ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง
ขายาวก้าวไปตามพื้นคอนกรีตที่ทอดจากถนนเลียบชายหาดสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ ท่ามกลางความมืดได้ยินเสียงคลื่นโถมซัดเข้าหาฝั่ง หลายต่อหลายครั้งที่เสียงโครมครืนนี้ได้ดึงเอาความกลัวแวบเข้ามาในความคิด กระนั้นแล้วสมองยังคงสั่งการให้เดินไปข้างหน้าทั้งที่ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นปลายเท้าของตนเอง เงยหน้าขึ้นมองบนผืนฟ้าก็ไม่มีแม้แต่รัศมีของดวงดาวที่จะช่วยนำทาง ในยามนี้คงได้แต่อาศัยแนวขอบกั้นสีโพลนที่ก่อสูงขึ้นจากพื้นเกือบสองไม้บรรทัดเป็นเข็มทิศ ยกตำแหน่งเพื่อนร่วมทางให้แก่สายลมแรงที่กำลังพัดปะทะร่าง
เมื่อระยะทางเพิ่มขึ้นความเกรี้ยวกราดของท้องทะเลก็ค่อย ๆ จางลง ระลอกสีนิลที่เคลื่อนซ้อนกันจนเกิดคลื่นลูกใหญ่บัดนี้กลายเป็นเพียงกระแสน้ำกระเพื่อมไหวไปตามแรงลมที่ทอดตัวลงหยอกเย้าเท่านั้น ยิ่งห่างจากจุดเริ่มต้นก็ยิ่งเหมือนกำลังเดินเข้าสู่อุโมงค์ทมึนที่ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ใด
ก้าวแล้ว...ก้าวเล่า...
กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อร่างสูงจึงหยุดยืนที่ปลายสุดของสะพานคอนกรีตทอดตามองความเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในวงล้อมแห่งรัตติกาล ที่เห็นอยู่ริบ ๆ คือแสงจากไฟติดหัวเรือประมงนับสิบที่ทอดสมอยกตัวขึ้นลงตามจังหวะคลื่นเป็นเงาตะคุ่ม กลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นชันยาเรือเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้ทุนปีสองไม่เคยนึกชอบใจเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มกลับมักจะมาที่สะพานปลาแห่งนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องขบคิด เป็นเช่นนี้นับแต่เริ่มการทำงานแพทย์ใช้ทุนเมื่อสองปีก่อน
ขวัญนพทรุดตัวลงนั่งปล่อยให้กระแสลมพาเอาไอทะเลปะทะเข้ากับผิวกายและหน้า เงี่ยหูฟังเสียงผืนธงติดปลายเสากระโดงเรือประมงที่ลอยลำอยู่ไม่ไกลกระพือพัดเกิดเป็นเสียงดังฟังน่ากลัวยิ่งนัก จะว่าไปทะเลยามนี้ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของเขาที่แปรปรวนและรุ่มร้อนจนไม่รู้ว่าจะหาความสงบได้จากไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหญิงชราผู้ซึ่งเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการมีไข้สูงแบบเป็น ๆ หาย ๆ รวมถึงแขนขาอ่อนแรงและคลำพบก้อนแข็งบริเวณขาหนีบตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน
“จากอาการโดยรวมและผลจากการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าคนไข้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองค่ะ และที่เห็นว่าระยะนี้คอบวมก็น่าจะเป็นผลมาจากโรคด้วยเช่นกัน”
นั่นเป็นประโยคที่ได้ยินแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคเลือดกล่าวกับลูกสาวของคุณยายมณีที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงติดริมหน้าต่างในห้องพักของโรงพยาบาลหลังจากศัลยแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อบริเวณขาหนีบไปตรวจสอบ
“ร...ระยะไหนคะหมอ” ว่าแล้วคนพูดก็มองลอดกระจกบานเกล็ดเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งกินพื้นที่บริเวณปีกด้านหนึ่งของอาคาร ภายในเรียงรายไปด้วยเตียงผู้ป่วยซึ่งเข้ารับการรักษาด้วยอาการหนักเบาแตกต่างกัน
“ระยะที่สามค่ะ คุณยายอายุมากแล้ว หมอจะให้เคมีบำบัดที่ไม่แรงนักเพื่อชะลอการแพร่กระจายของมะเร็ง ในครั้งแรกก็คงจะต้องประเมินสถานการณ์ร่วมกันไปว่าคนไข้สามารถรับได้มากน้อยแค่ไหน เพราะคนไข้แต่ละรายมีอาการแพ้แตกต่างกัน หรือที่ไม่แพ้เลยก็มี”
คำพูดก่อนหน้าว่าทำให้คนฟังยากจะทำใจยอมรับได้แล้ว ที่ตามมาหลังจากนั้นกลับบั่นทอนกำลังใจยิ่งกว่าตอนแรกนัก สิ้นเสียงคุณหมอ มณีรัตน์ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณยายมณีก็แทบยืนไม่อยู่ เธอกุมมือสามีเอาไว้แน่นพยายามตั้งสติฟังแพทย์เฉพาะทางอธิบายรายละเอียดของโรคและแนวทางการรักษาต่อไป
กว่าหกเดือนที่ภาพของหญิงสาวกับมารดาเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลกลายเป็นภาพชินตาของเหล่าบุคลากรของโรงพยาบาล ทั้งที่มาแบบนัดตรวจติดตามอาการตามปกติและการล้มป่วยชนิดปัจจุบันทันด่วน หลายครั้งที่คุณยายมาโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูง ต้องให้ยาฆ่าเชื้อเข้าทางเส้นเลือด และบ่อยครั้งที่เห็นมณีรัตน์ต้องเดินเลี่ยงออกมานั่งหลบมุมด้วยความสงสารผู้เป็นแม่
แม้จะไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับโรคร้ายแต่สภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คงพอทำให้หญิงชราวัยแปดสิบสองปีสามารถคาดเดาเอาเองได้ กระนั้นคุณยายมณีก็ยังมีกำลังดี เธอยังคงช่างพูดช่างคุยจนกลายเป็นขวัญใจชาววอร์ด ในขณะที่หลายคนก็แทบดูไม่ออกว่าคุณยายป่วยด้วยโรคชนิดใด ความผิดปกติที่แสดงให้เห็นภาพนอกก็เป็นเพียงแค่อาการบวมตามร่างกายเท่านั้น ซึ่งหลังจากการตรวจติดตามอาการครั้งสุดท้ายคุณยายก็ถูกนำตัวส่งโรงพยบาลอีกหนเนื่องขาทั้งสองข้างบวมจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับคุณยาย ถ่ายบ้างไหม” ขวัญนพกล่าวทักทายเมื่อเดินมาถึงเตียงคนไข้เตียงสุดท้ายในหอพักผู้ป่วย เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติที่เพิ่งรับจากพยาบาลซึ่งน่าจะอายุมากกว่าตนเองอยู่ไม่กี่ปีทอดตามองหญิงชราที่นั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีหม่นทอประกายอย่างคนมีความหวังในขณะที่ใบหน้ายับย่นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสดใสตัดกับน้ำทะเลสีครามในยามสาย สวยงามราวกับภาพวาดราคาแพงแม้จะล้อมด้วยกรอบไม้ธรรมดาก็ตาม
“ถ่ายแล้วจ้ะหมอ” เจ้าของริมฝีปากแห้งผากหันมายิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นไขว้คว้าอากาศ ในที่สุดก็คว้าได้แขนแกร่งของคุณหมอที่ขยับเข้ามาใกล้ มือกร้านลูบคลำไปตามผิวเนื้อกระทั่งหยุดกุมมือของคนที่ยังคงยืนนิ่งพลางบีบเบา ๆ ก่อนจะปล่อยให้คุณหมอได้ทำหน้าที่ของตนเองเหมือนเคย ดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงจัดการวางแฟ้มประวัติลงที่ข้างเตียง เสียบสเตโทสโคปเข้ากับหูก่อนจะแตะปลายอีกด้านที่เป็นแผ่นไดอะแฟรมลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะย้ายมาด้านหน้าเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอดและหัวใจ
“ยายนอนลงก่อนนะครับ” ว่าแล้วแพทย์ใช้ทุนปีที่สองก็รั้งหูฟังลงมาคล้องคอก่อนจะช่วยประคองผู้สูงอายุให้นอนลง “ยกแขนไหวไหมครับยาย ยกแขนให้ผมดูหน่อย”
“มันยกไม่ค่อยขึ้นน่ะหมอ ไม่ค่อยจะมีแรง” พูดจบคุณยายมณีก็พยายามยกแขนข้างขวาขึ้น ยกได้ไม่สุดก็จำต้องปล่อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“แล้วขาล่ะครับ”
“ขาก็เหมือนกัน”
คนถามพยักหน้าก่อนจะใช้มือหนึ่งจับที่ข้อพับอีกมือจับที่ข้อเท้ายกขาที่บัดนี้บวมเป่งเหมือนใกล้แตกให้ตั้งขึ้น เมื่อเทียบด้วยสายตาแล้วอีกข้างกลับดูซูบซีดกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพรั้งขาให้พับเข้าหาตัวคนนอนแล้วค่อย ๆ ปล่อยเหยียดตามสบาย ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง
“ต้องขยับบ้างนะครับยาย เดินไม่ไหวก็ต้องหมั่นยกแขนยกขา แขนขาเราจะได้มีกำลัง หรือถ้ายกไม่ไหวก็ให้ลูกสาวช่วยยกให้แบบนี้ แล้วข้าวละครับทานได้หรือเปล่า” ปากพูดไปมือก็รั้งขาข้างที่ดูลีบเล็กของคุณยายตั้งขึ้นแล้วจัดการทำเหมือนอีกข้าง
“ทานได้ วันนี้อร่อย” คนป่วยตอบด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทุกวันไม่อร่อยเหรอครับ”
“ทุกวันก็อร่อย แต่วันนี้อร่อยกว่า”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะมองเลยไปยังถาดอาหาร ซึ่งก็เป็นอาหารแบบเดียวกับเมื่อวันก่อน รสชาติก็คงจืดชืดแบบที่นักโภชนาการพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เขาดึงสายตากลับเมื่อพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ที่อีกฟากของเตียงพูดขึ้น
“เมื่อวานก็เหมือนกับวันนี้นะคะยาย หรือว่าวันนี้รู้ว่าจะได้เจอหมอนพ ทานอะไรก็อร่อยไปหมด”
“น่าจะใช่จ้ะ” ผู้อาวุโสทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ทำไมอย่างนั้นล่ะครับยาย” ขวัญนพถามพลางหยุดมือ เลิกคิ้วหน้าเก้อ
“หมอนพรูปหล่อมาทีไรก็ชอบมาชวนยายคุย ยายนึกถึงแล้วมันเจริญอาหารจ้ะ”
“อย่างนี้คงต้องให้คุณหมอขวัญพนมาตรวจทุกวันเสียแล้วสิคะคุณยาย”
คำพูดนั้นทำเอาคนฟังออกอาการเขินไม่ใช่น้อย รีบคว้าแฟ้มประวัติคนไข้มาลงบันทึกการตรวจทำหูทวนลมกับคำพูดของอีกคนที่อยู่ไม่ไกลกัน
ทุก ๆ วันจะมีคนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก ที่หอพักผู้ป่วยในเต็มไปด้วยคนป่วยที่นอนพักรักษาตัว เมื่อหายเป็นปกติแล้วแพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ดังนั้นเตียงที่ว่างลงจะถูกเตรียมเอาไว้ให้แก่คนอื่น ๆ จะมีก็แต่คุณยายมณีที่ยังคงอยู่ที่นี่ อาการของคุณยายค่อย ๆ ทรุดลง แต่ใบหน้าซีดเซียวก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายมานานก็เริ่มไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาใด ๆ รับประทานอาหารไม่ได้จนต้องให้สารอาหารเข้าทางกระแสเลือด สภาพสะลืมสะลือเหมือนคนไม่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาแฝงความกังวลของขวัญนพเฝ้ายังคงเฝ้ามองคุณหมอร่างเล็กที่กำลังตรวจดูอาการของหญิงชราที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ริมฝีปากแห้งผากขึ้นขุยเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำลายและไม่สามารถยิ้มให้ใคร ๆ ได้เหมือนเคย นั่นเป็นเพราะท่อช่วยหายใจที่เสียบคาเอาไว้ เปลือกตาปรือขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หน้าอกยกขึ้นลงเป็นจังหวะหนัก ๆ แต่ห่าง คล้ายจะบอกให้รู้ว่าตนเองเหนื่อยเต็มทีกับการมีชีวิตอยู่ ที่แขนข้างหนึ่งยังคงคาเข็มสำหรับให้สารอาหารและยาทางกระแสเลือด ส่วนอีกข้างมีสายโยงขึ้นไปยังขวดน้ำเกลือซึ่งแขวนอยู่กับเสาอะลูมิเนียม ส่วนปลายนิ้วเสียบกับเครื่องวัดออกซิเจน ใต้เสื้อมีสายระโยงระยางเชื่อมกับเครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพที่อยู่ข้างเตียง
“หมอคิดว่าเราควรจะให้คุณยายท่านได้นอนสบาย ๆ นะคะ” เธอกล่าวกับญาติคนไข้ก่อนจะหันมาสบตาคุณหมอหนุ่มในชุดลำลองที่ขออนุญาตเข้ามาดูอาการของคุณยายมณีด้วย
ขวัญนพรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าจะไม่มีการกระตุ้นหัวใจหากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่บรรดาลูกหลานที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นเห็นด้วย มณีรัตน์กุมมือเย็นเฉียบเอาไว้แน่นก่อนจะโน้มตัวกระซิบที่ข้างหูของคุณผู้เป็นแม่ไม่ให้ต้องเป็นห่วงใด ๆ จากนั้นบทสวดมนต์จากหนังสือที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้นบทแล้วบทเล่าจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคุณยายมณีปลิดปลิวไปในอากาศและไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก
ชายหนุ่มก้มมองสองหมัดที่กำแน่นบนหน้าขา สายลมกระโชกแรงจนระลอกคลื่นซัดขึ้นมาถึงขอบสะพานจนละลองน้ำแตกกระเซ็นกระทบกับผิวเนื้อ ที่ฟ้าด้านหนึ่งปรากฏแสงแปลบปลาบเป็นสัญญาณว่าพายุกำลังจะมาในอีกไม่ช้า และเมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาน้ำตาลูกผู้ชายก็รินไหลอาบทั้งสองแก้ม ในหัวยังคงปรากฏภาพของหญิงชราเจ้าของรอยยิ้มละไมที่โรคร้ายได้พรากเธอไปจากคนที่รักเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ป่านนี้ร่างของคุณยายมณีคงถูกนำไปเก็บไว้ในห้องสายลมเพื่อรอให้ญาติมารับกลับไปทำพิธีทางศาสนาในตอนเช้า
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าพายุกำลังจะมา”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครามครืนทำให้ขวัญนพต้องเหลียวกลับไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะหันกลับไปประจันหน้ากับคนพูดที่กำลังเดินอาด ๆ เข้ามา แต่แสงไฟจากปลายกระบอกไฟฉายที่สาดเข้าเต็มหน้าก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นกัน เมื่อเจ้าของเสียงมาหยุดอยู่ต่อหน้าพร้อมกับลดไฟฉายในมือลงจึงได้รู้ว่าเขาคือกันตภณแพทย์ใช้ทุนปีสุดท้ายนั่นเอง
“พี่กันต์”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อเช้าไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศหรือไงว่าคืนนี้พายุจะเข้า ออกเวรแล้วทำไมไม่กลับไปพักผ่อน แล้วก็บ่นกันจังว่าเวลาพักผ่อนมีน้อย”
ขวัญนพพยายามสบตาคนถาม แม้จะถูกขวางกั้นด้วยความมืดมิด แต่ก็ยังสามารถเห็นแววตาขึงขังนั้นได้ไม่ยาก ดังนั้นตัวเขาเองจึงเลือกที่ปิดปากให้สนิทไม่คิดคำแก้ตัวใด ๆ
“กลับได้แล้ว” ว่าแล้วเจ้าของไฟฉายก็สาดแสงสีนวลลงกระทบพื้น ทำท่าจะหมุนตัวกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดของแพทย์ใช้ทุนรุ่นน้อง
“พี่กลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”
“นายจะบ้าหรือไง เห็นอยู่ว่าพายุกำลังจะมา ขืนไม่รีบกลับเข้าฝั่ง มีหวัง ไม่โดนฟ้าผ่าก็คงถูกคลื่นซัดหายไปในทะเลแน่ แล้วไหนบอกว่าไม่ชอบทะเลไง ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้”
“ผมเคยคิดว่าทะเลโหดร้าย กลืนกินทั้งเรือประมง...กับผู้คนอีกมากมาย แต่ก็ยังดีที่ทะเลก็ยังส่งสัญญาณเตือนให้เราคอยรับมือ ผิดกับชีวิตคน ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเลยว่าเราต้องจากกันวันไหน เอาเข้าจริง ผมว่าชีวิตคนเราโหดร้ายกว่าทะเลเป็นไหน ๆ”
กันตภณถอยใจเฮือกก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบไหล่คนพูดเอาไว้ “ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้หรอกนะ การเรียนวิทยาศาสตร์ของพวกเราอาจจะช่วยต่อลมหายใจของคนได้ แต่สุดท้ายเราก็จะพบว่าวิทยาศาตร์ไม่อาจฝืนวิถีแห่งการเวียนว่ายได้ ถึงนายจะเป็นหมอที่เก่งขนาดไหนนายก็ฝืนความตายไม่ได้ เมื่อนายเลือกที่จะเป็นหมอแล้ว ภาพพวกนี้มันคือสิ่งที่นายต้องพบเห็นไปตลอดชีวิต หน้าที่ของหมออย่างเราก็คือการรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด ทำใจเถอะ ยายแกไปสบายแล้ว”
และนั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน...
