่งอะ"

   ทำหน้ามุ่ยนิดหน่อยตอนสัมผัสได้ว่าข้างแก้มของตัวเองเริ่มชื้นเหงื่อ ผมไม่ได้เหนื่อยเพราะต้องขยับร่างกายอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ไม่ว่าจะช่วงไหนของชีวิตก็เถอะวิชาพละศึกษาคือสิ่งที่เลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ทำทุกวิถีทางจนกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นเซียนในการหนีเรียนไปแล้ว

   "ก็เพราะอย่างนี้ถึงดูอ่อนแอไงคะ"

   หนึ่งสิ่งที่น้องเหมือนพี่ คือปากร้ายไม่ต่างกัน "ชินาก็ตัวเล็ก"

   "แต่ชินาวิ่งแข่งชนะทุกคนเลยนะ"

   มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะแผ่นสติกเกอร์ที่มีเลขหนึ่งยังติดอยู่ตรงอกข้างขวาของเธอ เกมที่เล่นก่อนหน้านี้คือการวิ่งแข่งรวมชายหญิง และเด็กตัวเล็กตรงหน้าผมก็คล่องแคล่วเสียจนคว้าที่หนึ่งมาครองได้ไม่ยาก

   ชอบเอาชนะเหมือนใครกันนะ

   "เก่ง ปกติชอบออกกำลังกายเหรอ"

   "ชอบบบ พี่เชนจะพาไปว่ายน้ำเวลาว่าง"

   เชนินทร์ก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน "พี่ชาก็พาไปบ่อย ถ้าวันไหนพี่ชาไปพี่เชนก็จะหายตัวไปเลย"

   เสียงหัวเราะคิกคักยามเล่าเรื่องเป็นเสียงประกอบที่น่ารักเหลือทน ผมผงกหัวขึ้นลงตามภาพที่โผล่เข้ามาในหัว ธชาที่เล่นอยู่กับน้องโดยมีเชนนั่งชิลอยู่ตรงม้านั่ง แล้วก็สั่งให้ธชาพาน้องว่ายไปรอบๆ จนพอใจ

   "เหนื่อยไหมมีพี่ชายอย่างนี้"

   คำถามของผมมันแปลกมากเลยเหรอ ทำไมชินาถึงทำหน้าไม่เข้าใจกลับมา

   "ชินาเป็นพี่ต่างหาก พ่อยังบอกเลยว่าพี่เชนน่ะน้องเล็กสุดของบ้าน"

   แสดงว่ามีกันสองคนพี่น้องล่ะมั้ง เรื่องเล่าแก้ความเข้าใจผิดมันตลกจนหลุดขำออกมา มันก็เข้าเค้าอยู่นะ ชินาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันเยอะเลย ทั้งการดูแลตัวเองแล้วก็วิธีการเข้าสังคม คุณครูพูดอะไรก็เชื่อฟังไม่มีดื้อหรืองอแง ต่างจากเด็กหลายคนที่เดินกลับไปหาผู้ปกครองทันทีที่สบโอกาส

   "พี่แฟร์พักไปนะ เดี๋ยวชินากลับมา"

   "..."

   แล้วเด็กตัวเล็กก็วิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนแบบที่ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้โบกมือลา เอาจากความรู้สึกแล้วก็คิดว่าตัวเองแก่เหมือนกัน นับเล่นๆ ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่ผมผ่านช่วงชีวิตนี้มา ช่วงที่ไม่ต้องสนใจอะไรนอกจากเมื่อไหร่จะถึงเวลานอนกลางวัน แล้วก็ตื่นขึ้นมากินของว่างก่อนกลับบ้าน

   "ชินาดื้อหรือเปล่า?"

   เสียงเย็นตรงข้างหูทำเอาผมเกือบสะดุ้ง

   "ไม่ น่ารักมาก"

   "เซิร์ฟเวอร์ที่ห้องธุรการล่ม ลงทะเบียนไม่ได้"

   "ไฮเทคจังนะ" สมัยผมเรียนนี่คงมีแค่แฟ้มเอกสารเอาไว้จดข้อมูล

   "ไม่มีใครหยุดอยู่ที่เดิมหรอก"

   "..."

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันมีความหมายอื่นแฝงเอาไว้หรือเปล่า

   น้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาคมอ่านไม่ออกว่ากำลังสื่อถึงอะไร ผมเปิดฉากเล่นเกมจ้องตากับอีกคนโดยไม่มีใครส่งสัญญาณเริ่ม รวมถึงบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน

   เราอยู่ใกล้กันชนิดที่ว่าถ้าผมหรือเขาลองขยับอีกสักก้าวตัวของเราจะต้องชนกันแน่ ตลกดีที่ต่อให้เป็นอย่างนั้นธชาไม่เคยทำให้ผมรู้สึก 'เข้าใกล้' ตัวตนของอสูรได้เลย ระยะห่างระหว่างผมกับเขาในวันแรกเป็นอย่างไร มันก็ยังเท่าเดิมไม่มีขยับใกล้แม้แต่หนึ่งมิลลิเมตร

   จนชักไม่แน่ใจแล้วว่าการเดินทางของผมมันมีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า

 

   "ต่อไปเป็นการแต่งนิทานนะคะ"

   ในที่สุดก็มาถึงกิจกรรมสุดท้ายสักที ผมปล่อยให้หน้าที่ผู้ปกครองเป็นของธชาอย่างที่มันควรจะเป็น ตัวเองหลบมาอยู่ฉากหลังคอยถ่ายรูปอย่างที่ได้รับการร้องขอมา พอได้คลุกคลีกับเด็กก็ชักอยากจะย้อนกลับไปช่วงที่ผมกับลูกพี่ลูกน้องยังทะเลาะกันเรื่องรสชาติของนมที่แจกในภาคบ่ายเลยแฮะ

   "พี่แฟร์มาช่วยด้วยกันสิ"

   "สองคนมันอึดอัดนะ"

   เฉไฉไปเรื่อย มองไปแล้วบางครอบครัวก็มาทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่แหละ ผมแค่ไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมไหนอีก

   "พี่ชาบอกว่าพี่แฟร์แต่งนิทานเก่ง"

   "มั่วแล้ว" ปฏิเสธกลับทันที ผมไม่เคยแต่งเรื่องอะไรพรรณนั้นสักหน่อย "ชินาอย่าเชื่อมาก"

   "ไม่เชื่อก็ได้ค่ะ แต่พี่แฟร์ต้องไปช่วยชินาแต่งนะ"

   เกาะแขนแล้วยังช้อนตาขึ้นมาอย่างนี้ใครจะรอด ปลอบใจตัวเองว่าการแต่งนิทานมันคงไม่มีอะไรยาก ผมแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง กวาดตามองดูว่ามันมีงานส่วนไหนที่เริ่มต้นทำไปก่อนแล้วหรือไม่

   "มีเรื่องอะไรที่อยากแต่งไหม" โดนล้อมวงไม่ให้หนีเสียแล้วจะทำอะไรได้ "เจ้าหญิงชินานาง?"

   ข้อเสนอที่ส่งไปไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่ควร ผมเห็นเด็กน้อยทำหน้าไม่ชอบใจพลางตอบ "ไม่เอาหรอกค่ะ ชินาไม่อยากเป็นเจ้าหญิง"

   "อ้าว?" คิดมาตลอดว่าความฝันครั้งยังเยาว์วัยคงไม่พ้นเรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชาย เรื่องราวที่โรยเอาไว้ด้วยกลีบกุหลาบ หรือว่าผมจะเกิดในช่วงอายุที่ห่างจากเด็กผู้หญิงคนนี้มากเกินไป "แล้วอยากเป็นอะไร"

   "แม่มดค่ะ"

   นัยน์ตาที่สบกับผมอยู่ตอนนี้แน่วแน่จนน่าตกใจ

   "ชินาจะเป็นแม่มด...ที่ทำให้เจ้าหญิงกับเจ้าชายได้รักกัน"

   เด็กเจนวายอย่างผมตามเด็กเจนแซดไม่ทันแล้วจริงแหละ

   เรื่องราวที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นความคิดของตัวชินาเอง ผมแค่อือออตามไปก็เท่านั้น เรื่องที่แต่งมันก็โอเคอยู่นะ เจ้าหญิงถูกคำสาปจากแม่มดให้กลายเป็นคนล่องหนไม่มีใครมองเห็น เจ้าชายที่ฝ่าฝันอุปสรรคจนสามารถฆ่าแม่มดได้สำเร็จและช่วยปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ

   "เรื่องสนุกดี"

   "พี่แฟร์ไม่เห็นช่วยแต่งเลย"

   "ก็ธชาช่วยแล้วไง"

   ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าพูดคำว่า 'ก็ดีนะ' 'พี่ชอบ' 'แล้วแต่ชินาเลย' แล้วก็อืมในบางครั้ง นั่นคือการตอบรับทั้งในช่วงเวลาเกือบชั่วโมงครึ่งของกิจกรรมที่ให้เด็กน้อยกับผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการแต่งเรื่องราว ส่วนธชาช่วยแก้เรื่องในส่วนที่ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่ให้เข้าทางมากขึ้น

   "ถ้าพร้อม เราจะเริ่มจับสลากแล้วนะคะ"

   เสียงของคุณครูหน้าชั้นเรียนเรียกให้สมาธิทั้งหมดกลับมา ผมนึกว่าเขาจะปล่อยให้กลับแล้วเสียอีก ไหงกลายเป็นว่าต้องออกไปเล่าเรื่องอีก

   "พี่แฟร์ว่าชินาจะได้ออกไปเล่าไหมคะ" ยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยได้ก็ถูกแรงเล็กๆ ดึงบริเวณปลายแขนเสื้อ วันนี้ผมใส่เสื้อยืดแบบโอเวอร์ไซซ์ที่คุณแม่ส่งมาให้ มันเลยยาวลงมาจนเกือบถึงข้อศอกซึ่งสะดวกต่อการจับของเด็ก

   "พี่จะรู้ได้ยังไงล่ะ"

   "นั่นสิเนอะ"

   ชักถูกชะตากับเด็กหญิงชินานางเข้าแล้วสิ จากประโยคก่อนหน้าของตัวเองมันคือการบอกปัดแบบไร้น้ำใจสุดๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังตามน้ำไปด้วยแบบไม่มีหลุดอาการน้อยใจ ลองเทียบเอาเองว่าถ้าตรงนี้เป็นพี่ชายของเธออย่างเชนินทร์แล้วผมตอบไปอย่างนั้นคงโดนสวนกลับมาว่าเลือดเย็นกับเด็ก

   "ชินาอย่ากวนพี่แฟร์"

   "ก็กวนพี่ชาไม่ได้นี่" เธอบอกง่ายๆ แล้วยกสมุดที่บรรจุเรื่องราวในความคิดของตัวเองเอาไว้แนบอก "เพื่อนจะชอบเรื่องของชินาไหมนะ"

   ตั้งใจจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเด็กตัวน้อย ติดก็ตรงเสียงของคุณครูประจำห้องที่เรียกชื่อสมาชิกคนหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน อีกอย่างที่เป็นความรู้ใหม่ในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนอนุบาลคือชื่อเล่นของเด็กสมัยนี้ ทั้งอ่านยากแล้วก็ยังดูแอดวานซ์กว่าสมัยผมเยอะ ถ้าเป็นตอนนั้นแค่ชื่อของผมกับลูกพี่ลูกน้องก็ดูไฮโซกว่าใครอื่นแล้ว

   มาเจอน้องมาเฟีย น้องซิลเวอร์ น้องนาซ่า ชื่อแฟร์อย่างผมกลายเป็นปกติไปเลย

   นี่ยังไม่รวมชื่อจริงอีกนะ ตอนที่ว่างๆ เดินไปสำรวจบอร์ดหลังห้องที่ติดชื่อและภาพสมาชิกเอาไว้ อ่านแล้วยังไม่กล้าฟังธงเลยว่าชื่อบางคนสะกดยังไง ทั้งตัวอักษรที่ไม่ค่อยได้ใช้ ทัณฑฆาตเต็มไปหมด อยากจะถามเหลือเกินว่าเด็กพวกนี้สามารถสะกดชื่อจริงของตัวเองได้ถูกต้องหรือเปล่า

   ผมไม่ตั้งใจฟังเรื่องของเด็กชายผิวขาวหน้าห้องเท่าไหร่ ก็เรื่องมันไม่น่าสนใจนี่นา เหมือนว่าจะสร้างฮีโร่ขึ้นมาคุ้มครองเมืองอะไรประมาณนั้น เรื่องของชินาใส่ใจในรายละเอียดและมีความเชื่อมโยงของเรื่องมากกว่าเยอะ

   "ต่อไปคนสุดท้าย น้องชินาค่ะ"

   เด็กในห้องมีทั้งหมดสิบห้าชีวิต มีเพียงห้าคนที่ได้ออกไปเล่าเรื่องราวของตัวเอง แล้วชินานางก็เพิ่งเป็นหนึ่งผู้ชนะจากเด็กที่เหลืออีกสิบเอ็ดคน

   "เต็มที่ เดี๋ยวเย็นนี้พี่พาไปเลี้ยงขนม"

   นั่นเป็นวิธีการล่อลวงเด็กที่ถูกต้องเหรอ น้องสาวของเชนยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น พลังงานความร่าเริงที่มีมากอยู่แล้วเพิ่มขึ้นจนเกือบทะลักออกมา

   "สวัสดีค่ะ ชินานางนะคะ" เสียงที่ออกมามั่นใจไม่มีสั่น คำแนะนำชื่อของตัวเองก็ชัดเจนทุกคำไม่มีเพี้ยน "วันนี้จะมาเล่าเรื่องภารกิจของแม่มดค่ะ"

   "น้องชินาแนะนำคุณพ่...ผู้ปกครองด้วยค่ะ"

   ตอนแรกคงเกือบหลุดพูดว่าคุณพ่อล่ะมั้ง พอเห็นหน้าเราสองคนก็คงรู้ได้แหละว่าไม่ใช่คุณพ่อวัยใสอะไรทำนองนั้น ผมเหลือบมองผู้ชายตัวสูงข้างตัวที่ยังยืนอยู่เงียบๆ ไม่ตอบรับอะไร คงต้องเป็นคนเริ่มเองแล้วมั้ง

   "แฟร์ครับ ส่วนข้างๆ คือธชา"

   "ชา"

   โดนอีกล่ะ เขาจะบ่นอีกกี่ครั้งผมก็ยังทำใจเรียกด้วยชื่อเล่นอย่างเดียวไม่ค่อยได้หรอก น่าอิจฉาชินาเหมือนกันที่ทำได้แบบไม่กระดากปากเลยสักนิด

   แล้วเรื่องเล่าของชินาเริ่มก็โลดแล่นโดยมีผมยืนให้กำลังใจโง่ๆ อยู่ด้านข้าง ธชาเป็นฝ่ายช่วยอธิบายในส่วนที่ชินาเผลอข้ามไปบางช่วง รวมถึงช่วยแสดงบทบาทสมมุติในยามที่เห็นว่าจำเป็น

   "แล้วเจ้าหญิงล่องหน..." ระหว่างที่แม่มดสาปให้เจ้าชายกลายต้นไม้ไปแล้ว คนเล่าเรื่องผู้บอกว่าตัวเองอยากเป็นแม่มดก็หมุนตัวมาทางผมอย่างรวดเร็ว "พี่แฟร์มาตรงนี้เร็ว"

   ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกที่ได้เป็นตัวละครเอกช่างน่าประทับใจจนอยากจะมีมนตร์วิเศษที่เสกให้ตัวเองหายไปได้โดยพลัน ผมไม่ได้อยากเป็นเจ้าหญิงสักหน่อย

   คนอย่างผมเป็นตัวประกอบก็พอแล้ว

   "ให้ความร่วมมือด้วย" นี่ก็ไม่มีเกรงใจกัน คำพูดกึ่งประชดแบบลอยๆ ที่ได้ยินทั่วกันเป็นการบังคับทางอ้อมให้ผมต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโรงละครขนาดเล็กนี้

   กลายเป็นเจ้าหญิงใส่แว่นที่ไม่เหมือนกับลักษณะการเหมารวมของสังคม เล่นตามบทไปอย่างเก้ๆ กังๆ ต่างจากคนร่วมการแสดงอีกคนที่เหมือนว่าจะถนัดทางนี้ ธชาช่วยให้ผมไม่ต้องกลายเป็นตัวประหลาดด้วยการต่อบทให้เล่นต่อได้สะดวก ยังดีที่นั่งฟังเรื่องเล่าตั้งแต่ต้นเลยพอถูไถไปได้จนจบ

   เสียงปรบมือไร้ความกลมกลืนดังหลังจากคำว่าจบออกจากปากของคนเล่า ผมโค้งตัวลงนิดหน่อยตามที่เคยได้รับการสั่งสอนมา จากนั้นถึงเลี่ยงตัวออกมาเพื่อให้คุณครูได้ทำหน้าที่ต่อ

   "พี่ชาอย่าลืมขนมนะ"

   ยังไม่ทันไรเลยเด็กสาวก็ทวงสัญญาเสียแล้ว ผมมองหนังสือเรื่องเล่าจากนักเขียนนามชินานางในมือสลับกับใบหน้าของเจ้าของชื่อ

   ฝ่ามือใหญ่กว่าแบบผู้ชายวางลงบนศีรษะของเด็กตัวน้อยเป็นภาพที่อบอุ่นดี

   "ได้เลยครับ"

   อสูรนี่รักเด็กเหมือนกันนะ

 

   "ชินานี่เก่งจังเนอะ"

   เปรยกับคนข้างตัวระหว่างมองเด็กสาวตัวน้อยร่ำลากับเพื่อนในห้อง หลังจากจบการเล่าเรื่องผสมกับการแสดงเล็กน้อยแล้วก็เป็นเวลาของการเก็บข้าวของทั้งหลายให้เข้าที่ ผมชอบระบบกล่องใส่ของหลังห้องของที่นี่จัง จะเห็นได้ชัดเลยว่าเด็กแต่ละคนลักษณะนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง

   บางคนก็มีตุ๊กตาผ้าตัวเล็กเป็นครอบครัว ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็ต้องของเล่นพลาสติกหรือไม่ก็หุ่นยนต์ที่ดูอัปเกรดกว่าสมัยผมเล่น หรือว่าอาจเป็นหนังสือเล่มเล็กสองสามเล่มวางซ้อนกันเอาไว้ น่าเสียดายที่เวลาจากนี้อีกไม่นานภาพเหล่านี้ก็จะอยู่แค่ในความทรงจำ

   เพราะยิ่งเติบโตเท่าไหร่ สิ่งที่เคยเป็นตัวตนที่แท้จริงก็จะถูกกลืนกินโดยสังคมและสิ่งแวดล้อม

   "ไอคิวสูงกว่าเด็กอายุเท่ากันมากอยู่ ไม่ถึงกับอัจฉริยะแต่ก็ฉลาดมาก"

   ความรู้ใหม่ของวันนี้ ถึงว่ามีวุฒิภาวะมากอย่างที่ผมบอกว่าประทับใจ ถ้าน้องเป็นอย่างนั้นแล้วพี่จะเหมือนกันหรือเปล่า

   "เชนไม่ถึงขั้นชินา" ไม่ได้เอ่ยปากออกไปก็ยังได้คำตอบ

   "นั่นหมายความว่าเกือบเหมือนกัน"

   "น้อยกว่าพอสมควร แต่ก็ยังเยอะถ้าเทียบกับคนทั่วไป ...ไปถ่ายรูปได้แล้ว"

   ช่วงจบของวันคือการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ครอบครัวอื่นเขาก็ถ่ายแบบรวมกันนั่นแหละ คงมีแต่ผมที่ยืนกรานแน่ชัดว่าจะไม่ยอมอยู่ร่วมในเฟรมเดียวกันกับผู้ปกครองอีกคนแน่นอน

   "ถ่ายไปกันสองคนแหละ เราแค่มาช่วยเฉยๆ"

   ให้มีรูปถ่ายเก็บเป็นที่ระทึกว่าได้อยู่กับอสูรทั้งวัน ใครจะอยากได้

   "แต่ชินาอยากให้พี่แฟร์ถ่ายด้วยนี่นา"

   "พี่ไม่ชอบถ่ายรูปน่ะ"

   ผมไม่ได้โกหกอะไรนะ เด็กเนิร์ดอย่างผมไม่ชอบทำอะไรอย่างนั้น จำพวกถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบทต่างๆ แบบที่เห็นแล้วก็รู้ว่าผ่านการจัดแต่งมาไม่น้อย

   "งั้นชินาไม่ถ่ายก็ได้"

   ได้ยินแค่นั้นผมก็หน้าเสียไปเลย ชินาเป็นเด็กที่โตกว่าวัยมากเกินไปไหมนะ ผมยังไม่เห็นเธอโวยวายหรือว่าเรียกร้องความปรารถนาของตัวเองแบบไร้ขอบเขตอย่างที่เด็กหลายคนในวัยเดียวกันทำ ทั้งยังหาวิธีที่คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

   "เอ่อ..."

   "งั้นเอาอย่างนี้ไหม ถ่ายสองรอบ รูปหนึ่งกับพี่แล้วอีกรูปกับพี่แฟร์"

   ข้อต่อรองดูเหมือนว่าจะอยู่ตรงกลางมากที่สุดสำหรับเราสองคน เธอมองหน้าผมสลับกับเพื่อนของพี่ชาย พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะจับมือผมเข้าไปถ่ายด้วยก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนตัวเอาผู้ปกครองอีกคนเข้าไป

   “แล้วนี่เชนจะมารับหรือว่าต้องไปส่งที่บ้าน?” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างที่ควรจะเป็นนั่นคือคำถามถัดไปที่ควรได้รับคำตอบ ผมจับมือข้างหนึ่งของชินาเอาไว้ ส่วนอีกข้างเป็นของที่ระลึกจากทางโรงเรียนอย่างรูปถ่ายของน้องกับผมไซซ์โพลารอยด์ ลงทุนอยู่เหมือนกัน

   “ไม่ทั้งคู่”

   “อ้าว"

   "ชินาจะกินอะไรคิดเลย พี่จะได้แวะถูก"

   มองกระเป๋านักเรียนที่ตุงกว่าการมาทำกิจกรรมวันเสาร์ของเด็กน้อยบนไหล่ของธชาแล้วมีหนึ่งความคิดโผล่ขึ้นมา เห็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่ามันดูเต็มจนผิดปกติ ตอนนั้นก็คิดว่าเด็กสมัยนี้คงชอบแบกพวกของเล่นมาด้วยให้สบายใจแค่นั้นเอง

   ไม่คิดว่า...

   “คืนนี้ไปนอนห้องพี่ก็ต้องเป็นเด็กดีนะ”


***
   กลับมาต่อจนจบจริงๆ แล้วค่ะ รอบนี้ลงจนจบไม่หายไปแน่ (หัวเราะ) ที่จริงแล้วตั้งแต่เข้ามหาลัยเจ้าอ่านหนังสือน้อยลงไปมากเลยค่ะ แค่หนังสือเรียนก็จะแย่แล้ว พอกลับมาแต่งเรื่องนี้นี่แหละถึงได้กลับไปอ่านหนังสือนอกเวลาเยอะหน่อย
   เรื่องก็คงอึนๆ ไม่มีอะไรชัดเจนอย่างนี้ไปเรื่อยแหละค่ะ เจ้าสไตล์ (ฮา)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 08-01-2018 22:35:32
God.. นังเชนมีน้องสาว แถมยังเป็นพวกฉลาดมากกอีก กรี๊ดดด! ไม่เอาแฟร์แล้วก็ได้ ขอเชนล่ะกัน5555 ตอนนี้ให้อารมณ์พ่อแม่ลูกมากกก ปริ่มมม เมื่อไหร่ที่ทั้งสองจะรักกันสักที รอต่อไป มันกำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ลุ้นจนเหนื่อยแล้วว555 เดาอะไรไม่ออกสักอย่าง //ล้องห้ายยย :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 09-01-2018 00:20:02
รู้สึกสะกิดใจกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่อยากเดา กลัวแป๊ก5555555
รอว่าเมื่อไหร่ปมจะคลายน้าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 09-01-2018 13:12:50
 :mc4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 09-01-2018 19:32:59
แปะไว้ก่อน อย่างว่าทั้งเชนทั้งแฟร์มีอะไรให้สงสัยตลอด

เราชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณมากๆ อ่านเเล้วแบบถูกดูดไปด้วยเลย  o13

ยังติดตามอยู่เสมอค่า ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่เก้า [8.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 09-01-2018 20:57:36
เรื่องที่เราสงสัยคือ เขาจะรักกันยังไง!!!!ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาจะไปทางไหน จะรักรือจะร้ายนี่เดาไม่ได้เลย กลัวใจจจจจ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบ [11.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-01-2018 19:44:27
เรื่องเล่าที่สิบ


   ข้าจะอภิเษกกับใครก็ตามที่สามารถสวมของทั้งสามอย่างได้พอดี
   - The Wonderful Birch (2)


 
   หลังจากอาหารมื้อใหญ่ในร้านใจกลางสยาม ผมเตรียมตัวจะโบกมือลาหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเสียตรงนั้น ส่วนหนึ่งเพราะจากด้านล่างของตึกเป็นทางผ่านของสายรถเมล์ที่สามารถพากลับบ้านได้เลย อีกอย่างคือผมคิดว่าวันนี้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่กับอสูรมามากพอแล้ว สมควรที่จะแยกย้าย

   "งั้นไปก่อนนะ"

   "พี่แฟร์ไม่ได้ไปด้วยเหรอคะ" สาวน้อยถาม นัยน์ตาหลุบลงต่ำด้วยความผิดหวัง "ชินานึกว่าคืนนี้จะได้ฟังนิทานต่อซะอีก"

   เรื่องของเด็กสาวมีแม่เป็นต้นเบิร์ช ผมเล่าถึงแค่ตอนที่แม่ของเธอกลายเป็นต้นไม้ และเธอเองต้องอาศัยอยู่กับแม่มดในร่างมารดาของตน คิดถึงเรื่องของไทยบางเรื่องเหมือนกันนะ แม่ปลาบู่ทำนองนั้น ในท้ายที่สุดเรื่องเล่าจากทั่วโลกมันก็ซ้ำไปมา

   "ให้พี่ธชาเล่าไง ชินาจำได้อยู่แล้วว่าพี่อ่านถึงตรงไหน"

   "พี่ชาเล่าน่าเบื่อกว่าพี่แฟร์"

   นินทากันต่อหน้าอย่างนี้ก็ได้เหรอ ผมย่อตัวลงให้สายตาประสานกับเด็กหญิงชินานาง ขุดทุกเหตุผลที่เข้าท่าขึ้นมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

   "ไหนใครบอกว่าอ่านมาหลายครั้งแล้ว"

   "พี่แฟร์ไม่อยากไปกับพี่ชาเหรอคะ"

   แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกสวนกลับจนต่อไม่ถูก

   "คือ..." ผมไม่ปฏิเสธกลับไปทันที เพราะถ้าทำเมื่อไหร่มันคือการโกหกคำโตออกไป น้องเขาไม่ได้พูดอะไรผิดเลยสักนิด เหตุผลที่ผมไม่อยากอยู่มันมาจากอสูรตัวร้ายทั้งนั้น "บ้านไม่มีใครอยู่ พี่ต้องกลับไปเฝ้าอะ"

   "อยู่คนเดียวเหงานะคะ วันนี้ไปอยู่เป็นเพื่อนชินาเถอะ"

   ชินานี่เป็นเด็กชั้นอนุบาลจริงเหรอเนี่ย มันน่าสงสัยว่าบ้านของคู่พี่น้องเลี้ยงมายังไงให้ร้ายกาจได้เท่านี้ ผมเปลี่ยนจุดโฟกัสจากใบหน้าเล็กๆ ขึ้นไปทางผู้ชายอีกคน ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลืออะไรหรอก สำหรับคนที่กำลังเข้าตาจนอย่างผมมองตรงไหนมันก็ดีกว่าหน้าของชินาทั้งนั้น

   "อ่า...พี่ธชาคงไม่สะดวก"

   "สะดวกเสมอ"

   ให้ความร่วมมือสักเรื่องมันคงไม่เป็นอะไรมั้งครับอสูร!

   "เห็นไหมมม ไปกันเถอะค่ะ พี่ชานอนคนเดียว"

   ด้วยแรงดึงอันน้อยนิดที่ผมไม่กล้าสะบัดออก สุดท้ายจากที่ตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลยกลายเป็นว่าได้เดินลัดเลาะจนมาถึงคอนโดของธชาแทน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตึกสูงไม่รู้กี่สิบชั้นตรงหน้าด้วยความไม่คุ้นชิน ก็บ้านตัวเองมีแค่สามชั้นนี่นา

   ทุกอย่างเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ เข้าไปส่วนตึกต้องใช้คีย์การ์ดตั้งแต่ประตูหน้าไปจนถึงข้างในลิฟต์ ชั้นสิบเก้าคือปุ่มเดียวที่มีแสงลอดออกมา ผมปล่อยให้ร่างกายขยับตามจังหวะการก้าวเดินของคนที่เหลือ ส่วนสมองน่ะคิดฟุ้งซ่านจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว

   ห้องของธชาไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น มองจากสายตาแล้วเหมาะกับการอยู่สองคน มีส่วนที่จำเป็นครบครันตั้งแต่ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน แล้วก็ระเบียงด้านนอกที่ปลูกต้นไม้เอาไว้หลายชนิด

   ที่ผมว่าน่ารักดีก็คงเป็นรองเท้าที่ใช้ใส่เดินในห้อง ของธชาเป็นรองเท้าสีดำหัวกลมโตมีตาสีขาวเป็นลายปักเอาไว้ ส่วนของชินาเป็นลายมาสคอตชื่อดังที่เด็กผู้หญิงชอบกัน ที่เจ้าของห้องชี้ให้ผมเอาไปใส่ก่อนคือของเชน สีชมพูผสมฟ้ามีตุ๊กตามาสคอตชายหญิงติดเอาไว้ที่หัว

   "ไว้เดี๋ยวค่อยไปซื้อของแฟร์มาเพิ่ม"

   "ไม่เป็นไร คงไม่ได้มาอีก"

   "พี่ชา ชินาไปว่ายน้ำได้ใช่ไหม" นั่งตัวลีบอยู่คนเดียวบนเบาะขนาดใหญ่ ชินานั่งอยู่บนพื้นเยื้องจากผมไปไม่ไกลกับกระเป๋าเป้ของเธอ ที่เห็นรื้อออกมาบ้างแล้วก็มีชุดไปรเวทที่น่าจะใส่พรุ่งนี้กับตุ๊กตาประหลาดๆ อีกตัว ส่วนที่อยู่ในมือของเธอตอนนี้คือชุดว่ายน้ำแบบกระโปรงวันพีชสีกรมท่า

   นี่มันจะสองทุ่มแล้วนะ

   "ได้"

   ตวัดหน้าไปทางคนอนุญาต เจ้าของห้องที่เดินเข้าออกระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอนทางซ้ายมาสักพักหยุดก้าวพอเห็นว่าผมทำท่าชี้มาที่ตัวเองแทนคำถามว่าควรจะทำอะไรต่อก็ให้คำตอบอย่างที่ไม่ต้องการ

   "แล้วก็พาพี่แฟร์ไปด้วยนะ"

   เช่นอะไรอย่างนี้เป็นต้น

   "ไม่มีชุดว่ายน้ำ" ระบบการทำงานของร่างกายคงชินกับการกระทำให้ทางตรงข้ามกับคำสั่งของเขาไปแล้ว "ดึกแล้ว อันตราย"

   "สระเปิดถึงสามทุ่มครึ่ง ไม่ค่อยมีคนใช้ สว่าง"

   "ชินาว่ายที่นี่หลายรอบแล้วค่ะ"

   คนแรกก็ดึงเอาส่วนที่ผมกังวลมาสร้างความมั่นใจให้เต็มร้อย ส่วนคนที่สองก็ตอกย้ำเข้าไปอีกว่ามีแต่ผมที่คิดมากไปคนเดียว ประเด็นคือผมไม่อยากมาที่นี่ไง หรือถ้ามาแล้วก็ขอเฟดตัวไปอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ต้องสุงสิงกับใครอีก จะให้กลับบ้านตอนนี้คือยินดีมากเลยนะ

   นี่ยังไม่รวมเรื่องชุดที่ต้องยืมใส่ก่อนอีก วุ่นวายไปหมด

   "ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำหรอก ปกติก็ไม่ค่อยมีคนใส่กัน"

   "มันไม่ใช่เรื่อง..."

   "ชุดเปลี่ยนเดี๋ยวหาเจอแล้วจะตามลงไป"

   ผมว่าตัวเองอาจไม่ได้อยู่ในโลกของประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจมาตลอด ก็ถึงวินาทีนี้ยังไม่เห็นว่าตัวเองจะมีสิทธิออกเสียงอะไรสักอย่าง มีแต่คำสั่ง

   แล้วก็ต้องทำด้วยนะ

   "ทำไมชินาไม่เคยเห็นพี่แฟร์เลยคะ"

   ลงมาแช่น้ำได้สักพักก็เหนื่อยแล้ว ผมลากตัวเองมาพิงอยู่ตรงขอบสระ เสยผมชุ่มน้ำขึ้นไปข้างบนตามด้วยปาดเอาหยดน้ำตามใบหน้าให้หายตามไป สะบัดหัวไล่ความเปียกที่น่ารำคาญใจอีกหน่อยถึงตอบ

   "ก็เพราะเราไม่เคยเจอกันไง" มันไม่ใช่คำตอบที่ยาก ผมไม่เคยเจอชินามาก่อนนี่นา "พี่เล่าเรื่องค้างถึงตอนไหนนะ"

   "ถึงตอนที่แม่ช่วยเสกให้ลูกสาวได้มีชุดสวยๆ ใส่ไปงานเลี้ยงค่ะ"

   พอชินากลับไปรวมกลุ่มแล้วผมมีเวลาว่างพอที่จะอ่านถึงตอนจบ แม้จะถูกกลั่นแกล้งแต่ด้วยความช่วยเหลือของมารดาตน เธอจึงมีชุดแสนสวยไปเฉิดฉายอยู่ในงานเต้นรำ และไม่ต้องแปลกใจเมื่อเรื่องเล่าต่อไปว่าเจ้าชายตกหลุมรักเธอตั้งแต่เแรกเห็น

   บนโต๊ะเสวยที่แสนหรูหรา ลูกเลี้ยงของแม่มดลงไปแอบอยู่ใต้โต๊ะเพื่อลอบสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมด เจ้าชายที่นึกว่าเป็นสุนัขจึงไล่ด้วยการเตะเสียจนลูกเลี้ยงแขนหัก เมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวที่กลัวว่าจะโดนจับได้จึงขอตัวลา โดยไม่ทันได้มีเวลาเก็บแหวนที่หลุดจากนิ้วไปติดอยู่กับกลอนประตูทาน้ำมันดิน

   งานเลี้ยงยังดำเนินต่อมาเป็นวันที่สอง คราวนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน เจ้าชายพาหญิงสาวขึ้นโต๊ะเสวยโดยมีลูกเลี้ยงซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ คราวนี้เจ้าชายบังเอิญทำร้ายขาของลูกเลี้ยงจนหัก ด้วยความกลัวว่าความลับจะแตกเธอจึงหนีออกมาเหมือนเมื่อวาน รีบร้อนจนทำรัดเกล้าติดกับเสาทาน้ำมันดินบานเดิม

   จนถึงวันที่สาม ทุกอย่างเหมือนเดิม คราวนี้ลูกเลี้ยงผู้ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะได้รับบาดเจ็บบริเวณนัยน์ตา และหญิงสาวก็ขอตัวลาเมื่อถึงเวลาอันควร ในวันนี้เจ้าชายได้ทาน้ำมันดินไว้บริเวณธรณีประตูและนั่นทำให้รองเท้าสีทองของเธอติดจนไม่อาจเอาออกได้

   บอกเอาไว้ก่อนว่าความจริงเรื่องนี้มันมีรายละเอียดที่ไม่น่าให้เด็กรู้อยู่มากกว่าที่ผมกำลังเล่าให้ฟังอยู่นิดหน่อย อะไรที่คิดว่ายังไม่ควรให้เด็กไม่กี่ขวบต้องมารับรู้ก็จะข้ามๆ ไป

   "แล้วเจ้าชายก็ประกาศว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวที่สามารถใส่ของทั้งสามอย่างได้พอดี แน่นอนว่าต้องเป็นหญิงคนนั้นอยู่แล้ว จบ"

   "เล่าเรื่องได้น่าเบื่อมากเลยค่ะ"

   "ยอมรับ"

   ทั้งรวบรัดตัดตอนแล้วก็เล่าข้ามตรงที่ไม่อยากเล่า ชินาเองก็เคยฟังเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วนี่ จะมาลงข้อมูลอะไรให้เยอะแยะ แค่เล่าให้จบก็พอแล้ว

   "พอๆ กับพี่ชาเลย"

   "ทีหลังจะได้ไม่ต้องมาให้พี่เล่าไง" ขยับเด็กตัวน้อยให้เข้ามาใกล้ตัวอีกหน่อย จัดหมวกว่ายน้ำที่เริ่มเอียงจากการขยับขึ้นลงของแว่นกันน้ำให้เข้าที่ "ทำไมถึงชอบเรื่องนี้เหรอ"

   ไม่ได้เต็มไปด้วยความสวยงาม มีแต่เรื่องไม่น่าอภิรมย์ด้วยซ้ำไป ทั้งแม่เลี้ยงที่เสกคนแม่ให้กลายเป็นแกะแล้วเอามากิน แกล้งหญิงสาวสารพัด แล้วยังลูกเลี้ยงที่ถูกทำร้ายสารพัดอีก

   "เพราะมันบอกว่าชีวิตเราไม่ได้มีแต่ความสุขไงคะ"

   "..."

   ริมฝีปากอยู่ชิดกันไม่กล้าเปิดออก ผมคงนิ่งไปจนเด็กฉลาดกว่าวัยจับสังเกตได้

   "ชินาไม่ได้คิดเอง พี่เชนเคยบอก" พูดอย่างนั้นมันยิ่งแย่เข้าไปอีกสำหรับผม

   "เหรอ..."

   "พี่เชนเคยเล่าเรื่องพี่แฟร์ให้ฟังด้วยแหละ"

   "เรื่องพี่?" เผลอย้อนถามกลับไปด้วยความไวแสง คนที่ไม่น่าคบอย่างนั้นเอาผมไปเป็นบุคคลที่สามในเรื่องเล่าอะไรกัน "เล่าว่าอะไร"

   "เล่าว่าพี่แฟร์น่ารัก"

   เสียงขาเล็กๆ ตีกระทบกับน้ำในขณะที่ช่วงแขนเกาะอยู่กับขอบสระไม่ปล่อยแทรกไปกับการเล่า ผมคว้าเอาโฟมแผ่นสำหรับการฝึกว่ายน้ำมาไว้ข้างตัวก่อนที่มันจะลอยคอกลางสระ "บอกว่าถ้าเห็นหน้าจะต้องคิดว่าดุแต่จริงๆ แล้วใจดีมาก"

   สระน้ำมีความลึกน้อยกว่าตัวผม มันทำให้สามารถยืนเต็มความสูงได้โดยไม่ต้องตีขาลอยคอตลอดเวลา ส่วนชินาที่จริงสามารถเล่นตรงสระเด็กได้ แต่ยืนยันที่จะมาอยู่ตรงนี้เพราะว่ามันสะดวกกับผมมากกว่า

   พี่กับน้องต่างกันตรงนี้แหละ

   ชุดที่ใส่มาตั้งแต่เช้ากลายเป็นชุดว่ายน้ำไปเสียแล้ว คุณครูสมัยประถมเคยบอกว่าเหตุผลที่ต้องใส่ชุดอีกแบบลงไปเล่นก็เพื่อความสะอาดของส่วนรวม ได้แต่ขอโทษในใจที่ตอนนี้เชื้อโรคแล้วก็สิ่งสกปรกจากการเดินทางทั้งวันคงลงไปเป็นส่วนหนึ่งกับน้ำผสมคลอรีนหมดแล้ว

   "หน้าพี่ดุเหรอ"

   "ตอนใส่แว่นดุค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เท่าไหร่"

   คงไม่มีใครลงไปเล่นน้ำทั้งที่ยังใส่แว่นตาอยู่ใช่ไหมล่ะ สระว่ายน้ำบนชั้นสูงของคอนโดไม่มีใครใช้อย่างที่ธชาบอกเอาไว้ ผมเลยสามารถวางมันไว้ตรงขอบสระได้โดยไม่ต้องกลัวหายหรือว่าได้รับอันตรายจากผู้ใช้งานคนอื่น ชักจะแสบตาหน่อยๆ เพราะเผลอลืมตาในน้ำไป

   "โตขึ้นอย่าเล่นมือถือเยอะนะชินา"

   ถ้าเป็นยุคสมัยของผมคงต้องบอกว่าอย่าอ่านการ์ตูนเยอะไป โลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวินาทีเปลี่ยนให้สิ่งที่เรียกว่าสมาร์ตโฟนมีความสะดวกและสร้างความเดือดร้อนได้ในเวลาเดียวกัน

   "ชินาว่าคนใส่แว่นเท่ออก"

   หลุดหัวเราะให้ความคิดแบบเด็กๆ "พอถึงตอนนั้นล่ะจะเสียใจ"

   "แสดงว่าพี่แฟร์เสียใจที่ต้องใส่แว่นเหรอ"

   การดีไซน์ของสระเป็นแบบให้มุมหนึ่งชิดกับปลายกำแพง มีกระจกใสตั้งขึ้นมาช่วยป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝันเอาไว้ ที่อยู่ถัดจากนั้นคือตึกน้อยใหญ่ส่องแสงพราวระยับสมกับอยู่กลางเมือง แสงสว่างขนาดเล็กจำนวนมากท่ามกลางความมืดสวยงามกว่ามุมจากนอกกระจกห้องนอนที่ผมเห็นจนชินตา

   ไม่รู้ทำไมมันถึงชัดแล้วก็พร่ามัวไปพร้อมกัน

   "ไม่"
   
   ตอบกลับไปตามความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้ามาหา ฤดูฝนอบอ้าวในความรู้สึกเสียจนต้องหายใจเอาอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วหลับตาทิ้งทั้งตัวลงสู่ผืนน้ำ ปล่อยให้ความเงียบเข้ากลืนกินตัวตนของผมไปช้าๆ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีแสงสว่างไหนลอดเข้ามาได้

   มันเป็นความอ้างว้างที่สวยงามเกินคำบรรยายจนไม่อยากจะให้มันจบลง ผมไม่ชอบออกกำลังกาย รู้อยู่แล้วล่ะว่าร่างกายของตัวเองไม่ได้พร้อมรองรับการเล่นแผลงๆ อย่างนี้ แต่ก็ยังอยากจะยื้อทุกอย่างให้นานที่สุด

   มันอาจดีกว่าการต้องโผล่ขึ้นไปเผชิญความจริงที่อยู่เหนือน้ำ

   อากาศข้างในปอดถูกใช้ไปตามจังหวะการแลกเปลี่ยนออกซิเจน และเมื่อมันใกล้หมดผมก็ต้องถีบตัวขึ้นมาในที่สุด

   "ชิ...นา?"

   ไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ใต้น้ำนานเท่าไหร่ มันไม่น่าจะเกินไปกว่าหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไม...

   "อยู่นี่"

   เสียงเบาของใครคนนั้นเรียกให้ผมต้องหันไปทางต้นเสียง ระดับการยืนที่ต่างกันค่อนข้างมากบังคับให้ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าของอสูรร้าย ใต้แสงไฟที่ตกกระทบลงมาพอดีแสบตาจนต้องหรี่ลงเพื่อลดระดับความเสี่ยง เด็กสาวในชุดว่ายน้ำแนบตัวกำลังจับมือของธชาเอาไว้

   โล่งใจไปได้หน่อยที่น้องไม่ได้หายไปไหน "ว่ายพอแล้วใช่ไหม"

   ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องแช่อยู่ในน้ำต่อ ผมยันแขนทั้งสองข้างกับริมขอบสระ เตรียมดันตัวเองขึ้นมาอยู่บนพื้นหินแทน

   "แว่นพี่แฟร์อยู่ไหนคะ เดี๋ยวชินาไปหยิบให้"

   แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เด็กอนุบาลสามก็ใส่ใจ "อยู่ฝั่งตรงข้าม...อ้าว?"

   ผมวางแว่นเอาไว้ตรงขอบสระฝั่งที่ตื้นที่สุด แล้วพาตัวเองกับชินาว่ายจนมาถึงอีกริมฝั่งหนึ่ง แล้วทำไมพอผมมองกลับไปตรงนั้นกลับไม่เจอแล้วล่ะ

   "เอามาแล้ว"

   มองตรงมือที่ไม่ได้จับชินาเอาไว้ก็ไม่เห็นมี ไล่ขึ้นไปตามความสูงจนเจอมันแขวนเอาไว้ตรงคอเสื้อ

   คิ้วขมวดเข้าหากันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมยืนขึ้นจนเต็มความสูงของตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะได้แค่ประมาณช่วงตาของผู้ชายอีกคนก็ตาม แบมือออกไปขอสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนพร้อมกับเอ่ยปาก

   "คืนมาหน่อย"

   "ตัวเปียก" กลางฝ่ามือที่ควรจะได้เครื่องช่วยมองกลับมากลายเป็นผ้าขนหนูสีเลือดหมูผืนใหญ่ "จะได้ไม่หนาว พื้นไม่เปียกด้วย"

   "ขอแว่น"

   "เอาไปใส่ตอนนี้ก็มองไม่ชัดหรอก"

   พอผมยังค้างมือไว้ที่เดิม เขาเลยจัดการยกผ้าขนหนูขึ้นแปะหัวผมแทน ภาพที่กลายเป็นสีดำไปชั่วขณะกลับมาเป็นสีสันตอนที่ผมหยิบมันออกแล้วห่อตัวเองเอาไว้ ตอนนั้นแหละถึงเห็นว่ามืออีกข้างที่เคยทิ้งไว้ข้างตัวของธชามันกำลังยกมาตรงหน้าผม

   "จับเอาไว้จะได้ไม่หลง"

 

   ห้องของธชามีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ด้วยความที่เราทั้งสองคนเป็นผู้ชายเลยต้องปล่อยให้ชินานางเข้าไปจัดการเองแบบที่ไม่มีใครช่วย เพื่อนพี่ชายคอนเฟิร์มว่าถึงจะยังเป็นเด็กอนุบาลแต่เธอสามารถดูแลตัวเองได้ดีแบบที่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น

   "พี่จะโทรหาเชน ชินาจะคุยไหม?"

   ตอนนี้กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องเป่าผมที่เพิ่งหยิบออกจากกล่อง มันมีฝุ่นเกาะอยู่เล็กน้อยจนผมสงสัยว่านี่ซื้อมาไว้เผื่อให้ชินาใช้อย่างเดียวเหรอ แถมเลือกสีชมพูหวานแหววเชียว

   นายจ้างตัวน้อยของผมนั่งตีขาอยู่บนโซฟาห่างออกไปในระยะที่สายปลั๊กยาวถึง ตาจ้องมองไปบนหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เกือบสี่สิบนิ้วไม่ยอมกะพริบตา การ์ตูนเด็กก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน สมัยผมเรื่องที่อยู่ในดวงใจคืออดัมแฟมิลี่ เดี๋ยวนี้ภาพสวยแล้วเนื้อเรื่องก็ทันสมัยกว่ามาก

   "ชินา" พอไม่ตอบรับเลยโดนเรียกชื่อเสียงเข้ม

   "ไม่คุย"

   "โอเค"

   แล้วก็จบลงง่ายๆ อย่างนั้น ธชาเดินเลี่ยงออกไปอีกมุมของห้องในช่วงเวลาที่ผมกำลังสร้างเสียงรบกวนจากไดร์สีชมพู คิดว่าเป่าๆ ไปเดี๋ยวมันก็เสร็จเองนั่นแหละ

   "แฟร์ เชนจะคุยด้วย"

   "ไม่คุย" ใช้ประโยคเดียวกับที่น้องสาวเขาพูด "ยังเป่าผมไม่เสร็จ"

   "เดี๋ยวทำเอง ไปคุยไป"

   ฉวยเอาสิ่งที่อยู่ในมือของผมออกไปเองแล้วแทนที่ด้วยมือถือไร้เคสเครื่องเดิม คนโดนยัดเยียดอย่างผมส่งสายตาเอือมระอาให้กับชื่อตรงหน้าจอ กลั้นใจรับสายพลางภาวนาว่าจะไม่ต้องทะเลาะด้วยนาน

   "มีอะไร?"

   (ชินาเป็นเด็กดีหรือเปล่า)

   "ดีกว่าพี่เยอะ"

   หลุดเสียงหัวเราะเบาๆ จากปลายสาย ผมไม่ชอบเสียงของเชนโดยเฉพาะเวลาที่ไม่อาจอ่านสีหน้าประกอบไปด้วยได้ สิ่งที่มองไม่เห็นน่ากลัวเสมอ

   (โล่งไป กลัวว่าแฟร์จะหงุดหงิด)

   "ที่จริงก็อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ฝากเลี้ยงแล้วล่ะ"

   จากนั้นก็เป็นการขยายเรื่องเล่าที่ธชาเอาแต่ลงไว้เพียงส่วนหัวข้อ อย่างเช่นนิทานที่ออกไปเล่ารวมถึงปริมาณผักในอาหารมื้อเย็น

   (ค่าฝากเลี้ยง ลองเข้าไปในห้องชาดูตู้ที่อยู่ในสุด ชั้นที่พอดีกับสายตานะ)

   "หา...?"

   ยังไม่ทันจัดเรียงระบบความเชื่อมโยงได้เชนินทร์ก็ตัดสายไปแล้ว ผมมองหน้าจอที่เคยเป็นชื่อของเชนกับตัวเลขบอกระยะเวลาการเชื่อมต่อสัญญาณอยู่อย่างนั้น

   นี่กำลัง 'บอกใบ้' อะไรผมอยู่เหรอ?

   "จะนอนแล้ว เข้าห้องไป"

   "อ่า...อืม" สะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ได้ยินเสียงนั้นดังใกล้หู รีบส่งโทรศัพท์ของอีกคนคืนไป ผมนอนห้องที่ว่างอยู่คนเดียว ส่วนห้องของธชาเป็นเตียงคู่ที่ชินาบอกว่านอนมาหลายครั้งแล้ว บ้านนี้เขาปล่อยให้ลูกสาวมาค้างบ้านเพื่อนของพี่ชายได้หน้าตาเฉยเลยล่ะ

   "หรืออยากอยู่ตรงนี้ต่อก็ได้นะ อยู่เป็นเพื่อนให้"

   "เปล่าๆ" ปฏิเสธเป็นพัลวัน ในเสี้ยววินาทีนั้นผมต้องรีบหาข้ออ้างเพื่อเข้าไปพิสูจน์คำเล่าเมื่อสักครู่ "...อยากเข้าไปกู๊ดไนต์ชินา"

   "ไปสิ ไม่ชัวร์ว่าหลับแล้วหรือยังนะ"

   เจ้าบ้านไม่มีอิดออดอะไรสักนิด ธชาบอกผมว่าจะไปตรวจความเรียบร้อยในห้องน้ำก่อนเข้านอน ให้เปิดห้องไปหาชินาได้เลย ผมขอบคุณออกไปเบาๆ รีบก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนหลักของอีกฝ่าย เด็กหญิงชินานางที่นอนหลับสนิทอยู่ช่วยให้ผมสามารถทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการตามหาชั้นวางตามคำใบ้นั้นได้ ห้องของธชามีตู้บิลท์อินเรียงต่อกันไปสามตู้ สองในสามเป็นชั้นวางหนังสือ ส่วนด้านในสุดวางของประดับอย่างอื่นเอาไว้

   ชั้นที่อยู่ตรงกับระดับสายตาคือก้านดอกไม้แห้งสนิทที่ผมบอกไม่ถูกว่ามันเคยอยู่ในสภาพแบบไหนมาก่อน มันวางเอาไว้โดดเดี่ยวไม่มีสิ่งของชิ้นอื่นเข้าไปปะปน ผมเพ่งมองมันเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่ม ลักษณะของมันคล้ายว่าจะเคยเห็นมาก่อนหน้านี้

   อาจเพราะมันไร้กลีบที่มักจะเป็นส่วนประดับสำคัญ จากเครื่องหมายของความสวยงามมันหลงเหลือเพียงความหมองหม่น สีของมันคอยเตือนใจว่าความโรยราคือสิ่งหนีไม่พ้น

   ...เจ้าเก็บความลับอะไรเอาไว้หนอ

   "พี่แฟร์คะ" เกือบจะเรียกได้ว่าสะดุ้งโหยง ผมรีบหันไปหาเจ้าของเสียงบนเตียงขนาดสองคนนอน สาวน้อยที่เมื่อกี้ผมเห็นว่าเธอหลับตาพริ้มกำลังมองมาทางผมตาใส "ชินานอนไม่หลับ"

   ถ้าเป็นปัญหานี้คงช่วยอะไรไม่ได้ ผมทำเนียนเดินไปหาเธอโดยไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้ว่ายังคงสนใจสิ่งที่อยู่ในตู้ "แล้วให้พี่ทำยังไงดี ไม่เล่านิทานหรอกนะ"

   แค่วันนี้วันเดียวก็เจอไปตั้งหลายเรื่องแล้ว รู้สึกเอียนเล็กน้อย

   "แค่บอกค่ะ เดี๋ยวพี่ชาก็หาทางทำให้ชินาหลับได้เอง"

   "อย่างนั้นก็ดี"

   คิดภาพแล้วก็ขำคนเดียว ก็ให้ผู้ชายเงียบๆ มากล่อมนอนเนี่ยนะ

   "แล้วพี่แฟร์เข้ามาทำอะไรเหรอคะ หรือเปลี่ยนใจมานอนด้วย"

   "เปล่า ว่าจะเข้ามากู๊ดไนต์น่ะ" รีบปฏิเสธก่อนจะเข้าใจผิดไปใหญ่ ตามด้วยการบอกในสิ่งที่ใช้เป็นข้ออ้างมาตั้งแต่ต้น "ฝันดีนะคะคุณแม่มด"

   นึกว่าบอกแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว กลับกลายเป็นว่าเธอทำหน้ายุ่งกลับมาซะงั้น

   "ไม่ฝันดีค่ะ"

   "หืม?"

   "ปกติพี่ชาจะไม่บอกฝันดี บอกแค่เจอกันตอนเช้าก็พอแล้วค่ะ"

   "เหรอ..."

   บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไรกับคำบอกเล่า ข้อความภาษาอังกฤษที่แปลความหมายได้เหมือนกับประโยคก่อนหน้าโผล่เข้ามาย้ำเตือนความทรงจำไม่ดีบางอย่าง

   "เพราะคำว่าฝันดีไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป"

   ผมเบนหน้ามามองเจ้าของความคิด ธชายืนพิงข้างตู้เสื้อผ้าที่อยู่ถัดจากประตู มือสองข้างกอดอกเอาไว้หลวมๆ "เราควรอยู่กับอะไรที่ไม่เพ้อฝันซะบ้าง"

   "ก็จริง งั้นเอาเป็นว่าเจอกันตอนเช้านะชินา"

   เหมือนโดนไล่ทางอ้อมเลยออกไปดีกว่า ผมบอกลาสาวน้อยบนเตียงด้วยคำที่เธออยากให้ใช้ ตรงออกไปนอกประตูโดยไม่เอ่ยคำใดกับเจ้าของห้องสักนิดเดียว


***
   เหมือนเป็นโรคจิตที่ชอบทำให้คนอ่านระแวงและไม่กล้าเดาเองไปเรื่อยเลย (หัวเราะ) ถ้าให้เทียบแล้วเรื่องนี้เจ้าใบ้เยอะกว่าสองเรื่องที่ผ่านมาเยอะพอสมควรค่ะ
   The Wonderful Birch บางคนก็เรียกว่าเป็นอีกเวอร์ชันของซินเดอเรลล่านะคะ แต่ที่ลูกเลี้ยงโดนอย่างนั้นมันก็โหดร้ายไปหน่อยเน้อ...
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบ [11.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 11-01-2018 20:19:41
ซับซ้อน.. มีความซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนไม่สามารถเดาอะไรได้ กลัวความพีคจัง555 เรื่องนี้หลอกเราได้แบบ.. พูดว่าไงดีอ่ะ ปกติไม่ชอบอ่านอะไรยุ่งยากแบบนี้นะ แต่นี้คือติดมากก อยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรต่อ ชากับแฟร์มีความลับอะไรกัน โอ๊ยยย :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด [13.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-01-2018 20:00:54
เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด


   หากพระราชารู้อย่างข้า เขาก็จะไม่ต้องตาบอด
   - True and Untrue



   เสียงเพลงตามสมัยนิยมดังสนั่นเคล้าไปกับเสียงพูดคุยจากทุกทิศทาง ผมกวาดตาเร็วๆ มองจากซ้ายไปขวาคล้ายกำลังถ่ายภาพพาโนรามา สิ่งที่เห็นไม่เพลินสายตาจนซ่อนความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้

   "ทำหน้าอย่างนั้นเดี๋ยวชาก็โกรธอีก"

   "ก็ปล่อยให้โกรธไปสิ นี่ไม่ได้อยากมาสักหน่อย"

   "พามาเลี้ยงขอบคุณที่ดูแลชินาไง น้องฝากมาบอกว่าคิดถึงแฟร์ด้วย"

   "ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ ไม่ว่า"

   ตาขวางใส่คนทำตัวสบายๆ ที่นั่งอยู่ถัดไป ความอึดอัดข้างในร้านปิดมิดชิดมากเสียจนไม่เข้าใจว่าจะมาแย่งพื้นที่แลกเปลี่ยนอากาศกันทำไม

   หลังจากผ่านช่วงเวลาการเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวผมก็คิดว่าคงไม่ต้องเจอสถานการณ์เดิมอีก ที่ไหนได้พอผ่านมาเกือบสองสัปดาห์เชนินทร์เพื่อนแสนรักของอสูรก็กลับมาออกลายโดยการนัดเลี้ยงสังสรรค์เพื่อฉลองวันเกิดของตัวเอง

   ผมไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมการฉลองวันเกิดของวัยรุ่นสมัยนี้เท่าไหร่ การจัดปาร์ตี้ที่สร้างความสุขชั่วคราวบนความทุกข์ของคนอื่น ตอนแรกสุดที่เชนบอกคือจะพาไปเลี้ยงข้าวเย็น หลวมตัวเพราะคิดว่าจะเหมือนทุกที มาฉลาดก็ตอนเลี้ยวรถเข้าร้านแล้ว เตรียมชุดมาให้เปลี่ยนเสร็จสรรพด้วย

   สังคมของเชนเรียกได้ว่าเป็นอีกโลกที่ไม่อยากย่างกรายเข้ามา สำหรับใครหลายคนมันคงเป็นเรื่องปกติของชีวิตวัยรุ่นที่จะมีการพบปะกันในร้านเหล้า แต่กับคนที่ชอบอยู่คนเดียวอย่างผมแล้วมันเป็นพื้นที่ที่น่าหวาดระแวง

   "มาถึงนี่แล้วน่า ตามสบายเลย"

   "เราไม่กิน"

   "จริงเหรอ?"

   "เหมือนจะไม่เชื่อนะ" ก็เล่นล้อเลียนขนาดนี้ใครไม่รู้ก็โง่สุดๆ "ทีหลังมาเป็นเราเลยไหม"

   ก็บอกแล้วว่าตัวเองปากร้ายอยู่ ยิ่งมาเจอคนไทป์แบบที่ตัวเองไม่ชอบมากสุดแล้วด้วยมันเลยไปกันใหญ่ ในร้านมีการตกแต่งด้วยหลอดไฟมากกว่าที่เคยเห็นตามสื่อ ไม่ถึงกับสว่างจ้าแต่ว่ายังพอช่วยให้ผมเห็นได้ครบว่าบนใบหน้าของเจ้าของวันเกิดมีรอยยิ้มอันตรายประดับอยู่

   "เป็นแฟรี่มันจะไปสนุกอะไรล่ะ"

   นี่ก็เหมือนน้อง รายนั้นอยากเป็นแม่มด แล้วคนพี่นี่อยากเป็นอะไรกันนะ

   ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำสมาชิกรายใหม่ก็เข้ามาทักทายเจ้าของงานเป็นขบวน งานนี้ไม่ได้ปิดโซนหรือกันไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่ง ก็เหมือนว่าเรามาดื่มกินกันธรรมดาเท่านั้นเอง

   ผมไม่รู้จักกับใครอื่นบนโต๊ะตัวยาว เห็นว่ามีทั้งเพื่อนสมัยมัธยมแล้วก็มหาวิทยาลัย ส่วนคนเดียวที่ผมคุ้นเคยยังไม่เห็นหน้าตั้งแต่แยกกันตรงหน้าร้าน อสูรร้ายผู้กลมกลืนไปกับนักท่องราตรีรายอื่น จะให้หนีกลับเลยก็ไม่ได้ ในเมื่อมีผู้คุมนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ยอมปล่อย

   "น้องเชนสุขสันต์วันเกิด นี่ชาไปไหนเหรอ" ตอนแรกก็นับอยู่หรอก พอโดนคำถามเดิมมากเข้าก็เลยเทไม่ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ธชากับเชนินทร์คงเป็นเพื่อนซี้กันในระดับมากที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นคำถามพ่วงกับคำอวยพรตลอดอย่างที่กำลังเป็นอยู่

   "เดินเล่นมั้ง มันก็อย่างนี้แหละ"

   "ล่ะนี่ใครอะ"

   "ชื่อแฟร์ เพื่อนที่มอ"

   ได้ยินและทำเป็นไม่สนใจ วันนี้อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้พกโทรศัพท์มาด้วย มันเลยช่วยให้ผมมีอะไรทำระหว่างที่ต้องติดอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ไปจนกว่างานเลิก นานๆ ที่ได้ใช้ให้คุ้มกับค่าเครื่องก็ดี ผมไม่ค่อยใช้มันทำอะไรนอกจากโทรเข้าออกแล้วก็ตอบไลน์

   ตอนนี้เลยสบโอกาสในการหาอะไรอ่านแบบออนไลน์ไปเรื่อย

   "เหรอ" ท้ายเสียงลากยาวนิดหน่อยคล้ายติดใจอะไรบางอย่าง "แต่หน้าคุ้น..."

   "เดี๋ยวมึงนั่งตรงปลายโต๊ะนะ ของขวัญวางไว้เลย"

   ประโยคก่อนหน้าถูกตัดจบไปเสียก่อน ผมยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากเครื่องมือสื่อสารในมือของตัวเอง นี่เปิดอ่านเล่นไปเรื่อยจนเจอกับเว็บที่คัดเอาเรื่องราวน่าสนใจจากทั่วโลก ไม่ถนัดอ่านจากหน้าจอเลยแฮะ ตัวเล็กแถมแสงยังแยงจนปวดตาอีก

   "เมื่อกี้เราคุยกับถึงเรื่องไหนนะแฟร์"

   "..."

   หนึ่งในความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมต้องมาผจญกับคู่เพื่อนน่าปวดหัว คือสามารถชัตดาวน์ประสาทสัมผัสด้านการฟังให้กลายเป็นคนหูทวนลมมากขึ้น เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพจิตของผมเอง

   "แฟรี่"

   เขาเรียกผมด้วยชื่อนี้อีกแล้ว

   "อย่าทำเป็นไม่ได้ยินน่า"

   มีคำไหนที่เป็นขั้นกว่าของคำว่าเกลียดหรือเปล่า ผมตั้งสมาธิให้อยู่กับหน้าจอต่อไปได้ไม่มีสะดุด น่าแปลกตรงที่ตอนกะพริบตาขึ้นมาอีกครั้งสิ่งที่เห็นมันมีแค่ฝ่ามือของตัวเอง

   หันไปทางเจ้าของงานช้าๆ มองตาขุ่นเป็นการบอกว่าช่วยส่งโทรศัพท์คืนมาด้วย นี่ไม่รู้จักมารยาทเบื้องต้นเหรอว่าถ้าไม่ใช่ของตัวเองก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แล้วแรงที่ใช้เมื่อกี้มันไม่ได้น้อยเลยนะ ถ้าเผลอทำหลุดมือไปแล้วเครื่องผมมีปัญหาจะเรียกค่าเสียหายให้เข็ด

   "ทำตัวเป็นแขกที่น่ารักหน่อย"

   ครึ่งหน้าที่แสงตกกระทบกำลังแย้มยิ้มสดใส มันคงเป็นแสงสว่างที่น่าอบอุ่นหัวใจให้ใครหลายคน ต่างกับผมที่ติดใจกับอีกครึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในบางครั้งการยกมุมปากขึ้นมันไม่ได้หมายถึงเรื่องดีเสมอไป

   "อยู่อย่างนี้ไง ไม่รบกวนแน่รับรอง" อยากจะบอกต่อว่าให้กลับเลยก็เต็มใจมาก ก็รู้ไงว่าไม่มีทางทำอย่างที่ต้องการได้

   "งั้นก็นั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน จะไปตามชา ขี้เกียจตอบว่ามันไปไหน"

   "อืม"

   "แฟร์คงฉลาดพอที่จะรู้ว่าไม่ควรหายไปใช่ไหม"

   "..."

   ปากแย่จนไม่น่ามีเพื่อนคบเยอะขนาดนี้เลย



   "เชน?"

   คู่ชายหญิงหน้าตาดีที่หยุดอยู่ตรงหน้าของผมถาม ของในมือคือกล่องสี่เหลี่ยมลายจุดขนาดกำลังดีกับช่อดอกไม้แห้ง ผมไม่เคยให้ของขวัญกับ 'เพื่อน' มาก่อน แน่ล่ะ เพราะผมไม่มีเพื่อนไง จะมีก็แต่ลูกพี่ลูกน้องคนเดียว แล้วเราก็ชอบใช้วิธีการให้ในทุกโอกาสสำคัญมากกว่า

   "ไปหาธชา"

   "เหรอ..."

   "สักพักก็น่าจะมาแล้วล่ะ"

   จะเชิญให้นั่งก็เกินหน้าที่ไปหน่อย ให้ไปหาที่นั่งเองแล้วกัน

   "งั้นวางของหน่อยนะ"

   ยังไม่ดึกพอสำหรับงานเลี้ยงยามราตรี เครื่องดื่มบนโต๊ะเลยมีปริมาณไม่เท่าไหร่ น้ำแข็ง เบียร์ เหล้า โซดา แล้วก็ของกับแกล้ม ยังมีพื้นที่อีกเยอะสำหรับวางของขวัญ

   "นี่เป็นเพื่อนม.ปลายของเชน นายเป็นเพื่อนที่ม. เหรอ"

   "...มั้ง"
ไหนบอกแค่วางแค่ของไง แล้วทำไมถึงลงมานั่งข้างผมเฉยเลยล่ะ

   ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น 'เพื่อน' ของเชนหรอก เอาจากก้นลึกของจิตใจเลยคือไม่อยากรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ผมล่ะอยากจะบอกว่าเป็นแค่คนร่วมมหาลัยที่โดนบังคับให้มางานนี้ด้วย แต่ก็นะ ขืนบอกอย่างนั้นไปยิ่งปวดหัวเปล่าๆ ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายแหละดีแล้ว

   "ให้ชงให้ปะ"

   ไม่ค่อยได้สัมผัสกับบรรยากาศประมาณนี้จนทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน ผมส่ายหัวกลับไปแล้วให้ความสนใจกับภาพบนหน้าจออีกครั้ง

   นั่งเปิดไปเรื่อยๆ จนเจอกับเรื่องที่เหมือนจะน่าสนใจ ช่วงนี้ผมยังให้ความสนใจกับการอ่านเทพนิยายอยู่ ถึงยิ่งอ่านก็จะเจอเรื่องที่มีเนื้อหาคล้ายกันไปหมดก็ตาม น่าสนใจว่าสรุปแล้วใครลอกใคร หรือว่าคนบนโลกมีความคิดแบบเดียวกันขนาดนี้เลยเหรอ

   ชื่อเรื่องว่า True and Untrue เป็นพี่น้องที่มีนิสัยตามชื่อเลย คนหนึ่งเป็นชายแสนซื่อสัตย์ ส่วนอีกคนนั้นเต็มไปด้วยความไม่จริงใจ พวกเขาทั้งสองตกลงใจที่จะออกไปเสี่ยงโชคผจญภัย แรกเริ่มอันทรูเสนอให้ทานอาหารของทรูก่อน และเมื่อทั้งสองทานอาหารในส่วนนี้หมดอันทรูกลับปฏิเสธที่จะให้ทานในส่วนของตัวเองบ้าง

   ทรูที่ไม่พอใจเลยกล่าวออกไปว่านี่แหละคือนิสัยแท้จริงอันน่ารังเกียจของเจ้า อันทรูที่ไม่พอใจคำพูดนั้นจึงทำการดึงเอานัยน์ตาของทรูออกมาเสีย

   นี่มันเป็นการเริ่มเรื่องที่ระทึกใจเกินไปหน่อยไหม...

