พิมพ์หน้านี้ - Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Shonennihon ที่ 10-06-2017 21:59:10

หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-06-2017 21:59:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-06-2017 22:06:37
บทแรก.....
หลง (1)

แสงไฟวูบวาบสีส้มสลับแดงฉายวนไปมาบนผนังสีขาวของห้องฉุกเฉินยามหัวค่ำของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ความวุ่นวายของบุคลากรในโรงพยาบาลเบื้องหลัง  ไม่สามารถทำให้ผมหันไปสนใจได้เลย ช่วงเย็นวันนี้ผมยอมรับว่าผมมีอาการเหม่อลอยบ่อยครั้ง เหตุไม่ใช่เพราะทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนที่ผมสังกัดอยู่พ่ายแพ้ให้แก่โรงเรียนคู่แข่งในนัดกระชับมิตรวันนี้ แต่เป็นเหตุการณ์ในช่วงบ่ายวันนี้

"เฮ้อ......"  ผมถอนหายใจยาวๆ

เพี้ย.......!!!!  เสียงมือของไอ้ชัย เพื่อนร่วมทีมที่มากระทบหัวผมอย่างจัง

"ไอ้เหี้ยหลง มึงเป็นเหี้ยอะไรอีกว่ะ?!?" ผมหันหลังไปทางต้นเสียงด้วยหน้าที่ยังมึนๆ จากอาการที่หัวสั่นระดับสิบ

"...." ผมยังไม่มีอารมณ์จะตอบโต้เลยทำหน้าเฉยใส่ ก่อนที่จะหันกลับไป

"กูถามจริง มึงจะเหม่อเหี้ยอะไรนักหนา ตอนแข่งแม่งก็ไม่มีสมาธิ มึงเป็นตัวหลักของทีมนะ แล้วนี่อะไรตอนท้ายเกมเลยกลิ้มล้มไม่เป็นท่า จนมาจบที่โรงพยาบาลเนี่ย" ไอ้ชัยมันยื่นหน้ามาใกล้ๆหูผมเพื่อจะย้ำเสียงเข้ม มันคงเกรงใจไม่อยากจะโวยวายเสียงดัง มันยังเคารพสถานที่บ้าง

"...กู...." ผมอ้ำอึ้งและพยายามนึกย้อนเหตุการณ์
"กูแม่ง...เหี้ยจริงๆ... อุตส่าห์ซ้อมกันทั้งปิดเทอม เพื่อจะเอาชนะนัดนี้ กูยัง... " ผมก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

"เออๆ.... ช่างแม่ง!! แค่นัดกระชับมิตรก่อนเปิดเทอม ยังมีนัดล้างตาของจริงกับงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดโน่น" ไอ้ชัยพูดพลางเอนหลังไปพิงพนัก
"แต่กูนี่สิต้องอาสาพามึงมาหาหมอ เพราะหลังจากที่มึงล้ม พวกทีมโรงเรียนxxพิทยาคมแม่งก็ทำแต้มเอาๆ จนหมดสิทธิจะแก้มือ พวกคนในทีมแม่งโกรธมึงมากเลยรู้ไหม โค้ชด้วย กูเลยรีบอาสาพามึงออกมาจากดงตีนก่อน" ไอ้ชัยยื่นมือมาตบไหล่เบาๆสองครั้ง

"เออ..ขอบใจ" ผมยังคงก้มหน้าและตอบไปอย่างขอไปที

"กูก็ไม่อยากจะเสือกนะ แต่ที่มึงเป็นอย่างนี้เพราะน้องนิ่มใช่ไหม?"  ไอ้ชัยแม่งยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูอีกแล้ว

"มึง.... มึงรู้!!!" ผมตาโตหันไปทางมัน

"เอาจริงๆ นะกูไม่ได้อยากเสือกเรื่องของมึงเลย แต่เห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูคันปาก"  ว่าแล้วมันก็ยกมือขึ้นมาเกาจริงๆ

"นิ่ม..... เธอมา... ขอเลิกกับกูว่ะ" ผมพูดไปก้มหน้าไป

"หา!!... ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ มันใช่ไหมว่ะ กูว่ากูต้องขอคุยกับนิ่มเรื่องนี้หน่อยล่ะ" ไอ้ชัยลืมตัวพูดเสียงดังจนต้องรีบยกมือปิดปากตัวเอง

เหี้ย... มึงนี่ห่วงการแข่งมากกว่าห่วงเพื่อนอีกนะ ผมสบถใส่มันในใจ เพราะตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะสวนกลับ
เพราะคำถามของไอ้ชัยทำให้ภาพในตอนนั้นไหลย้อนกลับเข้าสมองอีกครั้ง

.........

"หลง...หลง มากับเราหน่อยสิ" นิ่ม นางฟ้าของผม ดาวประจำโรงเรียทั้งที่เธออยู่แค่ชั้น ม.4 เธอยื่นแต่หน้าเข้ามาทางประตูห้องเก็บตัวนักกีฬาก่อนแข่งที่เปิดกว้างอยู่

"ได้จ๊ะ..ได้" ผมนี่ยิ้มแก้มแทบปริ

"เชี้ย....แม่ง.....อิจฉาคนมีกำลังใจมาส่งให้ถึงที่ฉิบหาย" ไอ้ชัยพูดพลางตบก้นผมตอนที่ลุกขึ้นยืน

"สาดด....อิจฉาสาดดๆ" ไอ้บอลเสริมอีกคน

"เชี่ย...เงียบไปเลยพวกมึง" ผมหันไปว่าพวกมันเสียงดังจะได้หุบปาก ผมกลัวน้องเขาอายครับ. พอหันไปหาน้องเขาอีกที ก็หายไปจากจุดเดิมแล้วครับ ผมเลยรีบบึ่งตามออกมา

นิ่ม.... เป็นเด็กสาวตากลมผมยาวหน้าใส ตัวเล็ก ผิวขาวสวยสไตล์เกาหลีที่หลายคนใฝ่ฝัน ผมเห็นนิ่มตั้งแต่วันแรกของวันเปิดเทอม ม.5 ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวทุกคนในโรงเรียนใครๆต่างก็ต้องมองเหลียวหลังเมื่อน้องเดินผ่าน ผมเป็นคนหนึ่งที่เฝ้าตามจีบน้องเหมือนกับทุกๆคนในโรงเรียน แต่ด้วยความหล่อของผม ความสูงที่โดดเด่นของผม คารมเป็นต่อ ตื้อเป็นเลิศ บวกดีกรีนักกีฬาบาสเก็ตบอลโรงเรียน ทำให้ในที่สุดน้องก็ตกลงรับที่จะคบกับผม
บอกตามตรงผมนี่โคตรจะดีใจ แม่งไม่เคยจีบใครเลย เคยแต่มีคนเข้ามาจีบ จนแทบสับรางไม่ทัน ยิ่งพอได้น้องนิ่มมาคบด้วยทำให้ภูมิใจในความหล่อของผมเยอะเลย นิ่มเป็นคนที่เวลาควงไปไหนแล้วมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนมองยังกับคนดังในโทรทัศน์ มีแต่คนว่าพวกเราเหมาะสมกัน

แต่หนึ่งปีผ่านไป.... เธอมาบอกเลิกผมง่ายๆ แบบไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยแบบนี้เนี้ยนะ  แถมยังใต้อัฒจันทร์ที่สนามบาสฯ ที่ไม่กี่ชั่วโมงผมจะแข่งเนี่ยนะ

"พี่หลง....เราเลิกกันเถอะ" สั้นๆง่ายๆจากปากนิ่ม เธอแทบไม่มองผมด้วยซ้ำ
"....เดี๋ยว....อะไรนะ" ผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หัวใจผมตอนนี้ลงไปเต้นอยู่ที่ตาตุ่ม
"ล้ออะไรพี่เล่นหรือเปล่าเนี่ย"  ผมจับมือนิ่มขึ้นมากุมไว้ มือนิ่มดูมั่นคงไม่สั่นไหว ยังคงอุ่นเหมือนเดิม
"เราเลิกกันเถอะ... นิ่มว่ามันไม่เวิร์คแล้ว" นิ่มสะบัดมือผมและถอยไปครึ่งก้าว
"ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น พี่รักนิ่มนะ ที่ผ่านมาเราก็มีความสุขกันทุกวันไม่ใช่หรือ?" ผมเดินตามจะเข้าไปกอด ทำทุกวิถีทางจะที่รั้งเธอไว้ แต่นิ่มกลับถอยห่างออกไป

........
เพี้ยะ.!!!!.....  หัวผมโดนกระทบกระเทือนอีกรอบ ไอ้ชัยอีกแล้วแม่งซาดิสต์หรือไงวะ

"เฮ้ย!! มึง ... พยาบาลคนสวยเขาเรียกชื่อมึงตั้งนาน ทำไมไม่ตอบเขาวะ" ไอ้ชัยง้างมือเตรียมลงมืออีกครั้ง
"เออ.... เชี่ย...แม่งเจ็บนะมึง เดี๋ยวกูโง่พอดี" ผมหันไปมองมันตาเขียวก่อนที่จะโดนมือมันฟาดอีกรอบ
"ก็...แม่งมัวแต่เหม่อ..."
"เออๆ กูรู้แล้ว มาช่วยพยุงกูสิสาดดด" ผมกวักมือเรียกมัน
"เออว่ะ ไอ้เดี้ยง" พูดจบมันก็ก้าวข้ามพนักเก้าอี้มาพยุงตัวผม
"ว่าแต่...กูถามได้ไหม?...ทำไมนิ่มถึงเลิกกับมึงวะ?"
........

"นิ่ม...บอกว่า....กูติดเพื่อนมากเกินไป"

...............………........

หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สอง
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-06-2017 20:27:36
บทที่สอง

เอิร์ธ #1

การกินข้าวอย่างรีบเร่งนี่ผมไม่ถนัดเลย ทุกคำที่เคี้ยวอย่างไม่ละเอียดลงคอไปอย่างยากลำบาก เหมือนกลืนกรวดหยาบๆ
ผมรู้ครับว่าอาชีพหมออย่างเรานี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มีเวลาได้กินข้าวนี่ก็ดีมากแล้ว ผมย้ายมาอยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งนี้ได้สองสามวัน ยังปรับตัวได้ไม่ชินกับสถานที่เท่าไหร่ก็ต้องมาทำงานหนักติดกันจนแทบไม่มีเวลาพัก คงต้องโทษการขาดแคลนบุลคากรทางการแพทย์ของประเทศนี้สินะ ที่ทำให้เราลำบากขนาดนี้ แต่ก่อนที่ผมจะโดนหิ้วหายสาปสูญไปเอาเป็นว่าทนๆไปและอยู่เงียบๆดีกว่า

"อาจารย์คะ ทานข้าวเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ พร้อมตรวจเลยไหมคะ มีคนไข้มารอสักพักแล้วคะ" พยาบาลหน้าตาจิ้มลิ้มเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม

"โอ้ ... อ้อ.... โอเคครับ" ผมแทบสำลักข้าวที่เพิ่งกลืนลงไป จากที่ก่อนหน้านี้ผมนี่หิวแทบไส้ขาด

"เดี๋ยวดิชั้นพาคนไข้มาพบนะคะ" พยาบาลสาวคำนับหนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป ผมทำได้แค่พยักหน้าตาม

วันนี้ผมต้องอยู่เวรห้องฉุกเฉินคนเดียว อะไรมันจะแย่ไปกว่าการที่ต้องมาเจอคนไข้อาการแปลกๆยามดึกนี่ไม่มีอีกแล้ว การเรียนหมอนี่ก็ถือว่ายากและหนักมากแล้ว พอมาเป็นอินเทิร์นนี่ยิ่งรู้สึกหนักกว่าเดิม แต่หลังจากมาลงภาคสนามเต็มตัวแบบนี้ยิ่งไม่ง่ายเลย จนตอนนี้ชักอยากไปแอดมิชชั่นใหม่

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะส่องแสงวูบวาบ ผมมองไปที่หน้าจอ เจอกับเบอร์ที่คุ้นเคยและภาพแสดงหน้าจอที่คุ้นตา

เอ อนันต์ และรูปหัวใจเล็กๆต่อท้าย

ผมไม่ได้สนใจที่จะรับเพียงปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น

"อาจารย์จะรับก่อนไหมคะ" พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาแบบไม่รู้ตัวพร้อมกับเด็กในชุดกีฬาสองคนที่พยุงกันเข้ามาในห้อง
"ไม่เป็นไรครับ.. ไม่สำคัญ" ผมหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทั้งๆ ที่มันยังส่องแสงวูบวาบอย่างนั้น
"นั่งเลยคะน้อง" พยาบาลเลื่อนเก้าอี้ให้คนที่โดนพยุงนั่งลงและวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะอย่างรีบเร่ง
"โอ้ย...." เด็กในชุดนักกีฬาร้องขึ้นมา ทำให้ผมหันไปมองทางต้นเสียง

เด็กหนุ่มน่าจะอายุไม่เกิน 20 ผิวขาว หน้าตาน่าจะค่อนไปทางคนไทยเชื้อสายจีน แต่มีตาสองชั้นดวงโตรับกับคิ้วที่เข้มกำลังดี แล้วก็จมูก.. เอ้า สรุปว่าหน้าตาดี แต่ท่ีสำคัญเขาสูงมาก มากกกก น่าจะสัก 185 อัพๆ โห.... ไอ้เด็กนี่กินอะไรเข้าไปวะ  แม้จะดูมอมแมมแต่ก็ยังดูดี

"ชื่ออะไรครับ?" ผมรีบถามขึ้นมา เพราะใช้สายตาสังเกตคนไข้มานานเกินไปแล้ว
"หลง...เอ่อ....มังกร ครับ มังกร ตันติวานิช" เขาตอบด้วยสายตาลอยๆ
ระหว่างที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พยาบาลที่ช่วยผมอยู่ก็เชิญเด็กอีกคนออกไปรอด้านนอก ก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องตรวจ

"เป็นอะไรล่ะเรา วันนี้" ผมถามด้วยรอยยิ้ม
เขาใช้การพยักหน้าชี้ไปที่ข้อเท้าตัวเองที่บวมแดง ผมสำรวจไล่จากขาขึ้นมาตามตัวพบว่ามีแผลและรอยพกช้ำประปรายตามตัว
"ไปหกล้มเพราะไปไล่ฟัดกับหมาข้างทางมาหรือไง? ทำไมมันเยินแบบนี้"ดูท่าทางเด็กมันจะซึมๆเหม่อๆเลยหยอกไปเสียหน่อย

"อ้าวหมอ!!"
เออ! สีหน้าดูดีขึ้น ผมคิด
"อ้าว...ก็พูดได้... ไหนเล่ามาดูสิไปโดนอะไรมา?"
"ผม...ล้มขณะแข่งกีฬา แล้วก็กลิ้งไปทางที่วางอุปกรณ์สำรองระหว่างแข่ง"
"เล่นอะไรน่ะเรา"
"บาสเก็ตบอลครับ"
จากรูปร่างกับชุดก็น่าจะรู้ ผมนี่ไม่น่าถาม
ผมเลื่อนตัวเองไปใกล้เขามาขึ้น ผมลองใช้มือสัมผัสเบาๆ


ตรงจุดที่บวมแดงและให้เขาบอกอาการความเจ็บปวดมาให้ฟัง

"อืม....ไม่น่าเป็นอะไรมาก น่าจะแค่กล้ามเนื้ออักเสบ ทานยาพักผ่อนสักสัปดาห์ก็หายแล้ว" ผมพยักหน้าให้กำลังใจ
"ไม่นานก็กลับไปเล่นกีฬาต่อได้แล้วครับ ... โอเค.....เดี๋ยวให้พยาบาลพาไปทำแผลต่อนะครับ..... " ผมยกมือเพื่อให้พยาบาลผู้ช่วย ที่ควรจะอยู่ใกล้ผมมากกว่า ไม่ใช่ไปยืนเหม่ออยู่มุมห้อง

"ไม่เป็นไรครับ" เขาตอบให้รูผมรู้ว่าเขาลุกขึ้นเองได้ไม่ต้องการให้พยาบาลช่วย
"โอ้ย" เขาเสียหลักระหว่างลุกขึ้นทำให้โน้วตัวมาข้างหน้า จนผมต้องรีบลุกจากเก้าไปรับตัวเขาทำให้อยู่ในท่าที่เหมือนเขายืนซบไหล่ผม ในขณะที่นางพยาบาลยืนปิดปากหน้าแดงอยู่ทางด้านหลังเด็กนี่

"พยาบาลสุนีย์!!!" ผมต้องทำเสียงแข็งใส่กว่าจะรู้ตัวว่าต้องมาช่วย
"ขอโทษครับ" เด็กมันขอโทษขอโพยก้มหัวปะหลกๆ
"เออ.. ที่หลังอยากจะต๊ะอั่งหมอก็บอกกันก่อนก็ได้ หน้าตาแบบเราขอมาได้หมอไม่ถือ ฮ่าฮ่าฮ่า"
เด็กมันทำฮึดฮัดหันหลังรีบจ้ำอ้าวออกไป
เฮ้อ.... แปลกดี ไอ้เด็กนี่ทำผมอารมณ์เปลี่ยนได้ ทั้งๆ มีคนๆหนึ่งพยายามทำลายความสงบสุขของเย็นวันนี้

...................................

หลง (2)

จากที่ผมกำลังเสียสติจากการอกหักครั้งแรก พอมาเจอคนกวนๆ อย่างหมอคนนี้ ทำเอาความเศร้าผมกระเจิงเลย อารมณ์เสียแทน ท่าทางจะเป็นหมอใหม่ ผมไม่เคยเห็น ...พูดเหมือนมาบ่อย แต่ก็คิดว่าบ่อยนะครับ คนหน้าตาดีอย่างผมอริมันจะเยอะก็ไม่แปลก (ฮา) ตีกันบ่อยตามประสาเด็กผู้ชาย และผมไม่เคยแพ้ใครด้วย

หมอยังดูหนุ่มอยู่เลย น่าจะไม่เกินอายุ 30 ปี หน้าใสเวอร์ๆ ตาสวยขนตายาว ผมเห็นครั้งแรกนึกว่าผู้หญิงตัดผมสั้น หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มๆของเขาก่อน

"อ้าว... ไอ้หมา หมอว่าไง" เสียงกวนของไอ้ชัยดังขึ้นใกล้ๆ มันยืนรอผมอยู่หน้าห้องตรวจ
"เออ...ไม่เป็นไรมาก"
 ผมตอบพลางพยักหน้าเรียกมันให้มารับผมต่อจากคุณพยาบาล ผมเกรงใจเขา ผมตัวสูงกว่าเขามาก ท่าจะไม่ถนัด ผิดกับไอ้ยักษ์เพื่อนผมที่มายืนรออยู่นี่
"เดี๋ยวพาเพื่อนไปรอพี่ตรงห้องกระจกตรงนั้นนะ เดี๋ยวตามไปทำแผลให้"  นางพยาบาลชี้ไปอีกทางซึ่งอยู่อีกฝากของห้องตรวจ
"ครับ / ครับ" พวกผมตอบพร้อมกัน

"พยาบาลที่นี่แม่งแจ่ม" ไอ้ชัยปล่อยหมาออกจากปากหลังจากเดินห่างมาไม่ไกล
"เชี้ย..... เดี๋ยวเขาได้ยิน" อยากเอามือตบปากมันมาก
"แม่งแจ่มจริงนี่หว่า อกแม่งบึ้ม กูเล็งมาพักหนึ่งแล้ว" มันพูดพร้อมเหลือบมอง แต่พยาบาลคนนั้นได้หายไปจากสายตาแล้ว มันทำหน้าผิดหวัง
"ไอ้ฤทธิชัย ครับ ไอ้เหี้ย มึงนี่มาเพราะห่วงกูหรือมาเพราะจีบสาว สาดดด"
มันยักไหล่พร้อมเดินต่อไป

ไอ้ชัย หรือนายฤทธิชัย ผมกับมันสนิทกันตั้งแต่เรียน ม.ต้น เรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่างเช่น เรื่องฐานะไม่ถึงยากไร้ แต่ก็มีธุรกิจที่คนในจังหวัดนับหน้าถือตา เรื่องหน้าตาผมว่าผมดีกว่ามันนะ (แล้วแต่สเปกครับ ผมสูงกว่า มันขาวกว่า)   ที่มันเก่งกว่าผมก็เรื่องเรียนกับเรื่องความเจ้าชู้ของมันเท่านั้นแหละ มันฉลาดพอที่จะไม่ต้องทบทวนหนังสือแต่สามารถสอบได้ระดับท้อปๆ (แต่ผมนี่ท้อปเหมือนกันแต่จากท้ายนะครับ) ดังนั้นเรื่องคารมมันกินขาดและเป็นประเภทกินทิ้งกินขว้าง

"เออเฮ้ย... สรุปว่าน้องนิ่มเลิกกับมึงด้วยเหตุผลแค่นี้ แล้วมึงไม่เคลียร์ให้เรียบร้อย? อย่าบอกว่าเรื่องแค่นี้ต้องให้สอน?"  ไอ้ชัยมันหันมาพูดแบบไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่จัดให้ผมนั่งที่เก้าอี้ในห้องกระจก ถ้าจะเผือกต้องเผือกตอนร้อนๆสินะ
"สรุปมึงมาปลอบกู หรือมาซ้ำเติมกู?" อยากกระถีบยอดหน้าแต่ทำไม่ได้
"ปลอบ...กูมาปลอบ...จริงๆ"  มันยักคิ้วให้แบบกวนๆ
ผมส่ายหน้าเบาๆ ผมไม่ถือสามันหรอก ผมรู้ว่ามันพยายามให้ผมกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุดแต่ผมไม่มีอารมณ์ว่ะตอนนี้
"กูรักของกู มึงนึกว่ากูจะปล่อยเขาไปง่ายๆ หรือไง? กูพยายามง้อแล้วแต่นิ่มแม่งใจแข็งมาก กูรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูได้ยินอะไรแบบนี้จากปากนิ่ม แต่กูไม่คิดว่านิ่มจะจริงจัง"
"ผู้หญิงก็งี้ เขาคงอยากอยู่กับมึงแค่สองคน ไม่ใช่กระเตงๆ เขาไปกับเพื่อนมึงทุกที"
"กูก็มีเวลาอยู่กับเขาสองคนก็บ่อยนะมึง"
"เห็นท่าจะไม่พอว่ะ"

"....." ผมนึกอะไรต่อไม่ออก

"อืม....แต่กูว่า...มันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้...." มันทำท่าคิดแบบนักสืบ
"หมายความว่าไง....?..."
"ไม่เป็นไร.....มึงยังไม่ต้องรู้ตอนนี้ กูมีวิธีสืบของกู เรื่องเผือกแบบนี้กูถนัด เดี๋ยวจัดให้"
ไอ้วิธีสืบของมันน่าจะหมายถึงเข้าทางเพื่อนนิ่ม เพื่อนนิ่มก็มีคนหน้าตาน่ารักอยู่เยอะ

"มึงจะช่วยกูพาน้องนิ่มกลับมา?" ผมถาม
"กูว่ามึงตัดใจเถอะ ....เรื่องนิ่มนะ ... " มันคิ้วขมวดทำท่าจริงจัง
"ความรักทำให้ไอ้เสืออย่างมึงสิ้นลายจนมองข้ามความจริงไปหมด ตอนแรกกูก็นึกจะมึงจะแค่เล่นๆเหมือนเคย ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้" 
ใครจะเหมือนมึง ไม่ได้มั่วแต่ทั่วถึง ผมเถียงในใจ
"กูแค่อยากให้มันพิเศษ..."
"อย่าบอกว่ามึงยังไม่ได้น้องเขา.. ขาวเหี้ยๆ เป็นกู....." มันหยุดฝอยหลังจากเห็นสายตามองมันอย่างกระหายเลือด
 "น้องมันน่าทะนุถนอนกูเลยว่าจะให้เขายอมเอง วันนี้จริงๆกูก็มีเซอร์ไพส์หลังแข่งชนะและวางแผนพาน้องไปค้างด้วย"
"ถุย ไอ้ลูกแมว... มึงหยุด!! เลิกคิด กูว่ามึงเลิกก็ดี ตอนนี้ทำใจให้ได้เดี๋ยวกูจะทำให้มีงตาสว่างเอง!!"
ไอ้ชัยมันเอามือตบไหล่ผมเบาๆ


 :jul1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สาม
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-06-2017 11:37:50
หลง (3)

สามวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กับการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนที่นอนตัวเองนี่แสนจะน่าเบื่อ PS4 PS3 PS vista วางเรียงรายอยู่ปลายเตียงหน้าทีวี แต่ไม่มีเครื่องไหนออนอยู่เลย ผมเล่นจนเบื่อ ผมพยายามโทรหานิ่มทุกชั่วโมง แต่นิ่มไม่รับสายเลย การไม่ได้เจอหน้าหรือได้ยินเสียงของนิ่มเลยทำเอาผมรู้สึกอึดอัดมาก ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนมีตัวอะไรพยายามมาดูดพลังงานของผมไปจนหมด

พระอาทิตย์คล้อยตำ่ชนเส้นขอบฟ้าจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม แสงที่ฉายเข้ามาในห้องทำให้ห้องสีขาวของผมกลายเป็นสีแสดอ่อนๆ ผมไม่ค่อยได้อยู่ช่วงเวลานี้ในห้องเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่เป็นเวลาซ้อมบาสฯหรือไม่ก็อยู่กับนิ่ม แต่สามวันที่หยุดอยู่ที่บ้านทำให้ผมมีช่วงเวลาแบบนี้ ผมนอนมองเพดานบ้านอย่างเบื่อๆ เฝ้ามองมันค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองไปที่หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมา ภาวนาให้มีข้อความตอบกลับจากคนที่ผมเฝ้าโทรหา และส่งข้อความหาตลอดทั้งวัน กลับเจอแต่รูปตัวเองกับนิ่มที่ถ่ายกันตอนเราไปกินบิงซูที่ร้านดังในเมือง

ว่างเปล่าไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ผมผ่อนลมหายใจยาวๆ รวมรวบกำลังที่จะเสี่ยงโทรหานิ่มอีกครั้ง

เอาวะ......ผมพูดกับตัวเอง
ตอนนี้นิ่มน่าจะเลิกเรียนพิเศษแล้ว น่าจะว่างรับ ที่ผ่านมานิ่มน่าจะเรียนหนักการบ้านเยอะจนไม่ว่างรับสาย ผมพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง

ครืดๆๆๆๆ
โทรศัพท์ผมสั่นและมีแสงวูบวายขึ้นมา แต่ชื่อที่อยู่บนหน้าจอกลับเป็น

"ไอ้ชัย"
จากที่ผมตีสีหน้าดีใจกลับกลายเป็นหมาหงอยทันที

"ไอ้ห่า...หากไม่มีธุระจำเป็นอะไรก็รีบวางเลย กูรอสายน้องนิ่ม"
"เฮ้ยๆ กูโทรมาก็เรื่องน้องนิ่มนี่ล่ะ"
"เออๆ ว่าไง นัองโอเคไหมว่ะ โทรไปทั้งวันไม่รับเลย"
"ก็ไม่ไงสบายดี ไปเรียนพิเศษทุกวัน กินอิ่มนอนหลับ มีความสุขดีสุดๆ"
"มั่วป่าวเนี่ยมึง"
"ไม่มั่วเว้ย กูลงทุนไปคลุกวงในเลยมึง เหี้ย...ดีกว่าที่คิด จนกูอยากไปคลุกอีกรอบเลยตอนนี้"
ผมรู้ครับว่ามันหมายถึงอะไร เจ้าชู้อย่างมันคงไม่พ้นเรื่องฉาวของสาวๆ กะจะมาคุยโม้ตามประสามัน กินในที่ลับคายในที่แจ้ง ซึ่งเป็นนิสัยเสียเพียงหนึ่งเดียวของมัน แต่ดูหญิงของมันทุกคนดูจะเต็มใจ

"แค่นี้ใช่ไหม งั้นกูวาง!!"
"อ้าวเฮ้ย... กูมีเรื่องนิ่มมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน"
"เออ.. งั้นว่ามา!!"  ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
"มึง... คือ.... บอกกูก่อนว่ามึงฟังแล้วมึงต้องใจเย็นๆนะมึง"
ผมเริ่มใจไม่ดี ท้องมันเริ่มปั่นป่วนบอกไม่ถูก
"เออ...ว่ามา....."
"......"
ไอ้ชัยมันนิ่งไปพักหนึ่ง
"ว่ามาสิ !!!"
"คือ นิ่มมันมีคนใหม่มาพักหนึ่งแล้วว่ะ มันบอกเพื่อนสนิทอย่างโบว่า พยายามจะทิ้งมึงหลายครั้งแล้วจนกระทั้งมันได้กับผู้ชายคนนั้นแล้ว ผู้หญิงคนนี้แม่งเลวว่ะ.... เฮ้ยมึงฟังอยู่ไหมว่ะ"
"....."
"หลง .... ไอ้หลง..ไอ้เชี้ยหลง"
"เออ ... งั้น.... แค่นี้ก่อนนะ"
"เฮ้ย....ไอ้เหี้ย.... กูบอกให้ใจเย็นๆ ไง เฮ้ยมึงได้ยินกูไหม?............."
หลังจากนั้นผมก็ฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว หูมันอื้อไปหมด บอกไม่ถูกว่าเสียใจหรือโกรธดี ความรู้สึกมันปะปนกันไปหมด ผมวางสายจากไอ้ชัย นั่งมึนกับความคิดตัวเองในห้องที่ความสว่างจากแสงสีทองด้านนอกค่อยๆหายไป

...........

เสียงอึกทึกที่ชั้นล่างของตัวบ้านทำให้ผมพ้นจากภวังค์ แม่ผมคงกลับจากไปการไปประชุมอาจารย์ก่อนเปิดภาคเรียนใหม่
ลืมบอกไปครับ แม่ผมเป็นอาจารย์ครับ ก็โรงเรียนเดียวกับที่ผมไปเรียนนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็เลี้ยงผมแบบสบายๆ ไม่เหมือนกับภาพที่โรงเรียนเลย ปกติที่โรงเรียนแม่ผมจะดุมาก แต่ที่บ้านแม่ใจดีกับผมมากจนบางครั้งแม่ก็ทำตัวเป็นเพื่อนมากกว่าแม่ แม่บอกว่าเราจะได้พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่อยากคุยกับแม่ ผมขอลองพยายามผ่านพ้นไปกับตัวเองก่อน

"หลงเอ้ย....หลง... เป็นไงบ้างลูก" แม่ตะโกนทะลุพื้นชั้นสองขึ้นมา เสียงทรงพลังอย่างเคย
"ก็ดีครับ....ไม่เป็นไรครับแม่" ผมก้มลงเอามือป้องปากก่อนตะโกน เพราะกลัวแม่ไม่ได้ยิน อันนี้คงเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้กรรมพันธุ์จากแม่ เสียงอันทรงพลังนั่น
"ได้ลงมากินข้าวบ้างไหมลูก กับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้ในตู้เย็นไม่เห็นพล่องเลย"
ก็ผมกินไม่ลงน่ะ อะไรมันก็ไม่อร่อยเลยถึงจะเป็นฝีมือแม่ก็เหอะ ยิ่งตอนนี้ผมตาแดงมากยิ่งไม่อยากเจอแม่ให้ท่านไม่สบายใจ

"เดี๋ยวลงมากินข้าวเย็นกับแม่นะ แม่มีแขกมาด้วย เดี๋ยวจะทำแกงเขียวหวานแบบที่แกชอบให้กินด้วยรีบลงมานะลูก"
แม่น่ารักที่สุด แค่แม่พูดถึงอาหารโปรดฝีมือแม่ ความหิวของผมก็กลับมาเยือนแล้วครับท้องมันร้องทันที

แกงเขียวหวานแบบของแม่นั่น แม่จะหั่นฝักใส่ลงไปชิ้นใหญ่ๆ ใส่เลือดไก่ที่หั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นใหญ่ลงไปพร้อมกับเนื้อไก่นุ่มๆสไตล์แม่ แม่ทำได้ไม่เหมือนใครครับ ที่สำคัญเผ็ดน้อยหวานนำแบบที่ผมชอบ

สรุปผมเป็นคนเห็นแก่กินใช่ไหมเนี่ย

"ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ อาจารย์"
อืม.... ได้ยินเสียงคนอื่นอยู่ด้วย ถึงจะเบาจนได้ยินไม่ชัดแต่ก็จับความได้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย

"อืมไม่เป็นไรลูก นั่งเหอะ ทำงานมาเหนื่อย ไปนั่งรอที่ห้องรับแขกเถอะลูก"
"เอ่อ.... โอเคครับ" เสียงปริศนาตอบแม่ไปอย่างแผ่วเบา
แม่บอกมีแขกมาด้วย ใครหว่า? เออ.... ช่างเถอะ... ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีกว่าจะลงไปแค่บ็อกเซอร์ ตาแดงๆ กับเหงื่อชุ่มๆอย่างนี้คงไม่ไหว

ผมตัดสินใจพยุงร่างตัวเองไปอาบน้ำ และแต่งตัวให้เหมาะกับการมีคนอื่นอยู่ที่บ้านหน่อย
พูดง่ายๆ ก็ให้มิดชิดขึ้น กางเกงขาสั้นเสื้อยืดคงพอ

"หลง.... ใกล้เสร็จแล้วลูก"
"ครับเดี๋ยวลงไปครับ"
"ให้แม่ไปช่วยไหม"
เสียงแม่ดูใกล้ขึ้น เหมือนกำลังเดินมาใกล้บันได
"ไม่เป็นไรครับ...ผมไหว"
ผมไม่อยากให้ต้องมาลำบากพาร่างยักๆของผมลงไป ความจริงผมดีขึ้นเยอะแล้ว. พอจะเดินได้ไม่ปวดเท่าไหร่แล้ว

หลังจากที่เดินโขยกเขยกลงไปถึงชั้นล่างได้แล้ว ผมก็พบกับร่างหนึ่งนั่งโซฟาหันหลังให้ รู้สึกคุ้นตาอยู่นิดหน่อย

"ลงมาแล้วก็ไปนั่งคอตรงห้องรับแขกก่อนลูก ฝากดูแลแขกให้แม่ด้วยนะ"
"คร๊าบ.... "
ผมตอบเสียงยาวๆ ไป แม่น่าจะรู้ว่าผมเข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยติด จะให้ผมไปดูแลอะไรเขาวะ ยิ่งอารมณ์ตอนนี้ผมไม่อยากต้องเผชิญหน้ากับใครเลย
ผมค่อยๆขยับร่างตัวเองไปจนถึงโซฟาอีกด้านใกล้ๆกัน และทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

" นั่งลงแรงแบบนี้ไม่กลัวเจ็บเพิ่มรึ?"
ตอนแรกกะว่าจะพยายามทำตัวเป็นหมอนบนโซฟานิ่งๆ แต่พอได้ยินเสียงนี้เท่านั้นผมรีบหันไปหาต้นเสียงที่กวนประสาทนั่นทันที

"เชี้ย!!!" เป็นเสียงของไอ้หมอกวนบาทาคนนั้น

"สุภาพหน่อยลูก สุภาพ" เสียงแม่แผดมาจากห้องครัว

"ขอโทษคร๊าบบบ"

"มึง...เอ้ย...คุณหมอมาทำอะไรที่นี่?" ผมขยับตัวออกห่างไปอีกหน่อย
"อาจารย์รุ่ง ชวนมาทานมื้อเย็น อ้าว...แสดงว่าเธอเป็นลูกของอาจารย์ใชไหม?"
รุ่ง...ชื่อแม่ผม เรียกกันซะสนิทเชียว แสดงว่าเคยเป็นนักเรียนแม่ผม

"ครับ"
"จะว่าไปก็คล้ายๆกันนะ แต่..." เขาเพ่งมองรูปหน้าผม
"ผมใช้นามสกุลพ่อครับ ส่วนแม่ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล เห็นบอกว่าดีแล้ว" มีคนถามบ่อยจนรู้แล้วว่าจะตอบไปว่าอะไร แม่ผมเขาเชื่อเรื่องพวกนี้
"อ้อ" เขายังมองผมไม่วางตาจนกระทั่งมองยาวลงมาที่ขา

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆ แปลกๆ หรือว่ากูเขินเขาวะ เขินผู้ชายเนี่ยนะ ตลก!! แค่เกลียดผู้ชายลักษณะแบบนี้ พวกปากเสีย

แต่ผมเองก็แอบยอมรับว่าตาคู่นั่นสวยจริงๆ ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนๆ นั่นมันรับกับรูปหน้าที่เรียวยาวนั่นเสียจริง หากมันเป็นผู้หญิงผมคงจีบ

"ดีขึ้นไหม? ให้หมอดูให้อีกทีไหม? แม้ไม่ถนัดด้านนี้แต่ก็ดูให้ได้นะ"
เขายิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย

"ไม่เป็นไรครับ ดีขึ้นแล้ว" ผมตอบแบบไม่มองหน้า
"อืม...ก็ดีแล้ว"
คำพูดยังไม่ทันทิ้งห้วงไปเขาก็ก้มลงมาที่นั่งใกล้กับขาที่เจ็บของผม ผมตกใจถึงกับสะดุ้ง ไม่คิดว่าเขามาทำอะไรแบบนี้
"เฮ้ย...หมอทำอะไร?"
เขาใช้นิ้วที่เรียงยาวจับเท้าของผมขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เขาก้มลงมาใกล้ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา
"อืม...ก็ดีขึ้นจริงๆ "
ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว ไม่เคยเจอใครทำขนาดนี้ กี่หมอๆ ก็ไม่เคย
"หายไวดีนี่ ท่าทางจะเป็นพวกตายยาก ถึกเป็นควายสินะ"

"อ้าว...ไอ้หมอ!!!" ผมกัดฟันให้เสียงลอดออกมาทางช่องฟัน กลัวแม่ได้ยิน

"ทำอะไรกันลูก?" แม่เดินมาใกล้ขนาดนี้ตอนไหน แม่ยืนอยู่หลังโซฟาของไอ้หมอกวนบาทานั่น
"ว่าจะช่วยดูขาให้น่ะครับ เห็นว่าเจ็บอยู่" ไอ้หมอยึดตัวตรงหันไปยิ้มทรงเสน่ห์ให้แม่ หากแม่ไม่อายุมากแล้วคงคิดว่ามันมาจีบ
"โอ้ย!! ไม่ต้องไปดูให้มันหรอก อึดยิ่งกว่าหมี เจ็บหนักกว่านึ้ก็โดนมาแล้วยังไม่ตายเลย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก"
อ้าว!!! แม่ไหงเป็นงั้นล่ะ เป็นห่วงลูกบ้างอะไรบ้าง
"อ้อ...สวัสดีพี่เขาด้วย พี่เขาชื่อเอิร์ธนะ"
ผมยกมือไหว้แบบลวกๆทันทีที่แม่หันไป
"มากินข้าวกันได้แล้ว กับข้าวกับปลาพร้อมแล้วลูก"
ผมพยายามลูกขึ้นยืน โดยที่ไอ้หมอรีบเดินเข้ามาช่วยพยุง
"ไม่ต้อง ผมไหว"
ไอ้หมอยกสองมือขึ้นผายมือเสมออกทำท่ายอมแพ้
"โอ้ย!!"
ด้วยความรีบเลยผิดท่าไปหน่อยทำให้ผมจะล้มคว่ำหน้า แล้วก็มีมือยาวๆ มาโอบจับผมไว้ไม่ให้ล้ม ไอ้หมอนั่นเอง
"เอาอีก.. ไอ้ซุ่มซ่าม ลำบากพี่เขาอีก" แม่แผดเสียงจากโต๊ะกินข้าว
"ไม่เป็นไรครับ" พูดจบเขาก็พยุงผมยืดตัวตรง
โอ้โห!! นี่มันสูงเกือบเท่าผมเลยนี่ น่าจะเท่าไอ้ชัย สัก 180 เซ็นฯ เพิ่งจะเคยมองมันใกล้ขนาดนี้ เป็นหมอจะสูงไปเพื่ออะไรวะ
"ขอบคุณ...แต่ไม่เป็นไรผมเดินเองได้" พูดจบผมก็รีบเดินออกจากตรงนั้นเลย แต่ก็อดที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของมันไม่ได้

ตอนนี้ทุกคนนั่งพร้อมหน้าและเริ่มทานมื้อเย็นกันแล้ว วันนี้กับข้าวแม่อลังการมาก มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น ไก่ย่างเจ้าประจำที่ตลาด ไข่เจียวใส่หัวหอม แกงเขียวหวานสูตรของแม่ อาจเพราะแม่จะรู้สึกว่าผมมีเรื่องไม่สบายช่วงนี้เลยทำเอาใจ เอ....หรือเพราะไอ้หน้าใสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมเนี่ย

"แฟนอาจารย์ไม่อยู่เหรอครับ?" อยู่มันก็ทำลายความเงียบ
"วันนี้ไปดูโรงงานที่ต่างอำเภอน่ะ คงจะอยู่ค้างเลยน่ะ"
".....อ้อ เหรอครับ ตอนนี้มีโรงงานที่อื่นด้วยหรือครับ?"
พ่อผมเป็นเจ้าของโรงงานเกี่ยวกับประดับยนต์น่ะครับ แค่คนทำมาหากินครับ ไม่รวยๆ
"ก็มีเพิ่มมาสอง สามที่ น้าก็ไม่ค่อยรู้...ว่าแต่เราไม่ใช่นักเรียนแล้ว ไม่ต้องน้าว่าอาจารย์แล้ว เรียกน้ารุ่งเหมือนเคยก็ได้"
เหมือนแม่จะอ่านสีหน้าผมได้ที่ผมทำหน้าสงสัยใส่แม่
"นี่เราจำพี่เขาไม่ได้หรือ ลูกเพื่อนแม่ไง เพื่อนแม่ฝากดูแลช่วงที่เอิร์ธเรียนม.ปลายที่นี่ไง"
ผมพยายามนึก แต่ก็พอจะจำได้ว่า ช่วงหนึ่งแม่เคยพาลูกศิษย์มาบ้านบ่อยๆ แต่ห่วงแต่เล่นเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็ส่ายหน้า

"โตขึ้นเยอะเลยนะ" ไอ้หมอมันทำท่ายืดมือสูง
"มันก็โตแต่ตัวล่ะเอิร์ธ"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....."

กว่าจะทานข้าวเสร็จ ผมต้องทนฟังประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของไอ้หมอนั่น และแม่ก็ยกมันมาเปรียบเทียบกับผมตลอด กับไอ้นักเรียน นักศึกษาดีเด่นนั่นพาลจะกินข้าวไม่ลง
แม่ก็ดูเป็นห่วงมันมาก (ดูจะมากกว่าลูกนะ) บ่นอุบอิบว่าหลังจากออกจากหอพักสมัยมัธยมก็ย้ายไปอยู่หอพักที่กรุงเทพซึ่งไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย มันก็ขอโทษขอโพยใหญ่และก็ปิดท้ายว่าได้คว้าเกียรตินิยมมาฝากเหมือนที่เคยบอกก่อนไปเรียน แม่ผมดูปลื้มมมมมม มากกกกกกกก  ช่วยไม่ได้เพราะแม่คงไม่ได้สิ่งนี้จากผม

ก่อนกลับมันยังช่วยแม่เก็บจานไปล้าง พ่อคนดี!!!
ส่วนผมหนีมานั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นนานแล้ว นั่งภาวนาว่ามันเมื่อไหร่จะกลับ เพราะมันกำลังทำคะแนนนำแย่งความรักจากแม่ผมไปหมดแล้ว

........
เสียงมอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าบ้าน ไอ้ชัยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้านสีหน้าดูกังวลมาก ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์หันไปทักมัน
"เฮ้ย... เป็นเชี้ยอะไร... มึงจะรีบไปไหนเนี่ย"
"อ้าวสัด กูอุตส่าห์รีบออกมากลัวมึงจะคิดสั้น"
"สัด!! เบาๆ มานี่" ผมรีบเอามือจุ๊ปากและกวกมือเรียกมันใกล้ๆ พออยู่ในระยะมือผมจัดการโบกไปหนึ่งรอบ

"ใครมาล่ะลูก?" แม่ตะโกนข้ามห้องเข้ามา ตอนนี้แม่อยู่ในห้องทานข้าว แม่ชอบไปนั่งอ่านหนังสือตรงนั้น บอกว่าไฟมันสว่างดี
"เชี้ย... มึงจะตะโกนเพื่อ??" มันยังยืนงง จนผมต้องกระชากให้มันนั่งข้างๆ
"....."

"ไอ้ชัยแม่ มันมาหา" รีบตอบแม่ก่อนที่แกจะเดินออกมา
"มาเสียดึกเลยนะลูก"
"สวัสดีครับแม่" ไอ้ชัยรู้หน้าที่
"อย่ากลับดึกนะลูก"
"ครับ" สุภาพมากมึงไอ้ชัย

"อะไรของมึงเนี่ย?"  ไอ้หันมาคิ้วขมวดใส่
"เดี๋ยวแม่กูถาม สาดด"
"ทำไมวะ?" ยัง....มันยังไม่รู้ตัว
"กูไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ"
"เออ... เอาเหอะ ไม่เป็นเหี้ยอะไรก็ดีแล้ว กูนึกว่ามึงคิดเรื่องนิ่มเสียจน......"
แค่ฟังชื่อนิ่มผมก็รู้สึกเหมือนมีเข็มสักร้อยเล่มมาจิ้มที่หัวใจ มันคงเห็นหน้าผมแย่มาเลยหยุดพูดไปหันมาจ้องหน้าผมแทน
"...."
"กูทนไม่ไหวแล้ว.... ไม่มีใครทำกับเพื่อนกูแบบนี้ได้ กูจะไปแก้แค้นแม่งให้สาสม"
แล้วมันก็เดินออกจากบ้าน
............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สามจุดห้า
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-06-2017 19:27:32
เอิร์ธ #2

แค่เห็นผ่านๆ ผมก็จำได้ทันที ไอ้เด็กนักกีฬาที่เดินโขยกเขยกผ่านผมไปอย่างช้าๆ แล้วปล่อยตัวเองลงนั่งอย่างรีบร้อนทั้งยังทำหน้าเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้  แค่เห็นหน้ามึนๆ ของมันก็อยากจะแกล้งแล้วครับ (หรือผมเป็นคนนิสัยไม่ดี)
สงสัยเพราะหน้ามีส่วนคล้ายกันน้ารุ่ง เลยรู้สึกเอ็นดู (อยากจะแกล้ง) ถ้าเป็นลูกของน้ารุ่ง สนิทกันไว้ท่าจะดี และการแกล้งเป็นวิธีทำความสนิทสนมของผมครับ

ไอ้เด็กนี่แซวนิดแซวหน่อยก็หน้าแดงโกรธฟึดฟัด ยิ่งตอนมันล้มเข้ามาในอ้อมอกผมนี่ อยากให้มันเห็นหน้ามันเองจริงๆ สงสัยจะเขินหรือเข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง แต่ผมเองก็ไม่ได้ดูแก่อะไรนะครับ (หรือว่าดูแก่วะ ชักอยากหยิบกระจกขึ้นมาส่องตอนนี้เลย)

พอกินข้าวเสร็จ ผมก็พยายามช่วยเก็บจานไปล้างเหมือนเช่นปกติ แม้น้ารุ่งจะอิดออดไม่อยากให้ทำ แต่ผมเป็นคนขี้เกรงใจเลยรีบเข้าไปแย่งทำเสียหมด

"น้ารุ่งอุตส่าห์ทำของโปรดของผมให้กิน จะให้น้ารุ่งลำบากเก็บล้างอยู่ได้ยังไง"
"ไอ้แกงเขียวหวานนั่นก็ของโปรดลูกน้า น้าตั้งใจทำให้มันอยู่แล้ว ช่วงนี้เห็นมันไม่ค่อยเจริญอาหาร"
"ไม่เป็นไรครับ" ผมยืนยันหนักแน่น ก่อนที่สงครามแย่งกันเก็บจานนี่จะยืดยื้อผมเลยใช้ความเร็วของผมจัดการรวบจานทุกอย่างไปหลังบ้านเพื่อล้างทำความสะอาด ได้ยินแต่เสียงน้ารุ่งถอนหายใจแบบยอมๆ

ระหว่างล้างจานก็ได้แต่คิดถึงไอ้เด็กนั่น ว่ามันจะกลุ้มใจเรื่องอะไรหนักหนาแค่แข่งกีฬาแพ้  นี่มันก็ผ่านไปสามสี่วันแล้วนะ
ที่ผมรู้เพราะข่าวโรงเรียนที่ผมเคยเรียนอยู่แพ้กีฬาบาสเก็ตบอลซึ่งเป็นความภูมิใจของโรงเรียนให้กับโรงเรียนคู่แข่ง สมัยผมอยู่ในทีมนี่ไม่เคยแพ้เลยนะ เขาว่ากันว่าเพราะความประมาทของกัปตันทีม ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นมัน ในฐานะรุ่นพี่นี่อยากจะเขกหัวมันสักที

.......
พอช่วยเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยผมก็รีบขอตัวกลับเลย เพราะต้องรีบไปขึ้นเวรต่อ
แต่ขอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะในระหว่างอยู่ที่บ้านน้ารุ่ง ผมไม่อยากให้ใครโทรมากวนให้อารมณ์เสีย (ผมภาวนาไม่ให้มีเหตุฉุกเฉินแทบแย่ กลัว ผ.อ. โรงพยาบาลตำหนิเอา)

หลังจากเปิดได้ไม่นาน เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นมาอย่างรัวๆ จนผมตกใจเกือบหักพวงมาลัยไปผิดทิศ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชำเลืองดู แสงไฟจากหน้าจอสว่างวาบขึ้นจนเกิดแสงเรืองในห้องโดยสาร BMW คันหรู

ข้อความทั้งหมดมาจากคนๆ เดียวกันกว่า 30 ข้อความ

ผมรีบปิดแสงนั่นและคว่ำโทรศัพท์ลง
ความหงุดหงิดแทรกซึมเข้ามาแทนที่ความสงบสุขเมื่อสักครู่

นี่ผมจะต้องไปทำงานทั้งที่หงุดหงิดอย่างนี้อีกแล้วหรือ

............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สี่
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-06-2017 11:18:24
ชัย #1

การทำตัวไม่เด่นเลยคงเป็นไปได้ยาก เป็นครั้งแรกที่ต้องขอโทษความสูงและความหน้าตาดีของตัวเองที่ทำให้การแอบสะกดรอยตามนิ่มและเพื่อนๆของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะเดินตามได้ไม่นานก็ถูกสาวๆ กลุ่มนั่นเห็นเข้าเสียแล้ว หรือผมเดินตามมาถึงแผนกชุดชั้นในหญิงหว่า? (ไม่ได้โรคจิตนะครับ เห็นว่าสาวๆเข้ามาในห้างสรรพสินค้าก็เดินตามมาเรื่อยๆ)
 
น้องโบคนที่ผมเคยไปจีบๆ ไว้เพื่อสืบข้อมูลเรื่องนิ่ม เธอเดินยิ้มเข้ามาหาแต่ไกล เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวมัดหางม้าสีดำคลับ เธอดูน่ารักมากกว่าสวย จะว่าไปเธอก็ถูกสเปกผมพอสมควร เว้นแต่เสียงแหลมเล็กของเธอนั่นล่ะ
"แหม.... บังเอิญจังเลยคะ" เธอเดินเข้ามากอดแขนผมอย่างคุ้นเคยทั้งๆที่ผมพยายามจะหลบสายตาของโบ
"เอ่อ.. ใช่ บังเอิญจัง"
สัมผัสได้ถึงเนื้อหนังอุ่นบริเวณหน้าอกเธอทะลุผ่านเสื้อผ้าบางๆสีพาสเทล ทำให้ผมปล่อยให้เธอจับต่อไปเลยตามเลย (ผมไม่ได้หื่นนะครับ.. จริงๆ ครับผมเป็นเหยื่อนะครับครั้งนี้)

"หรือว่าตามโบมา" เธอเอาตัวส่วนที่เหลือแนบเข้ามาใกล้อีก
อืม...... เอาวะ... มาขนาดนี้ตามน้ำมันซะเลย
"จ้า.... โบเนี่ยตาไวมากเลยนะ รู้ได้ไงว่าพี่ตามมา"
"ว้ายยย" โบเริ่มบิดตัวไปมาเสียงดังเสียจนผมเริ่มมองคนรอบข้าง
"น้องโบ... ไปทำธุระกับเพื่อนก่อนก็ได้จ๊ะ เดี๋ยวพี่รออยู่แถวนี้นะ"
ผมพยายามขยับออกห่างจากเธอครึ่งก้าว หันมองไปทางกลุ่มสาวๆที่ยังคงหวีดว้ายเลือกสินค้าในร้านโดยไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปคนหนึ่งแล้ว
"จริงหรือคะ ใจดีจัง เดี๋ยวไปเลือกชุดชั้นในให้ยัยนิ่มก่อนนะคะ เห็นว่าอีกสองสามวันจะไปเดี่ยวต่างจังหวัดกับผู้ชายคนใหม่ ทิ้งมันไปตอนนี้เดี๋ยวมันด่าตายเลย"
โบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยตามเคย จนหลุดข้อมูลสำคัญให้ผมรู้อีกเหมือนคราวก่อน
"พาโบไปกินข้าวหน่อยนะ"
"อ้าว.... แล้วไม่ไปกับเพื่อนรึ พี่ไปด้วยกันได้นะ"
"โอ้ย... ไม่เป็นไรหรอกเดี่ยวก็แยกย้ายแล้ว เพราะเดี๋ยวแฟนใหม่ยัยนิ่มก็มารับแล้ว"
อืม... มาอีกแล้ว หากเลือกได้จะไม่คบยัยนี่เป็นเพื่อน ปากเปราะไปหน่อย
"อ้อ จ๊ะ.... ได้จ๊ะ เดี๋ยวพี่รอยู่แถวนี้นะ"
พูดจบผมก็เกินไปนั่งม้านั้งแถวๆ นั้นให้เธอเห็นก่อนที่เธอจะเดินไปเข้ากับกลุ่มเพื่อนสาวที่เอะอ่ะอยู่ในร้าน

.......
ระหว่างที่ผมนั่งเหล่สาวที่เดินผ่านไปมาไม่นานนัก ผู้หญิงขายาวหุ่นดีหน้าสวยผิวขาว เดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่หน้าร้านด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผู้ชายแถวนั่นปลื้มเก็บไปนอนฝันได้ เธอคนนั้นคือนิ่ม ผู้หญิงใจร้ายที่หักอกเพื่อนผม

ก็ไม่แปลกที่เธอจะเกิดมาเลือกได้ขนาดนี้ ขนาดผมเองตอนแรกก็เกลียดเธอไม่น้อยหลังจากสิ่งที่เธอทำกับเพื่อนผม แต่เธอเองก็น่ามองไม่น้อย ผมนี่มองเพลินจนลืมความโกรธเหล่านั้นไปเลย
 
นิ่มโบกไม้โบกมือก่อนจะวางสาย ผมมองตามเธอที่เดินออกไปทางซ้ายของร้านอย่างไม่วางตา แล้วในสุดสิ่งที่ผมคิดก็ถูกต้อง คนที่เดินมาหานิ่มไม่ใช่เพื่อนผมแต่เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง มองจากตรงนี้มันไกลพอควรแต่รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

ดึงแขน คล้องแขน เกี่ยวมือ กระซิบข้างหู โอ้ว.... น่ารักว่ะ
นิ่มมีท่าทีที่น่ารักเหมือนที่ทำกับเพื่อนผม ที่ผมรู้เพราะไอ้หลงมันชอบพานิ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆตลอด ผู้ชายที่ไหนก็มองและอยากจะเสียบแทนไอ้หลงมัน แต่ด้วยจรรยาบรรณความเป็นเพื่อนทุกคนคงแค่คิดในใจ

หน้าผมตอนนี้คงดูไม่ดีเท่าไหร่ (สังเกตจากคนที่นั่งข้างๆ ลุกหนีไป) เพราะหงุดหงิดกับภาพที่เห็น เพื่อนผมนี่จะเป็นจะตาย แต่ยัยนี่มาระริกระรี้กับผู้ชายคนใหม่ ฮืม... ผมกำมือแน่น รู้สึกอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร

เหมือนเทวดาดลใจ นิ่มพาชายคนนั่นเดินรี่เข้าไปในร้านด้วย(อวดผัว...ประมาณนั้น สาววีดว้ายกันใหญ่) ทำให้ผมเห็นหน้ามันชัดเจน

เหี้ย!!! ผมคิดในใจ นี่มัน ไอ้กวี  นักกีฬาบาสเกตบอลโรงเรียนคู่แข่งนี้ !!!

ก็ไม่แปลกที่ยัยนิ่มจะมาติดพันด้วย โปรไฟล์แม่งโคตรจะดี หล่อ สูง รวย เรียนเก่ง เป็น เพอร์เฟคกาย ในตำนาน ติดอันดับหนึ่ง ในโพลออลสตาร์ หนุ่มหน้าใสวัยเรียนในจังหวัด ของเพจอะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ เพราะไม่เคยสนใจไปดูหนังหน้าผู้ชายด้วยกัน (ผมกับไอ้หลงก็อยู่ในท้อปเท็นนะ แต่ไม่รู้ลำดับ)

ผมไม่เคยชอบขี้หน้ามันอยู่แล้ว มันชอบจ้องมาที่ทีมผมด้วยสายตาไร้อารมณ์และเมินเชิดไปทางอื่นเหมือนพวกเราเป็นอากาศธาตุ ผมพยายามจะไปชวนคุยหลายรอบในช่วงที่เราเก็บตัวฝึกด้วยกัน (สปิริตนักกีฬา) แต่แม่งหยิ่งไม่เคยพูดด้วย

ผมกำหมัดแน่น อยากจะเข้าไปจัดการต่อยให้หน้าคว่ำ ให้หน้าหวานๆ ของมันช้ำเลือดช้ำหนอง แต่เหมือนมีปีศาจมาดลใจ ในเมื่อมันแย่งแฟนเพื่อนผมจะขัดขวางไม่ให้มันมีความสุข ในหัวผมตอนนี้ทำงานอย่างกับโรงงานคิดแผนชั่วๆ ได้เบ็ดเสร็จ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ห้า
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-06-2017 23:23:25
หลง (4)

แสงแรกของวันสาดส่องมากระทบยอดไม้ที่ไหวสั่นไปตามแรงสายลมอ่อนๆ ยามเช้า ผมยืนรอไอ้ชัยมารับไปโรงเรียนเฉกเช่นทุกวันในสองปีที่ผ่านมา ผมบิดตัวอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะเห็นแสงหน้ารถบิ้กไบค์มาจอดตรงหน้า ผมไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกับแม่ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย รูสึกเขินๆ เลยขอไปพร้อมกับไอ้ชัยมันทุกวันจนเป็นกิจวัต
ผมโดดขึ้นรถพร้อมใส่หมวกกันน็อคที่ไอ้ชัยมันยื่นมาให้โดยไม่ได้ทักทายอะไรมันเลย มันเหมือนรู้ใจผมไม่ได้คิดมากอะไรและไม่ใส่ใจที่จะถามด้วย หลังจากเห็นว่าผมนั่งเรียบร้อย มันก็บิดคันเร่งออกตัวไปอย่างเร่งรีบ

สายลมเย็นๆกระทบหน้า ผมเหม่อมองทิวทัศน์ที่วิ่งเข้ามาปะทะสายตาด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ้านเรือนและร้านค้าคาเฟ่ที่ปลูกขึ้นเรียงรายไม่ไกลจากรั่วโรงเรียน ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่ผมกับนิ่มเคยมีให้แก่กัน ไม่อยากเชื่อว่ามันจะกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ผมหลับตาลงเลี่ยงที่จะมองพวกมัน บ้านผมไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักไม่นานผมก็มาถึงที่หมาย

หลังจากนั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านอย่างเบื่อหน่าย เพราะแม่สั่งห้ามไม่ให้ออกจากบ้านจนกว่าขาจะหายดี ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วหลังผ่านวันเกิดเหตุมาสามสี่วัน วันๆก็นั่งฟังไอ้ชัยมันมารายงานเรื่องโน่นนี่ให้ฟัง มันคงอยากให้ผมทำใจได้ แต่ทุกครั้งที่ฟังผมน้ำตาแทบไหล มันเจ็บจี๊ดที่หัวใจ อยากออกไปตะโกนโวยวาย เดินท่ามกลางสายฝน แสดงมิวสิควิดีโอ แต่กลัวแม่ด่าเอา

วันนี้เปิดเทอมวันแรก โคตรจะไม่โอเคน่ะ ไม่เคยรู้สึกอยากจะหนีออกจากกลุ่มเพื่อนขนาดนี้มาก่อน ข่าวเรื่องการที่ผมถูกสลัดรักจากนิ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและน่ากลัวยิ่งกว่าห่าตั๊กแตนลงทุ่งข้าวโพด  ลือไปจนขนาดที่ว่าผมกลายเป็นผู้ร้ายของเรื่องไปเลย ผมเป็นคนถูกทิ้งนะเว้ย คงต้องโทษโลกในยุคโซเชี่ยลมีเดีย

ระหว่างการเดินไปเข้าแถวยามเช้าหน้าเสาธง ผมเดินผ่านแถว ม.5 ด้วย ผมได้เจอนิ่มเหมือนทุกวันในอดีต แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ  ผมพยายามทักทายแต่เธอทำเหมือนผมไม่อยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมาเสียบกลางใจผม เจ็บแปลบจนผมต้องยกมือขึ้นมาทาบอกตัวเองว่ามีเลือดไหลซึมออกมาหรือเปล่า

ในทุกๆช่วงเวลาที่มีโอกาสไม่ว่าจะเป็น ช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ช่วงเวลารออาจารย์เข้ามาสอน ช่วงเวลาคาบว่าง เพื่อนๆ ที่สนิทหน่อยก็จะทยอยเดินเข้ามาสอบถามความรู้สึกของผม ผมพูดบ่อยเสียจนอยากเปิดโต๊ะแถลงข่าวให้รู้โดยทั่วจะได้ไม่ต้องมาถามเซ้าซี้อะไรอีก ส่วนเพื่อนๆ ที่สนิทน้อยหน่อยก็จับกลุ่มคุยกันและมองมาทางผมด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกที่ต่างกันออกไป ผมโคตรจะไม่ชอบไอ้สถานการณ์อย่างนี้เลย มันอึดอัดจนอยากจะเดินหนีไปไกลๆ ผมไม่มีอารมณ์จะไปตามแก้ข่าวผิดๆ เหล่านั้น แต่โชคดีที่ไอ้ชัยและเพื่อนๆ นักกีฬาของผมพยายามคุยเรื่องอื่นและกันพวกชอบเผือกออกไปห่างๆ ทั้งวัน

"เดี๋ยวแม่งมันก็หยุดลือกันไปเอา พอมีเรื่องใหม่เข้ามาให้พวกมันเม้ากัน" ไอ้ชัยตบหลังผมเบาๆ
"ใช่ๆ" เพื่อนนักกีฬาคนที่เหลือเห็นด้วยขณะเดินไปที่สนามบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเพื่อฝึกซ้อมประจำวัน
"......."  อยากจะเอ่ยขอบใจแต่ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดออกมา พวกมึงคือเพื่อนแท้ของกู
"จริงที่ไม่นานที่เรื่องนี้จะไม่มีใครพูดถึงอีกในอนาคตแต่มันคงเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิตกู รักครั้งแรกของกู"
เพื่อนทุกคนช่วยกันตบหัวผมคนละทีสองที
"เชี้ย...แม่งน้ำเน่า เดี๋ยวมึงเจอคนที่แจ่มกว่ามึงก็ลืมเองแหละ สัด" ไอ้ชัยพูดไปไสหัวผมไปข้างหน้าอย่างแรง

แม้จะเพิ่งเปิดภาคเรียน โค้ชก็ยังให้ฝึกหนักเช่นเคย เพราะความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดกับทุกๆ คน บวกกับที่นี่สถานที่ที่ผมยังไม่อยากเห็นเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะมองตรงไหนมันก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าตรงม้านั่งข้างสนามที่นิ่มกับเพื่อนๆ มักจะมากินขนมกับเพื่อนๆ รอผมฝึกซ้อม แผงขายนำ้ที่เธอมักจะซื้อน้ำอัดลมมาให้ผมหลังซ้อมเสร็จ และ.... หลังอัศจันทร์นั่นที่เธอบอกเลิกกับผม....
 
วันนี้ผมซ้อมอย่างบ้าครั้ง ตั้งใจให้มีสมาธิกับการฝึกซ้อมมากที่สุด ทั้งวิ่ง ทั้งสปินต์ ทั้งกระโดด ทั้งฝึกชู้ต จนโค้ชต้องเอ่ยปากว่าให้พักเสียบ้าง (ปกติจะด่าผมว่าอย่าขี้เกียจ) ผมเหมือนไม่ได้ยินเหล่านั้น ผมยังฝึกหนักอย่างต่อเนื่องให้เหงื่อและความเหนื่อยล้ามันขับเอาความรู้สึกด้านลบออกไปจากระบบความคิด "เลิกคิดถึงเธอได้แล้ว" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ กับตัวเอง

ผมเอ่ยลากับเพื่อนๆ อย่างเร่งรีบหลังเสร็จกิจชำระล้างร่ายกาย เดินออกจากห้องล็อคเกอร์โดยไม่รอไอ้ชัยที่มันยังอาบน้ำอยู่ วันนี้ผมขออยู่คนเดียวอีกสักวัน วันนี้มันเจอเรื่องราวเยอะเกินไปที่จะทำตัวปกติได้ ผมเดินออกจากโรงเรียนเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้สมองโล่งๆ ผ่านการมองทิวทัศน์ยามโผล้เผล้พระอาทิตย์เหลือเพียงแสงเรืองๆที่เส้นขอบฟ้า

ผมมองเข้าไปในร้านไอศกรีมร้านโปรดของนิ่มที่เรามักจะมานั่งจับมือแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันเป็นประจำ ทันใดนั้นภาพของนิ่มเดินยิ้มออกมาปรากฎขึ้นตรงหน้า เพียงแต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้ยิ้มมาที่ผม แต่เป็นไอ้กวี!!!

ผมกำมือแน่น เหมือนทั้งสองยังไม่เห็นผม ยังไม่เห็นสายตาที่ขึงขังของผม ในหัวของผมไม่คิดเรื่องอื่น นอกจากจะเดินออกไปกระชากนิ่มเข้ามาในอ้อมกอดและใช้หมัดฟาดปากไอ้หน้าใสนั่น แต่จะมีประโยชน์อะไร.... ในเมื่อสายตานั้นไม่ได้เห็นอยู่ในนั้นอีกแล้ว
......อาจเพราะผมนั่งฟังเรื่องต่างๆ ของสองคนนี้ผ่านปากไอ้ชัยมาตลอด ทำให้คิดว่ามันสายเกินไปที่จะดึงนิ่มกลับมา เพราะหลังจากวันนั้นนิ่มไม่เคยแม้แต่จะคุยกับผม แชทกับผมอีกเลย ผมกำหมัดแน่นขึ้นไปอีกกับภาพที่เห็นตรงหน้าที่ทั้งสองพากันขึ้นรถเก๋งคันหรูและขับออกไปผ่านหน้าผมซึ่งเสมือนเป็นหลักกิโลเมตรตรงนั้น

ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสวนสาธารณะริมบึงไม่ห่างจากบ้าน ตอนนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ดวงแสงสว่างสีส้มที่ริมถนนเปิดขึ้นเป็นดวงๆ ลอยรายล้อมสวนริมบึงที่มีดวงไฟสีขาวผุดขึ้นตามทางเดินอิฐรูปตัวหนอนรอบบึงเป็นระยะๆ ช่วงนี้คนเริ่มบางตาจากการออกกำลังกายยามเย็น ผมเดินไปจุดที่ผมมักจะไปนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเป็นประจำ ผมชอบบรรยายกาศริมบึงที่สงบเงียบได้ยินเพียงเสียงลม มีเพียงผมและแสงไฟที่สะท้อนพื้นน้ำไหววูบวาบ

ผมคิดว่าผมเริ่มทำใจได้มากขึ้นหลังจากไม่เจอนิ่มหลายวัน ผมว่าผมแข็งแรงขึ้น นึกถึงเธอน้อยลง แต่.... ความแข็งของผมก็ต้องพังเมื่อเจอนิ่มกับผู้ชายคนใหม่ต่อหน้าต่อตา

"โธ่....โว้ย!!!" ผมเตะกิ่งไม้ที่หักลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์มันลอยเคว้งลงน้ำไป พลางคว้าเบียร์กระป๋องที่เพิ่งซื้อระหว่างทางมาซดอย่างกระหาย หมดไปหนึ่งรวดเร็วเหมือนน้ำซึมบ่อทราย ผมคว้ากระป๋องที่สองทันที

"เฮ้ยๆ ......" เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล "เป็นเด็กเป็นเล็กมาซดเหล้าเบียร์อย่างนี้ได้ยังไง!!"
คุ้นมาก คุ้นมากๆ ผมคิดในใจ เอากระป๋องเบียร์ซ่อนไว้ข้างหลังอย่างอัตโนมัติ  ผมหันไปทางขวาใกล้เสาโคมไฟ
"เชี้ย!!" ผมเผลอสบถออกมา "ไอ้หมอ!!"
"กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ จะเรียกกูว่าพี่สักหน่อยไม่ได้รึไง หัดมีสัมมาคารวะบ้าง"
วันนี้มาแปลกว่ะ ขึ้นกูมึงด้วย ผมเดินไปใกล้ขึ้นเพื่อให้สายตาปรับแสงได้บ้าง
พบว่าไอ้หมอนั่งอยู่ข้าวเสาโคมไฟ หน้าแดงตาแดงๆ เหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดูโทรมไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีอยู่ รู้สึกอิจฉานิดหน่อยโทรมยังเสือกดูดี

"อ้าว..เฮ้ย มึง...เอ้ย... พี่ก็ดื่มเหมือนกันนี่หว่า" ผมชี้นิ้วไปที่กระป๋องเบียร์สีเขียวในมือ (ความต่างของฐานะ ผมลีโอ มันไฮเนเก้น) และกองกระป๋องเบียร์ในถุงร้านสะดวกซื้อข้างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะว่างเปล่า)

"เป็นหมอมาทำเรื่องเสียสุขภาพแบบนี้ก็ได้หรือว่ะ"
"หมอก็คนไหมมึง"
เออ.....จริงของมัน
"แล้วมึงล่ะ มีอะไร หน้าอมทุกข์เชี่ยอะไรหนักหนา ยังเด็กอยู่เลย"
"มีละกัน"
"ถ้าแค่เรื่องแข่งบาสฯแพ้ มันไม่ถึงกับจะตายหรอกมั้ง"
"ไม่ใช่ ....กูกลุ้มใจเรื่องอื่น"
"เรื่องเชี้ยอะไร"
"มึงไม่รู้จักกูก็ไม่ต้องเสือก" รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นกูมึงกับไอ้หมอไปแล้ว
"งั้น กูจะช่วยไปบอกแม่มึงเอาไหม?"
อ้าว...เชี้ยแล้วไง มันทำท่าล้วงกระเป๋าเหมือนจะหยิบโทรศัพท์
"เออ..กูอกหัก พอใจยัง" ไอ้หมอทำหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อ
"เป็นเด็ก แล้วไม่มีหัวใจหรือไง?"  พอผมพูดจบมันกลับทำหน้าเห็นด้วย
"เออ...นั่นสิเนอะ....." แล้วไอ้หมอมันก็น้ำตาไหลนองหน้าครับ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย เกิดมาไม่เคยเจอใครร้องไห้หนักขนาดนี้ นี่มันไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้เป็นขนาดนี้
"กู...ก็เคยมีความรักช่วงเรียนเหมือนกัน ..แต่แม่ง...จบแบบเหี้ยๆเนี่ยแหละ ที่ทำให้กูมานั่งเป็นบ้าแบบนี้!"
อ้าว....เฮ้ย... ใครถามมันว่ะ ผมมองมันอย่างงงๆ
"เฮ้ย....นั่งสิ" เขาตีพื้นหญ้าข้างๆ เขา แล้วหยิบเบียร์จากในถุงพลาสติกมาให้ผมกระป๋องหนึ่ง
เอาวะ.. ไหนๆก็ไม่มีที่ไป ได้เบียร์ฟรีด้วย

หลังจากที่ผมนั่ง ไอ้หมอมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ได้แต่กระดกเบียร์ขึ้นมาดื่ม ดื่มและก็ดื่ม เหมือนมีภาระกิจที่ต้องจัดการมันให้หมด หน้าตาก็เหม่อลอยเหมือนใจไม่ได้อยู่ตรงนี้ ส่วนผมเองก็จิบเบียร์ปล่อยอารมณ์ไปกับความเงียบ ให้ใจได้สงบลง เลิกคิดถึงคนที่เขาไม่ได้คิดถึงเรา ทั้งไอ้หมอและผมเหมือนนั่งด้วยกันแต่จริงแล้วเหมือนต่างคนต่างอยู่

เคร้ง!!

เสียงกระป๋องเบียร์ตกจากมือไอ้หมอกลิ้งลงน้ำไป

จ๋อม!!

ผืนน้ำที่สั่นไหว ทำผมออกจากภวังค์ หัวไอ้หมอโงนเงนจนเอนมาพิงผมที่อยู่ข้างๆ

"เฮ้ย!!!" ผมโวยวายลั่น แต่มันเหมือนหมดสติไปเลยครับ คอพับคออ่อนจนไหลลู่ลงไปจากไหล่ลงไปถึงหลัง ด้วยปฎิกิริยาอัตโนมัติ ผมรับคว้าตัวเข้าไว้ก่อนที่หัวจะกระทบพื้น ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก ทันเวลาพอดี

"เฮ้ย หมอ.... ไอ้หมอ... หมอ!!!" ผมประคองเขาขึ้นมานั่งตรงและพยายามตบหน้าเขาเบาๆ (อยากทำมานานแล้ว) มันไม่ฟื้นครับ นอกจากบ่นงึมงำฟังไม่เป็นภาษา
"ถ้าจะคออ่อนขนาดนี้ก็ไม่ควรจะกินนี่หว่า" ผมเผลอไปมองกองกระป๋องเบียร์ที่ว่างเปล่า น่าจะเกือบโหล เออ!! ก็ควรแล้วแดกเข้าเยอะขนาดนั้น

"เชี้ย!!! เป็นภาระกูอีก" ผมมองซ้ายขวา ไม่มีใครอยู่แถวนั่นเลย ตอนนี้น่าจะเลย 2 ทุ่มแล้ว

เอาวะ พากลับไปให้แม่ดูมันหน่อยก็ได้ ด้วยความที่ไกล้บ้าน และผมแทบไม่รู้จักมันเลย คงเป็นวิธีเดียวที่ทำได้
ผมประคองไอ้หมอลุกขึ้นยืน ให้ตายสิตัวใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงเบาอย่างนี้เนี่ย แล้วผมก็ค่อยๆ ประคองมันจนไปถึงบ้าน

"ว้าย!! ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น" แม่ผมกรี๊ดทันทีกับภาพตรงหน้าที่เห็นไอ้หมอเมาเละเทะกองอยู่ตรงโซฟา กับผมที่อาบเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
"โอโห กลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย .... แล้วนี่เราก็เอากับเขาด้วยหรือ แมบอกแล้วไงว่าอย่าดื่มในวันที่มีเรียน"
"มันชวน" ผมชี้ไปที่คนที่นอนเป็นศพอยู่ตรงนั้น อันนี้เรื่องจริงครับ แค่เล่าไม่หมด
"จริง?"
"ผมจะโกหกทำไม?"
"เออๆ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว ต่อให้โดนชวนจริงก็ปฏิเสธได้ใช่ไหม? อย่าให้แม่เจออีกนะ!!"
แม่ขึ้นเสียงสูง พูดจบแกก็ไปพยายามปลุกให้ไอ้หมอมันคืนสติกลับมาบ้างแต่ไร้ผล
"เอิร์ธๆ เอิร์ธ ลูก..  เฮ้อ.... ไม่ไหวเมามากจริงๆ"
"งั้นผมไปนะ เหนียวตัวจะแย่"
"เดี๋ยว... ไอ้ตัวดี มาช่วยแม่ก่อน" แม่ทำท่าจะพยุงไอ้หมอลุกขึ้น
"แม่จะเอามันไปไหน?  ให้นอนอยู่ตรงนี้แหละ"

"อ๊อกก..." เชี้ยมันอ้วกครับ เลอะเทอะไปหมด

" นี่ไง!! กะแล้ว แม่เห็นอาการไม่ดีตั้งแต่เมื้อกี้แล้ว ว่าจะให้แกช่วยพยุงไปห้องน้ำนี่ล่ะ ไม่ทันแล้ว"
แม่ทำหน้าแหยงๆ บอกไม่ถูก
"อ้วกอีกแล้ว ก่อนเข้าบ้านก็รอบหนึ่งแล้วนะ!"
"ไม่ต้องมาโวยวาย มาช่วยแม่เอาเขาไปล้างตัวหน่อย"
"ให้ผมทำ?"
"หรือจะให้แม่ทำ? งั้นแกมาล้างบ้านตรงนี้"
"ไม่เป็นไร งั้นผมพามันไปล้างตัวก็ได้" ผมรีบกุลีกุจอ เดินไปรับตัวมันมาแบกไว้โดยพยายามหลีกเลี่ยงอ้วกบนพื้นให้มากที่สุด ผมเห็นแม่คิ้วขมวดและส่ายหน้ากับภาพตรงหน้า

ผมพยุงมันขึ้นบันไดและวางมันตรงพื้นในห้องอย่างขอไปที
"เฮ้อ... ทำไมชอบทำให้กูวุ่นวายจัง" ผมยืนชี้หน้าคนที่กองอยู่ตรงพื้นแบบไม่มีระเบียบ

"หลง!!" เสียงแม่ตะโกนแทรกพื้นชั้นสองขึ้นมา
"ครับ" ผมตอบรับเสียงดัง
"ห้องรับรองแขกเราเพดานมันรั่ว วันนี้ฝากเอิร์ธไว้ห้องเราก่อนได้ไหม?"
"อ้าวทำไมล่ะ ให้มันนอนห้องรับแขกก็ได้นี่"
"พ่อแกกลับดึกเดี๋ยวจะตกใจ"
"โหย!!!"
"ก็แกไม่ยอมซ่อมหลังคาให้แม่เองนี่นา อย่าบ่น"
"คร้าบ คร้าบ" ผมตอบเสียงยาว... งานช่างแบบนี้แม่ให้ผมรับผิดชอบมาตั้งแต่ม.สาม แม่อยากให้เป็นวิศวะ แม่ว่างั้น พอโตมาตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกหลอกครับ

ผมมองคนที่หลับอยู่ที่พื้นแล้วถอนหายใจ
ผมจับมันถอดเสื้อผ้าออก เสื้อที่เขลอะไปด้วยคราบอ้วกของมัน สังเกตดีๆ นี่มันมีแต่เสื้อผ้าดีๆมียี่ห้อทั้งนั้น อาชีพหมอนี่รวยว่ะ ดูอายุไม่เท่าไหร่ น่าจะเพิ่งทำงานหรือบ้านจะรวยอยู่แล้ววะ ผมบ่นไปโยนเสื้อผ้าของมันลงตระกร้าเตรียมซักไปด้วย

ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวมันอย่างลวกๆ คนอะไรผิวขาวฉิบหาย ผมก็ขาวนะครับแต่ไอ้นี่มันใสแบบผิวดีมาก แถมอะไรๆ ก็เป็นสีชมพู ขนาดผมเป็นผู้ชายยังอดใจเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้  อย่าเพิ่งคิดลึกนะครับ ผมยังไม่ได้ถอดบ๊อกเซอร์มันครับ
รูปร่างของไอ้หมอก็ดีนะครับ น่าจะออกกำลังกายมาบ้าง แต่หุ่นบางไปหน่อยมิน่าถึงได้เบานัก ผมเป็นนักกีฬาครับดังนั้นชินกับการเห็นผู้ชายถอดเสื้อผ้า แก้ผ้ากันจนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมดันใจเต้นกับมันแบบแปลกๆ อาจเพราะไม่เคยเจอผู้ชายเปลือยแล้วดูสวยแบบนี้มั้ง

ระหว่างที่ผมเช็ดตัวมัน อยู่ๆ มันจับมือผมและดึงผมไปไกล้ๆ จนผมล้มหน้าทิ่มล้มไปข้าง จมูกผมโดนแก้มไอ้หมออย่างจัง คนเมาเชี้ยอะไรแรงเยอะฉิบหาย

"เอ...เอ..กลับมาหาเอิร์ธ แล้วใช่ไหม?" ไอ้หมอมันควรคราง ข้างๆหู

ส่วนผมนี่รีบดึงร่างตัวเองออกจากอ้อมกอดมันแทบไม่ทัน
"เชี้ย.. อะไรเนี่ย... กูไม่ใช่เมียมึงนะ" ผมโยนผ้าขนหนูหมาดๆ นั่นใส่ตัวมัน
แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นมันน้ำตาไหลพรากๆ ยังกะท่อน้ำแตก
ทำไมนะ ทำไมผมถึงรู้สึกหวั่นไหวกับภาพตรงหน้านี้ด้วย หากผมเมากว่านี้ ผมจะเป็นแบบนี้ไหมนะ ความรู้สึกเห็นใจไหลเข้ามาท่วมทับความรู้สึกรำคาญ 

"เอาวะ นึกว่าทำบุญก็แล้วกัน"
ผมตั้งใจจัดการเช็ดทำความสะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเอาชุดของผมให้มันใส่ หลวมไปหน่อยแต่ก็ใส่ได้ ลำบากเหมือนกันเพราะมันดิ้นและพยายามจะเกาะแกะผมตลอด จับแขนบ้าง จับมือบ้าง จับเอวบ้าง โอย!! ยังกับปลาหมึกพัวพันไม่หยุด สรุปว่ามันเมาหรือจะแกล้งผมว่ะ กว่าจะจัดการให้มันนอนบนเตียงได้แทบแย่

ถึงมันจะตัวเล็กกว่าผม แต่ก็คือผู้ชายตัวควายๆคนหนึ่ง ดังนั้นแค่มันอยู่บนเตียงก็กินพื้นที่เตียงขนาดควีนไซส์ของผมไปกว่า 70% ผมเลยจำใจให้ตัวเองมานอนที่พื้นข้างๆ เตียง

"ยอมให้มึงคืนหนึ่งนะไอ้หมอ" ผมบ่นงึมงำ ขึ้นให้มันนอนพื้น แม่ผมรู้มีหวังบ่นหูชา

ผมปิดสวิทไฟ พยายามข่มตาหลับให้หลับ แต่ก็ทำได้แค่เพียงกลิ่งไปกลิ้งมา ผมไม่เคยคุ้นกับการนอนบนพื้นบ้านแข็งๆ แบบนี้เลย นอนไม่หลับ ขนาดตอนไปเข้าค่าย ร.ด.  ผมยังนอนไม่ค่อยหลับเลย ผมจำความทรมานแบบนั้นได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ผมตัดสินใจหยิบหมอนปลี่ยนที่นอนขึ้นไปบนเตียง

ผมพยายามขยับไอ้หมอที่ตอนนี้นอนเหยียดกายเต็มที่กางแข้งกางขา เหมือนเป็นที่นอนของมันเอง (ดีที่มันไม่กรน)  ผมใช้สองมือ พยายามโกยมันให้ไปกองอีกฝากของเตียง บทจะหนักมันก็หนักนะเนี่ย

หลังจากจัดการที่ว่างบนเตียงของตนเองเรียบร้อย ผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจในฝั่งของผม กำลังจะเคลิ้มหลับได้ที่เพราะวันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ ทั้งกายและใจ ในที่สุดผมได้กลับมานอนที่ๆ คุ้นเคย ไม่มีความสุขใดเท่าได้นอนเตียงนุ่มๆ ของตัวเอง หนังตามันก็หนักขี้นเรื่อยๆ

พั่บ!!

แขนของไอ้หมอฟาดมาที่ร่างผมอย่างแรง ผมตกใจแต่ก็รู้สึกของขึ้นอย่างแรง รู้สึกเส้นเลือดตรงขมับบูดขึ้นมา เลย ผมขว้างแขนมันออกไปและพลิกตัวหันไปทางเจ้าของแขนข้างนั้น

"เฮ้ย!!!  มันจะมากไปแล้ว.....น.....นะ" ผมเตรียมเงื้อมือขึ้นมากะว่าจะโบกมันสักทีสองที แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ไปเจอหน้าสวยๆ ขนตายาวของมันเข้า ในระยะประชิด แสงไฟจากถนนภายนอกลอดผ่านช่องหน้าต่างแสงสีส้มสลับขาว ทำให้พอมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ยาก  ทำไมผมต้องใจเต้นขนาดนี้ด้วยนะ ตอนนี้ดวงตาคู่นี้ปิดสนิท มีคราบน้ำตาติดอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง ดวงหน้าดูสงบขึ้น มันดูดีจนผมทำร้ายมันไม่ลง รู้สึกไม่อยากไปรบกวนเขาตอนนี้

ผมตัดสินใจนอนลงไปอย่างเดิม แต่เพียงครู่เดียวไอ้หมอมันก็เอาแขนมาพาดผมอีก ผมโยนแขนมันกลับ สักพักมันก็กลับมาอีก สรุปคือแขนมันเป็นมูมเบอแรง? เป็นอย่างสักสองสามครั้งผมก็เลิกยุ่งกับมัน ปล่อยมันไว้บนตัวผมนี่แหละ เพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว ผมง่วงมาก แต่.....ไม่เข้าใจว่าทำตัวเองใจสั่นขนาดนี้ แล้วผมจะนอนหลับไหมเนี่ย?

..............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่หก
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-07-2017 12:21:37

เอิร์ธ # 3

วันนี้เป็นวันหยุดวันแรกของผมในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา (อยากจะจุดพลุฉลอง) เหนื่อยจนไม่อยากไปไหนเลย วันนี้ผมมีเป้าหมายแค่จะนอน กับนอน และนอน ผมเปิดแอร์ปิดม่านจนเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงวัน จนท้องมันเริ่มประท้วงแต่ร่างกายยังโหยหาการนอนอยู่เลย แค่หลับตาก็สามารถหลับต่อไปได้เลย แต่ผมก็พยายามดึงร่างตัวเองที่ติดกับเตียงออกมาหาอะไรกินให้ได้ ก่อนที่กรดในกระเพาะจะทำร้ายกระเพาะผม

ระหว่างที่ร่างกายกำลังต่อสู้กันเอง โทรศัพท์ก็ส่งเสียงดังส่องแสงวูบวาบขึ้นมา คงสงสัยกันว่าจะนอนยาวทำไมไม่ปิดโทรศัพท์ อย่างว่าครับด้วยอาชีพอย่างผมคงทำไม่ได้

ผมรีบขยับร่างไปดึงโทรศัพท์ที่ชาร์ทอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงมาดู แสงที่เรืองออกมาจากหน้าจอแสดงชื่อบอกว่าไม่ใช่คนของโรงพยาบาลโทรมา เป็นคนๆ หนึ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะรับสายมาโดยตลอด

ผมลังเลที่จะกดปุ่มรับสาย ใช้นิ้วแตะที่หน้าจอแต่ไม่กล้าที่เลื่อนมันไปที่ ‘รับสาย’ ภาพในหัวนึกย้อนกลับไปที่เหตุการณ์วันนั้นทุกครั้งที่คนๆนี้มีชื่อว่าโทรหา….... วันที่ผมอยากจะลืมแต่…. เพียงแค่หลับตาภาพเหล่านั้นมันก็หวนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ผมหยิบโทรศัพท์มากำไว้เหนือหน้าอก นอนแผ่หลาบนที่นอน ข่มใจที่จะไม่รับมัน
......………....

ย้อนไปเมื่อ สามเดือนก่อน

ก็อกๆ ก็อกๆ

ผมยืนตื่นเต้นอยู่หน้าอพาร์ทเม้นต์ ของเอ แฟนหนุ่มที่ผมคบหากันตั้งแต่ปีหนึ่ง เราแยกกันอินเทิร์นคนละโรงพยาบาล แถมอยู่คนละจังหวัด วันนี้วันเกิดเขาผมเลยเตรียมแผนที่จะมาเซอร์ไพร์ซเขา โดยการเอาของขวัญมาให้เขาโดยไม่ได้นัด ของที่เขาบ่นอยากได้มานาน แอปเปิลวอทช์รุ่นล่าสุด  ที่ผมอุตส่าห์ฝากพ่อซื้อมาจากต่างประเทศ

ตอนแรกผมบอกเขาไปว่าไม่สะดวกมาหาไม่ได้ เขาทำเสียงเศร้าๆ โอดควร
"ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน มาหาหน่อยไม่ได้ คิดถึง"
"ก็มันยุ่งจริงๆ ทางนี้คนไม่พอผมเลยต้องอยู่ยาวแบบไม่มีกำหนดหยุดเลย"
"เสียดายจัง อยากเจอ มีเรื่องจะคุยด้วยเยอะเลยครับ"
ผมพยายามอดกลั้นไม่เฉลยความจริงที่ว่าผมได้หยุดตั้งสองวันเพื่อจะข้ามจังหวัดไปหาเขา
"เราก็คุยกันเกือบทุกวัน"
"แต่มันไม่เห็นหน้านี่! ผมคิดถึงเอิร์ธมากเลยนะครับ"
โอย...จะทนไม่ไหวแล้ว
"จะลองพยายามก็แล้วกันนะ"
"เย้ๆ เอิร์ธ น่ารักที่สุด รักนะครับ อ่ะ!! เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว แล้วโทรมาบอกด้วยนะว่าสรุปยังไง"
"ครับๆ คิดถึงนะครับ"
"จุ๊บๆ บาย"
"บายครับ"

แต่ตอนนี้มายืนอยู่หน้าห้อง แต่แปลก…ไหนว่าวันนี้ไม่ไปไหน เมื่อกี้ยังไลน์คุยกันอยู่เลยว่าอยู่ห้อง ทำไมไม่มาเปิดประตูเสียที

"ก๊อกๆๆ" ผมพยายามเคาะเรียกอีกรอบ แต่ก็ยังเงียบ จุดที่ผมยืนอยู่มีไอเย็นจากแอร์ฯไหลออกมาผ่านช่องประตูด้านล่างอย่างสม่ำเสมอ เลยค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนอยู่ในห้อง หรือว่าหลับ?? หรือลืมปิดแอร์ฯ

แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ผมยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ผมแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แน่ๆ จึงตัดสินใจใช้กุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้เปิดเข้าห้องรอเซอร์ไพร์สเขาในห้องดีกว่า  ผมผลักประตูห้องเข้าไปไอเย็นจากแอร์คอนดิชั่นเนอร์ด้านในปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง ทุกอย่างในห้องนิ่งเงียบในความมืดของผ้าม่านกันแดดและแสงยูวี ผมก้าวเดินเข้าเปิดสวิทไฟที่ข้างประตูด้านใน

วาบ!!

แสงไฟสว่างทั่วห้อง เผยให้เห็นรูปร่างคนนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำเงินเข้ม ผมรีบเดินเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงทันที คนอะไรขี้เซาจัง เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น (ปมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เวลาเหนื่อยๆ แม่ผมลากลงจากเตียงยังไม่ตื่น

"เซอร์ไพร์ส!!!"

ผมเดินไปดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ขึ้นหมายให้คนข้างในแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจกลับเป็นผมเองในเมื่อคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มกลับเป็นคนอื่น เฮ้ย!! หรือผมเข้าผิดห้อง

"อ้าว..เอ กลับมาแล้วหรือ? หายไปนานเลยนะ หิวแล้วนะเนี่ย"

ชายลึกลับที่นอนอยู่ ลุกขึ้นกึ่งนั่งขยี้ตาตัวเองด้วยความงัวเงีย เผยให้เห็นร่างกายที่เปล่าเปลือย

"อ้าว!! นายเป็นใคร?" ชายในร่างเปลือยเปล่าถามพลางฉวยผ้าห่มแถวนั้นมาปิดส่วนสำคัญไว้

"เอ่อ..คือ... ขอโทษครับ คือ... " ผมพยายามเรียบเรียงคำถามในหัว จ้องไปที่ชายหนุ่มผิวสองสีหน้าคมเข้มกึ่งเปลือย ที่ดูน่าจะอายุมากกว่าผม

ผลั่ก.... เสียงประตูเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย
"พี่ต่อตื่นแล้วหรือครับ ขอโทษนะครับไปนานไปหน่อย บังเอิญว่าแวะไปหลายที่ หาอะไรมาฉะ....ลอ….."
เสียงหยุดขึ้นกลางคัน หลังที่เงยหน้ามาเจอผมที่สภาพที่ใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมา

ภาพและคำพูดไม่กี่ประโยคบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของมัน ผมฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไร ผมขว้างกล่องของขวัญที่อยู่ในมือใส่เออย่างเต็มแรง ก่อนที่ผมจะวิ่งเบียดไหล่เอออกจากห้องทั้งน้ำตา

ผมไม่รู้ว่าต้องไปไหน รู้แต่ว่าต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่ง ไปให้ไกล แต่ไปได้แค่สองชั้นก็ถูกมืออันใหญ่โตคว้าไว้

"เอิร์ธ ... รอก่อน... "
"ปล่อย!!" ผมสะบัดเต็มแรงแต่ไร้ผล เขาดึงผมเข้ามากอดไว้
"เอิร์ธ ฟังก่อน คือ...."
"ฟังอะไร สิ่งที่เห็นมันอธิบายทุกอย่าง ปล่อยนะ" ผมพยายามดีดตัวเองอยู่อ้อมอกที่รัดแน่นเหมือนกระต่ายที่ติดในกับดักที่ดิ้นไม่หลุด
"นี่แหละ คือเรื่องที่เอจะบอกกับเอิร์ธไง"

"เรื่องอะไร... ปล่อยสิโว้ย" ผมดิ้นรนไม่หยุด
"เรื่องพี่ต่อนี่ไง. คือ……จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะอยู่ด้วยกันสามคน?"
"......." ผมอึ้งครับ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะออกจากปากปัญญาชนแบบเราๆ
"เอิร์ธ... ผมรักเอิร์ธนะ แต่ผมก็รักพี่ต่อเหมือนกัน แล้ว…ผมคุยกับพี่เขาแล้วพี่เขาโอเค"
"......." ผมไม่พูดอะไรแค่มองเข้าไปในตาของที่ดูจริงจัง
"ว่าไงเอิร์ธ ดีไหม?"
ผมรู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไง อย่างแรกที่รู้สึกคือ รับไม่ได้

"ทำไมถึงมีแค่เราสองคนไม่ได้?" ผมหยุดดิ้นรนและเอ่ยออกมาเบาๆ
"แล้วเอิร์ธไม่รักเราแล้วหรือ?" เอยังบังคับให้ผมจ้องหน้าเขา
"รักแต่ ..ทำไมถึงมีแค่เราสองคนไม่ได้ ผมรับไม่ได้ที่จะอยู่อย่างนี้"
"เราจะได้มีความสุขเยอะๆ ไง คนยิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ?"
ไม่เคยฟังคำพูดเห็นแก่ตัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักเขาออกไปได้สำเร็จ สายตาก็เหลือบไปเห็นที่อยู่บนเตียงที่ห่อร่างกายตัวเองด้วยผ้าคลุมของเอเดินลงมาสมทบ ยิ่งทำให้สติผมขาดหายไป

"พูดอะไรออกมาน่ะ? รู้ตัวบ้างหรือเปล่า? หากรักกันจริงก็ต้องมีเราแค่คนเดียว หากเอรักเอิร์ธ เอก็ตามเรามา แต่หากเอเห็นว่าเขาสำคัญกว่าก็ไม่ต้องตามมา" ผมตะโกนทั้งน้ำตา รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

ผมเดินลงบันไดอย่างไม่คิดชีวิตจนไปหยุดที่หน้าตึกอพาร์ทเม้นต์ แต่ไร้ซึ่งวี่แววของเอตามมา ผมยือรออยู่ตรงนั้น มองเข้าไปที่ห้องพักของเขา แต่ทุกอย่างสงบเงียบ พระอาทิตย์ถอยร่นลงมาจนจะถึงขอบฟ้า แสงบนท้องฟ้าเริ่มซีดจางจนเริ่มเห็นแสงดาวรางๆ เหมือนกำลังใจของผมที่หมดลงไปเรื่อยๆ

ผมลังเลอยู่ว่าควรจะอยู่หรือควรจะไปจากตรงนี้ดี?

ผมนี่มันไม่มีหวังแล้วใช่ไหม?

การที่คนเราไม่เจอกันไม่กี่เดือนทำให้เปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นเลยหรือ?

คำถามเกิดขึ้นในใจวนไปมาจนผมตัดสินใจหันหลังจากตึกสูง 6 ชั้น ที่ตอนนี้เริ่มเปิดไฟนีออนส่องสว่างตามจุดต่างๆ

ผมเดินไปที่รถ นั่งลงเอาหน้าผากชนกันพวงมาลัย ในหัวว่างเปล่า ผมไม่รู้จะไปไหนแล้ว ผมไม่มีแผนสำรองสำหรับเรื่องนี้ อยากขับรถไปลงเหวที่ไหนสักแห่ง ให้ความเจ็บปวดที่ใจตอนนี้มันหายไป แต่หน้าของพ่อและแม่ก็แทรกเข้ามาในหัว ผมร้องไห้เอาหัวโขกพวงมาลัยซ้ำไปซ้ำมา

"กลับบ้านดีกว่า" ความคิดนี้ถูกแทรกเข้ามาในหัวทันที ผมรีบสตาร์ทรถ และขับออกไป จากจุดนั้นตั้งใจจะตรงกลับบ้าน

ระหว่างที่ผ่านหน้าอพาร์ทเม้นต์ของเอ ผมเห็นเอและอีกคนหนึ่ง เดินลงมาและมีทีท่าเหมือนมีปากเสียงกัน แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เสียงเพลง ‘เจ็บแต่จบ’ ดังขึ้นจากคลื่นวิทยุที่เปิดทิ้งไว้ ทันใดนั้นเสียงพี่อ้อยพี่ฉอด ก็ดังขึ้นมาให้หัวว่า "หากเขารักเราจริงเขาจะไม่มีวันไปสนใจคนอื่น เขาต้องหนักแน่นพอที่จะมีเราแค่คนเดียว แค่คิดจะมีอีกคนก็ผิดแล้ว"

"ขอบคุณครับ" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยสำนึกต่อถ้อยคำเหล่านั้นที่ทำให้เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้นมาที่จะใช้ชีวิต่อไป
ผมเหยียบคันเร่ง เพื่อให้รถทะยานเร็วขึ้นโดยตั้งเป้าคือที่ ‘บ้าน’

...............

หลังจากวันนั้น ผมก็ให้พ่อใช้เส้นสายย้ายผมมาทำงานใช้ทุนที่นี่ เพื่อให้ไกลจากเอ และไม่ให้เขารู้ ผมปิดแม้กระทั้งเพื่อนสนิทของผมด้วยซ้ำ (คนที่รู้ก็มีแต่น้อย) ผมไม่รู้ว่าเขาจะติดต่อมาทำไม? แต่ผมก็ทำใจที่จะรับโทรศัพท์จากเขาไม่ได้ เขาส่งไลน์มามากมายจนผมต้องขอบล็อค

เพื่อนด่าผมประจำว่าทำไมไม่เปลี่ยนเบอร์ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ หรือผมยังคิดว่ามีความหวังกับเรื่องของเออยู่

ผมพลิกโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าอยู่ตรงหน้าอกผมขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เงียบสงบไปแล้ว

5 สายที่ไม่ได้รับ... มีความพยายามดีจัง ทำไมตื้อจังวะ

ยังไม่ทันถอนหายใจจนสุด ก็มีสายเข้ามาอีก. แต่คราวนี้ไม่ขึ้นชื่อ ผมรีบกดรับทันทีกลัวเป็นคนที่โรงพยาบาลโทรมา

"สวัสดีครับ"
"เอิร์ธ... เอเองนะ ในที่สุดก็ได้คุยกันเสียที"
"......." เฮ้ยยยยยย
"อย่าเพิ่งวางสายนะครับ มีเรื่องจะคุยด้วย"
"........มี…..อะไร....?...."
"อยากได้ยินเสียง คิดถึงนายมากเลย"
"........" ไม่รู้ว่าจะตอบไปเพื่ออะไร
"สบายดีไหม? หายโกรธหรือยัง?"
"ควรจะหายไหม?" ผมรู้สึกบรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา
"ผมขอโทษนะที่ปิดบังเอิร์ธไว้"
"........" อืม...เกือบดีแล้ว แล้วไงต่อ
"เราเอาเรื่องที่เอิร์ธบอกให้เราตัดสินใจแล้ว"
"อืม..." ผมรู้สึกตื่นเต้น แปลว่าสิ่งที่เราทำคืออยู่ห่างกันนี่ช่วยได้เหมือนกัน
"เราหวังว่าสิ่งที่เราจะบอกไปจะทำให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม"
"…..??."
"เราตัดสินว่า..... เราจะเลือกพี่ต่อล่ะ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้ใช่ไหม? เราแคร์ความรู้สึกนายมากนะ"
"......."  อันนี้เรียกว่าแคร์ใช่ไหม?

หลังจากนั้นหูผมก็อื้อดับไปเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคำตอบแบบนี้ เวลาที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เรามีให้กันมันไม่มีความหมายเลยหรือไง? ผมก็รู้ว่าช่วงก่อนที่เราจะแยกย้ายกันฝึกประสบการณ์จริง เรามีเรื่องระหองระแหงกันมาเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ จะมาขอเป็นเพื่อนต่อ กูทำใจไม่ได้โว้ย ผมวางสายและเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างอารมณ์เสีย

ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปหาดื่มอะไรให้มันหายขัดข้องใจ

.......

