พิมพ์หน้านี้ - [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: wavery ที่ 02-03-2017 13:48:01

หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-03-2017 13:48:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)           

                  ____________________________________________________________________



หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-03-2017 14:00:31
ลูกหนี้ที่รัก

 
เพราะแอบรักแอบมองมานานถึงสามปีเต็มและคนอย่างอัมรินทร์เองไม่คิดจะรอให้คนในหัวใจหนีหายจากเขาไปไหนได้อีก บนละครเล็กๆจึงเกิดขึ้นเพื่อเหนียวรั้งให้เปลวอรุณต้องมาเป็นของของเขาเพียงคนเดียว...

แต่เรื่องมันคงไม่ง่ายขนาดนั้น.....

อัมรินทร์
"เอางี้ไหม ไหนๆนายก็ชอบบ่นฉันเรื่องเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าอยู่แล้ว นายก็มาทำหน้าที่นี้ด้วยเป็นไง....."


เปลวอรุณ
                                                                               
   "แล้วสถานะของผมตอนนี้มันมีสิทธิแย้งไหม?"



"ฉันยอมเป็นแค่คู่ขาของคุณอมรินทร์เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องเป็นเมียน้อยของเขาด้วย"

"เลขามึงก็อายุเยอะแล้ว จะทำไรก็เห็นใจกระดูกกระเดี้ยวเขาด้วย"


                                     
       ...........................................................................


เข้าใจกันก่อน

 1. เรื่องนี้เป็นแนวMpregหรือก็คือแนวผู้ชายท้องได้
 2. เรื่องนี้เราแต่งเพื่อให้ความบันเทิงใจ
 3. หากมีครงไหนที่ผิดพลาด สามารถบอกเราได้เลย
 4. 1เม้นต่อ1กำลังใจนะคะ เพื่อเพิ่มแรงใจในการอัพวนิยาย
 5. เรื่อนนี้ได้เปลี่ยนชื่อจาก หนี้รัก มาเป็น ลูกหนี้ที่รัก นะคะ



เกาะติดสถานการณ์ได้ที่ แฟนเพจ :  https://www.facebook.com/Iamwavery/ (https://www.facebook.com/Iamwavery/)

นิยายเรื่องก่อน 
ฝนกลางฤดูหนาว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56750.0)


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-03-2017 14:13:46
บัญชีหนี้


         หลายครั้งที่เคยได้ยินประโยคที่ใครต่อใครใช้เปรียบเปรยชีวิตหนึ่งชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ว่าเป็นเหมือนตัวละครในบทละครของหนังเรื่องหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ละครชีวิต.........

   นักแสดงหลายล้านชีวิตเริ่มต้นงานแสดงของตนตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาขึ้นมาในโรงละครขนาดใหญ่ที่เรียกว่า โลก ตัวละคนต่างๆดำเนินชีวิตไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับหลายฉากสวยงามดั่งความฝันยามลืมตา หลายฉากสุขสมยากที่จะลืม แต่บางบทมันกลับโหดร้ายจนเหมือนตายทั้งเป็น หลายครั้งที่บทชีวิตจะกำหนดให้เราโศกเศร้ากับเรื่องที่โถมเข้ามาใส่แล้วก็จะกลับมายิ้มอีกครั้งเมื่อเวลาหมุนผ่าน วนเวียนซ้ำกันไปอย่างนั้นจนกว่าผู้เล่นจะหมดแรงลง

   เหมือนกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ที่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไม่ช่วยให้ความร้อนรุมในอกบรรเทาลง จนทำให้ขอบชายเสื้อสูทเนื้อดีที่เขาอุตสาห์เก็บเงินมาร่วมแรมปีกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครองต้องการมาเป็นที่ซับความชื้นจากฝ่ามือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากแรงกดดันที่กำลังเผชิญอยู่

   ไม่มีใครหรือสัญญาณอะไรที่บอกให้เขารู้สึกตัวก่อนล่วงหน้าถึงภัยร้ายที่ซ้อนอยู่ภายใต้ความโชคร้ายที่เขากำลังประสบ หลายครั้งที่เขาเฝ้าถามว่าเมื่อไรบทชีวิตของเขาจะเจอกับฉากที่สงบสุขสักที

   “ยืนนิ่งทำไมละ ฉันบอกให้มานี้ไง”

   เสียงทุ่มนุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์เรียกสติที่แตกกระเจิงของชายสวมแว่นผิวขาวที่ยืนตีหน้าเครียดอยู่กลางห้องให้หันกลับมาสนใจ

   “มานี้”  อัมรินทร์ ย้ำอีกครั้ง

   เหยื่อของเขากำลังกลัว.......

   ไม่มีอะไรที่เร้าอารมณ์ขันของผู้ล่าได้เท่ากับการเห็นเหยื่อตัวน้อยที่ตนหมายตาจนมุมทำอะไรไม่ถูกไม่แต่ยื่นนิ่งไม่ไหวติ่งอีกแล้ว โดยเฉพาะเหยื่อตรงหน้าของเขาตอนนี้  เหยื่อที่ชื่อ เปลวอรุณ

   ดวงตาสีอีกาจ้องมองคนพูดเขม็งก่อนจะหลับตาลงแน่นเมื่อไร้ซึ่งทางหนีมีแต่ต้องจำยอมต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ขาเรียวขยับก้าวตรงไปข้างหน้าช้าๆอย่างจำทน

   “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ นายเป็นคนเลือกเองนะ”

   “แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนี้” เปลวอรุณเถียงสุดใจ ใช่ เขาไม่เคยคิดจะเลือกให้มันเป็นแบบนี้เลยสักนิด ไม่เลย

   “อ่า นั้นสินะ นายไม่ได้เป็นคนเลือกเพราะคนที่เลือกมันคือ ฉัน”  รอยยิ้มร้ายที่ปรากฏขึ้นเสริมให้ใบหน้าหล่อคมคายประธานหนุ่มวัยยี่สิบแปดดูมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น แต่ต้องไม่ใช่กับเปลวอรุณในตอนนี้แน่ที่คิดจะมองมันด้วยความรู้สึกเคลิ้มฝันแบบนั้นเพราะไม่ว่าจะมองยังไงรอยยิ้มนั้นก็ไม่ต่างกับปีศาจร้ายเจ้าเล่ห์ที่ล่อหลอกผู้คนให้ตายใจด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจกับท่าทีแสนดีเช่นนักบุญ

   “ไหนดูสิ มีอะไรที่ฉันจะเรียกเก็บจากนายได้บ้าง”

   อัมรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก้าวเดินเข้ามาหาคนที่จงใจเว้นระยะห่างหยุดยืนอยู่ก่อนถึงตัวเขาถึงหนึ่งช่วงแขน  เปลวอรุณไม่ได้ตัวเล็กหากแต่ความสูงที่ 175cm.ของเจ้าตัวมันห่างกับความสูงของเขาอยู่เกือบสิบเซนติเมตรก็เท่านั้น แถมรูปร่างที่ไม่ใช่คนออกกำลังกายของอีกคนด้วยแล้วเวลายืนคู่กันเปลวอรุณเลยดูจ้อยร่อยไปเลยในสายตาของเขา

          ชายหนุ่มจงใจที่จะยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้เน้นย้ำให้ลมหายใจอุ่นร้อนของตนเป่ารดลงข้างแก้มยามที่ตนโน้มตัวลงมาพิจารณาเรือนกายของที่ตัวเล็กกว่าโดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวที่โชยกลิ่นออกมาจากผิวกายยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบของเขาให้อยากฝากฝั่งความเป็นเจ้าของเอาไว้ที่ผิวกายสะอาด แต่เขาต้องอดทน..........

          “นายคิดว่านายจะเอาหายเงิน100ล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” อัมรินทร์เริ่มคำถาเดิมอีกครั้งโดยที่ใบหน้าหล่อเหลายังไม่ยอมที่จะละห่างออกจากบริเวณซอกคอขาว

           “ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”

            “ไม่”

   “แต่เวลาแค่นั้นผมก็บอกแล้วว่ายังไงก็หาไม่ทัน”  เปลวอรุณหดลำคอหนี

   “ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะต้องเอาบ้านนายไปขายแล้วเอาเงินนั้นมาใช้หนี้” อัมรินทร์เปรยถึงวิธีเรียกชำระหนี้ตามกฎหมาย ที่แน่นอนว่าคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางยอมแน่

   “ไม่ได้นะ คุณจะขายบ้านของผมไม่ได้”

   “ทำไมละ ในเมื่อนายเอาบ้านมาเป็นหลักประกันให้ฉัน ฉันก็มีสิทธิที่จะเอามันมาทำประโยชน์อะไรก็ได้ในเมื่อนายไม่มีเงินมาคืนฉัน”

   “แต่ผมไม่ให้ขาย” แน่ละ..นั้นมันบ้านของเขานะ ใครมันจะยอมกันง่ายๆ

   “แล้วจะเอาไง คนทำธุรกิจเงินมันต้องหมุนอยู่ตลอดเวลานะนายก็รู้”

   เขาทำงานเป็นเลขาให้อัมรินทร์มาหลายปีทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าสำหรับนักธุรกิจแล้วการเงินต้องมีการเข้าออกหมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่มีทางหาเงินก้อนจำนวนหลายล้านนั้นมาใช้คืนอีกฝ่ายได้ทันตามเวลาที่เจ้าหนี้กำหนดไว้ได้แน่ แต่ทางเลือกที่อีกคนหยิบยื่นมาให้มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยอมรับกันง่ายๆ

   “ถอดกางเกงออกสะสิ” 

   !!

   ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า เปลวอรุณนิ่งค้างอย่างคนทำอะไรไม่ถูกถึงจะรู้อยู่แล้วถึงความหมายแฝงที่อีกคนเคยพูดให้ได้ยินก่อนหน้าคืออะไร แต่เขาไม่คิดว่าอีกคนจะพูดมันออกมาแบบนี้

          “ว่าไง จะถอดเองหรือจะให้ฉันถอดให้ละ”   ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้งอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

           “แต่ฉันอยากจะเป็นถอนมันออกมาเองมากกว่า นายว่าดีไหม” 

          “ไม่ ไม่ต้อง ผม ผมถอดเอง” เปลวอรุณรีบส่งเสียงห้ามเมื่ออัมรินทร์มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้อีกครั้ง

          “งั้นก็ถอดสิ ฉันรออยู่”

          อัมรินทร์ผายมือออกเชื้อเชิญให้อีกคนทำตามที่ออกปากมา มือขาวกำชายเสื้อสูทแน่นอย่างนึกอดสูในชะตาชีวิตของตนเองในตอนนี้ นึกสมเพชตัวเองที่หลงผิดคิดเชื่อใจคนตรงหน้าว่ามีจิตเมตตากรุณาลูกนกตกยากอย่างเขา แต่ไม่ใช่ คนคนนี้ทำอะไรหวังผลเสมอและสิ่งที่อัมรินทร์หวังจากตัวเขาก็คือ ร่างกาย

            “เร็วๆสิเปลว” อัมรินทร์เร่งเร้า เมื่อไม่เห็นว่าเปลวอรุณจะขยับเขยื้อนกายจากเดิมเลยสักนิด

            เปลวอรุณขบริมฝีปากตัวเองเน้นจนขึ้นสีช้ำ ก่อนจะเคลื่อนมือที่สั่นเทาของตนลงจากชายเสื้อสูทลงไปที่เข็มขัดปลดมันออกช้าๆอย่างสังเวชใจ เขาไม่รู้หรอกว่าตอนที่กางเกงขายาวสีดำร่วงหล่นจากเอวลงไปกองกับพื้นอัมรินทร์มีสีหน้ายังไงเพราะความกระด้างอายมันมีมากจนเขาไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมองและไม่คิดจะมองด้วย มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายจากอีกฝ่ายเท่านั้นที่เขาได้ยินก่อนที่จะสั่งให้เขาถอดสูดตัวนอกกับถุงเท้าและรองเท้าที่สวมอยู่ออก

             “มานั่งนี้”
              อัมรินทร์ตบฝ่ามือลงที่หน้าขาของตนเองเป็นเชิงเรียกให้คนที่พยายามดึงเสื้อเชิ้ตสีอ่อนลงมาปิดบังส่วนสงวนตรงกลางตัวที่อยู่ภายใต้กางเกงชั้นในยี่ห้อดังที่ยังไม่ถูกถอดออกแต่ไม่เป็นไร เขาไม่ว่าเดี๋ยวเขาค่อยเป็นคนถอดให้เองที่หลังได้
 
              “ตรงนี้”
               เขาย้ำอีกครั้งเมื่อเปลวอรุณมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแต่ไม่ยอมที่จะทำตามที่เขาสั่ง เปลวอรุณทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะยอมขึ้นไปนั่งค่อมที่ตักของอีกคนตามความต้องการ

              เปลวอรุณเป็นคนขาวยิ่งผิวใต้ร่มผ้าที่ไม่เคยโดนแดดแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งสว่างยามต้องแสง ผิวพรรณหรือก็นุ่มมือจนอดไม่ได้ที่จะเผลอบีบจับเนื้อนุ่นที่ต้นขาอ่อน

              “ฮึก”

              อัมรินทร์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนตักยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเผลอส่งเสียงบางอย่างออกมา ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงกดให้อีกคนซบลงที่ไหล่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูดดมความหอมจากลำคอนั้นได้ถนัด ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงสนุกอยู่กับการลูบไล้ไปตามต้นขาสวยลากยาวขึ้นสูงไปถึงช่วงเอวบาง เมินเฉยต่ออาการสั่นของลูกนกตัวน้อยที่นั่งนิ่งให้เขาลูบจับ

               “คุณอัมรินท์ หยุดเถอะ” เปลวอรุณร้องขอเสียงสั่น ให้เจ้านายหนุ่มของตนหยุดการกระทำอันน่าอับอายนี้ต่อตนสักที

                “แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ ละ” อัมรินทร์กระซิบที่ข้างหู

                “ผมขอร้อง ผม..”

                 คำร้องขอที่ผู้ฟังไม่แม้จะสนใจถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่ออัมรินทร์เชยปลายคางของอีกคนขึ้นมองใบหน้าสวยที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความอายและน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตา  กดจูบไปยังริมฝีปากบางสีอ่อนเรียกความตกใจให้กับเปลวอรุณเป็นอย่างมากจนเริ่มที่จะดิ้นขัดขืนแต่มีหรือที่อัมรินทร์จะยอมเขาใช้แขนข้างหนึ่งกดรั้งที่หลังขอของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีส่วนอีกข้างก็รวบเอวบางเอาไว้แน่นไม่ให้หลุด

           จังหวะที่พยายามหนีออกจากท่อนแขนแข็งแรงเปลวอรุณเผลออ้าปากออกมาเล็กน้อยจนกลายเป็นช่องทางให้คนที่รออยู่อาศัยโอกาสนี้สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกคน

         ความแปลกใหม่ที่ได้รับทำให้เปลวอรุณรีบถกตัวหนีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเช่นเดียวกับลิ้นเล็กที่พยายามถอยหนีจากผู้บุกรุกที่พยายามพุ่งเข้ามาเกี่ยวรัดแต่ก็ไม่ได้ผล แม้จะอายุมากกว่าอีกคนอยู่กว่าเจ็ดปีแต่ความชำนาญนั้นต่างกันในเมื่อเปลวอรุณที่แทบไม่เคยผ่านมือใครแม้แต่ความรักยังไม่เคยมีหรือจะรู้ซึ้งในรสรักได้ดีเท่าอัมรินทร์ที่เปลี่ยนคนข้างกายเป็นว่าเล่นเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า

           ปลายลิ้นหนาลากไล้ไปตามขอบข้างของลิ้นเล็กกวาดไล่ไปทั่วทั้งช่องปากเกิดเป็นความเสี่ยวซ่านให้คนอ่อนเดียวสาในเรื่องเช่นว่าได้รู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ความมึนเบลอจากการที่เส้นประสาทหลายเส้นถูกปิดกันทำให้สมองของเปลวอรุณเริ่มขาวโพนละหลุดลอยจนไร้การขัดขื่นเหมือนตอนแรกซ้ำยังกำปกเสื้อของอีกคนเอาไว้แน่นเป็นที่ยึดเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายไปกับรสจูบที่ได้รับ

              อัมรินทร์ดูดดึงริมฝีปากบางของเปลวอรุณจนบวมช้ำอาศัยจังหวะที่คนแก่กว่ามึนเบลอกับรสรักที่มอบให้เลื่อนมือข้างที่โอบกระชับรอบเอวต่ำลงเรื่อยๆลูบไปมาตามความโค้งมนของบั้นท้ายกลมได้รูปผ่านชั้นในสีเข้มแบบมีขา ก่อนจะแทรกปลายนิ้วหนาเข้ามาด้านในลากผ่านตามร่องกลางของเนื้อนิ่มเต็มกำมือ

              เปลวอรุณเกร็งกายแน่นเบี่ยงใบหน้าหนีสัมผัสดูดดื่มที่คนตัวใหญ่กว่าสร้างขึ้นเมื่อนิ้วมือของอัมรินทร์กดย้ำอย่างจงใจตรงปากทางของช่องทางเล็กที่ด้านหลังและยิ่งสั่นระริกมากขึ้นเมื่อคนเจ้าเล่ห์เริ่มกดแทรกปลายนิ้วเข้ามาด้านในจนเขารู้สึกเจ็บความหวาดกลัวเกาะกุมทั่วทั้งใจดวงน้อยให้เต้นระรัวไร้จังหวะเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจหนักๆยามที่อ้าปากร้องขอความเมตตา
“ฮึก..พอเถอะ..ขอร้อง..คุณอัมรินทร์..ผมขอร้อง”

เมื่อคนรับฟังไม่คิดจะสนใจคำอ้อนวอนนั้นก็เป็นเพียงแค่เสียงลอยลมที่ลอยผ่านข้างหู
หน้าด่านแรกของบทละครฉากใหม่ของเขาเริ่มขึ้น
ฉากที่เขาไม่อยากเล่น...
ถ้าในวันนั้นเขาไม่หลงกลเล่ห์เหลี่ยมเอาแต่ได้ของอัมรินทร์
บทบาทในวันนี้จะไม่มีทางมีผู้เล่นที่ชื่อ
เปลวอรุณ

_______________________________________________________________

ยุฮู้!!

มาเปิดต่อนแรกไว้ก่อน หลังสอบเจอกันเน้อ!!
*** ยังไม่ได้ตรวจคำผิด เจอตรงไหนบอกด้วยสิกลับมาแก้ให้
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 02-03-2017 15:14:02
รออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-03-2017 15:17:11
ลงชื่อติดตาม :katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 02-03-2017 15:47:29
ติดตามค่ะ
แจ้งเรื่องเว้นวรรคประโยค กับคำผิดหน่อยเนอะ ตัวอย่างย่อหน้าสุดท้าย

เรื่องการเว้นวรรค อาจจะปรับให้เหมาะสมกว่านี้ค่ะ
เปลวอรุณเกร็งกายแน่น เบี่ยงใบหน้าหนีสัมผัสดูดดื่มที่คนตัวใหญ่กว่าสร้างขึ้น เมื่อนิ้วมือของอัมรินทร์กดย้ำอย่างจงใจตรงปากทางของช่องทางเล็กที่ด้านหลัง และยิ่งสั่นระริกมากขึ้น เมื่อคนเจ้าเล่ห์เริ่มกดแทรกปลายนิ้วเข้ามาด้านในจนเขารู้สึกเจ็บ ความหวาดกลัวเกาะกุมทั่วทั้งใจดวงน้อยให้เต้นระรั่วไร้จังหวะเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจหนักๆ ยามที่อ้าปากร้องขอความเมตรา

ส่วนคำผิด
รั่ว >> รัว
เมตรา >> เมตตา

ประมาณนี้จ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-03-2017 17:13:16
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-03-2017 17:55:40
ลงชื่อติดตาม :katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 02-03-2017 20:36:48
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-03-2017 00:56:50
 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 07-03-2017 23:45:25
เป็นหนี้ครั้งที่ 1


        “นี้คือน้าพิมพา ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอยู่กับเราที่บ้านหลังนี้”

   เสียงพูดของชายวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคยเอ่ยขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ น้ำเสียงที่แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่เขาก็ไม่เคยที่จะลืมได้ เสียงของพ่อที่เอ่ยแนะนำสมาชิกคนใหม่ของบ้าน...........

   “พิม นี้ลูกชายฉันเองชื่อเปลวอรุณ”

   รอยยิ้มสวยจากริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ยิ้มรับคำที่ผู้ชายข้างกายแนะนำ ถึงตอนนั้นเขาจะยังเด็กอยู่มากแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความจนมองไม่ออกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ได้สวยหวานเหมือนที่พ่อเขาเห็น

   เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้..........

   “ต่อจากนี้น้าพิมจะมาอยู่ดูแลพ่อ และก็จะมาเป็น แม่ ของเปลวด้วยเข้าใจไหม”

        ชายวัยกลางคนพูดอย่างมีความสุขพร้อมโอบร่างอรชรของภรรยาคนใหม่อย่างรักใคร่ แต่นั้นไม่ใช่กับเปลวอรุณในวัยสิบขวบที่มองมายังทั้งคู่ด้วยสายตาว่างเปล่า 

        พ่อของเปลวอรุณเป็นเจ้าของกิจการเล็กที่ไม่ใหญ่โตอะไรมาแต่ก็มีเงินเหลือใช้ไม่ขัดสนอะไร ส่วนแม่ของเขาก็เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่คอยดูแลลูกและก็สามี แต่ก็นั้นแหละยิ่งพ่อของเขาทำงานนอกบ้านมากเท่าไรการพบเจอกับผู้คนก็ยิ่งมาก พ่อของเขาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆดูมีลับลมคมในบ้างอยากกับเขาและแม่ จากที่ทุกครั้งเราสามคนจะต้องมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันกลับเหลือแค่ลูกกับแม่แค่สองคน และเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนสุดท้ายแม่ก็มาจับได้ว่าพ่อของเขาแอบมีเมียน้อย   เขายังจำได้ดีเลยว่าดึกๆเสียงที่เขาได้ยินแทนเสียงเพลงกล่อมนอนในตอนกลางคืนคืออะไร........

         ความอ่อนแอของผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดที่ไม่ยอมแสดงออกมาให้ใครเห็นได้แต่แอบร้องไห้คนเดียวในมุมมืดๆผิดกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่แม่มักจะส่งออกมาให้ใครต่อใครเห็น

         
แล้วมันก็พรากเอาแม่ของเขาไป..............

          ห้าปีหลังจากนั้นแม่ที่ตรอมใจมานานก็ล้มป่วยและไม่นานแม่ก็จากไปโดยที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อที่เป็นควรจะมาอยู่ดูใจแม่  หลังจากนั้นพ่อเขาก็พาตัวต้นเหตุอย่างผู้หญิงคนนั้นเขามาในบ้าน พาเขามาทั้งๆที่ศพของแม่ยังไม่เผา.........

เขาเกลียดพ่อ.....

เขาเกลียดความรัก...........

             เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆกระพริบถี่เพื่อปรับสภาพการมองเห็นในยามเช้าที่แสงแดดยามสายสาดเข้ามาในห้องนอน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองรอบข้างก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน
ฝันงั้นหรอ.........

       เวลาก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วแต่ทำไมอยู่เขาถึงมาฝันอะไรแบบนี้อีกกัน  ดวงตากลมจ้องมองเพดานสีขาวด้านบนอย่างเหม่อลอยอย่างไม่คิดจะขยับตัว ไม่ใช่ว่าไม่อยากลุกไปไหนแต่เพราะเขาอยากจะลองหลับตาแล้วตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้งดูก็เท่านั้น เพื่อว่าบางที่สิ่งที่เขาเห็นหรือสัมผัสอยู่ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันที่ซ้อนทับอยู่อีกชั้นแต่เพราะแรงยวบของพื้นที่บนเตียงนอนด้านข้างกับความหนักของท่อนแขนที่พากทับช่วงท้องของเขานี้ต่างหากที่ช่วยยืนยันความจริงให้เขาได้ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเรื่องจริง

   “คิดอะไรอยู่หรอ”

   น้ำเสียงนุ่มชวนฟังของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมรั้งร่างของคนที่เอาแต่นอนเหม่อเข้ามาใกล้เพื่อหมายจะกอดเอาไว้ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ยินดีกับการกระทำนั้นเท่าไรเพราะพอเขาเพิ่มแรงเพื่อกระชับกอดเปลวอรุณกลับเลือกที่จะพลิกตัวหนีเตรียมจะลุกจากที่นอน

   “จะรีบไปไหนละเปลว วันนี้วันหยุดนอนต่อกันเถอะ”

   “เชิญคุณนอนไปคนเดียวเถอะครับ ผมจะไปอาบน้ำ”

   “งั่นฉันอาบด้วย”

   “ไม่ต้อง”

   อัมรินทร์ยิ้มขำกับเสียงขู่ของอีกคน ชายหนุ่มเลื่อนตัวไปนั่งซ้อนหลังโดนที่ท่อนแขนยังไม่ละออกจากช่วงเอวบางทั้งยังซบหน้าลงกับแผ่นหลังเล็กของเจ้าตัว เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆว่ากลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเขามันจะหอมขนาดนี้จนมันมาอยู่บนตัวของเปลวอรุณ

   “คุณอัมรินทร์ปล่อย”

   “ไม่”

     เปลวอรุณพยายามที่จะงัดเอาแขนปลาหมึกของคนตัวโตกว่าออกแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไรอัมรินทร์ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดนั้นมากขึ้นเรื่องๆจนกลายเป็นว่านอกจากจะไม่สามารถออกจากอ้อมแขนของอีกคนได้แล้วเขายังจมลงกับแผ่นอดกว้างนั้นเรื่อยๆเข้าไปอีก

   “อ้าวหยุดดิ้นแล้วหรอ” ก็เพราะมันไร้ประโยชน์ไงถึงหยุด เปลวอรุณบ่นในใจ

   “อ๊ะ ทำอะไรนะ”

   เปลวอรุณแว๊ดเสียงใส่อีกคนทันทีเมื่ออยู่ๆมือปลาหมึกที่ว่าก็เลื่อนเสื้อตัวหลวมโครงที่เขาใส่อยู่ลงจนหัวไหล่มนของเขาออกมาต้องความเย็นของเครื่องปรับอากาศแต่แค่นั้นมันไม่พอเพราะได้คนมือซนที่ว่ามันยังกดจูบลงกับหัวไหล่ของเขาอีกด้วย

   “ทำไมละ ทีเมื่อคืนเรายัง...”

   “ยังอะไร อย่ามาพูดจาพร้อยๆนะคุณอัมรินทร์”  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อนิ่งค้างกลางอากาศเมื่อเจอคำพูดดักทางของคนแก่กว่า

   ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรก็เถอะ แต่นอนจากกอดจูบลูบคลำแล้วเขาไม่ได้อะไรอย่างอื่นที่เกินเลยกับเปลวอรุณเลยสักอย่าง ทั้งๆที่รอเวลาแบบนี้มาตั้งสามปี

   “ชิส์”

   อัมรินทร์ส่งเสียงแสดงอาการตัดพ้อน้อยใจที่ถูกขัดความฝันก่อนจะล้มตัวนอนหันหลังให้อีกคนที่ เปลวอรุณส่ายหน้ากับท่าทีเป็นเด็กๆโดนขัดใจของชายหนุ่มอายุใกล้เลขสามอย่างเขาลุกขึ้นจากเตียงนอนก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

    ผ้าเช็ดตัวผืนหนาที่อัทรินทร์ยกให้เขาใช้ถูกพาดอยู่ที่ราว มือบางไล่ปลดเม็ดกระดุมเสื้อตัวใหญ่ออกจากร่างแต่ปลดไปได้เพียงสองเม็ดร่องรอยที่อีกฝ่ายทำไว้เมื่อวานก็ปรากฏเต็มตั้งแต่ช่วงลำคอลากยาวมาจนถึงแผ่นอก ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงก่ำทันทีเมื่อภาพวาบหวิวของตนกับอัมรินทร์ในห้องทำงานฉายขึ้นในโสตประสาท

   “บ้าชะมัด”


   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ละก็เปลวอรุณอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสองเดือนก่อน อ๋อ ไม่สิ.. เอาก่อนหน้านั้นสักยี่สิบปีเลยแล้วกันเพราะถ้าเรื่องเมื่อยี่สิบปีไม่เกิดขึ้นละก็ชีวิตของเขาก็คงจะมีแต่ความสงบไม่วุ่นวายเหมือนที่ผ่านมา และแน่นอนว่าเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน.....................


2 เดือนก่อน

   
            “ฉันบอกให้เอาเงินมาแกก็เอามาสิ”

             น้ำเสียงแหลมเล็กที่ส่อเจตนาชัดเจนตรงตามคำพูดที่เขาได้ยินมาเป็นสิบปีจนนึกชินชาพอๆกับความสมเพชในตัวผู้หญิงตรงหน้าที่แก่ใกล้ลงโลงขนาดนี้แล้วยังแบมือขอเงินคนคราวลูกแบบเขาอยู่ได้ไม่นึกอาย ถึงจะฉีดจะดึงมาขนาดไหนแล้วก็เถอะ

              “แต่เงินสำหรับเดือนนี้ผมก็ให้คุณไปแล้วไง”

               เขาตอบเสียงเรียบอย่างนึกรำคาญใจที่วันหยุดอันแสนสุขของเขาต้องมาเจอมลพิษทางเสียงแต่เช้าแบบนี้ นี้ถ้าต้นไม้ของเขาช็อคตายยกสวนเพราะเสียงผีบ้านี้ละก็เขามั่นใจเลยว่ามีดปอกผลไม้ในครัวได้ปักกลางอกมันแน่

                “ก็ฉันใช้มันไปหมดแล้ว”   

                 “แต่ผมเพิ่งให้ไป”

                 “หมดก็คือหมด แกมีหน้าที่แค่เอาเงินมาให้ฉันจะพูดมากทำไม” 

                 พิมพากอดอกแน่นอย่างเอาแต่ใจกับอีกแค่ขอเงินเพิ่มแค่นี้ทำมาเป็นบ่ายเบี่ยงคิดว่าเงินแค่สามหมื่นมันจะไปพออะไรใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หมดแล้ว

               เปลวอรุณกรอกตากับเหตุผลประจำที่เจ้าหล่อนยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างขอเงินเพิ่มจากเงินประจำที่ขูดเลือดขูดเนื้อจากปูแรงงานอย่างเขาอยู่ทุกเดือน ให้ตายเถอะ เงินเดือนที่เขาอุตสาห์ทำงานเอาเป็นเอาตายอย่างหนักมาทั้งเดือนเกินครึ่งต้องแบ่งให้อีผีนี้ใช้จ่ายมือเติบจนเขาแทบจะไม่เหลือเงินเก็บอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาของเพิ่มอีก มือเรียวเอื้อมไปปิดก๊อกน้ำที่ใช้รดต้นไม้อยู่ก่อนจะหันกลับขึ้นมาเผชิญหน้ากับพิมพาตรงๆเป็นครั้งแรก

             “จนกว่าจะถึงเดือนหน้าผมจะไม่ให้เงินคุณอีก เพราะผมถือว่าเดือนนี้ผมให้แล้ว”

             เขายื่นคำขาดพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้คุณป้าข้างบ้านที่โผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์เล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านหญิงวัยกลางคนปลายๆเข้าบ้านไปอย่างไม่ค่อยจะอยากสนทนาด้วยเสียเท่าไร แต่มีหรือที่คนอย่าพิมพาจะยอม

             พิมพาไม่รอช้ารีบหมุนกลายตามชายรูปร่างบางที่มีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของตนที่เดินหนีเข้ามาในบ้านหล่อนคว้าท่อนแขนเล็กที่ขนาดไม่ได้แตกต่างจากผู้หญิงของเปลวอรุณเอาไว้แทบจะทันทีที่เข้าถึงตัวอีกคน

            “แต่ฉันเป็นแม่แก ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ” หล่อนตะคอกเสียงกร้าว

             “ก็แค่ แม่เลี้ยง พูดให้หมดด้วย”

             เขาสะบัดมือของอีกคนออกอย่างไม่ใยดีแล้วเดินกระแทรกเท้าหนีความวุ่นวายนั้นขึ้นไปบนห้องของตัวเองทันที ไม่สนด้วยว่าคนที่เดินตามรังควานทวงหนี้บุญคุณเขามาจะโดนบานประตูห้องของเขากระแทรกหน้าหรือไม่  เขาไม่สน............

             ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่ใครเกลียดใครได้มากได้มายเท่าผู้หญิงคนนี้มาก่อน ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพิมพาไปเอาความภาคภูมิใจทุเรศๆแบบนี้มาจากไหนตั้งแต่พ่อพามันเข้ามาเย้ยแม่เขาถึงในบ้านยังไม่พอมันยังชูคอทำตัวเหมือนเป็นเข้าของบ้านกดขี่แม่เขาอย่างกับเป็นขี้ข้าทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้อยู่อาศัย พ่อเขาก็เหมือนกันหลงแต่นางลายดอกนี้จนหน้ามืดตามัวบอกอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างว่าทุกคืนแม่ต้องนอนร้องไห้ขนาดไหน ไม่รู้เลยว่าไอ้เมียน้อยตัวดีของตัวเองมันรีดไถ่เมียในทะเบียนของตนเหมือนกุ๊ยข้างถนนขนาดไหนเพื่อเอาเงินไปเล่นพนันกับซื้อของประโคมตัวเอง เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าแม่ทนอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไงกัน

                “แม่ทนผู้หญิงคนนี้ได้ไงยังไง เปลวไม่เข้าใจ”

           ดวงตาสวยจ้องมองกรอบรูปสีอ่อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานที่มุมห้องอย่างไม่เข้าใจ  อาจเพราะตอนนั้นเขายังเด็กด้วยหรือเปล่าก็ไม่นะเขาถึงไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรแม่ถึงยังยิ้มได้แม้พ่อจะพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย

        “เพราะรักไงเปลว”

   “..”

   “เพราะพ่อคือคนที่แม่รัก ไม่ว่าอะไรที่ทำให้คนที่แม่รักมีความสุขแม่ทนได้ทั้งนั้นแหละ”


           พอคิดถึงคำที่แม่พูดมันก็อดไม่ได้จริงๆที่เขาจะทำเสียงขึ้นจมูก แน่ละ ถ้าต้องยิ้มทั้งๆที่ในใจร้องไห้จะเป็นจะตายมันจะยังเรียกว่าความสุขได้ยังไง

            เปลวอรุณส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย มือบางยกขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆไปทีหนึ่งก่อนจะคว้าเอาของที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋าสะพายอันเล็กๆที่เขามักชอบสะพายไปไหนมาไหนเวลาออกจากบ้าน
ไหนๆก็ไหนๆละออกไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่า...........


   เขาชื่อ เปลวอรุณ ปีนี้ก็อายุครบ 35 ปีพอดี เขาทำงานเป็นเลขาของรองประธานบริษัทส่งออกอัญมณีรายใหญ่ของประเทศไทยที่ส่งออกทั้งเครื่องประดับที่เจียระไนแล้วและยังไม่เจียรระไน ตอนแรกเขาทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของประธานบริษัทแต่เมื่อสามปีก่อนเขาถูกย้ายให้มาเป็นเลขาของลูกชายคนเดียวของท่านประธานที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่บริษัท หน้าที่หลักๆของเขานอกจากช่วยสอนงานต่างๆให้แล้ว ยังต้องช่วยดูแลเรื่องอื่นๆของเจ้าตัวอีกด้วย ซึ่งนั้นก็ไม่ใช้ปัญหาอะไรขอแค่งานที่เขาทำมันจะช่วยให้เขาได้เงินเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าอะไรเขาก็ไม่เกี่ยงหรอก...............

   “ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นละ”

   เสียงทุ้มต่ำในลำคอที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติการรับรู้ของเขาให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พร้อมกับกับใบหน้าคมคายของเจ้านายหนุ่มรุ่นน้องที่ใบหน้าอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เซนยามที่เขาหันไปตามเสียงเรียกจนเผลออุทานเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างตกใจ

    “คุณอัมรินทร์”   

          เจ้าของชื่อยิ้มกว้างจนตาหยีให้อีกคนโดยไม่ยอมละใบหน้าออกจาตำแหน่งเดิมแถมดูเหมือนจะพยายามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าสวยชวนมองนั้นเรื่อยๆ และเป็นเปลวอรุณทนต่อสภาพความใกล้ชินเกินความจำเป็นนี้ของตัวเองกับอัมรินทร์ไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายที่ผละออกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่โดยการเลื่อนเก้าอี้ออกไปด้านหลังเพิ่มแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

          อัมรินทร์ เป็นเจ้านายของเขาที่อายุน้อยกว่าถึงเจ็ดปีเป็นลูกชายคนเดียวของท่านประธารที่เขาได้รับการฝากฝั่งให้ช่วยดูแลทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวในฐานะเลขาส่วนตัวของอัมรินทร์  ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่เขากลับไม่เคยยินดีเลยที่ต้องมาดูแลผู้ชายคนนี้เลยสักนิดจริงๆ แม้ตำแหน่งนี้จะเป็นที่เฝ้าฝันของสาวๆทั้งออฟฟิตแต่มันไม่ใช่กับเขาแน่

             ส่วนหนึ่งที่เขาไม่อยากจะเข้าไปสนิทด้วยอาจเพราะนิสัยเจ้าชู้ของเจ้าตัวที่มักจะคบกับใครไปทั่วจนบางที่เขาเองก็ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องที่ตามมาของอีกคนเพราะหน้าที่ที่ต้องคอยดูแลเจ้านายหนุ่มในทุกๆด้านด้วยแล้วการจัดการกับตารางรถไฟที่จะชนกันเมื่อไรก็ได้ของคนไม่รู้จักพอก็เลยกลายเป็นอีกงานของเขาเช่นกันถึงความจริงแล้วมันจะไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้มาให้เขาปวดหัวเหมือนที่คิดก็เถอะแต่เขาก็ไม่ชอบมันอยู่ดี และอีกส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่เขาไม่อยากเข้าใกล้อัมรินทร์เสียเท่าไรก็คงจะเป็นสายตาที่อีกคนใช้มองมาทางเขา ความวาววับอย่างมีเล่ห์นัยนั้นไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าเจ้าของดวงตาคมต้องที่จะสื่ออะไรแต่เพราะเขารู้ต่างหากล่ะ เขาจึงพยายามหนี........ เหมือนอย่างทำอยู่ในตอนนี้

   “คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถาม

   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แค่นั่งอยู่ในห้องแล้วมันเบื่อๆเลยออกมาข้างนอกนะ”  อัมรินทร์ว่าด้วยสายตาพราวประกายยามมองไปที่ใบหน้าขาวของคนตรงหน้าที่อยู่ต่ำกว่าในยามที่เขายืดตัวตรงเป็นปกติ

   “ว่าแต่นายเถอะ นั่งเหม่อแบบนี้คิดถึงใครอยู่”  คนถูกถามรีบโปกมือปฏิเสธทันควัน

   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ก็แค่....” ปัญหาเดิมๆก็เท่านั้น......

   “หืออ ว่าไงปัญหาอะไร”

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” 

           เปลวอรุณว่าตัดบทก่อนจะคว้าเอาแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ขึ้นแนบอกแล้วเดินผ่านอีกคนไปโดยอ้างว่าต้องเอาเอกสารไปส่งคืนให้แผนกออกแบบ ซึ่งเจ้านายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าขัดอะไรแถมยังยินดีเปิดทางให้อีกต่างหาก ซึ่งนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเปลวอรุณอยู่ไม่น้อยที่อีกคนไม่รู้สึกติดใจอะไรกับคำโป้ปดของตนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอกสารอะไรมันไม่มีหรอกมันก็แค่ข้ออ้างที่จะไม่ต้องอยู่ใกล้อีกคนก็เท่านั้น...  แต่ไหนๆก็ได้ลุกออกมาแบบนี้แล้วเจ้าตัวเลยถือโอกาสไปหาอะไรกินรองท้องเลยก็แล้วกัน
ดวงตาคมที่พราวระยับยามมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นแปลเปลี่ยนกลับเป็นความเรียบนิ่งทันทีที่ร่างขาวสว่างของเลขาส่วนตัวหายเข้าไปในตัวลิฟท์  อัมรินทร์จับจ้องไปทางที่เปลวอรุณเดินไปก่อนจะกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่ที่ประจำของเขาอีกครั้งพร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่กว้างมากพอที่จะทำให้เขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตึกสูงด้านนอกได้เป็นวงกว้างอย่างใช้ความคิด


              ตั้งแต่เกิดมา อัมรินทร์ มีทุกอย่างที่ใครๆก็ปรารถนา ทั้งลาภยศ เงิน ทอง หน้าที่การงาน ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต่างต้องเลียวมามองซ้ำ หากแต่นั้นมันเอามาใช้กับเปลวอรุณไม่ได้เลย........ 

             เปลวอรุณไม่เหมือนคนอื่นที่เขารู้จัก เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สนใจใยดีอะไรในตัวเขาสักอย่างแต่กลับเป็นเขาที่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขายอมรับอยู่ลึกๆในใจเลยว่าเขาสนใจกุหลาบดอกนี้มากขนาดไหน มากขนาดที่เอ่ยปากขอผู้ช่วยเลขาของพ่อมาเป็นของตนเพียงเพื่อหวังจะได้เชยชมดอกไม้งามดอกนี้  แต่เขาก็คิดผิด.......

              หากเปรียบเปลวอรุณเป็นดอกกุหลาบแสนสวยแล้วก็คนเป็นกุหลายน้ำแข็งสีขาวแสนบริสุทธิ์ เพราะนอกจะไม่เคยยิ้มมาให้เขาแล้วใบหน้าสวยนั้นยังเรียบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับโลกภายนอกคล้ายคนปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่ง และสิ่งที่หลอมรวมกันมาเป็นเปลวอรุณอย่างนี้แหละคือความสวยงามที่กระตุ้นความกระหายอยากของนักล่าเช่นเขา 

                ความปรารถนาที่เขาต้องได้คิดการขยี้เปลือกน้ำแข็งแสนเย็นชานั้นออกแล้วดอมดมความหอมจากกุหลาบพิสุทธิ์ดอกนี้  เขาไม่สนวิธีการที่จะได้มา  เขาสนแค่เปลวอรุณต้องเป็นของเขาไม่ว่าจะยังไงหรือต่อให้กุหลาบดอกนี้ต้องเฉาคามือเขาก็จะต้องได้เป็นเจ้าของมัน

                “อยากหนีก็หนีไป แต่ถึงเวลาเมื่อไรนายหนีฉันไม่พ้นแน่”

…………………………………………………………………………………..

   เย็นวันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆในสัปดาห์ที่อัมรินทร์จะถ่วงเวลาทำงานในช่วงเย็นของตัวเองออกไปนานที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลานั้นในการอยู่ทำงานกับเปลวอรุณให้ได้นานที่สุด

   “นี้เป็นตารางงานของวันอาทิตย์หน้า ถ้าคุณอยากจะเพิ่มหรือยกเลิกอะไรก็เขียนเพิ่มเข้าไปได้เลยเดี๋ยวผมจะเอามาจัดตารางให้ใหม่อีกที”

          เปลวอรุณยื่นกระดาษที่เขียนถึงตารางงานในส่วนของอาทิตย์ถัดไปให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่ถือว่าเป็นงานสุดท้ายของวันในสัปดาห์นี้ของเขาก่อนที่จะได้กลับบ้านเสียที

           อัมรินทร์รับใบตารางมาดูราการงานก่อนจะวางลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะบอกให้เปลวอรุณกลับไปได้ แม้ความจริงเขาอยากจะรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือเปลวอรุณผู้ที่ระวังตัวจากเขามากกว่าอะไรครั้งจะหาข้ออ้างเล็กๆน้อยๆมาอ้างคนตัวขาวก็รู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่อง  เขาลองมาแล้วเขารู้ดี.....

               ยิ่งอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยจะให้เขาดันทุรังต่อไปก็มีแต่ทำให้คนขี้ระแวงระวังตัวมากขึ้นไปอีกแค่นี้เขาก็แทบจะหาทางเข้าหายากพออยู่แล้ว สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ขับรถตามอีกคนมาถึงบ้านหลังสีขาวของอีกคนแล้วก็นั่งมองมันอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจแล้วว่าอีกคนจะเข้าบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาถึงจะได้ฤกษ์ขับรถกลับบ้านบ้าง  ที่เขาทำแบบนี้มากว่าสามปีไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงหรืออะไรเปลวอรุณหรอกนะ เขาก็แค่อยากให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นมีชิ่งตัดหน้าเขาไปก่อน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ทางยอมแน่ๆ


         ประตูรั้วไม้สีเข้มเปิดออกกว้างเพื่อเปิดรับรถยนต์ดำสนิทให้เข้ามาด้านในเสียงเครื่องยนต์สี่ล้อราคาเหยียบล้านดับลงเมื่อเข้ามาจอดสนิทอยู่ที่โรงจอดรถของคฤหาสน์หรูกลางเมือง ก่อนประตูรถที่เปิดออกด้วยฝีมือของเจ้าของรถหนุ่ม

   อัมรินทร์ส่งของให้กับคนรับใช้สาวที่เดินเข้ามารอรับของก่อนจะเดินตามหลังเขาเข้าไปในบ้าน มือหนาปลดเนคไทที่ผูกอยู่ที่คอออกเพื่อคลายความอึกอัดอย่างเหนื่อยหน่ายจนไม่ทันได้สังเกตว่าไม่ได้มีแค่สาวใช้เท่านั้นที่ออกมารอรับเขากลับบ้าน

   “กลับบ้านดึกๆดื่นๆทุกวันอย่างนี้ถ้าพ่อแกรู้เข้าจะเป็นยังไงนะ”

   เสียงทุ้มติดจะทะเล้นของคนที่ออกมารับเขาอยู่ที่หน้าประตูบ้านเรียกสายตาของคนที่เพิ่งกลับเข้ามาให้หันไปมองชายหนุ่มผิวเข้มกว่าเขาอยู่ถึงสองระดับรูปกายหนาอย่างคนชอบออกกำลังกายยืนกอดอกพิงกรอบประตูบานใหญ่ใบหน้าหล่อเข้มที่ถูกล้อมกรอบด้วยหมวดที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดี มันจะเป็นใครไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่....

   “ไอ้รุทธ์”

   รุทธ์ หรือ อนิรุทธิ์  ลูกชายคนเดียวของน้าสาวแท้ๆของเขาที่ล้วงลับไปแล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาแต่แก่เดือนกว่าถ้าให้นับตามศักดิ์แล้วก็คงต้องบอกว่าอีกคนคือพี่ชายของเขา แต่ด้วยความที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้พวกเขาสองคนสนิทกันเหมือนเพื่อนมากกว่าความเคารพซึ้งกันจึงไม่ค่อยจะมี 

   “ว่าไงไอ้เสือ ทำไมกลับบ้านดึก” 

           อนิรุทธิ์ถามย้ำอีกครั้งพลางยืนกอดอกมองมาที่รองประธานหนุ่มอย่างจับผิด แต่อัมรินทร์กลับเลือกที่จะไม่สนใจคำพูดนั้นแล้วเดินผ่านอีกคนเข้าบ้านแทน อนิรุทธิ์จิ๊ปากอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินตามอีกคนเข้าไปด้านใน

            “หน้างอมาแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังจับพ่อเลขาคนสวยนั้นมาเป็นของมึงไม่ได้อีกละสิ”

            ปลายเท้าที่กำลังเดินอยู่ถึงกลับชะงักเมื่อต้องมาเจอคำพูดที่เหมือนแทงใจดำของเขาเข้าให้ ดวงตาคมตวัดมองหน้าญาติผู้พี่ของตนตาขวางอย่างเอาเรื่อง

           “เรื่องของกู!”  อัมรินทร์ว่าอย่างหัวเสียก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องของตัวเองเข้าไปโดยมีอนิรุทธิ์เดินตามเข้ามา

   ช่วงนี้เขากลับบ้านดึกจริงอย่างที่อนิรุทธิ์ว่าแต่นั้นมันเป็นเพราะใครกันล่ะถ้าไม่ใช่เพราะเลขาคนสวยของเขาอย่างเปลวอรุณ วันนี้เขาอุตสาห์นั่งทำงานจนดึงเพื่อถ่วงเวลาให้คนตัวบางอยู่กับเขาที่ทำงานนานขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยนิสัยของอีกที่ทำงานมาด้วยกันสักระยะทำให้เขารู้ว่าเปลวอรุณจะไม่กลับบ้านจนกว่าเขาจะออกจากบริษัท  แถมยังทำตัวเหมือนพวกโรคจิตที่คอยตามดูอีกฝ่ายถึงบ้านและสุดท้ายก็เลยจบด้วยการที่เขาไปหิ้วเอาผู้หญิงที่เจอกันที่คลับไปเอาที่โรงแรมใกล้ๆแล้วก็กลับบ้านวนเป็นลูปอย่างนี้เกือบทุกวัน ให้ตายเถอะ........ 

   “มึงนี้ดูๆไปก็น่าสงสารวะ จะมีใครรู้ไหมนะว่าไอ้เสือแดกไม่เลือกเนี้ยจริงๆแล้วมันล่าเหยื่อที่ต้องการไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”

   อนิรุทธิ์หัวเราะลั่นเสียงดังอย่างขบขำกับความจริงตรงหน้าที่ผิดกับเจ้าของห้องที่นั่งหน้าเครียดไม่สบอารมณ์  ก็นะ เรื่องของอัมรินทร์กับเปลวอรุณไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เขารู้ดีเลยแหละ  ถึงเขาจะไม่ได้ทำงานที่เดียวกับอัมรินทร์แต่เขาเองมีเวลาว่างมากพอที่จะตามติดชีวิตรักของญาติตัวเองเล่นเป็นงานอดิเรกเหมือนกัน ยิ่งเรื่องของรองประธานหนุ่มกับเลขาหน้าห้องด้วยแล้วบอกเลยว่ามันน่าติดตามยิ่งกว่ารายการเรียลลิตี้สะอีกและจากที่เขาสังเกตดูแล้วนอกจากเปลวอรุณจะไม่สนใจอะไรในตัวของญาติเขาแล้วแม้แต่หางตาจะมองยังไม่เคยคิดจะแลแบบนี้ เขาบอกเลยว่าโอกาสที่มันจะได้แดกหญ้าแก่เกิดชาติหน้ายังไม่รู้ว่าจะได้กินหรือเปล่าเลย

   “ถ้ามึงจะซ้ำเติมมึงกลับห้องของมึงไปเลยไอ้รุทธ์”   อัมรินทร์ชัดสีหน้าใส่อย่างไม่พอใจที่ถูกเอาเรื่องจริงมาพูดล้อเลียนเหมือนจะบอกว่าเขาไร้น้ำยา แบบนี้มันทนไม่ได้ อัมรินทร์จะไม่ทน!

   “เอาน่าๆ อย่างเพิ่งไล่กูสิมึงไม่อยากได้วิธีที่จะทำให้คุณเลขานั้นมาเป็นของมึงหน่อยหรอ” อนิรุทธิ์กอดคอน้องชายตัวเองเน้นพร้อมยักคิ้วหลิวตาใส่อัมรินทร์อย่างคนที่มีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ

   “มึงหมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ถามอย่างไม่ค่อยไว้วางใจกับความคิดในหัวของผู้ชายตัวใหญ่ข้างๆ

   “อยากรู้หรอ”

   “เออ”

   อนิรุทธิ์ยกยิ้มมุมปากอยากพอใจกับคำตอบที่ไม่ไกลจากความคาดหมายของเขาเท่าไร ชายหนุ่มผละตัวจากญาติตัวเองลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากห้องไปดื้อๆไม่พูดไม่จาอะไร อัมรินทร์ขมวดคิ้วมองตามหลังอีกคนอย่างไม่เข้าใจ

   รออยู่ครู่หนึ่งคนเจ้าแผนการก็เดินกลับเข้ามาในห้องของเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าเริงร่าแต่สิ่งที่เรียกความสนใจจากสายตาคมของอัมรินทร์ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายมากกว่า

   “นั้นอะไร” เขาถาม

   “ก็ของที่จะทำให้คุณเลขาเป็นของมึงไง”


________________________________________________________________

ต่อจากนี้เราจะพาผู้โดยสารทุกท่านนั่งเก้าอี้ย้อนเวลาไปกับแผนการเอาเมียของคุณหนูอันอันกันนะคะ

 :katai2-1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
[/color]
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 08-03-2017 01:57:55
ตอนช่วงแรกๆนี่ไม่นึกเลยว่าพระเอกจะอายุน้อยกว่านายเอกนะเนี้ย แต่ชอบแนวนายเอกแก่กว่านะ แล้วอายุนายเอกก็ 35แล้ว ถ้ามาท้องอีกจะเป็นไรไหมนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 08-03-2017 02:30:18
 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 08-03-2017 06:33:18
ติดตามจ้า ชอบนายเอกฉลาด เข้มแข็งแบบนี้
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-03-2017 09:46:28
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 08-03-2017 10:52:02
มาต่อไวๆๆๆน้าาชอๆบๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 08-03-2017 11:45:40
สงสารเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 08-03-2017 22:00:28
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-03-2017 23:01:42
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 09-03-2017 01:04:52
ชอบอ่าาาาา  :katai5:

ตลกพระเอกทำตัวเหมือนสเตอกเกอร์ตามนายเอกไปวันๆ
แล้วเมื่อไรจะสมหวังละหนิ?
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-03-2017 16:42:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 12-03-2017 19:05:26
เป็นหนี้ ครั้งที่ 2


          มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้พ่อคนร้อยเล่ห์อย่างอัมรินทร์ยิ้มหน้าบานได้ทั้งหน้าได้แบบนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องคอลเลคชั่นใหม่ที่กำลังจะออกมาได้ผลตอบรับที่ดีเกิดคาด ก็คงเป็นราคาหุ้นสักตัวในบริษัทที่ขึ้น แต่บังเอิญว่าที่กล่าวมาทั้งหมดดูจะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ท่านรองประธานหนุ่มอย่างอัมรินทร์ยิ้มแก้มปริกับทุกสิ่งรอบตัวจนใกล้เคียงกับคำว่าบ้าแบบนี้แน่

   เช้านี้เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเปิดโน๊ตบุ๊คคู่ใจเข้าเว็บนู้นออกเว็บนี้หาบางสิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะกลับมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเอกสารที่เพิ่งได้รับมาจากอนิรุทธิ์เมื่อคืน พร้อมกับแผนการบางอย่างที่พวกเขาสองพี่น้องวางกันเอาไว้

   ความรู้สึกตื่นเต้นที่มีมากกว่าทุกวันดูจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแอ็คทีฟมากกว่าปกติอยู่หลายเท่า มองอะไรก็ดูจะสวยงามไปหมดอย่างเช่นอาหารเช้าวันนี้

   “มึงแน่ใจนะว่าจะแดก”

        สีหน้าเคร่งเครียดของเซฟมือสมัครเล่นที่เริ่มจะไม่มั่นใจในขนมปังปิ้งไหม้เกรียมกับไข่ดาวที่ เออ จากเศษซากอารยะธรรมเก่าแก่ของมันน่านะที่เขาเดาว่ามันคือไข่ไก่ที่พี่ชายเขาต้องการให้ทำมันให้ออกมาเป็นไข่ดาว ส่วนไส้กรอก อืม อย่าไปพูดถึงมันเลยแล้วกัน

   “แน่นอน”

   แต่วันนี้เขาอารมณ์ดีอะไรๆก็อร่อยไปหมดนั้นแหละถึงในความเป็นจริงรสชาติมันออกจะหมาไม่แดกและหลังจากนั้นเขาจะท้องเสียอย่างหนักก็เถอะ....

   แต่แค่อาการท้องไส้ปั่นป่วนยามเช้านี้นะหรอที่จะหยุดยั้งแผนการที่เขาอุตสาห์คิดเอาไว้ทั้งคืนได้แน่ ไม่มีทาง เพราะต่อให้เขาต้องคลานไปเขาก็จะทำ

   “มึงแน่ใจหรอวะ ที่จะมาทั้งสภาพแบบนั้น”

   เป็นอีกครั้งที่อนิรุทธิ์ออกปากถามญาติของตัวเองหลังจากออกมาจากบ้าน คือเขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรในตัวผู้ชายที่เกิดหลังจากตัวเองสามเดือนคนนี้เท่าไรเหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อวานหลังจากที่เขาเดินออกจากห้องของอีกคนมาแล้ว ท่านรองประธานเจ้าของตำแหน่ง เสืออดเหยื่อ ที่เขามอบให้มันไปหัวกระแทรกพื้นหรือนอนตกเตียงจนประสาทกลับกันแน่ถึงได้ เอ่อ.. เสื้อบานเย็นกับกางเกงขาสามส่วนสีเขียวตานีดูจะเป็นอะไรที่เข้ากันจังเลยเนอะ

   “ทำไมละ วันนี้ออกจะท้องฟ้าสดในเราก็ต้องแต่ตัวให้เข้ากับบรรยากาศสิ”

   หรอ สดใสหรอ..  ร้อนบัดซบละสิไม่ว่า

   “คือกูก็ไม่ได้ว่าอะไรกับรสนิยมการแต่งตัวของมึงที่วันนี้มันออกจะหลุดโลกไปหน่อยหรอกนะ เพียงแต่กู..” กูอายวะ เอาจริงๆ

   “ทำไมๆ”

   “ก็ไม่ทำไมหรอกนะ แต่ทำไมกูต้องแต่งแบบมึงด้วยวะ” ถึงจะคนละสีกับแต่ความแจ๋ม จะ แดม แจ๋ม ว้าว  ของมันนี้ไม่ได้น้อยหน้ากันเลยสักนิด เหี้ยเอ๋ย! คนมองทั้งตลาดเลย...

   “ก็เพื่อหลงไง มึงก็รู้จตุจักรคนเยอะจะตายชัก”  อัมรินทร์ดึงแว่นกันแดดมาสวมไม่สนใจสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความคิดหลุดกรอบนั้นเท่าไร

   “เอาจริงๆ บอกกูมาตรงๆดิว่ามึงลากกูมาทำไรที่นี้”

   “ซื้อของ”

   “ซื้อของ ? คนอย่างมึงนี้นะมาซื้อของที่นี้” 

   “ใช่ ทำไมมันแปลกหรือไง”

   “เออ แปลก!!”

          เขาเคยชวนมันมาเป็นสิบๆครั้งมันก็ไม่แม้จะสนใจอ้างนู้นอ้างนี้ตลอด ที่สำคัญเลยคืออัมรินทร์เป็นคนจำพวกขี้ร้อนและมันเกลียดอากาศร้อนที่พร้อมจะเผาผิวมันให้ไหม้เป็นขนมปังปิ้งเมื่อเช้าอย่างกับอะไรดี มันต้องมีอะไรหรืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้คนอย่างคุณชายอัมรินทร์มายืนอยู่ที่นี้ในเวลาเที่ยงตรงได้แบบนี้   

   “กูมาซื้อต้นไม้” เจ้าตัวว่าพร้อมหันซ้ายหันขวามองหาร้านเป้าหมาย

   “ห๊ะ”

   “ต้นไม้ไง มึงหูตึงหรือไงเนี้ย”

   “กูไม่เห็นเคยรู้ว่ามึงชอบต้นไม้ใบหญ้าหรืออะไรที่ออกดอกได้มาก่อน” ถ้าเป็นพวกของที่มันส่องแสงได้อย่างพวกเพชรพลอยนี้เขาพอจะเชื่ออยู่หรอก แต่นี้ ต้นไม้ คนที่ปลูกอะไรไม่เกินสามวันก็ตายอย่างมันจะมาซื้อต้นไม้ไปฆ่าหรือไง ? ไม่ได้การละเขาต้องรีบพามันไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย

   “กูจะซื้อให้เปลว”

   “ห๊ะ”

   “ตามนั้น มึงจะไปซื้ออะไรก็เรื่องของมึงจะกลับแล้วเดี๋ยวกูโทรหา”

   “เฮ้ย ! เดี๋ยว ! ไอ้อัน ไอ้อัน”

   อัมรินทร์โบกมือลาทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกของอีกคนก่อนจะกลืนหายไปกับฝูงชนมากมายที่เดินเบียดเสียดกันตามทางเดินแคบๆ เพื่อไปหาซื้อของที่ตนเองต้องการ

   จริงอยู่ที่เขากับต้นไม้ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ จำได้ว่าตอนนั้นเคยซื้อต้นไม้ต้นเล็กๆมาตามคำแนะนำของแม่มาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานแต่สุดท้ายมันก็ตายเพราะเขาลืมให้น้ำมัน

   แต่ถึงมันไม่เหมาะกับเขาแต่มันเหมาะกับเปลว........

   และเหตุผลง่ายๆที่เขามาที่นี้ก็เพราะเปลวอรุณ........

   ช่วงปีแรกๆที่เขารู้จักเปลวอรุณเขาติดตามการใช้ชีวิตหลายๆอย่างของคนตัวขาว ชอบไปไหน ชอบกินอาหารร้านไหน นอนดึกขนาดไหน แม้กระทั้งของใช้ที่ใช้ประจำยี่ห้ออะไรเขารู้หมด และที่สำคัญเปลวอรุณชอบต้นไม้

   ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นไม้มงคลหรือไม้ประดับขอแค่สามารถแต่สวนหลังบ้านให้สวยได้เจ้าตัวจ่ายไม่อัน แต่จะมีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาสังเกตดูว่าอีกฝ่ายจะซื้อบ่อยที่สุดก็คงเป็นแคคตัส

   กิจกรรมยามว่างในช่วงวันหยุดของเปลวอรุณคือการจัดสวนถาด เจ้าตัวจะเผลออมยิ้มเล็กๆทุกครั้งที่กำลังได้วางก้อนหินหรือกรวดเล็กๆลงไปประดับอาณาจักรเล็กนั้น ดวงตาสวยใต้กรอบแว่นจะหรี่ลงเล็กน้อยตอนกำลังเล็งว่าต้นไม้ต้นน้อยต้นนี้ควรจะวางอยู่มุมไหนของถาดดี พอเสร็จจากอันนี้ก็หันไปดูแลอาณาจักรแห่งอื่นๆไปเรื่อยๆ และนั้นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงต้องหาซื้อขาตั้งมาวางแว่นส่องทางไกล เพราะเปลวมักจะหมดเวลาเป็นวันๆกับการสร้างอาณาจักรของตัวเองและเขาจะไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้เห็นใบหน้าสวยๆนั้นแสดงอารมณ์แบบอื่นแน่ ถึงช่วงหลังๆมานี้จะไม่ได้ไปแอบดูอะไรแบบนี้ในวันหยุดแล้วก็เถอะแต่เขาก็ยังเชื่ออยู่ว่าเจ้าตัวจะต้องกำลังจัดสวนน้อยๆของตัวเองอยู่แน่

   “สนใจถามได้นะพี่” ใบหน้าหล่อพยักรับคำถามของคนขายโดยไม่ละไปจากพืชใบเขียวที่มองยังไงเขาก็แยกมันไม่ออกอยู่ดีว่าอันไหนคือพันธ์อะไร

   “ซื้อให้แฟนหรอพี่”

   “ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่ซื้อปลูกเอง”

   คนขายร่างอวบทำหน้าล้อเลียนลูกค้าหนุ่มที่รีบปฏิเสธคำถามของเขาทันควันอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไร ก็นะเขาขายของมานานทำไมจะมองไม่ออกว่าคนที่มาซื้อของต้องการอะไร อย่างเช่นลูกค้าหนุ่มที่ดูจะตึงเครียดกับการเลือกซื้อของในร้านเขาแบบนี้โดยไม่สนใจรอบข้างเลยว่าจะถูกสาวๆที่ผ่านไปมามองหรือแอบถ่ายรูปยังไง ถ้าไม่ซื้อให้แฟนแล้วจะให้ซื้อให้ใครได้

   “ผมจะเชื่อนะ”

   อัมรินทร์เหลือบมองคนขายเล็กน้อยก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินดูต้นแคคตัสต้นน้อยในร้านอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเค้าว่ามันก็เหมือนกันไปหมดและเชื่อเถอะว่าเปลวอรุณมีมันครบทุกแบบแล้วแน่ๆ

   “ให้ผมช่วยเลือกไหม” เป็นอีกครั้งในรอบเกือบสินห้านาทีที่คนขายเอ่ยทักขึ้น ซึ่งมันเป็นขอเสนอที่ดีมากเพราะเขาเองก็ไม่รู้จะเอาต้นไหนเหมือนกัน

   “ก็ดี”

   “อยากได้แบบไหนว่ามา”

   “แบบไหน คือ” ไม่ใช่ว่าซื้อๆไปก็ได้หรอ

   “ก็แบบ ซื้อไปปลูกเดียวๆหรือเอาไปจัดใส่รวมๆกันนะ”

   “อ๋อ เอาแบบจัดใส่ถาด”

   คนขายพยักหน้ารับทราบถึงความต้องการของลูกค้าก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมหยิบจับต้นน้อยๆขึ้นมาให้ดูพร้อมอธิบายรายละเอียดเล็กๆน้อยให้มือใหม่อย่างอัมรินทร์เข้าใจพร้อมแนะนำการเลือกต้นแต่ละต้นมาจัดรวมกันด้วยก่อนจะปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเลือกต้นที่ชอบอีกรอบ

   ไอร้อนจากแสงแดดตอนบ่ายเริ่มทำให้คนที่เริงร่ามาตั้งแต่เช้าเริ่มที่จะหงุดหงิดบวกกับไม่ว่าเขาจะเดินวนอีกสักกี่รอบเขาก็ยังหาต้นไม้ที่เขาต้องการไม่ได้สักที เขาเกือบจะทอดใจแล้วจริงๆว่าควรจะหาซื้ออย่างอื่นแทนถ้าไม่เพราะหางตาของเขาเหลือไปเห็นต้นแคคตัสต้นหนึ่งที่ซ้อนตัวจากสายตาใครต่อใครอยู่ด้านล่างสุดของชั้นวาง มุมปากยกยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดเขาก็หาเจอ

   “ฉันเอาต้นนี้”



   
   “กูจะไปบอกเด็กๆให้รีบเก็บของ”

   “ทำไม”

   “พายุจะเข้า”

   “ไม่เห็นมีข่าวเลย มึงมั่วเปล่า”

   “ไม่ ไม่ ไม่มีทางมั่วแน่”

   “ทำไม”

   “เพราะมึงกำลังจัดสวนถาดไงไอ้อัน มึงกำลังปลูกต้นไม้”

   อนิรุทธิ์พูดหน้าเครียด ก็รู้สึกอยู่หรอกว่าวันนี้อัมรินทร์ดูแปลกๆแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะแปลกถึงขนาดที่จะซื้อต้นไม้กับอุปกรณ์จัดสวยถาดมาแบบนี้

   “แค่กูกำลังทำสิ่งใหม่ๆบ้างมึงจะแตกตื่นทำไม”

        ดินสีดำถูกเทลงจากถุงลงถูกถ้วยกระเบื้องสีสะอาดตาให้พอประมาณก่อนจะถูกมือหนาทั้งสองข้างกดลงให้ราบเสมอกัน  ก่อนจะหยิบถุงที่บรรจุหินกรวดขึ้นมาพิจารณา เทตรงไหนดี...

         “ตรงที่มึงซื้อมาทำเองไง” ถ้าซื้อแบบทำสำเร็จมาแล้วเขาก็พอจะปล่อยผ่านไปหรอก แต่นี้ซื้อมาทำเองย่อมหมายความได้ง่ายๆเลยว่ามันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น

   “กูก็แค่อยากลองทำ”

   “อยากลองหรือยากเอาใจ” อนิรุทธิ์ว่าดักทาง  หายไปสองสามชั่วโมงเขาก็นึกว่ามันจะหนีกลับไปแล้วที่ไหนได้กลับหิ้วอุปกรณ์จัดสวนมาเต็มสองมือลำบากเขาช่วยถืออีกด้วย หัวเด็ดตีนขาดยังไม่เขาก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดคนอย่างอัมรินทร์แน่

   “จะอย่างไหนมันก็เรื่องของกูวะรุทธิ์ มึงมีงานอะไรก็ไปทำเสียสมาธิกูหมด”  คนออกปากไล่ก้มหน้าก้มตาทำเป็นตั้งอกตั้งใจกับการออกแบบสวนส่วนตัวขนาดย่อมของตนเองเพื่อซ้อนใบหน้าที่เริ่มจะขึ้นสีอย่างอายๆ

   “ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยหรอวะ”

   “เรื่องอะไร”

   “ก็ที่ทำอยู่นี้ไง”

   “สวนถาดอะนะ”

   “อย่ามาตีหน้าซื่อไอ้น้องชาย” ใบหูแดงขนาดนั้นยังคิดว่าจะแอบได้อีกหรือไง

   อัมรินทร์ทำเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเท่านั้นก่อนจะหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อเหมือนกำลังรอให้คนที่เอาแต่จ้องเขาถามสิ่งที่อยู่ในหัวนั้นออกมา

   “มึงจริงจังมาแค่ไหนกับคนทีชื่อเปลวอรุณ”

   “ถามทำไม”

   “อย่าคิดว่ากูไม่รู้อัน กูอยู่กับมึงมาทั้งชีวิตทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้กูจะดูไม่ออกวะว่ามีอะไรบ้างในชีวิตมึงที่เปลี่ยนไป”
   อัมรินทร์หยุดมือที่กำลังจะเทกรวดลงแล้ววางมันกลับลงบนโต๊ะเช่นเดิมก่อนจะเงยขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาจริงจัง ไม่บ่อยหรอที่เขาสองคนจะคุยกับด้วยสีหน้าแบบนี้ยิ่งคนเฮฮาอย่างอนิรุทธิ์ด้วยแล้วเรื่องนี้คงต้องจับเข่าคุยกันจริงๆแล้วละ

   “อะไรที่มึงว่าเปลี่ยน” เขาถามขณะถอดถุงมือยางที่เปื้อนดินออก

   “ตัวมึง การใช้ชีวิตของมึง”

   “...”

   “มึงเลิกกับคู่ขามึงแทบทุกคนหลังเจอเปลวอรุณแถมมึงยังทำตัวเหมือนพวกโรคจิตแอบดูเขา ทำตัวดีอยู่ในกรอบทั้งๆที่เมื่อก่อนมึงไม่ใช่ มึงเปลี่ยนไปเยอะอัน เปลี่ยนไปเยอะมาก” การเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่รู้ว่าอีกคนจะรู้ตัวไหมแต่มันคือความจริงที่เขาสัมผัสได้ตลอดสามปีที่ผ่านมา

    “แล้วไม่ดีหรือไง” อัมรินทร์ถาม

   “เพราะมันดีไงกูถึงถามมึง”

   “ก็ยอมรับว่าที่ทำอยู่เนี้ยเพราะอยากเอาใจเปลว”

   “แล้ว..”

   “กูอยากได้เปลวแถมอีกไม่นานเปลวก็จะมาเป็นของกู กูก็ต้องเอาใจเขาหน่อย”

   “มึงมั่นใจแผนมึงขนาดนั้นเลยหรือไง”

   “ที่สุด”

   คนเจ้าเล่ห์ยิ้มร่าให้กับแผนการในหัวอะไรที่เขาคิดเขาอยากได้มันไม่เคยไม่เป็นความจริงเรื่องนี้ก็เช่นกัน สามปีเลยนะสำหรับการเฝ้ามองของเขาทั้งๆที่เป็นคนอื่นแค่สามนาทีก็แทบจะแก้ผ้าเดินมาหาเขาแล้วแต่นี้อะไรขนาดขาอ่อนยังไม่เคยได้เห็นเลยนี้ถ้าเขาไม่แอบตามไปดูที่บ้านเขาคงไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเปลวอรุณจะมีเสื้อผ้าแขนขาสั้นอย่างชาวบ้านเขาแน่

   “ถ้ามึงจะมั่นขนาดนี้นะ ถ้าไม่ได้ขึ้นมากูนี้จะขำให้”

   “ไม่มีทาง กูวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้วมึงก็ต้องช่วยกูด้วย”

   “แล้วกูจะได้อะไรตอบแทน”  พี่น้องกันนิ อะไรช่วยได้เขาก็ช่วยอยู่แล้วเพียงแต่เขาแค่อยากรู้เฉยๆว่าหลังจากช่วยไอ้เจ้าเล่ห์รวบหัวรวบหางเลขาคนสวยได้แล้ว แล้วเขาจะได้อะไร......

   “เดี๋ยวถึงเวลากูหาให้มึงเองน่า ไม่ต้องห่วง”

   มือหนาเอื้อมออกไปตบบ่าอีกคนสองสามที่ก่อนจะกลับมาเก็บเอาไว้ที่ข้างลำตัวอีกครั้งเพื่อพูดต่อ

   “มึงก็รู้ว่ากูอยากได้เปลวมาสามปี กูไม่เคยรอใครนานขนาดนี้มาก่อนถึงจะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรอทั้งๆที่กูจะบังคับให้เขานอนกับกูเลยตั้งแต่วันแรกก็ได้ แต่กูก็ไม่ทำ”

   “เหมือนจะเป็นคนดี แต่มึงอย่าลืมสิว่าสิ่งที่แกกำลังจะทำมันก็ไม่ต่างจากการบังคับเขาสักเท่าไร” อนิรุทธิ์แย้งขึ้น

   “ก็จริง”

   “...”

   “แต่จะให้รอเปลวใจอ่อนยอมกูง่ายๆ ถามจริงเถอะชาตินี้กูจะได้ไหม”

   “ก็คงไม่”

   ใช่ เพราะมันคงไม่มีทางแน่....

   เพราะรู้ดีไงว่าคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางที่จะยอมให้เขาง่ายๆแน่ดังนั้นมันก็จำเป็นต้องมีลูกเล่นกันบ้าง เพราะมันคงไม่มีใครหรอกที่จะทนมองเหยื่อของตัวเองลอยไปลอยมารอให้หมาคาบไปกินตัดหน้าหรอก ไม่มีทาง...

   “กูอยากได้เปลวมาสามปี ต่อให้ถึงเวลานั้นเปลวจะเป็นของกูแค่สามวิกูก็จะทำให้เขาประทับใจกูให้ได้มากที่สุดเหมือนกัน”

________________________________________________________________

หนี้รักเป็นนิยายตลก
ถ้าใครเคยอ่าน ฝนกลางฤดูหนาว จะรู้ว่านิยายเราเป็นนิยายใสๆไร้ดราม่า(?)
 :hao7:

แน่นอนว่านิยายเรื่องนี้เป็น mpreg ก่อนจะท้องได้มันก็ต้อง บ๊ะ บ๊ะ กันก่อนอะเนอะ
 แต่จะเป็นตอนไหนก็ไม่รู้

ส่วนใครที่เป็นห่วงเปลวที่แก่แล้ว(หื้อ) ถ้าท้องอีกจะเป็นยังไง
ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณได้ห่วงแน่นอน

อุ๊ฟ!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 12-03-2017 20:41:31
ตอนนี้อ่านแล้วก็ขำๆพระเอก แต่ย้อนขึ้นไปอ่านบทนำอีกที..... สงสารนายเอกอ่าาาา :mew5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-03-2017 22:42:51
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-03-2017 23:09:52
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 2- 12/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-03-2017 07:45:59
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-03-2017 20:32:37
เป็นหนี้ ครั้งที่ 3



            ทามกลางแสงสียามค่ำคืนของนครหลวงที่ไม่เคยหลับใหลนอกจากเหล่าผีเสื้อราตรีที่ออกโลดแล่นแล้วลึกเข้าไปในกลางกรุงยังมีสถานทีอีกแห่งที่หลบซ้อนตัวอยู่ภายในแสงหลากสี

              บ่อนการพนัน........

              กิจการผิดกฎหมายที่ซ้อนตัวอยู่เบื้องหลังผับใหญ่กลางเมืองที่เหล่าดาราไฮโซตบเท้าก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกระดับVIP ที่ได้คนใหญ่คนโตทางการเมืองหนุนหลังจนแทบจะไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ถือได้ว่าที่นี้เป็นสวรรค์ของนักเสี่ยงโชคเลยก็ว่าได้

              และเมื่อขึ้นชื่อว่าการพนันเกมส์การเล่นที่ต้องใช้ดวงและโชคในการขัดเคลื่อนเพื่อให้เม็ดเงินที่มีอยู่ผลิดอกออกผลก็ย่อมมีทั้งผู้ได้และผู้เสีย

              “รอยัลสเตรทฟลัช!!”

              แต้มของไพ่ที่สูงที่สุดดังขึ้นกลางวงเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนที่อยู่บริเวณรอบๆได้เป็นอย่างดียิ่งตอนที่ไพ่ทั้งห้าใบถูกหงายลงบนโต๊ะเพื่อให้ทุกคนที่ล้อมวงเข้ามาได้เห็นไพ่หายากที่อยู่ในมือ ไพ่โพดำที่เรียงตัวกัน A  K  Q  J  10 เปอร์เซ็นการได้ไพ่เรียงเช่นนี้มีเพียงแค่0.00015% เท่านั้น แน่นอนว่ายิ่งมันยากในการที่จะได้มามากเท่าไรแต้มและเงินรางวัลที่จะได้ย้อมสูงตามไปด้วยเท่านั้น

              “จ่ายมาครับ จ่ายมา”

              เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ชายวันกลางคนรูปร่างผมแห้งเจ้าของไพ่รอยัลสเตรทฟลัชจะหน้าชื้นตาบานกับเม็ดเงินที่เขากำลังได้จากคนในวง แถมนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาสัมผัสการเสี่ยงโชคแบบนี้แถมยังใช้เวลาไปไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมงแต่กลับถอนทุนคืนได้เกินคาดแบบนี้มีหรือที่เขาจะได้ลิงโลดกับโชคที่ได้รับ

              แต่เกมส์เสี่ยงโชคที่ว่ามีกฎเกณฑ์ง่ายๆอยู่ข้อหนึ่งที่นักเสี่ยงโชครู้กันดีนั้นคือ เมื่อมีคนได้ก็ย่อมมีคนเสีย

ิ              และคนที่เทพีแห่งโชคลาภเลือกที่จะเมินเฉยก็คือ พิมพา......

              หลังจากเข้าคอร์สทำผิวที่จองเอาไว้เมื่อช่วงต้นปีเสร็จหล่อนก็ตรงดิ่งเข้ามาหาความบันเทิงที่แสนโปรดปราดอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้หล่อนเลือกที่นี้

              Butterfly club

              ฉากหน้าคือผับหรูที่เหล่าเซเลบริตี้คนดังตามตบเท้าก้าวเข้ามาใช้บริการหากแต่เบื้องหลังของมันนั้นคือคลาสิโนใหญ่กลางใจเมืองแหล่งรวมอบายมุขทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองความต้องการของเหล่าลูกค้าระดับวีไอพีกระเป๋าหนักและคนที่จะเข้ามายังโซนคลาสิโนได้นั้นต้องเป็นเมมเบอร์ของคลับเท่านั้น

              ม่ายสาวใหญ่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์อะไรที่ว่านี้หรอกหากแต่หล่อนมาตามคำชวนของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ชื้นชอมในสนามแข่งแห่งโชคลาภนี้เหมือนกัน

              “พอฉันเลิกเล่นแล้ว”

              คนที่เสียจวนจะหมดตัวกระแทรกเสียงอย่างไม่พอใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า หล่อนมานั่งที่นี้ตั้งแต่ช่วงเย็นแต่นี้อะไรกันอีกไม่ถึงสิบนาทีจะเข้าวันใหม่อยู่แล้วแต่เงินของหล่อนมีแต่ออกกับออกอย่างเดียว ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของหล่อนจริงๆ

              “จะรีบไปไหนละพิม อีกสักรอบสิ”

              “ไม่ละ เชิญหล่อนเล่นต่อไปเถอะฉันไม่มีอารมณ์แล้ว”

              พิมพากระชากเสียงใส่ผู้หญิงวัยเดียวกันที่เป็นคนชวนหล่อนมาที่นี้ ร่างเพรียวลุกขึ้นจากวงกิจกรรมแทรกตัวผ่านคนที่รุมล้อมโต๊ะออกมา

              ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นคลาสิโนระดับไฮเอนด์นั้นคือทุกคนที่มาที่นี้จะไม่ค่อยสุงสิงกันมาเกินความจำเป็นแถมการบริการก็ยังยอดเยี่ยมจนบ่อยปลายแถมที่หล่อนเคยไปเทียบไม่ติด และเพราะไม่ค่อยมีใครยุ่งเกี่ยวกันมานี้แหละดีจะได้มีใครสนใจหล่อนนั้นกำลังจะหมดตัวเลยต้องออกมาทั้งๆที่ใจยังอยากจะอยู่ใช้บริการต่ออีก

              “เดี๋ยวครับคุณผู้หญิง”

ิิิิ              รองเท้าส้นสูงสีสดของพิมพาหยุดชะงักลงเล็กน้อยขณะกำลังเดินไปยังทางออก ใบหน้าสวยหันกลับมามองชายฉกรรจ์ที่มองจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยจากโซนเสี่ยงโชค

ืืืืื              “มีอะไร” หล่อนถามพลางวางกระเป๋าลงให้พนักงานตรวจสอบ

             “ช่วยมาด้วยกันหน่อยได้ไหมครับคุณผู้หญิง” อย่างที่บอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันของหล่อนดังนั้นอะไรๆจึงดูจะขัดหูขัดตาไปหมดยิ่งคำพูดที่ออกมามีเจตนาจะขัดขวางการกลับบ้านด้วยแล้วใบหน้าสวยก็ยิ่งบูดบึ้งไม่พอใจ

              “ไม่ไป ฉันจะกลับแล้ว”

              พิมพาว่าเสียงแข็ง มือบางคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วตั้งท่าจะเดินออกไปทางประตูแต่ดูท่าการ์ดที่อยู่อีกฝั่งของประตูจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกค้าสาวใหญ่คนนี้เท่าไร

              “นี้พวกแก!”  พิมพาเริ่มวีน

              “ช่วยไปกับพวกเราด้วยครับ”  การ์ดคนแรกที่เป็นคนทักพิมพาเดินเข้ามาใกล้พร้อมผายมือไปอีกทางหมายให้เจ้าหล่อนตามไปกับพวกตนด้วย

              “ก็บอกว่าไม่ไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”

              “แต่..”

              “อ้าว อ้าว มีอะไรกันหรือครับ”

              เสียงเข้มของการ์ดตัวใหญ่เมื่อครู่ถูกเสียงขี้เล่นของบุคคลที่สามขัดขึ้นก่อนที่จะทัดได้พูดอะไร พิมพามองดูชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตัวขาวผมยาวถูกมัดหลวมๆแล้วพาดไว้ที่ไหล่ดวงตาเรียวเล็กอย่างคนเชื้อสายจีนที่พอก้าวเข้ามาในวงสนทนาชายฉกรรจ์ที่ล้อมหล่อนอยู่เมื่อครู่ก็ตีวงออกห่างบ่งบอกได้ว่าคนมาใหม่ต้องมีตำแหน่งอะไรสักอย่างในที่นี้แน่

              “”มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับคุณผู้หญิง” อาตี๋หน้าซนส่งยิ้มการค้าให้ลูกค้าตรงหน้าพร้อมถามไถ่

              “ฉันกำลังจะกลับ แต่คนของคุณนี้สิไม่ยอมให้ฉันกลับ” พิมพาตอบ

              “ไอหย๋า! ทำไมพวกนายทำแบบนี้กับลูกค้าละ หื้อ” คำตำหนิที่ดูจะไม่จริงจังเสียเท่าไรออกจะขบขันมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป

              “ขอโทษครับ”

              “อย่างให้เป็นแบบนี้อีกนะ ส่วนคุณผู้หญิงผมต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆนะครับ” ท้ายประโยคคือน้ำเสียงที่ถูกดันจนน่าสงสาร พิมพากรอกตาอย่างหน่ายๆกับเรื่องตรงน่าที่พาลทำหล่อนเสียเวลา

              “ผมชื่อ ลี หย่งฟาง เป็น เออ.. ผู้จัดการของที่นี้ ถ้าไม่เป็นการเสียเวลาผมอยากจะขอรบกวนให้คุณผู้หญิงมากับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะขอไถ่โทษกับความเสียมารยาที่ลูกน้องผมทำให้คุณต้องขุ่นเคืองใจ จะได้หรือไม่ครับ” อาฟางพยายามทำหน้าในน่าสงสารที่สุดเพื่อร้องขอความเห็นใจนั้น

              “อย่านานนักแล้วกัน”

              ผู้จัดการจำแลงยิ้มร่าก่อนจะเดินนำแขกพิเศษของตนไปยังห้องรับรองที่อยู่อีกทาง โดยไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้ลูกน้องทั้งสามที่ยืนมองตามหลังพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นจรดปากบางเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ต้องไม่รู้ไปถึงหูเจ้าของบ่อนแห่งนี้อย่างเด็ดขาด เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากจะโดนทำโทษทั้งคืนเหมือนกันนะ................

 

                           

             

              วันหยุดสุดสัปดาห์ก็คล้ายๆสวรรค์บนดินขนาดย่อมของคนทุกช่วงวัย ยิ่งช่วงเช้าของวันหยุดที่ไม่ต้องรีบตื่นเพื่อเข้าสู่วัฏจักรของชีวิตอันเร่งรีบในสังคมเมือง โดยเฉพาะคนขี้เซาอย่างเปลวอรุณที่การได้นอนตื่นสายในวันที่ไม่รีบร้อนแบบนี้ดูจะเป็นอะไรที่เขาโปรดปรานมากที่สุด จนไม่อยากจะลุกออกจากเตียงจนกว่าจะถึงช่วงสาย

              หลายคนมักเข้าใจในตัวเปลวอรุณอย่างผิดว่าเลขาหน้าสวยของท่านรองเป็นพวกจริงจังกับทุกเรื่องแอ็คทีฟกับทุกสิ่ง เปล่าเลย มันไม่ใช่เลยสักนิด เพราะถ้าใครได้มาเห็นเขาตอนนี้จะรู้เลยว่าเปลวอรุณน่ะเป็นแค่จอมขี้เกียจคนหนึ่งเท่านั้น ไอ้ที่เห็นว่าจริงจังกับงานนั้นก็แค่ว่าจะรีบๆทำมันให้เสร็จแล้วกลับบ้านมานอนก็เท่านั้น ถึงหลังๆมานี้จะเป็นเพราะอยากจะหนีให้ห่างจากเจ้านายหนุ่มของตนอย่างอัมริทร์ก็ตาม

              เปลวอรุณเกลียดคนเจ้าชู้และอัมรินทร์เองก็เป็นคนแบบนั้น............

              ทุกวันนี้นอกจากจะต้องรับมือกับงานมากมายที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในแต่ละวันแล้วเปลวอรุณเองก็ต้องคอยรับมือกับลูกเล่นลูกไม้ต่างๆที่อัมรินทร์สันหามาใช้กับเขาตลอดเวลา

ืืืืืืืืื              อัมรินทร์เป็นคนฉลายชายหนุ่มรู้วิธีเข้าหาเขาดีว่าควรใช้ลูกไม้แบบไหนเพื่อที่เขาจะไม่ไหวตัวทันแล้วหาทางหนี งาน จึงเป็นข้ออ้างหลักที่คนหนุ่มกว่าเลือกที่จะหยิบมันมาใช้กับเขาเหมือนอย่างตอนนี้........

              “สีม่วงกับสีชมพูเปลวว่าสีไหนสวยกว่ากัน”

              “ผมไม่ชอบสีม่วง”

              “งั้นเอาสีชมพู”

              “มันหวานไป”

              “แล้วสีไหนดีละเปลว”

               “ไม่รู้”

               ตอนแรกที่ได้รับโทรศัพท์จากอัมรินทร์ที่บอกว่ามีเรื่อด่วนให้รีบออกมาหาเปลวอรุณก็คิดว่าเป็นเรื่องโปรแจคใหม่ที่กำลังจะเริ่มมีปัญหาเขาถึงได้รีบเร่งออกจากบ้านมา แต่ที่ไหนได้นอกจากจะไม่มีงานด่วนอะไรอย่างที่คนปลิ้นปล้อนบอกแล้วเขายังต้องมาช่วยอีกฝ่ายเลือกซื้อของแต่งบ้านอีกต่างหาก

              “แต่ฉันเลือกไม่ถูกจริงๆนี้หน่าเปลว ดูสิสวยไปหมดเลย” อัมรินทร์พูดด้วยสายตาละห้อยตามแผ่นหลังที่เล็กกว่าของคนที่เดินหนีทิ้งให้เขาต้องมาตัดสินใจเลือกสีผ้าม่านเอง

               “ก็มันผ้าม่านห้องนอนคุณ คุณชอบแบบไหนก็เลือกเองสิจะมาถามผมทำไมผมไม่ได้ไปนอนด้วยสักหน่อย”

               เปลวอรุณว่าตัดรำคาญโดยที่ตาก็เอาแต่มองตัวอย่างผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มเนื้อหนาที่อยู่ตรงหน้าที่มันช่างถูกใจเขาเสียจริงถ้าเอาไปคงตัดกับห้องนอนโทรนขาวของเขามากแน่ๆ คนตัวขาวยืนพิจารณาดูม่านในมือจับพลิกซ้ายทีขวาทีเพื่อดูลายอย่างตั้งใจจนไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มร้ายของคนเจ้าแผนการที่มองมาจากด้านหลัง

                “งั้นไปดูอย่างอื่นกันเถอะ”

              ไม่ว่าเปล่ามือแสนซนของอัมรินทร์ก็รีบคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเปลวอรุณเอาไว้แล้วออกแรงฉุดเล็กๆให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเดินตามตนไปอีกโซน

              “อะไรของคุณเนี้ย”

              คนโดนดึงบ่นอย่างไม่ไม่ค่อยพอใจแต่เพราะทำอะไรไม่ได้จึงจำต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามแรงจูงของอีกคนที่ดูจะมีความสุขกับการพาเข้าโซนนู้นออกโซนนี้เสียเหลือเกิน เขาไม่เข้ารู้หรอกนะว่าคนอย่างอัมรินทร์กำลังมีความคิดที่จะทำอะไรอยู่ในหัวถึงได้เรียกเขาออกมาจากบ้านเพื่อมาเลือกซื้อของที่เจ้าตัวไม่แม้จะจริงจังกับการเลือกเลยสักนิด


            เกือบสองชั่วโมงที่เปลวอรุณต้องมาเสียเวลาในไปอย่างสูญเปล่ากับการมาเป็นผู้ช่วยในการเลือกซื้อของแต่งบ้านกับอัมรินทร์ที่นอกจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปแล้วมันยังผลาญพลังงานของเขาจนเกือบหมดด้วยเหมือนกัน

              “อะไรกันเปลว แค่มาซื้อของแค่นี้ทำไมถึงหอบละ”

              อัมรินทร์ยิ้มล่อมองเจ้าของชื่อที่นั่งหอบหน้าแดงอยู่ที่เก้าอี้ยาวที่ทางห้างจัดไว้ให้สำหรับลูกค้าอย่างนึกขำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองแก้มขาวๆที่เริ่มแดงขึ้นจากการเหนื่อยหอบ

              “ผมแก่แล้ว” เปลวอรุณแย้ง

              “ไม่จริงสักหน่อย” อัมรินทร์นั่งลงที่ว่างข้างๆ

              ก็เปลวของเขายังสวยใสเอ๊ะๆอยู่เลยนี้หน่า.....

              “ว่าแต่คุณจะมาซื้ออะไร เดินกันมาตั้งนานผมยังไม่เห็นคุณจะดูอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง” ถ้าคนมันตั้งใจจะมาซื้อจริงๆมันต้องได้ตั้งแต่สิบนาทีแรกแล้ว ไม่ใช่เดินไปเดินมาทรมานคนแก่แบบนี้

              “จริงๆก็ไม่ได้อยากจะซื้ออะไรหรอก” อัมรินทร์ว่านิ่งตามความจริง

              “แล้วคุณโทรเรียกผมออกมาทำไม” เปลวอรุณโผงขึ้นยืนพร้อมขึ้นเสียงเสียงดังใส่อย่าเหลืออด

              “น่าๆๆ เสียงดังไปแล้ว”

            แน่นอนว่าเมื่อครู่เสียงที่เปลวอรุณเป่งออกมามันดังพอที่จะทำให้คนบริเวณรอบๆหันมามอง อัมริทร์จึงใช้โอกาสที่เปลวอรุณก้มหน้าขอโทษคนที่ผ่านไปมาฉุดมือขาวนั้นให้กลับมานั่งที่เดิมก่อนจะฉวยเอามือนั้นมากุมไว้แน่น

              “ปล่อยได้แล้วครับ” เปลวอรุณพยายามบิดมือของตัวเองออกหากแต่อัมรินทร์เองก็ไม่อย่างปล่อยโอกาสที่นานๆจะมีทีแบบหลุดมือออกไปเหมือนกัน

               สุดท้ายความดื้อด้านของอัมรินทร์ก็เป็นผล

               เปลวอรุณนั่งนิ่งปล่อยให้นิ้วมือข้างหนึ่งของเขาแทรกผ่านร่องนิ้วมือของอีกคนที่กุมมันเอาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร พวกเขาสองคนนั่งกันอยู่อย่างนั้นเงียบๆมองดูผู้คนที่เดินมาเลือกซื้อของเข้าบ้าน อาจเพราะที่นี้เป็นห้างสรรพสินค้าที่เน้นขายอุปกรณ์และของแต่งบ้านเป็นหลักคนที่มาที่นี้ส่วนใหญ่จึงมากันเป็นครอบครัวหรือไม่ก็คู่รักที่กำลังมาช่วยกันเลือกซื้อของใช้สำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ของพวกเขา

               แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะดึงดูดสายตาของเปลวอรุณได้ดีที่สุดก็คนจะเป็นภาพพ่อแม่ลูกที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขานั่งอยู่เท่าไร

               จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่ามันนานขนาดไหนแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาซื้อของด้วยกันกับครอบครัวแบบนี้ อาจก่อนที่แม่เสียหรือไม่ก็อาจเป็นก่อนที่พ่อจะมีเมียน้อย..........

                “หิวยัง” หลังจากเงียบกันอยู่นานอัมรินทร์ก็เปิดการสนทนาขึ้น

                “ยังครับ”

                “แต่ฉันหิว”

                อัมรินทร์ในคำนิยามของเปลวอรุณคือคนเอาแต่ใจตัวเองและแน่นอนว่าคนเอาแต่ใจคนนี้ไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆของเขาทั้งสิ้น ทั้งยังจูงมือเขาเดินเข้าร้านญี่ปุ่นสไตล์ครอบครัวที่อยู่ชั้นล่างของห้างอย่างหน้าตาเฉยไม่แม้จะสนใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาทางพวกเขาสองคนเลยสักนิด

                 “สั่งเลยเปลว มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” อัมรินทร์ว่าพร้อมส่งเมนูอาหารในมือให้อีกคน

                 “คุณอยากกินอะไรคุณก็สั่งไปสิ” เปลวอรุณว่าปัด

                 “ไม่ได้ นี้เลยเวลากินข้าวของเปลวมานานแล้วนะ ถ้าเปลวเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”

                 “ก็แค่ไปหาหมอ ไม่ก็นอนอยู่บ้าน”

                 “เปลวต้องกินเมื่อกี้ตอนดูของฉันเห็นเปลวหน้าซีดแถมยังทำท่าเหมือนจะเป็นลมตั้งหลายรอบ กินๆเดี๋ยวฉันสั่งให้” สีหน้าทะเล้นของอัมรินทร์หายวับไปกับตาก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าที่ดูจริงจังสมกับตำแหน่งที่ทำอยู่ทันทีเมื่อเป็นเรื่องของเปลวอรุณ

                  อัมรินทร์ สังเกต จ้องมอง เปลวอรุณอยู่ตลอดเวลาทำไมเขาจะไม่รู้ถึงความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของคนที่ชอบปั้นหน้านิ่งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้นเลยละ ที่เขาคอยเดินตามหลังเปลวอรุณก็เผื่อว่าถ้าหากอีกคนเป็นอะไรเขาจะได้เขาไปรับได้ทันและที่พยายามหยุดนั่งเป็นช่วงๆก็เพื่อไม่ให้คนที่ย้ำอยู่ได้ว่าตัวเองแก่รู้สึกเหนื่อยเกินไป

                 เพราะไม่รู้ว่าเปลวอรุณชอบกินอะไรอัมรินทร์จึงใช้วิธีหว่านแห่สั่งอะไรก็ได้ที่มีอยู่ในเมนูมาแทนเป็นอย่างๆให้อีกคนเลือก รออยู่สักครู่ใหญ่อาหารที่ถูกสั่งไปก็ถูกทยอยเอามาวางที่โต๊ะ

                 เปลวอรุณให้เกียรติ์เจ้านายของตนเป็นฝ่ายเริ่มตักอาหารก่อน ก่อนที่เขาเองจะเลือกหยิบจับอาหารที่พอกินได้เข้าปาก ส่วนใหญ่อาหารที่อัมรินทร์เลือกมาจะเป็นอาหารที่เขาพอกินได้แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด บางอย่างที่เขาไม่ชอบเขาแทบจะไม่เฉียดปลายตะเกียบเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ

                 เขานั่งกินเงียบๆท่างกลางสายตาวาวระยับของอัมรินทร์ที่ดูจะให้ความสนใจกับการที่เขาเอาหารหาใส่ปากมากกว่าการที่จะเอาอาหารใส่ปากตัวเอง

                 “ทำไมไม่กิน”

                 “อิ่มแล้ว”

                “แต่คุณยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง”

                 “อิ่มใจ”

                  “...”

                “แค่เปลวยอมมานั่งกินข้าวกับฉันแบบนี้ แค่นี้ฉันอิ่มอกอิ่มใจจนกินอะไรลงแล้ว”อัมรินทร์พูดออกมาคล้ายคนกำลังเพ้อก่อนจะครีบเอาเจ้าทาโกยากิก้อนกลมที่พร่องไปกว่าครึ่งจากฝีมือของเปลวอรุณเข้าปาก

                “คุณต้องประสาทไปแล้วแน่ๆ”

                “ทำไมคิดอย่างนั้น” อัมรินทร์ถาม
 
                “คิดเอาสิ” เปลวอรุณตัดบท

                 ไม่ใช่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าทำอยู่หมายความว่าอะไร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าทุกเย็นหลังเลิกงานจะมีรถสีดำสนิทของใครบางคนขับตามไปส่งเขาถึงหน้าบ้าน จอดอยู่อย่างนั้นรอจนกว่าเขาจะขึ้นบ้าน และเหนือสิ่งอื่นใดคือสายตาแพรวระยับเต็มไปด้วยความมั่นใจของอีกฝ่ายที่ใช้มองมาที่เขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มันสามารถบอกให้เขารับรู้ความคิดที่อีกคนคิดอยู่ให้เขารู้ได้ไม่ยากถึงความปรารถนายามที่อีกคนมองมาทางเขาอย่างไม่คิดปิดบัง  ถ้าเลี่ยงได้เขาก็ไม่คิดจะอยู่กับอัมรินทร์มาไปเกินความจำเป็น

              อาจเป็นเพราะเขาอายุมากกว่าเจอคนมาหลายรูปแบบเขาจึงสามารถรู้ความต้องการของอีกคนและมักหาท่าหลีกเลี่ยงได้เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเหนื่อยอยู่ดี แต่เพราะนอกจากการแทะโลมทางสายตากับคำพูดคำจาที่ดูจะส่องถึงความต้องการที่อัดอั้นอยู่ในใจของอีกคนแล้วเขาก็ไม่เห็นว่าอัมรินทร์จะทำอะไรที่เป็นการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวเขามากจนเกินไป เขาจึงไม่ปริปากพูดอะไรออกไป

เขาแค่อยากรู้......

ว่าถ้าเขายังทำเป็นนิ่งเฉยแบบนี้ต่อไป คนอย่างอัมรินทร์จะทำยังไงต่อไป.....

เดินหน้าหรือถอยหลัง......

แต่ถ้าให้เขาเลือก เขาจะเลือกให้อัมรินทร์ถอยหลังกลับไปสะ เขาไม่พร้อมสำหรับความต้องการที่อีกฝ่ายมี

เขาไม่พร้อมและไม่ต้องการ......

 
                “ใจร้ายจังเลยนะเปลว” อัมรินทร์ตัดพ้อหน้าเศร้า

                “ผมก็เป็นของผมแบบนี้”

                “ฉันอยากจะอยู่กับเปลวนะ ทำไมเปลวไม่ลองให้โอกาสฉันบ้างละ” อัมรินทร์วางตะเกียบในมือลงก่อนจะประสาทมันเอาไว้ที่ใต้คางจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังที่น้อยครั้งจะได้เห็นเวลาอยู่ด้วยกัน
 
                “ที่คุณเรียกผมออกมาเพราะเหตุผลนี้หรอครับ” เปลวอรุณเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่อยากตอบคำถามนี้

                “ถ้าฉันตอบว่า ใช่ เปลวจะลุกแล้วเดินหนีฉันออกจากร้านไปเลยไหม”

                 คำตอบที่ได้ไม่ได้ไกลจากการคาดเดาของเปลวอรุณเท่าไร นัยน์ตาเฉยชาปรายตามองอัมรินทร์นิ่งก่อนจะลงมือทางอาหารตรงหน้าต่อเงียบๆไม่พูดอะไร ซึ่งแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้อัมรินทร์ยิ้มกริมอย่างพอใจที่อีกคนไม่ลุกหนีเขาไปไหน

                 อาหารมื้อนี้อร่อยอย่าบอกใคร...



  :katai3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-03-2017 03:06:27
รออ่านอีกจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 19-03-2017 11:03:43
:katai3:




                 “คุณส่งผมที่บริษัทพอเดี๋ยวผมขับรถกลับเอง”  เปลวอรุณพูดขึ้น

                “ทำไมละ ให้ฉันไปส่งบ้านก็ได้นะ” อัมรินทร์ถามขณะหมุนพวงมาลัยรถออกจากห้างสรรพสินค้า

                 “คุณรู้หรอว่าบ้านผมอยู่ไหน” คนถูกถามชะงักเล็กน้อยกับคำถามหยันเชิงของอีกคน

                 “ก็.. ขับไปแล้วให้เปลวบอกทางไง” เขาแก้ต่าง

                  “ไม่อยากรบกวน แค่นี้ผมขับกลับเองได้อีกอย่างถ้าไม่ไปเอารถพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานยังไง” เปลวอรุณให้เหตุผล จากบ้านเขาไปที่บริษัทใช่ว่าจะใกล้แถมรถที่จะไปยังไม่มีต้องต่อหลายต่ออีกเขาว่ามันวุ่นวายแถมเสียพลังงานไปเปล่าๆ

               “ก็เดี๋ยวฉันมารับไง ไปทำงานพร้อมกันประหยัดดี”

              “ไม่จำเป็น” อัมรินทร์ยกยิ้มกับคำปฏิเสธที่แสนจะตรงไปตรงมาของอีกคน

              ถึงตอนอยู่ในร้านอาหารจะทำตัวเหมือนเปิดโอกาสให้เขาแต่จริงๆแล้วก็แค่ถนอมน้ำใจเท่านั้นแหละ แต่ก็ดีได้มายากๆแบบนี้สิเขาชอบ ยิ่งยากแบบนี้สิดีเพราะถ้ายอมกันง่ายๆก็คงไม่ใช่เปลวอรุณและแผนที่เขาอุตสาห์วางเอาไว้ก็คงเสียเปล่า

                “ แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ไปส่ง” อัมรินทร์ถามขึ้นมาอีกครั้งหลังขับมาส่งอีกคนที่บริษัทแล้ว

                “ครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” เปลวอรุณรับคำสั้นๆก่อนจะจัดการปลดเซฟตี้เบลออกจากตัวแล้วหันมาขอบคุณอีกคนเพื่อที่จะลงจากรถ

หมับ

              แต่แรงรั้งที่ข้อมือทำให้คนที่กำลังจะก้าวลงจากรถต้องหันกลับมามองคนขับที่คิดจะรั้งเขาเอาไว้ด้วยความสงสัย

              “มีอะไรครับ”

              “เปล่า แค่จะบอกว่ากลับดีๆนะ” ใจจริงก็อยากจะพูดอะไรที่มันพอจะช่วยให้เปลวอรุณเปลี่ยนใจแล้วยอมกลับมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เขาต่ออยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาวันนี้ได้เท่านี้ก็พอแล้ว

              “ครับ”

              เปลวอรุณก้มหัวเล็กน้อยแทนคำขอบคุณพร้อมกับบิดข้อมือออกจากมือหนาของอัมรินทร์ที่จับอยู่ โชคดีที่อีกคนไม่ได้คิดจะรั้งอะไรเขาไว้ทำให้พอแขนข้างนั้นเป็นอิสระเขาก็ตรงไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่แล้วขับออกไปโดยไม่รอ

              “หนีได้ก็หนีไปนะเปลว จับได้เมื่อไรจะไม่ปล่อยให้ดิ้นเลย”

              รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นพร้อมกับคำหมายมั่นของเจ้าของดวงตาคมที่เฝ้ามองเป้าหมายสำคัญของตัวเองขับรถหายออกไป  อัมรินทร์นั่งอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนขึ้นมากดเข้าทำรายการบางอย่างในโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลงตรงที่วางของแล้วขับรถตามอีกคนออกไป

              แต่อัมรินทร์ไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่เกิดขึ้นในบริเวณลานจอดรถระหว่างเขากับเปลวอรุณจะอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของใครบางคนที่คนแอบมองพวกเขาอยู่พร้อมกับรอยยิ้มอย่างคนนึกสนุก

              “น่าสนุกแล้วสิ”



 

              ไหนๆก็ได้ออกมาจากบ้านทั้งทีเปลวอรุณเลยถือโอกาสนี้แวะซุปเปอร์มาเก็ตแถมบ้านเพื่อเลือกซื้อของใช้ในบ้านที่ใกล้หมดกับพวกของสดสำหรับทำอาการเข้าไปด้วยเลย แถมเมื่อกี้อัมรินทร์ยังส่งข้อความมาบอกว่าพรุ่งนี้ชายหนุ่มอยากกินอะไรเขาจึงต้องซื้อเข้าไปด้วย

              หน้าที่เลขาที่เขาได้รับมาบางทีก็พ่วงเอาตำแหน่งคนใช้ของอีกคนมาด้วยเพราะตั้งแต่เมื่อหกเดือนที่แล้วอัมรินทร์ก็มอบหน้าที่ใหม่ให้กับเขาในการทำอาหารกลางวันใส่กล่องไปให้กินที่บริษัทด้วยบางวันก็เป็นข้าวเช้าโดยเจ้านายหนุ่มจะส่งข้อความมาบอกเขาก่อนว่าอยากจะกินอะไรแต่ถ้าไม่ก็คือแล้วแต่เขาว่าเขาจะเมตตาทำอะไรให้อีกคนกิน

              หลังจากเลือกซื้อของที่ต้องการได้ครบแล้วเปลวอรุณก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที  แต่พอกลับมาถึงบ้านทุกอย่างมันกลับเงียบจนรู้สึกผิดปกติ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ๆห้าโมงเย็นยังไม่ถึงเวลาที่พิมพาจะออกไปบ่อนรถก็ยังจอดอยู่หน้าบ้านแถมรองเท้าคู่โปรดของเจ้าหล่อนก็ยังวางอยู่ที่ชั้นจึงน่าแปลกที่เขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรดังออกมาจากในบ้านเลย

            มันผิดวิสัยคนอย่างพิมพา.....

              เขาไม่ชอบความไม่ปกติเพราะนั้นมันหมายถึงสัญญาณบอกเหตุอะไรสักอย่าง

              หัวคิ้วสวยถูกกดให้ต่ำลงอย่างใช้ความคิด เปลวอรุณเดินเอาถุงที่บรรจุของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์วางเอาไว้ที่โต๊ะทานอาหารก่อนจะเดินตรงไปทางบันไดเพื่อเอาของขึ้นไปเก็บ  แต่ยังไม่ทันที่เท้าของเขาจะสัมผัสกับขั้นบันไดขั้นแรกคนที่เขามองหาอยู่ก็กำลังลงบันไดมาด้วยท่าทีรีบร้อนพอดี

              “ปะ เปลวกลับมาแล้วหรอ”  น้ำเสียงของพิมพาดูจะตกใจอย่างเห็นได้ชัดที่เดินลงบันไดมาเจอกับเขาทั้งยังกอดกระเป๋าสะพายของตัวเองเอาไว้แน่นจนน่าสงสัย

         “จะไปไหน” นัยน์ตาเรียบหรี่มองกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมที่อยู่ในมืออีกข้าง

              “อ๋อ พอดีฉันถูกรางวัลนะเลยจะไปต่างจังหวัดสักอาทิตย์หนึ่ง” พิมพาตอบกลับ

              “หรอ”

              “อือ ไปนะ”

              พิมพาบอกอย่างร้อนรนก่อนจะรีบยกกระเป๋าลงบันไดแล้วเอาไปเก็บไว้ในรถของตนเองที่จอดอยู่นอกบ้านแล้วขับออกไป  โดยมีเปลวอรุณยืนมองตามหลังเงียบๆอย่างจับผิด

              บ่อนการพนันหรืองานชิงโชคถึงได้ถูกรางวัล.......

              เปลวอรุณคิดกับตัวเองก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปที่ห้องของตัวเองตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก กุญแจห้องนอนถูกไขขึ้นก่อนที่มือเรียวจะบิดที่ด้ามจับก้านโยกของห้องเข้าไป มองสำรวจห้องนอนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าข้าวของในห้องของเขายังอยู่ดีไร้การเคลื่อนย้ายใดๆก่อนจะกลับลงไปข้างล่างอีกครั้ง

              ที่เขาต้องล็อกห้องทุกครั้งที่ออกจากบ้านนั้นไม่ใช่เพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัวแต่เพื่อป้องกันไม่ให้ของ สำคัญ ของเขาหรือของมีค่าใดๆตกไปถึงมือของพิมพา

            เพราะไม่งั้นต่อให้มีเงินกองสูงเท่าภูเขาแต่ถ้าอยู่ในมือผีพนันอย่างพิมพามีเท่าไรก็คงไม่พอ

__________________________________________________________________

มาละเด้ออออ

ยังมีใครรอหนูอันอันอยู่บ้างมั้ยหน่ออออ

ต่อจากนี้เพื่อนๆสามารถติดตามการอัพนิยายได้ที่เพจแล้วะะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 19-03-2017 14:47:11
ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 19-03-2017 15:43:35
คนเขียนใช้ภาษาในการบรรยายได้ลื่นไหล น่าติดตามมากค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ  :hao5: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-03-2017 16:40:29
 :katai2-1:


ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: normalplayer ที่ 19-03-2017 19:38:01
รอค่ะ
ปล.อัมรินทร์ช่วงก่อนจะมีเรื่องกันนี่ก็จีบหนักจัดเต็มมาเลยนะยะ แหมๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 19-03-2017 22:43:14
พิมพาขายเปลวให้เจ้าของบ่อนเหรอ?! :ling1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 19-03-2017 23:10:53
ติดตามฮะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-03-2017 23:38:34
  ต้องมีเรื่องให้เปลวปวดหัวแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 3- 18/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 20-03-2017 12:10:26
คุณพิมดูน่าสงสัยมากๆๆๆๆ

ต้องมีอะไรแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 26-03-2017 12:14:38
เป็นหนี้ ครั้งที่ 4


            หนึ่งสัปดาห์ที่แสนสงบสุขที่สุดในรอบยี่สิบปีของเปลวอรุณดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเมื่อเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์สีขาวคันโปรดของพิมพาขับเข้ามาจอดเทียบกับรถของเขาที่โรงจอด ความเบื่อหน่ายและเอือมระอาต่อการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่กำลังจำกลับมาทำให้ริมฝีปากบางแหย่เกอย่างอดไม่ได้ 

              แต่ครั้งนี้มันแปลกไป...

            ความผิดปกตินั้นมีขึ้นตั้งแต่พิมพาก้าวขาลงจากรถยิ่งกับคนที่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยที่จะเห็นหัวเขาเลยนอกจากเวลาตังค์หมดยื่นถุงของฝากที่ติดโลโก้ของฝากจากเรือสำราญหรูมาให้อย่างอารมณ์ดี แค่นั้นยังไม่พอตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่หลังจากที่กลับมาพิมพาไม่เข้ามาวอแวเขาเรื่องเงินอีกเลยซ้ำยังใช้จ่ายหนักมือมากกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัวดูได้เลยจากจำนวนถุงเสื้อผ้ารองเท้าแบรนด์ดังที่เจ้าหล่อนหอบหิ้วกลับบ้านมาทุกวัน

              ถึงมันจะเป็นเรื่องดีที่เงินของเขาไม่ถูกสูบออกไปด้วยเรื่องไร้สาระแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดีว่าต้นสายของเงินที่ว่านั้นจะนำพาเรื่องเดือดร้อนอะไรมาให้เขาหรือเปล่า

              “วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือไง”

            “มันเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับเธอ”

              เสียงห้วนติดจะรำคราญเสียด้วยซ้ำไปของเปลวอรุณตอบกลับคนที่อยู่ๆก็เกิดอยากจะมีมนุษย์สัมพันธ์กับเขาขึ้นมาอย่างพิมพาที่กำลังนั่งอ่านนิตยาสารแฟชั่นอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี ไม่บ่อยหรอกที่พิมพาจะถามเขาอย่างคนร่วมบ้านแบบนี้มันจึงเข้าข่ายความแปลกอีกข้อที่เขานับ

              “ฉันก็แค่ถาม”

              “นั้นมันคำถามที่ฉันควรถามเธอมากกว่า” เขาย้อน “ไม่เข้าบ่อนหรือไงวันนี้”

              “ไม่ มีนัดไปสปาตอนเย็น” หล่อนว่าอย่างเกียจคร้าน

              นัยน์ตาสีเข้มกรอกไปมาก่อนจะแบะปากเล็กน้อยกับโปรแกรมชีวิตที่ดูจะหาเก่นสารอะไรไม่ได้เลย เปลวอรุณสาวเท้าเดินไปที่หน้าประตูบ้านถอนรองเท้าสลิปเปอร์สีน้ำตาลที่สวมในบ้านอยู่ออกแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้ารัดส้นเปิดหน้าเท้าอย่างที่เขาชอบใส่เวลาที่จะออกไปข้างนอกบ้านแทน

              อย่างที่บอกว่าตั้งแต่พิมพากลับมาจากการไปเที่ยวหลายๆอย่างรอบตัวเขาดูจะแปลกไป อีกอย่างหนึ่งที่เขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกตินั้นนอกจากการที่ตัวของพิมพาเองแล้วนั้นก็คือ ใครบางคนที่แอบตามเขา.........

              ตอนแรกเปลวอรุณเองก็คิดว่าคงเป็นคนช่างตื้ออย่างอัมรินทร์ที่แอบตามดูเขาเหมือนอย่างทุกครั้งเขาจึงไม่คิดสนใจอะไร ถ้าไม่เพราะวันนั้นที่เขาบังเอิญสังเกตเห็นว่ารถที่จอดอยู่ตรงที่ประจำของอัมรินทร์นั้นเป็นอีกคันและที่สำคัญคนที่อยู่ในนั้นมีถึงสองคน นอกจากคนแปลกหน้าพวกนี้จะเฝ้ามองดูการใช้ชีวิตประจำวันของเขาแล้วทุกย่างก้าวที่เขากำลังเดินอยู่นี้ก็มีหนึ่งในพวกนั้นตามมาอีกด้วย

              นี้มันเรื่องบ้าอะไรเนี้ย.....

              เปลวอรุณสถบด่าในใจตอนนี้นอกจากความหวาดระแวงแล้วสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกเลยก็คือความตึงเครียด เพราะไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไรด้วยแบบนี้แล้วความกังวลในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เปลวอรุณสาวเท้าเร็วไปตามทางเดินที่ปลอดผู้คนอย่างเคร่งเครียดก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนจากการเดินเป็นการวิ่งทันทีที่เลี้ยวตรงหัวมุมถนน

              “เฮ้ย!”

            เสียงร้องอย่างตกใจของชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่ถูกส่งให้มาตามดูเปลวอรุณกับครอบครัวร้องลั่นเมื่ออยู่ๆคนตัวขาวก็วิ่งหนีเขาทันทีถึงทางเลี้ยวซ้ำยังโยนถุงขยะสีดำที่อยู่ในถังขยะของบ้านหัวมุมมาใส่เข้าอย่างจัง

              ถุงขยะคงช่วยถ่วงเวลาได้ไม่นานเขาต้องรีบหนีอย่างน้อยที่สุดถ้าเขาไปยังแหล่งชุมชนได้เขาก็รอด

              เปลวอรุณนึกโทษตัวเองอยู่หลายรอบที่ไม่คิดออกกำลังกายจริงๆจังๆสักครั้งเพราะแค่วิ่งแค่นี้เขายังเหนื่อยแทบขาดใจแต่จะให้หยุดเขาก็คงทำไม่ได้ ถ้าแค่ปล้นเขาก็ยังพอยอมได้อยู่แต่ถ้าถึงขั้นลงไม้ลงมือคนอายุขึ้นเลยสามกลางๆอย่างเขาจะเอาอะไรไปสูงคนหนุ่มอย่างนั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้คือ วิ่ง วิ่งเท่านั้น...

            เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหวังจะให้พ้นจากสถานการณ์ระทึกใจนี้เสียทีอีกแค่ซอยเดียวเท่านั้นถ้าพ้นซอยนี้ไปได้ก็จะเจอตลาดกลางที่มีร้านขายของและผู้คนที่สันจรไปมา

            ขอแค่พ้นซอยนี้ไปได้เท่านั้น


            “ฮะ อุ๊บ”

           ตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ทันทีที่ท่อนแขนของเขาถูกมือปริศนาของบุคคลที่อยู่ในมุมอับสายตาของมุมกำแพงดึงเอาไว้พร้อมดันตัวเขาจนแผ่นหลังแนบชิดกับผิวสากของปูนคือการร้องขอความช่วยเหลือ

           “อื้มม ออ่อย”

         เปลวอรุณพยายามบังคับขื่นตัวเพื่อให้ออกจากการจับกุมพร้อมทั้งฝ่ามือหนาที่ติดจะกร้านอย่างคนทำงานหนักก็ปิดทับที่ปากเพื่อไม่ให้เสียงของเขาที่พยายามเปล่งมันออกมาหลุดออกไปให้ใครได้ยิน

          “นี้ผมเอง ใจเย็น”

         เสียงทุ่มห้าวที่เพิ่งแตกหนุ่มของคนที่แนบชิดอยู่ด้วยกันในพื้นที่แคบๆเรียกสติของเปลวอรุณที่มั่วแต่แตกตื่นให้กลับมาอีกครั้ง นัยน์ตาสีเข้มช้อนมองคนที่ตัวสูงกว่าตนเพียงไม่กี่เซนเพื่อให้แน่ใจก่อนจะคลายความระแวงลง


          ดวงตาของผู้ช่วยเหลือหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมองดูคนน่าสงสัยที่วิ่งเลยจากจุดที่พวกเขาซ้อนตัวอยู่พร้อมกับหันซ้ายทีขวาทีเหมือนพยายามหาบางอย่าง และถ้าเขาเดาไม่ผิดคนที่มันกำลังหาก็คงเป็นคนตัวขาวที่อยู่กับเขาตอนนี้แน่นอน ยิ่งคำพูดที่มันพูดกับใครสักคนผ่านโทรศัพท์ยิ่งทำให้เขาแน่ใจมากขึ้นมาเปลวอรุณคือเป้าหมายของมัน

          “เป้าหมายหายไปแล้ว”

           “..”

          “ใช่ เขารู้ตัวแล้ว

             “..”

            “เออๆๆ”


              ยิ่งพอแน่ใจแล้วตนเองคือเป้าหมายหลักที่มันตามอยู่อย่างที่คิดเลือดในกายของเขาก็ยิ่งเย็นเฉียบเหงื่อกาฬไหลซึมตามไรผมที่หน้าผาก เปลวอรุณยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

              “ดูเหมือนว่ามันจะไปแล้วนะ”

               เสียงของฮีโร่หนุ่มที่ช่วยเขาเอาไว้ดังขึ้นพร้อมกับแรงบีบเบาๆที่ต้นแขนเพื่อปลอบโยนเขาให้คลายความเครียดลงก่อนจะค่อยๆจูงมือเขาออกจากที่ซ้อน

               “ขอบคุณนะ”


              ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรือเพราะเหตุการณ์ตื่นเต้นเมื่อครู่กันแน่ที่ทำให้มือคู่ขาวของเขาซีดและสั่นอย่างห้ามไม่อยู่เช่นเดียวกับเสียงของเขาที่เปล่งออกมาดูจะสั่นๆอยู่เล็กน้อย

              “ไม่หรอก ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

               เปลวอรุณส่ายหน้าแทนคำตอบ

                “ดีแล้ว”  เด็กหนุ่มพึมพำ

               “แล้วนี้เพิ่งเลิกหรอ”

               คนที่สติสตางค์เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วเอ่ยถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผิวเข้มตรงหน้ายังอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของร้านค้าที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เจ้าตัวทำงานอยู่

                 “ครับ”

                  “งั่นไปกินข้าวกันไหม เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” เขาเสนอขึ้นอย่างน้อยก็เพื่อขอบคุณเด็กตรงหน้าที่ช่วยเขาเอาไว้

                  “ไม่เป็นไร ผมยังไม่หิว”

                   “น่ะ ถือว่าขอบคุณที่ช่วยเมื่อกี้อีกอย่างหนึ่งฉันมีเรื่องจะคุยกับตาลด้วย”

                    ตาล หรือ ลูกตาล เป็นเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบแปดปีแต่กลับต้องออกจากโรงเรียนแล้วมาหางานทำในกรุงเทพ เพราะความเหมือนต่างๆนี้แหละที่ทำให้เปลวอรุณอยากรู้จักเด็กคนนี้ยิ่งความสู้อดทนของตาลที่แสดงออกมาให้เขาเห็นด้วยแล้วก็ยิ่งชนะใจคนเย็นชาอย่างเขาได้ไม่ยาก

                   “เอ่อ เอางั้นก็ได้ครับ”

                    เด็กหนุ่มตอบรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มพิมพ์ใจแสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าจนเขาต้องเลียงไปมองทางอื่นแก้เก้อแทน ก่อนจะยอมทำตัวลดวัยเป็นเด็กน้อยสามขวบเดินตามแรงจูงของคนแก่กว่าเข้าไปในร้านก๊วยเตี๋ยวเป็ดร้านอร่อยที่อยู่ไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่ก่อนหน้าเท่าไร

                   เปลวอรุณเลือบมองไปด้านหลังของตนเล็กน้อยพอให้เห็นใบหน้าคมคลายของเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่เผยออกมายามมองท่าทีว่าง่ายบ่นเขินอายของเจ้าตัว


                    ท่าทางที่ไร้พิษภัยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจของเด็กหนุ่มนี้แหละที่ทำให้เขารู้สึกรักและเอ็นดูเด็กสู้ชีวิตคนนี้เป็นอย่างมาก.......

             



อีกด้านหนึ่ง

             

              “ทำไมทำอะไรไม่คิดกันอย่างนี้”

              ความผิดหวังเล็กๆในใจถูกเปล่งออกมาเป็นภาษาไทยสำเนียงจีนอันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงานใหญ่อย่างหย่งฟางดังขึ้นพร้อมสีหน้าที่แสดงออกมาเสียดายเป็นอย่างมากกับรายงายล่าสุดที่ได้รับมาจากลูกน้อย

             “ต้องขอโทษแทนคนที่ส่งไปด้วยครับ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าก้มหน้ารับผิดแทนเพื่อนร่วมงานที่ทำงานพลาดจนเป้าหมายรู้ตัว

             “ช่างมันเถอะ เรียกสองคนนั้นกลับมา” หย่งฟางสั่ง ลูกน้องหนุ่มคนนั้นรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อติดต่อสองคนที่ส่งออกไปให้กลับมาตามคำสั่ง

           “แล้วคุณจะเอายังไงต่อครับ” อีกหนึ่งที่ยังอยู่ในห้องเอ่ยถามอย่างสงสัย

            “ก็คงต้องหาแผนอื่น ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วเราคงจะใช้การแอบตามแบบเดิมไม่ได้แล้ว” คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

           หย่งฟางโบกมือไล่ให้ลูกน้องหนุ่มออกจากห้องไปก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนออกมากดข้อความบางอย่าง โดยไม่ทันได้สังเกตว่าลับหลังลูกน้องออกไปยังไม่ทันที่บานประตูจะปิดดีแขกอีกคนที่ไม่คาดคิดก็ก้าวแทรกผ่านเข้ามา

            “ดูมีความสุขจังเลยนะอาฟาง”  เสียงทุ่มเย็นๆของคนมาใหม่เจ้าของตัวจริงของห้องทำงานใหญ่ดังขึ้นเรียกให้คนหน้าเป็นที่กำลังก้มกดอะไรบ้างอย่างต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

             “กลับมาแล้วหรอ” หย่งฟางคลี่ยิ้มกว้างให้หนุ่มลูกครึ่งร่างใหญ่ในชุดสูทที่ก้าวเข้ามาประชิดร่างของเขาในระยะใกล้

            “กำลังเล่นสนุกอะไรอยู่” คนตัวใหญ่ถามพร้อมก้มหน้าคลอเคลียใบหน้าขาวอย่างคิดถึง

            “ก็เปล่านิ” หย่งฟางว่าพร้อมกับอ้าขาออกเพื่อให้อีกคนแทรกกายเข้ามาแนบชิดกับตนมากยิ่งขึ้น

             “แน่ใจหรอ”

            “แน่สิ”

              คนฟังหรี่ตามองเด็กซุกซนตรงหน้าที่ยกแขนคล้องคอเขาเอาไว้เหมือนต้องการเบี่ยงประเด็นความสนใจ แต่มีหรือที่เขาจะยอมคล้อยตามง่ายๆ

              “ฉันมีเวลาทั้งวันทั้งคืนเลยที่จะฟังนายอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น”

 
 
:hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 26-03-2017 12:15:10

:hao3:



              หลังจากเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่มีการสะกดรอยตามหรือเฝ้าดูเหมือนเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถ้าไม่นับอัมรินทร์น่ะนะ

              วันนี้เปลวอรุณทำเรื่องลางานทั้งวันเพื่อมาจัดการธุระสำคัญส่วนตัวแน่นอนว่าคนเอาแต่ใจอย่างอัมรินทร์งอแงใส่เขาทันทีที่โทรไปบอกเมื่อคืนทั้งยังพยายามจะตามเขาไปด้วยให้ได้โชคดีที่ว่ามีงานด่วนเข้ามาพอทำให้อีกคนไม่สามารถปลีกตัวตามเขามาได้

              ธุระสำคัญที่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องอะไรก็แค่การมาทำธุระเกี่ยวกับเอกสารที่อำเภอพร้อมกับเด็กหนุ่มลูกตาลพอเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวแล้วก็ซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนจะแยกกันในช่วงเย็น

              “เดี๋ยวผมกลับไปเอาของที่ห้องก่อนแล้วจะตามไปที่บ้านนะครับ” ตาลเอ่ยขึ้น

              “ได้ เย็นนี้อยากกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวฉันจะได้ทำไว้ให้” เปลวอรุณถามเสียงนุ่ม

              “แล้วแต่เลย”

              “ได้ไง มื้อนี้ฉันทำเพื่อเลี้ยงฉลองให้เราเลยนะ”

              ดวงตาสีเข้มจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มจนอีกคนต้องพลิกหน้าหนี และแน่นอนว่าตาลเองไม่สามารถปฏิเสธสายตาของคนตรงหน้าได้เหมือนกัน

              “กุ้งเผา ผมอยากกินกุ้งเผาแล้วก็ต้มจืดสาหร่าย” เด็กหนุ่มตอบ

               ด้วยเพราะพื้นเพเป็นคนทะเลทำให้ลูกตาลชอบที่จะกินอาหารทะเลเป็นทุนอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่เขาจะร้องขอกุ้งจากอีกคน ส่วนต้มจืดสาหร่ายก็เพราะเขาติดใจรสมือของเจ้าตัวที่เคยทำให้กินเมื่อครั้งก่อน

               ของง่ายๆแต่กลับจำได้ขึ้นใจ....

              เปลวอรุณยิ้มกับคำขอของลูกตาลก่อนจะพาเด็กหนุ่มมาส่งที่ห้องเช่าหลังตลาดก่อนที่ตัวของเขาเองจะวนรถหาที่จอดเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารค้ำในวันนี้

              ช่วงนี้พิมพาไม่ค่อยกลับบ้านถึงจะไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกคนแต่ถึงยังไงก็คนที่ร่วมบ้านเดียวกันบางมันก็อดไม่ได้จริงๆที่เปลวอรุณจะรู้สึกเป็นห่วง ยิ่งช่วงนี้อะไรๆก็ไม่น่าไว้วางใจด้วยแล้วถึงจะไม่ชอบยังไงอีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิงหากเกิดอะไรขึ้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

              มันก็ได้แค่คิดเพราะในความเป็นจริงแค่หน้าเขายังไม่อยากจะมองเลย ให้ตายเถอะ...

              เปลวอรุณสลัดความคิดที่อยู่หัวออกก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกซื้อของตรงหน้าให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับ เขาไม่อยากอยู่นอกบ้านนานเกินไปและไม่อยากกลับบ้านหลังพระอาทิตย์ตกด้วย

              ทันทีที่ถึงบ้านเปลวอรุณวางของไว้ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ก่อนจะเอาของที่ซื้อมาเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารโดยเริ่มจากการล้างกุ้งแม่น้ำที่ซื้อมาเพื่อล้างคาวออกกก่อนจะนำไปแช่ในน้ำเกลือระหว่างที่กำลังนำเตาย่างไฟฟ้าออกมาแทนเตาถ่านที่เขาไม่มีแต่หลังจากนี้เขาก็คิดว่าน่าจะหาซื้อเอาไว้ติดบ้านก็ดีเหมือนกันเผื่อว่าวันหลังถ้าลูกตาลอยากกินเขาจะได้ทำให้อีกฝ่ายกิน

              ระหว่างรอให้กุ้งสุกเปลวอรุณก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเอากระดูกหมูใส่ลงในหม้อซุปเพื่อให้ได้รสชาติรอสักพักให้น้ำเดือดได้ทีก่อนจะเริ่มใส่เนื้อหมูเต้าหู้ไข่ปิดฝาอีกรอบแล้วหันมาทำอาหารอย่างอื่นอีกสองสามอย่างเพื่อสำหรับวันพรุ่งนี้ไปด้วยเลย

              ใช้เวลาไม่นานอาหารหน้าตาน่าทานก็ถูกลำเลียงใส่จานแล้ววางที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้าน เช่นเดียวกับกุ้งตัวโตของโปรดเด็กหนุ่มที่วางอยู่ในจานรอให้เจ้าตัวมาทาน

              นัยน์ตานิ่งที่เจือไปด้วยความสุขเงยมองนาฬิกาแขวนที่บอกเวลาเกือบสองทุ่มอีกไม่นานคนที่บอกจะตามมาคงจะมาถึง เปลวอรุณจึงคว้าเอากระเป๋าที่วางอยู่ขึ้นไปเก็บที่บนห้องงก่อนจะกลับลงมาเพื่อเข้าไปในครัวจัดการเคลียร์ความสะอาดไปพลางๆเพื่อฆ่าเวลา หากแต่ร่างของเขาก็ต้องชะงักทันทีเมื่อหากตาเหลือบไปเห็นบานประตูหลังบ้านที่เขามั่นใจว่าปิดมันไว้อย่างดีแล้วเปิดแง้มอยู่เหมือนมีคนมาเปิดแล้วปิดไม่สนิท

              เปลวอรุณกวาดตามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวงพร้อมกับคว้าเอามือปลอกผลไม้ปลายแหลมที่อยู่ใกล้ติดมือมาด้วยแล้ววิ่งกลับไปที่กลางบ้านอีกครั้ง

              ตอนนี้เขาอยู่บ้านคนเดียวเป็นไปไม่ได้ที่ประตูจะเปิดออกมาเองส่วนพิมพานั้นตัดออกไปได้เลยถ้ารถไม่อยู่ตัวคนเองก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน แล้วใครกันที่อยู่ในบ้านนี้กับเขา


              ขโมย!!


            หมู่บ้านที่เขาอยู่เป็นหมู่บ้านเปิดเรื่องเวรยามรักษาความปลอดภัยละก็ตัดไปได้เลย ถึงบ้านเขาจะไม่เคยมีเหตุการณ์ขโมยขโจรขึ้นบ้านแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีทางเกิด

              ยิ่งตะหนักได้แบบนั้นหัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นกลัว จริงๆแล้วเขาจิตตกมาตั้งแต่วันที่โดนตามวันนั้นแล้วและยิ่งวันนี้มีขโมยขึ้นบ้านเขาอีกเป็นธรรมดาที่เขาจะร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผลอคิดว่า ผู้ร้ายในครั้งนี้เป็นคนคนเดียวกับที่ตามเขา

              ความหวาดระแวงเริ่มเพิ่มมากขึ้นเมื่อบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่อยู่ข้างใน !

              เปลวอรุณพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดความหวาดกลัวในใจของตนลงเพื่อใช้ในการประคองสติที่แตกให้กลับมาอีกครั้ง อย่างแรกเลยคือต้องโทรหาตำรวจ

              คนตัวขาวรีบปรี่เข้าไปที่โทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ของตนเองที่วางเอาไว้ที่โต๊ะกระจกหน้าทีวีอย่างมีความหวัง แต่ยังไม่ทันทีมือเรียวของเขาจะสัมผัสถูกมันใครบางคนที่ซ้อนตัวอยู่ในความมือของประตูหน้าบ้านก็พุ่งเข้ามาผลักเขาออกอย่างรวดเร็วจนมืดในมือกระเด็นออกไป


              !!


              “หยุด อย่าขยับ”

              เสียงตะคอกของชายที่สวมหมวกไอ้โม่งไว้ที่หัวกับผ้าปิดปากดังขึ้นพร้อมกับกระบอกปืนสีดำสนิทในมือที่จ่อมาทางเขา บวกกับเงาที่พาดผ่านเหนือหัวของเขาทำให้รู้อีกว่ามันไม่ได้มาคนเดียว

              “อย่าคิดทำอะไรโง่ๆละเข้าใจไหม” ผู้ร้ายพูดขึ้นพร้อมหยิบเอามืดที่เป็นเหมือนอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของเขาไปวางให้ไกลจากเขา

              “พวกแกต้องการอะไร” เขาพยายามเอาน้ำเย็นเขาลูบ อย่างน้อยที่สุดก็ขอแค่เขาปลอดภัยก็พอ

              “ถามแปลก โจรเข้าบ้านมันก็ต้องต้องการของอยู่แล้ว” นั้นสินะ เขาไม่น่าถามอะไรโง่ๆแบบนั้นไปเลย

              “บ้านนี้ไม่มีของที่พวกแกต้องการหรอกนะ”

              “มีหรือเปล่าไม่รู้หรอก แต่เข้ามาแล้วมันก็ต้องได้สักอย่าง” หนึ่งในนั้นว่าพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้เขาที่นั่งอยู่กับพื้น

              “บอกมาดีๆดีกว่าคนสวยว่าเอาเงินไปซ้อนไว้ที่ไหน”  เพราะแว่นตาดำกับผ้าปิดปากทำให้เปลวอรุณไม่สามารถคาดเดาหน้าตาที่แท้จริงของผู้ร้ายตรงหน้าได้ แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของทั้งสองคนก็พอเดาได้ว่าคนจะมีอายุอยู่ในช่วงวัยที่ห่างกับเขาไม่มากแต่สรีระนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งสิ่งที่อยู่ในมือของมันทั้งคู่เขายิ่งมองไม่เห็นทางรอดเลยสักนิดเดียว

              “ว่าไง นายคงไม่อยากให้ตัวขาวๆนี้ต้องมีรูเจาะอยู่บนร่างกายหรอกนะ” คนที่น่าจะแอบเข้ามาทางหลังบ้านเสริมขึ้น ขณะให้ปลายกระบอกปืนจ่อมาที่หัวเขาเป็นเชิงไล่ให้เขาลุกขึ้นจากพื้นไปนั่งบนโซฟา

              ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่เหมือนว่ามันจะจงใจวางปืนที่อยู่ในมือลงที่ตู้เล็กข้างโซฟาที่เขานั่งทั้งยังอยู่ในระยะที่เขาสามารถเอื้อมถึงได้แถมอีกคนก็ลดปืนที่จ่อที่ศีรษะเขาออกด้วย

              แล้วใครสนละ...

              ณ เวลานี้เขาไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่ามันเปิดโอกาสให้เขาหนีจริงหรือเปล่าแต่ในเมื่อมันมีทางรอดเขาก็มีแต่ต้องคว้ามันเอาไว้เท่านั้น

              เปลวอรุณอาศัยความเพรียวของร่างกายเอนตัวไปคว้าเอาปืนกระบอกนั้นมาถือไว้ในมือก่อนจะเสยหมัดฮุกเข้าไปที่หน้าท้องของผู้ร้ายที่อยู่ใกล้เพื่อเปิดทาง

              “เฮ้ย”

              เจ้าของปืนร้องเสียงหลง แล้วรีบถลาเข้าไปพยุงเพื่อนที่ล้มหงายหลังอยู่ที่พื้น

              ถึงจะเคยเรียนร.ด.มาตอนมัธยมแต่นั้นก็นานมาแล้วอีกทั้งเปลวอรุณไม่เคยจับปืนหรืออาวุธอะไรมาก่อนเขาไม่รู้หรอกว่ามันใช้ยังไงแถมมันยังหนักมากอีกด้วย

              “ยะ อย่าเข้ามานะ”

              “นายไม่กล้าหรอก”  คนร้ายท้าทาย

            ใช้ เขาไม่กล้ายิงมันจริงๆอย่างที่ว่า แต่ใช้ว่าเขาจะไม่กล้าขู่


           ปัง!

      เพร้ง!



              กระถางตัวไม้ที่ใช้ประดับในห้องรับแขกคือตัวเลือกที่เปลวอรุณใช้ลบคำสมประมาทของผู้ร้ายทั้งสองที่ยืนอยู่กลางบ้าน และมันได้ผลเมื่อพวกมันดูจะมีปฏิกิริยาตกใจกับสิ่งที่เขาทำ

              “ถ้าพวกแกเข้ามาฉันยิงจริงๆแน่ ออกไป!”

              ถึงมือที่จับปืนจะสั่นแต่เปลวอรุณก็พยายามอย่างยิ่งที่จะประคองมันเอาไว้อย่างน้อยตอนนี้ก็ขอแค่ไล่มันออกจากบ้านได้ก็พอแล้ว คนมีอาวุธพยายามเดินเลียบไปหยิบเอาปืนอีกกระบอกที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นขึ้นมา แต่คนไร้ทักษะอย่างเขามีหรือจะสู่คนร้ายที่ดูจะชำชองการต่อสู้เป็นอย่างดี

              ทันทีที่มือของเขาใกล้จะถึงปืนหนึ่งในนั้นก็รีบพุ่งเข้ามาใส่พร้อมบิดมือของเขาข้างที่ถือปืนอยู่จนปืนล้วงลงมา จนเขาเองที่เป็นผ่านจนมุมอีกครั้ง

              “แสบนักนะ” เสียงที่ดังออกมาเปลวอรุณยอมรับเลยว่าเขากลัวจับใจ ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธใดๆจะป้องกันตัวได้แล้วซ้ำยังคิดสู้กับโจรที่ถือเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ควรจะทำถ้าหวังถึงความปลอดภัย

              “คงไม่ว่านะถ้าฉันจำทำให้หัวเธอมีรู”

              ใต้ผ้าปิดปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับปลายนิ้วที่ค่อยๆจะเหนี่ยวไกย์ในมือ เปลวอรุณทำได้แค่หลับตาอย่างจำนนเขาไม่เหลือทางหนีอะไรอีกแล้ว

              แต่ถึงเขาตาย เขาก็ยังตายในบ้านของแม่...


              “เปลว!!”

              เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเสียงที่คุ้นเคยของใครบ้างคนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่เขาเห็นอยู่ทุกวัน การเตรียมใจที่จะตายของเขาถูกกระชากออกด้วยเสียงของความหวังที่ออกมาจากปากของ

              “คุณอัมรินทร์!”

              เขาไม่เคยรู้สึกดีใจที่ได้เจอผู้ชายคนนี้เท่ากับวันนี้เลยสักครั้งเดียว เขาดีใจ ดีใจจนน้ำตาของเขาไหลอาบแก้ม

              “เห้ย แกเป็นใคร”

              แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมามั่วตื่นตันกับการปรากฏตัวของเจ้านายหนุ่ม เพราะตอนนี้เป้าหมายของผู้ร้ายทั้งสองเปลี่ยนจากเขาเป็นอัมรินทร์แทน

              “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบพวกแก”

              อัมรินทร์ขบกรามแน่เมื่อเห็นว่าเปลวอรุณที่เขาอุตสาห์ถนอมมานั่งร้องไห้อยู่กับพื้นแม้จะไม่มีร่องรอยว่าโดนทำร้ายแต่แค่เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายก็มากพอที่จะชักนำความโกรธเกี้ยวเข้ามาในจิตใจของเขาทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าใส่ผู้ร้ายตรงหน้าอย่างไม่คิดเกรงกลัว

              หมัดหนักๆกระแทรกใส่หน้าของผู้ร้ายหมายแรกหนึ่งทักทีก่อนจะตามเข้าที่หน้าท้องของอีกคนหนึ่งที่หมายจะเขามารุมเขาเพื่อช่วยเพื่อน

              “คุณอัมรินทร์ระวัง”

              เปลวอรุณตะโกนขึ้นเมือเห็นว่าผู้ร้ายคนแรกที่โดนอัมรินทร์ต่อยลงไปยืนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับปืนในมือที่ชี้ไปที่อีกคน

              “ถ้าไม่หยุดกูยิงมึงจริงๆแน่” มันขู่

              อัมรินทร์มองมันสลับกับเพื่อร่วมทีมของมันที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะแย่งปืนในมือของหนึ่งในพวกของมันที่อยู่ใกล้มาถือเอาไว้พร้อมกับล็อคคอเอาไว้เป็นตัวประกัน

              “ถ้ามึงยิงกูยิงเพื่อนมึงแน่” อัมรินทร์ขู่ ก่อนจะหันไปสั่งให้เปลวอรุณที่ยังตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหลบที่ด้านหลังชั้นวางของที่ใช้กันระหว่างโต๊ะกินข้าวกับห้องนั่งเล่น

              อย่างน้อยก็ของให้เปลวอรุณปลอดภัยไว้ก่อน...

              ทั้งคู่หันกระบอกปืนเข้าประจันท์หน้ากันพร้อมสายตาที่ต้องอย่างไม่มีใครยอมใคร เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีทางรอดอื่นผู้ร้ายทั้งสองหันมาสบตากันเพื่อสื่อสารอะไรบ้างก่อนที่คนที่ถูกอัมรินทร์ล็อคตัวเอาไว้จะกระทุ้งศอกใส่ช่วงท้องของชายหนุ่มอย่างแรงจนตัวงอแล้วอาศัยจังหวะที่อัมรินทร์เสียการป้องกันซัดอีกหมัดเข้าที่ใบหน้าคมนั้นอย่างแรงแล้วฉวยเอาปืนกลับมาวิ่งออกจากบ้านไป

              “คุณอัมรินทร์”

              เปลวอรุณรีบผละออกจากหลังชั้นวางเข้ามาประคองอัมรินทร์ที่ล้มอยู่ที่พื้นอย่างเป็นห่วง

              “คุณเป็นยังไงมั่ง” เขาถามเสียงตื่น ยิ่งเห็นเลือกที่ไหลซึมจากมุมปลากของอีกคนเขายิ่งอยากจะร้องไห้

              “ไม่เป็นไร โอ๊ย!”

              “คุณอัมรินทร์”

            “ไม่เป็นไร แค่เจ็บนิดหน่อย”

              อัมรินทร์ยกมือปราม ถึงตอนแรกอยากจะอ้อนอีกคนสักหน่อยก็เถอะแต่พอเห็นหน้าขาวๆที่ซีดเป็นกระดาษไร้สีเลือดไหนจะคราบน้ำตาที่แก้มนั้นอีกละ ยอมรับเลยว่าแกล้งต่อไม่ลง

              “ไปนั่งที่โซฟาก่อนเถอะครับ”

              เปลวอรุณว่าพร้อมๆกับที่ยกเอาท่อนแขนหนาของอัมรินทร์ขึ้นพาดบ่าเพื่อช่วยพยุงคนตัวใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนเปลวอรุณจะลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง

              เขาตัวเล็กกว่าอัมรินทร์

             ด้วยจำนวนมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่าและหนักทำให้คนที่ยังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไม่ทันได้ไตร่ตรองอะไรให้ถี่ถ้วนเหมือนยามปกติ ทันทีที่จับแขนอีกคนขึ้นพาดได้เปลวอรุณก็รีบลุกพรวดขึ้นไม่บอกไม่กว่าให้อัมรินทร์ได้รู้ตัว ทำให้ผลสุดท้ายกลับเป็นตัวของเขาเองนั้นแหละที่เซถลาลงไปซบอกแกร่งของอีกคนอย่างแรง

              “อุก”

              อัมรินทร์เองก็ไม่ต่างอะไรกับเปลวอรุณมากนั้นเพราะตัวที่ใหญ่กว่าเลยกลายเป็นจุดถ่วงให้อีกคนและพอเปลวอรุณล้มลงมาทับเขาที่เป็นเหมือนเบาะรองที่มีตำหนิด้วยแล้วไม่แปลกที่เขาจะเผลอร้องออกมาเมื่อร่างโปร่งเพรียวล้มกระแทรกโดนช่วงท้องของเขาที่โดนกระแทรกจนคิดว่าตอนนี้คงจะเริ่มขึ้นสีช้ำแล้ว

              “อ๊ะ ผมขอโทษ”

              “ไม่เป็นไร”

              เปลวอรุณกำลังกลัว นี้คือสิ่งที่อัมรินทร์รู้

              ถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติยังไงแต่นัยน์ตาเรียบนิ่งที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวันมันไม่เหมือนเดิม อย่างที่ใครเคยพูดกันว่าแววตาจะสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาและตอนนี้สิ่งที่สะท้อนออกมาจากอีกคนมีแต่ความกลัว ความตกใจ นี้ยังไม่นับรวมต้นแขนทั้งสองข้างที่สั่นอยู่ในมือของเขาตอนนี้ด้วยนะ

              “ไม่เป็นไรแล้วเปลว เราปลอดภัยแล้ว”

              อัมรินทร์ฉุดคนที่กำลังดันตัวลุกขึ้นให้กลับมานอนทับเขาใหม่อีกครั้งพร้อมกับใช้โอกาสนี้กอดอีกคนเอาไว้แน่นแล้วลูบหลังไปมาเพื่อปลอดขวัญ

             “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี้แล้วฉันจะปกป้องเปลวเอง”

            ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์ยังกดจูบลงที่หน้าผากของเปลวอรุณอีกด้วย ตอนนี้เปลวอรุณกำลังขวัญหนีดีฝ่อกะจิตกะใจยังไม่กลับมาอยู่กับเนื้อคนที่รอเวลาดีแบบๆไม่ปล่อยให้พลาดแน่  จริงๆเขาอยากจะทำมากกว่านี้เถาะเล็มเปลวอรุณให้มากว่านี้จนกว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายบิดตัวออกจากเขาอยู่หรอก ถ้าไม่เพราะ

                    "เกิดอะไรขึ้น!"


____________________________________________________________________________


เปิดตัวหญ้าอ่อนที่แท้จริงของเปลวอรุณ(?)

ใช่หรอ แล้วงี้คุณอัมรินทร์ทำไงละถ้าต้องเจอคู่แข่งเป็นเด็กอายุสิบแปด!!

อย่าลืมไป say hello กันได้ที่เพจเด้อ หรือ ใครจะไปพูดคุยแบบส่วนตัวที่ทวิตเตอร์ก็ได้เนอะ wavery (https://twitter.com/PewTer2)

#อันเปลว #หนี้รัก มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความต้องการกันได้เลยเน้ออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 26-03-2017 12:29:10
ใคร?! ใครเข้ามาขัดจังหวะกัน?! :hao7:

คือสงสัยโจรนี่มาเองชิมิไม่ได้จัดฉากมา?

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 26-03-2017 12:48:32
มาปักไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-03-2017 13:21:56
กลัวแต่จะจัดฉาก
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-03-2017 23:20:01
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-03-2017 00:40:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 27-03-2017 11:40:30
สนุกมาก ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 27-03-2017 18:31:57
นังพิมมา!!!!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: tnkgif ที่ 28-03-2017 16:20:05
น้องตาลใช่มั้ย มาถูกเวลามากค่ะลูก  :katai2-1: อย่าให้นางช่วยโอกาสพี่เปลวนะ 55555555555555
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 5- 1/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 01-04-2017 12:42:51

เป็นหนี้ ครั้งที่ 5


             “เกิดอะไรขึ้น”

              เสียงห้าวติดจะหอบหนักๆของคนที่พรวดเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านทำให้คนที่กำลังเคลิ้มไปกับบรรยากาศรอบตัวอย่างเปลวอรุณได้สติกลับมา ด้วยความกระด้างอายที่พอมารับรู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังนอนทับอยู่บนตัวของอัมรินทร์ในท่าที่ดูล่อแหลมกันอยู่หน้าประตูทำให้เจ้าตัวรีบดีดตัวลุกขึ้นจากคนที่เขานอนทับต่างหมอนอย่างรวดเร็วจนเซเล็กน้อย

             “เปลว!”

             เสียงเรียกชื่อเขาอย่างตกใจของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมๆกับร่างของเขาที่เกือบจะวูบลงไปกับพื้นอีกครั้งแต่โชคดีที่ลูกตาลยืนอยู่ไม่ใกล้จึงเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน

              “เป็นอะไรไหมฮะ” เด็กหนุ่มถามขึ้น ยิ่งความซีดเซียวของใบหน้าและความออกแรงของร่างกายก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงก่อนจะตวัดสายตามามองใครอีกคนที่อยู่ในบ้านอย่างเอาเรื่อง

              “แกทำอะไรเขา” เด็กหนุ่มว่าเสียงลอดไร้ฟัน กล้าดียังไงมาทำรุ่มรามแบบนี้กลางบ้านคนอื่น

              “แล้วแกเป็นใคร” อัมรินทร์ไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามกลับพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

              “ปล่อยเปลวเดี๋ยวนี้ไอ้หนู” ดวงตาคมจ้องเขม็งอย่างไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เห็นเด็กเมื่อวานซืนที่ไหนก็ไม่รู้กำลังโอบกอดคนของเขาอยู่แบบนี้

              “ทำไมผมต้องทำตามที่คุณพูดด้วย” ตาลเองก็ไม่ยอม ซ้ำยังเบี่ยงตัวบังร่างของเปลวอรุณเอาไว้จนแทบจะจมอกของเด็กหนุ่ม

              “นี้แก”

            เปลวอรุณเป็นพวกห่วงตัวมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เจ้าตัวจะยอมให้จับเนื้อต้องตัวได้อย่างสนิทสนม แล้วไอ้เด็กนี้มันเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงกล้าที่จะเข้ามากอดคนของเขาแบบนี้ได้

              อัมรินทร์กับลูกตาลมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง แต่ก่อนที่จะเกิดสงครามประสาทขนาดย่อมของสองหนุ่มต่างวัยเสียงของระฆังห้ามทัพอย่างเปลวอรุณก็ดังขึ้น

              “พอเถอะน่าทั้งคู่เลย”

              น่าจะเพราะความอึดอัดที่เกิดจากความเครียดเมื่อครู่ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากสีอ่อนดูจะเหวี่ยงวีนติดจะเหนื่อยกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ให้ความรวมมือกันอย่างดีโดยการเปลี่ยนจากการจ้องตาหาเรื่องกันมาเป็นเข้ามาถามไถ่อาการของเขา

              ลูกตาลประคองเปลวอรุณไปนั่งที่โซฟาก่อนจะผละออกไปหายาดมกับน้ำมาให้ในขณะที่อัมรินทร์ก้มล้มเก็บเศษกระเบื้องของกระถางที่เป็นเหยื่อจากลูกกระสุนปืนเมื่อครู่ให้พ้นทางเพื่อไม่ให้ใครเผลอมาเหยียบมันเข้าโดยเฉพาะเปลวอรุณ

              “เอาไว้อย่างนั้นแหละครับเดี๋ยวผมเก็บเอง” เจ้าของบ้านว่า

              “ไม่เป็นไร” อัมรินทร์ว่าพร้อมกันโกยเอาเศษเล็กๆใส่กระดาษทิชชูแล้วห่อเอาไว้ก่อนนำไปทิ้งที่ถังขยะแล้วกลับมานั่งตรงที่ว่างข้างๆคนที่นั่งหลับตาอยู่บนโซฟา

              “รู้สึกเป็นยังไงมั่ง” เขาถามพร้อมกับท่อนแขนหนาที่สอดเขาที่หลังคอขาวแล้วค่อยๆโน้มหัวของเปลวอรุณให้มาซบที่ไหล่ของตน

              “เวียนหัว” เจ้าตัวตอบตามความเป็นจริง

              ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวว่าเพราะถ้าไม่งั้นป่านนี้เปลวอรุณได้ผละออกจากเขาแล้วไม่มีทางที่จะมานอนซบอกให้เขาโอบเล่นอยู่แบบนี้แน่

              “ยาดมฮะ”

            เปลือกตาสีอ่อนปรือขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยๆเอื้อมมือออกไปรับหลอดยาดมสีขาวที่อยู่ในมือของลูกตาลมาเปิดปลอดออก กลิ่นหอมเย็นๆของเป๊ปเปอร์มิ้นท์ช่วยทำให้สมองของเปลวอรุณโล่งขึ้นยิ่งได้น้ำเย็นๆเข้าสู่ร่างกายด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกสดชื้นขึ้นกว่าเดิม

              “ดีขึ้นไหมฮะ” ตาลถาม

              เปลวอรุณพยักหน้ารับทั้งยังให้ช่วงไหล่ของอัมรินทร์ต่างหมอน

              “แล้วนี้มันเกิดอะไรขึ้นฮะ ทำไมแจกันแตกแบบนั้นแถมยัง....” ลูกตาลเว้นวรรคเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ

              ถึงคำถามนั้นตาลตั้งใจจะถามเปลวอรุณเพื่อเอาคำตอบหากแต่สายตาที่มองกลับจ้องไปยังอัมรินทร์อย่างคาดคั้นแทน

              “มีโจรเข้ามา” เปลวตอบ

              “แล้วพวกมันทำอะไรคุณหรือเปล่า” ลูกตาลตาโตกลับประโยคที่ได้รับ

              ตอนแรกก็เอะใจอยู่หรอกเพราะตอนที่เขาเดินเข้าซอยมาเขาเจอเข้ากับผู้ชายแปลกหน้าสองคนที่พากันซ้อนรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่ออกไป และด้วยความคิดมากจึงรีบวิ่งมาที่บ้านเพราะเป็นห่วงจนมาเจอเข้ากับเหตุการณ์เมื่อครู่

              รู้สึกเหมือนมาขัดจังหวะยังไงก็ไม่รู้

              “ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่คุณอัมรินทร์เข้ามาทัน” คนได้ความดีความชอบยิ้มรับลอยหน้าลอยตาใส่เด็กหนุ่ม

              “แล้วทำไมเขาถึงเข้ามาทันเวลาละฮะ” อัมรินทร์ชะงักมือข้างที่กำลังลูบต้นแขนของเปลวอรุณทันที

            ยิ่งอัมรินทร์มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแบบนี้ด้วยแล้วคนที่จ้องจับผิดอยู่อย่างลูกตาลก็ยิ่งพุ่งเป้าความสนใจในคำตอบที่จะมาจากปากของชายตรงหน้ามากยิ่งขึ้น

              “ว่าไงครับ” ตาลย้ำ “คุณคงไม่ตอบว่าผ่านมาแถวนี้แล้วได้ยินเสียงแจกันแตกแล้วเข้ามาหรอกนะครับ” เด็กหนุ่มดักทาง

              คนที่เหมือนจะจนมุมเหลือบตามมองคนที่ยังนั่งซบไหล่เขาดมยาดมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งเปลวอรุณไม่หือไม่อืออะไรกับคำถามที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มผิวเข้มตรงหน้าเขาก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เขาแอบตามเจ้าตัวมาตลอดเปลวอรุณจะรู้แล้วหรือยัง

              “ว่าไงครับ”

              “ฉันก็แค่...”

              “ไปกินข้าวกันเถอะ”

              ยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะตอบของแคลงใจของเด็กหนุ่มเสียงเหนื่อยๆของเปลวอรุณก็ดังขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ เขาไม่รู้หรอกว่าอัมรินทร์จะหาข้ออ้างอะไรมาตอบคำถามเด็กหนุ่มหรือจะตอบออกไปตรงๆว่านั่งอยู่ในรถหน้าบ้านเขาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านเขาก็ไม่สน แค่ชายหนุ่มมาช่วยเขาทันเวลาแค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วจริงๆ

              “แต่..” ตาลพยายามจะแย้ง

              “อาหารเย็นหมดแล้วตาล” เปลวอรุณปราม ก่อนจะเงยขึ้นมามองอีกคน “คุณเองก็มากินด้วยกันสิครับ”

              “ได้หรอ” อัมรินทร์ถามกลับอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหูแม้ในใจนั้นจะพองฟู่คับบ้านขนาดไหน

              “ได้สิครับ ตอบแทนที่คุณช่วยผมไว้ไง” เปลวอรุณตอบกลับก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีตาลค่อยช่วยประคอง





              รอยยิ้มที่ฉีกกว้างเหมือนคนบ้าของอัมรินทร์ที่มีประดับอยู่บนหน้าตลอดเวลาตั้งแต่ที่เจ้าของบ้านเอ่ยปากชวนเขาร่วมโต๊ะแต่พอเวลาผ่านไปยังไม่จะถึงสิบหนาทีดีไอ้มุมปากที่ยกยิ้มอยู่นั้นก็คว่ำลงพร้อมใบหน้าบึ้งตึงทั้งๆที่เขาควรจะดีใจที่ได้กินข้าวกับเปลวอรุณ

              เมื่อไรไอ้เด็กนี้จะกลับ

              อัมรินทร์ได้แต่บ่นงึมอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกเสียงไปให้เปลวอรุณที่กำลังตักต้มจืดร้อนๆที่เพิ่งไปอุ่นมาใหม่ใส่ถ้วยน้ำซุปขนาดเล็กให้เด็กหนุ่มที่นั่งยิ้มเยาะเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่เกรงกลัวเลยว่าเปลวอรุณจะเงยหน้ามาเห็นความร้ายกาจของตัวเองได้ยิน

              “พอกินได้ไหมตาล” น้ำเสียงนิ่งๆของเปลวอรุณเอ่ยขึ้น

              “ได้ฮะ”

              “ดีแล้ว กุ้งเกาะเองได้นะ”

              “ฮะ”

              และแน่นอนว่ายิ่งเปลวอรุณทำทีเป็นเอาอกเอาใจได้เด็กที่ชื่อลูกตาลมากเท่าไรคนที่ถูกเชิญให้มานั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างอัมรินทร์ก็ยิ่งตีหน้ายักษ์ไม่พอใจ

              “เปลวตักแกงจืดให้ฉันมั่งสิ” พร้อมกับร้องขอความสนใจจากคนข้างกาย

              “ตักเองสิครับ ช้อนตักก็อยู่ไม่ไกล”

              “นะเปลว ตักให้หน่อยนะ” อัมรินทร์ออดอ้อน

              ลูกตาลมองการกระทำที่ดูจะขัดกับอายุของผู้ใหญ่ตัวโตตรงหน้าอย่างนึกขำก่อนจะก้มลงกินข้าวในจานของตัวเองจนหมดเงียบๆ ส่วนสายตาก็มองผู้ใหญ่ทั้งสองที่อีกหนึ่งดูจะตื้อร้องหาความสนใจในขณะที่อีกคนเอาแต่นิ่งเฉย

              น่าสนุก

              “แล้วทำไมนายยังไม่กลับบ้านอีก”

              หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จอัมรินทร์ก็เปิดปากพูดกับเด็กหนุ่มขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้วถึงเด็กตรงหน้าจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้วก็เถอะ แต่กลับบ้านดึกๆดื่นๆแบบนี้พ่อแม่ไม่ห่วงหรือไง

              “อันนั้นผมต้องถามคุณมากกว่า ไม่กลับบ้านหรอครับ” ลูกตาลย้อนถามขณะก้มหน้าก้มตาเช็ดทำคามสะอาดโต๊ะกินข้าว

              “ดึกแล้วเด็กอย่างนายควรกลับบ้าน ส่วนฉัน ฉันโตแล้วจะไปไหนก็ได้” เขาว่าพลางรับเอาที่ประคบเย็นจากเปลวอรุณมาประคบที่ช่วงท้อง

              “แต่ผมว่าคนที่ควรกลับคือคุณนะครับ” เปลวอรุณว่า ขณะประคบเย็นที่ข้างแก้มให้อัมรินทร์

              “อ้าว ทำไมเปลวไล่แต่ฉันละ” ถ้าเขากลับไอ้เด็กนี้ก็ต้องกลับด้วย ใครจะยอมปล่อยปลาย่างเนื้อนุ่มกลิ่นหอมนี้ไว้กับแมวจรจัดกัน ไม่มีทาง...

              “นี้ อ๋อ จริงสิ”  เปลวอรุณที่ตั้งท่าจะท้วงคำพูดของอีกคนก็นิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป

              “จริง ? จริงอะไรหรอ” อัมรินทร์ถามหน้าเหลอมองเปลวอรุณที่กวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้

              “คุณอัมรินทร์ครับ นี้ลูกตาล ลูกชายบุญธรรม ของผมเอง”

               “สวัสดีครับ”

               อัมรินทร์อ้าปากมือชี้ค้างไปที่คนถูกแนะนำที่กำลังยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยักคิ้วยียวนให้คนที่ดูจะนิ่งอึ่งไปกับสถานภาพของเจ้าหนุ่มหน้ากวนตรงหน้า

                 “ละ ลูก”

              “ใช่ครับ ผมตาลลูกชาย แม่เปลว เองฮะ” ลูกตาลยิ้มกว้างตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงนี้อย่างยินดี ผิดกลับคนเป็นแม่

              “เดี๋ยวนะตาล ทำไมต้องเป็นแม่ด้วย” เปลวอรุณท้วงหน้าเครียด กับสรรพนามใหม่ที่เด็กหนุ่มใช้เรียก

               ลูกตาลหยักไหล่ไม่สนใจคำทักท้วงนั้นแต่หันมามอมอัมรินทร์ด้วยสายตารู้ทันแทน ผู้ชายเหมือนกันมองตากันทำไมจะไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่

              “นี้ก็ดึกแล้วเมื่อไรคุณจะกลับสักทีละครับ” ลูกตาลกอดอกย้อนถามอมริทนทร์อย่างเหนือกว่า

                ไอ้เด็กนี้...

 



            “ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนผมวางเอาไว้ให้ตรงนี้นะครับ”

              เสียงนิ่งของเปลวอรุณเอ่ยขึ้นพร้อมวางผ้าขนหนูสีขาวกับเสื้อยืดตัวใหญ่พร้อมด้วยกางเกงเอวยางยืดสำหรับใส่นอนไว้ที่ปลายเตียงนอนในห้อง

              “แล้วเปลวจะไปไหน” อัมรินทร์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนพลิกกายเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

              “ผมจะไปดูตาลที่ห้องหน่อยแล้วจะเอายาแก้อักเสบมาให้คุณด้วย” เปลวอรุณตอบ

              “ฉันนึกว่าเปลวจะมาช่วยฉันอาบด้วยสะอีก” ชายหนุ่มเย้า

              “ไม่ใช่เรื่อง คุณไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น”

              เปลวอรุณว่าอย่างไว้ตัว แต่พอจะกลับตัวร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มอย่างอัมรินทร์ก็เข้ามาประชิดตัวทั้งยังกักตัวขาวๆของเปลวอรุณไว้ในอ้อมแขนแน่น

              “ปล่อยครับ” เจ้าตัวขาวสั่ง

              “ไม่”

              “คุณอัมรินทร์”

              “เปลวไม่คิดที่จะใจอ่อนให้ฉันจริงๆหรอ”

              “...”

              “ไม่เห็นใจฉันหน่อยหรอ” ใบหน้าคมซบลงกับไหล่เล็กเหมือนจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ

              “เห็นใจเรื่องอะไรหรอครับ” เขาย้อนถาม

              “หลายๆเรื่อง”

              หลายๆเรื่องที่ว่านี้คงจะรวมถึงเรื่องที่แอบสะกดรอบตามชีวิตเขาด้วยสินะ...

              “ผมให้คุณค้างที่นี้ให้นอนในห้องของผมแค่นี้ผมก็อ่อนให้คุณมากพอแล้ว ถ้ายังจะเรียกร้องอะไรอีกผมจะไล่คุณกลับ” อัมรินทร์ยิ้มให้กับคำพูดแสนน่ารักที่ออกมาจากปากของคนหน้านิ่ง

              “อย่าไล่ฉันเลยเปลว”

              “ปล่อย” เปลวอรุณสั่งอีกครั้งพร้อมบิดตัวออก

              “ตอนนี้ฉันจะปล่อยให้เปลวหนีฉันไปก่อน แต่ถึงเวลาเมื่อไรต่อให้เปลวหนีฉันไปไกลสุดขอบโลกแค่ไหนเปลวก็หนีฉันไม่พ้นหรอกนะ”

              อัมรินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างรักใคร่โดยที่มีรอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นชัดในแก้วตาใสสีเข้มพร้อมๆกับอ้อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบตัวของเปลวอรุณจะค่อยๆคล้ายออก

               ครั้งพอเห็นว่าอัมรินทร์ไม่คิดจะรั้งตัวเขาเอาไว้เหมือนแต่แรกเปลวอรุณจึงผลักคนตัวใหญ่ออกแล้วเดินหนีออกจากห้องไป ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่หัวใจของเขามันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่จริงๆเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับน้ำคำหวานหูแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ไหนจะดวงตาคมที่สะท้อนเพียงแค่ตัวเขา

               เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหวไปกับความใกล้ชิด

               เขากลัว...

               ยิ่งจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตานั้นมาเท่าไรความกลัวก็ยิ่งแล่นเข้ามาในใจของเปลวอรุณมากจนต้องหันหลบสายตา เขากำลังกลัว กลัวในความหมายบางอย่างที่ซ้อนอยู่ในแววตาที่จ้องมาสบ



               อัมรินทร์มองตามแผ่นหลงเล็กที่เดินหนีออกไปจากห้องด้วยรอยยิ้ม ความหมายที่เขาต้องการสื่อมันออกมาให้คนตรงหน้ารับรู้มันก็ตรงตัวกับคำพูดที่เขาพูดออกมา

               ตอนนี้เขาก็แค่รอเวลา...

              คนเจ้าเล่ห์แสนกลเดินหายเข้าไปในห้องน้ำจัดการอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวจากความเหนื่อยล้าที่มีมาตลอดทั้งวันก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ กางเกงเป็นแบบยางยืดเขาพอจะใส่ได้อยู่แต่เสื้อยืดที่อีกฝ่ายเอามาให้นี้สิน่าหนักใจ

              อัมรินทร์พลิกเสื้อยืดสีขาวในมือไปมาอย่างชั่งใจอยู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่งของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเปลวอรุณก็ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเขา

Rrrrrrr

            ชื่อปลายสายที่ปรากฏบนหน้าจอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากญาติผู้พี่หน้าเถื่อนที่ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าอะไรที่ไปดลจิตดลใจให้มันโทรหาเขาในเวลานี้ ถ้าไม่ใช่...

              // เมื่อไรจะกลับ // นั้นไง

              “อยู่บ้านเปลว”

              //มึงจะนอนนั้นเลยหรือไงวะ//

              “ก็เจ้าของบ้านเขาให้นอนกูก็ต้องนอนสิ” เขาว่ายิ้มๆพร้อมกับถือโอกาสนี้โดดขึ้นเตียงนอนนุ่มของเปลวอรุณอย่างถือวิสาสะ

              // หมายความว่าไง // อนิรุทธิ์ชะงักถาม

              “ตอนนี้กูอยู่ในบ้านเปลวและที่สำคัญกูนอนอยู่บนเตียงของเปลวด้วย” เจ้าตัวอวด

              // ตอแหล // ใครมันจะเชื่อ

              ก็คิดอยู่แล้วว่าพี่ชายต้องไม่เชื่อดังนั้นอัมรินทร์จึงทำการเปลี่ยนโหมดการโทรใหม่เป็นแบบวีดีโอเพื่อให้คนที่ประณามเขาเมื่อครู่ถอนคำพูด

              //เฮ้ย!!!//

              อนิรุทธิ์ร้องสุดเสียง ยิ่งอัมรินทร์คว้าหมอนหนุนสีขาวที่วางอยู่ข้างๆมากอดมาหอมให้เขาดูเพื่อยืนยันคำพูดด้วยแบบนี้เขายิ่งพูดไม่ออก

              เอาจริงดิ...

              “เชื่อกูยัง” เจ้าตัวเยาะ

              // ได้ไงวะ //

              “คืนนี้กูไม่กลับนะ ฝากจุ๊ฟหัวบอกฝันดีคุณมณีนิลให้ด้วยละ บาย”

              // ฮะ..ตู๊ดดดดดด //

              อนิรุทธิ์สถบหยาบใส่น้อยชายที่นอกจากจะไม่อธิบายอะให้เขาฟังแล้วยังยัดเยียดภาระหน้าทีอันยิ่งใหญ่มาให้เขาอีกต่างหาก

            “สงสัยแกจะได้แม่แล้ววะคุณนิล”

              ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองไปยัง คุณนิล หรือ คุณมณีนิล สุนัขพันธุ์โดเบอร์เมนเพศเมียวัยหนึ่งปีที่นอนหมอบอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นที่นอนมองเขาอยู่

            แล้วเรื่องที่จะถามก็ไม่ได้ถาม



 

ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากนักสำรวจตัวน้องที่กำลังใช้สายตาซุกซนมองนู้นดูนี้ให้หันกลับมาสนใจบานประตูห้องที่เปิดเข้ามาโดยเจ้าของห้องตัวจริง

              “ช้าจังเลยเปลว”  เขาหันไปพูด ดูจากการแต่งตัวของอีกคนแล้วท่าทางเปลวอรุณคงจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้วแต่ถึงอย่างนั้นคิ้วเข้มของอัมรินทร์ก็ขมวดเป็นปมเน้นเมื่อพิจารณาเจ้าชุดนอนผ้านื้อลื้นสีขาวที่อยู่บนตัวของเปลวอรุณ

                ชุดนอนผู้หญิง

                 ถึงจะเป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขาสั้นแบบเข้าชุดก็เถอะแต่มองยังไงๆมันก็ดูออกว่าเป็นชุดนอนผู้หญิงอยู่ดี คนถูกมองหรี่ตาใส่พร้อมๆกับใบหน้าที่เริ่มแดง

                   “มองแบบนี้หมายความว่ายังไง” เปลวอรุณถามเสียงห้วนกลบเกลี่ยนความเขินอายบ่นโกรธของตน แน่ละใครที่โดยมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมยังยิ้มขำแบบนี้อีกใครไม่โกรธจนหน้าร้อนก็ไม่รู้จะพูดไงแล้ว

                     ก็มันใส่สบายนิ...

                     “เปล่า” อัมรินทร์ยิ้มขำ “นั้นเอาผ้ามาประคบให้ฉันใช่ไหม มาๆๆ” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่าเปลวอรุณเริ่มจะหน้างอใส่เขาที่เอาแต่ยิ้มล่อ

                       “แล้วทำไมคุณถึงไม่ใส่เสื้อ” เปลวอรุณถามพลางมองแผ่นอกหนาและกล้ามหน้าท้องเป็นลอยของคนตรงหน้า ไหนจะกางเกงเอวยืดที่ดูจะโหลดต่ำจนน่าหวั่นใจนั้นอีก

                        “ก็มันใส่ไม่ได้ อีกอย่างเดี๋ยวพอเอาผ้าประคบก็ต้องถอดออกอยู่ดี” อัมรินทร์บอก ก่อนจะพาร่างกายสมส่วนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์ของตนมาแอ่นกายเหยียดขาอยู่กลางเตียง

                         ถึงจะยังเคืองที่ถูกคนตัวโตล่อเลียนการแต่งตัวด้วยสายตาแต่เปลวอรุณก็ยอมที่เดินเข้ามานั่งที่ขอบเตียงส่งยาเม็ดเล็กให้อีกคนพร้อมน้ำดื่ม ก่อนจะเริ่มทายาและประคบในส่วนที่เริ่มช้ำจนเห็นชัด

                        มุมปากช้ำเล็กน้อยแค่ประคบสักสองสามวันก็น่าจะหายแต่ตรงท้องนี้สิที่น่าห่วง
 
                       “ขอบคุณ” เปลวอรุณว่าเสียงแผ่ว

                        “หื้อ”

                       “ผมบอกว่าขอบคุณ” เขาเพิ่มเสียงขึ้นอีก

                     “เรื่องอะไรครับ” อัมรินทร์ว่าเสียงหวาน ขยับใบหน้าหล่อที่มีเจลเย็นทาบอยู่ที่แก้มเข้าใกล้เลขาคนสวยของตนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบหน้าเขา

                   “เรื่องวันนี้” เสียงอ้อมแอ้มของคนที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบยามที่เขาเข้าใกล้มาน่ารักน่าแกล้งจนแทบอดในไม่ไหว

                  “เรื่องเล็กน่า ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะปกป้องเปลวเอง”

                   “...”

                   “ต่อจากนี้ถ้าเปลวมีปัญหาอะไรบอกฉันได้เลยนะ ฉันพร้อมเสมอถ้าเป็นเรื่องของเปลว”

                   ใบหน้าขาวค่อยๆเงยขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงนุ่มที่อยู่ห่างไม่ถึงสิบเซน ถึงจะไม่รู้ว่าเขาควรจะเชื่อใจในน้ำคำของอัมรินทร์ได้มาน้อยแค่ไหนแต่เขาเองก็รู้สึกขอบคุณคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยในเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

              ถ้าอัมรินทร์ไม่แอบตามเขามาแล้วจอดอยู่หน้าบ้านเขาเองก็คิดไม่ออกจริงๆว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น



 
              ทั้งๆที่คิดว่าเมื่อคืนจะเป็นค่ำคืนแสนล้ำค่าที่เขาได้ร่วมเตียงเคียงหมอนกับเปลวอรุณแล้วแท้ แต่พอเอาเข้าจริงนอกจากจะไม่ได้กอดสมใจเขายังนอนไม่หลับทั้งคืนอีกต่างหาก

              “ไหวหรือเปล่าลุง”

              ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทักหรอกแต่พอเห็นใบหน้าที่ดูจะอิดโรยกว่าเมื่อวานที่เจอกันไหนจะใต้ตาคล่ำๆเหมือนคนอดนอนนั้นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆที่จะถามออกไป

              “ใครเป็นลุงแก” อัมรินทร์ส่วนกลับ กูอ่อนกว่าแม่มึงอีก...

              “เอ้า ไม่ให้เรียกลุงจะให้เรียกไร เรียก พ่อ หรอ” เด็กหนุ่มประชดก่อนจะยกแก้วนมในมือขึ้นดื่ม

              “ได้ไหมละ เรียก พ่ออัน เร็วไอ้หนู” ให้เรียกพ่อก็เข้าทางสิ มีแม่แล้วไม่มีพ่อได้ไง

              “รอให้แม่เปลวของผมเอาลุงเป็นผัวก่อนแล้วกันผมถึงจะเรียก”  อัมรินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจกับความรู้ทันของเด็กหนุ่มตรงหน้า

              สองหนุ่มมองหน้ากันเหมือนก่อนจะยุติการสนทนาสั้นๆของพวกเขาลงแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าตรงหน้าทีเปลวอรุณเตรียมไว้ให้ วันนี้ตอนเช้าไม่มีอะไรที่เร่งด่วนทำให้อัมรินทร์จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบกับการกินมื้อเช้าแสนอร่อยตรงหน้าเท่าไร

             “เดี๋ยวจานผมล้างให้เอง แม่เปลวไปทำงานเถอะ” ตาลอาสาขึ้นเมื่อเห็นเปลวอรุณกำลังยกจากกลับไปในครัว วันนี้เขาเป็นวันหยุดจึงมีเวลาว่างทั้งวัน

              “เอางั้นหรอ”

              “ฮะ”

              “งั้นฝากด้วยละกัน จะออกไปไหนก็ล็อคบ้านให้ดีๆละ” เปลวอรุณกำชับพร้อมกับส่งกุญแจสำรองที่เขาเพิ่งเอาปั้มมาใหม่ให้ลูกตาลรับไป

              “ครับแม่” เด็กหนุ่มยิ้มรับ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาให้เรียกว่า แม่ แบบนี้

              อัมรินทร์ที่ไม่อยากจะขัดจังหวะสองแม่ลูกก็ทำเพียงแค่แตะเบาๆที่ข้างเอวของเปลวอรุณเป็นสัญญาณให้เจ้าตัวสิ้นสุดการล่ำลายามเช้า

              ลูกตาลเดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตูรั้ว แต่ยังไม่ทันทีเปลวอรุณกับอัมรินทร์จะเดินพ้นบานประตูบ้านไปขึ้นรถของอัมรินทร์ที่จอดรออยู่ รถยนต์สีขาวที่แสนคุ้นเคยก็ขับมาจอดหน้าบ้านอย่างรวดเร็วทำเอาคนหน้านิ่งดึงหน้าตึงอย่างไม่พอใจทันที

              “นี้มันอะไรกัน”

              พิมพาถามขึ้นเสียงดังทันทีที่ออกมาจากตัวรถนัยน์ตาที่แฝงความหงุดหงิดเอาไว้กวาดมองผู้ชายแปลกหน้าทั้งสองที่ยืนขนาบข้างเปลวอรุณอย่างนึกสงสัยก่อนที่เรียวปากบางจะเหยียดยิ้มออกมา

              “อ๋อ นี้พอฉันไม่อยู่แกก็ลากผู้ชายมานอนกกในบ้านถึงสองคนเลยงั้นหรอ”

              “หุบปากของเธอสะพิมพา” เปลวอรุณพูดเสียงนิ่งแต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

              หายไปตั้งสองวันกลับมาก็ปากหมาเลยนะ....