   ชายตาบอดอย่างทรูคลำทางผ่านเข้าไปในป่าจนถึงต้นมะนาว เขาตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่กิ่งก้านด้านบนเป็นที่พักพิงเพื่อให้รอดพ้นจากเหล่าสัตว์ร้ายในคืนนี้ ไม่รู้ว่า ณ ใต้ร่มไม้แห่งนี้เป็นสถานที่ชุมนุมของเจ้าหมี เจ้าหมาป่า เจ้าจิ้งจอก และเจ้ากระต่ายป่า

   เจ้าหมีเริ่มเล่าเรื่องของน้ำค้างจากต้นมะนาวที่สามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับการมองเห็นของพระราชาได้ก่อนที่พระองค์จะกลายเป็นคนตาบอด จากนั้นเจ้าหมาป่าก็เล่าเรื่องของบุตรสาวใบ้แสนโง่เขลาของพระราชา ว่าอาการทั้งหมดนั้นสามารถทำให้หายไปได้หากพวกเขาสามารถนำขนมปังที่อยู่กับคางคก ครั้งเจ้าหญิงทำหล่นเมื่อปีก่อนในงานมิซซากลับมาให้เธอ

   ส่วนเจ้าจิ้งจอกเล่าวิธีการหาน้ำพุในสวนภายในพระราชวัง และเจ้ากระต่ายป่าบอกวิธีการดูแลสวนผลไม้ของพระราชาให้สวยงามที่สุดในอาณาจักร โดยการนำเอาโซ่ทองมาวนเอาไว้รอบสวนทั้งหมดสามรอบ

   ชายผู้ซื่อสัตย์รอจนการชุมนุมนั้นสิ้นสุดลง จึงนำเอาน้ำค้างบนต้นไม้มาล้างนัยน์ตาอย่างที่เจ้าหมีบอก เมื่อเขาได้การมองเห็นกลับคืนมาแล้วสิ่งต่อไปคือการนำเอาเรื่องราวทั้งหมดไปเล่าให้พระราชาฟัง ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่สัตว์ทั้งสี่ตัวเล่าสู่กันฟัง ด้วยความซาบซึ้งใจพระราชาจึงให้ทรูอภิเษกกับบุตรสาวของตนและยกอาณาจักรให้ครึ่งหนึ่ง

   ในวันอภิเษก ได้มีขอทานคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น อันทรูนั่นเอง ชายไร้สัจจะผู้ที่ทำร้ายนัยน์ตาของน้องตัวเองได้เข้ามาขอความช่วยเหลือ ทรูจึงบอกให้ไปรออยู่บนต้นมะนาวอย่างที่เขาเคยทำ แล้วรอว่าเหล่าสัตว์ทั้งสี่ตัวนั้นจะเล่าเรื่องอะไรออกมา

   น่าเสียดายที่ตอนจบก็ยังต้องเป็นตามแบบอย่างเทพนิยายที่ดี อันทรูไม่ได้อะไรสักอย่างเพราะวันนี้สัตว์ทั้งสี่ตัวรู้ว่าใครอื่นแอบฟังเรื่องเล่าเขาพวกเขา การชุมนุมในวันนั้นจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการทักทายและแยกย้ายกันไป

   "อ่านอะไรอยู่"

   บรรยากาศบนโต๊ะดูครึกครื้นขึ้นมาทันตาเมื่อคู่เพื่อนกลับมาพร้อมกัน ผมขยายหัวข้อเรื่องให้ธชาดูแทนการตอบ จากนั้นจึงเก็บมันลงเพื่อเปลี่ยนไปมองเจ้าของวันเกิดเดินทักทายผู้ร่วมงานทุกคน ยังขอย้ำอีกครั้งว่าในความคิดของผมเชนไม่ใช่คนที่น่าคบเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่

   "เรื่องทั่วไป ใช้ฆ่าเวลาได้"

   "เหรอ"

   มันก็แค่เรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล อุตส่าห์สร้างตัวละครให้มีความแตกต่างจนน่าสนใจแล้วก็ควรจะมีเนื้อหาที่น่าตื่นเต้นสิ ที่จริงผมว่าตัวเองก็เคยอ่านเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับเรื่องประมาณนี้มาก่อนด้วย

   "นั่นเชนเรียกนายอยู่"

   โบ้ยไปทางคนที่กำลังกวักมือเรียกไม่มีหยุด ตอนนี้วงปาร์ตี้ย้ายไปอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกันแหละ ผมจะได้อยู่เงียบๆ

   "เรียกแฟร์ต่างหาก"

   "เชนจะเรียกเราไปทำไม นายนั่นแหละ"

   "งั้นไปทั้งคู่ จะได้ไม่เสียเที่ยว"

   คว้าข้อมือของผมแล้วออกแรงดึงทันที ยังไม่ทันทรงตัวได้ก็ต้องก้าวเท้าตามจังหวะการเดินของอีกคนให้ทัน ผมก้มมองช่วงมือใหญ่ตรงหน้า ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรมือของอสูรถึงเย็นได้เท่านี้

   เพราะเขาไม่มีหัวใจหรือเปล่า



   True Or Dare

   เคยได้ยินชื่อเกมนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ไม่เคยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นหรอกนะ เห็นว่าเล่นเกมนี้กันตอนไปค้างคืนต่างจังหวัดหรือไม่ก็ในวงเหล้า ผมไม่เคยมีโมเมนต์อย่างนั้นเลยบอกไม่ได้ว่ามันสนุกหรือเปล่า

   "แฟร์มาเล่นกัน"

   พอเห็นหน้าคนเรียกก็คิดว่าไม่น่าสนุกแล้วล่ะ

   "ไม่"

    "ทุกคนก็เล่นนะ"

   จากวงใหญ่ตอนเริ่มงานมันเหลือเพียงเจ็ดคนในเวลานี้ ดูจากทรงแล้วก็คงเป็นคนที่สนิทที่สุดแหละ หนึ่งในนั้นคือคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนมัธยมปลายของทั้งสองคนด้วย แต่ผู้หญิงที่มากับเขาไม่อยู่แล้ว

   "นี่แฟร์นะ เพื่อนคณะเดียวกับชา"

   ยังคงทำตัวเป็นพวกไร้มารยาทด้วยการก้มหน้ามองแต่มือถือตัวเอง แม้แต่มือยังไม่ยกขึ้นมาทำสัญลักษณ์ทักทาย

   "เริ่มเลยไหม"

   อุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงหนึ่งขวดเบียร์เปล่า เสียงเพลงที่เคยดังสนั่นลดระดับลงตามเข็มสั้นที่ย้ายจากกึ่งกลางด้านบนไปทางขวา คนในร้านแม้จะยังหนาตาแต่ก็ไม่ได้ดูวุ่นวายเหมือนช่วงพีกที่ผ่านไป คงเริ่มเหนื่อยกันแล้วล่ะมั้ง ผมนั่งมองไปเรื่อยยังทรมานแทนเลย

   โต๊ะไม้ที่เคยเต็มไปด้วยเครื่องดื่มมึนเมาเหลือเพียงแก้วของตนเอง ไม่เว้นแต่ตรงหน้าผมที่มีภาชนะทรงสูงบรรจุเครื่องดื่มเอาไว้เต็ม

   ทุกอย่างดูเป็นของใหม่ที่ไม่น่าตื่นตาตื่นใจ จำนวนรอบของการเล่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเดินทางของเวลาที่ไม่มีวันหยุด เสียงโห่ร้องสลับไปกับเสียงเชียร์ตามตัวเลือกที่ตนเองตัดสินใจ บางครั้งมันก็น่าสนุก ส่วนบางตอนมันน่าเบื่อจนเผลอหาวออกมา

   "รอมาตั้งนาน ถึงตาแฟร์สักที"

   จนถึงช่วงที่ผมใช้ดวงในการหลบหลีกไปหมดแล้ว ขวดปากกลมที่ไม่เคยหันมาทางผมจึงมาทักทายแบบไม่ทันตั้งตัว ในเวลาที่ต้องตัดสินใจอย่างเร่งด่วนผมไม่อาจชั่งข้อดีข้อเสียของตัวเลือกทั้งสองได้ทัน

   เลือกทางไหนก็ไม่น่ามีผลดีเหมือนกัน

   "ทรูก็ได้นะ เหมือนเรื่องที่แฟร์อ่านไง"

   ถอนหายใจออกมาเสียงดังเอาให้รู้ไปเลยว่าไม่พอใจที่เข้ามายุ่มย่ามในเรื่องที่ควรจะส่วนตัวเองของผม เชนหัวเราะกลับมานิดหน่อยพร้อมกับขยับยิ้มท้าทาย ก็นะ ในเวลานี้ผมคือเบี้ยที่อยู่ชั้นล่างสุดของสามเหลี่ยมนี่นา ดีไม่ดีอยู่นอกเหนือการไล่ลำดับชนชั้นด้วย

   "ทรูก็ได้" คือแดร์ของคนกลุ่มนี้มันค่อนข้างน่ากลัวสำหรับผม เช่นว่าให้เดินไปโต๊ะที่อยู่ถัดออกไปสามโต๊ะแล้วขอรูปเซลฟี่แบบเกือบจูบปากกลับมาให้ได้ "จะถามอะไรล่ะ"

   ทรูคือการเล่าเรื่องจริง

   ...แล้วตอนนี้ผมเป็นทรูหรือว่าอันทรูกันนะ

   "ชาทำขนาดนี้ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ"

   มีอยู่คนเดียวที่จะถามอะไรทำนองนี้ ผมทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจมากเท่าไหร่ ส่วนคนอื่นที่ล้อมวงเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่จนเลือกไม่ถูกว่าจะจับใจความตรงไหน

   "กูว่าล่ะ ไม่งั้นคงไม่พาแฟร์มาด้วย"

   "มึงทำดีมากเชน"

   "ชาแม่งวางแก้วเลยวะ"

   หันไปทางผู้ชายในบทสนทนา ภาพที่ผมเห็นคือธชากำลังวางแก้วไร้ของเหลวลงกับโต๊ะ จังหวะที่คนนั่งเยื้องไปทางขวาเงยหน้าขึ้นมาเราก็สบตากันเป็นครั้งแรกของวัน อสูรไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีเพียงนัยน์ตาไร้ความรู้สึกที่มองตรงมาเท่านั้นกำลังสื่อถึงผมว่าเขารอคอยคำตอบอยู่

   "สนุกแล้ววว"

   "ตอนนี้หัวใจกูเต้นเร็วมาก"

   "ฉากเด็ด"

   ผมจำไม่ได้หรอกว่าประโยคเหล่านั้นใครพูดออกมาบ้าง สิ่งเดียวที่กำลังเล่นวนอยู่ในความคิดของผมซ้ำๆ คือคำถามที่ผมจำเป็นต้องตอบสลับไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น ช่วงเวลาที่เขาพยายามแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม

   แล้วภาพสุดท้ายก็หยุดที่ก้านดอกไม้ดอกนั้น

   "ไม่"

   ไร้ความลังเล ได้ยินเสียงร้องด้วยความเสียดายปะปนไปกับคำล้อเลียนเพื่อนของตัวเอง

   และเห็นว่านัยน์ตาคู่นั้นไม่เปลี่ยนความรู้สึกไปเลยสักนิด

   "กร่อยเลยครับงานนี้ อะ หมุนต่อ"

   เครื่องดื่มมึนเมาทำให้ความสามารถในการรับรู้ลดน้อยลง สภาพของคนบนโต๊ะแบ่งออกได้เป็นสามแบบ คือเมาไม่รู้เรื่องแต่ยังบอกว่าตัวเองไหว เมากรึ่มๆ ยังคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วก็คนที่ยังตาสว่างไร้อาการแทรกอย่างผมแล้วก็เจ้าของวันเกิด

   ส่วนธชาผมบอกไม่ได้ ก็เล่นเงียบไม่ยอมพูดอะไรมาตั้งแต่ต้นเกมแล้วนี่

   "ไอ้เหี้ย นี่มันพรหมลิขิต"

   "กูสาบานว่าไม่ได้แกล้ง"

   ขวดแก้วลดระดับความเร็วตามกฎของแรง ผมยกเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมากระดกดับกระหายแบบไม่สนใจรสชาติของมัน องศาสุดท้ายก่อนที่มันจะหยุดเรียกให้ผมกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ด้วยความวิตกกังวล

   เพราะมันไปหยุดอยู่ตรงหน้าของอสูรตัวร้ายไงล่ะ

   "เอ้า! เลือกมาครับ"

   "เหมือนแฟร์"

   มันมีวิธีการพูดอื่นเยอะแยะทำไมต้องเจาะจงให้เรื่องดูยากมากขึ้นด้วยนะ

   "กูเกลียดความชัดเจนของแม่งสัตว์ๆ"

   "ก็ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วนี่"

   "เฮ้ย กูรู้ล่ะจะถามอะไรดี"

   เป็นอากาศไร้ตัวตนในวงกลมนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมก็ต้องรู้ใจกันอยู่แล้วล่ะ ต่างจากคนนอกอย่างผมที่ไม่มีทางเข้าใจนิสัยแล้วก็รู้ว่าในอดีตเคยมีวีรกรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันทั้งน่าหงุดหงิดแล้วก็สบายใจไปพร้อมกัน ย้อนแย้งที่สุดก็ผมนี่แหละ

   "ชา ห้ามโกรธกูนะ"

   "ไม่เคยโกรธ"

   "แฟร์รู้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนชามันไม่ได้ท่ามากอย่างนี้หรอก แต่พอเจอเรื่องนั้นก็กลายเป็นอย่างนี้ไปเฉยเลย" เรื่องเล่าที่เคยได้ยินมาก่อนหน้าแล้ว เนื้อหาที่ค่อนข้างตรงกันช่วยยืนยันว่าเสียงเล่าอ้างเก่าๆ มันคือเรื่องจริง "กูจะถามว่ามึงทำอย่างนี้แสดงว่าลืมได้แล้วเหรอ"

   "..."

   เข้าใจคำว่าบรรยากาศมาคุก็ตอนนี้แหละ ตอนที่ไม่มีทั้งเสียงร้องเชียร์หรือเป็นลูกคู่รับส่ง ทั้งโต๊ะมีเพียงความเงียบจนเสียงเพลงคลอตามลำโพงดังในความรู้สึก

   ลืม...งั้นเหรอ

   นี่พวกเขากำลังพูดถึง 'ความลับ' ของอสูรหรือเปล่า?

   เผลอจิกข้อมือตัวเองไม่ทันได้ตั้งตัว ขอบคุณที่ทิ้งแขนทั้งสองข้างไว้ใต้โต๊ะเลยไม่มีใครสังเกตเห็น ผมฝืนตัวเองให้หันไปมองผู้เล่นในนัดนี้ ธชาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ว่างเปล่า ไร้อารมณ์ร่วม จนบอกไม่ได้ว่าเขามองมาทางผม...หรือกำลังสร้างภาพใครบางคนมาทับเอาไว้

   "พอดีแฟร์ตอบอย่างนั้นด้วย กูเลยกล้าถาม" กลายเป็นความผิดของผมอีกเหรอที่ตอบอย่างนั้นไป "ตอบมา ลืมได้แล้วหรือยัง"

   ต่อให้ไม่ต้องมีเครื่องวัดก็จับจังหวะได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วกว่าอัตราปกติ ผมไม่อยากจะเดาไปก่อนว่าคำตอบที่จะออกมาเป็นแบบไหน เพราะถ้าคาดหวังเราจะรับมือกับความผิดหวังไม่ได้

   ส่วนหนึ่งคงเพราะเครื่องดื่มผสมสารที่มีฤทธิ์ในการลดระดับการคงอยู่ของสติและสัมปชัญญะ ผมไม่เห็นว่าคนอื่นจะแสดงอาการกระอักกระอ่วนกับคำถามที่ดูละเอียดอ่อน เหมือนว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในความสนใจคือคำตอบจากปากของธชา

   "มึงเลือกทรูนะชา"

   โอกาสที่จะได้รู้ในสิ่งที่ตามหามาเสมอเข้าใกล้เสียเหลือเกิน...

   ในช่วงเวลาที่ดวงตาทุกคู่พุ่งตรงไปยังผู้เล่นในตานี้ คนต้องตอบคำถามก็สบตากลับมาที่ผมจนเหมือนภาพเดจาวูจากการเล่นของตัวเองเมื่อครู่

   ไม่ว่าจะครั้งไหน หรือว่าเมื่อไหร่ ผมก็ไม่เคยอ่านความหมายข้างในได้สักที

   เหมือนคนจมอยู่กลางมหาสมุทร เคว้งคว้างไร้ทางรอด หลังจากที่ลอยคอรอความตายก็มีเรือลำเล็กมาหยุดอยู่ใกล้ และเจ้าของเรือก็เพียงยืนมองผมจากข้างบนนั้นไม่ยื่นความช่วยเหลือใดลงมา

   "โหย อะไรวะ"

   "กากฉิบหาย"

   ปฏิกิริยาต่อจากนั้นคงไม่เป็นที่พอใจของใครอื่นเท่าไหร่ เสียงก่นด่าถึงตามมาแบบไม่มีช่องว่างให้ได้แก้ตัว ธชาเลือกที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าขวดเบียร์ที่ยังมีน้ำอยู่เกือบครึ่งมารินใส่แก้วของตัวเอง จากนั้นก็ดื่มแบบทีเดียวหมด

   ถ้าไม่ตอบก็ต้องโดนลงโทษ เราตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มเกมแล้ว

   "ไอ้สัตว์ แม่งตัดทางทำมาหากินเฉย"

   "ถ้าเป็นมึงจะตอบเหรอ คนใหม่แม่งก็นั่งอยู่ตรงนี้อะ"

   นั่งเงียบไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ อารมณ์ขุ่นมัวข้างในเพิ่มมากขึ้นเสียจนต้องก้มหน้าไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงกลมขนาดใหญ่นี้ ผมกำลังไม่พอใจ...แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากการที่พวกเขาเรียกผมว่า 'คนใหม่' หรือว่าผิดหวังกับคำตอบของธชากันแน่

   ผมอยากรู้ว่า 'ใคร' เป็นคนที่เขายังไม่ลืม

   "เมาแล้ว พูดไม่รู้เรื่อง" ข้ออ้างจากคนเพิ่งดื่มหมดแก้วไม่มีความน่าเชื่อถือ

   "ตอแหล มึงเมายากที่สุดแล้วเถอะ"

   "เล่นต่อเถอะ"

   หลังจากนั้นไม่กี่ตาบรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติ เหมือนว่าสองคำถามเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากช่วงดวงตกเป็นแนวดิ่งแล้วมันก็เด้งกลับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจนจบเกม ไม่มีครั้งไหนที่ปากขวดจะหันกลับมาทางผมให้ต้องขวัญผวาเลยสักครั้ง

   ในช่วงหลังจำนวนการเล่นมีผู้เล่นหลักอยู่แค่ไม่กี่ราย หนึ่งในนั้นคืออสูรร้ายผู้เลือกดื่มจนหมดแก้วแทนการตอบทุกคำถาม ผมน่ะรอจังหวะที่จะเก็บข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ตลอดนั่นแหละ น่าเสียดายที่พอมีใครจะหลุดปากอะไรออกมา คู่เพื่อนช.ช้างก็จะหาเรื่องขัดได้ตลอด

   "ขับรถดีๆ นะ"

   บอกลากันตรงทางออก ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทิศกลับบ้านของตัวเอง ขามามีสมาชิกสามคนขากลับก็มีจำนวนเท่าเดิม เชนเป็นคนขับโดยมีคนนั่งด้านหลังสองคน เราสองคนเงียบสนิทไม่คิดเปิดปากออกมา

   เชนินทร์ปล่อยผมกับเขาที่คอนโดกลางเมืองของธชา คำนวณเส้นทางการกลับบ้านในหัวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก เวลานี้ไม่มีรถประจำทางให้ขึ้นหรอก

   "ให้ไปส่งได้นะ หรือจะนอนนี่ก็ได้"

   "เรากลับเอง" ข้อเสนอที่ให้มาไม่ว่าทางไหนก็ไม่ควรเสี่ยง ผมไม่รู้ว่าธชากินไปกี่แก้วหรือว่ากี่ขวด ถึงเพื่อนทุกคนจะการันตีว่าเขาไม่มีทางเมาง่ายๆ ก็ใช่ว่าผมต้องหาเรื่องใส่ตัว "ขึ้นไปนอนเถอะ"

   "ไปส่งแล้วกัน"

   ผมหลับตาลง นับหนึ่งถึงสิบในใจ หวังว่าลืมตาขึ้นมาแล้วมันจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเช่นว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องในจินตนาการของผมเท่านั้น

   "..."

   เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วทุกอย่างมันยังคงสภาพเดิม ก็รู้เลยว่าพระเจ้าไม่ได้รักผมเลย

   "ทรูออร์แดร์"

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้ผมเอ่ยคำนั้นออกไป อาจเป็นเพราะดอกไม้แห้งเหี่ยว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบางทีคงมาจากเรื่องใหม่ที่เพิ่งรับรู้

   "เหมือนเดิม" ธชาไม่มีอิดออดหรือตั้งคำถาม ท่าล้วงกระเป๋าสบายๆ ไม่มีความกังวลใดปรากฎ

   "ถ้ายังไม่ลืมแล้วมายุ่งกับเราทำไม"

   "พอรู้อย่างนี้แล้วเสียใจเหรอ?"

   ยิ้มจางผสมรอยหยันที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าอีกคนคง 'ไร้หัวใจ' อย่างที่หลายคนบอก มันก็ไม่เหลืออะไรให้ผมต้องเก็บเอาไว้อีก

   ในเกมก่อนผมเล่นเป็นอันทรูคนไร้สัจจะ

   "เสียใจ"

   ส่วนตอนนี้ผมเป็นทรูคนที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง


***
   อยากให้อากาศหนาวนานๆ จังค่ะ อยากรื้อเอาเสื้อแขนยาวออกมาใส่บ้าง (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด [13.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 13-01-2018 21:06:57
เหมือนจะเข้าใกล้ความจริงแต่ก็ยังไม่ถึงสักที คือคิดๆไว้ว่าชาอาจมีซัมธิงอะไรกับแฟร์มาก่อนหรือเปล่า แล้วความลับของอสูรที่ว่าคืออะไรกันแน่ โอ๊ยยย! เดาอะไรไม่ได้สักอย่างจริงๆ  :katai1: แล้วเมื่อไหร่ที่ความลับนั้นจะเปิดเผย แล้วเมื่อไหร่แฟร์จะรักชา (ชารักแฟร์แล้วมั้ย หรือยังแค่เล่นๆ) ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าคุณเจ้ากำลังปั่นหัวเราเล่น5555 ยอมค่ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด [13.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 13-01-2018 21:29:22
แง้   :katai1: :katai1: :katai1:
สรุปมันอะไรกันนนนนนน
อสูรแค่ใช้แฟร์เป็นตัวแทนให้ลืมคนเก่า หรือแฟร์คล้ายคนเก่าเลยเข้าหา หรืออะไร แงงงงง
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเอ็ด [13.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: SimplyDelicious ที่ 14-01-2018 01:47:18
คดีพลิกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสอง [16.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-01-2018 19:48:49
เรื่องเล่าที่สิบสอง


   เขาจะมาปรากฎตัวอีกครั้งเมื่อดอกกุหลาบบานสะพรั่ง
   - The Rose


 
   กุหลาบสีแดงช่อใหญ่

   กับอสูรไร้หัวใจที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

   "เคยได้ยินเรื่อง The Rose ไหม?"

 

   (เตรียมของทุกอย่างครบแล้วใช่ไหมแฟร์)

   "ก็ไม่ต้องเตรียมอะไรอยู่แล้ว"

   (อย่าทำเหมือนไม่สนใจโลกอย่างนั้นสิ)

   "ไม่ได้ทำเหมือน ไม่สนใจจริงๆ"

   เปิดลำโพงของโทรศัพท์เอาไว้อย่างนั้น เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าที่มีไม้แขวนเสื้ออยู่ไม่ถึงครึ่ง ปัดให้มันเลื่อนไปยังพื้นที่ที่ว่างอยู่ของราวทีละตัวจนเจอกับเสื้อยืดตัวโปรด สวมมันเข้าไประหว่างรอปลายสายตอบกลับ

   (อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถึงนะ)

   "ไม่ไปไม่ได้เหรอ"

   ได้ยินแค่เสียงหัวเราะตามสายผมยังนึกหน้าร้ายๆ ของเชนออกเลย (ไปบอกชาเองสิ)

   "ก็รู้ว่าบอกธชาไปก็ไม่มีประโยชน์ไง"

   (งั้นก็รอเรา นั่นน่าจะมีประโยชน์ที่สุดแล้วล่ะ)

   เชนินทร์ใช้เวลายี่สิบเก้านาทีในการเดินทางมารับผมตามสถานที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่อยู่อาศัยของเราสามคนเรียงตามลำดับความไกลคือเชน ผม แล้วก็ธชา เมื่อปลายทางคือคอนโดกลางเมืองของธชามันเลยเป็นการอ้อมนิดหน่อยเพื่อแวะรับผมระหว่างทาง

   เลือกที่จะนั่งเบาะหลังแทนที่จะเป็นเพื่อนอยู่ด้านหน้า ผมว่าร่างกายของตัวเองตั้งคำสั่งเอาไว้แล้วว่าถ้าเลี่ยงการเข้าใกล้เชนได้ก็ทำไปเถอะ แล้วเขาเองก็ดูไม่มีปัญหาอะไรกับการที่ผมแสดงออกชัดเจน

   "ดูสบายดีนะ ได้เข้าเฟซบ้างหรือเปล่า"

   "ไม่"

   เชนินทร์หัวเราะในลำคออีกแล้ว "ว่าแล้ว"

   "มันวิ่งเร็วไป เหนื่อยตาม"

   เสียเวลาเกินไปสำหรับการอัปเดตชีวิตคนอื่นผ่านช่องทางออนไลน์ เราจำเป็นต้องรู้ขนาดนั้นเลยเหรอว่าใครกำลังทำอะไร ไปที่ไหน หรือว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด ถ้ามีเวลาเอาไปอ่านหนังสือให้จรรโลงใจยังดีกว่าเยอะ

   "ก็ดี ไม่งั้นแฟร์คงหัวเสียไปแล้ว"

   "เรื่องธชาล่ะสิ"

   คนที่เอาความยุ่งยากเข้ามาในชีวิตของผมมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ

   "เก่ง"

   "เรื่องที่ไม่มีคนพูดต่อเดี๋ยวก็หายไปเอง คนไทยลืมง่าย" ยกวลียอดฮิตขึ้นมาพูด

   วันนี้คณะของผมมีงานบายเนียร์ งานที่เคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยมีความคิดอยากเข้าไปมีส่วนร่วม ถึงคณะของผมจะไม่ได้เก็บเงินเพิ่มเพื่อจัดงานจนเป็นสาเหตุแห่งความแตกแยกก็เถอะ พอดีไม่ใช่สายฟรีที่จะพุ่งเข้าไปหาแบบไม่เผื่อใจคิดอะไร

   กลายเป็นจารีตประเพณีไปแล้วที่ต้องมีธีมงานในแต่ละปี สร้างสรรค์แต่ก็สร้างความเดือดร้อนพอกัน คนร่วมเอกที่เห็นหน้าเห็นตากันตลอดเอาแต่พูดเรื่องนี้ตอนรออาจารย์เข้าสอน หรือแม้กระทั่งในช่วงเวลาพักเบรก คือมันก็มีคนไม่ไปแหละ แต่ไม่ใช่กับคนรอบข้างผม

   ต่อให้ใจปฏิเสธแค่ไหนสุดท้ายก็โดนบังคับให้ต้องไปด้วยอยู่ดี ผมยกข้ออ้างสารพัดขึ้นมาสนับสนุนเหตุผลที่จะไม่โผล่หน้าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานแต่มันก็ถูกหักล้างด้วยคำพูดเดียวจากคุณอสูรและเพื่อนว่าจะจัดการให้เองทั้งหมด

   นี่เพิ่งผ่านมาประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดที่ไม่น่าจดจำ ผมยังคงใช้ชีวิตเหมือนปกติทุกวัน ตกเย็นก็จะไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุดรอเวลากลับบ้าน และส่วนที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดคงไม่พ้น...

   "นี่ชาฝากนมมาด้วย ในถุงนั่น"

   ข้างตัวคือหนังสือหลายวิชาโยนกองรวมๆ กันไว้ ด้านบนสุดมีถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อวางทับ ความบางของถุงมากเสียจนแค่ปรายตามองก็รู็ว่ามันคือนมกล่องสี่เหลี่ยมแบบเดิม

   "อืม"

   "ถ้าลืมเอาไว้อีกจะเอามาให้ทั้งลัง"

   "ไม่เคยเอาไปต่างหาก"

   แก้คำเสียหน่อย ที่บอกว่าผมใช้ชีวิตเหมือนปกติส่วนที่ต้องเน้นที่สุดคือตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาโต๊ะของผมไม่เคยได้ต้อนรับธชาเลยสักวัน ถ้าไม่มีนมวางเอาไว้แล้วก็จะฝากเชนเอามาให้ ไร้เงาชายที่ถามว่าผมเสียใจหรือเปล่ากับคำตอบที่ให้ใครอื่น ไม่มีข้อความไหนส่งมาเพิ่มเติมในไลน์ จะมีก็แต่เนื้อหาในรายงานที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น

   เห็นไหมล่ะ ชีวิตดีแค่ไหน

   น่าเสียดายก็ตรงงานบายเนียร์เป็นเรื่องที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น แล้วพวกเขาก็ความจำดีพอที่จะไม่ลืมว่าเคยบอกอะไรไว้

   "แฟร์ไม่รักษาของ"

   "ไม่มีของให้รักษา"

   ผมต้องได้ยินเสียงหัวเราะอย่างนั้นไปอีกนานแค่ไหนนะ

   "ถ้าจริงคงไม่ต้องมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้หรอก"

   "เราไม่เคยบอกให้ต้องอยู่ด้วยเลยนะ"

   "เต็มใจอยู่เองก็ได้"

   คำตอบสั้น ไม่มีคำเชื่อมหรือว่าคำขยาย หลายคนอาจไม่ชินวิธีการพูดคุยอย่างนี้ ผิดกับผมที่ชอบให้ทุกอย่างกระชับเอาแต่ใจความ พูดมากเยิ่นเย้อแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเพราะหลงอยู่ในเนื้อหาจับใจความไม่เจอ

   "ไม่เต็มใจให้อยู่"

   "พูดอย่างนั้นกับชาสิ"

   การเคลื่อนที่ของรถยนต์ช้าลงไปเรื่อยๆ ตามการเบรก ภาพนอกหน้าต่างกลับมาชัดเจนไม่เป็นเส้นริ้วตามระบบการจดจำภาพของสมอง ความเย็นของอากาศข้างในเมื่อบวกกับบรรยากาศเงียบเหงาเรียกเอาภาพเดิมที่เกิดขึ้นในวันนั้นกลับมา

   พอรู้อย่างนี้แล้วเสียใจเหรอ

   มันยังคงมีอาการวูบโหวงทุกครั้งยามประโยคนี้กลับมาเล่นซ้ำ

   "ต่อให้อัดเสียงแล้วเล่นเป็นร้อยรอบธชาก็ไม่เข้าใจหรอก"

   "ลองเพิ่มเป็นพันรอบไหม"

   ช่วงนัยน์ตาที่สะท้อนกลับมาผ่านกระจกมองหน้าบานเล็กเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

   "..."

   คนเราคงนิยามคำว่าเพื่อนไม่เหมือนกัน บ้างก็หมายถึงคนที่เข้าใจกันในทุกเรื่อง บ้างก็คนที่อยู่เคียงข้างเราได้ตลอดเวลา ผมเห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่เข้าใจว่าคบกันไปได้ยังไง เหมือนเหรียญคนละด้านที่ไม่มีทางมองเห็นอีกฝั่งได้

 

   แล้วผมก็ได้กลับมายืนหน้าห้องพักของธชาเป็นครั้งที่สองในรอบไม่ถึงเดือน เคาะประตูสามครั้งเป็นการเรียกให้เจ้าของออกมาเปิดต้อนรับ

   "ไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ"

   ไม่หันหน้ากลับมามองคนถามให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้ "เรื่อง?"

   "ก็ไม่ได้เจอชามาตั้งแต่งานวันเกิดเราแล้วนี่"

   "แล้วไง?"

   ย้อนกลับไปทันควัน เชนกำลังจะแต่งบทบาทให้ผมเป็นคนประหม่า ขี้กลัวกับทุกสิ่งเหรอ การที่ไม่ต้องเจอธชาสำหรับผมแล้วมันมีข้อดีมากกว่า ไม่สนหรอกว่าการหายไปโดยไม่มีคำบอกกล่าวมันหมายถึงอะไร แล้วก็ไม่กลับเอามาคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดด้วย

   การที่ผมบอกว่าตัวเองเสียใจ นั่นหมายความอย่างนั้นจริง

   "ก็เปล่า" วิธีการปฏิเสธติดสนุกเสียด้วยซ้ำ "นึกว่าจะต้องอยู่ในละครดราม่าไปทั้งวัน"

   "ตัวเองก็อย่าสร้างเรื่อง 'อีก' สิ"

   ย้ำชัดไปว่าเคยทิ้งความปั่นป่วนอะไรเอาไว้บ้าง ผมว่าชาตินี้ตัวเองไม่เคยทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บช้ำเลยนะ หรือต้องย้อนไปสักสิบชาติก่อนหน้าถึงจะรู้ได้ว่าเพราะอะไรเชนินทร์ถึงเข้ามาสร้างความยุ่งยากให้กับผมเยอะไปหมด

   ได้ยินเสียงสลับกลอนตามมาด้วยบานประตูที่เปิดกว้าง ใบหน้าติดเฉยกับช่วงนัยน์ตาสีดำคู่เดิมสร้างความปั่นป่วนให้ได้ในระดับเล็กน้อย

   "วันนี้ก็เลยมาไถ่โทษไง จะช่วยแต่งตัวให้เต็มที่เลย ...ไงชา"

   เชนบอกเสียงเบาในช่วงเวลาที่แทรกตัวเข้าไปก่อน ผมทำปากเบะลับหลังอยู่คนเดียว ความรู้สึกแรกที่พุ่งเข้าหาเมื่อก้าวข้ามเข้าไปสู่อาณาจักรส่วนตัวของอสูรคือน่าอึดอัด ตามมาด้วยความขุ่นมัวยามมองเห็นส่วนของห้องนอน

   ก้านดอกไม้แห้งเหี่ยวยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ

   ธชาทักทายเราสองคนสั้นๆ ไม่ลืมที่จะหันกลับมาอนุญาตให้กินของในตู้เย็นได้ตามสบาย ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติราวกับว่าตลอดทั้งสัปดาห์มันไม่มีอะไรแปลกไป ...หรือว่าผมจะคิดมากไปเอง

   "แฟร์ไม่มีเสื้อผ้าแบบนั้น กูไม่ชัวร์ว่าที่เอามาจะไซซ์ตรงกันหรือเปล่า" ธชาตัวสูงกว่าผมพอสมควร ส่วนเชนก็สูงลดหลั่นกันไป "ไงก็รื้อตู้มึงนะ"

   "ตามสบาย"

   "ปะแฟร์ ถล่มห้องนอนชากัน"

   แน่นอนว่าตู้เสื้อผ้าก็ต้องอยู่ในห้องนอน เชนกึ่งลากกึ่งจูงผมเข้าไปยังจุดหมายโดยมีเจ้าของห้องตามเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อย หน้าตู้ไม้อัดมีเสื้อชุดหนึ่งแขวนเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นั่นคงเป็นชุดที่ธชาจะใส่ในวันนี้

   "มึง กูอยากกินบอนชอน"

   "ก็สั่ง"

   "ไม่ว่าง ต้องช่วยแฟร์ก่อน"

   "คือจะให้กูสั่ง"

   "และจ่ายเงิน" ยังหัวเราะคิกคักให้กับแผนร้ายของตัวเองได้อยู่ ผมหันหลังให้กับธชาอยู่เลยต้องเดาเอาจากน้ำเสียงว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

   "กูจะโทรเรียกเก็บเงินจากแม่มึง"

   "เชิญเลยครับ"

   มีการไล่เพื่อนให้ออกไปสั่งข้างนอกอีกต่างหาก เชนเพิ่มความผ่อนคลายโดยการเปิดเพลงในสมาร์ตโฟนของตัวเอง แล้วทำอย่างที่บอกไว้คือรื้อตู้เสื้อผ้าของเพื่อนเสียสนุกสนาน ผมยืนมองเขาเอนจอยกับการโยนเสื้อที่เล็งๆ เอาไว้ไปบนเตียงสลับไปกับการลอบมองแผ่นหลังเจ้าของห้องที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอยู่ด้านนอกประตู

   "เมื่อวันก่อนชามันโทรมาคุยกับเรา เรื่องแฟร์"

   "อยู่ด้วยกันตั้งนานทำไมเพิ่งมาพูด" ต้องร้ายแค่ไหนถึงเลือกพูดเรื่องนี้ในเวลาที่ธชาอยู่ห่างออกไปแค่หนึ่งกำแพงกั้น ทั้งที่มีโอกาสเล่ามากมายตอนอยู่กันแค่สองคน "ไม่ต้องเล่าด้วยว่าคุยอะไรกัน ไม่อยากรู้"

   ไม่รอให้ว่างจนมีจังหวะแทรกผมก็พูดต่อเลย

   "ก็คิดนะ บางทีถ้าเราเป็นคนที่ได้กุหลาบพวกนั้นเหมือนคนอื่นมันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่"

   อย่างน้อยถ้าเป็นผู้ครอบครองเจ้าดอกไม้มีหนามแหลม ผมก็ยังพอปลอบใจตัวเองได้ว่ามันไม่มีความหมายอะไร แต่พอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง มันก็พาลพาให้เผลอนึกหลงไปเองว่ามันพิเศษกว่า

   "อยากได้จริงเหรอ?"

   คำที่บอกไม่ถูกว่าเป็นบอกเล่าหรือว่าตั้งคำถาม "ที่จริงอยากได้หน้าเฉลยมากกว่า"

   "ไม่ได้ เราให้ตัวช่วยไปแล้วไง" ไม่ต้องมีญาณทิพย์ยังรู้เลยว่าเขากำลังสื่อความหมายถึงสิ่งใด ก็สายตาของเชนินทร์มันมองเลยผ่านผมไปด้านหลัง ที่ๆ ตู้เก็บของเรียงรายอยู่ "เอาไปมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก เชื่อเราสิ"

   จะเถียงก็ไม่กล้า ท่าทางสบายๆ เหมือนกับว่าเป็นการพูดไปเรื่อยไม่ได้เข้ากับช่วงนัยน์ตาที่ไม่ได้ย้อนกลับมาประสานสายตากับผมเลย เชนเหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดกับบางสิ่งที่ลงมือกระทำไปแล้วแต่ไม่มีโอกาสแก้ไขมัน

   "แต่ถ้าอยากได้เดี๋ยวบอกชาให้"

   "ไม่ต้อง"

   "เห็นแล้วเป็นไงบ้าง"

   "ไม่รู้สึกอะไร"

   "จริงเหรอ" ยกเสื้อผ้าในมือขึ้นมาแกว่งนิดหน่อย "ลองดูใหม่ได้นะ"

   "ชุดมันไม่ใช่ของเรา"

   และมันเป็นการบอกอีกนัยว่าผมรู้ตัวดีเกี่ยวกับจุดยืนของตัวเอง

   "มันก็จริงแหละ ...แต่ทำอะไรไม่ได้แล้วเนอะ เพราะงั้นเอาไปเปลี่ยนเถอะ”

   มันเป็นเสื้อลายสก็อตแขนสั้นสีฟ้ากับกางเกงสีน้ำตาลเข้ม มีเข็มขัดหนังแท้เป็นสิ่งประดับเดียว ดูเรียบง่ายอย่างที่เชนบอกว่าอยากผมให้แต่งมากกว่าแฟชันคุณลุงที่ใส่มาตั้งแต่แรก

   ค้านตั้งมากก็ไม่เป็นผล ผมจำใจเอาชุดที่ดีไซเนอร์ได้ทำการมิกซ์แอนด์แมทช์ไว้แล้วเข้าไปเปลี่ยนเพื่อรับการประเมินครั้งที่หนึ่ง ที่น่าประหลาดใจระคนไปกับความสะพรึงคือการที่ทุกชิ้นมันเข้ากับผมได้พอดี แบบที่สาบานเลยว่าไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าตัวเองมีสัดส่วนเป็นอย่างไรบ้าง

   เมื่อผ่านการประเมินจากผู้ออกแบบในครั้งเดียวก็ถึงช่วงของการรอเวลา นี่ทั้งตัวมีแค่รองเท้าหนังเท่านั้นที่เป็นของผมเอง พิลึกชะมัด

   “ขอให้สนุกกับงานนะ” ไหงถึงสะกิดใจกับคำอวยพรของเชนินทร์จังนะ

   เราสองคนเลือกที่เรียกรถแท็กซี่จากหน้าคอนโดไปยังส่วนจัดงาน ที่ธชาไม่ได้ขับรถไปเองก็มาจากการที่ผมยืนกรานว่าจะไม่ยอมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างเด็ดขาด

   อาจดูใจร้ายนะ แต่ว่านั่นเป็นทางที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับตัวเอง

   ธชานั่งข้างหน้ากับคนขับ ส่วนผมอยู่ด้านหลังคนเดียวในตำแหน่งเดียวกับเขา จากตรงนี้เห็นได้แค่ช่วงศีรษะลงมาถึงไหล่นิดหน่อย ผมอันเดอร์คัตเซตขึ้นไปเป็นทรงสวยกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดตา มีเอี๊ยมสีดำคาดเอาไว้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของงาน

   "งานเลิกกี่โมง"

   "เริ่ม?" ทวนคำถามที่เบาบางจนเกือบไม่ได้ยิน "ไม่รู้ ถึงเมื่อไหร่ก็เริ่มเมื่อนั้นแหละ"

   "ถามว่าเลิก ไม่ใช่เริ่ม"

   ได้ยินเสียงแท็กซี่หลุดขำตอนที่เขาแก้ความเข้าใจผิดของผม "จะรู้ได้ยังไง"

   "งั้นสักทุ่มครึ่งออกนะ"

   เขาคิดว่าผมจะยอมกลับด้วยเหรอ นี่วางแผนชิ่งตั้งแต่เข้างานเอาไว้แล้ว เอาแบบที่ส่งของให้สายรหัสแล้วก็เตรียมออกมาหาป้ายรถเมล์ ลองสำรวจเส้นทางแล้วมันมีสายที่วิ่งตรงถึงบ้านของผมเลยเหมือนกัน ต้องรีบหน่อยเพราะถ้าช้าแล้วอาจเจอรถติดแบบมโหฬารได้

   "ชา ลงทะเบียนทางนี้"

   แค่เหยียบหินก้อนแรกในส่วนของงานก็ได้ยินเสียงทักทายแล้ว ผมยืนนิ่งรอให้เจ้าของชื่อที่อยู่ในประโยคก่อนหน้าเดินนำไปก่อน ก็คนที่โดนเรียกไม่ใช่ผมนี่นา เราก็ต้องอยู่ในที่ของเราเนอะ

   ธชาเป็นคนที่ไม่ควรเข้าใกล้โดยไม่จำเป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนในรุ่น อย่างหลายงานเขาก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะทีมจัด เด็กกิจกรรมหลายคนยืนยันว่าส่วนของที่เขารับผิดชอบไม่ค่อยเจอข้อผิดพลาดให้วุ่นวายตอนวันจริง

   "เดินสิ"

   แต่พอไม่ขยับ ก็กลายเป็นธชาเองก็ทำตาม "เขาเรียกนาย"

   "ไปด้วยกัน"

   มันเป็นพื้นที่เปิดกว้างจนเห็นว่าสายตาของคนอื่นที่มองมามีอะไรอยู่ข้างใน ความอยากรู้อยากเห็นปิดไม่มิดจนผมทำหน้าหน่ายออกไป ทำอย่างกับไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น

   อย่างน้อยผมก็ได้ยินคำพูดลอยๆ เกี่ยวกับคำว่า 'ไม่ใจอ่อน' โดยเฉลี่ยหนึ่งครั้งต่อวันแล้วกัน

   ก็ไม่รู้หรอกนะว่าในพื้นที่เขาของบนสื่อออนไลน์พวกนั้นมีผมเข้าไปเกี่ยวแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ และบอกไม่ได้ว่ามันออกไปในทิศทางที่ส่งผลแบบไหนกลับคืนมา หลายคนรู้แค่ว่าผมทำงานกับธชาในรายงานชิ้นใหญ่ นอกจากนั้นแล้วถ้าถามว่าแฟร์คือคนไหนอาจต้องใช้เวลาในการนึกสักครู่

   งานบายเนียร์ใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ ลองเอาตัวเลขของเด็กในหนึ่งชั้นปีมาคูณสี่แล้วก็ผิวปากหวือ พื้นที่กว้างพอสมควรไม่มีส่วนไหนที่ดูโล่งตา

   คนเยอะจนรู้สึกว่าตัวเล็กลงไปไม่น้อยเลยล่ะ

   "แฟร์" ชายใส่แว่นคนที่ผมเคยจำชื่อเขาสลับกับเชนเดินมาทักพร้อมกับกล้องถ่ายรูปคล้องเอาไว้ที่คอ แต่งตัวย้อนยุคกลับไปในสมัยที่คนไทยต้องปรับตัวให้ดู 'โก้เก๋' สมกับเป็นพวกมีอารยธรรม "แปลกจังที่เจอ"

   "ก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน"

   ใจอยากใช้คำว่าสงสารตัวเองมากกว่า ลองชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าแล้วถ้าผมเอาเวลานี้ไปนั่งทำหนังสือก็จะเย็บได้อย่างน้อยครึ่งเล่ม หรืออาจจะตกแต่งหน้าปกได้เสร็จไปแล้ว

   "เห็นชาอยู่ข้างในนะ"

   "อืม" เดินลัดเลาะจนลืมไปเลยว่าไม่ได้มาคนเดียว

   "นึกว่าหาอยู่"

   "เปล่า"

   พอตอบสั้นมันก็เป็นการส่งสัญญาณที่ดีเหมือนกันว่าผมไม่อยากจะให้เขามาซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก เพราะหลังจากนั้นข้ออ้างว่าขอตัวไปถ่ายรูปต่อก็มาพร้อมกับการจรลีหายไปด้วยความเร็วใกล้เคียงกัน ผมประเมินสถานการณ์ว่าทางสะดวกสำหรับการหนีกลับแล้วหรือยัง เมื่อกี้บอกว่าชาอยู่ข้างในสินะ

   "ไปได้แล้ว"

   ไหนบอกว่าอยู่ที่อื่นไง!

   "จะกลับทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ"

   "ใช่ เลยจะเข้าไปข้างใน"

   งานแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านนอกจัดเอาไว้เป็นซุ้มดอกไม้หลายรูปแบบเหมาะกับการถ่ายรูปอวดชีวิตดีๆ ส่วนด้านในคงเป็นส่วนของงานเลี้ยงล่ะมั้ง

   แม้จะไม่ได้มีเสียงทักทายเป็นระยะอย่างที่เคยเห็นในละคร ตลอดทางจากจุดที่ยืนอยู่ไปจนถึงมุมหนึ่งข้างในงานก็มีคนยกมือขึ้นมาส่งสัญลักษณ์ว่ายินดีต้อนรับการมาถึงของอสูรอยู่ต่อเนื่อง

   มาแล้วก็ยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้นแกะสลัก ประกอบกับการแต่งกายให้เข้ากับธีมแล้วคนข้างผมยิ่งเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนนับร้อย ดูจากภายนอกแล้วธชาก็ยังเป็นคนเดิม นิ่ง เงียบ จนผมอยากจะรู้ว่าข้างในตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ตลอดช่วงสัปดาห์ที่หายไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า

   งานน่าเบื่อ พิธีกรบนเวทีดูเป็นพวกโดนบังคับให้มาทำงานกะทันหัน พูดก็ผิดๆ ถูกๆ แถมยังส่งไม้ต่อให้คนร่วมงานได้แย่จนน่ารำคาญ ก่อนที่จะมารับหน้าที่ก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยก็ต้องคุยกันนิดหน่อยให้พอเข้าใจไหมล่ะ

   "เรากลับแล้วนะ"

   พ่อก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง ผมก็ยังต้องบอกเขาก่อนว่ากำลังจะออกจากงานแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องโดนอะไรสักอย่างแน่

   "ยังไม่ทุ่มครึ่ง"

   "เราไม่ได้บอกว่าจะกลับเวลาไหน"

   "กลับพร้อมกัน"

   "ไม่ต้อง"

   "แฟร์"

   "เราเหนื่อย"

   ใจจริงไม่อยากพูดออกไปหรอก ตอนนี้หลายเรื่องมันผสมอยู่ในความคิดของผมมากเกินไปจนต้องเลือกหยิบออกไปบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วอาจได้เห็นข่าวเด็กมหาวิทยาลัยเครียดจนเกิดอาการคลุ้มคลั่งกลางฝูงชน

   และที่ผมบอกว่า 'เหนื่อย' มันมีอะไรมากกว่าการที่ต้องมาอยู่กับเขาในเวลานี้

   "เข้าใจเราใช่ไหมธชา?"

   อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะพูดอะไรก็พูด ธชาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเสียจนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะยอมทำทุกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ยิ่งผมเงียบไม่โต้ตอบมันก็หนักข้อขึ้นไปอีก ใครมันจะไม่เป็นโรคประสาทถ้าต้องมาอยู่กับอาการคุ้มดีคุ้มร้าย

   ที่จับเอามาเรียบเรียงด้วยตัวเองได้ข้อสรุปว่าผมคงบังเอิญคล้ายกับใครคนที่เขายังลืมไม่ได้ และคงเป็นคนที่สาปให้เจ้าชายกลายเป็นอสูรที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้

   โคตรงี่เง่าเลยว่าอย่างนั้นไหม

   คนเรียนเก่งอย่างเขาน่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่การลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องแบบไม่คิดถึงใจบ้างเลย ก็เคยคิดว่าตัวเองชินชากับทุกเรื่องจนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามคงไม่เป็นอะไร พอเจออย่างเมื่อกี้เข้าไปก็คงต้องยอมรับว่าตัวเองก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกัน

   "ไม่เข้าใจ"

   จ้องตรงเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีดำสนิท มันไร้แววสะท้อนจนเหมือนว่ากำลังใส่คอนแทกเลนส์เอาไว้ ถ้าผมสูงกว่านี้อีกหน่อยรับรองได้เลยว่าจะต้องมีการจับตัวมาเขย่าให้สติกลับเข้าที่เข้าทาง

   "มันไม่ใช่เรา รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   ถามว่ามันตรงไปหน่อยไหมก็ใช่อยู่ มันเหลือแค่วิธีนี้แล้วถ้าธชายังตอบกลับมาแบบที่บอกได้เลยว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับความรู้สึกของคนที่ต้องตกที่นั่งลำบากอย่างผม

   "จะให้เราอยู่ตรงไหนก็บอกมาเลยดีกว่า"

   ริมฝีปากของอสูรไม่ขยับตำแหน่ง ขอบคุณฮอร์โมนหรือระบบการทำงานของร่างกายส่วนไหนก็ตามที่ช่วยเสริมความกล้าให้สามารถต่อสู้กับเขาได้โดยไม่มีความเกรงกลัว ผมยังจำได้อยู่ว่าเขาเป็นผู้ชายใจร้ายแค่ไหน ได้แต่ภาวนาว่าผมคงคิดไม่ผิดที่ทำอย่างนี้

   เสียงหัวเราะเฮฮาจากรอบข้างไม่ช่วยให้บรรยากาศระหว่างเราสองคนดีขึ้น ซ้ำร้ายแล้วผมว่ามันยิ่งเสริมเชื้อไฟให้มันแย่ลงไป

   "เคยได้ยินเรื่อง The Rose ไหม?"

   "...ไม่"

   ชะงักไปหน่อยหลังจากได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง

   "เรื่องของหญิงสาวยากจนที่มีลูกชายสองคน"

   "ไปเล่าให้ชินาฟังเถอะ" เส้นกราฟอารมณ์ที่คงที่มาเสมอเริ่มรวนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระหว่างที่ผมกำลังคุยเรื่องจริงจังเขาก็ยังเอาเรื่องเล่ามาพูดเล่น

   "ลูกชายคนเล็กจะต้องเข้าป่าเพื่อไปตัดฟืนในทุกวัน วันหนึ่งระหว่างที่เขากำลังเดินไปตามทางก็พบกับเด็กตัวเล็กที่แข็งแรงจนสามารถช่วยเขาเก็บฟืนได้จนครบ แต่ก่อนที่ลูกชายจะได้กล่าวคำขอบคุณเมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน เด็กคนนั้นก็หายไปแล้ว"

   "เราไม่ฟัง ถ้าคุยกับไม่รู้เรื่องเรากลับแล้วล่ะ"

   ในเสี้ยววินาทีข้อมือของผมก็ถูกตรึงไว้ด้วยมือของอสูรร้าย สัมผัสที่ควรอบอุ่นตามแบบของเนื้อมนุษย์กลับเป็นเย็นจัดจนอยากสะบัดทิ้ง บนใบหน้าไร้ที่ติยังเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก และภาพหลังกะพริบตาผู้ชายตรงหน้าของผมกลับกลายเป็นใครที่ไม่เคยรู้จัก

   ทั้งที่ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หัวใจกลับเต้นเร็วจนน่ากลัว

   นี่คือ 'อสูร' ใช่ไหม

   "ลูกชายเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้มารดาฟัง แต่นางไม่เชื่อ จนวันหนึ่งลูกชายก็กลับมาพร้อมกับดอกกุหลาบในมือ บอกว่าเด็กตัวเล็กนั้นเป็นคนมอบให้พร้อมฝากบอกว่าเขาจะมาใหม่เมื่อดอกกุหลาบบานสะพรั่ง มารดาจึงนำกุหลาบดอกนั้นไปปลูกเพื่อให้กลีบคลายออก"

   เรื่องราวที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไรถูกขัดขวางด้วยเสียงฮือฮาจากทุกส่วน ผมรีบหันไปทางจุดรวมสายตาของทุกคน ตรงทางเข้าที่ห่างออกไปไม่ไกลมีชายในชุดสูทสีดำกับช่อกุหลาบสีแดงขนาดใหญ่กำลังเดินเฉิดฉายเข้ามาราวกับเป็นตัวเอกของงาน และพอภาพนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมถึงเห็นได้เต็มตาว่าคนตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น

   เชนินทร์

   "เช้าวันต่อมามารดาก็พบความผิดปกติเมื่อเธอเดินไปปลุกลูกของตน..." มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยยามเห็นว่าทั้งใบหน้าของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน "แล้วพบว่าลูกชายไร้ลมหายใจเสียแล้ว"

   ช่อดอกไม้ใหญ่ถูกส่งต่อให้เพื่อนของตัวเอง ความใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งสองมือในการประคองเป็นการปล่อยให้อิสระกลับมาเป็นของผมในตัว ไม่รู้เลยว่าธชาใช้แรงจับข้อแขนของผมมากแค่ไหนจนกระทั่งเห็นว่าตรงผิวเนื้อของตัวเองมีรอยแดงจางปรากฎ

   "ส่วนดอกกุหลาบก็บานสะพรั่งในเช้าวันนั้นเอง"

   "..."

   สมองตื้อจนภาพในความคิดเล่นสลับกันไปมาน่าปวดหัว คำที่ตัวเองเปรยเมื่อช่วงสายของวัน การระเบิดอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงเรื่องเล่าที่ตัดจบแบบเลือดเย็น ตำนานของดอกไม้แสนสวยที่ผมไม่เคยได้ยินเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างดี

   ดอกไม้ช่อใหญ่ไม่ช่วยให้ความผ่อนคลาย กลับกันความงามของมันกลายเป็นคำเตือนให้ระวังพิษจากหนามแหลมคม ตาของผมจ้องมองเพียงกลุ่มดอกไม้ไม่เงยขึ้นไปสบตาคนถือ สีแดงจัดของมันราวกับย้อมเอาไว้ด้วยโลหิตและชีวิตของเด็กชายคนนั้น

   "อยากลองปลูกบ้างไหมแฟร์?"


***
   เป็นเรื่องขนาดสั้นที่อ่านแล้วจบแล้วนั่งกะพริบตาปริบๆ ทุกวันนี้เห็นกุหลาบทีก็นึกถึงเรื่องนี้ตลอดเลยค่ะ เจ้ามีปัญหากับลูกชายคนพี่ที่หายไปด้วย เพราะตามต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า him lying there dead ไม่ได้บอกว่าคนไหน แล้วพอจะไปหาแบบต้นฉบับจริงก็เป็นภาษาเยอรมัน ยกธงยอมแพ้ค่ะ (ฮา) เลยโมเมว่าน่าจะหมายถึงลูกชายคนเล็กนั่นแหละ
   ไม่รู้ว่าตอนนี้จะทำให้กระจ่างหรือระแวงกว่าเดิม ต่อจากนี้จะเริ่มเคลียร์ทีละประเด็นแล้วค่ะ (ยิ้ม)     
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสอง [16.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 17-01-2018 04:48:21
ระแวงมากก พระเอกเป็นคนหรือเปล่า กลัวใจว่ทจะเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง :sad4: เพราะเห็นบรรยายถึงตัวของชาว่าเย็นมาหลายตอนแล้ว นี้เริ่มระแวงแล้วนะคะ555 ไม่เอาแบบตอนจบเฉลยว่าพระเอกเป็นผีอะไรทำนองนี้นะคะคุณเจ้า (กลัวใจ)  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสาม [19.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 19-01-2018 20:44:22
เรื่องเล่าที่สิบสาม


   อย่าเชื่อใจคนที่ทอดทิ้งเจ้าในยามลำบาก
   - The Two Follower ant the Bear

 

   ภาพตรงหน้าพร่ามัวเหลือเกิน

   หมอกที่ปกคลุมรอบกายกลืนทุกอย่างให้ตกอยู่ใต้ความไม่ชัดเจน ผมหรี่ตาลงด้วยความหวังว่ามันจะเป็นส่วนช่วยในการโฟกัสไม่มากก็น้อย ไม่รู้ทำไมไม่ว่าจะปรับเลนส์ขยายมากเท่าไหร่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

   ที่นี่คือที่ไหน...ผมกำลังทำอะไรอยู่

   หันรีหันขวางมองทุกอย่างรอบตัว กลุ่มของละอองน้ำบดบังทุกอย่างให้กลายเป็นเพียงม่านกั้นสีขาวขุ่น นึกอยากจะขยับหนีออกไปจากตรงนี้ร่างกายก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ส่วนลึกในใจบอกผมว่าตัวเองต้องรอคอยบางอย่าง

   จนภาพตรงหน้าเริ่มมีเงามนุษย์ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ปรากฎใครบางคนที่ช่วงนัยน์ตาถูกซ่อนเอาไว้ใต้ความเลือนราง กุหลาบช่อใหญ่สีแดงสดในมือตัดกับสีโทนมืดรอบข้างจนกลายเป็นจุดดึงความสนใจ ผมขยับแขนออกไปรับมันมาไว้ในมือต่างจากความคิดที่ร้องห้ามหัวชนฝา ริมฝีปากของอีกฝ่ายขยับเป็นประโยคที่ผมไม่ได้ยินแม้จะตั้งใจฟังมากแค่ไหน

   "..."

   คนปริศนาถอยหลังหายเข้าไปในกลุ่มหมอกเสียแล้ว ผมก้มมองช่อกุหลาบใหญ่แสนสวยในมือตัวเองด้วยความสุขเพียงชั่วคราวก่อนที่จะพยายามผลักไสมันออกไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างตรงช่วงแขน

   หนามกุหลาบจำนวนมหาศาลทิ่มแทงไปยังส่วนผิวเนื้อไร้ความปรานี

   สมองสั่งให้ปล่อยมันทิ้งเสีย ความเจ็บปวดมากเสียจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผมร้องไห้ออกมาไม่มีหยุดในระหว่างที่ริมฝีปากก็ออกคำสั่งให้ปล่อยมันไปเสียที หากแต่ร้องตะโกนมากแค่ไหนมันก็ไม่ยอมเป็นดั่งต้องการ

   ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยล่ะ

   ไม่ใช่ดอกกุหลาบของผมสักหน่อย

   มันเป็นของคนอื่น

   ไม่ใช่ของผม...

   ตั้งคำถามซ้ำอยู่อย่างนั้นจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา ความรู้สึกเสมือนจริงยังตกค้างอยู่ไม่น้อยจากจังหวะการหายใจเข้าออกที่เร็วกว่าปกติ ยกมือที่เคยถือของสวยงามแฝงไปด้วยอันตรายขึ้นมาถึงรู้ว่ามันสั่นเล็กๆ

   และสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ยังติดอยู่ตรงบริเวณหางตา

 

   ผมเลือกที่จะปล่อยช่วงเวลาในวันอาทิตย์ให้หมดไปด้วยการนั่งเงียบๆ อยู่ตรงริมกระจกในห้องนอนคนเดียว หันกลับมามองช่อกุหลาบขนาดใหญ่ตรงชั้นวางบ้างเป็นบางครั้ง ถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป

   จำไม่ได้หรอกว่าทำไมถึงรับดอกไม้ช่อนี้มา ทั้งที่ตัวเองและอีกฝ่ายก็เตือนเอาไว้แล้วว่ามันอาจเป็นทางที่นำไปสู่ความผิดหวัง...หรือความตาย

   พอจะเอาไปเปรียบเทียบกับช่อดอกไม้ในความฝันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก ปฏิกิริยาของสมองต่อเรื่องราวยามหลับใหลมันหายไปเมื่อผมตื่นเต็มตา

   หรือเป็นเพราะดอกไม้ที่ธชาให้เลยเก็บเอาไปฝัน?

   และถ้าไม่ลืม อสูรมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกกุหลาบเป็นจำนวนมาก รวมถึงเรื่องที่ผมได้เผชิญมาด้วยตัวเอง วันที่เขาเอ่ยบอกยอมรับว่าดอกไม้พวกนั้นไม่มีคุณค่าใดพอให้ใส่ใจ

   ไม่ได้ย้ายไปปักไว้ในแจกันอย่างที่ควรจะเป็นหากต้องการรักษาสภาพของมันเอาไว้ให้นานที่สุด เจ้าดอกกลีบสวยเริ่มเฉาไปตามกาลเวลา ความสวยงามที่แฝงเรื่องหดหู่เอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

   เมื่อวานมันยังเป็นช่อสวยสดที่ใครต่อใครอิจฉา แต่ในวันนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่หลายคนคงไม่แม้แต่ชายตามอง

   นอกจากไม่น่ารื่นรมย์แล้วรังจะสร้างแต่ความหนักใจให้ไม่สิ้นสุด หยุดกังวลไม่ได้เลยว่าวันจันทร์ที่กำลังใกล้เข้ามาจะมีเรื่องอะไรรออยู่ บางเรื่องไม่ควรคิดไปเองแต่ก็ไม่ควรชะล่าใจจนเตรียมตัวรับมือไม่ทัน เขาเคยให้กุหลาบใครหลายคน แต่ไม่เคยมีใครได้รับเป็นช่อใหญ่อย่างที่ผมมี

   "...ก็ไม่มีทางเลือกนี่"

   รำพันคำเดิมที่ใช้ตอบกลับไป ใครอยากจะปลูกกุหลาบที่แลกมาด้วยชีวิตกันล่ะ จากที่เดิมพันว่าเมื่อไหร่จะรอดพ้นไปได้คงกลายเป็นจะยื้อเวลาตายได้แค่ไหน

   เหล่าฝูงชนตรงนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งตอนที่ผมเดินออกมาพร้อมกับกุหลาบช่อโตก็ไร้เสียงส่งลา

   มันเป็นข้อสรุปของพวกเขา ว่าผมกำลังเป็น 'ผู้โชคร้าย' รายล่าสุด

   ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกตอนนี้ก็คงต้องให้มันเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ธชาอยากจะทำอะไรก็เชิญ ส่วนผมเองจะรอจนกว่าวันที่เจอ 'ความลับ' ข้างหลัง

   อย่างน้อยให้รู้ว่าใครอยู่ตรงนั้นก็ยังดี

   "ไปไหนนะ?"

   ในช่วงสายที่ผมควรจะได้หมกตัวอยู่ในบ้านก็โดนรบกวนด้วยเสียงแตรรถยนต์ ตอนแรกนึกว่าเป็นของหลังอื่นแต่ลางสังหรณ์บอกให้ลองเดินออกไปดูหน่อยว่าเสียงนั้นต้องการส่งไปทักทายบ้านไหน แล้วแจ็กพอตก็แตกตอนที่ผมเปิดประตูออกไปเจอรถของธชาจอดเด่นอยู่ด้านนอก

   "นั่งรถไปเป็นเพื่อน"

   "มันใช่เรื่องไหม?" เป็นเด็กมีปมขาดความอบอุ่นหรือยังไงกัน "เราไม่ว่าง"

   "ไปกันได้แล้ว"

   คิดว่าผมจะทำอะไรได้นอกจากเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูโอเคกว่าชุดอยู่บ้าน หยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์ออกมาพร้อมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของอสูรล่ะ

   "เรากำลังไปไหน"

   "สุวรรณภูมิ"

   "สุวรรณภูมิ?"

   ทวนกลับไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่เกิดมาขึ้นเครื่องบินนับครั้งได้ คุณแม่เคยบอกว่าทริปแรกของผมคือฮ่องกงตอนอายุได้สี่ขวบกว่า แน่นอนว่าเป็นความทรงจำที่ขาดหวิ่นจนไม่ค่อยอยากจะนับว่าได้ไปเที่ยว แล้วก็มีไปญี่ปุ่นครั้งหนึ่งตอนมัธยมปลาย ที่เหลือจะเป็นการเดินทางในประเทศเพราะผมต้องไปหาพวกเขาในช่วงปิดเทอม

   สถานที่ใหญ่แต่คนก็เยอะตามเคย ผมยืนถือแก้วกาแฟร้อนเอาไว้ในขณะที่ธชายืนกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เราสองคนกำลังอยู่ตรงจุดรวมพล รอคอยการมาถึงของใครสักคนที่อสูรร้ายไม่ยอมบอกข้อมูลเพิ่มเติมอะไรสักอย่าง ผมก็ควรได้รู้ไหมว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับใคร เกี่ยวอะไรกับเขา สำคัญขนาดไหนถึงต้องลากผมมารับด้วย

   "ต้องเล่นเกมยี่สิบคำถามก่อนหรือเปล่าถึงจะได้รู้ว่าเรามาทำอะไรที่นี่"

   "รออีกแป๊บเดียวก็รู้แล้ว" เงยหน้าขึ้นมาบอกแค่นั้นก่อนกลับไปก้มหน้ากดสมาร์ตโฟนต่อ "มาล่ะ มองหาผู้หญิงที่ดู..."

   "เชน! ชา!"

   ยืนตรงอยู่ดีๆ ก็ถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว แรงกอดรัดบริเวณเอวมากเสียจนเกือบหลุดคำอุทาน ผมรีบหันหน้าไปทางเจ้าของแรงที่อยู่ด้านหลังทันทีตามสัญชาตญาณ คิดว่าคงหลุดทำหน้าเหวอใส่ไม่มากก็น้อย

   "อ้าว..."

   ผู้หญิงตัวสูงกว่ามาตรฐานสาวไทยทั่วไป ผมยาวประบ่าหยักเป็นลอนสวย เธอดึงมือของตัวเองออกเร็วพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมหันกลับไปมอง

   ...เธอคือใครกัน

   

   "เราชื่อทะเลพลอยนะ"

   ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันอีกจนขึ้นรถ และยิ้มที่มาพร้อมกับการแนะนำตัวมันเจิดจ้าเสียจนผมเผลอหรี่ตาลง "แฟร์"

   "โอ๊ะ..." ดูประหลาดใจกับชื่อของผม เธอลากเสียงยาวต่ออีกหน่อยถึงพูดต่อ "ของเรามันเป็นชื่อจริงบวกชื่อเล่นนะ จะเรียกทะเลหรือพลอยก็ได้"

   "หรือถ้าอยากเรียกเลพลอยเหมือนเชนก็ไม่ว่า" คนขับรถเสริมต่อจากนั้น

   ผมขยับตัวให้ชิดกับประตูรถอีกหน่อยเพื่อความสะดวกในการสื่อสารกับเธอ นิสัยไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าไม่ค่อยแผลงฤทธิ์มากอย่างที่คิด คงเป็นเพราะน้ำเสียงแล้วก็ท่าทางไม่มีพิษภัยต่างจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคน มาอยู่รวมกันได้ยังไงนะ

   "ชื่อนั้นก็ได้ หันเหมือนกัน" คนชื่อเล่นเหมือนชื่อจริงกลอกตาไปมา "อยากจะแอดวานซ์เรียกทะพลอยก็เป็นทางเลือกที่ดี"

   มุกไม่ค่อยตลกแต่ให้ผ่านก็ได้ ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบรับพลางนึกว่าควรจะอยู่ตำแหน่งไหนในบทสนทนา "งั้นเรียกว่าพลอยนะ"
     
   ทะเลมันสองพยางค์เลยขี้เกียจพูด ไม่มีเหตุผลอื่นประกอบ

   "โอเคเลยยย นี่เชนไปไหนอะ ทำไมไม่มาด้วย"

   "ไปส่งชินาเรียนพิเศษ"

   "น้องมันเพิ่งอนุบาลเองนะ รีบเรียนไปไหน" อันนี้ผมรู้ว่าชินามีเรียนพิเศษในวันเสาร์ช่วงบ่าย เหมือนเป็นหลักสูตรเริ่มสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอะไรสักอย่าง น้องอยากไปเองบ้านเลยต้องยอม "เก่งมากเกินไปเดี๋ยวก็เหมือนพี่มัน"

   แสดงว่ารู้จักกันมากพอสมควรเลยล่ะ ผมฟังเธอเล่าว่าคณะที่เรียนอยู่มีงานใหญ่แบบที่หยุดเรียนทั้งสัปดาห์เลยตัดสินใจกลับเข้าเมืองในช่วงกลางเทอม แล้วก็ได้รู้ว่าเมื่อก่อนชินาเคยเรียนข้ามชั้นไปแล้วรอบหนึ่งแต่พ่อแม่ขอให้ย้ายกลับลงมาเพราะไม่อยากให้ลูกต้องอยู่ในสังคมที่กดดันมากเกินไป
   
   "แล้วนี่แฟร์รู้จักกับชาได้ไงอะ"

   "เรียนคณะเดียวกัน" บอกไปแค่นั้น ปกปิดเรื่องอื่นเอาไว้จนมิดชิด

   "ในที่สุดมันก็มีเพื่อนคนอื่นบ้างแล้วสินะ แฟร์รู้ใช่ไหมว่าตอนเข้าปีหนึ่งมาเพื่อนคนเดียวของมันคือเชน"

   "ไม่รู้" ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้ตามติดชีวิตธชาขนาดนั้นเสียหน่อย

   "เนี่ย ทำเป็นเท่ เพื่อนชาคนเดิมของกูไปไหน"

   เป็นผู้ฟังที่ดีโดยการตอบรับกลับไปบ้างบางครั้ง ปล่อยให้เธอได้เล่าเรื่องราวอย่างที่ต้องการ

   "แล้วนี่จะพาไปไหนบ้างอะ"

   "แค่ไปส่งบ้าน จะไปงานหนังสือกับแฟร์ต่อ"

   "อ้าว"

   "ก็ไหนบอกว่าจะมาสัปดาห์หน้า นี่ก็วางแผนไว้แล้ว"

   ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองตกลงที่จะไปงานหนังสือกับธชาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็คิดต่อไปว่าการค้านมันคงไม่ช่วยอะไรเหมือนทุกครั้ง ผมเลยแปลงกายจากมนุษย์เป็นอากาศเสียให้หมดเรื่อง พิงหัวกับกระจกเพื่อให้สะดวกต่อการเหม่อมองออกไปด้านนอก ฟังพวกเขาโต้ตอบกันไปมาสลับกับการเล่าความหลัง

   "อีกอย่างทั้งมึงแล้วก็เชนไม่ชอบอ่านหนังสือสักคน ลากไปก็น่ารำคาญเปล่าๆ"

   "ก็มันไม่มีตัวไหนที่ต้องเช็กชื่อนี่ โหย นี่นึกว่าจะได้กินข้าวเย็นฟรีแล้วนะ"

   "ไว้วันอื่นแล้วกัน จะได้ไปกับเชนด้วย"

   บ้านของทะเลพลอยอยู่ตั้งอยู่บนทำเลที่เรียกได้ว่าไม่ชานเมืองแต่ก็ยังสะดวกต่อการเดินทาง บ้านเดี่ยวหนึ่งในหลายหลังที่อยู่ติดกันยาวไปจนสุดถนนบอกว่าเธอคงเป็นลูกสาวของครอบครัวที่พร้อมในระดับหนึ่ง

   "ไว้เจอกันนะแฟร์"

   โบกมือลาคนที่ยืนอยู่นอกรถพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมส่งยิ้มเล็กๆ ให้เธอขณะที่ใจบอกว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

   "ผู้หญิงหยาบกร้านอย่างมึงแฟร์ไม่อยากเจอหรอก"

   "ชา!"

   "มีอย่างที่ไหนมาถึงก็พุ่งกอดผิดคน"

   "ธะ! ชา!"

   "เดี๋ยวคุยกับเชนเสร็จล่ะไลน์บอกว่าเจอกันวันไหน บาย"

   กล่าวคำร่ำลาพร้อมกับออกรถไปทันที กะพริบตาถี่ๆ นั่งประมวลผลอยู่สักพักถึงยื่นมือออกไปปิดหน้าต่างให้สนิท ผมยังตกใจกับวิธีการคุยกับเพื่อนที่เหมือนกับไล่ส่งอยู่เลย คือธชาพูดคำสุดท้ายจบแล้วก็เหยียบคันเร่งไม่เหลือช่องให้ทะเลพลอยได้ตกลงอะไร
   
   "ตกใจ?"

   อสูรก็ยังอ่านใจคนได้เหมือนเดิม "ไม่เคยเห็นใครปฏิบัติกับเพื่อนตัวเองอย่างนี้"

   เสียงเยาะท่ามกลางความเงียบบนรถมันน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว "ทะเลมันไม่คิดอะไรหรอก อย่างมากก็แค่ด่าในไลน์มาครึ่งร้อย"

   "เหรอ"

   "เหมือนมีคำถามอื่น"

   "ไม่มีนะ"

   "จะทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน มีคำถามอะไรก็ถามมา"

   ธชานี่เป็นคนเข้าใจอะไรยากไม่เคยเปลี่ยนเลย ตามจริงผมก็ยังมีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อทะเลพลอยอยู่แหละ ไม่เคยเห็นพวกเขาพูดถึงจนยังแปลกใจอยู่ถึงตอนนี้ แล้วถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทในขั้นที่รู้เรื่องของกันและกันเยอะขนาดนี้เธออาจช่วยบอกได้ว่า 'ความลับ' ของอสูรเป็นใครกัน

   หรือว่าเป็นตัวเธอเอง

   ยังจำสีหน้าและแววตาที่ใช้มองได้อยู่ ความเอ็นดูฉายออกมาชัดจนภาพลักษณ์ของผู้ชายแสนร้ายหายไปชั่วคราว เหลือเพียงธชาคนธรรมดาไร้พิษสงใดๆ

   "ไม่มี"

   แต่มันเป็นสิ่งที่ผมจะให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาดไง บางทีผมอาจต้องทำใจตีสนิทกับเธอหน่อย

   "ย้อนกลับมาเปลี่ยนคำตอบไม่ได้นะแฟร์"

   "อือ"

   "ตามใจ"

   คนอย่างเขายอมทำตามอย่างที่คนอื่นต้องการเป็นด้วยล่ะ

 

   ผมไม่ค่อยชอบงานหนังสือ

   ทั้งจำนวนคนเข้าร่วมแล้วก็ความคิดประหลาดส่วนตัวนิดหน่อย จะชอบไปซื้อตามร้านหนังสือหรือไม่ก็สั่งออนไลน์ให้มาส่งที่บ้านเลยมากกว่า ครั้งสุดท้ายที่เข้ามาเป็นนักชอปปิงก็สี่ปีที่แล้วมั้ง ตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กหัวเกรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลาย

   "มีบูธไหนอยากไปเป็นพิเศษไหม?"

   หันไปมองหน้าคนถามด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ คือช่วยระลึกหน่อยไหมว่าตัวเองไม่บอกแพลนอะไรของวันนี้สักอย่าง ลากผมไปรับทะเลพลอยแล้วยังดึงมาที่นี่ต่ออีก จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดว่าวันนี้จะมาซื้อหนังสืออะไรดี

   "ไม่มี"

   "งั้นเอาแผนที่ไปดู"

   แผ่นพับขนาดใหญ่ถูกส่งมาให้ถึงมือ รับมันแล้วก็ถืออยู่อย่างนั้นไม่เปิดไปดูเนื้อในอย่างที่เขาต้องการ

   "เราไม่ได้จะมาซื้อหนังสือ เราโดยนายลากมาด้วย"

   "ก็คิดว่าจะซื้ออะไรตอนนี้เลยสิ"

   "..."

   บ้าบอที่สุด ผมว่าตัวเองพูดชัดแล้วนะว่าไม่ได้อยากจะมาด้วยเลยสักนิด

   "ประเด็นคือนายบังคับเรามา"

   "แล้วไงล่ะ"

   เลยกลายเป็นว่าโดนลากให้เดินตามไปด้วยซะงั้น ผมรู้ว่าธชาอ่านหนังสือเยอะ แต่ก็เข้าใจว่ามันคงวนเวียนอยู่กับวงโคจรของการเรียน จำพวกหนังสืออ่านนอกเวลาหรือไม่ก็เสริมสร้างทักษะชีวิต พอเห็นเขาแวะเข้าไปในดงการ์ตูนแล้วกลับออกมาพร้อมกับตั้งหนังสือสูงเกือบสามส่วนสี่ของช่วงขาเลยประหลาดใจไม่น้อย

   "เดี๋ยวกลับมาเอานะครับ"

   และมันก็เยอะเสียจนลำบากต่อการหิ้วไปมา ธชาไล่ให้ฟังตั้งแต่เริ่มเดินแล้วว่าจะไปที่บูธไหนบ้าง ตอนแรกก็ตั้งใจฟังอยู่หรอกเพราะว่าอาจจะเป็นสำนักพิมพ์ที่ซื้อประจำ พอไล่ไปสักห้าหกชื่อผมก็ปล่อยให้เขาได้ทำอย่างที่ต้องการ

   คงเป็นการซื้อแบบไล่ไปตามประเภท เรากำลังมาหยุดอยู่ร้านสองที่ไกลออกไปอีกโซน เหมือนเดิมคือเขาก็เดินเข้าไปกวาดหนังสือบนชั้นลงตะกร้าทีเดียวหลายเล่ม ผมใช้คำถูกนะ อย่างที่ธชากำลังทำมันเกินคำว่าหยิบไปแล้ว

   "แฟร์เอาเรื่องนี้ไหม?"