นายแพทย์ขวัญนพ นภศิริ ทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ เขายังจำคำของแพทย์รุ่นพี่ได้ดี และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องหยิบเอาประโยคนั้นขึ้นมาเตือนสติตัวเอง เมื่อสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นได้เผยแพร่ภาพอุบัติเหตุตึกที่กำลังก่อสร้างเกิดถล่มลงมาส่งผลให้คนงานจำนวนมากได้รับบาดเจ็บส่วนวิศวกรผู้ควบคุมงานเสียชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังเพราะไม่สามารถหนีออกมาได้ทัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลูกชายเพียงคนเดียวที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งกำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
....
ทันทีที่รถจอดสนิทในโรงรถ นายแพทย์ปราการก็หันไปคว้ากระเป๋าเอกสารกับเสื้อนอกตัวเก่งจากที่นั่งด้านหลัง เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นภรรยาที่ยืนรอเพื่อจะเข้าบ้านพร้อมกัน เธอคือเรวดีอดีตพยาบาลวิชาชีพประจำห้องคลอดที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เจ้าของร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทางทิศตะวันตกที่ปรากฏดวงดาวสุกสว่างพลางเอ่ยกับคนที่เดินเข้ามาโอบไหล่ของตนเอง
“คืนนี้ดาวสวยนะพ่อ”
ปราการกระชับวงแขน มองตามสายตาของคู่ชีวิตก่อนจะแสดงความเห็น “จริงด้วย”
“นึกถึงวันนั้นเลยนะคะ”
“วันที่เจ้าเมืองเกิดใช่ไหม”
“ค่ะ เมืองเกิดตอนหัวค่ำ วันนั้นดาวก็สวยแบบนี้”
สองคนก็ส่งยิ้มให้กัน พลันเสียงเปียโนบรรเลงเพลงโปรดของคนทั้งคู่ก็ดังแว่วมาจากเรือนเล็กหลังบ้าน เป็นบทเพลงเก่าที่ขับร้องโดยศิลปินในอดีต “วินัย จุลละบุษปะ”
คืนค่ำฟ้าเลือนขาดเดือนพราว
ประดับวับวาวแต่ดาวดวง
ทอส่องแสงงามอร่ามแดนสรวง
แม้เดือนเลื่อนลอยลับล่วง เหลือดวงดาวพราวไสว
ดวงหนึ่งนั้นดาวประจำเมือง
แววโรจน์แสงเรืองเรื่ออำไพ
ลอยเด่นนภา แจ่มจ้าสุกใส
สวยเกินดาราน้อยใหญ่ สูงไกลเกินใครหมายปอง
ประกายพราวแสงวาบวับ
ฟ้าระยับงามจับตาล้วนชวนมอง
แสงระยิบลอยอยู่ ไกลลิบเรืองรอง
ดาวครองท้องฟ้าดาดาษเรียงราย
ประหนึ่งเพชรแพรวส่องแวววาม
ประดับฟ้าครามพร่างพราวพราย
เป็นเพื่อนฟ้าคราขาดเด่นเดือนฉาย
ทุกคราราตรีแสงพราย หลายร้อยหลายพันแสนดวง...
สูตินรีแพทย์วัยหกสิบครวญเพลงอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเลื่อนมือลงโอบเอวภรรยาก่อนจะพากันเดินลัดสนามหญ้าอ้อมไปยังด้านหลังของบ้าน ผ่านแนวทางเดินที่ปูด้วยไม้ระแนงริมสระบัวกระทั่งหยุดที่หน้าเรือนหลังเล็กซึ่งเพิ่งต่อเติมแยกจากบ้านใหญ่ได้ไม่กี่ปี นอกจากจะยกให้เป็นเรือนส่วนตัวของลูกชายเพียงคนเดียวแล้ว ทั้งครอบครัวยังใช้ที่นี่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันในยามว่าง
เมื่อเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปภายในก็พบเจ้าของเรือนหลังเล็กกำลังนั่งอยู่ที่เปียโนสีดำตัวโปรดซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับประตูกระจกบานเลื่อนด้านที่ติดกับสระน้ำ นายแพทย์ปราการถอยห่างออกจากหญิงอันเป็นที่รักก่อนจะโค้งคำนับและผายมืออกขอเธอเต้นรำ เรวดีโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงวางมือของเธอบนมือใหญ่ที่เกี่ยวกุมกันมาพอ ๆ กับอายุของชายหนุ่มที่กำลังกดปลายนิ้วลงบนลิ่มนิ้วของเปียโน นายแพทย์ปราการใช้มือที่เหลือประคองแผ่นหลังคนในอ้อมแขนไว้ไม่ให้ห่างก่อนจะค่อย ๆ สืบเท้าก้าวย่างนำอีกฝ่ายให้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเสียงเพลง ดวงตาสองคู่สบประสานกันหวานซึ้งราวกับในที่แห่งนี้มีเขาและเธอเพียงสองคน
ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีละสายตาจากคีย์บอร์ดมองหญิงชายวัยกลางคนที่เต้นรำอยู่กลางห้องพลางยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ปลายนิ้วยังคงสัมผัสไปบนลิ่มนิ้วตามตัวโน้ตบนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นพ่อคลอตามเป็นคำร้องที่ฟังตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่รู้สึกเบื่อ...
เธอเปรียบเหมือนดาวประจำใจ
เลอเลิศวิไลอยู่ในทรวง
เป็นเอกพธูอยู่ แนบใจหวง
เหนือนารีใดทั้งปวง ขวัญดวงชีวันมั่นหมาย
ดวงเนตรของเธอจ้องคมวาว
เรืองโรจน์ล้ำดาวเด่นพราวพราย
ทอส่องแสงรักประจักษ์ใจหมาย
ฝังซึ้งตรึงใจมิวาย มิคลายรักเธอแท้จริง
จอดจิตใจหลงเสน่ห์โฉม
รักน้อมโน้มใจใฝ่ถนอมเอนอิง
ฟ้าระยิบดาวสั่งกระซิบวอนวิง
เธอจงรักจริงใจอย่ากลับกลาย
ครองสุขสัมพันธ์คู่กันไป
เป็นมิ่งขวัญใจไม่คืนคลาย
จนกว่าฟ้าดินดับสิ้นสลาย
สัญญารักเดียวมิคลาย หมายเธอร่วมเรียงนิรันดร์
กระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปในอากาศ...
“ยังพริ้วเหมือนเดิมเลยนะพ่อ” ลูกชายกล่าวพลางเอื้อมมือปิดแฟ้มสำหรับเก็บโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า มองพ่อกับแม่ที่กำลังเดินเข้ามา
“ถ้าไม่พริ้วก็เสียชื่อประธานชมรมลีลาศหมดสิไอ้ลูกชาย” นายแพทย์ปราการว่าพลางเท้าแขนลงกับเปียโนตัวใหญ่
“เรื่องขี้โม้ละต้องยกให้พ่อเขา” เรวดีทำค้อนก่อนเดินอ้อมไปอีกทางยกแขนขึ้นโอบไหล่ลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพราะหากเขายืนขึ้นเต็มความสูงเธอจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ “ช่วงนี้รู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะจ๊ะหนุ่มน้อย”
“ช่วงนี้งานที่โรงเรียนยุ่ง ๆ น่ะแม่ พอดีมีน้อง ๆ ลาออกไปทำที่อื่นหลายคน บางคนก็ได้ไปเล่นให้ศิลปินดัง ๆ ด้วยนะ ส่วนบางคนก็ได้ไปเล่นให้คณะละครเวที ดูโก้มากเลยละแม่”
“แล้วเมืองล่ะลูก คิดว่าจะสอนที่โรงเรียนสอนดนตรีนั่นไปอีกนานแค่ไหน”
“อืม...ก็คงเรื่อย ๆ ไปน่ะครับ จนกว่าโลกนี้จะไม่มีคนป่วย ก็เหมือนที่พ่อกับแม่ทำอยู่ไง”
“เหมือนยังไง ไหนแกลองว่ามาซิ พ่ออยากฟังความเห็นของว่าที่มหาบัณฑิตสาขาวิชาดนตรีบำบัดหน่อย” ผู้เป็นพ่อขยับเข้ามาใกล้ทำท่าตั้งใจฟัง
“โธ่พ่อ แซวกันได้” ลูกชายยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเริ่มอธิบาย “พ่อกับแม่เป็นหมอ ใช้ความรู้ใช้ยารักษาอาการป่วยทางร่างกายของคนไข้ ส่วนเมืองเป็นนักดนตรี เมืองก็จะใช้ดนตรีรักษาอาการป่วยทางจิตใจของคนไงครับ”
ปราการพยักหน้าขรึมหากแต่ข้างในกลับรู้สึกพอใจในคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก “แล้วเรื่องเรียนล่ะ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”
“กำลังจะออกไปเก็บข้อมูลแล้วละพ่อ ส่วนสถานที่ก็...โรงพยาบาลของคุณลุงหมอสัญชัยที่พ่อแนะนำให้ไง เมืองเอาไปคุยกับอาจารย์แล้ว แล้วก็โทรไปคุยกับคุณลุงหมอแล้วด้วย คุณลุงหมอบอกว่าเรื่องของเมืองน่าสนใจดีและน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไข้ที่โรงพยาบาล ปลายสัปดาห์หน้าเมืองก็เลยว่าจะเอาเอกสารเข้าไปคุยกับคุณลุงหมอครับ”
“อืม จะไปเมื่อไรบอกพ่อด้วยนะ พ่อมีของจะฝากไปให้ลุงหมอสัญชัยแกหน่อย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
“ครับพ่อ”
“แล้วนี่ทานข้าวหรือยังจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ถาม
“เรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่พ่อกับแม่ล่ะครับทานอะไรกันมาหรือยัง วันนี้กลับค่ำจัง”
“พ่อกับแม่ทานมาจาหที่โรงพยาบาลแล้วจ้ะ”
“แม่ไปรอพ่อที่โรงพยาบาลเหรอครับ”
“จ้ะ เย็นวันนี้พ่อเขามีลงตรวจคนไข้ที่หอพักผู้ป่วย แม่สอนเลิกไวก็เลยนั่งแท็กซี่ไปรอพ่อเขาที่โรงพยาบาล”
“วันหลังถ้าแม่เลิกสอนเร็ว แม่โทรหาเมืองก็ได้นะครับ เมืองจะได้ไปรับกลับมาก่อน ไม่ต้องไปนั่งรอที่โรงพยาบาล”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ที่นั่นแม่ก็มีเพื่อนคุยเยอะแยะ ดีเสียอีก ได้นั่งรำลึกความหลัง นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ” เรวดีกล่าวพลางหันไปสบตาสามี ชายผู้ซึ่งมีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตร่วมกัน
....
นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่ไฟที่ระเบียงของเรือนหลังเล็กยังคงสว่าง เรวดีในชุดนอนเดินไปตามทางเดินไม้ระแนงเข้าสู่เรือนหลังเล็กก่อนจะมองหาลูกชาย ในที่สุดเธอก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่ที่ระเบียงซึ่งยื่นออกสู่สระบัวขนาดใหญ่
“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก พรุ่งนี้ต้องไปที่โรงเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็นั่งลงข้าง ๆ มองลูกชายอย่างเอ็นดู
“เมืองยังไม่ง่วงน่ะแม่ ก็เลยออกมานอนดูดาว วันนี้ดาวสวย” ว่าแล้วก็ย้ายศีรษะจากหมอนใบโตมาหนุนตักของแม่แทน “นั่นดาวศุกร์ใช่ไหมแม่”
เรวดีมองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับด้วยดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง แต่ในจำนวนนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่เปล่งแสงทอประกายเด่นชัดจนคนมองไม่อาจละสายตา กระนั้นกลับไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่แทรกนิ้วลงในกลุ่มผมลื่นมือของคนบนตัก
“พ่อกับแม่เหนื่อยไหมครับ เมืองหมายถึงเหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องเลี้ยงเมืองมา แถมยังต้องทำงานหนักเพื่อให้เมืองได้เรียนหนังสือ พ่อกับแม่รู้สึกว่าตัดสินใจผิดบ้างไหมครับที่รับเมืองเป็นลูก”
ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าเบา ๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนยังคงประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อเรื่องราวในอดีตถูกฉายขึ้นในหัวอีกครั้ง “ถึงลูกจะไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ แต่รู้ไหม...ลูกน่ะคือของขวัญที่มีค่าสุดสำหรับเรา ลูกรู้ไหมตอนที่แม่แท้ ๆ ของลูกขอให้พ่อซึ่งเป็นหมอที่ทำคลอดในตอนนั้นช่วยตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิดให้ พ่อเขาตื่นเต้นมาก คืนนั้นก็คล้าย ๆ กับคืนนี้ ทั้งฟ้ามืดดำดูน่ากลัวแต่ก็มีดาวศุกร์ที่ทอประกายสว่างไสว พ่อเขาก็เลยตั้งชื่อลูกตามชื่อของดาว น่าเสียดายที่แม่แท้ ๆ ของลูกไม่มีโอกาสได้เรียกชื่อนี้...”
...ประจำเมือง...
...
