พิมพ์หน้านี้ - ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ละอองฝน ที่ 20-05-2015 02:03:41

หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 20-05-2015 02:03:41
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)


*****************************************************************


สารบัญ

[url=http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3064866#msg3064866]☰ ตอนที่ ๑ ☰] (http://[/url)***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)


*****************************************************************


สารบัญ

☰ ตอนที่ ๑ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3064866#msg3064866)
☰ ตอนที่ ๒ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3066633#msg3066633)
☰ ตอนที่ ๓ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3074513#msg3074513)
☰ ตอนที่ ๔ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3081588#msg3081588)
☰ ตอนที่ ๕ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3087224#msg3087224)
☰ ตอนที่ ๖ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3095128#msg3095128)
☰ ตอนที่ ๗ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3137588#msg3137588)
☰ ตอนที่ ๘ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3165598#msg3165598)
☰ ตอนที่ ๙ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3172880#msg3172880)
☰ ตอนที่ ๙ ☰ (แก้ไขเพิ่มเนื้อหา) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3180129#msg3180129)
☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3186744#msg3186744)
☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3195573#msg3195573)
☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3209642#msg3209642)
☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3345538#msg3345538)
☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3391134#msg3391134)
☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3394504#msg3394504)
☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งแรก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3471130#msg3471130)
☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3471991#msg3471991)
☰ ตอนที่ ๑๗ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3560477#msg3560477)
☰ ตอนที่ ๑๘ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3561633#msg3561633)
☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3567724#msg3567724)
☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3568753#msg3568753)
☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=46939.msg3572462#msg3572462)




++++++++++++++++++++++++++

นิยายเรื่องอื่นๆ ของฝนค่ะ  :-[

โปรดจงรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42865.0)  (จบ)

++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: meeoldly ที่ 20-05-2015 02:18:36
 :mc4:

เรื่องใหม่
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 20-05-2015 02:28:15

คีตมาลา








เสียงกระซิบข้ามกาล แฝงในเพลงแว่วหวานมาแสนไกล
พร่ำเพรียกเรียกซ้ำ ร้องร่ำหาเจ้าหัวใจ
เจ้าจะลืมหรือยังหนอ คำมั่นที่ข้าฝากไว้
จากอดีตสู่ปัจจุบัน ใต้ร่มแก้วเจ้าจอมนั้น
ความรักของข้ายังมิรางเลือน…






๑.



   ความรู้สึกเสียดแทงในช่องปอดปลุกให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างขึ้นในสายนที สองแขนขาตะเกียกตะกายพาตนเองให้ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ทว่ากระแสน้ำไหลวนรุนแรงเบื้องใต้ก็ฉุดร่างให้ดำดิ่งกลับลงไปอีกครา ความน่ากลัวของกระแสสินธุ์ประดุจดังคมมีดอันเย็นเฉียบของเพชฌฆาต ที่พร้อมจะปลิดชีพของเขาในไม่กี่เสี้ยววินาทีข้างหน้า


   แรงดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดค่อยๆเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเหตุให้มิอาจพาตนเองโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้อีก ร่างกายค่อยๆจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ในที่สุดสติสัมปชัญญะอันเลือนรางจึงถูกพรากหายไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย...






   "คิน!....คินตื่นลูก นาคินได้ยินพ่อไหม"


   เสียงของบิดาเรียกสติให้ผู้เป็นลูกชายตื่นขึ้นจากฝันร้าย ใบหน้าของชายหนุ่มขาวซีดลงมากกว่าในยามปรกติเป็นสองเท่า บนหน้าผากและตีนผมมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดปรายอยู่เต็มไปหมด ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น นาคินก็มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของบิดาซึ่งมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว


   "มีอะไรเหรอพ่อ..." เสียงติดจะแหบเล็กน้อยตามประสาคนเพิ่งตื่นเอ่ยถาม "เราถึงบ้านลุงมนแล้วเหรอครับ"

   "ยังไม่ถึง แต่พ่อเห็นว่าเรามีท่าทางแปลกๆ ฝันร้ายเหรอลูก"

   "เอ่อ..." มือขาวๆเลื่อนไปหรี่อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่คอนโซลหน้ารถก่อนจะตอบ "ครับ..."

   "ฝันว่าอะไร?...ฝันเหมือนที่เคยฝันหรือเปล่า"

   "… " ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม

   "ไหนเราบอกแม่ว่ามันหายไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ครับ...เคยหายไปจนถึงตอนนี้" นาคินเลือกที่จะตัดความกังวลในแววตาของพ่อทิ้งโดยการบอกปัดไปเสีย "ช่างเถอะพ่อ คงไม่มีอะไรหรอก" รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าที่เริ่มจะดีขึ้นทำให้บิดาเบาใจไปเปราะหนึ่ง หากแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เนื่องจากนาคินไม่เคยฝันเช่นนี้มานานมากแล้ว


   ย้อนไปเมื่อตอนเป็นเด็ก นาคินมักจะฝันว่าตนเองจมน้ำเป็นประจำ ฝันบ่อยจนแม่ต้องบังคับพาไปเรียนว่ายน้ำ ทว่าแม้จะว่ายน้ำเป็นแล้วมันก็ยังไม่หายไป พ่อจึงตัดสินใจให้ไปบวชเณรภาคฤดูร้อนและฝึกทำสมาธิเรื่อยมา ตามคำแนะนำของเจ้าอาวาสที่วัดใกล้บ้าน กระทั่งในที่สุดนาคินก็ไม่ฝันเช่นนั้นอีก


   แต่ในตอนนี้ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ความฝันน่ากลัวในวัยเด็กกลับมาหลอกหลอนนาคินอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาโตขึ้นหรือเพราะเหตุผลอื่นใด ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าความฝันนั้นไม่ได้ทำให้เขาหวาดหวั่นอย่างที่เคยเป็น เพียงแต่ไม่ชอบความรู้สึกหลังจากที่ตื่นขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกหนาวเหมือนถูกน้ำเย็นสาดในวันที่อากาศค่อนข้างชื้น ทั้งน่าอึดอัดและหายใจไม่ค่อยออกคล้ายจะจับไข้เสียให้ได้


   เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นว่าลูกชายดีขึ้นมากแล้ว หลังจากสั่งให้ลงไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำในปั้มแห่งหนึ่ง เขาจึงออกรถเพื่อเดินทางต่อทันที

กรุงเทพ      107   กม.

Bangkok   107   km.








   ล้อรถเบี่ยงหมุนออกจากถนนใหญ่ซึ่งคราคร่ำไปด้วยรถยนต์และผู้คนหน้าตาบึ้งตึง ที่ต้องรีบเร่งเดินทางฝ่าการจราจรติดขัดในยามเช้าของเมืองกรุง รถเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยเล็กๆริมคลองที่ขับยิ่งลึกเข้าไปมากเท่าไร ระยะห่างของบ้านเรือนแต่ละหลังก็มากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าถนนสายนี้เป็นถนนส่วนบุคคล เพราะตั้งแต่ที่ขับเข้ามานาคินก็ยังไม่เห็นว่ามีรถขับสวนเข้าออกเลยสักคันเดียว


   สองข้างทางที่ผ่านก็เต็มไปด้วยต้นหางนกยูงสูงใหญ่แตกช่อใบเขียวสดขึ้นอยู่เรียงราย กระทั่งถึงสุดปลายทาง ภาพซุ้มประตูรั้วเล็กดัดสีขาวเก่าๆก็ปรากฏขึ้น ไม้ระแนงด้านบนของซุ้มเต็มไปด้วยเถาของกระดังงาที่ออกดอกห้อยย้อยลงมาเป็นสีเหลืองขนมตาลนวลตา


   พ่อบีบแตรหน้ารถเพื่อส่งสัญญาณเรียกคนในบ้าน รออยู่ครู่หนึ่งใครบางคนก็วิ่งออกมาเปิดประตูรั้วให้รถเข้าไปภายในได้ ด้านหลังกำบังของรั้วสีขาวและม่านไม้เลื้อยกลิ่นหอมยวน มีบ้านทรงไทยโบราณหลังใหญ่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ซึ่งหากประเมินด้วยสายตาปราดเดียวก็รู้ว่ามันตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลายาวนานพอควร


   ทันทีที่ลงจากรถ นาคินก็เห็นชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของบิดาเดินลงจากบันไดบ้าน เพื่อมาต้อนรับเขาสองพ่อลูกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร


   "ไม่เจอกันนาน แก่ลงไปเยอะเลยนะไอ้มน"

   "แกก็ใช่เล่นว่าแต่ฉัน ตีนกาขึ้นเป็นริ้วหางยาวเป็นหวายเชียวไอ้ชิน"


   คชินทร์และมนตรีเอ่ยทักอย่างเป็นกันเองก่อนจะสวมกอดกันเสียเต็มรักให้หายคิดถึง เป็นเวลานานหลายปีทีเดียวที่สองเพื่อนซี้พบกันครั้งสุดท้าย เนื่องจากต่างคนต่างก็มีเส้นทางชีวิตที่ต้องดำเนินต่างกันไป มนตรีมีอาชีพเป็นครูสอนดนตรีไทยอยู่ที่กรุงเทพ ส่วนคชินทร์ก็เปิดอู่รถอยู่ที่กาฬสินธุ์ ระยะทางไกลและชีวิตประจำวันที่วุ่นวายเกินกว่าจะหาเวลามานัดพบปะสังสรรค์เช่นวัยเรียน หากแต่ทั้งคู่ก็ยังคงโทรติดต่อไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเรื่อยมา แม้บางครั้งจะเว้นระยะไปนานมากก็ตาม


   "สวัสดีครับลุงมน" นาคินวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ข้างกายก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างดูจริงใจให้อีกทำนบ

   "โอ้โห!! เจ้าคิน...โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย ลุงล่ะจำแทบไม่ได้ ไอ้เด็กตัวขาวยิ้มฟันหลอโตมามันหล่อเหลาเอาการเลยนี่หว่า" ลุงมนขยับมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มที่มีรูปร่างสมชายชาตรีผิดกับวัยเด็กที่แสนจะผอมเกร็ง ก่อนจะสวมกอดแล้วมองด้วยสายตาชื่นชม

   "พ่อมันหล่อ ลูกมันก็ต้องหล่อเหมือนพ่อล่ะวะ" คชินทร์ว่าอย่างติดตลก

   "ไอ้นิสัยหลงตัวเองนี่มันแก้ไม่หายจริงๆเว้ย แก่จนหัวหงอกแล้วไอ้นี่ ไปๆเข้าไปนั่งคุยกันในบ้าน จะได้กินข้าวกินปลา ขับรถมาได้ตั้งไกล เด็กมันเตรียมข้าวต้มปลาไว้ให้โน่น ไปกินด้วยกันเสียเลย" เจ้าบ้านเอ่ยปากเชื้อเชิญก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนเรือน


   แต่ในขณะที่นาคินกำลังก้มหยิบกระเป๋าบนพื้น สายลมแรงก็พัดเข้ามาปะทะกายวูบหนึ่ง พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนบางอย่างที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย หากแต่คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปโดยรอบพบว่าบริเวณบ้านเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หอมไทยๆมากมาย ทั้งกระดังงา จำปี การะเวก ลีลาวดี รวมไปถึงมหาหงส์ที่ชูช่อขาวไสวก็ยังมี
แล้วที่พัดมาเมื่อกี้มันกลิ่นของดอกอะไรกัน


   "คิน! ยืนทำอะไรอยู่ ขึ้นมาสิลูก ผู้ใหญ่รออยู่เห็นไหม" ยังไม่ทันได้รู้ต้นต่อของกลิ่นที่เขาสงสัยก็ได้ยินเสียงพ่อเรียกให้รีบตามมาเสียก่อน นาคินจึงละความสนใจจากกลิ่นหอมนั้นแล้วตามขึ้นเรือนไป


   "กำลังไปครับพ่อ"








   มนตรีพาคชินทร์และลูกชายมานั่งที่หอนกซึ่งมีโต๊ะไม้เตี้ยๆตัวหนึ่งตรงกลาง โดยรอบแขวนกระถางกล้วยไม้ดอกสีขาวแซมม่วงแทนที่กรงนกเขาสมัยคุณปู่ ซึ่งมนตรีตัดสินใจเลิกเลี้ยงเพราะลูกชายคนโตบอกว่าสงสารนก ที่ถูกขังไว้ในกรงไม่มีอิสรภาพ ตั้งแต่นั้นเขาจึงหากล้วยไม้พันธุ์หายากมาปลูกแทน


   รออยู่ครู่เด็กรับใช้ในบ้านก็ช่วยกันยกโถข้าวต้มมาเสิร์ฟ นาคินหันไปยิ้มให้พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณเมื่อหญิงสาวตักข้าวต้มร้อนๆให้ ก่อนเจ้าบ้านจะเป็นคนแนะนำให้นาคินได้รู้จักคนงานของที่นี่


   "ที่นี่มีเด็กรับใช้อยู่สามคน คนสวนอีกหนึ่ง คนนี้ชื่อก้อย คนนี้ชื่อสาว มีอะไรคินก็เรียกใช้ได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะลูก ก้อยกับสาว นี่คุณนาคินกับคุณพ่อ ทั้งสองคนเป็นแขกของฉัน คินจะมาอยู่ที่นี่ มาเรียนหนังสือ ยังไงก็ดูแลกันด้วย"

   "ค่ะพ่อครู/ค่ะพ่อครู" สองสาวตอบพร้อมกัน


   ก้อยเป็นคนตัวเล็กผิวคล้ำ ส่วนสาวมีรูปร่างอวบกว่าสักหน่อยและขาวกว่า ทั้งสองคนยิ้มหวานพร้อมกับยกมือไหว้นาคินกับพ่อ จากนั้นมนตรีจึงแนะนำอีกว่าที่บ้านหลังนี้มีแม่ครัวอีกคนชื่อแม่ปุกเป็นคนเก่าคนแก่รับใช้คนในครอบครัวมานานต่อกันหลายช่วงอายุคน ส่วนคนสวนชื่อนายเสริมบางครั้งก็ทำหน้าที่ขับรถให้คนในบ้านด้วยอีกตำแหน่ง


   "แล้วลูกแกไปไหนกันหมด ฉันไม่เห็นหน้าเลย ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วล่ะสิ" คชินทร์ถามถึงบุตรชายหญิงของเพื่อน

   "เออนั่นสิ! จะว่าไปเช้านี้ฉันยังไม่เห็นหน้าเลย ไม่รู้ไปไหนกันหมด" เมื่อนึกขึ้นได้จึงหันไปถามเด็กรับใช้ "ก้อย เด็กๆไปไหนกันหมด"


   มนตรีเองก็มีลูกด้วยกันสองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลูกชายคนโตอายุยี่สิบปีพอดี ชื่อ สนธยา หรือที่ใครๆเรียกกันว่า สน ลูกสาวคนเล็กคือ มัทนา มีชื่อเล่นว่า พิม ส่วนรัตติกาลภรรยาของมนตรีเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกๆยังเล็ก มนตรีจึงครองตัวเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมานานเป็นสิบปี


   "ก้อยเห็นคุณพิมลงเรือนไปตามหาคุณพี่เธอ ที่เรือนดอกแก้วโน่นแน่ะค่ะพ่อครู" ก้อยรายงาน

   "ไปทำไมกันแต่เช้า ทุกทีเห็นตื่นสายโด่ง" มนตรีพึมพำกับตนเองก่อนจะหันมาพูดกับเพื่อน "เรากินข้าวกันเลยเถอะ ไม่ต้องรอสองคนนั่นหรอก มากินช้าผิดเวลาก็ให้ไปหากินในครัวเอาเองก็แล้วกัน"

   "ไม่ให้ใครไปตามเด็กๆมันเล่าไอ้มน"

   "ไม่เป็นไรหรอก อย่าหิ้วท้องรอเลยนี่สายมากแล้ว เอากินๆเลยเจ้าคินไม่ต้องรอ เดี๋ยวข้าวต้มไม่ร้อนจะไม่อร่อย"


   เมื่อเจ้าบ้านว่าดังนั้น ทุกคนจึงลงมือจัดการกับข้าวต้มปลากลิ่นหอมชวนชิมตรงหน้า ทันทีที่ข้าวต้มอุ่นๆตกถึงท้องนาคินก็ค้นพบว่าตนเองรู้สึกหิวเพียงใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววเลยสักนิด ทว่าขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักจ้วงข้าวต้มแสนอร่อยเข้าปาก หูก็พลันได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมดังมาจากบันได นาคินคิดว่าใครที่กำลังมุ่งหน้ามาคงจะตัวใหญ่น่าดู เพราะเสียงย้ำเท้าจึงดังตึงๆราวกับยักษ์ปักหลั่น


   "พี่สน!! หยุดเลยนะ" เสียงแหลมๆของเด็กสาวร้องแหวเอ็ดตะโรเรียกพี่ชายให้หยุด ทั้งยังเรียกความสนใจให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน หากแต่คนที่ถูกเรียกกลับเดินด้วยท่าทางนิ่ง ไม่สนใจ ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น

   "เสียงดังโวยวายอะไรกันพิม ไม่เรียบร้อยเลยลูก" มนตรีวางช้อนลงแล้วเอ็ดลูกสาว

   "ขอโทษค่ะพ่อ แต่พิมไม่ผิดนะคะ ก็พี่สนแกล้งพิมก่อนนี่คะ" เด็กสาวหน้าตาหมดจดวิ่งอ้อมไปนั่งข้างพ่อก่อนจะเกาะแขนฟ้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองทันที

   "สนแกล้งอะไรน้องหืม?" ผู้เป็นพ่อหันไปถามลูกชายคนโตซึ่งยืนอยู่ข้างเสาด้านหลังนาคิน

   "เปล่าครับ" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกมาเรียบๆ

   "พี่สนโกหก พี่สนแกล้งพิมจริงๆนะคะพ่อ พ่อต้องจัดการให้พิมนะ"

   "พอก่อนๆ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังนะพิม เห็นไหมว่าพ่อมีแขก อายลุงชินกับพี่คินไหมนี่ โตแล้วนะ แกล้งกันเป็นเด็กๆไปได้" เด็กสาวหันไปมองที่โต๊ะก่อนจะยกมือสวัสดีคชินทร์กับลูกชายแล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นสำรวมขึ้นทันใด

   "ไม่เป็นไรหรอกไอ้มน เด็กๆก็อย่างนี้ มีกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ดูอย่างเจ้าคินซิ อยู่ที่บ้านมันทะเลาะกับน้องเป็นประจำ ทำเอาแม่ไหมปวดหัวไปวันละหลายยกเพราะต้องคอยเป็นกรรมการห้ามทัพ" คชินทร์กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ

   "เออก็จริง ฉันล่ะเหนื่อยวันละหลายรอบเพราะต้องคอยห้ามทัพไอ้เด็กไม่รู้จักโตนี่ล่ะ" ว่าจบมนตรีก็เอ่ยเตือนลูกชาย "สน! ไปยืนค้ำหัวกันอยู่นั่นทำไม ลงมานั่งดีๆสิลูก แล้วนี่ไหว้ลุงชินเขาหรือยัง"

   "ลุงชินสวัสดีครับ" สนธยาเอ่ยขึ้นอย่างสำรวม

   "ไหว้พระเถอะลูก โตเป็นหนุ่มแล้วนะสน ลุงจำแทบไม่ได้เลย"


   นาคินมองเห็นเจ้าของเสียงนุ่มลูกชายคนโตของมนตรีไม่ถนัดนัก เนื่องจากสนธยายืนหลบเยื้องๆอยู่ด้านหลังของเขา แต่หลังจากไหว้พ่อชินเสร็จสนธยาก็ขยับมานั่งด้านซ้ายมือของนาคิน


   "สนจำคินได้ไหม เคยเล่นด้วยกันอยู่นี่นา" จบคำพ่อ สนธยาก็เหลือบไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง เป็นจังหวะพอดีที่นาคินเองก็หันมาสนธยาเช่นกัน

   "ดูสิพอโตเป็นหนุ่มน้องดันตัวสูงลอยผิดกับเราเลย ตัวเล็กแกน ได้แม่มาเยอะ"

   "แกก็เตี้ยยังจะกล้าไปว่าลูกอีก" คชินทร์ท้วงแทนสนธยาที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา


   เสียงของผู้ใหญ่สองคนที่พูดคุยกันกลับกลายเป็นเสียงที่ดังหึ่งๆเหมือนเสียงผึ้งทันทีที่นาคินมองเห็นหน้าสนธยาชัดๆ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวนัยน์ตากลมดำสนิท จมูกโด่งรั้นนิดๆ รับกับปากที่มีรอยหยักเล็กๆน่ารัก มองดูไปก็คล้ายกับมัทนาแต่แววตาออกจากดูสงบเยือกเย็นกว่าสักหน่อย


   ที่นาคินแลพิศนิ่งค้างเนิ่นนานไม่ใช่เพราะดวงหน้าหวานๆของฝ่ายตรงข้าม หากแต่เป็นเพราะนัยน์สีนิลซึ่งมีน้ำล่อเลี้ยงอยู่เล็กน้อยนี่ต่างหากที่ดึงดูดเขาเอาไว้ ความรู้สึกคุ้นอย่างน่าประหลาดแล่นเข้าสู่สมอง กระตุ้นเตือนความทรงจำสีจางให้เริ่มเด่นชัดขึ้น


   เราเคยพบกันมาก่อนนาคินแน่ใจ ทว่าพบกันตอนไหนนั้นเขากลับจำไม่ได้ อาจจะเป็นตอนเด็กๆตามที่ลุงมนว่ากระมัง นาคินสรุปเหตุผลให้ตัวเอง


   "สน”

“ครับลุงชิน”

“คินกำลังจะเข้าเรียนปีหนึ่งที่เดียวกับสน น้องมันบ้านนอกเข้ากรุง ยังไงลุงก็ฝากสนช่วยดูๆ คินให้ลุงหน่อยนะลูก" คชินทร์ว่า

   "ครับลุงชิน" สนธยาพยักหน้ารับคำ


   สุดท้ายทั้งหมดก็ได้นั่งทานอาหารเช้าด้วยกันที่หอนก คชินทร์กับมนตรียังคุยกันต่ออย่างออกรสชาติ ส่วนมัทนาเองก็ชวนนาคินคุยบ้างเช่นกัน เพราะเจ้าหล่อนรู้สึกถูกใจพี่ชายอีกคนที่กำลังจะมาอาศัยด้วยขึ้นมาเสียเฉยๆ จะมีก็แต่สนธยาเพียงคนเดียวที่นั่งทานอาหารเงียบๆ ตามวิสัยที่ไม่ชอบพูดจากับใครเท่าใดนัก มีบ้างที่ต้องตอบคำถามของคชินทร์กับมนตรี ทว่าเท่านั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดชวนให้ชายหนุ่มจากกาฬสินธุ์เหลือบตาไปมองเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว








   แสงแดดในยามเช้าส่องลอดผ่านแมกไม้ลงมากระทบน้ำใสในอ่างบัวเล็กๆ ริมทางเดินไปยังโรงรถ ดอกบัวสีชมพูสดคลี่กลีบบานสะพรั่งล่อหมู่แมลงให้ลงมาดอมดม คืนแรกที่เรือนไทยในกรุงเทพของนาคินผ่านไปด้วยดี ทั้งเขาและพ่อนอนหลับสนิทในห้องส่วนตัวที่ลุงมนตรีจัดเตรียมไว้ให้ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมีพร้อมสรรพสะดวกสบาย ยิ่งได้ตื่นแต่เช้าแล้วออกมาเดินเล่นสูดกลิ่นมวลไม้หอมกับตากลมเย็นๆ มันยิ่งทำให้นาคินรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ


   หลังจากทานอาหารเช้าพร้อมหน้ากันพร้อมหน้าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่พ่อจะต้องเดินทางกลับกาฬสินธุ์ นาคินกับมนตรีลงมาส่งพ่อที่รถ ส่วนสนธยากับมัทนาทำการไหว้ลากันตั้งแต่บนเรือนเพราะต้องแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว


   "มน ฉันฝากลูกด้วยนะ ถ้าคินมันก่อเรื่องอะไรล่ะก็ แกจัดการได้เต็มที่ ถือซะว่าฉันยกให้แกเป็นผู้ปกครองลูกฉันไปเลยแล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้ตลอดเวลา" ผู้เป็นพ่อฝากฝังลูกชายกับเพื่อนรัก

    "เอาน่าแกไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าคินก็เหมือนลูกฉัน ฉันจะดูแลมันแทนแกเอง ขับรถกลับดีๆ
ล่ะ"

   "ขอบใจแกมากจริงๆเพื่อน" คชินทร์ยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้งก่อนจะหันมาสั่งลูกชาย "นาคิน"

   "ครับพ่อ"

   "อยู่ที่นี่ทำตัวดีๆนะลูก มีอะไรที่พอจะช่วยแบ่งเบาภาระลุงได้ก็ทำนะ อย่าเกเรล่ะเข้าใจไหม แล้วก็ตั้งใจเรียนด้วย"

   "ครับพ่อ" เมื่อนาคินรับคำ ผู้เป็นบิดาก็ดึงลูกชายเข้าไปกอดด้วยความห่วงอาลัย

   "พ่อไปก่อนนะ" พ่อบอกหลังจากที่ผละออกจากกัน

   "ขับดีๆนะพ่อ บอกแม่ด้วยว่าผมจะโทรหาบ่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง"

   "แล้วพ่อจะบอกแม่แกให้นะ" รับคำเป็นเป็นประโยคสุดท้ายคชินทร์ก็ขึ้นรถก่อนจะขับออกไป


นาคินยืนมองรถของพ่อแล่นไปจนลับสายตา เมื่อนายเสริมปิดประตูรั้วเรียบร้อยมนตรีจึงชวนให้นาคินขึ้นเรือน ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย เขาถอดรองเท้าแล้วเดินตามหลังเจ้าบ้านไป โดยที่ไม่ทันได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังแว่วมากับสายลม




กลับมาเสียที






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนว่านิยายเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากพล๊อตที่ฝนเคยเขียนเป็นแฟนฟิคศิลปินคู่หนึ่ง
แต่ว่าไม่สามารถเขียนให้จบได้ ด้วยความที่ทิ้งไปนาน เราก็เลยอยากเอาพล๊อตมารีเมคใหม่
ให้เป็นนิยายที่มีชื่อตัวละครที่เราคิดเองเสีย ดังนั้นจึงกลายเป็นคีตมาลาที่เอามาลงอยู่ตอนนี้
และเมื่อฝนตัดสินใจลงในเล้าแล้ว แน่นอนว่าต้องเขียนให้จบให้จงได้
ส่วนในเรื่องของคู่อื่นๆที่ต่อจากโปรดจงรัก ซึ่งเราก็ตั้งใจว่าจะเขียนด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้พล๊อตยังตบไม่ลงตัวสักเท่าไร่ เอาไว้ให้เข้าที่เข้าทางดีแล้ว
จะแต่งมาให้อ่านอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นยังไงก็ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ


ละอองฝน
[๒:๓๒ , ๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 20-05-2015 02:46:23
น่าสนุก  รอตอนต่อไปนะคะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-05-2015 02:53:21
ตั้งหน้าตั้งตารออ่านเรื่องใหม่เลยจ้า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-05-2015 08:10:45
ติดตามด้วยคน

ชอบพวกมีเซ้นต์ มีฝันแบบนี้จัง

คริ คริ ว่าแต่  คินจ้ะ ฝันว่าจมน้ำอย่างเดียวเหรอ

เคยฝันเห็นตัวเลขใหม ชะอุ่ย ลืมตัว
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 20-05-2015 08:22:20
ติดตามนะค้าา.. :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 20-05-2015 10:59:52
รอติดตามนะคะ เปิดเรื่องได้น่าสนใจมากๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 20-05-2015 12:42:27
เห็นชื่อคนเขียน รีบเข้ามาเลยจ้า ภาษายังสวยเหมือนเดิมเลย  :กอด1:
เรื่องนี้มาคนละแนวกับของน้องรักเลยนะเนี่ย แต่น่าติดตามไม่แพ้กัน
แนวระลึกชาติเหรอเนี่ย คินกับสน เคยเป็นอะไรกันในชาติก่อนนะ
แล้วเสียงที่แว่วขึ้นมานั่น เสียงของใครน้อ รอติดตามจ้า
แล้ว คู่อื่น ๆ ในโปรดจงรักนี่ มีใครบ้างนะ จะมีเฮียวินไหมน้อ :mew2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 20-05-2015 13:07:30
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 20-05-2015 14:13:48
แค่ตอนแรกก็รู้สึกติดใจพี่สน ดูลึกลับ มีเสน่ห์ น่าค้นหา

พี่สน น้องคินนี่ตัวเอกใช่ไม๊คะ ถ้าใช่มันก๊าวส์ใจมาก

แต่เหมือนจะมีเงาอดีตถามหา บรึ๋ยย คงไม่น่ากลัวนะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 20-05-2015 14:49:56
 :katai2-1: :katai2-1: ติดตามเรื่องใหม่จ้าาา สนุกอะหลอนๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-05-2015 17:00:26
คุ้นๆ เหมือนเคยอ่านตอนแฟนฟิค ไม่เป็นไร รออ่านใหม่จ้า
อยู่ ทีมสนคิม รึ ทีมคิมสน ดีน๊า คิดไปพลางๆ 555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 20-05-2015 21:51:43
สนุกและน่าติดตามมากๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 21-05-2015 00:06:07
น่าติดตามมาก จะเป็นคิน-สน หรือคิน-....?  :hao3:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 21-05-2015 00:51:57
 :mc4: o13
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 21-05-2015 02:05:49
น่าติดตามค่า  รอตอนต่อไปนะคะ :mc4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 21-05-2015 19:45:53



๒.





   ชีวิตต่างบ้านในวันที่สองของนาคินไม่ได้ผิดแผกไปจากวันแรกเท่าใดนัก ชายหนุ่มยังคงตื่นนอนแต่เช้า ลงมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายรอบๆบริเวณบ้าน ก่อนจะเสนอตัวช่วยลุงเสริมรดน้ำต้นไม้ที่แปลงหน้าศาลารับลมข้างสระน้ำ แล้วจึงกลับขึ้นไปร่วมโต๊ะกับลุงมนและลูกๆ


   ทว่ามีสิ่งพิเศษอย่างหนึ่งที่ดูจะไม่เหมือนวันแรกนั่นคือ วันนี้ที่เรือนดอกแก้วด้านหลังเรือนใหญ่ มีกลุ่มเด็กชายหญิงราวๆเกือบยี่สิบคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเพื่อรอเรียนดนตรีไทยกับพ่อครูมนตรี


เรือนดอกแก้วเป็นเรือนใต้ถุนเตี้ยยกพื้นสูงประมาณสองฟุต ด้านหน้าเรือนมีแก้วเจ้าจอมต้นสูงใหญ่ปลูกอยู่ หากแต่มันมีเพียงแค่ใบเขียวชอุ่มไร้ซึ่งดอกดวง ขึ้นบันไดเล็กไป บนตัวเรือนมีชานกว้างเปิดโล่งด้านหน้า พื้นเรือนยกสูงขึ้น มีผนังปิดกั้นสามด้าน ซ้ายสุดจะมีประตูเชื่อมต่อเข้าไปด้านใน แต่ประตูบานนั้นปิดสนิทและนาคินก็นั่งดูอยู่เพียงโถงด้านนอก จึงไม่อาจทราบได้ว่าห้องที่ต่อเข้าไปมีลักษณะเป็นอย่างไร


   เด็กน้อยในชุดเสื้อลำลองเหน็บโจงกระเบนแดง นั่งพูดคุยส่งเสียงเสียงเจื้อยแจ้วประจำที่อยู่หน้าเครื่องดนตรีประจำตัวของตน ซึ่งจัดเรียงเป็นวงมโหรีเครื่องใหญ่ ด้านหน้าสุดเป็นจะเข้ ซอด้วง ซอสามสาย ซออู้ เรียงจากซ้ายไปขวาตามลำดับ ถัดไปอีกเป็นเครื่องตีจำพวกระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเหล็ก และท้ายสุดเป็นฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ รำมะนา ฉิ่ง โทน แต่ที่พิเศษกว่ามโหรีใหญ่ตามแบบฉบับโบราณคือการเพิ่มขิมเข้ามาบรรจุในวงอีกสองตัวขนาบด้านข้าง


   เมื่อพ่อครูขึ้นมาบนเรือนเด็กๆจึงเงียบเสียงลง เด็กผู้ชายตัวเล็กซึ่งเล่นจะเข้เป็นเครื่องดนตรีประจำกายส่งเสียงเป็นสัญญาณให้ทุกคนทำความเคารพ พ่อครูมนตรีพูดคุยกับเด็กๆอย่างเป็นกันเองเล็กน้อยพอให้บรรยากาศครึกครื้นจึงเริ่มต่อเพลงที่ค้างไว้จากคราวที่แล้ว


   นาคินเพียงนั่งฟังอยู่ห่างๆก็รู้สึกว่าเจริญหูเจริญตา เพราะเด็กทุกคนดูมุ่งมั่นตั้งใจ แววตาใสๆแสดงออกถึงความรักในสิ่งที่ทำจนชายหนุ่มสัมผัสได้ มนตรีเองก็เหมือนกัน ในเวลาปรกติเจ้าตัวจะดูร่าเริงแจ่มใสและขี้เล่น หากแต่เวลานี้ นาคินกลับรู้สึกว่าลุงมนที่เขารู้จักช่างดูน่าเคารพนับถือยิ่ง


   นานกว่าสามชั่วโมงที่นาคินนั่งฟังดนตรีไทยโดยที่ไม่ลุกหนีไปไหน กระทั่งสิ้นสุดคาบเรียนชั่วโมงสุดท้าย เด็กๆก็ไหว้ลาพ่อครูแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน


   นาคินเดินกลับจากเรือนดอกแก้วพร้อมกับมนตรี ทั้งสองเดินสนทนาอะไรกันมาเรื่อยเปื่อยตลอดทาง กระทั่งมีเด็กหญิงคนหนึ่งเรียกมนตรีจากทางด้านหลัง เขาทั้งคู่จึงหยุดรอเด็กน้อยคนนั้น


   "พ่อครูคะ"

   "มีอะไรเหรอมะปราง ทำไมหนูยังไม่กลับบ้านอีกล่ะลูก"

   "ปรางแล้วก็พี่มุกช่วยกันถูยางสนกับสายซออยู่ค่ะพ่อครู" เด็กหญิงตอบ

   "แล้วหนูมีอะไรจะถามพ่อครูหรือเปล่า หนูถึงเรียกพ่อครูไว้" มนตรีถามด้วยแววตาเอื้ออารี

   "คือหนูกับพี่มุกสงสัยว่าวันนี้ครูพี่สนไปไหนคะพ่อครู ทำไมครูพี่สนถึงไม่มาสอนเราด้วยล่ะคะ"

   "อ๋อ ครูพี่สนไปทำธุระให้พ่อครูน่ะสิลูก"

   "โถ่~ เสียดายจังค่ะ ไม่ได้เจอครูพี่สนตั้งนาน มะปรางคิดถึ้ง คิดถึง" มะปรางว่าพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อย ท่าทางน่ารักๆของเธอทำให้มนตรีอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้

   "เอาไว้พรุ่งนี้นะลูก"

   "ค่ะ งั้นหนูกลับก่อนนะคะพ่อครู แม่มารับแล้ว"

   "เจอกันวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ กลับบ้านไปซ้อมด้วยล่ะ" มนตรีสั่งเป็นคำสุดท้ายเด็กหญิงก็สะพายกระเป๋าซออู้วิ่งจากไป นาคินมองตามเด็กน้อยไป ก่อนจะหันมาถาม

   "ลุงมนครับ สน.....ไม่ใช่สิ ต้องเป็นพี่สน" แก้คำผิดกับตัวเองเสียใหม่ก่อนจะถามอีกครั้ง "พี่สนเป็นครูสอนดนตรีไทยของที่นี่ด้วยเหรอครับ"

   "ใช่แล้วล่ะคิน รายนั้นน่ะเล่นดนตรีเป็นทุกชิ้น ลุงสอนพี่เขามาตั้งแต่เด็ก เป็นพวกมีพรสวรรค์หยิบจับชิ้นไหนก็เข้าทางเขาไปเสียหมด ช่วยแบ่งเบาภาระลุงไปได้เยอะ" มนตรีเล่าด้วยความรู้สึกภูมิใจ

   "เหรอครับ..."


   นาคินฟังลุงมนเล่าต่อเงียบๆหากในใจอดที่จะทึ่งไม่ได้ ชายหนุ่มไม่คิดว่าสนธยาจะมีความสามารถถึงขนาดนั้น คิดตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะลงมาพิสูจน์ฝีมือลูกชายคนโตของลุงมนนเสียหน่อยว่าจะเก่งจริงดั่งคำที่ลุงแกโม้เอาไว้หรือเปล่า








   เช้าวันต่อมา


   ทันทีที่นาคินย่างเท้าก้าวข้ามธรณีประตูชานเรือนดอกแก้วเข้ามา สายตาก็มองตรงไปยังกลุ่มลูกศิษย์กับพ่อครูมนตรีที่กำลังต่อเพลงลาวครวญซึ่งเป็นเพลงสองชั้นต่อเนื่องจากเมื่อวาน ก่อนดวงตาสีน้ำตาลเข้มละจากพวกเด็กน้อยเพื่อพุ่งจุดสนใจไปที่ครูผู้ช่วยของมนตรีแทน


   สนธยากำลังอธิบายบางอย่างที่นาคินไม่ได้ยินให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งประจำระนาดทุ้มฟัง ก่อนจะจับข้อมือเล็กจัดวางให้ตรงตามคุณลักษณะที่ถูกต้อง ริมฝีปากหยักโค้งเอื้อนเอ่ยตัวโน๊ตเป็นจังหวะกำกับให้ลูกศิษย์ตัวน้อย จบท่อนหนึ่งที่ข้องใจ เด็กหญิงก็หันมายิ้มแป้นแทนคำขอบคุณ นั่นเป็นเพราะเธอทำได้ตามที่ต้องการแล้ว นาคินลอบเห็นรอยยิ้มตอบกลับเล็กๆของครูพี่เลี้ยงด้วยแวบหนึ่ง แม้จะรวดเร็วมากแต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก


   นั่งดูการเรียนการสอนสักพัก ยังไม่ทันที่จะได้ชื่นชมความสามารถจริงๆของลูกชายเพื่อนพ่อ อยู่ๆนาคินก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขารู้สึกราวกับถูกดวงตาของใครบางคนจ้องมอง มันไม่ได้น่ากลัวแต่ก็ให้ความรู้สึกอึดอัดครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล ความสนใจในตัวสนธยาและเด็กๆจึงถูกหันเหออกไปหมดสิ้น ทั้งๆที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยในเช้านี้ มิหนำซ้ำลมยังโกรกเข้ามาที่ชานเรือนอีกต่างหาก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เหงื่อเม็ดใสจึงผุดปรายปรากฏขึ้นเต็มหน้าผากของชายหนุ่ม


   ในที่สุดนาคินก็อดรนทนไม่ไหวกับความรู้สึกนั้น ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินลงจากเรือนไป คิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะกินข้าวเช้าน้อยไปนิด และเมื่อคืนคุยเล่นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คกับเพื่อนที่กาฬสินธุ์นานไปหน่อย ทำให้กว่าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว นั่นคงเป็นสาเหตุให้รู้สึกง่วงนอนและตะครั่นตะคร้อเช่นนี้


   คล้อยหลังนาคินที่เพิ่งก้าวลงจากเรือนดอกแก้วไป นัยน์ตาสีนิลใสก็เผลอเหลือบตามไปด้วย สนธยาคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นทำให้นาคินคิดที่จะเข้ามาชมการเรียนการสอน แต่เพราะอะไรที่โบราณคร่ำครึในสายตาของวัยรุ่นทั่วไป เป็นเหตุให้ในใจของสนธยาคิดปรามาสว่านาคินคงจะเบื่อหน่ายอะไรเช่นนี้ จนต้องกลับไปหาอย่างอื่นทำแทน


   "หึ..." แต่สนธยาก็เค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่ยีหระ แล้วหันไปสนใจเด็กนักเรียนของตนต่อไป








   เมื่อลงจากเรือนดอกแก้วมาแล้ว นาคินตัดสินใจว่าจะยังไม่กลับขึ้นเรือนใหญ่แต่เขากลับลัดเลาะเดินเล่นไปตามด้านข้างของตัวเรือนดอกแก้วแทน ขณะที่เดินไปเรื่อยๆชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าที่นี่มีศาลาริมน้ำด้วย ตัวศาลายื่นลงไปในคลองสายเล็กที่นาคินคะเนว่าเชื่อมยาวมาจากคลองสายใหญ่ที่เห็นตรงปากซอย แล้วชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ไปหยุดยืนอยู่บนศาลาเพื่อทอดมองทิวทัศน์โดยรอบ


   สายวันนี้อากาศดี ปุยเมฆสีขาวลอยเอื่อยๆตัดกับท้องฟ้าสีคราม ลมเย็นชื่นใจพัดเรื่อยบนทิวระลอกคลื่นที่มีแสงแดดส่องกระทบระยิบระยับชวนให้ตาพร่า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆครั้งหนึ่งแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย เขามองตามผักตบชวาลอยมาติดที่บันไดท่าน้ำซึ่งทอดตัวล้ำออกไปจากศาลา ดอกสีม่วงของมันชูช่อส่ายไปมาหยอกล้อกับสายลมอ่อน ดวงตาคมจ้องภาพเหล่านั้นอยู่เนิ่นนานราวกับตกอยู่ในภวังค์


   หากแต่จู่ๆสายลมที่พัดโชยเอื่อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นลมกรรโชกแรงราวกับพายุกำลังก่อตัว ดอกผักตบชวาถูกระลอกคลื่นพัดไปไกลอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลับตา แล้วเสียงหนึ่งก็เรียกให้ชายหนุ่มหันเหความสนใจไปเสียก่อน






   "ฮือๆ...เอาของข้าคืนมานะ...ฮรึก! เอาคืนมา"


เด็กหญิงเกล้าจุก นุ่งโจงกระเบนสีหม่นกับเสื้อคอกระเช้า ยืนร้องไห้เช็ดน้ำตาป้อยๆอยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กชายสามคนที่ไว้แกละไว้เปีย ตัวดำเป็นเหนี่ยง เสื้อไม่สวม นุ่งแต่โจงกระเบนสีเดียวกันหมด

   "จ้างก็ไม่ให้ดอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า!~" เจ้าแกละที่ยืนตรงกลางทำท่าคล้ายกับเป็นหัวโจกว่า พลางกำตุ๊กตาลูกตาลผมยุ่งซ่อนไว้ด้านหลังตน

   "เอาของข้าคืนมานะ...อะ..เอาคืนมา"

   "จ้างก็ไม่คืน ไอ้ขี้แย เว้ยๆไอ้ขี้แย~ ร้องไห้งอแงขี้มูกยืด"


   เด็กชายสามคนล้อมเป็นวงกลมแล้ววนไปรอบๆเด็กหญิงตัวน้อยท่าทางบอบบาง พร้อมกับโยนตุ๊กตาส่งผลัดกันไปมาไม่ให้เด็กหญิงแย่งกลับคืนไปได้ ซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาทำท่าล้อเลียน


   "ไอ้แดง!! เอาตุ๊กตาคืนจันทร์หอมไปประเดี๋ยวนี้นา!"


   เสียงตะคอกแหวของเด็กหญิงอีกคนดังขึ้น ในมือเล็กๆถือกิ่งมะรุมแห้งกิ่งเบ้อเริ่มเทิ่มยืนตั้งท่ามั่น ก่อนจะส่งสายตาดุดันไปให้เด็กชายทั้งสามคน


   "อีแก้ว! เอ็งมาเสือกอะไรด้วย เรื่องของเอ็งรึก็ไม่ใช่" แดงโต้กลับ ระหว่างนั้นจันทร์หอมก็วิ่งไปหลบหลังเพื่อนรัก

   "ทำไมข้าจะเสือกไม่ได้ จันทร์หอมเป็นเกลอข้า หากเอ็งไม่คืนตุ๊กตาให้จันทร์หอม ข้าจะฟาดเอ็งด้วยกิ่งมะรุมนี่จริงๆ" ไม่ว่าเปล่า เด็กแก้วยังก้าวเข้าไปใกล้ มือเล็กวาดกิ่งไม้ฟาดฉวัดเฉวียนไปมาขู่ฝ่ายตรงข้ามอีกคำรบ

   "อีแก้ว....น..นี่เอ็งคิดจะขู่ข้ารึ"

   "ข้ามิได้ขู่ หากว่าเอ็งไม่ทำตาม ข้าจะฟาดเอ็งให้กะบาลแยกจริงๆเชียว" ขู่ฟ่อใส่เจ้าแดงเสร็จ แก้วก็หันไปขู่เด็กชายอีกสองคนด้วย "พวกเอ็งก็เหมือนกันไอ้ผัน ไอ้จ่อย อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ ข้าจะฟาดไม่เลี้ยงทีเดียว"


   ท่าทางก๋ากั่นไม่เกรงกลัวใครเกินกว่าเด็กหญิงทั่วไป ทำให้เด็กชายสามคนนึกผวา หวาดๆว่าหากแก้วฟาดกิ่งมะรุ่มใส่ตนจริงคงจะเจ็บน่าดู คิดได้ดังนั้นเจ้าแดงก็ถอยหลังพรูไปสองสามก้าว


   "ข้าจะคืนตุ๊กตาให้เอ็งก็ได้อีแก้วนักเลงโต แต่ว่า...." เว้นระยะไปอึดใจเจ้าแดงก็ขว้างตุ๊กตาลูกตาลของจันทร์หอมลงไปในคลอง "แต่ว่าเอ็งก็โดดลงคลองไปเก็บเอาแล้วเองนะโว้ย" ว่าจบแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กหญิงทั้งสองก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

   "ไอ้แดง!!!!" แก้วตะโกนลั่นเพราะเจ็บใจ คิดจะวิ่งตามมันไปแต่จันทร์หอมก็รั้งไว้

   "อย่าไปเลยแก้ว มันมีกันตั้งสามคน ช่างมันเถอะ"

   "คอยดูนะ ข้าจะไปบอกน้าเจียกแม่มัน ว่าไอ้แดงมันทำเลวอย่างไรกับเอ็งมั่ง" เด็กหญิงกัดฟันกรอดว่าอย่างแค้นใจ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังทอแววดุดันไม่ลบเลือน หากแต่เมื่อพลันได้สติเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตุ๊กตาลูกตาลของเพื่อนถูกโยนทิ้งลงไปในน้ำ แก้วจึงพรวดพราดวิ่งไปที่ริมตลิ่ง "ตุ๊กตาเอ็ง! ประเดี๋ยวข้าจะเอาไม้ยาวๆเขี่ยมันขึ้นมาคืนให้เอ็งนะ"

   "อืม" จันทร์หอมเช็ดคราบน้ำตาก่อนจะพยักหน้ารับเร็วๆ


   แก้วมองหากิ่งไผ่แห้งขนาดเล็กแต่ยาวพอเหมาะได้จากกอไผ่ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ เด็กหญิงริดใบเล็กๆของมันออก ก่อนจะกลับมายืนริมตลิ่งเช่นเดิม หากแต่กระแสน้ำช่างไหลเชี่ยวยิ่งนัก ตุ๊กตาลูกตาลกึ่งลอยกึ่งจมถูกระลอกคลื่นพัดไปไกล แม้เด็กน้อยจะพยายามเอื้อมจนสุดแขนก็ยังไม่สามารถเกี่ยวมันกลับเข้าฝั่งได้


   "ช่างมันเถอะแก้ว ข้าไม่เอาแล้วก็ได้" จันทร์หอมเห็นเพื่อนยืนเกาะกอกก ยื่นตัวลงไปหมิ่นเหม่จะตกคลองท่าทางน่าหวาดเสียว เธอจึงอดรนทนไม่ไหวร้องห้ามเพราะกลัวว่าแก้วจะตกลงไป

   "ไม่เป็นไร อีกนิดเดียว ข้าไม่ตกดอก...." ขยับไปอีกนิด กำมือที่จับกอกกเลื่อนกระเถิบมาจนสุดปลายสาย กระทั่งปลายไม้เกี่ยวใยผมของตุ๊กตาได้ เด็กหญิงจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ "ได้แล้ว! ได้แล้วจันทร์หอ..ม! อ๊า!!”



ตู้ม!!


   ไม่ทันได้ตั้งตัว กลุ่มใบกกที่เด็กน้อยจับเอาไว้ก็กระชากขาดเพราะรับน้ำหนักตัวไม่ไหว จึงทำให้ร่างของแก้วพุ่งถลาตกลงไปในคลองทันที!


   "แก้ว!!!!" จันทร์หอมตะโกนกรีดร้องสุดเสียง ด้วยความตกใจ


   แก้วว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำร้ายวันนี้น้ำในลำคลองไหลแรงและเชี่ยวกรากยิ่งนัก ด้วยความที่เป็นคนทรหดใจสู้ เธอกระเสือกกระสนทะลึ่งขึ้นมาเหนือน้ำได้หลายครั้ง แต่แล้วก็จมลงไปอีกเพราะแรงตีมวลของน้ำวนข้างใต้ จันทร์หอมโหยหวนเรียกให้คนมาช่วยลั่นคุ้งไปหมด ตัวเธอเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำยังเป็นคนจิตอ่อนตกใจง่าย เด็กน้อยจึงร้องจ้าด้วยความกลัวว่าเพื่อนจะจมน้ำตาย


   ขณะที่แก้วกำลังจะจมหายไปกับสายธารา เสียงโดดน้ำดังตูมก็เรียกความสนใจให้จันทร์หอมหยุดสะอื้น ชายหนุ่มคนหนึ่งโดดลงไปช่วยเพื่อนของเธอ เขาว่ายเข้าไปใกล้ก่อนจะดำผุดดำว่ายหาร่างเล็กอยู่ครู่หนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นไปช่างบีบคั้นหัวใจให้อึดอัดเหลือคณา


   แล้วใบหน้าขาวซีดของแก้วโผล่พ้นน้ำขึ้นมาซบอยู่กับอกของชายหนุ่ม เขาลากพยุงเด็กน้อยไปที่ท่าน้ำ ก่อนจะอุ้มแก้วขึ้นบันไดท่าด้วยความทุลักทุเลเนื่องจากตัวเปียกปอนด้วยกันทั้งคู่


   ชายหนุ่มจับตัวแก้วพาดกับไหล่ซึ่งไม่ได้กว้างนักของเขา ก่อนจะเขย่าตัวให้เด็กหญิงสำรอกน้ำออกมา ครู่เดียวน้ำใสๆก็ทะลักออกปากออกจมูก เสียงไอสำลักคอกแค่กเป็นสัญญาณให้เบาใจได้ว่าเด็กน้อยรู้สึกตัวแล้ว เขาจึงประคองร่างเล็กๆ
ลงมาอุ้มกับอก ย่อตัวลงนั่งบนไม้กระดานแล้วปล่อยตัวของแก้วให้นอนราบกันพื้นศาลา ส่วนศีรษะก็ถูกช้อนเอาไว้ด้วยวงแขนของเขาเอง


   "เป็นอย่างไรบ้าง" เสียงนุ่มทุ้มหวานเอ่ยถามแผ่วเบา


   เสียงนี้เป็นเสียงที่เรียกให้เปลือกตาที่เกือบจะหลับไปตลอดกาลลืมขึ้นมาได้อีกครั้ง ดวงตาของเด็กหญิงแดงก่ำและเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตา เธอจ้องมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์หมดจดของผู้ช่วยชีวิตด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะยกมือขึ้นประนมแล้วกล่าวออกไปเสียงสั่นเครือ


   "ข..ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน....ที่ช่วยแก้วไว้"

   "ไม่เป็นไร ทีหน้าทีหลังอย่าลงไปเล่นใกล้น้ำอีก จะจมน้ำตายเอารู้หรือไม่"

   "เจ้าค่ะ" น้ำเสียงอ่อนโยนที่เขามอบให้ทำเอาน้ำตาหยดใสไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

   "แก้ว!! เป็นอย่างไรบ้าง.." เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆของจันทร์หอมเรียกความสนใจของผู้มีพระคุณของแก้วหันไปมองตาม...




   หากแต่นั่นเองที่ทำให้นาคินยืนนิ่งอึ้ง! เขาค้างอยู่ท่าเดิมนั้นราวกับถูกสาปให้เป็นหิน เพราะใบหน้าของคุณสินที่เด็กน้อยเรียก ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าหวานของลูกชายคนโตของลุงมน ซึ่งกำลังโบกมือคู่เรียวไปมาตรงหน้าเขาในขณะนี้


   "สน!!!" นาคิมเรียกชื่อของคนที่ก้มตัวลงมาเอียงหน้ามองตัวเองจนคอเอียงเสียงดังลั่น ก่อนจะผงะถอยหลังไปชิดพนักเก้าอี้ในศาลา

   "ก็ใช่น่ะสิ ตะโกนทำไมนะ อยู่กันแค่นี้ หูอื้อหมดเลย" เรียวคิ้วโค้งขมวดมุ่นเป็นปม นิ้วชี้เรียวยาวแคะเข้าไปในรูหูของตัวเองพลางบ่นงึมงำออกมาคนเดียว

   "…!" นาคินมองไปรอบๆบริเวณอย่างรวดเร็ว เหลียวซ้ายแลขวา แล้วต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าบนสถานที่แห่งนี้ รอบบริเวณนี้ทั้งหมด มีเพียงเขาและสนธยาอยู่ลำพังด้วยกันเพียงสองคนเท่านั้น!

   "เป็นอะไร?" สนธยามองสีหน้าปั้นยากของคนตัวสูงกว่าก่อนจะถามออกมาเรียบๆ

   "…เอ่อ..."


เหมือนมีก้อนสะอึกอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ เด็กๆที่เห็นเมื่อครู่หายไปไหน เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้า อยากจะรู้ อยากจะถาม หากแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร สมองประมวลผลไม่ทันจนรู้สึกวิงเวียนไปหมด คำถามมากมากผุดขึ้นมาในหัวว่า



เกิดอะไรขึ้นกับเขา?

บุคคลกับเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อกี้คืออะไร?

ทุกอย่างหายไปได้อย่างไร?

แล้วสิ่งที่เขาเห็นคือความจริงหรือความฝันกันแน่?




   "ถามว่าเป็นอะไร...เห็นยืนเหม่อตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ"


ความจริงก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก สนธยาคิด เพราะนาคินอาจกำลังคิดอะไรบางอย่างที่บอกให้สนธยาฟังไม่ได้ แต่ไอ้ท่าทางที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นนานเกือบสิบนาทีตั้งแต่สนธยามาพบเข้า ผนวกกับอาการเหม่อลอยทำเหมือนมองไม่เห็นเขาในสายตา ซ้ำยังไม่ตอบคำถามในตอนนี้ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเหมือนถูกมองเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน


   "เอ่อ...ปะ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร แล้วสนมีอะไรหรือเปล่า" นาคินตอบออกมาในที่สุด

   "หึ..." ส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยธุระที่ทำให้ตนถ่อมาถึงที่นี่ "พ่อให้มาตามไปกินข้าวกลางวัน"

   "อ๋อ..." นาคินพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังสนธยาออกจากศาลาไป ในใจพลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อครู่ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ "สน"

   "อะไร?" สนธยาหยุดเดินเพื่อหันกลับมาเลิกคิ้วแล้วมองหน้า

   "นี่กี่โมงแล้วเหรอ"

   "เที่ยงครึ่ง"

   "เที่ยงครึ่ง!" นาคินทวนอีกครั้งเสียเสียงดังอย่างไม่เชื่อหู พลอยทำให้คนถูกถามตกใจไปด้วย

   "ก็ใช่น่ะสิ มีอะไรหรือเปล่า"

   "อ๋อ..ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร" ร่างสูงบอกปัดพร้อมกับยิ้มแหยๆ

 
   เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรสนธยาจึงออกเดินนำร่างสูงกลับเรือน แต่คนที่เดินตามนั้นกลับสับสนวุ่นวายปวดหัวจนแทบระเบิด เขาหลับไปอย่างนั้นหรือ นาคินตั้งคำถามกับตัวเองทว่าคำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขายืนหลับอยู่บนศาลาตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยง ทั้งที่ในตอนแรกเสียงเด็กๆ พวกนั้นต่างหากที่ทำให้เขาสนใจหันไปมอง ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่สงสัยอย่างไรก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้


   "เกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย" นาคินพึมพำกับตนเอง

   "ว่าอะไรนะ" สนธยาเอี้ยวตัวกลับมาถามเพราะคิดว่าร่างสูงพูดกับตน

   "ไม่มีอะไร ผมพูดกับตัวเอง"

   "อ่อ..." สนธยากรอกตาแล้วซอยเท้าจ้ำอ้าวไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดรั้งรอเสียเวลากับผู้ชายสติไม่เต็มเต็งคนนี้อีก








‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ ทำไมมาต่อเร็ว
พอดีว่าเรามีสต็อกไว้และรีไรต์ตอนนี้ไม่มาก
ก็เลยเอามาลงก่อนครบกำหนดค่ะ ^^
ต่อไปเราจะลงเรื่องนี้ทุกๆวันพฤหัส คือถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่ให้เกินนี้
จะได้มีเวลาเขียนเรื่องอื่นด้วย  :katai4:
ลงเรื่องนี้อาทิตย์ละครั้งคงไม่นานไปนะคะ
เห็นลงเรื่องใหม่แล้วมีคนมาคอมเม้นต์ต้อนรับยิ่งทำให้ดีใจ
ไฟลุกและฮึกเหิมมาก 55555
เรื่องนี้ถามว่าเรื่อยๆเหมือนโปรดจงรักไหม
เราคิดว่าคนละ Feelนะ
พล็อตคีตมาลาเป็นเรื่องที่เริ่มเบาๆ แล้วค่อยๆพีค
แต่จะพีคมากพีคน้อยก็ต้องลองอ่านดูค่ะ 
เอาเป็นว่าพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ยังไงก็ฝากคีตมาลาไว้ด้วยเน้อ

ละอองฝน
[๑๙:๓๗ , ๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-05-2015 19:58:19
นี่อ่านไปก็สับสนและมึนงงตามไปด้วยละค่าาา รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 21-05-2015 20:06:05
นาคินเมื่อครั้งอดีตไปทำอะไรให้ใครเขาแค้นเคืองใจไว้แน่เลยนะคะเนี่ย โชคชะตาถึงได้นำพาให้กลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง o8 อืม~ เรารอลุ้นตอนต่อไปนะค้าา..^^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 21-05-2015 20:16:14
ลี้ลับดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-05-2015 20:54:19
 สนุก น่าติดตาม รอตอนต่อไปค่ะ ชอบมากๆเลย

ขอบคุณมากๆนะคะ ที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่าน :mew1:

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-05-2015 21:00:55
รออีก ความลี้ลับ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-05-2015 21:02:16
รออ่านจ้า... ตอนนี้ยังไม่ออกความเห็นเพราะยังจับจุดไม่ได้ ฮา
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 21-05-2015 21:21:47
อ่านไปลุ้นไป มันเสียวข้างหลังดีจริงๆ555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 21-05-2015 22:13:04
หวิวๆตั้งแต่คินรู้สึกถูกคนจ้องมอง เรื่องนี้แนวTime Slip ต้องมีสิ่งเชื่อมโยง

แง่ววว มีวิญญาณรึป่าว :katai1: ลุ้นจังเดาเรื่องไม่ออกเลย ถึงเราจะกลัวผียังไงก็ตามต่อจ้า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 21-05-2015 23:01:13
กรีดร้องงง

ชอบแนวนี้ที่สุดแบบมีอะดูดเอ้ยอดีต
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 22-05-2015 00:47:50
ปมปริศนาเกิดตั้งแต่อดีตเลยสินะ แล้วจะยังไงต่อกันล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 22-05-2015 03:31:39
แนวข้ามภพข้ามชาติสินะ

 o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 22-05-2015 08:18:20
ตอนนี้ยัง งงๆ อยุ่
เกึ่ยวข้องยังงัยกับเรื่องราวในอดีตกันหนอ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 22-05-2015 10:11:30
รอลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒ ☰ [๒๑/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-05-2015 12:54:09
ยัง
ตาม
เรื่อง
ความ
ฝัน
และอาการ
แปลกๆ
ที่พระเอกเจอ
และรู้สึก
มีอดีตอะไร
กับบ้าน
ริมน้ำนี้
หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 28-05-2015 13:06:44
๓.





   แสงสีส้มนวลตาจากหลอดไฟซึ่งถูกดัดแปลงในตะเกียงเจ้าพายุ จุดให้ห้องอาหารบนเรือนไทยหลังใหญ่สว่างไสวขึ้น สมาชิกในครอบครัวพร้อมทั้งผู้อาศัยจากกาฬสินธุ์นั่งทานอาหารเย็นกันตามปรกติเช่นทุกวัน อาจมีบ้างที่ผู้อาวุโสสูงสุดบนโต๊ะจะซักถามหรือชวนคุยเรื่อยเปื่อยตามประสา ทว่าวันนี้บรรยากาศบนโต๊ะกลับสลับคั่นด้วยความเงียบซึ่งดูจะยาวนานกว่า เสียงช้อนส้อมกระทบกันคล้ายเครื่องดนตรีประกอบจังหวะที่ทำให้ไม่รู้สึกเหงาหูจนเกินไปนัก


   "คิน...เป็นไงเรา วันนี้นั่งกินข้าวเงียบเชียว เปิดเรียนวันแรกไปเจออะไรมาไม่เห็นเล่าให้ลุงฟังบ้าง" มนตรีเอ่ยถามลูกชายเพื่อนสนิทที่นั่งกินข้าวเงียบไม่พูดไม่จา ผิดจากที่เคยช่างพูดช่างคุย

   "วันนี้ยังไม่มีอะไรมากครับลุง ตอนบ่ายก็มีรับน้องนิดหน่อย" ใบหน้าคมเงยขึ้นมาจากจานอาหารแล้วตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

   "ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดๆล่ะเรา" เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูอ่อนล้า มนตรีจึงถามด้วยความเป็นห่วง

   "เหนื่อยนิดหน่อยครับลุง ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ"

   "ลุงว่ากินยาดักไว้ดีกว่านา เอาอย่างนี้" ว่าจบก็หันไปไปหาลูกชายคนโต "สน"

   "ครับพ่อ"

   "กินข้าวเสร็จเอายาให้น้องด้วยนะลูก" ผู้เป็นพ่อสั่ง

   "ไม่เป็นไรหรอกครับลุง รบกวนพี่เขาเปล่าๆ เดี๋ยวผมหากินเอาเองก็ได้ครับ" นาคินบอกอย่างเกรงใจ คนถูกเอ่ยถึงเองก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพียงแต่นั่งกินอาหารของตัวเองเงียบๆต่อไปเช่นเดิม

   "เอาๆ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเราแล้วกัน ตู้ยาก็อยู่หน้าห้องน้ำนั่นแหละ เราน่าจะเห็นแล้วใช่ไหม"

   "ครับลุงมน"








   หลังจากจัดการกับกล้วยบวชชีแสนอร่อยของป้าปุกเรียบร้อย ทุกคนบนโต๊ะก็แยกย้ายกันไป มนตรีไปสวดมนต์ในห้องพระ มัทนานั่งอยู่ที่เรือนขวางเพื่อรอดูละครหลังข่าว สนธยากลับเข้าห้องนอนของตน ส่วนนาคินนั้นมาอาบน้ำ วันนี้ตั้งใจจะเข้านอนเร็วสักนิด เมื่ออาบน้ำเสร็จก่อนกลับห้องเจ้าตัวก็ไม่ลืมหายาแก้ปวดไปกินตามที่มนตรีแนะ


   คนตัวสูงเปิดตู้ไม้ซึ่งติดกับผนังหน้าห้องน้ำด้านนอก ก่อนจะหากระปุกยาที่ตนเองต้องการ แต่เพราะโคมไฟหน้าห้องน้ำให้แสงค่อนข้างสลัว ชายหนุ่มจึงมองเห็นไม่ถนัดตานักว่ากระปุกไหนเป็นอะไร ซ้ำในตู้ก็มียาเยอะแยะไปหมด จึงจำใจต้องล้วงออกมาดูฉลากทีละกระปุก


   ระหว่างที่กำลังสนใจกับฉลากยาซึ่งพิมพ์กำกับด้วยตัวหนังสือตัวเล็กจิ๋ว ร่างสูงก็ไม่ทันสังเกตหรือได้ยินเสียงใครบางคนเคลื่อนที่มาหยุดเยื้องอยู่ข้างตน


   "วันนี้จะหาเจอไหม"

   "สน..!" นาคินสะดุ้งตกใจเพราะไม่รู้ตัวมาก่อนว่าสนธยายืนอยู่ข้างๆตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่

   "ทำขวัญอ่อนไปได้..." คนตัวเล็กกว่าว่าด้วยน้ำเสียงที่ติดจะล้อเลียนแต่ทำหน้าตายใส่ ก่อนจะเอาไหล่เบียดให้นาคินหลบไป "หลีกหน่อยสิ"

   "…" นาคินขยับหลีกทางให้ตามสัญญาณ ดวงตาคมมองดูสนธยาควานหากระปุกยาในตู้สักครู่หนึ่ง เมื่อพบมือเรียวก็หยิบออกมาหมุนเปิดกระปุก เทยาเม็ดกลมๆสีขาวออกมาด้วยกันสองเม็ด ก่อนจะส่งให้นาคิน

   "อ่ะนี่..."

   "ขอบคุณครับ...สน" นาคินเอ่ยขอบคุณแล้วรับยามา

   "…" สนธยาเก็บกระปุกยาทั้งหมดเรียงที่เดิมแล้วเข้าห้องน้ำไป แต่นาคินยังไม่ทันเคลื่อนที่ไปไหนจู่ๆประตูห้องน้ำก็เปิดอ้า พร้อมกับใบหน้าหวานเกินชายซึ่งโผล่ออกมานิดๆ "เออ...คราวหลังจะให้ช่วยก็บอก ไม่ได้ใจดำขนาดนั้น" ว่าจบเจ้าตัวก็ผลุบกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกหน ทิ้งให้ร่างสูงยืนแปลกใจกับพฤติกรรมนั้นอยู่เพียงลำพัง

   "น่ารักดีแฮะ..." นาคินว่าพลางอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินกลับห้องเพื่อพักผ่อน








   วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของนาคิน เขาต้องตื่นแต่เช้ากว่าทุกวันเพื่อที่จะได้ทำกิจวัตรของตนเองให้เสร็จโดยเร็ว เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็ออกจากบ้านไปเรียนพร้อมกับสนธยาซึ่งอยู่มหาลัยเดียวกัน แต่สนธยาอยู่ปีสอง ส่วนนาคินอยู่ปีหนึ่ง หลังจากถึงมหาวิทยาลัยแล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเรียน อย่างที่นาคินบอกลุงมนว่าวันนี้ไม่ได้เรียนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการแนะนำตัวเสียมากกว่า ช่วงบ่ายก็มีกิจกรรมรับน้องซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร หากแต่ทำไมเขาจึงรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ก็ไม่รู้


   แต่งตัวและกินยาเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงปิดไฟที่หัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอน ทั้งที่ง่วงแสนง่วง หัวถึงหมอนก็ควรจะหลับไปในทันทีถึงจะถูก แต่ไม่รู้เพราะอะไรชายหนุ่มจึงรู้สึกร้อนอบอ้าวเหนียวตัวทั้งที่เพิ่งอาบน้ำมาหยกๆแท้ๆ


   นอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบก็ข่มตาให้หลับไม่ลงสักที ในความมืดมิด มือหนาเอื้อมไปกระตุกสายโคมไฟที่หัวเตียงให้จุดสว่างขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคมมองเหลือบไปที่นาฬิกาตรงโต๊ะไม้ข้างเตียง มันบอกเวลาดึกพอสมควรแล้ว อีกอย่างนาคินก็รับรู้ได้เองว่ามันค่อนข้างจะดึกมาก เนื่องจากเสียงทีวีที่เรือนขวางเงียบไปนานแล้ว


   ชายหนุ่มตัดสินใจผุดลุกขึ้นนั่ง เลิกผ้าห่มไว้ด้านข้างก่อนจะลงจากเตียงแล้วเดินมาที่หน้าต่าง พลางนึกในใจว่า คืนนี้คงต้องรับลมสักหน่อยเห็นจะดี


   ยืนสูดอากาศอยู่พักหนึ่ง สายลมเย็นเอื่อยๆก็พัดโชยมาต้องกายให้ชื่นใจ วันนี้เป็นคืนเดือนดับ บนท้องฟ้าอันมืดมิดไร้ซึ่งแสงจันทร์ แต่น่าแปลกที่แม้แต่ดวงดาราสักดวงก็ยังหลีกเร้นหายลับเข้ากลีบเมฆไปหมด ดวงตาคมทอดมองเรื่อย กระทั่งไปหยุดยังเรือนดอกแก้วที่อยู่ท้ายเรือนใหญ่ มองมันอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกฉงนในใจว่าเรือนดนตรีไทยหลังน้อยซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยใยจึงต้องเปิดโคมไฟให้สว่างไปทั้งตัวเรือน


   ไม่ทันได้คำตอบ อยู่ๆเสียงบรรเลงเพลงไทยเสนาะหูก็ดังขึ้น นาคินไม่แน่ใจนักว่าเสียงเดี่ยวเครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่แว่วให้ได้ยินนั่นคือเสียงเครื่องดนตรีอะไร หากแต่ถ้าจะให้เดาเขาว่ามันคือเสียงของขิม


   ทำนองเสนาะอ่อนหวาน ชวนฝัน ทำให้รู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ หากว่าหางตาของชายหนุ่มไม่เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มๆของใครบางคนที่ต้นแก้วเจ้าจอมหน้าเรือนดอกแก้วเสียก่อน เงาของใครที่นาคินเห็นรางๆในความมืด คล้ายกำลังท่อมๆมองๆเหมือนแอบดูความเคลื่อนไหวที่อยู่บนเรือน


   เพราะบริเวณโดยรอบค่อนข้างมืดสนิทเช่นนี้ ทำให้นาคินมองเห็นไม่ชัดแม้จะเพ่งจ้องแค่ไหน ด้วยความอยากรู้ก็อดไม่ได้ที่อยากจะหาไฟฉายมาส่องดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าเจ้าของเงานั่นคือใคร ทว่าเมื่อเพลงที่กำลังบรรเลงหยุดลงพร้อมกับไฟบนเรือนดอกแก้วที่มืดดับเหลือเพียงโคมด้านหน้าเพียงดวงเดียว เงาที่นาคินเห็นก็พลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา!


   ร่างสูงรู้สึกชาดิกไปทั้งใบหน้า ตั้งแต่ไขสันหลังจรดขึ้นมาถึงศีรษะซึ่งเย็นวาบไปหมด ขนตามร่างกายลุกซู่ขึ้นพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย แต่ขาสองข้างที่สั่นระริกกลับไม่อาจเคลื่อนขยับถอยหนีไปไหนได้ดังใจปรารถนา


   ไม่นานต่อจากนั้นก็ปรากฏร่างเพรียวบางคุ้นตาของใครคนหนึ่งก็ลงมาจากเรือนดอกแก้ว ใครคนนั้นกำลังเดินจากมาและมุ่งหน้าสู่เรือนใหญ่ในท่าทางปรกติ หากเดาไม่ผิดใครคนนั้นคงจะเป็นเจ้าของบทเพลงแว่วหวานเมื่อครู่ ใครคนนั้นที่นาคินเห็นคือสนธยานั่นเอง


   เมื่อบังคับร่างกายได้ตามปรกติ ชายหนุ่มจึงรีบดึงบานหน้าต่างให้เหวี่ยงพับกลับเข้ามาในทันที เขาลงกลอนปิดสนิทพร้อมทั้งคลี่ผ้าม่านปิดทับ จากนั้นก็แทบจะกระโจนขึ้นเตียงด้วยความเร็วราวกับกำลังออกสตาร์ทแข่งวิ่งสี่คูณร้อยเมตร นาคินกระตุกผ้าห่มขึ้นมาจนมิดหัว ทั้งยังเปิดไฟหัวเตียงไว้เช่นนั้นไม่ยอมปิด ใครจะว่าปอดแหกก็ช่าง นาทีนี้เขาขออุ่นใจไว้ก่อนเป็นดี


   พยายามไล่ปัดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองว่าเจ้าของเงานั่นเป็นใคร มาทำเมียงๆมองๆขึ้นไปหาสนธยาที่อยู่บนเรือนดอกแก้วทำไมให้ออกไปจากหัวแล้วหลับตาปี๋ ริมฝีปากพึมพำบทสวดมนต์ที่เคยร่ำเรียนมาเมื่อครั้งไปบวชเณร บริกรรมคาถาซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ก่อนอารมณ์ตื่นหลัวค่อยๆสงบลงแล้วดำดิ่งเข้าสู่นิทราไปโดยไม่รู้ตัว...







   กลิ่นไม้สักลงน้ำมันใหม่ๆกับภาพเรือนไทยหลังเล็กที่ผู้เป็นบิดาปลูกให้เป็นรางวัล ทำให้ 'จางวางวิเศษไกรศิลป์' หรือ 'จางวางศิลป์' ยกยิ้มด้วยความยินดี หลังจากชนะการประชันเดี่ยวระนาด จนกระทั่งได้รับเลือกให้เข้าร่วมวงปี่พาทย์ของพระองค์เพ็ญแห่งวังท่าเตียน ทั้งพระองค์ยังประทานชื่อให้ใหม่จากนายสินเป็นวิเศษไกรศิลป์ สร้างชื่อเสียงให้แก่นายเสือง พ่อผู้เป็นนายคหบดีเป็นอันมาก ด้วยมีลูกชายเป็นจางวางอายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น


   เนื่องจากแรกเริ่มนายเสืองมิได้เห็นด้วยกับการที่ลูกชายคนโตเพียงคนเดียวจะเอาดีทางด้านร้องรำทำเพลงเช่นนี้ เมื่อสินเอ่ยขอให้บิดาปลูกเรือนเล็กสำหรับซ้อมดนตรี นายเสืองจึงทัดทานคัดค้านเรื่อยมา ทว่าวันนี้ ก่อนที่สินจะเข้าไปรับใช้พระองค์ท่านในวัง เรือนหลังน้อยที่เคยใฝ่ฝันว่าอยากจะได้มานานก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำพักน้ำแรงซึ่งมาจากความสามารถของตน ซึ่งแสดงให้พ่อได้ประจักษ์และยอมรับได้ในที่สุด


   หลังจากขึ้นไปชื่นชมเรือนใหม่ ทั้งยังกำกับดูแลให้บ่าวไพร่จัดเครื่องดนตรีกับเครื่องเรือนเรียบร้อยแล้ว สินก็สั่งให้บ่าวขุดดินเป็นหลุมหน้าเรือน เพื่อที่จะได้นำต้นแก้วเจ้าจอมลงปลูกในดิน แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ต่างแดน ที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ในวันที่เสด็จมาทอดพระเนตรการประชันเดี่ยวระนาดพร้อมกับพระองค์เพ็ญ


   "เวลาฉันไม่อยู่ อย่าลืมให้ใครหมั่นมาดูแลต้นแก้วของฉันบ้างนะเจ้าอ่ำ" เสียงทุ้มสั่ง ในขณะที่ยืนมองบ่าวคนสนิทพรวนดินที่โคนต้นไม้

   "ขอรับคุณสิน กระผมจะดูแลอย่างดีเลยขอรับ"

   "ดีมาก ถ้ากลับมาคราวหน้า มันออกดอกให้ฉันเห็นล่ะก็ ฉันจะตกรางวัลให้นายอ่ำอย่างงามเลยทีเดียว" ผู้เป็นนายว่า


   เมื่อดูแลให้เจ้าอ่ำปลูกต้นไม้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็กลับขึ้นเรือนเนื่องจากมารดาให้เด็กมาตามไปทานอาหารเย็นด้วยกันพร้อมบิดาและน้องสาว ซึ่งรอเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว


   หลังจากที่สินขึ้นเรือนใหญ่ไปแล้ว เจ้าอ่ำก็เข้าไปสั่งให้ลูกบ่าวที่เล่นอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก ไปตักน้ำมารดต้นแก้วเจ้าจอม เด็กหลายคนวิ่งหนีกลับเรือนทาสเพื่อไม่ให้ถูกบ่าวรุ่นพี่ใช้งานเอาได้


   "อีแก้ว!" เสียงเจ้าอ่ำเรียกเด็กหญิงเอาไว้

   "ว่าอย่างไรน้าอ่ำ"

   "ประเดี๋ยวเอ็งไปตักน้ำที่ท่ามารดต้นแก้วหน้าเรือนให้ข้าหน่อยนะ"

   "กระไรกัน หน้าที่น้าไม่ใช่รึ เหตุใดจึงใช้ข้า"

   "ไปให้ข้าหน่อยสิวะ ข้าทำงานมาตั้งกะเที่ยง ข้าวสักเม็ดยังมิตกถึงท้อง หิวไส้จะขาดอยู่รอนๆแล้วอีแก้วเอ้ย ช่วยข้าหน่อยเถอะ นั่นน่ะต้นไม้ของคุณสิน เธอกำชับกำชามาเชียวนะโว้ย จะขัดก็ไม่ได้ หิวจนตาลายแล้วข้า" ว่าไปก็กุมท้องไป แสร้งทำราวกับไส้จะขาดต่อหน้าเด็กน้อย

   "ต้นไม้ของคุณสินรึ" แก้วถามซ้ำให้แน่ใจ

   "ก็ใช่น่ะซี"

   "ถ้าหิวน้าก็ไปกินข้าวเถอะ ข้าจะไปรดน้ำต้นไม้ให้ประเดี๋ยวนี้ล่ะ"

   "ขอบใจเอ็งมากนะแก้ว" ความจริงอ่ำไม่ได้หิวขนาดนั้น หากแต่ความขี้เกียจ เมื่อเห็นนายไปแล้วจึงหันมาใช้เด็กลูกล้อแทน


   แก้วทำตามที่เจ้าอ่ำขอร้องให้โดยไม่เกี่ยงงอนเพราะนึกสงสาร และอีกเหตุผลเพราะสำนึกในบุญคุณของผู้ที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ แม้จะผ่านมาสองปี กระทั่งตอนนี้แก้วอายุ 10 ขวบแล้วก็ตาม แต่แก้วก็ไม่เคยลืมวินาทีนั้นเลยสักครั้งเดียว หากไม่ได้คุณสิน ป่านนี้แก้วคงตายไปนานแล้ว ตามวิสัยของคุณสิน เธอไม่เคยสั่งหรือกำชับอะไรกับข้าทาสนัก ทว่าเจ้าต้นไม้นี่คงสำคัญ ไม่เช่นนั้นคงยอมปล่อยให้น้าอ่ำไปกินข้าวเสียก่อนแล้วค่อยมาดูแล







   หลายเดือนผ่านไป

   ตั้งแต่วันที่อ่ำใช้ให้แก้วรดน้ำต้นแก้วเจ้าจอมให้ ทุกวันนี้แก้วก็กลายเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแล้วต้นไม้ต้นนี้ไปโดยปริยาย ทุกเช้าเย็นเธอจะต้องทำหน้าที่รดน้ำพรวนดิน เอาปุ๋ยคอกจากลุงชุ่มมาใส่โคนต้นสามวันครั้ง คอยดูแลกำจัดวัชพืชไม่ให้ขึ้นรกรุงรัง จนต้นแก้วพระราชทานเติบโตหยั่งรากลึกลงดินออกใบมันเงาเขียวชอุ่มไปทั้งต้น


   กระทั่งเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่แก้วรดน้ำต้นไม้เสร็จ ก่อนเด็กน้อยจะกลับไปกินข้าวกับแม่ เธอก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วหวานบรรเลงขึ้น เสียงนั้นดังมาจากเรือนดอกแก้วข้างหลังเธอ ด้วยความไพเราะเสนาะหูอย่างที่ไม่เคยได้ยินที่ไหน เด็กน้อยจึงแอบย่องขึ้นไปตรงบันได แล้วลอดมองผ่านช่องเล็กๆ เหนือธรณีประตู


   ภาพที่เห็นคือคุณสินกำลังนั่งตีเครื่องดนตรีอะไรสักอย่างซึ่งเด็กหญิงไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิต ใช้ไม้เล็กๆ ตีอย่างระนาด แต่มีสายคล้ายจะเข้ ขอบเครื่องถูกวาดประดับไว้ด้วยลวดลายงามตา ทุกครั้งที่เส้นสายทองเหลืองถูกไม้ตีจนสั่นสะเทือน เสียงเสนาะหวานกว่าแก้วกังสดาลก็ดังขึ้น


   แสงตะวันสีส้มอ่อนยามสนธยาสะท้อนภาพนัยน์ตาให้ทุกอย่างดูอ่อนละมุน งดงามทั้งท่วงทำนองเพลงและบุคคลซึ่งนั่งบรรเลงอยู่ ประกายตาของเขาผู้นั้นช่างอ่อนโยนจนสัมผัสได้ อ่อนโยนเสียจนเด็กหญิงตัวน้อยเก็บภาพนั้นประทับในดวงใจ เจียรสลักไว้ไม่ลืมเลือน...


   "ผู้ใดอยู่ตรงนั้น!" เสียงที่เอ่ยถามดังขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว เด็กหญิงสะดุ้งกายแล้วตั้งท่าจะหนีไป หากแต่เมื่อได้ยินประโยคถัดมา แก้วจึงจำใจต้องกระทำตามอย่างโดยไม่อาจเลี่ยงได้ "ขึ้นมาหาฉันข้างบนนี่เร็ว ฉันเห็นด่อมๆมองๆ อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว อย่าคิดหนีเชียว"


   ดวงหน้าเล็กๆ มอมแมมไปด้วยเศษดินเปรอะแก้มกับนัยน์ตาสีน้ำตาลใสแจ๋ว ค่อยๆโผล่พ้นขอบประตูขึ้นมาให้เห็นได้ถนัดชัดเจน เด็กหญิงก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ก่อนจะหยุดอยู่แค่ชานกว้างด้านนอก นั่งพับเพียบเรียบร้อยแล้วก้มหน้าลง


   "ลูกเต้าเหล่าใครนะเรา เย็นย่ำจนป่านนี้แล้ว ใยจึงไม่กลับเรือนอีก มาแอบทำอะไรอยู่แถวนี้" สินเอ่ยถาม

   "หนูมารดน้ำต้นไม้เจ้าค่ะคุณสิน" แก้วตอบไปตามตรง แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก ซ้ำยังไม่เคยมีใครสอนให้พูดอย่างไรกับเจ้านาย แก้วจึงเลือกใช้คำแทนตนเองเหมือนกับเวลาที่ที่คุยกับพ่อแม่ สินยกยิ้มนิดๆก่อนจะว่าต่อ

   "รดน้ำต้นไม้รึ แต่ฉันเห็นว่าเธอมานั่งแอบเมียงมองอยู่ที่บันไดเสียมากกว่า บอกมาเสียดีๆว่ามาทำอะไรที่เรือนของฉันกันแน่"

   "หนูเปล่านะเจ้าคะ หนูมารดน้ำต้นไม้จริงๆ" แก้วรีบโต้กลับทันใด เนื่องด้วยกลัวว่าคุณสินจะเข้าใจผิด คิดว่าเธออาจริเป็นขโมย เข้ามาหยิบฉวยข้าวของบนเรือน ใครๆก็รู้ว่านี่เป็นเรือนของคุณสิน และคุณสินก็เข้าไปรับใช้พระองค์ท่านในพระนคร ดังนั้นตามปรกติแล้วเรือนหลังนี้จึงไม่มีคนอยู่

   "แต่เมื่อกี้ฉันเห็นเธอแอบอยู่ที่บันไดนา ไม่ได้รดน้ำต้นไม้อย่างที่ว่าสักหน่อย"

   "ก็หนูรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วนี่เจ้าคะ จะกลับเรือนอยู่รอมร่อ แต่ได้ยินเสียงเพลงเพราะจับใจเหลือเกิน หนูก็เลย..." แก้ต่างให้ตนเองเสียฉะฉาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าจงใจมาแอบอยู่ตรงนั้นจริงๆ หากแต่ก็เพราะความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น

   "แอบฟังใช่หรือไม่" ชายหนุ่มต่อประโยคให้จบความ

   "เจ้าค่ะ" เด็กน้อยก้มหน้ายอมรับสารภาพ

   "แล้วเธอว่าเพลงของฉันเพราะไหม"

   "เพราะมากเจ้าค่ะ" เธอเงยหน้าขึ้นตอบทันควันด้วยแววตาเปล่งประกายอย่างลืมตัว

   "หึ..." ชายหนุ่มยิ้มกว้างเพราะไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป จริงๆ แล้วเขาแค่ต้องการจะแกล้งแม่เด็กน้อยคนคนนี้เท่านั้น ที่ซักไซ้หาความแต่แรกก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไรเลยแม้แต่น้อย


   กลับมาจากท่าเตียนคราวนี้ สินได้เครื่องดนตรีชิ้นใหม่มาจากในวังด้วย พระองค์เพ็ญประทานให้เขานำมาทดลองเล่นให้เป็นเสียก่อน กลับไปคราวหน้าเขาจึงมีหน้าที่ต้องบรรเลงขิมโป๊ยเซียนของคหบดีชาวจีนให้พระองค์ท่านฟัง นึกไม่ถึงว่าการซักซ้อมคราวแรกจะมีผู้ชมตัวน้อยมานั่งทัศนาด้วย


   "ไหนขยับเข้ามาใกล้ๆ ฉันหน่อยซิ นั่งเสียไกลฉันเห็นหน้าไม่ถนัดเลย"

   "เจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินคำสั่ง แก้วก็คลานเข่าเข้าไปใกล้ เดิมทีแก้วมิใช่คนกลัวเกรงใครเท่าใดนัก ออกจะกล้าเกินเด็กหญิงทั่วไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าท่าทางของคุณสินมิได้ดูคล้ายจะติดใจเอาความเธอเรื่องที่มาแอบฟัง เธอจึงไม่คิดประหวั่นใดๆ อีก

   "ไหนเมื่อกี้เธอว่าเธอมารดน้ำต้นไม้ให้ฉันรึ"

   "เจ้าค่ะ" แก้วพยักหน้ารับ

   "ต้นแก้วหน้าเรือนนั่นใช่หรือไม่" สินถามอีกคำ

   "เจ้าค่ะคุณสิน"

   "อืม" เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตัวเรือน รออยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับโหลแก้วซึ่งด้านในบรรจุขนมผิงจากในวังอยู่เต็มโหล เขาส่งโหลแก้วนั้นให้เด็กน้อย แล้วว่า "เอานี่ไป ฉันให้ เป็นสินน้ำใจที่เธออุตส่าห์ดูแลต้นแก้วเจ้าจอมให้ฉัน"

   "..." เด็กหญิงมีท่าทางลังเล แต่ชายหนุ่มพยักหน้าเร่งเร้า เธอจึงคลานเข้าไปรับขนมมา พร้อมกับรอยยิ้มสดใส "ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน"

   "อืม..." สินยิ้มตอบละไม "กลับเรือนได้แล้ว ฟ้ามืดแล้วนะ พ่อแม่เขาจะเป็นห่วงเอา" แก้วพยักหน้ารับ ก่อนจะถดตัวถอยหลังกลับไปแต่โดยดี หากแต่ยังไม่ทันลงจากเรือน เสียงของคุณสินก็ดังขึ้นอีกคำรบ "ประเดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!"