ผมลืมไปที่นี่มันไม่ใช่กรุงเทพ การจะหาที่นั่งดื่มชิลๆ มองผู้ชายหน้าตาดีให้มันสาแก่ใจ นี่มันหายาก สุดท้ายก็จบที่ร้านสะดวกซื้อและไปหาที่เงียบๆ ซดเหล้าให้โล่งใจ ใช้สุรารารดหัวใจที่บอบช้ำ หลังจากนี้จะขอเริ่มต้นใหม่ไม่สนใจอดีตอีกต่อไป

เดินจนพบที่นั่งที่ห่างไกลจากผู้คนสักหน่อย บรรจงนั่งหยิบเบียร์เย็นๆในถุงมาดื่มชื่นชมบรรยากาศยามเย็น ใกล้บึงที่สงบเงียบ กับสายลมอ่อนๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้น มันทำให้อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย

“โธ่….เว้ย” เสียงคนตะโกนพร้อมกับกิ่งไม้แก่ลอยคว้างลงไปในบึงไม่ไกลนัก
ทำให้ผมต้องมองไปที่ไอ้ตัวที่ทำลายบรรยากาศ

อ้าว… ไอ้เด็กเวรนี่อีกแล้ว

ช่วงนี้เจอมันบ่อยเหลือเกิน ด้วยความหงุดหงิดประกอบกับดื่มเบียร์ไปได้ครึ่งทางแล้ว (ซื้อมาตั้งโหล) ผมเลยโวยวายให้มันสำนึกผิดเสียหน่อย แต่พระเจ้า…ดันเจอคนหัวอกเดี๋ยวกัน คนอกหัก โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรม  ทำไมคนหน้าตาดีๆ อย่างเรา (ผมกับไอ้เด็กเวรนี่) ถึงได้มาเจอเรื่องอะไรแบบนี้วะ

บวกกับเพียงแค่เห็นสีหน้าของมันที่ดูผิดกับที่เคยเจอมา ดูเศร้าหมอง มองมันก็เหมือนส่องกระจก เหมือนผมตอนนั้นไม่ผิด เชี้ย!! ทำไมต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้นด้วยวะ ทำใจให้ลืมไม่ได้เสียที ผมยกเบียร์กระป๋องในมือดื่มจนหมด พร้อมชวนมันมานั่งดื่มด้วย ผมยื่นกระป๋องให้มัน และบอกให้มันมานั่งเป็นเพื่อนหน่อย มันก็ว่าง่ายดี (สงสัยเพราะเบียร์ฟรี) หลังจากนั้นผมก็จัดหนักรินน้ำสีเหลืองทองพร้อมฟองนุ่มลงคออย่างกับดื่มนมตอนเช้า ไม่ได้นับว่าดื่มไปอีกกี่กระป๋อง และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ในวันนั้น……

………..

ผมตื่นมาพร้อมกับหัวที่หนักเหมือนเอาดัมเบลสัก 30 กิโลกรัม มาผูกติดหัวไว้ รู้สึกคอแห้งไปหมด ทุกอย่างดูสลัวๆ ทึมๆในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผมไม่มั่นใจว่าผมอยู่ที่ไหน รู้สึกว่าแค่แสงสว่างเพียงน้อยนิดก็สามารถจี้หัวผมให้ปวดร้าวไปหมด ผมพยายามหยีตาอยู่นานกว่าตาจะปรับเข้ากับแสงสว่างที่มีอยู่ตอนนี้
ความรู้สึกที่ลำตัวไปถึงเท้าสัมผัสกับความนุ่มนิ่มตรงพื้นที่นอนอยู่เลยคิดว่านอนอยู่บนเตียง ผมอยู่ในท่านอนตะแคงและแขนข้างหนึ่งพาดอยู่กับบางสิ่งที่นิ่มๆ อุ่นๆ  พยายามกวาดตามอง จนไปเห็นโครงหน้าที่ได้รูปกับจมูกที่โด่งเป็นสันกำลังดี

เฮ้ย ไอ้เด็กหลงนี่!!!  นี่ผมกำลังนอนอยู่กับไอ้เด็กหลงนี่!!

ผมถึงกับสะดุ้งเปลี่ยนท่านอนทันทีแต่ร่างกายเจ้ากรรมขยับไม่ได้ดังใจเท่าไหร่!

“โห…ไอ้หมอ… รู้สึกตัวแล้วหรือ นี่ทำผมแทบไม่ได้นอนเลยนะ” เจ้าของเสียงลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียง เผยให้เห็นว่า มันใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนอยู่ข้างๆ ผมรู้ร้อนผ้าวที่หน้าทันทีที่เห็น

แล้วคำพูดของมันแปลว่าอะไร

“ต้องตื่นไปโรงเรียนแล้วสิ เป็นครั้งแรกเลยที่ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก” แล้วมันก็ลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ปลายเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปเลย ปล่อยผมลำดับความคิดอยู่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

ไม่กี่อึดใจมันก็ออกมาในผ้าเช็ดตัวปิดส่วนล่างแค่ผืนเดียว อาบน้ำสะอาดไหมวะ แล้วมันก็แต่งตัวโดยที่เหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะถอดจะใส่อะไรดูเปิดเผยไปหมด จนผมต้องยอมคลุมโปงเสียเอง แต่ภาพมันก็ติดตาเสียแล้ว เด็กสมัยนี้มันโตไวจริงๆ หุ่นมันได้สัดส่วนไปหมดแทบไม่มีไขมันส่วนเกินเลย ซิกแพ็คนั่นอีก อกแน่นๆ นั้นอีก ไหนจะส่วนนูนส่วนโค้งนั่นอีก เฮ้ยๆ เดี๋ยวติดคุก พอๆ นอนต่อดีกว่า หรือจะถามมันดีว่าเกิดอะไรขึ้น?

พรึ่บ!!

ไอ้เด็กหลงเดินมาเปิดผ้าห่มที่คลุมผมอยู่

“เดี๋ยวก็หายใจ ไม่ออกหรอก ไม่ไหวก็นอนพักก่อนนะ” เด็กหลงยกมือขึ้นมาจับหน้าผากผม
“ไม่มีไข้ น่าจะแฮ้งค์ อย่างเดียว ผมวางน้ำไว้ให้แล้วที่หัวเตียงนะ อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ แล้วเดี๋ยวผมบอกให้แม่มาดูแลต่อนะครับ”

แล้วมันก็เดินออกจากห้องไปเลย จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นะไอ้เด็กนี่

……….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่หก
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-07-2017 17:29:28
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่เจ็ด
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-07-2017 21:46:00
ชัย #2


ด้วยความเป็นนักวางแผน(ชั่วๆ) วันนี้ผมเลยมานั่งรอผู้สมคบคิดคนสำคัญที่ร้านกาแฟริมบึง ที่เขานิยมพาคู่รักมาเดทกัน

“ว้าย…. คิดถึงจังเลย” รู้สึกถึงมือที่โอบกอดมาทางด้านหลังและก้อนหยุ่นนิ่มๆที่ท้ายทอย
“หน้าอกใหญ่ขึ้นนะ” ผมจับมือคนที่โอบผมอยู่
“ตายแล้วทะลึ่ง” เธอสะบัดมือและหันมาตีผมไหล่ผมเบา
“แต่ก็ชอบ…..?” ผมยิ้มหวานใส่เธอขณะที่เธอเดินมานั่งข้างๆ
“แหม… ไม่มีเรื่องไหว้วานนี่ไม่คิดจะติดต่อมาเลยนะ”
เธอสะบัดผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอสยายไปด้านหลัง แค่นั่นก็ทำให้คนทั้งร้านมองอย่างตะลึงงัน โดยเฉพาะพวกตัวผู้ คนมากับแฟนก็โดนตีกันดังเพี๊ยะๆ

เธอยิ้มอย่างภูมิใจ เจ้พิ้งค์…..เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบโดดเด่น ผิวขาวตาโต ปากได้รูป แบบสาวเกาหลี หุ่นดีหน้าอกใหญ่ ประเภทว่าหากผู้ชายไหนไม่มองนี่ถือว่าผิดปกติ แถมมีดีกรีถึงเน็ตไอดอล ผมเคยกิ๊กกับเจ้แกอยู่พักหนึ่งสมัยเธออยู่ม.6 จนตอนนี้เธออยู่ปีหนึ่งแล้วและเธอก็ตกลงเป็นแฟนกับหนุ่มปีสามมหา’ลัยเดียวมาเกือบปีแล้ว ซึ่งมันรวย/นักเลง/ เพลย์บอย เออ….ก็เหมาะสมกันดี ผมยินดีที่เธอได้เจอกับคนที่เธอถูกใจ เพราะผมเองก็คิดว่า อย่างเจ้แกคงไม่เหมาะกับการมาเป็นแฟนเท่าไหร่ เปรี้ยวเกินไปผมไม่ชอบ

“มองเจ้ตาหวานเหมือนเลยนะ อยากกลับมากิ๊กกันอีกไหม?”
“ฮ่าๆๆ ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวเจอแฟนเจ้ ฆ่าหมกป่า”
“โอย… อย่าพูดถึงมัน อารมณ์เสีย ขนาดมีเจ้มันยังเจาะแจะกับคนอื่นได้”
“เอาน่าๆ แต่เห็นอยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้”
“มันก็มีดีแค่นี้แหละ เออ ว่าแต่มีอะไร หรือว่า….. วันนี้ห้องเจ้ว่างนะ” เจ้พิ้งค์เอานิ้วมาเขี่ยไปมาที่หลังมือผม
“เอ้ย!!! ไม่เอาไม่เอา” ผมรีบชักมือหนี แค่เจอกันแค่นี้ผมยังรู้สึกอันตราย หากทำมากกว่านี้เตรียมแจ้งตำรวจตามหาศพผมได้เลย
“อารมณ์เสีย!!” เธอกอดอกหน้าบึ้ง ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า อยากไว้วานอะไรหน่อย” ผมโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
“…….” เจ้พิ้งค์ทำหน้าฉงนใส่
“เอานะ …. ไม่ได้ทำฟรีหรอก” รู้ว่านางหน้าเงินไม่งั้นไม่ไปเป็นเน็ตไอดอลขายครีมหรอก
“เรื่อง??” ดูมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาหน่อย
“มาใกล้ๆ หน่อยเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน” ดูเจ้พิ้งค์ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“……………………………………………….…”
“เอ…มันจะดีเหรอ?” เจ้พิ้งค์ผงะออกมา
“ดีสิ!!”
“มันจะโดนตีนตายเอานะ”
“อาจแค่ปางตาย แต่อย่างน้อยแค่จะสั่งสอนมันนิดหน่อย”
“ไม่ดีกว่า ไอ้อาร์ทมันน่ากลัวมากนะเวลาหึง”
“ไม่เป็นไร ผมรู้จักมันดี มันไม่เคยทำใครถึงตาย” อาร์ทคือแฟนขี้หึงของเจ้พิ้งค์
“และผมว่าอีกฝ่ายก็ร้ายไม่เบา คงป้องกันตัวเองได้” ผมพูดต่อเพื่อพยายามลดสีหน้ากังวลของเจ้พิ้งค์
“อืม……” แต่เจ้พิ้งค์ก็ยังดูลังเลและกังวล
ผมถอนหายใจเบาๆ และตัดสินใจยื่นซองจดหมายหนาๆ วางตรงหน้า พริ้งรีบหยิบขึ้นดูและผ่อนหายใจยาวๆ
“จริงจังสิเนี่ย?”
“เออสิ….คิดมาดีแล้ว”
“เออ…..ก็ได้”
พริ้งหยิบซองใส่กระเป๋า ผมแอบยิ้มแบบชั่วร้ายในใจ

……………..

เพื่อนผมมันคนดีครับ ไอ้หลงเห็นมันซ่าๆ อย่างนั้นแต่ในหัวมันแม่งโคตรอินโนเซ็นต์ ผมอุตส่าห์เฝ้าติดตาม นิ่มกับไอ้กวีอยู่หลายวัน จนคิดแผนแก้แค้นทั้งสองคนได้ ระหว่างที่เห็นเจ้พริ้งแกขายครีมแบบนมแทบหกจากเต้าในเฟซบุ๊ค ในที่สุดทุกอย่างก็พร้อม !!

ทุกวันไอ้กวีจะขับรถมาส่งนิ่มทางถนนเส้นนี้ทุกวัน มันเป็นทางที่รถผ่านน้อยแต่คลองส่งน้ำมันจะเยอะนิดหน่อยเลยไม่เป็นที่นิยม และผมก็เล็งที่จะปล่อยแผนของผมตรงสะพานที่มีความยาวมากที่สุด กะช่วงเวลาขากลับที่มันกลับจากส่งนิ่มเรียบร้อยแล้ว

“พวกมึงเสร็จกูแน่”
“จะดีหรือ ตรงนี้เปลี่ยวจะตาย” เสียงหนึ่งด้านหลังเอ่ยขึ้น
“เปลี่ยวสิดี เจ้พริ้ง !!”
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล”
“มั่นใจในเสน่ห์ตัวเองหน่อย”
“มืดแบบนี้ใครจะมองเห็น”
“งั้นเอาเสื้อนอกออก” ผมดึงเสื้อแจ็คเก็ตของเจ้พริ้งออก เผยให้เห็นเสื้อสายเดี่ยวและผิวขาวใต้ร่มผ้า ผมถึงกับแอบสัมผัสไปนิดหน่อย
“ทะลึ่งจริงเชียว” เจ้แกดูอายๆ กับสิ่งที่ผมทำ เห็นมากกว่านี้ผมก็เคยมาแล้วจะมาอายทำไมก็ไม่รู้
“เฮ้ยๆ มันมาโน่นแล้ว เริ่มแผนได้!!”
“ว้ายๆๆ” เจ้แกตกใจอุทานออกมา

แผนของผมที่ว่าก็คือ ผมจะให้เจ้พริ้ง ทำเป็นรถเสีย และอ่อยมันตรงสะพานนั่นแหละ จากที่สืบมามันสุภาพและเห็นผู้หญิงเดือดร้อนไม่ได้ นิ่มหึงมันตลอดเวลามันไปทำดีกับใคร แล้วเห็นสวยๆ เอ็กซ์ๆ แบบนี้ต้องลงมาช่วยแน่นอน หลังจากนั้นก็ให้เจ้พริ้งรุกสานสัมพันธ์จนให้นิ่มมันรู้ ให้มันทะเลาะกันให้มันเจ็บเหมือนที่เพื่อนผมเจ็บ ส่วนไอ้กวี หากเรื่องมันมาติดพันเจ้พริ้งรู้ไปถึงหูไอ้อาร์ท มันได้ปางตายแน่นอน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ผมจินตนาการหน้าตัวเองออกคงเหมือนตัวร้ายในการ์ตูน

ผมนั่งแอบส่องความเป็นไปในพุ่มไม้ไม่ไกล ยุงเริ่มเยอะขึ้นแล้ว เริ่มรู้สึกเสียใจที่มาปฏิบัติการตรงนี้

เป็นไปตามแผน…เจ้แกโบกรถไอ้กวี ไอ้หน้าหล่อนั่นรีบกดไฟฉุกเฉินเข้าเทียบจอดด้านหน้า มันลงมาสอบถามและพูดคุยกับเจ้พิ้งค์ ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่าเจ้พริ้งแกตีบทแตก หัวร่อต่อกระซิก ใกล้แบบเนื้อแนบเนื้อ คงต้องมอบออสการ์ในเจ้แก หรือว่าแกจะหิวไอ้กวีจริงๆ เพราะมันก็หล่อ ตี๋ สูง ขาว หน้าหวานๆใครจะหลงมันก็ไม่แปลก

เรื่องกำลังไปได้สวยหลังจากที่ไอ้กวีซ่อมรถที่(แกล้ง)เสียเสร็จ. เจ้พริ้งก็อ้อนขอแลกไลน์ ซึ่งไอ้กวีก็ดูจะยอมให้แต่โดยดี
แว๊นๆๆๆ

เสียงมอเตอร์ไซค์แบบท่อแตกเสียงดังแสบหูชนิดเห็นแต่แสงไฟแต่ไกลก็ยังได้ยินเสียงชัดเจน แก๊งเด็กแว้นฝูงหนึ่งก็ขับผ่านไป ส่งเสียงวีดหวิวแซวเจ้พริ้งที่ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าเหมือนอยู่ริมชายหาด ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร นอกจากเห็นไอ้กวีทำท่าเหมือนอยากให้เจ้พริ้งแกรีบเข้ารถ ไม่กี่อึดใจพวกมันก็วนรถกลับมาล้อมทั้งสองคนไว้

ผมได้ยินเสียงโหวกแหวกจากไอ้กวี และเสียงหวีดว้ายจากเจ้พริ้ง แล้วพวกแก๊งเด็กแว้นนั่นก็รี่เข้าใกล้คนทั้งสอง โชคดีที่ไอ้กวีมันฉลาดมันผลักคนที่อยู่ใกล้เจ้พริ้งล้มลงและเปิดทางให้เจ้แกรีบขึ้นรถ และหลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ชุลมุนไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ผมมองเข้าไปในรถเห็นเจ้โบกไม้โบกมือมาทางผมเหมือนขอความช่วยเหลือ

ผมกำหมัดแน่น คิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้า รู้ตัวอึกทีผมก็วิ่งไปจัดการไสรถที่ข้างทางรถเจ้พริ้งออกพอให้ขับฝ่าออกไปได้ ผมวิ่งไปทุบกระโปรงหน้ารถเจ้พริ้ง

“หนีไปแจ้งตำรวจ!! เร็ว!!” ผมตะโกนบอกเจ้พริ้งเสียงดังจนไอ้คนที่ชุลมุนอยู่แถวนั้นหันมามองกันหลายคน

“เฮ้ย..!! มันมีคนมาช่วย”  คนที่เป็นเหมือนหัวโจกโวยขึ้นและชี้มาทางผม ซวยแล้ว

สองสามคนในนั้นวิ่งกรูเข้าทางผม ในขณะที่เจ้พิ้งค์แกเหยียบคันเร่งจนมิดและขับออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ผมยกขายาวๆของผมยันไอ้คนที่มาคนแรกล้มไปหลังจากนั้นก็ชกคนที่ตามมา เบี่ยงตัวหลบหมัดคนที่สาม และเตะมันเข้าที่สีข้างอย่างจัง  เรื่องวิวาทผมก็ไม่แพ้ใครนะ

ในขณะเดียวกันไอ้กวีก็ไม่ธรรมดาซัดฝ่ายตรงข้ามหมอบไปหลายคนแล้ว หลังจากผมกระแทกเข่าเข้าที่ท้องน้อยของคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่ ผมสูดลมหายใจให้เต็มปอดอีกครั้งก่อนที่จะไปช่วยกระทืบคนที่เหลืออยู่ของอริฝั่งไอ้กวี

ไอ้หน้าขาวมองหน้าผมด้วยสายตาขอบใจปนประหลาดใจ แต่มือและเท้าก็ยังขยับไปมาเพื่อจู่โจมและหลบหลีกไปเรื่อย สีหน้าของไอ้กวีเริ่มไม่ดี แสดงอาการเหนื่อยและเริ่มมีแผลบอบช้ำที่ปลายคิ้วและมุมปาก ขนาดผมสู้กับสามคนยังเหนื่อยแต่จำนวนที่มันสู้ด้วยมากกว่าผมตั้งสองเท่าได้มั้งจะขนาดไหน

“ตายยากนักใช่ไหมมึง!!”
ไอ้หัวโจกเมื่อครู่มันมาจากไหมไม่รู้ ถือไม้อันใหญ่วิ่งเข้ามากมายจะตีเข้าที่หัวของไอ้กวี   มันที่ยังพัวพันกับอีกสองคนที่เหลือเลยไม่ทันระวังตัว ผมซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงวิ่งออกไปหมายจะถีบให้มันล้มไป แต่ไอ้หัวโจกนี่เก่งพอตัว มันหลบทันและใช้ไม้ฟาดเข้าที่หน้าผมอย่างจัง คราวนี้ผมรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ภาพที่เห็นทั้งหมดสั่นไหว แรงที่เคยมีเริ่มหดหาย ขาทรงตัวไม่อยู่ รู้สึกถึงของเหลวอุ่นไหลลงอาบแก้มข้างที่โดนของแข็งเข้าไป

“เฮ้ย!!” เสียงตะโกนของไอ้กวีดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับภาพที่มันถาโถมใส่หมัดไอ้หัวโจกแทบไม่ยั้งมือ

ผมเซไปจนถึงขอบสะพานข้ามคลองที่มีราวไม้กั้นต่ำๆ พยายามทรงตัวให้นั่งบนราวไม้กั้นนั่นให้ได้ แต่เหมือนโลกมันเอียงไปหมด ผมรู้สึกร่างทั้งร่างกำลังลอยลงมาอย่างช้าๆ

ตูม!!

เสียงน้ำกระจาย นี่ผมตกลงมาจากสะพานหรือนี่ น้ำเย็นๆในคลองช่วยเรียกให้สติผมกลับมาเฉียบคมขึ้นแต่เรี่ยวแรงมันยังไม่กลับมาทั้งหมด ผมพยายามตะเกียกตะกายให้หัวพ้นน้ำ แต่มันอยู่รอบตัวผม ไม่เคยคิดว่าน้ำจะมีพลังมากขนาดนี้ มันบีบรัดพัวพันตัวผมจนหายใจไม่ออก ผมค่อยๆจมลงอย่างช้าๆ สติที่มีเริ่มเลือนลางดำมืด ภาพในอดีตตัดสลับไปมาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมควรจะใส่ใจคลาสเรียนว่ายน้ำมากกว่านี้……..

……………………………
“อย่าเพิ่งตายนะ ตื่นสิโว้ย!!!”

เสียงโวยวายดังอยู่ใกล้ รู้สึกได้ถึงแรงกดที่บริเวณลิ้นปี่อย่างเป็นจังหวะจนเริ่มเสียดท้อง ปากของผมสัมผัสถึงไออุ่นที่อ่อนโยนและลมอุ่นๆที่พัดผ่านแก้มเลยไปจนถึงท้ายทอย สักพักผมก็รู้สึกจุก และสำลักน้ำออกมา ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นเงาลางๆ ของผู้ชายที่ตัวเปียกปอนไปหมด

“เฮ้ย .. ฟื้นแล้ว… ค่อยยังชั่วหน่อย”
ตาผมยังปรับแสงกับความมืดไม่ได้แต่ก็เพลียเหลือเกิน ผมสำลักน้ำออกอีกสองสามรอบ

“ทุกคนคะ ทางนี้คะ!!” เสียงเจ้พิ้งค์ดังมาจากที่ไกลๆ
“ทางนี้ครับ!! ช่วยด้วยครับ!!”  เจ้าของเสียงที่ผมจำได้ว่าเป็นไอ้กวี พยุงผมลุกขึ้นจากพื้นที่ชื้นแฉะ

และหลังนั้นสติผมก็ดับวูบไป………

……………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่แปด (อัพ 8/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-07-2017 10:03:14
ชัย # 3


แฮ่กๆ

ณ ตอนนี้ผมเสียงลมหายใจของตัวเอง ความน่ากลัวในน้ำอันมืดมืดยังคงตามหลอกหลอนผมแม้แต่ในฝัน ผมตื่นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดไม่ใหญ่มาก ทุกอย่างในห้องนิ่งเงียบจนได้ยินเสียงลมที่ออกจากช่องแอร์เป่าดังฟู่ๆ ผมขยับตัวพยายามมองรอบๆ แต่หัวของผมมันหนักๆ ชอบกล และปวดแปล๊บเป็นระยะๆ

ผมสังเกตตัวเองโดยทั่ว และสรุปว่าตัวเองมีสภาพเป็นคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล (ก็ป่วยจริงๆ นั่นแหละ) หัวถูกพันผ้าไปรอบ และมีผ้าพันแผลพันอยู่หลายจุด

สังเวชตัวเองที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำไมแผนที่จะไปทำร้ายคนอื่นจบลงด้วยการไปช่วยคนที่เราจะแกล้งและกลายเป็นคนเจ็บเสียเองวะ

“เฮ้ย….  บอกแล้วว่ามันตายยาก บ้าๆอย่างมันยมทูตไม่มารับตัวมันหรอก”
เสียงไอ้หลง ไอ้เพื่อนเฮงซวย ที่กูซวยก็เพราะมึง ยังมีหน้ามากวนเท้ากูอีก อย่าให้กูหายนะมึงจะกระถีบยอดหน้าเลย (หากขากูถึง แม่งเซ็งเกิดมาเตี้ยกว่ามัน)

“ไอ้เชี้ย” ผมมีแรงพูดออกมาแค่นั้น

“ชัยฟื้นแล้ว โล่งอกไปที ทีหลังไม่ทำแบบนี้แล้วนะ”
“ชู่!!” ผมทำเสียงและจุ๊ปากใส่เจ้พิ้งค์
“ไม่ทันแล้ว แผนโง่ๆของมึงน่ะ เจ้พิงค์เล่าให้กูฟังหมดแล้ว!!”
เจ้พิ้งค์หลุบหน้าลงต่ำ หลบตาผม
“เออๆ กูมันโง่เอง”
“แล้วไอ้กวี มันมาทำอะไรหน้าห้องมึงวะ”
“หือ??”
“เจ้พามาเองล่ะ ไปเจอตอนไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจเลยชวนมาเยี่ยมชัย”
“อ้าวเจ้ไม่ไม่พร้อมไอ้ชัย” ผมมองหน้าเจ้พิ้งค์อย่างสงสัย
“เจ้กับกวีมาถึงก่อน เจ้รอชัยอยู่ข้างล่าง เลยให้กวีขึ้นมาก่อน”
“แล้วทำไมมันไม่เข้ามาวะ?”
“คงเห็นชัยยังไม่ฟื้นมั้ง?”
เจ้พิ้งค์เดินไปเปิดม่าน แสงด้านนอกสาดเข้ามาจ้า คงน่าจะใกล้เที่ยงแล้ว ท้องผมเริ่มร้องหลังจากร่างกายรู้เวลา

“ไอ้กวี มันจะมาทำไมวะ?” ผมพูดพึมพำ
“แหม.. เขาคงมาขอบคุณชัยไง ก็ชัยวิ่งเข้าไปช่วยเขานี่… อีกอย่าง…เขาเป็นช่วยชัยขึ้นมาจากน้ำนะ แถมผายปอดให้ด้วยนะ!” เจ้พิ้งค์ยิ้มแบบฟินๆ

“หา!?!” ผมกับไอ้หลงร้องเสียงหลง

พูดถึงผี ผีก็มา ไอ้กวีมันเปิดห้องเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลที่เข็นถาดอาหารมื้อเที่ยงมาให้ พร้อมกับยาอีกหลายขนานในแก้วเล็กๆ ดูสีสันมันก็สวยดี แต่ผมไม่ชอบทานยานี่สิ

“ไม่ต้องแปลกใจนะ เราไปเรียกพยาบาลมาเองล่ะ เห็นว่านายตื่นแล้วคงจะหิวเลยให้เตรียมข้าวเตรียมยามาให้”

มันคงเห็นพวกผมทำหน้าเหวอๆ เลยรีบตอบคำถาม


“เห็นว่าเที่ยงแล้วคงหิว” มันเดินเข้าเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกับเรา ยิ้มทักทายทุกคนด้วยชุดที่หลุดมาจากแม็กกาซีน มันไปสถานีตำรวจหรือไปเดินแบบมาวะ

มันวางถุงผลไม้และขนมลงบนโต๊ะข้างๆตู้เย็นและนั่งอ่านหนังสือที่ติดมือมาอย่างใจเย็น

ผมมองเพื่อนกับเจ้พิ้งค์ในห้องแบบงงๆ แล้วอยู่ๆเจ้พิ้งค์ก็ขอตัวกลับเพราะแฟนนางโทรมาจิกแล้ว ส่วนไอ้หลงพอพยาบาลบอกว่าหมอเจ้าของไข้จะเดินมาตรวจมันถึงกับขอตัวไปด้วย

มันว่ารู้สึกหงุดที่เห็นหน้าไอ้กวีเลยไม่ขออยู่ร่วมห้องกับมัน

ผมดึงชายเสื้อมองมันแบบสื่อว่า “อย่าทิ้งกู”

ไอ้หลงเดินมากระซิบว่าใกล้ๆ ว่า “ หากมันไม่มีบุญคุณกับมึง กูไล่แม่งกลับไปแล้ว เรื่องนี้มึงหาเรื่องเอง จัดการเอาเองนะ”
แล้วไอ้หลงก็สะบัดก้นออกจากเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมให้อยู่กับไอ้กวีสองคน

ผมไม่กลัวอะไรมันมากหรอก แต่หากมันรู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้มันไปจอดรถตรงนั้นให้เจ้าถิ่นสายแว๊นพวกนั้นมันรุมยำ ก็คือผมนี่จะเป็นยังไง ก็พ่อกับแม่ก็เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักในตัวจังหวัด แถมเป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลอีก
 
หากมันเอาเรื่องนี่ผมว่ามีหนาวสันหลังวาบเหมือนกัน

ผมหิวจนพยาธิในท้องประท้วงเสียดังลั่นห้อง จนไอ้คนที่อ่านหนังสือที่มุมห้อง ลดหนังสือลงมาผมที่เตียงซึ่งกำลังพยายามเอื้อมมือไปจับโต๊ะเลื่อนที่ปลายเตียง มื้อเที่ยงผมอยู่บนนั้น

“โอ้ย!” ร่างกายผมมันไม่อำนวยให้ผาดโผนเท่าไหร่ เจ็บแปล๊บที่หัวจนต้องร้องออกมา

“มานี่… เราช่วย” อยู่ๆมันก็มาปรากฎที่ข้างเตียงและลากโต๊ะเลื่อนมาใกล้ตัวผมมากขึ้น มันเดินมาปรับเตียงจัดหมอน และเปิดฝาครอบอาหารออกจนหมด จัดช้อนส้อมออกมาวางเรียบร้อย ดูคล่องแคล้วมาก

“โอโห…”  ผมมองอ้าปากกว้าง “โคตรคล่องน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า….” ไอ้กวีหัวเราะแบบเขินๆ “คือ… คุณย่าไม่ค่อยแข็งแรงเลยมาช่วยดูแลบ่อยๆน่ะ”
“อ้อ…” ทำท่าทีสนใจ พร้อมตักอาหารเข้าปากหลายคำ
“ไม่อร่อยใช่มะ?” หน้าผมแสดงออกชัดเจนว่าอาหารที่กินนี่ขาดรสชาติใดๆ เลย
“อืม… คงมีประโยชน์มากไป…” ความอยากอาหารผมลดลงจนสปีดในการกินตกลง
“คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เลยซื้อของชอบนายมาให้” ไอ้กวีเดินไปทางโต๊ะที่มีถุงหลากหลายขนาดวางอยู่
“ของชอบ??” แล้วมันรู้ได้ไงวะว่าผมชอบอะไร?
“อ่ะนี่” ไก่ย่างและอกไก่ผัดขี้เมา ใส่จานมาวางบนโต๊ะอย่างน่ากิน
“เอ่อ…..”  ถูกต้อง!! นี่คือเมนูสิ้นคิดของผม แต่ทำไมมันถึงรู้วะ?
“เอ่อ…โอเค… เรื่องพวกเนี่ยมันอยู่ในเพจ หนุ่มหน้าใสวัยทีน ไง”
“อ้อ….เหรอ” อะไรวะมีเรื่องพวกนี้เขียนไว้ด้วยเหรอเนี่ย แต่ที่แปลกกว่าคือ มันอ่านเพจนี้ด้วย!
“แล้ววันนี้ นิ่มไม่มาด้วยหรือ?” หาถามเรื่องอื่นแก้เขิน มันจะดูแลผมดีไปหน่อยจนทำตัวไม่ถูก ปกติไม่เคยพูดกันเลย แม้แต่มองหน้ามันยังหลบตา
“เขาไม่ชอบมาโรงพยาบาล เหม็นยา เขาว่างั้น” มันตอบไปด้วยยืนดูเรากินไปด้วย
“อ้อๆ….อืม…..”
แล้วก็นึกอะไรไม่ออก กินเงียบเรื่อยๆจนหมด สักพักจานจานผลไม้ก็ตามมาวางตรงหน้า อย่าบอกว่าที่หายไปเนี่ยคือไปเตรียมพวกนี้มา

“เดี๋ยวๆ นี่มันอะไรเนี่ย” อยากจะบอกว่าเพื่อนสนิททั้งหลายของผมยังไม่ดูแลผมขนาดนี้เลย มันออกจะเกินไปหน่อย
“ ไม่มีอะไรแค่จะตอบแทนที่ช่วยเรา ไม่งั้นคนที่นอนอยู่ตรงนี้อาจจะเป็นเรา”

“เฮ้ย…ไม่เป็นไร คือแบบ… อยู่ๆ ร่างกายมันก็ทำไปเอง แล้วกูมันไม่ระวังเอง พลาดโดนมันตีเอาได้”

“นั่นแหละๆ”

ผมยิ้มแห้งๆ กลับไป มันยิ้มหวานตอบมา บรรยากาศมันออกจะแปลกๆ ไปหน่อยแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะต้องมามีโมเม้นต์แบบนี้กับมัน

ผมใช้ส้อมจิ้มผลไม้ที่ตัดแต่งแบบพอดีคำเข้าปาก แต่มันแต่เขินๆ เลยร่วงไปบนเป้ากางเกงผม ด้วยความเป็นนักกีฬาของทั้งคู่เลยใช้มือคว้าไว้แต่ …. ท่าทางตอนนี้เหมือนผมกับมันแอบจับมือกันใต้โต๊ะ

ก๊อกๆๆ

หมอเดินเข้าเข้ามาส่งยิ้มหวานให้ พวกผมรีบชักมือกลับทำตัวเป็นปกติ

“เห็นว่าฟื้นแล้วเลยขอมาตรวจเสียหน่อย…. ผมไม่รบกวนอะไรนะ”

“ไม่….ไม่ครับ” ผมรีบตอบ  แล้วกูจะตะโกนทำไมวะ

หลังจากหมอตรวจนั่นตรวจนี่เสร็จ ก็ยืนเขียนอะไรหยุกหยิกในแผ่นชาร์ทบนมือ
“โอเค…. โชคดีที่กระโหลกหนา ไม่เป็นไรมากแล้ว พักอีกสักสองคืนก็กลับไปพักต่อที่บ้านได้แล้ว”

“อ่อ… ครับ ขอบคุณครับ” นี่หมอชมใช่ไหมครับ?

“แฟนเหรอ? น่ารักดีนะ อย่าลืมบอกแฟนด้วยว่าอย่าซ่ามากนักนะ วันหลังอาจจะไม่โชคดีแบบนี้”
ไอ้กวีไอ้บ้า เสือกเขินหน้าแดง หัวเราะตอบหมอกลับไปแทนที่จะปฏิเสธ

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ เพื่อนครับเพื่อน”  ผมยกมือขึ้นมาโบกสิงมือเลย และหันไปตาเขียวใส่ไอ้กวีที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแบบไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมเลย ไอ้เวรนี่

“หมอเห็นว่าดูแลกันดีขนาดนี้ เป็นหมอนะ รีบรับเป็นแฟนเลย หล่อด้วยดูสิ”

“ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้นะครับ!” ผมตอบกลับไปโดยแทบจะไม่ได้ฟังหมอให้จบประโยค

“โอเคๆ งั้นหมอไปแล้ว”
ก่อนหมอออกไปผมแอบส่องป้ายชื่อหมอ “ปฐวี”  ผมนึกถึงไอ้หมอที่ไอ้หลงเช่าให้ฟังทันที มันจะใช่ไอ้หมอกวนทีนที่มันพูดถึงไหมเนี่ย?

หลังจากกวีมันกลับไปวันนั้น มันก็กลับเข้ามาเยี่ยมผมอีกบ่อยๆ  พูดง่ายๆ ผมเห็นมันทุกๆมื้ออาหารเลย เหมือนเช่นทุกครั้งที่มันจะซื้อโน่นซื้อนี้มาให้ผมกิน (ผมตะกละเลยไม่ปฏิเสธของฟรี) จนที่บ้านผมคิดว่าผมกับมันสนิทกันมาก ส่วนผมก็แอบคิดว่าผมไปสนิทกับมันตอนไหนวะ ส่วนไอ้หลงเพื่อนผม มันมาๆไปๆอยู่ได้ไม่เกินชั่วโมงมันก็รีบกลับ เป็นเชี้ยอะไรของมันวะ หรือว่าเป็นโรคแพ้โรงพยาบาลเหมือนนิ่มแฟนเก่ามัน

เมื่อเวลาผมออกจากโรงพยาบาลผมจึงตัดสินใจถามมันออกไปเลยดีกว่าจะได้เคลียร์กันไปเลย

“เฮ้ย..มึงน่ะ”
มันหันหน้ามาแบบงงๆ ขณะกำลังเก็บของโน่นนี่ลงกระเป๋าเดินทางที่แม่ผมเตรียมมา ส่วนแม่หายไปทำเรื่องชำระเงินโน่นนี่ให้เรียบร้อย

“เออ! มึงนั่นแหละ มานี่ดิ” ผมนั่งห้อยเท้าอยู่บนเตียงผู้ป่วย กวักมือเรียกมันมาใกล้ๆ

“นี่…กูจะถามหลายทีแล้ว อะไรของมึงเนี่ย?”
“อะไรคืออะไร”
แล้วมึงจะทำหน้าบ๊องแบ๊วใส่กูเพื่อ?? ผมคิด
“ก็นี่ไง ที่มึงทำอยู่เนี่ย? มาดูแลกูอะไรมากมายขนาดนี้?”
“ก็….แค่อยากตอบแทนที่ช่วย แล้ว….ไหนๆ เราก็มาเป็นเพื่อนกันก็ดีนะ”
“แค่เนี่ย???” ผมตอบเสียงสูงใส่
ไอ้กวีพยักหน้า แล้วก็เดินหันไปเก็บของต่อ หลังจากคิดทบทวนดูแล้วช่วงเวลาที่มันมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นนิ่มเลย

อืมมมมมมมม

หัวสมองส่วนชั่วๆ ของผมก็คิดแผนสองออกมาได้อย่างแยบยล ก็ใช้ความเป็นเพื่อนนี่ละบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของมันสองคน

…………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่เก้า (อัพ 9/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-07-2017 21:56:16


 กวี (1)

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ตัวเองเผลอนั่งมองนักกีฬาบาสเก็ตบอล ม.ต้น วัยเดียวกันด้วยความหลงไหล ทำไมถึงเป็นเล่นกีฬาเก่งขนาดนี้นะ ส่วนผมตอนนี้ก็เป็นได้แค่ตัวสำรองของทีม ผมมักจะนั่งมองเขาแข่งขันที่ข้างสนามเสมอ เพราะว่าโรงเรียนผมกับเขานั้นเป็นคู่แข่งที่มีธรรมเนียมในการจัดแข่งขันกันทุกปีจนกลายเป็นศึกสายเลือดกันไปแล้ว

แต่ในระหว่างแข่งขันผมดูเหมือนไม่ได้เชียร์อะไรทีมตัวเองเลย นั่งดูความเทพของเขาด้วยความเคยชินตลอดสามปีที่เข้าทีมบาสฯ มา เขาไม่ได้เป็นตัวทำคะแนนสูงที่สุด แต่บอกได้คำเดียวว่าหากทีมนี้ไม่มีเขาคงจะชนะได้ยาก เขาเป็นคนเก็บบอลได้ดี กระโดดคว้าบอลได้เร็วกว่าทุกคน มีการตัดสินใจที่เฉียบคมในการส่งลูกหาเพื่อนร่วมทีมของเขา โดยเฉพาะเพื่อนคู่หูของเขา (ชื่อหลงนะคิดว่า…ชื่อแปลกชะมัด) ที่เป็นตัวทำแต้มได้ดี โยนปุ๊ปลงโยนปุ๊บลง เขาแม้จะเป็นคนที่สูงที่สุดในทีม.ต้นแต่ก็รวดเร็วมาก

ผมมองเขาเป็นแบบอย่างและฝึกอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นแบบเขาคนนั้น เป็นทีมเพลย์เยอร์ที่ดี จนกระทั้งขึ้นมาถึง ม.ปลาย ในมี่สุดผมก็ได้เป็นตัวจริงกับเขาเสียที (แล้วก็ป๊อปปูล่าขึ้นมาซะงั้น) ในที่สุดผมก็ได้อยู่ในสนามแข่งเดียวกับเขา แม้จะฝึกอย่างหนักแต่ก็ไม่อาจเทียบกับพรสวรรค์ของเขาได้ ทีมผมแพ้ให้กับทีมเขาแบบฉิวเฉียดเป็นประจำ (ไม่ว่าจะซ้อมแข่งหรือแข่งกันจริงตอนเก็บตัวด้วยกัน)  ผมไม่ได้เจ็บใจเลย แต่มันกลับเป็นแรงผลักดันให้ผมพัฒนาตัวเองต่อไป

ผมแอบมองจนเป็นนิสัย จนบางครั้งลืมไปว่าเราอยู่ใกล้กันมาก อยู่ในสนามแข่งเดียวกัน อยู่ระหว่างการแข่งในโซนพักเบรกใกล้ๆ กัน จนบางครั้งเขารู้ตัวก็มองกลับมา ตาเราสองคนประสานกัน ผมเหมือนคนบ้าผมรีบหลบตาทุกครั้งที่เขาจ้องมองมา ใจเต้นตูมตามเหมือนจะทะลุอกออกมาเต้นนอกอก

มีบางครั้งที่เขาเดินเข้ามาทักทายเหมือนแสดงความชื่นชมที่เราสู้กับเขาได้อย่างทัดเทียม แต่ผมก็เป็นอะไรไม่รู้ ไม่กล้าสู้หน้า พูดอะไรไม่ออก จนต้องหลบหน้าออกมาอยู่ไกลๆ

ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่จากในสนามไกลๆ เคยใกล้ชิดแต่ในรูป ไม่เคยเจอหน้าใกล้ๆแบบนี้ โครงหน้าตี๋ทรงไข่ ยิ้มแบบกวนๆ ผิวขาวแบบไม่ขาวมากแบบคนชอบเล่นกีฬากลางแจ้งบ่อยๆ ทำไมใจมันสั่น ท้องมันร้อนวูบวาบแบบนี้วะ อาการแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยในตัวเองว่าจะผิดปกติหรือเปล่าวะ?

ผมเลยพยายามพิสูจน์ความเป็นชายกับผู้หญิงที่เข้ามาช่วงนี้ดู ผมก็ทำได้ดี ไม่บกพร่องและยังมีความต้องการเหมือนผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป(คือความต้องการสูง) แต่ด้วยความเป็นลูกผู้ชายผมก็คงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ เธอชื่อนิ่ม หน้าตาน่ารักดี ผมถูกใจเธอตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เธอเองก็มีใจให้อะไรๆ มันก็เลยง่าย

หลายครั้งที่ผมต้องไปแข่งกับทีมนี้หรือซ้อมด้วยกัน เวลาเจอเขาผมก็ยังคงมีอาการเหมือนเดิม จนผมถึงขั้นพิสูจน์ด้วยการค้นหาหนังโป๊ชาย-ชายมาแอบศึกษา ซึ่งผมยอมรับได้เลยว่า ไม่รู้สึกอะไร ดูไปได้ 10 นาทีผมก็ขอปิดแล้ว  แสดงว่าผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเขาคนนั้นในแบบนั้นแน่นอน ผมมั่นใจ!!

ในที่สุดผมก็สามารถเอาชนะทีมของเขาคนนั้นได้ แต่มันจะไปภูมิใจได้ไงกับสิ่งที่ได้มาโดยง่าย เพื่อนของเขาบาดเจ็บระหว่างแข่ง เขาจึงอาสาไปส่งเพื่อนที่โรงพยาบาล แม้ทีมเราจะตามอยู่ แต่พอไม่มีสองคนนั่น ชัยชนะมันก็ง่ายนิดเดียว เป็นชัยชนะที่ผมหงุดหงิดที่สุด

…………………………

แล้ววันนี้มันวันอะไรกัน การที่ผมลงไปช่วยสาวสวยที่ลำบากอยู่ริมทางทำให้ต้องมาทะเลาะวิวาทกับเจ้าถิ่น

เฮ้ย!! ผมไม่ผิดนะพวกมันเริ่มก่อน

โชคดีที่ผมเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง เรื่องปัองกันตัวเองก็พอไหว แต่จำนวนมันเยอะเกินไป ผมเริ่มอ่อนล้าจนไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นสามารถต่อยโดนหน้าผมได้แล้ว ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ

แต่เหมือนกับฟ้าเข้าข้าง มีคนจากไหนไม่รู้มาช่วยทำให้ อันธพาลส่วนหนึ่งแบ่งไปจัดการกับอีกคน ทำให้ผมหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น ทำให้พอจะจัดการที่เหลือได้ไม่ยาก ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วทำให้การมองเห็นไม่คมชัดเท่าไหร่ ทำให้ผมมองคนที่มาช่วยไม่ออกว่าเขาเป็นใคร?

จนกระทั่งเขาวิ่งเขามาขวางทางหัวโจกที่ยื้อไม้หมายจะฟาดหัวผมในมุมอับ แต่กลับเป็นเขาที่โดนฟาดเสียเอง ตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับผมในระยะที่สายตามองเห็นได้ชัดพอดี ทำให้พอรู้ว่าคนที่มาช่วยชีวิตผมคือใคร

“ชัย!!”

ผมคิดในหัวเสียงดัง เขามีท่าทางการเดินแปลกไป จนเสียหลักเซไปจนถึงราวสะพานที่มีความสูงไม่ถึงเอว ผมเห็นของเหลวสีแดงไหลลามไปกว่าครึ่งหน้าของเขา ใจผมวูบไปที่ตาตุ่ม ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหน ผลักดันให้ผมวิ่งไปจัดการกับไอ้คนที่เล่นงามเขาเสียยับเยิน

ภาพที่เห็นคงสยดสยองเกินไปทำให้ลูกน้องของมันทยอยวิ่งหนีไป

ตูม!!!!!

เสียงน้ำกระเซ็นที่เบื้องล่างสะพาน…..

ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ชัยไม่ได้ยืนในจุดที่เขายืนอยู่ หรือว่าเขาตกลงไป!!!

ร่างกายมันขยับไปไวกว่าความคิด ผมถอดรองเท้าและกระโดดตามลงไปทันที ตัวของเขาหนักใช้ได้เลย (มันสูงกว่าผมแค่ 2 เซ็นต์ฯนะ) กว่าจะลากเขาขึ้นมาบนริมฝั่งคลองได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ผมพยุงร่างที่หมดสติของเขาขึ้นมาไม่ไกลจากฝั่ง ร่างของเขาดูสงบนิ่งไร้สติ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นผมได้เสียเขาไปแน่ๆ

พยายามคิดว่าตัวเองเคยเรียนอะไรรู้อะไรมาบ้าง
“ผายปอด!!”

ผมใช้กำลังที่เหลือ ทำตามวิธีกู้ชีพที่เคยเรียนมาจนสุดพลัง ใช้มือกดที่ลิ้นปี่อย่างเป็นจังหวะ สลับกับเป่าลมเข้าปาก

“ฟื้นสิๆ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง จำไม่ได้ว่าทำไปครั้งที่เท่าไหร่ จนเกือบคิดว่าหมดหวังไปเสียแล้ว

“เอาะ อ็อกกกก”  ในที่สุดเขาก็สำลักน้ำออกมา กลับมาหายใจได้อีกครั้ง แม้มันจะดูอ่อนแรง แต่ผมก็ทำสำเร็จ

“อยู่ทางนี้คะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!” 
เสียงผู้หญิงบนสะพานและแสงจากไซเลน วิบวับไปมา

เฮ้อ….. รอดตายแล้วครับ ผมนอนแผ่ลงไปบนพื้นโคลนริมน้ำอย่างหมดแรง ใกล้ๆกับชัย ผมได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการช่วยเหลือคนที่ผมชื่นชม ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ทำให้ รู้สึกถึงไออุ่นจากปากของชัยที่ส่งผ่านเข้ามาเมื่อครู่ ผมใช้มือสัมผัสริมฝีปากไปมา ทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว

……………

นี่ผมมาทำอะไรอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าแค่มาเยี่ยมผู้มีพระคุณ ทั้งที่ใจมันก็บอกว่ามันไม่ใช่ แค่ข้ออ้างที่จะได้เจอเขาอีก 

สองสามวันมานี่ ผมแทบไม่เจอน้องนิ่มเลย อาจเพราะน้องบอกไม่ชอบมาโรงพยาบาล และผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจจะชวนด้วย  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะ

ทุกวันที่ผ่านมาแม้ผมกับชัยจะอยู่ในห้องเดียวกันแต่ก็พูดกันนับคำได้ ผมไม่อึดอัดที่จะอยู่ตรงนี้ และสบายใจที่ได้ดูแลเขา ช่วงหลังๆ เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีอิดออดที่ผมทำโน่นนี่ให้แล้ว สุดท้ายผมก็เลยมาทุกวันจนกระทั่งวันสุดท้าย

ผมต้องมาสะดุดกับคำถามของชัยที่เหมือนถามว่า สิ่งที่ผมทำอยู่เพื่ออะไร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ผมเลยตอบไปว่าแค่อยากเป็นเพื่อนด้วย ผมคิดว่าหากสนิทกันกว่าผมจะหาคำตอบกับความรู้สึกเหล่านี้พบ และดูเหมือนว่าเขาก็จะไม่ปฏิเสธผมด้วย

ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนจากแฟนคลับเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนเลย  แล้วนี่ผมตัดสินใจถูกไหมวะที่มาใกล้ชิดเขาแบบนี้?

…………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบ (อัพ 25/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-07-2017 16:21:30
หลง (5)

นับตั้งแต่คืนนั้นกับไอ้หมอ ผมก็นึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมัน เรือนร่างของมันอยู่เนืองๆ ผมเกาหัวขณะที่กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่หน้าจอโทรทัศน์ จนกระทั่งโดนไอ้บอสยักษ์ในจอกระทืบตายคาที่ ผมหงายหลังล้มตัวลงบนเตียงอย่างเซ็งๆ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยตลบขึ้นมา
เอ๊ะ….ทุกครั้งที่นอนบนเตียงนั้น ทำไมผมเหมือนรู้สึกถึงไออุ่นและกลิ่นของเขายังอยู่ที่เตียง

“มันเล่นของ หรือมันใช้น้ำหอมอะไรวะ” ผมบ่นกับตัวเองขณะนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างขี้เกียจ

เสียงเพลงริงโทนเรียบๆ ของผมดังขึ้นไม่ไกล ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์เจ้พิ้งค์กิ๊กเก่าไอ้ชัย

“อะไรเจ้? ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา” ก็จริงผมบันทึกเบอร์ของเจ้พิ้งค์ตามไอ้ชัยเท่านั้น แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้แกจะมีเบอร์ผมด้วย

“หลง!! ชัย…. ชัย… บาดเจ็บหนักเลย ตอนนี้กำลังไปที่โรงพยาบาล”
“เฮ้ย!!! เจ๊เกิดอะไรขึ้น?!?”
“มันโดนรุมตี”
“อย่าบอกนะว่า…..” คือมันเป็นเรื่องที่ผมเคยกังวลอยู่ว่าถ่านไฟเก่ามันจะคุ แล้วเจอผัวเจ๊พริ้งกระทืบเอา
“ไม่!! ไม่ใช่! ใครก็ไม่รู้?” เจ้พิ้งค์คงพอจะเดาออกว่าผมหมายถึงอะไรเลยรีบปฏิเสธ
“เอ่อ….”
ผมค่อนข้างช็อค ว่าใครกันที่เล่นงานไอ้นักเลงลูกตำรวจอย่างมันได้ หากไม่ใช้จำนวนและความโง่ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นลูกผู้กำกับโรงพัก เพราะไอ้อาร์ทแฟนเจ้พิ้งค์นี่ก็ลูกเจ้าสัวโรงสีใหญ่ น่าจะมีมันคนเดียวที่จะไม่กลัวพ่อไอ้ชัย

“อย่ามัวแต่ อึ้งสิ ช่วยเจ้โทรหา แม่กับพ่อของชัยหน่อย ใครก็ได้ เจ้ใจไม่ดีเลย” เจ้พริ้งร้องไห้โวยวายอย่างเสียสติที่อีกฝั่งหนึ่งของปลายสาย

“เจ้ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมรีบวางสายและต่อสายตรงถึงพ่อแม่ไอ้ชัยทันที

…………………

ผมขอรถแม่ขับออกมาอย่างเร็วที่สุด แค่บอกกับแม่ว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ไม่อยากเล่าอะไรให้ฟังมากเดี๋ยวจะเป็นกังวลอีกคน เพราะแกก็รักไอ้ชัยเหมือนลูก

ผมจอดรถที่ลานจอดด้านหน้า วิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่รู้ทาง เห็นคนหน้าคุ้นเคยอย่างไอ้กวีนั่งทำแผลอยู่ในห้องกระจกในหัองฉุกเฉิน (ที่เดียวกับผม) พอมันเห็นผมมันถึงกับโบกไม้โบกมือเรียก แรกๆผมก็งงเพราะเราสองคนไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่ผมหันซ้ายขวาแล้ว จุดที่มันมองมีผมคนเดียวนี่หว่า

“เฮ้ย… อะไรว่ะ?” ผมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ เห็นตัวมันเปียกปอนผมลู่ติดหัว หมดภาพความหล่อสำอางค์แบบที่มันเป็น พอมองเห็นมันในสภาพแบบนี้ทำเอาผมเกิดคำถามมากมายว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

“มึงมาหาไอ้ชัยใช่ไหม?” ไอ้กวีพยายามพูดกับผมโดยหลบพยาบาลที่มาพัวพันทำแผลให้เขาเป็นระวิง

“เออ ใช่ ทำไมมึงรู้”
ไอ้กวีไม่ตอบแค่ชี้เข้าไปข้างใน ที่มีกลุ่มคนเดินไปมาอย่างเป็นกังวลอยู่ที่หน้าห้องทึบที่ปิดสนิท (พยาบาลเริ่มหงุดหงิดกับมันเมื่อมันห่วงแต่จะคุยกับผมเลยไม่ค่อยอยู่นิ่งๆ ให้ทำแผล)

บรรยากาศตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่สะดวกเหมือนก้อนอากาศมันหนักและแน่นจนผมควบคุมด้วยจมูกและปอดไม่ได้

“หมอแนะนำให้เข้าห้องสแกนน่ะ ชัยมันถูกตีหัวจนสลบไป ไหนจะตกจากสะพานและจมลงไปในคลองอีก”

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย กูงงไปหมดแล้ว”
แล้วไอ้กวีก็เล่าเรื่องที่ไอ้ชัยโดนพวกอันธพาลสายแว๊นพวกนั้นทำร้ายเพราะเข้ามาช่วยมัน

ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี แต่ก็ไม่อยากถามอะไรมาก เพราะไอ้กวีก็ดูสับสนอยู่ไม่น้อย ผมยังไม่จะถามอะไรกับผู้เคราะห์ร้ายอย่างมันมากนัก ผมมองไปเจอเจ้พิ้งค์ที่นั่งร้องไห้หมดสวยอยู่หน้าห้องสีเทาทึบ กับบรรดาพ่อแม่และญาติๆ ของมัน

พ่อของมันโทรศัพท์หน้าเครียด คงจะแจ้งให้ลูกน้องตามหาตัวคนทำอยู่ (หาเรื่องผิดคนแล้วมึง!)

ส่วนแม่ของชัยเข้มแข็งมาก พยายามปลอบเจ้พริ้งอยู่ใกล้ๆ
(ภาพมันดูสลับกันยังไงชอบกล)

ผมก้าวออกจากห้องไปที่จุดนั้นอย่างเร็ว ด้วยหวังดึงเจ้พิ้งค์ออกมาสอบปากคำเสียหน่อย

พลั่ก!!!

ผมชนกับคนชุดยาวสีขาวอย่างจัง

“ขอโทษครับ ผม….”
“ไม่เป็นไร เจอกันอีกแล้วนะ”

“เฮ้ย!!!”  ผมหลุดอุทานเสียงดัง หลังจากเงยหน้ามองคนที่ผมชนจนเซไปด้านหลังเล็กน้อย

“เบาหน่อย อยู่ในโรงพยาบาลนะ”
“เอ่อ… มาทำอะไรแถวนี้?”
ไอ้หมอมองชุดตัวเอง และหันกลับมามองผม เออสิ  กูไม่น่าถาม
“หมอก็มาทำงานไงครับ”
พอผมฟังแล้วชักคิดถึงโหมด กู-มึง ของไอ้หมอ

“เอ่อ..” อยู่ๆก็นึกคำพูดไม่ออก เพราะวันนี้มันดันใส่แว่นที่ทำให้ดูน่ารักไปอึกแบบ อืม…… ผมบอกว่า….น่ารัก……อยู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นในหัว

“เดี๋ยวค่อยคุย วันนี้มีเคสด่วน ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยว!!” ผมคว้าแขนของหมอไว้
“หมอเป็นคนดูแลคนที่อยู่ในห้องนั้น??” ผมชี้ไปที่ห้องทึบสีเทาสุดทาง
“ใช่ … เด็กวัยรุ่นถูกตีศรีษะ… เอ๊ะ !!! เพื่อนเรารึ?”
ผมไม่พูดอะไรแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่เป็นไร อย่าห่วง วันนี้หมอไม่ได้อยู่คนเดียว อาจารย์หมอที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลก็อยู่ด้วย และไม่ว่ายังไงพี่จะช่วยสุดกำลังอยู่แล้ว”
พูดจบเขาก็ขยี้หัวผมและเดินจากไป

ผมมองแผ่นหลังผืนนั่นจนลับตาพลางคิดในใจว่า ทำไมมันดูเท่อย่างนี้วะ (ไอ้คนขึ้แยวันนั้นหายไปไหน)

เอาล่ะ….. ต่อไปก็ เจ้พิ้งค์
พอนึกได้ดังนี้ผมก็เดินไปลากเจ๊พริ้งออกจากกลุ่มญาติไอ้ชัยที่ชุมนุมกันอยู่หน้าห้องเพื่อเค้นความจริงเสียที เรื่องนี้มันน่าสงสัยเกินไปแล้ว

……………………..

วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจไปเยี่ยมไอ้ชัยอีกครั้ง หลังจากหมอบอกว่าผลจากการสแกนสมองและตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีบาดแผลหลายที่และอ่อนเพลียจากการจมน้ำเท่านั้น

ผมนัดแนะเวลาเยี่ยมกับเจ้พิ้งค์เพราะไม่อยากไปคนเดียว ผมเจอเจ้พิ้งค์ที่มานั่งรออยู่ที่ล้อบบี้ชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอดูสดใสขึ้นผิดกับกับเมื่อวาน และยังแต่งตัวล่อเสื้อล่อจระเข้เหมือนเคย หากผมเป็นแฟนเจ้แกผมจะรีบสกัดตั้งแต่ออกจากบ้าน ก้มทีเห็นถึงสะดือ

“นี่คือชุดไปโรงพัก?” ผมแซวและมองด้วยสายตาลวนลาม
“ใช่ สวยใช่ไหม?” เจ้พิ้งค์โพสต์ท่าเหมือนจะถ่ายแบบ
“ใช่… สวยและเซ็กมาก” ผมมองเข้าไปในชุดสายสปาเก็ตตี้ของเจ้พริ้ง
“มองแบบนั้น อยากตายใช่ไหม?” นางกระโดดตบไหล่ผม (กระโดดจริงๆครับ เจ้พิ้งค์เป็นผู้หญิงทรงกระทัดรัด)
“ปะๆ ไปเยี่ยมไอ้คนโง่กัน” ผมเดินนำหน้าไปก่อน

เดินไปจนถึงห้องพิเศษชั้นบนสุด ผมก็ต้องตกใจเพราะเห็นไอ้กวีนั่งอยู่หน้าห้อง อยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
(สงสัยจะเรื่องที่มันเป็นแฟนใหม่นิ่ม)

“มึงมาทำไม?” ผมถาม
“เจ้ชวนมาเองแหละ  เมื่อเช้าไปเจอกันที่สถานีตำรวจ” เจ้พิ้งค์รีบเดินมาขวางหน้าผม ก่อนที่จะเริ่มคันไม้คันมือในโรงพยาบาล

เมื่อวานผมอยู่ในอาการตกใจเรื่องไอ้ชัยจนไม่สนใจเรื่องของไอ้เลวนี่ไปชั่วครู  แต่คราวนี้ขอสักทีเหอะ

“หยุดเลย ถือว่าเจ้ขอนะ อย่าลืมว่าน้องกวีเป็นคนช่วยชัยขึ้นมาจากน้ำ”
ผมอึ้งหยุดคิดไปพักหนึ่ง
“เออ!! กูจะพักรบกับมึงชั่วคราว” ผมกำหมัดแน่น
“เดี๋ยวนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมงงไปหมดแล้ว”  ไอ้กวีมีนมองกน้าผมกับเจ้พิ้งค์สลับกัน
“อ้าว.. ไอ้เชี้ยนี่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง” ผมเดินไปครึ่งก้าวเตรียมง้างมือแล้ว
“เดี๋ยวๆ” เจ้พริ้งดึงมือผมลงมาที่เดิม
“อะไรเจ้?” ผมทำหน้างงๆ ไม่ต่างกับหน้าของไอ้กวีที่ดูท่าทางสงสัยกับพฤติกรรมของผม
“คือ ไม่มีอะไรจ๊ะ” เจ้พิ้งค์ หันไปทางกวี
“……..”  มันทำยิ่งทำหน้างงหนักขึ้นไปอีก
“จะงงเชี้ยอะไร! ก็แปลว่ามึงแย่ง ..แฟ…..”
ยังไม่ทันจบประโยคเจ้พิ้งค์เดินมาดึงมือผมออกห่างจากไอ้กวี

“เท่าที่เจ้แอบถามน้องกวีน่ะ เขาไม่รู้นะว่าแกเป็นแฟนเก่านิ่ม” เจ้พิ้งค์ดึงคอผมลงมากระซิบกระซาบ

“หา!?!” 
“เออ ที่เด็ดกว่านั้น… กวีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแย่งแฟนคนอื่นมา”
“แปลว่าอะไรวะเจ้ มันจะไม่รู้ได้ไง”
“ก็นังนิ่มไง มันบอกว่ามันอกหักเลยให้กวีมาดามใจ และก็เป็นมุกที่ได้ผลด้วย”

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อย่างนี้หมายความว่าผมโทษคนผิดมาตลอดเลยสิ เป็นอย่างที่ไอ้ชัยมันพูดจริงๆ ว่าผมน่ะยังไม้รู้จักนิ่มดีพอ ผมเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องที่ไอ้ชัยนอนพักอยู่ ก่อนที่จะตัดสินว่าจะไม่เอาเรื่องไอ้กวีมัน

“ไม่รู้แปลว่าไม่ผิด” ผมบ่นพึมพำกับเจ้พิ้งค์
“งั้นผมขอสนับสนุนไอ้ชัยอย่างเป็นทางการในการแก้แค้นนิ่มบ้าง” อันนี้เรียกได้ว่ายิ่งรักยิ่งแค้น

ผมกลับไปทำหน้าใจดีกับไอ้กวี บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีอะไร อย่าไปคิดมาก และชวนมันเข้าไปเยี่ยมไอ้ชัยข้างในห้อง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าไปรอบหนึ่งแล้วแต่เห็นเขายังนอนหลับอยู่เลยขอมานั่งรอข้างนอกดีกว่า ไม่อยากรบกวน”

ดูมันเป็นห่วงไอ้ชัยจริงๆ ดูมันจะห่วงมากกว่าผมที่เป็นเพื่อนสนิทของมันด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ตื้อให้มันเข้าไปด้วย พอมันปฏิเสธ ผมก็ชวนเจ้พิงค์เข้าห้องไปเลย

ก่อนเข้าห้องผมสังเกตที่ป้ายชื่อไอ้ชัย มีรายชื่อหมอเจ้าของไข้ด้วย

“ปฐวี”

เฮ้ย!! ไอ้หมอเอิร์ธนี่หว่า ทำไงดีรู้สึกยังไม่อยากเจอเลยวะ งี่เง่ากับเขาไปตั้งหลายเรื่อง  แล้วทำไมกูต้องแคร์ด้วยวะ สรุปว่ายังไม่อยากเจอ มีโอกาสขอตัวออกก่อนดีกว่า

หลังจากทักทายพอเป็นพิธีกับไอ้เพื่อนหัวแข็งแล้ว ผมรีบกลับทันทีที่เห็นพยาบาลเตรียมอาการและยาเข้ามา. ผมมีบางสังหรณ์ว่าเดี๋ยวไอ้หมอ มันต้องตามมาอีกไม่นาน เผ่นเลยดีกว่า

พอล่ำลามันเสร็จ ผมรีบก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องทันที  แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอไอ้หมออยู่ตรงจุดรอลิฟต์อยู่ดี

“อ้าว… มาเยี่ยมเพื่อนเหรอ?”
“เอ่อ.. ครับ”
“พูดเพราะเชียว”
“อ้าว ยังไงเนี่ย พูดไม่เพราะก็ว่าปีนเกลียว พอพูดดีก็แซว”
“โอเคๆ ดีแล้ว” แล้วมันก็หัวเราะ
“ผมลาล่ะ”
“อ้าว….ทำไมรีบกลับ”
“ผม….เอ่อ…มีธุระ!”
“โอเค… เจอกัน”
ผมยิ้มเฝื่อนๆตอบไป
“เดี๋ยว!” ไอ้หมอจับต้นแขนเพื่อรั้งผมไว้
“หมอรักษาสัญญาแล้วนะ… เพื่อนเราไม่เป็นอะไรแล้ว”
“เออ ผมเพิ่งไปเยี่ยมมันมา รู้อยู่” แล้วผมก็ชักแขนกลับและเดินเข้าลิฟต์ที่มาถึงพอดี ก่อนประตูลิฟต์จะปิด ผมเห็นมันส่ายหัวยิ้มละไมเดินไปทางห้องไอ้ชัย
โอย…… ทำไมใจเต้นอย่างนี้วะ….. ผมมองเงาที่สะท้อนผ่านประตูลิฟต์ เห็นตัวเองมีเลือดฝาดผิดปกติ

………………………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบ part 2 (อัพ 16/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-07-2017 19:08:34
หลง (6)

วันหยุดยาวสุดสัปดาห์แบบนี้ ผมต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลแบบนี้ มันไม่สนุกเลย แถมยังต้องไปเจอหน้าไอ้หมอทุกวันอีก มันนี่ก็แซวผมได้ทุกวัน ไม่รู้คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย? ส่วนผมก็ไม่รู้เป็นอะไรเขินทุกครั้งที่มันแซว เฮ้อ….

และวันนี้ผมก็ต้องมารับไอ้ชัยออกจากโรงพยาบาลครับ ดี!! จะได้ไม่ต้องไปเจอหน้าไอ้หมอหน้าเป็นนั่นอีก

ผมรีบแต่งตัวออกจากเผลอหยิบชุดหล่อตัวเก่งใส่ออกไป ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไงเวลาออกไปเยี่ยมไอ้ชัยต้องแต่งตัวดีด้วยจนแม่แปลกใจ ความจริงคือผมใส่ไปแข่งกับไอ้กวีมัน เผื่อวันไหนมันพานิ่มไปด้วย นิ่นจะได้รู้ว่านิ่มคิดผิดที่ไปคบกับไอ้ตี๋หน้าหวานนั้น แต่ผมก็ไม่เคยเห็นนิ่มไปปรากฎตัวแถวนั้นเลย (คงกลัวเจอผม)

ผมเดินลงมาลาแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่าง

“ไปไหนอีกแล้วแก?”
“ไปหาไอ้ชัยไง วันนี้มันจะกลับบ้าน”
“อืม ฝากทักทายชัยด้วยนะลูก แม่ไม่ค่อยสบายคงไม่ได้ไปด้วยนะ”
ดูจากสภาพชุดนอนของแม่แล้วก็รู้ว่าคงไม่ไปด้วย
“อ้าว.. แม่เป็นอะไรล่ะ?”
“เวียนหัวน่ะ คงนอนน้อย”
“กินยาอะไรหรือยังแม่ หรือจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลพร้อมผมเลย”
“ไม่ต้องหรอก แม่…..”
แม่ยังพูดไม่จบประโยคก็มีรถ BMW คันใหญ่มาจอดหน้าบ้าน
“พูดถึงก็มาเลย หลงก่อนไป ไปเปิดประตูบ้านให้แม่หน่อย”
ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับรถคันนี้แล้ว จึงไม่แปลกใจที่แม่ไปไปหาหมอ เพราะว่าหมอมาหาถึงที่บ้านนี่เอง
“อ้าว! จะไปไหน แต่งตัวเสียหล่อเชียว?” ไอ้หมอมันเดินลงจากรถยืนรออยู่หน้าประตูรั่วบ้าน
“ไปโรงพยาบาล”
“ อ้อ วันนี้เพื่อนเราดิสชาร์จนี่นา”
“ดิส… อะไรนะ?”
“ออกจากโรงพยาบาลไง”
“อ้อ ใช่ ว่าจะไปช่วยมันเก็บข้าวของเสียหน่อย”
“น้ารุ่งล่ะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรแค่ชี้เข้าไปด้านใน

ไอ้หมอพยักหน้าเดินผ่านผมไป ผมมองไอ้หมอตั้งแต่หัวจรดเท้า มันแต่งตัวลำลองครับ เสื้อเชิ้ตสีเอิร์ธโทนแขนสั้น กางเกงห้าส่วนกับรองเท้าหนังแบบลำลองสีส้มอ่อนๆ มันเข้าดันดีจนรสนิยมการแต่งตัวของผมดูบ้านๆ ไปเลย ดู….. น่ารักดี…..

ผมไม่เคยชมผู้ชายว่าน่ารักเลย แต่ไอ้หมอมันแต่งตัวได้น่ารักจริงๆ เห็นแล้วอยากเผาเสื้อผ้าที่มีอยู่ทิ้งไปให้หมด

ผมเดินเข้าไปดูมันพูดคุยกับแม่ สอบถามอาการ เอาอุปกรณ์เล็กๆ ออกมาวัดนู่นนี่ (มันพกของแบบนี้ไปไหนต่อไหนทุกวันหรือวะ?)

แดดที่ส่องเข้าในตัวบ้านเริ่มเปลี่ยนสี และร้อนแรงขึ้น ผมมองดูนาฬิกาแล้วคิดว่าสายมากแล้ว จึงตัดสินใจออกเดินทางและทิ้งแม่ไว้กับไอ้หมอนั่นแหละ

“แม่..ผมไปแล้วนะ” ผมเดินผ่านพร้อมบอกลา

“เดี๋ยว….” แม่กวักมือเรียก

“อะไรอีกล่ะ”

“มาเอารายชื่อยาจากพี่เอิร์ธ แล้วก็ไปซื้อให้แม่หน่อย”
“ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมหยุด เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ยังไงไอ้หลงมันก็ต้องออกไปข้างนอก ฝากมันซื้อก็ได้”
“ผมจะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะแม่”
“ไม่เป็นไร มีแต่พวกวิตามินกับอาหารเสริม แม่ไม่รีบ!!”
“โหย…..” ผมโอดครวญ จะให้ผมแบกไอ้ยาพวกนี้ไปโน่นนี้ทั้งวันเนี่ยนะ

“เอ่อ… งั้นเอางี้ ให้หลงไปซื้อกับผม เดี๋ยวผมไปส่ง ไปรถยนต์เร็วกว่า ซื้อเสร็จแล้วรีบกลับมาเลย คือผมมีร้านยาที่รู้จักกันไม่ไกล และก็ไม่แพงด้วย”
“เอางั้นก็ได้จ๊ะ แต่เกรงใจจัง” โห…..แม่ ทีคนอื่นพูดอะไรเออออไปหมด
“ไม่เป็นไรครับ น้ารุ่งดูแลผมยิ่งกว่านี้อีกตอนนั้น”
“ขอบคุณพี่เขาด้วยหลง” แม่หันมาพูดกับผม แต่ผมหันไปยิ้มแห้งๆใส่มันแวบหนึ่ง

หลังจากนั้นผมก็ตัองมาอยู่บนรถกับมันเดินทางไปซื้อของให้แม่  ผมพลิกดูนาฬิกาหลายครั้งจนรู้สึกรำคาญตัวเอง

“ไปทันน่า ยังไงก็ต้องออกจากห้องประมาณเที่ยง”
เหมือนมันจะรู้ว่าผมกังวลเรื่องอะไร
“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย ไหนบอกว่าไม่ไกล”
“เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงแล้ว” ไอ้หมอชี้ไปที่สี่แยกข้างหน้า

เหมือนประชด พอเลี้ยวมาเพียงอึดใจเดียวก็ถึงร้านยาขนาดกลางที่เหมือนเพิ่งเปิดได้ไม่นานตั้งอยู่ ไอ้หมอขับมาจอดไม่ไกลจากหน้าร้าน แล้วเดินนำหน้าไปที่ร้านทันที พอผมออกมาสู่อากาศนอกรถ พบว่ายามนี้พระอาทิตย์ทำงานของตนได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมอยากกลับเข้าไปนั่งรอที่รถเลย มันดูสบายและเย็นดี ผมเป็นคนขี้ร้อนเลยไวกับอากาศร้อนมาก

ผมลงจากรถและรีบวิ่งไปที่ร้านขายยาที่ไอ้หมอแนะนำทันที ก็เงินอยู่กับผมนี่นะ ผมเปิดประตูกระจกบานใหญ่ที่มีสติกเกอร์โฆษณายาติดอยู่อย่างสวยงาม ไอเย็นจากแอร์ฯในร้านวิ่งเข้ามาปะทะกับร่างกายโชคดีที่รีบวิ่งเข้ามา

สิ่งแรกที่เห็นคือไอ้หมอหัวเราะดูมีความสุขกับเภสัชกรหน้าหล่อผิวสองสีที่หน้าตาละม้ายคล้ายดาราละครช่องมากสี (ไม่รู้ชื่อ) ผมแอบส่ายหน้า นี่สินะที่อยากจะมาซื้อยาให้ จะได้มาเจอไอ้หนุ่มขายยานี่เอง

“อ้าว!! สวัสดีครับ ซื้อยามาสอบถามที่นี่ก่อนได้ครับ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มาด้วยกัน” ไอ้หมอรีบพูดสวนก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร
“อ้าวเหรอ หน้าตาดีเชียว อย่าบอกนะว่า….. กิ๊กเด็ก!!”
เภสัชกรหนุ่มชี้หน้าไอ้หมอเป็นเชิงล้อเลียน
“ไอ้บ้า ลูกอาจารย์รุ่งไง” ไอ้หมอตีมือเภสัชกรหนุ่มให้พ้นหน้าตัวเอง
“อ้อ… ที่เคยเล่าให้ฟัง”

ไอ้หมอ มันเล่าอะไรให้เพื่อนมันฟังวะ (เพื่อนหรือกิ๊ก …แล้วผมจะไปสนใจมันทำไมวะ) ผมคิดไปพลางทำหน้าขรึมๆเหมือนไม่ได้คิดอะไร

“เออๆ รีบจัดของมาเสียทีจะได้รีบกลับ เด็กมันมีนัด”
“อ๋อ จะไปเที่ยวกันต่อ?”
“ยังๆ ยังไม่หยุด” หมอตีหน้าซีเรียสใส่

ระหว่างที่เภสัชกรหนุ่มนั่นเดินไปหยิบโน่นนี่ตามที่ไอ้หมอมันต้องการแถมยังถกกันเรื่องผลิตภัณฑ์เหล่านั้นในประโยคที่มีศัพท์แปลกๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่านั่นภาษาคน ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สนุก ผมเลยได้แต่เดินไปเดินมาในร้านดูยาตัวนั่นตัวนี้หยิบอะไรต่อมิอะไรมาดู และทุกครั้งที่พวกมันเฮฮา เล่นมุกอะไรมันจะรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะไปให้พ้นจากร้านนี้ แต่ข้างนอกมันร้อนเลยต้องทนอยู่ในนี้ไปก่อน

ไอ้เสียงหัวเราะนั่นมาเป็นระยะๆ ผมต้องหันไปมองเป็นระยะๆ เช่นกัน บางครั้งก็เห็นหน้าของคนทั้งใกล้ชิดกันเสียจนจะแนบกันอยู่แล้ว

“เอาอันนี้ด้วยครับ” ผมหยิบของใกล้มือเดินไปวางที่หน้าเจ้าของร้าน ขวางหน้าหล่อๆ ของมันกับไอ้หมอ

ทั้งสองคนมองคนมองของสิ่งนั้น ที่มีลักษณะเป็นขวดสีม่วงเข้มกึ่งใส มีดีไซน์ขวดแปลกๆ

“น้องจะเอาไปใช้?”
“เอ่อ…อืม…” ผมพยักหน้า
“เอาไปใช้กับใคร?”
“ผมใช้เอง คนเดียว”  ยาอะไรมันจะไปใช้กันได้ทั้งบ้านวะ?
พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะกันเสียงดัง

“…..อะไรเหรอครับ?….” 
“ไม่รู้จริงๆ ?”
จริงๆ แล้วคือ ไม่ได้มองมากกว่าว่าหยิบอะไรมา

“มันเป็นเจลหล่อลื่นแบบ ช่วยในเรื่องการหมุนเวียนโลหิตตรงอวัยวะเพศนะ พูดง่ายมันเป็นเจลบำรุงส่วนตรงนั้นได้ด้วย จะใช้คนเดียวมันก็ไม่ผิดอ่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

ผมนี่หน้าตึง อธิบายอารมณ์ไม่ถูก ส่วนไอ้หมอก็แค่ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ อายโคตร ทำไมกูไม่คิดก่อนทำอะไรแบบนี้วะ เป็นอีกครั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าไอ้หมอแล้วผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

“คิดเงินรวมเลยไหม?” ไอ้เภสัชกรนั่นมันถือขึ้นมาแกว่งไปมา
“เฮ้ย… น้องมันคงนึกว่าเป็นยาสีฟันแบบน้ำ อย่าไปล้อมันสิ” ไอ้หมอผสมโรง แล้วก็หัวเราะกันไม่หยุด
“ไม่เอาครับ จะบ้าเรอะ” ผมคว้าไอ้สิ่งนั้นไปเก็บทันที พอเดินไปถึงจุดที่หยิบมาผมถึงกับช้อคเพราะมันมีขายอีกหลายสีหลายกลิ่นหลายสูตร วางรวมกันขนาดนี้ หากสติดีๆ คงไม่น่าหยิบจากชั้นวางแถวนี้เลย

“เฮ้ย… แน่ใจนะว่าไม่ใช่กิ๊ก เห็นน้องมันเตรียมพร้อมขนาดนี้”
“ไอ้บ้า กูไม่ชอบเด็ก” ทำไมผมได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกแปล๊บๆ ที่ใจชอบกล
“แปลว่ากูก็ยังมีหวังใช่ไหม? อยากดามใจคนแถวนี้”
“นั่นสิ ดีไหมนะ?”
แล้วมันก็มองหน้าหัวเราะกัน ผมเริ่มเบื่อกับการเป็นอากาศธาตุตรงนั้นแล้วเลยตัดสินใจเดินออกมารอที่รถ

ไม่ถึงห้านาทีไอ้หมอก็เดินตามออกมา

“อ้าว ทำไมไม่ไปคอยข้างในเย็นๆ”
“รำคาญ…. เบื่อ…. นาน….”  มันเดินไปเก็บของท้ายรถก่อนจะยื่นหน้ามาพูดด้วยรอยยิ้มกวนๆ

“หึงหรือไง?”
“หึง เชี้ยอะไร แค่รำคาญ จะคุยกันก็ค่อยมาคุย แม่รออยู่”  อ้างแม่ซะเลย
“จ้าๆ” มันยิ้มเยาะและเดินขึ้นรถไปเลย

บนรถระหว่างทางกลับบ้าน ผมแทบไม่พูดกับมันเลย รู้แค่ไม่อยากมองหน้ามัน ไหนว่าอกหักวะ ก็เห็นร่าเริงดีนี่หว่า

“ไอ้เต้ มันมีแฟนแล้ว แฟนมันก็เพื่อนหมอเอง หล่อกว่าหมออีก”
เออ…. เดี๋ยว! แปลว่าแมนๆ อย่างนั้นมีแฟนเป็นผู้ชาย!! โลกนี้อยู่ยากวะ

“แล้วมาบอกผมทำไม?”
“แค่อยากบอก”
“ใครจะไปอยากรู้วะ”
แต่ทำไมอกผมมันเบาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วไปไหนต่อแต่งตัวเสียหล่อเชียว”
“เพิ่งเคยโดนหลงชมนะเนี่ย ขอปลื้มหน่อย”
“…..” ไอ้เชี้ยนี่
“หยุดทั้งทีว่าจะไปดูหนังตามประสาคนโสดเสียหน่อย”
“………”  ถามนิดเดียวพูดเสียยาว

พอถึงบ้านไอ้หมอก็อาสาไปส่งผมที่โรงพยาบาลทันที สรุปก็ไปทันครับ คือ….ไปทันส่งมันขึ้นรถกลับบ้าน ผมเหลือบมองเห็นไอ้กวีมันดูกระตือรือร้นในการช่วยเหลือคนที่บ้านของไอ้ชัยมากกว่าเพื่อนอย่างผมเสียอีก  จนแทบไม่ได้หยิบจับอะไร. ผมเลยตัดสินใจไปยืนคุยกับมันที่นั่งรถเข็นอยู่ไม่ไกล

“เฮ้ย…. นี่มึงสนิทกับมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ผมสะกิดถามมันบนรถเข็นวีลแชร์ขณะรอรถพร้อม
“กูก็ไม่รู้ บางทีกูยังคิดว่ามันรู้เรื่องกูดีกว่ามึงอีกนะ”
“เฮ้ย!! จริงหรือวะ?”
“งั้นอาหารโปรดของกูคืออะไร?”
“มึงมีด้วยหรือวะ อาหารโปรด? เห็นกินได้แม่งทุกอย่าง”
“เชี้ย!! นี่ไงมึงไม่รู้  แต่มันเสือกรู้ว่ะ นี่กูชักกลัวๆ มันแล้ว”
“เชี้ยหรือมันแอบชอบมึง”
“สัด มันเป็นผู้ชาย และอย่าลืมศัตรูหัวใจของมึง”
“เรื่องนั้น… ช่างแม่งมันเถอะวะ กูไม่อินกับมันแล้ว”
“อ้าว ที่กูอุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้ก็เสียเปล่าสืวะ”
“เปล่า…. เท่าที่กูฟังจากเจ้พิ้งค์ กูก็แอบสงสารไอ้กวีมันว่ะ มันแม่งก็โง่พอๆ กับกูนั่นแหละ”
“อ้าว..แล้วไงเนี่ย?”
“เออ…  งั้นเพื่อแก้เผ็ดยัยผู้หญิงหลายใจนั่น มึงก็ทำให้ไอ้กวีตาสว่างสิวะ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง กูคิดออกแล้วว่าจะทำยังไง”
“แผนโง่ๆ ของมึงอีกสินะ”
“อ้าว…..ไอ้….ว่าแต่…ช่วงนี้มึงหน้าตาดูดีขึ้นนะ  แล้วนั่นมากับกิ๊กใหม่เหรอวะ?”
“กิ๊กเชี้ยอะไร….. ไอ้หมอเอิร์ธไง”
“อ้อ พี่หมอหน้าสวยคนนั้นเอง โอเคนะมึงน่ารักดี” มันทำหน้ายิ้มแบบกวนส้นเท้ามาก
“พ่อง!!”  ผมวาดมือกะจะตีสักโบก
สรุปว่ามึงเห็นใครสวยก็ได้หมดถึงเป็นผู้ชายก็เถอะ
“กูป่วยนะสาด”
“โน่น ผู้ชายหน้าสวยของมึงมาแล้ว”
ไอ้กวีที่วิ่งไปวิ่งมาช่วยแม่ของไอ้ชัยขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยก็อาสามาเข็นรถไอ้ชัยไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล สรุปว่ามันยังไม่ทันได้ช่วยอะไรเลย เจอเพื่อนใหม่มันแย่งทำหมด

ไอ้กวีมันยิ้มให้ผมเป็นการทักทาย ส่วนผมก็แค่พยักหน้า รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยตรงที่ปกติ สาวๆที่คอยตามตื้อมันหายไปไหนหมด มีแต่ส่งของเยี่ยมมาให้เต็มคันรถ ส่วนไอ้กวีก็มาคนเดียวอีกแล้ว ไม่เคยเห็นนิ่มมากับมันเลย



………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบ part 3(อัพ 19/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-07-2017 23:10:04

หลง (7)

เนื่องจากรถของแม่ไอ้ชัยค่อนข้างเต็ม ผมเลยสละที่ให้เพื่อนใหม่ของมันและผมจะหารถตามไปบ้านมันเอง แต่ไอ้ขัยมันบอกไม่เป็นไร มันกลับไปก็ว่าจะนอนเลย ไม่ต้องตามมาก็ได้ เล่นเอาผมเคว้งเลย

ส่วนไอ้กวีมันไม่เห็นมันว่าอะไร ผมว่ามันแปลกๆ ทั้งๆ ที่ไอ้ชัยมันติดผมจะตาย แต่ช่างมัน มันคงมีแผนโง่ๆ อะไรของมันอีกเหมือนเคย

ตอนแรกก็กะว่าจะกลับบ้านเลย ไปเล่นเกมส์ที่ค้างไว้ แต่เหลือบไปมองรถไอ้หมอพอดีระหว่างเดินออกจากลานจอดรถ

อ้าว! ทำไมมันยังไม่ไปไหนวะ? ไหนว่าวันหยุด

ผมเดินไปใกล้ๆ รถที่จอดสนิทไม่มีวี่แววใครอยู่ในรถ

“หาอะไรอยู่?”
ผมนี่สะดุ้งเลย
“เฮ้ย! มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“มีอะไรกับหมอ?”
“ไม่มี แค่คิดว่ารถสวยดี แล้วทำไมยังไม่ไปไหนอีก วันนี้วันหยุดนี่”
แก้ตัวไปเรื่อย….
“ฮ่าฮ่าฮ่า…  มาซื้อกาแฟที่ข้างโรงพยาบาลเนี่ย ร้านประจำ ซื้อทุกวัน”
“งั้นผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวๆ จะกลับแล้วหรือ เห็นโดนเพื่อนทิ้งอยู่ลานจอดรถ ให้ไปส่งไหม?”
ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันเลยตัดสินใจไม่พูดอะไรหันหลังกลับ แต่…. ติดรถมันไปด้วยก็ดี ท่าจะสบายกว่า

“ตกลง” ผมหันไปพูดกับมัน

พอขึ้นรถเรียบร้อย แทนที่มันจะรีบสตาร์ทรถและขับออกไป มันดันหยิบมือถือขึ้นมาดูโปรแกรมหนัง  ผมเองก็ชอบดูหนังครับเห็นแล้วก็แอบเหลือบมองไม่ได้

“นี่ยังไม่รู้ว่าจะดูอะไรรึ?” ผมหันไปพูดกับคนขับรถที่ดูมีสมาธิกับการอ่านเรื่องย่อของหนังที่กำลังฉายอยู่
“อื้อ.. คือแค่อยากดูหนังแก้เบื่อแต่ยังไม่ได้คิดว่าจะดูเรื่องอะไร?”
ผมคว้าโทรศัพท์จากมือของไอ้หมอมาเลื่อนๆดู
“เรื่องนี้สิน่าสนุก” ผมหันหน้าจอไปทางมัน ส่วนมันก็แค่พยักหน้าอือออ
ไอ้หมอให้ผมวางโทรศัพท์และขับรถออกจากโรงพยาบาลอย่างเงียบๆ

“นี่จะไปดูหนังคนเดียวจริงๆ”  อยู่ๆผมก็ทำลายความเงียบ
มันทำหน้าหงอยๆ และพยักหน้า
“ให้ไปส่งบ้านเลยไหม?” ไอ้หมอถามแบบไม่มองผม
“ไปดูหนังด้วยได้ไหม? อยากดูอยู่แล้ว วันนี้ว่างแล้วด้วย”
“อื้ม…เอาสิ”
ผมแอบเห็นสีหน้ามันดูมีสีสันขึ้น

ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ที่คราคร่ำไปด้วยคนมากมายเพราะเป็นวันหยุด ผมกับไอ้หมอกลายเป็นจุดสนใจเล็กๆ ภายในห้างเพราะต่างคนต่างดูดีไปคนละแบบ ไม่ว่าจะเดินผ่านทางไหนก็มักจะมีคนมอง และวันนี้ผมกับมันก็แต่งตัวกันแบบจัดเต็มทั้งคู่

ตั๋วหนังน่ะ ซื้อเรียบร้อยแล้ว มันเลี้ยงผมครับ มันบอกอุตส่าห์มาเป็นเพื่อน (ดีจังที่มา) แต่กว่าหนังจะเริ่มฉายก็อีกเกือบสองชั่วโมง พวกเราเลยตกลงว่าจะไปหาอะไรกินก่อน

เดินด้วยกันตั้งนาน มันก็ไม่ลงเอยที่ร้านไหนเสียที จนท้องผมเริ่มร้องแล้ว

“สรุปว่าจะกินร้านไหน เดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”
“อืม… ไม่รู้สิ ไม่รู้กินอะไรดี”
ผมแอบค้อนไอ้หมอ เดินมาจนจะทั้งห้างแล้วยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย แล้วไอ้ที่แวะร้านขายเสื้อผ้าตลอดทางที่ผ่านมาอีก ผมเริ่มหมดความอดทน

“งั้นมานี่ เดี๋ยวเลือกร้านเอง”
ผมเดินนำไปก่อนโดยลืมตัวไปว่าไอ้หมอจะตามมาหรือเปล่า ปกติผมจะเป็นตัดสินใจตลอดไม่ว่ากับเพื่อนหรือกับคนที่มาเดทด้วย แต่ลืมไปว่าเรากับมันก็ไม่ค่อยสนิทกันนี่หว่า   

ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อหันไปเขายังคงเดินตามมาอยู่ไม่ไกล ในที่สุดก็ถึงร้านขายอาหารไทยที่ดูธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยภาพทิวทัศน์ของทุ่งนาและป่าฝน เฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้เก่าๆ และโคมไฟสีส้มสว่างสดใส

“ร้านนี้แหละ” ผมชี้และเดินเข้าไปอย่าคุ้นเคย

มันเป็นร้านของพ่อแม่เพื่อนในทีมบาสฯน่ะครับ หิวทีไรก็แวะมากันเป็นประจำ อาหารอร่อย ให้เยอะเป็นพิเศษ เพราะนักกีฬาแต่ละคนกินกันยังกับปล้น และที่สำคัญมีส่วนลด แจก และแถมตลอด

ผมกับกับไอ้หมอเลือกนั่งที่มุมด้านในของร้าน ผมไหว้ทักทายคุณพ่อคุณแม่เพื่อนที่อยู่ร้าน เขาก็เข้ามาบริการอย่างเป็นกันเองเหมือนเคย

“วันนี้มากันแค่สองคน ไม่ต้องให้เยอะเหมือนเคยก็ได้นะครับ”
“เดี๋ยวกินไม่อิ่มนะ” พ่อเพื่อนผู้ใจดียิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรครับ” เพราะไอ้คนตรงข้ามมันผอมแห้งเหลือเกินคงกินไม่เยอะ ผมเดาเอา
“แล้วนี่พาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวเหรอ?”
ผมขำเบาๆ และมองไปทางหน้าไอ้หมอที่มีอาการคิ้วกระตุกเบาๆ
“รุ่นพี่ครับ รุ่นพี่”
“อ้อ….หน้าตาดีนะ ตอนแรกนึกว่าผู้หญิง”
“เรื่องหน้าเนี่ย เขาพูดกันจนผมชินเสียแล้วครับ” มันยิ้มรับคำชม แต่ผมก็ยังอดขำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้

เมนูที่นี่เป็นอาหารไทยหลากหลายภาคครับ อาหารอร่อยเช่นเคย ผมอุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่ต้องให้เยอะ แต่ยังให้มาเหมือนเดิม ตอนแรกผมคิดว่าจะกินกันไม่หมดแล้ว แต่ไอ้หมอนี่ก็กินเยอะกว่าที่คิด ตัวบางๆแบบนั่นไปเก็บไว้ตรงไหนวะ

ผมสังเกตอาการของเขาที่แก้มสีแดงเรื่อๆ ขึ้นเรื่อยๆ กับปากสีชมพูที่เข้มขึ้น และอาการเป่าปากเบาๆ ซึ่งเหมือนกำลังพยายามจะไม่แสดงออกว่าเผ็ด ผมกินได้ทุกรสชาติครับ (เน้นหวาน) เผ็ดก็ได้หากอาหารอร่อยเลยไม่เดือนร้อนกับอาหารที่นี่

“เอ้า นี่….กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องพยายามนี่หว่า” 
ผมยื่นแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งปริ่มเต็มแก้วให้ถึงมือ ไอ้หมอรีบรับไปซดอย่างเร็ว จนหมดไปเกินครึ่งแก้วภายในเวลาเพียงอึดใจ

“เดี๋ยวจะหาว่าไม่อร่อย สั่งมาแล้วก็ต้องกินให้หมด”  มันเช็ดปากไปพูดไป ผมเลิกคิ้วขึ้นจนไอ้หมอสังเกตเห็น

“แต่สีสันมาน่ากินมากเลย อร่อยทุกอย่างแต่มันเผ็ดมากเลย” มันพูดต่อด้วยท่าทางเกรงใจ สงสัยคงรู้ว่าผมรู้จักเจ้าของร้านมันคงเกรงใจหากจะเหลืออาหารบนโต๊ะเยอะแยะ (นิสัยดีเหมือนกันนะเนี่ย)

“ไม่เป็นไรหมอ แค่บอกว่าอร่อยก็พอแล้ว ผมเป็นพามากินกลัวหมอจะไม่ถูกปาก”
“เฮ้ย… อร่อยมาก แต่คราวหลังสั่งของไม่เผ็ดมาเยอะกว่านี้ก็ดีนะ”
แปลว่ายังมีคราวต่อไป ผมยิ้มตอบกลับไป (แล้วกูจะดีใจทำไมวะ)

“ยิ้มทำไม?”
“เปล่า!! ไม่มีอะไร” ผมเผลอตอบเสียงสูง

หลังจากเข็คบิลผมกับไอ้หมอก็เดินออกจากร้านทันทีเพราะเหลือเวลาไม่มากก่อนเข้าโรงหนัง เลยตกลงว่าจะไปห้องน้ำกันก่อน

หลังจากเสร็จกิจผมเลยเดินออกมารอด้านนอกเลยเพราะไอ้หมอน่าจะมีปัญหากับลำไส้เลยวิ่งเข้าส้วมไปแล้ว  สงสัยเพราะอาหารเผ็ดที่กินเข้าไป ลำไส้อะไรมันจะอ่อนไหวขนาดนั้นวะ

พลั่ก!!

ขณะเดินผ่านประตูทางเข้าห้องน้ำผมดันไปชนกันคนที่วิ่งสวนเข้ามา ไอ้หนุ่มตี๋ล่ำแขนใหญ่เดินเร่งรีบไปโดยไม่มีคำขอโทษสักคำ วันนี้ผมอารมณ์ดีครับ ผมจะไม่เอาเรื่องมัน

ผมเดินไปยืนรอไม่ไกลจากประตูห้องน้ำ ไม่นานไอ้หมอก็เดินจ้ำอ้าวออกมาอย่างกับหนีอะไรมา

“เอิร์ธ… ฟังผมก่อน” ไอ้หนุ่มตี๋ไร้มารยาทนั่นเดินมารั้งแขนของไอ้หมอ
“เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว” ไอ้หมอสะบัดมือไอ้ตี๋ล่ำนั่นทิ้ง แรงของไอ้หมอนี่ใช้ได้เลย ไอ้หมอเดินมาถึงหน้าผมพร้อมพยักหน้า

“ไปให้พ้นจากแถวนี้กันเถอะ”
ไม่ทันจะจบประโยคดี ไอ้ตี๋นั่นก็วิ่งมาดักหน้าไอ้หมอที่กำลังจะก้าวเท้าพอดี
“เดี๋ยว!! เพราะไอ้เด็กนี่ใช่ไหม เอิร์ธถึงไม่อยากคุยกับเรา”
“เอ น่าจะรู้นะเพราะอะไร” ไอ้หมอผลักคนที่ขวางทางให้เซออกไปครึ่งก้าวแล้วเดินผ่านไป ผมไม่รอช้าที่จะก้าวตาม แต่ยังไม่ทันผ่านไอ้ตี๋นั้นพ้น มันก็หันมาจับมือไอ้หมอได้ทัน (มันเป็นไอ้แมงมุมเรอะ)

“แต่ผมยังรักเอิร์ธอยู่นะ”
ไอ้หมอไม่หัน แต่ผมพอเดาออกจากอาการสั่นเทาของมันและเสียงที่เริ่มผิดปกติ ผมสัมผัสได้ถึงความวูบโหวงที่กลางอกตัวเอง
“มันจบแล้ว” ไอ้หมอพยายามบิดข้อมือไปมาหมายจะหลุดจากพันธนาแต่ควาวนี้ไม่หลุดจนผมเห็นมือของไอ้หมอแดงคล้ำไปหมดจากแรงบีบ

“มันยัง…” คราวนี้ผมไม่รอให้ไอ้ตี๋นี่พูดจบประโยค ผมจับมือไอ้ตี๋ล่ำบิดหงายให้มันปล่อยไอ้หมอทันที

“โอ้ย”

มันอ่อนกว่าที่ผมคิดว่ะ

“มึง! อย่ามายุ่งผัวเมียเขาคุยกัน”
“ทิ้งเขาแล้วไม่ใช่หรือ จะมาวุ่นวายอยู่ทำไม?” ผมสวนกลับและทำตัวพองให้ใหญ่กว่ามัน (ดีนะที่สูงกว่า)

“มึงเป็นคนอื่นอย่ามายุ่ง”

ผมมองไปที่ไอ้หมอ มองเห็นสายตาที่ส่งออกมาอย่างรวดร้าว ความเจ็บปวดของเขาเหมือนสามารถส่งผ่านอากาศมาได้ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจแปล๊บๆ ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะไม่ยอมให้เขาคนนี้เจ็บปวดอีก

“กูไม่ใช่คนอื่น.. เลิกยุ่งกับคนของกูได้แล้ว”

แล้วผมก็ผลักไอัเวรนั่นล้มลงไป ก่อนที่จะลากไอ้หมอให้พ้นจากสายตาไทยมุงที่เริ่มจะเยอะขึ้นด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว
กูพูดอะไรลงไปวะ !?!

ผมลากไอ้หมอที่ดูอึ้งๆกับเหตุการณ์เมื่อครู่เข้าโรงหนังทันที (ไอ้ตี๋นั่นจะได้ตามมาไม่ได้) ผมรู้ว่าภายนอกถึงมันจะทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน แต่มันก็ดูอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้

พวกเราเข้ามาทันตัวอย่างหนังพอดี และโชคดีที่คนในโรงนี้ค่อนข้างบางตา บริเวณที่ผมนั่งนี่ไม่มีคนเลย พอนั่งลงได้ไอ้หมอก็แทบไม่พูดอะไรเลยบรรยากาศรอบๆ ตัวดูหนักอึ้งจนผมรู้สึกอึดอัด

“ขอบใจนะ”
ไอ้หมอเอ่ยขึ้นลอยๆ เหมือนคุยกับตัวเองมากว่า ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แม้จะไม่ได้หันไปมองจังๆแต่ผมก็แอบเห็นน้ำที่ไหลออกจากตาลอยๆ ทีมองไปอย่างไร้จุดหมาย

“อืม” บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“ขอยืมไหล่แป๊ปนะ”

พูดจบไอ้หมอก็เอนหัวลงมาซบไหล่ผม ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆซึมผ่านเสื้อของผม เพลงสรรเสริญฯ เริ่มดังขึ้น ไอ้หมอดีดตัวขึ้นมาพร้อมทำท่าปาดน้ำตา ในโรงหนังมันมืดมาก มีแต่แสงจากจอภาพด้านที่สะท้อนออกมาทางเรา ผมแทบมองไม่เห็นว่าตอนนี้หน้าไอ้หมอเป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมก็ไม่มีสมาธิดูหนังแล้วด้วย ผมแอบมองหน้ามันเป็นระยะๆ

“หมอไม่เป็นไรแล้ว…ดูหนังเถอะ”
ไอ้หมอพูดออกมาเหมือนจะรู้ว่าแอบมองอยู่

“แน่ใจ?”
ผมถามเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูนิ่งหนักอึ้งมืดมนอบอวลอยู่

“อืม คิดว่าทำใจได้แล้ว แต่พอเจอหน้าจริงๆ”
ไอ้หมอมันนิ่งไปพักหนึ่ง เหมือนพยายามสะกดนำ้ในตาไม่ให้ไหลออกมา

 “ดันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้…… ความสัมพันธ์ห้าหกปีคงตัดไม่ขาดง่ายๆ”
ไอ้หมอบีบขมับตัวเองอย่างช้าๆ

“……..” ผมคบกับนิ่มแค่ปีเดียว ตอนถูกบอกเลิกนี่ทำผมเซไปหลายวัน  แต่นี่ตั้ง ห้าหกปี เรื่องของผมนี่กลายเป็นมิวสิควิดีโอไปเลย ของไอ้หมอนี่ยังกับซีรี่ย์เรื่องยาว ผมยังไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอะไร ให้มันระบายมาเรื่อยๆ ดีกว่า

“แต่เมื่อกี้ก็แอบสะใจนะ….ฮ่าฮาฮ่า”
อ้าวอารมณ์เปลี่ยนซะงั้น หมอมึงเป็นไบโพลาร์?
“หลงนี่กล้าดีนะ พูดไปแบบนั้นไม่เป็นไรเหรอ ได้ข่าวว่าป๊อปอยู่ เดี๋ยวได้กลายเป็นข่าว”
“ไม่เป็นไร…ก็อยากให้เป็นจริงอยู่” ผมหันไปพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“……….”