สวัสดีค่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า
ตาไม่ฝาด ๆ เมื่อวานดูซีรีส์แล้วปวดใจ
วันนี้เราเลยได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเรื่องสั้นเรื่องใหม่
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว
สัญชัย กิตติดนู นอกจากจะเป็นศัลยแพทย์มือดียังเป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกที่เพิ่งปรับเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้เพียงไม่นาน แม้อายุอานามจะเลยวัยที่ต้องปลดระวางมาหลายปีแต่ด้วยความที่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงได้รับการต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่อระหว่างรอการสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมารับตำแหน่งนี้ต่อไป
นอกจากนายแพทย์สัญชัยจะมีความสามารถเป็นที่ยอมรับแล้ว การเป็นคนไม่ถือตัว จิตใจดี ซ้ำยังมีมนุษยธรรมยังทำให้เขาเป็นที่รักของทั้งผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงคนไข้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้น “คุณลุงหมอ” จึงเป็นคำคนไข้มักจะใช้เรียกเขาแทนคำว่า “อาจารย์” หรือ “ท่านผู้อำนวยการ” ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความปรารถนาของเจ้าตัวทั้งสิ้น
ศัลยแพทย์วัยหกสิบสองปีละสายตาจากแฟ้มเอกสารทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเมื่อเขาเอ่ยปากอนุญาตประตูก็ค่อย ๆ แง้มออก สัญชัยมองชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของรูปร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงขายาวสีครีมสวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ก้าวมาหยุดต่อหน้า เขายกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อประจำเมืองครับ เป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาดนตรีบำบัดที่โทรมาคุยกับคุณลุงหมอเมื่อประมาณกลางเดือน”
“ลูกชายปราการใช่ไหม” ผู้อาวุโสว่าพลางปิดแฟ้มเอกสาร
“ครับคุณลุง คุณลุงเรียกผมว่าเมืองก็ได้ครับ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นนายแพทย์สัญชัยก็ผายมือพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญคนมาให้ให้นั่ง ในขณะที่ประจำเมืองเองก็ค้อมศีรษะขอบคุณ จัดการปลดเป้แล้วเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง
“เคยเจอตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ไม่คิดว่าโตขึ้นมาแล้วจะหล่อเหลาขนาดนี้”
“คงสู้คุณลุงไม่ได้หรอกครับ พ่อเล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ คุณลุงเป็นดาวเด่นของคณะ” พูดจบดึงหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่หนังสือที่ระลึกครบรอบเก้าสิบปีของมหาวิทยาลัยครับ พ่อฝากมาให้คุณลุงด้วย”
“ฝากขอบใจพ่อของเธอด้วยนะหลานชาย” นายแพทย์วัยหกสิบสองปีกล่าวพลางรับหนังสือเล่มนั้นมาวางตรงหน้า มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยหากแต่เคยช่วยชีวิตคนมาแล้วนักต่อนักลูบไล้ไปบนตัวอักษรพิมพ์นูน “กลิ่นแก้วรำลึก” ก่อนจะพลิกดูด้านในที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวในอดีต
“เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อน คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ชอบนึกถึงแต่ความหลัง” เจ้าของใบหน้าแต้มยิ้มกล่าวทั้งที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพถ่ายขาวดำในหน้ากระดาษอาร์ตมัน “พ่อเธอเป็นไหม”
“เรียกว่าบ่อยเลยละครับคุณลุง”
“เจอกันทีไรก็คุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ชวนดูกันแต่รูปเก่า ๆ เป็นพวกไม่มีอนาคตให้นึกถึง” คนพูดหัวเราะในลำคอขณะปิดหนังสือที่เป็นเหมือนบันทึกความทรงจำแต่หนหลังลง “เอ้อ...เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ เดี๋ยวจะเสียเวลาของเธอ”
“ไม่หรอกครับคุณลุง วันนี้นี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณลุงโดยเฉพาะ ไม่ได้รีบไปไหน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า เราอยากจะให้ลุงช่วยอะไรก็ว่ามาได้เลย”
“ตามที่ผมเรียนให้ทราบทางโทรศัพท์นั่นแหละครับ ผมอยากจะขออนุญาตเข้ามาเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิจัยในโรงพยาบาลของคุณลุง ส่วนนี่คือรายละเอียด หัวข้อวิจัยของผมคือการศึกษาผลของดนตรีบำบัดที่มีต่อความวิตกกังวลและความเจ็บปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็งครับ”
นายแพทย์สัญชัยพยักหน้าพลางกวาดตาดูรายละเอียดคร่าว ๆ “วางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มเมื่อไรล่ะ”
“ถ้าคุณลุงอนุญาต ผมก็อยากจะเริ่มให้เร็วที่สุดครับ”
“ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นในช่วงเดือนแรกผมจะขอพาเพื่อน ๆ เข้ามาทำการเก็บข้อมูลทั่วไปรวมถึงความต้องการของผู้ป่วยก่อนนะครับ จากนั้นก็จะเอาข้อมูลที่ได้กลับไปวิเคราะห์เพื่อดำเนินการต่อ”
“ไม่มีปัญหาหรอก แต่ช่วงนี้ลุงอาจจะยุ่ง ๆ หน่อย เพราะโรงพยาบาลมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร มีการยุบรวมแล้วก็มีการเกิดขึ้นใหม่ของงานย่อย ๆ ที่เห็นชัดก็คงจะเป็นฝ่ายที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องสารสนเทศของโรงพยาบาลแทนการจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากข้างนอกเหมือนที่แล้วมา นี่ก็เพิ่งได้เงินบริจาคสำหรับโครงการใหม่น่ะ จะว่าไปมันก็น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำนะ”
“โครงการอะไรหรือครับคุณลุง”
“โครงการจัดตั้งสถานีวิทยุน่ะ คนบริจาคเขาแสดงความต้องการมาเลยว่าอยากให้ทำสถานีวิทยุออนไลน์เพื่อให้ความรู้กับคนทั่วไป เพราะตอนนี้ทั้งสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเป็นอุปกรณ์ที่มีติดตัวกันแทบทุกคน เสียดายที่ตอนนี้อะไร ๆ ยังไม่ลงตัว ไม่อย่างนั้นลุงจะพาไปดู”
“ดีจังเลยนะครับคุณลุง ผมเองก็คงต้องเทียวไปเทียวมาที่นี่ไปอีกนาน ต้องมีโอกาสได้ไปแน่ ๆ ครับ”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงจะหาใครสักคนมาเป็นพี่เลี้ยงให้ มีอะไรจะได้ปรึกษาเขาได้”
“ได้ครับคุณลุง” ประจำเมืองยิ้มน้อย ๆ มองชายวัยกลางคนที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
“ขอโทษทีนะ ว่าจะชวนดื่มกาแฟด้วยกันสักหน่อย เพิ่งนึกได้ว่ามีประชุมที่ศาลากลางจังหวัด”
“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับเลยก็แล้วกันนะครับ คุณลุงจะได้มีเวลาเตรียมตัว”
ลูกชายสูตินรีแพทย์เดินออกจากห้องพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลก่อนจะกดลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างซึ่งเป็นส่วนของงานเวชระเบียน ชายหนุ่มเดินออกประตูด้านข้างตั้งใจจะไปยังลานจอดรถ หากแต่เสียงไวโอลีนที่กำลังบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์กลับทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปที่หน้าอาคารโบราณสองชั้นสีขาวหม่นซึ่งน่าจะสร้างขึ้นตามแนวคิดศิลปะแบบตะวันตก สังเกตได้จากระเบียงที่ทำเป็นซุ้มโค้งรับน้ำหนักของหลังคายาวตลอดแนวปีกซ้ายและขวา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเหนือกรอบประตูทางเข้าบริเวณหน้ามุขที่ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นก็เห็นตัวอักษรสลักเป็นร่องลึกว่า "ฤดีบรรเทา" ซึ่งเป็นชื่อของอาคาร และเมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบผู้คนจำนวนมากกำลังนั่งรอเรียกตรวจอยู่ภายในห้องโถงซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอายุรกรรม และแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
คันชักที่ทำจากหางม้ายังคงเสียดสีกับสายสังเคราะห์ทำให้เกิดท่วงทำนองหวานแหลมแต่ในเวลาเดียวกันกลับให้รู้สึกเศร้าจับใจยิ่งนัก ประจำเมืองกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่ร่างท้วมผมสีดอกเลาเจ้าของไวโอลินที่เป็นต้นกำเนิดเสียงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวสุดท้าย ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะนั่งลงโดยเว้นที่ว่างเอาไว้เพื่อให้เกิดระยะห่าง ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ และเมื่อจบเพลงชายชราวัยแปดสิบสี่ก็หันมาส่งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ชอบฟังเพลงรึหนุ่ม”
“ครับคุณตา แต่เพลงที่คุณตาเล่นเมื่อกี้ฟังดูเศร้าจังเลยนะครับ”
“รู้จักด้วยเหรอ” มือเหี่ยวย่นวางไวโอลินลงบนหน้าตักก่อนจะหันมาคุยอย่างจริงจัง
“รู้จักสิครับ เพลงพระราชนิพนธ์อาทิตย์อับแสง”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะรู้จักเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย”
“ผมเรียนดนตรีน่ะครับ ก็เลยพอจะได้ศึกษาเรื่องนี้อยู่บ้าง”
“ลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ ผมเองก็เล่นอยู่ไม่กี่เพลงซ้ำไปซ้ำมา คนที่นี่เขาคงพากันเยื่อแล้วมั้ง”
“คุณตามาเล่นดนตรีที่นี่ทุกวันเหรอครับ”
“เปล่าหรอก ผมมาเฉพาะวันที่หมอนัดน่ะ เดือนละครั้งสองครั้งตามแต่หมออยากจะเจอ” ทำพูดติดตลกในขณะที่มือก็ส่งไวโอลินตัวเก่งให้
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ นาน ๆ ได้ฟังฝีมือคนหนุ่มบ้าง”
“ครับ” ประจำเมืองยิ้มพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ รับเครื่องดนตรีจากมือชายชราก่อนจะแนบส่วนที่เป็นที่รองคางลงกับสันกราม
“คุณตาเล่นเพลงอาทิตย์อับแสงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่นเพลงนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าวันนี้ถึงดวงอาทิตย์จะหมดแสงแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับมาเจอกันใหม่แน่นอน” พูดจบชายหนุ่มก็วางคันชักลงบนเส้นสังเคราะห์แล้วลากยาวจนเกิดเป็นทำนองหวานหูฟังดูมีจังหวะกว่าเพลงที่คุณตาเพิ่งเล่นจบลงไป
ปลายนิ้วที่กำลังสัมผัสกับแป้นพิมพ์ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงไวโอลินบรรเลงเพลงที่มีท่วงทำนองผิดแผกไปจากที่เคยได้ฟัง ขวัญนพจำได้แม่นว่าทุก ๆ เดือนหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เขาจะต้องได้ยินเสียงไวโอลินดังมาจากชั้นล่างของตึก ซึ่งผู้ที่นำเครื่องดนตรีมาบรรเลงระหว่างรอตรวจก็คือคุณตาสุธีอดีตไต้ก๋งเรือประมงที่เพิ่งสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปเมื่อต้นปีก่อนด้วยโรคชรา หลังการจากไปของคู่ชีวิตคุณตาสุธีเองก็มีอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อเพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรวมถึงมีอาการของโรคกระดูกเสื่อมทำให้ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตามอาการตามคำสั่งของแพทย์
เสียงเคาะประตูเรียกสติของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาทที่กำลังลอยไปไกลให้กลับคืนมาอีกครั้ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นสายตามองประตูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ค่อย ๆ ถูกเลื่อนออกก่อนที่พยาบาลสาวจะเข็นรถเข็นพาเด็กชายรูปร่าจ้ำม่ำเข้ามา
“สวัสดีครับอาหมอ” หนุ่มน้อยวัยเก้าปีกล่าวเสียงใส ไม่ว่ารอยยิ้ม พวงแก้มน่าหยิกหรือแม้แต่สภาพทั่วไปของร่างกาย ไม่มีสิ่งใดเลยที่บ่งบอกว่าเขากำลังป่วยนอกเสียจากชุดที่เขาสวม
“พาตัวป่วนมาหาคุณหมอค่ะ” หญิงสาวกล่าวขณะล็อกล้อรถเข็น
“ขอบคุณนะครับพี่ผึ้ง”
“ไม่เป็นไรจ้ะหนุ่มน้อย” เธอว่าพลางหันไปหาคุณหมอเจ้าไข้ของเด็กชาย “ถ้าน้องจะกลับแล้วเรียกผึ้งนะคะคุณหมอ”
“ขอบคุณนะครับ” รอกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไปจึงเอ่ยขึ้นกับเด็กชาย “ไงปูไข่ ทำไมวันนี้มาถึงห้องอาได้”
“เมื่อเช้าปูไข่มาตรวจวัดสายตากับคุณหมอฟ้าใสครับ ก็เลยขอพี่พยาบาลแวะหาอาหมอก่อนกลับ”
“แล้วคุณหมอฟ้าใสให้ทำอะไรบ้าง”
“คุณหมอฉีดยา ให้ปูไข่นอนนิ่ง ๆ แล้วพาเข้าไปเที่ยวในอุโมงค์ฮะ”
“แล้วปูไข่กลัวหรือเปล่า”
“ไม่กลัวครับอาหมอ คุณหมอฟ้าใสบอกว่าเป็นอุโมงค์ง่วงนอน เข้าไปปั๊บก็หลับปุ๊บเลย พอตื่นมาอีกทีปูไข่ก็ไปนอนเล่นอยู่บนเตียงแล้ว คุณหมอฟ้าใสบอกว่าสายตาน่าจะสั้นลงก็เลยเห็นภาพมัว ๆ แล้วก็ปวดหัวบ่อย ๆ แต่ไม่ยักจะสั่งตัดแว่นให้ปูไข่ ปูไข่ก็เลยอดใส่แว่นเลย”
เจ้าของห้องพยักหน้า เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่การตรวจวัดสายตาแบบที่เด็กชายกล่าว หากแต่เป็นการทำกระนั้นก็ยังฝืนยิ้มก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าหนูน้อย ยกมือขึ้นโยกศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ “ตัวแค่นี้จะอยากสวมแว่นไปทำไมกัน”
“ก็ปูไข่อยากเท่แบบอาหมอนพนี่ฮะ” พูดจบเด็กชายก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายมองชายหนุ่มวัยย่างสามสิบห้าปีเจ้าของผมสีเข้มตัดรองทรงสูงไม่ได้จัดทรงจนส่วนหน้าตกลงมาระกับกรอบแว่นตาสีดำหนาเตอะ เขากำลังโคลงศีรษะน้อย ๆ
“อยากกลับห้องหรือยัง อาพาไปส่ง”
“ปูไข่อยากฟังคุณตาสุธีสีไวโอลินก่อน วันนี้คุณตาคงอารมณ์ดีเลยเล่นเพลงเพราะ”
“แล้วทุกครั้งล่ะ ไม่เพราะเหรอ” ถามเพียงเพราะคิดว่าเพลงก็เหมือนกันทุกเพลงแค่จังหวะแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ “เพราะครับ แต่ทุกครั้งเศร้ากว่านี้ ปูไข่ไม่ชอบเพลงเศร้า”
ขวัญนพพยักหน้าส่ง ๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็อดนึกถึงคำที่คุณครูเคยพูดในชั่วโมงดนตรีเมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักเรียนชั้นประถมไม่ได้
...ท่วงทำนองของดนตรีสามารถสะท้อนสภาพจิตใจของผู้บรรเลงในขณะนั้น ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หรือเศร้าก็ส่งผ่านไปถึงผู้ฟังได้...
“ขอบคุณคุณตามากนะครับที่ให้ผมยืมเล่น” ประจำเมืองกล่าวขณะส่งไวโอลินคืนเจ้าของ “ไวโอลินของคุณตาทำให้ผมนึกอยากจะค้นเอาไวโอลินตัวแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้ออกมาปัดฝุ่น นานแล้วที่ไม่ได้สีไวโอลิน เหมือนได้เคาะสนิมเลยครับ”
“นี่ไม่ได้สีไวโอลินประจำหรอกรึ” ชายชรากล่าวพลางรับเครื่องดนตรีคืน
“เครื่องดนตรีเอกของผมคือเปียโนน่ะครับ”
“ขนาดไม่ได้เล่นนานฝีมือยังไม่เบาเลยนะพ่อหนุ่ม เอาไว้ว่าง ๆ ถือติดมือมาสิ คนที่นี่เขาจะได้ฟังเพลงใหม่ ๆ”
“ได้ครับ ถ้าคุณตาชอบ คราวหน้าผมจะเอาโน้ตเพลงเพราะ ๆ ติดมาด้วย คุณตาจะได้เอาไว้เล่นให้คนอื่น ๆ ฟัง”
ประจำเมืองกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกล่าวอำลาคุณตาสุธี ถ้าหากเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงได้มีโอกาสพบกับสองคู่หูต่างวัยที่กำลังจูงมือกันเดินลงมาจากบันไดไม้สักที่ทอดเวียนลงมาจากชั้นสองของตึกเพื่อจะมาฟังเพลงที่เขาเล่น
....
สองสัปดาห์ต่อมานักศึกษาหนุ่มกลับมาที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์อีกครั้งพร้อมกับเพื่อน ๆ พวกเขาถูกนายแพทย์สัญชัยพาไปแนะนำให้รู้จักกับบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับสารสนเทศและวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล ประจำเมืองและเพื่อน ๆ จึงได้ขออนุญาตนายแพทย์สัญชัยในการเข้ามาช่วยงานของสถานีวิทยุระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัย ในที่สุดสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ก็เริ่มขึ้น...