   "มีอะไรเจ้าคะคุณสิน" เด็กน้อยหันหลังกลับมาถาม

   "เธอชื่ออะไร"

   "ชื่อแก้วเจ้าค่ะ" เด็กหญิงตอบ ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้เธอกลับไปได้...





v
v
v
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 28-05-2015 13:18:48





   ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

   เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังลั่นปลุกให้ร่างสูงตื่นขึ้นจากนิทรารมย์ เปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงรัวมือที่หน้าประตูดังสำทับอีกครา ร่างกายที่ปวดเมื่อยอ่อนล้ารีบลุกจากเตียง แล้วเร่งรุดไปที่ประตูห้องโดยไว กลอนประตูถูกเลื่อนให้เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าถมึงทึงของใครคนหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาที่เขาด้วยแววหงุดหงิดไม่น้อย


   “สน...” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยชื่อบุคคลที่มาปลุกตนเช้านี้

   "เพิ่งตื่นเหรอเนี่ย!?" น้ำเสียงไม่ค่อยจะสบอารมณ์พอๆกับหน้าตาเอ่ยถาม

   "เอ่อ...ครับ" นาคินพยักหน้ารับ

   "รู้ไหมว่านี่กี่โมงแล้ว จะไปพร้อมกันก็ตื่นให้มันเช้าๆ หน่อยไม่ได้หรือไง"

   "ขอโทษ" นาคินเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงสลด

   "เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า...?" คนตัวเล็กกว่ามองคนตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ เนื่องจากแววตาและใบหน้าของนาคินดูอิดโรยเหมือนคนไม่สบายหรือไม่ก็อดนอน

   "ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ แต่เดี๋ยวกินยาคงดีขึ้น สนรอไหวไหม ผมจะรีบอาบน้ำแล้วแต่งตัวไม่เกินสิบนาที แต่ถ้ารีบ สนจะไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมขึ้นรถเมล์ไปเอง"

   "จะรอที่รถ รีบตามมาล่ะ"

   "ครับๆ" รับคำสั่งเสร็จ ชายหนุ่มก็รีบปฏิบัติตามทันที








   เสียงบันไดลั่นตึงตังเมื่อครั้นร่างสูงในชุดนักศึกษาซอยเท้าวิ่งลงมา กระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหม่ถูกตวัดคาดบนร่างรวดเร็ว เมื่อลงมาถึงขั้นล่างสุดของบันไดชายหนุ่มก็ย่อตัวลงนั่งแล้วใส่รองเท้าผ้าใบลวกๆ ก่อนจะรีบออกวิ่งไปยังโรงรถข้างเรือนใหญ่ เนื่องจากไม่อยากให้ใครอีกคนรอนานไปมากกว่านี้


   ประตูรถด้านข้างคนขับถูกเหวี่ยงปิดอย่างแรงเมื่อนาคินเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว สนธยาสะดุ้งกายน้อยๆ เปลือกตาที่เดิมปิดอยู่เปิดขึ้นมาทันที เรียวคิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจนิดๆ เพราะตั้งใจจะเอนหลังสักหน่อย เหลือบตามองที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตนแล้วต้องขมวดคิ้วมากขึ้นอีกปม


   "อาบน้ำหรือเปล่าเนี่ย" ว่าจะไม่ทักแต่มันก็อดไม่ได้ สนธยาจึงหันไปถามคนข้างๆ ที่นั่งหอบหายใจเหนื่อยๆ ดูท่าว่าคงจะรีบวิ่งลงมาจากเรือนมากทีเดียว

   "..." นาคินหันมามองหน้าก่อนจะควบคุมจังหวะลมหายใจให้เป็นปรกติ แล้วจึงตอบออกไป "อาบสิครับ"

   "ทำไมถึงเร็วนัก" ทั้งที่ยังไม่ถึงสิบนาทีอย่างที่บอกเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวกลับมานั่งเรียบร้อยอยู่ข้างๆแล้ว หากแต่จะว่าเรียบร้อยก็ดูจะไม่เป็นเช่นนั้นเท่าใดนัก เนื่องจากคลื่นผมหยักศกของนาคินยังคงกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง นาคินใช้มือใหญ่สางแบบขอไปทีเมื่อสนธยาปรายตามอง ทั้งชายเสื้อนักศึกษาก็ไม่ได้ถูกเหน็บเข้าไปในกางเกงอย่างเมื่อวาน

   "ก็มันสายแล้ว ผมไม่อยากทำให้สนต้องสายไปด้วย" นาคินตอบ

   "อืม...รู้ก็ดี" บอกเสียงเรียบก่อนจะหันหน้ากลับมาสตาร์ทรถ


   หากแต่ความวุ่นวายในเช้านี้ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด คล้ายกับอะไรบางอย่างดลบันดาลให้ลูกชายคนโตของมนตรีต้องเกิดอารมณ์หงุดหงิดอีกระลอก รถญี่ปุ่นคันเก่ามรดกตกทอดจากผู้เป็นพ่อเกิดพยศไม่ยอมทำงานตามปรกติเสียได้


   "รถเป็นอะไร" นาคินหันมาถาม

   "ไม่รู้ สตาร์ทไม่ติด" สนธยาตอบห้วนๆ ลองพยายามอีกสองครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลเจ้าตัวจึงลงไปเปิดกระโปรงรถเพื่อตรวจสอบดู นาคินเองก็ลงจากรถมาช่วยดูด้วยเหมือนกัน

   "มาเป็นอะไรตอนนี้วะ!" เสียงบ่นงึมงำดังขึ้นเป็นระยะ ในขณะที่มือเรียวสำรวจเครื่องยนต์ว่าเกิดผิดปรกติตรงไหน ยังไม่ทันที่นาคินจะเอ่ยปากเพื่อยื่นความช่วยเหลือ เสียงของนายเสริมคนสวนของบ้านก็ดังขึ้นด้านหลัง

   "รถเป็นอะไรครับคุณสน"

   "ไม่รู้สิ กำลังดูอยู่ มันสตาร์ทไม่ติด" ร่างโปร่งขยับตัวหันหลังกลับมาบอก

   "ผมดูให้ดีกว่าครับ คุณสนกับคุณคินรอสักประเดี๋ยว"


   เมื่อเสริมว่าจบนักศึกษาทั้งสองก็หลีกทางให้เขาเข้าไปตรวจเช็คเครื่องยนต์ ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเสริมก็ขอให้สนธยาลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้ารถคันเก่าก็ยังพยศไม่ยอมติดสักที ในที่สุดคุณหนูคนโตจึงเป็นฝ่ายยอมถอดใจ


   "ผมไม่รอแล้ว นั่งรถเมล์ไปเองเลยดีกว่า นี่ก็สายมากแล้ว วานลุงเสริมช่วยดูไอ้แก่ให้ผมด้วยนะ"

   "ครับคุณสน"

   ทันทีที่นายเสริมพยักหน้ารับคำ สนธยาก็เดินอ้อมมาหยิบกระเป๋าของตนในรถก่อนจะเดินออกจากบ้าน โดยมีร่างสูงของผู้อาศัยจากกาฬสินธุ์วิ่งตามหลังมา







   พ้นจากรั้วกระดังงาเป็นถนนทอดยาว นาคินเคยแต่นั่งรถเข้าออก ไม่เคยเดินออกไปปากซอยเองสักครั้งเดียว คะเนจากสายตาท่าทางเช้านี้เขาคงจะได้เหงื่อพอสมควร ดวงตาสีน้ำตาเข้มมองดูแผ่นหลังบางที่เดินนำห่างจากตนไปค่อนข้างไกล สองขาจึงรีบก้าวให้ยาวขึ้นเพื่อที่จะตามคนข้างหน้าให้ทัน


   รองเท้าผ้าใบเหยียบลงบนกลีบดอกหางนกยูงที่หล่นอยู่เกลื่อนถนน เมื่อลมโชยมาคราวใดกลีบสีส้มสดใสก็ยิ่งร่วงกราวลงมามากเท่านั้น บ้างก็ตกลงบนพื้นดิน บ้างก็ตกลงบนผิวน้ำคลองสายเล็กริมถนน มันเป็นสัญญาณให้รู้ว่าตอนนี้หมดฤดูร้อนแล้ว และฤดูฝนก็กำลังจะมาเยือน เห็นทีนาคินคงต้องพกร่มไว้ในกระเป๋าสักคัน เผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน


   ฝีเท้าค่อยชะลอลงจากที่เร่งรีบเป็นเดินเรื่อยๆ รู้สึกปวดหนึบที่ขมับเหลือเกินคล้ายว่าจะเป็นไข้ เมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ดึกดื่น ภาพน่ากลัวที่เห็นทำให้นึกหวาดหวั่นไม่หาย อีกทั้งเมื่อหลับไปแล้วยังจะฝันประหลาดยืดยาว แม้จะตื่นสายแต่นาคินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เอาเสียเลย


   เดินไปใจลอยเพราะคิดคำนึงและนึกฉงนในภาพนิมิตฝันของตัวเอง สองครั้งสองคราแล้วที่นาคินเห็นเด็กผู้หญิงเกล้าจุกคนนั้น ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเงาของใครที่เขาเห็นหรือเปล่า ทั้งยังไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร เหตุใดเขาจึงฝันถึงเธอเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจนคิ้วเข้มขมวดเป็นเส้นเดียวกัน ผิดจากลักษณะประจำกายที่ปรกติเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส


   มัวแต่มองข้างทางและคิดเรื่อยเปื่อยเสียเพลิน จนลืมมองว่าแผ่นหลังบางที่เดินนำลิ่วไปแต่แรกบัดนี้หยุดอยู่กับที่แล้ว ร่างสูงกว่าเกือบจะเบรกตัวเองไม่ทัน เล่นเอาเกือบพุ่งชนสนธยาเข้าเสียแล้ว เมื่อหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองว่าทำไมสนธยาจึงหยุด ก็ต้องแปลกใจขึ้นมาอีกคำรบ คิ้วเข้มคลายปมออกจากกันแล้วเลิกขึ้น เนื่องจากดวงตาคมสบเข้ากับกิริยาของคนตรงหน้า ซึ่งกำลังยื่นถุงที่บรรจุข้าวเหนียวหมูปิ้งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอมาให้ตน เมื่อเห็นว่านาคินทำหน้าเป็นหมางง สนธยาจึงเสมองไปด้านข้างก่อนจะบอกเรียบๆ ว่า


   "ไม่ได้กินข้าวเช้าไม่ใช่หรือไง"

   "อืม" นาคินพยักหน้า

   "ก็รับไปสิ"

   "ขอบคุณครับ" นาคินกล่าวขอบคุณแล้วรับถุงข้าวเหนียวร้อนๆกับหมูปิ้งมาถือไว้


   สนธยาหันกลับไปเดินต่อทันทีเมื่อนาคินเอ่ยขอบคุณพร้อมกับยิ้มกว้างแบบที่เห็นแล้วรู้สึกขัดใจเล็กๆ ไม่ใช่จะอยากทำดีอะไรด้วยหรอกนะ ที่ซื้อให้ก็เพราะกลัวเดี๋ยวพ่อจะหาว่าไปเร่งเสียจนเจ้าคนข้างหลังไม่ได้กินข้าวกินปลา มาอาศัยอยู่บ้านเขา เขาก็ไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าบ้านที่แย่หรือใจดำ แม้จะไม่ได้ทำตัวสนิทสนมเล่นหัวได้อย่างรวดเร็วเหมือนที่น้องสาวเขาเป็น แต่ก็ใช่ว่าสนธยาจะเกลียดเจ้าคนข้างหลังนี่เสียหน่อย


   กว่าจะเดินมาถึงปากซอย กว่าจะรอรถเมล์สายที่ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยมาถึง ข้าวเหนียวหมูปิ้งของนาคินก็อันตรธานหายไปทันท่วงที น่าแปลกที่นอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องแล้ว อาหารเช้าแสนธรรมดาของสนธยายังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งอีกด้วย อาจเพราะร่างกายได้สารอาหารไปเปลี่ยนเป็นพลังงานกระมัง แม้จะยังคงปวดหัวอยู่นิดหน่อย แต่นาคินก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ เดี๋ยวนั่งรถจนถึงที่หมายค่อยเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อหายาลดไข้กินสักเม็ดสองเม็ด วันนี้ก็คงจะอยู่ได้ทั้งวัน


   ระหว่างอยู่บนรถจนกระทั่งลงรถ สนธยากับนาคินก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกสักคำเดียว ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น แต่เมื่อต้องแยกย้ายกันไปเรียน หนุ่มรุ่นน้องก็ไม่ลืมที่จะหันมาลาและส่งยิ้มการค้าของตัวเองให้ สนธยาเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะจากไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ แม้นาคินจะหันหลังจากมาแล้ว เขาก็ยังได้ยินโหวกเหวกและเสียงหยอกล้อดังขึ้น ก่อนจะจบด้วยเสียงตวาดแบบเย็นๆให้หลายคนพากันหยุดแซวเสียที


   "เด็กมึงเหรอไอ้เตี้ย!"

   "เด็กพ่อมึงสิ"

   "เขินเหรอมึง?"

   "เงียบปากไป น่ารำคาญ"


   แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เสียงหัวเราะดังขรมจนฟังบทสนทนาต่อไปไม่ออก นาคินเองได้แต่ยิ้มขำลับหลังและเดินห่างออกมาเรื่อยจนไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป







   กว่ารุ่นพี่จะปล่อยกลับบ้านเล่นเอาเหนื่อยแทบแย่ นาคินเดินออกจากใต้ถุนคณะพร้อมกับเพื่อนใหม่ แต่ทุกคนมีรถส่วนตัวมาเอง บ้างก็อยู่หอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จึงแยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือเพียงนาคินกับเพื่อนตัวเล็กที่วันนี้ถูกพี่ๆแกล้งจนสะบักสะบอมไม่แพ้กัน


   "คินกลับไงอ่ะ" ดวงตากลมโตโดดเด่นผิดแผกจากลักษณะทางพันธุกรรมของญาติพี่น้องที่สืบเชื้อสายจีนแท้ๆ บวกกับแก้มยุ้ยๆ ทำให้นาคินนึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเพื่อนใหม่ของเขาช่างเหมาะสมกับคำว่าน่ารักน่าหยิกเสียจริง

   "รถเมล์" นาคินตอบก่อนจะถามกลับ "แล้วไผ่กลับไง"

   "เฮียมารับ... มั้ง" เจ้าตัวว่าพลางอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเบิ่งตาโตมากกว่าเดิม เมื่อเห็นรถขายโรตีจอดอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องรอให้เอ่ยถาม ต้นไผ่ก็วิ่งไปต่อคิวซื้อทันที เมื่อซื้อเสร็จก็เดินเคี้ยวโรตีไส้ไข่จนแก้มตุ่ยกลับมา "กินป่ะ?"

   "ไม่ล่ะ ขอบใจนะ" เพื่อนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจึงพากันเดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอรถประจำทางที่ยังมาไม่ถึง เมื่อรถสายที่นาคินจะนั่งมาถึงก่อนพี่ชายของต้นไผ่ นาคินจึงโบกมือลาแล้วของตัวกลับก่อน เนื่องจากวันนี้รู้สึกเพลียมากจริงๆ


   โชคดีที่วันนี้คนบนรถมีไม่มาก ชายหนุ่มจึงได้นั่งมาตลอดทาง แอบเผลอหลับนิดหน่อยก่อนถึงปากซอยบ้านแต่ก็รู้สึกตัวได้ทันเพราะกระเป๋ารถเมล์ขานบอกชื่อป้ายเสียงดัง


   เวลาโพล้เพล้เช่นนี้ ในซอยที่ไม่ค่อยจะมีบ้านคนมากนักจึงดูเงียบเหงามากขึ้นไปอีก เมื่อเดินผ่านร้านขายของเล็กๆ ตรงกลางซอยมาแล้วก็ไม่มีบ้านคนอีกเลย นาคินเดินเรื่อยๆไม่รีบเร่งเช่นตอนเช้า ลมเย็นพัดมาพอให้ไม่เหนียวตัว มองตรงไปบนถนนข้างหน้าแล้วก็แอบเผลอคิดถึงแผ่นหลังเพรียวบางกับไหล่แคบของลูกชายลุงมน ถึงแม้สนธยาจะเดินไว ไม่ได้ยั้งฝีเท้ารอเขาเลยเลยสักนิดเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน แต่เมื่อจ้องมามองแผ่นหลังนั้น มันก็ทำให้นาคินรู้สึกว่าไม่ได้มีเขาเดินอยู่คนเดียวเช่นตอนนี้...


   ไม่ทันได้เหงาเพราะต้องเดินคนเดียวนานนักร่างสูงก็มาถึงรั้วหน้าบ้านพอดี มือหนาสอดเข้าไปเปิดกลอนประตูเล็กข้างรั้วใหญ่ ทันทีที่ดึงประตูให้เปิดออก ขอบด้านบนประตูรั้งก็เกี่ยวเอาดอกกระดังงาให้ร่วงลงมาบนพื้นข้างปลายเท้า นาคินมองมันอยู่ครู่ก่อนจะก้มตัวลงเก็บ แต่ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมานั้น หางตาพลันรู้สึกคล้ายกับมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกล ใกล้กับพุ่งดอกหงอนไก่สีม่วงกำมะหยี่


   นาคินไม่รู้ว่าอะไรที่เขาเห็นแวบๆ มันคืออะไร และก็ไม่คิดสงสัยอยากรู้เท่าไรนัก เพราะความทรงจำของเงาดำประหลาดเมื่อคืนมันแล่นเข้ามาในสมองอีกครั้ง ไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเติม ชายหนุ่มรีบงับประตูรั้วแล้วลงกลอนเช่นเก่า ก่อนจะจ้ำอ้าวขึ้นเรือนใหญ่ไปโดยไม่หยุดเหลียวมองบริเวณโดยรอบสักวินาที






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วค่ะ
ตอนนี้อืม..ค่อนข้างยากสำหรับเรา ที่จะรวบเอาเหตุการณ์ยาวๆ ตัดทอนให้กระชับ
เรื่องจะค่อยๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ อาจมีบางอย่างให้สงสัย โปรดใจเย็นๆ 555
มารับรู้ข้อมูลกันที่กว่า เผื่อว่ามีคนสงสัย
-เรื่องราวอีกด้านเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕
-พระองค์เพ็ญแห่งวังท่าเตียน ผู้เขียนยืมพระนามมาจาก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเพ็ญพัฒนพงศ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม
-วังท่าเตียนที่กล่าวถึงก็คือวังจักรพงษ์ในปัจจุบัน
-ต้นดอกแก้วเจ้าจอมที่ว่าเป็นต้นไม้ต่างแดนนั้น มีประวัติอยู่ว่ารัชกาลที่ ๕ ทรงนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้นไม้ที่ค่อนข้างดูแลยาก ออกดอกช้า บางครั้งเป็นสิบปีกว่าจะได้ชมดอกแก้วเจ้าจอม ดอกมีสีม่วงอมน้ำเงิน กลิ่นหอมหวานมีเอกลักษณ์
-ขิมโป๊ยเซียนเป็นขิมในยุคแรกที่นำเข้ามาในไทย ปะเทศที่นำเข้าคือประเทศจีน บนตัวเครื่องจะมีลวดลายของเทพเจ้าทั้งแปด จึงมีชื่อเรียกว่าขิมโป๊ยเซียนนั่นเอง สมัยก่อนวงปี่พาทย์จะไม่มีขิมประกอบนะคะ ความจริงขิมโป๊ยเซียนเข้ามาในรัชกาลที่ ๖ แต่ผู้เขียนนำมาดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง
   สรุปคือยุคอดีตเป็นรัชกาลที่ ๕ ยุคของนาคินกับสนธยาก็เป็นยุคปัจจุบันนี่แหละค่ะ ส่วนใครเป็นใครอะไรยังไงก็รอตอนต่อๆ ไปค่ะ คนเขียนตั้งใจมาก ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ หากแปลกประหลาดไปบ้างในบางคำพูดหรืออะไรก็ตาม ยังไงก็ฝากติชมด้วยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบทุกบรรทัด เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ ^^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 28-05-2015 13:43:00
ลึก~ ลับ~ :sad3: .. หลอนตามคินเหมือนกันนะคะเนี่ย เพราะมาอยู่ไม่ทันไรก็ได้เจอเหตุการณ์ระทึกใจถึงสองรอบในวันเดียวเลย~
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-05-2015 14:24:42
เป็นใครก็ต้องหลอนเล่นหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 28-05-2015 15:34:24
พึมพำตามคินว่า พี่สนน่ารักอ๊ะ ส่วนเรื่องหลอนๆที่คินเจอ

คนอ่านก็เริ่มหลอนตาม  o22 รอติดตามตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 28-05-2015 17:29:14
เด็กแก้ว นี่ต้องมีอะไรแน่นอน ?

ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-05-2015 17:57:36
บ้านเรือนไทยริมน้ำ

บรรยากาศสลัวๆ

ไม้ดอกหอมหวน   

เสียงประตู หน้าต่าง ดังออดแอด

บรึ๊ย...คืนทั้งคืนไม่ต้องหลับละ

นอนระแวงกลัวผีไปเถอะ หู๊ยยยย ขนลุก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 28-05-2015 20:15:14
หลอนม้ายยยยยยยยยย  :sad2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 28-05-2015 20:59:20
อยากบอกว่าอ่านตอนกลางคืนแล้วยิ่งขนลุก หลอนมากๆเจ้าค่ะ 

สนุก  น่าติดตามมาก  ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 28-05-2015 21:14:03
หลอนนน เบาๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: IIIA ที่ 28-05-2015 21:25:15
แอบหลอนตามนาคิน นี่ปิดไฟอ่านด้วย เสียวหลังเบาๆ 5555555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 28-05-2015 22:34:55
กลัวแทนนาคินเลย ตอนเย็นจะไม่เปิดหน้าต่างเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-05-2015 12:53:44
เด็กแก้วยังอยู่ที่พุ่มดอกแก้วเจ้าจอมนั่นหรือเปล่า อื๋อ...ขนลุก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-05-2015 00:42:00
หลอนเบาเบา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๓ ☰ [๒๘/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 03-06-2015 11:19:10
แอบหลอนตามนาคิน o21 แก้วเป็นใคร เดาว่าอาจจะเป็นได้ทั้งนาคินหรือสน
หรืออาจจะเป็นเงานั้นก็ได้ เพราะที่ย้อนอดีตไปก็มาแอบมองคุณสินเล่นดนตรี
เริ่มอยากรู้ที่มาที่ไปว่าทำไมคินถึงฝันแบบนี้แล้ว รอติดตามนะคะ :pig4:

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 04-06-2015 09:42:13
๔.






   เสียงพลิกหน้ากระดาษกับเสียงขีดเขียนดินสอลงสมุดผลัดกันดังไปมาในความเงียบ นานๆทีจึงจะมีเสียงเอ่ยถามข้อที่สงสัยสักครา แม้ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาติวหนังสือเตรียมสอบเก็บคะแนนด้วยกัน แต่เอาเข้าจริงต่างคนต่างก็อ่านหนังสือและจมอยู่ในโลกของตัวเองมากกว่า ทว่าสุดท้ายเสียงโครกครากในกระเพาะของชายหนุ่มตัวเล็กสุดก็ดังขึ้นเตือนสติทุกคนว่าเลยเวลาอาหารกลางวันมานานมากแล้ว


   "ถึงว่าทำไมท้องร้อง นี่มันเกือบบ่ายสี่โมงแล้วนะ" ต้นไผ่ว่าหลังจากกดมองเวลาบนหน้าจอมือถือ

   "โซ่โล่กันไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้สงสัยจะเอาท็อป" หนุ่มคิ้วเข้มแว่นหนาอีกคนว่าพลางหัวเราะ แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างจึงว่าต่อ "จะสี่โมงแล้ว เราว่าเรากลับแล้วดีกว่า ไม่อยากกลับเย็นกว่านี้รบกวนบ้านคินมานานแล้ว อีกอย่างพอตกเย็นบรรยากาศบ้านคินก็น่ากลัวชิบเลย"

   "อย่าพูดอย่างนั้นสิโจ้ เรายิ่งหลอนๆอยู่" นาคินว่าพลางปิดหนังสือ เก็บสมุดพร้อมกับดินสอและปากกาเน้นข้อความเรียบร้อย

   "ทำไมล่ะ นายเคยเจออะไรเหรอคิน" ต้นไผ่ทำตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   "ไม่รู้สิ...เราไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ เพราะนึกแล้วสยอง" แววตาประหวั่นพรั่นพรึงของนาคินทำให้เพื่อนทั้งสองขนหัวลุกขึ้นมาตามๆกันโดยไม่ต้องขู่ซ้ำให้มากความ

   "งั้นเราว่าพวกเรารีบเก็บของเหอะนะ อยู่นานๆชักจะเสียวสันหลังขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีใครจ้องอยู่ตลอดเวลาเลย" หน่วยตาคู่โตกวาดมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง อีกทั้งยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบแขนประกอบ

   "ไผ่อย่ามาปอดแหก ตะวันยังไม่ตกดินเลย พูดให้กลัวอยู่ได้" โจ้จัดการตบหัวเป็นรางวัลให้เพื่อนไปงามๆหนึ่งที ข้อหาพูดไม่คิด

   "นั่นสิ เลิกพูดเถอะ เราต้องอยู่ที่นี่นะเว้ย หนักกว่าพวกนายอีก ไปๆเดี๋ยวเราเอาของขึ้นไปเก็บแล้วจะเดินไปส่งขึ้นรถ" นาคินรีบตัดบทก่อนเพื่อนจะพูดให้กลัวมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ก่อนจะรวบสัมภาระแล้วลุกขึ้น


เมื่อเห็นนาคินลุก หนุ่มอีกสองคนก็ลุกออกจากศาลาริมน้ำตามกัน นาคินขอเวลาเอาของขึ้นไปเก็บในห้องส่วนตัวบนเรือนก่อนจะกลับลงมาหาเพื่อนแล้วพากันไปที่รถ ยืนร่ำลากันได้ไม่นานโจ้กับต้นไผ่ก็ขอตัวกลับ โดยโจ้อาสาไปส่งต้นไผ่เองเนื่องจากเป็นคนไปรับมาจากบ้านแต่แรก หากยังไม่ทันที่ต้นไผ่จะเปิดประตูเข้าไปในรถ ใครคนหนึ่งก็ปราดผ่านหน้านาคินไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะมองไม่ทัน แล้วข้อมือของต้นไผ่ก็ถูกใครคนนั้นกระตุกแรงๆให้ออกห่างจากรถ พร้อมกับเสียงสั่งเข้มๆเจือจะดุเกินไปเสียด้วยซ้ำ


   "จะไปไหน"

   "พ...พี่ลม!" ต้นไผ่ตกใจกับการมาของคนตรงหน้าไม่ต่างจากนาคินเลย "มาได้ไง"

   "ถามว่าจะไปไหน" หากแต่ดูเหมือนผู้ชายที่ต้นไผ่เรียกว่าลมจะไม่สนใจในคำถามของต้นไผ่เลยสักนิด

   "จะ...จะกลับบ้านครับ" ต้นไผ่ตอบงงๆ

   "กลับด้วยกัน บอกลาเพื่อนซะ" ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ยังไม่ทันที่ต้นไผ่จะได้บอกลาโจ้หรือนาคิน ร่างเล็กๆก็ถูกฉุดให้เดินตามไปขึ้นรถอีกคันเสียแล้ว แต่ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มรุ่นพี่จะตามขึ้นรถไปอีกฝั่ง เขาก็หันมาบอกกับลูกชายเจ้าของบ้านซึ่งนาคินเองก็ไม่ทันสังเกตว่ามายืนใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า

   "กลับก่อนนะสน"

   "อืม...เจอกันที่มหาลัยฯ" สนธยาพยักหน้าเรียบๆราวชาชินและไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์ฉุดกระชากกันตรงหน้าเมื่อครู่ ส่วนนาคินยังคงยืนทื่อมองตามรถหรูสีดำสนิทคันนั้นเคลื่อนที่ไปจนไกลลับตา

   "อะไรน่ะคิน" โจ้เปิดกระจกแล้วถามนาคินด้วยความงงงวยไม่ต่างกัน

   "ไม่รู้สิ เขาคงรู้จักกับไผ่ล่ะมั้ง เห็นไผ่ไม่ได้แย้งอะไร ยังไงนายก็กลับเถอะโจ้"

   "โอเคๆ เราก็งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็ไปก่อนนะ"

“อืม กลับบ้านดีๆ” ชายหนุ่มโบกมือให้เพื่อนที่ขับรถออกจากบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ไปอีกคัน

   "คนนั้นน่ะไอ้ลม เป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มันพาน้องมาเรียนดนตรี บ้านมันอยู่ใกล้กับน้องไผ่ เดี๋ยวมันก็ไปส่งเอง ไม่มีอะไรหรอก" เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

   "…" นาคินเอี้ยวตัวกลับมามองหน้าคนข้างๆก่อนจะยิ้มออกมา

   "ยิ้มอะไร…?"

   "ยิ้มให้คนใจดีครับ" ว่าจบชายหนุ่มร่างสูงก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้สนธยายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจในความหมาย ระหว่างทางเดินกลับไปที่เรือนดอกแก้วจึงอดไม่ได้ที่จะทำท่าฮึดฮัดขัดใจและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

   "ใจดีบ้าอะไรเล่า เห็นทำหน้างงหรอกถึงบอก"






   หลังจากเดินหนีขึ้นเรือนมาแล้วนาคินก็แอบลอบมองผลของการพูดจายั่วประสาทสนธยา แล้วเขาก็ต้องยิ้มขำเมื่อเห็นว่าใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจตอนนี้บูดบึ้งราวกับเด็กถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีไม่เปลี่ยน มิหนำซ้ำนาคินยังรู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่าหน้าเรียบตึงเหมือนรูปสลักน้ำแข็งเป็นไหนๆ เขายืนมองจนอยู่จนกระทั่งเห็นว่าสนธยากำลังเดินกลับไปที่เรือนดอกแก้วจึงหมุนตัวกลับไปยังห้องส่วนตัวของตนเองบ้าง


   เป็นเวลาร่วมสามเดือนที่นาคินย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านทรงไทยของลุงมนตรีผู้เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ แม้ว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับสถานที่และสมาชิกในบ้านเกือบทุกคนได้แล้ว แต่นาคินก็ยังรู้สึกกังวลไม่หาย แม้นใจหนึ่งจะมีความรู้สึกสบายใจและคุ้นเคยกับบ้านได้อย่างรวดเร็ว แต่อีกใจกลับกระสับกระส่ายเนื่องจากอะไรบางอย่างกระตุ้นให้รู้สึกเช่นนั้น ยิ่งในสัปดาห์หนึ่งเขาจะต้องฝันเห็นเหตุการณ์แปลกๆที่เหมือนกับว่าเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เมื่อนานมาแล้ว ฝันซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น นาคินก็ยิ่งไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น


ครั้นจะบอกเล่าเรื่องราวให้กับครอบครัวได้รับรู้ เขาก็กลัวว่าคนทางบ้านจะคิดมากเพราะเป็นห่วง จะให้พูดกับใครคนอื่นเขาก็คงจะหาว่าเหลวไหล ดังนั้นเรื่องที่คิดไม่ตกก็ยังต้องคั่งค้างอยู่ในใจ เพราะน้ำท่วมปากบอกใครไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่แกล้งทำเฉย ไม่สนใจ และพยายามคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันเลอะเทอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนมองว่าสิ่งที่ฝันมันไม่มีความหมายได้อีกนานสักแค่ไหน








   "แก้ว!"


   ใบหน้าสวยคมกับผิวขาวดั่งจันทร์กระจ่างผิดจากฐานะผินกลับมาตามเสียงหวานที่เรียกหาตน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูฉะฉาน


"ว่าอย่างไรจันทร์หอม มีอะไรให้ข้าช่วยรึ"

   "ข้าจะมาตามแก้วไปทำความสะอาดเรือนคุณสิน บนเรือนใหญ่ท่านสั่งมา เห็นว่าอีกสองสามวันคุณสินเธอจะกลับมาแล้ว" จันทร์หอมว่า

   "อย่างนั้นรึ เอาสิข้ากำลังว่างอยู่พอดี" สาวหน้าคมตอบกลับก่อนจะเก็บงอบที่ยังเย็บไม่เสร็จไว้ในกระบุงพร้อมกับเข็มเล่มใหญ่

   "ยังเย็บไม่เสร็จอีกหรือแก้ว ระวังจะโดนป้าแช่มเอ็ดเอานา" จันทร์หอมเห็นงอบที่ยังไม่เสร็จของเกลอรักจึงเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

   "ใกล้เสร็จเต็มทีแล้วล่ะ เอ็งก็รู้ว่าข้ามิถนัดดอกงานเช่นนี้ ข้าถนัดแต่งานใช้กำลัง" ก่อนลงจากเรือนหลังน้อยแก้วก็ไม่ลืมที่จะนำน้ำทุ้งติดมือมาด้วย กว่าจะทำความสะอาดเรือนดอกแก้วเสร็จ คะเนว่าคงจะประจวบเหมาะกับเวลารดน้ำต้นแก้วเจ้าจอมให้คุณสินพอดี

   "ดูพูดเข้าสิ เอ็งเป็นสาวเป็นนางนะแก้ว ระวังเถิด ประเดี๋ยวคุณท่านมาได้ยินเข้าเอ็งจะถูกเกณฑ์ไปช่วยตาช้อยกับพวกไอ้แดงทำนา" จันทร์หอมว่าไปพลางเดินไปพลาง

   "บ่นเป็นแม่ข้าเชียว" แก้วกรอกตาเหนื่อยหน่ายไม่อยากฟัง

   "ก็น้าก้อยเขาว่าถูก แต่จะว่าไป ให้เอ็งไปช่วยไอ้แดงทำนา นาคงล่มหมดกระมังเพราะตีกันตาย" จันทร์หอมว่าอย่างนึกขัน ก็แต่ไหนแต่ไรมาแก้วกับแดงเคยพูดดีๆกันได้เกินสามคำเสียที่ไหน เจอหน้าทีไรก็ขู่ฟ่อๆใส่กันอยู่ร่ำไป

   "หัวร่อชอบใจไปเถอะแม่เจ้าประคุณ จำมิได้รึ ตอนเด็กๆใครนะมันเคยโดยไอ้แดงแกล้งอยู่เป็นประจำ ซ้ำยังชอบร้องไห้ให้ข้าช่วย"

   "เอาล่ะๆ ข้าไม่ว่าเอ็งก็ได้แก้ว พิโธ่...เท่านี้ก็ทำเป็นทวงบุญคุณ" ดวงหน้าสวยหวานของจันทร์หอมมุ่ยลง ส่วนแม่แก้วตัวดีก็ยิ้มชอบอกชอบใจที่สาวเจ้ายอมจำนน


   เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนดนตรีของคุณสิน แก้วก็วางน้ำทุ้งไว้โคนต้นแก้วเจ้าจอมใหญ่ ทว่าก่อนจะเดินนำจันทร์หอมขึ้นไปบนเรือน เสียงของเกลอรักก็ดังขึ้นด้วยแววฉงน


   "เอ…แก้ว ต้นไม้ของคุณสินนี่มันยังไงๆอยู่นา"

   "ยังไงที่เอ็งว่านั่นมันยังไงเล่าจันทร์หอม"

   "ก็ข้าไม่เห็นว่ามันจะออกดอกออกดวงให้ได้ชมเลยสักดอก มันยังไงกันฮึ"

   "ข้าก็ไม่รู้ รดน้ำมาตั้งหลายปี ดูแลใส่ปุ๋ยพรวนดินก็ไม่เห็นจะมีดอกอย่างเขาว่า คุณสินเองก็คงจะรอชมดอกของมันอยู่ ข้าแอบเห็นบางทีเธอก็มายืนเหม่อๆ เมียงมองมันเสียนาน"

   "ลางทีมันอาจมิถูกกับดินบ้านเราเมืองเรา เห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเอามาจากประเทศนอกมิใช่รึ"

   "ก็เห็นคุณเธอว่าอย่างนั้นนะ ข้าเองก็มิรู้จริงเท็จเช่นไรนักหรอก" ดวงตาคมสีน้ำตาลแก่ทอดมองใบเข้มครึ้มไหวไปตามแรงลมแล้วนึกถอนใจ ก่อนจะตัดใจแล้วหันไปบอกเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ "ขึ้นไปทำความสะอาดเรือนกันเถอะจันทร์หอม ประเดี๋ยวเย็นย่ำจะไม่เสร็จเอา"


   กวาดถูเรือนจนถ้วนทั่ว เครื่องเรือนก็นำลงมาเช็ดจนสะอาดเอี่ยม เหลือเพียงก็แต่โต๊ะวางเครื่องดนตรีเท่านั้นที่ยังไม่ได้รื้อลงมาทำความสะอาด จันทร์หอมถูกเรียกให้ไปเป็นลูกมือในครัวตามหน้าที่ประจำ แก้วจึงอยู่ทำความสะอาดขั้นสุดท้ายเพียงลำพัง เครื่องระนาดและอื่นๆหญิงสาวมิได้แตะต้อง ได้แต่ใช้ผ้าขี้ริ้วชุบน้ำหมาดๆเช็ดไล่ไปตามผิวเนื้อโต๊ะวางเท่านั้น ฝุ่นผงละเอียดเมื่อถูกกำจัดไปโต๊ะไม้สักก็ขึ้นเงาวาววาบเช่นเดิม


   สาวเจ้ายืนมองผลงานตนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจพลางเช็ดเหงื่อเม็ดใสที่หน้าผากด้วยชายผ้าแถบรัดอก เก็บอุปกรณ์เรียบร้อยเตรียมตัวจะลงไปรดน้ำต้นไม้แล้วกลับเรือน ทว่าดวงตาก็พลันเหลือบไปเห็นกล่องไม้งามซึ่งมีขิมโป้ยเซียนบรรจุอยู่ ด้วยความใจกล้าและซุกซนเป็นทุนเดิมแม้วันนี้อายุจะย่างเข้าสิบแปดปีเต็มแล้ว แต่อุปนิสัยของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดฝากล่องไม้แล้วหยิบไม้ซี่เล็กคู่นั้นออกมา หลับตานึกย้อนไปถึงภาพที่เธอมักแอบดูคุณสินเวลาเล่นเครื่องดนตรีนี้เป็นประจำเมื่อกลับมา แล้วก็ตีลงบนสายเส้นทองเหลือง เสียงใสดังกังวานไปทั่วเรือนดอกแก้วที่ร้างไร้ผู้คน เสียงเพราะจับใจนั้นทำให้ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มขึ้นอย่างพอใจ


   ทว่าก่อนที่จะได้ตีลงไปอีกครั้ง เสียงนุ่มทุ้มหากแต่ฟังดูกดต่ำคล้ายไม่พอใจแบบที่แก้วไม่เคยได้ยินก็ดังขึ้นเบื้องหลัง นั่นทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับมามองอย่างเร็วรี่


   "ทำอะไรน่ะ!"

   "คุณสิน..." ดวงตาสีน้ำตาลคมเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะรีบเก็บไม้ซี่เล็กลงไปนอนนิ่งที่เดิมแล้วปิดฝากล่องทันที พลางนึกฉงนในใจ ไหนว่าอีกสองสามวันจึงจะกลับ แล้วด้วยเหตุไฉนคุณสินจึงมายืนอยู่บนเรือนในขณะนี้ได้กันเล่า

   "ฉันเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามไม่ให้ใครมาหยิบจับเครื่องดนตรีของฉันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต"

   "แก้ว...แก้วขอโทษเจ้าค่ะ" เธอคลานเข่าออกห่างจากจุดนั้น ก่อนจะกราบขอโทษจนหน้าชิดกระดาน

   "ทำงานเสร็จก็ลงไปจากเรือนได้แล้ว"

   "คุณสิน...แก้วขอโทษเจ้าค่ะ" ดวงตาที่เคยฉายแววใจดีอยู่เป็นนิจ บัดนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวจนน่ากลัว เผลอสบมองเพียงชั่วครู่ก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

   "ไปสิ" น้ำเสียงเย็นชาดังเตือนขึ้นอีกคำรบ

   "เจ้าค่ะ..." แก้วหมอบกราบอีกครั้งก่อนจะคลานออกไปจากเรือน




v
v
v
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 04-06-2015 09:48:38




หลายวันต่อมา

   แก้วถูกเรียกขึ้นไปพบบนเรือนดอกแก้วอีกครั้ง ทั้งที่หลายวันที่ผ่านมาเธอนั้นกลัวจนหัวหด ไม่กล้าโผล่หน้าไปเฉียดกรายเข้าใกล้เรือนดนตรี แม้แต่ต้นแก้วเจ้าจอมยังขอให้จันทร์หอมไปดูแลแทน แต่วันนี้จะหลีกลี้ไปที่ใดได้เมื่อเจ้าตัวท่านเป็นคนเรียกให้หาเองเช่นนี้ เห็นทีเธอคงจะโดนดุด่าและกล่าวโทษที่กระทำอุกอาจวันนั้นเป็นแน่


   แต่กลับกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทันทีที่ก้าวขึ้นเรือนดอกแก้ว หญิงสาวก็ได้กลิ่นหอมของดอกมะลิ มองปราดเดียวก็เห็นว่าเป็นพวงมาลัยซึ่งวางไว้บนพานทอง ยังไม่ทันได้เรียก คุณสินที่ยืนไพล่หลังรออยู่ก็หันกลับมาพร้อมกับถามคำถามที่ได้ตระเตรียมเอาไว้แล้ว


   "เธออยากเรียนดนตรีหรือเปล่า"

   "อ...อะไรนะเจ้าคะ"

   "ฉันถามว่าเธออยากเรียนดนตรีหรือเปล่า" คราวนี้น้ำเสียงที่เรียบนิ่งฟังดูอ่อนลงกว่าเดิม

   "อยากเจ้าค่ะ" แก้วตอบทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด เธอชอบเสียงดนตรีของคุณสิน และเธอก็อยากจะเล่นมันได้อย่างที่คุณสินเล่น

   "ดี" สินพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มอ่อน "อย่างนั้นฉันจะสอนให้เธอเอง"

   "อะไรนะเจ้าคะ!!" น้ำเสียงตระหนกระคนดีใจนั้นเกือบทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา

   "ฉันจะสอนให้เธอเล่นดนตรีเอาไหม"   

   "แต่...มันจะดีหรือเจ้าคะคุณสิน แก้วเป็นเพียงบ่าวในเรือน แก้วว่าคงจะมิเหมาะมิควรเท่าใดนักนะเจ้าคะ" หญิงสาวว่าอย่างเจียมตัว

   "แต่เธอเองที่เป็นคนบอกว่าอยากเรียนมิใช่รึ"

   "เจ้าค่ะ แก้วอยากเรียน แต่ว่า…" หญิงสาวอ้ำอึ้งชั่วครู่แต่ก็ตอบตามจริง

   "ตัวฉันเองก็อยากสอน แล้วจะเป็นไรไปเล่า ในเมื่อถึงเวลาเธอก็เป็นลูกศิษย์ จะเป็นบ่าวหรือลูกพ่อค้าคหบดีฉันก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์เช่นเดียวกันหมด เข้าใจหรือไม่"

   "พ...พอเข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ"

   "เช่นนั้นเป็นอันตกลงตามที่ฉันว่าก็แล้วกันนะแม่แก้ว" ชายหนุ่มรวบรัดตอบเสียเองเสร็จสรรพเรียบร้อย

   "เจ้าค่ะ" ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าคุณสินว่าดีแก้วก็จะคิดว่ามันดีเช่นกัน ในความรู้สึกช่วงวูบหนึ่ง หญิงสาวก็อดนึกแปลกใจตนเองไม่ได้ว่าเธอเป็นคนหัวอ่อนเช่นนี้เสียตั้งแต่เมือไหร่กัน

   "แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งฉันอีก ลูกศิษย์ต้องเชื่อฟังครูเข้าใจหรือไม่ ทำได้หรือเปล่า"

   "เข้าใจเจ้าค่ะ แก้วทำได้เจ้าค่ะ"

   "ดีมากแม่ลูกศิษย์ ถ้าเช่นนั้นก็มานี่ มาไหว้ครูเสียก่อน เครื่องดนตรีที่เธอจับเล่นนั้นมีครูรู้ไหม จะเล่นจะเรียนโดยที่ไม่ไหว้ครูไม่ได้"

   "เจ้าค่ะ" หญิงสาวคลานเข่าเข้าไปกราบแทบเท้าครูดนตรีของเธอ หากแต่นั่นทำให้สินต้องหัวเราะออกมาจนได้

   "ฉันไม่ได้หมายถึงตัวฉัน ฉันหมายถึงพ่อครู"


   เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำหน้าฉงนหนักกว่าเก่า ชายหนุ่มจึงพาลูกศิษย์หมาดๆ ของตนเข้าไปด้านในห้องเล็กซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ เขาจัดการให้แก้วไหว้ครูบาอาจารย์เสียเรียบร้อย เครื่องไหว้หรือก็เตรียมไว้พร้อมสรรพแต่แรก เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ทั้งที่เขาเองไม่เคยมีลูกศิษย์ แม้จะเคยสอนคนมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นศิษย์เช่นหญิงสาวตรงหน้า ยิ่งเห็นแววตาจริงจังกว่าผู้หญิงทั่วไปของหล่อน เขาก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู หากมองไม่ผิด สินเห็นแววตาที่ฉายไปด้วยความรัก เขาคิดว่าแก้วคงจะเป็นคนหนึ่งที่รักในเสียงดนตรีเฉกเช่นเดียวกันกับตน




   ทว่าสิ่งหนึ่งที่สินยังไม่รู้ จริงอยู่ที่ความรักในเสียงดนตรีของแก้วนั้นมีเต็มเปี่ยม หากแต่ดนตรีที่แก้วรักคือดนตรีของสิน เสียงดนตรีของผู้ซึ่ง ณ ขณะนี้เป็นครูของเธอนั่นเอง








มือหนาลากผ้าขนหนูผืนเล็กไปตามโครงหน้าขาวซีด กดซับเม็ดเหงื่อออกไปจากตีนผมก่อนที่มันจะไหลหยดเข้าตา เพราะกิจกรรมที่ทำต้องออกแรงมาก ซ้ำวันนี้อากาศก็ร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก จึงไม่แปลกที่ผ้าสีขาวผืนเล็กจะเปียกโชกชุ่ม


   เมื่อออกแรงช่วยลุงเสริมยกตู้ไม้สักออกมาจากห้องเล็กในเรือนดนตรีเรียบร้อยตามเสียงกำกับของลุงมน นาคินก็เข้าไปช่วยยกเครื่องดนตรีเก่าเก็บด้านในออกมาจนหมดเพื่อให้ป้าปุก สนธยาและเด็กรับใช้อีกสองคนทำความสะอาด ส่วนมัทนามีเรียนพิเศษจึงไม่ได้อยู่ช่วย ทันทีที่เรียบร้อยจากหน้าที่ใช้แรงงานร่างสูงก็ทิ้งตัวนั่งพิงเสาเรือนอย่างหมดแรง


   วันนี้ตอนเช้าตรู่หลังจากที่ทุกคนตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว มนตรีก็ประกาศกลางโต๊ะอาหารว่าจะทำความสะอาดเรือนดนตรีครั้งใหญ่ ทันทีที่เด็กๆซึ่งมาเรียนดนตรีในวันอาทิตย์กลับบ้านกันหมดแล้วงานทำความสะอาดก็เริ่มขึ้น นาคินกับลุงเสริมมีหน้าที่ยกของหนักออกมาข้างนอกเพื่อให้ป้าปุกกับสองสาวทำความสะอาด สนธยามีหน้าที่ดูแลเครื่องดนตรีเก่าทั้งหมด ช่วยยกไม่ได้เพราะต้องดูแลข้อมือเนื่องจากเป็นนักดนตรี ส่วนมนตรีเองเป็นคนคอยสั่งการยกอะไรมากไม่ได้เพราะหลังไม่ค่อยดีเหมือนตอนหนุ่มๆ อีกทั้งต้องรักษาข้อมือเหมือนกับสนธยา


   นาคินแอบเสียดายหากว่าเป็นเมื่อวานคงจะมีต้นไผ่กับโจ้ช่วยกันยกอีกแรง ร่างสูงนั่งพักแล้วจิบน้ำเย็นในขันลอยมะลิอยู่ชั่วครู่ มองทุกคนทำงานไปเรื่อยแล้วตั้งใจจะไปช่วยป้าปุกเช็ดเครื่องเรือนต่อ เพราะกลัวจะกินแรงคนอื่นเกินไปถ้ายังนั่งแช่อยู่ตรงนี้ หากว่าดวงตาคมไม่หันไปสะดุดกับกล่องไม้ที่มีลวดลายคุ้นตาเหลือแสน แทนที่จะเดินไปช่วยเช็ดเครื่องเรือน นาคินกลับเดินไปหยุดตรงหน้ากองเครื่องดนตรีเก่าที่วางเรียงรายอยู่กินพื้นเต็มระเบียงขวาง ก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้ากล่องไม้ศีซีดซึ่งมีลายเทพเจ้าของจีนประดับอยู่ ปลายนิ้วสั่นเทายื่นไปแตะไล้ฝากล่อง ลากเอาฝุ่นละเอียดติดนิ้วมาเป็นจำนวนไม่น้อย กระนั้นมันก็ทำให้เห็นลายรูปวาดชัดเจนยิ่งขึ้น


   คิ้วเข้มขมวดมุ่น นึกถึงความฝันของตนอยู่ชั่วอึดใจ ไม่ใช่แค่ภาพฝันเมื่อคืน หากแต่หลายครั้งแล้วที่เขาฝันเห็นชายที่ชื่อสินกับกล่องใส่ขิมลายนี้ ลายเดียวกันไม่มีทางที่จำผิดเป็นอันขาด หากจะพิสูจน์ให้แน่ก็ต้องเปิดดูภายใน เมื่อตัดสินใจได้มือหนาก็ดันสลักล็อคออกแล้วเปิดฝากล่องให้เห็นประจักษ์ว่าข้างในมีสิ่งที่เขาคาดไว้หรือไม่


   ขิมโป๊ยเซียนนอนสงบนิ่งเหมือนในภาพนิมิตฝัน ด้านข้างมีไม้ตีซี่เล็กสองอันวางคู่ สายเส้นทองเหลืองแม้จะดูเก่าคร่ำคร่าแต่ก็ยังคงส่องประกายวามวับไร้ฝุ่นไรเกาะ



มันอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและมันมีอยู่จริงได้อย่างไร?



   คำถามแรกยังพอที่จะสอบถามหรือหาคำตอบได้ แต่คำถามที่สองนั้นยากเหลือเกินที่นาคินจะคาดเดา สิ่งที่เห็นมีอยู่จริง ความฝันที่คอยหลอกหลอนเป็นเรื่องเป็นราวเหล่านั้นกำลังจะบอกอะไรกับเขากันแน่ เพียงแค่คิดเท่านั้นก็เริ่มจะปวดหัวตุบๆขึ้นมาอย่างเสียมิได้ ทุกอย่างช่างดูประจวบเหมาะเกินไป ทั้งเรือนดอกแก้วนี้ ต้นแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ข้างหน้าเรือนนั่น และยังมีขิมโป๊ยเซียนโบราณนี่อีก ไม่อยากจะคิดเลยว่าบางที…แค่บางที



บุคคลที่เขาเห็นในฝันนั้นอาจจะมีตัวตนอยู่จริงๆก็เป็นได้!



   "เป็นอะไรไปคิน" น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามขึ้นมา ทำให้นาคินหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง

   "ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร" นาคินเงยขึ้นสบมองคนถามที่มองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว

   "เห็นนั่งนิ่ง นึกว่าหลับในเสียอีก"

   "หึๆ...เปล่าหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ" นาคินยิ้มแล้วส่ายหน้ากับความคิดของสนธยา

   "จะช่วยก็มาเอาผ้านี่ อย่ามัวแต่อู้ คิดจะกินแรงคนอื่นหรือไง"

   "ครับๆ" นาคินรับผ้าที่สนธยาโยนมาให้ก่อนจะเช็ดที่ฝากล่องฝุ่นเขรอะอย่างเบามือ แต่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามออกไป "สน...ถามอะไรหน่อยสิ"

   "อะไรล่ะ" แก้วตาสีดำสนิทมองชายหนุ่มรุ่นน้องนิ่ง ส่วนมือเรียวที่เช็ดเครื่องดนตรีไปด้วยก็ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่อง

   "ขิมนี่ของใครเหรอ"

   "ของพ่อมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน เห็นอยู่มานานแล้วล่ะ แต่มันเป็นของเก่าเลยไม่ได้เอาออกมาเล่น" คนตัวเล็กกว่าตอบตามจริง

   "อ๋อ..." นาคินไม่ได้ผิดหวังกับคำตอบนั้นนัก อย่างน้อยถ้ารู้ว่าเป็นของลุงมนก็ทำให้สบายใจขึ้นนิดหน่อย ขิมแบบนี้ก็คงจะมีเหมือนๆกันหลายตัวนั่นแหละ และก็ไม่แปลกที่ครูสอนดนตรีไทยอย่างลุงมนจะมีไว้ในครอบครองบ้างเหมือนกัน

   "ถามทำไมล่ะ"

   "ก็แค่อยากรู้น่ะ เห็นมันเป็นของเก่า ก็เลย...สงสัยว่าลุงมนสะสมของเก่าแบบนี้ด้วย" ชายหนุ่มพยายามสร้างเหตุผลปลอมๆออกมาให้ดูน่าเชื่อถือมากที่สุด

   "อืม..." สนธยาพยักหน้ารับแบบไม่สนใจ แล้วก็ก้มหน้าทำงานของตนเองต่อ

   "เป็นไงคิน เหนื่อยไหมลูก" ผ่านไปพักใหญ่ มนตรีก็เดินมาแตะไหล่หนาของนาคินก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากวันนี้ใช้งานเสียหนักพอควร

   "นิดหน่อยครับ แต่ได้ออกกำลังบ้างก็ดีครับ" ชายหนุ่มยิ้มหวาน

   "ดีๆ คนหนุ่มก็ดีแบบนี้ล่ะนะ" ชายสูงวัยพยักหน้ารับยิ้มๆ จากนั้นจึงถามบางอย่างออกมาเนื่องจากสังเกตเห็นพฤติกรรมของนาคินมานานแล้ว "ว่าแต่คินอยากเล่นดนตรีบ้างไหมลูก ลุงเห็นเราชอบมานั่งฟัง แล้วก็เห็นจับๆมันหลายทีแล้ว"

   "ผม..." ชายหนุ่มหยุดคิดนิดหน่อย "ก็อยากลองเล่นครับ แต่ไม่ค่อยมีหัวทางดนตรีเท่าไหร่ เคยเล่นกีต้าร์กับเบสแต่ก็ไม่ได้เก่งอะไรเลย"

   "เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่การฝึกฝนแล้วก็ซ้อมบ่อยๆ ด้วย เอาไหมล่ะถ้าคินอยากเล่นลุงจะให้เจ้าสนสอนให้" ลุงมนเสนอ

   "ไหงงั้นล่ะพ่อ พ่ออยากให้เล่นก็สอนเองสิ เกี่ยวอะไรกับสนล่ะ" คนที่ถูกเอ่ยถึงรีบท้วงขึ้นทันควัน

   "เอ้า! ก็เราน่ะเก่ง แถมยังอยู่ในวัยเดียวกันคุยกันง่าย สอนน้องสักหน่อยจะเป็นไรไป จะได้สนิทกันเร็วๆ"

   "ไม่เอาด้วยหรอก" สนธยาส่ายหน้าทันที


ด้วยท่าทางที่สนธยาแสดงออกทำให้นาคินเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทั้งที่นาคินเองก็ไม่ค่อยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เท่าไหร่ แต่เวลาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ทีไรก็อยากจะท้าทายมันทุกทีไป ยิ่งท่าทางไม่ยอมรับแบบนั้นเขาล่ะอยากจะทำให้สนธยายอมอ่อนให้เขาขึ้นมาเสียดื้อๆ


   "อย่าลำบากพี่เขาเลยครับลุง ผมน่ะเป็นพวกหัวช้า ถึงให้คนสอนเก่งๆบางทีก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าเล่นไม่ได้จะขายหน้าพี่เขาเปล่าๆ" คำพูดของนาคินทำให้สนธยาฮึดฮัดขึ้นมาทันที

   "นี่นายหาว่าฉันไม่เก่งพอจะสอนนายได้หรือไง" เสียงนุ่มว่าอย่างหาเรื่อง

   "เปล่านะครับ" นาคินยกมือขึ้นแก้ตัวเป็นพัลวันแล้วว่าต่อ "ผมแค่กลัวว่าจะทำให้เสียเวลา ถ้าเกิดสอนแล้วผมก็ยังเล่นไม่ได้ขึ้นมา อีกอย่างพี่สนจะเสียชื่อด้วยน่ะครับ" นาคินกล่าวยิ้มๆ และเป็นรอยยิ้มที่สนธยาคิดว่ามันกวนประสาทที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา

   "ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นคนสอนนายเอง เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน" สนธยาว่าเสียงเย็น หากแต่นาคินเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆตามแบบฉบับ ซ้ำยังเน้นในจุดที่ไม่ควรเน้นในเวลานี้อีกด้วย


   "แล้วผมจะรอนะครับ คุณครูพี่สน"






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาต่อแล้วค่าาาา 
ชอบไม่ชอบยังไงฝากติชมกันได้นะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 04-06-2015 09:56:37
รอติดตามคุณครูพี่สนต่อไป
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 04-06-2015 10:30:50
พี่สนถูกคินหลอกแล้วล่ะค่า~ :laugh: โดนยั่วโมโหจนลืมตัวรับคำท้าไปแบบเต็มที่เลยเชียวน้า~ ^^ .. ส่วนเรื่องในความฝันของคิน เหมือนกับว่าแก้วแอบหลงรักคุณสนอยู่เลยนะคะน่ะ อืม~ น่าสงสัยจริงๆ เลยค่ะ

รอตอนต่อไปนะค้าา.. ><
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 04-06-2015 10:31:15
นั่นนางกำลังหยอดพี่สนใช่มะ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-06-2015 10:50:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 04-06-2015 14:55:38
อยากรู้เรื่องราวต่อไปใจจะขาด อะไรดลใจให้คินฝันถึงเหตุการณ์ช่วงนั้น

แล้วก็คินเป็นใครอีก โอยย อยากรู้เยอะแยะไปหมด
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 04-06-2015 15:43:44
มีอะไรที่อยากรู้ปมต่างๆที่ ยากหาคำตอบมากมาย
แต่ตอนนี้พี่สนกลับหลงกลนาคินซะแล้ว 5555
เวลาที่พี่สนหงุดหงิดแบบนี้มันก็น่ารักดีนะ

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๔ ☰ [๐๔/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-06-2015 17:42:23
แก้วเนี่ยะเป็นคินหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 09-06-2015 19:31:06
๕.





   เช้าวันเสาร์ของอาทิตย์ถัดมาเป็นเสาร์แรกในกำหนดการของสนธยาที่จะเริ่มต้นสอนดนตรีให้กับนาคิน ชายหนุ่มร่างโปร่งตื่นขึ้นมาเปิดตู้เก็บเครื่องดนตรีในเรือนดอกแก้วแต่เช้าตรู่ ก่อนจะยกขิมตัวหนึ่งออกมาทำความสะอาดและตรวจสอบกวดขันดูเส้นลวดไม่ให้ตึงหรือหย่อนจนเกินไป เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงยกไปวางไว้ด้านหลังสุดของชานเรือนซึ่งเป็นพื้นที่เรียนดนตรีไทยของเด็กนักเรียนตัวน้อยในวันนี้ จากนั้นจึงกลับขึ้นเรือนใหญ่เพื่อเตรียมโน๊ตดนตรีฉบับฝึกหัดขั้นพื้นฐานให้นักเรียนคนใหม่ของเขาอีกหนึ่งฉบับ


ดวงตาสุกใสจ้องมองแผ่นกระดาษในมืออยู่ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา จะว่าเหนื่อยหน่ายก็ไม่ใช่ จะว่ารำคาญก็ไม่เชิง ออกจะรู้สึกดีทุกครั้งที่มีคนสนใจเรียนดนตรีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหรือสองคน ทว่านายนาคินคนนี้กลับทำให้สนธยารู้สึกกังวลใจและหนักใจเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มสอนกันด้วยซ้ำ เพราะเขาสังหรณ์ใจว่านาคินจะเป็นลูกศิษย์ที่รับมือได้ยากกว่าลูกศิษย์คนไหนๆที่เคยเจอมา


   "พี่สน พี่สนคะ!" เสียงเรียกแหวแหวกอากาศของน้องสาวตัวดีทำเอาเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง อีกทั้งเสียงของหล่อนยังผลักความกังวลใจของสนธยาเสียกระเด็นกระดอน

   "มีอะไร?" สนธยาเดินมาเปิดประตูห้องนอนเพื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม


   "พ่อให้มาเรียกไปกินข้าวเช้า" เธอตอบ

   "อืม เดี๋ยวพี่ตามไป" สนธยาว่า

   "นั่นกระดาษอะไรน่ะพี่สน?" มัทนาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นโน๊ตเพลงในมือของสนธยา

   "โน๊ตเพลงน่ะ"

   "อ๋อ...ที่จะเอาไปสอนพี่คินวันนี้หรือเปล่า"

   "อืม  รู้ได้ไง" สนธยาถามพลางเก็บข้าวของอีกนิดหน่อยก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

   "พิมก็เดาๆเอาน่ะสิ...เห็นพ่อบอกว่าวันนี้พี่คินจะเรียนดนตรีกับพี่สน พิมก็เลยคิดว่าน่าจะใช่ ว่าแต่พิมเดาถูกไหมล่ะคะ" มัทนาอธิบายเสียยืดยาวก่อนจะปิดท้ายด้วยคำถามขณะเดินเคียงไปกับพี่ชาย

   "อืม" สนธยาได้แต่พยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ เนื่องจากเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวพอดี โดยที่โต๊ะมีมนตรีกับนาคินนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว ดูท่าทางคงจะกำลังคุยกันออกรสเพราะเขาเห็นพ่อหัวเราะชอบใจใหญ่

   "อ้าว! มากันแล้วๆรีบกินข้าวกันเถอะ อีกเดี๋ยวเด็กๆคงจะเริ่มทยอยมากันแล้วล่ะ นี่พิมก็ต้องไปเรียนพิเศษด้วยใช่ไหมลูก รีบๆเข้า เดี๋ยวก็ไปเรียนสายกันพอดี" มนตรีหันมาพูดกับลูกสาวคนเล็ก

   "อันที่จริงพิมมีเรียนสายค่ะพ่อ ไม่รีบหรอก" สาวน้อยคนเดียวของบ้านบอกก่อนจะตักข้าวต้มเครื่องเข้าปาก

   "อย่างนั้นเหรอ พอดีเลย วันนี้พ่อจะออกไปทำธุระ พิมออกไปพร้อมพ่อเลยก็แล้วกัน พ่อจะได้ให้ลุงเสริมไปส่งพิมที่โรงเรียนก่อน" ผู้เป็นพ่อแจงกับลูกสาว

   "ค่ะพ่อ" มัทนาพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวต้มของตนเองต่อจนหมด

   "สน”

“ครับพ่อ”

“ประเดี๋ยวพ่อจะไม่อยู่สามสี่วัน ดูแลบ้านด้วยนะลูก"

   "ไปไหนหรือครับ" สนธยาเงยหน้ามาจากจานอาหารแล้วขมวดคิ้วถาม

   "พ่อต้องไปทำธุระเรื่องที่ดินที่อยุธยาน่ะลูก พอดีว่ามีคนเขามาติดต่อของซื้อ คงต้องพากันไปดูที่ แล้วว่าจะแวะไปเยี่ยมยายช้อยแกด้วย ไม่ได้ไปหาแกมานานแล้ว"

   "ครับ" สนธยาพยักรับรู้ และไม่สืบเท้าเอาความอันใดต่อ


เป็นที่เข้าใจตรงกันเมื่อเอ่ยถึงที่ดินมรดกตกทอดของตระกูลกับญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ใคร่จะน่าพิสมัยเท่าใดนัก เนื่องจากรู้กันกับมัทนาว่าถ้าพูดถึงยายช้อย ทั้งสนธยาและมัทนาก็จะไม่มีใครปริปากถามอะไรให้มากความ ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกพ่อชวนให้ไปเยี่ยมเยียนแกเป็นเพื่อน


   "พ่อให้เสริมไปส่งแล้วก็กลับเพราะรถของสนยังอยู่ในอู่ พิมกับสนจะได้มีคนรับส่งตอนไปเรียน เอาไว้วันที่พ่อกลับค่อยโทรให้เสริมไปรับอีกที" มนตรีอธิบายกำหนดการณ์ทั้งหมดให้ลูกชายลูกสาวรวมถึงนาคินฟังด้วยกัน

   "ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ให้ลุงแกไปอยู่ที่นั่นกับพ่อก็ได้ ลุงเสริมจะได้ไม่ต้องขับกลับไปกลับมา อีกอย่างถ้าเกิดจะต้องไปไหนพ่อจะได้เรียกใช้ได้สะดวก ไม่ต้องลำบากหารถอีก ผมกับพิมไม่เป็นไรหรอกครับ โตๆกันแล้ว ไปเรียนแค่นี้ก็ไปกันเองได้ พ่อไม่ต้องห่วง"

   "เอาอย่างนั้นหรือ" ผู้เป็นพ่อมีท่าทีลำบากใจ ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากลูกสาว "แล้วเราว่ายังไงล่ะพิม"

   "เอาอย่างที่พี่สนว่าก็ได้ค่ะพ่อ โรงเรียนอยู่ใกล้แค่นี้ พิมไปเรียนเองได้สบายมาก" มัทนายืนยันเหมือนที่พี่ชายว่าอีกเสียง ถึงแม้จะลำบากกว่าปกติแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พ่อต้องลำบากหากมีธุระต้องใช้รถ

   "ถ้าลูกๆว่าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ยังไงพ่อฝากดูบ้าน ดูน้องด้วยนะสน คิน"

   "ครับ/ครับ" คนถูกสั่งตอบรับและพยักหน้าพร้อมกัน แล้วหัวข้อสนทนายืดยาวก็จบลง ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนเองต่อไปโดยที่ไม่พูดคุยอะไรกันอีก








   หลังจากมื้อเช้าผ่านไป มนตรีกับมัทนาก็เดินทางไปทำธุระของตนเอง ส่วนลูกชายคนโตของบ้านตอนนี้ก็แยกตัวออกมามาทำหน้าที่ของตนเองที่ทำอยู่เป็นกิจวัตรทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ชายหนุ่มเดินหอบแฟ้มที่เต็มไปด้วยโน๊ตเพลงเพื่อไปยังเรือนดอกแก้วซึ่งในขณะนี้เด็กๆเริ่มทยอยมากันแล้ว แต่ร่างสูงของหนุ่มรุ่นน้องก็ดันวิ่งตึงๆลงบันไดตามหลังมา เป็นจังหวะเดี๋ยวกับที่สนธยาสวมรองเท้าเสร็จพอดี ทันทีที่ออกเดินร่างสูงก็เร่งตีฝีเท้ามาเดินข้างๆกับสนธยา


   "ให้ช่วยถือไหมครับ" นาคินว่าพลางมองแฟ้มหนาในอ้อมแขนของสนธยา

   "ไม่ได้หนักอะไร ฉันถือเองได้" สนธยาบอกเรียบๆ

   "..." นาคินไม่ได้ต่อความเพียงแต่พยักหน้ารับ และเดินตามหลังร่างโปร่งบางไปเงียบๆเท่านั้น



   เสียงดนตรีไทยของเด็กๆถูกบรรเลงขึ้นพาคนฟังให้รู้สึกสดชื่นเหมาะกับยามสายที่มีแดดอบอุ่นท้องฟ้าสดใส ถือว่าโชคดีที่เรือนดอกแก้วเป็นเรือนไทยแบบเปิดโล่งด้านในแทบจะทั้งหมด สายลมเย็นสบายจึงพัดมาช่วยไม่ให้อากาศร้อนมากนัก


   การเรียนการสอนเป็นไปอย่างปรกติสุขดี แม้เด็กๆจะคอยแอบชำเลืองมองนักเรียนคนใหม่ของคุณครูพี่สนด้วยความสงสัยระคนสนใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเพราะต้องซ้อมเพลงของตัวเองตามที่คุณครูสั่งด้วย ระหว่างที่เด็กๆกำลังซ้อมเพลงอย่างขะมักเขม้น สนธยาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อแวะเวียนมาสอนนักเรียนตัวโตของตัวเองตัวต่อตัว เพื่อให้นาคินสามารถเริ่มเล่นได้ถูกทางถูกวิธี สนธยาจึงเริ่มใช้แบบฝึกหัดอย่างง่ายๆในการสอนเป็นลำดับแรกก่อน


ขณะที่เด็กนักเรียนทุกคนกำลังหยุดพักสิบห้านาทีเพื่อดื่มน้ำดื่มท่าและเข้าห้องน้ำ สนธยาก็ฉวยโอกาสนี้เร่งสอนนาคินเพิ่มเป็นพิเศษด้วย


   หากแต่สนธยาไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้ ดูเหมือนนาคินจะไม่ค่อยมีหัวทางด้านนี้เท่าใดนัก ขนาดวิธีจับไม้ที่เพิ่งสอนไปเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า พอเผลอเข้าหน่อยเจ้านักเรียนตัวโตก็จับเอาอย่างที่ตนเองถนัดไปเสียอย่างนั้น ทั้งน้ำหนักในการตีสายไล่โน๊ตก็แรงเสียจนกลัวว่าสายลวดจะขาดผึ่ง เสียงที่ตีออกมาดังโด่งฟังดูแข็งเสียจนแสบแก้วหู อยากจะส่ายหน้าด้วยความระอา แต่พอเห็นหน้าตาจริงจังกับคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นเส้นเดียวของพ่อนักเรียกตัวโตแล้ว คุณครูสนธยาก็ยั้งใจไม่ให้ตนเองแสดงท่าทางหักหาญน้ำใจเช่นนั้นออกไปได้ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องเตือนกันสักหน่อย พอคิดได้เสียงเรียบๆตามแบบฉบับก็ถูกส่งออกไปในทันที


   "จับไม้ดีๆสิ แบบนั้นมันผิด เมื่อกี้ก็บอกแล้ว"

   "ครับๆ"


นาคินพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนท่าให้ถูก ผ่านไปสักพักเสียงของสนธยาก็เตือนออกมาอีกรอบ หากแต่ครั้งนี้ติดจะดุไปสักหน่อยตามอารมณ์ เมื่อนักเรียนทำตามที่สอนได้ไม่นานสักที


   "เบา! บอกให้ตีเบาหน่อย"


   "ก็เบาแล้วนะ" นาคินเถียงเพราะคิดว่าตนเองเบามือกว่าเดิมมากแล้ว

   "เบากว่านี้อีก ตีแรงจนเสียงแหลมโด่แล้วเห็นไหมเนี่ย"

   “ก็ผม…”

“อย่าเถียง”

   "ครับๆ" ร่างสูงยอมพยายามทำตาม และไม่ออกเสียงเถียงโต้ตอบ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้คุณครูหงุดหงิด

   "สอนไม่จำสักที" ริมฝีปากสีอ่อนแอบบ่นขมุบขมิบ

   "โธ่...ผมก็พยายามอยู่นะครับ ทำไมคุณครูพี่สนถึงดุจังเลยล่ะครับ"


อาจเพราะอยู่ใกล้กันเกินไปนิด ประโยคที่บ่นพึมพำคนเดียวจึงไปเข้าหูของร่างสูงจนถูกแซวแบบนี้ ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มติดจะล้อเลียนอยู่กลายๆ นั่นยิ่งทำให้สนธยานึกฉุนเข้าไปใหญ่

   "หัดตั้งใจเล่นให้ได้ดีสักครึ่งหนึ่งอย่างปากจะไม่ว่าเลย" สนธยาตอกกลับ


นาคินมองตามปากยื่นๆของอีกฝ่ายอย่างนึกขำ ยิ่งผนวกกับใบหน้างอง้ำและคิ้วผูกโบยิ่งดูน่าขันมากขึ้นไปอีก คิดดูให้ดีสนธยาเองก็มีด้านที่คล้ายกับเด็กอยู่หลายส่วนเหมือนกัน นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกกลัวคุณครูจำเป็นคนนี้เลยสักนิด มัวแต่คิดเพลินจนไม่ได้สนใจว่าคุณครูนั่งรอชมอยู่ ร่างสูงจึงถูกสะกิดด้วยน้ำเสียงดุๆอีกคำรบ

   "มัวเหม่ออะไร ทำไมไม่เล่นล่ะ"

   "อ๋อ...อ่า...ครับๆ คุณครูพี่สน" นาคินพยักหน้ารับรู้และยังไม่วายจะเอ่ยสัพยอกให้อีกคนหงุดหงิดเล่น

   "นายนี่มัน!” สนธยาขู่ฟ่อลอดไรฟัน ก่อนจะถอนหายใจทิ้งแล้วออกคำสั่ง “ซ้อมไปเลยนะ ฉันจะไปสอนเด็กแล้ว ถ้ากลับมาแล้วยังทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเล่นมันแล้ว จะถือซะว่าไม่มีหัวทางนี้" พูดจบคุณครูคนเก่งก็เดินตึงๆไปเรียกเด็กๆมาเริ่มเรียนกันต่อ และการเรียนการสอนตลอดชั่วโมงนั้น สนธยาก็ไม่ได้แวะเวียนหรือเฉียดกรายเข้ามาใกล้ลูกศิษย์เจ้าปัญหาของเขาอีกเลย








   ภาพของครูเพลงคนเก่งสอนลูกศิษย์บ่าวคนงามเล่นดนตรีเป็นประจำทุกครั้งที่กลับมาจากในวัง เป็นภาพที่คนในเรือนคหบดีเสืองเห็นจนชินตา แม้ผู้เป็นแม่จะเอ่ยทัดทานถึงความไม่เหมาะสม ทว่าพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็หาฟังคำทัดทานนั้นไม่ ทั้งพ่อเสืองยังไม่ได้ห้ามปรามอันใดปล่อยให้สินทำตามใจ นายหญิงบนเรือนใหญ่จึงจนปัญญาจะค้านอันใดได้อีก


หากแต่ด้วยสินเป็นคนมีความคิดจึงระแวดระวังตนไม่ให้ใครเอาไปพูดถึงเสียหายได้ว่าหมกตัวอยู่กับบ่าวในเรือนสองต่อสอง หลังจากหัดให้แก้วเล่นดนตรีได้ไม่นาน สินจึงเอ่ยปากถามความสมัครใจของลูกบ่าวคนอื่นๆ ว่ามีผู้ใดอยากจะหัดเล่นดนตรีด้วยหรือไม่ เวลาต่อมาจากนั้น เรือนดอกแก้วจึงมีเด็กๆขึ้นเรือนมาเรียนกับสินด้วย หากแต่ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากเด็กๆ ส่วนใหญ่จะติดเล่นตามประสา ยิงนก ตกปลาเสียมากกว่านั่งสงบเรียนดนตรีอยู่บนเรือน
   

นับวันผ่านพ้น เป็นเดือนเป็นปี ความใกล้ชิดสนิทสนมของแก้วและคุณสินก็มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น แม้หนุ่มสาวทั้งสองจะไม่เคยเจรจากันเหมือนชายเกี้ยวหญิง หากแต่ก็เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น สินนั้นมองว่าแก้วเป็นหญิงสาวที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนใดที่ตนเคยประสบพบเจอ เพราะเธอเป็นคนที่สดใส ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความกล้าที่จะซักถามไม่ได้เหนียมอายอย่างหญิงทั่วไป หากแต่ก็รู้จักเจียมตนและสำนึกว่าเป็นบ่าวอยู่เสมอ แม้อายุอานามจะย่างเข้าสิบแปดปี โตพอจะเรียกได้ว่าเป็นสาวสะพรั่ง ทว่าอุปนิสัยกลับคล้ายกับเด็กน้อย ทำให้สินรู้สึกเอ็นดูแม่ลูกศิษย์คนนี้ขึ้นอีกหลายส่วน
   

ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับแก้วนั้น คุณสินเป็นทั้งครูและผู้มีพระคุณของเธอ หญิงสาวจึงรักและบูชาเจ้านายคนนี้ยิ่งนัก เมื่อพิศดูลักษณะที่แสนจะใจดี เยือกเย็นและอบอุ่นไปในคราวเดียวกัน มันยิ่งทำให้แก้วผูกใจสมัครรักใคร่ในตัวของคุณสินมากยิ่งขึ้น ถึงกระนั้น หญิงสาวก็เก็บเอาความรู้สึกของตนเองข่มไว้ภายใน ด้วยเจียมกะลาหัวว่าตนเป็นเพียงบ่าว ไม่เคยริอาจจะคิดฝันการใดๆที่ไกลเกินเอื้อมเลยสักครั้ง ชีวิตนี้ขอเพียงได้รับใช้ ได้เฝ้ามองรอยยิ้มสุขใจของคุณสิน เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของเธอแล้ว


   "คุณสินเจ้าคะ แก้วเล่นได้แล้วเจ้าค่ะ เพลงเถาที่คุณสินสอนคราวที่แล้ว" หญิงสาวว่าหน้าตายิ้มแย้มทันทีที่โผล่ขึ้นเรือนมาพบนาย

   "ไหนลองแสดงฝีมือให้ชมเป็นขวัญตาหน่อยซี"

   "เจ้าค่ะ"


   ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าตั่งวางขิมเพื่อฟังบ่าวสาวบรรเลงเพลง เมื่อเสียงไพเราะหวานหูตามแบบฉบับที่เขาเคยสอนจบลง สาวหน้าคมก็ยิ้มร่ารอรับคำชมจากอาจารย์ รอยยิ้มนั้นช่างกระตุกให้หัวใจสั่นไหว ทั้งยังพาให้รู้สึกซาบซ่านในหัวใจแทบจะลอยลมจนตัวเขาเองเผลอยิ้มกว้างตามไปด้วย


   แน่นอนว่าสินเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกนึกคิดใดๆย่อมประจักษ์แก่ใจตนเองดีที่สุด หากแต่ด้วยเส้นบางๆที่ขีดไว้ของคำว่าครูกับลูกศิษย์ ทำให้เขากระดากอายที่จะแสดงออกว่าตนเองคิดเกินเลยกว่านั้นเสียแล้ว ความสุขที่มีอยู่ทุกครั้งที่กลับมาบ้านจึงเป็นการเฝ้ามองรอยยิ้มสดใสซึ่งไม่คู่ควรแก่การทำลายนี้ เพราะชายหนุ่มรู้ว่าถ้าเขากับแก้วรักกัน แก้วคงต้องพบเจอกับอะไรๆที่จะคืบคลานมาบั่นทอนความสดใสในตัวเธอไปเป็นแน่ และปราการด่านแรกที่ต้องเจอคือผู้เป็นแม่ของเขาเอง คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะหักห้ามใจของตนเองเอาไว้


ทว่าเขาจะทนได้นานเพียงใด ใครเล่าจะรู้...









   คุณครูหนุ่มยืนกอดอกมองดูเด็กตัวน้อยๆ เดินเรียงแถวเข้ามาเรียนดนตรีไทยที่บ้านคุณครูมนตรีพร้อมหน้า ทุกคนต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายกันโหวกเหวกไปหมด เนื่องจากไม่ได้พบกันมากว่าครึ่งเดือน เหตุเพราะเมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดเข้าพรรษา โรงเรียนสอนดนตรีไทยจึงปิดให้เด็กๆได้ไปทำบุญกับผู้ปกครอง


   หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแต่ละคนกันพอหอมปากหอมคอ ทุกคนก็นั่งสงบพร้อมจะเริ่มต้นเรียนกันได้สักที หากแต่ก่อนที่สนธยาจะเริ่มสอน สายตาก็พลันเคลื่อนไปหยุดที่นักเรียนตัวโตซึ่งมีท่าทีอิดโรยและดูเคร่งเครียดกว่าที่เคยเห็น ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานาคินกลับไปเยี่ยมที่บ้านเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพ พอกลับมาก็ไปเรียนพร้อมกันตามปรกติ ซ้ำบางวันนาคินก็จะลงมาซ้อมดนตรีตอนเย็นพร้อมกับตนด้วย นั่นทำให้ร่างสูงพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้อีกนิด ทว่าที่แปลกใจคือสนธยาไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของนาคินเลยกระทั่งตอนนี้ว่าลูกศิษย์ตัวโตดูทรุดโทรมลงไปแค่ไหน


   ระหว่างที่เรียนดนตรีกันไปอาการเคร่งเครียดและเหม่อลอยของนาคินยิ่งแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน จนสนธยาที่เผลอมองชายหนุ่มบ่อยครั้งพาลไม่มีสมาธิไปด้วย ในที่สุดการเรียนการสอนก็จบลง นักเรียนทุกคนพากันกลับบ้านเรียนร้อย ตัวสนธยาเองก็กำลังจะไปกินข้าวกลางวัน แต่เป็นเพราะยังเหลือนักเรียนอีกคนที่กำลังนั่งตีขิมโดยไม่สนใจใครอยู่ตรงด้านหลังสุดของชานเรือน จึงทำให้คุณครูสนธยาไม่อาจละลงไปจากเรือนดอกแก้วได้


   นาคินรู้สึกอ่อนเพลียมากในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรหักโหมเลยสักนิดซ้ำเขาเองก็เป็นคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำไม่น่าจะป่วยอย่างไม่มีสาเหตุได้ ถึงอย่างนั้นนาคินก็รู้สึกเหมือนตัวเองนอนไม่พอและไม่ค่อยมีแรงอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นเพราะความฝันที่คอยตามมาฉายภาพซ้ำให้เห็นทุกค่ำคืนติดต่อกัน ภาพความสัมพันธ์ของหญิงชายคู่หนึ่งที่ตอนนี้เพียงแค่หลับตาใบหน้าของคนทั้งคู่ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน นั่นอาจเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ก็เป็นได้


   "ไม่สบายแล้วทำไมไม่กลับไปพัก"


เสียงนุ่มๆฟังดูอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยได้ยิน พร้อมกับสัมผัสเบาๆบนหลังมือทำให้ร่างสูงหยุดคิดฟุ้งซ่าน ดวงตาคมมองมือเรียวที่แตะบนหลังมือของเขาก่อนจะเคลื่อนขึ้นมาสบกับใบหน้านิ่งๆของสนธยา นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นฉายแววอาทรอยู่น้อยๆ และนั่นทำให้นาคินยิ่งนั่งนิ่งไม่โต้ตอบอะไรออกไปสักคำ


เหมือน...เหมือนกันเกินไป ร่างสูงได้แต่อุทานขึ้นมาในใจ


   "ถามทำไมไม่ตอบ เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงของสนธยาย้ำถามอีกครั้ง

   "เอ่อ...ไม่ได้เป็นอะไรครับ" นาคินตอบ

   "แต่สีหน้าดูไม่ค่อยดี วันนี้ไม่ต้องซ้อมหรอก ไปพักเถอะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่" คำพูดนั้นแม้จะพูดออกมาเรียบๆ แต่คนฟังก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย

   "..." ร่างสูงยิ้มบางที่มุมปากโดยไม่ต่อความอะไร แต่ภาพนั้นทำให้สนธยารู้สึกร้อนรนขึ้นมาเสียดื้อๆ
   "ไม่ใช่อะไรนะ...แค่...แค่กลัวว่าถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาพ่อจะว่า ว่าไม่ยอมดูแลลูกศิษย์ให้ดี" คนพูด พูดไปพลางมือก็เกาแก้มไปพลาง การกระทำนั้นมันทำให้นาคินยิ้มกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว

   "คุณครูพี่สนเนี่ย ความจริงอ่อนโยนแล้วก็ใจดีมากเลยนะครับ ถึงไม่ค่อยชอบใจดีกับผมเท่าไหร่นักก็เถอะ"


ท่าทางผ่อนคลายลงของนาคินทำให้ลักษณะประจำตัวและรอยยิ้มการค้าฉบับเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกชวนให้ปั่นป่วนพุ่งตรงเข้าเล่นงานสนธยาเข้าอย่างจัง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มนี้ใกล้ๆ มันยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดแต่ก็เก้อเขินอย่างไรบอกไม่ถูก นั่นทำให้สนธยาต้องแสร้งขมวดคิ้วเก๊กขรึมเพื่อกลบเกลื่อนอาการต่างๆ ที่กำลังจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
   
"อ...อ่อนโยนบ้าอะไร แล้วก็ไม่ได้ใจดีด้วย แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ อย่ามาพูดมั่วๆ" คนเคร่งครัดในหน้าที่ว่าอย่างติดๆขัดๆ และยังไม่ลืมทิ้งหางเสียงเหวี่ยงๆแบบที่เคยทำบ่อยๆด้วย
   
"ว้า...ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง ที่แท้ก็ทำตามหน้าที่ แต่ก็ต้องขอบคุณนะครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก งั้นขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ คุณครูพี่สน"
   

สนธยานั่งอ้าปากค้างคิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก นึกเจ็บใจตัวเองขึ้นมาว่าไม่น่าไปนึกเป็นห่วงหรือเวทนาสงสารไอ้คนตัวโตนั่นเลยจริงๆ
   

"กวนประสาทที่สุด!...ให้ตายสิ ชอบพูดเป็นเล่นอย่างนี้อยู่เรื่อย" มือเรียวขยี้หัวแรงๆ อย่างนึกขัดใจพลางบ่นพึมพำเมื่อนาคินเดินลงจากเรือนดอกแก้วไปแล้ว





   หลังจากที่สนธยานั่งซ้อมมือตีขิมอยู่บนเรือนดอกแก้วเพียงลำพังเกือบชั่วโมง ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้สึกสงบใจลง ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งที่ตามปรกติเขาออกจะเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ไม่ค่อยเก็บเรื่องของใครๆมาใส่ใจ ทว่าตั้งแต่ที่ได้พบกับนาคิน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ก็ดูจะขวางหูขวางตาเขาไปหมด แต่หากสนธยาใคร่ครวญดูดีๆสักนิด เจ้าตัวอาจรู้ ที่ว่าขวางหูขวางตานั้น บางทีอาจไม่ไกลกับคำว่าอยู่ในสายตาสักเท่าไหร่


   ระหว่างที่โน้ตตัวสุดท้ายจบลง มือเรียวก็รวบไม้ตีมารวมกันตรงกลาง ร่างที่ตั้งตรงสง่างามค่อยๆผ่อนคลายลง  ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างพอใจ เครื่องสายชนิดนี้ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้เล่น แม้เพลงเหล่านั้นจะจบแล้ว แต่เหมือนกับเสียงสะท้อนของเพลงครวญยังคงกังวานแว่วหวานล่องลอยอยู่ในอากาศ


   สนธยาดื่มด่ำกับความรู้สึกรักในการเล่นดนตรีเงียบๆ กระทั่งมีเสียงบางอย่างดังผ่านสายลมมาต้องหู หูของนักดนตรีที่ไม่ว่าตัวโน๊ตไหนเล่นผิดเพี้ยนก็จะแยกออกเสมอ


“คุณพี่”


   ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่เขาก็ยังหันมองเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆเรือนไม้หลังเก่า และสิ่งที่มองเห็นมีเพียงใบไม้แห้งที่ปลิวมาตกอยู่ทั่วชานเรือนด้านนอก ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆส่ายไหวไปมาตามสายลมอ่อน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน


ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆแล้วคิดในใจว่า วันนี้ฟังดนตรีมากไปทำให้หูฝาดเสียแล้วกระมัง ทว่าเมื่อหันหน้ากลับมา เสียงร้องเรียกเบาๆเสียงเก่าก็ดังขึ้นอีกคำรบ และคราวนี้สนธยาสามารถบอกได้แล้วว่าเสียงนั้นดังมากจากทิศทางไหน


“คุณพี่…”


    ดวงตาคู่สวยตวัดมองไปที่ประตูบานน้อยที่ปิดผนึกห้องที่มีเพียงห้องเดียวของเรือนหลังนี้เอาไว้ เขาจ้องมองมันอยู่นาน กระทั่งในที่สุดก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนั้น สนธยาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางหรือวิญญาณ แต่เขาก็เชื่อว่าหูเขาไม่ได้เพี้ยนไปเช่นกัน เนื่องจากเขาได้ยินถึงสองครั้งสองครา ยืนมองบานประตูอยู่อึดใจ ก่อนจะผลักให้มันเปิดออกแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปภาย


   แสงในห้องน้อยไม่สว่างนัก เพราะแหล่งที่มามีเพียงบานประตูที่เปิดกว้างเอาไว้เพียงแห่งเดียว หน้าต่างทุกบานในห้องถูกปิดสนิททั้งหมด สนธยาหยุดยืนอยู่กลางห้อง มองไปรอบๆชั้นต่างๆที่พ่อขนเข้ามาไว้ใช้จัดวางเครื่องดนตรี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนตอนที่เขาเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูกพร้อมคนอื่นๆ แต่อาจเป็นเพราะครั้งนี้ไม่มีใคร มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในห้องเก็บของปิดทึบนี้ ดังนั้นบรรยากาศภายในจึงเงียบสงัดวังเวงนัก


   ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง ไม่ขยับตัวไปไหนให้กระดานลั่น เพราะต้องการดักฟังเสียงปริศนา แต่จนแล้วจนรอด เมื่อผ่านไปนานหลายนาที ทุกอย่างก็ยังสงบเงียบเช่นเดิม สนธยาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วก้าวออกจากห้อง พร้อมกับบอกตัวเองให้เชื่อว่าเมื่อกี้คงหูฝาดจริงๆ





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




สวัสดีผู้อ่านที่รัก
การดำเนินเรื่องจะพยายามปรับให้ไม่ยืดยาดเกินไปนัก แม้ช่วงรอยต่อบางช่วงไม่ได้ใส่คำอธิบายชัดเจน แต่ก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจกันนะคะ 5555 ในส่วนของภาษาก็จะพยายามเขียนไม่ให้มันดูแปลกเกินไปอีกนั่นแหละ บางที่เราอาจจะมีการใช้คำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก หรือบางครั้งก็วนไปวนมา(อย่างหลังกำลังพยายามปรับปรุง) ท่านผู้อ่านก็อย่าได้ถือสาเราเลยนะคะ จุดไหนที่งงๆ ก็ถามกันได้ค่ะ

ในขณะที่นาคินหลอนมาหลายตอน ตอนนี้พี่สนก็รวมด้วยช่วยกันหลอนนิดๆแล้วล่ะค่ะ 55555
แต่เอาจริงๆเห็นมีหลายคนบอกว่าเรื่องนี้น่ากลัว แต่ฝนเขียนไปก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวเท่าไหร่นี่นา
หรือมัวแต่ไปโฟกัสความช่างหยอดของนาคินก็ไม่รู้สิเนอะ
บางคนอาจไม่ถูกใจที่หลายตอนแล้วก็ยังเรื่อยๆอยู่ อันนี้หมายถึงความสัมพันธ์ของตัวเอก
แต่เราว่านี่ก็ไม่เรื่อยเท่าไหร่นะ เอาเป็นว่าสไตล์เรามันค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ล่ะมั้ง ต้องทำใจหน่อยนะคะ T^T
ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยอ่านและช่วยคอมเม้นให้นะคะ เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับนักเขียนแบบเรามากๆ เลย ^^

พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

ละอองฝน
(๐๙/๐๖/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 09-06-2015 20:17:32
เสียงแม่แก้วหรือเปล่าคะนั่น? ไม่แน่ว่าในอดีตคินอาจจะไปแย่งคุณสนมาจากแก้วก็ได้ละมั้งเนี่ย ส่วนเรื่องที่คินฝันก็คงจะประมาณว่า แก้วแค่อยากจะบอกและย้ำให้คินได้รู้เอาไว้เสียว่า 'หัวใจของแก้วกับคุณสนนั้นผูกพันกันมากเพียงใด' ใครก็อย่ามาแทรกแซง อร๊างงง~ คนอะไรขี้มโนเหลือเกิน :laugh: รอตอนต่อไปจ้า ^^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: IIIA ที่ 09-06-2015 21:07:55
แรกๆก็ดีนะ แต่พอ คุณพี่... ขนลุกซู่เลย 5555555555  :katai5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 09-06-2015 21:27:29
ไม่หลอน แต่ขนลุกเลยค่ะ ยิ่งอ่านตอนกลางคืนอย่างนี้ o22

พ่อคินต้องแย่งคุณสนมาจากแม่แก้วแน่เลย เดาๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-06-2015 21:42:11
ขัดเขินอยู่หรอก เจอ คุณพี่~~  เข้าไปนี้หลอนเลยแอบเศร้าด้วยไม่รู้ว่าทั้งคู่ต้องเจออะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 09-06-2015 22:53:40
มาร่วมหลอนไปกับพี่สน ถ้าเสียงลึกลับเรียก..คุณพี่ แสดงว่าคุณสินกับแก้วก็ได้รักกันอ่ะสิ

แต่ทว่าคินคือผู้ใดกันเนี่ย อยากรู้จังเลยย แอบชอบความทะเล้นของคินอยากให้พี่สนเอ็นดูน้องเร็วๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 10-06-2015 12:52:06
แรกๆก็ยิ้มๆกับพี่สนน้องคินที่แกล้งหยอกกัน นาคินกวนพี่สาว
แต่พอสนได้ยินคุณพี่แค่นั้นล่ะ o22 แล้วทำไมถึงเรียกคุณพี่ล่ะ
แก้วได้คบกับคุณสินหรอ แต่จะคบกันได้หรอ แล้วทำไมคินถึงโทรมลงล่ะ
เป็นผลมาจากเครียดที่เล่นดนตรีได้ไม่ดี หรือมีอะไรแฝงรึเปล่านะ :katai1:
รอตอนต่อไปนะคะ

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๕ ☰ [๐๙/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 10-06-2015 15:57:47
อยากรู้ว่าในอดีต คินเคยไปทำอะไรไว้
แต่คงเกียวกับแม่แก้วแน่ๆ แล้วใครล่ะที่จมน้ำ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-06-2015 23:17:23


๖.





