พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-05-2016 00:29:08

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-05-2016 00:29:08
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-05-2016 00:29:37
เพลงดาวทำนองคลื่น

เรื่องย่อ :
‘ประจำเมือง’ นักศึกษาปริญญาโทด้านดนตรีบำบัดต้องเข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อทำวิทยานิพนธ์ที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ที่นี่เขามีโอกาสได้พบกับ ‘ขวัญนพ’ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองผู้มีความมุ่งมั่นที่จากรักษาคนไข้ให้หายจากอาการเจ็บป่วย นอกจากหนังสือมากมายในห้องทำงานก็แทบจะไม่มีเวลาให้แก่ความสุนทรีย์ใด ๆ แต่แล้วการพบกันครั้งนี้ของพวกเขากลับเป็นเหมือนการเริ่มต้นจรดปลายนิ้วลงบนลิ่มนิ้วของเปียโนเกิดเป็นท่วงทำนองเพลงหวานแว่วคลอเคล้าไปกับเสียงคลื่นและเสียงลม 


เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)


สารบัญ

ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3374586#msg3374586)
ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3379740#msg3379740)
ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3385890#msg3385890)
ตอนที่ 4 ส่งเพลงนี้คืนมาให้ฉันที (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3399398#msg3399398)
ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3405366#msg3405366)
ตอนที่ 6 ดาวกับเม็ดทราย (จบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53605.msg3411411#msg3411411)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 08-05-2016 00:41:02
ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง


ขายาวก้าวไปตามพื้นคอนกรีตที่ทอดจากถนนเลียบชายหาดสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ ท่ามกลางความมืดได้ยินเสียงคลื่นโถมซัดเข้าหาฝั่ง หลายต่อหลายครั้งที่เสียงโครมครืนนี้ได้ดึงเอาความกลัวแวบเข้ามาในความคิด กระนั้นแล้วสมองยังคงสั่งการให้เดินไปข้างหน้าทั้งที่ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นปลายเท้าของตนเอง เงยหน้าขึ้นมองบนผืนฟ้าก็ไม่มีแม้แต่รัศมีของดวงดาวที่จะช่วยนำทาง ในยามนี้คงได้แต่อาศัยแนวขอบกั้นสีโพลนที่ก่อสูงขึ้นจากพื้นเกือบสองไม้บรรทัดเป็นเข็มทิศ ยกตำแหน่งเพื่อนร่วมทางให้แก่สายลมแรงที่กำลังพัดปะทะร่าง


เมื่อระยะทางเพิ่มขึ้นความเกรี้ยวกราดของท้องทะเลก็ค่อย ๆ จางลง  ระลอกสีนิลที่เคลื่อนซ้อนกันจนเกิดคลื่นลูกใหญ่บัดนี้กลายเป็นเพียงกระแสน้ำกระเพื่อมไหวไปตามแรงลมที่ทอดตัวลงหยอกเย้าเท่านั้น ยิ่งห่างจากจุดเริ่มต้นก็ยิ่งเหมือนกำลังเดินเข้าสู่อุโมงค์ทมึนที่ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ใด

 
ก้าวแล้ว...ก้าวเล่า...


กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อร่างสูงจึงหยุดยืนที่ปลายสุดของสะพานคอนกรีตทอดตามองความเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในวงล้อมแห่งรัตติกาล ที่เห็นอยู่ริบ ๆ คือแสงจากไฟติดหัวเรือประมงนับสิบที่ทอดสมอยกตัวขึ้นลงตามจังหวะคลื่นเป็นเงาตะคุ่ม กลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นชันยาเรือเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้ทุนปีสองไม่เคยนึกชอบใจเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มกลับมักจะมาที่สะพานปลาแห่งนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องขบคิด เป็นเช่นนี้นับแต่เริ่มการทำงานแพทย์ใช้ทุนเมื่อสองปีก่อน


ขวัญนพทรุดตัวลงนั่งปล่อยให้กระแสลมพาเอาไอทะเลปะทะเข้ากับผิวกายและหน้า เงี่ยหูฟังเสียงผืนธงติดปลายเสากระโดงเรือประมงที่ลอยลำอยู่ไม่ไกลกระพือพัดเกิดเป็นเสียงดังฟังน่ากลัวยิ่งนัก จะว่าไปทะเลยามนี้ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของเขาที่แปรปรวนและรุ่มร้อนจนไม่รู้ว่าจะหาความสงบได้จากไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหญิงชราผู้ซึ่งเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการมีไข้สูงแบบเป็น ๆ หาย ๆ รวมถึงแขนขาอ่อนแรงและคลำพบก้อนแข็งบริเวณขาหนีบตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน


“จากอาการโดยรวมและผลจากการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าคนไข้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองค่ะ และที่เห็นว่าระยะนี้คอบวมก็น่าจะเป็นผลมาจากโรคด้วยเช่นกัน”


นั่นเป็นประโยคที่ได้ยินแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคเลือดกล่าวกับลูกสาวของคุณยายมณีที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงติดริมหน้าต่างในห้องพักของโรงพยาบาลหลังจากศัลยแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อบริเวณขาหนีบไปตรวจสอบ


“ร...ระยะไหนคะหมอ” ว่าแล้วคนพูดก็มองลอดกระจกบานเกล็ดเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งกินพื้นที่บริเวณปีกด้านหนึ่งของอาคาร ภายในเรียงรายไปด้วยเตียงผู้ป่วยซึ่งเข้ารับการรักษาด้วยอาการหนักเบาแตกต่างกัน


“ระยะที่สามค่ะ คุณยายอายุมากแล้ว หมอจะให้เคมีบำบัดที่ไม่แรงนักเพื่อชะลอการแพร่กระจายของมะเร็ง ในครั้งแรกก็คงจะต้องประเมินสถานการณ์ร่วมกันไปว่าคนไข้สามารถรับได้มากน้อยแค่ไหน เพราะคนไข้แต่ละรายมีอาการแพ้แตกต่างกัน หรือที่ไม่แพ้เลยก็มี”


คำพูดก่อนหน้าว่าทำให้คนฟังยากจะทำใจยอมรับได้แล้ว ที่ตามมาหลังจากนั้นกลับบั่นทอนกำลังใจยิ่งกว่าตอนแรกนัก สิ้นเสียงคุณหมอ มณีรัตน์ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณยายมณีก็แทบยืนไม่อยู่ เธอกุมมือสามีเอาไว้แน่นพยายามตั้งสติฟังแพทย์เฉพาะทางอธิบายรายละเอียดของโรคและแนวทางการรักษาต่อไป


กว่าหกเดือนที่ภาพของหญิงสาวกับมารดาเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลกลายเป็นภาพชินตาของเหล่าบุคลากรของโรงพยาบาล ทั้งที่มาแบบนัดตรวจติดตามอาการตามปกติและการล้มป่วยชนิดปัจจุบันทันด่วน หลายครั้งที่คุณยายมาโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูง ต้องให้ยาฆ่าเชื้อเข้าทางเส้นเลือด และบ่อยครั้งที่เห็นมณีรัตน์ต้องเดินเลี่ยงออกมานั่งหลบมุมด้วยความสงสารผู้เป็นแม่


แม้จะไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับโรคร้ายแต่สภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คงพอทำให้หญิงชราวัยแปดสิบสองปีสามารถคาดเดาเอาเองได้ กระนั้นคุณยายมณีก็ยังมีกำลังดี เธอยังคงช่างพูดช่างคุยจนกลายเป็นขวัญใจชาววอร์ด ในขณะที่หลายคนก็แทบดูไม่ออกว่าคุณยายป่วยด้วยโรคชนิดใด ความผิดปกติที่แสดงให้เห็นภาพนอกก็เป็นเพียงแค่อาการบวมตามร่างกายเท่านั้น ซึ่งหลังจากการตรวจติดตามอาการครั้งสุดท้ายคุณยายก็ถูกนำตัวส่งโรงพยบาลอีกหนเนื่องขาทั้งสองข้างบวมจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้


“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับคุณยาย ถ่ายบ้างไหม” ขวัญนพกล่าวทักทายเมื่อเดินมาถึงเตียงคนไข้เตียงสุดท้ายในหอพักผู้ป่วย เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติที่เพิ่งรับจากพยาบาลซึ่งน่าจะอายุมากกว่าตนเองอยู่ไม่กี่ปีทอดตามองหญิงชราที่นั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีหม่นทอประกายอย่างคนมีความหวังในขณะที่ใบหน้ายับย่นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสดใสตัดกับน้ำทะเลสีครามในยามสาย สวยงามราวกับภาพวาดราคาแพงแม้จะล้อมด้วยกรอบไม้ธรรมดาก็ตาม


“ถ่ายแล้วจ้ะหมอ” เจ้าของริมฝีปากแห้งผากหันมายิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นไขว้คว้าอากาศ ในที่สุดก็คว้าได้แขนแกร่งของคุณหมอที่ขยับเข้ามาใกล้ มือกร้านลูบคลำไปตามผิวเนื้อกระทั่งหยุดกุมมือของคนที่ยังคงยืนนิ่งพลางบีบเบา ๆ ก่อนจะปล่อยให้คุณหมอได้ทำหน้าที่ของตนเองเหมือนเคย ดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงจัดการวางแฟ้มประวัติลงที่ข้างเตียง เสียบสเตโทสโคปเข้ากับหูก่อนจะแตะปลายอีกด้านที่เป็นแผ่นไดอะแฟรมลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะย้ายมาด้านหน้าเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอดและหัวใจ


“ยายนอนลงก่อนนะครับ” ว่าแล้วแพทย์ใช้ทุนปีที่สองก็รั้งหูฟังลงมาคล้องคอก่อนจะช่วยประคองผู้สูงอายุให้นอนลง “ยกแขนไหวไหมครับยาย ยกแขนให้ผมดูหน่อย”


“มันยกไม่ค่อยขึ้นน่ะหมอ ไม่ค่อยจะมีแรง” พูดจบคุณยายมณีก็พยายามยกแขนข้างขวาขึ้น ยกได้ไม่สุดก็จำต้องปล่อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก


“แล้วขาล่ะครับ”


“ขาก็เหมือนกัน”


คนถามพยักหน้าก่อนจะใช้มือหนึ่งจับที่ข้อพับอีกมือจับที่ข้อเท้ายกขาที่บัดนี้บวมเป่งเหมือนใกล้แตกให้ตั้งขึ้น เมื่อเทียบด้วยสายตาแล้วอีกข้างกลับดูซูบซีดกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพรั้งขาให้พับเข้าหาตัวคนนอนแล้วค่อย ๆ ปล่อยเหยียดตามสบาย ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง


“ต้องขยับบ้างนะครับยาย เดินไม่ไหวก็ต้องหมั่นยกแขนยกขา แขนขาเราจะได้มีกำลัง หรือถ้ายกไม่ไหวก็ให้ลูกสาวช่วยยกให้แบบนี้ แล้วข้าวละครับทานได้หรือเปล่า” ปากพูดไปมือก็รั้งขาข้างที่ดูลีบเล็กของคุณยายตั้งขึ้นแล้วจัดการทำเหมือนอีกข้าง


“ทานได้ วันนี้อร่อย” คนป่วยตอบด้วยรอยยิ้ม


“แล้วทุกวันไม่อร่อยเหรอครับ”


“ทุกวันก็อร่อย แต่วันนี้อร่อยกว่า”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะมองเลยไปยังถาดอาหาร ซึ่งก็เป็นอาหารแบบเดียวกับเมื่อวันก่อน รสชาติก็คงจืดชืดแบบที่นักโภชนาการพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เขาดึงสายตากลับเมื่อพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ที่อีกฟากของเตียงพูดขึ้น


“เมื่อวานก็เหมือนกับวันนี้นะคะยาย หรือว่าวันนี้รู้ว่าจะได้เจอหมอนพ ทานอะไรก็อร่อยไปหมด”


“น่าจะใช่จ้ะ” ผู้อาวุโสทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


 “ทำไมอย่างนั้นล่ะครับยาย” ขวัญนพถามพลางหยุดมือ เลิกคิ้วหน้าเก้อ


“หมอนพรูปหล่อมาทีไรก็ชอบมาชวนยายคุย ยายนึกถึงแล้วมันเจริญอาหารจ้ะ”   


“อย่างนี้คงต้องให้คุณหมอขวัญพนมาตรวจทุกวันเสียแล้วสิคะคุณยาย” 


คำพูดนั้นทำเอาคนฟังออกอาการเขินไม่ใช่น้อย รีบคว้าแฟ้มประวัติคนไข้มาลงบันทึกการตรวจทำหูทวนลมกับคำพูดของอีกคนที่อยู่ไม่ไกลกัน


ทุก ๆ วันจะมีคนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก ที่หอพักผู้ป่วยในเต็มไปด้วยคนป่วยที่นอนพักรักษาตัว เมื่อหายเป็นปกติแล้วแพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ดังนั้นเตียงที่ว่างลงจะถูกเตรียมเอาไว้ให้แก่คนอื่น ๆ จะมีก็แต่คุณยายมณีที่ยังคงอยู่ที่นี่ อาการของคุณยายค่อย ๆ ทรุดลง แต่ใบหน้าซีดเซียวก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายมานานก็เริ่มไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาใด ๆ รับประทานอาหารไม่ได้จนต้องให้สารอาหารเข้าทางกระแสเลือด สภาพสะลืมสะลือเหมือนคนไม่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา


ดวงตาแฝงความกังวลของขวัญนพเฝ้ายังคงเฝ้ามองคุณหมอร่างเล็กที่กำลังตรวจดูอาการของหญิงชราที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ริมฝีปากแห้งผากขึ้นขุยเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำลายและไม่สามารถยิ้มให้ใคร ๆ ได้เหมือนเคย นั่นเป็นเพราะท่อช่วยหายใจที่เสียบคาเอาไว้ เปลือกตาปรือขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หน้าอกยกขึ้นลงเป็นจังหวะหนัก ๆ แต่ห่าง คล้ายจะบอกให้รู้ว่าตนเองเหนื่อยเต็มทีกับการมีชีวิตอยู่ ที่แขนข้างหนึ่งยังคงคาเข็มสำหรับให้สารอาหารและยาทางกระแสเลือด ส่วนอีกข้างมีสายโยงขึ้นไปยังขวดน้ำเกลือซึ่งแขวนอยู่กับเสาอะลูมิเนียม ส่วนปลายนิ้วเสียบกับเครื่องวัดออกซิเจน ใต้เสื้อมีสายระโยงระยางเชื่อมกับเครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพที่อยู่ข้างเตียง


“หมอคิดว่าเราควรจะให้คุณยายท่านได้นอนสบาย ๆ นะคะ” เธอกล่าวกับญาติคนไข้ก่อนจะหันมาสบตาคุณหมอหนุ่มในชุดลำลองที่ขออนุญาตเข้ามาดูอาการของคุณยายมณีด้วย


ขวัญนพรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าจะไม่มีการกระตุ้นหัวใจหากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่บรรดาลูกหลานที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นเห็นด้วย มณีรัตน์กุมมือเย็นเฉียบเอาไว้แน่นก่อนจะโน้มตัวกระซิบที่ข้างหูของคุณผู้เป็นแม่ไม่ให้ต้องเป็นห่วงใด ๆ จากนั้นบทสวดมนต์จากหนังสือที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้นบทแล้วบทเล่าจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคุณยายมณีปลิดปลิวไปในอากาศและไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก


ชายหนุ่มก้มมองสองหมัดที่กำแน่นบนหน้าขา สายลมกระโชกแรงจนระลอกคลื่นซัดขึ้นมาถึงขอบสะพานจนละลองน้ำแตกกระเซ็นกระทบกับผิวเนื้อ ที่ฟ้าด้านหนึ่งปรากฏแสงแปลบปลาบเป็นสัญญาณว่าพายุกำลังจะมาในอีกไม่ช้า และเมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาน้ำตาลูกผู้ชายก็รินไหลอาบทั้งสองแก้ม ในหัวยังคงปรากฏภาพของหญิงชราเจ้าของรอยยิ้มละไมที่โรคร้ายได้พรากเธอไปจากคนที่รักเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ป่านนี้ร่างของคุณยายมณีคงถูกนำไปเก็บไว้ในห้องสายลมเพื่อรอให้ญาติมารับกลับไปทำพิธีทางศาสนาในตอนเช้า


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าพายุกำลังจะมา”


เสียงตะโกนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครามครืนทำให้ขวัญนพต้องเหลียวกลับไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะหันกลับไปประจันหน้ากับคนพูดที่กำลังเดินอาด ๆ เข้ามา แต่แสงไฟจากปลายกระบอกไฟฉายที่สาดเข้าเต็มหน้าก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นกัน เมื่อเจ้าของเสียงมาหยุดอยู่ต่อหน้าพร้อมกับลดไฟฉายในมือลงจึงได้รู้ว่าเขาคือกันตภณแพทย์ใช้ทุนปีสุดท้ายนั่นเอง

 
“พี่กันต์”


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อเช้าไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศหรือไงว่าคืนนี้พายุจะเข้า ออกเวรแล้วทำไมไม่กลับไปพักผ่อน แล้วก็บ่นกันจังว่าเวลาพักผ่อนมีน้อย”


ขวัญนพพยายามสบตาคนถาม แม้จะถูกขวางกั้นด้วยความมืดมิด แต่ก็ยังสามารถเห็นแววตาขึงขังนั้นได้ไม่ยาก ดังนั้นตัวเขาเองจึงเลือกที่ปิดปากให้สนิทไม่คิดคำแก้ตัวใด ๆ


“กลับได้แล้ว” ว่าแล้วเจ้าของไฟฉายก็สาดแสงสีนวลลงกระทบพื้น ทำท่าจะหมุนตัวกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดของแพทย์ใช้ทุนรุ่นน้อง


“พี่กลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”


“นายจะบ้าหรือไง เห็นอยู่ว่าพายุกำลังจะมา ขืนไม่รีบกลับเข้าฝั่ง มีหวัง ไม่โดนฟ้าผ่าก็คงถูกคลื่นซัดหายไปในทะเลแน่ แล้วไหนบอกว่าไม่ชอบทะเลไง ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้”


“ผมเคยคิดว่าทะเลโหดร้าย กลืนกินทั้งเรือประมง...กับผู้คนอีกมากมาย แต่ก็ยังดีที่ทะเลก็ยังส่งสัญญาณเตือนให้เราคอยรับมือ ผิดกับชีวิตคน ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเลยว่าเราต้องจากกันวันไหน เอาเข้าจริง ผมว่าชีวิตคนเราโหดร้ายกว่าทะเลเป็นไหน ๆ”


กันตภณถอยใจเฮือกก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบไหล่คนพูดเอาไว้ “ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้หรอกนะ การเรียนวิทยาศาสตร์ของพวกเราอาจจะช่วยต่อลมหายใจของคนได้ แต่สุดท้ายเราก็จะพบว่าวิทยาศาตร์ไม่อาจฝืนวิถีแห่งการเวียนว่ายได้ ถึงนายจะเป็นหมอที่เก่งขนาดไหนนายก็ฝืนความตายไม่ได้ เมื่อนายเลือกที่จะเป็นหมอแล้ว ภาพพวกนี้มันคือสิ่งที่นายต้องพบเห็นไปตลอดชีวิต หน้าที่ของหมออย่างเราก็คือการรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด ทำใจเถอะ ยายแกไปสบายแล้ว”



และนั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน...


นายแพทย์ขวัญนพ นภศิริ ทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ เขายังจำคำของแพทย์รุ่นพี่ได้ดี และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องหยิบเอาประโยคนั้นขึ้นมาเตือนสติตัวเอง เมื่อสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นได้เผยแพร่ภาพอุบัติเหตุตึกที่กำลังก่อสร้างเกิดถล่มลงมาส่งผลให้คนงานจำนวนมากได้รับบาดเจ็บส่วนวิศวกรผู้ควบคุมงานเสียชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังเพราะไม่สามารถหนีออกมาได้ทัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลูกชายเพียงคนเดียวที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งกำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 


....


ทันทีที่รถจอดสนิทในโรงรถ นายแพทย์ปราการก็หันไปคว้ากระเป๋าเอกสารกับเสื้อนอกตัวเก่งจากที่นั่งด้านหลัง เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นภรรยาที่ยืนรอเพื่อจะเข้าบ้านพร้อมกัน เธอคือเรวดีอดีตพยาบาลวิชาชีพประจำห้องคลอดที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เจ้าของร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทางทิศตะวันตกที่ปรากฏดวงดาวสุกสว่างพลางเอ่ยกับคนที่เดินเข้ามาโอบไหล่ของตนเอง


“คืนนี้ดาวสวยนะพ่อ”


ปราการกระชับวงแขน มองตามสายตาของคู่ชีวิตก่อนจะแสดงความเห็น “จริงด้วย”


“นึกถึงวันนั้นเลยนะคะ”


“วันที่เจ้าเมืองเกิดใช่ไหม”


“ค่ะ เมืองเกิดตอนหัวค่ำ วันนั้นดาวก็สวยแบบนี้”


สองคนก็ส่งยิ้มให้กัน พลันเสียงเปียโนบรรเลงเพลงโปรดของคนทั้งคู่ก็ดังแว่วมาจากเรือนเล็กหลังบ้าน เป็นบทเพลงเก่าที่ขับร้องโดยศิลปินในอดีต “วินัย จุลละบุษปะ”

คืนค่ำฟ้าเลือนขาดเดือนพราว
ประดับวับวาวแต่ดาวดวง
ทอส่องแสงงามอร่ามแดนสรวง
แม้เดือนเลื่อนลอยลับล่วง เหลือดวงดาวพราวไสว

ดวงหนึ่งนั้นดาวประจำเมือง
แววโรจน์แสงเรืองเรื่ออำไพ
ลอยเด่นนภา แจ่มจ้าสุกใส
สวยเกินดาราน้อยใหญ่ สูงไกลเกินใครหมายปอง

ประกายพราวแสงวาบวับ
ฟ้าระยับงามจับตาล้วนชวนมอง
แสงระยิบลอยอยู่ ไกลลิบเรืองรอง
ดาวครองท้องฟ้าดาดาษเรียงราย

ประหนึ่งเพชรแพรวส่องแวววาม
ประดับฟ้าครามพร่างพราวพราย
เป็นเพื่อนฟ้าคราขาดเด่นเดือนฉาย
ทุกคราราตรีแสงพราย หลายร้อยหลายพันแสนดวง...





สูตินรีแพทย์วัยหกสิบครวญเพลงอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเลื่อนมือลงโอบเอวภรรยาก่อนจะพากันเดินลัดสนามหญ้าอ้อมไปยังด้านหลังของบ้าน ผ่านแนวทางเดินที่ปูด้วยไม้ระแนงริมสระบัวกระทั่งหยุดที่หน้าเรือนหลังเล็กซึ่งเพิ่งต่อเติมแยกจากบ้านใหญ่ได้ไม่กี่ปี นอกจากจะยกให้เป็นเรือนส่วนตัวของลูกชายเพียงคนเดียวแล้ว ทั้งครอบครัวยังใช้ที่นี่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันในยามว่าง


เมื่อเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปภายในก็พบเจ้าของเรือนหลังเล็กกำลังนั่งอยู่ที่เปียโนสีดำตัวโปรดซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับประตูกระจกบานเลื่อนด้านที่ติดกับสระน้ำ นายแพทย์ปราการถอยห่างออกจากหญิงอันเป็นที่รักก่อนจะโค้งคำนับและผายมืออกขอเธอเต้นรำ เรวดีโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงวางมือของเธอบนมือใหญ่ที่เกี่ยวกุมกันมาพอ ๆ กับอายุของชายหนุ่มที่กำลังกดปลายนิ้วลงบนลิ่มนิ้วของเปียโน นายแพทย์ปราการใช้มือที่เหลือประคองแผ่นหลังคนในอ้อมแขนไว้ไม่ให้ห่างก่อนจะค่อย ๆ สืบเท้าก้าวย่างนำอีกฝ่ายให้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเสียงเพลง ดวงตาสองคู่สบประสานกันหวานซึ้งราวกับในที่แห่งนี้มีเขาและเธอเพียงสองคน


ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีละสายตาจากคีย์บอร์ดมองหญิงชายวัยกลางคนที่เต้นรำอยู่กลางห้องพลางยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ปลายนิ้วยังคงสัมผัสไปบนลิ่มนิ้วตามตัวโน้ตบนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นพ่อคลอตามเป็นคำร้องที่ฟังตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่รู้สึกเบื่อ...   


เธอเปรียบเหมือนดาวประจำใจ
เลอเลิศวิไลอยู่ในทรวง
เป็นเอกพธูอยู่ แนบใจหวง
เหนือนารีใดทั้งปวง ขวัญดวงชีวันมั่นหมาย

ดวงเนตรของเธอจ้องคมวาว
เรืองโรจน์ล้ำดาวเด่นพราวพราย
ทอส่องแสงรักประจักษ์ใจหมาย
ฝังซึ้งตรึงใจมิวาย มิคลายรักเธอแท้จริง

จอดจิตใจหลงเสน่ห์โฉม
รักน้อมโน้มใจใฝ่ถนอมเอนอิง
ฟ้าระยิบดาวสั่งกระซิบวอนวิง
เธอจงรักจริงใจอย่ากลับกลาย

ครองสุขสัมพันธ์คู่กันไป
เป็นมิ่งขวัญใจไม่คืนคลาย
จนกว่าฟ้าดินดับสิ้นสลาย
สัญญารักเดียวมิคลาย หมายเธอร่วมเรียงนิรันดร์


กระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปในอากาศ...


“ยังพริ้วเหมือนเดิมเลยนะพ่อ” ลูกชายกล่าวพลางเอื้อมมือปิดแฟ้มสำหรับเก็บโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า มองพ่อกับแม่ที่กำลังเดินเข้ามา


“ถ้าไม่พริ้วก็เสียชื่อประธานชมรมลีลาศหมดสิไอ้ลูกชาย” นายแพทย์ปราการว่าพลางเท้าแขนลงกับเปียโนตัวใหญ่


“เรื่องขี้โม้ละต้องยกให้พ่อเขา” เรวดีทำค้อนก่อนเดินอ้อมไปอีกทางยกแขนขึ้นโอบไหล่ลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพราะหากเขายืนขึ้นเต็มความสูงเธอจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ “ช่วงนี้รู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะจ๊ะหนุ่มน้อย”


“ช่วงนี้งานที่โรงเรียนยุ่ง ๆ น่ะแม่ พอดีมีน้อง ๆ ลาออกไปทำที่อื่นหลายคน บางคนก็ได้ไปเล่นให้ศิลปินดัง ๆ ด้วยนะ ส่วนบางคนก็ได้ไปเล่นให้คณะละครเวที ดูโก้มากเลยละแม่”


“แล้วเมืองล่ะลูก คิดว่าจะสอนที่โรงเรียนสอนดนตรีนั่นไปอีกนานแค่ไหน”


“อืม...ก็คงเรื่อย ๆ ไปน่ะครับ จนกว่าโลกนี้จะไม่มีคนป่วย ก็เหมือนที่พ่อกับแม่ทำอยู่ไง”


“เหมือนยังไง ไหนแกลองว่ามาซิ พ่ออยากฟังความเห็นของว่าที่มหาบัณฑิตสาขาวิชาดนตรีบำบัดหน่อย” ผู้เป็นพ่อขยับเข้ามาใกล้ทำท่าตั้งใจฟัง


“โธ่พ่อ แซวกันได้” ลูกชายยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเริ่มอธิบาย “พ่อกับแม่เป็นหมอ ใช้ความรู้ใช้ยารักษาอาการป่วยทางร่างกายของคนไข้ ส่วนเมืองเป็นนักดนตรี เมืองก็จะใช้ดนตรีรักษาอาการป่วยทางจิตใจของคนไงครับ”


ปราการพยักหน้าขรึมหากแต่ข้างในกลับรู้สึกพอใจในคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก “แล้วเรื่องเรียนล่ะ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”


“กำลังจะออกไปเก็บข้อมูลแล้วละพ่อ ส่วนสถานที่ก็...โรงพยาบาลของคุณลุงหมอสัญชัยที่พ่อแนะนำให้ไง เมืองเอาไปคุยกับอาจารย์แล้ว แล้วก็โทรไปคุยกับคุณลุงหมอแล้วด้วย คุณลุงหมอบอกว่าเรื่องของเมืองน่าสนใจดีและน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไข้ที่โรงพยาบาล ปลายสัปดาห์หน้าเมืองก็เลยว่าจะเอาเอกสารเข้าไปคุยกับคุณลุงหมอครับ”


“อืม จะไปเมื่อไรบอกพ่อด้วยนะ พ่อมีของจะฝากไปให้ลุงหมอสัญชัยแกหน่อย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”


“ครับพ่อ”


“แล้วนี่ทานข้าวหรือยังจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ถาม


“เรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่พ่อกับแม่ล่ะครับทานอะไรกันมาหรือยัง วันนี้กลับค่ำจัง”


“พ่อกับแม่ทานมาจาหที่โรงพยาบาลแล้วจ้ะ”


“แม่ไปรอพ่อที่โรงพยาบาลเหรอครับ”


“จ้ะ เย็นวันนี้พ่อเขามีลงตรวจคนไข้ที่หอพักผู้ป่วย แม่สอนเลิกไวก็เลยนั่งแท็กซี่ไปรอพ่อเขาที่โรงพยาบาล”


“วันหลังถ้าแม่เลิกสอนเร็ว แม่โทรหาเมืองก็ได้นะครับ เมืองจะได้ไปรับกลับมาก่อน ไม่ต้องไปนั่งรอที่โรงพยาบาล”


“ไม่เป็นไรหรอกลูก ที่นั่นแม่ก็มีเพื่อนคุยเยอะแยะ ดีเสียอีก ได้นั่งรำลึกความหลัง นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ” เรวดีกล่าวพลางหันไปสบตาสามี ชายผู้ซึ่งมีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตร่วมกัน


....
   

นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่ไฟที่ระเบียงของเรือนหลังเล็กยังคงสว่าง เรวดีในชุดนอนเดินไปตามทางเดินไม้ระแนงเข้าสู่เรือนหลังเล็กก่อนจะมองหาลูกชาย ในที่สุดเธอก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่ที่ระเบียงซึ่งยื่นออกสู่สระบัวขนาดใหญ่


“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก พรุ่งนี้ต้องไปที่โรงเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็นั่งลงข้าง ๆ มองลูกชายอย่างเอ็นดู


“เมืองยังไม่ง่วงน่ะแม่ ก็เลยออกมานอนดูดาว วันนี้ดาวสวย” ว่าแล้วก็ย้ายศีรษะจากหมอนใบโตมาหนุนตักของแม่แทน “นั่นดาวศุกร์ใช่ไหมแม่”


เรวดีมองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับด้วยดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง แต่ในจำนวนนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่เปล่งแสงทอประกายเด่นชัดจนคนมองไม่อาจละสายตา กระนั้นกลับไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่แทรกนิ้วลงในกลุ่มผมลื่นมือของคนบนตัก


“พ่อกับแม่เหนื่อยไหมครับ เมืองหมายถึงเหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องเลี้ยงเมืองมา แถมยังต้องทำงานหนักเพื่อให้เมืองได้เรียนหนังสือ พ่อกับแม่รู้สึกว่าตัดสินใจผิดบ้างไหมครับที่รับเมืองเป็นลูก”


ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าเบา ๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนยังคงประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อเรื่องราวในอดีตถูกฉายขึ้นในหัวอีกครั้ง “ถึงลูกจะไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ แต่รู้ไหม...ลูกน่ะคือของขวัญที่มีค่าสุดสำหรับเรา ลูกรู้ไหมตอนที่แม่แท้ ๆ ของลูกขอให้พ่อซึ่งเป็นหมอที่ทำคลอดในตอนนั้นช่วยตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิดให้ พ่อเขาตื่นเต้นมาก คืนนั้นก็คล้าย ๆ กับคืนนี้ ทั้งฟ้ามืดดำดูน่ากลัวแต่ก็มีดาวศุกร์ที่ทอประกายสว่างไสว พ่อเขาก็เลยตั้งชื่อลูกตามชื่อของดาว น่าเสียดายที่แม่แท้ ๆ ของลูกไม่มีโอกาสได้เรียกชื่อนี้...”
   

...ประจำเมือง...


...


สวัสดีค่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า

ตาไม่ฝาด ๆ เมื่อวานดูซีรีส์แล้วปวดใจ

วันนี้เราเลยได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเรื่องสั้นเรื่องใหม่

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 08-05-2016 08:51:57
โอ้ย ขึ้นตอนแรกก็อยากจะกรี๊ดกับชื่อตัวละครแล้ว ละมุนละไมจังเลย รอตอนต่อไปค่าา #มีมั้ย อิอิ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 08-05-2016 09:38:03
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 08-05-2016 13:44:17

แค่อ่านตอนแรกก็รู้สึกละมุนละไม สวยงามไปทุกอย่างเลยค่ะ
ชอบบรรยากาศในเรื่องนี้จังเลยน้า >_<
ท้องฟ้า สายลม ทะเล กับดวงดาว รู้สึกได้กลิ่นโรแมนติกนุ่มนิ่มลอยมาเลยค่ะ


ชอบชื่อประจำเมืองมาก! อยากเอาไปตั้งเป็นชื่อลูกชายบ้าง แต่ติดที่แฟนยังไม่มี กร้ากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 08-05-2016 18:00:00

 กรี๊ดดดดดดดด กะ เรื่องใหม่

 ตกใจนึกว่า ตาฝาด

  ถ้าเธอฯ มี อาถรรพณ์  คิดถึง เรื่องใหม่  เรื่องรัก แบบ สั้น ก็มาแบบ cool ...พี่ ประจำเมืองงงงงงงงงงง  :กอด1:



   :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven


  ว่าแต่ เราไม่มีโอกาสติดตาม "ความทรงจำที่หายไป"  อ่ะ

  ทำไง ถึงจะได้อ่านภาคแรก แล้วฟินนนนน กะ เขาบ้างนะ

 please...:hao5:


 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 09-05-2016 14:19:49
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

เอาอีก ๆๆๆๆๆ

:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 09-05-2016 16:05:03
คิดถึงค่า รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: xinpitar ที่ 09-05-2016 22:16:00
เป็นอะไรที่น่าติดตามค่ะ คือบรรยายได้ดีมากกกกกกกก  :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง (08-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-05-2016 21:33:52
ดีใจมากที่มีเรื่องใหม่มาแล้ว คึคึ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (15-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 15-05-2016 12:08:02
ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว


สัญชัย กิตติดนู นอกจากจะเป็นศัลยแพทย์มือดียังเป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกที่เพิ่งปรับเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้เพียงไม่นาน แม้อายุอานามจะเลยวัยที่ต้องปลดระวางมาหลายปีแต่ด้วยความที่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงได้รับการต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่อระหว่างรอการสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมารับตำแหน่งนี้ต่อไป


นอกจากนายแพทย์สัญชัยจะมีความสามารถเป็นที่ยอมรับแล้ว การเป็นคนไม่ถือตัว จิตใจดี ซ้ำยังมีมนุษยธรรมยังทำให้เขาเป็นที่รักของทั้งผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงคนไข้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้น “คุณลุงหมอ” จึงเป็นคำคนไข้มักจะใช้เรียกเขาแทนคำว่า “อาจารย์” หรือ “ท่านผู้อำนวยการ” ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความปรารถนาของเจ้าตัวทั้งสิ้น


ศัลยแพทย์วัยหกสิบสองปีละสายตาจากแฟ้มเอกสารทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเมื่อเขาเอ่ยปากอนุญาตประตูก็ค่อย ๆ แง้มออก สัญชัยมองชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของรูปร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงขายาวสีครีมสวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ก้าวมาหยุดต่อหน้า เขายกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเอง


“ผมชื่อประจำเมืองครับ เป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาดนตรีบำบัดที่โทรมาคุยกับคุณลุงหมอเมื่อประมาณกลางเดือน”


“ลูกชายปราการใช่ไหม” ผู้อาวุโสว่าพลางปิดแฟ้มเอกสาร


“ครับคุณลุง คุณลุงเรียกผมว่าเมืองก็ได้ครับ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นนายแพทย์สัญชัยก็ผายมือพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญคนมาให้ให้นั่ง ในขณะที่ประจำเมืองเองก็ค้อมศีรษะขอบคุณ จัดการปลดเป้แล้วเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง


“เคยเจอตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ไม่คิดว่าโตขึ้นมาแล้วจะหล่อเหลาขนาดนี้”


“คงสู้คุณลุงไม่ได้หรอกครับ พ่อเล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ คุณลุงเป็นดาวเด่นของคณะ” พูดจบดึงหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่หนังสือที่ระลึกครบรอบเก้าสิบปีของมหาวิทยาลัยครับ พ่อฝากมาให้คุณลุงด้วย”


“ฝากขอบใจพ่อของเธอด้วยนะหลานชาย” นายแพทย์วัยหกสิบสองปีกล่าวพลางรับหนังสือเล่มนั้นมาวางตรงหน้า มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยหากแต่เคยช่วยชีวิตคนมาแล้วนักต่อนักลูบไล้ไปบนตัวอักษรพิมพ์นูน “กลิ่นแก้วรำลึก” ก่อนจะพลิกดูด้านในที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวในอดีต


“เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อน คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ชอบนึกถึงแต่ความหลัง” เจ้าของใบหน้าแต้มยิ้มกล่าวทั้งที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพถ่ายขาวดำในหน้ากระดาษอาร์ตมัน “พ่อเธอเป็นไหม”


“เรียกว่าบ่อยเลยละครับคุณลุง”


“เจอกันทีไรก็คุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ชวนดูกันแต่รูปเก่า ๆ เป็นพวกไม่มีอนาคตให้นึกถึง” คนพูดหัวเราะในลำคอขณะปิดหนังสือที่เป็นเหมือนบันทึกความทรงจำแต่หนหลังลง “เอ้อ...เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ เดี๋ยวจะเสียเวลาของเธอ”


“ไม่หรอกครับคุณลุง วันนี้นี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณลุงโดยเฉพาะ ไม่ได้รีบไปไหน”


“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า เราอยากจะให้ลุงช่วยอะไรก็ว่ามาได้เลย”


“ตามที่ผมเรียนให้ทราบทางโทรศัพท์นั่นแหละครับ ผมอยากจะขออนุญาตเข้ามาเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิจัยในโรงพยาบาลของคุณลุง ส่วนนี่คือรายละเอียด หัวข้อวิจัยของผมคือการศึกษาผลของดนตรีบำบัดที่มีต่อความวิตกกังวลและความเจ็บปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็งครับ”


นายแพทย์สัญชัยพยักหน้าพลางกวาดตาดูรายละเอียดคร่าว ๆ “วางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มเมื่อไรล่ะ”
   

“ถ้าคุณลุงอนุญาต ผมก็อยากจะเริ่มให้เร็วที่สุดครับ”
   

“ได้สิ”
   

“ถ้าอย่างนั้นในช่วงเดือนแรกผมจะขอพาเพื่อน ๆ เข้ามาทำการเก็บข้อมูลทั่วไปรวมถึงความต้องการของผู้ป่วยก่อนนะครับ จากนั้นก็จะเอาข้อมูลที่ได้กลับไปวิเคราะห์เพื่อดำเนินการต่อ”
   

“ไม่มีปัญหาหรอก แต่ช่วงนี้ลุงอาจจะยุ่ง ๆ หน่อย เพราะโรงพยาบาลมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร มีการยุบรวมแล้วก็มีการเกิดขึ้นใหม่ของงานย่อย ๆ ที่เห็นชัดก็คงจะเป็นฝ่ายที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องสารสนเทศของโรงพยาบาลแทนการจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากข้างนอกเหมือนที่แล้วมา นี่ก็เพิ่งได้เงินบริจาคสำหรับโครงการใหม่น่ะ จะว่าไปมันก็น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำนะ”


“โครงการอะไรหรือครับคุณลุง”


“โครงการจัดตั้งสถานีวิทยุน่ะ คนบริจาคเขาแสดงความต้องการมาเลยว่าอยากให้ทำสถานีวิทยุออนไลน์เพื่อให้ความรู้กับคนทั่วไป เพราะตอนนี้ทั้งสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเป็นอุปกรณ์ที่มีติดตัวกันแทบทุกคน  เสียดายที่ตอนนี้อะไร ๆ ยังไม่ลงตัว ไม่อย่างนั้นลุงจะพาไปดู”
   

“ดีจังเลยนะครับคุณลุง ผมเองก็คงต้องเทียวไปเทียวมาที่นี่ไปอีกนาน ต้องมีโอกาสได้ไปแน่ ๆ ครับ”
   

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงจะหาใครสักคนมาเป็นพี่เลี้ยงให้ มีอะไรจะได้ปรึกษาเขาได้”
   

“ได้ครับคุณลุง” ประจำเมืองยิ้มน้อย ๆ มองชายวัยกลางคนที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
   

“ขอโทษทีนะ ว่าจะชวนดื่มกาแฟด้วยกันสักหน่อย เพิ่งนึกได้ว่ามีประชุมที่ศาลากลางจังหวัด”
   

“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับเลยก็แล้วกันนะครับ คุณลุงจะได้มีเวลาเตรียมตัว”


ลูกชายสูตินรีแพทย์เดินออกจากห้องพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลก่อนจะกดลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างซึ่งเป็นส่วนของงานเวชระเบียน ชายหนุ่มเดินออกประตูด้านข้างตั้งใจจะไปยังลานจอดรถ หากแต่เสียงไวโอลีนที่กำลังบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์กลับทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปที่หน้าอาคารโบราณสองชั้นสีขาวหม่นซึ่งน่าจะสร้างขึ้นตามแนวคิดศิลปะแบบตะวันตก สังเกตได้จากระเบียงที่ทำเป็นซุ้มโค้งรับน้ำหนักของหลังคายาวตลอดแนวปีกซ้ายและขวา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเหนือกรอบประตูทางเข้าบริเวณหน้ามุขที่ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นก็เห็นตัวอักษรสลักเป็นร่องลึกว่า "ฤดีบรรเทา" ซึ่งเป็นชื่อของอาคาร และเมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบผู้คนจำนวนมากกำลังนั่งรอเรียกตรวจอยู่ภายในห้องโถงซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอายุรกรรม และแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