…………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเอ็ด (อัพ 22/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-07-2017 09:49:42
เอิร์ธ # 4

หลังจากวันหยุดไปก็เข้าสู่วัฎจักรการทำงานไม่รู้จบอีกแล้ว ต้องตื่นมาเหนื่อยแต่เช้า เอาวะสู้ๆ เพื่อประชาชน

ครื่นๆ

เสียงสั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้ามาที่สมาร์ทโฟนสีโรสโกลด์ นี่เป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้วนะตั้งแต่เช้า ไม่รวมเมื่อวานก่อนนอนอีกสามข้อความ ผมแค่เหลือบดูว่าข้อความเหล่านั้นมาจากใครบ้าง แต่ไม่อยากเปิดดู จนพยาบาลทักตั้งหลายรอบ เพราะกลัวเป็นเรื่องสำคัญ

“ไม่สำคัญหรอกครับ” ผมบอกพยาบาลอีกรอบ เพราะเห็นแล้วว่ามาจากใคร ไม่ได้มาจากเอ แต่เป็น อีกคนที่เด็กกว่าส่งมา…
มันทำให้ผมนึกย้อนไปเมื่อวาน ตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำไมเอถึงไปเจอผมที่นั่นได้ทั้งๆ ที่เขาไม่ควรจะรู้ว่าผมย้ายมาทำงานที่ไหน ผมพยายามสืบกับเพื่อนคนที่รู้ว่าผมทำงานที่นี่ซึ่งมีน้อยคนมาก แต่ไม่มีเคยคุยกับเอเลย เหลือคนเดียวคือพ่อของผมแต่ก็ไม่น่าจะบอกเพราะแกก็ไม่ชอบเอ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

และต่อด้วยคำพูดของไอ้เด็กเวรนั่นอีก หลังจากมันพูดจบประโยคและมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนึกว่ามันพูดเล่น แกล้งหยอกเราสนุกๆ จนกระทั่งข้อความทั้งหลายเหล่านี้ (เมื่อวานตอนไปส่งที่บ้านก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย)

มีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด

และสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยอย่างมากคือ ไอ้เด็กหลงนั่นจะแกล้งอะไรผมอีก ผมยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย. นี่มันจริงหรือหลอก?!? มันพูดอะไรของมันออกมามันรู้ตัวไหมวะ?


Long_Mangkorn: “ถึงบ้านยังครับ”
Long_Mangkorn: “รีบนอนนะครับ พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้าหรือเปล่า”
Long_Mangkorn: “ฝันดีนะครับ”

Long_Mangkorn: “สวัสดีตอนเช้า” ส่งมาพร้อมรูปแมวยิ้ม
Long_Mangkorn: “อย่าลืมทานข้าวเช้านะครับ”
Long_Mangkorn: “ทำงานอยู่หรือครับ ไม่ตอบเลย”
อันนี้ข้อความล่าสุด

ผมทำเป็นไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป แต่ก็เผลอมองโทรศัพท์อยู่เนืองๆ

“วันนี้อาจารย์ดูอารมณ์ดีนะคะ”  พยาบาลยิ้มหวานขณะเปลี่ยนอุปกรณ์การตรวจให้ใหม่

“ไม่นะ ไม่นี่”
“เห็นอาจารย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“………”  ผมหันไปมองกระจกที่อยู่ทางซ้ายมือติดผนัง
เออ!! ฉิบหายผมยิ้มอยู่จริงๆ

“ไปตามคนไข้คนต่อไปมาได้แล้ว!!” ผมดุพยาบาลที่ล้อเลียนผม

‘ไม่นะ ไม่’  ผมคิดอะไรไปอีกล้านแปดพร้อมทึ้งหัวตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ…. อาจารย์คะ พร้อมไหมคะ?”  พยาบาลเดินกลับมาพร้อมคนไข้
“เอ่อ…อ้อ…. มาสิครับ. นั่งเลยครับ”

วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมแทบไม่มีสมาธิทำงานเลย

ครื่ดๆๆๆๆ

นั่นไง…..มันมาอีกแล้ว!!

…………….










หลง (8 )


ผมนั่งเหม่ออยู่ข้างสนามฟุตบอลของโรงเรียน ใต้ร่มไม้ใหญ่ในช่วงยามบ่ายแก่ๆ เป็นสถานที่ที่ผมมักจะมานั่งกับเพื่อนๆ ในคาบกิจกรรมอิสระ (หรือว่าคาบว่าง) นึกถึงเรื่องเมื่อวานก็เขิน กูพูดอะไรออกไปวะ? มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองใดๆ เลย มันมาจากใจแล้วก็ตรงออกจากปากไปเลย

ที่ผ่านมาตอนแรก กับไอ้หมอผมก็รู้แค่สะดุดตาเฉยๆ ไมรู้ว่าเพราะอะไร การที่ได้เจอมันบ่อยๆ ทำให้ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปทีละน้อย แล้วอย่างเหตุการณ์เมื่อวานที่ไปเจอไอ้ตี๋นั่น ผมนี่ยิ่งแน่ใจว่าผมคงรู้สึกไม่ปกติกับไอ้หมอแล้วแน่นอน

มันเร็วไปไหมวะ จำได้ว่าไม่ถึงเดือนก่อนหน้านี้ผมเพิ่งถูกผู้หญิงหักอกผมไป  แล้วนี่มันผู้ชายนะเว้ย!! ตอนนี้ใจผมเหมือนแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับความรู้สึกนี้ แต่ก็จบด้วยว่าต้องลองเดินหน้าต่อไป เพื่อให้รู้ใจตัวเองจริงๆ

ผมรู้ว่าผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง คราวที่แล้วกว่าจะจีบนิ่มติดก็ใช้เวลานานโข ไม่ตัดสินใจอะไรให้มันเด็ดขาด ไม่แสดงความรักออกมาโดยง่าย ครั้งนี้จะลองใส่เกียร์เต็มที่ดูละกัน

มันทำงานเป็นหมอ จะโทรไปหาบ่อยๆ คงไม่ดี (มีความเกรงใจอยู่บ้าง) งั้นส่งข้อความไปหาน่าจะดีกว่า เลยส่งไปลองเชิงตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าก็ส่งไปอีกหลายดอก แต่เงียบฉี่ อะไรวะ ผู้ชายนี่จีบยากกว่าผู้หญิงอีกหรือวะ?

Long_Mangkorn: “สวัสดีตอนบ่ายครับ กินข้าวยัง?” พิมพ์ไปอีกดอก

นั่งรอไปอีกพักก็ยังไม่ตอบกลับมา เราก็แน่ใจนะว่ามันชอบผู้ชาย

“หรือว่าหน้ากูดูแย่ขนาดนั่นวะ?” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเซฟฟี่

พลั่ก!!

หน้าผมเกือบทิ่มลงพื้นข้างหน้า

“เป็นเชี่ยอะไรอีก?”
“ไอ้ชัย ไอ้ซาดิสต์ มึงเห็นหัวกูเป็นอะไร? ตบจังเลย”
ผมทำท่าจะสวนคืนสักดอกแต่มันรู้ตัวทันยกมือขึ้นชี้ผ้าพันแผลบนหัว

“ก็เห็นมึงนั่งเหม่อ ยังไม่เลิกคิดถึงนิ่มอีกเหรอวะ?”
“ไม่ใช่ ผู้หญิงแบบนั้นกูไม่รู้จะไปคิดถึงทำไม?”
“ทำใจได้แล้วว่างั้น”
“ก็ไม่เชิง…..มันก็ยังเจ็บนะ แต่คงโกรธมากกว่ามั้งที่ทำให้กูเป็นไอ้โง่ได้ตั้งนาน”
“แล้วมานั่งดราม่าอะไรตรงนี้ฟะ?”
“อืมมมมม…..กูไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน?”
“เล่ามา!!” ไอ้ชัยลงมานั่งข้างๆโดยไม่ต้องรอคำเชิญ

ผมเลยพยายามเล่าให้มันฟังถึงความรู้สึกของผมตอนนี้กับใครบางคน แต่ยังไม่ได้บอกว่าใคร

“เฮ้ย! แค่นี้เนี่ยนะ มึงก็ไปหาเขาสิ ง่ายจะตาย มึงเดินหน้าจีบไปเลย
หากลองได้ทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น แล้วมึงยังรู้สึกเหมือนเดิมแปลว่ามึงชอบเขาจริงๆ หากรู้ว่ามันไม่ใช่ก็หยุด แค่นั้น!”
“……..” ผมดูคิดมาก
“อะไรที่มึงทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะว่ะ ชีวิตมันสั้นจะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
“เออว่ะ ถูกของมึง…..งั้นกูไปเย็นนี้เลย!!”

………………

ผมไม่ได้ป่วยอะไรนะครับ แต่มานั่งอยู่ที่คนไข้รอตรวจหน้า ‘คลินิค นอกเวลา’ อยู่ตั้งแต่เย็นจนเลยช่วงหัวค่ำมา ผมรู้ว่าไอ้หมอมันยังทำงานอยู่ เพราะป้ายหน้าห้องยังเป็นชื่อมัน และยังมีคนไข้เข้าออกอยู่เรื่อยๆ

Long_Mangkorn: “ยังทำงานอยู่ใช่ไหม?”

Long_Mangkorn: “ทำงานหนักอย่างนี้ทุกวันเหรอ?”

Long_Mangkorn: “ทานข้าวเย็นหรือยัง?”

เป็นลักษณะข้อความที่ผมส่งเข้าไปทางไลน์ทุกๆ 15 นาทีระหว่างที่ผมนั่งรอแกร่วอยู่แถวนี้ แต่ก็เหมือนเดิม อีกฝั่งยังเงียบ ไม่มีการตอบข้อความกลับมา

ผมรู้สึกเหมื่อยล้า หลังจากนั่งรอมันมาเกือบสามชั่วโมง คนไข้ที่เข้าไปเรื่อยๆ ยังไม่มีทีท่าว่าหยุดเลย รู้สึกสงสารคนอาชีพนี้จัง ผมนั่งอยู่เฉยๆตรงนี้แค่ 2-3 ชั่วโมงยังเมื่อยจะแย่ แต่เขาคนนั้นต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา คงเหนื่อยสุดๆ

หลังจากคนไข้เริ่มลดลงแล้วผมตัดสินใจเดินไปหาพยาบาลที่เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องนั้นเหมือนเครื่องจักรในโรงงาน

“หมอเอิร์ธ อยู่ไหมครับ?” ถามทั้งๆ ที่รู้
“อุ้ย..” พยาบาลสาวเธอดูตกใจและแก้มแดง สงสัยผมเข้าประชิดตัวด้วยท่าทีปกติ (เหมือนที่ทำกับสาวๆทุกคน มันเป็นนิสัย)
“อยู่คะ กำลังลงเวรพอดี”
“ผมมีธุระด่วน ขอเข้าไปคุยกับเขาได้ไหมครับ?”
“อือ…………ได้คะ”
พยาบาลสาวดูลังเลแต่เห็นสายตาอ้อนวอนของผมก็พาผมเข้าไปแต่โดยดี

“อาจารย์คะ มีแขกมาขอพบคะ”

ผมเดินเข้าในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดไม่กว้างมาก ไอ้หมอนั่งอยู่ที่โต๊ะและเก้าอี้ที่ดูมีอายุมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ภาพที่เห็นมันดูขัดๆกับภาพเทพบุตรที่นั่งอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่

โทรศัพท์ถูกวางคว่ำหน้าอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ผมกำลังจะโวยวายนะครับที่ถูกเมินแบบนี้ แต่พอมองไปที่ดวงตาที่อิดโรยของไอ้หมอก็ทำให้ผมโกรธไม่ลง

“เฮ้ย!! เข้ามาทำอะไร?”
“มารับไปกินข้าว” ผมยิ้มสู้กับอาการคิ้วขมวดของคนข้างหน้า
“อะไรนะ?”
“มา…รับ…ไป….กิน….ข้าว” ผมพูดเน้นๆ ย้ำๆไป
“……..” มันนิ่งไป
“เลิกงานแล้วนี่”
“อะไรของเธอน่ะ หลง?”
“ไม่มีอะไรแค่อยากมากินข้าวด้วย”
“ไม่ไป…นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่เนี่ย?” ไอ้หมอทำท่ากุมขมับขณะเก็บข้าวของลงกระเป๋า
“ดึกแล้วนะเนี่ย!! ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก” เขาพลิกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู วันนี้ดูท่าทางเขารุกรี้รุกรน ท่าทางดูขบขันแต่ก็น่ารักดี
“เร็วดิครับ ผมหิว รอตั้งนาน”
“รอ… เมื่อไหร่?” เขาถอดเสื้อกราวด์ออกหันมาทำท่าสงสัย
“เลิกเรียนก็บึ่งมาเลย ก็ไม่รู้ว่าหมอเลิกกี่โมง?”
“……..” มันดูอึ้งๆไป
“มาเถอะเร็ว ไม่ไหวแล้ว” ผมคว้ากระเป๋าสะพายหลุยส์วิคตองลายตารางสีดำมาหิ้วแล้วเดินออกจากห้องเลย
“เฮ้ย!! บอกว่าไม่ไป ไม่ไปไง พูดไม่รู้เรื่องเรอะ!!”
ผมได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมา

ผมก้าวยาวๆ ไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล
“เฮ้ย…. แฮ่ก..แฮ่ก” ไอ้หมอสาวเท้าตามอย่างรีบร้อนพร้อมหอบหายใจถี่ๆ
“หิวยัง? ผมรู้จักร้านอร่อยเยอะ อย่างหมอน่ะคงหาอะไรกินไม่เกินร้านอาหารหน้าโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม?”
“……...” ไอ้หมอมันทำหน้าเหมือนยอมรับในสิ่งที่ผมพูด

ครืดครอด…..   เสียงท้องร้องของคนตรงหน้าผมนี่ดังจน เจ้าของหน้าแดงด้วยความอาย

“หิวจริงๆ ด้วย รถหมอจอดอยู่ไหนล่ะ จะได้ไปกัน”
“อยู่โน้น” มันชี้ด้วยท่าทางไม่เต็มใจ

ผมเดินนำไปที่รถ ส่วนไอ้หมอก็ต้องเดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะกระเป๋าของมันอยู่กับผม ระหว่างเดินไอ้หมอพยายามแย่งคืนไป แต่ด้วยเซ้นส์นักกีฬาของผมน่าจะดีกว่า ความพยายามของไอ้หมอก็สูญเปล่า จนกระทั่งเดินถึงรถ มันจึงต้องยอมตามใจผม

ผมบอกทางจนไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยว เป็นร้านที่อยู่ในตึกแถวอายุรุ่นพ่อ ใกล้ๆ กับตลาดโต้รุ่ง

“ไป!!….. รีบกินจะได้รีบกลับง่วงจะตาย ไหนจะต้องไปส่งเธออีก”
ไอ้หมอพูดด้วยอารมณ์ไม่เต็มใจนัก
“โอเคๆ” ผมรีบเดินนำไปที่โต๊ะที่อยู่ใกล้หน้าร้านที่สุด
“อืม……..?” ไอ้หมอนั่งลงพร้อมกวาดตาไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาอย่างกับหาสิ่งผิดปกติบนฟิล์มเอกเรย์

“เห็นเป็นร้านอย่างนี้ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเด้ง อร่อยสุดๆไปเลยนะ กินกับไข่ลวกก็อร่อย”
“ก๋วยเตี๋ยวกับไข่ลวก?” คิ้วขมวดเข้าหากันอีกแล้วไอ้หมอ
“เดี๋ยวผมสั่งให้แล้วลองนะ” ผมบอกกับมัน และเรียกลุงเจ้าของร้านมาสั่งเมนูขึ้นชื่อตามที่ผมอยากให้ไอ้หมอลอง

ไม่นานก๋วยเตี๋ยวกับโจ๊กที่ไม่น่าจะมาอยู่คู่กันได้ก็มาวางบนโต๊ะ ผมจัดแจงเรียงชามทั้งหมดให้ตรงกับตำแหน่งคนกิน จัดตะเกียบและช้อนกลางให้เรียบร้อย ท่ามกลางสายตาที่ลุกโพลงของคนฝั่งตรงข้าม อาหารยังดูน่ากินและอลังการเหมือนเคย

“ลงมือเลยครับ” ผมทำมือเชื้อเชิญ

เราทั้งสองต่างคนต่างหิวกันมาเลยลงมือกินกันแทบไม่ได้คุยกัน โดยเฉพาะไอ้หมอที่ดูจะถูกใจเมนูที่ผมสั่งให้อย่างมาก ทั้งตะเกียบทั้งช้อนต่างคีบต่างตักอาหารเข้าปากไม่ขาดสาย ดูสีหน้ามีความพึงพอใจเหมือนขึ้นสวรรค์ (เล่นทำผมเคลิ้มหยุดกินไปพักหนึ่ง)

“อร่อยว่ะ” หมอพูดก่อนที่คำสุดท้ายจะเข้าปาก
“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าอร่อย” ผมยิ้มตอบ
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าหมอไม่ชอบ” ผมเสริม
“ชอบ อร่อยกว่าที่คิด ไม่นึกว่าจะมีร้านอร่อยแถวนี้”
“ผมยังรู้จักอีกเยอะ เดี๋ยวพามากินทุกวัน”
รอยยิ้มของบนหน้าไอ้หมอหายไปแล้วหยุดนิ่งเหมือนสมองกำลังทำงานอยู่
“ไม่ต้องแล้ว มาทำไม หากหมอเลิกดึกกว่านี้หรือเข้ากะกลางคืนจะทำไง?”
“ดึกก็รอได้…. ถ้าเข้ากะดึกก็ซื้อไปกินด้วยกันที่โรงพยาบาลก็ได้”
“จะทำแบบนี้ไปทำไมวะ ไม่มีเพื่อนรึไงเรา?”
“เพื่อนน่ะมี  แต่อยากให้หมอมากินข้าวด้วยกันทุกวันได้ป่าว?”
“…..” ไอ้หมอดูหน้าแดงๆ ผมรุกขนาดนี้หมอน่าจะรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร
“ได้ไหมครับ?” ผมถามย้ำด้วยเสียงที่ออดอ้อน
“ไม่ได้!!! กลับบ้านได้แล้ว ลุกขึ้นไปที่รถเดี๋ยวนี้” หมอทำเสียงเข้มใส่
แล้วไอ้หมอก็เดินไปชำระเงิน และเดินนำไปที่รถทันที (คราวนี้มันอาศัยจังหวะตอนผมเผลอ ฉวยกระเป๋าตัวเองไปก่อนจะลุกขึ้น)

ผมเดินไปที่รถด้วยสีหน้าหงอยๆ ก้มหน้าไม่พูดอะไรจนกระทั้งขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผมพยายามไม่มองไอ้หมอ เพราะอยากลองใจมัน

“เอ่อ…. พรุ่งนี้หมอเข้าทำงานบ่ายถึงกะดึก แต่มีพักตอนทุ่มหนึ่ง หาอะไรมากินด้วยกันที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลกันก็ได้” แล้วไอ้หมอก็สตาร์ทรถออกเดินทาง

ผมหันหน้าออกไปมองถนนที่กระจกฝั่งของผมแอบยิ้มที่มุมปาก

…………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบสอง (อัพ 24/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-07-2017 22:53:55
ชัย #4

วันนี้ผมควรจะหยุดหรือเปล่าวะ?

ผมนั่งถามตัวเองขณะนั่งอยู่ในคาบเรียนสุดท้าย ยังไงก็อาศัยอาการป่วยหยุดยาวไปเลย  คงต้องโทษตัวเองที่ดันชวนไอ้กวีขู้ตบาสเล่นที่สวนหน้าบ้าน ไม่ยอมพักผ่อนตามที่ควรจะทำเมื่อกลับถึงบ้านเมื่อวาน ก็ไอ้กวีมันดันพูดชมว่าเราเล่นดีแต่ไม่เคยเห็นชู้ตทำคะแนน

ผมมันเป็นประเภทดูถูกไม่ได้เลยจัดชุดใหญ่ให้ดูเสียหน่อย ผมสังเกตว่ามันก็ดูชื่นชมผมอยู่ไม่น้อย หลังโดนแม่ดุ ผมกับมันเลยต้องหยุดไปคุยเรื่องบาสเก็ตบอลต่อในบ้าน ไอ้กวีมันเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด นึกว่าจะเป็นพวกขี้เก็กพูดน้อย หยิ่ง แต่จริงๆ แล้วตรงกันข้าม มันเป็นคนตลกมีเสน่ห์พอควรเลย ผู้หญิงจะหลงมันก็ไม่แปลก

มันบอกหากไม่สนิทก็จะไม่ค่อยพูดด้วย ก็คงจริงกับพ่อแม่ผมมันพูดนับคำได้ แม่ก็ชมมันไม่ขาดปากถึงความสุภาพเรียบร้อยน่ารัก ก็ลูกแม่มันห้าวแล้วก็พูดมากนี่ แม่ทำใจนะครับ

หลังจากไปทักทายไอ้หมาหงอย ที่นั่งซึมเหม่อลอยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของมัน มันพยายามเล่าเรื่องที่มันกำลังสับสนว่าจะเดินหน้าหรือควรหยุดทำใจก่อน มันไม่บอกผมหรอกครับว่าคนที่ทำให้มันว้าวุ่นใจเป็นใคร แต่สองสามวันมานี้ มันพูดถึงคนๆหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา ปากก็ว่าน่ารำคาญ กวนประสาทมันเรื่องนั่นเรื่องนี้ จนผมเริ่มรำคาญ ทำให้ผมนึกออกได้ไม่ยากว่าเป็นใคร ผมไม่อยากล้อมันเดี๋ยวมันอาย

“อะไรที่ทำให้มึงมีความสุขก็ทำไป” นั่นเป็นสิ่งที่ผมพูดกับมัน

กริ่งสัญญาณหมดคาบสุดท้ายดังไปทั่วโรงเรียน ไอ้หลงรีบผุดออกจากจุดที่นั่งแล้ววิ่งออกไปที่ประตูโรงเรียนอย่างเร็ว

“กูไปแล้วนะ บอกโค้ชด้วยว่ากูป่วย วันนี้งดซ้อม” มันพูดทิ้งท้ายก่อนไป

“แล้วกูไม่ป่วย สัด” ผมตะโกนด่ามันไล่หลัง

ผมเดินไปลากับโค้ชเพื่อของดการฝึกซ้อมวันนี้ แต่พอผมบอกเรื่องไอ้หลงดูโค้ชแกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แถมดูจะโกรธด้วย ส่วนผมไม่อยู่รอให้โค้ชถามอะไรมากรับเดินออกจากสนามบาสฯ ก่อน

เฮ้อ……

ผมเดินบิดขี้เกียจระหว่างเดินออกจากรั่วโรงเรียน รู้สึกว่างยังไงไม่รู้พอไม่มีซ้อมบาสฯ ถึงจะบ่นว่าขี้เกียจซ้อมทุกวัน แต่พอถึงเวลาไม่ได้ซ้อมขึ้นมาจริงๆ ก็รู้สึกโหว่งๆ ในอกยังไงไม่รู้

สายตาของผมเหลือบไปเห็นนิ่มกับกลุ่มเพื่อนของเธอ ที่เดินมาเป็น กลุ่มเหมือนนางพญากับฝูงผึ้ง ที่ดูจะเป็นภาพชินตาสำหรับคนแถวนี้ มันทำให้ผมคิดได้ว่าผมยังมีภารกิจสำคัญค้างคาอยู่

‘ภารกิจก่อกวนความสุขของนิ่ม’

แทนที่ผมจะเดินทางกลับบ้านกลับต้องตามมาสะกดรอยตามนิ่มแทนจนลงท้ายที่โรงเรียนกวดวิชาใกล้ห้างสรรพสินค้าในจังหวัด (ขยันกันจัง)

ผมไม่ได้เรียนที่นี่เลยไปนั่งอยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามฆ่าเวลา ร้านมันเป็นร้านนั่งสบายๆ กว้างขวางพอควร ลูกค้ามีทั้งนักเรียนและผู้ปกครองมานั่งเล่น นั่งรอ ดื่มกาแฟ และทานอาหาร เหมาะกับการมานั่งส่องคนมากๆ เพราะคนเยอะพอสมควร

ผมเคยสะกดรอยตามนิ่มมาช่วงหนึ่งแล้วเลยพอทราบว่า ไม่เกินสองชั่วโมงก็คงออกมา ผมนั่งโต๊ะอยู่ใกล้หน้าร้านเพื่อจะได้เห็นคนเดินเข้าออกโรงเรียนกวดวิชานั้นได้ชัดเจน

หากเป็นไอ้หลง ไอ้คนไฮเปอร์มาด้วย มันคงไม่คิดจะรอ แต่ผมรอได้ครับ ผมไม่เบื่อหรอกครับเพราะที่นี่มันแหล่งรวมสาวๆ หน้าตาดีทั้งนั้น ผมนั่งได้ทั้งวัน…จริงๆนะ

“ชัย” เสียงคุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง
ผมหันไปหาต้นเสียงที่เอ่ยทักทายผมก่อน

“อ้าว… ไอ้กวีบังเอิญจริงๆว่ะ มาทำอะไรวะ?”
ไอ้กวีมาในชุดนักเรียนที่ดูเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิดกับผมที่ปลดกระดุมเสื้อตัวบนสุดและปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง แต่เรื่องความหล่อผมสู้มันได้สบายๆ

“มารอนิ่มน่ะ แล้วนายล่ะ” 
….ถามแบบนี้กูจะตอบว่าอะไรดี เพราะกูก็มารอนิ่มเหมือนมึงไงแค่คนละจุดประสงค์….
“มาดูของสวยๆงามๆแถวนี้”
ผมยักคิ้วให้มันพร้อมเหล่ไปทางกลุ่มเด็กสาวในชุดพละสีชมพูที่โต๊ะข้างๆ (ความกะล่อนของกูนี่ได้โล่มากๆ)
“อ้อ…” มันทำหน้าเหมือนพยายามเห็นด้วย ผมเองก็พึ่งสังเกตว่านั่นมันเด็ก ม.ต้น มันคงนึกว่าผมเป็นพวกชอบเด็กแน่ๆ (ช่างแม่ง)

“คือไม่ได้ซ้อมบาสฯ แล้วมันว่างน่ะ”
“นี่โรงเรียนนายซ้อมบาสฯ ทุกวันเลยเรอะ?”
“ใช่ ทำไมล่ะ”
“นึกว่าล่ะ ถึงได้เก่งกันขนาดนั้น”
“อ้าว ทีมนายไม่ได้ซ้อมทุกวัน?”
“ปกติก็ สัปดาห์ละ สามวัน ใกล้แข่งถึงได้ซ้อมทุกวัน คือที่นี่ห่วงเรื่องการเรียนจะตกน่ะ”
ก็จริงที่ชื่อเสียงด้านวิชาการของโรงเรียนผมสู้โรงเรียนมันไม่ได้

“แล้วนายไม่ไปเรียนพิเศษกับนิ่ม”
“ก็เรียนกันคนละชั้นนี่หว่า วันนี้งดการสอนน่ะ เลยมานั่งรอ ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่าเราเรียนพิเศษที่เดียวกับนิ่ม?”

ฉิบหายแล้วววววว

“ก็…ก็เห็นนิ่มเดินเข้าไปเมื่อกี้ เลยเดาเอา”
“อ้อ” ไอ้กวีมันทำสีหน้าแบบเดิมอีกแล้ว เหมือนมันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“เฮ้ย… เป็นแฟน NBA เหรอ?” ผมชี้ไปที่พวงกุญแจสัญลักษณ์ NBA ที่ห้อยกระเป๋าไอ้กวีอยู่ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องให้ไวก่อนที่จะสงสัยไปมากกว่านี้

“เออสิ เล่นบาสฯ มันก็ต้องดูอยู่แล้ว แล้วนายไม่ติดตามเรอะ?”
“เออสิวะถึงได้ถาม เชียร์ทีมอะไรอยู่?”

หลังจากนั้นก็ยาวเลยครับ บทสนทนาระหว่างผมกับมัน มันถึงกับนั่งลงโต๊ะเดียวกันกับผมเพื่อคุยต่อจากที่ติดพันอยู่ เวลาผ่านไปเร็วมาก แสงสุดท้ายจากขอบฟ้าทางตะวันตกหายวับไปเหลือแต่เพียงแสงดาวและแสงจากไฟนีออน

เสียงโทรศัพท์ไอ้กวีดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ผมกับมันกำลังเม้าส์กันกระจายเรื่องนักกีฬาคนโปรด

“หวัดดีครับ”  เสียงเล็กเสียงน้อยขี้นมาทันที
“……..”
“อื้อๆ ได้ๆ พี่อยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามนี่เอง” ผมพลิกนาฬิกาขึ้นดูนี่มันเกือบสองทุ่มแล้วนี่นา
“…….”
“โอเค งั้นพี่รออยู่นี่นะ”
ผมนั่งมองไอ้กวีโทรศัพท์ สีหน้าแม่งมีความสุขดี มันนี่ไม่รู้อะไรเสียเลย นิ่มมันไม่ได้ใสๆ อย่างที่มึงคิดหรอกนะ เผลอแบะปากไม่รู้ตัว

“เอ่อ นิ่มน้องเขาจะมาทานข้าวที่นี่น่ะ เห็นบอกว่าเลิกเรียนช้า หิวมาก” ไอ้กวีสีหน้าดูเกรงใจพลิกโทรศัพท์ไปมา
“โอเค แล้วค่อยคุยกันใหม่นะ” ผมลุกขึ้นชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ ที่ว่างอยู่
“หิวเหมือนกัน ว่าจะสั่งอะไรมากินพอดี” ผมลงไปนั่งและพลิกเมนูดูทันที
“เฮ้ย… งั้นมากินโต๊ะเดียวกันก็ได้”
“ไม่เอา… เกรงใจ เอ็งกินกับแฟนของเอ็งไปเถอะ”
พูดจบผมก็วางของและเดินไปสั่งอาหารที่เคาเตอร์เลย ระหว่างที่ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ เป้าหมายของผมก็มาถึงพอดี

“สวัสดีคะพี่กวี ขอโทษนะคะอาจารย์เลิกช้าเลยทำให้พี่ต้องรอนานเลย”  นิ่มทำท่าน่ารักเหมือนเคย
“ไม่เป็นไร กินอะไรไปเดี๋ยวพี่ไปสั่งอาหารให้”
“แบบเดิมก็ได้คะ”
ไอ้กวีมันยิ้มให้แฟนมันแล้วเดินไปสั่งอาหารที่เคาเตอร์ ส่วนนิ่มก็นั่งอารมณ์ดียิ้มไม่หุบจนกระทั่งหันมาเจอผมที่โต๊ะข้างๆ รอยยิ้มนั้นก็จางหายไป

“พี่ชัย”  น้ำเสียงนิ่มแฝงความตกใจ
“ดีจ้า” ผมโบกมือขึ้นมาทักทาย
“พี่มาทำอะไรที่นี่?”
“แวะมานั่งเล่นแถวนี้ เจอไอ้กวีมันก็เลยคุยกันยาวเลย”
“…….”
“อ้าวนิ่ม….รู้จักชัยด้วยเหรอ?” ไอ้ชัยมาพร้อมน้ำหวานใส่โซดาสีสวย
“เอ่อ…..พี่เขาเป็นนักบาสฯโรงเรียน ใครๆก็รู้จักคะ”
โห…. เนียนได้อีก กูเป็นเพื่อนสนิมแฟนเก่ามึงไง เอาออสก้าไปเลยผู้หญิงคนนี้ ทำเหมือนไม่ค่อยรู้จักกันได้เนียน ส่วนไอ้กวีมันก็บื้อเหลือเกิน ไม่สังเกตอะไรบ้างหรือไง คนไม่สนิทมันจะทักกันก่อนแบบนี้รึไง!!!

“พี่กวีรู้จักพี่ชัยด้วยหรือคะ?”
“อื้อ… ก็คนที่เล่าให้ฟังไง คนที่มาช่วยพี่ตอนโดนพวกนักเลงมันรุมตีไง”
“อ้อ….” นิ่มทำท่านึกออก แต่ผมแอบคิดว่า นิ่มคงนึกไม่ออกหรอก เพราะคนที่สนใจแค่ตัวเองอย่างนิ่มคงไม่คิดใส่ใจรายละเอียดฟังใครอย่างตั้งใจ

“ขอบคุณนะคะ ไม่ได้พี่  ป่านนี้พี่กวีคงแย่” รู้สึกถึงรอยยิ้มที่ไม่จริงใจส่งออกมาจากนิ่ม
“เห็นคนเดือนร้อนก็ต้องช่วยเหลือ” ผมยิ้มตอบกลับไปแต่ก็ยิ้มรับได้ไม่เต็มที่ก็เพราะส่วนหนึ่งมันก็ความผิดผมด้วย มันเป็นเรื่องผิดแผนที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
“ว่าแต่พี่ไปทำอะไรแถวบ้านนิ่มละคะ คนละทางกับบ้านพี่เลยนี่”  อ้าว…. นิ่มเล่นกูแล้ว ผมว่าคนฉลาด (เกมโกง) แบบนิ่มคงรู้สึกระแคะระคายบ้างนิดหน่อย
“เอ่อ…… ไปส่งสาวแถวนั้นน่ะครับ ” เข้าสู่โหมดเกมชิงไหวชิงพริบเสียแล้ว
“แหม…. เจ้าชู้จริงๆ นะคะ สาวคนไหนกันน๊า? แถวนั้นนิ่มรู้จักหมด บอกได้ไหมคะ? จะได้ช่วยจีบ”
“ไม่เป็นทำไรจ๊ะ….เรื่องแบบนี้พี่มั่นใจกว่าเรียนหนังสืออีกนะ ว่าแต่แล้วนิ่มรู้ได้ไงว่าพี่บ้านอยู่แถวไหน?”
“ก็…ก็ยัยโบไงคะ…. รู้จากโบไง ก็เห็นพี่ไปมาหาสู่กับเพื่อนนิ่มมาพักหนึ่งแล้วนี่คะ “
“อ้อ….นั่นสินะ” ผมยิ้มแบบแสแสร้งตอบกลับไป ส่วนนิ่มก็ไม่ต่างกัน ผมว่านอกจากแม่ ก็นิ่มนี่แหละที่พอจะทันความคิดของผม ส่วนไอ้กวีที่ยืนอยู่นอกบทสนทนาได้แต่หันไปหันมาตามบทสนทนาเท่านั้น
 
“สนิทกันเร็วดีนะ” ไอ้กวีมึงพูดได้แค่นี้ใช่ไหม?
“ก็ไม่ให้สนิทได้ไงก็นิ่ม……”
“ขอโทษนะครับ สเต็กหมูพริกไทดำของใครครับ”
อืม….. อีกนิดความอดทนผมจะหมดแล้วพร้อมแฉแล้ว โชคดีครับที่พี่พนักงานเสิร์พเดินมาส่งอาหารพอดี ไม่งั้นได้เผลอแฉหมดเปลือกแน่

“ผมเองครับ / ผมครับ” ผมกับไอ้กวีตอบพร้อมกัน
“อ้าว / อ้าว” พร้อมกันอีก
“นายสั่งก่อน เอาไปก่อนเลย” กวีผายมือมาทางผม ขณะเดียวกันที่สลัดและคลับแซนด์วิช ก็ถูกพนักงานอีกคนนำมาวางไว้ที่โต๊ะของนิ่ม
“ไม่เป็นไร นายมาด้วยกัน กินกันก่อนได้เลย เรารอได้”
“เฮ้ย… ไม่เป็นไร ยังไงนิ่มก็กินช้า เราตามทันอยู่แล้ว”
คิ้วของนิ่มเริ่มผูกเข้าหากันก่อนที่เปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนๆ
“พี่กวีคะ นั่งลงกินเถอะคะ พี่ชัยเขาให้แล้ว นิ่มอยากทานพร้อมพี่น่ะคะ นิ่มหิวแล้ว เดี๋ยวกลับบ้านดึกนะคะ”
ฟังแล้วอยากหาคำพูดเจ็บๆสวนกลับไป

“เชื่อแฟนเหอะ เดี๋ยวทะเลาะกันเปล่าๆ เรารอได้ไม่เป็นไร”
ซึ่งเป็นคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจ  จริงๆแล้วคือผมหาทางให้ทั้งสองเลิกกัน ถึงแม้ว่าผมจะยังนึกไม่ออกถึงวิธีตอนนี้ก็เถอะ!
“เออ… อืม… ขอบใจนะ” กวีเอ่ยขึ้นสั้นๆ ด้วยสีหน้าเกรงใจ
ผมโบกมือให้และยิ้มตอบ ส่วนไอ้กวีก็พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันกลับลงไปนั่งข้างๆ นิ่ม

ผมนั่งแอบมองทั้งสองด้วยสายตาสังเกตการณ์ พยายามคิดถึงแผนที่สองต่อไป

………………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบสอง (อัพ 24/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 26-07-2017 03:16:02
สนุกดีอะรีบมาต่อนะครับ  :z1: วันละหลายๆตอนจะดีมาก
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบสอง part 2 (อัพ 27/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-07-2017 23:45:03
ชัย #5

ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ การติดตามใครว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่ยากเลย ทั้งอินสตาแกรม และไอ้เพจหนุ่มน้อยน่ารักวัยใสอะไรนั่น ทำให้ผมคิดแผนถัดไปได้ไม่ยาก มีภาพกิจวัตของไอ้กวีทุกวันเลย (ทำให้ผมรู้ว่า ในเพจนี้ก็มีรูปผมอยู่ไม่น้อย แอบถ่ายทั้งนั้นเลย ทำไมบอกกันดีๆวะ จะยอมให้ถ่ายดีๆเลย มุมเผลอของผมนี่โคตรเอ๋อ!!)

และนั่นทำให้ผมทราบว่าจะไปดักเจอสองคนนั้นที่ไหน วันนี้วันอาทิตย์ เป็นวันที่มีความเป็นไปได้ที่ไอ้กวีจะพาน้องนิ่มไปว่ายน้ำที่คลับสระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งญาติผมเป็นเจ้าของ เข้าทางผมล่ะ ผมรีบนัดผู้สมรู้ร่วมคิดทันที

“เจ้พิ้งค์ ว่าไงอยู่ไหนแล้วเนี่ย” ผมนั่งรอเจ้แกอยู่แถวม้านั่งบริเวณริมสระน้ำ (ที่นี่มีสระขนาดมาตรฐาน 2 สระ มีทั้งสระเด็กและสระผู้ใหญ่ไหนจะมีที่นั่งพักผ่อนรอบๆ สระและร้านกาแฟอีก ใหญ่เวอร์!!)
“แก…..จะเอาจริงๆง่ะ น้องกวีดูเป็นเด็กดีขนาดนั้น สงสาร” น้ำเสียงเจ๊แกดูกังวล
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ยัยนิ่มไม่ควรได้คนดีๆ ไปครอบครอง  และนี่ถือเป็นการช่วยให้กวีไปเจอคนที่ดีกว่า ดีกว่าไปอยู่กับยัยตอแหลนั่น!” ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า
“เอ่อ….คือ”
“เจ้ผมจ้างเจ้นะ… ไม่ได้ให้ทำฟรีๆ เงินก็ให้ไปแล้วด้วย”
“เออๆ นี่เห็นแก่กวีด้วยนะ ถือว่าช่วยเด็กมัน กำลังจะไปแล้ว”
“โอเค… เจอกันที่นี่นะ” สุดท้ายเงินก็มาก่อนสินะเจ้อย่ามาอ้างโน้นนี่ ผมวางสายจากเจ้พิ้งค์ไม่นาน เป้าหมายของผมก็มาปรากฎสู่สายตาของผม

นิ่มเดินเคียงคู่มากับไอ้กวีในชุดวันพีชสีชมพูน่ารักพร้อมมีระบายตรงโน้นตรงนี้เยอะไปหมด ด้วยหุ่นของเธอคงจะปฏิเสธที่จะไม่มองไม่ได้ มันดูเกินอายุไปหมด ผมไม่ชอบขี้หน้าเธอยังอดตื่นเต้นที่มองไม่ได้ เธอตกเป็นเป้าสายตาหนุ่มๆ รอบสระทันที

ส่วนไอ้กวีก็เดินมาคู่กันก็ใส่กาวเกงว่ายน้ำสีดำธรรมดาๆ แต่หุ่นที่สูงสมส่วน หน้าใสสวยๆ สไตล์เกาหลี ผิวขาวเกลี้ยงเกลากับซิกแพ๊คนั่น ทำให้สาวๆ แถวนี้แอบกรี๊ดและซุบซิบชนิดที่ยัยนิ่มแทบจะหันไปค้อนใส่ทุกคน กวีเป็นผู้ชายที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นได้แม้แต้ผู้ชายด้วยกัน ผมยังเผลอมองไอ้ปากแดงกับจุดตรงหน้าอกที่อมชมพูอยู่นานสองนาน

ผมว่าที่นิ่มชอบมาว่ายน้ำที่นี่ นอกจากจะมาออกกำลังกายแล้วคิดว่าน่าจะอยากอวด “ของ” ด้วย เพราะเธอมีสีหน้าที่มีความสุขเหลือเกินเวลาที่คนมองพวกเธอด้วยสายตาชื่นชม จะเรียกสายตาเหล่านั้นว่า ‘ฟิน’ ก็ได้

 แผนวันนี้ไม่มีอะไรมากก็แค่ ส่งอีเจ้พิ้งค์เข้าไปยั่วให้ นิ่มมันหึงจนร่างนางฟ้าแตกกระจาย ความจริงวันนี้แค่น้ำจิ้มเท่านั้น แค่อยากกวนน้ำให้ขุ่นเฉยๆ ยังไงเจ้พิ้งค์ก็รู้จักกับไอ้กวีแล้วจากเหตุการณ์คราวก่อน การเข้าหามันง่ายนิดเดียว ที่เหลือก็มารยาของเจ้พิ่งค์แค่นั้น (ซึ่งเรื่องนี้ผมไว้ใจเธอได้)

ไม่นานเจ้พิ้งค์ก็ปรากฏกายในชุดทูพีชวาบหวิวสีส้มด้วยหุ่นและผิวขาวสวยของเจ้พิ้งค์ ทำให้ผู้ชายทุกคนแข็งขันขึ้นมาแน่นอน เธอเดินเลาะขอบสระมาเรื่อยๆ อย่างกับการประกวด next top model เธอสะกดสายตาด้วยท่าสะบัดผมอย่างที่เจ้แกถนัด ผมเลือกคนที่จะมาทำแผนนี้ไม่ผิดจริงๆ จะสู้กับดาวโรงเรียนก็ต้องดาวมหา’ลัยนี่ล่ะ

เจ้พิ้งค์แกส่งสายตามาทางผมหลังจากที่ผมพยายามส่งสายตาไปหาเธออยู่นาน ผมพยักหน้าและไสหน้าตัวเองไปยังทิศที่เป้าหมายของวันนี้อยู่ เจ้แกเข้าใจในทันที เจ้พิ้งค์ยิ้มและพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินไปหาเป้าหมายอย่างใจเย็น

จุดที่ผมอยู่คือฝั่งตรงข้ามกับคู่รักที่เหมือนฝ่ายชายพยายามสอนฝ่ายหญิงว่ายน้ำ ทั้งที่ฝ่ายหญิงดูจะไม่เต็มที่กับมันเท่าไหร่ เหมือนพยายามจะโชว์การพลอดรักมากกว่า เห็นแล้วอยากหาอะไรขว้างใส่กลางวง

เจ้พิ้งค์เดินไปหยุดอยู่ที่ริมสระใกล้สองคนนั้น และก็เริ่มเนียนทักทายจนฝ่ายชายสนใจ รู้สึกถึงความไม่พอใจของฝ่ายหญิงแผ่มาถึงจุดที่ผมนั่งอยู่ ฝ่ายหญิงมองไปทางฝ่ายชายเชิงตั้งคำถาม ฝ่ายชายเหมือนพยายามแก้ตัวพัลวัน ผมรู้สึกสะใจกับภาพที่เห็น สักพักเจ้พิงค์ก็ลงสระบริเวณนั้นแต่พยายามชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางสายตาของฝ่ายหญิงที่ดูไม่พอใจอย่างมาก สงสารไอ้กวีมันเหมือนกัน รู้สึกลำบากใจแบบสุดๆ ไปเลย หลังจากวันนี้ชีวิตของสองคนนั้นคงไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะความมั่นใจในความสวยของนิ่ม เธอก็เลยคิดว่ากวีมันคงจะไม่สนใจใครอีก มั่นใจในมารยาหญิงของตัวเอง คิดว่าคงไม่มีใครกล้าเทียบรัศมีของเธอ แต่พอมาเจอตัวแม่อย่างเจ้พิ้งค์คงต้องทบทวนเสียใหม่แล้ว

พอเห็นหน้าที่เหมือนกินยาขมของไอ้กวีก็เกิดสงสารขึ้นมาเลยว่า
‘กูทำถูกไหมวะเนี่ย?’

“ชัย! ชัย!” เสียงเล็กๆ ที่ฟังคุ้นหูดีงขึ้นไม่ไกล
“ครับ” ผมหันไปเจอป้าผมเองที่เป็นเจ้าของและคนดูแลที่นี่
“ช่วยอะไรน้าหน่อยสิ วันนี้ช่างป้ามันเบี้ยวนัดไม่ยอมไปเปลี่ยนฝักบัวในห้องน้ำชาย ช่วยป้าหน่อยนะหลาน” หน้าป้าดูลนลานอาจเพราะวันนี้เป็นหยุดที่ปกติคนจะเยอะ ห้องน้ำชำรุดหนึ่งหรือสองห้องก็จะยิ่งวุ่นวายหนักกว่าเดิม
“ได้ครับ” ผมพูดอย่างว่าง่าย เพราะผมเองก็มารบกวนป้าแกบ่อย (มาฟรีตลอด บางทีพาเพื่อนมาด้วย)

ผมเหลือบมองสถานการณ์บริเวณสระน้ำที่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเพราะเจ้พิ้งค์ เดินออกมาวอร์มร่างกายอยู่ไกลออกไปหน่อย แต่สายตายังยั่วยวนอีกฝ่ายจนนิ่มจ้องกลับตาแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้กวีนี่ดูหน้าหดลงไปหลายเซ็นติเมตรเพราะเผลอแอบมองเจ้พิ้งค์อยู่เรื่อยๆ ผมและผู้ชายรอบๆ สระน้ำยังเพลินตาไปเลย ผมเห็นรอยยิ้มเจื่อนๆ นั่นของไอ้กวีคงบอกว่าลำบากใจอยู่ เพราะนิ่มก็พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่เนื่องๆ ผมนี่เกือบลั่นก้ากออกมาเลย ตลกฉิบหาย

ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่จะปล่อยหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ และรีบตรงไปที่จัดการเรื่องที่ป้าไหว้วานไว้ ตรงนี้คงปล่อยให้เจ้พิ้งค์แกด้นสดจัดการไปได้ เพราะบอกว่าให้เจ้พิ้งค์ยั่วแบบจัดเต็มเอาให้ไอ้กวีเก็บไปฝันเปียกเลย!!!!!

ผมเดินไปรับอุปกรณ์ต่างๆที่ป้า และเดินไปที่ห้องน้ำชายฝั่งตะวันออก (มีสองฝั่ง) ห้องน้ำที่นี่สร้างแบบแยกเป็นสองโซน คือ โซนขับถ่ายกับโซนอาบน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ผู้คนตรงนี้ค่อนข้างบางตาเพราะป้ายหน้าทางเข้าบอกว่า ห้องอาบน้ำชำรุดกำลังซ่อม ผมเคยมาช่วยซ่อมกับช่างอยู่บ่อยๆ จนสามารถทำแทนช่างในบางงานได้ ป้าแกเห็นผมทีไรก็อดที่จะใช้ผมไม่ได้ (ก็ฟรีนี่นา)

ผมเดินเข้าไปที่จุดเสียคือห้องน้ำด้านในทั้งสองห้อง ห้องแรกดูจะไม่มีปัญหาอะไรแค่เปลี่ยนฝักบัวใหม่น้ำก็ไหลแรงเหมือนเดิม ส่วนไอ้ห้องที่สองเจ้ากรรมทำให้ผมงัดแงะอยู่นานกว่าจะเสร็จเล่นเอาเหงื่อท่วมแถมตัวเปียกน้ำไปหมด โชคดีที่ผมติดผ้าเช็ดตัวมาด้วยเลยตั้งใจว่าจะอาบน้ำต่อเลยก็แล้วกัน 

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอทดสอบการซ่อมของตัวเองซะเลย ผมเลื่อนผ้าม่านอาบน้ำสีเขียวทึบ ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเสียเลย ระหว่างทำความสะอาดร่างกายอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาอาบน้ำห้องข้างๆ

ครืดๆ ป๊อก!!  พลั่ก!!!

“โอ้ย!!”

ผมร้องเสียงดังเพราะฝักบัวเจ้ากรรมของผมมันดันหลุดลงมาใส่หัวผม ใช่ฟังไม่ผิดหรอกครับ หัวผมอีกแล้ว หรือพระเจ้าจะลงทัณฑ์ผมที่ผมทำแผนชั่วมา ความรู้สึกเจ็บแล่นแปล๊บขึ้นทันที ผมขอล้มลงนั่งเพื่อตั้งสติก่อน มือก็คลำลูบจุดที่บาดเจ็บว่ามีแผลหรือเปล่า ตาก็พยายามมองตามพื้นว่ามีเลือดไหลมาพร้อมกับน้ำที่หลั่งพลั่งพลูลงมาจากท่อที่พังด้านบนหรือเปล่า

พรึ่บ!!

ระหว่างที่กำลังสำรวจอยู่นั้น ม่านกั้นอาบน้ำก็เปิดกว้างออก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“……” น้ำเข้าตาบวกกับอาการมึนงงจากของแข็งตกใส่หัวทำให้ผมตั้งสติที่จะตอบนานกว่าปกติ

“ชัย!!…. เฮ้ย!! ชัยเป็นอะไรหรือเปล่า?”

ร่างเปลือยเปล่าของคนที่เสียงคุ้นหูเข้ามาพยุง และเอื้อมมือไปบิดคันบิดเพื่อปิดน้ำ สายตาค่อยๆกลับมาเป็นปกติ เห็นคนที่มาพยุงคือ ไอ้กวี เราสองคนทั้งเปลือยเปล่าและอยู่ในท่าที่ออกจะแปลกๆสักหน่อย เขาพยุงหลังผมด้วยเข่า (มั้ง) และแขนโอบล้อมหลังผมเพื่อพยุงให้ผมนั่งดีๆ ผมเผลอพิจารณารูปร่างไอ้กวีในระยะประชิดแบบเนื้อแนบเนื้อทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้

ไอ้กวีจับหน้าผมเงยขึ้นมา ตบเบาๆ สองสามทีเหมือนเพื่อเรียกสติ ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วสติกลับมาครบแล้วแต่ใจนี่สิ มันตื่นกับเนื้อหนังของไอ้กวี เลยไม่ได้สนใจว่ามันถามว่าอะไร ผมเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะตอบมันว่าสบายดี จะได้ออกห่างจากผมเสียที แต่ดันเจอกับหน้าของไอ้กวีในระยะประชิด หน้าตาที่เปียกปอน ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงมีหยดน้ำพรมไปทั้วเส้นผม และ….ขนตา ผมไม่เคยเห็นคนตาสวยขนาดนี้มาก่อน

ผมรีบผลักไอ้กวีให้ขยับออกห่างจากผม และหันหลังให้ทันที ก่อนที่จะเห็นไอ้ชัยน้อยมันดูมีอาการผิดปกติกับคนตรงหน้า ส่วนไอ้ชัยเองก็มีอาการเลิ่กลั่กรีบหาผ้าเช็ดตัวมาพันกาย เรายืนอ้ำอึ้งกันพักใหญ่ๆ

“ขอบใจนะ ไม่…. ไม่เป็นไรแล้ว” ผมพูดก่อนที่จะกระชากม่านปิด
“โอเค… ไม่เป็นแผลใช่ไหม?”
“ไม่เป็น ไม่มีแผล คงแค่ตกใจน่ะ”
“งั้นก็ดี  เราขอตัวอาบน้ำก่อนนะ”
“เออ”

ผมตรวจสอบห้องอาบน้ำที่เกิดเหตุเมื่อครู่ทำให้รู้ว่า เกลียวสำหรับใส่ฝักบัวน่าจะพัง (ป้าครับมันเกินมือผมจริงๆ) ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนห้องสำหรับอาบน้ำแต่ห้องอื่นเต็มหมดแล้ว (หวังว่าไอ้ห้องที่เพิ่งเปลี่ยนผักบัวไปอีกหนึ่งจะไม่เป็นอะไร)

“เฮ้ย… ขอดูแผลหน่อยสิ” อ้าว…ผมเปิดม่านมาเจอไอ้กวี…นี่..มึงยังไม่เข้าไปอาน้ำอีก
ผมพยักหน้า แล้วมันก็เดินเข้าใกล้ผม ด้วยความสูงที่ใกล้เคียงกันทำให้ผมต้องก้มหัวให้ดู
“อืม…..เหมือนถลอกนะ หัวโนด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ เอางี้รีบมาล้างแผลแล้วไปขอยาที่ห้องปฐมพยาบาลก็แล้วกัน”
แล้วไอ้กวีก็มองไปที่ห้องน้ำทุกห้องที่เต็มอยู่
“งั้นนายเข้าไปก่อน ก็แล้วกัน”
ผมเดินเข้าในห้องน้ำได้ครึ่งก้าวก็เกิดพูดชวนมันขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ
“รีบรึเปล่า… งั้นมาอาบด้วยกันก็ได้” ผมเคยชินกับการอาบน้ำรวมกับผู้ชายอยู่แล้วไม่มีปัญหา แต่ทำไมผมต้องพูดเบาๆ ด้วยวะ
“อืมมมม… เออ เอาดิ” แล้วมันจะยิ้มทำไมฟะ

หลังจากปิดม่านมันก็ปลดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่แขวนที่ราวใกล้ม่านปิด อย่างรวดเร็ว แล้วเดินตรงไปที่ฝักบัวเพื่อเริ่มอาบน้ำเลย ไอ้กวีแม่งกล้ากว่าที่คิด ท่าทีของมันทำผมอายไปเลย คนเชี้ยอะไร ขาว….ขาวไปหมด ขาวไปเสียทุกส่วน ผิวเนียนจนผู้หญิงหลายคนต้องอิจฉาเลย ผมมองจนลืมปลดผ้าตัวเอง

“รีบมาอาบน้ำสิ” มันทักขณะฟองเต็มตัว
“เออๆ”  ผมรีบเดินไปที่ฝักบัว พอไปยืนเทียบกันแล้ว ร่างของไอ้กวีดูบางกว่าผมเยอะ ผมมีกล้ามเนื้อเยอะกว่าทั้งที่ความสูงเท่ากัน ส่วนเรื่องลูกชายนั่นผมบอกได้เลย ผมภูมิใจกว่ากันเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นไอ้กวีมันก็เกินมาตรฐานชายไทยล่ะ

“นี่ๆ จ้องนานๆ แบบนี้เราก็เขินนะครับ”
เออผมนี่จ้องไอ้กวีตาเป็นมันจริงๆ ผมรีบแก้เขินโดยการรับจัดการชำระล้างแผลและร่างกายตัวเองให้เรียบร้อย ตอนนี้ที่แผลบนหัวมันเริ่มหายชาแล้ว ความเจ็บแล่นเข้ามาเป็นระยะ  แผลเก่าเพิ่งหายแผลใหม่ก็มาอีก หรือพระเจ้ากำลังจะบอกให้ผมเลิกยุ่งกับไอ้กวีครับ

พอชำระเรียบร้อยผมก็รีบเดินออกมาแต่งตัวและรีบไปทำแผลที่ห้องปฐมพยาบาลทันที โดยผมแค่โบกมือลาไอ้กวีที่กำชังอยู่ท่ามกลางสายละอองน้ำที่พรมร่างอ้อนแอ้นนั้นได้อย่างน่าเอ็นดู ผมให้ป้าใส่แผลให้ผมไปคิดถึงภาพเมื่อครู่ไป ทำไมมันรู้สึกติดตาแบบนั้นว่ะ ผมชอบมองผู้ชายสวยๆ เหมือนผู้หญิงสวยๆ นั่นล่ะแต่ไม่เคยเก็บเอามาคิดถึงขนาดนี้ หรือว่าผมชอบมันวะ ไม่ๆ ไอ้เสืออย่างเราไม่มีทางสิ้นลายตอนนี้ โดยเฉพาะกับผู้ชาย!!!

“โอ้ย!!” ผมร้องขึ้นเพราะป้ากดรอบๆแผลเพื่อซับเบตาดีนที่เพิ่งหยอดใส่หัวผม
“แป๊ปหนึ่งลูก…. โอ้ย…. แม่แกด่าฉันอีกแน่ๆ”
ป้าแกดูหน้ากังวลใจมาก
“ไม่เป็นไรป้า ผมไม่บอกม๊าหรอก”
“หัวแกเป็นแบบนี้เดี๋ยวแม่แกก็รู้ เสร็จนี้แล้วไปฉีดยากันบาดทะยักซะหน่อยล่ะ อ่ะเอาเงินนี่ไป!” ป้าแกดึงธนบัตรสีเทาออกมาปึกย่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ค่าปิดปาก?”  ผมแซวป้าที่ให้เงินผมเกินค่ารักษา
“ไอ้บ้า…. ไม่ใช่สักหน่อย ทิปโว้ยทิปที่มาช่วยน้าบ่อยๆ ไปได้แล้ว” ป้าแกตีไหลผมแก้เขิน ดีจังว่ะมี ถึงเจ็บตัวแต่ได้ตังค์ใช้ด้วย

ผมเดินออกมาจากห้องก็ได้เจอกับไอ้กวีที่โดนนิ่มพยายามลากออกจากสโมสรเพราะ เจ้พิ้งค์ในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ชวนคุยไม่ห่าง ผมมองไปพร้อมกับความรู้สึกโหว่งๆ ที่ท้อง เหมือมีลมมาพัดผ่านช่องว่างในท้องที่มันไม่มีอยู่จริง แรกทำไปเพราะนึกอยากแก้เผ็ดยัยนิ่ม(บวกสนุก) แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้วผมอยากจะแยกสองคนเพราะเหตุผลเดิมหรือเปล่า…..

………………………………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบสอง part 2 (อัพ 27/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 28-07-2017 01:53:03
ลงติดๆกันหลายๆตอนเลย รอๆๆ :z13:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบสอง part 3 (อัพ 29/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-07-2017 17:38:19
กวี (2)

ผมกำลังกุมขมับปวดหัวกับเหตุการณ์ในสระว่ายน้ำ ปกติวันหยุดผมมักจะมาสอนนิ่มว่ายน้ำซึ่งก็ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่เพราะความไม่ใส่ใจของนิ่ม (แต่ผมนี่โคตรจริงจัง เพราะเป็นโรคที่มึใครไหว้วานอะไรไม่ได้ต้องทำให้สำเร็จ นิ่มอยากว่ายน้ำเป็นให้ผมช่วยสอนให้ ผมก็เต็มที่เลยครับ)

แต่วันนี้…..มันเริ่มวุ่นวายตั้งแต่บังเอิญมาเจอพี่พิ้งค์ ที่พี่แกดูเหมือนตั้งใจเข้ามายั่วโมโหนิ่มมากกว่าจะมายั่วยวนผม เพราะมันดูตั้งใจเกินไป!! พี่พิ้งค์น่ารักเซ็กซี่สไตล์เด็กมหา’ลัย ผมแค่รู้สึกชื่นชมในความงามเหล่านั้น (ผู้ชายที่ไหนก็ต้องมองล่ะวะ) การสอนของผมถูกรบกวนเพราะความไม่มีสมาธิของนิ่ม นิ่มดูหงุดหงิดและเรียกร้องความสนใจมากกว่าปกติจนผมเริ่มเวียนหัว จนสุดท้ายผมบอกยกเลิกการสอนของวันนี้ ผมบอกนิ่มให้ไปอาบน้ำแต่งตัวและเดินแยกออกมาอาบน้ำทันที ในใจคิดว่าเสร็จจากนี่แล้วไปหาข้าวกินและกลับไปหาที่อ่านหนังสือเหมือนเคยดีกว่า

ผมเดินไปห้องอาบน้ำที่ใกล้ที่สุด แต่แปลกคือวันนี้คนยืนรอต่อคิวอาบน้ำแทบล้นออกมานอกห้อง  ผมเลยเดินไปที่ห้องอาบน้ำอีกฝากของสระซึ่งก็แปลกที่คนน้อยมาก อาจเพราะป้ายห้องน้ำชำรุดที่หน้าหัองเลยทำให้คนเปลี่ยนใจไปใช้คนฝั่งนั้นกันหมด

ห้องอาบน้ำฝั่งนี้มีน้อยกว่าอีกฝั่ง คือมีแค่ห้าห้อง และติดป้ายชำรุดไปเสียสองห้องที่อยู่ด้านในสุดแต่แปลกที่มีห้องหนึ่งถูกใช้อยู่ ผมสำรวจรอบห้องมีกล่องอุปกรณ์ช่างและอะไหล่ตั้งอยู่เลยคิดว่าช่างน่าจะกำลังซ่อมอยู่ ผมตัดสินใจไปใช้ห้องที่ว่างอยู่ข้างๆห้องที่สอง (มันเหลืออยู่ห้องเดียว เลือกไม่ได้)

เพียงแต่เริ่มเปิดน้ำล้างตัวก็ได้ยินเสียงดังจากห้องข้างๆ เหมือนมีใครโดนอะไรกล่อนใส่เพราะมีเสียงวัตถุคล้ายๆเหล็กกระทบพื้นตามด้วยคนร้องเสียงดัง ฟังแล้วเป็นเสียงที่คุ้นหู ด้วยความเคยชินผมเปิดม่านรีบวิ่งออกไปช่วยอีกห้องทันที (ทั้งที่เปลือยนั่นแหละ เคยชินกับห้องน้ำนักกีฬาที่ไม่ค่อยใส่อะไรกันอยู่แล้ว)

ผมรูดม่านไปจนสุดเห็นคนล้มนั่งลงสองมือกุมศรีษะอยู่ ผมมองรอบๆ เห็นฝักบัวที่หลุดออกจากท่อส่งน้ำตกอยู่พื้น และท่อน้ำที่ผนังซึ้งตอนนี้มีน้ำไหลหลากออกมาปะทะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างแรง ผมรีบพยุงคนที่ล้มลงเพื่อดูอาหารทันที ผมเรียนการปฐมพยาบาลมาบ้างครับ คงต้องเข้าไปดูสติกับแผลก่อน ผมพยุงคนเจ็บให้ยึดตัวตรงเงยหน้าขึ้น

“ชัย!!! เฮ้ย!! ชัยเป็นอะไรหรือเปล่า?”

นึกว่าถึงได้เสียคุ้นๆ บาดเจ็บที่หัวอีกแล้ว!! ไปทำกรรมอะไรไว้เนี่ย? ผมเอื้อมไปบิดคันโยกที่ผนังเพื่อปิดน้ำที่ปะทะเข้ามาอย่างแรง อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกสติคืน แต่ดูท่าทางชัยจะไม่เป็นอะไรมาก (อึดจริงๆ) แค่มีอาการขวยเขินนิดหน่อยเพราะพยายามหันหลังให้ผมและไม่มองหน้าผมเลย (เหมือนเด็ก ดูน่ารักดี) อาการเหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ว่าผมเองก็เปลือยอยู่ ผมรับเอามือปิดส่วนสำคัญไว้และหาผ้ามาพันกายทันที ชัยยังคงหันหลังให้ผมอยู่ หลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและบาดแผลประปราย ไม่รู้ว่าเพราะเล่นกีฬาหรือไปมีเรื่องกับคนอื่น (เท่าที่ทราบประวัติก็โชกโชนไม่น้อย)

หลังจากที่เขาบอกว่าโอเคและชักม่านอาบน้ำปิด คนเรื่อยทยอยเดินเข้ามาอาบน้ำในหัองที่เหลือ ผมยังรู้สึกห่วงๆ อีกฝ่ายก็เลยจะถามว่าไม่เป็นไรจริงๆหรือ? ม่านห้องน้ำก็เปิดออก และในที่สุดเราก็ดันมาอาบน้ำห้องเดียวกันเพราะเหลืออยู่ห้องเดียว ความจริงผมก็ไม่ได้รีบอะไร และไม่รู้ทำไมชัยถึงได้ชวน และผมก็ใจง่ายเหลือเกินตอบตกลงแทบจะทันที เพราะรู้ถึงความสุขที่ได้ใกล้ชิดคนที่เราชื่นชม แต่ไม่เคยนึกว่าเราจะใกล้ได้ขนาดนี้ ยิ่งโดนชัยมองแล้วทำไมผมถึงใจเต้นไปหมด ผมรีบชำระล้างร่างกายเพื่อให้หยุดอาการแปลกๆของร่างกาย

กว่าจะอาบเสร็จหัวใจแทบวาย ผมไม่เคยอาบน้ำกับผู้ชายแล้วใจเต้นขนาดนี้มาก่อน โชคดีที่ชัยอาบเสร็จก่อน ทำให้ผมจัดการส่วนที่ตั้งตรงให้สงบลงได้ ก่อนที่เขาจะเห็น (ใจเย็นลูกใจเย็น ไม่ค่อยเข้าใจร่างกายตัวเองเลย ณ จุดนี้)

ผมรีบแต่งตัวออกมารับนิ่มที่ยืนรอหน้าหงิกอยู่แถวคาเฟ่ของสระ

“รีบกลับจังเลย ว่าจะชวนแข่งกันว่ายน้ำ เห็นอย่างนี้เจ้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำนะ” พี่พิ้งค์ในชุดว่ายน้ำกึ่งเปียกยืนท้าวแขนกับรั่วขอบสระที่แยกระหว่างสองพื้นที่เปียกกับแห้ง
“พี่กวี กลับเถอะคะ นิ่มอยากกลับแล้ว”
“เอ่อ….จ๊ะ”
“น้องกวี…จะมาวันไหนอีก ชวนพี่ด้วยนะคะ” พี่พิ้งค์ยกมือขึ้นโบกไปมาเรียกร้องความสนใจ คือตอนนี้ผู้ชายทั้งสระแทบถูกหยุดเวลากับเต้าทั้งสองที่สั่นกระเพื่อมตามแรงโปกของมือ
“พี่คะ!!! พี่กวีมีแฟนแล้ว ก็คือหนู ช่วยหยุดพฤติกรรมแบบนี้ด้วยนะ พี่ไม่อายบ้างหรือคะที่ทำแบบนี้!!” นิ่มอยู่ๆก็ระเบิดออกมา
“น้องกวี น้องมีเจ้าของแล้วหรือ? ทำไมไม่เห็นบอกพี่เลย คนนี้แฟนน้องจริงๆ เหรอ?…..” พี่พิ้งค์แกเล่นจ้องหน้าผมไม่วางตา ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พี่พิ้งค์พูดเสียงดังจนทั้งสระหันมาเหมือนรอคำตอบเช่นกัน
“……เอ่อ……อือ….” แล้วผมจะอ้ำอึ้งทำไมฟะ
“พี่กวี!!!!” น้ำเสียงที่ขึ้นสูงทำให้รู้ถึงอารมณ์ของนิ่มที่พุ่งสูงถึงขึดสุด
ตอนนี้ผมทำได้แค่เพียงลากนิ่มออกไปจากจุดนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายกว่านี้….. ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้ฟะ!!

‘ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้าใจยาก’ ผมพูดกับตัวเองในใจ

…………………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบสาม (อัพ 31/7/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 31-07-2017 00:09:10
หลง(9)


“เฮ้ย!! ไอ้หลง! … มาโรงพยาบาลเป็นเชี้ยอะไร?”

ผมหันไปหาไอ้ต้นเสียงที่ฟังแล้วอยากกระโดดเตะปากทุกครั้ง

“ไม่ได้เป็นอะไร มาหาหมอ”
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วมาหาหมอเพื่อ?”
ไอ้สัดนี่จะถามหาห่าอะไร จะให้กูบอกเรอะว่ากูมาตามจีบหมอ

“แล้วมึงล่ะ เป็นเชี้ยอะไรถึงมาโรงพยาบาล?” เลี่ยงการตอบโดยการถามคำถาม แต่ไอ้ชัยมันเหมือนจะรู้คำตอบอยู่เลยแค่แยกเขี้ยวยิ้มที่มุมปาก เป็นภาพที่น่าเลาะฟันซี่นั้นออกมามาก
“กูน่ะสิ แม่งซวยอีกแล้ว หัวแตกอีกแล้ว” ไอ้ชัยตอบไปพลางลูบหัวตัวเองเบา
“เอ่อ…. เดี๋ยวก่อนนะ รอตรงนี้สักแป๊ปนะ” ผมมองนาฬิกาข้อมือตัวเองก่อนที่จะกุมไหล่มันไว้
“อะไรของมึง ไม่เอาแล้วกูจะไปฉีดยากันบาดทะยัก อยากกลับบ้านนอนแล้ว เชี้ยแม่งโคตรเหนื่อย” แล้วมันก็สะบัดไหล่ไล่มือผมทิ้งไป
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังก่อน” ผมเดินไปขวางทางไอ้ชัย
“ไม่เอากูทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บ เดี๋ยวค่อยเล่า”
“หรือว่ามึงทำแผนโง่ๆเรื่องนิ่มมากอีกแล้ว”
“ไม่โง่โว้ยสัด!… กูจะบอกอะไรมึงใ้ห้………………..”

หลังจากนั้นมันก็เล่าตั้งแต่ต้นยันจบเรื่องที่มันโดนฝักบัวหล่นกระแทกหัวเลย
“แม่งโคตรสะใจ แต่แม่งเหมือนมีกรรมว่ะ” มันพูดทิ้งท้ายไว้
“อืมๆ” ทำท่าตั้งใจฟังแต่สายตาผมมองเข้าไปในโรงพยาบาล
“เชี้ย ไม่ฟังกูเลย กูไปแล้ว”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ มึงเล่าจบแล้ว?”
“เออ! กูไปแล้ว”
“เดี๋ยวๆ “ ผมพยายามรั้งมันไว้ ผมมองนาฬิกาสลับกับทางเข้าโรงพยาบาลอย่างเร็วจนกระทั่งเห็นเงาที่คุ้นเคยเดินถือกระเป๋าจากโถงทางเดินด้านในกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“เออๆ โชคดีนะมึงรีบไปได้แล้ว” ไอ้ชัยมันหันมามองหน้าผมแบบฉงนสงสัย ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล พอมันเห็นหน้าหมอเอิร์ท ที่เดินสวนออกมา มันโค้งหัวทักทาย พอหลังเดินผ่านหมอไปมันก็หันมายกนิ้วกลางให้ผมทันที

“อ้าวนั่น ชัยนี่ มาทำอะไร?”
“มันบอกหัวแตก จะมาฉีดยากันบาดทะยักอะไรของมันนั่นแหละ”
“ที่หัวอีกแล้ว” อันนี้เหมือนหมอจะหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย
“แล้วจะให้หมอไปช่วยดูแลเพื่อนเราไหม? เดี๋ยวหมอกลับไปได้นะ”
หมอทำท่าจะเดินกลับแต่ผมจับมือหมอไว้ได้ทัน
“ไม่เอาน่ะหมอ ผมอุตส่าห์ชวนมันคุยตั้งนานเพื่อที่จะได้ให้หมอดูแลคนไข้ในกะของหมอให้เสร็จเรียบร้อย เดี๋ยวมันเข้าไปเพิ่มผมต้องรออีกนานเลย”
“อ้าว!! ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ หากเป็นอะไรเยอะจะทำยังไง?” เขาคิ้วขมวดใส่ผม ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เอาน่าๆ แค่นี้มันไม่ตายหรอก ถึกขนาดโดนตีหัวบวกจมน้ำยังไม่ตายแค่นี้สบายมาก”
แล้วผมก็เดินไปไสหลังหมอเอิร์ธให้เดินไปข้างหน้า ไปที่รถของเขา
“เดี๋ยววันนี้ไปหาอะไรอร่อยๆ เหมือนเคยให้กินนะครับ”

…………

ช่วงนี้ผมมาโรงพยาบาลทุกวันเลย พาหมอมากินมื้อเย็นทุกวัน แรกๆ หมอเอิร์ธก็มีก็ดูมีท่าทีรำคาญแสดงให้เห็นชัดเจน พอผ่านไปหลายวันเข้าก็เริ่มยอมมาแต่โดยดี วันนี้พิเศษหน่อยเพราะเป็นที่หมอเลิกงานเร็วและเป็นวันที่ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ เลยพาไปกินอะไรไกลๆ จากตัวเมืองสักหน่อย ขับออกมาไกลจนหน้าของหมอมันเริ่มเปลี่ยนเป็นโหมดกังวลใจแล้ว

“เป็นอะไร? ไม่พาไปฆ่าข่มขืนหรอก”
“ไอ้บ้า… นี่มันเย็นมากแล้วนะ ออกมาไกลขนาดนี้ เดี๋ยวก็กลับดึกหรอก”
“ไม่ต้องห่วงครับ แม่ผมชินแล้ว ส่วนพ่อผมก็ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก”
“ฉันเป็นผู้ใหญ่ ฉันควรห้ามเธอสักหน่อย แต่นี่โดนเธอบังคับทำโน่นนี่ตลอดเลย หลงรู้ได้ยังไงว่าแม่หลงไม่ห่วง แล้วถ้าพ่อเธอรู้ว่าฉันเป็นคนพาเธอมาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เขาจะไม่โกรธฉันเหรอ?”  หมอถอนหายใจยาวๆหลังบ่นเป็นหมีกินผึ้งพึมพำอยู่หลังพวงมาลัย
 
“ขี้บ่นจังเลยนะครับ ยังไม่แก่เสียหน่อย”
“แต่ฉันก็อายุมากกว่าเธอนะ เธอน่าจะฟังฉันเสียหน่อย”
“คร๊าบ คร๊าบ เดี๋ยวจะรีบกินจะรีบกลับบ้านครับ”
“เธอเนี่ยน๊า มันดื้อเหมือนใครฟะ?” ผมมองหน้าเขาพร้อมยิ้มหวานยักคิ้วให้ หมอพยายามไม่มองแต่ผมรู้ว่าเขาเห็นแต่เขินจนไม่กล้ามองเอาแต่เหยียบคันเร่งและมองไปที่ถนนอย่างตั้งใจ

“หมอๆ นั่นๆๆ ซ้ายๆ เลี้ยวซ้าย” ผมชี้ไปทางซ้ายที่มีป้ายไฟสีเขียวและสีส้มสลับกันเป็นชื่อร้านอาหาร หมอชะลอความเร็วและเลี้ยวซ้ายตามมือผม เทคนิคขับแบบสนามแข่งแบบนี้ไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักแบบหมอเลยให้ตายสิ ดีนะที่ผมรัดเข็มขัดแน่นหนา

รถเลี้ยวเข้ามาในร้านอาหารบรรยากาศริมน้ำ (น่าจะะเป็นสระที่ขุดขึ้นเอง) มีพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารรอบๆ สระน้ำขนาดทะเลสาบย่อมๆ มีแสงไฟสีส้มและแสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว สายลมเย็นๆ ที่โชยเบาๆ กับแสงสุดท้ายของวันที่ขอบฟ้าตะวันตก ท้องฟ้าแบ่งออกเป็นสองสี ม่านกำมะยี่สีดำเลื่อมประดับด้วยประกายแสงดาวอ่อนๆ ปกคลุมไล่แสงสว่างไปเรื่อยๆ ภาพที่สวยงามตรงหน้าทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมมารับประทานมื้อเย็นกันมากขึ้นทุกวัน

ผมลงจากรถมายืดเส้นยืดสายรับสายลมเย็นๆ ที่ปะทะหน้าเบาๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ส่วนหมอก็เดินชื่นชมบรรยากาศของที่นี่ด้วยใบหน้าอมยิ้ม

“สวยจัง… ไม่เคยรู้เลยว่ามีที่แบบนี้ด้วย” เขาหันมาหาผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“แน่นอน ผมหาจากในเน็ต เขาพูดถึงกันเยอะ”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ไหม กินกันแบบเดิมตามข้างทางก็อร่อยดี”
“นานๆ ทีก็อยากมา วันนี้มีคนพามาด้วย เอาน่า…. ถือว่าให้ทั้งอาหารปากและอาหารตาไปด้วยเลยไง… เข้าไปเถอะ ผมจองไว้แล้ว” ผมเดินนำไปข้างหน้าให้หมอเดินตามเข้ามา

ผมได้โต๊ะที่ไม่ไกลจากที่จอดรถเท่าไหร่ โต๊ะสี่เหลี่ยมไม่กว้างมาก ขนาดพอนั่งสบายๆ สำหรับสอนคน โต๊ะถูกตั้งอยู่ริมน้ำติดกับรั่วกั้น พื้นที่ที่ตั้งโต๊ะอยู่บนพื้นที่ต่อเติมยื่นจากริมสระเข้าไปในพื้นน้ำมากกว่าครึ่งโต๊ะ แสงไฟสีส้มจากเสาสูงที่ราวกั้นกับแสงเทียนบนโต๊ะสร้างบรรยากาศให้น่านั่งเล่นสบายๆ ถัดออกจากรอบๆ สระเป็นพื้นที่มีต้นไม้รกครึ้มเสมือนป่า เสียงต้นไม้เสียดสีจากแรงลมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสงบเย็นสบาย

คนที่มากับผมดูจะอินกับบรรยากาศมากกว่าผมเสียอีก เขานั่งหลับตาเงยหน้าให้สายลมอ่อนพัดผมด้านหน้าโปกไสวไปมา เสียงเพลงสไตล์บอสซ่า(มั้ง) ลอยมาเบาๆ จากที่ไหนสักแห่ง ผมเผลอมองภาพตรงหน้าเสียจนลืมสั่งอาหาร คนอะไรดูดีเป็นบ้า…..

“อะแฮ้ม……. จะสั่งอาหารหรือยังครับ?”
พนักงานเสิร์พที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะตอนไหนก็ไม่ทราบ
“เอ่อ….คือ…. มีอะไรแนะนำไหมครับ?” ผมพลิกเมนูไปมาอย่างรวดเร็ว และมองไปทางหมอที่เหมือนเพิ่งตื่นและหันมาทางผมด้วยสีหน้างงๆ
“มีต้มยำกุ้งแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียมพริกไทย กุ้งแม่น้ำผัดกะปิพริกสด ……….” เท่าที่ผมฟังสรุปว่าเมนูเด็ดของที่นี่มีแต่กุ้งแม่น้ำ ท่าจะมีแต่ของแพงๆแฮะ
“เอ่อ….” ทำเอาผมคิดไม่ออกเลยมือยังพลิกเมนูไปเรื่อยเปื่อย
“เอาที่แนะนำมาอย่างละหนึ่งเลย” หมอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ยังสั่งอาหารได้น่าตกใจเหมือนเคย
“อ้อ.. ได้ครับ” พนักงานเสิร์พก็ทำท่าแปลกใจไม่แพ้กัน
“มันไม่มากไปเหรอ? ท่าจะแพงด้วย”
“ทำงานก็เหนื่อยก็ควรจะให้รางวัลตัวเองหน่อยสิ” หมอพูดทั้งที่ยังหลับตาเคลิ้มกับบรรยากาศอยู่ ผมมองพิจารณาเขาทั้งหน้าทั้งรูปร่างที่ผอมบาง ผมไม่รู้ว่าเอาไอ้ที่กินทั้งหมดนั่นไปไว้ไหนหมด เพราะเขากินเยอะกว่าผมด้วยสิ

นานพอควร….อาหารก็มาทีเดียวครบทุกอย่างที่สั่งจนกระทั้งต้องขอโต๊ะเสริมเพื่อวางจานอาหารที่ล้นมาจากโต๊ะหลัก อาหารสีสันสวยงามดีแต่ท่าทางรสชาติจัดจ้านมากกว่าที่คิด ผมกินไปกินน้ำตามไป ส่วนคนตรงข้ามผมนี่ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้แก้มแเดงปากเปลี่ยนสีไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่ลดละ

“กินไม่ได้ก็ควรจะหยุดกินไหม?”
“เฮ้ย อร่อยดีนะ แต่….เผ็ดฉิบหาย…” หมอพูดจบก็กินน้ำตาม
“นั่นแหละพอได้แล้วไหม เดี๋ยวท้องเสียอีกหรอก” ผมเป็นห่วงนะเนี่ย
“เสียดายว่ะ ยังไม่อิ่มเลย เกรงใจเขาด้วยดูสิเหลือตั้งเยอะ” หมอกวาดตามองทั่วทั้งโต๊ะที่ตอนนี้พร่องไปไม่ถึงครึ่ง
“ห่อกลับไปกินบ้านก็ได้นะ”
“ไม่เอา…..ไม่มีเวลาอุ่นกินหรอก หลงล่ะเอากลับบ้านไหม?”
“ไม่อ่ะครับ เดี๋ยวแม่ถามเยอะ” ผมยังไม่ได้บอกหมอเอิร์ธเลยว่าที่มากินข้าวด้วยทุกวันเนี่ยผมไม่เคยบอกแม่เลย
“อ้าว… ไม่เคยบอกแม่เลยหรือว่ามีอาชีพพาหมอมากินข้าว เงินก็ไม่ต้องจ่ายเสียหน่อย” หมอชักสีหน้าเปลี่ยนอารมณ์ อะไรวะเมื่อกี้ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย
“วันนี้ก็ว่าจะพามาเลี้ยงตอบแทนนั่นแหละ ให้เลี้ยงตั้งหลายมื้อเกรงใจ”  ผมยิ้มใจดีสู้เสือ พร้อมมองกวาดตั้งแต่จานอาหารตรงหน้าถึงปลายโต๊ะอีกข้าง
“ไม่ต้องหรอก หมอสั่งหมอรับผิดชอบเองได้” ว่าแล้วช้อนทุกอย่างใกล้ตัวเข้าปาก ผมพยายามจะยกมือห้ามแต่ท่าทางจะไม่ทันเพราะมีอยู่จานหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เผ็ดที่สุดบนโต๊ะ ซึ่งผม (และเหมือนจะเป็นหมอด้วย) ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงไม่กินมัน

หมอมันดูท่าทางแปลกๆ ไปทันทีหลังจากที่พยายามยัดทุกอย่างตรงหน้าลงไป เข้าใจว่าโดนของเผ็ดเข้าให้แล้ว ผมรีบหยิบแก้วน้ำยื่นให้ ส่วนหมอก็รีบรับไปดื่มจนหมดแก้ว

“ก็บอกแล้วว่า กินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ผมหยิบแก้วน้ำไปเติมน้ำแข็งกับน้ำให้ใหม่

“…………..” หมอยังคงยัดอาหารตรงหน้าเข้าปากไม่พูดอะไรนอกจากต้ังหน้าตั้งตาเคี้ยว และที่สำคัญ มันไม่มองผมด้วย
“นี่หมอ.. พอเถอะ” ไม่ทันขาดคำหมอสำลักอาหารหน้าแดงคงเพราะมันมีรสเผ็ดด้วย ความทรมานจึงเพิ่มเป็นสองเท่าดูจากสีหน้าที่เห็นตอนนี้ ผมรีบเดินไปข้างหมอ หยิบแก้วน้ำยื่นให้พร้อมลูบหลังให้เบาๆ

“ผมขอโทษ… พี่เอิร์ธ… ผมพูดอะไรให้พี่โกรธผมขอโทษนะครับ”
“…..” หมอดูนิ่งไป
“เป็นอะไรครับ?”
“เมื่อกี้เรียกหมอว่าอะไรนะ?”
“………..” ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดอะไรแปลกๆ ไปจริงๆ ผมไม่เคยเรียกเขาว่าพี่เอิร์ธเลยตั้งแต่รู้จักกันมา ปกติผมจะเรียกเขาว่า ‘หมอ’ บ้าง ‘ไอ้หมอ’ บ้าง (แต่ในใจเรียกพี่เอิร์ธตลอด) ผมรอให้เขายอมรับว่าผมเป็นมากกว่าน้อง เป็นมากกว่าลูกอาจารย์ก่อน ถึงจะเรียกเขาแบบนี้ อันนี้ออกจะเร็วไปหน่อย ผมทำอะไรไม่ถูกเลยแค่เดินกลับไปนั่งที่เดิม

“เอ้า…. ถามไม่ตอบ” หมอมันเซ้าซี้ทั้งที่มันก็กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมอยู่อาบแก้มแดงๆของเขา
“เอ่อ…. พี่เอิร์ธครับ”
“เออ!!! ก็ดีนะ ดูสนิทดี กินข้าวด้วยกันเกือบทุกเย็น เรียกแบบไม่สนิทนี่ไม่รู้ว่ายังไงนะ แปลกๆ”
“งั้นผมเรียกพี่เอิร์ธได้เลยใช่ไหมครับ?”
“ได้สิ”
“งั้น……เรียกอย่างอื่นอีกได้ไหมครับ?”
“อะไรวะ????”
“เรียกว่าที่รักได้ไหมครับ?”
“ไอ้บ้า!! ไอ้นี่ ลามปาม แค่นี้พอก่อนไหม? ยังไงพี่ก็แก่กว่าหลงหลายปีนะ ทำอะไรให้มันเหมาะสมหน่อยนะ”
“……..” ผมไม่รู้จะตอบยังไง เหมือนให้ความหวังแต่ก็โยนมันทิ้งไป
“นี่ถามจริง….. จะจีบพี่จริงหรือ?” คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องตาผม
“จริง!!!”
“เฮ้ย!  เดี๋ยวนะหลงไม่ได้ชอบผู้หญิง?”
“ก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ชอบนี่”
“แต่พี่……”
“ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าอยู่กับพี่เอิร์ธแล้วมีความสุข อยากเจอพี่ทุกวัน อยากทำนู่นนี่กับพี่เยอะแยะเลย ถึงพี่จะเป็นผู้ชาย แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาที่ผมจะชอบพี่ ถ้าไม่ใช่พี่เอิร์ธ ผมก็ไม่เอา”

“………เฮ้อ…..” แล้วไอ้หมอก็ทึ้งหัวตัวเองเบาๆ

……………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบสาม part 2 (อัพ 5/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-08-2017 10:10:14
เอิร์ธ (5)


“พี่เอิร์ธ”


เป็นคำที่กระทบใจผมได้จริง ปกติรุ่นน้องผมก็เรียกแบบนี้ทุกคน แต่เป็นไอ้เด็กนี่เรียกแล้วถึงรู้สึกดีด้วย ผมใจสั่นกับไอ้เรื่องแค่นี่เนี่ยนะ ผมยอมรับว่าห่างจากสมรภูมิการจีบมานานพอควรแล้ว ลืมไปแล้วว่ามันเคยรู้สึกดีขนาดนี้ แต่คนอายุน้อยไม่เคยอยู่ในสายตาผมเลยนะครับ โดยเฉพาะคนนี้ เป็นลูกอาจารย์คนที่ผมเคารพและเป็นเพื่อนแม่ที่ช่วยดูแลผมมาก่อน ผมไม่เคยมองเขามากกว่าน้องชายเลย
หลังจากถามความจริงจากปากของหลงแล้ว ทำเอาผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไป พอย้ายมาอยู่ที่นี่แบบกระทันหัน ทำให้ผมเตรียมตัวอะไรไม่ได้มาก เพื่อนก็น้อยมากที่ยังเหลือที่นี่ การที่หลงเข้ามาในชีวิตผมทำให้มีสีสันขึ้นไม่น้อย จนกลายเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

….นี่หรือผมจะคิดกับหลงเกินน้องชายไปแล้ว ผมขยี้หัวตัวเองพยายามไม่ปล่อยใจให้คล้อยตามคำพูดของเด็กผู้ชายหน้าใสตรงหน้า

โอย….. ชักไม่อยากมองหน้ามันแล้วสิ หน้ามันร้อนผ่าวๆ ชอบกล

“พี่เอิร์ธ เป็นอะไรครับ เงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”
“ไม่….ไม่มีอะไร”  ไอ้เด็กนี่มันเหมือนจะแกล้งผมจังเลย หยุดเอาตาโตๆ นั่นมามองผมเสียที
“ก็ขับรถอยู่จะให้พูดอะไรล่ะ” ผมเฉไฉไปเรื่อยตาก็มองอยู่ที่ถนนต่อไป
“ปกติก็มีชวนคุยบ้างนี่นา ว่าแต่พรุ่งนี้ผมเลี้ยงข้าวเย็นเองนะ วันนี้พี่เอิร์ธเลี้ยงผมอีกแล้ว”
“แล้วหลงมีปัญญาจ่าย?”
“ก็พี่เอิร์ธเล่นสั่งซะขนาดนั้น”
“เออ…พี่ผิดเอง….”
“พรุ่งนี้ผมต้องคิดดีๆแล้วว่าจะพาพี่ไปเลี้ยงที่ไหน?”

หลงพยายามชวนคุยเรื่อยๆ ส่วนผมพยายามตอบโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ก่อน  อย่าเปิดเผยความรู้สึกว่าไอ้เด็กนี่รู้ว่าเราก็รู้สึกดีเหมือนกันกับคำพูดของมัน ผมไม่ชอบเด็ก มันไม่ใช่สเปก และมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ เราต่างกันเกินไป เพราะนี่มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกหลงไหลชั่วครู่ของวัยรุ่นเดี๋ยวมันก็หายไป ผมคงไม่อยากเจ็บอีกใช่ไหม? ผมบอกตัวเองซ้ำๆ

เป็นการขับรถที่นานแสนนานสำหรับผม ในที่สุดก็มาถึงบ้านของหลงผมขับเลยหน้าบ้านไปเสียหน่อย ผมรู้สึกผิดที่พาลูกอาจารย์กลับบ้านเสียดึก พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแล้วด้วย

“เอ้า!! รีบลงไปได้แล้ว มันดึกแล้ว”
“ครับ ขอบคุณครับพี่เอิร์ธ” ผมยังไม่ค่อยคุ้นกับการเรียกแบบนี้ของเขาสักเท่าไหร่ ฟังทีไรรู้จักจี้ทุกที หลงพูดจบเขาก็ทำท่ากุกๆกักๆกับประตูรถฝั่งเขา
“เป็นอะไรทำไมไม่ลงสักที”
“ก็ประตูน่ะสิเปิดไม่ออก”
“เอ…พี่ก็ปลดล็อคแล้วนี่นา” ผมหันมาดูแผงควบคุมอัตโนมัติที่ประตูรถฝั่งด้านคนขับ ซึ่งก็ดูปกติดีผมปลดล็อคให้แล้วตั้งแต่ที่จอดรถ
“ไม่เชื่อพี่ก็ลองมาเปิดดูสิ” ไอ้เด็กนี่มันรีบโวย ผมเลยเอี้ยวตัวใช้มือเอื้อมไปที่คันโยกสำหรับเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าผ่านไอ้ตัวยุ่งที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ เพียงแค่ผมสัมผัสกับคันโยกและดึงเข้าหาตัว ประตูก็ปลดตัวเองออกจากสลักและแง้มออกทันที ด้วยความหงุดหงิดว่าโดนไอ้นี่แกล้งอีกแล้วเลยหันไปหาว่าจะต่อว่าเสียหน่อย

ฟอด!!!! จุ๊บ!!!

ผมโดนไอ้เด็กนี้หอมที่แก้มและโอบรัดแน่นรอบหนึ่ง ความรู้ร้อนผ่าวมันเริ่มจากหน้าไล่ไปถึงช่วงท้อง ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเขินดี ผมรีบสลัดให้หลุดและกลับมานั่งในท่าเดิม

“ไอ้…เด็กนี่ หลง!!! ทำอะไรนะ?” ผมโวยวายเสียงดัง
“แค่อยากจะลาพี่แบบนี้ ชื่นใจจัง ไปก่อนนะครับ” ผมดีดตัวเองลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมโบกมือให้จากนอกรถ เขายิ้มกว้างฟันขาวให้รอบหนึ่งก่อนวิ่งเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผมใจเต้นตึกตักอยู่บนรถตัวเอง

“นี่ผมต้องเสียท่าให้เด็กมัธยมจริงๆ หรือนี่?”
………………………………

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ทำให้สมาธิในการทำงานลดลง และเมื่อวานก็นอนไม่ค่อยหลับเสียด้วย มัวแต่นึกถึงเรื่องแก้มที่สัมผัสไออุ่นจากปากนุ่มๆนั่น และสัมผัสแนบแน่นตอนกอดของเด็กมัธยมที่มาตอแยผมช่วงนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงมันทำให้ผมรู้สึกร้อนหน้าวูบวาบท้องมันหวิวๆเหมือนไข้จะขึ้น 

…..ครื้นๆ…..

เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ผมไม่ได้จำ ผมเริ่มชินกับที่มันสั่นเป็นระยะๆ ทั้งวันอย่างนี้แล้ว ซึ่งผมก็ไม่เคยตอบกลับเลยสักครั้ง พยายามจะไม่สนใจนิ่งที่มันทำเพราะคิดว่าเด็กๆ อย่างมันเดี๋ยวก็หมดความสนใจไปเอง แต่ผมก็อดเหลือบตาไปอ่านไม่ได้

‘วันนี้โดนโค้ชตามครับ วันนี้สงสัยจะค่ำครับ’

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสี่เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบ วันนี้ผมใกล้เลิกงานแล้วเหมือนกัน หวังกับตัวเองว่าจะไม่ต้องมีอะไรผิดพลาดที่ต้องควบกะอีก

“อาจารย์เอิร์ธคะ เชิญคนไข้เลยไหมคะ?”
“เชิญเลยครับ”
ผมยิ้มรับคนไข้ที่เดินเข้ามาอย่างเช่นเคย ในใจกลับคิดว่า วันนี้คงได้กินข้าวคนเดียวด้วยความสงบซะที

…………….

ตอนนี้แสงอาทิตย์ลับตาไปจนแสงนีออนรอบๆ โรงพยาบาลเปิดสว่างไหวแทนที่ ผมลืมตัวอยู่ช่วยเคลียร์คนไข้รอบเย็นจนเริ่มบางตาจนพี่รุ่นในกะถัดไปไล่ให้กลับไปพักผ่อนได้แล้ว ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูไม่มีข้อความใหม่จากไอ้เด็กนั่นเลย สงสัยจะโดนซ้อมซ่อมหนักโทษฐานที่หนีมากินข้าวกับผมหลายวัน ผมเคยอยู่โรงเรียนนั่นมาก่อนผมรู้ว่าทีมบาสเก็ตบอลที่นี่ซ้อมหนักมากเพราะอยากรักษาอันดับหนึ่งไว้ตลอดไป

ท้องผมเริ่มประท้วงด้วยการร้องโวยวายเสียงดัง ผมคงต้องหาทางทำให้มันสงบเสียแล้ว ผมเดินไปที่หน้าโรงพยาบาลที่ฝั่งตรงข้ามมีตึกแถวเรียงรายซึ่งเปิดร้านอาหารมากมายทั้งวันและบางร้านเปิดเกือบทั่งคืน แม้รสชาติมันต่างจากร้านที่หลงพาผมไปกิน แต่ก็กินประทั่งความหิวไปได้ทุกวัน เพราะก่อนหน้านี้ผมก็หิ้วท้องมาฝากที่นี่ทุกวันล่ะครับ

“อ้าว…หมอ หายหน้าหายตาไปเลย” คุณลุงร้านอาหารตามสั่งที่ผมมากินเป็นประจำเอ่ยทักทันทีที่ผมเหยียบเข้ารัศมีร้าน
“ครับ… ช่วงนี้ยุ่งๆ”
“มีแฟนหรือครับหมอ?”
“อะไรลุง ไม่มีสักหน่อย”
“ไม่ต้องปฏิเสธลุงหรอก หน้าตาอย่างเราจะมีนัดทุกเย็นก็ไม่แปลกหรอก”
“…….”
“โอเค….ลุงไม่แซวแล้ว วันนี้กินอะไรดีละหมอ?”
“เหมือนเดิมละกันลุง”
“ข้าวผัดกุนเชียงนะ ได้ๆ”

ผมนั่งลงตรงที่ประจำของผม ร้านนี้เป็นร้านหนึ่งคูหาไม่ไกลจากโรงพยาบาล ที่ผมชอบมาเพราะมันไม่ค่อยมีคน ลุงก็ทำอาหารใช้ได้และเร็วดี ส่วนใหญ่ลูกค้าลุงมักจะรับกลับบ้านเลยไม่มีคนนั่งกินที่นี่มากนัก ผมชอบเพราะมันดูเหมือนเป็นส่วนตัวดี แต่วันนี้ความรู้สึกมันแปลกไป เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ผมมองไปที่พื้นที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่ว่างเปล่าหลังจากลุงนำอาหารมาเสิร์พ ทำไมในอกของผมมันถึงดูโหวงเหวงจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดก้องอยู่ข้างใน อะไรบางอย่างในตัวผมดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม หรือผมกำลังนึกถึงรอยยิ้มกวนใจที่มักจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเสมอในช่วงเวลาสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมสลัดหน้าเพื่อเอาความคิดไร้สาระออกไป และจ้วงข้าวตรงหน้าเข้าปากด้วยความหิว

วันนี้รู้สึกไม่เจริญอาหารเท่าไหร่ เพราะเห็นลุงเบ้ปากตอนมาเก็บจานจนผมต้องรีบบอกว่าผมไม่ค่อยหิวทั้งที่ก่อนมาถึง ท้องผมมันประท้วงโวยวายเสียงดังว่าต้องการอาหารจะแย่ แต่ถึงเวลาได้กินจริงๆ จิตใจมันเหมือนทรยศร่างกายเสียอย่างนั้น หลังจากชำระเงินกับลุงเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาบิดยืดร่างกายอย่างเกียจคร้านอยู่หน้าร้าน ยืนนิ่งครุ่นคิดว่าจะทำอะไรต่อดี เพราะปกติหลังกินข้าวเสร็จต้องขับไปส่งไอ้เด็กนั่นกลับบ้าน ไปส่งที่ป้ายรถเมล์ที่ไหนสักแห่งหากผมต้องเข้าเวรต่อ ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ

“บ้าหรือเปล่าวะเรา คิดบ้าอะไรอยู่ เวลาแบบนี้ก็ต้องกลับบ้านไปพักผ่อนดิวะ”

ไม่กี่อึดใจเท้าผมก็ก้าวมาถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันงามของตัวเองที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล ผมก้าวขึ้นไปที่นั่งคนขับคาดเข็มขัดเตรียมสตาร์ทรถเพื่อออกเดินทางกลับบ้านของตัวเองซึ่งพ่อซื้อให้ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

….ครึ่ดๆๆๆ…..

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นวูบหนึ่ง ผมถึงกับลนลานรีบหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ภาพที่ฉายวาบขึ้นหน้าจอเป็นข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาด้านวิชาการในกลุ่มไลน์ของเพื่อนร่วมคณะฯเหมือนเคย ผมบ่ายหน้าไม่สนใจข้อความดังกล่าว เพราะเดี๋ยวก็คงมีคนไปตอบมันเอง ผมโยนโทรศัพท์ไปทีนั่งด้านข้าง ถอนหายใจคิดเป็นห่วงคนที่อยู่ๆ วันนี้ก็หายไปไม่ติดต่อมาเลย เพราะปกติหลงจะไลน์หาผมแทบจะทุกชั่วโมง

ผมขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้ากลับบ้านระหว่างทางเสียงโต้ตอบไลน์ในโทรศัพท์เริ่มดังอย่างต่อเนื่อง (คงเป็นบรรดาเพื่อนๆผมต่างแสดงความคิดเห็นต่อคำถามของเพื่อนคนแรกที่ถาม) จนผมรู้สึกรำคาญคิดอยากจะปิดโทรศัพท์ลงชั่วคราว พอถึงเวลาที่รถติดไฟแดงผมเอื้อมมือไปหมายจะจัดการกับเสียงเหล่านั้นให้สงบลง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างลังเล ใช้นิ้ววนปุ่มเปิดปิดด้านบนสมาร์ทโฟนอย่างลังเล จนกระทั่งไฟจราจรเปลี่ยนสีเป็นเขียว ผมก็วางมันลงที่เดิมโดยไม่ได้ปิดหลังจากอ่านสำรวจที่แอพพริเคชั่นไลน์แล้วไม่มีข้อความที่เคยส่งถึงบ่อยๆจากคนเดิม

นี่ผมรอข้อความจากมันหรือนี่?

ไม่นานนักผมก็ขับรถถึงบ้าน เสียงโต้ตอบไลน์ระหว่างเพื่อนในกรุ๊ปแชทเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยไปมาอย่างเซ็งๆ  แล้วข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาที่หน้าจอ

Long_Mangkorn:  เพิ่งเลิกครับ โค้ชจะโหดไปไหน คิดถึงจัง หิวข้าวด้วย
Long_Mangkorn: รูปหมีร้องไห้
Long_Mangkorn: แต่ป่านนี้หมอคงกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวผมไปกินข้าวกับไอ้ชัย พรุ่งนี้ผมจะแอบหนีมาหาหมอให้ได้ ฝันดีครับ

ผมเหมือนยกของหนักออกจากอก เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว สักพักเครื่องสมาร์ทโฟนก็สั่นอีกครั้ง ผมรีบพลิกขึ้นดู

Long_Mangkorn:  คิดถึงผมบ้างนะครับ พี่เอิร์ธ ฝันถึงผมก็ยังดี

ไอ้เด็กบ้า! ผมทำเป็นปั้นปึงใส่มือถือ ผมนี่ถ้าจะบ้า

นิ้วของผมกดแป้นพิมพ์ที่หน้าจอและชะงักเมื่อเขียนจบประโยค ผมยืนลังเลอยู่ข้างลานจอดรถหน้าบ้านของตนเอง ล่วงเลยไปหลายนาทีกว่าจะกดปุ่มส่งข้อความกลับไป

Dr.Earth(Pathawee): เออ.. ฝันดี

รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ก่อนเดินอมยิ้มเข้าบ้านไป

………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบสี่ part 1 (อัพ 7/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-08-2017 23:24:00
หลง (10)


“ห้าวัน ห้าวันแล้วนะเว้ย ที่กูไม่ได้เจอเค้าเลย”

ผมโวยวายหลังเลิกซ้อมช่วงหัวค่ำวันศุกร์ ในห้องล็อคเกอร์

“เออๆ ใจเย็นดิ พอฟอร์มเราเข้าที่ เดี๋ยวโค้ชก็ปล่อยเราเองแหละ อีกสัปดาห์เดียวก็ต้องลงแข่งกระชับมิตรกับโรงเรียนAAวิทยาลัยแล้วทนหน่อยสิวะ เดี๋ยวก็ได้เจอ” ไอ้ชัยเดินมาแตะไหล่พร้อมทำท่าเห็นใจหลังจากที่มันจับได้ว่า ‘เขา’ ที่ว่าหมายถึงใครเมื่อสัปดาห์ก่อน

ก็วันที่มันไปโรงพยาบาลเพราะหัวแตกนั่นแหละ หลังจากนั้นมันก็เซ้าซี้จนได้คำตอบจากปากผมจนได้ ไอ้ชัยมันบอกว่าแค่อยากแน่ใจเท่านั้น เพื่อนจะชอบใครก็สิทธิ์ของเพื่อนมันไม่ได้คิดมากอะไร จะผู้หญิงหรือผู้ชายสมัยนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา บางทีผมก็ได้ยินอะไรที่คมๆ จากปากมันเหมือนกัน

“กูจะไปหาเขาวันนี้เลย!!” ผมหยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินจากห้องแต่งตัว
“เดี๋ยวๆ เมื่อเย็นมึงบอกเขาเข้าเวรดึก” ไอ้ชัยมันคว้ากระเป๋าผมหมับ
“เออว่ะ”
“พรุ่งนี้ไม่มีซ้อมมึงก็ไปหาเขาสิ”
“เออจริง พรุ่งนี้มันก็หยุดนี่หว่า”
“เวลาใจร้อนนี่ไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนเคยเลยมึง”

เออจริงของไอ้ชัย ผมลืมไปเลยว่า พี่เอิร์ธ บอกว่าพรุ่งนี้หยุดนี่หว่า ข้อดีของการไม่เจอกันหลายวันก็คือ พี่เขาตอบไลน์ผมนี่แหละ ปกติเหมือนคุยอยู่คนเดียว เขาอ่านแต่ไม่เคยตอบเลย ไม่รู้ว่ายุ่งหรือจงใจไม่สนใจ มันทำให้ผมรู้สึกว่าได้กว่าเข้าไปใกล้หัวใจของพี่เอิร์ธอีกก้าวหนึ่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน
“ไป…กูไปส่งบ้าน” ไอ้ชัยเดินนำไปที่รถบิ้กไบค์ของมัน

……….