   สายลมในยามสนธยาพัดโชยอ่อนมาต้องเนื้อให้รู้สึกเย็นชื่น เสียงพายจ้วงลงไปในผืนน้ำดำสนิทเป็นจังหวะคลอเคล้ากับเสียงเหล่าแมลงหรีดหริ่งเหนือทิวยอดไม้จากสองฝั่งคลอง มันช่วยให้ผู้โดยสารบนเรือแจวไม่เหงาหูจนเกินไปนัก ดวงตาคมสีน้ำตาลใสของทาสสาวในเรือนคหบดีใหญ่สอดส่ายสำรวจทัศนียภาพตลอดการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสได้ติดตามไปรับใช้ผู้เป็นนาย ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปเที่ยวชมงานฝังลูกนิมิตที่วัดใหญ่หัวตลาดเหนือคุ้งน้ำ


   ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตแก้วยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยวชมงานรื่นเริงเช่นนี้เลยสักครั้ง ในอกจึงรู้สึกยินดีระคนตื่นเต้นอย่างที่สุด หากแต่ด้วยความที่เธอเป็นบ่าวจึงต้องสงวนท่าทีมิให้แสดงอาการดีใจเสียจนออกนอกหน้าเกินงามได้ หนำซ้ำเธอยังเกรงว่าจันทร์หอมเกลอรักจักเสียใจ เพราะแก้วเป็นบ่าวผู้หญิงคนเดียวที่ได้ติดตามคุณสินในครั้งนี้


   เรือจากบ้านคุณท่านแจวคู่กันมาสองลำ ลำหนึ่งเป็นลำที่คุณสินนั่งโดยมีนายพร้าวเป็นคนแจว อีกลำเป็นลำของแก้วมีนายกลอยเป็นนายท้าย ก่อนเรือจะเลยปากคลองไปอีกคุ้งน้ำคุณสินก็สั่งให้เทียบท่าแวะรับคุณทับทิมขึ้นมานั่งด้วยกัน บ่าวคนสนิทของเธอก็ขึ้นมานั่งบนเรือลำเดียวกับแก้วแล้วทั้งคณะจึงออกเดินทางต่อ


   คุณทับทิมเป็นลูกสาวของนายคหบดีใหญ่รองจากนายท่านเสืองไม่กี่มากน้อย และหญิงสาวก็เป็นสาเหตุให้คุณสินต้องออกมาเที่ยวชมงานมหรสพในคืนนี้ทั้งที่ไม่ใคร่จะนิยมเท่าใดนัก หากแต่ชายหนุ่มก็ยากจะปฏิเสธหรือขัดใจมารดาที่เจ้ากี้เจ้าการให้ตนและบุตรสาวคนสวยของนายคหบดีใหญ่ออกมาพบกันได้ ดังนั้นสินจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย


   กว่าเรือจะเทียบท่าหน้าวัดใหญ่ท้องฟ้าก็มืดครึ้มพอดี เมื่อนายพร้าวกับนายกลอยผูกเรือไว้กับหลักเรียบร้อยทั้งคณะจึงเข้าไปในวัด แก้วหิ้วตะกร้าใส่ธูปเทียนและดอกบัวหลวงกำใหญ่เดินตามคุณสินซึ่งมุ่งหน้าไปยังพระอุโบสถหลังงาม ภายในมีชาวบ้านมากมายเข้ามากราบองค์พระประธานเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนจะออกไปเที่ยวชมงานมหรสพรื่นเริง


   ทาสสาวเลือกดอกบัวสีชมพูเรื่อชูก้านสดสวยและธูปเทียนส่งให้คุณสิน คุณทับทิม ก่อนจะแจกจ่ายที่เหลือให้พวกบ่าวด้วยกันเอง กลิ่นควันธูปลอยคลุ้งเข้าจมูกจนต้องหลับตา แก้วกราบพระสามหนแล้วท่องบทสวดอย่างง่ายที่จำได้ตั้งแต่เป็นเด็ก ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญกุศลส่งไปถึงบิดามารดารวมถึงผู้มีพระคุณ ขอทุกคนให้พบแต่ความสุขความเจริญ


   ครั้นเมื่อเรียบร้อยแล้ว แก้วก็นำธูปเทียนดอกไม้ไปปักในกระถางและแจกันใหญ่ ด้วยความที่มีคนเบียดเสียดมาก ขณะที่หันหลังกลับมา หญิงสาวถูกปลายธูปของยายแก่คนหนึ่งจิ้มเข้าที่เนื้อเนียนตรงแผ่นหลัง เธอสะดุ้งกายด้วยความแสบร้อน เซถลาไปชนเข้ากับแผ่นหลังของใครอีกคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง


   "คุณสิน!" ไม่ถึงกับตกอยู่ในอ้อมกอด เพียงแต่ถูกมือนุ่มของผู้เป็นนายรั้งแขนไว้ไม่ให้ล้มลงไปเท่านั้น

   "เป็นอะไรแก้ว" สินทอดเสียงถามด้วยความเป็นห่วง นัยน์ตาสีนิลหรือก็อ่อนโยนจนหญิงสาวรู้สึกอุ่นวาบในทรวง

   "แก้วโดนธูปจี้หลัง ขอประธานโทษเจ้าค่ะ"

   "ขอโทษทำไมรึ ความผิดเธอเสียทีไหน แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า"

   "ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ แสบแค่เพียงนิดเดียว เมื่อตะกี้บ่าวสะดุ้งเพราะตกใจ"

   "ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มบาง ก่อนจะปล่อยมือจากต้นแขนของหญิงสาว

   "มีอะไรกันหรือคะคุณพี่สิน" ทับทิมที่ยืนมองจากอีกด้านของกระถางธูป เห็นว่านายบ่าวทั้งสองยืนพูดคุยทั้งยังถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่นานจึงเข้ามาแทรก

   "แม่แก้วเขาโดนธูปจี้หลัง" สินตอบเรียบๆ

   "แล้วเป็นกระไรมากหรือไม่แก้ว" ทับทิมถามพลางสำรวจด้วยสายตานิ่งๆ

   "บ่าวไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะคุณทับทิม"

   "อย่างนั้นเราออกไปชมงานด้านนอกดีไหมคะคุณพี่ ข้างในคนเยอะ ควันธูปหรือก็มาก ทับทิมแสบตาไปหมดแล้ว" เมื่อเห็นว่าแก้วไม่เป็นอะไร คุณทับทิมคนงามจึงหันไปยิ้มหวานหยดให้กับสินแล้วชวนออกไปด้านนอกด้วยกัน

   "ไปสิ" สินยิ้มตอบบางก่อนจะเดินนำออกไป






   แก้วเดินไปพลางมองร้านรวงสองข้างทางไปพลางด้วยความตื่นตา แผงขายของส่วนใหญ่จะเป็นพวกของแห้งและขนมหวานมากมายจนละลานตา มองทางใดก็ดูน่าชมน่าชิมไปเสียหมด แก้วเห็นกลุ่มเด็กน้อยผมจุกใช้เบี้ยอัฐแลกกับข้าวเกรียบว่าว ขนมถังแตกโรยมะพร้าวขูด ก็ต้องกลืนน้ำลาย มองไปอีกทางมีขนมตาลกับขนมถ้วยฟูสีหวานซึ่งแก้วก็ไม่ได้กินบ่อยนักหากเรือนคุณท่านไม่ทำบุญใหญ่ หญิงสาวนึกอยากกินแต่ก็ต้องถอนหายใจหงอยๆ เมื่อรำลึกได้ว่าตนเองเป็นบ่าวในเรือนไม่มีอัฐไว้ใช้สอย ดวงหน้าคมหันกลับมายังคณะของคุณสินจึงพบว่าเขาไปหยุดอยู่หน้าแผงน้ำตาลสดเธอจึงรีบวิ่งตามมา


   คุณสินซื้อน้ำตาลสดให้คุณทับทิม ทั้งยังมีน้ำใจแจกจ่ายให้บ่าวทุกคนเสมอท่านด้วย แก้วรับกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำตาลสดหอมหวานมาไว้ในมือก่อนเอ่ยขอบคุณ


   "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" ชายหนุ่มแย้มริมฝีปากนิดหน่อยให้เธอ ก่อนจะล้วงเอาอัฐให้เธอ 2 สลึงแล้วสั่ง

   "อยากกินอะไรก็ซื้อเถอะ เงินนี่ฉันให้ หากพบอันใดถูกใจก็บอกให้หยุดได้ อย่าแยกไปคนเดียวเชียวนา จะหลงเอา ประเดี๋ยวได้กันยุ่งใหญ่"

   "ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณสิน" แก้วกล่าวขอบคุณเป็นครั้งที่สอง เธอยิ้มกว้างและมองหน้าชายหนุ่มด้วยความตื้นตันใจ สินเพียงยิ้มอ่อนๆเช่นเดิมส่งคืนให้ก่อนที่เขาจะถูกเสียงกังวานหวานหูของคุณทับทิมเรียกให้หันกลับไป

   "คุณพี่สินคะ ทับทิมเห็นเขาว่าคืนนี้มีมอญรำดาบด้วย คุณพี่สินจะว่ากระไรไหมคะ ถ้าทับทิมอยากจะชม" หญิงสาวบอกเสียงอ้อมแอ้ม

   "ไปสิจ๊ะ ประเดี๋ยวพี่พาไป" สินว่าเรียบๆ ก่อนจะเดินนำทั้งคณะไปยังโรงรำมอญ






   หลังจากดูมอญรำดาบจบทับทิมก็ชี้ชวนให้สินพาไปดูมหรสพอีกหลายอย่าง แม่ปุ้นบ่าวของทับทิมหันมาเจรจากับแก้วและบ่าวผู้ชายทั้งสองอย่างออกรส เธอว่าคุณสินช่างเหมาะสมกับคุณทับทิมของเธอเสียเหลือเกิน ซ้ำยังคะเนไว้อีกว่า ดูจากอายุอานามของคุณสินกับคุณทับทิมแล้ว เห็นทีอีกไม่นานสองเรือนคงได้ดองกันเป็นแน่ หากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่รุกคืบไปข้างหน้ามากกว่านี้


   แต่มันก็จริงดังเช่นที่ปุ้นว่า คุณสินรูปงาม อ่อนโยน ใจดี ทั้งยังน่าเกรงขามมีความเป็นผู้นำไปในคราวเดียวกัน หากได้คู่ครองเป็นหญิงเลอโฉมและเพียบพร้อมเช่นคุณทับทิม คงจะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก


   แก้วละสายตาจากผู้เป็นนายชายหญิงตรงหน้าเมื่อเห็นว่าถูกคุณสินจ้องกลับมา ดวงตาคู่คมของหญิงสาวหม่นแสงลงต่างจากแสงของดวงประทีปแก้วซึ่งห้อยระย้ายไม่ห่างจากแถวธงสีเบื้องบน แม้จักรู้ตัวว่าไม่อาจเอื้อม ทว่าเมื่อเห็นภาพบาดตานั้นแก้วก็อดที่จะรู้สึกเจ็บยอกในอกไม่ได้ แต่ก่อนเธอคิดว่าเพียงได้เฝ้ามองจากที่ไกลๆก็เป็นสุขใจที่สุดแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าอีกด้านหนึ่ง การทำได้เพียงเฝ้ามองมันก็ทำให้เจ็บปวดได้เฉกเช่นเดียวกัน


   แก้วเพิ่งได้เข้าใจอีกว่าโลกมีสองด้าน มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง และในกรณีของเธอ คำว่าสมหวังย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเพียงแค่ความแตกต่างของชนชั้น ก็ชัดเจนในตัวของมันแล้วว่าเรื่องราวต่อไปในภายหน้าจะดำเนินไปในทิศทางใด



   "มาเที่ยวงานวัดกับเขาด้วยหรือขอรับคุณหนูทับทิม" เสียงทุ้มห้าวของใครบางคนเรียกให้ทุกสายตาหันไปมอง รวมทั้งแก้วที่มัวแต่พะวงคิดถึงเรื่องของตนเองก่อนหน้านี้ด้วย

   "นายโชติ!" ทับทิบมองหน้าของคนที่เข้ามาขวางพร้อมกับสมัครพรรคพวกด้วยแววตาไม่ชอบใจระคนหวาดกลัว แล้วเธอก็ก้าวถอยลงมาแอบอยู่ด้านหลังของสินเพราะต้องการที่พึ่ง


   นายโชติเป็นลูกชายของนายบ้าน มีกิตติศัพท์ชอบตั้งตนเป็นนักเลงโต ระรานคนอื่นไปทั่วหัวระแหง ใช้แต่บารมีของผู้เป็นพ่อเข้าข่มคน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีชาวบ้านร้านตลาดคนใดกล้าต่อกร ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ มีเมียเล็กเมียน้อยเต็มบ้าน กระนั้น ใครๆก็รู้กันว่านายโชติหมายตาคุณทับทิมอยู่ ถึงขนาดประกาศไปทั่วคุ้งว่าจะไปขอตบขอแต่งมาเป็นเมียเอก ทว่าฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย จึงตามเทียวไล่เทียวขื่อกันมานานหลายปี


   "ไม่ยักรู้ว่าวันนี้ไอ้โชติจักได้มีโอกาสพบกับจางวางวิเศษไกรศิลป์มาเที่ยวงานวัดงานบุญกับเขาด้วย แต่ไหนแต่ไรก็เก็บตัวเงียบดีด สี ตี เป่า อยู่แต่ในเรือนในคุ้ม นึกอย่างไรวันนี้ถึงย่างเท้าออกจากเรือนได้เล่าพ่อ หรือว่าเบื่อร้องรำทำเพลงเป็นยี่เกเสียแล้ว จึงออกมาสำเริงสำราญเช่นพวกฉัน แหมช่างเป็นบุญของฉันจริงๆ" โชติจงใจเอ่ยทักทายด้วยวาจากระทบกระเทียบ เนื่องด้วยไม่พอใจที่เห็นว่าแม่ทับทิมคนงามรี่ไปหลบอยู่ด้านหลังจางวางมีชื่อ

   "ไม่ได้นึกครึ้มใจอันใดดอกนายโชติ ฉันได้หยุดราชการ จึงมีโอกาสมาทำบุญก็เท่านั้น" สินตอบด้วยท่าทางสงบ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิดที่ถูกอีกฝ่ายแดกดัน

   "แล้วไปอย่างไรมาอย่างไรถึงมากับคุณหนูทับทิมได้เล่า" นักเลงตัวโตถามต่อ หากแต่ดวงตาแฝงด้วยประกายวาววับของความไม่พอใจ

   "จะมาด้วยกันได้อย่างไร คงไม่ใช่ธุระที่ฉันจะตอบ หากนายโชติไม่มีอะไรแล้ว เพียงแค่เวียนมาทักทายเท่านั้น ฉันคงต้องขอตัวก่อน ดึกมากแล้ว" สินตัดบทเรียบๆเพราะไม่อยากต่อความยาวให้เกิดเรื่อง

   "เอ...มันก็ไม่ใช่ธุระของฉันจริงๆนั่นแล เพียงแต่ฉันขอบอกอะไรจางวางไว้ตรงนี้สักอย่างจะได้หรือไม่"

   "มีอะไรก็ว่ามาเถิด"

   "ใครเขาก็รู้ว่าฉันหมายใจผูกไมตรีกับคุณหนูทับทิมมานมนาน หวังว่าเพียงไม่กี่ชั่วคืนที่หยุดราชการงานหลวงเที่ยวนี้ จางวางสินจะไม่หักหน้าหยิบชิ้นปลามันไปจากฉันเสียล่ะ" โชติเว้นวรรคก่อนพาร่างใหญ่โตชิดเข้ามาเผชิญหน้ากับสินใกล้ๆ "เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ เราคงจะได้เห็นดีกันเป็นแน่"

   "ฉันไม่ใครชอบมีเรื่องกับใคร แต่ฉันก็อยากรู้ขึ้นมาแล้วสิว่า ไอ้'เห็นดี'ที่นายโชติว่า มันจะดีสักเท่าใด" สินจ้องตาดุกร้าวตรงหน้าด้วยแววตาเมินเฉยเยียบเย็น "เอาไว้กลับจากราชการคราวหน้า ฉันจะรอดูนะ"


   ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ ร่างของผู้พูดก็ก้าวออกไปจากตรงนั้นทันที ทิ้งให้นักเลงโตยืนสั่นเทาด้วยโทสะ ไม่คิดว่าไอ้นักดนตรีหน้าอ่อนจะกล้าต่อคำกับเขาถึงเพียงนี้


   "ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้สิน หากมึงคิดจะแย่งทับทิมจากกูล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!"






   สินเดินนำทุกคนกลับมาที่เรือด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาไม่ได้โกรธที่นายโชติแสดงท่าทีชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์ ไม่ได้โกรธที่นายโชติชอบคุณหนูทับทิมคนงาม หากแต่เขาไม่พอใจที่นักเลงโตนั่นพูดจาดูถูกงานดนตรีที่เขารัก ซ้ำยังดูถูกผู้หญิงราวกับว่าเป็นผักปลาที่คิดจะยื้อแย้งอย่างไรก็ได้ มารยาทเช่นนี้จึงเกินที่เขาจะรับไหว แม้สินจะไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ทว่าก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาดูถูกลูบคมกันได้


   เรือแจวสองลำพายท่ามกลางลำคลองที่มืดมิดและเงียบสงบ ขากลับจากวัดให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่มาลิบลับ บรรยากาศอึมครึมแทรกซึมจนมิมีใครกล้าเอ่ยปาก น้อยครั้งนักที่บ่าวไพร่จะเห็นคุณสินหงุดหงิดหรือไม่พอใจ มีเพียงคนเดียวที่นั่งเงียบด้วยอารามยินดีปรีดา คนผู้นั้นก็คือทับทิม


   ในทีแรกหญิงสาวมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังเท่าใดกับสินนัก เพียงเพราะบิดากับมารดาพร่ำบอกทุกเมื่อเชื่อวันว่าอยากให้ตบแต่งกับสิน เพราะสินเป็นคนดีเพียบพร้อมด้วยทรัพย์สิน ยศถา และรูปงาม เพียงเท่านั้นเธอจึงมิได้ขัดใจอันใด อย่างไรเสียก็ดีกว่าแต่งกับไอ้โชตินักเลงโตนั่น แต่ในตอนนี้การกระทำและคำพูดของสินเมื่อครู่ มันมีผลทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูว่าสินทำไปเพื่อปกป้องเธอคล้ายจะเสน่หา ความเป็นสุภาพบุรุษสมชายชาตรีของเขา ทำให้เธอรู้สึกอุ่นละมุนในหัวใจ คิดตัดสินใจด้วยความมาดหมายได้ว่าอย่างไรเสีย หากต้องออกเรือนแล้วไซร้ ชายเดียวในดวงใจของเธอก็จะเป็นจางวางสินเท่านั้น



   "ขอบคุณคุณพี่สินมากนะคะที่พาทับทิมเที่ยว หากไม่มีคุณพี่สิน คุณพ่อกับคุณแม่คงไม่ให้ทับทิมไป รบกวนคุณพี่สินจริงๆ" เมื่อถึงท่าน้ำหน้าบ้านหญิงสาวก็เอ่ยขอบคุณชายหนุ่ม

   "เรื่องเท่านี้ไม่รบกวนพี่หรอกทับทิม"

   "แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณค่ะ ไหนจะเรื่องที่คุณพี่สินช่วยปกป้องทับทิมจากนายโชตินั่นด้วย หาไม่แล้วทับทิมคงแย่แน่ๆค่ะ" เธอว่าด้วยแววตาและน้ำเสียงหวานหยดชวนเคลิ้มฝัน

   "เป็นใครก็ต้องทำอย่างพี่ทั้งนั้น ทับทิมไม่ต้องขอบคุณให้มากความ กลับเข้าเรือนเถิด ดึกมากแล้วประเดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง"

   "แล้วพบกันค่ะ" หญิงสาวรับคำด้วยท่าทีเขินอาย แก้มขาวนวลขึ้นซับสีแดงเรื่อเพราะรอยยิ้มหวานเย็นของชายหนุ่มที่ส่งให้พร้อมกับถ้อยคำแสนห่วงใย สินยิ้มรับอีกครั้งก่อนจะสั่งให้ออกเรือ


   แก้วเก็บอาการเสียใจไว้ในอกอย่างมิดชิด เธอค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าคุณสินมีใจให้คุณทับทิม หญิงสาวหลับตาช้าๆ ปล่อยให้สายลมเอื่อยปะทะใบหน้า แม้จะผิดหวังปานใด แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสได้ดูแลปรนนิบัติรับใช้เจ้าของหัวใจ อย่างน้อยเพียงแค่ได้เฝ้ามองคุณสินมีความสุขเธอก็ควรจะพอใจแล้ว...








   สัมผัสเย็นๆ ที่ลากผ่านท้องแขนกระทั่งเรื่อยลงมาถึงหลังมือทำให้เปลือกตาหนาขยับเบิกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มต้องสู้กับความเมื่อยขบและอาการปวดหนึบตรงขมับอยู่นานกว่าจะตื่นได้เต็มตา ภาพตรงหน้าที่เห็นได้ในทันทีคือหัวเตียงในห้องส่วนตัวของเขาเอง คิ้วเข้มขมวดชนกันด้วยความสับสน เนื่องจากความมึนงงทำให้แยกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ เพราะแม้ว่าเขาจะลืมตาเห็นภาพอื่น แต่ภาพที่ยังติดตาคือภาพของหญิงสาวผู้เป็นบ่าวในเรือนของคุณสินคนนั้น ดวงหน้าคมอย่างหญิงไทยโบราณแท้ๆดูเศร้าซึม แววตาคมหม่นหมองยังสะท้อนติดอยู่ในใจ


   แต่แล้วสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร ความงุนงงที่ทำให้หัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยงๆหายวับไป เมื่อดวงตาคู่คมเหลือบไปมองเสี้ยวหน้าใครอีกคนที่วางคางตนเองไว้บนไหล่เขา เพื่อประคองเช็ดซอกคอและแผ่นหลังให้เขาได้สะดวก จมูกรั้นน้อยๆนั้นพ่นลมหายใจอุ่นรดผิวเนื้อที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ชวนให้รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งกายอย่างบอกไม่ถูก


   "...สน..." นาคินเค้นเสียงที่หายไปจนพบ แต่เสียงที่เค้นออกมาก็แผ่วเบาและแหบแห้งราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง


   คนถูกเรียกหันหน้ากลับมาหาเขาในระยะประชิด นัยน์ตากลมที่เคยนิ่งสนิทไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะเสกลับไปก้มมองแผ่นหลังกว้างแล้วลงมือเช็ดจนถ้วนทั่ว ทันทีที่แน่ใจว่าทุกซอกทุกมุมถูกผ้าขนหนูลากผ่านหมดแล้ว ลูกชายคนโตของบ้านก็ค่อยๆ คลายวงแขนแล้วประคองให้นาคินนอนลงไปบนเตียงเช่นเดิม จากนั้นคนตัวเล็กกว่าก็เอาผ้าใส่ในกะละมังใบน้อย ขยี้มันเบาๆแล้วบิดให้หมาดก่อนจะหันกลับมา


   อาจเป็นเพราะนาคินมองใบหน้าเรียบๆ ของสนธยานานจนลืมตัว เมื่อผ้าชุบน้ำเย็นกลับมาสัมผัสที่หน้าท้องแกร่งชายหนุ่มจึงสะดุ้งตกใจ สนธยาตั้งหน้าตั้งตาเช็ดทั่วแผ่นอกและใต้ซอกรักแร้ จนคนถูกเช็ดรู้สึกกระดากอาย


   "เดี๋ยว...ผม...เช็ด...เอง"

   "รู้ตัวว่าไม่สบายก็อยู่เฉยๆไปเถอะน่า" สนธยาชิงบอกหลังจากที่นาคินเอ่ยจบประโยค

   "แต่...ผม"

   "บอกให้อยู่เฉยๆไง" ต้องส่งเสียงดุอีกครั้งนาคินจึงยอมแพ้

   "ครับ"

   "คราวหลังถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายก็ให้รีบบอก อย่าปล่อยให้เป็นอะไรหนักๆอย่างนี้อีก ดีแค่ไหนที่มีกุญแจสำรอง ถ้าไม่ได้เปิดเข้ามาดูจะรู้ไหมว่าสภาพใกล้ตายขนาดไหน ทั้งที่เมื่อวานยังเห็นดีๆอยู่แท้ๆ" เมื่อเห็นว่าได้ที คนดูแลก็บ่นเสียยาวยืดเพราะอารามเป็นห่วงและตกใจ


   จะไม่ให้ตกใจอย่างไรไหว ก็นาคินเล่นหายเงียบเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อวานตอนเที่ยงหลังจากเล่นดนตรีเสร็จ จนกระทั่งเกือบบ่ายสี่โมงของวันนี้ยังไม่ยอมออกมา ทั้งที่ไม่อยากสนใจผู้อาศัยแสนกวนประสาท แต่ปิดห้องเงียบไม่กินข้าวกินปลาจนข้ามวันเช่นนี้ สนธยาก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะโดนใครฆ่าหมกห้องตายไปเสียก่อนน่ะสิ


   ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันจันทร์วันที่ต้องไปเรียน ซึ่งโดยปรกตินาคินไม่เคยขาดสักวันเดียว แต่ตอนเช้าเมื่อเห็นว่าไม่ออกมาสนธยาจึงไม่อยากกวนและตัดสินใจไปเรียนคนเดียว ทว่าเมื่อเขากลับมาถึงในตอนเย็น ป้าปุกแม่บ้านก็รีบให้ก้อยเอากุญแจสำรองมาให้เขาเพราะไม่เห็นว่าคุณนาคินออกจากห้อง แถมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ พ่อกับนายเสริมก็ไม่อยู่ ที่บ้านจึงเหลือแต่ผู้หญิง จะให้โผงผางเข้าห้องคุณนาคินก็คงไม่งามนัก ป้าปุกจึงรอกระทั่งสนธยากลับมาแล้วขอร้องแกมบังคับให้เข้าไปดู


   ทันทีที่เข้ามาได้ สนธยาก็ต้องตกใจกับสภาพเจ้าของห้อง ร่างของนาคินซุกอยู่ในผ้าห่มผืนหนา โผล่ออกมาเพียงแค่ใบหน้าที่ซีดเผือด เหงื่อกาฬไหลท่วมที่นอนจนชุ่ม ตัวหรือก็ร้อนราวกับไฟ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว สนธยาจึงตัดสินใจเช็ดตัวให้ชายหนุ่มเพื่อบรรเทาไข้ คะเนว่าถ้าไม่ดีขึ้นหรือไม่ยอมรู้สึกตัว จะเอารถออกแล้วพาไปโรงพยาบาล โชคดีที่ยังไม่ทันเช็ดตัวเสร็จนาคินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจ้องเขาตาแป๋ว


   "เสร็จแล้วล่ะ ใส่เสื้อผ้าเสีย เดี๋ยวจะไปเอาข้าวต้มกับยามาให้กิน แล้วคืนนี้จะมานอนด้วย เผื่อว่ากลางคืนเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยกันทัน คุณพ่อกับลุงเสริมก็ไม่อยู่"

   "ครับ" เมื่อเห็นว่านาคินพยักหน้ารับแล้ว สนธยาก็รีบออกไปจากห้องพร้อมกับกะละมังและผ้าขนหนูที่ถือเข้ามาเช็ดตัวให้คนป่วย

   "ขอบคุณครับ" นาคินเอ่ยออกมาเสียงเบา ตามองตามร่างโปร่งบางหายออกไปจากห้องแล้วยกยิ้มบางๆ





V
V
V
(ยังมีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-06-2015 23:29:44








   ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงของตนเองด้วยความกระสับกระส่าย เพราะถูกบังคับให้ใช้ผ้าห่มเนื้อสำลีคลุมกายตั้งแต่ช่วงอกจรดปลายเท้า แม้จะมีสายลมเอื่อยๆ พัดเข้ามาทางหน้าต่างกับพัดลมใบทองเหลืองบนเพดาน ก็ยังไม่ช่วยคลายความร้อนอบอ้าวในเวลานี้ได้เลย ยิ่งนอนฟังเสียงเข็มนาฬิกาเคลื่อนที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอไปมาซ้ำๆ ยิ่งทำให้รู้สึกประสาทจนนอนไม่หลับ ก็จะให้หลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเขานอนเต็มอิ่มมาข้ามวันข้ามคืน ซ้ำตอนนี้ก็เป็นเวลาแค่สองทุ่มเท่านั้นเอง


   ชายหนุ่มเหล่มองจอมบงการซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาด้วยความตั้งใจ แล้วก็อดนึกถึงเสียงสั่งดุๆ ของเจ้าตัวเมื่อเย็นไม่ได้



   "อิ่มแล้วก็กินยา จะได้นอนพักผ่อน" สนธยาเอ่ยออกมาหลังจากบังคับป้อนข้าวต้มให้เขาจนเกือบหมดชาม

   "ผมยังไม่ง่วงเลยนะสน"

   "กินยาเสีย แล้วก็ทำตามที่สั่ง อย่าพูดมาก เสียงแหบอย่างกับเป็ดเทศ ไม่อยากได้ยิน" เจ้าตัวยื่นแก้วน้ำกับยามาบริการจ่อติดริมฝีปาก พร้อมกับบอกห้วนๆ



   หลังจากยอมทำตามโดยดุษณี สนธยาก็ถอยทัพกลับออกไปง่ายๆ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในชุดนอนสีฟ้าอ่อนเต็มยศราวทุ่มตรง และก็นั่งทำงานอยู่ตรงนั้นนิ่งๆไม่ลุกไปไหนอีก ทว่ายังไม่วายหันมาสั่งให้นาคินหลับเสีย กระนั้น นาคินก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หากเขาไม่สามารถทำตามที่คุณครูพี่สนสั่งได้ เขาจะถูกทำโทษเช่นไรกันนะ


   เมื่อได้แต่นอนอยู่เฉยๆสมองจึงกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เนื่องจากหายมึนงงและสะลืมสะลือจากพิษไข้เพราะได้ฤทธิ์ของยาแก้ไข้ที่กินเข้าไปเมื่อตอนเย็น แม้สภาพจะไม่เต็มร้อยนักก็ตาม นาคินค่อยๆเรียงร้อยลำดับเหตุการณ์ความฝันยืดยาวราวมหากาพย์ของตนเองออกมาเป็นฉากๆ แล้วชายหนุ่มก็พบว่า เขาจำภาพของใครบางคนในฝันได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ่าวสาวชื่อแก้วหรือผู้เป็นนายชื่อสิน


   ไม่รู้เพราะเหตุใด หรืออะไรดลจิต จึงทำให้เขาต้องนิมิตเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เหตุการณ์ที่คล้ายกับว่าเคยเกิดขึ้นมาเมื่อครั้งอดีต จะว่าคิดเลอะเทอะไปเอง ฝันละเมอเพ้อไปเพราะพิษไข้ หากแต่ก่อนหน้านี้เล่า ก่อนหน้าที่จะจับไข้และหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นาคินก็เคยฝันหรือเห็นอะไรแปลกๆทำนองนี้เช่นกัน


   อีกหนึ่งเรื่องที่ชวนให้คิดจินตนาการเป็นตุเป็นตะได้ก็คือสถานที่ สถานที่ซึ่งเป็นฉากหลังในความฝันมันพ้องกับที่ตั้งของบ้านเรือนไทยที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นแน่ ไม่ว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไปมากเท่าใด แต่เรือนดอกแก้วที่ฝึกสอนดนตรีไทยให้กับเด็กนักเรียนบ่าวของคุณสิน มันก็เป็นที่ที่เดียวกันไม่ผิดกันเรือนดอกแก้วหลังเล็กของสนธยา



แล้วทำไมเราต้องฝันถึงเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ...



   คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นเนื่องจากต้องใช้ความคิดอย่างหนัก วิเคราะห์มาได้ถึงขั้นนี้ แต่มันยากจะเดาต่อได้อีก มันตันจนสุดทางเสียจริงๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องฝันถึง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะถามหรือปรึกษาใครก็กลัวเขาจะว่าเก็บเรื่องไร้สาระมาคิดเป็นตุเป็นตะ


   ทว่าชั่ววูบหนึ่งของตะกอนความคิด นาคินกลับรู้สึกว่า บางทีนะ บางที เหตุการณ์กับบุคคลที่เขาฝันเห็นมาตลอดเป็นเวลานับเดือน อาจจะเคยเกิดขึ้นจริงๆ ใครคนใดคนหนึ่งในฝัน ที่เคยอยู่ ณ เรือนไทยแห่งนี้อาจ 'ยังอยู่' และต้องการบอกอะไรบางอย่างกับเขาก็เป็นได้


   คิดได้ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากตอนแรกที่รู้สึกร้อนอ้าว กลับกลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมาเสียเฉย เหงื่อกาฬที่ผุดขึ้นมาเพราะความร้อนตอนนี้ดูเหมือนจะช่วยให้อุณหภูมิของร่างกายต่ำลงเมื่อต้องกับลม ลมที่ให้ความรู้สึกเสียวสันหลังคล้ายยืนอยู่ในที่วังเวง

ครืด~~

   เสียงเก้าอี้ไม้ครูดกับพื้นดังขึ้นจากมุมห้องทำให้นาคินสะดุ้งตกใจและหลุดออกจากภวังค์ของตนเอง กลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ทิ้งความกลัวกับความคิดบ้าๆ ไปชั่วขณะ


   ผู้ป่วยรีบหลับตาปี๋ทันทีที่เห็นเงาของบุรุษพยาบาลจำเป็นทอดมาทาบทับกับเตียง และมันก็ทันเวลาพอดิบพอดี สนธยาไม่ทันเห็นหรือสังเกตว่านาคินเพียงแค่แกล้งหลับไปเท่านั้น ร่างบางนั่งลงบนเตียงหมิ่นๆจะตกขอบด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้เพื่อสำรวจใบหน้าของผู้ป่วย สีหน้าของร่างสูงดูดีขึ้นมาก แต่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นประปรายตามตีนผมและปลายจมูก หลังมือเอื้อมไปแตะที่ซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิ ไอร้อนระคนอุ่นแทรกผ่านหลังมือบางพอให้รับรู้ได้ว่าผู้ป่วยสร่างไข้ลงไปบ้างแล้ว


   "ไข้ลดแล้ว"


เสียงนุ่มเอ่ยออกมาแผ่วเบาด้วยความยินดีอย่างไม่คิดปกปิดเช่นทุกที ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะกลัวว่าหากนาคินเป็นหนักขึ้นมากลางดึก คืนนี้คงต้องวุ่นวายเพราะหอบหิ้วกันไปส่งโรงพยาบาลเป็นแน่ เมื่อวัดอุณหภูมิเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็ลุกจากเตียง เพื่อออกไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูสะอาดมาเตรียมไว้ ตั้งใจว่าจะเช็ดตัวให้กับนาคินตอนปลุกขึ้นมาให้กินยาอีกรอบ


   นาคินลืมตาขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าสนธยาลุกออกไปแล้ว เขาถอนลมหายใจพรูออกมาอย่างโล่งอก ไม่อยากคิดว่าถ้าสนธยาเห็นว่าเขายังไม่ยอมหลับตามคำสั่ง เจ้าตัวจะบ่นอะไรอีกบ้าง แต่ถึงกระนั้น ร่างสูงก็อดยิ้มนิดๆไม่ได้ หัวใจรู้สึกชุ่มชื่นรุ่มรวยอย่างที่ไม่เคยเป็น เพียงเพราะรับรู้ถึงกระแสความห่วงใยจากคุณครูสอนดนตรีแสนเคี่ยวคนนั้น


   หากว่ากันตามปรกติ สนธยาที่นาคินทำความรู้จักมาตลอดที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีท่าทีญาติดีกับเขาสักเท่าไหร่ เจ้าตัวค่อนข้างจะเป็นคนเฉยชา มึนตึง และที่สำคัญดูไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเสียด้วย อาจเพราะไม่สนิทกันหรืออะไรก็แล้วแต่ ทว่าลึกๆ สิ่งที่นาคินสัมผัสรับรู้ คือสนธยาเป็นคนใจเย็น มีน้ำใจ และใจดีมากๆ แม้จะชอบแสดงท่าวางฟอร์มกลบเกลื่อนความใจดีมีน้ำใจเหล่านั้นก็ตาม


   ยิ่งนึกถึงเวลาเจ้าตัวพูดแก้ตัวกลบเกลื่อน ทำทีว่าไม่ได้ห่วงใย ทำอะไรๆไปเพราะหน้าที่ นาคินก็ยิ้มออกมาเต็มแก้ม ก็คุณครูพี่สนของเขาน่ะ น่ารักน้อยเสียที่ไหนล่ะ



ของเขา...งั้นหรือ?



   พินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่แล้วนาคินก็ต้องแปลกใจ แค่เขาคิดว่าสนธยาที่เป็นผู้ชายเหมือนกันน่ารักนั่นก็ว่าแปลกแล้ว ทว่าเขายังคิดถึงคำว่าสนธยาของเขาอีกอย่างนั้นหรือ! ร่างสูงสะบัดหน้าสองสามครั้ง ไล่ความคิดแปลกประหลาดออกจากสมอง เป็นจังหวะพอดีกับที่สนธยากลับเข้ามาในห้องพอดี


   สนธยามองผู้ป่วยในความดูแลของตนเองด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้าที่จะออกจากห้องไป ยังเห็นว่านาคินหลับสนิทอยู่เลย หากแต่ตอนนี้กลับลืมตาโพลงแล้วส่ายหัวเหลือกกลิ้งไปมาบนหมอนเหมือนคนเสียสติ ร่างบางรีบก้าวอย่างเงียบเชียบเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียง วางกะละมังบรรจุน้ำอุ่นกับผ้าขาวไว้บนพื้น ก่อนแตะที่ต้นแขนแล้วถาม


   "เป็นอะไร ละเมอหรือไง"

   "สน!" นาคินสะดุ้ง ไม่ทันสังเกตสักนิดว่าอีกฝ่ายกลับมาแล้ว

   "ก็ใช่น่ะสิ เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี"

   "ป...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร สนไปไหนมา" รีบปฏิเสธ แล้วแสร้งยกคำถามอื่นขึ้นมาเบี่ยงเบนความสนใจ

   "ออกไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ ตื่นก็ดีแล้ว ได้เวลากินยาพอดี" ว่าพลางหยิบยาจากกระปุกที่หัวเตียงพร้อมรินน้ำใสแก้วให้เสร็จสรรพ

   "ขอบคุณครับ" นาคินรับยากับน้ำมากินด้วยตัวเองอย่างไม่อิดออด

   "เอาล่ะ" รับแก้วน้ำไปเก็บแล้วจึงหันมาสั่ง "ถอดเสื้อออก เช็ดตัวสักหน่อยค่อยนอนต่อ เดี๋ยวฉันก็จะนอนแล้วเหมือนกัน"

   "ไม่ต้องก็ได้ล่ะมั้ง ผมว่าไข้ผมน่าจะลดไปบ้างแล้วนะ ลำบากเปล่าๆครับ" นาคินปฏิเสธเพราะเกรงใจ ทว่ามีหรือคนอย่างสนธยาจะยอมทำตาม

   "อุตส่าห์ลุกออกไปต้มน้ำมาให้เชียวนะ ถ้าเป็นปรกติฉันไม่ทำให้ใครถึงขั้นนี้หรอกจะบอกให้ เพราะฉะนั้นอย่ามาทำซ่ากล้าปฏิเสธฉัน"

   "ผมเกรงใจน่ะ"

   "ถอดเสื้อเร็วๆ ฉันง่วงแล้วนะ อย่ามากท่าได้ไหม เมื่อกี้เห็นเหงื่อออกเยอะ เช็ดตัวสักหน่อยจะได้นอนสบายๆ" ไม่ว่าเปล่า สนธยายังหันไปบิดผ้าขนหนูมาเตรียมพร้อมรอท่า คนป่วยจึงจำต้องถอดเสื้อยืดตัวโคร่งของตนเองออกอย่างช่วยไม่ได้


   อาจเป็นเพราะตอนนี้นาคินมีสติครบถ้วนดี การเช็ดตัวจึงไม่ทุลักทุเลนักดังคราแรกที่สนธยาเข้ามาพบ เช็ดตามท้องแขน แผ่นอก หน้าท้อง ทั่วทั้งแผ่นหลังและลำคอเรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จพิธี บุรุษพยาบาลจำเป็นตั้งท่าจะหอบอุปกรณ์ไปเก็บเข้าที่ ทว่าถูกเสียงของผู้ป่วยตัวโตท้วงเอาไว้เสียก่อน


   "ไหนบอกว่าจะนอนแล้วไม่ใช่หรือครับ เข้านอนก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะตื่นมาช่วยเก็บ ดึกแล้วอย่างเทียวไปเทียวมาเลยนะ" เพราะนาคินสังเกตเห็นนาฬิกาแขวนที่ข้างฝาบอกเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าทุ่มแล้ว

   "เอางั้นก็ได้" และเป็นเพราะตัวของสนธยาเองช่วยพยาบาลคนป่วยมาตลอดบ่ายคล้อยจนค่ำมืด มิหนำซ้ำวันนี้ยังไปเรียนมาทั้งวัน ชายหนุ่มจึงรู้สึกเพลียเป็นพิเศษและไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนาคินทิ้งไปด้วยอยากรั้นเช่นทุกที


   ร่างบางเดินไปปิดคอมพิวเตอร์และไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ ภายในห้องจึงเหลือเพียงดวงไฟที่หัวเตียงเท่านั้นที่ส่องสว่าง เนื่องจากเดิมทีสนธยาก็ไม่ได้เปิดไฟในห้องทิ้งไว้อยู่แล้วเนื่องจากต้องการให้นาคินพักผ่อน ทันทีที่นาคินสวมเสื้อให้ตัวเองเรียบร้อย เตียงทางด้านซ้ายก็ยวบยุบลงตามน้ำหนักของใครอีกคนในห้องที่เดินมาทิ้งตัวลงนอน


สนธยาเตรียมหมอนและผ้าห่มมาจากห้องของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องรบกวนหมอนและผ้าห่มของนาคิน เมื่อล้มตัวลงนอนเรียบร้อยแล้ว ร่างบางกว่าก็ตะแคงหันหลังนอนเงียบ ทิ้งไว้เพียงความเคว้งคว้างเบื้องหลัง มันเคว้งคว้างจนเจ้าของห้องรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกคำรบ ทั้งที่ตามปรกติก็สามารถนอนคนเดียวในห้องกว้างๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ทว่าในตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวเพียงเพราะใครอีกคนนอนหันหลังให้เท่านั้น


นาคินนอนกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ลงสักครึ่งนาที ความรู้สึกอ่อนเพลียเพราะพิษไข้ราวกับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัว เหงื่อกาฬไหลออกมาแทบทุกรูขุมขน เพียงแค่ได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องดังเหนือยอดไม้นอกหน้าต่าง เขารู้สึกเหมือนกับมีสายตาปริศนาจ้องมองมาที่ตนไม่ลดละ ประจวบเหมาะกับที่ลมเย็นๆพัดวูบเข้ามา เสียงบานหน้าต่างปิดกระทบตีเข้ากับฝาผนังดังโครมใหญ่ พาลให้คนขี้ตื่นสะดุ้งกาย พุ่งพรวดเสือกกายเข้ากอดหมอนข้างคั่นกลางระหว่างเขากับใครอีกคนแน่น


“เป็นอะไร” สนธยาหันกลับมาถามเพราะถูกคนตัวโตกระแทกหลังเข้าอย่างแรง

“ปะ…เปล่า แค่ตกใจนิดหน่อย” นาคินผ่อนลมหายใจแล้วบอกออกมาติดขัด

“เป็นไข้แล้วขี้ตื่นหรือไง แค่ลมพัดหน้าต่างเท่านั้นเอง” อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนเล็กน้อย ก่อนสังเกตเห็นลางๆ จากแสงไฟด้านนอกว่าคนป่วยมีสีหน้าแปลกๆ “เป็นอะไร ไข้ขึ้นหรือเปล่า”


ดวงหน้าติดจะหวานขยับโน้มเข้าไปชิดใกล้ใบหน้าของใครอีกคนเพื่อดูให้แน่ใจ บนหน้าผากของคนป่วยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ อีกทั้งนาคินยังมีสีหน้าเจื่อนๆให้สังเกตได้โดยง่าย


“ไม่หรอก” ส่งเสียงปฏิเสธ ทว่าไม่ได้ขยับถอยหลังหนี ยอมอยู่นิ่งๆให้พยาบาลจำเป็นอยู่ใกล้จนลมหายใจรดรินใบหน้าเพื่อสำรวจอาการจนแน่ใจ

“ไม่ได้ปวดหัวหรืออะไรนะ เผื่อว่าเป็นมากจะได้เอารถออกไปโรงพยาบาลทัน”

“ไม่ครับ ไม่ได้เป็นอะไร” นาคินย้ำ

“งั้นก็หลับตาแล้วนอนเสียสิ”

“นอนไม่หลับ” คนถูกบังคับให้นอนตอบกลับทันที ทั้งดวงตาคมๆคู่นั้นก็ยังวาววับในเสียงสลัว ยืนยันชัดเจนว่านอนไม่หลับอย่างว่าจริงๆ

   “แล้วจะให้ทำยังไง เกาหลังให้แล้วร้องเพลงกล่อมไหมล่ะ”

   “ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็นอนเสีย อีกเดี๋ยวยาออกฤทธิ์ก็หลับเองแหละ”

   “อืม”


   นาคินส่งเสียงรับคำสั้นๆในลำคอ ก่อนจะนอนหลับตาอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่ผ่านไปชั่วอึดใจนาคินก็เผลอเปิดตาขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาพบเป็นดวงตาสีนิลใสราวกับลูกแก้ว ซึ่งเจ้าของดวงตาคู่นี้มองเขาอยู่ก่อนแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่


   “จะอยู่เป็นเพื่อน รับรองว่าไม่ไปไหนหรอก หลับตานะ”


   ใช่แค่น้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน ทว่าแววตาของสนธยาก็ส่งผ่านความอบอุ่นมาโอบอุ้มร่างกายของคนฟัง ไม่ทันได้คิดว่าแววตาเช่นนี้ละม้ายคล้ายกับใครบางคนที่เขาฝันเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นาคินก็ผล่อยหลับไปเสียก่อน ทั้งยังไม่ฝันถึงเรื่องราวใดๆอีกตลอดทั้งค่ำคืน





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



หลังจากที่สับสนในตัวเอง ที่เคยบอกไว้ว่าจะลงทุกวันพุธ
ตอนที่แล้วกับตอนนี้ดันเปลี่ยนมาลงวันอังคารซะงั้น
แต่เอาเถอะค่ะ ต่อไปก็ประมาณอาทิตย์ละตอนไม่ขาดเหมือนเดิม
แต่จะลงวันไหนให้ถือเอาฤกษ์สะดวกเนอะ 55555

ตอนนี้ไม่มีผีนะ แต่มีตัวละครในอดีตเพิ่มมาอีกตัวหนึ่งแทน
เห็นหลายคนมาบอกว่าขอผ่านเรื่องนี้เพราะน่ากลัว
เค้าก็แอบเสียใจเล็กๆ แต่ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่าคนเราชอบไม่เหมือนกัน
เอาไว้ฝนแต่งเรื่องรักใสๆไร้ผีอีกครั้งค่อยตามอ่านเรื่องถัดๆไปนั้นก็ได้

ส่วนใครที่ยังอ่านอยู่ ไม่ว่าคุณจะชอบ หรือเพราะคุณจิตแข็ง5555
ถ้ามีตรงไหนรู้สึกว่าแปลกๆ หรืออยากติติงอะไรก็คอมเม้นได้ตามสบายเลยนะจ้า
บางทีเราเขียนๆก็ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนโอเคหรือเปล่า
ทุกคนอ่านแล้วเงียบกันไปหมด ไอ้เราก็ชักไม่มั่นใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ
พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน
(๑๖/๐๖/๒๕๕๘ , ๒๒:๓๙)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-06-2015 01:48:29
เราชอบเรื่องนี้น่ะ และมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ติดจะเศร้ามากกว่า ยังคิดทุกครั้งที่อ่านคือ มันจะไปรักกันตอนไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 17-06-2015 02:57:11
สนุกนะ เเต่เราอ่านเเล้วหลอนหน่อยๆจริงๆอะ
ดีนะที่บ้านไม่ใช่บ้านทรงไทย เเถมเราก็เล่นดนตรีไทยไม่เป็น
ไม่งั้นมโนภาพนิจะหลอนหนักเลย


อ่านเเล้วยังจับทางไม่ถูกเลย
เหมือนเเม่เเก้วมาใหม่ในร่างคิน สินก็ได้เป็นสน
เเต่ตอนนั้นสินได้กับทับทิม เเก้วไม่สมหวัง
พอมาชาตินี้พอเห็นโอกาสว่าน่าจะมีหวังเลยให้คินได้รู้เรื่องเเต่ก่อน
หรือบางทีเเค่อยากให้รับรู้เฉยๆ งง
พ่อสินเเต่ก่อนนิหน้าหวานไหม หรือว่าเเค่นิสัยใจคอการกระทำคล้ายสน

รอๆๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-06-2015 06:27:38
เวลาที่ผู้ชายตัวโตๆ อย่างน่าคินขี้กลัวแบบนี้นี่น่าเอ็นดูจังเลยนะค้าา >.< สงสัยคงต้องรบกวนพี่สนมานอนเป็นเพื่อนน้องทุกคืนเสียแล้วล่ะค่ะ..เน้อ~
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: IIIA ที่ 17-06-2015 07:49:17
ไม่อยากบอกว่านี่อ่านไปสะดุ้งตามนาคินไป นี่อินจัดหรืออะไร 55555  :katai5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-06-2015 10:51:59
เสียงลอย ๆ นี่คงเป็นแม่ทับทิม แล้วเงาที่ต้นแก้วก็คงเป็นแม่แก้ว หลอนสิคะงานนี้
พี่สนดูแลน้องคินดี๊ ดี
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: p.spring ที่ 17-06-2015 14:55:14
เราชอบแนวนี้มากกก เงาที่ต้องแก้วต้องเป็นแม่แก้วแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 17-06-2015 15:05:35
พอมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา ไม่กล้าเดาต่อไปแระ กลัวผิด :hao3:

แต่มาติดใจตรงที่ว่าน้องคินเนี่ยมองเหตุการณ์ด้วยการเป็นคนนอกหรือว่ามองผ่านร่างใคร

พี่สนดูแลน้องดีมากกก ชอบๆขอโมเม้นท์น่ารักแบบนี้อีกก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 17-06-2015 17:38:14
พี่สนดูแลคินดีมากๆ อยู่เป็นเพื่อนไม่ไปไหนด้วย
หรือเสียงที่พี่สนได้ยินคราวก่อนจะเป็นเสียงทับทิม
เดาไม่ออกเลยว่าพี่สนจะเป็นใครในชาติก่อน
แต่น่าจะเป็นคุณสินหรือเปล่า ไว้รอเฉลยในตอนต่อๆไป

 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 18-06-2015 11:07:48
มันก็ไม่ได้น่ากลัวนะ อ่านแล้วลุ้นด้วยซ้ำ

สงสัยว่าทำไมต้องฝัน เกี่ยวข้องอะไรเหรอ หรือจะคือทับทิมชาติที่แล้ว

แต่ที่แน่ๆตอนนี้แม่แก้วโกรธแน่ ที่คุณสนมานอนเฝ้าไข้ กระแทกประตูซะแรงเชียว 55555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Sugar_Halloween ที่ 18-06-2015 11:18:00
นอนไม่หลับก็หากิจกรรมทำกันเลย ยุเต็มที่ คิกๆ  :-[
อารมณ์หวานในบรรยากาศหลอนๆ แต่ลุ้นดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 30-06-2015 15:20:26
ยังสับสน ต่อไม่ค่อยติดเหมือนกันค่ะ
แต่ก็จะติดตามต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-07-2015 12:02:43
คุณครูพี่สนใจดีมากกก

อยากอ่านต่อจัง
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 23-07-2015 17:07:08
 :m17: :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 25-07-2015 01:45:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-07-2015 13:18:26
ใครเป็นใครบ้างคะเนี่ย.....
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 26-07-2015 13:23:01
ยังรอเสมอ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 26-07-2015 17:23:32
รอนะค้าา.. :c5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 26-07-2015 18:15:16
น่ากลัวที่ไหนค้าาาาาาาาาา. ลองไปอ่านเรื่อง อาจ..(ติ๊ดดดดดเซ็นเซอร์555)..ใหญ่. สิคะ หลอนกว่าเย้ออออออ อันนี้ดูนุ่มนวลดีออก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๖ ☰ [๑๖/๐๖/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 26-07-2015 19:24:15
ชอบๆ ค่ะ รออ่านอยู่น้า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 27-07-2015 23:32:57




๗.






   ตอนที่นาคินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้า ข้างกายของเขาก็ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่นอนเฝ้าไข้เมื่อคืนเสียแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาแขวนเห็นว่าสายมากแล้วจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาและจัดการทำธุระส่วนตัว ก่อนออกไปหาอาหารเช้าทาน บนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่นอกจากนาคินเพียงคนเดียว เขาจึงเดินลงไปที่เรือนทำครัว และที่นั่นนาคินก็ได้พบป้าปุกกับก้อยกำลังปอกฟักทอง ส่วนสาวนั่งอยู่บนกระต่ายเตรียมขูดมะพร้าว


   “ป้าปุกกับพวกพี่ๆอยู่กันที่นี่เอง ถึงว่าบนบ้านเงียบเชียว”

“ตายจริง! คุณคินลงมาได้ยังไงคะเนี่ย ป้าก็มัวแต่คุยกับแม่พวกนี้เพลิน ลืมขึ้นไปดูคุณคินเลย” หญิงชราวางมีดทิ้งฟักผุดลุกพรวด ก่อนจะเดินไปประคองให้นาคินมานั่งที่เก้าอี้ยาวด้วยกันราวกับชายหนุ่มเป็นคนป่วยอาการหนักก็ไม่ปาน

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับป้า แค่เป็นไข้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ”


นาคินตอบแทนความเป็นห่วงใยของป้าปุกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แม้ใบหน้าจะดูเซียวไปเล็กน้อย อีกทั้งเสียงยังคงแหบแห้งอยู่ แต่เมื่อป้าปุกเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มเธอก็เบาใจลงไปได้มาก ก็เมื่อวานเธอเห็นคุณหนูสนร้อนใจเสียขนาดนั้น ร่ำๆว่าอาจจะต้องพากันไปโรงพยาบาล เธอเห็นก็อดไม่ได้ที่จะพลอยใจเสียไปด้วย


“ดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ แต่เสียงยังแหบๆอยู่เลย ประเดี๋ยวป้าให้แม่ก้อยทำน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆให้คุณคินจิบหลังทานข้าวดีกว่า”


ว่าแล้วป้าปุกก็หันไปสั่งให้สองสาวใช้วางมือจากงานแล้วจัดสำรับให้นาคิน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองดูความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นในครัวเพราะตัวเขา ในใจก็ยังอดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ เขาเพียงมาอยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น แต่ทุกคนก็ดูแลและปฏิบัติต่อเขาดีเหลือเกิน


“ทานยาก่อนนะคะ” มืออูมวางถ้วยเล็กใส่ยาไว้ตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับแก้วน้ำ แล้วว่าต่อ “คุณสนเธอเอามาฝากป้าไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปเรียนน่ะค่ะ”

“เหรอครับ” แววตาคู่คมแสดงความประหลาดใจวูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะยิ้มออกมาบางๆ

“เห็นเธอเงียบๆไม่ค่อยพูดค่อยจาแบบนั้น แต่คุณสนเธอจิตใจดีมากๆเลยนะคะ พอรู้ว่าคุณคินไม่สบาย เธอก็ร้อนใจน่าดู กำชับกำชาป้ากับพวกแม่สองคนนี้ให้หมั่นช่วยกันขึ้นไปดูอาการคุณคินแทนด้วยตอนเธอไม่อยู่ แต่ป้ามัวแต่ห่วงว่าจะทำขนมก็เลยลืมเวลาไปหน่อย”


นาคินเพียงฟังที่ป้าปุกเล่าแล้วยิ้มให้กับเรื่องเหล่านั้นเงียบๆ เพราะเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสนธยาเป็นคนอย่างไร เห็นเก๊กท่าทำมึนตึงแบบนั้นแต่ก็แข็งนอกอ่อนใน หากจะบอกว่าเป็นประเภทซึนเดเระอย่างที่เขาเรียกกันก็คงไม่ผิดไปเท่าไหร่นัก


หมดจากเรื่องของสนธยา ป้าปุกแกก็คุยอะไรให้ฟังไปเรื่อยพร้อมกับทำขนมไม่ได้หยุดมือ ทานอาหารเช้าเสร็จนาคินก็อยู่นั่งดูแม่ครัวคนเก่งนึ่งฟักทองเพื่อเอามานวดผสมกับแป้งทำเม็ดบัวลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับขึ้นเรือนเพราะยาลดน้ำมูกที่ทานเริ่มออกฤทธิ์ให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน ทว่าก่อนจะล้มตัวนอนพักผ่อน นาคินก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเพื่อนสนิทที่ทั้งโทรและส่งข้อความมาหาเขาตั้งแต่เมื่อวานเย็น รอสายไม่นาน ปลายสายก็กดรับพร้อมกับส่งเสียงโวยวายโหวกเหวก


‘ไอ้คุณนาคิน!! หายหัวไปไหนมา โทรไปไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ นี่ว่าจะตามไปดูที่บ้านอยู่แล้วนะ’

“ใจเย็นไผ่ พอดีเราไม่สบาย” เสียงแหบที่ตอบกลับไปให้เพื่อนได้ยิน ทำให้อีกฝั่งลดดีกรีความเข้มข้นของอารมณ์หงุดหงิดปนโมโหลงไปมากโข

‘ก็เลยไม่ได้รับสายแล้วก็ไม่ได้ตอบไลน์งั้นสิ’

“อืม โทษทีนะ”

‘ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหลังจะหยุดก็โทรมาบอกกันบ้างสิ พวกเพื่อนเป็นห่วงนะเว้ย นี่โจ้มันก็เป็นห่วงคินจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะจะบอกให้’ นาคินรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่ดูเหมือนต้นไผ่จะพูดเกินจริงไปนิดเพราะได้ยินเสียงโจ้แว่วๆมาตามสายบอกให้ต้นไผ่โม้น้อยๆลงหน่อย

“งั้นก็ฝากขอบใจโจ้มันด้วยแล้วกัน”

'จะคุยไหมล่ะ’ ต้นไผ่ว่า

“ไม่ล่ะ เราว่าจะนอนสักหน่อย กินยาเข้าไปแล้วง่วงสุดๆเลย”

‘เหรอ งั้นก็นอนเถอะ หายเร็วๆล่ะ’

“อื้ม ขอบใจนะ”


ขอบอกขอบใจกันเรียบร้อยนาคิดก็กดตัดสาย เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนจากนั้นจึงเอนหลังลงให้หัวหนุนหมอน ตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับ นาคินมองไปที่หมอนอีกใบซึ่งวางไว้เคียงกันกับหมอนของเขา คิดไพล่ไปถึงเจ้าของดวงตาสุกสกาวกับคำพูดปลอบประโลม มันก็ทำให้ชายหนุ่มหลับไปด้วยความรู้สึกอุ่นใจ แม้ว่าเจ้าของคำพูดประโยคนั้นจะไม่อยู่ด้วยกันตอนนี้ก็ตามที


“จะอยู่เป็นเพื่อน รับรองว่าไม่ไปไหนหรอก หลับตานะ”









   เมื่อย่างเท้าก้าวแรกลงบนบันไดบ้าน สนธยาได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของแม่บ้านสูงวัยกับเสียงพูดแหบๆของใครอีกคนดังแว่วมาตามลม พ้นซุ้มประตูบ้านเข้ามาบนชานเรือนสายตาก็สอดส่ายหาต้นเสียง แล้วสนธยาก็พบป้าปุกกับนาคินกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติอยู่ที่ศาลาหอนกจริงๆ ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่บรรยากาศที่ห้อมล้อมอยู่ก็ให้ความรู้สึกสดใส สนุกสนาน และดูสนิทใจมากๆ


   อันที่จริงนายนาคินคนนี้ก็ถือว่าต่างจากคนวัยเดียวกันอยู่พอสมควร เพราะตามปรกติชายหนุ่มวัยนี้จะไม่ค่อยคลุกคลีกับผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ ที่เห็นก็มักจะติดเพื่อน ติดโซเชียลเสียมากกว่า แต่นาคินกลับไม่ใช่แบบนั้น พ่อของเขาก็มักจะชวนนาคินคุยโน้นคุยนี่ด้วยกันประจำ แม้แต่กับลุงเสริมก็เห็นคุยเรื่องรถด้วยกันบ่อยๆ แล้วนี่ยังจะป้าปุกอีกคน แม้สนธยาจะรู้สึกหมั่นไส้นิดๆ แต่ว่าเด็กที่รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่และไม่สร้างปัญหาแบบนี้ก็ถือว่าดีไม่น้อย


   จะมีเรื่องที่ขัดใจนิดหน่อยก็ตรงที่นาคินมักจะทำตัวกวนประสาทกับเขา แรกๆก็นึกว่าคิดไปเองคนเดียว หากแต่สายตาระยับที่เจ้าตัวมักจะแสดงออกมายามอยู่กับเขาลำพังสองคน มันยั่วเย้า ล้อเลียนแฝงไปด้วยความสนุกสนานยามเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มสติแตกที่ถูกล้อ อีกทั้งคำเรียกนำหน้าชื่อว่าพี่สน ก็จะเรียกเฉพาะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น มันชี้ให้เห็นชัดเจนว่านายนาคินปฏิบัติต่อเขาต่างจากคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะอายุห่างกับเจ้าตัวแค่ปีเดียว หากนั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเรียกชื่อด้วยความสนิทสนมตั้งแต่แรกเริ่มเสียหน่อย คิดถึงตรงนี้สนธยาก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ


   ขณะที่สนธยายืนใจลอยตีหน้ายุ่งคิดอะไรในหัวอยู่คนเดียวหน้าซุ้มประตูเรือน นาคินที่เพิ่งเล่าวีรกรรมของตัวเองตอนเด็กๆให้ป้าปุกฟังก็สังเกตเห็นชายหนุ่มเข้า เขาเงียบเสียงเล่าเรื่อง ก่อนจะส่งเสียงอีกครั้งเพื่อเรียกลูกชายคนโตของเจ้าบ้าน


   “กลับมาแล้วเหรอครับพี่สน”

   “อ้าว! คุณสน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ป้าไม่ได้ยินเสียงรถเลย” เสียงทักทายกับสายตาของนาคินทำให้ป้าปุกหยุดหัวเราะและหันไปหาร่างของชายหนุ่มอีกคน

   “เพิ่งมาถึงครับ” สนธยาดึงความคิดของตัวเองกลับมาและตอบคำถามป้าปุกเรียบๆ

   “เพิ่งถึงเหนื่อยๆ มานั่งนี่เถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมขนมมาให้ วันนี้ป้าทำบัวลอยฟักทองไข่หวานของโปรดคุณสนด้วยนะคะ” ป้าปุกบอกคุณหนูคนโตของเธออย่างเอาใจ

   “ขอบคุณครับ” สนธยาเดินไปนั่งที่หอนกอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อร่างโปร่งบางนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ป้าปุกก็ขอตัวเดินลงจากเรือนเพื่อไปเตรียมน้ำเตรียมขนมให้


   บรรยากาศที่มีเสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่เงียบเหงาลงไปทันตาเมื่อเรือนไทยกว้างใหญ่เหลือแค่นาคินกับสนธยาสองคน สนธยาแสร้งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยด้วยไม่รู้จะชวนคุยอะไร ผ่านไปสักครู่ก้อยก็เป็นคนยกน้ำเย็นกับขนมหวานถ้วยหนึ่งใส่ถาดมาให้สนธยาบนเรือน พร้อมกับบอกว่าป้าปุกจะเริ่มเตรียมอาหารเย็นแล้ว ให้คุณสนทานขนมรองท้องไปก่อน จากนั้นเธอก็ถอยลงจากเรือน ก่อนที่บนเรือนจะกลับมาเงียบอีกครั้ง เสียงแหบๆของนาคินก็เอ่ยขึ้น


   “ทานขนมด้วยกันสิครับ” ไม่ว่าเปล่ามือหนายังใช้ช้อนตักเม็ดบัวลอยสีเหลืองอ่อนในถ้วยของตัวเองขึ้น ทำท่าเหมือนจะตักขึ้นป้อนคนที่นั่งตรงข้ามอย่างไรอย่างนั้น

   “ไม่เอา” สนธยาจึงรีบปฏิเสธทันควัน

   “ไม่ชอบของหวานเหรอ แต่เมื่อกี้เห็นป้าปุกบอกว่าสนชอบบัวลอยนี่นา”

   “ไม่ใช่ไม่ชอบ”

   “แล้วทำไมไม่กินล่ะ”

   “ถ้าจะกินก็ตักเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาป้อน” มือเขาไม่ได้เสียสักหน่อย ขนมแค่นี้ก็ตักได้เองหรอก สนธยาได้แต่คิดต่อในใจ

   “หึๆ” นาคินอมยิ้มก่อนหลุดหัวเราะเบาๆ

   “หัวเราะอะไร” สนธยาถามด้วยความไม่เข้าใจ

   “สนคิดว่าผมจะป้อนเหรอ”

   “ห๊ะ?...เอ่อ…ปะ..เปล่าสักหน่อย ก็เห็นนายยกช้อนยื่นมาทางนี้…หึ้ย! ช่างเถอะ” ขัดใจอย่างที่สุดแต่ก็รู้ว่าแก้ตัวไปไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา จึงได้แต่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ

   “ผมแค่จะชวนเฉยๆนะ ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด แต่ถ้าสนอยากให้ป้อนก็ได้ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก” ได้ทีคนช่างกวนก็เย้าไม่เลิก

   “ไม่จำเป็น” ตอบเสียงกระด้างก่อนจะคว้าแก้วน้ำเย็นขึ้นมาจิบแก้กระอักกระอ่วน


นาคินมองตามคิ้วเข้มที่ขมวดแสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนสายตาจะพลันไปสะดุดเห็นว่าที่กกหูอีกฝ่ายขึ้นสีแดงก่ำ นั่นจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเขินแค่ไหนที่เข้าใจผิดไปเอง


   “งั้นก็ลองกินดูสิครับ ผมเพิ่งเคยชิมบัวลอยฟักทองสูตรของป้าปุก อร่อยมากเลยเนอะ”

   “นายนี่เซ้าซี้จริง ถ้าฉันจะกิน ฉันก็จัดการเองแหละ พูดมากน่ารำคาญ” พูดจบดวงหน้าติดหวานก็เบือนไปด้านข้างไม่มองหน้าคนตรงข้ามตัดรำคาญ พอโดนคะยั้นคะยอมากๆเข้าสนธยาก็ชักจะเริ่มรำคาญ ไม่รู้ทำไมต้องวุ่นวายกับเขานัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวังดีหรืออยากจะหาเรื่องแกล้งอะไรเขาอีก


   ทว่าผ่านไปสักพัก คนนั่งตรงข้ามก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดอะไรให้เขารำคาญอีก สนธยาได้ยินแค่เสียงช้อนกระทบถ้วยแก้วเป็นช่วงๆเท่านั้น แล้วความอึดอัดที่ไม่รู้มาจากไหนเริ่มขยายตัวใหญ่มากขึ้น เมื่อใช้หางตาเหลือบมองแล้วเห็นว่าเจ้าคนชอบกวนประสาทก้มหน้าก้มตาอยู่กับถ้วยบัวลอย ทำท่าทางหางลู่หูตกราวกับลูกหมาถูกเจ้าของดุก็ไม่ปาน


   ร่างบางขยับไปมานิดๆบนที่นั่งของตนเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เดินหนีเข้าห้องไปเสีย ทำไมต้องเลือกที่จะนั่งเผชิญหน้าอยู่เช่นนี้ก็ไม่รู้ สุดท้ายคนที่มักจะนิ่งอยู่เป็นนิจก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว แสร้งกระแอมในคอแล้วส่งเสียงออกไปก่อน เนื่องจากคิดว่าเขาผิดที่พูดว่ารำคาญ มันคงเป็นคำพูดที่แรงเกินไป เพราะถึงแม้ว่าจะรำคาญจริงๆแต่นาคินก็คงไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรืออยากให้เขารู้สึกแบบนั้น


   “แล้วนี่เป็นยังไง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” สนธยาหวังว่าตัวเองจะได้ยิน ว่าอีกฝ่ายบอกเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ที่เป็นอยู่ ทว่าเขากลับคิดผิด เพราะเมื่อนาคินเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ภาพเจ้าหมาถูกดุก็สลายหายไปในพริบตา

   “สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”

   “ฉันห่วงว่าตัวเองต้องได้ไปนอนเฝ้าไข้นายอีกต่างหากถ้าคืนนี้ยังไม่ดีขึ้น แต่ดูจากอาการตอนนี้คิดว่าคงไม่ต้องถามแล้วล่ะใช่ไหม”

   “โถ่ ไอ้เราก็คิดว่าเป็นห่วงเสียอีก”

   “ฮึ” ร่างบางเค้นเสียงในลำคอกับน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆนั่นไปทีหนึ่ง

   “ความจริงก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้ไข้จะขึ้นอีกหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรบกวนให้คนใจดีมานอนเฝ้าอีก” คราวนี้นาคินเปลี่ยนจากน้ำเสียงผิดหวังปลอมๆมาเป็นเสียงออดอ้อนแบบที่คนฟังต้องแอบลูบแขนเพราะรู้สึกจั๊กจี้

   “เลิกพูดจาแบบนั้นเสียทีเถอะ ไม่ขนลุกบ้างหรือไง”

   “ก็นิดนึง ฮ่าๆๆ” คนตัวโตว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะหันมาบอกด้วยท่าทางจริงจังกว่าเก่า ราวกับคนละคน “แต่อยากให้มานอนด้วยอีกจริงๆนะครับ”

   “เหตุผลล่ะ” เมื่อถามถึงเหตุผล สนธยาก็เห็นว่าหน่วยตาสีน้ำตาลเข้มนั้นวูบไหวทีหนึ่ง ในนั้นฉายความรู้สึกบางอย่างออกมาจางๆ แต่สนธยาก็ยังรู้สึกได้


   มันต้องมีเหตุผลอะไรนอกเหนือจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายแฝงอยู่ เหตุผลที่เขาบอกไมได้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อคิดถึงแววตาหวาดระแวงของคนป่วยเมื่อคืนกับตอนที่บอกประโยคเมื่อกี้ สนธยาคิดว่าบางทีมันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็เป็นได้


   “ไว้ผมจะบอกคืนนี้ตอนสนมาหานะ” พอพูดจบ นาคินก็ผุดลุกขึ้น จากนั้นก็เดินออกจากหอนกไป แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายเตือนให้สนธยาทานบัวลอยของป้าปุกด้วย

   “มัดมือชก เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าคนเขาจะไปหา” ได้แต่พึมพำกับตัวเองเพราะคนที่อยากให้ฟังดันไม่อยู่แล้ว











ก๊อก ก๊อก!


   เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนจะหยุดไปเพราะนาคินรีบพุ่งไปที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดบานประตูต้อนรับใครบางคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกด้วยชุดนอนเต็มยศ เจ้าของห้องยิ้มกว้างที่เห็นว่าครูสอนดนตรีของเขายอมมาหาจริงๆ ก่อนจะหลีกไปด้านข้างให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง


   วันนี้ตอนเวลาอาหารเย็นมัทนาได้กลับมาทานด้วย นาคินจึงไม่ได้พูดอะไรกับสนธยาเรื่องขอให้มาค้างที่ห้องอีก ทีแรกก็ใจตุ้มๆต่อมๆอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะยอมเขาไหม แต่ตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าคุณครูพี่สนของนาคินน่ะ เป็นคนใจดีจริงๆ


   สนธยาเดินไปหยุดที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะนั่งคร่อมโดยหันหน้ามาทางนาคินที่เดินไปนั่งบนเตียง ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ นาคินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน


   “เอ่อ…นึกว่าสนจะไม่มา”

   “ก็ว่าจะไม่มา” ตอนแรกสนธยาคิดจะไม่มาจริงๆอย่างปากว่า

   “แล้วทำไมถึง…” ถามยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ตอบออกมาเสียก่อน

   “ก็เห็นนายท่าทางไม่ดีเท่าไหร่ก็เลยมา มันไม่ได้มีอะไรเสียหายสักหน่อยจริงไหม อีกอย่างก็สงสัยด้วย”

   “สงสัยเรื่องอะไรครับ”

   “ก็…จะพูดยังไงดี คือฉันรู้สึกว่านายแปลกๆ เหมือนกลัวอะไรสักอย่างเมื่อคืน แต่ตอนแรกก็คิดว่าแค่ขวัญอ่อนเพราะเป็นไข้ แต่เมื่อบ่าย ที่นายบอกว่าอยากให้ฉันมานอนเป็นเพื่อน ฉันรู้สึกว่านายยังกลัวอยู่”

   “สนรู้สึกเหรอ” คนตัวโตถามด้วยความแปลกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าเมื่อบ่ายเขาจะยังแสดงท่าทางเหมือนเมื่อคืนอยู่

   “อืม”


   นาคินเงียบเสียงลง ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ไม่บอกอะไร เขากำลังคิด คิดว่าจะบอกเรื่องแปลกๆที่เขาเจอมาตลอดหลายเดือนให้สนธยาฟังดีไหม เจ้าตัวจะคิดว่าเขาบ้าหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ใช่ว่าบอกไปใครจะเชื่อง่ายๆ แต่ถ้าไม่บอกมันก็อึดอัด เพราะตอนนี้ความฝันเหล่านั้น รวมทั้งเรื่องประหลาดที่พบเจอยามตื่นมีสติ เริ่มจะมีผลกระทบกับร่างกายของเขามากขึ้นทุกที


   เขาเริ่มกังวลใจจนไม่เป็นอันพักผ่อน พอได้นอนก็ฝันอยู่ประหลาดอยู่แทบทุกคืน ฝันติดต่อกันยาวนานจนล้มป่วยอย่างที่เห็น จะมีก็เมื่อคืนที่สนธยามานอนด้วยแล้วได้นอนจริงๆ ไม่ฝันประหลาด หลับสนิทเต็มอิ่มไปจนถึงเช้า


แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าคิดในอีกแง่ เขากับสนธยาสนิทกันพอที่จะให้รับรู้เรื่องนี้หรือยัง แม้นาคินจะอยากทำความรู้จักและสนิทกับสนธยาเร็วๆแค่ไหน แต่เจ้าตัวก็ยังดูเหมือนไม่อยากเสวนากับเขาเท่าไหร่เลย ซ้ำเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาของเขา ปัญหาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาบ้าไปเองหรือเปล่า จะเล่าออกมาให้คนอื่นเก็บไปคิดมากด้วยก็เห็นจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

“ว่ายังไง จะบอกได้หรือยัง” พอเห็นว่าเจ้าหมาตัวโตนั่งทำหน้าครุ่นคิดนิ่งเงียบเนิ่นนานซึ่งไม่เหมาะกับบุคลิกเอาเสียเลย สนธยาจึงเอ่ยกระตุ้น

“ความจริงผมแค่ไม่ชอบนอนคนเดียวน่ะ” นาคินตัดสินใจพูดปดออกไปคำโต

“ไม่ชอบนอนคนเดียว?” เมื่อเห็นคนหน้าหวานทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ นาคินก็รีบสร้างคำโกหกขึ้นมาอีกหลายประโยค

“ใช่ ความจริงผมนอนคนเดียวไม่ได้ ตอนอยู่บ้านที่กาฬสินธุ์ผมนอนกับน้องๆตลอด แต่มาอยู่นี่กลับต้องนอนคนเดียว บ้านก็เป็นบ้านทรงไทย บรรยากาศตอนกลางคืนน่ากลัวออก ผมก็เลยนอนไม่หลับมานานแล้ว อาการเรื้อรังน่ะครับ สะสมจนป่วยนี่แหละ”


ได้ยินคำอธิบายยาวๆนั่น สนธยาก็เริ่มคิดปะติดปะต่อ อาจจะจริงอย่างที่ว่า เพราะหลังๆมานี่เขาเห็นว่านาคินดูโทรมลงๆ หน้าตาไม่แจ่มใสเหมือนเมื่อตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเลย แต่จะให้แก้ปัญหาอย่างไรล่ะ โตจนป่านนี้นอนคนเดียวไม่ได้ ไอ้ความเห็นใจก็มีให้อยู่หรอก แต่จะให้เขาที่มีโลกส่วนตัวสูง ย้ายสำมะโนครัวมานอนที่ห้องนี้จนกว่านาคินเรียนจบน่ะหรือ ไม่มีทางเสียล่ะ


“คืนนี้ฉันก็พอจะนอนเป็นเพื่อนนายได้อยู่หรอก เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะคอยดูเผื่อไข้ขึ้น นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ แต่ต่อไปคงไม่ได้หรอกนะ”

“ผมเข้าใจครับ” ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มสลดวูบลงเมื่อได้ยิน ทำเอาสนธยารู้สึกผิดนิดๆ แต่ความจริงแล้วที่มันเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะสนธยาไม่มานอนด้วย แต่นาคินรู้สึกผิดที่ต้องโกหกออกไปทั้งที่สนธยามีน้ำใจให้เขาขนาดนี้

“แต่ความจริงนายควรจะทำตัวให้ชินนะ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด รับประกันได้เลยว่าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ถึงบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านเก่า บรรยากาศชวนขนหัวลุก แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ เพราะถ้ามีฉันก็ต้องเคยเจอแล้วสิ” สนธยาลดความกระด้างในการพูดลง เสียงของเขาจึงนุ่มน่าฟัง และคำพูดธรรมดาเหล่านั้นก็ทำให้คนฟังอุ่นใจขึ้นมาก

“ผมจะพยายามครับ” พยายามคิดว่าความฝันกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อน่ะนะ นาคินทำได้แค่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป

“ดีแล้วล่ะ ถ้ากลัวมากๆจะเปิดไฟนอนก็ได้ พ่อคงไม่ว่าอะไรเรื่องค่าไฟที่เพิ่มขึ้นหรอก เพราะยังไงห้องนายก็ไม่มีแอร์” ไม่รู้ว่าคนพูดจงใจเล่นมุกหน้าตายหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากนาคินหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยทั้งๆที่มีเรื่องให้กังวลใจอยู่ในหัว

“ขอบคุณนะสน”

“ขอบคุณทำไม”

“ขอบคุณที่ดูแล แล้วก็ทำให้สบายใจขึ้นมากๆเลยล่ะ” ได้คุยกับสนธยา นาคินรู้สึกสบายใจขึ้นมากจริงๆ แม้จะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดก็ตาม

“ฉันทำเพราะพ่อนายฝากไว้ต่างหาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอก” คนพูด พูดทั้งๆที่เริ่มรู้สึกคันยุบยิบที่แก้มสองข้าง เจ้าตัวจึงรีบกลบเกลื่อนโดยการลุกขึ้น และเดินไปที่เตียงอีกฝั่ง

“ถึงยังไงก็ขอบคุณนะครับ”

“อืม” เจ้าของใบหน้าเรียบๆติดหวานพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนถาม “นี่กินยาก่อนนอนแล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“นายจะทำอะไรอีกหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะครับ สนมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า แค่คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรก็ควรจะนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากจะได้ไปเรียน หยุดมาสองวันแล้วนี่”

“นั่นสิ หยุดอยู่บ้านคนเดียววันนี้ เบื่อสุดๆเลย”


สนธยาส่ายหัวเบาๆกับคำบ่นกระปอดกระแปดของคนข้างๆ มือสองข้างพลางตบหมอนให้ฟูไปด้วย ก่อนนั่งทับส้นเรียบร้อยแล้วเริ่มสวดมนต์ เมื่อนาคินเห็นดังนั้นจึงทำตามบ้าง ทันทีที่สวดมนต์เสร็จทั้งคู่ เจ้าของห้องก็เอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน


เสียงใบพัดลมทองเหลืองหมุนในอากาศไม่ดังนัก ผนวกกับเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างๆ มันชวนให้นาคินรู้สึกง่วงนอนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อกลางวันก็นอนเยอะเสียจนกังวลว่าคืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า


ก่อนหลับตา นาคินพลิกตัวหันไปกอดหมอนข้างที่คั่นกลางระหว่างตัวเขาและสนธยาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองใบหน้าของคนที่หลับตาอยู่ไม่ไกล แล้วก็เผลอคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ความคิดนั้นกลับเปล่งออกมาเป็นเสียงโดยที่นาคินไม่รู้ตัว เสียงที่ทำให้คนซึ่งยังไม่หลับได้ยินมันครบทุกคำ



“นอกจากตอนเด็กๆแล้ว เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านั้นหรือเปล่านะพี่สน…”







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




แอบลงเงียบๆ แบบว่าหายไปนานจนคนอ่านจำหน้า จำเนื้อเรื่องไม่ได้
ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนะคะ
จะชดเชยด้วยการมาลงบ่อยๆ

ว่าด้วยเนื้อเรื่องตอนนี้
ออกจะเบาๆ คุยกันใสๆ เริ่มเปิดใจนิดๆ
ผีเผออะไรนาคินไม่รู้จัก จำไม่ได้ จำได้แต่พี่สนคนใจดี 55555
ช่วงนี้ก็จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองคนไปเรื่อยๆก่อน
ถือว่าเอาพี่สนมาเป็นยันต์กันผีแล้วกันน้า
ส่วนปริศนาต่างๆ ค่อยลุ้นไปเรื่อยๆแล้วกันเนอะ อิอิ

ชอบไม่ชอบบอกได้ค่ะ
ฝนจะได้แก้ไขต่อไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
เจอกันตอนหน้าค่ะ

ละอองฝน

[๒๓:๓๕ , ๒๗/๐๗/๕๘]
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-07-2015 23:54:13
แอบลุ้นให้นาคินเล่าเรื่องทั้งหมดให้สนฟังนะเนี่ย จะได้ช่วยกันสืบ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-07-2015 02:25:52
อ่านจนลืมไปเเล้วฮะ จิ้มก่อน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 28-07-2015 10:28:07
ลุ้นให้นาคินเล่าให้พี่สนฟัง เผื่อมีรูปเก่าๆเก็บไว้อยู่ ^^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 28-07-2015 11:01:40
หลังจากวันนี้ก็ต้องนอนคนเดียวแล้วนะคะคิน ไม่ยอมเล่าความจริงให้พี่สนฟังแบบนี้จะดี
เหรอค้าา~ :try2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 28-07-2015 13:31:21
นาคินคนเจ้าเล่ห์ แอบเต๊าะพี่สนด้วยคำพูดคำจาน่าหยิกเป็นที่สุด

คิดถึงคู่นี้มากกก ยังไงรอตอนต่อไปนะคะ ไม่รู้พี่สนจะใจอ่อนหรืออ่อนใจ

กับสภาพหางลู่หูตกของน้องคินจนยอมมานอนเป็นเพื่อนอีกไม๊ อั้ยย  :impress2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 31-07-2015 18:06:08
 :laugh: หลอนนิดๆเวลาอ่านภาคอดีตแต่ตามต่อจ้า
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 31-07-2015 20:59:36
พี่สนคนซึนแต่ใจดีมาก มานอนเป็นเพื่อนด้วย
แต่คืนต่อไปคินต้องนอนคนเดียวแล้วจะหลับลงไหม
บอกพี่สนไปคงดีกว่านะ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 31-07-2015 21:02:21
มาแล้วๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-07-2015 22:27:23
น่าจะเล่าให้พี่สนฟังจะได้ร่วมด้วยช่วยกันหลอน...อ๊ะ ล้อเล่น
แต่มันก็น่ากลัวจริงนี่นา กลัวจนป่วย ไม่ธรรมดานะ ต้องหาทางแก้ไข
พี่สนใจดีจังเลยน้า มานอนเฝ้าสองคืนเลย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 16-08-2015 11:32:36
โปรดจงรักมาแบบใสๆ แต่ไหงเรื่องนี้ออกแนวเศร้าชวนขนลุกแบบนี้ล่ะเจ้าคะ
แอบคิดในใจว่าเสียง 'คุณพี่' ที่พี่สนได้ยินจะเป็นเสียงของแม่ทับทิมหรือเปล่า
...เรื่องนี้มีเงื่อนงำ!!...
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๗ ☰ [๒๗/๐๗/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 16-08-2015 16:08:09
นั้นดิ เสียงนั้นเป็นเสียงใคร
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 29-08-2015 20:04:43



๘.