              “ทำไม ฉันพูดแทงใจหรือไง” พิมพาเหยียดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อัมรินทร์เหมือนสำรวจ

              “รสนิยมดีนิ เลือกผู้ชายรวยนี้กะจะสบายไปทั้งชาติเลยละสิ” หล่อนว่าด้วยสายตาเป็นประกายยามจ้องมองสูทอามานี่เนื้อดีกับนาฬิกาเรือนหรูที่แนบอยู่กับข้อมือหนาของอัมรินทร์

              “ฉันนะไม่ใช่เธอที่คิดจะเกาะผู้ชายกิน”  เปลวอรุณกอดอกมองหน้าพิมพานิ่ง

              “นี้แก”

              “อีกอย่างนะ นี้คุณอัมรินทร์เจ้านายของฉัน” พิมพาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรกับคำแนะนำของเปลวอรุณ

              ใครจะรู้...

              “ส่วนนี้ตาลลูกชายของฉัน”

               “ลูก แกไปมีลูกตอนไหนทำไมฉันถึงไม่รู้”

               “แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอทุกเรื่องด้วย แต่ไหนๆก็รู้แล้วจำเอาไว้อีกสักเรื่องก็ดีนะตั้งแต่วันนี้ไปตาลจะมาอยู่ที่บ้านนี้”

              “อะไรนะ” พิมพาแว๊ดเสียงขึ้นสูงอย่างตกใจ

              “นี้แกจะบ้าหรือไง ทำไมถึงคิดจะเอาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้เข้ามาอยู่ที่บ้าน”

              “แล้วเธอละมีหัวนอนปลายเท้าหรือไง”

              “แก!”

              “นี้บ้านฉัน การที่ฉันจะเอาใครเข้ามาอยู่มันเรื่องของฉัน แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะลูกชายฉันฉันเลี้ยงเองได้ไม่รบกวนเธอหรอกเพราะขนาดขนาดผีไร้ญาติที่คอยเกาะแข่งเกาะขาขอส่วนบุญจากฉันอย่างเธอฉันยังเลี้ยงมาได้ตั้งสิบปีกะอีลูกคนเดียวฉันไม่ตายหรอก ไม่ต้องห่วง”



_______________________________________________________________

มาแบ้วๆๆ

ตอนแรกว่าจะมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ตบตีแพ้เน็ตหอเลยต้องเด้งมาเป็นวันนี้แทน อิอิ


วันนี้มาเบาๆกับความหวั่นไหวเล็กๆของเปลวอรุณ


อาจดูเหมือนยืด แต่ก็ยืดนั้นแหละ

แล้วไงอะ

วางพล็อตไว้หมดแล้วจะยืดเนื้อเรื่องในตอนยังไงก็ได้
 :hao7:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 5- 1/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-04-2017 15:59:42
ผลิกล็อก
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 5- 1/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 01-04-2017 16:18:10
เอิ้มม งง เบาๆ
รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 5- 1/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-04-2017 23:15:03
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 5- 1/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 02-04-2017 09:09:20
อ้าว..เป็นลูกชายสะงั้น
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 04-04-2017 19:09:02

เป็นหนี้ ครั้งที่ 6​




                 “นี้แกว่าฉันหรอ” พิมพาหน้าแดงก่ำอย่างโกรธเคียงง้างมือขึ้นสูงเตรียมจะตบเปลวอรุณที่กล้าต่อว่าเธอเสียๆหายๆต่อหน้าคนอื่น  อัมรินทร์ที่ยืนอยู่ตรงกลางจึงรีบก้าวออกมาข้างพิมพาที่โกรธจนหน้าแดงไม่ให้เข้าไปทำร้ายเปลวอรุณ

              “ฉันกำลังชม เพราะถ้าคนมันมีจิตสำนึกจริงๆมันคงไม่เกาะคนอื่นเป็นปลิงแบบนี้แน่” เปลวอรุณยังคงสรรเสริญความดีของพิมพาต่อ

              “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”

              พิมพากรีดร้องออกมาเสียงดังเมื่อไม่สามารตอบกลับคำพูดของผู้ชายตัวขาวตรงหน้าได้ หล่อนจึงเลือกที่จะกระแทรกส้นสูงเดินเข้าบ้านไปโดยไม่วานที่จะจงใจเดินชนไหล่เปลวอรุณกับลูกตาลด้วยอย่างหาที่ระบาย

              เปลวอรุณมองตามหลังคนที่อายุเยอะกว่าไปอย่างระอา จะไม่มีวันไหนเลยใช่ไหมที่เจอหน้ากันแล้วไม่ปัญหากันแบบนี้เนี้ย

              “ต้องขอโทษคุณด้วยนะครับที่ต้องให้มาเจออะไรแบบนี้ ตาลด้วยนะอย่างไปสนใจพวกผีเจาะปากมาพูดเลย” เจ้าตัวหันไปขอโทษคนทั้งสอง โดยเฉพาะลูกตาลที่ตกเป็นหัวข้อในบทสนทนาดูจะหน้าเจือลงอย่างเห็นได้ชัด

              “บางทีป้าแกอาจพูดถูก” ตาลว่าเสียงสลด เขามันไม่มีหัวนอนปลายเท้าจริงๆนั้นแหละ...

              “อย่าคิดอย่างนั้น” มือบางเอื้อมออกไปรั้งเด็กหนุ่มตรงหน้าเขามากอดปลอบ

              “ตาลเป็นลูกฉัน ใครจะพูดยังไงก็ไม่ต้องไปสนใจ” เขาบอก

              ลูกตาลพยักหน้ารับ

              “ฉันว่าให้ตาลไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วออกไปด้วยกันดีกว่า ให้อยู่บ้านตอนนี้ฉันว่าจะอึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ” อัมรินทร์เสนอ

              ซึ่งเปลวอรุณเองก็เห็นด้วยกันกับคำพูดของอัมรินทร์ขืนปล่อยให้ลูกตาลอยู่บ้านกับหมาบ้าอย่างพิมพาตอนนี้ละก็เขาก็เดาไม่ออกจริงๆว่าผู้หญิงคนนั้นจะสรรหาคำพูดอะไรมาทำร้ายจิตใจเด็กอีก

              ไม่ใช่ว่าไม่สังเกต แต่เพราะสังเกตนี้แหละถึงได้เห็นว่าตอนที่พิมพาเดินลงจากรถสภาพของหล่อนดูคล้ายจะระแวงอะไรอยู่สักอย่างเลยกลบเกลี่ยนความหวาดระแวงของตัวเองโดยการหาที่ระบายสักคนและเมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ลูกตาลเลยตกเป็นเป้าแทน

              “ก็อย่างที่คุณเห็นผู้หญิงคนนั้นชื่อ พิมพา เป็นเมียใหม่ของพ่อผมที่เสียไป”  เปลวอรุณกล่าวเสียงเนิบ

              ตอนนี้พวกเขามาถึงบริษัทของอัมรินทร์เรียบร้อยแล้วแต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตอนก่อนจะออกมาทำให้อัมรินทร์ไม่คิดจะปล่อยผ่านเลยเรียกให้เปลวอรุณกับลูกตาลเข้ามาคุยกับเขาในห้อง

              “ดูเหมือนเปลวกับแม่ใหม่จะไม่ถูกกันด้วยสินะ” อัมรินทร์เสริมขึ้น หลังจากได้เห็นอีกด้านของเปลวอรุณที่ดูจะเป็นใจเย็นแล้วฟันธงได้เลยว่าแม่ใหม่นี้ดูจะแสบเอาเรื่องเหมือนกัน

            ยอมรับเลยว่าตอนแรกที่ได้ยินถ้อยคำร้ายกาจที่เปลวอรุณใช้ดีแสกหน้าแม่เลี้ยงบอกตรงๆเลยว่าเขาเองก็ยังอึ่ง ใครจะมันจำคิดละว่าคนพูดน้อยจะต่อยหมัดได้แรงจนแสบถึงทรวงได้ขนาดนี้

              “แล้วที่คุณเห็นมันเป็นการแสดงความรักหรือไง”

ยิ่งคำพูดห้วนๆไร้ซึ่งหางเสียงที่เหวี่ยงอารมณ์สวนกลับมาของเจ้าของนัยน์ตานิ่งที่ดูจะแข็งกร้าวกว่าปกติเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้คนตรงหน้าเขาไม่สบอารมณ์กับเรื่องที่พูดมากเท่าไรบวกกับการที่ได้เห็นเจ้าตัวเอนหลังพิงพนักแล้วยกแขนขึ้นกอดอก

              เห็นแล้วมันชวนให้นึกถึงวันเก่าๆ....

              ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นน่าจะเป็นตอนที่เขาเข้ามาทำงานใหม่ๆช่วงนั้นเขากำลังเรียกร้องความสนใจจากเปลวอรุณอยู่ด้วย เขาจำได้ดีท่านี้เลยตอนที่เปลวอรุณมาตามเขาที่โรงแรมที่เขาหิ้วผู้หญิงสักคนมานอนกกด้วยจนลืมเวลาประชุมนี้ยังไม่นับเสียงพูดที่อีกฝ่ายสั่งให้เขาไปใส่เสื้อผ้าที่แค่เอ่ยออกมาสั้นๆมันก็ทำขนอ่อนที่หลังขอเขาลุกตั้งชันไม่หมดอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้ว

              รู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ไม่โดนด่า....

              “แล้วทำไมไม่ไล่เขาออกไปละ ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่สบายใจแบบนี้” อัมรินทร์ถามอย่างแคลงใจ ถึงจะรู้ว่าเลขาของเขาเป็นคนที่มีความอดทนสูงแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่น่าจะปล่อยผ่านทำใจเย็นอยู่แบบนี้

              “ก็ถ้ามันง่ายผมคงไม่ต้องทนมาถึงทุกวันนี้หรอก” เปลวอรุณว่าเสียงหน่าย ถ้าวันนั้นเขาไม่พลาดละก็นะ...

              “แล้วเปลวจะทนต่อไปจนถึงเมื่อไร ถ้าคุณพิมพาไม่ยอมออกละ ฉันว่า...”

              “นั้นบ้านผม”  เปลวอรุณตวัดสายตามองอัมรินทร์อย่างเอาเรื่อง เขาไม่รู้หรอกว่าอีกคนพูดอะไรหรือแสดงความหวังดีอะไรออกมาให้เขาได้ฟังแต่การที่มาพูดเหมือนจะให้เขาเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วออกมาจากบ้านของตัวเองแบบนี้มันไม่ใช่เรื่อง!

              “ฉันแค่เป็นห่วงเปลวแล้วไหนจะลูกตาลอีกละ” อัมรินทร์ว่าเสียงอ่อนให้อีกคนใจเย็นพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางเด็กหนุ่มที่หันมาสบตากับเขาพอดี

แม้ว่าลูกตาลจะโตพอที่จะช่วยเหลือดูแลตัวเองได้แต่ถึงยังไงอีกฝ่ายก็ยังเป็นเด็กอารมณ์ความรู้สึกย่อมอ่อนไหวกว่าคนที่ผ่านอะไรมาเยอะกว่า เห็นได้ชัดจากการที่ลูกตาลโดนพิมพาว่าร้ายใส่เมื่อเช้าที่ทำให้เจ้าตัวเงียบซึมผิดวิสัยมาจนถึงเมื่อกี้นี้

              “ผมดูแลตัวเองได้” เด็กหนุ่มว่าเสียงเข้ม

              “ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเป็นห่วง” เขาตอบตามจริง

              “ผมขอรับแค่ความหวังดีของคุณไว้แล้วกันนะครับ แต่เรื่องบ้านคนที่จะต้องออกไปมันต้องไม่ใช่ผมแน่”   

             เปลวอรุณว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาไม่อยากจะพูดเรื่องน่ารำคาญพวกนี้แล้วหัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่มีทางที่จะย้ายออกจากบ้านนี้เด็กขาด

              พอเห็นว่าเปลวอรุณลุกขึ้นยืนหมุนกายแล้วเดินตรงไปทางประตูลูกตาลเองจึงลุกขึ้นเพื่อจะตามคนที่เขาเรียกว่าแม่ออกจากห้องไปด้วย แต่เสียงของเจ้าของห้องที่ยังคงนั่งอยู่กับที่เอ่ยเรียกขึ้นมาก่อน

              “ตาล ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”

            คิ้วเข้มของเด็กหนุ่มขมวดเป็นบ่มหลวมๆมองคนเรียกอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปถามความเห็นจากคนที่ยืนอยู่ตรงประตู พอเปลวอรุณไม่มีทีท่าว่าจะขัดอะไรแถมยังบอกเป็นนัยๆว่าให้เขาคุยกับอัมรินทร์ก่อนโดยก่อนปิด

            ลูกตาลสาวเท้าเดินกลับมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมที่เพิ่งผ่านการใช้งานมาไม่ถึงหนึ่งนาทีอีกครั้ง จ้องมองหน้าคนที่รั้งเขาเอาไว้ต่อโดยไม่พูดไม่จาแถมยังมองมาที่เขาเหมือนเจ้าหน้าที่สอบสวนกำลังสอบสวนผู้ต้องหา

              แม่ง โคตรน่าอึดอัดเลย...

              “ลุงมีอะไรจะคุยกับผมก็พูดมาเถอะน่า” ลูกตาลถามเสียงขุ่นหน้ายุ่ง

              “เล่นหัวฉันได้แบบนี้แสดงว่าหายซึมแล้วละสิ” อัมรินทร์ยกยิ้มหยอกเย้า

              “ก็ไม่ได้เป็นอะไร แค่โดนจี้จุดก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มว่าขณะเอนกายลงกับพนักพิงด้วยท่าทางสบายๆ อัมรินทร์ไหวไหล่เบาๆอย่างพยายามจะเชื่อ

            “เรามาเข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน” ก่อนน้ำเสียงหยอกเย้าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังเรียกสายตาของเด็กหนุ่มที่นั่งมองอยู่ให้ยืดหลังตรงโดนอัตโนมัติ

              “เรื่องแม่เปลว?”

              “ไม่”

              “...”

              “เรื่องของนาย”

              “ขอผม”  ลูกตาลชี้หน้าตัวเองอย่างแปลกใจ

              “ใช่”

              “...”

              “ฉันอยากรู้ว่านายเป็นใครมาจากไหนแล้วทำไมถึงรู้จักกับเปลว”  ลูกตาลจุดยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันในความหมายที่แฝงนัยมากับคำถามที่คาดคั้นเอาคำตอบมาทางสายตา

              โถ คนแก่ขี้ระแวง

              “ถ้าให้เล่าตั้งแต่ผมเกิดก็คงจะยาวไปหน่อย” เขาเปรย  “งั้นเอาสักเมื่อปีที่แล้วแล้วกันตอนนั้นผมเพิ่งจบม.ปลายกลับมาถึงก็มีคนโทรมาบอกว่าพ่อแม่ผมรถคว่ำตายหลังจากนั้นรีสอร์ทของพ่อก็ถูกลุงกับป้าโกงไปบ้านก็โดนธนาคารยึดมีแค่เงินเก็บที่เป็นเงินประกันของพ่อกับแม่เหลือติดตัวมานิดหน่อยเลยขึ้นมาหางานทำที่กรุงเทพ  หลังจากนั้นเกือบปีพอเก็บเงินไก้ก้อนหนึ่งเลยว่าจะกลับไปไหว้พ่อกับแม่ที่ภูเก็ตแต่ดันโดนพวกนักเลงแถมนั้นรุมแล้วเอาเงินไปหมดดีนะได้แม่เปลวมาช่วยไว้ไม่งั้นผมก็นอนเน่าอยู่ข้างถังขยะนั้นยันเช้า นับๆดูแล้วน่าจะเกือบหกเดือนได้แล้วมั้ง”

              มือกร้านอย่างคนทำงานหนักที่ถูกยกขึ้นมานับจำนวนเวลาเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาพอมีมูลความจริงให้คนฟังอย่างเขาเชื่อ

              อัมรินทร์มองดูเด็กหน้าอย่างนึกชื่นชมการที่เด็กคนหนึ่งในวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ต้องมาเจอกับชะตาชีวิตที่พลิกแบบสุดๆจนไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดแต่กลับไม่เหลวแหลกเหมือนเด็กบางคนที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งยั่วยุเพื่อหวังให้ตนหลุดพ้นจากความจริงจนกลายเป็นปัญหาต่อสังคมอย่างที่เห็นบ่อยๆตามหน้าหนังสือพิมพ์

              แต่เด็กตรงหน้าเขาไม่ใช่

              นอกจากจะดูไม่เยเสกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแถมยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะหาเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดแบบนี้ทำให้เขานับถือเด็กตรงหน้าจริงๆ บางทีเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้เปลวอรุณรับเด็กคนนี้มาเป็นลูก

              “ว่าแต่ลุงเถอะถามผมแบบนี้ไม่ไว้ใจผมหรอ” ลูกตาลย้อนถามเมื่อเห็นอีกคนเงียบไปนาน

              “ก็ไม่เชิง” ก็แค่อยากแน่ใจว่าเขาจะไม่มีศัตรูหัวใจเพิ่มก็เท่านั้น เพราะแค่นี้ก็ตึงมือจะตายอยู่แล้ว

              “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมนะไม่คิดอะไรเกินเลยอย่างที่ลุงคิดหรอก”

              “นายรู้” อัมรินทร์เลิกคิ้วถาม

              “ใครๆก็มองออก”

              การแสดงออกที่ผู้ชายตรงหน้าแสดงมันออกมาใครเห็นใครก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อีกอย่างเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันทำไมแค่มองตาจะไม่รู้ว่าคิดอะไร

              “งั้นก็ดี” ใบหน้าตึงเครียดเมื่อครู่คลี่ยิ้มร่าอย่างสบายใจ

              “แต่..”

              คนดีใจเมื่อครู่ชะงักค้างที่อยู่ๆเด็กตรงหน้าก็แทรกขึ้น

              “ถ้าจะใช้ผมเป็นเครื่องมีทำให้แม่เปลวยอมใจอ่อนละก็ไม่ได้ผลหรอก” ลูกตาลว่าดักคอ

              “อย่ามารู้ทันฉันไปหมดทุกเรื่องได้ไหม” อัมรินทร์ดูจะหัวเสียเล็กน้อย

สิ่งเดียวที่ทำให้คนเจ้าเล่ห์อย่างอัมริทร์หัวเสียได้ก็คงไม่พ้นการที่ถูกจับได้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่และดูเหมือนว่าที่ลูกเลี้ยงหนุ่มตรงหน้าเขานี้แหละจะเข้าข่ายสิ่งที่เขาไม่ชอบ แถมดูทรงแล้วไอ้เด็กลูกตาลนี้จะศีลเสมอเขาด้วย...

              “ยังไงก็เถอะ ตอบมาคำเดียวเลยว่าจะช่วยหรือไม่”

              “ช่วยแล้วผมจะได้อะไร” อัมรินทร์แทบจะยกมือกุมขมับ คุ้นชิบหายเลยประโยคนี้

              “มีแม่แล้วไม่อยากมีพ่อหรือไง” เขาว่าเนื่องๆ

              “ก็ต้องดูก่อนว่าพ่อใหม่จะดีพอหรือเปล่า” อีกฝ่ายว่าเกทัพ

              “อยากได้ไรว่ามาฉันเปย์ไม่อั้น” อัมรินทร์ยอมเทหมดหน้าตักเลยถ้าได้ไอ้เด็กนี้เข้าฝั่งตัวเอง 

               “ผมก็ไม่ได้หน้าเงินขนาดนั้น” ลูกตาลยิ้มกริมพอใจกับสินบนที่อีกฝ่ายเสนอมา แต่จะให้เขาขายแม่ที่แสนดีอย่างเปลวอรุณเขาก็คงทำไม่ได้เช่นกัน

               “แล้วนายจะเอาอะไร” ชายหนุ่มถามหน้าตึง คล้ายๆจะเห็นเงาลางๆของอะไรบางอย่างจากตัวเด็กตรงหน้าที่ยกแขนขึ้นมาเท้ากับขอบโต๊ะแล้วประสาทมือกันเอาไว้ที่ใต้คางด้วยรอยยิ้มร้าย

               “บอกแผนที่อยู่ในหัวของคุณมาทั้งหมด รวมถึงแผนที่คุณกำลังทำตอนนี้ด้วย”

               ก็บอกแล้วว่าไอ้เด็กนี้มันร้าย....


.................

o18
         
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 04-04-2017 19:36:13
ศีลเสมอกันจิงๆ
ร้ายอะลูกตาล 55
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 04-04-2017 19:37:40
o18


   // มึงก็เลยเล่าแผนทั้งหมดให้ไอ้เด็กนั้นฟัง //

              ภาพเคลื่อนไหวของอนิรุทธิ์ที่แทบจะยกขาขึ้นพาดหน้าผาดแทนหลังมือที่ปรากฏขึ้นในหน้าจอโทรศัพท์ขณะคอนเฟอร์เรนซ์อยู่ในตอนนี้ดูจะไม่ต่างกับสิ่งที่อัมรินทร์อยากจะทำมันเสียเท่าไรเลย

              “ก็มันจำเป็น” เขาอ้าง

              // แล้วมึงไม่คิดว่าเด็กนั้นมันจะเอาไปบอกเลขามึงหรือไง // อนิรุทธิ์สวนทันควันเสียงดัง

              “เด็กนั้นรับปากกูแล้วว่าจะไม่พูด”

              // จะเชื่อได้หรอวะ // แผนแบบนี้ยิ่งคนรู้น้อยๆก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไง อนิรุทธิ์เถียงในใจ

              “ก็ต้องลองเสี่ยงดู แต่กูเชื่อว่าตาลจะไม่พูดเรื่องนี้แน่” ถึงจะไม่เต็มร้อยแต่เขาก็พอมั่นใจอยู่บ้างละว่าเรื่องนี้จะไม่ไปถึงหูของเปลวอรุณ

              // ให้จริงเถอะ //  อีกฝ่ายพึมพำ

              “ชั่งเรื่องลูกตาลมันไปก่อนเถอะ แล้วเรื่องแผนละยังไง”  อัมรินทร์เปลี่ยนประเด็น

              // เออใช่ กูว่าจะพูดเรื่องนี้พอดี//  อนิรุทธิ์ตบขาตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าน้องชายอีกครั้งเหมือนนึกได้

              // มึงมันร้ายมากนะไอ้อัน //

              “เรื่อง” คนตอบตีหน้าซื่อ

              // อยากให้กูพูดถึงสาเหตุที่ทำให้มึงได้นอนกอดเลขามึงสมใจอยากเมื่อคืนไหมละ//  อัมรินทร์ยิ้มลอยหน้าลอยตาแทนคำตอบ ซึ่งมันดูจะเป็นอะไรที่ยียวนกวนเส้นเอ็นเท้าของคนมองเป็นอย่างมาก

              นี้ถ้าไม่เห็นเป็นน้องนะ...

              // ฟางโทรมาเล่าให้กูฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อคืน แล้วก็บอกอีกว่าตอนนี้ทางนั้นเริ่มแผนต่อไปแล้วอีกไม่นานทุกอย่างก็น่าจะสำเร็จ//

              “ดีๆ”

              อัมรินทร์ยิ้มกว้างอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่กำลังจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างในอีกเพียงเอื้อมมือเดียว คิดไม่ผิดจริงๆที่ขอให้อนิรุทธิ์ยืมมือหย่งฟางเข้ามาช่วยแต่ที่ต้องขอบคุณจริงๆน่าจะเป็นหมากตัวสำคัญอย่างพิมพามากกว่าที่เดินเข้ามาหาพวกเขาเองถึงที่แบบนี้

              บ่อนที่พิมพาไปเล่นเมื่อตอนนั้นเป็นบ่อนที่คนรักของหย่งฟางเป็นเจ้าของอยู่ ตอนแรกพวกเขาก็คิดกันจนหัวหมุนเลยว่าจะทำยังไงให้พิมพาเข้ามาเล่นที่บ่อนวีไอพีแห่งนี้ได้ แต่ก็เหมือนโชคจะเข้าข้างอยากจะช่วยให้เขาได้กอดเปลวอรุณเร็วถึงได้ส่งพิมพามายืนอยู่ในบ่อนได้เลยเดี๋ยวนั้นและยิ่งโชคดีเข้าไปใหญ่เมื่อเจ้าของบ่อนตัวจริงไม่อยู่หย่งฟางจึงมีอำนาจสิทธิขาดในการทำทุกอย่างในบ่อนแทน

              และแน่นอนว่าข้อเสนอแสนเย้ายวนที่ไม่ว่านักพนันหน้าไหนก็ไม่อาจปฏิเสธความหอมหวานของมันได้คือนกต่อล่อให้เหยื่อแห่งความละโมงย่อมจำนนต่อเส้นทางที่เขาวางเอาไว้

              // เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะไอ้อันกูต้องไปละ // อนิรุทธิ์พูดขึ้นก่อนจะหันไปพยักหน้ารับให้ผู้ช่วยของเขาที่เขามาตาม

              “เออๆ เจอกันที่บ้าน”

              อัมรินทร์ขานรับก่อนจะกดตัดสายสนทนาในมือแล้ววางมันลงบนโต๊ะทำงาน เอนหลังให้อยู่ในระนาบเดียวกับพนักเก้าอี้หลับตาลงทบทวนแผนการตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงแผนสุดท้ายที่จะเป็นบันไดพาเขาไปหากุหลาบน้ำแข็งแสนสวยของเขาอย่างมีความสุข

            ไม่รู้เหมือนกันว่าอัมรินทร์เผลอหลับไปตอนไหน อาจเพราะเมื่อคืนเขานอนไม่พอด้วยทำไมพอได้เอนหลังหลับตาแบบนี้แล้วเลยเผลอหลับไปดื้อๆ และช่วงที่สมองยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนี้ทำให้ไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้มีใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานเขาอย่างถือวิสาสะ

            เสียงของส้นร้องเท้าปลายแหลมที่กระทบลงบนพื้นกระเบื้องขัดมันที่ดูจะจงใจกดย้ำลงไปให้เจ้าของห้องหันมาสนใจ แต่นอกจากอัมรินทร์เลือกที่จะไม่ลืมตาขึ้นมามองดูผู้บุกรุกเพราะคิดว่าบางทีอาจเป็นเปลวอรุณที่เข้ามาปลุก รายนั้นเวลาไม่พอใจอะไรชอบเดินลงส้นให้เสียงดังอยู่แล้ว...

              แต่ครั้งนี้อัมรินทร์คาดเดาผิด

              นอกจากจะไม่ใช่เปลวอรุณที่เข้ามาปลุกเขาอย่างที่วาดฝัน คนที่ปล่อยน้ำหนังลงไปที่แขนข้างที่เท้าอยู่กับโต๊ะยืนมองมาทางเขาอย่างพิจารณานั้นเป็น ผู้หญิง

              เรียวปากที่แต่งแต้มมาเป็นอย่างดีปรากฏรอยยิ้มเล็กๆอย่างนึกสนุก ท่อนขาเรียวเล็กก้าวเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ตักทาบทับลำตัวเพรียวบางแทบชิดสนิทกับเจ้าของห้องที่นั่งหลับอยู่

              การจู่โจมเข้าหาแบบนี้ทำให้อัมรินทร์รู้ได้ทันทีว่าอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในห้องเดียวกับเขาตอนนี้ไม่ใช่เปลวอรุณ เปลือกตาเข้มลืมโผงขึ้นมาทันที่อย่างตกใจเช่นเดียวกับนัยต์ตาคมเข้มสีนิลที่เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่แนบกายทับลงมาเอาคางเกยอกที่แผ่นอกกว้างของเขาเป็นใคร

              “ตื่นแล้วหรอคะ” เสียหวานที่เต็มไปด้วยความซุกซนของสาวเจ้ายิ่งทำให้สมองของเขาตื่นขึ้นเต็มร้อย

              “ลิลดา

               หญิงสาวผมสั้นเจ้าของนามอมยิ้มชอบใจกับปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ตอนแรกว่าจะเข้ามาคุยเรื่องงานสักหน่อยแต่พอมาถึงหน้าห้องเลขาที่ควรจะนั่งอยู่ประจำที่หน้าห้องก็ไม่อยู่ตอนแรกก็นึกว่าสองนายบ่ายจะออกไปข้างนอกกันเธอก็เลยถือวิสาสะเข้ามาในห้องแต่ที่ไหนได้เลขาหนีไปกินข้าวแล้วปล่อยให้เจ้านายมางีบหลับนอนกลางวันอยู่ตรงนี้นี้เอง

               “ค่ะ ลิลเอง”  เครื่องหน้าสวยเอี้ยงเล็กน้อยพลางยิ้มให้อีกคน

              “ทะ ทำไมลิลถึงเข้ามาในห้องฉันได้” อัมรินทร์ว่าด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักขณะพยายามดันสาวเจ้าให้ลุกขึ้นนั่งดีๆอย่างรักษามารยาท

              “ก็เดินเข้ามาไงค่ะ”

              “แล้วเปลว”

              “เลขาคุณไม่ได้นั่งอยู่ข้างนอกนะคะ” หล่อนเฉลย

              อัมรินทร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปเปาะหนึ่งอย่างน้อยเปลวอรุณก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงมาหาเขาถึงในห้องแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นนักออกแบบจิวเวอรี่หญิงไทยที่มีผลงานโดดเด่นไกลถึงเมืองน้ำหอมที่จะมาร่วมงานกับบริษัทในคอลเลคชั่นใหม่ก็เถอะ แต่สัมพันธ์ทางกายที่เคยมีต่อกันนี้สิ

              ใครมันจะอยากให้คู่ขาเก่ามาเจอกับเมียในอนาคตวะ...

              “แล้วลิลเข้ามามีอะไรหรือเปล่า” เขารีบถามขึ้นมาพลางพยายามชักขาข้างที่ถูกทับอยู่ออก

              “ลิลก็แค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์อันไง ไม่ดีหรอ” เจ้าหล่อนถาม

              “ก็ดี ดีๆ” อัมรินทร์ยิ้มแกน

              “ดูอันไม่คอยดีใจที่เห็นหน้าลิลเท่าไรเลยนะ” นัยน์ตากลมหวานหรี่มองอย่างจับผิด ไล่ปลายนิ้วเรียวสวยไปตามสันกรามที่ขบกันแน่น

              “ใครว่าละ ฉันดีใจมากเลยต่างหากทีนี้เราจะได้เริ่มงานกันสักที”

              “แค่เรื่องงานหรอ” เจ้าหล่อนท้วงหน้างอ

              อัมรินทร์ทำเพียงส่งยิ้มแห้งๆกลับไปให้เท่านั้นไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่เคยรู้สึกกระอักกะอวมใจแบบนี้เลยสักครั้งในชีวิตเวลาที่มีสาวสวยทอดสะพานให้ถึงที่แบบนี้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่

              ความคิดล้านแปดตีกันยุ่งอยู่ในหัวทึบๆที่สติยังไม่เข้าที่เข้าทาง เขาต้องหาวิธีทำให้ลิลดาออกไปจากตัวเขาให้ได้ก่อนที่ใครจะเข้ามาเห็นภาพแนบชิดสนิทเกินเพื่อนร่วมงานแบบนี้

              แต่กว่าที่เขาจะสงบจิตสงบใจที่เตลิดไปไกลหลังนอนกลางวันมาได้ก็ดูจะช้าไปสักหน่อยเพราะนอกจะคิดวิธีการที่นุ่มนวลแบบรักษาน้ำใจอีกฝ่ายไม่ทันแล้วเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งเขาและหญิงสาวที่ยังคงนั่งแนบชิดอยู่บนตักของเขาให้หันไปดูทำเอาหัวใจดวงน้อยของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอย่างลุ้นระทึกจนแทบจะออกมานอกอก

              ยังไม่ทันที่เขาที่เป็นเจ้าของห้องจะเอ่ยปากอนุญาตอะไรบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่เขาไม่อยากให้มาเห็นมากที่สุด

              เปลวอรุณ

              !!

           

            หลังจากตัดจบการสนทนากับอัมรินทร์เมื่อช่วงสายแล้ว เปลวอรุณก็กลับออกมานั่งสงบจิตสงบใจอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะเริ่มทำงานที่ค้างอยู่ต่อ โชคดีที่วันนี้เขามีผู้ช่วยแถมงานก็ไม่ได้เยอะเยาะอะไรมากมายทำให้สามารถเคลียร์งานในช่วงเช้าเสร็จก่อนเที่ยง

              ถึงจะยังเคืองคนพูดไม่เข้าหูแต่เพราะหน้าที่ที่ต้องทำทำให้เขาเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของอัมรินทร์เรื่องมื้อเที่ยงที่เจ้าตัวตักใส่กล่องทัฟเปอร์แวรมาเมื่อเช้าว่าจะให้เขาอุ่นให้เลยหรือไม่แต่ไม่ว่าดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะติดอยู่ในวังวนแห่งความฝันที่ลึกเกินจะหยั่งถึงไม่และเขาเองก็ไม่อยากจะทำลายการพักผ่อนของเจ้านายตัวเองด้วยจึงเลือกที่จะปล่อยเอาไว้อย่างนั้นแล้วพาลูกชายคนใหม่ลงไปกินข้าวที่โรงอาหารแทน แต่การที่เขาพาลูกชายวัยสิบแปดปีมาทำงานด้วยแบบนี้ดูจะจุดสนใจมากไปหน่อยเพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนป้าๆน้าๆก็มักจะเข้ามาทักมาทายเด็กหนุ่มตลอดทาง ไหนจะขนมนมเนยจากสาวๆในแผนกต่างๆที่พากับหอบหิ้วมาให้ลูกตาลถือกลับเต็มสองมือนั้นอีก

              แต่ใครมันจะคิดละว่าการที่เขาเอาอาหารกลางวัยที่อุ่นแล้วเข้ามาให้คนที่ร้องงอแงอยากกินอาหารฝีมือเขาเมื่อเช้าในห้องจะทำให้เขาต้องมาเจอกับภาพอะไรแบบนี้

              “โอ๊ะโอ”

              เสียงของลูกตาลที่เอ่ยออกมาแกมล้อเลียนอัมรินทร์กับหญิงสาวช่วยดึงสติของอัมรินทร์ให้รีบดันร่างอรชรของลิลดาให้ออกจากตักของตัวเองหน้าตาตื่นอีกทั้งยังรีบสาวเท้ามาทางที่เปลวอรุณกับลูกตาลยืนอยู่อย่างว่องไว

              “มันไม่ใช่อย่างที่เปลวเห็นนะ” อัมรินทร์รีบแก้ต่างให้สิ่งที่เพิ่งสะท้อนสู่ดวงตาสีดำอย่างร้อนรน มือหนาเอื้อมขึ้นจับต้นแขนเล็กแน่น

              “แล้วแบบไหนคือถูกละฮะ” ลูกตาลที่ยืนถือถาดอาหารอยู่ด้านหลังเสียมขึ้นหน้ากวน

              “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” อัมรินทร์ตวัดสายตาดุๆมองเด็กหนุ่ม มือไม่พายยังจะเอาเท้าลาน้ำอีก

              “คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณไม่เกี่ยวกับผม” เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดลึกข่มใจให้เย็นหากแต่เสียงที่ดูจะกระด้างกลับทำให้อัมรินทร์เหงื่อตกเมื่อคำแก้ตัวเป็นเพียงแค่ลมปาก

              “ผมจะพูดให้คุณฟังอีกครั้งนะครับคุณอัมรินทร์ว่าที่นี้คือที่ทำงานจะทำอะไรก็รู้จักสำรวมด้วยผมไม่อยากจะต้องโทรรายงานพฤติกรรมของคุณให้ท่านประธานฟังในขณะที่ท่านกำลังพักผ่อนอยู่หรอกนะครับ”  เปลวอรุณว่าเสียงนิ่งแต่กระแสของความไม่พอใจที่เจือมาในน้ำเสียงบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนตัวขาวไม่พอใจและไม่ชอบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ขนาดไหน

              “มันไม่ใช่อย่างนั้น” อัมรินทร์พยายามแก้ตัวเสียงอ่อนอ้อนวอนขอความเข้าใจ

              “มันไม่ใช่เรื่องของผมที่จะต้องรับรู้” เปลวอรุณปักมือหนาออกจากต้นแขนตัวเองอย่างแรง ก่อนจะปรายตามองไปด้านหลังจำเลยตรงหน้า

              “เดี๋ยวผมจะไปเอาน้ำมาให้นะครับคุณลิลดา”

              “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ลิลแค่เข้ามาทักทายอันเฉยๆกำลังจะกลับแล้ว” ลิลดาแย้มยิ้มหวานอย่างเป็นมิตรให้เปลวอรุณก่อนจะเดินเข้ามายืนเทียบด้านข้างเสมอเจ้าของห้องผู้อับจนหนทาง

              “เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะอัน” ไม่ว่าเปล่า ลิลดาจับพลิกใบหน้าคมของอัมรินทร์ที่ยังไม่ทันตั้งตัวให้หันมาเผชิญหน้าก่อนจะกดจูบลงที่ริมฝีปากนั้นอย่างรวดเร็วทางกลางความตกใจของคนที่ยืนมองอยู่รวมถึงคนที่ถูกขโมยจูบในครั้งนี้ด้วย

              “ไปนะอัน แล้วเจอกันนะคะคุณเปลว บ๊ายบายหนุ่มน้อย”  เจ้าหล่อนส่งยิ้มละไมให้อัมรินทร์ที่ดูจะนิ่งค้างไปเพราะการกระทำเมื่อครู่ของเธอจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำกับท่าทางเอ๋อๆนั้น ก่อนจะหันมายกมือไหว้เปลวอรุณที่อายุมากกว่าแล้วลงท้ายด้วยการโบกมือลาเด็กหนุ่มก่อนจะเดินกรีดกายจากจุดเกิดเหตุเมื่อครู่ไปด้วยรอยยิ้ม

            ดูเหมือนว่าการกลับไทยครั้งนี้ของเธอจะมีเรื่องสนุกๆให้ได้ดูได้เล่นได้ทำเสียแล้วสิ เธอสังเกตมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องแล้วการที่อัมรินทร์ลดการตั้งการ์ดป้องกันตัวลงแบบนี้ย่อมต้องหมายความว่าชายหนุ่มต้องรู้อยู่แล้วว่าใครจะเข้ามาในห้องไหนจะอาการตื่นตกใจตอนที่เห็นว่าเป็นเธอที่อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดแบบนั้นอีก ยิ่งอัมรินทร์แสดงอาการรนรานถึงขนาดผลักเขาออกทันทีที่เลขาหน้าสวยคนนั้นเข้ามาอีก แสดงว่าคนที่ชายหนุ่มรออยู่ก็คือคนคนนี้สังเกตได้จากถาดอาหารที่อยู่ในมือเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง

              “เปลวอรุณงั้นหรอ”

              ลิลดากรีดยิ้มร้ายให้กับสุดยอดการประมวลผลในสมองของตน แถมเมื่อครู่นี้เธอเองก็เพิ่งทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ด้วยแล้วเดาไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่

              แค่คิดก็สนุกแล้ว....



________________________________________________________________________

ตามจริงจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่เน็ตไม่เป็นใจแถมไปขับรถแหกโค้งมา

วันนี้เลยมาลงให้ทุกคนได้อ่านกันพร้อมพายุฝน


เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่แบบนี้ก็ต้องเริ่มด้วยตัวละครใหม่ที่เปิดตัวมาก็ทำเอาชาวบ้านชาวเมืองเขาวุ่นวายกันไปหมด
น่าปวดหัวจริง :serius2:

ส่วนใครที่เดาว่าโจรขึ้นบ้านเป็นแผนของอัมรินทร์หรือเปล่าคงไม่ต้องเดากันละเนอะ
มาลุ้นดีกว่าว่าแผนต่อไปคืออะไร :hao3:

ในส่วนของลูกตาลจริงๆเป็นตัวละครที่เราเพิ่มขึ้นมาที่หลัง เชื่อว่าใครๆก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกเลี้ยงของเปลวอรุณ
หน้าที่หลักคือถูกส่งมาซ้ำเติมอัมรินทร์โดยเฉพาะ

พลิกล็อคกันน่าดู ถล่มทะลาย พลิกล็อกกันมากมาย แบบเทกระเป๋า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-04-2017 19:42:58
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 04-04-2017 20:20:37
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 04-04-2017 21:17:56
มีพลิกล๊อคหรอ
เอาแหล่ววววว
เดี๋ยวรู้กัน55
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 05-04-2017 13:49:59
ลูกตาลกลายเป็นลูกบุญธรรมซะงั้น
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 6- 4/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-04-2017 06:44:45
 :m16:


อินี่ คือ ..???
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-04-2017 23:58:54

เป็นหนี้ ครั้งที่ 7



              โกรธ.. แล้วโกรธเรื่องอะไร  ?

ไม่พอใจ... เพราะอะไรถึงไม่พอใจ ?

 ไม่ชอบ... ทำไมถึงไม่ชอบ ?

ฝ่ามือขาวกำแน่นกับการสื่อสารที่บอกผ่านการกระทำของหญิงสาวที่ยังคงเด่นชัดในจอเรติน่าเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ว่ากำลังเกิดขึ้นอยู่ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วตัวตนเรื่องอย่างลิลดาจะกลับไปนานแล้วก็ตาม

ความรู้สึกที่เหมือนมีกองไฟขนาดย่อมกำลังก่อตัวกันอยู่ในอกกับอาการคันยุบยิบที่หัวใจที่หาสาเหตุไม่ได้ยิ่งทำให้เปลวอรุณรู้สึกไม่สบอารมณ์กับมันสักเท่าไร  มันคล้ายกับว่าเขากำลังโกรธ แต่เขาโกรธเรื่องอะไรกัน ? มันหงุดหงิดในใจเหมือนกับว่าเขาไม่พอใจในสิ่งที่เห็น แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงจะต้องรู้สึกไม่พอใจด้วย ? แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ชอบ... แต่เขาก็ยังหาคำตอบของเรื่องไม่ได้อยู่ดีว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่ชอบ.....

ผู้หญิงข้างกายของอัมรินทร์ถูกสลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำหน้าอยู่บ่อยครั้งในช่วงแรกที่พวกเขาทำงานร่วมกันมา นอกจากหน้าที่ที่ต้องดูแลตารางงานและคอยช่วยเหลือเจ้านายหนุ่มในเวลาทำงานงานนอกเวลาของเขาคือการตามตัวชายหนุ่มนักรักที่มักจะชอบหนีหายไม่ยอมกลับบ้านให้กลับสู่อ้อมอกของผู้ปกครองอย่างปลอดภัย

เขาน่าจะเคยชินกับสิ่งที่เห็นแล้วแท้ๆ

แต่ทำไม...

ทำไมวันนี้มันไม่เหมือนวันนั้น....

การที่เปิดประตูเข้ามาเห็นว่าทั้งคู่กำลังกอดกันอย่างแนบชิดเมื่อครู่ถึงทำให้เขาโกรธทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนที่เปิดประตูเข้าไปเจออัมรินทร์กำลังเริงรักอยู่กับผู้หญิงบนที่นอนในโรงแรมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรแบบนี้

เพราะอะไร..

ทำไมแค่คำว่าโกรธถึงดูจะไม่ถูกต้องกับความรู้สึกของเขา แน่ละที่เขาไม่พอใจที่เห็นคนเป็นเจ้านายแต่กลับทำตัวไม่ถูกกาลเทศะไร้ยางอายแบบนั้น และแน่นอนว่าคนที่หัวโบราณเรื่องการวางตัวระหว่างชายหญิงเช่นเขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินจำเป็นแบบนี้

เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร ผิดหวัง อย่างนั้นหรอ....

แล้วคนอย่างเปลวอรุณจะต้องมาผิดหวังเรื่องอะไร ?

 

“เปลว”

ใบหน้าสวยหันมองคนที่เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด อัมรินทร์ยืนตัวตรงอยู่ตรงข้างโต๊ะทำงานของเขาข้างๆเป็นลูกตาลที่สะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

“เลิกงานแล้วกลับบ้านกัน ฉันไปส่ง” น้ำเสียงที่คล้ายจะเป็นการเอ่ยปากขอร้องเสียมากกว่าการเสนอน้ำใจที่เจ้านายมีต่อลูกน้องแสดงออกอย่างชัดเจนแม้น้ำเสียงที่ว่าจะไม่ดังมาก

เปลวอรุณไม่ตอบทั้งยังเมินเฉยต่อคำพูดของอัมรินทร์เก็บข้าวของใส่ประเป๋าทำงานใบเล็กแล้วลุกขึ้นเดินแทรกผ่านอีกคนไปที่ลิฟต์ อัมรินทร์หันมามองหน้าลูกตาลคล้ายขอความช่วยเหลือ เด็กหนุ่มทำเพียงหยักไหล่ดันแผ่นหลังกว้างของเขาให้เดินตามอีกคนไปเงียบๆ

โชคดีที่เปลวอรุณยอมที่จะทำตามคำกึ่งขอร้อง อัมรินทร์เดินตามหลังอีกคนเงียบๆไม่พูดไม่จาไปยังรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ในที่จอดรถของผู้บริหาร  มือหนายกรีโมทคอนโทขึ้นมาปลดล็อกแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังตัวรถก่อนเพื่อบริการเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้เปลวอรุณอย่างเอาใจ  ม่านตาสวยหรี่อย่างไม่พอใจกับการประจบของคนเปิดประตูและเลือกที่จะเมินเฉยต่อรอยยิ้มของอัมรินทร์ที่พยายามจะเอาใจด้วยการจะเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านหลังหากแต่ลูกตาลกลับไวกว่า เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้แม่บุญธรรมของตัวเอาก่อนจะเปิดประตูออกแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูด้านหลังทั้งสองข้างแล้วนั่งลอยหน้าลอยตาไม่สนใจสายตาไม่พอใจของเปลวอรุณที่ยืนมองผ่านกระจกเข้ามาอย่างไม่เข้าใจบ่นไม่พอใจ สุดท้ายคนที่ยังหาคำตอบสำหรับความรู้สึกในตอนนี้ของตนเองไม่ได้ได้แต่จำใจแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถข้างคนตามที่อัมรินทร์ต้องการแต่ก็ไม่วายที่จะส่งสายตาไม่พอใจใส่คนตัวโตที่ยืนอยู่เขียวปั๊ด  แต่มีหรอที่คนอย่างอัมรินทร์จะสนใจนอกจากยิ้มรับแล้วหันไปยักคิ้วหลิวตาให้เด็กหนุ่มที่ด้านในรถด้านหลังเป็นอันรู้กันก่อนจะเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตน

 

อึดอัด...

ไม่สิ โคตรอึดอัดเลยต่างหาก

“เปลวจะซื้ออะไรก่อนไหม”

“...”

ยิ่งเปลวอรุณนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรในสิ่งที่เขาถามไม่มีการขานรับว่าเข้าใจไม่มีการมองหน้าเพื่อให้เห็นว่าอยู่ในสายตาเพียงหันมาแล้วมองผ่านเมินเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของเขามาเท่าไรมือคู่ที่จับพวกมาลัยเพื่อบังคับการเคลื่อนที่ของรถยนต์ก็ยิ่งบีบแน่นขึ้นแววตาอ่อนโยนที่เขามักใช้มองอีกคนเริ่มแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจทันทีที่เขาหันกลับไปมองทางตรงหน้า

เขาไม่พอใจ...

ตั้งแต่ลิลดากลับไปการแสดงออกของเปลวอรุณที่มีต่อเขาคือความเงียบและเย็นชาเหมือนคนไม่รู้จักกัน อัมรินทร์ไม่ชอบถูกมองข้ามหรือเมินใส่ เขาคือคนพิเศษที่ไม่ว่าใครๆต่างก็ให้ความสำคัญกับเขามาเป็นอันดับแรกมันทำให้เขารู้สึก เสียหน้า

เปลวอรุณเหมือนของแปลกใหม่สำหรับเขาในหลายๆเรื่อง เขาเข้าหาอีกคนเพราะความสนใจในความแตกต่างยิ่งไม่เหมือนใครยิ่งโดดเด่น ยิ่งได้มายากเขายิ่งอยากครอบครองอยากเป็นเจ้าของ แค่ต้องการหักหนามแหลมเพื่อดอมดมกุหลาบหอมแสนเยือกเย็นเพียงเท่านั้นมันไม่มีความจำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาสนใจหรือใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำแต่เขาก็ยังพยายาม พยายามที่จะไม่ให้เปลวอรุณเข้าใจเขาผิด

แล้วทำไมเขาต้องกลัวว่าอีกคนเข้าใจเขาผิดด้วย ?

อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นเป็นปมกับความคิดที่เข้ามาในหัว เพราะอะไร ทำไม หรือเพราะตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเปลวอรุณมากเกินไปเลยทำให้เขายอมไม่ได้ที่จะให้อีกผ่านเข้าใจเขาผิดอย่างนั้นหรอ ?

ถึงยังไงมันก็คือเรื่องเข้าใจผิดและเรื่องเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่คนที่ผ่านมาเจอมาเห็นแล้วตีความเอาเองตามใจนึก มันไม่มีความจำเป็นใดเลยที่เขาต้องมาตามตื้อเพื่ออธิบายเรื่องทำหมดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจะต้องมาตามแก้ไขความเข้าใจผิดของเปลวอรุณเลยด้วยซ้ำทั้งอีกฝ่ายก็ดูจะไม่หยี่หระต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยแล้วทำไม ทำไมวันนี้ถึงได้แสดงอาการแบบนี้ออกมาถ้าไม่ใช่เพราะ...

!!

คามรู้สึกไม่พอใจหายวับไปกับตาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปาก อัมรินทร์เหลือบตามองเปลวอรุณที่เอาแต่หันมองออกไปนอนกระจกรถเล็กน้อยด้วยหางตา

สีหน้าหงุดหงิดของคนที่กำลังกระวนกระวายใจของเปลวอรุณเป็นหลักฐานชั้นดีว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดสามปีไม่ใช่เป็นการหยดน้ำลงบ่อทรายที่ต่อให้เทลงทั้งมหาสมุทรก็คงไม่เกิดประโยชน์

เปลวอรุณกำลังหึงเขา

ความไม่พอใจที่แสดงออกมาทั้งสีหน้าท่าทางการกระทำทุกอย่างสามารถตอบเขาได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นว่ามันคืออะไร ความโกรธที่มันหาสาเหตุไม่ได้กับความรู้สึกที่มันเป็นมากกว่าความไม่พอใจ มันเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก

หึงหวง....

 

 

ทันทีรถยนต์สีดำหักเลี้ยวเข้าซอยไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยจนสามารถมองเห็นหลังคาบ้านสีแดงหม่นที่ผ่านแดผ่านฝนมาหลายสิบปี เปลวอรุณไม่เคยลิงโลดใจกับการกลับบ้านมากเท่าครั้งนี้มาก่อนเลยในชีวิต คนตัวขาวหมายมั่นหนักแน่นในใจว่าพอรถจอดเมื่อไรเขาจะรีบลงจากรถแล้วเข้าบ้านให้ไวหลบหนีความน่าอึดอัดใจที่ต้องอยู่ใกล้กับเจ้านายที่เป็นต้นเหตุของความโกรธที่เขาหาสาเหตุนี้ไม่ได้

แต่ความลิงโลดเมื่อครู่ก็อยู่กับเขาได้เพียงไม่นานยิ่งใกล้ถึงเท่าไรเรียวคิ้วสวยก็ยิ่งขมวดติดกันแน่น ไม่ใช่แค่เปลวอรุณเท่านั้นที่แสดงอาการเช่นนั้นอัมรินทร์เองก็ตีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกันลูกตาลที่นั่งอยู่ด้านหลังรีบถกตัวจากด้านข้างติดประตูมาอยู่ตรงกลางแล้วยืนหน้าออกไปด้านหน้าเพื่อมองภาพตรงหน้าให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นสิ่งเดียวกับทีสองคนข้างหน้าได้เห็น

              รถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าประตูบ้าน ชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองคนสองคนที่พยายามฉุดกระชากร่างเพรียวบางของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักดีให้ออกมาจากตัวบ้าน

              เปลวอรุณปลดเบลที่คาดอยู่ออกมือบางเปิดประตูรถออกไปยืนโดยที่สายตายังไม่ละไปจากภาพตรงหน้า เสียงโหวกแหวกโวยวายของพิมพาที่พยายามยื้อจับประตูรั่วไว้เป็นที่มั่นไม่ให้ชายแปลกหน้าลากเธอออกไปจากบ้านพร้อมเพียงร้องสั่งให้ปล่อยดังได้ยินชัดขึ้น เพื่อนบ้านในละแวกต่างมุ่งดูเหตุการณ์กันอยู่ในตัวบ้านไม่มีใครกล้าที่จะออกมาห้ามปรามการกระทำอันอุกอาจที่เกิดขึ้น

              “พวกนายทำอะไรกัน!”

              คล้ายเสียงสวรรค์มาโปรดพิมพารีบเงยหน้าขึ้นมามองลูกเลี้ยงอย่างดีใจ หล่อนสะบัดแขนออกจากมือของชายร่างสูงใหญ่ที่จับอยู่ออกแล้ววิ่งไปหลบที่หลังคนที่มาใหม่อย่างหาที่พึ่ง

“ช่วยฉันด้วยเปลว” หล่อนว่าเสียงสั่น

              เปลวอรุณปรายตามมองพิมพาที่ผมเพร่ายุ่งเหยิงแม้จะไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกายแต่แขนข้างที่ถูกจับเมื่อครู่ก็ขึ้นรอยแดงจากการบีบ อัมรินทร์กับลูกตาลรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาใกล้มองสำรวจพิมพาอย่างนึกห่วงพร้อมถามไถ่หล่อนกอดตัวเองแน่นพยายามเบี่ยงหลบอยู่ตรงกลางระหว่างอัมรินทร์กับลูกตาลให้ตัวเล็กที่สุด

              “นี้มันเรื่องอะไรกัน” เปลวอรุณถามเสียงตึง นัยน์ตานิ่งมองสำรวจคนแปลกหน้าอย่างระมัดระวัง ถึงผู้ชายสองคนนั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามเขาเหมือนที่ทำกับพิมพาแต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้

              “คุณคงจะเป็นลูกของคุณผู้หญิงคนนี้สินะ” คำสุภาพที่ผู้ชายตรงหน้าเลือกใช้ไม่ได้ฟังดูลื่นหูเท่าไร โดยเฉพาะคำว่า ลูก

              “ถึงจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเชิญพวกคุณออกจากบ้านหลังนี้ครับ” คนแปลกหน้าตอบ

              “อะไรนะ !”   เปลวอรุณร้องเสียงหลงใจดวงน้อยของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเช่นเดียวกับความกลัวที่เริ่มเกาะกุม

              “ตามที่พูดครับ รบกวนเก็บข้าวของแล้วย้ายออกไปด้วยครับ”

              “พวกแกมีสิทธิอะไรมาไล่เจ้าของบ้านออกจากบ้านของตัวเองกัน” ความกลัวที่ว่าหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยความโกรธ แม้จะยังคุมสติของตัวเองได้แต่อารมณ์ที่ไม่คงที่มาตั้งแต่ช่วงบ่ายทำให้คนสุขุมอย่างเปลวอรุณเผลอตวาดใส่คนตรงหน้าเสียงดังจนอัมรินทร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังต้องดึงแขนเขาเอาไว้ไม่ให้เขาเผลอตัวพุ่งเข้าใส่

              “นี้ครับ” ชายอีกคนที่หายไปจากการรับรู้ของเขาตั้งแต่ตอนแรกเดินเข้ามาใกล้พอซองเอกสารซองหนึ่ง ม่านตาหรี่มองอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ยื่นมือออกไปรับซองสีน้ำตาลที่ว่ามาเปิดออก

!!

หนังสือสัญญาการกู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรกด้านล่างมีลงลายมือชื่อของพิมพากำกับไว้ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เอกสารชุดต่อมาคือเอกสารการเรียกเก็บเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรเคดิตรายหนึ่งที่ชื่อที่ระบุวันเวลาที่ใช้จำนวนครั้งและชื่อผู้ทำธุรกรรมทางการเงินว่าเป็นพิมพา ยิ่งไล่สายตาไปตามรายจ่ายที่ปรากฏอยู่ๆเขาก็รู้สึกแข่งขาอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่แต่ที่น่าตกใจจริงๆคือจำนวนเงินรวม

สิบล้านห้าแสนบาท...

            จำนวนเงินสูงลิบฉุดเอาเรี่ยวแรงของเขาจนทรงตัวไม่อยู่ อัมรินทร์ที่อยู่ใกล้รีบเขามาประคองร่างของเปลวอรุณเอาไว้ก่อนจะล้มลงไปส่วนเอกสารเจ้าปัญหาที่ว่าถูกลูกตาลแย่งไปถือไว้

              “นี้มัน!”

              เด็กหนุ่มร้องขึ้นเมื่อพลิกไปยังเอกสายชุดสุดท้ายที่อยู่ด้านหลัง เปลวอรุณหันมองตามเสียงลูกตาลทำหน้าหนักใจมองใบหน้าขาวที่เริ่มจะซีดของผู้มีพระคุณอย่างคิดหนัก

              “มีอะไรตาล ในนั้นคืออะไร” อัมรินทร์ถามเสียงเครียด ยิ่งเด็กหนุ่มอั้มๆอึ้งๆลังเลไม่ยอมตอบยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลให้คนที่รอมากขึ้น

“โฉนดที่ดิน”

 ลูกตาลว่าเสียงเบาแต่หากมันแจ่มชัดมากในโสตประสาทของเปลวอรุณ  ร่างโปร่งดีดตัวออกจากอ้อมแขนที่ประคอนตนอยู่ฉวยคว้าเอกสารในมือของลูกตาลมือดูให้แน่ใจ

“เป็นไปไม่ได้”

มือสองข้างสั่นเทาด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ โฉนดที่ดินฉบับจริงที่ควรจะอยู่ในแฟ้มเอกสารในห้องของเขากลับปรากฏอยู่ตรงหน้ายิ่งไล่อ่านหาข้อเท็จจริงเพื่อมาลบล้างสิ่งที่เห็นว่ามันไม่ใช่บ้านของเขา แต่ชื่อผู้รับโอนโฉนดที่ชื่อของเขาที่ได้รับมันมาจากแม่ก็ยิ่งตรอกย้ำให้เขายอมรับว่าทรัพย์สินที่ถูกนำมาเป็นหลักประกันชำระหนี้ในครั้งนี้คือ บ้าน ของเขา

“นี้มันหมายความว่ายังไง”

            เปลวอรุณครางออกมาเหมือนไม่ยอมรับ แววตาสั่นๆที่มองดูของสำคัญชิ้นสุดท้ายที่ถูกปล้นไปจากอกเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างน่ากลัวเมื่อมันตวัดหันไปมองคนที่เป็นสาเหตุที่จะตอบข้อสงสัยของเขาได้

              “นี้มันหมายความว่ายังไง”

              เสียงที่ดังลอดตามไรฟันบ่งบอกสภาพอารมณ์ที่คนพูดพยายามอดกลั้นออกมาอย่างชัดเจน พิมพาไม่ตอบอะไรทำเพียงเบื้องหน้าหลบไม่กล้าสบตา และคนที่ให้คำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็คือชายสองคนที่ถูกส่งมาตามหนี้

              “คุณพิมพามาเล่นการพนันที่บ่อนของเราและได้ใช้เงินจากบัตรเครดิตของทางเราในการใช้จ่ายระหว่างที่อยู่บนเรืองสำราญ”

              “แต่เจ้านายแกบอกว่าให้ฉันใช้ได้เต็มที่ไม่ใช่หรอ” พิมพาแทรกขึ้น ใบหน้าสวยบึ้งตึงด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัดเท้าเปลือยเท้าสาวเดินขึ้นมาประจันหน้านักทวงหนี้ทั้งสอง

              “ก็จริงที่คุณหย่งฟางให้คุณใช้เงินได้เต็มที่แต่ในเอกสารที่คุณเซ็นรับทรามมันระบุอย่างชัดเจนไว้แล้วนะครับว่าคุณต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนด้วย” ไม่ว่าเปล่า เอกสารหน้าที่ระบุข้อสัญญาดังกว่าก็ถูกชูขึ้นมาให้พวกเขาได้เห็น

              พิมพาหน้าแดงก่ำหล่อนกระชากเอกสารนั้นมาอ่านอีกครั้ง  นี้มันไม่เหมือนที่คุยกันไว้เลยสักนิด...

“นอกจากนี้เงินกู้ที่คุณเคยกู้ยืมมาจากคุณอนิรุทธิ์ทางเราได้นำมาด้วย”

อนิรุทธิ์...?

“ก่อนหน้าที่คุณพิมพาจะมาเล่นที่บ่อนของเราเธอได้กู้ยืมเงินมาจำนวนหนึ่งซึ่งถึงตอนนี้ก็เลยกำหนดเวลาชำระเงินมานานแล้วด้วย”คนทวงหนี้คนหนึ่งเฉยความสงสัยของเปลวอรุณที่มองมาอย่างมึนงงผิดกับคนที่คอยประคองร่างขาวซีดที่กระตุกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์อย่างพอใจ

“หนี้จากทางนั้นบวกกับดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายคืนรวมกับหนี้ของทางเราแล้วก็เป็นจำนวน..”

“..”

“หนึ่งร้อยล้านพอดีครับ”

!!

“จะบ้าหรือไง”

พิมพาแว๊ดเสียงแทรกขึ้นทางกลางความตกใจของคนด้านหลังที่ยืนฟังอยู่ เงินไม่กี่หมื่นที่หล่อนเคยกู้จากคนของอนิรุทธิ์ทบต้นทบดอกตามเวลาแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าจะถึงตามจำนวนที่พวกมันว่า

“ถ้าคุณไม่เชื่อ เชิญดูนี้”

กระดาษแผ่นหนึ่งถูกส่งมาให้ พิมพารับมันไว้แล้วกำกระดาษแผ่นนั้นแน่นจนยับยู่เมื่อจำนวนเงินที่ปรากฏในส่วนของการกู้ยืมมีจำนวนมากกว่าความเป็นจริง

“แกจะบ้าหรือไง ฉันไม่ได้กู้เงินพวกนี้มาสักหน่อย” กระดาษยับยู่ถูกใช้ระบายความโกรธของพิมพาโดยการปามันกลับไปใส่หน้าคนทวงหนี้

“คุณกู้เงินจากทางนั้นอยู่หลายครั้งและแต่ละครั้งถึงจะไม่มากแต่มันก็ไม่ใช่น้อยๆดังนั้นพอเอามาคิดรวมกับดอกเบี้ยแล้วมารวมกับหนี้ที่คุณติดกับทางเราก็เป็นตามที่ว่ามาครับ” คนทวงหนี้ว่าเสียงนิ่งไม่สะทบสะท้านใดๆกับอามรณ์ของลูกหนี้ตรงหน้าทั้งยังเลือกที่จะเลี่ยงที่จะพูดถึงจำนวนเงินดงกล่าวที่พิมพาแย้งมา

จริงอยู่ที่หล่อนกู้ยืมจากทางนั้นมาหลายครั้งแต่หล่อนไม่มีทางลืมแน่ว่าจำนวนแต่ละครั้งมันเท่าไรมันไม่มีทางที่จำนวนเงินจะขึ้นสูงถึงเก้าสิบล้านแน่นอนอย่างมากก็แค่สิบล้านเท่านั้น จำนวนตัวเลขที่เห็นเป็นหลักฐานชั้นดี ดีพอที่จะทำให้หน่อยยิ้มเยาะเย้ยตัวเองออกมาได้

หล่อนโดนโกง..

            “แล้วเมื่อคุณไม่มีจ่ายทางเราจำเป็นที่จะยึดทรัพย์ที่คุณเอามาเป็นหลักค้ำประกันซึ่งก็คือบ้านหลังนี้”  คราวนี้เป็นเปลวอรุณที่ตีหน้าตื่นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของคนทวงหนี้

              “ไม่ได้นะ”

              เปลวอรุณรีบวิ่งไปขว้างที่หน้าประตูบ้านอย่างรวดเร็วกางแขนขาสุดตัวไม่ยอมให้คนทวงหนี้เขาไปด้านใน นี้บ้านของเขา...

              “กรุณาถอยออกไปด้วยครับ” ชายตรงหน้าว่าเสียงเข้มหมายข่มขวัญ

              “ไม่”  เขาค้านสุดใจ เขาต้องปกป้องบ้านหลังนี้เขาจะไม่ยอมให้มันเข้าไปด้านในแน่

              “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องจ่ายเงินมา”

 เปลวอรุณชะงัก

“ถ้าคุณไม่มีจ่าย คุณก็ออกจากบ้านนี้ไปสะ” มันว่าเสียงขาด จ้องมองใบหน้าซีดเซียวแสนสิ้นหวังอย่างไม่สะท้าน

“ขอเวลา ฉันขอเวลาได้ไหม” ขอยื้อเอาไว้ให้ได้สักนิดก็ยังดี

“สองอาทิตย์”

“...”

“เราจะให้เวลาสองอาทิตย์เท่านั้น ถ้าคุณไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้กับทางเราได้คุณต้องย้ายออก”

พวกมันยอมรับคำต่อรองของเปลวอรุณก่อนจะว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วพากันเดินกลับไปที่รถยนต์ของตนอีกครั้งแล้วขับออกไป ทิ้งให้คนที่ยังอยู่ยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน

ลูกตาลรีบรุดเข้าไปยืนข้างๆพยายามจับและเรียกชื่อคนที่เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไหวติง อัมรินทร์ลอบยิ้มพอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับลูกตาลและเปลวอรุณ

เสียงเรียกของลูกตาลกับแรงสัมผัสจากอัมรินทร์ไม่ได้ทำให้เปลวอรุณได้สติใดๆทั้งสิ้น หูมันอื้อไปหมดสมองก็เหมือนจะไม่สั่งการให้เขาขยับหรือตอบสนองใดๆกับสิ่งรอบข้าง

เขากำลังจะเสียมันไป...

บ้านของเขา...

บ้าน..

เพราะมัน...

มือขาวกำแน่นจนข้อนิ้วซีดไร้สีเลือดลมหายใจเริ่มที่จะแรงขึ้นจนทรวงอกโหมกระเพื่อมร่างทั้งร่างสั่นเบาๆด้วยไฟโทสะที่ประทุจนถึงขีดสุด  ลูกตาลกับอัมรินทร์มองหน้ากันเลิ่กลั่กยิ่งคนที่ไม่คิดจะเขยื้อนตัวไปไหนสาวเท้าว่องไวไปยังตัวต้นเหตุพร้อมกับฝ่ามือเรียวที่ง้างขึ้นสูง

 

เพี๊ยะ!!

:hao7:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 14-04-2017 00:24:51
:hao7:



            ถึงเปลวอรุณจะไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่แต่เขาก็เป็นผู้ชายและการที่ผู้ชายอย่างเขาง้างมือตบหน้าผู้หญิงอย่างเต็มแรงแบบนี้จึงไม่แปลกเลยที่พอฝ่ามือของเขากระทบเขากับใบหน้าของพิมพาเข้าอย่างจังจะทำให้หล่อนถึงกับหน้าหันแล้วล้มลงไปกองกับพื้น

             แน่นอนว่าแรงตบนั้นทำเอาสมองหล่อนมึนเบลอไปเล็กน้อยรสขมของเลือดที่มุมปากบอกให้หล่อนรูปว่าปากอวบอิ่มของตนแตก พิมพายกมือขึ้นกุมหน้าแล้วหันไปตวาดเปลวอรุณเสียงดัง

              “นี้แก”

            แต่คนที่เส้นความอดทนขาดผึงไปหมดแล้วอย่างเปลวอรุณไม่สนใจเสียงที่ว่าไม่ว่าเพื่อนบ้านที่แอบมองอยู่จะมีใครเอาไปพูดลับหลังเขาหรือเปล่าว่าเขาทำร้ายผู้หญิง เขาไม่สนใจ

              “แกกล้าดียังไงถึงมาตบหน้าฉันแบบนี้”  ริมฝีปากบางยิ้มเหยียด

              “แล้วแกกล้าดียังไงเอาบ้านของฉันไปค้ำหนี้ของเธอ” เขาย้อน

              พิมพากระพริบตาถี่แล้วมองต่ำอย่างจนด้วยคำพูดและมันก็ยิ่งทำให้คนมองอย่างเปลวอรุณละแก่โทสะยกมือขึ้นเตรียมที่จะตบหน้าของหล่อนอีกรอบ พิมพาเบิกตากว้างตกใจยกแขนขึ้นตั้งการ์ดขึ้นป้องกันระดับหน้าแต่โชคดีที่ลูกตาลกับอัมรินทร์ถลาเข้ามารั้งตัวเปลวอรุณไว้ได้ทัน

              “ปล่อย!”  เปลวอรุณสะบัดบิดตัวออกจากคนทั้งคู่แต่กลับไม่มีใครเลยที่ยอมทำตาม

              “แม่เปลวใจเย็นก่อน” ลูกตาลว่า ถึงจะไม่ชอบปากพร่อยๆของพิมพาแต่เขาเองก็ไม่อยากให้คนที่แสนดีของตนทำร้ายใคร

              อัมรินทร์ไม่พูดอะไรนอกจากลูบต้นแขนผอมเรียวเพื่อให้อีกคนสงบจิตสงบใจลง

            เปลวอรุณมองคนขัดใจทั้งสองก่อนจะส่งเสียงฮึกฮักไม่พอใจออกมาแล้วลดแขนที่ตั้งง้างสูงลง พอเห็นเขาเริ่มที่จะนิ่งการจับกุมก็เริ่มคลายลงคนตัวขาวสะบัดบิดตัวอีกครั้งแล้วให้หลุดออก

              ครั้งนี้อัมรินทร์กับลูกตาลยอมที่ปล่อยเปลวอรุณอย่างว่าง่ายแต่พวกเขาก็ยังไม่วางใจอารมณ์ที่แผดเผาอยู่ในอกของอีกคน แต่พอหลุดจากการจับรั้งเปลวอรุณกลับเลือกที่จะสะบัดหน้าหนีกระแทรกเท้าเดินเข้าบ้านเสียเฉยๆ พวกเขามองหน้ากันรวมทั้งพิมพาด้วยที่มองมา

              พวกเขาได้แต่มองหน้ากันเหมือนหาคำตอบแต่ไม่มีใครเลยสักคนที่ขยับไปไหนจนกระทั้งเสียงหนักๆของอะไรสักอย่างตกลงพื้นอย่างแรง  ทั้งสามจึงรีบวิ่งไปยังบริเวณด้านหลังบ้านทันทีก่อนจะพบเข้ากับกองเสื้อผ้าราคาแพงมากมายที่ถูกเหวี่ยงออกมาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ที่ชั้นสองของบ้านส่วนของหลังที่ได้ยินก่อนหน้าอัมรินทร์กับลูกตาลลงความเห็นตรงกันในใจว่าน่าจะเป็นเจ้ากระเป๋าเดินทางใบยักษ์ที่เปิดอ้าอยู่กับพื้นด้านล่างสุด และผู้กระทำเองก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยนอกจากเปลวอรุณ

              “กรี๊ดดดดดดดดด!!”

            พิมพากรี๊ดออกมาสุดเสียงกับภาพของเสื้อผ้าที่ถูกโยนออกมาอย่างไม่ใยดี ไหนจะรองเท้าเครื่องสำอางราคาแพงที่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดีอย่างน่าเจ็บใจยิ่งบางอันเป็นของลิมิเต็ดที่กว่าจะได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยแล้วหล่อนยิ่งแทนอยากจะกระโจนขึ้นไปกระชากคนที่ยื่นมองเขาอยู่ด้านบนแล้วโยนลงมาเหมือนกับที่ทำกับของของเขา

              “เก็บของของเธอออกไปให้หมดแล้วออกจากบ้านของฉันไปสะ” เปลวอรุณว่าเสียงเด็ดขาด

              พอกันที..

              “แกไม่มีสิทธิมาไล่ฉันแบบนี้นะ” พิมพาตะโกนกลับอย่างเดือดดาดสองมือพยายามกอบกวาดเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นจากพื้น

              “ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่านี้มันบ้านของฉันจะให้อยู่หรือจะให้ไปมันก็เป็นสิทธิขาดที่ฉันพึ่งมี”

              “แกคิดจะเนรคุณฉันหรือไง แกคิดว่าการที่แกยังมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้มันเพราะใคร ไม่ใช่ฉันคนนี้หรือไงที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตลงไปช่วยแกไม่ให้เป็นผีเฝ้าสระน่ะห๊ะ!”

            พิมพาหยิบยกเรื่องเก่าๆสมัยที่เด็กของอีกคนขึ้นมาอ้าง ไพ่ไม้เด็ดของหล่อนที่ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดกี่ครั้งคนดื้อรั้นก็ไม่เคยที่จะขัดหรือไล่หล่อนออกจากบ้านนี้ได้และครั้งนี้มันก็ต้องได้ผลเหมือนกัน...

              ยิ่งเปลวอรุณชักสีหน้าขัดใจสะบัดหน้าหนีหายออกไปจากตรงหน้าหน้าต่างพิมพาก็ยิ่งได้ใจยกยิ้มกริมอย่างสะใจยกคอลอยหน้าก่อนจะหันไปจิกหัวสั่งให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อเช้ามาเก็บข้าวของของเธอไปเก็บ

              “เอ๊ะ นี้ฟังที่ฉันพูดไม่เข้าใจหรือไงได้เด็กเหลือขอนี้ฉันบอกว่าให้มาเก็บของของฉันขึ้นไปเก็บที่ห้องไงยืนเซ่ออยู่ทำไม” หล่อนกระชากเสียงใส่เด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ

              “อย่ามามองฉันอย่างนี้นะ” กองผ้าในมือถูกโยนใส่เข้าเต็มหน้าของลูกตาลอย่างแรง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มเองกลับยังไม่ยอมทำตามซ้ำยังมองคนตรงหน้าตาเขียวหนักกว่าเดิน

              “หน่อยแก”

              พิมพายกมือขึ้นง้างเตรียมที่จะปรี่เข้ามาตบสั่งสอบเด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ยอมทำตามคำสั่งให้รู้จักสำนึกหากแต่อัมรินทร์ที่ทนมองมานานเริ่มที่จะทนไม่ไหวเข้ามาขว้างเอาไว้ก่อนคว้ากำเข้าที่ข้อมือเล็กของผู้หญิงที่นอกจะหาความดีในตัวไม่ได้แล้ววาจายังไร้ซึ่งสามัญสำนึกไว้แน่นจนพิมพาเบ้หน้าด้วยความเจ็บก่อนที่ชายหนุ่มจะเหวี่ยงร่างผอมเพรียวของหล่อนไปอีกทาง

              “คุณควรที่จะรู้สถานะของตัวเองได้แล้วนะ” อัมรินทร์ว่าเสียงขรึม ไม่บ่อยเท่าไรที่เขาจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับชีวิตเขาเท่าไร แต่เขาทนมองผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ต่อไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

              “เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับนาย” พิมพาตวาด

              “ทำไมจะไม่เกี่ยว” นัยน์ตาคมหรี่มองพิมพาอย่างเอาเรื่องจนคนถูกมองถึงกับผวาสั่น

              “ลูกตาลเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ในฐานะลูกของเปลว ก็ต้องถือว่าเป็นลูกของฉันด้วยเพราะเปลวเป็นคนรักของฉัน”

              “อะไรนะ”

              ไม่ใช่แค่พิมพาหรอกที่ชะงักสงสัยเจ้าตัวที่อยู่ๆก็ต้องตกกะไดพลอยโจรได้พ่อเพิ่มมาอีกคนอย่างลูกตาลเองก็หันมามองหน้าคนพูด พิมพาตวัดสายตามมองอัมรินทร์แล้วส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย

              “ออกไปจากบ้านฉันสะ”

              ไม่ว่าเปล่าพวงกุญแจรถยนต์ส่วนตัวก็ถูกปาใส่หลังของผู้เป็นเจ้าของเข้าอย่างจัง พิมพาที่ยังฉงนค้านกับคำพูดของอัมรินทร์ก็ต้องหันกลับมามองลูกไก่ที่กำลังจิกตีมือของเธอ

              “อะไรนะ”

              “ออกไปสะ” เปลวอรุณย้ำ

              ไพ่สุดท้ายที่หล่อนคิดว่าคือไพ่ที่เหนือที่สุดในการใช้เพื่อให้เปลวอรุณยอมสยบดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล เพราะนอกจากจะไม่หลบหน้าหลาบตาเพื่อซ้อนใบหน้าเจ็บแค้นใจที่ไม่สามารถไล่หล่อนออกไปได้อย่างทุกครั้งแล้วใบหน้าสวยยังนิ่งกว่าเดินจนน่าหวั่นเกรง

              “ฉันจะไม่พูดซ้ำอีกครั้งหรอกนะ รีบออกไปก่อนที่ฉันจะลากเธออกไปประจานออกบ้าน”

              “แกกล้าไรฉันหรอ ไอ้เนรคุณ!” ไม่มีทางยอมง่ายๆแน่

              “แกคิดจะเนรคุณคนที่ช่วยชีวิตแกอย่างนั้นหรอ” พิมพาแสร้งทำเป็นขึ้นเสียงใส่เพื่อหวังกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกของตน

              “เรื่องที่เธอช่วยชีวิตฉันเมื่อตอนนั้นฉันซาบซึ้งที่สุดอยู่แล้วไม่อย่างนั้นฉันจะทนให้เธออยู่ในบ้านต่อมาจนถึงตอนนี้หรอไหนจะเงินที่ฉันต้องหามาให้เธอใช้อีกละ มันยังไม่พออีกหรือ” เปลวอรุณว่า

              “ถ้าซาบซึ้งจริงอย่างที่ปากว่าแล้วแกมาไล่ให้ฉันออกไปทำไม” พิมพาท้วง

              ไม่ออก ถ้าไล่ออกไปแล้วแล้วหล่อนจะไปอยู่ที่ไหน...

              “เพราะเธอทำให้บ้านของแม่ฉันแปดเปื้อน เธอกล้าดียังไงถึงได้เข้ามาขโมยของในห้องของฉันขโมยบ้านที่ทำให้ตัวเธอเองมีที่ซุกหัวนอกไปให้คนอื่นเพียงเพราะเธอต้องการเงิน นังหน้าเงิน” เปลวอรุณตราหน้าประณามอย่างหยามเหยียด

               “ฉันไม่ไป”

                พิมพากระแทรกเสียงดังใส่ ซ้ำยังจะตีมึนเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งทางประตูด้านหลังหากแต่เปลวอรุณกลับไว้กว่า มือบางขาวซีดเอื้อมคว้ากระชากที่เส้นผมยาวของพิมพาจนเสียหลังเซถอยมาด้านกลัง

               “ปล่อยนะ!” หล่อนหวีดเสียง พยายามแยกนิ้วที่จิกทึ้งเส้นผมของเธอออก

                “ตาล เก็บข้าวของพวกนี้มาให้หมดแล้วเอาไปโยนไว้นอกบ้านให้หมด”

                 “ครับแม่” ลูกตาลยิ้มรับให้กับคำสั่งที่ถูกใจก่อนจะกวาดเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทางใบโตลวกๆทางกลางเสียงตื่นตะหนกของพิมพาที่ทั้งส่งเสียงด่าและต่อว่าเด็กหนุ่มเพื่อให้หยุดการกระทำ

                  ลูกตาลทำหูทวนลมไม่รับรู้เสียงนกเสียงกาที่พยายามกรีดร้องแทบอัมรินทร์เองที่เห็นว่าเขาคงจะไม่สามารถยัดของพวกนี้ใส่กระเป๋าไปได้หมดถึงช่วยหยิบเอาถุงดำที่เตรียมเอาไว้สำหรับใส่เศษใบไม้มาเป็นตัวช่วยในการยัดของที่เหลือลงไป

                   พอเห็นว่าสองหนุ่มต่างวัยจัดการกวาดโกยข้าวของของพิมพาออกจากพื้นสนามหญ้าหลังบ้านของเขาจนหมดสิ้น เปลวอรุณจึงออกแรกกระชากศีรษะของพิมพาอย่างแรงให้หล่อนเดินตามเขาออกมาที่หน้าประตูรั้วก่อนจะเหวี่ยงตัวเสนียดแสนอัปรีย์ในชีวิตเขาออกไปด้านนอกอย่างไร้ความปราณี

                    “โอ๊ย!”

              ร่างของพิมพากระแทรกลงกับพื้นคอนกรีตอย่างแรงจนตัวถลอกก่อนจะตามด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าและถุงดำที่ของของหล่อนอีกส่วนอยู่ในนั้น

              “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าเธออีก” เปลวอรุณสั่ง

              หล่อนไม่ตอบหากแต่จับจ้องไปที่เปลวอรุณอย่างมาดร้าย

              “ส่วนเรื่องหนี้ฉันจะจัดการให้ถือสะว่าหนี้บุญคุณที่เธออวดอ้างนักอวดอ้างหนาระหว่างเรามันจะได้จบ เห็นไหมว่าฉันจะกตัญญูกับแม่เลี้ยวแมงดาอย่างเธอขนาดไหน”

              “นี้แก”

              พิมพาหน้าแดงก่ำยันตัวลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรหางตาก็เหลือบไปเห็นเหล่าเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันต่างพากันออกมายืนมองพวกเขาอยู่ตรงถนนหน้าบ้าน บางหันซุบซิบ บางยกมือถือขึ้นถ่าย แน่นอนว่าคนที่เป็นหัวข้อที่ว่าคงหนีไม่พ้นเธอพวกเพื่อนบ้านแถวนี้เองก็ไม่ได้มีใครญาติดีกับหล่อนเลยสักคนเดียวหากเผลอทำอะไรลงไปไม่แคล้วได้เกินเรื่องตามมาอีกแน่ อย่างน้อยตอนนี้เปลวอรุณก็ยอมรับที่จะหาเงินมาใช้หนี้แทนแล้วก็ถือว่าเป็นผลดีกับหล่อนมากพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น..

              “จำเอาไว้ วันไหนที่แกล้มลาฉันนี้แหละจะเป็นคนขยี้แกให้จมดินเลยคอยดู”

              หล่อนว่าอย่างอาฆาตก่อนจะคว้าเอากระเป๋าและถุงดำขึ้นจากพื้นกดปลดล็อกแล้วยัดของทั้งหมดใส่เข้าไปด้านใน พิมพากวาดมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้วยความแค้นฝั่งใจจดจำให้แม่นยำแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน บีบแตรไล่เหล่าไทยมุงที่ต่างมาออกับอยู่ให้หลบทางแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว

              เปลวอรุณมองท่าทีของพิมพาอย่างเหนื่อยหน่ายบ่นละอาความเจ้าคิดเจ้าแค้นของพิมพาก็เหมือนงูพิษที่ถูกตีแต่ไม่ตายและรอวันที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง  ถึงเพื่อนบ้านที่มองดูเหตุการณ์มาตลอดจะเข้าใจและพยายามเข้ามาพูดให้กำลังใจเขาก่อนที่จะพากันแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเท่าไร

              วันนี้มันวันบ้าบออะไรกัน...

              “เข้าบ้านเถอะ” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อเปลวอรุณไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา

              นัยน์ตาใส่กระจ่างมองคนตัวสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ก่อนจะเบี่ยงไปมองเด็กหนุ่มที่ยืมมองมาที่เขาด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงจัง ใบหน้าสวยพยักรับก่อนจะก้าวขาเดินเพื่อกลับเข้าไป แต่อยู่ๆภาพตรงหน้าของเขาก็เริ่มพร้ามั่วจนเซไปมาอาการร้อนผ่าวที่หน้าผากทำให้เขารู้สึกหนักจนร่างกายรับไม่ไหวแล้วทุกอย่างก็พลันมืดไปหมด

              “เปลว / แม่เปลว”



_______________________________________________________________________________

สวัสดีวันปีใหม่ไทย

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ



เพื่อนๆคนไหนไปเล่นน้ำก็ขอให้เล่นกันให้สนุกเดินทางปลอดภัยกันนะคะส่วนใครที่ไม่ได้ไปไหนนั่งๆนอนๆอยู่แต่ห้อง(เหมือนอินี้)ก็มาอ่านนิยายกันดีกว่า

หลังจาดยืดเยื่อไปมาอยู่นานในที่สุดเราก็จะได้กลับเข้ามาเรื่องหลักของเราสักที
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: tistaek ที่ 14-04-2017 00:45:11
เปลวเป็นลม
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 14-04-2017 02:18:31
ความคิดของตัวเอก ดูไม่สมเหตุสมผลมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไหนบอกไม่ไล่เพราะมีเหตุผล แต่ไปๆมาๆ ไล่แล้วยอมใช้หนี้ร้อยล้านให้ เหอๆ 
เหมือนจะฉลาด แต่รอให้ปัญหาเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ เพราะฉะนั้นโทษอิแม่เลี้ยงไม่ได้หรอก ต้องโทษเปลวที่โง่ให้นางอยู่มานานจนป่านนี้ กตัญญูอย่างนี้ น่ามอบโล่เหลือเกิน(ประชด)

ส่วนอัม แลดูเป็นผู้ชายที่ทำอะไรเองไม่เป็น คิดอะไรเองไม่เป็นเลยอ่ะ แค่ไล่หญิงออกจากห้องทำงาน ก็อ้ำอึ้ง ปากไม่มี? มือด้วน? แผนจีบก็ต้องให้คนอื่นคิดให้ ถ้าผช. อย่างนี้ เราก็ไม่เอาเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-04-2017 19:11:20
แผนของอัมรินทร์!?
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-04-2017 03:25:54
 :a5:


ร้ายนักนีะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 7- 13/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-04-2017 08:38:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 22-04-2017 15:44:16
เป็นหนี้ ครั้งที่ 8



           “เดี๋ยวผมจะลงไปทำข้าวเย็นให้ ลุงก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เปลวไปก่อนแล้วกัน”

            อัมรินทร์เหลือบตามองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเล็กน้อยแล้วหันพยักหน้ารับให้เด็กหนุ่มที่ถือกะละมังใบน้อยในมือก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนจะตื่น

              หลังจากเหตุการณ์ไทยมุมที่พากันมาล้อมวงดูเปลวอรุณทำการอัปเปหิโยนข้าวโยนของของพิมพาออกไปจากบ้านเป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางสีหน้าสะใจของเพื่อนบ้านในละแวกเป็นที่พออกพอใจกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ๆคนที่กล่าววาจาเด็ดขาดเมื่อครู่ก็ดันมาเป็นลมล้มพับอยู่หน้าบ้านทำเอาทั้งเขาและลูกตาลต่างทำอะไรไม่ถูกรีบอุ้มอีกคนเข้ามาในบ้านกันจ้าละหวั่น ยิ่งไร้วี่แววว่าคนที่นอนปากซีดหน้าเซียวจะยอมตื่นขึ้นมาทั้งๆที่พวกเขาสองพ่อลูก(?) หายาดมยาหอมมาให้ดมทั้งเอาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อหวังจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นก็แล้ว ยิ่งทำให้พวกเขามองหน้ากันอย่างอกสั่นขวัญแขวน จนอัมรินทร์เกือบจะโทรเรียกรถพยาบาลมาให้รู้แล้วรู้รอดถ้าไม่เพราะลูกตาลเรียกเอาไว้ก่อนว่าเปลวอรุณรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองพวกเขาแล้วก่อนจะพลิกตัวนอนหลับไปเสียเฉยๆราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น  พอเห็นว่าเปลวอรุณไม่เป็นอะไรมากแล้วลูกตาลถึงได้ปลีกตัวลงไปทำอาหารเย็นให้พวกเขาข้างล่าง

              บางทีอาจเพราะพึ่งเจอเรื่องหนักๆด้วยหรือเปล่าถึงทำให้หลับได้สนิทอย่างนี้...

              อัมรินทร์คิดในใจ ตั้งแต่บ่ายแล้วที่เขาได้ยินจากลูกตาลว่าเปลวอรุณดูจะฟุ้งซ่านเรื่องของเขากับลิลดาจนแทบจะเหวี่ยงใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ ไหนจะเรื่องเมื่อช่วงเย็นอีกเขาสังเกตเห็นว่าคนตัวขาวเองทำท่าเหมือนจะเป็นลมลงไปอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังฝืนตัวเองทำเก่งจนจบเรื่องมาได้

               เขานั่งพิจารณามองใบหน้ายามหลับของเปลวอรุณที่แทบจะไม่เคยได้เห็นอย่างสนใจ การ์ดต่างๆที่เจ้าตัวตั้งเอาไว้ถูกลดลงมาจนหมดยามที่เจ้าตัวหลับสนิทและยิ่งหลับลึกแบบนี้ด้วยแล้วเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะไล่หลังมือเกลี่ยเบาๆที่ข้างแก้มขาวที่ดูดีขึ้นกว่าตอนแรกเล็กน้อยอย่างพอใจก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งจากเก้าอี้หัวโล้นที่ยกมาวางข้างเตียงมาเป็นการทิ้งน้ำหนักตัวเอนหนังพิงกับหัวเตียงนั่งมองใบหน้ายามหลับของเปลวอรุณด้วยรอยยิ้ม แน่ละ ในเมื่อแผนของเขามันเป็นรูปเป็นร่างจวนจะถึงเวลาที่เขาจะได้เชยชมเหยื่อตัวน้อยของเขาสักทีใครบ้างที่จะไม่ดีใจ

          ถึงเขาจะไม่คอยชอบวิธีบีบบังคับสักเท่าไรแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะยอมรับว่าวิธีนี้ทำให้อะไรหลายๆอย่างมันรวดเร็วขึ้นถึงมันจะต้องแลกกับการที่จะโดนเปลวอรุณเกลียดขี้หน้าตอนที่ความจริงถูกเปิดเผยก็เถอะ

          แต่ใครจะสน.... เพราะถึงเวลานั้นเปลวอรุณก็หมกหนทางไร้ที่จะหนีไปจากเขาได้แล้ว             

 

          “นี้คืออะไร”

ืืืืืืืืืืื          อัมรินทร์ถามขึ้นขณะไล่สายตามองจำนวนเงินที่ถูกกู้ยืมออกไปอย่างสงสัย หัวคิ้วของเขาขมวดแน่นเมื่อไม่ว่าเขาจะมองยังไงเจ้าของชื่อ พิมพา ไหนจะรูปภาพของหญิงวัยสี่สิบกลางที่ยังดูสาวยังสวยที่ถึงจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นแต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูจะไม่ใช่คนที่เขารู้จักเลยสักนิดแล้วมันจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะทำให้เปลวอรุณเป็นของเขาด้วย

           เขาไม่เข้าใจ...

          “ผู้หญิงคนนี้ชื่อ พิมพา เป็นนักเสี่ยงโชคดวงตกที่เข้ามาใช้บริการเงินด่วนของกูบ่อยๆ” อนิรุทธิ์เฉย

          เขามองท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไรของพี่ชายแล้วส่ายหน้าออกมา ก็ใครมันจะคิดกันละว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนชื่อดังติดอันดับของประเทศจะมีอาชีพเสริมเป็นเจ้าพ่อเงินกู้นอกระบบที่มีสาขาอยู่ตามบ่อนการพนันระดับโลคาร์สงจนไปถึงระดับไฮคาร์สแบบนี้ จำได้ว่าเมื่อกลางปีที่แล้วเขายังไปฟังมันพูดถึงเรื่องการพนันให้เด็กนักเรียนมันฟังว่าไม่ดีอย่างนู้นไม่ดีอย่างนี้ แต่ตัวมันนั้นแหละที่นอกจากไม่ห้ามแล้วยังเป็นผู้สนับสนุนหลังอย่างเป็นทางการให้พวกผีพนันหยิบยืมเงินไปต่อยอดอีกต่างหาก เรียกง่ายๆเลยว่าไอ้หมอนี้แหละคือพวกมือถือสากปากถือศีลขนาดแท้

           “คุณเธอมายืมเงินจากลูกน้องกูหลายครั้ง บางทีก็จ่ายคืนบ้างถ้าถอนทุนคืนได้ บางทีก็ไม่จ่ายหรือไม่ก็จ่ายไม่ครบ”

             เขาเงียบฟัง ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับกระดาษที่แนบมาด้านหลัง

            “และแน่นอนว่าการกู้ยืมมันก็ต้องมีการค้ำประกันถูกไหม” คราวนี้ใบหน้าหล่อดิบเริ่มปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาของตนเจอเข้าบางสิ่ง

             “บังเอิญว่าของที่หล่อนเอามาค้ำเนี้ยมันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก” อนิรุทธิ์พยายามดัดเสียงเข้มๆของตนให้ดูน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง

            “มึงจงสำนึกในบุญคุณของวิตามินเอที่อยู่ในผักสดและผลไม้ที่พ่อมึงหรือลุงกูจับกรอกปากมึงมาตั้งแต่เล็กให้เห็นว่าอะไรอยู่บนโฉนดที่ดิน”

             “ชื่อของเปลว” เขาว่าเสียงเบา

             “ถูกต้อง”  อนิรุทธิ์ยิ้มให้กับคำตอบ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

            “มึงตามติดสถานการณ์ของเลขามึงมานานมึงก็คงจะรู้ใช่ไหมว่าคนสวยของมึงมีแม่เลี้ยง”

            เขาพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าตรงๆชัดๆสักครั้งเหมือนกันแต่รู้สึกว่าเปลวอรุณกับแม่เลี้ยงจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร

            “ผู้หญิงคนนี้และคือแม่เลี้ยงของเปลวอรุณ”

            “ถ้าอย่างนั้น โฉนดใบนี้”

            “ก็คือบ้านของเปลวอรุณ”

            อัมรินทร์นิ่งเงียบมองแผ่นกระดาษดังกล่าวในมือหน้าเครียด จากเท่าที่เขามองเปลวอรุณรักบ้านหลังนี้มากยิ่งเป็นบ้านของแม่ที่ให้ไว้ด้วยแล้วเป็นไปไม่ได้เลยว่าเจ้าตัวจะยอมเอาของสำคัญขนาดนี้มาใช้ค้ำประกันหนี้ให้แม่เลี้ยงที่ไม่คอยถูกกัน เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะขโมยมันมาจากเปลวอรุณ

              “คือกูก็ไม่อยากจะไปยุ่งกับเรื่องของมึงเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้ามึงไม่ทำอะไรสักอย่างเอาแต่เทียวไล้เทียวขื่อแบบนี้ต่อไปไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยตรงๆกูว่าอีกไม่นานมึงจะได้แดกแห้วแทนวะ”

            “แต่กูไม่อยากบังคับเปลว”

            “กูก็ไม่ได้บังคับมึง กูแค่เสนอทาง”

            เขาเริ่มที่จะนั่งเงียบ จริงอย่างที่อนิรุทธิ์ว่าเขาอยากได้เปลวอรุณมาเป็นของตัวเองแต่นอกจากเทาะเล็มตอดเล็กตอดน้อยไปวันๆกับแอบตามอีกฝ่ายมาสามปีเขาไม่เคยทำอะไรที่ดูว่าอยากจะได้อีกคนมาเลยอย่างจริงจังว่าอยากได้เปลวอรุณมาเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง ท่าทีแบบหมาหยอกไก่ไปวันๆแบบนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาหมาตัวอื่นมาคาบไก่ฟ้าของเขาไปกินแน่

            ใครมันจะยอมกัน ไม่มีทาง.....

              “แต่ถ้ากูจะทำ กูจะทำให้มันใหญ่กว่านี้”



       
              เงินแค่ล้านต้นๆเขาเชื่อว่าคนอย่างเปลวอรุณสามารถหามาใช้หนี้เพื่อไถ่บ้านไปได้แน่ เผลอๆบางทีอาจใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำไปแต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนไก่ฟ้าป่าให้กลายมาเป็นลูกไก่ตัวน้อยในกำมือของเขาละก็จำนวนเงินมันต้องมากกว่านี้เยอะกว่านี้

              แน่นอนว่าเงินที่พิมพากู้ไปจากอนิรุทธิ์พอหักลบกลบหนี้ที่จ่ายบางไม่จ่ายบางแล้วจำนวนจริงๆที่เหลืออยู่มันก็แค่สามล้านแปดหมื่นเท่านั้น แต่อย่างที่บอกเงินมันต้องมากกว่านี้ถึงจะจับเปลวอรุณให้ดิ้นไม่หลุด

              จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมาคือฝีมือของเขาเอง....

              เขาเป็นคนแก้ไขจำนวนเงินที่พิมพากู้ยืมไปแต่ละครั้งให้มีจำนวนที่มากขึ้นกว่าความเป็นจริงอยู่เกือบเท่าตัว ถึงมันจะเสี่ยงไปสักหน่อยถ้าหากพิมพาหรือเปลวอรุณไหวตัวทันเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความแล้วสาวความจริงขึ้นมาได้ว่าเอกสารฉบับนี้ถูกแก้ไข แต่เพราะมันคือการกู้หนี้นอกระบบที่ตำรวจไม่เข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายด้วย อัมรินทร์ถึงวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าคนอย่างพิมพาจะไม่ทำแบบนั้นเพราะมันเท่ากับเป็นการฆ่าตัวเองตายอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมตอนนั้นเขาว่าเปลวอรุณเองก็คงโกรธจัดจนควันออกหูไม่สนใจฟังคำพูดของพิมพาหรอกว่าหนี้ที่เห็นเป็นจำนวนหนี้จริงหรือหนี้ปลอม

              และเพื่อเพิ่มความน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก ลี หย่งฟาง จึงกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา.....
 
             จริงๆเขากับหย่งฟางไม่ได้รู้จักมัดจี่อะไรกันเท่าไรแต่เพราะหย่งฟางเป็นเพื่อนสนิทของอนิรุทธิ์เลยตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยทำให้พวกเขาสองคนรู้จักกันในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงกับสนิทสนมอะไรมาก ยิ่งเขาไม่ได้จับธุรกิจเกี่ยวกับการเสี่ยงโชคหรือหมุนเงินแบบนี้ด้วยเลยทำให้เขาไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร แต่เขาจำได้ว่าอนิรุทธิ์เคยบอกเขาว่าหย่งฟางย้ายมาช่วยคนรักดูแลคาสิโนแห่งใหม่ที่เปิดในไทยเขาจึงเห็นช่องทางมากขึ้น จึงส่งอนิรุทธิ์เป็นทัพหน้าไปเปรยๆเรื่องของเขาให้อีกฝ่ายฟังแล้วกลับมาบอกเขาว่าหนุ่มผมยาวมีท่าทีเป็นเช่นไร

              แน่นอนว่าคนที่อยู่ไม่สุขอย่างหย่งฟางย่อมต้องสนใจกับกิจกรรมยามว่างใหม่ที่ส่งไปเสนออย่างแน่นอน และเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าอีกคนจะยอมร่วมมือเขาจึงเข้าไปหาเจ้าตัวถึงบ่อน ยิ่งพอรู้ว่าหย่งฟางรู้ว่าคนรักของตัวเองถูกเรียกตัวกลับไปดูบริษัทที่อิตาลีทำให้เจ้าตัวมีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการทุกอย่างในคลับแทบจะไม่ต้องคิดอะไรรีบตอบรับคำขอของเขาทันที

               พวกเขาวางแผนกับไว้ว่าจะให้หย่งฟางเข้าไปพูดคุยกับพิมพาเพื่อหว่านล้อมให้เจ้าหล่อนยอมที่จะตกลงเซ็นสัญญาทางการเงินอีกฉบับขึ้นมา โดยใช้ประโยชน์จากการที่พิมพาเป็นผู้หญิงหัวสูงแน่นอนว่าหล่อนจะต้องไม่มาทางผ่านโอกาสที่จะได้ไปเช็คอินอัพเดตสถานะบนเรือสำราญหรูเป็นเวลาสองอาทิตย์อยู่แล้วและยิ่งหล่อนไม่คิดที่จะสนใจตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาก่อนรับบัตรเครดิตแล้วจะจรดปลายปากกาลงไปทำให้เขาอ้างประโยชน์ดังกล่าวในตรงนี้ตลบหลังอีกฝ่ายให้ยอมจ่ายเงินไปได้

                   แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นถูกหักไปจากบัญชีของเขาไปหมดเรียบร้อยแล้ว.....




                     “อื้ม...”

                      เสียงครางต่ำในลำคอของคนที่นอนอยู่เรียกสายตาของอัมรินทร์ให้กลับมาโฟกัสที่ใบหน้าขาวอีกครั้ง ชายหนุ่มขยับท่านั่งของตนใหม่อีกครั้งเมื่อเปลือกตาสีอ่อนเปิดปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหลับลงไปต่ออีกครู่หนึ่งแล้วลืมขึ้นมาใหม่เพื่อปรับสภาพการมองเห็น

               “รู้สึกเป็นไงบ้าง ปวดหัวไหม” อัมรินทร์ถามพลางประคองอีกคนให้ลุกขึ้นนั่ง

                คนเพิ่งตื่นส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบขณะยืนมือออกไปรับแก้มน้ำขึ้นมาดื่ม

                “เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื้นนะแล้วเดี๋ยวเราลงไปกินข้าวกัน ป่านนี้ตาลคงทำกับข้าวเสร็จแล้วละ” เขาว่า

                “คุณลงกินไปเถอะ ผมไม่หิว” เปลวอรุณปฏิเสธเสียงเบาเหมือนคนจะหมดแรง

                “ไม่เอาน่าเปลว ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

                “แต่ผมไม่อยากกินอะไรจริงๆครับ” เปลวอรุณปิดเปลือกตาตัวเองลงอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่าอีกคนหวังดีแต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีความอยากหรือหิวใดๆทั้งสิ้น

                 มันหน่วงไปหมด...

                ลับสายตาของเปลวอรุณอัมรินทร์ตีหน้าตึงเล็กน้อยที่ความหวังดีของตนถูกปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็พอที่จะเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้คงจะทำให้เปลวอรุณรู้สึกกินอะไรไม่ลงเพราะถ้าเป็นเขาเองก็คงไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน

               ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกหมาดๆยื่นให้อีกคนรับไปเช็ดหน้าอีกรอบหลังจากตื่นนอนแล้วก็เดินดุ่มๆออกจากห้องไปไม่พูดไม่จาอะไร

                เปลวอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างของอัมรินทร์จนหายลับไปกับบานประตูห้องนอนที่ปิดลง ก้อนความหนักอึ้งในอกถูกระบายออกมาทางลมหายใจอย่างแรง

                  อัมรินทร์ไม่พอใจ...

                  ใช่เขารู้... แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเองที่เป็นคนพูดออกไปแบบนั้น

              สัมผัสเย็นชื้นจากผ้าขนหนูที่อยู่ในมือไม่ได้ช่วยคลายความรู้ของเขาที่มีอยู่ในตอนนี้ได้มากเท่าไร แต่อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้มุมปากบางยกยิ้มขำขึ้นมาได้ได้ตอนที่นึกถึงใบหน้าหล่อของคนอายุใกล้เลขสามหงิกหงอเป็นเด็กเวลาถูกขัดใจ

              แต่รอยยิ้มนั้นมันก็อยู่กับเขาได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อหางตาของเหลือบไปเห็นใบของใครคนหนึ่งที่เหมือนกับเขาในกรอบรูป


              หลายครั้งที่เขาเองก็อยากที่จะผลักเรื่องทั้งหมดโยนความผิดพวกนี้ให้กับความเป็นคนดีของแม่ที่คอยบอกคอยย้ำกับเขาเสมอตั้งแต่วันนั้นว่าพิมพาคือคนที่มีพระคุณกับเขาถ้าไม่ได้หล่อนช่วยเอาไว้คงไม่มีคนที่ชื่อเปลวอรุณมาจนถึงตอนนี้ พอโดนพิมพายกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคำพูดของแม่ก็มักจะลอยขึ้นมาในหัวของเขาดื้อๆเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งค่าเอาไว้

              “น้าพิมพ์เป็นคนช่วยชีวิตเปลวไว้นะ เปลวต้องตอบแทนน้าพิมพ์เขานะลูกถึงมันอาจไม่ถูกใจแต่แม่ไม่อยากให้ใครมาว่าลูกของแม่ว่าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณคนเพราะแม่คงทนไม่ได้ และอีกอย่างนะเปลวแม่ขอล่ะอย่าไล่เขาออกจากบ้านเลยนะ ถือสะว่าแม่ขอนะเปลว”


              ถึงตอนนั้นเขาจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าทำไมแม่ถึงขออะไรแบบนั้นกับเขา แต่พอโตขึ้นได้รับรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นเขาถึงเข้าใจความหมายนั้นมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็คือ

              แม่เคยถูกไล่ออกจากบ้าน...

            เขามั่นใจว่าพิมพาต้องไปพูดอะไรสักกับแม่เอาไว้ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่พูดเรื่องนี้กับเขาแน่ คนมารยาสารพัดพิษอย่างนั้นคงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอะไรสักอย่างเพื่อหลอกใช้ความขี้ใจอ่อนไม่ทันของแม่เขาเป็นเครื่องมือเพราะนอกจากแม่แล้วเขาไม่เชื่อฟังใคร และมันก็เป็นอย่างที่ทางนั้นต้องการเขายอมพิมพาทุกครั้งตามที่แม่ขอเอาไว้ แต่จะโทษคนอื่นอย่างเดียวมันก็ไม่ถูกเท่าไรนักมันก็ต้องโทษที่ตัวเขาเองด้วยที่ไม่ยอมทำตัวให้เด็ดขาดเองเลยทำให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนได้...

            “เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ แต่ถ้ามายุ่งกับบ้านของฉันไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอไว้แน่”

            ข้อตกลงเด็ดขาดสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกันระหว่างเขากับพิมพาดังออกมาจากปากของเขาเองในวันที่พ่อจอมเห็นแก่ตัวทิ้งตัวภาระไร้ประโยชน์ไว้ให้เขาดูแลต่อแล้วจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ทุกเดือนเขาจะต้องให้เงินพิมพาไว้ใช้จ่ายหลังจากนั้นหล่อนจะเอาไปถลุงที่ไหนก็เชิญเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเขาถือว่าคำสั่งเสียของพ่อที่สั่งมาไว้มีแค่นี้เขาก็ทำแค่นี้ถ้าจะมาขอเพิ่มเขาก็แค่ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจแล้วเดินหนีก็เท่านั้นแม้สุดท้ายจะจบลงที่การมีปากเสียงกันก็เถอะ ตราบใดที่ยังไม่ละเมิดข้อตกลงที่เขาวางเอาไว้เขาก็จะพยายามอดทนกับนิสัยเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อขอผีพนันที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแบมือขอตังไปวันๆของพิมพาต่อแม้บางครั้งจะทนไม่ไหวออกปากไล่ไปหลายครั้งก็เถอะ

              แต่ทั้งๆที่รู้อย่างนั้น แต่ก็ยังทำ...

             
:m16:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 22-04-2017 15:46:35
 
:m16:


 บางทีหล่อนคงคิดแค่ว่าเขาจะไม่มีทางไล่หล่อนออกไปจริงๆเลยกล้าที่จะละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเขา มันเลยเป็นเหมือนการที่ตัวมันเองกล้าท้าทายตัดฟางเส้นสุดท้ายของความอดทนที่เขาจะยอมให้คนอย่างพิมพา

              อีกเหตุผลหนึ่งที่แม่ขอไม่ให้เขาไล่พิมพาออกจากบ้านก็เพราะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นอาฆาตใครเขาไปทั่วเหมือนงูพิษที่แว้งกัดได้แม้แต่ชาวนาที่เก็บมันมาดูแล ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆแต่เขาก็พอที่จะเข้าใจความหมายของคำจำกัดความบางอย่างที่แม่เคยพูดเกี่ยวกับพิมพาให้เขาฟัง

              “เก็บพิษที่ร้ายที่สุดไว้ให้ใกล้ตัว ก็เหมือนคนที่เลี้ยงงูมีพิษถึงสักวันมันอาจแว้งกัดเราได้แต่ตราบใดที่เรายังมีประโยชน์มันก็จะไม่ทำร้ายเรา ถ้าจะรอดเราต้องตีให้ตายเพราะถ้ามันเจ็บเราคนเลี้ยงนี้แหละจะกลายเป็นเหยื่อของความพยาบาทของมัน”



พิมพาก็คืองูพิษ...

ครอบครัวเขาคือคนเลี้ยงงู...

และเขาคือคนตีงูให้หลังหัก...

เขารู้ดีว่าถ้าวันหนึ่งเขาเกิดไล่พิมพาออกจากบ้านงูพิษตัวนั้นมันหันมาแว้งกัดใส่เขาในสักวันหนึ่งซึ่งเรื่องนี้เขาเองก็เตรียมใจรอรับเอาไว้แล้วเหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมาเป็นกังวลอะไรในตอนนี้เพราะมันคงไม่ใช่เหตุการณ์อันใกล้จะเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ

              เรื่องที่สำคัญกว่าคือเรื่องหนี้ที่เขาพลั้งปากพูดออกไปต่างหาก...

             เปลวอรุณถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างจนทาง ไอ้ที่พูดว่าจะใช้หนี้แทนก็เพื่อจะเอามาใช้หักเรื่องหนี้บุญคุณกับอีกคนก็เท่านั้นและเขาเชื่ออีกด้วยว่าถึงเขาไม่พูดออกไปคนอย่างพิมพาก็ไม่มีทางหาเงินพวกนั้นจ่ายได้โดยที่ไม่เดือดร้อนเขาแน่ๆ ดังนั้นเขาเลยยอมจ่ายเองเพื่อแลกกับการให้ผีพนันอย่างพิมพาออกไปจากชีวิตของเขา แต่หนี้จำนวนร้อยล้านกับเวลาแค่สองสัปดาห์มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขาเองก็เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนไม่ใช่เจ้าของธุรกิจใหญ่โตอะไรเงินเก็บที่พอมีมันก็คงไม่พอที่จะจ่าย แต่ถ้าไม่มีจ่ายเขาก็จะต้องเสียบ้านหลังนี้ไปซึ่งคนอย่างเปลวอรุณไม่มีทางยอมแน่

              ยิ่งหนี้นอกระบบแบบนี้ด้วยแล้วตำรวจคงไม่เข้ามายุ่งแน่แถมดูจากลักษณะของคนที่มาทวงหนี้เมื่อเย็น เดาได้เลยว่าเจ้าหนี้ของพิมพาจะต้องเป็นคนมีอิทธิพลพอตัวเหมือนกันตำรวจชั้นผู้น้อยมีหรือจะกล้าทำอะไร เผลอๆเรื่องจะเงียบหายแล้วเป็นฝ่ายเขาเองนี้อหละที่เดือดร้อนกว่าเดิมแต่จะให้ไปกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อมาจ่ายหนี้ตรงหนี้เขาก็ไม่เอาด้วยหรอก วงจรกู้ยืมมันก็วนเป็นงูกินหางแบบนี้ต่อไปไม่มีวันจบจ่ายตรงนี้เสร็จต้องจ่ายตรงหนี้ต่อ แถมเงินขนาดนี้แน่นอนว่าดอกเบี้ยก็ต้องสูงขึ้นตามจำนวนด้วย

              ถึงจะไม่อยากขอความช่วยเหลือจาก เขา แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ...

              ผ้าขนหนูที่เริ่มแห้งแล้วถูกบีบแล้วคลายอยู่หลายครั้งจากเจ้าของมือที่กำลังย้ำคิดย้ำทำกับสิ่งที่อยู่ในหัว ก่อนจะปล่อยผ้าในมือลงที่ตักแล้วเอื้อมออกไปเพื่อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ตรงหัวนอน

            ยังไม่ทันที่นิ้วของเขาจะเลื่อนเพื่อกดโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์ตรงหน้าประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดเข้ามาพอดีพร้อมกับร่างของผู้ชายสองคนที่ยังอยู่ในบ้านของเขา

              “แม่เปลวเป็นยังไงบ้างฮะ”  เปลวอรุณรีบกดปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์แล้วว่างมันลงไว้ที่ข้างตัวแล้วรีบหันไปยิ้มรับให้เด็กหนุ่ม

            “ดีขึ้นแล้ว” เขาว่า

            ลูกตาลส่งสายตาสำรวจมองคนตรงหน้าให้แน่ใจก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นข้างเตียง เอื้อมจับมือข้างที่เปลวอรุณยื่นออกมาลูบหัวตนเองเอาไว้แน่น

              “ผมเป็นห่วงแม่นะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงสั่นน้ำคาคลอ

              “ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาปลอบ

              อัมรินทร์มองภาพสองแม่ลูกแล้วอดที่จะเบ้ปากใส่ไม่ได้ เมื่อต้องมามองเปรียบเทียบท่าทางของเจ้าเด็กจิ้งจกที่ทำตัวเปลี่ยนสีได้ไว้ยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

              ทีตอนอยู่กับเขาข้างล่างยังกระแนะกระแหนจิกกัดเขาตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นมองหน้า ต่อพออยู่ต่อหน้าเปลวอรุณนอกจากจะเรียบร้อยพูดจาน่าฟังแล้วยังทำหน้าเหมือนลูกหมาใส่อีก

              เห็นแล้วมันน่าจับโยนใส่กรงให้ไปนอนเล่นกับคุณมณีนิลสักคืนให้รู้แล้วรู้รอด...

              “จริงสิ แม่เปลวคงหิวแล้วผมทำข้าวต้มหมูมาให้ ทานเลยดีไหมครับ”

              ลูกตาลโผล่ขึ้นก่อนจะหันไปหาคนที่แทบจะถูกลืมเลือนไปกับอากาศของห้องอย่างอัมรินทร์ที่ถูกใช้ให้เป็นคนถือถาดชามข้าวต้มทั้งสามขึ้นมา

              เด็กหนุ่มจัดการยกโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กที่วางอยู่ไม่ไกลมากางลงบนเตียงตรงหน้าเปลวอรุณแล้วยกชาวข้าวต้นร้อนที่ส่งกลิ่นหอมของเนื้อหมูและกะเทียมเจียวลงบนโต๊ะให้คนที่นั่งทำหน้าตากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่บนเตียงเสร็จสรรพ

              “ลุงอันบอกว่าแม่เปลวไม่อยากกินข้าว ผมเลยตักส่วนของผมกับลุงขึ้นมากินด้วยกันบนห้องแม่เปลวจะได้ไม่เหงาไง”  ลูกตาลยิ้มร่าหูหางกระดิก

               “แต่แม่ไม่หิวเท่าไร ตาลกับคุณอัมรินทร์กินกันก่อนเลยนะ” เปลวอรุณยิ้มขื่น

              “ได้ไงละเปลว ฉันอุตสาห์ยกขึ้นมาให้แล้วนายยังจะปฏิเสธไม่กินอีกหรอ” น้ำเสียงทุมเจือจะไม่พอใจอยู่ระดับหนึ่งที่พอจำทำให้คนที่ได้ฟังจับกระแสนั้นได้

                 เปลวอรุณหน้าม่อยลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดกับคนทั้งสอง

              “กินหน่อยนะฮะ” ลูกตาลมองใบหน้าสวยอย่างมีความหวัง

              “ถ้านายไม่กินฉันป้อนเอง” ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์วางชามข้าวของตัวเองลงตรงหัวเตียงแล้วหันมาจับช้อนในชามของเปลวอรุณตักข้าวต้มขึ้นจ่อที่ริมฝีปากซีด

              เปลวอรุณดูจะหนักใจอยู่ไม่น้อยตอนที่มองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของเด็กหนุ่มที่จ้องเขาตาปริบสลับกับใบหน้าทะมึนทึนของชายหนุ่มที่มองเขาอยู่เช่นเดียวกัน

              เขาเม้มปากเข้าหน้ากันแน่นก่อนจะยอมเอื้อมมือออกไปจับช้อนที่จ่ออยู่ที่ปากมาถือเอาไว้แล้วเอาเข้าปากกินเองแล้วกลืนลงอย่างฝืดเคือง

               แต่แค่นั้นมันก็เพียงพอให้คนที่มองอยู่ยิ้มออกมาได้แล้วเริ่มที่จะหยิบจับช้อนของตัวเองกินตามบ้าง

               ลูกตาลไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรเยอะออกจะเป็นคนที่พูดไม่เก่งเสียด้วยซ้ำแต่วันนี้เด็กหนุ่มกลับสรรหาเรื่องนู้นเรื่องนี้ออกมาเล่าให้เปลวอรุณฟังไม่ขาด แม้เปลวอรุณจะกินไปเพียงไม่กี่คำแล้ววางช้อนลูกตาลก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังเทส่วนที่เหลือในชามนั้นใส่ชามของอัมรินทร์หน้าตาเฉยโดยที่ปากยังคงพูดเพื่อไม่ให้คนบนเตียงที่มองเขาอย่างตกใจมาสนใจกับการกระทำของตัวเขาเอง

               อัมรินทร์ใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้มมองลูกตาลอย่างไม่พอใจที่ถูกเด็กรุ่นลูกแกล้งเอาแต่นอกจากจะไม่พูดอะไรออกไปแล้วยังนั่งกินข้าวต้มในชามที่เพิ่มขึ้นจนหมด

              เปลวอรุณปั้นหน้าไม่ถูกที่ต้องให้อัมรินทร์มากินข้าวเหลือต่อจากตนทำได้เพียงลอบมองอีกฝ่ายเป็นระยะ พอจะอ้าปากห้ามไม่ให้คนตัวใหญ่กินเด็กหนุ่มก็เหมือนจะมีญาณทิพย์แทรกพูดขึ้นมาถามเขาได้ถูกเวลาตลอดจนอดไม่ได้ที่จะแอบคิดใจในว่าเขาโดนลูกตาลเอาคืนเรื่องที่กินข้าวไม่หมดหรือเปล่า

              ความอึดอัดใจของเปลวอรุณจบลงเมื่อข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าสู่ปากและลงสู่กระเพาะของเด็กหนุ่มที่ตีหน้ามึนตั้งแต่ต้นยันจบ แน่นอนว่าเมื่ออัมรินทร์เป็นคนยกถาดข้าวขึ้นมาให้คนที่ต้องลงเอาไปเก็บก็คือเด็กหน้ามึนที่นั่งฟังเปลวอรุณฝากฝั่งให้จัดการล้างถ้วยล้างชามให้เสร็จแล้วไปล็อกรั้วให้เรียบร้อย



              อัมรินทร์นั่งเงียบๆรอจนกระทั้งในห้องกลับมาเหลือเพียงเขากับเปลวอรุณที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยขึ้นมามองเขาเหมือนยังรู้สึกผิดเรื่องที่เขาต้องกินข้าวเหลือจากอีกคน

              จริงๆเขาก็ไม่ได้คิดว่าอะไร แต่แค่ไม่พอใจเฉยๆที่อยู่ดีๆลูกตาลก็เทมันลงมาแบบไม่บอกไม่กล่าวจนเกือบหกแถมยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่ซึ่งมันโคตรกวนประสาทเขาเลย

              “หลังจากนี้เปลวจะเอายังไงต่อ” และเพื่อไม่ใช่บรรยากาศมันเงียบจนน่าอึดอัดใจชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเปิดปากขึ้นมาก่อน แต่ดูเหมือนบทสนทนาที่เขาเลือกจะทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลวอรุณดูเครียดกว่าเดิม

              “ก็..ยังไม่รู้เหมือนกันเลยครับ” ใบหน้าขาวดูหม่นหม่องลงแทบจะในทันทีเมื่อพูดเรื่องที่ว่าออกมา

            ถึงจะรู้สึกผิดอยู่สักหน่อยก็เถอะที่เป็นตัวการหลักที่ทำให้อีกคนเป็นลมเป็นแร้งลงไปกับพื้นแต่ถ้าเขาไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่เขาจะได้เปลวอรุณมาครอบครอง

              ก็น่าสงสารอยู่นะ...

              “ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกนะ” ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปวางทับมือขาวที่เล็กกว่าแล้วออกแรงบีบเล็กน้อยอย่างหวังดีตามคำพูด

              “ผมไม่อยากรบกวน เงินจำนวนนั้นมันมากเกินไป”

              “อย่าคิดอย่างนั้นสิเปลว เราคนกันเองแค่เปลวเอ่ยปากฉันพร้อมจะช่วยเปลวเต็มที่นะ” อัมรินทร์ส่งยิ้มให้พร้อมรั้งคนตรงหน้าเข้ามาซบที่อก ลูบฝ่ามือใหญ่ของตนไปตามแผ่นหลังช้าๆเหมือนกำลังปลอบประโลงให้กำลังใจ

              “ฉันช่วยเปลวได้ ขอแค่เปลวพูด” แค่พูดเท่านั้นเปลว....

              “ผม..จะลองเอาไปคิดนะครับ”

              หมาป่าตัวร้ายแสนเจ้าเล่ห์ในคราบพ่อพระแสนใจดีแย้มยิ้มพอใจ ถึงเหยื่อตัวน้อยของเขาจะยังไม่ตอบตกลงในตอนนี้แต่เขามั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุดเช่นเขาจะเป็นตัวเลือกที่เปลวอรุณเอ่ยปากเลือกออกมา

              สีหน้าของเปลวอรุณดูลำบากใจไม่ค่อยจะแน่ใจเสียเท่าไรว่าการขอความช่วยเหลือจากอัมรินทร์จะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ขอเก็บมันเอาไว้ก่อนเป็นตัวเลือกสุดท้ายก็ยังดี

               หมาป่าตัวร้ายนั่งอยู่เฝ้าอยู่อย่างนั้นจนไก่ฟ้าตัวน้อยของมันหลับไปอีกครั้ง ขอบผ้าห่มผืนหนาถูกดึงขึ้นให้ขึ้นมาปิดถึงระดับอกดวงตาสีดำขลับพราวระยับยามมองเหยื่อตัวนอนของเขาหลับใหล

                ใบหน้าคมคายเคลื่อนลงมาใกล้ก่อนจะหยุดลงเมื่อปลายจมูกของพวกเขาชนกัน คราแรกเขาหมายจะฉกชิมกลีบปากบางที่เฝ้ามองมันมาตั้งแต่วันแรกว่ามันจะนุ่มเหมือนอย่างที่ตาเห็นหรือไม่

                แต่เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน...

                อีกไม่นานไม่ใช่แค่ปากแต่ทั้งตัวก็จะเป็นของเขา รอมาได้ตั้งสามปีรอมันต่อไปอีกสักนิดจะเป็นไร

                อัมรินทร์ยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะเลือกฝากสัมผัสตีตราลงที่หลังมือขาวเรียวแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะกดปิดสวิตซ์ไฟในห้องให้อีกคนด้วย

 

               เสียงฮึมฮัมในลำคอเป็นทำนองเพลงดังลอยๆลงมาและดังชัดมากขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ของชายวัยใกล้เลขสามยืนปรากฏตัวอยู่ที่หน้าบันได เรียกสายตาจากคนที่กำลังนั่งดูรายการทีวีอยู่ให้หันไปมองอย่างนึกหมั่นไส้

              “อารมณ์ดีเชียวนะลุง” ลูกตาลอดไม่ได้จริงๆที่จะไม่แขวะออกไป

              “แน่นอนอยู่แล้ว”  อัมรินทร์ยิ้มรับอย่างไม่รู้ร้อนแล้วถือวิสาสะหย่อนตัวลงนั่งตรงโซฟาข้างๆ เด็กหนุ่มเหลือบตามมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับรายการเกมส์โชว์ตรงหน้า

              “ว่าแต่ เตรียมตัวเก็บข้าวของย้ายไปอยู่บ้านพ่อได้แล้วนะจ๊ะไอ้ลูกชาย” ฝ่ามือใหญ่สมชายของอัมรินทร์วางแปะเข้าที่กลางกระหม่อมของเด็กหนุ่มแล้วออกแรงยีจนผมยุ่ง

              “ใครลูกลุง” ลูกตาลปัดมืออีกฝ่ายออกแทบจะทันทีอย่างไม่จริงจังเท่าไร

              “เอ้า ก็แม่เปลวของลูกตาลกำลังจะมาเป็นเมียฉัน ฉันก็ต้องเป็นพ่ออันของลูกตาลไง”  คนโมเมยิ้มตาหยี่

              “ไหนๆๆ เรียก พ่อ สิลูก”

              “รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ” เด็กหนุ่มว่าเบี่ยงอย่างนึกรำคาญ

              แต่อัมรินทร์ก็ไม่สนใจไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดที่ว่าของเด็กชายเท่าไรก่อนจะหันไปสนใจรายการเกมส์โชว์ตรงหน้าที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ก่อนอย่างอารมณ์ดี  ในขณะที่ลูกตาลเอาแต่เหลือบตามองคนข้างๆเล็กน้อยเป็นระยะเหมือนกำลังใช้ความคิด 


____________________________________________________________

มาละเด้อ!!

ยังไม่ไหลไปกับแผ่นดินไหวหรือลงท่อไปกับน้ำวันสงกรานต์นะ
สารภาพบาปเลยว่านอกจากนอนโง่ๆตากพัดลมอ่านนิยายแล้วก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอน
คือมันร้อนมาก ร้อนจนไม่อยากทำอะไรเลย

ตอนนี้ timeline ของเรื่องก็กำลังจะกลับเข้าสู่ช่วงเวลาปัจจุบันแล้ว
เรื่องหนี้คงเคลียร์กันละเนอะ


Note...

เปลวอรุณเองเป็นจำพวกแบบสัญญาไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ถึงจะไม่ชอบก็จะทำแต่ก็จะหาเหตุผลรองรับให้ตัวเองเมื่อทำต่อไม่ได้ มันเลยเป็นเหมือนว่าเปลวอรุณทำตัวเองด้วย ซึ่งมันก็จริง

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 22-04-2017 16:41:12
อัมรินทร์บ้า  :z6: สงสารเปลว  :sad4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 22-04-2017 17:35:00
อื้อหืออออออ พ่อพระเอกเรา อย่างเลว
คินดูตอนพลาดนะ จะหัวเราะเยาะให้ซะใจ :ling2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 22-04-2017 20:47:11
รอความจริงปรากฏเถอะ!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 22-04-2017 20:53:02
อัมนี่ออกแนวพระเอกง่าวๆของแท้ ไม่มีผู้ล่าคนไหนจ้องเหยื่อมานานขนาดนั้นหรอกนอกจากมันจะ รัก เหยื่อของมันเองน่ะ !! คอยดูนะจิสมน้ำหน้าให้ -*-  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-04-2017 23:37:24
ระวังเถอะถ้าเปลวรู้ความจริงเข้าจะเป็นเรื่อง
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-04-2017 02:03:08
 :hao3:


ร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 29-04-2017 04:07:10
ไม่อยากจะนึกถึงตอนความแตก...
จะมีฉากนั้นไหมนะ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 8- 22/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 29-04-2017 12:39:16
พี่เปลวแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 21-05-2017 22:25:35

เป็นหนี้ ครั้งที่ 9



       “...ป..เปล...เปลว..”

   “...”

   “เปลว!”

   รองประธานหนุ่มเพิ่มเสียงเรียกพร้อมแรงของมือที่จับอยู่บนหัวไหล่มนของเลขาให้แรงขึ้นเพื่อเขย่าเรียกสติของคนที่นั่งเหม่อตั้งแต่เริ่มประชุมให้กลับมามาอยู่กับตัวเอง สีหน้าอิดโรยของคนที่เพิ่งถูกเรียกให้จิตใจกลับมาอยู่กับตัวเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนตกใจก่อนจะหันมองซ้ายทีมองขวาที  เมื่อเห็นว่าภายในห้องประชุมขนาดกลางว่างเปล่าไร้คนประชุมเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าใบหน้าขาวก็ถูกฉาบไปด้วยความรู้สึกผิด

   “เหม่ออะไรอยู่เปลว เขาเลิกประชุมกันแล้วนะ” ชายหนุ่มกอดอกเอ็ดเสียงใส่อย่างไม่คิดตำหนิจริงจัง หากแต่คนอย่างเปลวอรุณกลับยิ่งก้มหน้าต่ำลงหลักกว่าเดิมอย่างคิดจริงจัง

   “ขอโทษครับ”

   อัมรินทร์ถอนหายใจออกหนักให้กับน้ำเสียแผ่วเบาคล้ายสำนึกผิดโทษตัวเองของคนที่ตรงหน้าที่ไม่แม้จะคิดเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะย่อกายลงให้ดวงตาของตนสามารถมองเห็นสีหน้าของเปลวอรุณที่ก้มต่ำจนคางเกือบชิดอกเพื่อจะได้มองหน้าอีกคนแทน

   “ทะ ทำอะไรนะครับ” เปลวอรุณถามเสียงหลง เมื่ออยู่ๆคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าอย่างอัมรินทร์ที่นอกจากนะนั่งย่องลงตรงหน้าแล้วยังเอาคางมาเกยที่หัวเข่าของเขาอีก

   “มองหน้าเปลวไง” เปลวอรุณหน้าแดงจัดกับคำตอบพาซื่อของอีกคนจนรีบดับใบหน้าคมออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย คนขี้แกล้งยกยิ้มชอบใจที่สามารถทำให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นเมื่อเดิมอีกครั้งก่อนจะหยันกายลุกขึ้นยืนตาม

   “เป็นอะไรไปหื้อ ปกติเปลวไม่เคยเหม่อแบบนี้ตอนประชุมเลยนี้น่า” ครั้งนี้เขาถามอย่างจริงจังพร้อมไล่สำรวจคนตรงหน้าใหม่อีกครั้ง

   ใบหน้าที่ดูอิดโรยเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอจนรอยคล้ำใต้ตาปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ไหนจะผิวหน้าขาวๆที่ดูจะซีดลงกว่าทุกทีนี้อีก ไม่ว่าจะมองยังไงเปลวอรุณก็ดูเหมือนคนที่ไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลยสักนิด

   “ตาลบอกว่าเปลวไม่ค่อยได้นอนมัวทำอะไรอยู่” เขาไล่เกลี่ยปลายนิ้วลงที่ข้างแก้มด้วยความเป็นห่วงที่มากล้นเต็มอก

   “คุณโทรเช็คผมจากลูกตาลหรอ” ดวงตาอ่อนล้าของเปลวอรุณเงยขึ้นสบกับนัยน์ตาคมของอัมรินทร์นิ่ง

   “ก็ฉันเป็นห่วง” ชายหนุ่มตอบอย่างสัตย์จริง

   ตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาเกือบจะครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่ความช่วยเหลือของเขายังคงถูกเปลวอรุณมองข้าม ทั้งๆที่อีกคนควรรีบจะตบปากรับความช่วยเหลือจากเขาทันทีที่เสนอมาแต่เปลวอรุณกลับนิ่งเงียบแล้วหายไปไม่พูดถึงมันขึ้นมาอีกเลยจนกลายเป็นตัวของอัมรินทร์เองที่ร้อนใจ

   “เวลามันเหลืออีกไม่มากแล้วนะเปลว” แม้จะรู้ว่าไม่ควรพูดมันออกมาตอนนี้แต่เขาต้องการย้ำเตือนให้เปลวอรุณตะหนักรู้ว่าตอนนี้อีกคนควรที่จะทำอะไร 

   เปลวอรุณดูอึ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเลือกเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสอุ่นที่แตะค้างอยู่ที่ข้างแก้มของจนคล้ายไม่อยากจะสบสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและอ้อนวอน อ้อนวอนให้เขารับความช่วยเหลือนั้น...

   “ผมรู้”  เปลวอรุณว่าเสียงสั่น

   “แล้วทำไม..” คนตัวสูงกว่าย่นคิ้วหรี่ตามอง

   “ก็ผมเกรงใจ” เงินมากมายขนาดนั้นอยู่ๆจะเอามาให้เขาเลยเพื่อใช้หนี้มันมากเกินไป เขาไม่กล้ารับไว้...

   “เปลว!”

        เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่ออัมรินทร์เผลอตะคอกใส่เสียงดังอย่างไม่ทันตั้งตัว

   “แต่นั้นมันบ้านของผม ผมอยากพยายามทำมันด้วยตัวเอง” เปลวอรุณพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและพยายามข่มความหวาดหวั่นในใจแล้วค้านกลับอีกคนไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน 

   “แล้วมันได้ไหมเปลว มันครบไหม” ชายหนุ่มถามกลับเสียงต่ำข่มอารมณ์ไม่แพ้กัน หากแต่...

    เปลวอรุณกลับเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนีอย่างจนทางยอมจำนนต่อคำพูดนั้นของอัมรินทร์ที่ว่าตัวเขาไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้ทัน

   “แค่ยอมรับความช่วยเหลือจากฉันมันยากขนาดนั้นเลยหรอเปลว” ไม่ว่าเปล่าครั้งนี้อัมรินทร์ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมจับต้นแขนทั้งสองข้างของเปลวอรุณไว้แน่นด้วยเสียงที่ดูเหมือนจะอ่อนลงแต่เต็มไปด้วยความหน่วงในใจ

   อัมรินทร์เงียบมองคนตรงหน้าที่ไม่คิดแม้จะมองหน้าเขา รอยยิ้มที่ถูกแข้นออกมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมเมื่อบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามาในความคิดของเขา

   “หรือว่าเปลวกำลังรอความช่วยเหลือจากใครอยู่”

   !!

   คล้ายคำถามถามหยันเชิงลองคาดเดามกกว่าการถามไปตรงงๆหากแต่มันกลับไปสะกิดใจของเปลวอรุณให้นิ่งกึก อัมรินทร์หรี่ตามองนัยน์ตาใสหลังเลนส์แว่นที่เบิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมความสั่นระริกเมื่อถูกต้อนจนมุม

   ใคร...!!

   ทั้งๆที่แค่จะลองถามแค่พอหยันเชิงดูแต่ใครจะไปรู้กันละว่าความจริงที่คนตรงหน้าปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาอย่างหัวชนฝาจะเป็นเพราะมีมือของใครบางคนที่อยู่ในเงาพร้อมที่จะยืนเข้ามาช่วยเหลือ

   “งั้นหรอ” อัมรินทร์ยกยิ้ม

        ไม่ยอม..

   เขาไม่ทางยอมง่ายๆแน่....

   “แล้วมันอยู่ไหนละ” เขาถามเสียงเยาะ

   เปลวอรุณไม่ตอบ

   “มันอยู่ไหนละเปลว ไอ้คนที่เปลวรอว่ามันจะมาช่วยนะมันอยู่ไหน!” ยิ่งไร้เสียงตอบรับกลับมาอัมรินทร์ก็ยิ่งขึ้นเสียงถามตามอารมณ์ที่ไม่พอใจ

   “ผม..”

   “ไม่รู้ ?”    

   อัมรินทร์ปล่อยมือคู่ที่จับหัวไหล่มนนั้นออกพร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ว่าต้องการส่งไปให้ให้เย้ยหยันตัวเองที่คิดข้ามเรื่องนี้หรือสมเพชเปลวอรุณที่ยังรอความช่วยเหลือแม้จะมองไม่เห็นแสงความหวังที่ปลายอุโมงค์ใหญ่แบบนี้

   เปลวอรุณรอบมองรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดากับเสียงหัวเราะต่ำๆของอัมรินทร์ที่หมุนกายหนีหันหลับให้เขาอย่างนึกหวั่น เขาไม่เคยเห็นอีกคนมีท่าทางแบบนี้มาก่อนมันดูคล้ายกับ เสียสติ...

   จริงอยู่ที่เปลวอรุณมีคนที่สามารถจะช่วยเหลือเขาในเรื่องการเงินได้แต่ตั้งแต่วันจนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถติดต่อ เขา ได้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังเป็นคนติดต่อมาหาเขาเองอยู่เลยด้วยซ้ำแต่พอเกินเรื่องขึ้นอีกฝ่ายก็หายไปราวกับว่าเบอร์โทรศัพท์หมายเลขนี้ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะนั่งงอมืองอเท้าเสียอย่างเดียวที่ไหนกันเพราะแบ่งใจเผื่อความผิดหวังครั้งนี้ไว้แล้วเหมือนกันว่าจะไม่ได้ตามที่หวังเขาถึงได้รวบรวมเงินเก็บทุกจากบัญชีที่มีอยู่เอามารวมกันไว้เพื่อหวังว่ามันจะพอ

   แต่ก็ไม่...

   และความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เขานอนไม่หลับ...

   “เธอมันดื้อเปลว” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างข่มอารมณ์

   “...”

   “แล้วเธอจะรอมันไปถึงเมื่อไร” ร่างสูงใหญ่หนุนกายหันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง

   เขาตอบไม่ได้...

   “ฉันถามว่าเมื่อไร!” และยิ่งเปลวอรุณเงียบความดาดเดือดในใจของอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น  ชายหนุ่มปรี่ตรงเข้ามากระชากต้นแขนของเปลวอรุณเอาไว้แน่นก่อนออกแรงเขย่า

   “คุณอัมรินทร์ปล่อย ผมเจ็บ” คนตัวเล็กกว่าโอดขึ้นเมื่อแรงมือของอีกคนเพิ่มขึ้นจนรู้สึกร้าวไปหมด

   “ตอบมาสิเปลว นายรอมันทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันจะมาช่วยเปลวหรือเปล่าแต่กลับปฏิเสธฉันเนี้ยนะ”

   “ปล่อย ผมเจ็บ” เปลวอรุณพยายามดันมือขออัมรินทร์ออก

   “ตอบฉันสิเปลว เพราะอะไร”   อัมรินทร์ตะคอกใส่เสียงดัง

   แรงเขย่าที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับคำถามที่ถามหาเหตุผลอย่างคนสติแตกของอัมรินทร์ที่หน้ามืดตามั่วจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าเสียงพูดของเปลวอรุณเริ่มแผ่วลง

   “พูดออกมาสิเปลว งะ เปลว!!”

   แน่นอนว่าคนที่อดนอนมาหลายคืนพอมาเจอแรงเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนแบบนี้ต่อให้แข็งแรงขนาดไหนก็ไม่แคล้วจะหน้ามืดเป็นลมลงได้เหมือนกัน

   “เปลว เปลว”

   คนอามรณ์ร้อนเมื่อครู่ร้องเสียงหลงกับสภาพคอพับคออ่อนของเปลวอรุณที่อยู่ๆก็ไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัวทรุดลงไป อัมรินทร์เปลี่ยนมือที่จับต้นแขนทั้งสองข้างเป็นโอบรวบไหล่ของอีกคนเอาไว้แน่น

   “เปลว ตื่นสิ เปลว”

   อัมรินทร์พยายามตบเข้าที่แก้มซีดขาวอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกสติแต่ก็เท่านั้น เพราะไม่ว่าจะทำยังไงเปลวอรุณก็ไร้ซึ่งการตอบสนองกลับ เขาจึงตัดสนใจปลดเนคไทสีอ่อนออกพร้อมปลดกระดุมเสื้อด้านในออกเพื่อลดความอึดอัดให้หายใจได้สะดวกขึ้นแล้วรีบช้อนแขนเข้าที่ข้อพับขาอุ้นอีกคนนที่ตัวเบากว่าที่เคยขึ้นอุ้มแล้วผลักประตูห้องประชุมออกอย่างแรง

   “ว้าย!”

   เสียงตกใจของกลุ่มพนักงานสาวสามคนที่ยืนแอบฟังกันอยู่หน้าประตูห้องร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆคนด้านในก็ผลักบานประตูออกมาอย่างแรงไม่ทันได้ตั้งตัว

   “เกิดอะไรขึ้นคะ” หนึ่งในสามของกลุ่มที่ประคองสติตัวเองได้ดีที่สุดทักขึ้นทันทีเมื่อสายตาของหล่อนโฟกัสไปยังคนในอ้อมแขนของรองประธานหนุ่ม

   “เปลวเป็นลม ใครมียาดมบ้าง” แม้อยากจะตำหนิพวกหล่อนที่คิดแอบฟังเรื่องส่วนตัวของเจ้านายมากแค่ไหนแต่ตอนนี้ความเป้นห่วงคนในอ้อมแขนของเขาสำคัญมากกว่าเรื่องไร้สาระที่ว่านั้นมาก

   “ดิฉันมีค่ะ” ผู้หญิงที่อยู่ถัดออกไปพูดขึ้นพร้อมกระเป๋าถือใบเล็กที่ถูกเปิดออกก่อนที่ยาดมหลอดสีขาวจะถูกยื่นมาใกล้บริเวณจมูกของเปลวอรุณ

   “หน้าคุณเปลวซีดมากเลยนะคะท่านรอง รีบพาคุณเขาไปโรงพยาบาลจะดีกว่าไหมคะ” เธอพูดอย่างเป็นกังวลหลังจากเข้ามามองใบหน้าของเลขาท่านรองใกล้ๆ อีกทั้งวันนี้คนดูแลห้องพยาบาลของบริษัทก็ลาคลอดด้วยคงไม่มีใครที่รู้เรื่องพวกนี้ดูแลได้อย่างถูกทาง

   อัมรินทร์เห็นด้วยกับคำพูดนั้นของหญิงสาว ชายหนุ่มหันไปสั่งให้หนึ่งในผู้หญิงกลุ่มนั้นให้โทรเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ใกล้จากที่นี้ให้รีบมารับ เพราะถ้าจะให้เขาย้อนกลับเข้าไปที่ห้องทำงานเอากุญแจรถออกมาคงไม่ทันการแน่
   เสียงส้นรองเท้าหนังขัดมันดังก้องไปตามทางที่สองขายาวของรองประธานหนุ่มก้าวผ่านอย่างรีบร้อนเรียกสายตาอยากรู้ระคมแปลกใจของพนักงานที่เดินผ่านไปมาคงต้องขอบคุณกลุ่มสาวๆทั้งสามที่ค่อยวิ่งตามขาลงมาจากข้างบนคอยเคลียร์ทางกันผู้คนให้ไม่ให้เข้ามาใกล้จนตอนนี้ที่ยิ่งใกล้ถึงประตูทางออกมากเท่าไรจากการจ้ำก้าวตั้งแต่ตอนแรกก็แทบจะเปลี่ยนเป็นวิ่งแทนเสียให้ได้ตามใจที่ร้อนรุ่มหากไม่ติดว่ามีใครคนหนึ่งอิงซบอยู่ที่อกจะกระทบกระเทือนมากไปกว่านี้

   “ท่านรองค่ะ แอมบูแลนซ์มาถึงแล้วค่ะ”

   เสียงของหนึ่งในพนักงานสาวกลลุ่มนั้นที่วิ่งล่วงหน้าออกมาก่อนตะโกนกลับเข้ามาพร้อมกับเสียงวอฉุกเฉินของรถตู้พยาบาลคันใหญ่สีขาวที่ขับเข้ามาจอกข้างที่ด้านหน้าของประตูอย่างรวดเร็ว

   อย่าเป็นอะไรไปนะเปลว...




   “อาการของคนไข้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากหรอกครับ แค่อาการของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอที่อาจมาจากเรื่องของความเครียดสะสมทำให้ความดันในร่างกายลดต่ำลงตอนนี้หมอให้ยานอนหลับแบบอ่อนไปตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็สามารถกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านได้แล้วละครับ แต่ว่าหมอขอแนะนำว่าช่วงนี้อย่าให้คนไข้เครียดอีกนะครับเดี๋ยวอาการจะทรุดแล้วล้มป่วยเอา”

   น้ำเสียงใจดีของนายแพทย์วัยใกล้เกษียณร่างท้วมขาวบอกถึงผลตรวจที่ได้ก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป อัมรินทร์ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะล้วงมือลงหยิบของส่วนตัวสิ่งเดียวที่เขาพกติดตัวอยู่ในตอนนี้ออกกมากดโทรออกหาญาติสนิทเพียงคนเดียวของตนให้เข้าไปเอามาหาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพราะนอกจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวเครื่องนี้แล้วเขากับเปลวอรุณไม่มีอะไรติดตัวออกมาจากที่บริษัทเลยสักอย่าง ยิ่งเงินค่าห้องพักกับค่าตรวจด้วยแล้วลืมไปได้เลย....

   อัมรินทร์ใช้เวลาพูดคุยกับอนิรุทธิ์ครู่หนึ่งก่อนเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกลับไปที่เดิมในกระเป๋าด้านในของเสื้อสูทตัวนอกแล้วทรุดกายลงที่เก้าอี้ข้างเตียงจ้องมองใบหน้าขาวที่เริ่มดูดีขึ้นหลังจากได้นอนหลับสนิทหากแต่ร่างกายที่ช่วงดูจะซูบลงไปบ้างแต่ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร

   ว่าแต่...

   เปลวอรุณอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน...

   คนที่ต่อให้ว่างขนาดไหนก็ที่จะไม่เคยลาพักร้อนหรือป่วยไข้จนต้องลาหยุดเลยสักครั้งแต่กลับเป็นลมล้มพับต่อหน้าต่อตาเขาถึงสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนแบบนี้หรือมันจะเป็นเพราะเขาที่ทำให้อีกคนมานอนอยู่ที่นี้ แต่ถึงลึกๆจะน้อมรับความผิดที่ว่าอยู่แล้วก็เถอะแต่อัมรินทร์ก็เลือกที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดเรื่องนี้ให้ออกจากหัวของเขาไปก่อนจะกลับมาจ้องมองคนบนเตียงอีกครั้งพร้อมความคิดอีกอย่าง

   และเรื่องที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ทำให้เขาเผลอใส่อารมณ์กับอีกคนไปนั้นแหละ...

   ถ้าเขาเริ่มเอะใจสักนิดกับอาการพะวักพะวงอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดเวลาของเปลวอรุณสักนิดไหนจะการลาเป็นว่าเล่นของเปลวอรุณในช่วงที่ผ่านมานี้อีก  เพราะชะล่าใจคิดว่าอีกคนไม่มีใครเข้ามาสอดทุกอย่างมันถึงได้ตาลปัตรไปหมดแบบนี้ ไหนจะคำพูดซ้ำๆที่เขาได้รับจากลูกตาลยามที่เขาโทรไปถามไถ่สถานการณ์จากเด็กหนุ่ม ที่บอกเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องรามของคนบนเตียงนอนที่แม้ว่าไฟในจะดับลงเหลือแต่เพียงแสงสลั่วๆของโครมไฟเล็กๆสีส้มนวลในห้องแต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้เห็นเงาของคนในห้องผ่านร่องใต้ประตูที่วูบไหวไปมาได้อย่างชัดเจน

   “แม่เปลวไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมนอน”

   ซึ่งเรื่องที่ลูกตาลเล่ามาเขาก็พอที่จะเดาได้ว่าเปลวอรุณทำอะไร เจ้าตัวคงไม่อยากจะให้ลูกชายวัยรุ่นต้องเป็นห่วงถึงได้ทำแบบนั้น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนี้แน่

   “เหมือนว่าแม่เปลวกำลังพยายามโทรหาใครสักคนอยู่”

   คำบอกเล่าสั้นๆนี้ต่างหากที่ไม่ว่าเขาจะโทรไปสักกี่ครั้งลูกตาลก็จะบอกให้เขาได้รู้ทุกครั้งเช่นกัน...

   ม่านตาของอัมรินทร์หรี่ลงยามจ้องมองใบหน้านวล เพราะความหลงระเริงในสิ่งที่ที่อยู่ตรงหน้ามากจนเกินไปเลยทำให้มันมาบดบังสิ่งเล็กๆอย่างเรื่องนี้ไปได้

   “ไม่ ผมเองก็ไม่รู้นะว่าแม่เปลวโทรหาใคร พอถามก็ไม่ตอบแค่ยิ้มแล้วเดินหนี”

          ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เปลวอรุณต้องการโทรหาเป็นใคร ขนาดว่าเขาให้ลูกตาลแอบดูรายการโทรเข้าออกของอีกคนแต่นอกจากจะไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นใครแล้วหมายเลขดังกล่าวยังเป็นเบอร์ล็อคที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถติดต่อได้หากไม่ใช่เบอร์ที่ถูกเชื่อมเอาไว้

           คนในความลับ...

           ชื่อนี้น่าจะเหมาะแมวขโมยที่กำลังจะทำแผนเขาพังไม่เป็นท่า เมื่อไรก็ตามที่อีกฝ่ายรับสายของเปลวอรุณเมื่อนั้นก็เท่ากับว่าแผนทุกอย่างที่เขาวางเอาไว้จะไม่มีความหมายอีกต่อไป ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ
เขาต้องหาวิธีจัดการกับตัวปัญหานั้นให้ได้...

            อัมรินทร์หมายหมั่นอยู่ในใจและไม่รอให้ความคิดที่ว่าหายไปโทรศัพท์เครื่องขาวต่างยี่ห้อกับเขาของเปลวอรุณที่วางอยู่บนตู้เล็กของเตียงก็ถูกมือของเขาคว้าเอามาครอง

            เพราะไร้การป้อนรหัสป้องกันใดมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่คนนอกอย่างเขาจะเข้ามาสอดส่อง

           สังคมออนไลน์ของเปลวอรุณมีอยู่ไม่กี่ช่องทางนอกจากแอปพลิเคชั่นดังๆที่กำลังเป็นที่นิยมสี่ห้าอย่างแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรในเครื่องเสียเท่าไร เบอร์โทรติดต่อก็เป็นคนรู้จักของเจ้าตัวเป็นส่วนใหญ่แต่เบอร์ที่อีกคนโทรหาบ่อยที่สุดในเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีแค่เบอร์เดียว

           เบอร์ล็อคที่ลูกตาลเคยบอก...

           จากบันทึกการโทรดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะกดโทรออกมันแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
ความโกรธที่หาสาเหตุไม่ได้เดือดดันจนแน่นคับอดยามที่ปลายนิ้วของคนชั่งอยากรู้ปัดไล่ไปตามหน้าจอ ข้อความหรือบนสนทนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเบอร์นี้จะถูกเข้ารหัสเอาไว้ทั้งหมดทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเบื่อหลังด่านสกัดกั้นเปลวอรุณกับใครคนนั้นพูดคุยอะไรกัน

          แค่คิดว่าใครอื่นที่ได้ใกล้ชิดเปลวอรุณมากกว่าเขา มันยอมไม่ได้...

          เขาหมายตามองเปลวอรุณมานาน นานจนแน่ใจว่าเปลวอรุณไร้ใครข้างกายแล้วแท้ๆแล้วมันเป็นใคร!?
มันเป็นใคร...

   ยังมีใครที่คิดจะลงแข่งแย่งเอาคนตรงหน้าไปจากเขาอีก...

   ความเดือดดาดเลือกให้อัมรินทร์เลือกระบายความโทสะของตนออกมาโดยการบีบโทรศัพท์เจ้าปัญญาหานั้นแน่นจนข้อต่อขาวฝ่ามือสั่น

ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะที่บานประตูดังเรียกสติของเขาให้กลับมาอีกครั้ง อัมรินทร์เหลือบมองคนบนเตียงให้แน่ใจว่ายังหลับอยู่แล้ววางโทรศัพท์ลงกลับที่เดิมของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาใหม่

   “ไงมึง”

   อนิรุทธิ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยทักพร้อมยกมือให้น้องชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่ปล่อยบรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรออกมา

   “ไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นวะ หมอบอกว่าคุณเลขามึงอาการหนักหรอ” อนิรุทธิ์ถามขึ้นเพลางก้าวเข้ามาใกล้เตียงผู้ป่วยชะโงกมองดูคนบนเตียงเล็กน้อย แต่พอไม่เห็นว่าเปลวอรุณจะมีอาการแย่อะไรอย่างที่ตนเข้าใจชายหนุ่มจึงหันกลับมามองหน้าคนเฝ้าที่นั่งหน้าบ่อบุญไม่รับอย่างสงสัย

   “เปล่า มึงเบาๆหน่อยได้ไหมไม่เห็นหรือไงว่าเปลวกำลังหลับอยู่” อัมรินทร์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรจนอนิรุทธิ์ต้องรีบยกมือขึ้นตะครุบปากตัวเอง

   “กูไม่ได้เสียงดังนะ” ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา

   อัมรินทร์ไม่ตอบอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนกระชับผ้าห่มให้คนที่นอนก่อนจะเดินผ่านอนิรุทธิ์ไปทางประตูพร้อมกับสายตาประมาณว่าให้ตามตนออกมา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากแต่อนิรุทธิ์ก็ยอมที่จะเดินตามน้องชายของตนออกไปอย่างง่ายดายโดยไม่คิดถาม

    อนิรุทธิ์เดินตามอีกคนจนมาหยุดอยู่ที่มุมพักผ่อนส่วนกลางสำหรับญาติผู้ป่วยที่มาเฝ้าหรือตัวผู้ป่วยเองที่อยากออกมาเปลี่ยนบรรยากาศพูดคุยหรือพบปะคนห้องใกล้ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้สังคมของการพบปะมีแต่พวกเขาสองคนที่แยกกันนั่งลงบนโซฟาเล็กขนาดสองเบาะคนละตัว

   “มึงพากูออกมานี้ทำไมวะ” อนิรุทธิ์เปิดปากถามขึ้น

   “เพราะมึงเสียงดัง”

   “ไม่จริง” เขาเถียง

   อัมรินทร์ไม่คิดต่อล่อต่อเถียงอะไรเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมของตนจนคนถูกเรียกมาได้แต่กรอกตาไปมาก่อนจะเปลี่ยนคำถามใหม่

   “ทำไมอยู่ดีเลขามึงถึงได้ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่อย่างนั้น” และได้ผล นิ้วมือของอัมรินทร์นิ่งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะกดพิมพ์บางอย่างที่หน้าจอต่ออีกสักพังก่อนจะเก็บลงที่เดิมซึ่งถ้าให้อนิรุทธิ์เดาคนตรงหน้าคงกำลังสั่งงานกับใครสั่งคนในบริษัทอยู่แน่

   ก็ไอ้นี้มันบ้างานเหมือนกันนิ...

    “ก็เรื่องหนี้นั้นแหละ” อัมรินทร์ตอบเสียงเรียบ

   ผู้อำนวยการหนุ่มทำหน้าประมาณว่า ว่าแล้ว ใส่หลังได้รับคำตอบจากน้องชาย

   “เปลวไม่ยอมรับเงินที่กูจะให้เขา” เสียงราบนิ่งนั้นเจือเต็มไปด้วยความไม่พอใจกลายๆ

   “อะไรนะ” แต่คำตอบง่ายๆนั้นกลับทำเอาอนิรุทธิ์อุทานตาโตอย่างไม่อยากเหลือเชื่อ

         ยิ่งอัมรินทร์พยักหน้ารับแทนคำตอบด้วยแล้วเขาก็ยิ่งหมดคำใดจะพูดออกมาเพราะมันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในสมัยนี้ที่จะมีใครสักคนคิดลงมือพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตัวเองแล้วปฏิเสธความช่วยเหลือแสนสบายแบบนี้ทิ้ง

   “และมันไม่ใช่แค่นี้ใช่ไหม” เพราะถ้าแค่นี้คนอย่างอัมรินทร์ไม่มานั่งทำหน้าเครียดอาฆาตเหมือนจะฆ่าจะแกงใครแบบนี้แน่มันจะต้องมี อะไรที่มากกว่านั้นที่เขายังไม่รู้อีกแน่

   อัมรินทร์ปลายตามองคนที่ยิงคำถามที่คล้ายจะยิ่งสุทให้กองไฟในอกลุกโชยเพิ่มขึ้นอย่างจนเผลอเอาปลายลิ้นดุนกระพุงแก้มด้านล่างไปมาอย่างเคยตัวยิ่งเสริมให้คำตอบที่อีกคนคิดเป็นจริง

   “เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นวะ” อนิรุทธิ์โผงถามขึ้น

   “ปัญหานิดหน่อย” เจ้าตัวว่าปัดเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรให้รำคาญใจ

   “ไม่นิดแล้วมั่ง มึงเล่ามาช่วงที่กูยุ่งๆอยู่มันเกิดอะไรที่กูยังไม่รู้บ้าง” อนิรุทธิ์ถามเสียงเข้ม ตั้งแต่รู้ว่าอัมรินทร์ได้ลูกชายบุญธรรมของเปลวอรุณมาเป็นพวกด้วยเขาก็ไม่ได้ตามเรื่องของอีกฝ่ายเท่าไรเนื่องด้วยช่วงนี้โรงเรียนของเขากำลังอยู่ในช่วงประเมินการสอนของบรรดาครูเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้ารับการประเมินโรงเรียนในการแข่งขันระดับประเทศเขาจึงยุ่งแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยกลายเป็นว่าเขาพลาดเรื่องสำคัญอะไรไปเสียอย่างนั้น...

   “เปลวพยายามติดต่อใครบางคนอยู่”  อัมรินทร์ก็เปิดปากพูดขึ้น แม้จะดูไม่ค่อยจะเต็มใจที่จะเอ่ยมันออกมาก็เถอะ

   “ใคร”

   “กูไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นใคร แต่เพราะมันนี้แหละที่จะทำให้ทุกอย่างที่กูทำมาทั้งหมดพัง!”

         ความเกรี้ยวกราดของอัมรินทร์ไม่เพียงแต่ถูกแสดงออกมาจากทางสีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติเท่านั้นแต่ยังรวมถึงฝ่ามือหนาที่ตบลงที่โต๊ะกระจกเล็กตรงหน้าเสียงดังก้องทั่วทางเดินโล่ง

    “ใจเย็นก่อนดิวะ” อนิรุทธิ์ต้องรีบปรามน้องชายตัวเองที่ส่งเสียงดังจนอาจรบกวนการพักผ่อนของคนไข้ที่อยู่ห้องใกล้เคียงหรืออาจทำให้ใครมาได้ยินการสนทนานี้เข้า

         “เย็นหรอ มึงยังจะให้กูเย็นได้อีกหรอวะ”  คนที่มากด้วยความเดือดดาดกระชากเสียงห้วนใส่

   ของที่อยากได้ หมายตามานาน ประคบประงมอย่างดีอยู่ๆกำลังจะถูกชุบมือเปิบไปแบบนี้มีใครที่ไหนเขาจะทนได้กัน...

   “ถึงตอนนี้มันจะยังไม่รับสายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีรับสาย ยิ่งมันเป็นคนที่เปลวฝากความหวังเอาไว้ด้วยแบบนี้กูเชื่อว่ามันต้องสามารถหาเงินร้อยล้านมาให้เปลวได้ภายในหนึ่งวันแน่”  เขาเชื่ออย่างที่ปากว่าจริง

   แผ่นอกหนากระเพื่อมขึ้นลงมาแรงหอมหายใจหลังจากที่อัมรินทร์ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง ตอนนี้ต่อให้พยาบาลที่นั่งอยู่ตรงเคาร์เตอร์ด้านหน้าเดินมาว่าเขาที่ทำเสียดังรบกวนคนไข้คนอื่นหรือโดยญาติคนไข้ออกมาด่าเขาก็ไม่สน

   เขาไม่สนอะไรทั้งนั้น...

     เปลวอรุณต้องเป็นของเขา...

         คำนี้เขาท่องเอาไว้จนจำขึ้นใจมาตั้งแต่นาทีแรกที่เจอและไอ้หน้าไหนก็ห้ามยุ่งกับของของเขา...

         อนิรุทธิ์มองท่าทีแสนเกรี้ยวกราดกว่าปกติของน้องชายอย่างจับผิด จะบอกว่ากลัวแผนตัวเองพักก็ไม่น่าจะโกรธเกรี้ยวได้มากขนาดนี้หรือจะบอกว่าเสียหน้ากันหรือก็ไม่น่าใช่

           หรือว่า...

           “ถ้าแผนมึงมันจะพังขึ้นมาจริง มึงก็แค่หาแผนใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือไง” อนิรุทธิ์ถามกลับ

           “ไม่!” อัมรินทร์ตอบกลับเสียงดังทันควันเช่นกัน

           “กูรอเปลวมาสามปีและกูจะไม่ทนรออะไรอีกแล้ว”

           “แต่มึงไม่ได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้ไว้ไม่ใช่หรือไง” อีกคนแย้ง

            “มันต้องมีทาง”อัมรินทร์เสยผมของตนอย่างแรง ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับก็เถอะแต่เขาก็ยังไม่คิดเหมือนกันว่าจะทำยังไงเหมือนกัน แต่ไม่ทันที่จะมีใครได้เอ่ยอะไรที่พอจะเป็นแสงส่องทางในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามความต้องการนี้ เสียงหวานใสของคนคุ้นหน้าก็ดังขึ้น

           “ถ้าอย่างนั้นให้ลิลช่วยไหมละคะ”

            !!

_________________________________________________________

กลับมาแล้วคร้าาาาาาาา

I'm back !


หนึ่งเดือนเต็มกับการหายไปอยากจะบอกทุกคนว่า สอบเสร็จ แล้วคร้า

(จริงๆสอบเสร็จตั้งแต่วันที่15แล้ว :hao7:)

ขอสารภาพเลยว่าแอบอู้แบบสุดๆ พอสอบเสร็จก็ขี้เกียดตัวเป็นขนนอนโง่ๆอยู่แต่บนเตียง

แต่ตอนนี้

เราเอาพี่เปลวกับน้องอันอันมาส่งละเด้อ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 22-05-2017 06:57:47
 ฮือ ทุกคนรุมเปลว สู้ๆ นะเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 22-05-2017 06:58:21
สู้ๆ นะเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-05-2017 07:13:36
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-05-2017 09:00:27
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-05-2017 17:07:39
    พล็อตเรื่องน่าอ่าน ชอบความสัมพันธ์ของเปลวกับอันมากค่ะ    แต่อ่านแล้วงงๆ หลายจุด  เหตุผลที่เปลวไม่ไล่พิมพาไป และในเมื่อพิมพาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงนี่คะ เจ้าหนี้ยึดไม่ได้นะคะ จบก.ม.มาเลยอินไปหน่อย  (หลักกฎหมาย : การจะนำโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนจำนองได้  เจ้าของต้องยินยอมคือลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอม  ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า พิมพาได้นำโฉนดที่ดินไปให้เฉยๆหรือเปล่า อันนี้ยิ่งไม่ถือว่าเป็นการจำนอง เพราะอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินต้องจดทะเบียนจำนอง เพราะฉะนั้นยิ่งยึดไม่ได้)  น่าจะแก้เป็นพ่อของเปลวเป็นเจ้าของบ้านก่อนตายแอบเอาโฉนดไปจำนองเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ให้พิมพาน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะคะ 


สู้ๆนะคะ  เข้าใจว่าเป็นมือใหม่หัดแต่ง ความพยายามความตั้งใต สำนวนดีและคำผิดไม่ค่อยเห็นเลย  ชื่นชมและติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 24-05-2017 12:19:33
ทุกคนใจร้ายมากอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 26/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-05-2017 01:13:41
 :hao5:


แอบสงสารเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 26/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-05-2017 21:45:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 27-05-2017 11:17:59
เป็นหนี้ ครั้งที่ 10



            เสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกสนุกดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวระหงส์ของนักออกแบบเครื่องประดับสาวสวยจะปรากฏให้เห็นที่ขอบมุมกำแพง

                      ลิลดา...

            อัมรินรทร์ชะงักเมื่อเจ้าของเสียงแสนคุ้นหูนั้นหาใช่คนอื่นไกลห่างตัวเขาเลยแม้แต่น้อย และเพราะคุ้นเคยกันมานานเลยทำให้เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกับอนิรุทธิ์ที่ยังคงตกใจที่มีใครอื่นมาได้ยินการพูดคุยของพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัวจนนึกกลบด่าในใจถึงความสะเพร่าของตนที่เผลอเลอปล่อยให้คนนอกรู้เรื่อง

              “ว่าไงคะ พอจะมีอะไรให้ลิลช่วยหรือเปล่า” รอยยิ้มหวานกับแววตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์ที่ฉายชัดอยู่ในนัยน์ตาคู่สวยนั้นทำเอาสองหนุ่มคิดหนักกับคำถามที่ถูกถามย้ำออกมาจากริมฝีปากสีสด

              “ทำไมลิลถึงมาอยู่ที่นี้” อัมรินทร์ไม่ตอบแต่กลับตั้งคำถามขึ้นมาใหม่แทน

              “นี้มึงรู้จักเธอด้วยหรอไอ้อัน” อนิรุทธิ์ยกมือขึ้นชี้ไปมาระหว่างคงสองคนพร้อมมองหน้าสลับไปมาอย่างสงสัย

              “ใช่” อัมรินทร์ตอบอนิรุทธิ์ก่อนที่จะหันมาถามหญิงสาวตรงหน้าต่อ

              “แล้วลิลมาทำอะไรที่นี้ ไหนว่ามีธุระด่วนไม่ใช่หรอ”

              “ก็นี้ไงค่ะ ธุระด่วนที่ลิลว่า” เจ้าหล่อนตอบพลางชี้ไปทางประตูห้องพักผู้ป่วยที่อยู่ห่างออกไปสองสามห้องจากจุดที่พวกตนยืนกันอยู่ให้สองหนุ่มได้รับรู้

              “คือเพื่อนของลิลถูกรถชนนะคะ พอดีว่าเธอเพิ่งมาจากต่างประเทศเลยไม่รู้จักใครเลยนอกจากลิล สายด่วนที่โทรเข้ามาตอนประชุมยังไงละ” ลิลดาบอก

              อัมรินทร์พยักหน้ารับ เพราะสายด่วนที่เธอว่าคือเรื่องจริงเมื่อเช้าพวกเขามีประชุมกันเรื่องธีมงานของคอลเลคชั่นของซีซั่นนี้รวมถึงจำนวนที่จะนำออกแสดง ราคา นางแบบ แต่ทุกอย่างก็ต้องถูกพับลงเมื่อเบอร์โทรฉุกเฉินจากทางโรงพยาบาลต่อสายตรงเข้ามาหาดีไซเนอร์สาวจนต้องขอตัวออกไปก่อนกลางคัน

              “แล้ว ลิลมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” อัมรินทร์ปรับสีหน้าให้เครียดขึ้นเมื่อเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอดีตคู่ขาสาวตรงหน้ารู้เรื่องที่พวกคุยกันมากน้อยขนาดไหน

              “ก็ตั้งแต่ที่อันบอกว่า ไม่รู้ว่ามันเป็น แล้วก็ เพราะมันที่จะทำให้แผนของอันพัง นี้แหละ” ลิลดายกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ปลายคางเหลือบตาขึ้นสูงเหมือนกำลังพยายามใช้ความคิดขณะที่พูดมันออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์ในคำถามตอนท้าย

              “ว่าแต่ แผนของอันนี้คืออะไรกันงั้นหรอ”

            ชายหนุ่มสองพี่น้องมองหน้ากันเครียด สิ่งที่ลิลดารับรู้คือทั้งหมดที่พวกเขาพูดกันและการถามกลับมาแบบนี้ก็เหมือนเป็นการผลักพวกเขาให้ตกลงหลุมที่ขุดเอาไว้ไล่ให้พวกเขาจนในคำตอบที่มันถูกคลายออกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

              “ว่าไงเอ๋ย? ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับคุณเปลวที่เป็นเลขาของอันด้วยนิ ถ้าลิลไปถามเจ้าตัวเองเลยจะเป็นอะไรไหมน่า” หญิงสาวทำเสียงหยอกเย้าเพื่อหวังยั่วยุอารมณ์พลางเดินเข้ามาใกล้ ในขณะที่อัมรินทร์เลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อประเมินถึงสถานการณ์ตรงหน้า

              ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีใครสามารถไล่ต้อนหมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างอัมรินทร์ให้จนมุมได้แบบหลังชนฝาขนาดนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันไม่เคยมีเลยต่างหาก ไหนๆพระเจ้าก็เข้าข้างเธอขนาดนี้แล้วก็ขอแกล้งให้หนำใจหน่อยแล้วกัน

              แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด....

              “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ” เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมาอนิรุทธิ์จึงโผ่งขึ้นมาดื้อๆ ขัดไม่ให้ผู้หญิงแปลกหน้าในสายตาของตนไล่ต้อนน้องชายเขาไปมากกว่านี้

              เสียงลงส้นของรองเท้าส้นสูงสีดำที่ก้าวเข้ามาเพื่อใกล้อัมรินทร์หยุดนิ่งลง ใบหน้าสวยหวานของลิลดาผละออกห่างจากอัมรินท์ไปหันมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันมาแทน  นัยน์ตาสีเปลือกไม้เข้มกวาดมองพิจารณาบุคคลที่สามอย่างสำรวจไล่มาตั้งแต่ผมทรงอันเดอร์คัตที่ถูกจัดเซ็ตมาเป็นอย่างดีไรหนวดสีเข้มตามกรอบหน้าคมได้รูปถูกตัดแต่งให้ไม่ดูรกแต่ยิ่งเพิ่มเสน่ห์น่าค้นหา

               ถูกใจ...

           ริมฝีปากสีลูกพีชอ่อนคลี่ยิ้มหวานพร้อมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นสูงอย่างที่ชอบทำเวลาเจอ ใคร หรือ อะไรที่ถูกใจ และผู้ชายคนนี้ก็ถูกใจเธอใช่ย่อย

           “แล้วถ้าฉันอยากจะเกี่ยวด้วยจะได้ไหมละคะ” ลิลดาเอ่ยถามพลางไล่ปลายนิ้วเรียวบรรจงกรีดเบาๆลงกลางแผ่นอกกว้างผ่านสาบเสื้อเนื้อดี แววตาพราวเสน่ห์จ้องจดอยู่ที่ใบหน้าของอนิรุทธิ์แทบไม่วางตา

           คนที่อยู่ๆก็ตกเป็นเป้าของนักล่าสาวอย่างไม่ทันตั้งตัวเริ่มจะทำอะไรไม่ถูกยิ่งสายตาที่มองมาทำเอารู้สึกร้อนๆหนาวๆไปหมดจนเหมือนจะเป็นไข้ไม่สบายเลยทำได้เพียงแค่ดันมือเรียวนุ่มนั้นออกไปด้านข้างอย่างรักษามารยาทแทน

           “ฉะ ฉันไม่ใช่คนที่จะตัดสินเรื่องนี้สักหน่อย” อนิรุทธิ์พูดกระท่อนกระแท่น ผิวหน้าสีเข้มขึ้นสีเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกกระด้างอายกับการสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวเช่นนั้นของหญิงสาว

           ลิลดาหรี่ตามองอากัปกิริยาที่ดูขัดเขินเกินตัวของชายหนุ่มแล้วอดฉุดใจคิดบางอย่างไม่ได้จนต้องหันไปหาอัมรินทร์เพื่อของคำเฉย และเหมือนรู้กันอัมรินทร์ที่เปลี่ยนตัวมาเป็นคนดูอยู่ข้างสนามยกมือขึ้นปิดปากกั้นไม่ให้ใครได้เห็นรอยยิ้มร้ายก่อนจะยักคิ้วแทนคำตอบนั้นกลับไปให้หญิงสาวทำตาโตอย่างเหลือเชื่อกับเรื่องตรงหน้า

           เรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงภายใต้ภาพลักษณ์ดิบเถื่อนแต่ดูดีน่าค้นหาแบบเพลย์บอยหนุ่มของอนิรุทธิ์นั้นจริงแท้จริงแล้วใครเล่าจะรู้ว่าชายหนุ่มนั้นแสนอ่อนต่อโลกโลกีย์นี้ขนาดไหน

            บอกไปใครมันจะเชื่อ....
 
           “อะแฮ่ม” เหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังถูกนินทาทางสายตาชายหนุ่มจึงแกล้มกะแอ้มไอขึ้นมาเพื่อเรียกให้คนทั้งคู่หันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า

           “ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินอะไรไปบ้าง แต่ผมขอบอกเลยว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณลืมๆมันไปสะ” อนิรุทธิ์ปรับเสียงดึงหน้าให้ตึงเพื่อหวังขู่อีกฝ่ายให้กลัว

           “แต่ฉันว่าให้ลิลมาช่วยอีกแรงก็น่าจะดีเหมือนกันนะ” แต่ดูเหมือนว่าอัมรินทร์จะไม่ได้เห็นด้วยกับพี่ชายตัวเองเสียเท่าไร

           “ไอ้อัน”

            “ทำไมวะ ตอนนี้กูกำลังเจอทางตันนะเว้ยมึงเองก็ช่วยกูไม่ได้กูก็ต้องหาใครสักคนที่จะมาช่วยคิดแผนสำรองให้กูสิ” อัมรินทร์ยกเรื่องที่พูดคุยกันก่อนหน้าขึ้นมาอ้าง แม้จริงๆแล้วตนจะไม่ได้หวังจะเอาลิลดามาเป็นคนช่วยคิดแผนจริงอย่างปากว่าก็ตาม

            ก็แค่เอามาทำอย่างอื่นเฉยๆ....

            “แต่คนมันชักจะเยอะเกินไปแล้วนะเว้ย” อนิรุทธิ์ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่อยู่ๆอัมรินทร์ก็ดึงคนนอกเข้ามาร่วมวงเพิ่มแบบนี้

            ยิ่งคนรู้มากมันก็ยิ่งเสี่ยงไม่ใช่หรือไง....

           “หรือมึงจะเสี่ยงให้ลิลเอาเรื่องที่เราคุยกันไปบอกให้เปลวรู้ละ” อัมรินทร์ว่าดักขึ้น

            “นั้นสิ ถ้าลิลเอาเรื่องที่คุณกับอันไปบอกคุณเปลวขึ้นมาเรื่องมันจะเป็นยังไงกันนะ” เจ้าหล่อนแทรงสร้างข้อสมมุติขึ้นตามน้ำของอัมรินทร์

              “นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ” อัมรินทร์แสร้งทำหน้าหนักใจพลางมองพี่ชายของตัวเอง

              “และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นลิลก็ของมีส่วนร่วมด้วยคงไม่เสียหายอะไรใช่ไหมคะ” หล่อนว่าเสียงหวานให้อนิรุทธิ์

              “ถ้าเปลวรู้เรื่องตอนนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะงั้นนะเว้ยไปรุทธ์เราควรที่จะให้ลิลเข้ามาช่วยเราไง” อัมรินทร์ยกแขนขึ้นก่อนคอพี่ชายของตนคล้ายจะเป็นการเสนอแต่ดูยังไงมันก็เป็นการมัดมือชกกันชัดๆในความคิดของอนิรุทธิ์

              “แล้วแต่มึงเถอะ เรื่องของมึงอยู่แล้วนิ” อนิรุทธิ์ยกแขนของอีกคนออก

              “งั้นตอนนี้เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วสินะคะ ลิลดาค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมยื่นมือไปตรงหน้าอนิรุทธิ์

              “อนิรุทธิ์” เจ้าตัวตอบเสียงห้วนแต่ก็ยอมที่จะยื่นมือออกไปจับมือเรียวเล็กนุ่มนั้นตอบ

              ดูท่าว่าของตอบแทนที่อนิรุทธิ์ทวงบ่นกับเขาอยู่ทุกวันเขาจะไม่ต้องไปหาจากไหนให้เสียเวลาแล้วละ แถมยังจะได้จบปัญหาที่จะกวนใจเปลวอรุณได้อีกด้วย

              ดูท่าว่าการยิงปืนนัดนี้ได้นกหลายตัวเลยทีเดียว....

 

 

 

            หลังจากกล่อมอนิรุทธิ์ได้สำเร็จลิลดาก็ต้องเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่ได้รู้หลังจากที่พวกเขามานั่งจับเข่าคุยกันดีๆและแน่นอนว่าเรื่องที่ทำเอาสาวเจ้าปัญญาอย่างลิลดาอึ่งตาค้างได้คงไม่ใช่เรื่องที่อนิรุทธิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของอัมรินทร์แน่เพราะมันดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบระยะเวลาสามปีที่อนิรุทธิ์เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของอัมรินทร์ที่พยายามจะพิชิตกุหลาบน้ำแข็งแสนสวยอย่างเปลวอรุณว่าเป็นเช่นไร

              คนที่ไม่ชอบรออะไรนานๆ กลับรู้จักที่รอถึงสามปี....

              คนที่ไม่เคยคิดเปลี่ยนอะไรให้ใคร กลับเลิกเที่ยวเลิกควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเพียงเพราะใครบางคนไม่ชอบ...

              คนที่ไม่คิดที่จะพยายามเพื่อใคร กลับกำลังพยายามทุกทางให้ได้มาครอบครอง....

              นี้ไม่ใช่ อัมรินทร์ ที่เธอรู้จัก...

              ตอนแรกเธอคิดแค่ว่าอัมรินทร์แค่อยากรู้อยากลองตามประสาผู้ชายที่ชอบความท้าทายที่ยิ่งยากก็อยากเอาชนะ แต่หลังจากที่ได้ฟังที่อนิรุทธิ์เล่าและจากสิ่งที่เธอได้เห็นวันนั้นทำให้เธอเชื่อแล้วว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้คือเรื่องจริง

              เรื่องจริงที่คนเจนโลกอย่างอัมรินทร์กำลังตกม้าตาย...

              ใครมันจะคิดกันละว่าเวลาไม่กี่ปีที่เธอกันอัมรินทร์ไม่ได้เจอกันอะไรๆมันจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้และที่แน่ๆคือคนอย่างลิลดาไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างอัมรินทร์กำลังมีความรัก ซึ่งยังเป็น ความรัก ที่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยแบบนี้

              ปากบอกอยากได้ แต่รู้หรือเปล่าเพราะอะไร...