“สงสัยฝนจะตกเป็นกบ ทำไมลูกชายแม่ตื่นเช้าได้”

แม่ทักเสียงดังหลังจากที่เห็นผมลงมาในชุดหล่อเต็มยศท่ามกลางแสงแรกของวัน วันนี้แม่ผมแปลกใจมากเพราะผมตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะปกติผมจะเป็นคนตื่นสายมาก แม่บ่นผมจนปล่อยเลยตามเลยไปแล้ว มีไม่กี่ครั้งที่ผมจะตื่นเช้าในวันหยุดแบบนี้ได้คือ หนึ่ง-โดนโค้ชตามไปซ้อมตอนเช้า
สอง-มีนัดกับแฟน

“แต่งตัวแบบนี้มีนัดล่ะสิ”
“ครับ”
ตอบไปเดินไปหาของกินไปพลาง ทำไมหิวขนาดนี้คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้กินอะไรเลย เพราะไอ้ชัยนั่นแหละ ไม่รู้จะรีบไปไหนของมัน ชวนไปหาอะไรกินก่อนก็ไม่ไป ส่งผมถึงบ้านมันก็บิดมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของมันหายไปเลย ช่วงนี้มันมักจะเป็นแบบนี้บ่อยๆ
“หิวก็กินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของพ่อในตู้กับข้าวไปก่อน เมื่อวานพ่อแกไม่กลับบ้าน”
“ขอบคุณครับ”
ผมรีบเดินไปจัดการกับมื้อเช้าตามที่แม่บอก พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปเสียแล้ว เพราะธุรกิจของแกที่กำลังไปได้ดี ผมกับแม่เลยสนิทกันมากกว่า แต่เราสองคนเข้าใจดีครับว่าพ่อทำเพื่อพวกเรา พ่อไม่อย่กให้ครอบครัวเราลำบากเหมือนที่พ่อเคยเป็น ธุรกิจของพ่อเริ่มจากร้านเล็กๆ จนกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ระดับจังหวัด แต่ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ โรงงานที่พ่อเปิดก็ส่วนใหญ่จะอยู่ต่างอำเภอ ไม่ก็ต่างจังหวัด แม่ก็ไม่อยากให้พ่อแกเทียวไปเทียวมาเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ เลยให้พักที่บ้านพักที่ไปปลูกไว้ตามพื้นที่ที่โรงงานตั้งอยู่

“ผมไปก่อนนะครับ” ผมลาแม่หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย
“จ้าๆ  แหมๆ เวลาเรียนน่ะให้มันขยันแบบนี้นะ แม่จะดีใจมากเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เหลือบไปเห็นแต่แม่ส่ายหัวแต่ไกลๆ

…………….

การสืบหาบ้านของพี่เอิร์ธเนี่ยไม่ยากเลย แค่อาศัยลูกตำรวจสะกดรอยตามรถคันหรูที่ในตัวจังหวัดมันมีไม่กี่คันหรอก ผมวิ่งไปปลุกไอ้ชัยจากที่นอนแต่เช้า บังคับให้มันมาส่งถึงหน้าบ้านพี่เอิร์ธ

บ้านแฝดสองชั้นที่มีพื้นที่หน้าบ้านและลานจอดรถขนาดพอดี 1 คัน พื้นที่ส่วนที่น่าจะเป็นสวนปกคลุมไปด้วยหญ้าขึ้นรก ต้นไม้ระเกะระกะเติบโตอย่างไร้ระเบียบแสดงถึงคนอยู่ไม่มีเวลาหรือไม่ได้เอาใจใส่มันเท่าไหร่ รถคับหรูยังจอดนิ่งสนิทอยู่ลานจอด นั่นแปลว่าเจ้าของของมันยังคงอยู่ในบ้าน มองจากภายนอกม่านทุกท่านภายในบ้านปิดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว รอบๆบ้านได้ยินแต่เสียงคอมเฟสเซอร์แอร์คอนดิชั่นเนอร์ฮัมดังไปทั่ว

“จากสภาพที่เห็น พี่หมอน่าจะยังอยู่บ้านนะ”
ไอ้ชัยหาวไปพูดไป ในขณะที่มันยังนั่งคร่อมรถบิ้กไบค์ของมัน
“อืม… ส่งสัยยังไม่ตื่น”
“ก็แน่ล่ะ กลับมากี่โมงก็ไม่รู้ อาจจะเพิ่งเข้านอนก็ได้”
“มึงว่ากูควรกดกริ่งไหมวะ?”
“อย่าเลยวะ สงสาร”
“กูอุตส่าห์ซื้อของมาให้” พูดจบผมก็ยกถุงโจ๊กกับปาท่องโก๋ร้านดังในตลาดเช้าที่แวะซื้อระหว่างทางให้มันดู
“…….” ไอ้ชัยได้แต่ส่ายหัว
“งั้นกูไลน์หาเข้าก่อน”
“เฮ้ย…ไอ้เชี่ย!! มึงจะใจร้อนไปไหนวะ” ไอ้ชัยทำท่าจะคว้าโทรศัพท์บนมือผม แต่ผมเร็วกว่ามันมากเฉกเช่นมันไม่เคยแย่งลูกบาสฯจากมือผมได้

Long_Mangkorn: พี่เอิร์ธ… ตื่นยัง?
Long_Mangkorn: รูปกระต่ายยิ้ม
Long_Mangkorn: หิวยัง ซื้อข้าวมาฝาก

เงียบ…….
ไม่มีข้อความตอบกลับหลังจากส่งไปแล้วมากกว่าห้านาที

“กูว่า… เดี๋ยวรอให้พี่เขาตื่นแล้วค่อยมาไหม?” ตอนนี้ไอ้ชัยลุกขึ้นมายืนข้างผมด้วยใบหน้าขมวด
“งั้นกูโทรหาเลย” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์พี่เอิร์ธ

…..หมับ…..
โทรศัพท์ของผมไปอยู่ในมือมันเรียบร้อย

“มึงกวนใจพี่หมอขนาดนี้..มึงไม่กลัวเขาโกรธหรือวะ?”
“กลัว…….” ผมรู้สึกถึงใบหน้ายามโกรธของพี่เอิร์ธลอยมาในความคิด
“งั้นกลับ รอให้เขาตอบไลน์ แล้วค่อยมาก็ได้ ไอ้ห่ะ”
“……”
“มาดิ” ไอ้ชัยกวักมือเรียก
“งั้นกูขอลองกดกริ่งสักทีดูก่อนได้ป่ะ หากไม่ออกมากูจะกลับแปลว่าหลับจริง” ผมกำลังเดินไปกดกริ่งที่รั่วหน้าบ้าน ไอ้ชัยก็คว้าคอผมเสียก่อน
“ไอ้บ้า!! พอ!! กลับ!!” ไอ้ชัยมันเคาะหัวผมเบาๆ ผมยังดึงดันจะไปกดกริ่งอยู่ ไอ้ชัยก็พยายามรั้งผมไว้ กลายเป็นภาพผมกับมันยื้อดึงกันอยู่หน้าบ้าน

“ทะเลาะอะไรกันหน้าบ้านแต่เช้า จะต้องเอาน้ำร้อนสาดไหม?”
เสียงคุ้นหูที่ดูขุ่นๆ ดังออกมาจากตัวบ้าน  ทำให้พวกหยุดชงักในท่าตะลุมบอน ผมกับไอ้ชัยรีบจัดร่างกายเสียใหม่และปัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย ผมมองเข้าไปในรั่วบ้านสีซีด เจอพี่เอิร์ธยืนดิ้วขมวดอยู่ในชุดนอน ท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวคอกลมแขนสั้น ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าลายสก็อตสีน้ำเงิน ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรง ดวงตาดูลืมได้ไม่เต็มที่เท่าควร บวกกับท่าทางที่งัวเงียคอยเอามือเขี่ยตาเป็นระยะๆ ผมไม่เคยเจอพี่เอิร์ธในสภาพนี้เลย มันช่าง……

“เฮ้ย… เพิ่งตื่นแบบนี้ยังดูน่ารักเลย” ไอ้ชัยกระซิบกับผมพลางเอามือสะกิดผมที่แขน
(ไอ้เลวแย่งซีนในความคิดกูอีกแล้ว)
“เออ..อืม..” ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขณะเห็นภาพตรงหน้า

“ว่าไง….เรา? มาโหวกเหวกโวยวายหน้าบ้านคนอื่นแต่เช้าแบบนี้ทำไม? แล้ว…. รู้จักบ้านหมอได้ไงเนี่ย?” เจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“โห…ยิงคำถามมาเป็นชุดแบบนี้ผมจะตอบอันไหนก่อนล่ะ”
ผมเกาะรั่วทำหน้าให้ดูน่ารักที่สุด
“ทั้งหมดนั่นแหละ!!” พี่เอิร์ธทำหน้าบอกบุญไม่รับกอดอก
“เอ่อ….. ผม…. เอ่อ…ซื้ออาหารเช้ามาให้ครับ” ผมแสดงของกลางให้อีกฝ่ายเห็น
“ตอบมาให้หมด!!!…. รู้จักบ้านพี่ได้ไง?”
“ให้ไอ้นี่สืบให้” ผมชี้ไอ้ชัยที่ตอนนี้ยืนยิ้มแห้งๆ และโปกมือให้คนอีกฝั่งของรั่ว
“เฮ่อ………” เขาถอนหายใจยาวมากพร้อมเอามือกุมศรีษะ
“เข้าไปได้ไหม? เดี๋ยวเทให้กิน”
“เอาของมาแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
“ผมซื้อมาตั้งเยอะว่าจะมากินด้วย ผมหิวมากเลยรอมากินข้าวด้วยเลยนะเนี่ย” ผมใช้เสียงออดอ้อน ท่าพิฆาตประจำตัว ส่วนไอ้ชัยผมแอบเห็นมันกรอกตารอบหนึ่ง และคงจะด่าผมในใจว่า ‘ตอแหล’
“………” พี่เอิร์ธตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นะ นะ พี่นะ” ผมพยายามอีกรอบ พยายามเอามือกุมท้องเรียกร้องความสนใจ
“เออๆ เข้ามาๆ” พูดจบพี่เอิร์ธก็เดินมาปลอดล็อกประตูให้พวกเราเข้ามาในบ้าน

“เฮ้ย!!” เดินมาประมาณสามก้าวผมก็ร้องทักไอ้ชัย
“……” มันทำตาโตใส่
“มึงมีธุระด่วนไม่ใช่เหรอ? เก้าโมงแล้วเนี่ยสายแล้วนะ”
“เอ….กู..”
“ไม่เป็นไรไปเหอะ กูอยู่ได้เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง ขอบใจนะ”
ผมขยิบตาใส่มันจนหน้าแทบย่น
“เออๆ ใช่ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่หมอ” ไอ้ชัยมันไหว้ปะหลกๆก่อนหันหลังวิ่งไปขี่พาหนะสองล่อที่จอดอยู่หน้ารั่วแล้วบิดจนลับตาไป

“ไปกินข้าวกันครับ” ผมหันไปหาเจ้าของบ้านหรี่ตามองผมด้วยท่าทางสงสัย ก่อนที่จะส่ายหัวและเดินนำหน้าไป ผมตามเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างมืดเพราะหน้าต่างมีม่านปิดทึบไว้เกือบทุกบาน เจ้าของบ้านกำลังไล่เปิดม่านเพื่อรับแสงเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะบริเวณโต๊ะอาหารของบ้าน ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างน้อยชิ้น พื้นกระเบื้องสีขาวดูสะอาดตา การตกแต่งภายในต่างๆ เรียบง่ายภายในบ้าน ภายในบ้านสะอาดและเรียบร้อยกว่าภายนอกบ้านมาก
“ภายในบ้านเรียบร้อยมากครับ ผิดกับข้างนอกเลย” ผมแอบแซวขณะจัดอาหารลงจาน ที่สภาพดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ใส่อาหารลงไปสักเท่าไหร่
“ข้างในบ้านจ้างแม่บ้านมาทำสัปดาห์ละสองครั้งนะ แต่ข้างนอกยังหาคนจัดสวนไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ซีเรียสเพราะยังไงก็คงไม่ได้ใช้งานข้างนอกเท่าไหร่” พี่เอิร์ธพูดไปสองมือก็ช่วยผมจัดวางอาหารบนโต๊ะ

“จ้างผมไหม? ผมทำเป็นนะจัดสวนน่ะ” ผมเห็นพี่เอิร์ธทำท่านึก
“อ้อ……สวนที่บ้านน้ารุ่งเราทำเองหรือ?”
“ใช่ครับ…เอาไหม ราคาไม่แพง”
“เท่าไหร่?”
“จ่ายด้วยหัวใจของพี่”
“ไอ้บ้า!!” เขาทำตาเขียวใส่ผม ดูโกรธแบบเขินๆ ภาพนี้ทำเอาผมใจละลายเลย
“พูดเล่นครับ พี่ก็เลี้ยงข้าวผมตั้งหลานมื้อ เดี๋ยวผมทำให้ สวนบ้านพี่สวยอยู่แล้วแค่ถางหญ้า พรวนดิน ตัดแต่งกิ่งต้นไม้บ้างก็พอ”
“ขอบใจ”
ผมมองตาเขาและยิ้มกลับไป พี่เอิร์ธหลบตาก้มหน้าก้มตาเขี่ยอาหารบนโต๊ะ
“กินๆไป พูดมาก รีบกินรีบกลับไปเลย ง่วงจะแย่”
“กินเสร็จแล้วขออยู่ต่อได้ไหม?”
“ไม่ได้!! กลับไป”
“ไม่เจอกันทั้งสัปดาห์ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง”
ผมมองหน้าพี่เอิร์ธที่บึ้งบูดทำให้รู้คำตอบได้ไม่ยาก
“เอ่อ….ผมอยู่ทำสวนให้ไง!!”
“ไม่รีบ กลับไปเหอะ!!”
“งั้นผมทำเสร็จแล้ว จะกลับเลยโอเคไหม?”
ผมยื่นมือไปจับมือเขาเพื่อขอร้องแต่พี่เอิร์ธรีบถอนมือหนี และมองตาเขียวใส่ผมทีหนึ่ง ผมสู้ไม่ถอยยิ้มสู้
“เออๆ อยากทำอะไรก็ทำ!!” เขาถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตักโจ๊กที่ผมซื้อให้เข้าปากไป

…………….

เป็นงานที่ไม่ยากสำหรับผมเลย เพราะเป็นผู้ชาย(ที่เหลืออยู่)คนเดียวในบ้าน งานพวกนี้แม่เลยไว้วานให้ผมทำเสียส่วนใหญ่ แถมพื้นที่สวนที่นี่เล็กกว่าบ้านผมเยอะ แต่อากาศวันนี้ไม่เป็นใจเลย เมฆบนฟ้าเหมือนจะพร้อมใจหายไปกันหมด เหลือแต่พระอาทิตย์กลมโตที่แผดแสงสีเหลืองทองลงมาที่ผมเต็มที่

ผมทุ่มเทกับการทำสวนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตัดหญ้าและตัดแต่งกิ่งต้นไม้ กวาดเศษซากใบไม้ จนไปถึงจัดกระถางต้นไม้ การกวาดตามพื้นหญ้า ภาพรวมตั้งแต่เริ่มทำแสดงให้เห็นว่าสวนบ้านนี้มีสภาพที่ดีมาก่อน คงจัดไว้ดีตั้งแต่ซื้อ แต่ขาดคนเอาใจใส่ดูแล แต่ผมก็เข้าใจเพราะการที่มาอยู่ใกล้ชิดกับอาชีพหมออย่างพี่เอิร์ธ ทำให้ผมโทษเขาไม่ได้ เวลานอนยังน้อยเลยเวลาดูแลสวนหย่อมหน้าบ้านนี่ไม่ต้องพูดถึง

กว่าจะทำเสร็จกินเวลาไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน พี่เอิร์ธที่มานั่งคุมการทำงานที่โซฟาโซนรับแขกใกล้สวน นอนหลับไปด้วยความเพลียเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ายามหลับนี่ช่างดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ดูสงบและไร้ความกังวลใดๆบนหน้า ผมยืนมองอยู่นานจนผมเผลอยื่นมือไปสัมผัสหน้าที่ขาวใสเนียนนั่น ใช้กลังมือลูบขึ้นลงเบาๆ

“เฮ้ย… ทำอะไร” พี่เอิร์ธจับมือผมหมับพร้อมลืมตาแบบไม่เต็มตื่นมองผม
“เอ่อ…. ปัดยุงให้ครับ”
“ไอ้กะล่อนเอ๊ย!” เขาเหวี่ยงมือผมเบาๆ พร้อมลุกขึ้นนั่งแบบเกียจคร้าน  เขาเอียงตัวมองภายนอกบ้านที่ตอนนี้ถูกจัดการเสียใหม่จนเหมือนบ้านคนละหลัง
“โห…..มีพรสวรรค์ว่ะเรา”
“ผมบอกแล้ว ของง่ายๆ” ผมยืดอกยิ้มอย่างภูมิใจ
“งั้นก็กลับได้แล้วสิ”
“โหพี่ครับ…. ดูผมสิเหงื่อโชก มอมแมมหมดหล่อหมดแล้ว ขออาบน้ำก่อนได้ไหมครับ”
พี่เอิร์ธมองผมแบบพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจดเท้า ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย
“เออๆ ขึ้นไปใช้ห้องน้ำข้างบนเลย ส่วนผ้าเช็ดตัวใหม่ก็อยู่ในตู้เสื้อผ้าข้างห้องน้ำนั่นแหละ” พี่เอิร์ธชี้ขึ้นไปข้างบน
“ขอบคุณครับ”
สุดยอด!! วันนี้นับว่าคุ้มเพราะจะได้เข้าห้องนอนพี่เอิร์ธด้วย! รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พูดจบผมก็เดินขึ้นไปพร้อมยักคิ้วให้กับเจ้าของบ้าน

………………………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบสี่ part 2 (อัพ 11/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-08-2017 21:26:41

เอิร์ธ (6)

การกลับมาจากการทำงานเวรดึกนี่ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยชินเลย ผมวางทุกอย่างในที่ๆของมันอย่างลวกๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า กุญแจบ้าน กุญแจรถ ถอดทุกอย่าง และรีบไปเดินผ่านน้ำเพื่อมานอนต่อเพราะวันนี้คงต้องกลับไปอยู่เวรดึกอึกวัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ผมรู้สึกตัวเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะสั่นอย่างต่อเนื่อง ผมรีบหยิบขึ้นมาดูหน้าจอที่ฉายชื่อไอ้เด็กเวรนั่น ด้วยความเพลีย ผมเลยไม่อยากจะสนใจกะว่าจะนอนต่อเสียหน่อย แต่หูเจ้ากรรมดันไปได้ยินเสียงอู้อี้ดังมาจากทางหน้าบ้าน ผมแอบแง้มม่านหน้าต่างดูพบเด็กวัยรุ่นสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าบ้าน ถึงจะไม่ได้เสียงดังแต่ภาพที่เห็นก่อให้เกิดความรำคาญแก่สายตาผม และรบกวนจิตใจผมอย่างมาก ด้วยความหงุดหงิดผมเลยตัดสินใจลงไปจัดการไล่วัยรุ่นสองคนนั้นให้ออกจากหน้าบ้านตนเองจะได้พักผ่อนต่อเสียที

……………..

หลังจากการออกไปไล่ไอ้เด็กเวรพวกนี้ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ไม่สิส่วนเดียวเพราะไอ้เด็กที่กวนใจผมมากที่สุดมันดันไม่กลับไปแถมทำทุกวิถีทางที่จะได้อยู่ต่อเสียด้วยสิ ผมนี่ทัดทานความกะล่อนแบบนั้นไม่อยู่เสียด้วย บวกกับสวนหน้าบ้านที่พ่อทำให้ตอนย้ายบ้านมาก็ทรุดโทรมไปมาก ก็ไม่มีเวลาทำเลยนี่สิครับ ขนาดในบ้านผมยังต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยทำความสะอาดเลย เพราะความตั้งใจที่อยากจะเป็นหมอของผมตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนก็ว่าลำบากแล้วนะแต่ก็ทนมาได้ แต่พอมาทำงานจริงนี่โหดร้ายกว่ากันเยอะ บางทีก็ท้อแท้เหมือนกัน

แต่วันนี้มีคนอาสามาทำให้ฟรีๆ ก็เลยขอไม่ขัดศรัทธามันก็แล้วกันครับ เพื่อไม่ให้เกิดอาการอู้งานเกิดขึ้น ผมเลยขอเป็นผู้จับตาการทำงานของหลงเอง เดี๋ยวจะหาทางอยู่ด้วยจนเย็นจนเลยเถิดไปขอกินมื้อเย็นด้วยอีก ผมเองก็จะไม่ได้นอนกันพอดี นั่งได้แค่เพียงครู่เดียว อากาศเย็นๆ ในบ้านกับโซฟาตัวใหญ่นุ่มๆ ทำให้ดวงตาเจ้ากรรมมันดันทรยศ มันหนักเสียจนผมลืมไม่ขึ้น……..

 ผมรู้สึกตัวอีกทีก็มึเงาทมึนมายืนอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว ไม่ทันที่ผมจะลืมตาตื่นดีก็มีมือใหญ่สากๆมาลูบแก้มผมอีกด้วย ด้วยปฏิกิริยาผมเลยเอื้อมมือไปจับให้มันหยุดก่อนที่ร่างกายผมจะเสียศูนย์ เพราะแค่มันมายืนใกล้ผมก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว (หรือเราเป็นโรคหัวใจวะ)

ผมรีบใช้จังหวะนี่ไล่มันกลับบ้านทันทีโทษฐานที่แต๊ะอั๋งโดยไม่ได้รับอนุญาติแต่ไอ้กระล่อนนี่ก็ขออยู่ต่อจนได้ แต่เอาวะ… เท่าที่สำรวจตามเนื้อตัวที่มอมแมมเต็มไปด้วยเศษดินและคราบเหงื่อ ก็สมควรจะผ่อนปรนให้ครั้งหนึ่ง

“เออๆ ขึ้นไปใช้ห้องน้ำข้างบนเลย ส่วนผ้าเช็ดตัวใหม่ก็อยู่ในตู้เสื้อผ้าข้างห้องน้ำนั่นแหละ” ผมชี้ทางไปห้องน้ำด้านบนแบบไม่เต็มใจนัก บ้านนี้ห้องน้ำที่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในการอาบน้ำครบก็มีแค่ห้องนอนผมห้องเดียวนี่แหละ

“พี่เอิร์ธ… พี่เอิร์ธ”

ไอ้เด็กบ้านั่นมันขึ้นไปยังไม่เกินห้านาทีก็เรียกผมเสียแล้ว

“อะไร!?!” ผมตะโกนขึ้นไป

“ผมหาผ้าเช็ดตัวไม่เจอครับพี่”
ต้นเสียงอยู่ข้างบนบ้านพร้อมเสียงกึกกักเหมือนมีการรื้นค้นอะไรสักอย่าง ผมคงต้องรีบขึ้นไปสิใช่ไหมก่อนที่ห้องผมจะพังหมด ผมรีบวิ่งขึ้นที่ห้องนอนของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไดลจากบันไดทางขึ้น ซึ่งเป็นมาสเตอร์เบดรูม ห้องใหญ่สุด ผมเปิดประตูหมายจะเคาะหัวเกรียนๆของมันสักทีหากห้องผมอยู่ในสภาพไม่น่าดู

“อะไรวะ! มันก็อยู่ในตู้ตรง……”. เสียงผมขาดหายไปเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า หลงในสภาพเปลือยอกและสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเล็กลายทางสีน้ำเงิน

“เฮ้ย!!! ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
“อุ้ย ขอโทษครับ ลืมตัวปกติเคยชินเวลาอยู่กับเพื่อนผู้ชาย”
คำพูดของมันชวนให้เส้นเลือดในหัวโปนปูด
“กูก็ผู้ชาย!!!” พอหงุดหงิดภาษาก็เลยเปลี่ยน นี่มันแสดงว่าเห็นผมไม่ใช่ผู้ชายสิ
“งั้นพี่ก็ไม่ควรอายนะ ไม่ได้โป๊หมดเสียหน่อย”
เออ…. จริงของมัน
“ก็มันตกใจไหม? อยู่ๆ มาเจอคนอื่นแต่งตัวในบ้านแบบนี้” เถไปครับ เถไปเรื่อยๆ
“ขอโทษครับ ว่าแต่ผ้าเช็ดตัวอยู่ไหนครับ?”
“อยู่นี่ไง” ผมเดินตรงไปที่ตู้พร้อมเปิดลิ้นชักและหยิบผ้าเช็ดตัดผืนใหม่ด้านในสุดให้ ผมพยายามจะไม่มองมันเพราะตอนนี้ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ดูพี่ ไม่ค่อยสดชื่นเลย มาอาบน้ำด้วยกันไหมครับ?”
หลงรับผ้าเช็ดตัวไปห่มพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไอ้บ้า” ผมเดินหนีมันก่อนครับ ก่อนที่จะโดนแซวอีกรอบ อันนี้เรียกว่ากรรมตามสนองไหม เพราะก่อนหน้านี้เห็นเด็กมันน่ารักเลยแซวไปเสียเยอะ
“จะอายอะไร ผมเห็นของๆ พี่หมดแล้ว”
“……..” ผมหันกลับไปคิ้วขนวดใส่มัน ปั้นหน้าเป็นเชิงคำถาม
“ก็วันที่พี่เมาจนไม่ได้สติ พี่คิดว่าใครเป็นคนดูแลพี่ล่ะ?”
“……”  เชี้ยแล้วไง สิ่งที่ผมไม่กล้าจะคิดเกี่ยวกับคืนนั้นก็เรื่องนี้แหละ และเรื่องที่ผมกลัวก็เป็นจริง!! รู้ทั้งรู้แค่ไม่อยากได้ยินจากปากไอ้เด็กเวรนี่
“เอาไงครับ มาอาบน้ำด้วยกันไหม?” ผมโดนแรงไอ้เด็กเวรนี่ดึงเข้าไปถึงเซล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่เปลื่อยเปล่า
“ไอ้เด็กเวรนี่!!” ผมเคาะกระโหลกมันไปครั้งหนึ่งหลังจากตั้งตัวได้
“กูอายุมากกว่ามึงนะ เป็นพี่มึงตั้งหลายปี ทำอะไรหัดมีสัมมาคารวะบ้างสิ!!!”
ผมสะบัดตัวหนีจากวงแขนยาวๆแน่นๆนั่น ปิดประตูดังปัง ก่อนที่จะเดินลงมาหอบหายใจอยู่ข้างล่าง

“เกือบไปแล้ว…..” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ เบื่อตัวเองที่ร่างกายมักทรยศกับความคิดของตนเอง ผมไปหามุมสงบเพื่อให้ร่างกายส่วนกลางสงบลงบ้างหลังจากเจอแรงปะทะเมื่อครู่

…………………………..


หลังจากหลงอาบน้ำเสร็จผมก็เตรียมเสื้อผ้าตัวใหม่ให้เขาใส่ คิดว่าแค่ชุดลำลองที่เป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่น่าจะไซส์ต่างกันมาก พอเอาเข้าจริงๆ พอเห็นหลงเดินลงมาเหมือนหมอนข้างที่ใส่ปอกหมอนผิดไซส์ มันดูไม่สมสัดส่วน กางเกงคิดว่าพอไหวแม้จะดูสั้นกว่าตอนผมใส่ แต่เสื้อนี่สิดูคับไปหน่อย

“เสื้อผ้าพี่หอมจังเลยครับ อยากจะเก็บกลิ่นนี้ไว้ให้นานๆ” หลงมันดึงเสื้อผมขึ้นไปดมฟอดใหญ่
“โอเวอร์จริงๆ” 
“จริงๆครับ”

โครกๆๆๆ

เสียงเหมือนฟ้ากำลังถล่มแต่เสียงมันอยู่ไกลกับผมมาก ผมมองหาต้นเสียงจนไปเจอหลงยืนกุมท้องหน้าแดง
“แฮะๆ สงสัยออกแรงเยอะ คงจะหิว”
“เฮ้อ!”  ผมถอนหายใจยาวกับคนตรงหน้า ผมมองนาฬิกาที่อยู่ตรงผนังห้องรับแขกแจ้งเวลาบ่ายสามโมง นี่ก็ใกล้เวลาที่ผมจะต้องเตรียมไปทำงานอีกแล้วสิ หาอะไรมากินก่อนก็ดี ไหนๆ ก็ไม่ง่วงแล้ว

“กินอะไรล่ะ เดี๋ยวโทรสั่งร้านอาหารตามสั่งปากซอยมากิน เดี๋ยวให้เขามาส่ง”
“ขอบคุณครับ” ดูมันยิ้มปากจะฉีกถึงรูหู
“อะไรก็ได้ครับ กินข้าวกับพี่ กินอะไรก็อร่อย” มันเสริม
“งั้นหมูสามชั้นทอดกระเทียม”
“โห….. พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบมันหมู!”
“ไหนว่ากินกับพี่กินอะไรก็อร่อย”
“………”
“เออๆ งั้นเอาอะไร”
“ข้าวราดผัดกระเพราะไก่ครับ ขอแกงจืดเต้าหู้หมูสับด้วยนะครับ เอ่อ…. ไข่เจียวหมูสับด้วยก็ดีครับ”
สมเป็นเด็กกำลังโตจริงๆ แสดงว่าหิวจริง

……………..

หลังจากจัดการรอาหารตรงหน้าเรียบร้อยก็เกือบห้าโมงแล้ว ได้เวลาที่ผมต้องไปเข้าเวรแล้ว หลงอาสาจัดการเก็บถ้วยชามทำความสะอาดส่วนผมขอตัวไปจัดการตัวเองก่อน  ไอ้เด็กคนนี้มันหาเรื่องอยู่กับผมจนเย็นจนได้ ผมสลัดความคิดไร้สาระออกไปเพื่อเตรียมตัวไปทำงานให้ทันเวลา ไม่งั้นรุ่นพี่ผมโกรธตายเลย เพราะทุกวันนี้แค่ออกไปพักกินข้าวนานก็โดนเพ่งเล็งจะแย่ ผมรีบทำความสะอาดร่างกาย ด้วยความรีบร้อนผมออกมาและดึงผ้าเช็ดตัวที่ห่อท่อนล่างคลี่ออกมาเช็ดตัวด้วยความเคยชิน

“นี่พี่กะจะอ่อยผมใช่ไหมครับ?” เสียงคุ้นหูจากด้านหลัง

“เฮ้ย…!!!!” ผมดึงผ้าเช็ดตัวขึ้นมาปิดร่างกายเท่าที่จะปิดได้
“…….” มันยิ้มด้วยสายตาเชื่อมเยิ้มทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว
“ขึ้นมาทำไมวะ?” ผมยังพยายามปิดบังร่ายกายเท่าที่จะทำได้
“แอร์ห้องพี่เย็นก็เลยว่าจะมาตากแอร์เสียหน่อย ผมขี้ร้อนพี่ก็รู้”
“ก็เลยถือสิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต?”
“ก็พี่บอกว่าผู้ชายด้วยกันไม่น่าอาย” ผมพูดกับมันแบบนั้นตอนไหนวะ?
“ออกไปก่อนไป!!!” ผมไล่โดยใช้ทั้งหน้าและสายตา ตอนนี้เหมือนผมกำลังจะพ่นไฟได้
“ผมก็เคยบอกพี่แล้วว่า… มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว”
“ไอ้….ไอ้….เด็กบ้า” ผมคว้าอะไรได้ก็ปาใส่มันหมดจน มันวิ่งหนีออกจากห้องไป ไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ากางเกงผมที่ไอ้เด็กนี่ใส่มันแน่นๆ ชอบกลโดยเฉพาะตรงเป้ากางเกง ผมผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา

วันนี้รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ผมอยู่กับหลงมากๆ พาลจะให้ผมอายุสั้นนะเนี่ย (หรือว่าอายุยืนวะ เพราะสีหน้ามีเลือดฝาดดูสุขภาพดีเกือบทั้งวัน)

หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็รีบเดินลงมาหมายจะจัดการกับไอ้ตัวดีทันที ผมเจอหลงนอนเอกขเนกบนโซฟาเหมือนทองไม่รู้ร้อน พอมันเห็นผมแทนที่จะมีสีหน้าสำนึกผิดเสียหน่อยกลับยิ้มร่ายักคิ้วใส่

“หลง พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตีหน้าซีเรียสจริงจัง
“ครับ” ยังยิ้มไม่หุบ
“ไปคุยกันที่รถ”
“ไม่เอาครับ คุยตรงนี้แหละ”
เฮ้อ….. ผมผ่อนลมหายใจออกยาวๆ
“ถ้าคบกันแบบพี่น้องพี่โอเคนะ แต่หลงมาทำแบบนี้กับพี่ พี่ว่าพี่ไม่โอเคว่ะ  เรายังเรียนอยู่นะ แต่พี่ก็อายุต่างจากเราเยอะ ไหนจะน้ารุ่งอีก หากน้าเขารู้ว่าหลงเป็นแบบนี้ น้ารุ่งเขาจะคิดยังไง แล้วพี่ก็ยังเคารพน้ารุ่งมากนะ เอาเวลามาตามตื้อพี่พวกนี้ไปเล่าเรียนให้ดีกว่านี้ดีไหม?”
หลงมีสีหน้าที่เหมือนแสงไฟที่ค่อยๆดับวูบลง มันทำให้ใจผมมันปวดแปลบมาแว่บหนึ่ง
“แต่……”
“ไม่มีแต่!!! เก็บของได้แล้ว พี่จะไปส่ง” ผมดุเสียงดัง
“……..” เด็กนั่นมองหน้าผมไม่พูดอะไร สายตานั่นมันเหมือนมีหลายร้อยคำพูดที่อยากจะพูดแต่โดนสายตาที่แข็งกร้าวของผมสะกดไว้
เพียงอึดใจหลงก็จัดการเก็บข้าวของๆเขาอย่างลวกๆ และเดินออกไปนอกบ้านทันที ผมเดินไปหยิบกุญแจบ้านที่แขวนไว้ใกล้ทางขึ้นบันไดและตามไปทันที แต่พอออกมาพ้นตัวบ้านก็พบแต่รถและความว่างเปล่ากับประตูบ้านที่เปิดทิ้งไว้

ฉิบหายแล้ว!! ผมพูดกับตัวเอง ผมพูดแรงไปไหมวะ? ผมมองดูนาฬิกาขณะวิ่งออกไปนอกตัวบ้านหวังว่าจะเจอเงาของเด็กที่สูงโปร่งคนนั้น แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากคนในหมู่บ้านแถวนั้นที่ดูเหมือนเกือบจะคุ้นตากันดี ผมวิ่งไปที่รถหมายจะขับตามหาแต่เสียงริงโทนบ้านๆ ของผมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

หน้าจอแสดงชื่อเป็นรุ่นพี่ที่โรงพยาบาล ‘พี่เดช’ ผมกดรับสายทันที

“ครับพี่?”
“โทษทีนะน้อง ช่วยรีบมาที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม?” เสียงที่ดูร้อนรนดังออกมาจากปลายสายอีกฝั่ง
“ทำไมครับพี่?”
“มีอุบัติภัยหมู่ คนไม่พอมาช่วยพี่หน่อย”
“ได้ครับเดียวผมรีบไป!!!”
โอ้ย!!! แย่แล้ว! คงไม่มีเวลาออกตามหาหลงแล้วคงต้องไปทำงานทั้งที่ใจผมยังพะวงกับเรื่องไอ้เด็กบ้านี่อีก

ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความเร็วแต่ก็ยังไม่วายมองรอบๆ เผื่อว่าจะเจอหลงที่ไหนบ้าง ในระหว่างนั้นผมพยายามโทรหา แต่หลงก็ไม่รับสายเลย ผมภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขา เพราะกลัวประวัติจะซ้ำรอยแบบเดียวกับเรื่องของนิ่มที่หลงเคยเล่าให้ฟัง

…………………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบห้า part 1 (อัพ 14/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-08-2017 11:18:45
เอิร์ธ (7)


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วที่ผมไม่ได้รับการติดต่อจากหลงเลย เหมือนเขาหายไปเฉยๆ หลังจากวันนั้นผมได้โทรไปเช็คกับน้ารุ่งแล้วทำให้รู้ว่าหลงสบายดีกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยดีในวันนั้น แม้ในวันรุ่งขึ้นผมพยายามทั้งโทรหาและส่งไลน์ไปถามแต่ก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหรือข้อความตอบกลับจากเขาเลย ทำให้ผมถึงกับต้องทบทวนกับการกระทำในวันนั้นของตัวว่าได้ทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า? มันจะหักดิบกันเกินไปไหม?

ใจหนึ่งผมก็บอกว่าดีแล้วมันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอย่าให้เด็กมาหลงผิดอยู่กับเราเลย เขาควรไปอยู่ในที่ๆ ของเขาที่ที่เขาคู่ควรและสมควรจะเป็น แต่…… อีกใจหนึ่ง…… มันกับหงุดหงิดปนเศร้ากับการที่ผมไม่ได้เจอหน้าเขา ไม่ได้ยินเสียงเขาเหมือนว่าผมกำลังจมน้ำและโหยหาอากาศที่จะหายใจ………. ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องเลิกงานด้วยความรู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไป ผมขึ้นรถกลับบ้านคนเดียว เดินไปกินข้าวคนเดียว สี่ห้าวันที่ผ่านมาผมพาตัวเองไปตามร้านต่างๆที่หลงแนะนำ แต่ครั้งนี้ผมมาคนเดียว อยู่คนเดียวอีกครั้งหนึ่ง ผมน่าจะชินเสียทีกับการอยู่คนเดียว แต่มันกลายเป็นว่าผมค่อยๆ ยอมรับว่าการมีใครสักคนที่เราพอใจอยู่ข้างๆ มันช่างเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ

วันนี้ผมเลือกมากินที่ร้านซึ่งมีบรรยากาศพลุกพล่านที่สุด ร้านยอดนิยมริมบึงใหญ่ เพื่อหวังว่าความรู้สึกที่อยู่ท่ามกลางคนมากมายจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจของผมที่แทบจะได้ยินเสียงของลมเสียดผ่าน

“กรี๊ด!!!…. แกดูสิ พี่หลงกับพี่ชัยตอนซ้อมบาสฯ ที่โรงเรียน”
เด็กนักเรียนหญิงที่อายุไม่น่าจะเกิน ม.ต้น ส่งเสียงดังจากโต๊ะข้างๆ เอ่ยชื่อที่ผมคุ้นหูมากๆ

“แกดูสิขนาดเหงื่อท่วมแบบนี้ยังหล่อ ว้ายๆ ดูสิ”
เด็กอีกคนส่งสมาร์โฟนเครื่องใหญ่ให้เพื่อนดู

“ดูน่าสงสารเนอะ ซ้อมหนักทุกวันเลย”
“ก็อย่างว่าแหละ ใกล้ถึงวันแข่งนัดกระชับมิตรกับโรงเรียนaaaวิทยาลัยแล้ว เขาว่าปีนี้น่ากลัวมาก ได้ข่าวเอาชนะโรงเรียน abc วิทยาคมที่พี่กวีอยู่มาแล้วด้วย”
“เสียดาย โรงเรียนนั่นไม่มีผู้ชายหน้าตาเร้าใจเท่าพี่หลง พี่ชัย และพี่กวีเลย”
“นั่นสิ เลยเลือกข้างที่จะเชียร์ไม่ยากเลย”
เด็กผู้หญิงสมัยนี้คุยกันน่ากลัวมาก แต่ผมก็นั่งตั้งใจฟังจนไม่สนอาหารตรงหน้า และในที่สุดก็ทำให้รู้ว่าทำไมช่วงนี้หลงถึงได้หายไป

“เสียดายอีตาอาจารย์โค้ชนั่นไม่ให้ไปดูการซ้อมที่ข้างสนามเลย บอกว่ากลัวนักกีฬาเสียสมาธิ”
ก็คงเพราะกรี๊ดเสียงดังขนาดนี้แหละ เขาถึงไม่ให้เข้าไปผมคิด
“แต่รูปพวกนี้ถูกถ่ายมาใน ‘เพจมัธยมหน้าใส’ ได้ไงล่ะ”
“คงเป็นพวกเล่นกีฬาแถวนั้นแหละ อาจารย์คงไม่ว่าหากไปเล่นกีฬาแถวนั้น”
“ว้า….. อยากไปดูตัวจริงจัง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเล่นกีฬาอะไร”

ผมก้มมองพุงตัวเองที่ยื่นมาพอสมควรแล้ว
อืม…….. สงสัยพรุ่งนี้ลองไปวิ่งออกกำลังกายที่โรงเรียนเก่าหลังเลิกงานเสียหน่อยแล้ว
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบห้า part 2 (อัพ 14/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-08-2017 21:09:20

หลง (11)


ผมเดินออกจากบ้านพี่เอิร์ธแบบไร้จุดหมาย หลังจากคำพูดของพี่เอิร์ธที่ตัดเยื่อใยแบบไร้ความผูกพันธ์กับผม ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว ผมรู้สึกว่าพี่เอิร์ธเองก็ต้องมีความรู้สึกดีๆกับผมบ้างไม่มากก็น้อย

แต่พอมาเจอความเป็นจริงจากปากพี่เขา ในหัวผมถึงกับว่างเปล่า เท้าของผมก้าวไปเรื่อยๆด้วยความเร็วเหมือนวิ่งไล่แย่งบอลจากมือคู่แข่ง นัยตาผมร้อนเหมือนมีถ่านไฟมารุมอยู่เนืองๆ มารู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะเคียงบึง ที่ๆผมเจอกับน้ำตาของพี่เอิร์ธครั้งแรก สถานที่ที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวกับเขาจริงจังเป็นครั้งแรก ผมยืนมองจนกระทั้งเท้าของผมค่อยๆสาวเข้าไปในบึง น้ำเย็นสัมผัสสูงขึ้นจนถึงหัวเข่า ผมอยากให้น้ำเย็นจากบึงช่วยลบความรู้สึกแปลกแยกเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบนี้ ผมหยุดให้ความเย็นเหล่านั้นอยู่เพียงแค่เข่าจ้องมองฟ้าที่ค่อยๆมืดลง เสียงฝีเท้าและความจอแจรอบข้างค่อยๆ หายไป ตอนนี้เหลือผมและธรรมชาติโดยรอบเท่านั้น

ขณะที่ผมคิดว่าจะก้าวเข้าไปในบึงอีกก้าว อยากเอาหัวกดน้ำให้มันหายเบลอ เสียงริงโทนพื้นๆ จากโทรศัพท์ผมก็ดังเรียกสติผมเป็นเสียงที่ผมตั้งไว้เฉพาะเพื่อนสนิท ‘ไอ้ชัย’

“เชี้ย…. เป็นไง สรุปเผด็จศึกกับพี่หมอไปยัง? อย่าช้าแบบคราวนิ่มอีกล่ะมึง”
“พี่เอิร์ธ……. แม่ง…ไล่กูออกมา แถมพูดตัดเยื่อใยจนกูไม่อยากฟังต่อ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้น?”
ผมเล่าให้มันฟังหมดเลยครับ ทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่ในบึงนั่นแหละ พอได้ระบายออกก็เริ่มรู้สึกคันๆ ที่ฝ่าเท้าแล้ว
“แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย?”
“สวนสาธารณะริมบึง”
“ไปทำเชี้ยอะไรที่นั้นวะ? เล่นมิวสิคอีกเพลง? มึงนี่นิสัยน่ารำคาญนะ ดราม่าฉิบหาย”
“ไอ้สัด ทางกลับบ้านกูไหม? กูจะแวะตรงไหนมันหนักหัวมึงเรอะ”
“เออๆ เอางี้เดี๋ยวกูไปหาที่บ้าน กูว่ากูมีแผน”
“………”
เอาอีกแล้ว แผนของมันอีกแล้ว แผนของไอ้ชัยมันล่มมากี่งานแล้ว
“กูก็รู้สึกนะว่าพี่หมอชอบมึงเหมือนกัน เพื่อนกูออกจะหล่อนิสัยดี ถึงจะน้อยกว่ากู”
“สัด”
“เออน่า…..คราวนี้กูว่าได้ผล”
“อืม” เชื่อมันสักหนล่ะกัน ผมค่อยๆ หันหลังกลับและเดินทางกลับบ้านทั้งๆที่ปลายขากางเกงขาสั้นชื้นเปียก

………………

แผนของไอ้ชัยเรียบง่ายกว่าที่คิด มันบอกว่าให้ผมวัดใจกับพี่เขาไปเลย ลองแสร้งทำเป็นไม่สนใจไม่ตอบไม่อ่านข้อความ ไม่โทรศัพท์ไปหา ไม่รับสาย สักสองสามสัปดาห์ หากในระยะนี้เขาพยายามตามหาผมแปลว่าเขามีใจให้ ผมสามารถเดินหน้าต่อได้ แต่หากเขาหายไปในระยะเวลานี้ก็ให้รีบตัดใจ

ตอนแรกผมก็โวยวายเพราะหลังจากกลับถึงบ้าน ผมเห็น miss call จำนวนหนึ่งจากพี่เอิร์ธ รวมถึงข้อความที่เขาส่งมาเป็นระยะๆ แค่นี้ก็ทำให้ผมร้อนใจอยากจะโทรหา หรือตอบกลับจะแย่ แต่ไอ้ชัยมันกล่อมผมจนผมยอมทำตาม

ผ่านมามากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ผมต้องทนกับการมองดูพี่เอิร์ธโทรมาและส่งข้อความมา มองแต่โต้ตอบไม่ได้ ผมกำมือแน่นทุกครั้งที่เห็นชื่อเขาแสดงอยู่ที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของผม มีหลายครั้งที่ผมเผลอตัวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ในช่วงที่ชื่อเขาแสดงอยู่ แต่ก็เจอไอ้ชัยมันห้ามไว้เสียทุกครั้ง จนบางครั้งเกือบจะทะเลาะกันแต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมใช้การตั้งใจกับการซ้อมกีฬาทำให้ลืมเรื่องใจพังพังของผม ใจที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทราย

วันนี้เป็นอีกวันผมเกือบจะหมดแรงกับการซ้อมของอาจารย์โค้ชที่หนักหน่วงขึ้นทุกวัน ใจที่ห่อเหี่ยวร่างกายที่ใกล้ชำรุดเพราะการออกแรงหนักอย่างต่อเนื่อง ชีวิตช่วงนี้ไม่มีอะไรดีเลย นับวันจำนวนของมิสคอลและข้อความจากพี่เอิร์ธก็ทยอยน้อยลงเรื่อยๆ แสงสว่างแห่งความสุขในจิตใจของผมก็ค่อยๆ ผ่อนแสงลงเรื่อยๆ

“เฮ้อ……..” ผมทิ้งตัวลงที่ขอบสนามบาสฯหลังจากซ้อมแบบแบ่งทีมแข่ง
“โอ้ย….เหนื่อยฉิบหาย” ไอ้บอลเพื่อนร่วมทีมของผมบ่นออกมาเสียงดังแบบไม่เกรงใจอาจารย์โค้ชเลย
“เดี๋ยวแข่งเสร็จกูจะพาน้องเจนไปเที่ยวสักสองคืนสามวันเลย คิดถึงโคตร” ไอ้อาร์ม เพื่อนร่วมทีมของผมพูดอย่างอวดๆ ว่าจะพาแฟนไปเที่ยว (ใช่สิวะ แฟนแม่งสวยแถมยังนิสัยดี คบกันนานจนคนอื่นตาร้อนไปหมด)
“เป็นเชี่ยอะไรวะมึง?” ไอ้บอลถามผมด้วยความสงสัย นี่หน้าผมมันบอกอารมณ์ขนาดนั่นเลย
“เปล่านี่”
“ก็ดูมึงทำหน้าเหมือนใกล้จะตาย”
“……….”
“อย่าไปแซวมันมาก มันกำลังจะอกหัก!” ไอ้ชัยซึ่งมันควรจะอยู่อีกทีมหนึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้
“สัด!!”
“เฮ้ย นี่มึงยังไม่หายเฮิร์ตเรื่องนิ่ม?” ไอ้บอลโผเข้ามาร่วมวงด้วย
“…….” กูไม่มีอารมณ์จะตอบพวกมึง
“ไม่ใช่ๆ คนใหม่” ไอ้ชัยไอ้ปากมอม
“เย้…ด……… โห…. พ่อคัสโนว่า!!” ไอ้อาร์มร้องลั่น
“แยกๆ อย่าไปล้อมันกูขอร้อง” มันก็เริ่มมามึงนั่นแหละไอ้ชัย
“…….” ผมเดินหนีออกมาจากกลุ่มที่จ๊อกแจ๊กจอแจนั่นไปที่ริมรั่วที่กั้นสนามออกจากลานวิ่งและลานออกกำลังเอนกประสงค์ด้านนอก
“เฮ้ย….มึง แค่นี้โกรธเหรอ?” 
“……….” ผมไม่มีอารมณ์จะครื้นแคลงเท่าไหร่ เพราะใจผมมันนับเวลาเคาท์ดาวน์อยู่ ถอยหลังลงสู่ช่วงเวลาตัดใจจากเขา
“เชี้ย…!!!!!!!” ไอ้ชัยสบถออกมาพร้อมกับสะกิดผมถี่ๆ ที่ไหล่จนผมรำคาญอยากชกหน้ามันสักที
“เป็นเชี้ยอะไร สัด”
“นั่นๆ” ผมมองตามที่มันชี้ไปที่สนามกีฬาเอนกประสงค์ด้านนอกที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาออกกำลังกาย ที่นี่เป็นโรงเรียนที่สนับสนุนด้านกีฬาจึงอนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้พื้นที่ได้หลังโรงเรียนเลิก
“เชี้ยอะไรของมึง?”
“มึง!!!….ไปตัดแว่นไป ที่วิ่งอยู่ตรงนั้นไง” มันชี้ไปทางมุมหนึ่งลู่วิ่งด้านนอกที่มุมทางซ้ายมือ
“เฮ้ย!!!” ผมเห็นคนที่ผมคอยสายโทรศัพท์อยู่วิ่งเยาะๆอยู่ไกลๆ
ขาของผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่แทบจะก้าวไม่ออกกลับก้าวสาวออกไปที่จุดปลายสายตา ใกล้เข้าไปใกล้เข้าไป พี่เอิร์ธถึงจะขายาวแต่ก็วิ่งไม่เร็วครับ  ผมใช้เวลาไม่นานก็ตามพี่เขาทัน ผมไม่ขอทักเขาครับ แค่ได้เห็นแผ่นหลัง ได้อยู่ในระยะสายตาผมก็รู้สึกพลังใจถูกเติมเต็ม

“เฮ้ย!!!!”
 เหมือนพี่เอิร์ธรู้ว่ามีคนจ้องผมอยู่ (ก็คือผม) เลยหันหน้ามาทางผม พอเห็นหน้าผมที่ยิ้มอ่อนๆ ให้ เขาเลยทำท่าตกใจพร้อมร้องเสียงหลง ด้วยความที่หันมาด้วยความเร็วทำให้เท้าเสียศูนย์ เซล้มไปข้างหน้า ด้วยความเร็วของผมทำให้วิ่งไปคว้าตัวเขาได้ทัน

ตอนนี้เขาอยู่ในอ้อมแขนผม หน้าทิ่มเข้ามาในแผงอกที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อี๋.. เหงื่อเต็มเลย”
“ก็ผมเพิ่งซ้อมบาสฯเสร็จนี่ ….ผมแปลกใจนะเนี่ยนึกว่าพี่จะอายที่โดนผมกอดเสียอีก”
“ไอ้บ้า!!”
“ไม่เคยเห็นพี่มาแถวนี้เลย?”
“นานๆ ก็อยากมาโรงเรียนเก่าบ้าง ไม่เห็นแปลก แล้ววันนี้ก็มาออกกำลังกายด้วย”
เออ….จริงด้วยสิผมคิด
“แต่แถวโรงพยาบาลก็มีลานออกกำลังกายนี่?”
“…………..” ดูพี่เอิร์ธพยายามนึกคำตอบอยู่
“หรือแอบมาดูผมเล่นบาสฯ?”
เป็นความคิดไอ้ชัยมันให้ส่งรูปผมไปที่เพจอะไรของมันนั่น ให้กระจายข่าวว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนเห็นจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน
“ไม่ใช่โว้ย!!” เขาตอบด้วยสีหน้าอมชมพู (สงสัยจะวิ่งจนเหนื่อย) แล้วก็วิ่งนำผมไป

“เริ่มมืดแล้วนะครับ งั้นผมขอกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวไอ้ชัยไปส่งบ้าน”
ผมค่อยๆ วิ่งออกจากเขาห่างออกมา
“เดี๋ยว!!” เขาหยุดวิ่งและหันมาทักผม
“ครับ?” ผมเปลี่ยนท่าวิ่งเป็นเดินช้าๆ พลางหันไปหาพี่เอิร์ธ
“พี่…ก็จะกลับแล้ว กลับด้วยกันหรือเปล่า?”
“……..จะดีหรือครับ?”
“………” ดูเขาทำสีหน้างงๆ แล้วอดยิ้มไม่ได้แต่ต้องข่มตัวเองให้นิ่งไว้
“ผมไม่อยากหวั่นไหวกับพี่แล้ว ผมว่าที่พี่ให้เราอยู่ห่างๆ กันน่าจะดีกว่า”
“…….เอ่อ….คือ…..เรื่องนั่น…..” สีหน้าเขาดูสับสนมากรู้สึกเหมือนมีเทวดากับปีศาจตัวน้อยสู้กันในหัวของเขา
“งั้นผมไปล่ะนะ เพื่อนรอ”
“หลง!!!!!” เขาตะโกนเรียกชื่อผม เพิ่งจะเคยเห็นเขาเรียกชื่อผมแบบตั้งใจแบบนี้
“พี่อยากไปกินข้าวกับหลง ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม?”
โอย…..สายตาแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ หากเรียกชื่อผมอีกที ผมคงวิ่งเข้ากอดแบบไม่สนใจสายตาใครแถวนี้แน่”
“พี่อยากคุยกับเราเรื่องนั้นด้วย… คุยไปกินไปได้ไหม?”
“…….” ผมทำท่าคิด แต่ในใจผมตอบตกลงไปตั้งแต่จบประโยคนั่นแล้ว จริตพวกนี้ไอ้ชัยมันสอนมา
“……….” พี่เอิร์ธทำท่ารอด้วยการเตะโน่นเตะนี่ไปเรื่อย
“โอเคครับ งั้นผมขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“โอเค วั้นพี่ขับรถไปรอที่สนามบาสฯนะ”
“ครับ” วิ่งออกจากจุดที่เรายืนคุยกันแบบรักษาระยะห่าง ผมแอบเห็นสีหน้าพี่เอิร์ธสว่างวาบขึ้นแว่บหนึ่ง ความกังวลของเขาดูหายไปบางส่วน


ณ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวและวิ่งออกมาทั้งๆที่หัวยังเปียกอยู่จนเพื่อนทั้งทีมแปลกใจ ไอ้ชัยรีบเดินมาคว้าแขนผมและพูดด้วยสีหน้ายินดีว่า
“วันนี้ก็ปิดบัญชีเลยมึง”
“สัด กูนะไม่ใช่มึง”
“พี่หมอไปชอบคนน่าเบื่อแบบมึงได้ไงวะ”
ผมยกนิ้วกลางให้มันก่อนที่จะวิ่งไปหาหัวใจของผม ผมวิ่งมาจนถึงถนนใกล้กับลานกีฬาเอนกประสงค์ เห็นพี่เอิร์ธในชุดกีฬาชุดเดิม เสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้นถึงเข่า หน้าสีอมชมพู ผมเผ้ายุ่งเล็กน้อย รับกับตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบไม่เจอกันตั้งหลายวันนี่ผมโคตรคิดถึงเลย

“เร็วไปไหมเนี่ย?” เขายกนาฬิกาขึ้นดู
“ปกติครับ” ผมเก็บอาการหอบของตัวเองไว้ และพยายามสะบัดหัวที่เปียกเผื่อมันแห้งเร็วขึ้น ผมเห็นพี่เอิร์ธยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเปิดประตูขึ้นรถไป ผมเดินตามไปขึ้นอีกฝั่งทันที

“ไปกินไหนดีพี่?” หลังจากคาดเบลท์ผมก็เอ่ยถาม
“ปกติเราเป็นคิดนะ” เขาสตาร์ทรถ ทำให้ลมจากช่องแอร์เริ่มทำงาน ผมของพี่เอิร์ธปลิวไสวเบา ทำให้เขาพยายามลูบเพื่อเก็บผมดีๆ
“ตัดผมใหม่หรือครับ?”
“อืม….ยาวแล้ว เลยไปตัด แต่ก็ไม่สั้นเท่าไหร่ ช่างไม่ยอมตัดให้” ผมพินิจกับทรงใหม่อีกรอบ ช่างเขาทำได้ดีทีเดียว เพราะหน้าหวานๆ อย่างพี่เอิร์ธตัดสั้นคงไปลดความน่ารักลงไป
“เฮ้ย…หลง…. อย่าเหม่อ” พี่เอิร์ธโบกมือใส่หน้าผม ผมพยายามทำตัวห่างเหินกับพี่เขาตามที่ไอ้ชัยมันสั่งมาแล้วนะแต่พอมาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้มันสุดจะทัดทานความรู้สึกจากข้างในจริงๆ
“เอ่อ…. ไปร้านหน้ามอ(มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด)ก็แล้วกันครับ ผมว่าจะไปกินกับไอ้ขัยวันนี้”
“คนเยอะหรือเปล่า”
“ก็เยอะนะ มันอยู่หน้ามอนี่”
“มีที่อื่นแนะนำไหม วันนี้พี่ไม่ค่อยอยากเจอคนน่ะ เหงื่อเยอะ ตัวเหม็น” จากคำพูดของพี่เอิร์ธทำให้ผมสำรวจคนตรงหน้าผมอีกครั้งและพยายามพิสูจน์กลิ่นในรถยนต์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

“ก็ไม่นะครับ” ผมไม่ได้แสร้งทำนะแต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ พี่เขายังดูน่ารักและมีกลิ่นที่น่าค้นหาอยู่ ผมสามารถกอดได้ก็จะกระโดดกอดเลยนะเนี่ย

“อย่าเลย”
“งั้นหาซื้ออาหารร้านนั้นไปกินที่บ้านพี่ไหม?”
“……” พี่เอิร์ธดูหน้านิ่งๆ
“หรือ….หรือ…. ไปกินที่ร้านเดิมตรงหน้าที่ทำการฯ ก็ได้”
“อืม…..ก็ได้”
“…….” เออเฮ้ย ได้ด้วย ผมพยักหน้าและรีบมองออกไปทางอื่นเพราะกลัวผมจะแสดงสีหน้าให้เขาเห็น การที่เขายอมให้ผมไปที่บ้านอีกแปลว่า เขาอาจจะยอมรับผมแล้วก็ได้ แค่ก็อดดีใจออกนอกหน้าไม่ได้

ร้านอาหารหน้ามอ เป็นร้านที่ขายอาหารประเภทสเต็กครับ ที่เสิร์พในจานยักษ์ใหญ่แต่บนจานนี่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์นานาชนิดที่แล้วแต่เราจะสั่ง ผมทั้งสองคนแน่นอนว่าสั่งจานที่ใหญ่ที่สุดครับ ผมน่ะหิวมากครับ แต่พี่เอิร์ธน่าจะสั่งแบบนี้เป็นเรื่องปกติ

พอกลับมาถึงบ้านพี่เอิร์ธ พวกเราต่างช่วยกันจัดลงจานซึ่งหนึ่งชุดจัดลงได้เต็มสองจาน รวมๆจานบนโต๊ะทั้งสิ้นสี่จาน

“โห..เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย ที่วิ่งไปเมื่อกี้สูญเปล่าเลย”
“เขาถึงบอกว่าอย่างสั่งอาหารตอนหิวไงครับ”
แล้วก็หัวเราะกัน ภาพเวลาทานมื้อค่ำแบบนี้กลับมาเป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา พี่เอิร์ธดูมีความสุขกับการกินเหมือนเคย ผมก็พยายามเล่าเรื่องตลกๆ ให้พี่เอิร์ธหัวเราะเหมือนเช่นปกติ พี่เอิร์ธก็พยายามนั่งฟังและพยายามหัวเราะกับมุกที่ผมรู้เขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง (ก็อายุไม่เยอะนี่หว่าแต่ชอบคิดไม่ทันเหมือนคนแก่เลย)

ผมอาสาเก็บจานไปล้างทำความสะอาดเช่นเคย ส่วนพี่เอิร์ธก็เก็บโต๊ะปัดกวาดด้วยความคุ้นเคย การที่เราทำแบบนี้มันเหมือนคู่สามีภรรยาเลย ผมมองภาพเหล่านั้นอย่างอบอุ่นในใจ

หลังจากล้างและเก็บจานเรียบร้อย ผมเห็นพี่เอิร์ธนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมยาวในห้องรับแขกหน้าบ้าน เหม่อออกไปที่สวนด้านนอก ที่เปิดแสงไฟสีส้มสลัวๆสายลมเย็นพัดไปมาเบาๆ ให้ยอดไม้ในสวนสั่นไหวระริก ผมเดินไปนั่งข้างเขาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนมีมนต์สะกดให้ผมทำแบบนั้น

“อ้าวเฮ้ย!! ตกใจหมด ที่ทางออกจะเยอะแยะช่วยขยับไปนั่งไกลๆ หน่อยสิ”
“ก็ผมอยากนั่งตรงนี้!!”
“หลง…..” พี่เอิร์ธจ้องผมและลากเสียงชื่อผมยาว
“อ่ะ…ครับได้ครับ” ผมขยับออกมานิดหน่อยเว้นที่ไว้ขนาดครึ่งไม้บรรทัด
“ขอบใจนะที่มากินข้าวเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรครับ พี่จะชวนทุกวันก็ได้”
“ไม่โกรธ ที่พี่พูดไม่ดีใส่เราวันนั้นเหรอ?”
“โกรธ….แต่ก็เข้าใจที่พี่พูดนะ”
“อืม…. งั้นเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม? เป็นพี่น้องที่ดีเหมือนเดิม”
“ไม่ได้!!!!” ผมเน้นเสียง
“…..” พี่เอิร์ธทำหน้าเสียและดูซีดลงไป ผมเลยใช้โอกาสนี้ จู่โจมเข้าไปหาพี่เอิร์ธยืนค่อมเขาอยู่โดยหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบ
“เฮ้ย! ทำอะไร?”
“พี่ก็รู้ว่าผมคิดกับพี่มากว่าพี่น้อง พี่ไม่ได้แบบเดียวกับผมเหรอ พี่อย่าใจร้ายกับผมนักเลยนะ” ผมจ้องตาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามสื่อถึงใจเขามากที่สุด แต่พี่เอิร์ธพยายามเบี่ยงหน้าหลบตาผมไปทางอื่น แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวหนีไปไหน
“เอ่อ..เอ่อ…. คือ…”
“ พี่เอิร์ธครับ….. รับรักผมนะครับ”
“หลงคือว่าพี่…..” จังหวะที่เขาหันมาผมกดริมฝีปากตัวเองลงไปที่อีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน ผมพยายามใช้ริมฝีปากของผมงับริมฝีปากล่างของของพี่เอิร์ธ ผมได้ยินเสียงพี่เอิร์ธครางเบาๆ ในคอ เขาหลับตาพยายามขยับปากไปตามจังหวะของผม ผมใช้มือของผมลูบไล้ไปตามความยาวของคอและเลื่อนลงมาด้านล่างเรื่อยๆ จนถึงช่วงอก ผมโอบกอดพี่เขาและกระชับให้เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนผมได้ยินเสียงครางในคอดังขึ้นและรู้สึกถึงลมหายใจที่หอบถี่ ผมไต่มือลงไปเพื่อล้วงเข้าไปในเสื้อยืดสำหรับเล่นกีฬาของเขา กลิ่นตัวของพี่เอิร์ธช่วงยั่วยวนให้ผมคิดเตลิดไปไกล

“เดี๋ยวๆ” พี่เอิร์ธถอนหน้าออกจากผมและใช้มือดันหน้าอกผมให้ห่างออกไป
“พี่เอิร์ธครับ…” ผมรู้สึกถึงความหื่นออกจากเสียงของตัวเองและพร้อมที่จะรุกไล่เขาอีกระลอก
“หลง….” เสียงและสายตาพี่เอิร์ธเย็นมาก
“…..” ผมค่อยๆ ถอนตัวออกจากพี่เอิร์ธ
“…แฮ่ม…” พี่เอิร์ธหน้าแดง ลูบหัวจัดเสื้อผ้าตัวเองแบบเขินๆ
“พี่เอิร์ธครับ ผม…”
“เอางี้….เข้าใจแล้ว  งั้นเรามาตกลงกันก่อน”
“แปลว่าพี่รับเป็นแฟนผมแล้วใช่ป่ะ?” ผมขยับเข้ามาใกล้ชิดพี่เอิร์ธ
“ใจเย็นๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้น พี่ขอดูพฤติกรรมเราก่อน ค่อยเป็นค่อยไปนะ”
“เยส!!” ผมกระโดดตัวลอย
“เฮ้ยๆ บ้านพี่จะพังไหม?” พี่เอิร์ธพยายามปรามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ได้ครับผมจะพิสูจน์ให้พี่เห็นว่าพี่รักผมแล้วจะไม่ผิดหวัง….งั้นผม….ขอมัดจำไว้ก่อนได้ไหมครับ” พูดจบผมก็ก้าวไปหาพี่เอิร์ธและกดริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากพี่เอิร์ธอย่างแผ่วเบา

“ไอ้เด็กบ้า!”

พี่เอิร์ธผลักผมออกไปด้วยแรงแขนที่มีทั้งหมดพร้อมเสียงดังลั่นบ้าน แต่สีหน้ากลับแสดงออกตรงข้าม ผมเซไปทางด้านหลังแต่ก็สามารถยันตัวเองให้ตั้งตรงพร้อมยิ้มให้กับคนตรงข้าม

“พี่เตรียมรักผมแบบหัวปรักหัวปรำได้เลย” ผมยักคิ้วให้คนที่นั่งอยู่

……………………………………………





 :katai4:
หากมีผิดพลาดจะขอกลับมาแก้ไขเพิ่มเติมทีหลังครับ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบห้า part 2 (อัพ 14/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 15-08-2017 02:49:54
อยากได้ side story 5555
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบหก part 1 (อัพ 19/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-08-2017 09:29:14

ชัย # 6



จากข่าวที่ได้มาจากนักสืบโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำให้ผมรู้ความเคลื่อนไหวของกวีตลอดสัปดาห์และรู้ถึงกิจวัตของมันไม่ยาก

จันทร์,พุธ,ศุกร์ - เรียนพิเศษช่วงเย็น, พานิ่มไปกินข้าวและส่งกลับบ้าน
อังคาร,พุธ - อยู่กับนิ่มหลังซ้อมบาสเก็ตบอลกับทีม และส่งนิ่มกลับบ้าน
เสาร์, อาทิตย์ - ก็มีเรียนพิเศษและซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียน มีนิ่มไปนั่งเฝ้าและตัวติดกันตลอดทั้งวัน

ชีวิตมันโคตรจะเหนื่อย ซึ่งโคตรจะแตกต่างกับผมเลย ผมนอกจากจะต้องซ้อมบาสทุกวันแล้วนอกนั้นก็แล้วแต่อารมณ์ว่าจะไปไหนทำอะไร เรื่องสอบค่อยไปอ่านเอาใกล้ๆวันนั่นแหละ

แต่ที่แน่นอนทุกวันคือ หลังจากทุกกิจกรรมทุกวันของมันจะต้องแวะมาที่ร้านๆ หนึ่งใกล้บ้านมัน เป็นร้านคาเฟ่ที่มีอาหารขึ้นชื่อเรื่องของหวานและเบเกอรี่ บรรยากาศคล้ายห้องสมุด เป็นแหล่งรวมพวกนักเรียนนักศึกษาแบบเนิร์ดๆ มานั่งทบทวนบทเรียนและทำการบ้าน ที่สำคัญคือเปิดถึงเที่ยงคืน กวีมานั่งที่นี่ทุกวันครับ เพราะเห็นว่ามีการโพสรูปเขากับที่นี่ทุกวันใน ‘เพจวัยรุ่นวัยใสวัยน่ารัก’ อะไรนั่น (เพราะมันเลยทำให้ผมเข้าไปดูไอ้เพจนี่ ซึ่งก็เพลินดี สาวๆน่ารักเพียบพร้อมบอกนิสัยและถื่นที่อยู่!)

วันนี้ผมเลยมาดักรอที่นี่ และได้นัดแนะกับเจ้พิ้งค์ในการปฏิบัติภาระกิจเรียบร้อย น้ำหยอดลงกินทุกวันยังกร่อน เจอนางแมวยั่วสวาทหยอดบ่อยๆ มันต้องรู้สึกบ้างล่ะวะ ไหนจะไอ้เพจอะไรนั่นอีก หากมีการลงรูปไอ้กวีกับผู้หญิงสวยๆ อย่างเจ้พิ้งค์รับรองนิ่มได้หึงแบบไม่ลืมหูลืมตา
ผมกางสมุดที่ทำบันทึกกิจกรรมของไอ้กวีไว้ออกมาดูให้แน่ใจว่าวันที่มีเรียนพิเศษแบบนี้ ไอ้กวีมันจะต้องไปส่งนิ่มก่อน แล้วค่อยมาที่นี่ ดังนั้นมีโอกาสที่มันจะมาคนเดียวค่อนข้างสูง (นิ่มตามมาคุมอยู่บ่อยครั้งครับ แต่เธอก็อยู่ไม่นาน จริงๆ เธอก็ไม่ใช่เด็กเรียนเสียเท่าไหร่ มันออกจะน่าเบื่อที่มาอยู่ในสถานที่เงียบๆแบบนี้นานๆ ผมมานั่งไม่นานยังเบื่อเลย)

พอผมปิดสมุด โจษก็เดินเข้าทันที ดีที่ผมนั่งแอบอยู่ในมุมหนึ่งของร้านใกล้ๆชั้นหนังสือบานใหญ่ ไอ้กวีมันน่าจะมองไม่เห็น แต่แผนนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีดารานำอีกคนหนึ่ง เจ้พิ้งค์ของผม ทำไมเจ้แกยังไม่มาอีกวะ นัดไว้ตั้งนานแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรศัพท์หาทันที ได้ยินสัญญาณไม่กี่ตื้ด เจ้แกก็รับสาย

“เจ้…อยู่ไหนเนี่ย”
“โทษที…เจ้ไปไม่ได้แล้วว่ะ”
“อ้าวทำไมละ ตกลงกันแล้วไง”
“ก็ไอ้เรื่องที่สระน้ำน่ะสิ แฟนเจ้คุมเจ้แจเลย วันนี้ว่าจะออกมาดันขอออกมาด้วย เจ้เลยมาตลาดนัดแทน”
“อ้าว…ทำไงดีเนี่ย”
“วันนี้ยกเลิกก่อนนะ”
“เออๆ เซ็งเลย”
“อีกเรื่องหนึ่งนะ เจ้ว่าเลิกเหอะ ดูท่าแฟนเจ้ก็เริ่มระเคะระคายเรื่องกวีนะ น้องมันเป็นคนดี พี่ไม่อยากทำร้ายเขาเลย คงจะรู้ใช่ไหมว่าคนของเจ้เวลามันหึงจะเป็นยังไง!”
“แต่…..”
“เรื่องนิ่มน่ะ เข้าใจว่าอยากจะแก้เผ็ดมัน แต่กวีเขาเป็นคนบริสุทธ์ในเรื่องนี้นะ”
“ผมรู้ ที่ทำอยู่เนี่ยก็เพื่อไอ้กวีด้วยนี่แหละ จะเลิกกับผู้หญิงแบบนั้นก่อนที่จะเสียใจเหมือนไอ้หลง”
“เออๆ แค่นี้นะแฟนเจ้คุยเรื่องผลบอลจบแล้ว ท่าทางหงุดหงิดด้วย แล้วก็เปลี่ยนแผนซะนะ ส่วนเรื่องค่าจ้างเดี๋ยวโอนคืนให้”
“ไม่ต้องหรอกครับเจ้เก็บไว้เหอะ”
“ว๊าย… น่ารักที่สุด บาย”
แล้วเจ้พิ้งค์ก็วางสายไปเลยทิ้งผมให้เคว้างคว้างกับร้านที่เงียบงันและหนอนหนังสือทั้งหลาย วันนี้ยกเลิกทุกอย่างกลับบ้านดีกว่า

“อ้าวชัย มาที่นี่ด้วยเหรอ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นขณะผมกำลังเก็บข้าวของลุกขึ้นจากโต๊ะ

ฉิบหายแล้ว!! ผมคิดในใจ

“เอ่อ….. มาอ่านหาที่อ่านหนังสือพรุ่งนี้มีสอบย่อย” ผมเหลือบไปเห็นกองหนังสือที่วางกองอยู่ตั้งแต่ผมเข้ามานั่งที่นี่และคว้าขึ้นมา 1 เล่มให้อีกฝ่ายเห็น
“อ้อ ชีวะฯ วิชาถนัดเราเลย ช่วยติวไหม?”
“เอ่อ… ไม่เป็นไร เราอ่านเองได้ แล้วนายล่ะมาทำอะไร?”
“อ้อ… การบ้านน่ะ ฟิสิกส์กับคณิตฯ โคตรจะไม่ถนัดเลย”
“………” มันบอกว่าไม่ถนัดแต่ได้ข่าวว่าเทอมล่าสุดมึงได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มันจะเทพไปไหน?
“แล้วนี้จะกลับแล้วเหรอ?”
“เออ.. ใช่อ่านเสร็จแล้ว” ผมเดินถอยออกมาอย่างช้าๆ
“โอเคงั้นเจอกัน” ไอ้กวีมันตีสีหน้าเชิงเหงาๆ ปนผิดหวัง
ผมเดินออกจากตรงที่ผมนั่งได้สักสองสามก้าวก็คิดได้ว่าระหว่างที่ยังคิดแผนใหม่ไม่ออก สนิทกับมันเพิ่มขึ้นสักนิดก็น่าจะดีเผื่อจะคิดอะไรออก ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรทำ

“เออ! กวี เราช่วยทำการบ้านไหม? เราถนัดฟิสิกส์” ใช่ครับมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมเข้าใจที่สุดในบรรดาบทเรียนทั้งหลาย ส่วนวิชาที่อ่อนที่สุดก็ ชีวะฯ นีแหละ!
“ได้..ได้สิ นั่งเลย” ดูไอ้กวีมันกระตือรือร้นขึ้นทันที
“กินอะไรยัง? หิวว่ะ”
“กินแล้ว แต่ก็เอาดิสั่งมากินได้ เรามักจะกินอะไรไปด้วยระหว่างทำงานอยู่แล้วจะได้ไม่หลับ”
“ที่นี่มีอะไรกินมั้งเนี่ย?” ผมหยิบเมนูที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าใส่ของข้างโต๊ะออกมากางมองหาของกิน
“ไอ้นี่อร่อย ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้นี่ด้วย ลองไหมเดี๋ยวเราไปสั่งมาให้”
“เออ…ก็..ดี” โอโห ของหวานทั้งนั้น ผมมันประเภทไม่ชอบของหวานครับ ขนมนมเนยอะไรพวกนี้ไม่ถนัด พอผมพูดจบมันก็ลุกขึ้นไปที่เคาเตอร์สั่งอาหารที่หน้าร้านเลย
เพียงไม่กี่อึดใจของที่สั่งก็มาเต็มโต๊ะพร้อมด้วยเครื่องดื่มโซดาสีสวยที่ทางร้านแนะนำว่าเป็นโปรโมชั่นแถมฟรีสำหรับคนที่ซื้อเซ็ทของหวานที่ไอ้กวีมันสั่ง ผมเห็นของบนโต๊ะก็แอบถอนหายใจ
“โอโหเยอะนะเนี่ย กินหมดเรอะ? แล้วเท่าไหร่เนี่ย?”
“หมดสิ ปกติก็สั่งประมาณนี้ แล้วก็ไม่เป็นไรเราเลี้ยง นายอุตส่าห์จะมาช่วยเราทำการบ้าน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนกับอาการปวดท้องล่วงหน้าหากต้องกินของหวานเหล่านี้เข้าไปซึ่งปริมาณมันไม่น้อยเลย
“ถามหน่อย บ้านอยู่ไม่ไกล ทำไมไม่กลับไปทำบ้านวะ” ผมเสถามเรื่องอื่น
“ที่บ้านไม่มีสมาธิน่ะ ทำที่นี่เสร็จเร็วกว่า”
“อ้อ….”  ทำเป็นเข้าใจแต่ไม่เข้าใจมันว่ะ เรื่องของมันไม่อยากจะถาม
“เอ้ากินกันเถอะ หิวพอดีเลย”
“…อืม….” ผมพยายามทำหน้าให้ยินดีกับการจัดการของหวานตรงหน้า
ปรากฏว่าที่ไอ้กวีมันว่ามันอ่อนฟิสิกส์เนี่ย ไม่ได้ใกล้กับความจริงเลย แต่ยังดีที่ผมน่ะคิดเร็วกว่ามัน ไม่งั้นคงได้หน้าแหกพอดี จะมาช่วยเขาแต่ตัวเองดันมีความรู้น้อยกว่า สงสัยคงต้องตั้งใจเรียนกว่านี้ เพราะไม่เคยได้ต่ำกว่าเกรดสามเลยขี้เกียจทบทวนเพราะเห็นว่าดีอยู่แล้ว

“โห… เสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เราตั้งเป้าไว้สี่ทุ่มนะเนี่ย ดูสิแค่สามทุ่มก็ทำเสร็จแล้ว ชัยช่วยได้เยอะเลย หัวดีจริงๆ”
“ไม่หรอก แค่คนถนัดเรื่องคำนวนก็เท่านั้น”
“ยังมีเวลา เรามาติวให้นายต่อเลยไหม?”
“ติว?”
“อ้าวก็ไหนว่ามีสอบย่อยชีวะฯไง”
“อ้อ…เอ้อ…ชีวะฯ เออ ใช่ ใช่ แต่ดึกแล้วไม่เป็นไร”
“ยังไม่ดึกหรอก ปกติเราอยู่ถึงสี่ห้าทุ่ม ไหนล่ะจะสอบบทไหนเรื่องอะไร เราถนัดวิชานี้มากเลยนะ”
“….อืม…” ผมรู้สึกมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลัง ทำไงดีวะ เรื่องชีวะฯไม่ถนัดน่ะก็ใช่ แต่เรื่องสอบนี่สิ บทไหนฟะ เพราะรู้สึกว่ายากเลยไม่ตั้งใจเรียนเลย ผมตัดสินใจหยิบหนังสือชีวะฯจากกองหนังสือที่ตอนนี้วางกองอยู่ที่มุมโต๊ะขึ้นมาสักเล่ม พลิกไปมาอย่างลวกๆ และจิ้มหัวข้ออะไรสักอย่างที่แปลกตาหันไปให้ไอ้กวีที่นั่งมองตาใสแป๋ว

“อันนี้นี่เอง….. ไม่ยากๆ เราเรียนพิเศษมาแล้ว”

พูดจบไอ้กวีก็ขยับมานั่งใกล้ขึ้น พยายามพูดอธิบายต่างๆนานา ช่วงแรกเหมือนสมองจะไม่รับข้อมูลอะไรเหล่านั้นเสียเท่าไหร่ เหมือนข้อมูลที่ถูกใส่รหัสมา ไม่เข้าใจแปลไม่ออก สงสัยผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปว่าไม่เข้าใจ ทำให้ไอ้กวีพยายามเปลี่ยนโทนเสียง อธิบายช้าลง เปลี่ยนศัพท์และคำพูดจนผมรู้สึกว่าข้อมูลเหล่ากำลังไหลเข้าหัวผมช้าๆ ผมค่อยๆ เข้าใจกับบทเรียนของตัวเอง ยิ่งไอ้กวีพูดออกมายิ่งทำให้ผมสนใจอยากรู้มากขึ้น ผมถึงขั้นถามกลับในเรื่องที่ผมสงสัย

ยิ่งผมสนใจผมก็จับจ้องที่คนสอนมากขึ้น ดวงตาที่กลมโต คิ้วเข้ม จมูกสวยได้รูป ปากสีอมชมพูนั่น และน้ำเสียงไหลออกมาจากปากที่ขยับอย่างลงตัว บางครั้งผมยอมรับว่าผมเผลอมองสิ่งเหล่านี้จนลืมฟังบางเนื้อหาถึงขั้นให้เขาอธิบายใหม่

เสียงกริ่งนาฬิกาปลุกดีงขึ้นจากสมาร์ทโฟนเครื่องสีทองที่วางอยู่ข้างๆ กองหนังสือชีวะฯ ที่ไม่ใช่ของผม

“เข้าใจบ้างยัง? ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหม? แต่ขอให้พรุ่งนี้สอบได้นะ”
“อือๆ ช่วยได้เยอะเลย” ผมใช้มือช้อนคางตัวเองพยักหน้าหงึกๆ ผมรู้สึกเสียดายที่เวลาดีๆแบบนี้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“งั้นเรากลับก่อนนะ เดี๋ยวจะถึงเวลาเคอฟิวส์ที่บ้านแล้ว นายล่ะจะกลับยัง?”
“ยังน่ะ ขออ่านให้จบ แล้ว…..พรุ่งนี้นายมาไหม?”
“อืม….. มานะแต่อาจจะดึกหน่อย เพราะต้องไปส่งนิ่มก่อน”
“เรายังมีการบ้านของวิชาอื่นด้วยเผื่อนายจะช่วยเราได้”
“วันนี้เราแทบไม่ได้ช่วยอะไรนายเลยนะ ความจริงนายหัวไวนะเนี่ย หากเป็นเพื่อนในทีมเรา ชั่วโมงหนึ่งคงยังไม่จบพาร์ทแรกของบทนี้เลย แต่นายนี่เกือบจบบทเลยนะเนี่ย”
“อืม…. งั้นไม่เป็นไร ขอบใจนะ เราลองทำดูก็ได้”
“…….”
“แล้วเจอกันนะ” ผมโบกมือลาไอ้กวีขณะที่มันที่ทำหน้าลังเลอะไรสักอย่างอยู่
“เอางี้ ถ้าพรุ่งนี้นายมาที่นี่อีกคงได้เจอกัน เรามาที่นี่ทุกวันล่ะ”
“อื้ม! ได้สิ” 
แล้วมันก็โบกมือลาแล้วเดินออกไป

กูทำอะไรลงไปวะ? นี่เราชวนมันมาเจอกันอีกทำไม?  มาอ่านหนังสือเนี่ยนะ! ไม่เหมาะกับผมเอาเสียเลย ผมกำลังคิดวนไปมากับความสับสนในใจ จนกระทั่งไปจบลงที่ว่า หากทำให้ไอ้กวีสนิทกับเราได้จนริดรอนเวลาที่มันอยู่กับนิ่มอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองห่างออกไป ดีไม่ดีอาจจะไปเป็น กอขอคอ เลยก็ได้ นิ่มมันไม่ชอบคนติดเพื่อน!! ดีเลยใช้แผนนี้ก็แล้วกัน
ผมงึมงำกับความคิดของตัวเองที่โต๊ะ

………………..

ผมมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่สองทุ่มวะ! จากการที่ผมสืบมา มันน่าจะเพิ่งไปส่งนิ่ม ผมจะรีบมาทำไมวะเนี่ย แถมขนหนังสือของตัวเอง (ที่เหมือนใหม่มาก) มาด้วย คนที่ไม่เคยที่จะทำการบ้านแบบผมเนี่ย (หากไม่โดนบังคับก็ไม่ทำ) เอาการบ้านมานั่งรอไอ้ชัยอยู่ที่ร้านประจำของมัน ผมลงทุนไปไหมเนี่ย? ไหรจะต้องมานั่งกินของหวานเหล่านี้รออีก แค่เห็นก็คลื่นไส้แล้ว (คงต้องสั่งเพราะมีแววจะนั่งนาน เกรงใจเจ้าของร้านคนสวย)

เข็มสั้นของนาฬิกาเดินมาถึงค่อนเลขสิบ ส่วนเข็มยาวอยู่ที่เลขแปด ผมนั่งหาวอ้าปากกว้างอยู่ในร้านที่เงียบสงบที่มีเสียงดนตรีบรรเลงเพียงเบาๆ ไม่มีแม้แต่เสียงคนร้องบรรยากาศพาง่วงสุดๆ ผมรู้สึกว่าไอ้กวีไม่น่าจะมาแล้วคงไปสวีทกับนิ่มที่ไหนสักแห่ง

ผมมันคิดไปเองที่คิดว่ามันจะเห็นผมเป็นเพื่อนสนิท รับปากแล้วก็ต้องมา แต่วันนี้มันคงไม่มาแล้วล่ะ ผมตัดใจและค่อยๆ เก็บของที่อุตส่าห์เตรียมมา

กรุ่งกริ่ง…..

ประตูร้านที่เปิดกว้างออกพร้อมเสียงกระดิ่งดังกังวาลทั่งร้าน ไอ้กวีวิ่งหายใจหอบถี่เข้ามา

“โทษที วันนี้ต้องไปเป็นเพื่อนนิ่มซื้อของขวัญวันเกิดเพื่อนของนิ่มเลยกว่าจะมาได้”
“เฮ้ย! ไม่ว่างก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ ยังไงเราก็จะมาทำการบ้านอยู่แล้ว”  ผมกำการบ้านที่ผมแทบไม่ได้แตะเลยขึ้นมากระชับที่อก
“ไม่ได้สิ บอกว่ามาก็ตัองมา”
“ไม่ต้องซีเรียสนะ ดึกแล้วกลับกันเถอะ” ผมแสร้งทำหน้าผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชักอยากเรียนการละครแล้วสิ
“พรุ่งนี้ไหม พรุ่งนี้ปกติเราจะมาหลังเรียนพิเศษอยู่แล้ว”
“อ้าว… แล้วแฟนนายล่ะ”
“……..” ไอ้กวีทำสีหน้าเหมือนแบกอะไรหนักๆอยู่
“ไม่ต้องคิดมาก มาได้ก็มา มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา” ผมตบไหล่มันเบาๆ
“มาได้แน่นอน แต่บางทีนิ่มอาจจะมาด้วย”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“คือ… นิ่มมาอยู่ด้วยทีไร ทำการบ้านไม่เสร็จ อ่านหนังสือไม่จบสักทีน่ะสิ เดี๋ยวนายก็พาลทำอะไรไม่เสร็จไปด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แฟนกันคงอยากให้อยู่ด้วยกันมากกว่ามานั่งทำการบ้านอ่านหนังสืออ่ะนะ”
“เออ…ก็จริง”
“ไม่เป็นไร ถึงยังไงเรามาคนเดียวก็ทำไม่เสร็จอยู่ดี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นงั้นไป” ไอ้กวีหัวเราะขึ้นซะอย่างนั้นเหมือนจะเห็นด้วย ไอ้สัดนี่
……………………………………….


หลังจากวันนั้นผมก็แวะเวียนไปที่ร้านนั่นทุกวันหลังซ้อมบาสฯที่โรงเรียนเสร็จ ร้านนี้มันอยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนผม หลังซ้อมเสร็จผมจึงรีบบิดมอเตอร์ไซค์คันโปรดมารอไอ้กวีที่ร้านทันที ผมรู้สึกว่าแผนการคราวนี้ผมดูจะลงทุนกับมันมากเป็นพิเศษจนผมรู้สึกปลกใจในความกระตือรือร้นของตัวเอง

แล้วไอ้กวีก็ทำตามที่มันพูดมันไปเจอผมในวันรุ่งขึ้นและก็นัดกันในวันต่อๆไป จนกลายเป็นว่าผมกับมันต้องไปเจอกันทุกวันหลังเสร็จกิจธุระของแต่ละคน ส่วนนิ่มเท่าที่ผมทราบ พอรู้ว่าต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องมาจมอยู่กับบทเรียนมหาศาล เธอก็ไม่เคยมาเลย สรุปว่าจากที่นัดกันวันต่อวันจนกลายมาเป็นว่าผมต้องไปเจอไอ้กวีจนเป็นกิจวัตไป

ผลพลอยได้จากงานนี้คือ ทุกการสอบย่อยผมได้ท้อปทุกวิชา มันก็มีข้อดีของมันนะครับ ตอนนี้รู้สึกตัวเองแปลกๆ ไปจนไอ้คนที่ทำสีหน้ามีความสุขมากทุกเย็นอย่างไอ้หลงถึงกับออกปากทักผมหลายครั้ง (ไอ้คนหลงแฟน!! ไอ้คนลืมเพื่อน) ผมตั้งว่าจะไม่บอกมันจนกว่าแผนจะสำเร็จ

“ไอ้ชัย มึงมีอะไรจะมาสารภาพไหม?”
ไอ้หลงเดินมาจากไหมไม่ทราบ มายืนอยู่หลังผมโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดซ้อมบาสฯ

“เชี้ย! กูตกใจหมด”
“ตอบคำถามกูมา!”
“สารภาพเชี้ยอะไรวะ?”
“นี่ไง”
ไอ้หลงมันหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมา ที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือแสดงให้เห็นรูปคนสองคนนั่งแทบจะหัวติดกันในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ดูคุ้นตา ผมใช้นิ้วขยายภาพนั้นใหญ่ขึ้นเพราะเป็นภาพถ่ายระยะไกลพอควร

“เชี้ย!!!”
“เออ!! เชี้ย มึงไปทำเชี้ยอะไรกับมันวะ?”
“เอ่อ….ไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านแค่นั้น”
“อย่างมึงนี่นะ? กูไม่เคยเห็นมึงทำอะไรแบบนี้ อย่าบอกมึงแผนอะไรโง่ๆ แล้วไม่บอกกูอีก”
“ไม่มีอะไรแต่บังเอิญไปเจอกัน”
“บังเอิญพ่อง!!! ไปเจอกันทุกวัน!!”
“มึงรู้ได้ไง”
“สัด!! มึงดูคอมเม้นต์ใต้ภาพ!” พูดยังไม่จบประโยคมือมันก็โบกหัวผมดังพั่บ
“เชี้ย! กูเจ็บนะมึง” หันไปคิ้วขมวดใส่มันแล้วอ่านคอมเม้นไล่ไปเรื่อยๆ

Xxx1: เจอคู่นี้ทุกวันเลยล่ะเธอ!!
Xxx2: อุ้ย คิ้วท์บอยในตำนานทั้งสอง
Xxx3: แก๊!!!  อย่าบอกนะว่า….. ว๊ายๆๆ
Xxx1: แค่คิดก็ฟินแล้วคะแก……
Xxx4: ไม่นะคะ ต้องไม่ใช่น้องชัยของพี่
Xxx5: แต่อีกคนชื่ออะไรนะ กวีใช่ไหมคะ คนนั้นมีแฟนด้วยนะคะ เป็นดาวโรงเรียนเลยนะคะ
Xxx6: เห็นเหมือนกันครับ ที่คนเข้าร้านนี้เยอะขึ้นก็เพราะสองคนนี้แหละ มาทีไรก็เห็นอยู่ด้วยกัน นั่งที่เดิมตลอด สนใจอยากเห็นอุดหนุนที่ร้านได้นะครับ
Xxx2: อันบนนี่เนียนนะคะ

และอื่นๆ อีกมากกว่า 100 คอมเม้นต์ และมีรูปในวันอื่นๆ ที่แฟนเพจสนับสนุนในการลงและแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส

“กูไม่นึกว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยว่ะ”
“นึกว่าช่วงนี้ หายไปบ่อยๆ กูนึกว่ามึงจะอายที่แม่บังคับให้เรียนพิเศษ เห็นช่วงนี้แม่งท้อปทุกวิชา”
“เชี้ยแล้ว แผนกูก็แค่ตีสนิทและหาทางบ่อนทำลายความสัมพันธ์แต่แม่งกูไม่เจอนิ่มเลย เจอแต่ไอ้กวีทุกวัน”
“ไม่แปลกหรอกว่ะ นิ่มไม่ชอบเรียน แค่โดนแม่บังคับให้เรียนทุกวันก็บ่นจะแย่ มึงคิดว่านิ่มจะไปสถานที่น่าเบื่อแบบนั่นเหรอ”
“กูก็ว่า…” สงสัยคงต้องเลิกแผนนี้เสียแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเสียดายก็ไม่รู้สิ
“แต่ก็ดีนะ ช่วงนี้กูเห็นนิ่มไปแต่กับเพื่อน ไม่เคยเห็นอยู่กับไอ้กวีเท่าไหร่ มันอาจจะได้ผลก็ได้นะ ยิ่งมีข่าวลือเรื่องมึงสองคนนี่ กูว่าได้สนุกแน่ๆ”
“ถามกูสักคำไหมว่า กูอยากมีข่าวแบบนี้กับมันไหม? เป็นดาวมหา’ลัย อะไรอย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง”
“กูรู้นิสัยนิ่มนะ เดี๋ยวได้มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่ๆ มึงทำต่อไปดิ ดีไม่ดีเดี๋ยวก็ได้เลิกกันจริงๆ” ผมได้ยินไอ้หลงพูดรู้สึกเหมือนยกอะไรออกจากอก ไม่รู้สึกอึกอัดแบบเมื่อครู่แล้ว

“เฮ้ย!! พวกมึง!! จะเอาแต่คุยกันหรือไง?? ใครมาที่สนามช้ากูจะให้มันวิ่งรอบสนามเพิ่มอีก 10 รอบ!!”

เสียงอาจารย์โค้ชแผดก้องเข้ามาในห้องล็อคเกอร์ที่มีคนเหลืออยู่บางเบา ทำให้พวกผมกระจายตัวรีบเปลี่ยนชุดเพื่อวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด

………

วันนี้เป็นวันที่พวกผมซ้อมกันหนักที่สุดเพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันแข่งจริงกับโรงเรียน aaaวิทยาลัยแล้ว โค้ชพูดทิ้งท้ายไว้ว่าซ้อมอีกสองวันก็จะให้หยุดหนึ่งวันก่อนแข่งเพื่อคลายเครียดและพักผ่อนให้เต็มที่ดังนั้นช่วงนี้ก็จะซ้อมกันหนักขึ้นเช่นกัน พวกผมโห่ร้องโอดควรด้วยเสียงที่อ่อนแรง พอหลังจากโค้ชคล้อยหลังไปทุกคนต่างแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ส่วนผมรีบปลีกตัวออกจากกลุ่มไปอาบน้ำก่อนและรีบออกมาก่อนที่ทุกคนจะแต่งตัวเสร็จ หนีไอ้หลงมันครับเดี๋ยวมันจะมาเซ้าซี้ผมอีก (รำคาญ) อีกอย่างวันนี้ผมเลิกซ้อมดึกกว่าทุกคืนมากครับ เดี๋ยวจะไปอีกฟากเมืองไม่ทัน

ผมบิดมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขอมผมด้วยความเร็วเต็มกำลัง ตอนนี้ดึกแล้วรถบนถนนเริ่มบางตาทำให้การเดินทางไปถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิด ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าร้านยืนมองเข้าไปในร้านที่มีแสงไฟสีส้มเข้มสว่างไปทั่วร้าน

จากมุมที่ผมยืนอยู่ผมเห็นไอ้กวีก้มๆ เงยๆ อ่านหนังสือของมันเหมือนอย่างเช่นเคย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกชื่นชมกับความอุตสาหะของมัน
เรื่องที่มันอยากเป็นสัตวแพทย์ เพราะเคยสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักมาก เลยเป็นแรงผลักดันให้มันอยากเป็นสัตวแพทย์ ทั้งๆ ที่คนหัวดีอย่างมันจะไปเรียนเป็นแพทย์ไปเลยก็ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งไอ้กวีมันหลุดปากเล่าให้ฟังถึงสุนัขตัวนั้น สุนัขพันธุ์ไซบีเรี่ยน ฮัสกี้เป็นของที่แม่ซึ่งเสียไปซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด พอหลังจากที่แม่เสียไป ด้วยความที่มันดูแลไม่ดี มันจึงเสียชีวิตตามไป มันเล่าให้ฟังด้วยตาที่แดงก่ำและน้ำตาที่ปริ่มเอ่อ ภาพที่เห็นตรงหน้าและเสียงที่เล่าตอนนั้น ทำเอาหัวใจหยาบกร้านของผมสั่นระรั่วผมไม่เคยสูญเสียใครในครอบครัว แต่ผมกลับรู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่เสแสร้ง

ผมถอนหายใจและก้าวเดินเข้าไปที่ร้าน ก้าวไปด้วยความตั้งใจว่าจะหยุดการกลั่นแกล้งนี้เสียที หลังจากภาพที่เห็นในเพจนั่น ผมคงทำให้มันเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากมันมีความสุขกับนิ่ม ผมก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้ถ้าจะให้พูดจากใจมันก็กลายเป็นเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งไปแล้ว ส่วนไอ้หลง มันก็มีความสุขดีแล้ว จนผมคิดว่าการที่นิ่มทิ้งมันไป ทำให้มันได้เจอพี่หมอ (ที่น่ารัก) น่าจะเป็นเรื่องดีๆ ไปเสียแล้ว….. ดังนั้นผมควรจะหยุดเจอมันเสียทีแต่ทำไมในใจยังรู้สึกเสียดายอยู่แบบนี้นะ

ทันทีที่ผมเหยียบเข้าไปในร้าน เสียงเล็กที่ดูน่ารักแต่แฝงไปด้วยความไม่จริงใจดังขึ้นที่ข้างๆ ตัวทันที

“สวัสดีคะพี่ชัย”
ผมสะดุ้งและหันไปทางต้นเสียงที่ยืนพิงเคาเตอร์สั่งอาหารอยู่
“เจอกันอีกแล้วนะคะ”
“จ๊ะ” ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป
นิ่มเดินนำไปทางโต๊ะมีแฟนเธอนั่งอยู่ ผมเดินตามไปด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
“อ้าว.. ชัย! มาแล้วเหรอ กินไรมายัง? กินก่อนทำการบ้านไหมล่ะ?”
“เออ..หิวกินก่อนดีกว่า” ผมวางข้าวของลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือของกวี ส่วนคนติดตามอย่างนิ่ม มีกระเป๋าสะพายใบเดียวและขนมของหวานวางเต็มหน้า ผมเหลือมองและเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้กวีถึงไม่ค่อยอยากพานิ่มมา มันมาเพื่อรบกวนการเรียนชัดๆ

“ไม่เคยรู้เลยว่าพี่มาทำอะไรแบบนี้ในที่แบบนี้ด้วย?” นิ่มพูดพลางใช้นิ้วชี้วนไปรอบร้านที่มีพวกหนอนหนังสือนั่งกันอยู่เกือบเต็มร้าน
“ก็…..ม.6 แล้วก็ต้องขยันกันบ้าง”
“แหม.. ไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาเลยนะคะ นึกว่าจบแล้วจะไปขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์”
ผมเคยพูดกับไอ้หลงครับ ตอนนั้นนิ่มก็อยู่ด้วยครับเลยจำมาตอกใส่หน้าผมตอนนี้ ก็ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไรในอนาคต แค่ชอบแต่งรถมอเตอร์ไซค์เลยว่าจะขอตังค์แม่ไปเปิดร้านเสียหน่อย
“คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ครับ น้องนิ่ม” ผมนี่พยายามสุภาพสุดๆ
“เหมือนที่พี่เปลี่ยนมาชอบผู้ชายใช่ไหม?”
“???” อยู่ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่หน้าอย่างแรง
“หา? นิ่มพูดอะไรน่ะ ใครเปลี่ยนอะไร?” ผมโพล่งขึ้นในขณะที่ไอ้กวีเงยหน้าจากบทเรียนขึ้นมามองผมสลับกับนิ่มเลิ่กลั่ก
“พี่ชัย อย่านึกว่านิ่มไม่รู้นะว่า พี่แอบมาหาพี่กวีทุกวัน พี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” นิ่มหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่จอไร้ขอบที่แสดงภาพชัดๆ ของผมกับไอ้กวีนั่งที่ตรงนี้ด้วยกัน
“……..” กูว่าแล้ว นึกว่าไอ้หลงมันถึงได้บอกว่าผมจะได้เจอเรื่องสนุก สนุกกับผีมันสิ มาโดนโวยวายกลางที่สาธารณะแบบนี้ หากเป็นก่อนหน้านี้ผมจะสวนกลับให้เจ็บแสบกันไปข้าง แต่นี่ไอ้กวีมันดันนั่งอยู่ตรงนี้ มันที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ไปด้วย ทำไมผมต้องรู้สึกเกรงใจมันแบบนี้วะ?
“ใจเย็นๆนิ่ม เราบังเอิญเจอกันจริงๆ แล้วชัยเขาก็ตั้งใจมาอ่านหนังสือทำการบ้านจริงๆ ไม่มีอะไร ข่าวนี้พี่ก็เห็นมาพักหนึ่งแล้ว พี่เฉยๆ นะ หากมันไม่จริง นิ่มก็ไม่ควรไปคิดมาก” ไอ้กวียืนขึ้นโอบนิ่มเบาๆ แล้วพยายามอธิบาย
“นิ่มไว้ใจพี่กวีนะคะ แต่นิ่มไม่ไว้ใจพี่ชัย” พูดพลางมองผมตาเขียว
“ถ้าพี่ทำให้นิ่มเข้าใจผิด ขอโทษนะ งั้น…..” ผมกำลังจะตัดใจที่จะมาหาไอ้กวีเพราะไม่อยากเห็นท่ทางลำบากใจของมัน หากเป็นเมื่อเดือนที่แล้ว. ผมคงสะใจที่เห็นมันทะเลาะกันแบบนี้ แต่ผม…. เป็นอะไรของผมวะ?
“พี่กวีเปลี่ยนที่อ่านหนังสือไม่ได้เหรอ? นิ่มไม่อยากให้พี่มีข่าวแบบนี้เลย”
“คือ……”
“พี่กวีไม่รักนิ่มแล้วหรือ พี่จะให้นิ่มอยู่กับข่าวแบบนี้น่ะนะ” พูดจบนิ่มก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม (เอาสุวรรณหงษ์ไปเลย!!)
“พี่รักนิ่มนะ อย่าร้องไห้สิ”  ไอ้กวีทำหน้าลำบากใจส่งมาที่ผม ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป พร้อมกับรู้สึกหวิวๆ เมื่อได้ยินไอ้กวีพูดแบบนั้นกับนิ่ม
“นิ่มไม่ชอบที่พี่กวีทำแบบนี้เลย เดี๋ยวนี้ชวนไปไหนก็ไม่ยอมไป ห่วงแต่เรียนหนังสืออย่างนี้ไม่มีเวลาให้กันเลย”
“พี่ ม.6 แล้วนะ พี่ต้องทำเพื่ออนาคตไง ไหนบอกอย่างมีแฟนเป็นสัตวแพทย์ไง อีกอย่างนิ่มก็มาอ่านหนังสือกับพี่ได้นะ พี่ก็ชวนอยู่”
ไอ้กวีใช้มือลูบหัวนิ่มอย่างทะนุถนอม
“นิ่มเรียนศิลป์ภาษานะ จะให้มานั่งเรียนกับพี่ได้ยังไง?”
นิ่มมองไปรอบๆ ร้านและหันมาค้อนใส่ผมรอบหนึ่งก่อนจะหันหน้าซุกไปที่หน้าท้องของไอ้กวีที่ยืนอยู่
 “ร้านนี้น่าเบื่อจะตาย นิ่มอยากให้พี่พาไปเที่ยวมากกว่า”
ผมว่าเหตุผลข้อหลังน่าจะมีเหตุผลที่สุด ผมถึงถึงกับแอบกรอกตาใส่นิ่มที่อยู่ในโมเม้นอ้อนแฟนแบบไม่อายสื่อ ส่วนไอ้กวีที่น่าสงสารได้แต่ถอนหายใจ
“งั้นรอพี่สอบกลางภาคตรงและสอบตรงกับมหาวิทยาลัยก่อนนะครับและเราค่อยมาผ่อนคลายกัน”
“ใจดีที่สุดเลย รักพี่กวีที่สุด” นิ่มร่าเริงขึ้นมาทันที เธอลุกขึ้นมาหอมแก้มไอ้กวีฟอดหนึ่งก่อนที่จะลงนั่งและยักคิ้วให้ผมเหมือน แสดงความมีชัยเหนือผม ซึ่งไอ้บื้ออย่างไอ้กวีไม่น่าจะได้เห็นมุมนี้
“เคลียร์กันได้แล้ว งั้นกูไปก่อนล่ะ”
“อ้าวจะรีบไปไหนล่ะ?”
“เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขาเถอะคะพี่ นิ่มอยู่เป็นเพื่อนแล้วไงคะ… บายคะพี่” นิ่มเขย่ามือไอ้กวีไม่ให้สนใจผมที่กำลังลุกขึ้นยืน และส่งสายตาเชิงไล่ให้ผมไปด้วยนำ้เสียงหวานที่ขัดกัน

เส้นความอดทนบางๆ ของผมขาดลงทันที ผมบอกลาไอ้กวีและเดินจากมาทันที ได้ยินแต่เสียงไอ้กวีกับนิ่มคุยกันง่องแง่งจับเป็นศัพท์ไม่ได้

‘ทำไมต้องหัวร้อน’ ผมพูดกับตัวเองหลังจากออกไปยืนที่หน้าร้าน พร้อมผ่อนหายใจยาวๆออกมา ตอนนี้ความคิดของผมต่างจากตอนเดินเข้าน้านอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อร้ายมามีหรือว่าคนอย่างผมจะยอม ไม่เคยมีใครมาลูบคมผมได้ ผมตัดสินใจที่จะเดินหน้าแผนการของผมทันที ให้ความขี้เกรงใจของไอ้กวีมันบ่อนทำลายความน่ารักของนิ่มไปเรื่อย ผู้ชายด้วยกันผมรู้ดีครับว่า ต่อให้ผู้หญิงน่ารักยังไง แต่หากทำตัวงี่เง่ามากๆ ไม่มีผู้ชายที่ไหนทนได้แน่นอน ดูอย่างที่เห็นหน้าไอ้กวีเมื่อครู่ก็รู้แล้ว

“ชัย.. ขอโทษแทนนิ่มด้วยนะครับ เคลียร์แล้วเรียบร้อย นิ่มเขาเข้าใจแล้ว”  ผมหันกลับไปเจอไอ้กวีที่เดินตามมา พอไอ้กวีพูดจบผมก็เหลือบไปมองนิ่มที่ยังส่งสายตาค้อนผมเขม็งอยู่เลย
“เฮ้ย… ไม่เป็นไรเราไม่ถือ นายไปคุยกับแฟนนายเหอะ วันนี้เรากลับก่อนก็ได้”
“อ้าว… เห็นเมื่อวานบอกจะขอปรึกษาเรื่องวิชาภาษาอังกฤษวันนี้”
“ไม่เป็นไร… ไม่รีบ.. เป็นอย่างนี้คงเรียนกันไม่รู้เรื่องหรอก พรุ่งนี้ก็ได้” หยอดลองเชิงดูว่ากวีจะเชื่อเมียหรือไม่
“ได้ๆ พรุ่งนี้เจอกัน”

ฮ่าฮ่า..สำเร็จ!!