   หลังจากที่นาคินหายป่วยสนธยาก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองอย่างที่ได้บอกเอาไว้แต่แรกจริงๆ ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นาคินก็ไม่ได้ฝันประหลาดหรือรู้สึกหนาวเยือกวูบวาบราวกับมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาอีก อาจจะเป็นเพราะวุ่นวายกับการหาข้อมูลทำรายงานส่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน อีกทั้งยังต้องไปซ้อมฟุตบอลทุกเย็น เนื่องจากพวกเพื่อนตัวดีใส่ชื่อให้ลงเป็นเล่นกีฬาเฟรชชี่ในตำแหน่งผู้รักษาประตู จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ในเมื่อคณะบริหารมีประชากรชายน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ดังนั้นพอหัวถึงหมอนสติก็ดับไปเพราะความเหนื่อยล้า นาคินรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน กิจวัตรประจำวันเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ไม่ต้องคอยพะวงกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่พิสูจน์ไม่ได้ จะได้ใช้ชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งธรรมดาๆอย่างคนอื่นเขาเสียที


   เพราะยุ่งเอามากๆที่ผ่านมานาคินจึงไม่ค่อยได้พบหน้าสนธยาเลยแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นนาคินก็พอจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ นั่นคือหลายวันมานี้เมื่อเขากลับมาถึงห้อง แม้ดึกดื่นแค่ไหนเขาก็จะได้ยินเสียงดนตรีไทยของสนธยาดังมาจากเรือนดอกแก้วอยู่เสมอ เนื่องจากไม่มีเวลานาคินเองก็ไม่ได้ลงไปซ้อมขิมเลย เขาจึงไม่รับรู้ความเป็นไปของคุณครูคนเก่ง ดังนั้น คืนนี้ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ นาคินจึงตัดสินใจเดินลงไปหาเจ้าของเสียงเพลงที่บรรเลงแว่วหวานอยู่ทุกค่ำคืน


   เรือนดอกแก้วยังคงสภาพเหมือนเดิมกับทุกครั้งที่มา แต่สิ่งที่ทำให้นาคินประหลาดใจกลับไม่ใช่ใบหน้าไม่ใคร่พอใจของสนธยาที่คิดว่าจะเห็นยามเขาขึ้นมารบกวน แต่เป็นภาพของลุงมนตรีที่กำลังนั่งดูสนธยาบรรเลงเพลงระนาดอยู่ต่างหาก ตามปรกติภาพของลุงมนตรีในใจของนาคินจะดูใจดีอยู่เสมอ หากในตอนนี้กลับดูเคร่งขรึมจริงจัง บรรยากาศเข้มงวดที่แผ่กระจายอยู่รอบๆตัวทำให้คนที่ไม่เคยชินอย่างนาคินถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเข้าไปนั่งดูสนธยาเล่นระนาดอย่างที่ตั้งใจ หรือลงจากเรือนดอกแล้วกลับขึ้นห้องไปเงียบๆดี


   “พ่อว่าสนเล่นเพลงกราวในดีกว่าเพลงสุดสงวน ใช้เพลงนี้น่าจะดีกว่า”

   “พ่อคิดอย่างนั้นเหรอครับ” สนธยาถามด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ายังแคลงใจ เนื่องจากเจ้าตัวอยากเล่นเพลงสุดสงวน สามชั้นมากกว่า มนตรีจึงใช้ฐานะที่เป็นครู ไม่ใช่พ่อ ชี้แนะจุดบกพร่องที่จับได้ยามที่ชายหนุ่มเล่นเมื่อครู่

   “สนตีกราวในสนุกและหวานหูกว่า ไม่เยอะ ไม่กระด้าง ต่างจากสุดสงวน พ่อไม่รู้ว่าสนตั้งใจเล่นมันมากจนเกร็งหรือว่าเพราะอะไร ฟังดูแล้วเสียงมันดุดัน แต่หนักเกินไป ลูกปลายที่ใช้ก็สะบัดแข็งหลายท่อน น่าจะโดนหักคะแนนตรงนั้นเยอะ”

   “เหรอครับ”

   “เวลามันกระชั้นนะสน อีกแค่สามอาทิตย์เอง ไหนจะต้องลองซ้อมคู่กลอง คู่ฉิ่งอีก อย่าเสียเวลานั่งแก้จุดด้อยอยู่ ไปพัฒนาที่เราทำได้ดีแล้วให้มันดีขึ้นไปพ่อว่าเข้าท่ากว่า”


   คำพูดของมนตรีทำให้สนธยายอมตัดสินใจทำตามอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาอยากจะลองใช้เพลงที่ไม่ถนัดไปประกวดเดี่ยวระนาดเอกดูสักครั้ง หากแต่ด้วยเวลาอันจำกัดเขาก็ไม่ควรเสี่ยงอย่างที่พ่อแนะนำจริงๆ


   “เอาอย่างพ่อว่าก็ได้ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับยอมจำนนในเหตุผล

   “ถ้าอย่างนั้นพ่อขึ้นบ้านก่อนแล้วกันคืนนี้ พรุ่งนี้สนเลิกเรียนบ่ายๆใช่ไหม”

   “ครับ”

   “พอดีเลย พ่อจะไปทำธุระที่กรมที่ดิน เสร็จแล้วจะแวะไปบ้านครูเพียงออ สนเรียนเสร็จก็ตามไปที่นั่นแล้วกัน จะได้ไปคุยกับเขาเรื่องขอคนมาช่วยซ้อม” เมื่อสั่งธุระเรียบร้อย มนตรีก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตั้งใจตรงกลับเรือน พอหันมาเห็นนาคินนั่งริมซุ้มประตูตรงบันไดก็ปรับสีหน้าแล้วส่งเสียงทัก

   “อ้าว! คินมานั่งทำอะไรมืดๆตรงนี้” นอกจากมนตรีแล้ว นาคินแอบเห็นว่าสนธยาเองก็ทำหน้าประหลาดใจไม่แพ้กันที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้

   “ผมได้ยินเสียงพี่สนเล่นดนตรีทุกวัน คืนนี้ก็เลยตั้งใจลงมาดูน่ะครับ” นาคินว่า

   “แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะลูก ยุงกัดขาลายหมด” ที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากรู้ว่าแถวนี้ยุงชุมเพราะใกล้ท่าน้ำ

   “ผมเห็นลุงมนกำลังสอนพี่สนอยู่ก็เลยไม่อยากเข้าไปกวนน่ะครับ กะว่าจะนั่งฟังอยู่ตรงนี้ให้จบสักเพลงสองเพลง ผมก็จะขึ้นนอนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”

   “อย่างนั้นเองเหรอ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ถ้ายังไม่ไป เราก็เข้าไปนั่งกับพี่เขาข้างในเถอะคิน ลุงขึ้นนอนก่อนล่ะ ง่วง
เหลือเกิน” ลุงมนตรีหาวตบท้ายประโยคอีกคำรบก่อนจะเดินลงบันไดไป นาคินจึงเดินเข้าไปนั่งบนชานเรือนที่สนธยานั่งอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มซื่อที่สนธยามองแล้วคิดว่ามันดูเหมือนยิ้มโง่ๆมากกว่า

   “สนจะไปประกวดเหรอ เห็นเลือกเพลงกัน” นั่งเงียบอยู่ได้อึดใจเดียว นาคินก็เริ่มเปิดปากถาม

   “อืม”

   “ประกวดเมื่อไหร่ล่ะ ขอผมไปเชียร์ด้วยได้ไหม” คนตัวโตกว่าว่าอย่างกระตือรือร้น

   “วันอาทิตย์ที่สามของเดือน แต่นายไม่ต้องไปหรอก ให้พ่อไปคนเดียวก็พอแล้ว” สนธยาปฏิเสธหน้านิ่งขณะตาไล่มองโน้ตเพลงในสมุดโน๊ตอย่างละเอียดอีกครั้ง

   “อ้าว! ทำไมล่ะครับ” เมื่อได้ยินเสียงประท้วงมือเรียวก็ปิดสมุดโน๊ตดังฉับก่อนเงยหน้าขึ้นบอก

   “เกะกะน่ะ”

   “ใจร้ายจัง ไม่เห็นเหมือนพี่สนคนที่นอนเฝ้าไข้ผมเลย” นาคินทำหน้าย่นปากยู่ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นจะน่ารักเหมือนเด็กเล็กๆทำสักนิด

   “พูดมากจริง แล้วนี่มาทำไมเนี่ย”

   “ก็มาดูสนเล่นดนตรีไง ได้ยินเสียง เห็นว่าเล่นจนดึกทุกคืน วันนี้ก็เลยมาดูก่อนไปนอน”

   “มาดูฉันเล่น แล้วตัวเองไม่ซ้อมบ้างเหรอ ตั้งแต่หายป่วยก็ยังไม่เห็นแตะเลยนะ เดี๋ยวก็ลืมหมดหรอก”

   “ก็ไม่ค่อยมีเวลานี่ครับ ช่วงนี้ทำงานดึกทุกคืนเลยนะ บางวันซ้อมบอลมาเหนื่อยพออาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปเลย ผมถึงไม่ค่อยได้เจอสนเลยไง แต่ว่าที่สอนไปไม่ได้ลืมหรอกครับ เพลงนั้นจำได้ขึ้นใจแล้ว”


สนธยาได้ฟังคำพูดที่ว่าเจ้าตัวโตนั้นแสนจะยุ่งนักยุ่งหนา แต่ตอนนี้กลับทำตัวให้เห็นว่าเอ้อระเหยลอยชายเดินโฉบลงมาดูเขาถึงเรือนดอกแก้ว แล้วอย่างนี้จะเชื่อได้แค่ไหนว่ายุ่งวุ่นวายจริงดั่งคำที่พูด


   “อย่าเอาแต่พูด ไหนไปยกขิมในห้องมาตีให้ดูสักรอบสิ ถึงจะบอกว่าจำได้ยังไง ดนตรีมันก็ต้องเล่นต้องซ้อมบ่อยๆ ไม่งั้นมือก็แข็งกันพอดี”

   “โถ่…นี่ผมแค่แวะลงมาดูเพราะอยากจะเจอหน้ากันบ้างเท่านั้นนะครับ วันนี้ไม่พร้อมจะซ้อมให้ดูเสียหน่อย” นาคินเริ่มโอดครวญเพราะอันที่จริงก็เริ่มจะลืมโน้ตเพลงที่สนธยาเคยสอนให้ไปกว่าครึ่งแล้ว

“อย่าโยกโย้น่า นี่ฉันสั่งในฐานะครูนะ”

“สนอ่ะ”

“ไปยกขิมมา” สนธยากดเสียงเข้มให้รู้ว่า ไม่ว่าจะอ้อนเอาอย่างไรก็ไม่ได้ผล แต่นาคินก็ยังพยายามโยกไปถามอีกอย่างแทน

“แล้วสนไม่ซ้อมของตัวเองแล้วเหรอ”

“ไม่แล้ว ไปยกขิมมา อย่าให้ต้องพูดหลายรอบ” จนสุดท้ายคุณครูคนเก่งก็ต้องขึ้นเสียงเพราะทนไม่ไหว นาคินจึงได้แต่ตอบรับเสียงอ่อยแล้วลุกไปยกขิมประจำตัวในห้องเก็บเครื่องดนตรีออกมา

“ครับครู”


หลังจากเข้าไปยกเครื่องดนตรีออกมาเรียบร้อยแล้ว นาคินก็เริ่มจับไม้นวมตีขิมให้คุณครูฟังด้วยความตั้งใจ ผิดกับไอ้คนกวนประสาทคนก่อนหน้าลิบลับ แม้จะตีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่กับคนเพิ่งหัดและร้างมือไปนาน ได้เท่านี้ก็ถือว่าไม่ขี้เหล่เท่าไหร่ สนธยาค่อนข้างพอใจในความสามารถของลูกศิษย์คนนี้พอประมาณทีเดียว แต่ก็ยังมีจุดที่อยากจะติอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าตัวมักทำผิดบ่อยเหลือเกิน สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ สักแต่ว่าเอาความถนัดของตัวเองเข้าว่าอย่างเดียว


“นายนี่จริงๆเลย”

“อะไรครับ ใช้ไม่ได้เหรอ” นาคินถามขณะที่มองร่างโปร่งบางลุกขึ้นก่อนเดินมานั่งซ้อนข้างหลังตน จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ค่อยๆโอบรอบตัวของนาคินแล้วเอื้อมมาจับทับมือหนา

“จะว่ามันไม่สำคัญก็ไม่ได้นะ ไอ้ท่าทางการจับการตีเนี่ย ถ้าทำถูกวิธีมันจะทำให้นักดนตรีดูสง่า”


ดวงตาคมมองเรียวปากบางเอ่ยถ้อยคำสั่งสอนด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ถึงแม้จะติดห้วนสักหน่อยแต่ด้วยเนื้อเสียงของสนธยาก็ทำให้มันยังคงน่าฟัง ตอนแรกนาคินก็ยังตั้งใจฟังอยู่หรอก แต่พอหันมาเห็นความใกล้ชิดระดับที่ลมหายใจเป่ารดใบหน้าขนาดนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวาบในอก สติสตังหลุดลอยไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ เห็นแต่ปากขยับแต่จับใจความไม่ได้เลย


ส่วนสนธยาพูดๆไป มือก็จับบังคับให้ทำตามสิ่งที่ถูกต้องไปด้วย หากแต่ตอนหลังๆนาคินกลับนั่งแข็งเป็นท่อนไม้ ไม่หือไม่อือสักนิด คนหน้ามนจึงหันกลับไปมองด้วยตั้งใจจะถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงเงียบไป ทว่ากลับพบประสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังจ้องหน้าเขาเขม็ง คราวนี้เป็นสนธยาเองที่พูดไม่ออก ได้แต่เงียบมองด้วยความประหลาดปนกระดากอายจนเกิดแวววูบไหวในหน่วยตา


เสียงสรรพสิ่งต่างๆในยามกลางคืนขับกล่อมครอบคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง สายลมเย็นพัดมาบางเบาพากิ่งไม้ไหว เมื่อได้ใกล้ชิดกัน คล้ายมีบางสิ่งหยุดกาลเวลาเอาไว้ ต่างคนต่างจ้องมอง มองกันอยู่เช่นนั้นราวได้เจอใครอีกคนซึ่งไม่ได้พบกันมาแสนนาน


ก่อนความรู้สึกแปลกประหลาดจะมัวเมาสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น ก็เกิดเสียงปริศนาดังตุบที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเรือนหลังเล็ก นาคินกับสนธยาจึงผละแยกออกจากกันทันทีราวกับถูกของร้อน


ท่ามกลางคนสองคนเกิดความกระดากอายและสับสนอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายหนุ่มรุ่นน้องก็เป็นคนช่วยจัดการกับความรู้สึกนั้นเหล่านั้นก่อน โดยออกความเห็นให้ช่วยกันเก็บเครื่องดนตรีแล้วกลับขึ้นเรือนใหญ่ เนื่องจากตอนนี้เวลาคงจะล่วงเลยมาจนดึกมากแล้ว


สนธยาเองก็เห็นด้วยเพราะคิดอยากหลบหนีจากสถานการณ์เมื่อกี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบช่วยกันยกระนาดกับขิมไปไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเดินกลับไปที่เรือนใหญ่ ทว่าแม้ทั้งสองจะเดินมาด้วยกันตามลำพัง หากแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลยสักคำ จนกระทั่งก่อนแยกไปนอนที่ห้องของตัวเอง นาคินจึงเป็นฝ่ายทำใจกล้าเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับหนุ่มรุ่นพี่ก่อน


“ฝันดีนะสน”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยเสียงเบาๆ “ฝันดี…เหมือนกัน”


หลังจากได้ฟังคำว่าฝันดีจากสนธยาแล้ว นาคินก็ยังยืนมองอีกคนเดินเข้าไปในห้องจนลับตา ก่อนยกยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอนของตัวเองบ้างเช่นกัน








เป็นเวลาสองอาทิตย์ติดต่อกันที่สนธยาฝึกซ้อมดนตรีอย่างหนักเพื่อที่จะได้เข้าร่วมการประกวดดนตรีรายการใหญ่ที่จะมีขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งนอกจากจะซ้อมกับคนที่พ่อหามาให้แล้ว ตัวสนธยาเองก็ยังกลับมาซ้อมที่เรือนดอกแก้วทุกคืน ความจริงจากผลการประเมินของพ่อและครูดนตรีอีกคน ความสามารถระดับสนธยาถือว่าเข้าขั้นดีเยี่ยมทีเดียว ทั้งเพลงที่เล่นและลูกล่อลูกชนที่ประดิษฐ์ขึ้นก็แพรวพราวเสียจนนับได้ว่าเป็นมือระนาดเอกวัยรุ่นที่ฝีไม้ลายมือเข้าขั้นหาตัวจับยาก


มีก็เพียงแต่สนธยาที่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังตีไม่ดีพอ เพราะหลังจากที่โหมซ้อมหนักติดต่อกันมาหลายวัน เขาเริ่มรู้สึกว่าตอนที่สะบัดข้อตีระนาด มือของเขามันเจ็บขัดๆชอบกล ไม่คล่องแคล่วพลิ้วไหวเช่นทุกทีที่เคยเป็น ถึงแม้หลายๆคนจะดูไม่ออก แต่ตัวของสนธยาเองที่รู้สึกไม่ดีจนอดกังวลลึกๆไม่ได้ วันนี้เขาไม่มีตารางซ้อมกับคนของบ้านครูเพียงออ ดังนั้นหลังกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วเขาจึงตรงไปเรือนดอกแก้วเพื่อเช็คตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง


แน่นอนว่าเขายังเล่นได้ดี แต่เริ่มรู้สึกปวดข้อมือมากขึ้นจนรู้สึกได้ ยิ่งยามที่เกร็งข้อมือมากๆช่วงท้ายเพลงก็ยิ่งปวด สนธยาจึดตัดสินใจเอายามานวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยหวังว่าจะทำให้อาการดีขึ้น จากนั้นค่อยกลับมาซ้อมใหม่ตอนค่ำๆ


กระทั่งทานอาหารเย็นเรียบร้อย ลองหมุนข้อมือที่เคยปวดดูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว สนธยาจึงหยิบสมุดโน้ตแล้วเดินลงไปซ้อมเพลงที่เรือนดอกแก้วอย่างที่ตั้งใจ แต่ก่อนจะได้ลงจากบ้าน เสียงของใครอีกคนก็หยุดเขาเอาไว้เสียก่อน


“สน! รอเดี๋ยวครับ”

“มีอะไร” สนธยาหันไปถามนาคินที่รีบปิดงับประตูห้องนอนของตนเองก่อนวิ่งเข้ามาหาเขา

“สนไปซ้อมดนตรีใช่ไหม”

“อืม” คนหน้ามนพยักหน้ารับ

“งั้นวันนี้ขอไปด้วยนะ”

"ไม่มีงานต้องทำหรือไง”

“เพิ่งส่งรายงานไปน่ะ ตอนนี้ว่างแล้ว ก็เลยอยากลงไปซ้อมสักหน่อย กลัวครูหาว่าทิ้งวิชา” เจ้าตัวดีว่าพลางยิ้มทะเล้น แม้จะนึกหมั่นไส้แต่สนธยาก็คร้านจะโต้เถียง

“อยากมาก็มา” ว่าเพียงเท่านั้นก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไป นาคินเห็นดังนั้นก็ยิ้มบางก่อนจะรีบซอยเท้าเดินขึ้นไปตีคู่อยู่ข้างๆ จนกระทั่งถึงเรือนดอกแก้ว


เมื่อมาถึงทั้งคู่ก็ช่วยกันยกเครื่องดนตรีออกมาวางตรงตำแหน่งที่เล่นประจำ ลำพังขิมของนาคินนั้นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ระนาดเอกต้องใช้แรงสองคนช่วยยก ตอนที่พากันยกตัวระนาดมาถึงชานเรือน นาคินสังเกตว่าคุณครูพี่สนของตัวเองดูหน้าซีดๆ แต่เจ้าตัวก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรยามคุยโต้ตอบกัน นาคินจึงนึกว่าเพราะแสงโคมไฟบนเรือนทำให้มองผิดไป


จัดเตรียมเครื่องดนตรีเรียบร้อยทั้งสองก็แยกกันฝึกซ้อม สนธยาเป็นคนสมาธิดี เพราะยามที่ตีคนละเพลงกับนาคิน พ่อคนเก่งก็สามารถแยกประสาทได้ ไม่เหมือนนาคินที่พอตีขิมของตัวเองอยู่ก่อน แต่พออีกคนเขาเริ่มบรรเลงเพลงลูกระนาด นาคินก็ต้องหยุดดู หยุดฟังทุกทีไป


แต่จะโทษว่านาคินสมาธิแย่ก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจากเพลงระนาดเอกของสนธยาช่างเพราะจับใจเหลือเกิน เพียงแค่หลับตาฟังก็สามารถทำให้คนหลงรักท่วงทำนองเหล่านั้นได้แล้ว หากยิ่งผนวกกับท่าทางและการจัดองค์ประกอบรูปร่างที่ทำให้ดูสง่างาม ทั้งอ่อนหวานด้วยแววตา มือที่ตีลูกระนาดพลิ้วไหว เป็นใครก็คงหักห้ามใจให้หยุดมองไม่ได้


กำลังนั่งฟังเพลงเพลินๆ อยู่ๆสนธยาก็หยุดตีเสียอย่างนั้น คนที่ดึงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดยามนี้กลับขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตามองไปยังมือข้างขวาที่สั่นระริกไม่หยุดทั้งๆที่ยังกำไม้นวมตีลูกระนาดเอาไว้อยู่


ไวเท่าความคิด นาคินลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าสนธยาทันที ก่อนจะใช้มือของตัวเองประคองมือที่สั่นไม่หยุดของอีกฝ่ายไว้ แล้วแกะไม้นวมออกจากมือให้


“สนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมือสั่นอย่างนี้” พอก้มลงสังเกตดีๆ นาคินพบว่ามือของสนธยาไม่ใช่แค่สั่นไหวเหมือนกล้าเนื้อกระตุกเท่านั้น แต่มือข้างนั้นยังบวมกว่าอีกข้างอย่างเห็นได้ชัด “สน! มือเป็นอะไรน่ะ”

“ไม่รู้” สนธยาตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว


เขาไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเป็นอะไร ในตอนแรกแค่ปวดหนึบๆธรรมดา แต่เมื่อกี้กลับเสียวแปลบๆไปถึงข้อศอก จากนั้นก็เจ็บจนบังคับกล้ามเนื้อที่มือให้หยุดไหวไม่ได้ นาคินพลิกมืออีกฝ่ายเพื่อสำรวจอย่างแผ่วเบา แต่ถึงจะแผ่วเบาแค่ไหน สนธยาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี


“เจ็บมากไหม”

“ก็เจ็บอ่ะ” ไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดหรือเก็บซ่อนอาการอีกต่อไป เพราะสนตกใจกับอาการที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกะทันหันของตนเองตอนนี้มาก

“ไปหาหมอเถอะครับ ผมว่ามันบวมจริงๆนะ” นาคินเสนอ เนื่องจากสีหน้าของสนธยาดูไม่ดีเอาเสียเลย อีกทั้งมือก็สำคัญมากสำหรับนักดนตรี หากว่ามีอะไรผิดปรกติไปคงเป็นเรื่องใหญ่

“อืม”


สนธยายอมให้ลูกศิษย์หนุ่มจูงมือออกจากเรือนดอกแก้วเพื่อไปบอกพ่อที่เรือนใหญ่ ก่อนทั้งหมดจะนั่งรถไปโรงพยาบาลด้วยกันโดยมีนายเสริมเป็นพลขับ









บรรยากาศหน้าห้องตรวจภายในโรงพยาบาลนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก ลุงมนตรีเดินวนไปวนมาเพราะไม่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้เข้าไปกับลูกชายด้วย เดินไปมาอยู่สักพักก็นั่งลงแล้วถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนาคิน ก่อนจะลุกขึ้นเดินอีก ทำเช่นนี้อยู่หลายรอบจนนาคินเวียนหัว แล้วในที่สุดสนธยาก็ออกมาจากห้องตรวจ


ดวงหน้าของหนุ่มนักดนตรีดูไม่ดีเอามากๆ ผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นก็ไม่เร่งเร้า พาลูกมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะเงียบรอให้ลูกเป็นคนบอกเอง ตอนที่สนธยาพูด นาคินสังเกตเห็นว่าในดวงตาสีรัตติกาลของอีกฝ่ายมีน้ำใสๆคลอหน่วยอยู่ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวอดกลั้นเอาไว้ น้ำใสๆนั้นจึงไม่กลั่นไหลออกมาเป็นหยดน้ำตาให้ใครเห็น


“หมอบอกว่าเอ็นข้อมืออักเสบครับ ตอนนี้ฉีดยาเข้าไประงับอาการแล้ว แต่ต้องรอดูว่าจะดีขึ้นแค่ไหน ถ้าไม่ดีขึ้นยังไงก็คงต้องผ่าตัด”

“ต้องผ่ากันเลยเหรอ ทำไมอาการมันฉับพลันอย่างนั้นล่ะ” มนตรีถามด้วยน้ำเสียงตระหนกยากที่จะควบคุมได้อีกต่อไป

“หมอบอกว่าโหมใช้งานข้อมือหนักเกินไป แต่พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าต้องผ่าจริงๆหลังจากนั้นก็ทำกายภาพบำบัดได้ พอหายดีเดี๋ยวก็กลับมาใช้ข้อมือได้เหมือนเดิมแล้วล่ะ”

“หมอว่าอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ” สนธยาพยักหน้า “แต่ระหว่างนี้ก็ต้องพักกิจกรรมเกี่ยวกับการใช้ข้อมือข้างนี้ทั้งหมด รอดูว่ายาที่ฉีดจะได้ผลไหม ถ้าได้ก็ไม่ต้องผ่าหรอกครับ”

“พักก็พักนั่นแหละ เรื่องประกวดก็เลื่อนไปก่อน ยังมีอีกหลายรายการ ถ้าหายดีแล้วเราค่อยไปสมัครใหม่ก็ได้นะลูก”

“ครับ”


พูดคุยกันเรียบร้อยก็พอดีกับที่ห้องจ่ายยาเรียกให้ไปรับยาและคิดค่าบริการ จากนั้นทุกคนก็พากันกลับ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มีเพียงลุงมนตรีที่โทรไปบอกข่าวร้ายกับครูเพียงออเท่านั้น แต่นาคินก็สังเกตเห็นว่าคุณครูพี่สนของเขานั่งกุมมือแล้วเบือนหน้าออกไปข้างทางตลอด แววตาคู่สวยนั้นกังวลและอมทุกข์จนเขาสัมผัสได้ คิดไปว่าอีกฝ่ายคงผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมการประกวดทั้งที่ตั้งใจซ้อมขนาดนี้ แต่สิ่งที่เขาคิดกลับผิดหมดเมื่อได้รู้ความจริงบางอย่างจากลุงมนตรีตอนที่กลับถึงบ้านแล้ว


กลางดึกคืนนั้นนาคินลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วเผอิญเห็นลุงมนตรีกำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่หอนกเพียงลำพัง เขาจึงเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง

“ลุงมนยังไม่นอนเหรอครับ”

“อ้าว! คิน” มนตรีเว้นจังหวะตกใจเล็กน้อยที่นาคินเข้ามาเงียบๆ ก่อนจะตอบ “ยังลูก ลุงนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“เรื่องพี่สนเหรอครับ”

“อืม…” ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆหนึ่งครั้งก่อนจะตอบรับ นาคินจึงเข้าไปนั่งใกล้ๆกับลุงเพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก

“ไหนเห็นพี่สนบอกว่าถึงจะผ่าแต่พอหายดีก็สามารถกลับมาใช้ข้อมือได้ตามปรกตินี่ครับ”

“เฮ้อ~ ขอให้มันจริงอย่างหมอว่าเถอะ” ครูดนตรีถอนหายใจอีกรอบแล้วบอกด้วยน้ำเสียงวิตก

“ถ้าหมอว่าอย่างนั้นลุงมนก็อย่าคิดมากเลยนะครับ”

“ลุงก็อดคิดไม่ได้น่ะนะ คินรู้ไหมสำหรับนักดนตรีที่เล่นระนาดเอกเป็นหลัก ข้อมือของนักดนตรีพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพี่สนเขาหายดีเหมือนเดิมลุงก็โล่งใจ แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักนิด พี่เขาคงเสียใจมาก เพราะเขาทุ่มเทให้เรื่องนี้มาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว เราก็เห็นว่าเขาเป็นแบบนั้น แบบที่จริงจังกับทุกสิ่งที่ตัวเองทำ ทุ่มเทให้กับทุกอย่างที่ตัวเองรัก ตอนนี้พี่สนเขาคงรู้สึกผิดกับตัวเองไม่น้อยล่ะ เพราะเขาคงโทษว่าตัวเองซ้อมจนทำให้ร่างกายพัง”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“ความจริงที่มานั่งอยู่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ลุงแค่กังวลเพราะเป็นห่วงเขานั่นแหละ”


นาคินรู้ ถึงแม้ลุงมนตรีจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็ดูออกว่าลุงห่วงลูกชายคนโตของตัวเองมากแค่ไหน สนธยาเป็นลูกที่ดี เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และที่สำคัญที่สุด สนธยายังเป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่ออีกต่างหาก ถ้าคิดดูให้ดี คำว่าเป็นห่วงและเป็นกังวลอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำกับความรู้สึกจริงๆในใจของคนที่เป็นพ่ออย่างลุงมนตรี


“อย่าคิดมากเลยนะครับ ผมเชื่อว่าพี่สนต้องหายดี เขาจะต้องกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักให้ลุงฟังได้เหมือนเดิมแน่ๆครับ”

“ขอบใจนะคิน”


นาคินยิ้มรับคำขอบคุณนั้น เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันอาจจะดูเหมือนคำปลอบใจธรรมดา แต่ลึกๆแล้วเขาก็มั่นใจว่าสนธยาจะต้องหายเป็นปรกติและจะต้องกลับมาเล่นดนตรีได้ไพเราะเหมือนเดิมแน่นอน





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วค่าาาา
หลังจากนี้จะมาเร็วขึ้นนะ อันนี้เอาจริงแล้วค่ะ
เนื่องจากเราเขียนสต๊อกใกล้ถึงตอนจบแล้ว
ขอโทษที่ไม่ได้มาลงเลยนะคะ
เราอยากเขียนไปเยอะๆแล้วมองภาพรวมด้วยน่ะค่ะ
บางที่มันมีจุดที่อยากเปลี่ยน เป็นปริศนาบางอย่าง คือจะได้เปลี่ยนทันก่อนเอาลง
ขอบคุณคนที่ยังเข้ามาทวงนะคะ
คิดถึงคนอ่านมากๆค่ะ ^__^
ละอองฝน
(๑๙/๐๘/๒๕๕๘ , ๑๙:๓๓)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 29-08-2015 21:52:21

^
^
^
^
^
 :z13:
คึคึ
 :mew4: :mew4:
คิดถึงจังเลยค่ะ
รออยู่นะ ดูเหมือนว่าความผูกพันในอดีตเร่ิมแสดงตัวแล้วสินะ
ว่าแต่มือพี่สนจะเป็นไรมากป่ะเนี่ย

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 29-08-2015 22:34:01
ฮูเล่ กลับมาแล้วพี่สนน้องคิน  :heaven

ตอนนี้ยังเดาทางเรื่องไม่ออกเลย รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 30-08-2015 00:22:25
ยังดีนะคะที่พี่สนไม่ดื้อแพ่งและยอมมา ร.พ. กับคินง่ายๆ ดีแล้วจริงๆ ^^ อาการที่เป็นอยู่จะได้ไม่ลุกลาม..

ขอบคุณค่ะ o1
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 30-08-2015 11:20:58
ดีนะที่มีคินอยู่ด้วย ยังรอพี่สนน้องคิน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: poterdow ที่ 31-08-2015 01:33:05
คนที่มองคือแก้วป่ะ
คือแบบมาเข้าฝันคินให้ช่วยตัวที่โดนแม่นางทับทิมจับท่วงน้ำ
ละไปเกิดไม่ได้ งี้ป่ะ มโนไกลโครต 55555555555555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-08-2015 02:19:37
เป็นกำลังใจให้ครูพี่สนหายไวไว
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 31-08-2015 09:38:43
ดันมาเจ็บตัวสะได้นะ  จะทำไงต่อล่ะที่นี้ ถ้าเล่นไม่ได้นี้คงแย่น่าดู
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๘ ☰ [๒๙/๐๘/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 31-08-2015 18:42:45
พี่สนมาแล้ว แต่พี่สนดันมาเจ็บอีกอดไปประกวดเลย อุตส่าห์ตั้งใจซ้อมหนักทุกวัน
หายเร็วๆนะพี่สน สู้ๆ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 08-09-2015 01:13:54




บทที่ ๙






   หลังจากไปโรงพยาบาลในคืนนั้น ตอนนี้ผ่านมาสี่วันแล้ว ทว่าสนธยากลับไม่รู้สึกว่าอาการของเขาดีขึ้นเท่าไหร่ แม้วันแรกจะปวดไม่มากแต่เขาคิดว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ฉีดมาคอยระงับอาการเอาไว้มากกว่า ถึงจะคอยภาวนามาหลายวันแต่ดูเหมือนคำขอของเขานั้นจะไม่เป็นผล เนื่องจากอาการไม่ดีขึ้นแบบนี้คงไม่แคล้วต้องผ่าตัดสถานเดียว
   เมื่อไปพบหมอตามนัด หมอก็ได้วินิจฉัยว่าควรผ่าตัดจริงๆ การผ่าใช้เวลาไม่นาน เป็นเคสเล็กๆ ความเสี่ยงไม่มาก ผลข้างเคียงก็ไม่น่ากลัวอย่างที่กังวล เสียอย่างเดียวคือต้องงดใช้ข้อมือและทำกายภาพบำบัดหลังแผลหาย ต่อมาหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นสนธยาก็ได้รับการผ่าตัดแก้ไขปัญหาเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งมันก็ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร
   จะมีก็แต่สนธยาที่ดูไม่ร่าเริงแจ่มใสเช่นเก่า อันที่จริงแม้จะเป็นชายหนุ่มที่มีบุคลิกเงียบขรึมอย่างไร ในยามปรกติสนธยาก็จะออกมาพูดคุยกับคนอื่นๆ ในบ้านบ้าง แต่นี่พอทานอาหารเสร็จ เจ้าตัวก็หลบเข้าห้องเงียบ ไม่ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างเลยแม้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ยิ่งตอนนี้ครูมนตรีรับหน้าที่สอนเด็กๆ แทนให้ก่อนจนกว่าจะหายดี คนในบ้านก็ยิ่งแทบไม่เห็นแม้แต่เงาของสนธยา
   นาคินเองก็รู้สึกไม่สบายใจในการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เอาเข้าจริงบางทีก็รู้สึกเหงาเหมือนกันที่ไม่เห็นสนธยาในสายตา ทุกทีถึงจะไม่เจอ ไม่ได้พูดคุย แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงเพลงที่เล่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่รู้ว่าคุณครูพี่สนของเขาจะหลบพักอยู่หลังกำแพงนั่นอีกนานแค่ไหน การรอคอยให้เจ้าตัวยอมปรากฏกายออกมาแล้วทำตัวเป็นปรกติมันช่างยาวนานเหลือเกิน นานเกินกว่าที่เขาจะรออยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป
ดังนั้นวันนี้นาคินจึงตัดสินใจใช้ความเป็นลูกศิษย์ เรียกร้องความสนใจจากเจ้าชายที่แอบอยู่ในปราสาทให้ออกมาดูโลกภายนอกบ้าง
   ก๊อก ก๊อก
   เสียงเคาะเรียกที่หน้าประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนจะเงียบไป สนธยาละสายตาจากคอมพิวเตอร์เพื่อหันไปมองครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ส่งเสียงขานรับ พอเห็นว่าคนข้างนอกเงียบไปเขาจึงหันกลับมาสนใจจอคอมพิวเตอร์ต่อ แต่คราวนี้เสียงเคาะกลับดังขึ้นอีกและดังรัวต่อกันเป็นชุดจนคนที่อยู่ในห้องต้องรีบลุกจากเก้าอี้ไปเปิดประตู
   “นึกว่าสนหลับเสียอีก” สนธยาจ้องมองโฉมหน้าคนไร้มารยาทที่ยืนยิ้มเผล่ราวกับไม่รู้สึกผิดที่กำลังรบกวนคนอื่นด้วยอารมณ์หงุดหงิดใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างฉุนๆ
   “มีธุระอะไร”
   “สนว่างอยู่หรือเปล่าครับ ผมไปได้ยินเพลงๆ หนึ่งมา เพราะมากเลยล่ะ สอนเล่นหน่อยสิครับ”
   “มีโน้ตมาไหม”
   “มีครับ” นาคินโชว์กระดาษโน้ตเพลงที่เพิ่งปริ้นมาสดๆ ร้อนๆ ให้สนธยาดู คุณครูหน้ามนเหลือบตามองนิดหน่อยก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “มีโน้ตก็น่าจะเล่นเองได้ไม่ใช่หรือ ฉันสอนอ่านโน้ตแล้วนี่”
   “โถ่~ คุณครูครับ เพลงมันซับซ้อนนะครับ แค่เพลงค้างคาวกินกล้วยผมยังเล่นง่อยๆ อยู่เลย” คนตัวโตโอดครวญด้วยท่าทางน่าสงสาร แม้สนธยาจะมองว่ามันดูเสแสร้งมากกว่า แต่เขาก็ยอมเดินเข้าไปปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
   “ไปสิ ยืนมองอยู่ได้ เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหรอก”
   “ครับๆ”
นาคินรีบตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแล้วเดินตามหลังไป เขาแอบยิ้มโล่งใจอยู่ข้างหลังโดยไม่ให้สนธยาสังเกตเห็น เพราะอย่างน้อยแผนที่จะเรียกร้องความสนใจเพื่อให้อีกคนเลิกหมกตัวอยู่แต่ในห้องก็สำเร็จไปขั้นหนึ่ง



o-----------------------o




   เพลงที่นาคินเลือกมานั้นยากเกินความสามารถของชายหนุ่มไปมากจริงๆ เพราะถึงแม้จะได้รับการชี้แนะจากสนธยาแล้ว นาคินก็ยังเล่นได้แค่ท่อนแรกเท่านั้น ทำไปทำมาคนที่บากหน้าไปชวนคนอื่นแต่แรกก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ คงต้องฝึกอีกมากกว่าที่เขาจะเล่นได้ทั้งเพลง เผลอๆ อาจต้องใช้เวลาเป็นปีหรือครึ่งปีเลยก็ได้
   “แบบนี้คงไม่ไหวครับ โน้ตมันยากเกินไป”
เห็นนักเรียนตัวโตรวบไม้เก็บ ทำหน้ามุ่ยยอมถอดใจเมื่อลองดูแล้วรู้สึกว่าทำไม่ได้จริงๆ สนธยาจึงยิ้มออกมาบางๆ ณ ตอนนั้นมีความรู้สึกเอ็นดูคนๆ นี้เหมือนตอนที่สอนนักเรียนเด็กๆ ของตัวเองขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาจึงลุกเข้าไปนั่งใกล้ ก่อนส่งสายตาแทนความหมายว่าให้ขยับไป นาคินก็ยอมขยับเลี่ยงที่ให้คุณครูนั่งหน้าขิมแทนอย่างว่าง่าย
   “มันยากเกินไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าพยายามฝึกบ่อยๆ จนชำนาญ อีกหน่อยก็จะเล่นได้เอง เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันลองเล่น…”
   ทว่าเมื่อพูดถึงตรงนี้สนธยาก็เงียบเสียงไป ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นาคินมองรอยยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ เลือนหายไปแล้วนึกไม่สบายใจ เพราะรู้ว่าภายใต้สีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหันนั้นคงจะมีความเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ หากถามว่าเขารู้ได้อย่างไร นาคินคงจะตอบว่าเขาไม่รู้ เขาเพียงแค่เดาจากแววตาหม่นหมองที่มองขิมโป๊ยเซียนนิ่งนานเท่านั้น
   “สน” นาคินเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ดังนัก เขาจึงไม่รู้ว่าเพราะเหตุนั้นสนธยาจึงไม่ตอบเขาหรือเปล่า
   “…”
   “สนครับ”
แต่นาคินก็ยังเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม และคราวนี้เจ้าของเสียงนุ่มก็ยอมเอ่ยปาก ซ้ำยังเป็นประโยคคำถามที่ทำให้คนฟังอดนึกปวดแปลบในอกไปด้วยไม่ได้
   “นายว่าหลังจากนี้ ฉันจะยังเล่นดนตรีได้เหมือนเดิมไหม”
ขณะถามออกไป มือข้างที่ไม่ได้เจ็บก็ค่อยๆ ลูบไล้สายทองเหลืองของขิมตัวเก่าแผ่วเบา หลายวันมานี้สนธยาไม่อาจสงบจิตใจหรือทำให้ตัวเองนอนหลับสนิทได้เลย เพราะเขาต้องอยู่กับความเครียดที่อุ้งมือไม่อาจทำได้แม้กระทั่งจับช้อนกินข้าว อุ้งมือที่เผลอขยับนิดเดียวก็เจ็บระบมไปหมด
สนธยาไม่กล้าบอกใครว่าเขารู้สึกกลัวแค่ไหน เขากลัวเอฟเฟคหลังการผ่าตัด กลัวตัวเองจะหายไม่สนิทและกลัวว่าจะเล่นดนตรีได้ไม่ดีเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นกับขิมตัวนี้หรือจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นไหนๆ ก็ตาม ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรดี
เกิดความเงียบขึ้นขณะที่นาคินใช้เวลาชั่วอึดใจในการมองมือที่เจ็บข้างนั้น แต่ความเงียบแค่นั้นก็สามารถทำให้ใครอีกคนที่รอฟังคำตอบใจเสียหนักกว่าเก่าได้แล้ว เขารู้ว่านาคินเองก็ไม่อาจให้คำตอบอะไรได้ ทว่าความอ่อนแอที่เกิดขึ้นทำให้สนธยาอยากฟังคำยืนยันสักนิดให้ใจชื้น แม้รู้ว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นจริงก็ตาม
ขณะที่สนธยากัดริมฝีปากสกัดกั้นน้ำตาที่ล้นขอบและความรู้สึกผิดหวังข้างในใจที่จะไม่ได้ยินเสียงทะเล้นตอบอะไรกลับมา อยู่ๆ นาคินก็ยื่นมือทั้งคู่ของตนเองมาคว้ามือข้างที่เจ็บของสนธยาเอาไว้แล้วประคองอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาบางประโยค เป็นประโยคที่หนักแน่นแต่ก็อ่อนโยน จนทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“พี่ต้องหายดี แล้วกลับมาเล่นดนตรีให้ผมฟังได้เหมือนเดิมแน่ๆ ครับ พี่สน”


o-----------------------o


ตั้งแต่วันนั้นกระทั่งวันนี้เป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ นาคินตามติดสนธยาเหมือนลูกเป็ดติดแม่ ไม่ว่าสนธยาจะอยู่ที่ไหนก็จะเห็นนาคินเป็นเงาตามตัวไม่ห่าง ราวกับกลัวว่าหากปล่อยเอาไว้คนเดียวสักครึ่งนาที สนธยาอาจจะจิตตกฟุ้งซ่าน นั่งร้องห่มร้องไห้คิดมากเรื่องมือขึ้นมาอีกอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่ตอนที่นั่งทำกายภาพบำบัดอยู่ที่บ้าน เจ้าคนตัวโตนั่นก็ยังหาเวลามานั่งดูนั่งมอง นานๆ ทียังยื่นมือเข้ามาช่วยจับมือเรียวสวยของหนุ่มนักดนตรีให้วุ่นวายเล่นอีกด้วย
“อย่ายุ่งนักได้ไหม มีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าตลอดก็ได้”
“ก็ผมไม่มีอะไรต้องทำนี่ครับ” ไอ้ประโยคแบบนี้ก็มักจะมาพร้อมกับยิ้มทะเล้นซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าเช่นทุกที
“ไม่มีอะไรทำสักอย่างเลยหรือไง เพื่อนล่ะ วันหยุดอย่างนี้ไม่คิดจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างหรือ”
ช่วงหลังๆ มานี้สนธยาเคยเจอเพื่อนของนาคินที่มหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง เนื่องจากเจ้าจอมวุ่นวายชอบแวะไปนั่งรอเขาเลิกเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน
“เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยไปครับ”
“ไปทำอะไร”
“แหนะ! อยากรู้เรื่องผมเหมือนกันหรือครับ”
“ไม่สักหน่อย ฉันก็ถามไปงั้น ตามมารยาทน่ะรู้จักไหม” ได้ยินอย่างนั้นแทนที่นาคินจะสลด แต่ก็ไม่เลย เจ้าตัวยังยิ้มกวนประสาทแล้วบอกเสียเสร็จสรรพว่าต้องไปทำอะไรในตอนเย็น
“นัดซ้อมบอลครับ”
“จริงสิ อาทิตย์หน้าก็มีกีฬาเฟรชชี่แล้วนี่” สนธยาว่าเมื่อนึกขึ้นได้
“สนต้องทำอะไรหรือเปล่าช่วงนั้น”
“ก็ไม่นี่ ทำไมล่ะ”
“ไปเชียร์ผมหน่อยสิ” เสียงทุ้มบอกอ้อนๆ
“จำเป็นหรือไง” ดวงหน้าเรียบเฉยเงยขึ้นมามองขณะถามกลับ
“จำเป็นสิครับ นะๆ ไปเชียร์ผมหน่อย” คราวนี้ไม่พูดเปล่า ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มนั่นยังทำหน้าที่ออดอ้อนเสียจนหน้าหมั่นไส้มากกว่าหน้าเอ็นดู
“ไม่ล่ะ ถ้าจะเชียร์นาย ฉันไปเชียร์รุ่นน้องคณะเดียวกันไม่ดีกว่าหรือไง” พอพูดจบยังไม่ทันที่นาคินจะแย้ง เสียงของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นั่งทำอะไรกันคะพี่ๆ” มัทนาเดินเข้ามาพร้อมกับวางโทรศัพท์เครื่องสีขาวไว้บนโต๊ะกลาง “พิมได้ยินเสียงมันดังตั้งนานแล้วค่ะ เห็นว่าพี่สนไม่รับสักทีก็เลยคิดว่าคงไม่ได้อยู่ในห้องแน่ๆ”
“ขอบใจนะ” สนธยาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองไปกดดู ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อปลีกตัวไปคุยธุระส่วนตัวที่อื่น ที่โต๊ะจึงเหลือแค่มัทนาและนาคินสองคน
“เดี๋ยวนี้พี่คินสนิทกับพี่สนจังนะคะ”
“พวกพี่ดูเหมือนอย่างนั้นหรือ” นาคินเลิกคิ้วแปลกใจ เขาไม่คิดว่าความพยายามที่จะสนิทสนมกับสนธยาของเขาจะมีคนสังเกตเห็นด้วย
“ใช่ค่ะ ทำไมคะ พวกพี่ไม่ได้สนิทกันเหรอ เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ นี่”
“ก็ไม่รู้จะเรียกสนิทได้ไหมนะ แต่ก็คุยกับเขามากกว่าตอนแรกๆ นั่นแหละ” มาคิดๆ ดูแล้วเขาก็พูดว่าสนิทสนมกันไม่ได้เต็มปากหรอก เพราะดูเหมือนเขาจะเข้าหาสนธยาข้างเดียวเสียมากกว่า
“แต่พิมว่าเท่านี้ก็เรียกสนิทกันแล้วล่ะค่ะ เพราะปรกติพี่สนเขาคุยกับใครง่ายๆ ที่ไหน รายนั้นน่ะไม่ชอบให้ใครวุ่นวายด้วยเท่าไหร่หรอก โลกส่วนตัวสูงจะตาย”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย จะนินทาอะไรก็ดูเสียบ้างว่าเจ้าตัวเขาอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า” มัทนาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงพี่ชายอยู่ข้างหลัง เธอหันไปยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“พี่สนมาเมื่อไหร่คะเนี่ย พิมไม่ทันเห็นเลย”
“มาตั้งแต่ได้ยินเราถามเรื่องสนิทไม่สนิทอะไรนั่นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งแต่แรกเลยสิ แล้วทำไมพี่คินไม่บอกพิมเลยละคะ ปล่อยให้พิมนั่งนินทาพี่ชายตัวเองอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” มัทนาทำหน้ายู่เสียน่ารักยามเมื่อพูดตัดพ้อ นาคินไม่ได้ตอบเธอแต่หัวเราะชอบใจเมื่อได้แกล้งหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ
“นายจะไปมหาวิทยาลัยตอนกี่โมง” แล้วนาคินก็หยุดหัวเราะเมื่ออยู่ๆ สนธยาหันมาเอ่ยถามตน
“สักประมาณบ่ายสามครับ”
“ตอนนี้บ่ายสองแล้ว ไปเตรียมของสิ เดี๋ยวไปด้วยกัน” เมื่อได้ยินคำสั่งนาคินก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี
“จะไปส่งผมหรือครับ”
“ต้องไปทำงานที่มหาวิทยาลัยพอดีก็เลยจะให้ขับรถให้ ไปด้วยกันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยลุงเสริม” เพราะมือยังไม่หายดี มนตรีก็เลยสั่งห้ามไม่ให้ลูกชายขับรถจนกว่าจะแน่ใจว่าหายดีแล้วจริงๆ
“ไปครับๆ” หนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าเร็วๆ
“งั้นก็ไปเตรียมตัวสิ” สั่งย้ำอีกคำ นาคินจึงลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปเตรียมกระเป๋าในห้องทันที มัทนามองพี่ชายอีกคนหายลับเข้าไปในห้องก่อนจะหันกลับมามองพี่ชายตัวเองอีกครั้ง
“พิมว่าพี่สองคนดูสนิทกันมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วเนอะ” เธอว่าก่อนเดินกลับห้องของตัวเองไปเช่นกัน ทิ้งให้สนธยาได้แต่ยืนใคร่ครวญบางอย่างเพียงลำพัง
เขาเองก็ไม่รู้จะใช้คำว่าสนิทสนมได้ไหม ทว่าตั้งแต่วันที่เขายอมแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาให้นาคินเห็นวันนั้น สนธยาคิดว่าตัวเองได้เปิดใจให้กับนาคินมากขึ้นจริงๆ ซึ่งหากคิดดูแล้วเขาเองก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปนี้มันจะดีจริงๆ หรือเปล่า


o-----------------------o



นาคินขับรถพาสนธยามาส่งที่คณะก่อนค่อยพาตัวเองเดินทางไปยังสนามฝึกซ้อม โดยนัดหมายไว้ว่าหลังจากซ้อมฟุตบอลเสร็จจะไปรับ เมื่อตกลงกันเสร็จสรรพทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน จนกระทั่งนาคินซ้อมเสร็จ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ สายตาก็เหลือบเห็นร่างคุ้นตานั่งอยู่ที่อัศจรรย์ สองเท้าจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินออกนอกลู่ไปหา
“สนมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพักแล้ว” อีกฝ่ายตอบ
“แล้วมายังไงครับ นี่อย่าบอกนะว่าเดินมาเอง” คนตัวโตถามด้วยความเป็นห่วง
“เพื่อนขับรถมาส่ง” สนธยาตอบเรียบๆ แต่นาคินกลับท้วงถึงคำที่ตนเองได้บอกเอาไว้แต่แรก
“แต่ผมบอกแล้วว่าจะไปรับนี่ครับ”
“ก็งานมันเสร็จเร็ว นายจะให้ฉันรออยู่ที่ตึกคณะคนเดียวหรือไง”
“ใครจะอยากให้เป็นอย่างนั้นละครับ ผมไม่ถามเซ้าซี้ก็ได้ เอาเป็นว่าไม่ต้องเดินมาเองก็ดีแล้วครับ” นาคินยอมให้ง่ายๆ ไม่พูดจากวนประสาทเช่นทุกทีเพราะเหนื่อยจากการซ้อมกีฬา สนธยาจึงรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ตัวเองตั้งท่าพูดจาไม่ค่อยดีใส่อีกฝ่าย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คนหน้ามนจึงถามด้วยเสียงอ่อนลง
“นี่ซ้อมเสร็จแล้วหรือ”
“ครับ” นาคินพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวต้องไปซื้อของกันต่ออีก”
“ซื้อของหรือครับ” คิดแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่ทราบมาก่อน นาคินจึงทวนประโยคซ้ำ
“อืม เอากลับไปทำงานน่ะ”
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นรอหน่อยนะ ผมขอเปลี่ยนชุดเดี๋ยวเดียว” พูดกันเพียงเท่านั้นคนตัวสูงก็รีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเพราะกลัวอีกฝ่ายต้องคอยนาน
ใช้เวลาครู่เดียวนาคินก็กลับมา เขาขับรถพาสนธยาไปซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาวิทยาลัย กว่าจะเดินหาอุปกรณ์ทำงานครบก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม สนธยาจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างเพื่อหาอาหารเย็นทานกันเสียเลย
“ยิ้มอะไรน่ะ” คิดอยู่นานว่าจะเอ่ยถามดีไหม แต่สุดท้ายสนธยาก็อดทนกับความอยากรู้ไม่ไหว เพราะตั้งแต่เดินเข้าร้านอาหารมา นาคินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่แทบจะตลอดเวลาราวกับคนบ้าก็ไม่ปาน
“ยิ้มเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรสักหน่อย” เจ้าตัวดีว่าก่อนยิ้มให้เขาอีกรอบ
“…” แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่สนธยาก็ไม่ถามซ้ำอีก ทว่านาคินกลับเปลี่ยนมาเป็นคนถามแทน
“ทำไมหรือ”
“เปล่า ก็แค่เห็นนายนั่งยิ้มอย่างกับคนบ้า ฉันเลยสงสัย”
“ความจริงผมแค่ดีใจที่มีคนพามากินข้าวด้วย เพิ่งเคยมาสองคนครั้งแรก เหมือนมาเดทเลยเนอะ”
“ไม่เห็น…” กำลังจะโวยวายใส่คนชอบหยอกก็เป็นจังหวะพอดีที่อาหารมาเสิร์ฟ สนธยาจึงหุบปากฉับแล้วเบนความสนใจทั้งหมดไปหยุดที่อาหาร สงครามที่ควรจะเริ่มจึงดับมอดลงเพียงเท่านั้น
ระหว่างมื้ออาหารทั้งสองคนก็คุยกันบ้างนิดหน่อย แต่นาคินดูเหมือนเหนื่อยๆ จึงเอาแต่ทานเสียส่วนใหญ่ ไม่คอยพูดคอยกวนประสาทเช่นก่อนหน้า ครั้นอิ่มกันแล้วสนธยาก็อาสาจ่ายเงินเองเพราะวันนี้ได้นาคินช่วยหลายอย่าง ทั้งขับรถและมาเดินถือของให้อีกต่างหาก จนกระทั่งกลับถึงบ้าน นาคินก็ยังช่วยยกของเข้าไปเก็บในห้องให้ สนธยาจึงต้องอ้าปากขอบอกขอบใจกันอีกคำ
“ขอบใจนะ” ร่างโปร่งยืนพิงกรอบประตูห้องนอนขณะออกมาส่ง
“ขอบใจทำไมครับ” แม้จะถามออกไปอย่างนั้นแต่ก็ยังอดดีใจนิดๆ ไม่ได้ คนอย่างสนธยาในยามปรกติมีที่ไหนจะยอมพูดกับนาคินดีๆ
“ก็วันนี้ฉันรบกวนนายหลายอย่าง” เสียงนุ่มว่า
“นิดหน่อยเองครับ ผมไม่สบายสนยังคอยดูแลเลย เท่านี้เล็กน้อยน่า” คนตัวทำท่าทำทางประกอบพร้อมแนบยิ้มการค้าเสร็จสรรพ
“เอาเถอะ จะมากจะน้อยยังไงก็ต้องขอบใจนั่นแหละ นายไปอาบน้ำนอนเถอะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่” สนธยาบอกก่อนยกมือโบกไล่
“ครับๆ” พยักหน้ารับคำแล้วนาคินก็กลับห้อง ทว่าบังเอิญนึกบางอย่างขึ้นได้พอดีคนตัวสูงจึงหันหลังกลับมามองคนที่ยืนข้างหลัง
“มีอะไร” สนธยาถามอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอก”
“ไม่มีอะไรมากแล้วกลับมาทำไม”
“ผมแค่อยากบอกว่า ผมดีใจนะที่เราคุยกันดีๆ ได้เท่านั้นแหละ”
ไม่รู้เพราะแสงในคืนจันทร์เต็มดวงหรือแสงไฟจากโคมโบราณที่ระเบียงกันแน่ ดวงตาของนาคินจึงส่องประกายวิบวับราวจะเผยให้เห็นอะไรบางอย่างซึ่งแอบซ่อนเอาไว้ลึกๆ ในหัวของสนธยามีภาพเลือนรางของใครสักคนซ้อนทับตรงหน้า แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวมันก็สลายหายไป เป็นสัญญาณให้รู้สึกตัวว่าต้องตอบอะไรสักอย่างกับคนตรงหน้า
“อยากคุยดีก็เลิกกวนประสาทสิ”
“คงแก้ยากแล้วครับรุ่นนี้” คนตัวสูงว่าพลางหัวเราะชอบใจ จากนั้นจึงลาไปพักผ่อนจริงๆ เสียที “ฝันดีครับ”
สนธยาไม่ได้ตอบอะไรอีก เขายืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนาคินเข้าห้องไป คำพูดที่ได้ยินยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวราวกับเสียงผสานไปในอากาศ แต่สิ่งที่ติดใจยิ่งกว่าคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นต่างหาก แววตาที่นาคินใช้มองเขาตอนที่พูดเมื่อครู่ เขารู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน คุ้นเคยมากจนทำให้หัวใจกระตุกวูบ แต่เพราะเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้นสนธยาก็ไม่อาจรู้ได้





‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาต่อแล้วจ้าาาา
ช่วงนี้ยุ่งๆเดินทางบ่อยมาก แต่จะพยายามมาลงบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ

ละอองฝน
[๐๑:๑๘ , ๐๘/๐๙/๒๕๕๘]


หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-09-2015 04:17:56
เรื่อยๆตอนนี้ ปริศนาหลอนๆยังไม่มา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 08-09-2015 07:07:21
นาคินจะจีบคุณครูพี่สนหรือ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 08-09-2015 08:20:00
ถึงพี่สนจะทำท่าทางเหมือนรำคาญกันนิดๆ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้สึกดีใช่ไหมล่ะคะที่คินชอบเข้ามาพันแข้งพันขา~~ :-[
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 08-09-2015 14:17:47
ก็ต้องเป็นอดีตเมียในชาติที่แล้ว แต่ชาตินี้จะมาเป็นสามีแท้ คึคึ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 08-09-2015 15:44:55
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังพัฒนาควบคู่ไปกับเรื่องราวในอดีตที่กำลังจะหวนกลับคืนมา รอค่าา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 09-09-2015 10:56:58
ก้าวหน้าขึ้นนะ แต่ทำไมแววตาถึงคุ้นหล่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ [๐๘/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 09-09-2015 21:31:25
ทั้งคู่สนิทพูดคุยกันมากขึ้น ความสัมพันธ์พัฒนาไปในทางที่ดิน
นาคินน่ารัก มากวนมาคุยเพื่อไม่ให้พี่สนคิดมาก สนก็น่ารัก ^^

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (แก้ไขเพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-09-2015 19:19:38




(เพิ่มเติม)






   วันนี้อากาศแจ่มใสมากกว่าทุกวันซึ่งเหมาะแก่การแข่งขันกีฬาเป็นอย่างมาก ยิ่งช่วงบ่ายเมฆก็ไม่มีทีท่าเคลื่อนคล้อยมาบดบังดวงอาทิตย์เลยสักนิด นักศึกษาที่รวมตัวอยู่บนอัฒจันทร์เพื่อเชียร์นักกีฬาประจำคณะของตัวเองก็ยิ่งคึกคัก เสียงรัวกลองประกอบกับเสียงร้องเพลงที่ดังกระหึ่มสนามช่วยให้กำลังใจของนักกีฬาที่เก็บตัวอยู่เอ่อล้นเต็มเปี่ยมขึ้นมาเกินร้อย


   นาคินเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแข่งขันประจำคณะเรียบร้อยแล้วก็เก็บตัวอยู่ในห้องพักนักกีฬา ใกล้ถึงเวลาแข่งกัปตันทีมก็เรียกให้ออกไปวอร์มร่างกายเล็กน้อย ก่อนเรียกรวมตัวเพื่อซักซ้อมแผนการเล่นที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้า ไม่รู้ว่าเป็นโชคช่วยหรือฝีมือของเด็กเฟรชชี่หนุ่มคณะบริหารกันแน่ เพราะพวกเขาเข้ารอบจากการเตะกับคณะเกษตรศาสตร์มาได้อย่างหวุดหวิด 3 ประตูต่อ 2 เมื่อรอบที่แล้ว ครั้งนี้จึงต้องเจอกับทีมหินอย่างคณะสถาปัตยกรรม ยิ่งถ้าหากผ่านรอบนี้ไปได้พวกเขาก็ยังต้องชิงชนะเลิศกับทีมที่หินยิ่งกว่า ซึ่งเข้ารอบไปคอยอยู่แล้วอย่างทีมของคณะวิศวกรรมศาสตร์


   ทว่าพูดกันตามจริงนี่ก็ถือว่าทีมของนาคินทำผลงานเป็นที่น่าพอใจมากแล้ว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะพ่ายให้ทีมเกษตรศาสตร์ตั้งแต่นัดที่แล้วเพราะในคณะบริหารแทบไม่มีผู้ชายอยู่เลย ที่พอลงแข่งได้ก็อ่อนปวกเปียกไปเกือบครึ่ง


   “เล่นให้เต็มที่ แพ้ชนะก็ไม่เป็นไร ขอแค่ตั้งใจก็พอ” สายฟ้าผู้เป็นกัปตันทีมเอ่ยออกมาแบบนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกให้นักกีฬาลงสนาม


   นาคินถึงกับส่ายหัวเมื่อมองต้นไผ่ทำท่าผวาตอนเห็นนักกีฬาสถาปัตย์ฯข่มโดยการทำท่าเชือดคอใส่ งานนี้คงจะหนักกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรกเสียแล้วกระมัง


ผลการแข่งขันเป็นดังที่หลายๆคนคาด คณะสถาปัตยกรรมเอาชนะคณะบริหารไปได้อย่างขาดลอยด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 1 แต่ทุกคนในทีมก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก ซ้ำยังนัดกันไปเลี้ยงฉลองที่ไม่ต้องซ้อมบอลกันในวันหยุดอีก และพูดขำๆว่าคราวที่แล้วสงสัยจะโชคช่วยให้ผ่านเข้ามาได้จริงๆ


นาคินเดินเงียบๆไปล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาสมทบกับเพื่อนๆ เพื่อรอไปร้านอาหารพร้อมกัน ต้นไผ่ที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกมานั่งข้างๆกันกับนาคิน ดวงตารีคู่นั้นมองมาที่เพื่อนตัวโตนิ่งคล้ายกับกำลังวิเคราะห์บางอย่าง จากนั้นก็เงียบอยู่อีกพักแล้วจึงเอ่ยออกมา


“ทำไมซึมๆล่ะคิน เสียใจที่แพ้เหรอ”

“เปล่าหรอก รู้อยู่แล้วว่าสู้ทางนั้นไม่ได้แน่ จัดชุดใหญ่มาเต็มขนาดนั้น รูปร่างอย่างกับไม่ใช่ปีหนึ่งเหมือนพวกเราแหน่ะ” นาคินส่ายหัวแล้วว่าปลงๆ

“แล้วนายเป็นอะไรล่ะ”

“เปล่านี่” นาคินปฏิเสธอีกครั้ง แต่ต้นไผ่ก็ไม่ยอมแพ้

“เชื่อตายล่ะ หน้านายดูเศร้าๆนะ บอกเรามาเหอะเผื่อเราช่วยได้” เพื่อนที่แสนดีพูดพลางยิ้ม ก่อนกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน “รีบพูดกับเราก่อนดีกว่านะ ถ้าโจ้มาล่ะก็ เรื่องของคินจะไม่ได้มีแค่เราสองคนที่รู้แน่ๆ” ได้ยินอย่างนั้นนาคินก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกถึงเพื่อนปากสว่างของตน

“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอก คือเราคิดว่าจะมีคนมาดูเราเล่นวันนี้น่ะ” คนพูดสลดลงเป็นหมาหงอย ก่อนจะหันมายิ้มแหย่แล้วว่า “แต่ไม่มาก็ดีแล้วล่ะ แพ้หมดรูปกันขนาดนั้น”

“ก็ไม่หมดรูปขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยคินก็ยิงได้ตั้งลูกนึง เท่จะตาย” คนตัวเล็กปลอบใจเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่ดูภูมิอกภูมิใจเสียเต็มประดา ก่อนปรับเสียงให้เบาลงแล้วถามด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “ว่าแต่คนที่อยากให้มาน่ะ ใช่พี่สนหรือเปล่า”


“เอ้ย! รู้ได้ไง” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“ก็เดาเอาน่ะ เห็นตอนเล่นนายมองข้างสนามบ่อย แล้วนี่เราก็ยังไม่เห็นพี่สนเลยด้วย”


ไม่ต้องให้ต้นไผ่ช่วยยืนยันนาคินก็รู้ตัวว่าตนเองมองหาใคร แม้ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงอยากเห็นสนธยาที่ข้างสนาม เขารู้เพียงอยากมองเห็นสนธยายืนดูเขาอยู่เท่านั้น แค่แวบเดียวก็ยังดี แต่นี่ไม่เห็นแม้แต่เงา นาคินจึงอดรู้สึกผิดหวังลึกๆไม่ได้


“ตกลงว่าใช่หรือเปล่า” เห็นเพื่อนเงียบไปนาน ต้นไผ่จึงถามกระตุ้น

“ก็มองหาเขานั่นแหละ” ในเมื่อถูกมองจนทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ นาคินก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปิดบังเพื่อนอีกต่อไป

“คิน”

“หืม?”

“ถ้าเราถามอะไรสักอย่าง นายอย่าโกรธเราได้ไหม” เพื่อนตัวเล็กถามอย่างระมัดระวัง

“ไม่โกรธหรอก อะไรล่ะ” นาคินยิ้มกว้างเป็นการยืนยันว่าเขาไม่มีทางโกรธ ไม่ว่าต้นไผ่จะถามอะไรก็ตาม

“คินแอบชอบพี่สนเหรอ”

“แอบชอบ? หมายความว่าไง” คนตัวดูจะตกใจกับคำถามนั้นพอดู เขาจึงถามย้ำความหมายที่ต้นไผ่ถามให้แน่ใจ

“ก็…” ดวงตารีกรอกขึ้นอย่างใช้ความคิด ก่อนอธิบาย “ก็แบบแอบรัก แอบชอบ เหมือนที่คนทั่วๆไปเขาชอบ ชอบเหมือนอยากได้พี่สนมาเป็นแฟนอะไรแบบนั้นน่ะ เข้าใจหรือเปล่า”

“เอ้ย! บ้าแล้วไผ่ จะเป็นอย่างนั้นได้ไง เรากับพี่เขาเป็นผู้ชายทั้งคู่นะ” นาคินอุทานเสียงดัง ก่อนปรับลดเสียงให้เบาลงเพราะทุกคนหันมามอง

“เอ้า ไม่เห็นแปลก เราก็เป็นผู้ชายเหมือนคิน เรายังชอบพี่ลมเลย” ต้นไผ่เผลอหลุดปากออกไป

“ห๊ะ! อะไรนะ” นาคินอุทานอีกรอบ แต่ต้นไผ่ก็ปิดปากฉับแล้วแสร้งปัดเรื่องตัวเองให้พ้นจากความสนใจของนาคินไปก่อน

“อ่ะ! …ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร ช่างเรื่องเราก่อนเหอะ เอาเรื่องคินก่อนดีกว่า ตกลงว่าไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เราอยากสนิทกับพี่สนเพราะเขาน่าสนใจ เป็นคนที่มีอะไรน่าค้นหา ประมาณนั้นต่างหาก อีกอย่างพี่เขายังใจดีกับเรามาก เป็นพี่ที่ดีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอย่างที่นายว่าสักนิด” คนตัวโตอธิบายความรู้สึกตามที่ตัวเองเข้าใจให้เพื่อนฟัง แต่เพื่อนตัวดีก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก

“ไม่มีเลยจริงเหรอ”

“ไม่มี”


“ไม่ได้แอบใจเต้นเวลาอยู่ใกล้หรือเป็นห่วงกระวนกระวายเวลาเขาไม่สบาย ไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดจริงๆเหรอ” ได้ยินคำอธิบายมาถึงตรงนี้ นาคินชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเคยรู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า

“ก็…เป็นห่วงนะ แต่ว่า…” เขาตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่ไม่ทันพูดจบ ต้นไผ่ก็ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วโบกมือลาเมื่อเห็นพี่ชายของตัวเองมายืนรอหน้าห้องพักนักกีฬา

“ไปคิดดูให้ดีๆนะคิน โอ๊ะ! พี่ชายเรามาพอดี  เรากลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้านก่อน เดี๋ยวเราตามไปที่ร้านนะ”


นาคินนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จมไปกับความคิดสับสนในหัวที่เกิดขึ้นเพราะเพื่อนมาสะกิดให้คิด แล้วโจ้ก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า


“ไอ้ไผ่ล่ะคิน”

“พี่มารับไปแล้ว บอกว่าจะไปเจอที่ร้าน”

“อ๋อ งั้นเราไปกันเลยไหม”

“อืม”


นาคินลุกขึ้นสะพายกระเป๋า ก่อนจะปิดไฟปิดพัดลมในห้องเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ใช้ห้องนี้ หนุ่มๆบริหารคุยกันเฮฮาไปตามทาง ตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถแท็กซี่ด้วยกันที่หน้ามหาวิทยาลัย


ขณะที่นาคินกำลังฟังเพื่อนวิเคราะห์เกมวันนี้อย่างออกรส สายตาก็พลันสะดุดกับใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากทางออกสนามฟุตบอลเท่าไหร่นัก บนโต๊ะมีแก้วน้ำเก๊กฮวยสีเหลืองฉ่ำไปด้วยหยดน้ำที่เกาะพราวตรงผิวนอกแก้ววางอยู่ เร็วเท่าความคิดนาคินรีบบอกเพื่อนให้ไปกันก่อน จากนั้นก็วิ่งไปหาใครคนนั้นที่โต๊ะ


“สน!” น้ำเสียงดีใจมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของนาคิน

“ไม่ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเหรอ” สนธยาถามเรียบๆ

“ไปครับ แต่เดี๋ยวค่อยตามไป”

“อืม” พอสนธยาตอบแล้วนาคินก็หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามเงียบๆ

“สนได้เข้าไปดูผมเล่นไหม” พอเปิดฉากถามออกไปตรงๆ สนธยาจึงไม่อาจปฏิเสธได้

“ก็…อืม”

“จริงเหรอ ดีใจจัง” นาคินยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ดีใจอะไร แพ้ราบคาบขนาดนั้น” คนหน้านิ่งแอบเบาะเย้ยอีกฝ่ายนิดๆ แต่ดูเหมือนว่านาคินจะไม่สะทกสะท้านสักนิดเดียว

“แหมอย่างน้อยก็ยิงได้ตั้งลูกหนึ่งนะ” มิหนำซ้ำยังแอบอวดอ้างสรรพคุณเสียด้วย

“ก็งั้นๆแหละ” หนุ่มรุ่นพี่ยักไหล่

“แล้วนี่รอผมเหรอครับ” ทว่าพอนาคินถามคำถามนี้ สนธยากลับตอบเสียงเบาแล้วแสร้งเสมองไปทางอื่นอย่างแนบเนียน

“ไม่ได้รอ แต่แดดมันร้อนก็เลยนั่งเล่นก่อน อีกเดี๋ยวก็จะไปเรียนต่อแล้ว”

“อย่างนั้นเหรอครับ” นาคินพยักหน้ารับรู้ แต่แววตาพราวระยับของเจ้าตัวดูก็รู้ว่าไม่เชื่อคำที่สนธยาพูด

“ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่าอะไร”

“เปล่าครับ”

“นายนี่มันกวนประสาท” ไม่รู้ว่าสนธยาจะหงุดหงิดเพราะถูกจับได้เรื่องมารอหรือเปล่า แต่ถ้าหงุดหงิดแล้วแก้มขาวๆนั่นมีเลือดฝาดระเรื่อน่ารักแบบนั้น นาคินก็อยากเห็นคุณครูพี่สนหงุดหงิดมากขึ้นและนานขึ้นอีกสักหน่อย

“สน”

“มีอะไร”


“ผมขอน้ำเก๊กฮวยนี่ได้ไหม” นาคินชี้ไปที่แก้วเก๊กฮวยที่ละลายจนน้ำเกือบล้นออกจากแก้ว

“ขอทำไม ก็ฉันซื้อมาให้—“ กว่าจะรู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากบอกความลับสุดยอดออกมาก็สายไปเสียแล้ว

“นี่ซื้อมาให้ผมจริงๆเหรอครับ!” นาคินคว้าแก้วน้ำไว้ในมือแล้วถามเสียงดี้ด้าก่อนดูดเข้าไปอึกใหญ่

“ฉันไปเรียนดีกว่า” ดูเหมือนคำขอของนาคินจะเป็นจริง เพราะตอนนี้สนธยาแก้มสีระเรื่อเปลี่ยนเป็นแดงก่ำน่าหยิก พาลให้หัวใจของคนมองเต้นไม่เป็นจังหวะ กว่าจะหลุดจากภวังค์ได้ก็ตอนที่สนธยาเก็บกระเป๋าแล้วก้าวๆฉับๆจากไป นาคินจึงต้องรีบลุกขึ้นวิ่งตาม

“เดี๋ยวสิครับ!”


นาคินไม่รู้ว่าจะนิยามความรู้สึกนี้อย่างไร แต่ไอ้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะแปลกๆเมื่อครู่จะพิสูจน์ว่าเขาชอบสนธยาอย่างที่ต้นไผ่บอกได้ไหม นาคินก็ยังไม่แน่ใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แต่บางทีถ้าเขาอยู่ใกล้สนธยามากขึ้นอีกนิด มันอาจจะพิสูจน์ให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นก็ได้







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧

อยากจะตัดช่วงนี้ไปตอนที่ 10 แต่รู้สึกว่ามันคาบเกี่ยวกับตอนที่ 9 มากกว่า
ตอนหน้าคือขึ้นเรื่องใหม่ๆนิดนึงด้วย ไม่อยากเอามารวมมาก กลัวตัดอารมณ์มุ้งมิ้งที่หาได้ไม่มากของเรื่อง 555

เจอกันตอนหน้าค่ะ

 :katai4:

ละอองฝน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 17-09-2015 19:58:01
พอรู้ว่าพี่สนก็มาดูตัวเองแข่งบอลด้วยก็สดใสขึ้นทันตาเห็นเลยนะคะคิน~~ :-[
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 17-09-2015 20:08:35
งื้อออ สองคนนี้มุ้งมิ้งกันน่ารักเชียว มารอลุ้นว่าจะรู้ใจกันเมื่อไหร่  :mew3:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 17-09-2015 20:11:18
 :hao3: คินเริ่มรู้สึกแล้วสิ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-09-2015 22:25:53
เกือบจะจูบกันแล้วด้วยซ้ำ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย

ปล.อัฒจันทร์ คือที่นั่งในสนามกีฬา ไม่ใช่อัศจรรย์นะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 17-09-2015 23:29:16
เกือบจะจูบกันแล้วด้วยซ้ำ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย

ปล.อัฒจันทร์ คือที่นั่งในสนามกีฬา ไม่ใช่อัศจรรย์นะคะ

ขอบคุณที่ช่วยดูคำผิดให้นะค้าาา  :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 17-09-2015 23:41:38
อยากรู้เรื่องในอดีตก็อยาก

อยากให้อยู่แต่ปัจจุบันก็อยาก

มาต่อเถอะค่ะ รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 18-09-2015 16:02:04
นาคินนี่เหมือนกับโกลเด้นรีทรีพเวอร์ตัวใหญ่เห็นเจ้าของเลย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๙ ☰ (เพิ่มเนื้อหา) [๑๗/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 18-09-2015 20:50:38
คินน่ารัก พอรู้ว่าพี่สนมาดูและซื้อน้ำมาให้ก็ดีใจใหญ่เลยน้า
พี่สนก็น่าทำซึน แต่ซื้อน้ำมาให้แถมนั่งรอด้วย น่ารักไปแล้วพี่สน :-[

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 25-09-2015 23:20:38
๑๐.

   




   เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน สายลมรำเพยพัดใบไม้ให้พลิ้วไหวเป็นทิวดั่งระรอกคลื่น อาณาบริเวณของเรือนดอกแก้วนั้นเงียบสงบต่างจากอีกส่วนในเรือนทาสที่เสียงดังโฉงเฉงกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ทาสสาวนัยน์ตาโศกรีบเร่งทำงานตามที่แม่สั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะหลบหลีกความวุ่นวายมารดน้ำพรวนดินให้ต้นดอกแก้วเจ้าจอมของคุณสิน มองดูสีท้องฟ้าเห็นว่ายังไม่สายนัก สาวเจ้าจึงถางหญ้าตรงลานไม่ให้สูงเลยตาตุ่ม จากนั้นก็ขึ้นไปปัดกวาดเช็ดถูบนตัวเรือนหลังเล็กจนสะอาดเอี่ยม


กว่าจะเสร็จงานก็พอดีกับที่คุณท่านบนเรือนทานอาหารเช้าเรียบร้อย ที่แก้วรู้เพราะจันทร์หอมยกสำรับขนมหวานมาหยุดที่หน้าเรือนดอกแก้วแล้วเรียกให้เธอกลับไปกินข้าวที่โรงครัวด้วยกัน


   ชีวิตข้าทาสก็เป็นเช่นนี้ คือ ต้องตื่นขึ้นมาทำงานก่อนค่อยกินข้าวที่หลังนาย หากเผลอไผลลืมเวลาไปไม่ทันข้าวเช้า ก็จะต้องทนหิวหิ้วท้องไปจนถึงเย็นเพราะพวกทาสได้กินเพียงวันละสองมื้อเท่านั้น แต่สองมื้อนั่นก็ถือว่าดีมากโขแล้วเพราะแก้วเคยได้ยินคนเขาลือกันมาว่า บ้านพระยาที่อยู่หัวคุ้งน้ำท่านให้ทาสกินข้าวเพียงมื้อเดียวเท่านั้น แก้วยังเคยคิดตำหนิในใจว่าเป็นถึงพระน้ำพระยาใยใจคอคับแคบนัก ตระหนี่แม้กระทั่งกับข้าบาทรองมือรองตีน เช่นนี้แล้วเหล่าทาสบ้านนั้นจะมีเรี่ยวแรงทำงานให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างไร


   มัวหลงคิดอะไรไปเพลิน ระหว่างทางแก้วจึงไม่ได้คุยกับจันทร์หอมมากนัก พอโผล่หน้าเข้าไปในโรงครัว ลำเจียกผู้ตั้งตนเป็นแม่ครัวเอกประจำเรือนคุณท่านเสืองก็กวักมือเรียกแก้วกับจันทร์หอมให้ไปนั่งร่วมวงกินข้าว ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องบนเรือนใหญ่จากสองสาว


   “เห็นคุณนายท่านว่า คุณสินเธอจะกลับมาวันนี้รึแก้ว ถ้าคุณเขากลับมาตอนเย็น ข้าจะได้ทำบัวลอยไข่หวานขึ้นสำรับให้คุณสินเธอ”

   “ไม่รู้สิจ๊ะป้าเจียก ฉันไม่ได้ขึ้นไปรับใช้บนเรือน ป้าเจียกได้ยินคุณนายท่านว่าอย่างนั้นหรือจ๊ะ” แก้วถามกลับตาใส

   “ก็เออน่ะซี คุณนายท่านสั่งให้ข้าบอกเด็กๆ เตรียมทำความสะอาดที่หลับที่นอนในเรือนหลังเล็ก ข้าก็เลยคิดว่าคุณสินคงจะกลับเพราะหากว่าเธอไม่กลับ คุณนายท่านจะสั่งให้ทำทำไมเล่า” หญิงสูงวัยว่า ก่อนขยุ้มข้าวเข้าปากอีกคำ

   “ถ้าท่านว่าอย่างนั้นคุณสินก็คงจะกลับจริงๆล่ะจ้ะป้า เธอคงมีธุระต้องทำอะไรกระมังเพราะนี่ยังไม่ถึงกำหนดรอบที่คุณสินจะได้พัก” แก้วคำนวณรอบวันที่คุณสินจะกลับในใจแล้วก็พบว่ายังไม่ถึงรอบหยุดราชการของนายตนจริงๆ หากแต่จะถามเหตุผลว่าทำไมคุณสินต้องกลับก่อน ข้อนี้แก้วก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากก่อนไปคุณสินไม่ได้บอกไว้

   “พิโธ่เอ้ย ข้าก็นึกว่าคนสนิทอย่างเอ็งจะรู้” ลำเจียกถอนหายใจด้วยความเสียดาย

   “แก้วมันจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าจ๊ะป้า ในเมื่อมันทำงานอยู่แต่ในเรือนหลังเล็ก ฉันนี่สิรู้ดีเพราะฉันรับใช้คุณนายเธอทุกวัน” จันทร์หอมพูดขึ้นกลางวง ทำเอามือของป้าเจียกที่กำลังคดข้าวให้สองสาวหยุดชะงัก

   “ก็จริงของจันทร์หอมมันนะจ๊ะป้าเจียก แล้วคุณนายท่านบอกหรือไม่ ว่าเหตุใดคุณสินถึงกลับเร็วนักรอบนี้” แก้วบอกกับลำเจียกก่อนในประโยคแรก ส่วนประโยคหลังเธอหันมาพูดกับเพื่อนสนิทของเธอโดยตรง

   “เห็นคุณนายท่านว่า ผู้ใหญ่จะมาคุยกันที่บ้านเรื่องงานหมั้นหมายคุณสินกับคุณทับทิมน่ะแก้ว ท่านก็เลยอยากให้คุณสินอยู่ด้วย ไม่อยากเป็นธุระให้เธอเสียทุกเรื่องโดยไม่บอกคุณสินก่อน แต่ข้าว่าผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณทับทิมคงอยากจะพบคุณสินเสียมากกว่า” เมื่อได้ยินจันทร์หอมเล่า ป้าลำเจียกก็มองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบกระซาบให้ได้ยินแค่ในวงสำรับ

   “จะว่าเป็นข่าวดีมันก็ดีอยู่หรอก คุณสินเธอก็มีอายุอานามพอสมควรจะออกเรือนได้ตั้งนานแล้ว แต่มีอย่างที่ไหนกัน คุยเรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจึงได้มาถึงที่บ้านผู้ชายเขาเอง ข้าว่าไม่งามเอาเสียเลย”

   “อย่าเพิ่งตั้งแง่กับเขาสิพี่ลำเจียก ฉันได้ยินใครๆเขาพูดกันว่าคุณหนูทับทิมทั้งสวย ทั้งเรียบร้อย ทางผู้ใหญ่เขาคงถือฤกษ์สะดวกมากกว่า ก็บ้านคุณท่านเสืองของเรากว้างขวางออกขนาดนี้” แม่บุ้งทาสอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆลำเจียกว่า

   “ไว้พวกเราค่อยคอยดูให้เห็นกับตาตอนที่คุณทับทิมเธอมาก็แล้วกัน” ลำเจียกสรุปเท่านั้น ก่อนจะกินข้าวต่อ ส่วนคนอื่นๆก็แอบคุยกันเบาๆและคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่าคุณหนูมีชื่อคนนั้นตัวตนจริงๆจะเป็นเช่นไร ระหว่างนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นสีหน้าที่สลดเศร้าหมองลงของผู้ที่เคยพบคุณทับทิมคนสวยมาแล้วอย่างแก้วสักคน






    ค่ำวันเดียวกันนั้นสินลาพักจากราชการกลับบ้านมาจริงๆอย่างที่นายหญิงของบ้านบอก แต่จางวางหนุ่มกลับไม่ได้ลงมานอนที่เรือนดอกแก้วเช่นทุกที เนื่องจากคุยธุระสำคัญเรื่องแขกเรื่อที่จะมาเยี่ยมเยือนกับพ่อแม่อยู่บนเรือนจนดึกดื่น แก้วไม่ได้เสนอหน้าขึ้นไปรับใช้บนเรือนเพราะไม่ใช่หน้าที่ ทว่าเช้าวันต่อมาบ่าวในเรือนกลับเล่ากันให้แซดว่าเมื่อคืนคุณสินมีปากเสียงกับคุณแม่ของเธอสองสามประโยค ก่อนคุณท่านเสืองจะห้ามทัพแล้วบอกให้แยกกันไปนอน


   พอสายเข้าหน่อยขณะที่แก้วกำลังง่วนอยู่กับการหาบน้ำเติมโอ่งในโรงครัวให้เต็ม หูก็ได้ยินเสียงของกระถินหลานป้าลำเจียกร้องเรียกตนดังเอ็ดตะโร เด็กหญิงเอาความจากคุณสินมาสั่งว่าให้แก้วขึ้นไปรับใช้บนเรือนดอกแก้ว หญิงสาวจึงรีบวางทุ้มน้ำทิ้งไว้ข้างโอ่ง ก่อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากโรงครัวไป แต่ก็ต้องเลี้ยวกลับมาที่โรงครัวแทบไม่ทันเพราะแม่ก้อยร้องว่าให้ยกถาดขนมกลีบลำดวนกับน้ำมะตูมไปด้วย


   เมื่อมาถึงเรือนไทยหลังน้อยแก้วกลับพบว่าบนเรือนไม่ได้มีเพียงแค่คุณสินเดียวเท่านั้น แต่กลับมีคุณทับทิมคนสวยอีกคน แก้วรู้สึกประหลาดใจเนื่องจากไม่คิดว่าคุณทับทิมจะอยู่บนเรือน ด้วยอารามดีใจที่จะได้พบคุณสินสาวเจ้าจึงไม่ทันสังเกตอีกนิดก็ว่าแก้วน้ำมะตูมมีด้วยกันสองแก้วแต่แรก


   “เหตุใดจึงยืนขวางประตูเรือนอยู่เช่นนั้นเล่าแก้ว เข้ามาในเรือนสิ” คุณสินยิ้มเอ็นดูก่อนทักขึ้นเมื่อเห็นแก้วยืนนิ่งอยู่บนบันไดขั้นบนสุด

   “เจ้าค่ะ” หญิงสาวเดินตัวลีบก่อนหยุดที่ระยะขอบชานเรือนชั้นในเพื่อคลานเข่าเข้าไปจัดขนมกับน้ำหวานขึ้นโต๊ะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแก้วก็รวมถาดทองเหลืองไว้กับอกแล้วคลานออกมานั่งพับเพียบห่างๆ เพื่อคอยท่าเผื่อนายเรียกใช้

   “แม่แก้ว”

   “เจ้าคะคุณทับทิม” นั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่อึดใจเดียว เสียงหวานของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้น แก้วได้ยินจึงเงยหน้ามองพร้อมตอบรับนอบน้อม

   “ประเดี๋ยวฉันจะอยู่ดูคุณพี่สินเล่นดนตรี เธอจะไปไหนก็ไปเถิด ฉันไม่มีอะไรเรียกใช้แม่แก้วแล้วล่ะจ้ะ” แม้คุณทับทิมจะยิ้มอารีให้แก้วขณะที่สั่งความ ทว่าคำสั่งนั้นกลับทำให้รู้สึกเจ็บหน่วงในอก เมื่อยามเริ่มรักแก้วรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีวันสมหวัง แต่แก้วไม่รู้เลยว่าความผิดหวังจะทำให้ทรมานเช่นนี้

   “เจ้าค่ะคุณทับทิม” เธอรับคำอย่างพินอบพิเทาก่อนลงจากเรือนไป โดยไม่รู้เลยว่าสินมองตามแผ่นหลังบางด้วยสายตาทอดอาลัยเพียงไหน หูของเธอได้ยินเพลงเสียงแว่วหวานที่ดังลอกออกมาจากเรือนไทยหลังน้อย ฟังดูก็รู้ว่าคุณสินเป็นคนเล่นให้ว่าที่คู่หมั้นของเขาฟัง...ไม่ใช่แก้ว


   ในทีแรกสินตั้งใจว่าจะเรียกให้แก้วมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคนเพราะเขาลำบากใจที่จะอยู่กับทับทิมเพียงลำพังตามความตั้งใจที่พวกผู้ใหญ่นั้นเปิดทางสะดวกให้ แต่ชายหนุ่มไม่นึกว่าคุณหนูทับทิมจะกล้าไล่แก้วออกไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เขามองภาพทับทิมผิดไปถึงได้นึกว่าเธอจะกระดากอายที่ต้องอยู่ด้วยกันกับเขาแค่สองคน ยิ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาเอียงอายแต่ก็คอยส่งสายตาเว้าวอนเป็นระยะของสาวเจ้าแล้ว สินคิดว่าบางทีทับทิมอาจจะสมัครใจเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนครั้งนี้ก็เป็นได้


   ระหว่างที่เดี่ยวระนาดเอกให้ทับทิมฟังตามคำวอนขอของเธอ จางวางหนุ่มจึงได้แอบคิดคะเนในใจว่า หากต้องการยกเลิกการแต่งงานที่จะมีในอนาคตระหว่างเขากับทับทิมเห็นทีคงจะไม่ง่ายเสียแล้ว








   นาคินตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่หอพักของเพื่อนสนิทอย่างโจ้ พอลุกขึ้นนั่งในหัวก็ปวดจี๊ดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาจำได้ลางๆว่าเมื่อคืนโดนกลุ่มเพื่อนบังคับให้ดื่มหนักมากๆในงานเลี้ยง แต่กลับจำไม่ได้ว่าตัวเองเมาไม่รู้เรื่องแล้วหมดสติไปตอนไหน แล้วโจ้พาเขากลับมาที่นี่ได้อย่างไร พยายามรวบรวมสติแล้วนั่งหลับตานวดขมับของตัวเองไปพลางๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้นนาคินจึงลุกไปอาบน้ำ แต่ก่อนจะเข้าห้องน้ำเจ้าของห้องก็กลับมาพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มแก้เมาค้างสองขวด


   “ตื่นแล้วเหรอวะคิน”

   “อืม” นาคินตอบรับเสียงแหบ

   “เป็นไงบ้าง ท่าทางดูไม่ดีเลย” ตั้งแต่คบกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่นาคินเมาหมดสภาพขนาดนี้ ถ้ารู้ว่านาคินคออ่อน โจ้ก็คงปรามพวกเพื่อนให้ยั้งมือสักหน่อยเมื่อคืน

   “ปวดหัวว่ะ มึนสุดๆเลยด้วย” นาคินบอกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมด เพราะถ้าแค่เมาค้างเขาคงไม่รู้สึกปวดหน่วงในหัวใจแบบนี้ ภาพความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาสักระยะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีและอ่อนล้าราวกับเรื่องที่ฝันทั้งหมดเป็นเรื่องของตัวเขาเอง

   “แฮ๊งค์หนักเลยล่ะสิ ไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมากินข้าวกินยา” โจ้ว่า

   “อืม ขอบใจนะโจ้” พอรับคำเสร็จก็หันหลังเดินเข้าห้องน้ำ แต่โจ้กลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงรีบรายงานนาคินทันที

   “อ้อ! ลืมบอกไป”

   “อะไรเหรอ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมาเลิกคิ้วถาม

   “เมื่อคืนมีคนโทรมาหาด้วย รู้สึกจะหลายสายเลยนะ แต่เมามากเหมือนกันก็เลยไม่ได้กดรับให้ สงสัยที่บ้านน่ะ”

   “ขอบใจมากนะ คงเป็นที่บ้านจริงๆนั่นแหละ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จค่อยโทรไปบอก” ตอนนี้อยากล้างหน้าอาบน้ำแล้วทำหัวให้โล่งก่อนนาคินจึงเลือกเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ


   หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย นาคินก็พาตัวเองไปที่โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กซึ่งมีข้าวต้มหมูอุ่นๆวางอยู่ แต่ก็ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เขาเปิดดูข้อความและสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่ห้าหกสาย จึงเห็นว่าแม่โทรมาสายหนึ่งตอนสี่ทุ่ม ตอนนั้นนาคินยังอยู่ที่ร้านเสียงคงดังมากจนไม่ได้ยิน ส่วนที่เหลือเป็นเบอร์ของสนธยาโทรมาตอนเที่ยงคืนเว้นระยะไปจนถึงตีสอง บวกกับข้อความอีกสองสามข้อความถามว่าอยู่ไหนและจะกลับกี่โมง เมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงทั้งหมดนั้นทำให้นาคินต้องรีบวางช้อนทั้งที่ยังไม่ได้ตักเข้าปากแล้วกดต่อสายหาสนธยาทันที


   “สนครับ” ทันที่ที่อีกฝ่ายรับสาย นาคินก็รีบกรอกเสียงร้อนรนลงไปทันที

   ‘ว่าไง' สนธยาเอ่ยออกมาเรียบๆ

   “ขอโทษที่เมื่อคืนไม่ได้รับสายนะครับ พอดีผมเมามากเลย”

   ‘ช่างเถอะ นายจะทำอะไรก็เรื่องของนายสิ แต่คราวหลังจะไปค้างที่อื่นก็โทรมาบอกพ่อก่อน เขาจะได้ไม่เป็นห่วง แค่นี้นะ หมอเรียกแล้ว’  พูดเพียงเท่านั้นปลายสายก็ถูกตัดทิ้งไปทันที นาคินนั่งหน้าเครียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นบ่า

   “เอ้ย! จะไปไหนวะคิน ข้าวยังไม่ทันได้กินเลย” โจ้ถามเสียงตระหนก

   “ต้องไปแล้วว่ะ มีปัญหานิดหน่อย ขอโทษนะเว้ยอุตส่าห์ซื้อมาให้ แล้วก็ขอบใจมากที่ดูแลเมื่อคืน เอาไว้จะเลี้ยงตอบแทน ไปล่ะ” นาคินพูดรัวเร็วจนคนฟังพยักหงึกหงักรับแทบไม่ทัน เผลอแวบเดียวคนมีปัญหาก็แผลวออกจากห้องไป ทิ้งโจ้ไว้กับข้าวต้มสองชามใหญ่

   “แล้วจะกินได้ยังไงหมดวะเนี่ย”






   เมื่อนาคินมาถึงโรงพยาบาลเขาก็พบสนธยาอยู่ที่หน้าทางเข้าออกแล้วพอดี โดยมีลุงเสริมเดินตามมาข้างหลัง พอสนธยามองเห็นนาคินตามมาหาถึงที่ก็ชักสีหน้าใส่ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

   “มาทำไม”

   “ก็มาหาพี่สนไงครับ ขอโทษนะ ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าวันนี้จะมาโรงพยาบาลเป็นเพื่อน”


เมื่อวานตอนที่เดินไปส่งสนธยาที่หน้าคณะฯ สนธยาถามนาคินว่าไปกับเพื่อนต้องใช้รถไหมและต้องกลับดึกหรือเปล่า นาคินก็เลยบอกไปว่ากลับไม่เกินห้าทุ่มเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้าเพื่อขับรถไปส่งสนธยาที่โรงพยาบาล สนธยาจึงให้ยืมรถไปใช้เพราะตอนกลับจะได้ไม่ลำบาก แต่นี่เจ้าตัวดีกลับไม่ทำตามที่บอกเอาไว้ เช้าวันนี้ลุงเสริมจึงต้องเอารถของพ่อมนตรีมาส่งสนธยาที่โรงพยาบาลแทน


“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ฉันผิดเองที่เชื่อนาย” สนธยาเบี่ยงตัวเดินหนีนาคินไปที่ลานจอดรถ คนมีความผิดจึงรีบตามไปทันที ทำเอาลุงเสริมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่หน้าทางเข้า

“โธ่~ พี่สนอย่างอนสิครับ” เมื่อตามมาทันนาคินก็ว่าเสียงอ่อน

“ไม่ได้งอน” คนตัวเล็กกว่าแหวกลับ

“แล้วทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นล่ะครับ”

“จะให้ยิ้มเป็นคนบ้าเหมือนนายหรือไง ในเมื่อนายกำลังทำให้ฉันหงุดหงิด”

“เมื่อคืนผมโดนเพื่อนแกล้ง ก็เลยเมาไม่รู้เรื่องเลย ขับรถกลับก็ไม่ได้ โชคดีที่เพื่อนพากลับไปนอนที่ห้องด้วย ไม่งั้นตายแน่เลย” คนตัวโตพูดอธิบายไปเรื่อยๆในขณะที่สนธยาเดินจ้ำอ้าวไปจนถึงรถพอดี แต่จะเข้ารถก็ไม่ได้เพราะลุงเสริมยังมาไม่ถึง นาคินจึงขยับเข้าไปเผชิญหน้าแล้วเอื้อมมือไปกระตุกแขนให้อีกฝ่ายหันมา

“ปล่อย” สนธยาทำเสียงเข้ม นาคินจึงยอมปล่อยมือ

“สนครับ” พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เจ้าตัวดีก็กลับมาใช้คำเรียกแทนอย่างเดิม “ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมผิดเองที่ไม่รักษาคำพูด ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้เลยสักนิด ผมอยากจะเป็นคนขับรถพาสนมาเอง สนก็รู้ว่าผมตั้งใจจะทำอย่างนั้น”

“…” สนธยาไม่ตอบ ได้แต่จ้องตาคมสีน้ำตาเข้มคู่นั้นนิ่งๆ

“ขอโทษจริงๆนะครับ ยกโทษให้ผมเถอะ” อ้อนวอนน้ำเสียงระห้อยอีกคำ สุดท้ายสนธยาก็ต้องยอมแพ้

“ก็ได้ แต่คราวหน้าอย่าให้มีอีก”

“ไม่มีอีกแล้วครับ สัญญาเลย” เมื่อได้รับการให้อภัยนาคินก็ตอบรับระริกระรี้ดังเดิม พอดีกับที่ลุงเสริมมาถึงรถ สนธยาจึงเปิดประตูขึ้นไปนั่ง แต่ยังไม่วายที่จะสั่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างรีบตามกลับบ้าน

“เอารถมาใช่ไหม”

“ครับ” นาคินพยักหน้ารับ

“ขับกลับบ้านเลยนะ วันนี้จะไปซ้อมดนตรี”

“อะไรนะ! หมอให้สนเล่นดนตรีได้แล้วเหรอครับ” นาคินถามอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่” สนธยาเลิกทำหน้าตึงแล้วยิ้มน้อยๆ “ไปเจอกันที่เรือนดอกแก้ว”

“ครับ” หลังจากได้ยินนาคินตอบรับเสียงใสสนธยาก็ปิดประตูแล้วบอกให้ลุงเสริมออกรถ นาคินเห็นดังนั้นจึงเดินกลับไปขึ้นรถอีกคันขับตามกลับบ้าน






แม้วันนี้จะเป็นวันที่เด็กๆมาเรียนดนตรีไทยกัน แต่กว่าสนธยาจะกลับมาจากโรงพยาบาลเด็กนักเรียนก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ชายหนุ่มเอายาขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองแล้วตรงไปที่เรือนดอกแก้วทันที ตอนที่ขึ้นไปถึงบนเรือนหลังเล็ก สนธยาพบผู้เป็นพ่อกำลังคุยกับนาคินอยู่ที่ระเบียงรับลม นาคินยังคงอยู่ในชุดเดิมไม่เปลี่ยน นั่นแสดงว่าพอเจ้าตัวมาถึงก็คงจะตรงมาที่นี่เลย ไม่แวะขึ้นเรือนใหญ่ก่อนเหมือนสนธยา


“อ้าว! สนมาพอดี เห็นน้องบอกหมออนุญาตให้เล่นดนตรีได้แล้วจริงๆเหรอลูก” มนตรีเดินตรงเข้ามาหาลูกชายพลางไถ่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ครับพ่อ” สนธยายิ้มรับ

“ว่าแต่สนไม่ได้เจ็บแผลหรือปวดข้อมือแล้วใช่ไหมลูก” ถึงแม้หมอจะยืนยันอย่างนั้น แต่คนเป็นพ่อก็ยังอดห่วงไม่ได้

“ไม่เจ็บแล้วครับ” ชายหนุ่มยืนยัน

“งั้นลองเล่นดูเลยไหมครับพี่สน” นาคินแทรกขึ้นทันทีที่รู้แน่ชัดว่าสนธยาหาดีแล้ว เขาคิดถึงเสียงดนตรีของสนธยาจะแย่ แค่คิดว่ากำลังจะได้ฟังมันอีกครั้งก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจแล้ว

“อื้ม” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งที่อยู่หลังระนาดเอกบนแท่นประจำตัว


ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกสมาธิและขวัญกำลังใจ ก่อนจะประนมมือไหว้ครูบาอาจารย์จรดหน้าผากแล้วจากนั้นจึงจับไม้นวมขึ้นมา เขายังอดรู้สึกตื่นๆในใจไม่ได้ ดังนั้นเรียวมือสวยดุจลำเทียนจึงสั่นไหวน้อยๆ สนธยากลัวความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งนั้นมันจะย้อนกลับมาอีก แต่ที่กลัวที่สุด คือ กลัวว่าจะเล่นดนตรีไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว


คงเพราะนาคินสัมผัสได้ถึงความเครียดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวคุณครูหนุ่ม เขาจึงเผลอส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปทั้งๆที่ลุงมนตรีนั้นนั่งอยู่ไม่ห่าง


“พี่สน”

“หืม?” สนธยาเงยหน้าขึ้นมาจากรางลูกระนาด ดวงตาของทั้งสองประสานกันพอดีอย่างมีความหมาย

“ต้องทำได้สิครับ เชื่อผม”

“อืม รู้แล้วล่ะ”


หลังจากนั้นไม้นวมก็จรดลงบนลูกระนาดอีกครั้ง แล้วเสียงดนตรีแว่วหวานระรื่นหูก็ดังก้องไปทั่วทั้งเรือนดอกแก้ว ทำเอาคนฟังถึงกับเคลิบเคลิ้ม ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นถึงกับน้ำตาไหลลงมาที่ข้างแก้มหยดหนึ่งด้วยความตื้นตัน สนธยาบรรเลงเพลงเถาต่อเนื่องสองเพลงรวด เขารู้สึกราวกับตัวเองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนกับต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับน้ำฝนชุ่มชื่นหัวใจอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งบทเพลงแห่งการเริ่มต้นใหม่จบลง ทุกคนบนเรือนดอกแก้วจึงยิ้มให้กันด้วยความอิ่มเอม


“พ่อดีใจนะสนที่ลูกหายดี” มนตรีว่า

“ผมก็ดีใจเหมือนกันครับ” สนธยากล่าวกับพ่อ

“ต่อไปเราต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะลูก อย่าหักโหมมากจนเกินไปนักเข้าใจหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อกำชับด้วยความเป็นห่วง

“ผมรู้แล้วครับพ่อ” สนธยาเองก็ยอมรับปากดีๆ เพราะเขาเข็ดเหลือเกินแล้วกับบทเรียนที่ได้รับ

“แล้วนี่จะอยู่ต่อไหม หรือจะไปทำธุระเป็นเพื่อนพ่อที่อยุธยา”

“อยากอยู่เล่นต่ออีกสักหน่อย พ่อไปคนเดียวได้หรือเปล่าครับ” ถ้าให้เลือกตอนนี้ สนธยาก็อยากจะอยู่บ้านเล่นดนตรีที่คิดถึงมากกว่า

“ฮ่าๆๆ ไปได้สิ พ่อไม่ใช่เด็กนะ ยังไงพ่อก็บอกนายเสริมขับรถให้อยู่แล้ว” มนตรีพูดพลางหัวเราะชอบใจ อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่าลูกชายจะตอบอย่างไร เพียงต้องการถามให้แน่ใจเท่านั้น

“ก็ผมเป็นห่วงนี่ครับ” ลูกชายสุดที่รักว่า

“เอาน่าๆ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก ดูแลบ้านให้พ่อดีๆก็แล้วกัน”

“ลุงมนจะกลับวันไหนครับ” นาคินถามขึ้น

“คงพรุ่งนี้เย็นๆนั่นล่ะ คินก็ช่วยพี่เขาดูบ้านด้วยนะ ลุงไปก่อนล่ะ สนพ่อไปนะลูก” ประโยคหลังมนตรีหันไปบอกกับสนธยา ชายหนุ่มทั้งสองจึงยกมือไหว้ลาก่อนส่งมนตรีลงจากเรือนดอกแก้วไป

“สนจะเล่นดนตรีอยู่นี่ก่อนใช่ไหม” ลับหลังมนตรีไปแล้ว นาคินจึงหันมาหาคนตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ข้างตัว

“ใช่”

“งั้นผมไปเอาขิมมาเล่นด้วยนะ”

“ก็ต้องอย่างนั้นสิ นี่มันชั่วโมงเรียนของนายแล้วนี่” คนเป็นครูพูดอย่างไว้ท่า ทำเอานาคินหลุดหัวเราะออกมาพรวดหนึ่ง ก่อนจะตอบรับเสียงใสแล้ววิ่งเข้าไปยกขิมประจำตัวที่ห้องเล็กด้านในตัวเรือน

“ครับคุณครูพี่สน”






   ห้องเก็บเครื่องดนตรีห้องเล็กยังคงสภาพเหมือนเช่นเก่าทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามา ตู้ โต๊ะและชั้นวางเครื่องดนตรีถูกจัดวางอยู่เป็นระเบียบและมีเครื่องดนตรีวางเรียงอยู่เต็มไปหมด แม้ขนาดของห้องนั้นจะไม่กว้างเท่าไหร่ แต่เมื่อหลบจากด้านนอกเข้ามาข้างใน นาคินมันจะรู้สึกวังเวงและชวนให้ขนลุกวาบทุกที ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบตรงไปยังที่ที่เก็บกล่องขิมตัวประจำของตนเองก่อนจะยกออกไปจากห้องโดยเร็ว


   เมื่อออกมาเจอแสงแดดข้างนอก นาคินยิ่งรู้สึกยินดีไม่อนาทรต่อความร้อนราวกับหลุดพ้นจากมวลความอึดอัดมหาสาร ร่างสูงยกกล่องขิมเดินไปหยุดตรงหน้าคุณครู ก่อนเปิดฝากล่องแล้วยกขิมโบราณออกมา


   สนธยามองลูกศิษย์ตัวโตบรรจงวางเครื่องดนตรีอย่างทะนุถนอมก็อดเกิดความสงสัยในใจไม่ได้ ว่าทำไมนาคินถึงถูกใจขิมโป๊ยเซียนโบราณตัวนี้นัก เขาเข้าใจอยู่หรอกว่ามันสวยดี แต่อายุของมันก็นานเกินกว่าที่ใครจะหยิบออกมาเล่น


   “ทำไมนายถึงชอบใช้ขิมตัวนี้ล่ะ” เพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ในที่สุดสนธยาจึงเอ่ยถามออกไป

   “ไม่รู้สิครับ…” นาคินตอบแล้วหยุดครุ่นคิดสักพักจึงว่าต่อ “ผมรู้สึกชอบมันมากๆเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ในสายตาผมมันสวยนะ สวยมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมรู้สึกหรอก ไม่รู้สิ ผมว่าคงให้อารมณ์ถูกชะตาเหมือนเจอกีต้าร์ตัวโปรดอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง ต่างกันที่ของผมเป็นขิม”


   คนพูดพูดพลางลูบมือไปบนสายทองเหลืองและหมอนขิมแผ่วเบา สนธยามองตามมือหนาข้างนั้นไปโดยที่ในใจไม่ได้คิดอะไร กระทั่งสายตาเลยไปหยุดที่กล่องเก็บที่เปิดอ้าเอาไว้ข้างตัวนาคิน กำลังจะเอ่ยปากบอกให้ปิดฝาแล้วเก็บไว้ให้ห่างตัวหน่อย พอหันกลับมาเขาก็บังเอิญเห็นปลายขอบสามเหลี่ยมเล็กๆของผ้าอะไรสักอย่างโผล่ออกมาจากตรงซอกรอยต่อด้านล่างของขิมโป๊ยเซียน สนธยาจึงชี้ให้นาคินดู


   “นั่นเศษผ้าอะไรน่ะคิน”

   “ไหนครับ”

   “ตรงขอบล่าง ด้านหน้าของตัวขิม”


   นาคินขยับตัวก้มมองตามก็เห็นริมผ้าอย่างที่สนธยาว่าจริงๆ เขาจึงใช้มือดึงออกเพราะคิดว่าเป็นเศษผ้า ทว่ามันกลับไม่หลุดอย่างใจนึก ชายหนุ่มจึงพลิกตัวขิมขึ้นแล้วดึง หากแต่ท้องขิมด้านล่างที่ถูกไม้ปิดเอาไว้กลับหลุดผลัวะออกมาทันที

   “เอ้ย!” คนตัวโตร้องด้วยความตกใจแต่ก็เงียบเสียงไปเมื่อเห็นว่าอะไรหลุดติดมือออกมา

   “เบามือหน่อยสิ! ของพังหมดเห็นไหม” แต่สนธยาที่ยังไม่ทันเห็นก็ส่งเสียดุออกไปก่อน จากนั้นจึงรีบลุกพรวดจากที่นั่งแล้วไปหยุดตรงหน้านาคิน


   คุณครูสนธยากำลังจะเอ็ดออกมาอีกคำเมื่อเห็นสภาพท้องขิมตัวเก่าชัดๆ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจอีกระลอก เพราะนักเรียนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากำลังร้องไห้ออกมา!