“สวัสดีตอนเช้าในวันที่อากาศแจ่มใสคลื่นลมสงบนะครับ ผม...ดีเจปาล์มครับ วันนี้เป็นวันที่สองแล้วสำหรับการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ยังไงก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ชาวโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ทุกคนด้วยนะครับ หากต้องการขอเพลงก็สามารถขอได้ที่เบอร์โทรศัพท์ภายในหรือหย่อนจดหมายน้อย ๆ ลงในมิวสิคบ็อกซ์ที่เราตั้งไว้ที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาลก็ได้นะครับ และสำหรับเพลงแรกในวันนี้ คุณวิทย์แผนกฉุกเฉินมอบให้คุณก้อยการเงิน ไปฟังกันเลยครับ”
เสียงฉะฉานดีเจหนุ่มค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยจังหวะเพลงสนุก ๆ ที่มีเนื้อหาในเชิงบอกรัก ทำเอาบรรดาพยาบาลสาว ๆ ที่จับกลุ่มยืนรอซื้อกาแฟต่างก็พากันหัวเราะคิกคัก
นายแพทย์ขวัญนพวางถ้วยกาแฟร้อนลงบนโต๊ะพลางมองไปยังกลุ่มของสาว ๆ แล้วหันกลับมาพูดกับคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในฝั่งตรงข้าม “เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่”
กันตภณรวบหนังสือพิมพ์เก็บ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะตอบคำถาม “สถานีวิทยุของโรงพยาบาลน่ะ เพิ่งเริ่มดำเนินการเมื่อวาน”
“ผมเเพิ่งรู้ว่าโรงพยาบาลของเรามีอะไรแบบนี้ด้วย”
“วัน ๆ สนใจอะไรบ้างนอกจากคนไข้กับหนังสือกองมหึมา" นายแพทย์กันตภณกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก "เห็นอาจารย์สัญชัยบอกว่าได้เงินบริจาคจากนักการเมืองท้องถิ่น เขาขอให้โรงพยาบาลดำเนินงานเกี่ยวกับสถานีวิทยุเพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารความรู้ที่เกี่ยวกกับสุขภาพน่ะ พอดีมีนักศึกษาปริญญาโทเขามาขอทำวิจัยเกี่ยวเรื่องดนตรีบำบัดด้วย อาจารย์ท่านเห็นว่ามีประโยชน์กับทั้งตัวนักศึกษาและผู้ป่วยในระยะนี้ก็เลยให้เขาเข้ามาช่วยงานสถานีน่ะ”
“ก็ดีเหมือนกันนะพี่” ขวัญนพกล่าวพลางทอดตามองกล่องซึ่งห่อด้วยกระดาษลายสวยที่ตั้งอยู่หน้าเคาท์เตอร์ มีข้อความตัวโตที่พิมพ์บนกระดาษเอสี่แปะไว้ “มิวสิคบ็อกซ์ เพียงคุณบอก...เราจัดให้” ส่วนด้านล่างมีรายละเอียดและวัตถุประสงค์เกี่ยวการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล
“นายว่าดีเหรอ”
“ครับ ทำไมล่ะ”
“ก็ปกติฉันไม่เห็นนายจะมีอารมณ์สุนทรีย์กับใครเขา ตรวจคนไข้เสร็จก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องหนังสือ”
ขวัญนพยอมรับในสิ่งที่กันตภณพูดมาทั้งหมด “ผมหมายถึงอย่างน้อยก็ดีสำหรับคนไข้ไงพี่”
“แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันจะดีกับตัวนายเองเหมือนเคย” แพทย์รุ่นพี่หัวเราะในลำคอก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ทิ้งให้คนที่ในหัวมีแต่คำว่าหน้าที่นั่งนิ่งคิดทบทวนในคำพูดเมื่อสักครู่
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเก็บข้อมูลก็ถึงเวลาที่เหล่าดีเจมือใหม่จะต้องกลับมาปิดสถานีตามที่ได้รับอาสากับหัวหน้างานสารสนเทศของโรงพยาบาลเอาไว้ แต่แทนที่ตอนนี้พวกเขาจะไปอยู่กันที่ห้องวิทยุออนไลน์ซึ่งอยู่ชั้นห้ากลับต้องแวะชั้นที่สามเพื่อรับกุญแจจากเจ้าหน้าที่ ยิ่งตกกลางคืนบรรยากาศของชั้นนี้ยิ่งเงียบสงัดกันเข้าไปใหญ่ เพราะทั้งชั้นถูกจัดให้เป็นพื้นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลระบบเครือข่าย ต่างคนต่างมองผ่านไอน้ำที่เกาะประตูกระจกเข้าไปในห้องเครื่องแม่ข่าย เห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่ง พลันฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงมาบนระนาบขุ่นปาดฝ้าไอน้ำออกก่อนจะมองลอดช่องออกมา เล่นเอาหัวใจของทั้งสี่คนแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ขอโทษที พอดีพี่นั่งย้ายข้อมูลในเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพลิน ลืมไปเลยว่านัดพวกเราไว้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กล่าวเมื่อสแกนนิ้วเปิดประตูออกมาพร้อมกับยื่นกุญแจให้ “เอ้านี่ กุญแจ ฝากปิดห้องด้วยนะ”
“ครับพี่ แล้วกุญแจนี่จะให้ผมเอาไว้ที่ไหนครับ” คนอายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะรับกุญแจมาถือไว้
ริมฝีปากสีคล้ำเพราะเกิดจากการสูบบุหรี่จัดสแยะยิ้มมีเลศนัยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพอ ๆ กับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมา “ถ้าไม่อยากแวะมาอีกก็ลงฝากไว้กับพนักงานรักษาความปลอกดภัยข้างล่างก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับพี่จะแวะไปเอาที่เขา”
“ได้ครับพี่”
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทั้งสี่คนก็พากันเดินไปที่ลิฟต์ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคาร
“บรรยกาศบนนี้มันวังเวงพิลึกว่ะ ห้องพวกพี่ ๆ เจ้าหน้าที่เน็ตเวิร์คอยู่ไกลเหลือเกิน” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แกจะบ่นอะไรนักหนาวะไอ้ก้อง” คนถือกุญแจกล่าว
“ก็มันจริงนี่พี่ ถ้าไฟติด ๆ ดับ ๆ หน่อยนะ เป๊ะเลย ฉากในหนังสยองขวัญชัด ๆ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากเจอ”
“จ...เจออะไรวะพี่”
“ผีไง กุ๊ก ๆ กู๋ก็ได้ จะได้ดูน่ารัก”
“น่ารักอะไรวะพี่ ผมยิ่งกลัว ๆ อยู่” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นลูบขนแขนที่จู่ ๆ ก็ตั้งชันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“ตึกนี้เขาเพิ่งสร้างเสร็จจะมีผีได้ยังวะ แกคิดเป็นตุเป็นตะ”
“ใครว่าล่ะพี่ ตึกนี้แหละเฮี้ยนสุด เมื่อกลางวันพี่คนเมื่อกี้ยังเล่าให้ผม ไอ้ปาล์ม ไอ้เมือง ฟังอยู่เลยว่าตึกนี้น่ะสร้างทับตึกเก่าของโรงพยาบาลที่เขาว่ากันว่า...”
“พอ ๆ ไอ้ก้อง ฉันไม่ได้อยากรู้” แม้จะเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่โอก็เลือกที่จะไม่รู้ข้อมูลเสียดีกว่า ชายหนุ่มมองตามเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา ที่แท้ก็เป็นประจำเมืองที่แยกไปห้องน้ำเมื่อหลายนาทีก่อนนั่นเอง
“ไอ้ปาล์มกดลิฟท์” คนที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาสมทบกับอีกสามคนที่ยืนรออยู่เอ่ยขึ้น ดังนั้นเจ้าของชื่อที่ยืนเงียบมานานจึงเอื้อมมือกดปุ่ม รอกระทั่งประตูเปิด ทั้งสี่คนจึงพากันก้าวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับขนส่งระหว่างชั้นต่าง ๆ ภายในอาคาร
ต่างคนต่างจ้องมองประตูเหล็กที่เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิท ภายในกล่องสี่เหลี่ยมเงียบสนิทจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มวินาทีจากนาฬิกาที่แต่ละคนสวมติดข้อมือเท่านั้น และเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งสี่คนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพวกเขายังคงอยู่ที่ชั้นเดิม
“ฮือ...” เสียงครางเบา ๆ พาให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก
“ไอ้ก้อง แกจะครางทำไมวะ” โอซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งกล่าวก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ เพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งในระหว่างนั้นใครคนหนึ่งก็กดปุ่มให้ประตูลิฟต์ก็ปิดลง...
แต่เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เฮ้ย...ทำไมมันไม่ไปไหนเลยวะ” สิ้นเสียงของปาล์ม ทั้งหมดก็พากันขยับเข้ามากระจุกกันที่ด้านหนึ่ง
“น...นั่นไง จริง ๆ ด้วย” ก้องกล่าวเสียงสั่นก่อนจะเหลือกตามองเพดาน “ต...ตึกนี้ ฮ...เฮี้ยนสุดนะจริง ๆ ด้วย”
“จะพูดทำไมวะ” โอที่ไม่เคยกลัวอะไรชักเริ่มใจคอไม่ดี
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อปาล์มซึ่งยืนอยู่ใกล้ฝั่งที่มีปุ่มกดต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ท้ายทอย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองก่อนจะหันกลับไปมองเพื่อน ๆ ซึ่งกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวไม่ต่างกัน ทุกคนต่างพากันมองสำรวจไปรอบ ๆ ชายหนุ่มตัวเล็กที่สุดในกลุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าพร้อมกับหลับตาลงและเริ่มสวดมนต์เบา ๆ แต่กระนั้นบางสิ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรามือ
ปาล์มสะดุ้งโหยงก่อนจะกระซิบลอดไรฟันทั้งที่ยังหลับตาปี๋ “ค...โครตบหัวผม ฮือ...พ่อจ๋าแม่จ๋า...ช่วยปาล์มด้วย” สิ้นเสียงชายหนุ่มอาการเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำ
“ฉันตบแกเองไอ้ปาล์ม แกไม่กดเลือกชั้นแล้วลิฟต์มันจะขึ้นให้แกไหมวะ” ประจำเมืองกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่อีกสามคนได้แต่ร้องอ้าวพร้อมกัน สุดท้ายก็เป็นปาล์มที่ต้องยอมตกเป็นเป้านิ่งให้เพื่อน ๆ รุมประชาทัณฑ์
“ใครจะไปรู้วะ บรรยากาศมันก็ชวนสยอง แถมไอ้ก้องก็บิ๊วต์จนขี้จะขึ้นไปอยู่บนสมองอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบ่นอุบขณะเอื้อมมือกดปุ่ม และเมื่อลิฟต์ถึงที่หมายเรื่องลี้ลับประจำค่ำคืนนี้ก็ปิดฉากลง...
ห้องพักบนอาคารที่พักบุคลากรของโรงพยาบาล นายแพทย์ขวัญนพที่เพิ่งออกจากห้องน้ำเดินตรงไปยังระเบียงก่อนจะจัดการตากผ้าเช็ดตัวกับราวที่ซื้อมาประกอบเอง ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นราวกับอาณาจักรอันเป็นส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ คว้าแว่นตามาสวมแล้วเปิดตำราเล่มหนาที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนก่อนออกอ่าน แม้สายลมเย็นจะพยายามพัดผ่านมากวักมือเรียกแต่ก็ไม่อาจฉุดให้เขาออกไปยืนรับลมชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหมือนกับที่หลาย ๆ คนทำเพื่อให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันได้
คิ้วหนาเรียงเส้นเผลอเคลื่อนเข้าหากันเมื่อพบว่านอกจากสายลมยามค่ำคืนจะพัดเอากลิ่นไอทะเลมารบกวนจมูกแล้วยังหอบเอาเสียงของใครคนหนึ่งมาทักทายกันด้วย ชายหนุ่มละสายตาจากตัวอักษรที่เรียงกันแน่นจนเต็มหน้ากระดาษแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยุดที่ระเบียงเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากห้องข้าง ๆ ที่แท้ก็เป็นเสียงของนักจัดรายการมือใหม่ประจำสถานนีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลนั่นเอง
“...หลายคนมีความกลัวซ่อนอยู่ภายในใจ บางคนกลัวการเริ่มต้นใหม่ บางคนกลัวความสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ แต่หากลองคิดทบทวนให้สักหน่อย เราอาจจะเห็นความสวยงามอยู่ในสิ่งที่เรากลัวก็ได้นะครับ การเริ่มต้นใหม่จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไปหากคุณลองก้าวข้ามความกลัวของตัวเองออกไปพบสิ่งใหม่ ๆ ลองยิ้มให้ใครสักคน หรือถ้าคุณกลัวความสูง ลองสลัดความกลัวแล้วมองไปข้างหน้า บางทีคุณจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตากว่าการมองลงไปที่ปลายเท้าของตัวเองก็ได้ แล้วถ้าคุณกลัวความมืด...ผมก็แค่อยากจะบอกว่า...คืนนี้ดาวสวยนะครับ”
จบประโยคนั้น คุณหมอหนุ่มผู้ไม่เคยเห็นเห็นความงดงามในสิ่งรอบตัวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไม่รู้ตัว ในหัวเกิดคำถามว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นดวงดาวมากมายเช่นนี้...
“ยิ่งมืดเท่าไร เราก็จะยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจนขึ้นเท่านั้นและมันทำให้ผมนึกถึงเพลงหนึ่งมา ก่อนจะจากกันไป ผมขอส่งท่านผู้ฟังทุกท่านเข้านอนด้วยเพลงนี้ครับ พรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใสรับวันใหม่ด้วยกัน ราตรีสวัสครับ”
สิ้นเสียงดีเจ เพลงเก่าเพลงหนึ่งก็แว่วมาตามสายลม...
...
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ตอนที่ 4 ส่งเพลงนี้คืนมาให้ฉันที (1)
บนผืนทรายปรากฏรอยเท้าก้าวด้วยจังหวะสม่ำเสมอเกิดเป็นเส้นนำสายตาไปยังชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอกลมสวมกางเกงขาสั้น นิ้วมือข้างหนึ่งเกี่ยวส้นรองเท้ากีฬาคู่เก่าเอาไว้ส่วนอีกมือยกขึ้นดันแว่นขณะก้มลงมองทุกย่างก้าวของตนเอง กระทั่งหูได้ยินเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือเกลียวคลื่นร่างสูงจึงหยุดแล้วเบนหน้าออกสู่เวิ้งน้ำกว้างใหญ่ สูดลมหายใจรับอากาศยามเช้าตรู่ที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นไอทะเล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิททอดมองเหนือขึ้นไปบนเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้าซึ่งในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผ้าใบผืนใหญ่ที่ฉาบทับด้วยสีเทาขมุกขมัวไร้ชีวิตชีวา นาน ๆ จะมีนกสักตัวบินผ่านมาสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า จู่ ๆ ภาพการสนทนาระหว่างเขากับสิรันทรก็แทรกเข้ามาในหัว
“คนมาทะเลเขาว่ามีสองแบบนะหมอ ถ้าไม่หนีร้อนก็หนีรัก หมอเป็นแบบไหน”
“สงสัยจะเป็นแบบที่สอง”
ขวัญนพเผลอถอนใจเบา ๆ ทิ้งความคิดล่องลอยไปกับกระแสลม ปล่อยให้คลื่นซัดเข้าหาจนเท้าเปล่าค่อย ๆ จมลงใต้เม็ดทราย แม้ไม่ใช่คนคิดมากหากแต่สิ่งที่เจออยู่ในขณะนี้กลับทำให้ไม่อาจสลัดมันหลุดจากห้วงคำนึงได้
เด็กชายเจ้าของพวงแก้มน่าหยิก...ยังจำวันแรกที่พบกันเมื่อเก้าปีก่อนได้ไม่ลืม นั่นเพราะเป็นลูกชายของ “รัมภ์รดา” เหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นหมอที่นี่ เธอคืออดีตคนรักที่เลิกรากันไปตั้งแต่ปีต้น ๆ ของการเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นรัมภ์รดาก็คบหากับหนุ่มรุ่นพี่ร่วมคณะและตัดสินใจแต่งงานกันทันทีที่เรียนจบ ขวัญนพเคยไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหนหนึ่งในวันที่เด็กชายปูไข่ลืมตาดูโลก และนั่นคือการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเป็นแพทย์ใช้ทุน
เมื่อต่างคนต่างมีชีวิตมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบก็ทำให้แทบจะลืมเรื่องราวของกันและกันไปเสียสนิทกระทั่งเมื่อสองปีก่อนความบังเอิญทำให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เพราะรัมภ์รดาเกิดล้มป่วยขณะติดตามสามีซึ่งเป็นวิศวกรมาควบคุมการก่อสร้างศูนย์การค้าและคอนโดแห่งใหม่จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่การได้หวนมาเจอกันกลับเป็นเพียงการพบเพื่อบอกลาชั่วนิรันดร์เท่านั้น
ขวัญนพมารู้ในภายหลังว่ารัมภ์รดาพยายามทำความเข้าใจกับอาการป่วยของตนเองมาโดยตลอดหลังจากได้ฟังคำวินิจฉัยครั้งที่เธอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน เธอและสามีต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันทั้งยังฝึกลูกชายให้เข้มแข็งโดยการบอกเขาเกี่ยวกับโรคที่แม่เป็น ฝึกให้เขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองในวันที่ปราศจากใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจนักเมื่อเห็นเด็กชายแก้มยุ้ยสามารถปรับตัวได้ไวและกลับมาร่าเริงอีกครั้งหลังผู้เป็นแม่จากไปได้ไม่นาน
แต่โชคชะตาก็ดูจะเล่นตลกไม่เลิกเมื่อจู่ ๆ ปูไข่ก็มีอันต้องสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิตด้วยการป่วยเป็นโรคเดียวกับแม่ของตนเอง ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้อย่างขวัญนพรู้ดีว่ายาดีแค่ไหนก็ไม่อาจรักษาหายขาดได้ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือการที่เด็กชายต้องสูญเสียพ่อไปในยามที่ชีวิตต้องการกำลังใจ
เสียงถอนหายใจขณะบิดขี้เกียจที่ได้ยินทำให้ขวัญนพต้องทิ้งภาพตรงหน้าหันไปมองคนที่เดินมาหยุดยืนข้างกัน
“วันนี้นึกยังไงถึงได้ออกมาวิ่ง” กันตภณพูดไปหาวไป
“วันนี้ผมหยุด แล้วพี่ล่ะมายืนหาวอะไรอยู่ตรงนี้”
“ฉันเพิ่งออกเวร เมื่อคืนมีคนโทรไปตามให้มาช่วยดูน้องปลาดาว”
“อาการไม่ดีเหรอครับ”
“อืม” คุณหมอหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งตอบเสียงขรึมก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่านึกยังไงถึงออกมาวิ่ง ไหนบอกไม่มีเวลา”
“ก็...” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ก็แค่อยากจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงให้มันคุ้มค่าน่ะพี่”
“ไอ้นี่พูดจาแปลก ๆ”
“เอาน่า ช่างผมเถอะ พี่อย่าสนใจผมเลย สนใจตัวเองดีกว่า นี่น่ะเหรออดีตเดือนคณะแพทย์ที่สาว ๆ คลั่งไคล้ ผมนึกว่าหมีแพนด้า”
กันตภณมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา “นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
คนอายุน้อยกว่าเพียงแต่กดยิ้มมุมปากก่อนกล่าว “ไปหากาแฟร้อนดื่มหน่อยไหมจะได้สดชื่นขึ้น ผมเลี้ยงเอง” พูดจบเจ้าของร่างสูงเดินนำไปทันทีราวกับรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว
ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านกาแฟก็ได้ยินเสียงนักจัดรายการสมัครเล่นของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลเหมือนเช่นเคย สองคนสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ รอไม่นานกาแฟร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
“เดี๋ยวไปไหนต่อ” แพทย์รุ่นพี่เอ่ยขึ้นก่อนยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
“กลับไปอาบน้ำแล้วก็ว่าจะแวะไปเก็บของที่ห้องทำงานครับ” ขวัญนพกล่าวพลางยืดตัวขึ้นมองคุณแม่คนสวยที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา
วารุณีจูงมือลูกสาวตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ เมื่อเด็กหญิงยี่หวาหันมาเห็นอานพของเธอ หนูน้อยก็รั้งมือผู้เป็นแม่เดินดิ่งมายังโต๊ะที่สองหนุ่มนั่งอยู่
“อานพ! อากันต์!”