              เด็กน้อยจริงๆอัมรินทร์...

              ลิลดาเดินตามหลังสองหนุ่มไปเงียบๆจมอยู่กับเรื่องราวต่างๆที่เพิ่งได้รับเข้ามาในหัวจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งของห้องพักของเพื่อนสาวจากต่างแดนของเธอที่อัมรินทร์บอกว่าเป็นห้องที่เปลวอรุณนอนพักอยู่  ลิลดายืนอยู่ข้างอนิรุทธิ์รอให้อัมรินทร์ยกมือเคาะประตูสองสามครั้งตามมารยาทเพื่อบอกเจ้าของห้องให้ได้รู้ตัวก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเข้าไปด้านในเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนของหนักอะไรสักอย่างถูกขว้างใส่กำแพงอย่างแรง

ปึก!

            อัมรินทร์ชะงักกึกอยู่กับทีทันทีเมื่อวัตถุบางอย่างถูกขว้างผ่านหน้าของเขาไปกระแทรกเข้ากับผนังห้องอย่างแรงจนแตกเป็นเสียง นัยน์ตาที่ฉายแววตกใจมองตามสิ่งที่ว่านั้นไปก่อนจะพบว่ามันเป็นโทรศัพท์ของคนไข้เจ้าของห้องด้วยแล้วเขายิ่งตกใจหันกลับไปมองคนบนเตียงที่เป็นคนลงมือทำลายมันเอง

              “เปลว” เขาเรียกอีกคนก่อนจะตรงเขาไปหาเปลวอรุณที่หอบตัวโยงน้ำตาไหลอาบแก้ม

              “เปลวเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” อัมรินทร์ถามขึ้นพลางรั้งคนที่ตัวสั่นไปหมดเขามากอดแล้วหันไปหาเด็กลูกตาลที่มาถึงที่ห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้อย่างหาคำตอบ แต่เด็กหนุ่มเองกลับส่ายหน้าแทน

              คล้ายเป็นความรู้สึกอย่างที่ทำให้อยู่ดีๆอนิรุทธิ์ก็นึกอยากหันไปมองหน้าสวยของลิลดาขึ้นมาถนัด ซึ่งพอหันไปก็พบว่าเจ้าหล่อนเองก็หันมาทางตนอยู่ก่อนแล้ว

              คิดเหมือนกันสินะ...

              อนิรุทธิ์คิด ชายหนุ่มก้าวออกจากจุดที่ตนยืนอยู่ตอนแรกเข้าไปก้มหยิบซากความเสียหายเมื่อครู่ที่ถูกขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี

              หน้าจอแบบสัมผัสแตกละเอียดจนเปิดไม่ติด เศษกระจกบงส่วนหลุดล่วงลงพื้น

              “มีเรื่องอะไรกันหรือคะ”  เป็นลิลดาที่เอ่ยขึ้นหลังจากปิดประตูห้องลงเนื่องจากว่าเป็นคนที่เข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย

              แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของเธอจะไปสะกิดแผลบางอย่างในใจของเปลวอรุณเข้าอย่างจังเพราะทันทีที่สิ้นเสียงคนบนเตียงก็ดูจะร้องไห้หนักขึ้นมากกว่าเดิมจนอัมรินทร์รีบกระชับอ้อมกอดจนแทบจะจมอก

              “อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้น่าลิล” อัมรินทร์หันมาเอ็ดเธอเสียงดุ จนเธอหน้าม่ายต้องหลบไปยืนข้างหลังอนิรุทธิ์แทนอย่างเสียไม่ได้

              เกือบครึ่งชั่วโมงได้กว่าที่เปลวอรุณจะยอมสงบลงแล้วหลับไปอีกครั้งเพราะความเพลีย ลูกตาลจัดแจงท่านอนและผ้าห่มให้เปลวอรุณให้เรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับผู้ใหญ่ทั้งสามที่นั่งรอเขาอยู่ก่อนหน้า

              “คราวนี้บอกได้ยังตาลว่าเกิดอะไรขึ้น” อัมรินทร์ไม่รอช้ารีบเปิดประเด็นถามขึ้นมาแทบจะทันทีโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มนั่งลงให้เรียบร้อยก่อน ลูกตาลกวาดตามมองคนแปลกหน้ากับคนเคยเห็นหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดปากเล่า

              “ผมก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนะ ตอนที่ผมมาถึงแม่เปลวตื่นแล้วเรานั่งคุยกับแปบหนึ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดูแม่เปลวจะดีใจมากและถ้าให้เดาผมว่าน่าจะเป็นเบอร์นั้น”

              เบอร์นั้น...

              อัมรินทร์เผลอกำมือตัวเองแน่น

              “แล้วไงต่อ” อนิรุทธิ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ใครก็เดาได้ว่าไม่พอใจมากขนาดไหน

              “ก็ ยังไม่ทันทีแม่เปลวจะพูดอะไรดูเหมือนทางนั้นจะพูดอะไรสักอย่างนี้แหละแม่เปลวดูตื่นๆแล้วก็อย่างที่เห็น” ลูกตาลพูดออกมาตามความที่ตนเห็น

            “แม่เปลวพยายามพูดอะไรนี้แหละแต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่เปิดโอกาสให้พูด และคงจะพูดแรงน่าดู”

              ยอมรับเลยว่าตอนที่เห็นแม่บุญธรรมของตัวเองโกรธจนสั่นไปทั้งตัวแถมร้องไห้ออกมาอีกบอกเลยว่าเขาเผลอร้อง เฮ้ย ออกมาเบาๆอย่างตกใจเลย ยิ่งตอนที่อีกคนปาโทรศัพท์ใส่กำแพงนั้นอีกบอกเลยวามันเหมือนความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมาแม่เปลวของเขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีมาก มากถึงมากที่สุดเลยแหละ...

              “แสดงว่าทางนั้นปฏิเสธที่จะช่วยเหลือสินะ” ลิลดาสรุปการคาดเดาของเธออกมา

              “นี้เจ๊แกก็รู้เรื่องด้วยหรอ” ลูกตาลหันหน้าไปทางอัมรินทร์พร้อมชี้ไปทางหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนา

              “ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้” อัมรินทร์ตอบ

               “ส่วนนี้อนิรุทธิ์พี่ชายฉัน” ก่อนจะแนะนำให้เด็กหนุ่มได้รู้จักอีกคน

                "อนิรุทธิ์ ?” ลูกตาลทวนชื่อเหมือนรู้สึกคุ้นๆกับชื่อที่ว่านั้น

                “เจ้าหนี้ของพิมพาไง” อนิรุทธิ์เฉย

                ลูกตาลร้องอ๋อในใจ ดูเหมือนว่าตัวละครหน้าฉากทั้งหมดจะโผล่ออกมาให้เขาเห็นเกือบหมดแล้ว

                “และถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ก็แสดงว่าตัวก่อกวนของเราก็หมดไปแล้วละสิ” ถึงจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไรแต่น้ำเสียงของอัมรินทร์เมื่อครู่กับก่อนหน้านี้ต่างกันลิบลับเลยก็ว่าได้

                เมื่อกี้ยังทำหน้าเหมือนจะไปฆ่าไปแกงใครที่ไหนแต่ไม่ถึงสิบนาทีกลับอมยิ้มจนแก้มตึงเต่ง...

                  “ก็ดีเหมือนกัน ขอให้มันเป็นอย่างที่ลิลว่าฉันจะดีใจมาก”  และเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากให้หนักสมองหนักใจอีกต่อไปอัมรินทร์จึงลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มแสนปลอดโปล่ง โล่งใจ

                      “แล้วนั้นมึงจะไปไหน” แน่ละอยู่ๆก็ลุกขึ้นมาจัดเสื้อสูทสะดูดีแบบนี้เป็นใครใครก็ต้องถาม

                     แต่คำถามของอนิรุทธิ์ดูจะไร้คำตอบออกจากปากของอัมรินทร์แต่หากมองตามท่าทียียวนของอีกฝ่ายเขาก็พอจะตอบตัวเองได้แล้วว่าไอ้เจ้าน้องชายเจ้าเล่ห์ของเขามันจะไปไหนถ้าไม่ใช่เดินไปนั่งเฝ้าประคบประงมเลขาของมันที่ข้างเตียง

                     การแสดงออกที่ดูจะเกินหน้าเดินตาไปแบบสุดกู้ของอัมรินทร์ทำเอาคนที่แอบลอบมองอยู่ไม่ไกลแอบเบะปากน้อยๆก่อนจะหันมามองหน้ากันเหมือนหาพวก

                   “ลินไม่เคยเห็นอันเป็นแบบนี้มาก่อน” ลิลดาเป็นหัวข้อสนทนาขึ้นใหม่ขณะเท้าแขนมองคนที่เดินออกจากวงไป

                   “คิดว่านี้เคยเห็นหรือไง” อนิรุทธิ์เสริม

                   “ แล้วปกติรายนั้นเขาเป็นยังไงหรอฮะ” ลูกตาลถามขึ้นอย่างอยากรู้

                  “เอาเรื่องไหนละ” ลิลดาและอนิรุทธิ์พูดขึ้นพร้อมกัน

.................................................................

 

                ยังไม่มีใครรู้ว่าระหว่างเปลวอรุณกับคนปลายสายมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องอะไรที่ร้ายแรงจนขนาดที่คนใจเย็นสุดกลั้นจนถึงกับต้องขว้างปาสิ่งของเพื่อระบายอารมณ์เช่นนี้

              ไม่มีใครรู้และเจ้าตัวเองก็ไม่แม้จะเอ่ยปากพูดจาใดๆออกมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น...

              เหมือนกับว่าเปลวอรุณไม่ต้องการที่จะพูดถึงสิ่งที่ได้สนทนาแม้ในความเป็นจริงจะเป็นฝ่ายนั้นที่พูดออกมาอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะนะ และเมื่อเจ้าของเรื่องไม่ต้องการพูดถึงซ้ำร้ายยังไม่คิดจะเปิดใจรับรู้อะไรในตอนนี้ก็ป่วนการที่ใครจะเข้าหาได้อย่างปกติเพราะตั้งแต่เปลวอรุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจนถึงตอนนี้ที่ถูกพาตัวกลับมาส่งบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วยังไม่มีใครเลยสักคนที่ได้ยินเสียงพูดออกมาจากปากของเจ้าตัวเลยแม้แต่คำเดียว แถมเจ้าเศษซากของอดีตเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวที่น่าสงสารนั้นยังถูกมองข้ามไร้ความสำคัญในสายตาของเจ้าของของมันผิดกับเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิงที่แถมจะไม่ยอมให้ห่างจากกายเลยสักเสี้ยววินาทีเดียว

                อะไรๆที่ดูเหมือนจะง่ายเลยกลายเป็นยากที่จะเข้าใจ...

                หลังจากที่จัดการเอ่ยปากไล่แกมบังคับพี่ชายอันเป็นที่รักของตนให้เสียสละเจ้าฟอร์จูนเนอร์สีมุขสะอาดตาลูกรักของอีกฝ่ายเอาไว้ให้กับเขาเพื่อใช้ขับกลับบ้านในวันพรุ่งนี้แล้วระเห็จเจ้าของที่แท้จริงให้ไปพึ่งใบบุญของหญิงสาวอย่างลิลดาให้พากลับไปส่งบ้านแล้ว ตัวลูกตาลเองที่ต้องรีบไปเข้างานพาร์ทไทม์กะรอบเย็นก็รีบปลีกตัวออกไปทำงานตั้งแต่กลับมาถึงบ้านและกว่าจะเลิกงานก็คงเป็นช่วงเช้าเลย ทำให้ตอนนี้ทั้งบ้านหลังน้อยจึงเหลือเพียงแค่เปลวอรุณกับอัมรินทร์เพียงแค่สองคนเท่านั้น

                 อัมรินทร์ไม่อยากทิ้งเปลวอรุณเอาไว้คนเดียว...

                ถึงจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้เขาเองก็กำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยภายในบ้านตรวจเช็คให้มั่นใจว่าตัวเองจัดการลงกรประตูหน้าตาชั้นล่างเรียบร้อยแล้วแน่หรือไม่ก่อนจะกดปิดสวิตช์ไฟดวงสุดท้ายแล้วเดินขึ้นบันไดไป

                 ท่อนขายาวก้าวไปตามขั้นบันไดก้าวเดินต่อไปตามทางเดินผลักบานประตูที่เปิดแง้มเอาไว้เข้าไปด้านในห้องเพียงห้องเดียวในบ้านที่มีแสงของหลอดไฟนีออนสีสว่างเปิดอยู่

                 “เปลว” เขาส่งเสียงเรียกคนที่นั่งนิ่งเซื่องซึมอยู่บนเตียง

                  แววตาเหม่อลอยคล้ายตัดพ้อหลายๆสิ่งรอบตัวปลายมามองทางเขาเล็กน้อยเหมือนแค่พอให้รู้ว่าใครกันที่เป็นคนเรียกแล้วหันกลับไปมองที่ความมืดที่นอกหน้าต่างเช่นเดิม

                  เขาไม่รู้ว่าสายตาที่เขาใช้มองคนหมดอาลัยตายอยากตรงหน้ามันเป็นแบบไหนกันหรือแม้แต่แสดงสีหน้าอะไรออกไปกันแน่แต่ที่เขารู้สึกได้แวบแรกที่สบตากับคือ เขาเจ็บ

                เจ็บอะไร หรือ เจ็บเพราะอะไร ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันมาจากไหนแต่เขาไม่ชอบเอาสะเลยจริงๆที่ต้องมามองคนอย่างเปลวอรุณตกอยู่ในสภาพแบบนี้

            แอบรู้สึกผิดอยู่ลึกๆที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เปลวอรุณอับเฉาหม่นหม่องได้ขนาดนี้ แต่จะให้กลับลำตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วทุกอย่างมันกำลังจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ

               ทุกอย่างกำลังจะจบ...

                อัมรินทร์สูดหายใจเข้าปอดให้ลึกขึ้นเพื่อเรียกแรงใจให้กับตัวเองก่อนจะเพิ่มระดับเสียงของตนเองให้ดังมาขึ้นอีกพร้อมก้าวขายาวขึ้นไปนั่งลงบนเตียงข้างคนตัวขาวที่ไม่คิดรับรู้การมีอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย

               “เปลว”

                “...”

               “อย่าเงียบแบบนี้สิเปลว ฉันไม่ชอบ” มันไม่ใช่คำพูดที่ใส่อารมณ์ที่สื่อถึงความไม่พอใจอย่างที่มันควรเป็น แต่มันกลับฟังดูเหมือนว่าตัวเขาเองกำลังเจ็บปวดตามการกระทำของอีกคนไปเสียอย่างนั้น

               “...”

               “เปลว!”

                อัมรินทร์ไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้นเขารู้ข้อสียของตัวเองดีและยิ่งอีกคนเงียบใส่แบบนี้เขาก็ยิ่งหมกความอดทน ฝ่ามือหนาคว้ากระชากที่หัวไหล่ของอีกคนอย่างแรงจนร่างผอมกว่าหันมาอย่างที่เขาต้องการตามแรง

                 “มีอะไรก็พูดออกมาสิ เอาแต่เงียบแบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่องกัน” และเป็นอัมรินทร์อีกนั้นแหละที่คุ้มตัวเองไม่อยู่เผลอตวาดใส่อีกคนอีกครั้งเสียงดัง

                    “ฮึก”

                      แต่ดูท่าเปลวอรุณเองจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สุขุมพอที่จะรับมือกับอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของเจ้านายตัวเองได้เหมือนทุกครั้ง พอถูกตวาดใส่เสียงดังอย่างไม่ทันตั้งตัวอะไรๆที่มันสุมอยู่ท้วมอกมากนานก็ระเบิดออกมากับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเขื่อนแตกเลยกลายเป็นว่าตอนนี้กลับเป็นตัวของอัมรินทร์เองที่ทำอะไรไม่ถูกที่อยู่กลายเป็นเขาเองที่ทำให้เปลวอรุณร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก

หมับ

              “ไม่ร้องเปลว ไม่ร้อง ฉันขอโทษ”   

              ถึงจะตกใจที่อยู่ๆร่างกายของเขาเองเคลื่อนไหวออกไปรั้งอีกคนเข้ามากอดปลอบเองแต่เมื่ออีกคนไม่คิดปฏิเสธขื่นดันตัวออกจากอ้อมแขนหนาของเขาแบบนี้เขาก็ยิ่งกระชับมันแน่นให้เหมือนเป็นกรงกักตัวของเปลวอรุณเอาไว้ให้อยู่กับเขาคนเดียว

              “ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ฮึก” เสียงพึมพำของเปลวอรุณดังออกมาปนกับเสียงสะอื้นไห้อย่างหนักเมื่อความเข้มแข็งที่อดทนสร้างมาทั้งหมดตลอดหลายวันมันถูกพังลงไม่เหลือชิ้นดี

                 “มันพังหมดแล้ว ผมไม่เหลืออะไรแล้ว”

                  เปลวอรุณสะอื้นหนักอย่างไม่คิดอายอาจเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผยด้านที่อ่อนแอให้อัมรินทร์ได้เห็นเขาจึงไม่จำเป็นที่ต้องเก็บซ้อนใดๆอีกต่อไปแล้วในเมื่อตอนนี้ทั้งความหวัง ความไว้ใจ ทุกๆอย่างที่ตัวเขาเองมีให้กับ เขา มันพังหมดแล้ว

                  ทั้งๆที่คิดว่าสามารถเชื่อใจได้แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากคนพวกนั้นที่ ทิ้งขว้าง กันได้อย่างไม่ใยดี....

                  “ไม่จริงเปลว เปลวยังเหลือฉันไง” ถึงจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสและเขาต้องคว้ามันเอาไว้ให้อยู่หมัด

                    “ฮึก”

                     “ฉันพร้อมช่วยเปลวเสมอ ขอแค่เปลวพูดมันออกมา” แค่คำเดียวเปลว แค่นั้นจริงๆที่เขาต้องการ

                     “ช่วยผมด้วย”



_______________________________________________________________________________

เปิดตัวคู่รองอย่างเป็นทางการ!!
สิให้มีแต่ชาวเราหมดเลยก็คงไหว โลกนี้ชะนีน้อยน่ารักก็ยังมีความจำเป็นเนอะ

เรื่องทั้งหมดกำลังจะเข้าสู่บทกลางละเด้อพี่น้องทั้งหลาย
ส่วนใครที่รอลุ้นคนในความลับของเปลวจะเป็นใครจะมาให้เราได้เชยชมหรือไม่ก็ไม่ต้องห่วงนะ เขา จะอยู่กับเรายาวยันจบเรื่องแน่นอน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 27-05-2017 12:03:52
ติดตามมมม
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 27-05-2017 21:20:31
 :mew3:รอตอนต่อไปอยุ่นะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 27-05-2017 22:19:03
รอ :ling1: รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกสมุนตัวเอฟ ที่ 28-05-2017 13:04:26
 :L2 :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 28-05-2017 13:49:26
พระเอกนอกจากจะโง่แล้วยังชั่วอีก
งงลูกตาลมากเลยอะ ยอมให้คนอื่นมาหลอกเปลวได้เหรอ เห็นแก่เงินด้วยรึไง
คือเหมือนทุกคนรอบตัวทำให้เปลวเป็นคนโง่
อีพระเอกคือแบบ สามปีถ้าทนไม่ได้ จะขาดใจตายขนาดนั้นก็ตายไปเลย ไป๊
พฤติกรรมชั่วๆของตัวเองมีไม่รู้จักแก้ ใครเค้าจะอยากมาจริงจังด้วย
บอกเลยว่าเรื่องนี้สงสารแค่เปลว นอกนั้นคนอื่นเลว
ขอให้เปลวรู้ความจริงเร็วๆละให้อีพระเอกช็อคตายไปเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 10- 27/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 28-05-2017 19:00:38
สงสาร :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-06-2017 22:25:13

เป็นหนี้ ครั้งที่ 11



               “เช็คนี้พวกนายสามารถเอาไปขึ้นเงินได้ทันที รับรองว่าไม่มีเด้งแน่นอน”

                อัมรินทร์ยืนตั๋วแลกเงินราคาแพงให้กับนักทวงหนี้ท่าทางสุภาพในชุดสูทแบบที่เคยพบเห็นเหมือนเมื่อคราวก่อน  วันนี้เป็นวันที่ครบกำหนดเวลาที่นักทวงหนี้จะมาเอาเงินตามที่ได้บอกไว้เมื่อครั้งก่อนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเงินกับโฉนดที่ดินบ้านหลังน้อยแสนรักของเปลวอรุณตามสัญญา

              เมื่อเช็คถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้าแล้วหนึ่งในนักทวงหนี้ที่ถูกส่งมาก็เอื้อมมือออกไปเอารับเช็คที่ว่านั้นจากมือของชายหนุ่มไปตรวจสอบดู เจ้าตั๋วกระดาษสี่เหลียมผืนผ้าถูกจับพลิกหน้าพลิกหลังไปมาอยู่สองสามรอบเพื่อให้แน่ใจก่อนที่นักทวงหนี้คนนั้นจะเหลือบสายตาที่อยู่หลังเลนส์สีทึบของแว่นตากันแดดขึ้นมามองหน้าก่อนจะหันไปหานักทวงหนี้อีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพยักหน้าเป็นอันรู้กันบ้างอย่างให้เพื่อนที่มาด้วยกันนำซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้กับคนที่ดูร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด

              เปลวอรุณรีบคว้าซองที่ว่ามาไว้กันตัวแทบจะทันทีเมื่อมันถูกส่งมาให้ตรงหน้าแล้วจัดการเปิดซองเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาตรวจดูความสมบูรณ์จนมั่นใจแล้วว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านในคือสิ่งที่ตนรักและมันก็ยังอยู่ดี รอยยิ้มดีใจฉีกกว้างเต็มใบหน้าสวยพร้อมกับเอามันมากอดไว้แนบอกอย่างหวงแหนซึ่งมันก็พลอยทำให้คนที่แอบมองอยู่ใกล้ๆอย่างอัมรินทร์และลูกตาลเผลอยิ้มตามรอยยิ้มนั้นไปด้วยอย่างเสียไม่ได้

              มันนานแค่ไหนกันแล้วนะที่รอยยิ้มที่ว่าไม่ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเปลวอรุณ...

              อาจเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อน สองอาทิตย์ก่อน หรืออาจไม่เคยมีใครที่เห็นมันเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...

            อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะละสายตาจากคนข้างกายไปยังนักทวงหนี้ทั้งสองที่หย่งฟางส่งมาอีกครั้งพร้อมกับปรับสีหน้าของตนให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

              “แล้วยังมีเหลืออะไรอีกไหม พวกดอกเบี้ยอะไรพวกนี้” ลูกตาลที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์ภายในห้องรับแขกเอ่ยทักขึ้นมาก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ถามอะไร

              “ไม่แล้วครับ ตอนนี้เราได้เงินครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว” นักทวงหนี้คนแรกพูด

              “ถ้าอย่างนั้นเรื่องหนี้ที่พิมพาทำเอาไว้ก็คือว่าหมดหมดแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์ถามย้ำขึ้นเพื่อให้เปลวอรุณหันกลับมาสนใจสิ่งที่ยังอยู่ตรงหน้า

              “ครับ”

              นักทวงหนี้คนเดินตอบรับแน่นอนว่านั้นยิ่งทำให้รอยยิ้มของเปลวอรุณกว้างขึ้นและดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

              การชำระหนี้และส่งคืนสิ่งที่ใช้ในการประกันชำระหนี้เสร็จสิ้นพร้อมกับตราประทับของคาสิโนที่ถูกประทับไว้เหนือลายเซ็นของเปลวอรุณพื่อแสดงให้รู้ว่าหนี้จำนวนที่ว่าถูกชำระเรียบร้อยแล้วก่อนถูกเก็บเข้าแฟ้มเอกสารสีดำที่นักทวงหนี้นำติดมาด้วยเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่นักทวงหนี้ทั้งสองจะขอตัวกลับ

              และด้วยความเป็นเจ้าบ้านที่ดีเปลวอรุณจึงลุกเดินไปส่งแขกทั้งสองที่หน้าประตูรั้วพร้อมด้วยอัมรินทร์ที่เดินออกมาเป็นเพื่อน ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆเปลวอรุณตลอดเวลารอจนกระทั้งเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมที่จะเคลื่อนตัวออกเขาถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา

              “สบายใจขึ้นแล้วสินะ”

              เปลวอรุณละสายตาจากรถยนต์คันใหญ่ที่เพิ่งแล่นผ่านรั้วบ้านมามองเจ้าของน้ำเสียงทุ่มชวนฟังที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยทาทีสบายๆ รอยยิ้มหวานอ่อนคลี่ออกมาเล็กน้อยแทนคำตอบส่งกลับไปให้คนถาม

              ถึงจะวางใจได้แล้วว่าบ้านของเขาปลอดภัยแต่เงินที่ไถ่มันกลับมามันไม่ใช่เงินของเขา....

              เพราะความช่วยเหลือจากอัมรินทร์ที่หยิบยื่นมาให้ทำให้เขาสามารถหาเงินมาได้ทันเวลาก่อนที่หนี้จะถึงกำหนดและเขาก็ต้องหาเงินดังกล่าวมาใช้คืนอัมรินทร์

              “ผมต้องขอบคุณคุณมาเลยนะครับคุณอัมรินทร์ ถ้าไม่ได้คุณผมคงไม่รู้จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนได้ทัน” คนพูดยิ้มขื่น เมื่อนึกไม่ถึงใครบางคนที่ตัดหางเขาอย่างเลือดเย็น

              “อย่าคิดอย่างนั้นสิ” อัมรินทร์ยิ้ม “ฉันเต็มใจช่วย”

              “แต่เงินขนาดนั้นยังไงผมก็จะพยายามหามาคืนคุณให้ได้ครับ คุณอัมรินทร์จะหักเงินเดือนผมออกไปด้วยก็ได้ผมยินดี” เปลวอรุณเสนอออกมาอย่างยินดี

              จำนวนเงินไม่ใช่น้อยลำพังตัวเขาเองชาตินี้ยังไม่รู้เลยว่าจะหามาคืนอีกคนได้ยังไงหมดหรือบางทีเขาคงต้องหางานทำเพิ่ม...

              “แต่เงินเยอะขนาดนั้นหักเงินเธอทุกเดือนเธอจะเหลือเงินที่ไหนใช่จ่ายกัน ไหนจะค่าเล่าเรียนของลูกตาลอีก” คนเจ้าเล่ห์ทำหน้าเห็นใจยกเอาเรื่องอนาคตของเด็กหนุ่มวัยอุดมศึกษาเข้ามาเป็นข้ออ้างเพราะรู้ดีว่ายังไงเสียเปลวอรุณก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนของลูกชายบุญธรรมคนนี้อยู่มาก

              “ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง” เปลวอรุณตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร

              “เงินเก็บก็คือเงินเก็บสิเปลว เอาไว้ใช้ฉุกเฉิน” อีกคนแสร้งทำเป็นหวังดีเตือนด้วยความเป็นห่วงแม้ว่ามันจะมาจากใจจริงของคนพูดก็เถอะ

              “แต่..”

              “เอาน่า ค่อยๆคืนก็ได้”

              อัมรินทร์ทำน้ำเสียงให้ดูใจดีที่สุดให้เข้ากับรู้ประโยคที่แสนจะเข้าอกเข้าใจอีกคนเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าการที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือยามยากลำบากที่สุดย่อมซื้อความไว้ใจของคนสิ้นทางได้อย่างง่ายดาย

ไม่เว้นแม้แต่คนอย่างเปลวอรุณ...

              “แต่ถ้ามีอะไรที่พอจะให้ผมทำเพื่อเป็นการจ่ายหนี้พวกนั้นคืนคุณได้ บอกผมได้เลยนะครับผมพร้อมทำทุกอย่าง” อัมรินทร์กรีดยิ้มร้าย

              “ทุกอย่างเลยหรอ” เขาแกล้งทำเสียงเย้าถามบ่นกั้นขำเพื่อลองเชิง

              “ครับ ขอแค่คุณบอกมาก็พอถ้าผมทำได้ผมทำให้คุณได้ทุกอย่างเลย” และเปลวอรุณก็ตอบกลับอย่างใส่ซื่ออย่างไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ออกมาจะทำให้ตัวเองลำบากในอีกช้านี้

              “พูดแล้วนะ”

อัมรินทร์ถามอีกครั้งเพื่อยืนยันคำมั่น

              “ครับ”

            และเปลวอรุณก็ตอบรับคำมั่นที่ว่านั้นจากใจ

              ความยินดีปรากฏชัดเต็มแววตาของอัมรินทร์แม้ว่าตอนนี้เปลวอรุณอาจตอบรับให้คำมั่นอย่างเต็มใจด้วยความปิติแต่อีกไม่นานเรื่องที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้หลังม่านน้ำใจถูกแหวกออกและเขาเองก็คิดที่จะปิดบังเรื่องที่ว่านี้กับเปลวอรุณนานนักหรอกเพราะเขาเองก็เชื่อว่าไม่ว่าความลับไม่มีบนโลกและเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอย่างเปลวอรุณจะรู้สึกผิดหวังกับคนอย่างเขามากน้อยขนาดไหน...?

            “แล้วถ้าฉันจะขอเลยละจะได้ไหม” คำถามที่แลดูมีเล่ห์นัยของอัมรินทร์ดังขึ้นงพร้อมใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย

              “คุณอัมรินทร์อยากให้ผมทำอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรว่าควรจะรู้คำตอบดีหรือไม่พลางย่นคอขยับตัวหนีอีกคน

              อัมรินทร์ไม่คิดตอบคำถามอะไรนอกจากยิ้มที่เขามั่นใจว่าใครเห็นก็คงจะต้องหลงพร้อมกับเลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกคนใกล้ขึ้นเรื่อยๆแม้เปลวอรุณจะหลบหน้าหนีก็ตาม

              “ถ้ายังไม่กลับก็เข้ามาในบ้านก่อนไหม ข้างนอกมันร้อน”

            แต่เหมือนว่าอัมรินทร์จะเผลอลืมเรื่องสำคัญอีกสักข้อสองข้อไปว่าตอนนี้พวกเขายังยืนกันอยู่ที่หน้าบ้านตรงประตูรั้วที่แน่นอนว่าต้องมีคนสันจรไปมาหรือเพื่อนบ้านที่ออกมารดน้ำต้นไม้สามารถหันมาเห็นได้ว่าพวกเขากำลังที่จะทำอะไรกันและที่สำคัญที่สุดคือเขาลืมไปว่าลูกตาลยังอยู่ในบ้าน

              แน่นอนว่าเสียงเข้มที่ไม่คิดจริงจังอะไรของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาเปลวอรุณที่เผลอปล่อยตัวไปครู่หนึ่งสะดุ้งตกใจกับจนแอบคิดไปไกลต่อจากนั้นว่าหากลูกตาลไม่ทักขึ่นมมามันจะเกิดอะไรขึ้นแม้จะไม่มีใครผ่านไปมาให้หวั่นใจว่าจะมาเห็นภาพเมื่อครู่แต่ความกระด้างอายที่มีอยู่มันก็มากพอที่จะทำใบหน้าขาวของเขาก็รู้สึกเห่อร้อนแดงเป็นลูกตำลึงสุกก้มหน้าหลบสายตาเด็กหนุ่มพลิกายแล้วรีบก้างฉับๆเข้าบ้านไปทันทีไม่หันมองกลับผิดกับอีกคนที่ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่จะทำเมื่อครู่ที่เอาแต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างเศร้าเสียดายแต่พอร่างลสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ในระดับการมองอัมรินทร์เท่านั้นสายตาที่ว่าก็เปลี่ยนเป็นความไม่พอใจพร้อมทั้งยังทำเสียงจิ๊จ๊ะใส่อย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่มีหรือที่ลูกตาลจะสำนึกใดๆ

              ไม่เลย...

              นอกจากจะไม่สำนึกใดๆหรือรู้สึกผิดที่เข้ามาขัดจังหวะเวลาผู้ใหญ่คุยกันแล้วเด็กหนุ่มยังทำเป็นลอยหน้าลอยตาเมินเฉยต่อสายตาตำหนิของคนที่ยืนอยู่แถมยังยิ้มสะใจที่ได้ขัดจังหวะสำคัญที่ว่านั้นใส่ให้คนมองเจ็บใจเล่นอีกด้วย

              “อะไรลุง มองแบบนี้คือ?” ลูกตาลหันมาถามคล้ายจะเย้ย

              “แกตั้งใจ”

              “หื้อ ตั้งใจ? ตั้งใจอะไรกันลุง”

              “อย่างมาทำไขสือไอ้ตาล แกตั้งใจเข้ามาขัดจังหวะฉันกับเปลวก็เห็นๆอยู่” อัมรินทร์สะบัดเสียงใส่

              “ผมเปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูง

              “หรอ”     เขาหรี่ตามองอย่างคิดจับผิด

              “เออสิ ผมเป็นเด็กดีจะตาย”

              อัมรินทร์แบะปากให้กับคำสรรเสริญตัวเองที่ว่านั้น

              “ แต่ว่านะลุง”

               “อะไร”

               “ถึงลุงจะไม่ค่อยมียางอายเท่าไรถึงได้อยากจะทำอะไรมันกลางวันแสกๆแถมยังทำมันหน้าบ้านแบบนี้ด้วยแต่ผมอยากให้ลุงเห็นใจแม่ผมหน่อย แม่เปลวเขาหน้าบางไม่เหมือนลุงหรอกนะ"  ลูกตาลพูดเหมือนปลงใจกับนิสัยที่ว่านั้น แต่ทว่าเนื้อความที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มนั้นทำเอาอัมรินทร์รู้สึกทะแม่งๆ

              “นี้หลอกด่า”

              “เปล่า” ลูกตาลทำเสียงสูงก่อนหันหลังกลับเตรียมเดินเข้าบ้าน แต่เสียงของอัมรินทร์กลับดังแทรกขึ้นมาก่อน

              “ไปเก็บของสะให้เรียบร้อยละ”

               ลูกตาลหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวกลับแล้วหันกายกลับมามองหน้าคนพูดอย่างสงสัย อัมรินทร์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่คิดตอบหรือขยายความที่ตนนพูดแล้วเดินผ่านเด็กหนุ่มเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์

             

 

 

            หลังจากเดินหนีความเขินอายเข้ามาในบ้านแล้วมุ่งตรงขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองแล้ว เปลวอรุณรีบยกมือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองไปมาเหมือนคนที่พยายามที่จะวัดไข้ให้ตัวเองดูว่าตอนนี้มีไข้หรือไม่ แต่สำหรับเขาตอนนี้คงบอกได้แค่ว่าหน้าของเขานั้นร้อนจริงจนรู้สึกได้แต่มันไม่ได้มาจากพิษไข้อะไรนั้นเลยแม้แต่น้อย

              แต่เป็นเพราะ....

              จะเพราะอะไรก็ชั่ง เปลวอรุณรีบสะบัดหัวไร้ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปจากหัวพยายามอย่างยิ่งที่จะสั่งตัวเองไม่ให้หันมองดูหน้าของตัวในกระจกว่าตอนนี้มันมีสีเป็นเช่นไร

            ไม่งั้นหน้าของเขาคงระเบิดด้วยความอาย...

              คนตัวขาวสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเดินตรงไปยังชั้นวางของข้างโต๊ะทำงานลิ้นชักตู้เก็บของข้างโต๊ะทำงานในห้องของเขาถูกเปิดออกซองเอกสารที่เก็บโฉนดที่ดินที่เขาเพิ่งได้กลับคืนมาถูกว่างลงอย่างเบามือลงด้านในข้างๆซากของโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมที่ถูกเขาปาทิ้งไปเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้ทั้งเศษซากกระจกหรือกรอบตัวเครื่องที่แตกถูกจับใส่ในถุงซิปล็อคพร้อมกับซิมการ์ดของมันที่เปลวอรุณถือโอกาสนี้เปลี่ยนเบอร์มือถือไปในตัวเพราะตนไม่คิดจะแตะต้องเบอร์นี้อีกและไม่คิดที่จะแตะต้องมันอีกหรือคิดจะนำมันมาใส่กับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่อัมรินทร์พาไปซื้อตอนออกจากโรงพยาบาล

            นัยน์ตาสีเข้มกลับมาฉายแววเรียบนิ่งอย่างยากที่จะอ่านออกว่าตอนนี้คนที่มองมองมันด้วยแววตาของความรู้สึกแบบใดยามที่จ้องมองเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่แตกละเอียดตรงหน้า

             เปลวอรุณจ้องมันอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเลื่อนลิ้นชักกลับเข้าที่เดิมแล้วล็อคกุญแจด้วยความเคยชินยามที่มีพิมพาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านการลงกรล็อคกุญแจจึงเป็นอะไรที่เคยชินมือของเปลวอรุณไปเสียทุกครั้งแต่การปิดล็อคครั้งนี้คงจะต่างเหตุผลออกไปจากทุกครั้งที่เขาทำเพราะตอนนี้สามารถวางใจได้แล้วว่าจะไม่มีใครเข้ามาขโมยของสำคัญของเขาได้อีก

             แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะล็อคบางสิ่งเอาไว้แทน...

              ไม่ใช่ว่าเขาโกรธที่ทางนั้นปฏิเสธความช่วยเหลือ แต่เพราะคำพูดบาดหัวใจที่ทำราวกับว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้นเขารับไม่ได้ ยิ่งมันออกมาจากปากของคนที่เขายังเคารพและรักอย่างนั้นด้วยแล้ว

              เจ็บ ผิดหวัง น้อยใจ ....

              ความรู้สึกมันผสมกันไปหมดแต่ที่แน่ๆเลยเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจของเขาที่ทำให้เขาเลือกที่จะไม่หยิบเอาซิมการ์ดนั้นออกมาใช้อีก

              “เป็นอะไรหรือเปล่า”   อัมรินทร์เอ่ยขึ้นมาทามกลางความเงียบของห้อง เรียกรั้งสติของเจ้าของชื่อที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานตรงมุมห้อง

              เปลวอรุณหันหน้ามามองก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆแทนการปฏิเสธ

              “แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง

              “เรื่องไร้สาระนะครับ” เขาตอบพร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูง “คุณอัมรินทร์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง

              “พอดีฉันมีเรื่องจะคุยกับเปลวหน่อยนะ” อัมรินทร์หรี่ตามมองอีกคนก่อนแล้วพูดออกมา

              “เรื่องอะไรหรอครับ ลงไปคุยกันข้างล่างดีไหมครับ”

              “คุยกันบนนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา”

              “เสียเวลา? เสียเวลาอะไรหรอครับ” เปลวอรุณถามอย่างนึกฉงน

              “ไม่มีอะไรมากหรอก คุยไปเก็บของไปแล้วกันเนอะ” อัมรินทร์ยิ้มแย้ม แต่นั้นไม่ได้ทำให้เปลวอรุณรู้สึกเบาใจได้เลยสักนิดเดียวตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำไป

              “เดี๋ยวก่อนนะครับ หมายความว่ายังไง แล้วทำไมต้องเก็บด้วย” เปลวอรุณรัวคำถามใส่อย่างไม่เข้าใจ

              อัมรินทร์ส่งยิ้มพิมพ์ใจกลับพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะที่ท่อนแขนยาวแข็งแรงของตนสามารถตวัดรั้งให้คนตัวขาวเข้ากอดได้ง่าย คางมนเกยอยู่ที่ลานไหล่พร้อมกระชับแขนที่กอดให้แน่นขึ้นก่อนจะกดจูบเบาๆที่หัวไหล่ของเปลวอรุณ

              “ไปอยู่กันฉันนะเปลว”

              !!

            ม่านตาสีอ่อนเบิกขึ้นอย่างตกใจกับคำที่ออกมาจากริมฝีปากของอัมรินทร์ เปลวอรุณรีบขื่นผละตัวออกจากแผ่นอกกว้างของอีกคนทันที

            “หมายความว่ายังไงกันครับ”

          ทำไมต้องไปอยู่ด้วยกัน...?

           “ก็เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าฉันจะขอให้ทำอะไรเธอก็พร้อมที่จะทำให้ฉันทุกอย่าง” อัมรินทร์ยิ้มกริมโอบรอบช่วงเอวของอีกคนไว้หลวมๆ ขณะพูดลื้อฟื้นสิ่งที่เคยออกมาจากปากของเปลวอรุณก่อนหน้า

           “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเปลวนะ” เขาว่าดัก

               “แล้วทำไม” ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจว่าเขาจะสามารหาเงินมาจ่ายได้แล้วทำไมต้องพาเขาไปอยู่ด้วยด้วยละ....

              “นั้นสิ” อัมรินทร์ทำหน้าคิด

               “คุณอัมรินทร์” เปลวอรุณขึ้นเสียงแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ถูกเอ็ดหุบยิ้มแล้วหันมาจริงจังกับบทสนทนาที่ว่าเลยซ้ำยังรั้งตัวของเขากลับไปกอดเช่นเดิมอีกด้วย

               “จริงๆแล้วเงินที่ฉันออกให้เปลวไปก่อนหน้ามันเป็นเงินที่ฉันจะเอาไว้สำหรับการเตรียมงานเปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่ของซีซั่นนี้” อัมรินทร์ว่าอย่างเป็นเรื่องเล็กๆไร้สิ่งน่าสำคัญใดๆ แต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณ ก็แน่ละมันเป็นเรื่องโกหกนิ...

                “คุณว่าอะไรนะ” ครั้งนี้เปลวอรุณใช้แรงทั้งหมดผลักอกอัมรินทร์ออกอย่างแรงด้วยสายตาที่แทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่ได้ยิน

                “ก็ตามนั้นไง” อัมรินทร์ตอบท่าทีสบายๆไม่นึกโกรธที่ถูกผลักจนเซถอยหลัง

               “คุณทำแบบนี้ได้ยังไง นั้นมันเงินบริษัทนะ” เปลวอรุณตวาดกลับเสียงดังเหมือนคนสติแตก

              เขาทำงานมานาน นานพอที่จะรู้ว่าเงินบริษัทถ้าหากถูกเอามาใช้ในเรื่องส่วนตัวเมื่อไรมันก็ถือเป็นความผิดที่ถึงขั้นไล่ออกได้หรือไม่ก็ต้องหาเงินมาใช้แทน แต่โปรแจคครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันนักออกแบบเครื่องประดับอัญมณีระดับโลกอย่างลิลดาด้วยแบบนี้งานย่อมไม่ใช่เล็กๆ นั้นหมายถึงเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยที่จะถูกใช้สำหรับงานนี้

              อัมรินทร์คิดอะไรอยู่...

              “พอดีฉันเงินในบัญชีของฉันมันถูกระงับไว้ชั่วคราวนะ ฉันเลยออกเช็คในนามของบริษัทให้ไปแทนไปก่อนกะว่าพอเงินสามารถถอดได้เมื่อไรค่อยเอาออกมาโปะน่ะ”

              “แต่เงินนั้นมันต้องใช้สำหรับเรื่องงานนะคุณอัมรินทร์ ทำไมทำแบบนี้” เปลวอรุณหวีดเสียงสูงตำหนิ ตอนนี้เขาทั้งกำลังสติแตกและโกรธที่เจ้านายของเขาทำราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ

              “เพราะการจะได้ตัวเธอมามันไม่ใช่เรื่องง่ายไง”

              “อะไรนะ” เขาชะงักแล้วถามซ้ำ

              “ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เปลวเองก็ไม่เคยที่จะไว้ใจฉัน” อัมรินทร์พูดจี้จุดอีกคนเสียงเรียบจ้องมองคนที่ยืนนิ่งไม่วางตา

              เปลวอรุณไม่เคยไว้ใจอัมรินทร์เลย ไม่แม้แต่จะคิด เชื่อสิถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอัมรินทร์คงไม่มีทางที่จะได้รับความไว้ใจจากเปลวอรุณแน่...

              “และฉันเชื่อว่าคนฉลาดๆอย่างเปลวคงดูออกว่าฉันต้องการอะไร” อัมรินทร์ย้ำความต้องการของตนเองที่อีกคนรู้อยู่เต็มอกให้ชัดขึ้นพร้อมสาวเท้าเข้าใกล้จนเปลวอรุณที่ถอยหนีจนแผ่นหลังติดกำแพงห้อง

              “อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี้คือแผนของคุณ” น้ำเสียงสั่นที่เดาว่าน่าจะเป็นเพราะความโกรธดังออกมาตามไรฟัน

              “แล้วถ้าฉันตอบว่า ใช่ ละ” คนทำยอมรับหน้านิ่ง

เพี๊ยะ!


              “คุณทำแบบนี้ทำไม!”

              ไม่ฝ่ามือที่ตบเข้าที่เสี่ยวหน้าคมฉากใหญ่ที่ทำให้อัมรินทร์รู้สึกเจ็บแต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังนั้นต่างหากที่บาดลึกลงในความรู้สึกของเขา

              ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนแบบนี้...

              แต่...

              เจ็บชะมัด...

              “ทำไม”

              “...”

              “ทั้งๆที่ผมเชื่อใจไว้ใจคุณแล้ว ทำไมคุณถึงกับผมแบบนี้ ทำไม”

            อาศัยช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด มาทำให้เขาเชื่อใจและไว้ใจเพื่อที่จะทำกับเขาแบบนี้หรอ....

              น้ำตาสีใสไหลนองหน้ายิ่งกระตุกหัวใจของอัมรินทร์ให้ล่วงหล่นมากกว่าเดิม รอยยิ้มหยอกเย้าที่ตอนแรกยังประดับอยู่บนใบหน้ามาตั้งแต่แรกเดินเข้ามาในห้องหายวับไปหมดสิ้นเขายอมที่จะยืนอยู่เฉยๆอยู่ตรงนั้น ยืนนิ่งให้เปลวอรุณคว้าเสื้อของเขามากำแน่นแล้วเขย่าไปมายอมให้อีกคนตะคอกเสียงใส่

              ยอมให้ทำ แต่เขาคงไม่หยุด...

              “เพราะฉันรอเปลวมานานพอแล้ว”

              มือหนาเอื้อมขึ้นมาจับข้อมือทั้งสองข้างของคนตรงหน้าให้ปล่อยเสื้อของเขาออก นัยน์ตานิ่งเรียบจ้องมองแววตาสั่นๆที่คล้ายจะตัดพ้อเขา

              “...”

              “สามปีที่ฉันรอเปลวมามันนานพอแล้วและฉันจะไม่รออีกแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลหรือเพราะอะไรก็ตามฉันจะทำให้เปลวเป็นของฉันเหมือนอย่างที่ฉันกำลังจะทำอยู่ตอนนี้”

              “...”

              “และเปลวก็เป็นคนพูดเองว่าจะยอมทำตามที่ฉันพูดทุกอย่างไม่ใช่หรอ นี้ไงฉันกำลังจะบอกให้ฟังนี้ไง”

              “ไม่!” เปลวอรุณปฏิเสธเสียงลั่น พยายามบิดข้อมือออกจากมือของอีกคนด้วยแต่ยิ่งบิดหนีอัมรินทร์ก็ยิ่งเพิ่มแรงให้จับแน่นขึ้นจนเริ่มแดง

              “หรือเปลวมีเงินมาคืนฉันทัน”

            !

            “เปลวก็รู้นิว่าพองานมันเริ่มแล้ว เงินมันต้องหมุนต้องจ่ายเธอมีพอจะจ่ายคืนฉันทันหรอ” ไม่ได้อยากจะเหยียบซ้ำแต่ถ้าไม่ขยี้เขาคงไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

              “แต่..”

              “บ้านของเธอคือสิ่งที่ฉันจะขอ”

              “อะไรนะ”

              “ถ้าเธอเอาเงินมาคืนไม่ทัน บ้านของเธอจะกลายเป็นเงินที่ฉันจะเอามาจ่ายให้กับพนักงานและคนงานต่างๆ”

            “คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคุณอัมรินทร์ ผมไม่ยอม” เปลวอรุณว่าเสียงกร้าว

              “งั้นก็ยอมเป็นของฉันสิเปลว” คำเสนอที่ออกมาทำเอาคนฟังถึงกับชะงักค้าง ใครจะคิดกันละว่าอัมรินทร์จะมาไม้นี้

              “ไหนๆนายก็ชอบบ่นฉันเรื่องเปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าอยู่แล้วนายก็มาทำหน้าที่นี้ด้วยเป็นไง แค่นายยอมเป็นของฉันบ้านนายก็ยังปลอดภัย แถมเงินค่าหนี้ฉันก็ไม่เร่งรัดค่อยๆจ่ายเหมือนที่นายเสนอมาเผลอๆฉันอาจยกหนี้ให้เลยก็ได้”  อัมรินทร์ว่าเหมือนใจดี

               แต่นั้นไม่ใช่เลย...

              ข้อเสนอที่ดูจะเป็นความหวังดีสุดท้ายมันก็แค่ข้อเสนอที่บีบให้เขายอมที่จะตบปากรับคำตามความต้องการของอีกคนมันก็เท่านั้น

              เขาเสียรู้อัมรินทร์เข้าให้แล้ว...

              “คุณไม่ควรทำแบบนี้คุณอัมรินทร์ คุณไม่น่าทำ”  เปลวอรุณว่าเสียงสั่นไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

              เพราะมันทำให้ผมผิดหวัง...

              “ไม่ ฉันควรทำมันนานแล้วต่างหาก” อัมรินทร์ส่วน

              “คุณมันเจ้าเล่ห์” เปลวอรุณกล่าวหา

              “ฉันยอมเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์ถ้ามันสามารถทำให้ฉันสามารถกินหนูน้อยหมวกแดงอย่างเธอเข้าไปได้ทั้งตัว”  เขาว่าพลางเชยคางหนูน้อยหมวกแดงตรงหน้าขึ้นมาสบตา

              “ไปล้างหน้าดีกว่า เปลวไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกเชื่อฉันสิ”

              ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะหรอก...

              สำหรับเปลวอรุณไม่ว่าจะยิ้มหรือหัวเราะเบาๆอย่างที่ชอบทำหรือยามที่ชอบตีหน้านิ่งไร้ความรู้สึกหรือแม้แต่ตอนนี้ที่ใบหน้าขาวเปื้อนไปด้วยคาบน้ำตาเขาก็มันว่าเหมาะกับเปลวอรุณอยู่ดี แต่เขาแต่ไม่อยากเห็นใบหน้าแบบนี้ของอีกคนมากกว่า

              มือที่เชยคางอีกคนเลื่อยลงมาเป็นโอบที่ไหล่ออกแรงเล็กน้อยเพื่อดันให้อีกคนยอมเดินตามไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล เพราะเปลวอรุณดูจะเหมือนหมดอาลัยไม่แม้จะคิดขยับตัวหรือทำอะไรเอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างหน้าอัมรินทร์จึงเป็นฝ่ายที่เปิดก๊อกน้ำน้ำผ้าที่อยู่ไม่ไกลชุบแล้วเช็ดที่หน้าของเปลวอรุณแทนโดยไม่คิดปริปาก

              และตั้งแต่ตอนนั้นเปลวอรุณก็ไม่เปิดปากพูดกับอัมรินทร์อีกเลยสักคำเดียว...

              จะบอกว่าโกรธก็คงใช่แต่มันก็เจือปนไปด้วยความผิดหวัง เปลวอรุณยอมรับอยู่ลึกๆว่าตอนนี้เขาเองก็เปิดใจให้อัมรินทร์มาพอสมควรเลยกานเป็นว่านอกจากความโกรธแล้วเขาจึงรู้สึกผิดหวังกับการกระทำที่อีกคนคิดฉวยโอกาสทำให้เข้าไว้ใจแล้วตลบหลังกันแบบนี้

                 ทำไมใครต่อใครถึงเอาความเชื่อใจของเขาที่มองให้มาทำร้ายจิตใจของเขาแบบนี้ด้วย...

                เปลวอรุณคิดอย่างตัดพ้อน้อยใจตัวเองจ้องมองเพดาห้องนอนผ่านความมืดมิดของเวลากลางคืน อัมรินทร์กลับไปแล้วแต่อีกไม่นานก็จะกลับมาใหม่กลับมารับเขากับลูกไปอยู่ด้วยที่บ้านของอีกฝ่ายข้าวของที่จำเป็นบางส่วนของเขาถูกเก็บใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่โดยลูกตาลเพราะตัวเขาเองไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่างเลยในตอนนี้ ทั้งๆที่เขาเพิ่งได้บ้านกลับคืนมายังไม่ทันได้ดีใจหลับเต็มตาเขาก็ต้องกลับมานอนคิดมากอีก

                 ก็ได้แต่หวังว่าเรื่องร้ายๆมันจะผ่านไปจากชีวิตเขาเร็วๆก็เท่านั้น....



______________________________________________________________________________

แบบนี้เขาเรียกความพิมพาไม่ทันหายความอัมรินทร์ก็เข้ามาแทรก เอ๊ย ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก หรือเปล่า

ตอนนี้เปลวรู้แล้วว่าสิ่งแอบแฝงของอัมรินทร์คืออะไร

มาลุ้นกันต่อดีกว่าเปลวสิรู้เมื่อไรว่าทั้งนี้เป็นแผนของอิหนูอันอัน


บอกไว้ก่อนเลยว่าเส้นทางรักของหนูอันอันไม่ราบเรียบแน่นอน!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-06-2017 23:43:58
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Timber Huang ที่ 09-06-2017 00:11:17
บางทีการยึดติดกับอะไร จนสุดท้ายมันทำให้เราลำบากเราก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร ที่จะยึดติดอยู่กับมันต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-06-2017 09:06:38
โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สงสารเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-06-2017 09:50:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 10-06-2017 10:44:19
ชีวิตเปลว :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 10-06-2017 12:30:23
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 14-06-2017 14:07:05
ชีวิตเปลวน่าสงสารร แงงงงง โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 11- 8/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงน้อยสุดเอ๋อ ที่ 15-06-2017 09:36:31
สงสารเปลว

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 15-06-2017 20:43:47
 
เป็นหนี้ ครั้งที่ 12



               “ซ้ายๆๆ ซ้ายอีกหน่อยครับ นั้นแหละ โอ๊ะ  ตรงนั้นระวังหน่อยนะเดี๋ยวมันแตก”

                ชายหนุ่มเจ้าของบ้านร้องบอกพนักงานขนของสองคนที่กำลังขนของหนักสองคนให้ระวังสวนถาดแก้วที่การจัดแต่งดูจะแปลกตาไปเสียหน่อยแต่มันคือสุดยอดสิ่งที่อัมรินทร์ภาคภูมิใจที่สุดที่ทำมันออกมาได้และเขาจะไม่ยอมให้มันแตกก่อนที่เปลวอรุณจะได้มาเห็นมันแน่

                 “คุณอันครับ”

                  “ครับ”

                 อัมรินทร์ละสายตาจากคนงานที่กำลังขนย้ายข้าวของทั้งเก่าและใหม่ในห้องให้เป็นไปตามแบบมาสนใจหนุ่มใหญ่วัยหกสิบรูปร่างสูงโปร่งผมยาวสีดอกเลาที่ยังดูทะมัดทะแมงแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆอย่างลุงอุ่น

                 “ลุงให้เด็กๆเคลียร์ตู้เสื้อผ้าอีกตู้ให้เรียบร้อยแล้วนะครับ ส่วนห้องนอนเล็กตอนนี้ก็ลงของเสร็จแล้วเหมือนกันครับ”

                 “โอ้ ขอบคุณมากครับลุงอุ่น ลุงไปพักเถอะเดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” อัมรินทร์หันมายิ้มกว่าให้หัวหน้าคนพ่อบ้านที่สนิทกันก่อนจะออกปากจัดการที่เหลือต่อพร้อมดันหลังคนมีอายุให้เดินออกจากห้องไปคล้ายมัดมือชก

                  “ไม่เป็นไรครับ คุณอันนั้นแหละไปพัก”

                  “ไม่ครับ ลุงอุ่นอย่าดื้อสิ”

                   สองหนุ่มต่างวัยดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครในเรื่องการไล่ให้อีกคนไปพักแต่คนดื้อดึงอย่างอัมรินทร์มีหรือจะยอมง่ายๆ เขาจัดการดันหลังของลุงอุ่นให้ออกไปยืนอยู่ด้านนอกพร้อมทั้งสั่งแกมบังคับไม่ให้อีกคนเข้ามาด้านใน

                    “ห้ามลุงเข้ามาในห้องนี้จนกว่าช่างเขาจะจัดของเสร็จนะครับ พวกเธอด้วยถ้าใครปล่อยให้ลุงอุ่นเข้ามาฉันจะหักเงินเดือนพวกเธอ”

                    อัมรินทร์ชี้ไปทางสาวใช้สองคนที่เดินผ่านมาให้เฝ้าลุงอุ่นเอาไว้ งานนี้เลยพลอยทำให้ลุงอุ่นได้แต่ยืนน้ำท่วมปากอยู่หน้าห้องมองเจ้านายหนุ่มด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ช่วงสายที่อัมรินทร์ลางานกลับมาดูความเรียบร้อยของงานตกแต่งห้องจนตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้วแต่เจ้านายหนุ่มรุ่นลูกคนนี้ยังไม่คิดที่จะพักเลยแม้แต่น้อยซ้ำยังดูเอาจริงเอาจังกระตือรือร้นกับการจัดห้องใหม่เสียเหลือเกิน

                 จนน่าแปลกใจ...

                  บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดเมื่อวาน....

                  “พรุ่งนี้เปลวกับลูกตาลจะย้ายมาอยู่ที่บ้านเรา”

                  หัวข้อของบทสนทนาบนโต๊ะอาหารในตอนเย็นที่อัมรินทร์พูดกับอนิรุทธิ์ฟังดูก็เหมือนหัวข้อคำบอกเล่าเฉยๆแต่ก็มากพอที่สร้างความแปลกใจให้กับคนที่อยู่ร่วมฟังอย่างตัวลุงอุ่นและแม่บ้านอีกสองคนที่ยืนอยู่ในห้องกินข้าวให้เกิดเป็นคำถามขึ้นในหัวว่า ใคร...

                 “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีของมาส่งที่บ้านลุงอุ่นก็ช่วยดูแลด้วยนะครับ”

                ตอนแรกเขาเองก็เข้าใจว่า ของ ที่จะมาส่งคงเป็นของเล็กๆน้อยๆแต่ที่ไหนได้กลับเป็นรถขนของจากห้างสรรพสินค้าสำหรับตกแต่งบ้านแบบชุดใหญ่ที่แต่เห็นก็พอที่จะเข้าใจได้ว่างานนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ เพราะถึงขนาดที่ว่าอัมรินทร์ซื้อของชุดใหม่เกือบทั้งหมดในการตกแต่งห้องใหม่เพื่อรอรับใครบางคนที่กำลังมาด้วยแบบนี้ สมาชิกใหม่ ของบ้านคงไม่ได้มาในฐานะแขกชั่วคราวหรือคนมาอาศัยอยู่ด้วยแน่

                 ด้วยความที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทั้งยังเป็นคนที่เลี้ยงดูอัมรินทร์และอนิรุทธิ์มาตั้งแต่ยังแบเบาะทำไมคนแก่คนนี้จะมองไม่ออกว่านายน้อยของตนดูมีความสุขขนาดไหนตอนที่พูดถึงหนึ่งในสองของสมาชิกใหม่ของบ้านขนาไหน

                  แต่ที่น่าสงสัยคือความสัมพันธ์ของทั้งสองมากกว่า...

                   “เวรละ”  เสียงสถบเบาๆของเจ้าของห้องดังขึ้นเรียกให้คนแก่ที่กำลังจมอยู่กับข้อสันนิฐานของตัวเองให้หันกลับไปมองเจ้านายหนุ่มของตน 

                   “มีอะไรหรือเปล่าครับคุณอัน” ลุงอุ่นถาม

                   “คือ..”  อัมรินทร์รนราน

                   เขามั่วแต่สนใจกับการแต่งห้องจนลืมไปเลยว่าเขานัดว่าจะไปรับเปลวอรุณที่บ้านซึ่งอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงเวลานัดแล้วด้วยแต่เขาไม่อยากจะฝากงานให้ลุงอุ่นดูแลต่อเพราะลุงแกก็ช่วยเขาดูช่างที่เข้ามาทำห้องเล็กตั้งแต่เที่ยงแล้วด้วย

                    “ไอ้รุทธิ์” และทางออกสุดท้ายของเขาก็เดินผ่านมาพอดี

                     อนิรุทธิ์ที่เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนเหลียวหลังกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องหนุ่มที่ตะโกนเรียกเขาดังออกมาจากในห้องที่เต็มไปด้วยพนักงานขนของสามสี่คนที่กำลังช่วยกับเก็บรายละเอียดงานสุดท้ายกันอยู่

              “อะไรมึง” อนิรุทธิ์เลิกคิ้วถาม

              “มึงว่างใช่ไหม ใช่มึงว่าง”

              อัมรินทร์ตอบแทนอนิรุทธิ์ที่กำลังจะอ้าปากตอบ

              “กูต้องไปรับเปลวกับลูกตาลที่บ้าน กูฝากมึงดูช่างหน่อย” เจ้าตัวรวบรัดตัดตอนไม่แบ่งช่องไว้ให้อีกคนได้แย่งพร้อมยัดเยียดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือลูกพี่ลูกน้องหนุ่ม

              “ฝากด้วยนะเว้ย ถ้ากลับมาห้องกูเละไม่ถูกใจเปลวกุเอามึงตายแน่ คุณนิลเฝ้าไอ้รุทธิ์ให้พ่อด้วยนะลูก” ซ้ำยังชี้หน้าคาดโทษพร้อมลูบหัวฝากฝั่งหน้าที่ผู้คุมให้กับลูกสาวสี่ขาที่เพิ่งเดินมาเป็นการตบท้ายก่อนจะวิ่งลงบันไดแล้วออกจากบ้านไป

              อนิรุทธิ์ที่เหมือนถูกขโมยปากขโมยคำไปไม่ทันได้แย้งหรือขัดอะไรก็ได้แต่บ่นพึมพำตามหลังคนเจ้ากี้เจ้าการอย่างอดไม่ได้แถมเจ้ามณีนิลก็ดูจะเชื่อฟังคำพ่อของมันเสียเหลือเกินทั้งดันทั้งงับขากางเกงให้เขาเดินเข้าไปในห้องจนเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้าไปยืนคุมงานในห้องตามคำสั่งนั้นอย่างจำใจ

              อะไรวะเนี้ย....

            แต่เสียงคร่ำครวญตัดพ้อของอนิรุทธิ์คงไม่สามารถส่งไปถึงเพราะนอกจากอัมรินทร์จะหาได้สนใจเสียงในใจของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มแล้วไซร้ เจ้าตัวยังคงฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปจนถึงบ้านของเปลวอรุณอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

              อัมรินทร์ดับเครื่องยนต์รถขว้างหน้าประตูรั้วสีขาวก่อนจะก้าวลงจากรถเปิดประตูรั้วที่ไม่ได้ล็อกเอาไว้แล้วเดินเข้าไปด้านใจอย่างหน้าชื่อตาบานแต่เขาต้องเก็บอาการดี้ด้าออกนอกหน้าของตนเอาไว้ก่อน เพราะมันคงจะดูไม่ดีเท่าไรที่เขาจะยิ้มร่าเข้าไปในบ้านในขณะที่เจ้าของบ้านเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดแววตาเศร้าซึมแบบนั้น

              “เปลว”

              เสียงเรียกชื่อที่พยายามอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้หลุดความลิงโลดยามที่ได้เจอไม่ได้ช่วยให้คนที่ยังอยู่ในชุดทำงานตัวเดินตั้งแต่เมื่อเช้าคล้ายความเซื่องซึมอยู่บนโซฟาหน้าทีวีให้ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนการตอกย้ำให้อีกคนทำหน้าตักพ้อน้อยใจใส่มากกว่าเดิมอีก

              “ฉันมารับแล้ว เก็บของเรียงร้อยแล้วใช่ไหม” เขาถาม

              เปลวอรุณนิ่งเงียบไม่ยอมพูด เลยกลายเป็นลูกตาลที่ต้องตอบคำถามนั้นแทนอย่างเสียไม่ได้

              “ถ้างั้นผมเอาของไปขึ้นรถเลยนะ”   ลูกตาลว่าพร้อมรับฉวยเอารีโมทรถยนต์มาจากมือของอัมรินทร์เพื่อนำกระเป๋าเสื้อผ้าของพวกเขาขึ้นรถที่จอดรออยู่ กลายเป็นว่าเป็นการเปิดทางให้อัมรินทร์ได้อยู่กับเปลวอรุณเพียงลำพังสองคนไปกลายๆ

              “ทำไมหน้าเซียวๆแบบนี้ เมื่อคืนไม่ได้นอนหรอเปลวหรืองานวันนี้มีปัญหา” อัมรินทร์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

              อย่างที่บอกว่าเปลวอรุณเป็นคนผิวออกขาวเวลาเป็นอะไรจึงสามารถเห็นได้ชัด อย่างเมื่อวานที่เขาจับอีกฝ่ายแรงไปจนตอนนี้ที่ข้อมือทั้งสองของอีกคนก็ยังมีรอยแดงจางๆเป็นรูปมือของเขาให้เห็นอยู่จึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถเห็นรอยคล่ำใต้ดวงตาคู่สวยกับผิวหน้าที่ออกเหลืองเล็กน้อยเหมือนตอนที่เจ้าตัวโหมงานจนอดหลับอดนอนทั้งคืน

              “ผมไม่เป็นอะไรครับ”  เปลวอรุณตอบแบบปัดๆพร้อมละใบหน้าหนีนิ้วมือของอัมรินทร์ที่ยกมาเกลี่ยอยู่ที่ข้างแก้ม

              “งั้นหรอ”  อัมรินทร์ไม่ได้ว่าอะไร

              นัยน์ตาคมกวาดมองบ้านหลังขนาดกลางแบบสร้างเองของเปลวอรุณที่ข้าวของทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพที่ทุกอย่างยังคงถูกจัดวางอยู่ที่เดิมไม่มีการเก็บสิ่งใดลงกล่องหรือถูกคุมด้วยผ้า

              “ไปกันเถอะเปลว” เขาลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าคำพูดนั้นของเขาทำเอาใจคนฟังหล่นหายม่านตาสวยคล้ายจะมีน้ำใสคลอหน่วงมือคู่กำแน่นไม่ยอมปล่อย

              “แต่ผมไม่อยากไป” เปลวอรุณพูดออกมาเสียงสั่น ทั้งๆที่นี้คือบ้านของเขาแต่เขากลับจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้อีกเป็นใครก็คงปวดใจไม่ต่างจากเขาตอนนี้

              “อย่าดื้อเปลว” อัมรินทร์ทำเสียงเอ็ด ทั้งยังจับเข้าที่มือของอีกคนเป็นเชิงให้ลุกตามมา

              “ฉันไม่ห้ามถ้าเปลวจะกลับมาบ้านนี้บ้างแต่ต้องบอกฉันก่อนแล้วฉันจะมาด้วย” เพราะความผูกพันมันคงตัดกันไม่ขาดภายในข้ามคืนดังนั้นอัมรินทร์จึงไม่คิดห้ามหากว่าเปลวอรุณจะคิดถึงบ้านแล้วอยากจะกลับมาอยู่ที่นี้บางในวันหยุดแต่ต้องบอกและให้เขามาด้วยก็แค่นั้น

              กว่าจะได้เปลวมาไม่ใช่เรื่องง่าน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดจะห่างจากเปลวอรุณแม้สักนาทีเดียว...

              แม้ข้อเสนอของอัมรินทร์จะไม่ทำให้เปลวอรุณรู้สึกดีขึ้นมาเลยเสียที่เดียวแต่อย่างน้อยการที่เขาสามารถขออีกฝ่ายกลับมาอยู่บ้านตัวเองได้บ้างก็ยังพอทำให้ใจดวงน้อยชื้นขึ้นมาบ้างจึงยอมที่จะลุกตามแรงดึงของคนตัวใหญ่ไปอย่างง่ายๆ

              อัมรินทร์ที่พอเห็นว่าเปลวอรุณดูว่าง่ายขึ้นก็ยิ้มพอใจจูงมือเดินนำอีกคนออกจากบ้านโดยไม่เอ่ยปากอะไรออกมาปล่อยให้เปลวอรุณทอดสายตามองบ้านแสนรักของตนอย่างอาลัยรักเงียบๆไม่เอ่ยปากเร่งแม้อีกคนจะทำตัวเอื่อยๆเฉยๆยามที่ลงกรใส่กุญแจรั้วเพราะเข้าอกเข้าใจจึงไม่รบเร้ามากให้อีกคนมองเคยแย่ไปกว่าเดิม

              แค่เปลวอรุณยังยอมพูดกับเขาแบบปกติเหมือนเมื่อครู่อยู่ก็พอแล้ว...

             

              คนอารมณ์ดีเหมือนผีเข้ามาตั้งแต่เช้าก็ยังอารมณ์ดีอยู่อย่างนั้นแม้ผู้โดยสารทั้งสอนในรถของตนจะไม่ได้ดูเอ็นจ้อยไปกับเขาด้วยเลยแม้แต่น้อย ลูกตาลทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างเห็นได้ชัดมาตั้งแต่ออกจากบ้านมาเมื่อเย็นจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปมากไปกว่าที่อัมรินทร์เอ่ยปากถามเวลายู่บนรถเพื่อที่ว่าบรรยากาศมันจะไม่ดูน่าอึดอัดใจมากเกินไป อย่างน้อยก็แค่พอทำให้บรรยากาศสองขั้วที่ข้างหนึ่งดูสดใสมีความสุขกับอีกข้างชั่งหม่นหมองเหมือนคนที่กำลังแบกโลกไว้ทั้งใบเอาไว้อย่างไงอย่างนั้น แม้เปลวอรุณจะไม่ขอเข้ามามีส่วนร่วมในวงสนทนาของทั้งคู่แต่แค่อีกคนมีการตอบรับออกมาบ้างเท่านั้นก็มาพอที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นและอัมรินทร์ก็ยิ้มได้หน้าบานมากกว่าเดิมจนถึงบ้าน

              ทันทีที่อัมรินทร์หักพวงมาลัยรถต์เข้ามารถจอดที่ทางเข้าประตูบ้านชายหนุ่มก็รีบปลดเบลออกแล้วพุ่งตัวออกจากรถเพื่อไปเปิดประตูให้ตุ๊กตาหน้ารถคนสวยของตนตัดหน้าแม่บ้านวัยกลางคนที่กำลังเดินลงขั้นบันไดมาทำหน้าที่ แน่นอนว่าครั้งนี้ลูกตาลเองก็มีลูกคู่ที่พร้อมจะแบะปากไปพร้อมๆกันอย่างอนิรุทธิ์ที่ยืนกอดอกมองบนพิงกรอบประตูรออยู่ตรงประตูทางเข้าบ้าน

              ในขณะที่ใครหลายคนกำลังจับจ้องการกระทำของอัมรินทร์ที่ปฏิบัติต่อเปลวอรุณอย่างตั้งคำถามก็มีอยู่อีกหนึ่งที่ดูจะดีใจจนหางสั้นกุดของมันส่ายไปมาจนก้นน้อยๆส่ายไปมาอย่างน่ารัก

              “งื้มมมม”

              เสียงครางหงิงในลำคอยามที่จะแสดงอาการดีใจออกมาให้ผู้เป็นเจ้าของรับรู้พร้อมทั้งแรงกระโจนโถมใส่อย่างที่ทำเป็นประจำของมณีนิลที่วิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความเร็วก่อนจะกระโดดขึ้นเพื่อหมายจะกอดต้อนรับการกลับมาบ้านของพ่ออันเป็นที่รักที่เพิ่งจากกันไปเพียงไม่นาน

              “เฮ้ย!”

              เปลวอรุณร้องเสียงหลง เนื่องด้วยตัวเขาเองไม่สันทัดเรื่องการเลี้ยงสัตว์ซ้ำยังเป็นสุนัขตัวโตสายพันธุ์นักล่าด้วยแล้วทำให้คนตัวขาวรีบเบี่ยงตัวหลบจนชิดประตูรถเช่นเดียวกับลูกตาลที่รีบยื่นแขนกางออกมาป้องแม่ตัวเองตามสัญชาติญาณ

              “ไม่ต้องกลัวเปลว คุณนิลไม่กัดหรอก จริงไหมคะ” อัมรินทร์กางแขนรับมณีนิลมาอุ้มก่อนจะหันมาบอกอีกคนทั้งรอยยิ้มขณะอุ้มเจ้าลูกรักที่ยกสองขาหน้าพาดบ่าเลียหน้าเลียตาเขาอย่างคิดถึงแทบขาดใจ

              “คุณนิลทักทายแม่เปลวกับพี่ตาลเขาหน่อยสิลูก” มณีนิลเองก็แสนเชื่องพ่อบอกอะไรก็ทำตามไปสะทุกอย่าง

              สี่ขาตัวโตในอ้อมแขนของอัมรินทร์ยื่นหน้ายื่นตาไปด้านข้างพยายามส่งเสียงเรียกความสนใจคล้ายอยากจะทักทายแม่กับพี่ชายคนใหม่ แต่เปลวอรุณดูจะยังไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าใกล้เท่าไรจนอัมรินทร์ต้องขยับตัวเพื่อให้อยู่ในระยะที่มณีนิลจะสามารถเอี้ยวตัวไปหาอีกคนได้และพอเข้าใกล้ได้ความเป็นมิตรผิดสายพันธุ์ของเจ้าตัวก็ไม่รอช้าที่จะเลียเข้าที่ข้างแก้มขาวของแม่ใหม่ที่หลับตาปรี่ใส่มัน

              เมื่อไร้การคุกคามหรือพฤติกรรมกร้าวราวอย่างที่หวั่น เปลวอรุณจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง

              “ลองลูบดูสิเปลว” อัมรินทร์แนะ

              เปลวอรุณมองหน้าอัมรินทร์สลับกับมณีนิลอย่างหวั่นๆแต่ก็ยอมที่จะยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวตามที่อีกคนบอก เส้นขนสั่นดำมันวาวดูจะเป็นอะไรที่มณีนิลภูมิใจทันทีที่ฝ่ามืออุ่นนุ่มทาบลงที่หัวของมันได้มณีนิลก็ไถ่หัวของมันไปตามมืออุ่นของเจ้านายใหม่อย่างยินดีเรียกร้อยยิ้มของเจ้าของมือได้อย่างดี

           “เห็นไหมละเปลว” อัมรินทร์ว่า “ลองจับดูตาล” พร้อมพยักเพยินให้ลูกตาลเข้ามาใกล้

            ลูกตาลหรี่ตามองเว้นระยะไว้เล็กน้อยก่อนจะยอมทำตามที่อีกคนว่า แม้จะไม่ดุร้ายเหมือนที่ว่าแต่มณีนิลก็ไม่ได้แสดงความรักใคร่ต่อเด็กหนุ่มเหมือนที่ทำต่อเปลวอรุณเท่าไรนัก แค่เลียที่มือของเขาเท่านั้นก่อนจะหันไปเรียกร้องขอให้เปลี่ยนจากอัมรินทร์เป็นเปลวอรุณที่อุ้มตัวแทนเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆที่กำลังเรียกร้องความรักความสนใจจากเจ้าของ

            “เหอะ” เด็กหนุ่มทำเสียงใส่ในลำคอกับความลำเอียงของทั้งคนทั้งหมาบ้านนี้

            คนพ่อก็ปล่อยให้เขาแบกของยกกระเป๋าเปิดประตูเอง ตัวลูกก็เชิดใส่....

             เอาเข้าไป...

              “มึงไม่คิดจะพาลูกเมียมึงเข้าบ้านหรือแนะนำตัวให้ใครเขารู้จักหน่อยหรอวะ” คนที่ยืนนิ่งเงียบมองดูครอบครัวสุขสันมาสักพักใหญ่เอ่ยขึ้นแทรกผ่านความเคลือบแคลงใจของเหล่าผู้น้อยในบ้านกับบรรยากาศครอบครัวของอัมรินทร์ที่เห็นละมันขัดๆตายังไงชอบกล

               “เออใช่” และเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ อัมรินทร์หันกายที่ยังคงอุ้มมณีนิลอยู่กลับมามองลุงอุ่นและเหล่าแม่บ้านคนสวนตรงหน้าที่ยังคงยืนกันอยู่

              “ทุกคนนี้ เปลวอรุณ กับ ลูกตาล ตั้งแต่วันนี้พวกเขาจะย้ายมาอยู่กับเราที่นี้นะ เดี๋ยวเอากระเป๋าเป้ไปเก็บที่ห้องนอนเล็กนะ”อัมรินทร์พร้อมหันไปทางกระเป๋าเป้เดินป่าใบใหญ่ของลูกตาล “ส่วนกระเป๋าลากใบนั้นเอาไปไว้ที่ห้องฉัน จัดใส่ตรงตู้ที่ว่างนะ” ก่อนจะหันมาที่กระเป๋าล้อลากของเปลวอรุณที่อยู่ข้างกัน

              “คุณอัมรินทร์!”  เปลวอรุณท้วงเสียงดัง

              “ทำไมละเปลว” เจ้าตัวหันกลับมาถามเสียงซื่อ

             “ทำผมต้องไปนอนห้องเดียวกับคุณด้วย”

              “โถ เปลว” อัมรินทร์พูดเสียงอ่อนใจ

              “ก็นี้พ่อ” เจ้าตัวพยักหน้าเข้าหาตัวเอง “นั้นแม่” แล้วพยักไปหาเปลวอรุณ “ส่วนนู้นก็ลูก จริงไหมลูกตาล” ก่อนจะไปจบลงที่เด็กหนุ่มที่กอดอกมองดูอยู่พร้อมคำถามที่ดูก็รู้ว่าวกำลังหาแนวร่วม

              “ปะ เข้าบ้านกันดีกว่า” คนที่เปิดประเด็นร้อนฉ่าออกมาก็ดันเป็นฝ่ายตัดบทเสียเอง

               อัมรินทร์ปล่อยมณีนิลลงกับพื้นก่อนจะใช้มือปัดเสื้อตัวเองเล็กน้อยแล้วหันไปโอบเอวเปลวอรุณออกแรงดันช่วงหลังให้คนน้ำท่วมปากยอมเดินตามตัวเองเข้าไปในบ้าน ไม่แคร์และไม่สนใจสายตาตั้งคำถามที่ต้องการการขยายความจากจนเลยแม้แต่น้อย

              “นี้มันเรื่องอะไรยังไงกับครับคุณรุทธิ์ ลุงงงไปหมดแล้ว” ลุงอุ่นรีบตรงเข้ามาถามเจ้านายหนุ่มคนพี่ที่ยังคงยืนกรอกตามองบนอยู่กับทีทันทีเมื่อคนที่อยากจะถามดันเดินหนีไปก่อน

            “นั้นสิค่ะ พ่อแม่ลูกอะไรกันคะ” แม่บ้านสาววัยใกล้เคียงกันถามขึ้นบ้าง

              “ก็ตามนั้นละ พวกเธอก็ทำตามที่ไอ้อันมันบอกนะ ไปตาลกินข้าว”

              อนิรุทธิ์เองก็ไมรู้จะตอบนั้นยังไงนอกจากว่าตามน้ำที่อัมรินทร์ทิ้งระเบิดเอาไว้ให้ก่อนจะกวักมือเรียกหลานชายที่ยืนทำหน้าเหม็นเบื่อไม่ต่างกันเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้แต่ความคำถามและเสียงซุบซิบกันของเหล่าแม่บ้านที่ลุงอุ่นยังต้องทำเสียงเอ็ดใส่ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายเข้าไปในบ้าน

              อัมรินทร์โอบเอวพาเปลวอรุณเข้ามายังห้องกินข้าวจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ออกให้อีกคนนั่งก่อนที่ตัวเองจะหย่อนก้นลงที่เก้าอี้ข้างๆพร้อมถีบส่งพี่ชายของตนไปนั่งตรงข้ามติดกับลูกตาลแทนและเว้นที่ว่างตรงหัวโต๊ะเอาไว้เหมือนอย่างทุกครั้ง

              “เปลวลองนี้ดู ฉูฉี่ปลาฝีมือน้อยอร่อยมาเลยนะ”

               เนื้อปลาสีขาวมุขที่เคลือบคุมด้วยเครื่องแกงกลิ่นหอมถูกตักวางใส่จานข้าวของคนที่ยังไม่แม้จะเริ่มจับช้อนอย่างเอาใจ ครั้งจะเพิกเฉยต่อน้ำใจที่อีกคนหยิบยื่นมาให้ก็คงดูเสียมารยาทพอดูดังนั้นแม้จะไม่อยากกินก็ต้องจำใจตักมันเข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนลงคอไป

                 “เป็นไง” อัมรินทร์ตาวาวเมื่อเห็นเปลวอรุณย้อมที่จับช้อนขึ้นมาตักข้าวและกับที่ตนตักให้เข้าปาก ชายหนุ่มไม่รีรอเลยที่จะหันมาถามอย่างตั้งตารอตั้งใจฟังคำตอบ

                “ครับ อร่อยดี” แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้คนตัวใหญ่ยิ้มกว้างแล้วหันไปสรรหาตัดนู้นตักนี้มาใส่จนพูนเต็มจาน

                “ถ้าอร่อยต้องกินเยอะๆนะ เปลวผอมลงไปตั้งเยอะ” อัมรินทร์ว่า

                ก็จริงอยู่ที่ช่วงนี้เปลวอรุณน้ำหนักลดลงไปแต่จริงๆแล้วมันก็แค่สองสามกิโลเท่านั้นไม่ได้มากมายอะไรอย่างที่โดนติเตียน แม้ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยากอาหารอะไรเสียเท่าไรแต่สำหรับมื้อนี้ถ้าเขากินไม่หมดก็คงหมดสิทธิ์ที่จะลุกจากเก้าอี้ไปได้โดยง่าย

                และก็จริง...

                 หลังจากกินไปไม่ถึงครึ่งพอเปลวอรุณทำท่าว่าจะวางช้อนลงอัมรินทร์ก็ไม่รีรอเลยที่จะตั้งข้าวในจากของอีกคนขึ้นจ่อที่ปากอาศัยความหน้าบางของอีกคนที่ลูกตาลเคยบอกก่อนหน้านี้มาเป็นตัวช่วย แน่นอนว่าความกระด้างอายที่ต้องมาถูกผู้ชายด้วยกันอย่างอัมรินทร์เอาอกเอาใจต่อหน้าคนเยอะเยาะแบบนี้ต่อให้เป็นคนรู้จักแต่เปลวอรุณก็ยังคงเป็นเปลวอรุณผู้หัวโบราณและเหนียมอาย

                 การป้อนของอัมรินทร์จึงเปรียบเสมือนเป็นการบังคับให้อีกคนยอมกินข้าวในจานตัวเองต่อเองให้หมดไปโดยปริยาย...

              และที่แน่นอนที่สุดคือ เมื่ออัมรินทร์กำลังมีความสุขกับการนั่งมองเปลวอรุณกินข้าวมากกว่าจะตักข้าวเข้าปากตัวเองแล้วนั่งยิ้มอิ่มใจอยู่ตรงนั้นก็ย่อมมีคนสองคนที่ถูกลืมแม้จะนั่งอยู่ตรงข้ามคนทั้งคู่ไหนจะลุงอุ่นกับแม่บ้านสาวอีกสองคนที่ยืนอยู่ที่ด้านหลังที่ดูๆแล้วคงจะถูกกลบลืมด้วยบรรยากาศเบาๆที่อัมรินทร์ตั้งใจสร้างขึ้นมากั้นทุกคนออกจากโลกของเขาและเปลวอรุณ

              “ตาล กินนี้สิแกงจืดสาหร่ายซดหน่อยจะได้กินข้าวได้คล่องคอไก่สามรสนี้ก็กินเยอะๆละเด็กกำลังโตอย่างเราต้องการพลังงานเยอะๆส่วนฉูฉี่ปลานี้ก็เหมือนกันกินระวังๆด้วยอย่างลืมว่ามันยังมี ก้าง อยู่” อนิรุทธิ์ตักกับอาหารทุกอย่างที่มีอยู่บนโต๊ะใส่จานของลูกตาลพร้อมคำพูดล่อเลียนซ้ำยังไม่ลืมที่จะแขวะให้อัมรินทร์รับรู้การมีอยู่ของ ก้าง ที่ว่านั้นด้วย

            นี้แค่พาเข้าบ้านวันแรกมันยังทำตัวเหมือนข้าวใหม่ปลามันเอาใจเมียขนาดนี้ นี้ถ้ามันได้เปลวอรุณสมใจอยากเมื่อไรมันไม่ตักป้อนถึงปากอุ้มเดินไม่ให้เท่าแตะพื้นเลยหรือไง.....

              “อ่า ใช่แล้วเปลวฉูฉี่ปลามันมีก้างอยู่ เอามานี้ก่อนดีว่า” อัมรินทร์หรี่ตามองพี่ชายตนก่อนจะหันไปตักเนื้อปลาที่ตนเพิ่งวางใส่จานเปลวอรุณเมื่อครู่กลับมาที่จานของตนใหม่

              “เดี๋ยวฉัน เขี่ย ก้าง ที่ว่าออกให้ก่อนดีกว่า” เจ้าตัวว่ากับเปลวอรุณเสียงนุ่ม แต่กลับเน้นเสียงหนักโดยหันหน้าไปหาคนตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะตักกลับไปวางให้เปลวอรุณใหม่

              แต่ก็นั้นแหละ...

              เพราะพอวางยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะชักช้อนกลับดีช้อนอีกคันที่มาไกลถึงอีกฝั่งก็ตักฉวยเจ้าเนื้อปลาดราม่านั้นเข้าปากหน้าตาเฉย และคงไม่ต้องเดาให้มากความว่าเจ้าของช้อมมือที่สามนั้นเป็นใครถ้าไม่ใช่ ลูกตาล

              “มองอะไรกันครับ กินข้าวสิ” เด็กหนุ่มว่าหน้าซื่อ แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวในจากของตัวเองต่อ

              อัมรินทร์ยู่ปากแสดงท่าทีคล้ายๆจะไม่พอใจแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ในเมื่อเปลวอรุณยังคงนั่งอยู่ข้างๆเลยทำเพียงคาดโทษเด็กหนุ่มเอาไว้ในใจ แล้วหันไปสนใจจานข้าวของตัวเองต่อ

              เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์หมดทางโต้กลับลูกตาลกับอนิรุทธิ์ก็แอบหันมามองหน้ายักคิ้วให้กันเป็นอันรู้กันว่าพวกเขาชนะในเกมกวนประสาทในรอบนี้อย่างสวยงาม

              อัมรินทร์ 0 : 1  ลุง&หลานเฉพาะกิจ

 

             
:katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 15-06-2017 20:44:17

:katai2-1:


หลังจากจบมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่ต่างคนต่างจะแยกย้ายกันไป ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เปลวอรุณไม่อยากจะให้มันมาถึงเลย

             เพราะอะไรนะหรือ ?

              ก็เพราะทันทีที่ข้าวคำสุดท้ายเข้าปากและถูกกลืนหายไปในลำคออัมรินทร์ก็แทบจะหิ้วพาเปลวอรุณขึ้นไปที่บนห้องของตนทันที โชคดีที่ลูกตาลเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาเพื่อดึงคนใจร้อนเอาไว้ที่โต๊ะกินข้าวไว้เสียก่อนจึงพอจะถ่วงเวลาให้เปลวอรุณได้ทำใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดได้บ้าง

              แต่ก็แค่นั้น...

              เพราะอะไรที่มันจะเกิดก็ต้องเกิด....

              “ทำไมยืนอยู่ตรงนั้นละเปลว เข้ามาสิ”

              อัมรินทร์หันหลังกลับไปทักคนที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกันแต่กลับหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่ยอมขยับ ซ้ำยังก้มหน้าลงคางชิดอกอีก

              เห็นแล้วมันน่ารักน่าแกล้งชอบกล...

             คนถามไม่คิดถามซ้ำแต่เลือกที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้หนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานภายในห้องนอนของตนแล้วมองคนที่ยังคนยืนอยู่ที่เดิมแทน

             “มานี้” เขาเรียกซ้ำ

              มือขาวที่เดี๋ยวกำแน่นเดี๋ยวคล้ายออกเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นๆนั้นเรียกร้อยยิ้มหฤหรรษ์ของเขาได้อย่างดี การได้แกล้งได้เย้าแหย่คนตัวขาวคืออะไรที่ทำให้อัมรินทร์มีความสุข แม้บางที่มันจะดูรุนแรงไปบ้างก็ตาม

             “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ นายเป็นคนเลือกเองนะ”

              “แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนี้” เปลวอรุณเถียงเขาขาดใจ

              ซึ่งมันก็จริงอย่างที่อีกคนว่ามานั้นแหละ...

              “อ่า นั้นสินะ เธอไม่ได้เป็นคนเลือกเพราะคนเลือกคือ ฉัน” อัมรินทร์ยิ้มร้าย

              “ไหนดูสิมีอะไรที่ฉันสามารถเรียกเก็บจากเธอได้บ้าง” เขาว่าพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวช้าอย่างใจเย็นไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเปลวอรุณโอยจงใจที่จะเว้นระยะห่างจากอีกคนเอาไว้เพื่อไม่ให้เหยื่อตัวน้อยของเขาไม่แตกตื่นไปมากกว่านี้ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะไม่ยืนหน้าเขาไปใกล้อีกสักหน่อย

              แว่นสายตากรอบเล็กที่เปลวอรุณใส่ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูแก่ตามอายุเลยสักนิดแต่กลับกันเลยเพราะยิ่งเห็นแบบนั้นแล้วเขากลับคิดว่ามันทำให้เปลวอรุณดูน่าค้นหามากกว่าเดิม ไหนจะแก้มขาวๆนี้กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขามักจะได้กลิ่นยามที่อยู่ใกล้อีกแต่เขาต้องอดทน...

              เพื่อไม่ให้เขาเองที่เผลอทำให้คนตรงหน้าสติแตกไปเสียก่อนเขาจึงเลือกที่จะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิมอีกครั้งเพื่อให้เปลวอรุณได้หายใจหายคอได้คล่องขึ้นอีกสักหน่อย

              “เธอคิดว่าเธอจะหาเงินหนึ่งร้อยล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” อีกสองเดือนงานที่วางเอาไว้คงใกล้เริ่มผลิตและเงินที่วางจะต้องถูกจ่ายออกไปให้กับค่าวัตถุดินและค่าสถานที่ในการจัดงาน

              และคงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาด้วยเหมือนกันว่าเงินที่ว่าจะกลับมาที่เขาทันหรือไม่...

              “ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”

              “ไม่” เขาส่วนกลับ

              “แต่เวลาแค่นั้นผมบอกแล้วว่ายังไงก็คงหามาไม่ทัน” แหงอยู่แล้ว เงินมากมายขนาดนั้นพนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งมีหรือจะหามาทันได้ถ้าไม่ใช่เจ้าของกิจการอย่างเขา

              “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องเอาบ้านของเปลวไปขายแล้วเอาเงินนั้นมาใช้หนี้”

              “ไม่ได้นะ คุณจะเอาบ้านผมไปขายไม่ได้นะ” เปลวอรุณส่ายหน้าหวืออย่างไม่ยอม

              “ทำไมละ ฉันเป็นคนไถ่บ้านเปลวมาให้นะฉันเองก็น่าจะมีสิทธิที่จะเอามันมาทำประโยชน์อะไรก็ได้ในเมื่อเปลวหาเงินมาคืนฉันไม่ทันสิ”

              “แต่ผมไม่ให้ขาย” เสียงของเปลวอรุณเริ่มที่จะสั่นเครือ

              “แล้วจะเอายังไง คนทำธุรกิจเงินมันต้องหมุนตลอดเวลานะเปลวก็รู้” เขาแสร้งกอดอกทำเสียงเหมือนหนักใจเต็มที่ที่ต้องเอ่ยปากคาดคั้นขูดรีดเอาเลือดจากปู

              “ถอดกางเกงออก”

              !!

              แน่นอนว่าคำพูดที่ว่าสร้างความตกใจให้กับคนฟังเป็นอย่างมากดูได้จากดวงตาหลังกรอบแว่นที่เบิกกว้างถึงขีดสุดจนทำอะไรไม่ถูกนั้น

              “ว่าไง จะถอดเองหรือให้ฉันถอดให้” เขาถามอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

              จริงๆเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ดูล่อแหลมแบบนี้ออกมาหรอกแต่มันพรั่งปากออกไปแล้วจะแกล้งคืนคำบอกว่าล่อเล่นเปลวอรุณคงไม่นึกขำด้วยกับมุกจาบจ้วงของเขาเท่าไรเลยทำได้แต่ตามน้ำกันต่อไป

              คิดสะว่าเป็นกำไรละกันถ้าอะไรมันจะเกิดตามมา...

              “แต่ฉันอยากถอดมันออกเอามากกว่า เปลวว่าดีไหม” เขาถามพร้อมตั้งท่าว่าจะลุกขึ้นมาถอดกางเกงให้อีกคนจริงอย่างที่ปากพูด

              “ไม่ ไม่ต้อง ผมถอดเอง” เปลวอรุณรีบยกมือห้าม เพราะถ้าขื่นให้อัมรินทร์ลุกมาถอดให้เองมีหวังทั้งตัวเขาคงไม่เหลืออะไรห่อกายนอกจากเนื้อหนัง

              “งั้นก็ถอดสิ ฉันรออยู่”  อัมรินทร์ว่าตาวาว แต่คนที่บอกว่าจะถอดเองกลับยังคงยืนนิ่งจนเขาต้องทักทวงขึ้น  “เร็วๆสิเปลว”

              ความเงียบของห้องนอนที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่ทำให้อัมรินทร์ได้ยินเสียงของหัวเข็มขัดของเปลวอรุณที่ถูกปลดออกได้ชัดพอๆกับเสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงเหมือนคนที่กำลังรอลุ้นเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างอยู่และยิ่งเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งนั้นก็ดูจะเชื่องข้าจนน่าหงุดหงิดแต่สิ่งที่ได้กลับมากลับคุ้มค่า

              รูปร่างภายนอกของเปลวอรุณก็ดูเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ตัวไม่หนามากออกไปทางสูงโปร่งเสียมากกว่ายิ่งความขาวไม่ต้องพูดถึงคนขาวอยู่แล้วยิ่งสวยที่ไม่ค่อยโดนแดดด้วยแล้วยิ่งขาวจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอมองตาค้าง

              “มานั่งนี้”

              เขารีบเรียกสติของจนเองไม่ให้จ้องมองขาเรียวขาวนั้นมากจนเกินไป มือหนาตบลงที่หน้าตักสองสามทีเป็นการบอกตำแหน่ง พอเปลวอรุณลงมานั่งค่อมที่ตักของเขาตามที่ต้องการแล้วเขาก็อดใจไม่ได้ที่จะบีบมือลงกับต้นขาขาวสัมผัสความนุ่ม

              “ฮึก”

             อัมรินทร์เหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนตักยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเผลอส่งเสียงบางอย่างออกมา ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงกดให้อีกคนซบลงที่ไหล่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูดดมความหอมจากลำคอนั้นได้ถนัด ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงสนุกอยู่กับการลูบไล้ไปตามต้นขาสวยลากยาวขึ้นสูงไปถึงช่วงเอวบาง เมินเฉยต่ออาการสั่นของลูกนกตัวน้อยที่นั่งนิ่งให้เขาลูบจับ

               “คุณอัมรินท์ หยุดเถอะ” เปลวอรุณร้องขอเสียงสั่นขอความเห็นใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเล่นบนพ่อพระเสียแล้วสิ

               “แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ ละ” อัมรินทร์กระซิบที่ข้างหู

               “ผมขอร้อง ผม..”

               อัมรินทร์ไม่คิดอยากจะฟังคำร้องขอที่อาจทำให้เขาใจอ่อนลงเดี๋ยวนั้นได้อีกต่อไป เขาเลือกที่จะเชยปลายคางของอีกคนขึ้นมองใบหน้าสวยที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความอายและน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตาอย่างนึกสงสารก่อนจะกดจูบไปยังริมฝีปากบางสีอ่อนเรียกความตกใจให้กับเปลวอรุณเป็นอย่างมากจนเริ่มที่จะดิ้นขัดขื่นแต่มีหรือที่เขาจะยอม เขาใช้แขนข้างหนึ่งกดรั้งที่หลังขอของอีกคนเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีส่วนอีกข้างก็รวบเอวบางเอาไว้แน่นไม่ให้หลุด

               จังหวะที่พยายามหนีออกจากท่อนแขนแข็งแรงเปลวอรุณเผลออ้าปากออกมาเล็กน้อยจนกลายเป็นช่องทางให้คนที่รออยู่อาศัยโอกาสนี้สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกคน

                ความแปลกใหม่ที่ได้รับทำให้เปลวอรุณรีบถกตัวหนีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดเช่นเดียวกับลิ้นเล็กที่พยายามถอยหนีจากผู้บุกรุกที่พยายามพุ่งเข้ามาเกี่ยวรัดแต่ก็ไม่ได้ผล แม้จะอายุมากกว่าอีกคนอยู่กว่าเจ็ดปีแต่ความชำนาญนั้นต่างกันในเมื่อเปลวอรุณที่แทบไม่เคยผ่านมือใครแม้แต่ความรักยังไม่เคยมีหรือจะรู้ซึ้งในรสรักได้ดีเท่าอัมรินทร์ที่เปลี่ยนคนข้างกายเป็นว่าเล่นเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า

                ปลายลิ้นหนาลากไล้ไปตามขอบข้างของลิ้นเล็กกวาดไล่ไปทั่วทั้งช่องปากเกิดเป็นความเสี่ยวซ่านให้คนอ่อนเดียวสาในเรื่องเช่นว่าได้รู้สึกสะท้านไปทั่วกาย ความมึนเบลอจากการที่เส้นประสาทหลายเส้นถูกปิดกันทำให้สมองของเปลวอรุณเริ่มขาวโพนละหลุดลอยจนไร้การขัดขื่นเหมือนตอนแรกซ้ำยังกำปกเสื้อของอีกคนเอาไว้แน่นเป็นที่ยึดเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายไปกับรสจูบที่ได้รับ

                 อัมรินทร์ดูดดึงริมฝีปากบางของเปลวอรุณจนบวมช้ำอาศัยจังหวะที่คนแก่กว่ามึนเบลอกับรสรักที่มอบให้เลื่อนมือข้างที่โอบกระชับรอบเอวต่ำลงเรื่อยๆลูบไปมาตามความโค้งมนของบั้นท้ายกลมได้รูปผ่านชั้นในสีเข้มแบบมีขา ก่อนจะแทรกปลายนิ้วหนาเข้ามาด้านในลากผ่านตามร่องกลางของเนื้อนิ่มเต็มกำมือ

               เปลวอรุณเกร็งกายแน่นเบี่ยงใบหน้าหนีสัมผัสดูดดื่มที่คนตัวใหญ่กว่าสร้างขึ้นเมื่อนิ้วมือของอัมรินทร์กดย้ำอย่างจงใจตรงปากทางของช่องทางเล็กที่ด้านหลัง และมันยิ่งสั่นระริกมากขึ้นเมื่อคนเจ้าเล่ห์เริ่มกดแทรกปลายนิ้วเข้ามาด้านในจนเขารู้สึกเจ็บความหวาดกลัวเกาะกุมทั่วทั้งใจดวงน้อยให้เต้นระรัวไร้จังหวะเช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจหนักๆยามที่อ้าปากร้องขอความเมตตา

             “ฮึก..พอเถอะ..ขอร้อง..คุณอัมรินทร์..ผมขอร้อง”

             “ได้สิ” อัมรินทร์ก้มกระซิบที่ข้างหู

               “ฉันรอได้ จนกว่าเปลวจะพร้อมฉันรอได้”  เขาไม่ชอบบังคับขื่นใจใคร ยิ่งเป็นเปลวอรุณด้วยแล้วเขายิ่งอยากจะถนอมให้มากที่สุด

               “ไม่ร้องนะเปลว” เขาว่า พร้อมเลื่อนมือขึ้นสูงตามส่วนเว้าโค้งของบั้นท้ายและบั้นเอวมาที่กลางหลังแล้วตบลงเบาๆเหลือปลอบเด็กร้องไห้

                ถึงอัมรินทร์จะพูดอย่างนั้นก็เถอะ....

                “ไปนอนกันดีกว่าเปลวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

               ช่วงแขนยาวอีกข้างสอดเข้าที่ข้อพับขาทั้งสองข้างของเปลวอรุณทันทีที่พูดจบพร้อมลุกขึ้นเดินตรงไปที่เตียงนอนจัดแจงวางคนที่ยังใจเสียอยู่ลงบนเตียงซึ่งพอถูกวางลงบนเตียงปุบเปลวอรุณก็รีบถกตัวหนีเขาไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่อีกฝั่งของเตียงแทบจะทันที

              “เดี๋ยวฉันจะออกไปดูคุณนิลก่อนเปลวอาบน้ำแล้วเข้านอนไปก่อนได้เลยนะ”  อัมรินทร์บอกก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู

                อัมรินทร์เหลือบมองคนที่นั่งกอดเข่าหลังชิดหัวเตียงแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะเปิดประตูห้องนอนแล้วก้าวออกไปไม่ใช่ว่าโกรธที่เปลวอรุณขัดขื่น อย่างที่บอกไปว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะบังคับเรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปยิ่งไปเร่งเร้าเปลวอรุณจะยิ่งเตลิดตื่นกลัวซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรแน่ถึงยังไงๆตอนนี้เปลวอรุณก็หมดทางหนีเขาได้อยู่แล้ว จะถอนหลังออกไปหนึ่งก้าวก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

              หลังจากเดินออกมาจากห้องเขาก็เดินวนรอบบ้านเลยก็ว่าได้เดินเอื่อยๆไปตามทางเดินตอนแรกว่าจะพามณีนิลไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังแล้วจะได้ล้างเท้าก่อนพาขึ้นไปนอนที่ห้องแต่ดูเหมือนจะมีคนตัดหน้าเขาไปเสียก่อน

            “ไปสนิทกันตอนไหน” เมื่อกี้ยังถูกคุณนิลเมินอยู่เลยไม่ใช่หรือไง...

           “มันก็ต้องรู้จักผูกมิตรกันไว้บ้างสิ” เด็กหนุ่มสวนกลับโดยไม่หันไปมอง

          “แล้วทำไมลุงถึงมาอยู่นี้ อย่าบอกนะว่าแม่เปลวไล่ออกมานอนนอกห้อง” ปากก็ถามอย่างไม่ยี่หระส่วนมือก็ขว้างลูกบอลในมือต่อให้มณีนิลที่ส่ายหางรอวิ่งไปเก็บ

           “เปล่า”

            “แล้วทำไมถึงมาอยู่นี้” การมาของอีกคนคือสิ่งที่ลูกตาลรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาเพราะคนอย่างอัมรินทร์ไม่มีทางที่จะปล่อยให้แม่เปลวของเขาต้องอยู่คนเดียวแน่

            “ฉันลงมาตามคุณนิลเฉยๆ เดี๋ยวก็จะกลับขึ้นไปดูเปลวแล้ว”

             ลูกตาลพยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยอยากจะเชื่อที่อีกคนพูดเสียเท่าไรแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนมณีนิลวิ่งคาบลูกบอลกลับมาอีกครั้งแล้วเอามาให้อัมรินทร์แทนเหมือนจะบอกว่าให้ชายหนุ่มเป็นคนปาให้มันเล่นบ้าง

               “ลุงคงจะไม่ทำอะไรแปลกๆกับแม่เปลวหรอกใช่ไหม” อัมรินทร์เลิกคิ้วให้กับคำว่า แปลกๆ ของลูกตาลขณะกำลังก้มลงไปรับลูกบอลที่ว่านั้นมาจากมณีนิลแล้วลูบที่หัวของมันเบาๆ

                “แปลกๆหรอ” เขาทวน

                “ไม่หรอก ถ้าเปลวไม่ยอมฉันก็ไม่ทำหรอก” ไม่รู้หรอกว่าความหมายของมันจะเหมือนกันที่เขาคิดหรือเปล่า แต่ถ้าใช่เด็กหนุ่มก็คงเข้าใจในความหมายนั้น

                “ผมไว้ใจลุงได้แน่นะ” กลายเป็นว่านอกจากลูกตาลจะไม่เชื่อที่เขาพูดแล้วเด็กหนุ่มยังระแวงเขาขึ้นมาอีกคนด้วย

                “แน่สิ ฉันลูกผู้ชายพอ” เขายืดอก

                “ให้จริงเถอะ” ลูกตาลว่าอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ

                 “อยู่แล้ว” อัมรินทร์ยกยิ้ม

                 ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ที่สนามหญ้าด้านหลังสลับกับเล่นกับมณีนิลอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่อัมรินทร์จะฝากฝั่งให้ลูกตาลเป็นคนรับหน้าที่พาลูกสาวสี่ขาที่น่ารักของตนเข้านอน

                 “เดี๋ยวคืนนี้นายก็พาคุณนิลไปล้างเท้าแล้วพาเข้านอนด้วยแล้วกันนะ ฉันจะไปละ”

                 “พาเข้านอน?” เด็กหนุ่มทวนคำ

                  “ใช่ ห้องคุณนิลอยู่หลังครัวนะ ทิชชู่เปียกก็วางอยู่ข้างๆเช็ดดินเช็ดหญ้าที่เท้าให้สะอาดละแล้วก็เปิดพัดลมให้ด้วย อ๋อ อย่าลืมจุ๊ฟๆคุณนิลด้วยละ แบบนี้...”

                     การฝากฝั่งพร้อมท่าประกอบที่ดูจะขัดหูขัดตาไม่เข้ากับภาพลักษณ์เจ้าเล่ห์อย่างที่เขาเห็นมาตลอดเวลาที่รู้จักกันทำเอาอกไม่ได้จริงๆที่จะหน้าแหย่งใส่ แต่อัมรินทร์ก็คืออัมรินทร์ต่อให้ลูกตาลมองเขาด้วยสายตาแบบไหนเขาก็ไม่สะทบสะท้านแต่อย่างใด

                     อัมรินทร์เดินฮัมเพลงเบาๆในลำคอมาเลื่อยๆจนถึงหน้าประตูห้องนอนของเขา มือหนาพยายามบิดลูกบิดประตูห้องอย่างเบามือที่สุดเปิดแง้มไว้เล็กน้อยพอที่จะสอดส่องสายตาเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงสีส้มนวลจากโครมไฟหัวเตียงสีส้มสลั่วพอแค่ให้เห็นทางซึ่งเดาได้ว่าคนที่อยู่ในห้องคนจะเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการนอนของคนที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเขาจึงพยายามที่จะปิดประตูให้เบาและก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆเหมือนพวกตีนแมวย่องเบาชะโงกมองดูเปลวอรุณที่นอนห่อตัวเป็นดักแด้อยู่บนเตียงว่าหลับสนิทดีแล้วหรือยังก่อนที่จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่แล้วกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนก้างแขนออกกว้างเพื่อคว้าเอาดักแด้น้อยบนเตียงมากอดให้ความอบอุ่น ถ้าคิดว่าผ้าห่มมันจะอุ่นกว่ากอดของเขาได้ละก็เปลวคิดผิดแล้ว....



___________________________________________________________________________

เครียดกันมานานต่อจากนี้ไปเราจะมาแบบเบาๆเป็นsingularบ้างเนอะ

ค่อยๆรักกันเบาๆ

อิอิ

 :mew1:

ต่อจากนี้ไปใครที่สงสารเปลวก็..สงสารต่อไปเนอะ

ส่วนใครที่รอให้อันอันกระอักเลือดก็รอไปก่อนได้กระอักสมใจอยากแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-06-2017 22:10:45
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-06-2017 22:56:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-06-2017 23:14:49
มานั่งรอความเบาๆต่อไป
อิอิ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-06-2017 23:28:18
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 12- 15/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 16-06-2017 01:32:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-06-2017 20:14:20

เป็นหนี้ ครั้งที่ 13




                // เอ๋ นั้นก็แสดงว่าตอนนี้คุณเปลวกับเจ้าหนูนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของอันแล้วอย่างนั้นนะหรอคะ //ลิลดาถามกลับไปอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู

                เปลวอรุณคนนั้นเนี้ยนะยอมมาอยู่ที่บ้านของอัมรินทร์ง่ายๆอย่างนี้หรือตัวเธอพลาดอะไรไป

                     “ก็ใช่ เพิ่งย้ายมาวันนี้เอง” อนิรุทธิ์ย้ำให้ชัด ตาก็พลางตรวจเอกสารในมือไปด้วย

                    // เดี๋ยวก่อนนะ // เธอเบรกความคิดเหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องราวใหม่ // ทำไมมันเร็วแบบนี้ละ //

                    เธอเพิ่งเจอเปลวอรุณไปไม่กี่ครั้ง แถมแต่ละครั้งก็ดูไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรที่พอจะบอกให้เขารู้ได้ว่าเปลวอรุณยินยอมพร้อมใจที่จะมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับอัมรินทร์เลยสักนิด

                     “ก็ไอ้อันมันรีบไง นี้ก็คงมัดมือชกพาเขากับลูกมาอยู่ด้วยแน่ๆ”  อนิรุทธิ์ว่าอย่างปลงตก

                      ไอ้นิสัยอยากได้ต้องได้ของอัมรินทร์ทำไมคนเป็นพี่ที่อยู่ด้วยกันมาจะไม่รู้ ไอ้ที่แต่งห้องรอรับนั้นก็อีกไหนจะอะไรต่อมิอะไรที่มันบ้าขนเข้าบ้านนั้นด้วยบอกเลยว่าต่อให้เปลวอรุณปฏิเสธเสียงแข็งยังไงพนันได้เลยว่ามันก็จะอุ้มใส่รถแล้วพามาอยู่ด้วยให้ได้อยู่ดี

              // ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าแผนของอันก็สำเร็จแล้วซิ //

              “จะว่าอย่างนั่นก็ได้”

              // แล้วกันซิ ลิลยังไม่ได้ทำอะไรเลยทำไมมันจบง่ายอย่างนี้ละ // ลิลดาหน้างอ ก็เธออุตสาห์วางแผนล้านแปดไว้ให้แต่เพื่อนรักกลับไม่แม้จะส่งข่าวหรือพูดอะไรกับเธอเลยสักคำ ถ้าเกิดไปโทรหาอนิรุทธิ์ทุกวันเธอคนเหมือนถูกดีดออกนอกวงโคจรตกข่าวสารอยู่คนเดียว

              ใจร้ายที่สุดเลย...

              “มันก็ง่ายอย่างนี้แหละ”

              // เชอะ // เธอเชิดหน้าใส่สมาร์ตโฟน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง

              // แต่คุณเปลวก็ยังไม่รู้ใช่ไหมว่านี้คือแผนของอัน //

              อนิรุทธิ์เงียบ

              นั้นสิ...

              “น่าจะยัง” จากที่ดูท่าทีของเปลวอรุณวันนี้เขาว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่รู้ว่านี้เป็นแผนของอัมรินทร์เป็นแน่ อย่างมากก็คงแค่คิดว่าอัมรินทร์ฉวยโอกาสหาทากรวบหัวรวบหางตัวเองมากกว่า

              // แล้วถ้าคุณเปลวรู้เข้าว่าทั้งหมดเป็นแผนของอันเขาจะเป็นยังไง // ลิลดาตั้งคำถามที่ฉุดความคิดของอนิรุทธิ์ให้คล้อยตาม

              “คงจะโกรธมาก”

              อยู่แล้วละ โดนหลอกด้วยความไว้ใจแบบนั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ...

              “แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเขาสองคน เราจะทำไรได้” ถึงจะดูไร้ความรับผิดชอบไปเสียหน่อยเพราะยังไงตัวเขาเองก็เป็นเหมือนตัวต้นคิดที่ชี้โพงให้กระรอกแล้วพอความแตกก็ตัดหางทิ้งอัมรินทร์แบบนี้

              // มันก็จริง แต่เราจะไม่ทำอะไรหน่อยหรอคะ //

              “ไอ้อันมันเคลียร์เรื่องนี้หมดแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะบอกความจริงเมื่อไรเท่านั้นแหละ”

              ลิลดาพึมพำเบาๆในลำคอแล้วก็เงียบไปดื้อๆ

              เอกสารในมือถูกวางลงกับโต๊ะ อนิรุทธิ์นั่งคิดตามคำพูดนั้นของลิลดาดูก็เหมือนนึกได้ว่าทั้งเขาและอัมรินทร์เองก็ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับเรื่องที่ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเปลวอรุณรู้เรื่องนี้เข้าจะทำยังไง บางทีพวกเขาก็พลาดอะไรแบบนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัยเหมือนกัน

              ต้องบอกให้อันรู้เพื่อเตรียมแผนรับมือ...

              แต่ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังหน้าเครียดกับเรื่องที่เพิ่งฉุดคิดขึ้นมาได้ทางฝ่ายหญิงสาวคนเดียวในขบวนการอย่างลิลดาก็ค้นพบแผนการบางอย่างขึ้นมาได้

              รอยยิ้มกรุมกริมปรากฏขึ้นเล็กๆบนใบหน้าก่อนที่เจ้าหล่อนจะเป็นฝ่ายขอตัดสายนั้นไปเองทั้งๆที่เป็นคนโทรหาชายหนุ่มก่อน ร่างระหงส์วางสมาร์ตโฟนเครื่องสวยของตัวเองลงทับผ้าห่มหนาแล้วก้าวลงจากเตียงสาวเท้าเดินไปยังตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ที่ด้านริมสุดถูกทำให้เป็นตู้เก็บสัมภาระ มือเรียวขาวเปิดบานประตูตู้ออกไล่สายตามองของหลากหลายสิ่งที่เธอจัดเรียงเอาไว้ในตู้ก่อนจะหยุดลงที่ของบางอย่างที่อยู่ในตู้นั้นด้วยรอยยิ้มนึกสนุก

              “เตรียมยกคุณรุทธิ์มาขอบคุณลิลได้เลยนะอัน”

              ไหนๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากแล้ว งั้นเรื่องนี้ลิลจะช่วยอันเองนะ...

........................................................

 

              “ฉลอง ?”

              “ใช่ค่ะ ฉลอง”

              น้ำเสียงร่าเริงผิดดูกระตือรือร้นจนน่าสงสัยของลิลดาเรียกสายตาตั้งคำถามของอัมรินทร์และอนิรุทธิ์ที่มองมาทางเธออย่างไม่วางตาไม่ได้

              “เนื่องในโอกาสอะไร” อัมรินทร์ถามหน้าฉงน

              “ก็ตอนนี้งานของลิลที่ทำร่วมกับบริษัทของอันกำลังไปได้ด้วยดีใช่ไหมละ ลิลก็เลยคิดว่าเราน่าจะมาฉลองเอาฤกษ์เอาชัยกันเสียหน่อย”  เธอว่าตาวาววับเหมือนเด็กๆ

              “แล้วมันใช่เหตุผลที่เธอมาบ้านฉันแต่เช้าแบบนี้ไหมลิล”  อัมรินทร์แทบจะกัดฟันพูดมือก็กุมขมับนึกปวดหัวกับเพื่อนหญิงตรงหน้าอย่างหมดคำพูด

              เมื่อเช้าหลังจากพามณีนิลไปวิ่งวนรอบๆแถมบ้านกลับมาตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปอาบน้ำแล้วนอนกอดเปลวอรุณอีกสักรอบแล้วค่อยปลุกอีกคนให้ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว แต่พอก้าวเข้ามาในรั้วบ้านหลังใหญ่ของตนแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถสปอร์คาร์สีบรอนซ์เทาคันสวยแปลกหน้าจอดเทียบอยู่ที่หน้าทางขึ้นบ้านพอถามแม่บ้านที่ออกมารับก็ได้ความว่ามีคนมารอพบเขากับอนิรุทธิ์รออยู่ที่ห้องนั่งเล่น

              และท่าทางแขกที่มารอพบเขาจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย...

              ถามว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น นั้นก็เพราะสายตาของเหล่าคนงานในบ้านที่มองมาทางเขาที่บ่งบอกได้ชัดๆเลยว่ากำลังตำหนิตัวเขาอยู่ พอจะถามว่าใครลุงอุ่นก็พูดขัดดักคอเขาขึ้นมาเสียก่อน

              “เป็นผู้หญิงครับ โชคดีนะครับตอนนี้คุณเปลวยังไม่ตื่น”

              มันเหมือนเขาแอบพากิ๊กเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้นทั้งๆที่แขกที่ว่าก็มารอพบอนิรุทธิ์เหมือนกัน

              ก่อนที่เขาจะตกเป็นจำเลยของบ้านไปมากว่านี้ อัมรินทร์จึงส่งสายจูงของมณีนิลให้ลุงอุ่นก่อนจะเดินเข้าบ้านไปดูหน้าแขกเจ้าปัญหาที่ว่านั้น แต่ใครมันจะคิดกันว่าแขกยามเช้าที่ว่าคือ ลิลดา

              “อรุณสวัสดิ์อัน”

              และนั้นคือเรื่องน่าปวดหัวที่อัมรินทร์ต้องประสบตั้งแต่เช้า

              “อะไรกันอัน นี้ลิลอุตสาห์รีบมาเพื่อที่จะได้มีเวลาเตรียมตัวเลยนะ” เธอเริ่มโวยเมื่ออัมรินทร์ขัดคอ

              “มาตอนบ่ายมันก็ทัน” อัมรินทร์ว่าเสียงหน่ายพลางตัดข้าวต้มอุ่นๆเข้าปาก

              “อันนี้ไม่ละเอียดอ่อนเอาสะเลย” ลิลดาบ่นอุบ

              เสียงกึ่งทะเลอะขัดคอของสองหนุ่มสาวที่นั่งตรงข้ามกันทำเอาคนที่นั่งฟังบทสนาอยู่อย่างอนิรุทธิ์อยากกรอกตามองบนแล้วทำตัวลีบๆแล้วหายไปจากตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

              บางที่อนิรุทธิ์ก็คิดนะ

             ว่า..

             วันอันแสนปกติสุขของรุทธิ์มันหายไปไหน

             ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขากับลูกตาลต้องกลายส่วนเกินที่น้องชายลืมเลือนแล้วตอนนี้เขาก็จะกำลังกลายร่างเป็นเด็กสองขวบที่ยังตักข้าวกินเองไม่ได้ต้องมีคนคอยป้อนหรืออาจกลายร่างเป็นไอ้ง่อยแขนเดียงจับช้อนเองไม่ได้จนต้องมีพยาบาลพิเศษคอยดูแล

             “รุทธิ์กินอีกหน่อยสิค่ะ”

             ลิลดาที่เริ่มจะเบื่อกับการเถียงกับอัมรินทร์ก็หันมาหาอนิรุทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างๆแทนพร้อมเอาอกเอาใจ

             “อาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญนะคะ รุทธิ์อย่าเพิ่งอิ่มสิ” เธอเอ็ดเขาเบาๆ

              ในใจอนิรุทธิ์เองก็อยากจะพูดมันออกไปเหมือนกันแหละว่า เขารู้ และ เขากินเองได้ แต่พอพยายามจะยกมือคว้าช้อนกลางจากมือเรียวสวยของลิลดามาถือเองเจ้าหล่อนก็ยืดแขนหนีเขาเอาดื้อๆเสียอย่างนั้น

              “ไม่ดื้อสิค่ะ” เธอยิ้มกัดฟัน

              และอนิรุทธิ์เองก็เป็นพวกไม่สู้คนและไม่ชอบทำร้ายขัดใจผู้หญิงเพราะฉะนั้นเขาจึงยอมที่จะอ้าปากงับเอาข้าวต้มในช้อนนั้นอย่างว่าง่าย

              “เก่งมาก”

               พอทำดีก็ต้องได้รับคำชม

               แต่ไม่ใช่กับอัมรินทร์แน่...

              “ขำอะไรของมึง” พอทำอะไรผู้หญิงไม่ได้อนิรุทธิ์จึงหันมาเอาเรื่องอีกคนแทน

              “เปล่า ฮึฮึ” ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้นก็เถอะ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่เหมือนกับที่ออกมาจากปากเลยสักนิดเดียวทำเอาคนมองชักสีหน้าใส่อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

              “เปลวเองก็กินเข้าไปเยอะๆนะ” เหมือนพอได้ทีอัมรินทร์ก็ขี่แพะไล่ย้อนใส่อนิรุทธิ์เหมือนที่อีกคนทำใส่เขาเมื่อวาน

              “แกนี้มัน”

              “แหม่ๆ นายสองคนดูเป็นพี่น้องที่สนิทกันจังเลยนะ”

              “เธอคิดอย่างนั้นหรอก” อัมรินทร์ตั้งคำถาม

              “อยู่แล้ว” เธอว่าพลางตักข้าวเข้าปากบ้าง

              “แล้วคุณเปลวกับลูกตาลละค่ะ เมื่อคืนหลับสบายไหม” ลิลดาเบนเข็มจากสองหนุ่มมาหาคนที่เอาแต่นั่งกินเงียบๆอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใครจะมีบ้างก็แค่หันไปคุยกับลูกตาลที่นั่งอยู่ข้างๆ

              “ครับ” ลูกตาลรับคำเรียบๆก่อนจะกลับไปตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก

              ลิลดายิ้มรับก่อนหันไปมองหน้าเปลวอรุณคล้ายรอคำตอบ

              “ก็ ดีครับ” เปลวอรุณตอบเลี่ยงๆเหมือนไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรซ้ำยังก้มหน้าก้มตา

              และถ้าลิลดาเดาไม่ผิดดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะจงใจหลบหน้าเธอ

              ตอนที่อัมรินทร์พาเปลวอรุณเดินเข้ามาแล้วเจอเธอนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวถึงสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรแต่แววตาหลังกรอบแว่นนั้นต่างหากที่เริ่มเปลี่ยนไป ถึงจะแวบเดียวแต่ผู้หญิงอย่างเธอทำไมจะดูไม่ออก

              ไม่พอใจ แปลกใจ ...

              หรือเพราะคิดว่าที่เธอมาอยู่ที่นี้เพราะอัมรินทร์..

              บ้าจริง.. อะไรทำให้คุณเปลวคิดแบบนั้นกัน

              “แล้วเรื่องงานเลี้ยงละว่าไง ตกลงไหม” ลิลดาวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง พร้อมสีหน้าคาดคั้นเอาคำตอบ

              “เธอจะรีบไปไหนเนี้ยงานเพิ่งเข้าสู่ขั้นตอนการผลิต มันยังไปไม่ถึงไหนเลยถ้าจะให้พูดละก็น่าจะเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างด้วยซ้ำไป” แก้วน้ำผลไม้ถูกเลื่อนไปตรงหน้าของเปลวอรุณพร้อมเสียงบ่นของอัมรินทร์

              “ก็แหม่ มันจะได้มีกำลังใจในการทำงานไง”  เธอว่าพร้อมทำตัวบิดไปมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าจุดประสงค์หลังของเธอกำลังดูอัมรินทร์มองออก

              “ทำมาเป็นพูดดีน่าลิล ฉันว่าเธอหาเรื่องจัดเพราะอยากจะปาร์ตี้เองเสียมากกว่า” อัมรินทร์ดักอย่างคนรู้ทัน

              “ฮ่าฮ่าฮ่า  นั้นสินะ ไม่มีใครรู้ใจฉันได้เท่านานจริงๆนั้นแหละนะ อันอัน” เธอหัวเราะร่า

              แต่ดูเหมือนจะผิดเวลาไปเสียงหน่อย

แก๊ง

              ไม่รู้ว่าเปลวอรุณจงใจที่จะวางแก้วน้ำผลไม้นั้นให้กระทบกับโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงหรือเพราะเผลอทำมันลื่นหลุดจากมือกันแน่จนเสียงหัวร่อต่อกระซิบนั้นเงียบลงพร้อมกับสายตาของคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่หันมามองมาทางเดียว

              “ผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ” 

              เปลวอรุณว่าเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกระด้างไม่พอใจแล้วลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปดื้อๆไม่พูดไม่จาหรือสนใจเสียงถามไถ่ของอัมรินทร์แม้แต่น้อย

              “สงสัยงานจะเข้าแล้วละลุง” ลูกตาลว่าก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้แบบคาดอกขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากห้องกินข้าวตามแม่ตัวเองไป

              “เปลว เดี๋ยวก่อนสิเปลว” ทางอัมรินทร์เองเมื่อเรียกแล้วไม่สนใจ ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากรีบวิ่งตามอีกคนไปก็เท่านั้นทิ้งให้ลิลดาเอียงคอนั่งมองตามหลังออกไปพร้อมตั้งคำถามขึ้นมาถามอนิรุทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างๆว่า

              “นี้ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่า”

              “ผิดมากเลยแหละ” ผิดที่ผิดทางผิดเวลาแบบสุดๆ อนิรุทธิ์อยากจะบอกไปแบบนั้นละนะ

              “งั้นฉันควรที่จะตามไปขอโทษคุณเปลวสินะ” เธอว่าพร้อมขยับตัวเตรียมลุกขึ้น แต่อนิรุทธิ์รั้งแขนเธอเอาไว้เสียก่อน

              “เธอไปก็ยิ่งทำให้เปลวเขาไม่พอใจเปล่า นั่งกินข้าวของเธอให้หมดอยู่ที่นี้นี้อแหละ” เขาสั่งพร้อมขยับชามข้าวต้มของเธอเข้ามาใกล้

              “แต่ว่า” เธอเตรียมที่จะแย้ง

              “ไม่มีแต่ นั่งกินไปข้าวเช้ามันสำคัญไม่ใช่หรือไง” ได้ทีอนิรุทธิ์ก็ไม่รอช้าที่จะย้อนใส่ ลิลดาหน้างอแต่ก็ยอมที่จะนั่งกินข้าวต้นของตัวเองต่อเงียบๆ แม้จะมีบ้างที่จะชะเง้อมองหาพ่อแง่แม่งอนที่วิ่งตามกันออกไปเมื่อครู่

              “เดี๋ยวก่อนสิเปลว”

              อัมรินทร์รีบสาวเท้าตามหลังเปลวอรุณที่อยู่ๆก็ลุกเดินหนีออกมาจากโต๊ะดื้อๆจนมาถึงบันไดเขาอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่าวิ่งข้ามขั้นบันไดขึ้นมาดักข้างหน้าของเปลวอรุณที่เดินจ้ำก้มหน้าไม่สนใจทางจนเผลอสะดุ้งเมื่อเกือบชนเข้ากับเขา

              “มองขั้นบันไดบ้างซิ เดี๋ยวก็ตกลงกันไปพอดี” อัมรินทร์เอ็ดเสียงใส่อย่างไม่จริงจัง มือก็รั้งเข้าที่ต้นแขนของอีกคนทันทีเพื่อกันไม่ให้เปลวอรุณเผลอก้าวถอยหลังแล้วตกบันไดลงไป

              “มีอะไรหรือครับ” เปลวอรุณทำเป็นไม่สนใจความเป็นห่วงที่ว่าซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ดูไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรที่เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้า

              “ก็มาตามเปลวนี้ไง”

              “แล้วจะมาตามทำไมกันครับ” เปลวอรุณใช้ข้อนิ้วดันสันแว่นขึ้นเล็กน้อย

              “ก็อยู่ๆเธอเดินออกมาแบบนี้นะซิ จะไปไหน”  อัมรินทร์ตั้งคำถามสอบ

              “มันก็เรื่องของผม”  เปลวอรุณตอบกลับพลางบิดเอาต้นแขนออกจากมือของอีกคนแล้วเดินผ่านตัวอัมรินทร์ขึ้นไปด้านบน

              เพราะที่นี้ไม่ใช่บ้านของเปลวอรุณจึงมีอยู่ไม่กี่ที่หรอกที่คนอย่างเขาจะไปได้ สุดท้ายที่ที่เปลวอรุณเลือกที่จะเดินมาก็คือห้องนอนของอัมรินทร์ที่เขานอนเมื่อคืน

              เปลวอรุณเลือกที่จะนั่งลงที่เก้าอี้เดียวสีครีมอ่อนหน้าหน้าต่างเท้าศอกลงกันที่วางแขนยกเข้าสองข้างขึ้นชิดอกแล้วเบี่ยงตามองออกไปด้านนอกทำเป็นไม่สนใจคนที่เพิ่งเดินตามเข้ามาในห้อง

              และเมื่อเปลวอรุณเลือกที่จะไม่สนใจอัมรินทร์เองก็ทำแค่นั่งลงเงียบๆที่ขอบเตียงแทน

              แต่จนแล้วจนรอดคนที่ไม่ชื่นชอบความเงียบซ้ำยังเป็นพวกความอดทนต่ำอย่างอัมรินทร์ก็เป็นฝ่ายที่ทนต่อความเงียบน่าอึดอัดนั้นไม่ไหว

              “เปลว”

              แม้จะเป็นการเรียกเพื่อเรียกความสนใจจากอีกคนแต่น้ำเสียงที่ดูเหมือนกัดฟันพูดนั้นก็พอจะทำให้คนฟังเดาได้อยู่กลายๆนั้นแหละว่าตอนนี้ชายหนุ่มอารมณ์กำลังคุกรุ่นได้ที่แล้วเหมือนกัน ยิ่งเปลวอรุณทำเพียงแค่เหลือบมองจากหางตาแล้วไม่หือไม่อือตอบกลับไปแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อัมรินทร์รู้สึกเหมือนถูกเมินจนต้องกำมือแน่นระงับความโกรธ

              “เปลว” เขาเรียกชื่ออีกคนอีกครั้งพร้อมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

              “ฉันยังไม่อยากจะชวนเธอทะเลาะด้วยกันหรอกนะ ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมาตรงๆ” อัมรินทร์พยายามพูดออกมาอย่างใจเย็นที่สุด

              แต่จนแล้วจนรอดเปลวอรุณก็ไม่ปริปากตอบเขากลับมาเลยสักนิดเดียว

              “เปลว”

              “ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”

              ครั้งนี้เปลวอรุณรีบตอบกลับทันควันเมื่ออัมรินทร์เริ่มกดเสียงต่ำลง

              “ผมไม่ได้เป็นอะไรและก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรด้วย” พูดให้ถูกคือเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร

              ยอมรับว่าเขาเองไม่พอใจอัมรินทร์มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ทำตัวรุ่มร่ามกับเขาแต่ที่ตอบออกไปว่าไม่ได้ไม่พอใจอะไรนั้นเพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าไม่พอใจเรื่องอะไรหรือหงุดหงิดอะไรกันแน่ ตอนที่เห็นลิลดานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวยอมรับว่าแปลกใจที่เห็นเธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แต่ตอนที่เห็นอัมรินทร์กับลิลดาหัวร่อต่อกระซิบกันอย่างสนิทสนมเขากลับไม่ค่อยพอใจมันเสียอย่างนั้น ถึงอัมรินทร์จะเคยบอกว่าเป็นแค่เพื่อนก็เถอะแต่สิ่งที่เขาเคยได้เห็นกับสิ่งที่เพิ่งเกิดยังไงมันก็ดูขัดกันอยู่ดี

              และที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดก็คงจะเป็นตัวของเขาเองนี้แหละที่ดันเผลอไปเปิดใจยอมรับเอาคนอย่างอัมรินทร์เข้ามา...

              อัมรินทร์มองคนปากแข็งที่แสร้งมองออกไปข้างนอกหลบหน้าไม่ยอมหันมาสบตากับเขาตรงๆก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้ามายืนข้างเก้าอี้ที่อีกคนนั่งกอดเข้าอยู่

              “ฉันกับลิลเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ” ไม่รู้หรอกว่าเปลวอรุณไม่พอใจเขาเรื่องอะไรแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้

              “อีกอย่างนะ  ลิลเองก็ไม่ได้มาหาฉันาะหน่อย ลิลมาหาไอ้รุทธิ์มันต่างหากไม่เชื่อก็ลงไปถามลิลดูก็ได้” ถึงที่จริงจะมาหาทั้งเขาแล้วก็อนิรุทธิ์ก็เถอะ แต่พอพูดออกไปแบบนั้นปฏิกิริยาของเปลวอรุณที่เริ่มจะหันมามองเขาบ้างแล้วแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขามั่นใจขึ้นแล้วเหมือนกันว่าคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้และคิดถูกแล้วที่เลือกบอกไปแบบนั้น

              “ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนิครับ” เปลวอรุณตอบกลับเสียงอ่อน

              เมื่อผู้ร้ายปากแข็งยอมจำนนอัมรินทร์ก็ยิ้มออก

              “จริงๆหรอ” อัมรินทร์เปลี่ยนน้ำเสียงใหม่เป็นเย้าหยอก ก้มโค้งตัวลงให้ใบหน้าลงมาอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าขาวของเปลวอรุณ

              และยิ่งยิ้มชอบใจมากขึ้นไปอีกเมื่อใบหน้าขาวนั้นแดงระเรื่อขึ้นยามที่หันกลับมาแล้วเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียว

              “ไม่ต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นก็ได้ครับ” เจ้าตัวว่าพลางใช้ฝ่ามืออุ่นดันใบหน้าของเขาออก

              “หื้อ มือเปลวนี่อุ่นดีจังเลยนะ”  อัมรินทร์ว่า หลังจากฉวยโอกาสจับมือข้างนั้นที่ดันเขาออกให้มาแนบกับหน้าของเขาดีๆ

              “ผมมันพวกเลือดอุ่นนะครับ”

              อัมรินทร์ครางรับในลำคอหลับตาพริ้มชอบใจ  มือของเปลวอรุณทั้งอุ่นทั้งนิ่มพอเอามาแนบกับหน้าแบบนี้แล้วมันพลอยทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มิน่าละมณีนิลถึงชอบให้เปลวอรุณลูบหัวลูบตัวอยู่เรื่อยๆ

              “ปล่อยได้แล้วมั่งครับ” เปลวอรุณว่า

              “ไม่เอาหรอก อยู่แบบนี้สบายจะตาย” อัมรินทร์หลับตาพูดไม่ได้สนใจใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นกว่าเดิมของเปลวอรุณเลยสักนิด

              เปลวอรุณเองยิ่งอัมรินทร์ทำท่าทีคล้ายว่าจะอ้อนไถ่ข้างแก้มที่แนบไปมากับฝ่ามือของเขาหัวใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นไม่เป็นจังหวะความร้อนบนใบหน้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนไม่กลายที่จะมองใบหน้าคมคายนั้นต่อจนต้องหันหนี

              พอหันหลบไม่มองหน้าอัมรินทร์สายตาของเปลวอรุณก็ไปสบเข้ากับอ่างหินขัดมันสีเทาควันบุหรี่เข้มที่วางอยู่ห่างไปเพียงสองช่วงแขน

              อาจเพราะเมื่อวานจนถึงเมื่อครู่มีเรื่องเข้ามาเลยไม่ทันให้เขาสังเกตหลายๆสิ่งรอบห้อง ไม่ทันได้มองว่าในห้องนี้มีเจ้าอ่างหินที่ดูไม่น่าจะเป็นของประดับห้องอยู่ โดยเฉพาะในห้องนอนของอัมรินร์แบบนี้

              “นั้นอะไรหรอครับ” เพราะอยากรู้เปลวอรุณจึงตัดสินใจถามออกมา

              อัมรินทร์ลืมตาขึ้นมองหันมองตามสาบตาของอีกคนไปยังเจ้าอ่างหินที่ว่านั้นพร้อมยกยิ้ม

              “ลุกไปดูสิ” เขาว่าพร้อมกระตุกมือของเปลวอรุณให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามมา

              อ่างหินขัดมันขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งไม้บรรทัดภายในบรรจุดินสีดำจนเกือบเต็มตกแต่งด้านบนด้วยหินแตกแต่งสีเข้มที่ไล่จากอ่อนเข้ามาเข้มสามแถมก่อนจะเป็นต้นกุหลาบหนูที่ถูกตัดแต่งเป็นพุ่มเล็กๆล้อมหินสีขาวเม็ดเล็กเอาไว้และในใจกลางสุดคือต้นกุหลาบหินสีต้นวางล้อมต้นแคคตัสที่ดอกสีเหลืองตรงปลายด้านบนกำลังตูมเต่งเตรียมตัวผลิดอก

              “ชอบหรือเปล่า” อัมรินทร์เอ่ยถาม จงใจยืนซ้อนหลังกระซิบถามที่ข้างใบหูตีเนียนกอดรอบเอวของอีกคนไว้หลวมๆ

              “ฉันนั่งทำเองเลยนะ ตั้งแต่หาซื้อดินกับพวกหินประดับหาซื้อต้นไม้มาลง แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาอะไรดีต้นไม้มันเหมือนๆกันไปหมดบางอันก็หน้าตาประหลาดดูไม่เหมือนเป็นต้นไม้เลย” อัมรินทร์พูดพลางนึกถึงตอนที่ตนไปซื้อต้นไม้ที่ร้าน ต้นแคคตัสหน้าตาประหลาดบางอันมีหนามแหลมจนเขากลัวหนามมันจะทิ่มเข้าที่นิ่วของเปลวอรุณเลยตัดมันออกไม่หยิบมา

                “แต่ฉันเลือกอันที่เหมาะกับเปลวที่สุดเลยนะ แต่อันแรกที่ซื้อมาทำฉันเผลอทำมันแตกไปแล้วเลยสั่งให้ช่างทำอ่างอันนี้มาให้ใหม่แล้วไปซื้ออุปกรณ์มาจัดใหม่” ตอนแรกก็คิดว่ามันง่ายเหมือนที่เห็นในคลิปวีดีโอในยูทูปที่ดูเป็นไกด์ไลย์  แต่ไม่เลยนอกจากจะคิดไม่ออกว่าจะจัดวางมันยังไงให้ออกมาสวยถูกใจอีกคนแล้วเขายังเผลอทำมันแตกทั้งๆที่เพิ่งทำเสร็จไปไม่ถึงสามวันดีอีก จำได้ว่าเขาหงุดหงิดงุ่นง่านทั้งวันเลยเหมือนกันกว่าจะออกไปซื้อมาทำใหม่ได้

                “เปลวว่ามันเป็นยังไงบ้างสวยไหม ชอบหรือเปล่า” เขาถามออกไปอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กที่พอทำดีแล้วอยากได้รางวัลจากผู้ใหญ่

             “คุณทำมันเองหมดนี้เลยหรอครับ” เปลวอรุณถาม พลางเอื้อมมือออกไปจับที่ใบของต้นกุหลาบหนูอย่างเบามือ

             “ใช่”

              “แต่คุณไม่ชอบปลูกต้นไม้ไม่ใช่หรอครับ” ขนาดเมื่อก่อนเขาเคยให้ต้นตะบองเพชรไปอัมรินทร์ยังเผลอทำมันตายได้เลย แล้วคนอย่างนี้นะหรือจะมาปลูกสวนถาด

             “ก็เปลวชอบไม่ใช่หรือไง” อัมรินทร์ย้อน

            “มันก็ใช่นะครับ แต่..”

            “ฉันทำเอาไว้ให้เปลว”

             “...”

             “เพราะมันเป็นสิ่งที่เปลวชอบ ฉันก็เลยอยากจะลองทำมันดู”

 


________________________________________________

ไม่เคยคิดดองนิยายเลยจริงๆ แค่อู้นานไปหน่อยเท่านั้นเองงงงงงงง
อยู่ดีก็ทำการตั้งมิทชั่นปิดนารูโตะ500ตอนก่อนเปิดเทอมขึ้นมาเอาดื้อๆสะอย่างนั้น
เลยกลายเป็นว่าหนังดูทั้งวันทั้งคืนเพลินเลย กว่าจะดึงสติตัวเองกลับมาได้นั้น...


อย่างที่บอกไปว่าหลังจากนี้เราจะมาในโหมดเบาๆ ไร้ความเครียด
ฉากกระชับความสัมพันธ์นั้นมันก็ต้องมา!!
บรรโลงใจกันเสียให้พอก่อนจะเปิดตัวตัวละครใหม่


สำหรับวันเสาร์ที่ 1 กรกฏาคน ที่จะถึงนี้เพื่อนๆคนไหนจะไปงาน Y book fair
สามารถมาเจอกันได้ ที่บูธ D7 นะคะ
แต่จะโผล่ไปเมื่อไรก็อีกเรื่องเนอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-06-2017 20:44:32
 :o8: :o8: หวานเป็นกะเขาด้วยเหรอ อันอัน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 28-06-2017 23:06:56
 :z1:
อุ้ยยย เหมือนเบาหวานจะขึ้นนน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-06-2017 23:38:16
 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-06-2017 09:11:17
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 29-06-2017 19:48:57
มาแบบหวานๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 13- 28/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-06-2017 22:05:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 09-07-2017 22:09:34
เป็นหนี้ ครั้งที่ 14


                “ก็เลยพากันมาซื้อของอย่างนั้นสินะครับ”   ลูกตาลเอ่ยขึ้นหลังก้มหน้าจดเมนูอาหารของแขกในร้านทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเนืองๆ

              “ใช่แล้วละจ๊ะ” ลิลดาตอบกลับหน้าบานดูมีความสุขพร้อมส่งเมนูอาหารคืนเด็กหนุ่มตัวสูง

              “แล้วแม่เปลวละฮะ” ลูกตาลยื่นมือออกไปรับเมนูนั่นคืนแล้วเหน็บไว้ที่แขนก่อนจะถามกลับเมื่อเห็นเพียงแค่ลิลดากับอนิรุทธิ์เพียงสองคนที่นั่งอยู่ ที่จริงก็อยากจะถามหาอัมรินทร์ด้วยแต่เขาคิดว่าหมอนั้นคงตามติดแม่เขาเป็นเงาแน่เลยถามแค่คนเดียวดีกว่า

              “แม่นายอยู่บ้านกับเจ้าอัน  เอานี้” อนิรุทธิ์ตอบพลางล่วงหยิบที่ใส่กุญแจขึ้นมาส่งให้

              ลูกตาลพยักหน้าพร้อมพึมพำกับตัวเองในใจ ว่าแล้วไง..

              “อันมันฝากมาให้บอกว่าเลิกงานแล้วให้ไปเอารถของเปลวที่บ้านมาให้ด้วย ขับรถเป็นใช่ไหม” ที่จริงมันควรจะถามเขาก่อนที่จะยื่นกุญแจมาให้ไม่ใช่หรือไง ลูกตาลคิดก่อนรับเอาของมาจากมือของอนิรุทธิ์

              ถ้าเขาตอบว่าขับไม่เป็นนี้ไม่ต้องเข็มมันกลับบ้านหลังใหญ่นั้นเองเลยหรือไง...

              “แล้วตาลเลิกงานกี่โมงหรอจ๊ะ”

              “ก็ประมาณสี่โมงครึ่งนะฮะ” เขาตอบพลางเก็บที่ใส่กุญแจใส่กระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำที่ใส่ทำงาน

            ลิลดาพยักหน้ายิ้ม

              “งั่นก็รีบไปรีบกลับละ แล้วมีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษด้วยหรือเปล่าฉันกับลิลจะได้ซื้อเข้าไปไว้รอ”

              เด็กหนุ่มทำหน้าคิดอยู่ครู่ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อ โดนมีสายตานึกชื่นชมของดีไซย์เนอร์สาวมองตามเรื่อยๆ

              “ลูกตาลนี้ก็เป็นเด็กดีเหมือนกันนะคะ” เธอประสาทมือรองไว้ที่ใต้คางแล้วเท้าศอกลงกับโต๊ะมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเอาใบออเดอร์ไปให้เซนเตอร์เพื่อส่งต่อเข้าไปในครัวแล้วกลับไปรับลูกค้าวัยรุ่นผู้หญิงอีกสามคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่

              “ลิลไม่ค่อยเห็นเด็กสมัยนี้ทำงานพิเศษกันเท่าไรเลยด้วย” ถ้าเป็นแทบโซนยุโรปที่เธออยู่ก็ว่าไปอย่าง

              คล้ายๆว่ามันกลายเป็นค่านิยมในสังคมไทยไปแล้วละมั่งที่ว่าเด็กคนไหนทำงานพิเศษจะเป็นเด็กไม่มีเงินน่าแถมยังเป็นเรื่องที่น่าอายในหมู่เพื่อนอีกด้วยทั้งๆที่มันออกจะเป็นเรื่องที่เท่เสียมากกว่าด้วยซ้ำในสายตาเธอ เพราะนั้นมันหมายถึงว่าเด็กคนนั้นสามารถทำงานหารายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคอยพึ่งพ่อแม่อย่างเดียวและในแถบประเทศที่เธอเรียนเธอทำงานอยู่มันถือเป็นเรื่องที่ปกติมากที่พ่อแม่จะให้ลูกออกมาทำงานเผชิญโลกเพื่อก้าวออกมาจากความเป็นเด็กด้วยตนเอง

            “ก็จริงนะ” อนิรุทธิ์เองก็ยอมรับในข้อนี้

              เขาเองก็อยู่ที่นี้มาตั้งแต่เกิดมีแค่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแค่ไม่กี่ทั้งยังเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนทำให้เขาเจอกับเด็กและผู้ปกครองหลากหลายรูปแบบ และเท่าที่เขาได้สัมผัสมาพ่อแม่สมัยนี้เป็นโรคห่วงลูกมากเกินไปจนทำให้เด็กกลายเป็นโรคกลัวความลำบากหลายครั้งที่เขาเคยถามเด็กกลุ่มนี้ว่าคิดเห็นยังไงกับเรื่องการทำงานพิเศษคำตอบที่ได้มักจะไปในทางเดียวกันว่า น่าอาย และ เสียเวลาเที่ยวเล่น และจากสถิติที่เขาเคยทำกับนักเรียนของตัวเองพบว่ามีเพียงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไปที่ทำงานพิเศษกับอีกสิบเปอร์เซ็นต์น้อยๆที่อยากทำงานพิเศษแต่ที่บ้านไม่อนุญาตและเลือกที่จะให้เรียนเสริมที่สถาบันติวเตอร์แทน

              ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ...

              “เท่าที่ลิลดู คุณเปลวเองก็ดูจะเอาใจใส่ลูกตาลดีไม่น่าจะปล่อยให้เขามาทำงานแบบนี้เลยนะคะ”

            จริงอย่างที่หญิงสาวว่า ด้วยนิสัยเอาใจใส่และเป็นกังวลกับทุกเรื่องเปลวอรุณดูเป็นแม่ที่ค่อนข้างห่วงลูกเอาการอยู่ไม่น่าจะยอมให้ออกมาทำงานข้างนอนแน่ยิ่งมีอัมรินทร์เสนอตัวมาเป็นพ่อเลี้ยงให้แบบนี้ด้วยแล้วแทบจะได้ใต้โต๊ะจากคนที่เสนอตัวเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนเยอะพอดู 

              “เห็นไอ้อันบอกว่าเด็กนั้นอยากทำเองนะ”

              “หื้อ?”

            “ไอ้อันมันเล่าให้ฉันฟังว่า เปลวเคยบอกให้เด็กนั้นเลิกทำงานแล้วเอาเวลามาอ่านหนังสือเตรียมสอบปีหน้าเหมือนกันแต่ลูกตาลมันเด็กดีเกินไปบอกไม่ยอมจะทำงานไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย”

              ลิลดาทำตาโต

              “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนที่เด็กนั้นมันรู้เรื่องแผนเห็นว่าที่ยอมเข้าร่วมด้วยเพราะอยากจะดีดยายแม่เลี้ยงของเปลวออกไปเลยยอมช่วย”

              ข้อแลกเปลี่ยนง่ายๆที่ลูกตาลขอไว้แลกกับการไม่พูดเรื่องแผนนั้นให้เปลวอรุณฟังคือการที่อัมรินทร์ต้องทำทุกวิถีทางในการไล่พิมพาออกไปจากชีวิตของเปลวอรุณ

              ไม่ได้ของเพื่อตัวเองแต่เพื่อแม่บุญธรรมของตัวเอง เด็กดีชะมัด....

            “แต่ทั้งทำงานไปด้วยอ่านหนังสือเตรียมสอบไปด้วยลิลว่ามันก็นักอยู่เหมือนกันนะคะ” เธอคิดก่อนจะสะกิดให้อนิรุทธิ์ขณะขยับแก้วน้ำออกจากทางเพื่อให้บริการสาวเอาขนมหวานวางลงบนโต๊ะได้สะดวก

              อนิรุทธิ์พยักหน้าเห็นด้วย  ขนาดเด็กที่มีเวลาอ่านหนังสือเต็มที่บางคนยังอ่านไม่ทันจนทางโรงเรียนต้องจัดติวเสริมเลย

              “แล้วเขาจะเรียนคณะอะไรหรอคะ” ลิลดาถามขณะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป

              “ไม่รู้สิ” ก็เขาไม่ใช่พ่อมันนิน่าที่จะได้รู้

              พอลิลดาเริ่มลงมือกินขนมหวานตรงหน้าบทสนทนาของพวกเขาสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆส่วนใหญ่จะเป็นลิลดาที่เป็นฝ่ายถามไถ่ตัวชายหนุ่มเสียมากกว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงานที่โรงเรียนบ้างสลับกับเรื่องส่วนตัวจนขนมหวานสองสามอย่างที่สั่งมาหายเข้ากระเพาะในร่างเล็กๆเพรียวลมของลิลดาจนหมด

              อนิรุทธิ์อดทึ่งไม่ได้เหมือนกันที่ผู้หญิงตัวเล็กแบบลิลดาสามารถเก็บกวาดสิ่งที่อยู่บนโต๊ะได้หมดเพียงคนเดียวและที่ทำให้เขาแปลกใจมากที่สุดคงเป็นตอบจ่ายเงิน เธอไม่ได้นั่งนิ่งรอให้เขาจ่ายค่าอาหารให้แต่หยิบเงินเท่าจำนวนของที่เธอกินส่งมาให้แล้วให้เขาเป็นคนไปจ่าย ที่จริงเขาว่ามันก็ดูแฟร์ดีที่เธอทำแบบนั้นแม้จะดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่เขาเคยคุยด้วยที่พวกเธอชอบที่จะให้เขาออกให้ตลอด

              “ไปค่ะ ไปซื้อของกัน”  เธอพูดด้วยรอยยิ้มหลังหันไปโบกมือลาลูกตาลที่ยืนอยู่ด้านใน

              “เริ่มจากไหนก่อนดีละ”

              อนิรุทธิ์เอ่ยถามก่อนจะโดนหญิงสาวจับแขนลากเข้าโซนซุปเปอร์เลือกซื้อของสดของแห้งที่ต้องการส่วนที่หาไม่ได้ก็เอาไปเก็บตกที่ตลาดสดก่อนทางเข้าบ้านเอา นี้คือความคิดของลิลดา...

            แต่ความสุขของเธอก็อยู่ได้ไม่นานเท่าไร เพราะหลังจากที่เดินเลือกซื้อของกันได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีโทรศัพท์ด่วนโทรตามตัวเธอกลับในทันที แผนการปาร์ตี้ฉลองตอนเย็นของเธอจึงจ้องพับเก็บใส่กระเป๋าพร้อมหน้างอๆของเจ้าหล่อนที่มุ้ยตลอดทาง

 

              “มึงก็เลยต้องหิ้วของทุกอย่างกลับมาด้วยสินะ” อัมรินทร์เลิกคิ้วถามพลางมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนเคาร์เตอร์หินอ่อนในครัวอย่างตั้งคำถาม

              “ก็เออนะสิ” อนิรุทธิ์ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างนึกหน่าย 

ใช่ ของทุกอย่างที่บนเคาร์เตอร์ที่เปลวอรุณกำลังเปิดดูและแยกออกมาล้างอยู่ตอนนี้คือของที่ลิลดาพาเขาตะลอนเดินรอบโซนของสดในซุปเปอร์

             พอคิดถึงตรงนั้นแล้วก็อดเหนื่อยใจไม่ได้เลยจริงๆ...

            “เอ๋ อะไรนะคะ... ตอนนี้เลยหรอคะ”

            ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นพวกผู้ชายสู่รู้เรื่องชาวบ้านเขาสักเท่าไรหรอกนะแต่ไอ้ระยะห่างแค่ด้ามจับของรถเข็นกับขอบเหล็กหน้าหน้ามันก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไร แต่เสียงแบบนี้กับการแอบเหล่ตามองมาด้านหลังแบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ

           “แต่ว่าลิล..ค่ะ ดี๋ยวลิลรีบกลับ... ค่ะ”

            และคงเป็นเรื่องที่ลิลดาปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ เพราะเสียง ค่ะ เมื่อครู่ดูอ่อยๆเหมือนไม่อยากจะทำ

            “คุณรุทธิ์ค่ะ” เธอเรียกพร้อมหันกลับมาหาเขาพร้อมหน้าตาที่ดูเหมือนพุดเดิ้ลขนาดไซย์มาตรฐานที่กำลังหูลู่หางตกมือกำขอบเหล็กของรถเข็นแน่น

              “มีธุระหรอ จะกลับก่อนก็ได้นะ” เขาไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ของบนรถที่หยิบมานี้สิเอามาจากไหนบ้างก็ไม่รู้ จะเอาไปเก็บถูกหรือเปล่าว่ะเนี้ย...

              “รู้แล้วละค่ะ แต่ว่า” เธอว่าพร้อมเหล่มองดูของสดที่วางอยู่ในรถเข็ดอย่างนึกเสียดาย กว่าจะได้เนื้อสดแต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเธอ แถมบางอันก็สดใหม่มากด้วยถ้าเอาไปคืนก็เท่ากับเธอเสียของดีไปฟรีๆนะสิ

              ไม่ยอมแน่...

              การซื้อของดีๆเข้าบ้านคือจิตวิญญาณของผู้หญิง!

            “อยู่ดีๆยายนั้นก็เกิดนึกเสียดายของขึ้นมาเอาดื้อๆบอกให้กูเอาของพวกนี้กลับบ้านแถมยังให้ถ่ายสลิปกลับไปให้ดูเป็นหลักฐานด้วย ยุ่งยางชิปหายเลยให้ตายสิ”

              “แล้วมึงทำไหม” อัมรินทร์ย้อน

              “ทำ” เก่งมากไอ้พี่ชาย...

              “ถ้างั้นก็อย่าบ่น” อัมรินทร์ว่า แล้วหันไปถามเปลวอรุณว่ามีอะไรให้ช่วยไหมก่อนจะได้เนื้อหมูกับเนื้อไก่บางส่วนมาให้ล้างกันน้ำที่เจ้าตัวผสมเกลือไว้ให้แล้ว

               “ถ้าไม่คิดจะช่วยก็ออกไปได้แล้วอยู่ไปก็เกะกะเปล่าๆ” พร้อมกับออกปากไล่

              “มึงนี้ก็หาเรื่องไล่กูจัง” อนิรุทธิ์เบ้ปาก

              ไม่ใช่ว่าเขาไม่ช่วยนะ แต่ดูไอ้อัมรินทร์มันทำเสียก่อนเถอะยึดพื้นที่ใช้สอยเกือบทั้งหมดไว้เอากันท่ากลายๆให้เขาเป็นเศษเกินของห้องครัว  อัมรินทร์ไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจเสียงบ่นที่ว่านั้นแล้วหันไปสนใจกับการล้างเนื้อสัตว์ที่ได้รับมา

             เมื่ออัมรินทร์เลือกที่จะเงียบใส่ถามอะไรเริ่มไม่ตอบ อนิรทุธิ์จึงทำหน้าตึงลับหลังน้องชายแล้วเปลี่ยนเข็มไปทางเปลวอรุณที่กำลังเอาเนื้อหมูที่ล้างแล้วเก็บใส่ทัปเปอร์แวร์แทน

            “แล้วนี้เปลวจะเอาพวกนี้ไปทำอะไรหรอ” อนิรุทธิ์ถาม

              “เอ่อ ผมกำลังคิดว่าถ้าเอามาทำเป็นมื้อเย็นสำหรับวันนี้ก่อนจะไหมนะครับ” เพราะลิลดาบอกจะฉลองเขาเลยไม่แน่ใจว่าถ้าเอามาทำเป็นอย่างอื่นก่อนหญิงสาวจะว่าอะไรหรือไม่เพราะไม่รู้ว่าจะได้จัดจริงๆเมื่อไรแน่

              “ได้แหละ ทิ้งไว้นานเสียของเปล่าๆ” อนิรุทธิ์ตอบ

              “เปลวแล้วผักพวกนี้เอาไว้ไหน” อัมรินทร์แทรกเสียงขึ้นพร้อมย้ายตัวจากอ่างล้างจานมายืนชิดเปลวอรุณที่ยืนอยู่หน้าเคาร์เตอร์ฝั่งตรงข้ามกับอนิรุทธิ์

              กันท่านี้หว่า... อนิรุทธิ์คิด

              “ถ้างั้นเย็นนี้ฉันจะรอกินอาหารฝีมือเปลวนะ เห็นไอ้อันมันเอามาโม้อยู่ว่าคุณทำอาหารอร่อย” อนิรุทธิ์เย้าก่อนจะเดินออกจากครัวไปพร้อมกับมณีนิลที่นอนหมอบรออยู่หน้าประตูครัว 

              “เขินหรอ”  อัมรินทร์แหย่ต่อ เมื่อเห็นเปลวอรุณก้มหน้าก้มตาเม้มปากแน่น

              “เปล่านิครับ” เปลวอรุณปฏิเสธหน้าแดง       

              “ถ้าล้างเสร็จแล้วก็ใส่กล่องนี้ไว้ครับ แยกด้วยนะครับเวลาแม่ครับมาหยับจะได้หาง่าย” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องโดยการส่งกล่องหลากหลายขนาดมาวางตรงหน้าอัมรินทร์

              “แล้วเอาของเข้าตู้เย็นเสร็จแล้วเปลวอยากไปไหนหรือเปล่า” ปากถามมือก็ทำงานของตัวเอง

              “ไม่ครับ”

              “แล้วอยากทำไรเป็นพิเศษไหม”

              “แล้วมีอะไรให้ผมทำหรือเปล่า”

            อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปาก

              อัมรินทร์ส่งกล่องสูญยากาศที่บรรจุเนื้อสัตว์กับผักที่ซื้อมาส่งให้เปลวอรุณจัดเรียงเข้าตู้เย็นรอจนอีกคนทำจนเรียบร้อยแล้วก่อนจะเขาไปจูงมือพาออกไปที่สวนด้านหลัง


            ออกจากประตูหลังบ้านมาจะเป็นสนามหญ้ารอบๆกำแพงมีต้นไม้มงคลที่ท่านประธานพ่อของอัมรินทร์ให้คนเอามาปลูกเพื่อให้ร่มเงา สุดทางด้านในเป็นสวนแบบไทยประยุกต์มีทางเดินกินทอดตัวยาว ถ้าเดินตามทางเข้าไปจะเจอเข้ากับความร่มรื่นของไม้ใหญ่และศาลานั่งเล่นพื้นเตี้ยขนาดกลางไม่ใหญ่มากติดน้ำตกจำลองขนาดเล็กที่ทำเป็นกรอบชิดมุมเนื้อที่บ่อความยาวมากเมตรกว่าๆและสามารถนั่งหย่อนขาลงน้ำได้ข้างๆเป็นอุปกรณ์จัดสวนที่มีตั้งแต่ถุงใส่ดินที่ถูกเปิดใช้งานกระถางขนาดเล็กอ่างหินขนากเล็กจนไปถึงของตุ๊กตาดินเผาที่ใช้ตกแต่งสวนที่บางชิ้นมาคาบดินสีดำติดอยู่บางส่วนโดยเฉพาะที่ด้านล่างของตัวดินเผา ทั้งบนโต๊ะไม้เตี้ยบนศาลาเองกับพื้นศาลาต่างก็มีการเอาผ้าใบสีขาวที่ยังมีรอยเปื้อนติดอยู่มาปูทับไว้เดาได้เองไม่ยากเท่าไรว่าของพวกนี้มีคนใช้งานมันมาได้ไม่นาน

              “เปลวชอบจัดสวนถาดใช่ไหมละ ถึงจะไม่มีต้นไม้สวยๆเหลืออยู่แล้วแต่ฉันว่ามันก็น่าจะพอฆ่าเวลาแก้เบื่อได้นะ”  อัมรินทร์ยกมือทาบท้ายทอยอย่างประหม่า

              ของพวกนี้เป็นของเหลือใช้ที่เขาซื้อมามากเกินไปเลยกลายเป็นว่าแม้จะใช้มันลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งจนสามารถทำสวนอ่างที่วางอยู่ในห้องได้แล้วแต่ก็ยังเหลือเยอะอยู่ดี จะทิ้งก็เสียด้ายเลยเอามาไว้ที่สวนเผื่อว่าลุงอุ่นจะให้คนสวนเอาไปใช้ต่อได้

              “ผมใช้ได้หรอครับ” เปลวอรุณถาม สองเท้าก็พาตัวเองเข้ามาใกล้อุปกรณ์ที่วางดวงตาพลางจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคล้ายกำลังตรวจสอบและพิจารณาว่าจะใช้ทำอะไรได้บ้าง

              “ได้สิ เอาเลยเปลวอยากทำอะไรเชิญเลยเข้าไปนั่งทำด้านในได้นะ” อัมรินทร์บอกพร้อมก้าวขึ้นไปนั่งบนศาลา

              พออัมรินทร์เอ่ยปากอนุญาตม่านตากลมของเปลวอรุณขยาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยไม่ได้สนใจเสียงพูดของอัมรินทร์อีกก้มหน้าก้มตาเลือกหยิบของที่ชอบใส่กระถางดินเผาทรงกลมสีน้ำตาลแดง

              ที่เขาบอกว่าพอได้ทำสิ่งที่ชอบแล้วมันจะเหมือนว่าคนคนนั้นตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกอัมรินทร์ก็เพิ่งเข้าใจคำกล่าวที่ว่านั่นก็วันนี้

              ตากลมๆหลังกรอบแว่นดูจะสดใสขึ้นกว่าเมื่อเช้าหรือเปล่า กำลังอมยิ้มอยู่ใช่ไหม

              แค่เอาดินลงมันทำให้เปลวอรุณมีความสุขมากกขนาดนั้นเลยหรอ....

              “เปลวจะจัดเป็นแบบไหนหรอ”

              “ยังไม่รู้เลยครับ” เปลวอรุณตอบเสียงใส มือก็ง้วนอยู่กับการกลบดินให้แน่นในขณะที่สายตาก็มองของที่หยิบมากองกันไว้ที่โต๊ะเป็นระยะ

              “เปลวไม่ได้วางแผนไว้ก่อนหรอว่าจะทำออกมาเป็นแบบไหน” อัมรินทร์นึกแปลกใจ

              “ไม่ครับ ปกติถ้าไม่ทำตามแบบก็จะทำตามใจมากกว่า ทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คิดออกเอง” เปลวอรุณตอบมือก็หยิบเอานู้นเอานี้ขึ้นมาทาบลอง

              เพราะของบางอย่างถึงจะวางแผนให้มันออกมาเป็นยังไงก็ใช่ว่าจะได้ตามนั้นเสมอ ยิ่งกับของที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามใจคนทำแบบนี้ด้วยแล้วเปลวอรุณชอบที่จะทำไปคิดไปมากกว่า

              แน่นอนว่าสิ่งที่เปลวอรุณกำลังทำอยู่มันขัดกับสิ่งที่อัมรินร์เคยเจอมาตลอด เปลวอรุณที่อัมรินทร์เคยเจอนั้นจะชอบวางแผนการทำงานก่อนทุกครั้งไม่ใช่คนที่ทำอะไรไปคิดไปแบบตอนนี้

              ผิดไปเป็นคนละคนเลย.. อัมรินทร์คิด

              เปลวอรุณที่เขาเจอชอบทำหน้านิ่งๆเครียดๆใส่แผ่นกระดาษแต่ดูเอาตอนนี้สินอกจากจะอมยิ้มจนแก้มจะแตกแล้วยังดูกระตือรือร้นสนุกสนานกว่าปกติอยู่หลายเท่า คิดถูกจริงๆที่เก็บของพวกนี้เอาไว้...

            มิน่าละถึงได้คลุกอยู่แต่ในสวนทั้งวัน....

              แม้จะมีหลังคาของศาลาทรงไทยกับร่มเงานของต้นไม้ช่วยลดทอนแสงแดดไม่ให้ส่องเข้ามาได้แต่ไม่ใช่กับไอร้อนที่ถึงจะไม่มากแต่ก็พอทำให้ก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำเย็นฉ่ำละลานจนเคลื่อนตัวกระทบกันภายในแก้วทรงกลม

              อัมรินทร์เท้าคางอ่านแบบรายงานผ่านจอแท็บเล็ตสลับกับเหลือบสายตาขึ้นมามองคนตรงหน้าที่ยังคงดูสนุกกับการจัดสวนถาด ใบหน้าขาวเริ่มขึ้นสีระเรื่อเป็นชมพูจางๆจากอุณหภูมิที่เริ่มสูงในช่วงใกล้เที่ยงเหงื่อเองก็เริ่มซึมมากรอบหน้าแต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจอะไรซ้ำยังยกหลังมือขึ้นซับเหงื่อตัวเองลวกๆแล้วหันไปสนใจของตรงหน้าต่อ

              ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้เปลวอรุณสามารถทำสวนถาดไปแล้วสองถ้าร่วมที่กำลังนั่งทำอยู่ตอนนี้ก็อันที่สาม ถ้าเทียบกับที่อัมรินทร์ทำแล้วละก็เปลวอรุณทำออกมาได้ดูดีกว่าเขามาก

              ตอนแรกเขาเองก็เอ่ยปากบอกจะทำด้วยเหมือนกันเลยลงไปหยิบเอาของที่อยากได้ใส่กระถางกลมแล้วกลับมานั่งลงตรงเบาะนั่งตรงข้ามเพราะอยากหาอะไรที่ตัวเองพอจะทำร่วมกับอีกคนได้บ้าง แต่ก็ดูเหมือนเขาจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าอันที่อยู่บนห้องและนั้นก็ทำให้เขารู้เรื่องของเปลวอรุณมาอีกข้อ...

              เปลวอรุณเป็นพวกชอบออกคำสั่ง...

            “คุณอัมรินทร์ทำไมจับต้นไม้แรงอย่างนั้นถ้าใบช้ำขึ้นมาทำยังไง วางลงเลยนะ” ต้นเฟิร์นเงินน้อยที่น่าสงสารในมือของเขาคงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแน่ เพราะไม่อย่างนั้นเปลวอรุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจับมันเบาหรือแรงทั้งๆที่แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาเลยจนถึงเมื่อกี้ก่อนออกปากบ่น

              “แต่ฉันก็จับเบาที่สุดแล้วนะ” ถ้าจะโทษก็โทษมือของเขาที่มันใหญ่กว่าลำต้นที่เล็กเสียเหลือเกินจนกะแรงไม่ค่อยถูก แต่ไอ้ต้นที่เขาจัดไว้บนห้องเขาก็จับแบบนี้นะไม่เห็นมันจะช้ำเลย

              เปลวใส่ร้าย...

              “มันเบาได้มากกว่านี้ครับ ต้นที่คุณทำบนห้องก็เหมือนกันบางใบมีรอยช้ำอยู่ไม่ระวังแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
เจ้าตัวเริ่มบ่น

            “แล้วนี้อะไรกันครับ....”

              และอีกสารพัด

              ก็ไม่เชิงว่าชอบออกคำสั่งหรอกนะ ก็แค่ไอ้นั้นไม่ได้ ต้องอย่างนี้ ทำไมไม่ทำแบบนี้ สุดท้ายสวนถาดของเขาก็กลายเป็นสวนถาดถาดที่สองที่เปลวอรุณยึดจากเขาไปทำเอง

              ถึงจะพอรู้อยู่บ้างก็เถอะนะว่าเปลวอรุณเป็นพวกจริงจังกับงานที่ทำแต่พูดไงดีละ...

              บางทีก็จริงจังเกินไป...

              แต่..

              แต่ถ้าเปลวอรุณชอบเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก ดีเสียอีกอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาได้ใช้เวลาร่วมกับเปลวอรุณ

              ให้ลืมไปว่าทำไมถึงมาอยู่ ให้ลืมเรื่องก่อนหน้าแล้วมาเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราจริงๆจังๆกันตั้งแต่ตอนนี้โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างการจัดสวนถาดอย่างที่เจ้าตัวชอบ

              ถึงจะเริ่มช้าถึงจะทำอะไรอ้อมๆแต่ที่ทำมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้...

              ถึงจะดูหลอกลวงไปหน่อยก็เถอะ...

              ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วเปลี่ยนมาเท้าคางมองดูทุกการกระทำของคงตรงหน้าอย่างตั้งใจ เปลวอรุณดูตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาไม่สนใจเลยด้วยว่าเขากำลังมองอยู่ ข้างแก้มขามอมชมพูมีรอยเปื้อนคาบดินเป็นทางยาวคงจะเผลอเอามือเปื้อนดินนั้นป้ายหน้าแน่ๆ

              ตุ๊กตาดินเผารูปเด็กผู้หญิงถูกปักลงดินเป็นอย่างสุดท้ายใต้ร่มเงาใบสีม่วงแดงของต้นแดงชาลีขนาดยี่สิบห้าเซนติเมตรในถากทรงกลม เปลวอรุณยิ้มพอใจให้กับผลงานชิ้นล่าสุด

              “เสร็จแล้วหรอ” เขาใช้ข้อต่อนิ้วมือดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยพร้อมขานรับคำถามนั้น

              “แล้วจะเอาไว้ไหนดีละ” อัมรินทร์ถามขึ้นกวาดสายตามมองไปรอบๆสวน

              “อันนี้ผมจะเอาไว้ตรงขอบบ่อได้ไหม” ต้นแดงชาลีชอบที่ชื้นถ้าวางไว้ตรงที่ชื้นๆ และแถวน้ำตกจำลองนี้ก็มีความชื้นที่พอเหมาะและยังมีแสงแดดส่องถึงวันอีกด้วย

              “เอาสิ เปลวอยากเอาวางตรงไหนก็วางเลย” อัมรินทร์อนุญาต ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นก่อนจะก้มมาใช้สองมือประคองกระถางกระเบื้องดินเถาทรงกลมแบนที่เปลวอรุณเพิ่งทำเสร็จขึ้นแล้วเดินเอาไปวางตรงที่เจ้าตัวพูดเมื่อครู่

              “แล้วอีกสองอันละ” ก่อนจะหันกลับมาถาม

              เปลวอรุณก้มมองกระถามอีกสองอันตรงหน้า กระถางแรกเป็นของที่จัดเป็นสวนหินจึงไม่มีปัญหาเรื่องที่วาเพราะสามารถวางได้ทุกทีส่วนอีกอันเป็นของอัมรินทร์ที่เขาเอามาทำต่อส่วนใหญ่เป็นต้นเทียนทองกับลิ้นมังกรที่เป็นพืชที่ต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโตไม่เหมือนแดงชาลีที่แม้จะต้องการแสงแดดเต็มวันเหมือนกันแต่ก็ยังชอบที่ชื้นด้วย

              “สวนหินนี้เอาไว้ที่ไหนก็ได้ครับส่วนของคุณอัมรินทร์ผมว่าเอาไว้ในสวนนี้ละครับ แต่ไว้สูงหน่อยเพราะเมล็ดของเทียนทองมีพิษเดี๋ยวคุณนิลเผลอกินเข้าไปจะยุ่งเอา” อัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะเริ่มมองหาที่ทางตามที่เขาว่า

              “งั้นสวนหินของเปลวเอาไปไว้ในห้องนั่งเล่นไหมมีที่ว่างอยู่พอดี ส่วนของฉันเดี๋ยวฉันหาที่วางเอง”  ชั้นวางข้างโทรทัศน์ว่างอยู่อัมรินทร์จึงให้เปลวอรุณเอาสวนหินของตัวเองเข้าไปวาง

              “เดี๋ยวเปลวรออยู่นี้แปบนะ” อัมรินทร์พูดดักไว้เมื่อเห็นเปลวอรุณทำท่าว่าจะลุกขึ้น  แต่ไม่ทันที่เปลวอรุณจะเอ่ยถามว่ามีอะไรอัมรินทร์ก็ก้าวลงจากศาลากึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปเสียก่อน

              คนตัวขาวมองตามหลังของคนที่วิ่งหย่อยๆเข้าบ้านไปทางประตูด้านหลังก่อนจะหันมาเอามือทั้งสองข้างปัดกันไปมาไล่เศษดินที่เกาะอยู่ออก

              “ใช้นี้ดีกว่าเปลว”

              คนที่เดินหายเข้าบ้านไปกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กสีน้ำตาลเปียกหมาดมาให้ เปลวอรุณมองผ้าขนหนูที่ว่านั้นสลับกับมือของตัวเอง

              “มา ฉันเช็ดให้”

              อัมรินทร์ว่าพร้อมรวบจับข้อมือทั้งสองข้างของเปลวอรุณมาด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกข้างก็ใช้ผ้าเช็ดเอาดินสีเข้มออกจากฝ่ามือซอกนิ้วและซอกเล็บ

              ถึงจะอายและรู้สึกแปลกๆที่อัมรินทร์มาทำอะไรแบบนี้ให้ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกดีจนอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม เหมือนว่าเขากำลังชอบใจที่ถูกอีกคนดูแลแบบนี้...

           
:-[
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 09-07-2017 23:42:56
:-[
 

              ช่วงเย็นของย่านกลางค้าครึกครื้นมากกว่าปกติในช่วงเย็นยิ่งเป็นช่วงวันหยุดด้วยแล้วประชากรของผู้โดยสารที่มายืนรอรถไฟฟ้าที่ชานชาลาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

              ลูกตาลซื้อตั๋วนั่งรถไฟฟ้าก่อนจะต่อรถไปอีกสักระยะแล้วเปลี่ยนมาเป็นเดินทอดน่องเรื่อยๆไปตามทางเดินของชุมชนระดับกลางที่มีทั้งบ้านเรือนที่ตั้งอยู่มานานจนกลายเป็นชุมชนหมูบ้านตลาดกลางซอยร้านค้ามากมายการจราจรบนถนนสองเลน เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆเสียงเรียกทักทายของป้าเจ้าของหอพักหลังตลาดใจดีที่ให้เขาเช่าห้องอยู่ฟรีสามเดือนแรกที่ขึ้นมาอยู่ที่กรุงเทพ พวกเขาพูดคุยกันแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะเดินเท้าต่อเข้าไปยังซอยบ้าน

              ซองใส่กุญแจถูกหยิบออกมากระเป๋าที่คาดอยู่ที่อกไขมันกับแม่กุญแจที่เขาเป็นคนคล้องมันเอาไว้เองเมื่อวาน แต่ยังไม่ทันที่จะผลักประตูรั้วสีขาวเข้าไปด้านในเด็กหนุ่มกลับเลือกที่จะหยุดเดินหันข้างเพียงเล็กน้อยพอให้หางตาของจนสามารถกวาดมองไปทางด้านข้างและด้านหลังได้

              ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกตัว แต่รู้มาสักพักแล้วต่างหากว่าตัวเองถูกตาม...

            ตั้งแต่เดินเข้าเขตชุมชนหมู่บ้านเข้ามาเขาก็รู้สึกเหมือนถูกใครคนหนึ่งเดินตามมาสักระยะซึ่งอีกฝ่ายก็เหมือนจะจงใจเว้นระยะห่างระหว่างกันในระดับที่ถ้าไม่สนใจก็ไม่รู้ตัวได้

              จะบอกว่าเป็นพวกตีนแมวคิดย่องเบาเข้าบ้านก็คงไม่ใช่เพราะเจ้าของบ้านก็เพิ่งไม่อยู่เมื่อวานซ้ำตอนนี้ถึงจะใกล้หกโมงเย็นแล้วแต่ฟ้าก็ยังไม่มืดพอจะทำให้บรรยากาศดูน่าวังเวงแถมซอยนี้ก็มีคนอยู่ทุกหลังคาเรือนด้วย โจรคงไม่กล้าแน่ถ้าไม่ใช่โจรเก้อย่างเมื่อคราวก่อน

              ลูกตาลทำทีเป็นไม่สนใจแล้วเดินเข้าไปในบ้านเปิดไฟทุกดวงแล้วเริ่มตรวจดูของสำคัญว่ายังอยู่ครบหรือไม่ เมื่อไม่มีอะไรหายเด็กหนุ่มก็เริ่มลงมือเก็บของใช้เพิ่มเติมของเปลวอรุณที่ถูกไหว้วานมาใส่กล่องลังขนาดกลางแล้วทยอยเอาไปใส่ในรถสีลูกเจี๊ยบของเปลวอรุณที่จอดอยู่ที่โรงจอดรถก่อนจะทำทีเป็นกลับมานั่งเปิดโทรทัศน์ดู จนอัมรินทร์โทรมาตามนั้นแหละเขาถึงยอมปิดทุกอย่างแล้วล็อกกรให้แน่นหนากว่าเดิมแล้วขับรถออกมา

              และดูท่าแล้วพวกที่ตามเขามาจะไม่ใช่ขโมยอย่างที่เข้าใจในตอนแรก...

              รถยนต์ทะเบียนต่างจังหวัดคันหนึ่งขับตามเขามาตั้งแต่เลี้ยวออกจากซอยชุมชน เจ้ารถที่ว่าขับเว้นระยะจากเขาเหมือนตอนแรกที่เขาเดินเข้าบ้าน

               แต่พอเขาเลี้ยวเข้าเส้นทางที่จะไปบ้านของอัมรินทร์อยู่ๆรถคันดังกล่าวมันก็หายไปดื้อๆ...