   ไม่ผิด แม้จะกระพริบตาแล้วดูอีกครั้งก็ยังเห็นหยดน้ำเม็ดใสไหลออกจากหางตาคมนั่น เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่ต่างก็นิ่งเงียบกันนั้นดูเหมือนนาคินจะร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเรื่องที่พบเจอเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสลายไปแล้วก็ว่าได้


   “คิน…นาคิน นายเป็นอะไรไป” สนธยาเอามือจับต้นแขนหนาแล้วถามอย่างใจเสีย

   “ยังเก็บไว้…เขายังเก็บไว้” เสียงของลูกศิษย์หนุ่มว่าอย่างนั้น ขณะที่กำของที่ดึงออกมาจากขิมไว้แนบอก

   “ใครเก็บอะไรไว้”

   “เขาคนนั้น” นาคินตอบด้วยดวงตาเหม่อลอยราวกับไม่ใช่ตัวเอง

   “ใคร?”

   “คุณ”


แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายมีแววตาของใครบางคนซ้อนทับอยู่ในชั่วพริบตาเดียวที่ประสานสายตากับสนธยา พอครูหนุ่มกำลังจะดูให้แน่ใจอีกครั้ง ทว่าอยู่ๆนาคินก็หลับตาแล้วหงายหลังล้มตึงหมดสติไปทันที






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


ห่างหายจากอดีตชาติไปนาน ตอนนี้เริ่มกลับมาอีกแล้วค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วอาจจะพอเดาอะไรได้บ้างหรือเปล่า
ใครพอจับเค้าลางอะไรได้แล้ว มาเม้นเดากันได้นะคะ
ลงคีตมาลาทีไรเงียบกันตลอดเลย
คนเขียนชักใจฝ่อแล้วว่ามันโอเคหรือเปล่า  :mew6:
ยังไงจะรีบมาลงตอนต่อไปค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้าาา  :katai5: :katai5:

ปล.ขอบคุณที่ช่วยตรวจจับคำผิดนะคะ  :กอด1:


ละอองฝน

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 26-09-2015 07:12:20
คุณสนก็มีใจปฏิพัทธ์ต่อแม่แก้วเหมือนกันเลยนะคะ ติดก็ตรงคำว่า 'ฐานะ' และ 'ยศฐาบรรดาศักดิ์' ที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดนั่นล่ะที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางรักไปเสียได้

ส่วนคุณทับทิม ผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนหวานแค่เพียงภายนอกเท่านั้น ถ้าได้มาที่เรือนหลังนี้บ่อยๆ ก็คงจะระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณสนกับแม่แก้วที่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะเวลาที่ทั้งสองคนใช้สายตามองกันและกัน ยิ่งปิดบังความสงสัยให้ไม่ทวีคูณไม่ได้เข้าไปใหญ่ จนอาจกลายเป็นชนวนเหตุของสิ่งต่างๆ ก็เป็นได้

ทางด้านนาคิน..ตอนร้องไห้ ให้อารมณ์อาลัยอาวรณ์ต่อของสิ่งนั้นคล้ายๆ กับว่าคนที่พี่สนได้สบตาด้วยจะเป็นแม่แก้วเสียเองเลยค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า ^^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 26-09-2015 09:18:55
หรือว่าคิน จะคือแม่แก้วในอดีต?
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2015 11:39:50
ได้เวลาเล่าแล้วมั่งคิน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 26-09-2015 14:24:19
คินต้องเป็นแก้วนั้นแหละ ที่จำใจต้องจากกันหรือมีเหตุให้จากกัน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-09-2015 20:09:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 26-09-2015 21:17:09
นาคินคือแม่แก้วในอดีตหรอเนี่ยย แสดงว่าทั้งคู่แอบมีใจให้กันอยู่

แต่จางวางต้องหมั้นกับคุณทับทิม :katai1: ไม่กล้าเดาจุดจบของความรักคนทั้งคู่เลย

วิญญาณแก้วยังไม่ไปไหน เอ๊ะ แต่ถ้าวิญญาณยังไม่ไปไหน แล้วน้องหมาคินของเราคือใครล่ะเนี่ย

เรื่องในอดีตก็อยากรู้ เรื่องปัจจุบันก็รอลุ้น ชอบที่คินคอยเอาอกเอาใจพี่สน รังสีความฟรุ้งฟริ้ง

มันแผ่กระจายมากอ่ะ รอตอนต่อไปจ้า เชียร์อัพคนแต่งเสมอ ไม่ต้องใจฝ่อน้าาา อันที่จริงสไตล์คนแต่ง

คือค่อยเป็นค่อยไป แถมเรื่องนี้มันลึกลับ มีปมอดีตชาติ คนอ่านเลยรอให้ตอนมันเยอะๆก่อนแล้วค่อย

อ่านรวดเดียวมากกว่าไม่ใช่แต่งไม่ดีหรอกค่ะ ยังไงก็สู้สู้นะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 28-09-2015 15:58:27
พาทอดีตโผล่
พัฒนาถึงขั้นเข้าสิง(?)
แล้ว..ความสัมพันธ์ของพี่สนน้องคินล่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๐ ☰ [๒๕/๐๙/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-09-2015 20:18:52
อดีตยังวนเวียนอยู่ที่บ้านหลังนี้
ใครเก็บอะไรของใครไว้นะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-10-2015 20:43:01
บทที่ ๑๑





   ตั้งแต่ถูกคุณทับทิมไล่ออกมาจากเรือนดอกแก้วในวันนั้น แก้วก็ไม่ได้พบหน้าคุณสินอีกเลย เนื่องจากจางวางหนุ่มต้องเดินทางกลับวังท่าเตียนด้วยขอลาราชการมาเพียงสามวัน ยิ่งข่าวลือหนาหูว่าคุณนายได้ตระเตรียมแม่สื่อไปช่วยสู่ขอคุณหนูทับทิมแล้ว หัวอกบ่าวก้นเรือนอย่างแก้วยิ่งตรอมตรมหนัก ไม่ว่าจะเป็นแม่ พ่อ จันทร์หอม หรือแม้กระทั่งไม้เบื่อไม้เมาอย่างเจ้าแดงก็ยังสังเกตเห็นได้ถึงอาการหมองเศร้าและทุกข์โศกของหญิงสาว แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดแก้วจึงมีสภาพเช่นนั้น จะมีก็แต่เจ้าตัวที่รู้ตนเองดีที่สุด



   จวบจนกระทั่งวันเดือนเคลื่อนคล้อยไป คุณสินก็ยังไม่ได้กลับบ้านเพราะตามสมเด็จฯ ประพาสที่วังหัวหิน ระหว่างนั้นแก้วจึงพอมีเวลาให้ย้ำคิดใคร่ควรและระลึกว่า ตนนั้นเป็นเพียงบ่าว เป็นทาสที่ไม่อาจเผยอขึ้นไปยืนเทียบเคียงอยู่ข้างๆ คุณสินได้ ต่อให้รักเขามากเพียงไหนก็ทำได้แค่ฝัน แต่สิ่งที่เธอทำได้คืออยู่รับใช้คุณสินไปจวบจนสิ้นอายุขัย



ถึงแม้จะเป็นแค่บ่าว แต่ถ้าคุณสินเอ็นดูแก้วไปเรื่อยๆ เช่นนี้ เธอจะได้เห็นคนที่เธอรักและเทิดทูลบูชามีความสุข ได้เห็นเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยเพียบพร้อมทั้งฐานะและชาติกำเนิด ได้เห็นเขามีลูกหลานสืบสกุลให้คุณท่าน และที่สำคัญ แก้วจะได้เห็นคุณสินเล่นดนตรีที่รักไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่



แก้วจึงตัดอกจัดใจกับตนเองว่า ถ้าชั่วชีวิตนี้ได้เห็นคนที่เธอรักมีความสุข เท่านั้นก็คงจะเพียงพอสำหรับคนอย่างเธอแล้ว แม้นไม่สมหวังก็ช่างปะไร



หญิงสาวมองมือหยาบกระด้างและเปื้อนดินทรายของตัวเองเงียบๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยกมือเปื้อนดินนั้นเช็ดหยาดน้ำตาออกจากแก้ม เช็ดอยู่ซ้ำๆ จนไม่ให้เหลือร่องรอย จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบทุ้งน้ำกับผ้าขี้ริ้วไปเช็ดถูทำความสะอาดเรือนหลังเล็กตามหน้าที่ที่สมควรกระทำ



แก้วปัดกวาดเช็ดถูทำงานจุกจิกกระทั่งลืมเวลาจนยามบ่ายคล้อยเข้ามาถึงได้ลงจากเรือน ขณะที่หญิงสาวยกทุ้งน้ำซักผ้าขี้ริ้วไปทิ้งที่ท่า เธอได้เดินผ่านต้นแก้วเจ้าจอมที่ปลูกเอาไว้มานานปี จากต้นไม้ต้นเล็กๆ บัดนี้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาไว้พักเมื่อล้าจากแดดร้อนแรงยามเที่ยง


ขณะที่กำลังจะเดินผ่านไป ดวงตาคมก็สังเกตเห็นช่อดอกเล็กๆ สีม่วงอ่อนอยู่เกือบปลายยอด ด้วยความตกใจเธอจึงปล่อยทุ้งน้ำหลุดมือ ก่อนจะกระโดดโหยงเหยงเพื่อดูให้แน่ชัดว่าตาสองข้างไม่ได้ฝาดจากแดดที่แยงลงมา แต่เมื่อมองดูทุกมุมจนถี่ถ้วนแล้วแก้วก็พบว่าตนเองตาไม่ได้ฝาดไปจริงๆ เพราะบัดนี้ต้นไม้ที่เฝ้าดูแลได้ผลิดอกบากสะพรั่งอยู่บนนั้น แม้จะมีดอกเพียงแค่น้อยนิด แต่ว่าคุณสินได้เห็นคงจะยินดีมากเป็นแน่ หากวันที่คุณสินกลับมาจากราชการ เธอจะได้บอกกับเขาว่า เธอสามารถดูแลต้นไม้ของคุณสินให้ออกดอกชื่นชมจนสำเร็จแล้ว



ทว่าแก้วรอแล้วรอเล่าจวบจนหลายวันผ่านไปคุณสินก็ยังไม่กลับมา เพราะเธอไม่รู้ว่าคุณสินตามสมเด็จฯ ท่านไปวังที่หัวหินด้วย แก้วเจ้าจอมดอกน้อยที่เพียรพยายามดูแลนั้นร่วงโรยลงไปทุกวัน จนตอนนี้เหลือไม่ถึงห้าช่อแล้ว ด้วยความที่ไม่รู้จะรักษาให้ดอกไม้ยังคงอยู่รอเจ้าของกลับมาเห็นได้อย่างไร แก้วจึงตัดสินใจเก็บดอกแก้วเจ้าจอมที่เหลือมาทำถุงบุหงารำไป เผื่อตอนคุณสินกลับมาจะได้ชื่นชมมันให้สมกับการรอคอย



ทาสสาวเก็บดอกไม้ใส่กระด้งแล้วนำไปตากในร่มจนแห้ง ก่อนนำมาเคล้าน้ำมันหอมระเหยและอบซ้ำหลายรอบ ระหว่างนั้นก็เจียดอัฐจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อผ้าลูกไม้มาเย็บเป็นถุงใส่ แต่ละขั้นตอนแก้วตั้งใจทำอย่างเต็มที่โดยมีจันทร์หอมเป็นผู้ช่วยกระทั่งเสร็จเรียบร้อย ที่เหลือก็รอแค่คุณสินกลับมาเท่านั้น


o-----------------------o



   แล้วในที่สุดคุณสินก็กลับมาจากราชการ แต่เขาก็ต้องติดพันอยู่กับคุณทับทิม เนื่องจากพอทราบข่าวว่าคุณสินกลับมา ฝ่ายนั้นก็แวะเวียนมาหาไม่เว้นแต่ละวัน สองสามวันที่มาถึงคุณสินจึงไม่ได้ลงมาที่เรือนเล็กเลย แก้วได้ฟังบ่าวไพร่พูดถึงนายบนเรือนใหญ่ก็ทำได้เพียงแต่ตั้งตารอที่จะได้พบ



ในบ่ายคล้อยของวันหนึ่ง หลังจากที่แก้วกลับมาจากออกไปช่วยคนอื่นเกี่ยวข้าวที่ที่นาของนายท่านเสือง คุณสินก็เรียกหาเธอ หญิงสาวจึงเตรียมถุงหอมที่เก็บเอาไว้ออกมา ขณะกำลังเดินไปที่เรือนดอกแก้ว ระหว่างทางแก้วได้พบกับจันทร์หอมมารอไปกินข้าวพร้อมกันที่โรงครัว แก้วจึงบอกกับเพื่อนว่าเธอกำลังจะไปพบคุณสิน



จันทร์หอมได้ยินก็มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ทำท่าอึกๆ อักๆ ราวกับมีบางอย่างจะพูด แก้วเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามออกมาเสียเอง



“มีอะไรจะพูดกับข้ารึจันทร์หอม”
“เอ็งจะเอาถุงบุหงาไปให้คุณสินจริงๆ รึแก้ว”
“อืม ทำไมรึ” แก้วมองถุงหอมในมือก่อนเงยหน้ามองจันทร์หอม
“เปล่าหรอก ข้าแค่คิดว่ามันอาจจะไม่เหมาะน่ะซี ถ้าหากคุณทับทิมเธอรู้เข้า เธออาจจะไม่ชอบใจที่บ่าวทำถุงหอมให้คุณสิน ข้ากลัวเอ็งเดือดร้อน”
“แต่ข้าแค่ทำให้เพราะคุณสินเธอรอดูมันมาหลายปีแล้ว ข้ามิได้คิดอะไรเกินเลยสักหน่อย” เสียงของแก้วเบาลงกึ่งหนึ่งในประโยคหลัง
“เอ็งจะคิดหรือไม่คิด ข้ามิได้ว่าอะไรเอ็งหรอกแก้ว แต่ข้ากลัวคนอื่นจะไม่เข้าเจตนาของเอ็งก็เท่านั้น” เมื่อจันทร์หอมพูดจบเธอก็เงียบเสียงลง แก้วเองก็เงียบแล้วคิดตามไปด้วย
แก้วเริ่มกลัวและระลึกขึ้นมาได้อีกครั้งว่า บางทีสิ่งที่เธอกำลังทำมันอาจจะไม่เหมาะก็ได้ ความจริงแล้วเธอไม่ควรทำอะไรเกินหน้าที่บ่าว อย่างเรื่องที่ไปเรียนดนตรีกับคุณสินนั่นก็ไม่ควร หรือแม้แต่เรื่องทำถุงหอมให้คุณสินด้วย ขณะที่แก้วกำลังจะเอาบุหงารำไปไปเก็บ เสียงทุ้มของใครอีกคนก็หยุดทุกความเคลื่อนไหวของเธอและจันทร์หอม
“แก้ว”
“คุณสิน!” แก้วกับจันทร์หอมทำตาโตก่อนนั่งลงก้มหน้ามองพื้น
“ลุกขึ้นเถอะ” คนเป็นนายว่าอย่างอารี “ฉันมาตาม เห็นเรียกตั้งนานแล้วเธอไม่มาเสียที”
“แก้วขอโทษเจ้าค่ะ พอดีแก้วเพิ่งกลับมาจากไปช่วยเขาเกี่ยวข้าว”
“อย่างนั้นรึ แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วใช่หรือไม่”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปที่เรือนดอกแก้วเถิด ฉันมีอะไรจะให้เธอดู”
“เจ้าค่ะ” แก้วรับคำก่อนจะตามหลังผู้เป็นนายไปที่เรือนดอกแก้ว โดยที่ในมือยังมีถุงบุหงารำไปซึ่งยังไม่ทันได้เอาไปเก็บอย่างที่จันทร์หอมแนะ




จันทร์หอมมองตามเพื่อนรักไปจนสุดสายตา เธอรู้มานานแล้วว่าแก้วแอบรักคุณสิน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เนื่องจากเห็นแก้วเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยรู้ถึงฐานะที่แตกต่างของตนเองกับผู้เป็นนายดี อีกทั้งคิดว่าคนอย่างคุณสินก็คงไม่สนใจบ่าวไพร่อย่างแก้ว
ทว่าในตอนนี้ ยามเห็นแววตาที่คุณสินมองแก้ว จันทร์หอมก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกหรือไม่ บางทีการที่เธอออกปากห้ามปรามเพื่อนในครั้งนี้มันอาจจะสายเกินไปเสียแล้วก็เป็นได้ แต่ถ้าหากหนึ่งนายหนึ่งบ่าวมีใจให้กันจริง จันทร์หอมก็ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี อย่าให้มีสิ่งใดมาทำให้เพื่อนรักของเธอต้องทุกข์ใจเลย


o-----------------------o


ในอีกด้านหนึ่ง จางวางสินก็กำลังเดินนำทาสสาวไปถึงเรือนดอกแก้ว ระหว่างทางทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักประโยคเดียว ทำเพียงเดินตามกันไปเงียบๆ เท่านั้น เมื่อมาถึงบนตัวเรือนแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินผ่านชานระเบียงเข้าไปที่แท่นซึ่งเขาใช้เป็นบริเวณสำหรับฝึกซ้อมให้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขาอยู่เป็นประจำ ตรงนั้นมีกล่องบรรจุขิมไม้สักเงาวับกล่องหนึ่งวางอยู่ สินเบี่ยงตัวไปนั่งที่เบาะก่อนแล้วเรียกให้แก้วให้เข้ามาประจำที่ จากนั้นจึงว่า



“เธอลองเปิดดูสิ”
“เจ้าค่ะ”
แก้ววางถุงบุหงาไว้ที่ด้านข้างลำตัวก่อนปลดสลักเปิดฝากล่อง ภายในกล่องไม้บุนวมกำมะหยี่สีม่วงดูสูงค่า ทว่ามันก็เหมาะสมกับเครื่องขิมโป๊ยเซียนตัวงามที่มีลายวาดเขียนอ่อนช้อยซึ่งนอนนิ่งสนิทอยู่ในนั้น
“ชอบไหม” ชายหนุ่มถาม
“ชอบเจ้าค่ะ เป็นขิมงามที่สุดเท่าที่แก้วเคยเห็นมาในชีวิตเลยเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบตามตรง แม้ว่าในชีวิตนี้เธอจะเคยเห็นเพียงขิมในเรือนเล็กของคุณสินแค่ที่เดียวก็ตาม
“ถ้าชอบก็ดีแล้ว เพราะมันเป็นของเธอ รักษาให้ดีล่ะ”
“อะไรนะเจ้าคะ!” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะละลักละล้ำถาม “คุณสิน…ให้ขิมตัวนี้แก่แก้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่น่ะซี ทำหน้าอะไรอย่างนั้นเล่า” ชายหนุ่มว่าพลางกลั้นยิ้ม เขาไม่ได้เห็นท่าทางตื่นเต้นตกใจระคนดีใจแบบเด็กๆ เช่นนี้ของแก้วมานานมากแล้ว เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาคิดถึงมันเหลือเกิน
“แก้ว…แก้วขอบพระคุณคุณสินมากนะเจ้าคะ” เธอประนมมือไหว้ท่วมหัวด้วยความนอบน้อม ก่อนว่าต่อ “แต่แก้วคงรับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ มันมากเกินไปสำหรับบ่าวอย่างแก้ว”
“ไม่มากเกินไปหรอก เธอเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของฉันนะ เพียงแค่ขิมตัวเดียวเท่านี้ ทำไมฉันจะให้เธอไม่ได้” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แก้วรับไว้ไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ เพราะเพียงแค่คุณสินเมตตาแก้วอย่างทุกวันนี้ ก็ถือเป็นพระคุณท่วมหัวแก้วแล้วเจ้าค่ะ”
“ถ้าเธอเห็นฉันเป็นผู้มีพระคุณ เธอก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกเธอสิ รับมันไว้เถิด จะเก็บไว้ที่นี่ก็ได้ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็ถือว่าเป็นของที่ฉันตั้งใจให้เธอ อย่าให้ฉันต้องเสียความตั้งใจเลย” ได้ฟังเช่นนั้นแก้วก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจ หากไม่รับก็คงไม่ได้ เพราะคุณสินตั้งใจทำเพื่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอลังเลอยู่ชั่วอึดใจแต่ในที่สุดก็ยอมรับของชิ้นสำคัญ
“เจ้าค่ะ แก้วจะรับไว้ ขอบพระคุณคุณสินมากนเจ้าคะ คุณสินช่างดีกับแก้วเหลือเกิน แก้วไม่รู้จะตอบแทบคุณสินได้อย่างไรเลย”
“ตั้งแต่นี้ไป เธอก็เล่นมันให้ฉันฟังสิ” เสียงนุ่มทุ่มเอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย แต่แก้วหลับไม่ได้สะดุดใจ
“เจ้าค่ะ ไม่ว่าคราวใดที่คุณสินต้องการฟัง แก้วก็จะเล่นให้คุณสินฟังเจ้าทุกเมื่อเจ้าค่ะ” ทาสสาวตกปากรับคำหนักแน่น ก่อนจะถูกขอให้เล่นให้ฟังเสียตอนนี้เลย เธอจึงนั่งจัดท่าจัดทางให้ดี จากนั้นจึงหยิบไม้ตีขิมขึ้นมาตีบรรเลงเพลง



แม้เพลงขิมของแก้วจะไม่ได้ไพเราะที่สุด แต่สำหรับสินแล้ว บทเพลงที่เขาได้รับจากแก้วนั้นช่วยเติมช่องว่างในหัวใจของเขาให้ได้เต็มพอดี ไม่มาก ไม่น้อย แต่เขาสุขใจที่ได้ฟังและมองดูรอยยิ้มของแก้ว มันเป็นภาพที่งดงามที่สุดจนจางวางหนุ่มคิดว่า เขาอยากเห็นแก้วยิ้มให้เขาเช่นนี้ตราบชั่วชีวิต


สินรู้ว่าความคิดนี้เห็นแก่ตัวเพียงใด ทว่าตั้งแต่ที่คุณแม่เป็นธุระมัดมือชกให้เขาไปสู้ขอทับทิม ความรู้สึกที่อยากจะรัก อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจนยากจะระงับไว้ได้อีกต่อไป แต่ที่สินยังไม่พูดให้แน่ชัดก็เพราะเขาไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยรู้สึกกับเขาเช่นไร ถ้าแก้วไม่ได้คิดเหมือนกัน เขาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หากว่าแก้วรักเขาเหมือนที่เขารักแก้ว สินก็พร้อมจะทำทุกอย่างให้ผู้เป็นแม่ยอมรับในการตัดสินใจของเขา


ขอเพียงรู้สึกนิดว่าแก้วรักเขาเท่านั้น



V
V
V
(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-10-2015 20:55:39






แก้วอยู่เล่นดนตรีให้สินฟังจนโพล้เพล้ สินจึงอนุญาตให้เธอกลับไปพักผ่อนได้ ส่วนชายหนุ่มก็ถูกเรียกขึ้นไปทานอาหารบนเรือนใหญ่ ชายหนุ่มทำนายได้เลยว่าผู้เป็นแม่นั้นต้องการจะพูดอะไรกับเขา เพราะตั้งแต่กลับมา ท่านก็พูดอยู่เรื่องเดิมไม่ได้หยุด


ทั้งคู่ลงจากเรือนพร้อมกัน เมื่อเดินมาจนถึงต้นแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ ขณะที่แก้วกำลังจะแยกไปทางโรงครัว อยู่ๆสินก็เรียกเธอไว้อีกครั้ง เพราะเขาสังเกตเห็นสิ่งของบางอย่างในมือของทาสสาว แต่อันที่จริงเขาเห็นมันก่อนหน้านี้บนเรือนแล้วทว่าไม่ได้ถามออกไป


“ประเดี๋ยวสิแก้ว”

“เจ้าคะคุณสิ” ดวงตาสีน้ำตาลมองกลับมาที่ผู้เป็นนายอย่างใสซื่อ

“ขอถามได้ไหมว่าในมือเธอนั่นคืออะไร” ปากพูดไปดวงตาก็มองไปหยุดที่ถุงในมือเล็ก

“นี่ถุงบุหงารำไปที่แก้วทำไว้ให้คุณสินเจ้าค่ะ”

“ให้ฉันรึ?” แก้วก็นิ่งงันไปในทันทีพอถูกทวงถาม เพราะเธอเผลอลืมไปว่าตั้งใจจะเก็บเอาไว้ตามที่จันทร์หอมบอก ไม่ได้ตั้งใจให้คุณสินรู้ เมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าอึกอักมีพิรุธสินจึงยื่นมือออกมาตรงหน้า แล้วว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ส่งมาสิ”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวจำใจส่งถุงบุหงาให้แก่ผู้เป็นนาย


ชายหนุ่มรับไปพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง มองระบายน้อยๆของลูกไม้สีขาวที่คนให้ตั้งใจเย็บ ก่อนยกขึ้นสูดกลิ่นของดอกไม้ข้างใน กลิ่นที่สัมผัสได้นั้นเป็นกลิ่นหอมเย็น คล้ายๆจำพวกดอกโมก ดอกแก้ว ดอกราตรี แต่กลิ่นมันแปลกว่านิดหน่อย เขาจึงไม่แน่ใจว่าดอกไม้ที่แก้วใช้ทำคือดอกอะไรกันแน่


“ถุงหอมนี่ทำจากดอกอะไรรึ”

“ดอกแก้วเจ้าจอมเจ้าค่ะ มันออกดอกช่วงที่คุณสินยังไม่กลับมา แต่ออกเพียงไม่กี่ช่อ แก้วจำได้ว่าคุณสินเคยบ่นว่ามันไม่ออกดอก นี่ก็เกือบสิบปีแล้วตั้งแต่ปลูกมา แก้วดูแลมันตามหน้าที่ที่คุณสินเคยมอบให้จนมันออกดอกขึ้นมาแล้ว แต่แก้วกลัวว่าคุณสินจะกลับมาดูไม่ทัน ก็เลยเด็ดไปทำบุหงารำไปเจ้าค่ะ”


จางวางหนุ่มเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไป เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีคนใส่ใจกับแค่ต้นไม้เพียงต้นเดียวที่ดูไม่มีความหมาย ทว่ากับแก้วนั้นมันตรงกันข้าม เขาไม่รู้เลยว่าเธอเฝ้าดูแลและรอคอยให้มันออกดอกเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา คำพูดที่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยซึ่งเคยบ่นไปเมื่อหลายปีก่อน คำพูดที่สินลืมไปแล้ว แต่จนบัดนี้แก้วกลับยังจำได้


สายลมยามเย็นพัดมาโชยเอื่อย ใบแก้วเจ้าจอมปัดปลิวหล่นจากขั้นใบแล้วใบเล่า แสงตะเกียงที่ถูกจุดตามบริเวณบ้านส่องสว่างกระทบดวงตาสุกสกาวของทาสสาวซึ่งมองตรงมาที่สิน มันทำให้ในหัวใจของชายหนุ่มก็รู้สึกอุ่นซ่าน ปั่นป่วน ความหวังที่อยากจะให้แก้วรู้สึกอย่างเดียวกันกับเขาเพิ่มพูนมากขึ้น แต่บางทีนั่นอาจไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ เนื่องจากในนาทีนี้ หากแก้วไม่ได้นึกรัก สินก็จะเป็นฝ่ายสารภาพความนัยที่เก็บงำมาเนินนาน หลังจากนั้นเขาจะพยายามทำให้เธอรักเขาให้ได้ในสักวัน


ขณะที่แก้วกำลังนึกสงสัยว่าเหตุใดคุณสินจึงมองหน้าเธอแล้วยกยิ้มค้างอยู่เช่นนั้นนานนัก อุ้งมืออบอุ่นของชายหนุ่มก็เอื้อมมาคว้ามือเล็กทว่าหยาบกระด้างของแก้วเอาไว้มั่น ถึงแม้นว่าแก้วจะตกใจจนเผลอสะบัด แต่มือที่กุมไว้ก็ยังไม่หลุดออก


“คุณสินทำอะไรเจ้าคะ ปล่อยเถิดเจ้าค่ะ หากผู้ใดมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่ๆเจ้าค่ะ”

“ใครจะเห็นก็ช่างปะไร ปล่อยให้เขาเห็นไปสิ” นี่เป็นครั้งแรกที่แก้วรู้สึกว่านายของตนเอาแต่ใจเช่นนี้

“ไม่ได้นะเจ้าคะ หากคุณนายรู้เข้าแก้วต้องแย่แน่ๆเจ้าค่ะ” หญิงสาวว่าอย่างร้อนรน

“ไม่มีใครว่าหรอก” สินเงียบไปครู่ ก่อนเปลี่ยนใจแล้วว่า “ไม่สิ หากคุณแม่รู้ คุณแม่ก็อาจจะเอ็ดเอา แต่เธอไม่ต้องกลัวนะ มีฉันอยู่ทั้งคน”

“ได้ที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ อีกอย่าง หากคุณทับทิมรู้ เธอคงจะเสียใจนะเจ้าค่ะ” สินกระชับมือแน่นขึ้นแล้วดึงแก้วเข้ามาใกล้

“ช่างทับทิมเถอะ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉันเสียหน่อย”

“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“ฉันก็หมายความตามที่พูด”

“เอ่อ…แต่คุณสินจะแต่งงานกับคุณทับทิมแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”

“ใครบอกกัน” สินถาม

“คุณนายบอกทุกคนเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แก้วว่าตามที่ได้ยินมา

“ถึงคุณแม่ว่าอย่างนั้น แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยอย่างที่ท่านบอกนี่ คนที่ต้องแต่งงานคือฉัน เพราะฉะนั้นคนที่ฉันจะแต่งด้วยย่อมเป็นคนที่ฉันรักเท่านั้น ขอเพียงคนคนนั้นยอมบอกว่ารักฉัน ฉันจะทำทุกอย่างให้เราได้อยู่ด้วยกัน แม้จะต้องขัดใจคุณแม่หรือใครๆก็ตาม”

“…” ได้ยินคำพูดแสนประหลาด กับท่าทางและสายตาที่คุณสินแสดงออกต่างไปจากทุกที แก้วยิ่งทำตัวไม่ถูก ทว่าในตอนนี้เธอยืนนิ่งและไม่สะบัดมือชายหนุ่มออกอีกแล้ว

“ว่าอย่างไร เธอรักฉันหรือเปล่าแม่แก้ว”

“หมะ…หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” แก้วงงเป็นไก่ตาแตก ปรกติเธอมักจะถูกคนรอบข้างชมว่าเป็นเด็กหัวไว แต่ในนาทีนี้เธอกลับไม่เข้าใจ อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากเชื่อมากกว่าว่าจู่ๆคุณสินจะพูดเช่นนี้

“นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกรึ ทั้งที่เธอเป็นลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของฉันเชียวนา” สินบีบคลึงมือน้อยของลูกศิษย์ ก่อนจะก้มลงจูบที่หลังมือนั้นแผ่วเบา แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก  “คนที่ฉันอยากแต่งงานและอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตคือเธอแม่แก้ว”


เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นช่างกะทันหันเสียจนแก้วตั้งตัวไม่ติด ในชีวิตนี้เธอไม่เคยอาจเอื้อมหวังว่าจะได้ยินคำรักจากปากคุณสินเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว และแก้วก็รู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิต มีความสุขจนหลงลืมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง น้ำตาหยดใสกลั้นออกมาด้วยภายในมันตื้นตันจนอยากอธิบายเป็นคำพูด จนตอนนี้เธอไม่อาจมองเห็นดวงหน้าที่เธอรักของคุณสินได้ถนัดตาเลย


สินเองก็ไม่รู้จักทำอย่างไร เขาตัดสินใจจากรอยยิ้มที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับหยดน้ำตาของหญิงสาว และคิดเอาเองว่าแก้วนั้นคงมีใจให้กับเขาเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มตระกองกอดร่างแน่งน้อยเอาไว้แนบอก และช่วยเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสายจนแห้งเหือด ก่อนกระซิบคำสั้นๆ ณ ใต้ต้นแก้วเจ้าจอมใหญ่นั่นเอง


ฉันรักเธอ










ตอนที่นาคินตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาพบว่าตัวเองยังอยู่ในเรือนดอกแก้วที่เดิม โดยตัวเขานอนราบอยู่บนพื้น ข้างกายมีสนธยาค่อยพัดอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง เมื่อเห็นว่านาคินรู้สึกตัวแล้วพยายามลุกขึ้น สนธยาก็เลิกพัดแล้วช่วยพยุงนาคินขึ้นนั่ง


“เป็นยังไงบ้าง”

“ปวดหัวครับ” นาคินว่า

“นายเป็นอะไรน่ะ อยู่ๆก็วูบไป ฉันตกใจแทบแย่ ไปหาหมอไหม” สนธยาถามด้วยความเป็นห่วง แม้นาคินจะหลับไปไม่นานเท่าไหร่ แต่สนธยาก็ไม่อาจวางใจ

   “คงไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ ผมขอขึ้นไปพักบนห้องดีกว่า อีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

   “เอาอย่างนั้นเหรอ” คนที่ยังเป็นห่วงก็ไม่วายถามซ้ำ

   “ครับ” นาคินยืนยันพร้อมกับยิ้มบาง

   “งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าไม่สบายตรงไหนก็รีบบอกแล้วกัน”

   “ขอบคุณนะสน ขอบคุณที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อน เมื่อกี้ก็ด้วย”

   “เป็นใครก็ต้องอยู่ๆแล้วล่ะ จู่ๆก็เป็นลมไปแบบนั้น ฉันตกใจแทบแย่ แถมพูดอะไรแปลกๆอีก เหมือนนั่นไม่ใช่นายเลยสักนิด”

   “อย่างนั้นเหรอครับ” นาคินทำหน้าเจื่อน

   “ทำไม มีอะไรหรือไง”

   “จะว่ามีก็มีนั่นแหละ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง…” ความฝันที่เคยพบเจอในยามหลับ บัดนี้ตามมามีผลกระทบกับนาคินแม้กระทั่งยามที่ตื่น เขาอยากบอกเรื่องนี้ อยากเล่าทั้งหมดให้สนธยาฟัง แต่ก็ยังรู้สึกวิงเวียนกับสิ่งที่ฉายในสมองเมื่อครู่ ทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เรียบเรียงให้ตัวเองเล่าออกมาก็ไม่ได้ ในหัวมันมีเรื่องราวมากมากวิ่งวุ่นวายอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้จึงคิดอะไรไม่ออก เหมือนกับหัวจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆให้ได้

   “เอาเถอะ” เห็นหน้าตาซีดเซียวของเจ้าลูกศิษย์ตัวโต สนธยาก็ไม่อยากจะซักไซ้ไล่เรียงอีกต่อไป “เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ก็พูดแล้วกัน”

   “รอผมหน่อยนะครับ” นาคินคว้ามือเรียวของนักดนตรีหนุ่มมาแนบแก้ม “รับรองว่าผมจะบอกสนทั้งหมดเลย”

   “อ…อืม” แม้จะรู้สึกกระดากอายในใจ แต่สนธยาก็ปล่อยให้นาคินจับมือตัวเองแนบแก้มอยู่เช่นนั้นสักพัก ก่อนดึงออกมา “เราเก็บของแล้วกลับขึ้นไปบ้านกันเถอะ นายจะได้พักผ่อน”

   “ครับ”


   นาคินช่วยยกกล่องขิมไปเก็บในห้องเล็กก่อนลงจากเรือนดอกแก้วไปพร้อมๆกับสนธยา โดยลืมนึกถึงสิ่งของบางอย่างที่ตัวเองดึงออกมาจากท้องขิมก่อนที่จะหมดสติไปเสียสนิท


   เมื่อกลับเข้าห้องส่วนตัว สนธยาจึงหยิบเอาถุงผ้าลูกไม้เก่าคร่ำคร่าออกมาจากกางเกง เขาหยิบมาออกจากมือของนาคินตอนที่เจ้าตัวหมดสติ ดวงตาสีรัตติกาลมองเศษผงสีน้ำตาลที่แหลกละเอียดอยู่ภายในอย่างครุ่นคิด ไม่รู้ทำไม ในนาทีแรกที่เขาเห็นถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับถุงผ้าชิ้นเล็กนี้นัก เขาพิจารณาอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะนำมันไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วมองมันอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ ยามเมื่อมอง สนธยารู้สึกว่าเขาได้ลืมเลือนบางสิ่งที่สำคัญไป



แล้วสิ่งสำคัญที่หลงลืมไปนั้น…คืออะไรกันนะ




‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧


มาแล้วจ้าาาา  :katai4: :katai4:

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นและขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
เจอกันตอนหน้าจ้า

ละอองฝน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 05-10-2015 21:08:08
ตอนที่คุณสนสารภาพรักกับแม่แก้วใต้ต้นแก้วเจ้าจอมบรรยากาศดูอ่อนหวานมากๆ เลยค่ะ แต่ก็น่ากลัวว่าอีกด้านหนึ่งจะมีคุณทับทิมยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดหาวิธีทำร้ายแม่แก้วลับหลังคุณสนอยู่ด้วยจังเลย ( . .  ')
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Cream A ที่ 05-10-2015 21:42:57
พาร์ทอดีตเป็นอะไรที่ไม่กล้าคาดเดาเลย ไม่รู้แต่ะละคนจะมีจุดจบยังไง

แต่พาร์ทปัจจุบันเชียร์ให้พี่สนอยู่ดูแลคินต่อ น้องกำลังสับสนอยู่ พี่สนต้องดูแลอย่างใกล้ชิดน้าา

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 05-10-2015 22:26:15
นาคินนี่คงเป็นแม่แก้วสินะ
ความรักของนายกับบ่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้ คงจบไม่สวย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 06-10-2015 21:38:18
พี่สนคือคุณสิน คินคือแก้วในอดีตชาติแน่ๆ
แล้วทำไมคินถึงระลึกมองเห็นได้ แต่พี่สนไม่ล่ะ
แล้วในอดีตคุณสินกับแก้วเป็นยังไงบ้าง

คุณละอองฝนสู้ๆนะคะ จะเป็นกำลังใจให้และติดตามเสมอค่ะ :mew1:

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 06-10-2015 23:03:30
ชักน่าเป็นห่วง
นาคินเห็นอดีตมีไรเป็นวูบ ไม่ก็จิตหลุดตลอด


สู้ๆ นะจ้ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๑ ☰ [๐๕/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-10-2015 01:16:29
อ่านทั้งกลัวว่าจะเสียน้ำตาให้แม่แก้วกับคุณสินเป็นกระบุง
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 21-10-2015 21:12:28



๑๒.







   หลังจากเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันนั้นสนธยาสังเกตเห็นว่านาคินดูเซื่องซึมไป บางครั้งก็มักจะออกมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่ศาลาท่าน้ำเพียงคนเดียวเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ความจริงเขาก็อยากเข้าไปแล้วถามตรงๆว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหนักหนา แต่ด้วยความที่เป็นคนปากหนักสนธยาจึงไม่ยอมถาม เพราะคิดในอีกแง่หนึ่ง นาคินก็เป็นคนพูดกับเขาเองว่าถึงเวลาแล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมด ดังนั้นสนธยาก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย แม้จะรู้สึกอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม


   กระทั่งถึงวันที่ครอบครัวของนาคินแวะมาเยี่ยมที่บ้านช่วงหยุดยาวสามวันชายหนุ่มจึงดูแจ่มใสขึ้นบ้าง นอกจากนั้นคชินทร์พ่อของนาคินยังชวนให้มนตรีไปพาคนในครอบครัวไปเที่ยวทะเลกับตนด้วย มนตรีเองก็เห็นด้วยกับเพื่อน ทว่าเขามีนัดอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วจึงหมดโอกาสรับข้อเสนอ ถึงอย่างนั้นคชินทร์ก็ยังไม่ไม่ยอมลดละ เขาขออนุญาตพามัทนากับสนธยาไปด้วยกัน ด้วยให้เหตุผลว่าคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก มนตรีเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรจึงอนุญาตให้ลูกๆไปได้


   ในตอนแรกสนธยาอิดออดนิดหน่อย ทำท่าจะไม่ไปเสียอย่างนั้น แต่นาคินก็เข้าไปพันแข้งพันขาขอร้องให้ไป สนธยาจึงยอมใจอ่อน ผิดกับมัทนาที่พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวทะเล เธอก็หายผลุบเข้าไปในห้องเพื่อเก็บกระเป๋าทันที สุดท้ายเวลายังไม่พ้นช่วงสายของวันสักเท่าไหร่ทุกคนก็พร้อมเดินทาง การไปเที่ยวครั้งนี้มีจึงสมาชิกในทริปจำนวน 7 คน คือ คชินทร์ แพรไหม นาคิน สนธยา มัทนา และนาวินกับมิรินน้องชายน้องสาวของนาคินด้วย


   ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสามชั่วโมงทุกคนก็ถึงบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไม่มากนัก เพราะขับรถผ่านเขาตะเกียบมานิดหน่อยก็ถึง แม้จะเป็นบ้านส่วนบุคคลแต่ทางเข้าก็ไม่ได้สลับซับซ้อนเท่าไหร่ ระหว่างสองข้างทางตั้งแต่ปากทางเข้าจะมีต้นสนขึ้นเรียงรายยาวไปจนถึงรั้วบ้าน


   ส่วนตัวบ้านสีขาวสะอาดสร้างด้วยไม้มีสองชั้น ด้านบนมีระเบียงยื่นยาวออกไปมองเห็นทิวทัศน์หน้าหาดชัดเจน รอบๆบริเวณบ้านมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกเอาไว้แม้ไม่เป็นระเบียบมากนักแต่ก็ไม่ได้รกหูรกตา คะเนด้วยสายตาก็รู้ว่าเจ้าของหมั่นดูแลเป็นอย่างดี คชินทร์ก็เล่าให้ฟังว่านี่เป็นบ้านคุณตาของนาคิน แต่ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว ดังนั้นแม่ของนาคินจึงจ้างคนสวนดูแล นานๆครั้งจึงจะได้กลับมาพัก


สนธยามองบรรยากาศโดยรอบแล้วอมยิ้มออกมาบางๆ เพราะรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ทว่าขณะที่กำลังชื่นชมความร่มรื่นของตัวบ้าน คุณป้าแพรไหมแม่ของนาคินก็บอกให้เด็กๆเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง


ห้องนอนในบ้านมีสามห้อง ห้องแรกเป็นห้องใหญ่ถูกจับจองโดยพ่อแม่และเจ้าตัวเล็กอีกสองคน ส่วนอีกห้องเป็นของมัทนาคนเดียวเพราะเธอเป็นผู้หญิงจะให้นอนรวมกับพี่ชายก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่ ดังนั้นห้องสุดท้ายจึงตกเป็นของนาคินและสนธยาไปโดยปริยาย


ตอนแรกสนธยาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากเขากับนาคินก็เคยนอนด้วยกันมาแล้วเมื่อคราวที่อีกฝ่ายป่วย ทว่าเมื่อเขามาอยู่ในห้องด้วยกันสองคน ระหว่างที่สนธยากำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ นาคินที่ลงไปนอนกลิ้งบนเตียงจนพอใจแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถมานอนตะแคงมองซ้ำยังเอาแต่จ้องไม่วางตา จนสนธยาต้องหันไปทำตาขวางใส่อย่างเหลืออด


“ทำหน้าอะไรอย่างนั้นครับ” นาคินว่าพลางกลั้วหัวเราะ

“ก็แล้วนายจ้องฉันทำไมล่ะ” สนธยาว่ากลับ

“รู้ได้ไงครับว่าผมจ้อง”

“ก็...” คุณครูคนเก่งอึกอัก ยังไม่ทันตอบนาคินก็พูดต่อ

“แหนะ! แอบมองผมอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” ไม่ว่าเปล่า มือหนายังชี้ไปที่กระจกในตู้เสื้อผ้าเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเห็นแต่แรกว่าสนธยามองจากตรงนั้น

“ไม่ใช่นะ…โว้ย!!” มือบางยกขึ้นขยี้หัวอย่างขัดใจ แก้มสองข้างขึ้นสีเรื่อนิดๆ นาคินคาดว่าเจ้าตัวคงจะอายที่ถูกจับได้ แต่อีกใจก็ยังคิดว่าไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน

“อย่าโมโหสิครับ แค่ผมรู้ทันเท่านี้เอง”

“นาคิน! หยุดพูดนะ” สนธยาว่าอย่างเหลืออด


ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาออกจะเป็นคนที่เยือกเย็น ไม่ยีหระสนใจอะไรทั้งนั้น แต่พอตอนนี้เมื่อถูกไอ้ตัวแสบยั่วประสาทเข้าหน่อย สนธยาก็ยากจะวิ่งเข้าไปบีบคอแล้วเขย่าแรงๆจนกว่านาคินจะหยุดหัวเราะ หรือไม่ก็หยุดมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะสายตาแบบนั้นมันไม่ดีต่อหัวใจของเขาเอาเสียเลย


“ฮ่าๆๆ ทำไมสนน่ารักนักนะ แล้วอย่างนี้จะให้เรียกพี่ได้ไงกัน

“ไอ้…ไอ้เด็กปีนเกลียว กวนประสาท” พอพูดจบสนธยาก็เดินหนีออกจากห้อง ทิ้งให้นาคินนั่งหัวเราะอยู่คนเดียวในห้อง

“อย่าเพิ่งไปสิครับ รอด้วย” จากนั้นคนตัวสูงจึงวิ่งตามอีกฝ่ายลงไปข้างล่าง


เมื่อลงมาถึงข้างล่างนาคินก็เห็นแม่กำลังเตรียมตัวไปตลาดสดในหัวหิน เนื่องจากคืนนี้จะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวเล็กๆริมหาด ดังนั้นแม่จึงตั้งใจออกไปหาซื้ออาหารทะเลสดๆมาเป็นวัตถุดิบเอาไว้ประกอบอาหารในตอนเย็น พ่อเป็นคนขับรถให้เหมือนเดิม มัทนาก็ของติดตามไปช่วยซื้อของด้วย ดังนั้นนาคินกับสนธยาจึงต้องอยู่ดูแลนาวินกับมิรินที่บ้าน เพราะน้องๆอยากเล่นน้ำทะเลจนใจแทบขาดอยู่รอมร่อ


“สนอยากได้อะไรไหมลูก” แพรไหมถามขึ้น

“ไม่ครับคุณป้า” สนธยายิ้มบางให้กับความใจดีของเธอ ก่อนปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

“ถ้าอย่างนั้นป้าฝากดูน้องๆด้วยนะจ๊ะ จะฝากเจ้าคินคนเดียวป้าก็เป็นห่วง” เพราะเธอรู้ว่าลูกชายคนโตของเธอไม่ค่อยถูกโรคกับน้ำเท่าไหร่ พูดง่ายๆก็คือแพรไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ แม้มันจะผ่านมานานมากแล้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ใครจะรู้

“ทำไมล่ะครับแม่ ผมโตแล้วนะ” เจ้าคนตัวโตเดินไปกอดอ้อนแม่นัวเนียอยู่พักหนึ่ง ก่อนถูกพ่อแท้ๆไล่ให้ออกห่างเพราะโรคห่วงภรรยากำเริบ

“ไปเลยเจ้าคิน ไปดูน้องโน้น วิ่งออกไปที่หาดกันหมดแล้ว”

“โธ่…พ่อ อย่าขี้หวงไปหน่อยเลยครับ อยู่กับแม่ทุกวัน”

“โตแล้วนะเรา ยังจะมาอ้อนแม่เป็นเด็กๆไปได้ อายพี่สนกับน้องพิมเขาหน่อยสิ” ผู้เป็นแม่ว่ายิ้มๆพลางพยักพเยิดไปทางที่สนธยากับพิมยืนอยู่ นาคินหันไปมองทางนั้นก่อนปล่อยแม่จากอ้อมแขน

“ไม่อ้อนแม่แล้วก็ได้ครับ” ว่าจบก็เดินไปหาสนธยาแล้วคว้ามือเรียวของนักดนตรีมากุมไว้ ก่อนฉุดให้เดินตามไป “ไปดูนาวินกันมิรินดีกว่าครับพี่สน”

“อ…อืม” สนธยามองพวกผู้ใหญ่สลับกับมือที่ถูกจับเอาไว้ อยากจะสะบัดออกจากการเกาะกุมทว่าเขาก็ไม่กล้า ดังนั้นจึงปล่อยให้นาคินจูงออกไปหาน้องฝาแฝดที่หาด

“ดูสิคุณ อยู่ที่ไหนลูกชายคุณก็มีคนให้อ้อนหมด” คชินทร์บอกกับภรรยา

“ดีนะคะที่คินสนิทกับสน ตอนแรกฉันก็กลัวว่าลูกจะอึดอัดที่ไปอยู่บ้านคุณมนตรี”

“ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ถึงพี่สนจะดูเงียบๆแบบนั้นแต่เขาก็ใจดี อีกอย่างพี่สนก็สนิทกับพี่คินมากๆเลยค่ะ แล้วในครอบครัวก็ชอบพี่คินทุกคน คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” มัทนาเอ่ยขึ้นหลังจากที่แพรไหมพูดจบ

“ขอบใจหนูมากนะพิม งั้นเราไปซื้อของกันนะคะ ไหนหนูพิมอยากกินอะไรจ๊ะ เดี๋ยวป้าพาไปเลือกนะ”

“ขอบคุณค่ะ” มัทนายิ้มหวานเป็นการขอบคุณ ก่อนถูกจูงมือไปขึ้นรถ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางเข้าตัวเมืองหัวหิน ทิ้งให้คนที่เหลืออยู่เฝ้าบ้านไปตามระเบียบ








ตอนมาถึงที่หาดนาคินเห็นนาวินกับมิรินนั่งเล่นกองทรายอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงจูงมือพาสนธยาไปนั่งกับเด็กๆด้วย แต่สนธยาก็ดึงมือออกจากการเกาะกุมเสียก่อน


“ไม่ต้องจับก็ได้มั้ง”

“ก็ผมกลัวสนไม่มาด้วยกันนี่ครับ”

“เหตุผลอะไรไร้สาระ” สนธยาบ่นพึมพำ แต่ก็ยอมเดินเคียงรุ่นน้องผู้ตัวโตกว่ามาจนถึงจุดที่เด็กๆเล่นกันอยู่ นาคินยิ้มกับเสียงบ่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเท่านี้เขาก็แทบหาเห็นผลให้ตัวเองไม่ได้แล้วว่าทำไมต้องถึงเนื้อถึงตัวกับอีกฝ่าย


โชคดีที่วันนี้แดดไม่ร้อนมากแล้วจะเป็นช่วงบ่ายก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงนั่งอยู่บนหาดโดยไม่ต้องร้องหาร่มได้ แต่มันก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากปลายฝนต้นหนาวแบบนี้บางทีก็กลัวว่าฝนจะตกลงมาทำลายบรรยากาศเหมือนกัน ใครใครก็รู้ว่าเด็กๆที่มาทะเลทุกคนก็อยากเล่นน้ำกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าฝนเกิดตกขึ้นมาแล้วล่ะก็ พรุ่งนี้แม่กับพ่อคงไม่ยอมให้สองแฝดเล่นน้ำเป็นแน่ เพราะกลัวแมงกะพรุนจะขึ้นมาเกยตื้นในช่วงเวลาแบบนั้น


สนธยามองน้องชายและน้องสาวของนาคินเล่นก่อปราสาททรายโดยดีไม่มีการทะเลาะเบาแว้งกันสักนิด เขาเองก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงมักไม่ค่อยเล่นด้วยกันได้นานนัก ยิ่งเป็นเด็กในวัยเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดเขากับมัทนายังเคยทะเลาะกันบ่อยๆ แม้จะไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากก็ตาม


มัวแต่คิดอะไรเสียเพลิน อยู่ๆมือเล็กของเด็กหญิงก็สะกิดที่ต้นแขน ใบหน้าเรียบติดจะหวานหันไปหาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“มีอะไรครับมิริน”

“มาเล่นด้วยกันสิคะพี่สน” สาวน้อยแก้มแดงว่าอายๆ

“เล่นอะไรดีล่ะครับ” สนธยาถามกลับ

“วินอยากเล่นฝังพี่คินค่ะ พี่สนมาช่วยกันนะคะ”

“ก็ได้ครับ” เมื่อมองแววตาออดอ้อนของเด็กน้อยสนธยาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง เขาจึงขยับลุกขึ้นไปนั่งใกล้ๆกับร่างของเจ้าลูกศิษย์ตัวโต

“สนก็เอากับเด็กๆด้วยเหรอ” นาคินถามยิ้มๆ

“ก็มิรินเขาชวนนี่”

“เป็นพี่ชายที่น่ารักจังนะครับ”

“พูดมากอีกแล้วนะ นอนนิ่งๆไปเลย” สนธยาไม่ว่าเปล่า เขายังใช้ถังใบเล็กตักทรายมาฝังบนตัวของนาคินเป็นการแก้แค้นอีกด้วย

“ใช่ค่ะ พี่คินนอนนิ่งๆ” มิรินสนับสนุน

“ฝังแล้วทำนูนๆตรงอกด้วยนะครับพี่สน วินอยากทำไอออนแมน” นาวินบอกอย่างนึกสนุก

“ได้สิครับ” สนธยาให้ไปยิ้มให้น้องชายตัวน้อย ก่อนหันมายิ้มร้ายให้คนที่กำลังจะถูกฝังตรงหน้า

“ทำหน้าเหมือนมีแผนร้ายเลยนะครับ”

“หึ” สนธยาแค่นยิ้มมุมปากทีหนึ่ง จากนั้นจึงตั้งใจโกยทรายฝังร่างสูง


นาคินมองอีกฝ่ายเล่นสนุกกับเด็กๆแล้วยิ้ม เขาไม่เคยเห็นด้านนี้ของสนธยาเลย ด้านที่เล่นสนุกเป็นเด็กเช่นนี้ เขาจึงพิจารณาคนตัวเล็กกว่าเงียบๆ แล้วอยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง



ถ้าอยากรู้จักคนคนนี้ให้ลึกซึ้งกว่าที่เป็น เขาควรจะต้องทำอย่างไรกันนะ



   หลังจากเล่นกันจนพอใจ เด็กๆก็ถูกเรียกให้ไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อมาย่างบาร์บีคิวทานพร้อมกัน นาคินที่โดนน้องๆรวมถึงสนธยาแกล้งจนตัวมีแต่ทรายได้รับสิทธิ์ให้ใช้ห้องน้ำก่อน ระหว่างนั้นสนธยาจึงออกไปยืนรับลมที่ระเบียง ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความโชคดีได้ไหม แต่ห้องที่มีระเบียงเชื่อมต่อให้เห็นชายหาดกลับเป็นห้องนี้แทนที่จะเป็นห้องใหญ่ สองหนุ่มจึงได้พักในจุดที่วิวดีที่สุดของบ้านไป


   เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลยืนเท้ามือกับระเบียง ปล่อยความรู้สึกไปกับเสียงคลื่นซัดฝั่ง ปล่อยให้ลมทะเลโชยพัดผิว  ดวงตาก็จ้องมองแสงอาทิตย์ยามอัสดงเป็นสีส้มอมแดงสวย เขาร้องเพลงออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีคนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง


   “นอกจากเล่นดนตรีเก่งแล้ว เสียงก็ดีด้วยนะครับ”


   “คิน” ตอนหันมา ใบหน้าเรียวเกือบปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง คนตัวเล็กกว่าจึงช้อนตาขึ้นมอง “มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “มาตั้งแต่นกขมิ้นเริ่มบินออกมาแล้วครับ” เพราะสนธยาฮัมเพลงนกขมิ้นเป็นเพลงแรก เจ้าตัวจึงรู้ว่านาคินยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว

   “เหรอ” พูดได้แค่นั้น เพราะอีกฝ่ายยังยืนชิดไม่ผละตัวออกห่าง คนสองคนอยู่ใกล้กันมากจนสนธยารู้สึกแปลกๆ มันประหม่าขึ้นมาอย่าไรบอกไม่ถูก ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกเช่นนี้แท้ๆ

“ครับ” นาคินตอบพร้อมจุดยิ้ม คนตัวโตมองสำรวจไปทั่วใบหน้ามน ในทีแรกก็เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อมาหยุดที่ดวงตาสีรัตติกาล ในหัวใจของนาคินก็กระตุกวูบก่อนเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ และหนักหน่วงขึ้นทุกที


   สนธยาเองก็ขยุกขยิกตัวไปมาอยู่ไม่สุข อยากเดินหนีจากสถานการณ์นี้เป็นที่สุด ทว่าก็ถูกดึงดูดด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มทรงเสน่ห์ จนยากจะถอนสายตาแล้วเดินจากไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมสติแล้วขอให้นาคินถอยห่าง


”ช่วยหลีกหน่อย…ได้ไหม”

“อ่ะ…ครับ” คนตัวโตยอมผละไปง่ายๆเช่นทุกที สนธยาจึงรีบกลับเข้าห้องแล้วหลบไปอาบน้ำ


หลังจากที่อีกฝ่ายเดินหายลับจากสายตาไปแล้ว นาคินกลับเป็นคนที่ต้องมายืนแทนที่ที่สนธยายืนอยู่เมื่อครู่ ร่างสูงยืนนิ่งแล้วครุ่นคิดถึงความรู้สึกของตัวเองในสมอง เพราะตอนนี้เขากำลังเกิดอาการสับสนอย่างหนัก และเรื่องสับสนที่ว่าก็คือ



ความรู้สึกที่เขามีต่อสนธยา



ความรู้สึกชื่นชม อยากที่จะอยู่ใกล้ อยากแกล้งเพราะต้องการเห็นอีกฝ่ายในแบบต่างๆ อยากดูแล และเป็นห่วงเวลาสนธยาไม่สบายกายไม่สบายใจ ทั้งหมดที่คิดถึงนั้น บางทีมันอาจช่วยยืนยันได้แล้วว่า ความรู้สึกที่มีมันไม่ใช่แค่ความชอบอย่างคนธรรมดา ทว่าอาจเป็นความรู้สึกชอบอย่างที่ต้นไผ่เพื่อนของนาคินเคยบอกไว้ก็เป็นได้


นาคินเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนรัก เพียงแต่ที่ผ่านมาคนรักของเขาเป็นผู้หญิง ถ้าลองพิจารณาดูดีๆไอ้ความรู้สึกที่มีต่อสนธยาก็มีส่วนคล้ายคลึงอยู่เหมือนกัน แค่มีความชื่นชมผสมอยู่มากกว่าเท่านั้น


นาคินไม่ได้สนใจหากว่าตัวเองเกิดชอบผู้ชายด้วยกันเองขึ้นมา แต่ที่เขากลัวคือ ถ้าเขายอมรับว่าชอบสนธยาจริงๆ อีกฝ่ายอาจปฏิเสธและตีตัวออกห่างไปก็เป็นได้ เพราะเท่าที่ผ่านมาสนธยาก็ดูจะหมั่นไส้เขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าเขาคิดกับเจ้าตัวอย่างไม่บริสุทธิ์ใจ คุณครูพี่สนของเขาจะว่าอย่างไรกันนะ…





V
V
V
(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 21-10-2015 21:25:42







   ปาร์ตี้บาร์บีคิวริมหาดเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพราะส่วนใหญ่ครอบครัวของนาคินค่อนข้างร่าเริงและอารมณ์ดีเป็นทุนเดิมกันอยู่แล้ว ระหว่างทานอาหารกันลุงคชินทร์ก็มีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย โดยส่วนใหญ่จะย้อนกันไปตั้งแต่สมัยที่ลุงคชินทร์ยังเรียนอยู่ ทั้งพ่อของสนธยาและลุงคชินทร์ต่างก็มีวีรกรรมแสบๆที่ทำร่วมกันมาหลายอย่าง ช่วยเรียกเสียงหัวเราะให้ทุกคนบนโต๊ะได้เป็นอย่างดี


    เล่าไปเรื่อยๆก็เริ่มโยงมาถึงเรื่องสมัยเมื่อนาคินยังเด็ก สนธยาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองเคยมาที่บ้านพักตากอากาศหลังนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว เห็นลุงคชินทร์บอกว่าตอนนั้นมัทนากับเจ้าแฝดยังไม่เกิด ครอบครัวสองครอบครัวนัดมาเที่ยวกันเหมือนครั้งนี้ เด็กน้อยที่ต้องคอยดูแลในตอนนั้นจึงมีแค่สนธยากับนาคินสองคนเท่านั้น


   “ป้าก็ไม่คิดเลยนะว่าพวกลูกๆจะสนิทกัน เพราะถึงตอนเด็กๆจะเคยวิ่งเล่นด้วยกันอยู่บ้าง แต่มันก็นานมากแล้ว” แพรไหมว่าขณะแกะกุ้งให้ลูกชายคนเล็ก

   “นั่นสิ แต่นึกถึงตอนนั้นก็ขำเสียไม่มี เจ้าคินตัวเล็กกระจิดริดต่างกับสน ทั้งที่อายุห่างกันปีเดียวแท้ๆ แม่ไหมยังเป็นกังวลอยู่เลย กลัวเจ้าคินจะไม่โต ให้ดื่มนมแทนน้ำเชียวล่ะ” คชินทร์กล่าวเสริม

   “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พี่สนก็ต้องดื่มนมเยอะๆนะครับ” นาวินหันมาบอกกับสนธยาทั้งที่ในปากเคี้ยวกุ้งตุ้ยๆ

   “ทำไมล่ะครับ” สนธยาถามกลับ

   “ก็พี่สนตัวเล็กกว่าพี่คินแล้วนี่ครับ” ทุกคนหัวเราะร่วนไปกับคำตอบของเด็กน้อย แต่มัทนากลับทำให้สนธยาต้องหน้ามุ่ยลงไปกว่าเดิม

   “พี่คินคงไม่สูงขึ้นแล้วล่ะค่ะน้องวิน”

   “ทำไมล่ะครับพี่พิม”

   “ก็พี่เค้าแก่เลยวัยมาแล้วนี่คะ” ว่าจบทุกคนก็หัวเราะครืนอีกคำรบ สนธยาได้แต่ชี้หน้าคาดโทษน้องสาวของตัวเองก่อนทานอาหารต่อ


   หลังจากมื้ออาหารผ่านไป ทุกคนก็นั่งคุยกันต่ออีกสักพัก ก่อนช่วยกันเก็บของแล้วแยกย้ายไปพักผ่อน เนื่องจากวันรุ่งขึ้นคชินทร์สัญญาว่าจะพาขับรถไปเที่ยวหลายที่ ดังนั้นพรุ่งนี้จึงต้องตื่นนอนกันแต่เช้าสักหน่อย


   เมื่อสนธยาอาสาช่วยแพรไหมล้างจานอยู่ในครัวจนเสร็จก็เดินขึ้นห้องนอน ทว่าพอมาถึงใครอีกคนที่ควรจะอยู่ในห้องแต่แรกกลับไม่อยู่ ขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปดูหรือนอนก่อนดี นาคินก็โผล่หน้าเข้ามาทางประตูเชื่อมออกไประเบียง


   “สนจะนอนหรือยังครับ”

   “ก็กำลังจะนอน” สนธยาตอบ

   “ง่วงแล้วเหรอครับ” นาคินถามอีกคำ

   “ก็…ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่หรอก” ไม่รู้ว่าจะโกหกไปทำไมในเมื่อสนธยายังไม่รู้สึกง่วงจริงๆ ตามปรกติแล้วเขานอนดึกกว่านี้มาก อีกทั้งนี่ยังเพิ่งทานอาหารอิ่มๆ จะให้นอนเลยก็กลัวว่ากรดคงไหลย้อนกันพอดี

   “ถ้ายังไม่ง่วงสนออกมานั่งเล่นกับผมก่อนไหม”

   “นั่งเล่นตอนสี่ทุ่มครึ่งเนี่ยนะ”

   “ครับ” นาคินพยักหน้ารับ “ที่นี่มีดาวให้ดูด้วยนะ” ว่าจบคนตัวสูงก็เดินเข้ามาทำท่าราวกับจะจูงมืออีกฝ่ายออกไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็น แต่สนธยาเลือกเดินออกไปที่ระเบียงด้วยตัวเองแทนอย่างรู้ทัน นาคินจึงได้แต่หัวเราะเก้อๆแล้วเดินตามออกไป


   ที่ระเบียงมีหมอนอิงกับผ้าห่มจัดเตรียมวางเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว สนธยาหันไปมองตัวการที่เดินมาด้านหลังเล็กน้อย แต่ก็แค่มองไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วเขาก็ทรุดนั่งลงบนผ้าห่มที่ถูกปูเอาไว้ นาคินยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนทรุดนั่งลงข้างๆกัน


   “สนเคยไปดูดาวที่ไหนไหม”

   “ไม่เคย”

   “งั้นเหรอ”

   “ถามทำไม”

   “ก็ผมอยากรู้ว่ากลุ่มไหนคือดาวลูกไก่ คิดว่าสนอาจรู้น่ะ”


   “ไม่รู้หรอก แต่ลองเปิดเว็บดูสิ เขาอาจบอกวิธีสังเกตก็ได้” พอได้ยินคำแนะนำนาคินก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาข้อมูลทันที แต่พอลองช่วยกันดูข้อมูลประกอบเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าที่เห็นนั้นใช่กลุ่มดาวที่ตามหาหรือเปล่า แต่มีดาวอยู่กลุ่มนึ่งที่สนธยาออกความคิดเห็นว่าเหมือนกลุ่มดาวนายพราน


   จากที่นั่งดูไปแล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ พอเริ่มดึกขึ้นทั้งสองคนก็เริ่มเลื้อยตัวลงนอนกับผ้าห่มซึ่งนาคินปูเอาไว้ก่อนหน้า นอนพูดคุยบ้างก็ถกเถียงไปพร้อมๆกับมองท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาว สนธยาปล่อยตัวตามสบายกว่าที่เคยเป็นจนนาคินเองก็รู้สึกได้ เนื่องจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคอยเหลือบมองดูคนข้างๆอยู่ตลอด


สนธยาไม่ใช่คนหน้าสวยมากมายนัก แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่มีเค้าหน้าหวานพอสมควร นาคินคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะขนตางอนยาวของเจ้าตัวที่ช่วยเสริมให้วงหน้าดูละมุนขึ้นก็เป็นได้ โดยไม่รู้ตัว จากที่มองดาวตอนนี้นาคินกลับหันมาสนใจดวงดาวที่อยู่ข้างๆมากกว่า ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งไม่อยากเคลื่อนสายตาไปไหน บางทีเขาคงต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขาหลงรักคนคนนี้เข้าให้แล้ว


“คิน”

“ครับ”


แต่จู่ๆเสียงนุ่มของสนธยาก็เอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา ก่อนผุดลุกขึ้นนั่งกอดหันหน้ามาทางนาคิน คนตัวสูงจึงจำใจต้องลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายไปด้วย เพราะท่าทางสนธยาเหมือนอยากพูดอะไรที่ดูจริงๆจังๆกับเขา


“ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายเคยบอกว่าจะเล่าอะไรให้ฉันฟัง วันนี้นายพอจะเล่าได้หรือเปล่า”


ได้ยินสิ่งที่สนธยาพูดนาคินก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก มันยากเหลือเกินที่กว่านาคินจะตัดสินใจยอมพูดเรื่องทั้งหมดที่เคยฝันและประสบพบเจอก่อนหน้านี้ให้ใครสักคนฟัง เขากลัวว่าถ้าใครได้ฟังคงคิดว่าเขาบ้าไปเสียก่อนจะเล่าจบ ทว่าเมื่อเขามองแววตาจริงจังของคนตรงหน้าเขาก็ตัดสินใจ



หากเป็นสนธยาแล้วล่ะก็…คงจะไม่เป็นไร



   “พี่สนเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไหมครับ”

   “เหนือธรรมชาติในทำนองไหนล่ะ เรื่องผีอะไรเทือกนั้นหรือเปล่า”

   “อืม…จะว่าเรื่องผีก็ไม่เชิงหรอกครับ” นาคินไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่ตัวเองประสบว่าอะไร หากบอกว่าผีหลอกก็ดูไม่ใช่เสียทีเดียว

   “งั้นเรื่องแบบไหน ระบุให้ชัดเจนสิ แต่ถ้าเรื่องผีน่ะ ฉันไม่เชื่อหรอก”

   “ผมบอกไม่ถูก…มันเหมือนเรื่องชาติภพอะไรประมาณนั้น”

   “กลับชาติมาเกิดแล้วก็เจอเจ้ากรรมนายเวรเหมือนในนิยายเหรอ” สนธยาเดาสุ่มออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่คำว่ากลับชาติมาเกิดและเจ้ากรรมนายเวรกลับทำให้นาคินรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

   “ผมก็…ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าครับ” นาคินเค้นเสียงตอบ

   “คิน”

   “ครับ”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างอย่างนั้น” เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดลงเรื่อยๆ มือหรือก็สั่นจนต้องคอยบีบกันเอาไว้แน่นๆ สนธยาจึงอดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้

   “พี่สน” นาคินเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “ว่าไง”

   “ตอนนี้…ถ้าผมเล่า พี่จะเชื่อผมไหม แล้วจะว่าผมบ้าหรือเปล่า”

   “ไม่รู้หรอกนะว่าจะเชื่อได้ไหม แต่คงไม่คิดว่านายบ้าแน่ๆ เพราะฉะนั้นเล่ามาสิ พี่คอยฟังอยู่






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



กลับมาแล้วค่ะ

ตอนนี้ก็ดูหวานๆ เบาๆ(?)
ความสัมพันธ์รุกคืบอะไรทำนองนั้น
ซึ่งมีคนถามว่าเรื่องนี้จะหวานแค่ไหน
จะเป็นไปในทิศทางใด
เอาจริงๆเรื่องนี้คงไม่หวานมากอะไรขนาดนั้น
ก็เป็นรักกุบกิบผมสมผสานกับเรื่องในอดีต
แต่ที่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
อันนี้ก็บอกไม่ได้ค่ะ กลัวจะสปอยด์ตอนจบไปเสียก่อน
แต่เรื่องนี้คงไม่หนักแบบ หนักหน่วงมากกกกกกกก
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแนวผีอะไรขนาดนั้น
บอกไม่ถูกจริงๆ 55555555
เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ก็ไปเรื่อยๆแบบนี้
ไม่หวานจ๋า และไม่ผีจ๋า (มั้ง)
ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆด้วยนะคะ
เดี๋ยวปริศนาก็จะค่อยๆคลายออกมาเองค่ะ

เจอกันตอนหน้า  :katai4:


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 22-10-2015 05:28:16
พี่สนทำน้องมิรินแก้มแดงด้วยนะคะนั่น ^^ เสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ เลยน้า~ :-[ รอฟังความจริงจากคินตอนหน้าจ้า..

 
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-10-2015 11:32:05
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-10-2015 19:45:20
ลุ้นอ่ะะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-10-2015 22:35:24
“สนอยากได้อะไรไหมลูก” ใยไหมถามขึ้น
พูดง่ายๆก็คือใยไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ

แม่น้องคินชื่อแพรไหม แต่มีใยไหมปะปนมาด้วยค่ะ

จะว่าไปสองคนนี้ก็ไม่เคยห่างกันเลย รู้จักกันตั้งแต่เด็กหรือจะพูดให้ถูกก็ตั้งแต่ชาติที่แล้ว

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 23-10-2015 09:43:57
ทั้งนาคินและพี่สนผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อนเลยนะ เด็กๆก็เล่นด้วยกันมา
คินจะเล่าให้พี่สนฟังแล้ว แต่มันจะผลกระทบอะไรต่อตัวคินไหม

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 23-10-2015 11:24:18
“สนอยากได้อะไรไหมลูก” ใยไหมถามขึ้น
พูดง่ายๆก็คือใยไหมยังคงฝังใจเรื่องที่นาคินฝันร้ายว่าจมน้ำตั้งแต่เด็กๆ

แม่น้องคินชื่อแพรไหม แต่มีใยไหมปะปนมาด้วยค่ะ

จะว่าไปสองคนนี้ก็ไม่เคยห่างกันเลย รู้จักกันตั้งแต่เด็กหรือจะพูดให้ถูกก็ตั้งแต่ชาติที่แล้ว

โอ๊ะ! พลาดไปแล้ว  :hao5:
ขอบคุณมากนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 23-10-2015 16:29:53
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนที่สิบสองเลย แฮร่~
เราคิดว่าเรื่องนี้ไม่หลอนสำหรับเรานะคะแต่เจือกลิ่นเศร้า เหมือนกับรักแต่บอกไม่ได้ เราชอบนะคะ ไม่ได้หวานมากแต่อบอุ่น ติดตามต่อไปค่ะ :)

ปล.เราเห็นตอนนึงพิมพ์คำว่า 'ขี้เหร่' เป็น 'ขี้เหล่' ต้องใช้ ร.เรือ นะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: mi22 ที่ 25-10-2015 19:42:37
อ่านรวดเลย ชอบมากค่ะ
ชอบความเรื่อยๆ ชอบภาษาคนเขียนด้วย
เนื้อเรื่องก็ดีค่ะ. น่าติดตาม
ชอบบทแม่แก้วมากค่ะ ชอบความละมุน เวลาพี่สนกับนาคินอยู่ด้วยกัน 5555
มีแต่ชอบเต็มไปหมดเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 29-10-2015 19:51:35
อยากรู้ว่าภาคอดีตจะเป็นไงส่งผลอะไรถึงปัจจุบัน
มีวิญญาณอยู่ในบ้านหรือเปล่า?
ถ้ามีคือวิญญาณใคร?สงสัย?ในเมื่อแก้วก็มาเกิดเป็นนาคิน
ส่วนสินก็มาเกิดเป็นสนแล้วนิ่?
(ใช่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เดาไปเรื่อย5555)
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๒ ☰ [๒๑/๑๐/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: kedtawan ที่ 30-12-2015 21:54:34
ตามหาตั้งนาน เคยลงในเด็กดี แล้วจู่จู่ก็หายไป มาเจอที่นี่ สุดจะดีมากกกก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ [๒๙/๐๓/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 29-03-2016 00:49:54




๑๓.







   นาคินรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นกับตนเองให้คนอื่นฟัง แต่เมื่อสนธยาบอกว่าจะฟัง เจ้าตัวก็นั่งฟังอย่างตั้งใจจริงๆ ผ่านไปสักพักหนึ่งนาคินจึงสามารถเล่าได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีก



ความฝันผนวกกับความจริงที่ประสบพบเจอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ค่อยๆ ร้อยเรียงลำดับออกมาเป็นเรื่องราวที่ชวนให้คนฟังรู้สึกอัศจรรย์ใจ หากสนธยาก็ไม่ได้ทักท้วงหรือพูดแทรก เขารอจนกระทั่งนาคินเล่าออกมาจนหมดก๊อก ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง



“นายเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังหรือเปล่า”

“ผม…ไม่ได้เล่า”

“ทำไมล่ะ” ที่ต้องถามก็เพราะคิดว่าพ่อแม่ควรเป็นคนที่นาคินให้ความไว้วางใจมากที่สุด

“ผมไม่อยากให้ท่านต้องคิดมาก”

“แค่นั้นเหรอ” เพราะเห็นนาคินทำสีหน้าแปลกๆ สนธยาจึงถามย้ำด้วยความเคลือบแคลง

“คือ…” ชายหนุ่มหยุดคิด ก่อนเอ่ยปากเล่า “คือตอนเด็กๆ ผมเคยมีประเด็นที่ฝันถึงเรื่องอะไรแปลกๆ บ่อย แม่ก็เลยกังวลมาก แต่มันก็หายไปหลังเริ่มโตขึ้นมา ตอนนี้ผมก็เลยไม่อยากบอกให้คนที่บ้านรู้”

“อ๋อ ถ้างั้นก็เอาเถอะ ฉันจะไม่ถามถึงเรื่องพ่อกับแม่ของนายก็แล้วกัน เพราะถือว่าตอนนี้นายไว้ใจที่จะเล่าให้ฉันฟัง” สนธยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนเปลี่ยนประเด็น “ถ้าอย่างนั้นงั้นหมดที่เล่ามา มีแค่ครั้งเดียวใช่ไหมที่นายรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป”

“ถ้าจำไม่พลาด มีครั้งที่เห็นเงาเด็กตะคุ่มหน้าเรือนดอกแก้วกับตอนที่ไปยืนตรงศาลาริมน้ำนะครับ” แม้ส่วนใหญ่สิ่งที่นาคินต้องรับรู้จะมาในรูปแบบของความฝันมากกว่า แต่เหตุการณ์น่าสะพรึงที่เจอเข้ากับตัวก็ไม่มีทางลืมได้ลงอย่างแน่นอน

“แต่นายบอกว่าตอนศาลาริมน้ำ นายไม่รู้ตัวว่ายืนอยู่นานขนาดนั้นได้ยังไงนี่นา ถึงจะไม่หลับไปแบบเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่รู้ตัวใช่ไหม”

“ก็ใช่ครับ” ได้ยินดังนั้นนาคินก็พยักหน้ารับ เนื่องจากครั้งนั้นเขาไม่รู้ตัวจริงๆ

“เพราะงั้นนายอาจจะหลับในก็ได้” สนธยาตั้งข้อสันนิษฐาน

“ยืนหลับเนี่ยนะสน”

“ฉันไม่รู้ แค่สันนิษฐานในทางวิทยาศาสตร์ไว้ก่อน นายจะให้มองว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็ได้ แต่เราควรมองสองทางจริงไหม”

“มันก็จริงครับ แต่…” แม้สนธยาจะบอกอย่างนั้น แต่นาคินก็ยังรู้สึกขัดแย้งในใจ เขาไม่รู้ตัวก็จริง ทว่าใครคิดว่าตัวเองยืนหลับได้เป็นชั่วโมงๆ

“แล้วที่ว่าเห็นเงาตะคุ่มของเด็กใต้ต้นไม้อีก ตอนนั้นมันมืดมาก บางทีอาจเป็นเงาไม้ก็ได้”

“เดี๋ยวนะ นี่สนจะบอกว่าผมตาฝาดแล้วเพ้อเจ้อไปเองเหรอ” นาคินรู้ว่าบางทีมันอาจเป็นอย่างที่สนธยาคิด แต่เขาก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เพราะมันเริ่มเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพบเจอกำลังกลายเป็นเรื่องเหลวไหลในสายตาของคนที่เขาเชื่อใจและเปิดใจเล่าให้ฟัง นาคินไม่อยากให้สนธยาคิดว่าเขาเพ้อเจ้อหรือบ้าไปเอง

“ฉันไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักคำเลยนะคิน แค่คิดเผื่อไว้หลายๆ ด้าน นายจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นว่าเรื่องที่ฝันกับเรื่องที่เจอมันคืออะไร”

“แล้วมันต่างกับที่ผมพูดตรงไหนครับ สุดท้ายสนก็คิดว่าผมเพ้อเจ้อไปเอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ



ด้วยเรื่องที่เล่าออกมาเป็นเหมือนอะไรที่มีผลกับความรู้สึกของนาคินพอสมควร เพราะนาคินอยู่กับมันมาเนิ่นนาน หลายสิ่งหลายอย่างที่ประสบมันทำให้เขาคิดและเชื่อมโยงไปว่าความฝันกับเหตุการณ์เหล่านั้นมีเงื่อนงำบางอย่างแฝงอยู่ คิดจนเชื่อว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง หาใช่เรื่องที่เขาฝันไปเอง



“นายก็รู้ว่ามันเชื่อยาก เรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้ว่านายบ้าหรือเพ้อเจ้อ ฉันแค่อยากให้นายเลิกคิดและหมกมุ่นกับมัน เพราะนายบอกเองว่าที่ล้มป่วยคราวนั้นก็เพราะเก็บเรื่องพวกนี้ไปฝัน” สนธยาว่าด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงชัดเจน เขาอยากสื่อให้รู้ว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาอย่างที่นาคินกล่าวหาสักนิด

“ผมจะเก็บเรื่องพวกนี้มาจากไหน ทั้งหมดนั่นมันเกิดขึ้นเอง ผมไม่ได้อยากคิดถึงมันสักหน่อย แต่มันก็ตามมาหลอกหลอนทุกคืน แล้วสนจะให้ผมทำยังไง”

“นี่ อย่าเพิ่งโกรธสิ”

“ผมไม่ได้โกรธ”

“ถ้าอย่างนั้นก็พูดกันดีๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น”

“ผมทำหน้าแบบไหนอยู่ล่ะ”

“ทำหน้าผิดหวัง” สนธยาว่า “ฉันขอโทษที่ทำให้นายผิดหวัง ขอโทษที่เป็นที่ปรึกษาดีๆ ให้นายไม่ได้ ฉันก็อยากจะฟังและช่วยเหลือนายเท่าที่ฉันจะช่วยได้ แต่นายต้องเข้าใจนะ เรื่องแบบนี้เอาไปบอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ”

“ผมเข้าใจครับ” พอคิดตามถึงสิ่งที่สนธยาพูด นาคินก็ต้องยอมรับเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เดิมทีเขาเองยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหล แม้จะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไปในภายหลังก็ตาม



นาคินนั่งก้มหน้าเงียบๆ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรอีก บรรยากาศระหว่างทั้งสองจึงค่อนข้างอึดอัดขมุกขมัวกว่าในตอนแรกราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ



สนธยารู้สึกว่าลมทะเลหวีดหวิวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งไม่ให้ความรู้สึกรื่นหูอีกแล้ว ดาวเกลื่อนฟ้าที่มองว่าสวยจนแทบหยุดหายใจก็ดูจืดชืดลงไปถนัดตา เขาจ้องมองคนที่นั่งก้มหน้านิ่งๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาทำลายความอึดอัด



“คิน”

“ครับ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มเงยกลับขึ้นมาสบตาคนเรียก

“ฉันไม่ได้ว่าอะไรนาย แค่ไม่อยากให้นายคิดมาก เหมือนที่พูดไปแล้ว”

“ครับ ผมรู้”

“ฉันเข้าใจว่าคนเรามีความเชื่อไม่เหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้ฉันยังไม่ปักใจเชื่อที่นายเล่า แต่ฉันก็ไม่ได้พูดสักคำว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างที่นายบอก ดังนั้นนายต้องใจเย็นก่อน”

“ครับ”

“อันที่จริง ฉันคิด…” สนธยามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเป็นปมก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่ไตร่ตรองอยู่ในหัวออกมา “คิดว่าที่นายพูดก็มีส่วนที่แปลกๆ เหมือนกัน”

“อะไรที่ว่าแปลกครับ”

“ก็ตรงที่เรื่องราวในความฝันของนายมันดำเนินไปเรื่อยๆ น่ะสิ ฉันว่ามันน่าแปลก”

“ยังไงครับ อธิบายหน่อย ผมไม่เข้าใจความหมายของสน”

“มันน่าแปลกตรงที่ ถ้านายหมกมุ่นมากๆ นายควรฝันเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาถูกไหม แต่นี่จากที่ฟังนายเล่า ดูเหมือนว่าเรื่องราวในความฝันจะดำเนินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่แม่แก้วอะไรนั่นเป็นเด็ก จนกระทั่งโตเป็นสาวแล้วรักกับคุณสิน ทุกครั้งที่ฝันถึงก็เป็นเรื่องราวใหม่ๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ แล้วสนคิดว่ามันจะพอมีโอกาสเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงไหมครับ”

“ไม่แน่ใจนะ แต่ถ้าฉากหลังเป็นเรือนดอกแก้ว เราก็น่าจะสืบหาเรื่องพวกนี้ได้ไม่อยาก” ชายนุ่มครุ่นคิด

“สนหมายความว่ายังไง”

“ก็หมายความว่า ถ้าเรื่องเกิดขึ้นจริงในบ้านของฉัน ไม่ว่าจะย้อนอดีตไปนานแค่ไหน มันก็ต้องมีประวัติหรือเรื่องราวหลงเหลือให้ญาติพี่น้องในรุ่นของฉันรู้บ้างน่ะสิ”

“แล้วสนพอจะรู้ไหม” ความคิดของสนธยาจุดประกายความหวังของนาคินขึ้นมา บางทีเขาอาจไขปริศนาทั้งหมดออกในไม่ช้า

“ฉันไม่แน่ใจ ถ้านานขนาดเป็นจางวางในสมัยพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.5 ฉันคงต้องถามพ่อ”

“แต่ถ้าเขาเป็นบรรพบุรุษของสน สนก็น่าจะพอรู้จักบ้างนะครับ”

“อืม…ก็พอรู้ว่าคุณเทียดที่เป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วท่านเป็นครูดนตรีน่ะนะ แต่ท่านไม่ได้ชื่อสิน” ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงบรรพบุรุษที่พ่อเคยเล่าประวัติให้ฟังสมัยยังเป็นเด็ก

“แล้วท่านชื่ออะไรครับ”

“ท่านชื่อสร ท่านเป็นคนสอนดนตรีให้ปู่ จากนั้นบ้านเราก็เป็นนักดนตรีกันมารุ่นต่อรุ่น จนถึงปัจจุบันนี่แหละ ส่วนคนที่ชื่อสิน ฉันจำไม่ได้ว่าเคยได้ยิน”



ในความทรงจำของสนธยา เทียดสร หรือ พ่อครูสร เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลที่ริเริ่มการเรียนการสอนดนตรีไทย คุณพ่อของสนธยาเคยเล่าว่าท่านเป็นครูดนตรีมีชื่อในสมัยนั้น ทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย และที่สำคัญท่านยังเป็นผู้สร้างชื่อให้วงศ์ตระกูล จนปัจจุบันเมื่อเอ่ยนามสกุลของสนธยา คนในวงการก็จะรู้ว่าเป็นเชื้อสายของพ่อครูผู้เป็นตำนานคนสำคัญหนึ่ง



“คุณเทียดสรเป็นคนปลูกเรือนดอกแก้วเหรอครับ คือผมหมายถึง ท่านเป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วคนแรกใช่ไหม” นาคินกระตือรือร้นถาม

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ฉันไม่แน่ใจ”

“อ้อ” นาคินครางรับเบาๆ เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย เพราะในความฝันของเขา บุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนดอกแก้วคือ คุณสิน หรือ จางวางวิเศษไกรศิลป์ ไม่ใช่พ่อครูชื่อสรอย่างที่สนธยาบอกแน่นอน

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้านายยืนยันว่ามันไม่ใช่ความฝันธรรมดาๆ ทั่วไป ฉันก็จะช่วยนายสืบความเรื่องผู้หญิงชื่อแก้วกับคุณสินให้ แต่คงต้องหลังกลับจากที่นี่ก่อนนะ” สนธยาเสนอ

“สนอึดอัดใจที่ต้องทำหรือเปล่า” นาคินรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เพราะเขากลัวว่าตนเองจะเป็นภาระให้อีกฝ่าย

“ไม่อึดอัด ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงมันเป็นยังไง อีกอย่างนายจะได้ไม่ต้องเก็บมาคิดมากด้วย ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน ฉันคิดว่าทุกอย่างจะต้องกระจ่างในที่สุด”

“ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าบอกว่าจะช่วยความหมายมันก็เป็นเหมือนที่พูด ฉันเต็มใจและจะอยู่ข้างนายไม่ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นยังไงก็ตาม” มือเรียวของนักดนตรีหนุ่มยื่นไปบีบหลังมือใหญ่ของนาคินเบาๆ ให้เจ้าตัวดีคลายอาการบีบเกร็งออก ทั้งดวงตาสีนิลคู่ใสก็จ้องมองลูกศิษย์ตัวโตด้วยแววอ่อนโยนและมั่นคง นาคินจึงค่อยๆ ลดความตึงเครียดและคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง




นาคินตัดใจว่า แม้สนธยาจะไม่ได้เชื่อเหมือนที่เขาเชื่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้เจ้าตัวก็ให้สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง นั่นแปลว่าเขาจะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว



“สน”

“หืม?”

“ขออะไรอีกอย่างได้ไหมครับ”

“อะไร”

“ขอหนุนตักได้หรือเปล่า”

“เรื่องอะไร ไม่เกี่ยวกันสักนิด” สนธยาปล่อยมือที่กุมเอาไว้ออก ก่อนจะขยับตัวหนี

“ก็ตอนนี้ผมกำลังไม่สบายใจ ผมอยากให้สนปลอบใจนี่นา”

“หมอนก็มีนั่นไง หนุนหมอนไปสิ” ไม่ว่าเปล่า สนธยายังโยนหมอนที่อยู่ข้างตัวให้นาคินเพิ่มอีกใบด้วย

“โถ่ พี่สนครับ” เจ้าลูกศิษย์ตัวโตอ้อนเสียงอ่อน

“ทีอย่างนี้ทำมาเรียกพี่ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ นะนาคิน” สนธยาบ่นแต่นาคินก็ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำใจกล้าขออีกรอบ

“นะครับ ขอนอนหนุนตักหน่อย” ดวงตาสีน้ำตาลมองเข้มเว้าวอนเสียจนสนธยาอยากเบือนหน้าหนี หากก็ไม่อาจทำได้ ด้วยสายตาของอีกฝ่ายนั้นมีแรงดึงดูดมากเหลือเกิน สุดท้ายหนุ่มนักดนตรีก็ต้องยอมแพ้ให้แก่ลูกอ้อนของลูกศิษย์ตัวป่วยจนได้

“ก็ได้”

“เยส! ขอบคุณครับ” นาคินขอบคุณด้วยน้ำเสียงเริงร่าแล้วตั้งท่าจะล้มตัวนอนหนุนตัก แต่ก็ถูกสกัดดาวรุ่งเสียก่อนเมื่อคุณครูพี่สนเอ่ยเงื่อนไขข้อหนึ่งขึ้นมา

“ฉันจะให้นานนอนหนุนตักอย่างที่ขอก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่าพี่ เพราะฉันไม่ชอบคนปีนเกลียว”

“ก็ได้ครับ” นาคินยอมง่ายๆ ทว่าก็ไม่วายตั้งข้อแม้ของตัวเองบ้างราวกับกลัวจะเสียเปรียบ “แต่สนต้องแทนตัวเองว่าพี่เหมือนกันนะ”

“ไม่ถนัด” สนธยาปฏิเสธทันที

“ผมก็ไม่ถนัดเหมือนกัน”

“งั้นก็เรื่องของนาย ฉันไปนอนล่ะ”

“เดี๋ยวสิครับ เดี๋ยวๆ” พอสนธยาผุดลุกขึ้น นาคินก็คว้ามือเอาไว้

“ว่าไง”

“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิครับ…พี่สน” สุดท้ายเมื่อนาคินยอม สนธยาจึงยอมบ้างเหมือนกัน เขานั่งขัดสมาธิลงตามเดิมก่อนเสมองท้องทะเลในยามราตรี จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ

“จะทำอะไรก็ทำสิ”

“ครับ!~”



ครั้นเมื่อตอบรับแล้วนาคินก็ล้มตัวลงนอนหนุนตักของพี่ชายใจดี ตาคมได้แต่จ้องมองปลายคางของอีกฝ่าย เนื่องจากสนธยาไม่ยอมก้มหน้าลงมาสบตาด้วย แต่นาคินก็รู้ว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะสนธยากำลังขัดเขิน ชายหนุ่มจึงหลับตาลงไม่และไม่พยายามทำอะไรที่อีกฝ่ายต้องตกประหม่ามากกว่าเดิม



บรรยากาศยามนี้ผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนปะทะอารมณ์เมื่อครู่มากนัก มันคล้ายกับทะเลที่สงบหลังพายุกระหน่ำ นาคินนั้นไม่ได้หลับแต่กำลังทบทวนเรื่องที่เปิดใจเล่าให้สนธยาฟังเมื่อครู่ เขาอยากให้ถึงวันที่สามารถตัดสินได้เสียที ว่าเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่คิดไปเอง เขาไม่อยากจมอยู่กับความคิดที่วกวนจนบางครั้งราวกับกำลังจะกลายเป็นบ้า เพราะกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะแยกความจริงกับความฝันไม่ออก



   ส่วนคนทำหน้าที่ต่างหมอนก็ก้มลงมองคนที่หนุนตัก เนื่องจากอีกฝ่ายเงียบไปจนเกรงว่าจะเผลอหลับ สนธยาพบว่าเจ้าลูกศิษย์ตัวโตนอนหลับตา คิ้วเข้มขมวดแน่น และเมื่อสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิด เขาก็เห็นความอ่อนล้าบนใบหน้าของอีกฝ่ายด้วย สนธยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านาคินมีสภาพทรุดโทรมลงไปขนาดนี้ แม้ก่อนหน้าจะเจ้าตัวจะดูเหนื่อยๆ บ้างก็ตาม



   เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง เรื่องที่นาคินเล่าคงจะมีรบกวนจิตใจของชายหนุ่มมากจริงๆ ทั้งก่อนหน้าที่ไม่สบายหนักและยังหมดสติไปเฉยๆ เช่นวันนั้น เขาหงุดหงิดตัวเองที่ไม่พยายามทำให้นาคินเปิดใจเร็วกว่านี้ ไม่พยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เร็วกว่านี้ ทั้งที่ยามเมื่อเขามีปัญหา เป็นนาคินเสียอีกที่ค่อยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ จนเขาผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้



   มือนุ่มของหนุ่มนักดนตรียกขึ้นมาลูบหัวของลูกศิษย์ตัวโตเบาๆ สัมผัสที่ได้รับจากสนธยาทำให้นาคินรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ความคิดวุ่นวายที่อยู่ในหัวถูกปัดปลิวให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นการปลอบประโลมที่ทำให้นาคินตื้นตันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คล้ายกับว่าในส่วนลึกที่สุดของหัวใจนั้นโหยหาสัมผัสของอุ้งมืออุ่นคู่นี้มาตลอด



   ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง และเขาก็พบกับดวงตาอีกคู่ที่เฝ้ามองเขาอยู่ก่อนแล้ว ในวินาทีนั้นช่วงเวลาที่ไหลผ่านกายเหมือนหยุดลงแล้วค่อยๆ ย้อนกลับไปในห้วงอดีต อดีตที่เคยถูกมองด้วยสายตาอ่อนโยนของคนคนนั้น





สายตาของชายหนุ่มที่ชื่อว่า ‘สิน’







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧





สวัสดีค่ะ
ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว 555555
หลังจากที่หายจะเรื่องนี้ไปนาน
ตอนนี้กลับมาสปีดต่อเรียบร้อย
ตั้งใจว่าจะให้จบในเร็ววันนี้
ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอนานค่ะ  :hao5:



ละอองฝน.

[๒๙/๐๓/๒๕๕๗]
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ [๒๙/๐๓/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-03-2016 08:52:44
เย้ๆ กลับมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ [๒๙/๐๓/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 29-03-2016 11:14:12
ดีใจที่กลับมาต่อ คิดถึงคิน
ขอให้คุณสินกับแก้วได้มีความสุขสักทีนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ [๒๙/๐๓/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 29-03-2016 11:58:14
พี่สนแพ้ให้กับลูกอ้อนของเจ้าเด็กตัวโตอีกจนได้นะคะเนี่ย :-[ 
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๓ ☰ [๒๙/๐๓/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-03-2016 09:23:36
 :pig4: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ [๓๑/๐๕/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 31-05-2016 08:47:24


๑๔.





   แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านขาวที่ปลิวไสวเพราะลมทะเลเผยให้เห็นสองร่างที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงกว้าง นาคินและสนธยาต่างก็จมอยู่ในห้วงนิทราไม่รู้สึกตัวทั้งที่คนในบ้านตื่นนอนกันหมดแล้ว จนกระทั่งแพรไหมวานให้มัทนาขึ้นมาเคาะประตูห้องเรียกให้ลงไปทานอาหารเช้านาคินจึงรู้สึกตัว


   สนธยาตั้งใจจะลุกไปเปิดประตูแล้วบอกกล่าวกับน้องสาวว่าตนเองตื่นนอนแล้ว แต่ข้างกายกับมีอุปสรรคชิ้นโตขวางเอาไว้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงตะโกนโต้ตอบกับมัทนาเท่านั้น


   เมื่อมัทนาถอยกลับลงไปทานอาหารข้างล่างเรียบร้อย คนที่เพิ่งตื่นนอนก็ก้มหน้ามองศีรษะของใครอีกคนซึ่งพาดอยู่บนหน้าท้องของตน ชายหนุ่มนึกขำกึ่งฉุนเจ้าลูกศิษย์ตัวโตที่นอนดิ้นจนลงไปคู้ตัวหนุนท้องเขาแบบนั้น พลางคิดในใจว่าควรจะปลุกดีๆ หรือผลักหัวออกไปเลยจะได้ตื่นเต็มตา แต่ขณะที่กำลังนึกลังเลตัวเจ้าปัญหาก็รู้สึกตัวเสียก่อน


   นาคินขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งทันทีเมื่อรู้ว่าตนนอนท่าไหน ชายหนุ่มหันกลับมามองสนธยาเลิกลัก เมื่อพบว่าคุณครูพี่สนตื่นอยู่ก่อนแล้วก็เผยยิ้มแหยออกมา แล้วว่า


   “ตื่นนานหรือยังครับ”

   “เพิ่งตื่นเมื่อกี้” สนธยาตอบขณะกระถดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “นายนี่นอนดิ้นไม่ใช่เล่นนะ”

   “พี่สนหนักไหม”

   “หนักและเมื่อยมากกก” เขาลากเสียงยาวคำหลังอย่างจงใจ

   “ขอโทษครับ”

   “ไม่ยกโทษให้” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเหนือกว่า

   “ใจร้ายจัง ถ้าขอโทษแล้วยังไม่ยกโทษให้ พี่จะให้ผมไถ่โทษยังไงดีล่ะครับ” เจ้าตัวดีแสร้งทำเป็นหูลู่หางตก แต่นัยน์ตากลับประกายระยับต่างจากท่าทางสลดสุดกู่

   “นายคิดสิ”

   “งั้น…ผมนวดให้ดีไหม” ไม่ว่าเปล่า นาคินยังยื่นมือออกมาแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น กระทั่งสนธยาต้องขยับหนี

   “ไม่ต้อง ฉันแค่ล้อเล่น” เห็นนาคินดูจริงจังที่จะแกล้งตนเองมากกว่าสำนึกผิด ความรู้สึกเหนือกว่าก็ลดลงไปจนติดลบ อะไรๆ ก็ชักไม่สนุกอย่างที่คิดเสียแล้ว

   “ไม่ได้สิครับ ผมต้องทำอะไรสักอย่างไถ่โทษ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดมาก”  เว้นวรรคเพียงแค่นิดเดียว ยังไม่ทันที่สนธยาจะเอ่ยปฏิเสธอีกรอบ นาคินก็ว่าต่อ “ ผมคิดออกแล้ว ในเมื่อไม่อยากให้นวดให้ ถ้างั้นพี่สินก็นอนทับพุงผมแทนดีกว่า เราจะหายกัน”

   “ไม่เอาๆ เมื่อกี้ที่ว่านั่นฉันแค่ล้อเล่น ฉันไม่ได้ติดใจอะไรสักหน่อย”

   “ไม่ได้ครับ ผมต้องรับผิดชอบพี่” ร่างโตกว่าของรุ่นน้องเข้าไปคลุกวงใน พยายามบังคับขู่เข็นด้วยร่างกายให้รุ่นพี่ล้มตัวลงนอนหนุนตัวเอง

   “ไม่เอา อย่าเล่นบ้าๆ นะคิน!” สนธยาปัดป้อง สู้กันชุลมุนชุนละเก จนหนุ่มรุ่นพี่กระโดดลงจากเตียงได้ เจ้าตัวจึงสบถออกมาหนึ่งคำ

“โธ่ ไม่ได้เล่นสักหน่อยครับ” ชายหนุ่มว่าอย่างแสนเสียดายที่คว้าตัวสนธยาเอาไว้ไม่ได้

“ยังจะมาแก้ตัวอีก” สนธยามุ่ยหน้า ก่อนเปลี่ยนสีหน้ามาอยู่ในโหมดจริงจัง “แล้วเมื่อคืนฝันอะไรแปลกๆ อีกไหม”

“ไม่นะครับ หลับสนิทเลยล่ะ”

“ดีแล้ว”

“นั่นแน่! พี่สนเป็นห่วงผมเหรอครับ”

“ไม่เลย แค่ถามเฉยๆ”

“แหมใจร้ายจัง ผมเสียใจเลยนะเนี่ย”

“เรื่องของนายสิ” ว่าจบหนุ่มรุ่นพี่ก็คว้าผ้าเช็ดตัวหนีเข้าห้องน้ำทันที



   นาคินได้แต่นั่งหัวเราะในท่าทางนั่น รู้สึกสนุกสดชื่นที่ตื่นขึ้นมาก็แกล้งให้คุณครูพี่สนแหวใส่ได้สองสามประโยค เขาชอบความสัมพันธ์ของตนเองกับสนธยาในเวลานี้เหลือเกิน แม้เมื่ออยู่ในอารมณ์ปรกติสนธยาจะพูดคุยกับเขาในรูปประโยคเหมือนๆ เดิมไม่เปลี่ยน  แต่นาคินก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะเปิดใจรับเขาได้แล้ว ซ้ำยังคอยเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกจริงๆ ที่เลือกบอกเรื่องความฝันลึกลับนั้นกับสนธยา








   เมื่อทำกิจวัตรส่วนตัวในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ทั้งสนธยาและนาคินก็ลงไปทานอาหารข้างล่างซึ่งทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทันทีที่เห็นสองหนุ่มลงมาจากห้องคชินทร์ก็แจงโปรแกรมทัวร์ของวันนี้ให้ฟัง ซึ่งมีทั้งไปไหว้พระขอพรที่วัดเขาตะเกียบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก แล้วก็ยังไปตลาดน้ำสามพันนามก่อนจะพาเด็กๆ แวะสวนน้ำเป็นที่สุดท้ายค่อยกลับเข้ามาพักผ่อน เพื่อวันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางกลับกรุงเทพ


   ดังนั้นหลังจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ สนธยากับนาคินจึงต้องเดินขึ้นไปเตรียมชุดที่จะเอาไว้ผลัดเปลี่ยนหลังเล่นที่สวนน้ำ เมื่อเรียบร้อยเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็พากันลงมาสมทบกับทุกคนแล้วพากันออกเดินทาง


   ขับรถไม่ถึงสิบห้านาทีนาคินก็พากทุกคนมาถึงวัดเขาตะเกียบ เขาจอดรถห่างจากทางเข้าวัดพอสมควรเพราะก่อนทางขึ้นวัดเป็นชายหาด ที่จอดรถจึงถูกสร้างให้อยู่ห่างออกมาหน่อย


   แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ที่วัดกลับไม่มีนักท่องเที่ยวมากอย่างที่คิด พวกนาคินพากันเดินขึ้นเขาไปสบายๆ ไม่เร่งรีบ วัดเขาตะเกียบนั้นแบ่งออกเป็นสองตอน เดินมาช่วงครึ่งแรกจะมีพระพุทธรูปให้สักการบูชา มีตู้บริจาค จุดเซียมซี และวัตถุมงคลให้เช่าเหมือนวัดทั่วๆ ไป


   แม่แพรไหมหยิบเงินให้นาคินไปซื้อดอกไม้และธูปเทียนมาให้ทุกคน เมื่อได้รับแจกธูปเทียนจากนาคินแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกกันไปจุดธูปเทียนกราบไหว้กัน


   นาคินเดินมาต่อแถวจุดเทียนที่ตะเกียงน้ำมันตะเกียงเดียวกับสนธยา เมื่อสนธยาจุดเสร็จแล้วหันมาเจอนาคิน ชายหนุ่มก็ยื่นธูปกับเทียนที่จุดแล้วของตนเองให้หนุ่มรุ่นน้อง ก่อนดึงเอาเทียนกับธูปของอีกฝ่ายมาจุดต่อ พอเรียบร้อยก็ตั้งท่าจะเดินไปไหว้ที่แท่นบูชา แต่ปรากฏว่าเจ้าหนุ่มรุ่นน้องยังคงยืนรออยู่ที่เก่า พวกเขาจึงต้องเดินไปไหว้พระข้างๆ กัน


   ด้วยทั้งคณะมากันหลายคน ผนวกกับลมบนเขา ทำให้ควันธูปขาวลอยตลบอบอวนชวนให้แสบตา นาคินรีบสวดรีบไหว้แล้วคลานไปปักธูป ตั้งเทียนและปักดอกไม้ในกระถาง ก่อนถอยออกมายืนรอสนธยาที่ยังนั่งสวดมนต์ตามแผ่นป้ายไม่เสร็จ


   ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองแผ่นหลังตั้งตรงของคนตรงหน้าเงียบๆ แล้วอยู่ๆ ภาพของใครคนหนึ่งในความฝันก็ซ้อนทับเข้ามา แม้จะต่างที่  ต่างเวลา แต่ด้วยลักษณ์ท่าทางกลับทำให้คนสองคนดูละม้ายคล้ายคลึงราวคนเดียวกัน นาคินเพ่งพิจารณาอยู่เช่นนั้นดั่งตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งสนธยาปักธูปเทียนเรียบร้อยแล้วหันกลับมา ภาพที่ซ้อนเข้ามาทับเมื่อครู่จึงถูกสลัดออกไปได้


   “ทุกคนล่ะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเป็นนิจถามขึ้น เมื่อไม่เห็นคนอื่นๆ อยู่ในสายตา

   “เอ่อ…ไม่รู้สิครับ” นาคินที่ไม่ได้สนใจใครอื่นเลยเพราะเอาแต่มองสนธยา ไม่สามารถตอบได้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวไปไหน แต่คาดว่าคงขึ้นไปสักการะด้านบนต่อแล้ว เขาจึงว่า “เจ้าสองแฝดกับแม่ไหว้เสร็จก่อนใคร สงสัยพากันขึ้นไปด้านบนแล้วมั้งครับ”

   “งั้นเรารีบตามไปเถอะ”

   “ครับ” นาคินพยักหน้า ก่อนเดินนำสนธยาออกไป



   ก่อนถึงช่วงบนของวัดเขาตะเกียบต้องเดินขึ้นเขาด้านบันไดเล็กและชันพอสมควร นาคินจึงให้สนธยาเดินนำขึ้นไปก่อน ตัวเองจะได้คอยระวังหลังให้ เผื่อว่าคุณครูพี่สนของนักเรียนตัวโตก้าวพลาด เขาจะได้คอยรับทัน แต่อะไรที่นาคินกลัวก็ไม่เกิดขึ้น เพราะสนธยาเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง มิหนำซ้ำยังเดินเร็วกว่านาคินเสียอีก


   ครั้นขึ้นมาถึงบริเวณวัดส่วนบน พวกเขาทั้งสองคนก็พบคนอื่นๆ อยู่กันที่ระเบียงใหญ่ซึ่งเป็นจุดชมวิวของวัดเขาตะเกียบ นาคินเร่งฝีเท้าให้เท่าเทียมคนข้างหน้า เพื่อเดินเคียงกันไปหาพ่อ แม่และน้องๆ พวกเขาพักเหนื่อยและถ่ายรูปที่จุดชมวิวกันจนพอใจ คชินทร์จึงเสนอให้ไปยังสถานที่ถัดไป เนื่องจากเด็กๆ อยากเล่นน้ำที่สวนน้ำกันเต็มที


   ระหว่างเดินลงเขาเพื่อกลับไปที่รถ นาคินก็นึกไม่อยากไปเล่นน้ำกับพวกน้องๆ ขึ้นมา เขาจึงกระซิบถามสนธยาว่าอีกฝ่ายคิดเห็นยังไง


   “พี่สนอยากเล่นน้ำไหมครับ”

   “เฉยๆ เล่นก็ได้ ไม่เล่นก็ได้” นาคินตอบตามจริง แม้จะค่อนไปทางไม่อยากมากกว่า เพราะเขาก็โตแล้ว ไม่ค่อยชอบเล่นอะไรเหมือนเด็กๆ ทั้งสวนน้ำก็มีเด็กเยอะและวุ่นวายไปหมดอีกด้วย

   “งั้นเราไปเที่ยวที่อื่นกันไหมครับ ผมไม่ค่อยอยากเล่นน้ำเลย”

   “พ่อกับแม่นายจะไม่ว่าอะไรหรือไง”

   “ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมขอเอง”

   “แล้วนายอยากไปไหนล่ะ”

   “ตลาดน้ำไหมครับ อยู่ไม่ไกลจากสวนน้ำที่เด็กๆ จะไปเท่าไหร่ ไปเดินเล่น หาอะไรกินกัน เดี๋ยวบ่ายนิดๆ ค่อยซื้ออาหารมาฝากทุกคนที่สวนน้ำด้วย” ครั้นได้ยินคำตอบ นาคินก็รีบเสนอทันที

   “เอางั้นก็ได้” สนธยาพยักหน้า ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วเราจะไปกันสองคนเหรอ”

   “ก็ไปกันสองคนสิครับ เด็กๆ น่าจะอยากเล่นน้ำนะผมว่า พ่อกับแม่เองก็คงอยู่คอยเฝ้าน้องๆ”

“อืม” สนธยาพยักหน้าเข้าใจ  เพราะนอกจากเด็กๆ แล้ว ดูเหมือนน้องสาวของเขาก็อยากไปที่สวนน้ำนั่นด้วยเหมือนกัน

“ทำไมล่ะครับ พี่สนไม่อยากไปกับผมสองคนเหรอ” คนตัวโตไม่ได้ว่าอย่างแง่งอน แต่ก็อดรู้สึกใจเสียไม่ได้

   “เปล่า แค่กลัวว่าพ่อกับแม่ของนายจะน้อยใจที่เราขอแยกไปเที่ยวกันเอง เพราะยังไงก็มาเที่ยวทริปครอบครัว”

   “พวกท่านไม่ว่าหรอกครับ เดี๋ยวผมพูดเอง พี่สนไม่ต้องห่วง”

   “ตามใจนาย”


   ตกลงกันเสร็จนาคินก็วิ่งไปหาพ่อกับแม่ที่เดินอยู่ด้านหน้าเพื่อเอ่ยขอแยกไปเที่ยวอีกที่หนึ่ง คชินทร์กับแพรไหมไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกับที่สนธยาคิด เพราะทั้งสองเข้าใจว่าหนุ่มๆ สองคนไม่ได้อยากเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ อีกแล้ว ซ้ำการที่ลูกชายจะไปเที่ยวตลาดยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะสั่งซื้อขอฝากเสียเลย เมื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนอีก


   กลับจากวัดเขาตะเกียบนาคินก็พาทุกคนไปส่งที่สวนน้ำ และนัดเจอกับครอบครัวอีกครั้งตอนบ่ายสาม สนธยาเป็นคนเก็บใบรายการของฝากที่แพรไหมต้องการเอาไว้ จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินทางต่อไปยังตลาดน้ำมีชื่อที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก


   บรรยากาศยามไปถึงตลาดน้ำนั้นต่างกับตอนไปถึงวัดเขาตะเกียบลิบลับ อาจเพราะเป็นช่วงเวลาเกือบเที่ยงวันจึงทำให้ที่นี่แน่นขนัดไปด้วยผู้คนซึ่งมาจับจ่ายใช้สอยและหาอาหารกลางวันทาน นาคินกับสนธยาตกลงกันว่าจะเดินเล่นกันก่อน ใกล้กลับค่อยเดินหาซื้อของฝากตามรายการ


   ตัวตลาดถูกออกแบบมาให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในตลาดโบราณ ทั้งข้าวของและตัวอาคาร รวมถึงจุดที่จัดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป นาคินเองก็ดูจะชอบสถานีรถไฟหัวหินจำลองมากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวใช้เวลาถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นนานสองนาน หากแต่สนธยาก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องจากเขาเองก็ใช้เวลาเดินดูร้านรวงต่างๆ มากเหมือนกัน


   พอแดดเริ่มแรงขึ้นสองหนุ่มก็เริ่มมองหาเครื่องดื่มดับกระหาย กระทั่งเดินผ่านร้านน้ำตาลสดร้านหนึ่ง สนธยาจึงแวะหยุดแล้วหันมาหาคนที่เดินตาม


   “นายจะเอาด้วยไหม”

   “มีน้ำอะไรบ้างครับ”

   “มีแต่น้ำตาลสดอย่างเดียว หรือจะลองไปดูร้านอื่น”

   “ไม่ล่ะครับ เอาน้ำตาลสดก็ได้”


   ได้ยินอย่างนั้นสนธยาก็สั่งกับแม่ค้าแล้วจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ ก่อนหันหลับมายื่นน้ำตาลสดในโถดินเผาให้แก่นาคิน เมื่อได้น้ำแล้วทั้งคู่ก็พากันไปนั่งหลบมุมที่เก้าอี้ไม้ริมสระเพื่อพักเหนื่อย


   นาคินดูดน้ำตาลสดเย็นๆ เข้าไปอึกใหญ่ ความหวานของมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่น อาการเมื่อยล้าจากแดดและความความร้อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง


   “วันนี้ร้อนเนอะ”

   “ครับ” นาคินเห็นด้วย “แต่ดีที่เราได้ที่นั่งตรงนี้นะครับ ใกล้ริมน้ำ มีที่บังแดด แถมลมดีด้วย”

   “อืม” สนธยาครางอย่างเห็นด้วย ก่อนสังเกตว่าน้ำในโถดินเผาของนาคินพร่องลงไปจนเหลือแต่เกร็ดน้ำแข็งให้ได้ยินเสียงหลอดสูดอากาศดังฟืดๆ ทุกครั้งที่นาคิดดูด หนุ่มรุ่นพี่จึงยื่นโถดินเผาของตัวเองไปตรงหน้าของนาคินแทน

   “พี่สนไม่เอาแล้วเหรอ”

   “ก็ของนายหมดแล้วนี่ แบ่งกันไปสิ นายจะได้ไม่ต้องดูดแต่น้ำแข็ง”

   “ขอบคุณครับ” คนตัวโตเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มกว้าง ก่อนก้มลงดูดจากมือเรียวแทนการคว้ามาถือไว้เอง


   ตอนแรกสนธยาก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเหลือบขึ้นมอง ในขณะที่ตัวก็โน้นลงดูดน้ำใกล้ๆ มันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา มือเรียวที่ถือโถดินเผาเสียศูนย์ไปจังหวะหนึ่งที่เจ้าตัวถูกจ้องเอามากๆ อุ้งมืออุ่นของนาคินจึงรีบช้อนประคองเอาไว้กันโถดินเผาร่วงได้ทันท่วงที แต่กระกระทำนี้กลับยิ่งทำให้สนธยาประหม่ามากกว่าเดิม นึกอยากจะดึงมือกลับ แต่มือใหญ่ก็กระชับจับเอาไว้แน่น ดวงตาร้ายกาจคู่นี้ตรึงเขาเอาไว้จนสุดท้ายก็ต้องยอมให้เป็นไปเช่นนั้น กระทั่งนาคินดื่มเสร็จจึงยอมปล่อยมือของเขาเป็นอิสระอีกครั้ง


   สนธยานั่งเงียบไม่พูดไม่จา ซ้ำยังผินหน้าไปมองผิวน้ำในสระ จับจ้องราวกับกลัวว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมา ซึ่งดูก็รู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้มันไม่เป็นธรรมชาติสักนิด


   นาคินมองเสี้ยวหน้าติดหวานและใบหูขึ้นสีแดงยิ้มๆ เมื่อสนธยาไม่ยอมพูด เขาก็ไม่เร้าหรือ ขอแค่ได้มองแบบนี้ก็ดีมากแล้ว นาคินรู้ตัวแน่ชัดว่าตนเองคิดกับคนๆ นี้อย่างไร แต่เขาก็ไม่ได้อยากยัดเหยียดความรู้สึกให้อีกฝ่ายต้องรับเอาไว้รวดเร็วขนาดนั้น เขาคิดว่าถ้ามันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับเข้าหาทีละก้าวหรือครึ่งก้าว ย่อมต้องดีกว่ารีบกระโจนเข้าไปหา แล้วทำให้อีกฝ่ายเตลิดหนีไปเลยเป็นไหนๆ


   ทั้งคู่นั่งข้างกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนท้องจะร้องขึ้นมา เป็นสัญญาณให้ลุกไปหาอะไรทานเป็นมื้อกลางวัน อากาศร้อนๆ เช่นนี้ สนธยาออกความคิดว่าควรทานข้าวแช่น่าจะดีกว่า เพราะนอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังสดชื่นคลายร้อนได้ดีอีกด้วย โชคดีที่เมื่อครู่ตอนเดินเล่นพวกเขาผ่านหน้าร้าน ชายหนุ่มจึงพอจำได้ว่าต้องมุ่งไปทางไหนไม่ให้เสียเวลา


   ข้าวแช่หอมๆ กับเครื่องเคียงหลากหลาย ทั้งหวาน ทั้งเค็ม เป็นสำรับชั้นยอดที่ช่วยเติมพลังให้สามารถเดินท่ามกลางอากาศร้อนเพื่อซื้อของตามรายการที่ถูกสั่งมาโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อภารกิจซื้อของฝากเสร็จสิ้น สองหนุ่มจึงพากันกลับไปพบกับครอบครัวตามเวลานัดพอดี


   ในขณะที่นาคินขับรถ สนธยาก็จัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาให้เป็นระเบียบ ทั้งของฝากตามสั่ง และของที่ตั้งใจซื้อไปฝากคนที่บ้าน มิหนำซ้ำยังมีขนมไทยหลายชนิดที่ซื้อมาลองทานเอง ถุงใส่ของจึงแยกย่อยกันหลายถุงเต็มไปหมด เมื่อจัดเรียบร้อยเขาก็หยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งขึ้นมาเปิดลองทานระหว่างทางนั่งรถ มันเป็นขนมสีขาวนวล เม็ดกลม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้น้ำลายสอ


   “ขนมอะไรครับ หน้าตาคุ้นๆ แต่ผมนึกชื่อไม่ออก”

   “ขนมผิงน่ะ กินไหม” สนธยาถามสารถีอย่างเอื้อเฟื้อ

   “กินครับ” คนตัวโตพยักหน้า แต่คิ้วเข้มกลับขมวดมุ่นคล้ายมีอะไรในใจสักอย่าง และสนธยาก็สังเกตเห็นมันเสียด้วย

   “เป็นอะไร”

   “เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นขนมนี่ที่ไหน”

   “มีขายเยอะแยะไป” สนธยาว่า

   “ไม่ครับๆ มันเหมือน…” มันไม่ใช่แค่เคยเห็นธรรมดา ขนมนี่กลับมีความหมายบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้นเคย นาคินนิ่งไปเพราะพยายามเพื่อทบทวนความทรงจำ สนธยาเห็นท่าทางเหม่อลอยนั้นจึงตัดบท

   “เห็นที่ไหนก็ช่าง กินเถอะ”  สนธยาว่าพลางยื่นเม็ดขนมผิงไปจ่อที่ริมฝีปากคนขับรถ นาคินจึงต้องอ้าปากงับอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าทันทีที่ได้ลิ้มรสของมัน ความทรงจำเมื่อฝันครั้งนั้นก็ไหลทะลักเข้ามาในสมอง ภาพแม่แก้วยิ้มยินดีที่คุณสินให้ขนมผิงเป็นรางวัลยังแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้น

   “อร่อยไหม”


   น้ำเสียงทุ้มลึกสะกิดให้นาคินหันไปมองหน้าคนถาม แล้วก็เป็นอีกครั้งในรอบหนึ่งวัน ที่ใบหน้าของครูดนตรีในอดีตเข้ามาซ้อนทับกับครูดนตรีในปัจจุบัน ยิ่งเพ่งพิศ ยิ่งละม้ายเสียจนอุปมาว่าเป็นคนคนเดียวกัน


   “พี่สน”

   “มีอะไรก็พูด แล้วก็มองทางตอนขับรถด้วย” สนธยาเตือน

   “ผมว่าพี่เหมือนคุณสินมากเลย”

   “ทำไมจู่ๆ ถึงพูดขึ้นมา”

   “ไม่รู้สิครับ คือผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่พี่เหมือนเขาจริงๆ นะ ให้ความรู้สึกอย่างกับคนเดียวกัน” เงียบไปอึดใจ ชายหนุ่มก็ว่าต่อ “หรือว่าพี่จะเป็นคุณสินกลับชาติมาเกิด

   “บ้าเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง นายคิดไปถึงไหนกันเนี่ย” พอได้ยินเช่นนั้นนาคินจึงได้สติ แล้วก็เห็นด้วยกับคำพูดของสนธยา

   “นั่นสิครับ ผมคงคิดมากไป มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧



สวัสดีค่ะ
กลับมาต่อแล้วนะคะ
ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร ยังคงดูสบายๆ เรื่อยๆ ตามสไตล์การเขียนของฝน  :hao5:
แต่จะบอกว่า แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร มันยังยังมีอะไรแฝงอยู่นะคะ งงไหม 55555
แต่บอกเลยว่าหลังจากตอนนี้เป็นต้นไป ทุกๆ อย่างจะเริ่มพีคขึ้น!  :z2:
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ ดีใจที่มีคนเข้ามาอ่าน มีเข้าไปทวงในเพจบ้าง หรือแม้แต่ติดแท็คในทวิตเตอร์
ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ  ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะทิ้งเรื่องนี้ไปนะคะ เพราะสัญญาแล้ว่าจะลงจนจบ ไม่มีทางทิ้งแน่นอนค่ะ

เจอกันตอนหน้าค่ะ  :katai4:


ละอองฝน.


หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ [๓๑/๐๕/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 31-05-2016 09:08:38

ดีใจที่คุณฝนยังไม่ลืมเรื่องนี้...!
ได้แต่รอ ร้อ รอ รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละตอน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ [๓๑/๐๕/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2016 12:15:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ [๓๑/๐๕/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: haramoonlight ที่ 01-06-2016 22:24:20
ปริศนาเต็มไปหมด เดาอะไรไม่ถูกเลย สินกับสนเดาว่าน่าเป็นคนเดียวกัน แต่คินกับแก้วเกี่ยวข้องกันยังไงอันนี้เดสไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๔ ☰ [๓๑/๐๕/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-06-2016 22:50:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-06-2016 02:29:34



๑๕






หลังจากทริปต่างจังหวัดกับครอบครัวของนาคิน สนธยาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ ไปเรียน สอนดนตรี ซ้อมดนตรี สังสรรค์กับเพื่อนบ้างวนไปมาอยู่เท่านี้ แต่ในระยะหลังเวลาซ้อมดนตรีคนเดียวช่วงค่ำ เขาจะมีเจ้าลูกศิษย์ตัวดีมานั่งเป็นเพื่อน ในบางครั้งเจ้าตัวก็ลองเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ บางครั้งก็ซ้อมขิมที่ฝึกเรียนไป หรือบ่อยครั้งที่หอบเอาคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมานั่งพิมพ์อะไรอยู่ใกล้ๆ ให้สนธยารำคาญตาเล่น



สนธยารู้สึกว่าตัวเองคุยกับนาคินมากขึ้นจนกลายเป็นสนิทใจ นาคินในตอนนี้ไม่ต่างกับนาคินที่เขาเจอตอนที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้านวันแรกเท่าไหร่ เจ้าลูกศิษย์ตัวโตยังคงชอบกวนประสาท ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนเดิม แต่ที่ดูจะต่างไปนิดก็ตรงที่นาคินยอมแสดงมุมหนึ่งซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ในใจให้เขาเห็น เป็นมุมที่กังวล วิตกจริตและไม่มั่นใจในตัวเอง หากสนธยากลับคิดว่าเหตุผลหลักๆ ที่เจ้าตัวเผยมุมนี้กับเขาก็เพราะเรื่องความฝันพิลึกพิลั่นนั่น



เมื่อเอ่ยถึงความฝันอันแปลกประหลาดที่คอยหลอกหลอนนาคิน สนธยาก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดีว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวดีเชื่อไหม เขายังไม่มีโอกาสได้ค้นหาความจริงอะไรตั้งแต่กลับจากทะเล หากช่วงนี้นาคินเองก็ไม่ฝันถึงเรื่องเหล่านั้นเช่นกัน สนธยาจึงคิดว่าบางทีถ้ามีใครที่นาคินยอมเปิดใจและคอยรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มกลัว ความฝันซ้ำซากซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นอาจหายไปเลยก็ได้



แต่แล้วเย็นวันหนึ่ง ขณะที่สนธยาขับรถไปรับนาคินกลับบ้านที่สนามฟุตบอลประจำคณะฯ ก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สนธยาคิดว่าเขาควรกลับไปสืบหาบุคคลในฝันของนาคินอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ที่แรก



“พี่สน…” ทันทีที่ลูกศิษย์ตัวโตฟื้นขึ้นมาเห็นเขา เจ้าตัวก็ตั้งคำถามทันที “เกิดอะไรขึ้นกันครับเนี่ย”



สนธยาไม่ได้ตอบแต่เทน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้นาคินดื่มแทน เพราะเสียงของคนที่เพิ่งรู้สึกตัวนั้นแหบพร่าเหลือเกิน เมื่อจิบน้ำเข้าไปนิดหน่อยชายหนุ่มก็ส่งแก้วคืน



“เพื่อนนายบอกว่าจู่ๆ นายก็หมดสติไป เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟื้น พวกเขาก็เลยพานายมานอนในห้องสโมสรนี่ก่อน”

“หมดสติไปเหรอครับ” สีหน้าของนาคินแสดงออกถึงความฉงนอย่างที่สุด คล้ายกับไม่เชื่อว่าตัวเองจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น เพราะที่จำได้คือเขากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากเล่นฟุตบอลเสร็จนี่นา

“ใช่ อยู่ดีๆ คินก็ล้มไปเลย พวกเราตกใจแทบแย่ คิดว่าคินคงเหนื่อยจัด หรือไม่ก็เป็นลมแดด วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวด้วย” ต้นไผ่ที่ยืนถัดจากสนธยาเอ่ยขึ้น

“แต่ปรกติคินมันแข็งแรงกว่าพวกเราอีกนะ” โจ้กล่าวก่อนจะหันหน้าไปพูดกับนาคินด้วยความเป็นห่วง “เราว่านายดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังไงตอนนี้ก็ฟื้นแล้ว พี่สนก็อยู่นี่ด้วย ไปเช็คที่โรงพยาบาลดูน่าจะดีนะ”



ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของโจ้ เนื่องจากรู้ว่าตามปรกตินั้นนาคินแข็งแรงแค่ไหน เขาเป็นถึงนักกีฬาคนสำคัญของคณะบริหาร กับแค่แดดยามเย็นเท่านี้ไม่น่าทำอะไรชายหนุ่มได้เลย ยิ่งบวกใบหน้าซีดๆ ของชายหนุ่มด้วยแล้ว ทุกคนจึงเชื่อว่านาคินต้องไม่สบายตรงไหนสักแห่งแน่ๆ



“ตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง” สนธยาเอ่ยถาม

“ก็…มึนๆ นิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก” ที่ว่ามึนคือไม่เข้าใจว่าตัวเองล้มพับไปได้อย่างไรมากกว่า นอกนั้นเขาก็รู้สึกสบายดีทุกอย่าง

“งั้นตอนนี้พอลุกได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวไปโรงพยาบาลกัน”

“ไม่ถึงกับต้องไปโรงพยาบาลก็ได้มั้งครับพี่สน ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนะ” นาคินลุกขึ้นยืน ก่อนปฏิเสธท่ามกลางความเป็นห่วงของเพื่อนๆ

“ไปสักหน่อยเหอะคิน นายล้มหัวฟาดพื้นเชียวนะ เกิดเลือดคั่งในสมองทำไง” ต้นไผ่ว่าเสียน่ากลัว ทำให้ถูกรุ่นพี่ในคณะดุเอาเบาๆ ว่าปากไม่เป็นมงคล

“แต่ว่าเรา…” ยังไม่ทันพูดจบ สนธยาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เอาเถอะน่า นายไม่ต้องพูดแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที”

“ครับๆ” สุดท้ายนาคินก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของสนธยา แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวด้านใน



สนธยานั่งรออยู่ด้านนอกพร้อมกับเพื่อนสนิทของนาคินทั้งสามคน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยกลับบ้านกันไปจนหมดเมื่อเห็นว่าเรื่องคลี่คลายลงและไม่มีอะไรให้เป็นห่วงแล้ว



“เดี๋ยวพวกนายจะกลับกันเลยไหม” ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มถามขึ้น

“ครับ เดี๋ยวผมรอให้คินแต่งตัวเสร็จก็ว่าจะกลับเลย” ต้นไผ่ตอบ

“ผมก็เหมือนกันครับ” โจ้ตอบบ้าง

“แล้วกลับยังไงกัน”

“เดินไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าม.น่ะครับ”

“งั้นเดี๋ยวติดรถไปพร้อมกับนี่แหละ จะได้ไม่ต้องเดิน”

“ขอบคุณนะครับ พี่สนใจดีอย่างที่คินบอกจริงๆ ด้วย” โจ้ตอบรับเสียงใส เพราะดีใจที่ไม่ต้องเดินตั้งไกลเพื่อไปขึ้นรถ

“เขาว่าอย่างนั้นเหรอ” สนธยาถามเรียบๆ

“ครับ สนน่ะชอบพูดถึง…”

“โจ้!” โจ้ยังไม่ทันพูดจบ ต้นไผ่ก็กระซิบลอดไรฟันเหมือนจะเตือนให้เพื่อนรู้ตัวว่าพูดมากเกินความจำเป็น โจ้จึงรีบปิดปากฉับทันที

“พูดถึงอะไร” หากสนธยากลับไม่ปล่อยให้เพื่อนสนิทของเจ้าลูกศิษย์ตัวดีเล่าค้างๆ คาๆ เช่นนี้ได้ เขาอยากรู้ต่อว่านาคินพูดอะไรถึงตนเองบ้าง แต่ประจวบเหมาะพอดีกับที่นาคินเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ต้นไผ่จึงเบี่ยงประเด็นเพื่อหลบเลี่ยงไปได้ทันท่วงที

“คินมาพอดีเลย เราไปกันเถอะครับ” พูดจบก็เดินลากโจ้ออกไปจากห้องก่อน ทิ้งให้นาคินเดินตามหลังไปพร้อมกับสนธยา



รถของสนธยาจอดอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ พอเดินมาขึ้นกันแล้วสนธยาก็ออกรถ ชายหนุ่มวนไปส่งรุ่นน้องทั้งสองคนก่อน จากนั้นจึงขับพานาคินไปโรงพยาบาล



เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพวกเขาก็ใช้เวลาตรวจพักใหญ่ แม้นาคินจะบ่นว่าเสียเวลาอยู่บ้าง แต่ผลตรวจที่ออกมาก็ทำให้สนธยาโล่งใจไม่น้อย เนื่องจากนาคินปรกติดีทุกอย่าง ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ ทั้งสิ้น คุณหมอบอกว่าสาเหตุที่นาคินนั้นวูบไปอาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มพักผ่อนน้อยเท่านั้น ครั้นทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี พวกเขาก็พากันขับรถกลับ



อันที่จริงวันนี้ที่สนธยาไปรับนาคินก็เพราะพวกเขานัดไปซื้อคอมพิวเตอร์ด้วยกัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์ของนาคินค่อนข้างเก่าแล้ว ใช้เล่นเกมหรือทำงานที่รองรับภาพกราฟิกที่มีความละเอียดสูงไม่ได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจเปลี่ยนใหม่ โดยขอร้องให้สนธยาไปดูเป็นเพื่อน แต่พอมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเสียก่อน พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นไปวันอาทิตย์ตนเย็น หลังจากส่งเด็กๆ ที่จะมาเรียนดนตรีไทยกลับบ้านแล้ว



“เมื่อคืนนอนดึกเหรอ” สนธยาถามขึ้นขณะขับรถกลับ

“ไม่ดึกครับ ประมาณสี่ห้าทุ่ม”

“แล้วเมื่อกลางวันได้กินข้าวเที่ยงหรือเปล่า” ชายหนุ่มซักต่อ

“กินสิครับ” นาคินตอบ

“พักผ่อนเพียงพอ อาหารก็กินครบทุกมื้อ ทำไมอยู่ๆ ถึงวูบได้นะ ความดันก็ปรกติ ร่างกายก็แข็งแรงดีทุกอย่าง” หนุ่มรุ่นพี่ว่าอย่างคิดไม่ตก

“ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันไหม แต่เมื่อคืนผมฝันอะไรนิดหน่อย” หลังจากเงียบอยู่สักพัก นาคินก็ตัดสินใจบอกเรื่องความฝันที่หวนกลับมาอีกครั้งให้สนธยาฟัง

“ฝันว่าอะไร”

“ก็เรื่องเดิมๆ ครับ เรื่องคุณสินกับแม่แก้วที่เรือนไทยหลังเล็กนั่น ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้มาก แต่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับงานแต่งงานของคุณสิน” เป็นธรรมดาเหมือนเช่นทุกครั้งที่นาคินฝัน เมื่อตื่นขึ้นมา เขาจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้มากนัก แต่ด้วยความที่บางครั้งมันเหมือนเราดูหนังซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ รอบ แม้ไม่ได้ตั้งใจดู แค่เปิดทิ้งเอาไว้ แต่ก็จะพอรู้ว่าจุดใหญ่ๆ หรือใจความของเรื่องคืออะไรได้โดยอัตโนมัติ

“แต่งงานเหรอ”

“ครับ”

“แต่คราวที่แล้วที่นายเล่าให้ฟัง ดูเหมือนกับว่าคุณสินต้องแต่งกับคนที่พ่อแม่หาให้ไม่ใช่เหรอ” สนธยายังจำเรื่องที่นาคินเล่าในคืนนั้นได้แม่น

“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักนะครับ เพราะอย่างที่บอก ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้”

“อืม ไม่แปลกหรอก เพราะบางทีที่ฉันฝัน พอตื่นมาได้สักพักฉันก็ลืมแล้ว”



แต่นาคินรู้ว่าไม่ใช่เพราะเขาลืม หลังจากที่สักเกตตัวเองมาหลายครั้ง ที่เขาจำอะไรไม่ค่อยได้ เหตุผลน่าจะมาจากการที่เขาพยายามปฏิเสธมันมากกว่า เขาไม่อยากฝันถึงเรื่องเราพวกนั้น เรื่องราวความรักที่เป็นของคนอื่น และอาจจะไม่เคยมีอยู่จริงแท้ๆ แต่เมื่อเริ่มถลำลึกหรือหันไปสนใจที่จะรับรู้มัน นาคินก็จะรู้สึกเจ็บปวด หรือไม่ก็มีอารมณ์ร่วมไปด้วย ราวกับว่าเป็นเรื่องราวของตัวเอง ไม่ก็คนใกล้ชิด



“ถ้าเกิดว่าคุณสินแต่งงานกับแม่แก้วจริง บางทีเขาอาจจะมีลูกหลานก็ได้ และอาจเป็นเครือญาติเดียวกับฉัน เพราะเรือนไทยหลังนั้นเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวเรา” สนธยาเอ่ยขึ้น เมื่อขับรถเข้ามาในซอยบ้าน “เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะถามพ่อให้”

“จะดีเหรอครับ”

“ดีสิ เพราะเราจะปล่อยให้อะไรๆ มันเป็นไปอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าบุคคลเหล่านั้นเคยมีตัวตนอยู่จริงๆ เราจะได้หาวิธีแก้ไขกันต่อไป”

“แล้วถ้าเขาไม่มีตัวตนจริงๆ ล่ะพี่สน” นี่คือสิ่งที่นาคินกลัวมากที่สุด กลัวว่าที่ผ่านมานั้นเขาเกิดบ้าไปเอง



ระหว่างที่ชะลอรถรอให้สาวใช้ในบ้านเปิดประตูรั้วให้ สนธยาก็ละจากภาพตรงหน้าแล้วหันกลับมาหานาคิน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ



จะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงฉันก็อยู่ข้างนาย เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน

“ขอบคุณนะครับพี่สน”



สนธยาแย้มริมฝีปากนิดๆ รับคำขอบคุณนั้น ก่อนขับรถลอดซุ้มกระดังงาเข้ามาในบ้าน เมื่อจอดรถนิ่งสนิทดีแล้ว ทั้งคู่ก็หยิบกระเป๋าแล้วลงจากรถ ตอนที่กำลังจะถอดรองเท้าขึ้นบ้าน นาคินสังเกตเห็นว่าสาวใช้ที่เปิดประตูให้ยังยืนอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ เธอพยายามดึงประตูรั้วปิดเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มจึงส่งกระเป๋าให้นาคินถือไว้ก่อนวิ่งไปหาหญิงสาว



“เดี๋ยวผมช่วยครับ” นาคินบอกกับเธอ ก่อนจะเป็นคนปิดรั้วเสียเอง



เมื่อหญิงสาวถอยไปยืนด้านหลังชายหนุ่ม เขาก็ออกแรงลากรั้วปิดทันที มันปิดได้ง่ายๆ โดยไม่ฝืดหรือมีปัญหาอะไรสักนิด นาคินจึงคิดว่าเพราะก้อยเป็นผู้หญิง จึงมีแรงน้อยกว่าเขา ทำให้ไม่สามารถลากรั้วหนักๆ ปิดได้ เมื่อปิดรั้วสนิทดีแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปขอแม่กุญแจจากสาวใช้



“พี่ก้อย ขอกุญแจด้วยครับ”

“…” ทว่าก้อยกลับนิ่งเงียบ และไม่ยอมส่งแม่กุญแจให้เสียที นาคินจึงขอเอ่ยปากอีกครั้ง

“พี่ก้อยครับ ผมขอ…”

“ทำไมถึงจำไม่ได้” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

“ว่าอะไรนะครับ” นาคินขยับเข้าไปใกล้ แล้วมองหน้าเธอชัดๆ เพราะตรงนี้ต้นไม่เยอะและแสงไฟก็ค่อนข้างสลัว

ข้าถามว่าทำไมถึงจำไม่ได้เสียที จะปล่อยให้ข้าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่กัน ข้าทรมาน…” เธอไม่ได้ตะคอกด้วยซ้ำ หากแต่เสียงที่เธอเปล่งออกมานั้นฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่ก้อย มันฟังดูเยียบเย็น และเปล่าเปลี่ยวจนคนฟังขนลุกซู่

“…พี่ก้อย…?”

ข้าไม่ใช่!” เธอตอบ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอนั้นแดงก่ำดูอัดอั้น ก่อนน้ำตาที่คลอเบ้าจะไหลออกมาตามกรอบหน้าเป็นสายเลือด



ไม่ผิด น้ำตาที่เห็นนั้นเป็นเลือดจริงๆ  นาคินที่ได้เห็นภาพน่าสยดสยองอย่างนั้นก็ผงะถอยหลังไปพิงรั้วทันที ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่สนธยาตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง



“คินปิดได้หรือเปล่า”



นาคินไม่สามารถตอบอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองสั่นไปทั่งร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นี่มันบ้าเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว



“คิน!” เมื่อสนธยาส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ก้อยก็เดินเข้าไปคว้ามือเย็นเฉียบของนาคิน แล้วยัดกุญแจใส่ลงในมือ ก่อนจะเดินหนีไปทางเงามืดของต้นไม้ใหญ่ข้างบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก ทิ้งเพียงสายตาซึ่งมองมาด้วยความหมายที่อ่านไม่ออก แต่นาคินรู้ เธอคนนี้ไม่ใช่พี่ก้อยสาวใช้ประจำบ้านของลุงมนตรีอย่างแน่นอน

“คิน เรียกตั้งนานทำไมไม่ตอบ”

นาคินไม่รู้ว่าสนธยามาถึงตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสายตาของเขายังคงจ้องมองไปที่สุดท้ายก่อนแผ่นหลังนั้นลับหายไป และเมื่อสนธยาแตะที่ข้อมือของเขา นาคินก็รีบคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอด

“พี่สน”

“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“พี่ ทำยังไงดี…ผมกลัว



ตอนนี้คนตัวโตกอดสนธยาแน่นทั้งที่ตัวสั่นราวจับไข้ ผิวตรงข้อมือที่เขาสัมผัสเมือครู่ก็เย็นมากจนน่ากลัว  สนธยาไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ภาพที่เขาเห็นจากเชิงบันไดคือนาคินกับก้อยกำลังคุยกัน ก่อนหญิงสาวจะเดินกลับไปทางเรือนครัว แต่ที่เขาตะโกนเรียก เพราะปฏิกิริยาของนาคินนั้นดูประหลาดเหลือเกิน



เมื่อได้ยินคำว่ากลัวออกมาจากปาก สนธยาก็ไม่เอ่ยถามอะไรตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายดูขวัญเสียและไม่พร้อมจะเล่าอะไรทั้งนั้น สุดท้ายสนธยาจึงทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างของนาคินเบาๆ เป็นการปลอบ ครั้นนาคินสงบลงเขาจึงพาน้องขึ้นบ้าน และอยู่เป็นเพื่อนในห้องจนกระทั่งถูกเรียกให้ออกมาทานอาหารเย็น



    คืนนั้นสนธยากลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นอีกครั้ง เพราะต้องระเห็จไปนอนเป็นเพื่อนเจ้าคนตัวโตอย่างช่วยไม่ได้ และระหว่างกำลังจะเคลิ้มหลับ นาคินที่กลับมามีสติอีกครั้งก็เริ่มเปิดปากเล่าเรื่องเมื่อหัวค่ำให้เขาฟัง



   ยามที่ฟังจบสนธยาไม่อาจให้คำตอบได้ว่าสิ่งที่นาคินเจอคืออะไร เขาได้แต่บอกให้อีกฝ่ายไหว้พระสวดมนต์แล้วนอนหลับเสียเท่านั้น โดยที่เขาจะยังคงอยู่ข้างๆ ตามที่เคยพูดไว้ จะไม่ไปไหนจนกว่านาคินจะหลับและตื่นขึ้นมาพบกันอีกครั้ง









   บ่ายวันอาทิตย์ ในขณะที่สนธยากำลังให้คำปรึกษากับพ่อแม่ของเด็กคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังจะเข้ามาสมัครเรียนดนตรีไทยที่บ้าน นาคินก็เดินเล่นอยู่หน้าเรือนดอกแก้วบริเวณใต้ต้นแก้วเจ้าจอมสูงใหญ่ วันนี้เขานัดกับสนธยาว่าจะออกไปข้างนอกด้วยกัน จึงไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน ทว่าครูดนตรีคนเก่งกลับติดธุระ ทำให้ชายหนุ่มต้องรอ



   สามวันผ่านมาแล้วหลังจากเหตุการณ์ชวนผวาในคืนนั้น ทุกครั้งที่นาคินเห็นก้อย เขาก็อดรู้สึกหวาดๆ ไม่ได้ ความจริงเขาสติแตกเสียศูนย์ไปเป็นวัน แต่โชคดีที่มีสนธยาคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดยกเว้นตอนเรียน นาคินจึงไม่เอาแต่ฟุ้งซ่านมากนัก



   สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร นาคินค่อนข้างปักใจเชื่อว่าตัวเองถูกสิ่งลี้ลับเข้าเล่นงาน แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมตัวเองต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ นี้ ทำไมต้องเป็นเขาเท่านั้น



   ชายหนุ่มคิดสะระตะไปเรื่อย ไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินเลาะมาถึงชายคลองริมศาลาเก่าหลังเรือนดอกแก้วได้อย่างไร ขณะที่กำลังจะเดินกลับไปคอยสนธยาที่หน้าเรือนเหมือนเดิม อยู่ๆ ก็มีเสียงของหนักๆ ตกน้ำ พร้อมกับเสียงร้องให้ช่วย



   “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ช่วยด้วย!”



ชายหนุ่มร่างสูงหันไปมองที่ลำคลอง เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่กลางลำน้ำทำท่าจะจมอยู่รอมร่อ ด้วยสัญชาตญาณนาคินรีบวิ่งไปที่ริมตลิ่ง ก่อนกระโจนพุ่งลงไปในน้ำ แล้วว่ายเข้าไปช่วยเธอทันที



   เมื่อไปถึงตัว เขาก็คล้องแขนมาล็อคคอเพื่อพยุงหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะว่ายพากลับเข้าฝั่ง อีกไม่กี่อึดใจก็จวนจะถึงที่ปลอดภัยอยู่แล้ว แต่นาคินกลับถูกอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้น้ำดึงให้จมลงไปข้างล่างนั่น เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะถีบสิ่งแปลกปลอมแล้วพาตัวเองให้หลุดพ้น แต่หญิงสาวที่เขาช่วยเอาไว้กลับดิ้นหนี และเป็นฝ่ายที่หันมาดึงเขาให้จมลงไปลึกกว่าเก่า



   ขอบคันคลองนั้นห่างไปไม่ไกลเลย เพียงแต่ด้วยเรียวแรงที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้นาคินไม่อาจว่ายไปถึงได้ ชายหนุ่มต่อสู้กับมือมืดพวกนั้นอยู่นานจนเกือบจะไร้เรี่ยวแรง เขาจึงรวบรวมกำลังตะโกนเรียกให้ใครสักคนยิน เมื่อเสียงนั้นถูกส่งออกไปแล้ว ร่างทั้งร่างก็ถูกฉุดให้ดำดิ่งลงไปในความมืด จนน้ำท่วมปากและไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้อีกเลย




   “ช่วยด้วย…!”






‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




มาต่อแล้วค่ะ!!

ตอนนี้มีอะไรชวนหลอน แต่ก็แอบมีฉากหวานนิดๆ(?)ของคินกับสนเนอะ
แต่งไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าพี่สนนี่ดีจังเลย เวลาที่น้องคินมีปัญหา พี่สนก็ช่วยได้ตลอด
ทำไมพี่สนเท่จังเลยน้า  :-[ ชักอยากเรียนดนตรีไทยบ้างแล้วซิ 5555555

ส่วนในเรื่องของผีสาว ฝนไม่ขอพูดอะไรมาก  :sad4:
คือใครเดาได้ก็ลองเดาดูนะคะ รู้สึกสนุกเวลาคนอ่านช่วยกันเดานะ
แต่จะถูกหรือผิดเราไม่เฉยตอนนี้หรอก เราจะค่อยๆ คลายปมไป 5555
และถึงแม้ว่ามีคนเดาถูก ฝนก็ไม่เปลี่ยนเนื้อเรื่องนะ  :hao3:

มีคนแอบมากระซิบถามกันนิดหน่อย ว่าเรื่องนี้จะมี NC ไหม
ฝนไม่ค่อยอยากให้โฟกัสตรงนี้ เพราะพี่สนกับน้องคินเค้าไสยๆ นะคะ เอ็นซง เอ็นซีอะไรกันนน

แต่ยังไงก็ขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ น้า
จะรีบพาตอนต่อไปมาต่อค่ะ

เจอกันตอนหน้า  :katai4:

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-06-2016 02:42:25
อ่านตอนนี้เวลาเกือบจะตีสาม ถามว่ากลัวไหม? ตอบเลยว่ามาก!!!!!
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 05-06-2016 02:48:31
อ่านตอนนี้เวลาเกือบจะตีสาม ถามว่ากลัวไหม? ตอบเลยว่ามาก!!!!!






ขนาดฝนแต่งเองยังแอบกลัวเลยค่ะ ที่บ้านฝนตกด้วย  :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 05-06-2016 10:00:08

จากที่เป็นแค่ภาพฝันก็เริ่มกระเถิบมาสู่ชีวิตจริงที่ละนิดๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: Evergreen ที่ 13-07-2016 11:16:01
 ตอนแรกก็คิดว่าใสๆ แต่ตอนนี้ติดว่าคินน่าจะซวยแล้วค่ะ 5555555 คล้ายๆจะโดนผีหลอกกกกก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๕ ☰ [๐๕/๐๖/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 14-07-2016 01:55:36
ถ้าให้เดาละก็...เราเดาว่าสนคือคุณสิน ส่วนคินคือแม่แก้ว วิญญาณในบ้านคือคุณทับทิม(เพราะจำได้ว่าสนได้ยินเสียงแว่วเรียก "คุณพี่" ซึ่งในเนื้อเรื่องคนที่เรียกคนอื่นว่าคุณพี่ก็มีคุณทับทิมคนเดียว) และถ้าเรื่องเป็นอีกแบบนึงราวหนังคนละม้วน ก็เป็นไปได้ว่าคินอาจเป็นทับทิมกลับชาติมาเกิด ส่วนวิญญาณแค้นที่อยู่ในบ้านคือแก้วที่ไม่สมหวังในความรักแถมต้องตาย อีกทั้งคุณสนเกิดสงสารและเห็นความดีเลยเปิดใจให้ทับทิมครองคู่ตุนาหงัน เลยทำให้แก้วไม่ไปไหนรอคอยทั้งสองกลับมา
ป.ล.ต่อมมโนของเราทำงานเป็นเลิศจริงๆ เดาออกมาได้เป็นตุเป็นตะ 55555555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งแรก [๐๔/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 14-09-2016 23:43:29



๑๖.









“เห็นเขาลือกันลั่นคุ้งว่าจางวางสินหักกับแม่นายเรือนเอ็งจะตบแต่งเอาเมียบ่าว เป็นจริงหรือไม่นางจันทร์หอม”



เมื่อได้ยินคำถาม จันทร์หอมก็ได้แต่อ้ำอึ้ง หญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ว่าคำเล่าลือนั่นเป็นเรื่องโกหกพกลม เพราะว่าเมียบ่าวคนนั้นคือแม่แก้ว เกลอรักของตนเอง ทว่าไอ้ครั้นจะเล่าออกไปก็ทำไม่ได้อีก เธอจึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน แล้วตอบอ้อมแอ้ม



“ฉันไม่รู้หรอกจ้ะป้า…” หญิงสาวแสร้งก้มมองสินค้าที่ส่งมาให้ที่เรือนคหบดีเสือง ก่อนถามเรื่องอื่นเบี่ยงความสนใจ “ป้าศรีจ๊ะ เที่ยวนี้เห็นทีต้องเพิ่มดอกเกลืออีกถัง เพราะกว่าป้าจะมารอบหน้า คงเหลือไม่พอ รอบนี้ที่โรงครัวก็กระเบียดกระเสียดใช้แทบแย่”

“ได้ซี ประเดี๋ยวข้าให้อ้ายเทียมมันกลับไปเอามาเพิ่มให้ แต่เห็นทีต้องให้อัฐเพิ่มเป็นค่าเสียเวลาให้กันสักหน่อยนาแม่คุณ”

“ได้จ้ะป้า” จันทร์หอมยิ้มรับ ก่อนจะหันไปตรวจดูข้าวของให้ครบถ้วน



เธอชี้ชวนสักถามโน้นนี่เสียจนนางศรีลืมเลือนเรื่องที่ใคร่รู้ก่อนหน้าไปจนสิ้น กระทั่งกลับออกจากเรือนคหบดีเสือง นางศรีจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตนเองไม่ทันได้ซักไซ้หาคำตอบของจางวางมีชื่ออย่างที่ตั้งใจแต่แรก



“ปัดโธ่ เสียดายนักเชียว ที่นี้ก็พลาดเอาเรื่องไปเล่าที่ตลาดกันพอดี”









จันทร์หอมเห็นนางศรีแม่ค้าเครื่องแห้งพายเรือกลับไปก็นึกโล่งอก ทุกคนในเรือนถูกสั่งห้ามไม่ให้ปริปากบอกใคร หากว่ามีผู้ใดถามถึงเรื่องคุณสินล้มขันหมาก แล้วแต่งเอาบ่าวในเรือนมาเป็นเมีย แต่ถึงกระนั้น แม้อยากปกปิดสักเท่าไร ก็ยังมีคนเปิดปากเล่าต่อให้ใครๆ ฟังอยู่ดี



ด้วยวิสัยของมนุษย์เรานั้น หากได้ยินเรื่องคุณงามความดี คนจะพูดถึงเพียงไม่นาน แต่เรื่องข่าวคาวเสียหายกลับเอาไปเล่ากันเป็นที่สนุกปากทั้งคุ้งคลอง ไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านร้านตลาด หรือเจ้าใหญ่นายโต



อีกทั้งเรื่องที่เขาล่ำลือกันครานี้ก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย ใครเล่าจะคิดว่า จางวางมีชื่อจะกล้าหักหน้ามารดา ขอยกเลิกงานแต่งงานกับคุณหนูทับทิมคนงาม แล้วหันมาคว้าเอาบ่าวในเรือนเป็นเมียแทน



   ทีแรกที่คุณกำไลได้ยินคำกล่าวของลูกชาย เธอถึงกับเป็นลมล้มพับไป ก่อนจะฟื้นคืนสติขึ้นมา แล้วเอาเรื่องกับแก้วเสียจนจันทร์หอมทนฟังคำด่าทอไม่ไหว คุณท่านเสืองเองก็ไม่พอใจเป็นอันมาก ด้วยสะใภ้ที่ท่านหมายปอง กับสะใภ้ที่ลูกชายต้องการนั้นเทียบราศีกันมิได้



   ท้ายที่สุด ถึงแม้จะโต้เถียงกันอยู่นาน แต่คุณสินก็ยังไม่ยอม ทั้งยังลั่นวาจา หากพ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย และบังคับให้ตนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เขาจะพาบ่าวคนรักไปอยู่ในวังเสด็จฯ และจะไม่กลับมาที่บ้านหลังนี้อีก



ได้ยินดังนั้น นายท่านเสืองและคุณนายกำไลจึงยอมแต่โดยดี ด้วยมีลูกชายสืบสกุลเพียงคนเดียว ทั้งยังรักดั่งแก้วตาดวงใจ ลูกที่เกิดจากเมียอื่นก็ยังไม่เทียบเท่า


หลังจากนั้นแก้วกับคุณสินจึงได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยา ทั้งคู่ไม่ได้จัดงานใหญ่โต เพราะคุณนายกำไลไม่เห็นชอบที่จะให้ลูกชายเอาเมียบ่าวออกหน้าออกตา เนื่องจากในหัวใจของเธอนั้นยังหวังจะได้คุณหนูทับทิมเป็นลูกสะใภ้ และคิดตามที่สามีบอกว่า ถ้าอีกหน่อยคุณสินเบื่อแก้ว ค่อยตะล่อมขอคุณหนูทับทิมมาแต่งเป็นเมียเอกก็ยังไม่สาย



จันทร์หอมนั้นเหนื่อยใจนัก แต่เธอคิดว่าคนที่เหนื่อยใจยิ่งกว่าคงหนีไม่พ้นเจ้าตัวต้นเรื่อง นั่นคือแม่แก้ว เพราะนอกจากต้องถูกด่าทอจากนายหญิงกำไลแล้ว บ่าวในเรือนคนอื่นๆ ก็ยังตั้งแง่รังเกียจ ด้วยหาว่าแก้วใฝ่สูงเกินวาสนาตน มีฐานะเป็นเพียงบ่าวในเรือน แต่ริอาจคิดจะเป็นคุณนาย



หญิงสาวได้แต่ทอดถอนใจ จะมีใครบ้างที่รู้อย่างที่เธอรู้ เห็นดังที่เธอเห็น ว่าคุณสินกับแก้วนั้นรักกันด้วยใจจริง จันทร์หอมได้แต่หวังและภาวนาให้ความดีของแก้ว คลายความเกลียดชังของคุณกำไลให้ได้ในเร็ววัน










   คุณหนูทับทิมคนงามถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอน ด้วยผิดหวังที่ถูกชายที่หมายปองปฏิเสธ ไอ้ความรู้สึกเสียหน้านั้นก็ยังไม่มากเท่าใด แต่เสียใจนั้นมากกว่า ในเวลาเพียงไม่นานนัก ทับทิมไม่คิดว่าเธอจะหลงรักจางวางสินได้มาเท่านี้



   หลังจากทราบข่าวว่าชายหนุ่มรับบ่าวในเรือนมาเป็นเมีย หัวใจของทับทิมก็ร้อนรนดังถูกไฟสุม เธอเกิดมาสมบูรณ์ทั้งรูปลักษณ์และทรัพย์สิน ทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักความผิดหวัง ตั้งแต่เด็กก็มีคนพะเน้าพะนอเอาใจไม่ห่าง ทับทิมจึงรู้สึกว่าตนเป็นที่หนึ่งเสมอ



   แต่เหตุการณ์ครานี้กลับทำให้เธอรู้เหมือนนางฟ้าที่ตกสวรรค์ ในวันที่คิดว่าต้องได้ตบแต่งกับคนที่ตนรัก ชายหนุ่มกลับมาสารภาพกับเธอ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เสียดแทงหัวใจ ว่าเขาไม่ได้รับเธอ แต่รักผู้หญิงอีกคนแทน



   ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเทียบเท่าคนอย่างทับทิมได้สักนิดเดียว



   ทับทิมกลับมานอนร้องไห้ที่เรือนด้วยความคับแค้นใจ พยายามคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไร ทำไมคุณสินจึงไม่รักเธอ ทว่าก็ไม่อาจหาคำตอบนั้นได้



   หญิงสาวตรอมใจจนร่างกายผ่ายผอม ไม่ว่ามารดาจะปลอบใจอย่างไรก็ไม่เป็นผล เดือดร้อนไปถึงบ่าวไพร่ หากใครทำให้ขัดเคืองหัวใจก็จะถูกนำตัวไปโบยจนไม่มีชิ้นดี



   “คุณหนูเจ้าขา รับข้าวเพิ่มอีกสักคำเถิดนะเจ้าคะ บ่าวกลัวคุณหนูจะล้มป่วยเอา” แม่ปุ้น บ่าวคนสนิทของสาวเจ้าว่าด้วยความเป็นห่วง

   “ข้าไม่หิว เอ็งยกออกไปเถิดปุ้น”

   “โธ่… บ่าวจะทำอย่างไรให้คุณหนูหายโศกเศร้าดีเจ้าคะ คุณหนูต้องการอะไร บอกบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะทำให้คุณหนูทุกอย่าง”

   “ได้ที่ฉันต้องการ มันเป็นของคนอื่นไปแล้วนะสิปุ้น จะไปยื้อแย่งมาเป็นของตนก็ใช่ที่”

   “แต่ถ้าคุณหนูอยากได้ ไม่ว่าอะไรบ่าวก็จะเป็นคนแย่งมาให้เจ้าค่ะ”

   “เอ็งทำได้รึปุ้น” นัยน์ตาหงส์หันไปมองบ่าวของตน

   “ทำได้เจ้าค่ะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม”

   “แต่ฉันว่าครานี้คงแย่งไม่ได้ เพราะเห็นทีเขาคงไม่ต้องการฉัน” นึกถึงคำปฏิเสธประโยคนั้น หัวใจของเธอยังบีบรัดด้วยความเจ็บหน่วงไม่หาย

   “ใครบ้างไม่รักไม่ต้องการคุณหนูของบ่าวเจ้าคะ”      

   “เอ็งก็รู้อยู่…”

   “ก็ทำให้เขาต้องการสิเจ้าคะ” ทาสผู้ภักดีว่า แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

   “จะทำได้อย่างไร ไหนว่ามาซิ หากว่าเก่งนักล่ะก็” ได้ยินคำพูดอันแสนมั่นใจของบ่าว ทับทิมจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

   “เรื่องพรรคนี้มันมีวิธีอยู่เจ้าค่ะ บ่าวจะบอกให้…”      



   มองออกไปนอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดครึ้มนัก ดูท่าว่าอีกไม่นานฝนคงจะลงเม็ด พระพายพัดรุนแรงเสียงจนอุบะหน้าช้างที่หน้าต่างปัดปลิวตกลงมาบนพื้น ทว่าทับทิมกลับไม่สนใจ เธอเงี่ยหูฟังแผนการชั่วร้ายจากบ่าวคนสนิทจนจบ ก่อนจะถามออกมาอีกคำ



   “เอ็งคิดว่าจะได้ผลแน่หรือ”   

   “ได้ผลแน่เจ้าค่ะ ติดอยู่แค่ว่า คุณหนูจะยอมทำตามที่บ่าวบอกหรือไม่เท่านั้น” หนึ่งนายหนึ่งบ่าวมองหน้ากันท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำราม

   “ทำ…ฉันจะทำ”








(มีต่ออีก 50 % ค่ะ)




เพิ่งเห็นว่าที่ลงเมื่อคืนมันไม่ติดมาเลย ต้องลงใหม่หมด
ยังไงเดี๋ยวฝนลงไว้ครึ่งนึงก่อน
บ่ายๆ เที่ยงๆ จะมาต่อให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ [๐๔/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-09-2016 00:39:02
งงไปหมดเลยค่ะ ตกลงคนไหนคินคือใครกลับชาติมาเกิด แม่แก้วหรือเปล่าคะ ส่วนคนที่ยัดกุญแจให้น่าจะจันทร์หอมหรือเปล่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 16-09-2016 04:03:20






ครึ่งหลัง










   ชีวิตของแก้วเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวตั้งแต่กลายสถานะมาเป็นเมียบ่าวของคุณสิน เธอต้องย้ายไปอยู่เรือนดอกแก้ว อีกทั้งงานในของข้าทาสก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว หน้าที่หลักของหญิงสาวคือการปรนนิบัติสามี รวมถึงช่วยดูแลอาหารการกินให้กับคุณท่านบนเรือนใหญ่



   แม้เธอจะมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่รัก ทว่ามันกลับต้องแลกมาด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง ยามนี้แทบไม่มีบ่าวคนไหนมองเธอด้วยความเอ็นดูอย่างลูกหลาน หรือเพื่อนพ้องอีกแล้ว แม้นไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตรงๆ แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าเธอก็เป็นเช่นหญิงมากเล่ห์ ที่คิดจะจับนายเพื่อยกฐานะของตน เหมือนกับเมียบ่าวคนอื่นๆ ของคหบดีเสือง



   โดยเฉพาะกับแม่สามีนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะนอกจากจะไม่ให้ความเอ็นดูแล้ว คุณกำไลยังมักเหน็บแนมกระทบกระเทียบแก้วเสมอ สิ่งเดียวที่ทำให้แก้วอดทนอยู่ได้ คือคำปลอบประโลมจากคุณสิน คำที่บอกให้เธออดทน เพราะเมื่อเวลาผ่านไป กาลเวลานั้นจะพิสูจน์ความจริงใจ และความรักที่แก้วกับคุณสินมีให้ต่อกันเอง



   แต่กว่าที่จะถึงวันนั้น แก้วเองก็ไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด



   “แม่แก้วรอพี่อยู่ที่เรือน รักษาตัวเองให้ดี แล้วพี่จะรีบกลับมา”



   จางวางหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน พลางประคองร่างของคนรักไว้ในอ้อมแขน เขาได้รับสิทธิ์ในการลาจากงานราชการมาพอสมแล้ว เวลานี้จึงต้องเร่งกลับเข้าไปทำหน้าที่รับใช้เสด็จฯ ท่านในวังเสียที



   แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะนึกห่วงหาแก้วตาคนดีของเขา เพราะรู้ว่าบรรยากาศในเรือนนั้นไม่สู้ดีเท่าใด อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างกัน หลังจากได้ใช้ชีวิตร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนรัก ความรู้สึกเป็นกังวลเพราะอยู่ห่างไกลสายตา ทำให้สินนั้นยากที่จะตัดใจจาก



   “คุณสินไม่ต้องห่วงแก้วหรอกเจ้าค่ะ แก้วอยู่เรือนนี้มาแต่เล็ก ไม่ว่าอย่างไรแก้วก็อยู่ได้ ห่วงแต่คุณสิน ตามเสด็จฯ เที่ยวนี้ต้องไปไกลถึงหัวหิน อย่างไรก็ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”



   สินมองเข้าไปในดวงตากระจ่างใสของแก้วแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาอาจเผลอลืมไปว่าแก้วนั้นเป็นหญิงที่ไม่เหมือนหญิงอื่นใด เด็กคนนี้เติบโตมาเป็นคนเข้มแข็ง ดังนั้นเขาจึงเบาใจได้ส่วนหนึ่ง



   “แม่แก้วของพี่เก่งกาจนัก แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ เลิกเรียกพี่ว่าคุณสิน บอกกี่หนแล้วว่าให้เรียกพี่สิน” ชายหนุ่มทักท้วง ทว่าแก้วกลับรีบส่ายหน้าพัลวัน

   “เรื่องอื่นแก้วจักเชื่อคุณสินทุกอย่าง แต่เรื่องนี้อย่างไรก็ไม่เจ้าค่ะ มันไม่เหมาะสม”

   “ไม่เหมาะอย่างไร” สินเลื่อนมือมาจับที่ศอกของหญิงสาวเบาๆ “แก้วเป็นเมียพี่ มีสิ่งใดไม่เหมาะกัน”

   “คุณสิน แก้ว…”



หญิงสาวก้มหน้าซ่อนแก้มแดงเรื่อ ทั้งเขินอายและกระอักกระอ่วนใจ แก้วเข้าใจที่สินบอก แต่ก็ไม่อาจหาญใช้คำเรียกเช่นนั้น ด้วยรู้ตัวอยู่เสมอถึงความแตกต่างของตนเองกับคนรัก



เมื่อจางวางสินเห็นดังนั้นก็ยอมอ่อนให้ เพราะรู้ว่าแก้วยังยึดติดอยู่กับสถานะอันต่างชั้น เรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนคงบังคับฝืนใจกันเกินไป เขาจึงยอมให้เวลากับคนรักอีกสักหน่อย



“ไม่เป็นไร คราวนี้แก้วไม่เรียกพี่ไม่ว่า แต่คราวหน้าถ้าพี่กลับมา พี่จะรอฟังดีหรือไม่” ชายหนุ่มว่าพลางเกลี่ยไล้แก้วนวลอย่างนึกรัก

“ถ้าคุณสินว่าดี แก้วก็ว่าดีเจ้าค่ะ”

“เด็กดี”



ชายหนุ่มโน้มไปหอมหน้าผากมนเบาๆ ก่อนถอนริมฝีปากออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่หน้าเรือน จางวางหนุ่มเรียกบ่าวให้ขึ้นมายกกระเป๋าบนเรือนดอกแก้ว ก่อนจะหันมาจับมือแก้วให้เดินไปส่งตนที่ท่าน้ำ



ทั้งคู่เดินผ่านต้นแก้วเจ้าจอมด้วยกัน สินมองขึ้นไปที่ปลายยอด เห็นแก้วเจ้าจอมดอกน้อยเตรียมผลิบานหลายช่อ ชายหนุ่มจึงชี้ชวนให้แก้วมองตาม



“ดูสิ แก้วเจ้าจอมที่แก้วเฝ้าถนอมให้พี่ แตกดอกออกมาหลายช่อเชียว”

“คราวหน้าที่คุณสินกลับมามันคงจะบานเต็มต้นพอดีเจ้าค่ะ”

แล้วพี่จะรีบกลับมาชมดอกแก้วบานด้วยกัน แก้วรอพี่ก่อนนะ” สินให้คำมั่นสัญญา และแก้วก็รับปากด้วยความเต็มใจ

เจ้าค่ะ แก้วจะรอ
   


หลังล่ำลาคนรักและเรือก็จากมาไกลแล้ว สินได้หยิบเอาถุงบุหงาถุงน้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาแตะมันที่จมูกเพื่อสูดดอมความหอม ก่อนแนบมันเก็บไว้ตรงตำแหน่งของหัวใจ ให้เหมือนกับว่าเจ้าดวงใจของเขาอยู่ใกล้ไม่ห่างกาย













   สนธยาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เดินตามนาคินมา และได้ยินเสียงร้องให้ช่วย เขาจึงรีบวิ่งไปที่ริมคลอง ก่อนกระโดดลงไปเอาตัวชายหนุ่มขึ้นมาจากน้ำได้ทัน



   หนุ่มนักดนตรีทำการผายปอดให้คนหมดสติตามสิ่งที่เคยได้เรียนมา จนมั่นใจว่าสามารถปฐมพยาบาลได้ในระดับหนึ่ง จึงช่วยกันกับนายเสริมเพื่อประคองนาคินไปที่รถ จากนั้นจึงขับไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้โดยเร็วที่สุด



   ระหว่างที่อยู่บนรถ ใบหน้าของนาคินซีดมาก จากที่เป็นคนไม่เคยกลัวอะไร มาคราวนี้สนธยากลับรู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ กลัวว่าจะช่วยไม่ทัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟื้นขึ้นมาดังเดิม



   โชคดีเหลือเกินที่วันนี้การจารจรไม่ติดนัก นาคินจึงถึงมือหมอในเวลาไม่นานเท่าไหร่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกพาขึ้นเตียงแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป สนธยาคิดว่านาคินดูเหมือนใกล้จะหยุดหายใจแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าหลังประตูกระจกบานใหญ่อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ที่ทำได้เพียงภาวนาให้ผลไม่ออกมาอย่างที่กลัวเท่านั้น



   ระหว่างที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สนธยาก็ตั้งสติได้ จากนั้นจึงทำการโทรหาลุงคชินทร์เพื่อแจ้งเรื่องลูกชายให้ทราบ ทันทีที่รู้เรื่อง ปลายสายก็รีบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนทันที



   [แล้วตอนนี้น้องเป็นยังไงบ้างสน]

   “ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินครับ หมอกับพยาบาลวิ่งวุ่นกันไปหมด ผมเลยยังไม่รู้ความเป็นไปข้างใน” สนธยาบอกตามจริง

   [โธ่…คินลูก] เสียงครวญราวกับหัวใจแตกสลายดังลอดมาตามสาย

   “คุณลุงใจเย็นๆ นะครับ คินต้องไม่เป็นอะไร ถึงมือหมอแล้ว ดังนั้นคิดจะปลอดภัย” ไม่ใช่เพียงแค่คชินทร์เท่านั้นที่สนธยาปลอบ แต่ประโยคที่เอ่ยออกมา เหมือนเป็นการย้ำกับตัวเองด้วยว่านาคินต้องไม่เป็นอะไร

   [ลุงฝากสนช่วยจัดการเป็นธุระแทนหน่อยนะลูก เดี๋ยวลุงกับป้าจะเร่งเดินทางไป]

   “ครับ”



   ทันที่ที่รับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะแล้ว สนธยาก็กดวางสายไป เขาเดินไปทำเอกสารต่างๆ แทนผู้ปกครองของนาคินเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกลับมานั่งรออีกฝ่ายที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง



   จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก บุรุษพยาบาลก็เข็นร่างไม่ได้สติของนาคินออกมา สนธยาตามไปที่ห้องพักพิเศษกับนาคินด้วย เมื่อหมอแจ้งว่าคนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่ให้ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมาเท่านั้น



   คืนนี้สนธยาต้องเฝ้านาคินเพียงลำพัง เนื่องจากพ่อแม่ของนาคินได้เที่ยวบินตอนเช้าตรู่ของอีกวัน ส่วนมนตรีที่ตามมาที่หลังนั้น ชายหนุ่มขอให้พ่อของตนเองกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะห้องพักมีโซฟาเพียงตัวเดียว ถ้าอยู่เฝ้าถึงสองคนก็จะลำบาก



   กลางดึกสงัด ขณะที่เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ คนที่ทำหน้าที่เฝ้าผู้ป่วยเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จากที่กำลังเคลิ้มๆ ก็พลันลุกขึ้นมา ก่อนจะมาหยุดที่ข้างเตียง



   ห้องทั้งห้องยังเงียบสนิทไม่ต่างจากเดิม นาคินที่อยู่บนเตียงนอนหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มตัวโตยังคงหายใจได้เหมือนปรกติ สนธยาจึงคิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะนาคินดูเหมือนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่เท่านั้น



   แต่สิ่งที่สนธยาไม่รู้คือ การหลับใหลของนาคินในครั้งนี้จะกินเวลายาวนาน นานอย่างไม่มีกำหนด เพราะชายหนุ่มถูกความฝันอันแสนห่างไกลดึงดูดเข้าไปติดอยู่ในห้วงเวลานั้นเสียแล้ว…









‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧




แอบมาลงครึ่งหลังซะดึกเลย
ตอนต่อๆ ไปจะย้อนอดีตกันเต็มตัว
อาจมีสลับปัจจุบันบ้างเล็กน้อย
ปริศนาใกล้กระจ่างขึ้นทุกขณะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ส่วนใครเพิ่งเคยเข้ามาอ่าน ยินดีต้องรับค่ะ  :mew1:



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 17-09-2016 08:58:00
แผนของทับทิมน่าจะมุ่งที่แม่แก้วหรือ?
ไม่งั้นก็ไปมอมเหล้าคุณสินแล้วเสียตัวให้??