คันชักที่ทำจากหางม้ายังคงเสียดสีกับสายสังเคราะห์ทำให้เกิดท่วงทำนองหวานแหลมแต่ในเวลาเดียวกันกลับให้รู้สึกเศร้าจับใจยิ่งนัก ประจำเมืองกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่ร่างท้วมผมสีดอกเลาเจ้าของไวโอลินที่เป็นต้นกำเนิดเสียงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวสุดท้าย ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะนั่งลงโดยเว้นที่ว่างเอาไว้เพื่อให้เกิดระยะห่าง ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ และเมื่อจบเพลงชายชราวัยแปดสิบสี่ก็หันมาส่งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ชอบฟังเพลงรึหนุ่ม”


“ครับคุณตา แต่เพลงที่คุณตาเล่นเมื่อกี้ฟังดูเศร้าจังเลยนะครับ”


“รู้จักด้วยเหรอ” มือเหี่ยวย่นวางไวโอลินลงบนหน้าตักก่อนจะหันมาคุยอย่างจริงจัง


“รู้จักสิครับ เพลงพระราชนิพนธ์อาทิตย์อับแสง”


“ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะรู้จักเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย”


“ผมเรียนดนตรีน่ะครับ ก็เลยพอจะได้ศึกษาเรื่องนี้อยู่บ้าง”
   

“ลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ ผมเองก็เล่นอยู่ไม่กี่เพลงซ้ำไปซ้ำมา คนที่นี่เขาคงพากันเยื่อแล้วมั้ง”
   

“คุณตามาเล่นดนตรีที่นี่ทุกวันเหรอครับ”


“เปล่าหรอก ผมมาเฉพาะวันที่หมอนัดน่ะ เดือนละครั้งสองครั้งตามแต่หมออยากจะเจอ” ทำพูดติดตลกในขณะที่มือก็ส่งไวโอลินตัวเก่งให้


“จะดีเหรอครับ”


“ดีสิ นาน ๆ ได้ฟังฝีมือคนหนุ่มบ้าง”
   

“ครับ” ประจำเมืองยิ้มพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ รับเครื่องดนตรีจากมือชายชราก่อนจะแนบส่วนที่เป็นที่รองคางลงกับสันกราม


“คุณตาเล่นเพลงอาทิตย์อับแสงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่นเพลงนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าวันนี้ถึงดวงอาทิตย์จะหมดแสงแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับมาเจอกันใหม่แน่นอน” พูดจบชายหนุ่มก็วางคันชักลงบนเส้นสังเคราะห์แล้วลากยาวจนเกิดเป็นทำนองหวานหูฟังดูมีจังหวะกว่าเพลงที่คุณตาเพิ่งเล่นจบลงไป


ปลายนิ้วที่กำลังสัมผัสกับแป้นพิมพ์ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงไวโอลินบรรเลงเพลงที่มีท่วงทำนองผิดแผกไปจากที่เคยได้ฟัง ขวัญนพจำได้แม่นว่าทุก ๆ เดือนหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เขาจะต้องได้ยินเสียงไวโอลินดังมาจากชั้นล่างของตึก ซึ่งผู้ที่นำเครื่องดนตรีมาบรรเลงระหว่างรอตรวจก็คือคุณตาสุธีอดีตไต้ก๋งเรือประมงที่เพิ่งสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปเมื่อต้นปีก่อนด้วยโรคชรา หลังการจากไปของคู่ชีวิตคุณตาสุธีเองก็มีอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อเพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรวมถึงมีอาการของโรคกระดูกเสื่อมทำให้ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตามอาการตามคำสั่งของแพทย์


เสียงเคาะประตูเรียกสติของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาทที่กำลังลอยไปไกลให้กลับคืนมาอีกครั้ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นสายตามองประตูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ค่อย ๆ ถูกเลื่อนออกก่อนที่พยาบาลสาวจะเข็นรถเข็นพาเด็กชายรูปร่าจ้ำม่ำเข้ามา


“สวัสดีครับอาหมอ” หนุ่มน้อยวัยเก้าปีกล่าวเสียงใส ไม่ว่ารอยยิ้ม พวงแก้มน่าหยิกหรือแม้แต่สภาพทั่วไปของร่างกาย ไม่มีสิ่งใดเลยที่บ่งบอกว่าเขากำลังป่วยนอกเสียจากชุดที่เขาสวม
   

“พาตัวป่วนมาหาคุณหมอค่ะ” หญิงสาวกล่าวขณะล็อกล้อรถเข็น
   

“ขอบคุณนะครับพี่ผึ้ง”
   

“ไม่เป็นไรจ้ะหนุ่มน้อย” เธอว่าพลางหันไปหาคุณหมอเจ้าไข้ของเด็กชาย “ถ้าน้องจะกลับแล้วเรียกผึ้งนะคะคุณหมอ”
   

“ขอบคุณนะครับ” รอกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไปจึงเอ่ยขึ้นกับเด็กชาย “ไงปูไข่ ทำไมวันนี้มาถึงห้องอาได้”
   

“เมื่อเช้าปูไข่มาตรวจวัดสายตากับคุณหมอฟ้าใสครับ ก็เลยขอพี่พยาบาลแวะหาอาหมอก่อนกลับ”
   

“แล้วคุณหมอฟ้าใสให้ทำอะไรบ้าง”
   

“คุณหมอฉีดยา ให้ปูไข่นอนนิ่ง ๆ แล้วพาเข้าไปเที่ยวในอุโมงค์ฮะ”
   

“แล้วปูไข่กลัวหรือเปล่า”
   

“ไม่กลัวครับอาหมอ คุณหมอฟ้าใสบอกว่าเป็นอุโมงค์ง่วงนอน เข้าไปปั๊บก็หลับปุ๊บเลย พอตื่นมาอีกทีปูไข่ก็ไปนอนเล่นอยู่บนเตียงแล้ว คุณหมอฟ้าใสบอกว่าสายตาน่าจะสั้นลงก็เลยเห็นภาพมัว ๆ แล้วก็ปวดหัวบ่อย ๆ แต่ไม่ยักจะสั่งตัดแว่นให้ปูไข่ ปูไข่ก็เลยอดใส่แว่นเลย”
   

เจ้าของห้องพยักหน้า เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่การตรวจวัดสายตาแบบที่เด็กชายกล่าว หากแต่เป็นการทำกระนั้นก็ยังฝืนยิ้มก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าหนูน้อย ยกมือขึ้นโยกศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ “ตัวแค่นี้จะอยากสวมแว่นไปทำไมกัน”
   

“ก็ปูไข่อยากเท่แบบอาหมอนพนี่ฮะ” พูดจบเด็กชายก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายมองชายหนุ่มวัยย่างสามสิบห้าปีเจ้าของผมสีเข้มตัดรองทรงสูงไม่ได้จัดทรงจนส่วนหน้าตกลงมาระกับกรอบแว่นตาสีดำหนาเตอะ เขากำลังโคลงศีรษะน้อย ๆ
   

“อยากกลับห้องหรือยัง อาพาไปส่ง”
   

“ปูไข่อยากฟังคุณตาสุธีสีไวโอลินก่อน วันนี้คุณตาคงอารมณ์ดีเลยเล่นเพลงเพราะ”
   

“แล้วทุกครั้งล่ะ ไม่เพราะเหรอ” ถามเพียงเพราะคิดว่าเพลงก็เหมือนกันทุกเพลงแค่จังหวะแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
   

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ “เพราะครับ แต่ทุกครั้งเศร้ากว่านี้ ปูไข่ไม่ชอบเพลงเศร้า”
   

ขวัญนพพยักหน้าส่ง ๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็อดนึกถึงคำที่คุณครูเคยพูดในชั่วโมงดนตรีเมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักเรียนชั้นประถมไม่ได้

...ท่วงทำนองของดนตรีสามารถสะท้อนสภาพจิตใจของผู้บรรเลงในขณะนั้น ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หรือเศร้าก็ส่งผ่านไปถึงผู้ฟังได้...

   

“ขอบคุณคุณตามากนะครับที่ให้ผมยืมเล่น” ประจำเมืองกล่าวขณะส่งไวโอลินคืนเจ้าของ “ไวโอลินของคุณตาทำให้ผมนึกอยากจะค้นเอาไวโอลินตัวแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้ออกมาปัดฝุ่น นานแล้วที่ไม่ได้สีไวโอลิน เหมือนได้เคาะสนิมเลยครับ”
   

“นี่ไม่ได้สีไวโอลินประจำหรอกรึ” ชายชรากล่าวพลางรับเครื่องดนตรีคืน
   

“เครื่องดนตรีเอกของผมคือเปียโนน่ะครับ”   


“ขนาดไม่ได้เล่นนานฝีมือยังไม่เบาเลยนะพ่อหนุ่ม เอาไว้ว่าง ๆ ถือติดมือมาสิ คนที่นี่เขาจะได้ฟังเพลงใหม่ ๆ”
   

“ได้ครับ ถ้าคุณตาชอบ คราวหน้าผมจะเอาโน้ตเพลงเพราะ ๆ ติดมาด้วย คุณตาจะได้เอาไว้เล่นให้คนอื่น ๆ ฟัง”
   

ประจำเมืองกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกล่าวอำลาคุณตาสุธี ถ้าหากเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงได้มีโอกาสพบกับสองคู่หูต่างวัยที่กำลังจูงมือกันเดินลงมาจากบันไดไม้สักที่ทอดเวียนลงมาจากชั้นสองของตึกเพื่อจะมาฟังเพลงที่เขาเล่น


....
   

สองสัปดาห์ต่อมานักศึกษาหนุ่มกลับมาที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์อีกครั้งพร้อมกับเพื่อน ๆ  พวกเขาถูกนายแพทย์สัญชัยพาไปแนะนำให้รู้จักกับบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับสารสนเทศและวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล ประจำเมืองและเพื่อน ๆ จึงได้ขออนุญาตนายแพทย์สัญชัยในการเข้ามาช่วยงานของสถานีวิทยุระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัย ในที่สุดสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ก็เริ่มขึ้น...         


“สวัสดีตอนเช้าในวันที่อากาศแจ่มใสคลื่นลมสงบนะครับ ผม...ดีเจปาล์มครับ วันนี้เป็นวันที่สองแล้วสำหรับการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ยังไงก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ชาวโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ทุกคนด้วยนะครับ หากต้องการขอเพลงก็สามารถขอได้ที่เบอร์โทรศัพท์ภายในหรือหย่อนจดหมายน้อย ๆ ลงในมิวสิคบ็อกซ์ที่เราตั้งไว้ที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาลก็ได้นะครับ และสำหรับเพลงแรกในวันนี้ คุณวิทย์แผนกฉุกเฉินมอบให้คุณก้อยการเงิน ไปฟังกันเลยครับ”


เสียงฉะฉานดีเจหนุ่มค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยจังหวะเพลงสนุก ๆ ที่มีเนื้อหาในเชิงบอกรัก ทำเอาบรรดาพยาบาลสาว ๆ ที่จับกลุ่มยืนรอซื้อกาแฟต่างก็พากันหัวเราะคิกคัก


นายแพทย์ขวัญนพวางถ้วยกาแฟร้อนลงบนโต๊ะพลางมองไปยังกลุ่มของสาว ๆ แล้วหันกลับมาพูดกับคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในฝั่งตรงข้าม “เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่”


กันตภณรวบหนังสือพิมพ์เก็บ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะตอบคำถาม “สถานีวิทยุของโรงพยาบาลน่ะ เพิ่งเริ่มดำเนินการเมื่อวาน”


“ผมเเพิ่งรู้ว่าโรงพยาบาลของเรามีอะไรแบบนี้ด้วย”


“วัน ๆ สนใจอะไรบ้างนอกจากคนไข้กับหนังสือกองมหึมา" นายแพทย์กันตภณกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก "เห็นอาจารย์สัญชัยบอกว่าได้เงินบริจาคจากนักการเมืองท้องถิ่น เขาขอให้โรงพยาบาลดำเนินงานเกี่ยวกับสถานีวิทยุเพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารความรู้ที่เกี่ยวกกับสุขภาพน่ะ พอดีมีนักศึกษาปริญญาโทเขามาขอทำวิจัยเกี่ยวเรื่องดนตรีบำบัดด้วย อาจารย์ท่านเห็นว่ามีประโยชน์กับทั้งตัวนักศึกษาและผู้ป่วยในระยะนี้ก็เลยให้เขาเข้ามาช่วยงานสถานีน่ะ”


“ก็ดีเหมือนกันนะพี่” ขวัญนพกล่าวพลางทอดตามองกล่องซึ่งห่อด้วยกระดาษลายสวยที่ตั้งอยู่หน้าเคาท์เตอร์ มีข้อความตัวโตที่พิมพ์บนกระดาษเอสี่แปะไว้ “มิวสิคบ็อกซ์ เพียงคุณบอก...เราจัดให้” ส่วนด้านล่างมีรายละเอียดและวัตถุประสงค์เกี่ยวการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล


“นายว่าดีเหรอ”


“ครับ ทำไมล่ะ”


“ก็ปกติฉันไม่เห็นนายจะมีอารมณ์สุนทรีย์กับใครเขา ตรวจคนไข้เสร็จก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องหนังสือ”


ขวัญนพยอมรับในสิ่งที่กันตภณพูดมาทั้งหมด “ผมหมายถึงอย่างน้อยก็ดีสำหรับคนไข้ไงพี่”


“แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันจะดีกับตัวนายเองเหมือนเคย” แพทย์รุ่นพี่หัวเราะในลำคอก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ทิ้งให้คนที่ในหัวมีแต่คำว่าหน้าที่นั่งนิ่งคิดทบทวนในคำพูดเมื่อสักครู่


หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเก็บข้อมูลก็ถึงเวลาที่เหล่าดีเจมือใหม่จะต้องกลับมาปิดสถานีตามที่ได้รับอาสากับหัวหน้างานสารสนเทศของโรงพยาบาลเอาไว้ แต่แทนที่ตอนนี้พวกเขาจะไปอยู่กันที่ห้องวิทยุออนไลน์ซึ่งอยู่ชั้นห้ากลับต้องแวะชั้นที่สามเพื่อรับกุญแจจากเจ้าหน้าที่ ยิ่งตกกลางคืนบรรยากาศของชั้นนี้ยิ่งเงียบสงัดกันเข้าไปใหญ่ เพราะทั้งชั้นถูกจัดให้เป็นพื้นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลระบบเครือข่าย ต่างคนต่างมองผ่านไอน้ำที่เกาะประตูกระจกเข้าไปในห้องเครื่องแม่ข่าย เห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่ง พลันฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงมาบนระนาบขุ่นปาดฝ้าไอน้ำออกก่อนจะมองลอดช่องออกมา เล่นเอาหัวใจของทั้งสี่คนแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ขอโทษที พอดีพี่นั่งย้ายข้อมูลในเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพลิน ลืมไปเลยว่านัดพวกเราไว้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กล่าวเมื่อสแกนนิ้วเปิดประตูออกมาพร้อมกับยื่นกุญแจให้ “เอ้านี่ กุญแจ ฝากปิดห้องด้วยนะ”


“ครับพี่ แล้วกุญแจนี่จะให้ผมเอาไว้ที่ไหนครับ” คนอายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะรับกุญแจมาถือไว้


ริมฝีปากสีคล้ำเพราะเกิดจากการสูบบุหรี่จัดสแยะยิ้มมีเลศนัยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพอ ๆ กับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมา “ถ้าไม่อยากแวะมาอีกก็ลงฝากไว้กับพนักงานรักษาความปลอกดภัยข้างล่างก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับพี่จะแวะไปเอาที่เขา”


“ได้ครับพี่”


เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทั้งสี่คนก็พากันเดินไปที่ลิฟต์ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคาร


“บรรยกาศบนนี้มันวังเวงพิลึกว่ะ ห้องพวกพี่ ๆ เจ้าหน้าที่เน็ตเวิร์คอยู่ไกลเหลือเกิน” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“แกจะบ่นอะไรนักหนาวะไอ้ก้อง” คนถือกุญแจกล่าว


“ก็มันจริงนี่พี่ ถ้าไฟติด ๆ ดับ ๆ หน่อยนะ เป๊ะเลย ฉากในหนังสยองขวัญชัด ๆ”


“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากเจอ”


“จ...เจออะไรวะพี่”


“ผีไง กุ๊ก ๆ กู๋ก็ได้ จะได้ดูน่ารัก”


“น่ารักอะไรวะพี่ ผมยิ่งกลัว ๆ อยู่” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นลูบขนแขนที่จู่ ๆ ก็ตั้งชันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ


“ตึกนี้เขาเพิ่งสร้างเสร็จจะมีผีได้ยังวะ แกคิดเป็นตุเป็นตะ”


“ใครว่าล่ะพี่ ตึกนี้แหละเฮี้ยนสุด เมื่อกลางวันพี่คนเมื่อกี้ยังเล่าให้ผม ไอ้ปาล์ม ไอ้เมือง ฟังอยู่เลยว่าตึกนี้น่ะสร้างทับตึกเก่าของโรงพยาบาลที่เขาว่ากันว่า...”


“พอ ๆ ไอ้ก้อง ฉันไม่ได้อยากรู้” แม้จะเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่โอก็เลือกที่จะไม่รู้ข้อมูลเสียดีกว่า ชายหนุ่มมองตามเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา ที่แท้ก็เป็นประจำเมืองที่แยกไปห้องน้ำเมื่อหลายนาทีก่อนนั่นเอง


“ไอ้ปาล์มกดลิฟท์” คนที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาสมทบกับอีกสามคนที่ยืนรออยู่เอ่ยขึ้น ดังนั้นเจ้าของชื่อที่ยืนเงียบมานานจึงเอื้อมมือกดปุ่ม รอกระทั่งประตูเปิด ทั้งสี่คนจึงพากันก้าวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับขนส่งระหว่างชั้นต่าง ๆ ภายในอาคาร 
ต่างคนต่างจ้องมองประตูเหล็กที่เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิท ภายในกล่องสี่เหลี่ยมเงียบสนิทจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มวินาทีจากนาฬิกาที่แต่ละคนสวมติดข้อมือเท่านั้น และเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งสี่คนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพวกเขายังคงอยู่ที่ชั้นเดิม


“ฮือ...” เสียงครางเบา ๆ พาให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก


“ไอ้ก้อง แกจะครางทำไมวะ” โอซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งกล่าวก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ เพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งในระหว่างนั้นใครคนหนึ่งก็กดปุ่มให้ประตูลิฟต์ก็ปิดลง...


แต่เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“เฮ้ย...ทำไมมันไม่ไปไหนเลยวะ” สิ้นเสียงของปาล์ม ทั้งหมดก็พากันขยับเข้ามากระจุกกันที่ด้านหนึ่ง


“น...นั่นไง จริง ๆ ด้วย” ก้องกล่าวเสียงสั่นก่อนจะเหลือกตามองเพดาน “ต...ตึกนี้ ฮ...เฮี้ยนสุดนะจริง ๆ ด้วย”


“จะพูดทำไมวะ” โอที่ไม่เคยกลัวอะไรชักเริ่มใจคอไม่ดี


และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อปาล์มซึ่งยืนอยู่ใกล้ฝั่งที่มีปุ่มกดต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ท้ายทอย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองก่อนจะหันกลับไปมองเพื่อน ๆ ซึ่งกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวไม่ต่างกัน ทุกคนต่างพากันมองสำรวจไปรอบ ๆ ชายหนุ่มตัวเล็กที่สุดในกลุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าพร้อมกับหลับตาลงและเริ่มสวดมนต์เบา ๆ แต่กระนั้นบางสิ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรามือ


ปาล์มสะดุ้งโหยงก่อนจะกระซิบลอดไรฟันทั้งที่ยังหลับตาปี๋ “ค...โครตบหัวผม ฮือ...พ่อจ๋าแม่จ๋า...ช่วยปาล์มด้วย” สิ้นเสียงชายหนุ่มอาการเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำ


“ฉันตบแกเองไอ้ปาล์ม แกไม่กดเลือกชั้นแล้วลิฟต์มันจะขึ้นให้แกไหมวะ” ประจำเมืองกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่อีกสามคนได้แต่ร้องอ้าวพร้อมกัน สุดท้ายก็เป็นปาล์มที่ต้องยอมตกเป็นเป้านิ่งให้เพื่อน ๆ รุมประชาทัณฑ์


“ใครจะไปรู้วะ บรรยากาศมันก็ชวนสยอง แถมไอ้ก้องก็บิ๊วต์จนขี้จะขึ้นไปอยู่บนสมองอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบ่นอุบขณะเอื้อมมือกดปุ่ม และเมื่อลิฟต์ถึงที่หมายเรื่องลี้ลับประจำค่ำคืนนี้ก็ปิดฉากลง...


ห้องพักบนอาคารที่พักบุคลากรของโรงพยาบาล นายแพทย์ขวัญนพที่เพิ่งออกจากห้องน้ำเดินตรงไปยังระเบียงก่อนจะจัดการตากผ้าเช็ดตัวกับราวที่ซื้อมาประกอบเอง  ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นราวกับอาณาจักรอันเป็นส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ คว้าแว่นตามาสวมแล้วเปิดตำราเล่มหนาที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนก่อนออกอ่าน แม้สายลมเย็นจะพยายามพัดผ่านมากวักมือเรียกแต่ก็ไม่อาจฉุดให้เขาออกไปยืนรับลมชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหมือนกับที่หลาย ๆ คนทำเพื่อให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันได้


คิ้วหนาเรียงเส้นเผลอเคลื่อนเข้าหากันเมื่อพบว่านอกจากสายลมยามค่ำคืนจะพัดเอากลิ่นไอทะเลมารบกวนจมูกแล้วยังหอบเอาเสียงของใครคนหนึ่งมาทักทายกันด้วย ชายหนุ่มละสายตาจากตัวอักษรที่เรียงกันแน่นจนเต็มหน้ากระดาษแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยุดที่ระเบียงเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากห้องข้าง ๆ ที่แท้ก็เป็นเสียงของนักจัดรายการมือใหม่ประจำสถานนีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลนั่นเอง 


“...หลายคนมีความกลัวซ่อนอยู่ภายในใจ บางคนกลัวการเริ่มต้นใหม่ บางคนกลัวความสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ แต่หากลองคิดทบทวนให้สักหน่อย เราอาจจะเห็นความสวยงามอยู่ในสิ่งที่เรากลัวก็ได้นะครับ การเริ่มต้นใหม่จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไปหากคุณลองก้าวข้ามความกลัวของตัวเองออกไปพบสิ่งใหม่ ๆ ลองยิ้มให้ใครสักคน หรือถ้าคุณกลัวความสูง ลองสลัดความกลัวแล้วมองไปข้างหน้า บางทีคุณจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตากว่าการมองลงไปที่ปลายเท้าของตัวเองก็ได้ แล้วถ้าคุณกลัวความมืด...ผมก็แค่อยากจะบอกว่า...คืนนี้ดาวสวยนะครับ”


จบประโยคนั้น คุณหมอหนุ่มผู้ไม่เคยเห็นเห็นความงดงามในสิ่งรอบตัวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไม่รู้ตัว ในหัวเกิดคำถามว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นดวงดาวมากมายเช่นนี้...


“ยิ่งมืดเท่าไร เราก็จะยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจนขึ้นเท่านั้นและมันทำให้ผมนึกถึงเพลงหนึ่งมา ก่อนจะจากกันไป ผมขอส่งท่านผู้ฟังทุกท่านเข้านอนด้วยเพลงนี้ครับ พรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใสรับวันใหม่ด้วยกัน ราตรีสวัสครับ”


สิ้นเสียงดีเจ เพลงเก่าเพลงหนึ่งก็แว่วมาตามสายลม...



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (15-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-05-2016 13:21:11
ละมุนมากกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (15-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 16-05-2016 13:13:53
สนุกๆๆๆๆๆๆ o18 :katai3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (15-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 17-05-2016 10:17:42


..ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาวว...

ช่าง เป็นการบำบัด ที่ดีจริงๆๆๆ

น้องประจำเมือง จะมาช่วยบำบัดคุณหมอ  อย่างไรน้อ...


ป่านนี้ ยังไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ยินเสียง กันเลย  :sad4:

สงสัย ติดต่อ ผ่านทางเสียงไวโอลิน สินะ :ruready


  :-[  เราจะรอ นิยายความยาว 580 หน้า .#เจอกันหน้าสุดท้าย   ..
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว (15-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: xinpitar ที่ 23-05-2016 18:59:12
นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ~~
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1) (23-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-05-2016 23:31:55
ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1)


เมื่อผู้ป่วยรายสุดท้ายเดินออกจากห้องตรวจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งจะแทรกผ่านเข้ามาพร้อมกับยักคิ้วให้ชายหนุ่มในชุดกาวน์สูทสั้นแขนยาวที่เงยหน้าขึ้นมองพอเป็นพิธีเพียงแค่ให้รู้ว่าที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรรีบกำจัดออกไป


กันตภณหยุดยืนที่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานคั่นกลาง มองคนที่กำลังง่วนอยู่กับการคีย์ข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นว่าการมาของตนเองไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนักเขาจึงยกแขนขึ้นกอดอกถอนหายใจพลางขยับปลายเท้าขึ้นลงให้พื้นรองเท้าหนังกระทบกับหินแกรนิตเกดเป็นจังหวะห่าง ๆ เพื่อเตือนให้อีกฝ่ายรู้ว่าในห้องยังมีเขาอยู่อีกคน


“มีอะไรหรือเปล่าพี่” ขวัญนพถามพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ดันแว่นให้กระชับกับใบหน้า หากแต่ดวงตายังคงเพ่งผ่านกระจกเลนส์ไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์


“จะมาถามว่าเย็นนี้นายว่างหรือเปล่า”


“ผมมีตรวจที่หอผู้ป่วยเด็ก”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“ก็ต้องขึ้นไปเก็บของบนห้องทำงานเตรียมย้ายไปตึกใหม่ไง”


เป็นอีกครั้งที่ต้องทอดถอนใจกับชายหนุ่มผู้ที่ไม่ยอมปล่อยให้บนหน้าปัดนาฬิกามีพื้นที่สำหรับคำว่าพักผ่อนเลยแม้สักนาทีเดียว “ก่อนจะไปตรวจที่หอผู้ป่วยนี่ล่ะ เมื่อกี้น่ะเคสสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ”


“ผมมีนัดกับฟ้าใส” พูดจบก็เคาะปลายนิ้วลงกับเมาส์ในขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏภาพที่ได้จากการเอกซเรย์สมอง


“ฟ้าใส?” ชื่อนั้นทำเอาชะงัก เสียงกระดิกปลายเท้าหยุดลงเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อจู่ ๆ หน้าสวยของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว “นัดไปไหนกัน เดทหรือไง คบกันตอนไหนทำไมฉันไม่รู้”


คนฟังส่ายหน้าเอือม ๆ ก่อนจะตอบคำถามของอดีตพี่ระเบียบคณะแพทยศาสตร์ “ใช่เสียที่ไหนล่ะครับ มีธุระต้องคุยกันต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย” กัณตภณกล่าวแทบจะไม่ต้องคิด


“ทำไม? อย่าบอกนะว่าหึง” ขวัญนพหัวเราะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นยืนรอฟังคำตอบจากปากของอีกฝ่าย


“หึงบ้าอะไรวะ คนอุตส่าห์จะตามไปเป็นไม้กันหมา เอ๊ย! กันหมอให้ต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่พี่กันต์เถอะครับ จะไปเป็นอะไรก็” แพทย์รุ่นน้องโคลงหัวน้อย ๆ พลางคลิกปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป


สองคนพากันไปยังอาคารสร้างใหม่ซึ่งอยู่ถัดไปทางด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกซึ่งติดป้ายชื่อของคนที่ต้องการมาพบ ขวัญนพเคาะเบา ๆ ก่อนเลื่อนประตูให้เปิดออก เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องนั่งรออยู่แล้วจึงส่งยิ้มให้แล้วหันไปเรียกอีกคนที่มาด้วยกัน 


“พี่กันต์ เข้ามาสิพี่ มัวยืนทำอะไรอยู่”


“กำลังดูว่ามาถูกห้องหรือเปล่า” ว่าพลางลากปลายนิ้วไล่ไปตามตัวอักษรบนป้ายชื่อพร้อมกับแกล้งอ่านเสียงดัง  “นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ เดชาสกุล”


และนั่นก็ทำเอาทำเอาคนในห้องถึงกับหน้าเบ้ “ไม่ผิดหรอกค่ะ!”


ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำโต้กลับ กันตภณก็กดยิ้มที่มุมปากแล้วโผล่หน้าเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงยียวน “นี่ห้องคุณหมอณรงค์ฤทธิ์เหรอครับ”


เท่านั้นลมหายใจเหนื่อยหน่ายก็ถูกพ่นออกจากปลายจมูกโด่งราวกับปั้นมาโดยประติมากรมืออาชีพ “อีกันต์! แกเข้ามานั่งเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่เข้ามาฉันจะส่งแกไปแผนกทันตกรรม ให้หมอนภัทรผ่าเอาหมาออกจากปากแก บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกชื่อจริง” เจ้าของห้องออกคำสั่ง และเขาก็คือเจ้าของชื่อ “ฟ้าใส” ที่ใคร ๆ พากันเรียก จะมีก็แต่กันตภณซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาตั้งสมัยเรียนมัธยมกระมังที่ยังคงเรียกชื่อเดิมให้ต้องเปิดฉากปะทะคารมกันร่ำไป


“รอนานไหม”


ยังคงเป็นขวัญนพที่คอยห้ามทัพเช่นทุกครั้ง


“ไม่นานหรอก เราเพิ่งตรวจคนไข้เสร็จพอดี” แม้ร่างกายจะเป็นชายแต่น้ำเสียงและท่วงท่ากลับอ้อนแอ้นนุ่มนิ่มราวกับผู้หญิง หากผมยาวระต้นคอนั่นไม่ถูกตัดสั้นเสียก่อนที่จะยาวประบ่า ใครที่ไม่รู้ก็คงจะพากันเข้าใจว่าเขาเป็นคุณหมอสาวสวยขวัญใจคนไข้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่ผิดแน่


“เรานึกว่านพจะมาคนเดียวเสียอีก” ปากพูดกับคนที่กำลังนั่งลงแต่สายตากลับมองไปยังร่างสูงที่เดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์เข้ามา “ไม่คิดว่าจะมีปลิงติดขามาด้วย”


“น้อย ๆ หน่อยครับคุณหมอณรงค์ฤทธิ์ หล่อขนาดนี้มองยังไงเป็นปลิง แกน่ะดีตายละไอ้แมงกะพรุนไฟ เดินส่ายไปส่ายมายิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก” พูดจบก็กอดอกกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับเตียงที่อยู่ติดกับผนังด้านหนึ่ง


“เขาเรียกว่าความพริ้วของบั้นท้ายค่ะ!” คุณหมอหน้าหวานกระแทกเสียง “แล้วถ้าจะให้ดี แกช่วยเรียกฉันว่าฟ้าใสแบบคนอื่น ๆ ด้วย หรือถ้ามันทำให้แกระคายปากนักก็เรียกฉันว่าฟาร์มแบบที่แกเคยเรียกก็ได้ ชื่อจริงน่ะมีไว้ให้คนไข้เรียกก็พอ จำใส่หัวโต ๆ ของแกเอาไว้”


ขวัญนพมองสองคนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กันแล้วได้แต่ส่ายหน้า “สองคนหยุดเถียงกันได้หรือยังครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันยังไงเนี่ย เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที นี่ผมมาคุยเรื่องผล CT Brain ของคนไข้นะครับ”


สิ้นเสียงของคนอายุน้อยแต่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในห้องทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ที่ไม่ปกติคงจะเป็นสีหน้าของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลกรรมประสาทและสมองอย่างณรงค์ฤทธิ์ เขาเอื้อมมือขยับเมาส์ก่อนจะผลักหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ทุกคนได้เห็น มันคือภาพที่ได้จากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ภาพเดียวกับที่ขวัญนพดูก่อนจะมาที่นี่


“ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่นายกำลังกังวล” เสียงขรึมของเพื่อนสนิททำให้กันตภณต้องเดินเข้ามาดูด้วยความใคร่รู้


ขวัญนพพยักหน้าพ่นลมหายใจร้อนออกจากปลายจมูกอย่างไม่รู้ตัว “คิดอยู่แล้วว่าน่าจะมี แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้”


“คนไข้คนไหนนพ” กันตภณแทรกขึ้น


“ปูไข่ครับ ลูกชายของคุณปิยะ” ขวัญนพถอนใจ


“คุณปิยะ...คุณปิยะ อืม...คุณปิยะที่เป็นวิศวกรใช่ไหม”


“ครับ”


“โชคชะตานี่ชอบเล่นตลกกับชีวิตคนเนอะ กำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก ส่วนพ่อก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ” เจ้าของหน้าสวยว่าพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “นี่แกรู้หรือยังว่าพ่อแกเสียชีวิตแล้ว”


ขวัญนพส่ายหน้า ตอบตามความจริง “ยัง...ยังหาโอกาสบอกไม่ได้”


คนถามพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดต่อ “น่าสงสารนะ ไม่เหลือญาติที่ไหนเลย แต่ก็ยังดีนะที่อาจารย์หมอสัญชัยท่านเมตตารับไว้ในความดูแล”


จบประโยคนั้นจู่ ๆ ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ได้ยินเพียงเสียงพื้นรองเท้าหนังกระทบกับหินแกรนิตระหว่างที่กันต๓ณเดินกลับไปยืนที่เดิม


“ตัดออกได้ไหม”


นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ยืดตัวตรงจัดเสื้อกาวน์ยาวให้เข้าที่พร้อมกับสบตาคนถามก่อนจะมองเลยไปยังเพื่อนสนิทที่อยู่ห่างออกไป กันตภณเองก็คงอยากรู้คำตอบของมันเช่นกัน ที่จริงแล้วคำถามนี้ถือว่าเป็นคำถามที่ไม่น่ายากเกินกว่าที่ทั้งคู่จะตอบได้ ณรงค์ฤทธิ์เชื่อว่าต่างคนต่างรู้คำตอบอยู่ในใจหากแต่ต้องการการยืนยันโดยให้คนที่รู้ดีที่สุดอย่างเขาเป็นคนพูดมันออกมา


“อันตรายเกินไป คนไข้มีโอกาสเสี่ยงที่จะพิการเพราะก้อนเนื้อนั่นมีขนาดใหญ่มากและอยู่ใกล้กับก้านสมอง แถมคนไข้ยังมีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วยอีก โรคนี้รักษาไม่หายอยู่แล้ว อย่างดีหน่อยก็อาจจะอยู่ได้สัก 2-5 ปี หรือบางคนก็อาจแค่เป็นเดือน จริง ๆ จะตัดหรือไม่ตัด...”


“แต่ถ้าตัดออกมาแล้วส่งตรวจเราก็จะได้รู้ว่าจะรักษายังไงต่อไม่ใช่เหรอ” ขวัญนพทะลุขึ้นกลางปล้อง


“ถึงจะตัดออกมาส่งตรวจเพื่อดูว่าเป็นเนื้อแบบไหนกันแน่ สมมติมันเลวร้ายกว่าที่คิดเราก็ไม่สามารถตัดออกได้หมด ช้าหรือเร็ว...” หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “คนไข้ก็ต้องไปอยู่ดี อย่าให้คนไข้เจ็บตัวเลย สู้ปล่อยให้เขาได้มีความสุขในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ดีกว่า หรือแกว่าไงกันต์”


“เรื่องที่จะตัดหรือไม่ตัด ถ้าแกพิจารณาแล้วว่ามันมีความเสี่ยงสูงทุกคนก็ต้องยอมรับ” ในน้ำเสียงกวนอารมณ์นั้นยังมีความจริงจังซ่อนอยู่ “ส่วนเนื้อนั่นจะเป็นอะไร ฉันตอบไม่ได้จนกว่าจะเห็นผลการตรวจชิ้นเนื้อ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับแกว่าจะตัดออกมาหรือไม่ตัด ถ้าตัดมาแล้วส่งตรวจ ผลออกมาไม่เป็นอะไรก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามฉันก็ต้องรักษา แต่ฉันเชื่อว่าไอ้นพมันมันน่าคาดเอาไว้แล้วว่านั่นน่าจะเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะโรคนี้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกาย” พูดจบก็สืบเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของรุ่นน้องพร้อมกับออกแรงบีบเบา ๆ ด้วยตัวเขาเองเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดี


“แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เรารู้ปลายทางของมันอยู่แล้ว”


ขวัญนพเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรุ่นพี่ก่อนจะพยักหน้าแสดงความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้ตัวเขาเองจะอยากช่วยเพียงใด แต่ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นไปในทางเดียวกัน จากนี้ก็คงทำได้เพียงรักษากันตามอาการเพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยที่สุดและมีความสุขที่สุดก่อนจะจากโลกนี้ไปเท่านั้น


....


ทันทีที่เดินออกจากหอผู้ป่วยเด็กในช่วงหัวค่ำขวัญนพก็ต้องประหลาดใจที่พบว่ากันตภณยังคงรอเขาอยู่ตามที่ได้บอกเอาไว้ก่อนจากแยกกันที่หน้าห้องของณรงค์ฤทธิ์เมื่อราวสองชั่วโมงที่ผ่านมา ร่างสูงยืนกอดอกพิงกำแพงเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงสิบหกชั้นที่เมื่อหลายปีก่อนครั้งที่เขายังเป็นแพทย์ใช้ทุนมันเป็นเพียงแค่ตึกสามชั้นเก่าคร่ำคร่าของโรงพยาบาลเท่านั้น โชคดีที่ได้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจากโรงพยาบาลเล็ก ๆ จึงได้ขยายขนาดเป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนเตียงเพิ่มขึ้น มีเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงมีแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทางอย่างในวันนี้


"คิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก" ขวัญนพเอ่ยขึ้นเมื่อหยุดเดิน


"เห็นอยู่ว่ายืนหล่ออยู่นี่จะกลับไปไหนวะ"


"พรุ่งนี้พี่ต้องไปประชุมที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอครับ"


"ก็เพราะต้องไปประชุมนี่แหละถึงมีเรื่องอยากให้นายช่วยหน่อย”


"ระดับพี่กันต์ยังต้องมีอะไรให้ผมช่วยอีก"


กันตภณไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มกว้างชวนสงสัย "ดื่มกาแฟกันหน่อยไหม คืนนี้ท่าทางจะดึกไม่ใช่เหรอ"


คนฟังพยักหน้าก่อนจะเดินตามชายหนุ่มที่อายุมากกว่าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใต้อาคารที่สร้างใหม่ เมื่อผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นก็ทำเอาทั้งกันตภณและขวัญนพต้องแปลกใจ เพราะบรรดาหญิงสาวในชุดบุคลากรทางการแพทย์ต่างไปยืนกระจุกกันอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์คิวรอรับปากกาที่มีอยู่เพียงไม่กี่ด้ามเพื่อใช้เขียนบางสิ่งลงในกระดาษแผ่นแผ่นเล็ก ๆ ในมือ และเมื่อกระดาษเหล่านั้นถูกหย่อนลงกล่องกระดาษสีสวยที่เขียนหน้ากล่องว่า “มิวสิคบ็อกซ์” เป็นที่เรียบร้อย พวกเธอก็พากันเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับไปนั่งที่โต๊ะเงี่ยหูฟังเสียงของนักจัดรายการวิทยุที่ดังมาจากลำโพงตัวจิ๋วที่ต่อจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเจ้าของร้าน


“นายไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวฉันไปสั่งกาแฟให้” กันตภณกล่าวก่อนจะแยกไปอีกทาง


ขวัญนพเดินมาหยุดที่โต๊ะริมกำแพงเอื้อมมือดึงเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงเงี่ยหูฟังท่อนสุดท้ายของเพลงที่ค่อย ๆ แผ่วลง ไม่นานคนมาด้วยกันก็เดินตามมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของนักจัดรายการมือสมัครเล่นดังขั้น


“ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะจากกันไปเรามาเปิดมิวสิคบ็อกซ์กันดีกว่าปาล์ม ดูซิว่าวันนี้ใครขอเพลงอะไรกันมาบ้าง”


“ดีเลยครับ เริ่มจากอันนี้ก็แล้วกัน อันนี้จากคุณบิ๊กแผนกวิสัญญีครับ ขอเพลงอยากถูกเธอเรียกว่าแฟนให้คุณพลอยฝ่ายบัญชีพร้อมกับมีข้อความสั้น ๆ ฝากมาด้วย เดี๋ยวให้เมืองช่วยอ่านก็แล้วกันนะครับ”


“ทำไมคุณไม่อ่านเองครับ”


“ผมว่าคุณอ่านเถอะ”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาอ่านไปพร้อม ๆ กันนะครับท่านผู้ฟัง คุณบิ๊กฝากข้อความถึงคุณพลอยว่าทำงานจนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหน ก็เลยจะได้เธอมาช่วยทำบัญชี เจอแบบนี้เข้าไปไม่รู้ว่าคุณพลอยจะตอบยังไงนะครับ เราไปฟังเพลงกันดีกว่าครับ อยากถูกเธอเรียกว่าแฟน”



สิ้นเสียงนักจัดรายการหนุ่มคนที่นั่งจับกลุ่มตั้งใจฟังก็พากันบิดม้วนราวกับเธอทุกคนชื่อพลอยและทำงานอยู่แผนกบัญชีก็ไม่ปาน
ขวัณนพละสายตาจากกลุ่มของกลุ่มสาว ๆ มองถ้วยกาแฟร้อยที่พนักงานยกมาวางลงตรงหน้าเมื่อเสียงอินโทรเพลงดังขึ้น


“ตกลงพี่จะให้ผมช่วยอะไรกันแน่”


“อาจารย์หมอสัญชัยให้ฉันช่วยดูแลนักศึกษาปริญญาโทที่ขอมาทำวิจัยกับกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคมะเร็งน่ะ ก็พวกที่กำลังจัดรายการอยู่นี่แหละ ฉันเคยเล่าให้นายฟังแล้ว” กันตภณหยุดไปชั่วขณะ ใช้ช้อนคนน้ำสีดำในถ้วยระหว่างรอการยืนยัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “แต่ฉันจะไม่อยู่หลายวันก็เลยจะฝากนายให้ช่วยดูแลแทนหน่อย เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายจะว่ายังไง”


“ผมยังปฏิเสธได้เหรอ”


“ไม่ได้ เพราะฉันบอกเจ้าพวกนั้นไว้แล้ว ที่สำคัญคือบอกอาจารย์หมอสัญชัยไปแล้วด้วย”


“แล้วพี่กันต์จะมาถามผมทำไม” ขวัญนพถอนใจก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ


“ถามเป็นมารยาทน่ะ”


“ก็นั่นน่ะสิ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวเมื่อวางถ้วยกาแฟลง


“เอาน่า จะได้มีอะไรให้ทำ ชีวิตจะได้ยุ่ง ๆ”


“ทุกวันนี้ที่ทำอยู่ยังเห็นผมยุ่งไม่พอหรือไง”


“ก็ไอ้ทำอยู่ทุกวันก็เพราะอยากจะยุ่งจนไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอื่นไม่ใช่เหรอ”


“เรื่องอะไรของพี่” ถามไปทั้งที่ในใจก็มีคำตอบอยู่แล้ว


“ก็เรื่องคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุรถตกคันกั้นริมทะเลเมื่อครึ่งปีก่อนไง ชื่ออะไรนะ”


“สิรันทร”


“นั่นไง จำไม่ลืมเลยต้องทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ลืม”


“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ก็เมื่อกี้พี่กันต์ถามผม”


“เอาเถอะน่า จะอะไรก็ช่าง สรุปว่านายรับปากแล้วนะ”


ขวัญนพพยักหน้าเบา ๆ เรื่องที่กันตภณขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไรซ้ำยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนักมากเมื่อเทียบกับหลาย ๆ เรื่องที่อีกฝ่ายเคยให้ความช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย กระนั้นลมหายใจร้อนถูกผ่อนผ่านปลายจมูกเป็นครั้งที่สองในขณะที่ดวงตาคมทอดมองของเหลวในถ้วย


"ยังคิดถึงเรื่องเด็กคนนั้นอยู่อีกเหรอ"


"ผมว่าโลกนี้มันไม่มีความยุติธรรมเลย"


กันตภณไม่ได้แสดงความเห็นแต่กลับผ่อนลมหายใจยาวพลางยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากลำโพงตัวเล็ก


“ก่อนจะจากกันไปในวันนี้ครับ เรามาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีกว่า” เสียงทุ้มนุ่มของดีเจคนเดิมดังแทรกเสียงเพลงที่ค่อย ๆ แผ่วลง “เป็นข้อความจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามนะครับ เขาขอเพลงเธอคือหัวใจของฉันให้กับ... แหม ชื่อน่ารักจังเลยนะครับ อยากเห็นตัวจริงจังว่าจะน่ารักเหมือนชื่อหรือเปล่า”


“คุณอ่านเลยครับคุณเมือง ผมลุ้นจะแย่แล้ว”


“อ่านข้อความก่อนก็แล้วกันนะครับ เขาบอกว่า มีเนื้อร้ายยังใช้มีดตัดออกได้ แต่ถ้ามีเธอในใจจะใช้อะไรตัดดีครับ...คุณหมอฟ้าใส”



พรวดดด   !!!


นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งวางถ้วยกาแฟลงก่อนจะรีบคว้ากระดาษชำระที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเช็ดปาก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่านอกจากขวัญนพแล้วยังมีสายตาอีกหลายคู่กำลังจับจ้องมายังตนเอง


“พี่หรือเปล่า” หนุ่มรุ่นน้องกระซิบเสียงแผ่ว


“ไม่ใช่โว้ย!” กันตภณส่ายหัวดิกเชื่อแล้วว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมจริง ๆ


....

(มีต่อ)

เดี๋ยวว่าง ๆ จะรีบมาต่อนะคะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1) (23-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 24-05-2016 11:17:11
 :m20: :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1) (23-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-05-2016 21:49:16
 :pig4: :L1: :really2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1) (23-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: LEO ที่ 25-05-2016 02:20:26
มารอหมอฟ้าใส  555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (2) (28-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-05-2016 02:09:54
(ต่อค่ะ)

อายุรแพทย์ระบบประสาทฯ ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นหาว ถึงจะไม่ได้อยู่เวรแต่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบขึ้นวันใหม่ นั่นเพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีพิธีเปิดอาคารสร้างใหม่ ทำให้บรรดาแผนกต่าง ๆ ที่ย้ายไปกระจุกกันอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ต้องเตรียมย้ายกลับ รวมถึงตัวขวัญนพเองก็ต้องย้ายตำหรับตำราและหนังสือมากมายจากห้องทำงานชั่วคราวที่อาคารโบราณหลังนี้เพื่อไปยังพื้นที่ที่โรงพยาบาลจัดให้ ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดกาวน์สูทตัวสั้นพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ จัดการพับแขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนจากนั้นจึงเดินออกจากห้องตรวจ เมื่อผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเห็นบรรดาสาว ๆ กำลังจับกลุ่มพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงนักจัดรายการวิทยุแว่วมาจากศัพท์มือถือของใครสักคนในกลุ่ม แต่ขวัญนพก็หาได้สนใจเพราะในหัวมีแต่เป้าหมายที่จะไปให้ถึงเท่านั้น


นับตั้งแต่มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่ก็ทำให้เขาไม่ต้องรวบมื้อเช้าและกลางวันไปไว้ในเวลาเย็นหรือค่ำเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งอาหารสำหรับคุณหมอที่แทบจะไม่มีเวลาหยุดพักนั้นหนีไม่พ้นกาแฟกับแซนด์วิชโฮมเมดซึ่งทำจากขนมปังโฮลวีต จะให้หนักท้องกว่านั้นหน่อยก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ภายในร้าน ขายาวก้าวไปตามทางเดินระหว่างตึกผ่านลานจอดรถกระทั่งจนถึงอาคารสิบหกชั้นที่ตั้งตระหง่านรอคอยให้การช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมองผ่านผนังกระจกเข้าไปในร้านเห็นโต๊ะตัวเดิมยังว่างก็นึกถึงเรื่องที่กันตภณขอร้องให้ช่วยขึ้นมาได้ คิดได้ดังนั้นขวัญนพจึงดึงกระดาษใบหนึ่งที่คนไม่อยู่ให้มาตั้งแต่เมื่อคืนจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตพร้อมกับผลักประตูกระจกเข้าไปในร้าน


“ประจำเมือง” หมอขวัญนพทวนข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดในใจ เพิ่งเห็นว่าใต้ชื่อนั้นไม่มีรายละเอียดอื่นใดนอกจากหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของชื่อ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่เคาน์เตอร์ รอพนักงานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งหน้ากาแฟ เงยหน้าขึ้นมองรายการเครื่องดื่มไปพลาง ๆ จึงไม่ทันได้สนใจสี่หนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่กระทั่งประโยคหนึ่งดังขึ้น


“ไอ้เมือง สั่งน้ำแล้วเปิดมิวสิคบ็อกซ์เอากระดาษโน้ตออกมาด้วยนะ”


“อื้อ” ได้ยินเสียงตอบรับเบา ๆ ก่อนจะที่ใครคนหนึ่งจะเดินมาหยุดข้าง ๆ กัน


“โกโก้ปั่นสอง ชาเขียวเย็นหนึ่งแล้วก็นมร้อนไม่ใส่น้ำตาลเหมือนเดิมนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะวางถ้วยกาแฟลงบนถาดรอให้อีกคนมายกไปเสิร์ฟ


“ครับ แต่ว่าผมมาทีหลังครับ” หนุ่มแปลกหน้ายิ้มน้อย ๆ พลางกระชับสายสะพายกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีบนบ่าและหันไปเปิดฝากล่องกระดาษที่อยู่ถัดไปไม่ไกล


“อุ้ย! ขอโทษค่ะ คุณหมอรับกาแฟร้อนกับแซนด์วิชเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”


“ครับ” ขวัญนพตอบพลางเบนสายตาไปยังคนที่กำลังหยิบกระดาษโน้ตที่สาว ๆ เขียนขอเพลงขึ้นมาเรียงบนฝ่ามือ


“คนขอเพลงเยอะไหมคะน้องเมือง” หญิงสาวที่เดินกลับมาพร้อมถาดใส่จานขนมและแก้วเปล่าเอ่ยขึ้นก่อนจะอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์


“เยอะเหมือนกันครับ” ปากพูดไปมือก็ยังคงเรียงกระดาษใบเล็ก ๆ ไปด้วย


“พี่น่ะเปิดฟังทุกวันเลยนะ ว่าแต่เมื่อคืนคนที่ขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใสน่ะใครกันเหรอคะ”


“อืม...เขาไม่บอกจริง ๆ ครับพี่ เขาใช้ชื่อว่าผู้ไม่ประสงค์จะออกนามตามที่ผมอ่านนั่นแหละครับ”


“แหม...เสียดายจัง อดรู้เลยว่าใครกันนะขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใส”


“แสดงว่าคุณหมอต้องน่ารักมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ พวกผมไปไหนก็มีแต่คนถามว่าใครขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใส” ประจำเมืองปิดฝากล่องลงเหมือนเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม


“น่ารักจ้ะ น่ารักมากด้วย จริงไหมคะหมอนพ”


อายุรแพทย์หนุ่มที่กำลังจะเดินไปหาที่นั่งชะงักกึกจำต้องหันกลับมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม ในจังหวะนั้นดวงตาสองคู่ก็สบกันเข้าโดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มแปลกหน้าจะไม่ได้จริงจังกับคำตอบสักเท่าไร ซ้ำยังหมุนตัวทำท่าจะเดินไปอีกทาง


“เดี๋ยวก่อนครับ”


ประจำเมืองหันกลับมาอีกครั้งมองหน้าคนเรียกให้แน่ใจว่าเคยเจอชายคนนี้มาก่อน “ครับ? จะขอเพลงเหรอครับ” กล่าวเมื่อสายตาเลื่อนลงมายังกระดาษในมือของอีกฝ่าย


“เปล่า” ขวัญนพเสียบกระดาษแผ่นน้อยลงในกระเป๋าเสื้อ “แค่จะถามว่าพวกคุณคือนักศึกษาปริญญาโทในความดูแลของคุณหมอกันตภณใช่หรือเปล่า”


“ครับ”


“ผมชื่อขวัญนพ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นประจำเมืองก็ยิ้มกว้างยกมือไหว้คนอายุมากกว่าก่อนจะเชิญให้อีกฝ่ายไปนั่งร่วมโต๊ะ


“นี่พี่โอครับ ส่วนคนโน้นก้อง นี่ปาล์ม ส่วนผมชื่อเมืองครับ”


สามคนที่นั่งอยู่ก่อนพากันยกมือไหว้จากนั้นจึงเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลง


“สัปดาห์นี้พี่กันต์ต้องไปประชุมที่กรุงเทพฯ ก็เลยฝากให้ผมดูแลพวกคุณ ทราบแล้วใช่ไหม”


“ทราบครับ พี่กันต์บอกพวกเราไว้แล้ว” โอซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มเอ่ยขึ้น


“แล้วนี่พักกันที่ไหน”


“บ้านไอ้ก้องครับ แต่เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ก็จะเหลือไอ้เมืองคนเดียวแล้ว เพราะพวกผมต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ผมกับไอ้ก้องเป็นครูสอนดนตรีครับ เดือนหน้าโรงเรียนจะเป็นเทอมแล้วคงอยู่ช่วยไอ้เมืองมันได้แค่ช่วงนี้ ส่วนไอ้ปาล์มคงไป ๆ มา ๆ เพราะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะถูกป๊าตัดออกจากกองมรดก”


ท้ายประโยคของโอทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงพนักงานสาวก็แทรกขึ้น “กาแฟร้อนกับแซนด์วิชของคุณหมอค่ะ”


“ขอบคุณครับ” พูดจบก็ส่งธนบัตรจำนวนพอดีกับราคาของให้


“ทานแค่นี้อิ่มเหรอคะหมอ”


เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ปล่อยให้การสนทนาเยิ่นเย้อ เขายิ้มน้อย ๆ แล้วหันกลับมากล่าวกับกลุ่มนักศึกษา


“ผมต้องไปแล้วนะ”


“ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมครับ” เป็นประจำเมืองที่เอ่ยขึ้นในขณะที่คนอื่น ๆ พยักหน้าสนับสนุน


“ไม่ดีกว่า ผมต้องกลับไปตรวจคนไข้อีก ขอบคุณมากนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ปกติผมจะอยู่ที่ตึกสองชั้นที่อยู่ถัดจากลานจอดรถ”  พูดจบนายแพทย์ขวัญนพก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้าน


“เป็นอาชีพที่ดูเหนื่อยว่ะ พ่อแม่แกเป็นแบบนี้หรือเปล่าวะไอ้เมือง” ปาล์มสะกิดถามคนนั่งข้างกัน


“อือ ก็ประมาณนี้แหละ” ลูกชายสูตินรีแพทย์กล่าวพลางมองตามร่างสูงที่ค่อย ๆ ลับตาไป...


....

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (2) (28-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-05-2016 02:10:27
(ต่อค่ะ)


กว่าจะตรวจผู้ป่วยนอกเรียบร้อยก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย ขวัญนพเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทอดตามองเศษซากแซนด์วิชที่กัดไปได้เพียงครึ่งชิ้นกับแก้วกระดาษบุบบี้ ทั้งหมดยังคงอยู่ในถุงพลาสติกที่แขวนอยู่กับลิ้นชักข้างโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะคว้าถุงแล้วหย่อนลงในถังขยะหน้าห้องตรวจ เดินลงมาตามบันไดไม้สักที่ทอดเวียนลงสู่โถงด้านล่าง


มองไปรอบ ๆ พบว่าคนไข้บางตากว่าเมื่อช่วงเช้ากระนั้นท่วงทำนองจากไวโอลินของคุณตาสุธีก็ยังคงแว่วกังวานต่อเนื่อง หากแต่วันนี้กลับเป็นบทเพลงที่ฟังมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าที่ผ่านมาจนน่าแปลกใจ ขวัญนพกวาดตามองหาต้นกำเนิดเสียง ในที่สุดก็พบชายชรากำลังนั่งขยับคันชักขึ้นลงอยู่ที่มุมหนึ่ง ใกล้ ๆ กันคือหนุ่มนักศึกษาที่เพิ่งพบกันเมื่อตอนก่อนเที่ยง ทันทีที่เสียงแหลมคมปลิวหายไปในอากาศบรรดาผู้ป่วยและญาติที่นั่งกันอยู่แถวนั้นต่างก็พากันปรบมือให้ และเมื่อลูกชายของคุณตาสุธีกลับมาจากเคาท์เตอร์จ่ายยาก็ถึงเวลาที่หนุ่มนักศึกษาต้องกล่าวคำอำลาก่อนจะเดินตรงมายังบริเวณที่ขวัญนพยืนอยู่


“มาทำอะไรที่นี่” 


“คุณหมอนั่นเอง ผมแวะเอาโน้ตเพลงมาให้คุณตาครับ คราวก่อนบอกคุณตาเอาไว้ ขืนเล่นแต่เพลงเศร้า ๆ เดี๋ยวจะพาคนอื่น ๆ เศร้าตามไปด้วย” ประจำเมืองตอบพลางมองไปยังสองพ่อลูกที่ลูกชายกำลังช่วยผู้เป็นพ่อเก็บไวโอลินลงกระเป๋า


“เพื่อน ๆ ไปไหนกันหมด”


“ไปจัดรายการครับ” คนอายุน้อยกว่าหันมาตอบ ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม


“แล้วคุณล่ะ ไปไหนต่อ”


“ผมจะไปหอผู้ป่วยเด็กครับ นัดกับเด็ก ๆ เอาไว้ว่าจะไปเล่นดนตรีให้ฟัง”


“ถ้าอย่างนั้นไปพร้อมกันเลยไหม ผมกำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี”


ประจำเมืองพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้เจ้าถิ่นพาลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างตึกกระทั่งมาถึงสวนสุขภาพของโรงพยาบาล จากตรงนี้เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงชายหาดสีขาวทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ตั้งแต่มาที่นี่หนุ่มกรุงเทพฯ ยังไม่มีโอกาสให้เท้าได้สัมผัสผืนทรายเลยสักครั้ง 


“ดีจังเลยนะครับ อยู่ใกล้ทะเลแบบนี้คุณหมอแล้วก็ใคร ๆ ที่นี่คงลงมาเดินเล่นทุกวัน”


“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอก อยู่ใกล้ทะเลแต่วัน ๆ แทบจะไม่ได้เห็นทะเลเลย” ขวัญนพตอบพร้อมกับขยับแว่นสายตาหยุดมองเกลียวคลื่นสีขาวที่กำลังซัดเข้าหาฝั่ง


“ผมก็มีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง คุณหมอก็มีเวลายี่สิบชั่วโมง ทุกคนมีเวลาเท่า ๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันยังไง”


“อืม...ก็จริง” เข้าใจทุกอย่างดีแต่ตัวเขาเองกลับเลือกที่จะใช้ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีให้หมดไปกับการทำงาน เหตุผลง่าย ๆ ก็คงเป็นอย่างที่กันตภณเคยพูดเอาไว้...แค่อยากจะทำตัวยุ่ง ๆ ให้ลืมเรื่องบางเรื่องหรืออาจจะหลายเรื่อง คุณหมอหนุ่มหล่อผ่อนลมหายใจยาว นึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันมาพูดกับคนที่ยืนห่างไปไม่ไกล


“อันที่จริงเรียกพี่ก็ได้นะ”


“ถ้าอย่างนั้นแลกกัน พี่เรียกผมว่าเมือง ตกลงไหม”


ได้ฟังดังนั้นนายแพทย์ขวัญนพก็คลี่ยิ้มพลางพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าจะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ จากนั้นสองคนก็เดินต่อไปจนกระทั่งถึงอาคารกุมารเวชกรรมก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอผู้ป่วยเด็ก ไม่ทันที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกดีเสียงแจ๋วของคนรอก็ดังแว่วมาแต่ไกล


“พี่เมืองมาแล้ว!”


ขวัญนพมองตามร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสี่ขวบในชุดกระโปรงสีขาวแต้มลายจุดสีชมพูที่กำลังวิ่งหน้าเริดเข้ามาจนผมหน้าม้ากระจาย เธอยิ้มกว้างหยุดรอให้เจ้าของชื่อย่อตัวลงก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่นราวกับสนิทสนมกันมานาน


“คิดถึงพี่เมืองเหรอคะคนสวย”


“คิดถึงค่ะ อยากให้พี่เมืองมาไว ๆ”


ประจำเมืองยิ้มพลางมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นจัดผมม้าเต่อให้เข้าที่ พลันหูก็ได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ ดังมาจากร่างสูงที่เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ


“อานพก็มา” ว่าแล้วหนูน้อยก็ผละออกจากอ้อมอกเขย่งปลายเท้าพร้อมกับชูสองแขนขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้คุณอารูปหล่อช่วยอุ้มเธอขึ้น


“นึกว่าลืมอานพเสียแล้ว” พูดจบขวัญนพก็อุ้มเด็กหญิงเข้าเอว ใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มยุ้ยอย่างมันเขี้ยว


“ไม่ลืมค่ะ”        


“วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอคะ”


“โรงเรียนปิดเทอมแล้วค่ะ วันนี้ยี่หวามาช่วยคุณแม่ทำงาน”


“แล้ววันนี้ยี่หวาช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้างคะ”


“วิ่งเล่นค่ะ”


คำตอบตรงไปตรงมาของเด็กหญิงทำเอาผู้ใหญ่สองคนที่ได้ฟังเผลอสบตากันก่อนจะหัวเราะ


 “ยี่หวา หนูสวัสดีอานพกับพี่เมืองหรือยังลูก” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดเดรสสีเข้มสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ตัวยาวเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามา เธอรับไหว้นักศึกษาหนุ่มที่เคยพบกันแล้วหลายครั้งก่อนจะหันไปถามคำถามนั้นกับลูกสาวอีกครั้ง ในขณะที่เด็กหญิงเองก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับเกาศีรษะตัวเองเขิน ๆ เพราะมัวแต่ดีใจจนลืมที่คุณแม่เคยสอนไปเสียสนิท


“ไม่เป็นไรเนอะ เราเพื่อนกัน” ขวัญนพหัวเราะในลำคอก่อนจะกดปลายจมูกลงบนแก้มใส ส่วนเจ้าของพวงแก้มน่าฟัดก็ตอบกลับด้วยการใช้สองมือเล็ก ๆ แตะเข้ากับข้างแก้มสากบีบเบา ๆ เท่าที่แรงตัวเองมี


“เดี๋ยวตีตายเลยนพนี่ ทำหลานเคยตัว” ว่าแล้วกุมารแพทย์สาวสวยก็หันไปพูดกับชายหนุ่มอีกคน “เมืองห้ามเอาเป็นตัวอย่างเด็ดขาดนะ ไม่ไหว ๆ ผู้ใหญ่แบบนี้”


“โธ่...พี่วา ผมล้อเล่นน่า” พูดจบก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงปล่อยเด็กหญิงในอ้อมแขนให้ยืนด้วยตัวเอง หลังจากเท้าสัมผัสพื้นได้ไม่นาน หนูน้อยก็คว้ามือพี่ชายนักดนตรีก่อนจะพากันเดินเข้าไปในหอผู้ป่วยเด็กซึ่งเพื่อน ๆ ของเธอกำลังรออยู่


“นพรู้จักเมืองแล้วใช่ไหมพี่จะได้ไม่ต้องแนะนำ”


“รู้จักกันแล้วครับ พอดีพี่กันต์ไม่อยู่เลยฝากให้ผมช่วยดูแลนักศึกษาแทน” ขวัญนพอธิบาย


แพทย์หญิงวารุณีพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “นพมาก็ดีแล้ว”


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“วันนี้ปูไข่แกซึมทั้งวัน บ่นว่าอยากเจอคุณพ่อ พี่ว่าเราคงยื้อเวลาต่อไปไม่ได้แล้วละ นี่ตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมพูดกับใครเลย กับยี่หวาที่เคยเล่นกันก็ไม่ยอมเล่นด้วย”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะคุยกับแกเอง”


ขวัญนพเดินตามวารุณีเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เรียงรายไปด้วยเตียงคนป่วย เด็กบางคนที่ต้องได้รับยาและสารอาหารทางเส้นเลือดจำต้องนั่งหรือนอนอยู่บนเตียงตามที่คุณหมอสั่งแม้อยากลุกขึ้นไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ มากเพียงใดก็ตาม ในขระที่เด็กอีกหลายคนที่สามารถเดินเหินได้เป็นปกติก็พากันจับกลุ่มเล่นของเล่นอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งพี่ ๆ พยาบาลจัดไว้ให้ ทั้งหมดล้วนเป็นภาพที่เห็นจนเจนตา เจ้าของร่างสูงลอบถอนหายใจเบา ๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีที่ถูกปลดออกแล้ววางพิงไว้ข้างเตียงที่ยังว่างโดยมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดกระโปรงลายจุดคอยด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ห่างราวกับว่ามันเป็นวัตถุประหลาด ส่วนเจ้าของกระเป๋านั้นกำลังนั่งล้อมวงพูดคุยอยู่กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่มาเฝ้าบุตรหลานของตนเอง ในที่สุดแพทย์หญิงวารุณีก็พาคุณหมอเจ้าของไข้ของเด็กชายปูไข่เดินผ่านวงสนทนานั้นกระทั่งหยุดที่หน้าช่องทางเดินหนึ่งซึ่งขนาบข้างด้วยเตียงคนไข้ทั้งสองฝั่ง 


“พี่ฝากด้วยนะนพ” เธอกล่าวพลางเบนสายตาไปยังเตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง ขวัญนพรับคำเบา ๆ ก่อนจะเดินไปตามแนวทางเดินระหว่างเตียงคนไข้ จิตใจของเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับเด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังยืนเกาะขอบหน้าต่างทอดตามองออกไปด้านนอก จึงไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองตามในทุก ๆ ย่างก้าวของตนเอง


อายุรแพทย์ระบบประสาทฯ หยุดยืนข้างเด็กชายก่อนจะมองผ่านกระจกหน้าต่างไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ แม้ซี่เหล็กดัดจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นแต่ก็ยอมรับว่ามันไม่อาจลดความสวยงามของสิ่งที่เห็นตรงหน้าลงได้


“อาหมอ” เด็กชายแก้มยุ้ยหันมายกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำสวัสดี


ขวัญนพยิ้มให้จากนั้นจึงถอยไปนั่งลงที่เตียง “ไหน มานั่งข้าง ๆ อาซิ อามีเรื่องจะถาม”


เมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กชายก็เดินตามมานั่งอย่างว่าง่าย “อาหมอจะถามอะไรปูไข่เหรอฮะ”


“อาอยากรู้ว่าวันนี้ปูไข่ดื้อกับพี่พยาบาลหรือคุณอาหมอวารุณีหรือเปล่า” พูดพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็กเอาไว้


“เปล่าครับ ปูไข่ไม่ดื้อ พ่อเคยบอกว่าอยู่ที่นี่ห้ามดื้อ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน”


“เก่งมาก ถ้าคุณพ่อรู้คุณพ่อต้องภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มากแน่ ๆ”


“แล้วพ่อของปูไข่ไปไหนฮะ ทำไมไม่มากับอาหมอด้วย พ่อไม่มาหาปูไข่หลายวันแล้ว ที่คุณแม่ของข้าวฟ่างบอกว่าพ่อปูไข่ตายแล้วจริงหรือเปล่าครับอาหมอ”


เด็กชายถามเสียงเครือมือกำแขนเสื้อกาวน์จนยับยู่ยี่ ยิ่งอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำในสิ่งที่ได้ฟังมา พลันน้ำใส ๆ ก็เอ่อคลอรอบดวงตาก่อนจะล้นนองอาบสองแก้ม กระนั้นหนุ่มน้อยก็ยังฝืนนั่งตัวตรงกลั้นเสียงสะอื้นเสียจนใบหน้าแดงก่ำ หัวคิ้วขมวดมุ่นกับเส้นเลือดปูดโปนที่ปรากฏขึ้นกลางหน้าผากแสดงให้เห็นว่าเขากำลังใช้ความพยายามอย่างเหลือแสนในการหักห้ามความรู้สึกของตนเอง


“ร้องออกมาเถอะ เป็นลูกผู้ชายเข้มแข็งแต่อย่าไร้หัวใจ” ขวัญนพกล่าวเบา ๆ พร้อมกับรั้งร่างจ้ำม่ำเข้ามากอด เท่านั้นคนที่หัวใจกำลังอ่อนแอก็ไม่อาจสะกดความรู้สึกของตนเองได้อีกต่อไป เด็กชายสะอื้นฮักซบหน้าลงกับอกแกร่งกอดเอวคุณอาหมอของเขาเอาไว้แน่น ความโศกเศร้าโรยตัวลงโอบล้อมสองคนเอาไว้ ทั้งที่บุคลากรทางการแพทย์ คนไข้และญาติ ๆ ต่างก็อยู่กันเต็มไปหมด แต่ภายในหอผู้ป่วยกลับเงียบเชียบราวกับทุกคนกำลังร่วมเสียใจและเอาใจช่วยหนูน้อยให้ผ่านช่วงเวลาแสนเลวร้ายนี้ไปให้ได้


เป็นเวลานานเหลือเกินกว่าที่เด็กชายจะคลายสะอื้น ขวัญนพยิ้มจาง ๆ พร้อมกับวางมือลงบนแผ่นหลังเล็กแล้วลูบขึ้นลงเพื่อปลอบประโลม พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ปูไข่ชอบทะเลไหม”


ถึงจะอยู่ในอารมณ์เศร้าแต่ด้วยความไร้เดียงสาเจ้าของแก้มยุ้ยก็ยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นตอบคำถามของคุณอาหมอด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ช...ชอบฮะ ป...ปูไข่ชอบเล่นน้ำทะเล เล่นทราย”


“ผิดกับอา ตอนเด็ก ๆ อาไม่ชอบทะเลเลย”


“ท...ทำไม ทำไมล่ะครับ” เด็กชายปูไข่ถามพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา


“ตอนที่อาอายุเท่าปูไข่ พ่อพาอากับแม่ไปเที่ยวทะเล วันนั้นแม่ตื่นแต่เช้าเตรียมอาหารใส่ปิ่นโต ส่วนอากับพ่อเราช่วยกันเตรียมอุปกรณ์สำหรับก่อกองทรายแล้วก็ช่วยกันขนของขึ้นรถ” ชายหนุ่มกล่าว ดวงตาของเขาทอประกายหากแต่ประกายในตานั้นไม่ได้เกิดจากความแช่มชื่นยามเมื่อได้นึกถึงภาพครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า แต่กลับเป็นประกายจากหยาดน้ำใสที่เคลือบกลบทั้งสองตาซึ่งทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง “พอถึงทะเลเราก็ขนของลงจากรถ ปูเสื่อบนหาดทราย ก่อกองทรายเป็นรูปปราสาท จากนั้นเราก็จูงมือกันลงไปเล่นน้ำ ไม่มีใครรู้เลยว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้จับมือกัน”


“ทำไมล่ะฮะ” ปูไข่ถามพาซื่อ


“เราเล่นน้ำกันจนใกล้ค่ำ ไม่ทันได้สังเกตว่ากระแสลมเริ่มแรงขึ้น ท้องฟ้าขมุกขมัว จู่ ๆ คลื่นลูกใหญ่ก็ซัดเข้ามาจนทุกคนจมอยู่ใต้น้ำ พ่อของอากอดอาเอาไว้แน่นก่อนจะถีบตัวขึ้นเหนือน้ำ อาเห็นพ่อหน้าซีดมาก ปากก็เรียกหาแม่ไปด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่าแม่อยู่ไหน พ่อพาอาขึ้นมาส่งที่ชายหาดก่อนจะกลับลงไปหาแม่อีกครั้ง ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนแถวนั้นตอนที่คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามาแล้วก็พาพ่อจมหายไปในทะเล แล้วตั้งแต่วันนั้นพ่อกับแม่ของอาก็ไม่กลับมาอีกเลย”


“อ...อาหมอ...” เด็กชายยืดตัวขึ้นก่อนจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มของคนพูด


“ไม่ใช่แค่ปูไข่หรอกนะที่ต้องร้องไห้เสียใจในวันที่พบว่าพ่อจากไปแล้ว อากับอีก ๆ หลายคนก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาเหมือนกัน ทุกครั้งที่อาร้องไห้ อาจะบอกตัวเองเสมอว่าพรุ่งนี้เราจะเข้มแข็งขึ้น”


“แล้วตอนนี้อาหมอยังไม่ชอบทะเลอยู่หรือเปล่าครับ”


“ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชอบ” ขวัญนพผ่อนลมหายใจยาว หลังจากภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ตนเองพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้ในซอกหลีบของความทรงจำถูกกางออกอีกครั้งด้วยมือของเขาเอง “มันก็แปลกนะ อาไม่ชอบทะเล แต่ทุกครั้งที่เศร้าหรือมีเรื่องให้ต้องคิด อามักจะไปที่นั่น”


เจ้าของแก้มยุ้ยที่กรังไปด้วยคราบน้ำตาขยับถอยห่างออกมาก่อนจะถามเสียงอ่อย “อาหมอคิดถึงพ่อกับแม่ไหมครับ”


“คิดถึงสิ” ชายหนุ่มตอบตามความจริง ยกสองมือขึ้นจับต้นแขนของอีกฝ่าย “แต่อาเชื่อว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งอาไปไหน ท่านทั้งสองยังอยู่ใกล้ ๆ อาเหมือนที่พ่อยังอยู่กับปูไข่ในนี้” พูดจบก็เลื่อนปลายนิ้วแตะลงที่ตำแหน่งหัวใจของเด็กชาย


ขวัญนพจ้องมองใบหน้าเลอะคราบน้ำตาอย่างเอ็นดู ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะบอกหรือไม่ ทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่ภาวนาให้เด็กชายปูไข่รับรู้ได้ถึงกำลังใจและความห่วงใยที่คนรอบข้างส่งผ่านมาให้ และเก็บเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้เป็นพลังในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันต่อไป


“สัญญากับอาได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน”


มือใหญ่ยกลอยค้างในอากาศ รอจนกระทั่งมือเล็กประทับลงมาเป็นการให้คำมั่นสัญญา อายุรแพทย์หนุ่มจึงค่อยยิ้มออก


“ปูไข่สัญญาฮะ”


และเมื่อสิ้นเสียงใสของเด็กชาย ภาพที่สองคนกอดกันกลมก็ทำเอาบรรดาคนที่เฝ้ามองเหตุผลการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับน้ำตารื้น...
   

...


มือนิ่มที่กำลังเขย่าต้นแขนทำให้ประจำเมืองต้องละสายตาจากชายหนุ่มกับเด็กชายที่นั่งอยู่ห่างออกไป เขาดึงสายตากลับยังสาวน้อยหน้าม้าเต่อก่อนจะใช้มือปัดผมยาวซึ่งมัดเป็นแกระสองข้างไปทางด้านหลัง


“ว่ายังไงคะคนสวย”


“พี่เมืองก็มีสัญญาที่ต้องทำให้ได้นะคะ” พูดจบก็ชี้ที่กระเป๋าใส่เครื่องดนตรี ท่าทางและถ้อยคำไร้เดียงสานั้นสามารถเรียกรอยยิ้มของหนุ่มนักดนตรีได้ไม่ยาก ประจำเมืองโยกศีรษะเล็กอย่างมันเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดกระเป๋ารั้งเอาไวโอลินแสนรักออกมาแล้วเดินกลับไปนั่งลงยังเก้าอี้ที่อยู่กลางห้อง


มือขาวลากคันชักผ่านสายสังเคราะห์จนเกิดเสียงแหลมกังวานกว้างเรียกให้บรรดาเด็ก ๆ ที่เฝ้ารอมากว่าหนึ่งสัปดาห์พากันล้อมวงเข้ามา ในขณะที่คนที่ไม่สามารถลุกไปไหนได้ก็ยันตัวขึ้นนั่งชะเง้อมองจากบนเตียง ส่วนคนที่ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ ผู้ปกครองก็ช่วยปรับเตียงให้พวกเขามองเห็นได้ถนัด ไม่นานทำนองเพลงคุ้นหูก็ถูกบรรเลงขึ้นด้วยเครื่องดนตรีคลาสสิก เด็ก ๆ พากันปรบมือตาม ส่วนผูใหญ่บางคนก็ขยับขาหรือเคาะนิ้วเป็นจังหวะ อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาได้มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พอจะลืมความทุกข์โศกและละทิ้งความวิตกกังวลไปได้บ้าง


ขวัญนพเหลียวมองชายหนุ่มกับไวโอลินของเขาก่อนจะหันกลับมาถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ปูไข่อยากไปฟังเพลงกับยี่หวาไหม”


เด็กชายปูไข่มองไปยังกลุ่มของเพื่อน ๆ ก่อนจะตอบ “อยากครับ”


ได้ฟังดังนั้นคุณหมอเจ้าของไข้ก็ผายมือออก รอจนมือเล็กวางทาบลงเกาะเกี่ยวจึงพากันเดินมุ่งหน้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อถึงครึ่งทางขวัญนพก็ค่อย ๆ คลายมือออกปล่อยให้เด็กชายได้เดินเข้าไปหาเพื่อน ๆ ด้วยตัวเอง และทันทีที่เด็กหญิงยี่หวาเห็นพี่ปูไข่ของเธอ รอยยิ้มน่ารักก็ปรากฏแจ่มชัดขึ้นบนใบหน้ากลม ร่างเล็กกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาคว้าข้อมืออวบก่อนจะพากันโยกย้ายไปตามทำนองเพลงที่คุณครูเคยสอนให้ร้องเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียน เสียงหัวเราะคิกคักดังแทรกเสียงแหลมสูงของเครื่องดนตรีเป็นครั้งคราวราวกับที่นี่เป็นที่ที่ความเศร้าไม่เคยได้กล้ำกรายเข้ามา


นายแพทย์หนุ่มเหลียวมองหญิงสาวที่เดินมาหยุดยืนเคียงข้างกัน เธอส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำในวันนี้มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่สำหรับขวัญนพ เขากลับนึกขอบคุณเด็กหญิงตัวน้อย เพราะนอกเหนือจากการมาวิ่งเล่นตามที่เจ้าตัวบอก อีกสิ่งที่ยี่หวาช่วยคุณแม่ของเธอก็คือการมอบรอยยิ้มแสนสดใสให้กับทุกคนในหอผู้ป่วยเด็ก เจ้าของร่างสูงเบนสายตาไปยังอีกคนที่ไม่ขอบคุณคงไม่ได้ นั่นคือหนุ่มนักดนตรีที่นั่งอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ไม่รู้ว่าเพราะเสียงเพลงหรือเพราะรอยยิ้มของเขากันแน่ที่ตรึงให้เท้าคู่นี้ไม่อาจก้าวห่างไปไหนได้


...


หลังจากตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเด็กเป็นที่เรียบร้อย ขวัญนพออกจากอาคารห้าชั้นตั้งใจจะกลับไปยังห้องทำงานของตนเอง แต่แล้วเมื่อผ่านสวนสุขภาพเขาก็จำต้องเปลี่ยนจุดหมาย ขายาวก้าวไปตามทางที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนกระทั่งพบใครคนหนึ่งกำลังนั่งทอดตามองท้องทะเลกว้างใหญ่อยู่ที่เก้าอี้ตัวยาว มือหนึ่งประคองคอไวโอลินที่พาดอยู่บนบ่า ปลายนิ้วเรียวกดลงบนบนสายตามตำแหน่งของตัวโน้ตเกิดเป็นบทเพลงแว่วหวานเมื่ออีกมือลากคันชักขนม้าขึ้นลงเสียดสีกับสายสังเคราะห์ แต่การคลอนเสียงเอื้อนเหมือนลูกคอนั้นกลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองพอ ๆ กับบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดง ร่างสูงหยุดอยู่กับที่ในระยะที่พอจะสามารถฟังได้ชัดเจนแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่านั่นคือเพลงอะไร รอจนสายลมพัดพาเอาเสียงหวานแหลมของโน้ตตัวสุดท้ายลอยล่องไปในอาาศจึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ


“ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้”


“เรื่องอะไรครับ” ประจำเมืองถามอย่างแปลกใจ


“ก็เรื่องที่ช่วยเล่นดนตรีให้เด็ก ๆ ฟังยังไง นานแล้วที่พวกผู้ใหญ่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น”


นักศึกษาหนุ่มมิได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ กระทั่งดึงกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีมาวางบนตัก “เด็ก ๆ คงอยากหายไว ๆ นะครับ ป่านนี้พวกแกคงคิดถึงหญ้านุ่ม ๆ ในสนามกว้าง ๆ อยากเอาเท้าสัมผัสกับทราย อยากชิมรสเค็มของน้ำทะเล” พูดพลางวางไวโอลินลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา “เหมือนกับที่เด็กคนอื่น ๆ หรือผู้ใหญ่บางคนสามารถทำได้ ผมว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องยิ้มบ้างนะ เด็ก ๆ เขารับรู้ได้ว่าผู้ใหญ่รู้สึกยังไง ถ้าผู้ใหญ่ยิ้มเดี๋ยวพวกเขาก็ยิ้มตามเองนั่นแหละครับ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นสะพายกระเป่าแล้วหันมากล่าวทิ้งท้าย...


“ผมไปจัดรายการก่อนนะพี่”


ขวัญนพมองตามร่างสูงที่กำลังเดินห่างออกไป ในที่สุดคุณหมอก็ผุดลุกขึ้น ริมฝีปากหยักที่เม้มเข้าหากันค่อย ๆ คลายออกก่อนจะตัดสินใจรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยคำสั้น ๆ


“เมือง”


เจ้าของชื่อหันกลับมาพร้อมกับเลิกคิ้ว


“บอกได้ไหมว่าเพลงที่เล่นเมื่อกี้ชื่อเพลงอะไร”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มก่อนจะตอบ “พี่รอฟังสิ เดี๋ยวผมเฉลยให้ก่อนปิดรายการ”


ประโยคสั้น ๆ กับรอยยิ้มที่ดูเป็นปริศนาทำให้ขวัญนพจำต้องนั่งลงอย่างเดิม ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักพร้อมกับดึงแว่นสายตาออกแล้วเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อกาวน์ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามกระแสลมที่หอบเอาเกลียวคลื่นขึ้นมาทักทายหาดทรายเม็ดละเอียด เพียงไม่กี่อึดใจดวงอาทิตย์ที่เคยแผ่รัศมีไปทั่วท้องฟ้าก็เลือนหายไปหลังริ้วเมฆ นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นการขึ้นและตกของดาวฤกษ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ นานเสียจนไม่แน่ใจว่าสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้ยังคงดำเนินเป็นวัฏจักรตามที่เคยเรียนจากในตำราหรือตามที่ตาเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้หรือไม่


กว่าสามสิบนาทีที่อายุรแพทย์หนุ่มผู้ไม่เคยให้เวลากับความสุนทรีย์ใด ๆ ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ในเวลานี้เสียงคำรามครามครืนของคลื่นลมผสมกับเสียงเครื่องยนต์เรือประมงที่กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าออกสู่ผืนทะเลกว้างใหญ่กลับให้รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาที่ไม่เคยออกห่างจากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษทอดมองไปในความมืด มันคงเป็นภาพที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยหากบนท้องฟ้าเบื้องหน้าไม่ปรากฏแสงสกาวของดาวดวงหนึ่ง ขวัญนพถอนหายใจยาวก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋ากางเกง แตะปลายนิ้วลงบนหน้าแป้นพิมบนหน้าจอสัมผัสแล้วจึงเสียบหูฟังที่หูทั้งสองข้าง ถึงมันจะเก่าเก็บเต็มทีแต่ก็นับว่ายังใช้การได้ดีเมื่อเสียงนักจัดรายการสมัครเล่นดังขึ้น


“...ท่านผู้ฟังเชื่อเรื่องดาวประจำตัวไหมครับ ตอนเด็ก ๆ พ่อของผมท่านมักจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็บอกผมว่า ดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนนั้นคือดาวประจำตัวของผม ดาวดวงนั้นจะคอยปกป้องดูแลผม แต่พอโตขึ้นผมถึงได้รู้ว่านั่นน่ะเป็นแค่คำพูดหลอกเด็ก...เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวงอแงไม่ยอมแยกห้องนอนเอาแต่อ้างว่ากลัวผี ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่อยากนอนใกล้ ๆ พ่อกับแม่ แต่ก็ยอมรับนะครับว่าคำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งในวันต้องอยู่คนเดียว มาตอนนี้ผมกลับคิดว่าพ่อกับแม่ต่างหากที่เป็นดาวประจำตัวของผม เพราะฉะนั้นมันจึงไม่น่าเสียดายเลยครับที่กาลครั้งหนึ่งเราได้พบกัน และคืนนี้เราจะมาลากันไปด้วยเพลงเพลงนี้ครับ...”