              ลูกตาลขมวดคิ้วแน่นอย่างใช้ความคิด

              แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือเขาอาจคิดมากเกินไปบางทีอาจเป็นแค่เพื่อนร่วมถนนธรรมดาหรือไม่ก็ยังหลอนกับหนังสายลับรอบดึกที่อนิรุทธิ์เอามาให้เขาดูเมื่อคืน



____________________________________________________________________

มาแล้วนะทุกคนนนน !!
ความสัมพันธ์ของเปลวกับอันเริ่มขึ้นแล้ว เหลือแค่ว่าเปลวจะรู้ความจริงเมื่อไรเท่านั้น
ตอนนี้ก็เอาเบาๆไปก่อนเนอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 10-07-2017 00:31:49
มาแล้ว ๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: anga ที่ 10-07-2017 00:42:22
 :serius2:เนื้อเรื่องดีแล้วนะ แต่รบกวนอ่านทวนก่อนโพสได้มั้ยคะ สะกดคำผิดเยอะมาก ผันเสียงสูงต่ำก็ผิด อ่านไปสะกดคำไป เหนื่อย พาให้ไม่อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-07-2017 01:07:14
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-07-2017 17:38:28
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-07-2017 21:34:26
รักลูกตาล
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 14- 9/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 10-07-2017 23:04:37
ไม่ได้อ่านมาหลายตอน
ตามอ่านทีเดียว สนุกเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 15- 16/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-07-2017 02:30:50

เป็นหนี้ ครั้งที่ 15


              “ไม่เอาด้วยหรอกนะครับ”

              “ทำไมละเปลว”  เสียงกระเง้ากระงอดของลูกเป็นตัวเขื่อนที่เดินตามหลังของเขามาตั้งแต่ลุกจากเตียงพร้อมคำถามเดิมๆที่ทำเอาคนฟังได้แต่นึกละอา

            “ไหนๆก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้วทำไมไปพร้อมกันเลยไม่ได้” อัมรินทร์ถามอีกครั้ง ใบหน้าหล่อคมเริ่มบึ้งตึงเมื่อคำตอบที่ได้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

              “ก็ผมไปเองได้”  เปลวอรุณตอบอย่างใจเย็น สายตาจดจ้องกับการกัดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตของตนแทนเงาดำของอัมรินทร์พาดทับตัวเขาไปสะท้อนกับบานกระจกตรงหน้าแทน

              เสื้อเชิ้ตสีควันบุหรี่เข้มที่เจ้าของไม่แม้จะสนใจกัดกระดุมให้ติดกับเรียบร้อยเหมือนแค่หยิบมาสวมแขนใส่คุมตัวเอาเฉยๆเพื่อที่จะโชว์กล้ามหน้าท้องที่เรียงตัวสวยอันเป็นผลพวงจากการออกกำลังอย่างหนักของอีกคนเท่านั้น  แต่เปลวอรุณไม่ใช่พวกชอบออกกำลังอยู่แล้วและไม่ได้ใฝ่ฝันอยากได้หุ่นอย่างนั่นด้วยเขาเองจึงไม่ได้มีใจพิศวาสในหุ่นของคนชอบโชว์เท่าไร ออกจะขัดใจกับความไม่เรียบร้อยนั้นเสียด้วยซ้ำไป

              “แล้วไปพร้อมฉันมันมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรอเปลว” ครั้งนี้อัมรินทร์เริ่มกระแทรกเสียงกอดอกหน้าตึงใส่

              ก้าวร้าวแบบเด็กๆ...

              ถ้ายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการอัมรินทร์เองก็ไม่คิดที่จะทำอะไรให้เรียบร้อยเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่เปลวอรุณคาดเดาเองในใจ

              ต้องขอบคุณความงี่เง่าเอาแต่ใจของพิมพาที่ทำให้เขาสามารถเดาอารมณ์และเตรียมรับมือกับคนตัวโตที่ยืนปิดท้างเขาอยู่ได้ว่าจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป

              ซึ่งกรณีของอัมรินทร์ก็ ไม่ทำอะไรเลย...

              นาฬิกาสายหนังสีดำเรือนเล็กบอกเวลาหกนาฬิกาสี่สิบห้านาทีถูกหยิบขึ้นมาวางทาบกับข้อมือขาวก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมาเช็คความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง แน่นอนว่ายักษ์ปรักหลักข้างหลังเขาก็ยังอยู่ในสภาพเดิมตั้งแต่แรก

              “ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักทีสิครับ เดี๋ยวจะไปทำงานกันสาย” เขาทำเสียงเอ็ดใส่มองอัมรินทร์ที่ยืนซ้อนหลังอยู่ผ่านกระจกบางตรงหน้าแทนการหันกลับไปคุย

              อัมรินทร์ไม่ตอบซ้ำยังทำหน้าบึ้งกอดอกแน่นกว่าเดินคล้ายยืนยันคำตอบว่า ไม่

              เปลวอรุณถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับลูกเป็ดเอาแต่ใจ

              ปลายนิ้วเรียวดันแว่นตาที่เลื่อนต่ำลงให้เข้าที่ก่อนจะหันหลังมาเผชิญหน้ากับหมาป่าหนุ่มโตเต็มวัยที่อยู่ดีๆก็กลายร่างเป็นลูกเป็ดตัวเขื่อนจอมดื้อรั้นไม่ฟังเหตุผล

              เปลวอรุณใช้มือดันท่อนแขนหนาที่กอดกันแน่นออกแล้วดึงสาบเสื้อทั้งสองข้างให้ดีก่อนจะติดกระดุมให้เรียบร้อยโดยไม่ปริปากพูดอะไร อัมรินทร์เลิกคิ้วมองคนที่สูงแค่ปลายจมูกอย่างไม่เข้าใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มชอบใจผิดกับเมื่อครู่ปล่อยตัวให้เปลวอรุณจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง

              นอกจากจะกัดกระดุมติดกันทุกเม็ดแล้วคนตัวขาวยังบริการผูกเนคไทให้เขาอีกด้วย เนคไทยี่ห้อดังมีดำเรียบๆที่ตัวเขาเองก็มองอยู่ตั้งแต่ตอนที่อีกคนเดินไปเปิดลิ้นชัดไม่คิดว่าเปลวอรุณเองก็คิดตรงกับเขาด้วยเช่นกัน

            ได้อารมณ์เหมือนภรรยาช่วยสามีแต่งตัวยังไงก็ไม่รู้...

              “เอาชายเสื้อเข้ากางเกงเองนะครับ” เปลวอรุณบอกว่าอย่างนั่นแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าทำงานของทั้งเขาและตัวเองเดินออกจากห้องไป

              แต่ไม่หยิบกุญแจรถของตัวเองไปด้วย...

              หมาป่าในคราบลูกเป็ดยกยิ้มคิดเข้าข้างตัวเองโดยตัดเอาเหตุผลที่ว่าเปลวอรุณรำคาญความดื้อของเขาออกเป็นว่าอีกคนใจอ่อนยอมเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เขาแทน

            อัมรินทร์ไม่รีรอรับจัดแจงทำตามคำพูดที่เปลวอรุณว่าทิ้งท้ายแล้วจัดการความเรียบร้อยส่วนตัวอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องตามอีกคนลงไปข้างล่างด้วยหน้าตาที่ดูจะเบิกบานจนออกนอกหน้า..เกินไปหน่อย..

 

              การติดฟิร์มกรองแสงสำหรับถือเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วทุกประเทศโดนเฉพาะประเทศไทยที่มีแสงแดดส่องตลอดวัน แต่ถึงจะติดทึบอย่างไรแต่มันก็ไม่ได้มืดขนาดที่ว่าคนภายนอกจะมองไม่เห็น

              ช่วงเวลาที่รถยนต์ของรองประธานหนุ่มขับเข้ามาในลานจอดรถแน่นอนว่าต้องมีรถยนต์ของพนักงานขับสวนผ่านแน่และเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านั้นจะไม่สังเกตเห็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างเปลวอรุณยิ่งเห็นว่าเขาก้มทำเป็นไม่สนใจขนาดไหนก็เหมือนว่าอัมรินทร์ยิ่งสนุกขับรถพาเขาวนทุกชั้นจอดรถเหมือนต้องการให้ทุกคนรับรู้ว่าพวกเขามาด้วยกันและเท่านั้นยังไม่พอ

              ตอนแรกที่อัมรินทร์ปลดเซฟตี้เบลออกแล้วเปิดประตูลงไปพร้อมสั่งยังไม่ลงจากรถเขาก็นึกสงสัยแต่พออีกคนมาปรากฏตัวอยู่ข้างประตูฝั่งที่เขานั่งอยู่นั่นแหละเขาถึงเข้าใจ

              “ลงมาสิเปลว” รอยยิ้มของอัมรินทร์ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเมื่อต้องเจอกับสายตาเชิงตั้งคำถามและประหลาดใจของพนักงานชายหญิงในละแวกนั้นที่หยุดมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกใจ ครั้นพอเขาหันกลับไปมองตอบคนพวกนั้นก็จะรีบก้มหน้ายิ้มทักทายเขาเหมือนปกติแต่ไม่ใช่กับ สายตา และ ความคิด

              ข่าวลือเรื่องสมพานหนุ่มที่ริอาจอยากจะกินไก่วัดในการปกครองของตนอย่างรองประธานอัมรินทร์กับเลขานุการส่วนตัวเปลวอรุณเป็นเรื่องที่พูดกันปากต่อปากมานานและดูเหมือนมันจะเริ่มฮิตกลับมาติดกระแสอีกครั้งหลังจากที่อัมรินทร์อุ้มเปลวอรุณขึ้นรถฉุกเฉินไปวันนั้น

            แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เปลวอรุณมาทำงานพร้อมอัมรินทร์โดยรองประธานหนุ่มเป็นสารถีให้แบบนี้แต่นี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่อัมรินทร์ดูจะออกนอกหน้ากับการมาทำงานพร้อมกันแบบนี้

              เหมือนว่าอัมรินทร์ต้องการเปิดตัวเปลวอรุณในอีกฐานะหนึ่งที่ไม่ใช่ เลขาหน้าห้อง

              ซึ่งนั้นก็ทำให้เปลวอรุณอยากหายตัวไปจากตรงหนีหลบออกจากสายตาผู้คนไปให้ถึงลิฟต์เร็วที่สุดแต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะในความเป็นจริงแล้วเปลวอรุณจอมขี้อายเดินก้มหน้าคางชินอกเหมือนคนเดินก้มหาเศษเหรียญตามพื้นไม่แม้จะเงยหน้ามองทาง ผิดกันกับคนข้างกายอย่างอัมรินทร์ที่โปรยยิ้มให้พนักงานทุกระดับตั้งแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ลานจอดจนถึงพนักงานบริษัทภายในตัวตึก

              และด้วยความเป็นห่วงกลัวคนที่เดินก้มหาเหรียญอยู่จะเผลอเดินชนใครเขาเข้าหรือหนักกว่านั้นคือเดินชนเสาจนหัวแตกหรือขนโต๊ะจนเป็นแผล

              ไวเท่าความคิดมือหนาของเขาก็ฉวยจับเข้าที่มือของเปลวอรุณทันที

คนตัวขาวดูเหมือนจะสะดุ้งตกใจอยู่เหมือนกันที่เขาทำอะไรโต้งๆแบบนี้กลางผู้คน แม้จะไม่มีใครพูดอะไรนอกจากยกมือปิดปากมือทาบอกแต่ลับหลังละใครจะรู้ ต่อให้เจ้านายดีแค่ไหนก็ต้องมีเรื่องให้ลูกน้องแอบเอามานินทาลับหลังได้เหมือนกัน

               “ทำอะไรของคุณเนี้ย” เปลวอรุณถามเสียงตื่นพยายามบิดมือออกจากมือที่ใหญ่กว่า

              “ก็เปลวเดินไม่มองทางเลยนี้ ฉันก็กลัวว่าเปลวจะเดินชนอะไรเข้า” อัมรินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างมาก แต่ขอละ หน้านะไม่ต้องยื่นเข้ามาจนจะชิดแบบนี้ก็ได้ เปลวอรุณร้องขอในใจ

              “ผมเดินเองได้” เหมือนแมวตัวน้องที่กำลังฟองตัวขู่ใส่ ไม่ได้น่ากลัวแต่น่ารักจนอยากแกล้งมากกว่าทำตาม

              อัมรินทร์ยิ้มลอยหน้าไม่สนใจเจตนาความต้องการของเปลวอรุณทั้งยังเพิ่มแรงจับมือขาวนุ่มนั่นให้แน่นกว่าเดิมแล้วพาเดินเข้าลิฟต์ไปทามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นนับสิบคู่ที่มองตามมา

            ชายหนุ่มจับมือเปลวอรุณอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อยแม้จะมีพนักงานเข้ามาทักทายพูดคุยด้วยยังไงหรืออีกคนจะพยายามบิดออกมากแค่ไหนจนเปลวอรุณเริ่มปลงและปล่อยเลยตามเลย กว่าอัมรินทร์จะพาเปลวอรุณมาถึงโต๊ะทำงานได้ก็หลังจากที่พาคนตัวขาวเดินทักทายคนทั้งบริษัทครบทุกแผนก

            เปลวอรุณรู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมากเพราะกว่าจะถึงโต๊ะได้ก็เกือบเก้าโมงครึ่ง ความตั้งใจแรกของเขาคือการนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานพร้อมดื่มน้ำสักแก้วลกความกระหายเหนื่อย

              แต่..

              “เดี๋ยวของกาแฟด้วยนะเปลว”  เปลวอรุณหันมามองหน้าอีกคนอย่างตั้งคำถาม

              “อีกแล้วหรอครับ ก่อนออกจากบ้านมาก็เพิ่งดื่มไป” เขาเอ็ดใส่ กินอะไรบ่อยขนานนี้

              “งั่นเป็นโกโก้ร้อนก็ได้”  อัมรินทร์แกว่งมือเปลวอรุณเบาๆเหมือนอ้อน

               ตอนแรกอัมรินทร์ก็ว่าจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไปเลยเพื่อให้เปลวอรุณได้นั่งพักถ้าไม่เพราะเขาเหลือบไปเห็นซองจดหมายสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะของอีกคนเสียก่อน

              ของใคร..

            โชคดีที่เปลวอรุณหันหลังให้โต๊ะอยู่เลยทำให้ไม่ทันสังเกตสิ่งแปลกปลอมที่มาวางอยู่ที่โต๊ะ ชายหนุ่มจึงคิดจะให้เปลวอรุณเข้าไปที่ครัวเล็กก่อนแล้วอาศัยจังหวะที่อีกคนไม่อยู่โต๊ะแอบหยิบจดหมายน้อยสีหวานนั้นออกมาก่อนที่เจ้าของตัวจริงจะมาเห็นมัน

              ถึงเรื่อชู้สาวพนักงานรักกันเองจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดระเบียบของบริษัทแต่อย่างใด แต่จะมาชู้สาวกับเลขาของเขาไม่ได้ เขาไม่ยอม

              “ถ้างั้นคุณอัมรินทร์เข้าไปรอในห้องก่อนแล้วกันนะครับผมของวางของก่อน”

              เปลวอรุณตอบกลับแล้วหันหลังให้อัมรินทร์ที่ยังไม่ทันอ้าปากค้านไปที่เก้าอี้ของตนแล้วทรุดตัวนั่งและนั่นก็ทำให้เปลวอรุณเห็นเจ้าซองจดหมายนั้นพอดี

              หัวคิ้วสวยย่นมองสิ่งวางอยู่กลางโต๊ะทำงานของตนอย่างฉงนก่อนจะหันมามองอัมรินทร์ด้วยสายตาเดียวกัน   อัมรินทร์ยกยิ้มแก้เก้อแล้วเปิดประตูเดินเข้าห้องไปแต่ก็ไม่วายหลบอยู่หลังประตูแง้มบานประตูให้พอที่สายตาของตนจะสามารถมองเห็นเปลวอรุณได้ถนัดตา

              ซองจดหมายสีชมพูหวานเป็นแบบปิดผนึกเปลวอรุณจึงต้องฉีกขอบตามแนวตั้งเพื่อนำกระดาษสีขาวที่อยู่ด้านในออกมา นัยน์ตาดำนิ่งหลังเลนส์แว่นไล่อ่านเนื้อความ

              อัมรินทร์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นมีเนื้อหาว่าอะไรแต่หัวคิ้วของเปลวอรุณที่ตอนแรกย่นชนกันเพราะความสงสัยถูกกดต่ำลงจนกลายเป็นเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังไม่พอใจสิ่งที่ได้อ่านและมือขาวขย้ำกระดาษแผ่นนั้นแทบจะทันทีที่อ่านจบง้างแขนพร้อมเตรียมปาเจ้าก้อนกระดาษนั้นลงถังขยะข้างๆแต่ก็ชะงักกลางอากาศอยู่อย่างนั้นสองสามครั้งก่อนที่เปลวอรุณจะตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ไปพร้อมกระดาษในมือด้วยใบหน้าคล้ายโกรธจัด

              อัมรินทร์ผลักประตูที่บังออกแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของเปลวอรุณ นัยน์ตาคมหรี่มองซองจดหมายที่ถูกฉีกออกหยิบขึ้นมาพิจารณานอกจาก “เลขารองประธาน เปลวอรุณ” ที่ถูกพิมพ์แล้วแปะทับด้วยก๊อตเทปใสแล้วแล้วเขาก็ไม่พบอะไรอื่นอีกที่สามารถระบุตัวคนส่งได้

              ตัดจดหมายรักไปได้เลย เพราะคงไม่มีใครพิมพ์ชื่ออีกฝ่ายที่จะบอกรักแบบนี้แน่ อย่างน้อยก็อัมรินทร์นี่แหละที่จะไม่พิมพ์

              แล้วมันเป็นจดหมายอะไรกันแน่ที่ต้องระวังตัวขนาดนี้แถมยังทำให้ใบหน้าขาวนั้นแดงจัดด้วยความโกรธขนาดนั้น...

 

              เวลาทำงานเปลวอรุณขึ้นชื่อเรื่องระเบียบความถูกต้องและใจความเป็นหลักแต่วันนี้ดูเหมือนมาตรฐานของเปลวอรุณจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณเอกสารทุกอย่างที่ต้องผ่านการพิจารณาถูกตีกลับเป็นว่าเล่นเช่นเดียวกับพนักงานเดินเอกสารที่สลับกันเดินหน้าเสียออกไปกันเป็นแถวเห็นแล้วอัมรินทร์เองก็นึกเห็นใจ

              “เปลวเป็นอะไรหรือเปล่า”  ดูท่าว่าวันนี้อัมรินทร์จะติดการถามคำถามซ้ำๆ

              “ไม่เป็นอะไรครับ” และเปลวอรุณเองก็ติดที่จะตอบแบบปัดๆด้วยคำตอบเดิมที่น้ำเสียงมันดูขัดแย้งกับคำว่า ไม่เป็นอะไร เป็นอย่างมาก

              “แต่วันนี้เปลวดูตึงๆไปนะ” อัมรินทร์พูดต่อตาก็จ้องมองเอกสารในมือสลับกับเหลือบมองคนตัวขาวที่นั่งจัดแต่งกิ่งต้นบอนไซจิ๋วที่ลูกตาลไปกลับขนมาให้เมื่อวานก่อนอยู่ตรงหน้าอ่างหินที่เขาทำไว้ให้

              “แถมดูเหมือนไม่พอใจอะไรด้วย” เปลวอรุณปลายตามองเขม็งเมื่อเจอคำถามจี้ใจ

            “มีอะไรก็บอกกันได้นะเปลว” อัมรินทร์เลือกที่จะวางเอกสารในมือแล้วกันมามองหน้าอีกคนตรงๆแทนอย่างให้ความสำคัญ

              “ไม่มีครับ”

               ผู้ร้ายปากแข็ง อัมรินทร์ปรามาสในใจใส่อีกคน

               เปลวอรุณวางต้นบอนไซจิ๋วในมือลงกับโต๊ะเสริมที่อัมรินทร์ยกมาวางข้างๆโต๊ะวางอ่างหินแล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบชุดสำหรับใส่นอนแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไปไม่พูดไม่จา

               เปลวอรุณไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังเรื่องนี้เขาก็พอรู้อยู่แต่เรื่องมันก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

              อัมรินทร์ถอนให้ใจยอมแพ้ให้กับความปากแข็งของคนตัวขาว

              ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เปลวอรุณพูดกับเขาแทบนับคำได้ ไม่ถามคือไม่ตอบ ไม่ใช่กับเขาเท่านั้นกับลูกตาลหรืออนิรุทธิ์เองก็เป็นเหมือนกัน

              “จดหมายนั้นมาจากใคร” อัมรินทร์พึมพำปลายนิ้วยกขึ้นมาถูไปมาที่คางอย่างใช้ความคิด

               

              สามวันกับการหาคำตอบที่ผลคือ คว้าน้ำเหลว...

              ไม่มีใครรู้ว่าจดหมายนั้นใครเป็นคนส่งมา

              ไม่มีใครรู้ว่ามันมาว่างอยู่บนโต๊ะของเปลวอรุณได้อย่างไร

              และเศษซากของมันก็ไม่สามารถตอบคำถามของอัมรินทร์ได้เช่นกัน

              ใช่ ‘เศษซาก’ เพราะนอกจากมันจะถูกขย้ำจนยับยู่แล้วเปลวอรุณยังเพิ่มแรงแค้นใส่มันโดยการฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วราดน้ำใส่ก่อนจะปั้นมันเป็นก้อนแล้วโยนลงถังขยะในห้องน้ำ น้ำหมึกที่ใช้เขียนเลอะจนมองไม่ออกว่าแต่ก่อนมันถูกใช้เขียนเป็นคำว่าอะไรอีกทั้งยังเละจนไม่รู้จะหาทางกู้มันคืนกลับมาได้ยังไง และอีกอย่างที่ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกคือ เปลวอรุณร้องไห้ 

              คนที่โกรธจนร้องไห้ได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆมันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงหรือไม่ก็กระทบต่อจิตใจโดยตรง  สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือเจ้าของจดหมายฉบับนั้นอาจเป็นคนเดียวกับเจ้าของเบอร์ล็อคเบอร์นั้น

               คนในความลับของเปลว...

              ความเป็นไปได้ที่อัมรินทร์ อนิรุทธิ์ และลิลดา ลงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด

              “น่าแปลกนะที่คนคนนั้นสามารถเข้ามาถึงหน้าของอันได้โดยที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับได้เลยสักตัว” ความแปลกใจที่ลิลดาฉุดคิดขึ้นคือสิ่งที่ตัวอัมรินทร์เองคิดอยู่เช่นกัน

              อัมรินทร์สั่งเรียกดูกล้องวงจรปิดย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันศุกร์หลังเลิกงานจนถึงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่พบอะไร กล้องทุกตัวทำงานปกติไม่มีดับแต่กลับจับภาพคนวางไม่ได้เหมือนว่าอยู่ๆมันก็มาเองทั้งโต๊ะทำงานของเปลวอรุณคือจุดที่สามารถเก็บภาพได้ชัดที่สุด

              “แต่นอกจากจดหมายฉบับนั้นแล้วข้าวของอย่างอื่นก็ไม่มีการเคลื่อนที่ แสดงว่าคนทำเจาะจงที่จะมาหาเปลวโดยเฉพาะ” อนิรุทธิ์ลงความเห็น

              “แล้วมันมาเพื่ออะไรอีก มันเป็นคนทอดทิ้งเปลวเองนะ” อัมรินทร์ดูจะหัวเสียเป็นอย่างมาถึงขึ้นกระแทรกเสียงใส่ผู้ร่วมสนทนาจนอนิรุทธิ์ต้องออกปากปรามให้น้องชายสงบลงเพราะเกรงว่าคนที่พูดถึงจะเดินออกจากครัวมาได้ยินเข้า

              “ไม่รู้ละ ตอนนี้เปลวเป็นของกูยังไงกูก็ไม่มีทางให้มันเอาเปลวไปแน่” อัมรินทร์ยื่นคำขาดเสียงหนัก

              “แล้วมึงจะทำอะไรได้ มึงอย่าลืมสิวะว่ามึงเอาเขามาอยู่ด้วยเพราะอะไรอีกอย่างมึงกับเปลวก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเจ้านายกับลูกน้อง คนที่นอนเตียงเดียวกันเฉยๆเขาไม่เรียกว่าได้กันแล้วหรอกนะไอ้อัน”

              “แต่เปลวเป็นของกู”  อัมรินทร์จ้องตาลูกพี่ลูกน้องหนุ่มอย่างเอาเรื่อง

              “น่าๆ ทั้งสองคนอย่างเสียงดังกันสิค่อยๆพูดค่อยๆจา” หนึ่งหญิงเพียงคนเดียวในห้องยกมือขึ้นปรามสองพี่น้องที่จ้องตากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ใจเย็น

              “เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ยิ่งกับคุณเปลวด้วยแล้วลิลว่าคงยากที่เขาจะยอมอันง่ายๆถูกไหม”  เธอหันมาถามอัมรินทร์ที่ท้ายประโยค

              “แถมมึงก็ไม่ได้พาเขาเข้าบ้านด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ด้วย” อนิรุทธิ์เสริมคล้ายหาเรื่อง

              อัมรินทร์กัดฟันแน่น

              “อย่าเพิ่งกัดกันจะได้ไหม” ลิลดาขึ้นเสียงบ้างอย่างเหลือทน

              “ลิลรู้ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคุณเปลวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” เธอพูดพร้อยย้ายฝั่งที่นั่งจากข้างอนิรุทธิ์มาเป็นที่วางข้างอัมรินทร์พร้อมยกมือตบไหล่ของเพื่อนชายคนสนิท

              “แต่อันไม่ต้องห่วงไปนะลิลเชื่อว่าเดี๋ยวคุณเปลวต้องใจอ่อนให้อันเองนั่นแหละ” ลิลดายิ้มหวานปลอบใจเพื่อน

              “แล้วเมื่อไรละ ต้องรอให้มันโผล่หน้าเป็นตัวเป็นตนตรงหน้าก่อนไหมเปลวถึงจะยอม” อัมรินทร์ใจร้อนเรื่องนี้เธอรู้ดี ยิ่งสถานกาณ์แบบนี้ด้วยแล้วไม่แปลกที่อัมรินทร์จะร้อนรน

              “อันต้องพูดคุยกับคุณเปลว เปิดใจอะไรแบบนี้” เธอเสนอ

              “เปิดใจเรื่องอะไร เรื่องที่ฉันโกหกเขานะหรอ”

              “เรื่องทั่วไปสิ ช่วงนี้คุณเปลวกำลังอ่อนไหวอันต้องรีบทำคะแนน” จริงอยู่ที่ว่าตั้งแต่อัมรินทร์เห็นเปลวอรุณร้องไห้ในห้องน้ำวันนี้เปลวอรุณดูซึมลงและเข้าถึงยากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่จะให้เข้าไปพูดอะไรด้วยละเพราะแค่นี้ทุกวันเขาชวนคุยอีกฝ่ายก็หันหลังหนีชิงหลับหนีก่อนเขาทุกที

            “เดี๋ยวเรื่องนี้ลิลจะช่วยอันเอง” ลิลดาคลี่ยิ้มหวาน

              “ช่วยหรอ” อัมรินทร์ทวน

              “ใช่ แต่ลิลมาข้อแลกเปลี่ยน” เธอแบรค

              “อยากได้อะไร” อัมรินทร์หรี่ตาถาม

              เจ้าหล่อนไม่ตอบนอกจากส่งยิ้มกรุมกริมมาให้พร้อมปรายตาไปทางอนิรุทธิ์เป็นเชิงตอบ อัมรินทร์เองก็ไม่ใช่คนซื่อที่จะไม่รู้ว่าหญิงสาวต้องการอะไร

              “ได้”  อัมรินทร์รับคำ หยักคิ้วหลิ่วตามองพี่ชายคล้ายสะใจ

              “เดี๋ยวๆ มึงกับลิลคิดจะแลกเปลี่ยนอะไรแล้วทำไมต้องมองกูแบบนั้น” อนิรุทธิ์รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆจนแทบนั่งไม่ติดที่เห็นทั้งคู่หันมามองตนด้วยสายตามีนัยยะแบบนี้

              “มึงนะเงียบไปเลยไอ้รุทธิ์ไม่ช่วยอะไรแล้วยังเกทัพกูอีก” คนน้องชี้หน้าสั่ง  “ลิลว่ามาเลยว่าจะให้ทำไรบ้าง” แล้วหันไปพูดเสียงอ่อนกับสาวข้างกาย

              ลิลดายิ้ม

              มื้อนี้เปลวอรุณลงมือทำเองโดยมีลูกตาลกับแม่บ้านช่วยเป็นลูกมือทำให้อาหารดูหลากหลายขึ้นอย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจลิลดาที่ครั้งก่อนต้องเป็นหม้ายไม่ได้ฉลองอย่างที่ตนต้องการ และดูเหมือนว่าลิลดาจะชอบรสมือของเปลวอรุณพอควรเพราะนอกจากชมไม่หยุดปากแล้วเธอยังของเพิ่มข้าวเพื่อกินกับที่เปลวอรุณทำจนหมดจนลืมไปเลยว่าตอนที่มาถึงบ้านนี้ตอนแรกเธอตีหน้าเศร้าสะเทือนอารมณ์คนมองขนาดไหนที่จะพลาดงานฉลองครั้งก่อน

              “คุณเปลวไม่ดื่มด้วยกันจริงๆหรอ” ลิลดาเอ่ยถามพลางพยายามเชิญชวนให้เปลวอรุณรับแก้วไวน์ในมือของเธอไป

              “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ชอบดื่มแถมพรุ่งนี้ต้องทำงานด้วย” เปลวอรุณปฏิเสธอย่างนอบน้อมที่สุด

              “ถ้างั้นเอาเป็นน้ำผลไม้แทนนะคะ”

              ครั้งนี้เปลวอรุณพยักหน้ายอมรับน้ำใจ หญิงสาวคลี่ยิ้มก่อนลุกขึ้นไปหลังเคาร์เตอร์หยิบน้ำผลไม้สดที่เธอซื้อติดมือก่อนเข้ามาเทใส่แก้วให้เปลวอรุณพร้อมของขวัญพิเศษที่เธอได้มาลงไปด้วย

              “นี้ค่ะ”  เธอเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำผลไม้สองแก้ว แก้วหนึ่งเธอส่งให้แม่บ้านที่ยืนอยู่เพื่อฝากให้เอาขึ้นไปให้ลูกตาลที่ขอตัวขึ้นบ้านไปก่อนตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จ  ส่วนอีกแล้วนำมาให้เปลวอรุณที่นั่งรออยู่

เปลวอรุณกล่าวขอบคุณพร้อมรับเอาแก้วน้ำผลไม้อีกแก้วที่ถูกส่งมาให้

              “เห็นอันบอกว่าคุณเปลวชอบดื่มน้ำผลไม้ตอนเช้าลิลเลยซื้อมาฝาก อร่อยไหมคะ”

              “ครับ”

                ลิลดายิ้มพอใจ

               รสชาติเปรี้ยวอมหวานของน้ำผลไม้สดที่น่าจะเป็นพวกเบอรี่เย็นฉ่ำช่วยให้เขารู้สึกสดชื้นขึ้นเพราะแบบนี้ไงละเขาถึงชอบดื่มน้ำผลไม้เย็นๆตอนเช้า แต่ก็ไม่รังเกลียดถ้าจะได้ดื่มมันหลังมื้อเย็นอีกเช่นกัน

              หัวข้อสนทนาที่ลิลดาหยิบยกขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ชวนเปลวอรุณที่เอาแต่นั่งเซื่องซึมคุยเสียเป็นส่วนใหญ่  และดูเหมือนว่าจะได้ผลเปลวอรุณดูจะมีส่วนร่วมมากขึ้น

              อัมรินทร์มองเสี่ยวหน้าคนข้างกายแล้วก็พอคลายกังวลลงบ้างที่เห็นว่าเปลวอรุณเริ่มโต้ตอบตั้งคำถามในบนสนทนาบ้างแบบนี้บางทีอาจเพราะได้เพื่อนคุยเป็นลิลดาที่คุยสนุกด้วยเลยทำให้เปลวอรุณไม่เขินเกร็งเวลาร่วมวงกับพวกเขาเพราะปกติเปลวอรุณจะไม่ค่อยนั่งคุยหลังกินข้าวกับเขาและอนิรุทธิ์เท่าไร น่าจะเพราะยังไม่คุ้ยเคย..

              “รุทธิ์ค่ะ ลิลว่าลิลเริ่มมึนๆแล้วคืนนี้ขอค้างที่นี้จะได้ไหมคะ” ลิลดาฟุบหน้าลงกับโต๊ะพูดขึ้น

              “ก็บอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะ” อนิรุทธิ์เอ็ดใส่เหมือนดุเด็กก่อนจะหันไปหาแม่บ้านให้ขึ้นไปเปิดห้องนอนแขกแล้วเตรียมเสื้อผ้าเปลี่ยนให้หญิงสาว

              “นานๆทีน่า” ใบหน้าหวานที่เกยคางกันขอบโต๊ะขึ้นสีจางๆเพราะแอลกอฮอล์จากการหมักของไวน์แม้จะไม่ถึงกับเมาไปเลยแต่ก็พอมึนให้ทัศนวิสัยไม่ปกติได้

              “เดี๋ยวกูพาลิลขึ้นไปพักก่อน มึงก็พอได้แล้วพรุ่งนี้มึงต้องทำงาน” อนิรุทธิ์หันมาปรามน้องชายที่ยังคงละเลียดจิบไวน์อยู่ ก่อนจะหันไปช้อนตัวลิลดาขึ้นอุ้มแล้วพาขึ้นไปพักที่ด้านบน

              “รู้แล้วๆ เปลวจะขึ้นบ้านเลยไหม”

              เปลวอรุณพยักหน้า อัมรินทร์ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มที่เหลือรวดเดียวจนหมดก่อนจะฝากฝั่งความเรียบร้อยของบ้านไว้ให้ลุงอุ่นจัดการส่วนตนก็เดินตามเปลวอรุณกลับขึ้นห้องนอนของพวกเขา

______________________________________________________________________

นอนกันยัง
มาดึกไปหน่อยยังมีใครอยู่เป็นนกฮูกกับเราบ้างงง



ปมใหม่มาแล้วเรื่องของอันอันกำลังจะแดงแล้วเช่นกัน

Oop
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 15- 16/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-07-2017 03:40:19
เปลวโดนมอมยาแน่ๆเลย อิอิ อุ้ย แอบเชียร์ให้เสียตัว 5555555
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 15- 16/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 16-07-2017 09:22:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 15- 16/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-07-2017 09:17:10
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 15- 16/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-07-2017 11:17:04
 :katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 16- 18/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-07-2017 00:47:24

เป็นหนี้ ครั้งที่ 16


        ไฟในห้องนอนถูกดับลงแล้วเมื่อครู่แต่ดวงตาของเปลวอรุณกลับยังสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดที่สายตายังไม่สามารถปรับให้ชินได้ ความพร่าเบลอของสายตายามที่ไม่มีเลนส์คอยช่วยแม้จะไม่มากแต่ก็พอทำให้รู้สึกว่าเงาตะคุ่มสูงใหญ่ของอัมรินทร์ที่กำลังเดินตรงมาที่เตียงนั้นดูน่ากลัว  จนใจสั่น...

   ถึงภาพที่เห็นจะมั่วเบลอไม่ชัดแต่เขากลับมองทุกการกระทำของเงาดำที่เดินเข้ามาใกล้ทุกการกระทำจนร่างสูงใหญ่นั้นทรุดตัวลงตรงที่ว่างด้านข้างจนเกินแรงยวบของที่นอนสปริง รอยยิ้มในความมืดถูกแย้มส่งมาให้แต่เขาเลือกที่จะแสร้งพลิกตัวหนีจากสิ่งตรงหน้า

   “นอนไม่หลับหรอ” เสียงทุ่มอ่อนโยนแม้ไม่ดังมากแต่ก็กังวานชัดในความมืด

   เปลวอุญไม่ยอมตอบคำถามนั้นซ้ำยังกระชับผ้าห่มขึ้นสูงถึงปลายคางเหมือนไม่อยากจะสนทนาแล้ว
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่คืนนี้หรอกที่เขานอนไม่หลับแต่เป็นตั้งแต่วันที่ได้จดหมายฉบับนั้นแล้วต่างหากที่ทำให้ใต้ตาของเขาหมองคล้ำ ทุกครั้งที่พอเขาจะหลับตาลงเนื้อความในจดหมายในนั้นก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวเมื่อว่าเพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่ ใจเขานั้นอยากที่จะปล่อยวางเรื่องพวกนี้ลงหากแต่สมองมันกลับจำเรื่องที่ว่าแทบทั้งหมด ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด มันยังชัดอยู่จนยากที่จะข่มตาหลับไม่ลงได้ อัมรินทร์เองก็พลอยเป็นห่วงจนนอนไม่หลับตามไปด้วยอีกคน

   ไม่ใช่เพราะเปลวอรุณนอนพลิกตัวไปมาจนทำให้คนร่วมเตียงอย่างอัมรินทร์ตื่น แต่จริงๆแล้วคืออัมรินทร์นั้นไม่ได้หลับมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก

   เพราะอีกคนเอาแต่เหม่อจนไม่ทันสังเกตว่าในความมืดยังมีดวงตาของเขาส่องสว่างอยู่ข้างๆ อัมรินทร์ไม่ใช่คนดีเต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้ใจแข็งพอที่จะทนนอนมองดูเปลวอรุณอับแสงได้เช่นกัน

   เปลวอรุณของเขาต้องส่องสว่างเป็นกุหลาบน้ำแข็งสีสดที่กระทบแสงแล้วเปล่งประกายไม่ใช่กุหลาบบ้านๆไร้ราศีแบบนี้

   “เป็นอะไรหรือเปล่า” ท่อนแขนหนาข้างหนึ่งสอดลองใต้คอ ส่วนอีกข้างรั้งเอวบางเข้ามาจนแผ่นหลังแบนชิดกับแผ่นอกของเขาที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลัง อัมรินทร์ทำเหมือนที่ตนแกล้มหลับแล้วละเมอทำเป็นสวมกอดอีกคนจากด้านหลังเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา

   “เปล่าครับ” ใบหน้าขาวกระจ่างแลดูเหนียมอายใบหูเริ่มระเรือขึ้นสีกลางความมืด

   “เปลวโกหกไม่เก่งหรอกนะ” ยิ่งอัมรินทร์กระซิบที่ข้างหูใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้งเหมือนตื่นเต้น

   “มีเรื่องอะไรกวนใจอยู่บอกฉันได้นะ” เขาอยากเป็นคนที่เปลวอรุณจะสามารถแบ่งความกังวลให้ได้บ้าง
 
   แต่เปลวอรุณก็ยังคงเม้มปากแน่นไม่ยอมพูด

   อย่างที่ลิลดาว่าเอาไว้ว่าตอนนี้เปลวอรุณกำลังอ่อนไหวอยู่และเขาก็ควรที่จะรีบทำคะแนนเอาใจอีกคน

   “บอกฉัน ให้ฉันได้ช่วยเปลวเถอะ” อัมรินทร์กดจูบลงที่ข้างขมับกระชับแรงกอดให้แน่นสร้างห่วงรัดแสนอบอุ่นให้อีกคนวางใจ

   นัยน์ตากลมฉายความลังเลออกมาอย่างแจ่มชัดแต่ก็ยังพลิกกายหับกลับมาสบตาอีกฝ่ายในความมืด ตอนนี้ดวงตาของเขาสามารถปรับเข้ากับความมืดยามไร้แสงไฟได้แล้วใบหน้าคมคายที่อยู่ใกล้ก็ชัดพอที่ทำให้คนสายตาสั้นอย่างเขามองชัดเก็บรายละเอียดได้

   “คุณไม่ได้มีอะไรปิดบังผมอยู่ใช่ไหมครับ”

   น้ำเสียงที่ไม่ได้เน้นหนักอย่างคาดคั้นเอาคำตอบออกจะเป็นน้ำเสียงขาดความมั่นใจเสียด้วยซ้ำไปแต่กลับกระตุกหัวใจอัมรินทร์ให้หายวาบได้เป็นอย่างดี

   “อะไรทำให้เปลวคิดอย่างนั้น” เขาถาม ไล่เกลี่ยลอยผมที่หล่นปกหน้าปกตาอีกคนเล่น

    “ผมแค่อยากรู้” คำลงท้ายจดหมายที่ว่า ‘มั่นใจหรอว่าคนที่เขาช่วยเขาไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่’ ถึงจะไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรให้เขารู้

   “ก็เยอะอยู่นะ” อัมรินทร์ตอบน้ำเสียงทีเล่นทีจริงคล้ายไม่สนใจ

   “เรื่องที่ผมมาอยู่ที่นี้ด้วยหรือเปล่า” เขาถาม

   “ถ้าฉันตอบว่า ใช่ เปลวจะยังนอนอยู่ตรงนี้อีกไหม แล้วถ้าฉันตอบว่า ไม่ เปลวจะยอมอยู่กับฉันต่อไหม” คนตอบลูบแก้มเนียนอย่างเบามือ

   ถึงจะรู้ว่าอัมรินทร์ฉวยโอกาสเรื่องหนี้สินไล่ต้อนเขาจนเขาต้องยอมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้แล้วยังจะมีเรื่องอะไรอีกคนคนตรงหน้าเขากำลังปิดบัง

   “ฉันอยากให้เปลวมาอยู่กับฉันที่นี้ ฉันได้เปลวมาเป็นของฉันฉันถึงได้ควักเงินก้อนโตจ่ายหนี้ให้บีบบังคับแม้จะรู้ว่าจะทำให้เปลวโกรธฉันก็ยอมเพื่อให้เปลวยอมมาอยู่ด้วย” ความจริงกึ่งหนึ่งที่ออกมาจากปากของเขาทำเอาคนฟังรู้สึกร้อนไปทั่วกาย

   “ฉันหลงเปลวมานานมองเปลวมาตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก สามปีเลยนะที่ฉันรอเปลวหันมา” อัมรินทร์กรีดยิ้มนึกขำการกระทำตลอดเวลาที่ผ่านมาของตน

   แอบตามไปถึงบ้านได้เห็นแค่หลังคาก็ยังดี แอบมาดูว่าอีกคนชอบอะไรแล้วเอามาทำตาม เหมือนเด็กวัยรุ่นหันมีความรัก...

   รักแรกแสนหวานด้วยสิ...

   “ฉันเป็นพวกความอดทนต่ำแต่ฉันก็รอเปลวมานานพอตัวเลย แค่ไม่อยากรออีกเลยต้องใช้วิธีนี้” น้ำเสียงทุ่มอ่อนที่ดังออกมากับริมฝีปากที่กดค้างไว้ที่ข้างแก้มเหมือนวิงวอนยามสารภาพความผิดขอให้ลดโทษ

   ใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจว่าอุณหภูมิภายในตัวเขาเองที่เพิ่มขึ้นหรือเครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานไม่ปกติเขารู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแต่ถึงจะร้อนแต่เขากลับชอบและดีใจที่อัมรินทร์กอดเขาไว้

        “ผมไว้ใจคุณได้มากแค่ไหนกันคุณอัมรินทร์”

   “...”

   “ผมสามารถเชื่อใจได้ไหมว่าคุณจะไม่ทิ้งผมเหมือนที่ใครทำ”

   อัมรินทร์ไม่กล้าตอบคำถามนั้น ความจริงอีกครึ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่กล้าตอบออกไปอย่างเต็มปากว่าสามารถให้อีกคนเชื่อใจได้เพราะเมื่อเปลวอรุณรู้ความจริงเขาจะไม่ใช่คนที่เปลวอรุณไว้ใจได้อีก แต่

   “ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่ใช่คนที่ทิ้งเปลวให้อยู่คนเดียว” เขามั่นใจเต็มที่และรับคำอย่างหนักแน่น

   “ฉันอาจมีเรื่องที่ปิดบังเปลวอยู่บ้างแต่ฉันบอกได้เลยว่าทุกเรื่องที่อยู่ในหัวฉันคือเรื่องของเปลว” อัมรินทร์ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ไม่ใช่แบบเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างที่เจ้าตัวขอบทำ ไม่ใช่ยกยิ้มมุมปากเหมือนปกติ แต่เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเพื่อเปลวอรุณจากใจจริง

   เขาสัมผัสได้แบบนั้น...

   ถ้าเขาจะเสี่ยงยอมเชื่ออัมรินทร์สักครั้งจะได้ไหม..

   ความอ่อนโยนแสนแปลกกับคำพูดหวานหูทำเอาสมองของเปลวอรุณเริ่มเบลอคล้ายจะหยุดการทำงานร่างกายเริ่มขยับไปเองโดยไม่รู้สึกสึก สองมือเรียวขาวยกขึ้นมาประคองใบหน้าคมไว้นิ่งช่วยฉงนแก่คนโดนสัมผัสและยิ่งตกใจกว่าเมื่อใบหน้าขาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ประทับริมฝีปากบางแนบชิดกับของเขา

           ทุกอย่างเกิดขึ้นและหยุดนิ่ง...

         อัมรินทร์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อไม่คิดฝันว่าเปลวอรุณคนนี้จะเริ่มก่อนจนคิดว่าเป็นแค่ฝันที่เขาอุปาทานขึ้นเองถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสอุ่นร้อนของผิวกายที่แทรกผ่านสาบเสื้อของอีกคนที่ยืนยันชัดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง
เปลวอรุณจูบเขา..

   ฝ่ามือหนาสอดเข้าผ่านขอบเสื้อนอนผ้าลื่นลูบเบาๆที่บั้นเอวลากผ่านมายังสี่ข้างไล่ฝ่ามือขึ้นมาจบขอบเสื้อนอนเลิกขึ้นเห็นช่วงเอวขาวก่อนตวัดพลิกตัวขึ้นมาคร่อมอีกคนจนริมฝีปากที่แนบกันอยู่แยกจากกัน

   “รู้ตัวหรือเปล่าเปลวว่ากำลังทำอะไร” อัมรินทร์เสียงเครียด เขาไม่ใช่คนความอดทนสูงอย่างที่เคยบอก เขายั้งมือคุ้มสติตัวเองได้ในครั้งนั้นได้เพราะอีกคนกลัวจนตัวสั่นแต่ใช่ว่าครั้งนี้เขาจะทำได้อีกถ้าอีกคนยังทำแบบนี้อยู่

   “รู้”

         สติของเปลวอรุณมีอยู่ครบถ้วนจำได้ทุกการกระทำว่าตนทำอะไรไปบ้าง แค่ไม่สามารถหักห้ามไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึกก็เท่านั้น เหมือนมันออกมาจากความต้องการลึกๆจนยากจะห้ามปราม

   “เรากำลังคุยเรื่องที่เปลวนอนไม่หลับกันอยู่นะ” อัมรินทร์พูดขึ้นเหมือนเตือนสติทั้งตัวเขาเองและคนใต้ล่าง หากแต่มือกลับกำลังปลดกระดุมเสื้อนอนนั้นออกที่ละเม็ดอย่างใจเย็นขัดกับคำพูดที่ออกมาและอีกคนก็ไม่คิดปัดป้อง

   “บอกได้ไหมว่าคิดอะไรอยู่”

   “เรื่องเก่าๆ” เปลวอรุณหันหน้าหนีไม่สบตายามตอบ ขนอ่อนตามร่างกายลุกชันเมื่ออัมรินทร์แยกขอบเสื้อทั้งสองข้างออกจากกันทำให้ผิวกายร้อนผ่าวของเขาออกมาสัมผัสกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

   “เล่าให้ฉันฟังได้ไหม”  อัมรินทร์ถามขณะก้มลงซุกหน้าลงที่ซอกคอ

   “ผมไม่อยากพูดถึงมันอีก” ไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว

   “ไม่เป็นไร” เขาพึมพำ

   จากซอกคอไล่ขึ้นไปที่ปลายคาง มุมปาก แก้ม และขมับ กดจูบย้ำๆอยู่อย่างนั้นเหมือนให้แน่ใจ รูปร่างของเปลวอรุณไม่ได้บอบบางร่างน้อยก็แค่หุ่นของผู้ชายที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายไม่มีกล้ามเนื้อแข็งๆมีแต่ผิวนุ่มลื่นมือที่สำคัญเปลวอรุณเป็นคนตัวอุ่นทุกคืนเขาชอบที่จะนอนกอดอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขนเหมือนเป็นฮีตเตอร์ทำความร้อนส่วนตัวแต่วันนี้ร่างกายของอีกคนดูจะร้อนกว่าปกติมาเล็กน้อย

   “ถ้าไม่ต้องการก็รีบพูดออกมานะเปลว ฉันไม่บังคับ” แม้ปลายนิ้วจะวาดเกี่ยวอยู่แถวขอบกางเกงนอนอีกฝ่ายหนึ่งแล้วก็ตามที

   ใบหน้าขาวแดงก่ำถึงจะไม่ประสากับเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้อ่อนเดียงสาเกินจะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่มันเหมือนคนน้ำท้วมปากอยากร้องออกปากห้ามแต่สองแขนกลับยกโอบรอบคอรั้งอีกคนลงมาจูบเสียอย่างนั้น

   เหมือนสัญญาณบอกอัมรินทร์ไม่รอช้าสอดแขนรองใต้เอวกระชับตัวอีกคนให้แนบชิดติดกับเขามาขึ้นดูดดึงริมฝีปากบางและลิ้นสีแดงสดภายในโพงปากแล้วกระชากกางเกงนอนขาวยาวกับอันเดอร์แวร์สีขาวของเปลวอรุณออกไปเหวี่ยงไว้ข้างเตียง

   ปลายลิ้นร้อนเริ่มลุกหนักกวาดไล่เพดานช่องปากไรฟันเกี่ยวตวัดปลายลิ้นของเปลวอรุณอย่างไม่ลดละจนอีกคนไม่มีเวลาสนใจกับความเย็นโล่งที่ท่อนล่าง

              เส้นผมของอัมรินทร์ถูกจิกทึ้งอยู่หลายครั้งเมื่อเปลวอรุณเริ่มหายใจตามไม่ทัน เขาไม่โกรธแต่กลับยิ่งพอใจ หัวใจฟองโตจนคับอกของเขาสูบฉีดเลือดอย่างหนักเช่นเดียวกับบางสิ่งใต้ร่มผ้าที่เริ่มเกร็งตัวแน่นคับ

              กำปั้นอ่อนแรงทุบอกเขาคล้ายประท้วงจนต้องยอมปล่อยอีกคนเป็นอิสระแต่กระนั้นอัมรินทร์ก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่แถมริมฝีปากล่างขมดูดเบาๆจนแดงก่อนย้ายไปที่มุมปากและซอกคออีกข้างแล้วกดจูบย้ำซ้ำๆจนขึ้นรอย

             “คุณอัมรินทร์..ผม”

            “เรียกฉันว่า อัน ได้ไหม” อัมรินทร์แล้วเปลี่ยนมาจูบเบาๆบนท่อนแขนที่พาดอยู่ที่ไหล่

             “คุณอัน..อ๊า”

              ความเสี่ยวซ่านเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อจบคำ ฝ่ามือหนาของอัมรินทร์ลูบผิวเนื้อของเขาตั้งแต่ข้อพับขึ้นมาถึงโคนขาอ่อนด้านในจนเปลวอรุณหลุดครางเสียงออกมาหน้าแดงจนรีบชักมือกลับมาปิดปากอย่างตกใจ

              “ไม่ต้องอาย นอกจากฉันแล้วไม่มีใครได้ยินเสียงของเปลวหรอกนะ” ห้องของเขาเก็บเสียงได้ดีต่อให้เปลวอรุณครางจนเสียงหายคออักเสบยังไงก็ไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน เขารับประกันได้

             อัมรินทร์หัวเราะต่ำๆในลำคอมองคนตัวขาวในความมืดใบหน้าขาวที่ซ้อนอยู่หลังท่อนแขนเรียวไม่ต้องยกมือขึ้นมาปิดเขาก็รู้ว่ามันแดงจัดขนาดไหนแผ่นอกบางที่มีเสื้อนอนปิดพอหมิ่นเหม่ยอดอกเล็กเล็กแข็งตัวเป็นไตอดไม่ได้จริงๆที่ไม่ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ย
              “อืม..”

              คนขี้อายก็ยังคงขี้อายแม้เวลาแบบนี้เปลวอรุณก็ยังจะพยายามกลั้นเสียตัวเองอย่างสุดความสามารถ อัมรินทร์ยกมุมปากเจ้าเล่ห์ดึงปราการสุดท้ายที่ติดกายขาวนั้นออกแม้อีกคนจะยื้อเอาไว้สุดตัวแต่ตัวเขาที่มีแรงมากกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ

            ไร้สิ่งปกปิดเปลวอรุณก็ยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีกในสายตาของเขา...

           ทุกส่วนดูน่าขย้ำทำรอยยิ่งตัวขาวๆอย่างนี้รอยรักที่เขาฝากไว้ตรงลำคอจึงดูเด่นขึ้นมาในความมืด อยากจะทำอีกสักที่สองที่ที่ยอดอกสวยแต่สายตากลับรู้สึกขัดกับบางสิ่ง

             ท่อนขาขาวเบียดตัวเข้าหากันแน่นชั่งดูขัดตา

             อัมรินทร์ยืดหลังตรงจับหัวเข่าทั้งสองหมายจะแยกมันให้ออกจากกัน แต่เปลวอรุณขื่นไว้  ดวงตาสีดำหรี่มองคนที่นอนตัวแดงเป็นลูกหนูอย่างขัดใจ

          เปลวครับ ไม่ดื้นสิ” เขาพูดพร้อมลูบมือไปตามต้นขาอ่อน

         เปลวอรุณขี้อายจอมดื้อไม่ทำตาม อัมรินทร์ไม่ว่าแต่แทรกฝ่ามือลงไปที่ร่องขาแล้วนาบมันกับส่วนลับของเปลวอรุณที่เริ่มปริ่มน้ำใสที่ปลายยอม

         อะไรจะความรู้สึกเร็วขนาดนี้..

         “คุณอัน!” เปลวอรุณร้องเสียงหลงเบียดขาเข้าหากันแน่นกว่าเดิมพร้อมเด้งกายขึ้นจนตัวงอ  กลายเป็นว่าส่วนลับของเปลวอรุณแนบชิดเต็มฝ่ามือร้อนหนาของอัมรินทร์

          “ว่าไงครับ” เจ้าตัวร้ายแสร้งทำเสียงถาม เคลื่อนตัวเขาประชิดโดยที่มือยังไม่ละไปจากส่วนสงวนของอีกคน

          “เอามือออกไป” เปลวอรุณกลั้นใจพูดเสียงแหบกระตุ้นอารมณ์จนอัมรินทร์อดใจจูบลงหัวไหล่มนไม่ได้

          “ก็เปลวหนีบมือฉันเอาไว้เองนี้น่า” ไม่ว่าเปล่าอัมรินทร์ยังโยกมือที่จับส่วนตรงนั้นของเปลวอรุณไปมาจนอีกคนครางอื้อในลำคอ
          “อ้าออกหน่อยได้ไหม ฉันจะได้เอามือออก” เขากระซิบจงใจใช้เสียงในลำคอกระตุ้นอีกคน

         เปลวอรุณยอมทำตามแต่อัมรินทร์กลับไม่ทำตามที่พูดเลื่อนผ่ามือลงผ่านพวงสวรรค์พวงน้อยอ้อมไปหาช่องทางกุหลาบอวบตูบด้านหลังที่ครั้งหนึ่งเคยได้ทักทาย

        “คุณอัน คุณจะทำอะไร”  เปลวอรุณร้องเสียงหลง ครั้งนี้อัมรินทร์ก็ไม่ยอมหยุดกลางคันเหมือนครั้งที่แล้วแน่ เขาโอบไหล่อีกคนเข้าหาตัวแน่น

         “เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเปลว” ปลายนิ้วหนาแทรกตัวฝ่ากลีบดอกเข้าลงที่ใจกลาง เปลวอรุณเกร็งกายบีบรัดการมาเยือน

          “อย่าเกร็งเปลว”

          “มันเจ็บ” เจ้าตัวว่าเสียงหอบ หัวใจเต้นระรั้วทั้งตื่นกลัวกับสิ่งที่กำลังเกิดและตื่นเต้นกับความแปลกใหม่

          “ทนหน่อยคนดี ฉันไม่อยากให้เปลวเจ็บมากกว่านี้”  อัมรินทร์กระซิบปลอบ

            ทุกอย่างมันเกินขึ้นอย่างไม่คาดคิด อัมรินทร์เองก็ไม่ได้เตรียมการอะไรสำหรับเรื่องแบบนี้ด้วยแม้เขาจะคาวโลกีย์มามากแต่เขาไม่เคยพาใครเข้าบ้านห้องนอนเขาจึงไร้สิ่งจำเป็นสำหรับเรื่องเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือสร้างความคุ้นเคยให้กับกุหลาบน้อยของเปลวอรุณเท่านั้น

   เปลวอรุณกำเสื้อนอนของอัมรินทร์แน่นไม่ยอมปล่อยแม้อีกคนจะบอกให้เขาคลายความเกร็งลงแต่ความความฝืดเสียดที่ไร้การหล่อลื่นไม่ได้ช่วยทำให้เขาอยากทำตามที่อีกคนพูดเลยสักนิด อีกคนหรือก็แสนรั้นเจ้าของไม่ต้องการให้เข้ามาก็ยังจะดันเข้ามาจนสุดก้านนิ้ว

   อัมรินทร์ค้างนิ้วไว้ให้คุ้นชินแม้จะถูกบีบรัดจนแทบขยับไม่ได้ก็ตามแต่เขาก็ไม่ถอดตัวกลับแม้จะต้องอดทนกับสิ่งที่แทบจะอดทนไม่ไหวอยู่แล้วก็ตามที

   อัมรินทร์สูดหายใจเข้าอีกครั้งก่อนค่อยๆถอนปลายนิ้วตัวเองออกมาจนเหลือแค่ปลายข้อนิ้วสุดท้ายที่ยังอยู่ภายในช่องทางกุหลาบหวานเขาไล่ปลายนิ้วที่ค้างอยู่ภายใจลูบวนรอบปากกลีบเป็นวงก่อนสอดปลายนิ้วที่สองเข้ามาด้วย

   “อ๊า คุณอัน”  ครั้งนี้อัมรินทร์ไม่สนใจเสียงร้องกระเส้าหรือแรงบีบรัดใดๆถูไล่ปลายนิ้วทั้งสองไปตามทางอุ่นร้อนสอดเข้าจนสุดแล้วถอนออกเกือบสุดแล้วกลับเข้าไปใหม่สลับกันอยู่อย่างนั้นหลายครั้งก่อนจะกางนิ้วทั้งสองที่ชิดกันอยู่ออกจากกัน

   “อ๊า.. คุณ..อัน ..อ๊ะ” เปลวอรุณครางไม่ได้ศัพท์ นิ้วทั้งสองที่กางแยกจากกันยังอยู่ภายในกุหลายน้อยของเขาและมันกำลังหมุนคว้านปากกลีบตูมให้อ้าออกจากกัน

   อัมรินทร์หันมาประกบปากกับเปลวอรุณอีกครั้งเมื่อเสียงครางของอีกคนเริ่มทำให้ใกล้หมดความอดทน สองนิ้วหมุนคว้านปากกลีบสลับกับการกระทุงเข้าออกจากเบามือเป็นหนักมือแต่แรงต้องการ

   เปลวอรุณเกร็งตัวแน่นกว่าเดิม อัมรินทร์เมามันส์กันกันคว้านเปิดปากทางเล็กแน่นนั้นให้กว้างออก กางแล้วหุบ หุบแล้วกางออกใหม่ ไสเข้าและออก เร็วบ้างช้าบ้าง จงใจเตะมันตรงจุดไวสัมผัสของเปลวอรุณเป็นครั้งคราวแล้วไสตัวเข้าสำรวจช่องทางที่อยู่ภายในต่อแล้วกลับมาใหม่ วนอยู่อย่างนี้หลายครั้งจน

   “อ๊า...”

   ความต้องการของเปลวอรุณถึงของฝันความต้องการ เปลวอรุณผละหน้าออกเปิดปากครางเสียงกระเส้าของตัวออกมาอย่างไม่คิดอาย ปลดปล่อยเกรสน้ำหวานกึ่งเหลวกึ่งหนืดให้ไหลยืดติดสองนิ้วของอัมรินทร์ออกมายามที่ถอดถอนนิ้วทั้งสองออกจากกุหลาบตูบไหลผ่านแก้มก้นกลมหยดลงบนผ้าปูที่นอนเป็นดวง

          หากแต่น้ำหวานจากกลางลำตัวกลับไม่ยอมหลั่งออกมา...


   อัมรินทร์มองครามน้ำหวานที่ติดสองนิ้วแล้วขมวดคิ้วก้มมองคนที่หอบหายใจแรงอยู่ที่อก

   สนามรบบนเตียงเขาผ่านมาแล้วทั้งชายหญิง แต่การร่วมสัมผัสกับชายที่มีสารคัดหลั่งออกมาจากช่องทางด้านหลังเปลวอรุณไม่ใช่คนแรกที่เขาเจอและเพราะไม่ใช่คนแรกนี้แหละที่ทำให้เขาเข้าใจถึงความหมายของมัน

   อัมรินทร์ยิ้มกว้างใจลิงโลดก้มพรมจูบทั่วใบหน้าขาวเจือสีแดงก่ำตามแรงอารมณ์

   ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะตั้งครรภ์ได้ แต่ใช่ว่าไม่มีในหนึ่งร้อยคนจะมีสักคนโผล่มาให้ได้เห็นและเปลวอรุณก็คือหนึ่งในร้อยที่ว่า..

   แต่ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับเนื้ออ่อนกลางลำตัวของเปลวอรุณนี้ก่อน

   “ไม่ปล่อยออกมามันจะยิ่งเจ็บนะเปลว”  อาการเสร็จแต่ไม่ยอมหลั่งออกมาของเปลวอรุณทำให้เนื้ออ่อนสีขาวตรงหน้าสั่นระริกและเริ่มแดงจนน่ากลัว

   “มะ ไม่เอา.. มัน.. น่าอาย”  เปลวอรุณตอบเสียงหอบหลับตาแน่น

   อาการเกร็งตัวแล้วไม่ยอมหลั่งออกมาเป็นเรื่องปกติของพวกที่ชอบอดกลั้น แต่กรณีของเปลงอรุณ อัมรินทร์เดาว่ากุหลาบน้ำแข็งบริสุทธิ์ของเขานอกจากจะไม่เคยต้องมือชายหรือหญิงใดแล้วแม้แต่มือตัวเองก็คงไม่เคยเช่นกัน

   “เปลว” อัมรินทร์กดเสียงต่ำเหมือนดุ

   ในเมื่อเปลวอรุณดื้อ เขาก็ต้องทำโทษ

   อัมรินทร์ปล่อยให้อีกคนนอนลงกับเตียงอีกครั้งจับขาทั้งสองข้างอ้าออกแทรกตัวนั่งลงกลางหว่างขา จงใจอย่างยิ่งที่จะบดเบียดท่อนเนื้อร้อนใต้ร่มผ้าของตนเข้ากับกุหลาบตูบด้านหลัง เปลวอรุณเผลอสะท้านกับสิ่งที่กำลังทักทายปากกลีบกุหลาบของเขาอย่างหน้าอายแต่ที่น่าอายที่สุดคือฝ่ามือร้อนของอัมรินทร์ที่กุมเนื้ออ่อนก่ำแดงของเขาเอาไว้แน่นทั้งที่แค่จับเบาๆเขาก็เจ็บจนสะท้านอยู่แล้ว

   “เดี๋ยวฉันทำให้เอง”

________________________________________________

ดึกแล้วจะทำอะไรก็ได้ จะลงอะไรก็ได้ เด็กๆนอนแล้ว

ต้องกระชับมิตรกันสักหน่อยเพื่อที่ตอนหน้าจะได้เปิดตัวมือที่สามที่แท้ทรู
อิอิ
(มิได้สปรอยอะไรเลยจริงๆ) :laugh:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 16- 18/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-07-2017 08:45:14
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 17- 18/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-07-2017 19:47:11
ว้ายๆ ปมใหม่มา ท่าทางจะยุ่งกว่าเดิม

อัมจะจัดการได้ไหมหน๋อ :z10:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 17- 18/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-07-2017 20:57:57
เป็นหนี้ ครั้งที่ 17


  ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รสชาติ  ระยะเวลาก่อนออกกฤทธิ์ใช้เวลาไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ระหว่างออกฤทธิ์ก็ไม่รุนแรงจนถึงขั้นน่าตกใจกับความแปลกไปของร่างกายแต่จะเคลิ้มไปกับสัมผัสที่ได้รับทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ธรรมชาตินำพาอาจมีมึนเบลอเป็นบางครั้งแต่ไม่เป็นอันตรายและที่สำคัญคือระหว่างที่ยาออกฤทธิ์นั้นคนที่ได้รับยาจะยังสามารถจดจำเหตุการณ์และการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด

            สรรพคุณเด่นดังที่ว่ามานี้แหละที่ทำให้เจ้าของเหลวใสสีชมพูจางอ่อนในขวดแก้วฝาจุกขนาดห้าเซนติเมตรเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าใต้ดินในต่างประเทศเป็นอย่างมาก เรื่องราคานั้นไม่ต้องถามเลยว่าสูงลิบขนาดไหนยิ่งเป็นของใหม่ล่าสุดแบบนี้ด้วยแล้ว กว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

            แต่ลิลดากลับได้มาง่ายๆและฟรี...

              เธอได้เจ้าของขวัญชิ้นพิเศษชิ้นนี้มาจากเพื่อนสาวประเภทสองเจ้าของไนย์คลับที่ฝรั่งเศส สินค้าใหม่ที่เพิ่งออกจากโรงงานมาไม่ถึงสองเดือนแต่กระแสตอบรับนั้นล้นหลาม

              ไม่มีบังคับระหว่างร่วมรัก มีแต่ความต้องการอย่างยินยอม  หยดเดียวเปลี่ยนม้าพยศให้เป็นลูกม้าแสนว่าง่ายจะควบขี่อย่างไรก็ได้ตามใจปรารถนา  ต่อให้ใจแข็งยังไงกามารสคือเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนมีอยู่ แค่กระตุ้นเล็กๆน้อยๆปลุกสิ่งที่อยู่ลึกภายในออกมาแล้วปล่อยให้ธรรมชาติและความต้องการทำพา

         สรรพคุณที่ได้ฟังแล้วต้องตาโต ...

              และมันก็ทำให้เธอนึกถึงเรื่องของอัมรินทร์กับเปลวอรุณ

              แม้อัมรินทร์จะไม่เคยปริพูดออกมาว่าอยากได้ทางลัดที่จะสามารถกกกอดเปลวอรุณไว้แต่เพียงคนเดียวออกมาให้เธอหรือนิรุทธิ์ได้ยินจะมีก็แต่อยากได้คนแก่กว่านั้นมาอยู่ข้างๆยอมเปลี่ยนตัวเองที่ละนิดเพื่อให้อีกคนหันมาสนใจ แม้ไปพูดออกมาจากใจทั้งหมดแต่คนเคยมีสัมพันธ์แนบชิดกันมาก่อนอีกทั้งยังสนิทสนมเป็นเพื่อนกันมานานอย่างลิลดานะหรือจะมองไม่ออกว่าเนื้อในที่แท้จริงแล้วชายหนุ่มต้องการอะไร และการที่อัมรินทร์ไม่ใช้ทางลัดที่ว่ามายอมที่จะรอให้อีกคนพร้อมแบบนี้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าอัมรินทร์ให้เกียรติ์และรักเปลวอรุณมากขนาดไหน

              น้ำสีชมพูใสถูกหยดลงใส่น้ำสีม่วงเข้มใสอีกส่วนถูกป้ายที่ขอบแก้วก่อนยกมาส่งให้คนแก่วัยกว่า ลิลดารอบคอยเสมอ นี้แหละที่เธอภูมิใจตัวเอง หากน้ำผลไม้กัดกร่อนฤทธิ์ยาในน้ำก็ยังมีตัวยาจากขอบแก้วที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรงอยู่ แค่นี้ก็ไม่มีอะไรให้กังวลใจอีก

              อาศัยการพูดคุยยามที่เปลวอรุณอ่อนไหวเธอมั่นใจอย่างสุดตัวว่าคนอย่างอัมรินทร์ไม่นั่งฟังเฉยๆโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวอีกคนแน่ ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้คนสองคนคุยกันสัมผัสเล็กๆน้อยๆที่ต้องตัวกันก็สามารถปลุกความต้องการในใจของเด็กน้อยไร้ประสาได้แล้ว ปล่อยให้ความต้องการทางธรรมชาติชักนำแค่นี้เปลวอรุณก็เหมือนยินยอมพร้อมใจผูกสัมพันธ์กับอัมรินทร์อย่างเต็มใจโดยไม่มีข้ออ้างว่าตนจำอะไรไม่ได้อีก

              แน่นอนที่สุดว่าแม้แต่อัมรินทร์ก็ไม่รู้เรื่องที่เธอทำ..

              เธอทำให้ด้วยใจไร้สิ่งตอบแทน.... หรอ ?

              อนิรุทธิ์ คือสิ่งตอบแทนแสนคุ้มค่า

สามีในอนาคตที่เธอหมายมั่นเอาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตา

จบเรื่องเมื่อไรอัมรินทร์ต้องจับอนิรุทธิ์ขัดสีฉวีวรรณใส่พานมามอบให้เธอถึงห้อง !

แต่มีอยู่อีกอย่างหนึ่งที่เพื่อนสาวคนดีไม่ได้บอกให้ลิลดารู้นั้นก็คือ ยาสีหวานใสไม่ได้มีดีแค่ช่วยเรื่องความสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่มันยังช่วยเรื่องการตั้งครรภ์ของเพศหญิงและเพศชายที่มีบุตรยาก

.................

 

              เสียงหอบหายใจหนักๆมาพร้อมกับความโล่งสบายตัว คาบน้ำสีขาวขุ่นกึ่งเหลวกึ่งหนืดเลอะเปรอะตามหน้าท้องบางบางส่วนเลอะเปรอะเสื้อนอนสีเข้มหลายจุดไม่นับรวมรอยเปื้อนซึมจากภายในร่มผ้าด้านล่างที่ปกปิดเนื้อร้อนที่แข็งตัวเต็มที่แล้วของเขาอยู่ อัมรินทร์ไม่สนใจคราบสกปรกที่ว่าไม่สนว่าการที่เขาถูไล่เนื้อร้อนปริ่มน้ำของตนไปกับกุหลาบน้อยนั้นจะทำให้กลีบดอกแดงช้ำยังไงหรือเกสรน้ำหวานที่ด้านหลังจะติดเนื้อผ้ามาด้วยหรือไม่  แต่ที่เขาสนใจคือรสจูบของเด็กไร้ประสาใต้ร่าง

              ไม่ได้เร่าร้อนถึงใจออกจะเงอะๆงะๆเสียด้วยซ้ำไปแต่กลับทำให้เขาแทบคลั่งตาย

              เขาทาบทับลงบนตัวเปลวอรุณเสียดสีความร้อนแน่นกับต้นอ่อนที่เพิ่งปลดปล่อยความต้องการไป ความเสียวซ่านระรอบใหม่ทำให้เปลวอรุณกำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนข้อมือขาว

              อัมรินทร์จูบซับที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง ปลายจมูกอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะไล่ลงมาที่เนินอกบางมือก็สารวนอยู่กับการปลดกระดุมตัวเองแล้วเหวี่ยงมันไปอีกทางอย่างไม่ใยดี

              ขบเบาๆบนไตแข็งสีอ่อนจนอีกคนเผลอครางอื้ออึงออกมาเป็นระยะมือหนาล้วงลงใต้ขอบกางเกงรูดรั้งท่อนซุงหนาร้อนของตนไปพลางเพื่อบรรเทาอาการปวดแน่นพร้อมจะปลดปล่อย พอดูดดึงข้างนี้จนพอใจแล้วก็หันเปลี่ยนไปอีกข้างขนดูดจนขึ้นรอยแดงก่อนจะยืดตัวตรงเลื่อนกางเกงลงจนสุดแล้วเหวี่ยงทิ้งตามเสื้อที่เข้าคู่ของมันไป

              “เปลว” เขาเรียกคนที่มึนเบลออยู่บนเตียงเสียงแหบต่ำเรียกเจ้าของนัยน์ตากลมสกาวใสในที่มืดให้หันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง

              “คุณอัน”  เสียงของเปลวอรุณเองก็แหบแห้งไม่แพ้กัน  แสงจากภายนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นรูปร่างที่ซ้อนอยู่ใต้เสื้อผ้า

              ใบหน้าคมคายอยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนรูปร่างกำยำอย่างคนรักสุขภาพออกจะเนื้อแน่นเสียด้วยซ้ำทั้งที่ปกติไม่ได้รู้สึกอะไรกับรูปร่างของอัมรินทร์แต่ทำไมครั้งนี้เขากลับตื่นเต้นใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นมันหนาท้องที่เรียงตัวเป็นลอนสวยไรขนอ่อนตั้งแต่ใต้สะดือลงไปยังส่วนลับที่แข็งขื่นจนไม่กล้ามอง

              แต่ทำเอาใจเต้นแรงแทบหลุดจากอก..

              อัมรินทร์รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมา เขาไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มพอใจวางมือลงที่ต้นขาขาวแล้วลูบไปจนถึงโคนขาอ่อนด้านในของเปลวอรุณอีกครั้งเตะปลายนิ้วเบาๆที่ปากกลีบแดงเปรอะน้ำหวานพอให้อีกคนสะดุ้นเงยคอขึ้นมามองการกระทำของเขาอีกครั้ง

              “จะ..ทำอะไร” เปลวอรุณถามเสียงสั่นแหบกระตุ้นอารมณ์กระสันอยากของเขาได้เป็นอยากดี

              “ทำให้เราเป็นของกันและกัน” อัมรินทร์ยิ้มอ่อนโยน จดจ่อท่อนเนื้อร้อนใหญ่ของตนเข้าที่ปากกลีบดันส่วนปลายเข้าที่ละน้อยโดยมีน้ำหวานที่เปลวอรุณหลั่งออกมาเมื่อครู่เป็นตัวช่วยลดแรงฝืด

              “อ๊า คุณอัน ผมเจ็บ อ๊ะ อ๊า”  เปลวอรุณครางลั่นแอ่นแผ่นหลังขึ้นสูงตาเหลือกโผ

              “ทนหน่อยนะเปลว”  อัมรินทร์บอก

            ท่อนเนื้อหนาใหญ่โตสอดเข้าไปไปเพียงแค่ส่วนปลายก็ได้การตอนรับอย่างอบอุ่น การบีบรัดนั้นแน่นเกร็งกว่าครั้งแรกที่เป็นเพียงนิ้วมือทำให้ยังไปไม่ทันถึงไหนอัมรินทร์ก็คำรามต่ำในลำคออยากปลดปล่อยความอดทนที่มีมาเสียเดียวนั้นไม่สนใจความเจ็บจากปลายเล็บสั้นที่เริ่มยาวแล้วของเปลวอรุณที่จิกเข้าที่ตนแขนจนเป็นรอยลึกแดง

              “อย่างเกร็งสิเปลว” อัมรินทร์คำราม เอ็นคอปูดนูนพอๆกันเส้นเลือดที่ขมับที่นูนชัดยามที่เขาพยายามกดฝั่งตัวตนของเขาเข้าไปในตัวเปลวอรุณแม้อีกคนจะพยายามบีบรัดเหมือนไม่ต้องการแค่ไหนก็ตาม

            เขาไม่อยากทำให้เปลวอรุณเจ็บแต่อีกคนกำลังทำให้เขาคลั่ง เขาถอนลำเนื้ออวบออกก่อนจะตัดสินใจใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เท้ายันพื้นเตียงแหวกปากกลีบกุหลาบตูมนั้นออกให้กว้างกว่าเดิมแล้วกระทันซุงใหญ่ของจนเข้าไปในกุหลาบน้อยที่เดียวจบมิด

              เปลวอรุณอ้าปากเหมือนกรีดร้องหากแต่ไร้เสียงใดๆออกมาลำคอแผ่นหลังโก่งสูงเหนือพื้นเตียงมือกำผ้าปูที่นอนแน่นจนยับยู่ มันเจ็บเหมือนร่างจะฉีกขาดแยกจากกัน รู้สึกแสบคับที่ปากกลีบ และรู้สึกแน่นคับภายในกุหลาบน้อยที่ผลิกว้างจนเต็มที่เมื่อต้องรับสิ่งที่มีขนาดใหญ่เหมือนลำซุง

              แรงบีบรัดทำให้เปลวอรุณรับรู้ถึงชีพจรของสิ่งที่อยู่ภายในร่างความร้อนและความอูมหนาที่นิ้วทั้งสองที่เขามาสำรวจในตอนแรกเทียบไม่ติด

              “ค่อยๆหายใจเปลว” อัมรินทร์ลูบหัวปลอบขวัญจูบซับไรเหงื่อชื้นที่ขมับ ดันขาอ่อนของเปลวอรุณจนแทบชิดหน้าท้องอีกคนแล้วเริ่มขยับ

              เปลวอรุณเชิดหน้าขึ้นสูงไม่สนใจคำพูดนั้น ยิ่งอัมรินทร์ขยับตัวเสียดสีท่อนลำหนากับปากกลีบกุหลาบของเขามากเท่าไรท่อนขาของเขาก็ยิ่งอ้าออกจากกันกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัวและจังหวะช้าๆเนิบๆก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นจนเผลอจิกงอปลายเท้าด้วยความเสี่ยวซ่าน

              อัมรินทร์เหมือนคนอดกลั้นมานานไสตัวโหมแรงใส่เปลวอรุณไม่ยั้งเน้นหนักไปยังช่องทางภายในดอกกุหลาบน้อยช่องทางหนึ่งเหมือนจงใจเน้นอยู่อย่างนั้นย้ำอย่างนั้นโดยมีเสียงครางลั่นเป็นแรงขับ

            การขยับเริ่มเน้นหนักและรุนแรงขึ้นหน้าท้องหนาเสียดสีกับลำต้นอ่อนที่เริ่มยืดตัวปริ่มน้ำอีกครั้งซุกไซร้ซอกคอขอขาวจนแดงเถือกเป็นทางยาว ก่อนจะปลดปล่อยออกมาเมื่อความอดทนของเขาถึงขอบฝั่งความสำเร็จ

              “อืมมม”

เขาครางเสียงต่ำในลำคอสอดนิ้วมือเข้ากับช่องว่างระหว่างนิ้วของอีกคนประสานกันแน่นแล้วยืดแขนตรงคร่อมอีกคนไว้ แช่ท่อนลำหนาที่คลายตัวลงแล้วไว้ในกุหลาบน้อยนั้นไม่ยอมซ้ำยังดันมันให้แน่นปิดปากทางเหมือนต้องการให้ทุกหยาดหยดความอดทนของเขาอยู่ภายในนี้ห้ามหายไปไหนแม้หมดเดียว

              “เปลว” เขาเรียก แต่อีกคนยังพลิกหน้าหันข้างหอบหาบใจไม่สนเสียงเรียก

              อัมรินทร์ยิ้ม แล้วพูดใหม่

              “ฉันรักเปลว”

            ครั้งนี้ได้ผล คำบอกรักทื่อๆที่ดังออกจากปากแม้ไม่ดังมากแต่ก็สามารถเรียกสติที่กระจ่ายหายของคนถูกบอกรักให้กลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง ดวงตาใสเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหูเท้าศอกพยุงตัวขึ้นแม้ส่วนล่างจะยังคงเชื่อมหากันและเกยอยู่ที่หน้าขาของอีกคน

              อัมรินทร์ประคองสะโพกมนเอาไว้แล้วแย้มยิ้ม

              “คุณพูดอะไรนะ” เปลวอรุณทวนถามคล้ายไม่เชื่อหู แววตาดูเหลือเชื่อกว่าจะบรรยายดูน่าขำในสายตาคนมอง

              “ฉันบอกว่าฉันรักเปลว” เขาย้ำอีกครั้งกดจูบเบาๆที่ข้างแก้ม “แล้วเปลวละ รักฉันไหม” กระซิบถามเบาๆที่ข้างหู

              “ผม..” เปลวอรุณเสียงสั่น กระพริบตาถี่

              “ไม่ต้องรีบตอบก็ได้” อัมรินทร์ไม่เร่งเร้าอยู่แล้ว

              “อยู่กับฉันนะเปลว อยู่ข้างๆฉันอย่างนี้ไปตลอดนะ”  เขาสอดแขนกอดอีกคนจนจมอกอย่างเต็มรัก

              เปลวอรุณคล้ายยังมึนเบลอไม่ทันได้ตอบอะไรกลับส่วนล่างที่เชื่อมกันอยู่ก็ขยับถอนตัวออก ความโล่งไร้การเติมเต็มทำเอาใจหายปากกลีบต้องลมจนรู้สึกแสบคันแต่ไม่นานความใหญ่ร้อนที่หายไปก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง

              อัมรินทร์มอบครั้งแรกให้เขาอย่างอ่อนโยนดุดัน เสียงครางของพวกเขาสลับกันดังลั่นห้องยามเขาปลดปล่อยเหมือนตัวเองได้ล่องลอยพออีกคนปลดปล่อยมันอุ่นร้อนทั่วท้องเหมือนถูกเติมเต็มจนอิ่มหากแต่ยังโหยหา

              เปลวอรุณไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นว่ามาก่อนพอถูกมอบความแปลกใหม่ก็คล้ายเสพติดทันทียกขาเกาะเกี่ยวเอวหนาไม่ปล่อยภายในเองก็เหนี่ยวรั้งตัวตนอีกคนไว้ข้างในตัวไม่ยอมปล่อยให้ถอยหาย อัมรินทร์เองก็ตามใจเมื่ออีกคนไม่ยอมปล่อยเขาหนีเขาก็แช่ท่อนลำหนาของตนค้างเอาไว้ไม่ยอมถอดถอนตามความต้องการของอีกคนแล้วเริ่มรักกันใหม่อีกครั้งทั้งอย่างนั้น

              แผ่นหลัง ต้นแขน และไหล่ของอัมรินทร์เต็มไปด้วยรอยเล็บทั้งจิกและข่วนรอยฟันบ้างประปรายปนกันไปเช่นเดียวกับเปลวอรุณที่ทั้งคอและแผ่นอกมีแต่รอยจูบฝากรักไว้เต็มทาง กว่าพายุอารมณ์ความต้องการจะสงบลงเปลวอรุณก็ต้องอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงจะขยับนั่งคล่อมทับตักกลืนซุงหนาเอาไว้ในกุหลาบน้อยของตนไม่ปล่อย

              “เปลว” อัมรินทร์เอ่ยกระซิบเรียกคนที่ซบหน้าอยู่ที่ไหล่โอบรอบเอวอีกคนเอาไว้หลวมๆ นั่งหลังพิงหัวเตียงเหยียดขายาว

              เปลวอรุณพลิกหน้ากลับมามองอัมรินทร์ตาปรือ

              “บอกได้ไหมว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไร” เขาวกกลับมาที่คำถามเดิมเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ได้ลืมแต่แค่หาจังหวะถามอยู่เท่านั้นและเวลานี้น่าจะเหมาะ

              “หลายเรื่อง” เปลวอรุณตอบกลับมาเหมือนเพ้อ ขยับบั้นท้ายเล็กน้อยเพื่อให้สิ่งที่อยู่ข้างในแทรกตัวได้ลึกขึ้นพร้อมครางออกมาเสียงต่ำเมื่อได้ที่ที่พอใจ

            “บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม” เขาถามพร้อมกดจูบลงที่ลานไหล่

            “คุณอยากรู้เรื่องไหน” เปลวอรุณปรือตามอง ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

              “เรื่องจดหมายนั้น บอกได้ไหมว่าใครส่งมา” ปากก็ถามมือก็ลูบไปตามสี่ข้าง

              “ใครสักคน” เปลวอรุณตอบอย่างขอไปทีแล้วหันหน้าหนีเหมือนไม่ต้องการจะพูดถึง

              “ใช่คนเดียวกับที่เปลวเคยพยายามโทรหาครั้งก่อนหรือเปล่า” อัมรินทร์ถาม พลิกร่างของเปลวอรุณที่นั่งคร่อมทับที่ตักให้นอนลงกับเตียง จ้องมองลึกเข้าไปในแก้วตาใส

              “ใช่”  เปลวอรุณดูใกล้หลับเต็มที่ถึงได้เปิดปากพูดเรื่องที่ก่อนหน้าไม่ว่าจะพยายามถามเท่าไรก็ทำปากแข็งไม่ยอมพูดออกมาอย่างง่ายดาย

              “เขาเป็นอะไรกับเปลว” อัมรินทร์ถาม ถอนเนื้อร้อนออกจากช่องทางร้อนผ่าวคราบความต้องการของเขาไหลผสมกับสารคัดหลั่งที่ช่องทางด้านหลังหลั่งออกมาเพื่อลดแรงเสียดสีจนแยกไม่ออก

              สามรอบสำหรับความต้องการและความอดทนร่วมสามปีไหลย้อนออกมาจากปากทางบวมแดงที่เคยตูมอวบแต่ตอนนี้กลับอ้าออกจากกันเหมือนดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่แล้ว

              “ว่าไงเปลว” เขาถามซ้ำแตะนิ้วโป้งลงที่ปากทางที่ยังอ้าอยู่ปิดทางไหลของเชื้อพันธ์ที่เขาฝากฝั่งเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอย่างเสียเปล่า

              “คนสำคัญ”  สติของเปลวอรุณคล้ายจะหลุดออกไปทุกที แต่ไม่ใช่กับอัมรินทร์

              ดวงตาคมกล้าแข็งกร้าวตวัดมองคนที่นอนจมเตียงอยู่ทันทีที่ได้ยินคำตอบ

              “แล้วระหว่างฉันกับ‘มัน’ใครสำคัญกว่ากัน”

              “อ๊า...”

              อัมรินทร์แหวกปากทางนั้นใหม่ด้วยสองแม่โป้งไสตัวเข้าไปสุดลำไม่บอกกล่าวให้คนที่ใกล้เคลิ้มฝันได้หวีดร้องจนเสียงหลงอีกครั้งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

              “ว่าไงเปลว” แรงกระแทรกรอบใหม่แรงและหนักว่าครั้งก่อนเปลวอรุณขบปากแน่นด้วยความเจ็บ

            “ทั้ง.. คู่” สำคัญกับคนละอย่างแต่ก็ถือว่าเป็นคนสำคัญสำหรับเขาทั้งคู่

              แต่นั้นก็ยังไม่ใช่คำตอบที่อัมรินทร์ต้องการ

              อัมรินทร์กระแทรกสอดตัวเข้าไปลึกกกว่าเดินแรงกว่าเดิมจนปากทางที่ทึ้งตึงเริ่มปริ เปลวอรุณครางลั่นทั้งเสี่ยวทั้งเจ็บคว้าไหล่หนาของอีกคนเป็นที่ยึด

              “แล้วมันเขียนมาว่ายังไง” ชายหนุ่มถามเสียงเหี้ยมกดสะโพกลงจนปากทางเริ่มซึมเลือด

              “เขา..อื๊ม.. บอก..ขอโทษ..อ๊ะ ..และก็..บอกว่าคุณ มีเรื่องปิดบังผมอยู่..อ๊า..”  เสียงกระเส้าตอบปานจะขาดใจของเปลวอรุณดังออกมาปนเสียงคราง  อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม นึกย้อนไปตอนแรกที่เปลวอรุณถามเรื่องนี้

              แสดงว่ามันต้องรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาแน่..

              “คุณปิดบังผมอะไรผมอยู่จริงๆใช่ไหม” ถึงสติจะเริ่มเลือนรางจำไม่ได้ว่าคำถามนี้ตนเคยถามไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ถึงจะเริ่มพร่าเบลอเปลวอรุณก็พยายามประคอมมันเอาไว้เพื่อพูดต่อ

              “ผมเชื่อใจคุณได้ใช่ไหม” ครั้งนี้เหมือนเพ้อมากกว่าถาม ขอบตาเริ่มปริ่มน้ำใส

              ไม่รู้เพราะเจ็บจากการกระทำมืดบอดของเขาเมื่อครู่หรือเจ็บจากสิ่งที่เคยเจอมา แต่นั้นก็ทำให้อัมรินทร์ชะงักความโกรธและใจเย็นลงประคองกอดอีกคนไว้แนบอก

            อัมรินทร์แพ้ให้กับน้ำตาหยดใสของเปลวอรุณอย่างหมดรูป...

              “คุณจะไม่ทิ้งผมใช่ไหม ฮึก” คราวนี้ร้องไห้ออกมา             

              “ไม่ทิ้งเปลว ไม่ทิ้ง” ภาพเปลวอรุณในชุดผู้ป่วยร้องไห้ขว้างปาโทรศัพท์มือถือจนแหลกฉายชัดกลับมาในสมองของเขาอีกครั้งรวมถึงความรู้สึกของเขาที่ได้เห็น

              คนสำคัญแล้วยังไง ในเมื่อตอนนี้เขาเองก็เป็น‘คนสำคัญ’ของเปลวอรุณเหมือนกัน...

              “ขอโทษเปลว” ขอโทษที่รุนแรงใส่ ขอโทษที่ทำให้เจ็บ

              “ฮึก ผมเจ็บ”  เปลวอรุณสะอื้นไห้ แสบร้อนตรงส่วนที่ถูกขยายออกจนกว้าง

              “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเปลวเหมือนที่‘มัน’ทำ ฉันสัญญา” เสียงหนักแน่นดังก้องในความมืด

              เปลวอรุณตวัดแขนโอบรอบคอกอดอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย อัมรินทร์เองก็เช่นกันกอดอีกคนแน่นแนบชิดจนแทบอยากหลอมรวมร่างเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แค่ส่วนที่เชื่อมอยู่แต่เป็นทั้งตัว หลอมเปลวอรุณเข้ากับตัวเขาให้เปลวอรุณเป็นของเขาเพียงคนเดียว

             

              //เลขหมายที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ....//

              เสียงโอเปอเรเตอร์อัตโนมัติดังขึ้นอีกครั้งเมื่อหมายเลขปลายทางเดิมถูกปัดโทรออก ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง .... และครั้งที่สิบของวันนี้ก็ยังคงเป็นโอเปอเรเตอร์ที่ตอบรับการเรียกหาของเขา

              ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวกายขาวซีดทอดถอนหายใจวางโทรศัพท์มือถือของตนลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้าแววตาสะท้อนความรู้สึกผิดเจือความเสียใจยามมองที่เบอร์โทรศัพท์ที่ไร้การบันทึกชื่อ

              ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่สามารถติดต่อหาอีกฝ่ายได้เลย ตัวเขาเองพยายามติดต่ออีกฝ่ายตั้งแต่วันนั้นแต่ก็ไร้การตอบรับกลับและเพื่อแก้ไขความเข้าที่ผิดของอีกคนทันทีที่เขาบินกลับมาประเทศไทยสิ่งแรกที่เขาทำแม้ว่ามันจะเริ่มค่ำแล้วก็ตามนั้นคือการไปที่บ้านสีขาวหลังนั้น

              แต่เขาก็พบกับความว่างเปล่า...

              ความมืดแทบกลืนบ้านสีขาวร่มรื่นนั้นให้กลายเป็นหนึ่งเดียว บ้านมืดไร้แสงสว่างไร้การมีอยู่ของเจ้าของบ้านเขาสั่งคนให้เฝ้าที่หน้าบ้างหลังนี้ทั้งคืนจนถึงเช้า

              “ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยครับนาย”

              ถึงจะไม่พอใจที่ลูกน้องทำเกินคำสั่งแอบปีนเข้าบ้านคนอื่นเยี่ยงโจร แต่คำบอกเล่าที่ว่าไร้การมีอยู่ของเจ้าของบ้านทั้งที่รถยนต์คันโปรดของอีกคนยังอยู่แบบนี้ทำให้เขาเริ่มเครียด

              แดดยามสายยังไม่ทันส่องแสงแรงกล้าเท่าไรเขาก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังนั้นแล้วไล่ลูกน้องกลับไปพักผ่อน นั่งๆนอนๆอยู่ในรถน่าเบื่อแทบขาดใจยังดีที่ยังพอมีคนแถวนั้นทักทายพอให้มีเพื่อนคุยเล่นพอคล้ายความเบื่อหน่ายและได้รู้อะไรมาอีกด้วย

              ช่วงเย็นที่แดดเริ่มหมดตัวเขาเองก็เริ่มเบื่อจึงลองเดินออกไปตามทางชุมชนหาซื้อของรองท้องเมื่อเสบียงที่เตรียมเริ่มหมดและได้พบของดีเข้า

              เด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้มวัยสิบแปดปีรูปประพรรณสัณฐานตรงตามกับรูปที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับมาพร้อมข้อความที่อีกคนบอกให้เขาได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ ‘ลูกชาย’

              ‘อดิศัทน์ หรือ ลูกตาล’ ลูกชายบุญธรรมของ ‘เปลวอรุณ’



____________________________________________



ครั้งเดียวติดเลยดีไหมหรือเราควรมีรอบที่สองสามต่อดี
แต่ครั้งนี้เราต่องยกให้ลิลดาโดยการให้อนิรุทธิ์ต้องเสียตัวให้ลิลดานะคะ

มือที่สามผู้กุมชะตาชีวิตหนูอันนั้นจะออกมาในอีกไม่ช้านี้แน่นอ
ให้คู่ข้าวใหม่ปลามันเขามีเวลารักกันก่อนเนอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-07-2017 20:28:25
เป็นหนี้ ครั้งที่ 18


            “ใช่ สองใบ...ของฉันกับคุณเปลว....”

            เสียงทุ่มอ่อนดังมาไกลๆกระทบเข้าโสตประสาทการรับรู้ที่ยังเบลอมึนร่างกายเองรู้ก็สึกร้าวไปทั่วโดยเฉพาะที่กระดูกและช่วงล่างอยากจะเงยคอลืมตาดูเหมือนกันว่าเสียงที่ว่านั้นเป็นเสียงใครแต่ว่าหนังตาเองก็รู้สึกว่าหนักเกินจะปรือขึ้นมามองหัวก็หนักและปวดเกินกว่าจะทำอย่างที่ใจคิดได้

              “เปล่าไม่ได้ไปไหน คุณเปลวไม่สบาย...แค่เป็นไข้สองสามวันน่าจะหาย...”

              ความทรมานของเขาถูกเยียวยาด้วยความอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบกลุ่มผมบนศีรษะอย่างเบามือที่ทำให้เขานึกถึง ‘แม่’ เวลาที่ไม่สบายทีไรแม่จะมานั่งเฝ้าใกล้ๆที่ข้างเตียงลูบหัวเขาอยู่อย่างนั้นจนหลับ แต่ฝ่ามือนี้ใหญ่และอุ่นกว่ามาก...

              “บอกแผนกอื่นด้วยว่าถ้ามีเอกสารอะไรให้วางไว้ที่โต๊ะคุณเปลวได้เลยเดี๋ยวตอนเย็นฉันจะให้คนเข้าไปเอา”

              เสียงของอัมรินทร์ดังอยู่เหนือหัวของเขา เปลือกตาหนักคล้ายถูกถ่วงไว้ด้วยหินหลายสิบตันพยายามจะขยับเพื่อปรือเปิด     

                “...”

              “แค่นี้ก่อนนะคุณเปลวตื่นแล้ว.... เปลวเป็นไงบ้าง” อัมรินทร์รีบตัดสายการสนทนาลงแทบจะในทันทีเมื่อบุคคลที่สามในประโยคสนทนาเมื่อครู่เริ่มขยับ พร้อมน้ำเสียงที่แสดงออกชัดว่าเป็นห่วงคนที่นอนอยู่จับใจขนาดไหน

              หลังจากพยายามสู้ฝืนความหนักของเปลือกตามาได้เปลวอรุณก็สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้แม้จะแค่เล็กน้อยและพร่าเบลอไปสักหน่อยแต่พอลองกระพริบตาสองสามครั้งเขาก็สามารถมองเห็นแววตาโล่งอกของคนตัวโตที่อยู่ไม่ไกล

              ..น้ำ..

            “แค่กๆ..” แค่อ้าปากยังไม่ทันที่เสียงจะออกมาเป็นคำความแสบแห้งของลำคอก็ทำให้ต้องไอออกมาจนมึนหัวไปมากกว่าเดิม

              อัมรินทร์ร้องเสียงหลง ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้แดงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเปลวอรุณไอโคกเขารีบประคองอีกคนให้ลุกขึ้นก่อนจะปรับหัวเตียงให้เอนขึ้นมาพร้อมหาหมอนมาหนุนรองหลังให้ก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วนำมาป้อน

              “เป็นไงบ้าง”  เขาถามพลางเช็ดมุมปากและลูบหลังให้อีกคน

              “ปวดหัว” ที่จริงก็ทั้งตัวนั้นแหละแต่ตอนนี้เขาปวดหัวมากที่สุดแถมตาก็เหมือนจะบวมจนลืมได้แค่นิดเดียว

              “เดี๋ยวเปลวนั่งรอก่อนนะ ฉันจะไปอุ่นโจ๊กมาให้เปลวจะได้กินยา” อัมรินทร์หอมแก้มร้อนนั้นก่อนเอื้อมไปหยิบที่กดฉุกเฉินที่หัวนอนเรียกพยาบาลที่อยู่หน้าห้องให้ทราบว่าคนไข้ตื่นแล้วก่อนจะลุกหายไปที่โซนครัว

              เปลวอรุณนั่งนิ่งตามที่อีกคนบอกมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขาสามส่วนธรรมดาที่เดินหายไปหลังกรอบประตู ก่อนจะไล่มองรอบห้องใหม่ถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ห้องนอนของอัมรินทร์แต่เป็นห้องผู้ป่วยวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่หลังมือขวาของเขาเองก็มีเข็มฉีดยาฝั่งตัวอยู่เพื่อให้น้ำเกลือ

              กลิ่นหอมอ่อนของข้าวต้มเริ่มโชยมาพร้อมร่างของบุรุษพยาบาลส่วนตัวที่เดินกลับมาที่ข้างเตียงเข้าพร้อมถาดรองชามข้าวต้มที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ข้างๆมีแก้วใส่ยาขนาดเล็กปิดปากด้วยที่ซีนอาหารสีใส วางถาดลงบนโต๊ะเล็กและเลื่อนมันมาชิดข้างเตียงก่อนตัวเองจะทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วหันมาส่งยิ้ม

              รอยยิ้มที่แย้มส่งมาให้จากใจ...

              เหมือนเคยเห็นที่ไหน...

              “เมื่อคืนขอโทษนะ” อัมรินทร์กล่าวเสียงอ่อนโอบแขนกอดรอบเอวซบหน้าลงที่อกของเขาสัมผัสความร้อนผ่าวของร่างกายที่แทรกผ่านเส้นใยผ้าออกมา

              “ขอโทษ?” เปลวอรุณทวนคำเสียงฉงนหัวคิ้วขมวดมุ่ย

              “ฉันจะรับผิดชอบเปลวเอง”  ไม่ใช่การพูดเอาใจแต่อัมรินทร์คิดเช่นนั้นจริงตามที่ลั่นคำออกไป

              “รับผิ...” เสียงแหบแห้งสากคอชะงักคำ เปลือกตาบวมตุ่ยเบิกขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อความหมายของคำว่า ‘รับผิดชอบ’ ที่อีกคนพูดลอยเข้ามาในหัว

              ความทรงจำแสนน่าอายไหลเข้ามาในหัวเป็นฉากๆเหมือนกระแสน้ำปาที่โถมเข้าใส่อุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติอยู่มากมาแต่เดิมเริ่มสูงขึ้นอีกโดยเฉพาะที่ใบหน้า เปลวอรุณก้มหน้านิ่งไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถ้าไม่ติดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเขาสามารถจำได้ทุกอย่างทุกการกระทำแล้วละก็เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องไร้ยางอายผิดศีลธรรมจรรยาแบบนั้นนั้นออกไปได้และที่สำคัญคือเป็นตัวเขาที่เป็นคนเริ่มความสัมพันธ์ช่วงข้ามคืนนั้นเอง

ทั้งๆที่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่แต่เขากลับไม่ขัดขืนยินยอมง่ายๆเหมือนน้ำที่ไหลไปตามรูปทรงของสิ่งบรรจุซ้ำร้ายเขายังเกาะเกี่ยวเอวหนานั้นเอาไว้ไม่ยอมให้ห่างกายอีกด้วย แค่คิดก็แทบไม่อยากจะมองหน้าอีกฝ่ายแล้ว...

ใบหน้าแดงที่ไม่แน่ว่าแดงเพราะพิษไข้แต่เดิมหรือเพราะว่าเรื่องเมื่อคืนกันแน่ทำให้อัมรินทร์อมยิ้มขำกระชับแรงกอดที่ช่วงเอวให้แน่นขึ้นอีกนิด

              “มะ เมื่อกี้คุณคุยกับใคร” เปลวอรุณถามเปลี่ยนเรื่อง

              “คุณรัฐ” รัฐธรรม หัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล “ฉันโทรไปลางานให้เราไง” อัมรินทร์ตอบ

              “เรา” เหมือนเปลวอรุณจะยังเบลอถึงได้ถามทวนเขาเสียทุกครั้ง แต่อัมรินทร์ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญออกจะมองว่ามันน่ารักเสียด้วยซ้ำไป

            เหมือนเด็กหัดพูด...

              “ใช่ ‘เรา’ เพราะเปลวป่วยฉันก็ต้องดูแล” อัมรินทร์ยิ้ม

              เมื่อคืนเปลวอรุณหลับสนิททันทีหลังความรักของพวกเขาสิ้นสุดลงในรอบที่ห้าเขาทำความสะอาดคราบที่หว่างขาใส่ยาให้เรียบร้อยพร้อมกับเช็ดตัวและใส่เสื้อนอนให้ใหม่เพื่อให้หลับสบาย แต่เมื่อตอนเช้ามืดอีกคนกลับมีไข้ขึ้นสูงทำให้การออกกำลังกายยามเช้าของเขาต้องพับเก็บแล้วหันไปหาอ่างมาใส่น้ำเพื่อเช็ดตัวไล่ความร้อนออกจากร่างกายขาวซีดแทน

              “ที่จริงผมไม่เป็นอะไรคุณไม่น่าต้องลำบากพาผมมาโรงพยาบาลเลย”  เปลวอรุณว่าอย่างรู้สึกเกรงใจ ขยับมือข้างที่ถูกเสียบสายน้ำเกลืออย่างรู้สึกเจ็บ

              “จะไม่เป็นอะไรได้ไง เมื่อเช้าเปลวเกือบชักไปรอบ” อัมรินทร์ดีดตัวออกพร้อมตำหนิอีกฝ่ายเสียงดุ และเขาจะไม่เสี่ยงให้มันเกิดแน่ถึงได้รีบพาอีกคนมาโรงพยาบาลแบบนี้

              “ก็แค่เกือบ” เปลวอรุณพูดเสียงแผ่วก้มหน้าเหมือนเด็กแก้ตัว

              “อย่าดื้อเปลว ถ้าเปลวเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะทำยังไง” อัมรินทร์ทำเสียงดุ มือเลื่อนโต๊ะเข้ามาใกล้หยิบชาวข้ามต้นขึ้นถือมืออีกข้างจับช้อนคนเนื้อข้าวต้มกุ๊ยไอควันร้อนสีขาวลอยขึ้นมาในอากาศ ชายหนุ่มตัดเนื้อข้าวขึ้นมาเล็กน้อยแค่ปลายช้อนเป่าเบาๆไล่ความร้อนให้พออุ่นก่อนยื่นมาจ่อที่ปากแดงก่ำที่เจ่ออยู่เล็กน้อยจากเมื่อคืน

              ข้าวต้มกุ๊ยที่ควรจืดกลับขมเฝื่อนฝืดคอแค่คำแรกเปลวอรุณก็แบ้ปากหันหน้าหนีไม่ยอมรับคำที่สองที่อัมรินทร์ตักขึ้นมารอป้อน จนอีกคนต้องทำเสียงดุแกมบังคับเพื่อให้คนป่วยยอมฝืนกินเข้าไปอีก

              แต่จนแล้วจนรอดเปลวอรุณก็กินไปได้เพียงแค่ห้าคำไม่ขาดไม่เกินแล้วก็บ่ายหน้าหนีชิงหยิบยาในแก้วใสมาใส่ปากแล้วกินน้ำตาเพื่อกันไม่ให้อีกคนเอาข้าวต้นขมคอนั้นให้เขากินต่อ

              อัมรินทร์มองการกระทำนั้นแล้วถอนหายใจออกมาแต่ก็ยอมที่จะเลื่อนโต๊ะนั่นออกแล้วถือชามข้าวต้มที่เหลือมานั่งกินเองต่อที่โซฟา ตักกินไปได้แค่สองคำคุณหมอหนุ่มเจ้าของไข้ของเปลวอรุณก็เดินเข้ามา

              คุณหมอหนุ่มที่อายุอานาน่าจะประมาณเดียวกับอัมรินทร์หรืออาจน้อยกว่าเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกล่าวทักทายทั้งคนป่วยบนเตียงและคนเฝ้าก่อนจะเริ่มตรวจ

              “เบื้องต้นหมอคาดว่าน่าจะเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดาแต่หมอจะให้พยาบาลมาเจาะเลือดคุณไปตรวจอีกรอบนะครับ” หมอหนุ่มพูดพลางจดรายงานการตรวจ

              “เจาะเลือดตรวจอีกทำไม” อัมรินทร์ขมวดคิ้วถามเสียงนิ่งคล้ายไม่พอใจเมื่อต้องรู้ว่าร่างกายของเปลวอรุณกำลังจะเป็นรอยเพราะปลายเข็ม

              “ก็เพื่อความมั่นใจนะครับว่าคนไข้จะไม่มีโรคแทรกซ้อนระหว่างที่ร่างกายอ่อนแอ” แต่คุณหมอก็ใจเย็นพอที่จะตอบกลับคนเฝ้าด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่หายไปจากใบหน้า

              “แล้วภรรยาผมจะกลับบ้านได้เมื่อไร” อัมรินทร์กอดอกถาม หรี่ตามองปมเชือกชุดผู้ป่วยสีน้ำเงินเข้มถูกปลดเพื่อทำการวัดชีพจร แน่นอนว่าสรรพนามที่ว่าทำให้เปลวอรุณเรียกอีกคนเสียงดังเท่าที่เสียงแหบๆของตนจะดังได้จนไออกมาจนตัวงอ

              “ก็ถ้าไม่เป็นอะไรมากไข้ลดลงแล้วก็แค่รอให้น้ำเกลือหมดถุงก็กลับได้แล้วละครับ” คุณหมอยิ้ม เก็บที่ตรวจเข้าที่ “เดี๋ยวตอนเย็นผมจะเข้ามาตรวจอีกรอบถ้าไข้ยังไม่ลดอีกหมออาจต้องของเพิ่มน้ำเกลืออีกถุงนะครับ ส่วนเรื่องบนเตียงช่วงนี้หมอของดไว้ก่อนก็จะดีสำหรับคนไข้นะครับ” แล้วก็ก้มหัวลาแล้วเดินออกจากห้อง

              อัมรินทร์เขม็งตามองตามหลังหมอหนุ่มนั้นออกไปก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เปลวอรุณตัวแดงจัดเสื้อคนไข้ที่เมื่อครู่ถูกแหวกออกเพื่อวัดชีพจรการหายใจให้เข้าที่

            ร่องรอยการแสดงความรักของเขาที่ฝากเอาไว้บนผิวกายขาวดูจะเริ่มเด่นชัดขึ้นมากกว่าเมื่อคืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมตอนท้ายประโยคหมอหนุ่มคนนั้นถึงได้ทิ้งคำพูดแบบนั้นเอาไว้ให้

              “เดี๋ยวเปลวนอนพักอีกสักหน่อยนะตื่นมาอีกรอบจะได้รู้สึกดีขึ้น” เขาว่าพร้อมปรับที่นอนให้ราบลงเช่นเดิม คนป่วยเองทำตามอย่างว่าง่าย อัมรินทร์ละสายตาไปเพียงไม่ถึงห้านาทีหันกลับมาอีกทีคนบนเตียงก็หลับสนิท

              เปลวอรุณตื่นมาอีกทีในช่วงบ่ายพร้อมกับอาการไข้ที่สูงขึ้นกว่าเดิมผิวซีดลงจนอัมรินทร์นั่งไม่ติด เขารีบกดเรียกพยาบาลให้ตามหน้าหมอเข้ามาดูอาการและยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อผลตรวจเลือดเมื่อเช้าระบุว่าภายในร่างกายของเปลวอรุณมีโรงแทรกซ้อนหลงเข้ามาด้วยทำให้อาการป่วยแย่ลง

              “หมอฉีดยาให้แล้วพร้อมจัดยาเพิ่มให้แล้ว ต่อจากนี้ทุกสี่ชั่วโมงจะมีพยาบาลนำยาเข้ามาให้รบกวนคุณปลุกคนไข้ให้ขึ้นมากินด้วยนะครับ”  คุณหมอกล่าว ใบหน้าแย้มยิ้มอารมณ์ดีที่อัมรินทร์เห็นเมื่อช่วงสายหายไปเหลือแต่ความจริงจังในสายตา และถ้าหากภายในคืนนี้ไข้ของเปลวอรุณยังไม่ลดอีกคนจะต้องให้น้ำเกลือแล้วนอนอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ

              ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะ  ยาลดไข้ ยาแก้อักเสพ

              อัมรินทร์มองจำนวนยาที่อยู่ในแก้วบรรจุขนาดเล็กหน้าเครียดเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเปลวอรุณจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ ไม่สิ ช่วงนี้ต่างหากที่เปลวอรุณป่วยบ่อย

              หรือจะเพราะความเครียดสะสมด้วย... อัมรินทร์คิด

              “แค่ก แค่ก” เสียงไอแห้งๆดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาให้หันไปมองคนป่วยที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

              “กินยาหน่อยนะเปลว” ยาเม็ดต่างขนาดถูกส่งมาให้เปลวอรุณรับมาแล้วนำใส่เข้าปากก่อนจะตามด้วยน้ำที่อัมรินทร์คอยช่วยประคองถืออยู่

              “ขอโทษนะเปลว” อัมรินทร์ลูบแก้วขาวก่ำแดงจากพิษไข้อย่างรู้สึกผิดยิ่งไอร้อนที่แผ่ออกมายิ่งทำให้เขาโทษตัวเอง

              “ขอโทษทำไมครับ” อีกคนถามเสียงเหนื่อยอ่อน “เวลาผมป่วยมันก็เป็นแบบนี้ละครับ” เปลวอรุณยิ้มปลอบ

              เขาไม่ใช่คนป่วยง่ายก็จริงแต่อย่างให้ได้ป่วยเชียวเป็นอันต้องนอนโรงพยาบาลเจาะเลือดตรวจกันให้วุ่น เรื่องพวกนี้เขาชินเสียแล้วสิ นานสุดที่ป่วยเรื้อรังคือสามเดือนได้

              “แต่ถ้าเมื่อคืนฉัน..”

              “คุณอัน”

              เปลวอรุณรีบแทรกขึ้นมาเสียงดัง เขาไม่ต้องการให้อัมรินทร์พูดถึงเรื่องน่าอายของเขาเมื่อคืนให้ได้ยินเขายังไม่พร้อมที่จะฟังถึงในใจจะพอทำใจยอมรับได้แล้วส่วนหนึ่งก็เถอะว่าตัวเองเป็นคนเริ่มแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อายเกินกว่าจะกลับไปคิดถึงมันอีก

              “ถึงยังไงฉันก็มีส่วนผิด” อัมรินทร์พูด เปลวอรุณหน้าบางและขี้อายอีกทั้งเจ้าตัวเพิ่งผ่านคืนรักมาจึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะยังรู้สึกอายและกระด้างใจเกินกว่าจะพูดหรือได้ยิน เขาเข้าใจ...

              “แต่ตอนนี้เปลวเป็นเมียฉันแล้ว” ริมฝีปากอุ่นแนบลงสัมผัสความร้อนของริมฝีปากอีกคนเบาๆแล้วผละออกไปคลอเคลียที่ข้างแก้มแดง             

              “ฉันจะรับผิดชอบเปลว ดูแลเปลวเอง”

              ถึงเมื่อเช้าจะโดนเตือนเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงไปแต่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะห้ามกันได้ยิ่งสภาพของเปลวอรุณโอนอ่อนเป็นต้นไผ่โดนลมแบบนี้ด้วยแล้วอัมรินทร์ก็ยากที่จะอดใจ

              เขาว่าผู้หญิงเมื่อได้ผ่านคืนแรกกับสามีแล้วจะดูสวยขึ้น คำนี้น่าจะใช้กับเปลวอรุณในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี..

              ผิวขาวซีดดูอิ่มไม่เหมือนคนป่วยมีไข้สูง ใบหน้าขาวที่แดงด้วยพิษไข้ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์ ปากอิ่มนั้นที่ไม่ว่าจูบเท่าไรก็คล้ายจะไม่พอสำหรับเขา

              กางเกงนอนผู้ป่วยถูกถอดทิ้งไว้อยู่ปลายเตียงนอนคนเฝ้า สะโพกขาวลอยเด่นขาสองขาสั่นพรั่บยามท่อนซุงหนาสอดตัวเข้ามาในใจกลางกุหลาบน้อยที่ยังช้ำจากการรุกรานเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ปากกลีบแดงดูน่าสงสารแต่ถ้าไม่เข้าไปคนที่น่าสงสารดูจะเป็นตัวของอัมรินทร์

              “อ๊า..”

              เปลวอรุณพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงออก เจ้าตัวกดหน้าลงกับหมอนหนุนกัดมันเพื่อระบายความเสียวซ่านยามที่ต้องต้อนรับสิ่งอวบหนา เช่นเดียวกับอัมรินทร์ที่ต้องอดกลั้นไม่พลั้งมือทำรุนแรงอีกและพยายามเกาะมือข้างที่ถูกเจาะเสียบน้ำเกลือของเปลวอรุณที่กำเข้ากับเสาน้ำเกลือจนเลือดสีเข้มของอีกคนไหลย้อนออกแล้วให้มากำกับมือของเขาแทน

              ภายในกุหลาบน้อยของเปลวอรุณยามนี้ร้อนกว่าเมื่อคืนหลายเท่าน่าจะเพราะอาการป่วยของเจ้าของที่ทำให้ความร้อนในร่างกายเพิ่มทวีรวมถึงแรงบีบรัดก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเมื่อเจ้าตัวดูจะยังเจ็บจากความรักก่อนหน้าของพวกเขา

              อัมรินทร์สอดตัวเข้าภายในจนสุดแช่ค้าไว้ให้เปลวอรุณชินก่อนจะเริ่มขยับ แรงเสียดสีเป็นไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบด้วยกลัวว่าอีกคนจะเจ็บ

              ครั้งนี้ดูเปลวอรุณตัวสั่นเหมือนกลัวกว่าครั้งแรกจนอัมรินทร์ฉงนเพราะเปลวอรุณทำเหมือนว่าการร่วมรักในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวยินยอม แต่อัมรินททร์ก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดอะไรต่อให้ยุ่งยากกดจูบไปตามแผ่นหลังขาวที่โผล่พ้นขอบเสื้อผู้ป่วยที่เขาถกร้นขึ้นไปสูง หัวไหล่ และซอกคอ น้ำหวานจากกุหลาบน้อยเริ่มไหลออกมาหล่อลื่นการเสียดสีทำให้เขาสามารถเพิ่มแรงขับได้มากกว่าเดิมโดยไม่กลัวอีกคนเจ็บ ไสกายเข้าออกเน้นย้ำตรงจุดไว้สัมผัสของอีกคนก่อนจะรั้งคนที่นอนคว่ำก้มหน้าชิดหน้าขึ้นจนแผ่นหลังแนบชิดแผ่นอก

              “อืมม..”

              ไม่ใช่แค่ข้างล่าง แต่ภายในโพงปากของเปลวอรุณก็ร้อนความหวานที่เขาเคยควานเจอเมื่อคืนกลับกลายเป็นรสขมจากยาที่อีกคนเพิ่งทานเข้าไป แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้เขาละริมฝีปากออกซ้ำยังติดใจรสชาติแปลกใหม่อีกด้วยแต่สิ่งที่ทำให้อัมรินทร์ครางต่ำอย่างพอใจดูเหมือนจะเป็นตรงท้องน้อยด้านล่าง

              มือหนาลูบวนตรงนั้นอยู่หลายครั้งโดยมีมือขาวจับทับอยู่ด้านบน ท้องน้อยเหนือส่วนลับเพียงเล็กน้อยนูนและยุบตามจังหวะการเข้าออกของท่อนเนื้อ พยานสำคัญที่แสดงให้เขารู้ว่าตอนนี้เขากับเปลวอรุณเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน   

              เปลวอรุณปลดปล่อยออกมาหลังจากถูกกระหน่ำรักจากอัมรินทร์จนพอใจตัวอ่อนยวบคล้ายลูกโปล่งที่ถูกปล่อยลมออกเอนกายอ่อนแรงพิงอกคนข้างหลังมีท่อนแขนหนาคอยรั้งเอวเอาไว้ไม่ให้ล้ม คราวขาวขุ่นหนืดหยดเปรอะเบาะนอนยางที่อัมรินทร์ถกผ้าปูหนีส่วนเจ้าตัวก็กระแทรกกายเข้าออกอยู่อีกสองครั้งหนนักๆแล้วจึงปลดเชื้อพันธ์เข้าสู่กายคนป่วนส่วนเกินทะลักออกจากปากกลีบที่ถูกปิดแน่นไหลอาบลงที่ต้นขาขาว

              อัมรินทร์จูบซับขมับที่เริ่มชื้นเหงื่อ เพราะเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกเพียงแค่ปลดซิปกางเกงลงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อถอนกายออกมาแล้วเขาจึงทำเพียงแค่หยิบกระดาษทิชชู่เปียกที่อยู่บนตู้เล็กข้างเตียงมาเช็ดทำความสะอาดความเหนียวหนืดที่ยืดติดส่วนปลายเชื่อมกับช่องทางบวมเป่งนั้นออกลวกๆแล้วดึงซิปขึ้นก่อนช้อนตัวเปลวอรุณที่หอบหายใจขึ้นอุ้มไปที่ห้องน้ำ

              ร่างอ่อนปวกเปียกของเปลวอรุณถูกวางลงที่ชักโครกจับให้อ้าขาออกแม้อีกคนจะอายจนไม่กล้ามองหน้าไม่ว่าอัมรินทร์จะเย้าแหย่ยังไงเปลวอรุณก็เอาแต่หน้าหนีซ้อนความแดงของใบหน้า

              อัมรินทร์ส่ายหน้ายิ้มปลายนิ้วหนาสองนิ้วสอดตัวเข้าทักทายกุหลายน้อยอีกครั้งเพื่อกวาดคว้านเอาสารคัดหลั่งของอีกคนและเชื้อพันธ์ของตนออกมา อัมรินทร์มองส่วนเกินที่ไหลออกมาอย่างคิดเสียดายที่จะต้องทิ้งมันลงโถชักโครกแต่เขาก็ตัดใจจากมันแล้วหันมาทำความสะอาดภายในของเปลวอรุณต่อให้เสร็จเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสถึงความบวมของปากกลีบที่น่าสงสารก่อนจะล้างมือหาผ้ามาชุบน้ำบิดพอหมาดนำมาเช็ดตามท่อนขาเรียวขาวทั้งสองขาและร่องปากกลีบกุหลาบ สวมกางเกงนอนคนป่วยให้เปลวอรุณเป็นอย่างสุดท้ายก่อนช้อนตัวอุ้มคนป่วยกลับไปยังที่เตียงนอนอีกครั้ง

              พอขึ้นเตียงได้เปลวอรุณก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นคุมหอตัวเป็นดักแด้อีกครั้ง ขี้อายเสมอต้นเสมอปลาย อัมรินทร์อมยิ้มขำก่อนจะจัดการทำความสะอาดสนามรักเฉพาะกิจของพวกเขาให้สะอาดแล้วดึงผ้าปูกลับให้เรียบร้อยเช่นเดิม



         
  :-[
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-07-2017 20:29:06
:-[



 ครั้งนี้เปลวอรุณหลับสนิทและยาวกว่าทุกครั้งมีตื่นขึ้นมากินยาเมื่อครบสี่ชั่วโมงตามหมอสั่ง พูดคุยกับอนิรุทธิ์และลิลดาที่มาเยี่ยมก่อนจะหลับต่อ ตื่นมาอีกครั้งในช่วงใกล้เที่ยงคืน

              “แม่เปลว”  เสียงของลูกตาดังขึ้นพร้อมใบหน้าคมเข้มของเด็กหนุ่มที่ใช้โต๊ะเลื่อนสำหรับกินข้าวบนเตียงต่างโต๊ะทำงาน หนังสือเตรียมสอบสองสามเล่มสมุดจดและปากกาสีวางเกลื่อนเต็มโต๊ะ

              “เป็นยังไงบ้างครับ หิวน้ำไหม” เด็กหนุ่มถามเสียงรนกุลีกุจอหยิบเหยือกมาเทน้ำใส่แก้วแล้วถือประคองรองให้เวลาดื่น “รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ”

              “ดีขึ้นหน่อยแล้วละ” รู้สึกสบายตัวขึ้นด้วย..  เปลวอรุณยิ้มให้แต่ยังคงเสียงแหบและไอแห้งๆอยู่บ้างแต่นอกนั้นก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว

เก๊ก

              เสียงบิดลูกบิดประตูห้องน้ำดังขึ้นพร้อมร่างสูงใหญ่ของอัมรินทร์ในชุดเตรียมนอน “อ้าว ตื่นแล้วหรอเปลว”

              สองขายาวก้าวเข้ามาใกล้อังหลังมือลงใกล้หน้าผากและลำคอเพื่อวัดไข้ เมื่อไม่สัมผัสถึงความร้อนเช่นเมื่อตอนบ่ายแถมสีหน้าของคนป่วยก็ดูดีขึ้นเขาก็ยิ้มออก

              “ไข้ลดลงแล้ว พรุ่งนี้น้ำเกลือหมดน่าจะกลับไปพักต่อที่บ้านได้แล้วละ” อัมรินทร์พูดราวกับตนเป็นหมอ ถึงจะแอบทำหน้าล้อเลียนแต่ลูกตาลเองก็เห็นด้วย

              “แล้วนี้ทำไมยังไม่นอนกันอีก” เปลวอรุณถามพลางมองเวลาที่อีกไม่กี่นาทีจะข้ามพ้นวันเก่า

              “ผมอ่านหนังสืออยู่นะครับ” ลูกตาลจับมืออุ่นร้อนแนบหน้าจนเปลวอรุณต้องเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวทุยของเด็กหนุ่มแทน

              “แล้วอ่านถึงไหนแล้ว นอนดึกไม่ดีนะแล้วพรุ่งนี้ไม่ไปทำงานหรือไง” เปลวอรุณก็ยังคงเป็นเปลวอรุณ คุณแม่จอมขี้กังวล...

              “ฉันเตือนลูกแล้วนะเปลว แต่ตาลดื้อไม่ยอมฟัง” ได้ทีขี่แพะไล่ อัมรินทร์กรีดยิ้มร้ายโอบไหล่อีกคนไว้เป็นการฟ้อง

                   “ผมกะว่าจบเรื่องนี้ก็จะนอนแล้วฮะ วันนี้ผมแลกกะกับเพื่อนไปแล้วพรุ่งนี้เลยไม่ต้องไปทำงาน” ลูกตาลมองคนขี้ฟ้องตาขวาง ทั้งที่กะว่าจะอ่านต่ออีกสักหน่อยเป็นอันต้องพับเก็บลงทันใด

                   “ถ้างั้นก็อย่าดึกนักละ” เปลวอรุณลูบหัว “แล้วคุณทำไมยังไม่นอน” ก่อนจะหันมาถามอีกคน

                   “ทำงาน” อัมรินทร์ตอนสั้นๆ  คนป่วยชะโงกหัวออกไปมองแฟ้มเอกสารที่วางอยู่เต็มเตียงข้างๆ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าเมื่อตอนเย็นตอนที่อนิรุทธิ์และลิลดามาเยียมนอกจากถุงขนมของฝากแล้วยังมีแฟ้มเอกสารอีกด้วย

                  “มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ” เจ้าตัวพูดพร้อมตั้งท่าลงจากเตียงไปหากองงานตรงหน้าจนอัมรินทร์และลูกตาลต้องส่งเสียงร้องห้าม

                   “แม่เปลวจะทำอะไรครับ” เด็กหนุ่มถามเสียงหลงรั้งแขนอีกคนไว้แน่น

                   “ก็ไปทำงานไง” แต่คนป่วยก็ยังหันกลับมาตอบหน้าซื่อ

                  “ไม่ต้องเปลว เดี๋ยวฉันทำเอง” อีกคนร้องห้ามไม่ต่างกัน

                  “แต่ว่า..”

                  “ไม่มีแต่ งานใกล้จะเสร็จแล้วเปลวนอนพักไปนั้นแหละ” อัมรินทร์บอกก่อนหันไปสบตากับเด็กหนุ่มเป็นอันรู้กัน

                  “แม่เปลวดูนี้กัน” ลูกตาลเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตนมาเปิดคลิปวีดีโออันหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้แทนเพื่อเบี่ยงความสนใจของคนป่วยบ้างาน

                 และได้ผล

                เปลวอรุณหันมาหัวเราะคิดคักกับการกระทำแปลกๆของคนในคลิปพลางพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกตาลอย่างออกรส จบคลิปนี้ต่อคลิปนั้นเสียงพูดคุยของคนสองคนทำเอาคนที่นั่งมองอยู่เผลอยิ้ม

               ตอนเห็นเปลวอรุณไม่สบายจนเกือบชักเขาแทบทำอะไรไม่ถูกมือไม้สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รีบอุ้มอีกคนขึ้นรถแล้วมาส่งโรงพยาบาลและพยายามเช็ดตัวเป็นระยะเพื่อไล่ความร้อนในตัวของอีกคนให้หายไปจนช่วงสายที่อาการไข้ของอีกคนคนที่นั้นแหละเขาถึงได้หายใจหายคอได้สะดวก ข้าวต้มกุ๊ยจืดชืดที่เปลวอรุณกินเหลือคือข้าวเช้าเพียงมื้อเดียวที่เขาได้กินตลอดทั้งวันการเฝ้าไข้คนป่วยมันน่าเบื่อแต่เขาเต็มใจที่จะทำถ้าคนป่วยที่ว่าคือเปลวอรุณ

              ช่วงบ่ายเขาเคลิ้มๆจนใกล้จะหลับอยู่ดีๆคนที่หลับสนิทก็ไอออกมาหนักกว่าเดิมซ้ำร้ายยังขยับพลิกตัวไปมาเหมือนไม่สบายตัวจนเขาต้องกดเรียกหมอให้มาตรวจอีกครั้งและโกรธจนแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าอีกคนมีโรคแทรกซ้อนความกลัวเหมือนเงามืดที่เข้าปกคลุมใจของเขาจนชาวาบ

             กลัว กลัวเปลวอรุณจะเป็นอะไรไป...

             หลังทำเรื่องเผลอไผลกับเปลวอรุณไปอีกรอบครั้งนี้เขาได้หลับอย่างเต็มตาจริงๆ เขาตื่นขึ้นมาเพราะพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมยาที่ต้องกินทุกสี่ชั่วโมง

             เขาปลุกเปลวอรุณขึ้นมากินยาเช็ดตัวให้อีกรอบเมื่อเห็นว่าอีกคนยังมีไข้ตัวรุมๆอยู่กลังจากนั้นอนิรุทธิ์และลิลดาก็เข้ามา เมื่อบ่ายเขาฝากให้อนิรุทธิ์เข้าไปนำเอกสารงานที่โต๊ะของเปลวอรุณมาให้เขาที่นี้และโชคดีที่ลิลดาเป็นคนละเอียดอ่อนเธอซื้อข้าวหมูแดงมาให้เขาเป็นข้าวเย็นรวมถึงขนมนมเนยของกินเล่นต่างๆเป็นของแถม ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าแต่สีหน้าของลิลดาวันนี้ดูหง่อยๆเหมือนคนสำนึกผิดกับอะไรสักอย่าง อนิรุทธิ์กับลิลดาอยู่คุยถามไถ่อาการของเปลวอรุณจากเขาเพียงเล็กน้อยแล้วขอตัวกลับเมื่อเห็นว่าคนป่วยหลับสนิทจึงไม่อยากอยู่รบกวน

          เอกสารด่วนที่ได้มาเป็นเรื่องการสั่งซื้อเครื่องประดับทั้งส่วนบุคคลและห้างร้าน เขานั่งตรวจสอบเอกสารสลับกับเช็ดตัวให้เปลวอรุณพอครบเวลาพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาแต่เขาไม่อยากจะขัดจังหวะการนอนจึงเลือกใช่วิธีป้อนด้วยปากแทนแล้วส่งแก้วยาคืนพยาบาลสาวที่ยืนหน้าแดง จนเวลาเกือบห้าทุ่มนั้นแหละลูกตาลถึงเดินเข้ามาพร้อมเป้ใบใหญ่เด็กหนุ่มถามไถ่อาการเปลวอรุณพอประมาณแล้วเข้าไปอาบน้ำแล้วเดินออกมานั่งอ่านหนังสือ

              แรกสะกิดเบาๆที่แขนเรียกให้เปลวอรุณละสายตาจากคลิปสัตว์โลกน่ารักขึ้นมามองลูกชายก่อนจะหันตามใบหน้าที่พยักพเยิดไปอีกทางให้เขามองตาม

              ภาพอัมรินทร์ที่นั่งสัพงกอยู่ที่เตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ดูน่าตลกแต่พอได้ฟังจากลูกตาลว่าอัมรินทร์คอยเช็ดตัวให้เขาแทบจะทุกชั่วโมงก็พอเข้าใจความเหนื่อยอ่อนของชายหนุ่ม

              “ตาลพาคุณอันเขาไปนอนดีๆที แม่ลุกไม่ขึ้น” ถึงจะดีขึ้นแล้วแต่ช่วงล่างที่รับกระทำมายังไม่พร้อมที่จะให้เขายืนทรงตัวให้ตรงได้ ลำพังแค่ขยับขาไปมาบนที่นอนเขายังรู้สึกร้าวยันกระดูกขนาดนี้

            เด็กหนุ่มเป็นคนว่าง่ายแม่ไหว้วานอะไรมาเขาเองก็พร้อมที่จะทำตาม ลูกตาลเก็บเอาเอกสารทุกอย่างที่อัมรินทร์อ่านค้างไว้ใส่แฟ้มแล้ววางลงที่ตู้ด้านข้างเตียงประคองคนที่ตัวโตกว่าลงที่นอนช้าๆก่อนจะตามด้วยผ้าห่ม ดูท่าอัมรินทร์คงจะเพลียจริงๆเพราะขนาดว่าเด็กหนุ่มจับตัวอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำไป

              “ตาลก็นอนได้แล้ว หนังสือค่อยอ่านเอายังพอมีเวลาอยู่นะ” เปลวอรุณเตือน

              “งั้นผมนอนเลยแล้วกันนะครับ” บอกแล้วว่าเขาเป็นคนว่าง่าย

              ลูกตาลจัดแจงห่มผ้าให้แม่เปลวจนถึงคอก่อนจะหันมาเห็บอุปกรณ์การอ่านของตนให้เรียบร้อยแล้วเดินไปปิดไปแล้วเดินมาล้มตัวนอนลงที่เตียงนอนข้างๆอัมรินทร์

              เตียงก็ออกจะกว้าง เรื่องอะไรเขาจะต้องทนบนหลังขดหนังแข็งบนโซฟาด้วย...



            เช้านี้ดูสดใสกว่าเช้าเมื่อวานอาการไข้เริ่มลงลงอยู่ในระดับแค่ตัวอุ่นๆแม้จะยังไอแห้งๆอยู่บ้างแต่เปลวอรุณก็พอจะพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่าเขา หายแล้ว

              “หน้าตาดูสดชื้นขึ้นมาเลยนะครับ” คุณหมอว่ายิ้มแย้ม วางที่ตรวจชีพจร(stethoscopes)ลงที่หน้าอกฟังการหายใจและตรวจชีพจรของเปลวอรุณ

              “อาการไข้ลดลงแล้วเหลือรอน้ำเหลือหมดไม่เกินช่วงบ่ายก็กลับบ้านได้แล้วละครับ” การรักษาคนไข้ให้หายได้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของคนเป็นหมอ รอยยิ้มที่แย้มออกจึงดูจะกว้างกว่าเมื่อวานเยอะเลย

              “ส่วนยาหมอจะจัดไว้รอให้ ทานให้หมดด้วยนะครับ” ไม่ใช่คำบอกแต่เป็นการบังคับ คนไข้ส่วนใหญ่พอเห็นว่าตัวหายแล้วแข็งแรงแล้วก็ปีกกล้าไม่เชื่อฟังไม่ยอมกินยาต่อให้หมด ผลสุดท้ายก็กลายว่าเป็นดื้อยา

              เปลวอรุณถูกบังคับให้กินข้าวต้นจืดแสนขมคอลงท้องอีกครั้งเพื่อกินยาก่อนจะถูกสั่งให้นอนหลับไปอีกรอ แต่การนอนมาทั้งวันแล้วเมื่อวานทำให้เปลวอรุณออกจะหงุดหงิดและไม่ยอมทำตาม ทางออกที่ดีดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์ที่ลูกตาลเปิดขึ้นมาพอดี

              หนังกลางเก่ากลางใหม่ที่ถูกนำมาฉายในช่องรายการสำหรับภาพยนตร์ดึงดูดความสนใจของทั้งสามคนให้ใช้เวลาที่เหลือก่อนออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอยู่ที่หน้าจอสี่เหลียม

              “ไม่มียาก่อนกินข้าวแต่มีหลังกินข้าวสามตัว” ลูกตาลพูดขึ้นขณะสายตากำลังไล่อ่านชื่อยากับวิธีการกิน   

            “แล้วหมอนัดอีกทีเมื่อไรตาล” อัมรินทร์ถามแทรกขึ้นขณะเข็นรถเข็นสำหรับคนป่วยที่เปลวอรุณนั่งอยู่เสมอคู่มากับเด็กหนุ่ม

              “ศุกร์หน้า แต่มันบอกว่าถ้าหายแล้วไม่ต้องมาก็ได้” เด็กหนุ่มบอกพร้อมส่งใบนัดสีขาวให้อัมรินทร์ดูว่าตนไม่ได้โกหกพร้อมส่งถุงยาคืนให้เปลวอรุณไปดูเองต่อ

              อัมรินทร์พยักหน้าเป็นอันเข้าใจก่อนจะส่งใบนัดคืนให้คนบนรถเข็น พวกเขาเดินกันมาจนถึงโถงด้านหน้าโรงพยาบาลอยู่ดีการเคลื่อนที่ก็หยุดชะงักลงเปลวอรุณที่กำลังพลิกดูซองยาก็หันกลับไปมองคนเข็นก่อนจะพบว่าอัมรินทร์กำลังตีหน้าไม่พอใจหัวคิ้วขมวดชนกันแน่นแววตาฉายแววความไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

              เปลวอรุณมองอย่างไม่เข้าใจจึงหันไปมองข้างหน้าตามสายตาของอีกคนดูก่อนจะพบว่าตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนมีร่างสมส่วนของผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอัมรินทร์ยืนส่งยิ้มละไมมาให้

              “ราชัน

              ไม่ใช่เสียงของเขา แต่เป็นเสียงของผู้ชายที่ยืนอยู่เหนือด้านหลังของเขาต่างหาก...

              น้ำเสียงที่กลั่นกรองออกมาจากไรฟันบอกให้คนที่แทบหยุดหายใจรับรู้ว่าอัมรินทร์ไม่มีความยินดีอยู่เลยสักนิดกับการที่ต้องมาพบเจอผู้ชายผิวขาวซีดเหมือนผีไร้เลือดตัวสูงโย่งตรงหน้า

               “ไม่เจอกันนานเลยนะอัน” ชายหนุ่มนามว่า ราชัน ฉีกยิ้มแสดงความเป็นมิตรให้คนที่หน้าบ่อบุญไม่รับบ่อบาปไม่ยินดีอย่างหน้าชื้นตาบานไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่เจอจะอยากเจอตนด้วยความยินดีด้วยหรือไม่

              “แล้วนี้มาทำอะไรที่โรงพยาบาลหรอ เอ๊ะ หรือมึงไม่สบาย”  หนังตาเรียวขั้นเดียวเบิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายตกใจพร้อมแสดความเป็นห่วงผ่านทางสายตาขณะไล่ตามเนื้อตัวของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มผิวเข้มหน้าคมข้างๆแล้วมาหยุดอยู่ที่คนบนรถเข็นด้วยรอยยิ้มที่กระตุกมุมขึ้น

              “แล้วนี้..” ราชันลากเสียงพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้

              “อย่างยุ่งกับเมียกู” อัมรินทร์พูดเสียงเหี้ยมเลื่อนรถเข็นถอนหลังไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้

              “เมีย?” ราชันทวนคำเหมือนไม่เชื่อ มือสองที่ซ้อนไว้ข้างหลังกำแน่นเข้าหากันระงับอารมณ์

              “อะไรกับไม่เจอกันตั้งนานไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่ามึงมีเมียแล้ว” ชายหนุ่มผิวขาวซีดถามอัมรินทร์แต่สายตากลับก้มมองแปลวอรุณที่นั่งก้มหน้าตาไม่กระพริบเหมือนว่าคำถามนั้นเจ้าตัวไม่ได้ใช้ถามอัมรินทร์

              “เพราะมันไม่ใช่เรื่องของมึงไงราชัน” อัมรินทร์เหยียดยิ้มเยาะ อีกฝ่ายทำหน้าปากแบะใส่ก่อนหันไปฉีกยิ้มให้อีกหนึ่งคน

              “แล้วเด็กน้อยนี้ละ”

              “ลูกกู”  ราชันมองอาการหวงก้างของอัมรินทร์ที่เริ่มทำให้เขายิ้มสนุกตาพราวระยับเหมือนเด็กกำลังเจอของเล่น

              “ลูกมึง โทษนะ จากอายุเด็กกุว่าไม่น่าใช่วะ” เด็กนี้ดูแล้วน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบ อัมรินทร์อายุยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้าถ้าเด็กหนุ่มนี้เป็นลูกของเพื่อนเขาจริงก็แสดงว่าอัมรินทร์ต้องมีลูกตั้งแต่สิบขวบ

              “ลูกของเมียกูก็คือลูกของกูเหมือนกัน มึงจะถามเรื่องที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเองทำไม” อัมรินทร์กดเสียงอย่างไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไรกับคำถามที่คล้ายจะเย้ยเยาะเขา

              “อ๋อ” ราชัยทำเสียงสูง ยิ้มเหมือนเข้าใจ

              “ถ้าอย่างนั้นเราค่อยเจอกันใหม่นะ” นัยน์ตาเข้มก้มมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือก่อนจะโบกมือล่ำลาครอบครัวของเพื่อนก่อนจะเดินไปอีกทาง ทิ้งความไปพอใจให้กับอัมรินทร์เป็นอย่างมากที่ต้องมาเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ

              สังหรณ์แปลกๆ...



____________________________________________________________

รู้สึกว่าอาทิตย์นี้ลงถี่มากกับสามตอนเสียเลือด

ตอนนี้ได้เวลาเปิดตัว หนูราชัน สมาชิกใหม่แห่งบ้านทรายทอง
ผีดิบน้อยเพื่อนรักของมนุษย์หมาป่าลูกเป็ดอันอัน

ราชันเป็นใครมาจากไหนนั้นรอดูกันต่อไปได้เลย แง้มๆว่าคนนี้ละที่จะทำให้อัมรินทร์กระอักเลือด
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 20-07-2017 21:49:45
ราชันเป็นใครราชันต้องมีแผนอะไรอยู่แน่ๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-07-2017 21:52:13
ราชันคือใครหว่าาา
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: rmlab ที่ 20-07-2017 22:02:55
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: pamazier24 ที่ 20-07-2017 22:36:50
สนุกมากค่ะ แต่งดีมากเลย ติดตามตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-07-2017 23:06:31
อัพรัวๆเลยดีจายยยย
ว่าแต่ ราชันจะมาเพิ่มความวุ่ยวายไหมหนอ?! :ling1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 18- 20/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 21-07-2017 03:54:23
รอติดตาม
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 21-07-2017 21:17:16

เป็นหนี้ ครั้งที่ 19



            “คุณเปลว”

              เสียงหวานใสดังออกมาแต่ไกลจากในตัวบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงลงส้นเท้าหนักๆตรงมายังเจ้าของชื่อที่เพิ่งก้าวเท้าลงมาจากรถยนต์โดยมาอัมรินทร์คอยประคองอยู่ข้างๆไม่ให้ล้ม

              “คุณเปลวของลิล”  ลิลดาพูดเสียงดังไม่ห่วงมารยาทที่เพิ่งโดนมารดาตักเตือนไปเมื่อหลายวันก่อน เธอตรงปรี่เข้ามารวบตัวคนป่วยที่ยังไม่หายดีมากอดเสียเต็มรัก กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องปรุงเตรียมอาหารลอยออกมาปนกันกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าหล่อนใช้ประจำ

              “ลิลอย่าพุ่งมาแบบนั้นสิเดี๋ยวเปลวเขาล้ม” อนิรุทธิ์ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมาทีหลังเอ็ดเสียงเหมือนผู้ใหญ่วิ่งตามเด็ก

              “คุณเปลวเป็นยังไงบ้างคะ ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ” เธอถามหน้าจริงจัง จับคนตรงหน้าหมุนซ้ายหมุนขวา

              “ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ขอบคุณนะครับที่ไปเยี่ยมเมื่อวาน” เปลวอรุณยิ้มตอบพร้อมค่อยๆผละออกจากหญิงสาวอย่างไม่ให้เสียมารยาทเพราะถ้าเธอยังจับเขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่อีกมาหวังเขาได้เวียนหัวแล้วอาเจียนออกมาแน่

            “จริงๆนะคะ แต่ตัวยังร้อนๆอยู่เลย” เธอว่าพร้อมยกมือขึ้นอังลำคออีกฝ่าย “แถมยังไออีกด้วย” เธอพูดเสียงอ่อย

              “แค่ยังเหลือไข้นิดๆหน่อยๆกับไอนี้ละครับนอกนั้นก็ดีขึ้นหมดแล้ว”

              “แน่นะคะ” ใบหน้าสวยเจือความรู้สึกผิด “ถ้าคุณเปลวเป็นอะไรไปลิลต้องรู้สึกผิดมากๆแน่เลยค่ะ” เธอว่า

              “แล้วทำไมต้องรู้สึกผิดด้วยละครับ คุณลิลไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยอีกอย่างผมก็ป่วยเองด้วย” เปลวอรุณเอียงคอถาม ไม่เข้าใจความหมายที่เธอว่าออกมาว่าทำไมต้อง ‘รู้สึกผิด’ ที่เขาป่วยด้วย

              “เออ ก็..” คนชั่งพูดแทบไปไม่ถูก ด้วยไม่มีใครรู้ว่าเธอแอบทำอะไรกับแก้วน้ำผลไม้ของเปลวอรุณ หากพลั้งปากออกไปดีไม่ดีคนที่จะถูกตำหนิก็คงไม่แคล้วจะเป็นตัวเธอที่คิดเล่นพิเรนทร์มอมยาคนอื่นจนจับไข้

              “เราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่าไหม แดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวเปลวจะไข้กลับ” เหมือนเสียงสวรรค์มาช่วย เพราะเมื่ออัมรินทร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆเหมือนคนเพิ่งเจอเรื่องไม่สบอารมณ์มาก็ประคองเปลวอรุณเดินขึ้นขั้นบันไดเข้าไปด้านในไม่สนใจพวกเธออีกเลย

              ลิลดามองตามหลังเพื่อนชายคนสนิทไปอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงต้องดูโกรธใส่อารมณ์ขนาดนั้น ครั้นพอหันมาสบตากับอนิรุทธิ์เป็นเชิงถาม ชายหนุ่มเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เช่นกัน

              ถ้าอย่างนั่นก็คงเหลืออยู่คนเดียวที่พอจะตอบปัญหานี้ได้...

              ทั้งสองหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่นั่งยองเล่นอยู่กับสุนัขตรงหน้า ลูกตาลเองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกมองก็เงยหน้าขึ้นมองสองชายหญิงนั่นกลับ

              “มีอะไรหรอครับ” เจ้าตัวถามพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัวออก “แล้วทำไมใส่ผ้ากันเปื้อนกันละ” พอถาม

              ผ้ากันเปื้อนสีกาแฟอยู่บนตัวของลิลดาลูกตาลพอเข้าใจได้ว่าเธอเพิ่งตรงมาจากในครัวเมื่อครู่ แต่กลับอนิรุทธิ์เด็กหนุ่มไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่เพิ่งได้ศักดิ์เป็นลุงของเขาทำอาหารเข้าครัวเป็น

              “ว้าย!”  คล้ายเพิ่งนึกได้ตอนโดนทัก ลิลดาอุทานขึ้นเสียงดังก่อนจะหันตัวกลับวิ่งเข้าไปในบ้านอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเคี่ยวข้าวต้มค้างเอาไว้อยู่ในครัว

              อนิรุทธิ์มองตามหลังเล็กของหญิงสามไปแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา

            พูดไม่เคยฟัง...

              “แล้วมีเรื่องอะไรระหว่างมา ทำไมไอ้อันมันหน้าบูดบึ้งได้ขนาดนั้น” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามใหม่

              อัมรินทร์เป็นพวกที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตาชัดแจนทำให้ไม่ว่าจะมีเรื่องพอใจ เสียใจ หรือไม่พอใจอะไรคนรอบข้างก็มักจะจับสังเกตได้ทันที

              ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...

              “น่าจะเพราะเจอเพื่อนเก่าละมั่ง” ลูกตาลทำหน้าคิด เพราะตลอดทางที่กลับมาอัมรินทร์ไม่พูดไม่จาคล้ายโมโหเคืองใจกับสิ่งใดอยู่และเท่าที่พอนึกได้ก็มีอยู่เรื่องเดียว

              “เพื่อนเก่า?”

              “อือ ชื่อ ราชัน”

...........................................


              “อะไรนะ เจอราชันที่โรงพยาบาล”

              ลิลดาถามกลับอีกครั้งพลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นหลังกลับมาจากเข้าไปในครัวมาเมื่อสักครู่ นัยน์ตาหวานเสมองคู่กรณีที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างอกสั่นขวัญแขวน

              “แล้วราชันมาทำอะไร” เธอถามน้ำเสียงคล้ายเป็นห่วงกังวล

              “ไม่รู้” อัมรินทร์ตอบเสียงห้วนโอบรอบเอวเปลวอรุณที่นั่งอยู่ข้างๆให้เข้าหาตัวแน่น เหมือนกลัวอีกคนจะหายไป

              แม้จะไม่รู้ความสัมพันธ์ฉันระหว่างเพื่อนระหว่างคนทั้งสองว่าเป็นในทิศทางไหนแต่ก็คงไม่ยากเกินที่เปลวอรุณจะคาดเดาว่าราชันคงไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อนสนิทที่อัมรินทร์อยากส่งยิ้มทักทายใส่เวลาเจอหน้ากันเสียเท่าไร

            ดูได้จากการแสดงออกที่แทบจะกระโจนกินหัวอีกฝ่ายเมื่อตอนนั้นแล้ว...

              “ว่าแต่คนที่ชื่อราชันอะไรนั่นเป็นใครหรอครับ” ลูกตาลเองก็สงสัยไม่แพ้กัน และเขามันเป็นพวกอยากรู้ก็ต้องถามเสียด้วยสิ

              “ว่าไงดีละ” ลิลดาเกริ่นเมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ไม่มีความสนใจใยดีอันใดในการเอ่ยพูดถึงบุคคลที่สามคนนี้เลยแม้แต่น้อย

              “เพื่อนร่วมคาร์สเรียน ใช้คำนี้น่าจะได้อยู่นะ” นิ้วชี้เรียวยกขึ้นแตะปลายคางเหมือนใช้ความคิด

              “หมอนั่นเป็นเพื่อนนักเรียนไทยที่เรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกับฉันแล้วก็อัน” เธอเริ่มพูด เมื่อเห็นว่าเจ้าของเรื่องไม่มีท่าทีขัดอะไรเธอจึงเริ่มพูดต่อ

              “ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับราชันเท่าไรเพราะฉันเรียนออกแบบไม่ใช่บริหาร แต่เท่าที่รู้คือตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียนจนปีสุดท้ายที่จบออกมาอันกับราชันเรียกเซคเดียวกันมาตลอด เหมือนว่าถ้าเจออันเซคนี้ก็ต้องเจอราชันอยู่ในเซคนั้นด้วย”  บางวันที่เธอเข้าไปนั่งเรียนกับอัมรินทร์ทีไรเธอเองก็มักจะหันไปเจอรอยยิ้มละไมของชายผิวซีดคนนั่นเป็นประจำ

              “มันคือตัวน่ารำคาญ” อัมรินทร์เปิดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดตรงคำพูดว่าตนไม่พอใจและไม่สบอามรณ์แม้จะเป็นเพียงการเอ่ยถึงเรื่องของอีกฝ่าย

              “เหมือนมันจงใจจะแข่งกับฉันไปทุกเรื่อง” ทั้งเรื่องการเรียน ทั้งเรื่องคู่นอน

              ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ไอ้ผีเลือดหายนั่นติดใจจนตามติดเขาเป็นขี้ปลาทองแบบนี้ แต่บอกเลยว่านอกจากน่ารำคาญแล้วเขายังเกลียดขี้หน้ามันด้วย

            “ใช่ ถ้าวิชานี้อันได้ท็อปอีกวิชาก็จะเป็นราชันที่ได้ท็อป แต่ลิลว่ามันก็ดีนะที่มีคู่แข่งมันจะได้เป็นการกระตุ้นการเรียนของเราด้วยแถมราชันเองก็เป็นคนอัธยาศัยดีพอตัวเลย” พอได้คุยแล้วราชันก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเท่าไร

              “แต่ที่ทำให้มีปัญหากับอันจริงๆน่าจะเพราะราชันเคยแย่งคู่เดทของอันด้วยนี้ละ” เธอว่าเมื่อนึกขึ้นได้

              “แย่งหรอ?” อนิรุทธิ์ทวน สีหน้าฉงนหนักยามหันไปมองสีหน้าโกรธจัดของน้องชาย

              เรื่องจริงหรอเนี้ย...

            คนอย่างไอ้อันนี้นะโดนแย่งคู่เดท ไม่น่าเชื่อ...

            “แล้วที่มันโผล่มาที่นี้ คงไม่ใช่ว่า” อนิรุทธิ์เผลอคาดเดากับตัวเอง

              “กูไม่เสียท่ามันซ้ำสองแน่” อัมรินทร์ขบกรามแน่น

              ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจริงจังด้วยคือสาวสวยชาวอังกฤษ สาวเรียบร้อยที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่แรมเดือนจนเธอใจอ่อนยอมออกเดทกับเขา

                 แต่แค่วันเดียวเท่านั้น..

                น้ำต้มผักจืดชืดที่กำลังจะว่าหวาน ยังไม่ทันได้หวานชื้นกินใจก็เป็นอันต้องรู้สึกขมเหมือนฝืนกลืนบอระเพ็ดเขาทั้งต้น

                ความดีใจอยู่ข้างอัมรินทร์ถึงแค่ยามลืมตาตื่น เพราะยังไม่ทันจะก้าวขาออกนอนห้องพัก ข่าวว่าสาวเจ้าไปนอนกกกอดอยู่กับมารชีวิตของเขาอย่างราชันก็ลอยมาตามลมเหมือนสายฟ้าที่ฝ่ากลางใจพาทำให้ตัวเขาชาวาบ และที่ร้ายที่สุดคือสาวเจ้าไม่คิดจะชายตามองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย

               มันจงใจที่จะเหยียบหน้ากันชัดๆ....

              “ฟังนะเปลว ถ้าไอ้หมอนั่นเข้ามาใกล้หรือชวนคุยเปลวรีบเดินหนีมันเลยนะ ออกมาห่างๆอย่าไปอยู่ใกล้ไอ้ตัวเชื้อโรคนั่น” อัมรินทร์หันหน้ามาพูดกับคนข้างกายเสียงจริงจัง

              เขาไม่ยอมนแน่...

              “มันคงไม่มีเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละมั่งครับ” เปลวอรุณว่าปลอบ

              “ไม่ได้เปลว เห็นหน้ายิ้มๆแบบนั้นนะเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอ” อัมรินทร์บอก

              ยิ่งราชันบอกเองไว้ตอนท้ายว่า ‘ไว้ค่อยเจอกันใหม่’ ด้วยแบบนี้ร้อยทั้งร้อยเขาเองหัวเป็นประกันไอ้ผีหน้ายิ้มนั่นต้องโผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีกแน่

              “ลูกตาลเองก็เหมือนกัน อย่าไปยุ่งกับคนพันนั้นเด็ดขาด” ไม่วายส่งแรงแค้นมาให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้รับรู้

              ลูกตาลพยักหน้ารับไม่สาวความยาวอะไร

              หลังจากอัมรินทร์กำชับเน้นย้ำทุกคนซ้ำๆอยู่อย่างนั้นให้ทุกคนจำขึ้นใจว่า ราชัน คือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเข้าใกล้ เสียงของลุงอุ่นก็ดังขึ้นเพื่อเชิญคุณๆทั้งหลายไปทานข้าวเพื่อที่ว่าเปลวอรุณจะได้กินยาแล้วพักผ่อน

            หลังกินข้าวกันแล้วก็นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องอาหารกันอีกครู่ใหญ่ๆก่อนที่ลิลดาจะเอ่ยปากของตัวกลับก่อน เมื่อสัญญาณเลิกราการพบปะกันดังขึ้นอนิรุทธิ์รับหน้าที่เดินไปส่งหญิงสาวที่รถ อัมรินทร์พาเปลวอรุณขึ้นมาที่ห้องพร้อมลูกตาลเพื่อพักผ่อน

              แต่ดูเหมือนความตั้งใจที่ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันเปลวอรุณสองคนของอัมรินทร์เป็นอันต้องพับเก็บ

               “โฮ่ง”

               “ก็บอกว่าเข้าไม่ได้ไง”

              อัมรินทร์เท้าสะเอวยืนข้างประตูห้องนอนพร้อมทำเสียงกึ่งดุกึ่งอ่อนใส่ลูกสาวสี่ขาที่ส่งเสียงครางหงิงยกขาหน้าเกลี่ยสะกิดของความเห็นใจจากคนตัวสูงที่ดูแลมันมาตั้งแต่น้อยตาละห้อย

              “หงิง..หงิง”

              เสียงร้องของมณีนิลทำเอาใจของอัมรินทร์อ่อนยวบ แต่เขาต้องกลั้นใจทำใจแข็งสลัดความใจอ่อนนั้นออกไปเมื่อเป้าหมายของเจ้าตัวไม่น้อยนั้นคืออะไร

              “แม่เปลวต้องพักผ่อน คุณนิลเข้าไปไม่ได้”  เหมือนรับรู้ความหมายที่เจ้านายพูดบอกเสียงร้องประท้วงของมณีนิลก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันโวยวายอยู่หน้าประตูทำเอาอัมรินทร์ยกมือกุมขมับไม่รู้ว่าตนเลี้ยงสุนัขตัวนี้ตามใจไปหรือมันรู้มากเกินไปจนเขาปวดหัว

              “ให้คุณนิลเข้ามาก็ได้ครับ คุณนิลเข้ามา” ครั้งนี้มณีนิลไม่สนใจยักษ์ปรักหลักแล้วว่าจะพูดอะไร เมื่อคนด้านในเรียกเจ้าตัวแสบก็วิ่งลอดระหว่างขาของอัมรินทร์เข้ามาทันทีไม่สนใจด้วยว่าคนที่ยืนข้างทางมันจะเซจนแทบล้มเพราะขนาดตัวที่ไม่ได้เล็กเท่าลูกหมาของมันหรือไม่

              สี่เท้าวิ่นโจนทะยานเข้ามาในห้องด้วยความใจดีกระโดดขึ้นเตียงเอาหัวหนุนตักเกลือกกลิ้งหงายท้องเต็มที่นอนอย่างสุขสมยามที่มีมืออุ่นของแม่คอยลูบหัวเกาคอให้มัน

              “ตามใจแบบนี้จะเคยตัว” อัมรินทร์เดินเข้ามาพร้อมตำหนิแต่มือก็ไม่วายที่จะเกาพุงให้เจ้าตัวแสบ

              “แล้วไม่ใช่ว่าลุกก็เอาคุณนิลขึ้นห้องบ่อยๆหรือไง เห็นว่าให้ขึ้นมานอนที่ห้องด้วยนิ” ลูกตาลที่นอนหลัตาซบตักอีกข้างยอกย้อนอีกคนตามที่ตนได้ยินมา

              “แต่นี้เปลวป่วยอยู่” อัมรินทร์ให้เหตุผลที่ไม่ว่าจะยังไงลูกตาลก็มองว่ามันก็แค่ข้ออ้าง

              “เอาน่า ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เปลวอรุณปรามข้างหนึ่งลูบหัวลูกอีกข้างลูบหัวสุนัข

              อัมรินทร์ประท้วงในใจตีหน้างอเป็นเด็ก

              “ให้เวลาอีกสิบนาที เปลวจะได้เช็ดตัวอีกรอบแล้วนอน”  เมื่อหาทางห้ามไม่ได้ก็หาทางไล่ให้ออกไปก็แล้วกัน อัมรินทร์คิด

              “แต่ผมยังไม่ง่วง”  อย่างที่บอกว่าเมื่อวานเขานอนมามากพอแล้ว ขื่นให้เขานอนอีกมีหวังจะเคยตัวติดเป็นนิสัยเสียเอา

              “ถ้างั้นแค่เช็ดตัวเอาอย่างเดียวแล้วกัน”

              เปลวอรุณพยักหน้า

              “แล้วทำไมนายถึงมานอนนี้” ก่อนหันไปเขม็งใส่เด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง

              “ผมก็อยากอยู่กับแม่ผมบ้าง ลุงจะทำไม” ลูกตาลเหลือบตามมองคล้ายเย้าแหย่มากกว่าตั้งแง่หน้าเรื่อง

              “ก็ไม่ทำไมหรอ” ก็แค่มันไม่เหลือพื้นที่ให้เขาขึ้นไปร่วมวงด้วยบนเตียงเลยนะสิ อัมรินทร์กอดอกคิด

              อัมรินทร์มองซ้ายมองขวาก่อนจะปีนขึ้นเตียงอุ้มมณีนิลออกห่างแล้วนอนทับตักของเปลวอรุณแทนที่ลูกสาว

              “โฮ่ง” แน่นอนว่ามณีนิลไม่ยอมง่ายๆ

              สงครามขนาดย่อมจากการแย่งที่นอนกันระหว่างคนกับสุนัขเริ่มหาจุดกึ่งกลางไม่เจอ ลูกตาลเองที่ตอนแรกใกล้เคลิ้มหลับเป็นอันต้องลุกขึ้นนั่งทำหน้ายุ่งมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัขตาขวางแล้วเดินออกจากห้องไปไม่พูดไม่จา

              “เล่นอะไรกันไม่รู้เรื่อง” เปลวอรุณส่งสายตาตำหนิ

              จ๋อยทั้งพ่อทั้งลูกกันเลย...

              มณีนิลเริ่มเบี่ยงตัวเข้าหาพยายามเกยหน้าเกยตาเข้าที่ตักหมายจะคิดใช้ความเป็นสัตว์เลี้ยงอ้อนง้อให้อีกคนใจอ่อน และแน่นอนว่าเปลวอรุณไม่สามารถทำใจแข็งต่อสัตว์สี่เท้าตรงหน้าได้

              ส่วนอัมรินทร์เองก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีขนปกตามตัวและขี้อ้อนชั่งเอาใจมีแต่ตัวหนาๆกับร่างโตๆเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียทีเดียว

              เมื่อลูกตาลเดินออกจากห้องไปก็แสดงว่าพื้นที่บนที่นอนนั้นต้องเพิ่มขึ้นครั้งนี้เขาโถมตัวเข้าหากอดรอบเอวอีกคนแน่นแล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกบาง รัดตัวเปลวอรุณไว้แน่นเหมือนงูที่รอจะกินเหยื่อ

              “ไม่โกรธกันสิเปลว” เขาเริ่มอ้อน

              “ผมก็ไม่ได้บอกว่าโกรธเสียหน่อย คุณอันมันอึดอัด” เจ้าตัวว่าพลางยกแขนดัน แต่คนตัวโตมีหรือจะฟัง

              เมื่อไล่แล้วไม่ฟังเปลวอรุณก็ได้แต่ถอนใจยอมนั่งนิ่งให้อีกคนซบกอดตามใจ

              พวกเขานั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นก่อนเป็นอัมรินทร์ที่เอ่ยปากขึ้นมา “เปลว”

              “ครับ”

              “อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นนะ” เหมือนจะยังเป็นกังวลไม่เลิกรา อัมรินทร์ย้ำคำของตนขึ้นมาอีกครั้งเสียงเบา

              “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะมายุ่งกับผมละครับ” เปลวอรุณยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนพลางถาม

              “เพราะเปลวเป็นเมียฉัน และมันก็เห็นแล้วว่าเปลวอยู่กับฉัน” ยิ่งพูดอัมรินทร์ก็ยิ่งกระชับกอดแน่นซุกหน้าลงกับอกนั้นเหมือนของรักที่ไม่อยากให้ห่างกาย

              ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับแต่ที่อัมรินทร์พูดมาคือความจริง...

              ตอนนี้เปลวอรุณ เมีย ของอัมรินทร์แล้ว...

              “เขาคงไม่มายุ่งกับผมหรอกครับ” เปลวอรุณมั่นใจเต็มร้อยว่าเรื่องที่อัมรินทร์คิดกลัวมันจะไม่มีทางเกิด

              “แต่ฉันไม่ไว้ใจมัน” ขึ้นชื่อว่าเคยแย่งมาครั้งหนึ่งแล้วการจะมีครั้งที่สองที่สามตามมาอีกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และเขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

              แต่ดูเหมือนความต้องการของอัมรินทร์จะไม่ใช่สิ่งที่โชคชะตาต้องการให้เกิดตาม...

 

                ตอนนี้อาการไข้ของเปลวอรุณหายเป็นปกติแล้วเหลือเพียงแค่อาการไอแห้งๆที่ยังคงอยู่กับอาการอ่อนเพลียอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วถือว่ากลับมาเป็นปกติดีแล้วหลังจากโดนประคบประงมให้อยู่แต่ภายในห้องมาตลอดสุดสัปดาห์วันนี้ถือเป็นวันแรกที่เปลวอรุณได้ออกมาเจอกับผู้คนและวงจรชีวิตแบบเดิม

                “คุณเปลวหายดีแล้วหรอคะ” เสียงทักทายซ้ำๆที่เขาเจอตั้งแต่เช้าดังขึ้นอีกครั้ง 

                ถึงจะไม่แน่ใจว่าพวกเธอพวกเขาเหล่านั้นรู้เรื่องการป่วยของเขาได้อย่างไรแต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่เพื่อนร่วมงานแสดงออกต่อกันเปลวอรุณจึงยิ้มรับแล้วตอบกลับ

                 “หายแล้วครับ” เขาตอบ รอยยิ้มบางถูกปกปิดเอาไว้ใต้หน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์แกมบังคับให้คนเพิ่งสร่างไข้สวมเอาไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค

                “แล้วนี้ท่านรองอยู่ที่ห้องหรือเปล่าคะ พอดีว่าพี่เอาเอกสารรายงานการประชุมย่อยที่แผนกมาให้” หญิงสาววัยสี่สิบกล่าว

               “คุณอันออกไปที่โรงผลิตพร้อมคุณลิลดาตั้งแต่เช้าแล้วครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงกลับมาแล้ว” เปลวอรุณตอบพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าใกล้จะเที่ยงแล้ว

               “งั่นหรอจ้ะ ถ้างั้นพี่ฝากรายงานการประชุมไว้ที่คุณเปลวแล้วกันนะเดี๋ยวสักบ่ายสองพี่จะกลับมาเอา”  เธอว่าพร้อมวางแฟ้มที่วางลงตรงหน้าพร้อมแย้มยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปที่แผนกของตน

               เปลวอรุณหยิบแฟ้มที่เพิ่งถูกวางส่งมาให้เมื่อครู่มาเปิดอ่าน

               รางงานการประชุมของแผนกสั่งซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องใบรายการสั่งซื้อจากลูกค้าว่าเดือนนี้สินค้าตัวใดถูกสั่งมากที่สุดและน้อยที่สุด คำติติงของลูกค้าต่อบริษัทเนื่องจากฝ่ายสั่งซื้อจะต้องออกพบลูกค้าเป็นส่วนใหญ่จึงไม่แปลกที่แผนกนี้จะมีใบรายงานตรงจากลูกค้ามากกว่าแผนกอื่น และอีกหลายอย่าง

            เปลวอรุณนั่งอ่านรายงานการประชุมสลับกับเขียนวิเคราะห์ตามความเห็นของตัวเองลงกระดาษโน้ตข้างๆไปพลางจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา

             คนมาใหม่ยืนมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในแฟ้มไปพลางจดอะไรหยุกหยิกไปพลางด้วยสายตาที่ฉายชัดว่าทั้งรักและคิดถึงคนตรงหน้าขนาดไหน

              “สวัสดีครับ”

             มือที่กำลังจับปากการจดโน้ตหยุดชะงักก่อนที่ใบหน้าขาวติดจะซีดเล็กน้อยจะค่อยๆเงยขึ้นมามองเจ้าของเสียง ใบหน้าขาวซีดกับรอยยิ้มที่แสดงออกว่าตนไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งรอบกายของคนที่เพิ่งมีโอกาสได้พบปะไม่เมื่อไม่กี่วันก่อนปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้า

           “ราช”  เปลวอรุณพึมพำพลางหรี่ตามมองคนตรงหน้า

           “ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” อีกฝ่ายยังคงแย้มยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงยามที่ได้พูดคุยกับคนตรงหน้า
 
           “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ คุณราชัน” เปลวอรุณไอแห้งๆออกมาก่อนปรับคำพูดและน้ำเสียงให้เป็นทางการขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน

           “ทำไมพูดจาห่างเหินกันแบบนี้ละครับ” อีกคนทำหูลู่หางตก นัยน์ตาเรียวตีความเศร้า

           “มีธุระอะไรหรือครับ”  เปลวอรุณถามย้ำมือกำเข้าหากันแน่น

            รู้สึกปวดหัวอีกแล้ว...

             “ที่จริงว่าจะมาหาอัน แต่ในเมื่อเจอคุณผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วยเสียหน่อย” ราชัยแย้มยิ้มใหม่ ปรับสีหน้าและท่าทางใหม่อย่างรวดเร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี

            “คุณหายไปไหนมาครับ”

            “ไม่ใช่เรื่องของคุณไม่ใช่หรอครับ” เปลวอรุณพูดเสียงหนัก คล้ายจะย้ำให้คนตรงหน้าจำได้ว่าเคยพูดอะไร

            “เรื่องนั้นคุณกำลังเข้าใจผิด” ราชัยก้าวเข้าใกล้พยายามอธิบาย

            “ฉันไม่อยากฟัง” เปลวอรุณหน้าตึง

            “ก็ได้ครับ” ราชันจนใจ “แต่อีกเรื่องผมว่าคุณต้องฟัง”

              เปลวอรุณหรี่ตามมอง

             ราชันถือว่าการที่คนตรงหน้ายืนนิ่งไม่พูดขัดเป็นการแสดงออกว่ายินยอมที่จะฟังคำพูดนั้นก็ยกยิ้ม

             “เรื่องของอัม-”

              “เปลว!”

               ยังไม่ทันที่ราชันจะได้กล่าวออกมาให้ครบประโยคเสียงตะโกนลั่นของอัมรินทร์ก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาสองคนที่ยืนคุยกันอยู่สะดุ้งโหยง โดยเฉพาะกับราชันที่ตวัดหางตามองคนไร้มารยาทที่เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเขาตาเขียว

               “มึงมาทำอะไรที่นี้” อัมรินทร์ปรี่เข้าประชิดตัวดันเปลวอรุณให้เข้าไปหลบที่หลังของเขา

               “ก็มาหามึงไง” ความไม่พอใจเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดีเหมือนพลิกฝ่ามือ

               “แต่กูไม่เห็นจำได้ว่าอยากเจอมึง” อัมรินทร์ว่าอย่างไม่ไว้หน้า

                “น่าๆ อย่าพูดอย่างนั้น” เจ้าตัวว่าพร้อมหยิบบางสิ่งที่อยู่ในเสื้อสูทออกมา

                “พอดีว่าเดือนหน้าปู่กูท่านจะจัดงานประมูลการกุศลเลยให้กูเอาการ์ดมาแจก” ราชันพูดพร้อมยื่นการ์ดที่ว่านั้นไปตรงหน้า “เผื่อมึงจะอยากเอาของไปประมูลด้วย”

               อัมรินทร์รับมาแม้จะไม่เต็มใจ พลิกดูไปมาก่อนจะเปิดดูการ์ดที่อยู่ข้างในซองสีขาวมุก

               “ถ้าสนใจก็ติดต่อมาละ เบอร์โทรเลขาฉันอยู่ในซองนั้นแหละ” ราชันทำเป็นชี้ เพราะรู้ดีว่าอัมรินทร์คงไม่แม้แต่จะอยากติดต่อเข้าเบอร์ส่วนตัวของเขาแน่

               “แค่นี้ใช่ไหน” อัมรินทร์ละสายตาจากรายละเอียดบนการ์ดขึ้นมามองคนตรงหน้า

               “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เจ้าตัวยังคงยิ้ม

               “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ นี้มันเวลาพักกลางวันเมียกูต้องพักผ่อน” อัมรินทร์ออกปากไล่ โดยไม่ลืมเน้นย้ำสถานะของคนตัวขาวข้างหลังให้อีกคนจำให้ขึ้นใจ

               “รู้แล้วๆ มึงนี้ก็ชอบไล่กันจังเลยนะ” ราชันทำเสียงอ่อยคล้ายตัดพ้อน้อยใจใส่

              “ถ้าอย่างนั้นกูไปก่อนนะ มีอะไรก็ติดต่อมาที่เลขากูโดนตรงได้เลย” เจ้าตัวว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกไป

                อัมรินทร์ขบกรามมองตามหลังเพื่อนแค้นไป รอจนแน่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เสนอหน้าที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอีกแล้วจึงคว้าข้อมือของเปลวอรุณเข้าไปในห้องทำงาน

              “มันมาพูดอะไรกับเปลวหรือเปล่า” อัมรินทร์ถามขึ้นเสียงเข้ม

              “เขามาถามหาคุณ” เปลวอรุณตอบความจริงตามความตั้งใจแรกที่อีกฝ่ายพูดให้รับรู้

              “แค่นั้นหรอ ไม่มีอะไรอีกแล้วใช่ไหม” อัมรินทร์บีบไหล่พลางคาดคั้น

             “ครับ” เขาโกหก

            สิ้นคำ อัมรินทร์รีบคว้าอีกคนเข้ามากอดแน่น

           ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนที่เดินกลับเข้ามาแล้วเห็นราชันยืนอยู่ตรงหน้าเปลวอรุณหัวใจของเขามันหล่นลงแทบติดดินขนาดไหน หวั่นใจกลัวขนาดไหน

           กลัวว่ามันจะมาเอาเปลวของเขาไป...



______________________________________________________________

จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าเปลวอรุณกับราชันมากันคนละหนึ่งคำตอบ

บอกแล้วว่าราชันมาเพื่อก่อกวนชีวิตรักของอัมรินทร์อย่างจริงจัง
 :katai2-1:

อาทิตย์นี้ลลงนิยายถี่จริงจัง อาทิตย์หน้าเราจะหายไปอย่างจริงจังบ้าง
ดีไหม??

เผื่อใครอยากจะตามไปทวงนิยาย สามารถตามไปหากันได้ที่ พริ้วไหว/Wavery (https://www.facebook.com/Iamwavery/)
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-07-2017 22:49:37
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 22-07-2017 11:26:24
ราชันนี่ท่าทางจะสร้างปัญหา ห้อันอีกแน่ๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 22-07-2017 13:44:33
ราชันกับเปลวรู้จักกันราชันใช่คนที่เปลวโทรไปหาใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-07-2017 22:55:32
อ่านแบบยาวๆเลย ชอบๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 19- 21/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: pamazier24 ที่ 24-07-2017 05:51:57
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-07-2017 23:00:18

เป็นหนี้ ครั้งที่ 20


               เคยมีคนเคยพูดให้เขาฟังเหมือนกันว่าเวลาเรารู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าใครขึ้นมาเราก็มักจะเห็นไอ้เจ้าคนที่ว่านั่นวนไปเวียนมาอยู่รอบๆตัวเราทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยได้เจอหน้าคาดตากันเสียเท่าไร ตอนแรกอัมรินทร์ก็แค่ยิ้มขำกับคำที่ว่านั้นแล้วก็คิดว่ามันคงเป็นเพียงอุปาทานส่วนตัวของคนที่ว่าก็เท่านั้นแต่ก็เพิ่งมาประจักษ์ด้วยตัวเองเอาก็ตอนนี้เองนี้แหละที่คำกล่าวมานั้นคือเรื่องจริง

              “มึงมาทำไม” น้ำเสียงห้วนออกจากปากของอัมรินทร์อีกครั้งหลังจากจำใจเชื้อเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้องทำงานของตนในช่วงสายของวัน

              “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุอย่างนั้นเลย เพื่อนมาเยี่ยมเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง” รอยยิ้มละไมที่ยังคงประดังอยู่บนใบหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรของราชันยังคงปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนั้นไม่สะท้านต่อท่าทีและน้ำเสียงที่พร้อมจะหิ้วเขาโยนออกจากตึกสูงแห่งนี้ได้ทุกเมื่อเลยสักนิด

              “ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นเลขาเมียงมึงเลย ไปไหนหรอ” ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องที่ดี แต่กับราชันแล้วอัมรินทร์มองว่ามันสอดรู้สอดเห็นในเรื่องไม่ใช่ของตัวเอง ไหนจะท่าทีหันรีหันขวางมองหาคนของเขาแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ใช่อะไรที่น่าพอใจเท่าไร

            “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” อัมรินทร์ตอบกลับ พลางยกเอกสารขึ้นอ่าน

              “ก็แหม่ เห็นวันนั้นทำท่าหวงนักหวงหนาไม่ใช่หรือไง” ราชันยิ้มกริมเปรยตามองคนที่แสร้งอ่านเอกสารเพื่อตัดการสนทนาระหว่างกัน ก่อนจะพูดอะไรที่ทำให้อัมรินทร์แทบอยากสาดกาแฟที่กำลังยกขึ้นจิบใส่หน้าคนพูดเช่นเขา

“โดนทิ้งแล้วหรอ”

              “ราชัน!” อัมรินทร์ตะคอกชื่ออีกฝ่ายลั่น

              แต่อีกคนกลับมองว่าสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องเล่นๆคุยกันสนุกปากทั้งยังหัวเราะชอบใจสีหน้ากึ่งดำกึ่งแดงด้วยโทสะของเจ้าของห้อง

              “มึงนี้มันยุง่ายจริง” ราชันยกมือยอมแพ้ “ก็แค่ถามไถ่ตามประสาคนรู้จักเคยเห็นหน้าคาดตากันมาก็เท่านั้น” เจ้าตัวไหวไหล่ไม่ใส่ใจ

              “เปลวลาหยุด” อัมรินทร์สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ข่มอารมณ์

              “หื้อ ลาหยุด? ไปไหน?”

              “แล้วมึงอยากจะรู้ไปทำไม” อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นพลางจ้องอีกคนเขม็งอย่างจับผิด

              “ก็ถามดูไง ตามประสาคนรู้จัก” เจ้าตัวว่าหน้ายิ้ม

              “เปลวไม่สบาย นอนอยู่บ้าน” เขาว่าตัดรำคาญ เพราะรู้ดีว่าคนอย่างราชันจะไม่หยุดก่อกวนปั่นประสาทเขาแน่จนกว่าจะได้คำตอบที่ตนพอใจ   

              “มึงรู้ได้ไง” ใบหน้าเปี่ยมยิ้มมลายหายไปเหลือแต่แววตาจ้องจับผิดยามมองคนที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน

              “มึงคงจะใกล้เป็นอัลไซเมอร์แล้วสินะที่จำไม่ได้ว่าเปลวเป็นเมียกุ” อัมรินทร์ตวัดสายตามองแขกไม่ได้รับเชิญในห้องอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะกลับไปจดจ่ออยู่กับเอกสารตามเดิม

              “มึงกำลังจะบอกกูว่าตอนนี้คุณเลขาเมียมึงกำลังนอนป่วยอยู่ที่เตียงนอนของมึงที่บ้านมึงสินะ” ราชันว่าดักด้วยใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม

              “แล้วถ้ากูบอกว่าใช่ละ”  ราชันหน้าตึงขบกรามแน่นทันทีเมื่อได้รับคำตอบ

            เป็นอย่างที่คิด...