   "หืม?" ระหว่างรอก็เดินเล่นไปรอบๆ ผมไม่ค่อยได้อ่านการ์ตูนเท่าไหร่ตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อแม่ไม่ได้ห้ามแต่ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงปล่อยให้ช่วงชีวิตแบบมีหมึกติดมือหายไป "เรื่องอะไร"
   
   ตอนแรกอยู่ห่างกันนิดหน่อยจนมองไม่เห็นหน้าปกชัด ผมเดินเข้าไปหาธชาผู้ถือแพ็กหนังสือลดราคาเอาไว้ในมือ พอเห็นรูปชายหนุ่มและหญิงสาวบนนั้นถึงนึกออกว่ามันมาจากไหน

   "ก็อ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ส่งมาให้"

   มันคือเรื่องฉบับรวมเล่มของหญิงสาวผู้เสียชีวิตในหอคอยอย่างเมทมาลีน คนญี่ปุ่นนี่ช่างจินตนาการเหลือเกิน

   "นี่จะได้อ่านทั้งเรื่องไง"

   "ไม่เป็นไร เราไม่ได้สนใจขนาดนั้น"

   "อ่านแบบออนไลน์ผิดกฎหมาย"

   "นายเป็นคนส่งมาให้เรา"

   "ก็เลยกำลังไถ่โทษอยู่"

   ปวดหัวกับการแก้ความผิดด้วยวิธีง่ายๆ ยกมือขึ้นมานวดข้างขมับหวังว่ามันจะช่วยลดอาการตึงๆ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

   "สรุปเอาเรื่องนี้นะแฟร์"

   นั่นคือประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถามอย่างที่ควรจะเป็น ผมได้แต่ผายมือออกให้เขาได้ทำอย่างที่ต้องการ ไม่คิดซ่อนใบหน้าที่เรียกได้ว่าหน่ายกับการต่อล้อต่อเถียงเต็มทน ไม่เคยสนใจความรู้สึกของผมอยู่แล้วนี่นา จะถามทำไมให้เสียเวลา

   "ถ้าอยากได้เรื่องไหนเพิ่มก็หยิบมา"

   "ไปจ่ายเงินเถอะ"

   คราวนี้ก็สูงเป็นตั้งไม่ต่างจากร้านแรก และผมก็อดตกใจกับตัวเลขแสดงราคาตรงแคชเชียร์ไม่ได้ จำได้ว่าสมัยก่อนเวลาผ่านร้านพวกนี้ราคาก็ไม่เกินสี่สิบบาท เดี๋ยวนี้แค่ไม่กี่เล่มก็ปาเข้าไปหลายร้อยแล้ว อีกหน่อยแบงก์สีแดงหนึ่งใบคงซื้อได้แค่เล่มเดียว

   ต่อจากนั้นก็เข้าสู่ส่วนของหนังสือต่างประเทศ ค่อยเข้ากับแนวการอ่านของผมหน่อย ถึงจะไม่ได้มีหนังสือที่ตั้งใจมาซื้อแต่แรกผมก็คิดว่าการเดินวนในนั้นหนึ่งรอบจะพาให้ได้พบกับสิ่งน่าอ่านสักเล่ม หนึ่งสถานที่ต้องคำสาปสำหรับผมคือร้านหนังสือนี่แหละ เข้าไปทีไรไม่เคยออกมาตัวเปล่า

   "จ่ายรวมนะ"

   เบ้ปากใส่คนช่างเปย์ "แยก"
   
   "รวมไปแล้วกัน" นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังหยิบหนังสือไปจากมือเลยอีกต่างหาก 

   สิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับธชาคือเขาเป็นคนอ่านหนังสือได้หลากหลายจนน่ากลัว การ์ตูน วรรณคดีต่างประเทศ นวนิยายโรแมนติก รวมไปถึงหนังสือกึ่งวิชาการที่เห็นแค่ชื่อเรื่องแล้วยังคิดว่าต้องอ่านยากมากแน่นอน ผมล่ะอยากจะรู้ว่าเขาใช้เวลาวางแผนในการซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องเก็บเงินขนาดไหนถึงเอามาผลาญได้เท่านี้

   จากนั้นผมก็ได้หนังสือสอนวิธีการเย็บสมุดในรูปแบบต่างๆ มาอีกเล่ม ไม่ค่อยเจอคนเขียนเลยคว้าเอาไว้ก่อน ได้แต่หวังว่าเนื้อหาข้างในจะน่าสนแปรผันตรงกับราคาที่เห็นแล้วแอบตกใจ

   "นั่งรออยู่ตรงนี้ก็ได้ จะไปซื้ออีกสองสามบูธ"

   "เดินไปด้วยได้" รู้ว่าถ้านั่งลงไปแล้วต้องแช่ยาวแน่ ตั้งแต่เหยียบส่วนของงานผมยังไม่ได้พักขาเลย เดินตะลอนตามธชาไม่มีหยุด

   "ของเยอะแล้ว"

   มองถุงพลาสติกจำนวนมากที่อยู่ในมือของเราสองคน ผมเองมีไม่กี่เล่มหรอกส่วนที่เหลือนั่นเป็นผลงานการจับจ่ายของเขาทั้งหมด นี่ยังไม่รวมกองการ์ตูนที่ยังไม่ได้ไปรับนะ แล้วไอ้สองสามบูธที่บอกนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีแค่สองสามเล่มด้วยสิ

   ถ้ารู้ตัวว่าจะซื้อเยอะอย่างนี้ก็น่าจะเตรียมรถเข็นมาอย่างที่หลายคนทำ หรือที่ให้ผมมาด้วยก็คือจะหลอกใช้แรงงานนะ

   สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่บอก ผมนั่งลงตรงพื้นที่ที่จัดเตรียมเอาไว้ ตามองหนังสือทั้งหมดพร้อมตั้งคำถามว่าต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการอ่านมันให้จบทั้งหมด แค่หนังสือเรียนผมยังไม่ค่อยอยากอ่าน นี่เขาต้องเป็นมนุษย์ผู้คลั่งไคล้หนังสือมากเลยล่ะ

   ควานหาของตัวเองออกมาหนึ่งเล่ม เป็นรวมเรื่องในเทพนิยายสมัยกรีกจากร้านขายหนังสือต่างประเทศ มันลดราคาอยู่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก็เลยหยิบมาแบบไม่คิดมาก

   ที่สะดุดตาส่วนแรกแน่นอนว่าไม่พ้นหัวข้อเรื่อง ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเทพนิยายสมัยกรีกมากเท่าไหร่ ก็พอพูดถึงแล้วมันก็จะนึกถึงทางยุโรปก่อนใช่ไหมล่ะ พอเห็นว่าเป็นเรื่องของประเทศที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนหน้านั้นเลยเกิดความสนใจขึ้นมา

   ชื่อเรื่องย่อยในเล่มมีทั้งแบบที่ทับศัพท์แล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ นึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้เลยเปิดอ่านจากด้านหลังสุดมาข้างหน้า เรื่อสุดท้ายมีตัวอักษรเรียงต่อกันไปเพียงแค่สองหน้าเท่านั้น

   เป็นเรื่องของนักเดินทางสองคนกับเจ้าหมีในป่า ระหว่างที่พวกเขากำลังท่องเที่ยวอยู่เจ้าสัตว์ตัวใหญ่ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า หนึ่งในนั้นเอาตัวรอดด้วยการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ อาศัยกิ่งก้านสาขาปิดบังตัวไว้โดยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเพื่อนสักนิด

   เมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย นักเดินทางที่ยังเสี่ยงอันตรายจึงแสร้งล้มตัวลงกับพื้น ปล่อยให้เจ้าหมีเข้ามาสำรวจรอบกาย มันทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตรงบริเวณใบหูของผู้สวมบทบาทเป็นบุคคลไร้วิญญาณอยู่สักพักก่อนจากไป

   พออันตรายผ่านพ้นไปแล้วนักเดินทางคนแรกจึงปีนลงมาจากต้นไม้ ยังมีอารมณ์ขันมากพอที่จะถามออกไปว่า 'เมื่อสักครู่เจ้าหมีกระซิบบอกอะไรหรือ'

   นักเดินทางคนที่สองจึงตอบกลับไปว่า 'อย่าเชื่อใจคนที่ทอดทิ้งเจ้าในยามลำบาก'

   "..."

   ผมปิดหนังสือลงแล้วกลับมาจ้องหน้าปกอีกครั้ง ชั่งใจว่าจะเอามันเก็บใส่กรุเอาไว้ตลอดกาลหรือว่าจะยังทดลองอ่านอีกสักเรื่องสองเรื่องก่อนดี ตัวเองน่ะจำไม่ค่อยได้หรอกว่าเคยอ่านเทพนิยายมามากเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้ามันจบอย่างนี้ก็น่าเบื่อเกินไปหน่อย

   "สนุกไหม?"

   "เรื่องนี้ไม่ แต่เรื่องอื่นไม่รู้" ส่ายหัวกลับไปให้ชายผู้กลับมาพร้อมกับถุงหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นส่วนประกอบการตัดสินใจผมเลยเล่าเรื่องย่อที่ลดอะไรไปได้ไม่เท่าไหร่ให้ฟัง "เรากำลังคิดว่าถ้าเรื่องนี้มีตัวละครแค่ตัวเดียว จะเป็นยังไงนะ"

   ถ้าเกิดมีนักเดินทางเพียงแค่คนเดียว มันก็คงกลายเป็นฮาวทูหนีตายจากหมี แล้วประโยคเด็ดเรื่องเพื่อนตายหายากคงไม่ปรากฎ

   "ไม่ได้สิ" ธชายืนกรานตามความคิดของตัวเองเสียงเข้ม "ต้องมีสองตัวละครนั่นแหละ มันถึงเป็นเรื่องที่สมบูรณ์ได้"

   "..."

   "ถ้ายังไม่อยากอ่านเรื่องอื่นงั้นเราขอก่อนนะ" แล้วก็คว้าเอาไปจากมือของผมเฉยเลย "ไม่สิ แลกกันดีกว่า"

   "หา?" นั่งทำหน้าเอ๋ออยู่หน้ากองถุงหนังสืออีกเกือบครึ่งนาที ส่วนธชารื้อถุงพลาสติกในมือ หยิบเอาหนังสือที่ยังซีลหน้าปกเอาไว้สามสองเล่มออกมาเรียงตรงหน้า

   "คราวก่อนให้แฟร์อ่านแล้ว สลับกันบ้างก็ดี"

   "..."

   "แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ"


***
   ใจเจ้าอยากได้เทพนิยายทางเอเชียมากๆ เลย น่าเสียดายที่ลองหาดูแล้วไม่ค่อยเจออันที่ตรงใจสักเท่าไหร่ นี่เป็นเทพนิยายขนาดสั้นที่สุดเท่าที่เจ้าอ่านมาค่ะ ส่วนตัวเจ้าชอบไปงานหนังสือมากนะคะ ถึงจะไปแล้วล้มละลายกลับมาเสมอก็เถอะ (ฮา)
   แวะเวียนมาติดแท็กหรือคุยกันได้นะคะ เจ้าเหงามากๆ เลยค่ะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสาม [19.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 20-01-2018 21:54:37
กราบขอโทษคุณเจ้าด้วยนะคะ ที่มีนักอ่านโง่ๆอย่างเรา แงงงง สิบสามแล้วอ่าา ทำไมยังเดาอะไรไม่ออกเลย นี้เราคงโง่เกินไปสินะ ลุ้นใจจะขาด ตอนจบคงมีพีคแน่ๆงานนี้ โอ๊ยยย มันเดายากอ่ะ โง่เองสินะ แงงงง ตอนนี้รู้สึกเริ่มไม่ค่อยชอบชาแล้วอ่ะ ชาชอบบังคับแฟร์อยู่เรื่อยเลย เราเองก็เป็นพวกไม่ชอบให้ใครบังคับ พอเจออบบนี้มันก็จะมีอาการเอือมๆนิดหน่อย555 รอคุณเจ้าเฉลยปมนะคะ ปมเยอะ แงงง แก้เองไม่เป็นนน :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสาม [19.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 22-01-2018 11:42:36
ถึงตอนที่ 13 แล้วก็ยังเดาอะไรลึกซึ้งไม่ได้เลย อยากบอกคุณเจ้าว่าตามอ่านอยู่นะคะ พอดีช่วงปีใหม่ยุ่งมากๆ มาอีกทีก็ถึงตอนที่สิบสามแล้ว (แต่ก็ยังเป็นนักอ่านที่เดาอะไรไม่ออกเหมือนเดิม) กำลังคิดว่าแฟร์น่าจะหน้าตาเหมือนคนในอดีตของธชาหรือเปล่า? แต่อ่านแล้วเราก็ยังสงสัยความรู้สึกที่แฟร์มีให้ แฟร์เหมือนจะรู้สึก แต่ก็เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย อันนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน :hao5:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสี่ [22.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-01-2018 20:04:43
เรื่องเล่าที่สิบสี่


   โอ๋เจ้านกสีฟ้าเอ๋ย ข้าจะเฝ้าคอยเจ้าอยู่ตรงนี้
   - The Blue Bird


 
   ทะเลพลอยเกิดที่กรุงเทพ พ่อแม่เป็นคนใต้ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงเพื่อแสวงหาความศิวิไลซ์

   ไม่มีพี่น้อง มีเพื่อนสนิทชื่อธชาแล้วก็เชนินทร์ แต่ช่วงมัธยมปลายไม่ได้อยู่ด้วยกันมากเพราะว่าเธอเลือกเรียนห้องกิฟต์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว ตอนแรกตั้งใจว่าจะเรียนต่อในกรุงเทพฯ แต่เกิดอินดี้อยากไปอยู่ไกลๆ พ่อแม่เลยเลือกแอดในมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ แล้วก็ได้อย่างที่ต้องการ

   กำลังเรียนอยู่ในคณะที่ให้อารมณ์วิศวกรรมศาสตร์ผสมกับชีววิทยา เลือกเรียนเพราะชอบทั้งฟิสิกส์แล้วก็ชีวะ การเรียนอยู่ในระดับปานกลางไม่ได้เด่นอะไร กิจกรรมทำบ้างตามโอกาสแล้วก็อารมณ์อยากมีส่วนร่วม เกือบได้เป็นหลีดคณะแต่ว่าดันไปมีปัญหากับตารางซ้อมมหาโหดเลยออกมากลางคัน

   "และที่สำคัญ...โสดสนิทจ้า"

   ผมเพิ่มเติมข้อมูลสุดท้ายลงไปในบันทึกการจำ หลังจากที่ต้องนั่งฟังเธอเล่าเรื่องของตัวเองมาพักใหญ่ วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่โดนลากออกมานั่งอยู่ในคาเฟ่แบบเบลอๆ เห็นธชาบอกว่าพลอยอยากเจอผมอีกครั้งเลยต้องพามาหา ส่วนตัวเองไปทำธุระอย่างอื่นต่อ

   อสูรที่ว่าแน่ยังแพ้ผู้หญิงชื่อทะเลพลอย

   "ฟังเรามาตั้งนาน ไหนแฟร์เล่าเรื่องตัวเองบ้างสิ"

   "..."

   คือยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ว่าเอาเวลาในวันหยุดมาทิ้งไว้ตรงนี้ได้ยังไง แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าต้องมาเล่าประวัติของตัวเองให้คนที่เพิ่งเคยเจอหน้าครั้งที่สองฟังด้วย

   "จบจากไหนเหรอ แล้วทำไมเจอชาได้"

   พอไม่ตอบก็โดนคำถามใหม่ ผมไม่ค่อยชอบที่ต้องกลายมาเป็นผู้ต้องหาให้เจ้าพนักงานสอบสวน ถ้าไม่ติดว่าการเข้าใกล้เธออาจช่วยให้รู้เรื่องของธชามากขึ้นวันนี้ผมคงไม่ยอมออกจากบ้าน

   ผมยังไม่รู้ว่าใครคือคนที่อยู่ในกล่องความลับของอสูร

   "จบจาก... พอดีเทอมนี้ต้องทำรายงานด้วยกัน"

   "โหยไกลจากโรงเรียนเราจัง"

   ก็อยากบอกว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯ มันมีมากเสียจนไม่น่าแปลกใจที่เราเรียนต่างสถาบัน

   “แต่ก็เดินทางไม่ได้ยากอะไร" ลูกพี่ลูกน้องของผมเรียนที่นั่นจนจบมัธยมต้น

   "ลืมถามเลยว่าแฟร์โอเคไหมที่ต้องมาหาเรา"

   นั่นเป็นสิ่งแรกที่ควรจะถามไม่ใช่หรือไงกัน ผมเก็บอาการเบื่อหน่ายเอาไว้ข้างในจนมิดชิด ตอบสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกออกไป

   "เราโอเค"

   "ดีจัง กลัวว่าจะโดนเกลียดแล้ว"

   ความสดใสของเธอแตกต่างจากเพื่อนที่เหลืออีกสองคนจนเห็นได้ชัด ทะเลพลอยเป็นคนจำพวกที่ร่าเริงคิดบวกอยู่ตลอดเวลาจนบรรยากาศรอบข้างดูสดใสไปด้วย พูดเก่ง ยิ้มง่าย แล้วก็รู้จังหวะว่าเรื่องไหนควรพูดแล้วสิ่งไหนควรเก็บเอาไว้ก่อน

   ยังหาความเชื่อมโยงของทั้งสามคนไม่ค่อยได้เลยแฮะ

   "เกลียดทำไมล่ะ"

   "เป็นโรคจิตกลัวไปหมดน่ะ" เธอหัวเราะคิกคักพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเช็กอะไรบางอย่าง "อยู่กับสองคนนั้นนานๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยปกติ"

   เอียงคอไปข้างหนึ่งแทนการแสดงออกเสริม "นี่ก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นเหมือนกัน"

   "ใช่ไหมล่ะ!"

   "คนหนึ่งก็เอาแต่ใจ อีกคนก็เหมือนวางแผนอะไรเอาไว้อยู่ตลอด"

   "...นี่แฟร์เพิ่งรู้จักกับชาแน่นะ?"

   ชะงักค้างไปชั่วขณะเมื่อน้ำเสียงติดร่าเริงปรับโหมดจริงจังในหนึ่งประโยค "ทำไมเหรอ"

   "เปล่า ก็แค่แปลกใจ ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครมองสองคนนั้นออก" ยกไหล่มองบน เล่าเรื่องอื่นออกมาเสริมอีก "คนอื่นรู้ว่าชาตอนนี้เป็นแบบไหน แต่ไม่ค่อยมีใครอ่านเชนออก"

   "สงสัยอยู่ด้วยกันมากไปหน่อย"

   ทะเลพลอยเป็นคนบอกว่าอยากจะมาหาที่นั่งชิล เพราะว่ารอบข้างมหาวิทยาลัยไม่มีร้านพวกนี้ได้ให้ได้เอนจอยบ้าง การกลับเข้ามาเป็นเด็กกรุงเทพฯ เลยโหยหาฟิลลิ่งเดิมๆ เป็นพิเศษ เธอยังแขวะตัวเองอยู่เลยว่าทำตัวฮิปสเตอร์ไม่รู้จักเวลา พอได้ไปอยู่ในหอกลางป่าเลยเข้าใจว่าตัวเองคิดผิดมหันต์

   พอเครื่องดื่มและของหวานมาถึงสิ่งแรกที่เธอทำก็คือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บเอาไว้หลายมุม มีการบอกให้ผมขยับออกไปจากขอบจอด้วย หลังจากนั้นก็ยื่นมาให้ผมช่วยถ่ายเธอกับของตรงหน้า

   "เชนน่ะร้ายกาจ" บทสนทนาระหว่างลงมือรับประทานคือการนินทาคนที่ไม่อยู่ ขนาดเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมยังพูดอย่างนี้เลย คิดดูสิ
   
   "มากเลยล่ะ"

   "แต่เป็นเพื่อนที่ดีนะ"

   "นั่นหมายถึงว่าอย่าเปรี้ยวทำตัวเป็นศัตรูหรือเปล่า"

   แก้วทรงสวยบรรจุชาเย็นเอาไว้ละลายเสียจนต้องคนหลอดให้มันเข้ากันอีกครั้ง ผมไม่ค่อยเข้าใจสไตล์การใช้ชีวิตของคนกรุงสมัยนี้หรอกนะ ประเภทที่หาร้านคาเฟ่สวยๆ มานั่งถ่ายรูปแต่ไม่ได้สนใจรสชาติของสินค้า อย่างแก้วนี้ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากแบบกล่องในเซเว่นตรงไหน

   รู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่ได้รู้จักกับธชา ผมรู้สึกว่าบางอย่างของเราคล้ายกันจนไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะเล่าบางเรื่องออกไป

   "จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด" มือข้างหนึ่งของเธอยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้า เส้นผมหยักเป็นลอนสวยแบบไม่ต้องแต่งเติมขยับไปตามการจัด "ไม่ต้องรู้จักสองคนนั้นน่ะดีที่สุดแล้ว"

   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะบอกตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน

   "ก็...นะ"

   "แฟร์อยากนั่งต่อไหม?"

   "แล้วแต่สะดวก เราไม่อะไรอยู่แล้ว"

   ถ้าคิดอยากจะเรียกให้มาหาเมื่อไหร่ก็ทำแล้วไม่ต้องสนหรอกว่าผมจะอยากนั่งจุ้มปุ้กต่อหรือว่าออกไปไหน

   "งั้นไปเที่ยวกันต่อเลยเนอะ"



   โคตรเข้าไม่ถึงผู้หญิงสไตล์ทะเลพลอย

   ทำใจเอาไว้แล้วที่บอกว่าไปเที่ยวคงหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้าหรือไม่ก็แหล่งชอปปิงอะไรทำนองนั้น พอเห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้ากองจักรยานสำหรับเช่าเต็มวันโดยมีภาพพื้นหลังเป็นไวนิลเขียนเอาไว้ว่าแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติเลยปรับตัวไม่ทัน

   แถมการเดินทางมานี่ก็ไม่ได้ใช้แท็กซี่ด้วยนะ โทรไปถามเบอร์ขนส่งมวลชนว่ารถเมล์สายไหนบ้างที่จะพาเราไปถึงจุดหมายได้ สองทอดตามด้วยเรือข้ามฟาก เธอดูเอนจอยกับการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเร่งรีบ รถติดก็ช่าง ไปถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นอะไร

   "แฟร์ เลือกแบบไหนดี" เพื่อนสามคนมีหนึ่งอย่างที่เหมือนกันคือชอบหันกลับมาถามความคิดเห็น "เอาสีเทาเหมือนของเราแล้วกันเนอะ"

   แล้วก็ตัดสินใจเอาเองอยู่ดี

   "ปั่นจักรยานไม่ค่อยเก่ง"

   "ตลกล่ะ เด็กยุคไหนกัน"

   "ก็ยุคปัจจุบันนี่แหละ"

   เคยหัดขี่จักรยานแล้วทำล้มตอนสมัยอนุบาล เลยกลายเป็นฝันร้ายฝังใจที่ก้าวข้ามไปไม่ค่อยได้สักที พอเริ่มฝืนตัวเองได้ก็จะต้องมีเรื่องให้กลับไปกลัวได้ตลอด

   "แล้วจะรอดไหม นี่ต้องปั่นจักรยานตลอดทางเลยนะ"

   "ถ้าไม่รอดก็ต้องรับผิดชอบพาเรากลับออกมา"

   "ได้ เดี๋ยวโบ้ยให้ชาดูแลแทน"

   หน้าผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เธอเลยอธิบายต่อ "ชาทำธุระเสร็จแล้ว กำลังตามมา"
         
   "อ้อ..."

   ในหนึ่งสัปดาห์ผมชักจะเจอหน้าพวกเขามากเกินไปแล้ว แค่ต้องเห็นตอนวันธรรมดาก็เบื่อเกินพอ นี่วันหยุดก็ยังตามมาหลอกหลอนได้อีก

   พอแลกบัตรอะไรเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทาง อีกคนดูเตรียมพร้อมมากกว่าทั้งหมวกแล้วก็เสื้อแขนยาวลายสก็อตตัวนอก ส่วนผมเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่เหมือนออกมาซื้อของหน้าปากซอยเท่านั้น ภาวนาให้ไม่มีแดดมากตอนนี้จะทันไหม

   "อยากแวะตรงไหนบอกเลยนะ"

   "ถ้าอยากกลับบ้านต้องบอกตอนไหนเหรอ"

   ผมคิดไว้ว่าคงได้เห็นหน้าไม่พอใจของทะเลพลอยแล้วแน่ กลับกลายเป็นว่าผมเห็นเพียงรอยยิ้มหวานซ่อนบางสิ่งกลับมา

   "บอกตอนไหนก็ไม่ให้กลับหรอก"

   นี่ไง ผมเจอสิ่งที่เพื่อนสามคนนี้เหมือนกันแล้ว

   จากจุดเช่าจักรยานผมปล่อยให้เธอได้ครอบครองแผนที่การเดินทางเอาไว้เอง อยากจะไปตรงไหนอะไรยังไงก็ตามใจเลย ผมจะเป็นลูกเป็ดที่เดินตามแม่เป็ดต้อยๆ ไม่หืออืออะไรทั้งนั้น

   "งั้นไปตลาดก่อนเลยนะ จะได้ย่อยแล้วก็รอพวกนั้นนานๆ"

   "ไปตรงนั้นคงได้เพิ่มมากกว่าย่อย"

   "คิก เอาน่า"

   ผมเริ่มปั่นจักรยานตามเธอไปแบบทุลักทุเลไม่น้อย ความรู้สึกแรกที่ต้องเหยียบขึ้นไปอยู่บนยานพาหนะสองล้อคือความกลัวปนไปกับความระแวง มันก็เป็นอย่างนี้แหละนะชีวิต คนที่กลัวจนไม่รู้ว่าการเริ่มต้นใหม่มันจะดีหรือร้ายกว่าเดิม

   ทางคอนกรีตบอกว่ามันคงเป็นสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการไม่น้อย ด้านข้างเต็มไปด้วยบ้านที่ดัดแปลงส่วนด้านหน้าให้กลายเป็นร้านค้าจำพวกอาหารรูปแบบต่างๆ ผมลัดเลาะตามเธอไปจนถึงส่วนของตลาดน้ำ จอดจักรยานเอาไว้แถวนั้นไม่ให้รบกวนคนอื่น

   จำนวนนักท่องเที่ยวเท่าที่ประเมินด้วยสายตามากเสียจนผมชักรู้สึกผิดที่ยอมตามเธอมา

   "เปลี่ยนไปเยอะเลยแฮะ..."

   "เคยมา?"

   "อืม แต่ก็หลายปีแล้วล่ะ"

   เราเดินคู่กันไปเรื่อยๆ มองของขายที่ละลานตาทั้งซ้ายขวา ฟังเธอเล่าว่าเมื่อก่อนกับสมัยนี้มีตรงไหนที่แตกต่างกันบ้าง ของขายที่เปลี่ยนไปเป็นสัจธรรมของโลก ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เคยขายอยู่ในเรือก็ขึ้นมาอยู่บนบกเสียหมด สินค้าที่เคยเป็นแบบ 'ชาวบ้าน' ก็กลายเป็นของเหมาะกับคนเมือง
   
   "ตอนแรกว่าจะแวะกินสักหน่อย หมดอารมณ์เลย"

   คนอยากมาสัมผัสวิถีชาวบ้านบ่นระหว่างที่เราสองคนกำลังซื้อไอติมหลอด "ทางเข้ายังเดินง่ายๆ ข้างในนี่เบียดแล้วเบียดอีก"

   "มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละ" ผมรับแท่งน้ำแข็งสีขาวของตัวเองมาถือไว้ แล้วส่งแท่งสีเขียวกับแดงให้เธอ "เหมือนถ้าเราไม่รีบกินมันก็จะละลายแล้ว"

   ไม่อยากเชื่อเลยว่าความร้อนบนโลกใบนี้มันจะมากถึงขนาดที่ผมเพิ่งรับมันมาถือได้ไม่นานก็สัมผัสได้แล้วว่าโครงสร้างของสสารเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิ รีบยัดมันเข้าปากให้ไปละลายข้างในก่อนที่เสียของ

   "เหมือนได้คำคมเอาไปลงไอจีวันนี้เลย"

   "หาภาพที่เชื่อมโยงกับแคปชันให้ได้แล้วกัน"

   "ไม่เห็นยาก"

   หน้าจอโทรศัพท์สีดำสนิทของเธอเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าอย่างรวดเร็ว ผมกดหน้าลงอัตโนมัติเมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองไปโผล่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ผมไม่ชอบการถ่ายรูปเลยล่ะ...

   "เงยหน้าเร็ว จะส่งไปอวดสองคนนั้น"

   "ไม่ล่ะ"

   "แฟร์ มองกล้อง"

   หรือว่าพวกเขาต้องอยู่กันแบบนั้นจนมองว่าการมีคนอย่างผมเข้ามาคือการเติมเต็มกันนะ คือถ้ามีแต่คนชอบบังคับมันก็จะไม่มีคนถูกบังคับไง

   ยังดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยกมือขึ้นสองนิ้วแทนสิ่งที่เธอต้องการ รออีกสักพักจึงแอบชำเลืองมองว่าคนข้างตัววางเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงหรือยัง เมื่อเห็นว่าทะเลพลอยกำลังก้มหน้ามองรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จแล้วจึงเลิกทำตัวเป็นเด็กก้มหน้าเก็บเศษเหรียญ

   "รูปไหนดีกว่า?"

   ทำตัวตามอารมณ์ไม่ค่อยทันเท่าไหร่ ผมว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจของเธอไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

   รูปที่ให้เลือกแทบไม่มีความแตกต่าง ผมก้มหน้าชูมือเป็นสัญลักษณ์ตัววีเหมือนกัน ส่วนใบหน้าของเธอรูปที่สองยิ้มกว้างกว่ารูปแรก ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าไม่มีอะไรโดดเด่นออกมาเลย ผมเลยทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจกลับไปให้ คือต้องการให้ตอบแบบไหนเหรอ

   "เราว่ามันแทบไม่ต่างกัน"

   "ฮื่อ แฟร์ตอบผิดคำถามนะ เราถามว่ารูปไหนดีกว่าไม่ใช่รูปต่างกันไหม"

   "ก็มันไม่ต่าง เราเลยบอกไม่ได้ว่ารูปไหนดีกว่าไง"

   "คุยกับแฟร์แล้วเหมือนมีภาพชาทับเลย นี่เล่นไอจีปะ เดี๋ยวเราแท็กไป"

   "ไม่เล่น"

   "แฟร์นี่แปลกดี" ทะเลพลอยแยกประสาทเก่งเหมือนกัน คุยกับผมไปพร้อมกับจิ้มหน้าจอได้ด้วย "โห ชามาไลก์เร็วเหมือนเดิมเลย"

   ผมไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเธอลงรูปไหนไปบ้างเพราะมันก็คล้ายกันไปหมด หนึ่งสิ่งที่เข้าไม่ค่อยถึงคือศิลปะในการลงรูปนี่แหละ เชนเองก็เคยเอารูปของชินามาให้ผมเลือกเหมือนกัน

   "เราไม่แปลกนะ"

   "ไม่เคยมีใครบอกว่าตัวเองแปลกหรอก ใช่ไหมล่ะ"

   "น่าจะเป็นอย่างนั้น"

   "แล้วที่ไปงานหนังสือมาเป็นไงบ้าง เราไม่เห็นชอบหนังสือที่มีแต่ตัวอักษรเป็นพรืดอย่างนั้นเลย"

   ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่เวลาได้ยินอะไรอย่างนั้นออกจากปากของเด็กเรียนทางสายวิทยาศาสตร์ เหมือนชินไปแล้วมั้ง

   "ก็ดี ได้ที่น่าสนใจมาหลายเล่มอยู่"

   "แล้วเรื่องที่แลกอ่านกับชาเป็นไง สนุกไหม"

   คุมอาการไม่ให้แสดงออกเกินพอดี ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนี้ด้วยล่ะ "เพิ่งเริ่มอ่าน บอกไม่ได้"

   "แต่เหมือนชาจะอ่านเล่มของแฟร์ใกล้จบแล้วมั้ง เราเห็นเอาไว้ติดตัวตลอดเลย เมื่อเช้าก็อยู่ในรถ"

   หลังจากงานหนังสือแล้วธชาไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับผมเท่าไหร่ บอกว่าต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีให้ทะเลพลอยนี่แหละ ขับรถไปรับส่งแล้วก็อยู่ด้วยกันตามประสาเพื่อนสนิทกันมานาน

   "ดี จะได้เอาคืน"

   "แล้วแลกเล่มไหนของชาไปเหรอ"
     
   "หนังสือทั่วไป อธิบายไม่ค่อยถูก"

   เล่มที่ผมแลกมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กึ่งเรื่องเล่า เอาเกร็ดความรู้ต่างๆ ในวรรณกรรมหลายชาติมาหาข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงวิเคราะห์ความถูกต้องของมัน บางเรื่องที่เคยเข้าใจอย่างหนึ่งมาโดยตลอดพอมาเปิดอ่านจากเล่มนี้แล้วพบว่ามันเป็นหนังคนละม้วนก็มี

   "ชาก็เคยแลกกับเรา" ใจกระตุกไปนิดหน่อยเมื่อได้ค้นพบว่าการกระทำของเขามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร "แต่ทุกวันนี้ยังไม่เอาไปคืนเลยอะ เป็นหนังสือภาพสีหลายพันอยู่"

   "เป็นคนดีจังนะ"

   เลยเผลอประชดออกไปไม่รู้ตัว

   "ชาเป็นเพื่อนที่ดี เราเคยบินมาถึงนี่ตีสามก็ขับมารับไม่มีบ่นสักนิด"

   ถึงมันจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันก่อนหน้าเท่าไหร่ผมก็ไม่อยากขัด ปล่อยให้เธอได้เล่าเรื่องในขณะที่ใจก็อยากจะเสริมว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สร้างความเดือดร้อนให้ตลอด

   "ที่บ้านชาชอบอ่านหนังสือทุกคนเลย พ่อเป็นนักเขียนด้วย"

   ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธชามากนักหรอก รู้อยู่แค่ไม่กี่เรื่องแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสักนิด พ่อเป็นนักเขียนนี่เอง ไม่อย่างนั้นแล้วคงมีผู้ชายไม่กี่คนที่เลือกเรียนในคณะอักษรศาสตร์ได้โดยไม่โดนคำห้ามจากทางบ้าน

   "ถ้าแฟร์ชอบอ่านหนังสือนะ ต้องชอบบ้านของชามากแน่เลย"

   "อ่า...เราเคยไปแต่คอนโด"

   เพราะไม่มั่นใจกับคำว่า 'บ้าน' ที่เธอใช้เลยต้องระบุรายละเอียดให้มากขึ้นอีกหน่อย 

   "อ้อ! นี่หมายถึงบ้านเลย ที่บ้านคือมีห้องกว้างๆ อุทิศให้หนังสือโดยเฉพาะอะ แต่ก็ยังไม่พอจนต้องไปซื้อห้องแถวเมืองทองเอาไว้ใช้เก็บหนังสือ"

   ถึงกับต้องซื้อห้องเอาไว้เพื่อเก็บหนังสือโดยเฉพาะนี่ต้องมีจำนวนมหาศาลขนาดไหนกันเชียว แต่ก็พูดไม่ได้หรอกนะ กองการ์ตูนวันนั้นวันเดียวยังสูงจนน่ากลัว ที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามากกว่ากี่สิบเท่า ยังไม่รวมกับหนังสืออื่นอีก

   "ก็ดีนะ บ้านเรามีแต่ตู้ที่เต็มแล้ว"

   เรื่องเศร้าที่สุดของผมคือการมีหนังสือแต่ว่าไม่มีชั้นวางให้มันอยู่ คุณแม่เคยลากผมไปงานขายเฟอร์นิเจอร์แล้วก็ให้ผมเลือกตู้อย่างที่ชอบ นึกว่าจะได้เอามาวางกองเล่มกระดาษของตัวเองแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ได้ส่วนแบ่งมาแค่หนึ่งในสามจากทั้งหมด จัดเข้าไปไม่เท่าไหร่ก็ไม่มีพื้นที่เพิ่มแล้ว

   เข้าใจคำว่าความผิดหวังขึ้นมาทันทีเลย

   

   ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีใจกับการได้เจอธชาแล้วก็เชนินทร์เท่านี้มาก่อน

   หลังจากต้องอยู่ติดกับเธอในสภาพที่เรียกว่าเกือบตัวติดกันเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าโดยที่ไม่มีช่องว่างให้ผมได้แอบถามถึงเรื่องที่ค้างคาข้างใน ทะเลพลอยไม่เหมือนอย่างที่ผมประเมินเอาไว้ล่วงหน้า เธอผสมกันจนผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่พวกเขาสามคนจะอยู่ด้วยกันมานาน

   "ดีจ้าเลพลอย"

   "เพื่อนชั่ว ไม่คิดจะมาหากูบ้าง"

   "มึงก็ไปบอกให้ชินาเลิกติดกูสิ"

   มาถึงก็โล้งเล้งใส่กันไม่มีหยุด ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

   "กวนประสาท"

   "แล้วจะไปที่ไหนต่อ?"

   "จะปั่นเข้าไปในสวน นี่ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดจะชิ่งเข้าไปกับแฟร์สองคนแล้ว"

   เส้นทางเดิมของเราคือจะปั่นจักรยานเข้าไปในสวนที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ในการเดินทางของวันนี้ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นปอดของคนกรุง ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นสถานที่นี้ผ่านตามาก่อนหรือไม่ พลอยเลยเปิดภาพที่ถ่ายข้างในให้ผมดูประกอบระหว่างรอเขาสองคนซื้อน้ำดื่ม

   "ชามะนาว จ่ายให้ด้วย ขอบคุณ"

   ทั้งประโยคใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำไป ผมยืนมองป้ายเมนูเครื่องดื่มด้านหลังเคาท์เตอร์สั่งของค้างอยู่ตอนที่ได้ยินเสียงทะเลพลอยสั่ง ก็พอบอกว่าจะเริ่มปั่นจักรยานต่อแล้วคนมาใหม่สองคนก็ออกอาการงอแงไม่ยอมทำตามเพราะดันไปจอดรถจักรยานเอาไว้อีกฝั่งเลยต้องปั่นย้อนกลับมาเป็นระยะทางพอสมควร

   "เอาอะไรดีแฟร์"

   "...น้ำเปล่าก็ได้"

   "ฮื่อ กินอะไรที่มันหวานหน่อยสิ เราต้องเดินทางต่ออีกนะ"

   "เราโอเค ไม่เป็นไร" ที่จริงแล้วทิ้งผมเอาไว้ที่นี่แล้วค่อยแวะมารับเลยก็ยังได้ ร้านกาแฟดีไซน์สวยอยู่ติดริมแม่น้ำ ออกแบบให้มองออกไปเห็นทิวทัศน์ของอีกฟากของแม่น้ำได้ชัดเจน คิดว่าเหม่อได้นานอยู่ "เอาตามนั้นแหละ"

   "ส่วนแฟร์เอาเหมือนกันนะ จ่ายให้ด้วย ขอบคุณ"

   ย้อนกลับไปแล้วก็ยังหาไม่เจอว่าตัวเองหลุดปากพูดว่าชามะนาวออกมาตอนไหน ผมขยับปากบอกคนถือกระเป๋าเงินอย่างธชาแบบไม่มีเสียงว่าเดี๋ยวจะจ่ายคืนให้ แต่เขาคงไม่เห็นเพราะว่ากำลังคุยเรื่องอื่นกับพลอยอยู่

   เพื่อไม่ให้เกะกะลูกค้ารายอื่นผมกับผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเลยเดินออกมาหาที่ว่างยืนรอ ไม่เน้นทำเลดีเท่าไหร่ เอาให้ไม่ให้รบกวนคนอื่นแล้วจะได้เดินทางต่อตามแผนที่วางเอาไว้ก็พอแล้ว

   "วันนี้เลยได้เข้าร้านกาแฟสองรอบเลย" พอเธอบอกอย่างนั้นก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าผมก็เพิ่งนั่งเล่นอยู่ในร้านประมาณนี้เหมือนกัน

   "จะได้เว้นช่วงไม่ต้องเข้าอีกสักพักไง"

   ร้านนั่งดื่มไม่ใช่สไตล์การพักผ่อนของผมอยู่แล้ว สู้เปิดแอร์อยู่แล้วพร้อมกับหนังสือสักเล่มค่าไฟที่ต้องเสียอาจน้อยกว่าค่าเครื่องดื่มหนึ่งแก้วเสียอีก

   "ไม่ เข้าเมืองทั้งทีต้องเอาให้คุ้มสิ" ต้นประโยคที่ลงท้ายเสียงหนักอย่างนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ที่รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดจนถึงทุกวันนี้ก็เรื่องเลือกเรียนนอกเมืองนี่แหละ"

   "ถึงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ยกเว้นว่าจะไปเปิดแฟรนไชส์ที่นู่น"

   "เคยคิดนะ แต่นึกไปมาคิดว่าลูกค้าคงมีแต่เราคนเดียวอะ"

   "ลากสองคนนั้นเป็นไปลูกค้าประจำสิ"

   "โอย อย่างชาคงไปนั่งทำหน้าไม่รับแขกให้ลูกค้าหนี ส่วนเชนนี่ก็คงตอดของกินฟรีจนขาดทุนย่อยยับ"

   ส่วนตัวแล้วผมขอบเวลาเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขาสองคนนะ มันมีความน่าติดตามตามแบบฉบับของเพื่อนสนิทสายอินไซด์ดี

   เป็นผู้ฟังที่ดีต่ออีกสักพักธชากับเชนก็ออกมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ อสูรตัวร้ายยื่นชามะนาวที่มีชิ้นเนื้อฝานอยู่ส่งไปให้คนสั่ง

   "ฉิบ ลืมบอกว่าไม่เอาหวาน"

   "สั่งให้แล้ว"

   "ดีมากเพื่อนรัก นี่สิที่เรียกว่ารู้ใจ" ตบบ่าปุๆ เสริม ผมเผลอมองพวกเขาหยอกล้อกันไปมาจนลืมให้ความสนใจว่าเครื่องดื่มในมือรสชาติเป็นอย่างไร

   ไม่รู้สิ

   มันเป็นความคิดที่เรียกว่าไร้สาระ และผมก็ควรเก็บ 'ความอิจฉา' นั้นเอาไว้คนเดียว


***
   ตอนนี้เต็มจนหาที่ใส่เทพนิยายลงไปไม่ได้เลยค่ะ ช่วงนี้ฟ้าครึ้มแต่ฝนก็ไม่ตก อย่างน้อยก็อยากให้อากาศเย็นขึ้นหน่อยจัง
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสี่ [22.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 22-01-2018 21:47:22
  เราอยากหาอ่านตามเลยค่ะในแต่ละเรื่องที่หยิบยกมา เราชอบอ่านสายสีดำก่อนที่จะถูกดัดแปลงมาเป็นสีชมพูดิสนีย์ เทพนิยายในอุดมคติกับชีวิตจริงมันสวนทางกันมาก มันสอนเราจากเหตุและผลของความจริง ไม่ต้องประโลมใจแบบเพ้อๆ
  จนถึงตอนนี้เราก็ยังผูกเรื่องในใจไม่ได้เลย ถึงแม้คุณเจ้าจะทิ้งจิ๊กซอว์อะไรไว้ก็ตาม เราไม่สามารถหาจุดเรื่มต้นของทั้งคู่ได้ว่าเกิดจากอะไร ทำไมต้องให้นม หรือว่าแฟร์เกี่ยวพันกับคนที่ธชาไม่ลืมในขั้นที่ลึกซึ้งกว่าแค่มีบางอย่างเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นแฟร์เองที่เป็นคนที่ธชาไม่ลืม แต่แฟร์เป็นคนลืมเอง เดาสุ่มมากกกก แต่ก็สนุกมากกกกเช่นกัน

  เราชอบน้องชินามาก ต้องเลี้ยงยังไงถึงจะรู้ความขนาดนี้ เราชอบสิ่งที่ธชาสอนน้อง ชอบเหตุและผลการที่ไม่บอกฝันดี แต่บอกว่าเราจะเจอกัน ไม่ว่าจะฝันดีหรือร้ายแต่เราจะเจอกันวันพรุ่งนี้ เราชอบวิธีการใส่รายละเอียดตัวละครของคุณเจ้า แบบแต่ละคนเหมือนมีสโลแกนประจำตัวเป็น "อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักคำ" ติดตามอยู่นะคะ อาจช้าไปบ้างแต่เรายังอยู่นะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสี่ [22.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 22-01-2018 23:14:50
จริงๆ ขัดใจชาที่ชอบบังคับแฟร์มาสักพักแล้ว
และมาเป็นเดอะแก๊งขัดใจยิ่งทำให้เราขัดใจ แบบฮึ่ยยยย :katai1:
เพราะเราก็ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยชอบให้ใครจู่ๆ ก็มาลากออกถ้ำไป 5555
อยากลากแฟร์ออกมาจริงๆ 555555

ไม่รู้ว่าที่เดอะแก๊งชอบบังคับแฟร์มีความนัยอะไรมั้ย
แต่จนตอนนี้ก็ยังงงๆ อยู่ดีด้วยความโง่ 555555

เหมือนเรื่องที่พลอยเล่ามันมีซัมติงบางอย่าง
หรือไม่ก็เพราะพลอย เลยทำให้แฟร์เกิดความรู้สึกตะงิดใจ

ยังไงก็ตามอยากรู้ปมเฉลยแล้ววว อึดอัดเหลือเกินนนน
อึดอัดแทนแฟร์ที่รู้ว่ามันมีอะไรแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรรร  :katai1:

ปล. ชอบเรื่องดอกกุหลาบมากเลยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบสี่ [22.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 23-01-2018 12:06:27
รู้สึกเหมือนจะเริ่มจับความอะไรได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด โอ๊ยยย อยากทุบตัวเอง;-; แฟร์เริ่มจะมีความรู้สึกอื่นแล้วอ่ะ นี้คือสิ่งที่จะบอกมั้ย555 อืออ นั้นแหละ ทะเลพลอยตอนแรกคิดว่าไม่น่ามีอะไรหรอก แต่ดันมีซะงั้น เป็นตลค.ที่จะมาแก้ปริศนาหรือเพิ่มปริศนากันแน่เนี่ย เอาเถอะยังไงเราก็ต้องแก้เองอยู่ดี ฮือออ แก้ปมอะไรไม่ได้เจ็บใจจจ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบห้า [25.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 25-01-2018 19:56:36
เรื่องเล่าที่สิบห้า


   มอบไข่วิเศษใบนั้นมาสิ แล้วข้าจะยอมให้เจ้าได้คุยกับเจ้าชายอีกครั้ง
   - The Blue Bird (2)


 
   บางครั้งอากาศเมืองไทยก็ร้อนตลอดเวลาเสียจนไม่เข้าใจว่าจะแบ่งเป็นสามฤดูไปทำไม

   ผมปั่นจักรยานรั้งท้ายกลุ่มตั้งแต่แรกเริ่ม แค่เห็นพวกเขาสามคนจากด้านหลังก็ยังพอนึกออกเลยว่าสมัยอยู่มัธยมจะต้องเป็นกลุ่มที่ฮอตไม่ใช่เล่น ผู้ชายที่เคยแสนดี อีกคนก็ร่าเริงสดใส แล้วผู้หญิงคนเดียวก็ยังเข้าถึงง่าย

   เป็นสังคมอีกฟากฝั่งที่ผมไม่เคยได้สัมผัส

   "เมื่อไหร่จะถึงหอชมนกอะเชน"

   จบมื้อเครื่องดื่มที่จืดเสียจนไม่แน่ใจว่าคนขายสลับแก้วของผมกับเธอหรือเปล่าแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อ ตามแผนที่มันก็อธิบายเอาไว้ชัดแหละว่าต้องปั่นไปทางไหน ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่เจอจุดพักใหญ่ของสวนนี้สักที ผมชักขี้เกียจปั่นแล้วนะ ยิ่งบังคับไม่เก่งอยู่

   "ใกล้แล้วล่ะ ดูจากป้ายอีกไม่กี่ร้อยเมตรเอง"

   "รีวิวแม่งโคตรหลอกลวง ไหนบอกว่าไม่ไกลไง"

   ทะเลพลอยบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยังถีบจักรยานของตัวเองต่อไปไม่มีพัก ผมว่าดูจากบุคลิกของเธอแล้วไม่น่าจะใช่พวกที่เกลียดการออกกำลังกายนะ ที่จริงแล้วคนที่ควรงอแงมันน่าจะเป็นเด็กแว่นเอาแต่เรียนอย่างผมมากกว่าอีก

   "มึงยิ่งบ่นทางก็ยิ่งยาวอะเลพลอย"

   "หยุดเพ้อเจ้อสัตว์เชน"

   "ทำเป็นเก่ง ล่ะเดี๋ยวก็งอแงใส่พวกกู"

   เชนทั้งกัดทั้งจิกส่วนหญิงสาวคนเดียวก็ย้อนกลับไปไม่ลดราวาศอก เราปั่นต่อมาอีกไม่เท่าไหร่ก็เจอหอชมนก เป็นประภาคารสูงพอสมควรทำจากไม้ ดูไม่ขัดตาเมื่ออยู่กับพื้นที่สีเขียวรอบข้าง

   มุมด้านบนสวยสมกับเป็นพื้นที่ที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างมารบกวนใจ มองออกไปได้เกือบทั้งสามร้อยหกสิบองศา บนนี้เจอแต่พื้นที่สีเขียวเต็มไปหมด ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หวังว่ามันจะช่วยให้อวัยวะแลกเปลี่ยนอากาศทำงานน้อยลงหลังจากที่ต้องเผชิญแต่มลพิษเป็นเวลานาน

   "เป็นหอชมนกที่เราไม่เห็นใครจะขึ้นมาดูนกเลย"

   หันไปมองต้นเสียงที่มายืนอยู่ด้านข้าง ผมประบ่าของเธอปลิวเบาๆ ไปตามแรงลม "แต่ก็ไม่ได้รู้จักชนิดของนกอยู่แล้วล่ะนะ เราเคยไปเข้าค่ายที่ต้องตื่นตีสี่กว่าเพื่อออกมาส่องนกตอนเช้าด้วยแหละ แล้วสุดท้ายวันนั้นเมฆมากจนไม่เห็นอะไรเลย"

   ถ้าให้เดาทะเลพลอยคงเลือดกรุ๊ปโอ ทั้งสีหน้าแล้วก็ท่าทางประกอบมาพร้อมกับการเล่าเรื่องทุกครั้ง งั้นก็ควรลดระดับความจริงของเรื่องเล่าลงไปหน่อยเพราะตำราบอกว่าคนกรุ๊ปนี้ชอบพูดโอเวอร์

   ผมกับเธอเดินขึ้นมาด้านบนแค่สองคน ธชาบอกว่าไม่อยากเหนื่อยส่วนเชนจะให้ถ่ายรูปจากมุมบนลงไปให้

   "เราไม่เคยไปเข้าค่ายอย่างอื่นนอกจากค่ายลูกเสือกับรด."

   ผลัดมาเล่าเรื่องของกาลวินท์บ้าง ผมไม่ชอบการใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งกระดากแล้วก็เสี่ยงเจอคนไม่ถูกชะตาอีก อย่างตอนรด. นั่นก็เจอเพื่อนที่กรนตลอดคืน ฝึกทั้งวันก็นรกจะตายอยู่แล้วตอนนอนก็ยังไม่เจอความสงบสุขอีก

   ผมไม่ได้อยากเรียนหรอก ตั้งใจว่าจะไปเสี่ยงดวงจับสลากเกณฑ์ทหารด้วยซ้ำไป ติดอยู่ที่พ่อแม่ค้านหัวชนฝาเลยต้องยอมเรียนไปแบบเสียไม่ได้ แล้วมันก็เป็นสามปีที่โคตรแย่เลยล่ะ

   การตกอยู่ในสภาวะเป็นเบื้องล่างของผู้ใช้อำนาจเหนือโดยมีเงื่อนไขว่าปฏิเสธไม่ได้นี่น่าเศร้ายิ่งกว่าอะไรดี

   "ทำไมแฟร์ถึงใช้ชีวิตได้น่าเบื่ออย่างนี้นะ"

   ผมยกไหล่ขึ้น "เราว่ามันก็มีความสุขดี"

   "เข้าใจว่าความสุขคนเราไม่เท่ากันอยู่หรอก ...แต่ก็นะ"

   หลายครั้งตัวตนของทะเลพลอยสร้างความสงสัยปนแปลกใจให้ มองในแง่ของผู้ชายคนหนึ่งแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีสถานะ 'โสดสนิท' อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทั้งหน้าตาที่สวยเด่น นิสัยร่าเริง แล้วก็ทัศนคติที่เป็นแง่บวกจนน่าประทับใจ

   ไม่ว่าใครก็น่าจะหลงเสน่ห์เธอได้ไม่ยาก

   ต่อให้ใครคนนั้นคืออสูรร้ายก็ตาม

   "นี่เชนหายไปไหน บอกให้ขึ้นมาเตรียมถ่ายรูปแล้วก็หายหัว"

   บ่นแบบมีของประกอบคือกล้องมิลเลอร์เลสขนาดกำลังดีห้อยอยู่ที่คอ เชนเป็นคนหิ้วมาด้วยโดยบอกว่าอยากได้รูปไปลงเฟซ ท่าทางที่ไกด์เอาไว้ล่วงหน้านั้นไม่ถึงกับพิสดารแต่ถ้าเป็นตัวผมแล้วคงไม่มีทางลองทำแน่

   "สงสัยกำลังจัดท่าอยู่"

   "เราโคตรเบื่อผู้ชายไร้เซนส์ถ่ายรูปอย่างสองคนนั้นเลย แม่งถ่ายออกมากี่รูปก็นึกว่ากดชัตเตอร์ส่งๆ"

   "ขนาดนั้นเลยเหรอ"

   ผมไม่ค่อยเห็นพวกเขาถ่ายรูปกันเอง อย่างรูปโปรไฟล์ในไลน์ที่ใช้ก็ไม่เคยเปลี่ยน เห็นบ่อยสุดก็คงเป็นรูปที่มีโมเดลเป็นเด็กหญิงชินานางนี่แหละ

   "ที่เห็นภาพสวยๆ เราถ่ายให้ทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นนะรูปโคตรเห่ย"

   "อ้อ..."

   "รูปโปรของชานั่นก็ฝีมือเรา นี่แฟร์อยากได้รูปไปอัปไหม เราถ่ายให้"

   "ไม่ล่ะ ไม่ชอบถ่ายรูป"

   ปฏิเสธน้ำใจกลับไปเรียบๆ ผมไม่ชอบเห็นตัวเองในรูปถ่ายเท่าไหร่ มันทั้งดูไม่จืดแล้วก็เห่ยอย่างที่เธอใช้คำ

   "เหรอ น่าเสียดายออกที่จะไม่มีความทรงจำเก็บไว้"

   "งั้นต้องเริ่มจากคำถามว่าเราอยากจะเก็บความทรงจำเอาไว้หรือเปล่า"

   "คุยกับแฟร์แล้วปวดหัวเหมือนตอนเถียงกับชาเลย" เธอทำปากคว่ำ "พูดถึงนก เรามีเรื่องเกี่ยวกับนกที่ชาเคยเล่าให้ฟังด้วยแหละ"
   
   เกลียดแรงดึงดูดที่ไม่สามารถหาที่มานี่ได้เหมือนกัน ก่อนที่จะทำงานร่วมกับธชาผมไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่วังวนของเรื่องเล่าพวกนี้มากเท่าไหร่ พอนึกไปมาแล้วตั้งแต่ที่ผมถูกอสูรจับตัวเอาไว้นี่ได้รู้จักเทพนิยายเรื่องอื่นเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว

   จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากการสิ้นพระชนม์ของราชินี ทิ้งบุตรสาวแสนงดงามอย่างฟลอลีนเอาไว้ให้บิดาเลี้ยงดูเพียงลำพัง ต่อมาพระราชาจึงอภิเษกสมรสใหม่กับแม่ม่ายผู้มีลูกติดนามทรูโทรเน่

   จนถึงช่วงเวลาที่พระราชาตัดสินพระทัยว่าถึงเวลาออกเรือนของบุตรสาวทั้งสอง ประจวบเหมาะกับการมาเยือนอาณาจักรของพระราชาผู้ทรงเสน่ห์ ราชินีประสงค์ที่จะให้ทรูโทรเน่ได้สมรสกับพระราชาต่างแคว้น จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันไม่ให้ฟลอลีนได้พบ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อพระองค์ทรงตกหลุมรักกับหล่อนหลังจากการสบสายตากันครั้งแรก

   แผนของราชินีไม่มีทางจบลงง่ายๆ นางจึงจับฟลอลีนขังเอาไว้จนกว่าการเยือนของพระราชาจะจบลง ในช่วงเวลาที่เหลือนั้นแม่ลูกจอมอิจฉาได้ส่งของบรรณาการจำนวนมากไปให้เจ้าชาย แต่เมื่อเขาทราบว่าสิ่งเหล่านี้มาจากทรูโทรเน่พระองค์ก็ปฏิเสธอยู่ร่ำไป

   ใช่ว่าพระราชาต่างแคว้นจะปรีชาเสมอ พระองค์ทราบว่าฟลอลีนถูกขังเอาไว้อยู่บนหอคอยจึงอ้อนวอนขอให้ตนเองได้เจอนางสักครั้ง ราชินีแสนร้ายกาจจึงซ้อนแผนด้วยการอนุญาต แต่สลับตัวเองบุตรสาวของตนเองไปแทนที่เจ้าหญิงแสนงดงาม เจ้าชายผู้หลงเดินตามแผนของราชินีจึงขอนางในความมืดแต่งงาน

   "เจ้าชายนี่บทจะโง่ก็เกินทน" ผมฟังเธอเล่าไปแค่นั้นก็ไม่ค่อยถูกใจเจ้าชายเท่าไหร่ หนีมาได้ตั้งนานมาตกม้าตายตรงที่ขอแต่งงานผิดคนเนี่ยนะ

   "ความรักมันก็อย่างนั้นแหละ ...จะเอาท่านี้จริงเหรอ?" ช่วงท้ายของประโยคส่งไปให้คนที่กำลังนอนราบไปกับพื้นด้านล่าง ทำท่าเหมือนกำลังเดินชมนกชมไม้อยู่ "ถ้าไม่มีคนไลก์อย่าโทษกูนะ"

   ก็เลยเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองให้กลายเป็นผู้ช่วยช่างภาพด้วยการกำกับปรับเปลี่ยนท่าทางของนายแบบด้านล่างนิดหน่อยเพื่อให้มันดูธรรมชาติมากขึ้น ทะเลพลอยจ้องแค่ภาพที่ปรากฎตรงจอขณะที่ปากก็ยังบ่นเพื่อนได้สารพัดเรื่อง การขยับปรับมุมองศากล้องบอกว่าเธอเชี่ยวชาญด้านนี้มากพอควร

   "งั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?" เห็นว่าหมดหน้าที่ช่างกล้องแล้วก็เลยถามต่อ

   พอถึงวันแต่งงานพระราชาก็ได้พบความจริงว่าตนถูกคู่แม่ลูกล่อลวงให้ติดกับ พระองค์ปฏิเสธที่จะอภิเษกกับหล่อน ยืนกรานว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตามงานแต่งก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างไม่เหมือนแผนที่วางเอาไว้ นางฟ้าทูนหัวของทรูโทรเน่เลยสาปให้เจ้าชายกลายเป็นนกสีฟ้าไปเสีย

   จากนั้นนางก็ไปหลอกฟลอลีนว่าเจ้าชายได้อภิเษกกับน้องสาวของตนไปแล้ว แต่เจ้านกสีฟ้าก็ได้ตามมาเล่าเรื่องจริงทั้งหมด โดยการมาหาแต่ละครั้งพระราชาในร่างของนกน้อยก็จะนำเพชรพลอยของมีค่ามาให้ด้วยเสมอ

   เวลาผ่านไป ราชินีก็ได้พบความผิดปกติเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของฟลอลีน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีใครยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือนางจึงตามหาจนค้นพบว่าที่แท้แล้วมีนกสีฟ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิงแสนสวยอยู่เสมอ เพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมนางจึงใช้ให้ลูกน้องไปทำลายรังของนกเสีย พระราชาในร่างนกต้องยอมสละปีกและขาทั้งสองข้างของตัวเองเพื่อให้ตนเองหนีความตายมาได้

   เรื่องร้ายยังไม่จบแค่นั้นเมื่อราชาของเมืองสิ้นพระชนม์ ชาวเมืองต่างเรียกร้องให้ฟลอลีนได้ครองราชย์ต่อจากบิดาของตน ราชินีตัวร้ายผู้ไม่ยอมทำตามความต้องการจึงถูกชาวเมืองลอบฆ่า เจ้าหญิงแสนดีได้ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนลูกสาวตัวร้ายอย่างทรูโทรเน่ได้รับการช่วยเหลือจนสามารถหนีไปได้

   "เริ่มน่าสนใจ" ไม่คิดว่าราชินีจะหายไปด้วยพลังประชาชนอะไรทำนองนั้น ถึงนางเอกจะยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตามทีเถอะ แค่ออกตามหาพระราชาก็ดีแล้ว "แล้วเป็นยังไงต่อ นี่ลูกเลี้ยงก็หนีไป นกสีฟ้าก็ยังไม่เจอ"

   "สงสัยต้องจังหวะอื่นแล้วล่ะแฟร์" เธอทำหน้าเบื่อใส่ตอนชี้ไปยังเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคนที่โบกมือให้ "เออ กำลังไปแล้ว ...ไอ้พวกเพื่อนฉิบหาย"

   กลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ตอนเห็นเธอบ่นอุบอิบ ผมชอบความเป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสามคนนะ ทั้งรักทั้งเกลียดแต่ก็ต้องอยู่ด้วยกันเพราะว่าไม่มีใครคบด้วยแล้ว

   อันนี้เชนบอก ผมไม่ได้พูดเอง

   "แต่นี่เราก็เป็นเหมือนในเรื่องอยู่นะ ฟลอลีนผู้ถูกจองจำในหอคอยไง"

   "ไม่เห็นเหมือน เดินลงไปก็หนีได้แล้ว"

   "โธ่ ไม่สนุกเลย นี่แฟร์มีเพื่อนประเสริฐแบบพวกมันบ้างไหม"

   "ถ้าอย่างนี้เรียกประเสริฐเราไม่อยากมีหรอก"

   เรามีหัวข้อในการคุยใกล้เคียงกัน มันเลยไม่มีช่วงเวลาเดตแอร์เกิดขึ้น ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เจอมากับตัวเกี่ยวกับคนที่รออยู่ด้านล่างไปเรื่องสองเรื่องระหว่างเดินลงมา

   "ชามันขี้ห่วง ถ้าเจอหน้าเดี๋ยวมันจะบ่นสิบล้านเรื่องเพราะลงมาช้า"

   "รู้จักกันดีจังนะ" สาบานเลยว่านั่นไม่ใช่การประชด

   "แน่สิ อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน"

   ตรงทางขึ้นมีเพื่อนประเสริฐทั้งสองรออยู่แล้ว เชนขอดูรูปในกล้องเป็นอย่างแรกส่วนธชาก็...

   "มึงขึ้นไปนานสัตว์ มานี่"

   เขาเดินเข้าไปช่วยจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงจากแรงลมของทะเลพลอย ตามมาด้วยซับเหงื่อตรงข้างแก้มด้วยกระดาษทิชชู บ่นไม่ขาดปากอย่างที่เธอได้ทำนายเอาไว้แล้วล่วงหน้า

   มันเกิดหนึ่งความคิดว่าเขาสองคนช่างเหมาะสมกัน

   "ไปกันต่อเถอะ"
   
   ขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเอง มองพวกเขาเริ่มเคลื่อนพลออกไปก่อนหน้าด้วยความรู้สึกหน่วงเล็กๆ ที่เริ่มกระจายตัวมากขึ้นทุกที พวกเขาสามคนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันจนเมื่อผมลองตัดตัวเองเข้าไปแปะเสริมแล้วมันกลายเป็นส่วนเกินที่ไม่ควรมี

   การตัดสินใจถัดมาสั่งให้ผมหันหัวจักรยานไปอีกฝั่ง เร่งถีบให้ตัวเองไปถึงทางแยกให้เร็วที่สุด ไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงที่ออกตามชายผู้เป็นที่รัก

   ส่วนผมกำลังตามหาอะไรอย่างนั้นเหรอ

   ก็ไม่รู้เหมือนกัน

   

   "แฟร์ไม่โกรธเราใช่ไหม"
   
   "ถ้าบอกเหตุผลมาก็จะคิดอีกที"

   "แสดงว่าโกรธแน่เลย"

   "นี่เรียกได้ว่าพวกแอบตามเลยนะ"

   สายตาที่เต็มไปความท้าทายอย่างนั้นเหมือนกันหมดทั้งสามคน "ก็พิสูจน์ให้ได้สิ เราบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ"

   ขอย้ำคำเดิมว่าเข้าไม่ถึงผู้หญิงชื่อทะเลพลอย

   ผมใช้เวลาในวันธรรมดาที่ว่างกะทันหันจากการแคนเซิลคลาสวิชาเลือกอย่างกฎหมายอาญาเบื้องต้นไปกับการเข้าคอร์สเรียนเย็บสมุดกับคุณครูที่รู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว เปิดในอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยแล้วเจอก็เลยลองมาเรียน ได้เรียนกับครูที่ถูกจริตเลยมาเท่าที่มีโอกาส

   ผลสืบเนื่องมาจากการเรียนในวันธรรมดาเลยทำให้สมาชิกในห้องมีแค่สามคนตามที่ครูบอก มาแล้วสองคนคือผมกับหญิงสาวชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางมาเรียนโดยเฉพาะ ไม่ค่อยได้สนใจคนอื่นอยู่แล้วเลยก้มหน้าอ่านหนังสือไปคนเดียว

   จนได้ยินเสียทักทายของผู้มาใหม่นั่นแหละถึงรีบปิดแทบไม่ทัน

   ผู้หญิงคนเดิม คนที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องตามหาความลับที่อยู่ข้างในเอาไว้ให้ได้ เธอมาพร้อมกับเสื้อผ้าสไตล์ค่อนข้างชัดเจนอย่างเสื้อลายขวางฟรีไซซ์กับกางเกงเอวสูงและเข็มขัดยาวทิ้งลงข้างตัว แนะนำตัวเองว่าเป็นการมาเรียนครั้งแรกเลยไม่ถนัดเท่าไหร่

   "แฟร์มาบ่อยเหรอ เห็นครูบอกว่าเป็นนักเรียนประจำ"

   "มาเท่าที่อยากมา"

   ค่าเรียนมันสูงแบบที่กว่าจะทำใจจ่ายได้แต่ละทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เลือกคอร์สที่คิดว่าหาเรียนตามอินเทอร์เน็ตไม่ได้เท่านั้น บางเรื่องมันก็เป็นเทคนิคส่วนบุคคลที่ไม่ได้เผยแพร่

   "มีงานอดิเรกที่ดีจัง"

   "แล้วพลอยไม่มีเหรอ"

   เธอส่ายหน้าไปมา วันนี้มัดผมเอาไว้มันเลยมีแค่ส่วนที่ปรกหน้าปลิวตามแรง "ไม่ล่ะ เป็นจำพวกไม่ชอบอยู่กับอะไรนานๆ"

   "แล้วมันไม่ใช่เรื่องดีหรือไง"

   "ก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย" โทนเสียงของผู้หญิงที่นั่งฝั่งตรงข้ามรื่นหู ฟังง่ายแล้วก็เต็มไปด้วยความสดใส "แอบอิจฉาคนที่ไม่ต้องตามหาความสุขตลอดเวลาเหมือนกัน"

   "ความสุขบางครั้งก็มาในรูปแบบของการที่ไม่ต้องวิ่งตามนะ"

   ไม่ใช่นักปรัชญาหรือว่าคิดคำคม มันเป็นผลมาจากการอ่านมาก เอามารวบรวมวิเคราะห์แล้วสังเคราะห์ให้เป็นข้อสรุปสำหรับตัวเอง

   "เป็นความคิดที่ดีจังแฟร์" คลาสเรียนจะเริ่มต้นในอีกไม่นาน ผมหยิบกระเป๋าข้างขึ้นมาเก็บของที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งาน เตรียมพร้อมสำหรับการเรียน "แล้วไม่ตอบข้อความชาหน่อยเหรอ"

   ค่อยๆ รูดซิปปิดกระเป๋า พอมันมาชนกันสนิทแล้วถึงตอบ

   "ไม่ล่ะ ปกติก็อย่างนี้"

   เหมือนว่าจะโดนอสูรโกรธอยู่ล่ะมั้ง ตั้งแต่วันที่ผมแยกตัวออกมาเฉยๆ เขาก็ส่งข้อความมาหาไม่น้อยเลยล่ะ ผมใช้วิธีการเข้าไปอ่านเพื่อไม่ให้จำนวนการแจ้งเตือนมันเพิ่มขึ้น แล้วก็กดออกมาเลยโดยไม่สนใจสักตัวอักษรที่อีกฝ่ายส่งมา สำหรับเชนผมก็ใช้วิธีเดียวกัน

   "เหรอ..."

   "เรากับธชาก็อยู่กันแบบนี้แหละ"

   "ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ถึงคิดว่ามันก็แปลกอยู่ก็เถอะ"

   คนตรงๆ อย่างเธอนี่มีเหลืออีกสักกี่คนบนโลกใบนี้นะ วันนี้คลาสเรียนของเราค่อนข้างราบรื่น ได้ความรู้ใหม่มาพอสมควร และพอหมดช่วงการสอนก็ได้เวลาที่นักเรียนจะได้ลงมือปฏิบัติ

   "สรุปแล้ว...มาทำไม?" ยังมีเรื่องค้างคาอยู่นิดหน่อย

   "มาเป็นจำเลยให้แฟร์ซักได้ตามสะดวก"

   "..."

   "นั่นเป็นเหตุผลที่ดีมากพอใช่ไหม" พูดจบก็ยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง คราวนี้ความสดใสของมันไม่ทำให้ผมผ่อนคลายได้สักนิด ซ้ำร้ายจังหวะการเต้นของหัวใจก็ยังเร็วขึ้นอีก "เรารู้ว่าแฟร์ก็อยากสนิทกับเราใช่ไหมล่ะ"

   "ถ้าเอาตามความจริง...ก็ไม่"

   แค่สองคนก็ประสาทเสียจะแย่ ไม่อยากให้มีคนที่สามมาเพิ่มหรอก

   "จริงเหรอ..." คำถามซ่อนนัยล้อเลียนเอาไว้ "งั้นมีแต่เราที่อยากรู้จักแฟร์ก็ได้นะ"

   พอได้อยู่ด้วยนานๆ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งดั่งแสงตะวันเลยว่าเพราะอะไรพวกเขาสามคนถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ก็ไอ้การที่ทำตัวเป็นพวกคนที่อ่านทุกอย่างออกไง

   "ไม่มีอะไรที่น่าสนใจขนาดนั้น" มือก็พับครึ่งกระดาษไปด้วย ส่วนปากก็ไม่หยุดขยับตาม "แค่เด็กแว่นไม่ที่ไม่มีเพื่อนคบ"

   "แต่เราไม่คิดอย่างนั้นแฮะ"

   "..."

   "มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ วิชาสังคมสอนอย่างนั้นมาตลอด"

   "แต่ถ้าสังคมมันเพี้ยนอย่างนี้ ไม่มีก็ดีนะ" เลยผ่านคำพูดเข้าใจยากไปเสียให้หมด "แล้วตอนนี้เราก็ว่าตัวเองคิดถูก"

   "มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น นี่ชาต้องโกรธเราแน่เลยถ้ารู้ว่าวันนี้มาเจอแฟร์"

   "ก็ปล่อยเขาไป"

   ต้องมารองรับอารมณ์แปรปรวนบ่อยๆ มันก็อยากเอาแต่ใจบ้าง

   "เอาอย่างนั้นก็ได้ เออ เรายังเล่าเรื่องให้แฟร์ฟังไม่จบเลย"

   ตอกย้ำความทรงจำในวันก่อนด้วยการส่งของตกแต่งรูปนกสีฟ้ามาให้ รูปวาดโดยใช้สีน้ำก่อนเอามาปรินต์ให้กลายเป็นสีหมึกดิจิทัล ผมเปลี่ยนความตั้งใจว่าวันนี้จะเย็บสันให้เสร็จก็พอ ส่วนหน้าปกไม่น่าเสร็จได้ในวันเดียวกัน

   "ก็เล่าต่อสิ พร้อมฟัง"

   ตัวเองก็อยากรู้ว่าต่อจากการครองอำนาจของฟลอลีนแล้วเธอจะพบเจ้าชายได้อย่างไร

   เธอออกตามหาเจ้าชายหรือว่าเจ้านกสีฟ้าตัวนั้น ระหว่างทางจึงได้พบกับหญิงชราที่เป็นร่างแปลงของแฟรี่นางหนึ่ง นางเล่าเรื่องที่เจ้าชายได้กลับคืนสู่ร่างปกติแล้วให้ฟัง แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากจากนกสีฟ้าไร้ปีกได้ให้สัญญาว่าจะอภิเษกกับทรูโทรเน่

   หญิงชราได้มอบไข่วิเศษสี่ฟองให้กับฟลอลีน สองฟองแรกนั้นใช้สำหรับการเดินทางไปยังปราสาทของพระราชา ที่นั่นเธอไม่อาจแสดงตัวต่อพระองค์ได้ว่าตนเองคือฟลอลีนยอดรัก จึงจำออกอุบายโดยการมอบเครื่องเพชรที่เจ้านกสีฟ้าเคยให้เธอกับทรูโทรเน่ไป เมื่อพระราชาเห็นสิ่งที่หญิงสาวแสนอัปลักษณ์เอามาให้ทอดพระเนตรนั้นก็ทรงระลึกได้ทันทีว่านั่นเป็นสมบัติของพระองค์เอง

   ต่อมาทรูโทรเน่ได้ย้อนกลับมาพบกับฟลอลีนที่ยังปลอมตัวอยู่อีกครั้ง คราวนี้เธอเสนอให้ฟลอลีนได้ใช้ช่องแห่งเสียงสะท้อนเพื่อแลกกับสิ่งล้ำค่าชิ้นอื่น มันเป็นสถานที่ที่เมื่อเธอได้เอ่ยอะไรออกไปก็จะส่งไปถึงห้องบรรทมของพระราชา แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามติดต่อกับพระองค์มากเท่าไหร่มันก็ไม่เคยได้ผลเพราะชายที่รักของนางบรรทมจากยานอนหลับ

   เธอใช้ไข่วิเศษใบที่สามกับการได้เข้าไปใช้ช่องแห่งเสียงสะท้อนเป็นครั้งที่สอง และไม่ต่างจากครั้งแรกที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟลอลีนตัดสินใจใช้ไข่วิเศษใบสุดท้ายที่มีนกร้องเพลงอยู่หกตัวแลกกับการได้เข้าไปไปข้างในอีกครั้ง รวมถึงได้มีการติดสินบนคนใช้เพื่อไม่ให้พระราชาถูกฤทธิ์ของยานอนหลับเล่นงาน ในคืนนั้นพระองค์จึงได้ยินเสียงของฟลอลีน พวกเขาทั้งสองได้เจอกัน ทรูโทรเน่ได้รับโทษ ทุกอย่างจบลงอย่างมีความสุข

   "จบแล้ว?"

   "ก็พอมีความสุข นั่นก็ต้องจบแล้วสิ"

   ในมุมของคนที่ยอมรับโลกได้ บางเรื่องเธอก็ยังเป็นพวกสุขนิยมอยู่อย่างนั้นเหรอ

   "จบง่ายดี..."

   "นี่ ขอโทษนะ"

   ยังไม่ทันถามว่าขอโทษเรื่องอะไรก็ได้คำตอบ เธอใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการดึงแว่นกรอบใหญ่ของผมออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีความปรานีหรือถนอมรักษาเครื่องมือในการเพิ่มความคมชัดของผมเลย นี่ถ้ามันบาดหูขึ้นมาจะมีใครรับผิดชอบไหม

   "ขอคืน มองไม่เห็น"

   "เลนส์บางแค่นี้เอง ไม่ได้ไม่ชัดอะไรขนาดนั้นหรอก" จากที่หรี่ตามองผมเห็นเธอกำลังยกแว่นของผมขึ้นพินิจด้านข้างของกรอบแว่นอยู่ "แฟร์ทำตาปกติหน่อย"

   "พลอย เอาแว่นเรามา"

   "ห้าวิพอ"

   "นับถอยหลังเลยนะ"

   แกล้งตาเบิกกว้าง ออกเสียงจากห้าไปหนึ่งโดยเร็ว พอเลขหนึ่งออกจากปากของผมแล้วก็ยกมือขึ้นแบขอสิ่งที่เป็นของผมคืน "เอามาได้แล้ว"

   "โหย ใจร้ายจัง"

   "ถึงไม่บ้าตายไปก่อนเวลาอยู่กับพวกเขาไง"

   ยักไหล่ขึ้นเมื่อนึกถึง 'พวกเขา' ทั้งสองคน รับแว่นกลับมาตรวจเช็กว่าการกระชากเมื่อครู่สร้างความเสียหายอะไรหรือเปล่า

   "แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมชาถึงไม่ปล่อยแฟร์ไป"

   สารภาพตามตรงว่าผมปั้นหน้าแจ่มใสไม่ออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ทะเลพลอยตั้งศอกกับโต๊ะพิงหน้าเอาไว้กับช่วงมือ ยิ้มแสนสวยของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามฉายแววรู้ทันบางอย่าง

   "ที่บอกว่ามาเป็นจำเลย พูดจริงนะ"

   "ไม่ได้ขอ"
   
   "เราบอกไม่ได้ว่า 'ใคร' ทำให้ชาเป็นอย่างนี้"

   "..."