“อืม” ผมโบกมือลาไอ้กวีที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่หน้าร้าน ผมตัดสินใจขับรถออกห่างจากร้านเรื่อยๆ

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็ครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำยังไงให้มันทะเลาะกันอีกดี สร้างความร้าวฉานเป็นงานของผมแล้วตอนนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

…………………………………………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบหก part 2 (อัพ 20/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-08-2017 22:03:28
ชัย #7

ผมตัดสินใจใช้แผนข่าวลือของผมกับมันที่พวกสาววายเขากรี๊ดกันอยู่ให้มันดูสมจริงขึ้น เพื่อสร้างกระแสให้นิ่มยิ่งหึง ยิ่งทำให้เธอดูงี่เง่าในสายตาของไอ้กวีมากยิ่งขึ้นไปอีก สื่อสมัยนี้มันมันดีอย่างนี้นี่เอง สร้างได้ทำลายได้โดยใช้เวลาไม่นาน

วันนี้ก็เช่นเดิมที่ผมมาที่ร้านประจำของไอ้กวีตามปกติ วันนี้ไอ้กวีมาคนเดียวแต่ดูหน้าตามันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมดดูซีดเซียวและเป็นกังวล

“เราว่า หากนายเคลียร์กับแฟนไม่ได้ก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ”
“เราก็ต้องมาอยู่แล้วหรือเปล่าวะ ร้านนี้ใกล้บ้านสุด จะได้กลับทันเคอฟิวส์ที่บ้าน”
“งั้นเราเปลี่ยนร้านเองดีกว่า นายกับนิ่มจะได้สบายใจ”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้อง เราว่าเรื่องนี้เราจะไม่ตามใจนิ่มสักเรื่องว่ะ”

เยส!! ตรงตามที่เดาไว้เลย

“งั้นนั่งลงก่อนสิ เมื่อกี้หิวเลยสั่งมาเพียบเลย”
ไม่ทันขาดคำของหวานขึ้นชื่อของร้านต่างทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ จนเต็ม ไอ้กวีมองตาโต
“นี่อย่าบอกนะว่าสั่งมากินคนเดียว!”
“เวลาหิวมันน่ามืดน่ะ” จริงๆก็เตรียมสั่งมาให้มันนั่นแหละ อย่างที่รู้กันผมไม่ชอบของหวาน แต่ไอ้กวีนี่ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าไม่ใช่นักกีฬามันคงอ้วนไปแล้ว
“ได้ข่าวว่า วันหยุดนี้จะแข่งกระชับมิตรกับ ร.ร. Aaaวิทยาลัยนี่”
“อืม…ใช่”
“ปีนี้นักกีฬาหน้าเก่งมากเลยล่ะ”
“เออ…ใช่ ได้ข่าวว่าทีมนี้ชนะทีมนายด้วยนิ”
“ใช่ …. ทีมนี้ตอนบุกไม่เท่าไหร่ แต่การป้องกันดี แต่อย่าเผลอให้ถูกตีโต้ได้นะ คะแนนส่วนใหญ่ที่ได้จากการสวนกลับเลยล่ะ มีฝาแฝดอยู่ในทีมด้วย สองคนนั้นชู๊ตเก่งมาก ชู๊ตสามแต้มแม่งโคตรแม่น”
“โห….. เอาข้อมูลมาบอกกันอย่างนี้ไม่เป็นไรเหรอ?”
“ไม่เป็นไร ยังไงทีมนายมีทั้งนายและหลงน่ะเก่งกว่าอยู่แล้ว”
ไอ้กวีคุยไปเคี้ยวของว่างประเภทเค้กกับขนมปังตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
“ชมกันเกินไป…. เดี๋ยวนะอยู่เฉยๆ” ผมยื่นมือไปใช้นิ้วเช็ดคราบครีมที่ติดอยู่ที่ข้างริมฝีปาก
“……”
“ทำไมชอบกินเลอะเทอะ เห็นหลายทีแล้ว ไม่ต้องรีบ เราไม่แย่งหรอก”

ผมไม่เคยทำแบบนี้หรอกนะครับ ครั้งแรกเลย แต่ที่ทำเนี่ยเพราะมีตากล้องรับเชิญกำลังบันทึกภาพอยู่ ผมให้ไอ้หลงตามมาถ่ายภาพกิจกรรมของผมกับไอ้กวีครับ แล้วส่งให้เพจวัยใสวัยน่ารักอะไรนั่น รับรองนิ่มเห็นจะต้องกรี๊ดใจขาด ผมเองก็เขินครับ จีบสาวผมยังไม่เคยทำขนาดนี้ ใจเต้นไปหมด ส่วนไอ้กวีดูมันจะอึ้งไปนิดหน่อยครับ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตากินต่อไป โดยแทบไม่พูดอะไรต่อ โชคดีมันเป็นคนเรียบร้อยไม่ลุกขึ้นมาต่อยผมที่ทำอะไรแบบนี้

“วันนี้จะมาทำอะไรดี?”
“เอ่อ…เอ่อ…. เตรียมสอบ GAT PAT กัน”
“ได้ๆ เออ อันนี้อร่อยลองสิ” ผมหยิบผลไม้แช่อิ่มที่อยู่เค้กสีอำพันยื่นให้ถึงปาก ไอ้กวีพยายามใช้มือหยิบช้อนต่อจากผม ผมเขี่ยมือมันให้พ้นทางแล้วจ่อไปที่ปากสีชมพูของมัน
“ลองสิเร็ว” มันอ้าปากงับเข้าไปเคี้ยวอย่างว่าง่าย ผมรู้สึกขนลุกไม่รู้ว่าเพราะสิ่งที่ทำหรือความหวานของผลไม้แช่อิ่มที่ยื่นเข้าปากไอ้กวีไป
“อร่อยจริงด้วย!” มันยิ้มแสดงความพึงพอใจ
“……….” ผมยิ้มตอบ
“วันนี้นาย…. แปลกๆไปหนือเปล่าเนี่ย?”
“เปล่านี่ก็แค่อยากตอบแทนที่ช่วยติวให้ตั้งหลายวัน”
“……..”
ไอ้กวีทำหน้านิ่งมองผมพักหนึ่งก่อนที่จะเปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะพลิกไปมา ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าผมว่าหน้ามันสีเข้มระเรื่อเหมือนไปวิ่งรอบสนามมารอบหนึ่ง ดูน่ารักดี….. อืม…. ไม่เคยชมผู้ชายน่ารักเลยนะเนี่ย แต่มันดูน่ารักจริงๆ

หลังจากไอ้กวีจัดการของหวานบนโต๊ะเสร็จสิ้น ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มบทเรียนไปแค่บทเดียว (ผมรู้สึกทึ่งกับภาพตรงหน้า เพราะผมแทบไม่ได้แตะของหวานเหล่านั้นเลย)

ไอ้กวีอาสาเอาจานเล็กจานน้อยบนโต๊ะไปเก็บในที่เก็บจานชามที่ใช้แล้วซึ่งอยู่ที่มุมห้อง ผมเลยขอสาขาไปเก็บแทนโดยแย่งของจากในมือของอีกฝ่าย ไอ้กวีทำท่ายื้อไม่ยอมแต่ผมก็ดึงออกมาจากมือมันจนได้ เพราะผมใช้มาตรการใช้มือผมกุมกำมือขออีกฝ่ายทางด้านล่างอีกที มุกในการหลอกจับมือสาวๆ ของผม ไอ้กวีสะดุ้งเล็กน้อยตอนผมสัมผัสครั้งแรก แต่ยื้อกันสักพักกว่าจะยอมปล่อยเพราะผมกำมือแน่นขึ้นมาก

ระหว่างทางที่ผมเดินมาเก็บจานเหล่านั้น ทำให้สังเกตเห็นว่าลูกค้าร้านนี้ดูแน่นขึ้นและส่วนใหญ่เป็นหญิงสาววัยเรียน พวกเธอมองหน้าพร้อมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและคุยซุบซิบกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน บางคนถึงขั้นแอบกรี๊ดในคอเบาๆ

ผมรู้สึกแปลกใจในตอนแรกแต่พอขากลับถึงกับนึกขึ้นได้ว่า ไอ้หลงคงเอารูปผมส่งไปที่เพจแล้วแน่นอน ผมเดาจากอาการผู้หญิงกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ที่ผมเดินผ่านมีอาการแอบเขินแอบยิ้ม ดูสมาร์ทโฟนบนมือไปดูผมไป แถมยังเหมือนมองหาใครบางคนอยู่ พอแอบมองไปที่โต๊ะของผมที่ไอ้กวีนั่งเหม่ออยู่ พวกเธอก็แอบตีอกชกหัวกันใหญ่ ผมยิ้มให้กับปฏิกิริยาแบบนั้น

หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจวันนี้ ผมเดินไปส่งไอ้กวีที่รถ ที่วันนี้มันมองผมด้วยสีแปลกใจกับทุกการกระทำที่ใกล้ชิดมากกว่าปกติ  ส่วนผมแอบมองหาเพื่อนของผมในร้านซึ่งตอนนี้หายไปแล้ว มันคงรู้หน้าที่ว่าไม่ควรเสนอหน้าอยู่ในนั้นนาน เดี๋ยวไอ้กวีมันจะเห็น

“นายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ทำไมวะ?”
“ก็นายแบบ…..  ดูแปลกๆ ว่ะวันนี้”
“เฮ้ย… ไม่มีอะไร มีอะไรก็ปรึกษากันได้นะ ดูวันนี้นายไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
ไอ้กวีก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันหรูของมัน ผมซึ่งยืนอยู่ใกล้กับประตูเดินเข้าไปใกล้ๆ ดวงตากลมโตใสๆ ดวงนั้นที่มองมาด้วยความเป็นห่วง ผมอดที่จะยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้ เลยเผลอยื่นมือไปยีผมทรงหน้าม้าของมันด้วยความเอ็นดู
“ไม่มีอะไรจริงๆ กลับบ้านเหอะ”
“…….เอ่อ…อืม….” สีหน้าของมันตอนนี้ฟ้องว่า นั่นไงทำแบบนี้อีกแล้ว

หลังจากที่รถของไอ้กวีลับตาไปผมหยิบโทรศัพท์ต่อสายถึงเพื่อนรักทันที

“เฮ้ย…. มึงหายหัวไปไหน? กลับกับกูไหม?”
“กูออกมากับพี่เอิร์ธแล้ว”
“อ้าว…… ทิ้งเพื่อนไปอยู่กับแฟนอีกแล้ว”
“กูอุตส่าห์มาช่วยมึงในวันหยุดพี่เขาก็บุญแล้ว ไอ้สัด ยังมีหน้ามาด่ากูอีก”
“เฮ้ย…. จริงง่ะ?”
“เออ……แล้วกูว่าจะโทรหามึงพอดีว่าให้เข้าไปดูในเพจนั่นหน่อยนะ”
“เพจอะไรฟะ?……. อ้อ….ทำไมวะ?”
“เข้าไปก็จะเข้าใจเอง… ว่าความจริงมึงไม่ต้องให้กูไปตั้งกล้องก็ได้นะ”
“หือ????”
“เออ!….. มึงเข้าไปดูเองเหอะ กูต้องวางสายแล้ว พี่เอิร์ธจะมาแล้ว ไปละโชคดีมึง”
สัด…. ตัดสายไปเลย ตั้งแต่มีแฟนแม่งทำตัวติดกันแจ (แอบอิจฉานิดๆ แต่ผมก็ชอบชีวิตคนโสดมากกว่า)

ผมเปิดเข้าไปดูที่เพจตามคำแนะนำของไอ้หลง สิ่งที่ผมเห็นในเพจ มันมากกว่าที่ผมคิดเยอะมาก เพราะตอนนี้นอกจากรูปที่ไอ้หลงจะส่งไปแล้ว (ซึ่งมีแค่ สี่รูป นี่มันหนีออกจากร้านนานแล้วใช่ไหมเนี่ย?) ยังมีรูปอื่นที่เหมือนคนถ่ายไว้อีกเพียบ พร้อมคำกำกับที่แสนหวาน นี่ผมกับไอ้กวีนี่ดังถึงขึ้นมีแฟนคลับกันเลยหรือนี่ ภาพหลายภาพจากหลายๆมุมในอริยาบทเดียวกัน และคนกดไลท์แต่ละภาพมากกว่าร้อย นี่มันไปไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมากเลย เรื่องชักจะบานปลายแล้วสิ แต่พอตัดกลับมาในด้านมืดของผม ผมนึกถึงภาพนิ่มที่ตอนนี้คงดิ้นพล่านๆ อยู่หน้าจอคอมฯ หรือโทรศัพท์ของตัวเองแล้วละ

……………….

วันต่อมาผมยังคงกลับไปที่ร้านเดิมทั้งๆ ที่วันรุ่งขึ้นผมจะมีแข่งขันบาสเก็ตบอลกับอีกโรงเรียนหนึ่งแล้ว วันนี้อาจารย์โค้ขสั่งหยุดพัก ให้ไปนอนพักผ่อนให้มากๆ อย่านอนดึก แต่ผมก็ดันลากตัวเองมาที่นี่อีก (จะว่าไปที่นี่มันก็เหมือนเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนของผมแล้วล่ะ)

เพราะไม่มีซ้อมบาสฯ วันนี้ผมมาตั้งแต่หัวค่ำ มานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ตอนนี้กลายเป็นว่าแม้ไม่มีไอ้กวีอยู่ผมก็จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเองด้วยความเคยชิน การได้ถกเถียงเรื่องวิชาการมันกลายเป็นความสุขไปแล้ว ไม่สิเรียกว่าอยากเอาชนะเสียมากกว่า มันเหมือนการแข่งขันที่ผมควรจะต้องเอาชนะไอ้กวีให้ได้ แสดงให้เห็นว่าผมเหนือกว่ามัน ทุกครั้งที่ผมชนะ ผมชอบแววตาที่มันมองผมด้วยความชื่นชมนั่นมากๆ

“พี่ชัยคะ นิ่มว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เสียงที่แสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังเสียงที่เย็นเยียบไปถึงกระดูกสันหลัง
“อ้าว!!! นิ่ม…นั่งก่อนสิ” ผมทำใจดีสู้เสือ
“คะ” นิ่มตอบแบบทิ้งเสียงห้วนๆ ที่ขัดกับคำพูดที่ดูสุภาพ
“นิ่มมีอะไรจะคุยกับพี่ครับ”
“พี่ชัย พี่ชัยคิดจะทำอะไร?”
“เปล่านี่!” ผมเผลอตอบเสียงสูง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พี่จะเอาคืนหนูเรื่องพี่หลงใช่ไหม? พี่จะแกล้งมาตีสนิทกับพี่กวีเพื่อจะที่จะบอกเรื่องของนิ่มกับพี่หลงใช่ไหม?” นิ่มเธอตาเขียวใส่ผม
“นิ่ม ถ้าพี่จะบอก พี่คงบอกไปหลายวันก่อนหน้านี้แล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้”
“เหรอคะ? แล้วไอ้เรื่องที่พี่กุข่าวเกี่ยวกับพี่กับพี่ชัย มีอะไรลึกซึ้งเกินเพื่อนเนี่ย นิ่มบอกได้เลยว่ามันไม่ได้ผล!!”
“ไม่ได้ผล? แล้วน้องจะมาหาเรื่องพี่ที่นี่ทำไม? หากน้องไม่คิดมาก” ผมพยายามยั่วให้นิ่มของขึ้น
“เรื่องนั่น!! พี่กวีพิสูจน์ ทุกครั้งที่นิ่มถามอยู่แล้วว่าพี่กวี ไม่ได้ชอบผู้ชาย!! และเมื่อคืนพี่เขาก็เพิ่งพิสูจน์กับนิ่มเอง หลายครั้ง!”

นิ่มพูดจบกับลูบไล้ตรงคอที่เหมือนจะมีรอยแดงๆเป็นจ้ำๆ เล็กๆ ในปกเสื้อนักเรียนของเธอ การแสดงและสีหน้าของเธอมันดูชัดเจนว่าเรื่องที่เธอพูดหมายถึงเรื่องอะไรไม่ได้หากไม่พ้นเรื่องบนเตียง เป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอายมากๆ  ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แต่ด้วยเป็นแบบนี้มันเลยสร้างความขุ่นใจให้ผมอย่างที่ผมอธิบายไม่ถูก

“ในเมื่อรู้ว่าเป็นแบบนี้ พี่ชัยก็ควรเลิกล้มแผนโง่ๆ ของพี่ได้แล้วนะคะ” นิ่มยิ้มอย่างได้ชัยชนะ
“พี่ไม่รู้นะว่านิ่มพูดถึงอะไร” ผมมองเธอด้วยสีหน้าขึงขังขบฟันแน่น
แล้วเราก็จ้องกันอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง
“นิ่ม!! พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องนะว่ามันไม่มีอะไร เลิกยุ่งกับเพื่อนของพี่เสียที”

คนที่เสียงคุ้นหูที่ไม่รู้ว่ามายืนหลังนิ่มตอนไหนไม่ทราบ อาจเพราะผมมัวแต่จ้องหน้าผู้หญิงเจ้าเลห์ฝั่งตรงข้ามจนลืมมองสิ่งรอบข้าง

“พี่กวี” นิ่มทำสีหน้าตกใจและลุกขึ้นยืนหันไปทางต้นเสียง ส่วนไอ้กวีจ้องหน้านิ่มแบบโกรธเคือง
“พี่กวีคะ คือ…” คราวนี้ไอ้กวีเดินออกไปนอกร้านเลยครับ ตอนนี้คนที่วิ่งตามคือนิ่ม ผมมองตามไปที่หน้าร้านที่ซึ่งทั้งสองกำลังง้องอนกันอยู่ เสียงอื้ออึงที่ดังเข้ามาในร้านผ่านผนังกระจก ทำให้การสื่อสารไม่สามารถจับใจความได้

ภาพที่เห็นคือนิ่มพยายามจับแขนอีกฝ่ายและออดอ้อนสไตล์สาวบอบบางแต่ก็ถูกแขนยาวๆ นั่นสบัดทิ้งหลายครั้ง ตอนนี้นิ่มน่าจะหมดความอดทนแล้ว เริ่มแข็งกร้าวขึ้นทั้งน้ำเสียงและสีหน้า สุดท้ายการสนทนาครั้งนี้ ต่างคนต่างแยกย้ายครับ นิ่มเดินไปทาง ส่วนไอ้กวีเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาในร้านและมากระแทกนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม ที่เดิมของมัน

“เราไม่เข้าใจว่ะ… ไม่เข้าใจแฟนตัวเองเลย บอกไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแม่งก็ไม่เชื่อ เราพยายามทำดีทุกอย่างแล้วนะ เราอยากมีเวลาอยู่กับเพื่อน มีเวลาอ่านหนังสือบ้างมันผิดตรงไหนวะ ทำไมงี่เง่าเอาแต่ใจแบบนี้วะ”  ไอ้กวีร่ายยามเป็นชุด แสดงว่าอัดอั้นมานาน

“เฮ้ย…ผู้หญิงก็อย่างนี้ เราเลยยังไม่อยากมีแฟนไง”
“เมื่อก่อนนิ่มเป็นคนน่ารัก แสนดีและไม่งี่เง่าแบบนี้”
“เอาน่าใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกัน” ผมแกล้งปลอบมันไปงั้นแหละ
“……..”
“อย่าเครียดดิกวี”
“ไม่แล้ว… ครั้งเราจะไม่ยอมแล้ว หากไม่สำนึกผิดและไม่ทำตัวให้ดีขึ้น เราก็ไม่ง้อแล้ว เหนื่อย!”
“…….” เยส!! สำเร็จ ผมแอบยิ้มในใจ
“เอ่อ… ขอโทษนายด้วยนะ” ไอ้กวีหันมามองผมอย่างเกรงใจหลังจากที่หันไปนอกร้านตลอดการสนทนา
“ ไม่เป็นไร…. ไม่คิดมาก เออ!!… พรุ่งมีเราแข่ง จะมาดูคลายเครียดไหมละ?”
“อืม….. เอาสิ กี่โมงนะ”
“เริ่มแข่ง สี่โมงเย็นที่โรงเรียนเรา”

………………………..


บ่ายสองโมง ผมต้องมาถึงที่สนามแข่งก่อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและวอร์มร่างกาย วันนี้เป็นวันเสาร์คนในโรงเรียนจึงค่อนข้างน้อยมีแต่กองเชียร์นี่แหละครับที่มาถึงก่อนนักกีฬา ซึ่งตอนนี้อยู่บนอัศจรรย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนหากมีกองเชียร์ก็ต้องมีเชียร์ลีดเดอร์ ผมเจอนิ่มมาซ้อมเชียร์ในชุดกระโปรงบานสั้นแค่เข่าสีส้มสลับขาว เธอมาในฐานะเชียร์ลีดเดอร์ที่ถูกบังคับให้มาซ้อมใหญ่ก่อนลงสนามเชียร์จริงกับงานกีฬาโรงเรียนที่จัดขึ้นเดือนหน้า

ผมแต่งตัวเสร็จผมก็เดินมาวอร์มร่างกายที่ขอบสนาม สายตาเหลือบไปเห็นนิ่มแยกจากกลุ่มเพื่อนไปคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ผมยืดร่างกายไปด้วยมองไปด้วย หลังจากที่นิ่มวางหูเธอก็เดินออกจากบริเวณสนามทันที ด้วยความเผือกผมเลยขอตามไปดูเสียหน่อย

“ไอ้ชัย…. มึงจะไปไหน?”
“เอ่อ… กูไม่ไหวแล้วขอเข้าส้วมหน่อย”
“ไอ้สัดนี่ จะแข่งอยู่แล้วยังจะมาปวดอะไรตอนนี้”
“เออน่ะ เดี๋ยวกูมา”
ผมรีบแยกตัวออกจากสนามทันทีก่อนที่ตามนิ่มไม่ทัน โชคดีที่นิ่มเดินไม่เร็วผมจึงเดินตามได้ทันโดยทิ้งห่างไว้สักหน่อย

ณ ใต้ต้นไม้ประจำโรงเรียนที่ทอดยาวตลอดถนนทางเข้าโรงเรียนซึ่งตอนนี้ผลิดอกสีส้มเข้มไปทั่วและร่วงหล่นเต็มท้องถนนที่แทบไร้ผู้คนในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ นิ่มยืนอยู่ใค้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งน่าจะมีร่มไม้ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ส่วนผมขอหลบมาอยู่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่งห่างออกไปเกือบสิบเมตร

ไม่นานรถเก๋งคันใหญ่ก็มาจอดเทียบใกล้กับต้นไม้ที่นิ่มยืนพิงอยู่ เป็นไอ้กวีที่ก้าวลงจากรถมาด้วยท่าทีขึงขัง นิ่มวิ่งไปหาอีกฝ่ายทันทีพร้อมโผเข้ากอด  มองจากตรงที่ผมยืนอยู่น่าจะเริ่มกำลังร้องไห้อยู่ เหมือนกำลังอธิบายอะไรอยู่แต่เหมือนกวีไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ทำหน้านิ่งๆ และแกะมือของนิ่มออกจากตัว ไอ้กวีพูดอะไรสักอย่าง ส่วนนิ่มก็ได้แต่ร้องไห้ มันคุยเรื่องอะไรกันวะ? ต่อมเผือกผมใกล้จะระเบิดเต็มแก่ แต่การเข้าไปใกล้ขึ้นก็เสี่ยงจะถูกเจอ

เพี๊ยะ!!!!

ผมรู้สึกหน้าคว่ำหน้าผากเกือบชนเข้ากันลำต้นไม้ที่ผมแอบอยู่

“ไอ้เชี้ย…. โค้ชให้มาตาม จะแข่งอยู่แล้ว ห้องน้ำมึงอยู่ตรงนี้เหรอ?”
ไอ้หลงต่อว่าผมเสียงดัง ผมหันไปทำหน้าด่ามันและเอามือปิดปากมันจนได้ยินเสียงมันกลายเป็นเสียงอู้อี้ ผมมองไปยังเหล่าคนที่ผมแอบสังเกตการณ์อยู่ซึ่งตอนนี้หันมาทางผมทั้งสองคน

ตอนนี้นิ่มตะโกนเสียงสูงขึ้นจนผมยังได้ยินแม้จะยังอยู่ที่เดิม

“พี่เห็นนั่นไหม? แล้วอย่างนี้พี่จะให้นิ่มเชื่อใจพี่ชัยได้ไง ดูก็รู้ว่าน่าจะมีแผนอะไรอยู่”
“นิ่ม! พี่บอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร”
“พี่กวีคะ….” นิ่มชี้มาที่ผมแต่คงเหลือบไปเห็นโจทย์เก่าที่อยู่ข้างหลังผม”
“พี่ว่าใครกันแน่ที่มีลับลมคมใน จากสายตาและสีหน้าของนิ่มตอนนี้ทำให้พี่แน่ใจอะไรในหลายๆ เรื่องเลย”
“อะ.. อะไรค่ะ?”เสียงนิ่มดูอ่อนลง
“เรื่องนิ่มกับหลงไง?”
“คือ… พี่รู้!!”
“รู้มาสักพักแล้ว หลังจากเรื่องที่มันวุ่นวายไปหมดช่วงนี้”
“ได้ไง?” นิ่มหันมามองทางผมด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย
“พี่ไม่ได้โง่ เรื่องแค่นี้ พี่สืบเองได้ พี่รู้ว่านิ่มคบซ้อนระหว่างพี่กับหลงมาสักพักหนึ่งแล้ว พี่ยอมรับว่าพี่โกรธมาก แต่พี่ก็รู้สึกดีใจนะ ที่นิ่มเลือกพี่ พี่เลยว่าจะขอมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่นิ่มกลับทำตัวแย่ขึ้นทุกวัน”
“แปลว่าพี่กวีจะทิ้งนิ่มใช่ไหม?”
“เปล่าพี่แค่อยากให้นิ่มเป็นนิ่มที่น่ารักเหมือนเดิม หากจะคบกันต้องเข้าอกเข้าใจมากกว่านี้”
“…พี่กวีคะ…” นิ่มยังร้องไห้ไปพูดไป
“นิ่มไปคิดดูนะ”  พูดจบไอ้กวีก็ขับรถออกจากโรงเรียนไปเลย

ผมรู้ว่าแผนต่างๆ เป็นไปด้วยดีแต่เหตุหนึ่งก็มาจากตัวต้นเหตุอย่างนิ่มเองนี่แหละ ทุกเรื่องที่เธอทำสุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตัวเอง ลองมาคิดดูแล้วผมก็เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่พอมองเห็นสิ่งที่ไอ้กวียังให้โอกาสนิ่มอยู่ ทำไมรู้สึกปวดใจยังไงบอกไม่ถูก

การแข่งขันวันนี้เป็นไปตามที่ไอ้กวีวิเคราะห์และบอกกับผมเมื่อวันก่อนเลย หากสามารถตัดโอกาสในการโต้กลับได้ ทีมนี้ก็หมดโอกาสทำแต้ม แต่ก็มีบ้างที่คู่แฝดในทีมนั้นพาให้สับสน เพราะคนหนึ่งเป็นตัวออฟเฟนซีพ(รุก) คนหนึ่งเป็นดีเฟนซีพ(ตั้งรับ) บางทีก็ทำให้สับสนเสียจนบอกกับเพื่อนร่วมทีมให้รับมือลำบากอยู่เหมือนกัน
ผมนึกขอบคุณไอ้กวีจากใจที่ทำให้วันนี้เล่นง่ายขึ้นและอาจารย์โค้ชก็หงุดหงิดน้อยลงกว่าปกตินิดหน่อย (ระหว่างแข่งแกจะเครียดและหยาบคายมาก) ระหว่างพักเบรกผมมักจะมองหาไอ้กวีบนอัฒจันทร์ทุกครั้งแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่ทุกครั้งที่มองหาผมกลับเห็นนิ่มที่ทำหน้าที่ของเชียร์ลีดเดอร์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ในดวงตามีสีแดงเรื่อ แต่ผมไม่เห็นเธอเหม่อลอยหรือคิดมากอย่างที่ควรจะเป็นเลย (อย่างที่ไอ้หลงมันเคยเป็น) ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้แกร่งหรือว่าไม่มีหัวใจกันแน่

จบการแข่งขันทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ ทีมโรงเรียนผมชนะอย่างฉิวเฉียด ผมยอมรับเลยว่าเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมมาก และรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เอาจริง ส่วนพวกผมน่ะหรือไม่เก็บฝีมือกันอยู่แล้วเล่นเต็มที่ ทำให้อาจารย์โค้ชถึงกับเรียกประชุมทีมกันก่อนกลับ แต่เนื่องจากทุกคนเหนื่อยกันมามาก โค้ชจึงแค่สรุปให้ฟังถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดกับการซ้อมก่อนวันงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดของจริงที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า “ซ้อมหนักและปรับกลยุทธใหม่” อาจารย์โค้ชพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะให้ทุกคนกลับบ้าน

ผมเดินมาถึงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของผมคนเดียว ต้องเน้นแล้วว่าคนเดียวหลังจากไอ้หลง ไอ้คนทิ้งเพื่อนมันมีคนมารับหลังเลิกประชุมกับอาจารย์โค้ช ช่วงนี้ผมกลับบ้านคนเดียวบ่อยๆ เพราะไอ้หลงมันติดแฟน! บางทีก็รู้โหวงๆ เนือยๆเวลาอยู่คนเดียวบ่อยๆ เหมือนกัน แต่โชคดีที่ผมยังมีไอ้กวีเป็นเพื่อนอีกคนทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ หายไป

พอพูดถึงไอ้กวี ตั้งแต่เหตุการณ์ที่มันทะเลาะกับนิ่มก่อนแข่ง ผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย ทั้งที่ผมเฝ้ามองตามที่นั่งผู้ชมแต่ไม่เห็นเลย คงเพราะมันรู้ว่านิ่มก็อยู่ในนั้นด้วย หรือมันอยากอยู่คนเดียว ผมคิดอะไรไปล้านแปด นี่ผมเป็นห่วงมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

อีกประเด็นหนึ่งที่คิดไม่ออกว่า ไอ้กวีมันรู้เรื่องของนิ่มเมื่อไหร่ และใครเป็นบอกมัน?

ระหว่างความคิดเหล่านั้นแล่นอยู่ในหัวซ้ำไปมา ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป จนกระทั่งขับมาถึงร้านประจำที่ผมกับไอ้กวีมาเป็นประจำแบบไม่รู้ตัว

………………………………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบหก part 2 (อัพ 20/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 21-08-2017 04:22:18
รอๆๆๆ รอกวีได้กับชัย
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบหก part 2 (อัพ 20/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-08-2017 23:53:14
กวี จะเข้าใจว่าชัยหลอกตัวเองมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบหก part 3 (อัพ 26/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-08-2017 08:34:31
กวี #3


ผมไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของผมเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้ก็มีแต่คนบังคับผมมาทั้งชีวิตแล้ว

‘กวี..ลูกต้องทำอย่างโน้น…..อย่างนี้นะลูก’

คำพูดเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมเกือบจะชินเสียแล้ว จนมาได้รู้จักคนๆหนึ่ง คนที่ต่างกับผมมาก เขาเป็นที่มีความเป็นตัวของตัวเองมาก มีอิสระแม้จะอยู่ในสายตาของคนรอบข้างและที่บ้านแต่ก็ยังสามารถทำตามใจตัวเองได้ และทำได้ดีเสียด้วย กีฬาเก่งเรียนก็ดี(เท่าที่รู้ทุกคนก็บอกว่าเขาหัวดีแต่ขี้เกียจ) ผมชื่นชมเขาและอยากจะเป็นเหมือนอย่างเขา ให้เขาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แม้แต่เป็นนักกีฬาเหมือนเขา (ทั้งที่ผมเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำในตอนแรก) แต่ถึงแบบนั้นผมก็เป็นแบบเขาไม่ได้ ใจผมมันไม่แข็งพอที่จะต่อต้านที่บ้านได้ เขาอยากให้ผมเรียนบริหารธุรกิจเพื่อที่จะสืบสานงานที่บ้าน แต่ผมมีความฝันของผม….

ช่วงหลังๆมานี่ ดูเหมือนนิ่มจะพยายามเข้ามารื้อค้นชีวิตของผม เรียกว่าชำแหละเลยก็ได้
‘สอบถามความเคลื่อนไหวตลอด’
‘เข้าไปตามดูในโซเชี่ยลฯ ของผม’
‘แอบดูประวัติการโทรในโทรศัพท์’
‘ขอเข้าไปอยู่ในห้องของผม’
ไหนจะวุ่นวายกับเพื่อนของผมอีก เพื่อนที่ผมอยากรู้จักมานาน ยิ่งหลังจากนิ่มได้เข้าไปรื้อค้นห้องผมในวันที่พาเธอขอไปทำการบ้านด้วย ผมจับได้ว่าเธอแอบอ่านไดอารี่ของผมแต่ผมก็เฉย เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทันทีที่เธออ่าน เธอรู้ทันทีว่าคนที่ผมชื่นชมอยู่เป็นใคร เธอก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการบงการชีวิตผมหลายอย่างจนผมเริ่มรำคาญ

จนกระทั่งฝางเส้นสุดท้ายที่เธอทิ้งมาที่บ่าของผมทำให้ผมแบกความงี่เง่าของเธอไม่ไหว คือการเดินมาหาเรื่องเพื่อนของผม

เรื่องของนิ่มที่ผ่านมา ผมทราบมาสักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมบังเอิญไปเจอพี่พิ้งค์ที่การแข่งขันบาสฯรอบกระชับมิตรของโรงเรียนผมกับโรงเรียน aaaวิทยาลัย เธอบอกว่าเธอมากับน้องของแฟน (ไอ้แฝดนรกนั่น) ที่อยู่โรงเรียนนั้น ด้วยความสำนึกผิดเลยสารภาพและเล่าทุกอย่างให้ฟังทั้งหมด ผมให้อภัยนิ่มนะครับ ผมรู้ว่าคนเรามีสิทธิ์เลือกถึงจะรู้สึกผิดกับหลงก็เถอะ ผมเข้าใจข้อนี้ดีเลยเพราะชีวิตผมไม่มีโอกาสเลือกอะไรได้มากนัก

ผมขับรถวนไปมาหลังจากแยกกับนิ่มที่โรงเรียนของชัย สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านที่ผมไปประจำทุกวัน ผมเลือกที่นั่งที่ต่างจากเดิม อยู่ในมุมด้านในสุดของร้านเพราะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ผมหยิบเอาหนังสือจากบนชั้นใกล้ๆ มาอ่านเพื่อให้สมองคิดเรื่องอื่น

แต่ก็แปลก……… ในใจผมมีแต่ความรำคาญใจมากกว่าคำว่าเสียใจ…… ที่ผมทำกับนิ่มแบบนั้น

ผมนั่งเปิดหนังสือพลิกไปมาอยู่นาน อ่านข้อความเดิมๆ บทเรียนเดิมๆ ซ้ำไปมา ตัวหนังสือที่ผ่านตาไม่ได้เข้าหัวเลย ในใจผมยังสับสนอยู่มาก ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย

“เฮ้ย… ไอ้กวี…อยู่นี่เอง”
“……..” ผมมองไปทางต้นเสียง
“ดีนะที่นายเป็นคนดัง ร้านนี้ใครๆก็รู้จักนาย แค่ถามหาเขาก็รู้แล้วว่านายอยู่ไหน”
“………” มันก็จริงผมมาทุกวันนี่นา แล้วก็มีเพจดังเพจนั้นโปรโมทให้ทุกวัน ใครจะรู้จักผมถือว่าไม่แปลก
“….เออ…. ไม่พูดก็ไม่เป็นไร กูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่งคิดสั้น” ความรู้สึกของผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากขนาดที่ทำให้คนที่พูดมากอย่างชัย ถึงกับพูดต่อไม่เป็น
“เรา…. ไม่ได้เป็นคิดสั้นแบบนั้นสักหน่อย แค่อยากอยู่เงียบๆ คิดอะไรคนเดียวสักหน่อย”
“อ้อ… งั้นขอโทษนะ เราไม่กวนดีกว่า”
“เฮ้ยๆ ไม่เป็นไร นั่งเป็นเพื่อนหน่อยก็ดี” ผมยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายไม่ให้ลุกขึ้นขณะที่ชัยกำลังยกตัวเองขึ้นจากเก้าอี้
“โอเค…. นาย…. โอเคใช่ไหม?”
“เราโอเค… ชัย! เราถามอะไรหน่อยสิ”
“เดี๋ยวๆ ก่อนที่นายจะถาม เราขอถามก่อนได้ไหม?”
“…..อืม….. ได้สิ”
“นายรู้เรื่องนิ่มนานหรือยัง?”
“ก็สักพัก ทำไมหรือ?”
“เปล่าแค่สงสัย คือ…..”
“ไม่เป็นไร….. พี่พิ้งค์บอกเราหมดแล้ว…”
ผมแอบสังเกตหน้าของชัยซีดลงไปเล็กน้อย
“บอกว่า…….”
“นิ่มเขาคบซ้อนระหว่างหลงกับเรา แล้วนิ่มก็เลือกเรา ส่วนหลงก็เจ็บเป็นบ้าเป็นหลังอยู่พักหนึ่ง คือเรื่องนี้เราพอจะปะติดปะต่อได้ แต่ที่นาย….”
“……..” หน้าชัยดูซีดไปอีก
“นายมาสนิทกับเรา เพราะนายพยายามจะบอกเราเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีโอกาสบอกเสียที…. ใช่ไหม?”
“……..” สีหน้าของชัยแสดงความโล่งอก แล้วก็ตอบด้วยการพยักหน้า
“เฮ้อ….. วุ่นวายจัง ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตตัวเองจะวุ่ยวายขนาดนี้”
“แล้วเรื่องที่นายอยากจะถามคือ…… ??”
“ก็เรื่องนี้แหละ  ทำไมนายไม่บอกเราวะ? เรื่องแค่นี้เราว่าเราพอจะเคลียร์กันได้นะ  เราว่าเราแยกแยะได้นะระหว่างเพื่อนกับแฟนน่ะ”
“คือ….. เอาจริงๆนะ เราว่าเราจะไม่สนใจแล้ว นายเป็นคนดี พอคบกับนายเราก็ว่าจะไม่เอาความนิ่มแล้ว แต่นิ่มมันหาเรื่องของมันเอง แม่งมาราวีเราทั้งที่เราว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของนายกับ…..นิ่ม”
เสียงของชัยค่อยๆ แผ่วลงทันทีที่เขาหันมาสบตาผม

“เฮ้อ……ไม่เป็นไรหรอกชัย….. คือขนาดเราฟังขนาดนี้เรายังไม่รู้สึกโกรธนายเลย นิ่มเราก็ไม่โกรธ ทีเรามานั่งอยู่เนี่ย ไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจหรอก แค่รู้สึกว่า เรารักนิ่มจริงหรือเปล่า? ทำไมเราถึงไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย นอกจากความรำคาญใจแปลกๆ”

“………” ผมมองหน้าชัยที่ทำสีหน้าเหมือนกับงงมึนกับสิ่งที่ผมพูดออกมา

“ช่างเถอะ……” ผมเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้และแหงนหน้าขึ้นมองเพดานที่มีโคมไฟสีส้มสลับขาวสว่างไสว
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ในขณะที่ผมกำลังล่องลอยไปกับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเสียงหนึ่งมาปลุกผมจากภวังค์

“กูว่า….มึง…. น่าจะไม่ได้รักนิ่มมากพอ ที่จะสะสางปัญหาเรื่องนี้ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด…..อาจจะไม่ได้รักมาตั้งแต่แรกเป็นแค่ความชอบพอความเสน่หาที่มีให้กันมากกว่า เพราะเรารู้จักกับความรู้สึกแบบนี้จากไอ้หลงเหมือนกัน เหมือนแค่ควงกันเท่ห์ๆเท่านั้น”

“……………” ผมเกือบจะรู้สึกเห็นด้วยแทบจะทันทีที่ฟัง แต่เหมือนยังถูกไม่หมด ผมเลยยังคงมองไปที่แสงไฟบนเพดานต่อไป ขบคิดไปเรื่อยๆ

“หรือว่า…. ในใจมึงมีคนอื่นแล้ว…”

“……เราว่าไม่น่า…” ผมพลิกหน้ามามองคู่สนทนา ด้วยใจที่เต้นตึกตักพลางคิดในใจว่า ‘เอ…. หรือว่าใช่…. แล้วใครล่ะวะ? ช่วงนี้ยอมรับว่ามีคนเข้ามาคุยเยอะ แต่ก็ไม่ได้สนใจเลยนี่หว่า? คนเดียวที่เราอยู่ด้วยนานที่สุดก็…… ‘ชัย!!’

………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบหก part 3 (อัพ 26/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 26-08-2017 20:54:25
สั้นจังเลย โอยๆๆๆๆ  :z3: อีกๆๆๆ ได้กันได้กัน
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 27/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-08-2017 11:25:27
ชัย # 8

เมื่อวานหลังจากผมได้เห็นสภาพที่กลัดกลุ้มสับสนของไอ้กวีแล้ว ทำเอาผมใจไม่ดีเลย รู้สึกว่าไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยเล่นเอาผมไม่สบายใจไปด้วย

การพยายามปลอบมันทำให้รู้อะไรหลายๆ อย่าง เรื่องแรกคือเจ๊พิ้งค์ ผมคงต้องคุยกับเจ๊แกหน่อยแล้ว มีอย่างที่ไหนขายดันดื้อๆ แบบนี้ (ดีนะที่ไอ้กวีมันเป็นคนดีไม่เอาเรื่อง มันไม่เลิกคบกับผมก็บุญแล้ว)

โดยเฉพาะอย่างที่สอง เรื่องที่มันไม่แน่ใจว่ายังรักและยังอยากคบนิ่มอีกไหม? มันออกจะผิดแผนไปหน่อยตรงที่มันควรจะเลิกรักนิ่มทิ้งนิ่มไป ไม่ใช่มาสับสนแบบนี้ ถึงผลลัพธ์มันจะเหมือนกันก็เถอะ

บอกตามตรงผมเห็นมันเป็นแบบนี้ คิ้วเข้มๆได้รูปโค้งของมันขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสวยคู่นั้นดูอ่อนล้า ใบหน้าที่ขาวใสมีออร่าตอนนี้ดูหม่นหมอง ผมเชื่อว่าใครมาเห็นอย่างที่ผมเห็นตอนนี้ก็ต้องอยากทำแบบผมทั้งนั่นแหละ คือ อยากเข้าไปโอบและลูบหัวเบาเบา

ผมล่องไปในความคิดเพียงเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าถึงความไม่ถูกต้อง ผมหันไปมองพนักงานเสริฟสาวสายหมวยอึ้มที่ตอนนี้เธอกำลังเสริฟให้กับชายหนุ่มด้านนอกร้านแบบนมหกเรี่ยราด ผมยังรู้สึกอยากใช้สายตาจาบจ้วงเข้าไปในเสื้อสายเดี่ยวรัดๆนั่น แต่พอผมกลับมามองไอ้กวีที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกเดิมก็กลับมาหาผมอีก

มือที่ยาวเรียวนั่นกำลังเปิดหนังสือพลิกไปมาอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาที่ดูเหม่อลอย ทำไมผมถึงอยากที่จะเข้าไปกุมมือมันอย่างนี้นะ  แล้วผมก็ดันเผลอหลุดปากอะไรไปแบบไม่รู้ตัว จนแม้แต่ตัวผมยังแอบเสียใจอยู่ถึงตอนนี้ ไม่กล้าแม้แต่มองไอ้กวีที่อยู่ตรงข้าม ส่วนไอ้กวีก็เอาแต่นิ่ง……

“เอาวะ! อย่างนี้มันต้องเมา!” ผมพูดทำลายความเงียบที่ลอยเคว้งอยู่เต็มบริเวณที่นั่งอยู่
“เฮ้ย.. เราอายุถึงแล้วเหรอ?” ไอ้กวีตาโตใส่
“เอาน่า… ไปร้านคนรู้จัก”
“…….”
“เอาน่า….”

และแล้วผมก็ลากมันไปจนได้….

ผมกับไอ้หลงก็ไม่ใช่เด็กดีอะไรเท่าไหร่ ของอย่างนี้ลูกผู้ชายอย่างเรามันก็มีบ้าง ถือเป็นการเรียนรู้ชีวิต ร้านที่ผมไปเป็นของญาติห่างๆของเจ้พิ้งค์ สมัยผมกับคั่วอยู่เจ๊แกอยู่ เจ๊แกพามาบ่อยๆ แม้หลังจากผมกับเจ๊พิ้งค์จะไม่มีสถานภาพเช่นแต่ก่อน ผมก็ยังพาเพื่อนมาบ่อยๆ เวลาเราอยาก ‘เรียนรู้ชีวิตแบบลูกผู้ชาย’ ละไว้ฐานที่เข้าใจ ก็แล้วกันนะครับ

ร้านนี้มีบรรยากาศแบบร้านอาหารกึ่งผับ โต๊ะแต่ละโต๊ะถูกวางให้อยู่ห่างกันพอควร เพื่อความเป็นส่วนตัว มีสองโซน โซนด้านในห้องกระจกที่มีเครื่องปรับอากาศสำหรับคนที่ชอบดนตรีสด และมีบาร์เครื่องดื่มเล็กๆใกล้เวทีแสดงดนตรี ส่วนอีกโซนอยู่ด้านนอกร้านที่จัดโต๊ะบรรยากาศในสวนหย่อม และมีดนตรีเปิดจากเครื่องกระจายเสียงเบาเบาแนวฟังสบาย

ผมลากไอ้กวีเข้าด้านใน ที่บาร์ใกล้เวทีแสดงดนตรีซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการแสดงอะไร

“เอาอะไร?”
“น้ำอัดลมก็ได้”
“ไอ้บ้า เราหมายถึงเหล้าโว้ย นายมาถึงนี้เพื่อมากินน้ำอัดลมเนี่ยนะ!”
“เอ่อ……. ไม่รู้ว่ะ เราไม่เคย…”
“เออ! ลืมไปว่านายมันเด็กเรียน” ผมจะพามันเสียคนไหมวะ ผมหันไปสั่งพนักงานที่บาร์เป็นเบียร์ยี่ห้อหน้าสิงโตในป่าหิมพานต์มาสองขวด

“เฮ้ย!! ไอ้ชัย ไอ้น้องรัก หายไปนานเลยมึง” เสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ จากอีกด้านหนึ่งของบาร์เครื่องดื่ม
“อ้าว…พี่โน่ สวัสดีครับ” ผมไหว้แกไปหนึ่งรอบ พี่นีโน่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ๊พิ้งค์ครับ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ตี๋ๆ ดูน่ารักตะมุตะมิมากหากไม่รวมการไว้หนวดและรอยสักเต็มแขน ดูขัดกันสุดๆ แกใจดีน่ารัก ตั้งแต่สนิมกับพี่โน่และคุยกันถูกรอ มาทีไรแกให้ส่วนลดทุกที แกไม่ชอบให้เรียกชื่อเต็มเลยเรียกสั้นกันแค่นั้น

“ทำไมวันนี้ถึงมาร้านกูได้ล่ะเนี่ย?”
“มาเพื่อนมาเปิดซิงครับ”
“………” พี่โน่มองหน้าไอ้กวีแบบแปลกๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่! มันไม่เคยมาร้านแบบนี้ เหล้าก็ไม่เคยกิน”
“อ้อ…. กูก็ว่า….. หน้าตาแบบนี้แม่งไม่น่ารอดมาได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…..”

ผมยกเบียร์ที่ตอนนี้ยกมาเสริฟตรงหน้าหนึ่งอึกให้หายคอแห้ง ไม่ได้ซดมานาน ความเย็นที่ปลายลิ้นกับความร้อนที่ลงไปในคอถึงกระเพราะนี่มันความรู้สึกที่คิดถึง (ผมไม่ได้ติดเหล้านะครับ แค่ชอบในรสชาติ)
“แฟนใหม่เหรอ? เดี๋ยวนี้ชอบแบบนี้นี้ก็ไม่บอกพี่..” พี่โน่เดินมากระซิบใส่หูผม

ผมสำลักน้ำสีอำพันที่เพิ่งจะกลืนลงไป จนต้องเอามือมาเช็ดปากที่เลอะเทอะ

“พี่จะบ้าเรอะมันเป็นผู้ชาย ผู้ชายทั้งแท่งเลย นี่มันเพิ่งกับแฟนเลยพามาเมาเนี่ย” ผมโน้มตัวมากระซิบกลับ
“เชี้ย! น่ารักว่ะ มึงแน่ใจนะว่าไม่ใช่ ทั้งผิวและรูปร่างอ้อนแอ้นโอดองนั่น…….” พูดจบพี่โน่ก็ทำตาหวานเยิ้มใส่ไอ้กวี 
“………..”
เฮ้ย! ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าพี่โน่นี่มีรสนิยมแบบนี้ด้วย เคยเห็นแต่ควงสาวไม่ซ้ำหน้า มุมนี้ของพี่โน่เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมเลย จะว่าไปผมก็รู้สึกแบบที่พี่โน่รู้สึกนี่แหละ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชอบที่พี่โน่รู้สึกเหมือนผมเลยวะ
“อกหักใช่ไหม งั้นกูช่วยดามเอง”
“เฮ้ยๆ พี่ผมขอ อย่าเพิ่งยุ่งกับมันเลย” อยู่ๆ ผมก็ขึ้นเสียง
“มึงหวงมันเหรอ? ไหนว่าแค่เพื่อน!” เออว่ะ กูจะไปหงุดหงิดทำไม
“งั้นมึงก็ปล่อยกู เดี๋ยวกูเปิดซิงมันเอง”
พูดจบคนตัวเล็กๆ อย่างพี่โน่ก็พริ้วไปชนขวดดวลน้ำเมากับไอ้กวีที่ยืนลูบคลำขวดเบียร์แบบลังเลว่าจะจัดการกับมันอย่างไร (ไอ้พี่โน่มันไปเอาขวดเบียร์จากไหนวะ เร็วฉิบหาย)

ผมนั่งมองสองคนข้างๆ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่คุยกันเรื่องการดื่มเหล้าครั้งแรกและวิธีแก้เมาค้าง สมกับเปิดผับแม่งรู้ดีฉิบหาย ส่วนไอ้กวีก็ตั้งใจฟังและซักถามยังกับอยู่ในห้องเรียน นี่ถ้ามันมีสมุดมันคงจดบันทึกลงไปแล้ว มึงนี่เรียนได้ทุกที่เลยนะ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ขวดเบียร์ที่ดูว่างเปล่าวางก็อยู่ตรงหน้าไอ้กวีเสียสองขวดแล้ว ถึงจะเป็นแบบขวดเล็กแต่คนเพิ่งเคยกินอย่างมัน คงจะเมาไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้แก้มมันแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก ทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรส โดยไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างผมเลย ผมเผลอคิ้วขมวดหลายรอบทุกครั้งที่ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“ชัย!!”

เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยเอ่ยทักขึ้นมาข้างๆกาย
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่เนี่ย ไม่มานานเลย”
“สวัสดีเจ๊” ผมหันไปหาเจ๊พิ้งค์ที่ยืนท้าวเอว เธอยืนใกล้ผมจนหน้าอกเธอแทบจะชนหน้าผม
“อ้าว… กวีก็มา” เธอหันไปโบกมือทักทายไอ้กวีที่ตาเริ่มปรือแล้ว ไอ้กวีโบกมือกลับแบบอ่อนแรง
“พี่โน่ เข้าหาเด็กใหม่ตลอดเลยนะ!” เจ้พิ้งตะโกนข้ามไหล่ผมไปแซวคนตัวเล็กที่ไม่ได้สนใจอะไรเจ้แกเลย พี่โน่แค่หันมายักคิ้วใส่เท่านั้นเอง
“แก! มาด้วยกันได้ไงวะ อย่างกวีไม่น่าจะมาบังเอิญเจอแกที่นี่?”
“ก็ชวนมันมา แค่นั้น” ผมแทบไม่มองคู่สนทนาคอยเหลือบมองสองคนนั้นเรื่อยๆ
“เจ๊ได้ข่าวเรื่องกวีกับยัยนิ่มแล้วเลิกกันแล้วสิ?”
“ยังหรอก… แค่ช่วงพักเบรก”
“โห… เจอเจ๊ใส่เต็มขนาดนั้นยังจะไม่เลิกอีก!” เจ๊พริ้งพูดมาทำให้ผมนึกได้ทันทีว่าจะต้องคิดบัญชีกับเธอ
“เจ๊!! มานี่ดิ” ผมลากเจ้พิ้งค์ออกมาห่างจากไอ้กวีไปสามสี่ก้าว เพราะวงดนตรีเริ่มมาเทสต์เสียงแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าห่างจากไอ้กวีมากนัก อ่อนๆ อย่างมันกลัวจะเสียท่าให้ไอ้พี่โน่ขี้หลี ให้มันอยู่ในสายตาเสียหน่อย
“เล่ามาเป็นไงมาไง?”
“ก็เจ้ไปเชียร์เด็กแฝดที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของอาร์ตนะ คืออาร์ตไปไม่ได้เลยฝากพี่ไปเชียร์ และก็คอยดูแลตอนกลับบ้าน บังเอิญไปเจอน้องกวีเข้า น้องมันน่ารักเดินเข้ามาทักทายสนิทสนม แถมช่วยดูแลเจ้กับไอ้เด็กแฝดด้วย เป็นคนดีมากๆ เลยแก”
“เจ๊ก็เลยใจอ่อน เล่าให้ฟังหมด?”
“ก็… แบบ…. หลุดปากมากกว่าน่ะ เพราะไปเจอยัยนิ่มมันทำท่าอวดดีใส่ พอสบโอกาสตอนกวีอยู่คนเดียวเลย จัดไปชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย”
“แปลว่าบอกหมดเปลือก?”
“แต่เจ๊บอกนะว่า ชัยหวังดีกับกวีนะ อยากให้เลิกกับอีผู้หญิงไร้หัวใจนั่น!!”
“ป่านนี้นิ่มคงคิดว่าผมเป็นคนบอกแล้วล่ะ”
“เจ๊ก็รู้ถึงนิสัยไอ้กวีมัน คนดีอย่างมันจะบอกเหรอว่ารู้มาจากไหน สุดท้ายนิ่มมันก็ต้องคิดไปเองอยู่แล้ว”
“…อืม….. นั่นสิ”
“โอเค…. ช่างมันเถอะเจ้ โชคดีที่เป็นไอ้กวี… มันไม่เอาความ”
ผมยิ้มแห้งๆ ใส่เจ้พิ้งค์

“มึงนี่เองคนที่เขาลือกันว่าเมียกูไปวุ่นวายด้วย”
“?????” ผมหันไปทางต้นเสียงทางด้านหลัง

ผลั่ว!!!!!

ผมลงไปกองกับพื้นด้วยหมัดปริศนา

“อาร์ต!!! ทำอะไรน่ะ….. ว้าย…  ชัยเป็นอะไรไหม?”
“มึงนี่เอง ไอ้ชัย คนที่เขาลือกันว่ามาวุ่นวายกับเมียกู มึงเลิกกับพิ้งค์แล้วไม่ใช่เหรอ? มึงยังจะมาป้วนเปี้ยนกับพิ้งค์อีกทำไม?”
แล้วไอ้อาร์ตก็ย่างสามขุมเข้ามาหมายจะตะบันผมอีกรอบด้วยตีนที่ง้างไว้ พร้อมด้วยเสียงกรี๊ดของเจ๊พิ้งค์ที่พยายามยกมือขึ้นห้าม

“เฮ้ย!! ทำอะไร”

เสียงดังขึ้นจากไหนไม่ทราบพร้อมภาพที่ไอ้อาร์ตโดนผลักกระเด็นไปด้านข้างเกือบล้ม

ไอ้กวีเดินเข้าขวางระหว่างผมกับไอ้อาร์ต

ไอ้ชัยมันไม่เกี่ยว!! คนที่พี่พิ้งค์มายุ่งด้วยก็กูนี่แหละ
(อ้าว.. ไอ้นี้เหล้าเข้าปากแล้วห้าว!! มันคงไม่รู้จักไอ้อาร์ตสินะ ลูกชายเจ้าของโรงสีที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด นักเลงประจำจังหวัดเลยนะไอ้บ้า!!)

เพียงแค่นั่นแหละ พอไอ้อาร์ตมันได้ยินและมันตั้งหลักได้มันก็ตรงเข้ามาจัดการไอ้กวีที่ยืนแทบจะไม่ตรงอยู่ตรงหน้าผมผมเสียหมอบ หมัดเดียวเท่านั้น ไอ้กวีมันทรุดลงไปกับพื้นเหมือนผมเลย ตามด้วยสัมผัสจากเท้าของไอ้อาร์ตเข้าที่ท้องสองครั้งติด ผมรีบไปช่วยทันทีแต่โดนเพื่อนไอ้อาร์ตมันจับไว้ ผมเลยซัดไอ้สองตัวที่จับผมจนเสียหลักแต่ด้วยความเจนเรื่องชกต่อยมันจึงดึงผมลงไปต่อยเสียหลายหมัด ด้วยความมึนจากหมัดแรกของไอ้อาร์ตทำเอาผมโต้ตอบไม่ถนัด ตอนนี้ผมกับไอ้กวีกำลังเสียเปรียบโดนซ้อมอยู่ฝ่ายเดียว

ไอ้กวีมีพี่พิ้งค์วิ่งไปห้ามแต่เหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งไปยั่วโมโหไอ้อาร์ตหนักขึ้นอีก

“หยุด!!! หยุดเดี๋ยวนี้!!”

เสียงของพี่โน่ ที่เกรียวกราดแบบไม่คุ้นหูดังขึ้นทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ทำให้ผมกับไอ้กวีได้พักหายใจกันบ้าง

“อาร์ต พอแค่นี้แหละถือว่าพี่ขอ!!” พี่โน่จ้องไอ้อาร์ตเขม็ง
“ครับ” พูดจบไอ้อาร์ตมันก็ถุยน้ำลายใส่ไอ้กวีที่ทรุดอยู่กับพื้น
“เดี๋ยวอาร์ต!!”
“อะไรพี่!!”
“พี่ว่า…เคลียร์กันก่อนไหม? พี่ว่ามันมีอะไรเข้าใจผิดอยู่ พิ้งค์ เธอมีอะไรจะพูดไหม?” พี่โน่หันไปหาต้นเหตุของเรื่อง ที่กำลังร้องไห้ด้วยความตกใจ

พี่พิ่งค์เล่าทุกอย่างอย่างละเอียดแม้กระทั่งในเรื่องที่ไอ้กวีไม่เคยฟังด้วย เรื่องแผนของผมทั้งหมด เรื่องที่ผมลงทุนสารพัดให้ความรักของไอ้กวีกับนิ่มพังลงถึงกับจ้างเจ๊พิงค์ไปยั่วยวนไอ้กวีให้นิ่มหึงเล่นๆ
กลังจากเล่าจบ อาร์ตดูมีอาการใจเย็นลง หลังจากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดแค่จัดฉาก แล้วไอ้อาร์ตกับพวกของมันก็ยอมออกจากร้านแต่โดยดี
เจ๊พิ้งค์โค้งคำนับขอบคุณพี่โน่และขอโทษพวกเราก่อนที่จะวิ่งตามไอ้อาร์ตออกไป

ตอนนี้เหลือผมกันไอ้กวีที่นั่งกองอยู่บนพื้นมองหน้ากันสองคน ในสภาพที่ดูไม่จืด

“พาเพื่อนกลับบ้านก่อนไป เดี๋ยวพี่ต้องเคลียร์ร้านอีก” พี่โน่มองสถาพร้านที่โต๊ะเก้าอี้ล่มระเนระนาดอยู่มุมหนึ่งจากเหตุการณ์เมื่อครู่

“ไป…เดี๋ยวเราไปส่ง” 
ผมบอกกับไอ้กวีที่ตอนนี้หน้าตาเขียวพกช้ำไปข้างหนึ่ง

……………………



พ่อกวีคนดีของราจะว่าอย่างไรบ้างนะ.... เขียนเองแอบลุ้นเอง
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 27/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-08-2017 15:08:43
ความทุกอย่างก็รู้กันหมดแล้ว
ว่าแต่กวีที่เมาๆ หลังชกต่อยจะหายเมามั้ย
และฟังทุกอย่างแล้ว จะคิดอะไร หรือโกรธชัยหรือเปล่า

ว่าแต่กวีนี่ฮ็อทไม่เบาเลย
พี่โน่นี่น้ำลายไหลเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 27/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 27-08-2017 17:43:36
รวบรัดมากๆๆๆ :hao7: :hao7: :hao6: แต่ตอนนึงสั้นมากอะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเจ็ด part 2 (อัพ 29/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-08-2017 17:55:34
ชัย # 9

โอย……..
อูย………..

ผมเผลอร้องออกมาตอนลมเย็นเยียบตีปะทะหน้าช้ำๆของผมระหว่างขับรถไปส่งไอ้กวีที่บ้าน จนในใจคิดอยากจะขับให้ช้าลง

ผมเป็นคนลากไอ้กวีมาเที่ยว บังคับให้มันนั่งซ้อนท้ายบิ้กไบค์ผมมาที่ผับนี่ (เพราะไอ้กวีไม่รู้ทางและคล่องตัวกว่า) จนกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ผมรู้สึกผิดยังไงบอกไม่ถูก แล้วไหนจะเรื่องต่างๆ ที่ถูกเปิดโปงง่ายๆ ในตอนท้ายแบบนี้ ไอ้กวีมันยอมกลับบ้านกับผมก็ดีขนาดไหนแล้ว ผมกลัวมันโกรธจะแย่

“ทางนั้น…… เลี้ยวขวาเข้าซอยใหญ่ข้างหน้า…..”

ไอ้ชัยที่นานๆ จะเงยหน้าขึ้นมาและบอกทางเป็นระยะๆ มันเอนตัวมาชิดผมให้หน้าซบไหล่ผม ในขณะที่มือทั้งสองอ้อมมาคล้องเอวผมไว้

หากเป็นคนอื่นผมคงปล่อยให้มันตกรถไปแล้ว ไม่ให้ทำแบบนี้หรอก มันน่าขนลุก หากเพื่อนผมจะเมาขนาดนี้ผมคงเรียกแท็กซี่ให้มันกลับบ้านเอง แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจไอ้กวีเลย บางทีกลับห่วงกลัวว่ามันจะตกลงไปเสียด้วยซ้ำ บางครั้งผมต้องคอยจัดมือมันไม่ให้ปล่อยจากการคล้องเอวผมแบบนี้ บางทีผมก็จับแขนมันไว้เลยเวลาที่มันเหมือนจะปล่อยมือออกจากกัน ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมสำนึกผิดเรื่องที่ทำไว้กับมันละมั้ง?

ผมเคยรู้มาบ้างว่าบ้านไอ้กวีอยู่แถวนี้  ขยับออกจากตัวเมืองมาเล็กน้อย อยู่ในซอยใหญ่ที่ติดถนนทางหลวงหกเลน เขาลือกันว่าบ้านมันหลังใหญ่มาก จนกระทั่งตอนนี้ผมขี่รถมาจอดหน้าบ้านของมัน

รั่วบ้านขนาดใหญ่สูงกว่าสามเมตรสีทองสลับเหลือบรมดำดัดลายเป็นลายดอกไม้สวยงาม รั่วรายล้อมบ้านขนาดใหญ่ที่มีเสาทรงโรมันตั้งคู่ขนานตั้งที่อยู่ด้านในไกลออกไปกว่าสิบเมตร ประมาณจากสายตาแค่สนามหน้าบ้านมันก็ใหญ่กว่าบ้านผมแล้วมั้ง

ผมพยุงไอ้ขี้เมาลงจากรถ ไอ้กวียืนมึนพิงรถบิ้กไบค์ที่จอดอยู่ ผมเดินหากริ่งเพื่อที่จะเรียกคนในบ้านมารับตัวมัน

“สวัสดีครับ มาหาใครครับ ดึกดื่นแบบนี้” เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบรักษาความปลอดภัยโผล่มาจากเงามืดตรงไหนสักแห่งจนผมเผลอกระโดดตกใจ
“โห…พี่!! ตกใจหมด!”
“มาทำอะไรครับ?” ไม่ได้สนใจอะไรกูเลย สรุปเป็นรปภ. หรือทหาร
“ที่นี่บ้านไชยวัฒนพาณิชยสกุลใช่ไหมครับ” สาบานว่านั่นนามสกุล ยาวโคตร ผมอึ้งมากตอนฟังครั้งแรก
“ใช่ครับ มาติดต่อเรื่องอะไรครับ?”
“พาเพื่อนมาส่งครับ” ผมชี้ไปที่ไอ้ตัวที่ยืนตาปรืออยู่ไม่ไกล
“อ้าว! คุณหนูนี่เอง คุณเป็นเพื่อนคุณหนูหรือครับ? เชิญครับ”
พูดจบเจ้าหน้าที่ก็พูดใส่วิทยุสื่อสารในมือให้เจ้าหน้าที่อีกคนเปิดประตูให้ แล้วประตูก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดแบบอัตโนมัติเหมือนมีเวทมนต์  อลังการโคตรๆ แล้วไฟทางเดินก็ค่อยๆ เปิดไปจนถึงตัวบ้าน
“อ้าว! คุณหนูไม่ได้เอารถไปรึเนี่ย?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมานอกรั่วแล้วมองหารถของไอ้กวี

“พี่ว่าสภาพนี้มันจะขับรถไหวไหม?”
“เฮ่ย!! คุณหนูไปโดนอะไรมา?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตกใจเมื่อเห็นสภาพคุณหนูของเขาที่ผมหิ้วปีกอยู่ตอนนี้
“อย่าบอกป๊ากับคุณนายนะ”
“เอ่อ….ครับ คุณหนูโชคดีนะครับที่นายท่านกับคุณนายไปเยี่ยมคุณหนูเล็กที่ศรีราชา”
“อืม” ไอ้กวีพยักหน้าเบาๆ
“ผมวานคุณขี่รถไปส่งคุณหนูถึงบ้านได้ไหมครับ เพราะพวกผมไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในตัวบ้านในยามวิกาลครับ คุณเป็นเพื่อนคุณหนูคงไม่เป็นไร”
“เออ… ใช่… ไปส่งเราหน่อย เราคงเดินไปไม่ไหว แล้วจะได้ไปทำแผลกันก่อนด้วย” ไอ้กวีหันมาทางผมด้วยสายตาอ่อนแรง
ผมมองระยะทางข้างหน้าแล้วเห็นด้วยทันที ผมพยักหน้าและจับมันขึ้นรถเหมือนเดิม และขี่เข้าไปในตัวบ้านโดย เจ้าหน้าที่ฯ วิ่งตามมาส่งถึงแค่หน้าบ้านเท่านั้น

พอมาถึงภายในบ้าน คิดว่าภายนอกบ้านนี่ยิ่งใหญ่สวยงามแล้วนะ พอมาข้างในบ้านแล้วไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน การจัดแต่งสไตล์หลุยส์ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์สีทองสลับขาว ตามผนังมีภาพวาดครอบครัวของไอ้กวี ย้ำนะครับว่าภาพวาดไม่ใช่ภาพถ่าย ดวงไฟแชนเดอร์เรียประดับด้วยคริสตัลที่นับเม็ดไม่ได้แขวนอยู่กลางโถงหน้าบ้าน และยังมีห้องหับที่แยกออกไปจนผมมองไม่หมด บ้านน่าอยู่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่อยากกลับวะ

มันบอกทางผมขึ้นไปชั้นสองห้องริมสุด ห้อนนอนห้องขนาดใหญ่ที่ใหญ่พอๆกับห้องนั่งเล่นบ้านผม พื้นปาร์เก้ขัดมันวับ รูปแบบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์เข้าชุดกับห้องนั่งเล่นและโถงด้านล่าง (และคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นทั้งบ้าน) บ้านผมก็ไม่ได้ยากจนนะครับ เรียกว่าพอมีฐานะเลยทีเดียว แต่พอมาเทียบกับบ้านไอ้กวีผมดูด้อยไปเลย  เปรียบเหมือมดกับช้างเลย

พอถึงห้องมันผละจากผมเดินที่นั่งที่เตียงขนาดหกฟุตที่มีรูปทรงหรูหราสไตล์หลุยส์ (ถ้าผมมานอนจะนอนหลับไหมวะกว้างมาก)

“ชัย ไหนดูแผลหน่อย”
ไอ้กวีกวักมือเรียกผมขณะที่กำลังมองห้องมันรอบๆ ที่ตกแต่งเหมือนห้องวัยรุ่นทั่วไป ทั้งโปสเตอร์นักบาสฯ ดังๆ ที่ติดตามผนังห้อง และมีมุมๆหนึ่งที่ถูกอุทิศให้กับ เอ็นบีเอ ที่มีของที่ระลึกต่างๆ มากมายจากทีมดังๆ ทั้งนั้น (น่าจะของแท้จากอเมริกา)

ผมเดินไปหามันที่เตียงโดยที่ยังสำรวจรอบๆ ห้องอยู่
“โห… นี่เป็นทีมที่เราชอบทั้งนั้นเลยนี่” ผมสังเกตของบางอย่างก็ยังใหม่อยู่เลย บางชิ้นเป็นชิ้นที่ผมคนบอกออกสื่อโซเชียลเลยว่าอยากได้มาก เหมือนทุกชิ้นที่อยู่ในนี้เป็นรายการที่ผมอยากสะสมทั้งหมด
“…….” ไอ้กวีไม่ตอบอะไรนอกจากสังเกตหน้าผมอย่างวินิจวิเคราะห์
“นาย… สะสมมานานหรือยัง?” ผมตื่นเต้นจนลืมเจ็บ
“บางชิ้นก็นาน บางชิ้นก็ไม่นาน” แล้วมันก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
“โห….. อันนี้สุดยอดไปเลย มีลายเซ็นต์ด้วย” ผมชี้ไปที่เสื้อทีมโปรดที่ถูกใส่กรอบไว้พร้อมด้วยลายเซ็น ซึ่งวางพิงผนังข้างโต๊ะอ่านหนังสือ
“ทำแผลก่อนก็แล้วกันนะ ค่อยกลับบ้าน” ไอ้กวีเดินยกกล่องปฐมพยาบาลมาที่เตียง
“เออ..อืม” ผมหันไปหาไอ้กวีที่ตอนนี้เดินมานั่งที่ขอบเตียงข้างๆ ผมพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
“นายก็ใช่ย่อยนะ ส่องกระจกหรือยังเนี่ย? งั้นเดี๋ยวพลัดกันทำแผลก็แล้วกัน” ผมสำรวจหน้าไอ้กวี พร้อมยิ้มปนขำเพราะอยู่กับมันด้วยสภาพนี้อีกแล้ว ดีนะไม่มีใครเป็นอะไรมาก
“หันหามาดีๆสิจะได้ทำแผลให้ก่อน” ผมทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย
“ทำไมถึงขนาดมีอุปกรณ์ทำแผลครบแบบนี้ในห้องเนี่ย?”
“เรามันซุ่มซ่าม เวลาซ้อมบาสฯ มักจะได้แผลมาด้วย เราไม่อยากให้ป๊ารู้เลยแอบมาทำเอง กลัวป๊าสั่งให้เลิกเล่น” ไอ้กวีจัดเตรียมยาและอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากกล่องอย่างชำนาญ
“อ้อ …..แล้ว…..ทำไมถึงชอบเล่นบาสล่ะ” ผมถามอย่างสอดรู้
“ก็เห็นมีคนเล่นแล้วเท่ดีเลยอยากเล่นบ้าง”
“เราอ่ะดิ ใช่ไหม? ….โอ้ย!!… เบาๆ หน่อยสิ” ไอ้กวีมันใช้มือจับสำลีที่มีเบตาดีนติดอยู่จิ้มมาที่หน้าผมทั้งๆ ที่มันก้มหน้าอยู่
“พูดเล่นแค่นี้ถึงกับแกล้งกันเลยหรือ?” หรือว่าเราจะเป็นคนๆ นั้นที่มันพูดถึงวะ
“……..”  มันเงยหน้าขึ้นมาแบบเขินๆ เหมือนผมเดาถูก ไอ้กวีดูมันพยายามเก็บอาการไว้

“เฮ้ย!! ใช่จริงๆน่ะ?” 

“ไม่ใช่โว้ย” แล้วไอ้กวีก็ทำท่าจะลงแรงที่ตรงแผลที่ริมฝีปากผม ด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติของผมจึงคว้าไปที่มือของไอ้กวีก่อนจะลงแรง ไอ้กวีมันดูสะดุ้งตกใจ
“เวลาทำแผลเช็ดแค่นี้ก็พอ เบาๆ แบบนี้เข้าใจไหม?” ผมสอนมันโดยการใช้แรงจับมือมันที่ตอนนี้กุมสำลีอยู่ค่อยๆซับแผลที่ริมฝีปากของผม ดูมันหน้าแดงมากกว่าเดิมมาก ตาดูเลิ่กลั่กแปลกไป หน้าผมกับมันใกล้กันจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของมันและกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากร่างกายของไอ้กวี อยู่ๆผมก็ตื่นเต้นขึ้นมาทำให้ผมหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง ดูจากอาการของไอ้กวีเองก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

“พอแล้ว! ทำเองต่อก็แล้วกัน” ไอ้กวีโวยวายสะบัดมือผมทิ้งและลุกขึ้นยืน แต่ด้วยอาการเมาและร่างกายที่เพิ่งโดนซ้อมมาคงจะไม่เอื้อให้ออกแรงอย่างกระทันหัน มันจึงเซล้มหงายลงมา ผมจึงโผไปรับมันด้วยความเคยตัวทั้งที่ๆ ที่ร่างกายตัวเองก็ไม่เอื้อให้ทำแบบนั้น กลายเป็นว่าพอรองรับตัวไอ้กวีได้ ผมก็โดนแรงโน้มถ่วงของโลกฉุดให้ล้มลงไปที่ที่นอนนุ่มๆ ตามไอ้กวี

ตอนนี้แขมผมโดนร่างท่อนบนของไอ้กวีทับอยู่ส่วนตัวผมแนบชิดไปกับร่างกายของมันจนเกือบจะเรียกว่าซ้อนทับกัน หน้าผากของผมโขกไปที่หน้าผากของไอ้กวีหนึ่งครั้ง เสียงดังโป๊ก ทำเอาได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหัวเลย หลังจากหยีตาลงไปด้วยความเจ็บปวด สิ่งแรกที่ผมลืมตาเห็นคือตากลมโต สีน้ำตาลเข้มกับหน้าใสแก้มแดงของไอ้กวีอยู่ในระยะประชิด เราต่างคนต่างมองอยู่ในท่านี้อยู่พักหนึ่งก่อนที่ผมจะทำอะไรโง่ๆ คือการกดริมฝีปากลงไปที่แก้มมันฟอดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

“……” ไอ้กวีมันดูจะอึ้ง ตาโตใส่แบบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมทำ
“เออ….เราขอโทษว่ะ คือ เรา… เรา.. พยายามจะลุกขึ้นแต่นายทับแขนเราไว้ เลย…เลยล้มไปหานายน่ะ”
สักพักมันก็ขยับตัวให้แขนผมสามารถดึงออกจากใต้ร่างมันได้
“เอ่อ… ไม่เป็นไร” ไอ้กวีมันมีอาการกระอั่กกระอ่วนกว่าเดิม
“งั้น…. เรากลับบ้านก่อนดีกว่า”
“เดี๋ยว…. ไม่ทำแผลเหรอ”
“เฮ้ย…ไม่เป็นไร หนักกว่านี้ก็โดนมาแล้ว”
“แต่…. ดึกแล้วนะ แล้วนายก็ดื่มมานี่ ตอนนี้ตำรวจน่าจะตั้งด่านแล้ว ถึงนายจะไม่โดนจับ แต่ไม่กลัวพ่อนายจะรู้เหรอ? นอนที่นี่ก็ได้นะ วันนี้เราอยู่คนเดียว”

ฉิบหายแล้ว!!! จริงของมัน ปกติผมจะค้างบ้านไอ้หลงหรือเพื่อนคนที่บ้านอยู่ชานเมือง เพราะเลี่ยงที่จะเจอด่านในเมือง มันพูดมีเหตุผล
“เอ่อ….” จะให้นอนกับมันกับความรู้สึกแบบนี้เนี่ยนะ!

“ดูจากสีหน้าแปลว่าโอเคนะ เดี๋ยวเตรียมชุดนอนให้”
พูดจบมันก็ค่อยๆ ลากสังขารของมันไปจัดแจงเตรียมทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัววางพับเรียบร้อยอยู่บนเตียง ทำไมมันเป็นคนเรียบร้อยจังวะ ผมยืนดูด้วยความชื่นชม เพราะนิสัยแบบนี้ช่างต่างจากผมมาก
“นายไปอาบก่อนก็ได้นะ” ไอ้กวีชี้ไปที่มุมห้องอีกด้านที่มีประตูไม้สลักลายสำหรับระบายอากาศสุดหรู
“เอ่อ…. โอเค….” ระหว่างที่เดินเข้าห้องน้ำ ผมแอบเห็นสมุดตราสัญลักษณ์โรงเรียนของผมวางอยู่บนโต๊ะของมันคละกับหนังสือเล่มอื่นๆ สมุดที่มีลักษณะคุ้นตา

“กวี… นายเคยเรียนที่ โรงเรียนเราด้วยเหรอวะ?”
“…….. ก็… เคยตอนมอต้น รู้ได้ไง?”
“ก็เห็นสมุดตราโรงเราอยู่นี่ไง” ผมเดินไปที่โต๊ะหนังสือ กำลังจะใช้มือเอื้อมไปหยิบสมุดเล่มนั้น ไอ้กวีที่โผมาจากไหนไม่ทราบมาแย่งสมุดเล่มนั้นไปจากมือ และพยายามไล่ผมเข้าห้องน้ำไป ผมเลยเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างงงๆ

หลังจากที่พวกเราอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวนอนเรียบร้อยแล้ว
ไอ้กวีก็บ่นอิดออดว่าน่าจะทำแผลก่อนอาบน้ำ เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเราก็ต่างคนต่างทำแผลของตนเอง เนื่องจากการผลักกันทำในช่วงแรกไม่ประสบความสำเร็จ และล่มไม่เป็นท่า (แต่ทำไมผมรู้สึกชอบตอนจบแฮะ)

การนอนวันนี้ไม่ง่ายเลยเพราะมีไอ้กวีที่นอนขยับไปมาอยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่มันขยับ ผมก็สะดุ้งตื่น ใจเต้นตึกตัก ทำไมผมถึงได้ว้าวุ่นกระวนกระวายอย่างนี้วะ พยายามข่มตาหลับทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง

………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 2 (อัพ 29/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2017 18:56:23
เอ่อ.............ชัย หอมแก้มกวี  :ling1: :ling1: :ling1:
ของสะสมที่ชัยอยากได้ กวีตามเก็บมาสะสม
สมุด ตรารร. มีอะไร กวีถึงรีบแย่งมาซะก่อนที่ชัยจะเปิด

กวี  จะทนนิ่ม ไปถึงเมื่อไหร่
ทำตัวน่ารำคาญ ไร้มารยาท ค้นห้อง แอบอ่านไดอารี่
มาทะเลาะต่อว่าชัย ทำตัวแย่มากกกกกก ไม่น่ารัก
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 2 (อัพ 29/8/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 30-08-2017 00:59:24
ชัยดูไม่เป็นชัยเลย เหมือนกลายเป็นหลง2ไปแล้ว เอาชัยกลับมาาาา  :z3: // ยาวกว่านี้ทีเถอะะ  :hao5: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเจ็ด part 3 (อัพ 2/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-09-2017 10:07:01
กวี# 4




ตึกๆๆ

เสียงหัวใจผมเองครับ ผมนอนอยู่บนเตียงตัวเองกับชัยที่นอนอยู่ข้างๆ หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่แสนจะวุ่นวายในคืนนี้ ทั้งเรื่องของนิ่ม เรื่องของชัย จริงๆ ผมก็ไม่ได้โง่นะครับ พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวเองได้มาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ก็เลยไม่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับผม

วันนี้ชัยก็ทำท่าทางแปลกๆ ไปดูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ เขาคงคิดว่าผมคงจะโกรธมาก เลยทำอะไรเกรงใจผมไปหมดไม่เหมือนทุกที ถามว่าผมโกรธเขาไหม? ผมก็มีความรู้สึกนะครับ ผมไม่ชอบชีวิตที่ดูวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ แต่พอมาได้คบกับเขา ได้รู้จักในอีกแง่มุมของชีวิตที่สนุกสนาน ไร้กฏเกณฑ์แต่มีชีวิตชีวา มุมมองต่อการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าเขาเป็นคนดีครับ คงแค่อยากจะแก้เผ็ดนิ่ม แต่ทำแบบนี้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้มันก็ไม่ถูกอยู่ดี (แม้นิ่มเองจะเป็นคนผิดคนแรกก็เถอะ)

ผมนอนกระวนกระวายอยู่บนเตียง ผมไม่เคยนอนกับใครเลยครับนับตั้งแต่จำความได้ ยอมรับว่านิ่มเคยมาบ้างแต่ไม่เคยค้างคืนนะครับ (เสร็จกิจก็แยกย้าย) รู้สึกไม่คุ้นเคย ทุกครั้งที่มีความรู้สึกว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ผมก็พลิกตัวมาดูให้แน่ใจ ยิ่งได้เห็นรูปหน้าตี๋คมๆ นั่นใกล้ๆ ยิ่งทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งมองยิ่งทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนนอน ทำให้รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่งร่าง โดยเฉพาะใบหน้าที่ร้อนผ่าว ใจที่เต้นตูมตามจนแทบจะหลุดออกจากอก ทำให้นอนพลิกไปมาเป็นระยะๆ เพื่อไล่เอาความรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากร่างกาย พยายามคิดถึงเรื่องเรียน เรื่องสอบแทน ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความเหนื่อยล้า สติผมก็ล่องลอยไปโดนไม่รู้ตัว….

……………………..

อืม……….

ผมรู้สึกอึดอันแน่นหน้าอกไปหมด ผมเหมือกำลังจมน้ำ ผมพบว่าตัวเองกำลังแวกว่ายให้ตัวเองพ้นจากห้วงทะเลอันดำมืด โอย…. ช่วยด้วย……

เอื้อก………

ผมสะดุ้งตื่น ด้วยอาการดูดอากาศเข้าปากให้มากที่สุด หลังจากลืมตาตื่นด้วยความตกใจเรื่องความฝันแล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางกองผ้าห่มที่ห่มหุ้มร่างกายอยู่หนาหลายชั้น ผมพยายามใช้มือดึงคลี่แกะออกจากตัวทันที ผมก็ไม่เคยนอนดิ้นนี่หว่า ทำไมมันเตียงผมมันเละเทะแบบนี้เนี่ย

เฮ้ย!!!…..

ผมร้องอุทานเสียงดังลั่น……. รู้ต้นเหตุที่ทำให้ผมอึดอัดแล้ว ร่างกายท่อนบนของผมถูกมือของชัยกอดรัดอยู่ ส่วนขาที่ก่ายสูงมาทับบริเวณท้องน้อยลงไปตามความยาวของขา นี่เขามาขดอยู่กับผมตั้งแต่เมื่อไหร่? คนอะไรมันจะนอนดิ้นได้อย่างร้ายกาจแบบนี้เนี่ย

แล้วผมร้องดังขนาดนี้ยังไม่มีทีท่าจะตื่นเลย หลับลึกได้น่ากลัวมาก ผมพยายามใช้มือดึงแขนของเขาออก แต่ผมสู้แรงชัยไม่ได้เลย นี่เขานึกว่าผมเป็นหมอนข้างรึไง? สุดท้ายผมได้แต่นอนถอนหายใจอยู่ท่าเดิม เสียงริงโทนทำนองเหมือนหวอฉุกเฉินดังขึ้นที่โต๊ะข้างเตียง ชัยสะดุ้งตื่นพลิกตัวไปรับทันที ผมรู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น พยายามยืดกล้ามเนื้อจากอาการนอนอยู่ท่าเดิมนานๆ

“สวัสดีครับ…..เอ่อ…..แม่…” แล้วชัยก็มองซ้ายขวาอย่างงงๆ จนมาเจอผมที่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง
“อยู่บ้านเพื่อน…….. “

“ขอโทษครับ…. ผมลืมครับ เมื่อวานมันมีเรื่องนิดหน่อย”

“ครับ ครับ”

ดูจากสีหน้าชัยแล้วน่าจะโดนดุอยู่

“ครับ…. เพิ่งตื่น………ครับ จะรีบกลับครับ”
ชัยกดวางสายหันหน้ามาล้มตัวลงนอนที่เตียง พลางลูบคลำเตียงเหมือนหาอะไรสักอย่างใต้ผ้าห่มที่กองอย่างระเกะระกะ

“หาอะไรของนาย?”
“หมอนข้างน่ะ นอนหลับไม่สบายหากไม่ได้กอด”
ผมชี้ไปที่พื้นที่ซึ่งมีหมอนข้างวางอย่างไร้ระเบียบห่างจากเตียงพอควร
“อ้าว…. หล่นไปตอนไหนวะ เมื่อกี้เหมือนยังกอดอยู่”
แล้วผมก็ชี้มาที่ตัวผม

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ขอโทษที สงสัยนอนดิ้นไปหน่อย” ชัยหน้าแดงหัวเราะแก้เขิน
“เราว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ” ผมมองสภาพห้องและเตียงที่ทุกอย่างเหมือนเกิดสงครามกลางเมือง หมอนและหมอนข้างที่อยู่ทางฝั่งของชัยกระจายลงพื้นหมด ผิดกับฝั่งทางผมที่ยังคงเหมือนเดิม

“ฮ่ะฮ่า… งั้นเราขอตัวกลับบ้านก่อนนะ แม่เป็นห่วงแล้ว เมื่อคืนบอกแค่ว่าจะกลับดึก พอไม่กลับแบบนี้ สงสัยเราโดนแม่ด่าหูชาแน่เลย รีบกลับก่อนที่แม่จะโมโหมากว่านี้” ชัยลุกลี้ลุกลนเก็บหมอนที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมาบนเตียงแบบลวกๆ
“ไม่เป็นไรวางไว้นั่นแหละ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“เออ…. งั้นรบกวนด้วยนะ” พูดจบเขาก็ถอดเสื้อถอดกางเกง คว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่แถวนั่น มาห่อท่อนล่างทันที

“เออ.. โทษว่ะ เคยตัวนึกว่าอยู่คนเดียวที่บ้าน”  ชัยควรจะรู้ไหมว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ ผมรู้สึกวูบวาบที่หน้ากับด้านหลังที่เปลือยเปล่าของเขา

ชัยรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ผมทำมือไล่ให้เขาเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็เดินออกมาในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดน้ำ
“โอ้โห…. โคตรเรียบร้อยน่ะ” ชัยทำตาโตเมื่อเห็นห้องที่ผมจัดกลับมาเรียบร้อยอึกครั้ง
“ถูกสอนมาแบบนี้ แล้วนี่นายอาบสะอาดไหมเนี่ย เร็วโคตร”
“ฮ่าฮ่าฮ่า  กลับก่อนนะ” ชัยพูดขณะแต่งตัวด้วยชุดเมื่อคืนอย่างเร่งรีบ
“อืม…เดี๋ยวเดินไปส่ง”

“ทำไมบ้านนายเงียบจังเลยวะ” ชัยหันมาพูดกับผมหลังจากเปิดประตูห้องนอนและเดินออกมาที่โถงทางเดินชั้นสอง
“ก็… พวกป๊าไม่อยู่มั้ง เป็นแบบนี้บ่อยๆ”
“เหงาแย่เลย บ้านกว้างขนาดนี้” ชัยมองรอบๆ บ้านที่มืดหม่นเงียบเชียบของบรรยากาศยามเช้าตรู่
“ไม่อ่ะ… ชินแล้ว”
บทสนทนาจบลงที่หน้าบ้านที่ซึ่งรถบิ้กไบค์ของชัยจอดอยู่
“แล้วเจอกัน…” ผมพูดลาและโปกมือไปรอบหนึ่ง
“อือ.. แล้วนายก็อย่าลืมอาบน้ำล่ะ” ชัยพยักหน้าขณะใส่หมวกกันน็อค

ผมยิ้มรับคำล้อเล่นของเขา

แล้วชัยก็ขับออกจากบ้านไป ประตูบ้านเปิดรอไว้แล้วเพราะผมโทรมาสั่งกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ ผมรู้สึกในใจดูเบาบางและกลวงโหว่ขณะที่เห็นชัยขับรถห่างออกไป

….หรือนี่คืออาการเหงานะ…..

……………………………………………………..


 :katai4:
พักเรื่องกวีกับชัยไว้สักครู่น๊า ให้ทั้งสองไปค้นหาหัวใจตัวเองให้ดีก่อนค่อยมาลุ้นกันต่อ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 3 (อัพ 2/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 03-09-2017 03:47:21
ได้กันได้กัน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเจ็ด part 3 (อัพ 2/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2017 05:15:18
นึกว่ามีอะไรมากกว่านี้  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบแปด part 1 (อัพ 3/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 03-09-2017 23:19:03
หลง (12)




“มานี่สิ! ไอ้ตัวดี!!”

เสียงแม่ดังออกมาจากห้องนั่งเล่นในขณะที่ผมกำลังแอบปิดประตูบ้านอย่างเงียบเชียบเหมือนเคย วันนี้ผมกลับมาจากบ้านพี่เอิร์ธดึกอีกแล้ว ข่วงนี้ดึกบ่อยมาก (มีแฟนให้อ้อนก็อย่างนี้ สุขจนลืมเวลา แต่ได้มากสุดคือกอดเท่านั้น ผมไม่กล้ามากกว่านี้กลัวพี่แกโกรธ)

“ครับ!!!” ผมตกใจจนตอบเสียงดังกลับไป

“มาหาแม่ตรงนี่!!” แม่เสียงดังจนรู้ว่าตอนนี้แม่นั่งอยู่ตรงไหนของบ้าน ผมเดินไปที่ห้องนั่งเล่นทันที
“สวัสดีครับ” ผมไหว้แม่ที่เคารพรักอย่างสุภาพที่สุด

“นั่งลง” แม่คิ้วขมวดและชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลจากแม่ ผมนั่งลงอย่างว่าง่าย คิดในใจว่าจะโดนดุเรื่องอะไรอีก

แม่จะทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาจะสอนผมหรือเวลาผมทำอะไรผิดสักอย่าง หรือว่าแม่รู้เรื่องผมกับพี่เอิร์ธแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มชากับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทางตาของแม่ ลุ้นอยู่ว่าแม่จะดุเรื่องอะไร หรือเรื่องพี่เอิร์ธ? ผมเริ่มเครียดเพราะแม่ทิ้งจังหวะเสียนาน

“เฮ้อ…. แกจะทำอะไรเนี่ยแม่ไม่เคยว่าตามใจทุกอย่าง แต่เรื่องนี้แม่ขอเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
“………...” ฉิบหายแล้ว!! หรือว่าแม่จะรู้
ผมว่าผมยังไม่พร้อมที่จะบอกแม่เรื่องนี้ เรื่องที่ผมชอบผู้ชายเสียแล้ว….

“มีอะไรจะสารภาพไหม?”
“เอ่อ… คือ…. แม่ครับคือผม…. ผมรักของผม ผมอยากให้แม่เข้าใจ เอ่อ…..ผม……”
“อาจารย์สมใจเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว”
“……???….” อาจารย์สมใจเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องผม? เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ แล้วเขารู้เรื่องส่วนตัวของผมได้ไง? ตอนนี้ผมคงทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่
“ไม่ต้องมาทำหน้างง!! ไอ้ตัวดี! ในฐานะที่อาจารย์สมใจเป็นเพื่อนแม่ เขาเลยมาเตือนแม่เรื่องผลการเรียนของเรา ได้ว่าข่าวว่าตั้งแต่ใกล้จะแข่งกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด พวกสอบย่อยวิชาต่างๆ แกตกระนาวเลยนี่!!”
“……อ้อ…..”  เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“ไม่ต้องมา ‘อ้อ’ !! แม่รู้ว่าแกรักการเล่นบาสฯ แต่ก็อย่าให้เสียการเรียนสิ”
“ครับ….” ผมก้มหน้ารับชะตากรรมเรื่องนี้ เพราะผมมันไม่เอาไหนเรื่องนี้จริงๆ ทำไม่ผมไม่เกิดมาหัวดีแบบไอ้ชัยวะ
“อย่าให้แม่ต้องบังคับให้แกเลิกเล่นบาสฯ!!”
“ไม่นะครับ…. แม่ก็รู้ว่าหัวไม่ดี…” ผมลงไปคุกเข่าตรงหน้าแม่ คิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล
“หัวไม่ดีหรือไม่ตั้งใจ!! วันๆ เอาแต่เล่นบาสฯ กับเที่ยวเล่นไปวันๆ เนี่ย! อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะว่าแกกลับดึกทุกวัน หลังซ้อมบาสฯเสร็จก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน อย่ามาโกหก โค้ชที่สอนแกชั้นก็รู้จัก!!!”

“……….” มีแม่เป็นอาจารย์นี่มันมีข้อเสียตรงนี้ ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป

“งั้นสอบกลางภาคนี้หากแกสอบตกแม้สักวิชาเดียว แม่จะให้แกออกจากทีมบาสฯ และอย่าให้เรื่องนี้ถึงหูพ่อแก!!”
แม่ประกาศกร้าว บวกกับคำขู่เรื่องพ่อทำเอาผมแทบทำให้ผมหมดแรง หากแม่เอาพ่อมาขู่ในประโยคด้วยแปลว่าแม่เอาจริง แม่ผมน่ะเห็นอย่างนี้ใจดีและตามใจผมมาก (หากไม่ไร้เหตุผลเกินไป) แต่พ่อน่ะดุมากกครับ ผมไม่เคยเถียงชนะพ่อได้เลย และลงท้ายด้วยการโดนทำโทษแบบเด็ดขาดทุกครั้งที่ทำผิด ผมเลยกลัวพ่อมาก ทั้งที่พ่อไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่

“จะไปเรียนพิเศษไหม? แม่ยอมเสียตังค์”
“อย่าเลยครับเปลือง…. เดี๋ยวผมให้ไอ้ชัยมาติวก็ได้เดี๋ยวนี้มันท้อปทุกวิชา”
“เออ…. ก็ดี…ประหยัดดี แต่จะได้เรื่องเรอะ สนิทกันอย่างนี้จะพากันล่มไหมเนี่ย?”
“แม่ไว้ใจผมหน่อยสิ” แม่มองผมเหมือนไม่มั่นใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไป
“อืม…… เดี๋ยวแม่จะหาคนมาทดสอบว่าพวกแกได้อ่านหนังสือกันดีไหม หากพวกแกเรียนศิลป์ภาษา แม่คงติวให้ได้แล้ว แต่สายวิทย์นี่คงต้องหาตัวช่วย” (แม่ผมสอนภาษาอังกฤษครับ)
“ใครครับ?”
“ไม่ต้องรู้!!! เริ่มวางแผนติวกันได้เลย เดี๋ยวสุดสัปดาห์นี้จะเรียกเขามาทดสอบพวกแก ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ไป!”
“โอยยยยย….” ผมโวยเบาๆ

ผมเดาว่าน่าจะเป็นอาจารย์คนใดคนหนึ่งที่สนิทกับแม่ หมดกันเวลาว่างในวันหยุดของผมกับพี่เอิร์ธ ผมอยากจะร้องดังๆ แต่แม่จ้องตาเขียวอยู่

………………………………

และแล้วสุดสัปดาห์ก็มาถึง…. เช้าวันเสาร์ที่น่ารำคาญ ผมตื่นตอนแปดโมงเช้าอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะโดนแม่บังคับให้ติวหนังสือที่บ้าน แม่นัดไอ้ชัยตอนเก้าโมงเช้าให้มาติวที่ห้องผม

ผมลุกขึ้นมองความไร้ระเบียบของหนังสือเรียนในห้องที่วางอยู่ตามพื้นและมุมต่างๆ ของห้อง ทำให้นึกถึงสามสี่วันที่ผ่านมาที่ไอ้ชัยกับไอ้กวีเพื่อนใหม่(??)ของมัน มาช่วยผมติวหนังสือที่ห้องของผมหลังซ้อมบาสฯ วันละสองชั่วโมง รู้สึกเหมือนพลังงานถูกดูดออกจากร่าง ผมยอมซ้อมบาสฯ ทุกวันดีกว่ามานั่งอ่านหนังสือแบบนี้แม้มันจะแค่วันละสองชั่วโมงก็เถอะ (ผมต่อรองกับแม่ได้แค่นั้น)

ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเกียจคร้าน ด้วยความงัวเงียเลยเผลอไปเตะสมุดโน้ตที่ไอ้กวีให้ผมไว้เป็นแนวข้อสอบวิชาชีวะฯ ทำให้ผมคิดว่าไอ้สองคนนี้ระหว่างไอ้ชัยกับไอ้กวีมันสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ไหนจะไอ้แผลพกช้ำที่หน้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อนของไอ้ชัย และพอมาเจอไอ้กวีก็เสือกมีรอยพกช้ำที่หน้าเหมือนกัน ทำให้ผมสงสัยว่าพวกมันไปทำอะไรกัน แต่เซ้าซี้ถามตั้งนานมันก็ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แค่ไอ้ชัยมันไม่เท่าไหร่ผมคงไม่สงสัยอะไรเพราะปกติมันก็ชอบแกว่งปากหาเท้าเป็นประจำอยู่แล้ว แต่นี้ไอ้กวีที่ดูเรียบร้อยก็เป็นไปกับเขาด้วย ‘น่าสงสัย’

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ลงไปกินมื้อเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้บนโต๊ะ แม่ยิ้มให้ผมแบบแปลกๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถามไอ้ชัยว่าถึงไหนแล้ว (โห…..แม่จริงจังไปไหน?)