              “แลดูมึงจริงจังจังเลยนะคนนี้” น้ำเสียงที่ดูจริงจังกลายๆผิดวิสัยคนพูดเรียกความสนใจให้อัมรินทร์หันกลับมามองคนที่นั่งจิบน้ำอยู่ที่โซฟารับแขก

              “แล้วจะทำไม” อัมรินทร์ถามกลับอย่างเริ่มระแวดระวัง

              “ก็เปล่า” เจ้าตัวว่าพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

              “ว่าแต่ เรื่องงานประมูลการกุศลนี้จะเอายังไงดีละ” รอยยิ้มสร้างมิตรปรากฏขึ้นมาอีกครั้งพร้อมท่อนขายาวที่ก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะทำงาน “จะเข้าร่วมด้วยไหม”

              อัมรินทร์ไม่ตอบ แต่หยิบบางสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักโยกลงมาที่โต๊ะมาตรงหน้าราชัน

              ซองการ์ดเชิญที่อีกฝ่ายนำมาให้เมื่อวันก่อนถูกส่งคืน

              ก็คิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่าคนอย่างอัมรินทร์คงไม่คิดไปร่วมงานแน่ แต่เพราะความนูนของซองที่ดูผิดปกติทำให้ราชันย่นคิ้วก่อนจะหยิบซองขึ้นมาเปิดดู

              ‘แบบตอบรับเข้าร่วมการประมูล รายละเอียดสิ่งที่นำเข้าร่วมประมูล’

            ราชันยกยิ้ม มิเสียแรงที่เขาส่งเลขาขาสาวของตนมานั่งกดดันอัมรินทร์ถึงสองวันเต็ม

              “กูเห็นแก่คุณจูนหรอกนะ”  อัมรินทร์พูดขึ้นคล้ายหัวเสีย ตัวเองไม่มาไม่ว่าแต่นี้อะไรตัวเองไม่มาก่อกวนก็เลยส่งตัวแทนมานั่งกดดันเขาทั้งวันถึงสองวันเต็ม

              “คุณก็น่าจะรู้นิสัยของคุณราชันนะคะว่าเป็นคนยังไง ถ้าคุณตกลงดิฉันก็คงจะกลับไปนานแล้วไม่รบกวนคุณอยู่อย่างนี้หรอกค่ะ รีบๆเซ็นตกลงเข้าร่วมงานสักทีดิฉันเองก็มีงานอีกมากที่ต้องทำเช่นกัน”

              น้ำเสียงกึ่งตำหนิคล้ายกับว่าเขาเป็นคนผิดที่ไม่ยอมเซ็นตกลงเสียทีดังออกมาริมฝีปากอวบอิ่มที่เคลือบด้วยสีแดงเลือดนกของลิปสติกแบรนด์ดังขึ้น และดังก้องให้เขาได้ยินอยู่เกือบจะทุกสองชั่วโมงได้

              อัมรินทร์เองก็หัวเสียไม่ต่างกันที่ต้องมาโดนกดดันแบบนี้แต่จะให้เขามีปากมีเสียงกับผู้หญิงก็คงไม่ใช่เรื่องยิ่งกับคุณจูนเลขาหน้าดุของคนที่เขาเกลียดขี้หน้า นัยน์ตาหลังกรอบแว่นที่ดูจะรำคาญทุกสิ่งที่ขว้างหน้าพอไม่ได้ดั่งใจก็เหวี่ยงทุกคนด้วยสายตาและแน่นอนว่าปากเธอเองก็แทบทำเขาอกแตกตายจนอยากวิ่งร้องไห้กลับไปฟ้องเมียที่บ้านแทบขาดใจว่าเขาโดนทำร้าย...

              พูดถึงเมีย..

              อันที่จริงส่วนหนึ่งที่เขายอมเซ็นตกลงร่วมงานการกุศลที่ว่าก็เพราะคำพูดของเปลวอรุณที่พูดขึ้นตอนที่เขาเล่าเรื่องที่ประสบมาทั้งวันให้อีกคนที่นอนป่วยอยู่บ้านฟัง

              “แต่ผมว่าไปก็ดีเหมือนกันนะครับ” น้ำเสียงแหบๆดังขึ้น อาการไอจากการระคายคอทำให้เสียงใสๆของเปลวอรุณแบแห้งลงไปถนัดตา

            “แต่ฉันไม่อยากเจอหน้ามัน” เขาว่าเสียงห้วนพลางก้าวขึ้นมาบนเตียงนอนอ้าแขนโอบรอบเอวสอบของอีกคนเอาไว้หลวมๆ

            “แต่ถ้าไปผมว่าน่าจะเป็นการดีกับบริษัทนะครับ” เปลวอรุณว่าตามที่ตนคิด ถึงตัวเขาเองจะรู้สึกไม่อยากจะไปงานที่ว่านี้ไม่ต่างจากคนที่กอดเอวซบอกเขาอยู่ตอนนี้ก็ตาม

            “งานประมูลการกุศลหารายได้เข้ามูลนิธิแบบนี้ผมว่าน่าจะมีคนในแวดวงสังคมมากันเยอะการที่เราเข้าร่วมงานแบบนี้ก็จะยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ร่วมถึงทำให้ชื่อของบริษัทเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น เราจะได้พรีเซ้นคอลเลคชั่นใหม่ที่จะออกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าให้คนรับรู้ด้วยไปในตัว อีกอย่างคุณเองไปก็ไปในนามของบริษัทถ้าคุณไม่อยากไปก็ให้คุณอนิรุทธิ์ไปแทนก็ได้”

              พอลองตัดอคติที่ว่าลงแล้วคิดตามคำพูดของเปลวอรุณแล้วอัมรินทร์ก็ยอมรับเต็มอกว่าสิ่งที่อีกคนพูดนั้นถือเป็นใบเบิกทางขนาดย่อมให้กับงานแสดงคอลเลคชั่นที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่มากไม่น้อยทีเดียว จำยอมจำใจจรดปลายปากกาลงไป

              อย่างน้อยถ้าเขาไม่อยากไปก็แค่ส่งอนิรุทธิ์ไปคู่กับลิลดา...

              “ถ้ายังไงกูจะให้คุณจูนส่งเมล์เรื่องรายละเอียดกลับมาให้อีกรอบแล้วกัน” ราชันเก็บซองตอบรับเข้าเสื้อสูทพร้อมแย้มยิ้ม

              อัมรินทร์พยักหน้ารับส่งๆ

              “กูไปแล้วนะ หวังว่าจะได้เจอมึงกับเมียมึงที่งานนะ”  ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่คำว่า ‘เมีย’ ที่ออกจากปากของราชันดูจะเป็นการกดเสียงให้ต่ำคล้ายคนไม่พอใจและเย้ยหยัน

              แต่เย้ยหยันใคร...

              ตัวเขา หรือ ตัวมัน...

             



              วันศุกร์เวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาที คือเวลานัดหมายตรวจอาการที่ระบุเอาไว้ในใบนัดติดตามอาการของเปลวอรุณ ทำให้ตั้งแต่เช้าอัมรินทร์จึงดูวุ่นวายกับคนถูกนัดมากเป็นพิเศษ

              “ใส่นี้ไปด้วยเปลว”  หน้ากากอนามัยถูกสวมครอบปากและจมูกของเจ้าของชื่อก่อนจะตามมาด้วยเจลล้างมืออนามัยขนาดพกพาที่เปลวอรุณเองไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าไปหาซื้อมาตอนไหนถูกส่งให้ลูกตาลรับไป

              “ของครบหรือยังตาล” ชายหนุ่มทวงถามขึ้นพร้อมละสายตาจากคนตัวขาวตรงหน้าไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังวุ่นกับการตรวจเช็คของในกระเป๋า 

             ใบนัดหมอ ยาทานหลังอาหาร และเจลล้างมืออนามัยขวดเล็ก ลูกตาลมองดูของสามอย่างนี้อีกครั้งให้มั่นใจว่าใบนัดที่ว่าใช่ของเปลวอรุณจริงๆและยาสำหรับทานนั้นตนหยิบใส่มาครบแล้วใช่หรือไม่ ก่อนจะตอบกลับอีกคนไป

              “ครบแล้วๆ ไปกันเลยไหม”

              อัมรินทร์พยักหน้าก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เปลวอรุณขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้าก่อนที่ตนจะอ้อมไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ รอจนกระทั้งลูกตาลขึ้นมานั่งแล้วปิดประตูรถด้านหลังเรียบร้อยแล้วเขาถึงได้ขับรถออกจากบริเวณบ้านเพื่อไปโรงพยาบาลตามนัดหมาย

              แต่กว่าจะตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายพาคนป่วยมาหาหมอได้ก็เล่นเอาเหนือยเหมือนกันกว่าจะตกลงกันได้

              “พรุ่งนี้ผมไปกับลูกก็ได้ครับ” คำพูดที่เจือไปด้วยความเกรงใจของเปลวอรุณดังขึ้นหลังจากที่อัมรินทร์เอ่ยทักเรื่องการไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น

              “แล้วทำไมฉันไปด้วยไม่ได้” แน่นอนว่าเด็กเอาแต่ใจอย่างอัมรินทร์ที่จ้องเอาไว้แต่แรกเริ่มแล้วว่าจะเป็นคนขับรถพาอีกคนไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ต้องทักท้วงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

              “พรุ่งคุณต้องทำงานไงครับ ผมไม่อยากรบกวน” พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์แต่เพราะมันไม่ใช่วันหยุดพิเศษอะไร การที่จะให้อัมรินทร์พาเขาไปโรงพยาบาลจึงดูเป็นเรื่องเปลวอรุณค่อนข้างจะเกรงใจอยู่ไม่น้อย

              “ฉันพาไปได้” อัมรินทร์ยังยึดคำเดิมของตน

              “ไม่ต้องหรอกน่าลุง ผมขับรถพาแม่ผมไปได้”  ลูกตาลเองที่นั่งอยู่หน้าสวนอ่างหินพูดขึ้น

              “แล้วไม่ต้องทำงานหรือไง” อัมรินทร์หันกลับมาถามเสียงห้วน

              “วันศุกร์กับวันเสาร์เป็นวันหยุดของผมเผื่อลุงจะลืม” ถ้าจำไม่ผิดเขาพูดประโยคนี้มาตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้วนะ ไม่คิดจะใส่ใจคำพูดเขาเลยหรือไง ลูกตาลก้มบ่นใจใน

              “แล้วทำไมไม่อยู่บ้านอ่านหนังสือไปละ” จะบอกว่าเขาไม่ต้องไปก็พูดออกมาตรงๆเลยเถอะ ลูกตาลคิดในใจแต่แสดงออกชัดทางสีหน้าและแววตาที่เบื่อหน่าย

              “ก็ผมจะพาแม่ไปหาหมอ” เด็กหนุ่มละสายตาจากอ่านหินตรงหน้ามามองคนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าจริงจัง

              “ฉันก็จะพาเมียฉันไปหาหมอเหมือนกัน”  ดูเหมือนอัมรินทร์เองก็ใช่ย่อย

            เหอะ พูดออกมาสะเต็มปากเต็มคำ...

              ลูกตาลเหน็บแนมในใจ ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรอกว่าคนตรงหน้ากับแม่บุญธรรมของเขาตอนนี้มีความสัมพันธ์กันไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่จะให้เขาเชื่อจริงๆหรอว่าแม่เปลวของเขาจะยอมให้คนตรงหน้าสร้างสัมพันธ์ทางกายด้วยกันง่ายๆ

              เขาไม่เชื่อง่ายๆหรอก มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ...

              หรือแม่เขาจะโดนวางยา...

               ตอนแรกก็คิดแบบนั้นนี้แหละ แต่พอไม่เห็นปฏิกิริยาต่อต้านอะไรมันก็เริ่มทำให้เขาเชื่อที่อัมรินทร์พูดมาครึ่งหนึ่งแล้วเหมือนกัน แต่จะให้เรียกอีกคนว่า ‘พ่อ’ เลยมันก็กระไรอยู่

              ขอทดสอบใจ พ่อใหม่ หน่อยก็แล้วกัน...

              ภาพสงครามขนาดย่อมของเด็กตัวโตสองวัยตรงหน้าทำเอาคนกลางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับสงครามน้ำลายที่ดูท่าจะไม่มีใครยอมใคร เปลวอรุณถอนหายใจออกมาเบาๆพลางลูบหัวของมณีนิลที่นอนเกยคางอยู่ที่หน้าตักอย่างสบายใจ

              บางทีเกิดเป็นคุณนิลนี่ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องมีเรื่องให้ปวดหัว อย่างมากก็แค่ไม่รู้จะเลือกกินอะไรระหว่างอาหารเปียกกับอาหารเม็ด...

              “แต่-“

              “ก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี้นี้แหละครับ” เปลวอรุณขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ตั้งท่ากันท่าลูกตาลขึ้นมาอีกหน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กัดกันได้ตลอดเวลาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ดูรักใคร่ดูสามัคคีกันดีอยู่

              “แต่ฉันไม่อยากให้ลูกเหนื่อย ทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์แล้วก็น่าจะพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง” อัมรินร์ตรงปรี่เข้ามาคุกเข่าข้างเตียงออดอ้อนด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ามันน่ารักเสียเต็มที จนคนมองดูอยู่ทุกการกระทำอย่างลูกตาลต้องแบ้ปาก

              “ผมไม่เหนื่อยหรอกครับแม่เปลว วันๆเอาแต่ทำงานไม่ได้ไปไหนมาไหนกับแม่เลย” ลูกตาลตอบกลับ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

              “แต่นี้เราไม่ได้ไปเที่ยว”

              “ผมก็ไม่ได้ว่าจะไปเที่ยวเสียหน่อย” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเดินเข้ามานั่งขัดสมาธิเกยคางกับขอบเตียงข้างๆอัมรินทร์ “เขาเรียกว่าอยากใช้เวลาว่างกันครอบครัวต่างหากละครับ พ่ออัน” มุมปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

            คนที่ถูกเรียกว่า พ่อ อย่างไม่ทันตั้งตัวเผลอชะงักค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มภูมิใจยกมือตบไหล่เด็กหนุ่มพลางหัวเราะชอบใจ

              แน่นอนว่าพอได้ยินคำพูดที่เฝ้าเพียนพยายามกรอกหูเด็กมันมาตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าแบบนี้แล้วไอ้ท่าทีแข็งกระด้างกันท่าทุกวิธีทางก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพูดอะไรก็เห็นดีเห็นงามชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่ถึงหน้าที่ยังบอกขวาแล้วไปซ้ายกันอยู่เลย

              บางทีก็ติดกับง่ายดายเกินไป...

             

     
        :hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-07-2017 23:01:01
:hao3:



  “คุณเปลวอรุณ ทิศอัปสร  เชิญที่ห้องตรวจห้าค่ะ”

               เสียงเรียกของนางพยาบาลสาวประจำห้องตรวจดังขึ้นเรียกให้คนที่กำลังนั่งนึกถึงเรื่องขบขันเมื่อคืนเงยหน้าขึ้นมาขานรับก่อนจะลุกเดินไปทางห้องตรวจที่ว่าพร้อมกับเด็กตัวโตสองคนที่เดินตามหลัง

              “สวัสดีครับ”  เสียงทักทายของนายแพทย์หนุ่มคนเดิมที่เคยดูแลเปลวอรุณตอนที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อนดังขึ้นพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเช่นเคย แต่ดูท่าว่ามันจะไปสะกิดใจทำให้อัมรินทร์นึกถึงใบหน้าของใครบางคนเข้าอย่างไม่ตั้งใจ

              เปลวอรุณทักทายหมอหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มถามไถ่ถึงอาการต่างๆในช่วงที่ผ่านมา

 อาการไข้กลับของเปลวอรุณถือเป็นเรื่องปกติที่คนป่วยหลายคนที่พอใกล้จะหายกลับเป็นปกติแล้วอยู่ๆก็กลับมาป่วยใหม่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรสำหรับคนเป็นหมอ แต่จากคำบอกเล่าจากเจ้าตัวที่บอกว่ามักจะป่วยไข้เรื่อรังอยู่บ่อยครั้งเริ่มไม่ใช่เรื่องที่น่าตลกเท่าไร

              “ยังกินยาอยู่ปกติใช่ไหมครับ” หมอหนุ่มถามขึ้น

               เปลวอรุณรับคำ พร้อมยื่นถุงยาที่ได้รับมาก่อนจากโรงพยาบาลให้คนเป็นหมอดู

               “อาจเพราะช่วงที่คุณป่วยภูมิคุ้มกันร่างกายคุณเลยต่ำลงไปด้วย แถมยังมาภาวะแทรกซ้อนของโรคหวัดด้วยเลยทำให้ร่างกายรับไม่ไหว” หมอหนุ่มพูดขึ้น อัมรินทร์กับลูกตาลเองก็พลอยตีหน้าเครียดตาม

              “ยาตัวเดิมก็กินต่อไปเรื่อยๆจนหมดนะครับ แต่เดี๋ยวหมอจะเพิ่มยากับพวกวิตามินบำรุงร่างกายเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้”

               คุณหมอหนุ่มบอก พร้อมส่งรายงานการตรวจให้กับพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมนัดหมายให้เปลวอรุณกลับมาตรวจอีกครั้งในวันเสาร์หน้า

               “เปลวนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวฉันเข้าไปรอรับยาให้” อัมรินทร์พูดขึ้นขณะประคองอีกคนให้นั่งลงยังโซฟารับรองที่อยู่ห่างจากจุดรับชำระเงินและรับยาที่มีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่ง

                “ให้ผมไปรอด้วยจะดีกว่าไหมครับ” เปลวอรุณคว้ามือของอัมรินทร์เอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวกลับไปยังช่องจ่ายยา

               “ไม่ต้องหรอก ตรงนั้นคนเยอะเปลวจะอึดอัดเปล่าๆนั่งอยู่ตรงนี้กับลูกนี้แหละ” คนพูดระบายยิ้ม

                “รีบๆไปได้แล้วน่าลุง เดี๋ยวก็เลยเลขพอดี”  ลูกตาลดันแขนอีกคนออกก่อนจะเอามือคล้องแขนแม่เอาไว้แทนแสดงความเป็นเจ้าของ

                 อัมรินทร์หรี่ตามองพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคล้ายไม่ชอบใจ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่นั่งรออยู่รอบข้างและเปลวอรุณได้ไม่น้อยเลยทีเดียวกับอาการเด็กแย่งของของทั้งคู่

                 “เราก็ชอบแกล้งคุณอันเขานักนะ” พอหลับหลังอีกคนไปเปลวอรุณก็หันไปว่าเสียงไม่จริงจังยกมือบีบจมูกรั้นของลูกชายไปทีหนึ่ง

                  “ก็ลุงนั่นจะแย่งแม่ผมนิ” เหตุผลน่ารักน่าชังทำเอาเปลวอรุณอมยิ้มไม่ได้

                  “แล้วตาลว่าคุณอันเขาเป็นคนยังไง” เปลวอรุณเอ่ยถามซบหัวลงทับหัวทุยของเด็กหนุ่ม

                  เด็กหนุ่มเหลือบตามมองคนถามเล็กน้อยก่อนตอบออกมา “ก็น่ารำคาญดี แต่ก็ใช้ได้”

                 “ใช้ได้ยังไง”

                  “ก็เขาดูแลแม่เปลวไงครับ แม่ผมเคยบอกว่าคนเราจะรู้ใจกันก็ตอนป่วยไข้นี้ละ แล้วลุงเขาก็ดูแลแม่ตลอดตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงตอนที่อยู่บ้านดีมาก” ลูกตาลตอบพลางนึกถึงคำพูดแม่บังเกิดเกล้าที่เสียชีวิตไปเคยบอกกับเขาไว้

                  ถ้าตัดเรื่องเจ้าแผนการออกไป ตัดองค์ประกอบหลายๆอย่างไป ในสายตาลูกคนหนึ่งที่มองผู้ชายอีกคนหนึ่งที่กำลังเข้ามาทำความรู้จักกับแม่ของตนแล้ว เขาว่าอัมรินทร์ก็ดูเป็นผู้ชายที่ทุ่มเทให้กับแม่เปลวของเขามากในระดับหนึ่ง

                    “ถ้าแม่เปลวโอเคกับเขา ผมก็ไม่ขัดอะไรอยู่แล้วละครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแป้นให้คนที่หน้าขึ้นสี
 
                    จากที่ได้ฟังและจากที่ได้เห็น เขายอมรับในตัวอัมรินทร์ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัว แต่เรื่องแบบนี้มันก็ต้องดูกันต่อไปอีกเช่นกัน

                      “อย่างนั้นหรอ” เปลวอรุณพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าตอบรับคำพูดของเด็กหนุ่ม

                      “แม่เปลว ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ลูกตาลเอ่ยขอเมื่อรู้สึกหน่วงๆที่กระเพาะปัสสาวะ

                     “ไปสิ อย่าอั้นไว้”

                      “แม่อยู่คนเดียวได้หรอ ไปด้วยกันไหม” แต่เด็กหนุ่มลังเล ถ้าเขาไปแล้วใครจะอยู่กับแม่ อัมรินทร์เองก็ต้องรออยู่อีกหลายคิวเหมือนกัน

                       “แม่อยู่ได้ไปเถอะ”

                       ลูกตาลมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งจนโดนเปลวอรุณตีเบาๆที่ท่อนแขนเชิงดุนั้นแหละถึงยอมลุกไป แต่ก็ยังไม่วายหันมากำชับให้อีกคนรับคำว่าจะไม่ลุกไปไหนจนกว่าเจ้าตัวหรืออัมรินทร์จะกลับมา

                         “รู้แล้ว” เปลวอรุณยกยิ้ม

                      ทั้งอัมรินทร์และลูกตาลดูจะห่วงเขามากกว่าปกติทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆที่จะเดินตามคนแปลกหน้าไปไหนมาไหนเพราะมีของกินมาหลอกล่ออย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆที่เขาอายุมากกว่าคนที่สองเสียด้วยซ้ำ

                      แต่รอยยิ้มมีว่าก็ประดับอยู่บนใบหน้าสวยได้ไม่นานเมื่อเสียงเสียงหนึ่งของใครคนหนึ่งดังขึ้น

                      “มีความสุขสินะครับ”  เสียงของผู้ที่ถือวิสาสะนั่งลงบนที่นั่งของลูกตาลที่เพิ่งลุกไปเมื่อครู่ทำให้เปลวอรุณรีบหันไปมองอีกคนหน้าตื่น

                     “คุณราชัน” 

                     คนที่เขาไม่อยากเจอและอัมรินทร์ก็คงไม่อยากให้เขาเจอเช่นกัน...

                     “อย่าเรียกแบบนี้สิครับ มันดูห่างเหินกันยังไงไม่รู้” คนหน้ายิ้มทำหน้าเศร้าน้ำเสียงกึ่งตัดพ้อ เปลวอรุณหันหน้าหนี

                    “ไปคุยกันหน่อยไหมครับ” ราชันเสนอขึ้น “เพราะถ้าอันมันเดินกลับมาเจอคุณนั่งคุยกับผมแบบนี้คงไม่ดีแน่”

                     “ฉันไม่ไป” เปลวอรุณเชิดหน้าหนีเสียงห้วน

                     “หรือจะให้ผมบอกอันมันถึง‘เรื่องของเรา’ดีละครับ”

                      “นี้นาย” เปลวอรุณหันกลับมาพร้อมขึ้นเสียงใส่

                   “น่าๆ ไปแปบเดียวเองผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” เจ้าตัวยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืน

                   สุดท้ายเด็กน้อยเปลวอรุณก็ยินยอมที่จะเดินตามคนแปลกหน้าที่ชื่อราชันไปจนได้

                  สวนรับรองในร่มที่อยู่ถัดออกมาในชั้นเดียวกันคือสถานที่ที่ราชันพาอีกคนมา ปลอดคนรบกวนเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องส่วนตัวของพวกเขาเป็นอย่างดี

                   “มีอะไรก็รีบพูดมา” เปลวอรุณเปิดสนทนาขึ้นอย่างไม่เสียเวลา

                   ราชันเค้นยิ้ม

                  “ก็แค่คิดถึง” เขาพูดจริงจากใจเลยละ

                  “อย่างนั้นหรอ” แต่เปลวอรุณกลับพูดราวตัดเยื่อใยจนรู้สึกจุก

                  “ผมแค่จะบอกว่าเรื่องวันนั้นคุณเข้าใจผิด” เขายังพูดเหมือนเดิม

                  “ถ้าจะมาพูดเรื่องนี้อีกฉันจะกลับ” ราชันรีบรั้งแขนอีกคนไว้ทันทีเมื่อเห็นว่าเปลวอรุณทำท่าทางจะหมุนตัวกลับตามคำพูด แต่เปลวอรุณกลับรีบชักแขนกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน

                   “ก็ได้ๆ” ราชันยกมือยอมแพ้

                   “เรื่องที่ผมจะพูดก็คือเรื่องของคุณนั้นแหละ” เปลวอรุณหรี่ตามองคนตัวซีดที่ไร้รอยยิ้มประดับใบหน้า

                  “เรื่องของฉัน”
 
                 “ครับ” ราชันย้ำให้มั่นใจ “ที่ผมส่งจดหมายไปให้คุณวันนั้น ผมต้องการเตือน”

                  จดหมายสีชมพูในวันนั้นคือจดหมายที่ราชันส่งไปให้เปลวอรุณเอง ต้องขอบคุณจูนเลขาสาวมั่นสารพัดประโยชน์ของเขาที่ช่วยตัดต่อกล้องวงจรปิดให้ทำให้ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขาเป็นคนเดินขึ้นมาวางจดหมายที่ว่านั้นเองกับมือ

                 “แต่ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจที่ผมเตือน”

                “แล้วนายต้องการเตือนอะไรฉัน”

                “อัมรินทร์มันกำลังหลอกคุณอยู่ อย่าลืมสิว่ามันพาคุณเข้ามาอยู่ด้วยเพราะอะไร อย่าให้มันหลอกเอาสิ” ราชันพุ่งตัวเขาไปบีบไหล่อีกคนแน่น ใบหน้าขาวซีดฉายแววคล้ายเจ็บปวดสุดจะบรรยาย

                 “คุณอันหลอกฉันอย่างนั้นหรอ” เปลวอรุณขมวดคิ้วแน่น เขากำลังสับสน

                    หลอก งั้นหรอ...

                 “ใช่ ตอนนี้ผมกำลังหาหลักฐานอยู่อีกไม่นานจะต้องได้ครบแน่น”

                   “หลักฐานอะไร”

                “ถึงเวลาผมจะบอกเอง แต่คุณ คุณอย่าโดนความอ่อนโยนนั้นของมันหลอกเอาสิ” ราชันว่าเสียงสั่นเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ยกมือทั้งสองข้างของเปลวอรุณแนบแก้มอย่างห่วงหาและคิดถึง

               “มันเอาคุณเข้ามาอยู่ข้างๆในฐานะลูกหนี้ ใช้ความอ่อนโยนทำให้คุณเชื่อใจแล้วลืมเรื่องสำคัญที่ว่าคุณกับมันเป็นอะไรกันแล้วหลังจากที่มันได้สิ่งที่มันต้องการจากคุณคุณก็จะเป็นเหมือนผู้หญิงพวกนั้น”

                เปลวอรุณเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ

              “หรือผมเข้าใจอะไรผิด” ราชันช้อนสายตามองคนที่เริ่มแสดงความสับสนบนใบหน้าอย่างชัดเจน

               “ที่คุณเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็เพราะพวกคุณรักกันจริงหรือเพราะมันบีบบังคับคุณ” คำพูดนั้นที่ออกมาปากของราชันทำเอาเปลวอรุณสะอึกก้อนคำที่ลำคอ

              คำพูดที่อัมรินทร์พูดกับเขาในวันนั้นลอยเข้ามาในความคิด เป็นอย่างที่ราชันพูดเพวกเขาไม่ได้รักกันแต่อีกคนบีบให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย

              แต่..

              ฉันรักเปลวนะ....

            คำพูดในวันนั้นของอัมรินทร์ยังแจ่มชันอยู่ในความรู้สึก ความรู้สึกที่อีกคนถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รับรู้มันไม่ใช่เรื่องโกหก

              “หรือมันได้สิ่งที่มันต้องการแล้ว” อยู่ดีๆน้ำเสียงของราชันก็กลายเป็นแข็งกร้าว ใบหน้าปวดร้าวเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวยามที่คนตรงหน้านิ่งเงียบ  นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยโทสะไล่มองคนที่เขายังจับข้อมือทั้งสองข้างอยู่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

              “มันไม่จริงใช่ไหม” เสียงนั้นเริ่มสั่น เปลวอรุณพลิกหน้าหันหนีไม่กล้าสบตา

                “ขอโทษ” เปลวอรุณพูดเสียงแผ่ว

                 ราชันปล่อยมือทั้งสองข้างนั้นออกคล้ายผิดหวังแต่ในไม่ช้าเขาก็รั้งตัวอีกคนเข้ามากอดแน่น

               “ผมจะพาคุณออกมาจากผู้ชายคนนั้น ผมจะไม่ให้มันเอาเปรียบคุณ” ราชันหมายมั่น



_______________________________________________

มาละเด้อ  เรากลับมาแล้ว

ฉลองตอนที่ 20 ด้วยชื่อเรื่องใหม่ นั้นคือ ลูกหนี้ที่รัก เพื่อป้องกันความสับสบเราจะใช้ชื่อเดินจนกว่าจะลงตอนที่ 21



จงบอกความต้องการของทุกคนมาค่ะ ว่าจะให้หนูอันโดนแฉในเร็ววันเลยหรือไม่ ?!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-07-2017 23:32:40
ว้ายๆๆๆ อดีตเปลวเค้ามีอะไรกับราชัน  อยากรู้แล้ววววว
แต่ปล่อยให้เปลวอยู่คนเดียวมาตั้งนาน เพิ่งจะโผล่มาทำไมตอนนี้ห๊ะ? :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-07-2017 23:50:21
 :heaven
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 29-07-2017 00:09:22
เรื่องในอดีต รอเฉลยปมค่า
^^
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-07-2017 00:52:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 29-07-2017 01:34:34
ไม่เข้าใจราชัน ดูเหมือนจะรักเปลวนะ เป็นไรกันแน่วะ ไม่อยากเดา คือ ถ้าความแตก อันผิด แต่ อันก็รักเปลว แถมไม่ได้หลอกลวงด้วย ทำทุกอย่างชัดเจนมาก ถ้าเปลวจะมีมันสมองสักนิด แต่ดูแล้วคงโง่เชื่อคำยุ ราชันเชื่อคำพูดราชันย์แน่ ๆ สงสารอันล่วงหน้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 20- 28/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 29-07-2017 07:20:28
เปลวกับราชัน น่าจะเป็นคนที่ดูๆกันอยู่รึเปล่า แล้วก็เป็นคนที่เปลวเคยขอความช่วยเหลือใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 21- 30/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 30-07-2017 22:10:51
เป็นหนี้ ครั้งที่ 21



               ความโกลาหลขนาดย่อมเกินขึ้นเมื่อลูกตาลเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำแล้วไม่พบคนที่ควรจะนั่งรออยู่ตรงที่นั้นและยิ่งร้อนรนมากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่เดินไปรับยาเดินกลับมาแค่เพียงคนเดียว

              “แล้วเปลวละ” อัมรินทร์เสียงห้วนเมื่อที่ที่ควรจะมีใครบางคนนั่งอยู่กลับว่างเปล่า

              “ผมไม่รู้ ก่อนผมไปเข้าห้องน้ำแม่ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย” ลูกตาลตอบกลับด้วยเสียงที่ดูรนรานไม่ต่างกัน

              “โทรหาหรือยัง” อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นล้วงมือหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวออกมา

              “โทรแล้วแต่แม่ไม่รับ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมโชว์หน้าจอที่กำลังแสดงผลการโทรออกให้อีกคนดู

                ในมือของลูกตาลก็พยายามต่อสายหาคนไม่แม้จะยอมรับสายสักครั้งส่วนอัมรินทร์ก็กวาดตามองฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากในบริเวณนี้รอบๆ

              แต่ก็ไม่เจอ...

            ความว้าวุ่นใจโถมใส่ใจของเขาเหมือนพายุลูกใหญ่อัมรินทร์สบถด่าในลำคออย่างหัวเสียนัยน์ตาเข้มฉายชัดถึงความเป็นห่วงและไม่พอใจ เปลวอรุณยังไม่หายดีถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงถึงที่นี้จะเป็นโรงพยาบาลแต่เขาก็ไม่ไว้ใจขนาดนั้น

              อัมรินทร์สาวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่เดินไล่หาทุกที่ภายในชั้นที่พวกอยู่เป็นอันดับแรงโดยมีลูกตาลคอยสอดส่องช่วยมองหาอยู่ข้างหลัง

            โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่พื้นที่ใช้สอยในแต่ละชั้นจึงมีมาก แต่นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเสียงเวลาคิดอัมรินทร์ก้าวเดินฝ่ากลุ่มคนจำนวนมากภายในชั้นไปตามเส้นทางที่ทอดยาว

              แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขากลับไม่เห็นคนตัวขาวอย่างที่ต้องการ

              จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเปลวอรุณจะอะไรไปจนต้องถูกหามส่งเข้าห้องตรวจ  อัมรินทร์สะบัดหัวไล่ความคิดเลวร้ายนั้นออกจากหัวแต่ก่อนที่จิตใจของเขาจะจินตนาการถึงเรื่องราวในทางลบไปมากกว่านี้เสียงตะโกนแม้จะไม่ดังมากจนรบกวนผู้ป่วยคนอื่นในบริเวณนั้นของลูกตาลก็ดังขึ้น

            “แม่เปลว!”

              อัมรินทร์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจ้ำก้าวยาวๆของตนเอาไว้แล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่ม

              คนหายที่พวกเขากำลังตามหานั่งอยู่เพียงคนเดียวในบริเวณที่นั่งพักผ่อนที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้ เจ้าตัวนั่งหันหลังให้ทางเดินเหม่อออกไปทางกระจกบานใหญ่ที่ถูกใช้แทนผนังทำให้เมื่อครู่นี้อัมรินทร์ไม่ทันสังเกต

 ไม่สิ เขาไม่ได้มองเลยต่างหาก...

              เพราะความว้าวุ่น ความเป็นห่วง ความกลัว ทำให้เขาแทบไม่มองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างเลยนอกเสียจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและนั้นก็ทำให้เขามองไม่เห็นเปลวอรุณ

              อัมรินทร์หมุนกายกลับแล้ววิ่งตรงไปหาคนที่หายไปแล้วคว้าอีกคนเข้ามมากอดอย่างโล่งอก

               “หายไปไหนมาเปลว” เขาถามเสียงสั่นโดยไม่คลายอ้อมกอด

              เปลวอรุณไม่ตอบหากแต่ยกมือขึ้นตบที่แผ่นหลังของอีกคนเบาๆ ยืนยันให้รับรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร

              “ไปไหนทำไมไม่บอกกันก่อนครับ ผมเป็นห่วงแทบแย่”  ลูกตาลเดินเข้ามาสีหน้าของเด็กหนุ่มยังไม่คลายความกังวล ตบเบาๆที่ไหล่ของอัมรินทร์เป็นเชิงว่าให้ปล่อยคนป่วยออกมาก่อนที่จะขาดอากาศหายใจตาย

              “เปลวมาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่รอฉันกับลูกตรงที่เดิม” อัมรินทร์ผละออกแต่ยังไม่ละมืออกตากตนแขนอีกคน

              น้ำเสียงและแววตาที่ฉายความเป็นห่วงกังวลจากการหายตัวไปของเขาทำให้เปลวอรุณหลุบตามองต่ำ

              “ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยดีเลยเดินออกมานั่งที่โล่งๆ ขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณกับลูกก่อน” ต้องขอบคุณหน้ากากอนามัยที่อัมรินทร์บังคับให้เขาใส่ออกมาตั้งแต่อยู่ที่บ้านทำให้สองคนที่กำลังเป็นห่วงเขาอยู่มองไม่เห็นว่าตอนนี้เขาพยายามยิ้มออกมาได้แหยเกขนาดไหน

              “อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” เด็กหนุ่มว่า “แม่ยังไม่หายดีถ้าเกินไปล้มหรือเป็นลมที่ไหนจะทำยังไง” แต่ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วง

              “ที่นี้โรงพยาบาลนะตาล หมอก็มีพยาบาลก็เยอะไม่เป็นอะไรหรอก” เปลวอรุณลูบต้นแขนเด็กหนุ่มหวังให้คลายความเป็นห่วงลง

              “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เป็นห่วงอยู่ดีนั้นแหละ” อัมรินทร์ส่วนขึ้น

              “ไม่เอาแล้วนะเปลว ห้ามหายไปไหนแบบนี้อีกถ้าจะไปอย่างน้อยเอาลูกไปด้วย” ไม่ใช่คำสั่งบังคับทำแต่เป็นการขอร้องและร้องขอให้อีกคนทำตาม

              เปลวอรุณยิ้มบาง “กลับบ้านกันเถอะครับ”

              พออีกคนพูดออกมาอย่างนั้นอัมรินทร์ที่กำลังจะเปิดปากถามเรื่องขอบตาแดงๆของอีกคนก็ต้องเงียบไปแล้วพาอีกคนกลับบ้านตามคำขอนั้นแทน

              แค่เปลวอรุณไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว...

 

              หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลอัมรินทร์กลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจากคนตัวขาว หลายวันมานี้แม้อาการป่วยไข้ของอีกคนจะหายดี นัดตรวจติดตามอาการที่หมอนัดเอาไว้ครั้งสุดท้ายก็ไม่พบโรคอะไรแทรกซ้อนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่อัมรินทร์มองว่ามันไม่ปกติ

              “ไม่กินต่ออีกหน่อยหรอเปลว” ข้าวสวยที่พร่องไปเพียงแค่ครึ่งเดียวในจานข้าวของเปลวอรุณที่รวบช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทำให้อัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถาม

              “ผมอิ่มแล้ว” เจ้าตัวตอบออกมาเนื่องๆ

              “เปลวน่าจะกินเข้าไปอีกหน่อยนะ ตอนป่วยน้ำลงมาตั้งเยอะ” เขาบ่น

              “กิโลเดียวเขาไม่เรียกว่าเยอะหรอกนะครับ” เปลวอรุณคลี่ยิ้มบาง

              “งานที่ทำงานมีปัญหาหรือไง” อนิรุทธิ์เอ่ยถามขึ้น ไม่ใช่แค่อัมรินทร์หรอกที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่ว่านั้น

              “ไม่ครับ ทุกอย่างปกติดี”

              อนิรุทธิ์รับคำในลำคอ “แล้วทำไมช่วงนี้ถึงดูเครียดๆละ เพิ่งหายป่วยไม่ควรเครียดนะ”

              เปลวอรุณไม่ตอบนอกจากส่งยิ้มขอบคุณในความเป็นห่วงของคนตรงหน้าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป

              ตอนแรกอัมรินทร์ตั้งใจว่าจะลุกตามอีกคนไปด้วยความเป็นห่วงแต่อนิรุทธิ์กลับเอ่ยเรียกตัวน้องชายเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มนั่งลงตามเดิมแม้ในใจจะอยากตามขึ้นไปดูอีกคนก็ตาม

              “มึงกับเปลวมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” อนิรุทธิ์เปิดประเด็นถามถึงความสงสัยที่เก็บมานานหลายวัน

              “ไม่นะ กูกับเปลวเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน” เขามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้เปลวอรุณผิดใจแน่นอน

              “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

              “กูก็ไม่รู้”

              ชายหนุ่มตีหน้านิ่งยามคิดถึงช่วงเวลานั้นที่คล้ายกับตอนนี้ อาการเหม่อลอยคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อยากอาหาร กลางคืนก็ไม่ยอมนอน  อาการแบบนี้ของเปลวอรุณอัมรินทร์เคยประสบพบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง

                ตอนที่เขาทำให้เปลวอรุณเป็นหนี้ก้อนโต..

               “กูจะขึ้นไปดูเปลว” อัมรินทร์ว่าทิ้งท้ายก่อนจะรวบช้อนแล้วลุกขึ้นตามอีกคนไปตามประสงค์เดิมของตน

              ความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่กวาดมองรอบๆห้องไร้การมีอยู่ของคนที่คาดว่าน่าจะขึ้นมาก่อน อัมรินทร์ขมวดคิดอย่างสงสัย ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาในห้องเสียงน้ำกระทบพื้นที่ได้ยินลางผ่านบานประตูสีน้ำตาลบอกให้เขารับรู้ว่าคนที่หายไปกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน

              อัมรินทร์มองบางประตูที่กั้นเขากับเปลวอรุณด้วยความคิดที่หลากหลาย เขามองอยู่อย่างนั้นฟังเสียงกระทบพื้นอยู่อย่างนั้นก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานแล้วหลับตาลง



เก๊ก

              เสียงประตูห้องน้ำดังขึ้นเมื่อคนที่อยู่ด้านในเป็นคนบิดมันเพื่อเปิดออกมา อัมรินทร์เปิดเปลือกตามองเปลวอรุณที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดสำหรับนอนเรียกร้อยแล้วเดินออกมา

              “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณเอ่ยถามขณะพาดผ้าขนหนูลงกับราวตากขนาดเล็กหน้าห้องน้ำ

              อัมรินทร์ไม่พูดตอบแต่ใช้การกวักมือเรียกให้อีกคนเข้ามาใกล้แทน

              คนถูกเรียกด้วยอาการภาษาเอียงคอเล็กน้องแต่ก็ยินยอมที่จะเดินเข้าไปหา พอเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่สามารถสัมผัสถึงกันได้อัมรินทร์ก็ฉุดแขนของอีกคนที่ยังไม่ทันตั้งตัว

              เปลวอรุณที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของตนเซถลาลงนั่งที่ตักของอีกคน ครั้นพอจะขยับตัวลุกอัมรินทร์กลับบโอบรอบเอวเขาเอาไว้ไม่ให้หนีซบหน้าลงที่ไหล่ของเขาอยากที่เจ้าตัวขอบทำเวลาอยู่ด้วยกัน

              “อย่าเพิ่งลุกนะ” อัมรินทร์พูดเสียงเบา

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เปลวอรุณถามอย่างสงสัย หากสังเกตดีๆในระดับความใกล้เพียงแค่นี้ทำให้รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลานี้มีความอ่อนล้าแสดงออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

            จริงสินะ ช่วงนี้งานของอัมรินทร์ก็เยอะด้วยเครื่องประดับคอลเลคชั่นใหม่ที่อยู่ในระหว่างการผลิตก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วไหนจะเรื่องงานการกุศลที่ว่านั้นอีก เปลวอรุณเรียบเรียงความคิด

              “เปลวนั้นแหละเป็นอะไร” แต่ก็ต้องแปลกใจกับคำตอบกึ่งคำถามที่ได้กลับมา

              “ผมหรอ”

               “ใช่” ใบหน้าคมผละออกแล้วมองตรงมายังใบหน้าสวย “หลายวันมานี้เปลวดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่า” เขาถาม

              “ผม” เปลวอรุณเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงพร้อมหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างต้องการคำตอบ

              “มีเรื่องอะไรใช่ไหม” เขาถาม “บอกฉันได้ไหม” เพราะเขาเป็นห่วง

                “คือ..”

               อัมรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพื่อเป็นการคาดคั้นเอาคำตอบแต่เขานั่งรออย่างใจเย็น รอให้เปลวอรุณพูดมันออกมาเอง

               “เรื่องหนี้ผมจะพยายามหามาคืนคุณ” อัมรินทร์หรี่ตามมองเปลวอรุณเมื่อประโยคที่ว่าหลุดออกมาจากปากของอีกคน

                 “ทำไมอยู่ๆถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”

             “นี้ก็ใกล้สิ้นเดือนแล้ว เงินเดือนสำหรับเดือนนี้ผมตั้งใจว่าจะเอามาใช้หนี้คุณ” เปลวอรุณพูดออกมาตามความตั้งใจของตน

             ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้เขาค่าใช้จ่ายบางส่วนของเขาลดลงไปเกินครึ่ง ซึ่งนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีในความคิดของเขาที่ต้องการจะปลดหนี้ที่มีอยู่ เขาตั้งใจว่าจะแบ่งเงินไว้กึ่งหนึ่งเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและเก็บเอาไว้เพื่อเป็นค่าเทอมมหาวิทยาลัยของลูกตาล  ถึงจะไม่ตรงกับเรื่องที่ตนเก็บเอามาคิดมากอย่างที่ถูกถามแต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องที่เขาคิดอยู่เหมือนกัน

              “เปลวยังคิดเรื่องนี้อยู่อย่างงั้นหรอ” อัมรินทร์ถามเสียงเรียบ

              เปลวอรุณพยักหน้ายอมรับ

              “เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจมันแล้วก็ได้ ที่จริงฉันคืนโฉนดนั้นให้เปลวตอนนี้เลยก็ได้” เขาว่าพร้อมทำท่าเอื้อมมือออกไปหมายจะเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวนั้นให้อีกคนตามที่พูดแต่เปลวอรุณกลับรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน

              อัมรินทร์หันมามองคนที่นั่งก้มหน้าด้วยความสงสัย

              “ผม..” คนตัวขาวก้มต่ำซ้อนประกายความสั่นไหวในดวงตาไม่ให้ใครเห็น

             “มีอะไรหรือเปล่าเปลว” อัมรินทร์ถาม โฉนดที่ดินบ้านหลังนั้นสำคัญกับเปลวอรุณมากเขารู้ดีแล้วทำไมอีกคนถึงห้ามเขาเอาไว้แบบนี้

               “ผมไม่อยากรู้สึกเหมือนว่าผมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้มันคืนมา”

               !!

              อัมรินทร์นิ่งอึ้ง

              ทั้งตัวเขารู้สึกชาวาบกับคำพูดที่คล้ายจะเหยียดตัวเองของอีกคน ก้อนคำพูดมากมายจุกแน่นค้างอยู่กลางลำคอ

              เรื่องโฉนดเขาตั้งใจจะคืนมันให้เปลวอรุณอยู่แล้วถึงไม่มีเหตุการณ์วันนั้นก็ตาม แต่เขาไม่คิดว่าเปลวอรุณจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดแบบนั้นและไม่เคยคิดด้วยเช่นกันว่าเปลวอรุณจะมีความคิดเหตุเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาในทางนี้

             “เปลวก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” หลังจากควานหาเสียงที่หายไปในลำคอเจอเขาก็รีบพูดแก้ต่างนั่นออกมา

            “แต่ถึงอย่างนั้น” เปลวอรุณเพิ่มแรงบีบเข้าที่แขนของอัมรินทร์มากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

            “ผมเป็นหนี้คุณ ผมมาอยู่กับคุณที่นี้แถมยังเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกถ้ามีใครรู้ว่าคุณคืนโฉนดและยกหนี้ให้ผมมันต้องมีคนคิดว่าผมเอาตัวเขาแลกแน่” เพราะเขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันในวินาทีแรกที่อัมรินทร์พูดว่าจะคืนทุกอย่างให้

             ช่วงไหล่ของเปลวอรุณเริ่มสั่นไหวขอบตาหลังกรอบแว่นเองก็คลอไปด้วยน้ำใสๆที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไม่ให้ไหล

             “เปลวอย่างคิดอย่างนั้น เปลวไม่ได้เอาตัวเข้าแลกอะไรทั้งนั้นใครจะพูดอะไรก็ช่างมันสิมันไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” อัมรินทร์พูดออกมาอย่างร้อนรน มือหนาถอดแว่นสายตากรอบบางของอีกคนออกมาว่างบนโต๊ะ

             “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นเพราะความต้องการของเราตรงกัน” ความอุ่นจากฝ่ามือที่เปลี่ยนมาเป็นประคองใบหน้าของเขายิ่งประโยคต่อมาก็ทำให้อยากร้องไห้มากขึ้นไปอีก

               “ฉันรักเปลว เหตุผลนี้เพียงพอไหมที่จะทำให้เปลวไม่ร้องไห้”

               “ผมเชื่อคุณได้จริงใช่ไหม ไม่ใช่แค่คุณได้สิ่งที่คุณต้องการแล้วก็ทำเหมือนอย่างที่ผ่านมา” เปลวอรุณถามเสียงสั่น

                สิ่งที่อัมรินทร์ต้องการคืออะไรเปลวอรุณรู้ดี เขาไม่เคยคิดถึงมันเลยจนกระทั้งวันนั้นที่ราชันพูดมันออกและมันทำให้เขาอดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ ไหนจะเรื่องหนี้ที่อีกคนจ่ายแทนเขาไปก่อนหน้านี้อีก

               “ฉันไม่รู้ว่ามีใครพูดอะไรให้เปลวฟังหรือมีอะไรที่ทำให้เปลวคิดแบบนั้น แต่ฉันรักเปลวคือเรื่องจริง” เขามั่นใจว่ามันต้องมีใครพูดอะไรออกมาให้เปลวอรุณคิดแบบนี้แน่ และใครที่ว่านั้นมันต้องไม่หวังดีต่อเขาแน่...

               “ฉันยกหนี้นั้นพร้อมคืนโฉนดให้เปลวก็ได้ แต่ถ้าเปลวต้องการที่จะคืนเงินฉันตามที่คิดฉันก็จะไม่ขัดถ้ามันเป็นความสบายใจของเปลว” อัมรินทร์เกลี่ยปลายนิ้วหัวแม่มือลงข้างแก้มขาว

              “แต่ขออย่างเดียว อย่าคิดว่าเรื่องที่เกิดวันนั้นเพราะเปลวเอาตัวเข้าแลกเพราะฉันอยากให้มันเกิดขึ้นเพราะใจเปลวยอมรับฉัน” เขาบีบบังคับเปลวอรุณเรื่องหนี้เพื่อให้อีกคนยอมมาอยู่กับเขานั้นคือเรื่องจริง แต่เขาไม่เคยคิดฝืนใจเปลวอรุณ หากเจ้าตัวไม่ยืนยอมเขาเองก็พร้อมที่จะถอดใจกลับไปนั่งรอข้างสนาม

             เพราะสำหรับเขาเปลวอรุณพิเศษกว่าใครๆ...

             “คุณจะไม่ทิ้งผมเหมือนที่คุณทำกับคนอื่นๆใช่ไหม” อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้วถ้าเกิดว่าอีกคนจะทิ้งเขาไปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเขาคงทนรับไม่ไหวหรอก

             “ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่มีวันทิ้งเปลว” เขามองคนขี้แงตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ

             “ฉันไม่ใช่คนดีฉันรู้ มีหลายเรื่องที่ฉันทำไม่ดีเปลวก็รู้ แต่ที่เรารู้ก็คือฉันรักเปลวมากกว่าใครที่ผ่านมาถึงตอนนี้เปลวจะไม่เคยพูดว่ารักฉันหรือไม่ก็ไม่เป็นไรฉันรอได้” รอยยิ้มเรียบๆกับสัมผัสอุ่นที่รอยยิ้มนั้นประทับแนบที่หางตามันก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของคนฟังรู้สึกอุ่นขึ้นมากจนเผลอยิ้มรับ

            นั้นสินะ...

           ถึงอัมรินทร์จะมีเรื่องอะไรที่หลอกลวงหรือปิดบังเขาอยู่แต่อีกไม่นานมันก็ต้องปรากฏออกมาให้เขาได้รู้อยู่แล้ว เขาก็แค่รอเวลานั้น รอให้ราชันเอาหลักฐานที่ว่ามาให้เขาหรือไม่ก็รอให้ผู้ร้ายตรงหน้าสารภาพมันออกมาเอง แล้วถึงตอนนั้นเขาจะตัดสินใจอีกทีว่าควรจะทำอะไรกับเรื่องที่ว่า

          “ตอบฉันตรงๆได้ไหมว่าเปลวกังวลเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องหนี้หรือเรื่องของฉัน”

            “ก็ ทั้งสองอย่าง” เปลวอรุณตอบ เอียงคอเล็กน้อยยามที่อัมรินทร์ไล่จูบลงมาตามลำคอ

              “แล้วเรื่องไหนมากกว่ากัน” เขาถามต่อพลางไล่ฝ่ามาที่โอนเอวอยู่ไปตามผิวเนื้ออุ่นใต้ร่มผ้า

              “พอกัน”

              “จริงหรอ” อัมรินทร์ช้อนสายตามองสบอีกคนกรุ้มกริ่ม

              เปลวอรุณไม่ตอบซ้ำยังเบี่ยงหน้าหนี

              เขาไม่กล้าพูดออกไปหรอกว่าเรื่องที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากกว่าเรื่องหนี้ก้อนโตร้อยล้านก็คือเรื่องหมาป่ามือปลาหมึกตรงหน้าที่กำลังบีบนวดบั้นเอวเขาอยู่

              อัมรินทร์เป็นผู้ชายและเขาเองก็เป็นผู้ชายทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับอัมรินทร์คืออะไร..

            อะไรที่ทำให้อัมรินทร์มาสนใจในตัวเขานั้นเขารู้ดีว่าเพราะอะไร เพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆที่อีกคนเคยพบเจอ และนั้นแหละคือสิ่งที่เขากลัว

              กลัวว่าวันหนึ่งมันจะไม่เหมือนเดิม..

              ตอนนี้เขาอ่อนไหวไปกับหลายๆสิ่งที่อัมรินทร์แสดงออกให้เขาเห็น การกระทำหลายๆอย่างที่อีกคนทำมันให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญไม่มีใครหรอกที่จะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้นเขาเองก็ไม่พระอิฐพระปูนที่ไหนจะไม่โอนอ่อนตาม

              ความพลั้งเผลอทำให้เขาโอนเอนไปตามรสสัมผัส อัมรินทร์ได้ในสิ่งที่ต้องการจากเขามานาน มันทำให้เขากลัว..

              กลัวว่าสักวันเขาจะกลายมาเป็นเหมือนคนเหล่านั้น ...

             และความกลัวของเขาก็ถูกคำพูดของราชันสะกิดเข้าอย่างจัง

              ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้เอาแต่กลัวว่าเมื่อหมดความสนใจ หมดความท้าทายที่มากระตุ้มความกระหายความต้องการความอยากเอาชนะเขาจะกลายเป็นแค่สิ่งน่าเบื่อหน่ายสำหรับอีกคน

              เขาไม่ต้องการแบบนั้น...

              “วันหลังมีอะไรก็พูดกันออกมาตรงๆนะเปลว” อัมรินทร์กระซิบ “อย่าเก็บเอามาคิดเองเออกเองแบบนี้เข้าใจไหมครับ”

            แต่ตอนนี้ของเขามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนได้ไหมถึงเบื้องหลังมันจะมีเรื่องโกหกหลอกลวงยังไงก็แล้วแต่ แต่ของอย่างเดียว ขอแค่คำพูดที่อัมรินทร์กระซิบบอกเขามันคือเรื่องจริงก็พอ

              “ฉันรักเปลวนะ”

...........................................................................

 

“ที่ให้ไปหา หาเจอแล้วหรือยัง”  น้ำเสียงราบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆของร่างที่นอนเหยียดขายาวอยู่บนโซฟาหนังสีขาวเอ่ยขึ้นกับผู้ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่เสียงดังโดยไม่แม้จะลืมตาขึ้นมามอง

              คนมาใหม่ไม่ตอบหากแต่วางของบางสิ่งที่ได้มาลงบนโต๊ะตรงหน้า ไม่สิ ไม่ได้เรียกวางแต่เป็นการปล่อยมันทิ้งลงจากมือต่างหาก

              เปลือกตาสีขาวซีดลืมขึ้นก่อนจะปรายตามมองโต๊ะเสียงเมื่อครู่ ปึกเอกสารฉบับหนึ่งที่ไม่ถึงกลับหนามากวางนิ่งอยู่กับโต๊ะถัดออกไปเป็นชายชาวต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวเต็มไปด้วยหมัดกล้ามแข็งแรงหน้าตาไม่รับแขกยืนกอดอกนิ่ง

              ราชันทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคลายไม่พอใจก่อนจะพยุงร่างตัวเองขึ้นนั่งใหม่ดีๆ

              “นายคิดว่าคลับนั้นมันเข้าออกง่ายนักหรือไง”  ภาษาไทยสำเนียงแปร่งดังออกจากปากของชายต่างชาติตัวใหญ่ยักษ์

              “ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่หรือไง” ราชัยยิ้มเหยียด มือก็พลางหยิบสิ่งที่ได้มาขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่ยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ“ทำไมถึงเป็นแบบถ่ายมา”

              ภาพเอกสารที่ได้มาไม่ใช่ฉบับจริงหรือแบบสำรองแต่มันเป็นภาพที่ได้จากการถ่ายเก็บไว้แล้วปริ้นมันออกมาให้ต่างหาก ไม่ใช่แค่แผ่นสองแผ่นแต่มันเป็นทุกแผ่นเลยต่างหาก

              นัยน์ตาเรียวเล็กตวัดมองชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจและต้องการคำตอบที่น่าพอใจ

              “กว่าจะได้ขนาดนี้มานายคิดว่ามันง่ายนักหรือไงราช” อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงอารมณ์ว่าไม่พอใจเช่นเดียวกัน

              บัตเตอร์ฟลายคลับ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะที่ใครคิดจะเข้าไปของข้อมูลภายในมาแล้วทางนั้นจะยอมเอาออกมาให้ด้วยความเต็มใจ หนึ่งอาทิตย์กับข้อมูลเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องที่ได้มานี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

            ถึงมันจะเป็นการแอบถ่ายมาก็เถอะ...

              “แต่ฉันต้องการฉบับจริง” ราชันว่าเสียงแข็ง ปึกเอกสารถูกปาใส่หน้าคนเอามาที่ไม่ขยับหนี

              “อย่าเข้าใจอะไรยากได้ไหมราช การที่จะไปมีเรื่องกัน ออแลนโด้ หยวน เองก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักหรอกนะ”  ชายร่างใหญ่ตะคอกเสียงใส่เด็กเอาแต่ใจตรงหน้า

              “ไหนว่าอิทธิพลใหญ่คับโลกไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมแค่นี้ถึงทำไม่ได้ละ” ราชันกอดอกพูดเหยียด

              “พวกเราจะไม่ทำงานทับรอยกันและพวกเราจะไม่หาเรื่องกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้เหมือนกันด้วย มันไม่คุ้มเสีย”  ชายร่างใหญ่พยายามข่มใจให้เย็นขณะอธิบายกฎให้คนดื้อรั้นฟัง

              “นายกลัวงั้นสิ”

              “ราชัน!”  นัยน์ตาที่ฟ้าหม่นฉายประกายกร้าว ตะคอกใส่คนตรงหน้าจนสะดุ้งเฮือก

คนอย่าง วาเลนติโน่ ไม่ชอบให้ใครมาหยาม แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นราชัน

              “ได้แค่นี้ก็แค่นี้” ราชันตัดบทอย่างไม่เต็มใจ ตัวเขาก็เท่านี้จะให้ไปมีเรื่องกับยักษ์ใหญ่ตรงหน้าก็คงใช่เรื่องเหมือนกัน

              “แล้วครบหมดหรือยัง” คนตัวซีดถามยกขาขึ้นไขว่ห้าง

              “ยัง”

              “เหลืออะไร”

              “ผู้หญิงที่ชื่อ พิมพา”



_______________________________________________

     หนูราชันเราไม่ได้มาเล่นๆนะคะ นางมีแบล็คดี แบล็คใหญ่
อีกไม่นานอันอันจะโดนแฉแล้ว ถึงตอนนั้นเรามาลุ้นการตัดสินใจของหนูเปลวกันว่าจะออกหัวหรือก้อย
 :katai1:

ยังมีใครจำพิมพากันได้อยู่อีกหรือไม่?
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 21- 30/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 30-07-2017 23:10:12
ตอนที่เปลวต้องการความช่วยเหลือ ทำไมเหมือนไม่สนใจ จนเวลาเลยผ่านไป แล้วจะกลับมาทวงคืนนี่คืออะไร
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 21- 30/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-07-2017 01:52:45
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 21- 30/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 02-08-2017 06:36:47
ราชันจะกลับมาทำไมเนี่ยตอนเปลวต้องการความช่วยเหลือก็ไม่ใยดีกับเปลวเลยแล้วตอนนี้มาสนใจทำไม
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 21- 30/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-08-2017 09:43:31
เขามีความหลังอะไรกัน!?
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 03-08-2017 00:37:59

เป็นหนี้ ครั้งที่ 22[/b]



              เวียนหัว..

              อาการที่เปลวอรุณรู้สึกไม่เคยชอบมันเลยตั้งแต่ยังเด็ก เขาไม่ชอบเพราะมันชอบทำให้เขารู้สึกหนักๆที่หัวแถมหน้าผากยังร้อนอีกด้วย เขาหลับตาแน่นหวังไล่ความรู้สึกที่ว่านั้นให้หายก่อนจะลืมตาแล้วจึงรีบสาวเท้าก้าวยาวๆตามหลังอัมรินทร์ที่กำลังเดินพูดคุยรายละเอียดอยู่กับหัวหน้าแผนกการผลิต

            วันนี้เขากับอัมรินทร์ออกมาตรวจความเป็นไปของการผลิตก่อนเวลาที่นัดกันเอาไว้พร้อมกับกล่องกำมะหยี่สีม่วงที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะนำไปเข้าร่วมงานประมูลของราชัน ถึงจะดูไม่พอใจแต่ก็ยอมทำจนทำให้เขารู้สึกอดขำอยู่หน่อยๆไม่ได้เหมือนกันที่ตอนที่เห็นอัมรินทร์เปิดเจ้ากล่องเครื่องเพชรนั้นแล้วทำหน้าตายใส่ทั้งๆที่เจ้าเครื่องเพชรที่อยู่ในมือคือสินค้าระดับท็อปของบริษัทที่ไม่มีการผลิตซ้ำอีก

              จำได้ว่าตอนนี้ผลิตเสร็จครั้งแรงเจ้าตัวนี้ยิ้มแก้มปริไปหลายวัน เห็นการเปรียบเทียบแล้วก็อยากขำ..

              แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเขาเริ่มขำไม่ออก...

            ถึงโถงทางเดินจะเป็นพื้นที่โปร่งเพื่อระบายอากาศบางทีน่าจะเพราะแสงแดดและความร้อนของเวลาที่ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นดินในตอนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันทั้งร้อนและอึดอัดจนต้องใช้ปลายนิ้วขยับเนคไทที่คอให้หลวมลงมาก่อนที่เขาจะเป็นลมมันเสียงตรงนี้ และต้องขอบคุณที่หัวหน้าแผนกการผลิตร่างท้วมที่พาพวกเขามายังห้องรับรองแอร์เย็นฉ่ำเป็นที่แรกก่อนการเดินตรวจงาน

            หลังจากที่พูดคุยกันที่ห้องรับรองแล้วก็เดินตรวจสอบกรรมวิธีการผลิต การเจียระไน และการขึ้นรูปของผลิตภัณฑ์มีบ้างที่อัมรินทร์ลงไปพูดคุยกับช่างทำเองบาง ก่อนจะจบลงด้วยการฝากเจ้ากล่องกำมะหยี่ที่นำติดมาด้วยให้หัวหน้าแผนกซ้อมบำรุงนำไปตรวจสอบหาตำหนิและทำความสะอาดใหม่ให้พร้อมสำหรับการออกงาน

              “เปลวไหวหรือเปล่า”

              เสียงทักของอัมรินทร์ดังขึ้นพร้อมสีหน้าเป็นห่วงของเจ้าตัวที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับแก้วน้ำพลาสติกสีแสบตาที่ถูกยืนมาให้

              “ผมไม่เป็นไร” เขาตอบ

              ตอนนี้ตารางงานภายในโรงงานเสร็จครบหมดแล้วและท้องของพวกเขาก็ส่งเสียงร้องหาอาหารแล้วเช่นกัน โรงอาหารของโรงงานคือตัวเลือกที่ดีที่สุดและที่ใกล้ที่สุด

              “แต่หน้าเปลวดูซีดๆไปนะ”

              “แค่อาการมันร้อนเท่านั้นเองครับ” เขายิ้มให้พร้อมรับแก้วน้ำที่อีกคนส่งมาให้ กลิ่นหองอ่อนเย็นๆบอกให้รู้ว่าเจ้าน้ำที่ว่าคือน้ำเก๊กฮวยจากร้านขายน้ำที่อยู่ริมสุด

                ได้น้ำหวานเย็นคลายร้อยหน่อยก็ดีเหมือนกัน เปลวอรุณคิด

               “ อึ้ ”   แต่รสชาติที่หวานเลี่ยนจนแสบคอแบบนี้นอกจากจะไม่ช่วยทำให้ดีขึ้นแล้วยังชวนให้อยากขย้อนน้ำย่อยในกระเพาะออกมาอีกด้วย

              อัมรินทร์เองที่ยังไม่ทันได้สัมผัสพื้นเก้าอี้ดีก็รีบเด้งตัวพุ่งเข้าประคองคนที่ปิดปากทำท่าทีคล้ายจะอาเจียนอย่างตกใจ ร่วมถึงแม่ค้าร้านขายน้ำที่ว่าที่ดูจะหน้าเปลี่ยนสีลงทันตาจนอัมรินทร์ต้องส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไรเพื่อความสบายใจของคนขายก่อนจะหันกลับมาถามไถ่อาการคนที่ยกมือขึ้นปิดปากแน่น

              “เป็นอะไรเปลว”

              “เลี่ยน” เขาพูดแค่นั้น ความหวานเลี่ยนที่ติดอยู่กับลิ้นทำเอาใบหน้าสวยแหยเกอยู่ไม่น้อย

              อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นหยิบเจ้าแก้วน้ำที่ว่าขึ้นลองชิม แต่ไอ้ความหวานเลี่ยนที่คนตัวขาวกล่าวหาดูจะเป็นเรื่องเกินจริงไปหน่อยเพราะเท่าที่ได้ลิ้มรสมามันไม่หวานเลี่ยนจนแสนคอช่วยคลื่นไส้แต่มันเป็นรสหวานกำลังพอดีที่ดื่มแล้วชื้นใจคลายความร้อนได้ดีเลยต่างหาก

              “งั้นดื่มน้ำเปล่าไปแทนละกัน” เขาว่าพร้อมขวดน้ำดื่มที่ซื้อมาพร้อมกันถูกส่งให้แล้วช่วยประคอง

              เปลวอรุณหน้าซีดมาตั้งแต่ตอนที่เดินอยู่ภายในโรงงานแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ บ่อยครั้งที่เขามักจะหยุดเดินเพื่อให้คนที่ดูเหมือนว่าแค่ก้าวขายังหอบหายใจแรงอย่างเปลวอรุณได้พัก

              “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วกลับกันเลยแล้วกัน” อัมรินทร์บอก ซึ่งเปลวอรุณก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

              ข้าวเที่ยงที่แทบกลืนไม่ลงพร่องไปแค่สองส่วนสี่ของจานข้าว แม้จะรู้สึกผิดต่อป้าคนขายที่ทำอาหารรสมือดีแต่ความเลี่ยนที่ยังติดโคนลิ้นอยู่ทำเอาเปลวอรุณแทบไม่อยากจะกลืนอะไรลงท้องเลยนอกจากน้ำเปล่าขวดนี้จนอัมรินทร์ต้องหาซื้ออะไรอย่างอื่นให้เขากินรองท้องแทน

            บางทีมันอาจรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้มีอาการแบบนี้ต่อไปอีก...

             

             
เก๊ก

              เสียงบิดประตูดังขึ้นคนที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงทำเพียงเหลือบมองร่างชุ่มเหงื่อของอัมรินทร์ร่องระหว่างแขนแล้วหลับตาลงอีกครั้งเมื่อภาพที่เห็นยังคงพร่าเลือน

              คนที่เข้ามาใหม่หัวคิ้วเข้มขมวดแน่นเมื่อเห็นว่าคนที่ปกติจะลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานรอเขาขึ้นมายังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง

              อัมรินทร์สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ชะเง้อมองคนที่ยกแขนพาดหน้าผากอย่างเป็นห่วงก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ

              “ออกกำลังกายเสร็จแล้วหรอครับ” น้ำเสียงปกติที่ดังออกมาจากริมฝีปากสีอ่อนที่เจ่อบวมจากการถูกดูดดึงเมื่อคืนไร้อาการงัวเงีย

              “ตื่นนานแล้วทำไมไม่ลุกละครับ” อัมรินทร์ยิ้มถามจับข้อมือข้างนั้นออกแล้วจูบเบาๆที่หน้าผากมน

              “เวียนหัวนิดหน่อยนะครับ”

              “เป็นอะไรไปหื้อ” อัมรินทร์ถามอย่างเป็นห่วง ประคองคนที่สวมเพียงเสื้อนอนตัวใหญ่เพียงตัวเดียวติดกายขึ้นมานั่งอังหลังมือกับผิวกายแต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร

              “น่าจะเพราะลุกขึ้นไวไปหน่อยนะครับ” เปลวอรุณตอบตามที่ตนคิด

หรือไม่อีกทีก็เพราะสิ่งที่พวกเขากระทำกับเมื่อคืน อัมรินทร์คิด

              เมื่อมันเคยมีครั้งที่หนึ่งมาแล้ว ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งอื่นๆจะตามมากก็คงไม่ใช่เรื่องที่แปลก แต่บางทีอัมรินทร์ก็อาจลืมไปว่าร่างกายของเปลวอรุณไม่ได้เป็นเหมือนตน

              เปลวอรุณอายุมากกว่าทั้งยังรูปร่างเล็กกว่า บางทีการที่อีกคนหน้ามืดเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะกลับมาอาจเพราะการฝืนใช้แรงเมื่อคืนนี้ก็เป็นได้

              “แล้วลุกไหวไหม” เขาถามพร้อมตั้งท่าจะประคองอีกคนเข้าไปอาบน้ำพร้อมกันข้างใน

              “ไหวครับ” แต่ก็โดนปฏิเสธ

                 เปลวอรุณออกปากไล่ให้คนชุ่มเหงื่อเข้าไปอาบน้ำก่อนส่วนตนจะไปเตรียมเสื้อผ้าไว้รอซึ่งตอนแรกอัมรินทร์มีทีท่าอิดออดไม่ยอมทำตามแต่สุดท้ายก็ยอมที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่ายเมื่อโดนเขาตีหน้านิ่งใส่

              ตั้งแต่วันที่ไปโรงงานผลิตก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย สินค้าคอลเลคชั่นใหม่ก็ดูเหมือนจะทำออกมาได้ถูกใจนักออกแบบอย่างลิลดาอยู่มากดังนั้นเมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายเธอเลยเลือกที่จะขนข้าวขนของไปกินนอนอยู่ที่โรงงานผลิตกันเลยทีเดียว ส่วนเรื่องสถานที่จัดงานเป็นโรงแรมชั้นนำกลางเมืองที่ก่อนหน้าที่เขาได้ติดต่อเอาไว้ล่วงหน้า แต่การไปดูสถานที่จริงเมื่อวานนี้ต่างหากที่ทำให้เขาเหนื่อยแทบขาดใจ ไม่คิดเลยจริงๆว่าตัวเองจะแก่ถึงขนาดที่ว่าเดินไปเดินมาแค่ครึ่งชั่วโมงจะทำให้เข่งขาสั่นจนต้องนั่งเป็นหมาหอบแดดได้ขนาดนี้

              ส่วนสินค้าที่จะนำไปร่วมงานก็อยู่ในขั้นตอนบำรุงรักษาเตรียมพร้อมสำหรับการนำเขาประมูลในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึง แต่ถ้าพูดถึงเจ้าของงานแล้วละก็ทั้งเขาและอัมรินทร์ก็ไม่มีใครพบราชันอีกเลยตั้งวันนั้นที่อีกคนมาดักรอเขาที่โรงพยาบาลนอกจากคุณจูนที่เจอกันเมื่อวันก่อนตอนที่อัมรินทร์มาดูสถานที่จัดงานประมูลที่ว่า

               บางที...

              ราชันอาจกำลังตามหาหลักฐานที่ว่าอยู่ก็เป็นได้...

            พอคิดว่าถึงตรงนี้เปลวอรุณก็หลับตาลงแล้วพ่นลมหายใจออกมาแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังห้องแต่งตัวเพื่อเตรียมเสื้อผ้าของตนเองและของอัมรินทร์มาวางไว้ให้เหมือนอย่างทุกวัน

            ก็ขอให้หาได้ไวๆแล้วกันเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อัมรินทร์ปิดบังเขาอยู่มันคืออะไร...

……………………………….

 

               อาการในช่วงสายๆของวันเป็นอะไรที่แดดร้อนและไร้ซึ่งลมเย็นๆความร้อนความแออัดทำให้แก้วขาวซีกของราชันขึ้นสีไรผมและลำคอเริ่มชื้นเหงื่อ

              ราชันไม่ชอบความร้อนและที่ไม่ชอบยิ่งกว่าคือเสียงของความวุ่นวาย

               และทุกสิ่งที่ว่ามานี้ก็อยู่ตรงหน้าเขาทั้งสิ้น

              “ใช่ที่นี้แน่นะ” ชายหนุ่มหันไปถามคนติดตามชาวต่างชาติที่วาเลนติโนส่งมาดูแลเขาเสียงขุ่น

              “ครับ จากแผนที่ที่คนของเราหามาได้ถ้าเดินไปอีกหน่อยเราก็จะเจอคนที่เรากำลังตามหาแล้วละครับ”  ราชันพยักหน้ารับก่อนจะให้อีกคนเป็นคนนำทาง

              เขตชุมชนเก่าทำจากไม้บ้างทำจากอิฐจากปูนบ้างเรียงรายเกาะกลุ่มกันอยู่หลายหลังคาเรือน ทางเดินเล็กๆแค่พอให้มอเตอร์ไซย์วิ่งส่วนกันได้แต่ไม่มีพื้นที่พอให้นำรถยนต์เข้ามา ดังนั้นรถยนต์ของเขาจึงต้องจอดรออยู่ด้านนอนพร้อมคนขับ

              ราชันกวาดตามองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ค่อยชอบใจเสียเท่าไรโดยเฉพาะสายตาของชาวบ้านในละแวกนี้ที่มองมา ถ้าไม่ติดว่าสิ่งที่กำลังตามหามันอยู่ในนี้รับรองเลยว่าเขาจะไม่มีทางมาเหยียบที่นี้เด็ดขาด

              หลังจากเดินเข้ามาในซอยชุมชนข้ามสะพานไม้เก่าๆมาได้ระยะหนึ่งเสียงของลูกน้องชาวต่างชาติก็เอ่ยขึ้น            “ถึงแล้วครับ”

            ตรงหน้าของพวกเขาคืออาคารไม้กลางเก่ากลางใหม่ข้างหน้าประดับโคมทรงสี่เหลียมผืนผ้าสีเขียวใบตองอ่อน ราชันกระตุกยิ้มมองบานประตูที่ปิดสนิทมันด้วยสายตาเหยียด

ก๊อก ก๊อก

              “มีใครอยู่ไหม” ลูกน้องคนสนิทของชารันยกมือขึ้นเคาะถาม

              แต่ก็ไร้วี่แววของคนข้างในที่จะออกมาเปิดจนชายหนามต้องหันมามองผู้เป็นนาย

              “เคาะไป เคาะจนกว่ามันจะมีคนออกมา” ราชันกอดอกสั่ง

              และได้ผล หลังจากที่ทั้งเคาะทั้งตะคอกส่งเสียงถามหาการมีอยู่ของคนภายในตึกมาได้สักพักพวกเขาก็เริ่มจะที่จะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านในพร้อมเสียงสบถอะไรสักอย่างที่ราชันไม่ได้สนใจฟัง

              “พวกแกเป็นใคร ร้านยังไม่เปิดหรอกนะย่ะ” น้ำเสียงห้วนติดจะใส่อารมณ์ดังขึ้นพร้อมบานประตูไม้ที่เปิดแง้มออกพอให้เห็นหญิงวัยห้าสิบกว่ารูปร่างอ้วนเตี้ยผิวขาวมองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าติดจะรำคาญไม่พอใจ

              “ฉันมาหาคนที่ชื่อพิมพา” ก่อนที่สีหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นตกใจกับน้ำเสียงนิ่งเรียบของราชันที่อยู่ตรงกลางด้านหลังชายหนุ่มชุดสูทสีดำ

              “โอ๊ย ที่นี้ไม่มีคนชื่อนี้หรอก ไปๆจะไปไหนก็ไป” แม่เล้าอ้วนออกปากไล่พร้อมทำที่จะปิดประตูใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

กึก

              แต่ไม่ทันที่บานประตูจะถูกปิดลงปลายรองเท้าหนังขัดมันของชายหนุ่มผมทองก็ถูกสอดเข้ามาขัดไม่ยอมให้หล่อนได้ทำตามความต้องการพร้อมกับชายเสื้อสูทด้านถูกเลิกออกให้เห็นบางสิ่งที่เหน็บอยู่กับสายคาดเอว

              “ขอเราเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมครับ”  นี้ไม่ใช่คำร้องของที่หล่อนจะมีสิทธิปฏิเสธ นี้คือสิ่งที่หล่อนรับรู้จากดวงตาสีฟ้านั่น

              “ชะ เชิญ” ถ้ารักตัวกลัวตาก็ต้องยอมที่จะเปิดประตูเชื้อเชิญคนกลุ่มนี้เขามา

              ภายในมองดูแล้วก็คล้ายร้าน้ำชาทั่วไปตามเมืองเก่าแต่การตกแต่งที่เน้นผ้าแพรสีฉูดฉาดทำให้ที่นี้ดูต่างจากร้านน้ำขาที่อีกอยู่มาก ก็แน่ละ มันไม่ใช่ร้าน้ำชาจริงๆเสียหน่อย ราชันเค้นยิ้ม

              “พิมพาอยู่ไหน” เขาถามเสียงห้วน

              “พวกคุณมีอะไรกับมันงั้นหรอคะ” แม่เล้าเอ่ยถามเสียงกล้าๆกลัวๆ มือที่อยู่ด้านหลังก็พยายามไล่เด็กในร้านที่ทำตัวอยากรู้อยากเห็นเข้าไปหลบเพื่อความปลอดภัย หากเกิดอะไรขึ้นสินค้าของหล่อนต้องไม่เสียหาย

              “อย่าถามมาก ไปเรียกมาให้ฉันก็พอ” ราชันปลายตามอง “อย่าคิดตุกติกละถ้ายังอยากจะมีชีวิตทำงานเน่าๆนี้ต่อ” แน่นอนว่ามันไม่ใช่คำขู่แน่

              “ฉันรู้หรอก” หล่อนชักสีหน้าพึมพำก่อนจะหันไปตะโกนเรียกให้เด็กที่หลบอยู่ขึ้นไปตามคนที่อยู่ด้านบน

              ราชันมองรอบๆก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาบุหนังสีอ่อนที่กลางร้านยกขาขึ้นไขว่ห้างเหมือนที่ชอบทำ

              “ระหว่างนี้ฉันของถามอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหน่อยสิ” และเหมือนรู้ความต้องการของผู้เป็นนายชายหนุ่มสูทดำก็ผายมือเชิญหญิงร่างอวบอ้วนไปข้างหน้าอย่างมีมารยาท

              “เรื่องอะไร” หล่อนถาม

              “คุณเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นหรอ” ราชันถามอย่างใจเย็น

              “ก็แค่คนรู้จัก” หล่อนตอบอย่างไว้ที หาคนหนุ่มตรงหน้าเป็นเจ้าหนี้ของพิมพาจริงอย่างที่คิดหล่อนจะได้มีทางหนีทีไล่ได้ทัน

              “แค่คนรู้จักจริงๆหรอ” เรียวตาหรี่ลงอย่างจ้องจับผิด

              “ก็จริงนะสิ แล้วพวกคุณละเป็นใครทำไมต้องมาตามหายัยนั้นด้วย” ครั้งนี้หล่อนถามกลับบ้าง

              ราชันไม่ตอบอะไรนอกจากระบายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย

              แม่เล้าวัยห้าสิบมองมายังแขกหนุ่มดูมีฐานะอย่างไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไร ถ้าเป็นเวลาปกติหล่อนอาจยินดีที่มีลูกค้ากระเป๋าหนักหลงเข้ามาแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้แน่

            หวังว่าการช่วยคนรู้จักครั้งนี้จะไม่ทำให้ตัวเองลำบากหรอกนะ...

              “เจ้ ให้เด็กไปตามฉันมามีเรื่องอะไร” ความคิดของหล่อนหยุดลงเมื่อน้ำเสียงหวัดห้วนดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินออกมาจากหลังม่ายสีเข้มด้านหลังร้าน

              ราชัยเหลือบมองผู้หญิงมีอายุที่ยังคงสาวและสวยแม้จะดูไร้ราศีไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ไม่เสียเปล่ากับสิ่งที่ทั้งฉีดทั้งทำมา ผมเผ้าที่ยังไม่ทันหวีให้เข้าทรงเสื้อผ้าที่ยังคงอยู่ในชุดนอนตัวบางมีแค่เสื้อคุมบอกให้คนมองรู้ได้กลายๆว่าพิมพาคงยังไม่ตื่นและสีหน้าฉุนเฉียวนั้นก็เพราะเขามากวนเวลานอนของเธอ

              แต่ใครสนกันละ...

              “ก็นี้ไง มีคนมาหาแก” แม่เล้าว่าพลางชี้มาที่ชายร่างขาวซีด

              พิมพามองคนที่ว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเสื้อผ้ายี่ห้อดีที่ไม่ได้มีขายตามท้องตลาดทั่วไปรองเท้าหนังขัดมันราคาแพงทำเธอตาวาว แต่ “ใครอะเจ้”

              “เอ้า ฉันจะรู้กับหล่อนหรือไง เขาบอกว่ามาหาหล่อนหล่อนก็คุยกับเขาเองแล้วกัน” แม่เล้าว่าอย่างตัดช่องน้อย ดันร่างที่ยังไม่สร่างตื่นดีนั่งลงตรงที่หล่อนนั่งเมื่อครู่แล้วรีบเดินหนีมาหลบอยู่กับบรรดาเด็กๆของตัวเองที่หลังร้าน

              “คุณเป็นใคร มีธุระอะไรกับฉัน” พิมพาถามขึ้น  หล่อนไม่รู้จักชายหนุ่มตรงหน้าและมั่นใจด้วยว่าไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

               แล้วมาหาเธอทำไม...

              “พอดีผมมีเรื่องอยากจะถามอะไรคุณหน่อย”  ราชันยิ้ม

              “ถามอะไร” แน่นอนว่าพิมพาไม่ไว้ใจคนตรงหน้าเท่าไร

              “รู้จักคนที่ชื่อ เปลวอรุณ สินะ”

              “นี้แกรู้จักเด็กนั้นด้วยอย่างนั้นหรอ” สรรพนามที่ออกมาจากปากของพิมพาเริ่มเปลี่ยนเมื่อพูดถึงลูกติดของสามีเก่า

              “รู้สิ ผมยังรู้อีกว่าคุณคือแม่เลี้ยงของเขา” ราชันแย้มยิ้มสร้างภาพลักษณ์ใจดีอย่างที่ชอบทำ “แล้วทำไมแม่เลี้ยงคนดีคนเดียวคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี้ได้กันนะ” เท้าศอกลงกับที่วางแขนเหมือนคนที่กำลังหาคำตอบ

              มือเรียวกำแน่นใบหน้าสวยเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธยามนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสถานที่น่ารังเกียจอย่างนี้ ที่จริงพิมพากับแม่เล้าอ้วนไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรเป็นการส่วนตัวหากแต่แค่เป็นคนรู้จักที่เจอกันบ่อยๆที่วงการพนันพอเธอลำบากแม่เล้าก็เสนอให้เธอมาช่วยงานที่นี้ทั้งที่จริงหล่อนเองก็ไม่อยากจะทำแต่เพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอนยังไงมันก็ต้องยอม ในเมื่อบ้านหลังเก่าของเธอก่อนที่จะมาอยู่กับพ่อของเปลวอรุณก็ถูกขายใช้หนี้ไปแล้ว

              “เอ๋ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ราชันไล่ต้อน หรี่ตามองปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

              “แกต้องการอะไร” พิมพาตวัดสายตามองอีกคน น้ำเสียงที่ดังลอดไรฟันออกมาบอกได้ชัดว่าหล่อนไม่สบอารมณ์เท่าที่ควรที่ถูกคนหนุ่มถามซอกแซก

              “งั้นอีกคำถาม คุณรู้จักบัตเตอร์ฟรายคลับกับเจ้าพ่อเงินกู้ที่ชื่ออนิรุทธิ์หรือเปล่า”

              “นี้แก” ม่านตาหล่อนเบิกกว้างอย่างตกใจ

              “รู้จักสินะ งั้นถามต่อเลยแล้วกัน” ราชันไม่ปล่อยให้เสียเวลา เอกสารที่ได้จากวาเลนติโนถูกส่งมาตรงหน้าพิมพา

              หล่อนมองอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะหยิมมันขึ้นมาอ่าน

              เอกสารที่คุ้นเคยแต่ข้อความในนั้นกลับผิดแปลกไปจากครั้งหนึ่งที่เธอเคยอ่าน มือเรียวที่จับแผ่นกระดาศออกแรงจับจนขอบข้างยับแล้วเปามันลงโต๊ะอย่างไม่พอใจ

              “มันไม่ใช่ของจริง ฉันไม่ได้ทำ” หล่อนตวาดลั่น

              “จริงหรอ”

              “จริงสิ” หล่อนรีบยืนยัน “ดูนี้นะ” พร้อมหยิบเอกสารก็ยืมแผ่นหนึ่งขึ้นมา

              “ฉันกู้ยืมเงินจริง แต่แต่ละครั้งที่ฉันกู้มันไม่เคยเกินแสนเลยสักครั้งแถมฉันก็คืนเกือบทุกงวด” ถึงจะไม่ครบบ้างก็เถอะ

              “แต่เอกสารพวกนี้ฉันได้มาจากห้องทำงานของออแลนโด้ หยวน เจ้าของบัตเตอร์ฟลายคลับเลยนะ อย่างนี้ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้โกหกไม่ได้โกหก”  ราชันแย้งอย่างหยันเชิง อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าทางบัตเตอร์ฟลายคลับกับอนิรุทธิ์มีความเกี่ยวข้องกันยังไง แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้เขาสามารถเอาข้อมูลที่ต้องการกลับมาได้ในครั้งเดียว

            ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก

              “ฉันพูดความจริง โธ่เว้ย” เธอสบถก่อนจะเปิดหาเอกสารที่ยืนยันความบริสุทธิ์ให้ตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

              “นี้ไง” หลังจากหาอยู่สักพักเธอก็ยืนเอกสารที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาให้ราชันดู “แกดูนี้ เห็นไหมว่ามันเป็นเอกสารกู้ยืมที่ลงวันที่เดียวกันกับอันนี้” ประกายตาของพิมพาแฝงไปด้วยความหวังพร้อมส่งเอกสารคู่แฝดมาให้ชายหนุ่ม

              นัยน์ตาเรียวไล่มองเอกสารตามที่พิมพาว่า ซึ่งก็จริงอย่างที่หล่อนว่า วันที่เดียวกัน เนื้อหาด้านในเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ตรงจำนวนเงินและน้ำหมึกที่ใช้เขียน เหมือนกับว่าฉบับหนึ่งคือฉบับจริงและอีกฉบับคือฉบับที่ถูกทำขึ้นใหม่

               “แต่ลายเซ็นนี้ก็ลายมือคุณไม่ใช่หรือไง” ราชันถามกลับ

              “มันปลอมกันได้ แกดูดีๆ”

               เมื่อมีโอกาสแก้ต่างความผิดและน่าจะเป็นทางที่พาหล่อนออกไปจากที่นี้ได้พิมพาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ว่าราชันจะถามหรือซักอะไรพิมพาก็ยอมตอบออกมาแต่โดยดีไม่มีอิดออด จนได้ความแน่ชัดแล้วว่าเอกสารในมือที่ตนมีอยู่นั้นมันมีทั้งหมดสองชุด

               ของจริงกับของปลอม...

               ราชันกรีดยิ้ม ความพอใจทำให้อารมณ์ของเขาเริ่มดีขึ้น

              “แล้วทำไมคุณไม่บอกความจริงไปละว่าคุณถูกใส่ความ” เขาถามพลางเก็บเอกสารเข้าซอง

             “ก็เปลวมันฟังฉันที่ไหนละ” พูดแล้วก็แค้นใจ หล่อนยังจำได้ดีว่าตัวเองถูกมันไล่ออกมาอย่างหมูอย่างหมายังไง

             อย่าให้ถึงตาฉันบ้างละกัน...

             “ทำไมละ เปลวอรุณไม่น่าจะใช่คนที่ไม่มีเหตุผลนะ” ราชันหรี่ตาถาม เปลวอรุณที่เขารู้จักไม่ใช่คนไร้เหตุผลและเท่าที่เขาเห็นในเอกสารมาก็พอจะรู้ได้อยู่ว่าอะไรที่ทำให้คนใจเย็นแบบนั้นฉุนเฉียวเส้นอารมณ์ขาดได้

             ก็แค่อยากรู้ว่าพิมพาจะตอบเขาว่ายังไง...

             “มันติดผู้ชายไงละ ฉันพูดอะไรไปมันก็ไม่สนใจหรอก เหอะ ปากบอกจะใช้หนี้แทนให้ฉันเดานะมันก็คงเอาตัวเข้าแลกนั้นแหละ แหม่ จับได้ปลาตัวใหญ่ขนาดนั้น” คำปรามาสที่หาความจริงไม่ได้นั้นพิมพารู้ดีแกใจว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่แล้วจะยังไงละ ไอ้หนุ่มตรงหน้าก็คงไม่แคล้วเป็นผู้ชายที่มาติดพันลูกเลี้ยงของหล่อนแน่ ใส่ไฟเล็กๆน้อยๆให้ชีวิตแสนจืดชืดของเปลวอรุณมีสีสันพอให้หล่อนขบขันสักหน่อยจะเป็นไรไป

               “อย่างนั้นหรอครับ” ราชันจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังเริ่มเปิดปากเล่าความเท็จต่ออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

             “ฉันนั้นทั้งรักและเอ็นดูเปลวมาตั้งนาน เห็นมันเหมือนลูกไอ้เงินที่กู้ยืมมาก็เพื่อช่วยมัน เนี้ยเงินก้อนใหญ่อันสุดท้ายฉันก็เอาซ้อมแซมบ้าน...” คนที่กำลังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไม่มีทางรู้หรอกว่าราชันพยายามข่มอารมณ์ตนขนาดไหน

             “อย่างนั้นหรอครับ น่าเห็นใจคุณจริง” ราชันว่าอย่างเห็นใจ กุมมือของพิมพาเหมือนปลอบใจทั้งที่ขยะแขยงมันเต็มทน

              “ผมจะหาทางช่วยให้คุณได้กลับไปเคลียร์ใจกับเปลวอรุณให้ได้เลยนะครับ” ราชันว่า

              พิมพาตาวาวระยับ หาเป็นจริงอย่างที่ชายหนุ่มว่านั้นก็หมายความเธอจะได้ออกไปจากสถานที่อโคจรแบบนี้เสียที

             “จริงๆหรอคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ ฉันละเป็นห่วงเปลวมันจริงๆกลัวมันจะถูกหลอกซ้ำซาก” หล่อนจีบปากจีบคอเรียกความเห็นใจ

            “แน่นอนครับ”

             ราชันตบเบาๆที่หลังมือเหมือนให้คำมั่นก่อนจะขอตัวกลับโดนมีพิมพาเดินออกมาส่งที่หน้าประตูโดยไม่ลืมที่จะย้ำให้ราชันช่วยพูดกับเปลวอรุณให้เธอได้กลับไปอยู่บ้านนั้นอีกครั้งด้วยเช่นกัน

             ราชันยิ้มให้พิมพาอีกครั้งจนบานประตูไม้นั้นถูกปิดลงกลอนรอยยิ้มที่ประดับลงใบหน้าก็เลือนหายกลายเป็นใบหน้านิ่งเรียบและเย็นชาเกินจะคาดเดาอารมณ์

             “แอ็ดเวิร์ด”

             “ครับ”

            “ที่สั่งไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

             “ครับ”

            “ดี” ราชันยกยิ้มพอใจกับงานที่สั่งไว้ ร่างชาวซีดหมุนกายกลับแล้วเริ่มออกเดินไปตามทางที่เดินมาเมื่อครู่พร้อมออกคำสั่งให้ให้หนุ่มต่างชาติรับรู้และจัดการ

            “ทำยังไงก็ได้อย่างให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิตเปลวอรุณได้อีก เอาให้หายไปเลยก็ยิ่งดี”



____________________________________________________

มีใครคิดถึงพิมพาบ้าง
มาให้พอหายคิดถึงก่อนจะโดนหนูราชันสั่งอุ้ม


มีใครเดาอาการหนูเปลวได้บ้าง หนูเปลวเป็นไรบอกที ???
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-08-2017 02:54:35
ท้องแล้วววว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 03-08-2017 04:13:47
เปลวท้องแน่ๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 03-08-2017 04:42:04
ราชันดูมีความวอแวววว สมมุติถ้ารักเปลวจริงแล้วทำไมเพิ่งโผล่หัวมาละหื้อออออ??
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 03-08-2017 09:14:13
ราชันเหมือนหมาหวงก้าง ตั้งนานไม่โผล่มา
พอเปลวตกลงปลงใจกับอัน ก็รีบมาทันที!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 03-08-2017 09:20:08
ว้ายยยยยยเปลวท้องซะแล้ว แอบกลัวว่าจะหอบลูกหนี
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 22- 2/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-08-2017 16:12:36
 :เฮ้อ:


ราชันนน ไปอีกกกกก
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 23- 5/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 05-08-2017 00:37:34
เป็นหนี้ ครั้งที่ 23


           “โอ๊ย!”

          “คุณเปลวเป็นอะไรไหมคะ ว้าย” เสียงร้องตกใจของแม่บ้านสาวที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงแขนร้องขึ้นพร้อมปรี่ตรงเข้ามาประคองมือขาวซีดก่อนจะอุทานเสียงหลงเมื่อฝ่ามือขาวนวลนั่นนองไปด้วยเลือดสีเข้ม

           “ไม่เป็นไรแวว” เปลวอรุณยิ้มแห้ง นึกโทษความสะพร้าของตัวเองที่ทำให้คนอื่นพลอยตกอกตกใจไปด้วย

           “แต่เลือดออกเยอะเลยนะคะ” แววตาโตตาลีตาเหลือกดึงมือขาวมาล้างเลือดออกก่อนจะดุนหลังเจ้านายให้ออกจากครัวไปทำแผลให้เรียบร้อย

           “คุณเปลวไปทำแผลก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวในครัวแววจัดการต่อเอง” เธอออกปากไล่เจ้านายอย่างเป็นห่วง จำนวนเลือดที่ออกเองก็ไม่ใช่น้อยขนาดว่าล้างเลือดออกแล้วแต่เลือดใหม่ก็ยังคงออกมาอีก

             แต่เปลวอรุณกลับรั้นบอกว่าไม่เป็นไรดื้อจะทำอาหารต่อจนสาวเจ้าอยากร้องไห้ใส่ให้รู้แล้วรู้รอดโชคดีที่ลุงอุ่นที่เพิ่งเดินเข้ามาหลังจากไปดูคนสวนกับคนขับรถช่วยกันเอาต้นไม้ใหม่ที่เปลวอรุณซื้อมาลงดินเรียบร้อยแล้วมาเจอเข้าจึงพูดแกมบังคับให้คนอิดออดมานั่งทำแผลที่ห้องนั่งเล่นดีๆ

              บาดแผลไม่ลึกแต่เป็นทางยาวรู้สึกเจ็บมากตอนที่ลุงอุ่นเอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณรอบๆปากแผล ก่อนจะออกไปลุงอุ่นก็ยังไม่วายที่จะกำชับไม่ให้เขาหยิบจับอะไรอีกลุงอุ่นแกเลยกลัวว่าเขาจะไปหยิบนู้นจับนี้แล้วจะทำให้แผลปริแล้วเชื้อโรคจะเข้าเนื่องจากแผลยังใหม่อยู่อีกทั้งยังเป็นมือข้างที่ถนัดด้วย

             ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับคนอยู่ไม่สุขอย่างเขา...

             เปลวอรุณมองฝ่ามือที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวแล้วถอนหายใจออกมา นึกย้อยไปแล้วก็คิดหนักรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเขาเองวูบอยู่บ่อยๆอย่างตอนที่เกิดเรื่องนี้ก็เหมือนกันทั้งๆที่กำลังหันกะหล่ำปลีอยู่ดีอยู่ๆภาพตรงหน้ามันก็เบลอๆจนเกือบทรงตัวไม่อยู่มือเจ้ากรรมก็ดันเผลอปล่อยมืดให้หลุดจากมือแล้วไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ทำไมถึงได้เอามืออกไปรับและรับเอาตรงส่วนแหลมเข้าเสียด้วย

            “คิดอะไรอยู่นะเรา” เปลวอรุณพึมพำ

            แต่พออยู่นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็พลอยรู้สึกเหงาแปลกๆ เพราะนอกจากตัวเขาที่ถูกไล่ให้ออกมานั่งคนเดียวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วลุงอุ่นกับแววก็อยู่ในครัวเตรียมกับข้าวสำหรับตอนเย็น ส่วนคนขับรถก็ช่วยคนสวนเอาต้นไม้ลงอยู่ที่สวนหลังบ้าน แม่บ้านอีกสองคนลาหยุดไปต่างจังหวัด ส่วนอัมรินทร์ก็พาลูกตาลไปตะแวนหาสถานที่ติวหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงจะโทรมาบอกว่ากำลังกลับก็เถอะแต่ก็คงอีกสักพักใหญ่ๆเลยละกว่าจะกลับเข้ามา อนิรุทธ์เองก็มีประชุมประจำเดือนที่โรงเรียนตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับก็คงตอนเย็น

                เหงา...

                พอไม่มีเสียงต่อล่อต่อเถียงของอัมรินทร์กับลูกตาลที่ชอบต่อล่อต่อเถียงกันให้ได้ยินแล้วรู้สึกเหงาแปลกๆเหมือนมีบางอย่างขาดๆหายๆไปจากชีวิตประจำวัน

                “หงิง”

               แต่ขณะที่เขากำลังนั่งทำหน้าหง่อยเหงาอยู่นั้นเสียงเรียกจากอีกหนึ่งชีวิตที่ช่วงนี้มักจะชอบเดินตามติดเขาเหมือนเงาตามตัวแทบจะตลอดเวลาอย่างมณีนิลดังขึ้นพร้อมขาหน้าข้างหนึ่งวางลงที่หน้าตักของเขาคล้ายจะถามว่าเขาเจ็บหรือไม่

              เขาคลี่ยิ้มให้มันพร้อมกับตบลงที่พื้นที่ข้างๆที่ยังว่างอยู่เป็นเชิงอนุญาตให้เจ้าตัวแสบที่ทำหูลู่ขึ้นมาได้ พอขึ้นมาได้สิ่งแรงที่มณีนิลทำเลยก็คือการเอาจมูกชื้นๆของมันดมฟุดฟิดไปตามแขนและพยายามที่จะใช้จมูกดุนสี่ข้างของเขาเหมือนกำลังบอกให้เขาเบี่ยงตัวให้มันไปดมที่ข้างหลังบ้าง เขาปล่อยให้เจ้าตัวแสบทำจมูกฟุดฟิดไปตามร่างกายเขาจนพอใจก่อนที่มันจะเปลี่ยนมาเป็นเอาหัวถูไถที่หน้าท้องเขาเบาๆแล้วซบลงที่ตักอย่างที่ชอบทำ ดูเหมือนจะทำเป็นกิจวัตรเสียแล้วด้วยสิที่เวลาอยู่ด้วยกันมณีนิลมักจะชอบทำสองสิ่งนี้ก่อนเสมอ

                 เขานั่งอยู่กับมณีนิลเฉยๆไม่ได้ทำก็เริ่มการกดรีโมทไล่เปลี่ยนช่องรายกายไปเรื่อยๆดูเหมือนจะเป็นการฆ่าเวลาที่แสนน่าเบื่อหน่ายนี้ของเขาได้ เขาไล่ช่องรายการไปเรื่อยๆและหยุดลงที่ช่องหนังช่องหนึ่งที่กำลังฉายหนังเรื่องหนึ่งที่เขาชอบดูแต่เพราะเปิดมาต่อที่หลังฉายมาแล้วครึ่งเรื่องทำเขานั่งดูเพียงไม่นาหลังเรื่องที่ว่าก็จบลง ความเบื่อหน่ายเดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง

            ปลายนิ้วเรียวไล่เปลี่ยนช่องรายกายอีกครั้งก่อนจะมาหยุดที่ช่องรายการข่าวช่องหนึ่ง ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงช่องรายกายข่าวของสำนักข่าวหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่รู้เพราะอะไรทำไมเขาถึงหยุดมือลงที่ช่องนี้

             เปลวอรุณนั่งดูการรายงานข่าวของผู้ประกาศข่าวชายหญิงตรงหน้าไปสักพักก็สะดุดเข้ากับข่าวข่าวหนึ่ง

             // เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานจากพนักงานของโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิทว่าได้มีการพบศพชายต่างชาติและหญิงไทยคู่หนึ่งเสียชีวิตคาห้องพัก โดยสภาพศพพบว่าฝ่ายหญิงถูกยิงเสียชีวิตอยู่บนที่เตียงนอนภายในห้องพักของโรงแรม ส่วนฝ่ายชายนั้นยิงปืนเข้าที่ขมับตนเองเสียชีวิตอยู่ที่ปลายเตียง จากการสันนิษฐานขั้นต้นน่าจะเกิดจากการมีปากเสียงกับแล้วฝ่ายชายพลั่งมือยิงอีกฝ่ายจนเสียชีวิตและยิงตัวตายเพื่อหนีความผิด เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ระบุได้ว่าผู้ตายชื่อว่า นางสาวพิมพา สหวิมาน กับ ..... //

              พิมพา !!

              เปลวอรุณลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยดวงตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตกใจจนมณีนิลที่นอนอยู่ที่ตักสะดุ้งตกใจ  มือเรียวขาวซีดสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่ถึงแม้ตนกับแม่เลี้ยงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียเท่าไร แต่ความผูกพันในฐานะคนรู้จักกันมาย่อมมีอยู่และการมาเจอข่าวการเสียชีวิตที่น่าอนาถใจของอีกฝ่ายก็เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน

               “อุ”

              อยู่ๆอาหารที่เพิ่งกินไปเมื่อพักใหญ่เหมือนจะตีตื้นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เปลวอรุณยกมือขึ้นปิดปากแล้วรีบวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นไม่สนใจอัมรินทร์กับลูกตาลที่เพิ่งกลับเข้ามา

              อาการพะอืดพะอมทำให้เปลวอรุณแทบไม่สนใจสิ่งรอบๆตัวก้าวขาวิ่งตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับห้องครัวแล้วโก่งคอเอาสิ่งที่เขาอยู่ในท้องออกมาทันทีที่ถึงโถสุขภัณฑ์

             “อ้วกก”

              “เปลว / แม่”

              เสียงของอัมรินทร์กับลูกตาลดังตามไล่หลังอีกคนมาอย่างตื่นตระหนก  ไม่รอช้าอัมรินทร์รีบตรงเข้ามาลูบหลังหวังให้คนที่โก่งคออาเจียนขับของเก่าออกมาได้สะดวกส่วนลูกตาลวิ่งกลับเข้าไปในครัวหาน้ำมาให้ดื่มล้างคอรวมถึงนำผ้าเย็นที่แช่อยู่ติดมาด้วย

              “เปลวเป็นอะไร” อัมรินทร์ถามอย่างร้อนรน ใบหน้าของเปลวอรุณซีดลงเรื่อยๆจนน่ากลัว

              “ผมไม่ อึก เป็นไร” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่ตอนนี้เขาแสบลำคอไปหมดแล้ว

              “น้ำหน่อยครับแม่” เปลวอรุณรับแก้วน้ำที่ถูกส่งมาให้บ้วนปากไปครั้งหนึ่งไล่ความคาวขมในช่องปากก่อนจะรับอีกแก้วมาดื่ม

                “ทำไมอยู่ๆถึงอ้วกออกมาอย่างนี้” อัมรินทร์ถามเสียงเครียดลูบหน้าลูกตาให้อีกคน ลูกตาลเองก็รีบแกะผ้าเย็นออกมามาเช็ดหน้าให้เพื่อให้เปลวอรุณรู้สึกสดชื้นขึ้น

                “ผมไม่เป็นไร อึก อ้วกก”  เปลวอรุณอาเจียนออกมาอีกครั้งจากกลิ่นน้ำหอมที่อยู่ในผ้าเย็นจนเผลอปัดมันออกจากมือของลูกตาลอย่างแรงจนเด็กหนุ่มตกใจ

               หลังจากอาเจียนขย้อนเอาทั้งของเดินและน้ำย้อยในกระเพาะออกมาจนหมดร่างกายมันก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมดร้อนถึงอัมรินทร์ต้องเป็นช้อนตัวอีกคนขึ้นอุ้มแล้วพามานั่งที่ห้องนั่งเล่น  ลุงอุ่นกับแววเองที่วิ่งตามลูกตาลมาก็รีบเอายาดมมาให้พลางช่วยพัดระบายอากาศให้อยู่ข้างๆ

                   “เกิดอะไรขึ้นเปลว แล้วมือนี้” อัมรินทร์ที่ใช้ตัวต่างหมอนรองหลังให้อีกคนพิงถามขึ้นก่อนจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่มือข้างขวา

                  “ผมซุ่มซ่ามนิดหน่อยนะครับ” เจ้าตัวพูดโดยไม่ลืมตา

                 “มันไม่นิดแล้วเปลว”  อัมรินทร์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ผ้าพันแผลที่ฝ่ามือมีเลือดซึมออกมาจนเกือบชุ่ม เขาไม่เข้าใจว่าอีกคนทำไมยังใจเย็นได้ขนาดนี้แล้วนี้เป็นมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้

                “เอ๊ะ ทำไมเลือดยังไหลออกมาอีกละ” ลุงอุ่นที่เป็นคนทำแผลให้เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยในเมื่อตอนที่ทำแผลตนจำได้ดีว่าเลือดมันหยุดไหลไปแล้ว แถมมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย...

                “หรือแผลมันจะลึกกว่าที่เราเห็นจ๊ะลุง” แววตั้งข้อสงสัยตามสิ่งที่เห็น มืดที่เปลวอรุณใช้เธอเองเป็นคนรับคมมันใหม่เมื่อเช้าเป็นไปได้ไหมว่ามันจะคมจนบาดลึกกว่าที่เห็น

                “แล้วไปทำยังไงให้มันบาดได้” ลูกตาลขมวดคิ้วแน่นถามเสียงเครียดพลางมองมือเปื้อนเลือด

                “หน้ามืดนิดหน่อยนะ ไม่เป็นอะไรหรอก” เปลวอรุณยิ้มแห้ง

                 “ไปหาหมอเถอะเปลว” อัมรินทร์พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง “อาทิตย์นี้เปลววูบไปหลายรอบแล้วนะ ไปหาหมอเถอะเพื่อเป็นอะไรมากกว่านี้”

                  “แต่-“

                  “ไปเถอะค่ะคุณเปลว วูบบ่อยๆแบบนี้มันอันตรายนะคะ” แววเสริมขึ้น

                 เพื่อความสบายใจของทุกคนเปลวอรุณจึงยอมที่จะให้อัมรินทร์ขับรถพาตนไปยังโรงพยาบาลที่อย่างว่าง่าย โดยไม่ลืมที่จะถือยาดมที่ลุงอุ่นให้มาติดมือตามด้วย

                 ระหว่างทางเปลวอรุณก็เล่าเรื่องข่าวที่ตนเพิ่งได้ดูไปก่อนหน้าให้อีกคนฟัง อัมรินทร์เองก็ถึงกลับนิ่งเงียบคล้ายไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่ได้รับฟังมาเหมือนกัน แต่เพราะไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันอีกทั้งความสัมพันธ์ก็ไม่ใช่เชิงบวกเสียเท่าไรอาการเศร้าโศกจึงไม่มีปรากฏออกมาให้เห็น

 

                 ผิดกลับใครบางคน...

 

                 “ยิ้มร่าเลยนะ” เสียงทุ้มที่ออกแนวจิกกัดดังขึ้นยามมองคนที่ยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในห้องชุดขอคอนโดหรู

                 ราชันปรายตามองคนตัวใหญ่ที่กอดอกพิงกรอบประตู แม้จะไม่ชอบใจกับน้ำเสียงกระแนะกระแหนน้ำเท่าไรแต่ก็ไม่ทำให้รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปแต่อย่างใด

                ก็คนมันมีความสุขหนิเนอะ...

               “คนมีความสุขจะให้ร้องไห้หรือไง”

               วาเลนติโนส่งเสียง ‘เหอะ’ ออกมาให้กับคำพูดยอกย้อนนั้นก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นของคอนโดหรูขนาดใหญ่ ทรุดตัวนั่งลงข้างคนที่เปิดหน้านิตยาสารต่างชาติไปมาอย่างมีความสุข

              “ใช้ลูกน้องฉันอย่างกับเป็นของตัวเองแบบนี้มันน่าเก็บค่าใช้จ่ายนัก” ชายตัวใหญ่พูดพลางกดเปลี่ยนโหมดโทรทัศน์จากโหมดเครื่องเล่นเพลงเป็นรายการธรรมดา

               “ก็นายเป็นคนเคยบอกเองนี่น่าว่าใช้ได้ตามใจชอบ” ราชันย้อน

                “ก็ใช้”

              ดวงตาสีอ่อนจ้องมองรายการข่าวตรงหน้าที่กำลังเสนอข่าวข่าวหนึ่งเกี่ยวกับการฆ่ากันอันมีเหตุสันนิษฐานมาจากการมีปากเสียงกันชองชายหญิงคู่หนึ่ง

              ราชัยเปรยตาขึ้นมองก่อนยกยิ้มมุมปากชอบใจ

              “เลือดเย็นใช่เล่นนะ” คล้ายกับคำชมแต่ราชันรู้ดีว่ามันออกจะห่างไกลจากคำว่าชมเชยเป็นอย่างมาก

               แต่เขาก็ขอน้อมรับไว้แล้วกัน...

               “ ไม่ดีหรือไงที่อย่างน้อยฉันก็ช่วยจัดการไอ้ตัวหนอนอ้วนให้นายไปด้วย” วานเลนติโนกระตุกยิ้ม

               จริงอยู่ที่ผู้ชายคนที่กลายเป็นศพอยู่คู่กับพิมพาจะเป็นหนึ่งในคนที่เขาเองก็นึกสงสัยว่ามันจะเป็นคนที่คิดไม่ซื่อต่อธุรกิจของเขาแต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวร้ายข้างๆเขามันจะจัดการเก็บเรียบแบบนี้

               น่าชื้นชมเสียจริง...

               “แล้วจะเอายังไงต่อ”

               “อะไร”

               “ก็เรื่องที่ทำอยู่นี้ไง”  วาเลนติโนหยิบเอานิตยาสารในมือของราชันออกแล้วจับอีกคนให้หันหน้ามามองเขาตรงๆ

               “นายมีแผนอะไรต่อจากนี้”

                “ก็ไม่มี”

                 “แล้วนายจะบอกเรื่องที่เสี่ยงไปหามานี้กับคนที่ชื่อเปลวอรุณเมื่อไร”

                  “อีกไม่นานนี้หรอก”

                 “แล้วหลังจากนั้นละ”

                 “หลังจากนั้นทำไม” ราชันย้อนถามพร้อมหลบสาบตาที่คล้ายจะแฝงความนัยบางอย่างจากดวงตาสีอ่อนแสนดุดันคู่นั้น

                  “หลังจากที่นายเปิดโปงอัมรินทร์แล้วนายจะทำยังไงต่อ” เขาอยากรู้

                   ตั้งแต่รู้จักกับราชันมา ‘เปลวอรุณ’ ก็เหมือนเป็นชื่อที่อยู่คู่กับอีกฝ่ายมาตลอดไม่ว่าจะทำอะไรหรือคิดอะไรก็มันจะมีชื่อของคนคนนี้ออกมาเสมอ

                   เขาไม่รู้จัก ไม่เคยเจอหน้า เหมือนกับว่ามีตัวตนอยู่แค่ในความนึกคิดของอีกคนเท่านั้น...

                ความนึกคิดที่มีตัวตนอยู่จริง...

               “นายจะอยากรู้ไปทำไม” ราชันเหลือบมองคนถามด้วยหางตา

               “ก็นายเอาคนของฉันไปใช้ ฉันก็น่าจะมีสิทธิที่จะได้รู้”

                ราชันเค้นยิ้ม “แล้วไม่ใช่เพราะนายเองหรอ”

              “หมายความว่าไง”

              “อย่าลืมสิว่านายเองก็มีส่วนที่ทำให้เขาไปจากฉัน ถ้าไม่เพราะนายเปลวอรุณของฉันคงไม่ต้องไปหวังพึ่งไอ้หมอนั้น” ราชันหันกลับมาเหยียดยิ้ม ไม่สนใจมองมือหนาที่พาดยาวทางขอบโซฟาว่าจะกำกันแน่นขนาดไหน

              “แล้วถ้านายบอกไปแล้วแล้วเปลวอรุณยังเลือกที่จะอยู่กับอัมรินทร์ต่อนายจะทำยังไง” ความเป็นไปได้ข้อนี้ราชันเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน

              “ฉันเคารพการตัดสินใจของเขาเสมอ” ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ไม่ว่าเปลวอรุณจะตัดสินใจอะไรเขาก็ไม่เคยก้าวก่ายมีแต่คอยซัพพอร์ตอยู่ห่างๆ เพราะทุกการตัดสินใจของเปลวอรุณย่อมมีเหตุผลเสมอ

              “ถ้าเขาเลือกที่จะกลับมาหาฉันมันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ฉันกับเขาจะได้เคลียร์ใจกันให้จบไม่ต้องมาค้างคาแบบนี้” เขาไม่ชอบเลยที่ถูกอีกคนทำตัวห่างเหินใส่แบบนี้ และเขาก็ไม่รู้หรอกว่าความหม่นหมองในแววตาของเขาจะถูกใครจับจ้องอยู่

              แต่..

              “แต่ถ้าเขาเลือกที่จะยังอยู่กับหมอนั้นต่อ ฉันก็คงต้องยอมรับ”

              “ง่ายอย่างนั้นเลยหรอ” วาเลนติโนถามอย่างแคลงใจ เขาไม่เชื่อว่าราชันจะยอมง่ายๆ กว่าที่หาข้อมูลมาได้แต่ละขั้นแต่ละตอนไม่ใช่เรื่องง่ายถึงจะไม่ได้เป็นคนลงไปหาเองก็ตามที

              เขาไม่เชื่อ...

              วาเลนติโนหรี่ตามองอย่างจับผิด

              ราชันทำเพียงแค่คลี่ยิ้มอ่อนพลางหัวเราะเบาๆในลำคอของตนเองเหมือนอย่างที่ชอบทำเวลาโดนจับไต๋ได้

              “นั้นสินะ มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ”

              “นายคิดจะทำอะไร” วานเลนติโนถาม “บอกฉันได้ไหม” ประโยคหลังนั้นเสียงอ่อนเบาเหมือนคำร้องขอ

              คนเจ้าแผนการเปรยตามองก่อนจะตอบ

              “ถ้าเปลวอรุณเลือกกลับไปหาอัมรินทร์จริง ฉันก็ขอใช้เขาทำอะไรนิดๆหน่อยๆให้อัมรินทร์ตกใจเล่นสักหน่อยละมั่ง”

…………………………………..

             

              “แผลที่มือเท่าที่ดูก็ไม่ได้ลึกมาจนถึงต้องเย็บอะไร แต่เพราะเลือดออกเป็นจำนวนมากบอกกับอาการตามที่คุณพูดมาหมอต้องขออนุญาตนำเลือดกับปัสสาสะของคุณไปตรวจเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”  เสียงของหมอหนุ่มหน้ายิ้มคนเดิมที่เคยตรวจอาการให้กับเปลวอรุณก่อนหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจำบนใบหน้า

              บาดแผลที่มีของเปลวอรุณได้รับการตรวจและทำแผลใหม่เรียบร้อยแล้วบาดแผลไม่ลึกแต่เลือดกลับไหลออกมาเยอะไปจนผิดวิสัยผนวกกับอาการตามที่เจ้าตัวและอัมรินทร์เล่าออกมาทำให้หมอหนุ่มเลือกที่จะขอนำของเหลวในร่างกายของคนไข้ไปตรวจใหม่อีกรอบเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

            แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตรวจปัสสาวะร่วมด้วย....

              “ไม่มีครับ” อัมรินทร์ตอบขึ้นแทน ถ้าเพื่อเป็นการตรวจแล้วละก็เขาไม่ขัดอะไรทั้งนั้น

              ขอแค่เปลวอรุณหาย....ก็พอแล้ว

              “ถ้ายังเดี๋ยวเชิญพวกคุณออกไปรอที่ด้านนอกก่อนนะครับเดี๋ยวพอผลตรวจได้แล้วผมจะให้พยาบาลเรียกอีกทีนะครับ”

              เปลวอรุณกับอัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะพากันเดินออกมานั่งที่โซฟารับแขกด้านอกห้องตรวจ

              “อยากกินอะไรหน่อยไหม” อัมรินทร์หันมาถามไถ่หลัจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้อีกคนอาเจียนออกมาหมดเขามั่นใจว่าเปลวอรุณต้องหิวอยู่หน่อยๆแน่

              “ก็ดีเหมือนกันครับ”

              “ถ้าอย่างนั้นเปลวรอฉันตรงนี้ก่อนเดี๋ยวฉันลงไปซื้ออะไรมาให้”

              เปลวอรุณอิดออดคล้ายไม่อย่างให้อีกคนไป แต่เพราะความหิวหน่อยๆทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะพยักหน้าตอบกลับ

              อัมรินทร์ลุกขึ้นไปหยิบน้ำดื่มที่ทางโรงพยาบาลจัดวางไว้บริการมาให้อีกคนดื่มรองท้องก่องจะเดินออกจากแผนกตรวจไปยังโซนขายของ

              ช่วงนี้เปลวอรุณกินน้ำเยอะขึ้นกว่าปกติของที่เขาเลือกส่วนใหญ่จึงเป็นพวกน้ำผลไม้เย็นๆสองสามอย่างกับน้ำดื่มอีกหนึ่งขวด ขนมปังไส้กรอกอีกหนึ่งถุงเพราะเปลวอรุณแทบไม่แตะของหวานเลยแถมอย่างอื่นก็ดูจะหวานไปหน่อยด้วย

              อัมรินทร์เดินเลือกของอยู่สักพักก็ได้ของครบตามที่ตัวเองต้อง เขาเอาของทุกอย่างไปชำระเงินที่เคาร์เตอร์ก่อนจะเดินกลับมาหาเปลวอรุณที่นั่งอยู่ที่เดิมไปหาไปไหนเหมือนครั้งก่อน

              เขาคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา

              “หมอยังไม่เรียกอีกหรอ”

             ใบหน้าขาวที่ยังติดซีดเซียวอยู่บ้างเงยขึ้นมามองคนที่เดินกลับมาแล้วส่ายหัว

               “เอานี้ กินรองท้องหน่อย” อัมรินทร์ว่าพลางแกะถุงใส่ขนมปังออกแล้วส่งให้

               “ทำไมนานจัง” เขาบ่นพึมพำ มือก็เปิดขวดน้ำผมไม้ออกเอาหลอนใส่แล้วประคองป้อนคนที่เคี้ยวขนมปังจนแก้มตุ่ย

               ของกินหมดแล้ว แต่หมอก็ยังไม่เรียกอัมรินทร์ขมวดคิ้วคล้ายไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ต้องมานั่งรออะไรนานๆแบบนี้

               ระหว่างที่นั่งรอเขาเองก็พยายามชะเง้อมองไปยังห้องตรวจอยู่บ่อยๆ พยาบาลเองก็เดินเข้าออกห้องตรวจห้องนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ

                “คุณอัน”

                 “ครับ” เขาหันกลับมาขานรับคนเรียก

                 “ผมหิว” เปลวอรุณก้มหน้าน้อยๆเหมือนเด็ก

                 “แต่เพิ่งกินไปเองนะ” อัมรินทร์เลิกคิ้วมองคนที่บอกว่า‘หิว’ทั้งๆที่เพิ่งกินของทุกอย่างที่เขาซื้อมาคนเดียวหมดไป

                  “ก็มันหิว” เปลวอรุณตอบกลับเสียงแผ่วบีบมือข้างที่กุมมืออีกคนเบาๆคล้ายจะข้อร้องอยู่ในใจ

                  “แต่เดี๋ยวจะกลับไปกินข้าวเย็นไม่ไหวเอานะ” อัมรินทร์ตะลอม

                   “น้ำผลไม้หรือนมก็ได้ครับ” ของหนักคงไม่ได้งั้นของเป็นของเบาๆอย่างพวกน้ำแล้วกัน

                    “อ่าๆ เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้แล้วกัน” บางทีอัมรินทร์ก็รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้เปลวอรุณจะอ้อนเก่งเกินไปหรือเป็นเขาเองที่ตามใจอีกคนเสียเคยตัว ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เป็นอันต้องเออออตามน้ำกันไปตลอด

                   “นั่งรออยู่นี้นะ แต่ถ้าหมอเรียกก็เข้าไปก่อนได้เลย”

                     เปลวอรุณอมยิ้มพยักหน้า

                    เปลวอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างของอัมรินทร์ไปก็อมยิ้มไปก่อนจะหยิบเอาลูกอมรสเปรี้ยวที่แววนำมาให้ก่อนขึ้นรถมาโรงพยาบาลมาด้วยเข้าปาก

                   รสชาติเปรี้ยวทำให้เขารู้สึกตื่นและกระปรี่กระเป่าขึ้นจากเดิม

                  หลังจากนั่งไปได้สักพักหนึ่งพยาบาลสาวที่อยู่ประจำห้องตรวจนั้นก็เรียกชื่อของเขา เขาขานรับหากแต่อัมรินทร์ยังไม่กลับมาใบหน้าขาวก็ดูจะหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องตรวจอีกครั้ง

                 “ผลตรวจมาแล้วนะครับ” ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มเมื่อก่อนหน้าที่เพิ่งเจอไปหายไปจนเปลวอรุณนึกหวั่นใจในผลตรวจในมือของคนเป็นหมอ

                 “ผลไม่ค่อยดีหรอครับ” เปลวอรุณถามเสียงติดสั่น  อยู่ๆก็เหมือนจะอยากร้องไห้

                 “ก็ไม่เชิงว่าไม่ดีหรอกครับ” หมอหนุ่มยิ้มแกรน 

                 “แล้วมันเป็นอะไรหรอครับ”

                หมอหนุ่มสูดหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ

                 “จากอาการที่คุณเล่าให้ฟังก่อนหน้า วิ่งเวียนศีรษะบ่อยๆ อาเจียนบ่อยครั้งเมื่อได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ แถมอาหารบางชนิดที่ก่อนหน้าเคยกินได้ปกติแต่ตอนนี้กลับกินไม่ได้ ใช่ไหมครับ”

                   “ครับ”

                 “มันเป็นอาหารขั้นต้นของการตั้งครรภ์ ที่แต่ละคนอาจมีแตกต่างกัน”

                “เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้คุณหมอว่าอะไรนะครับ” เปลวอรุณแทรกขึ้น

                 “ยินดีด้วยนะครับ คุณกำลังตั้งครรภ์ได้สามสัปดาห์แล้วครับ” หมอหนุ่มยิ้มยินดี

                คล้ายๆโลกของเขามันหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง มือเรียวขาวยกแนบหน้าท้องแบนราบของตน ยินดีที่ได้รู้ว่าตอนนี้มีใครอีกคนกำลังอาศัยอยู่ร่วมกับเขาในร่างกายร่างนี้ ริมฝีปากที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะเม้มแน่นก็ไม่เชิงขยับไปมาคล้ายทำอะไรไม่ถูก

               อยากจะยิ้มแต่ก็อยากจะร้องไห้ด้วย...

               ยินดี แต่ก็ อธิบายไม่ถูกว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกอีกอย่างในใจ...

               “ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะครับสำหรับเรื่องนี้” หมอหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม หากแต่มุมปากที่ยกโค้งก็หุบลงเงียบๆเมื่อมองผลตรวจอีกอย่างในมือ

                 “แต่...”

________________________________________________________
สรุปว่าท้องเนอะ ไม่ได้เครียดหรือเป็นโรคกระเพาะแต่อย่างใด
ตัดฉับเอาตรงนี้หวังว่าคงไม่มีใครค้างคาใจจอะไรเนอะ

ส่วนเรื่องพิมพาก็ไม่ต้องห่วงเนอะ ต่อจากนี้นางจะไม่โผล่มารบกวนทุกคนแล้ว ต้องยกความดีความชอบนี้ให้หนูราชจริงๆ
ตอนหน้าเรามาเจอคนเห่อลูกเห่อมเมียกันอีกสักเล็นน้อยก่อนจะเข้าโค้งมาม่าน้ำข้นชามสุดท้าย

 เพิ่งได้องค์ชายอัปลักษณ์มา เลยมีความตั้งใจตั้งมั่นว่าสิไปเข้าเฝ้าองค์ชาย&เมียองค์ชายสักวันสองวัน
ถ้าหายไปเกินกว่านั้นสามารถตามไปจิดหัวได้ที่หน้าเพจเด้อ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 23- 5/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-08-2017 00:52:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 23- 5/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 05-08-2017 17:45:41
เปลวท้องแล้วก็เป็นเรื่องดีสิ แล้วจะมีแต่อะไรอีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 23- 5/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 05-08-2017 19:03:44
เปลวได้รู้ชัดเจนแล้ว แต่คุณอัมยังไม่รู้ :katai1: :katai1:
หวังว่าจะไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรนะ :ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-08-2017 21:47:49

เป็นหนี้ ครั้งที่ 24



            “แต่”

            ใบหน้าเปรี่ยมยิ้มมีความสุขของผู้ที่กำลังจะเป็นแม่ชะงักรอยยิ้มนิ่งค้าง ดวงหน้าขาวซีดที่ก้มมองหน้าท้องเงยขึ้นมองหมอเจ้าของไข้หนุ่มอย่างงุนงง นัยน์ตาที่ฉายแววทะลึ่งทะเล้นตามประสาหมออารมณ์อย่างที่เขาคุ้นเคยกลับกลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยเรื่องกังวลเคร่งเครียด  เปลวอรุณเผลอกลั่นลมหายใจมือบางที่แนบนิ่งอยู่ที่หน้าท้องเผลอกำสาบเสื้อบริเวณนั้นแน่นด้วยความรู้สึกหวั่นใจ

              สังหรณ์ไม่ดี...

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาพยายามที่จะไม่ให้เสียงที่ถามนั่นสั่น

              หมอหนุ่มเองก็เหมือนจะมีสีหน้าที่ลำบากใจอยู่อย่างเห็นได้ชัดก่อนจะตอบคำถามของคนไข้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จากการตรวจเช็คผลเลือดของคุณมาจากทั้งสองครั้งหมอพบความผิดปกติบางอย่าง”

              “ยังไงครับ”

              “เม็ดเลือดของคุณมีความผิดปกติ ตัวเม็ดเลือดขาวของคุณลดลงกว่าปกติส่วนสาเหตุที่บาดแผลของคุณเลือดไหลไม่อยู่ทั้งๆที่บาดแผลไม่ลึกก็เพราะเกล็ดเลือดของคุณลดต่ำลง” หมอเว้นวรรค “ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าเวลาป่วยมักจะเป็นอาการป่วยระยะยาวเรื้อรังใช่ไหมครับ”

              เขาพยักหน้ารับ

              “แล้วคุณเคยสังเกตตัวเองบ้างไหมครับว่าตามร่างกายของคุณอยู่ๆก็มีรอยช้ำขึ้นมาเองหรือแค่ชนอะไรนิดๆหน่อยๆก็ช้ำหนักบ้างไหมครับ”

              เปลวอรุณทำหน้านึกตามก็จะยอมรับว่าเป็นจริงอย่างที่ว่ามา

              เมื่อหลายวันก่อนเขาเดินชนขอบโต๊ะทำงานจำได้ว่าต้นขาของเขาเขียวช้ำจนน่ากลัวจนถึงวันนี้ก็ยังไม่หายถึงจะพอยุบลงมาเหลือเท่าลูกมะนาวผลเล็กแล้วก็ตาม

              “ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่จะทำใจยอมรับได้โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย” เพราะตัวของหมอเองก็ลำบากใจที่จะพูดออกมาไม่ต่างกัน

              “ผลตรวจออกมาพบว่าตอนนี้คุณเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน.....”

              อะไรนะ...

            เปลือกตาขาวกระพริบถี่ไล่ความความร้อนผ่าวที่ขอบตา ‘หมอพูดอะไร’ เขาอยากจะถามออกไปอย่างนั้นแต่คล้ายกับมันเป็นก้อนคำที่จุกอยู่กลางลำคอสกัดกั้นเสียงของเขาไม่ให้ดังลอดออกมา หูเองก็พลลอยอื้ออึงไปด้วยจนไม่ได้ยินอะไรต่อมิอะไรที่หมอหนุ่มตรงหน้ากำลังพูดออกมาให้เขาฟัง

              มันไม่เข้าหัวเขาเลยสักนิด...

              เปลวอรุณแค่นยิ้มกับตัวเองหลังได้ยินชัดกับผลตรวจที่ออกมา

             เขารู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ดีใจในตอนแรกนาทีแรกที่รู้ว่ากำลังจะได้โอบอุ้มความรักของอัมรินทร์ที่มีให้เขา เขาดีใจ มันมีความสุขจนทำอะไรไม่ถูกแต่เพียงแค่เวลาสั้นเท่านั้นที่ความรู้สึกที่เหมือนได้บินอยู่บนที่สูงถูกฉุดลงต่ำด้วยข่าวร้ายที่ทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน

             เขาเป็นมะเร็ง...

              เปลวอรุณนั่งนิ่งไม่ไหวติงคำพูดต่างๆที่ออกมาจากปากของคุณหมอหนุ่มไม่เข้าโสตประสาทเขาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายพูดจนจบแล้วถึงได้พาร่างที่เหมือนไร้วิญญาณของตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องตรวจท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของทั้งสองหมอพยาบาลที่มองตามหลังมา

              บานประตูของห้องตรวจถูกเลื่อนออกภาพแรกที่เปลวอรุณเห็นชัดที่สุดในจักษุที่พร่าเบลอก็คือภาพของผู้ชายตัวโตใบหน้าคมที่ทอดมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยกับสภาพหลุดลอยจนดูไม่ได้ของเขาในตอนนี้ส่วนมือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกที่เจ้าตัวเพิ่งไปซื้อมาให้ใหม่ตามคำขอร้องแกมออดอ้อนของเขา

             ความร้อนที่ขอบตาของคนมองเพิ่มขึ้นจนไม่อาจกั้นไว้อยู่ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกโผมือออกหาคนที่ลุกขึ้นมาหา “คุณอัน”

             อัมรินทร์ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ด้วยว่าผลตรวจที่ออกมมาเป็นไปในเชิงไหนแต่ภาพของเปลวอรุณที่เดินออกจากห้องตรวจมาในสภาพหลุดลอยขอบตาแดงๆก็พลอยทำเอาใจเขาตกลงพื้นและเขาเองก็ไม่รีรอที่จะลุกขึ้นไปสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

              ความชื้นที่อดเสื้อบอกชัดให้รู้ว่าเปลวอรุณกำลังร้องไห้ ร้องไห้ที่ไร้เสียงไร้การสะอื้น เขาไม่กล้าถามว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นเขาพาอีกคนมานั่งแล้วกอดเอาไว้แนบอกขนพยาบาลสาวที่เขาจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับคนที่อยู่ประจำในห้องตรวจที่เปลวอรุณเพิ่งเดินออกมาเอาใบนัดกับใบรับยามาให้

             อัมรินทร์ประคอบโอบคนที่ยังตาแดงๆให้เดินไปยังจุดรับยาและชำระเงิน ระหว่างที่รอเขากอดอีกคนเอาไว้แน่นไม่เอ่ยถามเพราะเข้าใจว่าเปลวอรุณยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามนั่น

              “ดื่มน้ำผลไม้หน่อยนะ” เขาพูดขึ้นพลางหยิบเอากล่องน้ำผลไม้รวมยี่ห้อโปรดที่เปลวอรุณชอบดื่มทุกเช้าขึ้นมาเจาะหลอดลงก่อนจะส่งให้อีกคนรับไป “เปลวบอกว่าหิวนิ ดื่มรองท้องไปก่อนนะ” มือหนาลูบแก้มอีกคนหวังปลอบให้สบายใจขึ้น

              อัมรินทร์นั่งมองเปลวอรุณดื่มน้ำผลไม้จนหมดกล่องก่อนจะส่งขวดน้ำเปล่าให้อีกคน อย่างน้อยยังพอกินอะไรได้เขาก็เบาใจคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมากก่อนจะลุกขึ้นไปชำระเงินที่เคาร์เตอร์เมื่อถึงหมายเลขของตน

              ยาบำรุงร่างกาย วิตามิน ยาปรับฮอร์โมนจำนวนมากถูกอธิบายวิธีการกินให้เขาฟังจากเภสัชประจำห้องยา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นมองยาจำนวนหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลของโรงพยาบาลอย่างแปลกใจ

             ตอนนี้เปลวอรุณหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบเจ้าตัวไม่พูดไม่จาอะไรจนถึงบ้าน ลุงอุ่นแววและก็ลูกตาลที่ออกมาชะเง้อคอยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านรีบตรงเข้ามาถามไถ่ทันทีที่พวกเขาลงจากรถยนต์ แต่พอเห็นว่าเปลวอรุณไม่ยอมพูดอะไรออกมาซ้ำยังก้มหน้าลงต่ำก็ยิ่งพากันวิตกกันมาไปกว่าเดิม

             ลุงอุ่นเหลือบสายตามองมาทางอัมรินทร์อยากต้องการรู้แต่เขาก็ไม่รู้จึงได้ส่ายหน้ากลับแล้วพาขึ้นไปด้านบน

             มณีนิลที่ครางหงิงในลำคอมองทุกคนมาตั้งแต่แรกพอเห็นว่าพ่อของมันกำลังพาแม่ขึ้นไปด้านบนบ้านมันก็รีบวิ่งตามขึ้นมาทันทีหวังจะมาดูคนที่เป็นห่วง แต่พอมาถึงหน้าห้องก็ถูกอัมรินทร์ส่ายหัวห้ามให้ตามเข้ามาด้านในมันจึงทำจมูกฟุดฟิดอยู่ที่หน้าประตูเดินวนอยู่รอบหนึ่งแล้วนอนขดตัวเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องแทน

               อัมรินทร์พาอีกคนมานั่งลงที่เตียงแล้วถามขึ้น “หิวไหม จะกินข้าวเลยหรือเปล่า”

              เปลวอรุณยังคงก้มหน้านิ่ง

             “เปลวบ่นหิวแล้วนี่เนอะ เดี๋ยวฉันลงไปยกขึ้นมาให้เลยแล้วกันเปลวจะได้กินยา” อัมรินทร์ยิ้มบางๆแต่บีบมืออีกคนแน่น

              “ผมยังไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น” ประโยคแรกหลังจากเงียบมานานดังออกมาแม้จะยังสั่นๆอยู่บ้างก็ตาม

              “ทำไมละ เดี๋ยวฉันเอาของฉันขึ้นมาด้วยเรานั่งกินด้วยกันข้างบนนี้ก็ได้นะ” เขาคิดว่าอีกคนคงยังไม่อยากนั่งกินคนเดียว

                แต่พอจะหันกายไปทางประตูชายเสื้อของก็ถูกรั้งเอาไว้ “อยู่กับผมก่อนได้ไหม”

               อัมรินทร์คลี่ยิ้มแล้วคุกเข่านั่งลงนั่งทับลงบนส้นเท้าตัวเองตรงหน้าอีกคน “ได้สิ เปลวอยากให้ฉันทำอะไรฉันทำให้ได้หมดนั้นแหละ” ตบมือเบาๆเหนือหลังมือขาวที่จับมืออีกข้างของเขาแน่น

               “คุณอัน”

               “ครับ”

               “ผม”

                 อัมรินทร์นั่งเงียบรอมองเปลวอรุณที่นั่งก้มหน้าบีบมือเขาแน่น

              “ผมท้อง”

                “...”

               “หมอบอกว่าผมท้องได้สามสัปดาห์ละ-“

หมับ

              ไม่ใช่ว่าตั้งตัวได้แล้วคว้าอีกคนมากอดแต่น่าจะเป็นปฏิกิริยาการแสดงออกเองโดยอัตโนมัติเพราะยังไม่ทันที่เปลวอรุณจะพูดจบดีอัมรินทร์ก็ยกตัวขึ้นกอดอีกคนเอาไว้แน่น ม่านตาของเขาขยายกว้างกับข่าวดีที่ได้รับ รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้างและนิ่งค้างคล้ายทำอะไรไม่ถูก

              “มันเป็นข่าวดี ดีมากๆเลยเปลว ฮ่ะฮ่ะ” อัมรินทร์พูดตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะเกรนๆอย่างคนที่ยังทำอะไรไม่ถูกกับความดีใจตรงหน

              เขามีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาทำอะไรไม่ถูกสิ่งเดียวที่รู้คือความสุขที่ทำให้หัวใจพองโตจนคับอก

              เขากำลังจะได้เป็นพ่อคน...

              อัมรินทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อตะหนักถึงข้อสำคัญข้อนี้ได้ เด็กคนนี้ ลูกของเขากับเปลวอรุณ

              ความดีใจของอัมรินทร์ทำให้เปลวอรุณยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมมือขาวยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นจนตัวสั่นโยก อัมรินทร์กำลังมีความสุขเขาไม่กล้า ไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป เพราะถ้าพูดอัมรินทร์จะเสียใจเหมือนอย่างเขา

              เขาไม่กล้าทำลายความสุขของอีกคนในตอนนี้

              แผ่นอกบางสะท้านขึ้นลงหนักจนผิดสังเกต อัมรินทร์ที่อยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความสุขผละเสี้ยวหน้าด้านข้างของตนที่แนบอยู่กับแผ่นอกนั่นออก

              “เปลวร้องไห้ทำไม” ลูกโปร่งในใจแฟบลงทันตาเมื่อเห็นอีกคนร้องไห้

ความกลัวเริ่มกัดกินใจของเขา สมองพลอยนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลตอนที่คนตัวขาวเดินออกมาจากห้องตรวจ

            หรือเปลวอรุณไม่ยินดีที่มีลูกกับเขา..

              “เปลวไม่ดีใจหรอที่เรากำลังจะมีลูกกัน” เขาแค่นถามเสียงสั่นยกมือประคองสองข้างแก้มแล้วเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย

              เปลวอรุณส่ายหน้าหวือ  ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่ดีใจมากมากเลยต่างหาก..

               “ผมดีใจครับคุณอัน ฮึก ดีใจมาก” เจ้าตัวตอบเสียงสั่นสะอื้น

              “แล้วทำไม” อัมรินทร์ถาม “แล้วเปลวร้องไห้ทำไมครับ” ใจเขาไม่แกร่งกล้า แค่คิดว่าอีกคนไม่ยินดีกับความสุขที่กำลังจะเกิดมันก็เหมือนจะหยุดลงเอาดื้อๆ

              “ผมดีใจครับคุณอัน ฮึก ผมดีใจมากที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน” ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นทาบมือคู่หนาของอีกคนด้วยรอยยิ้ม “ เขาเป็นลูกของเราทำไมผมจะไม่ดีใจละ ฮึก แต่.” เปลวอรุณเม้มปากแน่นอย่างกลั้นอารมณ์ “หมอบอกว่าร่างกายของผมไม่แข็งแรง ผมกลัวเจ้าตัวเล็กจะไม่แข็งแรงเท่านั้นแหละครับ” เขาคลี่ยิ้ม

              สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเลี่ยงไม่พูดมันออกไปตรงๆว่าเขาเป็นอะไรกันแน่

              “อย่างนั่นหรอ”

              “ใช่แล้วละ”

              อย่างนี้อาจดีกว่า...

              ถ้าเพื่อลูกกับอัมรินทร์แล้วละก็ตัวเขาเองก็ไม่เป็นอะไรหรอก...

              เปลวอรุณไม่รอให้อัมรินทร์ถามอะไรเขาต่อ ร่างขาวบนเตียงก็โค้งตัวมาข้างหน้าแล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้

              “เรากำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับมีคุณมีผมมีลูกเราจะมีกันและกัน ชีวิตของลูกที่กำลังจะเกิดมากับชีวิตของผมที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ขอฝากไว้ที่คุณนะครับ”

                “ได้สิเปลว ฉันจะดูแลเปลวกับลูกให้ดีที่สุดฉันสัญญาเปลว”  อัมรินทร์กอดตอบอีกคนแน่นแทนคำมั่นสัญญา

                ฝากลูกด้วยนะครับ...

 

             
   :o12:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-08-2017 21:48:24


:o12:




 แน่นอนว่าข่าวคราวของอีกหนึ่งชีวิตตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกในอีกเก้าเดือนข้างหน้าถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของทุกคนในบ้าน

                 ด้านลุงอุ่นกับแววที่ชะเง้อคอรออยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่หน้าบันไดเมื่อเห็นอัมรินทร์เดินทอดน่องลงบันไดมาด้วยใบหน้าเบิกบานมีความสุขก็รีบพุ่งตัวเกาะแขนเจ้านายหนุ่มกันคนข้างทันทีที่เมื่อชายหนุ่มเดินลงมาจากบันได

                 “คุณอันค่ะ คุณเปลวเป็นหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงร้อนรนของแววเรียกรอยยิ้มของคนถูกถามได้ดี

                “นั้นสิครับ แล้วทำไมคุณเปลวถึงไม่ลงมาด้วยละครับ” ลุงอุ่นชะเง้อคอขึ้นไปทางบันได แววตาของคนมีอายุแสดงออกมาว่าเป็นห่วงคนที่พูดถึงอยู่มาก

                  อัมรินทร์ไม่ตอบเอาแต่อมยิ้มไม่พูดไม่จา จนลูกตาลที่เดินออกมาจากห้องนั่งเล่นพร้อมอนิรุทธิ์ต้องกอดอกขมวดคิ้วอย่างคาดคั้น

                “แม่ผมเป็นอะไรลุง” เด็กหนุ่มพูดเสียงกึ่งร้อนใจกึ่งไม่พอใจในท่าทียียวนของคนตรงหน้า

                แต่อัมรินทร์กลับเลือกที่จะไม่ตอบแล้วหันไปถามอีกคนแทน “กลับมาเมื่อไรเนี้ยไอ้รุทธิ์”

                “เพิ่งมาถึงได้สักพัก” อนิรุทธิ์ตอบหน้าเคร่ง

              เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายแก่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับใครอีกคนที่อยู่ด้านบนแต่เพราะทั้งเปลวอรุณและอัมรินทร์ไม่มีใครปริปากถึงผลลัพธ์ที่ได้จากกว่าตรวจก็พลอยทำให้ทุกคนในบ้านร้อนใจไปตามๆกันร่วมถึงเขาด้วย  แล้วดูไอ้น้องชายของเขาสิ

                อัมรินทร์พยักหน้าเข้าใจ อีกฝ่ายถอดเสื้อสูทตัวนอกออกแล้วทั้งยังพับแขนเสื้อถึงมาถึงศอกพร้อมปลดกระดุมและเนคไทออกระบายความร้อนเดาว่าคงกลับมาไล่เลี่ยกับช่วงที่พวกเขากลับมาจากโรงพยาบาลเป็นแน่

                “แล้วนี้เปลวเป็นยังไงบ้าง เห็นตาลบอกว่าไปโรงพยาบาลกันมา” เมียไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไงทำไมยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้อีก อนิรุทธิ์บ่นอุบอยู่ในใจ

              แต่ยิ่งมีคนถามถึงเรื่องนี้มากเท่าไรอัมรินทร์ก็ยิ่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจในคำตอบที่กำลังจะประกาศให้ทุกคนในบ้านรับรู้

               “อย่างเอาแต่ยิ้มสิลุง แม่ผมเป็นอะไร” ท่าทียียวนอั้มๆอึ้งๆไม่ยอมตอบให้ตรงคำถามเสียทีดุจะเป็นอะไรที่ขัดอารมณ์เด็กหนุ่มเป็นที่สุด

              เด็กวัยรุ่นมักจะเลือดร้อนใจร้อนเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา อัมรินทร์คิดในใจและไม่ถือโทษเมื่อเด็กหนุ่มเดินมาผลักหัวไหล่เขาอย่างแรง

            “ได้สิ แต่ต่อจากนี้ไปนายต้องเรียกฉันว่า‘พ่ออัน’นะไอ้หนู” อัมรินทร์ยกยิ้มมุมปากพาดท่อนแขนลงรอบคอเด็กหนุ่ม

             “หมายความว่าไง ทำไมผมต้องเรียกด้วย”  ลูกตาลมองตามขวางถามเสียงเขียว

               มันใช่เวลามามัวเล่นอยู่ไหม...

              ไอ้เรื่องที่อัมรินทร์พยายามกรอกหนูโน้มน้าวเด็กหนุ่มวัยสิบแปดให้เรียกตนว่า‘พ่อ’นั่นถือเป็นเรื่องที่ทุกคนในบ้านรู้กันดีอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือทำไมอัมรินทร์ถึงพูดเรื่องขึ้นมาในเวลานี้

              “นั้นก็เพราะว่าต่อจากนี้เวลาที่น้องของนายได้ยินนายฉันว่าลุงเนี้ยมันจะเกิดความสับสนเอาได้” อัมรินทร์พูดอย่างใจเย็น แต่กลับสร้างความแปลกใจให้กับคนฟังที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกได้อย่างมาก

             “เดี๋ยวนะ น้องหรอ” ลูกตาลผลักท่อนแขนนั้นออก หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่ย

             “ใช่”

             แต่คนที่ดูเหมือนจะตีความคำพูดของอัมรินทร์ได้ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด “อย่าบอกนะครับ” ลุงอุ่นมีสีหน้าที่ดูตื่นเต้นผิดกลับคนอื่นที่ยังคงอยู่ในช่วงสับสน

              “ใช่แล้วครับลุง” อัมรินทร์ยิ้มกว้าง “เปลวท้องครับ” และตอบมันออกมาอย่างภูมิใจและเปรี่ยมสุข

               แววยกมือขึ้นปิดปากทำตาโตก่อนจะหันไปยิ้มกับคนมีอายุ อนิรุทธิ์กับลูกตาลมองหน้ากันอย่างตกใจก่อนจะเป็นเด็กหนุ่มที่พรวดพราดวิ่งขึ้นบันไดบ้านไปดื้อๆ

               อัมรินทร์มองตามหลังแล้วก็ยิ้มขัน หน้าตาของลูกตาลตอนรู้เรื่องมันทั้งเหวอทั้งอึ้งจนอยากบกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกรู้เอาไว้ล้อเลียนเล่นวันหลังมาก แต่คงไม่ทันที่น่าจะยังทันอยู่เห็นทีคงจะเป็นอนิรุทธิ์ที่ยังไงยืนนิ่งอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น

              เดี๋ยวลุงอุ่นตักข้าวกับกับมาให้ผมด้วยนะครับเดี๋ยวผมจะยกขึ้นไปให้เปลวที่ด้านบนเอง”

             “แล้วคุณอันจะรับด้วยไหมครับ” ลุงอุ่นถามพร้อมรอยยิ้ม

             “ครับ เดี๋ยวผมขึ้นไปกินเป็นเพื่อนเปลวที่ข้างบน”

             สองลุงกับหญิงสาวรีบพากับเดินไปยังห้องครับด้วยรอยยิ้ม ทีนี้ก็เหลือเพียงสองพี่น้องที่ยังอยู่ที่เดิม อัมรินทร์ยกมือตบไหล่ญาติผู้พี่ของตนที่หนึ่งเพื่อเรียกสติ

             อนิรุทธิ์สะดุ้ง

             “อะไรกันวะแค่จะเป็นลุงแค่นี้ถึงกับเอ๋อเลยหรอ” อัมรินทร์ล้อเลียนขำขัน

             “ไม่ใช่เว้ย” เจ้าตัวปฏิเสธหน้าแดงอายๆ

             อัมรินทร์ยิ้มกรุ่มกริ่ม แล้วเดินไปนั่งรอสำรับอาหารที่ห้องทานอาหารแทน

              อนิรุทธิ์เดินตามญาติผู้น้องของตนเข้ามาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นั่งของตนเองที่ฝั่งตรงข้างกับอีกคน

              “มีความสุขเชียวนะมึง”

              “แน่นอน” เจ้าตัวตอบเสียงระรื่น

                “แล้วบอกคุณลุงกับคุณป้าแล้วหรือยัง”

              “ยังเลย”

              “ทำไมยัง มึงโทรบอกเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้อัน” อนิรุทธิ์ขึ้นเสียง

               เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่บอกคงไม่ได้แล้ว...

               “เออน่า กูรออยู่”

                 “ห๊ะ”

              อนิรุทธิ์ทำหน้าฉงนมองน้องชายที่ห่างกันไม่กี่เดือนอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะได้คำตอบจากปากคนเจ้าเล่ห์เสียงโทรศัพท์ของอัมรินทร์ก็ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากอย่างที่เจ้าตัวชอบทำก่อนจะกดรับแล้วเปิดสปริงโฟนให้อีกคนได้ยินพร้อมย้ายที่นั่งมานั่งฝั่งเดี๋ยวกับอนิรุทธิ์เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพพวกเขาสองคนให้คนที่อยู่ไกลกว่าอีกซีกโลกได้เห็น

              //หมายความว่ายังไงที่ว่าให้‘รีบกลับมาอุ้มหลาน’นะหะ// เสียงทุ้มทรงอำนาจกับใบหน้าที่คล้ายกับอัมรินทร์อย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันแม้ริ้วรอยแห่งวัยจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้ากับเส้นผมสีดอกเลาของคนที่พวกเขาคุ้นเคยที่ปรากฏขึ้นในหน้าจอสีเหลี่ยมโดยไร้คำทักทายอย่างคิดถึง

              “อะไรกันพ่อ นี้ไม่คิดจะทักทายลูกชายตัวเองดีๆหน่อยหรือไง” อัมรินทร์ยิ้มร่า

              // อย่ามาทำเป็นยิ้มไอ้อัน พ่อถามว่าที่แกส่งมาให้มันหมายความว่ายังไง // สุริยะ แค่นเสียงถามลูกชายตัวดีที่ส่งข้อความมาหาเมื่อไม่ถึงสิบนทีที่แล้วอย่างเอาเรื่อง

              // คุณถามลูกดีๆสิค่ะ // น้ำเสียงอ่อนหวานคนใครอีกคนที่ไม่ปรากฏภาพดังขึ้นปรามๆ  // ตาอัน ตารุทธิ์ สบายดีกันไหมจ๊ะ // ภาพตรงหน้าถูกเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงดูมีอายุผมสีอ่อนดัดลอนคลายๆช่วยเสริมให้ใบหน้าหวานดูใจดีมากยิ่งขึ้นไหนจะน้ำเสียงอบอุ่นที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไรก็ทำให้สองหนุ่มที่กำลังโดนแค่นคอยิ้มกว้างได้เสมอ

              “สบายดีครับ” ทั้งคู่พร้อมเสียงกันพูดตอบคุณนายนภานายหญิงของบ้าน

             // คุณอย่างเพิ่งแทรกสิ // สุริยะบ่นงึม แล้วขยับกล้องให้ให้ลูกกับหลานสามารถเห็นพวกเขาทั้งสองได้ถนัด

               // เอา ตอบคำถามฉันมาได้แล้วไอ้อัน // สุริยะถามเค้น

               “ก็หมายความตามนั่นนั้นแหละครับ” อัมรินทร์ยิ้มกว้าง

                // นี้แกไปทำใครที่ไหนท้องหะ // ท่านประธานใหญ่ขึ้นเสียงถลึงตามองลูกชายเขม่ง

              // มันเกิดอะไรขึ้นกันจ๊ะตาอัน //นภาเองก็รีบถาม

              “พ่อกับแม่ฟังนะครับ ตอนนี้เปลวกำลังท้องครับ ท้องลูกของผม”

              สองผู้ใหญ่จากแดนไกลนิ่งเงียบหันมามองหน้ากัน นภายกมือทาบอกด้วยรอยยิ้ม

              สุริยะทำหน้านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่าใครก่อนจะถามออกไปเพื่อความแน่ใจ // เปลว เปลวอรุณผู้ช่วยของนิรันดร์ที่ฉันส่งให้ไปเป็นเลขาแกนั่นใช่ไหม //

               “ครับ” อัมรินทร์ก็ยืดอกยอมรับอย่างไม่อาย

               สุริยะอ้าปากค้างก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ

               ให้มันได้อย่างนี้สิ...

               ไม่ใช่ว่าตนดูไม่ออกว่าลูกชายคิดอะไรกับเลขาของตัวเอง ไอ้นิสัยเจ้าชู้ประตูดินของพ่อลูกชายคนเดียวของตนทำไมคนเป็นพ่อจะไม่รู้ แต่ที่คิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ก็เพราะอีกฝ่ายคือเปลวอรุณ เปลวอรุณที่เรียบเฉยไม่สนใจอะไรนอกจากงานตรงหน้าใครจะไปคิดกันละว่าอีกฝ่ายจะตกหลุมพรางของลูกชายตัวดีเข้าจนได้ แถมมันก็ผ่านมาสามปีแล้วด้วยเขาก็คิดว่าอัมรินทร์มันจะลามือจากเปลวอรุณไปแล้วแท้ๆ

              นี้เขาปล่อยข้าวสุกไว้กับหมางั้นหรอ....
               
               แน่นอนว่าหมาที่ว่ามันก็คือลูกชายของเขาเองนี้แหละ

              // เรื่องเป็นไงมาไงกันแน่ไอ้อัน เรื่องของแกกับหนูเปลว // คนเป็นพ่อดึงสติตนเองกลับมาก่อนจะเริ่มถามอย่างจริงจัง
 
             “เรารักกันครับ” สั่นๆแต่ได้ใจความชันเจน

             ถึงเปลวอรุณจะยังไม่เคยพูดว่ารักเขา แต่เขาเชื่อว่าเปลวอรุณเองก็รู้สึกไม่ต่างจากที่ตนรู้สึกเหมือนกัน...

             // ไม่ใช่ว่าแกไปบังคับเขาหรอกนะ // เขาละหวั่นใจเหลือเกิน กลัวลูกชายเขาจะไปรวบหัวรวบหางลูกคนอื่นเขา

              “ไม่ครับ” อัมรินทร์ตอบหนักแน่น “ถ้าผมคิดจะทำอย่างนั้นจริงผมคงไม่รอเปลวมาถึงสามปีหรอกครับ”

             นภายิ้มกว้างกับคำตอบของลูกชาย

            // แล้วตอนนี้หนูเปลวอยู่ไหนจ๊ะตาอัน // คนเป็นแม่ถามขึ้น

            “อยู่ข้างบนครับ คุณนิลกับลูกตาลดูแลอยู่”

             //ใครคือลูกตาล// สุริยะแทรกขึ้นเมื่อสะดุดกับชื่อที่ไม่คุ้นหู

              “ลูกชายบุญธรรมที่เปลวรับมาครับ” เขาเฉย

             คนฟังพยักหน้า

            //นี้แกถึงขั้นมาเขามาอยู่เลยงั้นหรอ// สุริยะหรี่ตามองลูกชายคล้ายจะจับผิด //จริงจังสินะคนนี้//

            “ครับพ่อ”

           สุริยะจ้องมองลูกชายตัวเองนิ่ง น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังนั้นไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่เพราะเห็นนี้ละถึงทำให้เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ // รับผิดชอบลูกเขาให้ดีๆแล้วกัน // คล้ายกับว่าบิดาของเขายอมรับกลายๆทำให้อัมรินทร์ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวก่อนจะสะดุดลงที่ท้ายประโยค //เดี๋ยวฉันกลับไปค่อยคุยกัน แกด้วยไอ้รุทธิ์ // คนโดนพาดพิงยิ้มแห้ง ก่อนที่ชายร่างภูมิฐานจะลุกออกจากโซฟาที่นั่งอยู่เมื่อครู่ไปพร้อมเสียงบ่นพึมพำที่พอจับใจความได้ว่า ‘ไม่รู้จักเตือนกัน’ให้คนที่โดนหางเร่ได้ด้วยเหงื่อตก

              อีกหนึ่งที่ยังไม่ลุกไปไหนยกมือขึ้นปิดปากยามยิ้มขบขันคู่ชีวิตก่อนจะหันมาหาลูกและหลานชายอีกครั้ง // ตาอัน ตารุทธิ์ //

              “ครับ” ทั้งคู่ขานรับ

              // แม่อยากเห็นหน้าหนูเปลวจังเลย //

              “เปลวอยู่บนห้องครับแม่ เดี๋ยวถ่ายเป็นภาพนิ่งไปให้แทนนะครับ”

              // จ๊ะ // นภาพยักหน้า // แล้วพากันไปโรงพยาบาลมาหรอถึงได้รู้ว่าหนูเปลวท้อง//  เธอถามต่อ

              “ครับ วันนี้เพิ่งพาไปแต่ผมไม่ได้เข้าไปฟังด้วย แต่เปลวบอกว่าตอนนี้ท้องได้สามสัปดาห์แล้ว”

              // อย่างนั้นหรอจ๊ะ แล้วมีอะไรอีกไหม // นภาดูตื่นเต้นกับคำบอกเล่าของลูกอย่างอยู่มากทีเดียว

              รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่ของอัมรินทร์ลดแคบลงจนทั้งอนิรุทธิ์และนภาจับสังเกตได้

              “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์จับไหล่

              “หมอบอกว่าร่างกายเปลวไม่ค่อยแข็งแรง เปลวเลยเป็นกังวลเรื่องลูกกลัวลูกไม่แข็งแรง” มือที่ประสานกันอยู่บีบกันแน่น อนิรุทธิ์ตบไหล่น้องชายให้กำลังใจ

              // ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษเลยนะจ๊ะ // นภาพูดเสียงอ่อนเข้าใจความกังวลของลูกชายและลูกสะใภ้ //ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้วปัจจัยเสี่ยงก็ยิ่งเยอะด้วยนะ// ไม่ใช่ว่าจะพูดให้ลูกชายคิดมาก แต่เพราะคนรู้จักที่เป็นผู้ชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ของเธอก็พอมีอยู่บ้างอย่างเช่นคุณแม่ของเธอเองก็เช่นกัน

              //อันต้องดูแลหนูเปลวดีๆนะ ช่วงนี้พยายามอย่างให้หนูเปลวยกของหนักอย่างเครียดด้วยจะเป็นดี อาหารการกินก็ยิ่งสำคัญแต่มีลุงอุ่นอยู่ด้วยแม่ก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไรมีอะไรก็ถามลุงเขาได้เลยนะลูก// เธอว่า

              ลุงอุ่นอยู่บ้านหลังนี้มานาน ตอนที่เธอท้องอัมรินทร์ก็ได้ลุงอุ่นนี้แหละคอยดูแลไม่เคยขาด อาจเพราะอีกคนไม่มีภรรยาไม่มีลูกเป็นของตัวเองนี้แหละจึงทำให้ลุงอุ่นแกเอ็นดูทั้งอัมรินทร์และอนิรุทธิ์เป็นพิเศษจำได้ว่าพอรู้ว่าเธอท้องหนังสือมากมายเกี่ยวกับการดูแลแม่และเด็กก็ได้ลุงอุ่นนี้แหละไปขนมาให้เธอ

               “ครับแม่”

              //แล้วนี้พ่อกับแม่หนูเปลวเขารู้หรือเปล่าว่าเราเอาลูกเอาหลานเขามากกไว้ที่บ้าน//

              “เปลวไม่มีพ่อกับแม่แล้วครับ”

              // ตายจริง ขอโทษทีนะจ๊ะ // เธอทาบอกกล่าวขอโทษ ดีนะที่ไม่ได้พูดต่อหน้าเจ้าตัวให้รู้สึกไม่ดี

              อัมรินทร์ส่ายหน้ายิ้มๆ

              // ว่าแต่เราละตารุทธิ์ เมื่อไรจะมีหลานมาให้ป้าอุ้มบ้าง //

              “อีกนานครับป้าฟ้า” คนถูกถามส่ายหน้าโบกมือปัก

              “ไม่จริงครับแม่ ไอ้รุทธิ์มันตอแหล” อัมรินทร์รีบผลักพี่ชายตัวเองออกแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าจอจนอีกคนร้องเสียงหลงเกือบตกเก้าอี้

              // เอ หมายความว่ายังไงกันแน่จ๊ะ  //

              “ตอนนี้ไอ้รุทธิ์มันคุยกับผู้หญิงอยู่คนครับแม่” ได้ที่ขี้แพะไล่ อัมรินทร์ขยับหัวหนีมือของอนิรุทธิ์ที่พุ่งมาหมายจะปิดปากตน

              // ใครกันเอ๋ย // นภามองภาพเด็กตัวโตสองคนเล่นกันก็พลอยทำให้นึกถึงวันวานเก่าๆสมัยที่หนุ่มๆตรงหน้าของเธอยังเป็นแค่เด็กชายตัวน้อยที่พอมีเรื่องอะไรก็มักจะชอบแยกกันพูดแย่งกันเล่าให้เธอฟัง บางครั้งคนหนึ่งก็วิ่งมาฟ้องส่วนอีกคนก็วิ่งมาห้ามเหมือนอย่างตอนนี้

              “ลิลดาครับแม่”

              “ไอ้อัน! มันไม่ใช่เว้ย” คนปฏิเสธหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย

              // ลิลดา ?//

              “เพื่อนสมัยเรียกที่วิทยาลัยของผมไงครับตอนนี้เธอเป็นนักออกแบบเครื่องประดับอยู่ พอดีโปรเจคใหม่ที่บริษัทกำลังทำทำร่วมกับเธอพอดี”  อัมรินทร์รีบยืนหน้าออกมาพูดทันทีเมื่อเบี่ยงหลบมือของอีกคนที่ยกมาปิดปากตัวเองได้

              // อย่างนั้นเองหรอ ทำไมรุทธิ์ไม่เห็นบอกป้าเลยละจ๊ะว่ามีแฟนแล้ว //

              “ยังไม่ใช่แฟนครับป้าฟ้า แค่คุยกันเฉยๆ”  อนิรุทธิ์ปฏิเสธก่อนจะพูดเสียงเบาที่ท้ายประโยคเรียกเสียงหัวเราะจากสองแม่ลูกนี้ได้ดี

              // ถ้างั้นรุทธิ์เล่าให้ป้าฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ //

              น้ำเสียงหวานอ่อนโยนที่ไม่ว่าจะได้ยินเหมือนไรก็พลอยทำให้สองพี่น้องรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆอีกครั้ง และเพราะนานๆจะได้คุยกันทีเรื่องเล่ามันก็เลยเยอะตามไปด้วยกว่าจะคุยกันเสร็จลุงอุ่นก็ต้องให้แววเอาอาหารเย็นไปอุ่นใหม่อีกรอบนั่นแหละครอบครัวของเจ้านายจึงจะเอ่ยปากล่ำลากันได้



____________________________________________


ความซีรี่ย์เกาหลีก็มา 555
ถ้าใครสังเกตดีๆจะพบว่าเปลวของเรามีอาการมาสักระยะแล้ว แต่เพราะไม่ได้ตรวจจริงๆจังๆเลยไม่เจอ

เอาละสิทีนี้ ไหนจะเรื่องของราชัน ไหนจะเรื่องของอันอันที่กำลังจะโดนแฉ ไหนจะเบบี้น้อยกับโรคร้ายของเปลว
จะเคลียร์อันไหนก่อนดีเนี้ย
 :serius2:


นิยายเรื่องนี้จบแฮปปี้นะเธอ
ขอขอบคุณ http://haamor.com/th ที่ช่วยในเรื่องข้อมูลนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-08-2017 22:22:05
สงสารเปลวจังเลย ร่างกายก็อ่อนแอ แถวเดียวราชันต้องก่อเรื่องอีกแน่ๆ เปลวจะไหวไหม? :ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-08-2017 22:37:54
 :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-08-2017 22:59:08
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 08-08-2017 23:05:46
ขอให้ อาการของเปลว รักษาได้ด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 08-08-2017 23:16:45
สงสารเปลวมีแต่เรื่องหนักๆทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 08-08-2017 23:17:04
จะมีมาม่าไหมเนี้ยะ  :serius2: ไม่อยากกินมาม่า...... :ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 08-08-2017 23:38:54
เดี๋ยวนะ เดี๋ยวววววววว พอเดาได่ว่าเปลวน่าจะป่วย แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 24- 8/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-08-2017 23:40:52
ดีใจแต่ไม่สุดนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 25- 12/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 12-08-2017 21:43:34

เป็นหนี้ ครั้งที่ 26



             เสียงลงเท้าหนักตามจังหวะการก้าววิ่งขึ้นบันไดและตามทางเดินจนเกิดเป็นเสียงดังตึงตั้งก่อนร่างสูงโปร่งสมส่วนของเจ้าตัวจะหยุดหอบหายใจอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องนอนของตน

            ลูกตาลกำมือแน่นเตรียมที่จะยกขึ้นเคาะบอกคนในห้องว่ามีคนมาหาแต่ก็ชะงักค้างเอาไว้กลางอากาศแล้วลดมือลง ทำแบบนี้อยู่ก็หลายครั้งด้วยสีหน้าคล้ายสับสนเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวบึ้งตึงกว่าจะทำอารมณ์ให้นิ่งแล้วเคาะประตูออกไป


ก๊อก ก๊อก

              แล้วก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอให้คนในห้องอนุญาต

              “แม่เปลว”  เสียงเด็กหนุ่มดังเบาเหมือนกระซิบเรียก

              ใบหน้าคมเข้มชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังประตูสีเปลือกสนมาเพียงส่วนหัวหันซ้ายหันขวามองหาคนที่น่าจะอยู่บนห้อง  เปลวอรุณละสายตาจากโน้ตบุ๊กสีสะอาดตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่มองหาตนแล้วคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเจอเขานั่งเหยียดขาอยู่บนที่นอนข้างๆก็มีมณีนิลนอนชูคอขึ้นมองอยู่ข้างเตียงเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็หมอบลงเหมือนเดิม

              “มีอะไรหรือเปล่าตาล” เปลวอรุณพับหน้าจอลงพลางเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในห้อง

              “แม่ทำอะไรอยู่ฮะ” ลูกตาลถามนั่งทับขาข้างหนึ่งที่ขอบเตียง

              “หาอะไรดูไปทั่วนั่นแหละ” คนถูกถามตอบหน้าเจื่อน “แล้วตาลขึ้นมาทำไม กินข้าวแล้วหรอ” ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม

              “ยังครับ”เรียวปากบางเม้มแน่น

              สีหน้าปั้นยากของเด็กหนุ่มทำเอาคนมองรู้สึกไม่ค่อยดี มือเรียวขาวเตรียมที่จะยกขึ้นหมายจะแตะเข้าที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มหากแต่ลูกตาลกลับขยับตัวเข้ามาใกล้คว้าหมอนหนุนที่วางอยู่ที่หน้าตักของเปลวอรุณขึ้นมากอดแล้วทาบฝ่ามือของตนเองลงกับหน้าท้องแบนแทน

              แค่ทาบสัมผัสเบาๆแค่เพียงผิวเผินแล้วรีบชักมือกลับเหมือนกลัวว่าจะทำให้อีกคนที่อยู่ข้างในเจ็บ

                 รอยยิ้มกว้างๆที่อีกคนอยากทำแต่กลับพยายามที่จะเก็บอมมันเอาไว้จนแก้มสีแทนป้องลมขึ้นสีระเรื่อ เปลวอรุณยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะเป็นคนขี้อายได้ขนาดนี้

                 เมื่อรู้แล้วว่าความต้องการของเด็กหนุ่มคืออะไรเปลวอรุณก็ไม่รอช้าที่ทำตามบ้าง

                 มือฝ่าบางเรียบอบอุ่นเอื้อมออกไปจับเข้าที่มือสาดกร้านอย่างคนทำงานหนักของเด็กหนุ่ม  ประสบการณ์ชีวิตที่ดูจะมีมากกว่าเขาทั้งๆที่อายุยังไม่ทันจะถึงยี่สิบปีทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกชื้นชมมันอยู่ในใจทุกครั้งและไม่นึกรังเกลียดมือที่หนากว่าของตัวเองคู่นี้ให้มาวางแนบที่หน้าท้องของตนนิ่งแล้ววางฝ่ามือของตนทับอีกชั้น

                “ทำแบบนั่นน้องไม่รู้สึกหรอกนะ”

                 เด็กหนุ่มก้มหน้าอาย

                “นี่น้องของตาลนะ” คนพูดคลี่ยิ้มอ่อน

            “น้องแข็งแรงไหม”

              “ต้องแข็งแรงอยู่แล้วละครับ”

              “แต่ผมเห็นแม่หน้าตาไม่ดีเลยตอนกลับมา”

              คนฟังสะอึก

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลูกตาลมองหน้าแม่นิ่ง “ผมเป็นห่วงนะ”

            สภาพหม่นหมองเหมือนคนเพิ่งพบพากับเรื่องร้ายแรงมาจนจิตใจคล้ายจะไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนั่น เขายอมรับเลยว่ารู้สึกไม่ดีและเป็นกังวลอยู่มาก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามีสีหน้าท่าทีเช่นนี้เลยสักครั้ง จึงไม่แปลกที่ตอนที่ได้ยินจากอัมรินทร์ว่าแม่บุญธรรมของตนกำลังตั้งครรภ์เขาถึงได้รีบร้อนวิ่งขึ้นมาดูแบบนี้

              “หมอบอกว่าอะไรอีกหรือเปล่าครับ”  ต้องมีอะไรแน่ๆ เขาเชื่ออย่างนั่น

              ฝ่ามือขาวที่ทาบทันอยู่ด้านบนบีบหลังมือเขาแน่น

              “หมอบอกว่าแม่ร่ากายไม่แข็งแรงก็เท่านั่นแหละตาล” เปลวอรุณแค่นยิ้ม แต่ไม่ว่าจะมองยังไงลูกตาลก็มองว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนเอามากกว่า

              “แค่นั่นหรอครับ” ถึงจะไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรก็เถอะ

              “แม่กลัวน้องไม่แข็งแรง กลัวว่าเขาจะไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ” และกลัวว่าจะไม่ได้เห็นเด็กคนนี้เติมโตด้วยตาตัวเอง...

              “ถ้าเป็นอย่างนั่นผมก็จะดูแลน้องเอง” เด็กหนุ่มพูดหนักแน่นให้คำมั่น “ผมจะไม่ให้มาแกล้งน้องได้หรอก แม่เปลวไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

            เขาไม่รู้หรอว่าตอนนี้ตัวเองทำสีหน้าแบบไหนออกไปตอนที่พูดแต่น้ำเสียงนั่นเขามั่นใจว่ามันออกมาจากใจลึกๆของเขา เขาไม่ได้นึกอิจฉาที่เปลวอรุณกำลังจะมีลูกเป็นของตัวเองจริงๆแล้วอาจทำให้อีกคนไม่เห็นความสำคัญของเขาเหมือนแต่ก่อน

              ไม่เลยสักนิด...

              ออกจะดีเสียอีกด้วยซ้ำไปสำหรับตัวเขาที่เป็นลูกคนโทนของบ้านไม่มีญาติพี่น้องที่อยู่ในช่วงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาเล่นด้วย หลายครั้งที่ตัวเขาเองนึกอิจฉาเด็กบ้างคนที่มีน้องชายหรือน้องสาวคอยวิ่งตาม คอยเล่นด้วย  แม้เพื่อนบางคนชอบเอาเรื่องน้องชายที่อายุห่างกันมากมาเล่าให้ฟังว่าดื้ออย่างนั่นว่าซนอย่างนี่แต่ทุกครั้งเพื่อนคนนั่นก็มันจะมีประกายความสุขในด้วงตาเสมอและเขาเองก็อยากมีบ้าง

              เขาอยากเป็น‘พี่ชาย’ที่แสนดีให้กับน้องที่กำลังจะเกิดมา...

              เปลวอรุณมองด้วงตาเป็นประกายมีความสุขของเด็กหนุ่มแล้วก็พลอยที่จะยิ้มตามอีกคนไปด้วยไม่ได้ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆให้แน่ชัดแต่ความรู้สึกของลูกตาลที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือที่สัมผัสอยู่กับหน้าท้องของเขานั่นเขาสัมผัสถึงความรู้สึกนั่นได้ดี

              “ตาลต้องเป็นพี่ที่ดีแน่นอนแม่เชื่ออย่างนั่น”

               เด็กหนุ่มทำตาโตหูแดงกับคำพูดที่แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเขาอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะขยับตัวเปลี่ยนมือที่แนบทับกับช่องท้องเป็นโอบรอบเอวคอดแล้วนอนซบให้ใบหน้าของตนอยู่ในระเดียวกับที่สามารถทำให้ดวงตาของเขาจะมองเห็นหน้าท้องตรงหน้าได้ชัดเต็มตา

              เปลวอรุณเองก็ขยับท่าทางของตนใหม่เป็นนอนตะแคงข้างแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะทุย ลูกตาลคลี่ยิ้มพร้อมซุกหน้าลงแนบกับหน้าท้องนิ่งทำให้เขาไม่ทันจะได้เห็นแววตาสกาวใสในของคนท้องที่หม่นแสงลงเมื่อไรคนสบตา

.................

 

            ลมหายใจสม่ำเสมอกับเปลือกตาสีเข้มที่ปิดสนิทบอกให้คนมองมั่นใจแล้วว่าแขกพิเศษในค่ำคืนนี้ที่เข้ามาขอนอนด้วยนั้นหลับสนิทดีแล้ว

              ไม่ใช่แค่ลูกตาลหรอกที่หอบหิ้วเอาหมอนหนุนเดินมาเคาะที่ประตูห้องนอนของพวกเขาให้อัมรินทร์ที่เป็นคนเดินไปเปิดประตูขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย แต่ยังมีเจ้าลูกสาวสี่ขาตัวโตที่คาบเอาหมอนรองนอนใบใหญ่สีเทาที่อัมรินทร์เคยซื้อให้รับขวัญตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นที่นอนแสนโปรดของเจ้าตัวที่ไม่ว่าจะไปนอนที่ไหนก็มักจะคาบมารองนอนได้ตลอด

              “มาทำอะไรกัน” น้ำเสียงห้วนติดจะไม่เข้าใจกับภาพตรงหน้าเท่าไรดังขึ้นเรียกความสนใจของเปลวอรุณที่ตอนนั้นเพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำให้มาชะโงกมอง

              “ก็มานอนด้วยไง ถามอะไรแปลกๆ” ลูกตาลเองก็ตอบห้วนไม่ต่างกันพร้อมแทรกตัวเดินนำมณีนิลเข้ามาขยับหมอนสองใบที่วางอยู่ก่อนหน้าให้เขยิบไปแล้ววางหมอนที่สวมปลอกสีน้ำตาลเข้มของตนลงที่ข้างเตียงฝั่งหนึ่งแล้วขึ้นไปนอนกดโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงอย่างไม่สนใจ

              และที่น่าปวดหัวกว่านั้นในสายตาของอัมรินทร์คือลูกสาวสุดที่รักของตนลากเบาะนอนมาวางปิดทางลงเตียงของลูกตาลเดินวนอยู่สองรอบแล้วจึงนอนขดหลับตาลง เหมือนเป้นการบอกให้คนที่ยืนมองอยู่เข้าใจกลายๆว่า‘ถึงจะไล่ยังไงก็จะไม่ออกไป’

              แน่นอนว่าในตอนแรกอัมรินทร์ถึงกับทำสีหน้าตาบึ้งตึงกอดอกมองหนึ่งคนหนึ่งตัวที่หอบผ้าหอบผ่อนมานอนเอนกายกันอย่างสบายใจจนเปลวอรุณที่ยืมมองอยู่ยิ้มขำจนต้องเป็นคนเอ่ยปากไล่คนหน้าบึ้งตึงเป็นเด็กไปนอน

              โชคดีที่เตียงนอนของอัมรินทร์เป็นเตียงขนาดใหญ่การเพิ่มสมาชิกบนที่นอนมาอีกหนึ่งคนจึงไม่เป็นปัญหาอะไรมาก

              “นอนไม่หลับหรอ” ความคิดที่ว่าหยุดลงเมื่อเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมแรงกระชับกอดจากด้านหลังทำให้เขาละสายตาจากใบหน้ายามหลับของลูกชายหันกลับไปมองใครอีกคนที่ให้เขาใช้แขนนอนต่างหมอนแล้วโอบกอดรอบเอวเขาเอาไว้

              “นิดหน่อยนะครับ” แล้วหันกลับ

              “รู้สึกไม่ดีหรือว่าหิวอะไรหรือเปล่า” อัมรินทร์กระซิบถามแผ่วเบาเพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนเด็กหนุ่มที่หลับสนิทอยู่ไม่ไกล

              “ไม่ครับ”  เปลวอรุณตอบปฏิเสธ

              เขาไม่กล้าบอกอีกคนหรอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่เขาเปิดดูเมื่อตอนเย็น

              ตอนที่อัมรินทร์ลงไปเอาข้าวเย็นขึ้นมาให้เขากำลังเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เขาเป็นอยู่แต่ลูกตาลดันขึ้นมาเสียก่อนจึงทำให้ไม่ทันได้หาก็เป็นอันต้องปิดลงไปเสียก่อน กว่าจะได้เปิดดูอีกทีอย่างจริงจังก็ตอนที่เด็กหนุ่มเดินกลับออกไปนั่นแหละเขาถึงใช้ช่วงเวลานั้นที่อัมรินทร์ยังไม่ทันขึ้นมาเปิดดู

              แต่เหมือนว่ายิ่งเปิดดูยิ่งเปิดอ่านก็ยิ่งทำให้เขาเป็นกังวล

              การรักษามะเร็งเม็ดเลือดไม่ใช่เรื่องที่ง่ายต่อการรักษาเหมือนอย่างการรักษาโรคหวัดหรือการเป็นเนื้องอกร้ายที่พอพบเจอก็สามารถผ่ามันออกได้

              แต่นี้คือ เลือด เลือดที่ไหลอยู่ทั่วร่างกายของเขา

              เท่าที่พอจับความได้จากคำพูดของหมอที่ตรวจเขาเมื่อช่วงบ่ายบอกว่าอาการของเขายังไม่ถึงระยะที่อันตรา ซึ่งก็ยังพอที่จะรักษาให้หายได้ เขาจึงอยากรู้วิธีการรักษาอย่างน้อยก็เพื่อลูกของเขา

              แต่ยิ่งเปิดดูไอ้การวิธีการรักษานี้แหละที่ทำเขาเครียด

             การใช้รังสีและเคมีบำบัดถูกตัดออกไปทันทีอย่างไม่ต้องคิดเมื่อเขาคิดจะเก็บลูกเอาไว้เพราะมันส่งผลต่อลูกของเขาโดยตรงต่อลูกของเขาแน่นอน การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นวิธีที่น่าสนใจแต่เปอร์เซ็นต์ที่จะเจอคนที่มีไขกระดูกตรงกับเขานั้นแทบจะเป็นหนึ่งในสี่หมื่นคนและถ้าหากปลูกถ่ายแล้วเกิดเข้ากันไม่ได้ขึ้นมานั่นก็หมายถึงชีวิตของเขาและลูกทันที ส่วนยารักษาเขาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าถ้ากินเข้าไปแล้วลูกของเขาจะเป็นยังไงเหมือนกัน

              ใบหน้าขาวตึงเครียดในความมืด

              “หรือว่าเปลวเป็นกังวลเรื่องลูก” อัมรินทร์ถามเสียงเครียดเกร็งลูบมือเบาๆตรงหน้าท้องที่อีกหนึ่งชีวิตกำลังเติบโตอยู่

              เปลวอรุณไม่ตอบ อัมรินทร์จึงลงความเห็นว่าสิ่งที่ทำให้อีกคนเคร่งเครียดจนไม่เป็นอันหลับอันนอนแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่ว่ามานี้ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวในตอนนี้ที่เขารู้

              “คุณแม่เครียดมากๆจะไม่ดีกับลูกนะครับ” เขากระซิบบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกเย้าเพื่อไม่ให้อีกคนเครียดจนเกินไป

            อัมรินทร์เคยได้ยินมาว่าแม่กับลูกที่อยู่ในท้องสามารถสื่อใจถึงกันได้ถึงเข้าจะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวเล็กของเขากันเปลวอรุณจะรับรู้ถึงสิ่งที่ว่านั้นได้แล้วหรือยัง แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกคนเก็บเรื่องพวกนี้มาเป็นกังวลอยู่คนเดียว

              อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อ เขาเองก็อยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งเบาความกังวลใจของคนที่เขารัก

              “ก็พยายามอยู่นะครับ” คนพูดยิ้มบาง

              ก็พยายามแล้วจริงๆนั่นแหละ แต่มันทำไม่ได้จริงๆ...