   "แต่ถ้าถามว่า 'เพราะอะไร' มันถึงฝังใจจนถึงทุกวันนี้เราบอกได้"

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่สุดๆ ไปเลย จากที่ตั้งใจว่าจะมาล้วงเอาความลับของเธอกลายเป็นตัวเองที่โดนหลอกให้วิ่งไปมาจนหัวปั่น สนุกมากแค่ไหนกันเชียวที่ทำให้ผมกลายเป็นหนูที่วิ่งอยู่ในกรงไร้ทางออกได้

   "ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น"

   "อย่าโกหกอีกสิ" รอยแสยะยิ้มแบบคนรู้ทันไม่ต่างจากคำพูดที่ส่งมา "ชาเป็นผู้ชายที่ดี แต่มันก็โลกสวยเกินไป จะเอาอะไรมากกับความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่อีกฝั่งก็ทำตัวเหมือนมีใจด้วยแหละ"

   "..."

   "ก็เก่งที่เป็นเพื่อนแชตกันมาได้เรื่อยๆ สุดท้ายกลับโดนปฏิเสธแถมบอกว่าไม่ได้คิดอะไรมากกว่าเพื่อน"

   "..."

   "มันคงคิดว่าที่ทำตัวอย่างนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ก็นะ บางเรื่องชามันก็เป็นแค่คนโง่"

   ผมอ่านสีหน้าไร้ความกังวลของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามไม่ออกสักนิด

   "เราไม่มีทางลืมรักครั้งแรกได้หรอก"


***
   เกลียดอากาศช่วงนี้มากเลยค่ะ แต่ก็ยังต้องออกจากบ้านอยู่ดี...
   เจ้าแอบชอบความไม่ตรงตามคอนเซปต์เทพนิยายเป๊ะของเรื่องนี้นะคะ ตั้งแต่ที่แม่เลี้ยงถูกประชาชนขับไล่ เจ้าหญิงที่ติดสินบนคนใช้ (หัวเราะ) แต่ส่วนอื่นมันก็แอบหนักจนยากที่จะย่อให้ครบมากที่สุดเลยค่ะ
  คนอ่านอาจจะปวดหัว แต่เจ้าสนุกกับการแอบซ่อนรายละเอียดมากเลยค่ะ (ฮา) แต่เรื่องอื่นคงไม่เอาขนาดนี้แล้ว หมดพลังมากๆ เลย
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบห้า [25.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 25-01-2018 21:31:29
เห้ยย! ไม่มั้งๆ ชาคงไม่ได้เห็นแฟร์เป็นตัวแทนของรักแรกของตัวเองใช่ป่ะ ถ้างั้นมันจะน่าสงสารแฟร์มากเลยนะ นังชา! บอกสิว่าฉันเข้าใจผิด! เทพนิยายในตอนนี้มันเฟี้ยวมากเลยค่ะ ชอบอ่ะ แต่ก็ยังแบบไม่เข้าใจเทพนิยายมาก อาจเพราะไม่เคยอ่านเทพนิยาย ยังไงก็จะพยายามทำความเข้าใจและจะเตรียมพร้อมในการแก้ปมปัญหานะคะ :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบหก [29.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 29-01-2018 20:43:09
เรื่องเล่าที่สิบหก


   เพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารเด็กชายแสนบริสุทธิ์
   - The Pink


 
   พอครบกำหนดวันหยุดยาวทะเลพลอยก็บินกลับไปเรียนตามปกติ

   ส่วนผมเองก็กลับมาใช้ชีวิตแบบ 'ค่อนข้างปกติ' เหมือนกัน

   "ตรวจคำผิดส่วนที่ส่งให้ไปแล้วหรือยัง"

   "บ้างแล้ว แต่ยังไม่ครบ"

   ก็คือยังต้องมีธชามาวนเวียนอยู่อย่างนี้หนีไปไหนไม่ได้สักที

   งานกลุ่มใกล้ถึงวันส่งเข้าไปทุกที เรื่องเนื้อหาไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งนั้นเมื่ออยู่ในการดูแลของธชา ผมก็แค่ทำในส่วนของตัวเองไปให้เสร็จเท่าที่ความสามารถจะเอื้ออำนวย

   ส่วนที่สำคัญไม่แพ้เนื้อหาคือการตรวจสอบความถูกต้องของคำศัพท์ เพราะมันแสดงถึงความใส่ใจในการทำงานได้ไม่น้อยเลยล่ะ ผมจะเป็นคนพิสูจน์คำผิดเองก่อนที่เราจะช่วยกันตรวจอีกครั้งก่อนส่งเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดไหนหลุดออกไป

   "ให้เสร็จในเวลาแล้วกัน"

   และนั่นเป็นคำบอกลาของเขาในวันนี้ ผมมองคนทำงานกลุ่มร่วมกันเดินออกจากห้องเรียนในระหว่างที่การสอนหน้าห้องยังคงดำเนินต่อไปไม่มีสะดุด สายตาบางคู่คงมองตามอย่างที่ผมกำลังทำอยู่ นี่เป็นความไม่ปกติของธชาในช่วงนี้ เขาอารมณ์ไม่คงที่เลยล่ะ

   ชอบมาพูดห้วนสั้น สั่งมากกว่าคุยกัน แถมใบหน้าก็ยังเรียบตึงจนหลายคนไม่กล้าเข้าไปใกล้ทั้งที่มีงานจำเป็นต้องคุยให้รู้เรื่อง

   และถึงตัวเองจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมก็ยังทำตัวไม่สะทกสะท้านอยู่ดี

   เชนบอกว่าธชาโกรธผมสุดๆ ไปเลยล่ะที่ช่วงก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับสายหรือว่าตอบไลน์ ก็ถ้าผมตอบอะไรออกไปมันก็ไม่มีข้อรับประกันว่าเขาจะเข้าใจแล้วก็ยอมรับได้นี่นาว่าผมไม่อยากจะคุย แค่ยอมกลับมาตอบนี่ก็ดีแค่ไหนแล้วเถอะ

   กลับมาถึงบ้านก็ตั้งใจว่าทำงานให้เสร็จก่อนดีกว่า พอเปิดหน้างานที่แชร์กันทำก็ต้องประหลาดใจกับการแจ้งเตือนว่ามีคุณกิ้งก่านิรนามกำลังแก้ไขอยู่พร้อมกัน

   ผมไม่ค่อยออนไลน์พร้อมกับเขา ตัวเองจะใช้ช่วงเวลาประมาณสามทุ่มถึงสี่ทุ่มในการปั่นทุกอย่างให้เสร็จ ไม่ชัวร์ช่วงเวลาการทำงานของธชา บางครั้งก็เช้าบางทีก็ตีสามนั่นแหละ ต่อให้ผมเพิ่งตรวจก่อนเข้านอนพอตอนเช้ามันก็เคยมีบางส่วนเพิ่มเติมมา

   ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจเสมอไป ในเมื่อตอนนี้มันบอกเรียลไทม์เลยว่ากิ้งก่านิรนามกำลังแก้ไขส่วนไหนอยู่ ถ้าเขาจะมาเพิ่มเติมข้อมูลส่วนกลางเรื่องอย่างนี้มันก็ทำให้การตรวจคำผิดของผมไม่ถึงไหนสิ

   หลีกหนีโดยการหาจุดที่คิดว่าเหมาะกับการทำงานคนเดียว ก็ไม่อยากคิดว่าเขาจงใจที่จะตามผมมาเรื่อยๆ หรอกนะ แต่ภาพตรงหน้าก็เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความอยู่บนบรรทัดก่อนหน้า

   - จะเข้าประชุมไหม?

   คงไม่มีหัวข้อไหนของรายงานที่ต้องใส่ประโยคนั้นเข้ามา นี่คืออารมณ์กลับมาคงที่แล้วใช่ไหมนะ

   คณะของผมจะจัดงานใหญ่ในเดือนหน้า กึ่งเป็นงานครบรอบแล้วก็เป็นโอเพ่นเฮาส์ไปในตัว เปิดโอกาสให้เด็กชั้นมัธยมปลายได้เข้ามาหาข้อมูลและซักถามกับผู้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมอยู่จริง จะได้รู้กันไปเลยว่าสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสุดท้ายแล้วใช่ที่ของเราหรือไม่

   ด้วยความที่เป็นเอกไม่ใหญ่ ทุกคนเลยต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัด ไม่เว้นแม้แต่คนที่แสดงออกชัดว่าไม่อยากจะสุงสิงกับเพื่อนร่วมคณะมากเท่าไหร่อย่างผม

   ยังไม่เคยเข้าประชุมเลยไม่รู้ว่าหน้าที่ตรงจุดไหนที่ถูกยัดมาให้ จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก สังคมที่นี่ยังไม่พร้อมปล่อยให้เราแสดงออกได้โดยอิสระแบบที่ไม่มีใครมาตัดสินว่าสิ่งที่เรายืนหยัดมันถูกหรือผิด

   การเรียกร้องให้เคารพในความเป็นมนุษย์น่ะยากจะตายไป

   - ไม่

   ตอบไปตามที่คิด แต่สุดท้ายแล้วก็คงต้องเข้าแหละ น่าจะเป็นครั้งท้ายๆ ที่สรุปทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

   - ทำไม

   ทำใจว่าการทำงานในวันนี้คงจะจบลงไปแล้ว ผมตั้งค่าการเตือนตัวเองเอาไว้ว่าอย่าลืมกลับมาลบข้อความสนทนาพวกนี้ให้หมดก่อนที่จะปรินต์งานส่งแล้วตอบไป

   - ก็ไม่อยากไป

   เรื่องแค่นี้ไม่เห็นยาก เขาก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่พวกที่เป็นไทป์ทำกิจกรรมอยู่แล้ว

   ไม่ได้คุยแชตต่อเนื่องอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ อย่างไลน์ในเครื่องของผมมันก็มักจะเป็นการคุยที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อมากนัก กว่าจะตอบได้แต่ละครั้งก็ปาไปมากกว่าครึ่งวันเป็นอย่างน้อย

   - ไปด้วยกัน

   - สั่ง?

   - ก็รู้อยู่แล้วนี่


   "...ชีวิตต้องเจออะไรอย่างนี้ด้วยเหรอ"

   รำพันส่งไปหาใครก็ไม่รู้ ตัวเองแสดงออกยิ่งกว่าความชัดของวิดีโอสี่เคแล้วธชาก็ไม่เห็นจะสนใจเลย

   - หลังประชุมจะได้ไปซื้อต่างหูด้วยกันต่อ

   เขาทำเหมือนผมเป็นพวกว่างงานเลยใช่ไหมล่ะ ข้อเสียอย่างหนึ่งคือตอนนี้เราคุยกับผ่านตัวอักษร เพราะงั้นธชาจะไม่มีทางเห็นว่าผมกำลังทำหน้าระอาใจมากแค่ไหน อย่างที่สองคือต่อให้ผมพยายามส่งอารมณ์ผ่านทางกลุ่มคำมันก็ไม่มีทางช่วยให้เขารู้ตัว

   - ไม่ไป

   - ห้องประชุมอเนกประสงค์ สี่โมงครึ่งนะ


   ถ้าตอบตามใจจะต้องเจออะไรบ้างนะ ผมลองถามตัวเองอย่างนั้นระหว่างที่มือยังวางเอาไว้ตรงแป้นคีย์บอร์ด กดไล่ไปทีละปุ่มตามที่เคยเรียนวิชาพิมพ์ดีดมาจากหนังสือ

   - เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบ?

   จากนั้นก็ลบมันทิ้งเสียทั้งประโยค

   ระบบการทำงานบนเอกสารออนไลน์จะปรากฎข้อความตามที่ประมวลผลออกไปได้ทันที ผมบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเขาจะอ่านข้อความนี้ทันไหม ก็คือถ้ายังอยู่หน้าจอตลอดต้องเห็นอยู่แล้วล่ะ ความคิดชั่ววูบที่รั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่นำเอาความกังวลเล็กๆ ติดกลับมาด้วย งี่เง่าชะมัดเลย

   ปิดหน้าจอการทำงานลง เดินไปพิงขอบหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้ ไม่ต่างจากทุกวันคือวิวด้านนอกมีแต่ความมืดปนไปกับแสงจากส่วนต่างๆ มันทั้งสวยงามแล้วก็หม่นหมองไปพร้อมกันจนผมถอนหายใจออกมา พยายามบอกตัวเองว่าอย่ากลับไปคิดถึงประโยคปริศนาของทะเลพลอย

   ความรักครั้งแรกอย่างนั้นเหรอ...



   แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าประชุมจนได้ ผมนั่งเงียบๆ อยู่ตรงมุมห้องโดยมีคนช่างบังคับนั่งถัดออกไป ไม่เคยเข้ามาร่วมวงทำงานเลยคิดว่าทางที่เหมาะที่สุดคือการนิ่งไม่มีปากเสียง ผมไม่รู้จักคนที่กำลังยืนแจกแจงรายละเอียดอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ

   "ส่วนของชาก็ดูแลซุ้มภาษานะ จะให้ใครไปช่วยก็ลิสต์มาแล้วกัน"

   เท่าที่ฟังแล้วจับใจความรู้เรื่อง ธชาจะได้รับหน้าที่ดูแลในส่วนของพาร์ตให้ความรู้ โดยจะให้คนที่มาเข้าร่วมเขียนข้อความอะไรก็ได้แล้วทางคนจัดก็จะแปลเป็นภาษาต่างๆ ตามเอกของตัวเอง

   ที่ให้เขาเป็นคนดูแลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้หน้าตามาดึงดูด

   ล้อเล่นนะ ผมเคยบอกแล้วไงว่าถึงธชาเป็นคนประเภทไม่ค่อยมีคนอยากเข้าใกล้ แต่เรื่องการจัดการงานพวกนี้ต้องยอมรับเลยว่าทำได้ดีไม่ค่อยมีที่ติ

   “แฟร์”

   เงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน ประหม่าไม่น้อยที่สายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมาทางผม

   “ใส่ชื่อแฟร์ลงไปได้เลย”

   คำอธิบายไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดูลงตัวขึ้น หัวหน้างานพยักหน้ารับทราบพลางก้มลงไปจดรายละเอียดเพิ่มเติมในปึกกระดาษของตัวเอง "งานซุ้มเป็นชากับแฟร์รับผิดชอบหลัก เลขาจดลงไปเลย"

   เดี๋ยวสิ...ทำไมตำแหน่งของผมถึงได้ขึ้นพรวดพราดอย่างนี้ ไม่ได้มีความดีความชอบอะไรให้ตอบแทนเสียหน่อย

   อารามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แค่จะอ้าปากออกเสียงก็ยังไม่สำเร็จ คนที่ไม่เคยต้องอยู่ในจุดที่แบกรับภาระมากไปกว่าการเบิกอุปกรณ์มาทำป้ายชื่ออย่างผมกำลังตกที่นั่งลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   "เราทำไม่ได้หรอก" หันไปค้านกับคนข้างตัว

   "ไม่เชื่อตัวเองขนาดนั้น?"

   "แน่สิ"

   ผมไม่เคยมีตำแหน่งอะไรติดตัว ไม่ว่าจะช่วงไหนของชีวิตก็ตามที แฟร์ก็ยังเป็นคนที่มีความสุขกับการได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครให้ปวดสมอง นี่จะให้เป็นคนรับผิดชอบหลัก...ขอประกาศเอาไว้ตรงนี้เลยว่างานต้องล่มแหง

   "ไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้ไง"

   "แต่ถ้าไม่ลองเราก็ไม่ต้องเสี่ยงเรื่องงานเจ๊ง"

   "มีเราอยู่ ไม่ต้องกังวลหรอก" คำพูดของเขาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้ได้เลย เครียดจริงจังแล้วนะ ผมไม่พร้อมแบกรับภาระใหญ่เอาไว้บนบ่า "ประชุมเสร็จแล้ว ไปซื้อต่างหูกัน"

   อันที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้ออกไปไหนด้วยกันบ่อย เมื่อเทียบกับจำนวนวันที่ผมทำแค่โบกมือลาตรงหน้าห้องสมุดแล้วต่างคนก็แยกย้ายไปตามทางตัวเอง ซึ่งวันพวกนั้นมันไม่มีอะไรให้เล่าไง

   "ไม่ไป"

   ธชาหรี่ตาลงมองผมแบบคนกำลังตามหาอะไรบางอย่าง "ไป"

   "ชวนเชนสิ"

   "ทำไมต้องชวนคนที่ไม่ได้อยากให้ไปด้วย"

   "..."

   "ชวนคนที่อยากไปด้วยก็ถูกแล้วนี่"

   

   ร้านที่ธชาพาผมมาถ้ามองจากภายนอกแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะมาซื้อเครื่องประดับ ก็ป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า TATTOO พร้อมกับรูปตัวอย่างทั้งหลายนั่นมันไม่ต่างอะไรกับร้านสักทั่วไป ใครจะรู้ว่าพอเข้าไปแล้วมันจะมีชั้นวางต่างหูหลากหลายรูปแบบวางเรียงต่อกันจนละลานตา

   "สวัสดีครับ"

   คนอยากมาซื้อต่างหูใหม่ทักทายพนักงานคนเดียวภายในร้านอย่างคนคุ้นเคยเลยล่ะ ผมมองการแบ่งร้านคร่าวๆ พอให้รู้ว่าควรไปยืนอยู่ตรงไหน แน่นอนว่าไม่ใช่ทางเก้าอี้เอนนอนพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับการเจาะสีลงไปในตัวแน่

   "ของใหม่อยู่ชั้นบนสุดนะ" เสียงต้อนรับอบอุ่นต่างจากรูปลักษณ์ภายนอก ผมทำเป็นมองเมินรอยสักจำนวนมากที่พ้นเสื้อของคนดูแลร้านไปเสีย ก็นี่มันร้านสัก ไม่ใช่เรื่องแปลก

   "โอเค"

   ผมเบี่ยงตัวออกมาดูของที่โชว์อยู่ในตู้ ข้างบนสุดเป็นต่างหูประเภทที่มีเม็ดพลอยติดเอาไว้ เนื่องจากมันไม่ค่อยถูกจริตเลยมองผ่านไปยังส่วนถัดไป

   คราวนี้เป็นจำพวกเครื่องหมายแล้วก็สัญลักษณ์ มีตั้งแต่เบสิกอย่างทรงเรขาคณิต ดวงดาวกับพระจันทร์ ไปถึงลายที่จับเอาของรอบข้างมาย่อส่วนให้ติดอยู่บนแป้น

   ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเครื่องประดับ เอาจากที่เห็นด้วยสายตาบวกกับราคาที่ติดเอาไว้แล้วผมก็มั่นใจว่ามันคงเป็นของมีคุณภาพไม่น้อย เพ่งตัวงานก็สวยไม่ค่อยมีข้อตำหนิที่เห็นชัด ไม่น่าใช่พวกทำออกมาเป็นโหล

   รสนิยมของอสูรนี่ไม่เลวเลย

   แต่ถ้าจะให้เอาเงินมาลงกับเครื่องประดับพวกนี้บ่อยๆ ก็ไม่ทำหรอกนะ ผมเอาไปทุ่มกับอุปกรณ์ทำสมุดเสียยังดีกว่า

   "...?"

   เพลิดเพลินไปกับการมองงานศิลปะชิ้นจิ๋วตรงหน้า จนไปหยุดอยู่ตรงต่างหูแบบห่วงมีปีกห้อยลงมา รายละเอียดของปีกแต่ละส่วนมากเสียจนผมต้องค่อยๆ ไล่ไปตามร่องรอยการดีไซน์ มันควรจะเป็นเครื่องหมายของเทวดาหรือไม่ก็นางฟ้า แต่พอคนออกแบบเลือกที่จะใช้สีดำในการย้อมมันเลยกลายเป็นเครื่องหมายของความชั่วร้ายได้เช่นกัน

   คิดไปเองว่าคงไม่มีใครห้ามให้หยิบขึ้นมาพินิจดูอีกครั้ง ผมยกมันขึ้นในระดับสายตา ให้ส่วนปีกขยับไปมาตามกฎของแรง ความละเอียดอ่อนของมันมากเสียจนไม่แปลกใจเลยที่ราคาสูง

   "ชอบคู่นี้เหรอ?"

   เจอการจู่โจมระยะประชิดบ่อยจนเลิกสะดุ้งแล้ว 

   "ไม่" วางมันลงในกล่องตามเดิม หันมามองดูว่าธชาได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือยัง "เสร็จแล้วใช่ไหม"

   "พี่ครับ ถ้าเจาะหูด้วยเลยได้ไหม"

   แต่ดูเหมือนว่าเรากำลังคุยคนละเรื่องกันอยู่ล่ะ

 

   "หน้าซีดแล้วนะ" ตอนแรกผมบอกว่าเสียงของเจ้าของร้านมันอบอุ่นเหรอ มันกลายเป็นข้อความเสียงจากมัจจุราชไปแล้ว "ชา มาให้กำลังใจหน่อยเร็ว"

   สภาพของผมตอนนี้คือกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวตัวสูง ด้านขวาคือชายผู้ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการทำความสะอาดเครื่องประดับด้วยแอลกอฮอล์เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างรูบนใบหูของผมอยู่ อย่าถามว่าเกิดผีเข้าอะไรขึ้นเลยยอมเจาะ ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

   อาจเป็นเพราะแค่คำว่า 'แฟร์เหมาะกับต่างหูอันนี้' เท่านั้นล่ะมั้ง

   "ไม่ได้หน้าซีดเลยเถอะ"

   ยังปากดีเถียงกลับไปได้อยู่ ผมบอกตัวเองว่าต้องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้มันลดลงไปอีกหน่อย ต่อให้ทั้งสองคนจะรับรองว่าเจาะตรงใบหูมันไม่รู้สึกเท่าไหร่ก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี แค่โดนเข็มจิ้มยังเจ็บแล้วนับประสาอะไรกับการเอาของแหลมคมชิ้นหนึ่งแทงจนทะลุ

   "หืม งั้นเปลี่ยนไปเจาะตรงกระดูกไหม"

   คนขายยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่ม พอธชาบอกว่าจะให้เจาะก็เสนอไอเดียขึ้นมาว่าจะทำทั้งทีก็ซ่าให้สุด เอาตรงส่วนกระดูกที่ต้องใช้เข็มช่วยไปเลย อารมณ์ประมาณว่าตอนที่ยังมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะทำก็จงงัดมันออกมาให้เต็มที่

   "เจาะตรงนี้ไปแหละ"

   "ได้ๆ นี่ก็ไม่ได้เจาะด้วยมือมานานแล้วนะเนี่ย"

   และความเปรี้ยวอีกอย่างของผมก็คือจะไม่ใช้เครื่อง แต่จะเป็นการเจาะด้วยมือแบบวิธีดั้งเดิมที่มีอุปกรณ์ไม่กี่อย่าง นำมาด้วยยาหม่องแล้วก็ตัวต่างหู มีของเสริมเป็นแอลกอฮอล์ที่เอาไว้ฆ่าเชื้อก่อนที่จะใช้มันแทงทะลุเข้าไปในเนื้อของผม

   ก็พี่เขาดันเล่าว่าธชาเองก็ใช้วิธีการเจาะมือ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นพวกถือทิฐิบ้าศักดิ์ศรีไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   นั่งมองอะไรไปเรื่อยระหว่างรอ จนมาสะดุดตากับรอยสักตรงข้อพับด้านในของคนตรงหน้า "นี่สัญลักษณ์ของอะไรเหรอครับ"

   "นี่เหรอ" พี่ช่างสักชี้ไปตรงดอกไม้ดอกสวยตรงข้อแขน มันเป็นรอยสักแบบสีที่ลงด้วยโทนชมพูทั้งหมด จะบอกว่ามันดูหัวใจคิตตี้ต่างจากใบหน้าของเขาก็ได้ "ดอกไม้อะ ชื่อเดอะพิงก์"

   "ไม่เคยได้ยินเลย"

   "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของจริงเป็นแบบไหน"

   เสียงหัวเราะคิกคักเล็กแหลมจนถ้าไม่เห็นหน้าคงคิดว่าเป็นสาวน้อยน่ารัก ผมมองเขาเล็งตำแหน่งที่จะเจาะผ่านกระจกตั้งโต๊ะบานเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ตอนถูกถามว่าอยากได้ตำแหน่งอะไรประมาณไหนก็ตอบกลับไปแค่ว่าเอาที่พี่เขาคิดว่าดีเลย

   "นี่อยากส่องกระจกใกล้กว่านี้หน่อยปะ ถอดแว่นแล้วยังมองเห็นชัดอยู่ไหม"

   "เท่านี้ก็ได้ครับ ยังเห็นอยู่"

   "แสดงว่าสั้นไม่เยอะล่ะสิ พี่เคยมีลูกค้าที่สายตาสั้นแต่อยากเจาะมาก ต้องใช้วิธีถ่ายรูปให้ดูว่าตำแหน่งจะอยู่ประมาณไหน โคตรยุ่งยาก"

   "แล้วทำไมพี่ถึงสักลายนี้เหรอครับ" อย่างที่ใครเคยบอกว่าการสักมันเป็นการเล่าเรื่องราวอย่างหนึ่ง แค่เปลี่ยนจากการขีดเขียนบนแผ่นกระดาษเป็นผิวหนังของมนุษย์เท่านั้นเอง

   "แฟนเก่าของพี่เคยวาดเอาไว้ประกอบงานธีสิสก่อนที่จะเลิกเพราะเราเห็นตรงกันว่าได้เวลาเลิกแล้วอะ"

   "..."

   ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรสะกิดใจคำว่าแฟนเก่าหรือได้เวลาเลิกแล้วดี คือทุกอย่างในประโยคนั้นเป็นแค่การบอกเล่าที่ดูทั่วไป ประมาณว่าถามเมื่อวานกินอะไรแล้วพี่เขาก็บอกว่าไปกินชาบูที่ไม่อร่อยมา

   "จำเนื้อเรื่องเต็มไม่ค่อยได้ล่ะ นี่เขาก็ดีไซน์ออกมาเองว่าไอ้ดอกที่ชื่อเดอะพิงก์นี่ควรเป็นแบบไหน"

   มันเป็นงานจบของแฟนเก่าที่เรียนสถาปัตย์ เลือกที่จะออกแบบดอกไม้แบบลายเส้นจากตำนานหรือไม่ก็เรื่องที่มีอยู่แล้ว ดูมาทุกลายแล้วชอบเจ้าดอกนี้มากที่สุดเลยเอาไปสัก ใช้สีชมพูให้เข้ากับชื่อเรื่อง

   "บางคนก็บอกว่าเป็นดอกคาเนชัน แต่แฟนเก่าพี่บอกมันไม่เท่เลยสร้างใหม่เอง ประมาณว่าเจ้าชายเป็นคนที่ถ้าพูดอะไรก็จะเป็นอย่างที่ขอ ดอกไม้นี่เป็นผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในคำขอของตัวเองเหมือนกัน"

   "...อีกรอบได้ไหมครับ"

   ไม่คิดว่าเจ้าดอกชื่อแปลว่าสีชมพูจะมาจากเรื่องที่มีสตอรี่ประหลาด ต้องเหงาขนาดไหนถึงสร้างผู้หญิงขึ้นมาให้อยู่กับตัวเองเนี่ย

   "ก็เจ้าชายได้รับพรวิเศษว่าขออะไรก็จะเป็นจริง ตอนเด็กเลยมีคนลักพาตัวไป ราชินีก็โคตรซวยโดนสามีตัวเองจับให้อดตายบนหอคอยโทษฐานไม่ดูแลลูก พอโดนจับไปเจ้าชายก็ถูกบังคับให้สร้างปราสาทแล้วก็สร้างเด็กหญิงขึ้นมา แต่คนทำผิดกลัวไง เลยจะให้เด็กผู้หญิงฆ่าเจ้าชาย สุดท้ายก็ไม่ได้ฆ่าแล้วก็ขอพรให้คนร้ายกลายเป็นหมา ส่วนเด็กผู้หญิงก็กลายเป็นดอกเดอะพิงก์เก็บเอาไว้ในกระเป๋าระหว่างเดินทางกลับเมือง”

   เล่าอย่างนี้ค่อยเข้าใจได้หน่อย พอบอกแค่ว่าเด็กผู้หญิงเป็นพรที่ขอมาแล้วดูเป็นพวกหื่นกามขึ้นมาทันที

   “ก็นั่นแหละ กลับเมือง เล่าเรื่องให้พระราชาฟังแล้วก็ปล่อยราชินีออกมา เออลืมเล่า คือราชินีแม่งไม่ตายเพราะมีเทวดาช่วยเอาอาหารมาให้ตลอด แต่พอออกมาแล้วคิดว่าเดี๋ยวเทวดาก็ยังช่วยให้อิ่มเลยไม่กินอาหาร สรุปสามวันต่อมาตาย แล้วราชาก็ตรอมใจตายตาม เย้”

   จะสะดุดใจก็ตรงคำสุดท้ายนี่แหละ...

   "เจ็บก็จับมือเอาไว้"

   สัมผัสได้ถึงน้ำหนักตรงช่วงตัก ผมขยับแค่ช่วงตาเพราะพี่เขาเริ่มเอายาหม่องมานวดบริเวณใบหูแล้ว กลิ่นฉุนของสมุนไพรหลายชนิดพาลให้คิดถึงคนเฒ่าคนแก่ในครอบครัว อย่างคุณย่าของผมนี่ชอบนักแหละ แสบจมูกจะตายไป

   "ไหว"

   "หน้าซีดมากเลยนะ" ผมล่ะเบื่อคนช่างเสริม ที่เห็นตัวเองในกระจกก็ไม่ได้ซีดขนาดนั้นสักหน่อย

   "แสงไฟต่างหาก"

   เถียงกลับไปข้างๆ คูๆ ก็เห็นอยู่ว่าแสงที่มีมันสว่างจ้าเสียจนไม่เห็นว่ามันจะช่วยประหยัดไฟตรงไหน

   "นี่ชอบความใจเด็ดนะ คนที่เพิ่งเจาะรูแรกชอบแพนิกกัน กลัวเจ็บไปก่อนล่วงหน้า"

   "เหรอครับ"

   "พี่เคยเจอแบบที่จะลงแรงไปแล้วเปลี่ยนใจไม่เจาะด้วยนะ เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ โคตรจี้" อาชีพของพี่เขาก็น่าสนใจตรงที่ได้เจอผู้คนหลากหลายประเภทนี่แหละ ซึ่งไม่เหมาะกับลักษณะนิสัยของผมเลยสักนิด "แฟร์ไม่กลัวเจ็บบ้างเหรอ"

   "คิดว่าผ่านความเจ็บที่สุดในชีวิตมาแล้วน่ะครับ"

   "เหยด โคตรเท่ เรื่องอะไรอะ"

   "ใครจะบอก" นึกถึงเรื่องราวที่ตนเองเคยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง การเลือกทางเดินที่นำไปสู่ตอนจบแบบที่ไม่ต้องการ "คนเราก็ต้องมีช่วงเวลาเห็นแก่ตัวจนตัดสินใจผิดพลาดกันบ้างแหละ"

   หัวเราะในลำคอ ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงของแหลมทะลุผ่านเข้าไปในผิวเนื้อ ผมยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมระหว่างที่พี่เขาจัดการปิดห่วงต่างหูให้เรียบร้อย กะพริบตาสร้างความมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว

   มันไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก

   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไร

   "พี่ประทับใจวะ ไม่เคยเจอลูกค้าแบบน้องเลย"

   "แบบผม?" หยิบแว่นกลับมาสวมตามเดิม ขยับช่วงศีรษะนิดหน่อยพอให้ต่างหูมันขยับไปมา แอบหนักอยู่เหมือนกัน "มันก็ไม่เจ็บอย่างที่พี่บอกจริงๆ แหละครับ"

   เอาแต่คุยเล่นด้วยเลยไม่มีเวลาไปสนใจ ผมจำความรู้สึกตอนที่เข็มเจาะผ่านเนื้อเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

   "จำไว้ว่าห้ามกินพวกไข่กับหน่อไม้สามวันนะ"

   "หา?"

   คุยยังไม่จบดีเสียงที่สามก็แทรกขึ้นมา ใบหน้าจริงจังของธชากับข้อห้ามหลังจากเจาะหูมันดูเข้ากันไม่ค่อยได้จนผมสงสัย จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะพรืดของเจ้าของผลงานที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนหูของผม

   นอกจากหนักมันยังรั้งแปลกๆ อีกด้วย

   "อย่าหลอกเพื่อนอย่างนั้นสิ"

   "เรื่องจริง มีคนเคยหูอักเสบเพราะกินไข่เจียวหลังจากเจาะหู"

   "..."

   "ไม่เชื่อลองเปิดกูเกิลดูก็ได้"

   "..."

   ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าธชานี่ก็มีมุกไม่ฮาพาเครียดเหมือนกัน

   "ถ้าไม่เชื่อก็กินไป เดี๋ยวจะรอใส่ยาให้"

   "นี่ก็ไม่เลิก หลังเจาะพี่ยังพาไปเลี้ยงมื้อใหญ่อยู่เลย" เป็นบุญตาที่ได้เห็นคนกล้าเล่นหัวอสูรต่อหน้า "เจาะเมื่อไหร่นะชา ช่วงก่อนเข้ามหาลัยใช่ไหม?"

   "หลังเข้าไปประมาณเดือนหนึ่ง"

   ถึงว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็น ผมไม่เคยสังเกตว่าต่างหูดีไซน์สวยแปลกมันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้มาเห็นจริงจังก็ช่วงที่ต้องทำงานด้วยกันนี่แหละ

   "ตอนนั้นบอกพี่ว่าเจาะเพราะอะไรนะ?"

   "เอาไว้ย้ำว่าเคยเจ็บกับอะไรมา"

   คงดึงตัวเองออกมาอยู่นอกวงสนทนาได้อย่างสนิทใจ ถ้าประโยคนั้นเขาไม่ได้เอ่ยตอนที่สบตากับผมอยู่...

   นัยน์ตาของอสูรเปลี่ยนสีไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อกระทบกับแสงไฟ ช่วงตาคมเรียวสวยส่งข้อความบางอย่างที่ดูแล้วไปกันไม่ค่อยได้กับคำอธิบาย

   "อ้อ ที่เคยเจาะแล้วก็ต้องเอาออกเพราะคุณครูไม่ให้"

   "ใช่ เจาะตอนฉลองขึ้นม.ปลาย"

   ลองนึกต่อไปแล้วก็ตลกดีที่เห็นภาพธชายืนทำหน้านิ่งระหว่างฟังครูเทศนาเรื่องไม่ให้ใส่เครื่องประดับไปเรียน ปากก็บอกครับๆ แต่คงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ

   "ตอนนั้นมันเล่นใหญ่กว่านี้อีก แบบบาร์เบล"

   หน้าของผมคงแสดงออกชัดว่าไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะทางจนช่างสักบวกช่างเจาะหันข้างแล้วเอามือระบุตำแหน่งให้ "เจาะสองรูแล้วใช้แบบแท่งดามไปน่ะ"

   ใบหน้ามีปฏิกิริยาตอบกลับโดยพลัน ผมทั้งเบ้ปากแล้วก็ทำหน้าสยดสยองกับตำแหน่งการเจาะ ทำไมคนเราต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บด้วยนะ

   "เสียดาย แต่ก็ไม่อยากเจาะใหม่ที่ตำแหน่งเดิม" เขาส่งแบงก์สีเทาสองใบไปให้เจ้าของ ผมลืมถามเลยว่านอกจากค่าต่างหูแล้วยังมีค่าบริการเจาะไหม "คิดไปทั้งหมดเลยนะครับ"

   เลยชะโงกหน้ากลับไปดูราคาต่างหูของตัวเอง ทดเอาไว้ในใจว่าจะต้องคืนเท่าไหร่บ้าง

   "เอาแค่ค่าต่างหูไม่คิดค่าเจาะแล้วกัน เนื่องในโอกาสแฟนชาน่ารัก"

   ทำได้เพียงส่งรอยยิ้มจางไปให้ ซ่อนความหน่วงที่แทรกเข้ามาในความรู้สึกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ใต้ใบหน้าปกติ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรตอนที่พี่เขาพูดคำนั้นออกมาผมถึงเกือบหลุดหัวเราะด้วยความสมเพช

   ธชาเดินออกจากร้านไปก่อนแล้ว และเป็นผมที่ก้มหัวแทนคำขอบคุณอีกครั้งก่อนที่จะปิดประตูกระจกบานใหญ่ลง ภาพสะท้อนกลับมาคือกาลวินท์คนเดิมพร้อมเครื่องประดับชิ้นใหม่ตรงใบหู ส่วนอย่างที่สอง...

   "..."

   ตาฟาดไปหรือเปล่านะ

   อสูรเลือดเย็นกำลังยิ้มอยู่อย่างนั้นเหรอ


***
   เจ้าเป็นมนุษย์ที่โชคดีเวลาเจาะหูค่ะ ไม่ว่าจะเจาะมือ เครื่อง หรือใช้เข็มมันก็ไม่ค่อยอักเสบเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ก็ใส่จริงจังแค่รูเดียวเองค่ะ ไม่รู้ตอนนั้นจะเจาะอะไรมากมาย (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบหก [29.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 29-01-2018 21:01:44
แปะไว้ก่อนนะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบหก [29.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 29-01-2018 21:10:16
รู้สึกอึ้งอ่ะ ทำไมพี่เจ้าของร้านรู้จักพวกเทพนิยายด้วยยย 5555 เริ่มรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่างแหละ เริ่มรู้สึกได้แล้ว แต่มันถูกตัดโดยความเอาแต่ใจของนังชา! แฟร์ไม่ชอบ ชาชอบ(บังคับ) สงสารแฟร์อ่ะ ไม่ได้อยากมากับเจาเลยแต่ดันโดนเจาะหูด้วยอีก วงวารรร :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบหก [29.1.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 31-01-2018 12:52:04
ทุกคนมีอดีตที่ไม่ยอมปล่อยมือ ดูท่าจะหนักหน่วงมากเลยอะถึงตองสร้างรอยรำลึกไว้กับตัว

หรือว่าแฟร์คือเพื่อนแชทคนนั้นของชา???  งือออเราอยากรู้ๆๆๆแฟร์ไม่ถามเลยอะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด [2.2.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 02-02-2018 20:08:29
เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด


   จำไว้ เจ้าจะเปิดเข้าไปในห้องไหนก็ได้ ยกเว้นแต่ห้องใต้ดิน
   - The Blue Beard

 

   รายงานของเราสองคนเสร็จลงไปเป็นที่เรียบร้อย ดูเหมือนว่ามันจะมีช่วงเวลาปลดปล่อยให้ได้มีความสุขบ้างใช่ไหมล่ะ แต่ความจริงแล้วคือไม่ใช่เลย พอทำงานเสร็จฝันร้ายที่เรียกว่าสอบกลางภาคก็ตามมาหลอกหลอนแบบไม่ทันได้เตรียมใจ

   และสัจธรรมอย่างหนึ่งของช่วงสอบคือสงครามแย่งชิงที่อ่านหนังสือ

   จากพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนตัวสำหรับเราสามคนก็ถูกรุกรานทีละน้อยจนกลายเป็นพื้นที่สาธารณะ ความเงียบสงบที่ผมเคยรักนักหนาถูกเสียงพูดคุยปรึกษาและติวหนังสือเข้ามาแทนที่จนเป็นผมเองที่ขอยอมแพ้

   จะไปหาที่นั่งอ่านที่ไหนให้มันได้ฟิลลิ่งนี้อีกนะ

   "แล้วแฟร์จะไปอยู่ไหนล่ะ"

   "ยังไม่รู้"

   ถึงจะบอกว่าต้องเริ่มตามหาที่อ่านใหม่แต่นี่มันก็เข้าวันที่สามแล้วที่ผมยังล่องลอยไปทั่ว ไม่ต้องพูดถึงละแวกตึกเรียนเพราะทุกพื้นที่มันถูกจับจองไปด้วยนักศึกษาผู้ต้องเผชิญกับการสอบเหมือนกัน แถวบ้านผมก็ไม่มีสถานที่เหมาะกับนั่งอ่านนานๆ จะให้ไปสิงร้านกาแฟทุกวันมันก็เปลืองเงินในกระเป๋าเกินไปหน่อย

   "ปกติอ่านเยอะแค่ไหนอะ"

   "เท่าที่คิดว่าพอแล้ว"

   ซึ่ง...ตามปกติแล้วต่อให้อยู่หน้าห้องสอบผมก็ไม่คิดว่ามันเพียงพออยู่ดี

   "โหย งั้นต้องรีบหาที่อ่านใหม่แล้วมั้ง"

   "ไม่ต้องรีบ อ่านที่บ้านก็ไม่ได้แย่อะไร"

   ผมว่าตัวเองยังโชคดีว่าบางคนตรงที่บ้านมีพื้นที่สำหรับการอ่านหนังสือโดยเฉพาะ แต่เข้าใจไหมล่ะ มันคือบ้านนะ ควรเป็นที่พักผ่อนไม่ใช่ที่อ่านหนังสือเรียนเสียหน่อย อีกอย่างคือถ้าเหนื่อยก็ลากสังขารขึ้นไปนอนบนห้องได้ง่ายเกินไป ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเวลาชีวิตหายไปเป็นกระบุง

   "แฟร์ต้องสตรองแค่ไหนถึงอยู่บ้านได้เนี่ย"

   "เขาเรียกไม่มีทางเลือกต่างหาก"

   "ก็ดีนะ นี่ต้องเร่ร่อนหาที่อ่านใหม่ตลอด"

   "แล้วคราวนี้คิดว่าจะไปไหน" เผื่อว่าจะมีไอเดียหาที่นั่งอ่านหนังสือใหม่ๆ บ้าง

   "อืม...ก็ต้องดูก่อน ปีที่แล้วมันเป็นตัวทั่วไปเลยอ่านกับชาบ่อย แต่ปีนี้ตัวคณะเยอะอาจต้องไปให้เพื่อนช่วยติว"

   "มีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอ?" สาบานเลยว่าผมไม่ได้หลุดปาก ตั้งใจพูดออกไปเลยล่ะ

   มันสนุกดีเวลาที่เห็นเขายิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากกลับมา "ถามตัวเองดีกว่าไหมแฟร์"

   "ก็ตอบได้เลยว่าไม่มีไง" ไม่ยี่หระกับความจริงที่ต้องยอมรับ "คนอย่างเราใครอยากมาเป็นเพื่อน"

   "เราเป็นเพื่อนให้ได้นะ บอกแล้วไงว่าเต็มใจ"

   ต่อให้ทำปากคว่ำจนกลายเป็นรูปตัวยูหรือว่ากลอกตาเป็นเลขแปดเขาก็ไม่สะทกสะท้านหรอก ซ้ำร้ายแล้วถ้าเชนินทร์ส่งยิ้มกว้างกลับมานั่นน่าระแวงกว่าอีก

   "ไม่ต้อง เกรงใจ"

   "ที่จริงคอนโดชามันก็มีห้องอ่านหนังสือนะ เห็นมันเคยบอกว่าจะลองไปดู"

   "ก็ไปสิ"

   ผมนึกไม่ออกว่าอยู่ส่วนไหน ไปกี่ครั้งก็ตรงขึ้นห้องเลยไม่ทันได้มีเวลาให้สำรวจพื้นที่ส่วนกลางที่เอาไว้ใช้สอยร่วมกัน

   "ไปกันไหมล่ะ ให้ชามันติวด้วย"

   "ไม่ดีกว่า ไกลบ้าน"

   มันเดินทางไม่สะดวกจริงอย่างที่บอกไป ตื่นเช้ามาเรียนปกติผมยังทรมานจะแย่ แล้วสำคัญที่สุดเลยคือผมไม่ยอมเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหรอก พอแล้วกับห้องของธชา ไปทีไรก็เอาแต่คิดถึงตู้ชั้นวางที่มีก้านดอกไม้แห้งเหี่ยววางอยู่

   "ก็ไปค้างสิ มีห้องว่างอยู่แล้ว"

   "ไม่อยากไป"

   บอกไปง่ายๆ ตรงๆ พูดอ้อมโลกแล้วไม่เข้าใจก็ต้องใช้ระยะทางกระจัดอย่างนี้

   "จะไปค้างสินะ เดี๋ยวบอกชาให้ มันไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ" บุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจยิ้มระรื่นราวกับว่าระบบการได้ยินของเขามีการทำงานที่ตรงข้ามกับคนทั่วไป อะไรที่ทำให้คำว่า 'ไม่อยากไป' กลายเป็นว่าผมเต็มใจจะไปค้างเสียได้ "สักสัปดาห์กำลังดีเนอะ หรือว่าไปค้างอีกคนด้วยดี"

   "นี่..."

   "ทักแชตไปแม่งไม่ตอบอีกแหง โทรดีกว่า"

   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผมปรับตัวไม่ทัน เชนินทร์ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง นิ้วโป้งกดไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจอรวดเร็วก่อนที่จะยกขึ้นแนบหู "บางทีก็อยากจะถามชาว่ามันจะมีไลน์ไว้ทำไมถ้าไม่คิดจะเปิดเข้าไปอ่าน"

   "ทำไมธชาถึงไม่ชอบตอบแชตเหรอ"

   มันเป็นการเสี่ยงที่ผมไม่มีเวลาคิดก่อนตัดสินใจ เชนเคยเกือบหลุดปากเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง แล้วตอนนี้ดูเหมือนว่ามันเป็นจังหวะที่เหมาะสม การที่อีกฝ่ายต้องแบ่งสมาธิไปสนใจอย่างอื่นด้วยมันอาจจะช่วยให้บางเรื่องออกจากปากได้ง่ายขึ้น

   "เพราะไม่รู้ว่าตัวอักษรพวกนั้นมันจริงใจแค่ไหนล่ะมั้ง เอาเข้าจริงแล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุยอยู่กับใคร"

   "..."

   "แม่งไม่รับ เดี๋ยวค่อยโทรใหม่"

   "เชน..."

   "พอสอบเสร็จก็จัดปาร์ตี้ฉลอง เพอร์เฟกต์สุดๆ" การขยับยิ้มให้ความมั่นใจบอกผมว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ "มันต้องเป็นการติวหนังสือที่สนุกมากแน่เลยล่ะ"

   

   มันเลยกลายเป็นว่าผมได้มาเข้าค่ายติวหนังสือเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนเริ่มสอบตัวแรก

   "รองเท้าของแฟร์อยู่ในถุง"

   วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีเทาเข้มของตัวเองตรงข้างขอบประตูห้องนอนเล็ก ด้วยความที่เคยเข้ามาแล้วหลายครั้งก็เลยไม่มีอาการประดักประเดิกอย่างเช่นครั้งแรกเมื่อตอนมากับชินา

   ผมมองตามทิศทางการชี้ของธชาไปยังพื้นที่วางรองเท้า ส่วนของชั้นวางเต็มไปด้วยรองเท้าหลายแบบที่เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์แตกต่างกัน มีถุงพลาสติกสีชมพูสกรีนลายแมวไร้ปากเอาไว้วางอยู่โดดเดี่ยว ผมเอื้อมมือไปหยิบมันพร้อมกับเปิดดูของข้างใน มันคือรองเท้าใส่ในบ้านลายเพนกวินสีดำจอมเอาแต่ใจ ปากสีเหลืองเบะคว่ำราวกับคนเบื่อโลกตลอดเวลา

   เหมือนตอนที่ผมทำหน้าเหนื่อยใส่ธชากับเชนเลย

   "ขอบคุณ"

   มนุษย์มีการเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ ผมเลยตามน้ำด้วยการแกะมันออกมาใส่โดยไม่ปฏิเสธให้เสียเวลาเปล่าอีก ไซซ์เอ็กซ์แอลพอดีกับช่วงเท้า ความนุ่มของมันมากเสียจนผมรู้สึกผิดที่เพิ่งได้รู้จักสิ่งประดิษฐ์นี้

   "โหย ทำไมแฟร์ได้แบดแบด แต่กูต้องใช้กิกิลาลาวะ"

   เจ้ากิกิอะไรนั่นคงเป็นชื่อของเทวดาฝาแฝดสีชมพูฟ้าที่ผมใช้คราวก่อน และมันก็อยู่ตรงเท้าของเชนเวลานี้

   "มึงก็โทษตัวเองที่บอกให้ชินาเลือกสิ"

   ซ่อนยิ้มเอาไว้กับตัวเอง ถึงว่าทำไมเชนถึงใช้รองเท้าลายมุ้งมิ้งไม่เข้ากับนิสัย เอาแค่ในแง่การเป็นพี่ชายบางมุมเชนน่ารักกับน้องสาวคนเดียวมากเลย ตั้งแต่ตามใจพาไปไหนมาไหน แล้วนี่ยังใส่รองเท้าให้คล้ายกันอีก

   "ตอนซื้อแม่งมีตั้งหลายแบบ ใครจะคิดว่าน้องกูจะเลือกลายนี้"

   "รับกรรมที่ตามน้องไม่ทันไปซะ" เจ้าของห้องเดินสวนไปมาเพื่อเก็บของบางอย่างที่เกะกะตามพื้นและเก้าอี้ เคลียร์พื้นที่ให้คนสามคนอยู่สะดวก "แล้วใครจะนอนห้องเล็ก"

   แต่การมาครั้งนี้มีการเปลี่ยนตัวจากเด็กหญิงชินานางเป็นนายเชนินทร์แทน เชนไม่ได้เข้าร่วมการทบทวนบทเรียนก่อนสอบเพราะเนื้อหาที่เราใช้เรียนมันต่างกันคนละโลก เขาแค่ใช้ที่นี่เป็นสถานที่เก็บของแล้วก็กลับมานอนเท่านั้น ไปกลับจากบ้านไม่ไหวเพราะไกลจากตัวเมืองพอสมควร

   "กูสิ ตารางชีวิตไม่นิ่งขนาดนี้" เป็นเชนที่ตะโกนออกมาจากส่วนของห้องครัว ก่อนที่จะอธิบายเสริม "ไม่รู้จะกลับเวลาไหน ให้นอนกับมึงก็รบกวนเปล่าๆ"

   "ก็จริง"

   ห้องเล็กก็คือที่พักพิงครั้งที่แล้วของผมนั่นแหละ และที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกคือจะมานอนค้างห้องนั้นต่อ ดูเหมือนสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้จะไม่ได้มาง่ายๆ แล้วแฮะ

   "เราอยากนอนห้องเล็ก"

   ก็ต้องลองสักตั้ง แค่ต้องมาอยู่กับธชาเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ก็แย่แล้ว ถ้าต้องร่วมเตียงกันด้วยมันจะใจร้ายเกินไป

   "ห้องชามีสองเตียง แต่มีสามคน และเราเป็นคนไม่ชัวร์เรื่องเวลากลับที่สุด"

   คนที่ตารางเวลาไม่แน่นอนที่สุดเดินมาเผชิญหน้ากับผม ท่าทางและสายตาที่ส่งกลับมาดูไม่มีพิษภัยต่างกับมือที่กำลังกระชับข้อแขนของผมไว้แน่นจนเกือบเป็นการรัด

   เนี่ย ที่มาของคำว่าบีบบังคับ

   "แล้วที่บ้านไม่ว่าใช่ไหมที่ต้องมาค้างเป็นสัปดาห์อย่างนี้"

   ยกไหล่ไม่ซีเรียสอะไร "อยู่คนเดียวอยู่แล้ว"

   "อ้าวเหรอ งั้นไว้ไปนอนบ้านแฟร์บ้างดีกว่า" ผมทำตาถลึงใส่ เจ้าของบ้านทำหน้าไม่รับแขกอยู่อย่างนี้แล้วยังกล้าขออีก "กูไปล่ะ พวกมันนัดเอาไว้ตอนสิบโมง"

   "ไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้"

   มุมปากของคนไม่น่าเข้าใกล้ขยับขึ้นเล็กน้อย "ต่างหูสวยดีนะ"

   ผมบอกว่าตัวเองเกลียดเชนไปแล้วกี่ครั้งกัน

   

   ชีวิตเด็กหอก็ต้องพึ่งอาหารจากข้างนอกเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ

   ต่อให้มันทั้งแพงแล้วก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่เพื่อความสะดวกบวกกับไม่ต้องเสี่ยงกับรสมือของตัวเองแล้วมันก็หักลบกันได้อยู่

   "ยาโยอิ จะกินอะไร"

   "ข้าวหน้าไก่แกงเขียวหวานของเคเอฟซีไม่ได้เหรอวะ"

   และวันนี้คนที่บอกว่ากลับห้องไม่เป็นเวลาก็ทำตัวว่างอยู่ห้องตั้งแต่เช้า เชนบอกว่าออกไปสู้รบกับหนังสือมาติดต่อกันตั้งสามวันแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ให้ทั้งสมองแล้วก็ร่างกายได้พักผ่อนบ้าง ถ้าใช้งานมันหนักจนเออเร่อก็คงไม่ดีเท่าไหร่

   "อยากกินอย่างอื่นก็สั่งเอง"

   "แต่ถ้ามึงสั่งคนออกเงินก็จะไม่ใช่กูไง"

   "งั้นก็เลือกมาว่าเอาข้าวอะไร"

   เมื่อไหร่ธชาจะเลิกทำตัวเป็น 'สายเปย์' สักที ถึงเชนจะคอยย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าได้อยู่กับเขาแล้วไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองมากเท่าไหร่ เหมือนกับว่าเงินที่มีใช้ไปกับเรื่องของกินแล้วก็หนังสือเท่านั้น

   "กูอยากแดกข้าวหน้าเนื้อ"

   "อย่างอื่น?"

   "มึงอยากจ่ายอะไรก็ตามใจเลย"

   เอาเข้าจริงการได้มีช่วงชีวิตวัยรุ่นอย่างนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ พวกปาร์ตี้อาหารเย็นกับเพื่อนหรือไม่ก็หาเรื่องทำอะไรทานเองง่ายๆ แบบที่ต้องมานั่งลุ้นกับรสชาติอีกที

   เพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่าผมเลยฆ่าเวลาในการรออาหารเย็นด้วยการเดินออกไปนั่งมองต้นไม้สีเขียวที่ไม่ได้สังเกตว่ามีเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเป็นไม้แบบพุ่มขนาดกลางเหมาะสำหรับวางไว้ที่ระเบียง ที่วางอยู่ด้านข้างก็คือถุงปุ๋ยขนาดเล็กเขียนสรรพคุณและวิธีการใช้เอาไว้

   "ออกมานั่งอย่างนี้เดี๋ยวยุงก็กัดหรอกแฟร์"

   "นี่ต้นอะไรเหรอ" นิสัยที่ติดมาจากการดูแลสารพัดต้นไม้รอบบ้าน ถ้ามันน่าสนใจก็จะได้ไปหามาลงเพิ่ม

   "ไม่รู้"

   "อ้าว?"

   "เห็นคนเข็นต้นไม้ขาย ชอบก็เลยซื้อ"

   "...อย่างน้อยก็ควรถามชื่อให้รู้วิธีการเลี้ยงไหมล่ะ"
   
   "ให้น้ำไปมันก็ไม่ตายแล้ว"

   นั่นมันตำราการเลี้ยงต้นไม้ฉบับไหนกันนะ ผมชักจะสงสารต้นสีเขียวพวกนี้ที่ต้องมีเจ้าของไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้แล้วสิ

   "ต้นไม้มันต้องการการดูแลนะ รักและเอาใจใส่น่ะ"

   "เราเคยใส่ความรักลงไปเยอะมากเลย แต่สุดท้ายมันก็ตายอยู่ดี"

   "..."

   ทำไมนะ

   เขาถึงชอบโยงทุกอย่างให้กลับเข้ามาเป็นเรื่องประมาณนี้ได้ทุกที

 

   และในท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องระเห็จตัวเองมานอนอยู่ในห้องของธชาจนได้

   หลังจากที่พยายามยื้อแย่งกันมาอยู่หลายวัน เชนก็แสดงความเป็นเจ้าของโดยการโยนของใช้ทั้งหมดไปไว้บนเตียง ตั้งแต่เสื้อผ้าไปถึงกระเป๋าเดินทาง หนังสือเรียน กองเอกสารเอาไว้อ่านเพิ่มเติม แล้วก็สารพัดของที่เขาพอใจจะวางเอาไว้ ดูจากสภาพแล้วมันไม่ควรเรียกว่าเตียงนอนแล้วด้วยซ้ำ

   "ให้เรานอนฝั่งไหน"

   ตอนเห็นชินานอนมันก็ดูเหลือพื้นที่ว่างเยอะอยู่แหละ นั่นมันเด็กไม่กี่ขวบไง ดูขนาดตัวของผมก่อน

   "เอาที่สะดวกเลย"

   เกือบอ้าปากเพื่อจะบอกว่าเจ้าของห้องควรจะเลือกก่อน มันหุบลงพลันเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันมองไปเห็นบางสิ่งก่อน

   "...งั้นฝั่งขวานะ"

   หรือฝั่งที่ติดประตูมากกว่า ก็ถ้าเป็นทางซ้ายมันสามารถมองเห็นตู้โชว์สุดท้ายได้ชัดเจนจนเกินไป

   ก้านดอกไม้ไร้กลีบและไม่อาจตามหาความเป็นมา

   มันไม่เหมือนกับเรื่องเล่าของโฉมงามและเจ้าชายอสูร ที่ดอกกุหลาบนั้นจะโรยราไปตามกาลเวลา หากพบรักแท้ก่อนที่กลีบสุดท้ายจะร่วงหล่นก็จะคืนกลับเป็นมนุษย์ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องทรมานอยู่ในร่างอสูรไปตลอดกาล

   แล้วดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวไปหมดเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่าอสูรนั้นจะไม่มีทางกลับคืนร่างเป็นเจ้าชายรูปงามอีกแล้วหรือเปล่า

   "งั้นปิดไฟเลยนะ"

   "อืม"

   แสงสว่างที่เคยอยู่รอบตัวถูกความมืดกลืนกินในวินาทีถัดไป ผมขยับตัวมาชิดกับเตียงฝั่งหนึ่งให้มากขึ้นเพื่อที่ว่าจะได้ไม่เป็นการรบกวนเจ้าของห้องมากเกินไป ได้ยินเสียงลากรองเท้าเดินในบ้านใกล้เข้ามาจนมันหายไปพร้อมกับเตียงที่ยุบตัวลงเล็กน้อย ตามมาด้วยการจัดหมอนและผ้าห่มให้เหมาะกับการนอน

   "เราควรจะลาก่อนนอนด้วยคำว่าอะไรดี"

   เป็นธชาที่เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาในความเงียบที่มีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศปนไปกับเสียงเครื่องยนต์จากภายนอก

   "ไม่ต้องลา จะได้ไม่ต้องคิด"
   
   "เจอกันตอนเช้า"

   "..."

   เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนนั่นไม่ทำให้สะกิดใจได้เท่าคำกล่าวแทนการราตรีสวัสดิ์...ที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ต่างกันที่ตอนนั้นมันมีคำอื่นต่อท้ายอีกนิดหน่อย และมันก็เป็นเรื่องดีที่เขาตัดออก

   "เป็นคำที่ดีนะ"

   "ไม่" สวนกลับไปพลันตามความรู้สึก

   "ทำไมล่ะ"

   "..."

   อยากจะตีความไปกี่แง่ก็เรื่องของเขาเลย ผมปล่อยให้สามารถวิเคราะห์ได้โดยอิสระ

   "งั้นถ้านอนไม่หลับ เดี๋ยวจะอ่านนิทานให้ฟัง"
   
   "นิทาน?"

   "ซื้อมาเผื่อเอาไว้ เวลาชินามานอนด้วยจะได้หลับง่ายๆ"

   จำได้ที่ชินาเคยบอกว่าแวะมาบ่อยครั้ง นี่ก็เป็นเพื่อนพี่ชายที่ประเสริฐเหลือเกิน

   "เรื่องอะไรล่ะ" รู้ระบบการทำงานร่างกายของตัวเองดีว่ายังไงก็คงนอนไม่หลับง่ายๆ "จะแฟนตาซีได้เท่าเรื่องที่ชินาชอบหรือเปล่า"

   "ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็ยังไม่เคยเปิด"

   "งั้นก็ลองอ่านเป็นรอบซ้อมไปแล้วกัน"

   เรื่องของชายผู้ร่ำรวยที่ชื่อ Blue beard บางคนก็แปลไทยว่าเจ้าเคราสีน้ำเงิน ซึ่งมันดีกว่าเจ้าเคราสีฟ้าอะไรทำนองนั้น แม้จะเป็นชายที่แสนร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตามเขากลับอับโชคเรื่องความรัก ไม่ว่าจะแต่งงานกี่ครั้งต่อกี่ครั้งภรรยาก็มักหายตัวไปอย่างลึกลับเสมอ

   ต่อมาชายเคราน้ำเงินได้เดินทางไปพบกับพี่น้องสาวสวยคู่หนึ่ง เขาได้ชักชวนให้เธอทั้งคู่มาเป็นภรรยาของตน และทั้งคู่ต่างปฏิเสธข้อเสนอเสียเนื่องจากข่าวลือเรื่องของภรรยาคนก่อนๆ เพื่อเป็นการชักจูงให้คู่พี่น้องใจอ่อน ชายเคราน้ำเงินจึงจัดงานเลี้ยงที่บ้านของตัวเองเสียใหญ่โต เมื่อหญิงคนน้องพบว่ามันไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้ทีแรก เธอจึงตกลงที่จะแต่งงานกับเขา

   "ง่ายจัง แค่รวยก็ยอมแต่งแล้ว"

   "ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่นี่"

   เสียงของธชาทุ้มเป็นกราฟเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมว่าเขาเหมาะกับการอ่านนิทานอะไรทำนองนี้มากเลยนะ เสียงที่ไม่ต่ำจนระคายหูเกินไป การออกเสียงชัดเจนไม่ค่อยติดขัด แถมยังรู้ว่าตรงไหนควรจะเว้นจังหวะเพื่อให้อารมณ์มันต่อเนื่อง ชินาฟังแค่ไม่กี่หน้าผมว่าก็พร้อมหลับแล้วล่ะ

   ต่อมาไม่นานเศรษฐีจำต้องออกเดินทางไกล เขาจึงมอบพวงกุญแจห้องเก็บสมบัติพวงหนึ่งให้กับเธอเอาไว้ โดยบอกว่าสามารถเปิดเข้าไปใช้ห้องได้ตลอด นอกจากนั้นเขายังมอบกุญแจดอกเล็กอีกหนึ่งดอกสำหรับไขห้องใต้ดินเอาไว้ โดยกำชับว่าเธอห้ามใช้กุญแจดอกนี้อย่างเด็ดขาด

   เมื่อการเดินทางของชายเคราน้ำเงินเริ่มต้นขึ้น เหล่าเพื่อนฝูงของน้องสาวคนเล็กก็เข้ามาพิสูจน์ถึงความร่ำรวย ในปราสาทพวกเขาออกสำรวจความหรูหราในทุกพื้นที่ นั่นเลยทำให้เธอคับข้องใจเหลือเกินว่าห้องที่สามีของตนห้ามไม่ให้เข้าไปใช้นั้นมีอะไรซ่อนเอาไว้กันแน่

   ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงใช้กุญแจดอกเล็กไขเข้าไปยังห้องปริศนา และเธอก็ได้พบกับความลับที่ซ่อนเอาไว้ พื้นห้องนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดและซากศพของเหล่าภรรยาคนก่อนๆ ของเศรษฐี ด้วยความตกใจเธอเผลอทำกุญแจห้องตกลงไปในกองเลือด และไม่ว่าจะพยายามเช็ดมากแค่ไหนคราบเลือดก็ไม่ยอมเลือนหายไป

   เรื่องทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อชายเคราน้ำเงินเดินทางกลับมากะทันหัน และความลับไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีกต่อไปเมื่อเขาพบว่ากุญแจดอกเล็กที่สุดมีคราบเลือดติดอยู่ หญิงสาวยอมรับผิดและขอเวลาสวดมนต์ภาวนาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกสังหาร และระยะเวลาที่ได้รับเธอต่อชีวิตของตัวเองด้วยการเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่สาวฟัง

   "พี่สาวมาจากไหน?"

   ตอนแรกก็ฟังไปเรื่อย เอาให้เคลิ้มจะได้หลับไปไม่ต้องรู้ตัว ดันมาเจอเรื่องเล่าเกี่ยวกับพี่สาวนี่ถึงกับตาสว่างลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ เลย

   "อืม..." ผมมองธชาเปิดกลับไปยังหน้าที่อ่านก่อนหน้าไปแล้ว "เหมือนว่าพี่สาวจะอยู่ที่นั่นเหมือนกัน"

   "เราว่าเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะที่จะเล่าให้ชินาฟัง" ทั้งฆ่าภรรยาคนก่อนแล้วก็กำลังจะลงมือกับคนปัจจุบันด้วย "ยังไม่ต้องยัดความโหดร้ายให้เด็กขนาดนั้นก็ได้"

   "มีข้อดีอะไรที่จะหลอกเด็กให้อยู่ในโลกแห่งอุดมคติเหรอแฟร์"

   "..."
   
   "ชินาไม่ใช่เด็กโลกสวยอยู่แล้ว ที่จริงถ้าอ่านให้ฟังน้องคงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับผู้ชายที่หวังเคลมทั้งพี่แล้วก็น้องหรอก"

   มันก็จริงอย่างที่เขาบอก เด็กหญิงตาโตพูดจาฉะฉานที่บอกว่าตัวเองอยากเป็นแม่มดเพราะมันช่วยให้คนสองคนรักกันได้

   คราวนี้ธชาขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อซบหน้าตรงช่วงไหล่ของผม รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยเมื่อเส้นผมมันจิ้มผ่านผิวหนังลงไป

   ด้วยความช่วยเหลือของพี่สาว ท้ายที่สุดเธอก็สามารถยื้อเวลาตายของตัวเองได้จนถึงช่วงที่พี่ชายทั้งสองเดินทางมาเยี่ยมในวันนั้นพอดี และเนื่องจากฆาตกรในคราบเศรษฐีแสนร่ำรวยไม่ได้มีญาติคนอื่นอีกทรัพย์สมบัติมหาศาลจึงตกเป็นของเธอคนเดียว หญิงสาวได้แบ่งสมบัติบางส่วนให้พี่สาวและพี่ชายทั้งสอง ไม่นานหลังจากนั้นเธอเองก็ได้แต่งงานใหม่กับชายหนุ่มผู้ร่ำรวย

   เป็นการจบเรื่องราวที่ปาหมอนได้อีก

   "เลือกเรื่องมาได้แย่มากเลย"

   "นั่นสิ"

   "ไม่ต้องเอาไปเล่าให้ชินาฟังเลย"

   "ซื้อมาแล้วก็ต้องเล่าสิ"

   "ตามใจ"

   นิทานที่ควรจะกล่อมให้เข้าสู่นิทรากลายเป็นคาเฟอีนที่ทำให้ตาสว่าง ผมมุดตัวกลับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนหนาอีกครั้ง ดันแว่นสายตาเก็บเอาไว้ข้างหมอนแล้วจัดท่านอนแบบหันหน้าออกนอกเตียง

   สงสัยต้องนับแกะตั้งแต่หนึ่งถึงพัน มันอาจจะทำให้หลับสบายกว่าเรื่องเล่าก่อนนอนเมื่อสักครู่

   นับไปเรื่อยแล้วก็ยังสัมผัสไม่ได้ว่าคนนอนร่วมเตียงจะขยับตัวลงมาอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างผม ธชาอาจจะยังไม่ง่วง หรือไม่ก็เขาคงมีอะไรที่ต้องทำ ผมพยายามกลับไปนับตัวเลขต่อจากที่ค้างเอาไว้ หวังว่าการนอนเตียงเดียวกับอสูรในคืนนี้มันจะผ่านไปโดยปลอดภัย

   "แฟร์"

   "ว่า" ตอบรับทั้งที่ตายังปิดสนิทอยู่

   “รู้ใช่ไหมว่าการเข้ามาในห้องนี้มันคือการเสี่ยงอันตราย”

   ไม่ต่างกับหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องใต้ดินต้องห้าม...

   “มันเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้นแล้วต่างหากธชา”

   บึนปากทั้งที่ก็รู้เขาคงไม่เห็น เท่าที่ตั้งใจฟังผมไม่ได้ยินเสียงในลำคอหรือว่าถอนหายใจหลุดออกมา มันมีแต่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองที่เปลี่ยนไปเท่านั้น

   ผมกำลังสอดลูกกุญแจเข้าไป แต่ยังไม่กล้าที่จะปลดล็อกกลไกการทำงานของมัน...

   "หมายถึงเรา?"

   "เราทั้งสองคน"

   ย้ำเตือนว่าคนที่กำลังเล่นกับความไม่แน่นอนไม่ใช่แค่ผม แต่รวมถึงตัวเขาเองเช่นกัน

   เทวดายังตามหากล่องแห่งความลับ

   ส่วนอสูรก็เก็บซ่อนมันเอาไว้มิดชิด

   "โง่เนอะ"

   กลายเป็นผมเองที่หลุดหัวเราะสั้น "แต่มันก็ทำให้สบายใจไง"

   "ก็จริงอยู่" เบิกตาโพลงในความมืดเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่อยู่ตรงข้างแก้ม ปลายนิ้วที่คงเย็นจากเครื่องปรับอากาศไล้ขึ้นลงก่อนไปจบตรงใบหูที่มีเครื่องประดับอยู่ครู่ใหญ่ก่อนถอนออกไป "คนเรานี่แปลก"

   "..."

   ผมตั้งใจจะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ พอให้คลายความตกใจจากการกระทำที่ไม่คุ้น แต่มันก็ไม่มีช่องเมื่อความหยุ่นบางอย่างประทับตรงหน้าผาก

   สัมผัสเชื่องช้าส่งความอบอุ่นและข้อความบางอย่างที่ผมไม่ควรตีความไปเอง

   "เจอกันตอนเช้า"

   "อืม"

   ในท้ายสุดผมก็ยังคงเปิดประตูต้องห้ามอยู่ดี...


***
   วันนี้อากาศดีจังค่ะ แต่มันก็คงดีอย่างนี้ไปได้อีกแค่ไม่กี่วันล่ะนะ (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด [2.2.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 02-02-2018 20:46:52
ก็ยังเหมือนเดิมง่ะ ยังเดาอะไรไม่ถูกเหมือนเดิม เหมือนมันจะหาที่แก้ปมเจอแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความลับกันเยอะนัก เดียวก็เอากรรไกรมาตัดปมทิ้งซะเลยหรอก ไม่แก้แล้วตัดทิ้งเลยล่ะกัน555 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด [2.2.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 02-02-2018 21:21:01
ใครจะหลอก ใครจะลวง ใครจะรัก เรารอเฉลยดีกว่า ไม่พยายามแก้ปมในหัวแล้ว  ไม่งั้นเราต้องเอาไปฝันอีกแน่เลย แงงงงง
เราจะอ่านแบบสบายๆปล่อยใจไปกับเทพนิยายสายโหดของธชา จะไม่ขัดใจกับความอยากรู้แต่ไม่อยากถามของแฟร์ และจะปักธงทีมเชนคนกวน คนอะไร..กวนไปหมด 55555

เราชอบซีนเล็กๆของการดูแลต้นไม้ อะไรที่มากเกินก็ไม่ดี แต่จะไม่ใส่ใจเลยก็ไม่ได้นะชา

ที่ประทับใจที่สุดของตอนนี้คือ ที่มาของคำว่าบีบบังคับ ตลกกก 555555555

คุณเจ้าอ่านเก่งและเขียนเก่งมากอะ ยอมมมม :call: :call: :call:

หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเจ็ด [2.2.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 02-02-2018 23:48:19
 :call: :mc4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบแปด [5.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 05-02-2018 20:40:17
เรื่องเล่าที่สิบแปด


   พี่ชายสังหารข้าเพื่ออภิเษกกับเจ้าหญิง!
   - The Singing bone


 
   การสอบกลางภาคผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

   ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างที่บอกอยู่หรอก

   "ทำไมอาจารย์ต้องมาประกาศผลผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างนี้ด้วยนะ"

   แถมเวลาที่ประกาศคือสิบโมงเช้าวันอาทิตย์ ไอ้คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหนอย่างผมนี่นอยด์รับประทานไปตั้งแต่ตอนแจ้งเมื่อวันจันทร์ วันธรรมดามันก็ยังต้องไปเรียนตามปกติเลยมีเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ แต่พอใกล้ถึงวันจริงแล้วผมอยู่ด้วยความหวาดวิตกสุดๆ

   ตอนนี้อีกห้านาทีจะสิบโมงตรง ผมตื่นมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี เอาผ้าไปลงเครื่องซักแล้วก็ออกไปรดน้ำต้นไม้รอบบ้านระหว่างรอปั่น พอตากเสร็จก็กลับเข้ามาเคลียร์พวกห้องครัวให้เรียบร้อย ทุกอย่างลงตัวตอนเก้าโมงกว่า จากนั้นก็ได้เวลาของการมานั่งจ๋องอยู่หน้าโน้ตบุ๊ก

   ไม่ค่อยได้อัปเดตเรื่องภายนอกเลยเปิดอ่านข่าวที่น่าสนใจในช่วงนี้ จ้องตัวอักษรอยู่บนหน้าจอได้ไม่เท่าไหร่ก็ยอมแพ้แล้วกลับมาเปิดหน้าต่างเว็บประกาศคะแนนค้างเอาไว้

   หมุนเก้าอี้อ่านหนังสือไปมา ลองเปลี่ยนท่านั่งมาหลายแบบแล้วเพื่อพบว่าการขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้แคบๆ นี่มันสบายกว่าที่คิดเอาไว้ สงบสติอารมณ์ด้วยการมองออกไปทางแสงยามสายที่ลอดผ่านม่านเข้ามา คิดว่าเช้าวันอาทิตย์คงไม่มีใครสัญจรไปมาเท่าไหร่เลยเปิดหน้าต่างห้องนอนเอาไว้ จะว่าไปแล้วต้องเอาม่านไปซักบ้างแล้วล่ะ

   "ซักม่าน ...เอาหนังสือของครึ่งเทอมหลังออกมาวางไว้ ...แล้วก็..."

   ตอนที่คิดหมุนตัวอยู่สายตาเลยไม่ได้จับจ้องไปตรงส่วนหนึ่งส่วนใด พอแรงส่งน้อยลงแรงเฉื่อยมันก็มากขึ้น เก้าอี้ที่เคยหมุนรอบตัวเองเลยหยุดได้จังหวะสวยงามจนน่าหัวเสีย ตรงหน้าของผมตอนนี้คือก้านดอกไม้ไร้ความสวยงามวางเอาไว้โดดเดี่ยวบนโต๊ะตัวเล็กสำหรับการนั่งทำการบ้านบนพื้น

   ...