...กาลครั้งหนึ่ง...



...

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

กว่าจะเขียนเสร็จ หืดขึ้นคอจริง ๆ
 
ขอบคุณน้อง leGGyDan ที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาสำหรับตอนที่จบไปนี้ด้วยค่ะ

อยากคุยเยอะ ๆ กว่านี้เพราะเบื้องหลังของตอนนี้มันมีเรื่องราวมากมาย

แต่เราง่วงมาก 555 ไว้ว่าง ๆ มาเล่าในเพจนะคะ



หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (2) (28-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 28-05-2016 06:45:45
กาลครั้งหนึ่งที่ได้พบคุณ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (2) (28-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-06-2016 23:10:27
อ่านไปน้ำตาซึมเบาๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (2) (28-05-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: xinpitar ที่ 04-06-2016 20:45:57
เป็นตอนนี้ที่ยาวมากๆ และรับรู้ได้ถึงความเศร้าความคิดถึงจริงๆ
แต่ก็ยังมีความอบอุ่นซ่อนอยู่ หมอนพต้องก้าวออกมาให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-06-2016 23:22:14
ตอนที่ 4 ส่งเพลงนี้คืนมาให้ฉันที (1)


บนผืนทรายปรากฏรอยเท้าก้าวด้วยจังหวะสม่ำเสมอเกิดเป็นเส้นนำสายตาไปยังชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอกลมสวมกางเกงขาสั้น นิ้วมือข้างหนึ่งเกี่ยวส้นรองเท้ากีฬาคู่เก่าเอาไว้ส่วนอีกมือยกขึ้นดันแว่นขณะก้มลงมองทุกย่างก้าวของตนเอง กระทั่งหูได้ยินเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือเกลียวคลื่นร่างสูงจึงหยุดแล้วเบนหน้าออกสู่เวิ้งน้ำกว้างใหญ่ สูดลมหายใจรับอากาศยามเช้าตรู่ที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นไอทะเล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิททอดมองเหนือขึ้นไปบนเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้าซึ่งในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผ้าใบผืนใหญ่ที่ฉาบทับด้วยสีเทาขมุกขมัวไร้ชีวิตชีวา นาน ๆ จะมีนกสักตัวบินผ่านมาสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า จู่ ๆ ภาพการสนทนาระหว่างเขากับสิรันทรก็แทรกเข้ามาในหัว


“คนมาทะเลเขาว่ามีสองแบบนะหมอ ถ้าไม่หนีร้อนก็หนีรัก หมอเป็นแบบไหน”


“สงสัยจะเป็นแบบที่สอง”   



ขวัญนพเผลอถอนใจเบา ๆ ทิ้งความคิดล่องลอยไปกับกระแสลม ปล่อยให้คลื่นซัดเข้าหาจนเท้าเปล่าค่อย ๆ จมลงใต้เม็ดทราย แม้ไม่ใช่คนคิดมากหากแต่สิ่งที่เจออยู่ในขณะนี้กลับทำให้ไม่อาจสลัดมันหลุดจากห้วงคำนึงได้


เด็กชายเจ้าของพวงแก้มน่าหยิก...ยังจำวันแรกที่พบกันเมื่อเก้าปีก่อนได้ไม่ลืม นั่นเพราะเป็นลูกชายของ “รัมภ์รดา” เหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นหมอที่นี่ เธอคืออดีตคนรักที่เลิกรากันไปตั้งแต่ปีต้น ๆ ของการเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นรัมภ์รดาก็คบหากับหนุ่มรุ่นพี่ร่วมคณะและตัดสินใจแต่งงานกันทันทีที่เรียนจบ ขวัญนพเคยไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหนหนึ่งในวันที่เด็กชายปูไข่ลืมตาดูโลก และนั่นคือการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเป็นแพทย์ใช้ทุน


เมื่อต่างคนต่างมีชีวิตมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบก็ทำให้แทบจะลืมเรื่องราวของกันและกันไปเสียสนิทกระทั่งเมื่อสองปีก่อนความบังเอิญทำให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เพราะรัมภ์รดาเกิดล้มป่วยขณะติดตามสามีซึ่งเป็นวิศวกรมาควบคุมการก่อสร้างศูนย์การค้าและคอนโดแห่งใหม่จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่การได้หวนมาเจอกันกลับเป็นเพียงการพบเพื่อบอกลาชั่วนิรันดร์เท่านั้น


ขวัญนพมารู้ในภายหลังว่ารัมภ์รดาพยายามทำความเข้าใจกับอาการป่วยของตนเองมาโดยตลอดหลังจากได้ฟังคำวินิจฉัยครั้งที่เธอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน เธอและสามีต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันทั้งยังฝึกลูกชายให้เข้มแข็งโดยการบอกเขาเกี่ยวกับโรคที่แม่เป็น ฝึกให้เขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองในวันที่ปราศจากใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจนักเมื่อเห็นเด็กชายแก้มยุ้ยสามารถปรับตัวได้ไวและกลับมาร่าเริงอีกครั้งหลังผู้เป็นแม่จากไปได้ไม่นาน


แต่โชคชะตาก็ดูจะเล่นตลกไม่เลิกเมื่อจู่ ๆ ปูไข่ก็มีอันต้องสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิตด้วยการป่วยเป็นโรคเดียวกับแม่ของตนเอง ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้อย่างขวัญนพรู้ดีว่ายาดีแค่ไหนก็ไม่อาจรักษาหายขาดได้ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือการที่เด็กชายต้องสูญเสียพ่อไปในยามที่ชีวิตต้องการกำลังใจ


เสียงถอนหายใจขณะบิดขี้เกียจที่ได้ยินทำให้ขวัญนพต้องทิ้งภาพตรงหน้าหันไปมองคนที่เดินมาหยุดยืนข้างกัน


“วันนี้นึกยังไงถึงได้ออกมาวิ่ง” กันตภณพูดไปหาวไป


“วันนี้ผมหยุด แล้วพี่ล่ะมายืนหาวอะไรอยู่ตรงนี้”


“ฉันเพิ่งออกเวร เมื่อคืนมีคนโทรไปตามให้มาช่วยดูน้องปลาดาว”


“อาการไม่ดีเหรอครับ”


“อืม” คุณหมอหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งตอบเสียงขรึมก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่านึกยังไงถึงออกมาวิ่ง ไหนบอกไม่มีเวลา”


“ก็...” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ก็แค่อยากจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงให้มันคุ้มค่าน่ะพี่”


“ไอ้นี่พูดจาแปลก ๆ”


“เอาน่า ช่างผมเถอะ พี่อย่าสนใจผมเลย สนใจตัวเองดีกว่า นี่น่ะเหรออดีตเดือนคณะแพทย์ที่สาว ๆ คลั่งไคล้ ผมนึกว่าหมีแพนด้า”


กันตภณมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา “นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”


คนอายุน้อยกว่าเพียงแต่กดยิ้มมุมปากก่อนกล่าว “ไปหากาแฟร้อนดื่มหน่อยไหมจะได้สดชื่นขึ้น ผมเลี้ยงเอง” พูดจบเจ้าของร่างสูงเดินนำไปทันทีราวกับรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว


ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านกาแฟก็ได้ยินเสียงนักจัดรายการสมัครเล่นของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลเหมือนเช่นเคย สองคนสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ รอไม่นานกาแฟร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟ


“เดี๋ยวไปไหนต่อ” แพทย์รุ่นพี่เอ่ยขึ้นก่อนยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ


“กลับไปอาบน้ำแล้วก็ว่าจะแวะไปเก็บของที่ห้องทำงานครับ” ขวัญนพกล่าวพลางยืดตัวขึ้นมองคุณแม่คนสวยที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา


วารุณีจูงมือลูกสาวตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ เมื่อเด็กหญิงยี่หวาหันมาเห็นอานพของเธอ หนูน้อยก็รั้งมือผู้เป็นแม่เดินดิ่งมายังโต๊ะที่สองหนุ่มนั่งอยู่


“อานพ! อากันต์!”


“ค่อย ๆ เดินสิคะลูก” วารุณีร้องปรามทันทีที่มือเล็กหลุดจากการเกาะกุมของตนเอง กระนั้นเด็กหญิงก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี เธอชะลอฝีเท้าลงกระทั่งมาหยุดต่อหน้าคุณอาทั้งสอง คราวนี้ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นประนมและกล่าวคำสวัสดี ปากเล็กฉีกยิ้มกว้างพอ ๆ กับคุณแม่ที่ถือแก้วกาแฟเย็นเดินตามมาสมทบ


“ใกล้จะถึงวันเกิดพี่วาแล้วนี่หว่า นายว่าปีนี้งานจะเข้าเราสองคนอีกหรือเปล่าวะ” กันตภณกระซิบ ที่ถามขึ้นมาเช่นนี้ก็เพราะอดหวั่นใจกับสาวนักกิจกรรมคนนี้ไม่ได้  แต่ยังไม่ทันที่แพทย์รุ่นน้องจะได้แสดงความคิดเห็น คุณแม่คนสวยก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน


“ซุบซิบอะไรกันจ๊ะหนุ่ม ๆ”


ขวัญนพส่ายหน้ายิ้ม ๆ หาอะไรทำด้วยการยกกาแฟขึ้นจิบจึงเป็นหน้าที่ของอีกคนที่ต้องตอบคำถามนั้น


“เปล่านี่ครับ” พูดจบก็คว้าตัวเด็กหญิงมานั่งบนตักทำเปลี่ยนเรื่อง “โอ้โฮ! ตัวหนักน่าดูเลย วันนี้คุณแม่ทำอะไรให้ทานคะ”


“ข้าวผัดอเมริกันค่ะ อร่อยมากด้วย” ว่าแล้วก็ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นเป็นการการันตี


“อร่อยขนาดลูกสาวยังยกนิ้ววันหลังพี่วาต้องทำมาให้พวกผมพิสูจน์บ้างแล้วนะครับ”


“สัปดาห์หน้าได้ทานแน่จ้ะ พี่ว่าจะทำมาเลี้ยงเด็ก ๆ ที่หอผู้ป่วย วันเกิดของพี่ปีนี้ต้องพิเศษแน่ ๆ”


สิ้นเสียงแพทย์หญิงวารุณีขวัญนพก็แทบสำลัก ชายหนุ่มรีบวางถ้วยกาแฟลงคว้ากระดาษชำระเช็ดปากพร้อมกับลอบมองกันตภณที่แอบทำหน้าเบ้


“เจอสองคนนี้ก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือน่ะ พอดีคุยกับฟาร์มไว้แล้วม่รู้ว่าฟาร์มมาคุยให้เราสองคนฟังหรือยัง”


“อ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณพูดไปส่ายหน้าไป นักกิจกรรมกับนักกิจกรรมมาเจอกันทีไรเพื่อนฝูงตายหมู่ทุกที


“จ้ะ บอกฟาร์มไว้ว่าให้ชวนกันต์กับนพแสดงอะไรให้เด็ก ๆ ดูเหมือนปีก่อน”


“ค...คือวันเกิดพี่วาสัปดาห์หน้าพวกผม...ม...ไม่...”


“ไม่ติดอะไรใช่ไหมจ๊ะ พี่ให้ฟาร์มแอบไปดูตารางของสองคนมาแล้วละ กันต์ก็เพิ่งกลับจากสัมมนานี่เนอะ”


“ไม่ติดก็ไม่ติดครับ” กันตภณตอบเสียงอ่อยจนขวัญนพแอบยิ้ม


“ปีที่แล้วอานพ อากันต์ อาฟาร์ม เต้นเพลงอะไรนะคะ”


“อาลืมไปแล้ว” พูดแล้วก็หาวหวอด ๆ


“สมองเสื่อมขึ้นมากะทันหันเลยนะพี่” ขวัญนพเย้าเมื่อนึกถึงการแสดงเมื่อปีก่อนที่เละไม่เป็นท่าเพราะปล่อยให้นักอนุรักษ์นิยมอย่างกันตภณเป็นคนดำเนินการทั้งหมด


“ฝากเลี้ยง” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น ทุกคนในวงสนทนาต่างพากันหันไปมองชายหนุ่มหน้าบอกบุญไม่รับที่กำลังเดินเข้ามา เห็นได้ชัดเจนว่าผมที่ยาวระต้นคอนั้นบัดนี้ถูกตัดแต่งกลายเป็นรองทรงสูงดูแปลกตาแต่ก็ยังถือว่าเข้ากับรูปหน้าของเขาอย่างเหมาะเจาะ


“อาฟาร์ม!!!” เด็กหญิงยี่หวากล่าวเสียงใสก่อนจะผละจากตักแกร่งวิ่งตรงเข้าไปกอดคอคนที่กำลังย่อตัวลงนั่ง


ณรงค์ฤทธิ์ยกร่างเล็กลอยขึ้นในอากาศก่อนจะดึงเข้าหาตัว เห็นหน้าของหนูน้อยแล้วพลอยทำให้ยิ้มได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็อดหันไปแขวะเพื่อนสนิทไม่ได้ “เลือกเองแท้ ๆ จำไม่ได้หรือไง เด็ก ๆ พากันนั่งอ้าปากหวอเพราะลุงหมอดันเอาเพลงรุ่นคุณพ่อมาเต้น”


“น้อย ๆ หน่อยไอ้ฟาร์ม อย่างน้อยฉันก็ทำให้ท่าเต้นของพี่เจเป็นที่รู้จักในหมู่เด็ก ๆ นะโว้ย”


“ภูมิใจว่างั้น” ศัลยแพทย์หนุ่มทำหน้ายู่ก่อนจะนั่งลง


“เออ” กันตภณตอบห้วน ๆ “แล้วเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับซิลิโคนเคลื่อน”


“ซิลิโคนบ้านป้าแกสิ” ถอนใจพลางยกมือขึ้นเสยผม “คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ยังจะมากวน”


“ไปอารมณ์ไม่ดีอะไรมาฟาร์ม” ขวัญนพถามด้วยความสงสัย หวังว่าตนเองอาจจะพอช่วยอะไรอีกฝ่ายได้


“เราไปตัดผมมา ร้านข้างหลังโรงพยาบาลน่ะ ตัดเสียสั้นเชียว ดูสิจะยาวทันงานวันเกิดพี่วาหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“เหมาะกับฟาร์มดีออก หรือพี่ว่าไงพี่กันต์”


แทนที่จะออกความเห็นคนถูกถามกลับละเลียดจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์กระทั่งเจอสายตาพิฆาตของณรงค์เข้าจึงยอมวางถ้วยกาแฟลงแล้วตอบส่ง ๆ “ก็ไม่ได้แย่”


“อือ คงไม่มีอะไรแย่เท่ากับการแสดงที่แกคิดเมื่อปีก่อนแล้วละ”


“แกไม่มาซ้อมเอง เรื่องอะไรมาโทษฉัน”


“แหกตาดูบ้างว่าทั้งโรงพยาบาลมีศัลยแพทย์ประสาทและสมองกี่คน กว่าแกจะตัดสินใจได้ว่าจะโชว์อะไรฉันต้องผ่าตัดไม่รู้กี่เคส เล่นมาสรุปได้เอาก่อนวันเกิดพี่วาแค่คืนเดียว ใครมันจะไปซ้อมทัน”


“เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันจ้ะ ยังมีเวลาให้แก้ตัวอีกหลายครั้งตราบสิ้นอายุขัยของพี่แหละ” วารุณีตัดบท


“โอ้โห! ใจคอพี่วาจะให้พวกผมแสดงกันทุกปีเลยเหรอครับ”


“บ่นอะไรจ๊ะ ดูนพสิยังไม่เห็นบ่นสักคำ”


“พูดอะไรบ้างสิวะ”


“ผมยังไงก็ได้พี่ ว่าแต่ปีนี้เราจะแสดงอะไรกัน”


“เป็นอย่างนั้นไป” คนที่จ้องจะหาพวกกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่


“ปีนี้ต้องเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเท่านั้น”


“ไม่!” กันตภณสวนทันควันเตรียมจะลุกขึ้นแต่ขวัญนพรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน   


“ถ้าไม่ แกก็คิดการแสดงมาอีกชุดแล้วแสดงคนเดียวไปก็แล้วกัน ฉันกับนพจะเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเอง”


“ฮ...เฮ้ย!” ไม่ใช่ขวัญนพคนเดียวที่ตกใจ กันตภณเองก็ตกใจไม่แพ้กัน


“จ...จะดีเหรอฟาร์ม” อายุรแพทย์หนุ่มกล่าวอ้อมแอ้ม


“ดีสิ! ดีตรงที่ไอ้กันต์จะได้แสดงคนเดียวนี่แหละ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ยิ้มเยาะก่อนจะคลายวงแขนปล่อยคนตัวเล็กในอ้อมกอดเป็นอิสระ “ดีไหมคะยี่หวา”


“ดีค่ะอาฟาร์ม อย่างนี้เราก็มีการแสดงตั้งสามชุดแน่ะ”


“สามชุด?” สามหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


“ใช่จ้ะ พี่ขอให้พวกนักศึกษาปริญญาโทที่เข้ามาทำวิจัยช่วยน่ะ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี ตายยากจริง” วารุณีโบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงให้รู้ว่าเธอต้องการให้เขาแวะเข้ามาข้างในสักครู่


ประจำเมืองยกมือไหว้ทักทายทุกคนเมื่อมาถึง มองกันตภณกับอีกคนที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันโดยไม่ได้สนใจในการมาของเขาเลยสักนิด


“ในนี้คงมีฟาร์มคนเดียวสินะที่เมืองยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่แนะนำก่อนก็แล้วกัน” สาวสวยกล่าวขณะวางมือลงบนบ่าของคนที่นั่งหันข้างให้เป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายให้รู้ตัว “นี่หมอฟาร์มหรือหมอฟ้าใสจ้ะ ฟาร์มนี่น้องเมือง นักศึกษาปริญญาโทที่พี่เล่าให้ฟัง”   


ท้ายประโยคเล่นเอาประจำเมืองหน้าเหวอ ไม่คิดว่าหมอฟ้าใสที่ใคร ๆ ต่างพูดถึงซึ่งตัวเขาเองเข้าใจมาตลอดว่าต้องเป็นคุณหมอแสนสวยจะกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนวัยไปได้


“ส...สวัสดีครับคุณหมอฟ้าใส”


“ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นร่างจริง” คำพูดลอย ๆ ของเพื่อนสนิททำเอาณรงค์ฤทธิ์ที่กำลังค้อมศีรษะรับการทักทายของผู้มาใหม่ต้องรีบหุบยิ้ม “น้องเมืองเรียกพี่ฟาร์มก็ได้ เดี๋ยวจะระคายหูจนหมาแถวนี้เห่าหอนไม่รู้จบ”


“แกว่าใครเป็นหมา ไอ้ฟาร์ม”


เจ้าของชื่อยักไหล่ไม่ยี่หระเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงวารุณีเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “เอาละจ้ะ มีเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ลองปรึกษากันดูนะจ๊ะ ฝากด้วยนะ เราคือทีมเดียวกันแล้ว พี่ต้องไปตรวจคนไข้แล้วละ” กล่าวจบเธอก็หันไปจูงมือลูกสาวเดินออกไปจากร้านกาแฟด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทิ้งระเบิดลูกโตเอาไว้ให้คนข้างหลัง


“เราคือทีมเดียวกัน” กันตภณทวนคำแล้วหัวเราะหึ “ยังไงฉันก็ไม่เต้นคัพเวอร์กับแก”


“ก็แล้วแต่แก อยากแสดงคนเดียวก็แสดงไป” หมอฟาร์มกล่าวไม่แยแส


“ก็ได้ แกจะเอาอย่างนั้นก็ได้” สวนกลับด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นเมืองมาแสดงกับพี่”


“เอ่อ...คือ...ไม่น่าจะได้นะครับพี่กันต์ พอดีผมกับเพื่อน ๆ คิดการแสดงกันไว้แล้ว” ประจำเมืองพยายามปฏิเสธให้สุภาพที่สุด “แต่ถ้าจะให้ช่วยเตรียมอะไรละก็บอกได้เลยครับ พวกผมยินดี”


ขวัญนพละสายตาจากคนพูดมองมายังณรงค์ฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันได้ยินอีกฝ่ายทำจมูกฟุดฟิดก็ให้อดถามไม่ได้ “เป็นอะไรหรือเปล่าฟาร์ม”


“เหม็น เหม็นอะไรไม่รู้ สงสัยเหม็นหัวหมาแถวนี้”


“ไอ้ฟาร์ม!” คนร้อนตัวจ้องหน้าตาเขม็ง


“อะไรไอ้หมาหัวเน่า”


ทันทีที่รู้คำตอบขวัญนพก็ตัดสินใจคว้าถุงใส่แซนด์วิชแล้วลุกขึ้นตั้งใจปล่อยให้สองคนทะเลาะกันไปจนกว่าจะพอใจ


“พี่ไม่ห้ามหน่อยเหรอ ดูสิเถียงกันใหญ่แล้ว” ประจำเมืองท้วงขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป


นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วกระซิบ “สุดท้ายพี่กันต์ก็แพ้ฟาร์มอยู่ดี ไปเถอะ”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 11-06-2016 23:24:34
(ต่อค่ะ)

คนอายุน้อยกว่าเกาหัวแกรก ๆ เดินตามหมอขวัญนพออกไปกระทั่งพ้นตัวอาคาร พลันเสียงโครกครากในท้องก็ทำให้นึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เขาเดินมาทางนี้


“ทานข้าวไหมพี่”


คนเดินนำชะงักก่อนจะหันมาถามให้แน่ใจ “ว่าไงนะ”


“ผมจะไปทานข้าว พี่ไปทานด้วยกันไหม เจอทีไรเห็นทานแต่แซนด์วิช อิ่มเหรอ”


เมื่อถูกถามเช่นนั้นขวัญนพก็ก้มมองทะลุเลนส์แว่นตาไปยังถุงแซนด์วิชในมือก่อนจะส่ายหน้า “ไม่อิ่มหรอก แต่มันชินแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องไปทานข้าวเลย คนเป็นหมอนี่ก็แปลกเนอะ เตือนคนไข้ให้ทานของมีประโยชน์บ้างละ ทานอาหารให้ครบทุกหมู่บ้างละ แต่ตัวเองกลับไม่ยอมทำอย่างที่บอกคนอื่น พ่อผมก็เหมือนกันชอบอ้างว่าไม่มีเวลาตลอด จนตอนนี้แม่ต้องทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้ทานที่โรงพยาบาล”


“พ่อเหรอ” ขวัญนพถามขณะเดินตามอีกฝ่ายมุ่งหน้าสู่โรงอาหารของโรงพยาบาล


“ครับ พ่อผมก็เป็นหมอทำคลอดน่ะ อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วแต่ยังต้องทั้งทำคลอดทั้งสอนหนังสือไปด้วย”


“ท่านคงเก่งมากเลยละสิ อืม...จะว่าไปสูตินรีแพทย์ระดับอาจารย์ที่นักเรียนแพทย์ยึดเป็นต้นแบบก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่ถ้าเป็นผู้ชายละก็...พี่นึกออกอยู่คนเดียว อาจารย์หมอปราการหรือเปล่า”


“ทำไมพี่ถึงรู้จักพ่อผมล่ะ”


“ทราบว่าท่านเป็นเพื่อนรักกับอาจารย์สัญชัยน่ะ แต่ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวหรอก เคยเห็นท่านบ้างสมัยที่ยังเป็นนักเรียนแพทย์ เพื่อน ๆ พี่วาที่เป็นหมอสูติฯ อยู่ที่นี่ก็พูดถึงอาจารย์หมอปราการให้ฟังอยู่บ่อย ๆ”


“ในแง่ไหน” ประจำเมืองถามพลางปลดเป้สะพายหลังวางบนโต๊ะเงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ


“ก็...ทั่ว ๆ ไป” ขวัญนพเสมองไปทางอื่น “ระลึกถึง อะไรทำนองนั้น”


คนฟังยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูดถึงพ่อของตนเช่นนั้น “ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ ใคร ๆ ก็ว่าพ่อผมทั้งโหดทั้งดุ”


ขวัญนพจำต้องหันมายิ้มเมื่อโดนจับได้ “จะโหดจะดุยังไงก็สร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมาไม่รู้กี่รุ่นแล้วนะ”


ประจำเมืองพยักหน้า รู้สึกภูมิใจในตัวผู้เป็นพ่อทุกครั้ง “ภายนอกอาจดูขรึม ๆ นะ แต่จริง ๆ แล้วพ่อเป็นคนตลกมาก” ว่าพลางหันมองไปรอบ ๆ พร้อมกับคิดว่าจะกินอะไรดี “พี่ทานร้านไหนเป็นประจำไหม เดี๋ยวผมไปซื้อให้”


“ไม่รู้สิ ไม่ค่อยได้มานั่งทานข้าวที่โรงอาหาร ปกติออกเวรก็กลับไปทานที่ใต้หอพักบุคลากรไม่ก็ฝากเขาซื้อน่ะ เลยไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อย”


“พี่พลาดแล้ว ที่นี่ของอร่อยเยอะพอ ๆ กับโรงอาหารที่มหาวิทยาลัยผมเลยนะ”


“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราทานอะไร พี่ก็เอาตามนั้นแหละ”


“ได้ นั่งก่อนนะ เดี๋ยวผมมา” พูดจบประจำเมืองก็เดินดิ่งไปที่ร้านข้าวมันไก่ซึ่งมีอยู่เพียงร้านเดียวในโรงอาหาร ไม่ถึงห้านาทีชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมถาดใส่ข้าวมันไก่สองจานและถ้วยน้ำซุปจำนวนเท่ากัน เห็นว่าขวัญนพซื้อน้ำเตรียมไว้แล้วจึงนั่งลงเลื่อนส่วนที่เป็นของอีกฝ่ายให้


“ลองชิมดู ร้านนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่ที่ผมกินมา”


“กินมากี่ร้านถึงได้กล้าฟันธง”


“สามร้าน แถวบ้าน ที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ที่นี่” คนพูดกล่าวหน้าตาเฉยในขณะที่ขวัญนพได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบช้อนและส้อมขึ้นตักข้าวเข้าปาก พยักหน้ากับตัวเองเมื่อพบว่าข้าวมันไก่จานนี้อร่อยจริงตามที่หนุ่มต่างถิ่นว่า เสียดายที่ผักซึ่งเป็นเครื่องเคียงมีเพียงแตงกวาไม่กี่ชิ้นกับผักชีที่โรยหน้ามาเพื่อความสวยงาม ส่วนน้ำซุปที่แม่ค้าตักมาให้ก็มีเพียงเศษโครงไก่เท่านั้น


“เขี่ยทำไม”


“ผมไม่กินแตงกวา พี่กินไหม”


“ผักมีวิตามินนะ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่เป็นหมอยิ่งต้องกินเลย ร่างกายจะได้แข็งแรง” พูดจบลูกชายสูตินรีแพทย์ก็ย้ายแตงกวาสามชิ้นในจานของตนเองไปไว้ในจานของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“เมื่อกี้ยังบ่นอยู่เลยว่าหมอได้แต่เตือนคนไข้ แต่นี่คนบ่นกลับทำเสียเอง”


“พี่ไปบอกให้ป้าเขาเปลี่ยนเป็นผักอย่างอื่นนะ รับรองว่าผมกินยันรากเลย” ชายหนุ่มผู้ไม่ชอบแตงกวาทำหน้าเบ้ขณะสูดกลิ่นที่ยังคงติดปลายช้อน


เห็นแบบนั้นขวัญนพก็ได้ส่ายหัวก่อนจะลงมือจัดการข้าวมันไก่ต่อ สักพักจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “เป็นยังไงบ้าง วิจัยไปถึงไหนแล้ว”


ประจำเมืองถอนใจยาวแล้ววางช้อนลง “ผมคิดว่ามาที่นี่จะหนีคำถามนี้พ้นแล้วเสียอีก”


“ก็ต้องถามสิ เผื่อติดปัญหาอะไรจะได้ช่วยกัน พี่กันต์น่ะเก่งมากเลยนะ ปรึกษาได้ตลอด”


“ตอนนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนแล้วครับ ผมทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ปกครองและให้ผู้ป่วยลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรตามความสมัครใจที่จะเข้าร่วมวิจัยเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็จะให้เด็ก ๆ เลือกเพลงที่ชอบแล้วเริ่มการทดลองครับ ก็คงไป ๆ มา ๆ เพราะต้องเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลอื่นด้วย”


“แล้วงานสถานีวิทยุทางนี้ล่ะ”


“เราคุยกันว่าจะถือโอกาสที่สิ้นเดือนนี้พี่โอกับไอ้ป้องต้องกลับไปทำงาน ส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดให้กับดีเจตัวจริงกันสักทีครับ”
ขวัญนพนั่งฟังเงียบ ๆ มองปลายช้อนที่ใช้เขี่ยข้าวในจานก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมถึงได้สนใจทำเรื่องนี้”


“ก่อนหน้านี้ผมเรียนดนตรีแล้วก็เคยสอนดนตรีให้กับเด็ก ๆ ที่มีอาการเจ็บป่วยพบว่ามันก็สามารถช่วยเขาได้ในระดับหนึ่งเลยตัดสินใจเรียนต่อทางด้านดนตรีบำบัด ผมว่าการเจ็บป่วยมันคือความทรมานอย่างหนึ่ง ทำให้เราเสียโอกาสต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการป่วยเป็นโคคมะเร็ง” หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “จริง ๆ ก็ทุกโรคนั่นแหละ แต่ที่เลือกกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเพราะผมคิดว่าโรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัว แต่บางครั้งมันก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าเรามีกำลังใจที่ดี มีจิตใจที่เข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้กับมัน ผมก็เลยอยากจะลองเอาดนตรีมาช่วยลดความเจ็บปวดและความวิตกกังวลหลังได้รับเคมีบำบัดของเด็ก ๆ ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง”


ขวัญนพพยักหน้าเข้าใจ จริงอย่างที่ประจำเมืองว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าจะด้วยโรคใดก็ตามล้วนก่อให้เกิดความสูญเสียในหลาย ๆ ด้าน หากเลือกได้คนทุกคนก็ปรารถนาจะมีสุขภาพที่ดีเพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือเราทุกคนไม่สามารถเลือกได้


....   


กันตภณกอดอกจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวบันทึกการแสดงสดของกลุ่มนักร้องบอยแบนด์แดนกิมจิในคอนเสิร์ตใหญ่ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ท่าเต้นที่ต่างจากท่าเต้นของพี่เจ เจตริน ศิลปินในดวงใจอย่างสิ้นเชิงทำให้นายแพทย์วัยสามสิบสี่ถึงกับส่ายหัวดิก ปากพร่ำบ่นเจ้าของความคิดที่จะนำเพลงและท่าเต้นสุดล้ำของศิลปินกลุ่มนี้มาคัพเวอร์เพื่อแสดงในงานวันเกิดของแพทย์หญิงวารุณีเพื่อนรุ่นพี่ที่เข้ามาทำงานที่นี่พร้อม ๆ กันซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


“แกเอาเวลาบ่นฉันมาซ้อมดีกว่า”


“ไม่ ยังไงฉันก็ไม่เต้น”


“ถ้าอย่างนั้นแกก็คิดการแสดงของแกเองไปก็แล้วกัน” ว่าแล้วกันหันไปหาเจ้าของห้องที่ให้ยืมสถานที่สำหรับการซักซ้อมในยามวิกาลเช่นนี้ “เรามาเริ่มกันดีกว่านพ”


เมื่อฟังเจ้าของชื่อก็ผละจากกองหนังสือที่รอการจัดลงกล่องเดินมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่ที่โซฟา


“แกว่าบอยแบนด์วงนี้จะรอดไหมวะไอ้ก้อง” โอกระซิบถามรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างกัน


“ผมว่าหมอฟาร์มน่ะสบาย ๆ แต่สองคนที่เหลือดูหน่วยก้านแล้วน่าเป็นห่วง” กล่าวพลางมองนายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่พยายามรั้งแขนของเพื่อนให้ยืนขึ้น ดูเหมือนลูกม้ากำลังยื้อเชือกคุมบังเหียนที่ผูกติดกับเสาหินก็ไม่ปาน “แต่ก็ไม่แน่ ของอย่างนี้มันต้องดุกันยาว ๆ สามคนนี่อาจจะเป็นบิ๊กแบงเวอร์ชันไทยก็ได้ใครจะไปรู้”


“นั่นมันมีห้าคนไม่ใช่เหรอวะ”


“อีกสองคนก็ผมกับพี่ไง”


“อั๊ยย่ะ! วันนี้พูดเข้าหูว่ะไอ้ก้อง” พูดจบโอก็ยกสองมือขึ้นให้ก้องประทับผ่ามือลงมาจนเกิดเสียงดังแล้วหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนจนทำให้คนอื่น ๆ ต้องหันมองเป็นตาเดียว


“สองคนนี้คุยอะไรกันวะ” กันตภณเอ่ยขึ้น


“เปล่าพี่ พี่เริ่มเต้นกันสักทีเถอะ พวกผมอยากดูจะแย่แล้ว” ก้องเป็นคนตอบ


“เร็วสิไอ้กันต์ แกอย่าลีลาน่า ฉันง่วงจะแย่แล้ว”


“เออ ๆๆ ก็ได้” กล่าวอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ในที่สุดสามหนุ่มก็พากันไปยืนที่กลางห้อง ตั้งท่าเตรียมพร้อมตามแบบมิวสิควิดีโอที่ดูวนมาตลอดสองวัน


“พร้อมนะพี่ เดี๋ยวมันจะมีอินโทรอยู่ช่วงหนึ่ง พอผมเริ่มนับพวกพี่ก็เริ่มเต้นได้เลย” ปาล์มร้องบอกพลางคลิกเมาส์  ทันทีที่เขาเริ่มนับจังหวะความวินาศสันตะโรก็บังเกิด


“พี่ฟาร์มก็ไม่รอดว่ะ” โอส่ายหัวพร้อมกับเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างคนหมดแรง


ท่าเต้นที่ไปกันคนละทิศคนละทางทำเอานักศึกษาทั้งสี่คนที่อุตส่าห์มานั่งรอตั้งแต่จัดรายการเสร็จถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ในที่สุดประจำเมืองก็อดรนทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยขึ้น


“อ...ไอ้ปาล์มหยุดเพลงก่อน”


“อ้าว หยุดทำไมล่ะเมือง เครื่องกำลังร้อนเลย” ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอ่ยขึ้น


“แกหยุดเต้นแล้วฟังน้องมันพูดก่อนสิวะ” กันตภณว่าพลางใช้แขนเหนี่ยวคออีกฝ่ายเข้าหามาใกล้เล่นเอาคนไม่ทันตั้งตัวสำลักอากาศ


เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติประจำเมืองจึงยื่นข้อเสนอ “ผมว่าพวกพี่ลองหาอะไรอย่างอื่นทำกันดีไหมครับ”


“ห่วยมากจนทนดูไม่ได้เลยใช่ไหม” ขวัญนพถาม อดนึกไม่ได้ว่าความรู้สึกของเด็ก ๆ ที่ได้ดูการแสดงของพวกเขาเมื่อปีก่อนก็คงไม่ต่างกับทั้งสี่คนในตอนนี้


“มันก็...น่ารักดีนะพี่ แต่ผมว่าน่าจะมีอะไรที่เหมาะกับพวกพี่มากกว่านี้ อืม...อย่างเช่น...” ทำท่าครุ่นคิดเพื่อหวังจะหาข้อสรุปให้ได้ “เล่านิทาน ใช่ ๆ เล่านิทาน”


“นิทานอะไร” หมอฟาร์มมุ่นคิ้วก่อนจะแกะท่อนแขนที่ยึดลำคอของตนเองเอาไว้


“เรื่องที่เด็ก ๆ คุ้นเคย หรือพวกพี่อาจจะแต่งขึ้นมาเองก็ได้”


“โอ๊ย! ไม่เอาแล้วนะ พี่เสียเวลากับการซ้อมเพลงนี้มาสองวันแล้วนะเมือง ถ้าจะเปลี่ยนเป็นเล่านิทานก็ให้สองคนนี้จัดการก็แล้วกัน” คนเดิมยังคงโวยวาย


นี่ขนาดซ้อมแล้วนะ...ประจำเมืองยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปหาคนที่คิดว่าน่าจะพึ่งพาได้ที่สุดในยามนี้


“เดี๋ยวผมลองถามยี่หวาดูก็ได้ว่าพอจะมีหนังสือนิทานสนุก ๆ ให้เรายืมบ้างไหม” ขวัญนพกล่าวรู้สึกขอบคุณประจำเมืองที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้


“ฉันเห็นด้วย ใครเห็นด้วยบ้าง” กันตภณชูสองแขน แต่ก็ไม่มีใครกล้ายกมือสนับสนุน “เอาเป็นว่าฉันกับไอ้นพสองเสียงชนะแกเสียงเดียวไอ้ฟาร์ม แต่ถ้าแกไม่พอใจ แกจะเต้นคัพเวอร์คนเดียวก็ได้นะ ส่วนฉันกับนพจะเล่านิทานด้วยกัน”


หมอฟาร์มกัดริมฝีปากแน่นจ้องเขม็งไปยังร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มร่าเข้าไปโอบไหล่คุณหมอรุ่นน้อง บรรดาคนที่เหลือต่างก็พากันมองสองเพื่อนสนิทที่จ้องหน้ากันไม่ลดละราวกับจะปล่อยพลังแห่งการทำลายล้างใส่กันจนไม่มีใครทันสังเกตว่ามีดวงตาอีกสองคู่กำลังสบกันด้วยความรู้สึกที่ต่างไป...



(ยังมีต่อนะคะ)


...


ตอนนี้ยาวหน่อย เดี๋ยวอีกครึ่งจะรีบมาต่อให้นะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-06-2016 00:38:19
หมอฟาร์มน่ารักดี
เอ่อ ถ้าไม่มีประจำเมืองนี่คิดว่าสองหมอ กันต์กับนพน่าลุ้นนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: LEO ที่ 12-06-2016 02:36:04
รอหมอฟ้าใส ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 12-06-2016 16:24:34
หมอฟาร์มน่ารักอ่าาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 12-06-2016 17:31:24
ตอนแรกคิดว่าหมอฟาร์มแต่งหญิงนะเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (1) (11-06-2559) หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 13-06-2016 13:38:39
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 14-06-2016 00:06:40
(ต่อนะคะ)

กว่าบรรดาหมอ ๆ จะแยกย้ายกันกลับหอพักบุคลากรก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เหลือก็แต่ขวัญนพที่ขอจัดหนังสือลงกล่องต่ออีกหน่อย เพราะยังมีหนังสืออีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำออกจากชั้นวางหนังสือภายในห้องที่ดูใกล้เคียงกับห้องสมุดขนาดย่อมเข้าไปทุกที ดังนั้นประจำเมืองและเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้มีธุระรีบร้อนจึงอาสาช่วยขนลงจากห้องทำงานไปใส่รถให้


“ขอบคุณมากนะที่ช่วย” ขวัญนพกล่าวขณะรับกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่มีหนังสืออยู่เต็มจากมือของชายหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังก่อนจะใส่ลงที่ท้ายรถ


“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่จะให้ช่วยยกอีกละก็บอกได้นะ เดี๋ยวพวกผมมาช่วย”


“ขอบคุณเรื่องที่ช่วยยกหนังสือนี่ก็ด้วย แล้วก็เรื่องที่ช่วยพูดให้ฟาร์มเปลี่ยนใจ”


ประจำเมืองพยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังขยับกล่องใบโตเข้าไปด้านใน เพื่อเว้นที่สำหรับอีกหลายใบที่เพื่อน ๆ ของเขากำลังลำเลียงลงมา


“คือ...ผมพูดอะไรหน่อยได้ไหม”


“ว่ามาสิ” อายุรแพทย์ฯ หนุ่มตอบเสียงเรียบ


“ผมว่าพี่ไม่เห็นต้องตามใจคนอื่นไปเสียหมดก็ได้ ทำอะไรแบบที่ตัวเองอยากทำ หรือปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำบ้าง ผมรู้นะว่าที่จริงแล้วพี่ก็ไม่ได้อยากทำอะไรแบบนั้นหรอก แต่ที่ทำก็เพราะอยากให้ทุกคนสบายใจ ผมเข้าใจพี่นะ คิดว่าพี่น่าจะเป็นประเภทที่ใครขอร้องให้ช่วยอะไรก็ช่วยเขาไปเสียทุกอย่าง แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ ทำตามใจตัวเองบ้างก็ได้”


ขวัญนพได้แต่ฟังเงียบ ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกล่าว หากแต่กันตภณซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทที่สุดก็เคยพูดประโยคทำนองนี้กับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง...


“ถ้ามัวแต่อมพะนำแล้วคุณสิรันทรเขาจะรู้ไหมว่านายชอบเขา”


“พี่จะให้ผมบอกว่าผมชอบเขาทั้งที่เขาเป็นคนรักของเพื่อนสนิทอย่างนั้นเหรอ”


“ก็ถ้ามันถึงขนาดที่ว่าเขาอาศัยเหตุการณ์รถตกหน้าผาแล้วแกล้งจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับคนรักไม่ได้อย่างที่นายว่า แค่นี้ก็น่าจะชัดเจนว่าเขาหมดรักเพื่อนนายแล้ว”


“ถึงจะอย่างนั้นผมก็ทำไม่ได้ ยังไงผมก็ทำแบบนั้นกับนับพลไม่ได้”


   
“พี่นพ...”


“พี่นพ...”