มื้อเช้าจบลงด้วยความไม่เจริญอาหาร ผมยังพอมีเวลาเหลือกว่าที่สองคนนั้นจะมา ผมเดินขึ้นมาจัดการห้องที่รกให้เป็นระเบียบขึ้น เดี๋ยวจะมีแขกพิเศษจากแม่เชิญมาทดสอบเราอีก รู้สึกอายนิดหน่อยที่จะให้เขามาเจอห้องรกๆ แบบนี้ จัดห้องเสร็จผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาพี่เอิร์ธทันที ช่วงนี้ผมทำได้แค่นี้เพราะเจอแม่คาดโทษไว้ หากไม่ทำตามที่แม่สั่ง แม่จะไม่ให้ค่าขนม (อันนี้มันเรื่องคอขาดบาดตาย โดนพ่อดุผมยังทนได้ แต่ไม่มีค่าขนมนี่ผมไม่เอาด้วยนะครับ)

Long_Mungkorn: วันนี้ผมไม่ได้ไปหาอีกวัน คิดถึงผมบ้างนะครับ อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย

Dr.Earth(Pathawee): ตั้งใจล่ะ สู้ๆ

พี่เอิร์ธมักจะตอบกลับด้วยข้อความสั้นๆ เสมอ แต่แค่นี้ผมก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย เรื่องการติวหนังสือนี้พี่เอิร์ธก็เห็นด้วยอย่างมาก หลังจากวันที่แม่คาดโทษผมไว้ ผมได้โทรไปปรึกษา(ปนงอแง)กับพี่เอิร์ธ ว่าจะไม่ได้เจอกับพี่เขาสักระยะ จนกว่าจะสอบกลางภาคเสร็จ พี่เขาพูดแค่

‘หลงควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ หากพี่รู้ว่าการมาหาพี่ทุกวันจะทำให้หลงสอบได้แย่ขนาดนี้ พี่คงไม่ให้มาหาแล้ว ดังนั้นใช้เรื่องคราวนี้แก้ตัวกับแม่ซะ ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หากไม่ทำหรือสอบไม่ผ่านอีกก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก’

มีแฟนแก่กว่านี้ต้องทำใจใช่ไหม? เคยเป็นวัยรุ่นไหมเนี่ย? พี่เอิร์ธไม่เข้าใจเหรอว่าผมคิดถึง ไม่ได้เจอไม่ได้สัมผัสพี่สักวันสองวันนี่ผมแทบจะขาดใจเลยนะ

เสียงออดจากหน้าบ้านและเสียงอื้ออึงจากชั้นล่างแสดงว่ามีคนเดินทางมาถึงแล้ว เพื่อพี่เอิร์ธและค่าขนม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเจอกับบทเรียนที่ผมแทบจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ผมมองหนังสือที่ถึงคิวที่จะต้องถูกติววันนี้ ‘คณิตศาสตร์’ (นอกจากบวกลบคูณหารคนเรามันต้องเรียนอะไรเยอะขนาดนี้วะ!)

“ว่าไง เพื่อน! ช่วงนี้มึงดูหน้าซีดๆนะเนี่ย” ไอ้ชัยเปิดประตูห้องเข้ามาและปากหมาเช่นเคย
“…….” ผมมองหน้าด้วยตาอันร้อนระอุ หากมันพูดอะไรไม่เข้าหูอีกคำมันจะโดนผมกระโดดถีบ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่

“สวัสดีครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ” เสียงไอ้กวีที่เดินตามหลังมาติดๆ
“อ้อ สวัสดีครับ รบกวนอะไร เราสิน้องรบกวนนาย ไม่มีนายเนี่ยเรากับไอ้ชัยคงอ่านหนังสือไม่ถึงไหน” ผมยิ้มเชื้อเชิญไอ้กวีที่วันนี้แต่งตัวคล้ายๆไอ้ชัยเลย
“เชี้ย.. กูก็ติวให้มึงบ่อยๆ แล้ว……เวลาพูดกับไอ้กวีเนี่ยสุภาพเชียว”
“กูเก็บคำพูดดีๆให้กับคนดีๆโว้ย”
“ไอ้สัด!! งั้นมึงอ่านเองเลย กวีกลับกันเถอะ”
“เฮ้ยๆ กูพูดเล่น คุณชัยเชิญนั่งครับ เชิญๆ” ผมทำท่าเหมือนบริกรเชิญลูกค้านั่งแบบในร้านอาหารหรู ส่วนไอ้ชัยก็ทำเป็นนั่งและเก็กหล่อค้างไว้
“หึหึ…” เสียงไอ้กวีแอบขำอยู่ไกล ซึ่งไอ้กวีมักจะทำบ่อยๆ เวลาเห็นพวกผมเล่นมุกกัน คนอะไรเรียบร้อยฉิบหาย นิ่มไปชอบคนแบบนี้เหรอวะ ผมกับไอ้กวีนี่มันต่างกันมากเลยนะในเรื่องนิสัยเนี่ย (แต่หน้าตาผมดีกว่านะ สูงกว่าด้วย)

“วันนี้จะมีคนมาทดสอบมึงนี้เรื่องติวน่ะ ใครวะ?”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ แม่ไม่ยอมบอกเลย”
“กูกลัวเป็นอาจารย์อิสระที่สอนฟิสิกส์คนนั่น ที่แม่มึงสนิทด้วยน่ะสิ คนนั้นดุฉิบหาย”
“อย่าขู่ให้กูท้อสิวะ”

“อย่ามัวแต่คุยเล่นกันอ่านหนังสือได้แล้ว!!!!” แม่แผดเสียงจากชั้นล่างจนทุกคนหยิบสมุดหนังสือขึ้นมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ผมเตรียมไว้กลางห้อง

เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างเชื่องช้า ไอ้กวีพึ่งพาได้มากกว่าไอ้ชัยมาก เพราะตั้งใจสอนและพูดให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ผิดกับไอ้ชัยที่มัวแต่เล่นมุกบ้าบออะไรของมันตลอดสองชั่วโมง ไอ้กวีก็หัวเราะตามตลอด

บางครั้งผมก็แอบเห็นสองคนนี้คุยกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจและแอบส่งสายตาให้กันเป็นระยะ เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้นะ สองคนนี้ควรจะเป็นคู่ที่ไม่น่าจะสนิทกันได้ เพราะอีกคนก็คิดจะให้เขาแยกจากแฟน อีกคนก็เป็นที่คิดว่าแย่งแฟนเพื่อนของตนไป มันไม่น่าจะสนิทกันได้ แต่ทำไมผมถึงสัมผัสอะไรที่มากกว่านั้นกับสองคนนี้วะ

“นี่กูขอถามหน่อยนะ”
“ไม่เข้าใจตรงไหน?” ไอ้ชัยหันหน้ามาคุยกับผมหลังจากแอบไปคุยจุดจิกกับไอ้กวีจนผมเริ่มรำคาญ ในขณะที่ผมกำลังแก้โจทย์ในกระดาษได้ไม่คืบหน้าเท่าไหร่
“นี่พวกมึง คบกันอยู่ใช่ไหม?” ผมใช้นิ้วชี้มันสองคนสลับกัน
“คบ..เชี้ยอะไร สัด! เพื่อนกัน” ไอ้ชัยสบถใส่ผมชุดใหญ่ แต่หน้ามันฟ้องครับ หน้ามันเปลี่ยนเป็นสีแดงยังกับลูกมะเขือเทศ ส่วนไอ้กวีได้แต่ก้มหน้าหลบตาแต่หน้ามันแดงขึ้นชัดเจนมา พวกมึงโกหกไม่เนียนเลยไอ้สาดดด

“เออๆ ไม่ก็ไม่” ผมก้มลงคิดแก้ปัญหากับโจทย์ในกระดาษต่อ ในขณะที่ไอ้กวีขอตัวไปห้องน้ำ เหลือไอ้แสบนั่งอยู่คนเดียว

“ไอ้ชัย” ผมกระซิบ
“……” มันพยักหน้า
“กูถามจริง มึงกับไอ้กวี …..” ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวกันไปมา
“เชี้ย!  กูก็ไม่รู้…. ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไอ้สัด…. เล่ามาให้กูฟังเลย”
“ไม่!!! กู…… เชี้ย! ไม่รู้ว่ะ!”
“สัด!! กูรู้จักมึงดี กูบอกได้เลยว่ามึงก็ชอบมัน”
“…….” มันดูตกใจกับสิ่งที่ผมพูด สิ่งที่มันไม่กล้าคิด

“คุยอะไรกันครับ” โจทย์มาบทสนทนาก็สลายตัวทันที
“ไอ้หลงมันพยายามขอเฉลยน่ะ”
“ไม่ได้นะหลง ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะทำได้ ไม่เข้าใจสูตรตรงไหนก็ถามแต่อย่าถึงให้กับเฉลยให้เลยนะ”
“ครับๆ” ผมค้อนไอ้ชัยควับหนึ่ง โธ่! ไอ้ปลาไหล!

“เด็กๆ อาจารย์พิเศษมาแล้ว ทุกคนเตรียมตัวมาทดสอบกัน”
พวกผมมองหน้ากัน แปลว่าอะไร? ทำไมแม่ใช้สรรพนามพหูพจน์?

พวกผมทยอยเดินลงไป ผมเดินลงไปช้าสุดเพราะกลัวกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้น ผมกลัวการสอบที่เอาค่าขนมของผมเป็นเดิมพันแบบนี้ แม่ไม่น่าทำแบบนี้ ผมก้มหน้าคิดทบทวนไปมากับตัวเอง

“เฮ้ยๆ..” ไอ้ชัยใช้ศอกกระทุ้งท้องผมเบาๆ
“อะไรวะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ภาพที่เห็นคือแม่ยืนอยู่กับครูพิเศษที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นเขา
“พี่หมอ สวัสดีครับ” ไอ้ชัยยกมือไหว้ทำให้ไอ้กวีทำตามด้วย
“พี่เอิร์ธ….” ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“สวัสดีทุกคน น้ารุ่งไปทาบทามพี่มาทดสอบน้องๆ ทุกคน หวังว่าพี่คงจะช่วยเราไม่มากก็น้อยนะ”
“ถ่อมตัวจริง พ่อคน 4.00” แม่ผมพูดหยอกกับพี่เอิร์ธอย่างสนิทสนม
พี่เอิร์ธหยิบกระดาษปึกย่อยๆ มาสามชุด และยื่นให้กับเราทั้งสามคน
“เอาล่ะเริ่มได้!”
“เอ่อ…คุณน้าครับ  พวกผมด้วยเหรอ?”
“ใช่สิจ๊ะ ไหนๆก็มาช่วยลูกน้าแล้ว น้าก็เลยอยากให้ทุกคนได้ลองทบทวนไปในตัวไงจ๊ะ”  ไอ้ชัยทำหน้าเหมือนกินยาขม ส่วนไอ้กวีดูดีใจที่จะได้ลองภูมิของตนเองอย่างแสดงออกชัดเจน มีมันที่ดูสนุกอยู่คนเดียว ส่วนผมทำหน้าไม่ถูกอยู่คนเดียว ดีใจที่ได้เจอพี่เอิร์ธ แต่กลัวกับข้อสอบที่เขาถือมาด้วย

ผมเดินไปรับข้อสอบเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับกระซิบกับเขา
“ไปมีเวลาทำข้อสอบพวกนี้ตอนไหนเนี่ย?”
“เยอะแยะ เพราะไม่ต้องไปกินมื้อเย็นนานๆกับใคร”
“ไปร่วมมือกับแม่ได้ไง?”
เขาแสยะยิ้มใส่ผม
“ตั้งใจทำล่ะ”

แม่เรียกผมไปนั่งฝั่งด้านโต๊ะกินข้าว ส่วนอีกสองคนไปอยู่ที่ฝั่งห้องนั่งเล่น ระยะเวลาทำสองชั่วโมง ผมใช้ทุกอย่างที่เรียนมาทั้งสัปดาห์เค้นออกมาทำข้อสอบจนเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังต้องมานั่งเครียดและลุ้นกับคะแนนที่กำลังจะออกในไม่กี่อึดใจ

ไอ้สองหัวกะทินั่น หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จก็นั่งคุยถึงคำถามในข้อสอบอย่างออกรส แถมยังนั่งถกกันเรื่องคำตอบอีก ชมพี่เอิร์ธว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้รู้สึกรำคาญ พวกมึงไม่ได้มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างกูนี่ และช่วยไปจีบกันที่อื่นเลยกูรำคาญ

และแล้วแม่กับพี่เอิร์ธก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“แม่จะประกาศคะแนนแล้วนะ ใครทำไม่ถึง 60 คะแนนถือว่าตกนะ”
ใจผมเต้นเหมือนกลองศึก เสียงหัวใจของผมทำเอาผมแทบหูอื้อ
“กวี……..  น้าดีใจนะที่ลูกมาช่วยติวลูกน้า 89 เต็ม 100 จ๊ะ เก่งมาก”
แม่ปรบมือให้เสียงดังแถมยิ้มเสียกว้างเชียว
“กวี…….. น้าประหลาดใจมากเลยนะ 80 เต็ม 100 จ๊ะ”
แม่ปรบมือด้วยความยินดีสุดๆ
“ส่วนนาย…..หลง” พี่เอิร์ธพูดด้วยตนเอง พี่เอิร์ธอย่าทิ้งจังหวะนานสิครับผมหัวใจจะวาย

“62 เต็มร้อยครับ” ผมนี่ถึงกับอยากจะกระโดดขึ้นสูงๆกับคะแนนที่คาดไม่ถึงนี่
“หลง ไม่ต้องดีใจ ก็แค่ผ่านนะ” แม่ดุใส่
“แต่ก็ดีมากๆ เลยนะ ทำข้อสอบที่พี่อุตส่าห์ใส่เนื้อหาระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย สุดยอดเลยโดยเฉพาะกวี สนใจไปเรียนหมอไหมน่ะเรา?”
“…..” ไอ้กวีสั่นหัวแบบเกรงใจ
“มันอยากเป็นหมอหมาครับพี่หมอ”
“สัตวแพทย์โว้ย!!” ไอ้กวีรีบแก้
“อ้อ… เสียดายนะ….. ส่วนหลง” เขาหันมามองผมพร้อมกับแม่ที่สีหน้าดูจริงจังมาก
“ทำได้ดีมาก อย่างนี้สอบกลางภาคนี้ สอบผ่านสบายเลย”
พี่เอิร์ธยิ้มให้เป็นรางวัลพร้อมๆกับแม่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อีกหนึ่งสัปดาห์จะสอบกลางภาค เสาร์หน้าพี่เอิร์ธจะมาทดสอบพวกเราอีกดีไหม?” แม่พูดต่อ

“เย้…” เสียงไอ้กวีคนเดียวเลยครับ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ผ่อนเสียงตัวเองลงหลังจากมองสีหน้าของผมกับไอ้ชัย
“มีปัญหาอะไร เราสองคน!” แม่เสียงเข้มใส่
“ไม่มีครับ…” พวกผมพูดพร้อมกัน
“เอาน่าๆ ไหนๆ ก็เครียดมาทั้งสัปดาห์แล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้พาไปกินข้าวนอกบ้านกัน” เสียงทุกคนเฮ ยกเว้นแม่
“อย่าเลยลูก น้ารบกวนเวลาเรามาเยอะแล้ว อย่าสิ้นเปลืองเลย”
“ไม่เป็นไรครับน้า.. ถือเป็นการพักผ่อนสมองก่อนสอบครับ”
“อืม… ตามใจ”

พี่เอิร์ธยิ้ม และยักคิ้วให้ผมหนึ่งที
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพี่เขาอยากอยู่กับผมเหมือนกันถึงได้ลงทุนขนาดนี้

………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบแปด part 2 (อัพ 8/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-09-2017 08:21:46
ชัย# 10


“ชัย มึงช่วยกูด้วยนะ คราวนี้แม่กูดูเอาจริงว่ะ”

เสียงไอ้หลงดังผ่านสายโทรศัพท์ ในขณะที่ที่ผมกำลังเดินออกจากร้านคาเฟ่ที่ผมกับไอ้กวีมาอ่านหนังสือเป็นประจำ
“เออๆ กูช่วยก็ได้ แต่มึงก็ต้องตั้งใจด้วยล่ะ”
“ขอบใจเพื่อนรัก….. มึงอยู่ไหนเนี่ยยังไม่กลับบ้านอีก” ผมยืนอยู่ริมถนนหน้าร้านที่มีเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์ของเด็กแว๊นขับผ่านเสียงดัง

“กำลังจะกลับนี่แหละ”
“อ้อ… กูลืมไปว่า มึงอยู่กับกิ๊กของมึง”
“กิ๊ก เชี้ยอะไร แค่นี้นะ!” ผมตัดสายมันทันทีที่มันพูดจาไม่เข้าหู

“ชัย เกิดอะไรขึ้น” คนที่ไอ้ชัยพูดถึงเดินมาพอดี
“ไม่มีอะไร แค่.. มันขอให้ไปช่วยติวให้มันน่ะ ใกล้สอบกลางภาคแล้ว”
“อ้อ…..”
“เราคงไม่ได้มาที่นี่สักพักล่ะ”
“……..”
“มีอะไร?” ผมถามคนตรงหน้าที่ทำท่าคิดอะไรอยู่
“เราไปช่วยได้นะ”
“อย่าเลย คนหัวทึบอย่างไอ้หลงน่ะใช้เวลานาน เสียเวลานายอ่านหนังสือซะเปล่า”
“ไม่เป็นไร ถือเป็นการทบทวนไปในตัว”
“อ่ะ..ก็ได้พรุ่งนี้เจอกันที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวมารับ”
ผมรู้ว่าคนหัวดื้ออย่างไอ้กวีคงไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ

……………………….


วันแรกของการติวหนังสือกับไอ้หลงเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ คือการปรับพื้นฐาน เพราะมันแทบไม่มีอะไรในหัวเลย ผมสงสัยว่าในหัวมันนี่มีแต่กล้ามเนื้อใช่ไหม มันผ่าน ม.4 ม.5 มาได้ยังไงวะ เสียเวลาสองชั่วโมงโดยการนั่งปรับพื้นฐานให้มันแน่นขึ้น

โชคดีที่มีไอ้กวีมาด้วย ไม่อย่างนั้น ผมคงหมดความอดทนกับไอ้หลงตั้งแต่ชั่วโมงแรก จนกระทั่งนาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลขเก้า ผมเลยชวนไอ้กวีกลับบ้านแล้วค่อยมาต่อพรุ่งนี้

ผมลาแม่ไอ้หลงที่มาส่งที่หน้าบ้าน ส่วนไอ้หลงคิดว่ามันน่าจะแห้งตายอยู่ตรงที่อ่านหนังสือ ก่อนออกจากห้องมันผมเห็นนอนแผ่หลาทำหน้าซังกะตายอยู่ที่พื้นห้อง (อ่านหนังสือนี่คงไม่เหมาะกับมันจริงๆ)

“กวีเดี๋ยวเราไปส่งที่เดิมนะ” ผมให้มันจอดรถไว้แถวร้านประจำแล้วผมไปรับมันมาบ้านไอ้หลง มันสะดวกกว่าเพราะไอ้กวีมันไม่รู้ทาง

“อื้อ..” มันเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมยื่นหมวกกันน็อคให้มัน ทำไมช่วงนี้ผมมองอารมณ์ไอ้กวีออกทางสีหน้าทุกครั้งเลย ไม่เข้าใจตนเอง (สงสัยใช้เวลาอยู่กับมันมากไปหน่อย)
“ไม่มีอะไร” ไอ้กวีมันรับหมวกผมไปใส่
“เฮ้ย… อย่าโกหกเลย ดูสีหน้าก็รู้แล้ว”
“ป๊ากับคุณน้าไม่อยู่อีกแล้ว”
“ไหนว่าชินแล้วไงอยู่บ้านคนเดียวน่ะ” นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่มันไม่ค่อยกลับไปทำการบ้านอ่านหนังสือที่บ้าน
“ชินแล้วจริงๆ แต่…….” ไอ้กวีดูอ้ำอึ้ง
“งั้น…..ไปกินขนมก่อนกลับบ้านไหม? ร้านเดิมเป็นไง ขอเลี้ยงขอบคุณที่มาช่วยสอนเพื่อนสมองทึบของเรา”
“อืม…..ได้” ดูไอ้กวีมันมีสีหน้าดีขึ้น

ใช้เวลาไม่นานก็ขี่รถมาถึงร้านประจำของไอ้กวี พวกผมรีบเดินเข้าไปจองโต๊ะ แม้จะดึกแล้วแต่ร้านนี้คนจะนั่งกันนานเลยมีที่ว่างค่อนข้างจำกัด เป็นไปตามที่คาดไว้ที่นั่งดีๆ ส่วนใหญ่ถูกจับจองไปหมดแล้ว ทำให้ไอ้กวีกับผมตกอยู่ในสภาพชะเง้อมองกันไปมา

“สงสัยจะไม่ได้กินแล้ว.. กลับเลยก็ได้นะ” ไอ้ตัวกินของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ส่อแววหดหู่ทันที
“ใจเย็นดิ เดี๋ยวเดินไปดูหลังชั้นหนังสือตรงนั้นก็ได้” พูดจบผมรีบเดินจ้ำเข้าไปหาที่ว่างทางด้านในเลย ร้านนี้ถือว่ากว้างครับประมาณ ตึกแถวสามคูหาได้ (เจ้าของร้านคงจะรวยน่าดู ก็คงรวยอาหารเครื่องดื่มแพงขนาดนั้น)

ผมมองส่องไปทั่วก็มีคนนั่งหมดแล้ว มีแต่คนนั่งกันกระจายนั่งกันไม่เต็มโต๊ะสักคน ผมรู้สึกรำคาญใจแบบแปลกๆอยากให้กวีมันได้กินของอร่อยสมใจ อยากให้มันอารมณ์ดี (วันนี้ผมคงทำให้มันผิดหวังแล้วล่ะ) คิดทบทวนว่าจะบอกกับมันยังไง

ผมเดินกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่ไร้วี่แววไอ้กวีที่ควรจะอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์ส่วนหน้าร้าน

“ชัยๆ ทางนี้” เสียงไอ้กวีแว่วมาจากทางซ้ายมือ
ผมหันไปทางต้นเสียงและภาพที่เห็นทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“โต๊ะพี่โน่เขาว่าง เลยให้เรามานั่งทานด้วยได้” ไอ้กวีทำท่าดีใจเป็นเด็กๆ
“ชัย มานั่งด้วยกันสิ”  พี่โน่(หรือคุณพี่นีโน่)กวักมือเรียก
เออ! มาด้วยกันแล้วจะให้กูไปนั่งไหนล่ะ

“เราสั่งไปแล้ว เหมือนเดิมนะ” ผมยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ไอ้กวี ผู้รักการกินของหวานประเภทขาดไม่ได้สักวัน ผมแอบสงสัยว่าทำไมมันไม่อ้วน
“มากินที่นี่บ่อยเหรอ” ไอ้พี่โน่ชวนคุยด้วยพร้อมส่งสายตาหวานเยิ้ม วันนี้พี่แกจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม
“ครับ มาทุกวันเลย” ไอ้กวีนี่ก็บอกเขาทุกอย่าง ผมรู้สึกเป็นคนนอกยังไงไม่รู้
“ดีจัง มาบ่อยแบบนี้ดีจัง มีลูกค้าน่ารักๆ แบบนี้สงสัยพี่คงต้องมาดูงานทุกวันเลย” ไอ้พี่โน่นี่แม่งก็หยอดเรื่อย เดี๋ยวนะ….พูดแบบนี้แปลว่า……
“ดูงาน?” ไอ้กวีทำหน้างงใส่ฝ่ายตรงข้าม
“พี่เป็นหุ้นส่วนร้านนี้เอง เดี๋ยวพี่บอกผู้จัดการให้ส่วนลดเราทุกครั้งเลย” พี่โน่ยิ้มหวานให้ไอ้กวีอีกแล้ว

อย่าบอกว่าเอาจริง จะจีบมันจริงๆ ไอ้กวีมันเป็นผู้ชายนะ ถึงมันจะหน้าสวยแต่มันเป็นผู้ชายนะพี่โน่  แล้วมึงไอ้พี่โน่ ได้ข่าวว่าเพิ่งเลิกกับแฟนสาวที่เป็นพริตตี้มาไม่ใช่เหรอ? ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

ผมอยู่นอกวงสนทนาตั้งแต่ของหวานที่สั่งยังไม่มาจนตอนนี้ของหวานในจานหมดเกลี้ยงจากฝีมือผู้ชายหน้าหวานสองคนในโต๊ะ (ถ้าไอ้พี่โน่โกนหนวดออกหมดนี่หน้ามันหวานมากจนโดนเพื่อนล้อบ่อยๆ มันเลยไว้หนวดมานับแต่นั้น)
“สั่งเพิ่มไหม? นายไม่ค่อยกินเลย” กวีหันมาพูดกับผม ท่ามกลางสายตาของพี่โน่
“ไม่ค่อยหิวน่ะ”  แต่ใจจริงมันหงุดหงิดจนกินอะไรไม่ลง
“วันนี้มึงพูดน้อยนะชัย ปกติไม่เคยมีใครแย่งมึงพูดได้เลย” พี่โน่แซวต่อเหมือนนัดแนะกันมาแขวะผมที่นั่งเหมือนตุ๊กตาประดับโต๊ะ
“เหนื่อยๆ ง่วงๆ น่ะครับ”
“อ้อ… กลับก่อนก็ได้นะ บ้านมึงอยู่ไกลจากร้านไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกูไปส่งเพื่อนมึงให้” ผมมองไอ้กวีขณะที่พี่โน่พูดจบ มันดันพยักหน้ายิ้มกลับมา
“เอ่อ…..เอ่อ….. ไม่เป็นไรพี่โน่ วันนี้ผมจะไปนอนบ้านไอ้กวีน่ะ แบบต้องไปช่วยมันรายงานที่จะส่งพรุ่งนี้ ใช่ไหมกวี?” ผมมองไปทางไอ้กวีและแอบขยิบตาให้ทีหนึ่ง
“เออ..อ้อ… ใช่ๆ ลืมเลย มีงานต้องทำครับ” ไอ้กวีตอบรับอึกอัก
“งั้นเหรอ…” ดูไอ้พี่โน่มีท่าทีสงสัยออกทางใบหน้า
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวนอนดึก” ผมลุกขึ้นยืนพยักหน้าชวนไอ้กวี
“งั้นเดี๋ยวจ่ายเงินก่อน” ไอ้กวีหยิบกระเป๋าเงินออกมาและพยายามจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อไปจ่ายที่เคาเตอร์แต่ถูกมือเล็กมือหนึ่งจับไว้
“ไม่เป็นไรพี่เลี้ยง” พี่โน่ยื่นมือมาจับมือไอ้กวีที่กำเงินไว้แน่น (น่าจะมีการแอบลูบด้วย)
“งั้นขอบคุณนะครับ” ผมไหว้พี่โน่และจับมือไอ้กวีลากออกจากร้านทันที
“อะไรของนายว่ะ เสียมารยาทว่ะ ยังไม่ได้ขอบคุณพี่เขาเลย” ไอ้กวียืนบ่นอุบอิบอยู่หน้าร้าน
“นี่นาย โง่หรือแกล้งโง่วะ นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าพี่โน่เขาจีบน่ะ”
“เฮ้ย! พี่โน่น่ะนะ ดูเถื่อนขนาดนั้นน่ะนะ”
“อย่าให้ไอ้การใส่เสื้อยืดแนวๆ กางเกงยีนส์ขาดๆ ไว้หนวดเครารุงรังนั่นมันหลอก เราไปแอบถามเจ้พริ้งมาแล้วว่ามันเห็นใครน่ารักมันก็เอาหมด!! ระวังตัวไว้บ้างก็ดี!”
“เราว่า เราไม่ใช่สเปกพี่โน่หรอกมั้ง ไม่ได้น่ารักขนาดที่จะมีผู้ขายมาจีบหรอก”
นี่คือมันพูดไม่ดูตัวมันเลย รูปร่างบอบบาง หน้าขาว ตาโต ปากชมพูขนาดนี้ ถึงมันจะสูงเป็นยักเหมือนผมก็เถอะแต่ดูรวมๆ แล้วน่าถนุถนอม
“กูว่าใช่… ขนาดเรา…..” ผมตอบแบบอ้ำอึ้งและก็หยุดตรงคำพูดที่เกือบจะเผลอพูดออกมา
“อะไร?”
“ไม่มีอะไร”
“งั้นเราขอเข้าไปถามพี่โน่ว่าชอบเราจริงหรือเปล่า เราน่ารักสเปกเขาไหม? จะได้ไม่คาใจ”
“……” รู้สึกอารมณ์เสียกับสิ่งที่มันพูดจนเผลอขมวดคิ้ว
“ว่าแต่ปล่อยมือเราได้ยัง?”
จริงสิผมยังจำมือมันไว้แน่นเลย เลยต้องรีบสะบัดมือของไอ้กวีทิ้งไป
“ไม่ต้องไปหรอก เราบอกได้เลย ว่านาย…….น่ารัก พอใจไหม? กลับได้แล้ว เจอพี่โน่ก็ห่างมันหน่อยล่ะ เดี๋ยวก็ได้เป็นเมียมันหรอก” ผมจับมือมันอีกครั้งและลากมันเดินไปที่รถ ในใจเผลอคิดตามคำพูดตัวเองเมื่อครู่ ภาพที่คนตัวเล็กอย่างไอ้พี่โน่กำลังพยายามเล้าโลมคนตัวสูงอย่างไอ้กวี มันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่

“ถ้าเราจะยอมเป็นเมียใครสักคนนะ เราขอเป็นเมียนายดีกว่านะ”
“พูดบ้าอะไรวะ” ผมพูดทั้งที่หันหลังให้
“ก็นายดูดี นิสัยดี แถมเล่นกีฬาก็เก่ง เรียนก็ดี” 

ไอ้กวีมันพูดขี้นมาในขณะที่ผมลากมันไปที่ลานจอดรถข้างร้าน ผมยังเดินไปเรื่อยไม่หันไปมองไอักวีที่เดินตามหลังมา เพราะตอนนี้เลือดในกายผมถูกสูบฉีดไปที่หน้าจนรู้สึกร้อนขึ้นมา และเผลอที่จะอมยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ทำไมผมต้องดีใจกับไอ้คำพูดล้อเล่นพวกนี้ด้วย

“ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อน กลับบ้านเถอะ และก็ขอบใจเรื่องพี่โน่ด้วยไม่งั้นก็ไม่รู้จะปลีกตัวออกมายังไง” ไอ้กวีเปิดประตูรถและเข้าไปนั่ง
“อืม…” ผมตอบไปด้วยพยายามทำสีหน้าราบเรียบและหลบสายตาคู่นั้น
“บาย” ไอ้กวีโบกมือด้วยสีหน้ายิ้มปนเศร้า
“เดี๋ยว!!” ผมยื่นมือไปจับประตูรถก่อนที่มันจะปิดลง
“เดี๋ยวเราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”
ไอ้กวีตอบกลับมาแค่รอยยิ้มและพยักหน้า

……………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบแปด part 2 (อัพ 9/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 10-09-2017 06:03:15
มาแบบเนิบๆ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบแปด part 3 (อัพ 10/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-09-2017 10:45:39
 :jul1:


กวี# 5


ตั้งแต่คืนนั้นที่ชัยมาค้างบ้านผม ผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ในทุกอากัปกิริยาของเขา รอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา ทำไมผมต้องรู้สึกถึงความเงียบและความว่างเปล่าของห้องนอนตัวเองมากขนาดนี้

กลับกัน…… ผมมองสมาร์ทโฟนเครื่องสีทองที่วางอยู่บนโต๊ะ ที่มีตัวเลขข้อความที่ยังไม่ได้อ่านขึ้นที่แอปพริเคชั่นไลน์จำนวนหนึ่ง

นิ่มยังคงส่งไลน์มาคุยด้วยอยู่สม่ำเสมอ เพราะคงรู้ว่าโทรศัพท์มาผมก็คงไม่รับสายอยู่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นน้อยใจอย่างนั้นอย่างนี้ คิดถึงบ้าง อยากเจออยากคุยด้วยบ้าง รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากปรับความเข้าใจกัน

แต่ที่แปลกคือผมกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของผมกับนิ่ม หลังจากที่ผมผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกับนิ่มมา

ระยะนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนผมเกือบจะลืมเรื่องของผมกับนิ่มไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เหมือนแผลที่ค่อยๆ สมานจนหายดีจนเป็นแผลเป็น จำได้แต่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว มันทำให้ผมกลับมานั่งทบทวนว่าผมคบกับนิ่มเพราะอะไรกันแน่?
ผมพยายามเอาดินสอมานั่งเขียนความรู้สึกของตัวเองใส่กระดาษ ผมมักจะทำแบบนี้เวลาจะตัดสินใจอะไร

หัวข้อ: ทำไมถึงคบกับนิ่มเป็นแฟน

น้องน่ารัก หุ่นดี ขาว ผิวเนียน (เขียนไปเคลิ้มไป)
น้องทำให้เราหายเหงา (เพราะนิ่มทำให้ผมวุ่นวายกับตารางการเที่ยวกับน้อง)
น้อง

แล้วผมก็เขียนไม่ออกเสียอย่างนั้น ผมจรดดินสอลงบนกระดาษค้างไว้แบบนั้นจนกระดาษเริ่มเป็นรอยกดของปลายดินสอ ‘ทำไมมันน้อยจัง?’ ผมคิดในใจ

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นโดยมีหน้าตากวนๆ ของเพื่อนต่างโรงเรียนอย่างชัยแสดงที่หน้าจอ ผมรับทันทีอย่างไม่ลังเล

“เฮ้ยกวี ถึงบ้านแล้วหรือยัง?” นั่นควรจะเป็นคำถามของผมหรือเปล่า เพราะผมบ้านอยู่ใกล้กว่าเขามากหากเริ่มจากร้านที่เราไปอ่านหนังสือกันเป็นประจำ
“ถึงได้สักพักแล้ว นายล่ะ?”
“เพิ่งถึง… แล้ว….พรุ่งนี้ยังจะไปติวให้ไอ้หลงรึเปล่า?”
“เออสิ น่าสนุกดี ไปได้”
“ก็กลัวนายจะเสียเวลาทบทวนหนังสือของตัวเอง”
“เฮ้ย… ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการทบทวนนะ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ”
“อืม เจอกัน”
“ฝันดีนะ”
“อืม… นายเช่นกันฝันดีนะ”
เพื่งจะแยกกันไม่นาน ก็โทรมาแบบนี้อีกแล้ว ชัยเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงผมเสมอเลย ผมวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม

…………………………..

การมาติวกับหลงทำให้ผมได้สัมผัสกับอีกมุมหนึ่งของชัย เวลาเขาอยู่กับหลง เขาดูเป็นธรรมชาติและสนุกสนานกว่าอยู่กับผมมาก ทำให้วันนี้ผมแทบหัวเราะไม่หยุดเลย (ผมสาบานครับว่ามาติวหนังสือกันจริงๆ)  หลงก็เป็นกันเองกว่าที่คิด ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกนักเลงหัวรุนแรง พวกเราหัวเราะเสียงดังกันจนโดนแม่ของหลงดุบ่อยๆ (สมเป็นอาจารย์จริงๆ พลังเสียงทำลายล้างมาก)

เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว (รู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาใหม่)

พอเดินผ่านประตูบ้านผมก็ได้รับข้อความจากป๊าว่าวันนี้จะไม่กลับบ้านไม่ต้องเป็นห่วง ติดเรื่องธุรกิจที่กรุงเทพ และแน่นอนคุณน้าที่เป็นแม่เลี้ยงของผมก็ติดตามไปด้วย ผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ความจริงผมน่าจะชินได้แล้วแต่เพราะความรู้สึกใหม่เมื่อเร็วๆนี้ทำให้ผมเริ่มจะอยู่คนเดียวไม่ได้ (อย่างน้อยหากป๊าอยู่ เราก็จะได้คุยกันก่อนนอน)

ผมคงแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนทำให้ชัยต้องหาทางทำให้ผมสดชื่นขึ้น (โดยเอาขนมมาล่อ ซึ่งผมก็โอเคกับมัน) พวกเราตรงดิ่งมาที่ร้านประจำของผม มาเวลานี้ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนต้องเยอะคงหาที่นั่งลำบาก ผมเห็นจากที่ไกลๆ มองเข้าไปในร้านที่คราคร่ำไปด้วยคนแล้วอยากชวนชัยแยกย้ายกลับบ้าน แต่ดูชัยกระตือรือร้นในการหาที่นั่ง ผมเลยไม่ได้ทัดทานอะไร

หลังจากชัยหายเข้าไปในส่วนลึกของร้านได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูจากโต๊ะทางด้านซ้าย

“กวี กวี ทางนี้”

ผมหันไปเจอพี่โน่ที่นั่งโบกมือยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันซี่หน้าทั้งหมดที่เรียงตัวสวยงาม แม้ผมจะเคยเจอเขาครั้งเดียวในที่มีแสงจำกัด (ในผับ) แต่ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นแบบนี้เลยนึกออกได้ไม่ยาก ตัวเล็ก ผิวขาวออร่าแบบนี้ หนวดเคราที่ดูไม่เข้ากับปากสีชมพูสวยๆนั่น

“สวัสดีครับพี่โน่” ผมเดินเข้าไแทักทายตามมารยาท
“รู้จักร้านนี้ด้วยเหรอ?”
“ผมมาประจำครับ แต่วันนี้คงไม่ได้นั่งแล้ว คนเยอะเลย”
“มานั่งกับพี่ได้ เพื่อนพี่กลับไปแล้ว นั่งเลย”
“เกรงใจครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวชัยกำลังไปหาโต๊ะอยู่”
“มากับไอ้ชัยอีกแล้ว! ถามจริง ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหม? เห็นตัวติดกันตลอด”
“เป็นเพื่อนกันครับ จะให้ผมเป็นอะไรกับมัน” ทำไมผมตอบคำถามนี้ด้วยเสียงสั่นๆ
“ไม่มีอะไร พี่จะได้มีโอกาสไง”
“…..” อยู่ๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออก
“นั่งก่อนสิ จองไว้ เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว”
“เอ่อ… ครับ”
ผมนั่งลงได้และสั่งขนมและเครื่องดื่มได้สักพักก็เห็นชัยเดินมามองหาผมเลิ่กลั่กอยู่หน้าเคาเตอร์สั่งอาหาร
“ชัย… ชัย… ทางนี้” พอชัยหันมาด้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีจนผมสงสัยว่าเขาไม่ถูกกับพี่โน่หรือไง ไหนเขาเคยบอกว่าสนิทกัน

สุดท้ายก็ต้องมานั่งกันอยู่สามคนที่โต๊ะแคบๆ แบบนี้ ผมเลยต้องนั่งเบียดกับชัยบนเก้าอี้ม้านั่งแบบยาวพอดีไซส์ผู้หญิงสองคน แต่คงไม่พอกับไซส์ผู้ชายตัวใหญ่แบบผมกับชัย

พี่โน่คุยเก่งมากชวนคุยไม่หยุด ขนมุกทุกอย่างออกมา ผมก็สนุกดีครับ กินขนมขนมที่สั่งมาเพลินๆ คนเดียวจนหมด ผมพยายามชวนชัยให้กินด้วยแต่ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีมาจากไหนไม่รู้ ไม่ยอมกินด้วยเลย ผมแอบเหลือบมองไปทางเขาตลอดการสนทนากับพี่โน่ เขาทำหน้าบึ้งเป็นระยะ เหมือนมีเรื่องเครียดอะไรอยู่

จนกระทั้งชัยดึงผมออกจากโต๊ะเพื่อให้กลับบ้าน รู้สึกเหมือนมีระฆังหมดยกช่วยชีวิต รู้สึกดีใจมากเพราะกินขนมจนหมดแล้วพี่โน่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเลย ยิ่งมารู้ว่าเขาเป็นหุ้นส่วนที่นี่ ทำให้สถานที่นี้ลดความต้องการที่จะแวะมาลงไปเยอะเลย (กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ ทำการบ้าน กลัวความไม่เป็นส่วนตัวที่เคยมี)

เขาดึงมือผมออกจากร้าน จนเดินมาถึงนอกร้านเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายเขาไหลผ่านเข้ามา รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บริเวณมือที่ใหญ่และหยาบของเขา แปลกที่ผมรู้สึกดีมากจนไม่อยากให้เขาปล่อย ผมเลยไม่พูดอะไรปล่อยให้เขาจับไปเรื่อย จนกระทั่งไปเผลอพูดถึงมัน ทำให้เขาสะบัดมือผมหลุดออกจากกัน เขามีท่าทีเขินและดูต่างออกไป ทำให้ผมใจเต้นแบบแปลกๆ นี่….. นี่ผม…. เป็นอะไรไปเนี่ย?

เขาพยายามลากมือผมไปที่รถ (จับมือผมอีกแล้ว) ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความชัดเจนได้ในทันทีเลยว่า หัวใจผมตอนนี้มันไม่ว่างแล้วนี่เอง นี่สิปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม ทำไมผมถึงได้อยู่ๆ ไร้ความรู้สึกกับนิ่ม ทำไมผมถึงอยากอยู่กับชัย อาจเพราะผมอยากให้หัวใจของผมอยู่ใกล้ๆ เขานั่นเอง

หลังจากที่เราร่ำลา ความรู้สึกข้างในอกมันดูอ้างว้าง ผมคงเผลอทำหน้าแปลกๆ  เลยทำให้ชัย อาสาไปนอนเป็นเพื่อนในคืนที่ผมต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แสนเยียบเย็นเพียงลำพัง
ผมตอบตกลงแทบจะทันที…..

…………….


พอมาถึงบ้าน ผมเลยให้ชัยไปอาบน้ำก่อน ผมจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดนอนให้เขาเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง ผมถูกสอนให้ดูแลตนเองตั้งแต่เด็ก แม้จะมีแม่บ้านอยู่หลายคนแต่ก็แค่ทำความสะอาดและดูแลเรื่องซักรีดเสื้อผ้าให้เท่านั้น การเก็บของในห้อง แม้แต่เสื้อผ้าก็ต้องเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าเอง ป๊าและม๊าสอนผมให้มีวินัยเรียบร้อยจนติดเป็นนิสัยจนถึงตอนนี้ มันกลายเป็นกิจวัตไปแล้วว่าผมต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่วางบนเตียง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ผมเลยเตรียมเผื่อชัยด้วย

“โห….โคตรเรียบร้อยเหมือนเคย”
“พ่อแม่สอนมาดีไง”
“อ้าว… จะบอกว่าพ่อแม่เราไม่สั่งสอนว้างั้น”
“เอ้ย.. เอ่อ….”
“เฮ้ย! ล้อเล่น ไปอาบน้ำไป!”
แล้วชัยก็เหวี่ยงผ้าเช็ดของตัวเองใส่ผม หลังจากที่ใส่กางเกงเสร็จแล้ว
“ไอ้บ้า.. เอาไปแขวนดีๆ ตรงนั้น!” ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ชื้นแฉะของเขาขว้างใส่ชัยคืน ชัยได้แต่หัวเราะเสียงดัง ผมรีบดึงผ้าเช็ดตัวของตัวเองที่แขวนอยู่ไม่ไกลวิ่งเข้าห้องน้ำไป

…………..

“อาบช้าเหมือนเคย นายเข้าไปทำอะไรในนั้นหนักหนาเนี่ย”
ผมเป็นคนที่มีมาตรฐานในการทำความสะอาดร่างกายตัวเองครับ โดยเฉพาะการดูแลตัวเอง กว่าจะดูดีแบบนี้ได้มันมีราคานะ
“ทำอะไรน่ะ?” ผมทักชัยขณะเขารื้นค้นสมุดหนังสือของผมบนโต๊ะ และเปิดสมุดเล่มหนึ่งพลิกไปมา

“อะไรวะเนี่ย ไอ้อ้วนนี่ใคร?” ชัยพลิกหน้าที่มีรูปเด็กผู้ชายจ้ำม่ำแก้มยุ่ยในชุดมัธยมต้นขึ้นมาทางผม
“เอ่อ….. เราเอง”
“หา!!! ไม่มีเค้าเลยนี่หว่า เฮ้ย ตอน ม.ต้นเราอยู่โรงเรียนเดียวกันหรือวะ?”  พูดจบชัยก็พลิกไปหน้าถัดๆ ไป
“เฮ้ย!! อย่าอ่านนะ นั่นมัน ไดอารี่เรา”
ผมวิ่งไปทั้งที่ยังนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว ชัยไหวตัวทันวิ่งหลบไปอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียง ผมวิ่งตามไปเพื่อไปชิงสมุดคืน ชัยโดดขึ้นเตียงข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมรู้ตัวจึงวิ่งไปดักอีกทางทัน ชัยหลบไม่ทันจึงชูสมุดขึ้นสุดมือเพื่อหลบไม่ให้ผมได้สมุดคืนไป ผมวิ่งมาถึงก็พยายามเอื้อมมือคว้า ทำให้เราชนกันถึงกับหงายลงไปบนเตียง

“เฮ้ย อะไรว่ะ แค่ดูรูปสมัยเด็กทำไมต้องอายกันด้วย”
ชัยพูดทั้งที่นอนหงายอยู่บนเตียง พยายามตะเกียดตะกายหนีผมที่ล้มลงมาทับเขาอยู่
“มันน่าอาย เอาคืนมา ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

ผมต้องรีบเอาคืนมาก่อนจะเห็นสิ่งที่ให้ชัยเห็นไม่ได้ เหล่ารูปที่ทำให้นิ่มเคยหวาดระแวงผมมาแล้ว และยิ่งผมมารู้ถึงความรู้สึกตัวเองตอนนี้ผมยิ่งให้เขาเห็นไม่ได้

“อะไรวะ ไอ้ขี้หวง”
ชัยสะบัดมีอของผมที่ตอนนี้กำอยู่รอบข้อมือข้างที่ถือสมุดเล่มนั้นอยู่ ผมเสียหลัก หน้าทิ่มไปที่หน้าผากชัยเข้าเต็มๆ
“โอ้ย / โอ้ย”
เราร้องเสียงหลงพร้อมกัน ผมเอามือกุมหน้าผากทั้งๆที่ผมยังนอนคว่ำทับร่างของชัยอยู่

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ไอ้คนที่ควรจะเจ็บกว่าผมดันเป็นคนตั้งคำถามก่อน
“ไม่เป็นไร มึนนิดหน่อย”
ผมเปิดหน้าลืมตามองคนที่อยู่ข้าวล่าง เห็นสายตาสีน้ำตาลเข้มที่คมลึกจ้องมองอยู่ เห็นวงหน้าในระยะที่แปลกตาของเขา ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาเอามือลูบที่หน้าผากที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยแดงเป็นจ้ำอยู่อย่างแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้ลูบวนไปมา

“ไม่น่าเป็นอะไรมาก”  ไม่เคยเจอชัยมาพูดใกล้ขนาดนี้มาก่อนสัมผัสได้ถึงผมหายใจอุ่นๆของเขาที่หายใจออกมากระทบหน้า
ผมมองไปที่หน้าผากซึ่งแทบไม่มีรอยอะไรปรากฎเลย หัวแข็งสมคำล่ำลือจริงๆ

สายตาคู่นั้นยังมองผมอยู่จนทำให้ผมไม่กล้าขยับไปไหน
“เออ.. เอาคืนไป” เขาหน้าแดงและพยายามเอื้อมไปหยิบสมุดที่วางพับอยู่เหนือศรีษะเขาขึ้นไป

“ไม่เป็นไร เราหยิบเอง”
ผมเคลื่อนตัวไปแย่ง ทั้งๆ ที่ยังร่างผมยังอยู่ในตำแหน่งเดิมบนร่างของชัย ด้วยความรีบร้อนทำให้การทรงตัวไม่ดีเลยล้มใส่คนที่อยู่ข้างล่างทำให้ร่างกายของเราทั้งสองแนบชิดสนิทกันมากขึ้น มือของผมเอื้อมไปจับมือชัยแทนที่จะเป็นสมุด หน้าของผมซุกเข้าไปในซอกคอของอีกฝ่าย หน้าของชัยเองก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ลมหายใจของผมรินรดไปที่ลำคอของชัย ทางผมเองก็เช่นกันสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ชโลมไล่เลียไปทั่วผิวหนังบริเวณนั่น
 
สักพักผมต้องสะดุ้งเพราะผมรู้สึกแก่นกายกลางลำตัวของคนที่อยู่ข้างล่างแข็งขันเป็นทรงขึ้นมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนกับเขาผมต้องลุกออกมาจากสถานการณ์ตรงนี้

จุ๊บ ฟืด….

แต่คนข้างล่างดูจะเร็วกว่าผม เขาใช้ปากโลมรันที่คอผมจนขาของผมรู้สึกชาไร้แรงต้านทาน ผมพยายามคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุแต่มือของเขาดันเอื้อมมาจับเอวและคอผมไว้

ผมตัดสินใจใช้สติที่เหลือจากอาการร้อนรุมไปทั่วร่างกระชากตัวเองออกจากคอของอีกฝ่าย ก็โดนอีกฝ่ายยกริมฝีปากมาประกอบกับปากของผมอย่างเร้าร้อน แทนที่ผมจะรู้สึกไม่ดี กลับกันผมกับตอบรับในสิ่งเร้าตรงหน้าอย่างกระหาย สติของผมหายไปกับวังวนของรสริมฝีปากของอีกอย่างถอดตัวไม่ขึ้น

ชัยกลิ้งพลิกตัวเขามาอยู่ด้านบนบ้าง และกดริมปากให้แน่นขึ้น ใช้ลิ้นของเขาชอนไชซุกไซ้ พยายามล่วงล้ำเข้ามาในปากผม ผมฝืนได้เพียงชั่วครู่ จนกระทั่งหมดแรงจะต้านทานให้ชัยวนเวียนเข้ามาพัวพันสำรวจข้างใน มือของเขาวนเวียนไปทั่วร่างอย่างรู้จุดรู้หน้าที่อย่างช่ำชอง ผมเผลอครางออกมาทั้งที่ปากผมก็ไม่ว่างเท่าไหร่

ผ้าที่สวมใส่อยู่อย่างหลวมๆ หลุดออกไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่จังหวะมือของเขาที่พยายามช่วยผมให้รู้สึกดียิ่งๆ ขึ้นไป ผมเองตอนนี้ก็พยายามใช้มือที่ว่างควานหาสิ่งที่แกร่งแข็งของอีกฝ่ายซึ่งก็หาไม่ยาก เพราะมันเด่นเสียเหลือเกิน หลังจากลูบคลำว่าใช่แน่ๆ ผมล้วงเข้าไปในกางเกงตัวบางที่เขาสวมใส่ ไปเจอส่วนเนื้อที่ผมรู้สึกตกใจเมื่อแรกสัมผัสเพราะมันใหญ่กว่าผมมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ที่ได้สัมผัสกับมันตรงๆ แบบนี้ ผมใช้จังหวะมือแบบเดียวกับที่เขาทำกับผม ชัยขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผมมีจังหวะที่เขาโอเคและขยับกางเกงออกให้พ้นทาง เราทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ ในขณะที่ปากของเราสองคนยังใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ ผมก็ถึงจุดปลายทางที่ต้องปล่อยความสุขออกมาเต็มมืออีกฝ่ายจนผมเผลอร้องออกมา เสียงผมคงไปกระตุ้นเขาให้เดินทางถึงปลายทางเช่นกัน

เราทั้งสองนอนหงาย หอบหายใจด้วยความอ่อนล้า  ผมอธิบายความรู้สึกแบบนี้ไม่ออก มันอายยังไงไม่รู้ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อนคนไหน เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ใจผมกระจัดกระจายแบบนี้

“เรา…. เราไปอาบน้ำก่อนนะ”
ผมรีบฉวยผ้าที่กองอยู่แถวๆนั้น วิ่งเข้าห้องอาบน้ำทั้งๆ ที่เปลือยและเลอะเทอะ ผมเข้าไปและรีบกระแทกประตูห้องน้ำเหมือนกำลังหนีซอมบี้ในหนังสยองขวัญ

ปึ้ง!!!

เสียงประตูปะทะกับฝ่ามือของคนภายนอก

“อาบด้วยสิ” ไอ้ชัยเดินเปลือยกายตามเข้ามา ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นแต่วันนี้มันต่างออกไป
“เออ… อืม…” ผมพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายเลย ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำส่วนที่เป็นฝักบัว ชัยเดินตามมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เรา… ขอโทษวะ นายไม่โกรธใช่ไหม?” ชัยพูดขึ้นขณะที่ผมเปิดฝักบัวให้น้ำไหลปะทะร่าง
“……….”
“เฮ้ย! เราขอโทษจริงๆ เราไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาอยู่กับนายแล้วถึงห้ามใจตัวเองไม่ค่อยอยู่”
“………”
“กวี….. เรา”
“….นึก…. ว่าชอบทำแบบนี้กับใครก็ได้”
“จะบ้าเหรอ เราไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย แต่กับนาย…. เราไม่รู้ว่ะ โอ้ย! พูดไงดีวะ. เราขอโทษ”
“เออ… ไม่เป็น เราเองก็เหมือนกัน ไม่เคยว่ะแบบนี้ ไปไม่เป็นเลย ก็ช่างมันเถอะนะ อย่าพูดถึงมันเลย อาบนำ้เหอะ”
ทำไมผมต้องรู้สึกปวดใจกับคำขอโทษของชัยด้วยวะ ชัยพูดเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ (คิดว่าอย่างนั้น) มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆเด็กผู้ชายวัยกลัดมันมาอยู่ห้องเดียวกันที่เจอสถานะการณ์ล่อแหลมน่าจะเกิดขึ้นได้ เราไม่ควรคิดมาก (มั้ง)

หลังจบบทสนทนานั้น ทั้งตอนที่อาบน้ำด้วยกันและมานอนที่เตียงเดียวกัน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย มีแต่การมองหน้าและยิ้มอย่างเกรงใจ อากาศภายในห้องหนักอึ้ง เงียบจนได้ยินเสียงวี้วิ่งเข้ามาในหู ผมตัดใจข่มตานอนแต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ยังตามวนเวียนเข้ามาในความคิดเรื่อยๆ จนประสาทรับรู้ของผมมันอ่อนไหวไปหมด ไอ้กวีน้อยมันก็ไม่ยอมนอนไปด้วย ผมพยายามแสร้งว่าหลับไปแล้ว ทั้งที่ผมรู้สึกรู้ตัวทุกอย่าง โดยเฉพาะตอนที่คนข้างๆ ขยับตัวและได้ยินถอนหายใจเป็นพักๆ

โอย…. นอนไม่หลับ

………………………………………………..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบแปด part 3 (อัพ 10/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 11-09-2017 03:51:59
ได้กันเลยขนาดนี้ละ  :mew2: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบแปด part 3 (อัพ 10/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-09-2017 07:29:23
วาบหวามกันนแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเก้า part 1 (อัพ 16/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-09-2017 23:04:48


ชัย# 11


เชี้ยแล้วไง!!!

ทำไมกูทำแบบนั้นลงไปวะ!!

ผมนอนพลิกตัวไปมาด้วยความที่นอนไม่หลับ เหตุการณ์เมื่อหัวค่ำมันตามหลอกหลอนผมในความคิดอยู่เรื่อยๆ คงจะต้องโทษความขาดยับยั่งชั่งใจของตนเอง เจอกับหน้าตาน่ารักนั่นทำให้ขาดสติ และหลงลงไปกับอารมณ์ชั่ววูบในตอนนั้น ผมไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน แม้จะเป็นคนสปาร์คติดง่ายกับเรื่องแบบนี้ก็เถอะแต่ผมไม่เคยเริ่มกับใครก่อนแบบนี้เลย ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ผู้ชายคนไหนเลย (เคยมีแต่พวกเหล่านางฟ้าที่โรงเรียนทำให้ ผมก็ลองเล่นๆ ตามประสาวัยรุ่นวัยเฮี้ยว)

ผมเผลอถอนหายใจหลายครั้ง พยายามคิดว่าจะทำตัวอย่างไรดีในวันต่อๆ ไปกับไอ้กวี ผมไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้นต้องจบลงด้วยความห่ามดิบของผม ผมรู้สึกไม่สบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง มันคงไม่เป็นไร แต่ทำไมบรรยากาศหลังจากเกิดเหตุ มันถึงมึนตึงแบบนั้น ผมยังอยากมีพื้นที่ตรงนี้ที่มีไอ้กวีอยู่ข้างๆ ที่ๆผมอยู่แล้วสบายใจ

พยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำไมมันยากจังวะ

…………….

สุดท้ายผมมาคิดได้ตอนเช้า ในตอนตื่นนอน แล้วเจอไอ้กวีนอนหลับอย่างสบายอยู่ข้าง

‘คิดว่าเป็นเพียงฝันก็แล้วกัน ทำตัวเป็นปกติไปก่อน’

ผมพูดกับตัวเองในใจ

“เฮ้ย!! ตื่น!! สายแล้ว ไปโรงเรียนกันเถอะ” ผมยื่นมือไปเขย่าไหล่ไอ้กวีที่สะดุ้งตื่นขึ้นทันทีที่ผมสัมผัส (หรือจะเรียกว่าตกใจดี จะตกใจทำไมวะ กูไม่ได้จะข่มขืนมึงเสียหน่อย)
“เออๆ ได้ๆ” ตอนเช้าผมจะให้ไอ้กวีอาบก่อนเพราะมันอาบน้ำช้า

ไม่นานพวกผมก็แต่งตัวเสร็จ ผมกับไอ้กวีแยกย้ายกันไปโรงเรียน ไอ้กวีมันมีคนขับรถไปส่งที่โรงเรียน และพอขากลับจะมีคนเอารถมารับและทิ้งไว้ให้ใช้ตอนช่วงเย็น (โคตรคุณหนู) ส่วนผมบิดมอเตอร์ไซค์กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื่อผ้าก่อน ดีนะที่บอกแม่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่งั้นถูกดึงหูยานถึงพื้น ตั้งแต่ผลการเรียนดีขึ้น แม่ก็ไม่ค่อยห้ามการไปค้างบ้านเพื่อน เพราะคิดว่าไปท่องหนังสือกัน (ก็ไม่ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อคืน)

ผมออกจากบ้านรีบขับไปรับไอ้หลงไปโรงเรียนด้วยกันก่อนที่จะสายกว่านี้ ผมคิดไปขับรถไปว่าเย็นนี้ต้องทำให้ทุกอย่างเนียนกว่านี้ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ!

ตกเย็นก็นัดกับไอ้กวีตามปกติ ซึ่งก็ดูเป็นปกติจริงๆ ไปหามันที่ร้านประจำ พามันไปติวที่บ้านไอ้หลง และเป็นอย่างนี้จนถึงวันเสาร์

วันนี้ดูไอ้กวีดูจะพูดมากผิดปกติ (ไม่รู้มันอารมณ์ดีอะไรมา) ตอนนั่งมอเตอร์ไซค์มาด้วยกันก็เกาะเอวผมซะแน่น มาถึงบ้านไอ้หลงก็คอยแอบมองผมเรื่อยๆ จนผมบางทีก็ประหม่าและเผลอใจเต้นแรงกับสายตาแบบนั้น ไอ้กวีชวนคุยนอกเรื่องบ่อยๆ จนแอบเห็นไอ้หลงกรอกตาใส่ ผมต้องพยายามดึงไอ้กวีกลับมาที่บทเรียนพื้นฐานในการสอนไอ้หลง ( เพราะเรื่องที่มันคุยกับผม เดาว่าไอ้หลงน่าจะตามไม่ทัน และมันควรจะสนใจไอ้หลงมากกว่านี้)

จนกระทั่งไอ้หลงมันทักออกมา ผมยอมรับว่าค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอมาได้ยินแบบนี้เลยช่วยตอกย้ำถึงสิ่งที่อยู่ในใจผม แต่ผมยังอยากจะพิสูจน์เพิ่มอีก เพื่อให้แน่ใจว่าผมชอบไอ้กวีจริงๆ

หลังจากที่ผ่านการสอบมหาหินจากเพื่อนสะใภ้(มั้ง)  พี่เอิร์ธเลยตั้งใจจะพาไปเลี้ยงแก้เครียดกัน ก็ดีอยู่กับหนังสือมาหลายวันแล้วแก้เครียดเสียหน่อยก็ดี ปกติอยู่กับหนังสือทุกวันนี่มันไม่ใช่ผมเลย ตั้งแต่มาคบไอ้กวีเป็นเพื่อน ผมไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นเลย

จากการลงความเห็นกัน เลยตกลงว่าจะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ในใจกลางเมือง (ซึ่งพาลูกเจ้าของห้างฯ ที่ไม่ออกความเห็นอะไรในเรื่องนี้ไปด้วย)

เนื่องจากเป็นวันหยุด คนค่อนข้างพลุกพล่าน พี่เอิร์ธกับไอ้หลงเดินคู่กันอยู่ข้างหน้า ส่วนผมกับไอ้กวีเดินตามหลังคู่รักแห่งปีข้างหน้า

“ชัย… ถามหน่อยสิ….. คือ…. พี่เอิร์ธเป็นลูกของเพื่อนแม่หลง แต่ทำไมดูสนิทกับหลงจังวะ?”

ไอ้กวีมองคู่ที่อยู่ข้างหน้าด้วยความสงสัย เพราะไอ้หลง เดินเบียดที่เอิร์ธจนแทบจะสิงอยู่แล้ว ส่วนพี่เอิร์ธแม้จะพยายามเลี่ยงเดินห่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ บางครั้งก็หันมาดุไอ้หลงที่แกล้งเบียดบ้าง แอบจับมือบ้าง เป็นการค้อนใส่ที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าจะดูน่ากลัว

“เออ! ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ผมพยักหน้าใส่สองคนข้างหน้า ทำหน้าเอือมกับการกระทำของไอ้หลง ที่ไม่ได้สนใจใครรอบข้างเลย (แม้แต่ผมกับไอ้กวีที่มาด้วยกันกับมัน)
“เฮ้ย… สองคนนี้เป็นแฟนกัน?” ไอ้กวีแปลกใจพูดขึ้นเสียงขึ้นมา จนผมต้องยกมือขึ้นมาปิดปากมัน
“ไอ้บ้า.. เบาๆ เขาสองคนยังไม่ได้ตกลงกันอย่างเป็นทางการ และพี่เอิร์ธยังไม่อยากให้ใครรู้”
“แต่… หลงชอบผู้ชาย?”
“เออ! เราก็แปลกใจ แต่พอมารู้จักพี่เอิร์ธ เราก็ไม่แปลกใจนะ ดูสิ นิสัยดี และยัง… น่ารัก…ขนาดนั้น”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง ทำเสียงยังไงตอบตอบคำถามนี้ ผมสังเกตเห็นไอ้กวีมีสีหน้าไม่พอขึ้นมานิดหน่อย แต่พอไอ้กวีหันไปพิจารณาพี่เอิร์ธที่โดนไอ้หลงแกล้งอยู่ก็ทำท่าทางเห็นด้วย
“อืม…. นั่นสิ…. เรื่องแบบนี้มันก็เป็นไปได้เนอะ”

“จะกินอะไรล่ะพวกเรา เอ็มเคไหม หรือชาบูตรงนั้น?”  พี่เอิร์ธหันมาถามพวกผมที่เดินตามหลังอยู่ไม่ไกล หลังจากใช้หมัดโขกหัวไอ้หลงจนมันต้องหยุดพัวพันพี่เอิร์ธ และหันมากุมหัวตัวเอง พี่เอิร์ธแมนมากๆ ไอ้หลงมึงซวยแล้ว!
“อะไรก็ได้ครับ/ อะไรก็ได้ครับ” ผมกับกวีตอบพร้อมกัน
“หึหึ..พวกเธอนี่น่ารักดีนะ คบกันมานานยัง?”
“……..…..” อยู่อากาศรอบๆตัวก็ร้อนขึ้นมา ส่วนไอ้กวียืนหูแดงอยู่ข้างๆ
“พี่เอิร์ธ… พวกมันไม่ได้เป็นแฟนกัน!”
“อ้าวเหรอ…. พี่ดูผิดเหรอ ก็……”
“พี่เอิร์ธครับ ไปชาบูร้านนั้นดีกว่า เขาว่าน้ำจิ้มอร่อย ไปเถอะ ผมหิวแล้ว”
ไอ้หลง มึงสุดยอดมาขอบใจมากที่ช่วยชีวิตกู  ขืนโดนซักไซ้มากกว่านี้ความลับมันจะไม่ลับน่ะสิ ผมยังไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ เลย โดยเฉพาะความรู้สึกของไอ้กวี

เราเคลื่อนขบวนที่ดูขัดๆ เขินๆ ไปถึงหน้าร้านชาบูชื่อดัง ซึ่งตอนนี้เนืองแน่นไปด้วยคิวเข้าร้าน

“โห…. จะได้กินไหมเนี่ย……หิวแล้วนะ” ผมแอบโวยวาย
“เฮ้ย!! เหลืออีก 6 คิวเลย ทำไงดีไปกินอย่างอื่นกันไหม?” ไอ้หลงที่เดินแหวกฝูงชนออกมาจากจุดที่พนักงานที่ดูแลเรื่องคิวเข้าร้านยืนอยู่
“เออ ก็คงงั้น แม่งหิวฉิบหายยังมาเจอแบบนี้อีก ร้านนี้อยากมาชิมสักครั้งเสียด้วยสิ”

“ชัย ชัย”

ผมซึ่งกำลังหงุดหงิดเดินหันหลังตั้งเป้าหมายใหม่ไปกินร้านอื่น หันกลับมามองหาเสียงใสๆ จากในฝูงชน

“ชัย มากินร้านนี้เหมือนกันเหรอ บังเอิญจัง”
เด็กสาวผมยาวประบ่าแต่มีโครงหน้าโฉบเฉี่ยว และแต่งหน้าด้วยโทนเปรี้ยวจัด เดินแหวกผู้คนออกมาทักทายผม เธอคือ แนน คนที่ผมเคยคั่วอยู่พักหนึ่ง ช่วงปีที่แล้วเธอน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปีสองแล้วตอนนี้ (ผมชอบผู้หญิงที่ดูเป็นสาวหน่อยไม่ชอบเด็ก) พอผมเห็นเธอก็ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง

“อ้าว! แนน”
“ดีจ๊ะชัย”
“เมื่อกี้ แนนว่าไงนะ?”
“ถามว่าจะมากินชาบูที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
“อื้อ.. แต่คนมันเยอะ รอไม่ไหว หิวแล้ว”
“มากินด้วยกันไหมล่ะ? คือมีเพื่อนเบี้ยวหลายคนน่ะ จองโต๊ะใหญ่ไว้ นี่เลยกลัวว่าที่ร้านเขาจะว่าเอา เนี่ยคิวถัดไปแล้ว”
“เออ เอาสิ แต่เรามากันสี่คนนะ ไหวเหรอ?”
“ไหวสิ… จองไว้สิบที่ แต่มากันห้าคนเอง มาเยอะก็ดีเลย”
แล้วเธอก็ขยับเข้าใกล้พลางกระซิบ
“เพื่อนชัยมีแต่หล่อๆ สาวๆ เพื่อนเรากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่”
ไม่จะพูดให้อีกฝ่ายเสียใจเลยว่า มีสองคนในนี้จีบกันอยู่ ส่วนไอ้ชัยก็เพิ่งอกหักรักคุด คงจากจะยังไม่มองใครช่วงนี้ ส่วนผมก็กำลังสับสน สาวๆ เอยเลือกคนมากินข้าวด้วยผิดกลุ่มเสียแล้ว!

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป

“เบอร์ 147 ค่ะ คิวที่ 147 สิบที่ค่ะ มาติดต่อที่หน้าร้านด้วยคะ!”
เสียงลำโพงจากหน้าร้านดังมาถึงจุดที่ยืนอยู่

“อุ้ย!! ถึวคิวแล้ว อยู่นี่คะ!!!” แนนโบกมือให้กับพนักงานที่หน้าร้านที่ชะเง้อหาลูกค้าคิวที่ประกาศหาอยู่
“ไปกันเถอะ” แล้วแนนก็จับมือผมลากเข้าร้านไป ผมได้แต่หันหน้าไปทางคนในกลุ่มที่เหลือเพื่อให้ตามมา แต่คนที่ทำหน้าประหลาดใจที่สุดน่าจะเป็นไอ้กวี แต่ทุกคนก็เดินตามเข้ามาในไม่ช้า

เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ แนนขอมานั่งใกล้กับผม ส่วนที่เหลือก็นั่งเผชิญหน้ากันในโต๊ะกับแก๊งสาวโสดกลัดมัน (ผมขอเรียกพวกเธอแบบนี้ละกัน เพราะเธอมีท่าทางแบบนั้นจริงๆ ไอ้กวีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมมีสีหน้านิ่งเฉยจนผมเดาใจไม่ออก (ไอ้หลงให้พี่เอิร์ธนั่งตรงกลางระหว่างมันกับไอ้กวี กันทางชะนีนางหนึ่งที่พยายามจะนั่งใกล้พี่หมอ เลยกลายมานั่งข้างไอ้หลงแทน แต่สีหน้าเธอก็ดูโอเคอยู่ เพราะความหล่อของไอ้หลงมันก็ใช่ย่อย)

ร้านนี้เป็นแบบบุพเฟ่ต์ครับ สั่งให้พนักงานมาเสิร์ฟได้เรื่อยๆ ระหว่างที่กินชาบูกันอย่างเอร็ดอร่อย (ร้านนี้น้ำจิ้มเด็ดสมคำล่ำลือ) แนนก็พยายามมาพัวพันผมตลอดซึ่งผมก็ยินดีเพราะเธอสวยเปรี้ยวเซ็กซี่ และที่สำคัญผมอยากจะพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองสักหน่อย และอยากจะพิสูจน์กับไอ้กวีว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่เมื่อคืนเป็น ผมที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ ผมรู้สึกไม่อยากให้มันคิดมาก ยิ่งมันไม่พูดผมยิ่งรูสึกผิด

กับแนนแม้เราจะจบกันไม่ดีเท่าไหร่ แต่เธอก็พยายามจะกลับมาหาผมเสมอ แต่ผมเองนี่แหละที่ไม่ได้สนใจเธออย่างที่ควรจะเป็น ผมยังรักเธอไม่มากพอและแนนเองก็มีลักษณะนิสัยของแม่มากกว่าแฟน ผมเลยรีบตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่จะถลำลึกกว่านี้

ไอ้กวีดูไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ มันเหมือนพยายามเหล่มองผมเป็นระยะจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการพัวพันของแนน แนนพยายามเอาใจผมโดยเกาะแขนผมเบียดกับหน้าอกเธอที่สวมเสื้อรัดรูปเน้นทรงเท่าหัวเด็กของเธออยู่เนื่องๆ หยิบชิ้นเนื้อชิ้นผักที่สุกให้ เธอทำเหมือนเมื่อตอนที่เรายังคบกัน ซึ่งผมก็รู้สึกดีแต่พอได้รับรังสีจากสายตาไอ้กวี ทำไมผมถึงรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ จนอยากจะย้ายไปนั่งไกลๆแนนแบบนี้

“แล้วเรื่องที่แนนคุยกับชัยล่าสุดในไลน์ ชัยตกลงใช่ไหม?” แนนดูเขินอายกับสิ่งที่พูด
“เอ่อ… อืม…”
ผมพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกังวลอยู่กับสายของไอ้กวีที่เหล่มองมาตอนแนนขยับเข้าใกล้ชิดปากแทบจะชนหูผมอยู่แล้ว สมาธิก็ไม่ค่อยมียิ่งนึกไม่ออกว่าแนนพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องปกติของหนุ่มหล่ออย่างผมที่แฟนเก่าๆ (ไม่เกี่ยงระยะเวลาการคบ) มักจะมาขอมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งชั่วครั้งชั่วคราว และผมไม่เคยปฏิเสธ!

“ว้าย!! จริงอ่ะ ส่งไปตั้งสัปดาห์หนึ่งแล้ว ชัยไม่ยอมตอบนึกว่าจะต้องนั่งเสียใจเสียแล้ว”
“หือ??” ผมยังจับประเด็นประโยคของแนนไม่ได้จนความสงสัยแสดงออกทางใบหน้า
“ก็เรื่องที่เราจะคืนดีกันไง ชัยเพิ่งตอบตกลงเราไง ทำใจลอยอีกแล้ว ชัยเนี่ย… คิดแต่เรื่องอย่างว่า…. ว้าย” อยู่ๆ เธอก็เสียงดังขึ้นจนเพื่อนในกลุ่มหันมามอง
“ดีใจด้วยนะแก” เพื่อนที่นั่งใกล้ๆ แสดงความดีใจกับเธอออกนอกหน้า
“ชัยรู้ไหมยัยแนนมันพูดถึงชัยทุกวันเลย เราละขี้เกียจฟัง!” เพื่อนหญิงของแนนที่นั่งข้างไอ้หลงส่งเสียงแซวข้ามหัวไอ้หลงมา

“เฮ้ย!! อะไรนะ!” ผมกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด

“พี่เอิร์ธ หลงขอบคุณนะ เราลืมไปว่าจะต้องรีบไปทำธุระ ไปก่อนนะขอบคุณที่เลี้ยง” ไอ้กวีวางตะเกียบเสียงดังลงบนโต๊ะ ก่อนจะไหว้พี่เอิร์ธและพยักหน้าให้ไอ้หลง และเดินออกไปจากร้านโดยไม่มองผมสักนิด (ผมแอบสังเกตหน้ามันก่อนออกไปดูหวุดหงิดและตาขวางชอบกล)
“อะไรกัน อุตส่าห์อ่อยตั้งนาน นกซะงั้น!! นึกว่าจะได้ควงกับหนุ่มน่ารักในเพจดังเสียแล้ว” เพื่อนหญิงแนนที่นั่งอยู่ริมโต๊ะฝั่งเดียวกับผมบ่นอุบอิบเสียงดัง

ผมรู้สึกกังวลกับภาพที่เห็น เลยกะว่าจะลุกตามไป
“อ้าว จะไปไหนน่ะชัย อิ่มแล้วหรือ?” แนนใช้มือดึงรั้งผมให้นั่งลง
“เดี๋ยวเรามาเคลียร์กัน” ผมบอกกับแนนด้วยสายตาขึงขัง

ผมวิ่งออกจากร้านด้วยความเร็วเท่าที่ทำได้เพราะร้านคนแน่นมาก ประกอบกับคนยืนรอหน้าร้านก็เยอะ กว่าจะพ้นออกจากบริเวณร้านได้กินเวลาไปหลายนาที

ผมมองซ้ายขวาตามหาไอ้กวีอย่างวุ่นวายใจแต่ไม่เห็นแม่แต่เงาเสื้อเขิ้ตสีฟ้าอ่อนที่มันใส่

“ มันเป็นนินจาหรือไงว่ะ หายไปเร็วฉิบหาย” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ

ผมรีบเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อเคลียร์กับแนนให้รู้เรื่อง ต้องโทษตัวเองที่ตอบไม่คิด แต่จากเหตุการณ์ทำให้ผมรู้ใจตัวเองมากขึ้น……


……………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเก้า part 2 (อัพ 17/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-09-2017 21:31:53
กวี #6


ผมรู้สึกโง่ยังไงไม่รู้ นี่ผมเป็นอะไรไปวะ รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ แค่ได้เห็นภาพตรงหน้าเส้นสติผมก็ขาดผึงไปอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายก็ปึงปังออกมาแบบนี้ เท้าผมก้าวเดินไปไม่หยุด รู้แต่ว่าต้องไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่อยู่ตรงนั้น ความรู้เหมือนโกรธก็ไม่เชิง อึดอัดก็ไม่ใช่ มันแปลบๆ ร้อนรนที่กลางอกวูบวาบไปมา

ผมเดินจนถึงริมถนนโบกให้แท็กซี่จอดและขึ้นไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย

“น้องครับ…. จะไปไหนครับ ขึ้นมาก็นั่งนิ่งเลย”
“อุ้ย.. เอ่อ…… ไปร้าน Cafe in library ครับ” เป็นชื่อแรกที่นึกออกตอนนี้ที่ๆ ผมไปเป็นประจำ

พอมาถึงร้านผมก็เดินใจลอยไปหาที่นั่ง ผมนั่งลงตรงที่ประจำโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“น้องครับ ตรงนี้มีคนนั่งแล้วครับ”
“อ่ะ!!ขอโทษครับ ผมใจลอยไปหน่อย” พอได้ยินเสียงจากอีกฝากหนึ่งของโต๊ะผมรับหันไปขอโทษทันที โดยไม่ทันสังเกตว่าเสียงคนที่พูดนั่นคุ้นหูมาก

“อ้าว! พี่นีโน่!!”
“เรียกพี่โน่เฉยๆก็ได้ ฟังแล้วไม่คุ้นเลย ไม่มีใครเรียกแบบนี้นานแล้วนอกจากแม่”
“ครับพี่โน่…. งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมกำลังลุกไปหาที่นั่งใหม่ ก็เจอมือเล็กๆนั่นคว้าแขนไว้ (เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ไวจริงๆ)
“นั่งนี่แหละ พี่ล้อเล่น พี่เห็นเราตั้งแต่ลงแท็กซี่แล้วก็เลยเดินมาจองที่ให้”
“อ้อ… ครับ ขอบคุณครับ” พอพูดจบผมก็ลุกไปสั่งเครื่องดื่มโกโก้เย็นของที่นี่ (ของขึ้นชื่อ) มานั่งนิ่งๆ ที่เดิม
“เป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนโดนหักอก”
ผมคงทำหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนั้นเลยเลยหรือนี่ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกใหม่
“หรือว่า…. ยังทำใจเรื่องนิ่มไม่ได้?”
“………” ผมขมวดคิ้วใส่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามใส่
“อ้าว! ไม่ใช่รึ? นี่กวีไม่รู้เรื่อง?”
พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจอใหญ่กว่าฝ่ามือเขาออกมาเขี่ยๆ จิ้มๆและยื่นมาให้ผมดูเพจๆหนึ่งใน Facebook ซึ่งเป็นรูปนิ่มกับเด็กผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ ควงแขนกันเดินที่หน้าโรงหนังแห่งหนึ่ง

ผมยอมรับว่าผมรู้สึกเฉยๆ กับภาพที่เห็น อาจเพราะผมรู้นิสัยของนิ่มดี หรืออาจเพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับนิ่มแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เลิกกันอย่างเป็นทางการแต่ทำแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย

“อ้าว!! แปลกใจน่ะเนี่ยที่เฉยได้ขนาดนี้ เป็นพี่นะจะวิ่งไปตะบันหน้าสักทีโทษฐานที่มายุ่งแฟนพี่”
“ผม…. ทะเลาะกันอยู่ครับ อยู่ในช่วงหยุดพัก แต่ช่างเถอะครับ ผมก็คิดอยู่ว่าเราคงไปกันไม่รอด…”
“แล้วที่ทำหน้าเหมือนใกล้จะตายนี่มันอะไรกัน”
“………..” รู้สึกคำตอบมันหายไปจากหัวสมองผมทั้งหมด
“ว่าแต่…… ไอ้ชัยล่ะ วันนี้ไม่ได้มาด้วยกัน”
“…………” เหมือนเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับผมวันนี้ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนเข็มมาทิ่มแทงที่หัวใจหลายเล่ม
“เฮ้ยๆ เป็นอะไร ไอ้ชัยเป็นอะไร?” ผมคงทำหน้าแย่เอามากๆ ดวงตาตอนนี้มันแสบร้อนจนผมต้องหลับตาไปพักหนึ่ง
“ไม่เป็นอะไรครับ ก็มีความสุขดีกับบรรดากิ๊กของมัน!” เป็นคำพูดที่ปะปนน้ำเสียงที่ผมไม่คุ้นเคย

หลังจากจบประโยคนั่นของผม ความเงียบก็แผ่ไปทั้งบริเวณที่ผมกับพี่โน่นั่งอยู่ พี่โน่มองผมด้วยหน้าเหมือนคิดทบทวนอะไรอยู่

“เฮ้อ……พี่ก็คิดไว้แล้ว!” อยู่ๆพี่โน่ก็ผ่อนหายใจออกมายาวๆ
“………….”
“สงสัยคงต้องอกหักอีกแล้วสิพี่”
“อะไรครับพี่โน่?” รู้สึกตามพี่เขาไม่ทัน
“นี่ยังไม่รู้ใจตัวเองอีกเหรอ ว่าเราน่ะแอบชอบเพื่อนอยู่”
“ผม….ก็พอจะรู้ใจตัวเองอยู่ แต่….”
“แต่ยังทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ หรือ กลัวผิดหวังเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรังเกียจ?”
พี่โน่เหมือนพูดแทนใจผมหมดทุกอย่าง
“ก็ทั้งสองแหละครับ”
“เฮ้อ….. วัยรุ่นก็อย่างนี้แหละ คิดๆก็อิจฉา เอางี้พี่จะบอกอะไรให้ ชีวิตเราน่ะมันสั้น อย่าทำให้มันซับซ้อน ทำตามหัวใจเราก่อนจะได้ไม่เสียใจทีหลัง อย่างน้อยก็ถือว่าเราได้ทำ ผลจะเป็นอย่างไรช่างมัน คนอื่นจะคิดยังไงก็…ช่างมัน มันเป็นความสุขของเราเลยนะเว้ย”
“แต่……”
“ไม่มีแต่… พี่รับประกันว่าไอ้ชัยมันก็ต้องคิดเหมือนกัน ผู้ชายด้วยกันดูออก”
อืม….. ผมก็ผู้ชายหรือเปล่าวะ?

“เอางี้… พี่มีแผน….”
“แผนอะไรพี่?”
“เอาน่า” พี่โน่นิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานงานแถวนั้นมาและยื่นโทรศัพท์มือถือให้

………………………………………………





ชัย# 12


หลังเคลียร์กับแนนเรียบร้อย ถึงแม้ว่าเธอจะมีสีหน้าแย่ลงทันทีที่บอกถึงความเข้าใจผิด สักพักแนนก็กลับเข้ามาสู่โหมดออดอ้อนเหมือนเดิม คงจะพยายามตื้อให้ผมเปลี่ยนใจโดยใช้ร่างกายเข้าแลก

แต่ตอนนี้มไม่มีแก่ใจมานั่งกินชาบูกับสาวๆ แบบนี้แล้ว เหมือนใจไม่อยู่กับตัว (ไม่รวมไอ้หลงกับพี่เอิร์ธ ที่ทำเหมือนนั่งกันอยู่สองคนตั้งแต่แรกจนสาวๆ ในโต๊ะเริ่มถอดใจที่จะอ่อยสองคนนั้น) ผมตัดสินใจบอกลาทุกคนเพื่อไปตามหาหัวใจของผม

ทันทีที่ออกจากร้าน ผมนึกถึงวิธีที่จะตามหามันให้เร็วที่สุด คือ ‘เพจวัยรุ่นหน้าใสวัยน่ารัก’ ผมรีเฟรชอยู่นานแต่ก็ยังหาพิกัดไม่เจอ ไม่มีใครพบเห็นมันบ้างเลยหรือไง

ผมเจอแต่รูปเก่าๆ ของผมและไอ้กวี ทำให้รู้ว่า เวลาที่ผมอยู่กับมันผมมีความสุขแค่ไหน ผมพบว่าผมมองมันอย่างไม่ใช่สายตาของเพื่อน แต่มากกว่านั้น ผมไม่ได้แสแสร้งเวลาอยู่กับมันเลย (ไม่แปลกที่นิ่มจะรีบเข้าใจผิด) สายตาของไอ้กวีเองก็ทำให้ผมหลงไหลอยู่ไม่น้อย หลังจากดูรูปอยู่พักหนึ่งผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเดินหน้าลุยกับไอ้กวีแล้ว ผมรีบเดินไปที่หน้าห้างเพื่อหารถกลับไปบ้านไอ้หลง จะได้ไปเอารถของผมออกตามหามัน

ติ่ดต่อง….

เสียงแจ้งเตือนที่ผมตั้งกับเพจไว้หากมีใครอัพเดทอะไรก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เลื่อนกรอบแจ้งเตือนไปด้านข้างเพื่อเข้าดูรูปใหม่ที่มีเจ้าของเพจอัพขึ้นมา

เป็นภาพชายสองคนนั่งใกล้กันในร้านคาเฟ่ที่คุ้นตา เป็นภาพเหมือนมุมแอบถ่าย และคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘หรือจะเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ ถึงอีกคนจะไม่วัยรุ่นแล้ว แต่นับจากหน้าตาก็อยากให้เข้ามาบรรจุใจฮอลล์ออฟเฟรมของเพจเรานะคะ ขอให้ได้กันนะคะ อ๊ายยยย’

บรรยายเสียอยากไปกระชากคนเขียนมาต่อยสั่งสอน ผมหงุดหงิดทันทีที่เห็นภาพพี่โน่กับไอ้กวีอยู่ด้วยในสถานที่ของผมและมัน ผมดูจากนาฬิกาดิจิตอลที่แขวนอยู่บนผนังในภาพทำให้รู้ว่าภาพนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ผมไปตอนนี้น่าจะทัน ผมต้องรีบไปแล้ว……..

………………….

การขับขี่บิ้กไบค์ด้วยความเร็วนี่มันสะใจจริงๆ ครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้ขับเอาความสะใจแต่เพราะใจร้อนครับ ผมจอดหน้าร้านประจำทันที รีบดับเครื่องถอนกุญแจออกแล้ววิ่งเข้าไปในร้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเร็วได้

ผมมองไปยังสถานที่เดียวกับรูปภาพนั่น มันเหมือนกับภาพในเพจเป๊ะ ทั้งคนทั้งตำแหน่งการนั่ง ผมตรงดิ่งไปที่โต๊ะนั่นทันที

“อ้าว ชัย ไหนกวีบอกว่ามึงมีนัดกับสาว” ไอ้พี่โน่ชายร่างเล็กที่ทำผมหงุดหงิดทุกครั้งที่เจอเอ่ยทักผมก่อนที่จะถึงโต๊ะแค่สองก้าว
“เออ…. ไอ้กวีมาผมก็ต้องมา”
“แต่กวีบอกพี่ว่าวันนี้มาคนเดียวนี่!” ไอ้พี่โน่หันไปพยักหน้าใส่ไอ้กวีที่ไม่แม้จะเหลือบมองผม
“พี่ก็เลยมานั่งเป็นเพื่อนแก้เหงา” ไอ้พี่โน่มันหันมายิ้มให้ผม หน้ามันน่าหมั่นไส้มาก
“กวี… เรามีเรื่องจะคุยด้วย” ไอ้กวียังนั่งนิ่ง โอ้ย!!! เห็นแล้วมันอึดอัดยังไงไม่รู้
“พี่โน่ ผมขอคุยกับไอ้กวีตามลำพังได้ไหม?”
“มึงอยากจะพูดอะไรก็พูด กูนั่งนี่เพราะน้องกวีขอให้กูนั่งเป็นเพื่อน อยากให้กูลุกก็ให้น้องกวีเขาเอ่ยปากเอง มึงมาทีหลังนะ ไอ้ชัย!!”
เสียงพี่โน่เริ่มดีงแข็งขังมากขึ้นจนผมรู้สึกอยากจะกระโจนใส่มันตรงนี้เลย ‘กวนตีน’

“กวี… เราขอคุยด้วย” ผมดึงมือมันเพื่อให้กวีหันมาสนใจผมบ้าง
“เฮ้ย…!!! เขาไม่คุยด้วยก็อย่ามาบังคับสิวะ” พี่โน่ปัดมือผมให้หลุดไป
“เอ๊ะ! พี่โน่จะเอาไงวะ เพื่อนเขาจะคุยกัน”
“มึงเป็นเพื่อน มึงก็คุยกันตรงนี้ได้! แต่กูจีบน้องเขาอยู่ก่อน หากน้องมันไม่อยากไป มันก็หน้าที่กูที่จะช่วย”  พี่โน่ยืนขึ้นมาขวางผมกับไอ้กวี ทำให้เหมือนชิวาว่าวิ่งมาขวางโกลเด้นรีทีฟเวอร์สองตัว
“โอเค… พี่พูดแบบนี้เหรอ เอาสิ กวนตีนกูมาเยอะแล้ว ล่อแม่งตรงนี้แหละ!!” ผมกระชากคอไอ้เตี้ยข้างหน้าจนเท้าของมันลอยเหนือพื้นสักสองนิ้วได้
“ชัย!! พอเถอะ!! เดี๋ยวเราไปคุยด้วยข้างนอก” กวียืนขี้นจับมือผมข้างที่กระชากคอไอ้พี่โน่อย่างแน่น จนผมต้องปล่อย ผมยังทำตาขวางใส่ไอ้เตี้ยข้างหน้าแต่มันกลับส่งยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากให้
“พี่โน่ ขอบคุณครับ” ไอ้กวีแม่งก็แปลกไปขอบคุณมันทำไม?
ผมเดินตามไอ้กวีไปที่นอกร้านใกล้ลานจอดรถ

“มีอะไร จะพูดเรื่องอะไรกับเรา” กวีหันหน้ามาพูดกับผมด้วยเสียงไร้อารมณ์
“เอ่อ…. ก่อนอื่น บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้โน่ ไอ้นั่นมันของจริง เดี๋ยวก็โดนมันจับทำเมียหรอก”
“นายจะสนใจทำไมว่าเราจะไปเป็นผัวหรือเป็นเมียใคร ไม่ไปสานสัมพันธ์ไปทั่วเหมือนเดิมล่ะ?” น้ำเสียงที่ส่อแววประชดประชันจนผมเจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้าย
“กับแนน เป็นเรื่องเข้าใจผิด เราไม่คิดจะกลับไปคืนดีด้วยนะ แค่ตอบไปแบบเบลอๆ”
“โอเค แสดงว่านายมันก็เบลอกับทุกเรื่องงั้นสิ?” น้ำเสียงแบบนี้อีกแล้ว แล้วนี่กำลังพูดถึงเรื่องเมื่อคืน?
“ไม่….ไม่นะ” ปากผมมันสั่นไปหมดทำไมวะ?
“มีเรื่องจะพูดแค่นี่เราจะได้ไปคุยกับพี่โน่ต่อ พี่เขาจะชวนไปที่ผับต่อ”
 
ผมเห็นเขาเดินสวนผมไป ภาพมันเหมือนสโลโมชั่น ทั้งที่ผมตัดสินใจมาแล้วแต่เอาจริงผมแม่งปอดแหกฉิบหาย เอาสิวะทำตามหัวใจตัวเอง ผมก้าวไปคว้าแขนไอ้กวีแล้วดึงเข้ามากอดดัง ‘หมับ’ กูจะปล่อยให้หนีอีกแล้ว

“เฮ้ย…!!” ไอ้กวีร้องเสียงหลง
“เอาวะ…. เรา….เราว่าชอบนายว่ะ เราไม่สนว่านายจะเป็นผู้ชายหรืออะไร มาคบกับเราได้ไหม?” ผมพูดไปทั้งที่หลับตาและโอบกอดกวีเสียแน่นเพราะกลัวว่ามันจะเดินหนีหายไปหลังจากได้ยินความในใจของผม
“ไอ้บ้าเอ้ย….. ตั้งนานกว่าจะยอมพูด พูดขนาดนี้ตกลงก็ได้วะ”
“……..” ผมลืมตาขึ้นมาเห็นไอ้พี่โน่ยืนยิ้มชูนิ้วโป้สองมืออยู่ในร้านกระจก
“นี่มันอะไรกันน่ะ” ผมชี้ไปทางไอ้พี่โน่ที่ยืนยิ้มอยู่ในร้าน
“พี่โน่ เขามองออกว่าเราน่ะชอบกันก็เลยช่วยน่ะ”
“โห… ไอ้พี่โน่…..” ผมกะจะเข้าไปโวยวายกับมันเสียหน่อยก็เจอมือที่อ่อนโยนจับไว้
“แล้วที่พูดน่ะ จริงหรือเปล่า?”
“เอ่อ….. จริงสิ… เราชอบนาย….ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
กวีแค่ยิ้มให้ผมแบบที่ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย

………………………………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่สิบเก้า part 1 (อัพ 16/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 22-09-2017 01:09:38
ดูรวบรัดมากๆ อะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สิบเก้า part 2 (อัพ 22/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-09-2017 21:38:07

กวี # 7


“เราชอบนาย”

คำนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท ผมเดินกลับเข้ามาในร้านซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวแล้ว ขัยเดินตามผมไม่ห่าง ผมรู้สึกเขินๆ กับอะไรที่มันรวดเร็วไปหมด ยังทำตัวไม่ถูกที่อยู่ๆ สถานะของผมกับชัยจะเปลี่ยนไปแบบนี้

“กูก็ลุ้นอยู่ว่า พวกมึงจะยังไงกัน หากจบไม่ดีพี่ก็ว่าจะรอเสียบอยู่”
พี่โน่นั่งรออยู่ที่โต๊ะพูดทีเล่นทีจริงพร้อมส่งยิ้มฟันขาวมาให้
“คราวนี้ก็รู้แล้วนะ ว่ากวีน่ะของผม รู้แบบนี้แล้วก็อย่ามาวุ่นวายกับคนของผมอีก!” ชัยเดินมาขวางผมกับพี่โน่อย่างเร็ว

ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้  ไม่เคยเจอคนอื่นมาแย่งกันต่อหน้าโดยเฉพาะผู้ชาย

“ใครเป็นของใคร เรายังไม่ได้ตกลงกันเสียหน่อย” ผมเดินแทรกชัยไปนั่งฝั่งตรงข้ามพี่โน่
“ก็กวียอมรับที่จะคบกับเราแล้วไง ไหนว่าใจเราตรงกัน” ชัยพอได้สารภาพก็ดูเหมือนชัยจะพูดเรื่องนี้ได้ไม่หยุดเลย
“ยอมรับว่าใจตรงกัน แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะคบด้วยเสียหน่อย”
“จะให้เราจีบนายให้ติดก่อนว่างั้น ขอโทษนะข้ามขั้นไปหน่อย”
ชัยพูดออกมาตรงๆ จนผมเริ่มอาย หน้าผมมันบางไม่เหมือนไอ้คนพูดนะ แล้วนี่ก็จะเสียงดังไปไหนเนี่ย
“แล้ว…หากมันจีบไม่ติด พี่ขอเสียบต่อเลยนะ”
พี่โน่ก็อีกคน คำก็เสียบสองคำก็เสียบ ฟังแล้วหวาดเสียวชะมัด
ตอนนี้ชัยส่งตาเขียวใส่พี่โน่ะป็นระยะ สลับกับยิ้มให้ผม
“เฮ้อ….กูไปดีกว่า คนแพ้ก็ต้องไปสินะ” พี่โน่ขยับตัวออกจากโต๊ะ
“บายพี่ คงไม่ต้องมาเจอพี่อยู่กับกวีอีกนะ”
“ผัวเผลอแล้วเจอกันนะน้อง” พี่โน่ยักคิ้วให้ก่อนเดินจากไปพร้อมหัวเราะเสียงดัง
“พี่โน่!!!” ผมหลุดตวาดพี่โน่เสียงดังพร้อมกับชัยที่ดูขมวดคิ้วชัดเจน

แสงแดดยามเย็มเริ่มซีดจางลงแล้ว ความมืดกำลังไล่เลียเข้ามา
หลังจากผมกับกวีนั่งจัดการเบเกอรี่ของโปรดของผมจนหมดผมเลยกะว่าจะลากลับบ้านไปทำการบ้านก่อนดีกว่า วันนี้ก็ออกมาจากบ้านทั้งวันแล้ว

“กลับกันเถอะ”
“อืม” เสียงอีกคนตอบพร้อมรอยยิ้ม ชัยมักจะนั่งมองผมกินเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยกินกับผมด้วย จนผมสังเกตว่าเขาคงไม่ชอบของหวานแต่ก็มานั่งกินกับผมตลอด และจะแตะๆ ชิมๆบ้างเวลาที่ผมขะยั้นขะยอให้เขากินด้วย มันเป็นพฤติกรรมที่น่ารักดี ผมยิ้มตอบกลับไป

เขาเดินไปส่งผมที่รถ ชัยทำสายตาแบบไม่อยากให้ผมไปเลย ผมเองก็ยังไม่รีบจากเขาไปนะ แต่เวลานี้มันมืดแล้ว คงต้องรีบกลับไปทำการบ้านที่ค้างไว้ ผมโบกมือลาแล้วขึ้นไปนั่งบนรถวอลโว่คันเก่งของผม ผมกำลังจะปิดประตูแต่มีมือมาดึงประตูรถไว้ไม่ให้ปิด

“วันนี้….นาย…..อยู่คนเดียวหรือเปล่า?” ชัยพูดกระท่อนกระแท่น
“อืม…… ไม่รู้สิ ป๊ากับคุณน้า ไม่ได้บอกอะไร ของเช็คไลน์ก่อนนะ”
ว่าแล้วผมก็เปิดไลน์กลุ่มครอบครัวดู และพบข้อความไม่ได้อ่านอยู่ 2-3 ข้อความ”

MongkolBoss: อยู่ไหนกวี? ลูกจะกลับบ้านกี่โมง
MongkolBoss: วันนี้ป๊าไปเยี่ยมน้องนะ พรุ่งนี้เจอกัน
ArayaP: อย่ากลับดึกนะ อย่าลืมเวลาที่เราตกลงกันไว้

ผมเคยตกลงไว้กับคุณนาย หรือคุณน้า (แล้วแต่ว่าอยากจะเรียกเมียพ่อหรือแม่เลี้ยงผมว่าอย่างไร) ว่าจะไม่กลับดึกหากได้รถมาใช้เพราะไม่อยากให้ผมเสียคน พ่อก็ตกลงตามนั้นทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยสอบตกจากท้อป 3 ของห้องเลย ไม่เคยแสดงพฤติกรรมไม่ดีให้เห็น

ผมอ่านจบผมก็ส่ายหน้ากับชัยเป็นคำตอบว่าวันนี้ผมคงต้องนอนคนเดียวอีกคืนไม่มีใครอยู่บ้าน อยู่ๆสีหน้าของชัยก็ดูสว่างวาบขึ้น จนผมรู้สึกได้ เหมือนทาสารเรืองแสง

“ให้เราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”
ใจหนึ่งก็อยากแต่อีกใจหนึ่งก็กลัว ขนาดวันก่อนไม่ได้ตั้งใจ เรายังมีอะไรกันขนาดนั้น แต่นี่เราไม่ต้องปิดบังความรู้สึกและชัดเจนกับความต้องการของเราแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้น!

“เราถามว่าจะให้ไปอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ผมเงียบไปนานจนอีกคนก้มหน้าลงมาถามอีกครั้ง
“เอ่อ…….” สับสนไปหมด รู้สึกร้อนผ่าวไปตั้งแต่หัวไปถึงกลางหลัง
“เราไม่ทำอะไรนายหรอกน่า…. ถ้านายไม่ยอม” ชัยยิ้มเจ้าเลห์ใส่
“บ้าน่ะ คิดอะไรอยู่เนี่ย เรายังไม่ได้ตกลงกันเรื่องนั่นนะ?”
“แล้วจะให้ไปไหมเนี่ย?”
“อยากมาก็มา ไม่ได้ห้ามไว้นี่” รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ยังไงไม่รู้ ตื่นเต้นไปหมด

สุดท้ายชัยก็ขับมอเตอร์ไซค์ของเขาตามมาถึงที่บ้านของผม และเข้ามาอยู่ในห้องของผมเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ดันจำหน้าเขาได้แล้วเสียอีก เปิดให้เขาเข้ามาง่ายดายเสียเหลือเกิน (ชัยเป็นเข้ากับคนง่ายเสียจนผมเองยังกลัว ไปสนิทกับเขาตอนไหนเนี่ย? ลุงขาวเจ้าหน้าที่ฯ ที่บ้านผมก็พอกันเนี่ย!)