   ควรจะเอามันไปทิ้งเสียที

   ดอกกุหลาบที่เคยเป็นสีแดงสดหลงเหลือเพียงความแห้งเหี่ยว น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกว่าสีของมันสวยงามยิ่งกว่าตอนแรกรับเสียอีก

   ใจหนึ่งก็บอกให้ผมทิ้งไปให้หมด แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่าถ้าผมได้ 'ปลูก' กุหลาบดอกนี้จริงมันอาจจะช่วยพาผมไปหาคำตอบที่ต้องการอยู่ก็ได้

   เลยกลายเป็นว่าทุกครั้งที่กลับเข้ามาในห้องแล้วเห็นมันวางอยู่ หัวใจก็พลอยกระตุกวูบเสียทุกครั้ง มันทั้งตอกย้ำแล้วก็ซ้ำเติมทุกอย่างที่เคยอยู่แค่ในความคิดของผมให้เด่นชัดมากขึ้น ธชามีความลับที่เก็บเอาไว้ เขามีใครคนที่ซ่อนเอาไว้อยู่

   ที่ไม่ใช่ผม

   มือยกขึ้นไปแตะเครื่องประดับตรงใบหูไม่รู้ตัว ลองนึกย้อนไปว่าตัวเองพลาดข้อมูลตรงส่วนไหนไปบ้างหรือเปล่า มันเป็นคำตอบที่ไม่รู้ว่าต้องพยายามแค่ไหน ต้องแลกกับอะไรบ้าง ถึงจะได้มันมา

   "...สิบโมงแล้ว"

   ลากสติออกมาจากเรื่องฟุ้งซ่านได้ก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกแจ้งเตือน ผมตั้งเอาไว้เผื่อว่าลืมไง ดูสิว่าพะว้าพะวังได้ถึงขั้นไหน

   กลับไปตั้งใจพิมพ์ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน กดเข้าไปตามส่วนคำสั่งต่างๆ จนถึงหน้าจอของการประกาศคะแนน ผมเลื่อนสกอร์บาร์ลงมาทีเดียวให้ถึงช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะได้ดูค่าเฉลี่ยของคะแนน พอเห็นว่ามันไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ก็ไล่ขึ้นไปทีละน้อยพร้อมกับใจที่เต้นระทึก

   ตัวเลขบอกว่าคะแนนของผมอยู่สูงเกินกว่าระดับคะแนนเฉลี่ยมากพอสมควร มันช่วยให้พ่นลมหายใจระบายความกังวลออกมาได้ นอกจากตัวนี้แล้วก็ไม่มีตัวอื่นที่ต้องห่วงล่ะ

   ยังไม่ทันได้ปิดหน้าต่างลงเครื่องมือสื่อสารข้างตัวก็แผดเสียงจนตกใจ ผมมองดูชื่อของสายที่โทรเข้ามาแล้วทำหน้าเบื่อโดยอัตโนมัติ รูปกุหลาบหนึ่งดอกพาหนึ่งใบหน้าเข้ามาทักทาย

   ชั่งใจแล้วว่าต่อให้ไม่รับธชาก็ต้องหาทางติดต่ออื่นจนได้ ถ้าไม่อยากโดนรังควาญอีกก็ควรรับไปให้สิ้นเรื่อง

   (คะแนนดีใช่ไหม?)

   ยังไม่ทันได้ทักปลายสายก็ส่งคำถามมาเสียแล้ว "ก็ดี มากกว่าที่คิดเอาไว้"

   (อืม)

   "ขอบคุณสำหรับชีต"

   ถ้าผมไม่ได้ชีตผีบอกของธชาแล้วบางเรื่องคงตอบได้น้อยกว่านี้ ยังคงย้ำเหมือนเดิมว่าการสรุปของเขามันดีมากจนน่าจะเปิดทำเป็นธุรกิจให้รู้แล้วรู้รอด

   (ยินดีเสมอ)

   ต่อให้คุยกันกี่ครั้งผมก็ยังไม่ชินเสียงที่ผ่านมาตามสายอยู่ดี ธชาเสียงทุ้ม แต่พอมันต้องเดินทางผ่านตัวกลางก่อนที่จะถึงผมแล้วมักจะให้ความรู้สึกประหลาดอยู่เสมอ

   "แล้ว...มีอะไรอีกหรือเปล่า"

   สงสัยเมื่อไหร่ก็ถามออกไปเมื่อนั้น เขาคงไม่ได้ลงทุนโทรมาหาด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการรู้คะแนนมิดเทอมอย่างเดียว ระหว่างที่ปลายสายยังไม่มีการตอบกลับผมก็นั่งคิดทบทวนไปว่าตัวเองติดค้างอะไรไว้หรือเปล่า ของก็ไม่ได้ลืมไว้ที่คอนโด หรือว่าจะเผลอเอาหนังสือเรียนของเขากลับบ้านมาด้วย

   (ตอนสิบเอ็ดโมงไง)

   "สิบเอ็ดโมง?"

   (ที่นัดกันซื้อของไปทำซุ้ม) ธชาต้องรู้แล้วแหงว่าผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย (บอกตั้งแต่วันพุธ เมื่อวานก็เตือนในไลน์แล้ว)

   "อ่า..."

   ผมจำไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปิดแอปไลน์ไปกี่ครั้งในสัปดาห์นี้ พออธิบายรายละเอียดให้เข้าใจแล้วผมก็ได้แต่ผุดลุกออกจากที่นั่งไปยืนหน้าตื่นอยู่ตรงตู้เสื้อผ้า กวาดตามองเร็วๆ ว่าควรจะหยิบเสื้อกับกางเกงตัวไหนมาใส่ให้เข้ากัน ชุดที่เพิ่งซักยังไม่มีทางแห้งอยู่แล้ว

   "งั้นก็เจอกันที่หน้าซอยสิบแปดนะ"

   (เข้าไปรับที่บ้านได้)

   "ไม่ต้องเข้ามาหรอก มันกลับรถยาก"

   (ถ้าจะเลทก็โทรมาบอกหน่อย)

   "เราไม่ใช่เชน"

   (เผื่อเอาไว้)

   พอจบการนัดหมาย สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการเตรียมตัวออกนอกบ้าน ตอนแรกไม่นึกว่าจะไปไหนเลยใส่ชุดที่สบายต่อการเคลื่อนไหวเป็นหลัก คงต้องเปลี่ยนให้เหมาะกับการเข้าไปในมหาวิทยาลัยหน่อย ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเครื่องแบบหรือชุดสุภาพมีผลอะไรต่อการเรียนแต่ก็ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวกลายเป็นพวกขวางโลกไปอีก

   เลือกเป็นเสื้อยืดไม่มีลายสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงยีนส์ ตบท้ายด้วยการหยิบแว่นทรงกลมขึ้นมาใส่ เป่าลมออกจากปากเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเอง

   เอาล่ะ วันนี้ก็ขอให้อสูรอารมณ์ดีด้วยเถอะ

 
   
   อย่างที่ได้รู้กันไปแล้วว่าผมถูกธชาโยนหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องซุ้มภาษามาให้ พูดแบบคนไม่มีความรับผิดชอบเลยก็ได้ว่าถึงจะได้ตำแหน่งนั้นมาผมยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้สมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คนที่ถูกวางงานมาตั้งแต่ต้นอย่างอสูรก็ไม่เคยประสานงานลงมาให้รับทราบเพิ่มเติม ผมก็ลอยตัวไป

   จนประชุมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากหมดช่วงการสอบกลางภาคไปแล้วทุกคนก็พร้อมตะลุยงานของคณะต่อ ผมผู้ซึ่งเป็นเพียงตุ๊กตาให้ธชาหยิบไปด้วยก็เลยได้เข้าไปนั่งฟังการอัปเดตงานในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงได้รับมอบหมายหน้าที่พิเศษบางอย่างด้วย

   อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดงานควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายพัสดุ แต่มันก็มีบางอย่างที่ควรไปเลือกเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด หนึ่งในนั้นคือดอกไม้ที่จะใช้ ตอนที่ผมได้ยินเขาไล่มาว่าอยากได้ดอกไม้ชนิดและพันธุ์ไหนบ้างก็ยังคิดเลยว่าฝ่ายจัดงานตัดสินใจถูกแล้วที่ให้ธชามาเลือกซื้อเอง

   "ทำไมถึงต้องใช้ดอกไม้ด้วยล่ะ"

   ผมมองง่ายๆ แค่ว่ามันยุ่งยาก ต้องมาซื้อเองแล้วยังมีหน้าที่กลับไปแต่งให้มันเป็นช่ออย่างที่ต้องการอีก ดอกไม้ที่จะเป็นของตอบแทนเล็กน้อยสำหรับการเข้ามาใช้บริการแบบมีค่าใช้จ่าย

   "ผู้หญิงชอบดอกไม้"

   อย่าลืมว่าคณะของผมเกือบเป็นโรงเรียนหญิงล้วนไปแล้ว "ก็จริง"

   "แล้วมันก็เป็นอะไรที่ลงตัวสำหรับงานดี"

   ซุ้มภาษามีบริการเสริมเป็นช่อดอกไม้หลากหลายแบบ มาพร้อมกับความหมายในภาษาอังกฤษ เนี่ย พอซื้อเสร็จผมก็ต้องกลับไปเช็กว่าข้อมูลที่หามาแล้วมันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเกิดข้อผิดพลาดในวันจริงคงดูไม่จืดเท่าไหร่

   "เราไม่ค่อยอินกับมันเท่าไหร่"

   "แค่ทำงานให้เสร็จก็พอ"

   ปลายทางของเราในวันนี้คือแหล่งรวมดอกไม้สดและดอกไม้แห้งนานาชนิด ผมค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามทางเดินเท้าระหว่างที่สายตาก็มองซ้ายขวาดูช่อดอกไม้หลายสี นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้มาเหยียบตลาดอย่างนี้ ปกติแล้วผมคุ้นเคยกับดอกไม้ตรงรั้วบ้านมากกว่า

   "แฟร์ เดินดูทางด้วย"

   "...ก็ดูอยู่ตลอด"

   เขาคว้ามือของผมไปจับเอาไว้โดยไม่ขอความเห็น "มองแต่ข้างทาง"

   "แล้วนี่เราจะเดินไปไหนเหรอ" ผมว่าเราผ่านมาเป็นสิบร้านได้แล้วแต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุดพักที่ไหนเลย ไม่แม้จะปรายตาดูว่ามันมีดอกไม้ที่ตามหาหรือไม่ด้วยซ้ำ

   "ร้านขายดอกไม้"

   "แล้วที่ผ่านมานี่ขายปุ๋ยหรือไง"

   "เปล่า" เขาเหมือนประชดผมเลยล่ะ พอจบประโยคนั้นธชาก็หยุดกึกอยู่ตรงหน้าร้านขายดอกไม้ที่อธิบายสภาพไม่ค่อยถูก มีแบบที่จัดช่อเอาไว้แล้ววางเรียงเอาไว้ตรงหน้าร้านแล้วก็มีขายแยกเป็นดอกไม้ชนิดเดียว สะดุดตาก็ตรงคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ข้างในร้านนี่แหละ "นี่ร้านประจำ"

   "ว่าไงน้องชา"

   ผู้หญิงผมมวยในชุดกระโปรงยาวเล่นลายเถาวัลย์ไต่ระดับจากล่างขึ้นบน ใบหน้าตกแต่งเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางสวยงามหมดจด นัยน์ตาแต่งแต้มสีสันเอาไว้หรี่ลงนิดหน่อยยามเรียกชื่อของเขา ดูแล้วเธอควรจะไปเดินเล่นอยู่ในสยามหรือไม่ก็แหล่งรวมวัยรุ่น ไม่ใช่ตลาดดอกไม้อย่างนี้

   "สวัสดีครับ"

   "คราวนี้มาสั่งกุหลาบอีกเหรอ"

   "เปล่าครับ"

   "..."

   ได้รู้เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งอย่างว่า 'กุหลาบ' พวกนั้นถูกสร้างที่นี่

   "หืม แปลกใจที่ตัวเองทายพลาด แล้วนั่นใครล่ะ"

   นิ้วชี้มาทางผมชัดเจน เล็บสีดำเคลือบเงาสวยดูเข้าแล้วก็แปลกประหลาดไปในคราวเดียวกัน

   "กุหลาบช่อสุดท้าย"

   "อ๋อ...ที่ใหญ่ที่สุด"

   "นั่นแหละครับ"

   อยู่ดีๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองเหมือนเป็นแค่หุ่นให้พวกเขาได้ชื่นชมและวิจารณ์ตามใจ เจ้าของร้านกับลูกค้าสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่อสูรตัวร้ายจะบอกจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้

   "มารับดอกไม้ที่สั่งไปเมื่อกลางสัปดาห์"

   "เกือบลืม ชาสั่งเอาไว้แล้วนี่นา"

   ชายกระโปรงพลิ้วไปตามจังหวะการขยับ พี่สาวคนสวยหายไปทางม่านกั้นเข้าสู่ทางด้านหลัง ผมมองความปกติธรรมดาของร้านที่แตกต่างจากตัวตนของเจ้าของ ทั้งการตกแต่งที่ไม่มีอะไรนอกจากกระเบื้องลายเก่ากับชั้นวางสำหรับแยกชนิดของดอกไม้ แล้วก็มีพวกโบกับริบบิ้นวางถัดออกไป

   "ร้านนี้ขายถูก เลยมาบ่อย"

   "นี่ทำการสำรวจมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย"

   "ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย" สบตากับคนเล่า ธชาโคลงหัวไปมาก่อนเล่าต่อ "คนนี้แหละ คนวาดดอกเดอะพิงก์"

   "อ่า..."

   พอเขาบอกอย่างนี้แล้วเสียงของพี่ช่างสักตอนเล่าว่ามันเป็นของจาก 'แฟนเก่า' ก็ย้อนกลับเข้ามาเล่น นึกภาพตอนที่พวกเขาคบกันแล้วสงสัยว่าระยะเวลายาวนานแค่ไหน ดูจากภายนอกแล้วเป็นพวกรักอิสระทั้งคู่จูนเข้าหากันยากจะตาย

   "ตอนนั้นคบกันได้สักพักแล้ว เลิกตอนปีหนึ่งเทอมสอง"

   "ก็นานอยู่"

   ต่างหูที่เคยหนักเมื่อแรกรับรู้ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเคยชินไปแล้ว เชนก็แซ็วไม่ยอมเลิกจนอยากจะถอดแล้วปาใส่หน้าให้รู้แล้วรู้รอด

   "คนไหนที่ดีกับเราก็ควรเก็บเอาไว้"

   "มีใครกล้าทำตัวไม่ดีกับนายด้วยเหรอ"

   "ก็คนตรงหน้านี่ไง"

   "..."

   "ทั้งตัดรอนแล้วก็ผลักไสสารพัดเลย"

   ทั้งที่เป็นห้องโล่งไม่ได้ปิดอะไรผมกลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยออก คำพูดกึ่งตัดพ้อนั้นเหมือนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

   "ที่สั่งไว้ได้ครบนะ ถ้าตรงไหนไม่พอก็รีบบอก จะได้หาให้ทันก่อนต้องใช้งาน"

   ขอบคุณที่พี่เขากลับมาในจังหวะดีสุดๆ ตอนแรกก็ว่าจะยิ้มให้แต่พอมองกองดอกไม้ในรถเข็นคันใหญ่แล้วอยากจะยกมือขึ้นมานวดขมับ ถ้าไม่เกรงใจนี่อยากจะทรุดลงไปเสียตรงนี้ด้วยซ้ำ ต่อให้ลากเชนมาด้วยก็คงต้องใช้แรงงานกันคนละมากกว่าสองรอบแน่นอนเลยล่ะ

   "ขอบคุณครับ"

   "ไว้มาคราวหน้าจะให้ส่วนลดพิเศษ" ผมมวยที่เคยตรงอยู่กลางศีรษะเอียงไปข้างหนึ่งตามองศาของใบหน้า "แต่ถ้าเป็นอย่างนี้พี่ก็ไม่มีออเดอร์ดอกกุหลาบแล้วสิ"

   นัยน์ตาแพรวระยับเต็มไปด้วยรอยล้อเลียน ผมตีหน้านิ่งทำเป็นก้มตรวจของบนรถเข็นคันใหญ่ทั้งที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอะไรบ้าง หูตั้งใจฟังว่าธชาจะตอบมันกลับไปอย่างไร

   "อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่ครับ"
   
   และคำตอบก็ยังสมกับเป็นอสูรอยู่ดี

 

   พอได้ของทั้งหมดแล้วจุดหมายถัดไปของเราสองคนก็คือใต้ถุนตึกคณะ ช่วงวันหยุดก่อนที่จะมีงานใหญ่ในสัปดาห์หน้าพาให้นักศึกษาจำนวนมากมารวมพลกันอยู่ที่นี่ไปโดยปริยาย ผมอุ้มช่อดอกไม้จำนวนมากเอาไว้ในแขน หลบหลีกเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับการทำงานบนพื้นเหมือนกับกำลังเล่นเกมหลบช่องระเบิด

   "ให้เราช่วยไหม?"
   
   "ก็ดี"

   มองใบหน้าของเพื่อนร่วมเอกแล้วไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเลย ผมส่งของในมือส่วนหนึ่งไปให้เขาช่วยถือเอาไว้ หันไปมองว่าคนที่ไปซื้อด้วยกันหายไปไหนแล้ว

   "นี่มีอีกส่วนไปช่วยชาขนแล้ว ไม่ต้องห่วง"

   "อ้อ..." แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอว่ากำลังคิดอะไร เขาถึงได้ทักได้ถูกเผง "ของเยอะ แบกมาตอนแรกก็เกือบแย่"

   "อย่าเพิ่งโล่งใจ ไปเจอด้านในก่อน"

   อีกฝ่ายหัวเราะร่า เปิดประตูกระจกเพื่อผ่านเข้าไปสู่อาณาจักรของการใช้แรงงานที่แท้จริง มุมของซุ้มภาษาอยู่ด้านในสุดของห้องประชุม มีคนคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้สองสามคนนั่งเตรียมกระดาษอยู่ก่อนแล้ว ผมผงกหัวทักทายไปพร้อมกับวางช่อดอกไม้ทั้งหมดลงกับพื้น รอเวลารับคำสั่งต่อไป

   "ให้เราเริ่มตรงไหนดีอะแฟร์"

   ไม่คุ้นเลยล่ะที่ได้ยินชื่อตัวเองจากปากของคนอื่น ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เห็นหน้าบ่อยก็เถอะ ผมเหลียวมองซ้ายขวาหาตัวช่วยที่ดีที่สุดอย่างธชา ทีเวลาผมต้องการล่ะก็ดันไม่อยู่อีก

   "...เดี๋ยวรอธชาเอาของมาทั้งหมดก่อนแล้วกัน"

   "ชาไปคุยกับฝ่ายสถานที่อยู่ไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   แล้วทำไมภาระในการตัดสินใจต้องอยู่ที่ผมด้วยล่ะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาไปคุยกับฝ่ายอื่น ผมนี่ลงจากรถแบกของให้มากที่สุดแล้วก็เดินลิ่วมาไม่สนใจอะไรเลย

   "งั้น...เอาไงดี"

   "เอาดอกไม้ออกมาแยกไว้ไหม จะได้เตรียมทำเป็นช่อเล็ก"

   "อย่างนั้นก็ได้"

   ตอนนี้อะไรผมก็โอเคทั้งหมด จากคนที่รับคำสั่งมาตลอดพอมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องชี้ขาดตัดสินอะไรบ้างแล้วมันก็น่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย ถ้าการตัดสินใจของผมมันผิดล่ะ สิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อจากนั้นมันจะหนักหนาขนาดไหน

   คนที่อยากจะเป็นผู้นำนี่บ้าเกินทน

   เพราะงานเริ่มพุธ เราเลยเลือกที่จะใช้ดอกไม้แห้งเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้มันคงอยู่ได้นานโดยไม่ต้องดูแลอะไรมาก ผมเคยเห็นดอกไม้พวกนี้ตอนงานรับปริญญาหรือว่างานแสดงความยินดี ไม่รู้ความหมายแต่ก็คิดว่ามันสวยไม่น้อย ธชาเองก็คงคัดเลือกมาแล้วล่ะ

   เพื่อนผู้หญิงในฝ่ายดูมีความสุขกับการได้แยกดอกไม้เป็นช่อเล็กๆ อย่างนี้ ปากก็บอกว่าสวยไม่มีหยุด ผมเปลี่ยนมาดูกองกระดาษสกรีนลายหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศกับผ้ากระสอบแล้วก็เชือกฟางที่วางกองเอาไว้อีกมุม ต่อจากการแบ่งชนิดแล้วยังต้องจัดเป็นช่อตกแต่งเอาไว้ให้สวยงาม งานที่ดูจำนวนแล้วคิดว่าต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันงานก็ยังไม่น่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ง่ายๆ

   "นี่ทุนปีนี้มีใครได้ส่งไปไหม?"

   พอลงมือทำได้สักพักก็มีการเปิดหัวข้อการสนทนาเพื่อให้มันไม่เงียบเหงา ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองว่าเพื่อนวงทำงานแสดงออกอย่างไรบ้าง ทุนที่ว่าคือทุนการศึกษาให้ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศหนึ่งปี คุณสมบัติต้องเลิศเลอเสียจนผมมองผ่านประกาศไป

   "ไม่อะ ไม่ค่อยอยากกลับมาซ้ำชั้น ...แต่เหมือนชาจะส่งนะ"
   
   คนอื่นรู้เรื่องของธชาเยอะกว่าผมจริงๆ นะ เมื่อกี้ก็ทีหนึ่งแล้ว มาเรื่องทุนอะไรนี่อีก

   "หูย ถ้าชาลงนี่สู้ยากเลย"

   "คนอื่นก็โหดอะ ไม่รู้จะสู้ไหวไหม"

   "แค่งานวรรณกรรมก่อนหน้าก็จะตายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงทุน" พอคำว่างานวรรณกรรมมันออกจากปากผมก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากหลายทิศทาง "นี่แฟร์ทำเรื่องอะไรเหรอ"

   มันคืองานที่ผมทำคู่กับอสูรนั่นแหละ ส่งงานไปแล้วพอคะแนนออกก็เอามาคุยกันต่อว่าทำไมถึงได้มากน้อย คุ้มกับการลงแรงไปหรือไม่

   "เราทำบิวตี้แอนด์เดอะบีสต์"

   "โอ๊ะ เหมาะดีนะ"

   ผมปั้นหน้าให้คำชมนั้นไม่ถูกเลย

   "แล้วตัวเองทำเรื่องอะไรล่ะ"

   "เราเหรอ เราทำกระดูกขี้ฟ้อง"

   "หา?" ผมว่านั่นไม่น่าใช่ชื่อเรื่องที่แท้จริงหรอกนะ

   "ชื่อ Singing Bone อะ พี่ชายกับน้องชายที่ออกไปฆ่าหมูป่าตามคำสั่งของพระราชา ทีนี้คนน้องฆ่าได้แต่ระหว่างทางกลับก็โดนคนพี่ผลักตกน้ำตาย แล้วพี่ก็แบกหมูป่ากลับไปสวมรอยว่าเป็นของตัวเอง ได้หน้าได้เมีย"

   เป็นการเล่าที่อินเนอร์แรงมากเลยในความคิดผม ทั้งหน้าตาแล้วก็น้ำเสียงมาครบ

   "ล่ะหลายปีต่อจากนั้นก็มีคนเลี้ยงแกะมาพบกระดูกของคนน้อง แล้วเขาก็เอากระดูกนั้นมาทำเป็นเครื่องเป่า แต่ว่าเสียงที่ออกมากลับเป็นการเล่าเรื่องของคนน้องว่าตัวเองโดนพี่ฆ่าตาย พอเรื่องแดงขึ้นคนพี่ก็เลยถูกจับไปถ่วงน้ำแล้วก็เอากระดูกของคนน้องไปฝังให้ดี"

   เล่าเรื่องแบบเอามาแต่ใจความสำคัญที่แท้จริง จะว่าสยองขวัญก็ไม่เชิง มันถูกกลบด้วยชุดความคิดเรื่องความดีชนะความชั่วตามอย่างที่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ลองคิดว่าถ้าตัวเองเป็นคนเลี้ยงแกะคงไม่เล่นพิเรนทร์ตั้งแต่เอากระดูกอะไรก็ไม่รู้มาทำเป็นเครื่องเป่าแล้ว

   "ดูไม่ค่อยยากนะ" ถ้าเอาแค่เท่าที่เล่ามันก็ไม่น่าจะมีข้อมูลเชิงลึกที่ต้องไปหามากมาย คิดถึงของตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้เพราะความที่มีหลายเวอร์ชันจนน่าปวดหัว "ถ้าเราเป็นคนเลี้ยงแกะคงทิ้งไว้ตรงนั้นแล้ว น่ากลัวจะตายไป"

   "หืม ทำไมต้องกลัวล่ะ แฟร์ไม่มีความลับอะไรสักหน่อย"

   "...นั่นสิ"

   "เป็นไงบ้าง"

   ยังไม่ทันได้เปิดประเด็นอื่นต่อเสียงของหัวหน้าฝ่ายตัวจริงก็ดังขึ้นข้างหู ผมหันขวาไปมองธชาผู้กลับมาพร้อมกับกองเอกสารจำนวนหนึ่งในมือโดยไม่ได้ทักทายอะไรเป็นพิเศษ
     
   "ก็ดี นึกว่าจะทำพังก่อนนายมาแล้ว"

   "ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกมั้ง"

   เขาขยับตัวลงมานั่งข้างซ้ายของผม หยิบจับก้านดอกไม้ที่ตัดแต่งเอาไว้แล้วขึ้นมาเทียบสองสามชนิด จากนั้นก็เป็นการใช้ความสามารถส่วนบุคคลด้านศิลปะในการจัดแต่งให้สวยงาม ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วล่ะ ธชานี่เป็นพวกที่ถนัดเรื่องงานดอกไม้อยู่เหมือนกัน

   "แต่ที่เห็นอยู่มันง่ายขนาดนั้นเลยล่ะ" สิ่งที่อยู่ในมือของผมมันแย่เสียจนไม่อยากจะบรรยายเลย

   เสียงหัวเราะในลำคอบอกไม่ได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร "ได้เจอคนวาดเดอะพิงก์แล้วเป็นไง"

   ในเมื่อหัวข้อใหม่ถูกเปิดขึ้นมาแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปพูดถึงเรื่องเดิม ผมนึกถึงหญิงสาวในชุดแปลกตาคนนั้นสลับไปกับผู้ชายร้านสัก เทียบกันแล้วก็คิดออกอยู่อย่างเดียว

   "ก็ดู...ไม่เข้ากันล่ะมั้ง"

   "หลายคนก็พูดอย่างนั้น"

   พวกเขาเหมือนกับกลุ่มดอกไม้ในมือตอนนี้ เมื่อแยกอยู่โดดเดี่ยวก็ดูสวยงาม แต่พอจับเอามารวมเป็นกลุ่มแล้วมันกลายเป็นความไม่เข้ากันจนลืมไปว่าเคยสวยงามแค่ไหน

   "หลายคนที่ว่าคงรวมเราไปด้วยสินะ"

   "แต่พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรหรอก ยังอยู่ด้วยกันมาได้ตั้งนาน"

   "เราไม่ค่อยเข้าใจที่พี่เขาบอกว่าได้เวลาเลิกกันแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้"

   "ความรักไม่ใช่ทุกอย่างเสียหน่อย"

   ดึงตัวเองออกมาเป็นผู้ชมจากวงนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสร้างช่อดอกไม้ขึ้นมาอีก ธชารื้อช่อดอกไม้ที่ไม่มีความเข้ากันของผมออกเรียงชนิดใหม่ จากนั้นแล้วก็บรรจงหยิบมันมารวมกันเป็นช่อง่ายๆ ในรูปแบบดูไม่แตกต่างจากที่ผมทำ

   "คนเราชอบคิดไปเองว่าแบบไหนที่เรียกว่าเหมาะสม แล้วแบบไหนที่ไม่เหมาะสม"

   "..."

   "พอเจออะไรที่ไม่เหมือนอย่างเคยเห็นมาก่อน ก็เหมารวมไปก่อนว่านั่นต้องไม่เหมาะ"

   จัดเข้าจัดออกอยู่สักพักใหญ่ เท่าที่เห็นไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ยังมีความสวยงามแฝงเอาไว้เสมอ ผมว่าแค่ธชาหยิบมั่วๆ เอามารวมกันมันยังสวยกว่าที่ผมตั้งใจทำตั้งหลายเท่า

   "ทั้งที่ถ้าได้ลองปรับมุมมองดูแล้วบางทีมันอาจเข้ากันยิ่งกว่าก็ได้"

   จากดอกไม้ประหลาดในตอนแรกมันกลับกลายเป็นช่อสวยงามที่มีการออกแบบเรื่องของสีสันและการจัดเรียงเป็นอย่างดี ทั้งที่อุปกรณ์และชนิดของดอกไม้ที่เขาใช้มันก็เหมือนกับผมทุกอย่าง แล้วทำไมผลงานที่ออกมามันถึงมีความแตกต่างที่ชัดเจนได้อย่างนี้

   "เรื่องที่น่าเศร้าก็คือพวกเขาแค่บังเอิญเป็นความแตกต่างที่ดันเข้ากันไม่ได้จริงๆ ก็เท่านั้นเอง"

   

   ผมไม่ค่อยชอบซอยบ้านของตัวเองตอนกลางคืน เพราะมันไม่ค่อยมีแสงจากไฟข้างทางมากเท่าไหร่ อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องการดักปล้นอยู่เป็นพักๆ อีกต่างหาก

   "ซอยลึก"

   แต่ให้มีคนมาส่งอย่างนี้ก็ไม่ชอบเหมือนกัน

   "ชินแล้ว เลยเฉยๆ"

   กว่าเราจะเลิกงานได้ก็ปาไปสี่ทุ่ม แน่นอนว่ามันไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการนั่งรถเมล์กลับบ้านคนเดียว ผมเลยมีตัวเลือกอยู่แค่สองข้อคือไปค้างห้องธชาหรือว่าจะให้เขาขับมาส่งที่บ้าน

   ซึ่งผมเลือกอย่างหลังแน่นอน

   "อืม"

   "ยังไงก็ขอบคุณที่มาส่งนะ กลับดีๆ ล่ะ"

   ก็คิดว่าตัวเองตอบกลับไปได้ครบถ้วนในครั้งเดียวดี ธชาส่งเสียงตอบรับผ่านลำคอมานิดหน่อยโดยที่สายตายังจ้องอยู่แต่ถนนด้านหน้าตัวเอง ระหว่างทางเราคุยเรื่องเกี่ยวกับอดีตคู่รักสมัยที่ยังคบกันอยู่ มันสวยงามเสียจนผมนึกอยากเห็นช่วงที่เขายังอยู่ด้วยกัน

   "แล้วทีหลังก็อย่าลืมปิดไฟในบ้านก่อนออก"

   "หืม?"

   "นั่นน่ะ ไฟสว่างเชียว"

   "..."

   ความผิดปกติบางอย่างบอกให้ผมกลับหลังหันไปมอง ประตูรั้วบ้านยังปิดเอาไว้สนิท แต่จากด้านนอกเห็นชัดว่าชั้นล่างมีไฟเปิดส่องสว่างทั่วทั้งบริเวณ เมื่อเช้าผมไม่ได้เปิดไฟทิ้งเอาไว้แน่เพราะมันยังสว่างเกินกว่าที่จะต้องใช้ตัวช่วย

   ...หรือว่า

   "เข้าบ้านไปได้แล้วแฟร์ ไว้เจอกันตอนเช้า"

   "อะ...อืม"

   รอจนไฟสีแดงของท้ายรถลับหายไป ผมถึงหันกลับไปตามทางเพื่อที่จะเปิดกลอนเข้าบ้านตามความเคยชิน

   คงไม่มีโจรขโมยนี่ไหนฆ่าตัวเองด้วยการเปิดไฟสว่างจ้าเสียทั่วบ้านอยู่แล้ว แล้วที่จากการมองด้วยสายตาผมก็ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่น ถึงจะปลอบตัวเองว่าอย่าเพิ่งคิดมากไปเองก็เถอะ แต่มือของผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดหาตำรวจถ้าเจอเรื่องฉุกเฉิน

   ค่อยๆ เลื่อนรั้วออกแบบไม่ให้มีเสียง ขยับตัวเข้าไปใกล้บริเวณบ้านพลางสอดส่องอย่างระมัดระวัง

   ชีวิตนี้จะได้ลุ้นระทึกกับเขาบ้างแล้วล่ะ

   "ใครมาส่ง?"

   แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน ผมหันหลังกลับไปทางต้นเสียง ในความมืดมีแสงสว่างเล็กน้อยช่วยบอกว่าคนตรงนั้นเป็นใคร

   "เฟย์"

   ผมห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เลย


***
   นับถอยหลังสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องนี้ค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบแปด [5.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-02-2018 00:23:47
ขอเดาแบบมั่วๆว่า คนที่เป็นรักแรกของชาคือลูกพี่ลูกน้องของแฟร์

อ่านจนมาถึงตอนนี้ยังมึนตึ้บค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบแปด [5.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 06-02-2018 01:52:44
สำนวนดี และภาษาสวยมากค่ะ
แต่อ่านถึงตอนที่ 8 พบว่า ...

"...อย่างที่บอกว่าทั้งพ่อแล้วก็แม่ของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณพ่อเป็นข้าราชการในสายงานปกครองที่ติดใจชีวิตบ้านนอกจนตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นั่นจนแก่ ส่วนคุณแม่ตอนแรกเองไม่ค่อยพอใจมากเท่าไหร่จนได้ลองไปอยู่แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่กรุงเทพอีก แล้วยังลามไปถึงน้องสาวของแม่หรือคุณอาของผม รายนั้นก็ย้ายตามไปด้วยทั้งครอบครัว..."

น้องของแม่ -- คือ น้า
น้องของพ่อ -- คือ อา

กรณีนี้ น้องสาวของแม่ จึงควรจะต้องเป็น "น้าของผม" นะคะ

---

หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบแปด [5.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 06-02-2018 21:51:38
ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่ง คนๆนี้ คงเป็นตัวแปรสำคัญใช่ไหม ต้นเต้นทุกครั้งที่มีตัวละครใหม่ๆเข้ามา หมายถึงเรื่องที่เป็นความลับของทั้งคู่ กำลังจะคลี่คลาย เราจะได้รู้ความจริงกันทีละนิดแล้วว
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบแปด [5.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 06-02-2018 22:06:14
โอเค เราว่าเราเริ่มจะเข้าใจและเหมือนจะแก้ปมได้แล้ว ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่คิดเลยนะ มันตะน่าสงสารแฟร์มากๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบที่คิดหรอก ลูกพี่ลูกน้องกันยังไงก็ไม่น่าจะเหมือนจนคนอื่นจำผิดได้หรอกถ้าไม่ใช่พี่น้องหรือฝาแฝดกัน ยังไงก็ขอให้อย่าเป็นอย่างที่คิดเลยนะ สงสารแฟร์จับใจถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเก้า [8.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-02-2018 21:09:23
เรื่องเล่าที่สิบเก้า

 
   จูบแรกเพื่อปกป้องความหนาวเหน็บ
   จูบที่สองเพื่อให้เขาลืมทุกอย่าง
   และจูบที่สามเพื่อมอบความตายอันแสนสวยงาม
   - The Snow Queen


 
   แม่ของผมมีฝาแฝด

   คู่แฝดที่ไม่อยากแยกจากกันเลยแต่งงานในเวลาใกล้เคียง ตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกัน แล้วก็ได้ทารกผู้ชายเหมือนกันทั้งคู่อีกต่างหาก แฝดของแม่เป็นคนตั้งชื่อผม และแม่ของผมก็ได้ตั้งชื่อของเฟย์

   แฟรี่ (Fairy) กับเฟย์ (Fay) สองชื่อที่มีความหมายถึงเทวดาหรือนางฟ้าเหมือนกัน

   "สรุปคือที่คณะจะมีงาน ก็เลยต้องไปช่วยเหรอ"

   "ใช่ ที่เราเล่าให้ฟังว่าได้เป็นรองหัวหน้าไง" เรียกตำแหน่งคนช่วยงานของธชาไม่ถูกเหมือนกัน เลยคิดว่าชื่อนี้น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด "เหนื่อยมากเลย"

   "ก็แฟร์ไม่เคยเข้าทำกิจกรรมนี่นา"

   "แล้วนี่ทำไมมาไม่บอก ตอนเห็นว่าไฟบ้านเปิดนี่ตกใจนึกว่ามีโจร"

   "เซอร์ไพรส์ไง เห็นบ่นอยู่ทุกวันเลยจะมาให้กำลังใจ"

   การให้กำลังใจคือการโถมทั้งตัวเข้ามากอดแน่น ผมอ้าแขนรับวิธีการแสดงออกถึงความรักจากคนที่เป็นทุกอย่างด้วยแรงที่มากพอกัน เมื่อความคิดถึงมันคลายลงไปแล้วถึงจี้ถามต่อ

   "บอกเรื่องจริงมา"

   "แฟร์นี่หลอกยากจัง" เฟย์ทำหน้ามุ่ยใส่ "มาสัมมนาของคณะ ที่จริงงานเริ่มสัปดาห์หน้าแต่ว่าเราอาสามาประสานงานก่อน"

   ถ้าเทียบแล้วผมกับเฟย์ก็คงเป็นคนต่างขั้วในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาน่ะชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรียกได้ว่างานอะไรก็ตามต้องเข้าไปมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย เห็นบอกว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยจะวางมือแต่ก็ยังไม่เลิกหาเรื่องใส่ตัวสักที

   "แล้วขาดเรียนไม่เป็นไรเหรอ"

   "ฝากเพื่อนจัดการเรียบร้อย ไม่ต้องห่วง" รอยยิ้มแสนสดใสมาพร้อมกับการการันตีให้เบาใจ แล้วผมก็รู้จักเฟย์ดีว่าคำพูดนั้นมันเชื่อถือได้

   "แต่แฟร์ยังไม่ตอบเราเลยนะว่าใครมาส่ง"

   "อ้อ...คนที่ทำงานด้วยกัน"

   ผมว่าตัวเองก็นิยามความสัมพันธ์ของเราได้ดีเหมือนกันนะ ในกรณีที่มีเวลาให้คิดทบทวนแค่ไม่กี่วินาที

   "ไปลำบากคนอื่นอีก เมื่อไหร่จะขับรถไปเรียนสักที จอดทิ้งไว้ที่บ้านเราอย่างนั้นเดี๋ยวแบตก็เสื่อม"

   คนร่วมสายเลือดส่วนหนึ่งทำปากบุ้ยไปนอกหน้าต่าง มันเป็นลานจอดรถที่มีเพียงรถรุ่นประหยัดน้ำมันกลางเก่ากลางใหม่สีขาวจอดอยู่เพียงคันเดียว ซื้อมือสองมาด้วยความตั้งใจว่าจะให้ผมกับเฟย์ใช้ร่วมกัน แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครใช้เลยสักคน

   ยักไหล่ขึ้นพลางตอบ "ในเมืองรถเยอะ ถ้าว่างก็เอาออกไปขับแถวนี้ตลอด"

   การจราจรในกรุงเทพไม่ใช่เรื่องตลก โดยเฉพาะกับคนที่เรียนในสถานศึกษากลางเมืองอย่างผม พอนึกถึงปัจจัยอื่นเช่นที่จอดรถแล้วก็เลยเลือกใช้ขนส่งสาธารณะดีกว่า

   "แต่ช่วงที่เราอยู่ด้วยขับไปส่งได้ใช่ไหม"

   "ได้สิ เดี๋ยวจะเบิกคุณน้าเอง"

   พูดติดตลกถึงน้องสาวของแม่ ก็ที่บอกว่าบุพการีติดใจชีวิตชนบทแล้วเอาน้องของตัวเองไปด้วยนั่นแหละ ตอนนี้พวกเขามีความสุขกับการอยู่นอกเมืองไม่ต้องเจออะไรวุ่นวาย มีแต่ผมนี่แหละยังต้องทนอยู่ในเมืองหลวงต่อไป

   ส่วนเฟย์เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังทางเหนือ ไม่ไกลจากจังหวัดที่พ่อแม่ของพวกเราย้ายไปอาศัยอยู่ พูดง่ายๆ อีกอย่างคือผมโดนทุกคนทิ้งให้เฝ้าบ้านทั้งสองหลังอยู่นั่นเอง

   "แหม ไม่ได้ใช้รถเลยอย่างนี้ค่าน้ำมันที่ได้ทุกเดือนเอาไปลงกับอะไรล่ะ"

   อ้อนคนรู้ทันด้วยการพุ่งไปกอดเอวคนที่เปลี่ยนไปนั่งอยู่บนเตียง ใช้หน้าตักของอีกฝ่ายต่างหมอนหนุน "ก็หนังสือทั่วไปแหละ"

   "แฟร์นี่ชอบหนังสือจังเลยนะ นี่อ่านแค่หนังสือเรียนก็ไม่อยากแตะอย่างอื่นแล้วอะ"

   เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ผมว่าตัวการที่ทำให้คนเราหยุดนิสัยรักการอ่านก็คือหนังสือเรียน

   "มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวดี ไม่ต้องเจอใคร" ในโลกของหนังสือผมได้รู้จักผู้คนมากมายโดยไม่จำเป็นต้องคุยกันแบบพบหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของนักเขียนและตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมา

   "สายตาเลยสั้นจนต้องใส่แว่นเหรอ?"

   เผลอหันไปมองแว่นสายตาที่วางเอาไว้ข้างหัวเตียงก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ แว่นกรอบกลมที่ดูเปราะบางไม่น่าจะรองรับน้ำหนักอะไรได้

   "...อืม"

   "แปลกตาดี คุณแม่ก็ไม่รู้ใช่ไหม"

   "ยังไม่เล่า เดี๋ยวบอกแล้วจะโดนห้ามอ่านหนังสือ"

   พ่อกับแม่ของผมน่ะชอบกังวลไปก่อนตลอด อย่างเรื่องสุขภาพก็จะต้องฉีดยาป้องกันไข้หวัดทุกปี ไม่ค่อยยอมให้โดนแม้แต่ละอองฝน แอบน่าเบื่อเหมือนกัน

   "แต่ไม่ได้สั้นอะไรขนาดนั้น"

   "ก็ว่าอยู่ เพื่อนเฟย์สายตาสั้นแปดร้อยแบบที่ต้องมีแว่นติดตัวกระทั่งตอนเข้าไปอาบน้ำเลยอะ" ท่าการคาดคะเนความหนาของเลนส์แว่นด้วยมือของเฟย์มากเสียจนผมนึกภาพออก "นี่แฟร์ไม่ใส่ก็ยังเห็นเดินไปมาได้ปกติ"

   "นี่บ้านที่เราอยู่มาตั้งแต่เด็กนะ หลับตาเดินยังได้เลย"

   เคยลองเอาผ้ามาปิดตาแล้วเดินทั่วบ้านด้วย ถึงจะชนนู่นนี่ไปบ้างแต่ภาพโดยรวมแล้วถือได้ว่าผมสามารถจดจำส่วนต่างๆ ของบ้านได้แม่นยำ ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอย่างนี้จะอวดไปทำไมก็เถอะ

   นอนบนตักจนเบื่อแล้วก็เลยขยับไปอยู่บนหมอนฝั่งตัวเอง ปล่อยให้อีกคนได้เคลื่อนตัวไปครอบครองพื้นที่อีกครึ่ง ส่วนหนึ่งที่เตียงในห้องของผมเป็นขนาดสองคนนอนก็เพราะว่าเผื่อไว้สำหรับการมานอนค้างของเฟย์นี่แหละ และห้องของเฟย์เองก็มีที่ของผมเช่นกัน

   "เฮอะ เราก็อยู่ที่นี่จนจำได้ทุกมุมเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะว่าไป..."

   เสียงลากยาวตรงท้ายประโยคเรียกให้ผมหันไปมองหน้าคนพูด สายตาของนาวินท์กวาดมองไปทั่วห้องราวกับกำลังเทียบสิ่งที่เคยอยู่ในความทรงจำ เขาพึมพำอะไรออกมาสองสามคำก่อนที่จะถามผมต่อ

   "ช่วงนี้แฟร์ชอบดอกไม้เหรอ?"

   "..."

   ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากจะเงียบคืนไปอย่างนี้หรอก ด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า 'ดอกไม้' มันไม่มีสิ่งอื่นนอกจากเจ้ากุหลาบแห้งเหี่ยวที่ผมยังไม่ได้เก็บไปทิ้ง

   "เห็นที่อยู่ตรงโต๊ะเล็ก"

   เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นออกไปจากสายตาของคนที่บอกว่ารู้จักที่นี่ทุกมุม เดี๋ยวถ้าเจอช่อดอกไม้ที่ใช้งานไม่ได้เพราะผมทำออกมาห่วยแตกตรงห้องนั่งเล่นข้างล่างจะต้องถามอีกแหง

   "ไม่ได้ชอบ พอดีบังเอิญได้มา"

   "เห...ได้จากไหนเนี่ย"

   "ไม่บอก เป็นความลับ"

   อาจคิดว่าการปฏิเสธอย่างนั้นจะกระตุ้นความอยากรู้ของอีกฝ่ายมากขึ้น แต่กับเฟย์แล้วมันเป็นการบอกว่าผมไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากเท่าไหร่ และมันก็เป็นอย่างที่คาดเดาเมื่อลูกพี่ลูกน้องผมพยักหน้าขึ้นลงแล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ

   "พรุ่งนี้เย็นเราไปกินข้าวในห้างกันนะ ขอเข้ามาเปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ"

 

   "แฟร์ วันนี้ไปซื้อของขวัญให้ชินากัน"

   ปรายมองคนที่มานั่งข้างๆ แบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผู้ชายที่ไม่น่าเข้าใกล้วันนี้ก็อยู่ในชุดฟอร์มนักศึกษาไม่ค่อยถูกระเบียบ กางเกงยีนส์ขาขาดแบบที่น่าสงสัยว่าผ่านพวกอาจารย์มาได้ยังไง

   แล้วเด็กคณะวิทยาศาสตร์มาทำอะไรที่อักษรได้ทุกวัน

   "ไม่ว่าง"

   "ไหนชาบอกว่าวันนี้ไม่มีงานอะไรไง"

   จำเป็นขนาดไหนที่เพื่อนต้องเล่ารายงานความเป็นไปตลอด วันนี้เป็นวันจันทร์ที่เราตกลงกันในกลุ่มคนจัดซุ้มว่าถ้าไม่มีอะไรจำเป็นเร่งด่วนก็ไม่ต้องเข้าไปทำ เพราะยังไงวันอังคารก็ต้องลุยงานหนักอยู่แล้ว จะตายก็ตายรอบเดียวพอ

   "งานส่วนตัว"

   แต่ธชาในฐานะหัวหน้าฝ่ายก็ต้องเข้าไปคุยงานส่วนอื่นอีก เป็นความรับผิดชอบของตัวหลักที่ผมคงไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปรับหน้าที่อะไรอย่างนั้น

   "หืม พูดอย่างนี้ยิ่งอยากรู้เลย"

   "ไม่รู้สักเรื่องก็ได้" ส่วนที่อยู่ข้างในใจอยากจะบอกว่าไม่ต้องเสือกเรื่องของคนอื่นมากก็ได้

   ยิ้มแสยะตรงมุมปากข้างหนึ่งของเชนินทร์แทนการบอกว่าสิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้าไม่มีผลอะไรเลย

   "ไม่เอา เรื่องของแฟร์สนุกจะตาย"

   "เราไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจ" ขยับแว่นให้ขึ้นไปอยู่ตรงสันจมูกตามเดิม ผมกวาดตามองอุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ทำงานในส่วนของวันพรุ่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย พอแน่ใจว่ามันไม่น่าจะมีเรื่องผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็เดินออกมาตามทางออกไปนอกตึก

   "หืม...?"

   ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามประโยคที่ออกมาจากปากของเชนินทร์มันจะทำให้ผมระแวงไปเองได้เสมอ แค่การที่เขาทำเสียงสูงกว่าปกตินิดเดียวผมก็ต้องรีบตัดบทก่อน

   "ใกล้เวลานัดแล้ว เราไปก่อนนะ"

   ยกมือขึ้นพร้อมกับบอกลา เดินจ้ำอ้าวไปยังอาคารจอดรถห่างไปไม่ไกล เพื่อความสะดวกในการเดินทางวันนี้เลยเป็นครั้งแรกที่ผมขับรถมาเรียน ไม่เคยบอกใช่ไหมว่าตัวเองขับรถได้ตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว แต่ว่าพอมีใบขับขี่ก็เหมือนกับโดนสาปให้ไม่ได้ขับรถอีกเลย

   วันนี้ผมต้องพาเฟย์ไปเดินเล่นอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ผมเข้าใจฟิลลิ่งตอนที่เขาบอกว่าอยู่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดจนเป็นโรคโหยหาความทันสมัยเลยล่ะ สภาพของเฟย์ไม่ต่างอะไรกับตอนทะเลพลอยเล่า สตอรี่คล้ายกันจนนึกว่าใครลอกใครมา ก็สมกับที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน

   ตอนแรกเฟย์อยากเดินในสยามแต่ผมไม่อยากจะบังเอิญเจอบางคนที่เป็นคล้ายเงาตามตัว เราเลยตัดสินใจไปเดินห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ไม่ไกลจากบ้าน ถึงของบางอย่างจะไม่ครบเท่าใจกลางเมืองแต่คิดว่าเพียงพอสำหรับการมาเมืองกรุงในระยะสั้น

   "อยากกินปิ้งย่างจัง"

   "อันนั้นที่นู่นก็มีไม่ใช่เหรอ"

   "แต่มันไม่มีแฟร์นี่นา"

   "ขี้เหงานะเดี๋ยวนี้" ช่วงที่เราต้องเลือกว่าจะเดินบนทางเส้นไหนต่อ ชื่อของมหาวิทยาลัยจำนวนมากถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อเสีย และมันก็ไปจบที่ว่าความชอบของเราสองคนไม่สามารถหาจุดที่ลงตัวได้ เลยต้องยอมแยกย้ายกันไป "ทีตอนนั้นล่ะบอกว่าเราต้องห่างกันบ้าง"

   "ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นี่นา"

   "ยังมีอะไรหนักกว่าที่บ่นให้เราฟังในไลน์อีกเหรอ"

   หนึ่งในหัวข้อการพูดคุยของเราคือการที่เฟย์เอาเรื่องราวล้านแปดมาฟ้อง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาชอบทำกิจกรรมด้วยแหละเลยเจอคนมาก ก็มีทั้งดีแล้วก็ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะโอนเอียงไปทางไม่ดี

   "โอย เยอะแยะเลย"

   "งั้นไปจัดลิสต์มาว่าจะเล่าเรื่องอะไรก่อน เราพร้อมฟังเสมอ"

   "ได้! อย่าท้าเรานะ" ท่าการชี้หน้าคาดโทษใส่ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ความที่เรามีองค์ประกอบบนใบหน้าคล้ายกันมากมันเลยเหมือนกับว่าผมกำลังเห็นตัวเองผ่านกระจกอยู่ "แล้วแฟร์ล่ะ มีเรื่องไหนที่ไม่ได้เล่าให้เราฟังไหม"

   นึกย้อนไปแล้วมันก็มีเรื่องที่เข้าข่าย 'ไม่ได้เล่า' เยอะเหมือนกัน "...ก็มีนะ"

   "งั้นเดี๋ยวคืนนี้ค่อยว่ากันต่อ ตอนนี้ไปกินข้าวกันเถอะ"

   "เฟย์ไปจองก่อนเลย เราขอแวะร้านนี้หน่อย" ชี้ไปทางร้านของหนังสือที่ห่างออกไปอีกไม่ไกล กว่าจะถึงชั้นอาหารต้องขึ้นไปอีก พอเชนมาพูดถึงเรื่องวันเกิดชินาแล้วผมก็ลองแวะเลยเผื่อเจอของทื่อยากได้ "สัญญาว่าไม่นาน"

   นัดแนะกันอีกนิดหน่อยพอให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเข้าใจคลาดเคลื่อนจนเข้าผิดร้าน ผมเดินผ่านส่วนชั้นวางหนังสือประเภทต่างๆ ของร้านจนถึงปลายทางอย่างงานเขียนสำหรับเด็ก บางทีของที่เหมาะสำหรับชินาที่สุดคงไม่พ้นหนังสือ

   แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ แล้วก็แอบเข้าสู่สภาวะมืดแปดด้านอยู่เหมือนกัน ผมเริ่มอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศตอนช่วงเข้ามัธยมไปแล้ว ก่อนหน้านั้นก็อยู่แต่กับหนังสือภาษาไทย มันไม่เหมือนกับชินาที่เรียนในโรงเรียนสองภาษามาตั้งแต่แรกเริ่ม หนังสือที่ธชาเคยซื้อให้เธอก็ปะปนกันไปทั้งสองส่วน

   เพื่อไม่ให้เข้ามาเสียเที่ยวผมเลยเดินวนดูหนึ่งรอบเพื่อตัดสินใจว่าจะปักหลักตรงไหน พอได้ทำเลที่เหมาะแล้วถึงค่อยมาเลือกทีละเล่มว่ามีอันไหนน่าสนบ้าง

   เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีไม่น้อย ความรู้ใหม่หลายอย่างของผมเพิ่มขึ้นมาจากการเปิดผ่านๆ เพื่อสโคปเนื้อหา เช่นเรื่องของเด็กตัวน้อยที่มาในรูปแบบของหนังสือภาพแสนสวย หรือไม่ก็หนังสือที่มีการออกแบบให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องด้วย

   ความยากอีกหนึ่งอย่างของการชั่งใจเลือกคือชินานางไม่ใช่ไทป์เดียวกับเด็กอายุเท่ากัน ตัวเลขที่ระบุว่ามันเหมาะกับเด็กในวัยไหนคงใช้กับเธอไม่ค่อยได้ ผมเปิดหนังสืออีกสองสามเล่มเพื่อเอามาเทียบกันว่าเรื่องไหนน่าสนใจที่สุด แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะหนังสือแบบไหนมันก็ยังไม่เข้าตาผมสักที

   ด้วยความที่นัดเฟย์เอาไว้ด้วยก็เลยไม่อยากทำตัวอืดอาดมากเท่าไหร่ เก็บสิ่งพิมพ์ที่ตัวเองหยิบออกมาก่อนหน้าไว้ที่เดิม ยืนจนเต็มความสูงหลังจากที่ต้องนั่งยองมาเป็นเวลาพอสมควร

   "...?"

   หนังสือเล่มที่อยู่ตรงกับระดับสายตาดึงความสนใจของผมเอาไว้ได้ดี

   หน้าปกเขียนชื่อเรื่องเอาไว้ว่า The Snow Queen มีตัวอักษรบรรทัดถัดมาบอกว่ามันเป็น Coloring book หรือว่าหนังสือระบายสีอย่างที่สมัยนี้กำลังฮิตกัน หน้าปกสีขาวมีเส้นวาดลายดอกกุหลาบล้อมเป็นกรอบเอาไว้ทั่วเล่ม ตรงกลางมีชื่อเรื่องแล้วก็ส่วนล่างเป็นรูปปราสาทแบบยุโรป ทั้งเล่มมีการใช้สีหลักเพียงแค่สามสีคือชื่อเรื่องสีเขียวแก่ ลายเส้นส่วนต่างๆ สีดำ แล้วก็สีฟ้าที่แซมตรงปราสาท

   มันเป็นความเรียบง่ายที่สะดุดตาดีเหมือนกัน

   อยากจะเปิดดูเนื้อหาแต่ก็ทำไม่ได้ ก็เล่นซีลหนังสือเอาไว้ขนาดนี้ ผมท่องชื่อเรื่องเอาไว้พลางเตือนตัวเองว่าจะไม่ลืมกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจ

   ก็ในบางครั้งชื่อเรื่องมันบอกอะไรไม่ได้เลยนี่นา

   

   "แฟร์ เอาขนมถุงไหน"

   คิดเอาไว้แล้วล่ะว่าต้องไม่จบที่มื้ออาหารอย่างเดียว

   พอเราทานอาหารเย็นพร้อมกับตบท้ายด้วยของหวานเสร็จแล้วเฟย์ก็ลากผมลงมายังชั้นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใต้ดินต่อ บอกว่าถึงจะอยู่แค่สัปดาห์เดียวก็ขอเอนจอยกับช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด

   "ได้หมด เพราะเราจะส่งบิลไปให้คุณน้าเหมือนกัน"

   "แฟร์!"

   "เราเอาเจลลีหมีสตรอว์เบอรี หยิบให้ด้วย"

   ทำเป็นไม่สนใจเสียงตวัดที่เรียกชื่อตัวเอง เข็นรถตรงไปล่วงหน้าแบบไม่คิดจะรอกัน ปล่อยให้เฟย์เลือกไปอย่างนั้นแหละ ดันเป็นพวกรักพี่เสียดายน้อง ถ้าเลือกอย่างหนึ่งก็จะถามว่าทำไมไม่เลือกอย่างสอง พอเปลี่ยนไปเลือกอย่างสองก็ถามกลับอีกว่าอย่างแรกไม่ดีตรงไหน ดังนั้น ปล่อยให้เลือกเองดีที่สุด

   "ยังชอบสตอรว์เบอรีเหมือนเดิมเลย" เฟย์น่ะไม่เคยโกรธผมหรอก เหมือนกับที่ผมเองก็ไม่เคยโกรธเขาเหมือนกัน "ถ้าเรากินไม่หมดก็ฝากแฟร์กินต่อแล้วกันนะ"

   "อย่ามาโบ้ยภาระให้อย่างนี้สิ" โคลงหัวหลังจากเห็นปริมาณของกินในรถเข็นหน้าตัวเอง นี่เฟย์บอกว่าจะไปดูนมจืดต่อด้วยนะ "ไม่หมดเราถ่ายรูปไปฟ้องแน่"

   "ฮื่อ อย่าทำอย่างนี้สิ ...มีใครโทรมาหรือเปล่า?"

   ความเคยชินกับชีวิตที่ไม่ต้องมีเครื่องมือสื่อสารเลยทำให้กว่าจะรู้ว่าระบบสั่นที่ตั้งเอาไว้กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็งก็ตอนที่เฟย์เอามือมาทาบไว้กับกระเป๋าแล้วบอกนั่นแหละ

   และพอเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาอารมณ์ดีของผมตั้งแต่ช่วงเย็นก็พาลหายไปหมด เจ้าของรูปกุหลาบเพียงแค่หนึ่งดอกต้องการอะไรจากผมอีกนะ

   (อยู่ไหน)

   "แถวบ้าน"

   วันนี้คิดเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าคงไม่ได้เจอกันเพราะเรื่องงาน ผมเลยไม่ได้ใส่ใจที่จะบอกว่ากลับบ้านหรือว่าไปที่ไหนต่อ

   (ว่าจะชวนไปซื้อของขวัญให้ชินา)

   "ไปกับเชนสิ วันนี้เขาก็ชวนเรา" จดเอาไว้ในความทรงจำว่าต้องไม่ลืมกลับไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น ถึงไม่ค่อยโอเคกับคนพี่แต่ถ้าเป็นเด็กหญิงชินานางแล้วผมชอบเธอนะ "แต่เราไม่ว่างไป"

   (แล้วกินข้าวเย็นหรือยัง)

   "เรียบร้อย"

   "แฟร์ ซื้อป๊อปคอร์นไปทำกินเล่นกันไหม?" ระหว่างที่ยังคุยไม่รู้เรื่องคนที่มาซื้อของด้วยกันก็โผล่เข้ามาพร้อมกับซองข้าวโพดคั่วอย่างง่ายเพียงแค่เข้าไมโครเวฟ

   (ใคร?)

   และยังไม่ทันได้คิดอะไรปลายสายก็ถามขึ้นมาเสียงแข็ง

   "อ่า..."

   "แต่เราก็อยากกินแบบรสชีสอะ ที่นี่จะมีผงแบบใส่เองไหม"

   (อยู่กับใคร?)

   ผมขอเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจแล้วกันนะ

   "ก็..." ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการบอกว่ากำลังอยู่กับเฟย์เป็นเรื่องยากตรงไหน มันเลยคล้ายกับว่าผมกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ "นายไม่รู้จักหรอก"

   (ถามว่า อยู่กับใคร)

   เรียกได้ว่าไม่เคยโดนคาดคั้นอย่างที่กำลังเจอมาก่อน ผมผู้ตกอยู่ในสภาวะทำอะไรไม่ถูกสักอย่างเลยตัดสินใจที่จะบอกลาสั้นๆ แล้วตัดสายทิ้งไป "วางก่อนนะ"

   และทำเสมือนว่าเรื่องราวเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

   "คิดว่ามี ลองไปดูสิ"

   "ใครโทรมาเหรอ?"

   "คนทำงานด้วย" บอกปัดแล้วหยิบเอาของในมือเฟย์ใส่ตะกร้าเอง "นอกจากผงชีสแล้วจะดูอะไรอีก"

   "เหลือนม ไปหยิบนมกันเถอะ"
   
   "ตัวแค่นี้กินไปก็ไม่สูงขึ้นหรอกนะเฟย์"

   "ปาก!" หัวเราะขำขันที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียได้สำเร็จ เรื่องความสูงมันเป็นปมด้อยของเราสองคนไปแล้วล่ะ ไม่ได้เตี้ยถึงขั้นนั้นแต่เวลามองพ่อของตัวเองแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้กรรมพันธุ์เรื่องนี้มาเลย "เห็นคนอื่นโทรมาบ้างค่อยดีหน่อย ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนซื้อมาคุยกับเราคนเดียว"

   "แค่นี้เราก็โอเคแล้ว ล้นไปมันก็ไม่ดี"

   "คิดถึงตอนที่เราสลับมือถือกันเนอะแฟร์ ทั้งแชตทั้งโทรไม่มีใครรู้เลย ตลกมาก"

   "ก็อยู่ด้วยกันตลอดนี่ แค่มองซ้ายขวาเดี๋ยวก็คืนให้ได้แล้ว"

   ส่ายหัวระอาให้กับวีรกรรมช่วงวัยรุ่นของตัวเอง เราเคยซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่พร้อมกันเลยเกิดความคิดแผลงๆ ว่าถ้าลองสลับกันใช้แล้วจะมีใครจับได้บ้าง มันก็เนียนได้ในระดับหนึ่งแหละเพราะช่วงมัธยมปลายเราอยู่ด้วยกันตลอด ถ้าเมย์เดย์จริงๆ ก็แค่โยนคืนไปให้เจ้าของ

   ที่ตลกที่สุดคือเคยมีเพื่อนจากโรงเรียนมัธยมต้นของเฟย์โทรมาหาแล้วคุยกับผมเป็นชั่วโมง นอกจากจะจับไม่ได้แล้วยังเอาเรื่องเดิมไปคุยต่อยอดกับเฟย์ในครั้งต่อมา ต้องแถกันแทบแย่

   เข็นรถตามไปเรื่อย ไม่ต้องกังวลเรื่องการโทรเข้าซ้ำเพราะเปิดโหมดเครื่องบินไว้แล้ว พอถึงล็อกของเครื่องดื่มเพิ่มแคลเซียมแล้วผมก็ปล่อยให้คนอยากจะสูงขึ้นเดินเข้าไปเลือกตามสะดวก

   เดี๋ยวนี้มีนมหลายชนิดจนตามไม่ทันแล้ว ตอนผมเป็นเด็กที่ชอบที่สุดคือนมเปรี้ยวรสธรรมชาติเอาไปใส่ช่องแข็งแล้วก็ทำเป็นไอศกรีมแหละ

   "ไม่กินด้วยกันเหรอแฟร์"

   "ไม่ล่ะ เดี๋ยวสูงเกิน..."

   อารมณ์ขันถูกฉุดให้ดิ่งลงเมื่อผมเห็นสินค้าชิ้นล่าสุดในรถเข็น

   นมกล่องสีส้ม...ที่คุ้นตา

   จู่ๆ ความกลัวบางอย่างก็แล่นเข้ามากลางหัวใจเสียจนต้องรีบไล่มันออกไปเสีย มันพาลพาให้นึกไปถึงคนที่เพิ่งจะตัดสายทิ้งไปก่อนหน้า

   การคิดอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

   ไม่ดีเลยจริงๆ

   

   ตั้งแต่ต้องอยู่ติดกับธชามา นี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นเขาในรูปลักษณ์ของ 'อสูร' จริงๆ

   "พอชาอารมณ์ไม่ดีคนอื่นก็พลอยอึดอัดไปด้วยเลย"

   "เมื่อวานตอนเอางานมาอธิบายก็ยังโอเค เช้านี้กลายร่างไปแล้ว"

   "นี่ต้องเอาใบแผนงานไปคุย มีใครอาสาเข้าไปแทนไหม"

   พอเขาอยู่ในโหมดไม่รับแขก เพื่อนคนอื่นที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องซุ้มภาษารวมทั้งผมเลยแยกตัวออกมาอยู่บริเวณนอกปราสาทที่อสูรไม่สามารถใช้อำนาจทำลายล้างได้ เราเลือกมุมหนึ่งของใต้ถุนตึกเป็นที่สำหรับจัดเตรียมอุปกรณ์ที่เหลืออยู่เล็กๆ น้อยๆ ให้เสร็จสมบูรณ์

   เรียกได้ว่าสีหน้าเรียบเฉยนั่นเหมือนกับติดป้ายคำว่า 'ห้ามรบกวน' เอาไว้ตัวใหญ่ ขนาดแม่งานหลักของงานในครั้งนี้ยังเดินเข้าไปคุยครั้งเดียวแล้วออกมายืนยันว่าจะไม่เข้าไปอีกครั้งถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรจริงๆ

   "เราจะทำยังไงดีล่ะแฟร์"
   
   มันเลยกลายเป็นว่าพอไม่สามารถคุยกับหัวหน้างานได้ก็ต้องถามรองหัวหน้าแทน คนที่ถูกโยนหน้าที่มาให้อย่างไม่เต็มใจรับอย่างผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรกับใครเท่าไหร่ เรื่องที่น่าเศร้าคือไม่สามารถทำตัวเป็นพวกไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ในเวลานี้ได้ด้วยสิ

   "ถ้าคิดว่าไม่เจอเรื่องที่เกินคาดก็คงไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแหละ แต่ถ้าเกิดจริงๆ ก็ให้ธชาเป็นคนตัดสินใจแบบไฟนอลก็ได้"

   คงติดเป็นนิสัยไม่ชอบทำอะไรให้มีช่องว่างในการกลับมาทำร้ายตัวเองได้ ผมเลือกทางที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหากลับมาให้ต้องแก้อีกรอบ อีกอย่างธชาเป็นคนดูแลทั้งหมดก็ควรให้เขานั่นแหละตัดสินใจ

   "แต่ถ้ายังทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นเราคงไม่กล้าเข้าไปหา"

   "จริง ขออยู่นอกวงเลย"

   "แฟร์รู้ไหมทำไมอยู่ดีๆ ชาก็กลายเป็นอสูรเฉย"

   มองหน้าเพื่อนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ในเวลานี้ ทุกคนดูข้องใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแต่ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะรู้กันนะ

   "ไม่รู้" ตอบตามอย่างที่คิด "เราก็ไม่ได้สนิทอะไรกับธชาขนาดนั้นอยู่แล้ว"

   ดูจากท่าทางแล้วแต่ละคนคงไม่ค่อยเชื่อ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาคงคิดว่าคนที่ได้ 'ดอกกุหลาบ' ไปจะต้องเป็นพวกที่รู้เรื่องของอสูรดีในระดับหนึ่ง ยิ่งเป็นคนที่ได้กุหลาบช่อใหญ่อย่างผมแล้วด้วย ความน่ากลัวอย่างหนึ่งของโลกไร้ขอบจำกัดอย่างโลกออนไลน์คือการแพร่กระจายของข่าวสาร

   ไม่ได้เห็นเองหรอก เชนินทร์แทบจะประเคนมาให้จนชิดขอบแว่นอยู่แล้ว

   "ไม่ สนิท"

   เลยต้องย้ำไปอีกหน่อยเพื่อเป็นการปิดประเด็นทั้งหมด

   ต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมไม่ต้องลงแรงอะไรมากไปกว่าการตรวจสอบความถูกต้องในขั้นสุดท้าย ตอนนี้กลายเป็นว่าพอมีปัญหาอะไรมาก็เป็นภาระของผมในการแก้ปัญหาไปเสียอย่างนั้น

   แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจในการตัดสินใจทุกเรื่องเสียหน่อย

   ผมมองแผ่นกระดาษที่มีคำถามเขียนเอาไว้สองสามข้อด้วยลายมือของประธานจัดงาน ได้ความว่าตำแหน่งที่ตั้งใจจะวางซุ้มเอาไว้ทีแรกอาจจะไปทับซ้อนกับส่วนอื่น บอกไม่ได้เหมือนกันว่าข้อตกลงตั้งแต่แรกเป็นยังไงเพราะผมเองไม่ใช่คนที่จัดการมาตั้งแต่แรก

   ส่วนคนที่รู้เรื่องทั้งหมดน่ะเหรอ...

   "นี่เราจะต้องเป็นตัวแทนหมู่บ้านไปจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย"

   ถอนหายใจออกมาต่อหน้าทุกคน ก็ให้รู้กันไปเลยว่าไอ้ที่ขอให้ผมไปทำไม่ใช่เรื่องที่เต็มใจทำเลยสักนิด

   "ถ้าเรากลับมาไม่ครบสามสิบสองต้องรับผิดชอบด้วย"


***
   เป็นตอนที่ไม่มีที่ให้เทพนิยายลงอีกแล้วค่ะ (ฮา) ทำไมพอวันไหนที่ฝุ่นเยอะก็ต้องออกจากบ้านประจำเลยนะคะ...
   ขอบคุณสำหรับการชี้จุดผิดพลาดนะคะ บางทีเจ้าก็รีบพิมพ์จนไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้แก้เรียบร้อยแล้วค่ะ (ยิ้ม)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเก้า [8.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 08-02-2018 22:03:03
น้องได้กลิ่นมาม่าโชยค่ะ แต่น้องคิดว่าน้องคงคิดไปเอง น้องต้องคิดไปเองแน่ๆเลยย แต่ก็ไม่แน่อีก คุณเจ้าชอบหลอกให้เราคิดไปเอง555 เรื่องนี้มันต้องมีความพีคมากกว่านี้แน่ เดาๆไว้คือชาเข้าใจว่าแฟร์คือเฟย์ สองคนยังเหมือนกันอีก ไม่แปลกถ้าชาจะเข้าใจผิด แต่ก็อย่างชาจะเข้าใจผิดเหรอ ชามันดูฉลาดช่างสังเกตอยู่นะ อย่างน้อยๆนิสัยของแฟร์เฟย์ก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ชามันต้องสังเกตบ้างสิ โอ๊ยยย! ใจนึงก็อยากรู้ตอนจบเร็วๆอีกใจก็ยังไม่อยากให้จบ ฮืออออ  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่สิบเก้า [8.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 09-02-2018 10:34:00
มาแล้วๆๆๆๆๆ  สลับมือถือ!!!!!!  นมกล่องส้มในรถเข็น !!!!
นี่คือคีย์เวิร์ดสำคัญใช่ไหม
ธชาเป็นคนฉลาดนะ พี่แกไม่เอะใจเลยหรือไงนะ
แฟร์สังเกตุและเชื่อมโยงความเป็นไปได้ ได้เร็วมากก น้องไม่ควรต้องช้ำ โรยราเหมือนกุหลาบในมืออสูรนะ  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบ [11.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-02-2018 15:24:22
เรื่องเล่าที่ยี่สิบ


   แม่มดร้ายปรารถนาที่จะครอบครองเด็กหญิงไว้ตลอดกาล นางจึงเสกให้ดอกกุหลาบทั้งหมดจมลงดิน
   - The Snow Queen (2)


 
   ความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์มันมากเสียจนผมต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาก่อน

   "ลดแอร์หน่อยได้ไหม"

   คนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนี่ชอบทำตัวเอาแต่ใจทุกคนเลยหรือเปล่านะ ผมได้แต่เอื้อมมือไปปิดช่องแอร์ฝั่งของตัวเองแล้วยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้ ภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เขาเลิกอยู่ในสภาพนี้สักที

   นับหนึ่งถึงเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ธชาก็ยังทำลายโลกด้วยการเปิดเครื่องยนต์ทิ้งเอาไว้กลางลานจอดรถ ผมตั้งตัวเลือกให้ตัวเองว่าควรจะทำอะไรระหว่างการนั่งนิ่งต่อไป เปิดประเด็นเอง หรือว่าเดินลงจากรถไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด

   แต่ทางไหนก็ไม่มีผลดีกับผมทั้งนั้น

   "เมื่อวานไปกับใคร"

   กว่าอสูรจะอารมณ์เย็นลงก็ผ่านมาอีกเกือบสิบนาที ต้องขอบคุณนาฬิกาดิจิทัลตรงเครื่องเล่นเพลงที่ช่วยเป็นความบันเทิงใจเดียวของผม

   "อ่า...คนรู้จัก" ในที่สุดก็วนกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้

   "เหรอ?"

   "ลูกพี่ลูกน้อง"

   ทำไมต้องทำเสียงไม่เชื่อถือจนกลายเป็นผมเองที่ต้องให้คำจำกัดความใหม่ ก็ไม่อยากให้เขามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมนี่นา เราไม่ต้องรู้จักกันมากมายขนาดนั้นสักหน่อย

   "...มาเยี่ยมเหรอ"

   "ใช่ พอดีลงมางานสัมมนาของคณะ" มาจนถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องหาทางอ้อมอีกล่ะ สุดท้ายเขาจะจี้จนผมต้องเล่าเรื่องจริงออกไปอยู่ดี "เมื่อวานเลยไปซื้อของด้วยกัน"

   "แล้วทำไมตัดสาย"

   "ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยแล้วนี่"

   และผมก็พูดออกไปอย่างที่ต้องการ ไม่ต้องมากังวลว่ามันจะเป็นคำที่ดูตัดรอนน้ำใจหรือไม่ ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้รักษาความรู้สึกของผมมากเท่าไหร่อยู่แล้ว

   "อ้อ..."

   "ถ้าพอใจแล้วก็เลิกทำตัวงี่เง่า เพื่อนไม่กล้าเข้ามาคุยงานด้วย"

   สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพาธชาคนที่รับบทหัวโขนในการทำงานกลับมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยไปคุยกันนอกรอบทีหลังเอาถ้ายังอยากเคลียร์อะไรเพิ่ม คิดแล้วก็หงุดหงิดเหมือนกันแหละที่ต้องมาออกหน้ารับเรื่องทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้วผมควรได้อยู่สบายๆ ต่อไป
   
   "แคร์คนอื่นมากกว่าอีกนะ" ได้ยินแค่นั้นก็ยังรู้เลยว่ากำลังถูกประชดอยู่

   "ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคืองาน"

   เสียงแค่นหัวเราะเต็มไปด้วยรอยหยัน "สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเองมากกว่ามั้ง"

   "ธชา" ก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสปรามเขาอย่างที่กำลังทำอยู่ "อย่าพาล"

   "ไม่ได้พาล"

   "..."

   "ถ้าเราทำอย่างนั้นทุกอย่างมันจะแย่กว่านี้อีกเยอะเลยแฟร์"

 

   "ซุ้มนี้จะเป็นส่วนของงานภาษา ..."

   บอกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ก็ยังได้ ตั้งแต่เช้าผมต้องพูดแนะนำกิจกรรมด้วยบทสคริปต์เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจากที่ต้องดูโพยเป็นระยะตอนนี้ให้หลับตาพูดยังเหมือนเดิมเป๊ะ นึกไม่ถึงเลยว่างานกิจกรรมของคณะจะมีเด็กชั้นมัธยมให้ความสนใจมากมายเท่านี้

   "ถ้าสนใจก็คุยกับพี่ตามโต๊ะได้เลยครับ"

   ตบท้ายด้วยการส่งยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดแล้ว พอเห็นว่าน้องผู้ชายผมเกรียนในชุดนักเรียนเต็มยศเดินผ่านไปแล้วถึงลอบถอนหายใจได้ถนัดหน่อย มันเป็นหน้าที่ของรองหัวหน้าฝ่ายในการช่วยเหลือให้คำแนะนำเบื้องต้น ผมนี่อยากจะทำตัวไม่ดีหนีงานให้รู้แล้วรู้รอด

   แต่ติดก็ตรงหัวหน้าฝ่ายนี่แหละ

   หันไปมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนอีกฟากของส่วนงาน เขากำลังอธิบายอะไรบางอย่างให้สาวน้อยผมเปียสองคนอยู่ ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะการที่เห็นแต่เด็กผู้หญิงเดินไปมาเป็นเรื่องปกติของคณะผม

   เอาเข้าจริงแล้วเรื่องที่ผมคุยกับเขาเมื่อวานมันก็ไม่ได้เคลียร์อะไรมากเท่าไหร่ กลับกันผมว่ามันยิ่งเพิ่มคำถามให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีก บางถ้อยคำของเขาเหมือนกำลังบอกผมทางอ้อมว่าไม่มีสิทธิ์อะไรในการก้าวล้ำไปยังโลกส่วนตัวของเขา ซึ่งมันก็จริงล่ะนะ

   สถานะของเราตอนนี้คืออะไรผมยังพูดได้ไม่เต็มปากเลย

   "เดี๋ยวแฟร์พักเบรกก่อนก็ได้นะ แล้วค่อยกลับมาเก็บงาน"

   "นี่กี่โมงแล้วอะ"

   ผมลืมใส่นาฬิกามาเมื่อเช้า การนัดเจอตอนตีห้าครึ่งให้ผลสืบเนื่องคือต้องไปนอนค้างห้องธชาอีกครั้ง ยังเซ็งอยู่เลยที่ต้องกลับไปที่นั่นอีก

   "บ่ายสองกว่า"

   อีกฝ่ายโชว์หน้าจอการใช้งานแรกเริ่มของสมาร์ตโฟนมาให้ดู ตัวเลขสี่ตัวบอกช่วงเวลาไม่ต่างจากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมคณะ ผมทำหน้ายู่ใส่ตารางชีวิตที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ร่างกายของคนเรานี่ก็น่าประหลาดดี ผมไม่รู้สึกหิวเลยสักนิดจนกระทั่งเพื่อนเดินเข้ามาทัก

   คงเพราะทำงานหัวหมุนไม่ได้พักเลยด้วย ยังย้ำคำเดิมว่าผมพร้อมจะสละตำแหน่งนี้ให้คนที่มีความสามารถในการจัดการงานมากกว่า

   "ไปกินข้าวกัน" หัวหน้างานผู้ได้พักในช่วงเวลาเดียวกันเดินเข้ามาพร้อมกับตารางงานทั้งสามวัน

   "ซื้อมาให้ได้ไหม ไม่อยากออกไปไหนเลย"

   ปกติแล้วแค่ประชากรในมหาวิทยาลัยมันก็เยอะพอแล้ว วันนี้มีเด็กมัธยมเข้ามาร่วมอีกไม่รู้เท่าไหร่ ผมไม่อยากจะก้าวพ้นส่วนของคณะไปเลยด้วยซ้ำ

   "ไม่ ไปด้วยกัน"

   "..."

   "ไปได้แล้ว"

   จากที่คิดตอนแรกว่าแค่อาหารใส่กล่องง่ายๆ ก็พอแล้ว กลายเป็นเราสองคนเดินฝ่าแสงแดดและฝูงชนออกมาจนถึงบริเวณหลังสนามกีฬาที่มีห้างขนาดเล็กตั้งอยู่ เวลานี้โรงอาหารคงไม่เหลืออะไรให้ทาน คนข้างนอกก็เข้ามาจับจองพื้นที่จนไม่อยากจะแย่งชิง แล้วก็ไม่อยากขับรถออกไปไหนด้วย

   "แต่ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่"

   "ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย"

   ผมปลอบใจตัวเองไปพร้อมกับเขา เราเดินวนจนทั่วบริเวณหนึ่งรอบก่อนที่จะมาตัดสินใจว่าจะทานอะไรเป็นอาหารมื้อบ่ายสองกว่าๆ ดี และความที่ไม่มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษเลยมาจบตรงร้านพิซซาที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของตึก

   "เอาหน้าไหน?"

   "อะไรก็ได้"

   ก่อนหน้านี้ผมกล้าพูดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ชอบกินประเภทแป้งเท่าไหร่ แต่เหมือนว่าการอยู่กับพวกเขามากเข้าเมนูอาหารของเราก็มักจะมาจบที่ของกินประมาณนี้ตลอด

   "สปาเกตตี้? ไก่?"

   "ไม่เอา"

   "แล้วก็สปาเกตตี้กับขนมปังกระเทียมครับ"

   ธชาก็ยังทำอะไรไม่สนใจผมเหมือนเดิมนั่นแหละ

   พอสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วก็ต้องรอต่อไป เราสองคนนั่งตรงข้ามกันบนเก้าอี้ขนาดหกคนนั่ง ที่เลือกได้เพราะว่าทั้งร้านมีลูกค้าอยู่แค่ไม่กี่โต๊ะจนไม่น่าจะกระทบการให้บริการ ธชาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูอะไรเงียบๆ ส่วนผมตั้งใจว่าจะฆ่าเวลาด้วยการเหม่อมองออกไปข้างนอก

   นักศึกษาในวัยเดียวกันเดินสวนไปมาขวักไขว่ด้านนอกกระจกใส ส่วนเด็กในชุดนักเรียนก็เพิ่มความแปลกตาให้กับพื้นที่นี้ไม่น้อย พูดถึงแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมถามเฟย์เลยว่าเมื่อคืนนอนคนเดียวเป็นไงบ้าง

   ส่วนของผมเองต้องบอกว่าการอยู่แค่สองคนมันน่าอึดอัดเสียจนต้องรีบหลับให้ตอนเช้ามาถึงเร็วๆ เราบอกราตรีสวัสดิ์กันด้วยคำเดิม แต่คราวนี้ไม่มีสัมผัสอย่างอื่นเพิ่มเติม พอเช้าแล้วก็ต้องเตรียมงานหัวหมุนจนไม่มีเวลาได้เช็กว่าลูกพี่ลูกน้องสบายดีไหม

   ดึงของที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ออกมาจากกระเป๋า เข้าไปดูในแอปพลิเคชันไลน์ว่าอีกฝ่ายส่งอะไรมาบ้าง มันมีการแจ้งว่าเกือบสามสิบข้อความถูกส่งมาจากชื่อผู้ใช้รายเดียว ผมเปิดอ่านว่าเฟย์รายงานความประพฤติเรื่องอะไร มีตั้งแต่ตอนทานข้าวเย็นเมื่อวาน กลับบ้าน ก่อนนอน แล้วก็ตื่นมาเล่าว่าเมื่อคืนฝันถึงเรื่องแฟนตาซี ส่วนล่าสุดส่งรูปอาหารญี่ปุ่นในห้างมาให้ดู

   FAIR_ : กินคนเดียวเหรอ

   ส่งคำถามพร้อมกับสติกเกอร์เจ้าหมีมีเครื่องหมายปรัศนีอยู่ด้านบนไปให้ ยังไม่ทันได้ปิดหน้าต่างด้านหน้าข้อความก็ปรากฎการแจ้งว่าอีกฝ่ายได้เข้ามาในห้องสนทนาแล้ว

   FA__Y : ก็ใครไม่ว่างล่ะ!
   FAIR_  : ติดงาน เดี๋ยวกลับไปกินข้าวเย็นด้วย


   วันนี้คุยกันไว้แล้วว่าคงไม่มีอะไรต้องให้อยู่ดึก ผมเลยคิดอยู่ว่าอาจจะไม่กลับไปเอานาฬิกาแล้วให้ธชาติดมือมาให้พรุ่งนี้แทน

   อ่านข้อความที่เต็มไปด้วยอาการงอแงของอีกฝ่ายอีกสักพักใหญ่ ตอบกลับไปบ้างบางประโยคเพื่อไม่ให้ข้อความหนักซ้ายอยู่ฝ่ายเดียว

   "วันนี้จับโทรศัพท์เยอะนะ"

   "อ้อ..." การเปรยอย่างนั้นสร้างปฏิกิริยาตอบรับด้วยการวางสิ่งที่อยู่ในมือลงทันที

   "ปกติไม่เห็น ถึงหยิบก็ไม่เคยเล่นนาน"

   แน่ล่ะ ก็นอกจากเฟย์แล้วมันก็ไม่มีสาเหตุอื่นที่ทำให้ต้องใช้มัน

   "พอดีต้องคุยกับลูกพี่ลูกน้องน่ะ"

   "คนที่มาค้าง?"

   "อืม" มันก็มีอยู่คนเดียวจะทวนเพื่อความแน่ใจอะไรขนาดนั้น "เดี๋ยวนาฬิกาที่ลืมไว้พรุ่งนี้ฝากหยิบมาให้เราหน่อยนะ"

   เปลี่ยนเรื่องเสียเลยเพื่อให้เฟย์ออกไปอยู่นอกหัวข้อสนทนา การที่ทั้งสองคนไม่ต้องเจอกันมันก็ดีที่สุดแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองต้องมาเจอผู้ชายอารมณ์แปรปรวนหรอก

   "ทำไมไม่กลับไปเอาด้วย?"

   พอรู้ว่าลืมผมก็พูดเป็นเชิงว่าจะกลับไปเอาเองในทีแรก "มีนัดต่อแล้ว กับลูกพี่ลูกน้อง"

   "เหรอ..." ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนากับเรื่องของเฟย์ ทีทะเลพลอยมาตั้งหลายวันผมยังไม่สนใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกันบ้าง ซ้ำแล้วยังลากผมเข้าไปร่วมด้วยแบบไม่เต็มใจอีก "แล้วนี่จะซื้ออะไรให้ชินา"

   พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็นึกได้ ผมลองเข้าไปหาเรื่องย่อของสมุดระบายสีเล่มนั้นมาแล้วล่ะ ขนาดอ่านแค่เนื้อหาแบบย่อยังต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะเก็บได้ครบ เรื่องของเด็กสาวที่ออกตามหาคนรักผู้ซึ่งถูกราชินีหิมะพาตัวไป

   มันเริ่มจากว่าโลกนี้มีกระจกวิเศษที่สะท้อนความผิดเพี้ยนออกมา พวกโทรลตั้งใจที่จะเอาไปแกล้งคนบนสวรรค์แต่ว่าระหว่างทางกลับทำมันหล่นแตกกระจายลงมายังโลกมนุษย์ ส่วนบนโลกก็มีเด็กชายหญิงสองคนเป็นเพื่อนกัน ชื่อเคย์กับเกอดา ด้วยความที่ระเบียงห้องของทั้งสองคนอยู่ติดกันความสนิทชิดเชื้อก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

   พอโตขึ้นมาเกอดาก็รู้หัวใจตัวเองว่าเธอชอบเพื่อนชายบ้านข้างเคียง เพราะทุกครั้งที่เธอมองออกไปเห็นดอกกุหลาบที่ปลูกอยู่ตรงระเบียงห้องมันจะพาให้เธอนึกไปถึงเขาเสมอ ในวันที่เธอตั้งใจจะสารภาพความรู้สึกที่มี เคย์ดันเปลี่ยนไปเพราะเศษของกระจกแห่งความผิดเพี้ยนเสียก่อน

   กระจกที่เต็มไปด้วยความคิดด้านดำมืดครอบงำชายหนุ่มไปเสียแล้ว เขากลายเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่ว่าจะกับผู้คนหรือว่าสิ่งของ ในฤดูหนาวที่มาถึงเขาได้เจอกับหญิงสาวในชุดสีขาวผู้มาพร้อมกับรถเลื่อน นางแนะนำตัวว่าเป็นราชินีหิมะและจะพาเขาไปอยู่ด้วย แน่นอนว่าเคย์ตกลง

   ระหว่างทางเพื่อให้เด็กชายสามารถทนกับความหนาวเย็นได้นางจึงจุมพิตครั้งที่หนึ่ง และเพื่อให้ชายหนุ่มลืมทุกสิ่งเธอจึงจุมพิตไปอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือหากราชินีจุมพิตเป็นครั้งที่สาม

   เขาจะต้องตาย



   ตอนแรกก็คิดว่าไม่ได้หิวอะไรมากมายแต่การที่หลงเข้าไปในร้านไอศกรีมหลังจากอาหารมื้อบ่ายแล้วมันบอกผมได้ว่าตัวเองคงต้องการพลังงานในการกลับไปต่อสู้มากพอสมควร นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งกับการพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ประทับใจตัวเองเหมือนกัน

   "กินในร้านก็ได้"

   "ไม่ล่ะ เพื่อนคนอื่นน่าจะรอแล้ว"

   เพราะดันไปเห็นคำว่าโปรโมชันลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยแหละ ผมไม่เคยใช้สิทธิพิเศษที่ติดมากับเบอร์โทรศัพท์ จะเรียกว่าเป็นลูกค้าที่น่ารักก็ได้นะ ไม่มีปัญหากับสัญญาณห่วยแตก อินเทอร์เน็ตไม่เสถียร แล้วก็ค่าบริการที่ปรับให้สูงขึ้นทุกปี

   เพื่อให้กลับไปทำงานได้เร็วเลยสั่งแบบใส่โคนมาเพื่อที่จะถือสะดวกหน่อย หรือผมอาจงกไปเองก็ได้ตอนที่พนักงานถามว่าจะใส่ถ้วยหรือใส่โคน ก็คิดง่ายๆ ว่าถ้าใส่ถ้วยเราก็จะเสียเปรียบกว่า เพราะแบบโคนมันสามารถทานตัวกรวยที่ทำจากแป้งได้ด้วย

   "จะละลายก่อนกินหมดน่ะสิ"

   อากาศที่ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ร้อนจนแสบผิวเหมือนกันหมด ผมไม่ฟังคำเตือนจากคนที่เดินตัวปลิวไม่มีของหวานในมือ เท่าที่สังเกตแล้วธชาเป็นคนที่ค่อนข้างเลือกทานแต่อะไรที่ตัวเองชอบเป็นส่วนใหญ่ คือถ้าไม่อยากกินก็จะไม่มีทางย้อนกลับมาเปลี่ยนใจเลย

   ไม่รู้ว่ากับเรื่องอื่นจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า

   ละเลียดก้อนครีมรสสตรอว์เบอรีไปคนเดียวจนไม่ได้ใส่ใจว่าอีกด้านที่มองไม่เห็นมันกำลังละลายลงมาจนเลอะมือ

   "อ๋า..."

   ผมควานหากระดาษทิชชูที่พนักงานให้มาพร้อมกับใบเสร็จในกระเป๋าข้าง เรียงลำดับไม่ค่อยถูกว่าควรจะทำอะไรเป็นสิ่งแรก

   "มา เดี๋ยวถือให้ก่อน" พอมีคนอาสาก็เลยส่งให้ด้วยความเต็มใจ ผมเช็ดเอาส่วนที่ละลายเลอะมือออกไปได้หมดในเวลาไม่นาน ถึงมันจะยังมีสัมผัสเหนียวติดอยู่ก็เถอะ เดี๋ยวค่อยกลับไปล้างอีกทีก็ได้

   "ขอบคุณนะ..." จะเอ่ยคำให้จบก็ไม่ได้ เมื่อผมหันไปเห็นว่าสิ่งที่ตั้งใจซื้อมาทานเองกำลังตกเป็นของหวานของคนอาสาถือให้ ธชาเลิกคิ้วขึ้นพลางกัดเอาส่วนโคนเข้าปากไปอีกคำ แถมยังมีการบอกผมให้ทิ้งขยะลงถังให้ถูกต้องอีกต่างหาก

   "ทิ้งให้ถูกนะ ฝึกแยกขยะเข้าไว้"

   คือมันไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะเอามาพูดเลยไหม เราควรจะคุยกันเรื่องที่เขากำลังทานไอศกรีมของผมอยู่ต่างหากไม่ใช่เหรอ

   "กินยังไงให้เลอะปาก" นิ้วโป้งอีกคนปาดตรงมุมปากของผม จากนั้นก็เช็ดกับทิชชูที่ยังอยู่ในมือ "ขนาดชินายังไม่เคยต้องเช็ดปากให้เลยนะ"

   ความอบอุ่นจากผิวเนื้อยังคงค้างอยู่ ผมหาที่โฟกัสสายตานอกเหนือจากการเงยขึ้นไปสบตากับคนตรงหน้า มันไม่ถึงกับเป็นการกระทำที่ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นหรอก ก็แค่สร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เล็กน้อยเท่านั้นเอง

   แต่ถ้าถามว่าผมชอบมันไหม...ไม่ปฏิเสธ

   "คือ...ขอของเราคืนด้วย"

   "อร่อยดี น่าจะซื้อด้วย"

   "เดินกลับไปไหมล่ะ" เราเดินออกจากส่วนของห้างมาไม่ไกลเท่าไหร่ ย้อนไปคงไม่เสียเวลามาก

   "ไม่ต้อง" เขายื่นกลับมาให้ผมง่ายๆ "ชื่อรสอะไรนะ จำได้ไหม"

   "ใครจะไปจำได้"

   เขาก็เห็นอยู่ว่าชื่อรสชาติไอศกรีมสมัยนี้มันบ่งบอกส่วนผสมไม่ค่อยได้ ผมก็เลือกแบบที่ตัวเองชอบเป็นหลัก จำพวกรสเปรี้ยวอะไรทำนองนั้น

   "งั้นพรุ่งนี้อยากกินอะไรก็คิดไว้เลย"

   "..."

   “ไว้ค่อยให้แฟร์มาเลือกอีกรอบแล้วกัน”

   

   พอเดินกลับมาถึงซุ้มก็พบว่าจำนวนคนไม่ได้ลดลงอย่างที่หวังเอาไว้ ซ้ำร้ายแล้วมันยังดูเยอะขึ้นกว่าเดิมอีก

   ก่อนจะช่วย ขอตัวไปล้างมือก่อนแล้วกันนะ

   ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แต่เห็นจำนวนคนที่ต่อแถวออกมาแล้วก็ยอมแพ้ สมแล้วที่เป็นช่วงการเปิดบ้านให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ ผมนึกถึงก๊อกน้ำด้านหลังของตึกที่เพิ่งใช้งานไปเมื่อวาน ตัดสินใจว่าไปตรงนั้นดีกว่าการรอคิว

   แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ มันเป็นพื้นที่ปลอดคนจนให้ความรู้สึกว่าเป็นคนละโลกกับหน้าตึก ผมหาสิ่งที่ต้องการแล้วบิดก๊อกน้ำเพื่อให้มันทำงานตามกลไก ยื่นมือไปล้างเอาความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะออกจนหมด

   "ล้างด้วย"

   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเองพอผ่านเข้ามาในส่วนงานของคณะแล้วก็เอาแต่คิดเรื่องหาที่ล้างมือจนไม่ได้ใส่ใจว่าธชาจะแยกตัวไปที่อื่นหรือเปล่า

   "เลอะเหมือนกันเหรอ นี่แหละผลกรรมที่การเอาของเราไปกิน"

   "งั้นน่าจะกินให้หมดเลย"

   "ธชา!"

   เรียกชื่อเสียงแหวว พอธชาปิดก๊อกแล้วเขาก็สะบัดมือเปียกน้ำใส่หน้าของผมอีก

   "จะได้สดชื่น"

   "มันทำให้แว่นของเรามัวต่างหาก"

   อุปกรณ์เพิ่มความคมชัดเองก็ไม่รอดพ้นจากหยดน้ำเล็กๆ พวกนั้น ผมรีบหยิบมันออกมาเช็ดเอาสิ่งแปลกปลอมออก แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นว่าทำให้ความมัวเพิ่มขึ้นไปอีก สงสัยต้องรอให้แห้งแล้วค่อยหาผ้ามาเช็ดอีกที เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง

   เลยเสียบแว่นเอาไว้ที่เสื้อ ทำหน้าเซ็งเดินกลับมายังส่วนจัดงาน ผมหรี่ตามองบริเวณซุ้มภาษาที่ยังคราคร่ำไปด้วยผู้เข้าเยี่ยมชม เก็บความรู้สึกเหนื่อยใจเอาไว้ข้างใน นี่แค่วันแรกผมยังต้องเจอคนมากขนาดนี้ ไม่อยากคิดว่าที่เหลืออีกสองวันจะเป็นยังไงบ้าง

   ผมเตรียมเข้าไปประจำที่สำหรับงานในส่วนที่เหลือโดยไม่ลืมที่จะโบกมือให้คนอื่นรู้ว่ากลับมาแล้ว แต่ท่าทางที่ได้กลับคืนมากลายเป็นการสะกิดให้หนึ่งนักศึกษาที่เข้ามาเยี่ยมชมมองตามทิศทางที่ผมยืนอยู่ ใครคนนั้นกลับหลังหันมาและผมก็จำได้ว่าเป็นใครแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า

   "ชากับแฟร์ไปกินข้าวนานจัง"

   "...เฟย์?"

   แต่ก็ไม่คิดว่าอีกคนจะรู้จักเช่นกัน

 

   ผมไม่เคยเข้าใจการบรรยายว่าบรรยากาศเหมือนถูกแต่งเติมไปด้วยสีดำไปทั่วทั้งบริเวณมันเป็นอย่างไร มันจะเหมือนกับตอนที่ไฟทั้งห้องถูกปิดจนมืดสนิทหรือไม่ จนตอนนี้ที่กำลังนอนหงายมองมองเพดานห้องอยู่อย่างนั้นจนสายตาเริ่มปรับเข้าได้กับความมืดได้ถึงพอเข้าใจ

   ที่บอกว่าเป็นสีดำคือความรู้สึกข้างในต่างหาก

   ความคิดที่มาพร้อมกับความรู้สึกติดค้างมันมากเสียจนเผลอถอนหายใจออกมา มันไม่มีอะไรให้เล่าเพิ่มเติมหลังจากที่ทั้งผมแล้วก็ธชากลับมาเจอเฟย์ที่ซุ้ม ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายกันจริงจังลูกพี่ลูกน้องของผมก็ถูกโทรตามให้ไปแก้ไขเอกสารด่วน และเราก็กลับมาประจำหน้าที่ของตัวเองจนจบงาน

   “นอนไม่หลับเหรอ”

   “…อืม”

   ขยับตัวเองให้ขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเอาไว้ เอื้อมมือไปปรับแสงไฟในห้องให้สว่างขึ้นนิดหน่อย ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ห้องนอนไม่ใช่ของตัวเองคนเดียว

   “เล่านิทานให้ฟังหน่อยสิ"

   "หืม เป็นอะไรหรือเปล่า"

   "เปล่า..."

   โกหกออกไปคำโต ทั้งที่จริงแล้วมันมีเศษตะกอนบางอย่างตกอยู่ ท่าทางและใบหน้าของธชาตอนที่พุ่งตัวเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องของผมยังชัดอยู่ในความทรงจำ

   ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สมองตื้อราวกับว่าถูกสลับสวิทช์ให้ความรู้สึกดับไป

   ยังเป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ผมอยู่ด้านหลัง ก็ถ้าผมได้เห็นสีหน้าของเขาแบบเต็มแล้วมันก็คงไม่โอเคสักเท่าไหร่ แค่นั้นผมยังอาการค้างมาได้จนถึงตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเจอหน้าแบบตรงๆ เลย

   "เราไม่เคยอ่านนิทานก่อนนอนกันนะแฟร์"

   "เดี๋ยวนี้ฟังบ่อย เริ่มติดนิสัยไปแล้ว" ตั้งแต่ตอนที่ต้องเริ่มทำงานกับธชานั่นแหละ

   "งั้นเราหาก่อน"

   มองลูกพี่ลูกน้องขยับตัวไปหาโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง เขายังเป็นคนรู้ใจคนเดียวที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้ผมมีความสุข ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิดมากแค่ไหน

   "เฟย์ เรื่องของชา..."

   ความคิดตีกันในหัวจนผมเผลอหลุดเรียกชื่อออกไป

   "ว่าไง"

   "เปล่า นอนแล้วนะ ไม่ต้องหานิทานหรอก"

   เก็บทุกอย่างให้กลับไปอยู่เพียงในความคิดเช่นเดิม ผมขยับไปปรับแผงไฟภายในห้องให้ดับลง ซุกตัวลงในผ้าห่มพลางปลอบใจว่าทุกอย่างมันอาจเป็นเรื่องที่ผมคิดมากไปเอง

   "เล่าให้เราฟังได้ตลอดนะแฟร์ รู้ใช่ไหม"

   "อืม"

   "เจอกันตอนเช้านะ"

   "...เจอกันตอนเช้า"

   ทั้งที่ก็รู้ว่าความกลัวบางอย่างมันกำลังเข้ากัดกินทั้งหัวใจ


***
   ราชินีหิมะเป็นเรื่องที่ยาวมากเลยค่ะ คืออ่านแบบย่อแล้วยังต้องให้กำลังใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าอย่าเพิ่งหลุดนะ อยู่ด้วยกันก่อน (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบ [11.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 11-02-2018 18:32:25
ช่วยด้วยค่ะ ไม่ไหวแล้วว ทำไมดูน่าอึดอัดแบบนี้อ่ะ สรุปคิอชากับเฟย์ก็รู้จักกันอยู่แล้ว แถมเฟย์ยังไม่บอกอะไรแฟร์อีกชาด้วยอีกคน สรุปมันยังไงกันแน่เนี่ย ดูน่าจะมีอะไรที่น่าปวดหัวรออยู่เลย ความพีคกำลังจะมาสินะ แล้วจะจบแล้วอ่ะ คือยังไม่อยากให้จบอ่ะ แต่ก็อยากรู้ปมแล้ว ตอนนี้คืองงมาก งงสุดในความสัมพันธ์ของตัวละคร มันปนเปยังไงไม่รู้5555 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบ [11.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 11-02-2018 19:47:27
เป็นตอนที่รู้สึกเศร้า และอึดอัดใจจังค่ะ แค่เฟย์ออกมาบรรยากาศสีดำที่ว่ากระจายตัวเร็วมากกกก เหตุผลที่ธชาเข้าหาแฟร์ไม่น่ารักเลย :hao4:
 หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งเอเรนเดลล์ (ไม่ใช่!!ผิดเรื่อง!! 5555) เชียร์แฟร์ เอาชนะอสูรให้ได้น้าา เอากุหลาบปักมืออสูรเลยยยย :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบ [11.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 13-02-2018 20:22:41
ตอนนี้พอจะเดาว่าธชาน่าจะเข้าหาแฟร์เพราะเฟย์ แล้วเราก็คิดว่าธชาน่าจะรู้แล้วว่าไม่ใช่เฟย์ พอจะทำความเข้าใจได้นะ แต่ทำแบบนี้มันไม่โอเคกับแฟร์เลย ไม่คิดเลยหรอว่าถ้าแฟร์รู้แล้วจะเป็นยังไง ส่วนปัญหาที่แย่กว่าก็คือไม่มีใครบอกอะไรแฟร์เลยนี่แหละ ทั้งๆที่มาถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่บอกอีกหรอ? โดยเฉพาะธชา โกรธแทนแฟร์เลย... จริงๆถ้าธชาพอจะรู้สึกอะไรกับแฟร์บ้างก็ควรบอกทุกอย่างไปนะ นี่เดาไม่ออกเลยค่ะว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกับแฟร์กันแน่ แล้วที่พุ่งไปหาเฟย์เลยคืออะไร? พุ่งแล้วพูดอะไรไหม? แล้วเฟย์เห็นแฟร์สงสัยแล้วทำไมไม่เล่าล่ะ :ling1: :ling1: :ling1:

อึดอัดมากไม่ไหวแล้วค่ะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-02-2018 20:38:32
เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด


   หยดน้ำตาของเธอทำลายเศษกระจกแห่งความผิดเพี้ยนในหัวใจของเขา
   - The Snow Queen (3)


 
   "คิดถึงแฟร์จังเลย"

   "เหรอ ดีใจมากเลยล่ะ" แสร้งทำหน้ารังเกียจเสียเต็มประดาใส่แขกคนล่าสุดของซุ้ม เชนินทร์เมินการกระทำนั้นพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผมเช่นทุกที "ธชาพักอยู่ ลองไปดูใต้ตึกนะ"

   งานในวันที่สองดูไม่วุ่นวายเท่าวันแรก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะชินกับสภาพโดยรอบ และอีกส่วนคงมาจากการที่ตั้งแต่เช้าไม่ต้องทำงานในกะเดียวกับหัวหน้าฝ่ายเลย

   "เปล่า เรามาหาแฟร์"

   "หาเรา?" ไม่ค่อยน่าเชื่อจนต้องทวนออกไป "ถ้าของขวัญชินาเรามีมองๆ ไว้แล้วล่ะ"

   ด้วยความที่ยังไม่มีเวลาว่างพอเลยไม่ได้กลับไปซื้อเสียที ผมยังไม่รู้เลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยเกิดเมื่อไหร่ ก็หวังว่าทุกอย่างจะลงตัวในเร็ววัน

   หรือถ้ามีอุปสรรคเยอะนักก็ว่าจะเย็บสมุดให้สักเล่ม

   "เปล่า ไม่ใช่เรื่องชินา"

   "อ้าว..."

   "เห็นว่ามีญาติมาหาเหรอ"

   "..."

   เรื่องที่ปลอบใจว่าคิดมากไปเอง ตอนนี้เข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที

   "ชามันเล่าน่ะ"

   "อืม ญาติมาประชุมของคณะ"

   "อยากเจอบ้างจัง"

   ทำหน้าหน่ายแบบที่ให้เห็นก็รู้เลยว่ามันบวกความรำคาญเข้าไปด้วย "ไปดูแลน้องตัวเองก่อนไป"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นพวกขี้หวง"

   "ต่อให้เป็นคนที่เพิ่งรู้จักเราก็จะทำทุกทางเพื่อให้คนนั้นไม่ต้องโชคร้ายมาเจอกับนายเหมือนกัน"

   ไม่อยากจะลงรายละเอียดอะไรไปมากกว่านั้น ประจวบเหมาะกับจังหวะที่นักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาสอบถามเส้นทางไปคณะนิเทศศาสตร์ที่อยู่ห่างออกไปอีกฟากของถนน ผมเลยเลี่ยงตัวออกมาเพื่ออธิบายการเดินทางแบบที่คิดว่าน่าจะทำให้ไม่หลงทางแล้วก็ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

   แล้วก็เลยทำตัวขยันขันแข็งด้วยการอาสาเข้าไปช่วยแบกของสำหรับงานส่วนอื่นต่อ เรียกไม่ได้ว่าหนีงานเพราะความจริงแล้วหน้าที่ของผมมันค่อนข้างไร้ประโยชน์

   กลับมาที่เดิมอีกครั้งคนที่บอกว่าคิดถึงก็หายไปแล้ว ถ้าไม่ไปหาเพื่อนตัวเองก็คงกลับไปช่วยงานคณะล่ะมั้ง

   "...วันนี้ชาอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วล่ะแฟร์"

   ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าตัวเองกลายเป็นที่ระบายเรื่องอสูรให้กับเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมวางกล่องของรางวัลจากสปอนเซอร์ชิ้นสุดท้ายลงตรงมุมห้อง ปัดมือไล่ฝุ่นที่เกาะออกพลางปลอบไม่ให้ขวัญเสียกันไปก่อน

   "งานเยอะก็คงเหนื่อยอยู่แหละ เมื่อเช้าก็เห็นว่ามีปัญหากับส่วนกลางอีก"

   "เราว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องงานคณะอะ คือชาก็ทำงานเต็มที่นะแต่ทำหน้านิ่งจนน่ากลัวอย่างนั้นใครอยากจะเข้าไปคุยด้วย"

   ถ้าเชื่ออย่างนั้นผมก็ไม่อยากจะขัด เจอมาหลายรอบจนปลงตกแล้วว่าธชาเป็นพวกผีเข้าผีออกจะตายไป อยากจะปรับอารมณ์ตอนไหนก็ทำ ไม่เห็นสนใจว่ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า

   "งั้นเราก็ไม่รู้แล้วแฮะ สักพักก็คงกลับมาเป็นปกติแหละ" ได้แต่ปลอบใจกันเอง ผมลอบมองรอบตัวเพื่อสอดส่องว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาอยู่ละแวกนี้หรือไม่ บางครั้งเขาก็ทำตัวเหมือนพวกนักย่องเบาที่จะแทรกตัวเงียบๆ ไม่ให้ซุ่มให้เสียง พาให้คนพูดต้องระวังไปเองก่อน

   "แต่คราวก่อนตอนที่แฟร์ไปคุยชาก็อารมณ์ดีกลับมานะ"

   หลุบตาลงต่ำไม่สบสายตา ผมไม่ค่อยชอบตัวเองในช่วงนี้เท่าไหร่ จะเผลอคิดมากนั่นนี่ไปเองก่อนเสมอ

   "ความบังเอิญไม่มีมากกว่าหนึ่งครั้งหรอก..." ได้แต่พึมพำกับตน โทษว่าเพราะใกล้เวลาพักกลางวันแล้วคนเข้ามาชมซุ้มเลยน้อยลงตาม เราถึงว่างงานจนคุยเรื่องไร้สาระได้

   "แฟร์ไปกินข้าวกันไหม นี่ก็จะเที่ยงแล้ว"

   "อ้อ..." ผมเกือบจะตอบตกลงไปแล้ว ติดที่ดันนึกได้ว่าตกลงอะไรเอาไว้ล่วงหน้า "เราคงจะไปกินกับธชาน่ะ"

   "หืม? แต่เราเห็นชาเดินมาบอกว่าจะออกไปกินข้าวตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว"

   "เหรอ"

   เขาคงลืมไปแล้วมั้งว่าเมื่อวานพูดอะไรไว้

   

   ความจริงแล้วงานทั้งหมดมีสามวัน แต่งานในส่วนของผมจะมีถึงแค่ศุกร์ครึ่งเช้า ส่วนภาคบ่ายจะเป็นการเก็บกวาดทั้งหมดให้เรียบร้อย พวกเราไม่อยากให้มันกินเวลาช่วงเย็นไปถึงดึก เป็นที่รู้กันว่าเย็นวันศุกร์โดยเฉพาะกับสิ้นเดือนเป็นอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง แล้วอีกอย่างสัปดาห์หน้าบางเอกก็มีควิซสำคัญ ยังไงเรื่องเรียนก็ต้องมาก่อน

   "นี่เรามาทันใช่ไหมแฟร์"

   เงยหน้าขึ้นมาตามเสียง ผมส่งยิ้มแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ให้ลูกพี่ลูกน้องผู้ซึ่งกลับมาเยี่ยมอีกครั้งในช่วงสายของวันพฤหัสบดี

   "ทัน ยังพอมีอยู่ จะเอา..."

   ไม่อาจเอ่ยคำออกมาได้ครบทั้งประโยค ยามที่มองเห็นว่านอกจากลูกพี่ลูกน้องแล้วคนที่จำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไว้เมื่อวานก็เดินเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน

   "โทรไปก็ไม่รับ จะถามว่าให้ซื้ออะไรกลับมาไหม เรากับชาไปกินข้าวกลางวันมา"

   "..."

   ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปชั่วขณะก่อนจะรีบเตือนตัวเองให้ทำทุกอย่างเหมือนเป็นปกติ มือหยิบจับอุปกรณ์ตรงหน้าไปเรื่อยทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรต้องจัดการ "ไม่ได้หยิบเลยไม่รู้อะ"

   "กินไอติมมาด้วย รสที่แฟร์ชอบเลย"

   ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานย้อนกลับมาเล่นแบบที่ไม่ได้ขอ ผมฝืนยิ้มออกไปเพื่อกลบไม่ให้อาการอื่นปรากฎแทรกขึ้นมา โทษตัวเองว่าน่าจะยกมือขึ้นปัดตอนที่ธชาช่วยเช็ดมุมปาก ไม่อย่างนั้นแล้วตอนนี้ผมคงไม่ต้องรู้สึกรังเกียจสัมผัสที่ยังคงค้างอยู่

   "เราบอกแล้วว่าอร่อย"

   "อยากจะซื้อมาฝากแต่คิดว่ากว่าจะถึงคงกลายเป็นสมูตตี้" เฟย์หันไปกระทุ้งศอกหัวหน้างาน "แล้วนี่ใช้งานพี่เราหนักหรือเปล่าชา"   

   ทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าไปลึกที่สุด เตือนตัวเองให้มีสติพร้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นทุกอย่าง

   "พี่?"

   อีกแค่ไม่กี่อึดใจ ผมจะได้รู้แล้วว่าใน 'กล่องแห่งความลับ' มันเก็บเรื่องราวที่ผมคาดเดาเอาไว้หรือไม่

   "ใช่ แฟร์เป็นพี่เราเอง"

   "อ้อ..."

   น้ำเสียงของอสูรยังคงราบเรียบ ไม่มีความตื่นเต้นหรือว่าตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน มันยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านไปเองมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว   

   เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว...ใช่ไหม

   ระหว่างที่รอฝ่ายอื่นทำหน้าที่เราก็ว่างพอที่จะยืนคุยกันต่อ ผมพยายามขยับตัวออกมาห่างจากผู้ชายอารมณ์แปรปรวนให้มากที่สุด แบบที่ทำแล้วก็ต้องไม่ให้เฟย์สงสัยว่าทำไมถึงต้องเว้นระยะห่างมากเสียขนาดนั้น

   "ไม่ได้เจอกันนานมากเลยเนอะ ครั้งล่าสุดก็ช่วงก่อนเข้ามหาลัยปะ"

   ธชากับเฟย์รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ก่อนที่เฟย์จะย้ายโรงเรียนมาอยู่กับผมในช่วงมัธยมปลาย นั่นคือสิ่งที่ได้ถัดมา

   "ที่จริงคือเมื่อปิดเทอมที่แล้ว เราขึ้นไปหาทะเลที่ม.แล้วเห็นเฟย์พอดี แต่ว่าไม่ได้ทัก"

   "อ้าว น่าเสียดาย เราเคยทำกิจกรรมฝ่ายเดียวกับพลอยหลายครั้งอยู่"

   การสนทนาที่ไม่เปิดโอกาสให้ออกนอกวงโคจรบีบให้ผมต้องยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป มีคาถาเสกให้หูไม่ได้ยินเสียงชั่วคราวไหมนะ ผมไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเขาสองคนอีกแล้ว

   "ชาจำได้แม่นจัง นี่อยู่กับพี่เราตั้งนานไม่สงสัยหน่อยเหรอ หน้าเหมือนกันจะตายไป"

   หลายครั้งมีคนบอก...ว่าผม 'คล้าย' กับใครบางคน

   "ก็...นิดหน่อย"

   ตลกดี

   หน้าของผมชาสนิทจากคำสั้นแค่นั้น

   ผมกลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปเสียแล้ว ถ้าจะให้อธิบายก็ไม่รู้ว่าจะนิยามได้ตรงตัวหรือเปล่า พวกเขาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในอดีตที่ผมไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นก็ทำได้แค่รับฟังแต่ไม่สามารถเข้าไปแทรกหรือเสริมได้

   "แล้วนี่ทำซุ้มอะไรกันอะ แฟร์บอกแต่ว่าเกี่ยวกับภาษา เมื่อวานยังไม่ทันได้ถามก็ต้องไปทำงานแล้ว"

   "ก็แปลคำ ถ้าอยากได้ดอกไม้เพิ่มก็จ่ายเงินมา"

   "เพื่อนกันยังเก็บอีกเหรอ"

   ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะสดใสจากอสูรอย่างนี้เลย "เลี้ยงก็ได้"

   "แล้วอย่าให้แฟร์มาฟ้องว่าไปเรียกเก็บทีหลังนะ!"

   บรรยากาศที่ดูเหมือนว่าจะชื่นมื่น ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้ามองจากมุมคนนอกหรือว่าคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราว ผมยืนเหม่อมองลูกค้ารายสำคัญไปเรื่อยโดยเข้าไปมีส่วนร่วมประปรายถ้าเฟย์หันมาขอความคิดเห็น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็กลับไปเป็นมนุษย์ล่องหนอย่างเดิม

   "ชานี่ทำงานเกี่ยวกับดอกไม้เก่งตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเนอะ"

   เฟย์จุดประเด็นใหม่ภายหลังจากที่ได้กระดาษแปลคำและช่อดอกไม้แล้ว ความที่เป็นดอกไม้แห้งเลยไม่ปรากฎร่องรอยความเหี่ยวเฉาหรือว่าโรยรา มันคงความงามเอาไว้เช่นเดิมไม่มีลดลง

   "ตอนที่เรากลับไปโรงเรียนตอนนั้นก็เหมือนกัน"

   "ม.ห้า งานโอเพ่นเฮาส์"

   "งานนั้นเราพาแฟร์ไปด้วย จำได้"

   ชื่อของตัวเองดูแปลกประหลาดจนสะดุ้งเมื่อได้ยิน ผมกะพริบตาใส่น้องชายด้วยความที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากเท่าไหร่ งานที่เฟย์พาผมไปด้วยเหรอ...

   "ตอนนั้นที่เราไปทำกันไงแฟร์ ที่คั่นหนังสือแบบมีดอกไม้แห้งติดอะ"

   "อ่า...คุ้นอยู่"

   ต้องมีดีเทลเพิ่มเติมเลยพอนึกออก และคำว่าที่คั่นดอกไม้มันก็พาภาพเก่าย้อนกลับมาฉายใหม่ ผู้ชายตัวสูงที่ให้คำอธิบายเกี่ยวกับดอกไม้ทีละขั้นตอน คำสอนที่ดูใส่ใจกับทุกรายละเอียด และข้อแนะนำที่บอกว่าให้เขียนวันเดือนปีที่ทำลงไปด้วยเพื่อไม่ให้ลืม

   หรือว่า...

   หันไปมองทางธชาช้าๆ ระหว่างที่ในสมองยังจัดเรียงระบบความคิดไม่เสร็จ ชุดข้อมูลที่เพิ่งเข้าไปใหม่ต้องการเวลาอีกสักครู่เพื่อประสานให้เข้ากับสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนหน้า ถึงเส้นความคิดยังไม่เรียบร้อยนักผมก็มองเห็นปลายทางรำไร

   "ได้มาเจอกันอีกครั้งแบบนี้บังเอิญจังเลยนะ"

   แล้วผมก็ได้รู้ว่าบางครั้งโลกก็ควรเอียงเสียบ้าง


***
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-02-2018 20:40:56
   ผมรู้ว่าทำตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตอนบอกเฟย์ว่าคืนนี้อยากอยู่คนเดียว แล้วขอให้เขาไปใช้ห้องนอนสำหรับแขกแทน

   ผู้ชายที่อยู่ด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิตไม่ได้อิดออดอะไร เขาเพียงแค่สวมกอดผมเอาไว้แล้วบอกว่าพร้อมรับฟังเสมอ

   เรื่องที่น่าแปลกคือมันเป็นความอบอุ่นที่ทรมานยิ่งกว่าหนามกุหลาบในความฝันเสียอีก

   ที่คั่นหนังสือทำจากกระดาษสาเคลือบด้วยแผ่นพลาสติกใสในมือถูกพลิกไปมาเหมือนกับกำลังพิจารณาทุกรายละเอียด ผมมองดอกไม้แห้งด้านหน้าสลับกับการอ่านลายมือตัวเองที่ระบุวันเดือนปีที่อยู่ด้านหลัง ตอนนั้นผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ถูกเฟย์ลากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเพราะคิดถึงเพื่อน

   มัธยมคือช่วงชีวิตที่สนุกที่สุด

   ใครหลายคนบอกอย่างนั้น

   "ไปกันเถอะแฟร์"

   "ไม่" ปฏิเสธไร้เยื่อใยในช่วงเวลาที่ยังก้มหน้าอ่านหนังสือในมือ "เราไม่ได้เป็นศิษย์เก่าของที่นั่นสักหน่อย"

   "ไปเป็นเพื่อนศิษย์เก่าไง"

   ผมกับเฟย์เกิดห่างกันไม่มาก และเราก็มักจะอยู่ด้วยกันเสมอจนคนอื่นเข้าใจผิดมานักต่อนัก เพื่อไม่ให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบเข้าสังคมใหม่เลยถูกจับแยกกันตอนเข้ามัธยม แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีกเพราะพ่อกับแม่ผมดันติดใจชีวิตต่างจังหวัดจนทิ้งผมไว้คนเดียว

   วางหนังสือในมือตัวเองลง หันหน้าไปมองคนช่างตื๊อที่ยังจับแขนของผมเอาไว้แน่น เฟย์พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์แล้ว ผมก็ทำเป็นเมินบ้างไม่ได้ยินบ้าง สุดท้ายแล้วอีกคนก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี

   "เราไม่อยากไป"

   "แต่เราไม่อยากไปคนเดียวนี่นา"

   คนอยากกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าทำปากยื่น รู้ได้โดยประสบการณ์ว่านาวินท์ไม่มีทางยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้แน่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วถ้าลองอยากได้อะไรสิ่งนั้นต้องเป็นไปตามความต้องการ ต่อให้มันจะรบกวนคนอื่นมากแค่ไหนก็ตามที

   "เพื่อนก็เยอะแยะ บอกไว้ล่วงหน้าสิ" เฟย์เป็นมนุษย์จำพวกที่มีเพื่อนอยู่ทุกที่ ใครที่เกลียดเขาลงนี่ต้องมองโลกแง่ลบเต็มทน "เราไม่อยากไปยืนเด๋อๆ อะ"

   ส่วนผมนอกจากจะไม่ใช่อดีตนักเรียนแล้วยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนอีก การที่ต้องเหยียบเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่เรื่องน่าสน คงต้องยืนกรานไปเรื่อยๆ จนกว่าเฟย์จะยอมถอยทัพไปเองแล้วล่ะ

   "ไม่เด๋อ ทุกคนจะตกใจที่มีเฟย์สองคนต่างหาก"

   ก็เพิ่งบอกไปว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

   "นี่เฟย์" ผมเรียกชื่อเล่นของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เตรียมเล่ามุมมองของตัวเองบ้าง "ถึงแม่ของเราจะเป็นฝาแฝด และเราก็หน้าคล้ายกันกว่าแฝดบางคู่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาเราไปโชว์ไหม"

   มันเป็นความประหลาดของกรรมพันธุ์ที่บอกว่าลูกผู้ชายจะหน้าเหมือนแม่ ตอนเกิดมันก็ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ แต่พอโครงหน้าเริ่มเข้าที่แล้วไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเราสองคนเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ยิ่งเกิดห่างกันแค่ไม่กี่เดือนแล้วเรื่องของการเปรียบเทียบก็น้อยลงไปอีก

   โดนมาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นเรื่องปกติ การทำอะไรสักอย่างเหมือนกันเพื่อแกล้งคนอื่นเป็นการละเล่นที่เราชอบมากที่สุด เคยคิดถึงขั้นอยากลองสลับตัวไปเรียน มาสะดุดก็ตรงที่ดันนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าซวยเจอคาบสอบเข้าไปก็จะพังทั้งคู่ ความคิดแผลงๆ เลยถูกเก็บไปก่อน

   "เอาไปว่าแฟร์ไปกับเราเนอะ"

   คือย้อนกลับไปอ่านได้เลยว่าผมไม่มีการตกลงหรือว่าแสดงกิริยาอะไรที่บอกว่ายินยอมสักนิด

   "ไม่เอา"

   "เจอกันตอนเช้าจ้า"

   ก็นั่นแหละ ตอนเช้าในวันศุกร์ผมก็เลยได้สัมผัสความรู้สึกของการโดดเรียนเป็นครั้งแรก

   โรงเรียนเก่าของเฟย์ใหญ่กว่าที่ผมประเมินเอาไว้ เห็นตึกเรียนที่มีความสูงขึ้นไปหลายชั้นแล้วก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้ ห้องเรียนของผมทุกวันนี้อยู่แค่ชั้นสามก็ยังหอบตอนถึงห้องเลย

   จะบอกว่าเป็นโรงเรียนที่ให้ความรู้สึกต่างจากห้องเรียนปกติก็ไม่เชิง ผมไม่เคยได้ไปสัมผัสโรงเรียนอื่นเลยบอกไม่ได้ว่ามันเป็นแบบไหน เฟย์ไล่ทักทายคนรู้จักจำนวนมากตั้งแต่หน้าประตู งานโอเพ่นเฮาส์ที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปเยี่ยมชมได้เต็มไปด้วยความคึกคักจนเพลิดเพลินได้ไม่ยาก

   แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เมื่อหลายคนต่างเข้าใจผิดว่านายนาวินท์มีฝาแฝดชื่อกาลวินท์ด้วย เรื่องชื่อจริงนี่ก็อีกอย่าง นอกจากจะแลกกันตั้งชื่อเล่นแล้วยังพยายามหาชื่อจริงที่ใกล้เคียงกันอีก อยากให้ลูกผูกพันกันไปจนชาติหน้าเลยหรือไง

   "แฟร์ เราอยากทำอันนี้"

   โดนน้องลากไปทั่วทุกที่แล้วมั้ง ตอนนี้เฟย์กำลังพาผมไปเยี่ยมโซนงานฝีมือต่างๆ โรงเรียนของผมไม่มีอะไรอย่างนี้บ้าง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน

   "ทำอะไรอะ" ชะโงกหน้าเข้าไปมอง บนโต๊ะตัวใหญ่มีกระดาษสาหลากหลายแบบวางเอาไว้ระเกะระกะ มีทั้งที่ยังสมบูรณ์แล้วก็แหว่งบางส่วน นอกนั้นคืออุปกรณ์เครื่องเขียนเบสิกอย่างพวกกรรไกร ปากกา ไม้บรรทัด แล้วก็มีพู่ไหมอยู่นิดหน่อย

   "อ้าว เฟย์เหรอ?"

   ผงะไปข้างหลังหนึ่งก้าวยามที่ใบหน้าของใครบางคนโผล่เข้ามาอยู่ในกรอบการมองเห็น ผมควานหาตัวของลูกพี่ลูกน้องตามสัญชาตญาณแบบที่ยังเผชิญกับคนแปลกหน้าไม่วางตา

   ผมตัดสั้นทรงรด. เหมือนอย่างชายวัยมัธยมปลายทั่วไป รอยยิ้มที่มาพร้อมกับความสดใสช่วยลดอาการตื่นตกใจไปได้ไม่น้อย

   นาวินท์กลับมาได้ถูกเวลา เฟย์ควงแขนของผมเอาไว้หลวมๆ พลางตอบ "เฟย์อยู่นี่ นั่นฝาแฝดเราต่างหาก"

   เราสองคนหน้าตาคล้ายกันแต่เรื่องของนิสัยต้องบอกว่าต่างกันเป็นขั้วบวกกับขั้วลบ เฟย์นิสัยดี เข้าถึงง่าย มีเพื่อนอยู่เต็มไปหมด ส่วนผมเป็นพวกเก็บตัวที่ไม่มีใครอยากจะเข้ามายุ่ง มันเป็นนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็กว่าผมมีแค่เฟย์ก็พอแล้วน่ะ

   "แฝด? หลอกกันปะเนี่ย"

   "ไม่เชื่อก็ถามแฟร์ได้เลย"

   โยนภาระมาให้ผมเสียอย่างนั้น "ไม่ใช่แฝด เป็นลูกพี่ลูกน้อง"

   ตอบแค่ให้คลายสงสัย ไม่ได้ทำตัวเป็นคนพวกช่างเจรจาเหมือนคนด้านข้าง ถึงเฟย์ชอบแกล้งคนอื่นอย่างนี้ผมไม่ค่อยตามแก้ความเข้าใจผิด เพราะคนเราน่ะมักจะเชื่อถือข้อมูลชุดแรกจนยากที่จะเปลี่ยนแปลง ย้ำแล้วย้ำอีกก็ยังไม่ยอมเชื่อ

   "โห โคตรเหมือนอะ"

   "เจ๋งใช่ไหมล่ะ"

   "อืม ล่ะนี่จะมาทำที่คั่นเหรอ"

   คราวนี้เราสามคนลงมานั่งตรงที่ว่างด้านริมสุด ตรงหน้ามีเศษงานของคนใช้ก่อนหน้าทิ้งเอาไว้พอสมควร ผมจัดการรวบรวมส่วนที่ใช้งานต่อไม่ได้เอาไว้เป็นกองเดียว ให้มีพื้นที่สำหรับการทำที่คั่นอะไรนั่น

   "นี่ยังไม่รู้เลยว่าทำอะไร แต่น่าสนเลยแวะ"

   "ทำร้ายจิตใจมาก เดี๋ยวเราไปเรียกชามาช่วยแล้วกัน งานนี้มันดูแล"

   "ได้เลยจ้า"

   ผมรอจนเพื่อนของเฟย์เดินกลับไปรวมกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่แขวนป้ายเอาไว้ถึงแกล้งหยอก "หนังสือก็ไม่ค่อยอ่าน ยังจะทำอีกเหรอ"

   "แฟร์!"

   "ล้อเล่น แต่เราว่าก็น่าทำดี"

   มองดูของคนอื่นแล้วนอกจากกระดาษสาเหมือนจะมีแผ่นอะไรสีน้ำตาลหม่นๆ ประดับเอาไว้ รูปร่างอย่างนั้นคือดอกไม้แห้งหรือเปล่านะ

   "ว่าไงศิษย์เก่า" เสียงนุ่มใกล้ตัวพาทั้งผมและเฟย์หันไปหา ผมเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายที่ยืนเต็มความสูงอยู่ข้างกาย ใบหน้าเรียบกับช่วงนัยน์ตาคมสะดุดสายตาเป็นสิ่งแรก เห็นแวบแรกก็นึกได้ไม่กี่คำ จำพวกคนหล่อของโรงเรียน ฮอต สาวติดตรึม อะไรเทือกนั้น ผมทรงไถเกรียนแบบเรียนรด. ไม่ได้ทำให้โครงสร้างดูเด๋อด๋าอย่างที่เด็กผู้ชายในวัยเดียวกันเจอ

   "เหย...ชาสูงขึ้นอีกปะ"

   "อือ สิบกว่าเซ็นต์จากช่วงจบม.สาม"

   "โคตรขี้โกง เราไม่กี่เซ็นต์เอง"

   เสียงหัวเราะของเขาน่าฟังไม่ต่างจากท่าทางการขยับตัวที่เพลินตา คนมาใหม่ที่ชื่อว่า 'ชา' วางกล่องเหล็กในมือของตัวเองลงตรงหน้าของเราสองคน ผมตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่น้อย มันคือดอกไม้แห้งหลากหลายรูปแบบสวยงามละลานตา

   เหมือนจะเป็นเรื่องง่ายกับการเอาดอกไม้ที่แห้งแล้วมาวางไว้ตามด้วยการเคลือบแบบพลาสติก มันเป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับคนที่ไม่เคยทำอย่างผม และที่น่าประทับใจคือดอกไม้ที่เอามาไม่ได้ผ่านกรรมวิธีลวกๆ พอให้มีใช้ในงาน มันเต็มไปด้วยความใส่ใจจนเก็บสีหน้าไม่อยู่เมื่อรู้ว่าคนที่ทำมันเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาเรียบเฉยคนนี้

   "ยังเลือกไม่ได้?"

   เวลาผ่านไปพอสมควรแล้วผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ระหว่างกลีบดอกกุหลาบกับเจ้าดอกเล็กที่ผมยังไม่รู้ชื่อ

   "อืม ชอบหลายชนิดเลย ...นี่ดอกอะไรเหรอ" ชี้ไปยังดอกไม้กลีบเรียวไม่คุ้นลักษณะ แล้วยังมีแค่หนึ่งดอกสุดท้ายด้วย

   "ไลแลคอะ"

   ความประทับใจต่อมาคือเขาไม่หัวเสียหรือหงุดหงิดกับคำถามจำนวนมากที่ผมส่งไป ก็มันน่าสนใจว่าเขามีเคล็ดลับอะไรบ้างในการแปรรูปดอกไม้ให้คงอยู่ได้นานขึ้น

   "ไลแลค?"

   "ไม่ค่อยคุ้นหรอก มันเป็นพืชเมืองหนาว แต่สกุลเดียวกับมะลินะ นี่ไปอ้อนคนขายจนเขายอมหามาให้"

   เรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกไม้ออกจากปากไม่มีหยุด ผู้ชายกับดอกไม้ไม่ใช่ของคู่กันในสายตาของใครหลายคนรวมถึงผมด้วย น่าแปลกที่ความรู้สึกนั้นมันไม่เกิดขึ้นกับเขาเลย

   ส่วนมากผมเป็นคนนั่งฟังสองคนนั้นคุยกันมากกว่า พวกเขาเรียนมัธยมต้นห้องเดียวกันมา ชาฟ้องผมด้วยว่าเฟย์น่ะแสบแค่ไหน ทำตัวเป็นหัวโจกเวลาอยากโดดเรียน แล้วเพื่อนก็ดันเข้าข้างอีก

   "เขียนวันที่ลงไปด้วยสิ"

   "หืม?" ผมถือปากกาสีค้างเอาไว้ก่อนเพราะเพิ่งทำการวาดรูปประดับลงไปข้างตัวดอกไม้แห้งเสร็จ "วันที่?"

   "เขียนวันที่ไว้ด้านหลัง จะได้รู้ว่าทำเมื่อไหร่"

   "เป็นพวกให้ความสำคัญกันวันอย่างนั้นเหรอ"

   มุมปากขยับยิ้มละไม "มันเป็นการสะสมความทรงจำน่ะ"

   จดจำความอ่อนโยนทั้งหมดเอาไว้ด้วยสายตา ผมมองเขาเก็บของจำเป็นกลับไปไว้ในกล่องเหล็กตามเดิม ช่วงมือค่อยๆ จัดวางดอกไม้แห้งที่ไม่ได้ใช้งานลงไปทีละส่วนด้วยความระมัดระวัง

   "ไอ้ชามานี่หน่อย"

   "หา?" มองเพลินเสียจนเกือบแกล้งหลบสายตาไม่ทันตอนที่ชาเงยหน้าขึ้นมามองหาต้นเสียงที่กำลังเรียกชื่ออยู่ "โอเคๆ กำลังไปแล้ว"

   "ขอบคุณนะ"

   "ไม่เป็นไร"

   จนแผ่นหลังกว้างในชุดนักเรียนกลืนไปกับกลุ่มเพื่อน ผมถึงกลับมาจับจ้องผลงานตรงหน้าต่อก่อนลงมือเพิ่มเติมบางสิ่ง หลุดหัวเราะกับตัวเองที่เขียนตัวเลขหกหลักลงไปตรงมุมสุดของกระดาษ

   ท้ายที่สุดแล้วมันก็ได้กลายเป็น 'การสะสมความทรงจำ' อย่างที่บอก

   หนังสือภาพเล่มหนาที่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อช่วงเย็นวางค้างเอาไว้ตรงตักอย่างนั้น จากตอนแรกตั้งใจว่าจะซื้อให้เป็นของขวัญกับเด็กสาวตัวน้อยกลายเป็นของปลอบใจตัวเองไปเสีย

   หลังจากที่ราชินีหิมะพาตัวเคย์ไปแล้วเกอดาก็ออกตามหาอย่างสุดความสามารถ เธอเดินทางจนไปพบกับแม่มดแห่งสวนนิรันดร์ ณ ที่นั้นแม่มดตัวร้ายผู้อยากจะครอบครองเกอดาไว้ตลอดกาลได้ร่ายมนตร์ให้เธอลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับเคย์ รวมทั้งเสกให้ดอกกุหลาบทั้งหมดจมหายไปใต้ดินเพราะมันจะทำให้เธอนึกถึงระเบียงห้องของเด็กชายที่อยู่ติดกัน

   แต่ความปรารถนาของแม่มดก็ไม่อาจเป็นจริงได้ เกอดาดันไปเห็นดอกกุหลาบที่ติดอยู่บนหมวกของแม่มด นั่นทำให้เธอกลับมาจำได้ว่าตัวเองกำลังตามหาอะไร และอีกาตัวหนึ่งก็บินมาบอกเธอว่าได้ข่าวเรื่องที่เคย์อภิเษกกับเจ้าหญิงเมืองอื่นไปเสียแล้ว ด้วยความที่ไม่เชื่อเธอจึงออกเดินทางไปยังเมืองนั้นเพื่อพบว่าเจ้าชายที่อภิเษกไม่ใช่เคย์ แต่เป็นคนหน้าเหมือนเท่านั้น

   จากนั้นเธอได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมายจนในที่สุดเกอดาก็พบกับเคย์ในสภาพที่ทรมานจากความหนาวเหน็บกลางทะเลสาบน้ำแข็ง หล่อนร่ำไห้กับภาพที่ตนเองเห็น และน้ำตาที่หยดลงมาก็ทำให้ชายหนุ่มคลายความหนาวเหน็บ รวมถึงมันยังทำให้เศษกระจกแห่งความผิดเพี้ยนที่ติดอยู่ในหัวใจหลุดออกมาด้วยเช่นกัน

   เคย์เล่าว่าราชินีสัญญาจะปล่อยตัวไปถ้าหากเขาสามารถนำก้อนน้ำแข็งมาเรียงเป็นคำต่างๆ ตามที่นางสั่ง แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาไม่อาจสะกดคำว่า 'นิรันดร์' ได้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเต้นรำด้วยความยินดีอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนั้นพวกเขาก็สร้างคำนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ

   ราชินียอมปล่อยเคย์ไปตามสัญญา และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

   สุดท้ายแล้วเรื่องในเทพนิยายก็ต้องจบแบบนี้สินะ

   ข้อโต้แย้งจำนวนมหาศาลถาโถมเข้ามาจนท้ายที่สุดแล้วต้องพาตัวเองไปยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ตรงนั้นผมเห็นภาพสะท้อนของ 'กาลวินท์' เฉกเช่นเดิม ผู้ชายตัวผอมกับแว่นอันใหญ่ปกปิดใบหน้าไปหลายส่วน นัยน์ตาตาส่งผ่านความกังวลออกมาชัด ริมฝีปากปิดเอาไว้สนิท

   หากลองมองอีกครั้ง ภาพอีกฟากกลับเป็นใครอีกคน

   ในที่สุดผมก็เจอเนื้อหาส่วนที่หายไปแล้วล่ะ

 

   หลังจากจบงานแล้วสิ่งที่ต้องมีเป็นประเพณีคือการเลี้ยงอาหารสตาฟ

   ผมตั้งใจจะไม่ไปอยู่หรอก ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวที่เพื่อนหลายคนพูดมาตั้งแต่ก่อนจบงาน งานเลี้ยงมีขึ้นในร้านอาหารกึ่งผับกลางเมือง เลือกวันเสาร์ตอนเย็นที่ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหากับการกลับบ้านดึกดื่น

   ไหนใครบอกว่ามีสอบสัปดาห์หน้า

   "จะสั่งอะไรเพิ่มก็ตามสะดวกเลยนะ ถ้าไม่พอเดี๋ยวเราไปเรียกเก็บเพิ่มเอง"

   ทำนิสัยไม่ค่อยดีด้วยการไม่พูดจาทักทายกับใคร นั่งเงียบๆ แทบไม่แตะอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้า ไม่ต้องถามเลยนะว่าถ้าจะทำตัวอย่างนี้แล้วมาทำไม ก็ถ้าคุณโดนกดดันด้วยการที่ธชามารับถึงหน้าบ้านก็คงไม่ทางเลือก แล้วดันไปบอกเฟย์ด้วยอีก ไม่มีทางหนีเข้าไปใหญ่

   ตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้เราไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ แบบที่ถ้าไม่เห็นว่าลงมาจากรถคันเดียวก็น่าจะไม่รู้จักกันแน่นอน

   ทุกคนดูแฮปปี้กับงานกินฟรีไม่มีอั้น ส่วนผมนี่อยากจะหาทางหนีออกไปอยู่ทุกวินาที จะกลับบ้านเลยก็ไม่ได้เพราะถ้าเฟย์รู้จะต้องโดนบ่นไม่จบแน่ แล้วมันก็คงมีบางคนที่อยากจะทำตามคำสั่งว่าให้ดูแลผมให้ดีใจจะขาด

   "ร้านนี้ไม่อร่อยเหรอ"

   "เปล่า เราเพิ่งกินอะไรก่อนมาอะ"

   มุสาวาทาผิดศีลสักข้อแน่ ไว้ค่อยไปหักลบตอนถวายสังฆทานแล้วกัน

   พอทำตัวไม่น่าเข้าใกล้ก็เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง สิ่งที่เป็นเพื่อนแท้ของผมคือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ชื่อแปลก เลือกเอามั่วๆ จากที่มีอยู่ในเมนู ตอนนี้ไม่มีใครมาสนใจคนอื่นหรอกว่ากำลังทำอะไรอยู่บ้าง ต่างคนต่างสาละวนอยู่กับอาหารของตัวเองทั้งนั้น

   เสียงเพลงไทยร่วมสมัยร้องสดกับเครื่องดนตรีหลักอย่างกลองและกีตาร์เป็นตัวขับกล่อม ชักจะสนุกกับการนั่งสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นไปพร้อมกับการละเลียดชิมเครื่องดื่มมึนเมา คิดว่าเริ่มเข้าใจคนที่ชอบมานั่งเล่นในร้านเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้วสิ

   แก้วแรก

   แก้วที่สอง

   แก้วที่สาม

   เครื่องแก้วตรงหน้าเพิ่มขึ้นมาทีละน้อย ส่วนสติของผมยังอยู่ครบไม่ได้แปรผกผันตามตัวเลขพวกนั้น จากที่คอยจับสัมผัสเรื่องรสชาติก็กลายเป็นการดื่มเพื่อให้ตนเองไม่ว่างเกินไป

   มองของเหลวที่เหลือเพียงก้นแก้วแล้วก็บอกตัวเองว่าถึงเวลาสั่งเพิ่ม ผมหยิบเมนูขึ้นมาอีกครั้งเตรียมสุ่มเลือกจากการปิดตาจิ้ม

   "แฟร์ พอ"

   เปิดตาอีกครั้งแผ่นรายการตรงหน้าก็หายไปเสียแล้ว ผมตวัดหน้าไปหาคนนั่งทางขวาที่ทำตัวไม่รับแขกพอกัน  เหมือนกับว่าตรงนี้เป็นสนามของสงครามประสาทที่ไม่มีใครกล้าเข้ามาเป็นผู้ชม

   "ยุ่ง"

   น่าหงุดหงิด น่าโมโห ทุกอย่างดูไม่ได้ดั่งใจจนอยากพาลให้หมด

   "เลิกกิน"

   "ห่วงเรามากเลยเหรอธชา?"

   ตั้งใจพูดออกไป ต่อให้ย้อนเวลากลับมาทบทวนซ้ำได้ก็ยังยืนยันว่าไม่มีทางเปลี่ยนคำ ผมจับจ้องใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่วางตา หยันตัวเองว่าต่อให้ผ่านมานานแค่ไหนเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด อสูรก็ยังคงเลือดเย็น...และไร้หัวใจเช่นเดิม

   ปิดปากสนิทรอว่าจากนั้นคำพูดแบบไหนจะออกมาต่อ ยังมีอะไรที่ทำร้ายจิตใจของผมได้อีกหรือไม่

   "เราสัญญากับเฟย์ไว้ก่อนมา"

   นั่นคงเป็นการตัดเส้นความอดทนสุดท้ายของผมลง

   "ทรูออร์แดร์?"

   

   มันคือเรื่องของเวลาที่เหมาะสม

   เขาไม่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม แถมยังช่วยเสริมกติกาบางส่วนให้มันรัดกุมมากขึ้นอีกต่างหาก ธชาบอกว่ามันคงไม่ต้องท้าอะไรกันแล้วเลยกลายเป็นเพียงเกมที่ต่างฝ่ายต้องพูดแต่ความจริง ไม่มีตัวช่วย ผลัดกันถามคนละสามคำถาม เลียนแบบตัวเลขโปรดในเทพนิยายอย่างที่เรามักเจอเสมอ

   ระหว่างคนสองคนที่ไม่ต้องซ่อนอะไรเอาไว้อีก ผมเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนด้วยคำถามที่ค้างอยู่ข้างในมานานแสนนาน

   "ที่ผ่านมานายแค่ทดสอบอะไรบางอย่าง"

   "ใช่"

   "..."

   แค่คำถามแรกยังทำให้เกือบหมดแรงยืน ผมไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าขนาดทำใจมาแล้วตั้งเยอะแต่พอได้ยินคำนั้นออกจากปากของธชาจริงมันก็ยังเจ็บอยู่ดี

   "ตาเราบ้าง ข้อแรก ที่ผ่านมาแฟร์ไม่เคยโกหกเราเลย"

   ทำไมเขาต้องถามอะไรที่รู้อยู่แล้วด้วยนะ "ไม่ใช่"

   รอยแค่นยิ้มเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ผมไม่ชอบตอบคำถามที่อีกฝ่ายรู้คำตอบอยู่แล้ว มันเป็นแค่การตอกย้ำให้ลึกลงไปว่าเป็นเขาที่เหนือกว่าอยู่เสมอ

   "ที่เข้ามาหาเรา เอามาแทนที่ใครใช่ไหม?"

   "ใช่"

   ชัดเจนทุกคำ มันคงฝังลึกจนไม่รู้ว่าจะมีวันลืมได้ลงหรือไม่

   "ข้อสอง ที่บอกว่าอยากให้เรื่องนี้มันจบ แน่ใจใช่ไหม"

   "ใช่"

   ผ่านไปแล้วสองคำถาม มันเหลือกระสุนเพียงนัดเดียวในการเล่นเสี่ยงทาย ผมกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งก่อนที่จะถามมันออกไป

   "คนที่ยังไม่ลืม..."  คนที่อยู่ในความลับของอสูรร้าย สิ่งที่อยู่ในกล่องความลับในกระดาษส่วนที่หายไป "คือเฟย์ใช่ไหม"

   มันเป็นคำถามสุดท้าย

   และเป็นสิ่งที่ผมปรารถนารู้มากที่สุด

   "ใช่"

   บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำนั้น ในเรื่องของเราผมเป็นเทวดาที่รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าอสูรมองตนเองเป็น 'ตัวแทน' ของใครบางคน ต่อให้ทำใจเอาไว้เสมอแต่สิ่งที่น่าเศร้าคือความผูกพันระหว่างทางมันดันเป็นเรื่องจริงน่ะสิ

   ใบหน้าของอสูรไม่แสดงอาการหรือว่าความรู้สึกใด มันเลยตอกย้ำให้ผมห้ามแสดงออกว่าตัวเองกำลังผิดหวังกับคำพูดพวกนั้นมากแค่ไหน

   ที่คิดว่าตัวเองคงไม่เป็นไร..มันไม่ใช่เลยแฮะ

   เหลืออีกหนึ่งคำถามที่รอให้ผมตอบ มันยังมีเรื่องอะไรที่เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับผมอีกอย่างนั้นเหรอ

   "ส่วนคำถามสุดท้ายของเรา" เรียบและเย็นชา โทนเสียงไม่มีขึ้นลงน่าหวาดหวั่น "มาพูดถึงช่วงพล็อตทวิสต์กันดีกว่า"

   "..."

   "ทุกคนคิดว่าอสูรเป็นพวกโหดร้ายที่เล่นสนุกกับหัวใจคนอื่น เพราะเขายังเจ็บจากความรักครั้งที่ผ่านมา แล้วมีใครเคยสงสัยบ้างไหมว่าเบื้องหลังมันมีแค่นั้นเหรอ"
   
   เรื่องที่มักจะอยู่นอกเหนือจากความสนใจของผู้อ่าน ขอเพียงแค่ตอนจบเป็นอย่างเช่นที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว ผมรู้ตัวว่ากำลังกัดริมฝีปากอยู่ก็ตอนที่รสเลือดผ่านเข้ามาในส่วนสัมผัส จังหวะการสูบฉีดเลือดเข้าไปแลกเปลี่ยนแก๊สในหัวใจเร็วขึ้นจนน่ากลัว

   "ที่จริงเรื่องทั้งหมดยังมีตัวละครอื่นอีกหรือเปล่านะ?"

   "..."

   "คนที่หลอกให้เจ้าชายเข้าใจผิดว่าตนเองได้เจอความรัก คนที่ลวงจนหลงคิดว่าถูกปฏิเสธไร้เยื่อใย คนที่เสกให้เจ้าชายกลายเป็นอสูรที่รักใครไม่ได้อีก..."

   คนตัวสูงกว่าขยับเข้ามาใกล้จนแทบชิด กลิ่นเครื่องดื่มมึนเมาปะปนไปกับกลิ่นน้ำหอมที่ไม่เคยสังเกต

   "ใช่แฟรี่ที่อยู่ตรงหน้าเราไหม"

   "..."

   "ว่าไงล่ะแฟร์"

   "..."