คนใจลอยดึงความคิดให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งเมื่อเสียงที่เรียกชื่อของตนเองดังขึ้นกว่าในตอนแรก ดวงตาภายใต้กระจกใสมองตามฝ่ามือขาวที่โบกไหวก่อนจะปรับโฟกัสไปยังใบหน้าที่ฉาบด้วยแสงจากโคมไฟที่ปลายเสา 


“หลับในเหรอพี่”


“เปล่า” ขวัญนพพูดพร้อมกับคว้ามือของอีกฝ่ายที่ยังคงเคลื่อนผ่านไปหน้าจนแทบจะปัดโดนกรอบแว่นของเขาอยู่แล้ว


ประจำเมืองชะงักเล็กน้อยพร้อมกับชักมือกลับอย่างสุภาพ “ขอโทษนะ ผมพูดมากไปหน่อย”   


“ไม่เป็นไร มันก็จริงอย่างที่เราว่านั่นแหละ” คนพูดแตะปลายนิ้วดันแว่นให้เข้าที่ก่อนจะเบนหน้าไปอีกทางเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากกลุ่มคนที่เพิ่งเดินอ้อมตัวอาคารตรงมาทางที่พวกเขายืนอยู่


“หนังสือเยอะขนาดนี้เปิดเป็นห้องสมุดได้เลยนะพี่” โอกล่าวพร้อมกับวางกล่องใบใหญ่ลงที่ท้ายรถแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ถ้าขนคนเดียวอีกกี่วันพี่นพจะขนเสร็จเนี่ย”


ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เสียงหนึ่งในสองคนที่ช่วยกันหิ้วเชือกมัดรอบลังกระดาษคนละข้างก็แทรกขึ้นเสียก่อน “ไอ้ปาล์ม เดินเร็ว ๆ หน่อยสิวะ เดินอย่างกับคนหมดแรง”


“มันหนักนี่หว่า” กล่าวพลางรวบรวมกำลังยกลังกระดาษใบที่บรรจุหนังสือมากที่สุดขึ้นวางลงยังพื้นที่ที่เหลืออยู่


“แล้วตอนขนขึ้นห้องพี่จะขนยังไงครับ” ประจำเมืองกล่าวพลางทอดตามองหนังสือจำนวนมากที่ท้ายรถ


“เดี๋ยวให้พี่รปภ.ช่วยยกก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็ค่อย ๆ ทยอยขนขึ้นไป” พูดจบก็กดผากระโปรงด้านหลังให้ปิดลง


“ที่เหลืออยู่บนห้องทำงานก็อีกตั้งเยอะนะ”


“กำลังคิดว่าจะบริจาคให้โรงพยาบาล อีกหน่อยอาคารหลังนี้ก็จะกลายเป็นอาคารอนุรักษ์ ใช้จัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ แล้วก็จะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็นห้องสมุด พี่แยกเอาไว้แล้วละส่วนใหญ่เป็นตำราแพทย์แล้วก็หนังสือที่มีคนให้มาน่ะ เหลือที่เป็นของตัวเองจริง ๆ อีกไม่มากหรอก  ยังไงก็ขอบใจมากนะที่ช่วย เอาไว้จะเลี้ยงข้าวตอบแทนก็แล้วกัน”


ได้ยินแบบนั้นทั้งสี่คนก็พากันหูผึ่ง ต่างคนต่างยิ้มกริ่มที่การได้ใช้แรงงานครั้งนี้แลกเป็นของฟรีได้


“ถ้าอย่างนั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้ว่าง ๆ จะมาช่วยจัดหนังสือลงกล่อง” ประจำเมืองกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินตามเพื่อน ๆ ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ห่างออกไป 


บ่ายคล้อยของวันต่อมาประจำเมืองก็ทำตามที่ตนเองพูดไว้จริง ๆ ชายหนุ่มกลับมาที่อาคารโบราณใกล้กับลานจอดรถของโรงพยาบาลอีกครั้ง และเพราะได้พบกับขวัญนพระหว่างเขาจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายกลับมา ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เกือบครึ่งหนึ่งเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือจนดูเหมือนห้องสมุดอย่างที่โอพูดเอาไว้ไม่มีผิด โต๊ะทำงานตั้งอยู่ริมหน้าต่างวงกบไม้แกะสลักประดับด้วยม่านสีขาวปักลวดลายฉลุ มองออกไปเห็นท้องทะเลแสนกว้างใหญ่


ประจำเมืองพยายามหลบหลีกลังกระดาษหลายใบที่เจ้าของห้องเตรียมไว้สำหรับใส่หนังสือ นั่งลงที่กลางห้องพับแขนเสื้อเชิ้ตแล้วหยิบหนังสือที่วางระเกะระกะใส่ลงในลังกระดาษ ถือโอกาสเปิดอ่านบ้างเมื่อชื่อและภาพที่หน้าปกก่อให้เกิดความสนใจใคร่รู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร กว่าหนึ่งชั่วโมงที่หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าถูกบรรจุจัดเรียงลงในกล่องทรงสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยกระทั่งเต็มทุกใบ บางส่วนที่ไม่สามารถใส่ลงในกล่องได้อีกชายหนุ่มก็ใช้เชือกมัดให้แน่นเพื่อรอการขนย้ายต่อไป


ร่างสูงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพลางมองลังกระดาษและกองหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า นี่ขนาดเจ้าของบอกว่าเหลืออีกไม่มากยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเก็บจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้วจึงแทรกตัวหายเข้าไประหว่างชั้นวางหนังสือที่สูงท่วมหัว ขณะที่ขาก้าวไปบนพื้นซึ่งปูด้วยไม้ขัดมันดวงตาก็ไล่มองที่สันปกเพื่อสำรวจว่ามีเล่มไหนที่น่าสนใจไปด้วยจนมาหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นฝั่งที่ติดกับผนังห้อง ประจำเมืองจึงดึงออกมาดูพบว่าที่หน้าปกมีข้อความ 'กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา' ภาพประกอบเป็นภาพมนุษย์ตั้งแต่ช่วงไหล่ขึ้นมาปราศจากผิวหนังห่อหุ้ม ซีกหน้าครึ่งหนึ่งเป็นมัดของกล้ามเนื้อส่วนอีกซีกเป็นกะโหลกศีรษะและฟันมันช่างเหมือนกับหนังสือที่เคยเห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานของพ่อไม่มีผิด ดวงตากลมโปนนั่นชวนให้ต้องรีบสอดกลับคืนที่เดิมทันที


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสำรวจบชั้นวางที่อยู่ถัดขึ้นไปกระทั่งสายตาสะดุดเข้าหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงกับความสนใจของตนเองจึงหยิบออกมาเปิดอ่านคร่าว ๆ ก่อนที่มือเรียวของนักดนตรีจะพลิกไปหน้าใหม่ ทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงกระดาษเสียดสีกัน พลันเสียงฝีเท้าก้าวช้า ๆ แต่เป็นจังหวะสม่ำเสมอก็ทำให้รู้ว่าในห้องไม่ได้มีเพียงตนเองอีกต่อไป


ประจำเมืองปิดหนังสือเงี่ยหูฟังเสียงพื้นรองเท้าหนังกระทบพื้นไม้ขัดมันที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชายหนุ่มก้าวเท้าไปตามทางเดินระหว่างชั้นหนังสือพร้อมกับสอดส่ายสายตามองรอดชั้นวางเพื่อหาที่มาของเสียง และเมื่อผ่านช่องทางเดินตรงกลางก็เหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงฝีเท้านั้นเงียบลงแทนกลับที่ด้วยเสียงดังหง่างเหง่งของนาฬิกาลูกตุ้มบนผนังเล่นเอาสะดุ้งโหยง ในที่สุดเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่อาจจับทิศทางได้ ตัดสินใจหันกลับไปมองทางทิศที่เพิ่งเดินจากมาซึ่งก็ปรากฏเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น หนุ่มนักดนตรีกำหนังสือแน่นในใจคิดจะวิ่งออกจากเขาวงกตที่เต็มไปด้วยหนังสือนี้ให้เร็วที่สุดหากแต่สองขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในหัวจินตนาการตามภาพเหตุการณ์ที่มักพบบ่อย ๆ ในภาพยนตร์สยองขวัญไปล่วงหน้าแล้ว   


“เมือง”


เสียงเรียกที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาใจหาย เจ้าของชื่อหมุนตัวกลับอย่างรีบร้อนจนชนเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร แรงปะทะทำให้หนังสือหลุดจากมือร่างเซไปทางด้านข้างจนเกือบจะชนเข้ากับชั้นหนังสือโชคดีที่คนเรียกคว้าเอวเอาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นชั้นหนังแถวนี้คงจะล้มครืนเป็นโดมิโนแน่ ๆ


“พี่นพ” ประจำเมืองเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังสูบฉีดความกลัวไปทั่วร่าง    


“เป็นอะไรหรือเปล่า” พูดพลางค่อย ๆ ปล่อยมือ


“โอ้ย…หัวใจจะวาย” ว่าแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง


“เป็นอะไรไป”


“พี่นพเล่นมาให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ผมตกใจหมด”


“นึกว่าพี่เป็นผีหรือไง” ขวัญนพกล่าวกลั้วหัวเราะพลางผายมือออกให้อีกฝ่ายจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นที่บอกว่าไม่ยอมนอนแยกห้องเพราะอยากอยู่ใกล้กับพ่อกับแม่ก็คือข้ออ้างน่ะสิ ที่แท้เด็กชายจำเมืองกลัวผีต่างหาก” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงคลายมือออก ก้มลงหยิบหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นยื่นให้


“ใครบ้างไม่กลัวผี” คนหน้าซีดถอนใจ รับหนังสือมาถือไว้


“เคยเจอแล้วเหรอถึงกลัว”


“ไม่! ไม่อยากเจอ แล้วก็ไม่ต้องมาให้เจอด้วย” พูดคล้ายกับจะบอกให้รู้โดยทั่วกัน


“จะไปไหน” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ้ายกำลังจะเดินย้อนกลับเข้าไปด้านใน


“เอาหนังสือไปเก็บ”


“เอาไปอ่านก่อนก็ได้นะ”


“ได้เหรอ” ถามด้วยความลังเล เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นคล้ายสิ่งยืนยันคำพูดเมื่อครู่จึงกล่าวต่อ “เดี๋ยวผมจะรีบอ่านจะได้รีบเอามาคืนนะ”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบหรอก พี่ไม่ได้ใช้ทำอะไร อ่านจบเมื่อไรค่อยคืนก็ได้”


หนุ่มนักดนตรีพยักหน้ายังไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณก็ต้องรีบถอยเท้าหนีจนแผ่นหลังชิดกับชั้นหนังสือเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นขยับเข้ามาใกล้ ประจำเมืองแทบไม่กล้าหายใจเมื่อมือใหญ่ยกข้ามไหล่ของตนเอง เหลือบตาไล่มองไปตามแนวสันกรามที่เชื่อมกับริมฝีปากได้รูปและจมูกโด่งเป็นสันที่อยู่ห่างกันเพียงคืบกระทั่งได้ยินเสียงนุ่มของอีกฝ่าย


“นี่อีกเล่ม เป็นจิตวิทยาสำหรับเด็ก” ขวัญนพกล่าวขณะดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากบนชั้นด้านหลังออกมาก่อนจะวางซ้อนลงบนเล่มที่ประจำเมืองถืออยู่


“ข...ขอบคุณครับ” ในที่สุดก็ได้กล่าวคำนี้สักที


“พี่สิต้องขอบคุณ เรื่องที่มาช่วยจัดหนังสือ ตอนแรกคิดว่าจะชวนเพื่อน ๆ มาด้วยกันเสียอีก”


“วันนี้พี่โอกับไอ้ก้องไม่ว่างครับ ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ส่วนปาล์มท้องเสีย เลยให้นอนอยู่บ้าน ผมแวะไปเปิดสถานีตอนเช้าแล้วก็เอาเอกสารไปให้ผู้ปกครองของน้อง ๆ ที่สมัครใจเข้าร่วมวิจัยเซ็น กว่าจะรอปิดสถานีก็ค่ำโน่น ไม่มีอะไรทำผมก็เลยมาที่นี่”


“ไปนั่งข้างนอกดีกว่า ในนี้มันอับ มีแต่หนังสือเก่า ๆ ทั้งนั้น” ขวัญนพกล่าวก่อนจะเดินนำไปตามช่องทางเดิน


“พี่ชอบอ่านหนังสือเหรอ”


“อืม รู้สึกว่ามันเป็นงานอดิเรกที่ทำให้ได้มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” ตอบทั้งที่เท้ายังคงก้าวไปเรื่อย ๆ


“แล้วอย่างอื่นล่ะ อย่างเช่นดูหนัง วาดรูป หรือฟังเพลง ไม่ชอบเลยเหรอ”


“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พวกนั้นมันต้องมีอุปกรณ์ประกอบหลายอย่าง แต่อ่านหนังสือเราก็มีแค่หนังสือเล่มเดียว”


“ดูเป็นคุณหมอรักสงบจังเลยเนอะ”


เสียงบ่นอู้อี้ของคนเดินตามหลังทำให้ขวัญนพต้องหยุดแล้วเหลียวกลับมามอง


“อ้าว หยุดทำไมล่ะพี่”


“ป...เปล่า แค่รู้สึกเหมือนเคยได้ยินประโยคนั้นที่ไหน” แท้จริงก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นคำที่สิรันทรเคยให้นิยามเกี่ยวกับตัวเขา


“คุณหมอรักสงบน่ะเหรอ” ประจำเมืองหัวเราะ “ผมว่าใครที่ได้รู้จักพี่ก็คงรู้สึกแบบนี้แหละ เพลงก็ไม่ฟัง หนังก็ไม่ดู อ่านแต่หนังสือ จริง ๆ ฟังเพลงก็มีสมาธิได้นะพี่”


เจ้าของฉายายิ้มนิด ๆ “ไปเถอะ ก่อนมานี่พี่แวะไปหายี่หวาถามเรื่องนิทาน พอดีแกเอาติดมาด้วยก็เลยขอยืมมาก่อน ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า” พูดจบเจ้าของห้องก็เดินนำไปที่โต๊ะทำงาน หยิบหนังสือเล่มโตแล้วไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับเชิญให้คนเดินตามนั่งลง


“นี่ไง มีเยอะจนไม่รู้ว่าจะเลือกเรื่องไหนเลยละ” พูดพลางพลิกไปยังหน้าสารบัญ


“ก็เลือกเรื่องที่เด็ก ๆ รู้จักสิครับ”


“เรื่องที่รู้จักอย่างนั้นเหรอ” ขวัญนพกล่าวขณะไล่มอง “ในนี้มีแต่นิทานฝรั่งทั้งนั้น เจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายกบ อืม...สโนว์ไวท์กับคนแคระ”


“สโนว์ไวท์กับคนแคระเหรอครับ” ประจำเมืองยิ้มกริ่มราวกับมีแผนการผุดขึ้นในหัว...


กว่าจะปรึกษากันเรื่องนิทานที่จะเล่าในงานวันเกิดแพทย์หญิงวารุณีเรียบร้อยก็ใกล้ค่ำเต็มที ประจำเมืองแยกกับขวัญนพที่หน้าอาคารฤดีบรรเทาก่อนจะเดินตัดลานจอดรถไปยังอาคารสร้างใหม่เพื่อทำหน้าที่จัดรายการวิทยุก่อนที่จะถึงเวลาปิดสถานี ส่วนคุณหมอเองก็ต้องไปทำหน้าที่ตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเหมือนเช่นเคย


“และเพลงสุดท้ายสำหรับคืนนี้” นักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นหยุดยิ้มกับตัวเอง “ไม่มีใครขอครับ แต่ผมอยากเปิดให้ท่านผู้ฟังทุกท่านได้ฟัง และหวังว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนส่งเพลงนี้คืนมาให้ผมบ้าง ฝันดีนะครับ” พูดจบก็ดึงช่องสัญญาณไมโครโฟนลงแล้วดันช่องสัญญาณเสียงขึ้น เมื่อได้ยินเสียงอินโทรจากหูฟังที่ยังคงแนบอยู่กับหู ร่างสูงก็โยกไปตามจังหวะเพลง ถ้าเขาเดินออกจากห้องจัดรายการไปตามที่ร้านกาแฟหรือแผนกต่าง ๆ ของโรงพยาบาลในตอนนี้ คงได้เห็นบรรดาหนุ่มสาวซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์หลายคนยืนล้อมวงฟังเพลงที่เขาเปิดจากลำโพงที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือไม่ก็เสียบหูฟังที่ต่อจากโทรศัพท์มือถือ แม้จะฟังผ่านอุปกรณ์ที่ต่างกันแต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็รอยยิ้ม


นายแพทย์ขวัญนพมองเข้าไปภายในร้านกาแฟขณะเดินผ่าน วันนี้เขาไม่ได้แวะไปซื้อแซนด์วิชเหมือนที่เคยทำหลังตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเสร็จแต่กลับไปนั่งรับประทานอาหารที่โรงอาหาร ตั้งใจจะเดินกลับไปที่หอพักให้ทันก่อนสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลจะหยุดกระจายเสียง แต่เมื่อดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าคงไม่ทัน ชายหนุ่มจึงหยุดนั่งที่ม้านั่งในสวนหย่อมของโรงพยาบาล ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาและจัดการเสียบหูฟังเข้ากับหูแต่ก็ฟังทันเพียงท่อนสุดท้ายของบทเพลงสุดท้ายเท่านั้น แม้จะไม่ใช่คนชอบฟังเพลงแต่ก็จำได้แม่นว่าร้านหนังสือที่เขาเข้าเป็นประจำนำมาเปิดอยู่บ่อย ๆ หากแต่ทุกครั้งจะเป็นเพียงทำนองที่ไม่มีเนื้อร้องเท่านั้น เพิ่งจะมีโอกาสได้รู้เนื้อหาบางส่วนก็วันนี้


ในท้ายที่สุดเมื่อสัญญาณการกระจายเสียงของรายการวิทยุเงียบหายขวัญนพก็ใช้ปลายนิ้วแตะบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป และเมื่อเขาแตะปลายนิ้วกับหน้าจอเป็นครั้งที่สองเพลงเดิมที่มีทั้งคำร้องและทำนองครบถ้วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


เสียงกระเพาะอาหารที่กำลังบดขยี้น้ำย่อยทำให้ประจำเมืองต้องรีบปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องและตรวจดูความเรียบร้อยของระบบไฟ หน้าปัดดิจิทัลของนาฬิกาข้อมือแสดงตัวเลขบอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลายี่สิบนาฬิกาแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่โรงอาหารจะยังพอมีร้านเปิดขายอาหารให้สามารถสั่งมาระงับความหิวระดับสุงสุดในขณะนี้ได้หรือไม่


ชายหนุ่มลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องจัดรายการ เมื่อเปิดประตูห้องฝ่ายเครือข่ายออกมาก็พบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้าไม่ลงไปหาอะไรรับประทานเจ้าหน้าที่ก็คงพากันไปขลุกอยู่ที่ห้องเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นราวกับกล่องดวงใจที่ต้องคอยระแวดระวังชนิดมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

 
ประจำเมืองเอื้อมมือบิดลูกบิดประตูพร้อมกับออกแรงผลักเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาด้านนอก และเมื่อเขากำลังจะปิดมันลงสายตาก็เหลือบไปเห็นถุงใส่ห่อข้าวพร้อมกับน้ำซุปแขวนอยู่กับลูกบิดอีกฝั่ง


“ของใครวะ” พูดพลางรั้งถุงขึ้นมาดูและพบว่าข้างมีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ เขียนใส่เอาไว้ ใต้ข้อความมีลายเส้นปากกาที่ขีดตัดกันไปมาเป็นรูปดาวเล็ก ๆ ฝีมือไม่ต่างกับเด็กที่เพิ่งหัดวาดรูปใหม่ ๆ เท่านั้นก็พอจะรู้ได้ว่าใครเป็นคนนำมาแขวนไว้ให้


‘ข้าวมันไก่ไม่ใส่แตงกวา ตอบแทนที่อุตส่าห์มาช่วยจัดหนังสือ’


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nooklepper ที่ 14-06-2016 06:41:20
น่ารัก  มีความฟิวกู๊ด แต่ก็มีเรื่องราวให้ติดตาม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 14-06-2016 10:02:15
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 15-06-2016 04:50:15
น่ารักกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-06-2016 08:07:23
น่ารักกก เด็กชายประจำเมือง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-06-2016 12:41:49
นั่นแน่ เริ่มจะมีความคืบหน้านิด ๆ ละ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 4 (2) (14-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 15-06-2016 15:50:37

ฮืออออออออออออออ ดีงามพระรามแปด
มีความรู้สึกว่าต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ละเลียด เหมือนเวลาชิมขนมเค้กเจ้าอร่อยบอกไม่ถูกค่ะ
แต่มาอ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดแบบนี้ความรู้สึกมันค่อยๆ ซึมซับนะ ดีกับใจจังเลย

 :hao5: :hao5: :hao5:

ความสัมพันธ์ของหมอนพกับประจำเมืองเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดละเนอะ

อดเสียดายที่ไม่ได้เห็นสามหนุ่มเต้นโคฟเวอร์ 55555555555555
เชื่อว่าเด็กๆ (รวมถึงคนอ่าน) จะต้องรู้สึกบันเทิงมากแน่ๆ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ >_<



ปล. อยากจะบอกว่าชอบคุณหมอกันตภณมากเลยยยย แอบเชียร์ให้เป็นพระเอกสักเรื่อง แอร๊ยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-06-2016 00:26:40
ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป


“มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วนะครับ เผื่อใครเพิ่งเปิดมาฟังบอกอีกทีว่านี่คือช่วงคุณขอมาเราจัดให้กับผมดีเจปาล์มและดีเจเมืองครับ”


เสียงคุ้นเคยของนักจัดรายการสมัครเล่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของหนึ่งในสองหนุ่มที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่ที่พื้นทำให้คุณหมอทั้งสามต้องหยุดการสนทนาแล้วหันมาฟังอย่างตั้งใจ


“ก่อนปิดสถานีมาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีไหมครับคุณปาล์ม”


“ดีเลยครับ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน ผมว่าน่าจะมีคนกำลังติดตามเรื่องนี้กันอยู่เยอะ เป็นข้อความจาก...อืม...ไม่ได้ลงชื่ออีกแล้วนะครับว่าจากใคร”


“แต่ดูท่าทางจะป่วยหนักเสียด้วยสิ ผมอ่านข้อความเลยแล้วกันป่านนี้เจ้าตัวเขารอแย่แล้ว ข้อความจากคุณบุรุษลึกลับเขียนมาว่า...เป็นสิวต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังแต่ถ้าเป็นโรครักเธอเรื้อรังต้องไปปรึกษาหมอไหนดี...ผมว่าคงไม่ต้องปรึกษาใครแล้วละครับก็ปรึกษากับคนที่คุณมอบเพลงนี้ให้นี่แหละ เรามาลากันด้วยเพลงนี้ครับ รักเธอ...มอบให้คุณหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มนิรนาม”



ทันทีที่เสียงเปียในท่อนอินโทรของเพลงรักที่เคยได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่งถูกเปิดขึ้นทุกคนก็พาหันมองเจ้าของหน้าหวานที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟากลางห้องเป็นตาเดียว กันตภณส่ายหัวหนัก ๆ พลางนั่งลงข้าง ๆ วาดแขนตวัดรัดคอระหงก่อนจะเนี่ยวเข้ามาใกล้จนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบใช้มือรั้งแขนแกร่งให้คลายออกเพื่อให้หายใจได้สะดวก


“อะไรของแกไอ้กันต์ ฉันหายใจไม่ออก”


“แกตายแน่ถ้าไม่ยอมบอกว่าไอ้คนที่ขอเพลงให้แกมันเป็นใคร”


“จะไปรู้ได้ยังไง เมื่อกี้น้องปาล์มก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ได้ลงชื่อ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์กล่าวพลางมองตามร่างสูงของเจ้าของห้องที่เดินมานั่งลงอีกข้าง กลายเป็นว่าขณะนี้เขาถูกประกบด้วยสองหนุ่มที่นิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว


“บอกมาเถอะฟาร์ม เราก็อยากรู้ว่าใช่พี่กันต์หรือเปล่า” แม้จะวางหน้านิ่งหากแต่กลับดูกรุ้มกริ่มอยู่ในที


คำพูดของขวัญนพทำเอาสองคนที่ถูกกันตภณขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมหัวจมท้ายด้วยถึงกับตาลุกวาวแต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูฟังแบบเนียน ๆ เท่านั้น 


“อ้าวไอ้นพ! ทำไมพูดอย่างนั้นวะ ฉันบอกแกแล้วว่าฉันไม่ได้ขอเพลงให้มัน”


“แล้วพวกแกจะอยากรู้ไปทำไมกัน ฉันยังไม่เห็นอยากรู้เลย” ตัวต้นเหตุทำเสียงดังโวยวายพร้อมกับพยายามขยับตัวให้หลุดจากวงแขนของเพื่อนสนิท


“ไอ้นี่ก็พูดจามีพิรุธ จะบอกหรือไม่บอก”


“จะเอาจากไหนมาบอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” ศัลยแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าดิ้นรนไปก็ไม่เป็นผลจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ


“พี่กันต์ปล่อยฟาร์มเถอะ เดี๋ยวฟาร์มหายใจไม่ออก”


“แกเข้าข้างมันเหรอ”


“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่ฟาร์มอาจจะไม่รู้จริง ๆ ก็ได้” ขวัญนพกล่าวหลังจากพิจารณาแล้วว่าคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์


“ใช่...นพพูดถูก ขอบใจนะนพที่เข้าใจเรา” ณรงฤทธิ์รีบสนับสนุน “นพเป็นคนดีมีเหตุผลเสมอเลย มีแต่แกนั่นแหละไอ้หมาบ้า! จ้องแต่จะกัดฉัน”


“ปล่อยก็ได้วะ” กันตภณกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับคลายวงแขนออก “เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อนนะ”


“เอ๊ะ! ไอ้นี่! ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จริง ๆ เขาก็แค่ขอเพลงไม่ได้สานต่ออะไรอย่างอื่น”


“แล้วถ้าเขาสานต่อแกจะว่าไง”


“ก็ดีสิ โสดมาหลายปีแล้ว จะได้ทิ้งพวกแกลงจากคานสักที”


“พูดดีไปเถอะ ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ระวังก็แล้วกัน ระวังจะเป็นแค่หมาหยอกไก่ สุดท้ายช้ำใจก็ต้องกลับมาซบอกเพื่อนบนคนเหมือนเดิม”


“อ...ไอ้กันต์! แก!”


“เอาละครับ ๆ” โอเอ่ยขึ้น “พวกพี่อย่าทะเลาะกันเลย รอให้ไอ้เมืองกับไอ้ปาล์มมาก่อนค่อยถามมันก็ได้ เผื่อจะรู้เบาะแสเจ้าของกระดาษโน้ตนั่น ตอนนี้ผมว่าพวกพี่จับฉลากแบ่งสายกันดีกว่า” คนที่กำลังใช้กรรไกรตัดกระดาษสีเป็นรูปเลขาคณิตรีบห้ามทัพแล้วหันไปส่งสัญญาณ นักดนตรีรุ่นน้องจึงคว้าแก้วกาแฟพลาสติกที่มีม้วนกระดาษเล็ก ๆ เท่ากับจำนวนคนในห้องไปหยุดยืนตรงหน้าคุณหมอทั้งสาม


“จับฉลากแบ่งสายอะไรกันน้องก้อง” หมอฟาร์มมุ่นคิ้ว


“ก็จับฉลากว่าใครต้องแสดงเป็นอะไรในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระไงครับ”


“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่เล่นเป็นสโนว์ไวท์ นพเป็นเจ้าชาย ส่วนไอ้กันต์กับน้อง ๆ เป็นคนแคระหรอกเหรอ”


คนฟังส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่ครับ พวกผมปรึกษากันแล้วว่าจะให้น้องยี่หวาเป็นสโนว์ไวท์ ส่วนคนที่เหลือจับฉลากเอา อืม...ถ้าอย่างนั้นเรียงไปเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพี่นพก่อน เดี๋ยวผมกับพี่โอปิดท้าย”


ขวัญนพพยักหน้าแล้วล้วงมือลงไปหยิบกระดาษม้วนเล็กขึ้นมาถือไว้ รอกระทั่งครบทุกคนจึงเปิดของตนเองออกดู


“พี่นพได้อะไรครับ”


“คนแคระ”


สิ้นเสียงแพทย์รุ่นน้องกันตภณก็หัวเราะไม่หยุด


“แล้วพี่ฟาร์มล่ะครับ”


เมื่อถูกถามถึง ณรงค์ฤทธิ์จึงคลี่ม้วนกระดาษออก “กระจก! มันมีตัวละครนี้ด้วยเหรอ”


“มีสิพี่ สำคัญเลยล่ะ” ก้องยิ้มมีเลศนัย


“คนหนึ่งก็คนแคระ คนหนึ่งก็กระจก ของฉันมันต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” ไม่วายหัวเราะเยาะก่อนจะคลี่กระดาษออกดู “เฮ้ย! แม่มด!”


เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทบาทที่ตนเองได้รับถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาได้


“ขำมากนักหรือไงเป็นแม่มดเนี่ย”


“ขำ...ขำสิ” คนพูดหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล “โอ๊ย! แม่แกได้ไปอำเภอแจ้งเกิดแกอีกรอบแน่ไอ้กันต์เอ๊ย”


“อะ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณเข่นเขี้ยวแต่แล้วก็จำต้องยอมอ่อนให้ “แลกกันไหม”


“ไม่!” อีกคนทำเสียงแข็งแม้อยากจะตอบตกลงใจจะขาด


“ทำไมวะ ฉันรู้นะว่าแกอยากแต่งหญิง”


“แต่ปีนี้ฉันว่าเด็ก ๆ น่าจะอยากเห็นคุณลุงหมอกันตภณในคราบแม่มดสาวแสนสวยมากกว่า” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังจนคนถูกล้อหน้าหงิก “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี ก็ลุงหมอกันตภณน่ะสิ ทั้งทั้งปฐพีไม่มีใครปากหมาเกิน!!!”


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งทำฟึดฟัดพร้อมกับลุกขึ้นเดินแยกไปนั่งที่โซฟาอีกตัว “แล้วก้องกับโอได้อะไร”


“ผมเป็นคนแคระเหมือนพี่นพครับ” ก้องพูดพร้อมกับหงายกระดาษในมือให้ดู “ที่เหลือของพี่โอก็ต้องเป็นเจ้าชาย”


“มีใครอยากแลกไหม” กันตภณถามห้วน ๆ และคำตอบที่ได้รับจากสองหนุ่มที่พร้อมใจกันตอบก็คือ...


“ไม่!”


หลังจากจัดสรรหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว บรรดาคุณหมอและเหล่านักดนตรีก็นัดซักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นในตอนค่ำของทุกคืน ถึงจะมีถกเถียงกันให้เหล่าคนมาช่วยทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างประจำเมืองและปาล์มต้องปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงวันงาน


ประจำเมืองกอดอกยืนมองเวทียกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อยและฉากหลังสีสันฉูดฉาดที่ทำจากกระดาษปะติดภายในห้องโถงของหอผู้ป่วยเด็กซึ่งถูกเนรมิตจนเสร็จเมื่อราว ๆ เกือบรุ่งสางของวันใหม่ อิเล็กโทนตัวใหญ่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหนึ่งของเวที นึกขอบคุณลูกชายคุณตาสุธีเจ้าของวงดนตรีท้องถิ่นที่ให้ยืมมาใช้ก่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาว หันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าก้องกับปาล์มต่างพากันนอนสลบไสลอยู่กับพื้นโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านไปผ่านมาหรือไม่


“ดื่มกาแฟหน่อยไหม” ขวัญนพที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์เอ่ยขึ้นพร้อมกับชูถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้น


“ขอบคุณครับ แต่ผมฝากพี่ช่วยดื่มได้ไหม”


“ทำไมล่ะ” นายแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ


“คือ...ผมไม่ดื่มกาแฟครับ”


“ไอ้เมืองมันเด็กอนามัย” คนที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำกล่าวพลางลูบหน้าลูบตาที่พราวไปด้วยหยดน้ำ “เข้าร้านกาแฟก็กินแต่นมร้อน” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ พี่จะไปซื้อมาให้ใหม่” กำลังจะหันหลังกลับก็โดนห้ามไว้เสียก่อน


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว พี่นพรีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ อยู่ช่วยพวกผมมาเกือบทั้งคืนแล้ว” พูดจบประจำเมืองก็ก้มลงเขย่าตัวคนที่กำลังหลับสบายหวังจะให้ตื่นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะได้ผลจนพี่ใหญ่ในกลุ่มต้องออกโรงเอง


“เฮ้ย! ตื่น ๆ กลับกันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่ายังใช้ปลายเท้าช่วยสะกิดด้วย


“เช้าแล้วเหรอพี่” ก้องกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


“ยังไม่เช้าหรอก แต่กลับกันได้แล้ว รีบกลับไปนอนเดี๋ยวตอนสายต้องมาเตรียมตัว”


คนฟังจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังพยักหน้าหันไปเขย่าตัวของอีกคนให้ตื่น “ไอ้ปาล์มกินข้าว”


“เที่ยงแล้วเหรอวะ”


“พอกันเลยไอ้สองคนนี้” โอส่ายหน้าก่อนจะรั้งคอเสื้อให้ทั้งคู่ยืนขึ้นแล้วโอบไหล่ลากกันเดินไปที่ลิฟต์ ในขณะที่ประจำเมืองช่วยเก็บข้าวของของเพื่อน ๆ ไม่ลืมจะหันมากล่าวกับคุณหมอที่อาสามาช่วยตกแต่งสถานที่ตั้งแต่ออกเวรดึก


“ผมไปก่อนนะครับ”


ขวัญนพเพียงแต่พยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังเดินห่างออกไป รอกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลงจึงได้ยกถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้นดู สงสัยว่าคงต้องเอากลับไปดื่มเองเสียแล้ว...


บรรดาคุณหมอและหนุ่มนักดนตรีกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในตอนสายเพื่อให้เหล่านางพยาบาลช่วยกันแปลงโฉมให้ด้วยอุปกรณ์และเสื้อผ้าที่พอจะหาได้ในเวลาจำกัด ซึ่งกันตภณดูท่าจะไม่พอใจกับชุดแม่มดของตนเองนัก เพราะนอกจากจะเป็นชุดเดรสยาวสีดำแนบไปกับลำตัวแล้วยังคว้านคอลึกโชว์อกอวบซึ่งถูกยัดด้วยลูกโป่งใส่น้ำอีกด้วย นายแพทย์หนุ่มแทบไม่อยากเดินไปไหน ไม่ใช่เพราะเกรงว่าลูกโป่งที่เด้งชนกันอยู่บนแผงอกจะทำให้เกิดภาพไม่เหมาะสม หากแต่กลัวว่าตะเข็บของชุดที่สวมจะปริแตกกลายเป็นภาพอุจาดตาเสียมากกว่า แต่ก็นับว่ายังแพ้ชุดมนุษย์กระจกของหมอฟาร์มอยู่ดี


“ชุดบ้าอะไรวะเนี่ย”


“เอาน่าพี่ มันหาได้ดีที่สุดแค่นี้นี่นา” ก้องกล่าว เขาเองสวมเสื้อซานตาคลอสสีแดงตัวใหญ่กับกางเกงสีดำตัวโคร่งคาดด้วยเข็มขัดหลวม ๆ


ณรงค์ฤทธิ์มองภาพสะท้อนบนกระจกหน้าต่างแล้วอดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ นอกจากต้องใส่ชุดแนบเนื้อแบบยอดมนุษย์ห้าสีแล้วเขายังต้องสวมหัวอำพรางใบหน้าด้วยถุงน่องอีกด้วย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องถือกรอบไม้สี่เหลี่ยมบ้า ๆ ที่หุ้มด้วยกระดาษสีทองซึ่งคนทำพยายามจะเลียนแบบกรอบหลุยส์แต่ดันออกมาเหมือนขนมกรอบเค็มหงิก ๆ งอ ๆ เดินไปเดินมาทั้งเรื่องเพียงเพื่อพูดแค่ว่า ‘สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งปฐพีไม่มีใครงามเกิน’


“มีใครสั่งเครื่องดื่มไว้หรือเปล่าจ๊ะ น้องพนักงานร้านกาแฟเอาเครื่องดื่มมาส่งจ้ะ” วารุณีชะโงกหน้าเข้ามาถามภายในห้อง
ไม่มีใครตอบรับหรือปฏิเสธเพราะกำลังสาละวนอยู่กับกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง ดังนั้นขวัญนพจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วก็ออกไปจ่ายเงินที่ด้านนอก จากนั้นเครื่องดื่มหลายชนิดที่ถูกชงใส่มาในขวดพลาสติกและแก้วกระดาษทรงสูงที่มีน้ำแข็งอยู่เกือบเต็มก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุก ๆ คนที่มาช่วยงานโดยสาวสวยเจ้าของร้านกาแฟ


“นมร้อนนี่ของน้องเมืองจ้ะ”


“ของผมเหรอครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากข้างนอกกล่าว


“ใช่จ้ะ”


“ขอบคุณครับ” พูดจบก็รับถ้วยกระดาษใส่นมร้อนเดินไปนั่งบนโต๊ะตรงกลางห้อง   


“พี่นพ กางเกงพี่น่ะเดินแล้วจะหลุดไหมเนี่ย” ก้องเอ่ยขึ้น


“นั่นน่ะสิ มีเข็มขัดเส้นเดียวเสียด้วย” คนพูดก้มลงมองกางเกงตัวใหญ่ความยาวกรอมเท้าที่เกือบทำให้เดินสะดุดจนหน้าทิ่มอยู่หลายรอบ บิดตัวซ้ายขวาสำรวจตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ใครสักคนหอบหิ้วมาให้ยืมสำหรับใช้ในห้องแต่งตัว อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองนิ่งมองเงาสะท้อนของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเอี๊ยมสีเข้มที่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิและยกนมร้อนขึ้นจิบอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่วางแก้วกระดาษลงเขาก็ยกกระดาษมีบรรทัดห้าเส้นขึ้น ส่วนอีกมือเคลื่อนที่ไปมาในอากาศราวกับปลายนิ้วของเขาในขณะนี้กำลังสัมผัสอยู่บนลิ่มนิ้วเปียโนก็ไม่ปาน และในจังหวะที่คนในกระจกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดีขวัญนพจึงก้มลงมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง


“ผมว่าเอาเชือกผูกไว้หน่อยดีไหม กันหลุด” กล่าวจบประจำเมืองก็กระโดดลงจากโต๊ะเดินไปหยิบเชือกป่านเส้นหนึ่งที่เหลือจากใช้ทำเส้นผมของแม่มดมาให้


คนแคระแต่ตัวสูงรับไว้ก่อนจะปลดเข็มขัดที่คาดเอาไว้หลวม ๆ ออก จัดการผูกเชือกอ้อมรอบเอวกางเกง แต่เพราะชายเสื้อที่ยาวรุงรังทำให้การม้วนเก็บเอวกางเองเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดเป็นไปอย่างทุลักทะเล เห็นแล้วให้รำคาญลูกตานัก


“พี่ดึงเสื้อขึ้น เดี๋ยวผมม้วนให้” นักดนตรีหนุ่มว่า รอกระทั่งอีกฝ่ายรั้งชายเสื้อแสนเกาะกะขึ้นได้สำเร็จจึงช่วยม้วนขอบกางเกงให้
หอม...ยิ่งใกล้ปลายจมูกยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม ขวัญนพกดตาลงต่ำมองเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงศอก


“เรียบร้อย” ประจำเมืองยืดตัวตรงสำรวจความเรียบร้อยพร้อมกับยิ้มให้


“ขอบคุณมาก” คนอายุมากกว่ากล่าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดกลับคืนดังเดิมพลันเสียงของคนที่ทุกคนกำลังรอก็ดังขึ้น


“หลบหน่อยครับ พระเอกนางเอกมาแล้ว” ชายหนุ่มในชุดเจ้าชายเต็มยศเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้สาวน้อยในชุดสโนว์ไวท์ที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาบรรดานางพยาบาลสาว ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นจึงพากันไปขอถ่ายรูปกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก


อีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากเด็ก ๆ ในหอผู้ป่วยรับประทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์หญิงวารุณีก็ก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน และเมื่อเห็นนักแสดงพร้อม เธอเองซึ่งเป็นคนเล่านิทานก็เริ่มทำหน้าที่ทันที วารุณีเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ยังเป็นเด็กและค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม จนกระทั่งโชคร้ายต้องมาพบกับแม่เลี้ยงใจร้ายเข้า สิ้นเสียงคนเล่านิทานเสียงดนตรีชวนตื่นเต้นก็แทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของแม่มดใจร้ายในคราบของราชินีและกระจกคู่ใจ


เป็นไปตามคาด เมื่อณรงค์ฤทธิ์และกันตภณก้าวขึ้นไปบนเวที เสียงหัวเราะของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ดังครืน เล่นเอาเหล่านักแสดงเขินอายไปตาม ๆ กัน เด็กชายปูไข่และเพื่อน ๆ ต่างชี้ชวนกันดูสองคนที่กำลังยืนเงอะงะพร้อมกับคาดเดาว่าทั้งคู่คือใคร แต่แล้วเสียงแหลมฟังน่ากลัวก็ทำเอาทั้งห้องโถงเงียบกริบ


“แห! แห! แห!!!”