“ถามจริง สงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้สมุดเล่มนั้น มันมีอะไรทำไมถึงหวงมันนัก” เข้าห้องมาชัยก็เปิดประเด็นถามถึงไอ้ของที่ทำให้เกิดเรื่องเลย
“ไม่มีอะไร มันเป็นไดอารี่น่ะ” หรือจะให้เรียกอีกอย่างคือ สมุดแฟนคลับ คนเราก็ต้องมีไอดอลบ้างคนหรือสองคน แต่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ ไอดอลคนนั้นดันมาอยู่ในห้องเดียวกับผมตอนนี้ล่ะ
“อ้อเหรอ ขอโทษนะ มันคงไม่ดีที่จะเปิดอ่านใช่ไหม?”
“แน่นอน!! ใครเขาจะให้คนอื่นอ่านไดอารี่ตัวเองกัน”
“แต่เราไม่ใช่คนอื่นแล้วนะ”
“แปลว่าอะไร?”
“เราเป็นแฟนนายไง”
เอาอีกแล้ว ยิ่งนานเข้าไอ้ความชัดเจนของชัยมันยิ่งมากขึ้น แต่มันเร็วไปไหมเนี่ยแค่ผ่านไปสองชั่วโมงเอง! ฟังแล้วรู้สึกไม่ชินเลย ผมทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะตอบว่าอะไร ชัยก็ได้แต่ยิ้มส่งมาให้ทันทีที่เห็นผมแสดงอาการแบบนั้นออกไป

“ไป! อาบน้ำกัน”
“งั้นนายก็ไปอาบก่อนสิ ผ้าเช็ดตัวอยู่เดิม บริการตัวเองนะ”
“อ้าว!! ไม่ใช่ เราบอกว่า อาบ-น้ำ-กัน” ชัยเดินเข้ามาใกล้พร้อมเน้นคำพูดคัวเองทีละคำ
“เฮ้ย… ไม่เอา ไปอาบก่อนสิ”
“อะไรวะ? เราก็ทำกันออกบ่อย ไม่เห็นเป็นไร”
“ก็… เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดอะไร”
“อ้อ! แสดงว่าตอนนี้นายคิดไม่ดีกับเราอยู่น่ะสิ”
“ไอ้บ้า!!”
แล้วชัยก็เดินมาลากมือผม จูงเข้าห้องน้ำไปโดยที่ผมแทบจะไม่ขัดขืนเลย

พอมาถึงหัองน้ำที่แบ่งโซนเปียกและแห้งอย่างเรียบง่าย ชัยถอดเหวี่ยงทุกอย่างออกจากตัวอย่างรวดเร็ว (น่าจะมีการแข่งขันประเภทนี้ชัยคงชนะเลิศ) คงเหลือร่างที่เปลือยเปล่าของเขาในเวลาไม่ถึงนาที

เขาเป็นคนหุ่นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อเท่าที่จำเป็น รูปร่างลีนกำลังดีแทบไม่มีไขมันเลย กล้ามท้องเป็นลอนสวย ผิวแบ่งเป็นสองสีชัดเจนทั้งส่วนที่นอกร่มผ้าที่เข้มกว่าและในร่มผ้าที่ขาวกว่า จริงๆ เขาน่าจะเป็นคนที่ผิวขาวมาก แต่อาจเพราะเล่นกีฬาไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าไหร่ จุดตรงกลางอกเป็นสีน้ำตาลเด่นชัด และช่วงล่างที่ดูสมชายชาตรีจริงๆ (อันนี้ผมขอยอมแพ้) ผมเพิ่งเคยพินิจเขาจริงจังขนาดนี้ ทำให้ใจเต้นรัวไม่หยุด ไม่ใช่ไม่เคยแก้ผ้าอยู่กับเขาครั้งแรกเสียหน่อย

“แล้วเมื่อไหร่นายจะถอด จะอาบน้ำไหมเนี่ย? หรือจะให้ไปช่วยถอด?” ชัยทำท่าจะเดินมาทั้งที่เปลือยอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ” ผมยกมือขึ้นปรามชัยไม่ให้เดินมาใกล้กว่านี้ แถมผมยังพยายามมองไปทางอื่น ทำให้เห็นหน้าตัวเองในกระจกที่แดงขึ้นมามาก
“งั้นเราเข้าไปอาบน้ำรอนะ” ชัยชี้ไปที่ห้องกระจกที่เป็นพื้นที่ถัดไปด้านใน

ผมจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองเรียบร้อยก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้องกระจกที่ชัยยืนให้สายน้ำลามเลียทุกส่วนของร่างกาย คิดๆไปก็ตลกดีตอนที่เจอชัยแรกก็เปลือย เขาก็อยู่ใต้ฝักบัวแบบนี่แหละ แต่ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมาก ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นแบบยังไม่เข้าใจตัวเอง แต่ตอนนี้ผมตื่นเต้นเพราะเข้าใจตัวเองแล้วว่าทำไมผมถึงมีอาการแบบนั้น เพราะผมชอบเขามากนั่นเอง และก็กลัวตัวเองจะเผลอใจทำในสิ่งที่เหมือนกับคืนก่อนหน้านี้

ผมสลัดความคิดเรื่องนี้ออกไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างแรงหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหยิบฝักบัวมาชำระร่างกายตัวเอง

“มาเสียที.. แค่ถอดเสื้อผ้ายังนาน!” ชัยที่ยืนให้น้ำชะใส่ร่างกายตัวเองหันมาหาผมจนผมตกใจถอยไปครึ่งก้าว
“ใครจะไปถอดเร็วได้โล่ห์อย่างนาย ดูสิเสื้ออยู่ทาง กางเกงอยู่ทาง” ผมใช้สายตาชี้ไปที่กองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นห้องน้ำโซนด้านหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า… มา!! เราอาบน้ำให้” ชัยมาพร้อมกับสบู่เหลวในมือ
“เฮ้ย!!! ไม่ต้อง!! ต่างคนต่างอาบสิ” ผมปัดมือของชัยที่ยื่นมาจนเกือบถึงตัวผมจนน้ำสบู่กระจายไปที่หน้าของเขา
“โอ้ย!!!!” ชัยร้องเสียงหลง
“เฮ้ย!! เข้าตาหรือเปล่า? เราขอโทษ” ผมขยับเข้าไปดูใกล้ๆ
“มานี่เลย!!” ชัยจากสภาพที่ก้มหน้าร้องโอดโอยอยู่ กระโจนเข้ากอดผม
“อ้าว!! นี่แกล้งทำเหรอ?”
“ไม่ทำแบบนี้ นายจะยอมเข้ามาใกล้เหรอ?” ชัยใช้มือที่กอดผมอยู่ยกตัวผมลอยเหนือพื้น (ผมก็เป็นผู้ชายที่ตัวไม่เบานะ ทำไมเขายกผมง่ายจัง แข็งแรงสุดๆ)
“ปล่อยเรา!!”
“ยอมให้เราช่วยอาบน้ำก่อน”
“ไม่!!!”
“งั้นจะอุ้มไว้อย่างนี้แหละ”
“เราหนาวแล้ว อย่าเลย”
“ยอมก่อน!”
“เออๆ ยอมก็ได้” จะให้ผิวและท่อนเนื้อของเขาแนบกับผมนานกว่านี้มีหวังไอ้กวีน้อยลุกขึ้นเคารพธงชาติพอดี (ผมมีความรู้สึกกับของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?)

พอชัยวางผมลงเขาก็จัดแจงละเลงสบู่เหลวลงบนทุกส่วนของผม

“ผิวดีจัง ทำไมถึงได้เนียนนุ่มยังงี้เนี่ย”
“รีบๆ ทำให้เสร็จเถอะ” ผมที่หันหลังให้เขาซึ่งกำลังใช้มือลูบไล้ร่างกายผมไปมา ความรู้สึกตอนนี้มันยากจะบรรยายจริงๆ รู้สึกถึงความอบอุ่นผ่านมือของเขาวนไปมาทำให้ร่างกายผมร้อนวูบวาบ สั่นไหวไปทั่วภายในท้อง

“จ้าๆ ที่รัก”
“…….” ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าผมหน้าแดงมากๆ แน่นอนเพราะหน้าผมร้อนผ่าวไปหมด ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงขนาดนี้ รู้สึกชอบนะแต่มันเร็วไปหน่อยไหม

ชัยเปิดน้ำเย็นที่ฝักบัวชะล้างฟองสบู่บนร่างกายผม เขาใช้มือไล่เอาน้ำที่เปื้อนฟองออกจากทุกอณูทุกส่วนจนกระทั่งถึงจุดยุทธศาสตร์ของผม ผมเดินออกห่างทันทีที่มือเข้าไล่มาถึง เพราะตอนนี้มันไม่ยอมทำตามใจผมเท่าไหร่ เอาแต่ใจตัวเองจนผมบังคับให้มันสงบไม่ได้
“เดี๋ยวเราถูสบู่ให้นะ” ผมเบี่ยงเบนความสนใจ ผมสังเกตหน้าของชัยที่แสดงความรู้เสียดายจนออกนอกหน้า

ผมบรรจงชโลมสบู่เหลวกลิ่นโปรดลงบนผิวของชัยจนทั่ว จำไม่ได้ว่าถูที้ไหนบ้างเพราะพยายามไม่มองและใช้มือทาถูไปทั่วแบบไม่ตั้งใจ รู้แต่ว่ามันแน่นไปหมด กล้ามที่เป็นลอนชัดของเขาก็ดูดีเสียจนผมเผลอมองไปหลายที (อิจฉาที่รูปร่างดีขนาดนี้ เราพยายามแทบตายกว่าจะได้ร่างปัจจุบัน ทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ย)

จนกระทั่งไปตรงจุดกลางลำตัวที่เขาแทบจะไม่ปิดบังความรู้สึก ผมพยายามหลีกเลี่ยงจุดนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว (มันยังดูน่ากลัวสำหรับผม นี่มันอายุเท่าผมจริงๆ หรือวะ?)

“เสร็จแล้ว” ผมกำลังจะยืนขึ้นเพื่อไปหยิบฝักบัวมาชำระให้เขา
“เดี๋ยว!!” เขาจับมือของผมไปจับส่วนที่ยื่นออกมาจากกลางตัวเขา
“เฮ้ย!!!” ผมร้องเสียงหลง “ทำอะไรน่ะ” แต่มือของผมก็ยังจับสิ่งนั้นอยู่
ชัยดึงตัวผมเข้าไปใกล้และดันไปจนติดผนังฝั่งหนึ่ง เอาหน้าผากของเขามาชนหน้าผากผม เฮ้ย!! เดี๋ยวนะผมยังไม่พร้อม
“เดี๋ยว……” เสียงผมหายเข้าไปลำคอของอีกฝ่ายที่บรรจงทาบริมฝีปากของเขามาแนบกับริมฝีปากของผม

ผมรู้สึกหมดแรงไปกับการพยายามป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในปากผมจนไม่ได้ระวังร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา มือของชัยป่ายปัดลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของผม บีบบ้างคลึงบ้าง รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่เขามอบให้ในทุกจุด รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จนเผลอครางออกมาเบาๆ (เก่งจัง)

ผมไม่สามารถต้านทานการรุกเร้าได้อีกต่อไป ในที่สุดลิ้นของชัยก็เข้ามาสัมผัสกับภายในช่องปากของผมจนทั่ว ผมพยายามโต้ตอบใช้ลิ้นตัวเองผลักให้เขาออกไป แต่ก็ไม่ทำได้นาน

ชัยเลิกวุ่นวายกับปากของผม ใช้ลิ้นของเขาไล่เวียนวนลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงช่วงกลางอก และใช้เวลากับตุ่มเนื้อนั่นนานจนผมเผลอผลักเขาออกมาด้วยความสุขที่เขามอบให้มากเกินไป (ไม่แปลกใจที่จะมีผู้หญิงมาติดเขาเยอะ)

เขาเข้ามาในเกมอีกครั้งและลดระดับตัวเองลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงท้องน้อย ผมรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นไปอีก ผมรู้ว่าอากาศที่เย็นจากแอร์ที่ไหลเข้าจากห้องนอนด้านนอก ไม่ช่วยให้ผมหายร้อนเลย ในขณะที่เขากำลังจะลงไปมากกว่านี้ ผมจับศรีษะเขาให้หยุดอยู่กับที่

“พอก่อนนะ” ผมอยากจะบอกว่าไม่ไหวแล้ว เกร็งไปหมด ไม่เคยต้องมาโดนรุกไล่ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต รู้สึกเหนื่อยหอบหายใจไม่ทัน
“อืม… ได้.. เราบอกแล้วว่าหากนายยังไม่พร้อมเราก็ไม่บังคับ”
ชัยเปลี่ยนท่าเป็นยืนขึ้นยิ้มให้ทั้งที่หอบหายใจเล็กน้อย ผมยิ้มตอบด้วยความขอบคุณที่เข้าใจ

เราอาบน้ำกันต่อในความเงียบจนเสร็จสิ้น ชัยเดินออกมาจากห้องน้ำก่อน โดยมีผมเดินตามห่างๆ (ผมขอดูแลผิวตัวเองก่อน) จนกระทั่งใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเขาก็ขึ้นไปนอนเอนหลังพิงกับหัวเตียง และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้นิ้วเขี่ยไปมาที่หน้าจอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เป็นอะไร โกรธเหรอ?” ผมที่ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นใช้ผ้าเช็ดตัวผืนน้อยเช็ดเส้นผมตัวเองให้แห้งอยู่
“เปล่า…”
“แล้วทำไมเงียบจัง ปกติจะชวนคุยตลอด”
“ก็แบบ….กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ สงบสติอารมณ์อยู่ ขืนอยู่ใกล้กับนายมาก เดี๋ยวจะเผลอทำอะไรไม่ดีอีก”
“…………”
“เฮ้ย.. แต่ไม่ต้องกลัวนะ เราโอเค นอนเหอะ”
ผมพยักหน้าและเดินไปปิดไฟเพื่อที่จะเข้านอน ตอนแรกคิดว่าจะทำการบ้านที่ค้างไว้ให้เสร็จ แต่จากกิจกรรมในห้องน้ำนั่น ทำให้ผมไม่มีสมาธิพอที่จะนั่งทำให้เสร็จ ตราบที่ชัยยังอยู่ในห้องเดียวกับผม

ผมเดินไปที่เตียง ห่มผ้าห่ม นอนในจุดเดิมกับที่ผมนอนทุกครั้ง ที่แปลกไปมีเพียง มีคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ผมเองนี่แหละคิดมิดีมิร้ายกับเขาเสียเองจนนอนไม่หลับ อยากจะสัมผัสเขาอีกครั้ง แต่ผมก็กลัวเพราะความไม่เคยกับเรื่องแบบนี้กับผู้ชาย แม้จะพอรู้มาบ้างแต่ก็ไปต่อไม่ถูกไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหนทำยังไง ยิ่งคิดยิ่งร้อนไปหมดทั้งร่างกาย ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัวกึ่งหนึ่งจนถึงเอว

“อ้าว!! นอนไม่หลับเหรอ” เสียงของชัยเหมือนเปล่งอยู่ข้างหู
“อืม…เฮ้ย!!” ผมหันไปหาต้นเสียงก็เจอเขานอนตะแคงหันมาทางผมอย่างจงใจ
“ทำอะไร?”
“นอนไม่หลับ ยังหัวค่ำอยู่เลย เลยกะว่าจะนอนมองนายมองน่ะ เพลินดี”
“ไอ้บ้า” ผมตอบไปอย่างอายๆ แม้ตอนนี้หน้าเราอยู่ห่างกันแค่คืบจนกระทั้งผมรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกของชัย และรู้สึกถึงอุณหภูมิของเขาได้เลย แต่ผมก็ยังไม่ถอยออกห่างเพราะยอมรับว่ามันรู้สึกดีเหมือนกัน

“โทษนะ..” เสียงผมเบาจนแทบกระซิบ
“โทษเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องในห้องน้ำ…”
“ไม่เป็นไร…ก็อย่างที่บอกไปแล้วไง”
“เราไม่เคยกับ….แบบนี้น่ะ ไม่รู้ว่ามันะต้องทำยังไง” ผมเอานิ้วจิ้มไปที่อกของชัย รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ถี่กระชั้น
“แล้วยังต้องการเราไหม?”
“……..” ผมพยักหน้า ผมก็ผู้ชายนะครับไอ้เรื่องความต้องการน่ะก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน
“งั้น เราจะสอนให้ รับรองนายจะไม่สามารถไปรุกใครได้อีกเลย นายจะป็นของเราคนเดียว เราขอนะ”

เฮ้ย!!! อะไรนะ

พอพูดจบประโยค ขัยก็บรรเลงเพลงจูบลงบนริมฝีปากผมอย่างดูดดื่ม เขาสวดกอดผมให้กระชับเข้ามาหาเขา ผมรู้สึกถึงอาการตื่นตัวกับทุกสัมผัสของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาใช้ริมฝีปากกับลิ้น ไล่เลียและขบอย่างร้อนแรง อวัยวะพวกนั้นทำงานประสานกันดี ลู่ไล่ไต่ลงมาจนถึงใต้เสื้อชุดนอนลายทางของผม เสื้อผมถูกถอดออกอย่างง่ายดาย (น่าจะมีการแข่งขันเรื่องนี้ ชัยชนะเลิศอีกแน่นอน)

เพียงไม่กี่นาทีเสื้อผ้าของผมก็ไปกองอยู่มุมเตียง ร่างกายของผมถูกสัมผัสจากมือของเขาทำให้สั่นเทิ้มไปหมด ศรีษะของเขาไต่ลงไปถึงช่วงกลางลำตัวของผม ผมรู้สึกอายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น จนต้องเมินหน้าหนี แต่ผมแอบมองว่าเขาก็มองมาทางดูหน้าผมเหมือนกัน ถึงแสงในห้องจะน้อยแต่ผมก็รูสึกได้

“ไม่เป็นไรนะ แม้เราไม่เคยทำให้ใคร แต่เราเคยโดนทำมาเยอะ……”
เขาก้มลงไปจัดการกับสิ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นตรงหน้า ผมสัมผัสกับความสุขที่เขามอบให้ เขาน่าจะไม่เคยทำให้ใครแต่เขาทำมันได้ดีมาก จนผมเผลอเคลิ้บเคลิ้มไปกับมันจนร้องเสียงไม่เป็นภาษาออกมา

เขาดูพอใจจนถอนศรีษะขึ้นมามองผม และพุ่งขึ้นมากดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของผม รสชาดมันเปลี่ยนไปจากจูบแรก
“พร้อมนะ”
“……….” ผมกำลังงกับสิ่งที่เขาพูด แล้วเขาก็เอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างจากด้านหลังเขา และกลับประกบปากผมอย่างร้อนแรง ก่อนที่ผมจะถามว่ามันคืออะไร ในระหว่างนั้น เบื้องล่างทางด้านหลังผมถูกเขาลูบไล้ตรงช่องทางที่เปิดง้างไว้โดยขาคู่ของเขา

“อะไรน่ะ” ผมใช้มือดันอกให้เขาทิ้งระยะการจู่โจมผมเสียหน่อย
“โลชั่นน่ะ”
“เฮ้ย ไปเอามาตอนไหน?……อ๊าาา” ผมสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมที่สอดเข้ามาทางช่องทางด้านหลังอย่างนุ่มนวล
“อย่ากลัวนะ จะค่อยๆ ทำ และจะเบามือที่สุด เราขอนะ”
“……..” เออ น่ะ พูดอยู่ได้ ผมก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นผมแน่ๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายรับเนี่ย แต่ไม่ต้องย้ำกันบ่อยๆ ก็ได้ มันอายอย่างไรไม่รู้
ตอนนี้เจ้าสิ่งนั้น ยังคงสอดเข้าออกอย่างช้าๆ จะว่าไปมันก็เพลินอยู่ ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด
“พร้อมนะ”
อะไรน่ะ!! แปลว่าอะไร ผมยังไม่ทันได้ถามชัยว่าสิ่งที่เขาพูดคืออะไร
สิ่งเก่าถูกถอนออกไป มีสิ่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมมากพยายามสอดแทรกช่องทางของผมเข้ามาเรื่อยๆ
“โอ้ย!!!  เจ็บ เดี๋ยว!! เดี๋ยว..ก่อน…โอ้ย” ผมพยายามหยุดเขาโดยการใช้มือดันและตบแขนเขาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ผล มันรุกคืบเข้ามาเรื่อยจนได้ยินเสียงแสดงความพอใจจากชัยมาคำหนึ่ง
“อื้อ…..”
“เจ็บ” สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าการสัมผัสเอง นี่มันเกินกว่าที่คาดไว้มาก ความเจ็บปวดแล่นมาที่สะโพกขึ้นมาทั่งช่วงล่าง
ชัยโน้มตัวมากอดผมและประทับริมฝีปากผมเบาพร้อมขบไปมา
“อย่ากลัวนะ” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าและออกอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อครู่ค่อยบรรเทาลงช้าๆ แต่ได้รับความรู้สึกอื่นแทรกเข้ามาแทนช้าๆ ชัยเร่งจังหวะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อเขาผุดขึ้นไปทั่ว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็ระเบิดเสียงออกมา พร้อมกับผ่อนแรงลงและนอนทับตัวผมไว้ทั้งที่สิ่งนั้นยังคงคาอยู่กับช่องของผม

“เจ็บไหม?” เขาถามทั้งที่ยังหายใจหอบถี่
“นิดหน่อย” ผมก็ไม่ต่างกันหอบเหนื่อยไม่เบา

“มาเราช่วย” แล้วชัยก็ก้มลงไปจัดการใช้ปากและมือกับน้องชายผมจนเสร็จตามไปเขาไป  น้ำของผมเลอะเทอะเต็มมือเขาไปหมด

“ไปอาบน้ำใหม่เถอะ” ผมรู้สึกเขินที่ทำให้เขาเลอะเทอะไปหมด รู้สึกสงสารชัยที่ต้องอยู่กับกลิ่นแบบนั้น เขาโน้วตัวมาหอมแก้มผมด้วยหน้าที่เปรอะบางส่วนของผม
“ไอ้บ้า… ไปอาบน้ำ!!” ผมผลักเขาให้พ้นทางแล้วรีบเดินออกจากเตียง
“อาบอีกเหรอ?”  ชัยกลิ้งพลิกตัวมานั่งห้อยขาที่เตียง
“อาบอีกสิ เหม็นจะตาย” ผมรีบไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่ร่างกายท่อนล่างรู้สึกขัดๆ เจ็บแปล๊บขึ้นมา
“ไม่เป็นไร เช็ดนิดหน่อยก็ได้ เราโอเค”
“แต่เราไม่โอเค!!” ผมขึ้นเสียงและมองไปทางชัยตาขวาง
“ได้ครับ… เมียที่รัก… เดี๋ยวไปจัดให้อีกครั้งในห้องน้ำตามที่ร้องขอ”
“แค่อาบน้ำโว้ย!!” ผมเสียงเข้ม หน้าร้อนผ่าว ไอ้บ้า!!  แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว ยังจะขอต่ออีก

 ผมเดินเข้าไปให้ห้องกระจกส่วนฝักบัว เปิดน้ำล้างคราบเหงื่อออกจากร่างกาย รู้สึกแสบร้อนที่บั้นท้ายจี๊ดๆ

“เฮ้ย! เลือด” เสียงของชัยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมซึ่งกำลังหลับตาให้สายน้ำกระทบหน้าอยู่ต้องรีบลืมตาขึ้นมามองโดยรอบตามเสียงของชัย  ผมเห็นหยดเลือดที่หยอดประทับลงมาจากบั้นท้ายของผมลงมาทีละหยดอย่างช้าๆ

 “เฮ้ย!!!” คนที่ตกใจควรจะเป็นผมใช่ไหม  นึกว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บหน่วงตรงบั้นท้าย พอเห็นเลือดยิ่งให้ผมรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีกคงเพราะใจไปจดจ่อกับตรงนั้น ขาของผมเริ่มอ่อนแรง

“กวี!! ไม่เป็นไรนะ” ชัยเข้ามาช่วยประคองแขนผมไม่ให้เอนวูบลงไปกองกับพื้น

“ร้ายกาจ” เป็นคำพูดที่ผมนึกได้ตอนนี้
“เราขอโทษ เราไม่ควรทำตอนที่ยังไม่พร้อม!!”
“เราจะเป็นไรไหมเนี่ย ถุงยางก็ไม่ใส่!!”
“เราไม่ได้เป็นโรคอะไรนะ จะไปเป็นได้ไง”
“โอ้ย….!!!” ผมรู้สึกเจ็บมากขึ้นที่ขยับตัว
“โอเค คราวหน้าผมจะเตรียมพร้อมกว่านี้นะ”
“……..” ผมมองหน้าชัยอย่างเคืองๆ เขายังจะคิดถึงครั้งต่อไปอีกเหรอ ผมไม่เอาด้วยแล้ว (อันนี้ แอบคิดไม่แน่ใจมาแว่บหนึ่ง)

ชัยยิ้มให้ผม หลังจากนั้นชัยก็ช่วยผมอาบน้ำ เช็ดตัว อุ้มผมไปที่เตียงใส่เสื้อผ้าให้ เขาดูแลผมดีจนผมคิดอยากจะเปลี่ยนใจตอนนี้เลย แต่ร่างกายมันไม่เอื้อเลยขอเก็บเอาไปคิดอีกทีก่อน วันนั้นชัยกอดผมไว้ทั้งคืนทำให้ผมสัมผัสความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ต่อไปนี้ผมคงไม่ต้องกลับมาอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วใช่ไหม….

……………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบ part 1 (อัพ 25/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-09-2017 23:59:17
เอิร์ธ # 9


วันนี้วันหยุด!!!!

ตั้งแต่มาทำงานเป็นหมอเต็มตัว พอถึงวันหยุดจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำงานนะครับ การรักษาคนไข้เป็นงานที่ผมภูมิใจที่จะทำและจะทำมันไปจนตาย แต่….. บางทีมันก็ต้องหยุดเพื่อพักผ่อนกันบ้าง หากทำงานจนหมอไม่สบายใครจะรักษาคนไข้ล่ะครับจริงไหม?

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ มันควรจะเป็นวันที่ผมจะต้องนอนกลิ้งเกลือกอยู่กับบ้านและใช้เวลากับเพื่อนที่ผมรักที่สุดอย่างเตียงนอนที่ผมลงทุนซื้อเตียงเพื่อสุขภาพมาในราคาที่ผมคิดว่ามันน่าจะแพงไปสำหรับเตียงหกฟุตนี้ ผมซื้อเพื่อจะได้มีความสุขกับการนอนที่หาเวลาได้ยากสำหรับอาชีพอย่างผมในตอนนี้

แต่…… ผมดันไปรับปากไอ้หมาน้อยอย่าง หลง ที่อยากจะให้อยู่เป็นเพื่อนในวันที่เขาโดนกักบริเวณก่อนสอบ และเพื่อทบทวนความรู้ให้เขาก่อนสอบในวันถัดไปด้วย

บวกกับวันนี้น้ารุ่งต้องออกไปที่โรงเรียนเพื่อไปแก้ข้อสอบที่ทำผิดพลาดไว้ เลยโดนขอร้องให้ไปเฝ้าหลงให้หน่อย คงกลัวหนีเที่ยว (เป็นคนประวัติดีจริงๆ) ผมก็เลยปฏิเสธที่จะไม่ไปไม่ได้

ผมบิดตัวไล่ความเกียจคร้าน ก่อนจะลุกไปอาบน้ำอย่างไม่เร่งรีบ ผมมองแสงอาทิตย์สีเข้มที่สาดส่องผ่านทางช่องหน้าต่างที่มีม่านแง้มปิดเกือบสนิท ทำให้ผมต้องเริ่มเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว

………………………

ผมขับรถมาจอดหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีพื้นที่สวนหน้าบ้านกว้างกว่าขนาดบ้านพอควร น้ารุ่งเป็นคนชอบทำสวน ต้นไม้เลยรกครึ้มไปหมด ช่วงนี้ผมมาบ้านน้ารุ่งบ่อยมาก แต่ก็บอกไม่เต็มปากว่ามาเยี่ยมน้ารุ่ง เพราะจริงๆแล้ว ผมมาหาลูกชายน้ารุ่งมากกว่า อาศัยที่น้ารุ่งไหว้วานให้มาช่วยดูแลลูกชายด้วย เลยสะดวกใจที่จะมามากขึ้น (ความจริงผมก็อาสาเองด้วยส่วนหนึ่ง)

ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ก็เห็นน้ารุ่งเดินอย่างเร่งรีบออกจากประตูบ้าน

“ขอบใจมากเลยลูก เอิร์ธเดี๋ยวน้ามานะ ขอโทษนะที่ต้องขอร้องลูกให้ช่วย เพราะพ่อหลงเขาไม่อยู่บ้านเลยต้องขอร้องลูก”

“ลุงธีร์ ไม่อยู่อีกแล้วเหรอครับ?”
“ใช่จ๊ะ ลุงไปดูเครื่องจักรใหม่ที่ต่างประเทศนะจ๊ะ อีกหลายวันกว่าจะกลับ”
“ครับ เหนื่อยแย่เลย” ลุงธีร์เป็นพ่อที่เข้มงวดของหลง เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ขยันที่สุดเท่าที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอลุงเลย สมัยผมเรียนยังเคยเห็นบ้าง คงเพราะตอนนี้โรงงานขยายตัวเลยวุ่นๆ

“น้าไปก่อนนะ”
“แม่ เจอกันตอนเย็นครับ” ไอ้ตัวดี เดินมาออกจากประตูยิ้มแฉ่ง
“แม่ฝากน้องด้วยนะ ดูน้องอ่านหนังสือให้แม่หน่อยนะ…… หลง… เข้าใจที่แม่สั่งนะ!! พ่อแกจะมาดูผลสอบกลางภาคระวังตัวแกไว้!!”
 น้ารุ่งยิ้มให้ผมแต่หันไปดุใส่หลง ผมเข้าใจใจทันทีหลังจากจบประโยคน้ารุ่ง แกคงห่วงลูกเพราะรู้ว่าพ่อของหลงเข้มงวดแค่ไหน คงไม่ให้หลงโดนลุงธีร์ทำโทษ เลยต้องรีบเข้มงวดกับหลงเสียก่อน ผมมองกลับไปทางไอ้ตัวดี….. ที่ยังยิ้มแบบทองไม่รู้ร้อนมาทางผม

“เอ้า!! ไหนล่ะหนังสือ วันนี้อ่านวิชาอะไร?” ผมเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอ้ตัวดี ที่เดินยิ้มไม่หุบ
“สังคม.. มั้งครับ” หลงตอบเสียงกวนๆ
“เฮ้ย!! จะสอบอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว ควรจะต้องรู้ไหมว่าสอบวิชาอะไร และควรจะอ่านอะไรก่อน!”
“โหย พี่เอิร์ธ.. มาถึงก็บ่นเลย อ่านมาหมดแล้ว ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นไหม”
“อ่านจบแล้วก็ควรจะทบทวนเนื้อหาด้วย พรุ่งนี้จะได้พร้อมที่สุด”
“ครับๆ” หลงตอบแบบขอไปที เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะรับแขก และหยิบหนังสือที่กองเตรียมไว้ขึ้นมาอ่านคู่กับสมุดโน้ตที่พวกชัยกับกวีช่วยกันให้หลงจดเนื้อหาสำคัญไว้

ผมเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อที่จะดื่มน้ำสักหน่อย ก็เลยไปเจอกระดาษโน้ตของน้ารุ่งที่บอกว่าได้เตรียมน้ำผลไม้กับของว่างไว้ให้แล้ว และมีรายการเป็นข้อๆ อยู่ทางด้านล่างยาวเหยียด เป็นคุณแม่ที่เตรียมพร้อมที่สุด เท่าที่กรอกตาอ่านคร่าวๆ น่าจะกินได้สักสองวันถึงจะหมด (ผมก็ไม่ใช่คนกินเก่งขนาดนั้นมั้ง?) เป็นคุณแม่ที่น่ารักดี เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัส…. ผมสลัดหัวเพื่อไม่ให้คิดอะไรไปมากกว่านี้

“พี่เอิร์ธ…. มานั่งเป็นเพื่อนตรงนี้หน่อยครับ ผมไม่เคยนั่งอ่านหนังสือคนเดียวสำเร็จเลย” ไอ้ตัวดีตะโกนมาทางห้องรับแขก
“อะไรจะขนาดนั้น” ผมเดินถือเหยือกน้ำผลไม้และแก้วออกจากห้องทานอาหาร
“จริงครับ ยิ่งช่วงนี้ ไอ้สองคนนั้นก็ลับๆล่อๆ หายไปด้วยกันบ่อยๆ วันนี้ก็เบี้ยว พี่ก็เลยต้องมาอยู่ด้วยไง แต่ถือว่าเป็นความดีของพวกมัน!”
หลงคงพูดถึงชัยกับกวี …..อืม…. ผมแอบคิดว่าสองคนนี้น่าจะมีอะไรเกินเพื่อน เซ้นส์มันบอก

ผมเดินมานั่งที่โซฟาข้างหลงที่นั่งอยู่ที่พื้น เด็กผู้ชายนักกีฬากำลังนั่งอ่านทบทวนวิชาความรู้ที่ถูกติวมาทั้งสัปดาห์ หลงนั่งคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ หลงพอเห็นผมนั่งอยู่ข้างๆ เขาก็เอียงคอมาพิงที่เข่าผม ตาก็ยังคงมองไปที่เนื้อหาหนังสือข้างๆ
“โหย…. ไม่ไหวๆ” หลงหันแก้มมาถูขาเปลือยของผมที่พ้นกางเกงขาสั้นพลางบ่นเสียงดัง
“ตั้งใจหน่อย” ผมดุเขาไปหน่อยหนึ่ง
“ผมก็พยายามอยู่ ยิ่งรู้ว่าพ่อจะมาดูผลสอบ ผมนี่ยิ่งต้องตั้งใจเลย แต่มันไม่มีกำลังใจเลย รู้แต่ว่าจะโดนทำโทษอย่างเดียวอย่างนี้”
เขาลุกขึ้นมายึดตัวบิดซ้ายขวา เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อดังลั่นกรอบแกรบ สีหน้าแสดงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด

“เอางี้ หากหลงทำคะแนนดีขึ้นทุกวิชาเดี๋ยวพี่ให้รางวัลเอง”
ผมเงยหน้ามองเด็กผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าผมที่ตอนนี้มีสีกน้าที่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด…. เอ๊ะ!! นี่มันสีหน้าเจ้าเล่ห์ นี่ผมพูดอะไรผิดไป
“ได้….. พี่พูดแล้วนะ” ไอ้ตัวดีขยับตัวมาใกล้ขึ้น ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่พูดคำนั้นเสียแล้ว
“”เออ… อืม…. เดี๋ยวพาไปกินอะไรอร่อยๆ ไง ไปกันแต่สองคนดีไหม?” ผมเอนหลังไปติดพนักโซฟา
“มันมีอะไรมั่งนะ? ที่ทำกันได้แค่สองคนน่ะ!” ผมหน้าแดงทันทีที่ไอ้เด็กนั้นจ้องผมแบบหื่นกระหาย

“เฮ้ยๆ…!!!!” ผมต้องรีบทำเสียงเข้มดักไว้ก่อน

“ล้อเล่นนะครับ เรื่องรางวัลแล้วแต่พี่เลยครับ”
ผมแอบถอนหายใจ โล่งอกไปที สีหน้าหลงเมื่อกี้ทำผมใจสั่นไปหมด

“แต่ผมขอมัดจำก่อนได้ ไหม?”

พูดจบหลงก็จู่โจมผมโดยใชริมฝีปากประทับที่แก้มผมโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วเขาก็ผลุบลงไปนั่งอ่านหนังสือที่เดิมพร้อมหัวเราะลั่น ผมสิต้องนั่งอยู่กับอาการร้อนรุมไปทั้งหน้าและร่างกาย….

บ่ายแก่ๆ หลังจากกินมื้อกลางวันที่หลงได้อุ่นกับข้าวฝีมือน้ารุ่งให้กิน ผมรู้สึกปลื้มกับฝึมือทำอาการของน้ารุ่งจริงๆ ไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย วันนี้หลงดูจะไม่กวนผมเท่าไหร่ น้อยครั้งที่จะหันมาถาม อาจเพราะวิชานี้เป็นวิชาที่ผมไม่ถนัด เขาเลยพยายามไม่ถาม ผมเลยเริ่มที่จะว่าง การนั่งเฉยๆ นานๆ มันไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ ผมอุตส่าห์เอาเอกสารการแพทย์เกี่ยวกับโรคไข้หวัดสายพันธ์ุใหม่มาอ่านเพื่อเตรียมไปสัมมนาสัปดาห์หน้า ก็ไม่มีสมาธิจะอ่านเลย เวลาอยู่กับหลงผมจะรู้สึกผ่อนคลายจนลืมหน้าที่หมอไปบ้าง คล้ายๆ ไม่มีสมาธิกับเนื้อหา แต่อยากจะมองคนที่อยู่ตรงหน้านานๆ มากกว่า (เพลินดี)

พูดถึงการสัมมนาที่จะมีในสัปดาห์หน้า ผมยังไม่ได้บอกหลงเลย ผมอยากให้เขามีสมาธิกับการสอบก่อน ไม่อยากจะให้เขากังวลเรื่องที่ผมจะไม่อยู่หลายวัน สัมมนาครั้งนี้ก็ดันจัดที่พัทยา ตั้งสามวันจะพูดเรื่องอะไรนักหนา แล้วที่สำคัญมันจัดตรงกับวันเกิดผมด้วยซึ่งผมคาดว่าหลงคงจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผมประหลาดใจแน่นอน ผมกลัวที่จะเผชิญสีหน้าที่ผิดหวังของเขา

ในขณะที่ในมือถือเอกสารวิชาการนั่นพลิกไปมา ผมรู้สึกสติมันเริ่มพล่ามัว ดวงตาหนักอึ้งคล้ายๆ จะควบคุมไม่ได้ แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท……..

“อือ…..”

ผมได้ยินเสียงตัวเองคราง ชัดเจน ทุกอย่างมืดสนิท ร่างกายหนักอึ้ง ผมพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาจากความมืด….. สงสัยคงฝันเพราะผมยังรู้ถึงเสียงหัวใจและรู้สึกว่ายังหายใจอยู่ แต่รู้สึกเหมือนมีน้ำหนักมากดทับจนผมไม่สามารถขยับตัวได้…

เฮ้ย!!!!

หรือผมโดนผีอำ… ผมพยายามระลึกถึงความทรงจำล่าสุด ผม…. ผมอยู่บ้าน น้ารุ่งแล้วก็เผลอหลับไป บ้านหลังนี้ชักจะน่ากลัวไปแล้ว!! ผมพยายามรวบรวบแรงที่มีทั้งหมดพลิกร่างกายให้น้ำหนักมันหายไป ให้สามารถขยับตัวได้อีกครั้ง

พลั่ก!!

โอ้ย!!!!!

เฮ้ย!! ผีมันร้องได้ด้วยเหรอวะ แต่เสียงมันคุ้นหูมาก… ผมพยายามลืมตามองหาที่มาของเสียงในที่มืดสลัว…

พรึ่บ!!!

ม่านบังแดดเปิดออกให้แสงอ่อนๆ ยามเย็นสาดเข้ามากระทบตาจนผมต้องยกมือขึ้นบัง

“แค่นอนกอดแค่นี้ถึงกับผลักกันตกเตียงเลยเหรอครับ”
นี่มันเสียงไอ้ตัวแสบ! ผมพยายามมองไปรอบๆ ให้สายตาปรับกับแสงที่เปลี่ยนไปกระทันหันจนเห็นไอ้สูงยาวในกางเกงขาสั้นยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง
“นึกกว่าโดนผีอำน่ะสิ เล่นอะไรไม่รู้…..เรื่อง!!” เสียงผมค่อยๆแผ่วเมื่อเห็นสภาพโดยรอบชัดขึ้น….
“ทำไมพี่มาอยู่ในห้องหลงได้ยังไง!!”
“ก็พี่หลับ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ข้างล่างมันนอนไม่สบายผมเลยอุ้มพี่ขึ้นมานอนบนเตียงดีๆ” หลงอธิบายพร้อมทำท่าอุ้มประกอบเป็นท่าประคองสองมือแบบอุ้มเจ้าสาว ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิบนหน้าสูงขึ้นคล้ายจะไม่สบาย ตัวผมก็ไม่ใช่เบา เขาทำท่าสบายๆ เหมือนอุ้มเด็ก

และก็ถึงเวลาคำถามสำคัญ

“แล้วหลงมานอนกับพี่ได้ยังไง” ผมจ้องไอ้ตัวดีตาเขียว ส่วนไอ้เด็กนั้นยิ้มแป้นเดินมานั่งที่ข้างเตียงอีกฝั่ง
“ผมเหนื่อยกับการอ่านหนังสือ ไหนจะแบกตัวหนักๆ ของพี่มาอีกก็เลยว่าจะขอแอบพักสักหน่อย มันก็เลยหลับยาวเลย ได้นอนกอดพี่นี่โคตรดีเลย”
“ไอ้ๆ เด็กเวร!!!” ผมปาหมอนที่ใกล้มือที่สุดฟาดไป ไอ้ตัวดีดันกระโดดหลบทัน
“กอดพี่แล้ว.. อุ้น…อุ่น เกือบอดใจไว้ไม่อยู่ เกือบลักหลับซะแล้ว”
ผมคว้าหมอนอีกชิ้นโยนไป รู้สึกแขนยังล้าๆ อยู่สงสัยคงโดนนอนทับจนเหน็บชา นึกว่าถึงมีอาการเหมือนผีอำ (ก็ไม่เคยโดนหรอกนะ ฟังเขามาอีกที)

ผมบิดขี้เกียจพลางมองเสื้อผ้าตัวเองว่าอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ (คงไม่ได้โดนลักหลับนะ)

“พี่เอิร์ธครับ” เสียงไอ้ตัวดีอยู่ในระยะประชิดจนผมต้องเผลอหันไปมอง จนเกือบชนหน้าของหลง
“เฮ้ย!!!” ผมสะดุ้งตัวลอย ผมยังกลัวกับสายตาที่หื่นกระหายของหลงก่อนหน้านี้
“ขอคุยเรื่องรางวัลหน่อยสิ” ไอ้ตัวดียิ้มจนตาสีน้ำตาลเข้มนั้นหายเข้าไปในหนังตาทรงรี
“รางวัลอะไร?” เหมือนสมองผมยังไม่ทำงาน ไหนจะมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมอยู่บนเตียงในสภาพที่ใกล้ชิดกับหลง (อีกแล้ว)
“อ้าว… ก็ถ้าผมสอบได้ดีขึ้นทุกวิชาไง หมายถึง ‘ผ่าน’ ทุกวิชาไง”
“เอาแค่..ผ่าน!!”
“โหย…… ผ่านทุกวิชาเนี่ยก็บุญแล้วครับ”
“อะไรดีน๊า??”  ผมยิ้มตอบกลับไปโดยมีหลงจ้องหน้าผมอย่างจดจ่อ
“งั้นพาไปเที่ยวทะเลก็แล้วกัน”
“สุดยอด!!…ไปค้างด้วยใช่ไหม?”
“ได้ๆ แต่ขอหาวันก่อนนะ”
“พี่เอิร์ธใจดีที่สุด!!”
หลงกระโดดเข้ามากอดจนผมล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับหลง ผมโดนหลงโอบอยู่โดยที่เขาอยู่ด้านบนตัวผม เราใกล้กันจนผมได้ยินเสียงหัวใจหัวใจของเขาเต้นระรัวเหมือนกลองศึก ทำให้ผมตื่นเต้นไปด้วย ผมรู้สึกถึงความร้อนจากภายในร่างกายของผมส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าตอนนี้ผิวผมคงเป็นสีแดงทั้งตัวจากความร้อนโดยเฉพาะที่หน้า

ดวงตาของเราทั้งสองประสานกัน นัยตาสีน้ำตาลคมเข้มจ้องมองลงมาที่ผม เหมือนมีรังสีแผ่ออกมาทำให้ผมอุณหภูมิสูงขึ้นไปอีก วงแขนที่โอบรัดผมอยู่ตอนนี้ค่อยๆ คลายออกทำให้แผ่นหลังของผมผ่อนคลายและแนบติดกับที่นอนมากขึ้น

ผมอยากจะลุกออกจากจุดนั้น และละสายตาจากดวงตากลมเรียวได้รูปนั้นไม่ได้เสียที  หลงขยับตัวให้ลำตัวเขาทาบอยู่บนตัวผมแบบพอดี ผมไม่รู้สึกอึดอัดเพราะเขาน่าจะท้าวแขนไว้ มือข้างหนึ่งของเขามาเขี่ยผมด้านหน้าที่ยาวมาปรกหน้าผากออก เขาใช้มือนั่นลูบผมด้านหน้าไปมาจนรู้สึกเข้าทรง

รอยยิ้มเล็กๆปรากฎที่ปากสีอมขมพูนั่นตลอดเวลา  ตอนนี้หัวใจผมน่าจะเต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้วหากหลงเอาตัวเองไม่ทับไว้ ผมว่าเขาคงรู้สึกความสั่นไหวที่รุนแรงนั่นได้ แต่กลับไม่ยอมปล่อยผมเสียที

ผมตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้กับเขาหลายครั้ง ผมพยายามหักห้ามใจมิให้เกินเลยกว่านี้จนกว่าจะถึงเวลาอันควร แต่ความอดทนของผมมันก็มีจำกัด ในเมื่อเด็กมันพยายามที่จะชักนำตลอดแบบนี้

“พี่เอิร์ธครับ….. พี่เอิร์ธรู้ไหมว่า… พี่เอิร์ธน่ารักมากเลย ทำไมถึงเกิดมาน่ารักขนาดนี้”
“…………” ผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนตกอยู่ในการสะกดจิตของคนตรงหน้า ยิ่งการที่เขาใช้มือลูบศรีษะผมเบาๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ใจมันเตลิดไปไกลกว่าเดิม ผมจะทนไม่ไหวแล้ว!! ช่วยเอาหน้าหล่อๆ มันไปไกลๆ ผมหน่อย

“พี่เอิร์ธ…. ผม….”

แล้วเขาก็ก้มลงมา กดริมฝีปากตัวเองลงมาที่ริมฝีปากของผม ไออุ่นจากเขาส่งผ่านมาอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันตั้งตัว ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจู่โจมที่แสนหวานนี้

แต่ผมก็ต้องหมดแรงเมื่อเจอลิ้นของอีกฝ่ายฝ่าบุกเข้ามาโลมลันในช่องปากของผมจนต้องเผลอคล้อยตามไป และแล้วเส้นความอดทนที่ผมแบ่งกั้นไว้ก็พังทลายเหมือนเขื่อนแตก

ผมตอบสนองเขาทันทีที่เขาบุกเข้ามา ผมใช้มือที่กำลังจะผลักเขาเปลี่ยนเป็นโอบกอด และลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังที่มีมัดดล้ามแน่นตึง มือของเขาเองก็เล่นซนโดยสอดเข้ามาใต้เสื้อของผม ใช้นิ้วไล่เรียงไปตามผิวหนังช่วงอกของผมอย่างบรรรจงจนผมต้องแอบครางในลำคอสั้นๆ  เขาละออกจากริมฝีปากของผมไล่เลียมาที่คอ (ผมไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ เด็กคนนี้มันไม่เคยจริงๆ เหรอ ทำไมมันเก่งนักวะ)

“หลง…… เอิร์ธ…… อยู่ในห้องหรือเปล่าลูก? อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว”

เสียงน้ารุ่งดังขึ้นที่หน้าประตู พร้อมกับเสียงเคาะประตูดังลั่น ผมกับหลงต่างคนต่างดีดตัวออกจากกัน จนผมเห็นหลงลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ผมพยายามจัดเสื้อผ้าทรงผมให้เรียบร้อยก่อนที่ประตูห้องจะเปิดเต็มบาน

“อ้าว!! ทำอะไรกันลูก?”
สภาพการจัดฉาก ตอนนี้ของผมและหลง มานึกย้อนหลังคงจะขำกันอย่างหนักเพราะผมทำท่านอนบนเตียง ส่วนไอ้ตัวดีนั่นลุกขึ้นจัดหนังสือที่ชั้นมุมห้อง

“ผมเผลอหลับไปน่ะครับ” ผมตอบด้วยเสียงที่งัวเงียอย่างตั้งใจ
“ผมมาหาหนังสืออ่านครับแม่” หลงหันมาแค่หน้าแต่ส่วนลำตัวไม่หันกลับมาด้วยเป็นท่าที่ดูขบขันจนผมแอบยิ้มกับภาพที่เห็น ผมรู้ได้ตามประสาผู้ชายครับเพราะผมก็ใช้ผ้าห่มปิดจุดยุทธศาสตร์ที่ชักธงพร้อมรบอยู่เช่นกัน หลงก็น่าจะไม่ต่างกัน

“อ้าว! แล้วเอิร์ธมานอนในห้องหลงได้ไงล่ะลูก?”
“เห็นพี่เอิร์ธบ่นง่วงผมเลย มาเปิดห้องเปิดแอร์ให้นอนสบายๆน่ะครับ”  หลงตอบแทนผมด้วยคำพูดที่ลื่นไหล แต่ก็ยังไม่หันมาคุยดีๆเหมือนเดิม
“อ่า… ครับใช่ครับ พอดีเมื่อคืนอยู่เวรจนดึกน้ะครับ บ่ายๆ ก็เลยเพลีย”
“แล้วหลง นี่ขึ้นมากวนพี่เขาหรือเปล่าเนี่ย?”
ใช่เลยครับน้ารุ่ง กวนผมมาก กวนจนผมลุกขึ้นยืนไม่ได้อยู่นี่
“เอ้า!! เด็กๆ ลงมากินข้าวได้แล้ว! น้าซื้อของโปรดของเอิร์ธมาด้วยนะ”
น้ารุ่งยังเรียกผมเป็นเด็กอยู่ แม้จะโตขนาดนี้แล้ว และก็ยังใจดีกับผมเสมอ
“อ้าว!! แล้วของโปรดผมล่ะมีไหม?” หลงหันมาพร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดติดกัน
“แกยังไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร! รีบลงมากินข้าวและมาอ่านหนังสือต่อ เราต้องตอบแทนพี่เอิร์ธถึงจะถูก เขาอุตส่าห์เสียสละมาช่วยเราติวหนังสือ” แล้วน้ารุ่งก็เดินหันหลังจากไปหลังจากส่งเสียงดุหลงอย่างเคย ผมว่าเป็นภาพที่น่ารักดี ทำให้ผมยิ้มตามทุกครั้งที่เห็น

“ผมตอบแทนพี่เอิร์ธแน่ๆ ครับแม่ไม่ต้องห่วง” หลงตะโกนตอบน้ารุ่งไปตามหลัง แต่สีหน้าและดวงตาที่ผมแค่เหลือบมองก็เสียวสันหลังวาบ รู้สึกตัวเองเหมือนกระต่ายจะถูกหมาป่าจ้องเขมือบ
“ลงไปก่อนเลย” ผมบอกหลงให้ล่วงหน้าไปก่อน ขอผมสงบสติอารณ์ต่ออีกสักนิด พลางโบกมือไล่

แทนที่ไอ้ตัวดีมันจะเดินลงไป (รู้สึกความตุงของเป้ามันจะแน่นไปหน่อย สงสัยเจ้าลูกชายของหลงมันยังไม่หลับเต็มที่) หลงกลับเดินเข้ามาหาผมและกระซิบที่ข้างหู

“ดีนะที่แม่มาก่อน ผมเกือบได้มัดจำรางวัลของผมมาเสียแล้ว!”
“ไอ้เด็กบ้า!!” ผมยกมือขึ้นเพื่อจะชกไหล่ไอ้ตัวดีเสียหน่อย แต่หลงดันหลบได้ทัน หมัดของผมสัมผัสได้แต่อากาศอุ่นๆตรงหน้า รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบ ไม่ใช่เพราะอารมณ์โกรธแต่น่าจะเป็นอย่างอื่น (ใจจริงก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน)

…………………………………………

มื้อค่ำวันนี้ประกอบด้วยอาหารที่ผมชอบจริงๆ ทั้งแกงเขียวหวานไก่ ไก่ย่างร้านดัง ไขเจียวทรงเครื่อง และมัสมั่นสูตรเด่นเจ้าดังหน้าตลาด น้ารุ่งรู้ใจผมที่สุด (ขอยกเป็นแม่ทูนหัว ผมเคยเอ่ยปากกับหลงแบบนี้ แต่หลงก็ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เอา เรียก แม่ผัวสิ’ ผมกระโดดเตะมันแต่หลงหลบได้ตลอด)

หลังจากทานมื้อค่ำกันเรียบร้อย หลงก็โดนไล่ขี้นไปอ่านหนังสือต่อ ส่วนผมก็ขอตัวกลับ เดินไปร่ำลาน้ารุ่งอย่างเคย

“เอิร์ธ…. น้าขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ!!”
น้ารุ่งมาในโหมดซีเรียส ผิดไปจากตอนกินมื้อค่ำด้วยกัน
“เอ่อ… ครับ” ผมเดินตามน้ารุ่งไปที่ห้องรับแขกและนั่งใกล้กับน้ารุ่งที่ตอนนี้รอยยิ้มได้เหือดหายไปจากใบหน้าของน้ารุ่งอย่างสิ้นเชิง
“น้าขอพูดตรงๆ นะ น้าเคยดูแลเอิร์ธมา น้ารู้ว่าเอิร์ธน่ะชอบอะไรแบบไหน….” แล้วน้ารุ่งก็มองหน้าผมเหมือนลังเลที่จะพูดออกมา
“ครับ ??” ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ก็พอรู้ว่าน้ารุ่งหมายถึงอะไร
“เอิร์ธ…. น้ามีลูกชายอยู่คนเดียวนะ ..คือ..เรื่องก่อนกินข้าวน่ะ ………น้าเห็นนะ”
“เอ่อ…. คือ…… ผม…… ไม่ได้ตั้งใจ คือ….” ผมรู้สึกถึงความปวดร้าวที่แทรกมากับคำพูดของน้ารุ่ง น้ารุ่งมีดวงตาที่แดงก่ำ ปากขบกัดฟันแน่น
“…….”
“น้ารุ่งครับ” ผมเรียกน้ารุ่งด้วยน้ำเสียงที่ยากจะออกจากลำคอของผม รู้สึกลำคอของผมมันตีบตันจนกล่องเสียงไม่ทำงาน ยิ่งได้เห็นภาพน้ารุ่งที่ยกมือบางๆของเธอขึ้นมาปิดหน้าเรียวเล็กจนมิดพร้อมตัวสั่นเทาไปหมด ผมยื่นมือไปจับบ่าที่สั่นเทา

“โอ้ย!! ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ไหวแล้ว” แล้วอยู่ๆน้ารุ่งก็หลุดก๊ากขึ้นมา
“……………”  ผมรู้สึกเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน รู้สึกหน้าชาๆ มือผมหลุดจากบ่าของน้ารุ่ง
“น้า….แกล้งเราอีกไม่ได้แล้ว!” น้ารุ่งหัวเราะตัวงอ
“น้ารุ่ง! นี่มัน… มันอะไรกันครับ”
“แหมๆ น้าแค่หลอกเล่นน่ะ”
“ผมงงไปหมดแล้ว!!” ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่ทำตัวเลิ่กลั่กไปหมด
“โอเค ฟังนะ… น้าน่ะรู้หมดแล้ว ไม่ต้องปิดหรอก”
“…………” หน้าผมคงกำลังเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามอยู่จนน้ารุ่งผ่อนลมหายใจออกมารอบหนึ่ง
“งั้นน้าจะอธิบายแบยยาวๆ ให้ฟังจะได้หายงง” น้ารุ่งขยับตัวมาใกล้ผมและกุมมือผมไว้
“น้าเคยดูแลเรามา และน้าก็รู้จักลูกน้าดี ดูจากท่าทีของเราสองคนน้าก็รู้แล้วว่าน่าจะมีอะไรแปลกๆ แอบคบกันอยู่ใช่ไหม? เออ!… จะว่าแอบก็ไม่ถูก เจ้าหลงมันสารภาพกับน้าหมดแล้ว น้าคุยกับเขาบ่อยๆ คุยกันทุกเรื่อง น้าเป็นอาจารย์นะ ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ น้ารู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ น้าเข้าใจ พ่อแม่สมัยนี้เขารับกันได้เยอะแยะไป ทำไมน้าจะทำไม่ได้ ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ ชวนกันเสียผู้เสียคนมันยังน่าอายกว่า!”
ผมฟังแล้วนึกอยากให้น้ารุ่งเป็นแม่ตัวเองเลย บอกว่าจะอธิบายยาวๆ ก็ยาวจริงๆ แถวยังเข้าอกเข้าใจ ไม่เหมือน……
“เอาน่า สักวัน แม่เราก็เข้าใจ” น่ารุ่งเหมือนจะพูดแทนใจผม
“……..” ความรู้สึกตื้นตันมันจุกคอจนผมทำได้แค่ยิ้มด้วยตาที่คลอไปด้วยน้ำใสๆ
“เอ้าๆ อย่าดราม่าสิ… น้าแค่อยากจะบอกว่า รักกันก็ดูแลกันดีๆนะ”
“ครับ” ผมแอบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่คลออยู่จนเกือบล้น ผมดีใจที่มีคนเข้าใจผมโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใหญ่อย่างน้ารุ่ง
“อ่ะ น้าให้ นี่น้าก็เพิ่งให้เจ้าหลงไปเมื่อเช้า”
น้ารุ่งหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าและกำมายื่นใส่ฝ่ามือผมเป็นกล่องแบนทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอดีมือ ที่หน้ากล่องเขียนว่า

“ดูเล็กซ์”

“เฮ้ย!! น้ารุ่ง”
“ถึงไม่ท้อง หรือจะยังเด็กก็ต้องป้องกัน เป็นหมอนี่น่าจะเข้าใจนะ”
“ผมรู้ครับ แต่ผมกับหลงยังไม่มีอะไรกันนะ”
“อ้าวเหรอ? เห็นโตๆ กันแล้ว ส่วนน้าก็สอนหลงให้เขารู้จักป้องกันไว้แล้ว ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ คนเป็นแม่คงได้แค่สอน”
“…………..”
เป็นแม่ดีเด่นมากๆครับน้ารุ่ง ผมอยากเห็นหน้าตัวเองในกระจกตอนนี้มากๆ ไม่รู้ว่าทำหน้าตาออกมาเป็นยังไง

“น้าไม่ค่อยรู้จักของพวกนี้สักเท่าไหร่ เห็นว่ามันมีเรื่องขนาดด้วย น้าเลยเอาไซส์ใหญ่สุดให้ทั้งสองคนเลย”
เอาอีกคุณแม่ดีเด่น คนเป็นหมออย่างผมมาเจอวิธีการอธิบายแบบนี้ก็มีเขินเหมือนกันครับ ไหนจะสปอยลูกขนาดนี้อีก (ถึงจะเคยวัดจากสายตาเรื่องขนาดว่ามันอาจจะจริงก็เหอะ!)
“น้ารุ่งครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องอธิบายแล้วครับ”
น้ารุ่งยิ้มจนทำให้เห็นร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ผมว่าถึงปากน้ารุ่งจะบอกว่ายอมรับแต่มันก็ใช่ว่าจะทำใจได้ง่ายนักกับเรื่องแบบนี้ แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
“ฝากดูแลหลงด้วยนะ ถึงมันจะเกเร หัวไม่ดี ดีแต่เรื่องใช้แรง แต่แม่ก็รู้ว่ามันเป็นคนดี รักกันก็อย่าทำร้ายกันนะลูก”
“ครับ ผมรู้ครับว่าเขาเป็นเด็กดี แต่…”
“น้ารู้ เรากังวลเรื่องอะไร เรื่องอายุ เรื่องเพศน่ะ ไม่มีปัญหา หากรักกันดี น้าเข้าใจ เพราะน้ากว่าจะลงเอยกับพ่อของหลงก็ใช่เวลานานอยู่ รักจริงก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้”
ผมเคยได้ยินเรื่องนี้จากแม่ของผม เรื่องครอบครัวคนจีนของลุงธีร์ ที่จะหาสะใภ้จีนแต่งเข้าบ้านเท่านั้น แต่น้ารุ่งนี่ไทยแท้แต่กำเนิด
“ขอบคุณครับน้า” ผมยิ้มและโผเข้าไปกอดน้ารุ่งแน่นๆ
“น้าดีใจนะที่เป็นเรา” น้ารุ่งพูดขณะหูผมแนบกับปากน้า
“????” ผมยึดตัวขึ้นมองหน้าน้ารุ่ง
“หากเจ้าหลงไปติดสาวแว๊นแก่แดด หรือตุ๊ดเด็กหัวโปกที่ไหน แม่คงปวดหัวทำใจรับได้ยาก”
“……”  ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป
ผมขอตัวกลับทันทีที่บทสนทนาเริ่มลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเพศ น้ารุ่งเหมือนจะแกล้งผม พยายามรั้งให้ผมอยู่คุยต่อ เลยต้องอ้างงานในวันรุ่งขึ้นจึงจะขอตัวออกมาได้

“ลาละครับน้ารุ่ง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”
ผมพูดเองยังรู้สึกเหมือนมาขอลูกชายเขาไปแต่งงานด้วย หลังจากทุกเรื่องที่คุยกันกับน้ารุ่ง ผมเขาใจครับว่าที่น้ารุ่งพูดก็เพราะห่วงลูกชายคนเดียวของแก

“เอิร์ธ….. น้าลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง” สีหน้าของน้ารุ่งดูจริงจังขึ้นมาผิดจากเมื่อครู่
“ครับ?”
“ลุงธีร์ ยังไม่รู้เรื่องนี้ ….. เป็นไปได้ก็ …..”
“ครับ ผมทราบครับ ผมรู้จักลุงธีร์ดี ผมจะระวังครับ”
“อืม….. รอให้น้าคิดหาทางที่จะบอกและให้ลุงแกโอเคกับเรื่องแบบนี้ก่อนนะ”
“ครับ ผมเข้าใจ ผมจะพยายามไม่ให้มันมากไปจนเกินงาม”
“ขอบใจจ๊ะ 
ผมรู้ว่าน้ารุ่งคงอยากจะให้ปิดเรื่องนี้กับลุงธีร์ไว้ก่อน ผมรู้ว่าแกเป็นคนหัวโบราณ คงรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แต่แค่น้ารุ่งรับรู้และเข้าใจผมก็ดีใจมากแล้ว



……………………………………….





หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบ part 2 (อัพ 30/09/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-09-2017 10:00:42


หลง#13


ผมเดินขึ้นบ้านมาอย่างเซ็งๆ หลังจากโดนแม่ไล่ขึ้นมาหลังกินมื้อค่ำเรียบร้อยทั้งที่ผมยังอยากอยู่กับพี่เอิร์ธอีกสักหน่อยก็ยังดี แต่ผมก็ต้องจำยอมเดินจากมาเพราะต้องมาเตรียมตัวสอบในวันรุ่งขึ้น และที่สำคัญแม่จ้องตาเขียวใส่จนผมยอมแพ้ ระหว่างกำลังเตรียมสมุดโน้ตที่มีข้อมูลการติวมาตลอดสองสัปดาห์และหนังสือที่จำเป็น ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย เลยทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่เพราะรางวัลและบทลงโทษจากบรรดาผู้ใหญ่ มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

เสียงโวกเวกดังขึ้นมาจากชั้นล่างขณะที่ผมเลือกหนังสือที่จะเอาใส่กระเป๋าไปด้วย ผมเลยเดาว่าน่าจะเป็นคุณแม่คนดีของผมที่คงจะแกล้งพี่เอิร์ธเหมือนกับที่แกล้งผมมาแล้วเมื่อวาน

คิดย้อนกลับไปมันก็ตลกดีที่บางทีแม่รู้เรื่องของผมดีกว่าตัวผมเสียอีก และแม่ก็ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยหลังจากที่ผมเฉลยว่าแม่เดาถูก

“ใช่ครับ ผมกำลังจีบพี่เอิร์ธอยู่”

ผมบอกแม่ด้วยสายตาที่มั่นคง จนแม่เลิกคิดว่าผมล้อเล่น แต่ผมก็ต้องรีบบอกไปว่าผมปกติดี ไม่ได้เปลี่ยนรสนิยมไปชอบผู้ชายแล้ว

“ผมชอบแค่พี่เอิร์ธมันก็เท่านั้น ผมไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนนะ”

ผมรีบบอกแม่ก่อนที่แม่จะคิดไปไกลกว่านี้ แม่ดูงงๆ ไปบ้าง แม่แสดงออกทางใบหน้าว่าแม่กำลังตามสิ่งที่ผมพูดไม่ทัน
แต่….ก็ดูจะเข้าใจในท้ายที่สุด (จากท่าทีที่สงบของแม่ผมเลยตีความว่าอย่างนั้น)

และสุดท้ายก็เล่นมุกถุงยางของแม่ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ตั้งรับไม่ทัน (ผมรู้ว่าแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่แต่ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้) จนกระทั่งผมต้องรีบบอกไปเลยว่า

“ยังครับแม่ ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น กอดบ้างจูบบ้างแต่ไม่เคยถึงขั้นนั้น”
ผมปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่รู้ว่าหน้าตอนนี้ผมคงเปลี่ยนสีเป็นสีเลือดจนถึงหู

แม่ยังคงยืนยันที่จะให้และสอนเรื่องการป้องกัน….. แม่ดูจะรู้ดีกว่าผมนะ (สงสัยจะอ่านมาเยอะ) ผมได้แต่คิดในใจว่า ผมเองมีความต้องการนะครับแม่ แต่กับผู้ชายนี่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้เราทำ ผมรับฟังและเออๆ ออๆ ตามไปเป็นระยะ จนกระทั่งแม่สอนถึงตอนไคลแม็ก การสอดใส่อย่างไรให้ถูกต้อง มันมีกลไกอะไร ทำไมถึงได้ใช้ช่องทางนั้นได้ อธิบายเรื่องอวัยวะต่างๆ ผมเลยขอตัวออกจากบทสมทนาก่อนที่หัวผมจะระเบิดเพราะเลือดที่สูบฉีดขึ้นมามากเกินไป

การที่ผู้ปกครองสอนเรื่องเพศกับลูกเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ถ้าจะให้รายละเอียดขนาดนี้ผมว่ามันมากเกินไป ขอไปปรึกษาผู้ชำนาญน่าจะดีกว่า ซึ่งผมคิดได้คนเดียวคือ ‘ไอ้ชัย’ ผู้มีประสบการณ์ทางเพศอย่างโชกโชน (แล้วหน้าไอ้กวีก็ลอยมาพร้อมกับมัน)

……………….

เสร็จสิ้นการสอบภาคบ่าย ที่แสนรำเค็ญ ผมคาดว่าผมทำได้มากกว่าครึ่งนะ การสอบปกติจะไม่ทำให้ผมเครียดขนาดนี้ เพราะผมไม่เคยคิดอะไร ตกก็สอบซ่อม ไม่เคยกังวล นักกีฬาโรงเรียนอย่างผมส่วนใหญ่อาจารย์ค่อนข้างเกรงใจ ผมมักจะไม่โดนต่อว่ารุนแรงแต่ก็จะถูกตามไปซ่อมจนกว่าจะผ่าน

แต่คราวนี้โดนพ่อคาดโทษไว้ เลยต้องจริงจังมากขึ้น แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ผมคึกคักยิ่งกว่าก็คือ การคิดถึงรางวัลที่พี่เอิร์ธจะพาไปเที่ยวกันสองต่อสอง แค่คิดก็ฟินแล้วอยากให้สอบจบไวๆ

“เฮ้ย!!! ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะมึง เป็นเชี้ยอะไร? ทำข้อสอบได้ว่างั้น?”
“สาด…กูสอบผ่านก็บุญแล้วมั้ง”
“ยิ้มแบบนี้มีเรื่องอะไรดีๆ แน่เลย หรือว่ามึงจับพี่เอิร์ธกดได้สำเร็จแล้ว”
“ก็เกือบ หากแม่ไม่มาขัดจังหวะ เอ้ย!!! ไม่ใช่เรื่องนี้”
“ร้ายเหมือนกันวะมึง อ้าว.. ไม่ใช่เรื่องนี้แล้วมันเรื่องอะไร?”
“ก็รางวัลที่พี่เอิร์ธจะให้ไง!”
“พี่เอิร์ธจะยอม?”
“คือหัวของมึงคิดได้แต่เรื่องนี้”
“โหย… ก็กูสงสารเพื่อนเห็นเพื่อนอยาก”
“เออ… ก็จริง…. คืองี้หากกูได้ผลสอบดีขึ้นไม่ตกสักวิชา เขาจะพากูไปเที่ยวกันสองคน!!”
“อันนี้ กูว่าเขาเปิดทางให้มึงแล้วล่ะ”
“เชี้ย… มึงนี่ก็คิดได้แค่นี้”
“หรือไม่จริง?”
“กูก็แอบหวังอยู่ลึกๆ”
“นั่นไง!!”

เสียงริงโทนหวานๆ ที่ไม่เหมาะกับนิสัยของไอ้ชัยดังขึ้น มันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับทันที

“ครับเมียที่รัก..”
“…….” เสียงที่ดูเหมือนจะโวยวายดังลอดออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์ไอ้ชัยแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้ไอ้ชัยมันต้องลนลานขอโทษขอโพยยกใหญ่
“มีอะไรครับ?” ไอ้ชัยกลับมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติ
“………..”
“สบายครับ อาจารย์ติวมาดี ทำข้อสอบแค่นี้สบายๆ ท้อปแน่นอน”
ฟังจากประโยคนี้ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้สนทนาด้วยคือใคร แต่รูปแบบการสนทนามันออกจะดูแปลกๆ ไปจากเดิมนะ
“ครับ เย็นนี้เจอกันที่เดิมนะครับ”
แล้วไอ้ชัยก็ยิ้มกับโทรศัพท์เหมือนคนบ้าก่อนวางสาย

“ไอ้กวี? …… อะไรยังไงเนี่ย เล่ามา” ผมจับคอไอ้ชัยกระชากมาถามระยะใกล้
“เออ… อะไรของมึง ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างที่กูสงสัยใช่ไหม?”
“เออ… ใช่อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ!!” ชัยสลัดมือผมทิ้งอย่างรำคาญ
“เชี้ย!!.. มึงทำให้หนุ่มในฝันของสาวๆ อย่างไอ้กวียอมเป็นเมียได้ไงวะ” ผมเดาเอาเพราะไอ้ชัยมันคงไม่ยอมโดนใครกด
“กูเก่งไง” ชัยยักคิ้วอย่างลิงโลดจนผมหมั่นไส้อยากหาอะไรปาหน้ามันสักที
“แปลว่ามึงได้มันแล้ว?”
ชัยมันพยักหน้าแทนพูดตอบ
“เชี้ย…. ผู้ชายอย่างมันยอมได้ไงวะ?!?”
“กูหล่อ กูเก่ง กูลีลาดีไง”
ผมเริ่มไม่ถูกใจกับคำตอบของมันจนคิ้วขมวดเป็นปม
“…กูไม่เข้าใจว่าผู้ชายทั้งแท่งอย่างพวกมึงสองคนมาลงเอยกันแบบนี้ได้ยังไง…”
“ต่างคนต่างใจตรงกันก็เท่านั้น ไม่รู้สิแค่ลองปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจเรียกร้อง สุดท้ายมันก็เป็นไปเองตามจังหวะของมัน กูก็ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้ พอลองเปิดใจดู ไอ้กวีมันก็น่ารักมากเลยนะ”
ไอ้ชัยที่หน้าด้านขนาดนั้นยังหน้าแดงได้ขนาดนี้ ไม่คิดว่าพ่อปลาไหลอย่างมันจะมาลงเอยกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้

“แล้วทำไมมึงไม่ยอมมันล่ะ?”
“กูเร็วกว่าไง ฮ่าฮ่าฮ่า บอกแล้วกูเก่ง”
“แล้ว….เป็นไงวะ?”
“แม่งโคตรดี  เวลาที่เราทำแบบนี้กับคนที่เรารู้สึกดีด้วยแม่งยิ่งรู้สึกดี อีกอย่างคือผู้ชายด้วยกันเลยรู้จักอวัยวะด้วยกันดีไง? หลังจากครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ง่ายแล้ว”
“…อย่าบอกว่าทุกวัน……..”
ชัยพยักหน้า ยักคิ้วและยิ้มแบบกรุ้มกริ่ม
ผมแอบอิจฉาความกล้าหาญของมัน จากที่ฟังทั้งหมดก็พอจะนึกออกว่ามันคงออกตัวชัดเจนว่าจะรุก จนอีกฝ่ายยอมเป็นรับให้มัน ผมควรจะทำแบบที่เรียนรู้จากมันในวันนี้ รุกให้หนักขึ้นสินะ!!

………………………….

และแล้ววันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่เอาตัวจมอยู่กับเนื้อหาของบทเรียนมัธยมปลายจนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากสอบและอ่านหนังสือ โชคดีที่ไอ้ชัยกับเมียหนุ่มมันมาช่วยติวให้ทุกวันจนผมสามารถผ่านพ้นเนื้อหาที่ยากจะเข้าใจเหล่านั้นไปได้

ฟังไม่ผิดหรอกครับแฟนหนุ่มจริงๆ ก็ไอ้กวีนั่นแหละ ศัตรูหัวใจคนเก่าของผม ตอนนี้กลายเป็นเมียเพื่อนเสียแล้ว แต่ห้ามพูดคำว่า ‘เมีย’ ต่อหน้าไอ้กวีนะครับ มันจะโกรธมาก

มันก็จริงท่าทางแมนๆ อย่างมันห่างไกลกับคำว่าเมียมาก ไหนจะช่วงนี้จะเริ่มพูดจาหยาบคายเหมือนไอ้ชัยมากขึ้นไปอีก ส่วนไอ้ชัยก็พูดจาได้อ่อนโยนขึ้นจนผมคิดว่าสองคนนี้มันสลับนิสัยมันหรือไง แต่ไอ้ชัยมันทำแบบนั้นก็ต่อหน้าไอ้กวีเท่านั้นแหละ

ช่วงนี้พี่เอิร์ธก็ไม่มาหาเลยตลอดสัปดาห์ เพราะเห็นว่าจะรีบขึ้นเวรให้หมดจะได้มีเวลาพาผมไปเที่ยว (ดูจะมั่นใจกับสมองของผมมาก) ผมก็ไปไหนไม่ได้จนกว่าจะสอบเสร็จ ช่วงนี้แม่เข้มงวดมาก
ทำให้ให้ยิ่งรู้สึกเหงาและคิดถึงพี่เอิร์ธมาก ยิ่งได้มาอยู่กับไอ้คู่รักข้าวใหม่ปลามันที่พวกมันจะหวานใส่กันทุกๆ ห้านาทียิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากเจอพี่เอิร์ธมากขึ้นไปอีก

ในที่สุดก็หมดเวรหมดกรรมเสียที ผมจะได้เจอพี่เอิร์ธแล้ว!!!

ผมรีบออกจากเขตโรงเรียนทันที และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาสุดที่รักของผมทันที วันนี้ขออยู่ด้วยยาวๆ เลย ไล่ก็จะไม่ไปไหนด้วย จะขอมัดจำรางวัลสักหน่อย

ตรู๊ด…….. ตรู๊ด………. ตรู๊ด……..

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่เนืองๆข้างหู แต่ยังไม่มีผู้รับสายเสียที สักพักก็ถูกตัดเข้าสู้ระบบฝากข้อความ ผมกดเลือกที่ชื่อของพี่เอิร์ธอีกสองสามครั้ง ทุกครั้งก็เข้าสู่ระบบฝากข้อความเช่นเดิม

‘แปลกมาก’ ผมคิดในใจ ตั้งแต่พี่เอิร์ธตกลงที่จะคบกับผมในวันนั้น เขาจะพยายามรับสายผมทุกครั้ง ถึงแม้ในบางครั้งเขาจะพูดแค่ ‘เดี๋ยวโทรกลับ’ ก็ตาม ผมเข้าใจครับเพราะมีแฟนเป็นหมอ เวลาทำงานคงไม่มีเวลาพูดคุยได้มากนัก เดี๋ยวรอสักพักแล้วเขาก็โทรศัพท์กลับมาเอง แต่นี่มันไม่เหมือนเดิม

“เป็นอะไรวะ? หน้าตายับเป็นเสื้อยังไม่ได้รีด” ไอ้ชัยที่ขับบิ้กไบค์ของมันมาจอดที่หน้าผม
“พากูไปโรงพยาบาลหน่อย”
“เฮ้ย!! ใครเป็นอะไร?”
“กูไม้รู้แต่กูติดต่อพี่เอิร์ธไม่ได้”
“เขาทำงานมั้งมึง มึงก็อย่าไปรบกวนเขาทำงานเลย กูเห็นแล้วสงสารพี่หมอว่ะ”
“เออ! เรื่องนั่นกูรู้ ปกติโทรไปเขาไม่ว่าง เขาจะบอกว่าโทรกลับ แต่นี่ กูโทรไปหลายรอบแล้ว มันเข้าฝากข้อความตลอด”
“ถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า…….”
มันลูบค้างตัวเองเหมือนนักสืบเด็กใส่แว่นที่ไม่ยอมโต (การ์ตูนที่มันอ่านซ้ำไปมา แต่ผมว่าน่าเบื่อ)

“งั้นก็แปลกจริงๆวะ งั้นขึ้นรถ กูซิ่งไปส่ง!!”

ผมกระโดดขึ้นรถอย่างไม่ลังเล แล้วไอ้ชัยก็สวมวิญญาณตีนผีขับออกจากโรงเรียน จนแทบจะเหลือไว้แค่เสียงที่จุดเริ่มต้น (ปกติผมจะด่ามันทุกครั้งที่ไอ้ชัยมันทำ แค่ครั้งนี้ช่างมัน ผมอยากไปให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ)

…………………………

ผมโดดลงจากรถโยนหมวกกันน็อคให้ไอ้ชัยโดยแทบไม่มองมัน (มันน่าจะรับได้ แม้จะได้ยินเสียง ‘โอ้ย’ ตามมาแต่ผมไม่สนใจ) วิ่งเข้าตัวตึกด้วยความชำนาญเส้นทาง

ในที่สุดก็ถึงหน้าห้องตรวจของพี่เอิร์ธ พยาบาลและผู้ช่วยที่นี่คุ้นเคยกับผมดี แค่เห็นก็ยิ้มให้และทักทายแบบเป็นกันเอง ผมมองไปที่ป้ายหน้าห้องตรวจหลายๆ ห้อง กลับไม่มีชื่อที่ผมคุ้นเคยเลย ‘ปฐวี’ ของผมหายไป

“อ้าว!! น้องหลง มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ไม่สบายเหรอ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมมาหาพี่… เอ่อ หมอปฐวี น่ะครับ”
“อ้าว!! อาจารย์เอิร์ธ ไม่ได้บอกน้องหลงเหรอว่าไปอบรมน่ะ”
“เอ่อ…ไม่ได้บอกครับ ….คือผม…. ติดสอบน่ะครับ” ตอนนี้ใจผมตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทำไมพี่เอิร์ธไม่เคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย
“ไปแค่สามวันก็กลับแล้วจ๊ะ พรุ่งวันสุดท้ายแล้วมั้ง”
“ไปไหน พี่พอทราบไปครับ” หน้าพยาบาลดูแดงระเรื่อขึ้นสงสัยจะชอบให้เรียกพี่ แม้เธอจะดูแก่กว่าแม่ผมก็เหอะ
“เดี๋ยวนะ เหมือนเคยเห็นในใบสื่อสารภายใน” แล้วเธอก็เดินไปค้นเอกสารที่เคาเตอร์พยาบาลใกล้ๆ ผมเดินตามไปอยู่ใกล้กับเคาเตอร์
“เจอไหมครับ”
“อืม…. เดี๋ยวนะ…..นี่ไง. งานจัดที่ชลบุรีนะจ๊ะ โรงแรมใกล้กับพัทยานี่ไง” พยาบาลรุ่นป้าหยิบแผนที่ที่แนบมาพร้อมกับใบประกาศที่ดูเป็นทางการ ตัวหนังสือเยอะๆ ที่ทำให้ผมตาลาย
“ผมขอได้ไหมครับ?”
“พี่ว่าไม่ได้นะ”
“งั้นผมขอถ่ายรูปไหมครับ?”
“น่าจะได้นะจ๊ะ ว่าแต่จะถ่ายไปทำไมจ๊ะ”
“ผมจะไปเซอร์ไพรส์นะครับ” ผมหยิบสมาร์ทโฟนของผมขึ้นมาถ่ายแบบไม่เกรงใจหลายรูป
“อ้อ… จริงสิ ใกล้วันเกิดอาจารย์แล้วนี่ เห็นสาวๆ ในวอร์ดพูดกัน

ตายล่ะ!!! ผมลืมไปเสียสนิท วุ่นวายกับการสอบจนลืมไปเลย (เคยแอบดูบัตรประชาชนพี่เอิร์ธ)

“มีน้องชายอย่างน้องหลงนี่น่ารักจัง ขอให้เซอร์ไพรส์สำเร็จนะคะ”
(ไม่รู้ว่าพี่เอิร์ธจะเคยอธิบายเรื่องความสัมพันธ์จองผมและเขาให้พวกพยาบาลพวกนี้ฟังไว้อย่างไร แต่ผมไม่แคร์หรอก ….หรือว่าคนพวกนี้จะคิดกันไปเอง…)

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้และเดินจากมาอย่างรวดเร็ว

ผมอยากจะบอกกับป้าว่า ผมจะไปเซอร์ไพรส์แฟนผมครับ ไม่ใช่ไปเซอร์ไพรส์พี่ชาย และผมจะจัดเซอร์ไพรส์ให้หนักๆ เลย

ผมเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยแผนที่คิดไว้เต็มหัวไปหมด

………………….


“เฮ้ย! มึงจะไปไหมเนี่ย?”

เสียงไอ้ชัยตะโกนลั่นมาจากทางหน้าบ้าน

“รอเดี๋ยวสิ ไอ้สัด กูก็รีบอยู่”
“ไอ้ห่ะ… แม่งบังคับชวนกูมาแต่เช้าแต่แม่งเสือกสายเสียเอง”
“ชัยไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกให้หลงมันรีบหรอก เดี๋ยวก็ลืมอะไร”
“ไม่ต้องไปให้ท้ายมัน มันเป็นกำชับเราเองให้ออกเดินทางตอนเจ็ดโมง นี่มันกี่โมงแล้ว!!”
“เออๆ กูเสร็จแล้ว!!” ผมตะโกนออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของบ้าน ถ้าไม่มัวแต่วางแผนนู้นนี่จนดึก ผมจะตื่นสายแบบนี้ไหม? เมื่อวานกว่าจะกล่อมพวกไอ้ชัยกับไอ้กวีให้พาไปพัทยาได้ก็ดึกแล้ว (ดีนะที่ไอ้กวีก็อยากไป ไอ้ชัยมันเลยยอม โธ่.. ที่แท้ก็กลัวเมีย)

แล้วต้องกลับมาขออนุญาตแม่อีกซึ่งก็ไม่ยาก แต่แม่ก็เป็นห่วงเพราะไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยเลย แต่พอบอกว่าไปหาพี่เอิร์ธแม่ก็อนุญาติเอาเสียเฉยๆ (ง่ายไป เหมือนคำวิเศษ พูดปุ๊ปได้ปั๊บ)

ผมมองดูนาฬิกาที่คอนนี้เข็มยาวชี้เลขเก้า เข็มสั้นชี้ค่อนมาทางเลขแปด สายกว่าเวลาที่วางแผนไว้มากแล้ว ยอมรับตรงๆว่าเพิ่งตื่นตอนไอ้ชัยมันมานี่แหละ คนตื่นสายจนชินก็อย่างนี้แหละ ผมรีบแต่งตัวและจัดกระเป๋ารอบสุดท้ายและรีบโดดลงไปข้างล่างทันที

“เดี๋ยวหลง!!”

แม่ตะโกนทักก่อนที่ผมจะก้าวข้ามธรณีประตูหน้าบ้าน

“ครับ” ผมเตรียมใจโดนแม่บ่น
“สายอย่างนี้จะไปถึงกี่โมงเนี่ย แต่ค่อยๆไปนะ ไม่ต้องซิ่ง”
“ครับแม่ ไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว!!”
“อะไรอีกล่ะแม่ ตัวเองก็บอกเองว่าสายแล้ว!”
“เอาไอ้นี้ไปด้วย” แม่กำบางสิ่งยื่นมาให้ ผมเลยต้องยื่นมือไปรับ
“โห…..เพื่ออะไรเนี่ย” ผมแบมือเจอธนบัตรสีเทาปึกหนึ่ง
“แม่ให้ไปเลี้ยงวันเกิดพี่เอิร์ธ เป็นการขอบคุณเรื่องที่ช่วยดูแลเราในหลายๆ เรื่อง”
“แม่…..น่ารักอ่ะ ผมยังไม่เคยได้ขนาดนี้เลย”
“แกมันเกเร ได้เท่านั้นก็มากพอแล้ว”
“โหย……”
“แล้วก็….หลง”
“ครับ” ผมที่กำลังหันไปนอกบ้านต้องหันมาอีกรอบ
“อย่าลืมป้องกันนะลูก”
“โอย! แม่…. ไปดีกว่า”
ไม่ชินเสียทีกับการพูดแบบนี้ของแม่

…………………………..

ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านรถ SUV คันใหญ่โลโก้รูปดาวสามแฉก ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขี้นมา เบาะหนังสีเบทที่นุ่มสบาย และกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในรถทำให้ผมเผลอหลับไปไม่รู้ตัว (เมื่อคืนก็นอนน้อยด้วย)

“ถึงไหนแล้ววะ?”
ผมพูดขึ้นพลางบิดร่างกายซ้ายขวาเพื่อไล่ความง่วงออกไปบ้าง

“ตื่นแล้วหรือเจ้าชายนิทรา ตั้งแต่ขึ้นรถมานี่มึงก็หลับตลอดทางเลยนะ” ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันมาแขวะ
“กูง่วงกูก็หลับ จะให้กูช่วยขับไหมล่ะ?”
“สาด! มึงขับเป็นหรือไง”
“นั่นไง!! มึงก็รู้ แล้วจะให้กูถ่างตานั่งฟังพวกมึงคุยกันเรื่องข้อสอบเนี่ยนะ แค่ขึ้นหัวสองประโยคแรกกูก็ง่วงแล้ว!!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า….. ตอนนี้อยู่ฉะเชิงเทราแล้วล่ะ ขับต่ออีกนิดก็ถึงชลบุรีแล้ว หลงนอนต่อก็ได้นะ” กวีที่ทำหน้าที่เป็นคนขับได้ตอบคำถามผมซึ่งไอ้ชัยมันไม่ยอมตอบ
“ขอบใจมากกวี นายเป็นเพื่อนที่ดีมากกว่าไอ้คนแถวนี้อีกนะ”
ผมเหล่ไปมองไอ้ชัยขณะพูด
“ก็ที่มึงมีคนขับรถพามึงมาถึงพัทยานี่ไม่ใช่เพราะ กวีมันเป็นเมียกูหรือไง?”  ไอ้ชัยเสียงดัง
“เคยบอกแล้วไงว่าเราไม่ชอบให้เรียกแบบนี้”
“อ้าว.. ก็มันจริงนี่ เมียจ๋า….. โอ้ย!!!!”
มือของไอ้กวีเร็วมาก มือข้างที่ว่างของมันฉกมาที่หน้าอกของไอ้กวีและบิดไปมา
“โอ้ยๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้วครับ ไม่พูดแล้วครับ”

ผมขำกับภาพตรงหน้า ไม่เคยนึกเลยว่าสองคนนี้จะมาลงเอยแบบนี้ ดูท่าไอ้กวีมันก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ขนาดพูดว่าห้ามแต่ใบหน้ามันก็ยิ้มที่มุมปากแบบเขินอาย และก็ไม่เคยเห็นไอ้ชัยในมุมที่ยอมแฟนขนาดนี้

ตอนนี้ไอ้ชัยดึงมือของไอ้กวีลงมากุมที่หน้าตัก มองหน้าไอ้กวีที่แดงขึ้นชัดเจน (หรือว่าแดดร้อน) ไอ้กวีมันยิ้มให้แล้วถามว่า
“ง่วงไหม เจอปั้มน้ำมันก็แวะพักก่อนไหม ขับติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ”
“อืม…..ไม่เป็นไรขับได้ แล้วชัยล่ะจะแวะปั้มเข้าห้องน้ำไหม?”
“ไม่เป็นไร เรายังโอเค”
“หลงล่ะ อยากแวะไหม?” กวีเอ่ยถามขึ้นไม่ทันตั้งตัวดีที่ผมแอบมองด้วยความอิจฉาอยู่ที่เบาะหลังเลยรู้ตัวทัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็นอนต่อแล้ว เชิญจู๋จี๋กันต่อไปเถอะ!”
“……….”

แอบมองไอ้กวีที่กระจกมองหลังเห็นหน้าไอ้กวีแดงขึ้นอีก สงสัยคงไม่คุ้นกับการแสดงความรักต่อกันต่อหน้าคนอื่น ดูไปก็น่ารักดีอย่างที่ไอ้ชัยบอก

“ไอ้สัด!! เห็นไหม ปากมันเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอก” ไอ้ชัยหันมาสบถใส่ผมก่อนที่จะหันไปคุยกับเมียมัน
“ไม่เป็นไร อยู่กันมานานจนเริ่มชินแล้ว อีกอย่างหากชัยทำตัวปกติแบบเดิมก็คงไม่โดนล้อหรอก”
“อ้าว….. ก็เรามันไม่เหมือนเดิมป่าววะ?”
“………..” ไอ้กวีคงเขินอีกเลยเงียบไปอีกครั้ง
“อีกอย่าง นายพูดเพราะกับเราคนเดียวก็พอ ส่วนไอ้หลงพูดหยาบๆ ใส่มันก็ได้”
“เราไม่ค่อยคุ้นกับการพูดแบบนั้น”

“เฮ้ย!! จริงหรือว่ะ? นายไม่เคยพูด มึง-กู อะไรอย่างนี้เลย” ผมซึ่งว่าจะเฉยเพื่อเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งยังต้องโผขึ้นมาแสดงความแปลกใจ
“เคย! ตอนเมากูเคยเจอมาแล้ว” ไอ้ชัยโพล่งขึ้นมาตอบแทน
“อ้าว!! ก็แปลว่าพูดเป็นสิ” ผมหันไปหาคำตอบกับคนที่กำลังขับรถ ผมเองก็แอบสังเกตมานานแล้วว่าไอ้กวีแม่งไม่เคยพูด ‘กู-มึง’ กับผมเลยทั้งที่เริ่มสนิทกันขนาดนี้ ทำเอาผมก็เลยไม่กล้าพูดกับมันเหมือนกัน
“ก็มีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน แต่มันกระดากปากเวลาพูด ปกติที่บ้านสอนไม่ให้พูดแบบนี้ ตอนเด็กเคยโดนดุก็เลยไม่กล้า ใครจะพูดกับเรายังไง เราก็จะพูดของเราแบบนี้ แต่หลงไม่ต้องเกรงใจนะ พูดกับเราแบบนั้นก็ได้”

ผมรู้สึกถึงความแตกต่างในการเลี้ยงดูระหว่างผมกับไอ้กวีเลย

“โอเค มึงว่าไงกูก็ว่างั้น กูอึดอัดมานานแล้ว” ผมตอบไปเพื่อให้ไอ้ดวีสบายใจ ไหนๆก็อนุญาติแล้ว
“ไอ้เชี้ย เร็วไปไหมมึง”
ไอ้ชัยรีบตีมุกมาเลยตามนิสัยมัน ทำให้กวีหัวเราะคิกคักกับท่าทางของมันด้วยที่ทำท่าจะตีผมแต่ผมหลบทัน

พวกเราสนทนากันไปเรื่อยๆ ตลอดทางผมรู้สึกสนิทกับไอ้กวีขึ้นไปอีกขั้นในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนไอ้ชัย พ่อคัสโนว่าตัวยง ผมว่าไอ้กวีนี่ผ่านเลย ผมรู้สึกได้จากการฟังทั้งสองสนทนากัน มีความห่วงใยให้กันตลอด ต่างคนต่างดูแลกันดี

และที่สำคัญไอ้ชัยมันไม่เคยยอมใครขนาดนี้เลย ขนาดโดนดุไปหลายครั้ง มันแทบไม่เถียงเลย ขนาดผมเป็นเพื่อนมัน แม้ผมจะเถียงเรื่องที่ถูกต้องยังไม่เคยชนะมันเลย แต่ไอ้กวีน่ะสุดยอด! บางทีแค่มองหน้าตอนมันจะเถียง ไอ้ชัยก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่นึกว่าคนอย่างมันจะมาสิ้นลายกับผู้ชายทั้งแท่งอย่างไอ้กวี

ในที่สุดก็มาถึงที่หมายของเรา รีสอร์ทระดับกลางที่พวกผมพอจะหาได้ หลังจากการสำรวจพื้นที่และรายจ่ายที่พวกเราจะพอไหว รีสอร์ทนี้ไม่อยู่ติดทะเลแต่สามารถเดินไปได้ ห่างไม่เกิน 100 เมตร

หลังที่เช็คอินเรียบร้อย พวกเราเดินมาที่ห้องพักที่เหมือนบ้านแฝดที่ตั้งแยกออกมาจากบ้านแฝดอื่นๆ ที่ปลูกห่างกันไม่เกิน 2 เมตรเพื่อความเป็นส่วนตัวของที่พักแต่ละหลัง จากห้องที่เราอยู่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆก็ยังพอมองเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล

ตอนนี้บ่ายกว่าๆ แล้วผมรีบเข้าไปจัดเก็บข้าวของที่เอามา ส่วนไอ้คู่ข้าวใหม่ปลามันนั่น ไอ้ชัยพยายามแย่งอีกฝ่ายถือของแต่ก็โดนไอ้กวีปฏิเสธตลอดทางจนโดนดุด้วยสายตา

ผมแอบสะใจกับความเกรียนของมันกับความโหดของเมียมัน ตอนแรกนึกว่าไอ้กวีจะเป็นคนเรียบร้อยอะไรก็ได้ น่าจะตามใจไอ้หลงเหมือนทำกับทุกคน กลายเป็นว่าพอมาเป็นแฟนกันดันโหดกับไอ้ชัยคนเดียว คงเพราะมันทำตัวแปลกไปอย่างที่ไอ้กวีมันพูดนั่นแหละ ผมคิดว่าหากมันกลับไปทำตัวเหมือนเพื่อนเช่นเดิม รูปการมันคงเปลี่ยนไป แต่ผมก็รู้จักไอ้ชัยดีครับ เวลามันจะดีกับใครมันก็ดีใจหายเลย คงไปเปลี่ยนแปลงเรื่องแบบนี้ยาก คราวนี้ก็ดูกันต่อไปว่า ใครจะยอมใครก่อนล่ะ

ผมหยิบสมาร์ทโฟนของผมขึ้นมาดูรูปของเอกสารและแผนที่ที่ถ่ายไว้ ขึ้นมาทบทวนเรื่องสถานที่ ตารางเวลาในการอบรมรวมถึงแผนการต่างๆ ที่จะไปเซอร์ไพรส์พี่เอิร์ธถึงที่พักหลังจากกลับจากอบรมนั่น แม้จะยังไม่รู้ห้องแต่เดี๋ยวไปสืบเอาก็ได้ ข้อดีของการเป็นคนหน้าตาดีคือทุกคนจะน่ารักกับเราโดยไม่รู้ตัว

แผนคือเอาดอกไม้ช่อใหญ่พร้อมของขวัญไปดักรอที่หน้าห้อง และลากไปดินเนอร์สุดหรู(เงินแม่) ริมหาดที่ผมจองไว้แล้วเป็นร้านแถวๆ ที่พัก ไม่ได้เลิศหรูมากมายอะไรแต่บรรยากาศดี ส่วนเรื่องรสชาติอาหารก็ไปลุ้นเอาหน้างาน ผมยิ้มกับความคิดของตัวเองก่อนจะรีบออกไปเรียกคู่รักนั่นออกไปหาซื้อดอกไม้ด้วยกัน ก่อนที่มันจะรีบใช้ห้องทำอย่างอื่นกัน

……………………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบ part 3 (อัพ 2/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-10-2017 11:15:32


เอิร์ธ #10


ผมยกกระเป๋าออกจากบ้านหลังจากเช็คความเรียบร้อยในบ้าน ประตูหน้าต่างลงกลอนหมดแล้ว สุดท้ายคือสัญญาณกันขโมยที่พ่อติดไว้ให้ (ซึ่งไม่เคยใช้เลยตั้งแต่ติดมา) ผมอ่านคู่มือไปทำไปด้วยก็ไม่ยากอย่างที่คิด

หลังจากยกกระเป๋าขึ้นรถและปิดประตูบ้านแล้ว ผมก็ออกเดินทางทันที วันนี้เลิกเวรเร็วเพราะรุ่นพี่ไล่ออกมา วันนี้เป็นวันที่ผมถูกส่งไปอบรมเรื่องโรคใหม่ เนื่องจากสัปดาห์นี้ไม่มีใครว่างเลย หวยเลยออกมาตกลงที่ผมต้องเป็นคนไป

ระหว่างขับรถออกจากตัวเมืองยามเย็น ผมได้ขับผ่านโรงเรียนเก่าของตนเอง ซึ่งขณะนี้หลงคงกำลังตั้งใจสอบอยู่ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ไม่ได้บอกเขา แต่ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเอง อยากให้มีสมาธิสอบมากกว่า เพราะหากว่าเขารู้เขาคงพยายามมาอยู่กับผมช่วงสอบแน่ๆ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะขอตามมาด้วยแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่

ผมหันสายตาตัวเองกลับมามีสมาธิบนท้องถนนอีกครั้ง และพยายามกลับไปให้ถึงก่อนที่จะมืดกว่านี้ ผมว่าจะไปพักที่นั่นสักหนึ่งคืนก่อนวันอบรมจริงจะได้ไม่เหนื่อย พวกรุ่นพี่เขาแนะนำมา

…………………….

เช้าวันอบรมก็เหมือนกับวันทำงานคือต้องตื่นแต่เช้า แต่ด้วยความที่เตียงนอนไม่คุ้นเคย แล้วไหนจะหลงที่ตามมาหลอนผมถึงในฝันทำเอานอนไม่ค่อยหลับ (ฝันว่ามันจะมาปล้ำตลอด หนีจนเหนื่อย) สภาพผมตอนนี้เลยหมีแพนด้าซอมบี้ที่อ่อนล้าไปทั้งกายและจิตใจ ผมเดินไปที่ห้องโถงล็อบบี้ของโรงแรม ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่เกี่ยวกับการกล่าวคำต้อนรับคณะที่มาอมรม ที่ป้ายแจ้งกำหนดการต่างๆ และสถานที่จัดงานทางด้านล่าง

ผมอ่านรายละเอียดในป้ายให้แน่ใจเพื่อทวนสอบว่าสิ่งที่ผมอ่านมากับเอกสารเชิญไม่ผิดพลาด จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อวิทยากรท่านหนึ่งและรูปถ่ายวิทยากรที่อยู่บนชื่อ ผมรู้สึกคุ้นแบบแปลกๆ ยืนนึกอยู่นานก็นึกไม่ออก แต่สงสัยคงจะเคยเจอตอนไปอินเทิร์น เอ็กซ์เทิร์น อะไรประมาณนี้มั้ง หมอพอแต่งตัวถ่ายรูปก็หน้าตาคล้ายๆกันหมด

“ว่าแล้วเชียว ต้องเป็นนาย”

เสียงคุ้นหูที่ดังจากทางด้านหลัง ผมหันไปหาต้นเสียงทันที

“สวัสดี เอิร์ธ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เอ…..”