   ในเมื่อผมต้องทำตามกติกา

   "ใช่"

   ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องซ่อนมันไว้อีกต่อไป


***
   ตามอัตราการลงปกติแล้วต้องลงพรุ่งนี้ค่ะ แต่ว่าด้วยเนื้อหาแล้วเจ้าก็คิดว่าตัวเองคงใจร้ายไปหน่อยที่จะลงวันวาเลนไทน์ แล้วจะให้ทอร์กท้ายตอนก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน (หัวเราะ)
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-02-2018 21:23:08
ขอเรียบเรียงนะคะ
ธชารักเฟย์ แฟร์ปลอมตัวเป็นเฟย์หักอกธชา

ทำให้ธชากลายเป็นแบบนี้ แล้วทำไมตอนแรกแฟร์ถึงทำไม่รู้จักธชา เราพลาดอะไรไป  :hao5: :katai1:

Edit เพิ่งกลับไปอ่านใหม่เพราะความคาใจมาและเราเห็นว่ามันคำที่สื่อถึงว่าแฟร์รู้จักธชามาก่อนแทรกเป็นครั้งคราวแต่เราไม่สังเกตมัน ฮืออ

ยิ่งตอนเชนินทร์ถามตอนเจอกันว่าเหนื่อยไหม ชัดเลย

เราว่าแฟร์ชอบธชาตั้งแต่คราวงานโรงเรียนแน่เลย แฟร์จะรู้สึกผิดบ้างไหมที่ทำให้ธชากลายมาเป็นแบบนี้ ในที่สุดก็เฉลยชื่อเรื่อง ถ้าเฟย์ชอบธชาไปอีกนี่ แฟร์ก็เป็นแม่มดร้ายดีๆนี่เอง


เรามีแต่คำถามค่ะ จะขาดใจตอนรอตอนถัดไป เราหวังว่าเรื่อนนี้จะจบแบบแฮปปี้เอนนะคะ  :hao5: ใจหายตอนที่มีบรรยายถึงความไม่สมเหตุสมผลของเทพนิยายที่จบแฮปปี้ กลัวใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 13-02-2018 21:59:06
ทิ้งช่วงไว้นานเลย
พอมาอ่านบทเฉลยแล้วอึดอัดกว่าเดิมอี๊กกกกก  :katai1:
พอทอล์กคนเขียนบอกตอนหน้าจะจบแล้วหน้าชาวาบเลย แง้งงง
คาใจจจ แต่กลัวว่าจะจบไม่เป็นอย่างที่คิด  :ling1:
เอาเป็นว่าถึงจะกลัวแต่ก็จะรอตอนต่อไปนะคะะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 14-02-2018 10:52:54
ในที่สุดดด ก็เหมือนจะเดาอะไรได้มากขึ้น? แต่ถ้าแบบนี้หมายความว่าแฟร์รู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าคนนี้คือธชาหรอ? แล้วทำไมแฟร์ถึงทำแบบนี้? แต่ที่ทำน่าจะเป็นช่วงที่แลกโทรศัพท์กันใช้ใช่มั้ย แล้วก็ที่ธชาเคยบอกก็คือคุยกันในโทรศัพท์มาเรื่อยๆก็คือตอนแลกโทรศัพท์ใช่ไหมคะ

ตอนนี้เหมือนจะรู้อะไรมากขึ้น แต่เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะสงสารใครดี เพราะถ้าแฟร์ทำแบบนั้นจริงๆ ก็สงสารธชาอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็คิดว่าแฟร์ก็คงมีเหตุผลของแฟร์แหละที่ทำแบบนั้น อาจจะชอบธชาตั้งแต่ตอนแรก? หรือยังไงดี55555

อยากอ่านตอนต่อไปมากๆเลยค่ะตอนนี้  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 14-02-2018 17:14:54
อ่านถึงตอนล่าสุดเเล้วแบบ....   ไม่รู้จะสงสารใครดีค่ะ
สงสารธชานะ แต่เชื่อว่ามีเหตุผลที่แฟร์ทำแบบนี้
หวังว่าเรื่องนี้จะออกมาสวยนะ แต่อ่านทอล์กคนแต่งแล้วใจหายเลยอ่ะ
รู้สึกเจ็บอ่ะ โดนหักหลังกลาย  ๆ 555 สงสัยต้องกลับไปอ่านเก็บรายละเอียดอีกรอบ

เราชอบเรื่องนี้ เพราะความลึกลับของตัวละคร ชอบแฟร์ด้วยแหละ แต่เดาจากชื่อเรื่องแล้ว ก็จะไม่คาดหวังให้แฮปปี้เอนดิ้ง(แต่ก็อยากให้จบดีๆนะคะ  )

เคยอ่านเรื่องอื่นของคนแต่งมาเหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน แต่ใช้ภาษาสื่อออกมาได้ดีมาก เรารู้สึกตามหมดเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 15-02-2018 09:04:27
ตอนแรกโกรธชากับเฟย์มากคืออะไรไม่รู้กับแฟร์นักหนาบังคับอยู่นั้นแหละ เหมือนรู้เรื่องกันอยู่สองคน สงสารแฟร์มาก แต่พอช่วงท้ายๆรู้สึกเหมือนถูกหักหลังอ่ะ ที่สงสารมาทั้งหมดคือ... บอกไม่ถูกอ่ะ ตกลงคือแฟร์ต่างหากที่ผิดใช่มั้ย คิดว่าแฟร์คงมีเหตุผลดีๆนะ คืออ่านจบนี้คืออึ้งไปเลย ทำอะไรไม่ถูกอ่ะ จะสงสารใครดี สงสารตัวเองสิที่โดนหลอกมาตั้งนานด้วย ฮืออออ คุณเจ้าา ตอนนี้มันพีคมากจริงๆเอาซะตั้งตัวไม่ทันเลย
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 15-02-2018 17:39:24
เอาคืนสินะ...........พูดไม่ออกอ่ะ อยากร้องไห้แทนแฟร์แต่ร้องไม่ออกเลย Freezeeeeeeeeeeeeee
หงุดหงิดอะ ความรู้สึกอัดแน่นมากกก คุณเจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ตอนจบเราต้อง Flyyyyyyyyyyyyyy
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบเอ็ด [13.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 16-02-2018 01:33:48
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด โอ๊ยยยยยยยมันพีคคิดไว้แต่แรกแล้วว่าลพลน.ของแฟร์ต้องเกี่ยวกับชาแน่นอน. พอตอนล่าสุดที่เริ่มเฉลยทำเอาบีบหัวใจไปเลยค่ะ.   สนุกกกจริงๆ อนหน้าจบแล้วใช่มั้ยคะ. แอบคิดว่าเป็น sad ending ไป90% ฮืออออออ. 


มาต่อไวๆนะค้า
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง [16.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-02-2018 20:39:15
เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง


   เจ้าชายบอกกับเธอว่าเขาถูกนางฟ้าสาปให้กลายเป็นอสูรแสนอัปลักษณ์
   - Beauty and the Beast



   เครื่องดื่มมึนเมาดีกรีสูง

   กับแกล้มที่เอาไว้สำหรับรองท้อง

   และคนสองคนที่นั่งอยู่บนดาดฟ้า

   "ไม่ได้ทำอย่างนี้มาตั้งแต่เราไปเรียนที่นู่นเนอะ"

   "แน่ล่ะ ห่างกันตั้งเท่าไหร่"

   ดาดฟ้าของบ้านไม่ได้เปิดใช้มาตั้งแต่ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย มันเรียกได้ว่าเป็นฐานทัพลับของเราสองคนสำหรับการทำกิจกรรมล้านแปด
   
   "งั้นวันนี้ก็อยู่ด้วยกันให้เต็มที่เลยเนอะ"

   "มาดูกันว่าใครจะแพ้ก่อน คราวที่แล้วเฟย์ใช่ไหม"

   "โหย ใครจะไปสู้คนคอแข็งอย่างแฟร์ได้ล่ะ กินเข้าไปเท่าไหร่ไม่เห็นเคยน็อกสักที"

   หัวเราะแห้งให้กับเครื่องดื่มตรงหน้า ของที่ผมเคยลิ้มรสมาตั้งแต่สมัยเข้ามัธยมต้น พ่อกับแม่ผมค่อนข้างแปลกเมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ที่เขาว่ากันว่าผู้ปกครองที่ดีควรมี อย่างเช่นเรื่องสินค้าภาษีบาปทั้งหลาย เฟย์กับผมเราสามารถลิ้มรสชาติเครื่องดื่มพวกนี้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ รวมถึงสูบบุหรี่ได้ถ้าบอกว่าอยากลองให้รู้

   แต่ก็ไม่ได้ติดอะไรนะ จะเป็นงานพิเศษจริงๆ เราถึงจะจัดเต็ม

   อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

   "เราคิดตลอดเวลาเลยว่าไม่น่าเลือกไปเรียนที่นั่น"

   "มาพูดตอนนี้ก็ซิ่วไม่ทันแล้ว เสียใจสายไปนะ"

   "เรารู้สึกผิดจริงๆ นะ"

   "..."
   
   "เพราะมันทำให้แฟร์ต้องเจอกับเรื่องทุกอย่างคนเดียวไง"

   ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง เล่าสิ่งที่อยู่ในความคิดของตัวเองออกไป "ใครจะไปรู้ว่าเรื่องมันจะวนมาจบอย่างนี้"

   นัยน์ตาที่มีประกายเกิดขึ้นหลังจากที่ผมสารภาพเรื่องทั้งหมดออกไปยังตราตรึง มันสวยงามเสียจนยากจะยอมรับว่าตัวเองเป็น 'คนร้าย' ของอีกฝ่ายมาเสมอ

   "ชาทำอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่"

   "ช่วงเปิดเทอม ประมาณนั้น"

   แค่ไม่กี่เดือน ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง

   ช่วงเวลาที่ราวกับอยู่ในความฝัน การได้หลอกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษของอสูร

   ...จุดที่ผมไม่เคยไขว่คว้ามาได้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

   "ไม่เห็นเล่าเลย"

   "พอดีอยากจะพิสูจน์อะไรสักหน่อยน่ะ"

   อยากจะรู้ว่าที่เขาเข้ามาหาผม มันเป็นการ 'บอก' อะไรหรือเปล่า

   อยากจะหลอกตัวเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา...ว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่มีทางแพร่งพรายออกไป

   "แล้วเป็นไง เจ็บดีไหม?"

   "มาก"

   แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน พระจันทร์ครึ่งดวงกับกลุ่มก้อนเมฆสีเทาแยกกลุ่มกันเป็นแผ่นใยบางกระจายตัวทั่วไป ความทรงจำของผมก็เหมือนก้อนไอน้ำพวกนั้น มีอยู่จริงแต่ก็ต้องสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

   ผมรู้อยู่แล้ว รู้ตั้งแต่แรก เราเคยคุยกันเรื่องอาหารโปรดและนมกล่องรสจืดเป็นสิ่งที่เฟย์โปรดปราน

   "...ที่จริง มันอาจผิดมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วก็ได้เนอะแฟร์"

   "นั่นสิ" เครื่องดื่มมึนเมาช่วยให้ปากขยับออกมากขึ้น ไม่ต้องระวังคำพูดอย่างที่เป็นมาเสมอ "ถ้าตอนนั้นเชื่อเฟย์ก็ดีแล้วเนอะ"

   "แต่เราก็ย้อนกลับไปไม่ได้ไง"

   คุณพระจันทร์ส่องสว่างสวยงามจนไม่อยากจะก้มหน้าลงมามองพื้นดิน ผมปล่อยให้จุดพร่ามัวเพิ่มขึ้นทีละน้อยก่อนจะหลับตาลงเพื่อไล่หยดน้ำที่เอ่อตรงขอบตาออกไป

   "ใช่ เราย้อนกลับไปไม่ได้..."

   เพราะคนที่เริ่ม 'เรื่องโกหก' ทั้งหมด

   คือผมเอง

 

   หลังจากงานโอเพ่นเฮาส์โรงเรียนเก่าของเฟย์ การเจอกันครั้งต่อมาของผมกับ 'ชา' คือช่วงเย็นของวันธรรมดาในศูนย์รวมโรงเรียนกวดวิชากลางเมือง

   เอาใหม่

   ต้องบอกว่าผมเจอเขา แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเห็นชายเสื้อของผม

   ตอนแรกก็เดินเล่นกับเฟย์อยู่หรอก พอลูกพี่ลูกน้องของผมชี้ไปทางผู้ชายตัวสูงแล้วบอกว่า 'นั่นชานี่' ผมก็รีบหาเรื่องเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้พวกเขาเจอกันตามประสาเพื่อนเก่าไป

   ให้เข้าไปเจอทั้งที่หัวใจเต้นแรงอย่างนี้คงไม่ดีเท่าไหร่

   "ชามาเรียนชดเชยอะ ปกติไม่ได้เรียนสาขานี้"

   "เหรอ"

   ทำเป็นไม่สนใจเสียงเล่าข้างตัว เงยหน้าขึ้นมองจอโทรทัศน์แล้วก็ก้มลงมาจดข้อความใหม่บนพื้นที่ว่างในชีต วิชาภาษาอังกฤษเป็นพาร์ทที่เราสองคนเรียนเหมือนกัน ส่วนพวกวิชาทางวิทยาศาสตร์มีแต่เฟย์ผู้อยู่สายวิทย์-คณิตเรียน แค่ฟังว่าต้องเรียนอะไรบ้างยังเหนื่อยแทน

   "เสียดายแฟร์ไม่ได้คุยด้วยเลย"

   "ไม่เห็นต้องเสียดาย" พูดอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่รู้สึกออกไป "เขาไม่น่าจะจำเราได้ด้วยซ้ำ"

   สำหรับชาแล้วผมไม่อยากถูกจดจำในสถานะ 'ฝาแฝดของเฟย์' เสียหน่อย

   ต่อให้ชื่อนั้นมันถูกใช้ในวงกว้างมากกว่าชื่อเล่นจริงๆ ของผมอีก

   "ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"

   "มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว" ยกไหล่ขึ้น เตือนให้คนช่างพูดกลับมาตั้งใจเรียนและไม่ส่งเสียงรบกวนคนอื่น "เลิกคุยเรื่องชาแล้วเรียนเดี๋ยวนี้"

   จากนั้นผมก็เจอชาทุกเสาร์ (แบบที่เขาไม่เห็นผมเหมือนเดิม) มาเรียนพิเศษทางคณิตศาสตร์กับเฟย์ในช่วงเวลาที่เหลื่อมกับการเรียนวิชาสังคมของผม คือตัวเองจะเรียนภาคบ่ายเสร็จช้ากว่าพวกเขาประมาณครึ่งชั่วโมง ออกมาก็จะเจอนาวินท์รออยู่คนเดียวตลอด

   ก็โอเคกับการอยู่แบบนี้นะ แค่ได้เห็นชาบ้างนิดหน่อยก็พอแล้ว

   "บางทีเป็นอย่างเฟย์ก็ดีนะ"

   เปรยออกมาหลังจากรอจนกว่าน้องชายโบกมือลากับเพื่อนตัวเองเสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปหา "อย่างเรา?"

   "ก็เข้ากับคนอื่นง่าย เพื่อนเยอะ เรานี่ทั้งชีวิตมีแค่เฟย์คนเดียวเลยมั้ง"

   ที่จริงแล้วต้องโทษตัวเองด้วยแหละที่ไม่ยอมก้าวออกจากโซนปลอดภัยสักที มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หนังสือให้กำลังใจเขียนเอาไว้ ปัจจัยอีกมากมายคอยรั้งผม รวมถึงความระแวงไปก่อนหน้าว่าการเหยียบพื้นที่นอกกรอบที่ตีเอาไว้มันอาจเป็นกับดักอันตราย

   จนโชคชะตากลั่นแกล้งให้ผมเป็นฝ่ายจำเป็นต้องเลือก

   "แฟร์ เอาโทรศัพท์มาแลกกัน"

   "หืม แลกทำไมอะ" ถามเป็นพิธีเพราะมือส่งเครื่องมือสื่อสารของตัวเองไปแล้ว บางครั้งเราก็ยืมกันใช้บ่อยเพราะยังไงมันก็ไม่มีอะไรให้เก็บเป็นเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่ "เราเพิ่งไปซื้อพร้อมกันไม่นานเองนะ"

   "แล้วก็ตอบแชตให้ด้วย"

   เก็บความไม่เข้าใจเอาไว้คนเดียว ผมเปลี่ยนจุดสนใจจากใบหน้าของเฟย์เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องเหลี่ยมในมือ กดตัวเลขสี่หลักที่เอามาจากวันเกิดของเราสองคนเรียงกันเพื่อให้สามารถเข้าไปยังหน้าจอการใช้งาน

   TEA : เฟย์ปะ
   TEA : นี่ชานะ


   "เฟย์...นี่อะไร?"

   ผมยื่นโทรศัพท์ที่ยังค้างเอาไว้ตรงหน้าแจ้งเตือนไปให้คนข้างกาย นาวินท์หันมามองมันโดยใช้เวลาไม่กี่วินาทีก่อนตอบสั้น ไร้อารมณ์ร่วมอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่

   "ก็บอกแล้วไงว่าตอบให้หน่อย"

   "ทำไมต้องให้เราตอบแชตของชา?" จากอาการตื่นเต้นมันแปรเป็นความกังวล กราฟอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อแรกเห็นข้อความมันดิ่งลงมาสู่เส้นมาตรวัดและดูเหมือนว่ากำลังลงไปถึงระดับติดลบ

   "แล้วทำไมถึงตอบให้ไม่ได้ล่ะ"

   "เฟย์" น้อยครั้งมากเลยสำหรับการคุยกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ "ตั้งใจจะทำอะไร?"

   "เล่นเป็นเทวดาแสนดี"

   นัยน์ตาสีดำมองตรงมาที่ผม ความมุ่งมั่นบางอย่างส่งผ่านออกมาเสียจนผมไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ

   "แฟร์ชอบชาไม่ใช่เหรอ"

   "..."

   เรื่องที่ไม่เคยบอก ไม่ได้เป็นความลับอย่างที่คิดไว้

   "รู้ได้ไง..."

   "นี่เฟย์นะ" คนตรงโต๊ะอ่านหนังสือขยับมานั่งไขว่ห้าง วางคางบนมือด้วยท่าทีสบายๆ "ทำเป็นอ้างนู่นนี่แต่พอเราคุยเรื่องชาก็หูผึ่งทุกที"
     
   เรื่องจริงทำให้ผมเถียงกลับไม่ได้ มีหลายครั้งที่เฟย์เล่าเรื่องของชา ผมก็นึกว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องราวให้ฟังทั่วไป จนประโยคก่อนหน้ามันออกมาจากปากเลยต้องฉุกคิดแล้วล่ะว่ามันเป็นการวางแผนมาก่อนหรือไม่

   แล้วผมกำลังตกหลุมพรางอยู่หรือเปล่า

   "ถึงเราจะชอบชา เฟย์ก็ไม่ควรทำอย่างนี้"

   "อย่างนี้?"

   "เฟย์กำลังหลอกเขา"
         
   "แล้วไม่ดีใจเหรอที่ได้คุยกับชาสักที?"

   "เราโอเคกับที่เป็นอยู่"

   "อย่าโกหก"

   และเรารู้จักกันดีจนเกินไปจริงนั่นแหละ

   ตลอดช่วงชีวิตของกาลวินท์และนาวินท์สิ่งหนึ่งที่เราไม่พูดแต่เข้าใจกันมาเสมอคือต่างฝ่ายคือจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ เราพร้อมที่จะเแบ่งปันทุกความสุขและเสี่ยงดวงเผชิญความทุกข์ไปด้วยกัน และผมก็เข้าใจว่าสิ่งที่เฟย์กำลังทำมันไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการที่อยากจะช่วย

   "ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไว้สักพักค่อยเลิกก็ได้" หนังสือเรียนภาษาอังกฤษปิดลงไปแล้ว เฟย์กวาดทุกอย่างเอาไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วโถมทั้งตัวขึ้นไปบนเตียง "ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มหน่อยสิแฟร์ ไอ้การแอบรักอยู่ฝ่ายเดียวมันเป็นพล็อตที่น่าเบื่อเกินไปหน่อยนะ"

   ในเวลานั้น ผมก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างว่าแฟรี่ไม่ได้มีแต่ฝ่ายดีเสมอไป

 

   ต้องขอบคุณอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นใจให้ 'กล่องแห่งความลับ' ของผมไม่มีใครค้นพบ

   ผมกับเฟย์เรามักจะอยู่ด้วยกันเสมอนอกเหนือไปจากคาบเรียนที่แตกต่างกันไปตามสายการเรียน ไปเรียนพิเศษก็เลือกเรียนในตึกเดียวกันเพื่อให้สามารถเดินทางพร้อมกันได้ เรียกได้ว่าในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเราอยู่ด้วยกันมากกว่าสามส่วนสี่เสียอีก

   กับชาผมยังคุยอยู่เรื่อยๆ หรือบางครั้งก็เป็นเฟย์ตอบเองบ้าง เพื่อให้เรื่องทั้งหมดไม่มีจุดผิดสังเกตที่ใหญ่จนจับได้ ส่วนมากก็คุยเรื่องทั่วไปไม่ได้ลงลึก การเรียน เพื่อน แล้วก็เรื่องหนังสือที่ชากำลังอ่านในช่วงเวลานั้นๆ

   ผู้ชายที่ชอบดอกไม้ ยังเป็นหนอนหนังสือด้วย เขาอ่านหนังสือหลายแบบเสียจนผมอยากจะรู้ว่าสมองเขามีความสามารถในการจำมากกว่าผมแค่ไหน

   "เฟย์ ชาส่งรูปมาให้ดู ตลกอะ" ผมเปิดภาพล่าสุดในห้องสนทนาให้น้องดู มันเป็นกล่องลังขนาดใหญ่ที่ติดป้ายไว้ข้างหน้าว่า 'บังคับบริจาค' โดยมีความเป็นมาของภาพเล่าอยู่ในข้อความถัดจากนั้น "นี่แม่ชาบอกว่าให้เอาหนังสือที่อ่านแล้วไปบริจาคบ้าง แต่ชาไม่ทำจนแม่ลงมือเอง"

   "โธ่ น่าสงสารนะ"

   "ชาชอบหนังสือจริงๆ เลยเนอะ"

   "เรารู้ไม่เท่าคนที่คุยอยู่ทุกวันหรอก"

   ผมหัวเราะนิดหน่อย "ก็ได้แค่บางช่วงเอง ชาตั้งใจเรียน"

   "แหม ชาอย่างนั้นอย่างนี้ มีความสุขจังเลย"

   ประโยคที่หากเพียงอ่านโดยไม่มีเสียงประกอบก็คงเป็นการกระแหนะกระแหน ต้องมองหน้าคนพูดไปด้วยถึงจะเห็นว่าเฟย์ไม่คิดอะไรมากไปกว่าเป็นการได้ต่อบทสนทนา

   "มันก็ดี" หมายความอย่างที่พูดจริง ผมค่อนข้างชอบช่วงเวลาที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ การที่ได้เห็นข้อความของเขาเป็นคำกล่าวอรุณสวัสดิ์และคำบอกลาในทุกวัน ไม่ต้องเรียนด้วยกันก็รู้หมดว่าการสอบแต่ละครั้งเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้กิจกรรมอะไรกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ของเพื่อน

   "แต่อย่าข้ามเส้นนะ"

   ".."

   "เข้าใจที่เราบอกใช่ไหม"

   ทำได้เพียงแค่เม้มปากเอาไว้สนิทเมื่อได้ยินคำถามแทงใจ

   หนึ่งเรื่องที่คอยรบกวนใจอยู่เสมอ ก็ทุกครั้งที่ผมเห็นชื่อตัวแทนในแชต คำว่า FAIRY มันคอยย้ำว่าตัวอักษรห้าตัวมันหมายถึงผมและเฟย์ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว

   จากจุดเริ่มต้นที่คิดกันว่าเป็นการลวงที่ไม่ต่างกับทุกครั้งที่ผ่านมา เราก็แค่สนุกกับมันชั่วคราวก่อนที่จะทำเป็นลืมมันไปเสีย ตอนนี้อะไรหลายอย่างมันคงเริ่มมีเค้าลางจนต้องเตือนไม่ให้ลืมข้อเท็จจริง

   TEA : วันนี้อย่าลืมกินนมล่ะ
   TEA : เจอกันตอนเช้านะ


   ผมเคยชาว่าตัวเองไม่ชอบคำว่า 'ฝันดี' หรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นคำที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่เมื่อคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนเราจะฝันดีในทุกคืน ทำไมถึงต้องพูดอะไรที่มันเกินความจริงไปตั้งมากมายด้วย เราเลยชอบบอกลากันในแต่ละวันด้วยคำนี้มากกว่า อย่างผมกับเฟย์เองก็บอกลาแบบนี้เช่นกัน

   FAirY : อือ เจอกันตอนเช้า

   "เข้าใจดีเลยล่ะ"


***
ต่อข้างล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง [16.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 16-02-2018 20:41:45
   TEA : ถ้าต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง
   TEA : แบบที่ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
   TEA : เฟย์จะทำไหม

   FAirY : โหย
   FAirY : ตอบยากนะ

   
   ปกติแล้วชาจะส่งมาคุยเรื่องทั่วไป และในบางครั้งก็จะเป็นการถามความเห็นอย่างนี้แหละ

   TEA : ตอบมาหน่อย   
   TEA : เราจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อ


   ถ้าเป็นกาลวินท์ก่อนหน้านี้สักครึ่งปี เขาคงตอบไปโดยไม่ลังเลว่าไม่มีทางทำอย่างแน่นอน คนกลัวความผิดพลาดและไม่อาจยอมรับความเสียใจได้โดยง่ายอย่างผมชอบความมั่นคงมากกว่าการเสี่ยงอันตราย ส่วนแฟร์คนนี้ทำได้เพียงอ่านแล้วปล่อยให้มันค้างไว้อย่างนั้น

   FAirY : เราคงทำแหละ
   FAirY : อย่างน้อยความผิดหวังจากการเลือกทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ
   FAirY : มันน่าจะดีกว่าการที่ต้องมาเสียใจว่าไม่ได้ลองทำ


   คำพูดดูดีใช่ไหมล่ะ มันเป็นคำที่ผมใช้ปลอบใจตัวเองทุกครั้งเวลาเกิดอาการหวาดวิตกเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันไม่ใช่เรื่องดี ผิดต่อชามากด้วย แต่ทุกอย่างจะถูกทำให้ลืมไปเมื่อผมเห็นข้อความจากเขา ทุกตัวอักษรแม้จะไม่ได้ส่งถึงผมโดยตรงแต่ก็ยังยินดีที่จะอ่านมัน

   TEA : งั้นถ้าเราจะบอกว่าชอบเฟย์
   TEA : เราจะต้องเสียใจหรือเปล่า


   "..."

   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนไม่มีช่วงให้เตรียมใจรับกับความเป็นจริง

   ความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังอยู่ข้างใน เจ็บปวด เสียใจ ไม่อยากยอมรับ มันรวมตัวกันจนกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงไร้ทางแก้ปมปัญหา ผมรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง ที่พลาดไปก็แค่ความคิดที่ว่าผมสามารถรับมือกับมันได้กลับกลายเป็นพ่ายแพ้หมดท่า

   ช่วงมือสั่นเสียจนต้องกระชับโทรศัพท์เอาไว้ให้มั่น ผมย้อนกลับไปอ่านข้อความตอกย้ำความรู้สึกเหล่านั้นอีกครั้ง เรื่องมันก็พอมีเค้าตั้งแต่แรก ถ้าเป็นเพื่อนกันทั่วไปคงไม่ขยันทักมาคุยเช้าสายบ่ายเย็น แล้วก็ยังมีข้อความแสดงความห่วงใยมาเสมอ

   ในวูบแรกมันก็เจ็บนะ แต่ตอนนี้ผมสงสารมากกว่า

   ชาเป็นเจ้าชายแสนดี

   และเขาสมควรได้รับเพียงความสุข

   "เรื่องโกหก...ได้เวลาจบแล้ว"

   FAirY : ขอโทษ
   FAirY : ขอโทษที่ทำให้เสียใจ


 

   "เราไม่คุยกับชาแล้วนะ"

   "อ้าว? ไหนบอกว่า..."

   "เดี๋ยวมันจะแย่ไปกว่านี้" ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมยกข้ออ้างที่เข้าท่าที่สุดขึ้นมาเสริม "เฟย์ก็บอกเราเองว่ามันไม่ควรจะนาน"

   ผสมกับข้อเตือนใจจากปากของนาวินท์เอง ผมคิดจนถี่ถ้วนแล้วว่านี่คงเป็นทางที่เหมาะสม ที่เหลือคือต้องขอความร่วมมือเรื่องอื่นอีกหน่อยก็คงไม่มีปัญหาอะไร

   "ชาบอกชอบเราใช่ไหม"

   จะว่าแปลกใจ...ก็ไม่ "อืม"

   "แล้วตอบไปว่ายังไง"

   ไม่พูดแต่ส่งโทรศัพท์ที่ไม่ได้แตะต้องอะไรเพิ่มเติมไปให้ เฟย์รับไปแล้วกดไปตามส่วนต่างๆ ของหน้าจออย่างคล่องแคล่ว ผมเสตามองที่อื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้ว่ามันมีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมา

   "ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง" นาวินท์เอื้อมมาจับมือของผมไว้แน่น สร้างความมั่นใจว่ามันจะไม่มีการแพ่งพรายออกไป "แฟร์ไม่ต้องห่วง"

   จุดนั้นก็ยังเจ็บปวดกับสิ่งที่เพิ่งเจออยู่ แต่เรื่องที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนมันก็มีมากเหมือนกัน คนที่มีความผิดติดตัวก็อย่างนี้ พยายามที่จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลับที่สุด

   "ขอโทษนะ..." นึกไม่ออกแล้วว่ามีคำอื่นที่ควรพูดมากกว่านี้หรือไม่ มันมีหลายข้ออ้างและการถกเถียงตีอยู่ข้างใน

   ใครผิด

   ใครถูก

   เฟย์ไม่ควรเริ่ม

   หรือผมไม่ควรตาม

   แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง มีแต่คำตอบที่ต้องถูกใจตนเองเท่านั้น

   "ไม่เป็นไร" มันคือการปลอบใจทั้งสองคนไปพร้อมกัน "จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเรา"

   เฟย์เองก็ต้องไปเรียนต่อในต่างจังหวัดอยู่แล้วเลยไม่น่ากังวลเรื่องที่ธชาจะตามไปหาสักเท่าไหร่ กลุ่มเพื่อนก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก เพื่อนก็เข้าใจว่าเฟย์ปฏิเสธไปไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมตั้งมั่นว่าจะเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยด้วยการซ่อนทุกเรื่องเอาไว้จนมิด

   แต่มันก็ยังมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้จนได้

   ตอนที่ผมเดินเข้าไปในคณะอักษรศาสตร์ในฐานะนักศึกษาใหม่เป็นครั้งแรก รอบข้างแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นสาวน้อยวัยใสที่ให้อารมณ์เด็กอักษรสุดๆ จะมีมนุษย์เพศชายอย่างผมแค่ไม่กี่คน ด้วยความหลากหลายที่ค่อนข้างต่ำพอมีคนหนึ่งเด่นขึ้นมามันเลยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสายตาคนรอบข้างไปโดยทันที

   ผู้ชายตัวสูงกับทรงผมที่เห็นแล้วก็รู้ว่าเพิ่งจบรด. มาได้ไม่นาน สิ่งที่โดดออกมานอกจากออร่าความหล่อแล้วก็คงเป็นท่าการยืนตรงนิ่งดูมีมาด ไม่ค่อยลุกลี้ลุกลนหรือขยับตัวไปมาบ่อยจนน่ารำคาญตา ทั้งหมดนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมมองเขาไม่วางตา

   มันเป็นเพราะว่าคนตรงนั้นคือผู้ชายคนที่ผมเพิ่ง 'ขอโทษ' มาต่างหาก

   ดูต่างไปจากครั้งสุดท้ายที่ผมเจอไม่น้อย ที่เห็นจากมุมไกลคือความสุขุม นิ่ง แล้วก็ไม่น่าเข้าใกล้ ทั้งที่เขาก็อยู่ในชุดนักศึกษาไม่ต่างจากคนอื่นสักหน่อย

   เปลี่ยนไป...พอสมควรเลยล่ะ

   ธชาคงยังไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเป้าสายตาไปเสียแล้ว มันคงเป็นเรื่องดีที่ผมยังอยู่ส่วนนอกของพื้นที่ไม่ได้เข้าไปด้านใน มันเลยยังพอมีโอกาสให้ตัวเองได้หลบออกมาโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกตสำหรับรุ่นพี่มากนัก งานวันนี้ไม่ใช่งานบังคับให้เข้าร่วม ผมมาตามที่เฟย์บ่นว่าควรทำตัวให้เข้ากับชาวบ้านบ้าง ถ้ารู้อย่างนี้นอนเล่นอยู่ที่บ้านคนเดียวก็ดีแล้วแท้ๆ

   เลยกลายเป็นว่าขับรถมาเสียเที่ยวฟรี สุดท้ายผมก็ต้องกลับมานอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง มันมีเรื่องน่ากังวลตามมาล้านแปดในเวลานี้จนเรื่องการหาเพื่อนในคณะเป็นอะไรที่ขี้ประติ๋วไปเลย

   ไม่อยากบอกเฟย์เดี๋ยวจะเก็บไปคิดมากอีก ถ้าเราตัดสินใจจะปิดกล่องแล้วก็ต้องเก็บให้มิดชิด ในวันถัดมาผมพาตัวเองเข้าร้านขายแว่นตาเพื่อสั่งตัดชนิดที่เลนส์ไม่มีผลต่อการมองเห็น บอกกับคนขายสั้นๆ แค่ว่าจะใช้เป็นเครื่องประดับเพื่อไม่ให้มีคำถามอะไรตามมา

   นอกจากนั้นก็ไปดูเครื่องแต่งกายอีกนิดหน่อย เมื่อคืนลองหาข้อมูลแล้วว่าเด็กเนิร์ดไม่สนใจสังคมมักจะชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหนกัน ถึงมันจะต่างไปจากสไตล์ปกติของผมจนเกือบเป็นคนละโลกก็คงต้องทำใจรับให้ได้

   ยังไงก็โกหกมาตลอดอยู่แล้ว

   เพิ่มเข้าไปอีกเรื่องจะเป็นอะไรไป

   ชีวิตการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยของผมในวันแรกเลยเป็นการเปิดตัวกาลวินท์ผู้มาพร้อมกับแว่นกรอบกลมอันใหญ่ ชุดนักศึกษาถูกต้องตามระเบียบทุกประการ แล้วก็กระเป๋าเป้เน้นการใช้งานเป็นหลัก

   เมื่อเช้าตอนส่องกระจกเกือบจะรับตัวเองไม่ได้ ในช่วงมัธยมต่อให้ผมไม่มีเพื่อนแต่ก็ไม่เคยละเลยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ในบางครั้งเฟย์แต่งตัวแย่กว่าผมอีกต่างหาก การที่ต้องปลอมตัวเพื่อความปลอดภัยเลยเป็นเรื่องกล้ำกลืนฝืนทนไม่น้อย

   พออยู่ไปสักพักก็ชิน ได้รับการปฏิบัติจากเพื่อนร่วมคณะอย่างที่ต้องการเกือบทั้งหมด มันพาให้หลายคนไม่อยากเข้าใกล้ ไม่มีใครเข้ามาถามเรื่องส่วนตัวให้มากความ และสำคัญที่สุดคือมันช่วยให้ผมกลายเป็นสิ่งไม่น่าชายตามองสำหรับชาได้

    โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาจากปากเพื่อนหลายคน ธชาคนใจร้าย่ไม่เคยคิดจะหยุดอยู่ที่ใคร เรื่องเล่าของผู้ชายที่แสนดีกลายเป็นอสูรถูกเล่าและแต่งเติมจนหาเค้าเดิมไม่เจอ

   ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับฟังโดยไม่ออกความเห็น เก็บความรู้สึกผิดทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ผมไม่คิดว่าความเห็นแก่ตัวในเรื่องเล็กน้อยจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้เท่านี้ ไม่อยากเชื่อว่าความคิดง่ายๆ แค่อยากจบเรื่องทั้งหมดจะทำให้ผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนไป

   แล้วจะให้แก้ไขก็คงทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอเป็นไปได้คือการตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งเวลาคงพาผู้ชายแสนอ่อนโยนคนนั้นกลับมา ชาไม่เหมาะกับการเป็นอสูร เขาสมควรได้รับความรักในฐานะเจ้าชายแสนดีเท่านั้น

   จนวันแรกที่เห็นกล่องนมสีส้มวางลงตรงหน้า มองไล่ขึ้นไปจนพบกับ 'ธชา' คนที่เปลี่ยนไป

   เท่านั้นผมก็รู้ว่า 'กล่องแห่งความลับ' ของผมมันถูกเปิดออกแล้ว

   

   "ตกใจนะเนี่ยที่แฟร์โทรหาก่อน"

   "ถ้าไม่ต้องเอาของให้ชินาก็ไม่โทรหรอก"
   
   เบ้ปากมองบนใส่พี่ชายของเด็กหญิงชินานาง คิดว่าอาจจะเลยวันเกิดมาแล้วด้วยซ้ำเพราะกว่าจะทำใจกดโทรออกไปหาเชนได้ก็หลังจากที่ทำงานฝีมือเสร็จหลายวันอยู่

   เขานัดรับที่ลานอเนกประสงค์ข้างห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บอกว่ามันสะดวกต่อการเดินทางเพราะใกล้กับโรงเรียนสอนพิเศษของชินา เชนินทร์น่าจะลืมนึกไปว่าถ้าพูดถึงคำว่าสะดวกมันคือทั้งสองฝ่าย นี่ผมต้องขับรถฝ่าการจราจรที่น่าหัวปวดมาเกือบชั่วโมง

   "นึกว่าไม่ให้แล้ว"

   รู้สึกผิดไม่น้อยเลยล่ะ "เปล่า งานทำมือก็ต้องใช้เวลาอย่างนี้แหละ"

   “ถ้าชินารู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”

   “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ผมยกไหล่ขึ้น ตั้งใจจะบอกลาถ้าไม่มีเรื่องอะไรต่อแล้ว “เราไปล่ะนะ”

   "เฮ้ ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ"

   หรี่ตามองคนไม่น่าไว้ใจตรงหน้า นัยน์ตาพราวระยับกับการเหยียดยิ้มอย่างคนรู้ทันบอกว่าผมว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เคยไว้ใจ

   "ไม่อะ"

   "เสียใจจัง"

   นี่ก็อีกหนึ่งคำที่ไม่ชอบเอาเสียเลย เชนินทร์หมุนถุงกระดาษบรรจุของขวัญไปมาไม่กลัวว่ามันจะหล่นหรือเสียหาย นั่นผมทำตั้งหลายวันนะช่วยรักษาหน่อยได้ไหม

   "จะพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องมาโยกโย้"

   สบสายตาไม่ลดละ ทำเป็นพูดอย่างนั้นอย่างนี้ไปเรื่อยเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่จริงประเด็นสำคัญยังไม่ได้ออกมาจากปากเลยด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้มันก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวนั่นแหละ

   "เหนื่อยไหม?"

   "..."

   มันไม่ใช่ครั้งแรก ที่เขาพูดคำนี้กับผม

   ในครั้งนั้นผมได้แต่ระแวงไปเอง ว่ามันจะหมายถึงเรื่องที่ผมเก็บไว้เอาอยู่คนเดียวหรือไม่ เรื่องของเทวดาที่ต้องซ่อนความจริงว่าตนเองเป็นคนสาปอสูรให้กลายเป็นคนเลือดเย็นเล่นสนุกกับหัวใจคนอื่น และในเวลานี้ผมก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คิดมากไปเองคนเดียว

   "เหนื่อย" ผมตอบไปตามตรง

   "..."

   "แต่เรื่องจบแล้วก็คงไม่เหนื่อยแล้วล่ะ"

   ได้แต่ฝืนยิ้มกลับไป ผมเหนื่อยเหมือนอย่างที่บอกไปจริง ไม่อย่างนั้นแล้วการได้เจอกับเชนินทร์มันต้องเต็มไปด้วยการต่อปากต่อคำและฟาดฟันจนกว่าจะตายกันไปข้าง ไม่ใช่การยอมรับง่ายๆ แถมยังไม่กระแหนะกระแหนเพิ่ม

   "อยากรู้ก็บอกแล้ว มีอะไรอีกไหมจะได้ตอบทีเดียว"

   "แล้วจะทำยังไงต่อ"

   "ก็ใช้ชีวิตปกติ"

   เป็นกาลวินท์คนไร้เพื่อนในสายตาคนอื่น ผู้ชายสายเนิร์ดที่ดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ

   "ปกติ?"

   "อ้อ อันนั้นก็คิดเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ"

   หรือจะเป็นกลับไปเป็นกาลวินท์คนร้ายกาจที่เลิกซ่อนตัวจริงเอาไว้ใต้ภาพลักษณ์ที่ไม่น่าเข้าหา

   "ไม่อยากให้ใส่แว่นแล้ว แฟร์ไม่เหมาะกับแว่นโง่ๆ อันนั้น"

   ผมหัวเราะออกมาได้เต็มเสียงเป็นครั้งแรก การหาแบบที่ใส่แล้วกลายเป็นเด็กแว่นสายเรียนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสักหน่อย

   "เราเลือกตั้งนาน"

   "นั่นแหละ ไม่ต้องใส่หรอก สายตาก็ปกติดีนี่นา"

   เอียงคอเล็กน้อย ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาจะจับผิดเรื่องนี้ได้ ผมก็เผลอหลุดพิรุธไปหลายครั้งอยู่

   “แฟชั่นไง”

   “แล้วก็เลิกใส่เสื้อผ้าคุณลุงด้วย เมื่อก่อนแต่งตัวดีจะตาย”

   แต่ถ้ารู้กระทั่งเรื่องนี้มันก็เกินไปหน่อย

   “ทำไมมองตาขวางอย่างนั้น” เชนยิ้มจนตาปิด ส่วนผมเริ่มทำหน้าตึงไปแล้ว “เราต้องรู้จักพี่ของคนที่เพื่อนชอบอยู่แล้ว”

   “ไม่คิดว่าเป็นการตอกย้ำมากไปหน่อยเหรอ”

   “เรื่องแค่นี้แฟร์ไม่รู้สึกอะไรหรอก”

   ในสายตาของเชนินทร์ ผมเป็นคนแบบไหนกัน

   เห็นแก่ตัว ใจร้าย แล้วก็เลือดเย็นอย่างนั้นหรือเปล่า

   อีกอย่างที่ผมกับเฟย์ต่างกัน คือถ้านาวินท์เป็นเทวดาแสนดีผู้เป็นที่รัก ผมก็คงเป็นพวกเทวดาขี้อิจฉาที่ทำได้แค่มองจากมุมมืด ริษยาความสว่างสดใสของเทวดาองค์นั้นจนยอมเสกมนตร์ร้ายสร้างให้ตัวเองกลายเป็นตัวแทนเพื่อความสุขชั่วคราว

   "ช่วยมองเราเป็นมนุษย์บ้างสิ"

   "เราก็มองอย่างนั้นมาตลอดนะ"
     
   "เหรอ แต่เราไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ" ผมชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าไม่อยากยุ่งกับเขา คนที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดากลุ่มเพื่อนทั้งสามคน "นายรู้เรื่องของเรา แต่เราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเชนินทร์เลย"

   "แฟร์รู้ตั้งเยอะ"

   "เช่นว่านายเป็นคนทำให้ธชารู้เรื่องของเราน่ะเหรอ?"

   องศามุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มที่จริงใจในจังหวะแรกไม่มีการแจ้งว่ามันจะกลายเป็นการเตือนให้ระวังอันตรายในวินาทีถัดมา “ก็บอกแล้วว่าเราทุกคนเก็บ ‘ความลับ’ กันไว้ทั้งนั้นแหละ”

   "อยู่ที่ใครจะเก็บมันเอาไว้ได้สินะ"

   เชนเคย 'บอกใบ้' ผมเอาไว้แล้ว

   "ที่จริงเราอยากคุยกับแฟร์อย่างนี้มานานแล้วนะ”

   "อย่างนี้?"

   "แบบที่จะพูดเรื่องอะไรก็ได้"

   นี่คงเป็นการสนทนาที่ราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ไม่อย่างนั้นแล้วก็อย่างที่เห็นมาตลอดนั่นแหละ

   "นี่เป็นช่วงสารภาพบาปอย่างนั้นหรือเปล่า"

   "ปลอบใจคนโดนอสูรทำร้ายต่างหาก"

   "ขอบคุณนะแต่ไม่เป็นไร ยังไงเราก็ไม่ใช่บิวตี้อยู่แล้ว"

   เรื่องของหญิงสาวที่กลายเป็นของแลกเปลี่ยนให้กับอสูรแทนกุหลาบดอกสวย บิวตี้ผู้ต้องเข้าไปอยู่ในปราสาทของอมนุษย์น่ารังเกียจ และเธอก็เกือบจะเป็นผู้สังหารอสูรด้วยการไม่รักษาคำสัญญา

   มันเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้วล่ะ มีทั้งแบบการ์ตูนแล้วก็คนแสดง เทพนิยายแห่งความฝันที่สวยงาม เรื่องของรักแท้ระหว่างหญิงสาวแสนสวยกับชายผู้อัปลักษณ์

   แล้วถ้าผมตั้งคำถามว่า แล้วใครเป็นคนสาปให้เจ้าชายเป็นอสูร จะมีสักกี่คนที่ตอบได้?

   ตามเนื้อเรื่องแล้วก่อนที่จะถูกสาปเจ้าชายเป็นคนแล้งน้ำใจ พระองค์ปฏิเสธที่จะให้นางฟ้าตนหนึ่งเข้ามาหลบข้างในปราสาทในวันที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหยดน้ำฝน นางจึงสาปให้เขากลายเป็นอสูรน่ารังเกียจจนกว่าจะมีคนที่รักเขาจากข้างใน

   ใช่ นางฟ้าที่มักจะสื่อความหมายถึงความดี ความอ่อนโยนและความเอื้ออาทร นางนั่นแหละที่เป็นคนสาป

   คงเหมือนอย่างที่เชนเคยพูดไว้ ในเรื่องบางเรื่องถ้าไม่มีนางฟ้าแล้วเนื้อหาอาจไม่สนุกอย่างนั้นก็ได้ เอาอย่างง่ายเลยก็ถ้าเจ้าชายไม่กลายเป็นอสูร บิวตี้ก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาชดใช้แทนพ่อของตนเอง ตำนานความรักแท้ที่ไม่ดูแค่เรื่องของหน้าตาก็คงไม่เกิด

   นอกจากเรื่องของขวัญของชินาแล้วมันก็มีแต่การขุดเรื่องเก่ากลับขึ้นมาพูดใหม่ ถามผมสักคำก่อนไหมว่าอยากจะคุยด้วยหรือเปล่า

   "ถึงจะไม่ใช่แต่ก็เคยเกือบได้กุหลาบของเจ้าชายนะ" ผมได้รับคำเฉลยแล้วว่าก้านดอกไม้ไร้กลีบที่วางเอาไว้โดดเดี่ยวมันคือดอกอะไร "มันตั้งใจจะให้ถ้าเฟย์ตอบตกลง"

   "จะซ้ำเติมอะไรอีกก็บอกมา พร้อมรับ"

   "เปล่าซ้ำ แค่อยากเล่าตั้งนานแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสต่างหาก"

   "..." 

   "แล้วเราก็คิดว่าแฟร์ก็มีเรื่องอยากพูดเหมือนกัน"

   อยากจะหัวเราะเย้ยหยันตัวเองเสียเหลือเกิน ผมเหมือนถูกเชนินทร์จับมัดเอาไว้แล้วนำไปถ่วงน้ำ นอกจากไม่มีทางตะกายขึ้นมาได้แล้วการเปิดปากในแต่ละครั้งมันคือการเร่งความตายให้เข้ามาหา

   "ถ้าคิดว่าที่ทำลงไปทุกอย่าง มันจะทำให้เข้าใจความรู้สึกของการที่โดนหลอกบ้างมันเป็นแบบไหน เราคงต้องบอกว่าเสียใจด้วยที่มันไม่สำเร็จ เราทันหมดทุกอย่างนั่นแหละ"

   ที่ยอมมาตลอดมันมีเพียงเหตุผลเดียวคือต้องการชดใช้ความผิดที่เกิดขึ้นจากผมเอง

   "เล่นตามบทให้ได้แค่นี้ หมดฉากการแสดงเราก็ต้องกลับสู่ความเป็นจริง"

   ผมคลี่ยิ้มจาง อาจดูเหนื่อยอ่อนแต่กลับโล่งใจกว่าครั้งไหน

   "ขอโทษที่ทำให้เสียใจอีกแล้วนะ”

   ขอโทษที่แฟรี่ก็ยังคงรักเจ้าชายอยู่เหมือนเดิม


***
   ขอโทษที่เขียนไม่เคลียร์นะคะ ตอนหน้าจบค่ะไม่ใช่ตอนนี้ คือที่บอกว่าคุยยาวๆ คือบอกไว้ล่วงหน้าเพราะคิดว่าตอนนี้ก็คงไม่พร้อมเรื่องอะไรเล่าอยู่ดี (ฮา)
   แล้วพรุ่งนี้เจอกันเรื่องเล่าสุดท้ายค่ะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง [16.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 16-02-2018 21:14:53
สงสารทุกคนเลยอ่ะ แต่สงสารที่สุดคงเป็นตัวเอง5555 ถูกคุณเจ้าหลอกจับผิดอะไรไม่ได้ รู้สึกใจหายมากเลยค่ะ เราอาจไม่ได้ติดตามตั้งแต่แรก แต่เราก็ติดตามมาตลอด ใจหายที่เรื่องมันดำเนินมาถึงเรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายแล้ว ใจหวังอยากให้จบแฮปปี้ชาแฟร์รักกัน แต่ก็รู้ว่ามันอาจเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรจบสวยงามตามใจเราเสมอ ขอบคุณคุณมากนะคะที่แต่งนิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายที่ทำให้เราเป็นบ้าเพราะแก้ปมอะไรไม่ได้เลย แต่ก็ยังอยากติดตามอ่านตอนจบอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วอสูรจะเป็นยังไงต่อไป ตอนหน้าก็จบแล้วเสียใจอยู่ไม่น้อยเลยง่าา :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง [16.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 16-02-2018 22:51:28
โอ้โหหห เป็นปมที่ไม่คิดว่าจะพลิกมาเป็นอย่างนี้
ก็ว่าทำไมชาเอาแต่บังคับแล้วแฟร์ก็ยอมทำตาม ทั้งๆ ที่ดูออกจะรำคาญด้วยซ้ำ
คิดในใจมาตลอดว่าถ้าไม่ชอบจริงทำไมไม่ปฏิเสธไป ทำไมไม่เดินหนี
ทำไมไม่หาหนทางที่จะไม่ต้องลำบากใจซ้ำๆ
ทุกอย่างมาบอกในตอนนี้หมดเลย แงงง
แอบชอบเค้ามาตั้งนานแล้วใช่มั้ยลูกกก
แต่ที่น้องทำก็ร้ายกาจอยู่ลึกๆ นะ :hao5:
เห็นใจทั้งสองฝ่าย และหวังลึกๆ ว่าเรื่องนี้จะจบแบบตอนจบทั่วไปของนิทานโลกสวย
ที่ถึงแม้จะดาษดื่น
ลงท้ายด้วยการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่เราก็ชอบนะ  :hao5:

ชอบที่คนเขียนตีความเรื่องโฉมงานกับเจ้าชายอสูรในมุมมองนางฟ้าด้วยค่ะ
ไม่คิดว่าจะเอาประเด็นนี้มาเล่น เป็นเรื่องที่เรามองข้ามไปจริงๆ
ติดตามเรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายน้าา :กอด1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสอง [16.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 17-02-2018 08:08:06
หมดคำถามเลย ที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ของเรา เจ็บปวด แต่ก็โล่งใจไปเยอะเลย เรารอตอนสุดท้ายของเรื่องเล่าอย่างใจจดใจจ่อ ภาวนาให้เจ็บปวดน้อยลง

ชารู้ว่าแฟร์เป็นคนบอกเลิก แต่รู้หรือเปล่าว่าที่ผ่านมาแฟร์เป็นคนคุยด้วยน่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-02-2018 20:43:14
เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม


   และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข
   - Fairy Tells


 
   ตื่นขึ้นมาประมาณแปดโมงเช้าเพราะเสียงโครมครามจากห้องข้างเคียง จัดหัวแสนยุ่งเหยิงของตัวเองให้เข้าที่หน่อยก่อนจะลุกไปปิดพัดลมตรงปลายเตียง อากาศในช่วงมิถุนาไม่ได้ร้อนอย่างที่กังวลเอาไว้เพราะพายุที่กระหน่ำเข้ามาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ช่วงนี้เฟย์ปรับปรุงห้องนอนของตัวเองอยู่เลยเกิดมลภาวะทางเสียงทั้งวัน

   กลิ่นของอากาศสะอาดเจือปนควันพิษปริมาณน้อยกว่าในเมืองไม่รู้กี่สิบเท่า วันแรกๆ ที่มาถึงไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ พอผ่านไปได้สักพักถึงจะรู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องกว่าเดิมพอควร จะบอกยังไงให้เข้าใจดีนะ มันให้อารมณ์แบบสดชื่นกว่า ประมาณนั้น

   จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ออกไปทานข้าวเช้าที่ทำเผื่อเอาไว้ในตู้กับข้าว จากนั้นก็ได้เวลาหมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบเช่นเดียวกับทุกวัน

   "วันนี้จะทำสมุดต่ออีกเหรอแฟร์"

   "อืม ลายนี้ยากอะ ไม่เสร็จสักที"

   อีกส่วนที่ชอบเกี่ยวกับบ้านคือพื้นที่ส่วนตัวด้านหลังกินบริเวณกว้างพอสมควร ถึงจะยังไม่ได้กั้นเป็นสัดส่วนชัดเจนทุกคนก็รู้ว่ามันมีไว้ให้ผมได้ครอบครอง ตอนนี้มันก็มีพวกอุปกรณ์การเย็บสมุดจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ระเกะระกะ เสียดายที่ไม่ได้เอากลับมาหมดทุกอย่างเพราะไม่คิดว่ามันจะว่างได้ขนาดนี้

   หนังสือที่เอามาด้วยอ่านหมดไปแล้วเกือบครึ่ง และผมยังต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นเดือน อาจจะต้องเข้าเมืองไปเหมาหนังสือหรือไม่ก็ตรวจดูพื้นที่การส่งของออนไลน์ว่ามันครอบคลุมถึงบริเวณนี้หรือไม่

   ถึงจะบอกว่าเป็นต่างจังหวัดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทุรกันดารขั้นนั้น พวกสวัสดิการขั้นพื้นฐานยังมีครบครัน อาจจะเทียบไม่ได้กับบ้านเกิดแต่สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการความทันสมัยมากมายอย่างผมก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร

   "เราก็ทำชั้นวางไม่ถึงไหน เบื่อแล้วเนี่ย"

   "แล้วใครอยากรีโนเวทห้องตามรีวิวล่ะ บอกแล้วว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น"

   เฟย์เอาแบบของห้องมาให้ผมดูสองสามสไตล์ เป็นอย่างที่สมัยนี้ชอบกันคือเน้นความเรียบง่ายและเหมาะกับการใช้สอย

   "ก็ตอนอ่านดูมันไม่มีอะไรยากเลยนี่นา"

   ยังไม่เลิกเถียงหรอกจนกว่าจะชนะ "เจอของจริงก็เลิกคิดอย่างนั้นได้แล้ว"

   "เศร้าเนอะ ล่ะนี่แฟร์ทำเฉยๆ หรือว่าเป็นเรื่อง"

   บางครั้งผลงานก็เป็นเพียงตัวรูปเล่ม ส่วนถ้าครั้งไหนบ้าพลังหน่อยก็จะเอาเรื่องเล่าที่มีอยู่ก่อนแล้วมาแต่งเติมให้เป็นงานศิลปะในแบบของผม

   "ทำเฉยๆ ล่ะมั้ง แต่ถ้าฟิลมาก็อาจเปลี่ยนใจ"

   "เหรอ..."

   "อยากได้แบบไหนหรือเปล่า ทำให้ได้นะ"

   ผมเคยให้เฟย์สองสามเล่ม เป็นงานจำพวกที่มีข้อผิดพลาดมากเกินไป

   "อยากให้แฟร์พัก ตั้งแต่มานี่เห็นหมกอยู่ตรงนี้ทั้งวัน" ไม่ได้โอเวอร์อย่างที่บอกเท่าไหร่เสียหน่อย ผมยังแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นอีกตั้งหลายอย่าง "ถ้าไม่ทำสมุดก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน"

   แต่ถ้าพูดถึงสองอย่างนี้แล้วมันก็ไม่เหลืออะไรให้ค้าน

   "มันเป็นชีวิตปกติของเราไปแล้ว"

   "ออกไปเที่ยวกับเราบ้างสิ”

   "เราไม่อยากออกไปไหนเลยเฟย์" กลายเป็นมนุษย์ผู้เกลียดการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเสียแล้ว บอกไม่ได้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังหนีอยู่มันคืออะไรกันแน่ "ไม่อยากเจอใครด้วย"

   เรารู้กันว่าใครคนที่ว่าหมายถึงคนเดียว

   "...เราขออะไรแฟร์สักอย่างได้หรือเปล่า"

   มองหน้าที่คล้ายราวกับส่องกระจก ผมเอียงคอรอว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองจะเอ่ยคำไหนออกมา

   "ขอว่า...?"

   "อย่าเจ็บคนเดียวได้ไหม"

   หัวเราะแห้งแล้งให้กับความหวังดีนั้น "มันเป็นไปไม่ได้หรอก"

   "..."

   "เราต้องยอมรับในการกระทำของตัวเอง"

   

   ส่วนวันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ผมขลุกตัวอยู่แต่บริเวณหลังบ้านตั้งแต่เช้า มาเจอคนอื่นในบ้านเป็นตัวเป็นตนก็ตอนคุณแม่ของผมเดินมาหาพร้อมกับถามหาวัยรุ่นอีกคน

   "แฟร์ ไปเรียกเฟย์มาหน่อย มีเพื่อนมาหา"

   "ครับ?" ไม่ได้แปลกใจที่เฟย์มีเพื่อน แต่แปลกใจตรงมาเยี่ยมถึงที่นี่มากกว่า อาศัยอยู่จังหวัดใกล้เคียงง่ายกับการเดินทางอย่างนั้นเหรอ "เฟย์บอกว่าจะเข้าเมืองนะ ที่คุยกันเมื่อเช้า"

   ลูกพี่ลูกน้องที่น่าสงสาร เฟย์พยายามตื๊อให้ผมกลับเข้ากรุงเทพก่อนเปิดเทอมสักสองสัปดาห์เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลาได้เอนจอยกับชีวิตแบบคนเมืองด้วยล่ะ

   "อ้าวเหรอ ไม่เห็นบอกไว้"

   "น่าจะออกไปแล้วล่ะครับ รถก็ไม่อยู่" พยักเพยิดไปทางลานจอดรถที่อยู่ห่างไปไม่ไกล รถสี่ประตูรุ่นประหยัดน้ำมันที่ใช้กันอยู่แค่สองคนไม่ได้จอดอยู่ตรงที่ประจำ

   "งั้นฝากจัดการหน่อย จะรีบกลับมาหรือยังไงจะได้ไปบอกเพื่อน มากันตั้งไกลไม่อยากให้เสียเที่ยว"

   "โอเคครับผม"

   ถึงจะไม่ค่อยโอเคกับการโดนโยนภาระมาให้ก็เถอะ บอกอย่างนั้นมาก็ต้องเป็นลูกที่ดีทำตามอย่างที่แม่ต้องการ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของเฟย์ระหว่างที่กวาดตามองทั่วโต๊ะว่ามีสิ่งไหนควรเก็บให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่ อย่างพวกชิ้นกระดาษมีลายที่ตัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทับเอาไว้ให้ดีมันอาจจะปลิวหายไปได้

   "หนีเที่ยวเหรอ"

   (ใช่ เราหนีมาเที่ยว) เฟย์รู้แหละว่าชวนก็ไม่ออกมาด้วย ผมกลายเป็นคนติดบ้านที่ขี้เกียจแม้กระทั่งการออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านกับครอบครัวไปแล้ว (แฟร์อยากได้อะไรหรือเปล่า)

   "เปล่า แม่บอกว่ามีเพื่อนมาหา เฟย์นัดใครเอาไว้อะ"

   ไม่มีสิ่งไหนที่ต้องระวังแล้วก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเก่ง เดินลัดเลาะออกไปยังส่วนหน้าของบ้าน เพื่อนของเฟย์น่าจะรออยู่ตรงศาลาไม้ นั่นเป็นหนึ่งในมุมโปรดของผมภายในบ้านหลังนี้เลยล่ะ

   (หืม? เพื่อน?)

   "ไม่ได้นัดเหรอ" ได้ยินเสียงร้องแสดงความประหลาดใจก็สรุปได้แล้ว "เคยพาใครมาบ้านบ้างล่ะ อาจจะมาเซอร์ไพรส์ไม่บอก"

   เดาไปเรื่อยระหว่างเตรียมตัวไปรับหน้าแทนก่อน ผมเห็นศีรษะของใครบางคนอยู่ตรงศาลาอย่างที่คิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนอยู่ด้วย

   (บ้านนี้ยังไม่เคยพาใครมานะ)

   "พวกสิบแปดมงกุฎหรือเปล่าเนี่ย" ไม่ได้คิดจริงจังมากนัก ผมเคยผ่านช่วงเวลาการเปิดบ้านให้เพื่อนของเฟย์มาถล่มหลายครั้ง ก็บ้านในเมืองที่ว่างให้เข้ามาบุกรุกพร้อมคุณสมบัติไม่มีผู้ปกครองมาคุมให้รำคาญใจจะมีอยู่สักกี่ที่กันเชียว "เดี๋ยวเราจะปกป้องเฟย์ไว้เองนะ"

   เสียงหัวเราะของนาวินท์เต็มไปด้วยความร่าเริง (ฝากด้วยนะ แล้วจะรีบกลับไป)

   สัญญาณการติดต่อขาดลงไปแล้ว ผมส่ายหัวไปมาให้กับชื่อบนสุดของหน้าจอการโทรออก สูดลมหายใจเข้าลึกให้พร้อมกับการเป็นเจ้าของบ้านที่ดี นี่ผมไม่ได้ใส่แว่นแล้วจะต้องมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเฟย์แน่ แต่ใจก็ไม่อยากจะเนียนแกล้งทำเป็นอีกคนเท่าไหร่ ผมกำลังอยู่ในช่วงเกลียดการโกหกน่ะ

   เข้าไปใกล้มากจนเห็นชัดว่าผู้มาเยี่ยมมีทั้งหมดสามคน เป็นผู้ชายแน่นอนแล้วสอง ส่วนอีกคนใส่หมวกเอาไว้อยู่เลยบอกไม่ได้ว่าเป็นเพศไหน

   "โอ๊ะ แฟร์มาแล้ว!"

   ชื่อของตัวเองออกมาจากปากของคนที่สวมเครื่องหัวเอาไว้คนเดียวในกลุ่มนั้น เท้าของผมหยุดขยับในขณะที่สมาชิกที่เหลือหันมามองตามทิศการชี้

   "..."

   และคนที่สบสายตากับผมอยู่ตอนนี้

   ก็คือเจ้าชายที่กลายเป็นอสูรด้วยมือของผมเอง

   

   "เฟย์ไม่อยู่ น่าจะต้องรออีกประมาณชั่วโมง"

   สายตาของทุกคนตรงนั้นจับจ้องมาที่ผม ไล่ตั้งแต่ทะเลพลอย เชนินทร์ แล้วก็ธชา มากันครบเลยล่ะ

   "แฟร์ คิดถึงจัง"

   อย่างกับว่าถ้าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไรก็จะทักว่าคิดถึงเอาไว้ก่อน อะไรจะระลึกถึงผมทุกขณะจิตขนาดนั้น

   "อือ" คราวนี้มีเวลาตั้งตัวสำหรับอ้อมกอดของเธอ ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เล่นเอาเกือบล้มหน้าทิ่ม "มากันไกลเลยนะ"

   "เพื่อแฟร์ ยอม"

   "ไหนบอกมาหาเฟย์"

   "ก็คนอื่นเมื่อกี้บอกว่าเป็นแม่ของเฟย์ เราก็ต้องตามน้ำไปสิ"

   หลุดหัวเราะพรืดกับคำเล่า แม่ของผมก็อย่างนี้ตลอด ใช้ความเป็นฝาแฝดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

   "นั่นแม่เรา แม่ของเฟย์ไปทำงาน"

   คุยกันได้สนิทใจราวกับว่าไม่มีเรื่องแตกหักใดเกิดขึ้นก่อนหน้า ถึงขั้นนี้แล้วการที่พวกเขายังสามารถทำตัวให้เหมือนเดิมได้โดยที่ไม่มีอาการกระอักกระอ่วนนี่เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษได้ไหม

   เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง ผมเลยทำเหมือน 'ปกติ' เช่นที่เคยเป็นมาเหมือนกัน

   "ถึงว่าทำไมชาชวนมาที่นี่ เราก็จำได้ว่าบ้านแฟร์อยู่กรุงเทพฯ"

   คำเล่าของพลอยจะสื่อความหมายว่าธชาเป็นคนชวนมาหาผมได้หรือเปล่านะ แล้วเขามีเรื่องอะไรถึงต้องเดินทางมาถึงนี่

   "มีหลายบ้าน" ไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่ตั้งใจมาอยู่หลังเรียนจบ "นี่มาหามีอะไรหรือเปล่า"

   ตัดส่วนที่ถามว่ามาหาใครออก ก็ไม่อยากจะต้องมาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีกกับคำตอบนี่นา

   "เราบ่นคิดถึงแฟร์ ชากับเชนเลยชวนมาหา"

   ไม่อยากให้คิดถึงเลยสักนิด ผมพยักหน้าขึ้นลง หันไปกวาดตามองคนชวนมาอีกสองคนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เชนินทร์ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เวลายิ้มแล้วก็ดูน่าสยองไม่น่ายุ่งเกี่ยวมากกว่าเป็นมิตร เขายกมือขึ้นมาทำเป็นรูปตัววีเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ส่วนอีกคน...

   ธชาก็ยังเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมพบในงานปฐมนิเทศคณะ สายตาว่างเปล่าไม่ปรากฎอะไรอยู่ข้างใน เขามองผมด้วยท่าทีนิ่งเฉยไม่ยอมวางตา

   "อะไรจะรักเราขนาดนี้"

   "รักมากเลย นี่ทักไลน์ไปตั้งเยอะไม่เห็นตอบ"

   ไม่ตอบคำเปรยโดยการเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น "นั่งรถมานานคงเหนื่อยแย่"

   หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลง

   "มากกก"

   ตอนที่มาครั้งแรกก็คิดเหมือนกับพลอยนั่นแหละ ไกลเสียจนสร้างชุดความคิดต่อต้านการอาศัยอยู่นอกเมือง พอมาอยู่นานเข้ากลายเป็นเสพติดความเงียบสงบไปแล้ว

   "อยากกินอะไรไหมล่ะ เดี๋ยวโทรบอกเฟย์ให้ซื้อกลับมาด้วย"

   สงสารอยู่ไม่น้อย คนเมืองทั้งสามผู้ต้องมาสัมผัสกับพื้นที่นอกเมือง ไม่ต้องหวังพวกร้านกาแฟอย่างที่ทะเลพลอยชอบ หรือว่าจะเป็นร้านหนังสือเอาไว้สำหรับหาความรู้เพิ่มเติม หากต้องการอะไรก็ต้องเข้าเมืองอย่างเดียว แล้วต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันก็ยังไม่ได้เจริญเหมือนอย่างกรุงเทพฯ หรอก

   "ไม่เป็นไร เพิ่งแวะซื้อก่อนเข้ามา" เธอชี้ไปยังถุงสีขาวจากร้านสะดวกซื้อในศาลา "นี่อยู่บ้านทำอะไรบ้าง อ่านหนังสืออย่างเดีย   วเลยหรือเปล่า"

   ผมส่ายหัวกลับไป "ทำอย่างอื่นด้วย นี่ก็เย็บสมุดอยู่"

   ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคำถาม เราคุ้นเคยกับสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งอำนวยความสะดวกจินตนาการไม่ค่อยออกว่าหากต้องถอยหลังมาอยู่กับตัวเองแล้วจะทำอะไรบ้าง แต่อินเทอร์เน็ตบ้านผมยังเร็วดีนะ ไม่ค่อยได้ใช้เองเสียมากกว่า

   "เออใช่ ชินาชอบหนังสือมากเลยล่ะ"

   "ลองไม่ชอบสิ จะขอคืนมาเลย"

   "เย็บเองเหมือนตอนที่เราไปเรียนด้วยน่ะเหรอแฟร์"

   "อืม อันนั้นแหละ"

   ทุกช่วงของบทสนทนามีเพียงสามคน คือผม ทะเลพลอยและเชนินทร์ ส่วนธชายังนั่งอยู่ในศาลาไม่ได้เดินออกมามีส่วนร่วม ก็ดีเหมือนกัน

   มันไม่มีเรื่องไหนที่ต้องคุยกันแล้วนี่

   "ถ้าอยากลองทำบ้างแฟร์จะสอนไหม?"

   กลัวว่าถ้าอาสาไปแล้วมันจะกลับมาทำร้ายตัวเองเลยเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น อย่างเชนน่ะนั่งให้นิ่งเป็นเวลาห้านาทีให้ได้ก่อนเถอะ "ไม่ ไปหาเรียนเองสิ"

   "โหย กับเพื่อนยังไม่มีน้ำใจเลยอะ"

   "แล้วเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่?"

   ยังคงยืนหยัดชัดเจนอยู่เสมอว่าไม่เคยคิดอยากก้าวข้ามเส้นแบ่งคนเคยรู้จักกันไป

   ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่กล้าตื๊อต่อ พอเป็นกลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยระคายกับคำพูดเชือดเฉือนผมเลยได้เพียงรอยยิ้มกว้างของคนไม่น่าเข้าใกล้กลับมา "ตั้งแต่ที่เราอยากให้เป็น"

   "เอาที่สบายใจแล้วกัน"

   ต่อล้อต่อเถียงไปก็คงเหนื่อยเปล่า เหลือบมองดูนาฬิกาว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเฟย์จะถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบด้านสมาชิกไม่มีข้อดีสำหรับผมเลย อย่างน้อยถ้ามีคนน้องอยู่ด้วยคงมีหน่วยสนับสนุนด้านกองกำลัง

   แล้วบางคนก็อาจจะอยากเจอมากกว่าผม

   "เราอยากเห็นที่แฟร์บอกว่ากำลังเย็บสมุดอยู่จัง ไปดูได้ไหม?"

   ทะเลพลอยยื่นคำขอมาให้ ผมมองใบหน้าสดใสของเธอระหว่างตัดสินใจเลือกทางที่ดูแล้ว 'เป็นกลาง' มากที่สุด คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กลัวว่ามันจะมีโอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า

   "ตามมาสิ..."

   ได้แต่หวังว่าการเลือกของตัวเองจะไม่ผิดพลาดอะไร

   เป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเอาแต่เงียบในขณะที่เดินนำผู้มาเยือนทั้งสามไปยังพื้นที่ส่วนตัว ในช่วงแรกได้ยินเสียงพลอยกับเชนคุยกันเรื่องการมีบ้านพักในต่างจังหวัด สักพักมันก็เหลือเพียงเสียงฝีเท้าสองคู่เท่านั้น

   ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่หันกลับมาแล้วเจอแค่คนเดียว ผมชอบการแสดงออกชัดของพลอยกับเชนว่ากำลังจัดฉากให้ผมกับธชาได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำเป็นหาข้ออ้างสารพัด ก็แสดงออกไปตามตรงเลยว่าเคลียร์กันให้เสร็จ เดี๋ยวจะรออยู่ข้างนอก

   "บ้านกว้างดี"

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขาตั้งแต่พบหน้า

   "แต่แมลงก็เยอะ" ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมเจอคือเรื่องของแมลง ยิ่งเป็นพวกไม่ชอบฆ่าสัตว์เลยกลายเป็นว่าต้องมารักษาตุ่มแดงด้วยตัวเองต่อ ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้แพ้แมลง ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องกลับไปเป็นเด็กกรุงไม่มีทางได้มาอยู่ถาวร

   "ดูแลตัวเองหน่อย"

   ความห่วงใยไม่ช่วยให้หัวใจพองโตขึ้นมา "อืม"

   "แล้วนี่ทำอะไร หนังสือ?"
   
   "คิดว่ากำลังทำเป็นหนังสือนิทานเก็บเอาไว้อ่านเองอยู่"

   ปกติแล้วผลงานของผมจะจบอยู่ที่หน้าปกและสันข้าง ไม่ได้ลงไปตกแต่งเนื้อใน คราวนี้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าทำในส่วนของงานเย็บเสร็จคงได้ลงมือทำฝั่งงานประดิษฐ์ต่อ มันยากและต้องใช้พลังจินตนาการรวมถึงความประณีตมากพอสมควร

   "เรื่องอะไร?"

   "ยังไม่ได้คิด"

   "นึกว่าจะเอาเรื่องตัวเองไปแต่ง"

   ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ปรับเสียงให้ไม่สั่นก่อนตอบ "ไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น ไม่เหมาะกับการเก็บเอาไว้"

   มีใครอยากจะมอบตำแหน่งยอดมนุษย์ให้ผมบ้างไหม ตั้งแต่เริ่มเรื่องมานี่เจอเรื่องทำร้ายจิตใจมากเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

   "เราว่ามันก็สนุกนะ มีจุดพีกเยอะดี"

   "ถ้ามันทำให้นายสนุกก็ดี"

   จากที่ปกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องคุย การตกอยู่ในสภาพนี้มันแย่เสียจนผมอยากจะตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคนของเขามาอยู่ด้วย

   ความเงียบภายหลังจากนั้นกระตุ้นให้ผมพูดอะไรสักอย่างออกไป "แล้ว...มีอะไรอีกหรือเปล่า"

   มาถึงนี่ทั้งทีคงไม่ใช่แค่คิดถึงแล้วอยากมาเยี่ยมหรอก ถ้าเป็นเรื่องแค่นั้นโทรหรือว่าวีดีโอคอลมาก็ได้ ถึงข้อสันนิษฐานของผมจะตัดบางหัวข้อที่ไม่น่าสนใจออกไปได้ แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ถูกต้องควรจะเป็นอะไรนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเองบอกไม่ได้เหมือนกัน

   ด้วยความที่คิดว่ามันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าที่เคยประสบมา ผมเลยมีความกล้ามากพอที่จะเงยหน้าขึ้นไปจ้องตาพร้อมถามกลับไปแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะพิโรธอีก

   นัยน์ตาเรียวสวยว่างเปล่าคือสิ่งเดียวที่ผมได้รับกลับคืนมา

   "ตั้งใจมาบอกว่าอีกสองสัปดาห์จะบินไปแลกเปลี่ยนแล้ว"

   "...อ้อ"

   ใจหายนิดหน่อย วูบโหวงกว่าครั้งไหนรวมกัน จำได้ว่าเคยคุยกับเพื่อนในเอกเรื่องนี้ ทุนไปเรียนต่างประเทศหนึ่งปีสำหรับคนที่เข้าเกณฑ์การประเมิน เสียค่าใช้จ่ายเองค่อนข้างน้อยแต่ว่าก็ต้องกลับมาเรียนซ้ำ ผมได้ยินครั้งแรกแล้วก็ไม่สนใจแล้ว

   มองในแง่ดีว่านั่นหมายความว่าการเรียนต่อจากนี้ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรอย่างที่กังวล

   ตอนแรกยังคิดไม่ตกอยู่ว่าหลังจากเปิดเทอมใหม่จะเข้าหน้าแบบไหนดี ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการไปแล้วผมคงได้กลับไปครอบครองโต๊ะตัวเดิมในห้องสมุดคนเดียว รวมถึงจะไม่มีการพูดคุยทักทายหรือว่าออกไปไหนมาไหนด้วยกันอีก

   "ไม่อยากให้รู้จากคนอื่นอย่างที่เจอกับตัว"

   บางทีคำที่ธชาอยากจะให้ผมได้ยินเองกับปากน่าจะเป็นส่วนนี้มากกว่า

   "ไปเรียนที่นู่นก็น่าสนุก"

   การได้ออกไปเผชิญโลกข้างนอกเป็นอะไรที่ดี ความหลากหลายจะทำให้ความคิดของเราเปิดกว้าง ยิ่งเรายอมรับในความแตกต่างได้มากปัญหาก็จะเกิดขึ้นน้อยลง

   ขอบคุณเสียงใบไม้แห้งปลิวตามแรงลมที่ยังพอเป็นตัวเพิ่มบรรยากาศให้มันไม่เหงาจนเกินไป ธชายืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่ขยับเข้ามาแม้แดดจะส่องลงมาโดยตรง เป็นการบอกไปในตัวว่าต่างคนจะไม่ย่างกรายเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายอีก

   ก็นะ มนุษย์กับเทวดาอยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว

   "ขอให้ได้เจอแต่เรื่องดีๆ แล้วกัน"

   คิดไม่ออกว่าควรจะพูดเรื่องอะไรต่อ ผมเลือกคำที่ทั้งอวยพรแล้วก็เป็นการจบบทสนทนาไปในตัว หมุนเก้าอี้กลับมาอยู่หน้าอุปกรณ์เย็บสมุดของตัวเองต่อ หยิบจับของสำหรับการทำงานต่อขึ้นมาวางเรียงเอาไว้ให้สะดวกต่อการใช้

   แอบเหลือบตามองเพื่อพบว่าอสูรยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่กลายเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายมองโดยไม่อาจห้ามได้ อย่างไรก็ตามคนอย่างผมทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการเงียบแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ

   สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือการออกแบบหน้าปก จากนั้นถึงจะลงมือในขั้นตอนของการเย็บสันเป็นอย่างสุดท้าย มันมีลายใหม่ที่น่าสนใจ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าคนฝีมือไม่เท่าไหร่อย่างผมจะทำมันออกมาได้ดีเหมือนภาพตัวอย่างหรือไม่

   เปิดกล่องไม้ขนาดกำลังดีที่แบ่งช่องเอาไว้สำหรับใส่ของตกแต่ง หยิบเอาแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบออกมาวางเรียง มันมีหลายขนาดและหลากสีสัน ผมจำไม่ได้ว่าเป็นคนสั่งซื้อหรือว่าเฟย์เป็นคนให้ ดอกไม้ชนิดนี้ค่อนข้างเป็นเบสิกสำหรับการเป็นงานศิลปะ ในสายตาตัวเองคงมองเป็นแค่สิ่งประดับทั่วไปจนมาเจอกับเรื่องของธชา

   เรื่องที่เปลี่ยนให้ดอกไม้แสนสวยกลายเป็นสิ่งไม่โสภาทุกครั้งที่เห็น

   ดอกกุกลาบเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไม่มีความหมายสำหรับเขา และนั่นเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่ผมเคยได้รับ

   การกระทำที่หลอกให้ผมหลงคิดไปเองว่ามัน 'พิเศษ' กว่าใคร

   "ถ้านี่เป็นตอนจบ...แฟร์จะเขียนอะไรลงไป"

   ...