“ราชินี ท่านจะเอาแหไปทำไมกัน” กระจกถาม


“เอามาทอดจับเจ้านั่นแหละ เจ้าปลาไหล ถุย! ข้าหัวเราะ! ไอ้กระจกบ้า!” ราชินีใจร้ายตวาดเสียงแหวพร้อมกับยกมือขึ้นช้อนหน้าอกที่เริ่มจะเด้งไปมาไร้ซึ่งสามัคคีให้กลับเข้าที่ จากนั้นจึงเชิดหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”


“สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งกาแลคซีไม่มีใครงามเกิน”


“จ...เจ้าว่ายังไงนะ นี่นังสโนว์ไวท์มันยังไม่ตายรึ ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้เห็นทีข้าต้องลงมือเอง” ราชินีกล่าวอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป


“พวกเจ้าอยากรู้ใช่ไหมเด็ก ๆ ว่าตอนนี้สโนว์ไวท์เป็นตายร้ายดียังไง เข้ามาใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวกระจกวิเศษจะพาไปดู” ว่าแล้วกระจกวิเศษหมุนอยู่กลางเวที 2-3 รอบ ก่อนจะเซออกจากฉากไปในที่สุด


“เดี๋ยวเราตามพี่กระจกไปกันดีกว่าค่ะเด็ก ๆ ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโนว์ไวท์” เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ สนใจจะติดตามเรื่องราวต่อ คนเล่าจึงหันไปส่งสัญญาณให้นักแสดงอีกคู่เตรียมตัว พลันเสียงบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานจากอิเล็กโทนที่บรรเลงโดยประจำเมืองก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของสองคนแคระและเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ทั้งสามพากันเต้นไปตามจังหวะเพลง จากนั้นขวัญนพในชุดคนแคระก็อุ้มสโนว์ไวท์ยี่หวาลอยขึ้นกลางอากาศ


“อยู่นี่เองแม่หนูสโนว์ไวท์” แม่มดที่เดินถือตะกร้าใส่แอปเปิ้ลผลโตมาจากอีกด้านของเวทีกล่าว “ยายมีแอปเปิ้ลหวาน ๆ มาให้จ้ะ” พูดจบมือสั่นเทาก็ยื่นลูกกลม ๆ สีแดงสดให้


“คุณแม่บอกว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าค่ะ” คำพูดไร้เดียงสาของหนูน้อยทำเอาบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และผู้ปกครองที่ยืนมองต่างพากันอมยิ้ม


“แต่แกต้องกิน!” แม่มดตัวโย่งขึ้นเสียงจากนั้นก็เดินดิ่งเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงในอ้อมแขนของคนแคระ เล่นเอาเด็ก ๆ ที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งเผลอร้องห้าม “กินเข้าไป! แล้วปฐพีนี้ก็จะมีแต่ข้าที่งามที่สุด แห! แห! แห!!!”
เมื่อเจ้าหญิงสโนว์ไวท์หมดสติ ทำนองเพลงเศร้าค่อย ๆ ดังขึ้น ร่างของเธอถูกยกขึ้นวางบนแท่นโดยคนแคระ ทั้งสองพากันร้องไห้จนกระทั่งชายหนุ่มก้าวขึ้นบนเวที


“เราคือเจ้าชายโอสุดหล่อ พวกท่านมีสิ่งใดเราช่วยหรือไม่”


“โปรดช่วยเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ของเราด้วยเถิดท่าน นางถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้ง” คนแคระขวัญนพอ้อนวอน


“ได้ เราจะช่วยนางเอง” พูดจบเจ้าชายก็ช้อนร่างของเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ขึ้น จากนั้นก็ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ เท่านั้นดวงตาทอประกายก็เปิดขึ้นแล้วสองคนก็ส่งยิ้มหวานให้กันโดยมีเสียงดนตรีชวนเคลิบเคลิ้มคลอเบา ๆ ส่งให้บรรยากาศยิ่งโรแมนติก


วารุณีเดินออกมาที่กลางเวทีอีกครั้ง “เมื่อแรกที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สบตากันก็ก่อเกิดเป็นความรัก ทั้งคู่จึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล จำไว้นะคะเด็ก ๆ อย่ารับของจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด”


สิ้นเสียงกุมารแพทย์หญิง นักแสดงทั้งหมดก็เดินออกมายืนที่หน้าเวทีพร้อมกับโยกตัวตามจังหวะโดยมีเด็ก ๆ ปรบมือตามไปด้วย กระทั่งเสียงเพลงค่อย ๆ แผ่วหายไป นักแสดงเดินลงจากเวที วารุณีจึงได้กล่าวแนะนำการแสดงชุดสุดท้ายซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของพี่ ๆ นักศึกษาปริญญาโท เมื่อเห็นว่าเจ้าชายและคนแคระซึ่งเป็นสมาชิกของวงดนตรีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและถือกีตาร์และฟรุตขึ้นมายืนประจำที่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยกหน้าที่ต่อให้กับนักร้องนำประจำวง


“สวัสดีครับน้อง ๆ วันนี้พี่ปาล์ม พี่โอ พี่ก้องและพี่เมือง เราทั้งสี่คนจะมาเล่นดนตรีให้ทุกคนฟังนะครับ เรามาเร่มที่เพลงแรกกันเลยดีกว่า ใครร้องได้ช่วยพี่ปาล์มร้องด้วยนครับ”


พูดจบปาล์มก็หันไปส่งสัญญาณกับเพื่อน ๆ แล้วเพลงจังหวะสนุก ๆ ก็ถูกเล่นอย่างต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า ผู้ใหญ่บางคนโยกตัวตาม บางคนขยับขาตามจังหวะเพลง ในขณะที่เด็ก ๆ หลายคนลุกขึ้นมาเต้นขยับแข้งขยับขาชนิดลืมโรคภัยไข้เจ็บของตนเองไปเลย บรรยากาศที่อวลไปด้วยรอยยิ้มของทุกคนทำเอาเจ้าของวันเกิดและตัวตั้งตัวตีในการจัดงานอย่างแพทย์หญิงวารุณียิ้มจนแก้มแทบปริ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-06-2016 00:27:54
(ต่อค่ะ)


หลังจากงานแสดงดนตรีที่หอผู้ป่วยเด็กเสร็จสิ้นลง สี่หนุ่มก็ชวนคุณหมอทั้งสามไปรับประทานอาหารที่โรงอาหาร แต่มีเพียงขวัญนพคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีแรงไปกับพวกเขา ไม่ได้ขอตัวกลับไปนอนสลบที่ห้องดังเช่นอีกสองคนที่เหลือ ดังนั้นนายแพทย์หนุ่มจึงถือโอกาสนี้เลี้ยงข้าวขอบคุณทุกคนที่มาช่วยขนย้ายหนังสือรวมถึงช่วยงานในวันนี้


ข้าวมันไก่ห้าจานถูกประจำเมืองและปาล์มลำเลียงมาวางบนโต๊ะ ส่วนโอกับก้องช่วยกันยกถาดใส่แก้วน้ำอัดลมจำนวนเท่ากันมาเสิร์ฟ เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งประจำที่แล้วขวัญนพจึงหยิบช้อนและส้อมขึ้นมองชายหนุ่มที่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังใช้ส้อมเขี่ยแตงกวาในจานราวกับเด็ก ๆ ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการกินผัก


“ไอ้ปาล์ม ช่วยกินหน่อย” กำลังย้ายแตงกวาสามชิ้นไปใส่ในจานของเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับยกหนีเสียอย่างนั้น


“ไอ้เมือง ไม่เอา แกกินไปสิ” ว่าแล้วก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตากับเพื่อน ๆ


“อะไรวะ ช่วยกินหน่อยก็ไม่ได้” 


“เมื่อคืนก่อนแกล้งทำผีหลอกตอนลงจากตึกยังไม่ได้เอาคืนเลย”


“โห...ล้อเล่นแค่นิดเดียวเอง”


“ไม่ให้อภัยโว้ย! กินเองเลยวันนี้ ไม่ต้องเอามาให้ พี่โอ ไอ้ก้อง ห้ามช่วยไอ้เมืองกินเด็ดขาด” ปาล์มยื่นคำขาด


“เมือง เอ็งก็กลั้นหายใจเคี้ยว ๆ ไปเถอะน่า” โอกล่าวพลางตักข้าวเข้าปาก


“พี่ก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเคยทำตามแบบที่พี่ว่าแล้วผลมันเป็นยังไง”


“อ้วกไง” ก้องหัวเราะ “อ้วกใส่หน้าพี่โอเลย ตอนรับน้อง”


“เออว่ะ” อดีตพี่ว้ากทำหน้าแหยง ๆ


ขวัญนพที่นั่งฟังอยู่นานโคลงศีรษะยิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อจบปัญหา “มานี่ พี่ช่วยกิน” พูดจบก็จัดการตักชิ้นแตงกว่า 2-3  ชิ้นมาไว้ในจานตัวเอง


“ขอบคุณครับ” ประจำเมืองยิ้มหน้าบาน เมื่อสบายใจที่สามารถกำจัดของที่ไม่ชอบออกจากจานได้ก็ทำท่าจะตักข้าว แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าดวงตาจ้องจับผิดของเพื่อนทั้งสามคนกำลังมองมาที่ตนเอง


“อะไรวะ”


ปาล์มยักไหล่ไม่ตอบแต่กลับยื่นหน้าไปถามคนที่นั่งเยื้องกันแทน “พี่นพไปช่วยมันทำไม”


“ก็จะได้ไม่ต้องเถียงกัน”


“ไม่ชอบกินก็เอาไว้ในจานก็ได้”


“เอาไว้ในจานก็ยังมีกลิ่น ยังไงก็ต้องหาทางเอามันออกจากจานให้ได้อยู่ดี”


“พี่นพรู้ได้ยังไงครับ”


“เมืองบอกไง” คนถูกซักตอบซื่อ ๆ “คนไม่ชอบกินจะบังคับไปทำไม”


“มีเข้าข้างกันด้วย” ก้องพูดงึมงำแต่ก็ได้ยินชัดเจน


“ถ้าอย่างนั้น เจ้าของกระดาษโน้ตแผ่นนี้ใช่พี่หรือเปล่า” ปาล์มลากเสียงพลางควักบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อวางลงกลางโต๊ะ


“เฮ้ย! แกไปเอามาจากไหน” ประจำเมืองกำลังจะเอื้อมมื้อคว้าแต่อีกคนเร็วกว่าสามารถดึงมันกลับคืนได้


“ฉันเห็นมันร่วงจากกะเป๋าสตางค์ ตอนที่แกหยิบเศษเหรียญเมื่อกี้” ว่าแล้วก็หันไปถามคุณหมอที่ยังคงวางหน้านิ่ง “ใช่ลายมือพี่หรือเปล่าครับพี่นพ”


ขวัญนพสบตาคนตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะตอบตามจริง “ใช่ ลายมือพี่เอง”


ได้ยินดังนั้นสามหนุ่มก็ส่งสายตาให้กันอย่างมีเลศนัย


“อะไรกัน ๆ ไอ้ปาล์มแกไปซักพี่นพให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ” โอเอ่ยขึ้นก่อนจะขยับเบียดคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างกัน “นมร้อนนั่นก็ด้วย


ใช่ไหมพี่ ผมเห็นนะ ตอนที่ออกไปจ่ายเงินน่ะ”


“นมร้อนอะไรวะ” ประจำเมืองมุ่นคิ้ว


“ก็เมื่อเช้ามืดพอรู้ว่าแกไม่ดื่มกาแฟ พี่นพก็เลยสั่งนมร้อนมาให้ไง ใช่ไหมพี่” ไม่วายหันไปเอาแขนสะกิดคนข้าง ๆ


“อืม” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่งขณะตักข้าวเข้าปาก คำตอบนั้นทำเอาคนนั่งตรงข้ามเริ่มทำหน้าไม่ถูก


“เฮ้ย! กินข้าวเถอะ มั่วแต่คุยกันอยู่ได้” ประจำเมืองบ่นพลางตักส่งข้าวเข้าปากจนแก้มตุ่ย


“คำถามสุดท้ายเลยดีกว่า ตรง ๆ จะได้จบ” ก้องพูดขึ้นบ้าง “พี่คิดอะไรกับเพื่อนผมหรือเปล่า”


แทบสำลักข้าว...


... 


แม้จะผ่านงานวันเกิดของแพทย์หญิงวารุณีมาหลายวันแล้ว แต่บรรดาเด็ก ๆ ที่หอผู้ป่วยยังคงพูดถึงราชินีใจร้าย กระจก เจ้าหญิงสโนว์ไวท์และเจ้าชายกันอย่างไม่ขาดปาก เด็กชายปูไข่เลี่ยงออกจากกลุ่มของเพื่อน ๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ที่มุมหนังสือจากนั้นจึงเดินมาเกาะเตียงจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังอธิบายวิธีใช้งานเครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาให้แก่คุณแม่ของเด็กหญิงปลาดาวและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ที่ล้อมวงกันเข้ามาอย่างสนอกสนใจ แต่เมื่อเห็นว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ปูไข่จึงเดินกลับไปนั่งที่เตียง


ดวงตาเจือด้วยความหม่นหมองทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งที่วันนี้ท้องฟ้าและทะเลก็สวยเหมือนกับทุกวันหากแต่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกสดใสตามเลยสักนิด เด็กชายถอนหายใจเบา ๆ เหลียวกลับไปมองยังหัวเตียงซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือนิทานที่ยี่หวานำมาให้อ่านแก้เหงาและเขาก็อ่านมันจนจบหมดทุกเล่มแล้วรอก็แต่ว่าเมื่อไรเจ้าของจะมารับมันคืนไปสักที


“พี่นั่งด้วยคนได้ไหม”


เสียงของใครคนหนึ่งเรียกให้ต้องเหลียวกลับไปมองอีกทางหนึ่ง เจ้าของแก้มยุ้ยไม่ได้ตอบแต่ขยับเว้นที่ให้เป็นเชิงอนุญาต


ประจำเมืองยิ้มก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “วันนี้ยี่หวาไม่มาเหรอครับ”


คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อย ๆ “คุณอาหมอวารุณีบอกว่าวันนี้ยี่หวาต้องไปซื้อชุดนักเรียนกับหนังสือครับ”


“ปูไข่ก็เลยไม่มีเพื่อนเล่นเลยใช่ไหม”


“เปล่าฮะ ปูไข่เล่นกลับเพื่อน ๆ ก็เหมือนก็เล่นกับยี่หวา แต่ยี่หวาชอบร้องเพลงให้ฟังครับ อยู่ที่นี่มีเพื่อน ๆ มีพี่ ๆ พยาบาล มีอาหมอนพ แต่ปูไข่ก็อยากไปโรงเรียนมากกว่า”


ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ มือยื่นเครื่องเล่นเพลงตัวจิ๋วให้ “พี่ให้”


“ให้ปูไข่เหรอครับ” เด็กชายมองอย่างลังเล


“พี่ให้ปู่ไข่เอาไว้ฟังเพลง จะได้ไม่เหงาเวลาที่ยี่หวาไม่อยู่”


“ขอบคุณฮะ” พลันรอยยิ้มสดใสก็แต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง เด็กชายยกมือไหว้และรับมันมาถือไว้แต้


“ลองฟังไหม”


“ฮะ”


“ถ้าอย่างนั้นปูไข่ก็เอาหูฟังเสียบที่หู แล้วก็กดปุ่มนี้ ถ้าดังไปก็เบาเสียงจากตรงนี้” พูดพลางชี้ไปยังปุ่มเล็ก ๆ ที่เรียงกันอยู่บนเครื่องเล่นเพลง


ปูไข่ทำตามที่บอกโดยเสียบหูฟังเข้ากับหูแล้วกดปุ่มให้เครื่องทำงาน เพียงไม่นานเสียงเปียโนแว่ววานก็ดังขึ้นเป็นท่วงทำนองต่อเนื่อง


“พี่เมืองเล่นเปียโนเองเหรอครับ”


“อื้อ ปูไข่ชอบไหม”


“ชอบครับ ก่อนหน้านี้พ่อก็เคยพาปูไข่ไปเรียนเปียโน แต่เรียนได้ไม่นานก็ต้องเลิกเพราะปู่ไข่ไม่สบาย ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่สอนให้เอาไหม”


“แต่เราไม่มีเปียโนนะครับพี่เมือง”


“ใครว่าล่ะ” ประจำเมืองยิ้มพลางดึงเอียร์บัดข้างที่เหลือมาเสียบหูแล้วยกมือทั้งสองขึ้นกลางอากาศอยู่ในท่าเตรียมราวกับตรงหน้าเป็นเปียโนตัวใหญ่ เมื่อเด็กชายเห็นดังนั้นก็อมยิ้มทำตามคุณครูบ้าง “ปูไข่พร้อมไหม”


“พร้อมครับ”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเพลงนี้พร้อมกันนะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจริงจัง หนุ่มนักดนตรีก็เริ่มขยับปลายนิ้วไปตามโน้ตเพลงที่ตนเองพูดออกมาซึ่งก็คือเพลงเดียวกันกับที่ทั้งเขาและปูไข่กำลังฟังนั่นเอง ผ่านไปจนกระทั่งเย็นย่ำ ถาดอาหารที่ถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข็นมาแจกจ่ายเต็มโต๊ะทำให้ประจำเมืองรู้ว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องไปสักที


ชายหนุ่มร่ำลาเด็กชายจากนั้นจึงออกจากตึกกุมารเวชกรรม เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่ตนเองจะต้องไปปิดสถานีในช่วงสามชั่วโมงสุดท้ายของรายการวิทยุออนไลน์จึงมุ่งหน้าสู่สวนสุขภาพซึ่งอยู่ใกล้กับชายหาด ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งทอดตามองเกลียวคลื่นที่โถมซัดเข้าหาฝั่ง ดึงสมุดโน้ตกับโทรศัพท์มือถือออกจากเป้ที่วางอยู่ข้างตัวก่อนเสียบเอียร์บัดเข้ากับหู ปล่อยปลายนิ้วข้างหนึ่งขยับพริ้วไหวไปในอากาศ ในขณะที่อีกมือจับดินสอเขียนข้อความบางอย่างในหน้ากระดาษปากก็ฮัมเพลงเบา ๆ ไปด้วยไม่รู้เลยสักนิดว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมา


ขวัญนพขยับแว่นสายตาก้มลงมองแนวทางเดินเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังหยุดอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ขายาวเริ่มก้าวอีกครั้งเพื่อมุ่งสู่ตึกกุมารเวชกรรมซึ่งอยู่เบื้องหน้า กดลิฟต์ขึ้นไปบนชั้นสี่เพื่อตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเด็กเหมือนเช่นเคย ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าไปภายในก็พบว่ามีหลายเตียงที่ว่างลง ได้แต่ภาวนาให้คนที่เคยนอนแข็งแรงและสามารถกลับบ้านได้แทนการถูกย้ายไปหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ อายุรแพทย์ฯ หนุ่มแวะทักทายพยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพากันเดินไปตามทางเดินแคบระหว่างเตียงผู้ป่วยจนในที่สุดก็มาหยุดยังเตียงสุดท้ายใกล้หน้าต่างซึ่งเป็นเตียงของคนไข้ในความดูแล


ชายหนุ่มรับแฟ้มประวัติจากหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวก่อนจะกางออกกวาดตาอ่านข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้


“วันนี้ปูไข่เป็นยังไงบ้างครับ อืม...มีปวดหัวด้วยเหรอ”


“ครับ แต่ตอนนี้หายแล้ว”


“ทานข้าวได้หรือเปล่า” ขวัญนพถามพลางมองไปยังถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งพร่องไปเพียงเล็กน้อย ส่วนเด็กชายนั้นได้แต่เพียงส่ายหน้าจนต้องถามเอากับคุณพยาบาลอีกครั้ง


“เย็นนี้สำลักไปสองรอบแกก็เลยเลิกทานค่ะ”


ได้ยินดังนั้นจึงหันไปกล่าวกับคนไข้ “ต้องระวังหน่อยนะครับ อย่าทานรีบร้อน”


คนฟังพยักหน้าช้า ๆ นึกสงสัยใคร่รู้จึงเอ่ยขึ้น “ปูไข่เป็นอะไรเหรอฮะอาหมอ”


นายแพทย์หนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้หญิงสาวที่ยืนใกล้กันออกไปก่อน จากนั้นก็คว้าเก้าอี้มานั่งลงชิดขอบเตียงยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ


“แล้วปูไข่คิดว่าตัวเองเป็นยังไงบ้างครับ”


“อืม...บางครั้งมันรู้สึกว่าแขนกับขา ไม่...ไม่ค่อยมีแรงครับอาหมอ หลัง ๆ ก็ปวดหัวด้วย”


“ปวดทุกวันเลยหรือเปล่า”


“ไม่ทุกวันครับ”


“ปวดมากหรือเปล่า”


“ไม่ฮะ แต่บางทีก็ ก็...ปวดจนปู่ไข่นอนไม่หลับเลย”   


“อย่างอื่นล่ะ มีอะไรอีกไหม อย่างเช่นรู้สึกอยากอาเจียน” พูดพลางเอื้อมมือจับมืออวบพร้อมกับบีบเบา ๆ


“ไม่ครับอา...อาหมอ”


ขวัญนพพยักหน้าเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกไปนั่นก็คือการพูดที่ติด ๆ ขัด ๆ ของเด็กชาย คนทั่วไปอาจจะคิดว่ามันคือลักษณะเฉพาะของเด็กแต่ละคนที่นานวันก็จะจางหายไปไปเองเมื่อได้เรียนรู้และฝึกบ่อย ๆ แต่นายแพทย์หนุ่มรู้ดีว่ามันคือความผิดปกติที่เป็นผลจากโรคที่ปูไข่เป็นอยู่ 


“อาหมอฮะ ปูไข่เป็นโรคเดียวกับแม่ใช่ไหมฮะ”


“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงปูไข่เสียใจไหม”


มือเล็กที่แสนจะเย็นเฉียบจับลงที่ท่อนแขนแกร่งก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่คนฟังยากจะทำใจตอบได้ “มันรักษาไม่หายใช่ไหมครับอาหมอ”


ขวัญนพนิ่งงัน เมื่อทอดมองเจ้าของดวงตาที่ปราศจากแววแห่งความหวาดหวั่นก็ให้รู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย หากในยามนี้ถามหาคนที่หัวใจอ่อนแอที่สุดคงจะเป็นตัวเขากระมัง


“ถึงมันจะรักษาไม่หาย แต่เราก็สามารถสู้กับมันได้”


“ทำยังไงครับอาหมอ”


ขวัญนพยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นประคองสองแก้มยุ้ย “ปูไข่ต้องยิ้มให้มาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อย่างที่เคยสัญญากับอาจำได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน”


“ปูไข่จำได้ครับ” ว่าแล้วก็ยกมือสองข้างขึ้นประกบบนหลังมือของคุณอา “ปูไข่จะยิ้มให้มาก ๆ”


...


ในวันสุดท้ายของเดือน...


สถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสุทรารักษ์เริ่มดำเนินการอีกครั้งเมื่อใครคนหนึ่งกดปุ่มเครื่องส่งสัญญาณออกอากาศและอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่กรุด้ายฉนวนใยแก้วทั้งสามด้าน ส่วนด้านหน้าติดกระจกใสบานใหญ่ความกว้างเท่ากับขนาดของห้อง บทเพลงแรกสำหรับการต้อนรับเช้าวันใหม่ค่อย ๆ เงียบเสียงเมื่อนักจัดรายการสมัครเล่นใช้ปลายนิ้วดึงปุ่มช่องสัญญาณเสียงที่เครื่องสลับสัญญาณลงก่อนจะดันปุ่มช่องสัญญาณไมโครโฟนที่อยู่ข้างกันขึ้นจากนั้นจึงกล่าวทักทายคนฟังเหมือนเช่นเคย


เสียงไวโอลินคลอด้วยเสียงเปียโนที่ดังแว่วมาจากลำโพงตัวเล็กทำเอาทุกคนในร้านกาแฟจำต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง ต่างคนต่างแสดงความเห็นว่าไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน แต่กระนั้นก็เป็นบทเพลงที่ไพเราะจนบางคนเผลอใช้ปลายนิ้วเคาะลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ เพลงนั้นถูกบรรเลงไปได้เพียงไม่ถึงนาทีก็ค่อย ๆ เลือนหายไปแทนที่ด้วยเสียงของนักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นคนเดิม...


“สวัสดีครับท่านผู้ฟัง กลับมาพบกับสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสุทรารักษ์และผมดีเจปาล์มในเช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสกันอีกแล้วนะครับ สำหรับบทเพลงที่จบไป เป็นเพลงที่คุณเมืองแต่งขึ้นเองนะครับ เสียดายที่ยังไม่มีคำร้อง เอาไว้ถ้าเขียนคำร้องเสร็จเมื่อไรพวกเราคงจะได้มาเล่นให้ท่านผู้ฟังได้ฟังกันอีกครั้งนะครับ” ปาล์มหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มพูดต่อ


“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะทำหน้าที่เปิดเพลงเพราะ ๆ ให้ทุกท่านฟังได้ฟังกัน พวกเราขอขอบคุณผู้ฟังทุกท่านที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดีในระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ต่อจากนี้เราคงต้องส่งมอบหน้าที่คืนให้กับพี่ยักษ์และพี่ส้มซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เน็ตเวิร์คของที่นี่กันสักที ซึ่งท่านผู้ฟังยังคงขอเพลงผ่านทางทุกช่องทางเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสมุทรารักษ์นี้จะทำการขยายเวลาออกอากาศไปจนถึงเที่ยงคืนของทุกวัน  ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ” พูดเลื่อนไมโครโฟนให้กับคนที่พาเขาและเพื่อน ๆ มาที่นี่ ได้มีโอกาสมาสัมผัสประสบการณ์ที่ต่างออกไปในครั้งนี้


“วันนี้พวกเรายังอยู่กับท่านผู้ฟังถึงปิดสถานี และสำหรับเพลงแรกของเช้าวันนี้พวกเราขอมอบให้กับทุก ๆ คนนะครับ ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ พูดภาษาไทยหรือพูดกันคนละภาษา แต่ดนตรีจะทำให้เราเข้าใจกันเพราะดนตรีเป็นภาษาสากลครับ ดังนั้นพวกเราจึงอยากจะส่งความปรารถนาดีไปถึงผู้ป่วยทุกคนผ่านบทเพลงสุดท้ายในวันนี้ ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง รวมถึงอยากจะส่งมอบกำลังใจให้กับพี่ ๆ บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านขอให้มีพลังในการทำงานเพื่อผู้อื่นตลอดไปครับ” พูดจบประจำเมืองก็ส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ เตรียมตัว


โอหันไปคว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่งขึ้นวางบนหน้าตัก ส่วนก้องถือฟรุตยืนอยู่ด้านหลัง เห็นว่าทุกคนพร้อมแล้วเขาจึงให้สัญญาณอีกครั้งด้วยการนับก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสายโลหะเกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามการจับคอร์ด เมื่อสอดประสานกันกับเครื่องดนตรีอีกสองชิ้นก็ให้บทเพลงแสนไพเราะส่งผ่านไปถึงผู้ฟังทุกคน เพียงได้ยินทำนองก็ทำให้รู้ว่ามันคือบทเพลงให้กำลังใจที่ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องคุ้นหูกันเป็นอย่างดี และเมื่อปาล์มเริ่มร้องในท่อนแรกก็ทำเอาทั้งคนที่ได้ฟังอยู่ในขณะนั้นรวมถึงผู้ขับร้องและนักดนตรีเองถึงกับน้ำตารื้น แม้บทเพลงสุดท้ายของพวกเขาจะจบลงแต่ความประทับใจจะยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปอีกนานแสนนาน


หลังจากช่วยเพื่อนเปิดสถานีแล้ว ประจำเมืองก็ไปที่หอผู้ป่วยตึกกุมารเวชกรรมเพื่อทำการบันทึกข้อมูลทางกายภาพหลังจากเริ่มดำเนินการวิจัยโดยให้เด็ก ๆ ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้ฟังเพลงที่เขาและเพื่อน ๆ ร่วมกันบรรเลง


“แล้วครั้งต่อไปจะเข้ามาอีกเมื่อไรล่ะ” กันตภณถามขณะยืนคุยกับชายหนุ่มที่ระเบียง


“ก็คงจะ 1-2 สัปดาห์/ครั้งครับ เพราะผมต้องไปเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลอื่นด้วย”


“อืม งานวิจัยนี้ได้ผลเป็นไปตามสมมติฐานที่นายตั้งไว้ ก็คงจะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยคนอื่น ๆ อีกมากเลยนะ”


“ครับ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นครับ”


“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็มาหาพี่ได้นะ หรือจะโทรมาก็ได้”


“ขอบคุณพี่กันต์มากนะครับ แค่พี่ช่วยดูแลพวกผม แถมแนะนำเพื่อนพี่ที่อีกโรงพยาบาลให้นี่ก็ช่วยผมได้มากแล้วละครับ”


กันตภณพยักหน้าเมื่อหันไปเห็นขวัญนพอีกเรียก เจ้าของชื่อคืนแฟ้มเอกสารให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินตรงเข้ามา รับไหว้หนุ่มนักดนตรีก่อนจะหันไปถามถึงสาเหตุที่เรียกเขาเอาไว้ “พี่กันต์มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“อยากคุยเรื่องปูไข่ด้วยหน่อยน่ะ เห็นพี่วาบอกว่าพักนี้แกบ่นว่าปวดหัวบ่อย ๆ”


น้ำเสียงเคร่งขรึมดูตรงกันข้ามกับบุคลิกของอีกฝ่ายทำให้ต้องรีบตอบ “ได้ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งคุยกันที่ห้องพี่วาก็แล้วกันนะ” พูดจบนายแพทย์ตัวโย่งก็หันมากล่าวกับประจำเมือง “เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะเมือง เข้ามาอีกเมื่อไรก็โทรมานะ ไว้จะพาไปเลี้ยงข้าว”


“ครับ ขอบคุณครับพี่กันต์”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองตามสองคุณหมอที่เดินผ่านไป จู่ ๆ ก็นึกถึงคำสั้น ๆ ที่ขวัญนพตอบคำถามของก้องในวันนั้น


“ไม่ได้คิด”


และนั่นก็คือคำตอบที่ทำให้ทุกคนหันกลับไปรับประทานอาหารกันต่อและไม่มีใครคิดถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก


ประจำเมืองเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าตึกกุมารเวชกรรมพักใหญ่ ๆ รอกระทั่งคนที่เขากำลังรอเดินออกจากลิฟต์จึงหยุดยืนรอ สีหน้าเคร่งเครียดของนายแพทย์ขวัญนพที่เดินตรงเข้ามาทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือสิ่งที่ตนเองกำลังเป็นกังวลอยู่นั้นจะเป็นความจริง


“พี่นพ”


“มีอะไรหรือเปล่า”


“คือผม...” คนอายุน้อยกว่าอึกอัก เริ่มลังเลว่าควรพูดหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดมันออกไป "เมื่อหลายวันก่อนผมสอนปูไข่เล่นเปียโน แล้วก็สังเกตว่ากล้ามเนื้อมือของแกน่าจะผิดปกติ มันสั่นกระตุกแบบที่แกไม่สามารถ...”


“เรื่องปูไข่เอาไว้คุยกันวันหลังได้ไหม พอดีพี่ต้องรีบไปตรวจคนไข้”


“อ...เอ้อ...ครับ ขอโทษที่รบกวนครับ” ประจำเมืองรับคำเบา ๆ ฟังคำขอโทษสั้น ๆ แล้วได้แต่ยืนมองกระทั่งอีกฝ่ายเดินลับตาไป เมื่อเป็นเช่นนั้นนักดนตรีหนุ่มจึงมุ่งหน้าสู่สวนสุขภาพของโรงพยาบาล ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทอดตามองเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วจัดการเสียบเอียร์บัดเข้ากับหูเพื่อฟังเสียงเปียโนบรรเลงเพลงที่เขาแต่งเอง น่าเสียดายที่มันเป็นบทเพลงซึ่งมีเพียงทำนองแต่ยังขาดคำร้อง และไม่รู้ว่าจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไร


ประจำเมืองหลับตาลงฟังเพลงเดิมซ้ำ ๆ ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไร ร้อย...หรือพัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด รวมถึงไม่ทันได้เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงผอมเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ตัวถัดไปตั้งแต่เมื่อไรจนกระทั่งได้ยินเสียงของเขาเปลือกตาจึงเปิดขึ้นให้เห็นนัยน์ตาสีเข้มอีกครั้ง


“หมอทำธุระให้เสร็จก่อนเถอะ ผมรอได้ ผมรอหมอที่เดิมนะ” พูดจบเจ้าของใบหน้ารูปไข่ก็กดวางสายก่อนเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง หันไปจัดกระเช้าใส่กล่องพลาสติกใบเล็กกับผลไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ไม่รู้ว่าเขากำลังรอคุณหมอท่านไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ประจำเมืองก็ได้คำตอบ


“รอนานไหม”


เสียงคุ้น ๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องกดปุ่มที่สายของหูฟังเพื่อลดระดับเสียงลง 


“ไม่นานครับ แล้วนี่ตรวจคนไข้เสร็จแล้วเหรอครับ” หนุ่มแปลกหน้ากล่าวพร้อมกับลุกขึ้นรอกระทั่งคุณหมอเดินมาถึงจึงเชิญให้เขานั่งลง


ขวัญนพเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างออกไป ไม่คิดว่าจะมานั่งอยู่ที่นี่ หลังจากแยกกันเมื่อตอนสายก็คิดได้ว่าตนเองผิดที่เผลอทำหงุดหงิดใส่ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกเรื่องอาการผิดปกที่สังเกตได้ของคนไข้ในความดูแลของเขาแท้ ๆ แต่จากการพูดกับกันตภณและวารุณีก่อนหน้านั้นทำรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทันจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หากมีโอกาสก็อยากจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้ง หวังว่าประจำเมืองคงจะยังนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าเขาจะพูดธุระกับสิรันทรเรียบร้อย 


“เสร็จแล้วครับ ว่าแต่คุณเถอะมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาผม หรือว่ามีอาการอะไรผิดปกติหรือเปล่า”


น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทำให้ปลายนิ้วยังคงค้างอยู่ที่ปุ่ม ทั้งที่โปรแกรมสำหรับเล่นเพลงแสดงให้เห็นเลขเวลาว่าเพลงยังคงถูกเล่นไปเรื่อย ๆ หากแต่เสียงดนตรีกลับค่อย ๆ เบาลงกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด


“เปล่าหรอกหมอ พอดีผมกับพลช่วยกันทำขนมสูตรใหม่ นึกถึงหมอเลยแวะเอามาให้ช่วยชิม”


“ขอบคุณนะครับ” ขวัญนพกล่าวก่อนจะรับตะกร้าที่อีกฝ่ายส่งให้มาถือไว้ “แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“เอาเรื่องไหนล่ะครับ”


ขวัญนพได้แต่ยิ้มจาง ๆ ส่วนประจำเมืองที่ไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรด้วยกดเร่งระดับเสียงเพลงให้ดังตามเดิมก่อนจะลุกขึ้นเดินจากมา


อายุรแพทย์ฯ หนุ่มคิดจะร้องห้ามแต่ก็ทำได้เพียงมองตามร่างสูงที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หลังจากส่งสิรันทรกลับแล้วขวัญนพก็ไปขลุกอยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาลจนใกล้ค่ำ นึกได้ว่ามีเวรตรวจที่หอผู้ป่วยจึงตรงดิ่งไปที่ร้านกาแฟเพื่อหาออะไรรองท้อง พลันเสียงเพลงที่ดังจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็ทำให้นึกถึงบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำขึ้นมาได้


“จบลงไปแล้วนะครับกับเพลงที่คุณเดี่ยวแผนกเภสัชกรรมมอบให้คุณบัวศูนย์กายภาพบำบัดซึ่งขอเข้ามาทางมิวสิคบ็อกซ์ และในที่สุดเราก็มาถึงบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้แล้วนะครับ เราอ่านข้อความสุดท้ายกันเลยดีกว่าครับคุณเมือง ข้อความนี้ผมชอบมาก”


“เขาเขียนมาว่ายังไงครับ”


“จากคุณป่านให้คุณบีนะครับ ท่าทางจะเป็นเพื่อนกัน เขาบอกว่า แกไม่ต้องเสียใจนะ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังอยู่ข้างแกเสมอ อืม...แต่ไม่ได้ขอเพลงมา เราจะมอบเพลงอะไรให้กับข้อความนี้ดีครับคุณเมือง”


“ผมนึกถึงอยู่เพลงหนึ่งครับ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณบีกำลังเจอกับเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่ แต่ผมเชื่อว่าสักวันคุณจะสามารถผ่านมันไปได้ เรื่องบางเรื่องผ่านมาแล้วผ่านไปเพื่อให้บทเรียนแก่เรา ในขณะที่คนบางคนก็ผ่านมาแล้วผ่านไปเพื่อทำให้เราแข็งแกร่ง แต่คนที่จะผ่านเข้าแล้วไม่เคยจากไปก็คือเพื่อนครับ คุณบีโชคดีที่ยังมีคุณป่านอยู่ข้าง ๆ ผมเอาใจช่วยให้คุณเข้มแข็งขึ้น และเราจะมาลากันด้วยเพลงนี้ครับ”


สักวัน...มันก็ผ่านไป


ขวัญนพถอนใจเบา ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอีก มือหนึ่งดึงเอียร์บัดออกจากหูในขณะที่อีกมือกำกระดาษในมือแน่น ทั้งที่ตั้งใจจะหย่อนมันลงในกล่องใบนั้นแท้ ๆ แต่ตอนจะทำกลับไม่กล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ดวงตาคมเข้มภายใต้กรอบแว่นตาทอดมองมือใหญ่ค่อย ๆ คลายออก แม้กระดาษในมือจะยับย่นแต่ก็ยังสามารถมองเห็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ได้อย่างชัดเจน...


“ขอโทษนะ”


...แต่ก็คงไม่ทันเสียแล้วกระมัง   



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ตอนจบขอยกไปตอนหน้านะคะ

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-06-2016 01:10:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-06-2016 03:22:51
ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องนี้จะต้องเป็นตอนดึกเลยเที่ยงคืนไปแล้วตลอด
และทั้งๆ ที่บรรยากาศรอบตัวนั้นแสนเงียบเชียบ แต่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงดนตรีอวลอยู่ในบรรยากาศ
จนกระทั่งอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายทีาบทเพลงจะเงียบลง เหมือนที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า เคยบรรยายว่า

...เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายปลิวหายไปในอากาศ...

อ่านจนถึงตอนล่าสุดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตกลง หมอนพรักใคร เหมือนจะหยอด แต่ก็ยังมีความตัดใจไม่ได้ มันเลยกลายเป็นเหมือนหลอกเด็กไปวันๆ

ณ จุดนี้เราจึงอนุญาตแนะนำให้น้องรุกค่ะ พี่หมอไม่ได้ซึน นางแค่ท่ามาก อย่ามาทำป็นลีลาแอบฟังไม่จบแล้วเดินหนี ค.ศ. 2016 แล้วต้องกล้าชนค่ะ ไม่รู้จะทำไงขอคำปรึกษาจากหมอฟ้าใสได้555

หมอฟ้าใส-หมอกันต์นี่ก็อีกคู่... ขิงก็ราข่าก็แรงเหอะ เชอะ! อย่าคิดนะว่าเรารู้ไม่ทันเรื่องแกล้งของเพลงให้ตัวเองให้อีกฝ่ายหึงน่ะ....ใช่ไหม? หมอฟาร์ม ตอบบบบบบ
หมอกันต์ก็เหอะ ถ้าจีบหมอนพไม่ติด ก็ยอมๆ หมอฟาร์มไปซะ อย่าเป็นภาระให้เราต้องตามเชียร์จนถึงภาค 3เลย 5555(แต่ถ้ามีจะดีมาก)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-06-2016 06:38:56
อะไรกันอ่าา หมอนพ ไหงทำงี
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-06-2016 16:01:57
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 20-06-2016 22:22:29
เป็นเรื่องเศร้าที่ทำเอาน้ำตาหยดไปเยอะเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-06-2016 22:23:29
รุมเร้า ๆ เห็นใจหมอนพ
น้องเมืองก็กำลังจะไป
ไม่ลงมือทำแล้วเมื่อไหร่จะมีโอกาส
สงสารปูไข่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 5 (20-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 21-06-2016 00:19:59

..ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาวว...

น้องประจำเมือง จะบำบัด คุณหมอ อย่างไรน้อ...

จนจะถึงตอนสุดท้าย  เหมือนหนุ่มหนุ่ม ยังไม่รุ้หัวใจตัวเองเลยนะ  :hao5:


// สงสารปูไข่  ไม่มีคุณพ่อ คุณแม่ เหมือนเราเลย :mew2:

   รอบทสรุปของ ดนตรีบำบัด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-06-2016 11:01:21
ตอนที่ 6 ดาวกับเม็ดทราย (ตอนจบ ครึ่งแรก)


เป็นอีกวันที่เสียงหวานของนักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นทำให้ขวัญนพรู้ว่ากำลังมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ชายหนุ่มถอนใจแรงสองมือยังคงประคองถ้วยกาแฟหากแต่ข้างในมีนมร้อนอยู่เกือบเต็ม กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ความรู้สึกผิดยังคงรบกวนใจ และเป็นสองสัปดาห์ที่ใครคนหนึ่งไม่บังเอิญผ่านมาให้ได้เจอสักที ทั้งนี้ก็เพียงอยากจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้งมืออุ่นหยิบกระดาษโน้ตใบเล็กที่เคยได้รับจากกันตภณออกจากสมุดบันทึก มองโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่าง ในหัวมีแค่สองคำสั่งที่ยังไม่สามารถประมวลผลได้ว่าควรจะทำตามทำสั่งใดระหว่างกดโทรออกไปกับไม่โทร พลันเสียงของเจ้าของลายมือที่ไม่รู้มาว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ทำให้ต้องสะดุ้ง


“อยากคุยก็โทรไปสิ มัวมานั่งจ้องเบอร์แล้วเขาจะรู้ไหมว่าอยากคุยด้วย” พูดจบนายแพทย์กันตภณก็เดินอ้อมไปนั่งลงตรงหน้า “ถามจริง ๆ เถอะ รู้สึกผิดหรือว่าคิดถึง”


“ผมก็แค่อยากจะขอโทษเขาที่พูดไม่ดี” ขวัญนพตอบเรียบ ๆ


แพทย์รุ่นพี่ไหวไหล่ “ก็ตามนั้น ตัวนายรู้ดีที่สุด” ว่าแล้วก็หันไปค้อมศีรษะให้พนักงานที่ยกถ้วยกาแฟร้อนมาเสิร์ฟก่อนจะเริ่มกล่าวอีกครั้ง “คนเรารู้สึกสับสนลังเลกันได้ แต่ถ้ามั่นใจเมื่อไรละก็อย่ามัวแต่ลีลาอยู่ จะทำอะไรก็รีบทำเข้า”


เมื่อเห็นคนใบหน้าอิดโรยเพราะต้องอยู่เวรทั้งคืนยังคงนิ่งเฉยจึงยกใช้ช้อนคนของเหลวในถ้วยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “วันนี้เขาเข้ามานะ เมื่อกี้สวนกันที่หอผู้ป่วยเด็ก เห็นมา...เก็บ...”
             

“ผมไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่าอยากจะขอโทษ” สบตาคนอ้าปากค้าง “แค่ขอโทษ” ท้ายประโยคนั้นเบาจนคล้ายว่ากำลังพูดอยู่กับตัวเอง ไม่รอฟังว่าอีกคนจะมีความเห็นเป็นอย่างไร ตอนนี้รู้เพียงแค่จะต้องไปให้ถึงหอผู้ป่วยเด็กให้ได้ทันก่อนที่คนที่ต้องการพบจะกลับเสียก่อน


“อะ...อ้าว” กันตภนมองร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นทิ้งกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มเดินผ่านกรอบประตูกระจกออกไป ใบหน้าที่แสดงถึงความงุนงงระคนตกใจในตอนแรกค่อย ๆ แปรเปลี่ยน คุณหมอหนุ่มโคลงหัวพร้อมกับยิ้มนิด ๆ ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ รู้จักกันมาตั้งกี่ปีมีหรือจะไม่รุ้ว่าท่าทางแบบนั้นมันคืออะไร ในฐานะเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาทำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเพียงภาวนาให้อีกฝ่ายรู้ใจตัวเองสักทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
             

อารุยแพทย์ระบบประสาทและสมองเดิมดุ่มมุ่งหน้าสู่ที่หมายภายในเวลาอันรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มายืนอยู่ข้างห้องพักของผู้ป่วยซึ่งเป็นแบบนอนรวมกันที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างบานเกล็ดยาวตลอดแนว มองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นประจำเมืองกำลังพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้ในความดูแลของกันตภณ เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งและต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด ส่วนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันก็คือหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วยและกุมารแพทย์หญิงวารุณีนั่นเอง ขวัญนพหมุนตัวกลับตั้งใจจะเดินไปรอที่มุมหนึ่ง แต่แล้วเสียงเรียกจากคนข้างในก็ทำให้เขาต้องหยุด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นบังเอิญสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดพอดีก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองตามร่างเล็กของหญิงสาวที่กวักมือเรียกให้เข้าไปด้านใน
             

“ลืมอะไรหรือเปล่าจ๊ะถึงได้ย้อนกลับมา เมื่อเช้าตอนออกเวรบอกพี่ว่าวันนี้ว่างนี่นา” วารุณีเอ่ยขึ้นเมื่อแพทย์รุ่นน้องเดินเข้ามาภายในห้อง
             

“ค...คือผม ผมแวะมาดูปูไข่แกอีกรอบน่ะครับ เมื่อคืนแกบ่นว่าปวดหัวจนนอนไม่หลับ”
             

“พี่ไปตรวจเมื่อตอนสายเห็นว่าดีขึ้นแล้วนะจ๊ะ เมื่อกี้ทานข้าวกลางวันแล้วยังมารบเร้าขอให้พี่เมืองพาไปเดินเล่นที่ชายหาดอยู่เลย อืม...ไปไหนแล้วนะ” สาวสวยชะเง้อมองในที่สุดก็เห็นว่าคนที่พูดถึงกำลังนั่งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาและอ่านหนังสือนิทานอยู่ที่เตียง “นั่นไง อยู่นั่น”


นายแพทย์ขวัญนพพยักหน้าก่อนจะขอตัวและเดินไปยังทิศที่เด็กชายอยู่
             

ผ่านไปพักใหญ่หลังจากให้ข้อมูลแก่นักศึกษาปริญญาโทแล้ว ก่อนที่แพทย์หญิงวารุณีจะไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เธอก็ไม่ลืมทำตามสัญญาที่ได้ให้กับเด็กชายไว้ นั่นคือการอนุญาตให้ไปที่ชายหาด แต่กระนั้นก็ต้องยังให้เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของแพทย์เจ้าของไข้
           
 
“อานพอยู่พอดี ปูไข่ถามอาหมอนพอีกคนสิจ๊ะว่าอนุญาตไหม”
             

ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซียวอีกครั้ง เกือบจะละทิ้งความคิดนั้นไปเสียแล้ว ดีใจที่คุณหมอวารุณีไม่ลืมเรื่องที่รับปากกันไว้ เจ้าของร่างที่บัดนี้ซูบซีดลงกว่าเดิมเล็กน้อยจึงหันไปถามคุณอาหมอที่กำลังนั่งพลิกหน้าหนังสือนิทานไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังฆ่าเวลาระหว่างรออะไรบางอย่าง
             

“ปูไข่ไปเดินเล่นที่ชายหาดได้ไหมฮะอาหมอ”
   

“จะไปคนเดียวน่ะเหรอ” นายแพทย์เจ้าของไข้ถามอย่างแปลกใจ
   

“ผมพาไปก็ได้ครับ”


ขวัญนพเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนเยื้องไปทางด้านหลังหญิงสาว


“แต่ต้องนั่งรถเข็นไปนะ” พูดจบก็ปิดหนังสือแล้ววางไว้บนหัวเตียง


“ถ...ถ้าอย่างนั้นผมไปเอารถเข็นนะครับ” หนุ่มนักดนตรีกล่าวก่อนจะเดินไปเข็นรถเข็นที่อยู่ด้านนอกมาให้ด้วยความกระตือรือร้น


เมื่อรถเข็นพร้อมขวัญนพก็ช้อนร่างผู้ป่วยในความดูแลขึ้นแล้ววางลงบนรถเข็นแบบนั่ง จากนั้นก็ย่อตัวลงเอื้อมมือทั้งสองจับที่บ่าเล็กเพื่อขอความมั่นใจ “รับปากอานะว่าจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังพี่เมือง ต้องไม่วิ่ง ระวังไม่ให้หกล้มนะครับ”


สิ้นเสียงคุณหมอปากเล็กก็ยิ้มกว้าง “ปูไข่สัญญาครับอาหมอ”


ได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วหันกลับมาพูดกับอีกคน “ฝากด้วยนะ”


“ครับ” ประจำเมืองรับคำเบา ๆ ก่อนก้มลงยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป
   

อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองยืนมองชายหนุ่มที่กำลังเข็นรถเข็นพาเด็กชายลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนสุขภาพจากบนระเบียง กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อเด็กชายปูไข่จึงลุกจากรถเข็นจับมือพี่ชายนักดนตรีแล้วพากันเดินลงไปยังชายหาด
   

แม้จะรับปากคุณอาหมอไว้แล้วว่าจะเชื่อฟังคนพามา แต่เมื่อเห็นฟองคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งก็อดใจไม่ได้ มือเล็กสะบัดจนหลุดจากมือใหญ่ก่อนจะวิ่งเข้าหาเกลียวคลื่น กระโดดโลดเต้นเสียจนน้ำกระเซ็นเปียกปอนทั้งคนหนีและคนไล่ กว่าจะคว้าตัวไว้ได้ก็เล่นเอาประจำเมืองถึงกับหอบ ชายหนุ่มกอดร่างของเด็กชายเอาไว้แน่นในขณะที่เจ้าตัวก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับกำลังอยู่ในโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องทุกข์ใจใด ๆ


สองคนจูงมือกันกลับเข้าฝั่ง ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทราย ดวงตาสองคู่ทอดมองไปยังจุดเดียวกันนั่นคือตรงเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า ครู่หนึ่งหนุ่มนักดนตรีก็ละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้าหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาทอประกายของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่ปลายขอบฟ้า มือที่เปื้อนทรายค่อย ๆ ยกขึ้นในตำแหน่งของเส้นขอบฟ้า นิ้วอวบค่อย ๆ งอเข้าหากันจนกลายเป็นกำแน่นพลันยิ้มฝีปากบางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น


“ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าเข้ามาใกล้ ๆ จังเลยพี่เมือง”


“ทำไมล่ะ” พูดจบประจำเมืองก็ทอดตามองไปข้างหน้าอีกครั้ง


“พ่อเคยบอกว่าแม่ของปูไข่ไปอยู่ที่อีกฝั่งของท้องฟ้าครับ ป่านนี้พ่อก็คงไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันกับแม่ ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าให้ใกล้เข้ามาจะได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่”


“จำที่อาหมอนพเคยบอกไม่ได้เหรอครับว่าพ่อกับแม่ของปูไข่จะอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มใช้มือขวาคว้ามือเล็กก่อนจะรั้งเข้ามาแนบกับอกของเจ้าตัวในตำแหน่งหัวใจ “ตราบเท่าที่หัวใจของเรายังเต้นอยู่ ปูไข่ได้ยินไหม”


“ได้ยินฮะ” เด็กชายยิ้มน้อย ๆ พลางกุมมือของพี่ชายนักดนตรีเอาไว้ “พี่เมืองสอนปูไข่เล่นเปียโนอีกได้ไหมฮะ”


“ได้สิ” พูดจบประจำเมืองก็ดึงร่างอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดเพลงเพลงเดิมที่ขณะนี้มีเพียงทำนองแต่ยังขาดคำร้องแล้ววางไว้บนหน้าขา “ปูไข่ยกมือขึ้นนะ”


เด็กชายปูไข่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เมื่อมือเล็กยกลอยขึ้นในอากาศ ประจำเมืองก็ทาบมือทั้งสองข้างของตนเองลงไป จากนั้นจึงกดปลายนิ้วของเด็กชายไปตามตัวโน้ตที่เขาร้องล้อตามเสียงเปียโนที่ดังมากจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถจดจำโน้ตได้จึงละมือออกแล้วเท้าลงกับผืนทรายหลับตาฮัมเพลงที่มีบรรเลงจากเครื่องดนตรีคลาสิกผสมกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง


หนุ่มนักดนตรีพาเด็กชายกลับขึ้นไปส่งยังหอผู้ป่วยเมื่อตอนบ่ายคล้อยและพบว่าคนที่เจอกันก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ประจำเมืองรอกระทั่งปูไข่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยจึงขอตัวกลับ และเมื่อออกจากตึกกุมารเวชกรรมเขาก็แวะไปที่สวนสุขภาพอีกครั้ง เจ้าของร่างสูงทิ้งตัวลงที่บนเก้าอี้ตัวเดิม ทอดตามองออกไปเห็นที่บนท้องฟ้ามีเพียงริ้วเมฆสีส้มที่บดบังดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังคลื่นต่ำลงทุกขณะ บนผืนน้ำปรากฏระลอกคลื่นเล็ก ๆ หยกล้อกับกับสายลมเคลื่อนไหวไปตามบทเพลงที่ได้ยินจากเอียร์บัดอยู่ในขณะนี้


“ขอนั่งด้วยคนนะ”


คนนั่งเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่เดินมาหยุดอย่างแปลกใจพลางดึงหูฟังที่เสียบกับหูออก “ครับ?”


“พี่บอกว่า ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”


“ด...ได้ครับ” พูดจบก็ขยับที่ให้อีกคนนั่ง


ประจำเมืองกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่นละสายตาจากหน้าคมมองไปยังจุดเดิมที่เคยมอง ครั้งสุดท้ายที่พบกันนั้นเป็นความรู้สึกที่จบลงด้วยความไม่ประทับใจสักเท่าไร ดังนั้นความเงียบและการไม่รู้จุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายในคราวนี้จึงทำให้ความอึดอัดแล่นขึ้นที่กลางอก แต่แล้วก็เป็นขวัญนพที่เป็นผู้ทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน


“พี่ขอโทษนะ”


“ขอโทษผมเรื่องอะไรครับ”


“เรื่องที่พูดไม่ดีวันนั้น”
   

คำพูดนั้นแผ่วเบาหากแต่มีพลังมากพอที่จะทำให้กำแพงที่กั้นตรงกลางระหว่างสองคนทลายลง


“ผมลืมไปหมดแล้วละครับ” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนแรกก็คิดว่ามีแต่ตนเองที่คิดมากเรื่องนี้ สุดท้ายก็พบว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน “คนที่ต้องขอโทษควรจะเป็นผมมากกว่า ผมต่างหากที่วุ่นวาย”


“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะครับ พี่นพอย่าคิดมากเลยมันผ่านมาแล้ว”


“ถึงจะอย่างนั้นก็ต้องขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”


“ครับ” ประจำเมืองรับคำสั้น ๆ


“วันนั้นโกรธพี่หรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ คำถามนี้จึงได้ทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบแล้วเบนหน้าหนีสายตาที่กำลังมองมา “พี่นพคงจะรักปูไข่มากสินะครับ”


“อืม...ก็พยายามจะรักให้ได้สักครึ่งของที่พ่อกับแม่ของแกรักน่ะ”


“พี่รู้จักพ่อกับแม่ของปู่ไข่เหรอครับ ผมทราบว่าคุณพ่อแกเพิ่งเสียชีวิต แล้วคุณแม่ล่ะครับไปไหนถึงได้ปล่อยลูกชายไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียว”


“รดาเสียไปเกือบสองปีแล้วละ” แพทย์หนุ่มตอบเสียงขรึม “เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนกับที่ปูไข่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้”
ประจำเมืองแทบไม่เชื่อหู คิดจะถามอยู่พอดีว่าเด็กชายที่ลักษณะภายนอกอ้วนท้วนสมบูรณ์แบบนั้นป่วยด้วยโรคชนิดใดกันจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่นนี้
             

“ส่วนอาการสั่นกระตุกที่เราสังเกตได้ก็เป็นผลมาจากโรคด้วย”
   

“จะมีโอกาสรักษาให้หายไหมครับ” ประจำเมืองสบตาอย่างรอคอย แต่การที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบก็พอจะคาดเดาคำตอบได้ ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเบนหน้าออกสู่ผืนน้ำเบื้องหน้าอีกครั้ง เหนือขึ้นไปไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ที่สาดแสงแต่กลับมีเพียงริ้วสีส้มแดงแต้มอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น
   

“โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่บางครั้งอาการก็จะรุนแรงขึ้นด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง”
   

“เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แล้วทำไมตอนพี่กันต์ส่งรายชื่อผู้ป่วยที่เข้าข่ายกลุ่มทดลองของผมถึงได้มีปูไข่รวมอยู่ด้วยล่ะครับ”
   

“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ แล้วก่อนหน้านี้เราตรวจพบเนื้องอกที่ก้านสมองของปู่ไข่ มันมีขนาดใหญ่และอยู่ในจุดที่เป็นอันตรายถึงจะผ่าตัดออกก็ได้ไม่หมด” ขวัญนพหยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งย้อนกลับสู่สถานการณ์ในวันที่เขารู้ข่าวร้ายนี้ “มันแย่นะที่เป็นหมอแต่ไม่สามารถช่วยคนไข้ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรักษาตามอาการแล้วก็รอว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง”


ประจำเมืองมองคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วยความที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเผชิญกับกรณีเหล่านี้มานักต่อนัก ชายหนุ่มจึงพอจะเข้าใจความรู้สึกที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ได้อย่างไม่ยาก
   

“พ่อของผมก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพี่ พ่อเล่าให้ฟังว่าผลการตรวจแสดงให้รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งในระหว่างกำลังตั้งครรภ์ แต่เพราะต้องการจะรักษาทารกเอาไว้ เธอจึงปฏิเสธการรักษาทั้งเคมีบำบัดและการฉายรังสี” หยุดนิดหนึ่งเมื่อไม่อาจควบคุมน้ำเสียงในตอนท้ายให้เป็นปกติได้ ริมฝีปากเม้มเข้า กดตาลงมองมือของตนเองที่กำโทรศัพท์แน่น ในที่สุดจึงกล่าวต่อ “เพราะการเสียสละชีวิตของแม่ ผมถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้”
   

“เสียสละชีวิต?”
   

“ครับ อันที่จริงผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่หรอก” นักดนตรีหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตากลับเจือความเศร้า “แม่ของผมเสียชีวิตหลังจากคลอดผมได้ไม่กี่ชั่วโมง อาจารย์หมอปราการที่เป็นทั้งคุณหมอเจ้าของไข้และเป็นคนทำคลอดกับอาจารย์เรวดีซึ่งเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดในขณะนั้นก็เลยตัดสินใจรับผมไว้เป็นลูก”
   

เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดขวัญนพก็แทบอยากจะตบปากตัวเอง แม้รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนพูดแต่ในใจคนฟังกลับรู้สึกผิดซ้ำสอง เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าต้องการให้เห็นว่าหมอทุกคนย่อมผ่านสภาวะกดดันมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยกกรณีที่นึกถึงแล้วจะมีผลต่อสภาพจิตใจของตนเองเช่นนี้
   

“พ...พี่ขอโทษนะที่ถาม”
   

“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ผมต้องปิดบัง” เห็นสีหน้าของคุณหมอยังไม่คลายความกังวลจึงกล่าวต่อ “ผมอุตส่าห์เล่าให้พี่สบายใจ อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ ฟังเพลงหน่อยไหมมันช่วยได้นะ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มาเรียนดนตรีที่โรงเรียนที่ผมสอนส่วนใหญ่มักมีอาการซึมเศร้า มีความวิตกกังวลจากการรักษาอาการป่วยเรื้อรัง หรือมีความเครียดจากการทำงาน ดนตรีช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายลง ถึงร่างกายจะป่วยแต่ก็ไม่ควรปล่อยให้จิตใจป่วยตามนะครับ”
   

คุณหมอผ่อนลมหายใจยาว บนใบหน้าพอจะคลายความตึงเครียดลงบ้าง “ปกติเคยแต่พูดให้กำลังใจคนอื่น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะกลายมาเป็นคนที่ถูกให้กำลังใจเสียเอง”


“ผมว่าไม่ใช่แค่ผู้ป่วยและญาติ ๆ ที่ต้องการกำลังใจ ทั้งหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน วันนี้พี่นพลองทิ้งความเป็นหมอไว้ข้างหลัง หลับตาแล้วฟังผมเล่นดนตรีสักห้านาทีนะครับ” พูดจบประจำเมืองก็วางโทรศัพท์ลงที่ข้างตัวก่อนจะยื่นเอียร์บัดและยิ้มให้
   

นายแพทย์ขวัญเผลอยิ้มตามรับเอียร์บัดจากมือคนพูดมาเสียบกับหู เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนอายุน้อยกว่าที่กำลังขยับตัวนั่งหลังตรงยกมือข้างหนึ่งยกลอยขึ้นเหนือหน้าขาราวกับตรงหน้าคือลิ่มนิ้วสีขาวของเปียโนตัวใหญ่แบบที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างในบันทึกการแสดงสดของวงดนตรีตะวันตก และเมื่อเรียวนิ้วเริ่มขยับก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเปียโนจากหูฟังดังขึ้น สังเกตให้ดีจะพบว่านิ้วทั้งสิบนั้นไม่ได้ขยับขึ้นลงเรื่อยเปื่อยหากแต่เป็นการพรมปลายนิ้วลงตามโน้ตทุกตัว ในบางช่วงมือหนึ่งก็กดค้างตามเสียงที่ลากยาวในขณะที่อีกมือสะบัดพริ้วบนแป้นตัวโน้ตเสียงสูง คุณหมอหลับตาลงช้า ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปล่อยตัวตามสบายฟังเพลงที่นักดนตรีคนเก่งกำลังบรรเลง
   

“ชื่อเพลงอะไรเหรอ” ขวัญนพถามขึ้นเมื่อเพลงจบ
   

“ยังไม่มีชื่อครับ เนื้อร้องก็ยังเขียนไม่เสร็จ”
   

“นี่เพลงที่แต่งเองหรอกเหรอ” กล่าวพลางดึงหูฟังออกจากหู
   

“ใช่ครับ”
   

“มีแค่ดนตรีก็เพราะแล้วนะ พี่ว่าถ้ามีเนื้อร้องคงต้องเพราะกว่านี้แน่ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นแต่งเสร็จเมื่อไรผมจะมาเล่นให้ฟังอีกรอบดีไหม ดูซิว่าพี่นพยังจะพูดแบบเดิมอยู่หรือเปล่า”


“เอาสิ” ขวัญนพตอบตกลงพร้อมกับส่งหูฟังคืนให้


“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้าพลางดึงแว่นสายตาออกแล้วเสียบลงที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังระลอกคลื่นที่ยกตัวขึ้นลงสะท้อนแสงสุดท้ายของวันอีกครั้ง แม้ว่าภาพนั้นจะพร่ามัวไม่ชัดเจนพอ ๆ ความรู้สึกของตนเองในตอนนี้ แต่มันก็ดีกว่าการมองเห็นอยู่เพียงแค่ในระยะบังคับของกรอบเท่านั้น 


“ขอบใจนะ” หันมาคนข้าง ๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะถูกเจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเสียแล้ว แต่ในหัวของคุณหมอก็ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน 


“ไม่เป็นไรครับ ตอบแทนสำหรับข้าวมันไก่ไม่ใส่แตงกวา” ประจำเมืองกล่าว และเมื่อดวงตาสองคู่บังเอิญได้สบกันอีกหนต่างคนก็ต่างยิ้มให้กัน


ดวงอาทิตย์ลับหายไปที่ปลายขอบฟ้าพร้อมกับหนุ่มนักดนตรีที่กล่าวคำอำลา ท้องฟ้าทิศตะวันตกปรากฏดวงดาวทอแสงสว่างสุกใส ขวัญนพยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แขนแกร่งพาดไปตามแนวยาวพนักเก้าอี้ฝั่งที่เคยมีอีกคนนั่งอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มน้อย ๆ ยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า หูได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในขณะที่ดวงตาก็ยังคงทอดมองแสงจากไฟตะเกียงติดหัวเรือหาปลาที่ลอยลำอยู่ลิบ ๆ มือใหญ่เผลอยกขึ้นถูกต้นคอตัวเองเมื่อคิดได้ว่าทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในที่ของมันจะมีก็แต่หัวใจเจ้ากรรมที่ไม่รู้ว่าติดมือใครไปด้วย...


...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-06-2016 11:02:00
กว่าสามเดือนที่ประจำเมืองเทียวไปเทียวมาที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ กระทั่งวันสุดท้ายของการบันทึกข้อมูลทางกายภาพของคนไข้ที่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัยดนตรีบำบัดเพื่อลดอาการวิตกกังวลของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นักศึกษาหนุ่มก็กล่าวขอบคุณทั้งเด็ก ๆ ผู้ปกครองและบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ความร่วมมือจนทำให้งานของเขาสำเร็จลุล่วงลงได้ พยายามมองหาคนคุ้นหน้าเพื่อจะกล่าวคำอำลาแต่กลับไม่พบใครสักคนแม้แต่เด็กชายที่มักจะวิ่งมาเกาะแขนขอร้องให้เขาพาไปเดินเล่นที่ชายหาดเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกัน มองไปยังเตียงริมหน้าต่างก็มีเพียงความว่างเปล่า


เมื่อประจำเมืองเดินไปถามที่เคาท์เตอร์พยาบาลจึงทราบว่าเด็กชายปูไข่อาการทรุดหนักจึงถูกย้ายไปอยู่หอผู้ป่วยวิกฤต ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบเดินออกจากหอผู้ป่วยเด็กลงบันไดไปตามคำแนะนำของนางพยาบาล ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยเก้าอี้นั่งเป็นระยะกระทั่งมาหยุดที่บริเวณห้องโถง บรรยากาศภายในช่างแตกต่างจากชั้นที่เขาเพิ่งเดินจากมายิ่งนัก มันเงียบเชียบจนได้ยินเสียงพื้นรองเท้าของใครบางคนกระทบกระเบื้องยางได้อย่างชัดเจน ซ้ำอุณหภูมิจากเครื่องปรับเอากาศก็ทำเอาขนที่แขนตั้งชันไปหมด ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นบรรดาญาติผู้ป่วยซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด บ้างจับกลุ่มกันพูดคุยด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ บ้างก็เหม่อลอยกระนั้นประจำเมืองก็ยังเห็นคราบน้ำตาที่บ่งบอกว่าเขาเหล่านั้นกำลังประสบทุกข์หนัก


ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าห้องซึ่งมีป้ายเขียนติดที่เหนือกรอบประตูว่า ‘หอพักผู้ป่วยวิกฤต (ICU)’ ถัดไปเป็นช่องกระจกขนาดใหญ่มองเข้าไปภายในห้องเห็นมีเตียงผู้ป่วยอยู่เพียงไม่มาก หัวเตียงถูกเรียงชิดติดกับผนังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเว้นเป็นช่องทางเดินเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข็นเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ได้อย่างสะดวก ซึ่งแต่ละเตียงก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เขาไม่รู้จักและไม่คุ้นตาวางอยู่เต็มไปหมด นัยน์ตาเป็นกังวลหยุดที่แผ่นหลังกว้างของร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์ยาวที่กำลังส่งคืนแฟ้มประจำตัวคนไข้ให้หญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาว รอกระทั่งเธอกลับเดินไปยังห้องเล็ก ๆ ที่จัดไว้เป็นพื้นที่สำหรับนางพยาบาล เขาจึงโน้มตัวลงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอกคนบนเตียง


ประจำเมืองหรี่ตามองให้แน่ว่าคนที่เห็นอยู่ขณะนี้ใช่ขวัญนพกับปูไข่หรือไม่หากในใจกลับภาวนาให้ไม่ใช่ทั้งคู่ แต่เมื่ออีกคนหันกลับมาสิ่งที่คิดทั้งหมดก็ดับวูบลง นัยน์ตาคมเคลื่อนตามร่างสูงของคุณหมอหนุ่มที่เดินใกล้เข้ามา และเมื่อประตูห้องเปิดออกเขาก็เห็นแววตาหม่นหมองของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน


“ผมขอเข้าไปเยี่ยมแกได้ไหมครับ” หนุ่มนักดนตรีเอ่ยขึ้นแทนคำทักทายในขณะที่อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองได้แต่เพียงพยักหน้าก่อนจะดันประตูกระจกให้เปิดออกอีกครั้งรอกระทั่งร่างสูงพอ ๆ กันเดินผ่านเข้าไปจึงได้เดินนำไปยังเตียงที่อยู่เกือบในสุด


ประจำเมืองมองร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง จากเด็กชายที่เคยอ้วนท้วนบัดนี้กลับผ่ายผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งที่ตัวเขาเองก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นระยะในการพบกันแต่ละครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับยากเกินจะทำใจยอมรับได้ไหว ส่วนหนึ่งคงเพราะท่อช่วยหายใจที่เสียบคาอยู่ในปากเล็กกับสายระโยงระยางของเครื่องติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของหัวใจที่โผล่ออกจากใต้ผืนผ้าห่ม


“ปูไข่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ”


“เมื่อสามวันก่อน แกมีอาการหายใจลำบากเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลวต้องใส่ท่อช่วยหายใจ พวกเราลงความเห็นว่าควรจะย้ายแกมารอดูอาการที่นี่ เด็ก ๆ คนอื่น ๆ จะได้ไม่ขวัญเสีย”


“แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”


“พยาบาลบอกว่าตลอดบ่ายนี้พยายามปลุกแต่แกไม่ตอบสนอง มีอาการเกร็งของร่างกายเพราะความเจ็บปวดเป็นบางช่วง”


ประโยคนั้นยังไม่ทันจบดีประจำเมืองก็ให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง ในหูอื้ออึงไปหมดแม้อีกคนจะพูดจบลงไปแล้ว ดวงตาทอดมองไปยังคนที่นอนหลับใหล ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับไม่มีเลือด ในบางช่วงเวลาหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันจนชายหนุ่มต้องโน้มตัวลงวางมือบนศีรษะค่อนมาทางหน้าผากใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบา ๆ ที่ระหว่างคิ้วเพื่อให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นคลายออก จากนั้นจึงเปลี่ยนไปลูบที่ศีรษะของเด็กชายพร้อมกับกระซิบแผ่วเบา


“ปูไข่ พี่เมืองมาแล้วนะ เราสัญญากันแล้วนี่นาว่าถ้าพี่เมืองมาเมื่อไรเราจะไปเดินเล่นที่ชายหาดด้วยกัน ปูไข่นอนอยู่แบบนี้แล้วพี่เมืองจะไปเดินกับใคร”


เด็กชายปูไข่ยังคงนอนนิ่ง ที่หางตาปรากฏหยาดน้ำเล็ก ๆ ซึมทั้งสองข้าง พลันเปลือกตาใสก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น นัยน์ตาคู่ที่เคยทอประกายสดใสกลับเหม่อลอยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ เพียงไม่กี่วินาทีเด็กชายก็หลับตาลงอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นบ่งบอกว่าเขาคงกำลังต่อสู้กับอาการเจ็บปวดเกินกว่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ จะสามารถทนได้


“เราทำได้แค่รอใช่ไหมครับ” หันมาถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ หัวใจที่เฝ้ารอของใครบางคนอาจถูกหล่อเลี้ยงด้วยความหวัง ปลายทางของการรอคอยสำหรับพวกเขาเหล่านั้นอาจมีหลายผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการการด่วนสรุป แต่สำหรับขวัญนพ...จุดสิ้นสุดการอรคอยของเขากลับมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น และในหัวใจในขณะนี้ก็ไม่มีแม้แต่คำว่าปาฏิหาริย์ 


“ไม่เป็นไร” ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวไม่แน่ใจว่าคำ ‘ไม่เป็นไร’ ที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นตั้งใจจะบอกคนป่วยหรือใครกันแน่ “ถ้าปูไข่เหนื่อยก็พักผ่อนนะพี่เมืองจะอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้ เอาไว้ตื่นขึ้นมาเมื่อไรเราจะไปเดินเล่นที่ชายหาดด้วยกัน” พูดจบชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกง เสียบเอียร์บัดเข้ากับหูของคนที่นอนอยู่บนเดตียง ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงที่หน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมให้เล่นเสียงคลื่นลมทะเลที่บันทึกเอาไว้เมื่อคราวก่อน ตั้งใจจะนำไปผสมกับเพลงที่แต่งขึ้นแต่เพราะยังเขียนคำร้องไม่เสร็จก็เลยยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที


“หลับเถอะนะ” สิ้นเสียงของประจำเมืองดวงตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ ปิดลง นักดนตรีหนุ่มทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ รั้งมือเล็กมากุมเอาไว้ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบา ๆ บนหลังมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการเจาะ “ได้ยินเสียงคลื่นไหม พี่เมืองอัดเสียงนี้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่เราไปทะเลกัน ตอนนี้ที่ข้างนอกบนท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมด” ชายหนุ่มสูดลมหายใจพยายามกลั้นสะอื้น “ดวงที่สว่างที่สุดคือดาวศุกร์ พ่อเคยบอกว่ามันเป็นดาวประจำตัวของพี่ แต่วันนี้พี่จะยกดาวดวงนั้นให้เป็นดาวประจำตัวของปูไข่นะ พี่จะขอให้ดวงดาวคอยปกป้องคุ้มครองให้ปูไข่นอนหลับฝันดีจนถึงเช้า ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นนะ” 


ขวัญนพจำใจเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า หากเด็กชายได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากตัวเขาในเวลานี้ มือหนายกขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก


“พี่นพ ผมว่าคนสุดท้ายที่แกอยากอยู่ด้วยน่าจะเป็นพี่” พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นสลับให้คุณหมอเจ้าของไข้มานั่งแทนที่
และเมื่อขวัญนพกุมมือเด็กชายเอาไว้ เขาก็รู้สึกถึงแรงบีบเบา ๆ เหมือนเมื่อวันที่ต่างคนต่างให้คำมั่นสัญญาว่าจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะเข้มแข็งไปด้วยกัน นัยน์เศร้าหมองทอดมองใบหน้าเซียวพร้อมกับเอื้อมมือประคองศีรษะของหนูน้อยก่อนจะกระซิบเบา ๆ


“อาจะเข้มแข็งให้เท่ากับปูไข่ ไม่ต้องห่วงอะไรนะ”


สิ้นเสียงของนายแพทย์เจ้าของไข้มือเล็กที่เคยบีบมือของเขาแน่นก็คลายออกพร้อมกับเสียงจากเครื่องติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของหัวใจที่เตือนให้รู้ว่าเวลาแห่งการจากลากันตลอดกาลได้มาถึงแล้ว


(มีต่อค่ะ)


อีกครึ่งจะรีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 28-06-2016 11:49:33
งือ ทำไมพี่หมอดุน้องเมืองจางงงง ดุๆ แบบนี้จริงๆ ต้องมีปลอบขวัญนะโอ๋ๆ ดูสิ น้องอุตส่าห์มาอ่อยขนาดนี้แล้ว ใจอ่อนสักทีเถอะ

มาอัพต่อเร็วๆ นะคะ อยากรุตอนต่อไปแล้ว ถึงจะเดาอนาคตปูไข่ได้ก็เถอะ  เง้อออ 
#บทที่7
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-06-2016 21:31:48
เศร้าเหลือเกิน  แต่ละมุนมาก  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 29-06-2016 13:44:27
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-06-2016 17:41:08
น้ำตาร่วงอีกแล้ว ปูไข่จ๋า  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 30-06-2016 05:52:33
ร้องไห้ เราเกลียดความตายและการจากลาตลอดกาลแบบนี้  มันเศร้ามากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-06-2016 12:53:32
น้องปูไข่ TT เศร้ามากเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น ตอนที่ 6(1) (28-06-2559) หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-07-2016 22:37:58
โอย ไม่ไหว เศร้ามาก น้องปูไข่ฝันดีนะลูก หนูไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-07-2016 00:00:34
(ต่อค่ะ)

เสียงเปียโนเงียบหายไปพักใหญ่ นาฬิกาตั้งโต๊ะบอกเวลาเกือบห้าทุ่มครึ่งแต่ไฟที่เรือนหลังเล็กยังคงสว่าง เรวดีใช้ปลายนิ้วเขี่ยผ้าม่านหน้าต่างห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสองของตัวบ้านให้เปิดเป็นช่องก่อนจะมองรอดออกไปด้านนอก เห็นลูกชายกำลังนั่งแกว่งขาอยู่ที่ริมสระบัว มือหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหูในขณะที่อีกมือวักน้ำขึ้นจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับยามเมื่อละอองน้ำต้องแสงจากโคมไฟที่ห้อยลงจากชายคากันสาดซึ่งนั่นนับว่าเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาสำหรับผู้เป็นแม่สักเท่าไรนัก


“ทำอะไรน่ะแม่” นายแพทย์ปราการที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องเอ่ยขึ้น


“มาดูนี่สิพ่อ”


ผู้เป็นสามีมุ่นคิ้วนิด ๆ ด้วยความสงสัย วางหนังสือเล่มใหญ่ลงบนโต๊ะก่อนจะเดินมายืนซ้อนหลังภรรยา ขยับแว่นสายตามองไปยังจุดเดียวกัน “ก็ลูกเราไง”


“ใช่ค่ะลูกเรา” อีกฝ่ายหันมาค้อน “แต่พ่อดูสิ รู้สึกคุ้น ๆ กับท่าทางแบบนั้นบ้างไหม”


“อืม...เหมือนผมสมัยหนุ่ม ๆ ตอนกำลังมีความรัก รักแรกเสียด้วย” ว่าแล้วก็สวมกอดผู้เป็นรักครั้งแรกและรักเดียวของตนเองจากด้านหลังพร้อมกับฮัมเพลงโปรดเบา ๆ


ประจำเมืองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในขณะที่ขายังคงแช่อยู่ในน้ำ หูแนบกับโทรศัพท์ฟังเสียงของคนที่ปลายสาย จู่ ๆ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนี้ก็ตอนที่อีกฝ่ายโทรมาถามว่าเขาถึงบ้านหรือยังนับตั้งแต่ลากันในวันสุดท้ายที่เขาเข้าไปบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยที่โรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีเสียงนี้ก็กลายเป็นเสียงที่ได้ฟังแทบทุกวันไปเสียแล้ว
   

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
   

“ยุ่งนิดหน่อยครับ สัปดาห์หน้าจะรับปริญญาแล้วก็เลยต้องสลับวันสอนกับน้อง ๆ ที่โรงเรียน”
   

“เร็วจัง”
   

“ตั้งแต่วันนั้นก็เกือบครึ่งปีแล้วนะครับ”
   

“จริงสินะ” คนพูดเงียบไปราวกับกำลังนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา “พี่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ฟังเสียงดีเจประจำเมืองจัดรายการอยู่ไม่กี่วัน หรือเพราะคุยกันแทบทุกวันก็ไม่รู้ ยังไงก็ยินดีด้วยนะ”
   

“ขอบคุณครับ แล้วตอนนี้ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
   

“หมายถึงโรงพยาบาลหรือคน”


“เอาภาพรวมก่อน”
   

“ก็ตั้งแต่เห็นผลการวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทคนนั้น อาจารย์สัญชัยก็สนับสนุนให้มีกิจกรรมดนตรีบำบัดในโรงพยาบาล แล้วคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ก็คือคุณลุงสุธีกับลูกชาย เดี๋ยวนี้คุณลุงมีเวทีให้นั่งสีไวโอลินแล้วนะ ส่วนผู้ป่วยในที่สนใจเข้าร่วมกลุ่มดนตรีบำบัด โรงพยาบาลก็จัดสถานที่ ช่วงเวลาแล้วก็อุปกรณ์ให้ ที่ร้านกาแฟก็ยังเป็นที่รวมตัวของบรรดาคนที่อยากจะขอเพลงกับสถานีวิทยุออนไลน์เหมือนเดิมก็เลยพาให้กาแฟขายดีไปด้วย”
   

“ดีจังเลยนะครับ”
   

“รอก็แต่เมื่อไรคนริเริ่มจะกลับมาดูผลงานตัวเอง”
   

“ถ้ามีโอกาสผมต้องกลับไปแน่ ๆ ครับ”
   

“พี่รายงานภาพรวมจบไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นรายงานเป็นรายคนบ้างนะ อยากฟังหรือเปล่า”
   

“ครับ” ประจำเมืองตอบอย่างไม่ลังเล
   

“พี่วากับยี่หวาสบายดี ตอนที่รู้ว่าปูไข่เสียยี่หวาแกก็ซึม แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมายิ้มได้ ส่วนฟาร์มกับพี่กันต์ก็ยังทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้าเหมือนเคย ทุกคนสบายดี จบแล้ว”
   

เสียงที่ปลายสายเงียบลงไปแล้ว ดูท่าทางว่าเขาจะหมดเรื่องพูดจริง ๆ ทั้งที่มีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลยสักนิด
   

“ล...แล้วพี่นพล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง”
   

“พี่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
   

คนพูดและคนฟังหยุดไปชั่วขณะ ต่างคนต่างเงียบเพื่อทบทวนความหมายของประโยคนั้นจนในที่สุดก็เป็นขวัญนพที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   

“จะไม่ชวนหน่อยเหรอ”
   

“ช...ชวนอะไรครับ”
   

“ก็ชวนไปงานรับปริญญาไง”


“ผมคิดว่าพี่นพน่าจะยุ่ง ๆ” ประจำเมืองหลับตาลงชั่วอึดใจ สมองคิดใคร่ครวญหากแต่หัวใจกลับทำหน้าที่สั่งการให้ปากถามคำถามสั้น ๆ “มาไหมครับ”


“อยากให้พี่ไปหรือเปล่าล่ะ”


คำถามนั้นทำเอาร้อนวูบวาบราวกับมีบางอย่างกำลังแล่นริ้วไปทั่วใบหน้า มือขาวยกขึ้นเกาข้างแก้มเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร


“ถ้าพี่นพสะดวก...” ยังพูดไม่ทันจบคนที่ปลายสายก็ขัดขึ้น


“อยากให้ไปหรือไม่อยากให้ไป”


เป็นอีกครั้งที่หัวใจยังคงเป็นใหญ่ “อยากให้มาครับ”
   

จากการปล่อยให้หัวใจมีอำนาจเหนือสมองในวันนั้นก็ทำให้ประจำเมืองต้องคอยชะเง้อคอมองหาคนที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาร่วมงานรับพระราชทานปริญญาบัตรของตนเอง
   

“ไอ้เมือง มัวมองหาใครอยู่วะ พ่อกับแม่แกเดินไปโน่นแล้ว” ปาล์มที่วันนี้รับอาสาเป็นตากล้องกล่าวพร้อมกับใช้มือตบบ่าคนที่เอาแต่ยืดคอมองไปรอบ ๆ
   

“เออ ๆ รู้แล้ว” พูดจบเจ้าของร่างสูงที่คลุมทับด้วยชุดครุยสีดำก็เร่งฝีเท้าเดินตามพ่อกับแม่กระทั่งไปหยุดยืนที่หน้าป้ายคณะดุริยางคศาสตร์
   

“เมืองยืนตรงกลางเลย” ปาล์มกดยิ้มมุมปากรู้สึกภูมิใจนิด ๆ ที่สามารถออกคำสั่งให้เพื่อนทำตามได้ “คุณพ่อกับคุณแม่ยืนชิด ๆ ท่านมหาบัณฑิตหน่อยนะครับ”
   

“เมือง ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย” ผู้เป็นแม่กระซิบถามลูกชายพลางเอื้อมมือขยับเนคไทให้
   

“ปละ...เปล่านี่ครับ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนปล่อยให้แม่จัดคอเสื้อให้เข้าที่ ตายังคงกวาดมองไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
   

“ผมนับหนึ่งถึงสามนะครับ คุณพ่อชิดหน่อยครับ พร้อมนะครับ” ตากล้องมือสมัครเล่นตะโกนแข่งกับเสียงอื้ออึงของผู้คนนับพัน เมื่อสิ้นเสียงนับก็รัวกดชัตเตอร์ก่อนจะตรวจดูภาพจากจอแอลซีดีเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่ดีที่สุดอีกครั้ง 
   

ประจำเมืองมองตามพ่อกับแม่ที่เดินเข้าไปร่วมวงดูภาพจากกล้อง DSLR ของปาล์มพลางล้วงโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นออกจากกระเป๋า พลันนัยน์ตาก็ค่อย ๆ คลายความกังวลลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นทอประกายสดใสอีกครั้ง ชายหนุ่มกดรับสายกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุดแล้วจึงเงี่ยหูฟังว่าคนที่ปลายสายจะว่าอย่างไร


“เมือง พี่คงไปไม่ได้แล้วนะพอดีติดเคสสำคัญ คนไข้อาการไม่ค่อยดี ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ” น้ำเสียงจริงจังและติดจะเป็นกังวลหน่อย ๆ ทำให้คนฟังรู้ว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น ดวงตาเคลือบแววแห่งความหวังวูบหม่นลงอีกครั้ง ตอบกลับด้วยถ้อยคำเรียบ ๆ ก่อนจะวางสายกันไป


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”


...