              “อย่าเครียดไปเลยเปลว” อัมรินทร์ปลอบ “ลูกเราต้องแข็งแรงอยู่แล้วละ”

              “ผมขอให้เป็นแบบนั้น”

              เปลวอรุณขยับศีรษะที่นอนทับท่อนแขนหนาให้ได้ที่ท่าที่สบายก่อนจะหลับตาลง ปล่อยวางความตึงเครียดของตัวเองลง...

              ตัวเขาเองก็ไม่ใช่หมอรักษาโรคร้ายเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีความรู้เฉพาะด้านในด้านนี้อาศัยแค่หาข้อมูลเอาเองแล้วตีความไปเองแบบนี้บางทีอาจไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากเพิ่มความเครียดให้ตัวเองแล้วพลอยทำให้คนรอบข้างวิตกกังวลตามไปเสียเปล่า อย่างน้อยก็อ่านศึกษาเป็นความรู้แล้วเอาไปสอบถามจากหมอที่ศึกษาเล่าเรียนเรื่องโรคและร่างกายมนุษย์มานานให้เขาอธิบายและช่วยหาทางออกในการรักษาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองและลูกมากกว่า

 

            แต่บางเหมือนว่าเปลวอรุณจะลืมนิสัยอย่างหนึ่งของอัมรินทร์ไปเสียสนิท...

              อัมรินทร์เป็นพวกเจ้ากี้เจ้าการและขี้ห่วงเขี้หวงป็นที่สุด...

 

             
:-[
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 25- 12/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 12-08-2017 21:44:35

:-[


 เช้าวันอาทิตย์วันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนเริ่มต้นอาทิตย์การทำงานกิจวัตรประจำวันต่างๆก็ยังคงดำเนินไปอย่างปกติเช่นเคย อาจเพราะเมื่อคืนเปลวอรุณนอนไม่หลับด้วยทำให้พอได้หลับสนิทแล้วจึงหลับลึกและนานกว่าปกติจนแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดคุยขานรับเด็กหนุ่มที่เดินขึ้นมาบอกลาเขาก่อนออกไปทำงานพิเศษตอนไหนเพราะกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ร่วงเข้ามาช่วงสายของวันที่แสงแดดส่งผ่านเข้ามากระทบเปลือกตารบกวนการนอนต่อ แต่ไอ้ครั้นจะลงขึ้นนั่งอาการเวียนหัวก็ทำให้เปลวอรุณแทบจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นจนต้องนอนอยู่อย่างนั่นอีกสักพักจึงจะสามารถลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวแล้วเดินลงมาข้างล่างได้

              “อ้าวเปลวตื่นแล้วหรอ” อัมรินทร์ร้องทักขึ้นพร้อมก้าวขาขึ้นบันไดมาประคองเปลวอรุณที่เดินลงมาถึงช่วงกลางบันไดโดยมีมณีนิลเดินตามมาข้างหลังคล้ายระแวดระวังภัยให้แม่มันอยู่ไม่ห่างกาย

              ตอนแรกอัมรินทร์ก็คิดว่าจะปลุกเปลวอรุณขึ้นมาตั้งแต่เช้าอยู่เหมือนกันแต่เพราะเมื่อคืนกว่าเจ้าคนคิดมากจะยอมนอนก็ปาได้ค่อนคืนแถมเมื่อพอนั่งดูใบหน้านอนหลับของอีกคนที่ดูจะผ่อนคลายด้วยแล้วเขาเองก็ไม่กล้าจะปลุกขึ้นมาเสียกลางคันได้ เลยปล่อยให้นอนไปก่อนพอจะขึ้นไปลุกอีกทีเมื่อเห็นว่ามันสายมากแล้วก็พบว่าอีกคนกำลังก้าวลงบันไดมาเอง

              “ทำไมหน้าดูซีดๆละเปลว รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามขึ้นเมื่อสังเกตใบหน้าของอีกคนที่ดูซีดกว่าปกติ

              “ก็เวียนหัวเหมือนปกตินั่นแหละครับ” เปลวอรุณตอบความจริง

              อัมรินทร์มีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดกับคำพูดนั้นของเปลวอรุณ

              ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของร่างกายคนที่กำลังตั้งครรภ์ที่มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือวิงเวียนศีรษะเป็นเรื่องปกติ แต่กับเปลวอรุณแล้วเขารู้สึกเหมือนอีกคนจะมีอาการหนักกว่าคนทั่วไปจนน่าเป็นห่วง

              ดูหน้าซิ ซีดเหมือนคนไร้เลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย...

              “เดี๋ยวดื่มน้ำผลไม้ก่อนนะจะได้สดชื้น” น้ำผมไม้รสเปรี้ยวอมหวานเย็นฉ่ำถูกส่งมาให้ระหว่างรอให้แววตักข้าวต้มใส่ชามให้

              “แล้วนี้คุณรุทธิ์ไปไหนหรอครับ” เปลวอรุณเอ่ยถามเมื่อมองไม่เห็นคนที่เอ่ยถึงตั้งแต่เดินลงมา

              “ไอ้รุทธิ์หรอ ยังไม่ตื่นเลยมั่ง” อัมรินทร์บอก “เห็นลุงอุ่นบอกว่ากว่าจะกลับมาเมื่อคืนก็เกือบตีสอง” พูดพลางหันไปมองคนมีอายุที่ผงกหัวรับอยู่ไม่ไกล

              “ไปไหนมาหรอครับกลับเสียดึงเลย”

              “เห็นว่าออกไปกับลิลนะ”

              เปลวอรุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

              เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างอนิรุทธิ์และลิลดาเขาเองก็ไม่รู้อะไรมากแต่พอฟังจากอัมรินทร์ว่าทั้งสองคนเหมือนจะคุยกันถูกคอ แม้จะออกไปทางที่หญิงสาวออกตัวแรงไปเสียก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนเหมือนจะไปด้วยกันได้ดีเขาเองก็ดีใจกับทั้งสองคนด้วย

              “จริงสิเปลว”

              “ครับ”

              “ฉันคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะให้เปลวหยุดพักยาวจนกว่าจะคลอด”

              “หมายความว่ายังไงครับที่บอกว่าผมไม่ต้องไปทำงานที่บริษัท” เสียงขอบแก้วน้ำผลไม้ที่ถูกดื่มจนหมดกระทบกับกระจกโต๊ะกินข้างจนเกิดเสียงดังขึ้นพร้อมคำถามที่คนฟังอย่างเปลวอรุณรู้สึกไม่เข้าใจ

              “อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจอย่างนั่น” อัมรินทร์ยิ้ม แก้วน้ำผลไม้ที่เหลือเพียงติดก้นแก้วถูกหยิบออกมาแล้วเลื่อนชามข้าวต้มเข้าหาอีกคนแทน

              “คือฉันเห็นว่าเปลวน่าจะยังไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลยอยากจะให้หยุดพักอยู่ที่บ้านน่าจะดีกว่า” ในเมื่อเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์อีกทั้งร่างกายของอีกคนที่เขาเองก็คิดว่าคงไม่พร้อมเท่าไรสำหรับการไปทำงานเขาเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงให้ทั้งแม่และลูกต้องไปทำงานแล้วต้องเกิดเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมา

              เพราะเขาคงรับไม่ไหวถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นกับทั้งคู่...

              “แล้วใครจะมาทำงานแทนผมละครับ ไม่เอาด้วยหรอกนะ” เปลวอรุณขึ้นเสียงกว่าปกติเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

              และอัมรินทร์ก็ไม่ว่าหรือมีท่าทีไม่พอที่อีกคนขึ้นเสียงใส่  ด้วยเข้าใจดีว่าคนกำลังท้องกำลังไส้แบบเปลวอรุณอารมณ์มักจะไม่ค่อยคงที่คงทางเสียเท่าไร

              “เรื่องนี้ฉันไปขอให้อานิรันดร์มาช่วยแทนแล้ว” เมื่อเช้าเขาลองโทรไปขอร้องให้นิรันดร์เลขาของบิดาให้มาช่วยเหลืองานในส่วนของเปลวอรุณในช่วงเวลาดังกล่าว

              ซึ่งทางนิรันดร์เองก็ไม่ได้ติดขัดอะไรทั้งยังยินดีที่จะช่วงเนื่องจากช่วงนี้เจ้านายวัยใกล้เคียงกันกำลังอยู่ในช่วงท่องเที่ยวกับภรรยาที่ต่างประเทศทั้งยังยกงานบริหารต่างๆให้ลูกชายคนเดียวดูแล ทำให้เลขาวัยใกล้เกษียณอย่างนิรันดร์ว่างงานเสียจนน่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน

             “มันจะเป็นการรบกวนคุณนิเขาเสียเปล่าๆ” เปลวอรุณว่าหน้าตาบึ้งตึกพลางตักข้าวเข้าปาก

             “ไม่หรอ”อัมรินทร์ยิ้ม “อานิรันดร์เองก็ยินดีดูท่าจะดีใจเสียด้วยที่จะได้ทำงานไม่ต้องอยู่ว่างๆลอยไปลอยมาระหว่างที่พ่อฉันยังไม่กลับมาแบบนี้ด้วย”

                นิรันดร์กับเปลวอรุณมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือเป็นพวกบ้างาน พอไม่ได้ทำงานแล้วจะหงุดหงิดคล้ายๆคนสมาธิสั้นที่ต้องหาอะไรต่อมิอะไรทำไปเรื่อยๆ อัมรินทร์เลยไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่เปลวอรุณดูจะเป็นลูกรักในที่ทำงานของนิรัดร์เสียเหลือเกิน

               “อีกอย่างฉันเป็นห่วงเปลวเป็นห่วงลูก ถ้าเปลวกับลูกเป็นอะไรไปฉันคงทำใจไม่ได้” อัมรินทร์ยิ้มให้ตาหยี่ไม่ได้เห็นเลยว่าคำพูดของตนเมื่อครู่จะทำให้คนตรงหน้านิ่งค้างยิ้มแกนอย่างไร

              “คิดมากไปแล้วครับ” เปลวอรุณหลบสายตาแสร้งทำเป็นตักข้าวต้มเข้าปากทั้งๆที่มันแทบจะกลืนไม่ลงเพราะฝืดคอมากก็ตาม

              “ไม่หรอก ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเปลวกับลูกแล้วไม่มีคำว่ามากไปหรอกนะ” ไม่ใช่คำพูดเอาอกเอาใจอย่างคนเจ้าชู้ปากหวาน แต่มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ

              ถ้าเพื่อคนที่เขารักแล้วอัมรินทร์พร้อมที่จะทำทุกอย่างให้ได้เสมอ...

              “คุณอันครับ” เปลวอรุณก้มหน้าจับช้อนที่ถืออยู่แน่นจนมันสั่น

              “ครับ”

              “คือว่าผมปะ-“

Rrrrrrr

            “โทษทีนะเปลว” อัมรินทร์ยกมือเบรกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่ว่างอยู่ตรงหน้าขึ้นมารับสาย “ครับ อัมรินทร์พูดครับ” แล้วลุกเดินออกจากห้องกินข้าวไป

              เปลวอรุณกะพริบตาถี่รีบวางช้อนที่ถืออยู่แล้วบีบมือตัวเองแน่น เมื่ออยู่ๆชั่ววูบหนึ่งของตนคิดจะพลั้งปากพูดอะไรบางอย่างออกไปให้อัมรินทร์รับรู้

              “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณเปลว” ลุงอุ่นที่ยืนมองอยู่เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

              เปลวอรุณส่ายหน้า “ผมอิ่มแล้วครับ”

              คนแก่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกชามข้าวต้มที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งออกมาเตรียมนำไปเก็บในครัว แต่ก็ไม่วายหันมามองคนที่ยังนั่งนิ่งไม่หยิบเอายาที่อยู่ในถุงกระดาษตรงหน้าออกมากินอย่างเป็นห่วง

              เขากำลังจะทำอะไร...

              เมื่อกี้เขากำลังจะบอกอัมรินทร์งั้นหรอว่าเขาเป็นอะไร...

              เปลวอรุณเท้าข้อศอกลงกับโต๊ะกำมือแล้วทุบเบาๆที่หน้าผากอย่างคนคิดไม่ตก

              “บ้าเอ๋ย”
.........................



              เสียงฝนตกกับภาพการจราจรติดขัดดูจะเป็นของคู่กันบางคนเลือกที่จะหักพวงมาลัยเลี้ยวรถยนต์ส่วนตัวเข้าศูนย์การค้าที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาแทนการต้องติดอยู่บนถ้องถนน

              ลูกตาลเองก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดที่จะออกไปผจญกับความติดขัดบนท้องถนน ถึงเจ้าตัวจะอาศัยการเดินทางบนรถไฟฟ้าก็เถอะ แต่เวลาแบบนี้คนกลับเยอะเสียจนเขาไม่อยากจะไปเบียดเสียดแย่งที่ยืนในโบกี้ด้วยเสียเท่าไร

              มือหนากดข้อความบอกคนที่รออยู่บ้านให้ทราบว่าตนอาจกลับช้ากว่าปกติสักเล็กน้อยเนื่องจากสภาพอากาศในตอนนี้ ทางผู้ปกครองเพียงคนเดียวของเขาในตอนนี้ก็เข้าใจดีไม่ได้ว่าอะไรซ้ำยังบอกอีกว่าให้กลับดีๆแต่ถ้าฟ้ามืดแล้วฟ้าฝนยังไม่หยุดตกจะให้คนออกมารับ ซึ่งเขาก็เข้าใจความเป็นห่วงที่ว่าจึงตบปากรับคำไปเพื่อไม่ให้คนที่รอเป็นห่วงมากไปกว่าเดิม

              ลูกตาลเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตรงไปที่ร้านขายหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในที่อยู่คนละชั้นจากชั้นที่เขาทำงานพิเศษ

              ภาพหน้าปกหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์สามสี่เล่มกับหนังสือเกี่ยวกับพัฒนาการของเข้าตัวเล็กในครรภ์ถูกส่งมาให้จากบบุคคลผู้ที่ต้องการเป็นผู้ปกครองของเขาเสียเหลือเกินอย่างอัมรินทร์

              “ซื้อหนังสือกับของพวกนี้กลับมาด้วย”

              คำสั่งที่ถูกพิมพ์มาตอนท้ายรูปในตอนเช้าก่อนเข้างานทำเอาเข้ากรอกตา ถึงใจจริงเขาเองก็ว่าจะหาซื้อกลับไปให้แม่เปลวของเขาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ไอ้การสั่งพร้อมส่งรูปหนังสือแบบเจาะจงมาให้ขนาดนี้เดาได้เลยว่าอัมรินทร์คงหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือที่ว่ามาแล้วเรียบร้อย ไหนจะรายการอาหารสดอาหารแห้งที่เจ้าตัวลิสต์รายการส่งทิ้งมาไว้ให้เขาระหว่างวันนั้นอีก นี้ยังไม่นับรวมของจิปาถะอีกนับสิบที่คนน่ารำคาญส่งทิ้งมาให้อีกเกือบสิบรายการนั้นอีก

              ใช้งานเขาคุ้มจริงๆ...

            แต่ก็ต้องขอบคุณที่อุตสาห์โอนเงินเข้าบัญชีมาให้พร้อมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเดือนนี้เขาคงกินแกรบแทนข้าว  ถึงแม้จริงๆแล้วช่วงนี้เขาจะไม่ค่อยได้ใช้เงินที่ได้มาเท่าไรก็เถอะแต่คนมันติดนิสัยเก็บเล็กเก็บน้อยมานานมันก็อดไม่ได้จริงๆนั้นแหละ

              ลูกตาลทำปากขมุบขมิบไปมายามนึกถึงหน้าตาเจ้าเล่ห์ของอัมรินทร์ในขณะที่มือก็หยิบหนังสือที่คนเจ้ากี้เจ้าการสั่งขึ้นมาเปิดดูเนื้อหาด้านในก่อนใส่ตะกร้าจนครบแล้วหันไปดูแบบอื่นที่วางเรียงอยู่ในหมวดเดียวกันอีกพักหนึ่งแล้วเลือกหยิบมาเพิ่มแล้วเดินไปหมวดอื่นหาหนังสือที่ตัวเองอยากได้บ้างก่อนจะนำไปชำระเงินที่แคชเชียร์

              เมื่อได้หนังสือเกินกว่าที่ต้องการมาแล้วเด็กหนุ่มก็เดินหิ้วถุงหนังสือลงไปซุปเปอร์ด้านล่าง วางถุงหนังสือลงในรถเข็นเปิดโทรศัพท์ดูรายการของที่ต้องซื้อแล้วเข็นรถไปเรื่อยๆเลือกหยิบของตามที่ต้องการโดยไม่วายแอบหยิบขนมของกินที่ตัวเองชอบใส่มาด้วยตามประสาเด็ก

            แต่พอเดินมาได้สักพักเท้าที่กำลังเดินมือที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ก็หยุดลงเมื่อเจอเข้ากับสิ่งกีดขวาง

              “สวัสดีตอนเย็นครับ” น้ำเสียงดูเป็นมิตรกว่าครั้งก่อนที่เคยได้ยินกับใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่เขาจำได้ว่าอัมรินทร์เคยออกปากห้ามไม่ให้เข้าใกล้ในระยะร้อยเมตร

              ราชัน...

              ระหว่างราชันกับตัวเขาเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางใจกันมาก่อนการเจอหน้ากันตรงๆครั้งนี้ลูกตาลจึงไม่ได้มีสีหน้าทะมึนตึงไม่พอใจเหมือนอย่างที่อัมรินทร์ทำใส่เวลาเจอคนตัวซีด แต่เด็กหนุ่มกลับเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งอย่างสงสัยที่พบเจอคนตรงหน้าแต่ก็ไม่วายที่จะเว้นระยะห่างอย่างระแวดระวังโดยเฉพาะเวลานี้ที่คนตรงหน้ามีชายต่างชาติรูปร่างสูงล่ำสันยืนกอดอกอยู่ข้างๆไหนจะการ์ดชุดดำอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนนั้นอีก

              เขาไม่ได้กลัว แต่แค่กำลังระวังตัว... เฉยๆ

              ถ้าหากอัมรินทร์เป็นหมือนหมาป่าเจ้าแผนการ คนตรงหน้าก็เป็นเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ต้องระวังไม่ให้เสียท่า...

              “สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มทักทายกลับตามมารยาท

              “อย่าทำหน้าตาแบบนั้นสิ” ราชันทำหน้าทำตาตัดพ้อนึกน้อยใจที่ถูกเด็กหนุ่มทำตัวห่างเหินใส่จนวาเลนติโนที่ยืนอยู่ข้างๆกรอกตากับจริตมารยา

              “คุณมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” ลูกตาลถามเข้าประเด็น

              “ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ” ราชันยิ้มร่าเริง “ไม่คิดว่าฉันจะเดินมาซื้อของแล้วเราก็บังเอิญมาเจอกันแบบนี้บ้างเลยหรอ” คนร่าเริงตั้งข้อสมมุติฐานขึ้นมาให้เด็กหนุ่มคล้อยตาม

              เพียงแต่ลูกตาลไม่ได้คล้อยตามที่อีกคนพูดมานี้ซิ

              “ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นการบังเอิญที่โคตรจงใจเลยสินะครับ” เด็กหนุ่มยกมุมปาก “ที่พวกคุณบังเอิญเดินมาดักทางผมแบบนี้” ตั้งข้อสมมุติฐานให้เขาคิดตามว่ามาซื้อของแต่สองมือของทั้งสี่คนกลับว่างเปล่าไรถุงบรรจุสินค้า

              ราชันยิ้มกริมชอบใจความรู้ทันของเด็กตรงหน้า

            ใช่ เขาเดินมาดังทางเด็กคนนี้จริงๆอย่างที่เจ้าตัวคิดนั้นแหละ

              “โดนจับได้ตั้งแต่แรกแบบนี้ก็แย่สิ” คนพูดทำเสียงเศร้าแต่ใบหน้ายังไม่คล้ายรอยยิ้ม

              “พูดมาตรงๆดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร” เพราะลูกตาลมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งเลยก็คือระหว่างพวกเขาสองฝ่าย ตัวเขาดูจะไม่ใช่คนที่จะมาทำธุรกิจร่วมกันให้อีกคนมาหาผลกำไลได้ด้วยเสียเท่าไร

              “แต่ฉันว่าเราคุยกันที่นี้ไม่ค่อยจะเหมาะเสียเท่าไร” ปลายนิ้วเรียวขาวยกขึ้นแตะที่ปลายคาง

              “ผมมีของต้องซื้อก่อนกลับบ้าน”

              ราชันมองของที่อยู่ในรถเข็นก่อนพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าทีของคนพวกนี้ แล้วนายไปนั่งกินข้าวกับฉันหน่อยจะได้หรือเปล่า”

              แต่นั้นก็ยังไม่ทำให้เด็กหนุ่มคล้ายความระแวงวางใจมากพอที่จะยินยอมเดินออกมา

              “พวกฉันไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเสียหน่อย” ภาษาไทยสำเนียงแปลกหูดังขึ้นจากชายต่างชาติตัวใหญ่ที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้นก่อนจะพยักเพยินหน้าให้ลูกน้องสองคนข้างหลังเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม

              “แล้วผมจะเชื่อใจพวกคุณได้ยังไง” ลูกตาลมองการ์ดตัวหนาที่ก้มหน้าให้เขาอย่างมีมารยาทอย่างไม่ไว้วางใจเท่าทีควร

              “ด้วยเกียรติ์ของฉัน” วาเลนติโนพูดเสียงเข้มหนักแทนคนข้างกาย

              ไม่รู้เพราะน้ำเสียงหนักแน่นที่ดูจริงจังนั้นหรือว่าเป็นท่าทีดุดันเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของคนพูดหรือเปล่าที่ทำให้เขายอมที่ลองเชื่อคำพูดนั้นแล้วส่งมือถือให้หนึ่งในชายชุดดำถ่ายรูปรายกายของที่เหลือที่ต้องซื้อกลับไปอย่างไม่อิดออด

              แต่ถึงจะยอมไปด้วยแต่ใช่ว่าเขาจะยอมเชื่อใจคนทั้งสองโดยไม่ระแวงหรอกนะ...



______________________________________________________

สวัสดีวันแม่นะคะ


ที่จริงจะมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่บังเอิญว่าไม่ทันได้ลงเลยมาลงให้วันนี้แทน ไม่ว่ากันเนอะ

ต่อจากนี้ไปขอเชิญทุกท่านเลือกซื้อมาม่ารสโปรดพร้อมต้มน้ำแล้วมานั่งกินพร้อมๆกันได้เลย
หาเลือกไม่ถูก ที่หน้าเพจของเรามีบริการให้เลือกได้

ว่าแต่ราชันเข้าหาลูกตาลทำไมกันละเนี้ย???
 :serius2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 25- 12/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-08-2017 22:57:44
การมีลูกอาจเป็นการช่วยเปลวอีกทางนึงก็ได้
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 25- 12/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 13-08-2017 06:53:27
ราชันมันต้องการอะไร
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-08-2017 22:41:10
เป็นหนี้ ครั้งที่ 26


                วันงานประมูลเพื่อการกุศลเริ่มใกล้เข้ามาในอีกอาทิตย์ที่จะถึง ช่วงบ่ายแก่ใกล้เวลาเลิกงานอัมรินทร์เก็บของเพื่อเตรียมตัวออกจาบริษัทก่อนเวลาพร้อทั้งฝากฝั่งงานที่อาจเข้ามาหลังจากเขาออกไปไว้กับนิรันดร์ที่เข้ามานั่งทำงานที่โต๊ะหน้าห้องของเขาแทนเปลวอรุณและก่อนที่จะเดินออกไปชายหนุ่มก็ไม่วายที่จะยกมือไหว้กล่าวขอบคุณคนอายุมากกว่าเพื่อเป็นการลา

              รนยนต์สีดำเข้าจอดที่ช่องจอดรถของผู้บริหารที่ถูกกันเอาไว้ รองเท้าหนังขัดมันเงาพาเจ้าของร่างเดินไปตามทางโดยมีจุดหมายอยู่ที่ฝ่ายซ้อมบำรุงเพื่อไปนำกล่องเครื่องเพชรที่เขานำมาให้ทางแผนกซ้อมแซมและทำความสะอาด

              แต่พอมาถึงทางแยกระหว่างแผนกซ้อมบำรุงกับแผนกการผลิต อัมรินทร์กลับหันปลายรองเท้าไปยังฝ่ายการผลิตเสียอย่างนั้นเอาดื้อๆพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุขที่ถูกจุดขึ้นมา


ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะประตูทำให้ชายร่างท้วมเจ้าของตำแหน่งหัวหน้าแผนกการผลิตละสายตาจากเอกสารหยิบหย่อยภายในแผนกของตนขึ้นมามองที่ประตูสำหนักแบบเก่า

               หัวคิ้วสีอ่อนขมวดเป็นปมคล้ายสงสัยเมื่อมองประกอบกับนาฬิกาแขวนที่อยู่บนกำแพง ‘ใครมันมาทำอะไรตอนนี้’ ชายมีอายุคิดแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่าใครบานประตูสีเทาก็เปิดออกพร้อมร่างของรองประธานหนุ่มที่ทำเอาคนแก่เช่นเขาเบิกตากว้าง

                “ท่านรอง” หัวหน้าแผนกร่างท้วมลุกขึ้นยืนกุรีกุจอเชื่อเชิญชายหนุ่มที่มีตำแหน่งสูงกว่าเข้ามานั่ง

               เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาใกล้เลิกงานทำให้พนักงานที่นั่งอยู่ที่ห้องข้างหน้าบางคนที่ทำงานเสร็จบางแล้วเลือกที่จะกลับกันออกไปก่อนทำให้ชายร่างท้วมต้องกวักมือเรียกนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของพนักงานที่เป็นพี่เลี้ยงให้ไปรินน้ำใส่แก้วเข้ามาให้

              “ตามจริงไม่ต้องก็ได้นะครับ” อัมรินทร์บอก ก่อนจะหันไปยิ้มรับแก้วน้ำเปล่าจากเด็กนักศึกษาหนุ่มที่ยกน้ำมาให้

              “ไม่ได้หรอกครับ” ชายมีอายุว่า พร้อมยกมือรับไหว้เด็กหนุ่มที่ยกมือไหว้ลาคนทั้งสองคนที่นั่งอยู่

              “ว่าแต่ท่านรองมาทำอะไรหรือครับ” เขาเอ่ยถาม “หรือว่าเครื่องประดับมีอะไรต้องแก้” ก่อนจะนึกถึงงานล่าสุดที่เพิ่งเสร็จไป

              “เปล่าหรอ ไม่ใช่อย่างนั้น” อัมรินทร์รีบโบกมือปฏิเสธ

              “แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ”

              “ที่จริงผมมาเอาของที่ฝ่ายซ้อมบำรุงนะ” อัมรินทร์บอกตามตรง “ก็เลยมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณสักหน่อย”

              “มีอะไรให้รับใช้บอกมาได้เลยครับ” ใบหน้าใจดีคลี่ยิ้มกว้าง ไม่ปฏิเสธงานที่เข้ามาและไม่คิดว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังมอบหมายให้เป็นเรื่องที่รบกวนเลยแม้แต่น้อย

              อัมรนทร์ยิ้มก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่พับเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในออกมามองดูด้วยแววตาเปรี่ยมด้วยความสุขและความยินดี

              “ผมอยากให้คุณช่วยทำเจ้าของตามแบบนี้ให้ผมหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข “วัตถุดิบผมเขียนแนบไว้ให้แล้วข้างๆ” แววตาของเขามีความตื่นเต้นยามนึกภาพคนที่จะได้รับได้เห็นมันเมื่อเสร็จสิ้น

              หัวหน้าแผนกร่างท้วงหยิบเอาแว่นสายตาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อตรงอกขึ้นมาใส่ เมื่อแพ่งมองให้ชัดแล้วดวงตาหลังกรอบแว่นก็เบิกกว่าเดิม

              “โอ้ นี้มัน” ใบหน้าตื่นตกใจเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความยินดีมองแบบร่างสลับกับหน้าของชายหนุ่มอย่างตื่นเต้นยินดี  “ยินดีด้วยจริงๆครับท่านรอง ยินดีด้วย” รอยยิ้มบนหน้าชายมีอายุฉีกกว้างจนเห็นร่องรอยแห่งวัยชัด

              “ผมจะทำให้สุดความสามารถเลยครับไม่ต้องห่วง” พร้อมทั้งรับปากอย่าเป็นมั่นเป็นเหมาะสำหรับงานสำคัญครั้งนี้

            อัมรินทร์ใช้เวลาพูดคุณกับหัวหน้าฝ่ายการผลิตอยู่สักพักก่อนจะขอตัวกลับเนื่องจากตนยังมีอีกที่ที่ต้องไป หัวหน้าแผนกการผลิตเดินมาส่งเข้าถึงตรงทางแยกก่อนที่เป็นอัมรินทร์ที่เดินตรงไปตามทางนั่งต่อเอง

              โชคดีที่ก่อนมาเขาได้โทรบอกหัวหน้าฝ่ายซ้อมบำรุงไว้ก่อนหน้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะสวนทางกับทางนั้น แต่เพราะมั่วแต่อยู่คุยกับหัวหน้าแผนกการผลิตนานไปหน่อยทำให้อัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรอ

              “ต้องขอโทษจริงๆครับที่ปล่อยให้รอ” อัมรินทร์พูดอย่างสำนึกผิด ถึงคนตรงหน้าจะมีตำแน่งที่น้อยกว่าตนแต่อย่างน้อยก็มีอายุที่มากกว่าและการปล่อยให้ผู้ใหญ่ต้องรอก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

              “โอ๊ย ไม่เป็นอะไรหรอกครับท่านรองแค่นี้เอง” ที่จริงเขาเองก็ไม่รออะไรนานเสียอย่างที่คนหนุ่มเป็นกังวลด้วยซ้ำ พอหยิบจับทำนู้นทีนั้นทีก็ทำให้ลืมเวลาได้เหมือนกัน ถ้าอีกคนไม่บอกว่ามาช้าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

              “ยังไงก็ขอโทษอีกครังนะครับ” อัมรินทร์ก้มหน้า “แล้วของที่ส่งมาให้ครั้งก่อนละครับ” ก่อนจะถามถึงสิ่งที่มาเอา

              “อ๋อ เรียบร้อยแล้วครับ” หัวหน้าแผนกซ้อมบำรุงคลี่ยิ้มก่อนจะเดินไปเปิดตู้เซฟหยิบเอากล่องกำมะหยี่สีม่วงที่ถูกนำมาให้เมื่อหลายวัยก่อนส่งให้คนเป็นนาย

              “ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ ผมแค่ให้ลูกน้องทำความสะอาดและปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย”

              อัมรินทร์รับกล่องตรงหน้ามาพร้อมกับสวมถุงมือก่อนที่จะหยิบเครื่องประดับราคาแพงนั่นขึ้นมาพิจารณางานอีกครั้ง

              “เยี่ยม ขอบคุณครับ”  อัมรินทร์ยิ้มเมื่อผลงานชิ้นเอกของบริษัทออกมาดูดีกว่าก่อนหน้าและยังถูกใจเขาเป็นอย่างมาก

              หลังจากบรรลุเป้าหมายในการมาเยือนโรงงานในครั้งนี้พร้อมทั้งอยู่พูดคุยกับหัวหน้าแผนกการซ้อมบำรุงเรียบร้อยอัมรินทร์ก็ขอตัวกลับ เพราะเขาต้องนำของชิ้นนี้ไปให้คุณจูนเลขาของราชันเก็บเข้าเซฟสำหรับสินค้าที่เข้าร่วมงานประมูล ซึ่งกว่าจะได้กลับบ้านจริงๆก็ปาไปอีกเป็นชั่วโมงเลยเหมือนกัน

 

              คำกล่าวที่ว่า ‘บางครั้งความสุขก็อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด’ อัมรินทร์เองก็เพิ่งเข้าใจในความหมายของประโยคดังกล่าวมาเมื่อไม่นานมานี้

              ความสุขที่หลายคนต่างออกท่องไปทั่วเพื่อแสวงหามันอย่างไม่มีรู้ว่าเราจะพบมันจริงอย่างที่หวังหรือไม่ บางคนอาจพบมันหลังออกตามหา บางคนอาจหามันไม่พบทั้งๆที่ออกตามหามันมานานแสนนาน

              หากแต่หลายครั้งที่ผู้คนมักจะลืมไปว่า ‘ความสุข’ นั้นอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าสิ่งใด

              สำหรับอัมรินทร์แล้วมันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับการขับรถกลับบ้านมากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน ในเมื่อการกลับบ้านในครั้งนี้ของเขาคือการกลับบ้านโดยที่รู้ว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่ซึ่งมันทำให้หัวใจของเขาคล้ายถูกเติมเต็มจนพองฟูคับอก

            เขาไม่ใช่คนยิ้มยาก แต่การที่เราคิดถึงใครสักคนที่ออกมารอรับเราด้วยรอยยิ้มแล้วมันก็พลอยทำให้รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นกว่าเดิมไม่ได้...

              ตอนที่เขาตัดสินใจนำมณีนิลมาเลี้ยงเป็นอีกหนึ่งสมาชิกของบ้านนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเขาอยากจะพิสูจน์คำพูดของพนักงานคนหนึ่ง ที่ตัวเขาบังเอิญไปได้ยินเธอพูดกับเพื่อนร่วมงานระหว่างเวลาพักว่ามีความสุขขนาดไหนหายเหนื่อยเป็นปริบทิ้งอย่างไรตอนที่เปิดประตูบ้านเข้าไปแล้วเจอเจ้าสัตว์เลี้ยงสี่ขาที่เธอเรียกว่า ‘ลูก’ วิ่งออกมารอรับเธออยู่ที่หน้าประตู ประกอบกับช่วงนั้นเขาเริ่มท้อแท้กับการตามตื้อเปลวอรุณ

              เปลวอรุณคือความท้าทายที่เขารู้สึกอยากจะเอาชนะให้ได้ตามประสาคนหนุ่มที่ทั้งชีวิตไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากได้แล้วไม่เคยได้ ยอมรับเลยจากใจว่าตัวเขาในตอนนั้นมีรู้สึกเพียงแค่ สนุก ท้าทาย และอยากเอาชนะเท่านั้น แต่เปลวอรุณก็คือเปลวอรุณ วันแรกที่เจอกันอีกผ่านปฏิบัติตัวต่อเขายังไงทุกวันนั้นก็ยังคงเป็นแบบเดิม เฉยชาและไม่แยแสต่อสิ่งรอบตัวและที่น่าหงุดหงิดทุกครั้งที่เจอคืออีกฝ่ายพยายามหนีเขาทุกวิถีทางที่จะเอามาเป็นข้ออ้างได้ทุกครั้ง

              เขาหงุดหงิด..

              ใช่ .. เข้าหงุดหงิดทุกครั้งที่เปลวอรุณรู้ทันความคิดของเขาในทุกๆด้านจนเหมือนว่าบางครั้งอีกคนก็เดินนำความคิดของเขาไปได้ก่อนที่เขาจะเริ่มเสมอ  ต่อแรกก็แค่หงุดหงิดไม่พอใจแต่พอนานๆเข้าเขาก็เริ่มรู้สึกท้อแท้และพ่ายแพ้ต่อเปลวอรุณและเริ่มตะหนักได้ว่าของบางอย่างก็ใช่ว่าอยากได้แล้วจะได้

              เขาเริ่มหยุดการตามเปลวอรุณกลับบ้านในช่วงเย็นแล้วหันไปทุ่มเทกับการซื้อของเอาใจลูกสาว หางสั้นๆที่สายไปมาจนเห็นแล้วปวดเอวแทนกับเสียงครางอื้อในลำคอยามที่เห็นเขากลับบ้านทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกอย่างที่พนักงานสาวคนนั้นพูด

            เขามีความสุขและหายเหนื่อยอย่างที่พนักงานคนนั้นพูดมา...

              แต่..

              แต่มันกลับไม่เติมใจเขาจนเต็ม..

              ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักมณีนิล ไม่เลย เขารักลูกสาวตัวนี้ของเขามากเขาดูแลมันอย่างดีทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำให้กับสัตว์เลี้ยงตัวนี้แทบทุกอย่างที่ทำได้ เพียงแต่ว่าการไม่ได้เห็นกิจวัตรของเปลวอรุณนั้นต่างหากที่ทำให้ในใจของเขาเหมือนยังเกิดช่องว่างบางอย่างที่ยังไม่ถูกถมจนเต็มล้น

              จากที่ว่าจะตัดใจแล้วหันหลังกลับมาใช้ชีวิตแบบเดินกลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มหนักข้อขึ้นในเรื่องของเปลวอรุณ เขาขับรถตามเปลวอรุณกลับบ้านอย่างเดิม จอดรอดูข้างนอก วันหยุดบางวันก็แอบไปดูว่าเจ้าตัวทำอะไรในวันหยุด  ความชอบความไม่ชอบของเปลวอรุณเริ่มแทรกเข้ามาในความนึกคิดของเขาเรื่อยๆ

              อัมรินทร์ไม่ชอบปลูกต้นไม้แต่กลับหาซื้อมาปลูกเต็มบ้าน

             อัมรินทร์เป็นคนเลือกกินอะไรที่ไม่ชอบก็เขี่ยทิ้ง แต่ถ้าเป็นอาหารที่เปลวอรุณทำมาให้แล้วเขากลับกินหมดทุกครั้ง ทั้งยังเป็นฝ่ายออกปากรบเร้าให้อีกคนทำอาหารมาให้เขากินทุกกลางวัน หากวันไหนไม่ได้กินในตอนกลางวันเขาก็จะเอากลับมาอุ่นกินที่บ้าน

              เขารักเปลวอรุณ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไรที่เขามีความรู้สึกแบบนี้ แต่ในเมื่อเขารู้ความรู้สึกนั้นแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขาอยากครอบครองคนที่เขารักเอาไว้พียงคนเดียว....

              ถึงบางทีจะปากแข็งไปอย่างนั้นก็เถอะ...

               พวกมาลัยรถยนต์หันเลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้านพร้อมรอยยิ้มของคนที่ขับบังคับมันเมื่อสายตาคมสบเข้ากับร่างของใครบางคนที่เดินอยู่บริเวณสวน

              อัมรินทร์เปิดประตูรถแล้วก้าวออกมาเปลี่ยนให้คนขับรถเข้ามาขับนำไปเก็บที่โรงจอด ชายหนุ่มพยายามก้าวเท้าให้เบาที่สุดเมื่อเดินเข้าใกล้ร่างของคนที่กำลังแพ่งมองใบเรียวรีของต้นกวนอิม แต่การจะแอบมาเซอร์ไพรส์เปลวอรุณดูจะไม่เป็นดั่งที่ต้องการเท่าไรเมื่อข้างกายของเปลวอรุณมีเจ้าตัวที่หูดีอย่างมณีนิลอารักขาอยู่ข้างๆ

              “โฮ่ง โฮ่ง” เสียงเห่าเสียงดังพร้อมท่าทีกระโดดขึ้นลงของมณีนิลเรียกความสนใจจากคนที่กำลังมองสำรวจต้นไม้ใบหญ้าในสวนให้หันกลับมามอง

              และเมื่อเห็นว่าเป็นใครเปลวอรุณก็คลี่ยิ้มกว้าง “กลับมาแล้วหรอครับ”

              “ครับ” ถึงจะไม่ได้ทำอย่างที่ใจหวังแต่อัมรินทร์ก็ยังยิ้มกลับไปให้อีกคนพร้อมร่างกายสูงที่เดินเข้ามากอดอีกคนเอาไว้แน่นด้วยความรักและคิดถึงแล้วจูบนิ่งที่ริมฝีปากบางนั่น “กลับมาแล้ว”

              “ดื้อหรือเปล่านะเรา” อัมรินทร์ลูบหน้าท้องอีกคนพร้อมถามเจ้าตัวน้อยและถามคำถามเดียวกันนี้กับมณีนิลก่อนจะย่อตัวลงในระดับแล้วอุ้มลูกสาวตัวโตขึ้นมา

              “เจ้าตัวเล็กกับคุณนิลไม่ดื้อหรอกครับ” เปลวอรุณตอบแทนพลางลูบหัวเจ้าตัวโตที่พยายามเลียหน้าเลียตารับขวัญพ่อของมันอย่างเมามัน

            “แล้วทำไมวันนี้ถึงกลับมาช้าจังเลยละครับ”

              “พอดีไปที่โรงงานกับแวะเข้าไปเอาของไปไว้ที่งานนะ”

              เปลวอรุณพยักหน้า

              “แล้วไอ้รุทธิ์กับเจ้าตาลละ ยังไม่กลับหรอ” หลังจากฟัดลูกสาวตัวโตจนหนำใจแล้วปล่อยลงพื้นแล้วก็อดถามหาอีกสองคนที่เหลือไม่ได้

              “คุณรุทธิ์กลับมาแล้วครับ  ตอนนี้อยู่ข้างบน” เปลวอรุณตอบพลางกุมมืออีกคนเดินเข้าบ้าน “ส่วนลูกตาล อ๊ะ นั้นไงกลับมาพอดี” เปลวอรุณพูดขึ้นพร้อมชี้ไปที่ประตูรั้วที่ถูกเปิดเข้ามาพร้อมร่างของเดินหนุ่มที่เพิ่งตกเป็นหัวข้อสงสัยเมื่อครู่

            ลูกตาลเดินเข้ามาก่อนจะยกมือไหว้คนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้านก่อนจะหันไปลูบหัวทักทายมณีนิลที่กระโดดพันเข่งพันขาเขาอยู่

              “เพิ่งกลับมาหรอลุง” ลูกตาลทักขึ้นเมื่อเห็นอีกคนยังอยู่ในชุดทำงานเต็มยศ

              “ใช่ เพิ่งถึงเมื่อกี้นี้เอง”

              เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้

              “ว่าแต่ วันอาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า” อัมรินทร์หันกลับมาถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเข้ามา

              “ไม่ว่าง”

              “แล้วเลิกงานกี่โมง”

              “ถ้าไม่แลกกะก็เลิกสี่โมงเย็น มีอะไรหรือเปล่า” ลูกตาลเลิกคิ้วถามพลางถอดกระเป๋าที่คาดอกออกมาวาง

              “เอานี่” อัมรินทร์ไม่ได้ตอบตรงคำถามที่ว่านั้นแต่เลือกที่จะหยิบการ์ดเชิญส่งให้เด็กหนุ่มแทน

              “งานเลี้ยงประมูลการกุศล” เด็กหนุ่มอ่านออกเสียงพลางทำหน้าฉงน ดวงตาสีเข้มเหลือบมองคนที่ส่งมาให้ก่อนจะพลิกอ่านรายละเอียด

              “ใช่ งานเลี้ยงจะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ตอนหกโมง” อัมรินทร์ตอบเรียบๆ “แต่ทางไปงานกับที่ที่นายทำงานพิเศษมันคนละทางกันฉันเลยคิดว่าจะให้ลาหยุดหรือเปลี่ยนกะกับเพื่อนแทน”

              “จะให้ผมไปด้วย?” ลูกตาลเลิกคิ้ว

              “ใช่ไง เดี๋ยวพรุ่งนี้เลิกงานก็รอฉันที่นั้นนั้นแหละเดี๋ยวฉันพาไปซื้อเสื้อผ้าใส่ไปงาน”  อัมรินทร์บอกแกมบังคับสั่งก่อนจะส่งการ์ดแบบเดียวกันนี้ให้กับแววที่เดินเข้ามานำน้ำมาให้เพื่อให้หญิงสาวนำไปให้กับอนิรุทธิ์ที่อยู่ด้านบน

            ลูกตาลมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจถึงสาเหตุที่อัมรินทร์บอกให้เขาไปด้วยเสียเท่าไร บางทีอาจให้เขาไปเพื่อดูแลแม่เปลวของเขาก็เป็นได้เขาคิดเช่นนั้น

              แต่ก็ดีเหมือนกัน...

              เมื่อไม่มีอะไรแล้วลูกตาลจึงขอตัวขึ้นไปเก็บของแล้วอาบน้ำเพื่อที่จะได้ลงมากินข้าวเย็น
..................................................

 

             
:mew1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-08-2017 22:41:43
:mew1:


 งานเลี้ยงประมูลการกุศลถูกจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในโอกาสวันคล้ายวันเกิดปีที่แปดสิบห้าของนายธรรมภาส อดีตสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลระดับแนวหน้าของประเทศที่ถึงแม้จะเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่จังหวัดแห่งที่ภาคเหนือหลายปีแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีหน้ามีตาเป็นที่เคารพและเกรงอกเกรงใจของสมาชิกพรรคในปัจจุบันอยู่พอสมควร อีกทั้งยังมีหน้ามีตาในแวววงสังคมคนมีระดับฐานะอีกด้วย

              ธรรมภาสในวัยแปดสิบห้าปีเต็มในวันนี้แม้ร่างสังขารจะร่วงโรยไปตามวัยหากแต่ชายแก่ร่างผอมบนรถเข็นไฟฟ้ากลับยังมีสีหน้าสดใสไร้โรคภัยมาเบียดเบียนเรียกได้ว่าแข็งแรงตามวัยก็ว่าได้

              “แกแน่ใจนะว่าเขาจะมาตามที่แกว่า” น้ำเสียงแหบห้วนแต่เต็มไปด้วยอำนาจของชายชราดังขึ้นถามชายหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มข้างกาย

              “แน่นอนสิครับ” ราชันเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

              “ฉันจะเชื่อแกได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าแกกำลังให้ความหวังคนแก่อยู่หรอกนะ” ธรรมภาสเหน็บแนมหลายชายคนเล็กของตน นัยน์ตาดุดุจเสือร้ายกวาดมองรอบห้องจักงานคล้ายกำลังมองหาใครสักคนผ่านกลุ่มสตาร์ฟประจำงานที่เดินตรวจความเรียบร้อยของงานกันอยู่อย่างขวักไขว่

              “งานยังไม่ทันจะเริ่มเลยนะครับ” ราชันยิ้มอ่อนใจให้กับคนแก่ใจร้อนที่อดใจรอไม่ไหวที่จะได้เจอหน้าใครคนหนึ่ง

              “เดี๋ยวคุณปู่ไปพักที่ห้องพักก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวพองานเริ่มผมจะให้คนไปรับ”  ชายหนุ่มจับมือผอมแห้งเอาไว้อย่างรักใคร่ก่อนจะหันไปเรียกการ์ดที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่างให้พอเจ้าของงานไปพักผ่อนก่อนที่งานจะเริ่ม

              ราชันเดินมาส่งปู่ของตนที่หน้าประตูทางเข้างานแล้วยืนดูอยู่อย่างนั้นจนแน่ใจว่าปู่ของเข้าถูกพาเข้าลิฟต์ไปเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะหันกลับเข้ามาเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในงานอีกครั้ง

              งานในวันนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่เพราะนอกจากจะเป็นงานประมูลเพื่อนำเงินที่ได้ทั้งหมดไปแบ่งบริจาคให้กับโรงพยาบาลในต่างจังหวัดสองสามแห่งที่กำลังขาดแคลนและมีความจำเป็นในเรื่องทุนทรัพย์เป็นอย่างมาก อีกทั้งนอกจากนี้แล้วยังถือเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของธรรมภาสอีกด้วย แน่นอนว่าคนใหญ่คนโตในแวดวงสังคมการเมืองและธุรกิจ ดารา คนมีชื่อเสียง ต่างตบเท้ากันเข้ามาให้ควัก หากเกิดการผิดพลาดแม้เพียงเรื่องเดียวนั้นย่อมหมายถึงหน้าตาของผู้อาวุโสเจ้าของงาน

              โชคดีที่งานวันนี้ได้วาเลนติโนมาช่วยในเรื่องการรักษาความปลอดภัยทุกอย่างภายในงาน ตั้งแต่การเฝ้าระวังโดยรอบงาน เฝ้าดูแลรักษาทรัพย์สินในการประมูลเพื่อป้องกันการสูญหายและถูกขโมยทำให้ราชันคล้ายความกังวลเรื่องความปลอดภัยไปได้ในระดับที่มากที่สุดเลยก็ว่าได้

              ก็แน่ละ ใครคิดจะสิ้นคิดอยากมีเรื่องกับมาเฟียต่างชาติกันละ....

              ราชันเดินเข้าไปทำทายเจ้าของทรัพย์ที่นำเข้าประมูลที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันบ้างเดินดูความเรียบร้อยของนางแบบนายแบบที่จะเดินโชว์ทรัพย์ของตัวเองบ้าง

              “ไม่คิดว่าลิลจะมาเป็นนางแบบเองอย่างงี้เลยนะเนี้ย” ราชันยิ้มตาหยี่ทักทายเพื่อนสาวที่พอจะคุ้นเคยกันอย่างลิลดาที่ยังอยู่ในชุดคุ้มอาบน้ำสีขาวในห้องแต่งตัวนางแบบ

              “ก็ถือว่าเป็นการโปนโมทงานของตัวเองที่กำลังจะออกไปในตัวด้วยไงละ” เธอว่าอย่างยิ้มแย้มขณะนั่งให้ช่างทำผมจัดแต่งทรง “อีกอย่างนะ ลิลเองก็อยากจะลองทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว” เธอว่า

              ก็นะ การเป็นนางแบบใส่ชุดสวยๆแล้วเดินให้คนดูแบบนี้เป็นเหมือนฝันของผู้หญิงทุกคนนั้นแหละ...

              “เราไม่กวนลิลแล้วดีกว่า” ราชันว่า “ขาดเหลืออะไรก็บอกได้เลยนะ เราออกไปดูข้างนอกก่อน”

              ลิลดายิ้มรับน้ำใจนั้นก่อนจะกันมาสนใจกับหน้าจอสี่เหลียมในมือต่อ

              ราชันเดินเข้ากลับเข้ามาในสถานที่จัดงานอีกครั้งก่อนจะพบกับแขกคนสำคัญที่เขารอมานาน ‘ครอบครัวของอัมรินทร์’

              ชายหนุ่มผิวขาวซีดยืนมองคนสี่คนที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มนำข่าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำข่าวได้ แต่ที่ดูจะขัดหูขัดตาของเขาไปเสียหน่อยเห็นว่าน่าจะเป็นฝ่ามือหนาของเพื่อนรักเพื่อนร้ายของเขาที่โอบแนบอยู่กับช่วงเอวของเปลวอรุณ

              มันน่านัก...

              ราชันข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองเหมือนเด็กจนวาเลนติโนที่ยืนมองมาแต่ไกลได้ต่อทอดถอนใจกับนิสัยเสียของเจ้าตัวซีด แต่ครั้นพอจะก้าวเข้าไปหาใกล้ๆเจ้าตัวร้ายก็ชิงเดินหนีตรงไปยังกลุ่มคนที่ว่า

              อย่าทำอะไรแผลงๆแล้วกัน... วาเลนติโนได้แต่ภาวนาในใจเงียบๆ

              เฮ้อออ ....

             “อ้าวว อันมาแล้วหรอ” น้ำเสียงสดใสเกินหน้าเกินตาที่ไม่ต้องหันไปมองก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใครทำเอาใบหน้ายิ้มรับแขกของอัมรินทร์บึ้งตึงเอาเสียดื้อๆ

              “เออ” เจ้าตัวตอบเสียงห้วนรั้งเอวของเปลวอรุณเข้ามาใกล้ตัวเองจนแทบชิด

               ใบหน้ายิ้มแย้มของราชันเองก็พลอยบึ้งตึงไม่ต่างกันเมื่อเจอเข้ากับปฏิกิริยาเช่นนั้นของอัมรินทร์ แต่ก็แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะกลับมาปั้นยิ้มเหมือนดังเดิม

                นักข่าวบ้างคนที่ตาไวพอต่างพุ่งความสนใจไปยังมือข้างนั้นของอัมรินทร์แทบจะทันที หากแต่ไม่มีใครกล้าพูดแทรกขึ้นมาด้วยความกลังเกรงหลานชายเจ้าของงานที่ยังคงยืนอยู่

                 “แล้วนี้พาใครมาด้วยละเนี้ย” ราชันยิ้มเปิดประเด็นเมื่อกวาดตาไปเจอสายตาตั้งคำถามของเหล่านักข่าว

                 “นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” อัมรินทร์กัดฟันยิ้ม พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดคำหยาบออกมาในที่สาธารณะ

                  “ใช่ๆ ฉันรู้แต่พี่ๆนักข่าวเขาไม่รู้กับนายด้วยนี่น่าเพื่อน” คำว่า ‘เพื่อน’ ที่ออกมาดูเหมือนจะพยายามเน้นหนักให้ได้ยินเป็นพิเศษในความรู้สึกของคนนอกอย่างอนิรุทธิ์ ลูกตาล และเปลวอรุณ

                 “ใช่ครับ” เสียงของนักข่าวร่างสูงผอมผิวออกเหลืองเป็นผู้กล้าเอ่ยซัพพอร์ต “อย่างคุณอนิรุทธิ์นี่พวกเราก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แต่อีกสองคนนี้ละครับ”

                 สิ้นคำถามก็เกินเป็นเสียงอื้ออึงของเหล่านักข่าวสำนักข่าวอื่นที่อยู่ข้างๆจนกลายเป็นจุดสนใจให้กับแขกในงานที่มาก่อนหน้านี้ให้หันมาสนใจกลุ่มของอัมรินทร์

               อัมรินทร์เหยียดยิ้มเมื่อผลลัพธ์เป็นไปตามคาดที่เขาคิด

               “นั้นสินะราชัน ฉันนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆที่เสียมารยาทไม่แนะนำคนที่มาด้วยให้คนอื่นๆรู้จักแบบนี้”

              ราชันคิ้วกระตุก

              “อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่านี้คือพี่ชายของผม ผมก็คงไม่ต้องแนะนำอะไรมา” อัมรินทร์ตบบ่าอนิรุทธิ์เล็กน้อย ก่อนจะดึงแขนเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้

               “ส่วนข้างๆผมตรงนี้คือเปลวอรุณ คนรัก ของผมเอง”  อัมรินทร์ว่าพร้อมกระชับมือที่โอบรอบเอวอีกคนแน่น “ส่วนทางนี้คือลูกตาลลูกชายของเราครับ”

               เสียงลือลั่นกระซิบกระซากพลางแย่งกันถามถือเป็นการตอบรับที่อัมรินทร์พึ่งพอใจมากที่สุด ชายหนุ่มยิ้มรับให้กับทุกคำถามที่ส่งออกมาให้

              เหตุผลหลังที่เขาต้องการให้เด็กหนุ่มมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยก็คือเรื่องนี้ งานใหญ่แบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่ทางเจ้าภาพอย่างราชันจะไม่เชิญบรรดานักข่าวเข้ามาร่วมด้วย

              สิ่งที่เขาต้องการคือการประกาศให้ทุกคนรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเปลวอรุณและเปิดตัวลูกตาลในฐานะลูกชานคนโตของเขากับเปลวอรุณ เพื่อเป็นการแสดงให้เปลวอรุณรู้ว่าเขาจริงจังกับอีกฝ่ายขนาดไหนและบอกให้ลูกตาลรู้อย่างแน่ชัดว่าเขายอมรับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน

              ราชันมองเพื่อนตัวเองหน้าตึง แต่ในใจของเขากลับเป็นห่วงคนตัวขาวที่ตอนนี้ใบหน้าขาวซีดจนน่าเป็นห่วง

              เป็นอะไรไป..

              อัมรินทร์เองก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่ว่าเมื่อเปลวอรุณเอนตัวซบเขาพร้อมยกมือขึ้นปิดปากเหมือนคนคลื่นเหียง

              “ไหวหรือเปล่าเปลว” เขาถามอย่างเป็นห่วง ยิ่งอีกคนส่ายหัวด้วยแล้วเขายิ่งเป็นกังวลมากขึ้น

              ตรงนี้แออัดมากเกินไป... อัมรินทร์ตะหนักได้อย่างนั่น

              “เดี๋ยวยังไงพวกผมขอตัวก่อนดีกว่านะครับ” อัมรินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมประคองเปลวอรุณเอาไว้แน่นแล้วรีบพาอีกคนเดินแทรกผ่านกลุ่มนักข่างออกมาพร้อมลูกตาลที่เดินตามหลังมา และต้องขอบคุณอนิรุทธิ์ที่หัวไวพอที่จะเอ่ยรั้งนักข่าวตรงหน้าเอาไว้ไม่ให้ตามคนทั้งสามไป

              ข่าวคราวเกี่ยวกับคนรักและลูกชายของอัมรินทร์ดูจะเป็นหัวข้อที่ทุกคนต่างพูดคุยกันเป็นอย่างมาจนกระทั้งงานเริ่มขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เสียงของพิธีกรหนุ่มที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีปรากฏตัวขึ้นบนเวทีพร้อมกล่าวเปิดงานพอเป็นพิธีก่อนจะกล่าวเชิญเจ้าของงานขึ้นมาปราศรัย

            “.....ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมทำบุญร่วมกันในครั้งนี้” ธรรมภาสเอ่ยขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานจากใจจริงแม้จะรู้อยู่ลึกๆดีว่างานเลี้ยงนี้ย่อมต้องมาคนอาศัยผลประโยชน์จากการพบปะกัน แต่ใครจะสนละ.. เขาเองก็แค่ชายชราที่อยากเห็นคนหนุ่มคนสาวแวะเวียนเข้ามาพูดคุยด้วยก็เท่านั้น

              ธรรมภาสกวาดตามองแขกเหลื่อที่นั่งกับอยู่คับห้องก่อนจะสะดุดเข้ากับใครคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้าก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าที่พอมองจากบนเวลาทีแล้วทำให้คนแก่อย่างเขามองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดขึ้น

              เปลวอรุณ...

            ชายชรายิ้มอย่างที่ยากจะเดาความรู้สึกภายในได้อย่างชัดเจน

            “เอาล่ะ  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ฉันก็ขอเริ่มงานประมูลเลยแล้วกัน”

              สิ้นเสียงของชายชราเสียงตบมือก็ดังขึ้นก่อนที่ไฟทั่วทั้งห้องจะดับลงจนเหลือไฟสีเหลือนวลที่วางเรียงไว้เป็นทางสำหรับให้นางแบบนายแบบถือหรือสวมใส่ทรัพย์ชิ้นนั้นมาให้แขกทุกคนได้ดู

              ทรัพย์ที่ถูกนำเข้าร่วมงานประมูลมีตั้งแต่ของชิ้นเล็กไปจนถึงของชิ้นใหญ่ แน่นอนว่ามูลค่าร่วมกันนั้นย่อมมหาศาลจึงไม่แปลกที่เมื่อก่อนเข้างานแขกทุกคนจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงาน

              “ต่อไปเป็นสินค้าชิ้นที่แปดจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับชั้นนำที่ทุกท่านรู้จักดีนะครับ” เสียงพิธีกรหนุ่มเล่นน้ำเสียงชวนตื่นเต้นพร้อมเว้นวรรคก่อนประกาศชื่อ “ ห้องเพชรเซเรนิตี้”

              และเป็นธรรมเนียมของผู้นำเข้าประมูลเมื่อสิ้นเสียงประกาศเจ้าของทรัพย์ชิ้นนั้นจะต้องยืนขึ้นเพื่อแสดงตัวตน

              อัมรินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมแสงของสปอร์ไลย์ที่ส่องมายังตัวของชายหนุ่มที่ค้อมกายเล็กน้อยเป็นเชิงรับเกียรติ์เมื่อผู้คนตบมือรับ พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างเพรียวระหงส์ในชุดเกาะอกรัดรูปสีชมพูอ่อนหางปลายาว

              ลิลดากรีดยิ้มหวานให้กับแขนทุกคนที่จัดจ้องเธอโดยเฉพาะชายหนุ่มขี้อายของเธอที่ดูจะตะลึงกับภาพลักษณ์ให้ในครั้งนี้ของเธออยู่ไม่นอน

              แน่ละก็ฉันสวยหนิ..

              เธอยิ้มพร้อมส่งสายตาชวนฝันไปให้อนิรุทธิ์ที่นั่งหน้าแดงจนต้องยกน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ เธอหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะก้าวเดินลงจากกลางเวลาให้ทุกคนที่นั่งอยู่ได้ยลโฉมเจ้าอัญมณีที่เธอสวมใส่อยู่

              รองเท้าส้นสูงสีขาวมุขหยุดลงตรงตำแหน่งที่ถูกมาร์คเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนฝึกเดิน ปลายนิ้วเรียวเริ่มไล่ไปตามสายเส้นของเครื่องประดับตามเสียงของพิธีกร

              เครื่องประดับชนิดสร้อยของแบบส่วนหนึ่งตะขอที่ด้านหลังประดับลูกเล่นด้วยเชือกผ้าถักประดับเพชรเม็ดเล็กๆยาวจรดกลางแผ่นหลังขาว ที่ด้านหน้าสร้อยถูกแยกออกเป็นสามเส้นขนาดเล็กตัวเส้นทำจากทองคำขาวประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กแบ่งช่วงอย่างสวยงามหากแต่เพชรตรงกลางของสองเส้นลางถูกแทนที่ด้วยเพชรสีฟ้าอ่อนรอบกรอบเชื่อมโยงกันด้วยเพชรสีขาว และจุดเด่นของสร้อยที่ถือเป็นไฮไลที่ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงดังกระฮึมก็คือเพชรสีชมพูหายากอย่าง Princess diamond เพชรน้ำดีที่ถูกเจียนระไนจนได้เหลียมคมแวววาวยามต้องแสงที่ประดับอยู่บนสร้อยเส้นบนสุดติดลำคอเรียว

              เป็นอันรู้กันดีในกลุ่มของคนที่เล่นเพชรกันอยู่แล้วว่าเพชรสีชมพูดังกล่าวถือเป็นเพชรที่หาได้ยากยิ่งในท้องตลาดและเพราะหายากนี้แหละทำให้มูลค่าของมันสูงลิ่วใช่เล่น และเมื่อมันปรากฏอยู่ภายในงานในค่ำคืนนี้แล้วแน่นอนว่าคงไม่มีใครคิดปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่

              เสียงค้อนทุบครั้งแรกเพื่อประกาศการเริ่มต้นการประมูลดังขึ้น เสียงเสนอเม็ดเงินจำนวนมากดังขึ้นออกมาไม่ขาดสายจนเจ้าของที่นำมาอย่างอัมรินทร์อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่กระแสตอบรับงานของตนเป็นไปในทิศทางที่น่าพึ่งพอใจเป็นอย่างยิ่ง

              “แม่เปลวเป็นอะไรหรือเปล่า”  เสียงทักเบาของเด็กหนุ่มที่นั่งถัดออกไปดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาจากเสียงรอบข้างมาที่คนข้างกายที่ตอนนี้นั่งเอามือกุมขมับ

              “เปลว” เขารีบจับไหล่ของอีกคนแล้วประคองให้ซบลงที่ไหล่

              “ผมเวียนหัว กลิ่นในนี้มันฉุนไปหมด” เปลวอรุณตอบเสียงล่องลอย

              “กุว่ามึงพาเปลวออกไปนั่งข้างนอกก่อนดีกว่า ถ้าไม่ดีก็พากลับไปก่อนเลยเดี๋ยวกูจัดการตรงนี้ให้” อนิรุทธิ์เสนอพร้อมส่งยาดมที่พกติดตัวมาด้วยส่งให้คนตัวขาว

              อัมรินทร์พยักหน้ารับก่อนจะประคองพาเปลวอรุณลุกออกจากที่โดยมีลูกตาลเดินตามหลังออกมาด้วยไม่ห่าง

            เพียงแต่ไม่ใช่แค่พวกเขาหรอกที่เดินหลบออกมาก่อน...

              ราชันที่จับตามมองมาทางพวกเขาตั้งแต่เริ่มแรงเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของอัมรินทร์ชายหนุ่มก็หันไปกระซิบกับชายชราข้างกายแล้วลุกออกมาพร้อมวาเลนติโนและลูกน้องอีกสองคนพร้อมของบ้างอย่างที่ถือเตรียมไว้ตลอด



__________________________________________________
เผยความในใจของอัมรินทร์กันสักเล็กน้อย

ตอนหน้าเตรียมพบกับรายการแฉ by ราชัน พร้อมกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-08-2017 22:55:52
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tistaek ที่ 14-08-2017 00:14:15
 :katai1: ราชันจะทำอะไรรึปล่าว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 14-08-2017 00:44:35
จะเกิดอะไรขึ้นอีกเนี้ยะ :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 26- 13/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 16-08-2017 00:36:44
ลุ้นๆๆตามอ่านด้วยคน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-08-2017 23:11:57

เป็นหนี้ ครั้งที่ 27


              ภาพของอัมรินทร์ที่คอยประคองพาเปลวอรุณออกมานั่งที่เก้าอี้รับรองตรงโถงกลางของชั้นก่อนถึงทางลงบันไดอยู่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่ลอบเดินตามออกมาเงียบๆตั้งแต่แรกอย่างราชันไปได้แม้แต่ช่วงเวลาเดียว

              ถึงจะไม่ได้สนิทสนมจนสามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนที่รู้ใจกันได้อย่างเต็มปากเต็มคำเสียเท่าไร อีกทั้งยังออกไปในทางที่ไม่น่าจะเรียกว่ารักใคร่กันได้เลยเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันในระดับหนึ่งได้

              และอัมรินทร์คนที่ราชันรู้จักไม่มีทางมานั่งดูแลเอาใจใส่ใครแบบนี่แน่ๆ...

              อัมรินทร์ที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะมาสนใจกับอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไอ้เรื่องดูแลใครพวกนี่ก็ตัดออกไปเลยเหมือนกัน แต่ไอ้ภาพตรงหน้านี่นี้สิที่ทำให้เขาแคลงใจและรู้สึกขัดๆนัยน์ตาเวลามอง โดยเฉพาะกับท่าทีของเปลวอรุณ...

              กับเปลวอรุณนั่นจัดได้ว่าพวกเขาสองคนรู้จักกันมานานและรักกันมากและในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั่นก็ถือได้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับกันและกันมานานแน่นอนว่าช่วงเวลานั้นของของเขามันต้องนานกว่าช่วงเวลาที่อัมรินทร์ได้รู้จักกับเปลวอรุณแน่ๆ

              แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนั้นของเปลวอรุณเลยมักครั้งเดียว...

              ผ่อนคลาย ไว้ใจ และปลอดภัย...

              “เป็นอะไรไป” เสียงเข้มขรึมของวาเลยติโนดังขึ้นไม่ดังมากแค่พอให้เขาที่อยู่ไม่ไกลพอได้ยินเท่านั้น

            เขานิ่งเงียบไม่ตอบกลับ

              “เกินเปลี่ยนใจขึ้นมาหรือไง” คล้ายๆกับเขาสามารถเห็นรอยยิ้มเหยียดแสยะของคนที่อยู่เยื้องได้ด้านหลังได้โดยไม่ต้องหันกลับไปมอง

              “นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่”  เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ดูดุขึ้นเพื่อตำหนิความคิดนั่นของอีกคนที่เขาแต่กอดอกทำเสียงในลำคอเหมือนสะใจ

              ใช่..

            เขาจะไม่เปลี่ยนใจกลับหันหลังตอนนี้แม้ในใจจะรู้สึกผิดที่ต่อให้ต้องรู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจของเปลวอรุณก็เถอะ

              สำหรับเขาแล้วเขารู้ดีว่าสถานที่ที่ทำให้เปลวอรุณรู้สึกปลดภัยได้เมื่ออยู่ใกล้และสามารถไว้วางใจได้จนสามารถปล่อยวางความตึงเครียดในใจของตัวเองลงได้นั่นมีน้อยเสียจนแทบจะหาไม่ได้อีกแล้วและไอ้พื้นที่ที่ว่านั่นก็ถูกเพิ่มขึ้นมาโดยอัมรินทร์  อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะยุ่งอยากจะทำอะไรที่จะเป็นสาเหตุทำให้เปลวอรุณเสียใจแบบนี้เหมือนกันในเมื่อมันคือสถานที่ทางใจที่เปลวอรุณเลือกเองและเขาย่อมยินดีที่อีกคนหามันพบ ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีบางสิ่งที่อยู่นอกเหมือนจากสิ่งที่เป็นอยู่

              ซึ่งเขายอมไม่ได้...

              ก็ยอมรับอยู่ละนะว่าตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีขนาดที่ว่าจะเที่ยวไปชี้หน้ากล่าวหาใครเขาได้ว่าคนนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่สำหรับเรื่องของเปลวอรุณแล้วเขาไม่มีทางนิ่งเฉยได้ ต่อให้ต้องถูกคนที่รักที่เขาให้ความสำคัญที่สุดเกลียดเขาก็ยอมได้แต่เขาจะไม่ยอมให้อัมรินทร์หลอกลวงเปลวอรุณเป็นอันขาดและเขาไม่เชื่อด้วยว่าคนอย่างมันจะกล้าเปิดปากบอกความจริงให้เปลวอรุณรับรู้ด้วย

                ราชันกระชับสิ่งที่อยู่ในมือแน่เมื่อตัดสินใจได้เด็ดขาดดีแล้ว

               ความตั้งใจของเขาคือการบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่อัมรินทร์ปกปิดให้เปลวอรุณรับรู้เพียงเท่านั้นแล้วหลังจากนั้นอีกคนจะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่ เขาเคารพการตัดสินใจของอีกคนเสมอ

                สองขาเรียวยาวก้าวเดินตรงไปยังโซฟารับรองที่มีคนสามคนที่เขารู้จักคุ้นเคยดีนั่งอยู่ ลูกตาลที่นั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับทิศทางที่ราชันเดินมาจึงเป็นคนแรกที่มองเห็นกลุ่มคนหน้าใหม่ก้าวเข้ามาอย่างใจเย็น

                เด็กหนุ่มหยันกายขึ้นด้วยสีหน้ากึ่งแปลกใจกึ่งไม่ไว้ใจ โดยเฉพาะกับสีหน้าราบนิ่งของราชันที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้ด้วยแล้วปฏิกิริยาการตอบสนองจึงแสดงออกเองโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้อีกสองคนที่ยังไม่รู้ถึงการมาของอีกคนต้องมองไปอย่างแปลกใจ

                  อัมรินทร์ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองท่าทีนั้นและมองตามสายตาของอีกคนไปและเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงลุกขึ้นถามเสียงแข็ง “มึงมาทำไม”

                 “กูมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย” ไร้ความหยอกล่อและรอยยิ้มทำให้คู่สนทนารู้สึกตงิดใจ
   
                “มีอะไร”

                ราชันเมินเฉยต่อเสียที่ว่าแล้วหันไปถามใครคนหนึ่งแทนด้วยน้ำเสียงที่ดูจะนุ่มเจือกระแสความอ่อนโยและห่วงใย “ไม่สบายหรอครับ เปลว”

                 กล้ามเนื้อบนผิวหน้าของอัมรินทร์คล้ายจะกระตุกเองอย่างไม่สบอารมณ์กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไหนจะการเรียกชื่อที่ดูจะสนิทสนมเกินกว่าคนที่เพียงเจอหน้ากันสองสามครั้งอย่างผิวเผิน แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เขาแสดงสีหน้าทะมึนตึงได้เท่ากับคำถามอีกคำถามที่ออกมาจากคนตัวซีดคนเดิม

                “ป่วยอีกแล้วหรอครับ”

                  เปลวอรุณนิ่งเงียบ

                  “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” อัมรินทร์กระชากเสียงไม่พอใจ เขากำลังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ราชันกำลังแสดงออกต่อเปลวอรุณ มันเหมือนกับว่าทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อนหน้า

                  “เกี่ยวสิ” ราชันตวัดสายตามามองคนถามก่อนจะคลี่ยิ้มเย็นใส่ “เพราะเวลาที่เปลวป่วยเขามักจะป่วยหนักและนานเสมอจนฉันอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้เลยละ” เจ้าตัวว่าพลางยกมือขึ้นทาบอกอย่างหวั่นใจตามคำพูด

                  “ไม่จำเป็น กูดูแลเมียกูได้ไม่ต้องลำบากให้มึงมานั่งเป็นห่วงหรอก” ถึงจะสะกิดใจกับคำพูดเหมือนรู้จักเปลวอรุณดีของอีกฝ่ายแต่อัมรินทร์ก็ไม่คิดอยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกคนให้เสียเวลา

                  มือข้างที่กุมมือของเปลวอรุณกระชับแน่น

                  ราชันไม่พูดอะไรนอกจากหยิบบางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในออกมา

                 “เปลวรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณขนาดไหนตอนที่ติดต่อคุณไม่ได้” เจ้าตัวว่าพลางยิ้มเศร้ามองสิ่งที่ถืออยู่ “ผมอยากคุยกับคุณให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่คุณเข้าใจผิด

                ราชันสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดตรงด้านข้างของโซฟาที่อัมรินทร์ใช้นั่งอยู่เมื่อครู่

                “ผมเอาโทรศัพท์ไปซ้อมให้แล้วนะครับ ใช้ได้เหมือนใหม่เลย” เจ้าตัวว่าด้วยรอยยิ้มอีกครั้งพร้อมยืนโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ว่าเมื่อครู่มาตรงหน้า

                 อัมรินทร์มองเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือกับใบหน้าของราชันสลับกันอย่างไม่ไว้วางใจ เมื่อราชันเองก็ไม่ม่ท่าทีจะขยับไปไหนเหมือนต้องการจะส่งมอบสิ่งที่ถืออยู่ให้ได้เขาจึงฉวยคว้ามันมาไว้แทนเปลวอรุณ

                  โทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวยี่ห้องเดียวกับโทรศัพท์เครื่องเก่าของเปลวอรุณที่ถูกคว้างจนแหลกละเอียดแต่ต่างกันตรงที่ว่าเจ้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้กลับไร้ร่องรอยของความเสียหายที่ว่า

                   หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่ยมองหน้าราชัยอย่างระแวง พอกดที่ปุ่มด้านข้างตัวเครื่องเพื่อเปิดหน้าจอภาพพื้นหลังเรียบๆอย่างที่เขาจำได้ว่าคือภาพที่เปลวอรุณเลือกใช้ทำเอาหัวใจในอกเต้นระส่ำระคมหวั่นกลัว

                    อัมรินทร์มองหน้าของราชันอีกครั้ง แต่ส่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นรอยยิ้มกวนประสาทเช่นเดิม

Rrrrr

              แรงสั่นเบาๆกับเสียงทำนองเพลงเบาๆอย่างที่เจ้าของเครื่องชอบดังขึ้นจนอัมรินทร์ที่ถือมันอย่างเผลอตกใจกับสายเรียกเข้าที่เขาไม่ทันตั้งตัว

              091-xxx-xxxx

              ท่าทีของอัมรินทร์ที่ดูคล้ายตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏกับท่าทีของเปลวอรุณที่ดูไม่ค่อยดีทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์มาตั้งแต่เริ่มทนไม่ไหวก้าวเดินออกจากจนเดิมที่ตนยืนอยู่ไปตรงด้านข้างของอัมรินทร์แล้วฉวยเอาสิ่งที่อัมรินทร์ถืออยู่มามอง

              “นี้มัน”

              ลูกตาลตะลึงตะลาน นัยต์ตาสีเข้มเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อเบอร์ที่ปรากฏคือหมายเลขโทรศัพท์ที่ครั้งหนึ่งจนกับอัมรินทร์พยายามช่วยกันตามหาเจ้าของหมายเลขที่ว่า

              “ดูเหมือนจะรู้จักเบอร์นี้กันสินะ” ราชันพูดขึ้น

              “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์แค่น

              “ก็หน้าตาของพวกนายสองคนดูตกใจเหมือนคนที่เคยเห็นเบอร์ของกูเลยนิ” ราชันยิ้มแป้น

               “เบอร์มึง” อัมรินทร์ชะงัก

              “หมายความว่ายังไง” ลูกตาลเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง

              “มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่มึงจะไม่รู้จักเบอร์โทรนี่มาก่อนหน้า” ราชันพูดเสียงนิ่ง

               โทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่เจ้าตัวถือซ้อนไว้ที่ข้างหลังถูกเผยออกมา โดยที่หน้าจอยังค้างอยู่ที่หน้าจอแสดงผลการโทรออก และเมือปลายนิ้วของราชันปัดที่ปุ่มสีแดงเพื่อตัดสายเสียงเรียกเขาขากโทรศัพท์มือถือของเปลวอรุณก็ดับลงก่อนจะเป็นข้อความรายงานว่าเมื่อครู่มีการติดต่อเข้ามาจากหมายเลขดังกล่าว

                 “ในเมื่อมึงไม่คิดที่จะสนใจอะไรในตัวกูมาตั้งแต่แรกมึงคงไม่คิดสนใจหรอกว่าเบอร์โทรของกูจะเป็นอะไร” เจ้าตัวยิ้มระคมเย้ยหยันและถือตัว

                เป็นจริงอย่างที่ราชันว่ามา อัมรินทร์ไม่คิดสนใจอะไรในตัวของราชันแม้แต่น้อยออกจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรือเข้าใกล้อีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกอะไรเลยที่เขาจะไม่รู้ช่องทางติดต่ออีกฝ่ายโดยตรง เพราะถ้าติดต่อเขามักจะติดต่อผ่านคุณจูนที่เป็นเลขาเสมอ

                “กูกับเปลวของมึงน่ะนะ รู้จักกันมานานแล้ว นานกว่ามึงเยอะเลยละ”  ราชันเน้นนักชัดทุกถ้อยคำ

               เส้นความอดทนอดกั้นของอัมรินทร์คล้ายถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเจอคำพูดที่เหมือนจงใจเปล่งออกมาเพื่อขยี้จุดหนึ่งในใจของเขา ร่างสูงสมส่วนของคนถูกยั่วยุเตรียมพุ่งเข้าใส่คนหน้านิ่งตรงหน้าอย่างเดือดดาดจนการ์ดสองคนข้างหลังของราชันเตรียมขยับเพื่อปกป้องคนเป็นนาย ดีที่ลูกตาลอยู่ใกล้กว่าจึงช่วยรั้งอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ไหนจะมือของเปลวอรุณที่จับมือของอัมรินทร์แน่นไม่ยอมปล่อยนั่นอีก

              “ใจเย็นหน่อยสิลุง” ลูกตาลพยายามเรียกสติ

              “เรื่องนี้มะ-“

              “ต้องการอะไรราชัน”

               คำถามที่อัมรินทร์ตั้งใจจะหันกลับมาถามคนที่ยังคงนั่งอยู่ถูกแทรกขึ้นเสียดื้อๆจนเป็นตัวเขาเองที่ชะงักเมื่อเสียงที่แทรกขึ้นมาคือเสียงของเปลวอรุณที่คล้ายกับว่าอีกคนยอมรับว่ารู้จักราชันจริงตามที่อีกฝ่ายพูดมา

              “อย่าเรียกกันห่างเหินอย่างนั้นสิครับ” ราชันหน้าเจือยิ้มเศร้าคล้ายอยากจะตักพ้อคนพูดเสียเต็มประดา

              “ฉันถามอยู่นะ” เปลวอรุณตวัดสายตามองอย่างแค่นถาม

             คำพูดที่แสนห่างเหินย่อมตัดทอนน้ำใจของคนฟังอย่างราชันอยู่ไม่น้อย

              “ผมแค่จะมาบอกว่าวันนั้นคุณเข้าใจผิด” ราชันยังคงพูดประโยคเดิมซ้ำๆขึ้นมาอีกครั้งเหมือนว่าอยากจะให้มันซึมซับเข้าไปในใจของอีกคน

              “ถ้าจะมาพูดเรื่องนั้นอีกละก็ฉันไม่ต้องการ” เปลวอรุณพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งราบแต่กลับดูเด็ดขาดจนน่ากลัว

              ราชันหน้าม้าน

               ใบหน้าซีดเจือลงจนน่าสงสารแต่นั้นกลับทำให้อัมรินทร์เหยียดยิ้มอย่างสะใจ คนสำคัญที่เปลวอรุณเคยพูดถึงเมื่อตอนนั้นดูไม่ต่างจากสุนัขที่เจ้าของไม่ต้องการในตอนนี้...

              ความสำคัญมันเปลี่ยนไปแล้ว นี้คือสิ่งที่อัมรินทร์คิด

              “ไม่พูดเรื่องนั้นก็ได้ครับ” ราชันยิ้มขืนก่อนจะเรียกให้คนของตัวเองที่อยู่ด้านหลังเอาบางสิ่งมาให้ตน

              “ถ้าอย่างนั่นเรามาพูดถึงเรื่องจริงที่ผมเคยพูดไว้ก่อนหน้ากันดีกว่านะครับ” เจ้าตัวว่าพลางเปิดเอกสารตรวจเช็ค

              “ความจริงอะไร” อัมรินทร์แทรกขึ้นใบหน้าของชายหนุ่มดูสับสนระคมแตกตื่น

              “ก็ความจริงของนายไง อัมรินทร์” ราชัยยิ้มกว้างไม่สะทบสะท้านกับในหน้าของอัมรินทร์ที่หันควับกลับไปมองหน้าของเปลวอรุณด้วยใบหน้าเผือดสีอย่างคงมีชนักติดหลัง

             
:serius2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-08-2017 23:12:38
 
:serius2:


 ลูกตาลเหลือบมองราชันเขม่งก่อนจะจงใจถอนห่างออกจากตัวอัมรินทร์กลับไปนั่งตรงที่ของตัวเองเหมือนกับไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น

              “นี้ครับ” ราชันขยับเข้ามาใกล้เพื่อยื่นเอกสาร

              ใจของอัมรินทร์ล่วงหลนลงพื้นเมื่อมืออุ่นของเปลวอรุณผละออกจากมือของเขาเพื่อเอื้อมออกไปรับเอาสิ่งที่ถูกส่งมา ความอุ่นเมื่อครู่กลายเป็นความรู้สึกเย็นวาบลมหายใจของสะดุดไม่เป็นจังหวะจนไม่กล้าขยับตัวทำอะไร

              เปลวอรุณกวาดสายตาพิจารณาเอกสารที่ถูกจัดแยกออกมาเป็นสองชุดอย่างฉงนสนใจ มองเผินๆเอกสารทั้งสองฉบับอาจเหมือนกันจนยากที่จะแยกออกว่ามันต่างกันเช่นไรจนเปลวอรุณเผลอคิดว่ามันคือเอกสารฉบับเดียวกันกระทั้งเขาพบบางสิ่งที่แตกต่างกัน

              จำนวนเงิน...

              “นี้มัน”  เปลวอรุณอุทานขึ้น แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาเคร่งเครียดและปวดหนึบที่ใจมากเท่ากับชื่อที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ให้กูยืม

              อนิรุทธิ์...

              “นี้มันหมายความว่ายังไงกันครับคุณอัน” เปลวอรุณเงยหน้าขึ้นถามอีกคนเสียงสั่น กระบอกตารู้สึกร้อนวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ทำไมถึงมีชื่อของคุณรุทธิ์อยู่ในนี้ด้วย” จังหวะการเต้นของหัวใจเขาเริ่มช้าลง

              เขาไม่เชื่อว่าพี่น้องที่สนิทกันมากอย่างอัมรินทร์และอนิรุทธิ์จะมีเรื่องที่ปิดบังกันแน่...

              “ก็นอกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนแล้วคุณอนิรุทธิ์ยังมีอาชีพเสริมเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ด้วยยังไงละครับ” ราชันตอนแทน

              อัมรินทร์ตวัดสายตามมองอีกคนเขียวปัด “ราชัน”

              “แล้วคุณรู้เรื่องนี้ด้วยสินะครับ” เปลวอรุณถามอัมรินทร์นิ่ง

              อัมรินทร์ไม่ตอบซ้ำยังก้มหน้านิ่งยิ้มรับความจริง  เปลวอรุณเม้มปากแน่น

            “พิมพาเข้าไปใช่บริการบ่อนการพนันบ่อยดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่ผู้หญิงคนนั้นจะทำสัญญากู้ยืมเงิน และที่ที่พิมพาเลือกที่จะกู้ยืมเงินด้วยก็คือที่กู้เงินของอนิรุทธิ์” ราชันพูดพร้อมชี้บอกให้เปลวอรุณหยิบรูปที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิดที่เป็นรูปของพิมพากำลังทำสัญญากู้ยืมอยู่กับพิมพาขึ้นมาดู ก่อนจะพูดต่อ

              “เอกสารการกู้ยืมเงินที่พิมพากู้ยืมออกมาถูกเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินจำนวนหนึ่งให้มีมูลค่ามากกว่าเดิมอย่างที่เห็น ฉบับที่ถืออยู่ทางขวาคือฉบับจริงส่วนทางซ้ายคือฉบับปลอมที่ถูกแก้ไขทำขึ้นใหม่”

              “แล้วฉันจะเชื่อที่นายพูดได้ยังไง” เปลวอรุณถามเสียงนิ่งตาเองก็เอาแต่จ้องมองเอกสารในมือที่เริ่มสั่น ไม่แม้จะหันเงยขึ้นไปมองใครอีกคนที่ยืนค้ำหัวตนเองอยู่

              ราชันยิ้มบาง

            “มันไม่ใช่ของจริง ฉันไม่ได้ทำ”

            น้ำเสียงตะวาดอย่างคนไม่พอใจกับบางสิ่งบางอย่างดังขึ้นเรียกสายตาของทั้งเปลวอรุณ อัมรินทร์ และลูกตาล ให้หันไปมองต้นเสียงที่อยู่ในมือของราชันเป็นตาเดียว

            เสียงของพิมพา...

              “จริงหรอ”

              “จริงสิ .... ดูนี้นะ”

              “ฉันกู้ยืมเงินจริง แต่แต่ละครั้งที่ฉันกู้มันไม่เคยเกินแสนเลยสักครั้งแถมฉันก็คืนเกือบทุกงวด”


              “แต่เอกสารพวกนี้ฉันได้มาจากห้องทำงานของออแลนโด้ หยวน เจ้าของบัตเตอร์ฟลายคลับเลยนะ อย่างนี้ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้โกหกไม่ได้โกหก”

                 “ฉันพูดความจริง โธ่เว้ย”
เสียงของพิมพาเงียบไปแล้วมีเสียงพลิกกระดาษเข้ามาแทรกแทน

              “นี้ไง ... แกดูนี้ เห็นไหมว่ามันเป็นเอกสารกู้ยืมที่ลงวันที่เดียวกันกับอันนี้”         

            “แต่ลายเซ็นนี้ก็ลายมือคุณไม่ใช่หรือไง”

            “มันปลอมกันได้ แกดูดีๆ”

            เสียงพูดของพิมพาถูกหยุดลงพร้อมกับสายตาของเปลวอรุณที่จ้องมองลงไปยังตำแหน่งที่พิมพาระบุเอาไว้ และเป็นจริงอย่างที่เขาได้รับฟังมาเมื่อครู่

              รายเซ็นของพิมพาทั้งสองฉบับมีร่องรอยที่แตกต่างกันอยู่ตรงหยักสุดท้ายตรงหัวของสระอา...

              สระอาตัวสุดท้ายของชื่อในฉบับจริงมีความแหลมที่ตั้งตรงตามอุปนิสัยของคนที่มีความมั่นใจและทะนงตนอย่างพิมพา แต่อีกฉบับหากพิจารณาดีๆความแหลมตรงของมันกลับดูมนกว่า และเป็นแบบนี้ทุกฉบับ

              จังหวะการลงน้ำหนักเวลาเช็นชื่อแบบนี้เปลวอรุณจำได้ขึ้นใจ แน่ละ ก็เขาอยู่กับมันมาถึงสามปีเลยนี่น่า

              “หมายความว่ายังไงกันครับคุณอัน” เสียงของเปลวอรุณดูสั่นจนใจของอัมรินทร์หายวาบ “คุณรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งนี่ใช่ไหมครับ”

              อัมรินทร์ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ  “เปลว เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะ”

              “แสดงว่าคุณรู้เห็นแต่แรกสินะครับ” มุมปากบางเหยียดยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกนี่คือแผนของคุณหมดเลยงั้นหรอครับ”

              “เปลวฟังฉันก่อนได้ไหม”

              “บอกผมทีสิครับคุณอัน” เปลวอรุณไม่ฟังคำทักท้วนที่ว่านั้น พร้อมตั้งถามขึ้น “ไอ้เงินหนึ่งร้อยล้านที่คุณเคยบอกว่าจะเอาไปจ่ายหนี้แทนผมไปก่อนหน้ามันใช่เงินงบประมาณสำหรับการผลิตคอลเลคชั่นใหม่จริงหรือเปล่าครับ”

              เขาจำได้ว่าตอนนั้นอัมรินทร์เป็นคนบอกเขาเองว่าเงินจำนวนนั้นที่ถูกจ่ายออกไปคือเงินที่อีกคนกันเอาไว้สำหรับใช้จ่ายภายในของบริษัท พร้อมทั้งเอาบ้านของเขามาเป็นหลักประกันสำหรับหนี้ที่อัมรินทร์เข้ามาเป็นเจ้าหนี้ต่อเขา

              “ว่ายังไงละครับ” เปลวอรุณขึ้นเสียง กระบอกตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

              “เปลว” อัมรินทร์ครางชื่ออีกคนอย่างรู้สึกผิด

              ร่างสูงใหญ่ของเขาทรุดลงนั่งตรงพื้นที่ข้างๆอีกคน  มือหนาโอบไหล่อีกคนเข้ามาใกล้หากแต่เปลวอรุณกลับขื่นมันไว้อย่างไม่ยอมจนเขาต้องเพิ่มแรงบังคับขื่นให้อีกคนยอมที่จะให้เขารั้งเข้ามากอดได้สำเร็จ

              เสียงสะอื้นดังขึ้นเบาๆจนอัมรินทร์รู้สึกผิดหนักกว่าเดิม “หนี้ก้อนนั้นฉันเป็นคนจ่ายให้เปลวจริงตามจำนวนที่แท้จริง ซึ่งมันเป็นเงินของฉันเองไม่เกี่ยวกับเงินของบริษัทอย่างที่อ้างไปหรอ” เขาสารภาพ

              เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วหากเขายิ่งโกหกปกปิดต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี

              เขาไม่อยากโกหกเปลวอรุณ...

              “ถ้าราชันไม่พูดเรื่องนี้ คุณคิดจะบอกผมเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เมื่อไร” เปลวอรุณถามขึ้น

              มือที่ลูบปลอบอยู่ชะงักค้าง

              อัมรินทร์ทำหน้าปั้นยากด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันออกไปยังไง

              ราชันที่ยังคงยืนนิ่งมองทั้งสองคนอยู่ก็ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับนัยน์ตาทอดมองคนทั้งสองอย่างยากที่ใครจะคาดเดาความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายในของอีกคน

              และเมื่ออัมรินทร์ไม่คิดที่จะตอบคำถามที่เขาอยากรู้ เปลวอรุณจึงเลือกที่จะยกมือดันอกอีกคนให้ออกห่างปลายจมูกและขอบตาของเขาแดงก่ำจนคนมองรู้สึกอ่อนแรง ครั้นพออัมรินทร์คิดจะเอื้อมมืออกไปสัมผัสใบหน้าเปลวอรุณกลับถลึงกายลุกขึ้น

              “นั่นเปลวจะไปไหน” อัมรินทร์ถามอย่างละส่ำละส่าย

              “ผมขออยู่คนเดียวสักพัก” เจ้าตัวว่าหันกายเตรียมพร้อมที่ก้าวเท้าเดินออกไปอีกทาง แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาออกไปอย่างที่ใจนึกข้อมือของเขาก็ถูกรั้งเอาไว้

              “ปล่อยครับ” ข้อมือขาวพยายามบีบออก แต่อัมรินทร์กลับไม่ยอม

              “ให้ฉันไปด้วยเถอะ” อัมรินทร์ไหว้วอน ถ้าไม่นับปลายจมูกกับขอบตาที่แดงเพราะการร้องไห้แล้วละก็สีหน้าของเปลวอรุณในตอนนี้ซีดเซียวจนหน้าเป็นห่วง

              เขาไม่กล้าปล่อยอีกคนไปไหนมาไหนคนเดียวแน่...

              “ไม่ครับ” เปลวอรุณยังคงยืนยันคำเดิม

              อัมรินทร์หน้าม้าน ในตอนนี้เขาคือคนผิดหากยังดื้อดึงต่อไปอีกไม่แน่ว่าเปลวอรุณจะยิ่งโกรธเขามากขึ้น เขาจึงยอมปล่อยมือออกแม้จะไม่เต็มใจที่จะทำมันก็ตาม

              เปลวอรุณมองหน้าอัมรินทร์กับราชันเล็กน้อยก่อนหันหนี

              เขารู้ว่าอัมรินทร์เป็นห่วงเขาแต่ตอนนี้เขาต้องการเวลาส่วนตัว ยอมรับอยู่ในใจนั้นแหละว่าโกรธอีกคนที่กล้าสร้างเรื่องสร้างราวหลอกลวงเขาเสียใหญ่โตเพื่อเอาเรื่องหนี้เรื่องบ้านพวกนี้มาบีบบังคับเขา

              เขาโกรธแต่ก็ไม่ได้เกลียด...

              ที่เขาโกรธเพราะอีกฝ่ายหลอกลวงเขาแต่กลับไม่รู้สึกเกลียดกับสิ่งที่อัมรินทร์ทำลงไป บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าเพราะอะไรคือสาเหตุที่ทำให้อีกคนทำและรู้ว่าอะไรทำให้อีกคนตัดสินใจทำมันลงไป

              เพราะตัวเขา...

              และตอนนี้เขาต้องการที่จะอยู่คนเดียว...

              เขาอยากหาคำตอบให้กับตัวเองว่าควรจะเอายังไงต่อไป ทั้งความรู้สึกของเขาที่มีต่ออัมรินทร์ ทั้งการตัดสินใจสำหรับเรื่องที่เขาเพิ่งรู้ และที่สำคัญคือเรื่องของลูก

              เปลวอรุณเดินออกมาจากที่นั่งรับรองกลางมาจนใกล้ถึงบันไดเขาจำได้ว่าตอนที่มาถึงพนักงานต้อนรับบอกว่าที่สวนมีที่นั่งเล่นอยู่ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปที่นั่น แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสกับราวจับอยู่ดีๆเขาก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

              “อาการเครียดของแม่ส่งผลโดยตรงต่อเจ้าตัวเล็กในท้อง เปลวต้องห้ามเครียดนะเข้าใจไหม”

            คำพูดอ่อนโยนแกมบังคับของอัมรินทร์แวบขึ้นมาในหัวเขาทันที

              ภาพแผ่นหลังบางที่หยุดนิ่งก่อนจะเริ่มงอโค้งไปด้านหน้าเล็กน้อยทำให้อัมรินทร์รู้สึกผิดสังเกตแม้เพียงแค่แปบเดียวที่เปลวอรุณหยุดนิ่งแล้วก้าวเดินต่อไปที่บันได ถึงเขาจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ตามไปแต่สังหรณ์ของเขากลับสั่งการให้สองขาของเขาก้าวตามอีกคนไป

              ความวิตกกังวลบนสีหน้าของอัมรินท์ทำให้ลูกตาลที่อยู่ตรงข้ามสามารถมองเห็นมันได้ชันจนต้องเหลียวตัวมองตามหลังอีกคน

              ความเครียดทำให้เปลวอรุณเริ่มปวดหน่วงที่ท้องมากขึ้น อันที่จริงเขาเริ่มปวดมาสักพักแล้วตั้งแต่เริ่มอ่านเอกสารที่ราชันนำมาให้แต่มันก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นไม่เหมือนกันตอนนี้ที่เพียงแค่จะก้าวขาลงบันไดยังยากเย็นอาการวิงเวียนที่ตอนแรกหายไปแล้วเริ่มกลับอีกครั้งเมื่อเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อครู่และตอนนี้พวกมันก็กำลังเล่นงานเขาพร้อมๆกัน

              ยิ่งก้าวขาลงก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงไปเท่านั้นม่านตาของเขาเริ่มหรี่ลงและพร่ามั่ว เปลวอรุณพยายามกระชับมือที่จับราวบันไดเอาไวให้มั่นคงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ หากแต่เข่งขาของเขากลับอ่อนแรงเกินกว่าจะทรงตัวอยู่ได้ทำให้ขาข้างที่กำลังก้าวลื่นออกจากขั้นบันได

              “เปลว!”

              เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยคือสิ่งที่เขาได้ยิน

              มันดังพอที่จะลอยเข้ากระทบกับโสตประสาทที่เริ่มมึนเบลอของเขาจนต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียยง

              ใบหน้าตื่นตกใจของอัมรินทร์ที่รีบวิ่งก้าวลงบันไดมาพร้อมยื่นมือออกมาหมายจะฉวยคว้าเขาเอาไว้ทำให้เขายกมือออกไปหมายจะยืนให้อีกคนจับเอาไว้

              แต่เพียงเสียววินาทีเท่านั้นก่อนที่ปลายนิ้วของพวกเขาจะได้สัมผัสกันร่างของเปลวอรุณก็ล่วงลงและกลิ้งกรุกไปตามขั้นบันไดที่ทอดยาวก่อนจะแน่นิ่งหยุดลงที่ชั้นพักของขั้นบันได 

              ความเจ็บแล่นริ้วไปทั่วร่างเมื่อการกลิ้งหยุดลงและร่างของเขามานอนนิ่งอยู่ที่ชั้นพัก ร่างของอัมรินทร์ที่รีบวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกตกใจอย่างขีดสุดวิ่งเข้ามาถึงตัวเขาเป็นคนแรงพวกโอบตัวเขาขึ้นมา ที่หางตาเขาเห็นความวุ่นวายที่ขั้นบนสุดของขั้นบันได ราชันหันไปสั่งการอะไรสั่งอย่างที่เขาฟังไม่ถนัดกับลูกตาลที่รีบวิ่งตามลงมา

              “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” อัมรินทร์ถามเสียงละล่ำละลักมือไม้สั่นไปหมด

              “ผมเจ็บ” เปลวอรุณตอบเสียงแผ่ว

              เขาเจ็บไปทั้งตัวเลย โดยเฉพาะช่วงท้องที่มันทั้งจุกทั้งเจ็บจนยากจะอธิบาย

              “แม่เปลว เลือด”  เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มที่หยุดค้างอยู่บนขั้นบันไดเรียกสายตาของคนทั้งหมดให้หันมามอง

              !           

              อัมรินทร์ละสายตาจากใบหน้าซีดเซียวของเปลวอรุณมาที่ช่วงล่างของร่างกาย เลือดจำนวนหนึ่งไหลซึมออกมาจากกางเกงสแล็คสีเทาที่เปลวอรุณสวมใส่จนเป็นลอยดวงด่างและเปื้อนเต็มพื้นเป็นวง

              คำพูดของลูกตาลทำให้เปลวอรุณขยับคอก้มมองลงที่พื้น

              “ลูก.. ลูก” ดวงตากลมที่ไร้เลนส์แว่นช่วยขยาดภาพแม้จะมองไม่ชัด แต่สีแดงฉานของเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากร่างกายกลับเด่นชันในจักษุของเปลวอรุณ

              “คุณครับ รถพร้อมแล้วครับ” เสียงของพนักงานโรงแรมคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ที่เปลวอรุณตกบันไดรีบวิ่งเกาะขอบราวบันไดชั้นล่ำพร้อมตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรนไม่ต่างกัน

              อัมรินทร์ไม่เคยนึกขอบคุณบริการของทางโรงแรมมาก่อนเท่ากับครั้งนี้

              “ไม่เป็นไรเปลว ลูกจะต้องไม่เป็นไร” ถึงจะไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเองเท่าไรยิ่งเลือดที่ออกมาเยอะขนาดนี้เขายิ่งคิดมันในแง่ตรงข้ามกับคำพูด หากแต่เขากลับเลือกที่จะพูดเพื่อรักษาใจอันสั่นไหวของเปลวอรุณมากกว่า

              อัมรินทร์ช้อนตัวอีกคนขึ้นอุ้มแล้ววิ่งลงบันไดไปตามทางที่พนักงานคนนั้นวิ่งนำ  เปลวอรุณเองก็เอาแต่กอดหน้าท้องของตัวเองแน่นแม้ว่าตัวเองจะสลบไปแล้วก็ตาม



____________________________________________

 ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่า ม่ายยยยยยยยยยยยยย
 :katai1:

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 16-08-2017 23:52:36
เครียดเลย เปลวจะแท้งหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-08-2017 08:49:24
เอาระเบิดไปปาบ้านราชัน ดีกว่า หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 17-08-2017 16:15:12
ยังคงดราม่ากันอย่างต่อเนื่อง...
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 17-08-2017 22:14:37
ทำร้ายจิตใจกันมากเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-08-2017 01:16:35
มันเป็นเรื่องสนุก ?? ราชัน ? อัน ?

ไหนพูดสิ

 :hao4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 27- 16/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-08-2017 09:26:00
OMG!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-08-2017 23:08:28

เป็นหนี้ ครั้งที่ 28



               ติ๊ก ติ๊ก...

              เสียงเข็มวินาทีจากหน้าปักนาฬิกาข้อมือดังขึ้นเป็นจังหวะการหมุนเดินของมันเพื่อบอกเวลาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างที่มันเป็นในทุกๆวัน หากแต่วันนี้อัมรินทร์กลับรู้สึกว่ามันเดินได้ช้าเสียจนจังหวะการเต้นของหัวใจเขายังเร็วกว่า

ตุบ ตุบ..

              เสียงหัวใจในอกเต้นแรงและเร็วอย่างลุ้นระทึกพอๆกับความหวาดกลัวที่เกาะกุมทุกตารางนิ้วในหัวใจแม้จะพยายามสงบสติอารมณ์ของตนให้เย็นแล้วนั่งรอยู่ที่เก้าอี้หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงเครียดเกร็ง ความกลัว ความเป็นห่วง ฉายชัดในดวงตาที่เอาแต่จ้องมองไปยังบานประตูสีขาวของห้องฉุกเฉินอย่างไม่ลดละ

              เกือบห้านาทีแล้วที่ไฟสีแดงของห้องฉุกเฉินถูกเปิดขึ้นเมื่อบุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างของเปลวอรุณเข้าไปด้านใน ใบหน้าขาวดูซีดเซียวลงถนัดตาเมื่อเลือดสีสดยังคงไหลออกจากร่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เขายังจำใบหน้าสวยของเปลวอรุณที่แม้จะดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยมือที่กุมมือเขาเอาไว้พลางพึมพำเรียกชื่อเขากับลูกไม่ขาดปากเหมือนคนที่กำลังพยายามหาสิ่งเหนี่ยวรั้งเอาไว้

              “คุณอัน..คุณอัน.. ลูก...”

            “ฉันอยู่นี้เปลว ฉันอยู่นี้”
เสียงของเขาในตอนนั้นมันทั้งสั่นไหวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

              กลัวว่าเปลวอรุณกับลูกจะเป็นอะไรไป....

              “อยู่..กับผม”

              “ฉันอยู่นี้ อยู่ข้างๆเปลวนี่ไง”
แต่อย่างน้อยรอยยิ้มที่เขาฝืนปั้นยิ้มออกไปก็ช่วยทำให้เปลวอรุณมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งแม้จะเพียงเล็กน้อยก่อนที่นางพยาบาลที่วิ่งตีเสมอคู่กับเตียงฉุกเฉิดมาตั้งแต่เริ่มแรกจะเอ่ยปากกันเขาออกมา

              “ญาติคนไข้เข้าไม่ได้นะคะ” เธอยกแขนเล็กๆนั่นกันตัวเขาเอาไว้จนแน่ใจว่าเขาจะไม่ผลีผลามตามเข้าไปแล้วจึงปิดประตูแล้ววิ่งตามเข้าไปด้านใน

              คราแรกเขาเดินวนไปมาอยู่หน้าอย่างหนูติดจักรเขาทำอะไรไม่ถูกคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้าเริ่มแห้งกรัง มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างแรงหนึ่งทีก่อนจะทรุดนั่งลงที่เก้าอี้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ และเมื่อไม่มีทีระบายความตึงเครียดเขาจึงนั่งเขย่าขาไปมา

              เสียงพื้นรองเท้าหนังขัดมันดังก้องสะท้อนไปมาตามจังหวะการวิ่งของคนจำนวนหนึ่งและเมื่อใกล้เข้ามาใกล้เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขารู้จักดีก็ดังขึ้น

              “ลุง!”

               อัมรินทร์ละความสนใจจากหน้าประตูห้องฉุกเฉินมาที่ร่างของเด็กหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา หากแต่ความโล่งใจเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่วิ่งก็หายไปฉับพลันเมื่อเห็นว่าข้างหลังมีใครคนหนึ่งที่เขาเกลียดขี้หน้าวิ่งตามมา

             “มึง!” อัมรินทร์ขบเขี้ยวตัวเองแน่นแล้วตรงปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อของราชันที่ยังไม่ทันตั้งตัวเข้ามาใกล้จนอีกฝ่าหน้าตื่นตระหนก

              “ลุงอย่า” ลูกตาลที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบเขามารั้งแขนของอัมรินทร์เอาไว้ไม่ให้ทำร้ายราชัน

              “ถ้าเปลวกับลูกเป็นอะไรละก็ เพราะมึง!”  ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงห้ามปรามของลูกตาลแม้แต่น้อยซ้ำยังตะคอกลั่นใส่คนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เหมือนคนหมดแล้วซึ่งอดทนหากแต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในประโยคใส่ความนั่นกลับสะกิดใจราชันขึ้น

               “ลูก.. หรอ”

                “ใช่ ลูก” อัมรินทร์เหยียดยกมุมปากขึ้นเมื่อคำว่า ‘ลูก’ ดังออกมาจากปากของอีกฝ่ายพร้อมกับมือหนาที่ยกคอเสื้อเชิ้ตของราชันขึ้นสูงอีกเล็กน้อยก่อนจะเหวี่ยงร่างสูงโปร่งของคนที่เขาชังน้ำหน้าเหลือทนลงไปกับพื้นอย่างแรงและสลัดช่วงแขนที่ถูกเด็กหนุ่มรั้งเอาไว้ออก

                “ตอนนี้เปลวกำลังท้องและเด็กในท้องของเปลวก็คือลูกของกูกับเขา แล้วมึง! มึง! โถ่เว้ย!” อัมรินทร์ชี้ราชันอย่างเดือดดาดถ้อยคำมากมายที่เขาอยากจะเปล่งมันออกมาสรรเสริญคนตรงหน้ากลับถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอด้วยเพราะเขาไม่รู้จะพูดมันออกมายังไงให้มันซึมซาบเข้าไปถึงสามัญสำนึกของอีกฝ่าย สุดท้ายเขาก็ทำเพียงสบถมันออกมาอย่างหัวเสียแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง

                เขาไม่กล้าพูดออกไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ไม่กล้าคิด...

                ใบหน้าขาวซีดของราชันคล้ายว่าจะซีดลงไปอีกหลายเท่าตัวเมื่อเขาได้พบกับความจริงอีกหนึ่งอย่างที่เขาไม่เคยรู้ ร่างของเขาชาและไร้เรี่ยวแรงไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าตัวของเขาถูกวาเลนติโนช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนมาตั้งแต่ตอนไหน

                 “ท้องหรอ” เสียงสั่นๆดังออกมาแผ่วเบาจากริมฝีปากบางสีอ่อน กรอบตาเรียวสั่นไหว

                 อัมรินทร์เหลือบสายตามองอย่างชิงชังเพียงแวบเดียวแล้วหันกลับไปเฝ้ามองที่หน้าประตูดังเดิม

                 เมื่ออัมรินทร์ไม่คิดจะพูดจาอะไรและราชันก็อยู่ในสภาพคล้ายคนสติหลุดหายความเงียบก็เริ่มเข้ามาแทนที่ความวุ่นวายเมื่อครู่นี้อีกครั้งและมันก็พาพลอยทำให้เกิดความหวั่นวิตกกังวลใจมาสู่ผู้ที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอผลอยู่ด้านนอกประตู

                  ทุกคนหวั่นเกรงการสูญเสียไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเปลวอรุณหรือเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่ทันได้ออกมาลืมตาดูโลก ไม่มีใครต้องการ ทั้งอัมรินทร์ ลูกตาล และราชัน พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่มีความต้องการที่จะให้มันเกิดขึ้น

                โดยเฉพาะกับลูกตาล

                 เด็กหนุ่มอายุน้อยหากแต่กลับต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปทั้งหมดการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตทำให้เด็กหนุ่มเคว้งไร้จุดยึดเหนี่ยวจนกระทั้งได้พบกับเปลวอรุณ การได้เปลวอรุณมาเป็นแสงส่องใจให้เขาและมาเป็นครอบครัวใหม่ให้กับเขาทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจที่จะก้าวต่อไปแม้มันจะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆแต่เขาก็รักและเคารพเปลวอรุณเป็นอย่างมากและเขาไม่ต้องการสูญเสียอะไรไปอีกแล้วเช่นกัน

              ความตึงเครียดของทุกคนที่กระจายตัวกับอยู่หน้าห้องฉุกเฉินหยุดลงเมื่อแสงไฟสีแดงที่แสดงถึงการใช้งานของห้องดังกล่าวดับลง

              อัมรินทร์ถลึงกายขึ้นเป็นคนแรงด้วยใจละส่ำ

              บานประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออกมาด้วยมือของนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่เข้าไปทำการรักษา

              “หมอ เมียกับลูกผมเป็นยังไงบ้าง” อัมรินทร์ถามเสียงสั่น หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก ความหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อสีหน้าของหมอดูม้านลงและหลุบตาลงต่ำ

              “หมอ” เสียงเรียกของอัมรินทร์นั่นคล้ายเว้าวอนอย่าให้หมอได้เอ่ยคำใดที่จะทำร้ายจิตใจของผู้ฟังอย่างเขา

              “คนไข้ปลอดภัยพ้นขีดอันตรายแล้วครับ” นายแพทย์เลือกที่จะบอกข่าวดีให้ญาติผู้ป่วยได้โล่งใจเป็นอย่างแรก หากแต่รอยยิ้มแกนบนใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คนที่รอฟังอยู่รู้สึกดีตามเท่าไรนัก

              “แล้ว..”

              “ส่วนเด็กในท้อง หมอไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้จริงๆครับ” นายแพทย์ก้มหน้าต่ำอย่างยอมรับผิดได้แต่เพียงกล่าวขอโทษคนเป็นพ่อผู้เพิ่งสูญเสียลูกอยู่ในใจแล้วเดินจากออกมา สำหรับการสูญเสียชีวิตนั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครต้องการให้มันเกิดขึ้นโดยเฉพาะคนเป็นหมอที่มีหน้าที่รักษาคนไข้

              ยังไม่ทันได้เห็นหน้าให้ชื้นใจเขากลับต้องสูญเสียโซ่ทองแสนล่ำค่าไปอย่างไม่มีวันห้วนกลับ อัมรินทร์ทิ้งกายอันไร้เรี่ยวแรงลงกับที่นั่งดังเดิมอีกครั้ง ความเจ็บช้ำใจเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราดเมื่อคนที่เป็นเหมือนต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดยังคงยืนอยู่ตรงหน้า

              อัมรินทร์ที่ยามนี้เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวผลุดลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วซัดหมัดหลุมๆเข้ากระแทรกที่ใบหน้าด้านข้างของราชันเข้าอย่างจังจนคงไม่ทันตั้งตัวเซถลาลงพื้น

              “เพราะมึงไอ้ราชัน เพราะมึง!” อัมรินทร์ชี้หน้าปรามาสอย่างอาฆาต หมัดที่สองง้างขึ้นสูงหมายจะระบายความเดือดพรานในใจให้ออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ทุกคนพอจะตั้งตัวได้ลูกตาลจึงรีบเข้ามารั้งชายหนุ่มเอาไว้อีกครั้ง

              “พอลุง อย่า!”

              “ปล่อยฉัน ฉันจะเอาเลือดหัวมันออก” อัมรินทร์กระฟัดกะเพียดพยายามบิดตัวออกจากการเหนี่ยวรั้งนั้นสุดแรง “เพราะฉัน มันทำให้ลูกฉันตาย มึงฆ่าลูกกูไอ้ราชัน” เขาตราหน้าอีกฝ่ายด้วยข้อหาที่ร้ายแรง

              ราชันก้มหน้านิ่ง

              น้ำตาหยดใสไหลอาบข้างแก้ม  ครั้งนี้เขาไม่นึกโกรธที่อัมรินทร์ตรอกหน้าเขาอย่างร้ายกราดเพราะมันเป็นเขาที่ผิดจริงดั่งที่อีกคนกล่าวหา เขาทำให้เด็กคนหนึ่งที่ควรจะได้เกิดมาตาย

              ราชันยังคงยืนนิ่งให้อัมรินทร์ที่สลัดหลุดจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่มเข้ามาชกหน้าโดยไม่ต่อต้าน ความเจ็บทางกายที่อัมรินทร์สร้างไว้ให้เขาเขารู้ดีว่ามันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดภายในใจของอีกคน เพราะอย่างนั้นเขาจึงยอม ยอมอยู่เฉยๆให้อีกคนทำร้ายโดยไม่โต้แย้งหรือสวนกลับ

              “เอาลูกกูคืนมาไอ้ราชัน เอาลูกกูคืนมา”  คนที่คลุ่มคลั่งคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายเขามาแล้วเขย่าเสียจนหัวคอน

              ครั้งนี้ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามอัมรินทร์อีกเมื่อน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคมของเจ้าตัวทำให้พวกเขาตระหนักรู้แล้วถึงความทุกข์ใจและราชันเองก็ยินยอมที่จะรับมัน ทุกคนจึงเลือกที่จะทำเพียงแค่ยืนอยู่อย่างนั้นเงียบๆเท่านั้น

              “สะใจมึงหรือยัง พอใจมึงหรือยัง” เสียงของอัมรินทร์ยังคงตะโกนด่าทออีกฝ่ายออกมาทั้งน้ำตา หมันที่กำค้างเอาไว้เตรียมที่จะชกซ้ำลงที่ใบหน้าขาวซีดที่เริ่มแดงและเขียวช้ำลดตกอยู่ข้างตัว

              “คนอย่างนาย มันน่าจะตายตายปะ- อัก”

              ความเจ็บแปรบที่หลังคอทำให้คำพูดสุดท้ายของเขาขาดหายไปพร้อมๆกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆมืดลง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ก่อนที่ภาพจะดำมืดลงไปก็คือ บานประตูของห้องฉุกเฉินที่ถูกเปิดออกพร้อมกับเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกมา

              “เปลว..”

 
....................................................

:ling3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-08-2017 23:09:23
:ling3:


              “อืมม “

              อัมรินทร์ครางอื้อในลำคอเมื่อขยับกายแม้เพียงเล็กน้อยอาการปวดบริเวณท้ายทอยก็แล่นริ้วขึ้นมาทำให้หัวคิ้วขมวดกับจนมุ่ย เปลือกตาบางขยับปรือกะพริบถี่เพื่อปรับสภาพการของดวงตาให้คุ้นชินกับแสดงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

              “เช้าแล้วหรอ ? ที่นี้มัน” เขาถามตัวเอง ดวงตาที่ยังปรือเปิดได้ไม่เต็มทีกวาดมองห้องห้องหนึ่งที่ต่อให้สติสัมปชัญญะของเขายังกลับมาไม่ครบถ้วนก็สามารถบอกได้ว่าที่นี้ไม่ใช่ห้องของเขา

              อัมรินทร์ขยับกะพริบตาอีกสองสามครั้งให้คุ้นชินก่อนจะค่อยๆหยันกายลุกขึ้นนั่ง อาการปวดที่หลังคอทำให้เขาตัวยกมือขึ้นนวดพลางกวาดตามองรอบๆห้องใหม่อีกครั้งก่อนจะสะดุดลงที่ปลายเตียงที่ตนเองนั่งอยู่

              “เตียงคนป่วย” เขาขมวดคิ้ว

              ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงแรงเมื่อคืนนี้ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของเปลวอรุณที่พลาดตกลงไปกับพื้นบันได เลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากกายขาว เสียงละล่ำละลักของเปลวอรุณก่อนจะถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

              “เปลว! ลูก!” 

              มือหนาตวัดผ้าห่มขาวออกจากกายอย่างรวดเร็วหมายจะรีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปหาเปลวอรุณกับลูก หากแต่ยังไม่ทันจะได้ออกวิ่งอย่างที่ใจนึกคำพูดคำพูดหนึ่งก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา

              “ส่วนเด็กในท้อง หมอไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้จริงๆครับ”

              ร่างสูงอ่อนแรงซวนเซคล้ายจะล้มจนต้องเท้ามือยันขอบเตียงเอาไว้เป็นหลักไม่ให้ตัวเองล้มลงไปกับพื้น คราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่กับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสเล็คคือหลักฐานที่บ่งบอกให้เขารู้ถึงความจริงอันโหดร้ายที่เขาไม่อยากแม้จะยอมรับมัน

              เขาเสียลูกไปแล้วจริงๆ...

              แล้วเปลวอรุณละ...?

              เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงหันรีหันขวางมองรอบห้องอีกครั้งเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก หากแต่ห้องพักผู้ป่วยเดียวธรรมดาแห่งนี้ก็ยังคงมีเพียงเขาที่นอนอยู่

              อัมรินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอความเป็นห่วงอีกคนเริ่มทวีเพิ่มมากขึ้นเขาเป็นกังวลว่าหาเปลวอรุณตื่นขึ้นมาแล้วต้องมารับรู้ว่าลูกไม่อยู่กับตนแล้วอีกคนจะเศร้าโศกขนาดไหน

              ไม่ได้การณ์...

              เขาต้องรีบไปหาเปลวอรุณ ไปอยู่ข้างๆอีกคน...

Rrrrrrrrrr

              และเป็นอีกครั้งที่ร่างของเขาถูกฉุดรั้งเอาไว้ ครั้งนี้ไม่ใช่ความทรงจำก่อนจะหลับตาลงแต่เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของใครคนหนึ่ง

              โทรศัพท์ของเปลวอรุณ...

              อัมรินทร์หัวกลับมามองเจ้าเครื่องมือสื่อสารเครื่องสีขาวที่ราชันบอกว่านำไปซ้อมมาให้คนของเขาที่ตอนนี้ส่งเสียงและสั่นอยู่บนตู้ข้างเตียนนอนผู้ป่วยที่เขานอนอยู่เมื่อครู่ข้างๆยังมีโทรศัพท์มือถือของเขาและกระเป๋าเงินวางอยู่

              หัวคิ้วของเขาขมวดอย่างไม่แปลกใจเจือกระแลความไม่พอใจ ปลายเท้าเปลี่ยนทิศทางจากบานประตูตรงหน้ามาเป็นที่ที่เจ้าโทรศัพท์เครื่องนั่นวางอยู่  หน้าจอแบบวีดีโอคอร์ทำให้เขายิ่งฉงนสงสัยแต่ก็ยอมที่จะรับสายนั้น

              ภาพห้องห้องหนึ่งที่ถูกผ้าสีขาวขึงบังทัศนียภาพด้านหลังที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นกระจกขนาดใหญ่ที่ถูกติดตังแทนผนังทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน แต่นั้นก็ไม่น่าสนใจเท่าใครคนหนึ่งที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในห้องนั้น

              “เปลว”  เขาตะโกนเรียก

              ถึงจะอยู่ไกลแต่ภาพในหน้าด้านข้างแบบนั่นมีหรือที่คนอย่างเขาจะลืมมันได้ลง ไม่ละ ไม่มีทางที่เขาจะลืมเปลวอรุณได้แน่ แต่ทำไมเปลวอรุณถึงไปอยู่ในนั้นแล้วไหนจะสายต่างๆนานาที่เชื่อมโยงระหว่างร่างของเปลวอรุณกับจอแสดงอัตราการเต้นของหัวใจและชีพจรนั่นอีก

               เปลวอรุณเป็นอะไร...

               “เปลว เปลวได้ยินฉันไหม เปลว!” เขาพยายามส่งเสียงเรียกเสียงดังหวังให้คนที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ตื่น

              อัมรินทร์จ้องมองภาพของเปลวอรุณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะต้องตกใจเมื่อภาพหน้าจอถูกเลื่อนไปทางขวาแล้วภาพของใครอีกคนก็ปรากฏขึ้น

              “ไอ้ราชัน” อัมรินทร์ตวาดเรียกชื่ออีกคนอย่างเกรี้ยวกราด

              “ไง” ใบหน้าขาวซีดของราชันบวมช้ำจากหมัดของเขาเมื่อชั่วคราวคืนที่ผ่านมามุมปากบางแตกช้ำจนเริ่มเขียวอมม่วง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของคนที่มองมันดีขึ้นเลยสักนิดซ้ำยังเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเปลวอรุณที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่กับคนอย่างราชัน

              “เอาเปลวของกูคืนมา” เขาสั่ง

              “คงไม่ได้หรอกนะ ใน ‘ตอนนี้’ น่ะนะ” ราชันคลี่ยิ้มเล็กน้อยพอไม่ให้กระเทือนบาดแผลที่มุมปาก

              “มึงอยู่ไหนไอ้ราชัน กูจะไปเอาเมียกูคืน”

              “รู้ไหมว่าไอ้นิสัยใจร้อน อยากได้อะไรก็ต้องได้ดั่งใจนึกเนี้ย ถือเป็นข้อเสียที่แก้ไม่หายของมึงเลยนะรู้ไหม” ราชันเปลี่ยนเรื่อง

              “ไอ้ราชัน!”

              “นี้ เรามาพูดคุยกันหน่อยดีไหม” ราชันยิ้มน้อยๆ “มึงไม่อยากรู้หรอว่าทำไมกูถึงไม่ชอบมึง”

              อัมรินทร์ชะงัก

              ใช่ เขาอยากรู้...

              “ทำไม”

              เมื่อได้รับคำตอบรับอันเป็นที่น่าพึ่งพอใจใบหน้าเรียกนิ่งก็เริ่มผ่อนคลายลง

              “มึงจำผู้หญิงที่ชื่อ ลิลิธ ได้ไหม” ราชันถามขึ้นโดนไม่เปลี่ยนสีหน้า

              อัมรินทร์เริ่มใจเย็นลงและคิดตามถึงคำถามของราชัน

              “ผู้หญิงที่เรียนคาร์สเดียวกับเราตอนสมัยปีที่สองที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย” และเพื่อให้อัมรินทร์ฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้มาขึ้นราชันจึงเพิ่มรายละเอียดลงไปอีกเล็กน้อย

              อัมรินทร์หรี่ตาลงพลางนึกย้อนตาม

              ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยในต่างแดงของเขาคือเขาชีวิตที่สุดกู้ที่สุด เหล้า ผู้หญิง ผู้ชาย การเรียน กีฬา หลายๆสิ่งทั้งดีและไม่ดีเขาลองมันและมั่วเมา ผู้หญิงผู้ชายหลายคนเสนอตัวเป็นเพื่อนร่วมเตียงให้เขาแทบทุกคืนวันและมันก็หลายคนจนตัวเขาเองแทบจะจำไม่ได้

              ลิลิธ...

              อ่า.. ผมสีน้ำตาลแดง ผิวขาวซีด ใบหน้าตกกะ ใส่แว่นหนาเตอะ ผู้หญิงขี้อายดูไม่มีอะไรน่าจดจำเสียเท่าไรแต่ในตอนนี้เขากลับจำเธอได้

              “ผู้หญิงคนนั้น ที่มีข่าวว่าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังวันจบภาคเรียน” เขาเอ่ยอย่างขาดความมั่นใจ

              ราชัยยิ้มเศร้า “ใช่ นั้นละเธอละ”

              “แล้วมันเกี่ยวอะไร” อัมรินทร์แค่นถาม

              “เธอแอบชอบนายมาตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียน” น้ำเสียงของราชันเจือความคิดถึงจนอัมรินทร์รู้สึกได้ “และฉันก็แอบรักเธอต่อ” คนฟังชะงักเมื่อแววตาไร้อารมณ์ของราชันเริ่มแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา

              “ฟังดูน่าขำเนอะว่าไหม นายที่แทบไม่เคยสนใจใยดีอะไรผู้หญิงจืดชืดที่เป็นเหมือนเงาไร้ตัวตนของมหาลัยกลับเข้ามาสนิทสนมกับเธอ จำได้ไหมว่าเพราะอะไร” ราชัยเผลอรอยยิ้มเย็นเฉียบจนคนมองเสียวสันหลัง

              “ฉันมีเกมมาเสนอ” เสียงทุ้มหนักของเพื่อนชาวต่างชาติรูปร่างดีดังขึ้นมาในความทรงจำเมื่อนานมา

              “เกมอะไร” น้ำเสียงและสีหน้าฉงนสงสัยของอัมรินทร์ในวัยยี่สิบปรากฏขึ้น

              “ผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งมาสารภาพรักกับนาย” เขามองตามปลายนิ้วของเพื่อนต่างชาติไปยังแผ่นหลังเล็กของผู้หญิงผมน้ำตาลแดงหยักศกยาวถึงกลางหลังที่กำลังเดินห่อไหล่ตัวรีบเล็กหายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาที่เดินสวนมา

              “ภายในสามเดือนถ้ามึงทำให้ผู้หญิงคนนั้นมานอนกับมึงได้หนึ่งแสนดอลลาร์จะโอนเข้าบัญชีนายทันที” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเพื่อนสนิท

              ราชันกระตุกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอัมรินทร์

              “นึกออกแล้วสินะ”

              อัมรินทร์นิ่งเงียบ

              ใช่ เขาจำได้และจำได้ด้วยว่าเขาตบปากรับคำท้าของเพื่อนในกลุ่มคนนั้น

              เขาเข้าหาลิลิธอาศัยความที่เธอมีใจให้หว่านล้อมเธอให้หลงกลเพียงเวลาแค่สองเดือนกว่าๆทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ เงินจำนวนหนึ่งแสนดอลลาร์ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเขาทันทีเมื่อเขาส่งรูปภาพของตนกับลิลิธที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงให้เพื่อนคนนั้น และเมื่อการท้าทายจบลงความสัมพันธ์ของเขากับเธอก็จบลง

              “มึงเคยรู้หรือบ้างหรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นดีใจขนาดไหนตอนที่นายเข้าไปทักเข้าไปพูดคุยด้วย” น้ำเสียงกึ่งเหยียดหยันกึ่งสมเพชเวทนาต่อความใสซื่อของหญิงสาวที่ตนแอบรัก ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างของลิลิธในตอนที่วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังยังเด่นชัดในความทรงจำของเขาเสมอ

               ลิลิธรักอัมรินทร์จากใจ...

              และเขาเองก็ยินดีที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุขแม้มันจะไม่ใช่ตัวเขาที่ทำให้เธอมีรอยยิ้มแบบนี้...

              บ่อยครั้งที่ผลการเรียนของอัมรินทร์สูงกว่าเขา เขาไม่เคยรู้สึกแย่กลับกันเขากลับรู้สึกเหมือนมีแรผลักดันให้พยายามมากขึ้น เรื่องของลิลิธเองก็เช่นกัน เขาไม่นึกโกรธหรือเกลียดอัมรินทร์อาจมีอิจฉาเสียด้วยซ้ำที่อีกคนคือคนที่หญิงสาวเลือก และยินดีหากคนทั้งคู่รักกันด้วยใจจริง

                แต่เพราะมันไม่ใช่...

               ในความเป็นจริงที่เขาเพิ่งได้รู้หลังจากนั้นคือมีเพียงลิลิธเท่านั้นที่หลงผู้ชายร้ายกาจคนนี้เพียงฝ่ายเดียวส่วนมันก็เห็นความรู้สึกของเธอเป็นแค่ของพนันสำหรับการท้าทาย

                และเพราะมันที่ทำให้ลิลิธตัดสินใจฆ่าตัวตาย!!

              “มึงมันก็เลวไม่ต่างจากที่มึงด่ากูนักหรอกไอ้อัน” ราชันหยามเหยียด “เพราะมึงก็ทำให้ลิลิธตาย ได้ยินไหมว่าเพราะมึงนั้นแหละที่เป็นสาเหตุให้ลิลิธตาย!” ราชัยตวาดลั่นใส่อย่างคนขาดความยับยั้ง

                 “อุบัติเหตุอะไรกัน เหอะ เธอเดินออกไปให้รถชนเองต่างหากเล่า”

                  อัมรินทร์หน้าซีดเผือก เขาไม่เคยรู้ ไม่สิ เขาไม่เคยสนใจมันเองต่างหาก ไม่คิดว่าลิลิธจะเก็บเอาเรื่องวันนั้นไปคิดมากจนคิดสั้นแบบนั้น

                   “ทำไมกันละอัน ไหนอันบอกว่ารักลิธไง” เสียงหวานเศร้าโศกเกาะแขนเขาอย่างเว้าวอน ดวงตาสีมรกตฉ่ำน้ำตา

                    “รัก ? ฉันพูดตอนไหนว่ารักเธอ” เขาถามพร้อมสะบัดแขนข้างที่เธอเกาะอยู่ออกอย่างแรงอย่างรำคาญ

                   “แต่อันได้ลิธแล้ว อันจะทำแบบนี้กับลิธไม่ได้นะ” เธอว่าทั้งน้ำตาดูน่าสงสาร แต่เขาไม่ชอบผู้หญิงที่มาตามงี่เง่าใส่

                   “แค่ครั้งเดียวเองลิธ รู้จักไหมคำว่าวันไนท์สแตนด์นะ” เขาพูดพลางเอานิ้วจิ้มหน้าผากมนของเธออย่างแรง

                    ภาพแผ่นหลังกับน้ำตาแห่งความเสียใจของลิลิธในวันนั้นใครจะรู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้เจอเธอ อัมรินทร์จำได้ว่าตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เจอเธออีกแล้วเกือบหนึ่งสัปดาห์หลังจากเธอกลับมาเรียนเธอก็เอาแต่หลบหน้าหลบตาเขาและหลังสอบเสร็จเขาก็ได้ข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเธอการบอร์ดข่าวสารในมหาวิทยาลัยและหอพักนักศึกษา

                     แน่นอนว่าการจากไปของเธอทำเอาเขาเองที่ทราบข่าวช็อคไปครู่หนึ่งเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเขาเคยไปเหยียมหลุมศพของเธอครั้งหลังหลังจากงานฝั่งศพของเธอเสร็จสิ้น เขาไปขอโทษเธอ ขอโทษกับสิ่งที่เคยทำไม่ดีด้วย....

                      “มึงเลยแค้นกูเพราะเรื่องของลิลิธอย่างนั้นหรอ” อัมรินทร์แค่นเสียงถาม

                      “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ” ราชันเอาลิ้มดุนกระพุงแก้ม

                       “เรื่องของ ทาเรีย ก็การแก้แค้นของมึงสินะ”  ทาเรีย ผู้หญิงคนแรกที่อัมรินทร์รู้สึกรักด้วยใจจริง

                       “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ”

                       “ราชัน!”

                       “แต่จะพูดว่าแก้แค้นทั้งหมดก็คงไม่ถูกหรอกนะ” ราชันว่าอย่างไม่รู้สึกผิด

                       “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ฉงน

                        “ก็ถ้าเธอมั่นคงในรักที่มึงอุตสาห์ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้เธอจะยอมเชื่อคำพูดฉันง่ายๆแบบนั้นหรือยังไง” ราชันไหวไหล่ไม่หยี่ระ “แค่ฉันบอกว่าให้เธอลองใจมึงช่วงที่มึงกับเธอทะเลาะกันดู เธอก็ดันทำจริง แต่ใครมันจะคิดละว่าเธอจะกล้าบ้าบิ่นทำเรื่องแบบนั้น”

                         ปีที่สี่ปีสุดท้ายสำหรับการเรียนในต่างแดนของอัมรินทร์ ปีนั้นเขาได้รู้จักกับหญิงสาวชาวอังกฤษที่ชื่อทาเรีย ทาเรียเรียกคนละเอกกับเขา ความสะสวยและมั่นใจของสาวเจ้าคือเสน่ห์ที่ทำให้เขาเหลี่ยวหลัง เธอเป็นคนฉลาดคิดฉลาดพูดและที่สำคัญเธอเป็นคนอ่อนโยนและใจดีนี้ละคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกรักเธอจนยอมคิดที่จะทิ้งชีวิตเสเพนั่นแล้วเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอ แต่ใครจะคิดกันว่าตอนที่พวกเขาสองคนทะเลาะเธอจะกล้าที่จะไปนอนกับคนอื่นเพื่อประชดเขา

                          ถึงเขาจะทั่วถึงทั้งผู้ชายผู้หญิงแต่กฎที่เขาตั้งขึ้นกับคู่นอนทุกคนคือระหว่างที่เขายังให้ความสนใจอยู่ห้ามเขาหรือเธอไปวุ่นวายกับคนอื่นเด็ดขาด เพราะเขาไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร

                      เรื่องราวระหว่างเขากับทาเรียถือเป็นเรื่องที่หลายคนในมหาวิทยาลัยรับรู้ว่าพวกเขาสองคนกำลังคบหากันอยู่และการที่มีข่าวว่ามีคนเห็นทาเรียนอนอยู่ที่ห้องของราชันก็ทำให้เขาเดือดดาดจนเลือดขึ้นหน้าสองเท้าของเขาวิ่งตรงไปตามทางของหอพักอย่างคนคลุ่มคลั่งจนเพื่อนอีกสองคนที่ตามมายังวิ่งตามมาไม่ทัน ในใจก็ภาวนาขอแค่ว่ามันเป็นมุกตลกอะไรสักอย่างที่เธอให้เพื่อนสาวของเธอมาแกล้งอำเขา

                       แต่ก็ไม่ใช่...

                       ภาพของสาวเจ้าที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาของเจ้าของห้องปิดบังเนื้อสาวกับสภาพที่มีเพียงอันเดอร์แวร์ของชายรูปร่างโปร่ง อุปกรณ์เริ่งรมณ์ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นคือหลักฐานชันดีที่ไม่ต้องมีใครพูดเขาก็พอเดาได้ เขาไม่ทำร้ายชายหนุ่มเจ้าของห้อง ไม่ด่าทอตัดพ้อสาวคนรัก แต่เดินออกมาเงียบๆอย่างคนไร้อารมณ์และประกาศสลัดความสัมพันธ์กับเธอหลังจากนั้น

                       แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมง่ายๆ...

                       เธอมาดักรอเขาพร้อมคราบน้ำตา ร้องไห้อ้อนวอนขอกลับมาคืนดีด้วย เธอบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากจะยุให้เขาโกรธแล้วหันมาอ้อนวอนขอเธอคืนดี เธอก็แค่อยากจะประชดเขาเท่านั้น แต่เขาไม่สนใจ

                      “อันที่จริงฉันกับทาเรียเราก็ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆอย่างที่มึงเข้าใจหรอกนะ” ราชันแก้ข้อข้องใจในวันนั้น

                     “แต่กูไม่สนใจ” อันนี้ราชันรู้ดีแก่ใจ ว่าอัมรินทร์เป็นพวกแข็ง หักก็คือหัก

                     แต่ไม่ใช่กับเปลวอรุณ...

                      “แล้วถ้าเป็นเรื่องของเปลวอรุณละ นายยังจะสนใจอยู่ไหม” และเขาก็ฉลาดพอที่จะเอาใครคนนั้นมาเป็นข้ออ้าง

                      “มึงจะทำอะไรเปลว” อัมรินทร์ตวาดตกใจ “มึงห้ามทำอะไรเปลวนะ เปลวไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”

                       “ไม่หรอก” ราชันยิ้มเย็น “สำหรับฉันเปลวอรุณก็ยังคือคนสำคัญสำหรับฉันเสมอ”

                       “กูขอร้อง คืนเปลวมาให้กูเถอะ” อัมรินทร์อ้อนวอน แค่เปลวอรุณเท่านั้นที่เขาไม่อยากเสียไป “กูเสียลูกไปแล้วคนหนึ่ง กูขอละคืนเปลวมาเถอะ”  หากราชันอยู่ตรงหน้าแล้วสั่งให้เขาคลานเหมือนหมาเข้าไปเลียรองเท้าเพื่อแลกกับการปล่อยเปลวอรุณกลับมาหาเขาเขาก็ยอม

                      “รักมากสินะ” น้ำเสียงที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ดังขึ้น

                       “ใช่ เปลวคือคนที่กูรัก”  ราชันนั่งฟังนั่งเสียงอ่อนแรงแต่หนักแน่นอย่างยากที่จะคาดเดาความคิด นัยน์ตาไม่สื่อความเหลือบตามองคนที่นอนมองมาทางเขานิ่งไม่พูดไม่จา

                     ขอโทษทีนะ..

                    “กูเคยได้ยินมาว่าแม่ที่เสียลูกไปจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าและคิดฆ่าตัวตายตามลูกไป” เขาว่าโดยไม่ละสายตาไปจากคนบนเตียง

                    “มึงจะทำอะไรราชัน มึงจะทำอะไร” อัมรินทร์ลนลานตาเหลือก

                    “กูจะคืนเปลวอรุณให้มึง”

                     ประกายความหวังอันเกือบริบหรี่สว่างขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย

                     “จริงหรอ” อัมรินทร์ยิ้ม

                     “ถ้ามึงหาตัวเขาเจอ”  ราชันพูดทิ้งท้าย

                      รอยยิ้มของอัมรินทร์ฉีกกว้างกว่าครั้งไหนเมื่อจอภาพถูกหันกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้เปลวอรุณลืมตาขึ้นมาแล้วพร้อมทั้งยังหันมามองทางเขาอีกด้วย

                     “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เขาถามเสียงกึ่งตระหนกกึ่งดีใจ

                     “คุณอัน” เสียงของเปลวอรุณแผ่วเบาและไร้เรียวแรง มืออ่อนแรงยกขึ้นให้ปลายนิ้วสัมผัสกรอบหน้าของคนที่รักผ่านหน้าจอสีเหลี่ยมในมือของราชัน น้ำตาหยดใสไหลลงจากขอบตา

                   “ไม่ร้องเปลว ฉันอยู่นี้ ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน” อัมรินทร์ยิ้มลูบปลายนิ้วหัวแม่มือที่ใบหน้าของคนรัก

                    แต่ความสุขของเขากลับสั้นนักรอยยิ้มนั่นเก้อค้างเมื่อครั้งนี้กล้องถูกขยับออกให้เห็นคนสองคนที่ใส่ชุดการ์วยาวสีขาวสวมหน้ากากอนามัยปิดปังใบหน้าจนตัวเขามองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงในมือของคนหลังถือถาดสแตนเลสสีเงินเข้ามาด้วย หัวใจของอัมรินทร์เต้นระรั่ว ความกลัวครั้งใหม่ถาโถมมาอีกครั้ง

                       ไร้เสียงพูดคุย มีแต่เสียงของเข็มฉีดยาที่ดังกระทบสแตนเลส

                       “นั้นพวกมึงจะทำอะไร” อัมรินทร์กู่ร้องลั่น ปลายเข็มแหลมจิ้มแทงเข้าที่ท่องแขนขาวที่อยู่อีกข้างหลังจากนั้นกล้องก็ถูกเคลื่อนมาที่หน้าจอแสดงผลชีพจนและความดัน

                       “พวกมึงทำอะไรเมียกู ไอ้ราชัน มันทำอะไรเปลว” เขาลนลานหลักขึ้นเมื่อชีพจรและความดันของเปลวอรุณเพิ่มขึ้นเรื่องจนน่ากลัว

ตี้ด ตี้ด

              เสียงเตือนระดับชีพจรที่เร็วจนอยู่ในเกณฑ์อันตรายต่อชีวิตดังขึ้น

              “ไอ้เหี้ยราชัน มึงทำอะไร” เขาตะคอก ใจของเขาตอนนี้แทบหล่นหาย เมื่อไม่ว่าจะพยายามตะโกนเรียกถามหาความจากใครก็ไร้ซึ่งคำตอบ ภาพรอยหยักของชีพจรและความดันของเปลวอรุณที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เขาเคร่งเครียดและใจไม่ดี

              “ไม่ ไม่ ไม่ เปลว”

              “อยากได้ตัวคืน ก็มารับเอา”

ตี๊ดดดดดดดด....

              “เปลวววววววววววววว!!!!”



_____________________________________________________

จบ...?

บ้ายังไม่จบเว้ยยยย
หนูอันอันยังไม่โดนลงโทษเลยจะจบไม่ได้ !!



นิยายยังไม่จบอย่างเพิ่งนับซองมาม่า

 อย่าเพิ่งทิ้งกันไปยังเหลืออีกเซอร์ไพรส์
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 18-08-2017 23:17:48
น่ารำคาณราชันอ่ะ ประสาทจะกิน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-08-2017 00:56:44
 :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 19-08-2017 07:25:52
เราว่า ราชันย์ไม่ได้จะทำร้ายเปลว จริงๆหรอก  หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 19-08-2017 17:08:18
ยอมรับอ่านตอนแรกโคตรลุ้นเลย แต่อ่านไปสักพัก นิยายเรื่องประสาทจะกิน คือราชันทำให้เราสามารถเป็นบ้าได้ คนบ้าสินะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 20-08-2017 02:56:46
ภาวนาให้เป็นการเล่นละครตบตา เพื่อเอาคืนอันอัน ก็พอนะ
อย่ามาม่าน้ำตก น้าาาาาา
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 28- 18/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-08-2017 19:42:21
หรือแค่ราชันจะเอาเปลวไปรักษาเอง แต่ก็ต้องการแก้แค้นด้วย เลยทำแบบนี้ คิดไปในทางที่ดีที่ไม่อยากกินมาม่าอีกกลัวท้องอืด
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-08-2017 22:10:45

เป็นหนี้ ครั้งที่ 29


  ตี้ดดดดดดดดดดดดดด

              ภาพรอยหยักขึ้นลงที่แสดงงการเต้นของชีพจรและความดันเคลื่อนที่ถี่และเร็วกว่าปกติจนใจหวาดหวั่นก่อนจะหยุดลงและเป็นเส้นตรงยาวเพื่อบอกให้รู้ว่าชีพจรที่เต้นเร้าอยู่อย่างทรมารใจผู้เฝ้าดูได้กลับสู่ความสงบนิ่ง

              นี้คือสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาที่เบิกค้างของอัมรินทร์ก่อนที่ภาพหน้าจอการโทรแบบเห็นหน้าของอีกฝ่ายจะถูกตัดลง ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง และครั้งนี้มันกลับเงียบไปถึงขั้วหัวใจ

ตุบ

              โทรศัพท์มือถือเครื่องสีขาวที่เพิ่งถูกใช้งานเมื่อครู่ล้วงหลนจากมือคู่อ่อนแรง หากแต่อัมรินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยใจที่ว่างเปล่า

              เปลวตายแล้ว...

              ภาพที่แม้จะดับไปแล้วแต่กลับแจ่มชัดติดตายากจะสลัดให้หลุด ขาเข่งที่ยืนหยัดอย่างแข็งเกร่งมานานนับยี่สิบแปดปีกลับอ่อนแรงไร้กำลังจนไม่สามารถทรงกายให้ตั้งตรงได้อย่างทุกครั้งเหมือนเสาหินที่เคยแข็งแรงถูกพังลงจนล้มลงกับพื้น

              เพราะที่พังคือใจของเขา...

              ดีที่เขาใช้มือทั้งสองข้างค้ำตัวตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปทั้งตัว แต่ยิ่งเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นตกอยู่ตรงหน้ามือทั้งสองข้างก็เผลอกำเข้าหากันแน่น เขาขบเขี้ยวตัวเองแน่นยกมือข้างหนึ่งชกพื้นกระเบื้องของโรงพยาบาลอย่างแรงเจ็บร้าวอย่างอัดอั้น

พลัก

พลัก

              แต่ถึงจะเจ็บจนกระดูร้าวยังไงเขาก็ไปได้สนใจมัน อัมรินทร์ชกกำปั้นลงพื้นอย่างไม่หยุดยั้งจนเนื้อแตกก่อนจะกู่ร้องออกมาเหมือนคนจะขาดใจ

              “อ๊ากกกกก!”

              เรียงร้องปานจะขาดใจลงด้วยความเจ็บปวดดังออกไปถึงด้านนอกห้องพักฟื้นจนคนสามคนที่กำลังเดินตรงมายังห้องที่ว่าชะงักมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะวิ่งสุดฝีเท้าไปยังห้องที่ว่า             

              “ไอ้อัน!”

              อนิรุทธิ์ผลักบานประตูออกอย่างแรงแล้วเรียกคนที่อยู่ในห้องเสียงดัง หากแต่ภาพของน้องชายที่เขารักกลับทำให้คนอย่างเขาแทบหยุดหายใจ

              อัมรินทร์ที่เอาแต่ชกมือลงกับพื้นเหมือนคนคลุ่มคลั่งไม่รับรู้อะไรแม้แพวกเขาจะเปิดประตูผลัวะผละเข้ามาเสียงดัง ลิลดาเองที่เป็นผู้หญิงถึงกลับยกมือขึ้นปิดปากกับภาพของเพื่อนสนิทที่อยู่ในสภาพย่ำแย่จะมีก็แต่ลูกตาลที่เหมือนจะพอตั้งสติได้เร็วกว่าใครวิ่งชนไหล่เรียกสติของอนิรุทธิ์ตรงไปล็อกตัวอัมรินทร์จากด้านหลังไม่ให้ชายหนุ่มทำร้ายตัวเอง

              “ลุง ใจเย็นก่อน!” เด็กหนุ่มตะโกนใส่ พยายามรั้งร่างที่พยศใส่ให้สงบ

              “ปล่อยกู! กูบอกให้ปล่อย” อัมรินทร์ดิ้นเร้า

              อนิรุทธิ์ที่พอได้สติกลับมาอยุ่กับที่กับทางก็รีบตรงเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มจับตัวอัมรินทร์ที่คลุ่มคลั่งเอาไว้ไม่หยุด

              “ไอ้อัน! พอได้แล้วมือมึงพังหมดแล้ว” อนิรุทธิ์พูดเสียงดังคล้ายเรียกสติผู้เป็นน้อง

               หลังมือหนาสีแทนน้ำผิวของอัมรินทร์มีแต่เลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่เกิดจากการเนื้อกระแทรกพื้นอย่างแรงโดยเฉพาะตรงข้อนิ้ว หากเขายังปล่อยไว้แบบนี้เขาไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกที่มือของอีกคนจะแตกไปด้วยหรือไม่

               “เดี๋ยวลิลจะไปตามพยาบาล” ลิลดาเสนอตัวก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป เพราะเธอรู้ตัวว่าตัวเธอเป็นผู้หญิงคงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะช่วยอนิรุทธิ์กับลูกตาลจับตัวอัมรินทร์ได้แน่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่เธอทำได้ก็คงไม่พ้นการไปตามพยาบาลให้มาทำแผลที่หลังมือให้อัมรินทร์ หลังจากที่อีกคนเลิกคลุ่มคลั่งแล้วละนะ..

               “ไอ้อัน มึงใจเย็นก่อนดิวะ มันกะ-“ คนพูดชะงักคำถามที่กำลังจะถามออกไปเมื่อใบหน้าของคนที่กำลังอารวาทฟาดงวงฟาดงาอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนกำลังร้องไห้ออกมา

                 อัมรินทร์กำลังร้องไห้...

                 “ไอ้อัน” อนิรุทธิ์เรียกอีกคนเสียงแผ่วเบาเหมือนคนใจหาย “จะ ใจเย็นก่อนนะเว้ย ค่อยๆพูดค่อยๆจาอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้” เขาพยายามปลอบ

                 พวกเขาโตมาด้วยกันด้วยคำสอนของสุริยะผู้เป็นบิดาของอัมรินทร์ ‘ผู้ชายน่ะ อ่อนแอได้แต่อย่าให้ใครเห็นน้ำตาของเราเด็ดขาด’ และพวกเขาก็ปฏิบัติกันมาอย่างนี้ตลอด โดยเฉพาะอัมรินทร์ เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและน้องชายที่เขารักร้องไห้ออกมาแบบนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

               การสูญเสียเป็นเรื่องที่ใครก็ยากจะยอมรับมันได้เรื่องนี้ตัวเขาที่เคยผ่านมันมาย่อมรู้ดี และเขารู้จากคำบอกเล่าของลูกตาลแล้วเมื่อเช้าก่อนออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เขายังยังอยู่ภายในงาน

               เขาสูญเสียหลาน ลูกตาลสูญเสียน้อง และอัมรินทร์กับเปลวอรุณสูญเสียลูก...

               การสูญเสียของอัมรินทร์ถือเป็นเรื่องที่หนักหนาถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันมากขนาดไหนแต่ก็คงไม่ต่างกับตัวเขาที่เคยเสียพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดไปตั้งแต่ตัวยังเล็ก ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเข้าใจแต่เขาเชื่อว่าเขาเข้าใจมัน

              “ใจเย็นนะ” เขาดึงตัวอัมรินทร์เข้ามากอด ตบหลังเบาๆคล้ายกำลังปลอบ เมื่อเห็นว่าอัมรินทร์ยอมที่จะสงบลงมาบ้างแล้วลูกตาลที่ใช้แขนทั้งสองข้างล็อคช่วงไหล่อยู่จึงค่อยๆคลายกำลังออก

                หลังจากคลุ่มคลั่งทำร้ายตัวเองอัมรินทร์ก็เซื่องซึมจนอีกสองคนได้แต่มองหน้ากัน อัมรินทร์นั่งลงที่ขอบเตียงใบหน้าก้มต่ำดวงตาเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาถึงพวกเขาจะอยากถามหาเปลวอรุณจากอีกคนว่าพักฟื้นอยู่ห้องไหนก็ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้แล้วเปิดทางให้พยายาลที่ลิลดาพาตัวมาเข้ามาทำแผลให้อัมรินทร์

                   โชคดีที่แผลที่มือไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นที่ว่าจะมีชิ้นส่วนไหนสึกหรอหรือกระดูกหักอย่างที่พวกเขากลัว มีเพียงผิวเนื้อที่ปริแตกจากการกระแทรกแต่ก็เจ็บน่าดูอยู่พอตัวยิ่งเป็นมือข้างที่ถนัดด้วยการดำเนินชีวิตของอัมรินทร์จนกว่ามือข้างนั่นจะหายก็ลำบากเอาการอยู่

                       “อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำนะคะ” พยาบาลวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                      “น้ำหน่อยไหม” ลูกตาลเอ่ยขึ้นพลางบิดฝาขวดน้ำที่แช่เอาไว้อยู่ในตู้เย็นส่งมาให้คนยังคงนั่งซึมกระทืออยู่กับที่

                      อัมรินทร์เมินเฉย น้ำตาที่ไหลก่อนหน้าเหือดแห้งลงแล้วเหลือเพียงแค่คราบรอยที่ยังอยู่กับเวลาตาปวดร้าวแทบขาดใจจนคนที่มองดูพลอยปวดร้าวใจตาม

                     “มันเกิดอะไรขึ้นหรออัน” ลิลดาเอ่ยถาม โดยละเรื่องที่เปลวอรุณแท้งเอาไว้ด้วยกลัวจะกระทบจิตใจของเพื่อน

                      อัมรินทร์ขบกรามกำมือแน่นแล้วคลายออกด้วยใบหน้าเจ็บปวด

                       “เปลวตายแล้ว”

                        คำตอบที่ได้อยู่เหนือความคาดคิดของทุกคน อนิรุทธิ์ ลิลดา และลูกตาลต่างมีสีหน้าที่ตื่นตกใจกับข่าวคราวการสูญเสียอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว

                          “มันฆ่าเปลว ไอ้ราชัน ไอ้ฆาตกรนั่นมันฆ่าเมียกู มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์คว้าเสื้อของอนิรุทธิ์เข้ามากำไว้แน่น “มันให้คนฉีดอะไรให้เปลว ชีพจรเปลวเต้นเร็วมาก แล้ว แล้วก็หยุดลง” มือสองข้างเปลี่ยนมากุมหัวตัวเอง

                       ลิลดาหน้าซีดเผือก เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าราชันจะทำอย่างที่ถูกกล่าวหาหากแต่สภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้กลับหักล้างคำว่าไม่เชื่อของเธอจนหมดสองขาเรียวสวยอ่อนแรงก้าวถอยหลังและสะดุดนั่งลงกับโซฟา

                      “แต่เราไม่มีหลักฐาน ยังไงก็ฟ้องเอาผิดกับคนทำไม่ได้” ลูกตาลพูดขึ้น “ถ้าลุงคิดจะไปเอาเรื่องเขาละวังจะโดนฟ้องกลับข้อหาหมิ่นประมาท” อัมรินทร์ไม่อยู่เฉยเรื่องนี้แน่ เด็กหนุ่มจึงพูดดักทางเอาไว้เสียแต่เนิ้นๆ

                     อนิรุทธิ์เห็นด้วยหากแต่ใบหน้าเด็กหนุ่มใรครานี้กลับดูยากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจอะไรมากเท่ากับสภาพของอัมรินทร์ในตอนนี้

                        “ มึงควรพักก่อน” เขาว่าพลางดับตัวอัมรินทร์ให้นอนลง

                        “กูไม่อยากนอน” อัมรินทร์รั้นขื่นกายเอาไว้ไม่ยอมนอน

                        “มึงต้องพักไอ้อัน ไม่ก็ไปอาบน้ำให้ใจเย็นลงก่อน” เขาว่าพร้อมส่งถุกกระดาษที่บรรจุเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ “กูเชื่อว่าถ้าเปลวเขารู้เขาคงรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เห็นมึงทำร้ายตัวเองแบบนี้หรอกนะ”

                         อัมรินทร์หน้าม้ายยอมที่จะเอื้อมมือรับถุงกระดาษที่ส่งมาแล้วลุดเดินหายเข้าห้องน้ำไป

                         อนิรุทธิ์มองตามหลังอีกคนไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                         “เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหรอคะ” ลิลดาเอ่ยถามเสียงเบาสั่น กรอบตาสวยเลือไปด้วยน้ำตา

                         “ไม่รู้สิ แต่ไอ้อันมันคงไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อพวกเราเล่นแน่” อนิรุทธิ์ว่าอย่างลำบากใจเดินลงไปทรุดตัวนั่งข้างลิลดาแล้วรั้งตัวเธอเข้ามากอดปลอบ

                         “แล้วนั่นนายจะไปไหน” อนิรุทธิ์หันมาทักเมื่อเห็นว่าลูกตาลกำลังจะเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าทะมึนตึง

                          “โทรไปลางาน เดี๋ยวผมมา” เจ้าตัวว่าด้วยเสียงคล้ายไม่สบอารมณ์เสียเท่าไรก่อนจะเปิดประตูออกไปโดยไม่พูดอะไรต่อ

                          อนิรุทธิ์เองก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงกำลังอยู่ในช่วงที่สับสนและเคว้างคว้างไม่ต่างจากอัมรินทร์เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออกออกมาต่างกันเท่านั้น

                           อัมรินทร์หายเข้าไปในห้องน้ำอยู่นานกว่าจะออกมาได้แม้สีหน้าจะไม่ได้ดูสดชื้นหรือสู้ดีมากกว่าเดิมแต่ก็ดูเหมือนคนที่พอจะทำใจยอมรับกับเรื่องร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย แต่สภาพที่เหมือนร่างไร้วิญญาณอย่างนั่นก็ยังทำให้คนข้างหลังที่มองมารู้สึกสะท้านในอกไม่ได้


                          พวกเขาพาอัมรินทร์กลับบ้าน ลุงอุ่นกับแววที่ออกมารอรับอย่างทุกทีเมื่อเห็นรถเจ้านายก็ยิ้มกว้างดีใจแต่สีหน้าของอัมรินทร์กับการไร้เสียงหยอกล้อทักทายของลูกตาลทำเอาสองคนที่มาดักรอวิตก

                           “มันเกิดอะไรขึ้นคะคุณรุทธิ์ ทำไม” แววถามขึ้นพลางมองตามหลังทั้งสองคนไป

                            คนถูกถามเองก็หนักใจไม่แพ้กันจึงเลือกพูดแค่เรื่องที่คุณหนูตัวน้อยของบ้านจากไปโดยไม่ได้พูดถึงเปลวอรุณเพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดมันอย่างไรดี แต่ข่าวร้ายยังไงก็คือข่าวร้ายต่อให้พูดเพียงแค่ครึ่งเดียวใจของคนที่ฟังก็ยังสลายอยู่เช่นเดิมยิ่งกับคนอายุเยอะอย่างลุงอุ่นด้วยแล้วถึงกับลมจับเป็นลมเป็นแร้งลงไป

                           “ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับคนดีๆอย่างคุณอันด้วย” แววตัดพ้อน้ำตาคลอสงสารเจ้านายหนุ่มจับใจ

                           “มันคงเป็นกรรมของคุณเขานั่นน่ะนะนังแวว” น้อยหญิงสาวต่างจังหวัดเพื่อนร่วมงานของเธอตบบ่าปลอบขวัญเพื่อน

              “สงสารก็แต่สองคนนั่นนั้นละ” อนิรุทธิ์ถอนใจ เหลือบมองไปทางด้านบน

              ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านอัมรินทร์กับลูกตาลก็พากันเดินขึ้นบ้านแยกกันเข้าห้องใครห้องมันไม่พูดไม่จา ถึงลูกตาลจะดูเหมือนคนที่ทำใจได้ดีกว่าอัมรินทร์แต่เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มก็คงจะมีความรู้สึกที่ไม่ต่างกับอัมรินทร์เท่าไรนัก

              เย็นวันนั้นอัมรินทร์กับลูกตาลไม่ได้ลงมาร่วมกินข้าวด้วยกันซึ่งอนิรุทธิ์เองก็พอเข้าใจและคิดเอาไว้อยู่แล้วอย่างน้อยวันนี้เขายังมีลิลดานั่งกินข้าวเป็นเพื่อนละนะ

              ลิลดาอยู่เป็นเพื่อนอนิรุทธิ์จนดึกก่อนจะขอตัวกลับ แต่ยังไม่ทันที่อนิรุทธิ์จะเดินมาส่งเธอที่หน้าบ้านรถยนต์สำหรับครอบครัวคันใหญ่ของบ้านเขาก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน ชายหนุ่มเลิกคิ้วแปลกใจด้วยความสงสัยด้วยจำไม่ได้ว่าตนได้ยินเสียงรถวิ่งออกจากบ้านไปเมื่อตอนไหน

              “คุณลุง คุณป้า” อนิรุทธิ์เรียกคนสองคนที่ประคองพากันลงมาจากรถยนต์โดยสารด้วยความกึ่งตกใจกึ่งแปลกใจ

              สุริยะประคองภรรยาลงจากรถก่อนจะปลายตามองหลานชายทีหนึ่งแล้วหันไปมองหญิงสาวข้างกายที่ดูคล้ายๆจะอยู่ในช่วงสับสนระคมแปลกใจจนเห็นว่าตนมองมานั่นแหละถึงได้ยกมือขึ้นไหว้

              “หนูลิลดาสินะจ๊ะ” นภาแย้มยิ้ม “เข้าไปนั่งคุยกันก่อนดีกว่า” เธอว่าก่อนจะเปลี่ยนมาจับเข้าที่แขนของหญิงสาวแล้วกึ่งบังคับให้เธอกลับเข้าไปด้านใจ

              “ฉันรู้ข่าวแล้ว เข้าไปคุยข้างใน” สุริยะว่าก่อนจะเดินผ่านตัวหลานชายเข้าไปด้านใน

              อนิรุทธิ์ก้มหน้าต่ำเครียกก่อนจะเดินตามผู้ใหญ่เข้าไปด้านใน

              ห้องนั่งเล่นเงียบงันและอึดอัด ใบหน้าสวยอ่อนโยนของนภาประดับยิ้มบางเหมือนทุกครั้งแต่ปลายจมูกกับขอบตากลับแดงก่ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักข้างๆมีลิลดานั่งกุมมืออยู่ไม่ห่าง สุริยะเดินเข้าไปบีบไหล่ของภรรยาก่อนจะนั่งลงข้างๆ อนิรุทธิ์เดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่

              “อุ่นโทรมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังแล้ว” ประมุขของบ้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเครือเล็กน้อย

              ตอนที่ได้รับสายจากบ้านพวกเขาอยู่ที่ญี่ปุ่นกำลังเดินเที่ยวและหาซื้อเครื่องรางของฝากไปรับขวัญใหญ่ลูกสะใภ้และหลานตัวน้อยแต่ใครจะคิดกันละว่าความสุขในปั้นปลายของคนแก่อย่างพวกเขาจะพังลงเมื่อโทรศัทพ์ของสุริยะดังขึ้น

              “คุณเปลวแท้งครับคุณยะ” น้ำเสียงเศร้าสะอื้นของคนเก่าคนแก่ของบ้านทำเอาใจของชายมมีอายุเคว้งหาย ยิ่งนภาแล้วเธอถึงกับเป็นลม

              “แล้วหนูเปลวละ” เขาแค่นถาม

            “ไม่ทราบเลยครับ ตอนกลับมาคุณเปลวไม่ได้กลับมาด้วย แถมคุณๆเขาก็ไม่มีใครพูดถึงเลย”  และนั้นทำให้พวกเขาสองคนรีบซื้อตั๋วเที่ยวเดียวที่เร็วที่สุดกลับมาที่ประเทศไทยทันที

              “เจ้าอันกับเด็กที่ชื่อลูกตาลละ”

              “ไอ้อันกับลูกตาลหมกตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่กลับมาแล้วครับ”

              สองคนนั้นเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากการจากไปมากที่สุดจึงไม่แปลกหาทั้งคู่จะยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดไม่ได้ สุริยะพยักหน้า

              “แล้วหนูเปลวละตารุทธิ์” นภาทักขึ้น

              อนิรุทธิ์เม้มปากแน่น “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ แต่อัมมันบอกว่าเปลวเสียแล้ว”

              คนถามยกมือทาบอกทำท่าคล้ายจะเป็นลมไปอีกรอบจนทุกคนต่างเข้ามาดู

              “แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมอยู่ดีๆหนูเปลวถึงได้แท้งได้” คำถามของสุริยะทำเอาอนิรุทธิ์ถึงกับสะอึก

              “เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเพราะไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่เกิดเรื่อง” เขาไม่ได้อยู่ด้วยจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่รู้มาจากปากคำของลูกตาลก็เพียงแค่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเท่านั้น แต่รายละเอียดอย่างอื่นเขาไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นเลย

              “ถ้างั้นฉันจะขึ้นไปคุยกับเจ้าอัน” สุริยะพูดขึ้นพร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินขึ้นไปด้านบน

              อนิรุทธิ์เห็นดังนั้นก็ตาโตรีบเดินตามผู้เป็นลุงไปติดๆ

              กลิ่นเฉพาะตัวที่คุ้นเคยดีทำให้มณีนิลที่นอนหมอบอยู่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องของอัมรินทร์ชะโงกหัวขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเจ้าสี่ขาก็ลุกขึ้นสายหางสั้นๆไปมาพร้อมเดินเข้าไปรับสุริยะ

              “ไงคุณนิล พ่อแกอยู่ในห้องใช่ไหม” สุริยะลูบหัวถาม

              มณีนิลครางหงิยในลำคอคล้ายจะตอบว่า ใช่

              สุริยะยืดการก่อนจะยกมือเคาะที่บานประตู

ก๊อก ก๊อก

              แต่เคาะอยู่นานก็ไร้วี่แววว่าคนในห้องจะตอบกลับมา ถาดข้าวที่ใครสักคนยกขึ้นมาให้ยังคงวางนิ่งอยู่ที่ข้างเบาะนอนของมณีนิลไร้ซึ่งการแตะต้องจนข้าวและกับเย็นชื้ด คนเป็นพ่อหน้าเคร่งตึงยกถามอาหารนั่นขึ้นถือแล้วออกปากสั่งให้อนิรุทธิ์ลงไปเปิดเอากุญแจสำรองมา

แก๊ก

              พอได้กุญแจมาอนิรุทธิ์ก็จัดการไขมันแล้วดปิกประตูเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต

              ภายในห้องมืดสนิมมีเสียงแสงจากไฟสนามหญ้าด้านล่างที่พอจะทำให้มองเห็นพอสลั่ว สุริยะกวาดตามองห้องนอนของลูกชายคนเดียวไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะข้างหน้าต่างก่อนจะเอื้อมมือออกไปกดสวิตช์ไฟที่กำแพง

              แสงไฟนีออนในห้องสว่างขึ้นจนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ในความมืดมานานต้องหลับตาลงเพื่อปรับแสงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อจ้องมองอ่างสวนหินตรงหน้าต่อ

              “ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างแกชอบปลูกต้นไม้” เสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินใกล้ๆมานานเรียกสายตาเหม่อลอยของเจ้าของห้องให้เงยขึ้นมอง

              “แต่เปลวชอบ” อัมรินทร์ตอบเสียงลอย

              “อันนี้หนูเปลวก็เป็นคนทำหรอ” สุริยะชะเง้อมองพลางชวนคุย

              “เปล่า อันนี้ผมทำเอง” เขาตอบพลางลูบเบาๆที่กลีบกุหลาบแคระแผ่วเบา “ผมทำให้เปลวเขา” เขายิ้มพลางนึกถึงสีหน้าแปลกใจของเปลวอรุณตอนที่เห็นมันครั้งแรก

              “แล้วหนูเปลวเขาชอบไหม” สุริยะถามพร้มนั่งลงที่เก้าตัวตรงข้าม นั่งมองลูกชายที่ใจสลายอย่างสงสารปวดใจ

              “ชอบสิ”  ไม่อย่างนั้นเปลวอรุณจะมานั่งที่ตรงนี้ทุกวันแล้วดูแลมันอย่างดีหรือไง

              “บอนไซจิ๋วพวกนี้ก็ของหนูเปลวด้วยหรอ” อัมรินทร์มองออกไปนอกหน้าต่างตรงที่มีต้นบอนไซย์ขนาดเล็กหลากหลายต้นวางอยู่ก่อนพยักหน้า

              ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรขึ้นมาอีก อัมรินทร์นั่งเงียบมอสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจล่องลอยนัยน์ตาที่มักจะฉายประกายความเจ้าเล่ห์กลับหม่นหมองและอับแสง สุริยะแลละอนิรุทธิ์มองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจ

              “แกรักหนูเปลวเขามากเลยสินะ” สุริยะพูดขึ้นขณะจับต้นไม้ต้นน้อยที่อยู่ในอ่างหินสวน

              “ครับ ผมรักเปลว” เขาตอบอย่างเลื่อนลอย

              “เรื่องเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้น แกพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหม” สุริยะถามพลางหยิบเอาฟ็อกกี้ขึ้นมาฉีดพมต้นไม้ในสวนหิน

              “เพราะผม” อัมรินทร์ยิ้มขืน

              “หมายความว่ายังไง” สุริยะเหลือตาขึ้นถาม อนิรุทธิ์เองก็เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย

              “ถ้าผมไม่หลอกเปลว ลูกก็คงไม่ตาย มันเป็นเพราะผม” พอสงบจิตสงบใจลงและมีเวลาได้อยู่กับตัวเองเขาถึงคิดได้ ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ราชันหรอกที่ฆ่าลูกของเขาแต่เป็นตัวเขานี้แหละที่เป็นคนฆ่าลูกของเขากับเปลวอรุณ

              “แกหลอกอะไรหนูเปลว”

              “ผมหลอกว่าเปลวติดหนี้ผมอยู่ร้อยล้าน ผมหลอกเขาเพื่อที่จะให้เขายอมมาอยู่ด้วย”

              สุริยะนิ่งฟัง

              “และเรื่องมันก็แดงขึ้นมา ฮึ เปลวคงผิดหวังในตัวผมมาก” เขายิ้มขันพร้อมน้ำตาคลอ “ทั้งๆที่เขาเปิดใจให้ผมขนาดนั้นแล้วแท้ๆ”

              “ไอ้อัน” อนิรุทธิ์มองหน้าน้องชาย

              “กูผิดกูรู้ตัว กูอยากขอโทษเขาแต่ แต่” อัมรินทร์กัดฟันแน่น “เปลวเขาไม่อยู่ให้อภัยกูแล้ว” น้ำตาที่คลออยู่ไหลออกมาไร้เสียงสะอื้น

              “มึงไม่ผิดเว้ยอัน เรื่องนี้กูต่างหากที่เป็นคนผิด” ถ้าเขาไม่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่องคงไม่รุกรามใหญ่โตแบบนี้

              “แกก็รู้เรื่องด้วยอย่างนั้นหรอเจ้ารุทธิ์” อนิรุทธิ์ชะงัก ก้มหน้ายอมรับผิดต่อผู้ใหญ่หนึ่งเดียวในห้อง

              สุริยะมองเด็กทั้งสองที่ตอนเลี้ยงดูมาก่อนจะถอนหายใจ ก็คิดเอาไว้อยู่แต่แรกแล้วว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรลึกกว่าที่เจ้าลูกชายตัวดีเล่าใหญ่ฟังเมื่อครั้งก่อนแต่ก็ไม่นึกว่าสองพี่น้องนี่มันจะช่วยกันวางแผน ใจจริงเขาก็อยากจะดุด่าให้สำนึกอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ในเวลาแบบนี้เขาคิดว่ามันคงไม่ใช่เวลาที่จะไปซ้ำเติมขยี้แผลในใจของอัมรินทร์ให้แหวะกว้างกว่าเดิม


ก๊อก ก๊อก

              สุริยะละสายตาจากลูกชายตรงหน้าไปยังบานประตูที่ถูกเคาะเรียก อนิรุทธิ์รู้งานดีจึงเดินไปเปิดประตูนั่นโดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ใหญ่บอก

              “อ้าว ตาล” อนิรุทธิ์ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งของบานประตูเป็นใคร

              “แล้วนี้แปกกระเป๋าจะไปใหน” เขาถามพลางขมวดคิ้วมองกระเป๋าเป้ที่บบจุของเต็มจนตุงแบบเดียวกับตอนที่เด็กหนุ่มสะพายมาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก

              “ผมว่าจะออกจากที่นี้เลยว่าจะมาบอกลุงเขาเสียก่อน” เด็กหนุ่มพูด

              “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ” เขาตกใจ

              “มีอะไรกัน”

              เสียงของคนแปลกหน้าที่ลูกตาลไม่เคยได้ยินดังขึ้น เด็กหนุ่มมองผ่านไหล่ของคู่สนทนาไปมองชายมีอายุท่าทางภูมิฐานที่นั่งกอดอกมองมาทางประตูอย่างตั้งคำถาม

              “นั่น ลูกตาลใช่ไหม” สุริยะถามขึ้น

              เด็กหนุ่มมองอย่างสงสัยแต่ก็ยกมือขึ้นมาไหว้

              “เข้ามาคุยกันข้างในนี้”  เมื่อได้ยินดังนั้นอนิรุทธิ์จึงดึงแขนเด็กหนุ่มให้เข้ามาข้างในตามคำสั่งก่อนจะปิดประตูห้องลง

              “นี้ลุงยะ พ่อของไอ้อันมัน” อนิรุทธิ์กระซิบบอกให้คล้ายสงสัย

              “เราคือลูกตาล ลูกชายของหนูเปลวสินะ”

              “ครับ”

              สุริยะพิจารณามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูไม่ต่างจากรูปที่อัมรินทร์เคยส่งมาให้ดูเมื่อครั้งก่อน รูปร่างหน่วยก้านไม่เลวออกจะดีมากในความรู้สึกจนอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา

              “แล้วเราจะไปไหนดึกดื่นแบบนี้”

              “ผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านแม่เปลวครับ” เด็กหนุ่มตอบ

              “กลับไปแล้วจะอยู่กับใคร” อัมรินทร์แทรกขึ้นมาเหมือนหัวเสีย

              “อยู่คนเดียว” ลูกตาลหันมาตอบ “ตอนนี้แม่เปลวไม่ได้อยู่ที่นี้แล้วผมก็ไม่รู้จะอยู่ที่นี้ทำไมสู้กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นจะดีกว่า”

              “ไม่ต้อง!” อัมรินทร์ขึ้นเสียง

              “นายคิดว่าฉันดูแลนายไม่ได้หรือไง หรือคิดว่าที่ฉันพานายมาอยู่ด้วยเพราะเปลว”

              ลูกตาลไม่ตอบ

              “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหนว่านายเป็นลูกของเปลวก็ถือว่าเป็นลูกของฉันด้วย ทำไมยังจะออกไปอีก”

              “ก็ผมไม่ได้อยากเป็นภาระของคุณหนิ” เด็กหนุ่มเถียง

              “ฉันเคยพูดหรือไงว่านายเป็นภาระ” อัมรินทร์ผลุดลุกขึ้น “แต่ถึงนายจะเป็นภาระที่เปลวทิ้งเอาไว้ให้แต่ฉันก็ยินดีที่จะรับนายมาดูแล”

              “เพราะอะไร”

              “เพราะฉันไม่เหลืออะไรแล้วไง” เขาแค่นยิ้ม “ทั้งลูก ทั้งเปลว แต่อย่างน้อยการมีนายอยู่ก็เป็นสิ่งที่บอกให้ฉันรู้ว่าเปลวยังเหลือนายเอาไว้ให้ฉัน ฉันสัญญากับเปลวว่าจะดูแลนายไม่ใช่เพราะนายเป็นลูกของเปลวแต่เพราะว่านายของลูกของฉันกับเปลวต่างหาก”

              ลูกตาลมองคนพูดด้วยความรู้สึกที่หลากหลายและสับสน

              “นายจะทิ้งพ่อคนนี้ให้อยู่คนเดียวได้จริงๆหรอ” น้ำเสียงของอัมรินทร์คล้ายคนที่กำลังจะหมดลงไปทุกที

              ลูกตาลกำมือแน่นก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้อัมรินทร์ก่อนจะตวัดแขนขึ้นกอดอีกคนเอาไว้

              “ผมอยู่นี้ครับพ่อ”



__________________________________________________

ตอนนี้มันดูสั้นๆไปสักหน่อยแถมมันก็จะดูหน่วงๆตามอัตภาพไปอีกสักเล็กน้อย

ไหนๆตอนนี้ก็เป็นตอนเอาคืนหนูอันอันแล้วก็ของสักนิดสักหน่อยก็ยังดี

หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-08-2017 22:44:28
อ่านตอนนี้แล้วยิ่งเศร้า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-08-2017 23:28:43
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 20-08-2017 23:40:42
ลูกตาล ยอมรับคุณอันได้แล้ว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-08-2017 00:52:08
ตอนนี้ดราม่าสุดๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 21-08-2017 03:14:28
 :hao5:  น้ำตาซึมเลย
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 21-08-2017 04:38:31
ถ้าเปลวกลับมา แล้วเรื่องทุกอย่างหลอกลวง เราโคตรโกรธ บอกเลย โคตรโกรธ ถ้าเปลวรู้เรื่องแล้วทำตามราชัน สะใจหรอ ถ้าคิดจะแก้แค้นเอาคืนแบบนี้สะใจ เราจะตีความเอาว่า ความรักในเรื่องนี้ คือความรักแบบรักตัวเองมากกว่า ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ทุกคนพอรักย่อมเห็นแก่ตัว แต่มันเป็นรักที่น่ากลัว ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่น่ากลับมาใช้ชีวิตด้วยกันได้หรอกแบบนี้ แต่อันคงให้อภัย เพราะอันักเปลวมากกว่าตัวเอง

ส่วนเปลวกับราชันเราขี้เกียจจะเดา รออ่านอย่างเดียว แต่อ่านแล้วเหนื่อยชะมัด แต่ก็อ่านนะ 5555 ประหลาดคน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-08-2017 06:58:53
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 29- 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 21-08-2017 09:31:32
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-08-2017 00:31:48
เป็นหนี้ ครั้งที่ 30


              บาดแผลจากการสูญเสียคนที่รักของแต่ละคนใช้เวลาในการเยี่ยวยากันนานสักแค่ไหนกัน ?