   ยังจำได้ดีว่าเคยขออะไรไป หนังสือที่มีตอนจบของเรื่องโกหกนี้เอาไว้

   อักษรไม่กี่บรรทัดตรงหน้าสุดท้ายของสมุดโผล่เข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะขยับองศาของแผ่นกระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการตกแต่ง ตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   ที่ผ่านมามันเป็นการเล่าจากมุมของผม มันเลยไม่มีรายละเอียดอะไรที่ตัวเองไม่อยากพูดถึง ถ้าลองให้ธชาเป็นคนเล่าเรื่องนี้แทนมันอาจจะพลิกไปเลยก็ได้ มันคงกลายเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนถึงต้องกลายเป็นอสูร การตามหาความจริงที่แสนยากลำบากจนกระทั่งได้พบว่าในกล่องแห่งความลับซ่อนอะไรเอาไว้

   ก็เข้าใจแหละ ว่าเพราะอะไรเขาถึงเขียนเรื่องราวแค่ในส่วนของเจ้าชายลงไป เรื่องเล่านี้มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่บอกได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน ธชาเป็นเพียงเจ้าชายที่ถูกสาป เป็นคนที่ต้องรอคอยว่าเทวดาผู้ร่ายคาถาจะเสกให้เขากลับคืนร่างเดิมด้วยเงื่อนไขใด

   ทั้งที่เป็นเทพนิยายเรื่องเดียวกัน แต่คนละความรู้สึกเลยใช่ไหมล่ะ

   ถ้าตอนนี้คือบทสุดท้ายของเรื่อง ผมจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไรถึงไม่เคยเรียกเขาว่าชา

   ตลอดเวลาที่ได้คุยกัน ผมหลงรักทุกอย่างที่รวมกันแล้วเป็นเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือว่าเรื่องใหญ่ ผู้ชายที่ยิ้มอ่อนโยนให้กับดอกไม้ คนที่ส่งข้อความมางอแงเพราะซื้อหนังสือมาแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ คนใจดีที่ห่วงใยเพื่อนตลอดเวลา

   พอเข้าใจแล้วหรือยัง?

   ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ 'ชา' คนที่ผมรู้จัก

   ความคิดที่วิ่งวนตีกันไปมายุ่งเหยิงข้างในมันทำให้ไม่อาจตั้งสมาธิกับงานประดิษฐ์ได้ ผมวางอุปกรณ์ในมือลงกับโต๊ะ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนตัดสินใจทำบางอย่าง

   เงยหน้าขึ้นมามองชั้นวางข้างตัว ที่อยู่ตรงกับระดับสายตาเวลานั่งคือกล่องพลาสติกไว้เก็บของสัพเพเหระจนมองไม่เห็นข้างใน มองทะลุเข้าไปสิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือหนังสือปกน้ำตาลไร้ลายที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง มันยังคงเป็นสมุดไร้เส้นว่างเปล่าไม่มีข้อความใดเขียนลงไปเพิ่มเติม

   เอื้อมมือออกไปขยับสิ่งที่บดบังเอาไว้ ผมหยิบสมุดเจ้าปัญหาออกมาไว้ในมือ ซ่อนรอยอาลัยเอาไว้ด้วยการไม่มองมันให้เต็มตา

   หยิบแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบสีแดงสดติดมือเอาไว้อีกแผ่น ขยับตัวออกจากที่นั่งไปหาผู้ชายตัวสูงช้าๆ แต่มั่นคง ของเตะตาอย่างต่างหูแบบห้อยไม่มีลวดลายช่วยเตือนให้ไม่ลืมคืนอีกอย่าง ผมเอียงคอเล็กน้อยเพื่อความสะดวกต่อการถอด จังหวะที่ตัวล็อกขยับออกจากกันเหมือนกับว่ามันช่วยปลดความรู้สึกบางอย่างออกไปเช่นกัน

   "ถ้าเราเป็นคนเขียนเหรอ..."

   สบกับนัยน์ตาที่ไม่เคยสะท้อนตัวตนของผมข้างในสักครั้ง รวบรวมความกล้าทั้งหมดในการพูดมันออกไป

   "แฟรี่คงสำนึกในความผิดทั้งหมดที่ก่อ...เลยเสกให้อสูรร้ายได้กลับมาเป็นเจ้าชายอีกครั้งก่อนที่จะบินกลับไปอยู่ในดินแดนของทูตตามเดิม"

   ส่งรอยยิ้มกว้างให้เขาอย่างที่เคยอยากทำมาเสมอแต่ไม่มีโอกาส เอ่ยคำที่รู้ว่ามันคือการบอกลาสุดท้ายในตัว

   "ขอให้มีความสุขตลอดไปนะธชา"

   เทวดาได้เสกคำอวยพรใหม่ให้อสูรร้ายแล้ว


END


***
   เรื่องนี้ตั้งเป้าว่าจะคุยกันสั้นกว่าเรื่องของพี่แบล็คค่ะ (หัวเราะ)
   Fairy Tells เป็นเรื่องที่เกิดจากการหาคำว่า  Fairy Tale แปลว่าอะไร แล้วนอกจากคำว่าเทพนิยายที่แปลกใจคือได้คำว่า 'เรื่องโกหก' ออกมาด้วย มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่าอยากลองแต่งอะไรที่เกี่ยวข้องกับเทพนิยายแต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเรื่องโกหกค่ะ
   ก็เลยหาเทพนิยายอ่านไปเรื่อย ไปสะดุดตากับตรงท้ายของเรื่อง Beauty and the Beast ที่เฉลยว่าใครเป็นคนสาป พอเจ้าเห็นคำว่า Fairy เท่านั้นแหละค่ะ พล็อตมาล่ะ (ฮา) คงสนุกดีถ้าได้แต่งเรื่องที่มีการมาเฉลยว่าคนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามนั่นแหละที่น่ากลัวกว่าใคร ตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องชื่อเรื่องด้วย ก็เลย เอาล่ะ มาขั้นนี้แล้ว ทำเป็นเรื่องเล่าของแฟรี่ (Fairy Tells - แฟรี่บอก) ไปดีกว่า นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษค่ะ ที่ต้องใส่ภาษาไทยด้วยเพราะกลัวว่าจะตามหายากกัน คำว่าแฟรี่เทลมันเป็นคำทั่วไปด้วยน่ะค่ะ ชื่อไทยนี่จำที่มาไม่ค่อยได้ (ฮา)
   คือมันเป็นการคิดไปมาสลับกับการเพิ่มเติมสิ่งที่อยากใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ค่ะ อาจจะเรียงลำดับไม่ค่อยถูกเพราะว่าเปลี่ยนไปมาตลอดแล้วมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว (หัวเราะ) ที่เจ้าใส่เทพนิยายลงไปในแต่ละตอนนี่บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งอ่านมาแล้วเลยไม่อยากจะปล่อยมันไปแล้วก็ความคิดชั่ววูบว่าอยากจะเล่นใหญ่ด้วยมั้งคะ บอกตัวเองตลอดเลยค่ะว่าไม่เอาแล้วนะ แค่นี้พอแล้ว ปัญหาระหว่างแต่งเยอะมากค่ะ เปลี่ยนไปมาตลอด เนื้อเรื่องแรกเริ่มที่เรียกได้ว่าคนละเรื่องกับที่อยู่ในต้นฉบับเลย (ฮา)
   ตอนที่เริ่มอ่านเรื่องแรกๆ มันก็สนุกอยู่หรอกค่ะ พอผ่านไปสักพักนี่เริ่มล่ะ งอแง แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะว่ายังหาเรื่องที่ต้องการไม่เจอ เกือบทุกเรื่องมีอะไรที่โยงไปหาตัวเรื่องหลักได้ค่ะ หาเองก็จะบ้าตายเอง ขอสดุดีน้ำยาหยอดตาที่อยู่กับเจ้ามาตลอดนะคะ (หัวเราะ) หมดไปเยอะอยู่
   เจ้าไม่ให้ตัวละครในเรื่องขาวสุดหรือว่ามืดสุด มันก็เป็นผลจากการอ่านอีกแหละว่าเรามักจะแบ่งความดี ความชั่ว แม่มด นางฟ้า ออกจากกันชัดเจน เจ้าเลยพยายามหาเรื่องที่มันไม่เป็นอย่างนั้น ในเรื่องนี้ไม่มีใครดีที่สุดและแย่ที่สุด เราต่างมีความลับ มีข้อผิดพลาด มีสิ่งที่อยากเก็บเอาไว้กันทั้งนั้น
   ถ้าเป็นนักอ่านที่ตามงานเจ้ามาก่อนอาจจะไม่ค่อยแปลกใจ (หรือเปล่า) ที่เจ้าเลือกตอนจบอย่างนี้ ด้วยตัวเนื้อหา ด้วยสิ่งที่เจ้าอยากนำเสนอ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะเลือกให้จบแบบมีความสุขตลอดไป คือหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านเทพนิยายส่วนใหญ่คือมันมักจะจบแบบมีความสุขค่ะ แต่เราไม่ใช่เทพนิยายนี่เนอะ
   ขอบคุณสำหรับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าจากนางฟ้าค่ะ (ยิ้ม)
   23August

   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 17-02-2018 21:45:09
อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม  จบ?

เหมือนไปร้านดอกไม้
เหมือนเจ้าของร้านบอกว่า รอนะ จะจัดช่อดอกไม้ ... ให้
รอดูการจัดจนเสร็จสรรพ
....
 
มันสวยนะ แต่ไม่หอม

มองแล้วก็ยิ้มขอบคุณ ... ยิ้มนิดเดียว
แล้วเดินจากไป โดยไม่หยิบติดมือไปด้วย
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 17-02-2018 21:45:32
เจ็บปวดจัง :mew6:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 17-02-2018 21:55:48
อ่านถึงตอนที่22 ขอสงสารแฟร์ได้ไหมคะ คือปกติเราค่อนข้างจะทีมนายเอกอยู่แล้ว เพราะงั้นต่อให้เรื่องราวดูเหมือนแฟร์จะผิด แต่ก็ทีมแฟร์อยู่ดี  :hao5: จริงๆบอกไม่ถูกเลย อย่างน้อยแฟร์ก็รักชาจริงๆ ที่ทำไปตอนนี้ไม่รู้จะชดใช้ได้ไหม แต่ถ้าถามถึงเรื่องเจ็บ แฟร์ก็เจ็บเหมือนกันไม่ใช่หรอ (ชอบชาแต่ชาชอบเฟย์งี้)  :mew4: :mew4:

ไม่กล้าอ่านตอนจบเลยค่ะตอนนี้ ขอทำใจนิดนึง :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 17-02-2018 22:03:43
ใจหายมากกกก เอาจริงๆจบแบบนี้ก็ดีแล้วอ่ะ มันไม่มีอะไรสมหวังสมใจเราตลอดไป ได้แบบนี้คือดีมากๆ(สำหรับเรา)แล้ว ขอบคุณนะคะคุณเจ้าที่เขียนนิยายเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะมาเข้าใจปมกับเนื้อหาในช่วงท้ายๆ แต่ก็ทำให้เราตามอ่านจนจบได้ การได้เฝ้ารอนิยายของคุณเจ้ามันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของเรา ใจหายอ่ะที่มันจบแล้ว ฮืออออ :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 17-02-2018 22:26:53
 :sad4: :hao5: :o12: :o12: :o12: :o12:
จริงๆ แล้วเนื้อเรื่องจนถึงตอนนี้เรียกว่าจบได้สมบูรณ์มากๆ แล้ว
แต่ยังไงก็เจ็บอยู่ลึกๆ แงงงงง
ถ้าตอนจบที่อ่านถึงแค่ตรงนี้
งั้นเราขอมโนต่อให้เรื่องมันยังคงดำเนินต่อไปในทางที่ดีได้มั้ย  :ling1:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ
ชอบเรื่องเล่าที่เป็นเทพนิยายด้วย
สุดท้ายนี้ก็ยังรู้สึกปลื้มๆ เชนอย่างลับๆ 55555

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 17-02-2018 23:13:35
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ถือว่าจบสวยอยู่นะ สมบูรณ์สำหรับหลอกลวงรักเลยแหละ
แต่ในใจมันเจ็บลึกๆด้วยล่ะ เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็ไม่ทำร้ายจิตใจเท่าไหร่

ยังคงรักแฟร์เช่นเดิม ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนจบ

หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 18-02-2018 00:59:14
จากที่อ่านว่าเราว่าแล้วว่าคงไม่จบ happy หรอก
แต่หลอกตัวเองว่า เอาน่ามันคงมีความหวัง
แต่สุดท้ายจบไปพร้อมกับตาที่จ้องคำว่า the end

เราไม่รู้ว่าระหว่างที่แฟร์สวมรอยเป็นเฟย์เข้าไปนั้น
ทำให้ชารักในตัวตนแฟร์ได้หรือเปล่า เราไม่รู้ว่าในระหว่างนั่นมันมีความรู้สึกซักเล็กน้อยที่ชาจะให้แฟร์ในขณะที่คุยแชทหรือป่าว

 แต่ที่เรารู้คือความรู้สึกของแฟร์คือเรื่องจริง ไม่ได้หลอกเพราะสึกสนุก และแฟร์ก็ยังรักอยู่ ทำไมเราคิดว่าแล้วอสูรที่ถูกสาปจะรักนางฟ้าไม่ได้เลยหรอ หรือต้องพิสูจน์รักจากบิวตี้อย่างเดียว ไม่มีใครรู้ในตอนนี้นนางฟ้าคิดอะไร

จะมีนิยายเรื่องอื่นที่หยิบยกแฟรี่มาแล้วให้แฟรี่สมหวังได้ไหมคะ


 

หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 18-02-2018 03:06:54
สมกับเป็นสไตล์ของคุณนักเขียนดีค่ะ อ่านกี่เรื่องก็รู้สึกประทับใจในการวางปม
เราชอบที่ไม่เน้นว่าต้องจบ Happy เพราะไม่ได้ลงเอยกันแบบนี้มันดู real ดี
แต่จุดที่ไม่ชอบคือตัดบทได้ห้วนมากเลยค่ะ แบบว่ากำลังจะอินละ อารมณ์กำลังมา เลื่อน ๆ ลงหน่อย อ้าว The end
ส่วนตัวคิดว่าผู้กำกับไม่น่ารีบสั่งคัตเลิกกองเร็วขนาดนี้ คือเรามีตัวละครสามตัวที่เพิ่งจะนั่งรถมาจากกรุงเทพฯ ยังมีเฟย์ซึ่งเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่กำลังเดินทางกลับมาบ้าน แต่หนังก็ปิดกล้องไปแล้ว และเราต้องมาจินตนาการต่อเองว่ารีแอ็คชั่นทุกคนหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ก่อนจะส่งสามหน่อออกจากบ้านไปและตัดขาดกันและกันจากวงโคจรจริง ๆ เสียที
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2018 17:10:53
ถึงจะทำใจและนึกอยู่เสมอว่ากำลังอ่านนิยายคุณเจ้า แต่ก็แอบหวังเล็กๆให้แฟร์มีความสุข เรื่องที่ยังไม่เคลียร์สำหรับเราคือความรู้สึกของชาค่ะ อยากรู้ว่ารู้สึกดีๆให้แฟร์ไหม ทำไมแต่ล่ะครั้งที่มองเข้าไปในตาธชา มันมีแต่ความว่างเปล่า เราเข้าใจว่าชาอยู่กับเรื่องตรงนี้ต้องเป็นอสูรร้าย แต่แฟร์ก็อยู่กับความรู้สึกผิดมาตลอด ทั้งเรื่องเอานมมาให้ทั้งที่ไม่ได้ชอบ เป็นเราเราทนไม่ไหวค่ะ มันจะว่าหน่วงก็ไม่ใช่ เอาตามตรงเราก็สงสารแฟร์มากกว่าด้วย อยากกอดไว้ สุดท้ายนิยายคุณเจ้าไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ เทพนิยายหลายเรื่องที่เราไม่เคยรู้จัก เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 18-02-2018 18:04:35
เรื่องทั้งหมดเกิดจากการโกหก จะให้จบลงด้วยความสุขสมหวังก็แปลกไป เราเข้าใจTT แค่ไม่เจ็บปวดไปมากกว่านี้ก็พอ ดีใจที่อย่างน้อยธชาก็ยังเหลือความใจดีเล็กน้อยให้กับแฟร์ ดีใจกับบทสุดท้ายของแฟร์ที่เขียนลงไป เรายังคงยังอยากอ่านในมุมมองความเป็นแฟร์ในสายตาของธชานะ ขอบคุณมากค่ะที่เสียสละเวลาเพื่แสร้างเรื่องราวสนุกแบบนี้ให้เรา ไม่ผิดหวังเลยแม้จะหน่วงๆ อึดอัด อึมครึม หมอกลงทั้งเรื่องก่อนจะโหมกระหน่ำด้วยพายุหิมะในตอนท้ายก็ตาม เราเอาใจช่วยในการรวมเล่มนะคะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nlygust13 ที่ 21-02-2018 01:19:44
ชารักเฟย์ หรือรักคนที่คิดว่าเป็นเฟย์ตอนนั้น รักที่เฟย์เป็นเฟย์ หรือรักที่แฟร์เป็นเฟย์ละชา คำตอบนี้มีเพียงเจ้าชายที่รู้
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: dadt ที่ 21-02-2018 05:46:43
.
.
แต่จุดที่ไม่ชอบคือตัดบทได้ห้วนมากเลยค่ะ แบบว่ากำลังจะอินละ อารมณ์กำลังมา เลื่อน ๆ ลงหน่อย อ้าว The end
ส่วนตัวคิดว่าผู้กำกับไม่น่ารีบสั่งคัตเลิกกองเร็วขนาดนี้ คือเรามีตัวละครสามตัวที่เพิ่งจะนั่งรถมาจากกรุงเทพฯ ยังมีเฟย์ซึ่งเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่กำลังเดินทางกลับมาบ้าน แต่หนังก็ปิดกล้องไปแล้ว และเราต้องมาจินตนาการต่อเองว่ารีแอ็คชั่นทุกคนหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ก่อนจะส่งสามหน่อออกจากบ้านไปและตัดขาดกันและกันจากวงโคจรจริง ๆ เสียที

เห็นด้วยค่ะ เราอ่านถึง The End แล้วถึงกับเกาหัว ยังงงๆว่าตกลงคชาต้องการอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 24-02-2018 10:00:14
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: noonit ที่ 24-02-2018 13:58:39
จบดีนะ แต่ยังรู้สึกว่ามันไม่สุดอะ ชาเป็นคนฉลาดนะ จะไม่รู้เลยเหรอว่าแฟร์ทำทุกอย่างเพราะอะไร หรือคิดแค่ว่าแฟร์โกหกอย่างเดียว โกรธแฟร์แต่ไม่โกรธเฟย์ ทั้งๆที่เรื่องมันเกิดจากแฟร์และเฟย์งี้ ไม่ยุติธรรมกับแฟร์เลย
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 24-02-2018 23:47:41
เราขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะบอกว่า เรื่องนี้สงสารทั้งชาและแฟร์แต่ที่น่าสงสารสุดก็กูนี่และ555555 เป็นนิยายที่เดายากมาก และดีมากกกกกกก ทั้งภาษาและเนื้อหาการผูกปมคือดีมากจริงๆ คือทุกตัวละครมันน่าสงสารหมดเลย และคิดว่าที่จบแบบนี้บางทีก็ดีแล้ว ความรู้สึกที่ถูกทำลายไปแล้วของทั้งสองคนมันคงไปต่อได้ไม่สวยเท่าไหร่ :a5: :a5: o22 แต่ที่ยังคงสงสัยจนทุกวันนี้ตั้งแต่อ่านจนจบ ชาเคยรู้สึกอะไรกัแฟร์บ้างไหม ในทุกการกระทำ เคยมีความรู้สึกจริงๆแสดงลงไปหรือเปล่านะ วอนคุณเจ้าเห็นใจแต่งมุมมองของชาให้เราได้กระจ่างหน่อยได้ไหมค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 26-02-2018 06:46:43
เรื่องนี้ทั้งเรื่องคือเรื่องของแฟร์ล้วนๆเลย อยากเข้าใจว่าชาบ้าง ตลอดเวลาชาคิดยังไง    ในส่วนตอนจบเหมือนไม่จบ  อยากรู้คำตอบของชาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของแฟร์   จริงๆไม่ต้องจบแบบhappyก็ได้ ถ้าคนเขียนตั้งใจวางพล๊อตไว้อย่างนั้น   แต่ต้องจบแบบคนอ่านเข้าใจตัวละครด้วยค่ะ

สไตล์การเขียนเก๋ดีค่ะ ชอบมาก ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ แต่จบไม่เคลียร์ 
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-02-2018 21:18:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม (จบ) [17.2.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: FRODO ที่ 01-03-2018 22:45:18
ดีแล้วที่ไม่หลงไปอ่าน
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | : END
เริ่มหัวข้อโดย: @Sister ที่ 03-03-2018 16:14:38

ง่ะ รู้สึกบอกไม่ถูกยังไงก้ไม่รู้ คือมันก็ไม่ถึงกับเศร้าแต่มันเจ็บลึกๆในใจอ่ะ
เหมือนคนอื่นๆคืออยากเห็นมุมมองหรือความรู้สึกของชาบ้าง
เราคนอ่านยังอยากรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย เข้าใจว่าเป็นเรื่องของแฟร์ บอกเล่าผ่านแฟร์ เข้าใจคนเขียนค่ะ
แต่แบบอยากรู้นิดๆ เป็นนิยายที่เดาไม่ออกจริงๆตอนอ่านก็ลุ้นๆใจเต้นไปกับความอึดอัด ความเย็นชาของแฟร์
พอได้รู้เหตุผลของแฟร์แล้วก็....เฮ้อ สงสารจังแต่จะโทษใครได้ ทุกอย่างแฟร์ต้องการแบบนี้เอง
ประโยคสุดท้ายใันทำให้เราชาหนึบๆ ตอนที่ชาฟังเเล้วกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่

ขอบคุณสำหรับงานเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ มันมีเสน่ห์ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | : END
เริ่มหัวข้อโดย: bobbyluv ที่ 05-03-2018 04:52:34
อ่านรวดเดียวตั้งแต่เที่ยงคืนจนตอนนี้ ภาษาดีการเล่าเรื่องดี ตอนจบหักมุมกว่าที่เราคิดไว้มากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ถ้าไม่เป็นการขอมากไปก็มีตอนพิเศษให้เราฮีลตัวเองที  :katai1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | : END
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 03-04-2018 23:19:56
จนถึงตอนจบก็สงสารแฟร์นะ ได้แต่หวังว่าจริง ๆ แล้วที่ชาชอบก็คือผ่านข้อความซึ่งสะท้อนตัวตนของแฟร์ ก็ได้แต่หวังอย่างนั้นเพื่อฮีลจิตใจตัวเอง555 ตอนจบของนิทานมันไม่มีจริง คำว่า happily ever after มันคือการขี้เกียจเล่าเรื่องต่อแน่ ๆ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ได้แต่หวังว่าเรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นเรื่องที่ดี แต่รักที่ไม่สมหวังก็ออกจะเยอะแยะกว่ารักที่สมหวัง มันก็อาจจะต้องปล่อยไปตามนั้น555 ขอโทษคนเขียนที่เพ้อใส่นะคะ เพราะจะหาเหตุผลให้กับตัวเองเพื่อให้เรื่องนี้จบตรงนี้ ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ แบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 05-04-2018 19:32:30
Special : By Chainin


(I)

 
   "และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข"

   "โอเค กู๊ดไนต์นะคะพี่เชน"

   ผมปิดหนังสืออ่านก่อนนอนเล่มใหญ่ของน้องสาวลง หันไปส่งยิ้มให้พลางแซวกลับ "ดูเหมือนว่าตายังสว่างอยู่เลยนะ"

   น้องสาวของผมมีพัฒนาการด้านสมองที่เร็วกว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน เรียกง่ายๆ ก็คือฉลาดกว่านั่นแหละ ตอนแรกในครอบครัวก็ปรึกษาอยู่เหมือนกันว่าจะให้ข้ามชั้นเรียนหรือว่าส่งไปเรียนในโรงเรียนที่มีหลักสูตรรองรับ เพราะสมัยผมความสามารถมันไม่ได้มากจนถึงขั้นต้องมาตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต

   จนได้ข้อสรุปว่าการให้เธอเติบโตโดยไม่ต้องไปเสริมเติมแต่งอะไรนั่นแหละดีที่สุดแล้ว

   "ก็พี่เชนเล่าไม่สนุกเหมือนพี่แฟร์นี่" สาวน้อยในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มแซมด้วยดาวสีขาวตอบพลางดึงตุ๊กตาตัวหนึ่งข้างเตียงมากอดเอาไว้แน่น "เมื่อไหร่พี่แฟร์จะมาหาชินาอีก"

   มือสองข้างที่กำลังขยับผ้าห่มให้เข้าที่ชะงักค้างไปชั่วขณะ ผมแสร้งยิ้มโดยไม่ตอบอะไรกลับไป

   "คงไม่มาอีกแล้วสินะคะ"

   แม่มดตัวน้อยของผมก็ยังจับความรู้สึกได้เก่งเหมือนเดิมเลยล่ะ  "ก็เรื่องของพวกเขาจบลงแล้วนี่นา"

   เรื่องของอสูรกับเทวดาที่มาเฉลยในตอนท้ายว่าคนที่ร้ายกาจที่สุดอาจไม่ใช่คนที่ถูกบังคับให้รับบทเป็นฝ่ายร้ายก็เป็นได้ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามต่างหาก

   ผมไม่อยากไปตัดสินว่าการกระทำของพวกเขาผิดหรือถูก ถึงจะเป็นเพื่อนของธชามาตั้งแต่แรกก็ยังกล้าพูดว่าเป็นการโอนเอียงแบบหกสิบสี่สิบ คืออยู่ฝั่งชาหกสิบ และที่เหลือเป็นของแฟร์

   ความรักเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และไม่ว่าผ่านอะไรมาก็คงไม่สามารถเข้าใจมันได้

   "ชินาชอบพี่แฟร์"

   ทั้งเห็นด้วยและคัดค้านไปในตัว กาลวินท์เป็นผู้ชายที่น่ารักในหลายเรื่องก็จริง แต่ยังไงแล้วมันก็ลบความจริงที่ว่าเขาเคยสร้างเรื่องอะไรเอาไว้ไม่ได้

   "พี่ก็ชอบนะ..."

   ยังจำการเจอกันครั้งแรกได้ดี ผู้ชายหน้าตาคล้ายกับเพื่อนสมัยมัธยมต้นอย่างนาวินท์ เขาอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเจอผมครั้งแรกเมื่อไหร่ น่าเศร้าชะมัด

   "แต่เพราะชีวิตของเราไม่ได้มีแต่ความสุขไง"
 


   "มึงว่าคนอย่างกูจะมีใครเอาปะวะ"

   ทำเป็นเหมือนไม่คิดอะไร แต่มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เหมาะสมกับการเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเพื่อนสาวอีกคนของกลุ่ม ผมยังไม่เพี้ยนขนาดบินไปหาชาหรอกนะ

   เลพลอยของผมหยุดการพรมนิ้วมือลงบนแป้นพิมพ์ชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดหน่อยก่อนกลับไปจ้องอยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊กของตัวเองต่อ

   "ในแง่ไหนล่ะ เลิฟเวอร์ หรือ เซ็กส์" ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราคิดว่าต้องปกปิดหรือเก็บเอาไว้ ไม่ได้บอกว่าให้ป่าวประกาศ แค่มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพูดได้ไม่ต่างจากเรื่องทั่วไป “แต่อย่างมึงคงพูดถึงเลิฟเวอร์”

   และประโยคถัดมาก็เรียกให้ริมฝีปากของผมกระตุกยิ้มขึ้นได้ไม่ยาก

   เรารู้จักกันดี

   จนเกินไป

   “นั่นแหละ คนอย่างกูจะมีแฟนกับเขาไหม”

   “รีบเหรอ อยู่ขึ้นคานเป็นเพื่อนกูก่อนสิ”

   ทะเลพลอยเป็นคนสวยนะ ถ้ามองจากมุมของผม แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงสไตล์ที่ผู้ชายจะเข้ามาจีบ

   “ไม่ กูเบื่อมึงแล้ว”

   “เพื่อนเหี้ย หรืออยากจะจมอยู่กับอดีตเหมือนชาหรือไง”

   “อันนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”

   แม้เทวดาจะร่ายมนตร์ให้อสูรพ้นจากคำสาปแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำทั้งหมดมันก็ไม่ได้หายไปด้วยนี่

   ในความคิดของผมแล้วการที่ชาหนีไปเรียนต่อไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาในระยะยาวเลย จริงอยู่ว่าในช่วงแรกเริ่มมันจะเป็นการเว้นระยะห่างเพื่อการปรับตัว แต่หลังจากนั้นแล้วถ้าเขากลับมาในปีหน้ามันก็จะวนเข้าอีหรอบเดิมอยู่ดี ทางเดียวที่พวกเขาทำได้คือการไม่ต้องเจอกันอีกเลยมากกว่า

   แต่ก็นะ นี่มันชีวิตจริงที่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างใจต้องการ

   "กูบอกไม่ได้เลยว่าเรื่องนี้ใครโง่กว่ากัน ระหว่างมึงกับชา" เพื่อนสาวผู้ยังมีปัญหากับรายงานชิ้นล่าสุดคะแนนสูงลิ่วยักไหล่ขึ้น "แต่กูว่ามึง"

   "กู?" ผมทวนกลับไปด้วยความสงสัย

   "สมน้ำหน้าคนอยากสอดมือไปช่วยเพื่อน เป็นยังไงล่ะ"

   คีย์เวิร์ดแบบที่มีแต่ผมกับเธอเข้าใจกันสองคน อย่างที่ผมเคยบอกแฟร์นั่นแหละ ทุกคนมี 'ความลับ' เก็บเอาไว้ และมันมีกฎข้อเดียวในการเก็บรักษา

   "ถ้าเป็นมึงจะยอมปล่อยให้เพื่อนถูกหลอกอย่างนั้นเหรอ?"

   สวนกลับไปด้วยชุดความคิดเดิม ผมไม่คิดว่าการปล่อยให้ทุกอย่างเรื้อรังมันเป็นเรื่องดีเท่าไหร่

   "มึงควรเอามาปรึกษากับกู แล้วเราสองคนก็ช่วยให้ชามันไม่ต้องฟูมฟายอย่างนั้น"

   "กว่ามึงกับกูจะได้ข้อสรุป ชาแม่งคงหลงจนโงหัวไม่ขึ้น" เลพลอยเรียนห้องพิเศษในชั้นมัธยมปลาย ชีวิตจมอยู่กับหนังสือไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ต่างจากผมกับชาที่เรียนห้องธรรมดา

   "แต่มึงก็เห็นว่าการที่มึงไปเร่งชาจนมันสารภาพรักออกไปมันส่งผลอะไรกลับมา"

   "..."

   นัยน์ตากลมมองตรงมาทางผม สถานะของคนจนมุมไม่กล้าเปิดปากพูดอะไรต่อ

   "กูยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเรื่องทั้งหมดมึงมีส่วนต้องรับผิดชอบอยู่ไม่น้อยเลยเชน" ปากของผมเบะออกแล้วตอนที่เธอพูดอย่างนั้น "ไม่ต้องทำหน้าจะร้องไห้ แล้วมึงก็จะบอกกูว่ามึงพยายามแก้ไขความผิดแล้ว"

   "ก็จริงนี่"

   เถียงกลับไปคอเป็นเอ็น ใช่ จริงอยู่ว่าคนที่เร่งปฏิกิริยาจนเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นก็คือผม ช่วยไม่ได้นี่นาดันไปบังเอิญรู้ว่าคนที่คุยกับชามาตลอดไม่ใช่เฟย์แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องคนที่ผมเจอไม่กี่ครั้งอย่างแฟร์ คือเจอกันทุกเสาร์ตลอดการเรียนพิเศษอย่างนั้นมันก็ต้องมีหลุดพิรุธออกมาบ้างแหละ

   ความคิดที่ว่าเพื่อนของตัวเองกำลังโดนหลอกมันปลุกความรู้สึกอยากปกป้องเสียจนผมตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง

   เช่นการเร่งให้ชาบอกชอบเฟย์สักที

   เท่าที่รู้ตอนแรกธชามันก็ไม่ได้ชอบอะไรนาวินท์มากมาย เป็นจำพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เจอกันบ้างบางครั้ง ตอนที่เฟย์ย้ายไปต่อชั้นมัธยมปลายที่อื่นผมก็ยังคิดว่าคงจบแล้วจบเลย จนมาเจอกันอีกครั้งในงานโอเพ่นเฮาส์นั่นแหละ ก็ตกใจตอนที่เห็นพี่น้องสองคนนั้นเหมือนกัน อะไรจะหน้าตาคล้ายอย่างกับก็อปออกมาจากแม่พิมพ์เดียว

   การเจอกันครั้งแรกพาความบังเอิญครั้งที่สองตามมา มันก็เป็นเพราะผมอีกที่ลืมไปเรียนพิเศษจนต้องมาชดเชยสาขาอื่นแทน

   "ใครจะคิดว่าแฟร์กับชาจะมาเรียนคณะเดียวกัน โลกกลมฉิบหาย"

   จากที่เคยทำหน้าไม่ค่อยเชื่อเวลาได้ยินเรื่องทฤษฎีโลกกลม พอมาเจอสิ่งที่ไม่ควรเป็นแค่ 'เรื่องบังเอิญ' มากเข้าก็เลยต้องยอมทำใจ

   ผมเรียนคนละคณะกับชา ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะปล่อยมันไปหาสังคมใหม่อยู่หรอก วางแผนเอาไว้ว่าถ้ามันเข้ากับเพื่อนในคณะได้ก็จะเฟดตัว แล้วเป็นยังไงล่ะ ทุกวันนี้คนที่คณะผมบางคนไม่รู้ว่านายเชนินทร์เป็นนักศึกษาในเอกเดียวกันด้วยซ้ำ

   ไม่รู้เหมือนกันว่าชารู้เรื่องที่แฟร์เรียนคณะเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนผมน่ะจำหน้าได้ตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะพยายามซ่อนตัวอยู่ใต้กรอบแว่นอันใหญ่พร้อมด้วยชุดนักศึกษาถูกระเบียบจนน่ารำคาญตา มันก็ยังซ่อน 'แฟรี่' เอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

   อาจเป็นเพราะเคยทำผิดมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมถึงพยายามปกปิดเรื่องทั้งหมดด้วยความหวังว่าเพื่อนตัวเองจะไม่ระแคะระคาย แต่เหมือนชะตาเล่นตลกตอนที่เราสองคนขึ้นมาเยี่ยมทะเลพลอยแล้วเจอเฟย์พอดี นั่นแหละ ชามันเลยกลับมาเฮิร์ตอีกรอบจนผมเผลอหลุดปาก

   ไม่สิ

   ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก

   "กูพยายามใบ้บอกแฟร์เต็มที่แล้วนะ จะได้เตรียมตัวเอาไว้"

   "แฟร์จะคิดว่ามึงไปกวนตีนเขามากกว่าน่ะสิ"

   จากเรื่องของตัวเองมันลามไปสู่เรื่องของคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว ผมทำมือเป็นเชิงตัดบทก่อนที่เธอจะขุดเรื่องเดิมๆ ขึ้นมาพูดอีก เออ ก็รู้อยู่ว่าบางเรื่องตัวเองมีส่วนผิด แล้วจะให้หาไทม์แมชชีนกลับไปแก้ไขมันก็ไม่ได้ไง

   "บ่นมากน่ารำคาญ นี่กูต้องย้ายไปอยู่คอนโดคอยดูแลห้องให้ชามันด้วยเนี่ย"

   "แหม ทำจีบปากจีบคอ มึงอยากหาเรื่องออกมาแรดนอกบ้านตั้งนานแล้วเถอะ"

   เอาตามระยะทางแล้วบ้านของผมกับชาห่างจากที่ตั้งของมหาวิทยาลัยพอๆ กัน เหตุผลที่เราเลือกที่พักอาศัยแตกต่างกันส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยเรื่องของชินาด้วยแหละ ผมกลัวว่าการหายไปสี่ปีในช่วงที่น้องสาวอยู่ในวัยกำลังเรียนรู้มันจะสร้างช่องว่างระหว่างพี่น้องมากเกินไป

   ถึงพ่อแม่จะบอกว่าต่อให้ผมไปเรียนต่อเมืองนอกชินาก็ยังเหมือนเดิมก็เถอะ

   พอขึ้นปีสามมันก็เรียนหนักด้วย ถ้าลดระยะเวลาการเดินทางได้ก็เอาไปทดกับช่วงเวลาอ่านหนังสือต่อ โดยสรุปแล้วก็คือในช่วงหนึ่งปีที่ชามันไม่อยู่ผมจะไปอาศัยในคอนโดของมัน

   "อย่ามารู้ทัน กูมาหาทั้งทีคืนนี้ไปหาที่นั่งคลายเครียดกันหน่อยสิ"
 


   ไปคลายเครียดด้วยกัน

   ผมจำได้ว่าบอกเลเพลอยอย่างนั้น แล้วไหงกลายเป็นว่าตอนนี้ผมถูกทิ้งโดดเดี่ยวอยู่บนโต๊ะที่ไม่มีใครเลยล่ะ

   บรรยากาศในร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมบริการดนตรีสดของที่นี่ต่างจากร้านที่ผมไปนั่งประจำเวลาอยู่กรุงเทพฯ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร ทั้งที่เครื่องดื่มก็ยี่ห้อเดิม ดนตรีก็เล่นเพลงไทยที่กำลังฮิต คนรอบข้างก็ไม่ได้ใส่ใจกันและกัน

   หรือเป็นเพราะว่าผมมีเรื่องที่ยังคิดไม่ตกอยู่นะ

   ไม่แปลกใจหรอกที่ทะเลพลอยจะมองว่ามันเป็นเรื่องตลกเวลาผมถาม ตั้งแต่ไหนแต่ไรผมก็ชอบทำตัวติดอยู่กับชาจนหลายคนคงนึกว่าผมไม่เคยมีแฟน ซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องคือใช่ แต่ถ้าเซ็กส์ก็เป็นอีกเรื่อง จะเรียกว่าความสัมพันธ์แบบวันไนต์สแตนด์ก็ไม่เชิง เป็นการใช้ร่างกายของตัวเองตามสิทธิที่มีน่าจะถูกต้องกว่า

   คนเขาไม่ค่อยเข้าใจกันหรอก และผมก็ไม่ใส่ใจพอจะอธิบายด้วย

   เริ่มรู้จักกิจกรรมบนเตียงตั้งแต่มัธยมห้า กับรุ่นพี่ผู้หญิงชั้นปีการศึกษาสูงกว่า ครั้งแรกมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความอยากรู้อยากลองของคนไร้ประสบการณ์ ให้อธิบายง่ายๆ มันก็คือเซ็กส์ ส่วนจะบอกว่ามันสนุกหรือเปล่าตอนนั้นแค่รอสังเกตว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่มีเวลามาดื่มด่ำหรอก

   จากนั้นก็มีบ้างประปราย เมาบ้าง ตั้งใจบ้าง แล้วก็เริ่มลองกับผู้ชายบ้าง คือผมบอกเลยว่าส่วนหนึ่งของคนที่เริ่มหันมาชอบเพศเดียวกันก็คืออยากลองแล้วติดใจนี่แหละ

   และพอผ่านประสบการณ์ความสัมพันธ์ชั่วคราวมากเข้า คำถามเรื่องความมั่นคงมันต้องเข้ามาอยู่แล้ว

   ได้โปรดอย่านับเรื่องของชากับแฟร์เข้ามาเป็นตัวอย่าง  สำหรับผมแล้วเรื่องของพวกเขามันไม่เคยตั้งอยู่บนความแน่นอนมาตั้งแต่แรก และสิ่งที่ดำเนินต่อมามันคือการพาเรื่องไปถึงจุดจบต่างหาก

   แก้วเบียร์ที่มีน้ำอยู่ข้างในเกินครึ่งชักชวนให้หยิบขึ้นมาจิบอีกครั้ง รสชาติไม่น่าอภิรมย์แต่ก็เลิกไม่ได้สักทีเริ่มเข้าไปสร้างปฏิกิริยาบางอย่างข้างในร่างกาย ผมไม่ใช่คนเมาง่าย ตอนนี้น่าจะหลงบรรยากาศมากกว่า

   มองอะไรไปเรื่อยตั้งแต่นักร้องบนเวที แขกที่เงยหน้ามองไม่กะพริบตา พนักงานเสิร์ฟผู้สาละวนกับการแยกขวด และผู้หญิงตัวสูงที่ยืนอยู่คนเดียวตรงริมกำแพงกับเครื่องดื่มหนึ่งกระป๋องในมือ

   ใบหน้าแต้มเครื่องสำอางบอกไม่ได้ว่าเธอซ่อนอะไรเอาไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงยังสบสายตากันต่อไปโดยไม่เสมองทางอื่น

   เคยมีคนบอกว่าการสบตาเกินกี่วินาทีนั่นคือการตกหลุมรักกันนะ?

   รออีกสักพักจึงขยับออกจากโซนที่นั่งตัวเอง ล็อกเป้าหมายเอาไว้ให้ชัดเจนว่าจะไปตรงไหน 

   ใช้เวลาไม่นานก็ได้มายืนประสานสายตาในระยะใกล้แทน จากการประเมินความสูงครั้งแรกแล้วพอมาเห็นมุมใกล้ถึงรู้ว่ามันอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมาก นี่ผมก็สูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว ผู้หญิงอะไรสูงชะมัด

   ถ้าก้มลงไปมองว่าใส่ส้นสูงหรือเปล่านี่จะเสียมารยาทไหมนะ

   "ความเหงานี่น่าเศร้าเนอะ"

   เพลงทำนองช้าดังขึ้นมาได้จังหวะ เสียงคีย์บอร์ดกับจังหวะกลองเคล้ากันก่อนจะเริ่มต้นส่วนคำร้อง ผมแอบมองชนิดเครื่องดื่มที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ประเมินไว้เองคร่าวๆ ว่ามันควรจะทำลายสติการรับรู้ไปมากเท่าไหร่แล้ว

   “การเกิดมาเป็นเรื่องเศร้าอยู่แล้ว”เส้นเสียงทุ้มกว่าหญิงสาวทั่วไปนิดหน่อย ท่าการขยับตัวพิงกำแพงกรีดกรายสวยงามทุกจังหวะ “เราเลยร้องไห้ตอนหลุดออกมาเจอโลกความจริงยังไงล่ะ"

   ไม่ใช่คำพูดแปลกใหม่ หากมีผลมากพอที่จะสร้างความประทับใจในช่วงแรก

   "แต่กลายเป็นว่าพอโตขึ้นแล้วการร้องไห้กลับเป็นเรื่องต้องห้าม"

   "ก็ไม่ขนาดนั้น ไม่มีใครชนะระบบการทำงานของร่างกาย"

   "ในนี้เสียงดัง ออกไปคุยข้างนอกไหม?"

   จะเรียกว่าเชิญชวนก็ได้ล่ะมั้ง รู้สึกถูกชะตาจนไม่รู้ว่าจะกั๊กท่าไปทำไม บอกแล้วว่าเงื่อนไขของความสัมพันธ์ทางร่างกายมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการสนองความต้องการที่ตรงกัน

   “ได้นะ”

   "มีที่ไหนแนะนำไหม พอดีแวะมาเที่ยวน่ะ"

   "ก็พอมีอยู่..." อีกฝั่งทำหน้าคิดสักพักหนึ่ง จากนั้นก็บอกชื่อสถานที่ที่ผมไม่รู้จักออกมาสองสามชื่อ

   "ดีล"

   “อ้อ! เกือบลืมบอกเงื่อนไขอีกอย่าง”

   มือข้างที่ทิ้งเอาไว้ข้างตัวเอื้อมมาจับข้อแขนผม ก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากการยืนติดกำแพงในการ ‘บัง’ สิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้ บริเวณที่ฝ่ามือของผมกำลังแตะเอาไว้อยู่คือจุดอ่อนไหวส่วนกลางร่างกายของอีกคน

   ส่วนที่ดันออกมาผ่านผ้าบอกบางเรื่องได้

   ยิ้มจางคืนไป “ไม่ได้ซีเรื่องนี้”
 


   ห้องพักแบบเช่ารายคืนไม่ได้มีของอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย

   แต่อย่างน้อยเตียงก็สะอาดแล้วก็ไม่มีกลิ่นอับน่ารำคาญใจ ผมวางของใช้ส่วนตัวจำพวกโทรศัพท์แล้วก็กระเป๋าเงินเอาไว้บนโต๊ะ ส่วนของที่จำเป็นต่อการทำกิจกรรมยามค่ำคืนก็โยนขึ้นไปบนเตียงเตรียมพร้อมเอาไว้

   ชำเลืองตามองว่าคนมาด้วยกันเป็นอย่างไรบ้าง เขาที่ผมเข้าใจตอนแรกว่าเป็นเธอกำลังปลดเครื่องประดับสองสามชิ้นบนข้อมือ ท่าทางสบายๆ ไม่มีความกังวลหรือระแวงข้างในมันทำให้บางคำถามตั้งขึ้นมา

   แล้วคนอย่างเขาเคยคิดเรื่องความสัมพันธ์ในระดับมั่นคงบ้างหรือเปล่านะ

   "เปลี่ยนใจยังทันนะ"

   คำเปรยติดล้อเลียนน่าหมั่นไส้ไม่น้อย ผมแอบเบ้ปากอยู่ข้างในใจ เตรียมอะไรอีกนิดหน่อยให้พร้อมก่อนที่จะพาตัวเองขึ้นไปนั่งไขว่ห้างพิงกับพนักเตียงเอาไว้

   "ใครเขาเดินย้อนกลับตอนเห็นเส้นชัย?"

   "หึ..." มุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังเห็นด้วยหรือว่าเย้ยหยัน "อาจเป็นบางคนที่พบว่าตรงปลายทางมันไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ล่ะมั้ง"

   "จะบอกว่าการย่ำกลับไปเส้นทางเดิมมันจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการไปเจอสิ่งใหม่ข้างหน้าหรือไง"

   เป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่ง คนสองคนที่ควรจะใช้ร่างกายคุยกันกลับกลายเป็นว่าเราเริ่มสนุกกับการได้แลกเปลี่ยนความคิดและทัศนคติของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ต้องมากพอที่จะเข้าไปอยู่ข้างในสถานที่ที่มีข้อจำกัดอย่างนั้นได้

   "อย่างน้อยมันก็ทำให้เรามั่นใจได้ว่ามันคือพื้นที่ปลอดภัย"

   "ย่ำอยู่กับที่มากๆ ระวังมันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองนะ"

   "ถ้าโง่ขนาดไม่รู้จักตำแหน่งที่ควรยืนก็สมควร"

   มองผู้ชายในชุดกระโปรงสีโทนทึบขยับขึ้นคร่อมทั้งร่างของผมเอาไว้ มุมไม่คุ้นตาบอกให้รีบเงยหน้าขึ้นไปสอบถามก่อนที่จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดไปเองหรือไม่

   "เราควรสลับตำแหน่งกันไหม?"

   คิ้วข้างหนึ่งของคนที่ผมยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเลิกขึ้นสูง ผ่านไปสักพักจนน่าจะเข้าใจความหมายของผมริมฝีปากของเขาก็เหยียดยิ้มอันตรายออกมา

   "ถูกแล้วนะ"

   "..."

   สารภาพเลยว่าหัวตื้อไปชั่วขณะ ความว่างเปล่ามันเข้ามาทักทายได้ไม่นานเพราะร่างกายสัมผัสได้ถึงการรุกล้ำ ผมพยายามขยับร่างกายหนีตามสัญชาตญาณ ก่อนที่จะยอมแพ้ในไม่กี่วินาทีถัดมาเมื่อพบว่าทางออกถูกปิดไว้หมดแล้ว

   "...ให้โอกาสครั้งสุดท้าย" เสียงกระซิบตรงข้างใบหูจั๊กจี้เสียเหลือเกิน มือข้างหนึ่งที่เคยกั้นทางหนีเอาไว้อ้าออกเป็นการย้ำคำพูดก่อนหน้า "ก่อนที่ทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว"

   แม้แต่การกลืนน้ำลายยังยากลำบาก ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่ควรจะพาให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นจนน่ากลัวอย่างนี้ ถึงจะเคยผ่านการมีเซ็กส์มาหลายครั้งแต่กับผู้ชายที่แต่งหญิงแล้วยังเป็นคนนำนี่มันเป็นครั้งแรก

   จะโทษว่าเป็นเพราะเครื่องดื่มก็ไม่ใช่ สติและสัมปชัญญะยังอยู่ครบถ้วนตั้งแต่แรกสบตาจนถึงเวลานี้ แล้วเพราะอะไรผมถึงไม่กล้าตอบออกไปสักทีนะ

   เพราะกลัวสิ่งที่ไม่เคยประสบ

   หรือเพราะความคิดที่ถูกฝังหัวหลายต่อหลายเรื่อง

   "..."

   ในวูบหนึ่งผมนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เราเพิ่งคุยกันก่อนหน้า ยังมีคนที่เดินกลับหลังหันแม้จะเห็นเส้นชัยแล้วหรือไม่

   ตัดทุกชุดความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ เพศ และเรื่องที่เคยถูกบอกว่าผิดออกไปเสีย ผมตั้งต้นใหม่ด้วยความต้องการของตัวเองเพียงอย่างเดียว ความคิดแรกที่ยังไม่ถูกแต่งเติมด้วยเงื่อนไขทางสังคมและสภาพแวดล้อมอะไรทั้งนั้น

   "มันไม่เคยมีอะไรเหมือนเดิมอยู่แล้ว"

   แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามที่ควรเป็น
 


   'เราคงไม่ได้เจอกันอีก ...ยังไงก็ยินดีที่เคยพบกันนะ'

   มันไม่ใช่เซ็กส์ที่ดีที่สุด แต่อิ่มเอมกว่าครั้งไหน

   จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่มีอะไรต่าง ระหว่างทางที่เต็มไปด้วยการตั้งคำถามและตามหาคำตอบไปพร้อมกันต่างหากที่ยังตรึงรสสัมผัสทั้งหมดเอาไว้

   เราไม่ได้นับจำนวนครั้ง พอเหนื่อยก็จบ นอน แล้วก็ตื่นขึ้นมาลากันในช่วงสายของอีกวันหนึ่ง เขากับชุดกระโปรงและวิกผมยาวโบกมือลาให้ตรงทางแยกหน้าที่พัก ปล่อยให้ผมกลับห้องไปฟังเพื่อนสาวบ่นเรื่องที่หายไปไม่บอกกล่าวแถมยังไม่มีการบอกในไลน์เอาไว้ด้วยอีกต่างหาก

   เลพลอยก็พอรู้แหละว่าผมไปไหนมา เธอแค่ไม่ชอบความรู้สึกที่โดนละเลยความสำคัญก็เท่านั้นเอง น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถอยู่กับเธอได้นานกว่านั้นเพราะตั๋วขากลับที่จองเอาไว้ก่อนหน้าแจ้งเตือนว่าผมยังมีการเดินทางรออยู่

   คือตอนแรกที่จองก็ตั้งใจแค่ว่าจะมาถามเรื่องค้างคานิดหน่อยเลยคิดว่าอยู่สองวันก็น่าจะพอแล้ว ขืนอยู่นานกว่านั้นคงประสาทกินตาย กลายเป็นว่าผมโมโหตัวเองที่จองขากลับเอาไว้ใกล้เกินไป

   จะให้ทิ้งตั๋วเดิมแล้วซื้อใหม่ก็ไม่ใช่เรื่อง ผมแบกเอาร่างโทรมๆ ของตัวเองพร้อมกับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบกลับกรุงเทพฯ มาด้วย ปลอบใจตัวเองว่าชีวิตมันก็ต้องมีการพบเจอจากเป็นเรื่องธรรมดา สู้เอาเวลาไปเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามยังดีกว่า

   อีกทั้งยังมีเรื่องการเรียนในชั้นประถมของชินาเข้ามาเป็นประเด็นการตัดสินใจด้วยยิ่งแล้วใหญ่ ผมแทบลืมไปเลยว่าตัวเองเจออะไรมาบ้างในช่วงปิดเทอม แค่เข้าออกโรงเรียนต่างๆ เพื่อเอาข้อมูลมาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรอีก

   ระบบการทำงานของความทรงจำอาจไม่ทำให้ลืมสนิท มันก็แค่จะเจือจางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณเกือบลืมว่ามันเคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้าง

   ใครมันจะคิดล่ะ ว่าผู้ชายที่มีรสนิยมแต่งหญิงที่ผมมีเซ็กส์ด้วยเมื่อหลายเดือนก่อน

   "เชน นี่น้องสายชานะ"

   จะมาปรากฎตัวอีกครั้งในฐานะ 'น้องสายรหัส' ของเพื่อนสนิทตัวเอง
 


   "เหมือนพี่จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะครับ"

   "นิดหน่อย"

   "ตกใจที่เจอผมขนาดนั้นเลยเหรอ?"

   มองแรงใส่คนถาม "ถ้าไม่ตกใจสิแปลก"

   ส่วนสูงที่ห่างกันเล็กน้อยทำให้ไม่ต้องเงยหน้าคุยกัน ผมมองหน้าคนที่เคยบอกเอาไว้ว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้า ทรงผมแบบสมัยนิยมกับเครื่องแบบนักศึกษาถูกระเบียบใหม่เอี่ยมสมกับเป็นเฟรชแมน เดี๋ยวผ่านไปสักพักก็จะรู้ว่าการทำอย่างนี้มันโคตรไร้สาระ

   "ตอนนั้นเรามีคุยกันว่าเรื่องบังเอิญไม่มีจริงด้วยหรือเปล่านะ"

   โคตรตลกที่ยังจำได้ถึงขั้นว่าตัวเองส่งหัวเราะแบบไหนกลับไปให้กับการถามอย่างนั้น

   "นี่เขาเรียกว่าโชคร้าย"

   "ที่จริงไม่ต้องดูแลผมก็ได้นะ คือไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่ปีสี่ต้องให้พี่มาดูแลแทนด้วย"

   สายรหัสเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจของใครหลายคนเมื่อเข้าเรียนในชั้นมหาวิทยาลัย และสำหรับบางคนมันก็อาจจะเป็นเรื่องไม่มีแก่นสารได้เช่นกัน สายรหัสของธชาไม่มีน้องปีสองเพราะเด็กคนนั้นซิ่วไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่นแล้ว เลยต้องโยนภาระมาให้รุ่นพี่ปีถัดมา

   ซึ่งธชาตอนนี้ก็ไม่อยู่ไง

   ถึงจะเป็นอย่างนั้นชามันก็วางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว พวกชีตก็จัดเอาไว้เตรียมพร้อม ผมมีหน้าที่แค่เป็นผู้ส่งสารให้น้องในอนาคตมาเอาไปก็พอ

   "แล้วนี่พักอยู่ที่ไหน" เด็กต่างจังหวัดที่ต้องมาเรียนต่อในเมืองกรุงอาศัยอยู่ในหอพักอยู่แล้ว "ไม่น่าจะใช่หอใน"

   คนที่มีความสุขกับการได้โบยบินไปบนท้องฟ้ายามราตรีคงอกแตกตายไปก่อนถ้าต้องพักอยู่ในหอที่มีกฎระเบียบเรื่องการปิดประตูหอก่อนเที่ยงคืน แล้วรอบข้างมหาวิทยาลัยก็มีแหล่งอบายมุขไม่น้อยเลยล่ะ

   "อยู่ห้องแถวหลังมอ"

   อดนิ่วหน้าไม่ได้ จริงอยู่แถวหลังมอมีหอพักพอสมควร แล้วราคาค่าเช่าก็ไม่ได้ขูดรีดเกินไป ที่ผมไม่ค่อยโอเคกับมันเท่าไหร่เพราะระบบความปลอดภัยที่น้อยจนเรียกว่าตามมีตามเกิด เพื่อนหลายคนในคณะบ่นลงเฟซเป็นประจำ อย่างล่าสุดก็มีพวกโรคจิตเพ่นพ่านไปมา

   "ไม่มีรุ่นพี่ห้ามหรือว่าไม่แนะนำเลยเหรอ แถบนั้นมัน...ไปหน่อย"

   "มัน...?" พอผมทำหน้าปุเลี่ยน เขาก็ประกบมือเข้าหากันเหมือนนึกอะไรออก "ไม่ต้องห่วง เมื่อวานก็เพิ่งเจอคนโชว์ใส่หน้ามา แต่ผมจัดการไปเรียบร้อยล่ะ"

   ใช่เรื่องที่เอามาเล่าได้หน้าระรื่นอย่างนี้ไหมนะคนเรา 

   "แล้วถ้าคราวหน้าเป็นดักปล้นล่ะ"

   เด็กปีหนึ่งส่งความมั่นใจมาให้ผ่านรอยยิ้มกว้าง "ก็จะมาขอให้พี่ช่วยคนแรกเลย"


***
   จะลงได้กี่ตอนก็ยังไม่รู้เลยค่ะ (ฮา) พอช่วงนี้เป็นงานหนังสือก็คิดถึงพวกเขาขึ้นมาเลย
   ขอบคุณทุกคอมเมนต์ติชมนะคะ เจ้ากังวลเกี่ยวกับการตอบรับของเรื่องนี้เสมอเพราะรู้ว่าถ้าตัวเองจบแบบนี้ไปมันดูโหดร้ายอยู่เหมือนกัน แต่ก็นะคะ ชีวิตเราไม่ใช่เทพนิยายนี่นา สำหรับตอนพิเศษทั้งหมดจะเป็นเรื่องของเชน จะมีเล่าถึงชากับแฟร์บ้างเล็กน้อยในบางประเด็นที่คิดว่าควรให้เชนเล่าค่ะ
   #หลอกลวงรัก
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 05-04-2018 20:18:26
"ถึงอสูรจะได้รับพรจากแฟรี่แล้ว ก็ใช่ว่าจะมีความสุขได้" อ่านตรงนี้แล้วมันทุ้มอยู่ในใจ พวกเขาไม่สามารถจะกลับมาพูดคุยด้วยกันได้อีกหรอ เหมือนเชนจะบอกว่า ตอนแรกชาก็ไม่ได้ชอบเฟย์มาก แล้วแฟร์ที่เป็นคนคุยกับชา ชาชอบบ้างหรือเปล่า บางทีเราก็คิด แต่เขาสองคนคงจะรักกันไม่ได้อย่างที่เชนบอก นิยายไม่จำเป็นที่จะต้องสมหวังทุกเรื่อง กลับมาที่เชนินทร์ 55555 ชั้นพีคมาก ทำไมคนเขียนไม่บอกไม่กล่าวให้เราเตรียมใจไว้ก่อนเลยอ่ะ55555 ก็ดูแลแทนเพื่อนไปก่อนะเชน แต่จะตกหลุมเด็กนะเชน คิ__คิ
รอตอนต่อไปและขอส่งกำลังใจให้คนเขียนอีกหนึ่งแรงใจนะคะ :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TheCatmewt ที่ 05-04-2018 22:29:42
อ่านตั้งแต่แรกเกือบถอดใจมาสนุกตรงเฉลยแต่สุดท้ายก็ไม่สมหวังสงสารตัวเอง
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 06-04-2018 08:27:33
เปิดตอนแรกมาทำเอาเหวอไปหน่อย แต่น่าสนใจตรงความคิดของทั้งคู่เวลาคุยกันนี่แหละ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: รินดาwดาริน ที่ 06-04-2018 14:15:50
อ่านพาร์ทเชนแล้วแปลกใจนะ แต่ชอบค่ะ ชอบความคิดของเชนด้วย  "และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข" เจอประโยคนี้แล้วเหมือนเป็นเรื่องลวงๆ555 เพราะมันคือนิทาน
อีกอย่างที่ชอบในนิยายเรื่องนี้คือการเอานิทานมาโยงถึงความสัมพันธ์ของคน มันมีพลังดีนะ ชอบเชนอีกคน แต่ที่หนึ่งยังเป็นแฟร์เหมือนเดิมค่ะ  :กอด1:

สำหรับเรื่องแฟร์กับชา พอได้ทบทวนจริงๆก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันดำเนินไปตามทางของแต่ละคนแล้ว มันสวยงามอีกแบบนะเราว่า ค่อนข้างอิ่มเอมกับตอนจบของแฟร์ไปแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องสุขนิยมขนาดนั้นเคารพในงานเขียนของคุณเจ้าค่ะ เขียนอย่างที่อยากเขียน อิอิ อย่างที่คุณเจ้าบอก ชีวิตมันไม่ได้สมหวังไปทุกเรื่อง


ถ้าออกเล่มเราจะซื้อเก็บเลยค่ะ รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: นมชมพู ที่ 15-04-2018 00:58:28
ไม่ happy end สิ่นะแงงง o22 ตอนอ่านแอบแช่งว่าอย่าแฮปปี้เถอะถ้าธชาจะบบบังคับแบบนี้ แต่พออ่านจบ จุกในอกจนทำอะไรไม่ถูก  :m15: ไม่รุ้จะสงสารแฟร์ ธชา หรือตัวเองก่อนดี น้องโดนหลอกมาตลอด ฮรื่ออออ   :hao5: แต่พูดได้เลยว่าชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Sedsawa ที่ 17-04-2018 02:37:31
.....หลงรักเรื่องนี้เฉยเลยค่ะ เก็บเข้าคลังแล้ว คือมันก็จบไม่สวยนะ แต่เราอิ่มเอมใจเฉยเลย(ส่วนหนึ่งอาจเพราะหนูเชนเข้าเปลี่ยนสถานะ//ผิด-,.-) หลงรักตัวละครที่ชื่อแฟรี่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆค่ะ จนเนี่ยอ่านจบละก็คิดถึงนางแล้ววว>< อยากฟังนางเล่าเรื่องของนางต่อ(แอบหวังว่าจะได้อ่านเรื่องราวของน้องแฟร์ต่อ..แหะ// :hao7:) ต้องคิดถึงเรื่องนี้แน่ๆเลยอ่ะ เรื้องนี้ทำเราอ่านไปคิดตามไปด้วย จนรู้สึกผูกพันธ์เลย ใจหายด้วยที่จบแล้ว(แอบรอเรื่องราวหนูเชนต่อ :-[) ชอบที่เล่าเรื่องของเทพนิยายด้วย ทำเรารู้ในหลายๆเรื่องเลย แอบอยากหาเรื่องเกี่ยวกับเทพนิยายอ่าน//และล่มเลิกโดยพลันค่ะ5555 แค่นส.เรียนยังไม่อยากจะอ่านเลย  :z6:
ฮือออ บอกไม่ได้ว่าชอบยังไงแต่คือชอบจริงๆ รักเลยอ่ะ จนไม่อยากให้จบ :hao7: //นี่เป็นสายอ่านแล้วไม่คิดมาก พออ่านเรื่องนี้ทำเราได้มองในมุมมองที่แตกต่างได้เยอะเลย เหมือนได้ทัศนคติใหม่ๆเลย เนี่ยที่ตกหลัมรักอ่ะ โอ้ยยย ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ตอนท้ายเรื่องคือแบบมันส์มากค่ะ เล่นกับอารมณ์เราซะะะ//อิน :laugh:
ที่สำคัญรักหนูแฟรรรรรรรรร์ แงงงง หลงรักหนูคนนี้ นี่อยากเสนอตัวเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับหนู ฮือออ เอ็นดูอ่ะะ บอกตามตรงพี่อยากจับหนูมาเป็นของตัวเอง :laugh:

//เป็นเม้นที่ไม่มีประโยชน์อะไรค่ะ ไม่เคยมีความคิด
ลึกซึ้งกับใครเขา :laugh:(ถึงได้บอกว่าไรท์เปิดมุมมองเราใหม่เลย//ซึ่งดูเหมือนเดิมเลย แหะ) แค่อยากให้กำลังใจไรท์ค่ะ ไรท์สร้างเรื่องดีๆขนาดนี้มา เราก็อยากตอบแทนบ้างอะไรบ้าง สู้ๆค่ะ รักไรท์รักเรื่องราวของแฟรี่นะคะ^^
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ppseiei ที่ 28-04-2018 18:08:53
ชอบมากเลยค่ะ แต่งดีมากเลย จบแบบนี้ก็ถูกแล้วแต่อยากร้องไห้5555
ชาก็น่าสงสารแต่เราสงสารน้องแฟร์ น้องก็รักของน้องงง
ฮือออ รักน้องแฟร์นะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Panza ที่ 03-05-2018 17:52:42
ชอบมากก เป็นเรื่องที่แปลกอ่านจบแล้วแต่ก็ยังค้างคาอยู่ในใจ ชัดเจนในส่วนของแฟร์ ที่รักชาแน่นอน แต่ชารักเฟย์จริงหรือในเมื่อคนที่ตัวเองคุยด้วยมาตลอดคือแฟร์ รสนิยมคล้ายกันขนาดนั้นไม่รู้สึกอะไรจริงเหรอ รออ่านตอนพิเศษแม้จะมีส่วนของชากับแฟร์แค่น้อยนิดก็เถอะ อย่าเทเรานะเราค้าง555555 :mew6:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-08-2018 21:13:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: maddy_moody ที่ 14-09-2018 20:43:49
ในฐานะที่เราอ่านแบบรวดเดียวจบเพราะเพิ่งมีโอกาสได้รู้จักเรื่องนี้​ บอกตรงๆว่าอ่านยากมากๆ​ เราพยายามค่อยๆอ่าน​ ค่อยๆซึมซับในทุกประโยค​ อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่องเล่าในเรื่องเล่าอีกที​ อีกทั้งเรื่องเล่าหลักก็ทิ้งปมเป็นพักๆให้หัวใจเรากระตุก​ ตลอดการอ่านทั้งหมดเราเลยแถบจะขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา​ แต่ยอมรับเลยค่ะ​ ว่าคุณเจ้าเล่าเรื่องราวออกมาได้ดีมาก​ มันยากที่เราจะเล่าเรื่องหลักที่ขมุกขมัวไปพร้อมๆกับเล่าเรื่องอื่นๆที่เหมือนจะสอดคล้องแต่ก็ไม่สอดคล้อง​ เหมือนจะเผยอปมให้เรารู้​ แต่ก็ทำให้เหมือนคิดไปเอง​ ส​่วนตัวชอบคาแรกเตอร์ของแฟร์รี่​ นางฟ้าที่จริงๆแล้วล้วนเป็นต้นเหตุของคำสาปที่ไร้เหตุผลในหลายๆอย่าง​ แต่เราก็สงสารเพราะทั้งหมดที่ทำ​ไ​ปก็คือการแสดงความหวงแหนในแบบของเค้าก็ตามที​ แต่ไม่อยากให้จบแค่นี้นะคะ​ อย่างน้อยอยากอ่านเรื่องราวของฝั่งอสูรบ้าง​ อยากรู้ว่าเค้าจะรู้สึกยังไง
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 16-09-2018 21:56:22
 :L2:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 08-10-2018 04:36:09
ขอบคุณค่ะสำหรับเรื่องดีๆอย่างนี้ ใช้ภาษาได้ดีมาก
เราทำใจได้ว่าเรื่องที่เริ่มด้วยการโกหก ในชีวิตจริงก็คงจบไม่สวยเช่นกัน
แต่ตอนจบก็หน่วงมากอยู่ดี Pitch Black ที่ว่าหน่วงแล้วยังหน่วงไม่เท่าเรื่องนี้  เราถึงกับนอนไม่หลับไปคืนนึง 55555
แต่เห็นด้วยกับนักอ่านหลายๆท่านที่บอกว่าตอนจบตัดตอนไปหน่อย เรายังงงอยู่เลยว่าทั้งหมดที่คชาทำไปมีจุดหมายอะไร เพื่อแก้แค้นแฟร์อย่างเดียวหรือเปล่า หรือคชาก็มีความรู้สึกดีๆกับแฟร์อยู่บ้าง เพียงแต่มีไม่มากพอให้ก้าวผ่านความรู้สึกของคนที่โดนหลอก เพราะคนที่คชาคุยด้วยจนตกหลุมรักก็คือแฟร์ที่สวมรอยเฟย์ ไม่ใช่เฟย์จริงๆ
อยากให้นักเขียนเขียนเรื่องผ่านมุมมองของคชาบ้าง หรืออย่างน้อยให้แทรกอยู่ในตอนพิเศษว่าหลังจากคชาไปต่างประเทศ ความรู้สึกของคชาคืออะไร

เป็นกำลังใจสำหรับการเขียนเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 09-10-2018 01:53:15
สะกิดใจตั้งแต่บอกว่าแม่แลกกันตั้งชื่อ คิดไปยันว่าแม่มีแฝดแล้วแต่งงานกับแฝดอีกคู่ ลูกเลยออกมาแฝดทั้งคู่รึเปล่า
แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พลิกล็อกดังโครมมมม  :katai1: อ่า เจ็บปวดแต่งดงามอีกแล้ว

แต่เราก็ยังคิดนาว่า ชาชอบแฟร์... ต่อให้บอกว่าคราวนั้นที่บอกชอบไปคือชอบเฟย์ แต่ก็ชอบเพราะคุยกับแฟร์ที่ปลอมตัวคุยด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การแก้แค้น จบเรื่องก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ ไม่เห็นต้องหนีไปต่างประเทศเลย ถ้าอสูรไม่รู้สึกอะไรทำไมถึงเจ็บปวดอีกครั้งล่ะเออ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 14-11-2018 18:53:15
อ่านจนจบแล้วแบบ เราชอบเทพนิยายที่คุณนักเขียนยกมานะคะ ชอบจนแบบไม่อ่านรายละเอียดอื่นๆ ก็ยังได้ แต่เกลียดความรักการอ่านของตัวเองก็ตอนนี้ ขอบคุณที่เราไม่อยู่ทีมใครแต่แรก เราเกลียดความย้อนแย้งของแฟร์ตั้งแต่แรกก็เลยไม่ผิดหวังเท่าไหร่ถ้าจะจบอย่างนี้ ไอ้การชอบผลักไสคนอื่นด้วยคำพูดแรงๆ แบบนี้นี่อยากตีจริงๆ ไม่น่ารักเลยสักนิด ที่ย้อนแย้งและเราขมวดคิ้วทุกครั้งคือแฟร์บ่นตลอดว่าไม่ชอบไปกับคนแปลกหน้า แต่ยอมไปกับธชาตลอด คือถ้ารำคาญขนาดนั้นทำไมไม่ออกมา ขนาดเรายังรำคาญแทน ทำไมยอมให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นต่อเพราะแค่รู้สึกผิด ที่ทำไปแล้วก็ทำไป ถ้าได้อ่านพาร์ทธชาก็ดี อยากรู้ว่าแค่เข้ามาแก้แค้นอย่างที่แฟร์คิดจริงๆ เหรอ ที่ชัดเจนจากคำพูดล่าสุดก็คือธชารู้อยู่แล้วว่าถูกหลอก จากคนอื่น จากใครก็ตามที่น่าจะเป็นเฟย์เอง สรุปว่าเก็บปมได้ดีเลยค่ะ ด้วยการกั๊กเอาไว้หมดและมาเฉลยตอนสุดท้าย คือถ้าเฟย์มาเร็วกว่านี้เรื่องคงจบเร็วขึ้นมากเลย

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ตัวเองอ่านจนจบ พร้อมความคลุมเครือของพระนางที่พูดน้อยเกินไป ถ้าเป็นชีวิตจริงคงอึดอัดตายเลย ขอบคุณที่เป็นแค่เทพนิยาย ขอบคุณที่พยายามนะคะ แม้เราจะไม่ได้ตามอ่านตั้งแต่แรกก็ตาม

 :mew1:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 26-11-2018 13:49:00
ดำเนินเรื่องดี ภาษาสวย แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักสำหรับเรา ตัดจบแบบไม่สุดด้วย รู้ว่าคงเป็นความตั้งใจของนักเขียน ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: namminzz ที่ 29-01-2019 06:56:33
สนุกดีค่ะ แต่จบห้วนจัง
ชอบเทพนิยายที่ยกมามากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:07:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Mrfoxx ที่ 23-05-2020 07:21:47
ลึกเกิน ตัดนิทานออก เนื้อเรืองคง 10ตอนเอง
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 01-09-2020 11:46:49
 o13
หัวข้อ: Re: | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | - Special (I) [5.04.18] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-04-2021 19:05:22
ชอบคาร์แลคเตอร์พระนายเรื่องนี้
แต่เนื้อเรื่องอ่านไปทำเรางงนิดหน่อย
เราอ่านิยายนวนี้ไม่ค่อยเข้าใจ
อาจจะเข้าไม่ถึง