อีกสองวันหลังจากนั้นโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ก็มีโอกาสได้ต้อนรับหนุ่มนักดนตรีอีกครั้ง เป็นวันที่ประจำเมืองอุตส่าห์หอบหิ้วเอาชุดครุยและปริญญาบัตรมาถ่ายภาพร่วมกับบรรดาหมอและพยาบาลที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งเข้ามาเก็บข้อมูลทำวิจัย
   

“ยินดีด้วยนะ” กันตภัณถามขึ้นหลังจากที่ถ่ายภาพคู่กับมหาบัณฑิตป้ายแดงเรียบร้อยแล้ว
   

“ขอบคุณครับ”


“แล้วนี่ได้ถ่ายกับเจ้านพมันหรือยัง”


“ยังครับ ผมไม่ได้บอกเขาว่าจะมา” ประจำเมืองยิ้มแห้ง ๆ ถอดชุดครุยและรับกล้องดิจิทัลคืนจากนายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์
   

“อืม ตอนนี้อาจจะหาตัวยากหน่อยเพราะอาคารหลังเก่ากำลังปรับปรุง ห้องหนังสือก็เลยถูกปิดชั่วคราว ถ้าไม่ไปปลีกวิเวกอยู่ที่สวนสุขภาพก็คงไปที่สะพานปลานั่นแหละ” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งกล่าวพลางปรายตามองเจ้าของร่างผอมบางที่กำลังล้วงบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์


“ถ้าเจอละก็ พี่ฝากไอ้นี่คืนให้นพด้วยนะ”
   

“ไม้เคาะรีเฟล็กซ์? แล้วมาอยู่กับแกได้ยังไงวะ” กันตภณยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น
   

“พี่วาฝากมาคืนน่ะสิ ถ้ายี่หวาไม่แอบเอาไปเล่นก็คงเป็นนพที่ไปลืมไว้ที่หอผู้ป่วยเด็ก”
   

“แล้วทำไมต้องฝากเมืองไปคืนด้วยล่ะ ทำไมแกไม่เอาไปคืนเจ้านพมันเอง”
   

“เดี๋ยวน้องเมืองก็ต้องไปเจอกับนพอยู่แล้ว ใช่ไหมน้องเมือง” ว่าพลางขยิบตาให้คนอายุน้อยที่สุด จนอีกคนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
   

“ทำไมแกแน่ใจแบบนั้น” คุณหมอร่างสูงหรี่ตามองด้วยความรู้สึกไม่ไว้ใจ


ณรงค์ฤทธิ์ไม่ตอบแต่กลับยัดอุปกรณ์ที่มีด้ามจับเป็นโลหะปลายด้านหนึ่งบานออกคล้ายรูปหยดน้ำส่วนปลายอีกด้านเป็นแท่งยางทรงสามเหลี่ยมใส่ในมือหนุ่มนักดนตรี เมื่อเห็นเพื่อนทำตัวมีพิรุธ กันตภณจึงใช้แขนรัดเข้าที่ลำคอระหงจนคนถูกกระทำค้อนขวับอย่างขัดใจ


ศัลยแพทย์หน้าสวยพยายามขืนตัวแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงไหว อยากจะเฉลยให้รู้อยู่เหมือนกันว่า ‘ก็เพราะเขาตั้งใจมาหากันยังไงก็ต้องเจอ’ แต่นึกหมั่นไส้คนอยากรู้อยากเห็นจึงตอบกลับด้วยถ้อยคำที่พาให้คนฟังยิ่งคันหัวใจ “ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม”
   

“นี่ถามดี ๆ นะ”


“ฉันก็ตอบแกดี ๆ ไอ้กันต์ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย ฉ...ฉัน หายใจ ม...ไม่ออก” ท้ายประโยคนั้นติด ๆ ขัด ๆ เพราะแขนแกร่งที่แกะเท่าไรก็ไม่ยอมคลายออกสักที
   

“พี่ไปก่อนนะเมือง มีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้ฟาร์มหมาสักหน่อย” ว่าแล้วนายแพทย์กันต์ภณก็รั้งตัวเพื่อนสนิทที่กำลังคิดขัดขืนให้เดินตาม
   

“อะไรวะ ฉันไม่มีอะไรต้องเคลียร์กับแก แล้วนี่จะไปไหน”
   

“อยากกินกาแฟ” คนตัวใหญ่กว่าตอบห้วน ๆ
   

“แกอยากกินแกก็ไปคนเดียวสิ ฉันไม่ได้อยากกินด้วย”
   

“ต้องกับไอ้หมีขั้วโลกนั่นหรือไงถึงจะอยากกิน” ขายาวยังคงก้าวฉับ ๆ เดินรัดสวนหย่อมมุ่งหน้าสู่ร้านกาแฟใต้ตึกซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล
   

“แกพูดถึงใครวะ”
   

“ก็ไอ้คนที่แกนั่งกินข้าวด้วยที่โรงอาหารเมื่อตอนเช้านั่นไง” พูดพลางผลักประตูกระจกก่อนจะพากันถูลู่ถูกังเข้าไปด้านใน เมื่อได้ที่เหมาะ ๆ ซึ่งเป็นโต๊ะแบบเคาน์เตอร์หันหน้าเข้าหาผนังกระจกกันตภณจึงคลายวงแขนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ “นั่งอยู่นี่ห้ามไปไหนนะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก”
   

ณรงค์ฤทธิ์ยกมือก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่อย่างไม่สบอารมณ์นักในขณะที่ตาคู่สวยจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไปด้วย แม้อีกฝ่ายจะปฏิบัติและพูดจาขวานผ่าซากเป็นปกติ หากแต่ครั้งนี้ความจริงจังในแววตากลับทำให้รู้สึกหวาดเกรงพิกล ชายหนุ่มถอนใจเฮือกมองตามร่างสูงที่เดินกลับมานั่งลงทางฝั่งขวามือของตนเองเห็นไม่พูดอะไรสักทีก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องจึงถามถึงเรื่องที่เขากล่าวค้างเอาไว้เมื่อครู่
   

“แกมีอะไรจะคุยกับฉัน”
   

“ไอ้หนุ่มนั่นมันเป็นใคร”
   

“หนุ่มไหน”
   

“ก็คนที่นั่งกินโจ๊กกับแกเมื่อเช้าที่ตลาดนั่นไง ใช่คนที่ขอเพลงให้แกหรือเปล่า”
   

“เขาเป็นหมอศัลย์ เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ” ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเมื่อเช้าฉันกินข้าวที่ตลาด แกเพิ่งออกเวรเมื่อตอนตีห้าไม่ใช่เหรอ”
   

“ก...ก็...เดินผ่าน เออใช่ เดินผ่าน”
   

“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะไปไหนไกลจากโรงพยาบาลเกินรัศมีห้าร้อยเมตร”
   

“หิว ก็เลยไปหาอะไรกิน” กันตภณตอบด้วยถ้อยคำห้วน ๆ เพื่อตัดรำคาญ ในขณะที่นายแพทย์ณรงฤทธิ์เองก็ได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะเบนสายตามองออกไปนอกผนังกระจก รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจตามดูอย่างแน่นอน
   

“มาแล้วค่ะ ลาเต้ร้อนกับแซนด์วิชของหมอกันต์” เจ้าของร้านกล่าวเสียงแจ๋วก่อนจะวางถ้วยกาแฟกับกล่องใส่แซนวิชลงบนโต๊ะแล้วก้มหน้าก้มตาควานหาบางอย่างในกระเป๋าหน้าท้องผ้ากันเปื้อน “ส่วนนี่ของหมอฟาร์มค่ะ” พูดจบก็ส่งกระดาษแผ่นเล็กกับปากกาให้
   

“อะไรเหรอครับ” เป็นกันตภณที่ชิงถามขึ้นก่อนด้วยความสงสัย
   

“เอาไว้เขียนขอเพลงค่ะ เห็นขอบ๊อยบ่อย ตั้งแต่มีสถานีวิทยุของโรงพยาบาลพี่ก็เปิดทุกวันรอฟังว่าหมอฟาร์มขอเพลงให้ใครแต่ก็ยังไม่เคยได้ยินดีเจพูดถึงสักที มีแต่คนขอเพลงให้หมอฟาร์ม หรือพี่พลาดตอนไหนไปก็ไม่รู้”
   

“อ...เอ้อ...ขอบคุณครับ” เจ้าของชื่อยิ้มแหย ๆ ก่อนจะรับมาแล้ววางลงบนโต๊ะ รีบลากมันไปไว้อีกทางเพื่อให้ห่างจากสายตาของคนขี้สงสัยที่นั่งข้างกัน
   

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับไปประจำที่ของตนเอง
   

ตาคมมองตามร่างเล็กที่เดินห่างออกไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งราวกับกำลังค้นหาคำตอบของบางคำถามจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
   

“มองไรวะ”
   

“แกมีอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า”
   

“ทำไมต้องทำเสียงเครียดด้วย” ณรงค์ฤทธิ์พึมพำแต่ไม่ยอมสบตาคนถาม
   

“เราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย ทำไมมีอะไรไม่บอก”
   

“จะให้บอกว่าอะไร” ชักเริ่มอึดอัดเมื่อวันนี้กันตภณดูไม่เหมือนกันตภณที่เขารู้จัก
   

“ก็บอกมาว่าแกแอบชอบใครอยู่ไง”
   

คนฟังกำปากกาแน่นพร้อมกับถอนใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังจะจนมุม
   

“พูดออกมาสิ ฉันจะได้รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไป” ท้ายประโยคบางเบาจนคนพูดเองก็ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปกันแน่
   

“แกหมายความว่ายังไง”
   

“ก...ก็...” ตาทอดมองสองมือที่อังอยู่กับถ้วยกาแฟ สังเกตได้ว่ามันสั่นนิด ๆ
   

“ว่ายังไงล่ะ”


นายแพทย์กันตภณเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถามแต่แล้วก็จำต้องเสมองทางอื่น กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ
   

“เพราะแกไม่พูดนี่ไง ฉันถึงต้องขอเพลงให้ตัวเอง”
   

ประโยคนั้นทำเอาคนที่กำลังหนีหน้าถึงกับหันขวับ “แกว่ายังไงนะ”
   

“แกอยากร็ไม่ใช่เหรอว่าใครเป็นคนขอเพลงพวกนั้นให้ฉัน ฉันก็บอกอยู่นี่ไงฉันขอมันให้ตัวเอง”
   

“ทำแบบนั้นทำไม” แม้พอจะคาดเดาคำตอบได้แต่ก็อยากจะถามให้แน่ใจ
   

“ก็แค่อยากรู้ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วใครบางคนจะรู้สึกอะไรบ้างไหม”
   

“แก...ไอ้ฟาร์ม! แกหรอกฉันเหรอ” ว่าแล้วก็วาดแขนรั้งคอตัวการที่ทำให้หัวปั่นเข้ามาใกล้ ๆ หากแต่ครั้งนี้แรงที่ใช้กลับน้อยลงกว่าครั้งก่อน ๆ เป็นไหน ๆ
   

“แกกับนพก็ไม่ได้ต่างกันเลย พวกปากหนัก รู้ตัวช้า โดยเฉพาะแก...ทำเป็นเก่งไปเที่ยวแนะนำชาวบ้านเขา” ณรงค์ฤทธิ์เงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเจ้าของใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบ


“ฉันขอเถียงเรื่องรู้ตัวช้า เพราะฉันรู้ตัวว่าชอบแกมาตั้งนานแล้วต่างหาก” พลันรอยยิ้มก็จุดที่มุมปาก แขนที่เคยพาดอยู่กับบ่าเล็กค่อย ๆ เลื่อนลงมาโอบรัดรอบเอวคอดก่อนจะกระซิบ “ส่วนที่ว่าฉันปากหนัก แกยังไม่เคยพิสูจน์ทำไมด่วนสรุปนัก”


“ฟังแล้วขนลุกว่ะ ออกไปห่าง ๆ เลย” หมอฟาร์มใช้มือดันแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามก่อนจะเบือนหน้าหนี ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาก็แตะเนื้อต้องตัวกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่สัมผัสในวันนี้กลับดูไม่ค่อยจะปกตินั่นเพราะต่างคนต่างได้เปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อกันออกไป


แต่กันตภณแล้วยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งณรงค์ฤทธิ์พยายามปัดป้องหรือออกห่าง กันตภณก็ไม่ละความพยายามที่จะขยับตามเข้าไปใกล้


“แกจะทำอะไรของแก”


“จะหยิบกระดาษกับปากกา” พูดจบก็โถมตัวเข้าหาก่อนจะใช้อีกมือเอื้อมหยิบกระดาษกับปากกาที่อีกฝ่ายเลื่อนไปไว้เสียไกล แต่แทนที่จะได้แล้วจะรีบรั้งมาตรงหน้ากลับค้างอยู่อย่างนั้นราวกับจงใจให้คนตัวเล็กกว่าตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมแขนอุ่น


“รีบ ๆ เอาไปสักที”


กันตภณยิ้มน้อย ๆ จ้องมองแก้มขาวของเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งตัวลีบ เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีสายตาคู่ไหนพุ่งความสนใจมาทางนี้จึงกดปลายจมูกลงบนเนื้อนิ่มพร้อมกับสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มปอดแล้วรีบผละออกทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ไอ้กันต์!” หมอฟาร์มเค้นเสียงรอดไรฟันยกมือขึ้นถูแก้มตัวเอง “แกมันชั่วร้ายที่สุด”


“ก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแล้วมาชอบทำไม” ยิ้มหวานของกันตภณเล่นเอาคนมองหน้าแดงจนถึงใบหูชนิดแยกไม่ออกเลยว่าที่เป็นเช่นเพราะโกรธหรือว่าเขินกันแน่ แต่นั่นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคุณหมอหนุ่มที่ดูจะอารมณ์ดีเสียเต็มประดา  “เขียนขอเพลงดีกว่า”


“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบฉันจะไม่บอกอะไรแกทั้งนั้น” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์บ่นกับตัวเอง


“ไม่ทันแล้ว” พูดจบก็เขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-07-2016 00:12:47
(ต่อค่ะ)

“และก่อนที่จะจากกันไปในค่ำคืนนี้นะครับ เรามาอ่านข้อความสุดท้ายจากมิวสิคบ็อกซ์กันดีกว่าครับน้องส้ม”


“ได้ค่ะพี่ยักษ์ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน” เสียงหวานของนักจัดรายการวิทยุมือสมัครเล่นเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “เพลงนี้มอบให้กับหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มผู้เลี้ยงหมาในปากนะคะ ส้มอ่านไม่ผิดนะคะท่านผู้ฟัง เขาเขียนมาแบบนี้จริง ๆ และเพลงที่ขอก็คือเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว ไปฟังกันเลยค่ะ”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มเมื่อเสียงเพลงสุดท้ายเงียบลง มือขาวยกขึ้นดึงเอียร์บัดออกจากหู นัยน์ตาทอประกายทอดมองไปในความมืด เสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งทำให้รู้ว่าตรงหน้านั้นคือทะเล ในความเวิ้งว้างมีเพียงแสงไฟจากเรือประมงซึ่งลอยลำอยู่ไกลออกไปที่พอจะช่วยไล่ความน่ากลัวของท้องทะเลในยามค่ำคืนไปได้บ้าง ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ในมือที่ปิดเสียงไว้เพิ่งเห็นว่ามีสายเรียกเข้าแต่เมื่อกำลังจะกดรับอีกฝั่งก็กดตัดสายไปเสียแล้ว ใจคิดจะโทรกลับแต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อเสียงของเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง


“จะมาทำไมไม่เห็นบอกกันเลย นี่ถ้าพี่ไม่เจอพี่กันต์ที่หอพักก็คงไม่รู้ว่าเรามา”


“ขอโทษครับ” คนถูกต่อว่ารีบลุกขึ้น “ผมแวะไปหาพี่ยักษ์กับพี่ส้มที่สถานี คุยกันเพลินไปหน่อย เห็นว่าค่ำแล้วก็เลยไม่ได้โทรหา คิดว่าพี่นพคงกลับไปแล้วเลยกะว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”


“กลับแล้วก็มาได้”


“ครับ”


“กลับกรุงเทพฯ คืนนี้เลยหรือเปล่า”


“ไม่ครับ วันนี้ผมค้างที่บ้านก้อง”


ขวัญนพพยักหน้าพลางสบตาคนตรงหน้า ต่างคนต่างไม่พูดอะไรจนในที่สุดประจำเมืองก็ทำลายความเงียบด้วยคำถามหนึ่ง


“ไปเดินเล่นกันไหมครับ ผมอยากไปสะพานปลา ไอ้ก้องมันโม้ให้ฟังว่าถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสี”


“จริงสินะ ช่วงนี้ฝนตกหนักติดต่อกัน แต่วันนี้แดดออกอาจจะเห็นก็ได้”


“พี่นพเคยเห็นแล้วเหรอครับ”


“พี่ไม่เคยเห็นหรอก แค่ได้ยินคนอื่นเขาพูดกันน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเลยนะครับ” หนุ่มนักคนตรีกล่าวด้วยความตื่นเต้น


สองคนพากันเดินไปตามชายหาดกระทั่งถึงคอสะพานคอนกรีตที่ทอดตัวสู่ทะเล แม้ความมืดจะทำให้มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ประจำเมืองก็ยังคงยืนยันว่าจะไปให้ได้เมื่อคุณหมอผู้เป็นเจ้าถิ่นหันกลับมาถามให้แน่ใจอีกครั้ง และเมื่อกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อ เสียงของหนูน้อยในชุดนักเรียนก็ทำให้ทั้งคู่ต้องชะงัก


“พี่ครับ ช่วยซื้อดอกไม้จากสวนของผมหน่อยนะครับ เหลือดอกสุดท้ายพอดี”


“ดอกละเท่าไรครับ” ขวัญนพถามพลางดึงกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าด้านหลังกางเกง


“ดอกละยี่สิบบาทครับ”


ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรเท่ากับจำนวนที่ได้ยินเมื่อสักครู่แล้วส่งให้ก่อนจะรับกุหลาบสีแดงสดจากมือเด็กชายที่เมื่อพอได้เงินแล้วก็วิ่งหายไปทันที


“ไปกันเถอะ” อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองกล่าวก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง


โคมไฟปลายเสาที่ตั้งเรียงรายขนานชายหาดทำให้พอจะมองเห็นเรือประมงลำเล็กที่เกยตื้นอยู่บนผืนทราย เสียงโครมครืนของคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่โถมซัดเข้าหาแนวโขดหินดำทมึนให้ความรู้สึกน่ากลัวยิ่งนักสำหรับผู้ที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกอย่างประจำเมือง ยิ่งเดินห่างจากฝั่งยิ่งเหมือนตกอยู่ในวงล้อมของความมืดมิด ไม่รู้ว่าสะพานนี้จะยาวไปถึงไหน มองไม่เห็นเลยว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด กระนั้นก็ยังอุ่นใจอยู่บ้างเมื่อปลายจมูกได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของกุหลาบดอกโตในมือของคนที่เดินข้างกันเจืออยู่ในกระแสลม


“มันจะยาวไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกเลยหรือเปล่าครับ” ประจำเมืองพูดติดตลกหวังจะพังกำแพงความเงียบที่กั้นกลางระหว่างสองคนลง และมันก็ได้ผลเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาจากคนข้าง ๆ


“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้ามันยาวไปถึงนั่นจริง จะยังเดินไปด้วยกันอยู่หรือเปล่า”


“ไปสิครับ ผมบอกแล้วว่าจะไป ยังไงก็ต้องไปให้ถึง” หนุ่มนักดนตรีกล่าวอย่างหนักแน่น


สองคนคุยกันไปกระทั่งไม่มีทางให้เดินต่อ ที่นั่นมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่หน้าต่างห้องเครื่องของเรือประมงลำใหญ่ซึ่งทอดสมออยู่ถัดไปไม่ไกลที่พอจะทำให้เห็นหน้ากันได้บ้าง ประจำเมืองและขวัญนพเดินไปหยุดที่คันกั้นซึ่งสูงจากพื้นไม่ถึงเข่า ต่างคนต่างยืนกันคนละมุมหากแต่สายตากลับจับจ้องไปยังทิศเดียวกัน นั่นคือตรงเส้นขอบฟ้าที่มองเห็นแสงสว่างเรียงรายอยู่ลิบ ๆ ยากจะคาดเดาได้ว่าไกลสุดสายตานั้นคือแผ่นดินหรืออะไรกันแน่ แต่นั่นยังไม่น่าสนใจเท่ากับบนผิวน้ำที่เต็มไปด้วยริ้วสีน้ำเงินที่ดูคล้ายกับประกายไฟแต้มอยู่บนสันคลื่น 


เมื่อหันไปเห็นว่าบริเวณสุดปลายสะพานด้านหนึ่งเปิดเป็นช่องมีบันไดทอดลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ประจำเมืองจึงเดินไปนั่งที่ลงที่บันไดขั้นบนสุด มองดูเกลียวคลื่นที่ซัดกระแทกเสาคอนกรีตเป็นระยะ ๆ บางครั้งก็เบาแต่บางครั้งก็หนักเสียจนละอองน้ำกระเซ็นกระทบผิวหน้า ที่โคนเสาเกิดกระแสน้ำเจือสีน้ำเงินเรืองแสงผุดพรายกระจายไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มทราบดีว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในน้ำทะเลมีแพลงก์ตอนพืชอยู่เป็นจำนวนมากเป็นเกร็ดความรู้ที่อ่านเจอในนิตยสารท่องเที่ยว ที่สำคัญเขาพอจะได้เห็นภาพเหล่านี้มาบ้างแล้วแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับการได้สัมผัสด้วยตาอย่างที่กำลังทำอยู่


“สวยจัง พี่นพมาดูเร็ว”


เมื่อได้ยินเสียงเรียก ขวัญนพจึงก้าวลงไปนั่งเคียงกัน คุณหมอกดปลายนิ้วดันแว่นสายตาให้เข้าที่เพื่อจะได้มองภาพนั้นให้ชัด อดคิดไม่ได้ว่าทั้งที่ตนเองก็ทำงานที่นี่มาตั้งหลายปีแต่ก็ไม่เคยได้มาเห็นภาพน้ำทะเลเรืองแสงด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง อย่างดีก็แค่ฟังจากที่คนอื่นเล่าเท่านั้น


“สวยจริง ๆ ด้วย”


ความงามของธรรมชาติที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ต่างคนต่างลืมเรื่องที่จะพูดไปเสียสนิท จนเมื่อคลื่นลมเริ่มสงบ ประจำเมืองจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงของสำคัญออกจากกระเป๋ากางเกงส่งคืนให้เจ้าของ


“พี่ฟาร์มฝากมาคืนครับ ให้บอกพี่นพว่าพี่วาฝากมาอีกที”


“ที่แท้ก็อยู่กับพี่วาเองหรอกเหรอ พี่คิดว่าไปทำหล่นไว้ตรงไหนเสียอีก” กล่าวพลางรับอาวุธประจำกายคืนจากอีกฝ่าย


“เป็นอายุรแพทย์ระบบประสาทฯ แต่ลืมเครื่องมือสำคัญได้ยังไงกันครับ”


“สงสัยมัวเล่นกับยี่หวาเพลินน่ะ ขอบคุณมากนะที่เอามาให้”


“ไม่เป็นไรครับ” ประจำเมืองกล่าว ตายังคงมองของในมือคนข้าง ๆ อย่างสนใจ “ว่าแต่มันเอาไว้ทำอะไรเหรอครับ”


“เอาไว้สำหรับทดสอบการรับสัมผัสของเส้นประสาทในกล้ามเนื้อน่ะ อย่างเช่นไบเซปส์ รีเฟล็กซ์ อืม...ลองนั่งตัวตรง ๆ นะ” พูดจบขวัญนพก็วางดอกไม้ในมือลงแล้วเริ่มสาธิตโดยการขยับเข้าใกล้แล้วรั้งแขนของประจำเมืองขึ้น จัดท่าให้เหมือนที่ทำกับคนไข้ คือทำให้ข้อศอกอยู่ห่างจากลำตัวของคนไข้เล็กน้อย จากนั้นจึงให้คนไข้ทิ้งน้ำหนักแขนตามสบายพาดไปกับหน้าขา จากนั้นคุณหมอก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่ข้อพับเพื่อคลำหาจนพบเส้นเอ็น


“ไม่ต้องเกร็งนะครับ”


แทนที่จะเคาะลงที่ข้อพับตรง ๆ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองกลับใช้ไม้เคาะรีเฟล็กซ์เคาะลงบนนิ้วหัวแม่มือของตนเองแต่มันกลับทำให้ที่ปลายมือของคนที่กำลังสมมติตัวเองเป็นคนไข้กระตุก


“เป็นยังไงบ้างครับ”


“ปกติดี” คุณหมอตอบเพียงสั้น ๆ


“แบบนี้นี่เอง ผมลองบ้าง” ว่าแล้วก็คว้าไม้เคาะจากมือของอีกฝ่ายก่อนจะทำท่าจริงจังเลียนแบบ “ปล่อยแขนตามสบายนะครับ”


ขวัญนพพยักหน้าพลางมองทุกกริยาอาการของคนอายุน้อยกว่าอย่างเอ็นดู สิ่งที่ประจำเมืองทำนั้นไม่ได้ถูกต้องตามหลักการเลยสักนิด แต่ก็มองเพลินจนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการทดสอบ


“เป็นยังไง”


หนุ่มนักดนตรีกระแอมเบา ๆ ก่อนจะวางหน้าขรึม “มีการตอบสนองที่ดี”


คุณหมอตัวจริงโคลงหัวน้อย ๆ อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมหนอว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นพาให้คนมองพลอยยิ้มตามไปด้วย


“ถ้าไม้เคาะนี่สะท้อนความรู้สึกของคนเราได้ก็คงดีนะครับ” ปากพูดไปตาก็มองอุปกรณ์การแพทย์ที่อยู่ในมือไปด้วย


“ยังไงเหรอ” ขวัญนพเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย


“ก็แบบนี้ไง” หยุดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะจับที่แขนของคนถามแล้วจัดท่าให้เหมือนเมื่อสักครู่ จากนั้นก็กดนิ้วหัวแม่มือลงบนข้อพับพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “พี่นพชอบผมใช่ไหมครับ” จากนั้นจึงเคาะปลายไม้ลงบนนิ้วของตนเอง ทันทีที่เห็นปลายมือของคุณหมอขยับรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็จุดขึ้นที่มุมปาก กระนั้นก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมาสบตากัน


ขวัญนพละสายตาจากใบเสี้ยวหน้าอาบแสงสีนวลของไฟตะเกียงเมื่อประจำเมืองถามซ้ำอีกครั้ง นัยน์ตาคมมองไปยังมือที่กระตุกขึ้นทันทีที่แท่งยางติดปลายด้ามจับซึ่งทำด้วยโลหะกระแทกลงบนนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่กับข้อพับของตนเอง มันกระตุกเป็นครั้งที่สองพร้อม ๆ กับการบีบตัวเป็นจังหวะกระชั้นของก้อนเนื้อในอกด้านซ้าย ไม่ใช่แค่เส้นประสาทที่ตอบสนอง หัวใจ...ก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน


นายแพทย์หนุ่มนิ่งงันไม่คิดว่าจะถูกจู่โจมด้วยคำถามที่เขาก็เพิ่งหาคำตอบให้กับตัวเองได้ไม่นาน ในหัวแว่วเสียงซ้ำ ๆ ว่าจากนี้ควรจะพูดหรือทำอย่างไรดี แต่แล้วถ้อยคำที่พรั่งพรูออกจากปากของอีกคนก็เรียกสติที่กำลังล่องลอยไปไกลให้กลับคืนมาอีกครั้ง


“ถ้ามันพูดยากขนาดนั้น ก็ให้เส้นประสาทในกล้ามเนื้อไบเซปส์ของพี่พูดกับผมดีไหมครับ” ประจำเมืองเงยหน้าขึ้นสบตาคุณหมอที่ยังคงเอาแต่เงียบ ความเงียบงันนั้นมีผลให้ทะเลแสนกว้างใหญ่กลายเป็นดั่งห้องแคบ ๆ ที่ขังคนสองคนเอาไว้ในทันที “ถ้าถามผมว่าผมทำแบบนี้ไปทำไม ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเหมือนกัน หรือที่จริงแล้วผมก็แค่อยากจะมั่นใจ...”


ชายหนุ่มหยุดไว้เพียงแค่นั้น น่าแปลกเหลือเกินที่คำพูดของตนเองกลับทำให้รู้สึกเจ็บที่กลางอก กระนั้นประจำเมืองก็ยังฝืนยิ้มขื่น ๆ “ตอบหน่อยได้ไหมครับว่ามาทำดีกับผมทำไมครับ รู้หรือเปล่าว่ามันกำลังทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง” ปากบางเม้มปากแน่น ใช้เวลาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ขอโทษครับ ที่จริงผมควรจะเชื่อคำพูดของพี่ที่พูดกับเพื่อนของผมในวันนั้น ผมผิดเอง...ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากจะทดสอบอะไรบ้า ๆ” กล่าวพลางวางไม้เคาะรีเฟล็กซ์ลงบนมือใหญ่แล้วจึงลุกขึ้นเดินกลับขึ้นมาบนสะพานคอนกรีต


“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”


“เดี๋ยวก่อนสิ” คนที่รีบลุกตามมาขัดขึ้น “พี่ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับมหาบัณฑิตเลย” พูดพร้อมกับส่งดอกกุหลาบในมือให้


“ขอบคุณครับ” มือขาวรับกุหลาบไร้หนามดอกนั้นมาถือไว้ การทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของขวัญนพทำเอาเจ็บจุกยิ่งกว่าการเงียบของเขาเสียอีก


“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปงานรับปริญญาทั้งที่บอกว่าจะไปแท้ ๆ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้วละ พ่อก็มักจะเป็นแบบนี้ เพราะสำหรับหมอยังไงชีวิตคนไข้ก็ต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง” ประจำเมืองกล่าวก่อนจะหันหลังให้ ตอนนี้นึกอยากจะไปให้ถึงชายหาดให้เร็วที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด...เมื่อข้อมือถูกรั้งเอาไว้


“แล้วกลัวหรือเปล่าถ้าต้องมีแฟนเป็นหมอ โดยเฉพาะอายุรแพทย์ระบบประสาทฯ ที่พูดไม่เก่งเอาเสียเลย จนต้องให้เส้นประสาทในกล้ามเนื้อไบเซปส์ช่วยพูดแทน”


คนฟังชาไปทั้งตัวหากแต่ที่ใบหน้ากลับร้อนวูบวาบ ถ้าเปรียบแล้วคำถามนั้นคงมีอานุภาพเทียบเท่ากับระเบิด เป็นระเบิดที่กำลังทำลายกำแพงความรู้สึกที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นห่อหุ้มหัวใจซึ่งยังไม่เสร็จดีเสียซ้ำ ประจำเมืองไม่ตอบแม้จะรู้แก่ใจว่าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ล้วนด้วยฝีมือของตนเองและคำแนะนำของณรงค์ฤทธิ์ทั้งนั้น


“ก่อเรื่องไว้แล้วคิดจะหนีดื้อ ๆ แบบนี้น่ะเหรอ”


“ผมไม่ได้ก่อเรื่อง”


“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนใหม่” นายแพทย์ขวัญนพกดยิ้มมุมปากก่อนจะขยับมาขวางหน้าคนคิดหนีเอาไว้ “มาทดสอบความรู้สึกของพี่แล้วคิดจะทิ้งกันไปอย่างนี้เหรอ”


“ม...ไม่ได้ทิ้ง”


“ถ้าไม่ได้ทิ้งก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วฟังสิ่งที่พี่กำลังจะพูดสักหน่อยนะ”


ประจำเมืองเสมองไปทางอื่น เพิ่งคิดได้ว่าความยากไม่ได้อยู่ที่การทำให้อีกฝ่ายยอมพูด แต่ความยากอยู่ที่การต้องยืนต่อหน้าแล้วฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่างหาก เมื่อไม่มีทางหนีก็ขอยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน


“พ...พี่นพฟังเพลงไหม ผ...ผมแต่งเสร็จแล้วนะครับ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า
ฟังประโยคนั้นจบนายแพทย์หนุ่มก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ มองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเลื่อนหาเพลงบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ


“เป็นนักวิจัยแต่ทำไมไม่ยอมรับผลการทดลองของตัวเองนะ” ว่าแล้วก็ดึงโทรศัพท์จากมือเจ้าของ “ได้ฟังก็ได้ แต่ต้องฟังด้วยกันนะ” พูดจบก็จัดการเสียบเอียร์บัดข้างหนึ่งที่หูของตัวเอง ส่วนอีกข้างที่เหลือเสียบที่หูของอีกฝ่าย ก้มลงมองที่หน้าจอจึงเห็นว่ามีชื่อ ‘เพลงดาวทำนองคลื่น’ อยู่เพียงเพลงเดียว “เพลงนี้ใช่ไหม มีอยู่เพลงเดียวทำไมหานานจัง”
ขวัญนพเงยหน้าขึ้นในขณะที่ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมเล่นเพลงแล้วหย่อนโทรศัพท์มือถือของประจำเมืองลงในกระเป๋ากางเกง


“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อย สายมันสั้น” กล่าวพร้อมกับดึงสองแขนของคนอายุน้อยกว่าขึ้นพาดที่บ่าของตนเอง จากนั้นจึงเลื่อนสองมือลงประคองเอวสอบ ออกแรงนิดหน่อยก็สามารถรั้งตัวนักดนตรีหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนถูกสาปจนกลายเป็นหินให้ขยับเข้ามาใกล้กันได้อย่างง่ายดาย นัยน์ตาสีเข้มทอดมองแก้มขึ้นสีที่เจ้าของพยายามเก็บซ่อนด้วยการหันไปทางอื่นราวกับไม่อยากเห็นหน้ากัน กระนั้นสองแขนกลับเกี่ยวรัดรอบลำคอของเขาไว้ไม่ยอมให้หลุดและนั่นก็ทำให้ขวัญนพค่อยยิ้มออก


สองคนยืนนิ่งฟังเสียงคลื่นลมในท่อนอินโทรกระทั่งโน้ตแถวแรกบนบรรทัดห้าเส้นดังขึ้นดวงตาสองคู่จึงได้กลับมาสบประสานกันอีกหน ขวัญนพยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าทำนองเพลงที่เคยได้ฟังบัดนี้กลับมีทั้งคำร้องเพิ่มขึ้นมา ถ้อยคำง่าย ๆ ถูกเรียงร้อยและถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่มของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผสมผสานกันอย่างลงตัวกับเสียงกังวานหวานของเปียโน เป็นบทเพลงที่ให้ความรู้สึกไพเราะจับใจนัก


“เพราะจัง” กระซิบแทรกเสียงดนตรี


“ชอบหรือเปล่าครับ”


"หมายถึงเพลงหรือคนแต่งเพลง"


"ทั้งสองอย่าง"


"ชอบสิ ชอบมากด้วย โดยเฉพาะคนแต่งเพลง"


เจ้าของบทเพลงหลบลี้หนีจากสายตาหวานหยดด้วยการเสมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิด “เสียดายที่วันนี้ไม่มีดาวเลยสักดวง”


“ก็มีอยู่ดวงหนึ่งแล้วนี่ไง” ขวัญนพกล่าว เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นประคองแก้มเย็นเฉียบเอาไว้พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยวนเบา ๆ  “อยากรู้จังว่าประจำเมืองดวงนี้จะมาเป็นดาวประจำตัวของพี่ได้ไหม”


ไม่ถึงอึดใจคนอายุมากกว่าก็โน้มหน้าเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังปล่อยให้รอยยิ้มละไมตอบคำถามทั้งหมด ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งขยับใกล้เข้าทุกขณะ ตาคมจ้องริมฝีปากบางไม่วางตา มองเพลินจนไม่รู้ว่าแขนของอีกฝ่ายคลายออกจากคอแกร่งของตนเองตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็ตอนที่เผลอกดจูบลงบนกลีบดอกสีแดงที่ประจำเมืองยกขึ้นมาบดบังริมฝีปากชวนหลงใหลนั้นเสียแล้ว


“เอาคืนได้ไหมเนี่ย” ขวัญนพพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับขยับเข้าใกล้จนหน้าผากชนหน้าผากในขณะที่ริมฝีปากยังถูกคั่นด้วยกุหลาบดอกโต


“ไม่ได้ครับ ให้แล้วห้ามเอาคืน” 


คนฟังวางหน้านิ่งแต่ในหัวครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้าของรอยยิ้มน่ารัก จนในที่สุดขวัญนพก็เอ่ยขึ้น “ไม่เอาคืนก็ได้ แต่ขอเอาไปไว้ที่อื่นสักพักนะ”


ประจำเมืองเลิกคิ้วทันทีที่สังเกตเห็นแววเจ้าเล่ห์ในดวงตาของอีกฝ่าย ไม่ทันแม้แต่จะคิดขัดขืนมือขาวที่กำก้านยาวของกุหลาบก็ถูกรวบไปไว้ที่ด้านหลัง คางมนถูกจับให้เชิดขึ้นรับจุมพิตจากริมฝีปากที่ประกบลงมา พลันปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสเค็มนิด ๆ แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นหวานหอมจนยากจะถอนตัว เอียร์บัดถูกขวัญนพดึงออกแล้วสอดลงในกระเป๋ากางเกง นั่นเพราะว่าเวลานี้คงไม่มีบทเพลงไหนไพเราะเท่ากับเพลงรักบทนี้ที่เขาทั้งคู่สัญญาว่าจะช่วยกันบรรเลง         



...จบ...


จบไปอีกหนึ่งเรื่องนะคะ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ

และคนที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือน้อง leGGyDan ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาจนเรื่องนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี ขอบคุณนะคะ

คิดว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเขียนในปีนี้ค่ะ

เรามีนิยายที่ยังไม่ได้รวมเล่ม 1 เรื่องยาว กับเรื่องสั้นอีก 1 ชุด อยากขอความเห็นจากผู้อ่านค่ะ

ว่าอยากให้รวมเล่มเรื่องไหนก่อน ถ้ามีเวลาว่าเราจะได้หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาทำก่อน

โดยผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามลิงก์นี้ http://goo.gl/forms/ebfE02RfhsS1aGGw1 ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-07-2016 02:26:12
งืออออ ไอ้กุหลาบบ้า ขอซื้อคืนด้วยคน~

ขอบ่นหมอฟ้าใสก่อน... โอ๊ยย อ้อยเค้ามาตั้งขนาดนี้ อะไรคือมาตายน้ำตื้นยอมแพ้หมอกันต์ได้ง่ายๆ ว้า~ สรุปที่ผ่านๆ มานั่นหมอกันต์ไม่ได้เคลื่อนที่ช้าเรื่องหัวใจ แค่มัวแต่ลีลาท่ามากสินะ เอาเถอะหมอกันต์หล่อ เราอภัยให้ทุกสิ่งอย่าง
 
หมอนพก็หนอออ หลอกเด็กได้เสมอค้นเสมอปลายดีจริงๆ ชิส์~ มันเขี้ยวเห็นละอยากให้น้องเมืองจับกดให้จบๆ ไป #ทีมเมืองนพ

ปล. ตกลงไอ้หมีขั้วโลกนั่นคือใคร

#บทที่7
#ตอนพิเศษ
#NC
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-07-2016 06:19:17
จบได้น่ารักจัง หมอฟ้าใสน่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 03-07-2016 15:31:49
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-07-2016 18:16:11
น่ารักมากค่ะ ทั้งสองคู่เลย  ประจำเมืองโรแมนติกมาก
ขอตอนพิเศษ  อีก 1 ตอนนะคะ

แล้วขอรวมเล่มด้วยค่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: xinpitar ที่ 03-07-2016 22:21:00
เราเพิ่งมาตามอ่านจนจบเพราะความบื้อของเราเอง  :sad4:
เรื่องของคุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ายังคงอบอุ่นเหมือนเดิมคือยังทำให้เรารู้สึกคิดถึงน่ะค่ะ
มีพบก็ต้องมีจากเนอะ วันข้างหน้าเราก็ต้องได้พบกันอีกแน่ๆ นะน้องปูไข่
หมอฟาร์มต้องใช้วิธีนี้เลยหรือคะ โอยย หมอกันต์ไม่ได้เรื่อง 5555555555555
พี่หมอนพกับน้องเมืองนี่ก็ต้องมีเพื่อนคอยช่วยอะไม่งั้นอดแน่ๆ แต่พอได้พูดแล้วก็หวานเชียวนะ
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-07-2016 23:47:31
จบได้อิ่มเอมมากค่ะ สุขใจยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-07-2016 10:51:05
หือ แต่ละคน ปากหนักกันทั้งนั้น รักก็อย่ามัวแต่เก็บไว้ บอกรักกันหน่อย คนอ่านลุ้นมาก
ขอบคุณสำหรับนิยายรักอบอุ่นอีกเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 15-07-2016 03:40:29
ดีงามมาก ละมุนอะไรเบอนี้อ่ะ
ชอบทั้งสองคู่เลยค่ะ คู่เพื่อนสนิทก็น่ารัก สุดท้ายเผยไต๋หมดเลย
คู่เอกของเราก็อ่านแล้วเขิน ค่อยเป็นค่อยไปดีค่ะ

เห็นการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์แล้วเห็นใจเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 20-07-2016 22:28:36
อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลย ชอบหมอฟ้าใส  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 15-11-2016 20:55:31
เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้โพสอะไรในเรื่องนี้เลย ว้ายยยยย จงข้ามความผิดพลาดตกหล่นนั้นไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
นี่เพิ่งรู้ว่าหมอขวัญนพชอบสิรันทรจริงจัง ก็นึกว่าแค่แหย่เพื่อนเล่นๆ
อาจจะเพราะหมอมีบทบาทในเรื่องนั้นน้อยนิด
พอมีเรื่องเป็นของตัวเอง แถมได้เป็นพระเอกเลย เอ๊ะ งั้นหรอกเหรอ ประมาณนี้

ว่าจะตามไปขอเพลงจักหน่อย
ขอออนไลน์ได้ทางช่องทางไหน แล้วจะตามไปฟังได้ยังไง นะคะ ? :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-05-2017 00:04:31
เขินไปอีก ละมุนมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-05-2017 01:10:34
สนุกมากเลยค่ะ ชอบมากกก ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: daraneea ที่ 03-11-2020 14:33:34
สนุกมั๊ยคะ????