“ค่อย ๆ เดินสิคะลูก” วารุณีร้องปรามทันทีที่มือเล็กหลุดจากการเกาะกุมของตนเอง กระนั้นเด็กหญิงก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี เธอชะลอฝีเท้าลงกระทั่งมาหยุดต่อหน้าคุณอาทั้งสอง คราวนี้ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นประนมและกล่าวคำสวัสดี ปากเล็กฉีกยิ้มกว้างพอ ๆ กับคุณแม่ที่ถือแก้วกาแฟเย็นเดินตามมาสมทบ
“ใกล้จะถึงวันเกิดพี่วาแล้วนี่หว่า นายว่าปีนี้งานจะเข้าเราสองคนอีกหรือเปล่าวะ” กันตภณกระซิบ ที่ถามขึ้นมาเช่นนี้ก็เพราะอดหวั่นใจกับสาวนักกิจกรรมคนนี้ไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่แพทย์รุ่นน้องจะได้แสดงความคิดเห็น คุณแม่คนสวยก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“ซุบซิบอะไรกันจ๊ะหนุ่ม ๆ”
ขวัญนพส่ายหน้ายิ้ม ๆ หาอะไรทำด้วยการยกกาแฟขึ้นจิบจึงเป็นหน้าที่ของอีกคนที่ต้องตอบคำถามนั้น
“เปล่านี่ครับ” พูดจบก็คว้าตัวเด็กหญิงมานั่งบนตักทำเปลี่ยนเรื่อง “โอ้โฮ! ตัวหนักน่าดูเลย วันนี้คุณแม่ทำอะไรให้ทานคะ”
“ข้าวผัดอเมริกันค่ะ อร่อยมากด้วย” ว่าแล้วก็ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นเป็นการการันตี
“อร่อยขนาดลูกสาวยังยกนิ้ววันหลังพี่วาต้องทำมาให้พวกผมพิสูจน์บ้างแล้วนะครับ”
“สัปดาห์หน้าได้ทานแน่จ้ะ พี่ว่าจะทำมาเลี้ยงเด็ก ๆ ที่หอผู้ป่วย วันเกิดของพี่ปีนี้ต้องพิเศษแน่ ๆ”
สิ้นเสียงแพทย์หญิงวารุณีขวัญนพก็แทบสำลัก ชายหนุ่มรีบวางถ้วยกาแฟลงคว้ากระดาษชำระเช็ดปากพร้อมกับลอบมองกันตภณที่แอบทำหน้าเบ้
“เจอสองคนนี้ก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือน่ะ พอดีคุยกับฟาร์มไว้แล้วม่รู้ว่าฟาร์มมาคุยให้เราสองคนฟังหรือยัง”
“อ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณพูดไปส่ายหน้าไป นักกิจกรรมกับนักกิจกรรมมาเจอกันทีไรเพื่อนฝูงตายหมู่ทุกที
“จ้ะ บอกฟาร์มไว้ว่าให้ชวนกันต์กับนพแสดงอะไรให้เด็ก ๆ ดูเหมือนปีก่อน”
“ค...คือวันเกิดพี่วาสัปดาห์หน้าพวกผม...ม...ไม่...”
“ไม่ติดอะไรใช่ไหมจ๊ะ พี่ให้ฟาร์มแอบไปดูตารางของสองคนมาแล้วละ กันต์ก็เพิ่งกลับจากสัมมนานี่เนอะ”
“ไม่ติดก็ไม่ติดครับ” กันตภณตอบเสียงอ่อยจนขวัญนพแอบยิ้ม
“ปีที่แล้วอานพ อากันต์ อาฟาร์ม เต้นเพลงอะไรนะคะ”
“อาลืมไปแล้ว” พูดแล้วก็หาวหวอด ๆ
“สมองเสื่อมขึ้นมากะทันหันเลยนะพี่” ขวัญนพเย้าเมื่อนึกถึงการแสดงเมื่อปีก่อนที่เละไม่เป็นท่าเพราะปล่อยให้นักอนุรักษ์นิยมอย่างกันตภณเป็นคนดำเนินการทั้งหมด
“ฝากเลี้ยง” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น ทุกคนในวงสนทนาต่างพากันหันไปมองชายหนุ่มหน้าบอกบุญไม่รับที่กำลังเดินเข้ามา เห็นได้ชัดเจนว่าผมที่ยาวระต้นคอนั้นบัดนี้ถูกตัดแต่งกลายเป็นรองทรงสูงดูแปลกตาแต่ก็ยังถือว่าเข้ากับรูปหน้าของเขาอย่างเหมาะเจาะ
“อาฟาร์ม!!!” เด็กหญิงยี่หวากล่าวเสียงใสก่อนจะผละจากตักแกร่งวิ่งตรงเข้าไปกอดคอคนที่กำลังย่อตัวลงนั่ง
ณรงค์ฤทธิ์ยกร่างเล็กลอยขึ้นในอากาศก่อนจะดึงเข้าหาตัว เห็นหน้าของหนูน้อยแล้วพลอยทำให้ยิ้มได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็อดหันไปแขวะเพื่อนสนิทไม่ได้ “เลือกเองแท้ ๆ จำไม่ได้หรือไง เด็ก ๆ พากันนั่งอ้าปากหวอเพราะลุงหมอดันเอาเพลงรุ่นคุณพ่อมาเต้น”
“น้อย ๆ หน่อยไอ้ฟาร์ม อย่างน้อยฉันก็ทำให้ท่าเต้นของพี่เจเป็นที่รู้จักในหมู่เด็ก ๆ นะโว้ย”
“ภูมิใจว่างั้น” ศัลยแพทย์หนุ่มทำหน้ายู่ก่อนจะนั่งลง
“เออ” กันตภณตอบห้วน ๆ “แล้วเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับซิลิโคนเคลื่อน”
“ซิลิโคนบ้านป้าแกสิ” ถอนใจพลางยกมือขึ้นเสยผม “คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ยังจะมากวน”
“ไปอารมณ์ไม่ดีอะไรมาฟาร์ม” ขวัญนพถามด้วยความสงสัย หวังว่าตนเองอาจจะพอช่วยอะไรอีกฝ่ายได้
“เราไปตัดผมมา ร้านข้างหลังโรงพยาบาลน่ะ ตัดเสียสั้นเชียว ดูสิจะยาวทันงานวันเกิดพี่วาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เหมาะกับฟาร์มดีออก หรือพี่ว่าไงพี่กันต์”
แทนที่จะออกความเห็นคนถูกถามกลับละเลียดจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์กระทั่งเจอสายตาพิฆาตของณรงค์เข้าจึงยอมวางถ้วยกาแฟลงแล้วตอบส่ง ๆ “ก็ไม่ได้แย่”
“อือ คงไม่มีอะไรแย่เท่ากับการแสดงที่แกคิดเมื่อปีก่อนแล้วละ”
“แกไม่มาซ้อมเอง เรื่องอะไรมาโทษฉัน”
“แหกตาดูบ้างว่าทั้งโรงพยาบาลมีศัลยแพทย์ประสาทและสมองกี่คน กว่าแกจะตัดสินใจได้ว่าจะโชว์อะไรฉันต้องผ่าตัดไม่รู้กี่เคส เล่นมาสรุปได้เอาก่อนวันเกิดพี่วาแค่คืนเดียว ใครมันจะไปซ้อมทัน”
“เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันจ้ะ ยังมีเวลาให้แก้ตัวอีกหลายครั้งตราบสิ้นอายุขัยของพี่แหละ” วารุณีตัดบท
“โอ้โห! ใจคอพี่วาจะให้พวกผมแสดงกันทุกปีเลยเหรอครับ”
“บ่นอะไรจ๊ะ ดูนพสิยังไม่เห็นบ่นสักคำ”
“พูดอะไรบ้างสิวะ”
“ผมยังไงก็ได้พี่ ว่าแต่ปีนี้เราจะแสดงอะไรกัน”
“เป็นอย่างนั้นไป” คนที่จ้องจะหาพวกกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“ปีนี้ต้องเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเท่านั้น”
“ไม่!” กันตภณสวนทันควันเตรียมจะลุกขึ้นแต่ขวัญนพรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน
“ถ้าไม่ แกก็คิดการแสดงมาอีกชุดแล้วแสดงคนเดียวไปก็แล้วกัน ฉันกับนพจะเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเอง”
“ฮ...เฮ้ย!” ไม่ใช่ขวัญนพคนเดียวที่ตกใจ กันตภณเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“จ...จะดีเหรอฟาร์ม” อายุรแพทย์หนุ่มกล่าวอ้อมแอ้ม
“ดีสิ! ดีตรงที่ไอ้กันต์จะได้แสดงคนเดียวนี่แหละ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ยิ้มเยาะก่อนจะคลายวงแขนปล่อยคนตัวเล็กในอ้อมกอดเป็นอิสระ “ดีไหมคะยี่หวา”
“ดีค่ะอาฟาร์ม อย่างนี้เราก็มีการแสดงตั้งสามชุดแน่ะ”
“สามชุด?” สามหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ใช่จ้ะ พี่ขอให้พวกนักศึกษาปริญญาโทที่เข้ามาทำวิจัยช่วยน่ะ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี ตายยากจริง” วารุณีโบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงให้รู้ว่าเธอต้องการให้เขาแวะเข้ามาข้างในสักครู่
ประจำเมืองยกมือไหว้ทักทายทุกคนเมื่อมาถึง มองกันตภณกับอีกคนที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันโดยไม่ได้สนใจในการมาของเขาเลยสักนิด
“ในนี้คงมีฟาร์มคนเดียวสินะที่เมืองยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่แนะนำก่อนก็แล้วกัน” สาวสวยกล่าวขณะวางมือลงบนบ่าของคนที่นั่งหันข้างให้เป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายให้รู้ตัว “นี่หมอฟาร์มหรือหมอฟ้าใสจ้ะ ฟาร์มนี่น้องเมือง นักศึกษาปริญญาโทที่พี่เล่าให้ฟัง”
ท้ายประโยคเล่นเอาประจำเมืองหน้าเหวอ ไม่คิดว่าหมอฟ้าใสที่ใคร ๆ ต่างพูดถึงซึ่งตัวเขาเองเข้าใจมาตลอดว่าต้องเป็นคุณหมอแสนสวยจะกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนวัยไปได้
“ส...สวัสดีครับคุณหมอฟ้าใส”
“ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นร่างจริง” คำพูดลอย ๆ ของเพื่อนสนิททำเอาณรงค์ฤทธิ์ที่กำลังค้อมศีรษะรับการทักทายของผู้มาใหม่ต้องรีบหุบยิ้ม “น้องเมืองเรียกพี่ฟาร์มก็ได้ เดี๋ยวจะระคายหูจนหมาแถวนี้เห่าหอนไม่รู้จบ”
“แกว่าใครเป็นหมา ไอ้ฟาร์ม”
เจ้าของชื่อยักไหล่ไม่ยี่หระเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงวารุณีเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “เอาละจ้ะ มีเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ลองปรึกษากันดูนะจ๊ะ ฝากด้วยนะ เราคือทีมเดียวกันแล้ว พี่ต้องไปตรวจคนไข้แล้วละ” กล่าวจบเธอก็หันไปจูงมือลูกสาวเดินออกไปจากร้านกาแฟด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทิ้งระเบิดลูกโตเอาไว้ให้คนข้างหลัง
“เราคือทีมเดียวกัน” กันตภณทวนคำแล้วหัวเราะหึ “ยังไงฉันก็ไม่เต้นคัพเวอร์กับแก”
“ก็แล้วแต่แก อยากแสดงคนเดียวก็แสดงไป” หมอฟาร์มกล่าวไม่แยแส
“ก็ได้ แกจะเอาอย่างนั้นก็ได้” สวนกลับด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นเมืองมาแสดงกับพี่”
“เอ่อ...คือ...ไม่น่าจะได้นะครับพี่กันต์ พอดีผมกับเพื่อน ๆ คิดการแสดงกันไว้แล้ว” ประจำเมืองพยายามปฏิเสธให้สุภาพที่สุด “แต่ถ้าจะให้ช่วยเตรียมอะไรละก็บอกได้เลยครับ พวกผมยินดี”
ขวัญนพละสายตาจากคนพูดมองมายังณรงค์ฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันได้ยินอีกฝ่ายทำจมูกฟุดฟิดก็ให้อดถามไม่ได้ “เป็นอะไรหรือเปล่าฟาร์ม”
“เหม็น เหม็นอะไรไม่รู้ สงสัยเหม็นหัวหมาแถวนี้”
“ไอ้ฟาร์ม!” คนร้อนตัวจ้องหน้าตาเขม็ง
“อะไรไอ้หมาหัวเน่า”
ทันทีที่รู้คำตอบขวัญนพก็ตัดสินใจคว้าถุงใส่แซนด์วิชแล้วลุกขึ้นตั้งใจปล่อยให้สองคนทะเลาะกันไปจนกว่าจะพอใจ
“พี่ไม่ห้ามหน่อยเหรอ ดูสิเถียงกันใหญ่แล้ว” ประจำเมืองท้วงขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป
นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วกระซิบ “สุดท้ายพี่กันต์ก็แพ้ฟาร์มอยู่ดี ไปเถอะ”
(มีต่อค่ะ)
ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป
“มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วนะครับ เผื่อใครเพิ่งเปิดมาฟังบอกอีกทีว่านี่คือช่วงคุณขอมาเราจัดให้กับผมดีเจปาล์มและดีเจเมืองครับ”
เสียงคุ้นเคยของนักจัดรายการสมัครเล่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของหนึ่งในสองหนุ่มที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่ที่พื้นทำให้คุณหมอทั้งสามต้องหยุดการสนทนาแล้วหันมาฟังอย่างตั้งใจ
“ก่อนปิดสถานีมาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีไหมครับคุณปาล์ม”
“ดีเลยครับ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน ผมว่าน่าจะมีคนกำลังติดตามเรื่องนี้กันอยู่เยอะ เป็นข้อความจาก...อืม...ไม่ได้ลงชื่ออีกแล้วนะครับว่าจากใคร”
“แต่ดูท่าทางจะป่วยหนักเสียด้วยสิ ผมอ่านข้อความเลยแล้วกันป่านนี้เจ้าตัวเขารอแย่แล้ว ข้อความจากคุณบุรุษลึกลับเขียนมาว่า...เป็นสิวต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังแต่ถ้าเป็นโรครักเธอเรื้อรังต้องไปปรึกษาหมอไหนดี...ผมว่าคงไม่ต้องปรึกษาใครแล้วละครับก็ปรึกษากับคนที่คุณมอบเพลงนี้ให้นี่แหละ เรามาลากันด้วยเพลงนี้ครับ รักเธอ...มอบให้คุณหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มนิรนาม”
ทันทีที่เสียงเปียในท่อนอินโทรของเพลงรักที่เคยได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่งถูกเปิดขึ้นทุกคนก็พาหันมองเจ้าของหน้าหวานที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟากลางห้องเป็นตาเดียว กันตภณส่ายหัวหนัก ๆ พลางนั่งลงข้าง ๆ วาดแขนตวัดรัดคอระหงก่อนจะเนี่ยวเข้ามาใกล้จนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบใช้มือรั้งแขนแกร่งให้คลายออกเพื่อให้หายใจได้สะดวก
“อะไรของแกไอ้กันต์ ฉันหายใจไม่ออก”
“แกตายแน่ถ้าไม่ยอมบอกว่าไอ้คนที่ขอเพลงให้แกมันเป็นใคร”
“จะไปรู้ได้ยังไง เมื่อกี้น้องปาล์มก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ได้ลงชื่อ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์กล่าวพลางมองตามร่างสูงของเจ้าของห้องที่เดินมานั่งลงอีกข้าง กลายเป็นว่าขณะนี้เขาถูกประกบด้วยสองหนุ่มที่นิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว
“บอกมาเถอะฟาร์ม เราก็อยากรู้ว่าใช่พี่กันต์หรือเปล่า” แม้จะวางหน้านิ่งหากแต่กลับดูกรุ้มกริ่มอยู่ในที
คำพูดของขวัญนพทำเอาสองคนที่ถูกกันตภณขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมหัวจมท้ายด้วยถึงกับตาลุกวาวแต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูฟังแบบเนียน ๆ เท่านั้น
“อ้าวไอ้นพ! ทำไมพูดอย่างนั้นวะ ฉันบอกแกแล้วว่าฉันไม่ได้ขอเพลงให้มัน”
“แล้วพวกแกจะอยากรู้ไปทำไมกัน ฉันยังไม่เห็นอยากรู้เลย” ตัวต้นเหตุทำเสียงดังโวยวายพร้อมกับพยายามขยับตัวให้หลุดจากวงแขนของเพื่อนสนิท
“ไอ้นี่ก็พูดจามีพิรุธ จะบอกหรือไม่บอก”
“จะเอาจากไหนมาบอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” ศัลยแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าดิ้นรนไปก็ไม่เป็นผลจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ
“พี่กันต์ปล่อยฟาร์มเถอะ เดี๋ยวฟาร์มหายใจไม่ออก”
“แกเข้าข้างมันเหรอ”
“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่ฟาร์มอาจจะไม่รู้จริง ๆ ก็ได้” ขวัญนพกล่าวหลังจากพิจารณาแล้วว่าคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์
“ใช่...นพพูดถูก ขอบใจนะนพที่เข้าใจเรา” ณรงฤทธิ์รีบสนับสนุน “นพเป็นคนดีมีเหตุผลเสมอเลย มีแต่แกนั่นแหละไอ้หมาบ้า! จ้องแต่จะกัดฉัน”
“ปล่อยก็ได้วะ” กันตภณกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับคลายวงแขนออก “เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อนนะ”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่! ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จริง ๆ เขาก็แค่ขอเพลงไม่ได้สานต่ออะไรอย่างอื่น”
“แล้วถ้าเขาสานต่อแกจะว่าไง”
“ก็ดีสิ โสดมาหลายปีแล้ว จะได้ทิ้งพวกแกลงจากคานสักที”
“พูดดีไปเถอะ ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ระวังก็แล้วกัน ระวังจะเป็นแค่หมาหยอกไก่ สุดท้ายช้ำใจก็ต้องกลับมาซบอกเพื่อนบนคนเหมือนเดิม”
“อ...ไอ้กันต์! แก!”