โอย มันหลอนมากค่ะ ><
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2016 10:02:11
เมือนแก้วจะได้ตายก่อนคุณสินกลับมาเลย  :ling3:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 12-10-2016 19:16:05
หายไปเป็นเดือนแล้วนะคะ
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 16-11-2016 13:34:32
อ่านรวดเดียวยาวเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 16-11-2016 20:11:08
เอ๊ะยังไง พี่สนคือคุณสิน คินคือแม่แก้ว ..แล้วใครสิงพี่ก้อย หรือคินจะเป็นคุณสิน พี่สนคือแม่แก้ว แล้วแม่ทับทิมนี่ยังไง..พอเถอะ เลิกเดา รออ่านตอนต่อไป5555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 26-12-2016 03:17:30
เพิ่งได้มาอ่านค่ะ สนุกมาก รอตอนต่อไปนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๖ ☰ ครึ่งหลัง [๐๖/๐๙/๒๕๕๙]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 27-12-2016 21:46:10
หรือคินจะเป็นแม่ทับทิมกลับมาเกิด
ชาติก่อนแม่ทับทิมอาจจะฆ่าแม่แก้ว
แม่แก้วเลยมาตามหลอน?
เดาล้วนๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๗ ☰ [๑๘/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 18-01-2017 21:05:23






บทที่ ๑๗








   ‘แปลกคน’ ไม่ว่าใครที่เห็นการกระทำของคุณหนูทับทิมต่างก็เอ่ยออกมาเป็นประโยคเดียวกันแทบทั้งสิ้น ก็มีอย่างที่ไหน หลังจากถูกจางวางมีชื่อตัดรอนไม่ยกขันหมากไปขอแต่งตามที่ผู้ใหญ่ชักพา หญิงสาวยังกล้าไปมาหาสู่กับนายหญิงบ้านคหบดีเสืองได้ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในทีแรกแม่แต่คุณกำไลเองก็ไม่รู้จะปั้นหน้ารับหญิงสาวอย่างไร ทว่าพอผ่านพ้นไปหลายเมื่อเชื่อวัน คุณหนูทับทิมที่มักจะหอบหิ้วของฝากมานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนคนแก่ก็ทำให้ความรู้สึกเข้าหน้าไม่ติดนั้นจางหายไป เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้หญิงสาวเป็นลูกสะใภ้ตามที่ใจมุ่งหวังแต่แรก



   ยิ่งกับแก้วผู้อยู่ในฐานะเมียบ่าวของจางวางสินยิ่งแล้วใหญ่ คุณหนูทับทิมกลับเจราปราศรัยด้วยราวกับไม่นึกชังน้ำหน้าแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้คุณกำไลนับถือน้ำใจของหญิงสาวมากขึ้นไปอีก



   แม้ยามนี้กำไลจะไม่นึกรังเกียจเดียดฉันท์แก้วเช่นที่ผ่านมา เพราะได้รับการปรนนิบัติอย่างดีจากสะใภ้บ่าว แต่ลึกๆ ในใจเธอก็หวังให้มีสักวันที่จะดองกับครอบครัวของทับทิมได้ หากวันนั้นมาถึงเธอคงวางใจเรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้เสียที



   “แม่แก้ว!” เสียงของจันทร์หอมเรียกเรียกเกลอรักที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดสำรับให้แม่สามี

   “ว่าอย่างไรจันทร์หอม”

   “เห็นว่าคุณทับทิมมาอีกแล้วรึ” จันทร์หอมถามด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่ชอบใจเท่าใด

   “อืม” แก้วพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปเช็ดกะทิที่หยดเลอะขอบจานผักต้มออก   

   “มาทำไมบ่อยนักก็ไม่รู้” จันทร์หอมตั้งข้อสังเกต

   “ก็มาเยี่ยมคุณนายน่ะซี อันที่จริงข้าว่าก็ดีเหมือนกันนะ คุณนายท่านจะได้มีเพื่อนคุย”


แก้วเป็นบ่าวมาตั้งแต่เกิด นิสัยหยาบกระด้าง ไม่ค่อยถนัดในเรื่องที่หญิงสูงศักดิ์ทั่วไปเขาถนัดกัน บางครั้งยามต้องขึ้นไปปรนนิบัติรับใช้คุณนายกำไล เธอก็มักจะชวนคุยหรือหาเรื่องให้แก้วทำนั่นทำนี่เป็นเพื่อน แต่แก้วก็ทำได้ไม่ถูกใจเธอสักเท่าไหร่ ต่างจากคุณทับทิมที่ไม่ว่าแม่สามีของแก้วจะชวนพูดคุยอะไรก็รู้รอบไปหมด แก้วว่าดีเหมือนกันที่คุณทับทิมมาเพราะคุณนายกำไลจะได้ไม่เหงา



   “มาแค่เป็นเพื่อนคุยจริงๆ ก็ดี ข้ากลัวคุณเขาจะหวังอะไรมากกว่านั้น” จบคำแก้วก็หันมาสบตาจันทร์หอม เพื่อนของเธอไม่เคยพูดว่าร้ายใคร จะมีก็แต่เรื่องของคุณทับทิมเท่านั้นที่แก้วได้ยินจนชินหู

“ข้าว่าคุณทับทิมเธอคงไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เพราะที่เธอทำนี่ก็เป็นขี้ปากชาวบ้านจะแย่ คงไม่ทำเรื่องไม่ดีให้ใครเขานินทาซ้ำหรอก เอ็งก็รู้ว่าความจริงคุณสินไม่อยู่บ้านเสียหน่อย เห็นคุณทับทิมมาทีไรก็หาแต่คุณนายท่าน เธอดูเป็นคนดีจริงๆ นะจันทร์หอม”

“มันก็ไม่แน่หรอกแก้ว ถึงคุณสินไม่อยู่ แต่คุณทับทิมก็ไม่ได้จะมาซื้อใจคุณสินเสียหน่อย เขามาซื้อใจคนเรือนใหญ่โน่น”

“เอาเถอะ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอ็งอย่าพูดไปเลย ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเอ็งจะเดือดร้อน”

“ข้าก็ได้แต่เตือนเอ็งเท่านี้แหละแก้ว ระวังให้ดี คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ”

“ขอบใจนะ” แก้วยิ้มให้จันทร์หอมด้วยความจริงใจ เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้หวังดีกับตนเองแค่ไหน เพราะจันทร์หอมเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างแก้วในวันที่ถูกตราหน้าว่าเป็นทาสไม่เจียมกะลาหัว คิดจับนายยกฐานะให้ตนเอง แม้ทุกวันนี้สถานการณ์จะดีขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตาม แต่แก้วก็ไม่มีทางลืมว่าใครที่รักและหวังดีกับตนเองมากที่สุด




o-----------------------o



   เช้าวันใหม่มาเยือน วันนี้แก้วได้มีโอกาสไปใส่บาตรที่หน้าบ้านพร้อมคุณกำไลและนายท่านเสือง ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบง่าย นายท่านเสืองทักทายเธออยู่สองสามประโยค ก่อนจะขึ้นไปรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเมียบ่าวคนใหม่ที่เรือนเล็ก ทิ้งให้คุณกำไลทานอาหารกับบุตรสาวคนเล็กเพียงสองคน



   เมื่อรอคอยจนแม่สามีรับประทานเสร็จ แก้วก็กำกับให้คนเอาสำรับลงมาเก็บที่ครัว ส่วนตนก็ลงมาทานพร้อมๆ กับทุกคนที่ก้นครัว แต่ขณะที่เดินกลับ หญิงสาวเกิดหน้ามืดและวูบระหว่างทาง ทำเอาทาสคนอื่นๆ แตกตื่นกันยกใหญ่



ปรกติหญิงสาวเป็นคนค่อนข้างแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายนัก ครั้งนี้เธอวูบไปครู่เดียวก็ฟื้นคืนสติ ทีแรกแม่และจันทร์หอมตั้งใจจะให้หมอยามาดูอาการ แต่แก้วทักท้วงเอาไว้



“เมื่อคืนฉันไม่ค่อยหลับจ้ะแม่ ไม่เป็นไรมากหรอก”

“อย่างนั้นรึ” คนเป็นแม่รับคำ แล้วว่า “แต่ถ้าเอ็งรู้สึกไม่สบายก็บอกแม่กับจันทร์หอมนะ รู้ไหมแก้ว”

“จ้ะแม่”

“หากปล่อยให้เอ็งเจ็บไข้ขึ้นมา คุณสินรู้เข้า มิแคล้วคงโดนเล่นงานกันหมด” จันทร์หอมว่าอีกคำ “เที่ยวนี้คุณเขาไปนานแล้วนะ อีกไม่กี่วันก็คงกลับ เอ็งเตรียมตัวรอให้ดี อย่างได้เจ็บป่วยเชียว”

“อืม” แก้วพยักหน้ารับ เธอเองก็ได้แต่หวังให้เป็นเช่นที่จันทร์หอมบอกเช่นกัน



o-----------------------o



   ผ่านไปกว่าสองเดือนที่คุณสินจากเรือนดอกแก้วไปรับใช้เจ้าเหนือหัวในวัง แก้วเฝ้านับวันรอคอยการกลับมาของคนรักด้วยใจคะนึงหา ครานี้คุณสินไปนานนัก แม้จะจ้างวานให้คนส่งข่าวมาบอกบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการได้กลับมาด้วยตัวเอง



   ยามนี้เย็นย่ำแล้ว แก้วยืนพิงกรอบซุ่มประตูทางขึ้นเรือนดอกแก้ว ทอดสายตามองออกไปที่หน้าลานบ้าน มองต้นแก้วเจ้าจอมที่นับวันสูงใหญ่ ดอกที่เคยผลิบานค่อยๆ ผลัดกลีบโรยราลงไปแทบไม่เหลือ ไม่รู้อีกนานเท่าใดไม้หอมจะผลิดอกให้ได้ชมอีก เธออยากให้คุณสินรีบกลับมาก่อนแก้วเจ้าจอมดอกน้อยจะโรยเหลือเกิน…



o-----------------------o



ผ่านไปหลายวัน คุณสินก็ยังไม่กลับมา ส่วนแขกประจำเรือนกลับมาเยี่ยมไม่เว้นแต่ละวัน เช้าถึงเย็นถึง มีของฝากติดมือมาไม่เคยขาด เช่นวันนี้ที่คุณทับทิมให้บ่าวหอบหิ้วเอาส้มหวานของฝากจากหัวเมืองมาให้คุณกำไล หญิงสาวว่าส้มลูกสวยเหล่านี้มีรสหวานอมเปรี้ยว คุณนายกำไลจึงเสนอให้คนเอาไปคั้นมาดื่มดับร้อน และบ่าวที่ทำหน้าที่นั้นก็หนีไม่พ้นแก้วนั่นเอง



เมื่อหญิงสาวคั้นน้ำส้มให้คุณนายกำไลกับคุณหนูทับทิมเรียบร้อยก็ช่วยกันกับแม่ปุ้น บ่าวคนสนิทของคุณทับทิม ยกไปให้นายหญิงที่ศาลาริมน้ำ



น้ำส้มหวานเย็นท่าทางจะถูกใจคุณนายกำไลไม่น้อย เพราะเธอเรียกให้แก้วเติมถึงสองรอบ จนกระทั่งบ่ายคล้อยคุณทับทิมจึงขอตัวกลับเรือน ทว่าขณะที่หญิงสาวกำลังลุกจากศาลาก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น



อยู่ๆ คุณนายกำไลก็ปวดท้อง ก่อนอาเจียนออกมาเป็นมูกเลือด แก้วเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปประคอง และร้องให้คนเรียกหมอยามาให้เร็วที่สุด



หากแต่ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก เนื่องจากคุณหนูทับทิมที่ทำทีว่าจะกลับในตอนแรก ดันปวดท้องขึ้นมาอีกคน บนใบหน้างามซีดเผือดมีเม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่เต็มไปหมด



บ่าวไพร่ในเรือนคหบดีเสืองต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ ด้วยผู้เป็นนายหญิงและแขกคนสำคัญมาล้มเจ็บพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ แก้วเองก็ร้อนใจไม่ต่างกับคนอื่นๆ หลังจากพาคนป่วยขึ้นเรือนใหญ่แล้ว หญิงสาวก็อยู่ช่วยปรนนิบัติพัดวีคุณกำไลจนกระทั่งหมอยาเดินทางมาถึงเรือน



นายท่านเสืองที่เพิ่งกลับจากร้านในพระนครก็เข้ามาเฝ้าภรรยาหลวงอย่างใกล้ชิดไม่ห่าง จนกระทั่งหมอยาเอ่ยถึงสาเหตุที่คุณนายกำไลและคุณหนูทับทิมเจ็บป่วยออกมา แววตาที่เดิมร้อนรนก็พลันเปลี่ยนเป็นโมโหดุดันทันที



“โดนวางยาอย่างนั้นรึ!”

“ขอรับ” หมอยาว่า “เป็นพิษของมะกล่ำตาหนูไม่ผิดแน่ ที่คุณนายอาเจียนเป็นเลือดและท้องเดินจนหมดเรี่ยวหมดแรง เป็นเพราะคุณนายกินเข้าไปมากโขทีเดียว โชคดีที่ล้างท้องล้างไส้ได้ทันเวลา”

“ใคร! ใครมันกล้าทำงามหน้าบนเรือนกู!” นายท่านเสืองตะหวาดลั่นต่อหน้าบ่าวไพร่บนเรือน ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาไม่เงยขึ้นสบหน้าเจ้านายสักคนเดียว



ในเมื่อคนร้ายไม่กล้ารับสารภาพ นายท่านเสืองจึงสั่งให้คนตรวจสอบอาหารที่คุณนายรับประทานเข้าไปตามที่หมอยาสั่ง พร้อมกับค้นทั้งโรงครัว โรงนอนของบ่าวไพร่ทุกคนด้วย



แก้วตื่นกลัวท่าทางเกรี้ยวกราดของพ่อสามีจนตัวสั่น แต่ที่กลัวยิ่งกว่าคือกลัวว่าคุณกำไลจะเป็นอะไรไป เพราะหากเธอเป็นอะไรไปมาก คุณสินจะต้องเสียใจเป็นแน่ อีกทั้งคุณนายก็ถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของแก้วอีกด้วย



เรื่องราวดูจะวุ่นวายมากขึ้นเมื่อพ่อและแม่ของคุณหนูทับทิมรู้เรื่องเข้า ทั้งสองเดินทางมารับตัวลูกสาวกลับเรือนตอนเย็นย่ำแล้ว ทั้งยังร้องขอให้นายท่านเสืองเร่งจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นคนร้ายที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นใครจึงถูกตั้งโทษทัณฑ์ไว้เป็นถูกโบยห้าสิบไม้ พร้อมกับไล่ออกจากเรือน ข้าทาสทุกคนต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด



“…คุณท่านเจ้าคะ” อยู่ๆ ก่อนที่จะกลับเรือนตนพร้อมนาย แม่ปุ้นบ่าวของคุณหนูทับทิมก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางลำบากใจ

“เอ็งเป็นบ่าวของหนูทับทิมมิใช่หรือ ว่าอย่างไรเล่า”

“บ่าวไม่รู้ว่าสมควรพูดดีไหม” เธออ้ำอึ้งมองมาทางแม่แก้ว

“มีอะไรเอ็งก็พูดมาเถอะ” นายท่านเสืองเร่ง

“บ่าวจะบอกว่า ก่อนมาวันนี้คุณหนูทับทิมรับสำรับมาจากที่เรือนเจ้าค่ะ แล้วอย่างเดียวที่คุณหนูทานก็คือ…” เธอมองไปยังแก้วอีกครั้ง แล้วว่าด้วยท่าทางจำใจ “น้ำส้มที่แม่แก้วคั้นให้เจ้าค่ะ”



คำพูดของปุ้นเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงบนหัวของแก้ว เพราะหากคนอื่นจะมอง ก็สามารถมองได้ว่าหญิงสาวมีเหตุจูงใจให้ทำร้ายคนทั้งสองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณนายกำไลที่เคยกีดกันและรังเกียจเธอ หรือจะเป็นคุณทับทิมศัตรูหัวใจที่ยังตามมาเอาใจคุณนายของบ้านคหบดีไม่เลิกรา



“นังแก้ว! เป็นเองรึ”

“บ…บ่าวไม่ได้ทำเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบระลักระล้ำ เธอไม่ได้ทำแต่ก็ยอมรับว่าตกใจอย่างมากที่แม่ปุ้นเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ราวกับว่าต้องการจะโยนความผิดให้เธอ

“ถ้าเอ็งไม่ทำแล้วใครทำ”

“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะคุณท่าน แต่บ่าวไม่ได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ”



นายท่านเสืองเงียบลงไม่ถามต่อ เพราะรู้ว่าถึงเค้นอย่างไร หากไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจเอาผิดได้ อย่างมากก็แค่ลงโทษที่สะเพร่าในฐานะที่เป็นคนจัดสำรับเท่านั้น



ทว่าดังเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อบ่าวที่ลงไปตรวจค้นตามคำสั่งของนายท่านเสืองกลับมาพร้อมกับห่อมะกล่ำตาหนูบดแห้ง และรายงานว่าพบมันบนเรือนดอกแก้ว หลักฐานทั้งหมดจึงชี้ชัดไปที่แม่แก้วเพียงผู้เดียว



เจ้าบ้านให้คนเอาแก้วลงไปมัดโยงกับขื่อใต้ถุนเรือน ก่อนสั่งโบยตามจำนวนที่ประกาศไว้ในทีแรกโดยไม่สอบสวน ในใจนึกโมโหที่สะใภ้บ่าวทำเรื่องงามหน้า คิดคดต่อนายทั้งที่ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก มิหนำซ้ำยังยอมให้แต่งกับลูกชายเพียงคนเดียวอีกด้วย



ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของแก้ว เธอยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจฟังเลยก็ตาม คนในเรือนตั้งแต่นายไปจนถึงบ่าวต่างก็นึกสมเพชหญิงสาว ปากก็โทษว่าเป็นเพราะความอิจฉาตาร้อนของแก้วที่เห็นคุณนายกำไลหมายตาคุณหนูทับทิมให้คุณสิน และยังว่าแก้วเป็นนางอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง มีเพียงแม่และจันทร์หอมเท่านั้นที่เชื่อในตัวแก้ว แต่ใครเลยจะสนใจฟังเสียงเล็กๆ ของบ่าวเพียงสองคน



แก้วเจ็บปวดทรมานราวกับหลังจะแยกออกจากกัน ทุกครั้งที่หวายโบยลงบนผิว รอยรอยเป็นทางจะปรากฏขึ้นชัดเจน กระทั่งแนวช้ำเหล่านั้นปริแตกจนเลือดไหลซิบ สุดท้ายเมื่อหญิงสาวที่ไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหว เธอจึงหมดสติไปทั้งที่ร่างยังถูกโยงเอาไว้เช่นนั้น
[/i]



o-----------------------o





   หลายวันแล้วที่นาคินไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นคืนสติขึ้นมา ทั้งที่ผลการตรวจออกมาว่าร่างกายของนาคินกลับมาเป็นปรกติดีทุกอย่าง สภาพของเขาจึงคล้ายกับคนที่หลับอยู่เท่านั้น พ่อกับแม่ของนาคินทร์ร้อนใจเป็นอย่างมาก ท่านทั้งสองต่างก็กลัวว่าลูกชายจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย



   สนธยาเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลแทบทุกวัน คอยเฝ้าไถ่ถามอาการและผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้กับแพรไหมไม่ได้ขาด ชายหนุ่มเองก็เป็นห่วงนาคินไม่แพ้ใคร ยิ่งหมอไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะฟื้น หรือจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรเกิดขึ้นอีกไหม สนธยาเองก็ยิ่งนั่งไม่ติด



   คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่สนธยาอาสาอยู่เฝ้านาคินแทนแพรไหม ชายหนุ่มเอาหนังสือมานั่งอ่านในห้องพักของคนไข้ด้วยเนื่องจากอีกไม่นานก็จะสอบแล้ว แม้ว่าจะต้องวุ่นวายกับเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา เขาก็ต้องไม่ทิ้งขว้างการเรียนด้วยเช่นกัน
   กระทั่งผ่านไปกว่าค่อนคืน สนธยาจึงตัดสินใจเก็บหนังสือกับเอกสารการเรียนลงกระเป๋า จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน ห้องเฝ้าไข้ที่คชินทร์เลือกให้ลูกชายนั้นเป็นห้องแบบพิเศษเตียงเดียว ดังนั้นในห้องจึงไม่มีใครอีก



   ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่โซฟา สนธยาก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง เขามองดูนาคินที่นอนนิ่งไม่รู้สึกตัว ภายนอกดูปรกติราวกับว่าอีกฝ่ายแค่หลับไปเท่านั้น



ผ่านไปพักใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยที่แสนเงียบสงัด สนธยาก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เขาได้คุยกับพ่อเมื่อบ่ายก่อนเดินทางมาโรงพยาบาล ชายหนุ่มได้ทำการสอบถามพ่อเกี่ยวกับคนในความฝันที่นาคินเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งไปทะเล ซึ่งคำตอบที่เขาได้รับกลับมานั้นค่อนข้างจะทำให้ชายหนุ่มตกใจพอสมควร


 
มนตรีบอกว่าในครอบครัวมีบรรพบุรุษชื่อสินจริงๆ แต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับคนคนนี้นัก



“พ่อเคยได้ยินว่าท่านเสียตั้งแต่อายุยังน้อย”



 นั่นเป็นเพียงข้อมูลเดียวที่มนตรีรู้ หากสนธยาต้องการจะรู้เรื่องราวมากกว่านี้ เขาคงต้องกลับไปสืบความเอาจากญาติผู้ใหญ่ที่ย้ายไปอยู่อยุธยา



“จริงๆ แล้วสิ่งที่คินฝันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็ได้นะ พี่ถามพ่อเรื่องของคนที่คินฝันให้แล้ว แต่พ่อไม่รู้อะไรมาเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อก็ไม่เคยรู้จักคนชื่อแก้ว พี่คิดว่าคงต้องไปหาคุณย่าที่อยุธยา บางทีท่านอาจจะรู้อะไรบ้าง ดังนั้นก็ตื่นขึ้นมาหาความจริงกันเถอะ คินอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมถึงฝันเห็นคนพวกนั้น”



เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง มือเรียวก็เอื้อมไปจับมือของคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนสนธยาจะเอ่ยต่อท่ามกลางความเงียบ สายตาที่ทอดมองสะท้อนความรู้สึกเป็นห่วงจนไม่อาจบรรยายได้ แต่กระนั้น คนที่สนธยาพูดด้วยก็ไม่อาจรับรู้ได้เลยแม้แต่คำเดียว



“รู้หรือเปล่าวันตัวเองหลับไปกี่วันแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า



ในยามที่นาคินอยู่ในช่วงความเป็นความตาย สนธยาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภายในใจทรมานด้วยรู้สึกห่วงกังวลแค่ไหน เขากลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มสดใส ไม่มีใครมาออดอ้อนอยู่ใกล้ๆ ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอีก และที่สำคัญคือ กลัวว่านาคินจะหลงและติดอยู่ในความฝันจนไม่มีวันฟื้นคืนมา



เขากลัวอย่างสุดหัวใจ



ความกลัวและความห่วงใยที่มีมันมากกว่าเพียงแค่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน มากกว่าคนที่นับถือกันอย่างศิษย์-อาจารย์ มากจนเขาไม่อยากเชื่อตัวเอง หากมันไม่ระเบิดออกมาในวันที่เห็นนาคินจมลงไปในน้ำต่อหน้าต่อตา



นาทีนี้สนธยาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้ามีสิ่งไหนที่ทำเพื่อนาคินได้ เขาก็จะลงมือทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย



พี่รอนายอยู่นะนาคิน…ตื่นขึ้นมาได้แล้ว










<><><><><><><><><><><><><>




สวัสดีค่ะ
หายไปนานมากเลย ต้องขอโทษจริงๆค่ะ :hao5:
พอกลับมาอีกที เรื่องนี้ก็จบแล้ว
เดี๋ยวฝนจะทยอยลงให้วันละตอนนะคะ

เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ


ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๘ ☰ [๒๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 20-01-2017 18:29:31





บทที่ ๑๘








   หลังจากถูกลงโทษจนครบจำนวนไม้ แก้วก็ถูกตัวมาทิ้งไว้ที่กระท่อมร้างท้ายสวน แม้คนเป็นนายจะเคยลั่นวาจาไล่หญิงสาวออกจากเรือน แต่สุดท้ายก็มิอาจทำได้เช่นที่พูด เพราะสภาพของหญิงสาวบอบช้ำเกินกว่าจะไปไหนได้ไกล ลำพังแค่ประคองสติรับรู้ยังทำไม่ได้ สิ่งที่ทาสสาวทำก่อนสิ้นการรับรู้มีเพียงแค่เปล่งเสียงปฏิเสธข้อกล่าวหาเท่านั้น



   ทาสในเรือนทุกคนถูกสั่งห้ามไม่ให้หยิบยื่นความช่วยเหลือ แต่พอตกดึกที่หน้ากระท่อมปลายสวนก็มีการเคลื่อนไหว คำสั่งนายเหนือหัวน่าประหวั่นก็จริง แต่ไหนเลยจะห้ามไม่ให้ผู้เป็นมารดาลักลอบมาดูอาการลูกสาว เรียมลอบโพกผ้าปิดหน้าปิดตา สองมือหอบเอายาสมานแผลที่พอจะหาได้ติดมือมาด้วย



   เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป หัวใจของคนเป็นแม่ก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด แสงตะเกียงวอมแวมส่องให้เห็นลูกสาวคนดีนอนคว่ำหน้าอยู่กับแคร่ ตามแผนหลังและต้นแขนเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกโบยเมื่อหัวค่ำ



กระท่อมร้างมีเพียงแคร่ไม้หลังหนึ่งกับตะเกียงอีกดวง มองโดยรอบแล้วสภาพทรุดโทรมจนไม่อาจใช้เป็นที่บังฝนได้ เรียมตรงเข้าไปหยุดข้างแคร่ นึกในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยคนที่พาแก้วมาส่งก็ยังมีน้ำใจจุดตะเกียงทิ้งไว้ให้ เขาคงเห็นสภาพน่าเวทนาของลูกสาวเธอจึงทำเช่นนี้



   ครั้นพอจับเนื้อตัวลูกสาว เรียมก็พบว่าเนื้อนวลนั้นร้อนจี๋ เธอจึงรีบแบ่งผ้าแถบคาดอกของตัวเองออกมาส่วนหนึ่ง แล้วน้ำไปชุบน้ำมาเช็ดตัวทำความสะอาดแผล



   แผลเปื้อนเลือดที่ดูสาหัสเมื่อทำความสะอาดแล้วก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ มันบอบช้ำแต่อย่างไรแก้วก็คงมีโอกาสหายและฟื้นคืนมาในวันสองวัน ทว่าขณะที่เรียมกำลังจะเปลี่ยนผ้านุ่งให้ลูก เธอก็พบความผิดปรกติบางอย่างที่ทำให้ใจเสีย



   ที่ระหว่างขาทั้งสองข้างของแก้วมีรอยเลือดไหลออกมาเปรอะท่วมหน้าแคร่เต็มไปหมด มองดูคล้ายระดู แต่เลือดที่เห็นกลับมีปริมาณที่มากจนน่ากลัว



   วาบหนึ่งในสมองเรียมคิดว่าบางทีเลือดที่เห็นอาจไม่ใช่ระดูของลูกสาว แต่อาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นที่มีความสำคัญมากกว่านั้น



   ครั้นเมื่อคิดได้เรียมก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เธอรีบทำความสะอาดร่างกายของลูกโดยไม่นึกรังเกียจ ฝนยาชันแผลตามตำหรับงูๆ ปลาๆ เท่าที่พอทราบ ในใจหวังว่าวันรุ่งขึ้น เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ลูกสาวคนดีของเธอจะฟื้นขึ้นมาดังเดิม



   หากแต่สิ่งที่เรียมหวังกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแก้วไม่ฟื้น ซ้ำยังมีไข้และเพ้อหนักตลอดคืนจนถึงเช้า แม้นร้อนใจมากแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรลูกได้



   หลังผ่านไปสามวันสามคืนอาการของแก้วก็ไม่มีทีว่าจะดีขึ้น เรียมอยากตามหมอมารักษาลูกใจจะขาด แต่ติดที่ไม่มีเบี้ยอัฐเพียงพอ ซ้ำยังถูกห้ามจากคนเรือนใหญ่ ระหว่างนี้เธอได้จันทร์หอมคอยช่วยกันผลัดเปลี่ยนคอยดูอาการให้แก้วเท่านั้น



   “น้าเรียม ฉันว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะจ้ะ”

   “น้าก็คิดเหมือนเอ็งนะจันทร์หอม แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หันหน้าไปพึ่งใครเขาก็ไม่ได้ น้าล่ะกลัวเหลือเกิน”



ทั้งหมดทั้งมวลที่จันทร์หอมพูดมา เรียมเข้าใจดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาได้อย่างไร หันหน้าไปพึ่งใครตอนนี้ก็ไม่มีคนช่วยสักคน ยิ่งคุณกำไลเริ่มหายดีเป็นปรกติแล้ว คำสั่งที่ว่าห้ามใครให้การช่วยเหลือแก้วยิ่งเด็ดขาดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า



   “ฉันไม่เชื่อว่าแก้วมันจะทำผิดคิดร้ายต่อคุณนายกำไลเช่นนั้น เรื่องนี้คงเป็นอุบายของคุณทับทิมเป็นแน่ เพียงแต่ถ้าเราหาทางพิสูจน์ได้”

   “แล้วเอ็งจะพิสูจน์อย่างไร แค่ลมปากใครเขาจะเชื่อ เอ็งก็เห็นว่าคุณทับทิมเธอถูกพิษจนล้มป่วยเหมือนคุณนายท่าน”

   “เฮ้อ…แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะจ๊ะ ถ้าแก้วมันตกเลือดจริงๆ แค่ยาหม้อที่เราต้มให้กิน มีหรือมันจะหายได้ ทั้งโดนโบยมาด้วย ข้างในคงบอบช้ำน่าดู”

   “ข้า…ข้าก็ไม่รู้” ยิ่งได้ฟัง คนเป็นแม่ก็ยิ่งใจจะขาด



   เมื่อได้ยินดังนั้นจันทร์หอมจึงนิ่งเงียบไปในที่สุด เพราะจนใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร จะคิดอ่านหาทางรอดให้แก้วอย่างไรก็คิดไม่ออก พวกเธอเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ยตัวเล็กๆ หากผู้เป็นนายไม่ให้ความเมตตาแล้วล่ะก็ จะหาผู้ใดอีกคงไม่มี



   “หรือว่า…” ทว่าจู่ๆ จันทร์หอมก็มาสะดุดที่ความคิดของตัวเองความคิดหนึ่ง

   “อะไรรึ”

   “ฉันว่าเราลืมนึกถึงคนคนหนึ่งจ้ะน้าเรียม คนคนนี้เป็นคนเดียวที่จะช่วยแก้วได้”

   “ใครรึจันทร์หอม” ครั้นได้ยินและเห็นดวงตาเป็นประกายของหญิงสาว เรียมก็ตื่นเต้นด้วยมีความหวังประกายขึ้นในหัวใจ

   “คุณสินไงจ๊ะน้าเรียม! คุณสินรักแก้วมาก เช่นนั้นก็มีเพียงคุณสินคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยแก้วได้”

   “แล้วคุณสินจะเชื่อพวกเรารึ คนที่โดนวางยาก็แม่ของเธอเชียวนะ” แม้ว่าบุตรสาวของเธอจะเป็นเมียของคุณสินผู้แสนดีคนนั้น แต่หากให้เลือกระหว่างเมียกับแม่ เรียมก็ไม่แน่ใจว่าคุณสินจะเลือกข้างไหน

   “ต้องเชื่อสิจ๊ะ เพราะคุณสินเป็นคนที่รู้จักแก้วมากที่สุด รู้จักพอๆ กับพวกเรา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยให้เมียรอดไว้ก่อน ส่วนเรื่องสืบสาวหาความก็ค่อยว่ากันทีหลัง ยิ่งถ้าเกิดแก้วมันท้องขึ้นมา แล้วถูกโบยจนตกเลือดอย่างที่เรากลัว อย่างไรคุณสินก็ต้องเห็นใจแก้วอย่างแน่นอนจ้ะ” จันทร์หอมเอ่ยออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ

   “แล้วเราจะบอกเธอได้อย่างไร อย่าลืมนะว่าคุณสินเธอไม่อยู่”

   “ฉันพอมีวิธีจ้ะน้า” บอกเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็รีบปราดออกไปจากกระท่อมไม้ทันที เพราะกลัวว่ายิ่งรอช้า เกลอรักของเธอจะทนต่อไปไม่ไหว





o-----------------------o




   ยามดวงตะวันคล้อยต่ำลง แสงสีส้มอมแดงก็ส่องฉาดไปกับผืนน้ำระยิบระยับ ความวุ่นวายทั้งสองฝั่งคลองดูจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเรือลำน้อยไกลออกมาจากเขตพระนคร ชายหนุ่มท่าทางองอาจที่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ บัดนี้กลับตีสีหน้าเคร่งขรึมลง คิ้วเข้มของเขาขมวดอยู่น้อยๆ นานๆ ทีก็จะออกปากบอกฝีพายให้เร่งมือกว่านี้ด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน



   บ่าวคนสนิทผู้คอยคัดท้ายพายเรือรีบเร่งจ้วงพายให้เร็วตามคำที่นายบอก เพราะกลัวท่าทางนิ่งๆ แต่ดุดันด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ของจางวางสินเป็นที่สุด



   สินร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาอยากจะหายตัวกลับเรือนทันทีที่บ่าวเอาความมาแจ้ง เรื่องที่มารดาถูกวางยา และมีหญิงคนรักเป็นแพะรับบาป โดยยามนี้เธอลงโทษจนเจ็บหนัก



   เวลาเพียงสองเดือนที่สินไม่อยู่กลับมีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นมากขนาดนี้ เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัด แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นว่าแก้วไม่มีทางเป็นเช่นคำกล่าวหาเด็ดขาด กระทั่งมาถึงเรือนใหญ่ สินจึงรีบตรงขึ้นไปดูอาการของมารดาทันที



   เมื่อพบว่าคุณนายกำไลแทบจะหายดีเป็นปรกติ สินก็เร่งลงจากเรือนไปหาคนรัก แม้จะต้องมีปากเสียงกันอยู่พักใหญ่ จางวางหนุ่มก็ไม่คิดสนใจ ในที่สุดเขาเดินลงมาหาคนรักที่เรือนดอกแก้วจนได้



   ทว่าเมื่อขึ้นไปบนเรือน ทุกสิ่งทุกอย่างกลับว่างเปล่า ชายหนุ่มออกปากถามบ่าวไพร่จนสุดท้ายก็ทราบว่าแก้วถูกพาไปไว้ที่ไหน



   เขาทั้งโกรธและเสียใจเมื่อรู้ว่าแก้วอยู่อย่างไรมาตลอดห้าวันที่ผ่านมา ยิ่งมาพบสภาพไม่สมประดีของหญิงสาวในกระท่อมน้อย สินยิ่งปวดหัวใจจนไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้



   “แก้ว!” ชายหนุ่มรีบถลาเข้าไปหาหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนแคร่ไม้



   มองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลแล้วเขาเจ็บปวด แต่ที่มากกว่านั้นคือไม่ว่าจะเรียกอย่างไรแก้วก็เอาแต่นอนหลับไม่ลืมตาขึ้นมามองเขาเช่นทุกที



   “นี่มันอะไรกัน แก้วเป็นหนักถึงเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มีใครตามหมอมาสักคน” เขาหันไปมองมารดากับบ่าวที่เป็นเพื่อนสนิทของคนรักด้วยความไม่เข้าใจ

   “ค…คุณท่านบนเรือนใหญ่สั่งห้ามไว้เจ้าค่ะ” นางเรียมร้องบอก พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

   “นี่มันโหดร้ายจนเกินไปแล้ว” สินช้อนมือไปประคองคนรักไว้ในอ้อมแขนก่อนอุ้มขึ้นมา จากนั้นจึงหันมาสั่งจันทร์หอม “ให้คนเอาเรือไปรับหมอมา เร็วที่สุด!”

   “เจ้าค่ะคุณสิน” จันทร์หอมรับคำแล้วรีบวิ่งนำหน้าออกไปก่อน ส่วนสินนั้นอุ้มแก้วออกจากกระท่อมร้าง เพื่อพากลับไปยังเรือนหลังเล็กของพวกเขาทั้งสองคน โดยมีเรียมเดินตามหลังไป






o-----------------------o






   ครั้นหมอมาถึงก็เริ่มลงมือรักษาทันที กลิ่นยาหม้อตลบอบอวลไปทั่วทั้งเรือนหลังเล็ก จางวางหนุ่มไม่อาจทำใจวางเฉยอยู่อย่างสงบได้เช่นทุกที เขาจึงเข้าไปนั่งดูการรักษาคนรักภายในห้องด้วย



   ตลอดเวลาหมอยาค่อยๆ ตรวจรักษาอาการของทาสสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนกระทั่งสุดท้าย หมอผู้เฒ่าก็ลงเครื่องไม้เครื่องมือ และสั่งจ่ายยาตามเห็นสมควร ส่วนสินเดินตามหมอออกมานอกห้องนอน แล้วถามด้วยความร้อนใจ



   “เป็นอย่างไรบ้างหมอ อีกนานไหมกว่าแก้วจะฟื้น”

   “ฉันบอกไม่ได้หรอกจางวางสิน ว่าแม่แก้วจะฟื้นเมื่อใด…” หมอยาเอ่ยเรียกเสียงเบา พลางถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

   “ทำไมเล่าหมอ”

   “ลำพังแค่ถูกโบยก็บอบช้ำภายในมากแล้ว แต่แม่แก้วยังเสียเลือดมากเพราะแท้งลูกอีก”

“แท้งลูก!” ได้ยินที่หมอบอกสินก็แทบเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น เขามือสั่น ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ทว่าอาการของแก้วยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ดังนั้นหมอผู้เฒ่าจึงว่าต่อ

“กว่าจะตามฉันมาธาตุในกายของคนเจ็บก็แตกเสียแล้ว มันเกินกำลังของหมอแก่ๆ อย่างฉันจริงๆ พ่อคุณเอ๋ย คงต้องสุดแท้แต่เวรแต่กรรมแล้ว”



สินให้คนไปส่งหมอยากลับเรือน ส่วนตนเองก็เข้าไปหาหญิงคนรักในห้องนอน ความจริงที่หมอเอ่ยออกมานั้นยากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้



สินจับมือน้อยแสนหยาบกร้านของแก้วขึ้นมาแนบหัวใจ ก่อนจะเอ่ยกับคนไม่ได้สติด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเช่นที่เคยทำมาเสมอ



“แก้ว…” เขากระซิบ “พี่กลับมาหาแก้วแล้วนะ ฟื้นขึ้นมาเถิดคนดี”






o-----------------------o





   กลางดึกในคืนนั้น นายท่านเสืองกับคุณนายกำไลลงมาหาสินถึงเรือนดอกแก้ว แต่สินก็ไม่มีแก่ใจออกไปรับหน้าบิดามารดาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งเฝ้าหญิงคนรักอยู่ข้างเตียงราวกับคนโง่งม ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ดีไปกว่าคอยจับมือน้อยๆ คู่นั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย



   กระทั่งมีชั่วขณะหนึ่งที่ชายหนุ่มกำลังจะเคลิ้มหลับ ปลายนิ้วที่ถูกกุมเอาไว้ก็ขยับให้สินรู้สึก เขารีบทะลึ่งพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนจะเรียกชื่อคนรักด้วยความดีใจ



   “แก้ว”

   “อะ…” หญิงสาวส่งเสียงแหบพร่าตอบรับ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แก้วตาที่เคยสดใสฉายแววอ่อนล้า เธอกระพริบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผินหน้ากลับมาหาคนที่อยู่ด้านข้างในที่สุด

   “แม่แก้ว คนดีของพี่ฟื้นแล้ว” ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา

   “คุณสิน…กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

   “พี่กลับมาแล้ว”

   “แก้วไม่ได้…ฝันไปหรอกหรือเจ้าคะ”

   “ไม่ได้ฝัน พี่กลับมาหาแก้วแล้ว” ชายหนุ่มจูบมือน้อยด้วยความรักเพื่อเป็นการยืนยัน

“แก้วไม่ได้เป็นคนทำนะเจ้าคะ”

“พี่รู้ รู้ว่าคนดีของพี่ไม่มีวันทำเช่นนั้น”

“แก้วไม่ได้ทำจริงๆ เจ้าคะ” คำพูดที่เอ่ยออกมาคล้ายกับกังละเมอ หญิงสาวพูดซ้ำๆ จนสินต้องขยับขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกัน จากนั้นก็ตระกองกอดปลอบประโลมหญิงสาวเอาไว้

“ไม่ร้องนะคนดี พี่รู้แล้วว่าแก้วไม่ได้ทำ พี่เชื่อแก้ว พี่เชื่อ”



ครั้นได้ยินว่าชายหนุ่มเชื่อ น้ำตาของแก้วก็พลันไหลออกมามากกว่าเดิม เธอต้องการเพียงเท่านี้ ใครคนใดจะไม่รัก ไม่เชื่อใจแก้วก็ไม่เป็นไร ของแค่คุณสินยังรักและเชื่อใจ เธอก็พอใจที่สุดแล้ว



หญิงสาวสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของคนรัก เธอรู้สึกหมดแรงและเจ็บไปทั้งสรรพางค์กาย ราวกับมีใครเอามีดมาเถือเนื้อหนังก็มิปาน



“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

“แก้วเจ็บเจ้าค่ะ”

“เจ็บตรงไหนบอกพี่”

“เจ็บและหนาวไปหมดเลยเจ้าค่ะ” ได้ยินดังนั้นสินก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

   “ไม่เป็นไรนะ นอนพักสักเดี๋ยว ตื่นมาแก้วก็หายแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางลูบหัวหญิงสาวเบาๆ

“แล้วคุณสินเล่าเจ้าคะ” เธอกระซิบถาม

“พี่จะอยู่ข้างๆ ยามแม่แก้วหลับ พี่จะตื่น จะกอดแก้ว รอแก้วอยู่เช่นนี้ไม่ไปไหน”

“จริงนะเจ้าคะ”



แก้วรู้สึกตัว เหมือนกับว่าหากเธอหลับตาลงตอนนี้ เธอจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าคุณสินอีก นั่นจึงทำให้แก้วไม่อยากหลับตาลงเลย ทว่าร่างกายของเธอกลับเรียกร้องจนแทบทนไม่ไหว



“จริงสิ” สินรับคำ “เอาไว้แก้วตื่น เราค่อยออกไปดูดอกไม้ด้วยกัน”

“สัญญานะเจ้าคะ”

“พี่สัญญา พี่จะรอแก้ว หลับเถิด พี่จะกล่อม” เขาจูบลงบนขมับของเธอซ้ำๆ ก่อนร้องเพลงกล่อมหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นเด็กเล็กๆ



ได้ฟังเสียงอ่อนโยนเรียกชื่อและปลอบขวัญ เปรียบเหมือนดั่งมีน้ำทิพย์ชโลมจิตใจ หลายวันหลายคืนที่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกทัณฑ์ทรมานค่อยๆ มลายหาย เพียงแค่มีชายที่รักโอบกอดเอาไว้



แก้วเงียบเสียงลงอย่างว่าง่าย เธอฟังเสียงทุ้มร้องเพลงนกขมิ้นกล่อมเบาๆ สติรับรู้และลมหายใจค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงฝันอันมืดมิด



กระนั้น ก่อนที่จะไม่ได้พูด ก่อนจะไม่ได้พบ ไม่อาจรู้สึกอันใดได้อีกต่อไป เสียงเล็กๆ ของหญิงสาวก็ดังลอดออกมาจากริมฝีปาก เป็นประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่ง



“แก้ว…รักคุณสินนะเจ้าคะ”

“พี่ก็รักแก้ว”



แก้วหลับตาลง หลับลงพร้อมกับคำบอกรักแสนอ่อนหวานที่จะติดตามเธอไปแม้สิ้นสุดลมหายใจสุดท้ายของชีวิต…





o-----------------------o





สนธยาตื่นขึ้นในห้องพักพิเศษของคนไข้ก่อนรุ่งสาง เขารู้สึกปวดหัวและยังเจ็บหน่วงในหัวใจไปหมด เมื่อคืนเขาฝันเห็นตัวเองกอดใครคนหนึ่ง ในฝันนั้นแสนเศร้าเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้



ชายหนุ่มคิดทบทวนเรื่องราวในหัวเงียบๆ ก่อนจะมองไปยังเตียงคนไข้ ครั้นคนที่หลับอยู่บนนั้นยังนิ่งสนิทเหมือนเก่า เขาจึงเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเพราะรู้สึกว่าไม่อาจหลับตาลงได้อีกแล้ว



แต่ขณะที่กำลังจะก้มตัวเพื่อล้างหน้า ดวงตาก็พลันเหลือบไปเห็นใบหน้าของตนเองในกระจก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคนเป็นสนธยาคนเดิมไม่เปลี่ยน หากแต่ที่แก้มทั้งสองข้างกลับมีคราบน้ำตาที่ยังเปียกๆ เลอะเต็มไปหมด



สนธยาตกใจไม่น้อย เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองร้องไห้ทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ แม้ในใจจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพฝันนั้นมันทำให้รู้สึกบีบรัดในหัวใจจริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะรู้สึกร่วมได้ถึงขนาดนี้ เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ลงมือล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัว จากนั้นจึงออกมาจากห้องน้ำ



แต่เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว สนธยาก็ต้องตกใจอีกรอบ เพราะคนที่เขาเห็นว่าหลับอยู่ในตอนแรก บัดนี้กลับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและหันหน้ามามองเขาราวกับรอคอยอยู่ก่อนแล้ว



คิน!



สนธยารีบวิ่งไปหยุดที่ข้างเตียง ทั้งตื่นเต้น ตกใจ และเหนือสิ่งอื่นใดคือดีใจอย่างที่สุด หากก่อนที่จะเอ่ยคำไหนออกมาได้ ร่างกายของเขากลับถูกคนบนเตียงดึงเข้าไปหา จากนั้นก็รวบกอดแนบแน่น



“ผม...รู้แล้ว รู้แล้วว่าพี่รอผมมาตลอด”



“ก็ใช่น่ะสิ รู้ไหมฉันกลัวแค่ไหนว่านายจะไม่ฟื้น” สนธยาเอ่ยออกไปตามความรู้สึกจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือ เรื่องที่นาคินพูดถึงนั้น ต่างกับเรื่องที่เขาเข้าใจโดยสิ้นเชิง



คำว่า รอ ที่นาคินรับรู้ กับคำว่า รอ ที่สนธยาเข้าใจนั้นเป็นคนละความหมายกัน




“ขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ปล่อยให้พี่ต้องรออีกแล้ว”








<><><><><><><><><><><><><><><><><><>





มาแล้วค่ะ
ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าหมดพาร์ทอดีตที่ยาวๆ แล้วล่ะ
ใกล้จบแล้วน้าาา ฝากติดตามต่อด้วยค่ะ

ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๘ ☰ [๒๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-01-2017 19:28:58
เศร้าาาา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ [๓๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 30-01-2017 00:33:21







บทที่ ๑๙







   หลังจากนาคินรู้สึกตัวในเช้ามืดวันนั้น สนธยาก็รีบแจ้งแก่พยาบาลผู้ดูแลทันที ก่อนที่คุณหมอจะเข้ามาตรวจเช็คร่างกายของคนป่วย ชายหนุ่มยังไม่ลืมโทรบอกข่าวดีกับพ่อและแม่ของนาคินด้วย ท่านทั้งสองดีใจมากที่ลูกชายได้สติแล้ว จึงรีบแต่งตัวเพื่อเดินทางมายังโรงพยาบาลเช่นกัน



   ระหว่างนั้น ยามเมื่อชายหนุ่มสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน หลังจากปรับอารมณ์ทุกอย่างให้สงบนิ่งแล้ว นาคินจึงเอ่ยปากถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะเขาแทบจำอะไรไม่ได้เลย หลายสิ่งหลายอย่างมันเลือนรางจนสมองสับสนและจับต้นชนปลายไม่ถูก



   “ฉันเจอนายกำลังจะจมน้ำ พอกระโดลงไปช่วยขึ้นมานายก็ไม่ได้สติแล้ว ฉันพานายส่งโรงพยาบาล คุณหมอช่วยไว้ได้ทัน ร่างกายพ้นขีดอันตรายแต่นายกลับไม่ฟื้น กระทั่งถึงตอนนี้นี่แหละ” สนธยาเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้อีกฝ่ายฟัง

   “ว่าแต่นี่มันกี่วันกันแล้วครับ ผมหลับไปกี่วัน” นาคินถามต่อ

   “นายหลับไปราว 1 อาทิตย์ได้” สนธยาตอบ “ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเป็นไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนไหม”

   “มึนหัวนิดหน่อยครับ แต่ที่เหลือก็ปรกติดี ไม่ได้เป็นอะไร พี่สนไม่ต้องเป็นห่วงนะ” นาคินพูดให้อีกฝ่ายลายความกังวล



ทว่าเมื่อสนธยาได้ยินดังนั้น ความกังวลและความเป็นห่วงที่สะสมมาหลายวันก็ปะทุออกมา ยากเกินกว่าจะเก็บซ่อนหรือควบคุมมันได้เช่นที่ผ่านมา



   “จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง นายหลับไปตั้งหลายวันโดยไม่ทราบสาเหตุ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้านายไม่ยอมตื่นขึ้นมา ฉันจะทำยังไงต่อไป”

   “พี่สน…” นาคินเบิกตากว้างเพราะไม่อยากเชื่อว่าสนธยาจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ท่าทีแสดงออกว่าเป็นห่วงเขามากแค่ไหน มันออกจะเกินความคาดหมายไปสักหน่อย

   “อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงแบบนี้อีกเข้าใจไหม” ดวงตาสีนิลของเขาไหวระริกขณะเอ่ยคำสั่ง ชายหนุ่มรู้ว่ามันน่าอาย อีกทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับนาคินก็ไม่อาจควบคุมได้ แต่เขาก็ยังอยากพูดประโยคเอาแต่ใจนั่นออกไปอยู่ดี



   ส่วนคนถูกออกคำสั่งนั้นกลับแย้มยิ้มอย่างยินดี หัวใจมันพองโตจนคับอก รู้สึกยินดีกระทั่งสามารถสลัดความรู้สึกปวดใจจากภาพฝันไปได้เป็นปลิดทิ้ง



นาคินเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของหนุ่มนักดนตรีเอาไว้ ส่งผ่านความรู้สึกและความอบอุ่นให้แทรกซึมลงไปถึงหัวใจ ก่อนจะเอ่ยคำมั่นออกมา



“ผมจะพยายามครับ”



   สนธยาไม่ได้พูดอะไรอีก และก็ไม่ได้ดึงมือกลับมาจากการเกาะกุมของมือใหญ่ข้างนั้น เขามองหน้านาคินสลับกับมือที่ถูกกุมเอาไว้ ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้รู้ว่าไม่เหมาะสม แต่มือข้างนี้ของนาคินก็ทำให้ภายในใจของสนธยาสงบลง



   “จริงสิ ระหว่างที่นายไม่ได้สติ ฉันถามพ่อแล้วนะเรื่องคนที่นายเคยฝันถึง”

   “เป็นยังไงบ้างครับ ได้เรื่องไหม”

   “อืม” สนธยาพยักหน้า “พ่อบอกว่าฉันมีญาติชื่อสินจริงๆ แต่ไม่รู้ละเอียดเกี่ยวกับท่านมากนัก เพราะท่านเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าอยากรู้มากกว่านี้คงต้องไปถามกับคุณย่าที่อยุธยา”

   “อย่างนั้นหรือครับ” นาคินนิ่งไป คิ้วเข้มขมวดมาชนกัน คล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง

   “นายหลับไปหลายวัน ได้ฝันเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง

   “ครับ”



   แล้วนาคินก็เริ่มเล่าความฝันของตนเองให้สนธยาฟัง ทว่าคราวนี้มันเหมือนกับเขากำลังเล่าเรื่องของตนเอง เพราะความฝันในช่วงสุดท้ายนั้นชัดเจนจนรู้สึกได้ ราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง และเกิดขึ้นไม่นานมานี้



   เมื่อเล่าจบทั้งคู่ก็เงียบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนสนธยาจะเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้นลง “นี่…คิน”

   “ครับ”

   “เช้าแล้วนะ”

   “ครับ?” นาคินหันไปมองแสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดส่องมาทางหน้าต่าง แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่สนธยาต้องการจะสื่อนัก

   “ต่อไป…ไม่ว่านายจะฝันเรื่องอะไร แต่พอเช้าแล้วก็ต้องตื่นรู้ไหม” กระแสเสียงที่เอ่ยออกมาครั้งนี้ไม่เหมือนการออกคำสั่ง เพราะมันอ่อนโยนเสียจนหัวใจของนาคินเต้นแรง เห็นดวงหน้าและแววตาที่ทอดมองมา นาคินยิ่งแน่ใจ



   คนคนนี้ คือคุณสินไม่ผิดแน่



   “ครับ ผมรู้แล้ว” นาคินรับปาก “ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงฝันเห็นเรื่องเล่านี้ แต่ผมคิดว่าทุกอย่างย่อมมีความหมายในตัวของมันเอง ถ้าพี่สนบอกว่าคนที่อยู่ในฝันของผมมีตัวตนจริงๆ ผมก็อยากพิสูจน์ให้แน่ใจกันไปเลย”

   “ถ้างั้น ไว้รอนายออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ค่อยไปหาคุณย่านะ”

   “พี่สนไปด้วยกันนะ”

   “แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันจะเป็นคนพานายไปเอง” ครูดนตรีบีบกระชับมือเพื่อยืนยันให้มั่นใจ

   “ขอบคุณครับ”





o-----------------------o






   ไม่นานหลังจากที่นาคินฟื้นคืนสติขึ้นมา ชายหนุ่มก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เนื่องจากคุณหมอไม่ตรวจพบความผิดปรกติใดๆ ของร่างกาย พ่อกับแม่ของนาคินพาชายหนุ่มไปทำบุญปลอบขวัญยกใหญ่ ก่อนจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดดังเดิม



   ชีวิตของนาคินเองก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปรกติสุขอีกครั้ง เพราะหลังจากความฝันครั้งสุดท้าย นาคินก็ไม่เคยฝันเห็นเรื่องราวของบุคคลเหล่านั้นอีกเลย แต่ชายหนุ่มก็ยังอยากรู้จักคนในอดีตให้มากกว่านี้ อยากรู้ว่าหลังจากสูญเสียคนที่รักไปแล้วชายคนนั้นอยู่อย่างไร ทุกข์ใจเพียงไหน



อยากรู้…ทั้งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้




“ทำอะไรอยู่” แรงแตะที่ด้านหลังทำให้นาคินหันกลับมา

“เปล่าครับ แค่ยืนดูต้นไม่เฉยๆ”

สนธยาเงยหน้ามองต้นแก้วเจ้าจอมสูงใหญ่ ก่อนหันมามองหน้านาคินด้วยท่าทางสงสัย “ดูต้นไม้ทำไม มันมีอะไรน่าดูหรือ”

“อืม…บอกไม่ถูกครับ”



เขาไม่รู้จะเล่ายังไง เพราะก่อนหน้านี้นาคินไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องต้นไม้ของคุณสินกับแก้วให้สนธยาฟัง ความฝันเหล่านั้นเขาเพียงแต่เล่ามันคร่าวๆ เท่านั้น หากจะพูดถึงในตอนนี้ ก็กลัวจะถูกหาว่ากลับไปหมกมุ่น ทั้งที่ไม่ได้เอ่ยเรื่องเกี่ยวกับความฝันประหลาดมาเป็นเดือนๆ แล้ว



   “แปลกคน”

   “ว่าแต่พี่สนมีอะไรครับ เดินลงมาหาผมถึงนี่ ผมคิดว่าพี่กำลังสอนเด็กๆ อยู่เสียอีก” ช่วงสายของวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นเวลาประจำที่สนธยาต้องสอนเด็กๆ ที่เข้ามาเรียนดนตรีไทย

   “ตอนนี้เด็กๆ พักอยู่ ฉันเห็นนายจากบนเรือน ก็เลยว่าจะลงมาบอก”

   “มีอะไรครับ”

   “เย็นนี้ฉันจะไปอยุธยา คุณพ่อท่านจะเอาเอกสารเรื่องที่ดินไปให้คุณย่า ฉันเลยรับอาสาไปแทน นายก็เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ คงจะค้างคืนหนึ่ง กลับวันพรุ่งนี้”

   “ไปค้างเหรอครับ”

   “ใช่ กว่าจะถึงก็คงค่ำๆ คุณย่าไม่ให้ขับกลับแน่ๆ นายมีอะไร ไม่สะดวกใจหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวก งั้นฉัน-“

   “ไม่ครับ ผมสะดวก จะไปจัดกระเป๋ารอนะครับ” นาคินรีบบอกเพราะกลัวว่าสนธยาจะเปลี่ยนใจ

   “อืม ไม่ต้องเอาอะไรไปมากหรอก ค้างคืนเดียวเอง”

   “รู้แล้วครับ”

   “ถ้างั้นเจอกันที่รถบ่ายๆ ฉันขอขึ้นไปสอนเด็กก่อน หมดเวลาพักพอดี เดี๋ยวเด็กจะรอ”

   “ครับคุณครู” นาคินยิ้มล้อครูดนตรี สนธยาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย ก่อนเดินกลับขึ้นเรือนดอกแก้ว ทิ้งให้นาคินยืนมองอยู่ด้านหลังยิ้มๆ



   พอนาคินฟื้น ความสัมพันธ์ของเขากับสนธยาก็ดีขึ้นมาก แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ค่อยพูดอะไรกับเขามากมายหากไม่จำเป็น แต่ความห่วงใยที่สนธยามีให้ ชายหนุ่มก็ยอมแสดงออกมาให้เห็นโดยไม่คิดปิดบังหรือวางฟอร์มเช่นแต่ก่อน จนหลายครั้งที่นาคินอยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนไปไกลเกินกว่าคำว่าพี่น้อง



   เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกที่สนธยามีให้ จะเหมือนที่นาคินให้กับเจ้าตัวหรือเปล่า…




o-----------------------o







   การไปอยุธยาคราวนี้ สนธยารับหน้าที่เป็นสารถีคอยขับรถแทน เพราะเจ้าตัวรู้ทางไปบ้านคุณย่า ต่างจากนาคินที่เพิ่งเคยไปครั้งแรก หากปล่อยให้ขับก็ต้องมานั่งบอกทางให้วุ่นวายกันอีก



   หลังจากฝ่าการจราจรติดขัดของเมืองกรุงออกมาได้ พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นจึงถึงบ้านคุณย่า ทันทีที่มาถึงคุณย่าก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เพราะรู้จากทางโทรศัพท์แล้วว่าหลานชายคนโตจะมา



บ้านทรงปั้นหยาหลังน้อยซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่นริมลำน้ำป่าสัก คุณย่าแม้จะแก่ชราลงมาแต่ก็ยังคล่องแคล่ว ลงมือเข้าครัวเองซ้ำยังเลือกทำแต่อาหารโปรดของหลานชาย ก่อนจะให้เด็กๆ ตั้งโต๊ะที่ศาลาริมน้ำ



นาคินเองก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นกัน เพราะชายหนุ่มเป็นคนช่างพูดช่างคุย ซ้ำยังยิ้มเก่ง คุณย่าของสนธยาจึงรู้สึกรักใคร่เหมือนเป็นลูกหลานอีกคน



“แล้วไปยังไงมายังไง พ่อสนถึงขันอาสามาแทนพ่อเขาล่ะลูก เห็นทุกทีรับหน้าที่เป็นครูสอนเด็กๆ ไม่ใช่รึ”

“ผมอยากมาเยี่ยมคุณย่าน่ะครับ ไม่ได้มาหาคุณย่านานแล้ว ผมคิดถึง”

“แหม~ ช่างพูดเอาใจคนแก่” หญิงชรายิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคำหลาน



แม้เธอจะหลบลี้หนีความวุ่นวายในเมืองกรุงมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่อยุธยา แต่ก็อดเหงาไม่ได้ในบางครั้ง การที่ลูกหลานเดินทางมาเยี่ยมหาจึงทำให้คนแก่อย่างเธอมีความสุขมาก



   ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารกันไป คุยกันไปเรื่อย กระทั่งปิดท้ายด้วยของหวานจนอิ่มท้องแล้ว สนธยาก็เลียบๆ เคียงๆ ถึงเรื่องบุคคลในฝันของนาคิน



   “คุณย่าครับ คุณย่าพอจะรู้จักทวดสินไหมครับ”

   “รู้จักสิลูก ท่านเป็นลุงของย่า ย่าจะไม่รู้จักได้ยังไง” เธอตอบ ก่อนหันกลับมาถามบ้าง “ว่าแต่นึกยังไงพ่อสนถึงถามล่ะลูก”

   “พอดีว่าวันก่อนคุณพ่อท่านเล่าให้ฟังว่าครอบครัวเราเคยมีคนเป็นจางวาง ผมก็เลยสงสัยน่ะครับ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินชื่อท่าน”


   “อ๋อ อย่างนั้นรึ” คุณย่าพยักหน้ารับรู้ ก่อนเอ่ยปากเล่า “ถ้าเป็นคนรุ่นย่าก็คงพอจะรู้จักท่าน ท่านชื่อว่าสิน เป็นพี่ชายของแม่ย่า เคยเป็นจางวางควบคุมวงดนตรีในวังให้สมเด็จฯ แต่คนรุ่นหลังๆ มาจะไม่ค่อยรู้จัก เพราะท่านเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่งงานถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่มีบุตรสักคน ตอนหลังพอแม่ของย่าแต่งงานกับคุณพ่อ คุณพ่อก็เข้ามาอยู่ที่บ้าน และมีวงดนตรีอยู่ที่นั่น เห็นว่าก่อนคุณลุงท่านจะเสีย ท่านฝากให้คุณพ่อดูแลเรือนแทนท่าน เพราะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาเมื่อครั้งอยู่ในวัง พอคุณพ่อมีวงดนตรีอยู่ที่บ้าน ก็รับลูกศิษย์ลูกหามากมาย แล้วก็สืบทอดทายาทดนตรีมาที่คุณปู่ แล้วก็พ่อของหลานนี่แหละจ้ะ”


   “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าทางดนตรีของบ้านเรา มาจากคุณทวดสินหรือครับ” สนธยาถามต่อ

   “ใช่จ้ะ ก็อย่างที่บอก คุณทวดสรท่านเป็นลูกศิษย์ลูกหาตอนอยู่ในวังด้วยกัน คุณทวดสินท่านก็ชักพามาให้พบกับน้องสาวท่าน พอน้องสาวแต่งงานก็มีลูกมีหลานมาเป็นพวกเรานี่ล่ะ ส่วนลูกหลานทางฝั่งคุณทวดสินท่านไม่มี”

   “คุณย่าว่า คุณทวดสินแต่งงานถึงสองครั้ง ท่านแต่งกับใครหรือครับ” เมื่อนาคินได้ยินคำถามข้อนี้ของสนธยา ชายหนุ่มถึงกับต้องกำมือเอาไว้แน่น ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนยากจะระงับเอาไว้ได้

   “ย่าก็ไม่รู้เรื่องราวมากนักหรอก เพราะเมื่อครั้งท่านแต่งครั้งแรกย่ายังไม่เกิด แต่เห็นว่าเมียแรกของท่านเป็นเมียบ่าว ชื่อ แก้ว ส่วนเมียคนที่สอง คนนี้ย่าพอได้เห็นท่านก่อนเสีย ท่านชื่อ ทับทิม”

   “แต่งกับคุณทับทิมด้วยหรือครับ!” เป็นนาคินที่เอ่ยออกมากลางวง ทำเอาสนธยาและคุณย่าถึงงงงวยไปหมด

   “ใช่จ้ะพ่อคิน” คุณย่าพยักหน้ายืนยัน “พ่อคินรู้จักคุณทับทิมด้วยหรือจ้ะ”

   “มะ…ไม่ครับ ผมแค่…เอ่อ” นาคินอ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้จะบอกอย่างไร สนธยาจึงรีบแก้ต่างให้

   “คินเขาไม่รู้จักหรอกครับคุณย่า เขาแค่ถามไปอย่างนั้น ใช่ไหมคิน” ประโยคหลังสนธยาหันมาขยิบตาให้นาคิน ชายหนุ่มจึงต้องเออออไปด้วย

   “ครับ ใช่ครับ ผมถามไปอย่างนั้นเอง คุณย่าเล่าต่อเถอะครับ”

   “ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะลูก ที่ย่ารู้ก็มีเท่านี้”

   “แล้วคุณทวดทับทิมท่านเป็นอะไรเสียครับ”

   “ท่านป่วยน่ะลูก คุณทวดสินเองก็ป่วยเหมือนกัน”

   “อ๋อ”



   หลังจากฟังเรื่องเล่าของคุณย่าแล้ว สนธยากับนาคินก็พาคุณย่าขึ้นบ้าน เพราะท้องฟ้าเริ่มมืด ยุงก็เริ่มมา หากรบกวนท่านนานจนดึก ท่านจะถูกน้ำค้างจนไม่สบายเอา ส่งคุณย่าที่ห้องเรียบร้อย สองหนุ่มก็แยกตัวมาที่ห้องนอนซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว



พวกเขาพลัดกันอาบน้ำอาบท่าโดยที่ยังไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะเรื่องที่รับรู้มานั้นค่อนข้างจะน่าตกใจไม่น้อย อย่างนาคินที่เคยมั่นใจอยู่แล้วว่าเรื่องในฝันน่าจะเคยเกิดขึ้นจริง แต่พอมารับรู้ว่ามันเป็นจริงดังคาด ชายหนุ่มเองก็ตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน



ส่วนสนธยายิ่งแล้วใหญ่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อนาคิน แต่เรื่องเล่าจากความฝันนั้นมันค่อนข้างจะเหนือธรรมชาติเกินไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่ฟังและพิจารณาไปเป็นข้อๆ เท่านั้น



แต่ในเมื่อเรื่องที่ฝันเคยเกิดขึ้นจริง คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องมาพิจารณากันแล้วว่า เพราะเหตุใด นาคินจึงได้ฝันเห็นเรื่องราวเหล่านั้น



เมื่อนาคินกับสนธยาอาบน้ำเสร็จก็ออกมานั่งร่วมกันที่เตียง บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ค่อนข้างอึดอัดพอสมควร เพราะไม่รู้จะเริ่มพูดอะไร ต้องทำอะไรต่อไปกับเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยออกมา สุดท้ายก็เป็นสนธยาที่ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเอ่ยชวนให้นาคินออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกัน



“อยู่แบบนี้ก็อึดอัด ออกไปเดินเล่นกัน”

“พี่สนจะไปไหนครับ”

“เดินแถวๆ นี้แหละ นายจะตามมาไหม”

“ไปสิ” ว่าแล้วนาคินก็ลุกตามออกไป



พอลงจากเรือนได้สนธยาก็เดินเรื่อยๆ ไปจนถึงศาลาริมน้ำโดยมีนาคินเดินตาม บรรยากาศของบ้านริมน้ำในยามค่ำคืนค่อนข้างเงียบสงบ โชคดีที่คุณย่าให้คนเอาตะเกียงน้ำมันแบบโบราณมาจุดไว้ให้แสงสว่าง ศาลาริมน้ำจึงไม่มืดจนเกินไปนัก



สนธยาเดินไปหยุดที่เก้าอี้ยาว ก่อนจะนั่งลงไปพิงหลังกับพนัก ทั้งยังไม่ลืมชักชวนให้นาคินนั่งด้วย


“นั่งสิ”

“ครับ” นาคินยอมนั่งลงข้างๆ กัน ครั้นเห็นว่าคนข้างๆ แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาจึงผ่อนกายลงพนักพิงหลังและปล่อยตัวตามสบายบ้าง

“ไปทะเลคราวที่แล้ว ผมกับพี่ก็นั่งดูดาวกันแบบนี้เนอะ”

“อืม” สนธยาพยักหน้ารับ

“ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องฝันให้พี่ฟัง”

“ตอนั้นฉันยังไม่ยอมเชื่อนายเลย แต่ก็ไม่ได้หาว่านายบ้าหรอกนะ คิดว่าอาจจะแค่เครียดเฉยๆ” ชายหนุ่มยอมสารภาพความจริง “แต่ดูสิ ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงเสียแล้ว”

“นั่นสิครับ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” นาคินถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วส่วนหนึ่ง ว่าบุคคลที่เขาฝันถึงนั้นมีตัวตนอยู่จริง แต่หลังจากนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก “แต่ถึงจะรู้แล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นผมที่เห็น ถึงจะคิดว่ามีนัยยะบางอย่าง แต่ก็ได้แค่เดาเท่านั้น”

“มันก็จริง เราจะทำอะไรได้ล่ะ ฝันเห็นแล้วยังไง สุดท้ายก็แก้ไขอะไรให้ใครไม่ได้หรอก คงได้แต่ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ บางทีคนที่ล่วงลับไปอาจจะต้องการให้ใครคิดถึงบ้างล่ะมั้ง” นี่คือสิ่งที่สนธยาพอจะคิดออก นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไร

“อืม…บางทีก็อาจจะเป็นอย่างที่พี่พูดก็ได้” นาคินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าดวงวิญญาณที่บันดาลให้เห็นภาพเหล่านั้นคือดวงวิญญาณของแก้ว เพราะเขาเห็นในมุมมองของแม่แก้ว ซึ่งในทีแรกอาจจะแค่ต้องการเรียกร้องหรือบอกให้ใครได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนทำผิดคิดร้าย แต่พอได้ยินที่สนธยาพูด นาคินก็ฉุกคิด บางทีดวงวิญญาณอาจจะต้องการให้ใครบางคนหวนคิดถึงตนเท่านั้นเอง



เพราะนาคินค่อนข้างมั่นใจว่าสนธยาคือจางวางสินกลับชาติมาเกิด เขาที่บังเอิญได้เข้ามาใกล้ชิดกับสนธยา และมีจิตสื่อถึงดวงวิญญาณในเรือนดอกแก้วได้ จึงเป็นสื่อกลางที่จะบอกให้สนธยาได้รู้ว่าเมื่อนานมาแล้วยังมีคนชื่อแก้วอยู่



“ถ้างั้นพรุ่งนี้ไปทำบุญให้พวกเขากัน ต่อไปก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ นายเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบรรพบุรุษของฉัน พวกท่านคงไม่มารบกวนนายอีก”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่พี่สนต้องไปกับผมนะ”

“อืม” สนธยาพยักหน้ารับง่ายๆ “ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องพวกนี้แล้วนะ กลับมาใช้ชีวิตแบบคนปรกติสักที”

“ครับ” นาคินยิ้มให้กับความห่วงใยนั้น “ขอบคุณนะพี่สน ที่คอยอยู่เคียงข้างผม ถ้าไม่มีพี่ ผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องพวกนี้ได้ยังไง”

“อืม” หนุ่มหน้ามนเกาแก้มแก้เขิน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบสายตาเปี่ยมความรู้สึกของนาคิน แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายเขาก็ถูกนัยน์ตาสีน้ำตาคู่นี้ดึงดูดเอาไว้อยู่ดี



 สายลมฤดูหนาวพัดโชยเอื่อยชวนให้กายสะท้าน แต่มือที่เชยคางของสนธยาขึ้นกลับทำให้รู้สึกร้อนรุ่มเสียอย่างนั้น มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่คิดหลบหลีก แต่สิ่งที่เต้นรัวแรงอยู่ในอกข้างซ้ายกลับไม่ยอมฟัง



ชั่วลมหายใจต่อมา ริมฝีปากของทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะบดเบียดแนบแน่นยากถอดถอน เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ความรุ่มร้อนภายในก็ถูกกวาดต้อนจนเผลอหอบสะท้าน



สนธยาไม่เคยรู้ จูบที่ไม่มีที่มาที่ไป…หวานล้ำเกินกว่าจะคาดคิดเอาไว้มากมายนัก







‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧:❉:‧‧‧‧






มาแล้วค่ะ
ใกล้จบจริงๆ แล้ว
ฝากติดตามจนจบด้วยนะคะ ^^



ละอองฝน.
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ [๓๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-01-2017 02:46:37
ดึกเช่นเคยและยังคงหวาดๆเช่นเคยเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ [๓๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 30-01-2017 04:39:22
คาใจมากว่า มาทำให้ฝันถึงทำไม เพราะดูแล้ว แม่แก้วน่าจะยังไม่เกิดใหม่แน่ ๆ เพราะยังคงห่วง ยึดติด แต่แค่ให้ฝันเพราะจะได้นึกได้หรอ หรือว่า คินเป็น แม่ทับทิม โอ๊ย อยากรู้ใจจิขาดรอนๆ ๆ แต่ทำแบบนี้สงสารแม่แก้วก็สงสาร แต่สงสารสุด สงสารนาคินของบ่าว กระซิก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ [๓๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 30-01-2017 17:18:21
เหมือนคินจะไม่ใช่แม่แก้ว อ่ะ หรือ จะเป็นแม่ทับทิม หรือไงอ่าา ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑๙ ☰ [๓๐/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-01-2017 16:06:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 31-01-2017 21:04:25








บทที่ ๒๐








   วันนี้สนธยาตื่นเช้าเป็นพิเศษ แต่อันที่จริงอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืนมากกว่า เพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ด้วยกระสับกระส่าย ทั้งเขินอาย และสับสนไปหมด



หลังจากที่จูบกับนาคินที่ศาลาท่าน้ำ เขาก็พูดหนุ่มรุ่นน้องจูงมือพากลับไปที่ห้อง และถูกจูบหน้าผากก่อนบอกฝันดีอีกรอบโดยที่ตัวเองไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติที่สุด กระนั้น เมื่อได้สติและครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน เช้านี้สนธยาก็ไม่อาจรอให้อีกฝ่ายตื่นเพื่ออยู่เผชิญกันได้ เขาจึงลุกล้างหน้าล้างตา ก่อนลงมาช่วยคุณย่าทำอาหารเช้า



   คุณย่ามักจะตื่นเช้ามาทำกับข้าวใส่บาตรทุกวันเป็นกิจวัตร ยิ่งวันนี้มีหลานชายมาช่วยอีกแรง ท่านจึงทำอาหารเพิ่มพิเศษอีกอย่าง พอทำเสร็จเรียบร้อยท่านก็ใช้ให้สนธยาไปปลุกนาคินขึ้นมาใส่บาตรด้วยกัน เพราะคิดว่านานๆ ทีจะมีโอกาสเช่นนี้



   สนธยายอมทำตามที่คุณย่าสั่งง่ายๆ เพราะใจหนึ่งก็อยากให้นาคินลงมาใส่บาตรให้บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน หากแต่ความรู้สึกกระดากอายกลับตีตื้นขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่ยึกๆ ยักๆ อยู่หน้าห้อง ไม่ยอมเปิดเข้าไปเรียกหนุ่มรุ่นน้องเสียที



   ทว่าสนธยากลับไม่รู้ว่านาคินตื่นขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักพักแล้ว ทันทีตัดสินใจจะเปิดประตูเข้าไป อีกฝ่ายก็ผลักประตูออกมาพอดี พร้อมกับทักทายด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา



   “พี่สน” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “มาปลุกผมหรือครับ”

   ครั้นได้ยินว่าอีกฝ่ายเดาถูก สนธยาก็คร้านจะปฏิเสธ “อืม คุณย่าให้มาตามไปใส่บาตร”

   “งั้นไปกันเถอะครับ ผมแต่งตัวเสร็จพอดีเลย”

   “อืม”



   ทั้งสองเดินตามกันไปเงียบๆ จนถึงริมน้ำ สนธยารู้สึกว่ามันต่างกับเมื่อคืนลิบลับ เพราะตอนนั้นเขาเดินนำอีกฝ่ายมาเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร หากตอนนี้กลับขัดเขิน แม้จะไม่ได้อายจนตัวบิดม้วน แต่ก็ไม่กล้าหันไปสบตาด้วยเช่นกัน



   “มาเร็วลูก พระท่านมาพอดี” เมื่อไปถึงคุณย่าก็กวักมือเรียกเร่งให้ไปหา เพราะพระกับลูกศิษย์วัดพายเรือมาพอดี



   ทุกคนช่วยกันใส่บาตรและรับพรร่วมกัน พอเสร็จสรรพเรียบร้อยคุณย่าก็เอาขันกรวดน้ำทองเหลืองใบเล็กให้ชายหนุ่มทั้งสองคนไปเทที่ใต้ต้นไม้ใหญ่



   เมื่อครู่ตอนกรวดน้ำนาคินได้ระลึกถึงแม่แก้ว เขาขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เธอทั้งหมด และขอให้เธอไปสู่ภพภูมิที่ดี เมื่อเอาน้ำไปเทที่ใต้ต้นไม้เรียบร้อย นาคินก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆ



   “เดี๋ยววันนี้ตอนกลับจะพาไปแวะทำบุญที่วัดใหญ่ในตัวเมืองอยุธยา ทำบุญให้เขาเสีย คราวนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ” สนธยาว่าก่อนจะเดินนำขึ้นบ้าน “ไปกินข้าวเถอะ คุณย่ารออยู่”

   “มาครับ เดี๋ยวผมช่วยถือ” นาคินคว้าเอาขันทองเหลืองในมือของสนธยามาถือไว้ พร้อมกับฉวยโอกาสจับมืออีกฝ่ายด้วย

   “ปล่อย” คุณครูพี่สนของนาคินพยายามดึงมือของตัวเองออก แต่มือข้างนั้นก็กำมือเขาแน่นเหลือเกิน “เดี๋ยวคุณย่าเห็นนะคิน”

   “คุณย่าขึ้นบ้านไปแล้วครับ” นาคินว่า

“แต่เดี่ยวคนอื่น--” ยังไม่ที่จะพูดจบประโยค นาคินก็รีบพูด

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะปล่อยนะ”

   “แต่…”

   “นะครับ นะ นะ” ได้ยินเสียงออดอ้อนกับแววตาลูกหมา แม้จะหมั่นไส้และหระดากอายแค่ไหน สนธยาก็อดใจอ่อนไม่ได้



   ท้ายที่สุดพวกเขาก็เดินจับมือกันไปเช่นนั้นจนถึงบนไดเรือนปั้นหยา นาคินจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระตามที่ได้ตกลงกันไว้



o-----------------------o



   เมื่อสองหนุ่มทานอาหารเช้ากับคุณย่าเรียบร้อยพวกเขาก็เตรียมตัวกลับ เพราะตั้งใจว่าจะแวะวัดทำบุญระหว่างทางกลับบ้านกันด้วย คุณย่าเตรียมขนมกับอาหารหลายอย่างใส่กล่องให้หลานชายกลับบ้าน ทั้งยังกำชับว่าให้มาหาท่านบ่อยๆ สนธยากับนาคินก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนกราบลา



   ขับรถไกลจากบ้านคุณย่าไม่นานสนธยาก็พาไปจอดที่วัดมีชื่อแห่งหนึ่งในจังหวัด พวกเขาลงไปไหว้พระทำบุญตามปรกติ แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ก็ไม่ถึงกับแออัดไม่มีที่เดิน พอไหว้พระเสร็จแล้วทั้งสองก็ตรงกลับกรุงเทพทันที เพราะมีสายเข้ามาจากมนตรีให้รีบกลับ



   อันที่จริงวันนี้มนตรีรับหน้าที่สอนเด็กๆ แทนสนธยา แต่ช่วงบ่ายดันมีธุระด่วนเข้ามา ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกให้ลูกชายกลับมาสอนเด็กๆ คลาสบ่ายแทน



   ขากลับจากวัดนาคินขอเปลี่ยนเป็นคนขับรถให้ เพราะเห็นว่าขามาสนธยาก็ขับแล้ว อีกทั้งกลับไปยังต้องสอนเด็กๆ ด้วย ชายหนุ่มจึงกลัวว่าคุณครูพี่สนจะเหนื่อยเกินไป สนธยาเองก็เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี ดังนั้นจึงยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยไม่ขัด



   นั่งรถมาไม่เท่าไหร่คนที่อดนอนเมื่อคืนก็เผลอหลับไป นาคินชะลอรถจอดข้างทางก่อนจะช่วยปรับเบาะให้สบายขึ้น ความจริงเขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าเมื่อคืนสนธยานอนไม่หลับ เพราะเจ้าตัวท่าทางกระสับกระส่าย พลิกตัวไปมาหลายรอบ เขาก็อยากเอ่ยถามเหมือนกันว่าเป็นอะไร แต่เพราะเดาว่าอาจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินเลยที่เกิดขึ้นตรงศาลาท่าน้ำ ดังนั้นนาคินจึงปล่อยให้สนธยาได้คิดด้วยตัวเอง



   อันที่จริงตัวเขาเองก็กังวลไม่น้อย ก่อนเจอหน้ากันตอนตื่นนอนนาคินยังรู้สึกหวั่นๆ ว่าจะถูกตั้งแง่เย็นชาใส่อยู่บ้าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้างุดๆ คอยหลบสายตายามเมื่อเขามองไปหา นาคินจึงรู้สึกว่าตัวเองมีหวังขึ้นมามากเหมือนกัน ดังนั้นจึงกล้าที่จะทำอะไรๆ เพื่อขยับความสัมพันธ์ให้ชิดใกล้มากขึ้น



o-----------------------o



   กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีสนธยาก็มาถึงทางเข้าบ้านแล้ว เวลาไม่เพียงชั่วโมงเศษๆ ที่นั่งรถมาไม่ทำให้รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่มสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงได้แต่คำนวณในใจว่าคืนนี้คงต้องนอนเร็วสักหน่อย ชดเชยให้กับที่เมื่อคืนไม่ได้นอนจนย่ำรุ่ง



   พอลงจากรถนาคินก็อาสายกเอากับข้าวและขนมที่คุณย่าให้มาไปไว้ที่ครัว ส่วนสนธยาก็รีบไปรับช่วงต่อสอนเด็กๆ เพื่อให้พ่อได้ออกไปทำธุระตามที่นัดไว้



   “เย็นนี้พ่อคงไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน บอกป้าปุกว่าไม่ต้องเตรียมสำรับเผื่อพ่อนะ”

   “ได้ครับ แต่น่าเสียดาย คุณย่าฝากกับข้าวแล้วก็ขนมมาเยอะแยะเลย”

   “น่าเสียดายจริงด้วย แต่วันนี้คงต้องทานข้างนอก เพราะนัดไว้แล้ว เอาเป็นว่าลูกๆ ก็กินกันเถอะ อย่าลืมเรียกน้องกินด้วยนะลูก พ่อเห็นนั่งทำรายงานตั้งแต่เมื่อคืน”

   “ครับ”



   เมื่อสั่งความเรียบร้อยมนตรีก็แต่งตัวออกจากบ้าน ทิ้งสนธยาไว้กับเด็กๆ ที่เรือนไทยหลังน้อย คุณครูหนุ่มหันมาทักทายลูกศิษย์ ก่อนเริ่มการเรียนการสอนต่อเหมือนเช่นทุกที กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงเย็นย่ำ ผู้ปกครองจึงทยอยมารับลูกหลานกลับบ้าน



   สนธยาเก็บข้าวเก็บของ ทำความสะอาดเรือนดอกแก้วอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงขึ้นเรือนใหญ่ไปอาบน้ำทานข้าวพร้อมกับคนในครอบครัว



   ทีแรกเขาตั้งใจจะนอนแต่หัวค่ำ แต่พอกินข้าวอิ่มใหม่ๆ ก็ข่มตาให้หลับไม่ลง ดังนั้นจึงเปลี่ยนความตั้งใจและมุ่งหน้าไปที่เรือนไทยหลังเล็กแทน



   เขานั่งซ้อมดนตรีไปเรื่อยๆ กะว่าพอให้อาหารในกระเพาะย่อยจึงขึ้นนอน โดยปรกติแล้วอากาศที่กรุงเทพฯ มักจะไม่หนาว แม้ว่าช่วงนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วก็ตาม แต่วันนี้สนธยากลับรู้สึกเย็นแตกต่างจากทุกวัน ความเย็นสบายนั้นทำให้ชายหนุ่มนั่งเล่นดนตรีเพลินจนลืมดูเวลา กระทั่งมีคนมาที่เรือนดอกแก้วสนธยาจึงรู้สึกตัว



   “พี่สนยังไม่นอนอีกหรือครับ”

   สนธยาหยุดมือแล้วเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก่อนตอบ “ยังไม่ค่อยง่วงน่ะ”

   “ผมคิดว่าพี่จะนอนเร็วเสียอีก เห็นว่าเมื่อคืนดูเหมือนนอนไม่ค่อยหลับ”

   “นายรู้เหรอ” หนุ่มหน้ามนถามด้วยความแปลกใจ

   “รู้สิครับ เรานอนเตียงเดียวกัน แถมพี่ยังพลิกไปพลิกมา ผมจะไม่รู้ได้ไง” นาคินว่ายิ้มๆ

   “โทษทีแล้วกันที่ทำให้นายพลอยนอนไม่หลับไปด้วย”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ อันที่จริงมันก็ไม่มีผลกับผมเท่าไหร่หรอก เพราะผมรู้สึกอยู่แปบเดียวก็เผลอหลับไป”

   “งั้นก็ดีแล้วล่ะ” ได้ยินว่าตัวเองไม่ได้รบกวนการนอนของอีกฝ่าย สนธยาก็ถอนหายใจอกมาอย่างโล่งอก

   “อืม…ว่าแต่เมื่อกี้พี่เล่นเพลงอะไรอยู่ครับ คุ้นๆ เหมือนเคยฟัง แต่ผมจำชื่อเพลงไม่ได้” นาคินรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา  แต่ก็นึกไม่ออก คนตัวสูงเดินไปนั่งข้างๆ สนธยากับระนาดเอก ก่อนมองหน้าเพื่อรอคำตอบ

   “เคยดูโหมโรงไหม”

   “ที่เป็นหนังเหรอครับ”

   “อืม”

   “เคยครับ แต่นานมากแล้วนะ” หนังเกี่ยวกับดนตรีไทยเรื่องนั้น นาคินจำได้ว่าเคยดูเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก

   “เพลงที่เล่นเมื่อกี้ ชื่อเพลงแสนคำนึง เป็นเพลงที่มีในเรื่องโหมโรงน่ะ”

   “เพราะดีครับ แต่ดูเศร้าๆ นะผมว่า”

   “ชื่อเพลงก็บอกอยู่แล้วนี่ว่า แสนคำนึง”

   “พี่ชอบเพลงนี้หรือครับ”

   “ก็ชอบ”

   “แล้วมีเพลงอะไรที่เพราะๆ หวานๆ ไม่เศร้าเหมือนเพลงนี้ไหมครับ”

   “ถ้าเป็นในเรื่องโหมโรง ก็มีเพลงคำหวาน เป็นตอนที่พระเอกได้พบกับนางเอกครั้งแรก ก็จะหวานๆ ละมุนละไมหน่อย” ”



เมื่อได้ยินสนธยาบอก นาคินก็ร้องขอให้อีกฝ่ายเล่นเพลงนั้นให้ฟังทันที ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากฟังจริงๆ แต่อีกส่วนคืออยากอยู่กับคุณครูคนเก่งให้นานกว่านี้อีกหน่อย



   “ผมจำไม่เห็นได้เลย พี่เล่นให้ผมฟังหน่อยสิครับ ผมอยากฟัง

   “เพลงนั้นต้องเล่นกับซออู้จะเพราะกว่า มันจะนุ่มและหวานหู เอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยเล่น”

   “ทำไมล่ะครับ”

   “ก็ซออู้อยู่ในห้องเก็บของ ต้องเอามาถูยางสนอีก”

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอามาถูให้”



สนธยาส่ายหัวน้อยๆ ให้กับคนที่ดื้อดึงไม่เลิก และยิ่งเมื่อมาได้ยินคำตอบฉะฉาน กับดวงตาออดอ้อนที่ต้องการเขายอมตามใจให้ได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่ใจอ่อนคล้อยตามจนรู้สึกขัดใจตัวเอง



   “นี่นายไม่ง่วงนอนหรือไง”

   “ยังไม่ง่วงครับ พี่ง่วงแล้วเหรอ”

   “ยังหรอก แต่ไม่อยากให้วุ่นวาย พราะมันดึกแล้ว”

   “ไม่วุ่นหรอกครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นพี่เล่นเครื่องดนตรีอื่นเท่าไหร่ด้วย” ว่าแล้วนาคินก็ลุกขึ้น “พี่รออยู่นี่นะ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาซอมาให้”

   “อืม” สนธยาพยักหน้ารับอย่างจนใจ ได้แต่คิดว่า นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วนะ ที่เขายอมตามใจนาคิน



o-----------------------o



   เมื่อมัดมือคุณครูคนเก่งให้ทำตามใจตัวเองได้แล้ว นาคินก็เดินฮัมอย่างอารมณ์ดีเพลงเข้าไปในห้องเก็บของของเรือนดอกแก้ว เขาผลักประตูไม้เก่าคร่ำคร่าให้เปิดออก จากนั้นจึงมองหาสวิตช์ไฟที่ติดอยู่ใกล้ๆ กับประตู



   ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องดนตรี รวมไปถึงระบบการเดินไฟฟ้าภายในน้องเล็กๆ ห้องนี้เป็นแบบเก่าแทบทั้งหมด อย่างสวิตช์ที่นาคินคลำหาอยู่นานก็ยังเป็นฝาครอบกลมๆ ที่มีเดือยยื่นออกมาให้ดันเปิด ชายหนุ่มเสียเวลาอยู่กับความมืดตรงนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเปิดไฟได้สำเร็จ



   เขาเดินไปยืนกลางโถงเล็กๆ ในห้อง เพื่อตั้งหลักสอดส่ายสายตาหาเครื่องดนตรีที่ตนเองต้องการ จนกระทั่งหันไปเจอหมู่กระเป๋าซออู้และซอด้วงวางอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงตรงเข้าไปหยิบมา พร้อมกับนั่งเปิดถุงฝนยางสนลงบนสายซอ



   นั่งถูสายซอจนส่งเสียงดังอี๊ดอ๊าดท่ามกลางความเงียบอยู่สักพัก จู่ๆ หลอดไฟสีส้มตรงมุมห้องก็กระพริบ ประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวสว่าง นาคินจึงวางมือจากงานเพื่อหันไปมองดวงไฟ



   ณ ตอนนี้เองที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าสรรพเสียงในห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้มันช่างเงียบสงบจนเกินไป ราวกับที่แห่งนี้ถูกตัดขาดออกจากภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขายังได้ยินเสียงระนาดของสนธยาดังอยู่แท้ๆ



   พอนึกได้ถึงตรงนี้ ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่นาคินได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงที่ดังคล้ายกับคนลากเท้าบนไปกระดาน



   ครืด~ ครืด~



   เขาตัวแข็งทื่อทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด ซ้ำเสียงที่ว่ายังขยับเข้ามาใกล้ตัวเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดลงตรงด้านหลัง พร้อมกับเสียงเย็นๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ขนในร่างกายของเขาพากันลุกซู่โดยพร้อมเพรียงกัน



   “นาคิน”



   ในวินาทีนั้น นาคินไม่รู้ว่าตัวเองต้องลุกขึ้นหนี หันไปเผชิญหน้า ร้องตะโกนออกมา หรือต้องทำอย่างไรต่อไป ร่างกายมันแข็งค้างไปหมดทุกส่วน จนแม้กระทั่งหัวใจก็เกือบจะหยุดเต้นไปด้วย



   “…”

   “ไม่คิดจะสนทนากับฉันหน่อยรึพ่อคุณ”

   “…”



นาคินยังคงเงียบเนื่องจากไม่กล้าแม้จะตอบโต้หรือหันไปมอง มือที่กำซอเอาไว้นั้นสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ เพราะเขารู้ว่าเจ้าของเสียงที่ปรากฏกายออกมาคุยกับตนเองนั้น เป็นเจ้าของเสียงเดียวกับที่สิงเด็กรับใช้ชื่อก้อยตรงหน้าประตูรั้วในคืนนั้น



   “เอ…หรือจะให้ฉันเรียกด้วยอีกชื่อหนึ่ง จึงจะยอมหันมาคุยกับฉันดีๆ

   “อืกชื่อเหรอ” ประคำถามนั้นออกมาจากปากโดยอัตโนมัติ ทว่าแม้มันจะเบาราวเสียงกระซิบ แต่ใครที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้านหลังนั่นก็ได้ยินอยู่ดี

   “อะไรกัน” เสียงเยียบเย็นว่าพลางกลั้วหัวเราะ “มองเห็นเรื่องราวถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่รู้อีกหรือ ว่าตัวเองเป็นใคร”



   ยังไม่ทันที่นาคินจะคิดหรือตอบอะไรกลับไป เสียงผลักประตูด้านหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่นาคินอยากให้อยู่ใกล้ๆ มากที่สุด



   “ทำไมนานนักล่ะคิน ฉันง่วงแล้วนะ” สนธยาว่า



แต่พอเห็นภาพตรงหน้าคือนาคินที่นั่งหน้าซีด ตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น ในมือถือซออู้ท่าทางหมดเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงรีบก้าวเข้ามาให้ห้องด้วยความเป็นห่วง และเพราะความเป็นห่วง ก็ทำให้เขาไม่ได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงามืดไม่ไกลจากนาคินนัก



   “พี่สน…” นาคินเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่น



   “เป็นอะไรหรือเปล่าคิน!” คุณดนตรีรีบถลาเข้าไปดูลูกศิษย์ตัวโตของตัวเอง



   มือของนาคินเย็นเฉียบ ใบหน้าก็ซีดเผือกราวกับกำลังหวาดกลัวสุดขีด สนธยาเห็นท่าไม่ดีก็คร้านจะไถ่ถาม เขาตั้งใจพาหนุ่มรุ่นน้องออกไปจากห้องก่อน



ทว่าขณะที่กำลังจะประคองให้นาคินลุกขึ้น ใครบางคนก็เคลื่อนตัวออกมาจากเงามือด้านหลังนาคิน เธอจ้องมองสนธยาด้วยแววตาโหยหา ก่อนจะเอ่ยบางสิ่งออกมา และนั่นก็ทำให้สนธยาได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่อยู่ในห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้



“มากันครบก็ดีเหมือนกัน จะได้สะสางให้จบเรื่องจบราวเสียทีเดียวนะคะคุณพี่” เธอว่า ก่อนจะยกยิ้มหวานแต่นัยน์ตาโศกมอบให้สนธยา



คำว่าคุณพี่เหมือนสะกิดใจให้นาคินฉุกคิดถึงใครบางคน ใครที่ไม่คิดว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้



ชายหนุ่มรีบหันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังทันที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ



คุณทับทิม!