              คำถามนี้อัมรินทร์เฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกครั้งที่หลับตามาตลอดเวลาสามเดือนที่เขาสูญเสียลูกและเปลวอรุณไป สามเดือนที่ผ่านมาสำหรับเขาเหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงแค่สามนาทีที่เขารับรู้ข่าวร้ายจากปากของหมอผู้รักษา เหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงสามวินาทีสำหรับภาพชีพจรที่ราบนิ่งของเปลวอรุณ การสูญเสียผู้เป็นดั่งดวงใจไปในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงเป็นเหมือนแผลสดที่ยังไม่ได้รับการรักษาสำหรับเขา

ภาพห้องนอนที่นอกด้วยกันอยู่ทุกคืน ข้าวของทุกชิ้นของเปลวอรุณยังอยู่เดิมไม่มีการเคลื่อนย้านหรือเก็บหนี สวนถาดต้นไม้ทุกอย่างยังวางอยู่กับที หนังสือคู่มือดูแลคุณแม่ขณะตั้งครรภ์และพัฒนาการของลูกน้อยยังวางอยู่ตรงหน้า ยังวางอยู่เพื่อตอกย้ำความจริงที่มันไม่หวนกลับมาเขาได้อีก

              จะไม่มีใครกลับมา...

              เก้าอี้หน้าโต๊ะวางสวนอ่างหินคือที่ประจำที่เปลวอรุณมักจะมานั่งรับแสงแดดในยาวเช้าและนั่งมองอาณาจักรเล็กๆตรงหน้าด้วยความสุขทุกวันก่อนนอน แต่ในตอนนี้เมื่อเจ้าของที่หายไปคนที่มานั่งแทนที่มันทุกวันแทบจะตลอดเวลาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานั้นคือ อัมรินทร์...

 

              หนึ่งเดือนแรกสำหรับการสูญเสีย....

              ข้อความที่ถูกส่งเข้ามายังเบอร์โทรศัพท์มือถือของอัมรินทร์ที่เชื้อมต่อกับบัญชีธนาคารทำให้เขารับรู้ถึงเงินก้อนจำนวนหนึ่งที่โอนเข้ามา ‘สามล้านแปดหมื่นบาท’ จำนวนเงินจริงของหนี้ที่เขารับปากว่าจะใช้หนี้แทนให้กับเปลวอรุณในครั้งนั้นถูกโอนคืนกลับเข้ามาในบัญชีของเขา  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครที่โอนเข้ามา....

              แผลที่ยังคงสดใหม่กัดกินหัวใจของอัมรินทร์จนเหมือนคนที่คลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวดเป็นทุนเดิมและยิ่งมีข้อความดังกล่าวเข้ามาด้วยแล้วก็เหมือนกับใครสักคนที่เอาแอลกอฮอร์ลาดลดลงบาดแผลใช้ความเจ็บแสบของมันกัดกินบากแผลให้เหวะหวะมากขึ้น

              “ปล่อยฉัน! ฉันจะไปฆ่ามัน” อัมรินทร์ตะคอดเสียงลั่นเหมือนช้างตดมันที่ไม่ฟังใครและพร้อมที่จะฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนที่เข้าขว้าง

              “มึงจะบ้าหรือไงวะไอ้อัน!” อนิรุทธิ์เข้ามาล็อกตัวอีกฝ่ายไว้

              “กูไม่ได้บ้า ไอ้รุทธิ์มึงปล่อย”

              “พ่อใจเย็นก่อน” เพราะอัมรินทร์เป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่หนาอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำทำให้เรื่องพละกำลังถือว่ามีมากกว่าลูกตาลที่ยังอยู่ในช่วงเด็กและหนุ่มจึงต้องเข้ามาช่วยล็อกแขนอีกข้างเอาไว้

              “ปล่อยพ่อ พ่อจะไปเอาเลือดหัวมันออก” อัมรินทร์พยายามสะบัดแขนทั้งสองข้างให้หลุดจากคนทั้งสอง

เพี๊ยะ!

              จนกระทั้งฝ่ามือหนักๆของผู้เป็นบิดาพาดลงที่ข้างแก้มจนหน้าหันนั้นแหละอาการคลั่งของอัมรินทร์จึงหยุดลง

              “หยุดบ้าสักทีไอ้อัน” สุริยะที่ทนมองสภาพของลูกชายไม่ไหวจึงต้องลงไม้ลงมือตบหน้าอัมรินทร์เพื่อเรียกสติ

              อัมรินทร์นิ่งไปจนลูกตาลกับอนิรุทธิ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีจะปล่อยตัวหรือจะรั้งเอาไว้ก่อน

              “ฉันรู้ว่าแกกำลังเสียใจเรื่องหนูเปลวกับลูก”สุริยะกำมือแน่นในขณะที่นภาปิดปากกลั้นสะอื้น “แต่แกก็ควรจะมีสติให้มันมากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นไอ้บ้าเหมือนที่เป็นอยู่”

              สุริยะพยายามเรียกสติลูกชาย เขารู้ว่าลูกชายกำลังเสียใจแต่ไม่ใช่แค่อัมรินทร์ที่สูญเสียและเสียใจแต่ทุกๆคนที่อยู่ในที่นี้ต่างก็สูญเสียและเศร้าโศกไม่ต่างกัน

              “แต่มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์ขบกรามแน่น

              “แล้วยังไง แกเลยจะทำกับไอ้หมอนั้นเหมือนที่มันทำกับลูกกับเมียแกอย่างงั้นหรอ” เขาถามกลับ

              “...”

              “ถ้าแกทำมันอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่มันทำ แกเกลียดมันแล้วแกยังทำตัวเหมือนที่มันทำอีก แกไม่นึกเกลียดตัวเองบ้างหรอไอ้อัน”

              อัมรินทร์ชะงักจนในคำพูด

              ชายหนุ่มเงียบและดูสงบลงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอนิรุทธิ์และลูกตาลก่อนจะเดินโซซัดโซเซกลับขึ้นไปด้านบน นภามองสภาพลูกชายแล้วทำท่าเหมือนจะเดินตามขึ้นไปแต่สุริยะกับรั้งแขนของภรรยาเอาไว้พร้อมส่ายหน้า เวลานี้เขารู้ดีว่าอัมรินทร์ต้องการเวลาอยู่กับตัวเองและคงจะดีหากปล่อยให้เจ้าตัวได้อยู่กับตัวเองไปก่อน

              แต่ก็ใช่ว่าอัมรินทร์จะดีขึ้น....

              หลังจากวันนั้นอัมรินทร์ก็เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่บนห้องนอนของตัวเองไม่ยอมออกมาพบเจอผู้คนเหมือนคนที่เหลือแต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณจิตใจล่องลอยไปไกลร่ำไห้ถึงจากสูญเสียแทนจะทุกค่ำคืนจนใบหน้าเริ่มอินโรยและร่างกายทรุดโทรม การงานต่างๆก็ไม่สนใจเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากโชคดีที่ว่าบิดาของเขากลับมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้การงานต่างๆที่ค้างคาได้รับการสานต่อดูแล

               ช่วงปลายเดือนแรกอัมรินทร์เริ่มสงบจิตสงบใจลงได้แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะออกกจากห้องนอนแต่ถึงอัมรินทร์จะเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ภายในห้องนอนแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่เคยที่จะลงกรอนปิดล็อคมันตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยังมีคนคอยห่วงหาเขาอยู่ ทุกๆวันจะมีอนิรุทธิ์ ลูกตาล ลิลดา แวะเวียนเข้ามาหาเข้ามาคุยเพื่อคล้ายความทุกข์โศก สุริยะเองแม้จะไม่ค่อยพูดตามประสาผู้ชายแต่ก็มักจะเข้ามานั่งเงียบๆบ่นนู้นบ่นนี้ให้ลูกชายฟังบางเป็นครั้งคราวและคนที่ใช้เวลาอยู่กับอัมรินทร์มากที่สุดดูเหมือนจะเป็นมารดาของเขา

               อัมรินทร์ดูสงบใจลงกว่าช่วงแรกๆที่เกิดเรื่องแต่การที่ชายหนุ่มเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจาทำหัวใจคนเป็นแม่อย่างนภาหนักอึ้ง เธอทนมองดูลูกชายตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ทุกวันก็ได้แต่น้ำตาตกในหัวอกคนเป็นแม่เจ็บแปร๊ดทุกครั้งที่เปิดประตูห้องเข้ามาเจอร่างกายที่จิตใจกรวงเปล่าของลูกชาย

              “ตาอัน”

              “ครับ” อัมรินทร์ขานรับมารดาหากแต่สายตาที่ควรจับจ้องคนคุยด้วยนั้นกลับเลื่อนลอยเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง

              “แม่ไม่สบายใจเอาสะเลยที่เราเป็นแบบนี้” เธอว่าอย่างกลัดกลุ้ม

             “ผมสบายดีครับ”

              ไม่..

             ไม่จริงหรอก เธอรู้ว่าลูกชายเธอไม่ได้สบายดีอย่างที่บอกว่าเลยสักนิด

             “ทุกคนเขาเป็นห่วงลูกมานะอัน” มือเรียวสีนวลเอื้อมออกไปกุมมือลูกชายของตนแน่น “ลูกไม่อยู่คนเดียวนะจ๊ะ” เธอพยายามให้กำลังใจลูกชาย อย่างน้อยในฐานะคนเป็นแม่สิ่งที่เธอพอจะทำให้ลูกชายวัยผู้ใหญ่ตรงหน้าได้ก็คงมีเพียงกำลังใจที่คอยส่งให้อยู่ข้างหลังแบบนี้

             อัมรินทร์ยิ้มบาง

             เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงแต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงที่จะเดินหน้าต่ออกไปได้จริงๆ

            ขอโทษนะครับแม่...
 


              เดือนที่สองสำหรับการสูญเสีย....

              เวลาเริ่มเยี่ยวยาจิตใจที่สูญเสียอัมรินทร์เริ่มที่จะพอทำใจยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บ้างแม้จะไม่มากแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็เริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านมากขึ้นกว่าช่วงเดือนแรกแต่เขาก็ยังชอบที่จะปลีกตัวออกจากผู้คนออกมาอยู่คนเดียวอยู่ดี

              “คุณอัน!” เสียงของลุงอุ่นแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่เห็นเจ้านายหนุ่มของตนยอมเดินลงบันไดออกมาจากห้องของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน

              “ผมขอน้ำผลไม้สักแก้วสิครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนล้า       

              ชายมีอายุรีบกุลีกุจอทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มขออย่างยินดี

              อัมรินทร์รับแก้วน้ำผมไว้แก้วนั้นมาถือแล้วเดินออกจากบ้านไปทางประตูหลังเดินเรื่อยๆไปจนถึงสวนไทยประยุกค์ที่อยู่ด้านหลังสุดของบ้านวางแก้วน้ำผลไม้แก้วนั่นลงบนโต๊ะทรงเตี้ยแล้วทรุดนั่งลงพิงเสาของศาลาแล้วนั่งเหม่อลอย

              ศาลาที่เปลวอรุณชอบมานั่งในวันหยุด...

              สถานที่ที่เคยกับเปลวอรุณเคยมีความทรงจำที่ดีต่อกัน...

              แก้วน้ำผลไม้เย็นฉ่ำระเหยจนหายเย็นแต่อัมรินทร์ก็ไม่คิดที่จะแตะต้องมันจนเวลาผ่านไปสองสามชั่วโมงชายหนุ่มถึงจะได้หยิบแก้วน้ำแก้วนั้นขึ้นดื่มที่เดียวหมดแก้วก่อนจะลุกเดินกลับเข้าบ้าน

              ถึงมันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่การที่ชายหนุ่มยอมที่จะเปิดประตูห้องออกมาข้างนอกด้วยตัวเองก็ย่อมถือเป็นก้าวแรกที่ดีที่พลอยทำให้เหล่าคนที่แอบเฝ้ามองคลี่ยิ้มออกมาได้

              แต่คงมีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่อัมรินทร์ยังไม่ยอมที่จะทำให้ทุกคน

              “พ่อ ออกไปข้างนอกกันไหม” น้ำเสียงกึ่งตื่นเต้นของลูกตาลดังขึ้นภายในห้องนอนของอัมรินทร์ วันนี้เด็กหนุ่มมีที่สำคัญที่หนึ่งที่อยากจะพาคนตรงหน้าไป

              “ไว้วันหลังนะ” แต่อัมรินทร์กลับปฏิเสธมัน

              ใบหน้าของลูกตาลดูเจือนลงเล็กน้องเมื่อไม่เป็นไปตามที่หวัง

              แต่เด็กหนุ่มก็ใช่ว่าจะลงลาความพยายามที่นั่นเสียทีเดียว ทุกวันลูกตาลจะเดินเข้ามาในห้องของอัมรินทร์แล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้จะโดนปฎิเสธ ไม่ใช่แค่ลูกตาลหรอกที่อัมรินทร์เอ่ยปากปฏิเสธน้ำใจแต่เป็นทุกคนที่เข้ามาร่วมถึงงานวันเปิดตัวสินค้าคอลลเลคชั่นใหม่ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวที่อัมรินทร์เลือกที่จะนั่งดูความสำเร็จของสิ่งที่เขาตั้งตารอมันมานานผ่านจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบสองจุดเก้านิ้วในห้องแทน

              ภาพการถ่ายทอดสดภายในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ทางแฟนเพจของบริษัทที่ทางฝ่ายโฆษณาการตลาดทำขึ้น ภาพบรรยาการการเปิดตัวสินค้าเป็นไปตามที่เขาต้องการ ผู้คนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมีมากและที่สำคัญเสียงวิจารณ์สำหรับสินค้าชิ้นใหม่เป็นใปในทิศทางที่ดีจนเขาอดภูมิใจอยู่ลึกๆไม่ได้แม้จะฝังเพียงผ่านๆไม่ได้สนใจอะไรมากอย่างที่ควรจะเป็น

                นัยน์ตาที่จ้องมองภาพการถ่ายทอดสดอยู่นั่นดูเลื่อนลอยไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียเท่าไร อัมรินทร์หันมามองที่หน้าจอบ้างเป็นบางครั้งสลับกับการมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มหันกลับมามองที่หน้าจออีกครั้งเมื่อเสียพิธีกรในงานประกาศเปิดตัวเครื่องประดับอัญมณีตัวใหม่ เขานั่งมองมันอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนักและจนกระทั้งภาพของนักออกแบบสาวเพื่อนสนิทอย่างลิลดาเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่ภาพจะตัดไปที่ญาติผู้พี่ของเขาอย่างอนิรุทธิ์เดินถือช่อดอกไม้ช่อโตไปมอบให้แก่นักออกแบบสาว เขามองภาพนั่นด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่แสดงออกมาว่าเขาดีใจกับคนทั้งคู่ที่มุมปากเพียงครู่เดียวแล้วเลื่อนหายไป

                  ภาพการถ่ายทอดสดงานเปิดตัวสินค้าดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั้งมาถึงช่วงท้ายของงานที่นักข่าวต่างเข้ามารุมล้องบิดาของเขาเพื่อถามไถถึงความรู้สึกเกี่ยวกับงานในวันนี้ข้างๆมีมารดาของเขาที่ยืนควรแขนของลูกตาลอยู่

                 คำถามมากมายที่ถูกไตร่ถามออกมาไม่ได้เข้าหูคนที่ฟังมันอยู่ทางไกลเสียเท่าไร จนกระทั้งคำถามหนึ่งถูกถามขึ้นมา

                 “ทำไมงานในวันนี้คุณอัมรินทร์ถึงไม่ได้มาร่วมในงานด้วยละคะ”

                คนที่ถูกพูดถึงยิ้มเจือแล้วกดปิดหน้าจอนั่นเสียดื้อๆ

              คำตอบที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร เขาไม่อยากที่จะได้ยินมันอีก....

              ฝ่ายทางด้านคนที่ถูกถามอย่างสุริยะดูจะชะงักกึกไม่เล็กน้อยแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าการที่ลูกชายของตนที่ควรจะมาร่วมในงานวันนี้ในฐานะหัวเรือใหญ่กลับหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับเหมือนคนน้ำท้วมปากเอาเสียดื้อๆ

              “นั้นสิค่ะ แล้วภรรยาของคุณอัมรินทร์ละคะ ได้กำหนดคลอดมาแล้วหรือยัง” เพราะล่าสุดที่พวกเธอได้ข่าวมาคือภรรยาของอัมรินทร์ที่ชื่อว่าเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์อยู่

              สองสามีภรรยาวัยไม่ใกล้ฝั่งมองหน้ากันนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปว่าเช่นไรเกี่ยวกับลูกสะใภ้ของพวกตน

              “คงไม่มีแล้วละครับ” แต่ความสับสนอึดอัดใจของพวกเขากลับหยุดลงเมื่อเด็กหนุ่มที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับใครมาตั้งแต่เริ่มงานเป็นฝ่ายที่เปิดปากตอบ

              “หมายความว่ายังไงกับครับ” ไม่ใช่แค่นักข่าวที่ตีวงล้อมอยู่ตรงหน้า แต่ยังรวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานวันนี้อีกด้วยที่หันกลับมามองและให้ความสนใจกับตัวของเด็กหนุ่มที่ยืนตีหน้าขรึม

              “เกิดเรื่องที่น่าเศร้าขึ้นตอนนี้พ่อกับแม่ผมยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่สามารถมาร่วมในงานวันนี้ได้” เด็กหนุ่มตอบฉะฉานไร้ความเขินอายหรือประหม่าที่จะตอบจนสุริยะนึกพอใจและชมชอบเด็กคนนี้มาขึ้นไปอีก

              “อุ๊ย ต้องขอแสดงความเสียใจนะคะ” นักข่าวสาวคนที่เป็นคนตั้งคำถามหน้าเจือนเสียเล็กน้อยก่อนจะรีบแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคนที่เธอพลั้งปากถามออกไปด้วยความไม่รู้

              “ไม่เป็นไรครับ แต่สำหรับพ่อแม่ผมแล้วเรื่องนี้มันผลต่อใจของพวกเขามาก ขออย่าได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาให้สองคนนั้นได้ยินอีกเลยนะครับ” ลูกตาลยิ้มเป็นเชิงข้อร้อง ซึ่งนักข่าวที่อยู่ในงานทุกคนก็บรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ   

               สุริยะกับนภาอดที่จะแปลกใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มอยู่บ้างที่ไม่ได้ตอบนักข่าวออกไปว่าผู้เป็นแม่ของจนจากไป ทั้งสองคนจึงลงความเห็นกันเองในใจเอาว่าตัวเด็กหนุ่มเองก็คงจะยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แม้จะพยายามเข้มแข็งหากแต่จริงๆแล้วเจ้าตัวก็คงจะยังทำใจยอมรับไม่ได้ที่แม่ของตนจะไม่มีวันกลับมาหา

              ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร....

 

              เข้าสู่เดือนที่สามสำหรับการสูญเสีย...

              “ออกไปข้างนอกกันหน่อยไหม” เสียงของลูกตาลดังขึ้นอีกครั้งเหมือนอย่างทุกวัน

              อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือคู่มือการดูแลคุณแม่ที่เป็นผู้ชายขณะตั้งครรภ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยไหว้วานฝากให้เด็กหนุ่มซื้อมาให้ “ไว้วันหลังนะ”

              คำตอบเดิมๆที่ออกมาจากปากนั่นก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เด็กหนุ่มคากการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

              เกือบสองเดือนแล้วที่เขาพยายามชักชวนให้อัมรินทร์ออกจากบ้านแต่ทุกครั้งกลับคว้าน้ำแหลวได้ตลอดทุกครั้ง ลูกตาลพ่นลมหายใจออกจากจมูกกวาดสายตามองสำรวจร่างกายของคนที่เขาเรียกว่าพ่อที่ซูบผอมลงแม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ว่าไหนจะใบหน้าคมคายที่ครั้งหนึ่มเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราให้ลำคาญตาแต่ดูตอนนี้สิกลับกับอย่างเห็นได้ชัด

              “เมื่อไรจะโกนหนวด” ก็มันลำคาญลูกตา

              “ไว้ก่อน” อัมรินทร์ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแม้แต่หนวดเครายังไม่คิดโกนมันออกอย่างมากก็แค่เล็มส่วนที่ยาวเกินออกแน่นอนว่าคนที่ทำก็คือนภาแม่ของเจ้าตัวที่ขึ้นมาดูลูกชายทุกวัน

              “เห้อ เมื่อไรพ่อจะยอมออกจากห้องสักที” เด็กหนุ่มบ่น พลางนั่งลงกับของเตียงลูบหัวมณีนิลที่ย้ายตัวมานั่งเฝ้าอัมรินทร์ตั้งแต่ช่วงเดือนแรก

              “ก็ออกนะ” คล้ายจะเถียงแม้ตาจะยังไม่ละไปจากหนังสือที่ตนอ่านจนขึ้นใจ

              “แค่สวนหลังบ้าน” ลูกตาลว่าดักอย่างเหนื่อยหน่าย

              “แต่อย่างน้อยก็ออกไม่ใช่หรือไง”

              ลูกตาลส่ายหน้าคร้านจะต่อปากต่อคำ

              “แล้วนี่ ไม่ไปทำงานหรือไง” อัมรินทร์ทักท้วงขึ้นเมื่อมองนาฬิกาแล้วพบว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาเข้างานของเด็กหนุ่ม

              “วันนี้เข้าสายได้” เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มหลบสายตา

              “อยากให้ไปส่งหรือไง” อัมรินทร์ปิดหนังสือจ้องมองลูกชายที่นั่งก้มหน้าก้มตา

              “ได้หรือเปล่าละ” ลูกตาลถามขึ้นคล้ายมีหวังที่จะทำให้อัมรินทร์ยอมก้าวเท้าออกจากบ้านได้

              อัมรินทร์ยิ้มบางแววตาเศร้า แต่ยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะตอบรับหรือปฏิเสธเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

              อัมรินทร์และลูกตาลหันไปมองทางบานประตูที่เปิดออกช้าๆอย่างใคร่รู้พอเห็นว่าเป็นแววที่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาตก์ตีหน้าฉงนสงสัย

              “คุณอันค่ะ มีคนมาหาค่ะ” เธอกล่าว

              “ใคร”

              อัมรินทร์ขวมดคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมที่จะเดินลงบันไดตามหญิงสาวไปจนถึงห้องรับแขกพร้อมกับลูกตาล

              ร่างอ้วนท้วมของของหัวหน้าแผนกการผลิตนั่งทำสีหน้าปั้นยากอยู่ที่โซฟารับแขกมืออวบก่ำประสานกันแน่นเหมือนคนกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง

              “สวัสดีครับคุณอ้วน” อัมรินทร์เอ่ยทักทายหัวหน้าแผนกร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์

              “ทะ ท่านรองสวัสดีครับ” อ้วนละล้าละลังลุกขึ้นเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาหา แต่สภาพของชายหนุ่มที่เคยดูดีสง่ากับเปลี่ยนไปจนใจสะท้านสงสาร

              “ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” ลูกตาลที่เห็นว่าแผนการในวันนี้คงจะล้มเหมือนอย่างทุกครั้งจึงของปลีกตัวออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย

              “ไปดีๆละ”

              ลูกตาลยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนในห้องก่อนเดินออกจากห้องรับแขกไป

              เมื่อพออยู่ด้วยกันสองคนแล้วอัมรินทร์จึงทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่งก่อนจะผลายมือเชิญแขกผู้น้อยของตนนั่งตามลงมา

              “มีอะไรหรือครับถึงมาหาผมถึงที่บ้านแบบนี้” อัมรินทร์ยิ้มบางถาม

              “ช่วงนี้ไม่เห็นคุณไปทำงานเลยผมก็เลยเป็นห่วงนะครับ”

              “ขอบคุณครับ” อัมรินทร์กล่าวขอบคุณ

              ข่าวการสูญเสียทายาทคนถัดไปของบริษัทพนักงานทุกคนรับรู้เรื่องนี้กันดีและตามรู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งตัวอัมรินทร์และเปลวอรุณเป็นอย่างมาก และต่างเข้าใจว่าคนทั้งคู่ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้จึงไม่มีใครเห็นทั้งสองคนเข้าทำงานที่บริษัทอีกเลย ทางด้านสุริยะเองก็ไม่แม้จะปริปากเกี่ยวกับลูกชายและลูกสะใภ้ในที่ทำงานเลยสักครั้งจนตัวเขาเองยังคิดหนักอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าเอาของ ‘สิ่งนั่น’ มาที่นี้

              “คือว่า..” อ้วนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก

              อัมรินทร์เหลือบมองสีหน้าหนักใจของแขก

              “คุณยังจำของที่คุณให้ผมทำเมื่อก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ครับ”

              อัมรินทร์ชะงัก

              “จำได้สิ” มุมปากกระตุกยิ้ม “เสร็จแล้วหรอ” เขาถามเสียงแผ่วเบา

              “ครับ” มืออวบอูมหยิบซองกำมะหยี่สีขาวมุกออกมาจากกระเป๋าอย่างถนุถนอมพร้อมส่งให้คนหนุ่มกว่ารับไป

              “ขอบคุณมาครับ” อัมรินทร์รับของที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งทำด้วยรอยยิ้มคล้ายสุขใจระทมเศร้าโศกปะปนกันไปก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับขึ้นห้องไปเงียบๆทามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของหัวหน้าแผนกการผลิตที่มองตามหลังเขามา

              “คุณต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ”

              คนมองได้แต่ภาวนาเอาใจช่วยจากใจจริง

 

              อัมรินทร์ถือห่อผ้ากำมะหยี่ถุงนั้นกลับมาที่ห้องปิดประตูและล็อกมันอย่างที่เขาไม่เคยทำมันมานาน สองขาที่คล้ายจะอ่อนแรงก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงก้าวมาที่เตียงนอนแล้วทรุดนั่งลง

              ถุงกำมะหยี่หูรูดถูกคลายออกแล้วล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างในออกมา

              กระพวนข้อเท้าสำหรับเด็กแรกเกิดคู่หนึ่งถูกหยิบออกมา กระพวนที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์แท้ชุบด้วยทองคำขาวแท้เกลี่ยงเกลาไร้ลวดลายที่ปลายสองข้างมีกระดิ่งอันเล็กๆสีขาวประดับอยู่ข้างละอัน

              อัมรินทร์กำมือที่ถือกระพวนคู่นั้นแน่นน้ำตาที่ลื่อคลออยู่เริ่มไหลอาบแก้ม กระพวนข้อเท้าที่เขาคิดจะเอามาเป็นของขวัญรับขวัญลูกน้อยที่จะเกิดมาแต่ตอนนี้มันกลับไร้ซึ่งเจ้าของอย่างที่มันควรเป็น ทั้งๆที่วันที่ได้เห็นของสิ่งนี้มันควรจะเป็นวันที่เขาและเปลวอรุณมีความสุขที่สุด มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่ทำไมพอเอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาวาดฝันเอาไว้เพราะมันเหลือเพียงเขาเพียงคนเดียวที่เจ็บปวด

              หากว่ากระพวกคู่นี้ทำให้อัมรินทร์หลั่งน้ำตาออกมาเพียงแรกเห็นของอีกชิ้นที่ยังอยู่ในห่อกลับทำเขาปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม

              กระพวนข้อเท้าถูกเก็บลงห่อกำมะหยี่อีกครั้งก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นกล่องกำมะหยี่สีกลีบบัวอ่อนขนาดเล็กที่ถูกหยิบออกมา อัมรินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะกลั่นใจเปิดกล่องนั่นออกมา

              แหวนแต่งงานคู่หนึ่งปรากฏสู่สายตาที่ร้อนผ่าว แหวนคู่ที่เหมือนกับทุกระเบียบนิ้วหากแต่แตกต่างกันที่ขนาดของตัววง อัมรินทร์หยิบแหวนวงที่ใหญ่กว่าขึ้นมาส่วมที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองด้วยมือที่อันสั่นเทาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนอีกวงเขาดึงมันออกมาแล้วกุมมันเอาไว้แน่นในระดับอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ

              แหวนแต่งงานที่เขาอยากจะมอบมันให้กับคนที่เขารักมากที่สุด...

              “เปลว ฮึก เปลว”

 

................................................

 

             
:o12:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-08-2017 00:32:19

:o12:


 “คุณอัน” 

              เสียงละเม่อเรียกแสนอ่อนแรงดังขึ้นแผ่วเบา เปลือกตาอ่อนกะพริบเบาๆขับไล่น้ำตาที่หางตาให้ไหลลงข้างตาตามแรงโน้มถ่วงของโลก

              เขาฝัน...

              ฝันว่าอัมรินทร์กำลังร้องไห้เรียกหาเขาจากที่ไหนสักที่หนึ่ง ที่ที่เขามองไม่เห็น ที่ที่เขาได้ยินเพียงแค่เสียงร่ำได้เหมือนคนใกล้ขาดใจของคนที่รัก หัวใจของเขาแทบสลายลงเมื่อไม่ว่าจะพยายามมองหาเท่าไรก็ไม่แม้จะพบกับเงาร่างที่ต้องการ

              “อึก”

              อาการเวียนหัวทำเอาคนที่เพิ่งฟื้นคืนจากฝันร้ายนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด มือบางผอมแห้งยกขึ้นประคอบศีรษะที่วิงเวียนของตนจนคนที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างปรี่เข้ามาถามไถ

              “ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่อีกหรอครับ” ชายรู้ร่างกำยำสมส่วนในชุดสูทสีทึบดูน่าอึดอัดเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างเป็นห่วง

              “ใช่” เปลวอรุณหลับตาลงแน่น

              ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ด้วยวิธีการรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัด เมื่อเข้ารับการรักษาเขาก็ต้องยอมรับต่อผมข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น

                เขาเข้ารับการรักษาเดือนละหนึ่งครั้งและครั้งนี้คือครั้งที่สาม จากการใช้ยาทำให้เขาอาเจียนออกมาอยู่บ่อยครั้งร่างกายของซูบผอมลงมากจากแต่ก่อนจนตอนนี้เหมือนคนที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก ผิวขาวสุขภาพดีที่ตนเคยชมชอบกลับซีดเผือกไร้สีเลือด ไหนจะเส้นผมสีเข้มที่อัมรินทร์ชอบเขายังตัดใจที่จะโกนมันออกจนโลนเตียนก่อนที่มันจะหลุดร่วงให้ตัวเขาต้องช้ำใจนต้องเอาหมวกไหมพรมสีควันบุหรี่มาสวมทับแทน

              “ให้ผมตามหมอมาดูดีหรือไม่ครับ”

              “ไม่เป็นใคร ขอน้ำที” เขาปฏิเสธแล้วขอเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่ามาดื่มให้ชุ่มคอแทน

              เปลวอรุณคืนแก้วน้ำที่ดื่มจนหมดแก้วกลับคืนก่อนจะพิงกายนอนราบลงกับเตียงนอนอีกครั้งพร้อมหลับตาลง ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่เฝ้าดูแลผู้ป่วยมองท่าทีผู้เป็นนายเล็กน้อยก่อนจะเดินจากออกจากห้องไป

              ความเงียบกลับคืนสู่เปลวอรุณอีกครั้งเมื่อผู้เฝ้าดูแลเดินออกจากห้องไปเปลือกตาสีอ่อนซีดปรือลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพดานสีขาวลอยสูงอยู่ตรงหน้าทางซ้ายคืนกระจกบานใหญ่ที่กั้นห้องนอนที่เขานอนอยู่ร่วมสามเดือนกับภาพยอดตึกต่างๆกลางเมืองหลวง ภาพทิศทัศน์เดิมๆทำเอาหัวใจเงียบเหงายิ่งเหงาหง่อยลงกว่าเดิม

              เขาคิดถึงอัมรินทร์...

              การที่ตื่นมาแล้วต้องรับรู้ถึงการสูญเสียชีวิตน้อยๆที่แสนล่ำค่าทำเอาเขาร้องไห้แทบขาดใจไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ หากแต่คำพูดคำพูดหนึ่งของคนที่รักเหนี่ยวรั้งตัวเขาให้มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ

              “....ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน”

              อัมรินทร์สัญญากับเขาว่าจะมารับและเขามั่นใจว่าอัมรินทร์จะต้องมาตามที่รับปาก

              แต่ทำไมถึงได้นานอย่างนี้...

              หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบกลับไปหาอัมรินทร์ทันทีที่ลืมตาหาแต่เพราะในตอนนี้ร่างกายของเขาทรุกโทรมลงอย่างรวดเร็วแรงที่จะทรงตัวยืนให้ตรงได้นั่นแทบจะไม่มีดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่รอคอย รอให้อีกครั้งทำตามคำที่พูดออกมา

แก๊ก

              เสียงบิดลูกบิดประตูดังขึ้นเรียกความสดใจของเขาที่เหม่อลอยออกไปนอนหน้าต่างบานใหญ่ความรู้สึกตื่นเต้นระคมดีใจเมื่อเผลอนึกว่าคนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเขาคือใครคนหนึ่งที่เขาคะนึงหามานาน

              “คุณอัน”

              หากแต่รอยยิ้มที่คลี่ออกกว้างอย่างคนดีใจนั้นกลับต้องเก้อค้างกลางอากาศเมื่อคนที่เปิดมันออกมาไม่ใช่คนที่เฝ้านับวันรอหาอย่างที่ใจต้องการ

              “เสียใจหรือเปล่าครับที่ไม่ใช่” เป็นราชันที่อยู่ในชุดลำลองเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแขนยาวกับกางเกงสีเข้มขาสั้นที่เปิดประตูเข้ามา

              เปลวอรุณหน้าม้ายลงเล็กน้อยแล้วเสมองไปอีกทาง

              “เห็นเด็กบอกว่าปวดหัวอีกแล้วหรอครับ” ราชันถามอย่างเป็นห่วงพลางปิดประตูสาวเท้าเข้ามาใกล้

              “ก็เป็นปกติ” เปลวอรุณทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายไม่พอใจที่เห็นคนตรงหน้า

              ราชันยิ้มอ่อน นั่งทันขาข้างหนึ่งลงที่ข้างเตียงนอนที่เปลวอรุณนอนอยู่

              “อยากออกไปรับลมที่ข้างนอกหน่อยไหมครับ”  เมื่อคิดว่าคนป่วยอาจรู้สึกอุดอู้อยู่แต่ในห้องราชันจึงเสนอขึ้นมา

              “ไม่เอา” ถ้าหากเขาออกไปแล้วอัมรินทร์มารับเขาละ

              “แล้วอยากได้อะไรละครับ” ราชันถามขึ้นพร้อมจับมือผอมแห้งนั้นมือลูบเกลี่ยเบาๆ

              “อยากเจอคุณอัน” เปลวอรุณพูดความต้องการของตัวเองออกมา “ไหนว่าคุณอันจะมารับไง” ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อนน้อยใจ

              ราชันยิ้มบาน

              “ไอ้อันมันติดธุระสำคัญอยู่นะครับเลยยังมาไม่ได้” ราชันว่าปลอบใจ

              “อีกแล้วหรอ” ทุกครั้งที่เขาถามหาอัมรินทร์ คำตอบที่ได้กลับมาคือ ติดธุระ ไม่สบาย วันนี้ไม่สะดวก คำตอบซ้ำๆที่บั่นทอนหัวใจของเขาทุกวัน

              “ตอนแรกไอ้อันมันก็จะมาอยู่แล้วละครับ แต่เพราะมันเป็นเรื่องด่วนมันจึงมาไม่ได้”

              “เขาบอกว่าจะมา ฮึก แต่เขาก็ไม่มา” เปลวอรุณน้ำตารื่อ

              “เดี๋ยวเขาก็มาครับ” ราชันกุมมือผอมแห้งเอาไว้แน่น

              “แต่เขาก็ไม่มา!” เปลวอรุณใส่อารมณ์ “หรือเพราะว่าพี่เป็นแบบนี้ เพราะเขารู้เขาถึงรับไม่ได้เลยไม่มารับพี่สักที ใช่ไหมราช! ใช่ไหม!” เปลวอรุณเหมือนคนสติแตกถลึงกายลุกขึ้นนั่งน้ำตาหยดใสไหลอาบแก้มเมื่อมองสภาพของตัวเองในตอนนี้เหตุผลเดียวที่พอจะนึกเดาเอาเองออกว่าทำไมอัมรินทร์ถึงยังไม่มาหาเขาสักทีมันคงเป็นเพราะสภาพของเขาในตอนนี้

               สภาพของเขาที่เหมือนกับดอกไม้แห้งๆที่ใกล้ตาย...

              “ไม่หรอครับ อันมันรักพี่มาก ผมเชื่อว่าต่อให้พี่จะอยู่ในสภาพไหนมันก็ไม่นึกรังเกียจพี่อยู่แล้วครับ” ราชันรั้งดับแขนผอมแห้งที่เหลือแต่กระดูกของเปลวอรุณที่พยายามฟาดใส่เขาเขาไว้แน่นและพยายามไม่ให้ตัวเองเผลอใช้แรงมากจนเกินไปจนทำให้อีกคนรู้สึกเจ็บ

              “โกหก!” เขาไม่เชื่อ

              “ผมพูดจริงๆนะครับ” ราชันพยายามหว่านล้อม “ไอ้อันมันคิดถึงพี่ทุกวัน มันเองก็อยากจะเจอพี่เหมือนกัน”

              “จะ จริงหรอ” เปลวอรุณเริ่มที่จะสงบลง แววตาเศร้าเจือความสับสนเล็กน้อย

              “แน่สิครับ” ราชันยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวนอนซุกที่หน้าท้องบางแล้วโอบรอบเอวเอาไว้หลวมๆ

              “ผมไม่เคยโกหกพี่อยู่แล้วครับ พี่เปลว”



 
______________________________________________

เปลวอรุณกลับมาแล้ววววว

ตอนหน้าเรามาเคลียร์ปมสุดท้ายระหว่างหนูเปลวกับหนูราชันกัน

แต่ทุกคนก็คงจะพอเดากันได้แล้วละเนอะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 23-08-2017 00:40:26
อ่านจบแล้วแบบ ตอแหลอะ ตอแหลสุด ๆ ผช นี่เวลาตอแหลน่ากลัวกว่าผญเยอะ เผลอๆลูกตาลร่วมรู้ ดีเนอะ แต่ละคน ไม่ใช่ราชันคือน้องชาย?? ทำแบบนี้ดีจัง ดี๊ดี ไม่รอให้อันตายไปก่อนละ หรือให้เปลวตายจริง ๆ นี่คืออินมากนะ เลยเม้นแบบนี้ จริงจัง แบบ อี้ย เกลียดอะ สงสารเปลวกับอัน
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 23-08-2017 01:07:11
มาม่าเส้นอืดแล้วอืดอีก  :hao5:
ราชันนี่เป็นคนที่น่ารังเกียจ  สุดๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-08-2017 04:03:22
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 23-08-2017 08:21:32
เอ่อ.....
นี่ราชันเป็นอะไร โรคจิตหรอ อยากให้ทั้งคู่ตายไปพร้อมๆกันเลยไหม? โดยปกติคนเป็นโรคมะเร็ง กำลังใจสำคัญที่สุดในการรักษานะ ทำแบบนี้รักเปลวจริงไหม  เห็นแก่ตัว :angry2: #อินจัด :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-08-2017 09:24:20
ต่างฝ่ายต่างรอกัน...
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 23-08-2017 11:58:05
ลูกตาลรู้อะไรมา ที่พยายามจะชวนคุณอันออกนอกบ้านเพราะจะพาไปหาเปลวใช่มั้ย เปลวแทนตัวกับราชันว่า พี่ น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันรึเปล่า
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 23-08-2017 13:16:05
ราชันน่ารังเกียจมากอ่ะ รู้ทั้งรู้ว่าทั้งคู่สูญเสียอะไรไปบ้างยังทำอีก คือแบบความผิดพลาดในอดีตมันก็ผ่านมาแล้ว มัวแต่จมอยู่กับความแค้นเลยไม่เดินไปข้างหน้าสักที เฮ้อออ  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 23-08-2017 21:24:22
ทำไมราชันถึงสามารถพาตัวเปลวไปได้? จริงๆทางรพ.ไม่น่ายอมนะ
เหมือนเปลวจะมีอาการจิตนิดๆแล้วอ่ะ 
อันนี่ก่ไม่น่าหลงเชื่อราชันเลย ศพเปลวก็ยังไม่เห็น ไม่คิดจะตามหาศพหน่อยเหรออย่างน้อย :katai1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-08-2017 22:27:29
ตกลงเปลวพี่ราชันเหรอ แต่การแยกกันอย่างนี้ไม่ดีกันทั้ง 2 ฝ่ายเลยนะ
ถ้าราชันรักเปลวจริงแล้วทำไมถึงไม่ยอมให้อันพบเปลว เพื่อที่คนป่วยจะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้าย
อย่าบอกนะว่าตาลรู้ว่าเปลวอยู่ไหน ถ้ารู้เรื่องนี้จริงมันไม่ดีเลยนะ เพราะการที่เห็นพ่อกับแม่ที่เคารพต้องตรอมใจอยู่อย่างนี้จะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ
อินมากไปหน่อย..
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 30- 23/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-08-2017 23:23:32
ขอให้ราชันมีความสุขกายสุขใจ มีชีวิตที่แสนสงบ น่ะ


ขอตรงนี้เลย จะได้ไม่ไประรานคนอื่นๆ

 :katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 24-08-2017 20:27:31

เป็นหนี้ ครั้งที่ 31


              “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เสียงเรียกของอัมรินทร์ที่วิ่งเข้ามาถึงตัวเขาเป็นคนแรกประคองตัวเขาขึ้นมาแนบอก

              “ผมเจ็บ” แม้จะสายตาของเขาจะพร่าเบลอจากโรคสายตาที่เป็นมาแต่ใบหน้าแตกตื่นระคมความเป็นห่วงจับจิตของอัมรินทร์กลับเด่นชัดในสายตาของเขา

              “แม่เปลว เลือด!”

              เสียงร้องทักของลูกตาลดังขึ้นเรียกความสนใจให้หัวใจที่อิ่มแอมจากความเป็นห่วงเป็นใยที่ได้รับจากอัมรินทร์ล้วงหายไปกับตา ไหนจะภาพของเลือดจำนวนมากที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา

              “ลูก.. ลูก”  เสียของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าของเขาค่อยๆพร่าเลื่อนแล้วดับวูบ

              เขาไม่รู้ตัวอีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นหากแต่เสียงเรียกจากอัมรินทร์กลับเป็นเสียงเดียวที่ส่งมาถึงเขา เปลือกตาที่อ่อนล้าเต็มทีของเขาปรือเปิดมามองใบหน้าของคนรักอีกครั้งก่อนมือของเขาทั้งสองคนจากถูกแยกจาก

              การสูญเสียเกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว...

              “......”

              เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องห้องหนึ่งที่ดูแตกต่างจากห้องที่เขาควรจะอยู่ มันดูเหมือนเป็นห้องนอนในคอนโดหรูมีราคาทางซ้ายมือของเขามีผ้าสีขาวผืนหนาถูกขึงปิดบางสิ่งเอาไว้สูงเทียบเพดานด้านบนเช่นเดียวกับทางช่วงปลายเตียง เสียงพูดคุยของใครคนหนึ่งดึงดูดสายตาของเขาที่กวาดสำรวจอยู่ให้หันไปหยุดที่ชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคยมานาน

              ราชัน...

              เขาไม่รู้ว่าทำไมราชันถึงได้พาเขามาที่นี้แทนที่จะให้เขานอนพักอยู่ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลอย่างที่ควรเป็น เขามองสบดวงตาเรียวเล็กของ ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ ของตนที่เหมือนกำลังคุยอะไรสักอย่างอยู่กับใครสักคนโดยที่ดวงตานั่นไม่ละไปจากเขาเลยแม้แต่น้อย

              เสียงคุ้นจัง...

              “กูจะคืนเปลวอรุณให้มึง”

              คุณอัน...

              มุมปากฉีกยิ้มเมื่อรู้ว่าใครคือคนที่อยู่ฝั่งของปลายสายที่สนทนากับราชันอยู่

                “ จริงหรอ” น้ำเสียงดีใจของอัมรินทร์ดังแว่วเข้ามา
 
                “ถ้ามึงหาตัวเขาเจอ”  ราชันพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนขาตั้งกล้องขึ้นมาถือก่อนจะเดินตรงมาที่เขา

               ภาพในหน้าจอโทรศัพท์ที่เขาเห็นคือใบหน้าของอัมรินทร์ที่คล้ายคนที่กำลังสิ้นหวังหมดหนทางที่มืดมิดแล้วได้พบเจอเข้ากับแสงสว่างรอยยิ้มของอัมรินทร์ฉีกกว้างกว่าครั้งไหนที่เขาเคยได้เห็น

                “เปลว เปลวเป็นยังไงบ้าง” เสียงกึ่งตระหนกกึ่งดีใจเรียกรอยยิ้มบางๆจากเขา

                  “คุณอัน” หากแต่เขานั้นไร้เรียวแรง มืออ่อนแรงยกขึ้นให้ปลายนิ้วสัมผัสกรอบหน้าของคนที่รักผ่านหน้าจอสีเหลี่ยมในมือของราชัน น้ำตาหยดใสไหลลงจากขอบตา

                  “ไม่ร้องเปลว ฉันอยู่นี้ ฉันจะไปรับเปลวเราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน” คำว่า ‘มารับ’ แล้ว ‘เราจะกลับมาอยู่ด้วยกัน’ คือคำที่ฟังแล้วทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาทันตา

              แต่เวลาแห่งความสุขทางใจของเขากลับถูกขัดจังหวะเมื่อมีผู้ชายสองคนที่แต่งตัวคล้ายหมอสวมเสื้อการ์วขาวคาดหน้ากากอนามัยบดบังใบหน้าเดินเข้ามาพร้อมถาดสแตนแลสเดินเข้ามา

              “ขอเจาะเลือดตรวจนะครับ” เสียงของคนแรกดังขึ้นเบาๆพอแค่ให้เขาได้ยินมัน

              ความเย็นของสำลีขาวที่ชุดด้วยเอลกอฮอร์เช็ดบริเวณด้านล่างข้อพับแขนของเขาเพื่อฆ่าเชื่อก่อนที่ความเจ็บจากปลายแหลมของเข็มฉีดยาจะแทงผ่านเข้ามาเขาหลับตาลงซ้อนความเจ็บแต่เขากลับมีความรู้สึกมึนงงผสมโรงเข้ามาด้วย

              เสียงรอบๆตัวดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับสติของเขาอีกรอบหนึ่ง...

             

              ครั้งนี้เปลวอรุณตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงที่ท้องฟ้าด้านนอนมืดสนิท ผ้าผืนใหญ่สีขาวทึบที่เคยถูกตึงปิดบานหน้าต่างขนาดใหญ่เมื่อตอนก่อนหน้าถูกปลดออกผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดกว้างเผยให้เห็นทัศนียภาพมุมสูงของกรุงเทพ แสงสว่างจากนีออนตามตึดสูงและบนท้องถนนดูสวยเหมือนกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่แช่งกันอวดแสงสีของตน

               เขาเผลอยิ้มพอใจให้กับมัน...

              “ตื่นแล้วหรอครับ” เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นแผ่วเบา

              เปลวอรุณขยับศีรษะเปลี่ยนทิศทางการมองจากนอกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาด้านห้อง อาศัยแสงสีส้มสลั่วนวลตามองไปยังทางประตูห้องนอน เขาพยายามหรี่ตาลงเพื่อปรับภาพตรงหน้าให้ชัดเนื่องจากตอนนี้เขาไม่มีแว่นสายตาคอยช่วยรับภาพให้ชัดเหมือนอย่างที่เคย

              “ราชหรอ?” เขาเอ่ยถาม

              คนมาใหม่ไม่ตอบแต่เดินเข้ามาหาเรื่อยๆก่อนจะทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงในระยะที่คิดว่าคนที่นอนอยู่น่าจะมองเห็นเขาได้ชัด

              “รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นบนใบหน้าแต่ในระยะนี้นอกจากที่เปลวอรุณจะสามารถมองเห็นได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นใคร อีกทั้งเขายังรับรู้ได้อีกว่ารอยยิ้มนั่นดูเหมือนมีความผิดปกติบางอย่างยังไง

              “ทำไมทำหน้าแบบนั่นละ” เขาพลั่งปากถามออกไปด้วยความสงสัย

              “แบบไหนกันครับ” เรียวปากบางของราชันสั่นระริก

              เปลวอรุณมองใบหน้าที่อยู่เหนือกว่าเงียบๆ

              และเงียบจนราชันรู้สึกอึดอัด

              ร่างผอมโปร่งของราชันมีอาการละล้าละลังอยู่ไม่สุขเมื่อเจอเข้ากับความเงียบที่ว่า ดวงตาเรียวเล็กวาวเล็กน้อยด้วยน้ำตาคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ฟูมฟายจึงตัดสินใจพูดเรื่องที่มันฝั่งติดอยู่ในใจตนเองขึ้นมา

              “เรื่องวันนั้น ผมขออธิบายได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงของราชันดูขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้งยังเจือความหวาดกลัวเล็กๆในแววตายามที่จะพูดเรื่องนี้เหมือนเด็กที่ต้องการจะอธิบายเรื่องที่ตนทำผิดให้ผู้ใหญ่ได้ฟัง

              เปลวอรุณเงียบมองใบหน้าที่ก้มต่ำจนคางแทบชินอกกับช่วงไหล่ที่ดูสั่นเล็กน้อยของราชันเล็กน้อยก่อนจะตอบรับความต้องการของชายหนุ่ม

              “อยากจะเล่าก็เล่ามาสิ”  ในเมื่อตัวของราชันเองอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยเขาก็จะขอรับฟังเอาไว้ เพราะถ้าไม่ ราชันก็คงจะตามตื้อร้องขอให้เขารับฟังมันอีกแน่ๆ

              นัยน์ตาที่เคยหม่นหมองอยู่เมื่อครู่ฉายประกายอีกครั้งเมื่อได้รับโอกาสอธิบายแก้ต่าง

              “พี่เปลวจะฟังที่ผมพูดจริงๆใช่ไหม”  ราชันดูกระตือรือร้นขึ้นมาถนัดตาเมื่ออีกคนให้โอกาส

              “เล่ามาสิพี่ฟังอยู่”

              “อันที่จริงตอนนั้นผมอยู่ที่ต่างประเทศเลยต้องใช้เบอร์ของที่นั้นเป็นส่วนใหญ่” ราชันยิ้มเจือคล้ายรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกอีกคนไว้ก่อน “และช่วงนั้นผมกำลังมีปัญหากับวาเลนติโนพอดีเลยปิดเบอร์นั้นหนีแล้วใช้เบอร์ไทยแทน แต่หมอนั้นก็ยังตามโทรมาอีกและด้วยความที่ผมกำลังหงุดหงิดอยุ่ด้วย พอพี่โทรเข้ามาผมเลยไม่ทันดูให้ดีก่อนเพราะคิดว่าเป็นหมอนั่นเลยตะคอกด่าออกไปอย่างนั้นเพื่อให้มันเลิกยุ่งกับผมสักที”

              “จะไปตายที่ไหนก็ไป คนอย่างนายมันน่ารำคาญ คิดว่าตัวนายวิเศษมาจากไหนกันทำไมฉันต้องทนต้องทำตามที่นายขอด้วย”

              คำพูดว่าร้ายในวันนั้นดังขึ้นมาในหัว

              “พี่คงเสียใจมากสินะ ยิ่งคนที่พูดมันออกมาตอนหลังเป็นปู่ด้วย” ราชันแค่นยิ้มแกน

              “ฉันไม่เคยนับแกเป็นหลานหรือเป็นญาติของฉัน อย่างมายุ่งกับหลานฉันอีก”

              คนฟังหลุบตามองต่ำ

              “ตอนที่ผมกับปู่รู้ว่าเป็นพี่ พวกเราตกใจกันใหญ่เลยพยายามรีบโทรหาพี่แต่ก็ไม่ติด” ราชันบีบมือตัวเองแน่น “ผมกับปู่เราไม่ได้ต้องการพูดจาไม่ดีใส่พี่จริงๆนะ ผมกับปู่อยากจะขอโทษพี่มาก วันต่อมาผมรีบกลับมาไทยเลยแต่พี่ก็ไม่อยู่บ้าน ผมร้อนใจมากปู่เองก็เป็นห่วงพี่มากเลยนะครับ”

              เปลวอรุณปรายตามองคนที่ก้มหน้าพูดเนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนกด้วยความรู้สึกผิด เขาหลับตาลงช้าๆก่อนจะถอนหายใจออกมาครึ่งหนึ่ง เขาปล่อยวางเรื่องนี้ไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นและไม่คิดผูกใจเจ็บกับมันอีกแต่ที่เขาไม่ยอมฟังความแก้ต่างของราชันตั้งแต่แรกก็เพราะตัวเขาเองยังทำใจไม่ได้ที่จะเห็นหน้าหรือพูดคุยกับเจ้าตัวและเขาก็รู้ดีว่ายิ่งเขาทำแบบนั้นราชันก็จะยังพะวักพะวงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาขึ้นไปอีก เพราะสิ่งเดียวที่ราชันหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตคือการถูกเขาเกลียด

              “พี่ไม่โกรธราชหรอกนะ” เขาคลี่ยิ้มบาง

              “จะ จริงหรอครับ” คนที่ตั้งใจจะมารับคำตำหนิติด่าปรือตาที่ปิดแน่นออกมองคนที่นอนอยู่อย่างไม่เชื่อหู

              “จริงสิ พี่เคยโกหกเราด้วยหรือไงกัน” ฝ่ามือบางแตะเบาๆที่หน้าตักของน้องชายก่อนจะกลับมาวางไว้ที่หน้าท้องเหนือผ้าห่ม

              ราชันยิ้มกริมอย่างมีความสุขตาเป็นประกายเมื่อคำอธิบายของตนเป็นผล เพราะสำหรับเขาแล้วเปลวอรุณคือคนสำคัญเป็นที่หนึ่งสำหรับเขาในทุกๆด้านเป็นคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่อยากให้เกลียด และรักมากจึงไม่อยากยกให้ใคร...

              “แล้วพี่ละครับ” อยู่ๆน้ำเสียงดีอกดีใจเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป

              เปลวอรุณมองความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของราชันอย่างตามไม่ทัน

              เมื่อกี้ยังยิ้มร่าอยู่เลย...

              “...”

              “แล้วพี่ไม่คิดจะบอกอะไรผมเลยหรอครับ” อยู่ดีๆเจ้าตัวก็พูดออกมาอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ มุมปากทั้งสองข้างหุบแคบลง

              “....”

              “ไม่คิดจะบอกผมทั้งเรื่องของพี่กับมัน ทั้งเรื่องที่พี่กำลังท้อง หรือแม้แต่เรื่องที่พี่เป็นมะเร็ง พี่ไม่คิดจะบอกอะไรผมกับปู่เลยหรอครับ” ราชันกำมือที่หน้าตักตัวเองแน่น

              เปลวอรุณเสหน้าหนี

              “พี่ไม่บอกผมเรื่องระหว่างพี่กับไอ้อันผมไม่ว่าหรอกครับเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่” เจ้าตัวว่าพลางวางทับมือของตนเหนือมือของเปลวอรุณที่วางอยู่ตรงหน้าท้อง “แต่เรื่องเด็กคนนี่ ทำไมพี่ไม่บอกผม ฮึก” ราชันสะอื้น

              “เพราะผม ถ้าผมรู้ว่าพี่กำลังท้องผมจะไม่ทำ ถ้าผมรู้ว่ามันจะทำให้พี่ต้องเสียเด็กคนนี่ไปผมจะไม่มีวันทำ” ราชันสะอื้นหนักจนตัวงอบีบมือข้างนั่นของเปลวอรุณไว้แน่น

              “เขา เขาไม่อยู่แล้วหรอ” มืออีกข้างที่วางไว้เหนือหน้าท้องเช่นกันกำผ้าห่มที่คุมร่างของตัวเองแน่นร่างกายชาวาบไปหมด

              ‘เขา’ ที่ว่าคือใครนั้น สำหรับเปลวอรุณแล้วก็คงจะมีเพียงความหมายเดียวและเพียงคนเดียงที่ถามหา นั่นก็คือ ลูก

              ราชันเม้มปากแน่นขณะพยักหน้าย้ำความจริง

              เปลวอรุณน้ำตาไหล

              บันไดเกือบยี่สิบขั้นไม่ใช่น้อยๆไหนจะจำนวนเลือดที่ไหลออกมาจากร่างของเขาเมื่อตอนนั้นอีก ก็พอทำใจเอาไว้อยู่แล้วบ้างก็เถอะแต่ลึกๆเขาก็ไม่อยากเสียลูกไป แต่เมื่อความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาภาวนาร้องขอหัวใจของเขาก็เหมือนจะสลาย

              “ผมขอโทษพี่เปลว เพราะผม ผมทำให้พี่เสียงลูกไป ผมเอง ผมผิดเอง”  ราชันกอดร่างของพี่ชายที่ตนรักเอาไว้แน่น

              เขาไม่เคยรู้เรื่องนี่มาก่อน ไม่เลย ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่มันเกินกว่าเจ้านายกับลูกน้องของทั้งคู่แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดไปจนถึงที่ว่าเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์ เขาเอาแต่คิดว่าจะไม่ยอมให้เปลวอรุณโดนอัมรินทร์หลอกเลยพยายามที่จะบอกความจริงให้อีกคนได้รู้ แต่เพราะเขาไม่สืบสาวเรื่องของเปลวอรุณให้ดีกว่านี่เรื่องพวกนี้มันถึงได้เกิดขึ้น

              เป็นเพราะเขา เพราะเขาหลานของเขาถึงต้องมาจากไป...

              เขารู้ดีว่าความรู้สึกผิดของเขามันคงไม่เพียงพอที่จะชดใช้ให้กับความผิดที่เขาทำ

              “ช่างมันเถอะ” เปลวอรุณสะอื้นโดนไม่คิดมองหน้าน้องชาย และนั่นก็ยิ่งทำให้ราชันร้องไห้ออกมาหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อคิดว่าพี่ชายจะไม่ให้อภัย

              “เขาจากไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้แล้ว” ถึงจะพูดไปเหมือนคนทำใจได้ แต่เปล่าเลย.. หัวใจข้างในของเปลวอรุณแหลกละเอียดเสียยิ่งกว่าใครจะคาดเดา

              เขาคือแม่ แม่ที่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าลูกก็ต้องมาร่ำไห้ให้กับการจากไปของลูกตัวเอง

               แม่ที่น่าสงสาร...

              “แต่เขาจากไปเพื่อให้พี่อยู่ต่อนะครับ” ราชันยันกายขึ้นขณะพูด แม้รู้ดีว่ามันจะเหมือนการทิ่มแทงใจอีกคน

               “ถ้าเขายังอยู่พี่เปลวก็จะไม่ยอมบอกใครเรื่องที่พี่กำลังป่วย พี่จะไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพื่อที่จะให้เขามีชีวิต” ราชันกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด

                 เปลวอรุณหน้าม้ายลงเมื่อถูกจับความคิดที่คิดเอาไว้ได้

                 “แต่เขาคงอยากจะให้พี่มีชีวิตอยู่ต่อมากกว่า” ราชันยิ้มขื่น ถึงจะฟังดูร้ายกาจไปบ้างในบางทีแต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเด็กคนนี่ยังอยู่เปลวอรุณจะไม่มีวันยอมเข้ารับการรักษาที่อาจมีผลกระทบโดยตรงต่อเด็กในครรภ์และนั่นย่อมหมายถึงชีวิตของคนเป็นแม่ที่อาจไม่ได้อยู่เห็นลูกที่ตัวเองปกป้องมานับปีเติมโต

                  “ผมรู้ว่าพี่เสียใจ ผมเองก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน”

                   “...”

                   “แต่พี่ต้องอยู่ต่อไป พี่ต้องเข้ารับการรักษาผมติดต่อหมอเอาไว้แล้วเรื่องการรักษา” ราชันกลืนน้ำลายหนืดลงลำคออย่างยากลำบาก “และพี่ต้องหาย พี่ต้องอยู่รอไอ้อันมันมารับพี่กลับไปไม่ใช่หรอ”

                    เปลวอรุณชะงัก

                     ใช่แล้ว..

                     ถึงจะเสียลูกไปแต่เขาก็ยังมีอัมรินทร์ อัมรินทร์สัญญาว่าจะมารับ เขาต้องมีชีวิตอยู่รอวันที่อัมรินทร์จะมาพาเขากลับไป ไหนจะลูกตาลอีก เขาไม่ได้เสียลูกไปทั้งหมดเสียหน่อยแต่เขายังมีลูกชายอีกคนหนึ่งที่รอให้เขากลับไปหา

                     “แล้วราชพาพี่ไปหาคุณอันเขาตอนนี้เลยไม่ได้หรอ” เขาอยากไปหาอัมรินทร์กับลูกตาลแทบขาดใจอยู่แล้ว

                     “ร่างกายพี่ยังไม่พร้อม พี่ต้องรักษาตัว” ราชันขัด “มันบอกเองว่าจะมารับพี่ มันก็ต้องมาพาพี่กลับไปเองผมไม่ยอมยกพี่ชายคนเดียวของผมให้มันง่ายๆหรอกครับ”

                       รอยยิ้มของราชันดูราบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เปลวอรุณมองน้องชายตัวเองนิ่งด้วยความรู้สึกตื่นกลัว สับสน และหวาดระแวง สลับปนเปกันไปหมด

                        จิตใจของน้องชายคนนี้บิดเบี้ยวยังไงขนาดไหนคนเป็นพี่เช่นเขาย้อมรู้ดี ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหรือโตมาด้วยหันเหมือนอย่างอนิรุทธิ์และอัมรินทร์ แต่ราชันถือเป็นญาติที่เขาสนิทด้วยมากที่สุด พวกเขาสองคนติดต่อหากันออกมาพบปะพูดคุยกันตลอดทำไมเขาจะไม่รู้ละว่าราชันมีนิสัยเป็นยังไง

                         ตั้งแต่เด็กแล้วราชันมักจะทำตัวติดกับเขาเหมือนเงาตามตัวในเวลาที่เจอกัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ไหนหรือทำอะไรข้างๆจะต้องมีเด็กชายหน้ายิ้มอย่างราชันเดินตามอยู่ข้างหลังไม่ยอมห่างและยิ่งราชันถือเขาเป็นคนสำคัญเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่เจ้าตัวไม่คิดยกให้ใครง่ายๆด้วยแล้ว ยิ่งกับอัมรินทร์ที่เหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันอยู่แต่เดิมด้วยแล้วเขาเชื่อว่าราชันต้องคิดทำอะไรสักอย่างแน่

                          “ผมสัญญาครับ ว่าถ้ามันมาหาพี่ที่นี้ได้ ผมจะยอมให้มันพาพี่กลับไปทันที” ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยปลายเส้นผมอย่างเบามือ

                          “มันรักพี่มาก ผมเชื่อว่ามันจะต้องมารับตัวพี่กลับแน่” ถ้ามันรู้ว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ ราชันแย้มยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อให้พี่ชายที่ตนรักได้พักผ่อน

                           พี่เปลวเป็นของผม...

 
:katai5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 24-08-2017 20:28:08

:katai5:


ตึง ตึง ตึง

                      เสียงลงส้นเท้าหลักๆกับเสียงเอ็ดตะโรอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังโวยวายอยู่นอกห้อง เปลวอรุณที่กำลังจับช้อนคนข้ามต้มตรงขึ้นเงยหน้าขึ้นมามองที่บานประตูก่อนจะหันกลับมามองชายชุดดำที่ถูกส่งมาเฝ้าดูคล้ายเป็นเชิงถาม ทางชายชุดดำเองก็เหมือนจะเข้าใจความหมายของผู้เป็นนายเจ้าตัวก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หมายจะเดินไปเปิดประตูดู

ผลั๊วะ!

              แต่ยังไม่ทันที่มือจะสัมผัสถูกลูกบิดประตูบานประตูห้องนอนที่ถูกปิดสนิทอยู่ก่อนหน้าก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนคนที่จะไปเปิดเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทันในขณะที่คนกำลังนั่งกินข้าวอยู่บนเตียงสะดุ้งจนข้าวต้มอุ่นที่อยู่ในช้อนกระฉอกหก

              “แม่เปลว!”

              เปลวอรุณหันมองเจ้าของเสียงโวยวายที่พรวดพราดเข้ามาในห้องของเขา

               “ลูกตาล” เปลวอรุณอุทานเรียกพร้อมเบิกตากว้างมองร่างสูงสมส่วนของเด็กหนุ่มที่ยืนหอบหายใจจนตัวโยกอยู่ที่หน้าประตูที่เปิดอ้ากว้าง

               เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นแน่ชัดกับตาตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่จริงน้ำตาที่เคยไหลออกมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวานก็ไหลออกมาอีกครั้งก่อนตรงปรี่ไปหาคนที่ไม่คิดฝันว่าจะได้เจออีก

              “แม่เปลว” ลูกตาลตรงปรี่เข้ามาทรุดตัวคุกเข่าลงที่ข้างเตียงกอดเอวคนที่นั่งเหยียดขาอยู่ด้านบนแน่น

              “แม่เปลวจริงๆด้วย แม่ยังอยู่” น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้มอย่างไม่คิดอาย ยิ่งฝ่ามืออุ่นที่กำลังลูบลงที่ศีรษะของเขาตอนนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

              เปลวอรุณเองนิ่งไปสักพักอย่างคนทำอะไรไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าทำไมลูกชายของตนถึงร้องไห้งอแงเหมือนเด็ก

              “ทำไมขี้แยแบบนี้ละตาล” คนพูดอมยิ้มขำ

              ลูกตาลไม่ตอบแต่ยิ่งกระชับกอดให้แน่น ความดีใจของเขาในตอนนี้มันกำลังคับบอกมันเหมือนเขาได้ของที่คิดว่าเคยเสียไปแล้วกลับคืนมา

              ย้อนไปเมื่อวานตอนในที่อัมรินทร์บอกว่าแม่บุญธรรมของเขาเสียไปแล้วนั้นร่างกายของเขาแทบล้มทั้งยืน เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งเขารู้ตัวเองดีถึงจะพอสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้โดยลำแข้งของตัวเองมาได้บ้างแต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น การที่ต้องมีสูญเสียคนในครอบครัวอีกครั้งเลยดูเป็นเรื่องที่ยากที่เขาจะทำใจยอมรับมันได้ การที่เขาต้องมาเสียน้องที่ยังไม่ทันได้ออกมาดูโลกก็นับว่าเขาเป็นทุกข์พอควรแล้วแต่การที่ต้องมาเสียแม่ที่ให้ชีวิตใหม่กกับเขาอีกแบบนี้คือความเจ็บปวดที่เขายากจะทำตัวให้เข้มแข็งเหมือนในตอนแรกได้ ความเศร้าโศกที่ถาโถมเข้ามาในเวลาไล่เลียกันจนเขาแทบไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขาทำตัวไม่ถูกในขณะที่อัมรินทร์ได้แต่คลุ้มคลั่ง พอตั้งสติได้เขาก็รีบออกจากห้องเพื่อโทรหาราชันเพื่อถามหาความจริงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หากแต่เจ้าตัวต้นเรื่องมันเหมือนมีญานทิพย์รู้ทันว่าเขาจะต้องโทรไปหาถึงได้ปิดโทรศัพท์หนีจนเขาละล้าละลังมือไม้สั่นอย่างทำอะไรไม่ถูกด้วยคิดว่าเรื่องที่อัมรินทร์พูดออกมาคือเรื่องจริง คืนนั้นเขาเอาแต่ทุบหมอนนอนร้องไห้อยู่ทั้งคืนจนเผลอหลับ จนกระทั้งเมื่อช่วงสายที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นรูปของเปลวอรุณกำลังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับโลเคชั่นที่ถูกส่งแนบเข้ามาทำให้เขาตื่นเต็มตารีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านมาที่นี้ทันที

              หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างมีความหวังและความหวังของเขาก็เป็นจริง...

              แม่เปลวยังอยู่กับเขา...

              เรื่องความสัมพันธ์ในเชิงเครื่อญาติของเปลวอรุณกับราชันเขารู้มาจากปากของราชันตั้งแต่เมื่อวันที่เขาถูกอีกฝ่ายดักรออยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตเมื่อหลายวันก่อน

                 “นายเป็นอะไรกับแม่เปลว” เขาถามอย่างคาดคั้นและตั้งแง่ ในเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายลากมาถึงขนาดนี้แล้วอย่างน้อยต้องไม่ใช่แค่ฝ่ายนั้นที่ได้ประโยชน์จากเขาเพียงฝ่ายเดียว

                    “ฉันเป็นคนที่นายไว้ใจได้” รอยยิ้มเป็นมิตรที่อีกคนคิดว่าดูเป็นมิตรมาที่สุดถูกส่งมาให้ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงลูกตาลก็มองไม่เห็นถึงคำว่าเป็นมิตรของมันเอาเสียเลย

                       หรือเพราะเขามีอคติติดมาจากคำพูดของอัมรินทร์กัน...

                     “แล้วผมจะเชื่อได้ยังไง แค่คำพูดมันช่วยให้อะไรดูน่าเชื่อถือขึ้นมาได้หรอกนะ” เขาหรี่ตาจับผิดและไว้ตัวในระดับหนึ่ง

                      แต่ดูเหมือนยิ่งเขาทำแบบนี้คนตรงหน้าจะยิ่งชอบมากว่าเดิม
 
                     ราชันระบายยิ้มบางๆออกมาก่อนจะพูดต่อ “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นน้องชายของแม่เปลวของนายละ นายจะทำยังไง”

                    ลูกตาลชะงัก

                   ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่เพ่งมองชายคนที่อ้างตัวว่าเป็นน้องชายของแม่บุญธรรมอย่างพิจารณาโดยไม่สนเรื่องมารยาท แต่นอกจากสีผิวที่ดูคล้ายกันแล้วระหว่างราชันกับเปลวอรุณแทบไม่มีส่วนไหนเลยที่บอกถึงความเป็นพี่น้องของทั้งสองคน

                   “แค่พูดนายคงไม่เชื่อใช่ไหมละ” ราชันพูดย้อนขณะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ   “นี้เป็นรู้สมัยที่พวกเราเป็นเด็ก”  รูปถ่ายฟิร์มเก่าถูกยืนส่งมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มของคนพูดที่ดู เออ... พูดยังไงดีละ เหมือนคนเพ้อฝันและคิดถึง

                ลูกตาลเอื้อมมือออกไปรูปถ่ายที่ว่ามาดู

                ภาพเด็กผู้ชายเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวใส่แว่นสายตาอายุอานาน่าจะอยู่ที่ไม่เกินสิบขวบปีในชุดแขนยาวสีอ่อนที่หันหน้ามายิ้มให้กับกล้องมองแค่แวบเดียวก็เดาได้แล้วว่านี้คือแม่เปลวของเขา ส่วนที่ข้างหลังมีเด็กผู้ชายตัวเล็กอายุน่าจะประมาณสักสามขวบปีได้อยู่ชุดแบบเดียวกันยืนเกาะอยู่ข้างหลังโผล่ออกมาให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้าด้วยท่าทีเขินอาย

                 อย่าบอกนะว่า...

                 “นั่นคือฉันเอง” เหมือนรู้ความราชันจึงเอ่ยขึ้นมา “พ่อของฉันเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ตอนเด็กพ่อเล่าฟังว่าพ่อมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งแต่เธอถูกขับออกจากตระกูลเพราะหนีออกจากบ้านเนื่องจากทนไม่ได้ที่ถูกกีดกันเรื่องความรัก และใช่ ผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของพี่เปลว”

                  ยิ่งกว่าละครก็คือเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี่นี้แหละ...

                  “ต้องการอะไร” ลูกตาลถามพร้อมส่งภาพที่ว่านั่นคืน

                “ฉันแค่จะมาบอกนายว่า ฉันไม่ใช่คนที่น่าสงสัยอะไร” ราชันฉีกยิ้มกว้าง “อีกอย่างนายก็เป็นลูกของพี่เปลวก็ถือว่าเป็นหลานของฉันเหมือนกัน รู้จักกันเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอย่างน้อยก็ครอบครัวเดียวกัน” เจ้าตัวหน้ายิ้มประสามือรองเอาไว้ใต้คาง

                นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับเบอร์โทรติดต่อที่อีกฝ่ายเป็นคนให้มานั่นลูกตาลก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้าอีกเลยเพราะเขาเลือกที่จะลุกหนีออกมาก่อนโดยอ้างว่าเปลวอรุณโทรตาม

                 “แล้วตาลมาที่นี่ได้ยังไง” เสียงอ่อนโยนที่แม้จะดูอ่อนแรงลงดังขึ้นเรียกสติของเด็กหนุ่งให้เงยหน้าขึ้นมอง

                 “มีคนส่งรูปแม่กับแผนที่มาให้ผม ผมเลยรีบมา” ลูกตาลตอบ ยิ้มรับมืออุ่นที่กำลังเกลี่ยน้ำตาที่สองข้างแก้มของตนให้

                 “แล้วคุณอันละ เขามาด้วยไหม” เปลวอรุณเอยถามอย่างตั้งหวัง

                 “ผมรีบออกมาเลยไม่ได้บอก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผมจะต้องพาพ่อมาหาแม่ให้ได้” เปลวอรุณชะงักกับสรรพนามที่ลูกตาลใช้เรียกอัมรินทร์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

                 “แม่จะรอนะ”

                 ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นก็เถอะ....

                 แต่ปัญหามันกลับยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้...

                  ตอนนี้ลูกตาลตีหน้าตึงกอดอกไม่พอใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องชายของแม่ที่นั่งไขว่ห้างจิบชายามบ่ายอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกของคอนโด

                 “หมายความว่ายังไงที่นายบอกว่าห้ามบอกพ่ออันว่าแม่เปลวยังมีชีวิตอยู่” เด็กหนุ่มรู้สึกหางคิ้วกระตุก ถ้าไม่ให้บอกพ่ออันแล้วเมื่อไรไอ้คนบ้าคลั่งรักที่จมอยู่กับทะเลน้ำตาจะเลิกเศร้าแล้วออกจากห้องมารับแม่เขากันละ

                  “เพราะมันเป็นเงื่อนไขไงละ” ราชันว่าอย่างไม่ยีหระเอนตัวพิงท่อนแขนหนาของวาเลนติโนที่นั่งอยู่ข้างกัน

                  “แล้วถ้าไม่ให้บอกแล้วพ่ออันจะรู้ไหม นายเป็นคนทำให้เขาคิดเองว่าแม่เปลวตายนายรู้ไหมว่าตอนนี้เขามีสภาพเป็นยังไง” ลูกตาลอารมณ์เดือดจัดตะคอกตบโต๊ะถามเสียงดัง

                    “คนอย่างหมอนั่นสมควรโดนบ้างแล้ว” เจ้าตัวว่าพลางยกแก้วชาสีงาช้างขึ้นจิบ

                    “แต่นี้มันมากเกินไป ไหนจะอาการป่วยของแม่เปลวอีกละ”  อาการป่วยของเปลวอรุณเขารู้จากปากเจ้าตัวเมื่อกี้นี่ตอนที่คุยกันและเขาเองก็เคยได้ยินมาว่าผู้ป่วยที่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นตอนการรักษานั้นถือเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างรวดเร็วหากแต่เรื่องของกำลังใจก็คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุดเหมือนกันเพื่อที่จะฝ่าฟันกับโรคร้ายและการรักษาที่ทรมาร

                   “เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้ให้คนไปตามนายมาไงละ” ราชันยิ้ม “ถ้ามีนายคอยเป็นตัวกลางระหว่างไอ้อันกับพี่เปลว ฉันเชื่อว่าพี่เปลวจะต้องรู้สึกดีกว่าการที่มีแค่ฉันอยู่ตรงนี้” เพราะคนที่พี่ของเขารักคืออัมรินทร์

                   “แต่มันไม่เหมือนกัน” ลูกตาลค้านหัวชนฝา คำบอกเล่าจากปากกับการได้เจอตัวจริงมันไม่เหมือนกัน

                  “งั้นนายก็รีบพาพ่อของนายมาที่นี้เร็วๆสิ” ราชันตีหน้าเรียบนิ่ง “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายพาอัมรินทร์มาที่นี้ได้ฉันยินดีที่จะเปิดทางให้อัศวินมาพาตัวเจ้าหญิงกลับปราสาทได้ทันที” และเขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั่น

                  ลูกตาลขบกรามแน่น

                  “แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่นายก็รู้ว่ามันคืออะไร”

                  “ห้ามบอกพ่ออันว่าแม่เปลวยังมีชีวิตอยู่”

                  "ถูกต้อง” ราชันปรบมือ “และถ้านายบอกจำเอาไว้ด้วยว่าฉันนี้ละจะพาแม่ของนายหนีไปจากที่นี้” รอยยิ้มร้ายปรากฏ

                    ลูกตาลอยากที่จะเข้าไปตันหน้าราชันให้หายแค้นแต่ก็ทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองแล้วสะบัดหน้าเดินหนีกลับเข้าไปหาเปลวอรุณในห้องนอนแทน

                     ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะบอกให้อัมรินทร์รู้เรื่องนี้หรอกนะแต่เพราะใจของคนที่ชื่อราชันนั่นต่างหากที่เขาหวั่นกลัว ราชันรักพี่ชายคนนี้ของตนอย่างกับอะไรดีเรียกได้ว่าอาการเข้าขั้นหนักจนถึงขนาดที่ว่าไม่อยากให้ใครได้ตัวเปลวอรุณไปเลยด้วยซ้ำ

                     ‘บราคอน’ สินะ....

                    ลูกตาลคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมายี่ผมสั้นเตียนของตัวเอง เขาแวะเวียนมาหาเปลวอรุณที่คอนโดหรูกลางเมืองนี่ทุกวันหลังเลิกงานโดนอ้างเหตุผลกับคนที่บ้านว่าทำงานเพิ่ม ทุกวันเขาจะมาป้อนข้าวดูแลเปลวอรุณอย่างที่ลูกคนหนึ่งพึ่งจะดูแลแม่ของตนเองยามเจ็บไข้

                      หน้าที่ประจำวันของเขาคือหลังเลิกงานเขาจะมาที่คอนโนแห่งนี้พร้อมกับของฝากมาให้พวกการ์ดที่อยู่เฝ้ากันเต็มห้องเข้ามาดูแลเปลวอรุณป้อนข้าวป้อนยาและพาเข้านอนเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่เขาจะกลับบ้าน

                     ทุกวันที่เขามาเขาจะมาพร้อมเรื่องเล่าเหมือนเด็กที่เวลากลับบ้านมาจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของตรให้ผู้ปกครองฟัง เขาเป็นอย่างนั้นเพียงแต่เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาเล่าจะเรื่องของอัมรินทร์และมันก็เป็นจริงอย่างที่ราชันว่าเอาไว้ เมื่อเป็นเรื่องของอัมรินทร์เปลวอรุณจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นและดูมีแรงใจที่จะเข้ารัยการรักษามากยิ่งขึ้น

                     “เมื่อไรคุณอันจะมา” คำถามเดิมๆที่เขามักจะได้ยินเป็นคำถามสุดท้ายก่อนจะส่งอีกคนเข้านอนดังขึ้นให้ใจเขาปวดหนัก

                     “ช่วงนี้พ่ออันไม่ค่อยสบายครับ พ่อกลัวว่าถ้ามาแม่จะพลอยติดไปด้วยเลยบอกว่าให้แม่รอก่อน” เพราะช่วงนี้อัมรินทร์ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองทำให้ล้มป่วยไปจริงๆเขาไม่ได้โกหก

                      “ถ้าหายแล้วเขาจะมาให้ไหม”

                       “ครับ แต่อาจยังไม่ใช่เร็วนี้ๆ เพราะคุณปู่บอกว่างานที่บริษัทยุ่งมากๆ” ลูกตาลพูดขณะขยับขอบผ้าห่มให้สูงขึ้น “แต่ผมจะพยายามพาพ่อมาหาแม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ”

                         เด็กหนุ่มยิ้มเศร้ามองแม่บุญธรรมที่ร่างกายเริ่มผายผอมเส้มผมสีดำที่เขาเคยมองว่ามันดูสวยเป็นเงาเพิ่งถูกโกนออกไปเมื่อเย็นเมื่อมันเริ่มล่วงหนักจากการเข้ารักษาอาการป่วยด้วนเคมีบำบัดครั้งที่สอง

                            ลูกตาลนั่งอยู่ข้างเตียงรอจนแน่ใจแล้วว่าเปลวอรุณหลับสนิทจริงจึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเพื่อบอกลาก่อนจะเดินออกจากห้องไปเพื่อกลับบ้าน

              ที่เหลือก็แค่ไปลากตัวไอ้ผู้ชายช้ำรักในห้องออกจากบ้านให้ได้สินะ...

             

                  แต่มันไม่เคยมีอะไรที่มันง่ายสำหรับชีวิตเขาเลยสักครั้งนี่นะสิ ให้ตายเถอะ!

              “เฮ้อออออ”

              เสียงถอนหายใจลากยาวของเด็กหนุ่มดังขึ้นก่อนทิ้งตัวลงนอนกับเตียงนอนขนาดห้าฟุตในห้องนอน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหงนมองเพดานสูงเหนือหัวอย่างใช้ความคิด

              “ทำไงดีวะ” ลูกตาลบ่นถามกับตัวเองอย่างจบด้วยทางออก

              “หงิง” เสียงตอบที่มาพร้อมกับแรงทับที่หน้างท้องของมณีนิลที่โดดขึ้นมานอนเกยคางทับ

              “คุณนิลช่วยกันคิดหน่อยสิ นี่ฉันคิดมาจนหัวจะระเบิดอยู่แล้วเนี้ยะ” เจ้าตัวว่าพลางลูบหัวสุนัขไปด้วยอย่างคนคิดไม่ตก

              เงื่อนไขเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากจนกินเวลานานจนเกือบจะเข้าเดือนที่สามอยู่มาลอมมาล่ออยู่แล้วทำเขาเอาเริ่มวิ่งเป็นหนูติดจักร และมันยิ่งเครียดขึ้นมาอีกเมื่อตอนนี้อัมรินทร์ที่ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้นก็กลับมาเซื่องซึมลงอีกเขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรแต่คิดว่าน่าจะเพราะเมื่อช่วงสายที่มีคนมาหาพ่อเขาแน่เพราะเขาได้ยินพี่แววบอกว่าทางนั้นเอาอะไรบ้างอย่างมาให้แล้ววหลังจากนั้นพ่อก็เอาแต่ขังตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาอีกเลย ไหนจะแม่เปลวอีกที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้วด้วย กินอะไรไปก็อาเจียนออกมาเกือบหมดจนตอนนี้ผอมจนไม่รู้จะผอมยังไงดีแล้วทั้งๆที่เพิ่งผ่านขั้นตอนการรักษาไปครั้งที่สามเองแต่ร่างกายกลับทรุดลงอย่างรวดเร็วเจาเริ่มกลัวว่าแม่จะเข้ารับการรักษาครั้งที่สี่อีกไม่ไหว

              เขาต้องรีบแล้ว...

              “โอ๊ย! ทำไงดีวะเนี้ยะ แม่งบอกก็ไม่ได้แล้วจะต้องบอกตอนไหนมันถึงจะได้วะ!!” ลูกตาลยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้างแล้วกลิ้งพลิกตัวไปมาอย่างคนสับสนจนหนทางแก้     

              มณีนิลนอนมองเด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปมาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ดีๆพี่ชายของมันที่ทำตัวเหมือนหนูติดจักรอยู่เมื่อครู่ก็ถลึงตัวขึ้นนั่งเอาดื้อๆ

              “คิดออกแล้ว”

              มณีนิลเอียงคอมองพี่ชายของมันคล้ายสงสัย มันมองใบหน้าคนสันของเด็กหนุ่มที่ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากกับแววตาพราวระยับเหมือนคนที่คิดอะไรได้แล้วจริงๆ แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกตะหงิดๆในใจยังไงบอกไม่ถูก เหมือนว่าพี่ชายของมันกำลังคิดแผนเอาคืนได้อย่างไงอย่างนั้นเลย



__________________________________________________

ขอบคุณทุกเสียงคอบรับที่มีให้กับหนูราชันนะคะ
(ถึงในใจจะอยากบอกหนูราชันว่า แม่ขอโทษษษษษษษษก็เถอะ)

ตอนหน้ามารอดูแผนการพาแม่กลับบ้านของหนูตาลกันดีกว่า

มาค่ะ!!
มาร่วมกันแหกโค้งสุดท้ายนี่ไปด้วยกัน!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 24-08-2017 20:37:17
อ่านจบขยี้หัวแบบลูกตาล ไอ้โรคจิตราชัน เอามันไปเก็บที คือ ชีวิตขาดความสุขขนาดนั้นเลยหรอราชัน ถามห่อยสิ แกบ้ามาก ประสาทมาก

เห้อ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 24-08-2017 21:47:30
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-08-2017 21:51:27
ลูกตาลสู้ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 25-08-2017 00:39:45
ราชันแกนี่มันจะเรียกว่าโรคจิตได้มั้ยเอาใจช่วยลูกตาลพาอัมมาหาเปลวให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-08-2017 01:34:50
หึ


 :m16:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 31- 24/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 25-08-2017 03:24:23
สู้ๆนะ ลูกตาล
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 26-08-2017 02:42:38
เป็นหนี้ ครั้งที่ 32


                “ออกมาทักทายอาพราวเขาสักหน่อยสิราช” น้ำเสียงทรงอำนาจเจือความเหินห่างเอ่ยเรียกเด็กชายวัยสามขวบที่ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังเก้าอี้ให้ออกมา

              กรอบตาเรียวเล็กหากแต่นัยน์ตาด้านในกลับกลมสกาวเหลือบมอบหน้าบิดาก่อนจะเบี่ยงมองหญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของบ้านที่เขาอยู่ในตอนนี้อย่างตื่นเกร็ง

              “ออกมาหาอาหน่อยสิค่ะหนูราช” เจ้าของบ้านกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหวังให้หลานชายคล้ายความตื่นกลัว

              เด็กชายมีท่าทีลังเลอีกทั้งยังมีทำท่าเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้จนบิดาต้องถอนใจอย่างเหนือยใจกับอาการขาดกลัวผู้คนของลูกชายอีกทั้งยังเจือกระแสคล้ายคนที่กำลังไม่พอใจออกมาเล็กน้อยจนน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้แต่ยิ้มแห้งเอาใจลุ้นให้หลานชายยอมก้าวออกมา

              ราชันในวัยเด็กเป็นเด็กที่ขาดทั้งความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากอีกทั้งยังตื่นกลัวคนแปลกหหน้าและเหนือสิ่งอื่นใดที่เขากลัวก็คือ บิดา

              “ราช” เสียงของบิดากดต่ำลงจนเด็กน้อยกลัวตัวสั่นมือน้อยที่จับขอบเก้าอี้กำแน่นหลับตาปี๋

              แสงธรรม มองลูกชายคนเดียวด้วยความอ่อนใจเขาไม่ได้ต้องการที่จะดุเด็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวกลัวเข้าใจ ใบหน้าของผู้เป็นพ่ออ่อนลงพลางนึงละอายใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่แม้ตอนนี้ตนเองจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้เป็นนายตำรวจยศสารวัตรประจำกองปราบปรามตั้งแต่อายุยังน้อยหากแต่ในหน้าที่ของคำว่า ‘พ่อ’ เขากลับประสบความล้มแหลวอาจเพราะไม่รู้วิธีการแสดงออกทั้งในเรื่องการสั่งสอนและความรักสิ่งที่เด็กคนหนึ่งที่เขาเรียกว่า ‘ลูก’ ได้รับคือความเข้มงวนที่เกินพอดี

              ร่างเล็กจ้อยสั่นด้วยความกลัวที่ว่าจะโดนบิดาดุด่าแม้ในความเป็นจริงแล้วเขาจะไม่เคยโดนมันมาก่อนก็ตามที หากแต่ถ้าเมื่อใดที่เขาทำผิดหรือทำในสิ่งที่บิดาไม่พอใจบางสิ่งที่เขารักจะหายไปที่ละอย่าง

              เขากลัว...

หมับ

              สัมผัสเบาๆที่จับลงที่ไหล่เล็กโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เด็กน้อยราชันเผลอสะดุ้งเฮือก ใบหน้ากลมเหมือนก้อนซาลาเปาหันหมอด้านหลังอย่างตื่นกลัว

              “หวัดดี”  เสียงอ่อนโยนของคนมาใหม่ทำให้อาการสั่นกลัวของเด็กชายตัวน้อยบรรเทาลง

              นัยน์ตาวาวด้วยน้ำตามองใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กชายที่โตกว่าตนอย่างสนอกสนใจ

              “ดีขึ้นแล้วหรอจ๊ะเปลว” พราวแสง แย้มยิ้มให้ลูกชายคนเดียวที่เพิ่งเดินลงมาจากด้านบนของบ้าน ตั้งแต่เมื่อวานก่อนลูกชายคนเดียวของเธอไม่สบายมีไข้ขึ้นสูงจนเธอเป็นกันกังวล โชคดีที่ตอนนี่เป็นช่วงปิดเทอมเธอจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการเรียนมากเท่าไร

“ครับ” ดวงตาหลังกรอบแว่นใสหยี่เล็ก “สวัสดีครับคุณลุง” ก่อนจะยกมือไหว้แขกผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของตน

              “ลุงได้ข่าวว่าไม่สบายเลยมาเยี่ยม แต่เดินลงมาเองได้แบบนี่แสดงว่าหายแล้วสินะ” แสงธรรมเอี้ยวตัวมามองหลานชายคนเดียวพลางวางมือทาบที่หน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ

              “ดีขึ้นแล้วครับ” เปลวอรุณในวัยสิบขวบปีเป็นเด็กที่ยิ้มง่ายและใจดี รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าขาวอมชมพูคล้ายมีประกายแสงอบอุ่นที่ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ในระยะใกล้เผลอมองอย่างชมชอบไม่รู้ตัว

              “ดีแล้ว” แสงธรรมพึมพำ “จริงสิ เราจำน้องได้ไหม”

              เปลวอรุณละสายตาจากผู้ใหญ่กลับมามองเด็กชายตัวน้อยที่เมื่อเห็นว่าเขามองมาก็รีบหลบตาด้วยความเขินอาย

              “น้องราช” มืออุ่นร้อนทาบลงเหนือศีรษะเล็กเป็นเชิงตอบให้คนถามรับรู้ว่าเขาจำน้องชายคนเดียวคนนี้ได้แม้จะเจอเมื่อครั้งล่าสุดคือตอนที่เด็กชายอายุยังไม่ครบปี

              รอยยิ้มอบอุ่นกับความอ่อนโยนใจดีที่ไม่ค่อยได้สัมผัสถึงมันมานักทำให้ใจดวงน้อยของเด็กชายตัวน้อยเหมือนได้ยืนในทุ่งหญ้ากว้างขนาใหญ่ในวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างและอบอุ่น

              “พี่เปลว”

               แสงอาทิตย์อันแสนอบอุ่น...

 

                “พี่เปลว” เสียงเรียกชื่อใครคนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาคล้ายละเมอเรียกหา

               ฝันหรอ...

              ดวงตาเรียวเล็กกะพริบตาเหม่อมองเพดานสูงเหนือหัวตรงหน้าผ่านความมืดมิดของความมืด รอยยิ้มบางเบาจากใจจริงปรากฏบนใบหน้าขาวซีดยามเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่ก่อนลืมตา

              ครั้งแรกที่ได้เจอกับดวงอาทิตย์ในใจของเขา

              สิ่งที่ได้เขาได้รับจากเปลวอรุณคือสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสได้จากบิดา สำหรับเขาแล้วเปลวอรุณเป็นมากกว่าพี่ชายที่เขารักแต่เป็นคนสำคัญที่เขาไม่อยากให้หายไปจากชีวิต

              ร่างโปร่งผิวกายขาวซีดยันกายลุกขึ้นนั่งมือเตรียมที่จะเลิกผ้าห่มผืนหน้าที่คุมกายอยู่ให้พ้นตัวแต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่ใจหมายท่อนแขนเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยหมักกล้ามและรอยสักก็พาดทับช่วงเอวพร้อมกับรั้งร่างของเขาให้ล้มตัวลงกลับมานอนท่อนแขนอีกข้างที่พาดยาวเป็นหมอนให้เขาหนุนนอนอยู่เมื่อครู่

              “จะไปไหน” เสียงติดกึ่งงัวเงียกึ่งไม่พอใจดังขึ้น ราชันมองสบดวงตาสีอ่อนที่ดูสว่างในความมืด

              “จะไปหาพี่เปลว” เขาตอบเรียงเรียบๆพร้อมขยับตัว

              “แต่นายเพิ่งกลับมา” วาเลนติโนทำเสียงฮึกฮักไม่พอใจ ช่วงเกือบสามเดือนที่ผ่านมาเขาได้นอนกอดเจ้าตัวร้ายของเขาแทบนับครั้งได้แถมไม่เคยเต็มคืนอีกด้วย อีกทั้งวันนี่ราชันก็เพิ่งกลับมาจากอีกห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับพี่ชายคนสำคัญของอีกคนได้ไม่ถึงสามชั่วโมงดีด้วยซ้ำไป

              “ฉันจะไปเฝ้าพี่เปลว” ราชันว่าติดรำคาญใจยกท่อนแขนหนาของวาเลนติโนให้ออกจากตัว

              “ก็มีคนเฝ้าอยู่แล้วไง” ชายร่างใหญ่ส่วนกลับอย่างไม่พอใจที่เวลาส่วนตัวของพวกเขากำลังถูกลิดรอน

              “แต่ฉันจะไป” แต่นิสัยของราชันนั้นก็รั้นเอาเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเอาแต่ใจนี่ที่หนึ่งเลยเหมือนกัน

              วาเลนติโนรั้งคนตั้งเล็กกว่าเข้ามาบดจูบหนักๆไปทีก่อนจะพลิกกายใหญ่โตคับเตียงของตนหันหน้าหนีเปิดท้างให้เจ้าตัวร้ายของเขาได้ทำตามใจตัวเอง

              ราชันเหลือบมองคนร่วมเตียงที่พลิกกายหันหน้าหนีไม่บอกก็พอรู้อยู่แล้วว่าคนตัวโตกำลังน้อยใจและโกรธดูได้จากจูบเมื่อครู่ที่รุนแรงจนริมฝีปากเขาเจ็บไปหมด มือขาวเอื้อมออกไปลูบเส้นผมยาวสีช็อกโกเลตแล้วกดจูบลงที่ข้างขมับก่อนลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินออกจากห้องไป

แก๊ก

              แม้เสียงบิดลูกบิดประตูจะเบาเพียงใดแต่คนที่ผ่านการฝึกฝนเพื่อการรักษาความปลิดภัยมาหลายปีย่อมได้ยินชัดแม้หูข้างหนึ่งจะมีหูฟังโทรศัพท์เสียบค้างเอาไว้ ดวงตาที่ดูหนังออนไลย์จากหน้าจอโทรศัพท์ละขึ้นมามองทางประตูที่เปิดออกอย่างตื่นตัว พอเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็รีบกดหยุดหนังที่ว่าแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง

              “ไปพักเถอะ” ราชันเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

              คนที่เพิ่งได้รับคำสั่งมีท่าทีลังเลครู่หนึ่งก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป

              ราชันมองตามหลังของลูกน้องที่ถูกสั่งให้มาเฝ้าเปลวอรุณในช่วงกลางคืนจนอีกฝ่ายปิดประตูลงร่างโปร่งถึงขยับกายเดินเข้าไปที่ข้างเตียง นัยน์ตาฉายความเจ็บปวดยามมองพี่ชายที่ตนรักต้องทนทุกข์กับโรคร้ายและเศ้ราโศกยามเมื่อตระหนักรู้ว่าตนไม่ใช่ที่หนึ่งที่เปลวอรุณรักอีกแล้ว

              ผ้าห่มผืนหน้าถูกเลิกขึ้นพร้อมร่างของเขาที่สอดกายเข้าภายใน

              “อืม” เปลวอรุณครางแผ่วเบาเมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ข้างตัว

              “คุณอัน” เปลือกตาอ่อนปรือมอง “...ราชหรอ”

              ราชันขยับยิ้มขื่นก่อนจะขานรับ

              “ขอนอนด้วยคนนะครับ”

              เปลวอรุณยิ้มบางอ้าแขนรับเด็กน้อยที่เข้ามาขอนอนด้วยด้วยความเต็มใจ ราชันขยับตัวซุกหน้าลงกับอกเหมือนเด็กที่กำลังซุกหน้าหาไออุ่นจากร่างตรงหน้าก่อนจะหลับตานอนกอดร่างที่ตนรักเอาไว้

              “ฝันดีนะ”

              “เช่นกันครับพี่เปลว”

...................................................


              มีคนเคยบอกว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งอายุจะสั้นลงไปหนึ่งปี..

              ไอ้คนที่พูดประโยคนั่นออกมาลูกตาลไม่รู้หรอกว่ามันเป็นมาจากไหนแล้วเอาอะไรมาอ้างอิงว่าจะตายเร็วขึ้นตั้งหนึ่งปี แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ในตอนนี่ก็คือ ถ้าไอ้คำพูดประโยคที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงเขาก็คงจะเป็นคนที่อายุถูกบั่นทอนจนสั้นลงไปเกือบร้อยปีได้ อย่างน้อยวันนี้ชีวิตเขาก็ถูกทอนลงไปเป็นสิบปีได้แล้ว

              เห้อออ

              เสียงถอนหายใจในรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ดังออกมาอีกครั้ง สุริยะ นภา และอนิรุทธิ์หันมองเด็กหนุ่มที่นั่งเอาช้อนคนโจ๊กตรงหน้าจนเละข้นกว่าเดิม

              “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะตาล” นภาเอ่ยถามหลานชายอย่างเป็นห่วง

              เด็กหนุ่มเองเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอทำตัวให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงก็รีบเก็บอาการของตนทันที “ไม่เป็นอะไรครับคุณย่า” เจ้าตัวยิ้มแห้งตักโจ๊ะเข้าปาก

              “เป็นห่วงเจ้าอันมันหรือไง” สุริยะทักขึ้นเหมือนรู้ใจ

              “ก็นะครับ” เรื่องของอัมรินทร์ก็ส่วนหนึ่งแต่ที่เขาห่วงจริงๆคือเรื่องแผนการที่คิดเอาไว้เมื่อคืน ถึงจะหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้ไอ้แผนที่ตนคิดเอาไว้แต่มันก็ยังกลัวอยู่ดีถ้าหากมันเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา

              อนิรุทธิ์ถอนหายใจ ตัวเขาเองแม้จะเป็นห่วงญาติผู้น้องอยู่มากแต่เพราะช่วงนี้ตัวเขาเองก็กำลังยุ่ง ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เทศกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไหนจะการสอบวัดผลต่างๆนั้นอีกตัวเขาในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนก็ต้องเตรียมหาติวเตอร์เข้ามาเสริมความรู้ให้นักเรียนของเขา มองหาวันโอเพ่นเฮ้าส์ของแต่มหาวิทยาลัยให้เด็กๆของตนได้ไป ไหนจะต้องเทดซ์ความรู้ความสามารถของคณะครูในโรงเรียนเพื่อเป้าหมายสูงสุดในการส่งความรู้ให้เด็กของตนได้นำมันไปใข้เป็นสะพานสู่คณะที่ใช่มหาวิทยาลัยที่ชอบ

              “นายเองก็อย่าเอาแต่ห่วงพ่อจนลืมไปละว่าใกล้จะสอบเข้าแล้ว” ผู้อำนวยการหนุ่มเตือนความจำหลานชาย

              ลูกตาลชะงักกึก

              เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท...

              ถึงทุกคืนเขาจะหยิบหนังสือมาอ่านเตรียมความพร้อมไหนจะไปเรียนพิเศษตามที่อัมรินทร์พาไปสมัครแต่เพราะช่วงนี้เขามีเรื่องให้คิดจนเผลอลืมวันลืมคืน

              ไม่ได้การณ์แล้ว!!

              เด็กหนุ่มลืมตักข้าวเข้าปากจนหมดจานก่อนจะหันไปบอกให้คนขัยรถเตรียมรถออกมาจอดรอให้ก่อนที่เจ้าตัวจะยกแก้วน้ำขึ้นกระดกดื่มแล้วลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะกินข้าวไปท่ามกลางความสงสัยของผู้ใหญ่ทั้งสามที่ยังคงนั่งกินข้าวกันอยู่

              “เตรียมรถงั้นหรอ” สุริยะขมวดคิ้วแน่นอย่างฉงน ด้วยปกติไม่ว่าจะไปทำงานพิเศษหรือไปเรียนพิเศษเด็กหนุ่มที่ตนนับว่าเป็นหลานชายคนโตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเอารถยนต์ภายในบ้านออกไปใช้เป็นการส่วนตัวแม้แต่รถยนต์ของเปลวอรุณที่จอดอยู่ที่โรงรถเองเจ้าตัวยังไม่ค่อยเอาออกไปใช้เองเสียเท่าไรถ้าไม่ใช่วันที่ต้องกลับไปดูบ้านของเปลวอรุณ

              น่าแปลกใจ...


           
  :hao3:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 26-08-2017 02:43:29

:hao3:


              ลูกตาลกึ่งวิ่งขึ้นบันไดกึ่งเดินเร็วก้าวขาฉับๆไปจนถึงห้องนอนของอัมรินทร์ยกมือขึ้นเคาะบอกคนในห้องถึงการมาของตนก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องไปโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ทันอนุญาต

              ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแฝงความรีบรนกวาดมองหาเจ้าของห้องก่อนจะไปสะดุดเข้ากับร่างที่ต้องการหา อัมรินทร์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเก่งของเปลวอรุณอย่างเช่นทุกวันในมือถือถุงห่อผ้ากำมะหยี่สีขาวมุขเอาไว้ขณะหันหน้ามามองคนที่เข้ามาใหม่ เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม

              “ไปเร็วพ่อ” ลูกตาลก้าวฉับไวเข้ามาดึงแขนคนที่ทำตัวซังกะตายให้ลุกตาม

              “ไม่” อัมรินทร์ว่าพลางชักแขนหนีประกาศเจตนาของตนเหมือนทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเข้ามา

              แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนๆหน้าที่ผ่านมา เพราะนอกจากลูกตาลจะไม่ยอมลามือง่ายๆแล้วเด็กหนุ่มยังตีสีหน้าเคร่งไม่พอใจใส่อีกด้วย

              “แต่พ่อต้องไป” ลูกตาลขึ้นเสียง

              “ตาล ขอพ่ออยู่คนเดียว” อัมรินทร์ย่นคิ้วเมื่อไม่พอใจ ความเศร้าที่ผ่านมาทำให้เขากลายเป็นคนขี้หงุดหงิดโมโหง่าย

              “พ่อต้องไป พ่อจะอยู่แต่ในห้องทำตัวเหมือนคนซังกะตายหายใจทิ้งไปวันๆแบบนี้ไม่ได้” คำพูดที่เขาเคยพูดใส่คนตรงหน้าเมื่อช่วงเดือนแรกถูกหยิบออกมาพูดอีกครั้ง

              “อย่าเพิ่งมายุ่งได้ไหม” อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มตาขวาง

              “ออกไปกับผม” ลูกตาลพยายามข่มอารมณ์ไม่ต่างกัน

              “ก็บอกว่าไม่ไง” อัมรินทร์ลุกพรวดตวาดเด็กหนุ่มเสียงดังลั่นห้อง

              “แต่พ่อต้องออกไปกับผม” ลูกตาลกำมือแน่นจ้องตาอัมรินทร์นิ่งอย่างไม่ยอมแพ้

              อัมรินทร์สะบัดหน้าเตรียมตัวที่จะเดินหนี

              “พ่อจะเอาแต่หมกตัวจมอยู่แต่กับเรื่องแม่เปลวอยู่ในห้องมันก็ไม่ช่วยให้แม่เปลวกลับมาได้หรอกนะ”

              อัมรินทร์ชะงักหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มตาวาวโรจด้วยความเดือดดาดเมื่อโดนขยี้แผลใจ

              “ลูกตาล!”

              “ทำไม จะต่อยผมหรือไง” ลูกตาลพูดเหมือนท้าทายพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ “เอาสิต่อยผมเลยถ้ามันจะทำให้พ่อยอมออกจากห้องไปพาแม่เปลวกลับมา” แล้วรีบพูดใจความหลักอย่างเร็วเมื่อเห็นว่าอีกคนยกหมักขึ้นเตรียมจะทำตามที่เขาท้า

              อัมรินทร์ชะงักแขนที่กำหมัดกลางอากาศ ดวงตาเบิกโตกับคำพูดของเด็กหนุ่ม

              “อะ อะไรนะ” ก่อนจะลงมือลงแล้วขมวดคิ้วแน่น

              ลูกตาลเผลอพลูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเอาหน้าตัวเองรับหมัดเมื่อครู่ ถึงเขาจะเคยผ่านเรื่องต่อยตีมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชายแต่ใช่ว่ามันจะไม่เจ็บ ไอ้เจ็บตอนโดนต่อยน่ะมันไม่เท่าไรหรอกแต่ไอ้ตอนที่มันเป็นรอยอยู่บนหน้าของเขาที่มาพร้อมความเจ็บที่กว่าจะหายนี่นะสิ ขอละ เลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงละนะ...

              “หมายความว่ายังไง” อัมรินทร์ถามเสียงติดสั่นน้อยๆ

              “ห๊ะ” ลูกตาลเองที่เผลอเหม่อไปครู่หนึ่งตีหน้าสงสัย

              “ก็ที่บอกว่าไปพาเปลวกลับมานี่ไง มันหมายความว่ายังไง” อัมรินทร์กระชากเสียงกระชากเสื้อของเด็กหนุ่ม

              ลูกตาลร้อง ‘อ่อ’ ออกมาก่อนจะตอบ “ก็อย่างที่พูดไง ไปรับแม่เปลวกลับบ้าน”

              “ก็ใช่ไง” อัมรินทร์ขึ้นเสียงแววตาฉายความสับสนงุนงง “ก็ในเมื่อเปลวตายไปแล้ว แล้วจะให้ฉันไปรับเปลวมันหมายความว่ายังไง”

              “แล้วใครเขาบอกพ่อกันว่าแม่ตาย” ลูกตาลผลักอัมรินทร์ให้ถอยห่าง อยู่ระยะใกล้เขาไม่มั่นใจว่าจะไม่โดนอีกคนเสยหมัดใส่หากพูดไม่เข้าหู

              อัมรินทร์ตัวเซเมื่อถูกผลักออกเหมือนไร้จุดศูนย์ถ่วง

              “มะ หมายความว่ายังไง เปลวยังไม่ตายหรอ” อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มคล้ายไม่เชื่อ

              “ก็มีแต่พ่อนั่นแหละที่ตีโพยพีพายไปคนเดียว” เจ้าตัวกอดอกพูด ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ

              “ไม่จริง!” อัมรินทร์ตกอยู่ในห้วงความสับสน

              “มันเป็นเรื่องจริง พ่อต้องเชื่อผม”

              “อย่ามาหลอกพ่อตาล” อัมรินทร์เถียงคอเป็นเอ็นด้วยไม่เชื่อความที่เด็กหนุ่มกล่าว ในเมื่อเขาเห็นมันกับตาและเขาก็ปรักใจเชื่อเช่นนั้นมาตลอด...

              “แล้วพ่อเห็นตอนที่แม่เขาตายไปต่อหน้าจริงๆหรอ”

              อัมรินทร์ชะงัก

              “พ่อเห็นจริงๆหรอ” ลูกตาลถามต้อน ในเองก็นึกกลัว กลัวอัมรินทร์จะไม่คล้อยตามแล้วไล่เขาออกจากห้อง

              “แต่พ่อเห็น.. ภาพชีพจรของเปลวมันหยุด” ใช่ เขาเห็นมันมาแบบนั้น

              “แต่ก็ไม่เห็นไม่ใช่หรอว่าแม่ตายจริงๆต่อหน้า”

              อัมรินทร์นิ่งเงียบ

              “พ่อมั่นใจจริงหรอว่าคนที่ชื่อราชันอะไรนั้นจะกล้าทำร้ายแม่จริงๆ” ลูกตาลอาศัยจังหวะที่อัมรินทร์กำลังสับสนรุกอีกฝ่ายหนักขึ้นให้โอนอ่อนตา

              “แต่..” นัยน์ตาของอัมรินทร์สั่นระริกเมื่อความรู้สึกสับสนตีรวนไปหมด

              “เชื่อผมสิว่าแม่เปลวยังไม่ตาย ผู้ชายคนนั่นไม่กล้วทำอะไรแม่เปลวหรอก” ความหวังถูกหยิบยืนส่งไปให้ในช่วงที่ใจกำลังสับสนและต้องการความหวัง

              “จริงหรอ”

              “จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าพ่อยังมั่วแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในนี่ต่อให้มันเป็นเรื่องจริงพ่อก็จะไม่มีวันได้เจอแม่เปลวแน่ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนมอง

              อัมรินทร์ขมวดคิ้วแน่นอย่างยังไม่ปรักใจเชื่อสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดหากแต่มือกำถุงกำมะหยี่ที่ถืออยู่แน่น

              ลูกตาลไม่ปล่อยให้เวลาอันมีค่าของตนผ่านไปอย่าเปล่าประโยชน์ เด็กหนุ่มสืบเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าแขนของอัมรินทร์ที่ยังสับสนแล้วลากอีกคนให้รีบเดินตามมา ครั้งนี้อัมรินทร์ดูว่าง่ายกว่าครั้งไหนๆอาจเพราะกำลังดีใจหรือสับสนมึนเบลอจนไม่ทันตั้งตัว

              ภายในใจของอัมรินทร์ในยามนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้วยเพราะเขาเชื่ออย่างสนิทใจมานานว่าคนรักของเขาได้จากไปแล้วจนความเศร้าโศกกัดกินใจของเขาหากแต่ลึกๆเขากลับยังแอบหวังแม้จะได้เห็นภาพนั้นว่าเปลวอรุณจะยังอยู่และสิ่งที่เกิดขึ้นคือมุกตลกร้ายของราชัน เมื่อลูกตาลพูดสิ่งที่เขาแอบหวังเอาไว้ขึ้นมาเขาถึงได้โอนอ่อนโดยง่ายและยอมก้าวเดินตามแรงฉุดดึงของเด็กหนุ่มออกมาจากห้อง

              ภาพของลูกตาลที่ลากแขนอัมรินทร์เดินลงจากบันไดมาสร้างความแปลกใจระคมตกใจให้กับนภาที่กำลังเดินผ่านหน้าบันไดเป็นอย่างมาก

              “จะไปไหนกันจ๊ะ” เธอเอ่ยถามลูกและหลาน

              “ไปรับแม่ครับ” ลูกตาลตอบหน้ายิ้มก่อนจะลากอัมรินทร์ไปที่รถที่ให้คนไปเตรียมมาจอดรอไว้ที่หน้าประตู

              ลูกตาลเปิดประตูด้านข้างคนขับก่อนจะจัดการยัดตัวอัมรินทร์ที่เหมือนสติสตางค์ยังกลับมาไม่ครบเข้าไปด้านในก่อนที่ตัวเองจะรับกุญแจจากลุงคนขับรถแล้วเข้าประจำที่คนขับรถแล้วขับออกไป

              นภามองตามรถยนต์ที่แล่นออกด้วยความไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กหนุ่มผู้เป็นหลาน ‘ไปรับแม่’ ที่ว่านี้คือไปรับเปลวอรุณลูกสะใภ้ของเธอที่ตายไปแล้วนะหรอ?

 

              “ที่ว่าเปลวยังไม่ตายนี่คือเรื่องจริงใช่ไหมตาล” อัมรินทร์หันมาถามเด็กหนุ่มที่กำลังมุ่งมั่นจริงจังกลับการขับรถอยู่อย่างมีความหวัง

              “เรื่องนั้นไปถึงแล้วก็รู้เองนั้นแหละ” ลูกตาลตอบปัดก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสภาพการจราจรในวันหยุดตรงหน้า

              ถึงจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดแต่อย่างน้อยในตอนนี้ในใจของอัมรินทร์ก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้และอิดโรยก้มมองถุงกำมะหยี่ที่ถูกถือติดมือมาด้วยด้วยรอยยิ้ม

              รอยยิ้มในรอบสามเดือน...

 

              ตรงหน้าของอัมรินทร์ในตอนนี้คือคอนโดหรูดีไซย์แปลกตาขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง ลูกตาลเดินนำเขามายังลิฟท์สำหรับเข้าสู่พื้นที่คอนโดที่อยู่อาศัย อัมรินทร์เหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างแคลงใจถึงความชำนาญทางเหมือนคนที่เป็นเจ้าของสถานทีเสียเองแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกไปจนกระทั้งลิฟท์มาหยุดอยู่ที่ชั้นชั้นหนึ่งพอลิฟท์เปิดออกเผยให้เห็นล็อบบี้ส่วนตัวของชั้น

              ลูกตาลใจเต้นโครมครามมือชื้นเหงื่อหวังเป็นอย่างมากว่าไม่ให้แผนที่ตนเตรียมมามีข้อผิดพลาด เขาพูดออกไปแล้วว่าเปลวอรุณยังไม่ตายสิ่งที่จะเกิดในห้องต่อจากนี้เขาต้องวัดดวงและทำเวลา อย่างน้อยก็อยากให้มีโอกาสที่อัมรินทร์จะพรั้งปากพูดกับราชันได้ก่อนเขา

              เอาว่ะ!

              เด็กหนุ่มเรียกกำลังใจของตัวเองก่อนจะกดออดหน้าประตูสีกรมเข้ม รออยู่ครู่หนึ่งก็มีการ์ดที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ การ์ดคนนั้นก้มหัวพร้อมส่งยิ้มเล็กน้อยให้เด็กหนุ่มอย่างสนิทสนมก่อนจะตวัดสายตามองแขกแปลกหน้าอีกคนที่เด็กหนุ่มพามาด้วยอย่างพิจารณาตรวจสอบ

              “พ่อฉันเอง”  ลูกตาลพูดก่อนจะแทรกตัวเดินเข้ามาข้างใน

              อัมรินทร์มองหน้าตอบกลับการ์ดที่มาเปิดประตูก่อนจะเดินตามลูกตาลเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เขาพบคือโถงทางเดินเล็กที่พาเขาเข้าสู่ห้องรับรองที่มีทั้งโซนรับแขกโซนนั่งเล่นและโซนครัวด้วยขนาดที่กว้างกว่าคอนโดห้องชุดที่เคยเห็นพื้นที่ห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้ทำให้อัมรินทร์รู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านเดียวชั้นเดียวและตรงโซฟาสีครีมมีการ์ดต่างชาติที่อยู่ในชุดเชิ้ตสีเข้มลำลองเหมือนคนที่ออกมาเปิดประตูให้พวกเขายืนกอดอกจังก้าอยู่

              “เขาอยู่หรือเปล่า” ลูกตาลเอ่ยขึ้นหลังหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง

              “อยู่ที่ห้องครับ”

              ลูกตาลลอบกลืนน้ำลาย

              “มานี่พ่อ” เด็กหนุ่มฉวยคว้าเข้าที่แขนของอัมรินทร์ตรงไปทางประตูด้านในที่เปิดรออยู่

              อัมรินมร์ยังคงตามสถานการณ์ไม่ทันและไม่รู้ด้วยว่า ‘เขา’ ที่เด็กหนุ่มถามถึงเมื่อครู่นี้คือใคร ลูกตาลกึ่งลากกึ่งพาเขามายังโถงทางเดินด้านในและหยุดลงที่หน้าบานประตูฝั่งซ้ายห้องแรก

              ลูกตาลยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะบิดเปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเป็นเชิงให้อัมรินทร์เป็นฝ่ายเดินเข้าไป

              อยู่ๆหัวใจของอัมรินทร์ก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวมันฉูบฉีดเลือดอย่างหนักเหมือนกับว่าเขากำลังตื่นเต้นและระทึกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มือของเขาชื้นเหงื่อ ขาสองข้างที่ก้าวตามการชักนำของเด็กหนุ่มสั่นระริก เขาก้าวเข้ามาในห้องนอนขนาดกำลังพอดีผ่านประตูห้องน้ำเข้ามาในส่วนของห้องนอน บนเตียงนอนเดียวที่ตั้งขนานกับหน้าต่างขนาดใหญ่มีใครคนหนึ่งกำลังนอนอยู่

              หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม

              เขาสูดลมหายใขกระชัมมือข้างที่ถือถุงกำมะหยี่แน่นเมื่อเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

              ร่างของใครคนหนึ่งที่ดูขาวซีดลงกว่าเดิมเนื้อหนังนุ่มที่เคยจับแล้วเต็มมือกลับซูบเซียวจนแห้งผอมเปลือกตาสีอ่อนปิดสนิทบ่งบอกว่าคนที่ดูอ่อนล้ากำลังหลับสนิทบริเวณศีรษะมีหมวกถักสีควันบุหรี่สวมทับอยู่ แม้จะดูแปลกตาจากความเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่ทราบที่มาที่ไปและถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมานานเกือบสามเดือนแต่ไม่มีวันที่เขาจะลืมโครงหน้าแบบนี้ไปได้

              เปลวอรุณ..

              อัมรินทร์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อน้ำตาของตนไหลอาบสองข้างแก้มด้วยความรู้สึกที่ทั้งยินดีและเจ็บปวดสมองของเขามึนเบลอกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การรับรู้ของเขาเมื่อหลายเดือนก่อนกับสิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าแตกต่างกันอย่างลิบลับจนเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง เขาก้าวขอสองขางที่สั่นเทาพาตัวเขาเดินเข้ามาใกล้ขอบเตียงก่อนจะทรุดนั่งลงก่อนจะเอื้อมมือออกไปตรงหน้าสัมผัสที่ข้างแก้มอย่างเบามือที่สุดเพื่อเผื่อว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่มายาที่หลอกตาที่พอสัมผัสถูกจะกลายเป็นควันสลายหายไป

              แต่นี่ไม่ใช่ความฝัน!

              แม้จะไม่ใช่สัมผัสอุ่นมืออย่างที่เคยแต่เนื้อหนังที่สัมผัสต้องกันได้คือสิ่งยืนยันให้เขาหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริง

              เปลวอรุณยังไม่ตาย เปลวอรุณของเขายังมีชีวิตอยู่...

              อัมรินทร์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

              เปลือกตาของคนที่รับรู้ถึงแรงสัมผัสกับปลายนิ้วที่เกลี่ยไล่อยู่ที่ข้างแก้มขยับยุกยิกเล็กน้อยเมื่อถูกก่อกวนการพักผ่อน เปลวอรุณปรือตาขึ้นแต่เพราะแสงสว่างของแสงแดดทำให้ตาของเขาพร่าจนต้องกะพริบถี่มองเงาของใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าจนเงาสีดำขมุกขมัวตรงหน้าเริ่มดูเป็นรูปเป็นร่าง ถึงแม้สายตาจะไม่ดีแต่เมื่อปรับสายตารับแสงได้มากขึ้นเปลือกตาสีอ่อนก็เบิกกว้างขึ้น ท่อนแขนผอมแห้งยันศอกลงกับที่นอนเพื่อพยุงร่างของตนขึ้นนั่งแต่เหมือนคนตรงหน้าจะกลัวว่าเขาจะมีเรี่ยวแรงไม่พอจึงขยับเข้ามาประคองตัวเขาขึ้น

              “คุณอัน” เปลวอรุณเรียกเสียงแผ่วสั่น มือผอมแห้งสั่นระริกยามยกขึ้นมาประกบสองข้าวแก้มที่สากระคายมือจากไรหนวดที่ไร้การจัดแต่งดูแล

              “คุณอันจริงๆด้วย” รอยยิ้มดีใจปรากฏตรงหน้าพร้อมน้ำแห่งความสุขเมื่อการรอคอยของเขาสิ้นสุดลง

              “ใช่ ฉันเอง” อัมรินทร์ประกบมือทันฝ่ามือของเปลวอรุณไว้ “ฉันอยู่นี้เปลว” ภายในใจแอบรู้สึกใจหายอยู่ลึกๆเมื่อมือที่เคยอุ่นของเปลวอรุณในยามนี้กลับเย็นชื้ด

              “ไหนบอกว่าจะมารับ ทำไมถึงปล่อยให้ผมรอตั้งนาน” คนรอตัดพ้อน้อยใจน้ำตาริน

              “ขอโทษเปลว ขอโทษ” ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานขนาดนี้...

              อัมรินทร์รวบร่างตรงหน้าเข้ากอด ความดีใจท่วมท้นในอกใจจริงอยากกอดรัดในแน่นชิดจมอกเอาให้หายคิดถึงแต่ตัวของเปลวอรุณยามนี้ผอมมากจนเกินไป ผอมจนเขากลัวว่าหากเผลอกอดรัดแรงกว่านี้อีกคนจะเจ็บ

              “ฉันมารับแล้วเปลว กลับบ้านกันนะ” เขากระซิบ

              เปลวอรุณพยักหน้าอย่างยินดี

              กลับบ้านกันเถอะ...



___________________________________________

พ่อมารับแม่กลับบ้านแล้ว!!
มาดึกขนาดนี้จะยังมีใครอยู่ไหมเอ๋ย??

แผนการพาแม่กลับบ้านของหนูตาลสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่่งหนึ่งต้องรอต่อในตอนหน้า
อย่าลืมสิว่าหนูราชยังอยู่ในห้องการจะเอาหนูเปลวออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 26-08-2017 04:22:45
วาเลนติโน่ มาเอาเมียแกไปเก็บ ไอ้เด็กโรคจิตขาดความอบอุ่น เอาเมียแกไปเก็บให้ไกล ๆ ด้วย รังเกียจราชันมาก ณ จุดนี้ ต่อให้ตอนเด็ก ๆ จะเจออะไรมา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เอามาอ้างว่าผมป่วย หรือผมเจอเรื่องร้ายกาจมา แกไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตเปลวอรุณ แกไ่ม่ใช่เจ้าชีวิตเขา เมื่อไหร่จะเขี่ยราชันไปให้พ้น นี่เบื่อขี้หน้าราชันมาก ดูได้จากเม้นเลยฮ่ะ เบื่อหน้านางมาก บอกเลย โคตรเบื่อ

อินหนักมาก

ปล.เขาจะยังต้องห่างกันอีกไหม สงสารอันกับเปลวเหลือเกิน โว๊ะ จากใจอีกรอบ เอาเมียแกไปเก็บวาเลนติโน่ ให้ไว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 26-08-2017 09:32:07
ในที่สุดก็มารับซักทีนะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 26-08-2017 21:51:58
วาแล้วสองคนนั้นต้องมีซัมติงกัน แต่ว่า ราชัน ชั้นก็ยังไม่ชอบแกอยู่ดี 5555
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-08-2017 22:03:00
 :a6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 26-08-2017 22:30:35
ในที่สุดก็เจอกันซักที
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 32- 26/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-08-2017 23:51:07
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 27-08-2017 00:37:51
เป็นหนี้ ครั้งที่ 33



                ภาพคนสองคนที่กอดกันร้องไห้ด้วยความคิดถึงเรียกรอยยิ้มยินดีจากคนที่ยืนรออยู่อีกฝั่งของบานประตูห้องนอน ลูกตาลมีความเชื่อมาตลอดว่าถ้าแม่ของเขาได้เจอกับอัมรินทร์ทุกๆอย่างมันจะต้องดีขึ้นและมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด

              แม่เปลวยิ้มแล้ว...

              เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

               แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าไอ้ชีวิตของเขาเนี้ยะมันไม่เคยมีอะไรที่งง่ายเลยสักครั้งเลยจริงๆให้ตาย!

               ความสุขตรงหน้าที่เขาเฝ้ามองดูอยู่กำลังจะถูกขัดจังหวะด้วนมารผจญ และไอ้มารผจญที่ว่านั่นก็กำลังเดินเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี

แก๊ก

              ลูกตาลหันมองตามเสียงบิดที่เปิดประตูใบหน้าเปรี่ยมสุขเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นตึงเครียดยืดตัวให้ตรงเพื่อเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

              “ทำไมวันนี้มาเช้าจัง” ราชันที่เปิดประตูออกมาย่นคิ้วถามเด็กหนุ่มอย่างสงสัย ปกติลูกตาลจะมาที่ห้องนี่คือช่วงเย็นประมาณสี่โมงเย็นไม่ใช่เกือบสิบโมงอย่างนี้และที่แปลกออกไปอีกก็คือทำไมเด็กหนุ่มถึงเอาแต่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่ยอมเข้าไป เหมือนกับว่ากำลังยืนมองใครอยู่อย่างนั้น

              หรือว่า!

              ใบหน้าฉงนสงสัยแปลเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อสมองเริ่มทำการประมวลผลบางอย่างได้ ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเด็กหนุ่มหัวใจของคนมองก็ยิ่งบีบรัดตัวมันเองแน่น ราชันสาวเท้าของตัวเองอย่างรีบเร่งผ่านหน้าของเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องของเปลวอรุณ

              อัมรินทร์ที่ประคองกอดเปลวอรุณอยู่ได้ยินเสียงพูดของใครบางคนดังแว่วเข้ามาในห้องก็ละสายตาจากเปลวอรุณขึ้นมาขณะเดียวกันเสียงพูดที่ว่าก็เงียบไปก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเสียงวิ่งตึงตังเข้ามาแทน

              !

              อัมรินทร์และราชันที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันในสถานที่นี่ต่างชะงักค้างเมื่อได้เจอหน้ากันหากแต่ความรู้สึกที่ได้เจอกันต่างหากที่แตกต่างกัน หลังจากดึงสติกลับมาได้ชายหนุ่มทะมึนตึงพร้อมเพิ่มแรงกอดเปลวอรุณแน่นขึ้นเพื่อแสดงออกให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่ยอมปล่อยเปลวอรุณไปแน่ในขณะที่ราชันยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าเผือดสี

              “ราชัน” อัมรินทร์ขบกรามตัวเองแน่น

              “ทะ ทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ราชันพยายามคุมสติตัวเองไม่ให้เผลอหลุดเสียงสั่น

              “กูสิต้องถามมึงว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไร!” อัมรินทร์ตะคอกลั่นจนคนในอ้อมแขนสะดุ้งตกใจ

              “คุณอัน” เปลวอรุณเรียกอัมรินทร์อย่างสงสัยเสียงเบาก่อนจะหันไปมองหน้าน้องชายของตน

              “ถ้าละ-“

              “ผมพาพ่ออันมาได้แล้ว ตามที่สัญญากันไว้คุณต้องคืนแม่เปลวให้พวกเรา คุณพูดแล้วนะ” ลูกตาลหน้าตื่นรีบพรวดพราดเข้ามาพร้อมพูดแทรกขึ้น ใจนี้เต้นโครมครามด้วยเผลอกคิดว่าถ้าเข้ามาไม่ทันแล้วอัมรินทร์พูดออกมาว่าเขาบอกว่าแม่ยังไม่ตายตั้งแต่ก่อนออกมามีหวังทุกอย่างที่ทำมาได้เสียเปล่าแน่

              “สัญญา? ตาลสัญญาอะไรกับราชเอาไว้” เป็นเปลวอรุณที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย

              ลูกตาลเผยยิ้มเมื่อสบโอกาสที่เหมาะเจาะ

             “เขาบอกว่าถ้าผมสามารถพาพ่ออันมาที่นี่ได้เขาจะยอมให้แม่กลับบ้าน” ก่อนจะตวัดสายตามมองคนที่ยังคงหน้าเผือดสีอยู่ที่เดิม “แต่เพราะเขาหลอกพ่ออันมาตลอดว่าแม่ตายไปแล้วทำให้ผมไม่สามารถพาพ่อมาที่นี่ได้สักทีไงละครับ แถมยังขู่ผมอีกว่าถ้าผมเอาเรื่องที่แม่เปลวยังมีชีวิตอยู่ไปบอกพ่อเขาจะพาแม่หนี”

               ก็พูดเองนิว่าห้ามบอกพ่อแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามบอกแม่นิเพราะงั้นเขาก็ยังถือว่าทำตามเงื่อนไขอยู่นะ....

                ลูกตาลแสยะยิ้มเมื่อราชันเริ่มหน้าซืดตัวสั่นหนักกว่าเดิม

               “ไอ้ราชัน” อัมรินทร์ที่ได้รับฟังความจึงถึงขั้นเดือดดาดผละตัวออกจากเปลวอรุณทั้งง้างหมัดขึ้นสูงหมายจะบรรดานโทษะที่มีใส่หน้าคนที่ยืนเป็นเป้านิ่ง

               ราชันหลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บที่กำลังใกล้เข้ามา

ผลัวะ

              เสียงหมัดกระทบผิวเนื้อดังขึ้นท่ามกลางความตกใจของเปลวอรุณและลูกตาลหากแต่คนที่ควรจะได้รับความเจ็บปวดจากการกระทำที่ว่ากลับไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เตรียมใจรับ ราชันเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขากลับไม่ใช่อัมรินทร์ที่กำลังโกรธเกรี้ยวหากแต่เป็นเงาสูงใหญ่ของใครบางคนที่เขามาขว้าง ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างสุดตา

              “วาโน่!”

              เมื่อรู้ว่าเป็นใครราชันก็เรียกอีกฝ่ายเสียงดังทั้งยังรุดก้าวออกมาจากด้านหลัง

              “วาโน่” ราชันเรียกชื่ออีกคนเสียงสั่น มุมปากบางที่ถูกล้อมกรอบด้วยหนวดเครามีรอยยข้ำและเลือดซึมออกมาใจของเขาที่เริ่มร้าวกลับร้าวหนักขึ้นเมื่อเห็นสิ่งเกิดขึ้น

              “มึง!”

             อัมรินทร์เองที่ยังไม่คล้ายโทสะแม้จะตกใจที่อยู่ๆก็มีใครที่ไหนไม่รู้เข้ามาขว้างจนเขายั้งแรงไม่ทัน แต่พอเห็นตัวต้นเหตุที่ก้าวออกมาความเดือดดาดของเขาก็กลับมา หมัดหนักๆง้างขึ้นสูงเตรียมที่จะวิวาทหากแต่มันก็ไม่สามารถทำตามใจที่เขาต้องการได้อีกครั้งเมื่อร่างกำยำสูงใหญ่ของชาวต่างชาติที่เขามาขว้างเมื่อครู่ตวัดแขนกอดร่างของราชันเอาไว้แล้วเบี่ยงข้างเอาร่างกายของตนเป็นโล่กำบังและไหนจะเสียงของเปลวอรุณที่ตะโกนขึ้นมาอีก

            “อย่าคุณอัน!”  เปลวอรุณตะโกนป้องน้องชายเสียงแหบ

             “อย่าคุณอัน อย่าทำราช” ลูกตาลที่เห็นท่าทีของเปลวอรุณที่พยายามตะเกียกตะกากตัวเข้าไปห้ามก็รีบเข้าไปประคอง

             “เปลว” คนถูกห้ามหันกลับมามองคนรักด้วยสีหน้าไม่พอใจระคายสงสัย
 
             “ขอร้องคุณอัน ผมขอ อย่าทำราช อย่าทำน้องผม” คำขอของเปลวอรุณทำเอาคนฟังชะงักตกใจ อัมรินทร์หันควับกลับไปมองคนที่ถูกเรียกว่า ‘น้อง’ ที่กำลังสะอื้นหนักอยู่ในอ้อมแขนของคนแปลกหน้า

               “น้อง งั้นหรอ” อัมรินทร์ทวนถามอย่างไม่เชื่อ นัยน์ตาคมจ้องมองเพื่อนแค้นของตัวเองนิ่งก่อนจะสบเข้ากับด้วยตาสีอ่อนดุดันของวาเลนติโนที่มองเขาอยู่ก่อนหน้า

                “ใช่ ราชันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเปลวอรุณ” วาเลนติโนเป็นผู้เฉลยคำตอบนี้ให้

                อัมรินทร์มองใบหน้าของเปลวอรุณกับราชันสลับกันไปมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ไม่เห็นถึงเค้าโครงอะไรที่สามารถบ่งบอกได้เลยสักอย่างว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด

               “นายเองก็มีลูกพี่ลูกน้องอยู่ไม่ใช่หรือไง มีส่วนไหนที่พวกนายเหมือนกันบ้าง” วาเลนติโนพูดขึ้นคล้ายหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาจ้องสำรวจของอัมรินทร์ที่มองมายังราชัน

               “นี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน” อัมรินทร์หลบสายตาก่อนสบถออกมาเหมือนคนหัวเสียที่ตามอะไรไม่ทันสักอย่าง

                 “คุณอัน” เปลวอรุณหน้าเสียด้วยคิดว่าอัมรินทร์โกรธ ท่อนแขนผอมแห้งยืดออกคว้าแขนหนาของอัมรินทร์มาจับแน่น

                  อัมรินทร์มองหน้าเปลวอรุณครู่หนึ่งก่อนจะทรุดกายลงนั่งที่ขอบเตียงรั้งร่างผอมเข้ามากอดปลอบ แม้จะยังขัดเคืองใจอยู่บ้างแต่เขาก็ทำใจโกรธเปลวอรุณไม่ลงอยู่ดี

                  “ไม่ร้องเปล่า ไม่ร้องฉันไม่ได้โกรธ” เสียงสะอื้นกับคำขอโทษอู้อี้ทำให้อัมรินทร์เลือกที่จะลูบท่อนแขนเล็กนั้นพร้อมตวัดสายตามองราชันที่แอบมองมาทางพวกเขาตาขวาง

                   “ทำไมเปลวถึงอยู่ในสภาพนี้” เมื่อไม่ได้ความจากเรื่องเมื่อครู่อันเป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควรอัมรินทร์จึงเลือกที่จะถามถึงสภาพของเปลวอรุณแทนพร้อมทั้งกวาดตามองทุกคนในห้องโดยเฉพาะกับราชันที่เขาใช้สายตาไม่เป็นมิตรคาดคั้น

                     ราชันบีบท่อนแขนหนาของวาเลนติโนแน่นในขณะที่เปลวอรุณกับลูกตาลหลุบตามองต่ำ

                     ยังมีเรื่องอะไรที่เขายังไม่รู้อีกอย่างนั้นหรอ... อัมรินทร์ขบเขี้ยวในใจ

                    “ผม เป็นมะเร็ง” เปลวอรุณเลือกที่จะเป็นคนตอบเอง หากแต่คำตอบที่เอ่ยออกมาแผ่วเบานั้นอัมรินทร์กลับได้ยินมันก้องเต็มสองหู

                    “อะไรนะ” อัมรินทร์ถามเสียงเครือสั่น มือหนาประคองแก้มตอบซีดขิงเปลวอรุณขึ้น

                     เปลวอรุณไม่ตอบอะไรมากไปการสะอื้นรับความจริงที่ตนจงใจปิดบังอัมรินทร์มาตั้งแต่แรก

                      เมื่อเปลวอรุณไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็เท่ากับเป็นการยืนยันคำตอบได้อย่างแจ่มชัด

                     “ตั้งแต่เมื่อไรกันเปลว” อัมรินทร์ถามออกมาคล้ายคนหมดแรง “เปลวรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรว่าเป็น”

                      “ตั้งแต่ท้อง” เปลวอรุณกะพริบตาถี่ มือผอมกำเสื้ออัมรินทร์แน่น “ผมกลัว กลัวว่าถ้าบอกมันจะทำให้คุณเป็นกังวล ไหนจะลูกไหนจะเรื่องของผม ผมไม่อยากทำร้ายความสุขของคุณความสุขที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน ผมทำไม่ลง”  เปลวอรุณสะอื้นจนตัวงอ

                   หากเปลวอรุณเลือกที่จะรักษาตัวตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ตัวว่าเป็นนั้นหมายถึงชีวิตของลูกที่ต้องเสียไปแต่สิ่งที่เปลวอรุณเลือกคือชีวิตของลูกที่จะได้เกิดโดยแลกกับชีวิตของตัวเองที่กว่าจะคลอดลูกออกมาแล้วรักษาตัวแต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงมันคงไม่ทันการณ์และสิ่งที่เขาจะเสียไปก็คือชีวิตของเปลวอรุณ

                  อัมรินทร์ขบกราบกำมือตัวเองแน่น

                  เขาโกรธ โกรธที่เปลวอรุณไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับเขา โกรธที่เปลวอรุณปิดบังเขา และโกรธที่เปลวอรุณคิดจะจากเขาไปโดยไม่ยอมบอกให้เขารู้ล่วงหน้า

                  เปลวอรุณเป็นห่วงความสุขของเขา แต่เขาจะมีความสุขได้อย่างไรหากมันไม่มีเปลวอรุณอยู่กับเขาด้วย...
               
                   “ไม่เป็นไรเปลว ไม่เป็นไร” เขาพยายามปลอบ แต่เหมือนยิ่งพูดออกไปก็มีแต่ทำให้เปลวอรุณร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม

                 “กลับบ้านกันนะเปลว กลับบ้านของเรา กลับไปเริ่มใหม่กลับไปรักษาตัวให้หายแล้วหลังจากนั้นเปลวอยากมีลูกอีกสักกี่คนเรามาพยายามกันใหม่ได้ หากมีแค่ลูกแต่ไม่มีเปลวมันก็ไม่ใช่ครอบครัวหรอกนะ ความสุขของฉันคือการมีเปลวอยู่ด้วย” อัมรินทร์คลี่ยิ้มอ่อนยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ข้างแก้มสีซีด

                 “ฉันกับลูกมารับเปลวกลับบ้านแล้ว กลับบ้านกันนะ”

                  เปลวอรุณพยักหน้ารั่วก่อนจะคว้าทั้งอัมรินทร์และลูกตาลมากอดเอาไว้แน่น

 

              ภาพบรรยาการครอบครัวที่เคยพลัดพรากจากกันได้กลับมาเจอกันอีกครั้งดูเป็นภาพที่ดูอบอุ่นและน่าตื้นตันใจ ราชันมองภาพตรงหน้าคล้ายคนเจ็บปวดใจเมื่อพี่ชายเพียงคนเดียวของตนกำลังจะถูกแย่งไปจริงๆ ปลายเล็กจิกเกร็งเขาที่ต้นแขนของวาเลนติโนแน่นจนเป็นรอยหากแต่เจ้าตัวกลับไม่ปริปากร้องหรือโวยวายและยอมที่จะอยู่นิ่งๆให้เขาได้ฝังความเจ็บลงบนผิวเนื้อ

              ราชันกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมแขนหนาแล้วพรวดพราดก้าวออกจากห้องไปไม่สนสายตาของใครต่อใครที่มองตามหลังเขามา

ปัง!

              วาเลนติโนมองออกไปทางบานประตูห้องนอนที่เขาอยู่แล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ราชันรักพี่ชายของตนมากขนาดไหนเขารู้ดีและรู้ว่ามันไม่ใช่แค่รักมากแต่เข้าขั้นคำว่า ‘คลั่ง’ เลยเสียมากกว่า ดวงตาสีอ่อนดุดันหันกลับมามองคนทั้งสามที่นั่งกันอยู่ที่เตียง

              “อัมรินทร์”

              เจ้าของชื่อหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใกล้ชิดกับราชันยังไงเขาก็ไม่ไว้ใจ

              “ผมรู้ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องที่ยากนะ แต่ผมขอโทษคุณแทนสิ่งที่เขาทำแล้วผมอยากจะขอให้คุณยกโทษให้เขาด้วยจะได้ไหม”

              “อะไรนะ” อัมรินทร์ย้อนถามเสียงห้วนไม่พอใจ

              ยกโทษให้มันเนี้ยะนะ ไม่มีทาง!...

              “ผมรู้ว่าคุณคงไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำ-“

              “ใช่ไง ใครมันจะไปทนได้” อัมรินทร์สวนแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

              วานเลนติโนผ่อนลงหายใจ

              “ผมรู้”

              ราชันทำเรื่องทำราวเอาไว้เสียใหญ่โต คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อัมรินทร์จะยอมใจอ่อนยกโทษให้อย่างที่ว่ามา เขาเข้าใจแต่เขาก็อยากจะขอร้องขอลองดู แต่เมื่อมันไม่ได้ก็คือไม่ได้...

              “ราชรักคุณมากนะเปลวอรุณ” ก่อนจะหันไปพูดกับเปลวอรุณต่อแทน

              เปลวอรุณก้มหน้าเล็กน้อยในเรื่องที่เขารู้ดีที่สุด

              “เรื่องวันนั้นที่ทำให้คุณผิดใจกับเขามันเป็นเพราะผม ผมขอโทษด้วย” เขาก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเงยกลับขึ้นมาอีกครั้ง “วันนั้นที่เขารู้ว่าคนที่เขาพูดจาไม่ดีด้วยคือคุณไม่ใช่ผม เขาร้อนรนมากเหมือนคนสติแตก” เขายิ้มอ่อน



           
:mew6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 27-08-2017 00:40:00
:mew6:


  “พี่เปลว พี่เปลว วาโน่ พาผมกลับไทย กลับไทยเดี๋ยวนี้”

              เสียงร้อนรนพูดย้ำไปย้ำมาเหมือนคนเสียสติของราชันในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหัวไหนจะเท้าเปลือยเปล่าที่วิ่งฝ่าพื้นหิมะออกมาจนมันแดงไปหมดเพื่อออกมารอเขาใบหน้าท่วมน้ำตาเหมือนคนเสียสตินั้นอีก

               ต่อให้ร้ายแสนร้ายขนาดไหนแต่เขาก็ยังรัก...

               “คุณรู้ไหมว่าเขาไปที่สวิตเซอร์แลนด์ทำไม”

                เปลวอรุณส่ายหน้า “ผมไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปตั้งแต่เมื่อไร”

               พวกเขาสองคนติดต่อหากันตลอดก็จริงแต่เรื่องที่ราชันไปต่างประเทศเขากลับไม่เคยรู้มาก่อน ไม่รู้แม้กระทั้งว่าน้องชายของเขาไปตั้งแต่เมื่อไรและไปเพื่ออะไร

               “ราชันเขามีอาการทางจิตอ่อนๆมาตั้งแต่เด็กเรื่องนี้คุณก็คงจะไม่รู้ด้วยสินะ” วาเลนติโนจับจ้องคู่สนทนานิ่ง

               เปลวอรุณชะงัก

              “อะไรนะ” เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้

               “อาการที่เขาเป็นคือจิตภาวะระแวง”

               “แต่เขาไม่เห็นมีอะไรแตกต่างจากปกติเลยนะ” เปลวอรุณหน้าเครียด หรือเพราะเขาไม่เคยสังเกตน้องของตัวเองเขาถึงไม่รับรู้ถึงอาการป่วยนี้

                “ไม่หรอก สิ่งที่เขาเป็นไม่ได้ทำให้บุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่มีผลโดยตรงคือความคิดของเขา” ปลายนิ้วหนาจิ้มลงขมับตัวเอง

               “อาการระแวงของเขาเกิดขึ้นจากความกลัว กลัวที่จะไม่ได้รับความรักจากคุณ ระแวงว่าสักวันจะมีใครมาเอาตัวคุณไปจากเขา เขาไปที่สวิตก็เพื่อพักรักษาตัว” คนพูดยิ้มขื่น

               “ยะ อย่าบอกนะว่า” เปลวอรุณเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาในหัว ใบหน้าซีดเซียวแฝงความเป็นกังวลไว้อย่างปิดไม่มิด

               “ใช่ ตอนที่คุณหายไปเขาคลุ้มคลั่งอย่างหนัก” หัวใจของเขาหนักอึ้ง ไม่มีใครไม่เจ็บหรอกเวลาเห็นคนที่รักเจ็บปวดทรมาร

                “ตอนที่เขาเจอคุณเขาดีใจมากเลยนะ แต่พอคุณทำตัวเหินห่างกับเขาแบบนั้นเขาก็กลับมาเศร้าและเริ่มทำร้ายตัวเอง” เปลวอรุณยกมือขึ้นปิดปากในขณะที่อัมรินทร์กับลูกตาลก้มหน้ากับคำบอกเล่าที่ได้รับฟัง

                “สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็เพราะเขาคิดมาตลอดว่าคุณถูกผู้ชายคนนี่หลอกลวง เขาพยายามหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อช่วยคุณ แต่เขาก็ยังเคารพการตัดสินใจของคุณอยู่นะ เขาบอกผมว่าหลังจากที่บอกเรื่องนี้กับคุณแล้วหลังจากนั้นคุณจะตัดสินใจยังไงต่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกคุณเขาก็จะไม่เข้ามายุ่ง”

                 “แล้วที่พาแม่ผมมาซ้อนแบบนี้ละ” ลูกตาลแทรกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ไหนว่าเคารพการตัดสินใจแล้วยังไงละแล้วทำไมยังทำอะไรแบบนี้อีก..

                 “เพราะเขารู้ไงว่าแม่นายจะเลือกอะไร” วาเลนติโนหันมองเด็กหนุ่ม ก่อนจะหันกลับมามองเปลวอรุณอีกครั้งก่อนพูดต่อ

                “เพราะเขารู้ว่าคุณจะต้องเลือกกลับไปหาอัมรินทร์ เขาคิดว่าเขาจะไม่ใช่คนที่คุณรักอีกแล้วเขาจึงเอาตัวคุณมาอยู่ที่นี้ เก็บคุณเอาไว้ใกล้ตัวที่สุดให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้มันจะทำให้ทั้งตัวเขาเองทั้งตัวของอัมรินทร์และทั้งตัวคุณต้องเจ็บปวดแต่เขาก็ยังอยากจะให้คุณอยู่กับเขา”

                ทุกคืนที่น้องเข้ามาขอนอนกับเขาเพราะสาเหตุนี้อย่างนั้นหรอ.. เปลวอรุณตระหนักคิด

                “และอย่างที่เขาเคยพูดเอาไว้ ว่าถ้านายสามารถพาอัมรินทร์มาที่นี้ได้เขาก็จะปล่อยเปลวอรุณไป พาแม่นายกลับไปได้แล้วเจ้าหนู” วานเลนติโนทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหมุนกายเตรียมจะเดินออกจากห้องไป

                “เดี๋ยว!” เปลวอรุณเรียกอีกคนเอาไว้

                วาเลนติโนหันกลับมามองพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

                “ขอฉันไปหาเขาจะได้ไหม”

                “เปลว” อัมรินทร์ร้องประท้วง ถึงจะเป็นน้อง ถึงจะรู้สาเหตุของเรื่องทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ไว้ใจ

               “คุณจะมาด้วยกันก็ได้ถ้าไม่ไว้ใจ” วาเลนติโนเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

               “ฉันไม่อยากให้เปลวไปหามัน” อัมรินทร์ทำเสียงฮึกฮักในลำคอขณะประคองเปลวอรุณให้ยืนขึ้น

               “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาเชื่อว่าน้องจะไม่ทำร้ายเขา

               “แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่นะครับ” ลูกตาลเสริมขึ้นอีกเสียง

                “เชื่อแม่สิตาล” เปลวอรุณคลี่ยิ้มบาง

                ราชันที่เขารู้จักเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นไม่มีทางกลับคำพูดตัวเองแน่และที่สำคัญราชันคือน้องของเขา...

                เป็นเด็กน้อยที่น่ารักของเขา...

 

                แม้จะไม่พอใจแต่อัมรินทร์ก็ประคองพาเปลวอรุณเดินมายังห้องอีกห้องที่อยู่ถัดออกมาโดยมีลูกตาลเดินตามมาข้างหลัง บานประตูห้องไม่ได้ปิดสนิทเพียงแค่แง้มเอาไว้ อัมรินทร์ผลักบานประตูนั้นเข้าไปด้านในแล้วเดินเข้าไป

                ห้องขนาดใหญ่กว่าห้องที่เปลวอรุณเพียงเล็กน้อย ตรงกลางห้องเป็นเตียงนอนที่ตอนนี้มีร่างใหญ่ของชายที่เพิ่งพูดคุยกับเขาเมื่อครู่นั่งอยู่ที่ขอบเตียงข้างๆเป็นร่างของราชันที่นั่งเกยอยู่ที่ตักในลักษณะที่ถูกโอบเอาไว้แนบอกมือทั้งสองข้างของเจ้าตัวกำเสื้อของอีกคนแน่นตาสอดส่ายไปมาเหมือนกำลังระแวดระวังอะไรสักอย่าง

                 ราชันดูตื่นกลัวกว่าปกติ...

                “ราช”

               เสียงเรียกของเปลวอรุณแผ่วเบาหากแต่กับดูรุนแรงจนทำให้เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยง ราชันเงยสายตามองอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นว่าเป็นเปลวอรุณเจ้าตัวก็หลับตาปี๋ซุกหน้าเข้าอกของวาเลนติโนมายิ่งขึ้น

                อัมรินทร์พาเปลวอรุณมานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่วางอยู่ตรงมุมห้องโดยที่สายตาของตนไม่ละออกจากท่าทีที่ดูแปลกไปของราชัน เขาไม่เคยเห็นราชันมีสภาพน่าเวทนาขนาดนี้มาก่อน มันเหมือนไม่ใช่ราชันที่เขาเคยรู้จัก...

                “ราช” เปลวอรุณพยายามส่งเสียงเรียกหา แต่ยิ่งเขาเรียกน้องชายมากเท่าไรอีกฝ่ายก็ยิ่งซุกหน้าขยับกายหนีเขาเท่านั้น

                 “ราชไม่อยากเจอพี่แล้วหรอ”

                 “ไม่ๆๆ ไม่ใช่” และได้ผล ราชันยอมที่จะหันกลับมาพูดด้วย

                 เปลวอรุณยิ้ม

                 ราชันชะงักก่อนจะกลับไปซุกอกวาเลนติโนตามเดิม

                 “พี่จะกลับไปอยู่กับคุณอันนะ” เปลวอรุณพูดความต้องการของตัวเองออกมา

                  ราชันเหลือบมองหน้าเปลวอรุณเล็กน้อยก่อนหันหนี “ครับ”

                  “พี่จะย้ายของออกจาบ้านหลังนั้นแล้วไปอยู่ที่บ้านของคุณอัน” เขาตัดสินใจแล้ว “หลังจากนั้นราชอย่าลืมไปหาพี่บ้างนะ พาคุณตาไปด้วยก็ได้”

                   อัมรินทร์กับลูกตาลมีทีท่าว่าจะค้านความต้องการเมื่อครู่แต่ก็ต้องชะงักปากชะงักคำเอาไว้

                    คนที่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมหาค่อยๆหันหน้ามามองอย่างไม่เชื่อหู

                  “พี่ พี่เปลวพูดจริงหรอ” เสียงของราชันดูสั่นเครือจนน่าสงสาร

                  “พี่ไม่เคยโกหกเรานะ” เปลวอรุณยิ้มบาง

                  “พี่ไม่โกรธผมหรอ พี่ไม่เกลียดผมใช่ไหม”

                  เปลวอรุณส่ายหน้า “ไม่โกรธและไม่เคยเกลียดหรอกนะ”

                  มือบางผอมแห้งแบออกแล้วยืนออกไปข้างหน้า ราชันมองมือข้างนั้นอย่างลังเล ดวงตาเรียวเหลือบมองสีหน้าไม่พอใจของอัมรินทร์กับลูกตาลเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองคนที่ประคองกอดตัวเขาเองเอาไว้

                  วาเลนติโนยิ้มบาง ขณะแขนดันหลังให้ราชันออกไปเผชิญหน้ากับความกลับในใจ

                  ราชันดูลังเลและสับสนมือที่กำเสื้อของวาเลนติโนอยู่นั้นกำแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะยอมปล่อยแล้วขยับตัวช้าๆอย่างกล้าๆกลัวๆเอื้อมมือออกไปจับมือที่แสนอบอุ่นเสมอสำหรับตน

                  เปลวอรุณรอให้ราชันจับมือของตนก่อนจะค่อยๆดึงแขนกลับมาแล้วโอบกอดน้องชายของตัวเองเอาไว้

                  “ราชเป็นน้องของพี่ พี่รักราชเสมอนะ” มือบางลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ

                  “ฮึก” ราชันสะอื้นกอดรอบเอวผอมบางเอาไว้แน่น

                   “สิ่งที่ราชทำถึงมันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีแต่ที่ราชทำราชทำเพราะรักพี่ พี่ไม่ถือไม่โกรธราช พี่ให้อภัยราชนะ” ยิ่งเปลวอรุณพูดออกมาราชันก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น

                    คำว่า ‘รัก’ ที่เปลวอรุณมีให้มีค่ายิ่งกว่าอะไรในชีวิตของเขา ยิ่งอีกคนให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำยิ่งทำให้เขาละอายใจและเกลียดตัวเองที่ทำร้ายพี่ชายที่ตนรัก

                    “อย่าถือโทษโกรธตัวเองเลยนะ คนเราจะเผลอทำเรื่องที่ผิดลงไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อรู้แล้วก็อย่างทำมันอีกเข้าใจไหม”

                    “ครับ” ราชันพยักหน้ารั่ว

                   “พี่ขอโทษนะ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าทำให้ทุกข์ใจขนาดไหน”

                    “ไม่ๆๆ พี่เปลวไม่ผิด พี่เปลวไม่ได้ทำ” ราชันรีบผละตัวออกจากอ้อมกอดพร้อมส่ายหน้าพรืด “ผมต่างหาก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมขอโทษพี่เปลว ผมขอโทษ”

                      ราชันพร่ำขอโทษออกมาทั้งน้ำตา

                     เปลวอรุณลูบหัวปลอบโยน เขาไม่รู้หรอว่าวิธีรักษาโรคที่ราชันเป็นมันต้องรักษายังไง แต่ถ้าหากราชันเห็นเขาคือคนสำคัญเขาเชื่อว่าคำพูดของเขาย่อมสามารถรักษาประโลงใจของน้องได้ในระดับหนึ่ง

                       อะไรที่พี่คนนี่ทำเพื่อน้องได้ แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยเขาก็พร้อมที่จะทำให้...

.............................................................

 

                  “หลับไปแล้วหรอ” อัมรินทร์เอ่ยถามเสียงเบาพลางชะโงกหน้ามอง

                  “ครับ หลับสนิทเลย” เปลวอรุณยิ้มตอบก่อนจะหันมามองราชันที่นอนขดตัวเขาหาเขาเหมือนเด็ก

                  หลังจากเคลียร์ปัญหาที่คาใจกันได้เสร็จอัมรินทร์กับลูกตาลก็ตั้งท่าจะพาเปลวอรุณท่าเดียว แต่มีหรือที่ราชันจะยอมง่ายๆ ถึงจะเข้าใจกันมากขึ้นระดับหนึ่งแต่ราชันก็ยังคงเป็นราชันนิสัยเอาแต่ใจตัวเองคือข้อเสียที่แก้ไม่หาย

                 “พี่เปลวอยู่กับผมก่อนได้ไหม” ใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ให้ได้ของราชันทำเอาเปลวอรุณใจอ่อนยวบ

                 “แต่เปลวต้องรีบกลับไปพักผ่อน” อัมรินทร์กันท่า แผลใจที่ราชันทำไว้มันลึกจนยากที่อัมรินทร์จะไว้ใจหรือให้อภัยได้โดยง่ายซึ่งอันนี้ทั้งเปลวอรุณและราชันเข้าใจดี

                 
“แค่ตอนผมหลับก็ได้”
ราชันหน้าม่อย

                 เปลวอรุณรู้ความต้องการของราชันดีว่าต้องการที่จะรั้งตัวเขาเอาไว้ให้นานที่สุดแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังยอมที่จะให้ราชันประคองพาไปที่เตียงก่อนจะออกปากไล่ทุกคนออกไปจนหมด

                  ราชันนอนกอดเขาเอาไว้เงียบๆไม่พูดไม่จาอะไร ดวงตาเรียวเล็กแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักปรือจนแทบจะลืมไม่ขึ้นแต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามถ่างมันเอาไว้จนเปลวอรุณยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนมือที่ลูบหัวอีกคนอยู่เป็นตบหลังเบาๆเหมือนอย่างที่เขาทำกับอีกคนเมื่อตอนเด็กยามที่กล่อมพาน้องชายเข้านอน และไม่นานราชันก็หลับไป

                    “รีบไปก่อนที่เขาจะตื่นเถอะ เดี๋ยวได้โวยวายอีก” วานเลนติโนเอ่ยเตือนขณะเดินเข้ามาจัดผ้าห่มให้ราชันพร้อมลูบแก้มคนนอนหลับเบาๆ

                     เปลวอรุณยิ้มบางมองน้องชายที่หลับสนิทอยู่บนเตียงก่อนจะลุกขึ้นโดยมีอัมรินทร์กับลูกตาลคอยพยุงอยู่ไม่ห่าง

                    “ฝากราชด้วยนะครับ” เปลวอรุณเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังเข้ามาในลิฟท์แล้ว

                     “ผมจะดูแลเขาเอง” วาเลนติโนรับคำหนักแน่น “แล้วเจอกันใหม่ครับ” เขาพูดขึ้นก่อนที่บานประตูลิฟท์จะปิดลง

                      ภายใจลิฟท์มีเพียงพวกเขาสามคน ลูกตาลเปลี่ยนจากมือที่คอยพยุงเป็นกอดรัดแม่ของเขาเอาไว้แน่นเช่นเดียวกับอัมรินทร์ที่สวมกอดทับคนทั้งสองเอาไว้แน่น

                       “กลับบ้านเรากันนะ”



_________________________________________________

เปลวได้กลับบ้านแล้ว!!!

นอกจากจะต้องฝ่าฟันกับอุปสรรค์นานาประการโดยเฉพาะความเน็ตหอ ในที่สุดก็สามารถอัพนิยายได้สักที เย้!

ไอ้เราก็ไม่ใช่สายมาม่าต้มยำน้ำข้นเสียด้วย มาได้เท่านี้แหละ อะเฮาะๆ
[/color]

อาการของหนูราชเป็นอาการทางจิตที่คล้ายๆกลับการระแวงหรือกลัวอะไรแบบฝั่งใจ ซึ่งในกรณีของหนูราชคือการกลัวว่าของรักหรือคนที่รักจะหายไปนั้นเอง
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 27-08-2017 01:08:15
ในที่สุดก็อ่านทันน   :katai4:
โอ้ยยย นี่หรือคือมาม่าน้ำน้อย นี่น้ำตาจะท้วมจอแล้ว  :mew6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 27-08-2017 12:14:05
ในที่สุดเปลวก็ได้กลับบ้านซักที หวังว่า เปลวจะหายเร็วๆ และมีลูกคนใหม่เร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 27-08-2017 22:42:27
ในที่สุดก็เข้าใจกันซักที
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2017 23:25:39
 :n1:


มะเร็งอีกกกก
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-08-2017 23:37:46
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-08-2017 08:46:12
หายเร็วๆนะเปลว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 33- 27/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 28-08-2017 16:24:24
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 31-08-2017 20:28:22
เป็นหนี้ ครั้งที่ 34



                 เสียงประตูปิดลงอย่างเบามือ คนเข้ามาใหม่สอดส่องสายตามองดูให้แน่ชัดว่าคนที่เขาต้องการที่จะเข้ามาหานั้นยังนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนและเมื่อพอเห็นร่างของคนที่รักนอนหลังอยู่บนเตียงนอนรอยยิ้มเล็กๆก็พลันปรากฏขึ้น

              อัมรินทร์ก้าวเข้ามาในห้องของพวกเขาอย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มเดินอย่างอารมณ์ดีเข้ามาก่อนจะทรุดตัวอย่างช้าลงที่ข้างเตียงนอนนั่งมองใบหน้าอ่อนล้าของคนที่หลับสนิทอย่างอิ่มแอมใจพลางเผลอนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขากับราชันเคลียร์ใจกันได้ แม้มันจะไม่ได้ช่วยทำให้ตัวเขามองน้องชายของคนรักในแง่ดีขึ้นมาบ้างแต่อย่างน้อยก็ต้องถือว่าเรื่องทุกอย่างถูกคลี่คลายลงได้ด้วยดี แต่เรื่องหลังจากที่เขาพาเปลวอรุณกลับมาถึงบ้านแล้วต่างหากที่ทำให้เขาอารมณ์ดีและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

              “นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันว่ะ” เสียงของอนิรุทธิ์คือเสียงแรกที่เอ่ยต้อนรับการกลับมาของพวกเขา

              “เรื่องดีๆต่างหาก” เขาแย้งขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะประคองกอดคนที่รักเอาไว้ไม่ห่าง

              อนิรุทธิ์มีท่าทางคล้ายคนทำอะไรไม่ถูก ก็รู้อยู่แหละว่าญาติผู้พี่ของตรนกำลังดีใจที่ได้เจอหน้าคนรักของเขาอีกครั้งแต่มันก็ดูจะมีความตกตื่นใจอยู่มากกว่า

              “ก็ไหนมึงบอกว่าเปลวเขา..” เขาอมยิ้มขันกับอาการเหลอหลาของอีกคนที่เขามาจับตัวของเปลวอรุณเบาๆเหมือนยืนยันสิ่งที่เห็นแต่กลับโดนลูกตาลตีเขาที่มือเสียงดัง

เพียะ

              “มือสะอาดหรือเปล่า ไปล้างมาเลยนะเดี๋ยวแม่ผมป่วย” หลังจากที่ออกมาคอนโดของราชันมาในช่วงที่อยู่บนรถลูกตาลเข้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการดูแลผู้ป่วยระหว่างเข้ารับการรักษามาอย่างดี ดังนั้นเรื่องความสะอาดจึงดูเหมือนเป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด

              “มันเจ็บนะ” อนุนิรุทธิ์บ่นอุบพลางสะบัดมือตัวเองไปมา

              “แล้วเรื่องมันเป็นไงมายังไงกันแน่ตาอัน” เสียงของมารดาดังขึ้นขัดเสียงหัวเราะเบาๆของเปลวอรุณ

              “นั้นสิ ไหนก่อนหน้าแกตีโพยตีพายหาว่าเขาตายไปแล้วไงละ” บิดาของเขากอดอกมองมายังตัวเขาอย่างคาดคั้นเอาความ

              ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดนั่งรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่น การรวมตัวกันของทุกคนที่ต้องการทราบถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเมื่อแรกเจอกับสมาชิกที่ทุกคนต่างคิดว่าจากไปแล้วทำเอาตกอกตกใจกันไปเสียยกใหญ่ไหนจะสภาพร่างกายของเปลวอรุณในยามนี้อีกที่ดูจะสร้างความเป็นห่วงให้คนที่รอฟังคำตอบเป็นอย่างมาก

              เขามองหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองเล็กน้อยก่อนหันมองคนข้างกาย

              “ตาลพาแม่เขาขึ้นไปพักข้างบนก่อน” เขาเอ่ยกับเด็กหนุ่ม “ไปพักก่อนนะเปลว เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป” ก่อนจะหันมาหาพร้อมเกลี่ยใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงของเปลววอรุณเบา

              เปลวอรุณเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงเล็กน้อยก่อนจะรับคำที่ว่ามาอย่างว่าง่ายให้ลูกตาลช่วยประคองพาขึ้นไปด้านบนโดยมีมณีนิลเดินตามไม่ห่างแม้สุดท้ายตัวมันจะไม่ได้ไปต่อได้แต่นอนร้องขอความเห็นใจอยู่แค่หน้าห้องนอนก็ตามที...

              อัมรินทร์มองตามแผ่นหลังบางของเปลวอรุณไปจนสุดทางตาแล้วจึงหันกลับมามองคนทั้งสามที่นั่งมองมาทางเขาอยู่ก่อนด้วยความต้องการที่จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

              “อธิบายมาไอ้อัน มึงรู้ไหมตอนกูเห็นเมียมึงเมื่อกี้หัวใจกูเกือบจะวายตายนึกว่าเห็นผี” อนิรุทธิ์เปิดประเด็นขึ้นเป็นคนแรก ภาพของอนิรุทธิ์ที่หน้าซีดปากสั่นทำตัวคล้ายจะเป็นลมในตอนที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วเห็นเปลวอรุณนั่งอยู่นั้นไม่ว่าจะนึกขึ้นมาเมื่อไรก็พลอยทำให้เขาอดขำขึ้นมาไม่ได้

              “ไม่ตลกเจ้าอัน บอกพ่อมาเดี๋ยวนี้เลยว่าเรื่องมันเป็นยังไง” แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะไม่นึกขำตาม  อัมรินทร์ปรับสีหน้าของตนใหม่ให้ดูจริงจังมากยิ่งขึ้นและขยับยืดตัวให้ตรง

              “เรื่องมันก็คือ...”

              อัมรินทร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่วันที่เขาได้รับโทรศัพท์จากราชันที่โรงพยาบาลลากยาวมาจนถึงเรื่องเมื่อช่วงสายในตอนที่ลูกตาลเข้ามาหาเขาที่ห้องแล้วลากเขาออกมาจากบ้านเพื่อไปรับตัวเปลวอรุณกลับมา

              ตลอดช่วงที่อัมรินทร์เล่าเรื่องออกมาเขาไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าสีหน้าของเขาเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ด้วยว่าตอนที่เขาเล่าว่าต้องเสียเปลวอรุณไปนั้นสีหน้าของเขาทั้งหมดหมองและทุกข์ทมขนาดไหน และคงไม่รู้ตัวว่าตอนที่เล่าว่าได้เจอกับเปลวอรุณอีกครั้งสีหน้าของเขาดูเป็นสุขและมีความสุขกับการมีชีวิตอยู่มากมายเพียงใด

              อัมรินทร์ไม่มีทางได้รู้ แต่ทั้งสุริยะ นภา และอนิรุทธิ์ต่างเห็นมันชัดจนลึกเข้าสุดใจของคนพูด

              “แต่ตอนนี้หนูเปลวเขาป่วยหนักไม่รู้ว่าจะรักษาหายเมื่อไรหรือไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับแกได้อีกนานเท่า แกก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีอยู่อีกใช่ไหม” คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าตึงเครียดของบิดาด้วยความรู้สึกเหมือนไม่พอใจที่ความรู้สึกของเขาถูกตั้งคำถ่ามเช่นนี้

              “แล้วผมต้องเสียใจหรอ” เขาพูดอย่างเอาเรื่อง “การที่ผมต้องอยู่อย่างเสียเปลวไปมันก็พอทำผมเศร้าจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ถึงการได้เปลวกลับมาครั้งนี้มันจะไม่ได้เปลวที่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนกลับมาด้วยแต่ในเมื่อผมได้เขากลับมาแล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาไม่ว่ามันนจะสั้นหรือจะยาวผมก็จะเป็นคนดูแลเขาเอง”

              อัมรินทร์พูดมันออกมาจากสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในใจ ความตั้งใจที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่รับรู้เรื่องอาการป่วยของอีกคน เขาไม่เคยนึกรังเกียจและไม่คิดที่จะให้เปลวอรุณต้องทนทุกข์กับโรคร้ายที่เพียงลำพัง เขารักเปลวอรุณเพราะนี้คือเปลวอรุณไม่ใช่เพราะสิ่งที่เห็นเพียงแค่ภายนอกและเขาไม่มีทางรังเกียจคนที่เขารักได้ลงแน่

              สุริยะเผลอยิ้มพอใจกับสิ่งที่ได้ฟังออกมาจากปากของบุตรชายเพียงคนเดียวของตนเช่นเดียวกับนภาที่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายที่ไม่คิดทิ้งขว้างคนที่ตนเองบอกว่ารักแม้ในยามที่อีกฝ่ายต้องเผชิญกับโรคร้าย

              คนที่มองความรักของอัมรินทร์มานานอย่างอนิรุทธิ์เองก็รู้สึกยินดีกับญาติผู้น้องของตนที่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนได้ แม้ตัวเขาจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญหรือรู้จักคำว่ารักดีนักแต่เขามั่นใจว่าสิ่งที่อัมรินทร์กำลังแสดงออกมาอยู่นี่คือ ‘รัก’

รักที่มาจากใจ ไม่ใช่แค่ความหลงใหล่แต่อย่างใด...

              มันเป็นรักที่บริสุทธิ์..

              “แล้วตอนนี้อาการของหนูเปลวเป็นยังบ้างละ เรื่องอาหารการกินมีอะไรที่เป็นของต้องห้ามหรือเปล่าแม่จะได้บอกลุงอุ่นแล้วให้แววเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินของหนูเปลวเขาให้เป็นพิเศษต่างหาก” นภาเอ่นทักขึ้นถาม การดูแลคนป่วยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีความสำคัญมาก เธอเองก็อยากจะมีส่วนช่วยในการดูแลหัวใจของลูกชายเธอ

              เขาเผลอนิ่งเงียบให้กับคำถามนั้นของมารดก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข

              “เรื่องนี้ผมว่าให้ลูกตาลมาพูดเองดีกว่า รายนั้นหารายละเอียดเอาไว้ครบหมดแล้ว” เขาว่ายิ้มๆเมื่อนึกถึงท่าทางเอาจริงเอาจังของเด็กหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อมูลสำหรับการดูแลเปลวอรุณ

               “งั้นแม่ไปคุยกับตาลเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เผื่อต้องซื้ออะไรเพิ่มจะได้ออกไปซื้อเลย” เธอว่าก่อนจะลุกขึ้นเดิน เมื่อเดินผ่านร่างของลูกชายเธอก็วางมือลงบนบ่ากว้างบีบๆด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป

              อัมรินทร์มองตามหลังของมารดาไปก่อนจะกลับมาก้มหน้ายิ้มกับตัวเอง ถ้าหากว่าเขาจะเหมาเอาว่าสิ่งที่แม่ของเขาแสดงออกมาคือการยอมรับในตัวของเปลวอรุณแล้วจะถือว่าผิดเพี้ยนหรือเปล่า...?

              “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง” หากแต่หน้าตาชื้นบานแบบนั้นมันทำให้อนิรุทธิ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นใส้

              อัมรินทร์ไม่ตอบแต่ยักคิ้วหลิวตามองอย่างเหนือกว่าให้พี่ชายที่นั่งอยู่ไม่ไกลจนอีกคนแบะปาก

              “ดูแลกันให้ดีแล้วกัน” อยู่ๆเสียงของคนมีอายุที่สุดก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนคนหนุ่มทั้งสองหันหน้ามองเลิกเล่นแล้วหันกลับบมามอง

              “แกเองก็ทำเขาเอาไว้ไม่ใช่เล่นเหมือนกันอย่าลืมเสียละ ไม่อย่างนั้นน้องเขาคงไม่มาเอาคืนจนแกจะเป็นจะตายอย่างนี้หรอก” สุริยะเอ่ยเตือนความจำลูกชายพร้อมตำหนิเด็กทั้งสองไปในตัวถึงสิ่งที่ได้ทำไป

              สองหนุ่มยิ้มแหยงให้กับความผิดติดตัว

              “ในเมื่อแกได้โอกาสแก้ตัวมาแล้วแกก็ต้องรู้จังที่จะรักษามันเอาไว้เพราะหนูเปลวเขาคงไม่ตายแล้วฟื้นมาให้โอกาสแกแก้ตัวซ้ำๆอีกหรอกนะ”  สุริยะพูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นท่องขายาวก้าวมาใกล้ลูกชายก่อนจะกล่าวต่ออีกเล็กน้อย

              “ถ้าเป็นหนูเปลวฉันก็ว่างใจว่าเขาจะเอาแกอยู่ไม่ปล่อยให้แกทำตัวแหลวไหลที่ไหนได้อีก” คนเป็นพ่อว่ายิ้มๆก่อนจะก้าวผ่านเลยออกจากห้องไปปอย่างที่จะทำ

              พอคิดว่าถึงตรงนี้อัมรินทร์ก็เผลอยิ้มกว้างออกมาอีก

              การที่พ่อกับแม่ของเขารักและเอ็นดูเปลวอรุณถือเป็นอีกเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเขาและเปลวอรุณ ตอนแรกเขาเองก็แอบหวั่นอยู่ลึกๆว่าตัวเขาจะถูกตำหนิที่เลือกเปลวอรุณมาเป็นคู่ชีวิตอีกทั้งยังกลัวว่าเปลวอรุณจะถูกกล่าวหาว่าร้าย แต่มันคงเป็นตัวเขาที่หวั่นวิตกมากจนเกินไป

              อัมรินทร์ขบขันอยู่กับตัวเองขณะนอนเท้าคางมองเปลวอรุณ อันที่จริงเขาตั้งใจว่าจะขึ้นมาปลุกอีกคนที่ดูเหมือนจะนอนหลับเพลินไปเสียหน่อยให้ตื่นขึ้นมาเพราะตอนนี้ก็จวนจะเย็นแล้วแต่พอได้เห็นใบหน้าอิดโรยดูดีขึ้นมาบ้างยามที่หลับตาพักผ่อนเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดเลยอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น

              “อืม”

              แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนหลับอยู่นั้นจะรับรู้ได้ถึงการจับจ้อมมองของเขาอยู่ก็เป็นได้ถึงได้ขยับตัวเล็กน้อยพร้อมครางออกมาแผ่วเบา

              เขายิ้มบางพลางลูบมือตาส่วนโค้งของศีรษะที่ไร้การปกคลุม ศีรษะของเปลวอรุณกลมทุยสวยได้รูปแม้จะไม่มีเส้นผมนุ่มมือเหมือนแต่ก่อนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงแต่กลับดูน่าเอ็นดูไปอีกแบบในสายตาของเขา

              ดูเหมือนว่าสิ่งที่อัมรินทร์ทำจะดูขัดกับความตั้งใจภายหลังของตนอยู่กลายๆที่ว่าจะไม่รบกวนการนอนหลับเพราะดูเหมือนว่านอกจากการขยับตัวของคนที่ถูกก่อกวนนอนในตอนแรกแล้วตอนนี้เปลือกตาบางยังขยับยุกยิกเล็กน้อยคล้ายขัดใจก่อนจะค่อยๆปรือเปลือกตาเปิด

              เมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ก่อกวนมุมปากของเปลวอรุณก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย

              “คุณอัน” แล้วซุกตัวเข้าใกล้อีกคน หลายคืนที่ห่างกันสิ่งที่เปลวอรุณโหยหามากที่สุดคือความอบอุ่นจากอ้อมกอดของอัมรินทร์ที่โอบตัวเขาเอาไว้และเมื่อตอนนี้ที่เขาได้ตื่นขึ้นมาเห็นอีกคนอยู่ตรงหน้าแล้วเขาจึงขยับตัวเขาซุกหน้าลงกับอกให้คนที่โหยหากอดเขาเอาไว้อย่างที่ใจต้องการแล้วหลับตาลงซึมซับความรู้สึกที่เคยขาดหายไป

              “ฉันทำให้ตื่นหรอ” อัมรินทร์อมยิ้มแล้วโอบเปลวอรุณเข้ามากอดอย่างที่ตัวเขาเองก็ต้องการ เพราะตัวเขาเองก็โหยหาร่างกายอบอุ่นของเปลวอรุณไม่ต่างกัน แม้ตอนนี้มันจะเย็นชื้ดลงก็ตามที

              “คุณขึ้นมาปลุกผมไม่ใช่หรือไงครับ” เปลวอรุณย้อนถามกลับโดยไม่ลืมตามอง

              “ก็ใช้” อัมรินทร์ว่าก่อนจะพลิกตัวนอนหงายจนเปลวอรุณขึ้นมานอนเกยบนตัวของเขา “แต่พอเห็นเปลวนอนสบายแล้วก็เลยไม่อยากจะปลุก”

              เปลวอรุณหัวเราะขำในลำคอก่อนจะลืมตาเกยคางลงกับแผนอกที่ซบอยู่เพื่อมองใบหน้าของอัมรินทร์ให้เต็มตาก่อนจะย่นคิ้ว

              “คุณโกนหนวดออกหรอครับ” ปลายนิ้วผอมลูบไปตามสันกรามแล้ววนรอบตรงกรอบปากอย่างเย้าแหย่จนอัมรินทร์ขยับหัวไล่งับปลายนิ้วซน

              “ก็มันรุงรังฉันไม่ค่อบชอบเท่าไร”

              “แล้วก่อนหน้านี้ไว้มันทำไมละครับ”

              อัมรินทร์ไม่ตอบแต่ขยับหัวขึ้นหอมแก้มอีกคนแทนเอาดื้อๆแล้วเปลี่ยนคำตอบ “ถ้าเปลวชอบเดี๋ยวฉันไว้ใหม่ก็ได้”

              “ฮึฮึ จะแบบไหนผมก็ชอบทั้งนั้นละครับ” คนฟังเลิกคิ้วมองคนบนตัวด้วยไม่คิดว่าเปลวอรุณจะพูดจาอะไรน่ารักแบบนี้ออกมา

อัมรินทร์ยิ้มออกมาพร้อมกระชับกอดคนบนตัวให้แน่นขึ้นแล้วโยกตัวไปมาอย่างมีความสุข

              เปลวอรุณอมยิ้ม “คุณอันผมเวียนหัวนะครับ”

              อัมรินทร์ชะงักก่อนจะรีบปล่อยมือที่กอดเปลวอรุณออกแล้วนอนนิ่งด้วยหลงลืมไปว่าตอนนี้ร่างกายของอีกคนไม่เหมือนแต่ก่อนยิ่งเปลวอรุณมีร่างกายอ่อนแอมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วผลข้างเคียงจากการรับยาเคมีบำบัดจึงดูจะมีมากอยู่แม้ตัวเขาจะไม่รู้เรื่องมากเท่าไรแต่เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงทำอะไรให้เปลวอรุณเจ็บหรือมีอาการที่ไม่ดี แต่ดูเหมือนว่าเปลวอรุณจะชอบอกชอบใจกับปฏิกิริยาของเขาที่หยุดชะงักเอาดื้อๆอยู่พอตัว เขาได้ยิ้นเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังออกมาให้รู้ว่าเขาถูกอีกคนแกล้งก็ตั้งท่าจะเอ่ยปากดุแต่เปลวอรุณรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องจริงๆนั้นแหละท่อนแขนผอมถึงสอดเข้าที่แผ่นหลังแล้วกอดเขาเอาไว้จนทำให้เขาโกรธไม่ลง

              ให้ตายสิ...