“เอาละครับ ๆ” โอเอ่ยขึ้น “พวกพี่อย่าทะเลาะกันเลย รอให้ไอ้เมืองกับไอ้ปาล์มมาก่อนค่อยถามมันก็ได้ เผื่อจะรู้เบาะแสเจ้าของกระดาษโน้ตนั่น ตอนนี้ผมว่าพวกพี่จับฉลากแบ่งสายกันดีกว่า” คนที่กำลังใช้กรรไกรตัดกระดาษสีเป็นรูปเลขาคณิตรีบห้ามทัพแล้วหันไปส่งสัญญาณ นักดนตรีรุ่นน้องจึงคว้าแก้วกาแฟพลาสติกที่มีม้วนกระดาษเล็ก ๆ เท่ากับจำนวนคนในห้องไปหยุดยืนตรงหน้าคุณหมอทั้งสาม
“จับฉลากแบ่งสายอะไรกันน้องก้อง” หมอฟาร์มมุ่นคิ้ว
“ก็จับฉลากว่าใครต้องแสดงเป็นอะไรในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระไงครับ”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่เล่นเป็นสโนว์ไวท์ นพเป็นเจ้าชาย ส่วนไอ้กันต์กับน้อง ๆ เป็นคนแคระหรอกเหรอ”
คนฟังส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่ครับ พวกผมปรึกษากันแล้วว่าจะให้น้องยี่หวาเป็นสโนว์ไวท์ ส่วนคนที่เหลือจับฉลากเอา อืม...ถ้าอย่างนั้นเรียงไปเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพี่นพก่อน เดี๋ยวผมกับพี่โอปิดท้าย”
ขวัญนพพยักหน้าแล้วล้วงมือลงไปหยิบกระดาษม้วนเล็กขึ้นมาถือไว้ รอกระทั่งครบทุกคนจึงเปิดของตนเองออกดู
“พี่นพได้อะไรครับ”
“คนแคระ”
สิ้นเสียงแพทย์รุ่นน้องกันตภณก็หัวเราะไม่หยุด
“แล้วพี่ฟาร์มล่ะครับ”
เมื่อถูกถามถึง ณรงค์ฤทธิ์จึงคลี่ม้วนกระดาษออก “กระจก! มันมีตัวละครนี้ด้วยเหรอ”
“มีสิพี่ สำคัญเลยล่ะ” ก้องยิ้มมีเลศนัย
“คนหนึ่งก็คนแคระ คนหนึ่งก็กระจก ของฉันมันต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” ไม่วายหัวเราะเยาะก่อนจะคลี่กระดาษออกดู “เฮ้ย! แม่มด!”
เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทบาทที่ตนเองได้รับถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาได้
“ขำมากนักหรือไงเป็นแม่มดเนี่ย”
“ขำ...ขำสิ” คนพูดหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล “โอ๊ย! แม่แกได้ไปอำเภอแจ้งเกิดแกอีกรอบแน่ไอ้กันต์เอ๊ย”
“อะ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณเข่นเขี้ยวแต่แล้วก็จำต้องยอมอ่อนให้ “แลกกันไหม”
“ไม่!” อีกคนทำเสียงแข็งแม้อยากจะตอบตกลงใจจะขาด
“ทำไมวะ ฉันรู้นะว่าแกอยากแต่งหญิง”
“แต่ปีนี้ฉันว่าเด็ก ๆ น่าจะอยากเห็นคุณลุงหมอกันตภณในคราบแม่มดสาวแสนสวยมากกว่า” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังจนคนถูกล้อหน้าหงิก “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี ก็ลุงหมอกันตภณน่ะสิ ทั้งทั้งปฐพีไม่มีใครปากหมาเกิน!!!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งทำฟึดฟัดพร้อมกับลุกขึ้นเดินแยกไปนั่งที่โซฟาอีกตัว “แล้วก้องกับโอได้อะไร”
“ผมเป็นคนแคระเหมือนพี่นพครับ” ก้องพูดพร้อมกับหงายกระดาษในมือให้ดู “ที่เหลือของพี่โอก็ต้องเป็นเจ้าชาย”
“มีใครอยากแลกไหม” กันตภณถามห้วน ๆ และคำตอบที่ได้รับจากสองหนุ่มที่พร้อมใจกันตอบก็คือ...
“ไม่!”
หลังจากจัดสรรหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว บรรดาคุณหมอและเหล่านักดนตรีก็นัดซักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นในตอนค่ำของทุกคืน ถึงจะมีถกเถียงกันให้เหล่าคนมาช่วยทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างประจำเมืองและปาล์มต้องปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงวันงาน
ประจำเมืองกอดอกยืนมองเวทียกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อยและฉากหลังสีสันฉูดฉาดที่ทำจากกระดาษปะติดภายในห้องโถงของหอผู้ป่วยเด็กซึ่งถูกเนรมิตจนเสร็จเมื่อราว ๆ เกือบรุ่งสางของวันใหม่ อิเล็กโทนตัวใหญ่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหนึ่งของเวที นึกขอบคุณลูกชายคุณตาสุธีเจ้าของวงดนตรีท้องถิ่นที่ให้ยืมมาใช้ก่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาว หันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าก้องกับปาล์มต่างพากันนอนสลบไสลอยู่กับพื้นโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านไปผ่านมาหรือไม่
“ดื่มกาแฟหน่อยไหม” ขวัญนพที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์เอ่ยขึ้นพร้อมกับชูถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้น
“ขอบคุณครับ แต่ผมฝากพี่ช่วยดื่มได้ไหม”
“ทำไมล่ะ” นายแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“คือ...ผมไม่ดื่มกาแฟครับ”
“ไอ้เมืองมันเด็กอนามัย” คนที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำกล่าวพลางลูบหน้าลูบตาที่พราวไปด้วยหยดน้ำ “เข้าร้านกาแฟก็กินแต่นมร้อน” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ พี่จะไปซื้อมาให้ใหม่” กำลังจะหันหลังกลับก็โดนห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว พี่นพรีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ อยู่ช่วยพวกผมมาเกือบทั้งคืนแล้ว” พูดจบประจำเมืองก็ก้มลงเขย่าตัวคนที่กำลังหลับสบายหวังจะให้ตื่นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะได้ผลจนพี่ใหญ่ในกลุ่มต้องออกโรงเอง
“เฮ้ย! ตื่น ๆ กลับกันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่ายังใช้ปลายเท้าช่วยสะกิดด้วย
“เช้าแล้วเหรอพี่” ก้องกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ยังไม่เช้าหรอก แต่กลับกันได้แล้ว รีบกลับไปนอนเดี๋ยวตอนสายต้องมาเตรียมตัว”
คนฟังจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังพยักหน้าหันไปเขย่าตัวของอีกคนให้ตื่น “ไอ้ปาล์มกินข้าว”
“เที่ยงแล้วเหรอวะ”
“พอกันเลยไอ้สองคนนี้” โอส่ายหน้าก่อนจะรั้งคอเสื้อให้ทั้งคู่ยืนขึ้นแล้วโอบไหล่ลากกันเดินไปที่ลิฟต์ ในขณะที่ประจำเมืองช่วยเก็บข้าวของของเพื่อน ๆ ไม่ลืมจะหันมากล่าวกับคุณหมอที่อาสามาช่วยตกแต่งสถานที่ตั้งแต่ออกเวรดึก
“ผมไปก่อนนะครับ”
ขวัญนพเพียงแต่พยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังเดินห่างออกไป รอกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลงจึงได้ยกถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้นดู สงสัยว่าคงต้องเอากลับไปดื่มเองเสียแล้ว...
บรรดาคุณหมอและหนุ่มนักดนตรีกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในตอนสายเพื่อให้เหล่านางพยาบาลช่วยกันแปลงโฉมให้ด้วยอุปกรณ์และเสื้อผ้าที่พอจะหาได้ในเวลาจำกัด ซึ่งกันตภณดูท่าจะไม่พอใจกับชุดแม่มดของตนเองนัก เพราะนอกจากจะเป็นชุดเดรสยาวสีดำแนบไปกับลำตัวแล้วยังคว้านคอลึกโชว์อกอวบซึ่งถูกยัดด้วยลูกโป่งใส่น้ำอีกด้วย นายแพทย์หนุ่มแทบไม่อยากเดินไปไหน ไม่ใช่เพราะเกรงว่าลูกโป่งที่เด้งชนกันอยู่บนแผงอกจะทำให้เกิดภาพไม่เหมาะสม หากแต่กลัวว่าตะเข็บของชุดที่สวมจะปริแตกกลายเป็นภาพอุจาดตาเสียมากกว่า แต่ก็นับว่ายังแพ้ชุดมนุษย์กระจกของหมอฟาร์มอยู่ดี
“ชุดบ้าอะไรวะเนี่ย”
“เอาน่าพี่ มันหาได้ดีที่สุดแค่นี้นี่นา” ก้องกล่าว เขาเองสวมเสื้อซานตาคลอสสีแดงตัวใหญ่กับกางเกงสีดำตัวโคร่งคาดด้วยเข็มขัดหลวม ๆ
ณรงค์ฤทธิ์มองภาพสะท้อนบนกระจกหน้าต่างแล้วอดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ นอกจากต้องใส่ชุดแนบเนื้อแบบยอดมนุษย์ห้าสีแล้วเขายังต้องสวมหัวอำพรางใบหน้าด้วยถุงน่องอีกด้วย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องถือกรอบไม้สี่เหลี่ยมบ้า ๆ ที่หุ้มด้วยกระดาษสีทองซึ่งคนทำพยายามจะเลียนแบบกรอบหลุยส์แต่ดันออกมาเหมือนขนมกรอบเค็มหงิก ๆ งอ ๆ เดินไปเดินมาทั้งเรื่องเพียงเพื่อพูดแค่ว่า ‘สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งปฐพีไม่มีใครงามเกิน’
“มีใครสั่งเครื่องดื่มไว้หรือเปล่าจ๊ะ น้องพนักงานร้านกาแฟเอาเครื่องดื่มมาส่งจ้ะ” วารุณีชะโงกหน้าเข้ามาถามภายในห้อง
ไม่มีใครตอบรับหรือปฏิเสธเพราะกำลังสาละวนอยู่กับกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง ดังนั้นขวัญนพจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วก็ออกไปจ่ายเงินที่ด้านนอก จากนั้นเครื่องดื่มหลายชนิดที่ถูกชงใส่มาในขวดพลาสติกและแก้วกระดาษทรงสูงที่มีน้ำแข็งอยู่เกือบเต็มก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุก ๆ คนที่มาช่วยงานโดยสาวสวยเจ้าของร้านกาแฟ
“นมร้อนนี่ของน้องเมืองจ้ะ”
“ของผมเหรอครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากข้างนอกกล่าว
“ใช่จ้ะ”
“ขอบคุณครับ” พูดจบก็รับถ้วยกระดาษใส่นมร้อนเดินไปนั่งบนโต๊ะตรงกลางห้อง
“พี่นพ กางเกงพี่น่ะเดินแล้วจะหลุดไหมเนี่ย” ก้องเอ่ยขึ้น
“นั่นน่ะสิ มีเข็มขัดเส้นเดียวเสียด้วย” คนพูดก้มลงมองกางเกงตัวใหญ่ความยาวกรอมเท้าที่เกือบทำให้เดินสะดุดจนหน้าทิ่มอยู่หลายรอบ บิดตัวซ้ายขวาสำรวจตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ใครสักคนหอบหิ้วมาให้ยืมสำหรับใช้ในห้องแต่งตัว อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองนิ่งมองเงาสะท้อนของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเอี๊ยมสีเข้มที่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิและยกนมร้อนขึ้นจิบอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่วางแก้วกระดาษลงเขาก็ยกกระดาษมีบรรทัดห้าเส้นขึ้น ส่วนอีกมือเคลื่อนที่ไปมาในอากาศราวกับปลายนิ้วของเขาในขณะนี้กำลังสัมผัสอยู่บนลิ่มนิ้วเปียโนก็ไม่ปาน และในจังหวะที่คนในกระจกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดีขวัญนพจึงก้มลงมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง
“ผมว่าเอาเชือกผูกไว้หน่อยดีไหม กันหลุด” กล่าวจบประจำเมืองก็กระโดดลงจากโต๊ะเดินไปหยิบเชือกป่านเส้นหนึ่งที่เหลือจากใช้ทำเส้นผมของแม่มดมาให้
คนแคระแต่ตัวสูงรับไว้ก่อนจะปลดเข็มขัดที่คาดเอาไว้หลวม ๆ ออก จัดการผูกเชือกอ้อมรอบเอวกางเกง แต่เพราะชายเสื้อที่ยาวรุงรังทำให้การม้วนเก็บเอวกางเองเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดเป็นไปอย่างทุลักทะเล เห็นแล้วให้รำคาญลูกตานัก
“พี่ดึงเสื้อขึ้น เดี๋ยวผมม้วนให้” นักดนตรีหนุ่มว่า รอกระทั่งอีกฝ่ายรั้งชายเสื้อแสนเกาะกะขึ้นได้สำเร็จจึงช่วยม้วนขอบกางเกงให้
หอม...ยิ่งใกล้ปลายจมูกยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม ขวัญนพกดตาลงต่ำมองเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงศอก
“เรียบร้อย” ประจำเมืองยืดตัวตรงสำรวจความเรียบร้อยพร้อมกับยิ้มให้
“ขอบคุณมาก” คนอายุมากกว่ากล่าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดกลับคืนดังเดิมพลันเสียงของคนที่ทุกคนกำลังรอก็ดังขึ้น
“หลบหน่อยครับ พระเอกนางเอกมาแล้ว” ชายหนุ่มในชุดเจ้าชายเต็มยศเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้สาวน้อยในชุดสโนว์ไวท์ที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาบรรดานางพยาบาลสาว ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นจึงพากันไปขอถ่ายรูปกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
อีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากเด็ก ๆ ในหอผู้ป่วยรับประทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์หญิงวารุณีก็ก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน และเมื่อเห็นนักแสดงพร้อม เธอเองซึ่งเป็นคนเล่านิทานก็เริ่มทำหน้าที่ทันที วารุณีเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ยังเป็นเด็กและค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม จนกระทั่งโชคร้ายต้องมาพบกับแม่เลี้ยงใจร้ายเข้า สิ้นเสียงคนเล่านิทานเสียงดนตรีชวนตื่นเต้นก็แทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของแม่มดใจร้ายในคราบของราชินีและกระจกคู่ใจ
เป็นไปตามคาด เมื่อณรงค์ฤทธิ์และกันตภณก้าวขึ้นไปบนเวที เสียงหัวเราะของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ดังครืน เล่นเอาเหล่านักแสดงเขินอายไปตาม ๆ กัน เด็กชายปูไข่และเพื่อน ๆ ต่างชี้ชวนกันดูสองคนที่กำลังยืนเงอะงะพร้อมกับคาดเดาว่าทั้งคู่คือใคร แต่แล้วเสียงแหลมฟังน่ากลัวก็ทำเอาทั้งห้องโถงเงียบกริบ
“แห! แห! แห!!!”