“ว่ายังไงนาคิน…ไม่สิ” เธอยิ้มเย็น ก่อนจะแก้ “ต้องถามว่า ว่ายังไงจ๊ะแม่แก้ว จึงจะถูก”







o-----------------------o







มาค่ะ ลาสบอสออกมาแล้ว
ทีนี้ก็จะได้รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ใครต้องการอะไร
มีใครเดาถูกไหมคะว่าใครเป็น คุณสิน แก้ว ทับทิม
แต่เอาจริงก็เดาไม่ยากนะ :a5:

จะจบแล้ว อีกสองตอน

ฝากด้วยนะคะ


ละอองฝน.

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-01-2017 21:22:38
อ้าวววว วิญญาณนั่น คุณทับทิมเองเหรอ คินคือ แม่แก้ว!!! พอเฉลยออกมาแล้วก็ เหมือนจะโล่งอก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-01-2017 22:01:02
 :3123: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 31-01-2017 22:06:11
แม่ทับทิมเจ้าคะ ปรากฏตัวได้โคตรหลอนเลยเจ้าคะ เป็นอิฉันนี่ มีสลบ บ้าบอ ขอด่าผีแม่ทับทิมได้ไหม นึกถึงหัวจิตหัวใจบ่าวบ้างเถอะ น้ำตาจะไหล กลัวนะเจ้าคะ

ว่าแต่ นาคินเป็นแม่แก้วหรือนี่ โอว้ พี่สนจะโดนนาคินกดจริงดิ ม่ายยย พี่สน ต้องกดนาคินสิ 5555

ว่าแต่เคลียร์ไรกัน อโหสิกันไวไว อยู่แบบนี้กลัว แม่ทับทิมจะโผล่มา แล้วนาคินหัวใจจะหยุดเต้นซะก่อน
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 01-02-2017 03:10:51
ต่อออ พลีสสสส
อ่านรวดเดียวเลย โครตสนุก
ชอบบบบ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 04-02-2017 12:24:40
ฮืออออ สนุกกกกก
สนุกมากกกกก
ฟงไวพม้งปใ้ใงฟหฃ
แบบว่า ทำไมเขียนดีอย่างงี้
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง เห็นว่าเป็นคนเขียนเดียวกันกับโปรดจงรัก
การันตีความละมุน ฮืออออ
มันดีมากค่ะ อย่าเสียใจที่คนเข้ามาน้อยนะคะ
เขาอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีขนาดนี้
ลาสบอสออกมาแล้วจริงๆด้วย
ทีแรกคิดว่าเป็นแก้ว คุณทับทิมน่ะเอง
จะยังไงกันต่อล่ะทีนี้ หรือมิชชั่นของคุณทับทิมคือ ทำให้เขารักกัน?
จะได้ไปเกิดเสียมีงี้ เอาใจช่วยยยย
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๐ ☰ [๓๑/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: hikkie ที่ 04-02-2017 20:06:02
เปิดหน้าไพ่มาหนึ่ง เฉลยว่าใครเป็นใคร
แต่ปมเรื่องคุณทับทิมนี่ยังไง เข้าใจว่าเป็นแม่แก้วที่ล่องลอยซะอีก
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-02-2017 01:30:29







บทที่ ๒๑








   สนธยาไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสได้ประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เพราะทันทีที่ได้ยินและได้เห็นผู้หญิงแปลกหน้าเอ่ยเรียกนาคินว่าแก้ว โลกที่เคยรู้จักก็ดูคล้ายถูกสั่นคลอนจนสมองมึนเบลอ ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียวราวกับคนบ้าใบ้



   ดวงตาสีนิลจ้องมองภาพกายหยาบโปร่งแสงของหญิงแปลกหน้าตาไม่กระพริบ ก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างกายของคนที่เขาจับมือเอาไว้นั้นขยับเข้ามาเบียดแนบชิด จนรับรู้ถึงแรงสั่นด้วยความหวาดกลัว



   ซึ่งในนาทีนั้นเองที่สนธยาได้สติ



   “พี่อยู่นี่คิน ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เขาดึงให้นาคินขยับตัวมาอยู่ด้านข้างของตนเอง พลางกระชับมือใหญ่ๆ คู่นั้นแน่น

   “พี่สนเห็นเธอใช่ไหม” นาคินถามเหมือนละเมอ “ผมไม่ได้ตาฝาดหรือบ้าไปเองใช่ไหม”

   “นายไม่ได้บ้า เพราะพี่เองก็เห็นเธอ” เขาหันมาสบตานาคิน ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าวิญญาณตรงหน้า



พอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เผชิญเรื่องราวลี้ลับเพียงลำพัง สติที่แตกกระเจิงของนาคินก็ค่อยๆ กลับคืนมาทีละน้อย เขาวางซออู้ลงข้างตัว ก่อนคว้าจับข้อศอกของสนธยาเอาไว้ แล้วออกแรงกระตุกส่งสัญญาณ



   “เราไปจากที่นี่กันเถอะครับ”



   ปัง!!!



ทันทีที่นาคินพูดจบ ประตูที่เคยเปิดอ้าก็พลันกระเด้งปิดเข้ามาเองโดยอัตโนมัติ เสียงปึงปังของประตูและหน้าต่างที่ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาชายหนุ่มสองคนในห้องเก็บของสะดุ้งเฮือก แต่วิญญาณของหญิงสาวกลับยืนมองนิ่งๆ ไม่ทุกข์ร้อน ทำราวกับว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของเธอ



“ไปสิ”



เป็นสนธยาที่ได้สติก่อน เขาตอบรับคำขอของนาคินทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยเชื่อ ไม่เคยเกรงกลัวในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่นาทีนี้หากจะเอ่ยออกมาว่าไม่กลัวก็คงเหมือนการหลอกตัวเองเปล่าๆ ดังนั้นวิธีแก้ทางเดียวคือไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด



“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะคุณพี่” วิญญาณของทับทิมเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน

“ทำไมเราถึงจะไปไม่ได้”

“ดิฉันบอกแล้วอย่างไรคะคุณพี่ ว่าต้องอยู่สะสางเรื่องของเราก่อน”

“ทำไมเราต้องเชื่อคุณ” แม้จะหวาดหวั่น แต่สนธยาก็ยังกล้าตอบโต้ออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะเขาคิดเพียงแต่จะต้องพานาคินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้จงได้

“เพราะฉันทนรอไม่ไหวแล้ว!” อยู่ๆ ทับทิมก็ตวาดดังลั่น จนรู้สึกเหมือนเรือนทั้งเรือนสั่นสะเทือน “ฉันรอมานานเกินไป รอต่อไปไม่ไหว มันทรมาน…ทรมาน”



ชั่ววินาทีที่ทับทิมพูดออกมา มันเหมือนกับเธอไม่ได้พูดกับสนธยาหรือว่านาคิน แต่คล้ายรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า เสียงครวญของเธอดังหวีดหวิวจนคนฟังยังรู้สึกถึงความทรมานไปด้วย จากความกลัวจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเวทนาสงสารโดยไม่รู้ตัว



นาคินฉุกคิดได้ว่า หากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากวิญญาณของแก้ว แต่กลับกลายเป็นทับทิมแทน ดังนั้นเหตุผลที่เขาเคยคิดว่าแม่แก้วอาจคับแค้นใจที่ถูกใส่ร้าย และอยากดลบันดาลให้ใครสักคน หรือคนรักที่คาดว่ามาเกิดในชาติใหม่รับรู้ว่าตนเองบริสุทธิ์ เหตุผลเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปทั้งหมด



แล้วคุณทับทิมมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเรียกเขาว่าแก้ว เรียกสนธยาว่าสินอีก



นึกได้ถึงตรงนี้ความกลัวก็ถูกความอยากรู้บดบัง ความกล้าที่ไม่คิดว่าจะมีจึงผุดขึ้นมาแทนที่ นาคินเปลี่ยนตำแหน่งเป็นขยับมาบังสนธยาเอาไว้ ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา



“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาสิ ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ จึงได้บันดาลให้เกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้ มาทำให้มันจบเรื่องไปเลยก็ดีเหมือนกัน”

“คิน!”



สนธยากระตุกแขนนาคินครั้งหนึ่ง เขาไม่เห็นดีด้วยที่จะไปต่อล้อต่อเถียงหรือสืบสาวเอาความกับดวงวิญญาณเช่นนี้ มองดูโดยรอบห้องเก็บแล้วยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจเป็นเพราะวิญญาณของทับทิมเริ่มสำแดงฤทธิ์ด้วยการออกมาปรากฏกายให้เห็น เครื่องเรือนและเครื่องดนตรีจึงสั่นไปหมดราวกับเกิดแผ่นดินไหวน้อยๆ



“เรามาคุยกับเธอให้รู้เรื่องเถอะครับ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีก ผมเองก็อยากรู้ว่าเธอต้องการอะไร”

“แล้วถ้าหากเธอต้องการ…”



ต้องการชีวิตล่ะ



สนธยากลืนคำนั้นลงไปได้ทัน เขาอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ เพราะหากทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้รับอิทธิพลมาจากวิญญาณของทับทิมจริง เธออาจต้องการเธอชีวิตของนาคินก็ได้ เพราะชาติที่แล้วคุณสินรักแม่แก้ว ซึ่งเกิดใหม่เป็นนาคินอย่างที่วิญญาณของทับทิมว่า



อีกทั้งก่อนหน้านี้นาคินก็ถูกทำร้ายจากสิ่งที่มองไม่เห็นมาโดยตลอด เหตุผลที่มีจึงเพียงพอให้สนธยาไม่ไว้ใจวิญญาณสาวตนนี้



“ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรก็แล้วแต่ ฉันไม่ยอมหรอกนะคิน รีบไปกันเถอะ” สนธยายืนกรานที่จะไม่รับฟังคำขอของดวงวิญญาณสาว เพราะเขาไม่ต้องการจะแลกอะไรทั้งนั้น

“แม้ว่าจะเกิดชาติใหม่ คุณพี่ก็ยังคงรังเกียจน้องเหมือนเดิมเลยนะคะ…และก็ยังรักแม่แก้วเหมือนเดิม แม้ว่าชาตินี้จะเกิดเป็นชายก็ตาม” ดวงหน้าหวานหยดของวิญญาณสาวดูโศกสลดเหมือนเอ่ยประโยคทั้งหมดออกมา

“ชาติที่แล้วจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ชาตินี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คุณไปตามทางของคุณ พวกผมก็จะดำเนินชีวิตของตัวเอง”

“ถ้าทำได้ข้าจะอยู่เช่นนี้รึ!”



เพล้ง!



เสียงตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์ส่งผลให้หลอดไฟที่เคยติดๆ ดับๆ ระเบิดแตก กระแสไฟฟ้าแล่นวาบเป็นประกาย ก่อนสะเก็ดไฟนั้นจะไปติดกับผ้าม่านลูกไม้คร่ำคร่าที่อยู่ใกล้ๆ เกิดเป็นเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว



“ข้าเจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดทรมานจากการอยู่ตรงนี้ พวกเอ็งมิมีวันเข้าใจดอก ก็คนดีอย่างเอ็งมันได้เกิดใหม่ ได้แล่นไปตามวัฏสงสารของตัวเองแล้ว เหลือแต่ข้า…ข้าที่รอคอยอยู่ในเรือนเพียงผู้เดียว”



ความเกรี้ยวกราดสลับกับความเศร้าสร้อยให้ห้วงอารมณ์ทำให้นาคินกับสนธยามองเธออย่างตกตะลึง สุดท้ายสนธยาจึงตัดสินใจดึงแขนนาคินให้เดินออกไปที่ประตู เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีแค่ผีที่ทำให้ต้องหวาดผวา หากแต่มีไฟที่ลุกไหม้เผาผลาญอย่างรวดเร็วนั่นด้วย



ห้องเก็บเครื่องดนตรีแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่โต ถ้าจะต้องรั้งอยู่ในนี้อีกสักพักแล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งสองคงได้สำลักควันไฟเป็นแน่



“แต่พี่สน…” นาคินยังอยากเคลียร์ทุกเรื่องราวให้หมด ทว่าสนธยาไม่เห็นด้วย ซ้ำยังปฏิเสธเสียงแข็งจนนาคินต้องยอมคล้อยตามกับเหตุผล

“ไว้ค่อยว่ากัน ผีน่ะตายไม่ได้แล้ว แต่ถ้าขืนเราอยู่ที่นี่ต่อไป เป็นพวกเราต่างหากที่ต้องตาย”



เมื่อได้ฟังคำนาคินก็ตามสนธยาไปที่ประตู ทว่ากลับออกไปไม่ได้ เนื่องจากผีสาวหายตัวมาปรากฏตรงหน้า เพื่อกั้นขวางไม่ให้พวกเขาหนีออกไปได้ในตอนนี้



“ข้าบอกให้อยู่ ไม่ว่าใครก็ไปไม่ได้ทั้งสิ้น!”



ชายหนุ่มสองคนถอยกรูไปอีกทางโดยอัตโนมัติ อย่างน้อยแม้จะออกจากประตูไม่ได้ แต่ก็ขอให้อยู่ห่างจากไฟให้มากที่สุด



“ก็แล้วจะเอายังไง อยากให้ตายกันไปข้าหนึ่งเลยใช่ไหม จึงจะสาแก่ใจคุณ!” สนธยาถามอย่างเดือดดาล ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ใจเย็นได้อีก



เมื่อได้ยินคำกล่าวประชดประชันของครูดนตรี ความเกรี้ยวกราดของทับทิมก็ลดลง และหันกลับมานึกถึงจุดมุ่งหมายเดียวของตนเอง



“ไม่ใช่นะคะ! น้องไม่ได้อยากให้คุณพี่ต้องตกตายตามน้องสักนิด น้องไม่อยากเห็นคุณพี่ตายเป็นครั้งที่สองแล้ว”



อย่างไรเสียเธอก็รักจางวางสินมาก มากเสียจนไม่ว่าเขาจะเกิดใหม่เป็นใคร เธอก็ยังผูกใจรักไม่มีวันคลาย เพียงแต่เธอรู้มาเนิ่นนานแล้วว่า ความรักนี้ไม่มีทางสมหวังดังตั้งใจ ไม่มีทางเลยตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว



“ก็ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไรล่ะครับ ไหนๆ ผมก็ไปไหนไม่ได้แล้ว คุณต้องการพูดอะไรก็พูดเถอะ” นาคินที่เฝ้าสังเกตอาการของทับทิมมาตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรเข้ามาดลใจ แต่ ณ ตอนนี้ เขารู้สึกว่าควรจะรับฟังข้อเสนอของวิญญาณที่น่าสงสารตนนี้ดูสักหน่อย


“คิน…”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เราให้เขาบอกเถอะครับ” นาคินว่าพลางกระชับมือที่กุมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ให้แน่นขึ้น



สนธยาเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลใสแล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายเขาก็ยอมจำนนให้แก่คำขอของลูกศิษย์ตัวโตคนนี้



“เอางั้นก็ได้” เขาตอบรับ ก่อนจะหันไปหาดวงวิญาณของทับทิม “คุณอยากจะขออะไรก็ว่ามา แต่มันต้องอยู่ในขอบเขตที่พวกผมทำได้นะ”

“คุณพี่กับแม่แก้ว—“

“แล้วก็เลิกเรียกเราสองคนแบบนั้น ตอนนี้ผมชื่อสนธยา ส่วนเขาชื่อนาคิน ไม่ใช่สินกับแก้วอีกแล้ว”

“หึ…ก็ได้” เธอตอบรับ ก่อนจะเอ่ยความประสงค์ออกมา “พ่อสน พ่อคิน ก่อนที่ฉันจะพูด ฉันอยากให้เธอทั้งสองดูอะไรสักหน่อย จากนั้นค่อยตัดสินใจ…”



หลังจากเสียงของวิญญาณสาวพูดจบ สภาพแวดล้อมรอบกายของสนธยากับนาคินก็พลันเปลี่ยนไปราวกับคนละโลก




o-----------------------o





จากห้องเก็บเครื่องดนตรีที่มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่ง บัดนี้ชายหนุ่มทั้งสองกลับมายืนในห้องนอนที่ไหนสักแห่ง เพื่อฟังสิ่งที่คุณทับทิมกับบ่าวของเธอพูดกัน พวกเขาจึงได้รู้แผนการทั้งหมดของเธอและบ่าวรับใช้ ว่าคบคิดกันเพื่อปองร้ายแม่แก้ว



จากนั้นทัศนียภาพก็ถูกปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นงานแต่งงานของคุณสินกับคุณทับทิม ซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณสินไม่เต็มใจ เรียกได้ว่ายอมทำตามไปอย่างนั้นเพราะคำสั่งของแม่ที่บีบบังคับมากกว่า



เรื่องราวชีวิตของคุณทับทิมหลังจากแต่งงานฉายออกมาเป็นฉากๆ ราวกับหนังสั้นเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่หญิงสาววาดฝันเอาไว้แม้แต่นิดเดียว



เธอแต่งกับจางวางสินจริง แต่เหมือนแต่งกับตัว ไม่ได้แต่งกับใจ เพราะจางวางสินไม่เคยรักและเอ็นดูเธอเหมือนกับแม่แก้ว ซ้ำยังเอาแต่รับใช้เจ้านายอยู่ในรั้ววังหลายเดือน นานๆ จึงจะกลับบ้านมาเยี่ยมพ่อแม่เสียที ยามกลับมาก็เอาแต่ไปพักในเรือนดอกแก้วหลังน้อย ไม่เคยเยี่ยมหน้ามานอนในห้องบนเรือนใหญ่ หญิงสาวจึงทั้งเสียใจและเสียหน้าเป็นอย่างมาก



ทว่าสิ่งที่ทำให้คุณสินหมางเมินและเรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดกับทับทิมก็คือ การที่คุณสินบังเอิญได้ยินคุณทับทิมปรับทุกข์กับบ่าวของตัวเอง และเธอก็เผลอพูดเรื่องที่วางแผนใส่ร้ายแก้วในคราวนั้น จึงทำให้คนรักของเขาต้องถูกลงโทษจนแท้งลูกและเสียชีวิตในที่สุด



ตั้งแต่นั้นจางวางหนุ่มก็ปฏิเสธที่จะพบหน้ากับภรรยา เพราะรู้สึกผิดอย่างมากที่ไม่อาจปกป้องแก้วจากคนที่ปองร้ายได้ ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือยอมแต่งงานตามใจแม่ ยอมให้เป็นไปตามแผนการที่ผู้หญิงชั่วร้ายวางไว้โดยไม่ขัดขืน เขาโง่ที่ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยมาจนถึงวันนี้



วันที่สายเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้แล้ว



หลังจากนั้นไม่นานจางวางสินก็ล้มป่วย ไม่ใช่ด้วยโรคร้าย แต่เป็นโรคทางใจที่ส่งผลถึงร่างกาย ชายหนุ่มตรอมใจจนป่วยไข้ไม่อาจลุกไปทำอะไรได้ ร่างกายทั้งผ่ายผอมและสิ้นเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาตื่นขึ้นมาและคิดถึงคนรักอย่างสุดหัวใจ คิดถึงมากกว่าวันไหนๆ



เช้าวันนั้น…เป็นวันที่จางวางสินจากไปอย่างสงบ



ส่วนคนที่ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังอย่างทับทิมก็ตรมตรอมใจตามสามี ภาพคุณสิ้นที่เพ้อพกถึงแม่แก้วก่อนสิ้นใจยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ ความรู้สึกผิดที่ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากนักจึงเริ่มเข้ามาเกาะกินหัวใจ



หลังเสร็จพิธีฌาปนกิจของจางวาง ทับทิมก็ย้ายลงไปอยู่ในเรือนดอกแก้ว หญิงสาวที่สวยสดใสเริ่มปล่อยตัวให้ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทั้งยังเลิกคบค้าสมาคมกับใคร เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จา จนคนทั่วไปมองว่าทับทิมนั้นเสียใจที่คุณสินสิ้นบุญจนสติไม่สมประดี แต่ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่



เธอเก็บตัวเงียบอยู่ที่นั่น เพราะเธออยู่เพื่อสำนึกในความผิดของตัวเองต่างหาก เธออยู่เพื่อรอคอยว่าสักวันหนึ่ง คุณสินกับแม่แก้วจะกลับมายังเรือนดอกแก้วหลังนี้อีกครั้ง กลับมาพบกันตามคำสัญญาของทั้งสอง และเธอหวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะสามารถปลดพันธนาการที่ติดค้างอยู่ให้คลายออกได้…




o-----------------------o





“อโหสิกรรมให้ฉันเถอะนะแก้ว”



เสียงของวิญญาณสาวเรียกนาคินและสนธยาให้รู้สึกตัว ทั้งสองมองเห็นไฟที่ลามขึ้นผนังไม้เก่าจนสูงไปถึงขื่อ ยามนี้สภาพแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยนกลับมา ณ เวลาปัจจุบันแล้ว



ทับทิมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอยืนพนมมือขึ้นทาบระหว่างอก ก่อนร่างที่โปร่งแสงกว่าเดิมค่อยๆ ย่อลงนั่งพับเพียบ จากนั้นจึงจรดมือที่พุ่มไหว้ลงกับพื้น



วิญญาณของเธอร้องไห้ออกมา เอาแต่พร่ำขอโทษไม่หยุดปาก นาคินที่เพิ่งกลับมาจากการเห็นนิมิตภาพเหล่านั้นจึงได้แต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก



ต่างกับสนธยาที่ยืนกำมือที่ว่างเปล่าอีกข้างหนึ่งแน่น ภาพที่เห็นมันชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้เคยทำผิดมหันต์แค่ไหน แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้ว แต่เขาก็ยังโกรธแค้นแทนคนที่เธอทำร้ายนั้นอยู่ดี



แต่ที่นอกเหนือไปจากนั้น หลังจากได้พบเขากับนาคินที่เกิดใหม่ในชาติปัจจุบันแล้ว วิญญาณตนนี้ก็ยังตามมาทำร้ายนาคินไม่เลิก แม้จะให้เหตุผลว่าอยากให้จำได้ก็ตามที แต่เธอก็เกือบทำให้นาคินต้องตาย



“โหดร้ายจริงๆ ทำไมถึงทำได้ขนาดนั้น” สนธยาเอ่ยออกมารอดไรฟัน “ขนาดต้องการจะขอให้เขาอโหสิกรรมให้ คุณยังทำเขาจมน้ำเกือบตาย หากจะอ้างอะไรก็คงจะอ้างไม่ขึ้นหรอก”

“น้องขอโทษ น้องผิดไปแล้วค่ะ ฮือ…คุณพี่อโหสิกรรมให้น้องเถิดนะคะ น้องจำเป็นต้องทำ น้องทรมานเหลือเกิน” นรกที่ไหนหรือจะสู้นรกในใจคน ในช่วงเวลาเป็นร้อยปีที่ทับทิมต้องกลายเป็นวิญญาณที่มีห่วงผู้พันอยู่ที่นี้ เธอทั้งทุกข์และทรมานราวกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน

“คุณมันเห็นแก่ตัว แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเห็นแก่ตัว”

“พี่สน ใจเย็นๆ นะครับ”

“จะให้ใจเย็นได้ไง ถึงจะเป็นวิญญาณก็เถอะ แต่เธอทำตามใจตัวเองเกินไปแล้ว เพราะแบบนี้ถึงต้องชดใช้กรรม ไปไหนไม่ได้อยู่นี่ไง แถมกำลังจะทำให้เราตายตามไปด้วย”

“คุณพี่…” ทับทิมครางอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเบนไปมองนาคินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แทน “พ่อคิน…ช่วยฉันด้วยเถิดนะ”

“ผม…”

“ฉันขอโทษกับทุกสิ่งที่เคยทำมา หากย้อนกลับไปได้ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ทุกอย่างก็ล่วงเลยมาถึงเพลานี้ ฉันไม่อาจเป็นเปลี่ยนความชั่วที่เคยกระทำลงไปได้อีก ฉันไม่รู้จะชดใช้ให้พ่อคินยังไง ทั้งเรื่องในชาตินี้และชาติที่แล้ว…ถือว่าโปรดสัตว์เถอะพ่อคุณ”



นาคินยืนนิ่ง เหม่อมองดวงวิญญาณของหญิงสาวที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติที่แล้ว



หากถามว่าโกรธไหม เขาบอกได้ตามตรงหลังจากรู้เรื่องราวว่าโกรธ แต่ถ้าโกรธแล้วอย่างไร ถึงโกรธไปก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว วิญญาณของเธอเองก็ถูกโทษทัณฑ์ของบาปนั้นจองจำเอาไว้ให้ไปไหนไม่ได้ เหมือนเป็นโซ่ร้อนที่รัดรึงกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่นานเป็นร้อยปี ไม่เคยสุขสงบทั้งยามมีและไม่มีชีวิต



นาคินคิดว่านั่นเพียงพอต่อคำขอโทษแล้ว



มิหนำซ้ำหลังจากที่เธอได้ปลดพันธนาการไปตามวัฏสงสาร บาปบุญที่เคยทำไว้ก็ยังต้องชดใช้กันอีกตามกฎแห่งกรรม ถ้าเขาไม่ให้อภัย ทุกอย่างที่ร้อยเรียงมาก็จะผูกให้ได้พบ ได้เจอ ได้ชดใช้กันไม่จบไม่สิ้น



นาคินอยากอยู่อย่างมีความสุขเหมือนกันคนปรกติ และก็อยากให้คนที่เขารักได้อยู่อย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจเด็ดขาด



“ผมอโหสิกรรมให้คุณ ผมไม่โกรธ ไม่แค้นคุณ ต่อไปก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าผูกติดอยู่ตรงนี้อีกเลยนะคุณทับทิม”

“คิน!”

“พ่อคิน…”



คำตอบของนาคินสร้างความตกใจให้สนธยาและวิญญาณสาวมากๆ ชายหนุ่มยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหันไปคว้ามือของสนธยาอีกข้างขึ้นมาจับรวบเอาไว้



“พี่สนครับ เราปล่อยเขาไปเถอะนะ เลิกแล้วต่อกันไป ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่างโกรธเขาให้เป็นบ่วงรัดใจเราเลยดีกว่า อะไรที่ผ่านๆ มาก็ถึงว่าเขาชดใช้ให้เรามากพอแล้ว สุดท้ายก็ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมดีกว่านะครับ”

“นายมันใจดีเกินไป” สนธยาบ่นด้วยเสียงที่อ่อนลง เขาโกรธที่เธอเกือบทำให้นาคินจมน้ำตาย แต่เมื่อคิดอีกแง่ ตอนนี้นาคินก็หายดีแล้ว ซ้ำเจ้าตัวก็ไม่เอาเรื่องอะไร ดังนั้นเขาก็คร้านจะถือสาหาความเหมือนกัน

“ว่ายังไงครับ”

“เอาตามที่นายว่าก็ได้ ฉันไม่เอาเรื่องอะไรแล้ว”

“นี่…นี่หมายความว่าพ่อคินกับพ่อสนอโหสิกรรมให้ฉันแล้วใช่ไหม” แววตาของทับทิมสั่นระริกด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่เธอทำร้ายมาตลอดจะเป็นคนช่วยพูดให้คุณสินยอมให้อภัยเธอเช่นนี้

“ใช่ครับ เราสองคนอโหสิกรรมให้คุณ อะไรที่เคยทำมาก็ให้เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ”

“ข…ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”



ทันทีที่กล่าวทับทิมกล่าวขอบคุณ มวลความอึดอัดที่มีมาแต่ต้นก็มลายหายไป ทั้งความร้อนและควันไฟที่ชวนให้สำลักคล้ายไม่เคยมีอยู่ สนธยากับนาคินมองเห็นเธอกราบแนบพื้นเพื่อขอบคุณอีกครั้ง ก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้า รวมถึงสติที่พัดหายไปของชายหนุ่มทั้งสองคนด้วย







o-----------------------o





มาแล้วค่าาา

ตอนนี้มาเฉลยทุกอย่างแล้วนะคะ
มีความคิดแวบนึงตอนที่เขียน คืออยากตั้งชื่อตอนว่าผีไบโพล่า 5555555
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเกรี้ยวกราด เดี๋ยวดีใจ ดูวุ่นวายไปหมด
อันที่จริงมีหลายอย่างอยากคุยกับคนอ่านนะ
แต่เอาไว้ตอนหน้าดีกว่า
ไว้ทอร์คที่เดียวยาวๆ เลยเนอะ

ตอนหน้าจบแล้วค่ะ

ฝากติดตามด้วยน้าาาา


ละอองฝน.



หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 06-02-2017 01:53:33
จะจบแล้วอ่าาา ฮืออ
มารอขออโหสิกรรมเขาสินะแม่คุณ
เป็นการขอที่ฮาร์ดคอร์ บีบคั้นมากจ้ะ

มีคำผิดนิดหน่อยนะคะ

“ยังไปตอนนี้ไม่ได้ค่ะคุณพี่” วิญญาณของทังทิมเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
>>> ทับทิม

นาคินฉุกคิดได้ว่า หากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นการวิญญาณของแก้ว
>>> จาก

รอตอนจบค่าาา
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2017 02:23:25
 :a5: ตกใจกับความหลอน สรุปก็คือคุณทับทิมที่ยังตกอยู่ในบ่วงทุกข์ ส่วนแม่แก้วก็เป็นนาคิน  :3123: ยังคิดมาตลอดนะว่าถ้าแม่แก้วยังเป็นวิณญาณอยู่ตอนนี้ แล้วนาคินเมื่อชาติที่แล้วจะเป็นใคร คุณสินที่รักแม่แก้วนักหนาจะลืมรักในชาตินี้เลยหรือ พอมาเฉลยแล้วก็ได้แต่โล่งใจ  :เฮ้อ: พวกเขายังคงรักมั่นต่อกันค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 06-02-2017 07:49:35
ฮือออออ น้องเกลียดผีคุณทับทิมคะ พาหลอนตลอดเลย ตกใจตลอดเลย โผล่กี่ที ก็ทำน้องกลัวคะ งอแง ฮือออ ไปเกิดเถอะคะ คุณผีทับทิม เลิกมาหลอกหลอนกันแล้วใช่ไหม กรีดร้อง นาคิน ใจแข็งมาก แบบ แบบ ทำไมชั่งกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้พี่สนได้เป็นสามีได้ไหม ถูกใจในความแมนของพี่แกเหลือเกิน แบบความสูงไม่มีผลต่อแนวราบอะ นาคินก็ ยอม ๆ เป็นเมียพี่เขาไปเถอะนะ

ปล.ผีแม่ทับทิมจะไม่โผล่มาแล้วใช่ไหม เอาจริงหลอนตั้งแต่น้ำตาเป็นเลือดละ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-02-2017 12:42:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๒๑ ☰ [๐๖/๐๑/๒๕๖๐]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-02-2017 12:51:52
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-02-2017 18:50:07








บทส่งท้าย









   กลิ่นยาซึ่งเป็นกลิ่นจำเพาะของโรงพยาบาล เป็นสิ่งแรกที่กระทบต่อสัมผัสรับรู้ของนาคินทันทีที่รู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้น แต่แสงจ้าของไฟนีออนก็ทำเอาต้องหลบตาลงอีกรอบ



   แพรไหมขยับตัวลุกขึ้นมายืนชิดขอบเตียงทันทีที่เห็นความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของนาคิน นี่เป็นอีกครั้งที่เธอต้องเดินทางมากรุงเทพฯ เพราะอาการเจ็บปวดด้วยอุบัติเหตุของลูกชายคนโต ลูกที่ห่างอกแม่มาแค่ปีเดียว กลับต้องประสบเหตุไม่คาดฝันมากมายจนอดเป็นห่วงไม่ได้เลย



   “คิน รู้สึกตัวแล้วหรือลูก” เธอเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด และเสียงของแม่ก็ทำให้นาคินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

   “…แม่” นาคินตอบรับแม่ด้วยเสียงแหบแห้ง แพรไหมจึงรีบรินน้ำใส่แก้วปักหลอดให้ลูกดื่ม



   เมื่อดื่มน้ำเรียบร้อยนาคินจึงได้สังเกตเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มลืมเลือนไปว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทว่าเพียงครู่เดียวก็สามารถจดจำอะไรๆ ได้



   “พี่สนล่ะครับ”



นาคินรีบถามหาใครอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน แพรไหมจึงขยับตัวไปเปิดม่านที่กั้นระหว่างเตียงซึ่งอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ยิ้มเศร้า



“พี่เขายังไม่ฟื้นเลยลูก”



นาคินมองตาไปหาคนที่อยู่อีกเตียง ซีกหน้าด้านข้างของสนธยาเรียบเฉยคล้ายคนที่หลับสนิทธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น นาคินก็ไม่อาจหักห้ามใจที่ร้อนขึ้นมาราวไฟรนด้วยฤทธิ์ของความเป็นห่วงได้



“พี่สนเป็นยังไงบ้างครับ!”

“คินอย่าเพิ่งลุกลูก” แพรไหมรีบกดตัวลูกชายให้เอนหลังลงไปดังเดิม ก่อนจะบอก “หมอบอกว่าพี่เขาปลอดภัย และไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไร แค่สำลักควันไฟเหมือนกับคิน อีกเดี๋ยวพี่เขาก็คงฟื้นแล้วล่ะ ใจเย็นๆ นะลูก” เธอว่าพลางลูบหัวลูกชายเบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้อารมณ์เย็นลง นาคินจึงค่อยๆ ผ่อนกายลงนอนเหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากคนที่อยู่อีกเตียง



ระหว่างที่สนธยายังไม่ฟื้น แพรไหมได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เรือนหลังเล็กกับลูกชายอย่างละเอียด ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังว่าได้เข้าไปหาเครื่องดนตรีในห้องนั้น และคาดว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะไฟฟ้าลัดวงจร แต่ที่ติดอยู่ภายในด้วยกันกับสนธยาเพราะอีกฝ่ายเข้ามาช่วยเขาเอาไว้



นาคินเว้นเรื่องราวของทับทิมเอาไว้ไม่บอกใคร เขาไม่อยากให้แม่ต้องกังวล ตอนนี้เขาก็ปลอดภัยดีแล้ว และเชื่อว่าต่อไปนี้คุณทับทิมคงไม่มาปรากฏตัวให้เห็นอีก ดังนั้นจึงอยากให้เรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นเป็นความลับต่อไป



“คราวหน้าคราวหลังทำอะไรก็ต้องระวังด้วยนะลูก โชคดีจริงๆ ที่ฝนตกลงมา ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ เรือนไม้เก่าแบบนั้นไฟมันติดง่ายเสียด้วย”



แพรไหมเล่าว่า ตอนที่มีคนสังเกตเห็นว่าไฟไหม้เรือนดอกแก้ว เป็นเวลาพอดีกับที่ฝนตกลงมาห่าใหญ่ หลังจากฝนตกคนจึงเข้าไปสำรวจความเสีย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่านาคินกับสนธยานอนไม่ได้สติอยู่ที่ชานเรือน



“พี่สนคงพยุงผมออกมาน่ะครับ แต่น่าจะสำลักควันเหมือนกันก็เลยหมดสติไปตรงนั้น” นาคินอธิบายเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ให้แม่ฟัง แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปนอนอยู่ที่ชานเรือนนอกห้องเก็บเครื่องดนตรีได้อย่างไร

“เดี๋ยวเอาไว้พี่เขาฟื้น ค่อยถามกันอีกทีก็ได้ครับ”

“แม่ไม่ได้ติดใจอะไรหรอกลูก ปลอดภัยกันก็ดีแล้ว”



หลังจากนั้นคุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการของนาคินเล็กน้อย ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้เพราะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ส่วนสนธยาก็ยังไม่ฟื้นเช่นเดิม จนกระทั่งลุงมนตรีกับพ่อของนาคินเดินทางมาถึงในตอนเย็น หนุ่มนักดนตรีจึงได้สติ ซึ่งโชคดีที่นาคินอยู่กับสนธยาเพียงลำพัง เพราะแพรไหมต้องออกไปรับสามีเพื่อเคลียร์เรื่องค่ารักษาพยาบาล นาคินจึงได้ซักซ้อมเรื่องราวให้พูดตรงกันเมื่อถูกถามถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น



“แต่น่าแปลกนะ พวกเราออกมาจากห้องนั้นได้ยังไง ฉันจำได้ว่าภาพสุดท้ายที่เห็นคือคุณทับทิมหายไปต่อหน้า จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว” สนธยาเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

“ผมว่าบางทีคุณทับทิมอาจจะเป็นคนทำให้พวกเราออกมานอนอยู่ที่ชานเรือนก็ได้ครับ เธอเองคงไม่อยากให้พวกเราได้รับอันตรายการกระทำที่ตัวเองก่อ” นาคินคาดเดา

“แต่ก็ไม่น่าทำแต่แรกเลย ไม่รู้เครื่องดนตรีจะเสียหายขนาดไหน”

“เอาน่า พี่ก็อย่าโกรธเธอเลยนะ เดี๋ยวจะเป็นการผูกใจเจ็บแล้วต้องกลับมาข้องเกี่ยวกันอีก ทีนี้ล่ะยุ่งแน่ๆ”

“ก็ได้ๆ ไม่คิดแล้ว”



คุยกันถึงตรงนี้ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่พวกผู้ใหญ่เข้ามาในห้องพร้อมกับคุณหมอ หลังจากตรวจร่างกายสนธยาเรียบร้อย หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ภายในค่ำวันนั้นนาคินกับสนธยาจึงได้ออกจากโรงพยาบาลกัน




o-----------------------o




   หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรือนดอกแก้วก็พังเสียหายไปหนึ่งในสามส่วนของตัวเรือนทั้งหมด พ่อครูมนตรีจึงให้ช่างมาซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย พร้อมกับสั่งซื้อเครื่องดนตรีใหม่หลายชิ้น



   ครั้นเรือนหลังน้อยซ้อมเสร็จสมบูรณ์ดี พ่อครูก็นิมนต์พระให้มาทำบุญบ้านเป็นการใหญ่ เพราะในหนึ่งปีมานี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นภายในบ้านถึงสองครั้งติดๆ กัน งานนี้ครอบครัวของนาคินรวมทั้งเด็กที่เรียนดนตรีก็มีโอกาสได้รับเชิญให้มาทำบุญร่วมกันด้วย



   แต่ระหว่างสนธยากับนาคิน การทำบุญบ้านใหญ่นั้นนอกจากจะทำเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยแล้ว พวกเขายังตั้งจิตอธิษฐานให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษคนใด หรือแม้แต่แม่ทับทิมก็ตามที



   พอเสร็จจากงานบุญทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติสุขเหมือนเก่า นาคินไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวอะไรอีกเลยนับจากวันนั้น ส่วนสนธยาก็สบายดีและทำหน้าที่เป็นครูสอนดนตรีพร้อมๆ กับเรียนหนังสือได้อย่างไม่มีปัญหา



   หากจะมีเรื่องที่เปลี่ยนไปบ้าง ก็คงจะมีแค่เรื่องที่นาคินกับสนธยาดูสนิทสนมกันอย่างออกนอกหน้า จนคนที่อยู่รอบข้างสังเกตได้ รวมทั้งพฤติกรรมช่างพูดช่างคุยของสนธยาที่อยู่ๆ มีขึ้นมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนเงียบขรึมแท้ๆ แต่ถ้าจะให้พูดอีกที พฤติกรรมนี้ของชายหนุ่มก็เป็นกับนาคินคนเดียวเท่านั้น




o-----------------------o





   บ่ายแก่ของวันหนึ่ง ขณะที่สนธยากำลังนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่ใต้ตั้งแก้วเจ้าจอมใหญ่ จู่ๆ ตอนที่เขาพลิกหนังสือหน้าหนึ่งขึ้น ถุงผ้าเก่าคร่ำคร่าใบหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาบนตัก มันเป็นถุงผ้าที่สนธยาเกือบลืมไปแล้วว่าเอามาสอดไว้เมื่อไหร่ หากไม่บังเอิญเปิดมาเจอมันในวันนี้ ดูท่าว่าเขาก็คงไม่ได้นึกถึงมันอีก



   มือเรียวของนักดนตรีหยิบฉวยถุงบุหงารำไปเอามาถือไว้ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองลายลูกไม้ที่เก่าจนเหลืองเหล่านั้น มองเศษผงสีน้ำตาลที่เคยเป็นกลีบดอกไม้หอม



   เขาเคยนึกสงสัยว่าถุงบุหงารำไปนี้ทำไมจึงเข้าไปอยู่ในขิมโป๊ยเซียนตัวเก่านั้นได้ และทำไมยามเมื่อเขาจ้องมองมันจึงรู้สึกผูกพันอย่างน่าประหลาด



   ในวันนี้เขารู้แล้วว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร



   ครั้งหนึ่ง ในยามที่จางวางหนุ่มกำลังโศกเศร้าเพราะการจากไปของหญิงคนรัก เขาจะมีเพียงถุงบุหงารำไปนี้ที่ใช้ดูต่างหน้า แม้นานวันเข้ากลิ่นของบุหงาจะลบเลือนไป ทว่าความรักและความคิดคำนึงถึงเจ้าของก็ยังไม่มีวันเปลี่ยนแปลง




แต่หลายครั้งที่ความคิดถึงนั้นทำร้ายคนซึ่งยังอยู่ข้างหลัง สุดท้ายจางวางหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ใต้ท้องขิมที่เขาเคยหามากำนัลให้แก่คนรัก เหมือนเป็นของแทนตัวตนเองกับเธอคนนั้น เก็บมันให้ได้อยู่ใกล้กันเหมือนหัวใจของเขาซึ่งอยู่ที่เธอเสมอ



หากวันใดที่คิดถึง ฉันจะเล่นขิมตัวนี้…เล่นเพลงที่เธอรัก



“ร้องไห้ทำไมครับ”



ไม่ใช่แค่เสียงที่พาให้สนธยาออกจากภวังค์ แต่เจ้าลูกศิษย์ตัวโตกลับนั่งลงตรงหน้า ก่อนจะใช้มือสองข้างประคองหน้าของเขาเอาไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาให้



“ผมถามทำไมไม่ตอบล่ะ”

“…”

“สนอย่างเงียบสิ ผมใจไม่ดีนะเนี่ย” นาคินเร่งให้อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางร้อนใจ

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก รนรานเป็นเด็กไปได้” สนธยาว่าพลางดึงมือของนาคินออกจากใบหน้า ก่อนเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ



ก็ร้องไห้ให้เห็นแบบนี้มันน่าอายน้อยเสียเมื่อไหร่



“ไม่ให้รนรานได้ยังไงล่ะครับ เดินมาเห็นสนนั่งร้องไห้อยู่ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้น”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

“คิดอะไรครับ หรือคิดถึงใคร ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”

“คิดถึงแม่” สนธยาบอกเพื่อปัดรำคาญ แต่พอนาคินได้ยินเช่นนั้น คนตัวโตก็ทำหน้าสลดวูบ

“อ่า…งั้นหรือครับ ผมขอโทษนะ ไม่น่าไปคาดคั้นพี่แบบนั้นเลย”



สีหน้าสำนึกผิดกับท่าทางหมาหงอยของชายหนุ่มเป็นเครื่องกระตุ้นความใจอ่อนชั้นดี สนธยารู้สึกผิดที่โกหกออกไป เพราะคิดว่านาคินต้องรู้สึกผิดที่คาดคั้นเขาแบบนั้นแน่ๆ



“อันที่จริง…” ชายหนุ่มชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเฉลยความจริงออกมา “อันที่จริงฉันไม่ได้คิดถึงแม่หรอก”

“อ้าว แล้วพี่คิดถึงใครล่ะ”

“คิดถึงแก้วน่ะ” เขาว่าพลางยื่นถุงบุหงารำไปในมือให้นาคิน

นาคินเองก็รับมาแบบงงๆ “อะไรครับ”

“นายจำไม่ได้เหรอ ลองดูดีๆ สิ”

พอกระตุ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นก็ขยายกว้างขึ้น “นี่อย่าบอกนะว่าเป็นถุงที่แก้วเย็บให้คุณสินใบนั้นน่ะ”

“อืม คิดว่าใช่”

“จริงหรือครับ พี่ไปเอามาจากไหน” นาคินพลิกหน้าพลิกหลังเพื่อสำรวจ และก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถุงที่เห็นในความทรงจำของแก้วจริงๆ

“ก็ถุงที่นายดึงออกมาจากท้องขิมโป๊ยเซียนตอนนั้นไง จำไม่ได้เหรอ”

“จำไม่ได้ครับ” นาคินส่ายหน้า



สนธยาจึงเล่าเรื่องที่นาคินเคยทะลวงท้องขิมเพื่อดึงถุงบุหงาใบนี้ออกมาก่อนที่จะสลบไปให้ฟัง นาคินจำได้แต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว จำได้ว่าตัวเองเหมือนหน้ามืด แต่ก็นึกรายละเอียดอย่างอื่นไม่ได้เลย



“ตอนนั้นนายเหมือนโดนผีเข้า ทำท่าเหมือนกับเป็นแก้วไม่มีผิด”

“จริงเหรอ แต่ผมจำไม่ได้จริงๆ นะ บางทีอาจเป็นผีคุณทับทิมที่เข้าสิงผมก็ได้”

“ไม่หรอก ฉันว่าตอนนั้นนายคือแก้วมากกว่า”

“แต่ถ้าเรื่องการเกิดใหม่เป็นจริงอย่างที่คุณทับทิมว่า แก้วก็มาเกิดใหม่แล้วนี่ครับ ผมจะถูกผีแก้วเข้าสิงได้ยังไง”

“นายอาจจะระลึกชาติอะไรทำนั้นนั้นล่ะมั้ง”

“ไปกันใหญ่แล้วพี่สน” นาคินหัวเราะออกมา ก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆ กัน โดยใช้หลังพิงต้นไม้ “ผมว่าทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของคุณทับทิมมากกว่านะ ถ้าไม่มีพลังงานลี้ลับเหนือธรรมชาติพวกนั้นมากระตุ้น ผมคงเห็นเรื่องราวในอดีตชาติของตัวเองไม่ได้หรอก”

“อย่างนั้นเหรอ” ได้ยินที่นาคินพูด สนธยาก็เงียบไป








ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-02-2017 18:50:49










เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องลี้ลับเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เคยใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดามาโดยตลอด แต่หลังจากที่ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งยังถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้ารอบด้าน สนธยาก็รู้สึกราวกับตัวเองผูกพันและเจ็บปวดใจจริงๆ มีอารมณ์ร่วมคล้ายกับเศษเสี้ยวหนึ่งของจางวางสินอยู่ในตัวตนของเขา



หากว่ามันเป็นจริง นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า เพราะอะไรเขาจึงถูกนาคินดึงดูดตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก เพราะอะไรจึงละสายตาจากคนนี้ไม่ได้



เพราะชาติที่แล้วเคยเป็นคนรักกัน


สนธยาคิด จากนั้นคำถามอีกข้อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง


แล้วชาตินี้เล่า…รักหรือไม่



นึกถึงตรงนี้ความร้อนในร่างกายก็ไหลมารวมกันที่ใบหน้า ชาติหนุ่มสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะสังเกตเห็นตอนนี้ว่า พฤติกรรมแปลกๆ ที่แสดงออกมาอยู่ในสายตาของนาคินทั้งหมด



“มองอะไร” คนทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยออกมาแก้เก้อ

“ก็มองพี่นั่นแหละ” นาคินตอบยิ้มๆ “เป็นอะไรไปครับ เดี๋ยวทำหน้าเศร้า เดี๋ยวก็ยิ้มแก้มแดง”

“ใครยิ้มแก้มแดง พูดไปเรื่อย”

“ก็พี่ไงที่ยิ้มแก้มแดง พี่อาจไม่รู้ตัว แต่ผมมองพี่อยู่ตลอดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าปฏิเสธเสียให้ยากเลย” เจ้าตัวยิ้มอย่างภูมิใจ ทั้งที่คำพูดประโยคนั้นส่องความนัยเอาไว้ลึกกว่านั้นมากนัก

“เออๆ นายมันรู้ดี ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว” ไม่ใช่เพราะอยากยอมจำนน แต่สนธยาก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง เพราะรู้ว่าอย่างไรเขาก็แพ้ทางคนคนนี้อยู่ดี

“พี่สน”

“หืม” เจ้าของดวงตาสีนิลกาลหันมามองตอบ

“ผมไม่เคยบอกเลยใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่”

ครั้นได้ยินคำถามที่จู่ๆ นาคินก็พูดขึ้น สนธยาจึงอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้ารับ “…อืม”

“งั้นผมบอกตอนนี้ได้ไหมครับ”



คำถามที่ได้ยินนั้นยากเกินกว่าจะตอบออกไปโดยไม่คิด ซ้ำในภาวะที่มีอารมณ์บางอย่างสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวใจ สนธยาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรตอบออกไปอย่างไรจึงจะดีที่สุด



“ว่ายังไงครับ พี่อยากให้ผมบอกไหม”

“นายคิดดีแล้วหรือคิน” แม้จะถูกถามด้วยสายตาเว้าวอนแค่ไหน สนธยาก็ไม่อาจปฏิเสธความกลัวภายในใจลึกๆ ได้



พวกเขาสองคนคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างกันมาก็จริง แต่สนธยายังนึกกลัวว่านาคินจะแยกไม่ออก ว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้กับความรู้สึกของตัวตนในอดีตชาตินั้นมันคนละคนกัน เพราะขนาดว่าตัวเขาเองยังคิดสับสน ยิ่งรู้ว่าเคยรักกันมาก่อน ยิ่งไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่มีในตอนนี้นั้นอยู่ที่ใครกันแน่



จางวางสินหรือสนธยา



นาคินเอื้อมมือไปวางทาบทับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างขลาดเขลา



“แน่ใจสิครับ” ชายหนุ่มยิ้ม “หัวใจของผม ผมจะไม่แน่ใจได้ยังไง”

“ไม่ใช่ว่านาย คิดว่าฉันเป็นคุณสินหรอกนะ นายถึงได้…”



พระพายพัดโชยกลีบดอกไม้ปัดปลิวร่วงโรยเกลื่อนพื้น นาคินจ้องหันไปจ้องมองคนที่นั่งลงข้างๆ ด้วยสายตาล้ำลึก หลังผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน ตัวเขาเองก็ยังคงนึกไม่ออกว่าความรู้สึกรักที่แก้วมีต่อคุณสินนั้นมากมายเพียงใด เพราะนั่นคือเขาในอดีตชาติ หาใช่เขาที่เกิดใหม่อยู่ในชาติของนาคินไม่



แต่ถึงแม้จะไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกรักคนคนนี้ในชาติที่แล้ว นาคินก็ยังรู้ว่าตัวเองหลงรักสนธยาอยู่ดี หลงรักที่สนธยาเป็นสนธยา ไม่ใช่สนธยาที่เป็นคุณสิน



   “ตอนนี้ผมก็ไม่ใช่แก้วสักหน่อย หรือพี่สนเห็นว่าผมเป็นแก้ว”

   “ไม่ใช่” ชายหนุ่มรับบอก “ฉันก็เห็นว่านายเป็นนาคินนี่แหละ”

   “งั้นก็เห็นตรงกันเลยไม่ใช่หรือครับ” รอยยิ้มที่เคยเห็นบ่อยๆ มาวันนี้มันกลับทำให้หัวใจของสนธยาเต้นแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

   “แต่ว่า…”

   “แต่อะไรอีกครับ”

   “นายเป็นผู้ชายนะ ฉันเองก็เป็นผู้ชาย และค่อนข้างมันใจว่าที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะชอบผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด”

   “ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน” นาคินว่า

   “แล้ว—“ ยังไม่ทันพูดจบ นาคินก็รีบแทรกขึ้นก่อน

   “ไม่เคยคิด จนกระทั่งมาเจอพี่นี่แหละ”



   คำตอบที่ได้ฟังเหมือนโดนค้อนทุบหัว ครูดนตรีตาลายไปพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้ใหม่ เขาค่อยๆ พิจารณาความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของตัวเอง ซึ่งมันไม่มีตรงไหนเลยที่จะกรีดร้องออกมาว่าให้ปฏิเสธอีกฝ่ายไปเสีย หรือบอกว่าไม่อยากรับรู้ความรู้สึกอะไรของนาคินทั้งนั้น



   ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ ตัวเขาเองก็ชอบอีกฝ่ายจนไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกได้ ดังนั้นจึงยอมหยักหน้า และอนุญาตให้นาคินพูดสิ่งที่ตนเองต้องการได้เลย



   “อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ”

   “พี่จะรับฟังใช่ไหม” เจ้าลูกหมาตัวโตถามอีกครั้งให้มั่นใจ

   “อืม…ฉันรอฟังอยู่”



   อยู่ๆ มือหนาก็รวบมือสนธยาเอาไว้ แล้วกุมแน่นเหมือนเมื่อคราวที่เผชิญสิ่งต่างๆ มาด้วยกัน ก่อนเจ้าของดวงตาสีน้ำตาจะเอื้อนเอ่ยข้อความที่สนธยาคาดเอาไว้อยู่แล้วออกมา



   “ผมชอบพี่ ชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าชอบมากๆ มากจนเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว”



นาคินสารภาพความในใจออกไปจนหมดเปลือก และคำสารภาพที่สนธยาคิดว่ารู้อยู่แล้วนั้น เมื่อได้ยินกับหูตรงๆ มันกลับให้ความรู้สึกพิเศษอย่างที่ไม่คาดว่าจะรู้สึก มันทั้งหวานล้ำและชวนให้หัวใจเต้นแรง ราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักความรักเป็นครั้งแรกในชีวิต



“อืม”

“แค่อืมเองหรือครับ” นาคินท้วง

“แล้วนายจะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ”

“ก็บอกว่าชอบผมสิ ถ้าพี่รู้สึกเหมือนกัน”

“บ้าหรือไง ใครจะไปพูด” สนธยารีบโวยวายแก้เก้อ แต่ดูเหมือนคราวนี้นาคินจะไม่ยอมให้เป็นเหมือนทุกครั้งที่อีกฝ่ายมักบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ไม่กล้าพูด

“ไม่พูดได้ไง ถ้าพี่ชอบ ก็บอกว่าชอบสิครับ จะได้ตกลงอะไรให้มันเรียบร้อย”

“ตกลงอะไร” ชายหนุ่มถามอย่างสนเท่ห์

“ก็ถ้าพี่ชอบ เราก็ตกลงเป็นแฟนกันไง ไม่เห็นยากตรงไหนเลย” เจ้าคนอวดดีเฉลยพลางยิ้มเผล่

“บ้าหรือไง” ไม่ว่าเปล่า คราวนี้ชายหนุ่มพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายด้วย

“บ้าก็บ้าครับ” คนถูกกล่าวหายอมรับอย่างง่ายดาย แต่ไม่ยอมเลิกล้มความพยายาม “ว่าแต่พี่ชอบผมเหมือนกันใช่ไหม”

“ไม่รู้”



พอดึงมือกลับได้ สนธยาก็เตรียมตั้งท่าจะลุกหนี แต่นาคินกลับคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะดึงให้นั่งกลับลงมาเหมือนเก่า ซึ่งในจังหวะเกิดเสียการทรงตัวพอดี สนธยาจึงล้มลงมาใส่ตักเจ้าคนตัวโตและถูกรวบกอดด้วยความตั้งใจ



“อย่าดิ้นสิพี่สน ผมเจ็บขานะเนี่ย”

“เดี๋ยวคนเห็น” สนธยาแหวเข้าให้ แม้จะรู้สึกอายมากแค่ไหนก็ตาม

“ก็พี่จะหนีผมนี่นา ผมก็ต้องกอดไว้สิ”

“มันน่าหนีไหมเล่า ถามมาแต่ละอย่าง จะให้ตอบยังไง ฉันก็อายเป็นนะ”

“ผมก็อายนะ ผมยังพูดได้เลย”

“นั่นมันนาย ไม่ใช่ฉัน”

“เหมือนกันนั่นแหละครับ” นาคินกระชับกอดแน่นขึ้น แล้ววางคางไว้บนลาดไหน ก่อนกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “ถ้าไม่รั้งพี่ไว้ พี่ก็จะหนีผมไปใช่ไหมล่ะ ผมเป็นคนโลภมากนะ พอบอกไปแล้วก็อยากรู้ว่าพี่จะคิดยังไง ที่ผ่านมาเหมือนมันจะดีใช่ไหม แต่ถ้าพี่ไม่บอกผมก็ไม่รู้หรอก”

“…” พอได้ฟังคำพูดจริงจังของอีกฝ่าย สนธยาก็ยอมสงบลง

“ถ้าพี่ไม่ชอบ ก็บอกกันตรงๆ ได้นะครับ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ขัดใจอยู่แล้ว”



ถึงจะพูดแบบนั้น แต่มือที่กอดเอวเอาไว้ก็ไม่ได้คลายออก นั่นแสดงว่านาคินเองก็พอจะเดาคำตอบของสนธยาได้เหมือนกัน หนุ่มนักดนตรีถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนเอี้ยวกลับไปมองเจ้าลูกหมาที่ทำหน้าสลด



“อืม” สนธยาส่งเสียงเรียบๆ ตอบออกมาแค่นั้น นาคินจึงรีบถามกลับ

“อืมอะไรครับ ชอบหรือไม่ชอบ”

ชายหนุ่มข่มกลั้นความอายเอาไว้ แล้วเอ่ย “ชอบเหมือนกัน”

“ชอบแล้วยอมเป็นแฟนไหม”

“อืม” เขาตอบรับ ก่อนจะเสริม “ถ้ายังถามอีก ฉันจะไม่ตกลงแล้วนะ”

“ไม่ถามแล้วครับ” เจ้าหมาหงอยเมื่อครู่ยิ้มจนเต็มแก้ม ก่อนจะฉวยโอกาสยื่นหน้าไปหอมพวงแก้มสีเรื่อของอีกฝ่าย มันไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนแก้วของผู้หญิง แต่ได้หอมแล้วนาคินรู้สึกชื่นใจเป็นอย่างมาก มากจนแม้จะโดนต่อยเข้าที่สีข้างก็ไม่ร้องโอดโอยเลยสักคำ



ตอนนี้นาคินปล่อยให้สนธยาลงไปนั่งด้านข้างเหมือนเดิมแล้ว สนธยาเองก็ไม่ได้ลุกหนีไปไหน และยอมให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนหมาดๆ กุมมือเอาไว้ ไม่สลัดทิ้งเหมือนอย่างเคย



“พี่สน” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง นาคินก็เอ่ยขึ้น

“ว่าไง”

“พี่ว่า ที่เราได้มาเจอกัน แล้วได้เป็นแฟนกัน มันจะเกี่ยวกับอดีตชาติที่เราเคยสัญญากันไว้ไหมครับ”

“อืม…ไม่รู้สิ” ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่หยุดคิดนั้น อยู่ๆ ลมที่พัดเอื่อยก็เปลี่ยนเป็นแรงขึ้นเล็กน้อย มันพาให้กลีบสีน้ำเงินของแก้วเจ้าจอมปลิวหล่นลงมาบนตักของสนธยา ชายหนุ่มมองกลีบดอกไม้น้อยๆ ดอกนั้นสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ

“ยิ้มอะไรกันครับ”

“แค่คิดคำตอบเรื่องที่นายถามเมื่อกี้น่ะ”

“แล้วตกลงว่าคิดตอบคือ…” นาคินหันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรอคอยคำตอบ

“ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับสัญญาไหม แต่ถ้ามองเพียงแค่ปัจจุบันอย่างที่นายพูดไว้ มันก็คงไม่เกี่ยวกันหรอก เพราะนายชอบฉัน ไม่ได้ชอบคุณสินนี่ใช่ไหม”

“ใช่ครับ”




ชายหนุ่มทั้งสองมองตาและยิ้มให้อย่างรู้กัน



“ขี้เกียจอ่านหนังสือแล้ว” สนธยาว่า

“งั้นไปเล่นดนตรีกันไหม พี่สนยังติดผมอยู่นะ คราวที่แล้วว่าจะเล่นเพลงคำหวานให้ฟังไงครับ”

“ก็ได้ แต่นายต้องช่วยฉันเก็บของก่อน”

“ไม่มีปัญหาครับ” ทั้งสองช่วยกันเก็บหนังสือและม้วนเสื่อ ก่อนพากันขึ้นไปเล่นดนตรีที่เรือนหลังเล็กอย่างที่ตั้งใจเอาไว้



นาคินกับสนธยาเข้าใจและเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดว่ามีอยู่จริง แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาเพียงแค่รับรู้ ชื่นชม ระลึกถึง แต่ไม่อาจกลับไปเป็นเช่นนั้น ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแค่อยู่กับปัจจุบัน และถักทอเรื่องราวความรักของตนเองขึ้นมาใหม่



ใต้ร่มแก้วเจ้าจอมใหญ่ต้นนี้


ใต้เสียงดนตรีหวานแว่วที่ช่วยกันบรรเลง



ไม่ว่าเรื่องราวในอดีตชาติจะมีผลต่อชาติในปัจจุบันหรือไม่ ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือ ในที่สุดคนทั้งคู่ก็หมุนเวียนมาพานพบและเริ่มต้นรักกันอีกครั้งอยู่ดี









‧‧‧‧:❉ จบบริบูรณ์ ❉:‧‧‧‧









จบแล้วค่าาาาาา  :mc4: :mc4:

ในที่สุดนิยายเรื่องนี้ก็จบลง

4 ปีที่ผ่านมา กับนิยายเรื่องหนึ่ง ถือว่าเป็นการเขียนที่ยาวนานมากจริงๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องยาวอะไรเลย ปมของเรื่องก็มีแค่ไม่มาก แต่ทำไมถึงลากยาวมาได้ขนาดนี้กันนะ /ได้แต่ถามตัวเอง 555+

ก่อนจะเอ่ยถึงตัวนิยาย ต้องบอกย้ำอีกครั้งว่า นิยายเรื่องนี้เดิมทีเคยเป็นฟิคชั่นของศิลปินคู่หนึ่งค่ะ แต่พอเขียนได้4-5 ตอน ก็มีอันต้องเลิกล้ม เพราะเกิดอาการไม่อินกับสิ่งที่เขียน ทางเราคิดเสมอว่าคนอ่านฟิคก่อนหน้าจะด่าว่าฝนทรยศเขาหรือเปล่า ตอนแรกจึงยังไม่ทำอะไรกับนิยายเรื่องนี้ แต่มาเริ่มเดบิวท์กับนิยายวายด้วยโปรดจงรักก่อน

พอโปรดจงรักจบลง เราก็กลับมาคิดว่าอยากเขียนคีตมาลาต่อ จึงคิดเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่องและลักษณะตัวละคร รวมถึงชื่อต่างๆ ใหม่ เรียกว่าโมใหม่เหมือนนิยายเรื่องใหม่ กลิ่นอายมันก็มีคล้ายเดิมบ้าง เพราะยังใช้ชื่อเดิม แต่เอาจริงๆ ตอนจบที่เคยคิดเป็นฟิคชั่นกับนิยายที่เขียนจบสดๆ ร้อนๆ เวลานี้ไม่เหมือนกันนะคะ

พอฝนเปลี่ยนทุกอย่างใหม่ ภาพในหัวของเราก็เปลี่ยนไปด้วย ต่อจากนั้นก็เริ่มทำงานที่ต้องทำ จนกระทั่งมาจบเอาป่านนี้

ส่วนจุดที่มีคนถามระหว่างเรื่อง นั่นคือทำไมไม่ให้เป็นคู่ชายรักชายทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทำไมต้องเป็นคู่ชายหญิงคู่หนึ่งด้วย อันนี้ต้องขอชี้แจงนิดหน่อย เพราะมีคนมาบอกว่าขอไม่อ่านเรื่องนี้ เนื่องจากคู่อดีตเป็นชายหญิง เอาจริงๆ ฝนไม่คิดว่ามันแปลกเลยนะ เข้าใจว่าชอบชายรักชาย อ่านนิยายวายต้องไม่มีสิ ตัวเอกชาตินี้มาแต่ชาติที่แล้วเป็นผู้หญิงได้ไง ฝนต้องขอโทษที่ทำไม่ถูกใจนะ แต่อยากยึดตามความรู้สึกของตัวเองค่ะ คือถ้ามองกันให้ลึก การเกิดใหม่หลายภพหลายชาติ ใช่ว่าเราจะเกิดเป็นคนเดิม เพศเดิม หน้าตาเหมือนเดิมเสียเมื่อไหร่ อีกอย่างคือคู่รักชายหญิงมีมากกว่าชายชายเยอะหลายเท่า ไม่น่าแปลกนะถ้าชาติก่อนจะเป็นชายหญิง แต่ก็นั่นแหละค่ะ ตรงนี้ไม่โกรธเลย เข้าใจว่ารสนิยมคนไม่เหมือนกัน ฝนเองก็มีความชอบที่หลากหลาย อยากลองอะไรที่แปลกๆ ดังนั้นจึงอธิบายเหตุผลให้ทราบว่าทำไมถึงต้องเป็นชายหญิง

พูดถึงตัวนิยายดีกว่า แรกเริ่มเดิมทีได้แรงบัลดาลใจในการเขียนเพราะดูโหมโรงแล้วฝังใจค่ะ กลับมาดูอีกครั้งจึงเริ่มคิดและเขียนออกมา ดังนั้นหลายๆ อย่างในโหมโรงจึงมาโผล่ในคีตมาลา เช่น เพลงแสนคำนึงและเพลงคำหวาน สองเพลงนี้ฝนชอบมากๆ เป็นเพลงที่ใช้เปิดบ่อยมาเวลาที่แต่งเรื่องนี้ ถ้าใครไม่เคยฟังลองหาฟังกันได้ค่ะ แต่เรื่องนี้จะเกิดในรัชกาลที่ 5 ค่ะ ต่างกับโหมโรงนิดหน่อย

เรื่องนี้ดีกับคนเขียนอยู่อย่างหนึ่งคือไม่มี NC แบบเรื่องอื่นๆ อาจจะมีวาบหวิวบ้างในตอนพิเศษ แต่โดยรวมคือฝนค่อนข้างสบายเลย เพราะเขียน NC ไม่ค่อยเป็น ส่วนที่มีคนถาม จะสนคินหรือคินสน ตรงนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่คนจะคิด คือส่วนใหญ่นาคินจะเป็นคนเต๊าะพี่สนใช่ไหม แต่บทจะแสดงความเป็นผู้นำพี่สนก็เท่ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ นี่ก็เลยเป็นอีกข้อที่ไม่ได้เขียน NC ให้ชัดเจน ทำใจลำบากมาก ใสๆ ไปเลยก็แล้วกัน ให้คนอ่านจิ้นกันเอาเองค่ะ 555

ตอนแรกกะว่านิยายเรื่องนี้จะขายบรรยากาศละมุน เพลงหวาน ดอกไม้สวย แต่ทำไปทำมาคนนึกถึงผี กลัวผีแม่ทับทิมกันจนไม่กล้าอ่าน 555 เป็นอะไรที่เวลาอ่านคอมเม้นแล้วตลกมาก แต่ก็ดีใจที่สนุกกับนิยายนะคะ


สุดท้ายแล้วล่ะ อยากบอกว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ฝนก็ตั้งใจทุกเรื่องเลยขอบคุณคนอ่านที่คอยสนับสนุนกันมานะคะ แค่เข้ามาอ่านฝนเห็นยอดวิวกระดิกก็ดีใจมากแล้ว มีคนเคยบอก(อีกแล้ว) ว่า “คุณฝนๆ ถึงนิยายเรื่องนี้คนอ่านน้อย แต่เราตามอ่านอยู่นะ รอตอนต่อไปนะคะ” นี่แค่พูดว่ารอฝนก็จะร้องไห้แล้ว เคยยุ่งกับงานอื่น เคยดองไว้ก็ต้องรับกลับมาแต่งต่อจนจบให้ได้ ดังนั้นขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ

แรงสนับสนุนของนักอ่านเป็นแรงใจส่วนหนึ่งนอกจากความชอบส่วนตัว ให้ขับเคลื่อนเข็นงานออกมาได้สำเร็จเลยนะ ต่อไปก็จะพยายามเขียนงานด้วยความตั้งใจเหมือนเดิมค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ >___<

ขอบคุณจากหัวใจ

ละอองฝน.




หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-02-2017 19:18:35
 :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2017 19:21:04
ในหลายๆความรู้สึกนะเรื่องนี้ มันหม่นอับๆเหมือนบรรยากาศตอนฝนจะตก แล้วก็ชอบโผล่มาอัพตอนดึกๆเกือบเช้าด้วย หลอนเลยสิคะ หวานไม่เท่าไรแต่หลอนนี้บอกได้เลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ละอองฝน ที่ 06-02-2017 19:26:24
ในหลายๆความรู้สึกนะเรื่องนี้ มันหม่นอับๆเหมือนบรรยากาศตอนฝนจะตก แล้วก็ชอบโผล่มาอัพตอนดึกๆเกือบเช้าด้วย หลอนเลยสิคะ หวานไม่เท่าไรแต่หลอนนี้บอกได้เลย  :pig4:



เหมือนเป็นความตั้งใจ แต่จริงๆ ไม่ตั้งใจมาเกือบเช้าเลยค่ะ 5555
แต่ตอนจบแล้วไม่หลอน แถมมาเร็วสักตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 06-02-2017 21:01:33
จบแล้ว ขอบคุณคะ

จริง ๆ ผีแม่ทับทิมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย แต่เอาจริงก็ยังหลอนกับผีแม่ทับทิมอยู่ดี

เราว่าเราชอบนะคะ ที่เขียนให้อดีตเป็นชญ แม้ ใครจะเกิดเป็นเพศเดิมได้ตลอด มันดูเรียลดี แต่สงสารคินอะ เจ็บตัว ตลอดแถมเกือบเป็นบ้าไปเลย เจอแต่ละเรื่อง น่าตีผีแม่ทับทิมจริง แต่ ชอบพี่สน แมนจังเลย แมนมากเลย ยกให้พี่สนเป็นผู้นำ รุก เมะ ส่วนนาคินเป็นหมาน้อยรับไปละกันนะ

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 07-02-2017 00:04:50
แกกก เรื่องนี้มันดีต่อใจดวงน้อยๆ
ไม่จำเป็นต้องมีncหรืออะไรเลย
มีแค่นี้โครตสุขใจจจ ชอบนะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-02-2017 20:27:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 08-02-2017 00:24:27
สนุก ชอบ ประทับใจ
มันเหมือนวางรากฐานความผูกพันไว้ดีอ่ะ
อ่านแล้วอิน มีความสุข
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ นิยายดีดี
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sm37an2j2 ที่ 08-02-2017 00:53:09
สนุกมากกครับบบบบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 08-02-2017 01:51:51
ดีมาก ภาษาไทย ละมุนละไม เนื้อหา การจัดลำดับ ภาคบรรยาย กลยุทธเล่าเรื่องดีแล้ว
ที่ชมเชยที่สุดคือการเขียนบรรยายได้สวยงาม ภาษาไพเราะมาก

แต่ถ้าเรื่องหน้าทำพีเรียดอีก ขอให้หนักกว่านี้เค้นอารมณ์รันทด ทรมาน ออกมาให้มากขึ้น ยิ่งมีความแค้นผสม เรื่องจะยิ่งได้อรรถรส เข้าใจว่าตอนผูกเรื่อง เงื่อนงำมันไม่หนักพอและไม่ได้เติมซัพพลอตมากพอให้มันอินกับเนื้อหาและดื่มด่ำมากขึ้น เลยดูจะรีดอารมณ์มาไม่หมด แต่ก็อ่านได้เรื่อยๆสนุกดี แต่บางบทอาจจะยังมีงงๆ ว่าทำไมต้องทำ หรือเพราะอะไร

แต่ทั้งนี้ พีเรียดคนอ่านน้อย และแต่งยากด้วย ดังนั้นเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อๆไปครับ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 08-02-2017 22:10:29
พูดได้เพียงคำเดียวจากใจก็คือชอบอ่ะ
มอบให้เธอคนเดียวเท่านั้นเพราะเธอเขียนน่ารักอ่ะ
สุดสุดแล้ว คือที่สุดของสุดแล้วจีงพูดได้คำเดียวคือใช่อ่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 09-02-2017 14:56:05
ชาตินี้แก้วได้รุกคือพีคมากสำหรับเรา เพราะปกติถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ ชาติแล้วเป็นหญิงชาตินี้คงไม่พ้นเคะ 5555 แต่เราชอบนะ สนุกมากๆค้าบบ o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 11-02-2017 08:01:44
ชอบมากเลยค่ะ หยุดอ่านไม่ได้เลย ภาษาสวยมาก
สงสารแม่แก้วกับคุณสิน คุณสินคงใจสลายน่าดูเสียทั้งลูกเสียทั้งเมียรัก
ไม่รู้ว่าฝั่งพ่อแม่คุณสินได้รู้ความจริงเรื่องทับทิมหรือเปล่า
แต่ก็ดีใจที่ในที่สุดทั้งคุณสินและแม่แก้วก็ได้ทำตามสัญญากลับมานั่งดูดอกแก้วด้วยกันอีก
ชาติก่อนแม่แก้วไม่ได้เรียกคุณสินว่าพี่สินมาชาตินี้คินต้องเรียกพี่สนบ่อยๆนะ อิอิ
 
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-02-2017 23:13:07
เคยอ่านช่วงแรก ๆ ตอนนั้นคิดว่าเนื้อเรื่องดูเอื่อยไปหน่อย (สงสัยเป็นเพราะได้อ่านทีละตอนไม่ต่อกัน) แถมดูเหมือนจะน่ากลัวอยู่หน่อย แต่พอมาอ่านหลังจากคนเขียนจบแล้วก็รู้สึกว่าเป็นนิยายที่ดีเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ที่เคยคิดว่าน่ากลัวก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้นแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเอื่อยก็คิดว่าไม่นะ เรื่องราวมีจังหวะที่พอดีแล้วค่ะ ตอนจบก็ลงท้ายได้สวยงามดี
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 12-02-2017 01:42:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 12-02-2017 20:19:40
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 13-02-2017 08:10:32
เดาทางไม่ออกเลย ลุ้นมากๆๆๆๆ กลัวจะหักมุมไปไกล
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 17-02-2017 11:13:20
ขอบคุณมากๆค่ะ ชอบมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-02-2017 18:43:56
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 18-02-2017 08:32:10
ตามอ่านรวดเดียวจนจบ ดีมากๆเลยค่ะ ละมุนละไมอุ่นใจ
พี่สนน่ารักมากๆ ซึนนะ แต่ก็ห่วงเขาตลอด ส่วนคินก็หยอดเอ่หยอดเอาน้อ
ชอบความผีเบาๆ ปกติชอบอ่านอะไรแบบนี้อยู่แล้วด้วย. แถมภาษาถูกจริตมากๆ
ยกให้เป็นนิยายในดวงใจอีกเรื่องเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ และก็ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: popuri ที่ 18-02-2017 09:27:31
ดีงามมากค่าาา พี่สนนี่ก็กว่าจะรู้ใจตัวเองเนอะ
น่ารักมากเลย ชอบที่เล่าเรื่องในอดีตกับปัจจุบันสลับๆกัน
มันทำให้ยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นดีค่ะ เหมือนตัดโฆษณา 5555
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: swoooaa ที่ 19-02-2017 11:55:40
ตามมาจากโปรดจงรัก มาคนละฟีลเลยแต่ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน อ่านรวดเดียวเลย แต่ไม่กล้าอ่านตอนกลางคืน หลอนนน เดินเนื้อเรื่องดีเลยค่ะ แถมจบสวยด้วย เป็นกำลังเรื่องต่อไปน้าา o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 27-02-2017 22:16:18
 :mew1: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: JamesKung ที่ 01-03-2017 00:13:36
ชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยครับ ภาษาสวย บรรยายบรรยากาศได้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมปิดไฟอ่านทุกคืนเลย หลอนมากกก
แต่ตามอ่านจนจบนะครับ ชอบมากๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: MNIMD ที่ 11-04-2017 00:16:47
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ อ่านแล้วหลอนตามนาคินเลย กลัวคุณทับทิม
 เวลานาคินหลอนนี่ก็หลอนตาม สงสารแม่แก้ว ทำไมคนดีๆต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย สารภาพเลยค่ะว่าชอบความสัมพันธ์ของแม่แก้วกับคุณสินดูเป็นความรักที่ไม่หวือหวาแต่แนบแน่นมาก ส่วนนาคินกับสนธยามีความแม่ลูกมาก ชอบเวลาที่นาคินอ่อนแอแล้วสนคอยอยู่คอยปลอบให้นาคินหายจากความกลัว รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: happy-jigsaw ที่ 19-04-2017 17:59:52
ขนลุกตลอดเวลา แต่ภาษาสวย ชอบนิสัยตัวละคร ชอบการดำเนินเรื่องค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: miwmiwzaa ที่ 23-04-2017 01:03:15
ชอบอ่ะ ภาษาสวย ดำเนินเรื่องดี เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: miniminiXD ที่ 23-06-2017 12:27:36
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านจ้าา
ชอบแนวพีเรียดแบบนี้มากค่า ถ้าเนื้อเรื่องเข้มข้นกว่านี้จะดีมากๆ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Yundori ที่ 02-01-2018 16:05:50
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ เพิ่งรู้เลยว่าสี่ปีกว่าจะแต่งจบ
ปมเรื่องดีค่ะ มันดูจริงและอินมาก
เอาจริงๆไม่รู้ว่าคุณฝนเขียนฟิควงไหน
แต่เราชอบเวอร์ชั่นนี้นะคะ ทั้งชื่อตัวละครและอื่นๆ
มันทำให้รู้สึกอินกว่ามากอ่าค่ะ ยิ่งถ้าชื่อเกาหลีจะไม่อินเท่าไหร่
ขอบคุณจริงๆนะคะที่ยังรักษาสัญญาและแต่งจบ
จะติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 05-01-2018 08:09:44
แต่งดีมากเลยค่ะ เราพึ่งมาห็นเลยอ่านรวดเดียวจบ
สนุกมากๆเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าที่นาคินฝันเห็นคือเพราะป็นแก้วกลับชาติมาเกิด
แต่พอมาอ่านสุดท้ายเพราะแม่ทับทิมทำให้ฝัน เลยแอบเหวอนิดนึง ><

 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-01-2018 14:52:24
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 14-01-2018 14:50:46
สวัสดีค่ะอ่านวันเดียวจบเลยเราห่างหายจากนิยายแนวนี้มานานแล้วล่าสุดน่าจะตั้งแต่เจ้าบ้านเจ้าเรือนแต่ก็แค่อ่านอย่างเดียวเพราะไม่ชอบดูละครเท่าไหร่ มาพูดถึงคีตมาลากันตามมาอ่านจากเรื่องโปรดจงรักค่ะ ภาษาที่ใช้เขียนเราว่าคุณเขียนได้ละเมียดละไมสวยขึ้นเยอะถึงจะมีคำผิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสะดุด ดำเนินเรื่องแบบเรื่อยๆสบายๆแบบเดียวกับเรื่องที่แล้วคงเป็นสไตล์ของคุณสินะอ่านเพลินๆดีค่ะโดยส่วนตัวเราชอบนะพล็อตแบบนี้  เราก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังดนตรีไทยแล้วเราก็เล่นขิมเป็นด้วยแล้วเราก็ชอบหนังเรื่องโหมโรงด้วยเหมือนกันเลยชอบเรื่องนี้มากๆแฟนเราเคยบอกว่าตอนเราเล่นขิมมีเสน่ห์เห็นครั้งแรกก็ชอบเลย  ไม่ได้จะอวดอะไรนะแต่เขาว่าอย่างนี้จริงๆ  เราอยากให้เด็กๆรุ่นใหม่นี้หันไปเล่นดนตรีไทยกันบ้าง สรุปว่าเราชอบผลงานของคุณมากๆค่ะขอบคุณสำหรับเรื่องราวๆดีๆแบบนี้นะคะจะติดตามงานเขียนของคุณต่อไปแน่นอนค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 14-01-2018 18:07:24
 o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 19-01-2018 01:42:15
 o13
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-01-2018 01:10:58
สนุกมากเลยค่ะ ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยอ่านพีเรียด เพราะเรื่องมันดราม่า ปล่อยผ่านไปหลายเรื่อง แต่พอมาเจอแนวๆนี้ คิดว่าแค่กลับชาติ มีผีคุณทับทิมด้วยเรานี่นอนตัวแข็งเลย ออกมาแต่ล่ะฉากไม่เคยธรรมดาค่ะ ประทับใจเรื่องในอดีตมากเลย ชอบตัวละครแก้วมากค่ะ เราโอเคนะคะกับการที่สมัยก่อนเป็นชายหญิง แล้วก็อินกับความรักของเขามากด้วย สงสารแก้วมากๆ อยากบอกว่าประทับใจกับเรื่องนี้มากค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 14-02-2018 19:27:05
สนุก ลึกลับ พลิกล็อค ละมุนละไม จับใจ ดีงาม

ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้หมด 555 เอาเป็นว่าชอบมากกก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ ตอนที่ ๑ ☰ [๒๐/๐๕/๒๕๕๘]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-02-2018 11:12:06
จิ้มมมมมม  :z13: ตามมาจาก "โปรดจงรัก"



***เข้ามาคอมเม้น เพิ่งจะมีเวลาอ่าน :hao7: *****

สงสารแม่แก้วกับคุณสินมากๆ ฮือ ทับทิมก็สงสารนิดนึง

แต่นะ ก็ทำตัวเองทั้งนั้น ยังถือว่าน้อยไปที่ทำกับทั้งสองคนนั้น

แถมเขายังต้องเสียลูกไปอีก

คุณคนแต่ง แต่งได้ดีอีกแล้ว ภาษาสวย ดีตลอดเลย ดีมากๆ

ขอบคุณมากเลยนะคะ อ่านเรื่องนี้จบแล้วเราจะตามไปหา

คุณไอไอ กับคุณเล็ก

หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 19-02-2018 20:20:54
เป็นนิยายที่หลอนเบาๆ เดาตอนแรกก็คิดว่าถูกแล้วอ่านไปอ่านมาเริ่มสับสนแล้วแต่ก็เดาถูก แฮ่ๆ  เราว่าที่ชาติก่อนเป็นชายหญิงมันดูเป็นไปได้มากกว่ากับเรื่องของการยอมรับด้วย แล้วก็หลายๆเหตุผล ภาษาและการบรรยายดีมากเลยค่ะจะมีบางช่วงที่กระชับเกินไปจนบางทีก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนั้นหรือค้างคากับแต่ละเหตุการณ์ ขอลคุณสำหรับนิยายดีๆที่คุณสร้างให้พวกเรานะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 26-02-2018 01:18:12
เราว่าคนเขียนเขียนทุกอย่างค่อนข้างชัดเจนเลยนะ คินตัวหนา มือหนา สนร่างบาง จะเห็นคนเขียนใช้สรรพนามพวกนี้บ่อยๆ แต่คงแลัวแต่คนชอบทั้งแต่สำหรับเราคือคินสนชัดเจน อารมณ์เมะเด็กขี้อ้อน55555
ปมไม่ซับซ้อนปวดหัว อ่านง่าย แต่อาจจะยืดไปนิด รวมๆแล้วสนุกค่ะ ที่สำคัญภาษาสวยมาก
โอเคมากๆด้วยที่อดีตชาติเป็นชายหญิง ไม่รู้สึกขัดแถมอินมากด้วย เขียนมาได้อารมณ์มากค่ะทั้งๆที่ปกติก็ไม่อินชายหญิงเท่าไหร่
สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่า :L2:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 21-03-2019 17:22:37
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบมากๆเลย มีครบรสมากๆค่ะ ^_^
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-03-2019 21:17:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 26-06-2019 21:44:15
 :mew1: สนุกมากกกกกก อินมาก ๆ  ขอบคุณนะคะที่เขียนออกมา จะติดตามเรื่องเื่น ๆ ไปตลอด
หัวข้อ: Re: ‧‧‧‧:❉:‧ คีตมาลา♪ ‧:❉:‧‧‧‧ ☰ บทส่งท้าย ☰ [๐๖/๐๒/๒๕๖๐] (จบแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-07-2019 17:05:23
พีคในพีค คิดเทไปทางแก้ว ที่ไหนได้ ทับทิมรออโหสิ
ต้องทุกข์ทรมานมานาน และรอให้จำได้สักที ก็จำไม่ได้สักที

แต่ก็จริงที่สนบอกคือ ทำแรงไปตอนที่ทำคินจมน้ำ

นาคินเกือบหลงไปในฝันแล้วนะคะ ดีที่กลับมา
สนก็ยังไม่ได้อินถึงเรื่องอดีต และก็ยังยอมไม่ลง
แต่เพราะนาคินช่วยพูดหรอกนะ สนถึงยอม ไม่ต่อเวรกัน

สุดท้ายก็ได้สมรักกันจริงๆ สักที ไม่รู้รอกันมากี่ภพชาติ

เรื่องราวสนุกมากค่ะ ภาษาดี ไหลลื่นมาก เราอินมากค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ ความรักงดงามเสมอ