              อัมรินทร์ยิ้มขบขันกับการออดอ้อนของเปลวอรุณที่เขาไม่เคยได้เห็นแต่ในขณะเดียวกันรอยยิ้มของเปลวอรุณที่สนุกกับการได้กลั่นแกล้งอัมรินทร์ก็หุบแคบลง

              “คุณผอมลงไปหรือเปล่า” ถึงจะไม่ได้สัมผัสตัวกันมาเกือบสามเดือนแต่ก็ไม่ใช่ว่าเปลวอรุณจะลืมความสมบูรณ์ของร่างงกายของอีกฝ่าย แม้ตอนที่เห็นครั้งแรกเขาจะไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังตื่นตาดีใจกับการได้กลับมาพบกันอีกครั้งแต่ในตอนนี้ที่เขาได้กอดอีกคนเอาไว้ทำให้ใจของเขาหล่นหายเมื่อไม่ใช่มีเพียงแค่เขาที่มีการเปลี่ยนแปลง

              เปลวอรุณถามเคร่งเครียดจนอัมรินทร์ตั้งตัวไม่ทัน

              อัมรินทร์มองนัยน์ตาใสที่จ้องมาทางเขาอย่างเขาความ เขายิ้มบาง

              “เปลวคิดว่าปลาตัวหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ยังไงเมื่อมันขาดน้ำไป” เขาถามขึ้น

              เปลวอรุณขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจสิ่งที่อัมรินทร์ต้องการสื่อ

              “ตอนที่ฉันคิดไปว่าฉันเสียเปลวไปแล้วฉันเหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกจับโยนขึ้นมาบนบก ไร้อาหารที่จะกินไร้อากาศที่จะใช้หายใจ ทรมานแทบขาดใจอยากจะตายแต่ก็ยังตายไม่ได้” ปลายนิ้วลูบเบาๆที่ข้างแก้มซีด “ไม่ว่าอะไรฉันก็รู้สึกกินไม่ลงสักอย่าง” เขาขำในลำคอ

              “แต่เปลวรู้อะไรไหม” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเปลวอรุณดูหม่นลง นิ้วที่ลูบเกลี่ยเปลี่ยนเป็นประคองข้างแก้มนั่นเอาไว้

              “ตอนที่ฉันได้รู้ว่าเปลวยังอยู่มันเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่โถมใส่ฉันเหมือนให้ความหวัง และพอฉันได้เห็นเปลวได้กอดเปลวเอาไว้แบบนี้” เขาว่าพลางกระชับแขนอีกข้างให้กอดอีกคนแน่นขึ้น

              “ปลาที่ใกล้ตายเพราะขาดทั้งอาหารและอากาศก็ถูกคลื่นลูกใหญ่นั้นลากตัวกลับลงไปในท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้งที่มีทั้งอาหารมากมายให้เลือกกินมีอากาศมากมายให้ได้หายใจ ปลาตัวนี้มันดีใจมากขนาดไหนเปลวรู้ไหมที่มันได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

              เปลวอรุณจับจ้องอัมรินทร์ไม่วางตา ความหมายที่อัมรินทร์ต้องการจะสื่อนั้นไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากมายแต่หากมันซึมซับเข้าไปในหัวใจของเขาให้รู้สึกตื้นตันและอบอุ่น


             
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 31-08-2017 21:00:44

:กอด1:


“คุณไม่น่าจะเป็นปลานะ” เปลวอรุณพูดขำแก้เขินซบหน้าลงกับอก

              “แล้วฉันเหมาะกับเป็นอะไรดีละ” อัมรินทร์เลิกคิ้วถามก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งโดนประคองตัวเปลวอรุณเอาไว้ให้นั่งอยู่ที่ตรงกลางหว่างขา

              เปลวอรุณทำหน้านึกก่อนจะตอบ “ลูกตาลชอบพูดว่าคุณมันเป็นหมาป่าจอมวางแผน”

              ช่วงที่เขาอยู่ที่คอนโดของราชันสิ่งที่เขาชอบถามจากเด็กหนุ่มคือเรื่องของอัมรินทร์และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยถามถึงเรื่องแผนการอันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดว่าเด็กหนุ่มมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ลูกชายของเขาหน้าเจือนลงก่อนจะยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง ยอมรับเลยว่าตอนนั้นโกรธมากที่ทุกคนต่างรวมหัวกันหลอกลวงเขาแต่พอได้ฟังถึงสาเหตุที่เจ้าตัวยอมตบปากรับคำให้ความช่วยเหลือแล้วก็อดที่จะโกรธไม่ลงไม่ได้ ในเมื่อลูกทำเพื่อเขาเขาก็ไม่รู้จะถือโทษโกรธเอาความไปเพื่ออะไร

              “แล้วตาลคิดยังกับคุณอัน”

            “กับพ่อน่ะหรอ”
ลูกตาลทำหน้าคิด “คงเหมือนหมาป่าตัวโตๆที่โคตรซื่อบื้อแถมยังเจ้าแผนการคิดนู้นคิดนี้แล้วก็ทำอะไรที่มันอ้อมโลกแบบสุดๆ” เด็กหนุ่มว่าพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะยกยิ้มเยาะ “แต่สุดท้ายก็แค่หมาตัวโตๆตัวหนึ่งที่ต้องการเจ้าของนั้นแหละ”

              แต่ไอ้คำว่าหมาตัวโตๆนี้เขาของละเอาไว้ก็แล้วกัน...

              “ถ้าฉันเป็นหมาป่าจอมวางแผนแล้วถ้างั้นเปลวเป็นอะไรละ” อัมรินทร์เอ่ยถามขญะหยิบแว่นสายตาของอีกคนขึ้นมาสวมใส่ให้

              “ไม่รู้สิครับ”

              อัมรินทร์ยกยิ้มก่อนจะหยิบเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมเหนือศีรษะอีกคนเอาไว้

              “งั้นเปลวก็คงเป็นหนูน้อยหมวกแดง” คนที่ถูกเปรี่ยบว่าเป็นหนูน้อยหมวกแดงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมาเมื่อผ้าห่มที่คลุมอยู่ตอนนี้มันเป็นสีฟ้าอ่อนไม่ได้มีความใกล้เคียงกับสีแดงเลยสักนิดเดียว

              “แต่นี่มันสีฟ้านะครับ” เขาแย้ง

              “หนูน้อยหมวกฟ้าก็ได้” อัมรินทร์ลื่นไหล

              เปลวอรุณหัวเราะขบขันก่อนที่สายตาของตนจะไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่ถูกสวมอยู่ที่นิ้วมือของอัมรินทร์

              “แหวนอะไรหรอครับ” อยู่ๆหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บเมื่อแหวนวงที่วางถูกสวมอยู่ที่นิ้วนาวข้างซ้าย

              อัมรินทร์มองตามสายตา “สวยหรือเปล่า” ก่อนจะถามออกมาอย่างภูมิใจขณะถอดมันออกมาวางใส่มือของเปลวอรุณ

              “ก็ สวยครับ” เปลวอรุณมองแหวนก่อนจะหันมองอัมรินทร์ที่ลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีขาวออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาวางลงที่ตักของเขาแล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของตน

               อัมรินทร์เปิดลิ้นชักข้างโต๊ะทำงานแล้วหยิบบางอย่างที่อยู่ในนั้นออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับมานั่งยองๆลงข้างเตียงตรงหน้าเปลวอรุณ

              “เปลวรู้ไหนว่าตอนเด็กฉันเคยมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง” อัมรินทร์เปรยขึ้นขณะมองดูกล่องเหล็กขนาดเท่าฝามือที่เปลวอรุณอนุมานเอาว่ามันน่าจะเป็นกล่องใส่คุกกี้

              “ฉันเคยฝันว่าโตขึ้นอยากจะเป็นช่างทำเครื่องประดับ”

              เปลวอรุณคลี่ยิ้มกับความฝันวัยเด็กของคนตรงหน้า

              “เมื่อตอนเด็กๆพ่อชอบพาฉันกับไอ้รุทธิ์ไปที่โรงงาผลิตด้วยบ่อยๆเพื่อไปดูกรรมวิธีการเจียระไนและขึ้นรูปเครื่องประดับ ตอนนั้นฉันจำได้ว่าตัวเองตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้ไปที่โรงงานผิดกับไอ้รุทธิ์ลิบลับเลยละ” คนเล่ายิ้มขำ เพราะทุกครั้งที่ตัวเขากับอนิรุทธิ์ไปดูเหมือนจะมีแต่เขาที่สนอกสนใจในตัวแร่หินแวววาวมีราคาที่กำลังถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นเครื่องประดับในขณะที่อนิรุทธิ์ไม่ได้สนใจอะไรสิ่งเหล่านี้เท่าไรนอกจากการตั้งคำถามใส่ช่างที่ทำการผลิต

              “แล้วมันก็มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นฉันไปที่โรงงานกับพ่อสองคนจำไม่ค่อยได้เหมือนกันว่าทำไมไอ้รุทธิ์ถึงไม่ได้ไปด้วย สงสัยจะป่วยละมั่ง” เขาเดา “ฉันรบเร้าขอพ่อว่าอยากจะลองทำเครื่องประดับเองสักชิ้น” เขาเอื้อมมืออกไปจับมือข้างซ้ายของเปลวอรุณเอาไว้

              “อาจเพราะว่าเป็นเด็กพอเห็นผู้ใหญ่ทำออกมาเหมือนง่ายเลยอยากทำตาม ฉันรบเร้าพ่ออยู่นานจนพ่อใจอ่อนยอมให้ฉันลงไปลองทำดู ตอนนั้นคุณอ้วนที่เป็นหัวแผนกการผลิตเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ปีกว่าเป็นคนดูแลและคอยสอนให้ลองทำแต่สิ่งที่เห็นว่ามันง่ายมันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ฉันคิดนี้นะสิ” อัมรินทร์ยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้จับเครื่องไม้เครื่องมือ

              “ตอนแรกที่ได้นั่งลงตรงหน้าเครื่องมือฉันนี้ตื่นเต้นมากเลยละ แต่มันก็เท่านั้นละ ไอ้ฉันมันก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนเสียเท่าไรพอเริ่มทำไปได้สักพักก็บ่นว่าร้อนแถมพอทำแล้วมันไม่ออกมาเป็นอย่างที่ต้องการฉันก็หงุดหงิดแล้วทิ้งทุกอย่างไม่ทำต่อ” คนเล่าทำปากยู่เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ตะไบเหล็กเพื่อขัดความมนของตัวขึ้นทรงแหวน

               “คุณนี้เอาแต่ใจตั้งแต่เด็กยันโตเหมือนกันเลยนะครับ” เปลวอรุณค่อนขอดอีกคนอย่างขำๆ

               “ก็นะ” อัมรินทร์ไม่เถียง

              “แล้วเป็นยังไงต่อหรอครับ คุณเลิกทำมันไปกลางคันหรอ” เปลวอรุณถามขึ้นอย่างสนใจ

              “ตอนแรกฉันก็อยากทำแบบนั้น แต่พ่อนะสิกดไหล่ฉันลงกับที่ไม่ให้ลุกพร้อมสั่งเอาไว้ว่าถ้าฉันทำไม่เสร็จห้ามลุกไปไหนแถมไม่ให้คุณอ้วนเข้ามาช่วยฉันทำด้วยนะ เปลวรู้ไหมตอนนั้นฉันร้องไห้ลั่นโรงงานเลยที่โดนพ่อขัดใจ”

              เปลวอรุณหัวเราะเมื่อคำตอบของอัมรินทร์ดูจะไม่ห่างไกลจากสิ่งที่คิดเอาไว้เสียเท่าไร

              “ฉันนั่งทำต่อทั้งน้ำตาเลยละ ปากก็บ่นร้อนบ้างละตัดพ้อพ่อบ้างละแถมยังสะอื้นไปด้วยอีกเป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลยจริงๆ แต่สุดท้ายฉันก็นั่งทำมันจนเสร็จ” ครั้งนี้น้ำเสียงและแววตาของอัมรินทร์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

              กล่องเหล็กในมือถูกอัมรินทร์เปิดฝาออกจนได้ยินเสียง ‘ฟอค’ ดังขึ้นเบาๆ เปลวอรุณเผลอชะเง้อมองสิ่งที่อยู่ข้างใน

              “นี้คือแหวนวงแรกและวงเดียวที่ฉันทำเอง” แหวนสีเงินที่ทำมาจากเห็นรูปทรงบิดๆเบี้ยวๆแถมความหนาบางรอบวงยังไม่เท่ากันที่วางนิ่งอยู่บนผ้าสีน้ำเงินด้านในกล่องถูกอัมรินทร์หยิบขึ้นมา

              “ตอนที่ทำเสร็จฉันร้องไห้ออกมาเลยละ เพราะมันเป็นสิ่งของอย่างแรกเลยที่ฉันทำมันขึ้นมาเองกับมือฉันภูมิใจกับมันมากและฉันเองก็รู้ว่าพ่อก็ภูมิใจเหมือนกันที่ฉันสามารถทำมันออกมาได้แม้จะไม่ดีเท่าไร” อัมรินทร์มองแหวนในมือด้วยรอยยิ้ม

              “พ่อถามฉันอีกครั้งหลังทำเสร็จว่าฉันยังอยากจะเป็นช่างทำเครื่องประดับอยู่อีกไหม”

              อัมรินทร์เหลือบมองเปลวอรุณที่มองมาเล็กน้อย

              “ฉันตอบไปว่าไม่”

              “ทำไมละครับ” เปลวอรุณเอียงคอถาม “หรือเพราะมันลำบากคุณเลยไม่อยากทำ” เด็กๆนั้นเปลี่ยนใจง่ายยิ่งคนที่ไม่เคยเจอความลำบากมาก่อนย่อมที่จะเปลี่ยนใจได้ง่ายกว่าปกติ

              “ก็มีส่วน” อัมรินทร์ยอมรับอย่างไม่อาย “แต่เพราะฉันอยากจะให้มันมีแค่ชิ้นเดียว”

              เปลวอรุณย่นคิ้วฉงน

              “ฉันบอกว่าในอนาคตถ้าฉันมีคนที่รักฉันจะมอบแหวนวงนี้ให้กับคนคนนั้น แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันจะเก็บมันเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจเวลาฉันท้อหรือเหนื่อยว่าฉันฉันต้องทำมันได้เหมือนอย่างที่ฉันทำแหวนวงนี้ออกมาได้ยังไงละ”

              เปลวอรุณนิ่งไป

              “ตอนนี้ฉันเจอคนคนนั้นที่ฉันบอกพ่อเอาไว้แล้ว” อัมรินทร์บีบมือเปลวอรุณแน่น “ถึงแหวนวงนี้มันจะไม่มีค่าอะไรเลยแถมรูปทรงก็ไม่น่ามองอีกต่างหากแต่มันก็เต็มไปด้วยความพยายามของฉันเลยนะหวังว่าเปลวจะไม่รังเกียจมันนะ”

              “คุณอัน” เปลวอรุณเสียงสั่น

              อัมรินทร์ค่อยๆบรรจงสวมแหวนรูปร่างประหลาดตาเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเปลวอรุณ ต้องขอบคุณอาการของผลข้างเคียงการรักษาที่ทำให้แปลวอรุณผอมลงจนแหวนของเขาที่น่าจะมีขนาดเท่าขนาดนิ้วของผู้หญิงสามารถสวมเข้าไปได้อย่างพอดีจนน่าพอใจ

              อัมรินทร์มองมือขาวซีดที่มือแหวนสีเงินสวมอยู่คนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าของเปลวอรุณที่พวงแก้มเริ่มขึ้นสี

              “และผลจากความบากบั่นพยายามของฉันเปลวอรุณไหมฉันได้อะไรตอบแทนมา” เขาลูบนิ้วหัวแม่มือลงบนนิ้วที่สวมแหวนของเปลวอรุณ

              “มะ ไม่รู้ครับ” เปลวอรุณมีท่าทีเคอะเขิน

              “คุณอ้วนบอกว่าในอนาคตถ้าฉันจะแต่งงานให้มาบอกเขา เขาจะทำแหวนแต่งงานให้กับฉัน” อัมรินทร์บีบมือเปลวอรุณอีกครั้งก่อนปล่อยออก

              ถุงหูรูดกำมะหยี่ถูกหยิบขึ้นมาแล้วเปิดออก เปลวอรุณมองการกระทำของอัมรินทร์เงียบๆแต่เมื่อของสิ่งแรกที่ถูกหยิบออกมาทำเอาคนมองรีบหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากมอง

              กระพวนของเท้าสำหรับเด็กแรกเกิด

              “ฉันไปทวงสัญญานั่นมา แล้วขอให้คุณอ้วนทำกระพวนของเท้านี้เพิ่มให้เพื่อที่จะได้เอามารับขวัญลูกของเราที่จะเกิดมา” อัมรินทร์ยิ้มเศร้าเมื่อเจ้าของของมันไม่มีวันได้ใส่มันแล้ว “ฉันออกแบบและเลือกวัตถุดิบการทำเองเลยนะ”

              คนฟังเม้มปากแน่นอย่างทำใจไม่ได้

              อัมรินทร์เข้าใจความรู้สึกของเปลวอรุณดีว่ามันเจ็บปวดมากเพียงใดเพราะเขาเองก็เคยผ่านความรู้สึกแบบนั้นมาแล้วเมื่อครั้งเห็นสิ่งนี้ครั้งแรก

              “ถึงตอนนี้จะไม่มีใครใส่มัน แต่ในอนาคตฉันมันเชื่อว่ากระพวนคู่นี้จะต้องถูกสวมเข้าที่ข้อเท้าของลูกเราแน่”

              “คุณอัน” เปลวอรุณหันกลับมามองใบหน้าของอัมรินทร์อีกครั้ง ความรู้สึกหลากหลายโถมเข้าใส่จนตัวเขาเองยังแยกไม่ออกว่ามันคืออะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆเลยคือคำพูดนั้นมันเติมใจของเขาจนเต็ม

              อัมรินทร์ยิ้มให้เปลวอรุณ กระพวนข้อเท้าเด็กถูกเก้บใส่ลงถุงกำมะหยี่อีกครั้งก่อนของอีกสิ่งที่อยู่ข้างในจะถูกหยับออกมา

              “ก่อนที่เขาจะเกิดมา ขอให้ฉันได้เป็นคนดูแลเปลวได้ไหม” กล่องกำมะหยี่สีกลีบบัวถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนอีกวงที่เหมือนกับแหวนที่อัมรินทร์สวมอยู่ก่อนหน้า

              เปลวอรุณเผลอกำแหวนที่อัมรินทร์ออกมาใส่ในมือเขาเอาไว้แน่นเมื่ออัมรินทร์หยิบแหวนวงนั้นออกมาแล้วชูขึ้นในระดับสายตาของเขา

              แหวนทองคำขาวสลักลวดลายดวงอาทิตย์ตรงกลางฝั่งเพชรสีอัมพันน้ำดีเม็ดเล็กลงไปรอบๆดวงอาทิตย์คือเปลวแสงของมันที่สาดส่องความอบอุ่น

              นอกจากขนาดที่แตกต่างกันระหว่างแหวนของอัมรินทร์แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่แหวนคู่นี้แตกต่างกันก็คือลวดลาย แหวนของเปลวอรุณมีลวดลายของเปลวแสงที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ในขณะที่แหวนของอัมรินทร์มีเพียงแค่ดวงอาทิตย์กับเพชรสีอัมพันเท่านั้น

              แหวนเปลวอรุณ ก็คือ แหวนของเปลวอรุณ

              มันเป็นของที่อัมรินทร์ทำขึ้นให้กับเปลวอรุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

              “เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมเปลว” น้ำเสียงของอัมรินทร์เต็มไปด้วยความเว้าวอนร้องขอ

              “ฉันรู้ตัวดีว่าตัวฉันมันก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย ฉันเคยเป็นคนที่เปลวไม่ชอบ ฉันเคยหลอกลวง เคยทำให้เปลวเสียใจและหนักใจอยู่ก็มาก แต่เรามาเริ่มกับใหม่ได้ไหม” อัมรินทร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเปลวอรุณอย่างแน่วแน่และจริงจัง

              “คุณมั่นใจขนาดไหนกันว่าผมจะหาย” เปลวอรุณกลั้นใจพูดออกมา ถึงจะรู้ว่ามีทางที่จะหายแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจถ้าหากมันรุกรามจนยากที่จะรักษาได้

              “ถ้าผมเหลือเวลาที่จะอยู่กับคุณได้อีกไม่นานละ ถ้าผมมีลูกให้คุณไม่ได้อีกแล้วละ คุณยังอยากที่จะเริ่มมันใหม่กับผมอยู่ไหม” เขาดีใจที่อัมรินทร์มองใจให้กับเขา แต่ในความดีใจนั้นย่อมเจือไปด้วยความคลางแคลงใจเหมือนเป็นกลไกอย่างหนึ่งของจิตใจที่ตั้งคำถามขึ้นมาให้กับความรู้สึกดีเพื่อป้องกันความเจ็บจากการผิดหวังพลาดใจ

              เขากำลังกลัว...

              “มีหลายคนที่หายจากโรคนี้ได้และฉันเชื่อว่าเปลวของฉันเก่งพอที่จะฝ่าฟันกับโรคนี้จนหายได้” อัมรินทร์เข้าใจความหวาดกลัวในใจนั้นของเปลวอรุณดี

              “ขอให้ฉันได้ดูแลเปลวได้ไหม ไม่ว่าเปลวจะหายดีหรือไม่หายก็ของให้ฉันได้เป็นคนดูแลเปลวจนกว่าจะถึงเวลาสุดท้ายของเปลวได้ไหม ส่วนเรื่องลูกถ้าเปลวมีไม่ได้อีกฉันก็คงเสียใจแต่เชื่อสิฉันไม่ทิ้งเปลวแน่นอนอีกอย่างใช่ว่าเราจะไม่มีลูกด้วยกันเสียที่ไหนกัน”

              เปลวอรุณนิ่ง

              “ลูกตาลคือลูกของเรา เปลวลืมไปแล้วหรอ” อัมรินทร์ยืดตัวขึ้นจนใบหน้าอยู่ในระดับที่ไม่ห่างจากเปลวอรุณมาก มือหนาเอื้อมออกจับประคองใบหน้าด้านข้างของเปลวอรุณไว้

              “ฉันรักเปลวนะ ฉันรักที่เปลวคือเปลวอรุณไม่ใช่เปลวที่มากจากส่วนประกอบภายนอกอื่นๆ ฉันไม่ขอให้เปลวเชื่อสิ่งที่ฉันพูดมันออกมาหรอก แต่ฉันขอโอกาสได้ไหม ขอโอกาสให้ฉันได้พิสูจน์มันให้เปลวได้เห็นจะได้ไหม”

              น้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ขอบตาไหลลงตามข้างแก้มไม่ใช่เพราะโศกเศร้าหากแต่เขารู้สึกเป็นสุข สุขจนล้นอกล้นใจ 

              “คุณจะไม่รู้สึกเสียใจที่หลังใช่ไหมครับ” เปลวอรุณถามออกมาอีกครั้งเหมือนต้องการการยืนยัน

              “ฉันรอเปลวมาสามปีเลยนะ เปลวว่าฉันยังจะรู้สึกเสียใจกับอะไรได้อีกนอกจากจะเสียใจที่เปลวไม่ให้โอกาสผู้ชายคนนี้ได้รักเปลว”

              คำหวานหูทำเอาเปลวอรุณเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

              อัมรินทร์โน้มคอเปลวอรุณลงเล็กน้อยพอให้ริมฝีปากบางซีดสามารถรับสัมผัสจากริมฝีปากของเขาได้ เขาไม่ได้รุกล้ำเข้าไปหากแต่แนบสัมผัสกันแน่นเพื่อสื่อความรู้สึก

              พวกเขาจูบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่อัมรินทร์จะละริมฝีปากออกแล้วแนบหน้าผากของเขาชิดกับหน้าผากของเปลวอรุณ สัมผัสลมหายใจอุ่นซึ่งกันและกันไม่ยอมห่าง

              “ว่าไงละเปลว” เขาถามเสียงแผ่ว ใจคนถามเริ่มหวั่นเมื่อเปลวอรุณเอาแต่นิ่งเงียบมือที่กำแหวนอยู่กำแน่นขึ้นจนมือสั่นยามที่รอคอยคำตอบที่ตนไม่แน่ใจ

              เปลวอรุณช้อนนัยน์ตามองสบแววตาที่เริ่มสั่นไหวของอัมรินทร์เล็กน้อยแล้วจุดยิ้มขึ้นบางๆก่อนจะละหน้าผากที่แนบกันอยู่ออกไปซบลงที่ไหล่ของอัมรินทร์แทน

              อัมรินทร์มองท่าทีของเปลวอรุณอย่างสงสัย แต่ไม่นานใจที่เต้นสั่นของเขาก็เต้นหนักขึ้นเมื่อมือผอมบางของเปลวอรุณจับมือของเขาขึ้นมาแล้วสวมแหวนที่เขาถอดออกสวมคืนยังตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่

              “คุณสวมมันเองโดยไม่รอผม ผมโกรธมากนะครับ” เปลวอรุณเอ่ยขึ้นเรียบๆทำเอาอัมรินทร์เลิ่กลั่กขอโทษขอโพยอีกฝ่ายเป็นการใหญ่

               อัมรินทร์หน้าเจือนผิดกลับเปลวอรุณที่อมยิ้ม
               
                 “แหวนแต่งงานเขาต้องให้อีกฝ่ายสวมให้สิครับ” เจ้าตัวพูดขึ้นพร้อมส่งมือข้างซ้ายมาที่ตรงหน้าอัมรินทร์

อัมรินทร์เหมือนคนมึนเบลอทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นจนเปลวอรุณต้องใช้ปลายนิ้วของมือข้างนั่นจิ้มลงที่กลางอกของคนตรงหน้าอยู่สองสามครั้งเพื่อเรียกสติให้กลับมา

               พอได้สติกลับมาอัมรินทร์ก็ยิ้มกว้างอย่างเข้าใจความหมาย ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นมานั่งที่ขอบเตียงโดยที่ศีรษะของเปลวอรุณยังคงวางค้างที่ที่ไหล่ ท่อนแขนหนาโอบรอบตัวของเปลวอรุณไว้เพื่อจับมือข้างซ้ายเอาไว้ให้มั่นก่อนที่มืออีกข้างจะบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายซ้อนทันแหวนวงแรกที่ถูกส่วมเข้ามาก่อนหน้านี้

              “ผมรักคุณนะครับ คุณอัน”

              รอยยิ้มที่ประดับเอาไว้อยู่ก่อนหน้าคลี่ยิ้มออกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อคำที่เขาเฝ้ารอมานานดังออกมาจากปากของเปลวอรุณ หัวใจของเขาฟองโตกว่าครั้งไหนที่เคยเป็นมา อัมรินทร์โอบกอดร่างผอมบางของเปลวอรุณเอาไว้แน่นพร้อมพร่ำพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตนมาตลอดออกมา

               “ฉันก็รักเปลว รักเปลวมากด้วย”



_______________________________

ตอนหน้าคือตอนสุดท้ายแล้ว อยากได้อะไรบอกมาเลย!!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-08-2017 21:44:34
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-08-2017 21:52:37
ขอแค่เปลวหาย แล้วมีลูกก็พอ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 31-08-2017 22:10:21
ถ้าตอนหน้าเป็นตอนจบ ก็อยากให้เปลวหายดี และมีน้องให้ลูกตาลซัก 2-3 คนนะคะ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-08-2017 23:35:04
 :hao5:



นี่กลัว
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-09-2017 11:43:53
โฮ่~ซึ้งมาก T^T
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 01-09-2017 15:48:31
ขอให้เปลวหายดี และมีลูกอีกสักคน เย่!!!
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 01-09-2017 16:56:32
ขอให้เปลวหายและมีลูก
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 34- 31/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: B_SRIKHUNLA ที่ 01-09-2017 21:18:58
ขอให้เปลวหายป่วย มีความสุข และมีลูกไวๆ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-09-2017 23:53:26
ปิดบัญชีหนี้ หนี้สุดท้าย


                “อุ โครก” เสียงโก้งคออาเจียนดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากกินอาหารไปได้เพียงเล็กน้อย

              “เปลวไหวไหม” อัมรินทร์ลูบหลังของเปลวอรุณตามเส้นแนวกระดูกสันหลังที่ปูดนู้นขึ้นมาชัดอย่างวิตกเป็นห่วง

              ยิ่งเปลวอรุณเข้ารับการรักษามากเท่าไรร่างกายของเปลวอรุณก็ยิ่งผ่ายผอมลงมายิ่งขึ้นจากผลข้างเคียงจากการรักยาเคมีบำบัดจนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกจากการที่ร่างกายปฏิเสธการรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งมากเดือนความเป็นห่วงของอัมรินทร์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

              “ไหวครับ” เสียงหอบสั่นของคนพูดดูไร้เรี่ยวแรงขนาดแรงที่จะทรงตัวลุกขึ้นยังไม่มีแต่ก็ยังคงพยายามจะยิ้มออกมาให้คนที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่างคล้ายกังวล

              อัมรินทร์ประคองร่างกายที่เหลือเพียงแค่เนื้อหนังเพียงเล็กน้อยกลับมาที่เตียงนอนอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงและอิดโรยจนเขาปวดใจ

              “รับยาครบหมดแล้วสินะ” อัมรินทร์พูดขึ้นขณะหยิบเอาใบนัดแต่ละครั้งขึ้นมาดู

              ที่จริงแล้วการให้ยารักษานั้นสามารถนำกลับมาทำด้วยตัวเองที่บ้านได้แต่อัมรินทร์ก็ยังคงเลือกที่จะให้เปลวอรุณเข้าไปให้ยาที่โรงพยาบาลโดยตรงเพื่อว่าจะได้ให้หมอตรวจร่างกายของอีกคนได้ละเอียดรวมถึงตัวเขาจะได้ไตร่ถามได้ทุกข้อสงสัยและเขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ผ่านไปง่ายๆเมื่อหมอบอกว่าเปลวอรุณมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำลงเพราะการรักษาด้วยเคมีบำบัด

              “ครับ ครั้งต่อไปคือดูอาการ แค่กๆ” คนป่วยตอบเสียงเบาหวิวพร้อมกับอาการไอแบบแห้งๆซึ่งถือว่ายังดีที่ไม่ใช่อาการไอแบบมีเสมหะ

              “ฉันอยากให้เปลวหายสักที เห็นเปลวทรมานแบบนี้แล้วปวดใจ” เสียงของอัมรินทร์ดูปวดร้าวในใจเหมือนอย่างที่พูดขณะลงตัวลงนอนตะแคงข้างมองใบหน้าของคนรัก

              “เดี๋ยวก็หายแล้วครับ” ทั้งๆที่ควรเป็นเปลวอรุณที่ต้องเป็นฝ่ายที่ควรได้รับคำปลอบใจจากคนข้างตัวแต่กลับเป็นเขาเสียเองที่ต้องกอดปลอบผู้ชายตัวโตที่ทำหน้าเหมือนคนที่พร้อมจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา

              “ถ้าหายเมื่อไรฉันจะขุนเปลวให้อ้วนกว่าเดิมเป็นสิบเท่าเลยคอยดูสิ” อัมรินทร์ตั้งปณิธานเอาไว้อย่างหมายมั่นแล้วกระชับอ้อมกอดกอดเปลวอรุณให้แน่นกว่าเดิมจนอีกคนเผลอหัวเราะออกมาคิกคัก

            ก็เขาชอบเปลวอรุณที่ดูมีเนื้อมีหนักมากกว่านี่หน่า...

 

              ห้าเดือนหลังจากที่ได้เปลวอรุณกลับมาอยู่ข้างๆ

              ความสุขที่เขาได้รับกลับมาครั้งนี้แฝงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทางกายของเปลวอรุณกับความเจ็บปวดทางใจของอัมรินทร์ อัมรินทร์บอกไม่ได้อย่างเต็มปากหรอกว่ามันคือความสุข เพราะการที่เห็นเปลวอรุณแบกรับการผลข้างเคียงจากการรักษาจนร่างกายทรุดโทรมทรมานมันไม่ใช่สิ่งที่เขาเรียกมันว่าความสุข เคยได้ยินว่าถ้าผู้ป่วยมีกำลังใจดีก็จะสามารถผ่านมันไปได้ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะอยู่ข้างๆเปลวอรุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทางด้านจิตใจนั้นเปลวอรุณมีสุขภาพจิตที่ดีไม่รู้สึกซึมเศร้าหรือตัดพ้อน้องใจตัวเองเหมือนอย่างที่แม่ของเขากลัวในช่วงแรกๆที่พาเปลวอรุณกลับมา

              “หนูเปลว ดื่นนมถั่วเหลือหน่อยนะ” เพราะอาหารหนักๆร่างกายของลูกสะใภ้เธอปฏิเสธเกือบจะทั้งหมด นภาจึงหันมาเลือกของแหลวกับของอ่อนแทน

              “คุณย่าทำเองเลยนะครับ แม่เปลวกินรองท้องเอาไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน” เสียงฉอเลาะของลูกตาลดังเสริมขึ้นขณะเลื่อนแก้วน้ำที่บรรจุนำนมถั่วเหลืองมาตรงหน้า

              “หรือหนูเปลวอยากได้เป็นน้ำผลไม้แทนเดี๋ยวแม่ให้แววไปคั้นน้ำส้มมาให้แทน” เมื่อเห็นว่าเปลวอรุณดูกล้ำกลืนที่จะเอาแก้วน้ำที่ว่าขึ้นดื่มเธอจึงรีบหาอย่างอื่นมาให้แทน

              “ไม่ต้องหรอกครับ” เปลวอรุณรีบปราม ด้วยความเกรงใจนภาที่สู้อุตสาห์ทำมาให้แม้จะไม่ชอบที่พอดื่มเสร็จแล้วชอบแสบตามลำคอแต่เพื่อรักษาน้ำใจคนทำเขาจึงยกแก้วนมขึ้นดื่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีลูกตาลคอยช่วยประคองแก้วน้ำเอาไว้ให้

              นภามองแก้วนมถั่วเหลืองที่เหลือเพียงแค่คราบติดก้นแก้วด้วยรอยยิ้มพอใจ ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านทั้งเธอและลูกตาลคือคนที่ดูแลเรื่องการปรุงอาหารต่างๆให้กับเปลวอรุณเธอจำได้ว่าเด็กหนุ่มบอกเธอให้เน้นหนักไปในอาหารจำพวกโปรตีนและพวกผลไม้ที่มีกากใย แต่เพราะอาหารส่วนใหญ่มักจะถูกขย่อยออกมาแทบจะในทันทีหลังกินเสร็จเธอเลยหันมาทำน้ำนมจากถั่วที่มีคุณค่าทางโปรตีนเข้ามาทดแทนให้สลับกับน้ำผลไม้แบบคั้นเองเพื่อไม่ให้ร่างกายของเปลวอรุณขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สำคัญไป

              อย่างน้อยของแหลวก็ได้ผลดีกว่าอาหารแบบหนักๆละนะ

              “ถ้างั้นแม่ไปเตรียมข้าวเย็นก่อนนะ” เธอว่าพร้อมหยิบแก้วนมที่หมดแล้วขึ้นถือ “ตาลก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เขานี่ละ เดี๋ยวย่าให้แววกับน้อยช่วย”

              เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะพาเปลวอรุณออกไปนั่งที่สวนแทน

              แดดช่วงบ่ายแก่เริ่มร่มเหมาะแก่การออกมานั่งรับลมที่เก้าอี้ชิงช้าโดยก่อนออกมาลูกตาลก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอาผ้าคลุมไหลกับหมวกไหมพรมถักที่ตนถักเองออกมาให้แม่ด้วย

              “คลุมไว้นะครับเดี๋ยวไม่สบาย” เด็กหนุ่มส่งหมวดให้ก่อนจะกางผ้าคลุมไหล่ออกมาสะบัดเล็กน้อยก่อนคลุมลงที่ไหล่ ตอนนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วจะให้แม่ของเขามานั่งตากแดดตากลมโดยไม่มีอะไรป้องกันไม่ได้

              เปลวอรุณยิ้มขอบคุณก่อนจะซบลงที่ไหล่ของลูกชายเมื่อเด็กหนุ่มนั่งลงตรงที่ข้างๆ

              “มหาลัยจะประกาศผลสอบเมื่อไรหรอ”

              “วันนี้ตอนเย็นครับ” ลูกตาลตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มหาวิทยาลัยที่เขาเลือกเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐขนาดใหญ่อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมาช้านานแน่นอนว่าจำนวนคู่แข่งที่เข้าแย่งเก้าอี้ของเขานั้นก็มีมากเช่นเดียวกัน

              “ลูกตาลของแม่เก่งอยู่แล้วยังไงแม่ก็เชื่อว่าตาลสอบได้อยู่แล้ว” มือผอมบางตบลงบนมือที่กุมกันเอาไว้แน่นของเด็กหนุ่ม

              “กินข้าวเสร็จแล้วเรามาลุ้นกันนะครับ”

              เปลวอรุณยิ้ม

              ความเพียรพยายามของลูกตาลที่ทำมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมากำลังจะปรากฏผลหลังจากนี้ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จอนิรุทธิ์ก็ขึ้นไปยกโน๊ตบุ๊คของตนที่อยู่บนห้องลงมาตรงกลางโต๊ะในห้องนั่งเล่น

              “มันประกาศตอนกี่โมง” แม้จะทำเป็นไม่ค่อยสนใจแต่คนที่เอ่ยปากถามขึ้นมาก็คือสุริยะที่เหลือบมองมาทางหลานชายคนโตนอกสายเลือดที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น

              “ตอนหกโมงครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับเสียงติดลุ้น นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววตื่นเต้นขณะเข้าเว็บไซย์ของทางมหาวิทยาลัย

              “นี่ก็ทุ่มหนึ่งแล้วเข้าดูได้แล้วละ” อนิรุทธิ์มองนาฬิกา

              “ไม่ต้องตื่นเต้นนะตาล” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ดูท่าคนที่ตื่นเต้นกว้าเจ้าของผลสอบเข้าดูเหมือนจะเป็นคนที่บีบไหล่เจ้าตัวอยู่อย่างลิลดาที่วันนี้ของตามมาร่วมลุ้นผลสอบของเด็กหนุ่มด้วยถึงที่

              ลูกตาลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกกว่าเดิมเมื่อเขาเข้ามาถึงหน้ารายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการศึกษา ภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มไล่รายชื่อลงมา จากหนึ่งไปสิบ จากสิบไปยี่สิบ

            จนถึงร้อย...

            ใจเด็กหนุ่มดิ่งลงพื้นเมื่อคิดว่ามันจะไม่มีชื่อของตัวเองแล้วรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้เริ่มหุบแห้งกลายเป็นความตึงเครียด จนกระทั้ง

            “เดี๋ยวก่อนตาล”  เสียงของเปลวอรุณดังขึ้นรั้งไม่ให้เด็กหนุ่มเลื่อนรายชื่อลงต่อ “กลับขึ้นไปอีกนิด” เขาว่า

             ลูกตาลใจเต้นลุ่มๆดอนๆเลื่อนรายชื่อกลับขึ้นไปที่ละชื่อ ที่ละชื่อ จนมาหยุดอยู่ที่ชื่อ

              ‘อันดับที่ 108 นายอดิทัศน์ โชคมณีกุล’

            “เฮ้ย!!!” เจ้าของชื่อร้องเสียงหลง ในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันยิ้มแก้มปริกว่าเดิม

           เจ้าของชื้อยิ้มปากสั่นมองชื่อของตัวเองที่ปรากฏอยู่อย่างทำอะไรไม่ถูกภายในใจนั้นทั้งดีใจและเต็มสุขที่สามารถสองเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องการได้ แต่ก็อดที่จะรู้สึกขำตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่เมื่อกี้เขาหาชื่อของตัวเองไม่เจอก็เพราะ ‘นามสกุล’ เพราะมัวแต่มองหาชื่อกับนามสกุลเดิมอยู่นานทำให้มองผ่านเลยมาจนเผลอลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้าวันที่จะไปสอบพ่ออัมรินทร์ของเขาเพิ่งพาเขาไปเปลี่ยนนามสกุลมาพร้อมๆกับที่พาแม่ของเขาไปจดทะเบียนสมรสเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ

           เขาลืมไปได้ยังไงกัน...

           “ยินดีด้วยนะตาล” นภาแสดงความยินดีด้วยทั้งน้ำตาคลอก่อนจะสวมกอดเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น

             “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ

            “พรุ่งนี้คุณตาลอยากทานอะไรบอกพี่แววพี่น้อยลุงอุ่นมาเลยนะคะ เดี๋ยวพี่แววจะทำให้สุดฝีมือเลย” แววยิ้มกว้างกำมือทั้งสองข้างแน่นเป็นตัวตั้งตัวตีแทนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ

             “แล้วเราละ อยากได้ไรเป็นของขวัญหรือเปล่า” สุริยะเอ่ยขึ้นอย่างปิดความดีใจไม่มิด คราวนี้ทุกความสนใจพุ่งกลับไปยังเจ้าของความดีใจของบ้านอย่างสนรู้

             ลูกตาลคล้ายกอดจากหญิงตรงหน้าก่อนจะเดินตรงมาคุกเข่าลงตรงหน้าเก้าอี้ที่เปลวอรุณกับอัมรินทร์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองรอยยิ้มบางๆแสนเหนื่อยอ่อนที่แฝงไปด้วยความปริติของแม่บุญธรรมที่อยู่ในอ้อมแขนของคนรัก

              เขายิ้ม

               ลูกตาลยิ้มให้ก่อนจะพนมมือขึ้นชิดอกแล้วก้มลงกราบลงตรงกลางระหว่างเท้าของคนทั้งสอง

              เปลวอรุณมองอย่างฉงนตกใจแล้วหันมองหน้าของอัมรินทร์ที่แสดงความแปลกใจไม่ต่าง ร่างผอมบางโน้มตัวไปข้างหน้าในจังหวะที่ลูกตาลเงยหน้าขึ้นมาพอดี

              “ขอบคุณแม่เปลวนะครับที่ยืนมือเข้ามาช่วยผมในวันนั้น ถ้าไม่ได้แม่เปลวผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมกำลังทำอะไรอยู่จะมีโอกาสได้เรียนต่อแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มพูดด้วยจมูกแดงๆ

              เปลวอรุณไม่พูดอะไรนอกจากประคองสองข้างแก้มของเด็กหนุ่มเอาไว้ด้วยความรักความเอ็นดู

              “ผมรักแม่นะครับ”

             ทำนบกั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เมื่อคำพูดนี่ดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม เปลวอรุณอ้าแขนโอบกอดร่างของลูกตาลที่ยืดตัวขึ้นมาสวมกอดรอบเอาของตนแน่น

             “แม่ก็รักตาล”

               ทุกคนมองสองแม่ลูกต่างสายเลือดก่อนกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในอกหากแต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันคือความรักที่ทั้งสองมีให้กันจากใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาเห็นและรับรู้ผ่านการกระทำทั้งหมดของเด็กหนุ่มที่รักและดูแลเปลวอรุณอย่างดีไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่เด็กหนุ่มจะเกี่ยงงอนอ้างว่าตนทำงานกลับมาเหนื่อยแล้วไม่เข้าไปดูแลแม่

               ไม่เคยเลยสักครั้ง...

               และอัมรินทร์ก็เป็นคนที่รับรู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร

                อัมรินทร์มองคนทั้งสองกอดกันด้วยรอยยิ้ม เขารู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครในบ้าน ทุกเช้าก่อนออกไปทำงานลูกตาลจะเข้ามาหาเปลวอรุณที่ห้องนอนพร้อมน้ำผลไม้ที่เจ้าตัวคั้นเองกับมือหนึ่งแก้วขึ้นมาให้เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ก่อนพาลงมาข้างล่างแล้วจึงค่อยออกไปทำงาน พอกลับมาเด็กหนุ่มจะตรงมาหาเปลวอรุณก่อนเสมอไม่ว่าจะกลับเร็วหรือกลังช้า ถ้าวันไหนกลับมาแล้วเปลวอรุณหลับไปก่อนเด็กหนุ่มจะทำเพียงกระซิบที่ข้างหูแล้วหันมาพูดคุยถามไถ่อาการจากเขาแทนแล้วจึงกลับห้องตัวเองไปหรือถ้ากลับมาแล้วเปลวอรุณยังไม่นอนเจ้าตัวก็จะอยู่คุยด้วยจนกว่าจะหลับแล้วกลับห้องไปและเป็นอยู่อย่างนี้มาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมา

               อัมรินทร์เหม่อมองคนทั้งสองอยู่ก่อนจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในคนที่เขามองอยู่หันมาสบตาของเขา

               ลูกตาลคลายอ้อมกอดจากร่างของเปลวอรุณอย่างเบามือที่สุดด้วยกลัวว่าถ้าตนเผลอใช้แรงมากเกินไปหรือเร็วไปจะทำให้แม่ของตนรู้สึกเจ็บก่อนจะหันมามองอัมรินทร์อีกครั้งเต็มตา

              “พ่ออัน” ลูกตาลเรียก

               อัมรินทร์รอฟัง

              “ขอบคุณพ่ออันนะครับที่ยอมรับผมเป็นลูกคนหนึ่ง ทั้งๆที่ตอนแรกเราสองคนก็ต่างไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไร” เด็กหนุ่มก้มหน้าอมยิ้มขำ

                อัมรินทร์เองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ก็อย่างที่ลูกตาลว่ามานั้นแหละ ตัวเขาเองในตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบหน้าเจ้าเด็กนี่เสียเท่าไรแค่มีเปลวอรุณที่รู้ทันเขาเพียงคนเดียวก็มากพอแล้วแต่นี้ยังมีเจ้าเด็กที่มาจากไหนไม่รู้มารู้ทันเขาอีกคนเป็นใครใครมันจะไปชอบกัน

              “ขอบคุณที่ดูแลแม่ผมนะครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมาแผ่วเบาแต่ก็ไม่เบาเกินที่จะทำให้คนอื่นๆไม่สามารถได้ยินมันได้

              “คุณปู่ถามใช่ไหมว่าผมอยากได้อะไร” ครั้งนี้เด็กหนุ่มหันกลับไปถามคนที่ถามคำถามที่ว่านี้กับตน

              สุริยะตอบว่า ‘ใช่’

              เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าเปลวอรุณอีกครั้ง

              “เมื่อก่อนสิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดคือ ครอบครัว และตอนนี้ผมก็ได้มันมาแล้ว” ครอบครัวใหญ่เสียด้วยละ “แต่ของขวัญที่ผมอยากได้ในตอนนี้คือ ผมอยากให้แม่เปลวหาย” เด็กหนุ่มว่าพร้อมจับมือเปลวอรุณเอาไว่

              “ผมอยากให้แม่เปลวหาย อยากให้แม่เปลวอยู่กับผมไปนานๆ อยู่กับผมอยู่กับพ่ออยู่กับพวกเราทุกคน แม่ต้องหายนะครับ”

              คำขอที่ไม่ว่าจะขออะไรก็ไม่เคยที่จะขอให้ตัวเองสักครั้งเป็นใครใครก็อดไม่ได้หรอกที่จะรักและเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยเฉพาะเปลวอรุณกับอัมรินทร์

              “แม่จะหาย แม่รับปาก”

              สิ่งที่ลูกตาลเอ่ยปากของกับเปลวอรุณไปในวันนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างที่พวกเขาทุกคนวาดหวังเอาไว้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แม้ไม่ขอแต่ก็เป็นจริงอยู่ตรงหน้า

              เช้าวันถัดมาเป็นวันหยุดของลูกตาล เด็กหนุ่มจึงตื่นสายกว่าปกติได้เล็กน้อยแต่พอขยับตัวบิดขี้เกียจเตรียมจะลุกขึ้นหางตาก็เหมือนเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวางอยู่ที่ชั้นวางข้างเตียงทำเอาเด็กหนุ่มเด้งตัวขึ้นนั่งแทบจะในมันทีจนเพื่อร่วมห้องอย่างมณีนิลตรงผงกหัวขึ้นมองตามอย่างตกใจ มือหนาคว้าเอาของแปลกปลอมของห้องขึ้นมาถือและยิ่งตาโตกว่าเดิมเมื่อได้อ่านข้อความบนโน้ตที่แนบมา

              ‘มีรถแล้วก็หัดใช้มันบ้าง ซื้อให้ใช้ไม่ใช่ซื้อให้เอาไว้จอดที่โรงรถ’

              รายมือหวัดๆแปลกตาที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเห็มันมาก่อน แน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่ลายมือของอัมรินทร์กับอนิรุทธิ์แน่เพราะเจ้าตัวเคยเห็นมันมาก่อนและด้วยสังหรณ์บางอย่างบอกให้เด็กหนุ่มรีบลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งลงไปข้างล่างสุดฝีเท้าเพื่อถามหาความจากประมุขของบ้านที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทางอาหาร แต่เหมือนว่าคำตอบที่ได้จะดูไม่ค่อยต่างจากสิ่งที่แนบมาเสียเท่าไร

              ‘ก็ตามนั้น’

              ถึงจะไม่ได้ความอะไรแต่อย่างนั้นเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าใครคือพ่อบุญทุ่มที่ซื้อรถยนต์คันนี้ให้กับเขา ลูกตาลยิ้มกว้างก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณสุริยะและนภาก่อนจะวิ่งออกไปดูโฉมหน้ารถยนต์คันที่ว่าท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนแก่ทั้งสองที่นั่งมอง

             

              หนึ่งอาทิตย์ให้หลังหลังจากความดีใจของลูกตาลผ่านไป

               อีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ ผลตรวจหลังการเข้ารับเคมีบำบัดของเปลวอรุณ

              ความตึงเครียดเข้าปกคลุมภายในห้องตรวจระหว่างรอผลตรวจครั้งสุดท้าย อัมรินทร์บีบมือผอมแห้งของเปลวอรุณที่กุมเอาไว้อยู่แน่นและยิ่งแน่นขึ้นไปอีกเมื่อบานประตูเลื่อนของห้องตรวจถูกเปิดออกพร้อมร่างของพยาบาลสาวที่เดินถือผลตรวจเขามา

              นายแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ดูแลเปลวอรุณมาตั้งแต่ที่เปลวอรุณอยู่กับราชันเงยหน้ามองพยาบาลผู้ช่วยก่อนจะเอื้อมมือรับผลตรวจมาอ่านโดยที่สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนแปลงไปจนคนรอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

              “ผลว่ายังหรอครับ” และเป็นอัมรินทร์ที่ทนต่อความกดดันต่อไปไม่ไหวเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาแม้ใจของเขาจะเต้นระรัวสั่น

              นายแพทย์เฉพาะทางเหลือบตามองญาติคนไข้ที่เอ่ยขึ้นมาเล็กน้อยก่อนระบายยิ้มออกมาบางๆ

              “จากผลการตรวจครั้งล่าสุดทางเราไม่ผมเชื้อมะเร็งในตัวของคุณเปลวอรุณแล้วครับ” คนรอฟังผลทั้งสองเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความเครียดความกดดันต่างๆตลอดที่ผ่านมาถูกยกออกไปหมด

              “แต่” ก่อนจะชะงักรอยยิ้มปรีติของพวกตนลงเมื่อเจอคำว่าแต่ของคนตรงหน้า

              “แต่ แต่อะไรอีกหมอ” อัมรินทร์ถามเสียงเครียด เปลวอรุณรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเสียเท่าไรทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘ แต่’ ทีไรมันไม่เคยเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาเลยสักนิด

              “แต่ผมก็อยากจะให้คุณเปลวอรุณเข้ารับการตรวจอย่างต่อเนื้องเพื่อให้แน่ใจว่าคุณหายขาดจากโรคแล้วจริงๆ เพราะมันมีเปอร์เซ็นที่เชื้ออาจยังคงอยู่แล้วกลับมาเป็นซ้ำได้อยู่”

              “แล้วต้องตรวจต่ออีกนานขนาดไหน”

              “ก็สักปีหนึ่งนะครับ” คนเป็นหมอคาดเดา “แต่ถึงจะพ้นระยะหนึ่งปีไปแล้วตัวคุณเองก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดีกว่าคนทั่วไปนะครับ เพราะภูมิต่านท้านโรคในร่างกายคุณอยู่ในระดับที่ค่อยข้างต่ำ”

              แม้จะไม่ถึงขั้นให้ดีใจอะไรมากมายแต่การที่ได้รู้ว่าเชื้อร้ายในตัวหายไปแล้วแค่นั้นก็ทำให้ใจของเปลวอรุณตีตื้นขึ้นมาได้มากขึ้น ข่าวดีเช่นนี้ไม่ว่าใครที่ได้ยินก็ย่อมดีใจ โดยเฉพาะลูกตาลที่ถึงขั้นร้องไห้ออกมา

             

             
:mew3:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-09-2017 23:55:30
:mew3:


 หนึ่งปีสำหรับการดูแลเปลวอรุณในขั้นสุดท้าย

               อาจเป็นเพราะไม่ต้องรับเคมีบำบัดอีกแล้วทำให้ร่างกายของเปลวอรุณเริ่มกลับมากินอาหารได้เหมือนเดิมอีกครั้งโดยเริ่มจากอาหารอ่อนย่อยง่ายก่อนเนื้องจากที่ผ่านมาร่างกายปฏิเสธอาหารมาอย่างต่อเนื้อและเหมือนว่าผลของมันจะกลายเป็นระยะยามเมื่อกระเพาะของเปลวอรุณดูเหมือนจะคุ้นชินกับการย่อยอาหารในจำนวนที่น้อยทำให้เมื่อกินเข้าไปถ้าหากว่ามากเกินก็จะขย่อนขับส่วนเกินที่ร่างกายรับไม่ไหวออกมา ในตอนแรกทุกคนมีสีหน้าแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พอถามหมอแล้วก็พอเข้าใจอาหารในส่วนของเปลวอรุณจึงถูกจัดในอยู่ในปริมาณที่พอดีกับกระเพาะมากขึ้นแล้วเสริมเอาในระหว่างวันแทน

              // กินได้มากขึ้นแล้วสินะครับ // เสียดีใจกับใบหน้าที่ก้มต่ำของราชันที่ปรากฏผ่านทางหน้าจอสีเหลี่ยมตรงเรียกรอยยิ้มของคนมองได้อย่างดี

              “ก็ตามที่กินได้นั้นแหละ แล้วเราละเป็นยังไงบ้างอยู่ๆก็หายไปเลยนะ” เปลวอรุณเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

              ตั้งแต่วันที่อัมรินทร์ไปรับเขากลับมาเขามีโอกาสได้เจอกับราชันอีกครั้งคือหนึ่งเดือนให้หลังที่เจ้าตัวมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับธรรมภาสผู้ป็นตาของเขาและวาเลนติโน เพื่อที่ว่าจะได้เคลียร์ปัญหาที่มันค้างคาอยู่ในใจให้หมดไปพอเคลียร์เรื่องระหว่างเขากับผู้เป็นตาได้ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปกว่าสามสิบห้าปีก็กลับมาผูกกันเอาไว้ได้ใหม่อีกครั้ง เย็นนั้นเป็นเย็นที่บ้านหลังใหญ่คลึกคลืนเป็นอย่างมากด้วยความที่ทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกรวมถึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีรูปคู่กับคุณตาและภาพถ่ายครอบครัวเป็นครั้งแรก

              ความสุขในวันนั้นเขายังจำมันได้ดี

              อีกครั้งคือ อีกสามเดือนให้หลังในวันที่ราชันกับวาเลนติโนมาหาเขาที่บ้านพร้อมข่าวการจากไปของธรรมภาส ตัวเขาที่กำลังป่วยหลังจึงทำได้เพียงขออโหสิกรรมกับเรื่องที่ผ่านมาผ่านทางรูปภาพดูต่างหน้าของผู้เป็นตาแม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นตาหลานความสัมพันธ์นี้ก็พลอยทำให้เขาเศร้าและทรุดลงได้เช่นกัน

              ขนาดเขายังเป้นขนาดนี้ แล้วราชันละ ?

              ราชันเกิดและโตมาโดยมีปู่กับพ่ออยู่ข้างๆ พอพ่อเสียราชันก็อยู่กับปู่มาตลอดแล้วเวลานี้ที่ต้องเสียปู่ไปอีกคนราชันจะทำยังไง

              // มีหลายอย่างที่ผมต้องปรับตัว ช่วงนี้เลยยุ่งๆไม่ค่อยได้ติดต่อมาขอโทษนะครับ // ราชันก้มหน้าต่ำลงไปอีกเมื่อเผลอคิดว่าตนทำเรื่องที่ผิดต่อพี่ชาย

              “ขอโทษทำไม พี่แค่เป็นห่วงเฉยๆแต่เห็นว่าราชสบายดีพี่ก็ดีใจ” พอได้ยินดังนั้นใบหน้าขาวที่โผล่พ้นเสื้อคอเต่าที่กรมเข้มก็ฉีกยิ้มกว้างดีใจเหมือนเด็กๆ

              หลังจากจัดการงานศพของธรรมภาสรวมถึงการจักการทรัพย์สินภายในต่างๆและอยู่ทำบุญครบรอบร้อยวันเป็นที่เรียบร้อยราชันก็ย้ายมาอยู่ที่อิตาลี่วาเลยติโน ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาตัวให้หายจากอาการที่เป็นอยู่

              “แล้วเราจะกลับมาไทยอีกทีเมื่อไร” เขาเอ่ยถามขึ้น

              // ไม่รู้เหมือนกันครับ // ราชันมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย // แต่ผมอยากไปหาพี่เปลว // ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการออกมา

              คนฟังระบายยิ้ม “อยากมาก็มาสิ พี่รอเราอยู่ที่นี้เสมอนะ”

              ราชันยิ้มกว้าง

              พวกเขาสองคนคุยกันต่อีกเล็กน้อยก่อนจะเป็นราชันที่ตัดสายก่อนเมื่อเห็นว่านาฬิกาของประเทศไทยล้วงเข้ามาดึกมากแล้ว

              “คุยกันเสร็จแล้วหรอ” อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือขึ้นมาถามเปลวอรุณที่พับปิดโน๊ตบุ๊คตัวเองลง

              “ครับ แล้วคุณอันจะนอนเมื่อไรหรอครับ” เปลวอรุณยิ้มรับก่อนจะเอียงคอถามเพราะเขาเห็นอัมรินทร์นั่งหน้าเครียดอยู่กับเอกสารตรงหน้ามาตั้งแต่เย็น

              “เปลวนอนไปก่อนเลยก็ได้นะ ของฉันคงอีกนาน” อัมรินทร์ยิ้มแห้ง

              เปลวอรุณพยักหน้ารับก่อนจะปิดไฟในส่วนของโซนนอนลงแล้วหลับไป

              อัมรินทร์มองคนรักที่นอนห่มผ้าคลุมตัวเป็นดักแด้บนที่นอนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาสนใจเอกสารในมืออีกครั้งทั้งที่ใจจริงตัวเขาอยากจะไปนอนกอดเปลวอรุณอยู่ใจจะขาดแต่พอนึกถึงหน้าเลขาคนใหม่ที่ราชันพามามอบให้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

              คุณจูนเป็นผู้หญิงที่เก่งเขายอมรับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า แต่การได้เธอมาเป็นเลขาส่วนตัวเข้าจริงๆแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นอกจากจะเป็นสาวมั่นที่เก่งในเรื่องานแล้วเธอยังทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวของเขาที่จำตารางเวลาเวลาส่วนตัวของเขาได้อย่างดีเยี่ยมจนขนาดว่าพ่อของเขายังออกปากชม แต่อย่าได้ทำอะไรที่ทำให้คุณเธอไม่พอใจเขาเชียวละเธอจะหาวิธีเอาคืนที่แสบสันเชียว เหมือนอย่างเขาในตอนนี้ที่โดนเธอทำโทษด้วยการอ่านเอกสารของตลอดหนึ่งสัปดาห์ให้หมดภายในคืนนี้เพื่อไปอธิบายให้เธอฟังโทษฐานที่เขาเผลอลืมเซ็นเอกสารสำคัญฉบับหนึ่งที่เธอย้ำเขานักหนา ครั้นจะเลิกอ่านแล้วไปนอนกอดเปลวอรุณให้ชื่นใจแล้วแกล้งหลอกคุณจูนว่าป่วยก็ทำไม่ได้เพราะเขาเคยใช้มุกนี้แล้ว แล้วเจอเธอตลบหลังด้วยการมาเยี่ยมถึงบ้านพร้อมของเยี่ยมที่ทำเอาเขาโดนทั้งพ่อทั้งเมียบ่นจนหูชา

              คิดมาถึงตรงนี้อัมรินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาทำความเข้าใจกับเอกสารในมือต่อไปอย่างจำนน...

              ภายในปีนี้ลูกตาลได้เข้าศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยในฐานะน้องใหม่ปีหนึ่งและสิ่งหนึ่งที่ทำให้อัมรินทร์ยิ้มแก้มปริไปได้อีกหลายวันเอาไปพูดต่อจนคุณจูนละอาเลยก็คือการที่เด็กหนุ่มคว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยมาครองได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่นั้นก็ทำให้อัมรินทร์ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก นี้ยังไม่นับรวมถึงผลการเรียนในภาคการศึกษาแรกที่ลูกตาลทำเอาไว้ในระดับที่สูงเป็นที่น่าพอใจจนงานนี้อนิรุทธิ์เองถึงกับทาบทามตัวหลานชายคนเดียวมาเป็นรุ่นพี่แนะแนวให้กับเด็กในโรงเรียนตัวเองกันเลย

 

              ครบหนึ่งปีสำหรับการเฝ้าระวัง

             ความเสี่ยงที่อาจกลับมาเป็นอีกได้อยู่ในระดับที่ต่ำจนเป็นที่น่าพอใจอีกทั้งร่างกายของเปลวอรุณที่กลับมาเป็นปกติดีอีกครั้งแม้จะยังคงผอมกว่าแต่เดิมอยู่แต่ก็ถือว่าร่างกายของเปลวอรุณดีขึ้นจนสามารถเรียกได้ว่าหายเป็นปกติดีแล้ว เปลวอรุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่ใช่เรื่องปกติจนเจ้าตังถึงขึ้นแสดงอาการไม่พอใจเลยก็คือการที่อัมรินทร์สั่งห้ามไม่ให้เขากลับไปทำงาน

              “แต่ผมหายดีแล้ว” เปลวอรุณขึ้นเสียงเล็กน้อยแสดงอาการไม่พอใจ

              “ก็รู้ๆ แต่ฉันอยากให้เปลวอยู่บ้านมากกว่า” อัมรินทร์พยายามโน้มน้าวยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้

              “แต่ผมไม่ชอบ ผมอยากทำงาน” แต่เปลวอรุณก็คือเปลวอรุณที่ดื้อได้รั้นอย่างที่สุด

              “แล้วเปลวจะกลับไปทำงานในฐานะอะไร ตอนนี้ตำแหน่เดิมของเปลวก็โดนคุณจูนยึดไปแล้ว” เขาอ้าง

              เปลวอรุณทำหน้าขัดใจก่อนจะเดินกอดอกไปนั่งที่เตียง

              “น่าๆเปลว” อัมรินทร์ตรงเข้ามาง้อ “คิดเสียว่าเปลวเออรี่ออกมาก่อนเวลาก็ได้ไง”

              แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าทีควร..

              “คุณอัน!” เปลวอรุณตวัดสายตามองคนรักอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันหนีแล้วเดินขึ้นเตียงนอนหันหลังหนีแสดงถึงการตัดการสนทนานี้ลงด้วยความไม่พอ

              อัมรินทร์ตบหน้าผากตัวเองฉากใหญ่

              หลังจากนั้นอัมรินทร์ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการตามง้อเปลวอรุณให้หายโกรธ กว่าที่เขาจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ใช้เวลาเกือบสามวันกว่าที่เปลวอรุณจะยอมรับและกลับมาคุยกับเขาเหมือนเดิม

 

              ครึ่งปีให้หลัง

              ความสัมพันธ์ของอนิรุทธิ์และลิดาดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เพราะสถานที่ทำงานหลักของลิลดาคือที่ฝรั่งเศสทำให้เธอมักจะไปๆมาๆระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศสอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อมันคือความรักแล้วเรื่องระยะทางจริงไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไรในเมื่อสมัยนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถเชื้อมโลกที่ห่างไกลให้ใกล้กันมากขึ้น หากมีวันว่างที่ตรงกันบางทีอนิรุทธิ์ก็เป็นผ่ายบินไปหาลิลดาบ้างหรือบางครั้งก็เป็นลิลดาที่บินกลับมาหาแล้วก็พากันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จนในที่สุดอนิรุทธิ์ก็ตัดสินใจของลิลดาแต่งงานและพาเธอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้

              งานเลี้ยงเล็กๆที่มีเพียงแค่ญาติและเพื่อนสนิทถูกจัดขึ้นท่ามกลางความยินดีของทุกๆคน

              “เห้ย ไอ้อัน” เสียงของอนิรุทธิ์ดังขึ้นแข่งกับเสียงเพลงคลาสสิคที่เปิดคลอมา อัมรินทร์เปรยตามองเจ้าบ่าวในชุดลำลองสำหรับงานเลี้ยงช่วงเย็นที่ถูกจัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของพวกเขาที่เดินตรงเข้ามานั่งข้างๆ

              “ไงมึง” ตอนนี้เป็นงานเลี้ยงสำหรับเพื่อนฝูงทำให้บรรยากาศภายในงานดูเฮฮาเหมือนเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์พบปะกันเสียมากกว่า ส่วนพ่อแม่ของเขาก็ขึ้นบ้านกันไปแล้ว เปลวอรุณเองก็ขึ้นไปพักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำพร้อมกับลูกตาล

              “มีความสุขละสิมึง” อัมรินทร์เอ่ยทักขึ้นเมื่อมองตามสายตาของลูกพี่ลูกน้องหนุ่มไปยังร่างเพรียวของเจ้าสาวที่ยืนเด่นอยู่กลางกลุ่มเพื่อนๆที่โบกไม่โบกมือมาทางพวกเขา

              “แน่ละสิ กูกำลังจะมีครอบครัวนะเว้ยมันก็ต้องมีดีใจกันบ้าง” อนิรุทธิ์ว่าพลางกระดกขวดเอลกอฮอร์ขึ้นดื่ม

              ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโลคร้ายกันแน่ที่ฤกษ์เข้าหอของเขากับลิลดาคือตอนตีสองสองนาทีทำให้พวกเขาสามารถจัดงานเลี้ยงปาร์ตี้กันได้ก่อนที่จะเข้าหอ

              “แล้วมึงละ ไม่คิดจะจัดงานแต่งบ้างหรอวะ” อนิรุทธิ์หันกลับมาถามอย่างสงสัย “มึงเองก็ขอเปลวเขาแต่งงานไปแล้วนิ” เขาถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางแหวนแต่งงานที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของอัมรินทร์

              “ก็เปลวเขาบอกว่าไม่อยากจัดนิ” อัมรินทร์ยิ้ม “แต่ถึงมีมันก็คงถูกจัดไปแล้ว”

              “ห๊ะ เมื่อไร” อนิรุทธิ์หันหน้ากลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ

              “ก็วันที่คุณธรรมภาสคุณตาของเปลวมาที่บ้านเราไง” อัมรินทร์พูด

              วันนั้นนอกจากที่เปลวอรุณจะได้เคลียร์ใจกับผู้เป็นตาแล้ว ตัวเขายังทำการสู่ขอเปลวอรุณจะธรรมภาสผู้ที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ของเปลวอรุณไปด้วยวันนั้นพ่อกับแม่เขาเองก็อยู่ด้วย

              สินสอดของมีค่าทางธรรมภาสไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยส่วนของหมั่นก็มีแค่แหวนที่เขาเคยมอบให้เปลวอรุณไปก่อนหน้า แม้จะไม่มีงานเลี้ยงหรือการผูกข้อไม้ข้อมืออะไรแต่พวกเขาก็ได้คำอวยพรจากผู้หลักผู้ใหญ่และคนสนิทที่อยู่รอบๆ เปลวอรุณไม่อยากที่จะจัดงานตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องจัดของเพียงแค่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมามีเปลวอรุณนอนอยู่ข้างๆแค่นี้เขาก็พอใจแล้วละ

              “ขอให้มึงกับลิลมีความสุขมากๆนะ” เขาว่าพลางตบลงที่ไหล่พี่ชายเบาๆ

              “มึงด้วย มีความสุขกับเปลวไปนานๆนะ” อนิรุทธิ์ยิ้มให้น้องชาย

              ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่พวกเขาสองพี่น้องก็ยังคงอยู่ข้างกันเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนอย่างในตอนนี้ที่พวกเขากำลังมีความสุขกับคำว่าครอบครัวที่กำลังเริ่มต้นขึ้น

 

          หลังจากแต่งงานได้ครึ่งปีลิลดาก็ตั้งครรภ์ ความปรีติยินดีเกิดขึ้นในบ้านอีกครั้งทุกคนต่างพากันหาของขวัญต้อนรับหลานคนใหม่กันอย่างสนุกสนานและยิ่งเมื่อวันที่เด็กหญิงตัวน้องของบ้านออกมาลืมตาดูโลกก็ยิ่งสร้างความดีใจให้กับผู้เป็นปู่กับย่าเป็นอย่างมาก

              “น่ารักน่าชังที่สุดเลยหลานย่า” นภายิ้มแก้มปริขณะอุ้มหลานสาวขึ้นมา ใบหน้าที่ถอดแบบลิลดาออกมาทั้งพิมพ์มองยังไงก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นลูกใคร

              “แล้วนี้ลูกชื่ออะไรหรอครับ ตั้งเอาไว้แล้วหรือยัง” เปลวอรุณเองก็ดูตื่นเต้นอยู่ไม่ใช่น้อยขณะมองหน้าเด็กน้อย

              “ตั้งแล้วค่ะ” ลิลดายิ้มอย่างภูมิใจ

              “ชื่ออะไรหรอฮะ” ลูกตาลถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นขณะลองอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยโดยมีนภาคอยช่วยประคอง

              “ดาริน ดารินที่แปลวว่า ของขวัญ ” เธอกล่าวขณะเงยหน้ามองสามีของตัวเองด้วยรอยยิ้ม

              ของขวัญของลิลดากับอนิรุทธิ์...

              เด็กน้อยดารินกลายเป็นขวัญใจของบ้านที่ทุกๆคนต่างรักและเอ็นดูยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วยแล้วทั้งสุริยะและนภต่างให้ความเอ็นดูหนักกว่าใครเนื้องจากทั้งบ้านมีแต่ผู้ชายมาตลอด การได้หลานสาวเป็นผู้หญิงจึงดูจะถูกใจคนแก่นักเชียวและอีกหนึ่งที่ดูจะทั้งรักทั้งหลงหนูดารินเลยก็เห็นจะเป็นหลานชายคนโตของบ้านอย่างลูกตาล

              “ค่ะ ว่าไงคะ” เสียงเย้าแหย่ของลูกตาลคือเสียงที่มักจะได้ยินออกมาจากห้องเด็กอ่อนของดารินอยู่บ่อยครั้ง

              “ถามไปหนูขวัญก็ไม่ตอบแกหรอกนะ” คนเป็นพ่อที่แทบจะไม่ค่อยได้อุ้มลูกสาวดังขึ้นห้วนๆเมื่อไม่ว่าจะเข้ามากี่ครั้งก็ต้องเจอหน้าพ่อหลานชายตลอดจนตอนนี้กลายเป็นว่าตอนนี้ดารินติดลูกตาลแจ

              “ก็ถามไปเรื่อยๆเดี๋ยวหนูขวัญก็ตอบผมเองแหละ ใช่ไหมคะ” ลูกตาลทำหน้าหน่ายใส่ผู้เป็นลุงก่อนจะหันไปเล่นหูเล่นตาให้เด็กหญิงต่อ

              “เฮ้อ แกก็ไปบอกพ่อกับแม่ให้รีบทำน้องให้แกสักทีสิวะไอ้ตาล”

              เด็กหนุ่มทำปากยู่ ก่อนจะตั้งท่าอ้าปากเถียง

              “แล้วมันทำกันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง” แต่ยังไม่ทันที่ลูกตาลจะอ้าปากเถียงอย่างที่ใจนึกเสียงของใครอีกคนที่เดินผ่านมาได้ยินก็สวนขึ้น

              “พ่ออัน” เด็กหนุ่มร้องเรียกคนมาใหม่เหมือนหาพวก

              “กลับมาแล้วหรอ” อนิรุทธิ์ทัก

              “เออ กลับมาทันได้ยินมึงเกทัพลูกกูนี้ละ” อัมรินทร์ว่าพลางยกแขนขึ้นคล้องคอลูกชาย

              “กูเปล่า กูแค่เสนอเฉยๆ อีกอย่างนะถ้ามึงมีลูกของขวัญของกูก็จะได้มีเพื่อนเล่นแถมลูกตาลก็จะได้มีน้องเพิ่มด้วย”

              “หรอ ไม่ใช่ว่ามึงจะหาทางแยกลูกตาลออกเพราะตอนนี้หนูดาติดลูกกูมากกว่ามึงหรอวะ” อัมรินทร์ยิ้มเย้ย

              อนิรุทธิ์กัดฟันแน่นไม่กล้าเอ่ยอะไรที่มันไม่ดีไม่งามออกไปต่อหน้าลูกสาวที่มองมาทางเขาตาแบ๊ว

              “เออนั้นแหละ”

              “หึ” อัมรินทร์ส่งเสียพอใจ

              “ก็ไม่ใช่ว่าไม่พยายามหรอกนะ” ก่อนจะตีหน้าหม่นเล็กน้อย

              ตั้งแต่หลังพ้นหนึ่งปีที่เฝ้าระวังและรอจนแน่ใจว่าเปลวอรุณหายดีเป็นปกติแล้วพวกเขาก็พยายามกันมาตลอดแต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าความหวังของพวกเขาจะสำเร็จเลยสักนิดเดียวนี้ก็ผ่านมาปีกว่าๆแล้วด้วย

              “เออน่า ไอ้อันเดี๋ยวมึงก็มีเองละ” พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปอนิรุทธิ์ก็รีบเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจก่อนจะพากันเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้อัมรินทร์ต้องคิดมาก

              ความคิดที่ว่าเขากับเปลวอรุณจะไม่อาจมีลูกด้วยกันได้อีกมันก็ทำเอาใจของอัมรินทร์โหว่งๆอย่างบอกไม่ถูก แอบรู้สึกเสียใจอยู่หน่อยๆที่คิดว่ากระพวนข้อเท้าที่เขาอุตสาห์ออกแบบเองจะไร้เจ้าของมาสวมใส่อีก เขาเองก็รู้ดีว่าแม้จะไม่มีใครในบ้านเอ่นเร่งเร้าพวกเขาในเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเปลวอรุณที่เพิ่งจะหายดีและเขาก็พยายามพูดปลอมใจเปลวอรุณอยู่เนื้องๆเพราะรู้ดีว่าคนรักของเขารู้สึกเช่นไรเวลาที่มองหน้าหลานสาว

                แต่เหมือนว่าฟ้ายังคงเห็นใจพวกเขาอยู่บ้างหลังจากนั้นไม่กี่เดือนเปลวอรุณก็เริ่มที่จะมีอาการที่ผิดแปลกไป เจ้าตัวเริ่มกินเยอะกว่าเดิมทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ต้องอาเจียนออกมา อาการเหนื่อยอ่อนกลับมาเล่นงานเปลวอรุณอีกครั้งจนน่าสงสาร และหนักข้อถึงขั้นที่ว่าอยู่ดีก็อาเจียนออกมาอย่างหนักจนต้องหามส่งโรงพยาบาล

              “ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณกำลังตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ”

              เสียงหวานของแพทย์หญิงที่รายงานการตรวจทำเอาคนที่กำลังจะได้เป็นพ่อคนอีกครั้งยิ้มแก้มปริถามซ้ำอยู่อย่างนั้นตั้งหลายรอบเพื่อย้ำความเป็นจริงว่าสิ่งที่เขาเฝ้ารอมานานคือเรื่องจริง

              “ค่ะ ภรรยาของคุณตั้งครรภ์จริงๆค่ะ” เธอพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “แต่เพราะอาการแพ้ท้องที่รุนแรงกว่าปกติทำให้ร่างกายอ่อนเพียง่ายๆหมอแนะนำให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการไปก่อนจะดีกว่านะคะ”

              นาทีนั้นไม่ว่าหมอจะพูดว่าอะไรอัมรินทร์ก็รีบขานรับอย่างรวดเร็ว

              รอยยิ้มของอัมรินทร์ยังค้างอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยมือข้างที่เจาะสายน้ำเกลือลูบหน้าท้องของตัวเองเบาๆ

              “เปลว” อัมรินทร์เรียกอีกคนเสียงสั่นด้วยความดีใจ สองขายาวก้าวตรงไปฉวยคว้าเปลวอรุณเข้ามากอดแนบอก

              “ขอบคุณเปลว ขอบคุณ” อัมรินทร์สูดหายใจกลั้นเสียงสะอื้น

              “ขอบคุณครับคุณอัน” เปลวอรุณเองก็กอดอัมรินทร์เอาไว้แน่นไม่ต่างกัน

            ชีวิตเล็กๆที่แสนมีค่ากลับมาหาพวกเขาอีกครั้งและครั้งนี้พวกเขาสัญญาว่าจะดูแลเอาไว้อย่างดีที่สุด

             ข่าวดีที่เกิดขึ้นอีกครั้งในระยะเวลาไล่เลี่ยสร้างความดีใจให้กับทุกคนที่บ้านอีกครั้ง โดยเฉพาะกับราชันที่แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกแต่พอทันทีที่รู้ข่าวเจ้าตัวก็ของให้วาเลนติโนพากลับมาเยี่ยมทันที

             “แล้วพี่เปลวเป็นยังไงบ้างครับ กินอะไรได้บ้าง” น้ำเสียงของราชันดูลนลานเหมือนจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อต้องมาเห็นพี่ชายที่ตนรักนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะอาการแพ้ท้องที่หนักเกินกว่าปกติที่ร่างกายจะทนรับได้

              “ก็ได้หมดนั้นแหละ” อันที่จริงคือเป็นตัวของเปลวอรุณเองนั่นแหละที่อยากจะกินมันไปเสียทุกอย่างแต่บางอยากแค่ได้กลิ่นก็แทบอาเจียนออกมาให้ได้

                “พี่เปลวต้องระวังนะครับ จะเดินจะเหินอะไรต้องดูดีๆนะครับ” เหมือนความผิดพลาดในครั้งก่อนจะยังฝั่งใจราชันอยู่เอามาก นอกจากจะกำชับเปลวอรุณอยู่หลายครั้งแล้วก็ยังไม่วายหันมาแว๊ดเสียงในอารมณ์กับอัมรินทร์ด้วย

                  ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ราชันมาอยู่เฝ้าเปลวอรุณที่โรงพยาบาลคนที่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ากับอาการน้องติดพี่ของราชันดูเหมือนจะเป็นอัมรินทร์กับลูกตาลที่แทบจะถูกกันออกให้ห่างจะเตียงผู้ป่วยทุกครั้งเพราะพื้นที่ข้างเตียงนั้นถูกราชันยึดเอาไว้เพียงคนเดียว

                   “ทนๆเอาหน่อยละกันนะ” เสียงปลอบใจของวาเลนติโนดังขึ้นทุกครั้งที่สองพ่อลูกเริ่มตีหน้าหงิกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าไปแล้วพาตัวราชันออกมาให้และดีที่ราชันยอมที่จะเชื่อฟังวาเลนติโนอยู่พอควรแม้จะมีงอแงอยู่บ้างก็ตาม

                   หลังจากราชันกับวาเลนติโนกลับอิตาลี่ไปอีกสองวันหลังจากนั้นเปลวอรุณก็ได้กลับบ้าน แต่เพราะผลจากการแพ้ท้องในทำให้ทุกคนแทบไม่บอมให้เปลวอรุณหยิบจัดอะไรเลยนอกจากการปลูกต้นไม้อย่างที่เจ้าตัวชอบแม้ช่วงหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลคนที่แพ้ท้องจริงๆดูเหมือนจะกลายเป็นอัมรินทร์เสียแทน

                 
:mew1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-09-2017 23:56:03
:mew1:

 เมื่ออายุครรภ์เข้าเดือนที่หกอาการแพ้ท้องแทนของอัมรินทร์ถึงเริ่มดีขึ้นจนช่วงปลายๆเดือนที่หกถึงหายสนิทและเปลวอรุณยอมที่จะอัลตร้าซาวด์ดูเจ้าตัวเล็กในท้องที่ดูจะใหญ่กว่าปกติ

                  “แฝดหรอ” อัมรินทร์อุทานออกมาเมื่อมองที่จอภาพที่ปรากฏภาพขาวดำของสิ่งมีชีวิตเล็กสองชีวิตที่นอนขดอยู่ภายใน มือที่จับกับมือของเปลวอรุณบีบกันแน่น

                   “ค่ะ ตรงนี้คือหัวใจของเด็กๆนะคะ” คุณหมอว่าพร้อมชี้นิ้วไปบนหน้าจอ

                   ความสุขที่มีมากถึงสองทำให้อัมรินทร์ยิ้มแก้มปริ กระพวนข้อเท้าถูกทำเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่เพื่อรอต้อนรับการมาของเจ้าของอีกหนึ่งคนและของอีกหนึ่งชิ้นที่อัมรินทร์ของให้คุณอ้วนช่วยทำขึ้น

                  “ไงครับเจ้าตัวเล็กวันนี้ซนกันหรือเปล่า” อัมรินทร์แทบหูลงกับหน้าท้องกลมนูนอย่างเช่นทุกวันเพื่อถามไถ่เอาความจากเจ้าตัวเล็กในท้องทั้งสอง

                   “ไม่ซนหรอกนะครับ” เปลวอรุณคลี่ยิ้งขณะลูบศีรษะคนรักไป

                   “อย่างงั้นหรอ โอ๊ย!” ชั่วขณะที่อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นมองอุ้งเท้าหยาบของมณีนิลที่เข้าตอนไหนไม่รู้ยันเข้าที่ข้างแก้มจนหน้าหัน

                   “คุณนิล!” อัมรินทร์เรียกเจ้าตัวการเสียดังพลางยกมือขึ้นถูแก้มแต่มีหรือที่มณีนิลจะสนใจ ไม่ มันไม่สนใจเสียงร้องของพ่อมันทั้งสิเพราะสิ่งที่มันสนใจในตอนนี้คือแม่กับน้องๆในท้องต่างหาก

                    มณีนิลเมินหน้าหนีจากอัมรินทร์แล้วล้มตัวลงนอนแทรกอยู่ตรงหว่างของเปลวอรุณแล้วเกยคางเอาไว้กับท้องกลมโตซึ่งถ้ามองในมุมของเปลวอรุณแล้วจะเห็นเหมือนว่าเจ้าสี่เท้าหางกุดตัวนี้กำลังนอนยิ้มอย่างพอใจ

                     เปลวอรุณหัวเราะชอบใจยกมือลูบหัวลูกสาวสี่ขาอย่างเอ็นดูผิดกลับอัมรินทร์ที่พอทำอะไรมณีนิลไม่ได้เจ้าตัวก็เบนสายตาไปทางคนเปิดประตูอย่างลูกตาลเพราะตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี่มณีนิลมักจะเข้าไปนอนที่ห้องของลูกตาลเสมอจนกลายเป็นว่าทั้งสองคือเพื่อนร่วมห้องกันไปโดยปริยายและอัมรินทร์จำได้แม่นว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนปิดประตูเองเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขอย่างมณีนิลจะเปิดเองได้ถ้าไม่ใช่เพราะลูกตาล

               อัมรินทร์มองเด็กหนุ่มตาขวางอย่างเอาเรื่องแต่ลูกตาลก็ทำเพียงไหวไหล่แล้วก้าวขึ้นเตียงมานอนยาวอ้อนเปลวอรุณแทนทิ้งให้อัมรินทร์ยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อมองภาพตรงหน้า

                 ครอบครัวของเขา...

 

                เคยได้ยินมาว่า ‘ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ’ เปลวอรุณเชื่อแล้วว่ามันคือเรื่องจริง ตั้งแต่ที่มีพิมพาเข้ามาในชีวิตท้องฟ้าที่สดใสของเขาก็เหมือนมีเมฆสีดำเข้ามาปิดบังแสงอันสดใสและยิ่งมืดสนิทเมื่อแสงสว่างหนึ่งเดียวของเขาอย่างผู้เป็นแม่เสียไป ท้องฟ้าที่มืดมิดหาแสงสว่างไม่เจอคล้ายจะมีปรอยฝนพร่ำๆลงมาและหนักขึ้นมากขึ้นเมื่อเขาถูกอัมรินทร์หลอกลวงด้วยคำโกหกคำโตเรื่องหนี้ก้อนโตแต่ในม่านฝนที่ตกลงมาอย่างหนักท้องฟ้ากลับเริ่มสว่างขึ้นที่ละนิดก่อนจะถูกพายุโถมเข้าใส่ทั้งๆที่ฟ้าสว่างเมื่อต้องมารู้ข่าวอาการป่วยในขณะที่ตัวเขากำลังตั้งท้อง และท้องฟ้าของเขาก็มืดมิดลงอีกครั้งเมื่อต้องแยกจากจากอัมรินทร์ แต่ตอนนี้ท้องฟ้าของเขากลับมาสว่างอีกครั้งแถมยังสดใสและอบอุ่นมากกว่าครั้งไหนๆที่รู้สึก

              และสิ่งที่เขากับอัมรินทร์เฝ้ารอมานานก็มาถึง

              เวลาตีสี่กว่าๆในช่วงฤดูหนาวท้องฟ้าด้านนอกจึงยังดูมืดสนิท อากาศภายนอกที่จัดได้ว่าเย็นสบายกับอากาศภายในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศคอยควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เย็นจนเกินไปหากแต่ตอนนี้มันกลับทำให้เปลวอรุณรู้สึกร้อนจนเหงื่อกาฬไหลออกมาจนเสื้อผ้าเปือกชื้นอีกทั้งอาการกระสับกระส่ายจนคนนอนข้างๆรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

               อัมรินทร์ชันตัวขึ้นก่อนจะเอื้อมมือออกไปเปิดโครมไฟที่หัวเตียงก่อนจะหันกลับมามองคนท้องแก่ที่นอนไม่สบายตัวอยู่ข้างๆ

               “เปลว” เขาเรียกชื่ออีกคนพร้อมเอามือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา

               ใบหน้าของเปลวอรุณดูทรมานลมหายใจของเจ้าตัวดูรัวเร็วจนแผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงผิดจังหวะ อัมรินทร์เริ่มเห็นท่าไม่ดีจริงตบเบาๆที่ข้างแก้มเพื่อเรียกสติของคนรัก

                “เปลว เปลวตื่นก่อน เปลว”

                คนถูกปลุกลืนตาขึ้นโผเมื่อความรู้สึกเจ็บหน่วงที่ช่วงท้องเริ่มรุกรามไปยังอวัยวะเพศและช่องทางด้านหลังจนเผลอทำหน้าแหยเกกับมัน

                “เปลว เปลวเป็นอะไร” อัมรินทร์เริ่มร้อนลน

                 “คุณอัน” ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างหงิกงอ เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนพูดต่อ“ผมเจ็บท้อง”

                  “เจ็บท้อง? เวรละ” อัมรินทร์สบถออกมาก่อนจะตระหวัดผ้าห่มของตัวเองออกแล้ววิ่งไปคว้าเอาของจำเป็นออกมาก่อนจะวิ่งเปิดประตูออกจากห้องไปเคาะเรียกลูกตาล

ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะประตูรัวเร็วขึ้นตามความร้อนใจจนกระทั้งสีหน้าคล้ายดูหงุดหงิดของคนถูกรบกวนเปิดออกมาประจวบเหมาะกับประตูห้องของอนิรุทธิ์ที่อยู่ข้างๆเปิดออกมาพอดี

              “มีอะไรวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์เอ่ยถามน้องชายของตนข้างๆมีลิลดาที่อุ้มป้อนนมหนูดารินที่ตื่นขึ้นมาร้องกินนมเหมือนอย่างทุกวัน

              “เอาดีๆนะพ่อ ยังไม่เช้าแล้วมาปลุกกันแบบนี้มีเรื่องกันได้นะ” ลูกตาลว่า

              “มีแน่” อัมรินทร์หอบ “เปลวจะคลอดแล้วไปเอารถออก”  เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง

              คนที่ถูกสั่งให้ไปเอารถออกเหมือนจะตื่นเต็มตาขึ้นกว่าเดิม ลูกตาลทำตาโตก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปเอากุญแจนถยนต์ของตนในห้องขณะที่อนิรุทธิ์สั่งให้ลิลดาพาลูกกลับเข้าไปด้านในก่อนที่ตัวเองจะวิ่งลงไปเปิดไฟแล้วลงเปิดประตูบ้านรอ

              ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีเมื่อเปลวอรุณไม่ได้มีเพียงแค่อาการเจ็บท้องธรรมดาแต่บนที่นอนยังมีน้ำคร่ำเฉอะแฉะออกมาเป็นจำนวนหนึ่งแต่นั้นยังไม่เท่ารอยเลือดที่ซึ่มออกมาจนอัมรินทร์แทบสติแตกกว่าจะตั้งสติแล้วช้อนตัวเปลวอรุณขึ้นแล้วรีบพาลงไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างล่างได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว

              จากตีสี่กว่าๆที่ถุงน้ำคร่ำแตกจนตอนนี้เวลาเลยมาถึงช่วงตีห้ากว่าๆแล้วแต่เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็ยังคงไม่ยอมออกมาสักที

              “คุณอัน คุณอัน” เปลวอรุณเรียกหาอัมรินทร์เสียงสั่น ร่างกายของเขาโดยเฉพาะช่วงล่างรู้สึกเจ็บจนชาไปหมด

              “อยู่นี้เปลวฉันอยู่นี้” อัมรินทร์จับมือของเปลวอรุณแน่น ใบหน้าขาวของเปลวอรุณดูซีดลงกว่าเดิมหลายเทาอีกทั้งมือที่ชื้นเหงื่อก็เริ่มเย็นจนน่ากลัว

              “คุณแม่ออกแรงอีกหน่อยค่ะตอนนี้เริ่มเห็นน้องคนแรกแล้วค่ะ” น้ำเสียงของคุณหมอดูตื่นเต้นขึ้นเมื่อเธอเริ่มมองเห็นส่วนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวของเด็ก

              “อื้มมมมมมม” เปลวอรุณหลับตาแน่นพยาบามเบ่ง

              ด้วยความที่ตั้งแต่หายป่วยมาเปลวอรุณมีร่างกายที่ผอมลงกว่าเดิมอยุ่หลายเท่าแม้เรี่ยวแรงจะกลับมาสมบูรณ์แต่เมื่อร่างกายเป็นเช่นนี้แรงจึงมีไม่มากและดูเหมือนเด็กน้อยจะมีร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทำให้การคลอดเองดูเป็นเรื่องที่หนักเอาการสำหรับเปลวอรุณ

              “อดทนนะเปลวฉันเชื่อเปลวทำได้” ถึงจะเจ็บปวดที่เห็นเปลวอรุณทรมานแต่เขาต้องอยู่ข้างๆอยู่เป็นกำลังใจให้คนที่รักในเวลาที่สำคัญมากที่สุด

              เปลวอรุณพยายามอย่างหนักในการให้ชีวิต เสียงหอบดังขึ้นและหนักกว่าเดิมเมื่อหนึ่งชีวิตแรกออกมาสู่โลกได้สำเร็จ

              “แว๊ แว๊” เสียงของหนึ่งชีวิตที่เพิ่งเกิดออกมาแผดเสียงร้องออกมา อัมรินทร์ยิ้มกว้างให้กับเสียงร้องแห่งชีวิตและยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อเขาสามารถมองเห็นทารกตัวแรกที่ร้องไห้จ้าในมือของพยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังพาเจ้าตัวน้อยไปล้างตัว

              “เด็กผู้หญิง เวลา หกโมงสิบห้า” คุณหมอพูดขึ้นก่อนจะหันมาจดจ่อกับอีกคนหนึ่งชีวิตที่ยังไม่ยอมออกมา

              “มาพยายามกันอีกครั้งนะคะ” เธอพูด

              เปลวอรุณอ้าปากหอบเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะออกแรงเบ่งอีกครั้งจนหน้าแดงก่ำ อัมรินทร์พยายามลูบมือเปลวอรุณอย่างให้กำลังใจอยู่ข้างๆ และภายนอกห้องคลอดก็ยังมีลูกตาลที่นั่งภาวนาเอาใจช่วยแม่ของตนและน้องๆทั้งสองให้ปลอดภัย

              “อีกนิดค่ะ”

              “อื้มมมมมมม”

              “พยายามเข้าเปลว”

              “แว๊ แว๊”

              “เด็กผู้ชาย หกโมงสามสิบ”

 

              ‘เชิญตะวัน’ กับ ‘รับอรุณ’ คือชื่อของเด็กแฝดหญิงชายที่ออกมาลืมตาดูโลกใบนี้พร้อมกับแสงแรกในตอนเช้า ชื่อที่อัมรินทร์กับเปลวอรุณเป็นคนตั้งขึ้นให้กับเด็กทั้งสองเมื่อแรกคลอด แม้จะเจ็บปวดทรมานแต่เมื่อได้อุ้มเด็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขนน้ำตามันก็พลอยไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

              หลังจากความเจ็บปวดอันก่อให้เกิดความสวยงามเสร็จสิ้นลงเปลวอรุณกับเด็กทั้งสองถูกพาไปพักยังห้องพักฟื้นและห้องเด็กอ่อนทันทีที่เปลวอรุณถูกพาออกมาจากห้องคลอดลูกตาลที่ยืนรออยู่ข้างหน้าห้องก็ยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตาเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามากอดแม่ของตนเอาไว้เป็นอย่างแรกก่อนจะเข้ามาดูเจ้าตัวเล็กทั้งสองที่นอนนิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีสะอาดตา

              ลูกตาลได้ลองอุ้มน้องสาวและน้องชายครั้งแรกในช่วงบ่ายหลังจากที่เปลวอรุณฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและถึงเวลาพาเด็กน้อยมาพบปะญาติๆในครอบครัวที่รอต้อนรักพวกเขาอยู่

              “จับน้องเบาๆนะคะของขวัญ” ลิลดาเอ่ยกับลูกสาววัยหนึ่งขวบที่ถูกอนิรุทธิ์อุ้มอยู่ที่กำลังพยายามเอื้อมมืออกไปจิ้มแก้มกลมเล็กของเด็กหญิงเชิญตะวันแฝดผู้พี่ที่นอนนิ่งอยู่ในแปรในขณะที่เด็กชายรับอรุณถูกอุ้มโดยผู้เป็นย่า

              “น้อง น้อง” หนูดารินพูดพร้อมยิ้มกว้างให้ผู้เป็นแม่

              ลิลดายิ้มให้ลูกสาว

              “หน้าตาหนูตะวันกับหนูอรุณนี้เหมือนกันจนแยกแทบไม่ออกเลยนะ” นภาพูดขึ้นหลังพิจารณาหลานแฝดทั้งสอง

              “ใช่ครับแม่ ตอนแรกผมก็แยกไม่ค่อยออกเท่าไร” อัมรินทร์เห็นด้วยก่อนจะรับเอาลูกชายมาอุ้มต่อ

              “ตะวันจะผิวเข้มกว่าอรุฌเล็กน้อย ถ้าผมสังเกตไม่ผิดนะ” ลูกตาลพูดขึ้นขณะประคองเปลวอรุณขึ้นนั่ง

              “จริงด้วย” สุริยะกับนภาก้มพิจารณาสองแฝดอีกครั้งก่อนอุทานขึ้นพร้อมกัน

ก๊อก ก๊อก

              เสียงเคาะที่บานประตูห้องพักฟื้นดังขึ้นพอเป็นพิธีก่อนที่จะถูกมือหนาใหญ่ของวาเลนติโนผลักเปิดเข้ามาพร้อมด้วยราชันกับลูกน้องอีกสองคนที่ต่างถือของเยี่ยมสำหรับแม่และเด็กแฝด

              “พี่เปลว” หลังไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองในห้องแล้วราชันก็โผเข้ากอดเปลวอรุณไว้แทบจะในทันที

              “มาถึงตั้งแต่เมื่อไรกัน” อัมรินทร์เอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะจากอิตาลี่มาไทยระยะทางไม่ใกล้เวลาเดินทางก็คงไม่ต่ำว่าสิบชั่วโมงแน่ แล้วทำไม..

              “อันที่จริงพวกเรามาถึงกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอเมื่อสายลูกตาลโทรมาบอกพวกเราก็รีบมาทันที” วาเลนติโนเป็นคนตอบคำถามที่ว่าแทนก่อนจะหยิบเอาข้าวของที่หอบหิ้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาส่งให้อัมรินทร์รับเอาไว้

              “ตอนแรกว่าจะมาเซอร์ไพรส์พี่เปลว แต่กลับโดนเซอร์ไพรส์เสียเองสะงั้น” ราชันยิ้มกว้าง

              เปลวอรุณลูบหัวน้องชายอย่างเอ็นดูและถ้าเขาสังเกตไม่ผิดไปสีหน้าของราชันดูแจ่มใสมากกว่าแต่ก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ ?

              “ทุกคน มาถ่ายรูปกันหน่อยไหม” อนิรุทธิ์เอ่ยขึ้นพลางยกกล้องที่นำมาด้วยชูขึ้น

              “งั้นเริ่มจากพ่อแม่ลูกก่อนละกัน” สุริยะว่าก่อนจะดึงภรรยาออกมา

              เปลวอรุณยิ้มรับก่อนจะเอื้อมมือออกไปรับเชิญตะวันจากลิลดามาอุ้มเอาไว้ในขณะที่อัมรินทร์ที่อุ้มรับอรุณอยู่ก่อนก็ก้าวเข้ามาใกล้ชิดเตียงมากขึ้น

              “ตาลเข้าไปสิลูก” นภาดันแขนเด็กหนุ่มที่เดินถอยตามเธอออกมา

              “เอ่อ ไม่ดีกว่ามั่งครับ” ลูกตาลเอ่ยปฏิเสธ นี่มันภาพครอบครัวนะเขาก็อยากให้ครอบครัวจริงๆเขาได้ถ่ายด้วยกันมากกว่า

              “เร็วๆเข้าตาล รูปครอบครัวนะจะขาดแกไปได้ไง” อัมรินทร์เอ็ดเสียงใส่พร้อมกวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เข้ามา

              ลูกตาลดูลังเลแต่ก็ยอมที่จะเข้าไปยืนอีกข้างหนึ่งของเตียง แต่พอจะเริ่มถ่ายขึ้นมาจริงๆกลับเป็นอัมรินทร์ที่ยกมือขึ้นห้ามช่างกล้องขึ้นมาก่อน

              “อะไรวะไอ้อัน” อนิรุทธิ์ถามเสียงห้วน

              “เออน่า รอก่อน” เจ้าตัวว่าก่อนส่งลูกชายคนเล็กมาให้เปลวอรุณแล้วเดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ที่กลับไปเอามาจากที่บ้าน

              ถุงกำมะหยี่สีขาวถูกหยิบออกมาพร้อมกับถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มอีกอันที่เปลวอรุณไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนหันมามองของในมืองของอัมรินทร์ด้วยความสนใจ

              อัมรินทร์คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเปิดถุงหูรูดออกแล้วหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาด้วยหัวในลิงโลด

              กระพวนข้อเท้าสีขาวส่งเสียง ‘กิ๊ง กิ๊ง’ ตามจังหวะการเคลื่อนที่ ตอนแรกมีแค่หนึ่งแต่ตอนนี้มันมีถึงสอง

              “กระพวนข้อเท้าอันนี้พ่อออกแบบเองเพื่อเอามารับขวัญพวกหนูนะลูก ตะวัน อรุณ” อัมรินทร์พูดกับดวงอาทิตย์ดวงน้อยทั้งสองของตนด้วยความรักก่อนจะค่อยๆสวมกระพวนข้องเท้าทั้งสองลงที่ข้อเท้าเล็กๆของลูกทั้งสองด้วยหัวใจที่เอ่อล้นโดยมีเปลวอรุณกับลูกตาลคอยช่วยประคอง

              “ส่วนอันนี้ของนาย” ถุงกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกส่งมาตรงหน้าเด็กหนุ่มทันทีเมื่อข้อเท้าเล็กทั้งสองถูกสวมกระพวนที่รอเจ้าของมานาน

              “อะไร” ลูกตาลขวมดคิ้วถาม

              “ก็เปิดสิ”

              ลูกตาลเปรยตามองเล็กน้อยก่อนจะเปิดถุงออกดู

              สายของสร้อยคอสีขาวเรียบๆไม่มีลวดลายอะไรโผล่ออกมาเป็นส่วนแรก ลูกตาลขมวดคิ้วอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจก่อนจะส่วนสุดท้ายที่ห้อยอยู่จะโผล่ออกมาให้เห็น

              “นี้มัน” ลูกตาลร้องอุทานขึ้นก่อนจะมองใบหน้าของอัมรินทร์อีกครั้ง

              จี้อันเล็กที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กสีขาว แม้จะดูไม่แตกต่างจากของที่ถูกทำขายทั่วไปแต่ลูกตาลรู้ดีว่ามันต่างออกไป

              “ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่นายไปที่บริษัทฉันเห็นนายมองเพชรเม็ดนี้อยู่” อัมรินทร์พูดขึ้นเตือนความจำเด็กหนุ่ม

              “พ่อจำได้หรอ” ลูกตาลพูดขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

              เพชรเม็ดที่เล็กที่สุดในบรรดาเพชรที่ถูกนำมาให้คัดเลือด เพชรเม็ดเล็กๆที่ดูไม่มีค่าอะไรโดดเด่นเหมือนเพชรน้ำดีเม็ดอื่นๆแต่กลับส่องแสงกว่างกว่าใครเมื่อต้องแสงไฟ

              “มันเหมาะกับนายนะ” อัมรินทร์ว่าพขณะหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาจากมือของเด็กหนุ่มก่อนจะคล้องคอสวมให้เด็กหนุ่ม

              “ฉันสั่งทำให้เพื่อนายโดยเฉพาะเลยนะ ไอ้ลูกชาย”

              ลูกตาลชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีซ้อนใบหน้าแดงๆจนเปลวอรุณที่ลอบมองอยู่ถึงกลับหลุกขำออกมาก่อนจะเรียกให้เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตหันกลับมาเพื่อที่พวกเขาจะได้ถ่ายรูปครอบครัวกันเสียที

              “เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม”

              ภาพคนในครอบครัวที่ถ่ายรูปร่วมกันด้วยรอยยิ้มดูเป็นอะไรที่น่ามองและดูอบอุ่นเสมอ ราชันมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสวยมองใบหน้ามีความสุขของพี่ชายเพียงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดอย่างมีความสุขตามไปด้วย แต่พอมองดูลูกตาลกับเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ในอ้อมแขนของเปลวอรุณในตอนนี้เจ้าตัวกลับยิ้มเศร้า

              “อยากมีหรือเปล่า” วาเลนติโนเอ่ยขึ้นมาลอยๆโดยที่สายตายังไม่ละไปจากภาพครอบครัวขนาดใหญ่ตรงหน้า

              ราชัยยิ้มบางพลางส่ายหน้า “ใครมันจะอยากมาเกิดกับฉันกัน”

              การที่ผู้ชายท้องได้ไม่ใช่เรื่องแปลกก็จริงแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถท้องได้เสียเมื่อไร บางทีตัวของเขาอาจจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่สามารถมีลูกได้ก็เป็นได้

              “บางทีเขาอาจอยากมาแต่เพราะนายไม่เปิดใจหรือเปล่าเขาเลยไม่กล้า” ราชันยิ้มให้กับคำพูดเย้าแหยนั่นก่อนจะซบลงที่ไหล่แข็งแรงของอีกคน

              “ถ้ามีได้ก็ดีสิ” เขาพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

              “ราชมาถ่ายรูปร่วมกันเร็ว” ลิลดายิ้มกว้างขณะเดินเข้ามาดึงแขนของเพื่อนชาย “คุณก็มาด้วยนะคะ” เธอหันไปบอกชายตัวโตข้างๆ

              ภาพครอบครัวขนาดใหญ่ดูอัดแน่นกันล้นมุมกล้องจนหนึ่งในการ์ดของวาเลนติโนที่รับหน้าที่ตากล้องจำเป็นต้องก้าวถอยหลังเพื่อให้มุมมองของกล้องสามารถเก็บภาพของสมาชิกในครอบครัวเอาไว้ได้ครบทุกคน

              ก้าวแรกของคำว่าครอบครัวที่อัมรินทร์กับเปลวอรุณร่วมกันสร้างขึ้น ทั้งสองหันมองหน้ากันในจังหวะที่ช่างภาพจำเป็นกดลั่นชัตเตอร์ เหมือนกำลังจะบอกให้คนที่ได้มาเห็นรับรู้ว่าต่อจากนี้ไปในสายตาของอัมรินทร์จะมีไว้มองเพียงเปลวอรุณแค่คนเดียวจากนี้และตลอดไปในบทละครชีวิตที่อัมรินทร์จะมีเปลวอรุณอยู่เคียงข้างเขาไปจนวันสุดท้าย....



..______________________จบ________________________..

ตอนนี้มันก็จะยาวๆหน่อยเป้็นการส่งท้าย
รู้สึกใจหายแบบแปลกๆที่ต่อไปนี้หนูเปลวกับหนูอันอันจะไม่ได้มาเจอกันทุกคนแล้ว
หลังอ่านจบแล้วเราขอรู้ความรู้สึกของเพื่อนๆหน่อยได้ไหมว่ารู้สึกยังไงกับหนูเปลวหนูอันอันของเราบ้าง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
 :pig4:
สามารถติดตามนิยายเรื่องใหม่ๆได้ที่หน้าเพจเช่นเดิมนะคะ https://www.facebook.com/Iamwavery/ (https://www.facebook.com/Iamwavery/)
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-09-2017 02:44:03
 :hao5:


ขอบคุณมากๆๆ จร้า
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 03-09-2017 03:03:49
แฮปปี้กันถ้วนหน้า ขอบคุณคนแต่ง
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-09-2017 03:25:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 03-09-2017 08:19:43
จบแล้ววววว ย่ๆแฮปปี้เอนดิ้งกันเสียที ขอบคุณค่าา
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 03-09-2017 09:08:06
อยากเห็นตอนลูกตาลเรียนจบ น้องขวัญกับตะวันกับอรุณ โตขึ้นจังค่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-09-2017 11:54:10
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 03-09-2017 15:24:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-09-2017 15:27:08
จบได้ซึ้งมาก :heaven
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 03-09-2017 15:29:57
ขอบคุณคนแต่งที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะคะรอติดตามเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 03-09-2017 15:47:19
จบได้อิ่มเอมใจมากเลยค่ะ แต่ว่าอยากจะขอตอนพิเศษเรื่องในอนาคตของเด็กๆอีกสักนิ๊ดดด  :impress2:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 03-09-2017 18:34:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 03-09-2017 18:49:19
 :3123:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-09-2017 20:51:14


สมหวังแล้ว

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 03-09-2017 21:14:44
มีความอ่านรวดเดียวจบ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 03-09-2017 22:54:39
จบอย่าง Happy ว่าแต่จะมีตอนพิเศษของคุณลูกหรือเปล้่าน้า
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 05-09-2017 10:37:15
อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกแบบเรียกทั้งงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและน้ำตาจริงๆ สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-09-2017 18:44:03
ดีใจที่จบแบบแฮปปี้~
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 08-09-2017 16:31:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 11-09-2017 03:14:24
อยากได้อีกสักตอนจังเลยค่าาาาาาา :hao5:
เรารู้สึกว่าเหมือนราชันกำลังมีน้องรึป่าวค่ะ???
เพราะที่เปลวอรุณบอกว่าเหมือนมีน้ำมีนวล คึคึ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ
ทำเราร้องไห้ตามหลายตอนเลยทีเดียว :sad4:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 11-09-2017 20:08:34
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 12-09-2017 10:57:33
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 18-09-2017 22:59:48
เราคิดว่าอันเป็นผู้ชายที่ควรค่าแก่การให้รักจริงๆ  ถึงบางคนจะคิดว่าอันร้าย ในความเป็นจริงใครมันจะไม่เคยทำความผิด. รักของอันมันยิ่งใหญ่จริงๆนะ

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: mouymai ที่ 20-09-2017 12:39:52
อ่านจบแล้ว :katai2-1: ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 20-09-2017 15:32:16
ฟู่ววววว ลุ้นแทบแย่
แฮปปี้~
ขอบคุณน้า
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 23-09-2017 19:09:45
รู้สึกอยากอ่านต่อไง ได้โปรด
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งสุดท้าย ปิดบัญชี- 2/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 25-09-2017 10:19:16
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 14-10-2017 20:54:26


หายไปนานคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า ???



           พริ้วมีความตั้งใจเอาไว้ว่าหลังสอบเสร็จจะมานั่งไล่แก้เนื้อหาบางส่วนกับคำผิดในแต่ละตอนให้เรียบร้อยแล้วจะลงตอนพิเศษสักตอนให้เพื่อนๆให้อ่านกันและวันนี้ก็มาถึง สอบมิทเทอมเสร็จแล้วโว้ยยย!!

มาค่ะ ตอนพิเศษหนึ่งตอนนี้ใครอยากได้เรื่องไหนบอกมาเลย !!
 :katai4:
[/color]


*** รีเควสกันเข้ามาเยอะๆนะคะ ปิดรีเควสสิ้นเดือนเน้อ***
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-10-2017 00:26:21
อยากเห็นตอนเด็กๆโตค่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Fongbeer ที่ 16-10-2017 22:42:39
อยากได้ตอนพิเศษของลูกตาลกับราชันค่าาา :mew2:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-10-2017 10:37:17
ทุกคู่ในตอนเดียวกัน  :mew4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-10-2017 11:43:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: sinyou ที่ 27-10-2017 15:03:45
ทุกคู่ในตอนเดียวค่ะ ปล.อยากให้ลูกตาลมีคู่ด้วย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 30-10-2017 12:57:06
ซึ้งมากค่ะ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 01-11-2017 22:07:23
ลุ้น ไม่รู้จะซับซ่อนในความสัมพันไปไหนแต่อยาหให้ราชาันได่กับลูกตาลนะจริงๆแล้วอะมีต่อไหม
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 03-11-2017 20:57:35
อยากอ่านความแสบ ของแฝดจังจะมีไหมหนอ :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 11-11-2017 18:24:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -เปิดให้รีเควสตอนพิเศษ- 14/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: full ที่ 15-11-2017 00:52:40
ขอตอนพิเศษที่เด็กๆเริ่มโตคะอยากเห็นความแสบความซนเชื่อว่าพี่ตาลของเราต้องเลี้ยงน้องได้แสบซนมากแน่ๆ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่านค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-11-2017 15:44:19
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 17-11-2017 21:02:16
 :pig4: :pig4: :pig4: o13
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-11-2017 08:09:07
ครอบครัวแสนสุขจริงๆ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 18-11-2017 08:38:06
อบอุ่นมากๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 18-11-2017 19:05:28
ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: armsa2531 ที่ 19-02-2018 17:07:45
 :ling1:เรื่องเศร้าง่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 16/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-04-2018 23:23:19
ครอบครัวแสนสุข


    “เป็นยังไงบ้างหนูเปลว พอจะกินได้ไหม” ใบหน้าสวยของนภาฉายแววตึงเป็นกังวลขณะมองดูลูกสะใภ้ของตนกำลังตักอาหารเช้าขึ้นลองก่อนตักกินจริง ลูกตาลเองที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดจากเปลวอรุณก็เทน้ำเตรียมใส่แก้วไว้รอพร้อมทั้งยกถังพลาสติกใบเล็กขึ้นมาวางที่ตักเตรียมพร้อมสำหรับอาการที่ร่างกายไม่รับอาหารของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน

   เปลวอรุณตักโจ๊กที่ทำจากไข่ขาวเนื้อนุ่มคลุกเคล้าให้เข้ากับตำลึงบดจนเนื้อไข่ขาวสีขาวกลายเป็นสีเขียวจากผักไม้เลื้อยนั้นเข้าปาก

         เนื้อโจ๊กนุ่มลิ้นจนแทบไม่ต้องเขี้ยวก็สามารถที่จะกลืนลงได้เลย อีกทั้งตำลึงบดที่นำมาปรุงอาหารในวันนี้เองก็ไม่มีกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ปะปนมา พอได้กลืนแล้วพักรอดูผลแล้ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกทั้งยังพอใจในรสชาติของมื้อเช้ารอยยิ้มบางๆก็ปรากฏบนใบหน้าขาวซีด

   “กินได้ครับ” และคำตอบที่ได้ออกมาก็พลอยทำให้อีกสองคนที่รอลุ้นฟังผลอยู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

   “งั้นแม่เปลวต้องกินเยอะๆเลยนะครับ” ลูกตาลรีบส่งแก้วน้ำให้เปลวอรุณก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบทัพพีขึ้นมาตักโจ๊กแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้อย่างกระตือรือร้น

   อาการปฏิเสธอาหารหลังจากผ่านการเข้ารับการรักษาเริ่มปรากฏออกมาให้ได้เห็นบ้างแล้ว แม้จะไม่ใช่กับอาหารทุกประเภทแต่ด้วยความที่เปลวอรุณเริ่มกินได้น้อยลงด้วยแล้วทำให้คนที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคนป่วยอย่างนภาและลูกตาลต่างพยายามสรรหาอาหารการกินอย่างอื่นเข้ามาทดแทนเพื่อไม่ให้ร่างกายของคนป่วยขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไป และโชคดีที่นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแลแล้วยังมีราชันอีกคนที่คอยช่วยเหลือสองย่าหลานในเรื่องวิธีการเลือกของกินให้ผ่านสายโทรศัพท์

   และพอพูดถึงราชันแล้ว

   หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาเกือบเดือนหนึ่งได้แล้ว แม้เปลวอรุณกับราชันจะยังคงติดต่อหากันอยู่เสมอทุกวันแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เปลวอรุณจะได้เห็นหน้าของน้องชายคนนี้เลยแม้จะเป็นการเห็นหน้าผ่านการโทรคุยแบบวิดีโอก็ตาม คล้ายกับว่าตัวราชันเองยังรู้สึกกลัวกับการที่จะต้องเจอหน้าของพี่ชายตัวเองอยู่หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวในวันนั้น แม้ตัวของเปลวอรุณจะไม่ถือโทษโกรธอะไรทั้งยังเป็นฝ่ายร้องขอให้น้องยอมเปิดกล้องเพื่อที่จะได้เห็นหน้ากันให้หายคิดถึงแต่อีกคนหรือก็ใจแข็งใช้ได้จนเป็นเปลวอรุณเองที่ได้แต่เก็บเอามาแอบน้อยใจอยู่คนเดียว

   “วันนี้มีอะไรดีๆหรือเปล่าครับ ดูเปลวมีอมยิ้มมีความสุขนะวันนี้” จู่ๆคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างอนิรุทธิ์ก็เอ่ยปากทักขึ้นมาคล้ายหยอก หลังลอบมองพฤติกรรมของเปลวอรุณที่ดูจะตื่นเต้นกระตือรือร้นกว่าทุกวันตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาที่โต๊ะกินข้าวพร้อมอัมรินทร์

   คนถูกทักเองชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา

   “วันนี้ราชจะมาเยี่ยมครับ” แน่นอนว่าการที่จะได้พบน้องชายที่ตัวเองรักและเอ็นดูย่อมเป็นเรื่องที่สร้างความดีใจให้กับคนป่วยที่เอาแต่อยู่กับบ้านอย่างเปลวอรุณได้มากทีเดียว

   “แล้วจะมากี่โมงละ” สุริยะทักขึ้นมาบ้างขณะพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่วางลงบนโต๊ะ

   “น่าจะช่วงเที่ยงมั่งครับพ่อ เห็นว่าจะไปธุระก่อนแล้วจะเข้ามา” อัมรินทร์ตอบกลับแทนให้ขณะเอาทิชชูเช็ดมุมปากให้เปลวอรุณ

   “ถ้างั้นก็ให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยดีไหม หนูเปลวจะได้มีเพื่อนคุยและเราก็จะได้ทำความรู้จักกันด้วย” นภาเสนอขึ้น ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย และเมื่อไม่มีใครค้านเธอจึงหันไปบอกกล่าวแกมบังคับให้หลานชายโทรชวนพร้อมให้ไปรับลิลดามากินข้าวที่บ้านด้วยกันเย็นนี้

   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ทุกคนในบ้านนั่งรอบวงกินข้าวด้วยกันพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มมันให้ความรู้สึกเหมือนอากาศของเช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดไม่แรงมากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและผ่อนคลาย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วเหมือนกันที่เปลวอรุณไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวแบบนี้ อาจสักสิบหรือยี่สิบปีตั้งแต่แม่เขาเสียไป หรืออาจนานกว่านั้น...

       และเพราะไม่รู้ว่านานแค่ไหนนี้ละที่ทำให้เปลวอรุณรับรู้ได้จากเบื้องลึกของจิตใจว่าตัวเขาเองโหยหาความรักของสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ขนาดไหน ยิ่งพอได้ยินนภาเอ่ยบอกอยากให้ราชันอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันแล้วใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงด้วยความยินดีจนไม่อาจเก็บซ้อนรอยยิ้มมีความสุขเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นได้อีกเช่นกัน

   แต่บางสิ่งก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมากเหมือนกัน...

   
   หลังจากรอคอยการมาเยี่ยมเยือนของราชันจนตะวันคล้อยบ่ายในที่สุดรถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้าน อาการดีใจจนออกนอกหน้าของเปลวอรุณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนถึงขนาดที่แม้นภากับสุริยะบอกแกมบังคับให้นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเดี๋ยวผู้ใหญ่ทั้งสองจะเป็นออกไปรับแขกที่หน้าบ้านให้ เปลวอรุณก็ยังคอยชะเง้อคอมองหาเรียกเสียงหัวเราะขบขันเบาๆจากอัมรินทร์และลูกตาลที่นั่งขนาบข้างอยู่ไม่ได้

        ก็นะ นานๆทีพวกเขาจะได้เห็นมุมเด็กๆของเปลวอรุณบ้างนี่นะ...

   พอเห็นสุริยะกับนภาก้าวเดินนำแขกเข้ามาในห้องรับแขกรอยยิ้มของเปลวอรุณก็ยิ่งกว้างขึ้นก่อนจะนิ่งค้างไปเสียดื้อๆ และที่ทำให้ใบหน้าเปรี่ยมยิ้มของเปลวอรุณกลายเป็นใบหน้าสงสัยขมวดคิ้วชนกันจนมุ่ยคงจะเป็นจำนวนแขกที่มากกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้

   นอกจากราชันกับวาเลนติโน่ที่มาหาเขาในวันนี้แล้วยังมีชายชราที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันอีกอย่างธรรมภาสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าที่ถูกเข็นโดนหญิงวัยห้าสิบกลางๆคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าคือ วรรณา ภรรยาใหม่ของแสงธรรมบิดาของราชันตามด้วย ภูมิแสง กับ แสงรวี ลูกชายทั้งสองของเธอเดินปิดท้าย

   เปลวอรุณมองคนทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจถึงการมาก่อนจะแบนสายตาหาคำตอบไปถามราชัน

   “ขอโทษที่มาช้านะครับพี่เปลว” ราชันไม่ตอบความสงสัยนั้นแต่เลือกที่จะเอ่ยคำขอโทษแทน “ที่ช้าเพราะเครื่องบินที่บินมาจากเชียงใหม่ดีเลย์ไปหน่อยกว่าจะได้ออกจากสนามบินก็เลยช้ากว่าที่คิดเอาไว้” ก่อนจะบอกเหตุผลของเรื่องให้พี่ชายได้ฟัง

   “ราชไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะมีใครมาด้วยอีก” เปลวอรุณเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของชายชราบนเก้าอี้เลื่อน

   “พอดีพวกเราได้ยินว่าคุณเปลวป่วยอยู่ เลยขอให้คุณราชพามาเยี่ยมค่ะ” วรรณารีบเอ่ยขึ้นโดยไม่ระบุเจาะจงเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดของบรรยากาศรอบๆตัวที่แพร่ออกมาจากแววตาของคนป่วยที่ตั้งใจจะมาเยี่ยม

   “ขอบคุณคุณป้านะครับที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ภูมิกับรวีด้วยนะ” เปลวอรุณหันไปยิ้มให้กับคนทั้งสาม

   ดวงตาสีอ่อนมองคนทั้งสามด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงโดยไม่วายเผลอมองสำรวจน้องชายทั้งสองไปด้วย จากที่ฟังราชันเล่าให้ฟังมา ภูมิแสงเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจตอนนี้เพิ่งเข้าบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ที่สำนักงานตำรวจที่เชียงใหม่ รูปร่างหน้าตาของน้องชายคนนี้ถอดแบบออกมาจากผู้เป็นลุงของเขาได้อย่างไม่มีที่ติโดยเฉพาะสายตาที่ดูเด็ดเดี่ยวนั่น ส่วนน้องชายคนเล็กตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยในจังหวัด แต่เห็นว่ากำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ใหม่อีกครั้งหลังจากที่ปีที่แล้วพลาดไป แม้จะดูไม่เหมือนพ่อเท่าไรนักแต่ก็ดูรู้ว่าคล้ายคนแม่อยู่พอควร

   “ถ้ายังไงก็คุยกันไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ไปดูของในครัวก่อนเผื่อถ้าขาดเหลืออะไรจะได้โทรบอกเจ้ารุทธิ์ให้ซื้อเข้ามาเพิ่ม” นภาขอตัวเมื่อรู้สึกว่าตนเหมือนเป็นคนนอกสำหรับการสนทนาต่อจากนี้ “เดี๋ยวตอนเย็นอยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ” โดยไม่ลืมเอ่ยชักชวนแขกตามความตั้งใจก่อนเดินออกจากห้องรับแขกนี้ไปพร้อมสามี

   คล้อยหลังของสองเจ้าบ้านไปห้องรับแขกก็ตกอยู่ในความเงียบที่แสนจะอึดอัดในความรู้สึกของเปลวอรุณ ด้วยความไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับญาติฝั่งแม่ที่เดียวพร้อมกันหมดแบบนี้ด้วยแล้วเขายิ่งประหม่า

   กับราชันและวาเลนติโน่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะเขาสนิทสนมกับราชันและคนรักของน้องชายคนนี้พอควร กับป้าสะใภ้คนใหม่และน้องทั้งสองเขาก็เคยพูดคุยกันบ้างแม้จะไม่สนิทเท่ากับราชันแต่ก็พอคุยกันได้ แต่กับผู้อาวุโสที่สุดนี่ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะพบหน้า

   “นั่นคงจะเป็นลูกตาลสินะ” เสียงของชายชราเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบเรียกสติของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อให้หันกลับไปมองพร้อมขานรับ

   “มานี้มา มาให้ทวดรับขวัญเหลนคนโตหน่อย” ธรรมภาสยิ้มพลางกวักมือเรียก

   ลูกตาลดูมีท่าทางลังเลหันมองหน้าแม่บุญธรรมของตัวเองเล็กน้อยเป็นเชิงถาม พอแม่พยักหน้าเจ้าตัวถึงได้ขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างเก้าอี้เลื่อนของคนที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘ทวด’

   “เห็นเจ้าราชบอกเรามันแสบใช่ย่อยเลยนิ ใช่ไหม” คนแก่ค้อมกายทักถามติดตลกกับเรื่องราวที่หลานชายเล่าให้ฟังก่อนมา
    คนถูกถามยิ้มเก้อเขินด้วยไม่รู้ว่าวีรกรรมที่ถูกคนตัวซีดเล่ากล่าวให้ชายชราฟังเป็นไปในทิศทางไหน ครั้นหันไปหาอีกฝ่ายก็เชิดหน้าหนีไม่ยอมสบตาจนแอบหมั่นไส้กับท่าทางเช่นนั้นอยู่ไม่ใช่น้อย

   คนแก่หัวเราะชอบใจกับสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ส่งสายตาเอาเรื่องเอาความหลานชายคนโปรดของเขา ก่อนจะหันไปกระซิบบางอย่างกับวรรณาเพื่อให้เธอหยิบของบางอย่างที่เตรียมเอาไว้ออกมาให้

   “เอานี่ ทวดให้”

   ซองผ้ามันแบบหูรูดสีน้ำเงินถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้า ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะรับมาพร้อมเปิดดูของที่อยู่ข้างในตามคำร้องขอของผู้ให้

   “ข้อมือเงินแท้เลยนะ สวมไว้ละ” ธรรมภาสว่าอย่างภูมิใจพลางหยิบข้อมือแบบวงสวมหัวบัวสีทองสวมให้เด็กหนุ่ม “ถือว่าเป็นของรับขวัญนะ” เขาว่าแล้วตบไหล่หนาสองสามที

   ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณธรรมภาสอีกครั้งก่อนคลานถอยกลับไปนั่งข้างเปลวอรุณอีกครั้ง

   เปลวอรุณลูบแขนหนาของลูกชายหลังจากที่เด็กหนุ่มกลับมานั่งข้างตนอีกครั้ง

   “เปลว” ก่อนจะชะงักเมื่อเสียงของธรรมภาสเอ่ยเรียกชื่อตน

   “เป็นยังไงบ้าง” เปลวอรุณยิ้มแกนให้กับคำถามนั้น

   “ก็ สบายดีครับ”

   “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันนี้ ใช่ตอนงานศพของแม่หลานหรือเปล่า” ธรรมภาสหยันเชิงถาม ด้วยความคะนึงหา

   “ครับ” แต่เปลวอรุณกลับตอบคำถามนั้นเสียงแข็งฟังดูห่างเหินจนน่าใจหาย

   “หลานยังโกรธตาอยู่ใช่ไหม” ธรรมภาสเข้าประเด็น จ้องมองหลานชายคนโตอย่างไม่ละสายตาหนี แม้คำตอบที่ได้กลับมาจะเป็นเสียงเย้ยเยาะ

   “ผมมีสิทธิโกรธคุณด้วยหรือครับ”

   “เปลว” อัมรินทร์เอ่ยปรามคนรักเบาๆ

   เปลวอรุณสะบัดหน้าหนี

   “ถึงหลานจะโกรธ ตาก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ธรรมภาสยิ้มเศร้า

          วรรณาบีบท่อนแขนผอมแห้งของชายชราอย่างให้กำลังใจ

   “แต่ตาอยากจะขอโทษที่ทิ้งหลานในวันนั้น ตาขอโทษจริงๆเปลว” เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำวันนั้นสร้างบาดแผลหลายๆอย่างให้กับหลานคนนี้เป็นอย่างมาก และเขาเองก็ขี้ขลาดที่หนีปัญหานี่มานานกว่ายี่สิบปี

   “ขอโทษเพื่ออะไรครับ” เปลวอรุณย้อนถาม 

   ธรรมภาสหน้าม่อย

   “คุณทิ้งผม ผมไม่เคยว่าไม่เคยเสียใจ แต่การที่คุณทิ้งผมเอาไว้กับความหวังที่หยิบยื่นให้แล้วหนีหายไปคุณรู้ไหมว่าผมเจ็บขนาดไหน” เปลวอรุณเค้นเสียงสั่น ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันนั้น...

   การจากไปของแม่ของเขาคือวันที่เขาได้พบหน้าของผู้เป็นตาครั้งแรก...

   เปลวอรุณจำได้ดีว่าตัวเขาในวัยสิบสามปีที่ต้องสูญเสียแม่อันเป็นที่รักมันเจ็บปวดขนาดไหน แม้จะไร้แม่แต่เขาก็ยังอยากให้พ่ออยู่กับเขาถึงจะแค่สองคนพ่อลูกเขาก็ยังรู้สึกดี เขาจำได้ว่าเขาเคยขอร้องพ่อขอให้พ่ออยู่กับเขาแค่สองคนในบ้านที่แม่มอบไว้ให้กับเขาก่อนที่แม่จะจากไป แต่พ่อกลับเลือกที่จะยืนยันคำเดิมว่าจะให้พิมพาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยเพื่อช่วยดูแลเขา

   ซึ่งเขาไม่ต้องการ..

   แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจ ในวันงานคืนแรกนอกจากผู้เป็นลุงที่เขาคุ้นเคยกันดีจะมาหามาปลอบโยนแล้วเขายังได้พบกับผู้เป็นตาที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้พบหน้า

   “ตาจะดูแลบ้านของหลานให้แล้วจะพาหลานไปอยู่ด้วย อดทนหน่อยนะ”

    คำพูดที่เหมือนคำสัญญาที่ได้รับพร้อมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่ทาบลงเหนือศีรษะมันทำให้รู้สึกดีและอุ่นใจ ในเมื่อพ่อไม่คิดจะเลือกเขาเขาก็ขอแค่มีบ้านที่แม่รักยังอยู่กับเขาก็พอ ส่วนพ่อกับผู้หญิงคนนั้นเขาก็จะไม่คิดสนใจ

   แต่แล้วสัญญาที่ออกมาจากปากของญาติผู้ใหญ่ที่เขาให้ความไว้วางใจกลับเป็นเพียงแค่สัญญาลมปากไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้

   ผู้เป็นตาบอกให้เขารอ เขาก็รอ รอว่าสักวันหนึ่งตาจะมารับเขาไป ตาจะไล่พ่อใจร้ายกับผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้แม่เขาตายออกไปจากบ้านที่แม่รัก เขารอ

   แล้วเขาได้อะไรกลับมา...?

   ไม่

   เขาไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากความไว้ใจที่สูญเปล่า

   หลังจากงานศพของแม่ ตาก็หายไปจากชีวิตของเขา คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็จางหายไป ยังดีที่ว่าบ้านหลังนี้อยู่ในความดูแลของผู้เป็นตาตามความประสงค์ของแม่เพราะเขายังเด็กจึงยังไม่สามารถจัดการทรัพย์สินอะไรได้ด้วยตนเองทำให้เขายังพอมั่นใจว่าบ้านจะยังเป็นบ้านของเขาอยู่ แค่ความน่าอยู่ลดลงจนเกือบไม่มี

   ทุกๆวันเขาเฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรตาจะมารับจะมาไล่คนที่ทำให้บ้านหลังนี่ไม่น่าอยู่ให้ออกไป ทุกวันที่ได้คุยกับราชันเขามักจะเฝ้าถามหาผู้เป็นตาที่ไม่แม้จะคุยกับเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น เขาได้แต่เฝ้ารอ รอจนรู้ว่าไม่ต้องรออีกต่อไปและรู้ว่าคนที่ให้ความหวังกับเขากลับกลายเป็นคนที่ทำลายความหวังของเขาจนแทบไม่เหลือชิ้นดี...

   เริ่มแรกเขามี ‘พ่อ’ เป็นความคาดหวังแรกที่เขาคาดหวังว่าจะเลือกเขาที่เป็นลูก สุดท้ายพ่อก็ไม่เลือกความสุขของเขาแต่กลับโลภเลือกเอาความสุขขอตนเองเป็นที่ตั้ง และ ‘ตา’ คืออีกความคาดหวังของเขาที่ถูกทำลายลงไม่ต่างกัน
   แล้วตอนนี้เพิ่งจะกลับมาเพื่ออะไร...?

   “คุณหายไปตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วตอนนี้กลับมาทำไมครับ หรือเพิ่งนึกได้ว่าเคยสัญญาอะไรเอาไว้กับผม” ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่คิดว่าถูกทอดทิ้งมาหลายปีทำให้เปลวอรุณใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงทำร้ายใจทั้งตนเองและผู้ฟัง

   “เปลวใจเย็นก่อน” จนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆต้องรั้งอีกคนเข้ามากอดเมื่อร่างทั้งร่างของเปลวอรุณเริ่มสั่น

   “คุณเปลวอย่างพูดอย่างนั้นกับคุณตาสิคะ คุณท่านท่านมีเหตุผลที่ทำไปนะคะ” วรรณารีบแก้ต่างให้กับผู้ที่เธอเคารพ ด้วยตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ถึงเหตุผลดังกล่าวดีและไม่ต้องการให้สองตาหลานต้องผิดใจกันไปมากกว่านี้

   “เหตุผลอะไรหรือครับคุณป้า เหตุผลที่ผมเป็นหลานชังที่เกิดจากผู้ชายคนที่เขาชังน้ำหน้าอย่างนั้นหรือครับ” ถึงได้ใจร้ายใจดำกับผมได้ขนาดนี้ เปลวอรุณสะอื้นไห้ในใจ

   วรรณานิ่งเงียบด้วยไม่รู้จะกล่าวยังไง แม้เธอจะรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้จะพูดอะไรออกมามากก็ดูจะเกินงามทำได้แค่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่มองหน้าชายชราที่นั่งหลับตาเงียบไม่พูดไม่จา
   ภูมิแสงเองเมื่อเห็นบุพการีของตนมีท่าทีไม่สบายใจก็ทำได้แค่นั่งบีบมือให้กำลังใจไม่ปล่อยเช่นเดียวกับแสงรวีที่แม้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยก็พลอยทำหน้าเครียดไม่ต่างกัน

   “ใช่ จริงอย่างที่หลานพูดมาที่ตาชังน้ำหน้าพ่อของหลานมาตั้งแต่แรก” ธรรมภาสยอมรับด้วยอารามสงบนิ่ง เปลือกตาอ่อนลืมขึ้นให้เห็นดวงตาที่แสดงความอ่อนล้าออกมา

   “ครั้งแรกที่พราวแสงแม่ของหลานพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ตารู้สึกได้คือ ผู้ชายคนนี้เป็นคนมุ่งมั่นดี แต่บางสิ่งบอกกับตาว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้ลูกสาวที่รักของตาต้องเสียน้ำตา อีกทั้งตอนนั้นแม่ของหลานก็ยังเด็กดูจะแก่กว่าเจ้ารวีไม่กี่ปีเองด้วยซ้ำไป ตาก็อยากให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่านี้ แต่แม่หลานมันดื้อเงียบ มั่นใจในตัวเองเกินไป และก็เดียงสาเรื่องรักนัก” ชายแก่ระบายยิ้มบางๆยามนึกถึงลูกสาวคนเล็กที่ตนถนอมรักและเอ็นดูมาอย่างกับไข่ในหิน

         ลูกสาวคนเล็กที่ทั้งเขาและภรรยารักมาก

   “พอตาคัดค้านไม่เห็นด้วยก็ประท้วงอดข้าวบ้างละ ไม่ออกจากห้องบ้างละ พอหนักข้อขึ้นก็กลายเป็นว่าทะเลาะกันเสียยกใหญ่แถมยังมีหน้ามาบอกว่าจะหนีออกจากบ้านอีกด้วย” ธรรมภาสยิ้มขำ “ตาเองตอนนั้นมันก็หัวร้อนได้ทีด้วย พอยายพราวพูดแบบนั้นก็พลั้งปากไล่แม่เราออกจากบ้านพร้อมบอกจะตัดพ่อตัดลูกกับมันด้วย คราวนี้ละก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วแม่เราก็ไม่รู้ไปเอาความกล้าแบบบ้าๆนั้นมาจากไหนถึงได้หนีออกจากบ้านจริงๆอย่างที่ลั่นปากไว้” คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของธรรมภาสกลายเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ

   “ไม่รักพ่อรักแม่รักพี่ตาไม่ว่า แต่นี่แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหญิงก็ไม่คิดจะรักษา หนีตามผู้ชายข้ามจังหวัดเพราะคิดว่าที่ทำที่เลือกนะถูก แล้วเป็นไงละ ฮึ” ชายชรายิ้มเยาะ “แต่บางทีอาจเป็นเพราะตานี่ละที่เลี้ยงลูกมาผิด ตามใจเสียจนเคยตัวห่วงมากจนเกินไปพอเขาได้มีสิทธิคิดเองเลือกเองได้ก็เลยทำตัวปีกกล้าแบบนั้น” และเยาะเย้ยตัวเองที่เลือกเลี้ยงลูกมากผิด

   “แต่ก็ยังดีที่ยายพราวมันเลือกจะไปอยู่บ้านหลังนั้นที่แม่เขาสร้างเอาไว้ให้ก่อนหน้า เลยพอที่จะหมดกังวลได้หน่อย ความเป็นอยู่ของแม่เราตาไม่เคยมองข้ามหรอกนะ ตาส่งคนมาคอยดูตลอดแต่ทิฐิมันสูงเลยไม่เคยแม้จะไปหาหรือพูดคุยด้วยจนแม่เราจะคิดว่าตาโกรธตาไล่ทิ้งก็ไม่แปลก”

         อาจเพราะทั้งตัวเขาและลูกสาวเองก็ต่างถือทิฐิไม่หันหน้าคุยกันเสียให้รู้เรื่องจนกลายเป็นเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยเอาเองจนสุดท้ายก็ได้แต่มานั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา

   เปลวอรุณเงียบ

         เรื่องราวมากมายที่ออกมาจากปากของธรรมภาสขยายความมากมายที่แม่ของเขาเคยเล่าให้ฟัง จริงอยู่ที่แม่เขาเคยเล่าให้ฟังว่าถูกตาไล่ออกจากบ้านเพราะแม่เลือกที่จะเลือกพ่อเป็นคู่ชีวิตจนทำให้ตาไม่พอใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่เขาไม่เคยรู้เลยตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาตามทางที่ตัวเองเลือกก็คือ ตาไม่เคยทอดทิ้งแม่อย่างที่แม่เข้าใจ

   “แต่ตาดีใจนะ ที่สุดท้ายแล้วแม่เราเลือกที่จะให้ตาเป็นคนดูแลเรากับบ้านหลังนั้น” รอยยิ้มครั้งนี้ของธรรมภาสดูมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อคิดว่านี้คือสิ่งที่ลูกสาวต้องการจะสื่อถึงว่า ยังคงรักและคิดถึงพ่ออย่างเขาอยู่

   “แต่กับพ่อหลาน ตาบอกแล้วว่าตาดูคนไม่ผิด” คราวนี้เสียงของชายชราดูเข้มขึ้นจนเปลวอรุณต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   “ตาไม่ได้อยากจะพูดให้หลานมองพ่อไม่ดีหรอกนะ” ธรรมภาสพูดให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่พ่อของหลานนะ นอกจากความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่ดีแล้วตามองไม่เห็นเลยว่าเขาจะรักแม่ของหลานจริง จะบอกว่าผู้ชายด้วยกันถึงมองกันออกด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่คำนี้เจ้าแสงพ่อของราชเองก็ยังพูดเหมือนกันกับตา”

   “หมายความว่าไง” คล้ายกันมีสายฟ้าฟาดผ่านกลางใจกับคำที่ได้ยิน “พ่อไม่เคยรักแม่หรอ” เสียงของเปลวอรุณแผ่วเบาและสั่นเครือเมื่อคิดถึงความน่าหวาดหวั่นนี้

   พ่อไม่เคยรักแม่ ในขณะที่แม่เขารักพ่อยิ่งกว่าอะไร...

   “อย่าคิดอย่างนั้นเปลว ถ้าไม่รักกันพวกเขาคงไม่อยู่ด้วยกันจนหลานเกิดมาหรอกนะ” ธรรมภาสปรามความคิด ถึงจะไม่ได้นึกรักแต่ก็ไม่อยากให้หลานต้องมองพ่อของตัวเองไปในทางเลวร้าย

   “ที่ตาจะเล่า ไม่ได้เล่าให้หลานเกลียดพ่อตัวเอง แต่ตาจะเล่าเพื่อให้หลานรู้ถึงความเข้าใจผิดที่เรามีต่อกันมา เข้าใจไหม” เขาพยายามย้ำให้เปลวอรุณเข้าใจถึงข้อเท็จจริงที่เขากำลังจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้

   เปลวอรุณพยักหน้ารับช้าๆแม้ในใจจะรู้สึกปวดหนึบไปหมดแล้วก็ตามที

   “วันนั้นที่ตาให้สัญญากับหลานไป ตาไม่คิดจะผิดคำเลยสักนิด” ธรรมภาสเข้าประเด็น

   “ตาเรียกพ่อเราไปคุย ตาขอให้เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้นโดยให้เขาเห็นแก่หลาน แต่เขาดันบอกว่ากับตาว่า ‘พิมพ์ไม่ดีตรงไหน พิมพ์เองก็รักเปลวเหมือนลูกคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยเปลวที่กำลังจมน้ำขึ้นมาหรอก’ แถมยังบอกว่าตาคิดจะพรากพ่อพรากลูกจากกันตอนที่ตาขู่ว่าถ้าเขาไม่เลิกตาจะพาหลานไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วฟ้องขับไล่เขากับแม่เมียใหม่นั่นออกจากบ้าน” คิดแล้วก็นึกขำในตัวผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่น้อยที่กล้าเอาเรื่องสิทธิเลี้ยงดูเปลวอรุณขึ้นมาเป็นข้ออ้างมันยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของลูกเขยตัวดีที่เขานึกชังน้ำหน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ

               ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ลูกสาวเขารัก....

          “พ่อเขารักหลานมากนะเปลว แต่เขาก็หลงผู้หญิงคนนั้นมากด้วยเหมือนกัน”

   พอได้ฟังแบบนั้นแล้วเปลวอรุณก็เพิ่งแรงบีบมือของอัมรินทร์ที่เอื้อมมากจับมือของตนเอาไว้แน่นกว่าเดิม

   “ตอนแรกตาตั้งใจจะจ้างทนายเพื่อขอสิทธิ์เลี้ยงดูเราจากศาล แต่พ่อของเรามันร้ายมันขู่ตา ถ้าตาคิดจะเอาเปลวไปมันก็จะพาเปลวไปไว้ที่อื่นถ้าตายังติดต่อเปลวอีกหามันจะพาเปลวหนี ถึงตาจะเชื่อว่าคนอย่างมันจะไม่ทำร้ายลูกแต่ใจคนมันยากแท้ที่จะคาดเดา เปลวเข้าใจตาไหมว่าตาคิดยังไงรู้สึกแบบไหน” ธรรมภาสเล่าความ พร้อมเอ่ยถามไปด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าและโศกเศร้า

   “ตาเสียลูกสาวไปคนแล้ว และตาก็ไม่อยากจะเสียหลานไปอีกคน ต่อให้ตามีอำนาจมากขนาดไหนแต่คนมันจนตรอกมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี ตาไม่อยากเสี่ยง” ธรรมภาสพูดด้วยน้ำเสียงปวดใจยามนึกถึงคำพูดของลูกเขยตัวดีที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันยกลูกชายคนเดียวของตัวเองให้ผู้เป็นตาอย่างเขาเลี้ยงดู จนถึงขนาดว่าจะขู่ฆ่าลูกของตัวเองแล้วฆ่าตัวตายตามด้วยซ้ำไปและเขาไม่มีทางที่จะเล่าให้เปลวอรุณรับรู้ถึงเรื่องน่ากลัวที่ออกมาจากปากของผู้ให้กำเนิดแน่

   เขากลัวหลานจะรับไม่ได้...

   เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าเก่าหลายเท่าตัวเมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ถูกปกปิดมานาน ความคับข้องใจของเขาถูกคลี่คลายลงแล้วก็จริง ก็มันก็มาพร้อมกับคำถามมากมายที่ว่า ทำไม และ ทำไม เต็มไปหมดจนปวดหัว

   ฝ่ามือขาวยกขึ้นกุมขมับจนหลายคนในห้องมองอย่างนึกเป็นห่วง รวมถึงนภาและสุริยะที่ทำตัวเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาในครอบครัวอยู่ด้านนอก

        “แล้วทำไมถึงเพิ่งมาพูดตอนนี้” เปลวอรุณเปิดปากถามขึ้นหลังจากเงียบไปนานจนหลายคนนึกหวั่นใจ แต่น้ำเสียงที่ราบนิ่งกว่าปกตินี้ต่างหากที่เริ่มทำให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก

        “ถ้าคุณบอกว่ากลัวพ่อจะพาผมหนีหรือกลัวว่าเขาจะทำอะไรกับผมก็ตามแต่ แล้วตอนที่พ่อตายแล้วละ ทำไมคุณยังหายเงียบไปอยู่อีก” ถ้าธรรมภาสกลัวคำข่มขู่ของพ่อเขาแล้วในตอนที่พ่อของเขาเสียไปแล้วละ ทำไมถึงยังทิ้งเขาเอาไว้ให้อยู่กับผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกทำไมไม่กลับมาทำตามที่ให้สัญญากับเขาเอาไว้ ทำให้เขารู้ว่าเขายังมีตาเป็นที่พึ่งพิง

   “ตาขอโทษเปลว” ชายชรามีสีหน้าที่ดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

   ยิ่งธรรมภาสไม่แก้ต่างหรือพูดอะไรออกมาเลยนอกจากคำว่า ขอโทษ ที่แสดงถึงความรู้สึกผิดก็ยิ่งทำให้เปลวอรุณเค้นยิ้มเยาะใส่ตัวเองมากขึ้นจนอัมรินทร์กับลูกตาลที่นั่งอยู่ขนาบข้างได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ดังออกมาจากลำคอของเปลวอรุณ

   “แล้วทำไมตอนนี้ถึงออกมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังได้ละครับ” เปลวอรุณประชดประชัน

   “เพราะตาไม่อยากให้เราผิดใจกันไปนานกว่านี้อีกแล้ว ตาเองก็แก่มาแล้-“

   “แล้วผมเองก็ไม่รู้จะตาวันตายพรุ่งด้วยใช่ไหมครับ” เปลวอรุณยิ้มเหยียด

   “พี่เปลว อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” ราชันรีบโผล่ขึ้นปรามด้วยไม่อยากให้พี่ตัวเองพูดจาเป็นลางร้ายแบบนั้น เพราะแค่นี้ตัวเขาเองก็ใจเสียมากพอแล้วที่ต้องมาเห็นพี่กับตาของตัวเองทะเลาะกัน

   “พี่พูดจริงราช” เปลวอรุณปรายตามามองน้องชายเล็กน้อยก่อนหันกลับไปมองผู้เป็นตาอีกครั้ง

   “ถึงจะมีหลายคนหายจากโรคนี้ได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ตายเพราะมันอยู่เหมือนกัน”

   “เปลว” อัมรินทร์ท้วงขึ้นอย่างไม่พอใจปนปวดร้าว

   “ถ้าผมไม่ป่วยคุณจะมาหาผมไหม จะมาบอกเรื่องพวกนี้กับผมหรือเปล่า” ความปวดร้าวในดวงตาของเปลวอรุณสื่อชัดถึงความน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่ผู้เป็นตาเลือกที่จะทำให้ ยิ่งความในใจของเปลวอรุณสื่อออกมาชัดผ่านแววตาแบบนี้แล้วธรรมภาสเองก็รู้สึกคล้ายจะมีก้อนหินขนาดใหญ่จุกตันอยู่ที่ลำคอปิดกั้นเสียงพูดของเขาไม่ให้เปล่งออกมาได้อย่างที่ต้องการ

   
:mew3:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-04-2018 23:24:22
:mew3:


“ที่ผ่านมาตารู้หรือเปล่าว่าเปลวต้องเจออะไรบ้าง ตารู้ไหมว่าเปลวเจ็บ” เขาชี้ลงตำแหน่งหัวใจ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาคู่สวยที่แดงก่ำ

   “เปลวเจ็บที่ต้องเป็นคนถูกทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลวรอตามาหาแต่ตาก็ไม่มา ตาไม่คิดถึงเปลวบ้างหรอ ไม่รักเปลวหรอ”

   “ไม่เปลวไม่ใช่อย่างนั้น” ธรรมภาสหน้าเสียรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

   ร่างชราภาพเท้ายันแขนกับพนักวางแขนของเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าเพื่อพยุงตัวเองหมายจะเข้าไปกอดปลอบหลานชายที่ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารโดยไม่ห่วงว่าตนเองจะสามารถยืนด้วยขาของตัวเองไหวหรือไม่ จนซวนเซที่จะล้มกลับลงไปนั่งอีกครั้งจนราชันที่นั่งมองอยู่หน้าถอดสีกว่าตั้งสติดีดตัวขึ้นตามสัญชาตญาณก็คงเข้าไปรับเอาไว้ไม่ทันแน่ โชคยังดีที่แสงรวีไหวตัวทันรีบพุ่งออกไปรับร่างของธรรมภาสไว้ได้ทันก่อนจะเป็นฝ่ายประคองร่างอ่อนแรงของชายชราก้าวเข้าไปหาหลานชายคนโตผู้ที่ร้องไห้ออกมาเหมือนจะขาดใจอยู่กลางระหว่างคนรักและลูกชาย

   “ไม่เอาลูกไม่ร้อง ตาขอโทษ” ธรรมภาสเอื้อมมือออกไปลูบหมวกไหมพรมที่สวมครอบอยู่เหนือศีรษะ ก่อนจะไล่ลงมาที่สองข้างแก้มขาวซีดเปื้อนคราบน้ำตา

   “ถ้าเปลวไม่ป่วย ตาจะมาหาเปลวไหม จะมาพูดถึงเรื่องพวกนี้ให้เปลวฟังไหม” เปลวอรุณยังคงตัดพ้อน้อยใจทั้งน้ำตาแม้จะได้รับไออุ่นจากฝ่ามือที่โหยหามานานก็ตาม

   “มาสิ ถึงเปลวไม่ป่วยตาก็จะมาหา” ธรรมภาสกอดปลอบหลายชายตัวเองแน่น “ตารักเปลว รักไม่น้อยไปกว่าน้องคนไหนเลย หลานทั้งสี่คนตารักเท่ากันหมด”

   เขารู้ว่าเขาทำหลานชายต้องเสียใจ แต่เขาก็รักก็ห่วงหลานคนนี้ไม่ต่างจากหลานอีกสามคนที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าบิดาของเปลวอรุณแต่เขาก็ไม่เคยนึกชังหลานคนนี้เลยสักครั้ง ไม่เคย...

   “เปลวอยากรู้อะไรถามตามาเลย ตาจะบอกทุกอย่าง แต่อย่าร้องไห้เลยนะลูก”


กว่าสองตาหลานจะเคลียร์ใจกับสิ่งที่ค้างคามานานเท่าอายุเปลวอรุณให้จบลงได้ก็นานพอที่จะเห็นรถยนต์ของอนิรุทธิ์ที่ออกไปรับลิลดาพร้อมซื้อของขับเลี้ยวกลับเข้ามาจอดในโรงจอดรถของบ้าน

   และเพราะจำนวนสมาชิกบนโต๊ะอาหารที่มากกว่าปกติเป็นเท่าตัวทำให้ลุงอุ่นเรียกตัวแววกันน้อยเข้าไปเป็นลูกมือในครัวตั้งแต่บ่ายแก่เพื่อตรวจดูวัตถุดิบและเริ่มปรุงอาหารและปล่อยให้เจ้านายพูดคุยกันต่อในห้องรับแขก

   “ดีจังเลยนะคะที่ปรับความเข้าใจกันได้ดีแล้ว” นภายิ้มแก้มปริ เธอเองก็ใจหายใจคว่ำไปหลายรอบตอนเห็นคนสองรุ่นพูดคุยกันทั้งน้ำตา

   ธรรมภาสยิ้มไม่ต่างกัน แววตาของชายชราเปรี่ยมไปด้วยความสุขยามก้มมองหลายชายคนโตที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นข้างกาย คลึงปลายนิ้วหัวแม่มือกับหน้าผากมนของเปลวอรุณอย่างเอ็นดูก่อนสายตาจะสบเข้ากับแหวนวงหนึ่งที่นิ้วนางบนมือของเปลวอรุณที่วางไว้ที่หน้าตักของตนแล้วแบนสายตาจากหลังมือหลานไปที่มือของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งประกบข้างหลานของตนไม่ห่างกาย

   อัมรินทร์ที่พอจะรู้สึกถึงสายตาของชายอาวุโสที่มองมาทางตนก็พอจะเข้าใจในความหมายของสายตาที่คล้ายจะเอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ชายหนุ่มจึงขยับถอยห่างจากร่างของคนรักที่เอนซบตักของผู้เป็นตาออกมาด้านหน้าของชายชราตรงๆท่างกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของคนที่อยู่ในห้อง

   “มีอะไร” ธรรมภาสเอ่ยเสียงเข้มอย่างจับผิด แววตาพิจารณาอย่างที่ชอบทำเผลอกวาดสำรวจคนหนุ่มตรงหน้าที่จ้องมาทางตนอย่างมุ่งมั่น

   “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณครับ” อัมรินทร์ตอบเสียงหนัก

   ธรรมภาสนิ่งเงียบรอฟัง

   นภากับสุริยะหันหน้ามองกันอย่างแปลกใจสงสัยกับการกระทำของลูกชายก่อนจะหันไปมองทางอนิรุทธิ์ที่หันมาส่ายหัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างไม่รู้ไม่ต่างกัน

   “ผมไม่รู้ว่าราชันได้พูดถึงเรื่องของผมให้คุณฟังหรือไม่” อัมรินทร์หันมองทางราชันเล็กน้อย “แต่ผมมีบางสิ่งที่อยากจะบอกกับคุณครับ”

   “นายคงเป็นอัมรินทร์” อัมรินทร์พยักหน้ารับ ธรรมภาสหรี่ตาลงเล็กน้อย

   “ใช่ ราชเคยเล่าเรื่องของนายให้ฉันฟัง เขาบอกว่านายเคยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยรวมถึงแม่หนูนั่นด้วย” ปลายประโยคธรรมภาสเงยหน้าไปมองลิลดาที่นั่งอยู่ข้างอนิรุทธิ์ที่ส่งยิ้มพร้อมก้มหัวให้เล็กน้อย

   “แล้วมีอะไรที่ฉันควรรู้เอาไว้อีกไหม” จริงอยู่ที่ราชันมักจะเล่าเรื่องต่างๆรอบตัวของเปลวอรุณให้คนแก่อย่างเขาฟังบ่อยๆ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็ต้องมีเรื่องของชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ด้วย แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ว่าเจ้าตัวเขาจะแนะนำตัวกับเขาว่ายังไงเหมือนกัน

   “ครับ” อัมรินทร์รับคำก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกเฮือกหนึ่ง

   “ผมรู้ว่าเรื่องระหว่างผมกับเปลวมันมาไกลและข้ามขั้นในหลายๆขั้นโดยเฉพาะเรื่องขนบธรรมเนียม” เขาพยายามเรียบเรียงคำให้ดีที่สุด ด้วยไม่นึกว่าจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แถมเป็นในระยะเวลาที่กระชั้นจนแทบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อน

   “แต่ผมรักเปลว ผมพร้อมที่จะดูแลเปลวไม่ว่าจะยามทุกข์หรือสุข ผมพร้อมที่จะจับมือเปลวไปทุกจังหวะของชีวิต ผมอยากจะขอ ขอให้คุณไว้ใจยอมให้ผมได้รักได้ดูแลเปลวจะได้ไหมครับ” อัมรินทร์พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะประคองน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่นมากจนเกินไปจากความประหม่า

   คนฟังกระตุกยิ้มพอใจ

   ธรรมภาสหันหน้ามองไปทางลูกสะใภ้ของตนคล้ายถามความคิดเห็น ทางวรรณาเองก็ทำเพียงส่งยิ้มที่บ่งบอกว่าเธอพึงพอใจไม่ต่างกันให้แทนคำตอบ

   แต่ดูเหมือนคนที่จะมีปัญหาจริงๆกลับเป็นภูมิแสง

   “ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณไม่ได้ดีจริงแค่ลมปาก” นิสัยห่วงพี่ห่วงน้องของภูมิแสงถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อได้อย่างชัดเจนที่สุด แม้ตนเองจะไม่ได้สนิทกับพี่คนใหญ่มากเท่าไรแต่เมื่อถือว่าเป็นพี่เป็นญาติเป็นคนในครอบครัวแล้วละก็ภูมิแสงจะไม่ปล่อยผ่าน

   “ผมได้ยินเรื่องของคุณจากพี่ราชมาเยอะ ตัวคุณเองเริ่มแรกก็เข้าหาพี่ของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์แล้วผมจะเชื่อได้อย่างไรว่าคุณจะรักพี่ผมจริง” นายตำรวจหนุ่มคาดคั้นเอาความจริงจังจนธรรมภาสอดที่จะภูมิใจในตัวหลานชายคนนี้ไม่ได้ ในขณะที่ราชันยิ้มกริมพอใจกับคำพูดของน้องชายต่างแม่ที่ขัดขึ้นมาจนวาเลนติโน่ต้องส่งสายตาปรามไม่ให้เจ้าตัวร้ายของเขาแสดงออกหน้าออกตามากจนเกินไปถึงความสะใจที่ว่า

   ไม่เสียแรงที่บ่นเรื่องของอัมรินทร์ให้ภูมิแสงฟังบ่อยๆ....

   “แต่คุณเขาก็ดูแลพี่เรามาตลอดไม่ใช่หรอครับ” แสงรวีพยายามที่จะเอ่ยช่วย แต่ก็โดยสายตาดุๆของพี่ชายเข้าไปจนไม่กล้าพูดต่อได้แต่ก้มหน้างุยเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากลูกตาลที่นั่งอยู่ด้านหลังเปลวอรุณได้อย่างดี

   “ถึงคุณจะดูแลพี่ของเรามาก็จริง แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆเราจะรู้ได้ไงว่าระหว่างที่พี่เปลวรักษาตัวเขาจะไม่ถอดใจไปกลางคัน” เหมือนจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่ภูมิแสงก็ต้องพูดออกมาเพราะเขาเห็นมานักแล้วไอ้พวกที่ว่าเริ่มแรกก็ดูแลเอาใจใส่ดีแต่พอนานวันเขาก็เริ่มห่างหายไปเพราะความเบื่อหน่ายไม่ก็รับไม่ได้กับสภาพร่างกายที่ต้องผ่านเคมีและรังสี

   “แต่ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น” อัมรินทร์ขึ้นเสียงตวัดสายตามองภูมิแสงเขม็ง เขาไม่ชอบให้ใครมาสบประมาทหรือดูถูกความจริงจังของตนแม้จะเป็นการทดสอบก็ตาม

   อัมรินทร์หันกลับมามองที่ธรรมภาสอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังมากกว่าเดิม

   “ผมไม่ขอให้พวกคุณเชื่อว่าผมจะทำอย่างที่พูดได้หรือไม่ แต่ผมรักเปลวนี่คือความจริงทั้งหมดที่ผมมี” และน้ำเสียงของอัมรินทร์ก็หนักแน่นมากพอที่จะกะเทาะใจของธรรมภาสได้ไม่ยาก

        ชายชรามั่นใจในประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนานของตนมากพอว่าดวงตาคู่นี้จะพร่าเลือนไปตามกาลเวลาบ้างแล้วแต่มันจะไม่พร่าบอดมองสิ่งใดผิดไปจากความจริง

       และคำของอัมรินทร์คือสิ่งที่คนแก่อย่างเขาสัมผัสได้ว่ามันคือคำสัตย์จริงจากใจชายคนหนึ่ง

        ภูมิแสงนิ่งเงียบลอบมองท่าทีของผู้เป็นปู่ว่าจะเอ่ยกล่าวสิ่งใด แต่พอได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากนายตำรวจหนุ่มก็เผลอยกยิ้มตามกับคำตัดสินใจที่ออกมา

         ปู่ของเขามีสายตาที่เฉียบคมและมองคนได้อย่างทะลุพรุนใจ และเขาเชื่อว่าเมื่อปู่แสดงสีหน้าและแววตาแบบนี้ออกมาย่อมหมายถึงว่าปู่ยอมรับผู้ชายคนนี้ของพี่คนใหญ่ และตัวเขาเองก็มั่นใจจากสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าผู้ชายตรงหน้ารักพี่ของเขาจริงจากใจ

        “แล้วนายมีอะไรที่จะเอามาหมั้นหลานของฉัน”

         คำพูดธรรมดาๆอย่างการเอ่ยถามหาของบางสิ่งอัมรินทร์ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะดูยิ่งใหญ่และน่ายินดีได้ขนาดนี้ ใบหน้าคมฉีกยิ้มกว้างก่อนหันไปมองเปลวอรุณทีหนึ่งก่อนหันกลับไปมองผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหลัง

      อัมรินทร์รีบขยับตัวคลานกลับไปนั่งข้างกายเปลวอรุณอีกครั้งแทบจะในทันที มือหนาเอื้อมจับมือของเปลวอรุณเอาไว้แน่นมากกว่าครั้งไหนๆ

         “ตัวผมในตอนนี้คงจะมีเพียงแหวนคู่นี้ที่เราสวมกันอยู่เท่านั้นละครับ” อัมรินทร์เกลี่ยแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของเปลวอรุณไปมาด้วยความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก นึกโกรธตัวเองที่ไม่มีเวลาที่จะหาของมีค่าอะไรมาหมั้นหมายเปลวอรุณได้มากกว่านี้

   “แหวนวงนั้นที่พวกเขาสวมอยู่เป็นค่าตอบแทนของความพยายามหลายๆอย่างที่ลูกชายของผมทำมาเพื่อให้ได้สวมมันลงบนมือของคนที่เขาอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หวังว่าคุณธรรมภาสจะไม่รังเกียจของเล็กน้อยแบบนี้นะครับ” แต่ใครจะคิดกันละว่าในระหว่างที่อัมรินทร์นั่งโทษโกรธตัวเองอยู่นั้นคนเป็นพ่ออย่างสุริยะจะช่วยออกหน้าให้กับลูกชาย

   อัมรินทร์หันมองหน้าบิดาของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาบิดาของตนแทบไม่เคยออกหน้าช่วยเหลือเขาในเรื่องใดๆเลยสักครั้งขนาดว่าเขากับอนิรุทธิ์เคยทะเลาะวิวาทพ่อของเขายังยอมให้ตำรวจพาพวกเขาเข้าไปนอนในห้องขังรวมกับโจทก์ที่เพิ่งมีเรื่องกันไปก่อนหน้าทั้งคืน แต่ครั้งนี้พ่อยอมที่จะเอ่ยปากออกหน้าให้กับเขา

   “ไม่หรอกครับ ใครจะกล้ารังเกียจหยาดเหงื่อความพยายามของคนกัน” ธรรมภาสยิ้มอย่างเข้าใจ

   “ถ้าอย่างนั้นในฐานะผู้ใหญ่ของเจ้าอันมัน ผมขอสู่ขอหนูเปลวให้มาเป็นสะใภ้จะได้หรือไม่ครับ” เมื่อไร้การคัดค้านใดๆสุริยะจึงออกตัวเป็นผู้ใหญ่สู่ขอเปลวอรุณให้ลูกชายของตน

   “ยินดีครับยินดี ฮ่าฮ่าฮ่า”

   “แล้วเรื่องสินสอดละคะ ทางคุณธรรมภาสจะเรียกเสียเท่าไรดี” นภาเอ่ยถาม

   “ทางผมคงไม่กล้าเรียกร้องอะไรขนาดนั้นหรอครับ” ธรรมภาสปฏิเสธที่จะเรียกร้อง

   “เรียกเถอะครับ ถือสะว่าเป็นค่าขอขมาที่ลูกของผมทำเรื่องไม่ควรเอาไว้กับหลานของคุณก่อนจะตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว”

   ธรรมภาสทำหน้าคิดตาม ด้วยความที่ใจไม่ใคร่จะขอเรียกร้องอะไรแต่พอถูกทักท้วงแบบนี้ก็ยิ่งคิดหนัก

   “เรื่องไม่ควรไม่งามทางเราเข้าใจเรื่องนี้ดีค่ะ” วรรณาแทรกขึ้น เธอเหลือบตามองธรรมภาสเล็กน้อยเปิดเชิงขออนุญาตเมื่อชายชราไม่ทักหรือขัดอะไรเธอจึงพูดต่อ

   “หาทางคุณอยากจะขอให้เราเรียกร้องเพื่อเป็นค่าขมาลาโทษกับสิ่งที่ลูกของคุณทำกับหลานของเรา ดิฉันขอเรียกร้องให้ลูกของคุณรักและดูแลหลานของเราจะได้หรือไม่คะ” เธอถามด้วยรอยยิ้มบางๆเอื้อนเอ่ยถ้อยคำช้าๆตามประสาคนเมืองเหนือให้สุริยะและนภาได้เข้าใจความต้องการของผู้อาวุโสสูงสุดของฝ่ายตน ก่อนจะหันมาเอาคำตอบจากอัมรินทร์

   “ได้ครับ ผมจะดูแลเปลวอย่างดีเลยครับ”

   “ดีค่ะ”วรรณายิ้ม “เพราะของที่มีค่ามากที่สุดจนยากที่จะอธิบายได้สำหรับคุณท่านแล้วคือความสุขชั่วชีวิตของคุณเปลว เหมือนอย่างที่ความสุขของคุณอัมรินทร์เป็นเหมือนสมบัติที่มีล่ำค่าที่สุดของพวกคุณ”



   งานมงคลที่ถูกจัดขึ้นเงียบๆดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไม่มีทรัพย์สินเงินทองเป็นหลักประกันมีเพียงแหวนหนึ่งคู่กับความรักของคนสองคนเป็นหลักประกัน มีคำอวยพรจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นเสมือนคำชี้นำและของขวัญที่มอบให้ แม้ไม่มีงานฉลองใหญ่โตแต่มีคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเย็นด้วยกันร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและเรื่องราวให้กันด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะ


   ภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่ถ่ายรวมสมาชิกครอบครัวทุกคนเอาไว้ในวันสำคัญถูกอัดใส่กรอบรูปขนาดสิบนิ้วตั้งวางอยู่ท่ามกลางกรอบรูปขนาดเล็กกว่าอีกหลายกรอบบนหลังตู้ลิ้นชักใส่ของข้างประตูภายในห้องนอนเพื่อที่ว่าวันไหนที่คิดถึงกันจะได้หยิบขึ้นมาดูแล้วระลึกถึงเรื่องราวดีที่เคยผ่านมา

       เปลวอรุณยิ้มบางๆให้กับกรอบรูปแห่งความทรงจำมากมายที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ภาพครอบครัวใหญ่ของพวกเขา ภาพคู่ของเขากับผู้เป็นตา ภาพของเขากับอัมรินทร์ ภาพแรกเกิดของเชิญตะวันกับรับอรุณ และภาพครอบครัวของเขา

   ปลายนิ้วเรียวขาวลูบเบาๆตามขอบกรอบสีน้ำตาลเข้มของกรอบรูปใหญ่สุดก่อนเปลี่ยนไปยังกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ลูบเบาๆบริเวณใบหน้าของชายชราบนเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าที่กำลังหันข้างยิ้มหัวเราะให้กับเขา และถึงแม้ในวันนี้จะไม่มีโอกาสที่จะได้ส่งยิ้มให้กับแบบในรูปได้อีกแล้วแต่เขาเชื่อว่าตาของเขาคงกำลังมองมาที่พวกเขาแล้วยิ้มอยู่ที่ไหนสักที่พร้อมกับแม่ของเขา

   “เอะ”

   เสียงร้องเล็กๆของเจ้าลูกหมูตัวกลมที่นอนซบไหล่ส่งเสียงเรียกให้ผู้เป็นแม่ที่กำลังทอดสายอารมณ์ออกไปไกลถึงเรื่องราวที่ผ่านมานานให้กลับมาหาเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มสัมผัสไม่ได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่กล่อมกอดอยู่

   เปลวอรุณตบหลังเล็กๆของเชิญตะวันเบาๆเป็นเชิงกล่อมให้ลูกสาวตัวน้อยได้หลับให้สนิทกว่าเกิดพร้อมก้าวขาไปเดินเปลี่ยนทิศทางไปมารอบๆห้องอีกครู่หนึ่งก่อนวางร่างเล็กๆของเด็กหญิงตัวน้อยให้นอนลงบนเบาะนอนเสริมข้างเตียงสำหรับเด็กอ่อนข้างๆกับรับอรุณที่นอนหลับสนิทอยู่ก่อนหน้าพร้อมร่างสูงเข้มของลูกตาลที่อาสาช่วยพาน้องชายเข้านอนให้

        ตอนนี้ทั้งเชิญตะวันกับรับอรุณในวัยห้าเดือนเริ่มฉายแววความซุกซนและอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆด้วยกันทั้งคู่ กว่าจะปลุกปล้ำให้กินนมแล้วนอนกลางวันกันได้ก็เล่นเอาเด็กหนุ่มหมดแรงไปด้วยอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยังดีที่ว่าวันนี้อนิรุทธิ์และลิลดาพาดารินไปเที่ยวข้างนอกไม่เช่นนั้นความวุ่นวายเล็กๆคงเกิดขึ้นจนไม่มีใครได้นอนอย่างเช่นตอนนี้แน่ๆ

       คนเป็นแม่มองลูกๆทั้งสามด้วยรอยยิ้มขบขันเมื่อพิจารณาดูท่านอนของเด็กทั้งสามที่เลือกนอนยกแขนสองข้างเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนจนอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งแอบย่องเบาทำตัวเป็นตีนแมวใจกล้าบุกเข้ามาในห้องก่อนจะถือวิสาสะรวบเอวบางของคุณแม่ลูกสามเข้ามากอดพร้อมเกยคางลงกับลานไหล่

        “คุณอัน” เปลวอรุณเอ่ยเรียกผู้บุกรุกเสียงเบา

        “ลูกหลับแล้วหรอ” อัมรินทร์ทักถาม นัยน์ตาคมจ้องมองรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือสลับกับภาพจริงตรงหน้าก่อนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้สุดแรง

        “หลับสนิททั้งสามคนเลยละครับ” เปลวอรุณตอบกลับขำๆ อัมรินทร์คล้ายกอดรอบเอวของเปลวอรุณออกแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอาไว้กลายๆ

         “ถ้าอย่างนั้นเราปล่อยให้ลูกๆนอนกันไปดีกว่า ส่วนเปลวก็ลงไปกินข้าวได้แล้วเลยเวลามาสักพักแล้วเดี๋ยวจะปวดท้องเอาอีก” ปลายนิ้วชี้ขึ้นกดเบาๆลงที่ปลายจมูกรั้นอย่างเอ็นดู

           เปลวอรุณยิ้มรับให้กับความห่วงใยที่อัมรินทร์มีให้ต่อเขา

           สองขาเรียวก้าวเคียงคู่ไปพร้อมกับอัมรินทร์ออกจากห้องไป ตอนนี้เขาต้องลงไปกินข้าวและใช้เวลาที่สองแฝดจอมซนกำลังหลับสนิทอยู่กับลูกตาล พักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เตรียมรับมือกับความวุ่นวายจากลูกแฝดทั้งสองของเขาต่อในยาวที่ทั้งสองตื่นขึ้นมา แต่ต่อให้เหนื่อยยังไงสำหรับเขากับอัมรินทร์แล้วมันเป็นความเหนื่อยที่แสนสุขเป็นความวุ่นวายที่ไม่อยากให้หายไป
การที่มีอัมรินทร์คอยประคองจับมือกันไปในทุกๆที มีลูกตาล เชิญตะวัน และรับอรุณ คอยสร้างเสียงหัวเราะและความสุข แค่นี้ละคือสิ่งที่เปลวอรุณต้องการมากที่สุด

           ครอบครัวแสนสุขของเรา....

_________________________________________

หนึ่งตอนพิเศษตามที่ทุกคนขอมา ไม่รู้ว่าคำว่า'ครอบครัวแสนสุข'ของทุกคนกับของเราจะความหมายเหมือนกันไหมเอ๋ย?

ถ้าใครสนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ https://www.facebook.com/Iamwavery/?ref=bookmarks (https://www.facebook.com/Iamwavery/?ref=bookmarks) นะคะ
:mew1:
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: order66 ที่ 16-07-2018 15:27:40
      ขอบคุณสำหรับเรื่องครับ ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวครับ เพิ่งอ่านได้ถึงตอนที่ 7 แต่ขอบอกเลยว่าอ่านแล้วปวดหัวมาก

ไม่รู้เป็นเพราะในหนึ่งย่อหน้า ประโยคแต่ละประโยคเว้นวรรคน้อยมาก หรือเพราะมันเป็นเป็นประโยคเดียวกันแต่เขียนขยายยาว

บางทีพรรณนาซ้ำ ย้ำ หรือยืดยาวเกินไป

      หากแก้ไขส่วนนี้ ทำให้อ่านง่ายและสบายตามากขึ้น น่าจะเป็นส่วนดีต่อไปครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 02-08-2018 02:43:37
สนุกดีค่ะ นึกว่าจะม่าไม่มาก แต่พออ่านไปก็เอาเรื่องอยู่

พยายามอ่านเร็วๆ จะได้ไม่อินมาก (ฮา) จะได้ไม่ร้องไห้ 55

แอบขัดใจกับคำผิดนิดหน่อย แต่จะเยอะกับวรรณยุกต์สามัญ

 เอก โท พวกนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 07-08-2018 21:13:45
น้ำตานองเลยค่า กว่าจะยิ้มได้
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -แจ้งข่าวเล็กน้อย- 15/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 15-08-2018 20:42:35



           เนื่องจากในครั้งแรกที่เรามีการแจ้งให้เพื่อนๆทราบว่านิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาไปก่อนหน้า เพื่อไม่เป็นการทำให้เพื่อนๆต้องรอกันเราจึงขอแจ้งให้ทราบว่า  ตอนนี้พริ้วได้ยกเลิกสัญญานิยายเรื่อง ลูกหนี้ที่รัก ที่จะมีการออกเล่มกับทางสำนักพิมพ์ Writer Books แล้วนะคะ :hao5:


หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-09-2020 14:42:52


  จนทำให้ขอบชายเสื้อสูทเนื้อดีที่เขาอุตสาห์เก็บเงินมาร่วมแรมปีกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครอง

   

          “นายคิดว่านายจะเอาหายเงิน100ล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” อัมรินทร์เริ่มคำถาเดิมอีกครั้งโดยที่ใบหน้าหล่อเหลายังไม่ยอมที่จะละห่างออกจากบริเวณซอกคอขาว

           “ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”

           
คือว่า สงสัยนะ สูทราคาไม่กี่พันยังแทบไม่มีปัญญาซื้อ แล้วไปผัดผ่อนขอยืดเวลาใช้หนี้100ล้าน กี่แสนปีกว่าจะใช้หมดเนี่ย มันไม่สมเหตุผล ถ้าแต่งให้เหลือ5ล้าน10ล้านจะดูเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 27-09-2020 17:20:38

ความรักที่ คุณอัน มีให้กับเปลว เป็นความรักที่มั่นคงและจริงใจ เพียงแต่ ต้องการหาวิธีที่จะครอบครองมาเป็นของตัวเองแบบไม่ถูกต้องเท่านั้นเอง  คนที่น่ารังเกียจ คือ ราชัน ไม่สาควรให้อภัย...

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 4- 26/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 08-10-2020 19:49:25
 บทบรรยายเยอะ บทพูดคุยละเอียดยิบ แต่เนื้อเรื่องเกือบไม่ไปไหน
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 13-10-2020 10:15:32
น่ารักมากๆครับ
อยากให้ ตาล ได้กับราชัน  แต่วาเลน คงไม่ยอม 555
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 1- 7/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 14-02-2022 23:41:29


    หลังจากนั้นพ่อเขาก็พาตัวต้นเหตุอย่างผู้หญิงคนนั้นเขามาในบ้าน พาเขามาทั้งๆที่ศพของแม่ยังไม่เผา.........

 ตั้งแต่พ่อพามันเข้ามาเย้ยแม่เขาถึงในบ้านยังไม่พอมันยังชูคอทำตัวเหมือนเป็นเข้าของบ้านกดขี่แม่เขาอย่างกับเป็นขี้ข้าทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้อยู่อาศัย 
ยังไงกันแน่
เมียน้อยเข้ามาอยู่หลังแม่ตาย หรือเมียน้อยเข้ามาอยู่ก่อนแม่ตาย
หัวข้อ: Re: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 17-02-2022 08:41:05
น่ารักทั่งเรื่องเลย  อยากอ่านของทีมลูกๆ
หัวข้อ: Re: [Mpreg] หนี้รัก -เป็นหนี้ครั้งที่ 9- 21/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 17-04-2022 22:22:28
    พล็อตเรื่องน่าอ่าน ชอบความสัมพันธ์ของเปลวกับอันมากค่ะ    แต่อ่านแล้วงงๆ หลายจุด  เหตุผลที่เปลวไม่ไล่พิมพาไป และในเมื่อพิมพาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงนี่คะ เจ้าหนี้ยึดไม่ได้นะคะ จบก.ม.มาเลยอินไปหน่อย  (หลักกฎหมาย : การจะนำโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนจำนองได้  เจ้าของต้องยินยอมคือลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอม  ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า พิมพาได้นำโฉนดที่ดินไปให้เฉยๆหรือเปล่า อันนี้ยิ่งไม่ถือว่าเป็นการจำนอง เพราะอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินต้องจดทะเบียนจำนอง เพราะฉะนั้นยิ่งยึดไม่ได้)  น่าจะแก้เป็นพ่อของเปลวเป็นเจ้าของบ้านก่อนตายแอบเอาโฉนดไปจำนองเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ให้พิมพาน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะคะ
ถูกต้องครับ พิมพาไม่ใช่เจ้า ถึงเจ้าหนี้จะยึดโฉนดไปก็ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิเป็นของตัวเองได้ เปลวแค่ไปแจ้งความโฉนดโดนพิมพาโขมยและไปที่สนง.ที่ดินให้เขาปิดประกาศ3เดือนก็สามารถออกโฉนดใหม่ได้แล้ว