“ราชินี ท่านจะเอาแหไปทำไมกัน” กระจกถาม
“เอามาทอดจับเจ้านั่นแหละ เจ้าปลาไหล ถุย! ข้าหัวเราะ! ไอ้กระจกบ้า!” ราชินีใจร้ายตวาดเสียงแหวพร้อมกับยกมือขึ้นช้อนหน้าอกที่เริ่มจะเด้งไปมาไร้ซึ่งสามัคคีให้กลับเข้าที่ จากนั้นจึงเชิดหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”
“สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งกาแลคซีไม่มีใครงามเกิน”
“จ...เจ้าว่ายังไงนะ นี่นังสโนว์ไวท์มันยังไม่ตายรึ ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้เห็นทีข้าต้องลงมือเอง” ราชินีกล่าวอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป
“พวกเจ้าอยากรู้ใช่ไหมเด็ก ๆ ว่าตอนนี้สโนว์ไวท์เป็นตายร้ายดียังไง เข้ามาใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวกระจกวิเศษจะพาไปดู” ว่าแล้วกระจกวิเศษหมุนอยู่กลางเวที 2-3 รอบ ก่อนจะเซออกจากฉากไปในที่สุด
“เดี๋ยวเราตามพี่กระจกไปกันดีกว่าค่ะเด็ก ๆ ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโนว์ไวท์” เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ สนใจจะติดตามเรื่องราวต่อ คนเล่าจึงหันไปส่งสัญญาณให้นักแสดงอีกคู่เตรียมตัว พลันเสียงบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานจากอิเล็กโทนที่บรรเลงโดยประจำเมืองก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของสองคนแคระและเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ทั้งสามพากันเต้นไปตามจังหวะเพลง จากนั้นขวัญนพในชุดคนแคระก็อุ้มสโนว์ไวท์ยี่หวาลอยขึ้นกลางอากาศ
“อยู่นี่เองแม่หนูสโนว์ไวท์” แม่มดที่เดินถือตะกร้าใส่แอปเปิ้ลผลโตมาจากอีกด้านของเวทีกล่าว “ยายมีแอปเปิ้ลหวาน ๆ มาให้จ้ะ” พูดจบมือสั่นเทาก็ยื่นลูกกลม ๆ สีแดงสดให้
“คุณแม่บอกว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าค่ะ” คำพูดไร้เดียงสาของหนูน้อยทำเอาบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และผู้ปกครองที่ยืนมองต่างพากันอมยิ้ม
“แต่แกต้องกิน!” แม่มดตัวโย่งขึ้นเสียงจากนั้นก็เดินดิ่งเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงในอ้อมแขนของคนแคระ เล่นเอาเด็ก ๆ ที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งเผลอร้องห้าม “กินเข้าไป! แล้วปฐพีนี้ก็จะมีแต่ข้าที่งามที่สุด แห! แห! แห!!!”
เมื่อเจ้าหญิงสโนว์ไวท์หมดสติ ทำนองเพลงเศร้าค่อย ๆ ดังขึ้น ร่างของเธอถูกยกขึ้นวางบนแท่นโดยคนแคระ ทั้งสองพากันร้องไห้จนกระทั่งชายหนุ่มก้าวขึ้นบนเวที
“เราคือเจ้าชายโอสุดหล่อ พวกท่านมีสิ่งใดเราช่วยหรือไม่”
“โปรดช่วยเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ของเราด้วยเถิดท่าน นางถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้ง” คนแคระขวัญนพอ้อนวอน
“ได้ เราจะช่วยนางเอง” พูดจบเจ้าชายก็ช้อนร่างของเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ขึ้น จากนั้นก็ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ เท่านั้นดวงตาทอประกายก็เปิดขึ้นแล้วสองคนก็ส่งยิ้มหวานให้กันโดยมีเสียงดนตรีชวนเคลิบเคลิ้มคลอเบา ๆ ส่งให้บรรยากาศยิ่งโรแมนติก
วารุณีเดินออกมาที่กลางเวทีอีกครั้ง “เมื่อแรกที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สบตากันก็ก่อเกิดเป็นความรัก ทั้งคู่จึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล จำไว้นะคะเด็ก ๆ อย่ารับของจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด”
สิ้นเสียงกุมารแพทย์หญิง นักแสดงทั้งหมดก็เดินออกมายืนที่หน้าเวทีพร้อมกับโยกตัวตามจังหวะโดยมีเด็ก ๆ ปรบมือตามไปด้วย กระทั่งเสียงเพลงค่อย ๆ แผ่วหายไป นักแสดงเดินลงจากเวที วารุณีจึงได้กล่าวแนะนำการแสดงชุดสุดท้ายซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของพี่ ๆ นักศึกษาปริญญาโท เมื่อเห็นว่าเจ้าชายและคนแคระซึ่งเป็นสมาชิกของวงดนตรีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและถือกีตาร์และฟรุตขึ้นมายืนประจำที่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยกหน้าที่ต่อให้กับนักร้องนำประจำวง
“สวัสดีครับน้อง ๆ วันนี้พี่ปาล์ม พี่โอ พี่ก้องและพี่เมือง เราทั้งสี่คนจะมาเล่นดนตรีให้ทุกคนฟังนะครับ เรามาเร่มที่เพลงแรกกันเลยดีกว่า ใครร้องได้ช่วยพี่ปาล์มร้องด้วยนครับ”
พูดจบปาล์มก็หันไปส่งสัญญาณกับเพื่อน ๆ แล้วเพลงจังหวะสนุก ๆ ก็ถูกเล่นอย่างต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า ผู้ใหญ่บางคนโยกตัวตาม บางคนขยับขาตามจังหวะเพลง ในขณะที่เด็ก ๆ หลายคนลุกขึ้นมาเต้นขยับแข้งขยับขาชนิดลืมโรคภัยไข้เจ็บของตนเองไปเลย บรรยากาศที่อวลไปด้วยรอยยิ้มของทุกคนทำเอาเจ้าของวันเกิดและตัวตั้งตัวตีในการจัดงานอย่างแพทย์หญิงวารุณียิ้มจนแก้มแทบปริ
(มีต่อค่ะ)
ตอนที่ 6 ดาวกับเม็ดทราย (ตอนจบ ครึ่งแรก)
เป็นอีกวันที่เสียงหวานของนักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นทำให้ขวัญนพรู้ว่ากำลังมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ชายหนุ่มถอนใจแรงสองมือยังคงประคองถ้วยกาแฟหากแต่ข้างในมีนมร้อนอยู่เกือบเต็ม กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ความรู้สึกผิดยังคงรบกวนใจ และเป็นสองสัปดาห์ที่ใครคนหนึ่งไม่บังเอิญผ่านมาให้ได้เจอสักที ทั้งนี้ก็เพียงอยากจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้งมืออุ่นหยิบกระดาษโน้ตใบเล็กที่เคยได้รับจากกันตภณออกจากสมุดบันทึก มองโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่าง ในหัวมีแค่สองคำสั่งที่ยังไม่สามารถประมวลผลได้ว่าควรจะทำตามทำสั่งใดระหว่างกดโทรออกไปกับไม่โทร พลันเสียงของเจ้าของลายมือที่ไม่รู้มาว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ทำให้ต้องสะดุ้ง
“อยากคุยก็โทรไปสิ มัวมานั่งจ้องเบอร์แล้วเขาจะรู้ไหมว่าอยากคุยด้วย” พูดจบนายแพทย์กันตภณก็เดินอ้อมไปนั่งลงตรงหน้า “ถามจริง ๆ เถอะ รู้สึกผิดหรือว่าคิดถึง”
“ผมก็แค่อยากจะขอโทษเขาที่พูดไม่ดี” ขวัญนพตอบเรียบ ๆ
แพทย์รุ่นพี่ไหวไหล่ “ก็ตามนั้น ตัวนายรู้ดีที่สุด” ว่าแล้วก็หันไปค้อมศีรษะให้พนักงานที่ยกถ้วยกาแฟร้อนมาเสิร์ฟก่อนจะเริ่มกล่าวอีกครั้ง “คนเรารู้สึกสับสนลังเลกันได้ แต่ถ้ามั่นใจเมื่อไรละก็อย่ามัวแต่ลีลาอยู่ จะทำอะไรก็รีบทำเข้า”
เมื่อเห็นคนใบหน้าอิดโรยเพราะต้องอยู่เวรทั้งคืนยังคงนิ่งเฉยจึงยกใช้ช้อนคนของเหลวในถ้วยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “วันนี้เขาเข้ามานะ เมื่อกี้สวนกันที่หอผู้ป่วยเด็ก เห็นมา...เก็บ...”
“ผมไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่าอยากจะขอโทษ” สบตาคนอ้าปากค้าง “แค่ขอโทษ” ท้ายประโยคนั้นเบาจนคล้ายว่ากำลังพูดอยู่กับตัวเอง ไม่รอฟังว่าอีกคนจะมีความเห็นเป็นอย่างไร ตอนนี้รู้เพียงแค่จะต้องไปให้ถึงหอผู้ป่วยเด็กให้ได้ทันก่อนที่คนที่ต้องการพบจะกลับเสียก่อน
“อะ...อ้าว” กันตภนมองร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นทิ้งกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มเดินผ่านกรอบประตูกระจกออกไป ใบหน้าที่แสดงถึงความงุนงงระคนตกใจในตอนแรกค่อย ๆ แปรเปลี่ยน คุณหมอหนุ่มโคลงหัวพร้อมกับยิ้มนิด ๆ ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ รู้จักกันมาตั้งกี่ปีมีหรือจะไม่รุ้ว่าท่าทางแบบนั้นมันคืออะไร ในฐานะเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาทำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเพียงภาวนาให้อีกฝ่ายรู้ใจตัวเองสักทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
อารุยแพทย์ระบบประสาทและสมองเดิมดุ่มมุ่งหน้าสู่ที่หมายภายในเวลาอันรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มายืนอยู่ข้างห้องพักของผู้ป่วยซึ่งเป็นแบบนอนรวมกันที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างบานเกล็ดยาวตลอดแนว มองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นประจำเมืองกำลังพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้ในความดูแลของกันตภณ เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งและต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด ส่วนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันก็คือหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วยและกุมารแพทย์หญิงวารุณีนั่นเอง ขวัญนพหมุนตัวกลับตั้งใจจะเดินไปรอที่มุมหนึ่ง แต่แล้วเสียงเรียกจากคนข้างในก็ทำให้เขาต้องหยุด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นบังเอิญสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดพอดีก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองตามร่างเล็กของหญิงสาวที่กวักมือเรียกให้เข้าไปด้านใน
“ลืมอะไรหรือเปล่าจ๊ะถึงได้ย้อนกลับมา เมื่อเช้าตอนออกเวรบอกพี่ว่าวันนี้ว่างนี่นา” วารุณีเอ่ยขึ้นเมื่อแพทย์รุ่นน้องเดินเข้ามาภายในห้อง
“ค...คือผม ผมแวะมาดูปูไข่แกอีกรอบน่ะครับ เมื่อคืนแกบ่นว่าปวดหัวจนนอนไม่หลับ”
“พี่ไปตรวจเมื่อตอนสายเห็นว่าดีขึ้นแล้วนะจ๊ะ เมื่อกี้ทานข้าวกลางวันแล้วยังมารบเร้าขอให้พี่เมืองพาไปเดินเล่นที่ชายหาดอยู่เลย อืม...ไปไหนแล้วนะ” สาวสวยชะเง้อมองในที่สุดก็เห็นว่าคนที่พูดถึงกำลังนั่งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาและอ่านหนังสือนิทานอยู่ที่เตียง “นั่นไง อยู่นั่น”
นายแพทย์ขวัญนพพยักหน้าก่อนจะขอตัวและเดินไปยังทิศที่เด็กชายอยู่
ผ่านไปพักใหญ่หลังจากให้ข้อมูลแก่นักศึกษาปริญญาโทแล้ว ก่อนที่แพทย์หญิงวารุณีจะไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เธอก็ไม่ลืมทำตามสัญญาที่ได้ให้กับเด็กชายไว้ นั่นคือการอนุญาตให้ไปที่ชายหาด แต่กระนั้นก็ต้องยังให้เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของแพทย์เจ้าของไข้
“อานพอยู่พอดี ปูไข่ถามอาหมอนพอีกคนสิจ๊ะว่าอนุญาตไหม”
ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซียวอีกครั้ง เกือบจะละทิ้งความคิดนั้นไปเสียแล้ว ดีใจที่คุณหมอวารุณีไม่ลืมเรื่องที่รับปากกันไว้ เจ้าของร่างที่บัดนี้ซูบซีดลงกว่าเดิมเล็กน้อยจึงหันไปถามคุณอาหมอที่กำลังนั่งพลิกหน้าหนังสือนิทานไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังฆ่าเวลาระหว่างรออะไรบางอย่าง
“ปูไข่ไปเดินเล่นที่ชายหาดได้ไหมฮะอาหมอ”
“จะไปคนเดียวน่ะเหรอ” นายแพทย์เจ้าของไข้ถามอย่างแปลกใจ
“ผมพาไปก็ได้ครับ”
ขวัญนพเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนเยื้องไปทางด้านหลังหญิงสาว
“แต่ต้องนั่งรถเข็นไปนะ” พูดจบก็ปิดหนังสือแล้ววางไว้บนหัวเตียง
“ถ...ถ้าอย่างนั้นผมไปเอารถเข็นนะครับ” หนุ่มนักดนตรีกล่าวก่อนจะเดินไปเข็นรถเข็นที่อยู่ด้านนอกมาให้ด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อรถเข็นพร้อมขวัญนพก็ช้อนร่างผู้ป่วยในความดูแลขึ้นแล้ววางลงบนรถเข็นแบบนั่ง จากนั้นก็ย่อตัวลงเอื้อมมือทั้งสองจับที่บ่าเล็กเพื่อขอความมั่นใจ “รับปากอานะว่าจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังพี่เมือง ต้องไม่วิ่ง ระวังไม่ให้หกล้มนะครับ”
สิ้นเสียงคุณหมอปากเล็กก็ยิ้มกว้าง “ปูไข่สัญญาครับอาหมอ”
ได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วหันกลับมาพูดกับอีกคน “ฝากด้วยนะ”
“ครับ” ประจำเมืองรับคำเบา ๆ ก่อนก้มลงยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป
อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองยืนมองชายหนุ่มที่กำลังเข็นรถเข็นพาเด็กชายลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนสุขภาพจากบนระเบียง กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อเด็กชายปูไข่จึงลุกจากรถเข็นจับมือพี่ชายนักดนตรีแล้วพากันเดินลงไปยังชายหาด
แม้จะรับปากคุณอาหมอไว้แล้วว่าจะเชื่อฟังคนพามา แต่เมื่อเห็นฟองคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งก็อดใจไม่ได้ มือเล็กสะบัดจนหลุดจากมือใหญ่ก่อนจะวิ่งเข้าหาเกลียวคลื่น กระโดดโลดเต้นเสียจนน้ำกระเซ็นเปียกปอนทั้งคนหนีและคนไล่ กว่าจะคว้าตัวไว้ได้ก็เล่นเอาประจำเมืองถึงกับหอบ ชายหนุ่มกอดร่างของเด็กชายเอาไว้แน่นในขณะที่เจ้าตัวก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับกำลังอยู่ในโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องทุกข์ใจใด ๆ
สองคนจูงมือกันกลับเข้าฝั่ง ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทราย ดวงตาสองคู่ทอดมองไปยังจุดเดียวกันนั่นคือตรงเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า ครู่หนึ่งหนุ่มนักดนตรีก็ละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้าหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาทอประกายของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่ปลายขอบฟ้า มือที่เปื้อนทรายค่อย ๆ ยกขึ้นในตำแหน่งของเส้นขอบฟ้า นิ้วอวบค่อย ๆ งอเข้าหากันจนกลายเป็นกำแน่นพลันยิ้มฝีปากบางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
“ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าเข้ามาใกล้ ๆ จังเลยพี่เมือง”
“ทำไมล่ะ” พูดจบประจำเมืองก็ทอดตามองไปข้างหน้าอีกครั้ง
“พ่อเคยบอกว่าแม่ของปูไข่ไปอยู่ที่อีกฝั่งของท้องฟ้าครับ ป่านนี้พ่อก็คงไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันกับแม่ ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าให้ใกล้เข้ามาจะได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่”
“จำที่อาหมอนพเคยบอกไม่ได้เหรอครับว่าพ่อกับแม่ของปูไข่จะอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มใช้มือขวาคว้ามือเล็กก่อนจะรั้งเข้ามาแนบกับอกของเจ้าตัวในตำแหน่งหัวใจ “ตราบเท่าที่หัวใจของเรายังเต้นอยู่ ปูไข่ได้ยินไหม”
“ได้ยินฮะ” เด็กชายยิ้มน้อย ๆ พลางกุมมือของพี่ชายนักดนตรีเอาไว้ “พี่เมืองสอนปูไข่เล่นเปียโนอีกได้ไหมฮะ”
“ได้สิ” พูดจบประจำเมืองก็ดึงร่างอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดเพลงเพลงเดิมที่ขณะนี้มีเพียงทำนองแต่ยังขาดคำร้องแล้ววางไว้บนหน้าขา “ปูไข่ยกมือขึ้นนะ”
เด็กชายปูไข่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เมื่อมือเล็กยกลอยขึ้นในอากาศ ประจำเมืองก็ทาบมือทั้งสองข้างของตนเองลงไป จากนั้นจึงกดปลายนิ้วของเด็กชายไปตามตัวโน้ตที่เขาร้องล้อตามเสียงเปียโนที่ดังมากจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถจดจำโน้ตได้จึงละมือออกแล้วเท้าลงกับผืนทรายหลับตาฮัมเพลงที่มีบรรเลงจากเครื่องดนตรีคลาสิกผสมกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง
หนุ่มนักดนตรีพาเด็กชายกลับขึ้นไปส่งยังหอผู้ป่วยเมื่อตอนบ่ายคล้อยและพบว่าคนที่เจอกันก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ประจำเมืองรอกระทั่งปูไข่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยจึงขอตัวกลับ และเมื่อออกจากตึกกุมารเวชกรรมเขาก็แวะไปที่สวนสุขภาพอีกครั้ง เจ้าของร่างสูงทิ้งตัวลงที่บนเก้าอี้ตัวเดิม ทอดตามองออกไปเห็นที่บนท้องฟ้ามีเพียงริ้วเมฆสีส้มที่บดบังดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังคลื่นต่ำลงทุกขณะ บนผืนน้ำปรากฏระลอกคลื่นเล็ก ๆ หยกล้อกับกับสายลมเคลื่อนไหวไปตามบทเพลงที่ได้ยินจากเอียร์บัดอยู่ในขณะนี้
“ขอนั่งด้วยคนนะ”
คนนั่งเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่เดินมาหยุดอย่างแปลกใจพลางดึงหูฟังที่เสียบกับหูออก “ครับ?”
“พี่บอกว่า ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”
“ด...ได้ครับ” พูดจบก็ขยับที่ให้อีกคนนั่ง
ประจำเมืองกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่นละสายตาจากหน้าคมมองไปยังจุดเดิมที่เคยมอง ครั้งสุดท้ายที่พบกันนั้นเป็นความรู้สึกที่จบลงด้วยความไม่ประทับใจสักเท่าไร ดังนั้นความเงียบและการไม่รู้จุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายในคราวนี้จึงทำให้ความอึดอัดแล่นขึ้นที่กลางอก แต่แล้วก็เป็นขวัญนพที่เป็นผู้ทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน
“พี่ขอโทษนะ”
“ขอโทษผมเรื่องอะไรครับ”
“เรื่องที่พูดไม่ดีวันนั้น”
คำพูดนั้นแผ่วเบาหากแต่มีพลังมากพอที่จะทำให้กำแพงที่กั้นตรงกลางระหว่างสองคนทลายลง
“ผมลืมไปหมดแล้วละครับ” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนแรกก็คิดว่ามีแต่ตนเองที่คิดมากเรื่องนี้ สุดท้ายก็พบว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน “คนที่ต้องขอโทษควรจะเป็นผมมากกว่า ผมต่างหากที่วุ่นวาย”
“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะครับ พี่นพอย่าคิดมากเลยมันผ่านมาแล้ว”
“ถึงจะอย่างนั้นก็ต้องขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“ครับ” ประจำเมืองรับคำสั้น ๆ
“วันนั้นโกรธพี่หรือเปล่า”
ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ คำถามนี้จึงได้ทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบแล้วเบนหน้าหนีสายตาที่กำลังมองมา “พี่นพคงจะรักปูไข่มากสินะครับ”
“อืม...ก็พยายามจะรักให้ได้สักครึ่งของที่พ่อกับแม่ของแกรักน่ะ”
“พี่รู้จักพ่อกับแม่ของปู่ไข่เหรอครับ ผมทราบว่าคุณพ่อแกเพิ่งเสียชีวิต แล้วคุณแม่ล่ะครับไปไหนถึงได้ปล่อยลูกชายไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียว”
“รดาเสียไปเกือบสองปีแล้วละ” แพทย์หนุ่มตอบเสียงขรึม “เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนกับที่ปูไข่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้”
ประจำเมืองแทบไม่เชื่อหู คิดจะถามอยู่พอดีว่าเด็กชายที่ลักษณะภายนอกอ้วนท้วนสมบูรณ์แบบนั้นป่วยด้วยโรคชนิดใดกันจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่นนี้
“ส่วนอาการสั่นกระตุกที่เราสังเกตได้ก็เป็นผลมาจากโรคด้วย”
“จะมีโอกาสรักษาให้หายไหมครับ” ประจำเมืองสบตาอย่างรอคอย แต่การที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบก็พอจะคาดเดาคำตอบได้ ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเบนหน้าออกสู่ผืนน้ำเบื้องหน้าอีกครั้ง เหนือขึ้นไปไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ที่สาดแสงแต่กลับมีเพียงริ้วสีส้มแดงแต้มอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น
“โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่บางครั้งอาการก็จะรุนแรงขึ้นด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง”
“เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แล้วทำไมตอนพี่กันต์ส่งรายชื่อผู้ป่วยที่เข้าข่ายกลุ่มทดลองของผมถึงได้มีปูไข่รวมอยู่ด้วยล่ะครับ”
“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ แล้วก่อนหน้านี้เราตรวจพบเนื้องอกที่ก้านสมองของปู่ไข่ มันมีขนาดใหญ่และอยู่ในจุดที่เป็นอันตรายถึงจะผ่าตัดออกก็ได้ไม่หมด” ขวัญนพหยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งย้อนกลับสู่สถานการณ์ในวันที่เขารู้ข่าวร้ายนี้ “มันแย่นะที่เป็นหมอแต่ไม่สามารถช่วยคนไข้ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรักษาตามอาการแล้วก็รอว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง”
ประจำเมืองมองคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วยความที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเผชิญกับกรณีเหล่านี้มานักต่อนัก ชายหนุ่มจึงพอจะเข้าใจความรู้สึกที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ได้อย่างไม่ยาก
“พ่อของผมก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพี่ พ่อเล่าให้ฟังว่าผลการตรวจแสดงให้รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งในระหว่างกำลังตั้งครรภ์ แต่เพราะต้องการจะรักษาทารกเอาไว้ เธอจึงปฏิเสธการรักษาทั้งเคมีบำบัดและการฉายรังสี” หยุดนิดหนึ่งเมื่อไม่อาจควบคุมน้ำเสียงในตอนท้ายให้เป็นปกติได้ ริมฝีปากเม้มเข้า กดตาลงมองมือของตนเองที่กำโทรศัพท์แน่น ในที่สุดจึงกล่าวต่อ “เพราะการเสียสละชีวิตของแม่ ผมถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้”
“เสียสละชีวิต?”
“ครับ อันที่จริงผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่หรอก” นักดนตรีหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตากลับเจือความเศร้า “แม่ของผมเสียชีวิตหลังจากคลอดผมได้ไม่กี่ชั่วโมง อาจารย์หมอปราการที่เป็นทั้งคุณหมอเจ้าของไข้และเป็นคนทำคลอดกับอาจารย์เรวดีซึ่งเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดในขณะนั้นก็เลยตัดสินใจรับผมไว้เป็นลูก”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดขวัญนพก็แทบอยากจะตบปากตัวเอง แม้รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนพูดแต่ในใจคนฟังกลับรู้สึกผิดซ้ำสอง เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าต้องการให้เห็นว่าหมอทุกคนย่อมผ่านสภาวะกดดันมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยกกรณีที่นึกถึงแล้วจะมีผลต่อสภาพจิตใจของตนเองเช่นนี้
“พ...พี่ขอโทษนะที่ถาม”
“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ผมต้องปิดบัง” เห็นสีหน้าของคุณหมอยังไม่คลายความกังวลจึงกล่าวต่อ “ผมอุตส่าห์เล่าให้พี่สบายใจ อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ ฟังเพลงหน่อยไหมมันช่วยได้นะ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มาเรียนดนตรีที่โรงเรียนที่ผมสอนส่วนใหญ่มักมีอาการซึมเศร้า มีความวิตกกังวลจากการรักษาอาการป่วยเรื้อรัง หรือมีความเครียดจากการทำงาน ดนตรีช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายลง ถึงร่างกายจะป่วยแต่ก็ไม่ควรปล่อยให้จิตใจป่วยตามนะครับ”
คุณหมอผ่อนลมหายใจยาว บนใบหน้าพอจะคลายความตึงเครียดลงบ้าง “ปกติเคยแต่พูดให้กำลังใจคนอื่น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะกลายมาเป็นคนที่ถูกให้กำลังใจเสียเอง”
“ผมว่าไม่ใช่แค่ผู้ป่วยและญาติ ๆ ที่ต้องการกำลังใจ ทั้งหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน วันนี้พี่นพลองทิ้งความเป็นหมอไว้ข้างหลัง หลับตาแล้วฟังผมเล่นดนตรีสักห้านาทีนะครับ” พูดจบประจำเมืองก็วางโทรศัพท์ลงที่ข้างตัวก่อนจะยื่นเอียร์บัดและยิ้มให้
นายแพทย์ขวัญเผลอยิ้มตามรับเอียร์บัดจากมือคนพูดมาเสียบกับหู เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนอายุน้อยกว่าที่กำลังขยับตัวนั่งหลังตรงยกมือข้างหนึ่งยกลอยขึ้นเหนือหน้าขาราวกับตรงหน้าคือลิ่มนิ้วสีขาวของเปียโนตัวใหญ่แบบที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างในบันทึกการแสดงสดของวงดนตรีตะวันตก และเมื่อเรียวนิ้วเริ่มขยับก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเปียโนจากหูฟังดังขึ้น สังเกตให้ดีจะพบว่านิ้วทั้งสิบนั้นไม่ได้ขยับขึ้นลงเรื่อยเปื่อยหากแต่เป็นการพรมปลายนิ้วลงตามโน้ตทุกตัว ในบางช่วงมือหนึ่งก็กดค้างตามเสียงที่ลากยาวในขณะที่อีกมือสะบัดพริ้วบนแป้นตัวโน้ตเสียงสูง คุณหมอหลับตาลงช้า ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปล่อยตัวตามสบายฟังเพลงที่นักดนตรีคนเก่งกำลังบรรเลง
“ชื่อเพลงอะไรเหรอ” ขวัญนพถามขึ้นเมื่อเพลงจบ
“ยังไม่มีชื่อครับ เนื้อร้องก็ยังเขียนไม่เสร็จ”
“นี่เพลงที่แต่งเองหรอกเหรอ” กล่าวพลางดึงหูฟังออกจากหู
“ใช่ครับ”
“มีแค่ดนตรีก็เพราะแล้วนะ พี่ว่าถ้ามีเนื้อร้องคงต้องเพราะกว่านี้แน่ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นแต่งเสร็จเมื่อไรผมจะมาเล่นให้ฟังอีกรอบดีไหม ดูซิว่าพี่นพยังจะพูดแบบเดิมอยู่หรือเปล่า”
“เอาสิ” ขวัญนพตอบตกลงพร้อมกับส่งหูฟังคืนให้
“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ”
คนอายุมากกว่าพยักหน้าพลางดึงแว่นสายตาออกแล้วเสียบลงที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังระลอกคลื่นที่ยกตัวขึ้นลงสะท้อนแสงสุดท้ายของวันอีกครั้ง แม้ว่าภาพนั้นจะพร่ามัวไม่ชัดเจนพอ ๆ ความรู้สึกของตนเองในตอนนี้ แต่มันก็ดีกว่าการมองเห็นอยู่เพียงแค่ในระยะบังคับของกรอบเท่านั้น
“ขอบใจนะ” หันมาคนข้าง ๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะถูกเจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเสียแล้ว แต่ในหัวของคุณหมอก็ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรครับ ตอบแทนสำหรับข้าวมันไก่ไม่ใส่แตงกวา” ประจำเมืองกล่าว และเมื่อดวงตาสองคู่บังเอิญได้สบกันอีกหนต่างคนก็ต่างยิ้มให้กัน
ดวงอาทิตย์ลับหายไปที่ปลายขอบฟ้าพร้อมกับหนุ่มนักดนตรีที่กล่าวคำอำลา ท้องฟ้าทิศตะวันตกปรากฏดวงดาวทอแสงสว่างสุกใส ขวัญนพยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แขนแกร่งพาดไปตามแนวยาวพนักเก้าอี้ฝั่งที่เคยมีอีกคนนั่งอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มน้อย ๆ ยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า หูได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในขณะที่ดวงตาก็ยังคงทอดมองแสงจากไฟตะเกียงติดหัวเรือหาปลาที่ลอยลำอยู่ลิบ ๆ มือใหญ่เผลอยกขึ้นถูกต้นคอตัวเองเมื่อคิดได้ว่าทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในที่ของมันจะมีก็แต่หัวใจเจ้ากรรมที่ไม่รู้ว่าติดมือใครไปด้วย...
...
(มีต่อค่ะ)