อดีตของผมดันตามมาหลอกหลอนถึงที่นี่ ทั้งที่ก็เข้าใจดีว่าอยู่ในวิชาชีพเดียวกัน ไหนจะจบมาในรุ่นเดียวกัน ยังไงก็ต้องมาเจอกันสักวันคงหนีกันไม่พ้น แต่ทำไม ‘เอ’ เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราแบบนี้ ตอนนี้แค่เห็นหน้าตี๋ๆ ของเอก็ทำให้ผมหงุดหงิดได้แล้ว

“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย เราไม่ได้จะมากวนใจนายแล้ว แค่อยากจะขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาน่ะ หวังว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่”
“……………” ผมมองไอ้คนหน้าไม่อายตรงหน้า มันทิ้งผมไปมีใหม่แล้วยังจะมาขอคบเป็นเพื่อนอีก

“นายมาอมรมเหรอ มาสิเดี๋ยวเราพาไป เรามาเป็นผู้ช่วยวิทยากร” เอเอามือทาบอกตัวเองและตบเบาๆ สองทีที่ป้ายที่แขวนคออยู่
“…………..” สมองผมยังประมวลผลอยู่ว่าจะทำยังไงกับ ‘แฟนเก่า’ ดี ผมแอบสังเกตว่าการแต่งกายของเขาดูดีกว่าแต่ก่อนมาก แบรนด์เนมทั้งตัว เอเป็นคนหุ่นดีอยู่แล้ว หุ่นแบบนักกีฬา (คิ้วท์กายประจำคณะฯ ไม่รู้ว่าหลงมาคบกับผมได้ยังไง?) พออยู่ในชุดสูทสุดหรูนั่นแล้ว เหมือนเขามาเดินบนแคทวอร์คมากกว่ามาสัมมนาแบบนี้

“ฮัลโหล มีใครอยู่ไหม?” เอโบกมือใกล้หน้าผมเพราะผมมองเอแบบไม่กระพริบตาอยู่
“เออ..อืม… พาไปหน่อยสิ”
“โอเค ตามมาเลย”

ผมเดินตามหมอหนุ่มรูปหล่อที่เดินนำหน้าด้วยท่าทีทะเล้นแบบเดิมที่คุ้นเคย ความทรงจำเก่าๆ หวนคืนมาแบบไม่รู้ตัว ผมส่ายหน้าเพื่อสลัดภาพเหล่านั้นให้หายไป พร้อมใจที่เจ็บจี๊ดๆ อยู่เป็นระยะ

ผมว่าผมทำใจได้แล้วแต่พอมาเจอเอตรงหน้า กำแพงของผมก็อ่อนยวบลง ผมคงทำได้แค่ให้ตัวเองสงบไว้ ทำตัวให้สมเป็นมืออาชีพเสียหน่อย ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เรามาเรื่องงาน โฟกัสที่งานไป อย่าไปคิดเรื่องอื่น ผมบอกตัวเองซ้ำๆ กับภาพด้านหลังของเอที่ปรากฏอยู่ในสายตาตอนนี้ ผมไม่ได้เห็นเขาเสียนานรูปร่างเขาเหมือนจะแน่นขึ้นจากเสื้อสูทเข้ารูปสีเทาเข้มมันเลื่อม มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น เขาดูดีขึ้นมาก ต่างจากผมที่จะโทรมลงไปมาก เวลาช่างโหดร้ายผมมองตัวเองทุกครั้งที่เดินผ่านกระจกประดับที่อยู่ตามเสาของโรงแรม

เอเป็นคนที่ผมหลงไหลมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของเขา จนกระทั้งปีสองเขามาขอคบด้วย ด้วยความประหลาดใจที่คิดว่าแจ็คพอตจะมาลงที่ผมได้ เขาเป็นเดือนคณะฯ ที่ใครๆแอบปลื้มและอยากได้มาครอบครองทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ในคณะ (รวมถึงเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทั้งหลายด้วย) ผมไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกตัวเองเลยจนกระทั่งเขามาขอคบเป็นแฟน

เขาเคยสารภาพว่าแอบมองเรามานานแล้วและเริ่มเข้าหาเราโดยการขอเป็นรูมเมทด้วย ผมซึ่งไม่เคยอยู่ร่วมห้องกับใครถึงกับยอมให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย

หลายเดือนผ่านไปกับการอยู่ร่วมกันในฐานะรูมเมท เขาก็เลยสารภาพรักกับผม ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันเกิดของผม วันที่เราใกล้สอบย่อยจนไม่มีเวลาคุยกันเรื่องอื่น แล้วเขาก็หยิบกล่องของขวัญชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาให้เป็นของขวัญวันเกิด ผมซึ่งคุ้นเคยกับการเปิดของขวัญของพ่อกับแม่ทุกปีก็เลยรู้สึกเฉยๆ นะครับ เพราะไม่มีอะไรที่อยากได้

ผมแกะห่อกระดาษสีสวยลวดลายริ้วทองรูปดอกไม้ที่ห่ออยู่ถึงสองชั้นก็เจอกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม บอกเลยว่างงมากครับไม่เข้าใจว่าเอซื้ออะไรให้ พอเปิดออกก็พบแหวนเกลี้ยงทองคำขาวที่สะกดชื่อของผมและเขาอยู่ด้านในของตัวแหวน ผมมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เขาโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ

“ลงทะเบียนตรงนี้ รับป้ายชื่อและเข้าไปนั่งด้านในได้เลยนะ ส่วนชากาแฟทางโรงแรมจัดให้อีกมุมหนึ่งทางฝั่งนั่น”

เอมายืนอยู่ใกล้ผมและทำท่าแนะนำสถานที่จัดงานให้ เสียงและท่าทางที่แปลกไปของเอ ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดในอดีต

“อ้อ.. ขอบคุณครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเอิร์ธ ดูเหนื่อยๆ เหม่อๆ”
“ไม่มีอะไร คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมรีบปฏิเสธและรีบเดินออกจากรัศมีรอยยิ้มที่เหมือนแสงสว่างที่ทำให้ผมหลอมละลาย นี่ผมยังมีความรู้สึกกับเขาอยู่หรือเนี่ย  ไม่ได้ๆ ผมจะใจอ่อนกับการที่แค่เขามาทำตัวดีเป็นปกติแบบนี้ไม่ได้ เข้มแข็งไว้เอิร์ธเอ๋ย ผมบึ่งไปที่โต๊ะที่จัดเตรียมชาและกาแฟไว้ให้ ผมชงและซดกาแฟอุ่นๆ ลงคอไปให้ความขมมันไปละลายความหวานที่เกิดขี้นจากอดีตที่ตามมาหลอกหลอนผมตอนนี้ให้จางลงบ้าง

‘แค่สามวัน เอาวะ’ ผมบอกกับตัวเองในใจ

………………………


หลังจากจบการแนะนำตัวและการเกริ่นนำของเหล่าวิทยากร ก็เข้าสู่เนื้อหาและการถกกันเรื่องวิชาการจากวิทยากรที่มีความชำนาญด้านต่างๆ ที่ได้รับเชิญมา ซึ่งไม่แปลกใจที่จะมีชาวต่างชาติอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ผมห่างหายจากการใช้ภาษาอังกฤษมาระยะหนึ่งเลยใช้เวลากับการตั้งสมาธิฟังจนลืมเรื่องราวก่อนที่จะเข้าห้องมาทั้งหมด

จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นเอเดินเข้าทางด้านหลังเหล่าวิทยากรพร้อมยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้กับวิทยากรคนไทยคนหนึ่งที่คุ้นหน้าเหลือนเกิน แล้วผมก็นึกออกจนร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมาในขณะที่ทุกคนรอบๆ ผมที่กำลังตั้งใจฟังหันมามองผมเป็นตาเดียว

ผมรีบผลุบหน้าก้มลงต่ำด้วยความอาย ในที่สุดผมก็นึกออกเพราะรอยยิ้มที่เขาส่งให้เอ ผมจำรอยยิ้มนั้นได้ รอยยิ้มภายในผ้าห่มบนเตียงนอนของเอในวันนั้น ไม่แปลกที่ผมจะจำเขาในทันทีไม่ได้ก็ตอนเจอกันครั้งแรกในระยะประชิด เขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลยนี่นา ผมเผ้าก็ไม่ได้จัดทรงดีและก็ไม่ได้อยู่ในชุดที่ดูภูมิฐานขนาดนี้

ผมรีบรื้อค้นเอกสารสูจิบัตรที่ได้มาตอนลงทะเบียน ค้นหาประวัติวิทยากรผู้นั้น

“นพ.ต่อพงษ์ อาริยะพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล……  นี่มันโรงพยาบาลที่เอไปใช้ทุนอยู่นี่!! แล้วเรื่องราวที่ผมสงสัยมาตลอดว่าเขาพบกันได้อย่างไร ใกล้ชิดกันได้อย่างไรก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นการมโนไปไกล) หมอหนุ่มหน้าตี ดีกรีผู้บริหาร มาจีบเช้าจีบเย็นมันต้องมีใจอ่อนกันบ้าง หรือว่าฝ่ายเอเองที่ไปเริ่มก่อน ผมเริ่มคิดไปไกลจนตามเนื้อหาที่เหล่าวิทยากรถกกันไม่ทัน ไม่ได้ๆ ผมต้องรีบให้ตัวเองกลับมาก่อนที่จะเสียงาน แต่มันก็ยากเหลือเกินเพราะภาพบาดตานั่นมันอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน

………….

เสร็จสิ้นวันแรกของการสัมมนาเสียที ผมแทบลากเดินออกจากห้องอย่างหมดแรง จริงๆ ก็เหนื่อยตั้งแต่กลางวันที่ผมพยายามหลบแฟนเก่าอย่างเอ ไม่ให้เขาเห็นเพราะเหมือนเขาจะพยายามมานั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ผมบอกตามตรงเลยว่ายังไม่สนิทใจพอที่จะทำอย่างนั้นต่อหน้าคนรักใหม่ของเขา (แม้ว่าโต๊ะวิทยากรจะมีที่นั่งพิเศษแยกไป ไม่ถึงขั้นจะพาคุณต่อพงษ์มากินด้วยกัน แต่ไม่เอาดีกว่า)

ตอนเย็นก็เช่นกันผมหลบเขาสำเร็จและแอบไปขนของตัวเองขึ้นที่พักที่ทางสัมมนาจัดไว้ให้ (เขาให้ทำตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว แต่ผมหลบไปมาเลยมาเช็คอินขอกุญแจไม่ทัน) ผมเดินไปขอกุญแจที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์สาวสวยของที่นี่ เธอบอกว่ารูมเมทของผมมารับไปแล้ว เธอเลยอาสาที่จะโทรศัพท์ไปเช็คที่ห้องว่ารูมเมทของผมยังอยู่หรือเปล่า

‘รูมเมท’ เออ! จริงสิมางานแบบนี้คงไม่สามารถนอนคนเดียวได้สินะ ผมหวังว่าจะได้รูมเมทดีๆ นะ หากได้คนแย่ๆมาอยู่ด้วย การมาสัมมนาครั้งนี้คงเป็นความทรงจำแย่ๆ ของผม

“คุณผู้ชายคะ รูมเมทของคุณอยู่ที่ห้องคะ เชิญขึ้นไปเก็บของได้เลยคะ ดิชั้นแจ้งกับคุณผู้ชายอีกท่านหนึ่งไว้ให้แล้วคะ ห้องอยู่ที่ชั้น 7 นะคะ ห้องเลขที่ 7069 คะ”
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีที่ให้บริการคะ” ประชาสัมพันธ์สาวสวยยิ้มหวานให้ก่อนจะกล่าวต้อนรับลูกค้าคนถัดไป ที่น่าจะเป็นกรณีเดียวกับผม

ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาจนถึงเกือบสุดทางเดินของห้องพักของโรงแรม ที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าที่คิด ผมหอบเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงห้องหมายเลข 7069

ผมเคาะสามครั้งตามมารยาท

“ขอโทษนะครับ ผมเป็นรูมเมทของคุณครับ”

มีเสียงตอบจากไกลพร้อมเสียงกุกกักเหมือนกำลังรื้อข้าวของในกระเป๋าอยู่ ระหว่างรอประตูเปิดผมสำรวจทางหนีไฟที่ปลายทางเดินซึ่งเป็นนิสัยของผม ที่สุดทางเดินไม่ไกลจากจุดที่ผมยืน กั้นผนังเป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลยามค่ำคืนที่คราคร่ำไปด้วยแสงไฟจากแหล่งท่องเที่ยวและรีสอร์ตต่างๆ รวมไปถึงดวงไฟสีเขียวระยิบระยับจากทางท้องทะเลสีดำมืดที่คาดว่าเกิดจากเรือประมง ผมหลงไหลทะเลมาก ไม่เคยเบื่อเลยที่มองเห็นมันไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

“เข้ามาสิ ให้ช่วยขนของไหม?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมเสียงเปิดประตู
“เอ!!” คนที่ผมอุตส่าห์หนีมาทั้งวันดันมาเป็นรูมเมทห้องตัวเอง

“มา!! เราช่วย” เอซึ่งอยู่สภาพเสื้อยืดบางๆ และบ๊อกเซอร์ลายทางก้าวออกมาหยิบกระเป๋าผมลากเข้าไปในห้อง
“เฮ้ยไม่ต้อง! เดี๋ยวนะ นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
“ก็เป็นรูมเมทนายไง”
“เออ รู้แล้ว หมายถึงนายไม่ไปนอนกับอาจารย์ต่อพงษ์รึ?”
“อ้อ! พี่ต่อ พวกวิทยากรเขาจัดให้พักอีกโรงแรมหนึ่งน่ะ ที่หรูๆ ตรงนั้นไง” เอพูดพลางทำท่าชี้ไปทางระเบียงห้องที่เปิดผ้าม่านอยู่ตอนนี้
“แล้วทำไมไม่ไปนอนกับเขาล่ะ” ตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้วแต่พยายามทิ้งระยะห่าง
“มันดูไม่ดีที่จะให้ผู้ติดตามไปอยู่ด้วยน่ะ เราเลยขอพี่ต่อแกมานอนร่วมกับคณะผู้ร่วมงานสัมมนา” เอยักไหล่ใหญ่ๆ ของเขาหนึ่งครั้งเบาๆ
“………” ผมมองสภาพห้องที่เป็นเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่ที่พอจับมันมาอยู่ตรงกลางแบบนี้ทำให้ดูห้องแคบลงไปมาก มันดูไม่สมส่วนกับขนาดของห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกระทัดรัดแบบนี้ อยากเห็นหน้าคนออกแบบห้อง แต่ตอนนี้อยากเห็นหน้าคนจัดคนสัมมนาลงในแต่ละห้องก่อน
“หากไม่สบายใจ เรานอนพื้นได้นะ เดี๋ยวเอาผ้ามาปูนอน”
“ไม่เป็นไร นอนข้างบนก็ได้ เราไม่ถือ!” ผมใส่น้ำเสียงประชดเล็กน้อยลงที่ปลายประโยค กับท่าทีที่ดูเป็นมิตรเกินไปของอีกฝ่าย
“ดีเนอะ เราจะได้นอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน” เอนั่งบนเตียงแล้วหันมายิ้มให้
“……….” ผมไม่คิดจะตอบประโยคบอกเล่าเชิงคำถามนั่น ใครจะไปยินดีกับการนั่งนึกเรื่องดีๆ ที่เรามีให้กันในขณะที่ไอ้คนพูดมันทำผมเจ็บปางตาย
“เราช่วยจัดของไหม?” เอมองผมขณะที่ผมหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาเปิดเพื่อจัดของบนเตียง
“ไม่เป็นไรเราทำเองได้” ผมยกมือขึ้นปรามและแสดงสีหน้าที่เขาน่าจะรู้ว่าควรเชื่อสิ่งที่ผมพูดจะดีกว่า เขาน่าจะคุ้นเคยดี
“โอเคๆ” กล่าวเอ่ยขึ้นพร้อมล้มตัวลงนอนพิงหัวเตียงและมองปมทำนู่นนี่ด้วยสายตาอมยิ้ม
“ใครทำเรื่องจัดห้องพักวะเนี่ย?” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ ด้วยความหงุดหงิดระหว่างระบายของออกจากกระเป๋าและนำมาเก็บเรียงใหม่ตามโต๊ะและตู้ของห้องพัก
“อ้อ.. บังเอิญเรารู้จักคนดูแลเรื่องการจัดที่พักน่ะ เลยไหว้วานเขานิดหน่อย”
“………” ผมหยุดทำทุกอย่างและมองหน้าเขาด้วยความทึ่งปนหงุดหงิด
“นายยังเรียบร้อยเหมือนเดิมเลยนะ”
“นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?”
“ก็คิดถึงเพื่อนน่ะ คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ”
“แต่เราว่ามันเร็วไป ที่จะสนิทสนมกันเหมือนเดิมหลังจากเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด”
“นายยังไม่หายโกรธเราจริงๆ ด้วย”
“ไม่โกรธแล้ว!!  แต่…….แค่… ยังทำใจไม่ได้” ผมจะเสียงแผ่วไปเพื่ออะไรวะ?!
“งั้น เราขอโทษนะ วันนี้คงเปลี่ยนห้องไม่ทันแล้วล่ะ งั้นพรุ่งนี้เราจัดการให้นะ”
เอมีสีหน้าซีดลง ความร่าเริงเมื่อครู่เหมือนภาพลวงตากลางทะเลทรายเลย มันหายวับไปกับตาทำเอาผมใจหายไปด้วยกับภาพตรงหน้า ผมไตร่ตรองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพิสูจน์ให้เอเห็นว่าผมเองก็เติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อน พิสูจน์ว่าเรื่องแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้ ผมเป็นมืออาชีพพอที่อยู่ร่วมกับเขาได้ในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พิสูจน์ให้เห็นว่าผมอยู่เหนือเขาได้แล้ว
“ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง เราอยู่ได้ โตๆ กันแล้ว ควรจะแยกแยะได้ อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ขอบใจนะ” เหมือนเอจะแอบยิ้มที่มุมปากครู่หนึ่งแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมขอตัวไปอาบน้ำเพื่อนอนเอาแรงสำหรับเนื้อหาในวันรุ่งขึ้นดีกว่า

ผมนอนพลิกไปมาในความมืด ขวาก็เจอขอบเตียงและตู้เสื้อผ้า ซ้ายก็เจอหมอนอิงตามโซฟาที่ผมเอากองกั้นพื้นที่ระหว่างผมและเอ ถึงจะปากเก่งยังไงผมก็กลัวถ่านไฟเก่ามันจะคุได้หากใกล้ชิดกันเกินไป ผมรู้สึกถึงสัมผัสมือที่ไล่ลามขึ้นมาทางฝั่งขวามาจับที่แขนผม ผมลืมตายกหัวขึ้นมองเห็นเอนอนหันหลังให้ผมอยู่ อ้าว!! แล้วนี่มือใครล่ะเนี่ย ความกลัวขึ้นมาครอบงำจิตใจของผมทันที แย่แล้ว!! หรือเพราะผมรีบร้อนไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน หรือว่าผมกำลังจะเจอสิ่งลี้ลับของที่นี่เข้าจู่โจมเสียแล้ว แต่ผมยังคงขยับตัวได้ ผมฝืนใจตัวเองหันไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้นั่น สิ่งที่ผมเห็นคือหน้าของหลงที่ยิ้มมาให้ผมด้วยสายตาหื่นกระหาย เขาโถมตัวเองลงมาเบียดผมที่เตียง ใช้มือลูบคลำร่างกายผมเท่าที่เขาต้องการ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ผมไม่สามารถขยับตัวได้แล้ว มือของหลงกำลังไล่ลงตำ่เรื่อยๆ จนไล่ไปถึงใต้กางเกงนอนขายาวผ้าฝ้ายของผม มือถูกสอดลงไปช้าๆ จนผมรู้ถึงนิ้วทุกนิ้วของเขาที่ค่อยไล่คลำทุกส่วนลำของผม ร่างกายเจ้ากรรมก็ดันตอบสนองได้ไม่ตรงกับใจที่ปฏิเสธเต็มที่ ผมขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ส่งเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมเตียงแต่ไร้วี่แววที่เขาจะรู้สึกตัว หน้าที่หื่นกระหายของหลงยังลอยวนเวียนที่หน้า ผมรู้ว่าแม้หน้าตาจะเป็นหลงแต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป รู้สึกอัดอัดไม่ชอบและรังเกียจ

แฮ่กๆๆๆๆๆ ผมลืมตาภายใต้ความมืดของห้องพักในโรงแรม  รู้สึกตัวเองอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา 2 ชั้น ภาพใบหน้าของหลงหายไปแล้ว ผมถอนหายใจยาวๆ กับตัวเอง ‘ฝันเหรอเนี่ย?’ ผมพูดกับตัวเอง

“อ๊า…..”

อยู่ๆ ผมก็ร้องเสียงที่น่าอายออกมาจาการรู้สึกถึงสัมผัสจากความฝันมันยังคงอยู่  ผมรู้สึกถึงมือหยาบใหญ่กำลังลูบไล้ ลูบคลำรอบๆ บริเวณหน้าอกและไล่ขึ้นลงที่ช่วงล่างสลับกัน ผมมองรอบๆ ทันที หมอนที่กั้นอยู่อันตธานหายไปแล้ว  เพื่อนร่วมเตียงหายไป มีแต่เงาตะคุ่มๆ ในผ้าห่ม ผมเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงชายร่างกำยำในสภาพกอดก่ายร่างกายผมอย่างไม่เกรงใจ เขาสัมผัสทุกส่วนที่ผมคิดว่าเขาไม่ควรสัมผัส หากนี่เป็นการละเมอ ผมว่าอาการมันจะหนักเกินไป ผมรีบผลักเอออกจากร่างผมทันที

“โอ้ย!!!”
“ทำอะไรนะ?”
“ขอโทษนะ เราเห็นนายแล้วมันคิดถึงน่ะ เราอดใจไม่อยู่”
“ก็เลยมาลักหลับเรา?”
“เห็นนายไม่ปฏิเสธที่จะนอนห้องเดียวกันนึกว่า.... เรานึกว่ายังอยากเป็นเหมือนเดิม” ผมฟังประโยคนี้แล้วนึกโกรธตัวเองที่ร่างกายดันตอบสนองอย่างดี ตอนนี้มันยังไม่สงบเลย หัวใจก็ยังเต้นรัวไม่หยุด
“ไหนนายบอกกับเราว่า….”
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราผิดเอง เราผิดเองที่ห้ามใจไว้ไม่ได้”
เอรีบตัดบทผม
“……..” ผมแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้าจนผมรู้สึกว่าคิ้วผมคงพันกันยุ่งไปหมด
“เราขอโทษ นอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“ก็ได้ แต่วันนี้นายลงไปนอนข้างล่างก่อน จนกว่าเราจะหายโกรธ”
“โหย… เราขอโทษ เรานอนไม่หลับแน่ๆ สาบานว่าจะไม่ทำแล้ว” เขายืนขึ้นยกนิ้วขึ้นสามนิ้วสัญญาเหมือนลูกเสือสามัญ แสงจากภายนอกทำให้เห็นเอในชุดนอนของเขาชัดเจนระดับหนึ่ง จากระดับสายตาของผมดันไปจ้องตรงเสาธงกลางลำตัวเอที่ดันกางเกงขึ้นมาจนตึงเห็นหน้าตาน้องชายของเขาชัดเจน

“เออๆๆ  พอเลย นอนเถอะ ง่วงจะแย่สัญญาแล้วนะ” ผมสบัดทิ้งตัวลงนอนทันทีและกระชากผ้าห่มมาคลุมตัวนอนนิ่งๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ทำตาม เขายอมนอนนิ่งๆ จนผมวางใจหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลีย ก่อนที่สติจะหลุดเข้าไปในความมืดของห้วงนิทรา หน้าของหลงลอยมาในหัวผมรู้สึกคิดถึงเขาขึ้นมาทันที รู้สึกผิดที่หนีเขามาแบบนี้และอยากให้เขามาอยู่ใกล้ตรงนี้จัง

…………………………...
เดี๋ยวกลับมามีต่อนะ ตรวจคำผิดไม่ไว้แล้วตอนนี้ยาวอ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบ part 4 (อัพ 8/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-10-2017 09:00:16
(ต่อ)

ผมตื่นก่อนเสียงมอร์นิ่งคอลดังขึ้นปลุกเสียอีก เพราะการไม่มีความสุขในการนอนนี่แหละ ผมหลับไม่สนิทตลอดคืน เพราะไอ้คนหื่นที่มันนอนข้างๆ นี่แหละ ผมรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จก่อนที่เอจะตื่น เตรียมของให้เรียบร้อยและรีบเดินออกจากห้องทันที โชคดีที่ห้องอาหารของที่นี่เปิดให้กินอาหารเช้าแล้ว ผมเลยพาตัวเองไปนั่งหาอะไรเข้าท้องไปเรื่อยๆ รอเวลาอบรม

ณ เวลานี้ยังไม่มีใครมาถึงห้องอาหารเลย ผมเลยใช้เวลากับสมาร์ทโฟนตรงหน้าอย่างเต็มที่ก่อนที่จะไม่ได้ใช้ในช่วงสัมมนา ผมเปิดเฟซบุ๊คนั่งไล่ดูไทม์ไลน์ของเพื่อนๆ และมือก็เผลอไปกดที่ค้นหา หลง มังกร อย่างไม่ตั้งใจ ในหน้าฟีดของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวๆ ใด เหมือนไม่ได้อัพเดทอะไรเลยนับตั้งแต่ที่พาเขาไปเลี้ยงช่วงอ่านหนังสือสอบ (ไอ้ร้านชาบูคนล้นนั่น)   ผมปิดแอปพริเคชั่นนั่นและเปิดแอปพริเคชั่นไลน์ต่อเพราะมีตัวเลขขึ้นที่มุมขวาบนของแอปฯ นั่นหลายร้อยแสดงอยู่

ข้อความมากกว่า 30 ข้อความมาจาก Long_Mungkorn นี่ขนาดให้อ่านหนังสือสอบยังมีเวลาไลน์มาหาขนาดนี้ ผมกดเข้าไปดูก่อนอย่างไม่ลังเลด้วยความเคยชิน เป็นข้อความเลี่ยนๆ ของเด็กมัธยมใจแตก ผมยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้ากับข้อความเหล่านั้น ช่วงนี้ผมเหมือนคนบ้าที่ยิ้มให้กับโทรศัพท์บ่อยๆ แต่ผมไม่ตอบกลับไปหรอกนะ เพราะผมเคยบอกแล้วว่าตั้งใจสอบก่อน อย่าเอาเวลามาเสียกับเรื่องพวกนี้ นับจากนั้นผมก็ไม่เคยตอบข้อความเขาหรือแม้แต่รับสายจากเขาเลย (อ่านอย่างเดียว) แต่ถึงอย่างนั้นหลงก็ตื้อที่จะเขียนข้อความมาทักทายและเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทั้งวัน (ทีเรื่องแบบนี้ขยันเชียว)

ส่วนตัวเลขอื่นๆ มาจากกลุ่มเพื่อนๆ สมัยเรียนและ ไอดีที่ผมไม่คุ้นที่ส่งมาเกือบสิบข้อความ ส่วนใหญ่ส่งเป็นสติ้กเกอร์ ผมอ่านไปที่ข้อความล่าสุดที่ส่งมา

The Cloud: “ไปแล้วเหรอ? อยู่ไหนเนี่ย?”
The Cloud: สติ้กเกอร์กระต่ายร้องไห้
The Cloud: สติ้กเกอร์หมีร้องไห้
The Cloud: สติ้กเกอร์หมีเศร้า
และอื่นๆอีกมากมาย

‘ใครวะ? รูปก็ไม่มี’ ผมคิดในใจ
“อยู่นี่เอง” เสียงคุ้นหูจากด้านหลังดังขึ้น
“…….” ผมหันไปทางต้นเสียง พบชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศเหมือนวันแรกที่ผมเจอเขาแต่เป็นตัวใหม่อีกสีหนึ่งวันนี้มาชุดสีน้ำตาลเข้มสไตล์เวอร์ซาเซ่ เขาเอามือแตะไหล่ผมและลงนั่งข้างๆ
“ทำไมลงมาเร็วจัง กลัวเราปล้ำตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไง”
“…………” เออใช่! เป็นคำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาแต่ผมได้แต่นิ่งเฉยกับคำถามทั้งหลายที่ถาโถมเข้ามาต่อจากนั้น  สุดท้ายผมทำไม่สนใจและสนุกกับการอ่านไลน์ของหลงต่อ (เมื่อวานเขียนมายาวมาก) เอบอกกับผมว่าจะไปหาอะไรกินก่อนแล้วเดินหายไป

ครึ่ดๆ

เสียงโทรศัพท์สั่นบนมือผมทำให้ผมตกใจเล็กน้อย ที่มุมบนมีกล่องแสดงข้อความใหม่แสดงให้เห็น จากคนที่ชื่อ ‘The Cloud’  อีกแล้ว ผมสัมผัสกล่องข้อความนั่นโดยอัตโนมัติ


The Cloud: “เดี๋ยวนี้ติดโทรศัพท์เป็นเด็กเลยนะ”

แล้วก็มีรูปผมกำลังก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนจอใหญ่สีแดงอย่างตั้งใจอยู่ต่อจากข้อความนั้น

นี่มันรูปเวลานี้เลยนี่ ผมมองไปรอบๆโต๊ะอาหารทันที ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากินมื้อเช้าแล้ว แต่ที่สะดุดตาผมคือ เอที่ถือโทรศัพท์และหัวเราะมาทางผม

“นายนี่เอง!!”
“ใช่ เราเปลี่ยนเบอร์และแอคเคาท์ในไลน์แล้ว ถึงไม่เห็นรูปโปรไฟล์แต่เห็นชื่อก็น่าจะเดาออกบ้างนะ”
“The Cloud เนี่ยนะ?!”
“ชื่อเราไง วาริธร แปลว่า เมฆ”
“!!!” นั่นสิผมลืมไปเลย
“อย่าบล็อกเราเลยนะ เรามาอย่างสันติจริงๆ” เขายิ้มเรียบๆแสดงความจริงใจด้วยใบหน้าจริงจัง
“โอเค ทีหลังก็ทักก่อนสิว่าเป็นใคร เราไม่ค่อยแอดรับใครใหม่นะ” ผมใจอ่อนกับรอยยิ้มนั่นทุกครั้ง

ความจริงผมก็ใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ไอ้ไลน์อะไรเนี่ย ทุกวันนี้ที่รู้จักการเพิ่มรูป เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ก็เพราะหลงนี่แหละ ส่วนบล๊อกเนี่ยรู้สึกจะจำไม่ได้แล้ว

“เออ เราลืมไปเราขอโทษ”
“รู้สึกได้ยินคำนี้บ่อยจังช่วงนี้” ผมแขวะเขาก่อนจะเดินจากไป ลงทะเบียนสัมมนาตอนเช้า ผมไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้ มันทำให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมา และ ผมก็เริ่มพูดกับเขามากขึ้นเหมือนเดินโดยไม่รู้ตัว

วันนี้ที่งานสัมมนานอกจากจะพยายามยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในหัวที่เบาหวิวจากอาการนอนน้อยของผมแล้ว ช่วงเที่ยงผมยังต้องคอยหลบเอที่พยายาม จะตามมาอยู่กับผมทุกครั้งที่มีโอกาสจนกระทั่งช่วงเลิกสัมมนาในเย็นวันนี้ เขาเหมือนจะรู้ว่าผมควรจะหลบออกมาทางไหน เขารู้จักผมดีเกินไป เป็นอีกครั้งที่ผมหลบเขาไม่พ้น

“เหนื่อยหน่อยนะวันนี้เลิกเสียดึกเลย”
เอพูดขึ้นขณะเดินตามผมมาติดๆ ในขณะที่ผมเดินก้าวเท้าอย่างเร็วเพื่อไปขอกุญแจห้องพักที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะได้เข้าห้องก่อนเอ แต่อนิจจา…. คนเข้าคิวกันยาวเลย ทุกคนคงรู้สึกเหมือนกันคืออยากพักผ่อนกันแล้ว เพราะขนาดมื้อเย็นที่จัดให้ยังมีเวลากินกันเพียงครึ่งชั่วโมงเพื่อกลับเข้ามาเก็บเนื้อหาให้จบในช่วงท้าย พรุ่งจะได้สามารถเลิกตรงเวลาได้ (พรุ่งมีเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งวัน)

ผมมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเองที่เข็มสั้นเดินทางล่วงเลยมาค่อนมาทางเลข 9 แล้ว ผมถอนหายใจว่าถ้าวันนี้เป็นวันทำงานผมจะทำอะไรอยู่นะ จะยังออกตรวจอยู่ไหม? หรือว่าตอนนี้กำลังขับรถไปส่งหลงที่บ้าน ความคิดล่องไปไกลจนกระทั้งตัวผมเองเดินมาถึงหน้าเคาเตอร์แบบไม่รู้ตัว

“ห้องเบอร์อะไรคะ?”
“เอ้อ…อ้อ.. 7069 ครับ” ผมหลุดออกจากห้วงความคิดตัวเองอย่างกระทันหันเลยตอบไปแบบลิ้นรัว
“…ฮิฮิ…. เหม่อแบบนี้คิดถึงแฟนหรือคะ? นี่กุญแจห้องคะ” สาวสวยที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เคาเตอร์ หัวเราะเบาๆ กับท่าทีของผมและแอบแซวจนผมไม่กล้ามองเธอ
“แฟนก็ยืนอยู่นี่แล้วไง!” เสียงดังจากทางด้านหลัง ทำให้เจ้าหน้าที่สาวด้านหน้ายิ้มปิดปากอย่างเขินอาย เอที่ยืนกล้ามแน่นในชุดหรูหล่อยืนยิ้มให้ผมอย่างมีเสน่ห์

“อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ!”
ผมดุตาเขียวกลับไป มันเป็นคำพูดประเภทที่เขาชอบใช้เวลามีคนมาจีบผมหรือมาวอแวกับผม ผมรับกุญแจและเดินสาวเท้าด้วยความเร็วเพราะอายกับเหตุการณ์ที่เกิด เอพูดเสียงจนทั้งล้อบบี้น่าจะได้ยินจนหมด

ผมเดินไปถึงลิทฟ์ที่คนกำลังทยอยเข้าไปจนเกือบเต็ม ผมใช้ความพริ้วของผมแทรกตัวเข้าไปเป็นคนสุดท้ายพอดี เอที่เดินตามมาเลยต้องสะดุดด้วยสีหน้าผิดหวัง ผมแอบยิ้มที่มุมปากเล็กๆ

ในลิทฟ์ที่แน่นเนืองไปด้วยผู้มาสัมมนา ด้วยความที่แทรกตัวเข้ามาโดยไม่ได้มองสภาพแวดล้อมทำให้ผมรู้สึกอึดอัดกับท่าที่ผมยืนอยู่ ผมขยับตัวเล็กน้อยจนเผลอไปเหยียบเท้าคนๆหนึ่งในลิทฟ์ที่ยืนติดกันอยู่

โอ้ย!!!

เขาร้องเสียงหลง

“ขอโทษครับ”
ผมพูดขอโทษพร้อมกับมองคนที่ผมเหยียบไป เป็นชายร่างสูงสัก180กว่า (สูงมาก) หน้าตาดีเหมือนหลุดออกมาจากแม็กกาซีน  เขาห้อยป้ายชื่อเหมือนผมเลยเดาว่าน่าจะเป็นวิชาชีพเดียวกัน ผมยิ้มให้และเผลอมองไม่ละสายตา เขาเองก็ยิ้มกลับมา
“ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“มาสัมมนาเหมือนกันหรือครับ?” ผมหลุดถามไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว ตัวก็ชิดกันเพราะลิทฟ์มันค่อนข้างแน่น
“อืม..ครับ เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย เหนื่อยจนอยากลาออกไปขายข้าวแกง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขนาดนั้นเลย” เขาก็หัวเราะตามผมเบาๆ รอยยิ้มของเขาช่างดูคุ้นเคย เหมือนหลงมากๆ เวลาเล่นมุกเสี่ยวแบบนี้
“โอ้ย!! คุณทำอะไรน่ะ” คู่สนทนาของผมอยู่ๆ ก็ร้องขึ้นมาและหันไปคุยกับคนที่ตัวเล็กกว่าอีกข้างหนึ่งของเขา

“โอเคครับๆ ไม่คุยในลิทฟ์ก็ได้ครับ”
“……โอ๊ะ…” คงร้องเพราะโดนหยิกที่ท้องอย่างแรง (จากมุมที่ผมยืนอยู่ได้แต่เดาเอา) เลยทำให้เขาสะดุ้งถอยมาปะทะผม
“ขอโทษนะครับ แฟนผมดุ”
“……เอ่อ. ไม่เป็นไรครับ……” ผมได้แต่ยิ้มตอบไป มีแฟนอย่างเขาเป็นผมก็คงต้องหวงแหละ
“ถึงแล้วไปก่อนนะครับ” แล้วเขาก็ลากผู้ชายตัวเล็กกว่าที่ดูบอบบาง ใส่เสื้อผ้าลำลองเข้ากับสีผิวที่ขาวละเอียด หน้าตาหวานๆ น่ารักๆ ออกไปจากลิทฟ์ ท่าประสานมือที่นิ้วประสานกันนั้น ช่างดูอ่อนโยนลึกซึ้ง เห็นแบบนี้แล้วทำให้ผมชักอยากมีความกล้าหาญได้แบบนี้มั่งจัง

ไม่นานผมก็มาถึงจุดหมาย ผมไขประตูเข้าห้องพร้อมวางแผนที่เอาตัวรอดในคืนนี้กับหมาป่าที่หื่นกระหายอย่างเอ ที่พร้อมจะมาหาเศษหาเลยกับแฟนเก่าอย่างผมตลอด ผมไม่เข้าใจความโลภมากของเขาเลย

…………………..

เช้าวันนี้ผมตื่นมาด้วยความภูมิใจในตัวเองที่สามารถแก้ปัญหาเมื่อคืนไปได้อย่างดี ผมใช้วิธีขอเตียงเสริมมา (เพิ่มเงินเองนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหา) อยากดัดนิสัยที่เอาแต่ได้ของเขา ผมหยิบปืนไฟฟ้าเข้าข่มขู่เขาตอนก่อนจะนอน (เรื่องอุปกรณ์ป้องกันตัวมันติดเป็นนิสัยเวลาออกต่างจังหวัด) ซึ่งก็ได้ผลดี เมื่อเราต่างคนต่านอนบนเตียงขอเรา ถึงแม้ผมจะแอบนอนไม่หลับเวลาเขาขยับตัวหรือลุกไปห้องน้ำ ผมมองตามการเคลื่อนไหวของเขาและกำอาวุธแน่น  ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนถึงเช้า

เมื่อคืนวุ่นวายจนผมไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย เช้านี้ผมเลยจัดการหยิบขึ้นมาอ่านเสียหน่อย ผมต้องตกใจว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากหลงอยู่จำนวนหนึ่ง

“โทรมาหาทำไม?” ผมรำพึงกับตัวเอง
อ้อ!!! เมื่อวานวันศุกร์! วันสอบวันสุดท้าย!!
เขาคงโทรศัพท์มาหาตามข้อตกลงของเราว่าให้โทรศัพท์หาผมได้หากสอบเสร็จ

แต่ก็แปลก!!!  ที่ไม่ได้มีข้อความอะไรจากเขาเลย มันเงียบเกินไป การที่ผมไม่ตอบเลยมันน่าจะทำให้เขาหงุดหงิดจนน่าจะโทรศัพท์มาซ้ำๆเป็นร้อยจนกว่าผมจะรับสาย หรือส่งข้อความมาทุกเส้นทางเพื่อให้ผมตอบสนองบ้าง

ผมรู้สึกกระวนกระวายจนมื้อเช้าวันนี้ไม่อร่อยเหมือนเมื่อวาน
 ‘หรือเขาจะรู้เรื่องที่ผมหนีมาสัมมนาแล้วไม่บอกเขาแล้ว…. คงจะโกรธ…..’ ตอนนี้ในหัวผมคิดไปร้อยแปด แต่คงต้องจดจ่อกับการสัมมนาที่เหลือก่อน ผมรวบรวมสมาธิและไปที่ห้องสัมมนาทันที

วันนี้เป็นวันที่สงบสุขกว่าทุกวันเพราะไม่มีคนมาตามวอแวแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สงสัยจากที่ผมเล่นบทโหดไปเมื่อวานทำให้เอไม่กล้ามายุ่งกับผมแล้ว ผมภาวนาให้การสัมมนาภาคเช้านี้เสร็จเร็วกว่ากำหนด ผมจะได้รีบบึ่งกลับไปเคลียร์ปัญหาที่คาใจอยู่ให้หายไป

แต่….โชคไม่เคยเข้าข้างผมเลย กว่ากล่าวปิดการสัมมนา พิธีการพูดคุยทักทายหลังการสัมมนา กว่าจะเรียบร้อยก็ใช้เวลาไปเกือบบ่ายสาม (เข้าใจแล้วที่ตอนเช้า เจ้าหน้าที่จัดงานแจ้งให้เก็บสัมภาระลงกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนลงมา เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเลิกช้า)

ผมรีบวิ่งไปที่ล้อบบี้เพื่อหากระเป๋าที่ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมนำลงมาเรียงไว้ให้ สำหรับคนที่ต้องการเดินทางกลับเลย แต่สำหรับบางห้องที่ต้องการที่จะพักต่อโดยการออกค่าใช้จ่ายเองก็จะไม่ได้นำลงมา ซึ่งผมได้ยินจากหน้าห้องสัมมนาที่มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมายืนประกาศแจ้ง

ผมเดินวนหากระเป๋าแซมโซไนท์สีเงินใบใหญ่ของผมอยู่สองรอบก็หาไม่เจอ

“ไม่ทราบว่า กระเป๋าของห้อง 7069 อยู่ไหนครับ?” ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลกระเป๋าอยู่
“อืม…. ห้อง 7069…. 7069…” เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบคลิปชาร์ตขึ้นมาพลิกแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ที่หนีบอยู่สองสามรอบ
“รู้สึกห้องนี้จะขออยู่ต่อนะครับ ทางเราเลยไม่ได้เอากระเป๋าลงมาครับ และไม่มีการแจ้งให้ขึ้นไปเก็บกระเป๋านะครับ”
“อ้าว.. เหรอครับ โอเค สงสัยเพื่อนพี่คงอยู่ต่อ เดี๋ยวพี่ไปเอากระเป๋าเอง” ผมรีบผละออกจากจุดนั้นวิ่งไปขึ้นลิทฟ์ทันที ผมเองก็ไม่อยู่เห็นว่าเอได้เก็บของหรือเปล่าในช่วงเช้า เลยไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ต่อ และวันนี้สมองผมก็วุ่นวายจนลืมเรื่องกระเป๋าไปชั่วขณะ

ในที่สุดผมก็ถึงหน้าห้อง 7069 เสียทีด้วยท่าทีที่หอบจนแทบหายใจไม่ออก ไม่เคยรีบขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ขณะที่ผมกำลังจะเคาะประตูห้อง (คิดว่าเอน่าจะอยู่ ตอนขึ้นมาก็ไม่ได้โทรเข้าห้องก่อน) อยู่ก็มีมือๆ หนึ่งจากข้างหลังมาจับมือผมไว้และโอบกอดทางด้านหลังอย่างร้อนแรง

“เฮ้ย!!” ผมร้องสุดเสียงทั้งที่ยังคงหอบอยู่
“อย่าร้องสิ!” คนที่โอบรัดผมอยู่พูดข้างๆหู
“เอ!!! ทำอะไรน่ะ?”
“ก็ทำอย่างที่อยากทำมาตลอดสองสามวันนี้ไง!!”
“จะบ้าเรอะ!! นี่มันกลางทางเดินเลยนะ” ผมพยายามดิ้นรนแต่แรงที่ยังเหลืออยู่น้อยนั้นสู้เอไม่ได้เลย
“งั้นเราไปทำกันต่อในห้อง” เขาขยับตัวนิดหน่อยตัวผมก็เคลื่อนไปจนเกือบชิดประตูห้อง
“ไม่เอาโว้ย!! ไอ้บ้า” ผมพยายามแกะมือที่พัวพันผมอยู่ให้ออกไปในขณะที่ต้นคอของผมก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่ถูไถและลมหายใจอุ่นๆ ที่พุ่งเข้าใส่อย่างเป็นจังหวะเหมือนเครื่องจักรไอน้ำ
“เอาน่า เรารู้ว่าเอิร์ธเองก็ต้องการ”
“ไม่เอา!! ไม่ต้องการโว้ย ถามจริงๆ นายเป็นอะไรของนายวะ เราก็เลิกกันแล้ว แฟนนายก็มีแล้ว พี่ตงพี่ต่ออะไรของนายนั่น”
“อย่าพูดถึงเขาเลยนะ”
ผมรู้สึกว่าเขาค่อยๆ คลายมือไปนิดหน่อยหลังจากได้ยินชื่อแฟนใหม่ของเขา วินาทีนั้นผมรวบรวมกำลังทั้งหมดสลัดเขาให้หลุดและผลักเขาไปชนผนังอีกฝั่ง เขาถึงนั่งลงไปพับกับพื้น (นี่ผมแรงเยอะขนาดนั้นเลย!!

“เป็นอะไรไหม?”

เขาก้มหน้าลงไปหัวเราะเบาๆ เหมือนคนเสียสติ

“นายนี่เป็นคนดีเสมอเลยนะ ขนาดเราทำร้ายนายขนาดนี้ นายยังจะเป็นห่วงเราเลย”
“…..........” ผมเดินเข้าไปใกล้ เพื่อสำรวจความเสียหายจากการใช้แรงสุดแรงเกิดของผม ผมสัมผัสที่ไหล่เขาเบาๆ แบบกล้าๆกลัวๆ ด้วยมือที่สั่นเทา
“เราคิดถึงนายว่ะ คิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน มันดีมากๆ เลยรู้ไหม?”
“…………..” ผมได้ยินประโยคนี้ถึงกับทำให้กำแพงในใจผมสั่นคลอน ผมรู้สึกถึงความเสียใจของเขาแผ่ออกมา

“รู้ไหม เวลาอยู่กับนาย เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกอิสระ รู้สึกถึงความรักที่ไม่ยึดติด แต่เราก็คงต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่เราเลือกสินะ เราคิดว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ แต่ไม่นึกว่าพี่ต่อเขาจะเป็นคนแบบนี้ เชื่อไหมเราไม่มีความสุขเลย แรกๆทุกอย่างก็ดี แต่หลังๆ มานี่เราถูกขีดเส้น กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ว่าต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น แม้แต่เรื่องแต่งตัวผมยังไม่มีสิทธิ์เลือกเลย…..”

เขาระบายออกมาเยอะเสียจนผมตามไม่ทัน

“เราอยากกลับมามีความรู้สึกเหมือนเดิม……ขอโทษนะที่เราอาจจะทำเกินไป เราเห็นนายแล้วความรู้สึกเก่าๆ มันหวนคืนมา เลยคิดว่า หากเรากับนายกลับมาเป็นเหมือนเดิม มันก็คงจะดี……”

“แต่นายก็ดูมีความสุขดีนะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“ใช่!! มันเลยกลายเป็นว่า เราก็ติดนิสัยพี่ต่อมาคือ เราอยากได้อะไรก็ต้องได้!”
อยู่ๆ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนไป ดูเข้มขึ้น แล้วเขาก็จับแขนผมดึงลงไปหาเขาจนผมเสียหลักลงไปนั่งคุกเข่า มืออีกข้างที่มีเหมือนผ้าเช็ดหน้าวางอยู่ประกบลงที่ปากและจมูกของผม กลิ่นยาที่ฉุนฟุ้งขึ้นมาจากจมูกจนถึงตา หรือนี่คือยาสลบ!! ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากวงแขนของเอที่โอบรัดเข้ามารอบอก แต่กำลังของผมอยู่ๆ มันแห้งเหือดไป เหมือนน้ำในบ่อกลางทะเลทราย ปลายแขนขาของผมเริ่มชา ผมรู้ดีเลยล่ะว่ามันจะเป็นยังไงต่อ อีกไม่นานผมจะช่วยตัวเองไม่ได้และสติจะค่อยๆ หายไป ผมไม่รู้ว่ายาที่เอเอามาใช้มันเข้มข้นแค่ไหน ผมรู้แต่ว่าผมแย่แน่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับผมบ้าง

“ไม่ต้องห่วงนะ นายจะยังรู้สึกทุกอย่างที่เราทำร่วมกัน อีกชั่วโมงเดียวก็หายแล้ว เราอยากกลับมามีความรู้สึกเดิมๆ อีกครั้ง อยากกลับมาเป็นคนควบคุมทุกอย่างอีกครั้ง!! มาเป็นของผมนะครับ”

ผมรู้สึกตัวลอยสูงขึ้น ภาพทั้งหมดที่ปรากฏดูเลื่อนลอย เหมือนอยู่ในความฝัน ผมลอยออกจากจุดเดิมโดยยังมีรอยยิ้มของเอวนเวียนอยู่ใกล้ตัว เขาจับผมมาพิงกับประตูห้องใช้มือพยุงผมให้ยืนประจันหน้ากับเขา เขากดริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของผม ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับใบหน้าและปากของผมอย่างดูดดื่ม ลิ้นที่อุ่นชุ่มสำรวจอวัยวะทุกอย่างที่อยู่ในปากของผมอย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผมคุ้นเคยอยู่บ้างในอดีต แต่ไม่เคยรู้สึกน่ารังเกียจแบบนี้เลย ลมหายใจของผมเริ่มขาดห้วงจากการที่หาช่องทางหายใจได้ลำบาก แม้จะหมดเรี่ยวแรงและชาด้านที่ปลายประสาทสัมผัสต่างๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงทุกสัมผัสของเอที่ใช้ทุกอย่างของเขาพยายามล่วงเกินผมในทุกส่วน

ผมถูกดันติดประตูไม้สีเทาเข้มของโรงแรมท่ามกลางโถงทางเดินที่ไร้ผู้คน

“เล้าโลมกันตรงนี้ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบนะ นายอยากจะเสร็จด้วยกันก่อนตรงนี้ไหม?”
“…….” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมพยายามปฏิเสธ แต่ด้วยอาการของผมตอนนี้ แค่แสดงออกทางสีหน้ายังทำได้ลำบาก ยิ่งในขณะที่เอพูดอยู่มือข้างหนึ่งของเขาก็ล้วงเข้าไปกางเกงผมคลำคลึงกับเนื้อหนังที่จุดยุทธศาสตร์ของผมอย่างเร้าร้อน
ไอ้ที่ผิดก็คือผมดันค่อนข้างตอบสนองกับสิ่งเร้านั้นด้วย ร่างกายผมเริ่มร้อนผ่าวไปหมด ในหัวผมเบลอจนตั้งสมาธิในสมองจนคิดอะไรไม่ได้เลย ผมพยายามนึกให้ออกว่าผมโดนยาอะไรอยู่ แต่เกิดความว่างเปล่าขึ้นแทน เหมือนพยายามหาเนื้อหาอะไรในหนังสือแต่กลับเจอแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ

เอจับผมหันหลังปะทะกับประตู ใช้มือข้างหนึ่งดันหลังผมให้พอทรงตัวอยู่ได้ ใช้มืออึกข้างพยายามเอื้อมมาปลดกางเกงผม เริ่มจากเข็มขัด ปลดตะขอ รูดซิบลง ปลดกางเกงร่นลงไปเรื่อยๆ ขั้นตอนทั้งหมดความรู้สึกของผมมันเหมือนภาพช้าๆ คล้ายภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เคยดู มันทรมานที่ไม่สามารถโต้ตอบได้ ผมพยายามลองกำมือดู แต่ก็ทำได้แค่ประคองนิ้วมารวมกันที่กลางกำปั้นได้อย่างหลวมๆ

‘ใครก็ได้!! ช่วยด้วย’ ผมคิดในใจ ภาวนากับสิ่งศักดิ์ทุกอย่างในโลกให้มีวีรบุรุษมาช่วยผมด้วย ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากทำมันแบบนี้

“เฮ้ย!! มึงทำเชี้ยอะไร!!”

พลั่ก!!!

เสียงเหมือนของแข็งปะทะกัน แล้วหน้าผมก็ถูกับผิวประตูลู่ลงไปพับกับพื้นเหมือนผ้าม่านที่ถูกปลดลงมากองที่พื้น

“พี่หมอ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นแต่สติผมมันเลือนลางเหลือเกิน
“มึง!! ไอ้เลว!!”

จุดที่ผมล้มลงไม่สามารถเห็นอะไรได้ชัดเจน ผมได้ยินแต่เสียงแห่งความโกลาหล เหมือนคนต่อยตีกัน เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งข้ามผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็ว และตามมาอีกคนหนึ่ง

“ไอ้เชี้ย แน่จริงมึงอย่าหนี ไอ้ชั่ว!!”
“หลง!! ไม่ต้องตาม!! มาดูพี่หมอก่อน!!”
“พี่เอิร์ธ!!”

ผมถูกยกลอยสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมมองเห็นคนที่มาช่วยเหลือชัดเจนขึ้น ‘ชัยและกวี’ ผมขอบคุณเขาสองคนโดยการพยายามเชิดหน้าและยิ้มที่มุมปาก แต่ไม่นานก็มีมืออันอบอุ่นมาประคองช้อนศรีษะผมขึ้นมา

“พี่เอิร์ธ เป็นอะไรไหม?” เสียงฟังดูห่วงใยมากๆ น่าจะเป็นหลง คนที่เรียกชื่อผมและนำหน้าว่าพี่นี่น่าจะเป็นหลง ไม่เคยดีใจที่ได้ยินเสียงเขาขนาดนี้มาก่อน
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบ part 4(ต่อ) (อัพ 8/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 08-10-2017 14:20:16
“สัด.. กูว่าอย่าเพิ่งถามเชี้ยอะไรเลย รีบหาที่ให้พี่เขาพักเถอะ”

“ประตูล็อคน่ะครับ”  เสียงดีงกึกกักอยู่ใกล้ตัวผม สุภาพขนาดนี้น่าจะเป็นเสียงของกวี

“คีย์การ์ดอยู่กับไอ้เลวนั่นแน่ๆ”
“เอาไงดีมึง”
“เราว่าออกจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“เออใช่ กูก็ว่างั้น มึงช่วยใส่เสื้อผ้าพี่หมอแล้วช่วยกันหามพี่แกลงไปข้างล่างเถอะวะ”
“ใช่ๆ สภาพนี้มัน…เราว่าดูไม่ดีเลย”

แล้วผมก็ถูกจับใส่เสื้อผ้าเหมือนเด็กทารกคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พวกเขาช่วยกันพาผมลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่าง ระหว่างทางหากมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กๆทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเป็นลมหมดสติ เลยว่าจะพาไปปฐมพยาบาล และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ก่อนที่สติจะวูบดับไปเพราะฤทธ์ิยาและความอ่อนล้า

………………..



แฮ่กๆ ช่วยด้วย!!

ผมวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดที่ดำสนิทเหมือนกับดิ่งลงสู่ทะเลลึกที่ไร้ก้น วิ่งหนีบางสิ่งที่น่ากลัว ผมมองไม่เห็นถึงสิ่งที่วิ่งตามมา รู้แต่ว่าต้องวิ่งไปให้สุดแรง จนกระทั่งผมสะดุดกับอะไรสักอย่างและร่วงลงสู่เหวแห่งความมืดที่น่ากลัว

เอื้อก!!!!

ผมกลืนอากาศเข้าไปเต็มปอด มือก็หยิบคว้าไปในอากาศเบื้องบน ผมลืมตาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ขนาดคิงไซส์ ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่ไม่คุ้นตา  ผมทิ้งมือลงข้างตัวจนเกิดเสียงลมตีขึ้นมาดัง ‘พั่บ’

ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ เพื่อเรียกสติกลับมา พยายามลืมตาให้ดวงตาค่อยๆ ปรับความคมชัดจากแสงสว่างในห้องที่มีต้นแสงเพียงแหล่งเดียวคือโคมไฟตั้งพื้นขนาดใหญ่ที่มุมห้องข้างเตียง  ผมพยายามกำและคลายมือเพื่อดูการตอบสนองของร่างกายว่าฤทธิ์เหล่านั้นมันยังคงค้างมาทำร้ายระบบประสาทผมอยู่ไหม ผมพบว่าทำได้จนเกือบปกติแล้ว แค่อาจจะอ่อนแรงไปบ้าง คราวนี้ผมลองขยับทุกส่วนในร่างกายดูก็ทำงานได้ดีไม่น้อย

ผมตัดสินใจพยุงร่างตัวเองที่ดูจะหนักอึ้งกว่าปกติขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ผมสำรวจรอบๆ ตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนท่ามกลางดอกไม้นานาชนิด รอบๆ พื้นห้อง มีการจัดตั้งเทียนไขอโรม่าหลากสีหลากหลายขนาดตามมุมต่างๆ  นี่ผมอยู่ที่ไหนกันเนี่ย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจนเริ่มที่จะเวียนหัวแล้ว ผมยกมือขึ้นบีบนวดที่ขมับเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น

“อ้าวพี่หมอฟื้นแล้วเหรอ?” เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงคนเอ่ยทัก
“…….” ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบชัยยืนอยู่ตรงประตู
“เฮ้ย!! ไอ้หลง พี่หมอตื่นแล้ว” ชัยหันหน้าไปตะโกนออกไป
สักพักผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนคนวิ่งหนีฝูงซอมบี้ คือวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“พี่เอิร์ธ!” หลงยืนหอบอยู่หน้าประตู
“ไอ้สัด มึงค่อยๆ รีบเดินมาก็ได้นะ พี่หมอเขาก็นอนอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ก็กูใจร้อน เชี้ย กูคิดอยู่ว่าหากอีกสักชั่วโมงพี่เอิร์ธไม่ตื่นกูจะอุ้มไปโรงพยาบาลเลย แล้วจะแวะไปแจ้งความจับไอ้สารเลวคนนั้นด้วย!!”
“เออๆ มึงไปหาพี่เขาก่อนไหม?” ผมเห็นชัยแอบขยิบตาให้
“….เอ่อ ขอบใจ”
สักพักหลงก็เขามานั่งบนเตียงใกล้ๆผม ส่วยชัยก็ปิดประตูแล้วเงียบหายไป
“ขอบใจนะที่เป็นห่วงแต่ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่สงสัยยังดีไฮเดรท อยู่ ขอน้ำดื่มหน่อย”
“พี่เป็นอะไรนะ?”
“ภาวะขาดน้ำน่ะ ขอน้ำดื่มหน่อย” ผมแอบขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่ก็ลืมไปว่าพูดกับหลงอยู่ คงไม่รู้เรื่องเรื่องแบบนี้
“อ้อ….โอเคครับ พูดภาษาคนหน่อยสิครับ” แล้วเขาก็กุลีกุจอวิ่งไปรินน้ำที่ตู้เย็นซึ่งอยู่ชิดผนังฝั่งปลายเตียง

หลังจากผมได้ดื่มน้ำไปได้สักพักร่างกายผมก็ตอบสนองดีขึ้น จนผมรู้สึกอยากออกไปจากห้องแคบๆ นี่ทันที อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักหน่อย แต่ติดอยู่ที่สภาพพื้นห้องที่เต็มไปด้วยดอกไม้และเทียนหอม ทำให้ผมสำรวจรอบๆ ห้องอีกครั้งแบบไม่ได้ตั้งใจ

“เสียดายเลย อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี”
“หือ??” ผมเหมือนยังตอบสนองกับการฟังได้ไม่ดีแต่จริงๆ คือกำลังงงว่าหลงพูดถึงอะไร
“ก็เรื่องเซอร์ไพร์สวันเกิดพี่ไง แต่…… ความจริงก็ไอเดียไอ้กวีมันแหละ แต่ผมก็ตั้งใจทำน่ะครับ”
“………..” ผมพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มตอบไป หลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อเย็นมา มันทำให้ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้วันเกิดผม เอาจริงๆ ถึงจะได้ยินหลงพูดแบบนี้ผมยังไม่รู้สึกดีใจเลย มันผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหยกๆ จะให้รู้สึกยังไงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลย

“ยังไม่หายเหรอครับพี่ ไปหาหมอไหมครับ?”
“พี่ก็หมอนะ”
“แล้วพี่ดูแลตัวเองได้หรือไง?”
“………..” เออ.. จริงของมัน สภาพตอนนี้ผมมันแย่จริงๆ
“ไปหาหมอไหมครับ” หลงยื่นมือมาสัมผัสหลังผม ส่วนผมดันเบี่ยงตัวหนีแบบอัตโนมัติ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับเขาเลย สงสัยผมยังตกใจกับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ หลงหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด สักพักก็ขบฟันแน่นจนผมได้ยินเสียงบดกันของฟัน
“อย่าให้ผมเห็นมันอีกนะ มันตาย!!!”
“หลง ช่างมันเถอะ!!”
“ช่างมันไม่ได้!! มันทำกับพี่ขนาดนี้ มันต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะสาสม ถ้าพี่ไม่ให้ผมทำงั้นผมจะไปแจ้งความ!!”
“หลง อย่าเลยพี่ขอร้อง ทำไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มันจะได้ไม่คุ้มเสียนะ” ผมยื่นมือที่สั่นเทาซึ่งมีเรี่ยวแรงเพียงครึ่งจับแขนเขาไว้ไม่ให้ลุกออกไป ผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรยืดยาวได้ในภาวะแบบนี้ แต่ผมก็กลัวว่าเรื่องมันจะบานปลายกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งที่ทุกคนจะต้องเสียหาย เรื่องราวของคนที่เป็นแบบพวกเราภาพพจน์มันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว มาเป็นข่าวแบบนี้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ไหนจะพ่อแม่ฝั่งเขา ฝั่งผม มันไม่มีอะไรดีเลย

ดูเหมือนหลงจะเข้าใจและสงบลงหลังจากที่เห็นแววตาของผมส่งไปหาเขา หลงกระแทกตัวลงมานั่งข้างๆ ผมพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง

“เพราะพี่ขอร้องนะเนี่ย ไม่งั้น……” หลงเสียงค่อยๆ หายไปเมื่อเห็นสายตาขอร้องของผม สายตาของผมมีผลกับเขาเสมอ

หลงจับมือผมที่ยังกำแขนเขาไว้อย่างหลวมๆ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายดีใจขึ้นแล้วรู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังจากที่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ข้างๆ หลงจริงๆ

“พี่เอิร์ธดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม?”

จ้อกกกก…

เสียงท้องของผมร้องตอบแทนคำพูดของผมพอสบายใจขึ้นความอยากอาหารมันก็ตามมา ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวจากความอาย

“ฮ่าฮ่าฮ่า….. คงไม่เป็นไรแล้วจริงๆ และตอนนี้คงหิวมากด้วย”
“………” ไอ้เด็กบ้า ผมคิดในใจ ผมก้มหน้าหลบตาเขาด้วยความอาย
“เดินไหวไหมครับ เดี๋ยวผมพาออกไปหาอะไรกินกัน” หลงเดินอ้อมมารับผมอีกทาง เดินฝ่าดอกไม้ที่บรรจงวางอยู่พื้นอย่างไม่ใยดี
“เออ ไหวนะ คิดว่า..” ผมพยายามทรงตัวลุกขึ้น เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับคืนมา ขณะที่ผมกำลังยืดสุดตัว ผมก็เซไปทางเตียงอย่างไม่ตั้งใจ ผมถูกมือที่หนาใหญ่คว้าไว้และพยุงไม่ให้ล้ม หลงใช้แรงไม่เยอะก็ดึงผมขึ้นมาในท่ายืนตรงโดยที่เขาโอบกอดผมอยู่
“ปล่อย…ปล่อยได้แล้ว” ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาและหลบหน้าเขาอีกครั้ง (คนอะไรตัวแน่นชะมัด)
“ไม่เอาน่ะ เดี๋ยวพี่เซล้มอีก”
“ไม่ล้มแล้ว ดูสิ” ผมขยับแข้งขาให้เขาเห็นชัดเจน
“โอเค…. งั้นผมค่อยๆ ปล่อยนะ” ปากเขาพูดแต่ก็ยังไม่คลายแขนออกเสียที
“จะปล่อยได้หรือยัง?” ผมใช้สายตาพิฆาตของผมอีกครั้ง
“ครับๆ” แล้วเขาก็ค่อยๆ คลายแขนออกทั้งรอยยิ้ม
ผมเริ่มเซเล็กน้อยตอนหลงปล่อยแขนของเขาจนพ้นตัวผมทั้งหมด ผมถึงกับขอจับแขนเขาเพื่อทรงตัวอยู่ก่อน อาการมึนหัวยังคงตกค้างอยู่เล็กน้อย
“เป็นไงครับ หากไม่ไหว เดี๋ยวผมซื้อมาให้กินที่ห้องไหม?”
“ไม่ดีกว่า พี่เบื่อที่จะอยู่แต่ในห้องจะแย่แล้ว พี่อย่กออกไปสูดอากาศริมทะเลบ้าง มาถึงที่ทั้งที อยู่แต่ในห้องสัมมนาทั้งวัน”

ผมออกเดินทั้งยังจับแขนของหลงอยู่ แรกๆ ก็ดูติดๆ ขัดๆ แต่พอได้ลองเดินไปสักสี่ห้าเมตรผมก็เดินได้คล่องขึ้นแม้จะต้องใช้แขนของหลงช่วยพยุงร่างตัวเองเพื่อความปลอดภัยไปก่อน ผมเดินออกจากห้อง และสูดอากาศภายนอกเข้าไปเต็มปอด ตอนนี้แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงหมู่ดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ประปรายด้วยเมฆสีเทาบางๆ ลอยกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า ณ จุดนี้มองไม่เห็นทะเล แต่ก็รู้สึกถึงลมที่มีกลิ่นอายของเกลือปะปนมา และเสียงคลื่นทะเลที่ลอยมาจากสุดปลายตาข้างหน้าจากความมืด ที่มีแสงเรืองหลากสีจากไฟนีออนอยู่เป็นระยะ

พอตาเริ่มปรับแสงจากสภาพภายนอกได้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรีสอร์ตขนาดเล็ก มีบ้านแฝดหลังเล็กปลูกเรียงรายบนเนินเตี้ยๆ อยู่ทั่วบริเวณ 6-7 หลัง บรรยากาศดีทีเดียว แสงไฟที่เสาเล็กๆ ตามทางเดินและตั้งเป็นหย่อมๆ ในสวนช่วยให้บรรยากาศดีดูสบายๆ ผมชอบในทีนทีที่เห็น

“พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ นิ่งไปเลย?”
“อืม.. ไม่เป็นไร ที่พักน่ารักดีนะ”
“ครับ..ก็หากันแทบแย่ ก็ตั้งใจจะพาพี่มาฉลองนี่นา”
“เหมือนพี่เห็นชัย แล้วก็น่าจะมากับกวีใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ไม่รู้ไปไหน? เดี๋ยวผมโทรหามันก่อน”
หลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อนเขาทันที

“มึงอยู่ไหน?”
………
“อ้าว…. เชี้ยแล้วไง….”
……….
“เออๆ บอกให้เขาเพิ่มเก้าอี้ด้วย กูกับพี่เอิร์ธจะตามไป”
 
“พี่เอิร์ธ พวกมันหนีไปกินข้าวกันแล้ว เราตามไปเถอะ”
หลงกดวางสายแล้วรีบหันมาพูดกับผมทันทีกับอาการที่ดูจะเคืองเพื่อนตัวเองนิดๆ
“อืม…” 
“พี่เดินไหวไหม? ร้านอาหารเลยเข้าไปอีกนิด แต่อยู่ริมหาดเลยนะ”
“ไหวสิ ได้ๆ ตอนนี้หิวมาก”
“พี่เอิร์ธดูพวกมันสิ ผมอุตส่าห์จองร้านอาหารบรรยากาศดีไว้กินดินเนอร์กับพี่ แต่พวกมันดันสอยไปจู๋จี๋กันสองคน ไอ้ชัยมันบอกว่ามันเสียดายจองไว้แล้ว เลยไปแทน” หลงบ่นยาวในขณะที่เดินไปข้างๆ กับผมพร้อมกับพยายามใช้มือล้อมผมไปมาเหมือนกลัวว่าผมจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกับท่าทางของเขามากกว่าคำพูดของเขา เขาดูห่วงใยผมมากเสียจนผมเริ่มอายแล้ว ตอนนี้ผมฟื้นคืนสติมาได้สัก70เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ (ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ก็ผมเดินได้แล้วนะ ถึงมันจะไม่ค่อยแข็งแรงก็เถอะ)

ในที่สุดผมก็เดินมาถึงจุดหมายด้วยอาการหอบรับประทานจนคราวนี้ผมต้องขอจับแขนหลงให้พอยืนตัวตรงได้ผมสูดอากาศกลิ่นเกลือเข้าเต็มปอด รู้สึกกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อยหลังจากบรรจุอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ผมเห็นท้องทะเลที่กว้างไกลมืดมนสุดสายตา มีแสงไฟสีเขียวสีม่วงส่องระยับไปมาที่พื้นน้ำ เสียงคลื่นดังมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย ผมถึงกับเผลอยิ้มกับบรรยากาศตรงหน้า ผมถอดรองเท้าเดินบนผืนทราย ความหยุ่นนิ่มของทรายช่วยให้ผมรู้สึกเหมือนโดนนวดเท้าอยู่ ผ่อนคลายดีจริงๆ

“พี่เดินนำหน้าไปไกลเหมือนรู้จักร้านนะเนี่ย?”
“โทษที พี่ชอบทะเลน่ะ เลยเผลอเดินเล่นเรื่อยเปื่อยทุกที”
“วันนี้พี่เหมือนเด็กเลยเนอะ”
“…………..” ผมได้แต่ยิ้มแบบเขินๆ
“ทางนี้ครับ” แล้วหลงก็เดินมาจับมือผมและจูงเดินนำไปยังจุดหมาย ผมมองมือที่จับประสานนิ้วกัน ความอบอุ่นของหลงส่งผ่านถึงผมเรื่อยๆ แม้จะเขินกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือเขาในตอนนี้เลย

หลงพาผมมาหยุดที่หน้าร้านอาหารสไตล์สบายๆ ริมหาด โต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้แบบไม่ปราณีตอย่างตั้งใจ บนโต๊ะทุกโต๊ะสว่างด้วยแสงเทียนในตะเกียงขนาดเล็ก มีหลอดไฟเล็กๆ แขวนอยู่ตามตันไม้และเสาที่ตั้งขึ้นมาตามทางเดิน  เขามองซ้ายมองขวาเพื่อหาเพื่อนของเขา จนกระะทั่งบริกรเดินมาทักและพาเดินไปด้านซ้ายสุดทางใกล้กับชายหาดมากที่สุด

“เฮ้ย!! ไอ้หลง ทางนี้” ชัยส่งเสียงโบกไม้โบกมือแบบไม่อายใคร วันนี้คนก็ค่อนข้างเยอะเสียด้วย
หลงโบกมือกลับระดับอก ทำให้ผมมองเห็นโต๊ะที่จองไว้เป็นโต๊ะสำหรับสี่คน ที่มีบรรยากาศดีที่สุดในร้านเลยก็ว่าได้

“คือห่างกันไม่ได้ใช่ไหมสองคนนี้”
หลงแซวชัยกับกวีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวฝั่งเดียวกัน แทนที่จะนั่งฝั่งตรงข้ามกัน
“มึงว่ากูไม่ได้หรอก ทีมึงเล่นจูงมือพี่เขามาตั้งแต่เข้าร้านกูยังไม่แซวเลย” เจอชัยแซวกลับแบบนี้ ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกรีบสะบัดมือหลงให้หลุดทันที
“เชี้ย!! มึง ไอ้สัดชัย กูกำลังฟินเลย พี่เขาไม่เคยให้กูทำแบบนี้เลยนะ”
“อ้าวเหรอ กูขอโทษ” ลงท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะของชัยดังลั่น
“พอเถอะ / นั่งได้แล้ว” ผมกับกวีพูดขึ้นพร้อมกันด้วยถ้อยคำที่เด็ดขาดแก้เขิน
“ครับ / ครับ” สองคู่หูตัวแสบก็ตอบรับกลับทันที

“ทำไมมึงพาพี่เขาเดินมานานจังวะ นี่กูกินหมดไปชุดหนึ่งแล้ว นี่จะต่อของหวานแล้วเนี่ย” ชัยพูดกับหลงทันทีที่ผมนั่งลงเรียบร้อย
“พี่หมอเขาไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ?” กวีตอบแทนหลงที่เหมือนกำลังจะอ้าปากโต้กลับ
“เออ ใช่ งั้นสั่งอาหารได้เลยครับพี่หมอ” พูดจบชัยก็ยื่นเมนูมาให้ผมแบบเปิดไว้พร้อมสั่ง

ผมยิ้มรับและเรียกบริกรมาสั่งแบบไม่ลังเลเลย ตอนนี้ท้องมันหิวจนเห็นทุกอย่างในเมนูน่ากินไปหมด ผมไม่สนใจแม้แต่ร่างกายที่ควรจะเริ่มจากอาหารอ่อนๆ ก่อนตอนนี้คิดว่าต้องกินอย่างเดียวเท่านั้น

อาหารของผมทยอยมาพร้อมกับของหวานของเด็กสองคนฝั่งตรงกันข้าม ผมรีบจัดการอาหารที่ทยอยลงมาอย่างเอร็ดอร่อย ร้านนี้อาหารใช้ได้เลยทีเดียว ระหว่างพักยกรออาหารอีกชุดลงมาเสิร์ฟ ผมแอบเห็นชัยทำท่าแหยะๆ กับขนมหวานและไอศครีมที่กวีแนะนำให้ลอง ท่าทางกวีจะยังไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองไม่ชอบของหวาน

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้แปลกไปจากเดิม ชัยดูเกรงใจกวีมาขึ้น บ้างครั้งก็แอบโอบแอบจับตรงโน่นตรงนี้ของกวีจนอีกฝ่ายค้อนใส่บ่อยๆ กวีก็ดูจะลดกำแพงตัวเองลงมาจนให้ชัยสามารถใกล้ได้มาขึ้น จนกระทั่งชัยใช้นิ้วโป้เช็ดคราบไอศครีมที่คางของกวี

“เดี๋ยวๆ ทำอะไร?” กวีโวยขึ้นมา
“ก็นายกินเลอะเทอะ เดี๋ยวนะยังไม่หมด!”
ชัยใช้มือช้อนคางของกวีขึ้นมาและใช้นิ้วชี้ปาดเบาๆที่ริมฝีปากอีกฝั่ง (ซึ่งจากที่ผมเห็นมันก็ไม่ได้เลอะอะไร) และพอกวีเผลอคล้อยตามมือที่จับหน้าเขาอยู่ ชัยก็ใช้จังหวะนี้หอมแก้มกวีอย่างจัง ภาพนี้ทำเอาผมมองตาค้าง ส่วนหลงแสดงท่าทางไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขี้นเท่าไหร่ ส่วนกวีได้แต่โวยวายและชกไหล่ชกอกชัยที่หลบและป้องกันตัวกันชุลมุน

“เอ้อ!! ใช่ ผมลืมบอกไป มันได้กันแล้ว” หลงชี้นิ้วไปที่สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกลับไปกินอาหารตรงหน้าเหมือนพูดเรื่องปกติ

“หลง!!” กวีชี้หน้ามาทางหลง
“มึงพูดอย่างนี้กับ ‘เมียกู’ ได้ไง” ไอ้ชัยโวยขึ้น
“โธ่โว้ย!!” กวีหันไปตาเขียวใส่ชัย แล้วกวีก็วิ่งแก้มแดงออกไป แล้วกวีก็ลุกออกจากโต๊ะไปเลย ท่าทางการติบสนองของกวีต่างจากที่ผมคิดไว้มาก

“ไอ้หลง ไอ้บ้า เสียบรรยากาศหมด!!” ชัยแอบชูนิ้วกลางให้หลงผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากอาหารตรงหน้า ท่าทางเขาคงหิวไม่น้อย ส่วนชัยก็ลนลานวิ่งไล่ตามออกไป ทิ้งให้ของหวานตรงหน้าเป็นหมันไป

“พอสบายใจแล้วมันเจริญอาหารยังไม่รู้” หลงพูดลอยๆ หลังจากจัดการอาหารบนจานเรียบร้อย
“สองคนนั้นมันยังไงกัน? แล้วเรื่องแฟนของกวีล่ะ?” ผมมองไปทางหลงอย่างสงสัย
“พี่จะฟังอย่างละเอียดหรืออย่างย่อ”
“ย่อก็ได้”
“คือนิ่มมันทำไม่ดีกับกวีไว้เยอะ ส่วนชัยที่ตอนนี้ได้เข้าไปใกล้ชิดก็เลยเปลี่ยนจากเพื่อนไปเป็น....ขอเป็นแฟนแทน”
หลงพูดไปเคี้ยวไป
“ย่อไปไหม? สองคนนี้ไม่น่าจะมาชอบกันได้ คนหนึ่งก็เจ้าชู้ หลีหญิงไปเรื่อย คนหนึ่งก็เป็นหนุ่มฮอตที่มีเจ้าของแล้ว” ผมหันไปทางหลงเพื่อให้หลงไขข้อข้องใจ และสนใจที่จะตอบคำถามผมมากกว่านี้

หลังจากนั้นหลงก็เล่ายาวตั้งแต่แผนของชัยที่พยายามจะให้คู่ของกวีเลิกกันทุกวิถีทาง (หลงบอกว่าเขาเล่าได้เท่าที่เขารู้ รายละเอียดนอกจากนี้คงต้องถามชัยเอง) จนกระทั่งทั้งสองยอมรับมาลองคบกัน

“ไหนพี่บอกว่าหิวมากไง ไม่เห็นกินเท่าไหร่เลย” หลงมองจานของผมและอาหารตรงหน้าที่ไม่ค่อยพล่องลงไปเท่าไหร่กลังจากเล่าทุกอย่างจบ (อาหารชุดที่สองมาส่งได้สักพักแล้ว ระหว่างที่หลงเล่าเรื่องเพื่อนอย่างเมามันส์)

“อิ่มแล้วล่ะ ไม่รู้สิ วันนี้คงกินได้แค่นี้ล่ะ เหมือนร่างกายมันน่าจะยังไม่พร้อม”
“กลับเลยไหมครับ”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ?”
“ช่างมันเถอะพี่ โตป่านนี้แล้ว ให้มันไปจัดการกันให้เสร็จ ปล่อยมันไปเหอะ”
“……….” ไม่ค่อยมั่นใจความหมายของหลงเท่าไหร่ แต่ไปกันสองคน เด็กผู้ชายที่ดูแข็งแรงทั้งสองคนคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“งั้นเรียกพนักงานมาเก็บเงินเลยนะ?”
“อืม.. เอาสิ” ผมล้วงไปที่กระเป๋าอย่างเคยตัว “เฮ้ย!!! พี่ไม่ได้เอาอะไรมาเลยนี่หว่า เดินมาตัวเปล่า!!”

“ไม่ต้องๆ พี่รู้หรือเปล่าว่ามากับใคร?” หลงหยิบกระเป๋าเงินของเขาโบกไปมา
“จ่ายไหวเหรอ? เยอะนะเนี่ย”
“ผมบอกพี่แล้วไงว่าผมมีแผนจะพาพี่มาฉลอง แค่นี้สบายมาก ถึงไอ้เพื่อนสองตัวนั้นมันจะมาเป็นตัวเสริมก็เถอะ!” หลงส่ายหน้าเบาๆ
“…ฮ่าฮ่าฮ่า…” เขาทำให้ผมยิ้มได้เสมอเลย
“ขอโทษนะครับ ที่มันไม่เป็นไปตามแผนเลย” เขาทำหน้าผิดหวังใส่ผม
“ไม่เป็นไร แค่คิดว่าจะทำให้พี่ พี่ก็ดีใจแล้ว หลงถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีของพี่เลยนะ”
หลงยิ้มกว้างมากจนผมรู้สึกประหม่า
“ก็แบบ… คือ.. หากหลงไม่มาหาพี่วันนี้ใครจะช่วยพี่จากไอ้เลวนั่นล่ะ!”
“อ้อ…. เรื่องนั้น อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ นึกแล้วอารมณ์เสีย ทำเสียเรื่องไปหมด!”
หลังจากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สรุปว่าเสียไปหลายพันอยู่ เราเดินออกมาจากร้านและค่อยๆ เดินกลับที่พัก แต่ผมก็ยังเกรงใจหลงอยู่ดี รู้สึกไม่คุ้นเคยที่จะให้เด็กอย่างหลงมาเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ขนาดนี้

“เดี๋ยวกลับถึงที่พักแล้วพี่ช่วยออกค่าอาหารนะ”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมบอกจะเลี้ยงไง”
“ไม่เอาน่ะ เรายังไม่มีรายได้เลยต้องมาจ่ายขนาดนี้ พี่ไม่สบายใจว่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่เงินผมเสียหน่อย”
“????” ผมหยุดเท้าตัวเองที่ก้าวได้ทีละน้อยลงมองหน้าหลงด้วยความสงสัย
“เฮ้อ…. หลุดปากจนได้ แต่ยังไงก็ต้องบอกล่ะนะ คือแม่เป็นผู้สนับสนุนเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่น่ะครับ”

น้ารุ่งอีกแล้ว ผมคิดในใจขณะที่เอามือกุมขมับ ผมรู้ว่าน้ารุ่งรักลูก และก็รักผม แต่นี่ก็จะดูสนับสนุนกันเกินไป

“เป็นอะไรพี่เอิร์ธ เวียนหัว? หน้ามืด?”
“เฮ้ย พี่แค่โดนยา ไม่ได้ป่วย หรือแก่ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ผมแค่เป็นห่วง กลับที่พักไปพักผ่อนเลยไหมครับ”
“อืม… แล้วหลงนอนไหนล่ะวันนี้?”
“ก็นอนกับพี่ไง ผมจองกันได้แค่สองห้อง อีกห้องหนึ่งก็ให้คนขับรถกับแฟน (คงหมายถึงกวีกับชัย) เหลือห้องเดียวเราคงต้องนอนด้วยกัน”

อ้าว!! ทำไงดี ผมไม่เคยนอนค้างคืนกับเขาเลย (ไม่นับคืนที่เมาไม่ได้สตินั้น) ไม่ใช่ว่าผมกลัวอะไรหลงนะ เพราะหลงต่อให้ทะลึ่งตึงตังอย่างไร เขาก็จะเกรงใจผมมาก ไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ กับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่มีต่อเขา ผมกลัวตัวเองมากกว่าที่จะไปปล้ำเด็กเอาน่ะสิ (ซึ่งก็ดูจะยอมให้ปล้ำง่ายด้วย)

“ขอเดินเล่นก่อนได้ไหม?”
“เอาสิครับ ผมเดินเป็นเพื่อน”
“ได้สิ”
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบ part 4 (อัพ 8/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2017 19:12:11
เอ ตอนเป็นแฟนเคยนอกใจเอิร์ธ จนเลิกกัน

เจอตอนนี้ ก็ทำเรื่องเลวอีก เรื่องเป็นรูมเมท ใช้ยาสลบกับเอิร์ธ
สรุปจะเอาอะไร ต้องได้  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ที่อ้างว่าถูกบังคับ กำหนดไปหมด จริงหรือเปล่า
เพื่อเรียกร้องความเห็นใจสินะ

ดีที่หลงตามมาและช่วยพี่เอิร์ธทัน
รอหลง เซอร์ไพรซ์ อ้อนพี่เอิร์ท
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบ part 5 (อัพ 11/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-10-2017 21:26:30

ผมหันหลังจากถนนเดินกลับไปยังหาดทรายที่เพิ่งเดินเลยมาเพียงไม่กี่ก้าว ให้หน้าปะทะลมทะเลที่มีกลิ่นเกลือและกลิ่นคาวอ่อนๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยม่านความมืดเหมือนกำมะหยี่สีดำที่มีเลื่อมแวววาวประดับอยู่เต็มผืนปูไปไกลจนสุดปลายฟ้า วันนี้ท้องฟ้าโปร่งทำให้เห็นดาวชัดเจน พระจันทร์เสี้ยวที่กลางฟ้า เรืองแสงน้อยๆ เหมือนจะหลบแสงให้ดวงดาวได้ส่องสว่างได้เต็มที่ เสียงคลื่นที่ซัดหาดทรายเบาๆ เหมือนกำลังหายใจยามพักผ่อน ผมชอบบรรยากาศแบบนี้มาก มันทำให้ผ่อนคลาย หายเหนื่อยที่มีสะสมมาทั้งสัปดาห์เป็นปลิดทิ้ง ผมถอดรองเท้าให้เท้าได้สัมผัสกับพื้นทรายหยาบเปียก รู้สึกตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผมหลับตาและสูดอากาศเข้าเต็มปอด

“น่ารักจัง”
“……….” ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง
“ผมชอบเวลาพี่ทำหน้าแบบนี้จัง”
“…….” ผมเจอหลงจ้องหน้าอยู่แบบนี้ เลยเลือกที่จะแค่ยิ้มตอบไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมทำหน้าแบบไหนอยู่
เขาถึงได้ออกปากชมแบบนั้น เขาเดินมาจับมือผมระหว่างที่เดินเลาะชายหาดไปเรื่อย แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่สะบัดทิ้งเหมือนทุกครั้ง ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามใจต้องการ วันเกิดตัวเองก็ลองทำตามใจตัวเองดูบ้าง

ผมกับหลงเดินชมวิวไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงริมชายฝั่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากแสงสว่างของหลอดไฟตามสถานบันเทิงริมชายหาดจนเห็นเป็นประกายไฟดวงน้อย บรรดาผู้คนที่เดินเล่นเลาะชายหาดยามค่ำคืนก็น้อยลงเรื่อยๆ ผมเลยตัดสินใจชวนหลงกลับ

“ว้าว… เราเดินมาไกลจากที่พักพอควรเลยนะ”
“ใช่ครับ เห็นพี่เดินเพลินเลย ผมเลยไม่กล้าขัด”
“เริ่มเหนื่อยแล้วด้วยสิ แต่ก็ยังไหวนะ!”
ผมต้องรีบแก้คำเพราะหลงมองผมด้วยความกังวลจนผมรู้สึกได้ ผมตัดสินใจเดินกลับทันที แต่หลงปล่อยมือผมเปลี่ยนท่ามาอุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาว ผมตกใจร้องลั่น

“เฮ้ยๆ ทำอะไร ปล่อยพี่ลง”
“ตัวพี่เบาจะตาย เดี๋ยวผมอุ้มกลับเอง”
“ไม่เอา ไอ้บ้า ปล่อยสิ อายเขา” ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากมือของเขา
“พี่อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวหลุดมือนะ”
“ปล่อยก่อนดิ!”
“ไม่เอา ผมไม่ปล่อยให้พี่เดินไปเองแล้ว ผมกลัว”
“กลัวอะไร?” ผมเริ่มหยุดดิ้นแล้ว เพราะใจหนึ่งก็กลัวตกอย่างที่เขาว่า ถึงจะเป็นพื้นทรายก็คงเจ็บไม่น้อย
“กลัวพี่จะเป็นอะไรอีก ผมไม่อย่าเป็นห่วงพี่แบบวันนี้อีก พี่รู้ไหม? พี่ทำผมหัวใจจะวาย ผมอยู่ไม่เป็นสุข ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก ให้ผมได้ดูแลพี่เถอะนะ”

ผมได้ฟังคำแบบนี้จากหลงอีกแล้ว แปลกดีที่ผมกลับไม่รู้สึกเอียนแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ผมรู้แต่ว่าหัวใจของผมตอนนี้ทำงานหนักมาก มันปั้มจนผมร้อนไปหมด แทบจะรู้สึกถึงเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายตัวเอง

“พี่ก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ หลงอุ้มท่านี้จะเมื่อยเปล่าๆ”
“งั้นพี่ขี่หลังผมไหม หากพี่ไม่ตกลง ผมก็จะอุ้มพี่ไปทั้งแบบนี้ล่ะ!”
“เออๆ ก็ได้” ผมตอบทั้งๆ ที่หน้าผมแนบอยู่กับอกของหลง จนได้ยินเสียงหัวใจเขาชัดเจน หัวใจที่เต้นอย่างมั่นคง ไม่วูบไหวกับทุกคำที่เขาพูด ผมรู้สึกว่าหลงพูดจริงจังจนต้องยอมตามน้ำไป เขาปล่อยผมลงยืนกับพื้นและย่อตัวลงหันหลังให้ผม

“ขึ้นมาสิครับ”
“ไม่เคยทำแบบนี้เลยตั้งแต่โตมาเนี่ย”
“เอาน่า ให้ผมช่วยพี่นะ สัญญากันแล้วไงว่าจะให้ผมช่วย”
“โอเคๆ”

ผมรีบก้าวขึ้นขี่หลังเขาตามที่เขาขอ หลงเดินบนพื้นทรายโดยที่มีผมอยู่บนหลังของเขา แรกๆก็ดูทุลักทุเลจนผมเกือบเปลี่ยนใจลงเดินเองแล้ว เพราะไม่อยากให้เขาต้องลำบากขนาดนี้ ความจริงผมพอเดินไหวถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย (อีกใจหนึ่งก็กลัวเราจะล้มกันทั้งคู่และจะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย) พอผ่านสักประมาณสามสี่เมตร เขาก็เดินได้จนเกือบปกติ ช่วงแรกผมเผลอลุ้นจนกอดเขาแน่นมาก (ไม่รู้ว่าเป็นแผนของหลงหรือเปล่า) แต่จนดินมาจนถึงหน้าที่พักผมก็ยังไม่ปล่อยจากการโอบรอบคอรอบบ่าเขาเลย รู้สึกดีจนไม่อยากปล่อย พอได้ลองแนบแก้มลงไปที่ผิวปริเวณแผ่นหลังที่โผล่พ้นคอเสื้อยืดแขนกุดของเขา ผมยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งของเขา ผมไม่อยากลงจากตัวเขาเลย อยากให้ทางเดินนี้มันยืดยาวออกไป

ไม่นานนักหลงก็มายืนจนถึงหน้าประตูห้องพัก ผมสังเกตเห็นห้องที่ติดกันเปิดไฟอยู่เลยคาดว่าน้องๆข้างห้องคงเคลียร์และกลับถึงที่พักกันเรียบร้อยแล้ว

“ปล่อยพี่ลงได้แล้วล่ะ” ผมพูดขณะที่หลงกำลังใช้มือข้างหนึ่งค้นกระเป๋ากางเกง สงสัยคงจะหากุญแจห้องพัก
“ไม่เอาล่ะ กะว่าจะส่งพี่ให้ถึงเตียงเลย” เขาพูดขณะชูกุญแจขึ้นให้เห็นชัด
“ไอ้บ้า พี่แค่เพลีย ไม่ได้พิการนะเว้ย ปล่อยได้แล้ว”
“ว้า… เซ็งเลย”
“หมายความว่าไงมิทราบ?”
“กะว่าจะทำเหมือนอุ้มเจ้าสาวเข้าหอไง เพื่อพี่ยอมให้ผมทำพิธีต่อเลย”
“งั้นปล่อยพี่ลงเดี๋ยวนี้เลย!!” ผมเสียงเข้มขึ้นทำให้หลงยอมปล่อยผมลงแต่โดยดี
“เชิญครับพี่” เขาผายมือเจ้าไปในห้องขณะที่ประตูห้องค่อยๆ เปิดกว้างออกไปจนสุด

ผมไม่เถียงครับว่าตอนนี้ผมกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปเพราะวันนี้เป็นคืนแรกที่ผมจะได้ค้างคืนกับเขา ทำเอาใจเต้นแรงไปหมด คิดไปไกลต่างๆ นานา ทั้งที่ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไม่ดีแบบนั้นมาแต่พอมาอยู่กับเด็กนี่ ใจก็เริ่มคิดไม่ดีกับน้องทันที (หวังว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ยา ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นนะครับ)

“ไม่เข้าไปเหรอครับ เดี๋ยวก็ยุงเข้าไปหรอกครับ”
“โอเคๆ” ผมสลัดความคิดทุกอย่างออกไปจากหัว พยายามทำตัวให้เหมือนปกติที่สุด

หลังจากเดินเข้ามาด้านในกันทั้งสองคน หลงก็ล็อคประตูลงกลอนทันทีเสียงลงกลอนดังจนทำให้ผมสะดุ้งตกใจ

“ขอโทษครับ พี่คงยังขวัญเสียไม่หาย”
“ไม่เป็นไร พี่แค่ใจลอยก็เท่านั้น” แม้จะรู้สึกดีขึ้น แต่ร่างกายและจิตใจก็ใช่ว่าดีขึ้นได้รวดเร็ว ผมคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายจากบาดแผลทางจิตใจอันนี้

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมอาบต่อ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรพี่ขอพักสักแปป เราไปอาบก่อนเถอะ”
หลงเดินมาใกล้ขึ้นเพื่อยื่นมือมาทาบหน้าผากผม
“หวังว่าคงไม่ได้ป่วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปอาบน้ำเหอะ แบกพี่มาตั้งไกลเหงื่อท่วมไปหมดแล้ว”
“ครับ เมียที่เคารพ”
“ไอ้หลง!!” ผมคำรามดุเขาเพราะสรรพนามที่เขาเรียกผมมัน…… น่าอาย ‘เอ’ ยังไม่เรียกผมแบบนี้เลย ผมไม่ได้ออกสาวขนาดจะดูเป็นเมียใครได้สักหน่อย

หลงหัวเราะร่าวิ่งหนีมือผมที่กำลังเหวี่ยงไปฟาดบ่าเขา ผมตีอากาศดังวูบ แต่ผมก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกตามไปจัดการให้จบ ได้แต่นั่งขุ่นเคืองอยู่บนเตียง หลงหลังจากหลบฝ่ามือผมและหนีไกลออกจากเตียงสำเร็จ เขาก็ถอดเสื้อถอดกางเกงเหลือเพียงบ็อกเซอร์ลายขวางตัวจิ๋ว (ตัวก็ใหญ่จะหาไซส์ที่ใหญ่กว่านี้มาใส่ไม่ได้หรือไง!!) หลงเดินมาหาผ้าขนหนูที่แขวนไว้แถวๆ ตู้เสื้อผ้าข้างเตียงทำให้ผมเห็นอะไรๆ เขาชัดขึ้นเหมือนเขาตั้งใจให้ผมเห็นร่างกายเขาทุกส่วนสัด เขาเป็นคนผิวขาวเนียนกว่าที่คิด ร่างกายที่ดูเป็นนักกีฬาแบบสูงโปร่ง ไม่ได้มีมัดกล้ามเนื้อมากมายนักแต่ก็เห็นไลน์กล้ามเนื้อชัดเจน แบบลีนๆ กางเกงตัวเล็กที่มีสัดส่วนเว้าโค้งนูนชัดเจนแบบนั้นทำให้ผมคิดอะไรไปไกล ผมก็ผู้ชายที่มีความต้องการนะครับ ผมคิดกับตัวเองเสมอว่าจะทนแรงอ่อยของเด็กคนนี้ได้นานแค่ไหน?
“ผมอาบน้ำไม่นาน หากรู้สึกไม่ดีเรียกได้เลยนะ” พูดจบเขาก็ห่อร่างตัวเองด้วยผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งคว้ามา แล้วก็มาถอดบ็อกเซอร์ในผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่ตรงหน้าผม ผมรีบกันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ผมได้ยินเขาหัวเราะในลำคอ
“หรือพี่จะไม่อาบ ผมก็โอเคนะครับ”
“อาบสิ…….”  แล้วผมก็หยุดพูดเมื่อผมเห็นไอ้เด็กนั่นแบบเต็มตัวด้วยผ้าเช็ดตัวชิ้นน้อยกว่าที่คิด กับรูปร่างที่ผมไม่คิดว่าเด็กมัธยมปลายจะมีได้ขนาดนี้
“เป็นอะไรพี่ดูหน้าแดงๆ ไม่สบาย” เขายื่นหลังมือมาทาบแก้มผม

“เอ่อ…… พี่กลัวจะอาบเองไม่ไหว อาบเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”
เอาแล้วไง!! ไอ้ปากที่พูดออกไปไม่คิดแบบนี้
นี่ผมเป็นอะไรไปวะ?

ตอนนี้ไอ้หลงยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหู ผมเกลียดไอ้หน้าแบบนี้ของเขาชะมัด มันดูเหมือนเขาจะกลืนกินผมไปทั้งตัวจนผมขนลุก

“เอ่อ….  ไม่เอาแล้วอาบเองก็ได้ ไปอาบเหอะ” รู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดไม่คิด
“เอาไงนี่พี่? ผมเต็มใจนะ” หลงก้มลงมาแล้วยกมือขึ้นแตะบ่าผม จนผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย ไม่ได้ตกใจนะครับ แต่ไม่คิดว่าหลงจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้
“ก็ได้!” ผมหันไปมองทางอื่นแล้วปัดมือเขาออกจากบ่าตัวเอง ไม่อยากมองหน้ายิ้มของไอ้เด็กหน้าตาดีตรงหน้า

ผมลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าในขณะที่ยังถอดได้ครึ่งๆ กลางๆ ผมก็ต้องหยุดเพราะสายตาแปลกๆ จากคนในห้องอีกคนหนึ่ง

“จะมามองทำไมไปอาบน้ำก่อนสิ”
“รอพี่ไง”
“ไม่ต้องรอ ไปแปรงฟัน หรือจะทำอะไรก็เข้าไปก่อนเลย”
ผมเสียงสูงขึ้นแบบไม่จำเป็น หลงยักคิ้วให้ เขายิ้มและเดินเข้าไปห้องน้ำก่อนโดยปิดประตูไว้เพียงครึ่งเดียว ในขณะที่ผมกำลังทำใจให้ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่ตัวเองจะทำตรงหน้า

หลังจากถอดเสื้อผ้าและห่อผ้ารอบเอวเรียบร้อยผมก็เดินไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจผลักประตูเข้าไปเจอหลงที่ยืนยิ้มให้ที่กระจกตรงอ่างล้างหน้า

“ผมแปรงฟันแล้ว อ่ะของพี่ ผมใส่ยาสีฟันให้แล้ว” หลงยื่นแปรงสีฟันที่ดูเหมือนใหม่แกะกล่องและมียาสีฟันสีฟ้าวางบนขนแปรงเรียบร้อย
“อืม…” ผมรับมามองแบบพินิจพิเคราะห์
“ผมยังไม่ได้สัมภาระพี่มาเลย ก็เลยซื้อจากร้านสะดวกซื้อมาให้ก่อนครับ”
“ไม่มีอะไร แค่มันไม่คุ้นน่ะ ไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อแปรงสีฟันเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมไม่รู้ว่าพี่ใช้ยี่ห้ออะไร แล้วโอเคไหมครับ?”
“ก็เลือกไม่ได้นี่นาก็คงต้องแปรง……” พูดจบก็มองหน้าตนที่เอาแต่ยิ้มให้ผมไม่หุบ
“โอเค งั้นผมไปรอที่ฝักบัวนะครับ”
แล้วหลงก็หันหลังเดินไปทางด้านหลังที่มีฝักบัวในตู้กระจกใส ผมพยายามไม่มองหลังจากที่เขาถอดผ้าเช็ดตัวออกแล้วเดินไปในห้องกระจกนั้นด้วยตัวเปล่าเปลือย ผมพยายามสนใจแค่การแปรงฟันของตัวเอง แต่ไอ้กระจกตัวดีก็ดันสะท้อนภาพนั้นมาเข้าตาผมจนได้ หลังที่สวยได้รูปวีเชป กล้ามหลังที่ชัดแน่น ผิวที่ขาวเนียนพวกนั้น เด็กสมัยนี้โตไวจัง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมตอนสมัยมัธยมปลายรูปร่างผมเป็นยังไง

“พี่จะแปรงอีกนานไหมเนี่ย ผมเริ่มหนาวแล้วนะ ผมรออาบน้ำให้พี่อยู่นะ”
“เออๆ เสร็จแล้ว” ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองแปรงรอบปากตัวเองกี่เที่ยวแล้ว แต่นี่คงหมดเวลาทำใจแล้ว ทำตัวสบายๆ อย่าปล่อยใจตัวเองเด็ดขาด!! ผมบอกตัวเองซ้ำๆ จนเดินหันกลับมาถอดผ้าแล้วโดดเข้าห้องกระจกไป

หลังจากก้าวเข้ามาแล้วก็ต้องมาเจอภาพที่คิดว่าจะต้องเจอแน่ๆ คือ หลงในภาพเปลือยกายทั้งตัว ถึงจะเคยจินตนาการมาบ้างแต่มาเจอตัวจริงในสภาพเปียกปอนแบบนี้เล่นเอาใจผมบอบบางไปเลย หลงไม่อายหรือคิดปกปิดอะไรเลยในขณะที่ผมเอามือกุมจุดยุทธศาสตร์อยู่พยายามไม่คิดอะไรเกินเลย

“มาใกล้ๆหน่อยสิครับ สายฝักบัวมันสั้น”
“อืม” ผมพยักหน้าและเดินเข้าไปใกล้เป้าหมาย
“ผิวพี่เนียนสวยดีจัง” หลงใช้ฝักบัวที่เปิดน้ำแรงสุดมารดตัวผมเหมือนรดน้ำต้นไม้ตั้งแต่ยอดจรดโคน
“รีบๆ อาบเหอะ น้ำมันเย็น ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นหรือไง?” ผมสะดุ้งทันทีหลังจากโดนน้ำเย็นจากฝักบัวตกกระทบผิว
“มีครับ แต่ต้องใช้เวลาครับ แถมควบคุมอุณหภูมิก็ลำบาก เมื่อกี้ผมโดนลวกมาแล้วผมเลยไม่อยากให้พี่โดนเหมือนผม” ระหว่างพูดก็โชว์รอยแดงที่หัวไหล่ให้ผมดู ผมเพียงแค่เหล่ตามองและทำเป็นเอามือลูบตัวให้น้ำสัมผัสกายให้ทั่ว

“ผมถูให้นะ” พูดจบหลงก็กดสบู่ที่เครื่องจ่ายสบู่เหลวใกล้ตัวมาชโลมใส่ตัวผมและถูไปทั่วบริเวณช่วงบนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เกิดฟองไปทั่วร่างกายช่วงบนของผม หลงกำลังจะไปกดสบู่รอบใหม่
“ไม่เป็นไร ที่เหลือพี่ทำเอง” ผมยังรู้สึกว่าผู้ชายอย่างหลงมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันอย่างผมมันคงจะดูแปลกๆ ไม่อยากให้น้องลำบากใจ

“ให้ผมทำเถอะ ผมไม่รังเกียจหรอก” ผมมองหน้าหลงอีกที รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดครั้งแรกน่าจะผิด เขาดูกระตือรือร้นมาก (มากเกินไป)

“ไม่เอาอ่ะ ไปจัดการของตัวเองนู่น!!”
ผมก็อายนะ ถึงน้องจะเต็มใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผม(เต็มใจ) เปลือยกายต่อหน้าเขา ผมว่าผมยังไม่พร้อมนะ

หลังจากผมทำความสะอาดท่อนล่างของตัวเองเสร็จ การก้มๆ เงยๆ เพียงนิดก็ทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวได้เหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจใช้มือไปพิงอะไรสักอย่างที่ใกล้ตัว แต่สัมผัสมันไม่แข็งกระด้างเหมือนพื้นผนังกระเบื้องในห้องน้ำนี่สิ
“พี่ผมเสียวนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาดูพบว่ามือตัวเองสัมผัสอยู่บริเวณหน้าท้องของหลงอยู่ (ซิกแพ็กแน่นใช้ได้)
“เฮ้ย!! โทษที”
“พี่หน้ามืดอีกแล้วเหรอ ก็บอกแล้วให้ผมช่วยอาบให้ก็ไม่เชื่อ”
“ไม่เป็นไร แค่พื้นมันลื่น”
“อืม… ไม่เป็นไรก็โอเคครับ ว่าแต่พี่ช่วยถูหลังให้ผมหน่อยสิ ผมถูไม่ค่อยถึงครับ ช่วงนี้ซ้อมบาสฯ หนักจนปวดไหล่ไปหมด” หลงหันหลังที่แผ่กว้างมาให้ผม
“ก็ได้” ผมสอดมือผ่านตัวหลงไปกดสบู่ที่เครื่องจ่าย แล้วนำสบู่เหลวมาชโลมทั่วแผ่นหลัง ที่ผมได้สัมผัสเมื่อครู่ในระหว่างที่เขาแบกผมมาแต่ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้ามาบดบังปิดกั้น เช่นเดียวกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้แล้ว หลังจากได้สัมผัสกับกล้ามเนื้อที่เด่นชัดทุกส่วนของเขา ไอ้น้องชายของมันตื่นขึ้นมาเสียแล้ว ก่อนที่หลงจะสังเกตเห็นผมรีบหันหลังและเปิดฝักบัวราดหัวตัวเองทันที

แต่ดูท่าจะไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่ทนไม่ไหว เพราะอีกฝ่ายโผเข้ามาสวมกอดผมทางด้านหลัง รู้สึกถึงของแข็งของหลงกระทบกับหลังผมเต็มๆ

“พี่จะทำผมเป็นบ้าอยู่แล้วนะครับ พี่รู้ไหมผมต้องอดทนขนาดไหนที่ต้องอยู่กับพี่ทุกวันโดยที่ทำอะไรมากกว่ากอดไม่ได้ เหมือนผึ้งที่เห็นดอกไม้ในตู้กระจกน่ะ” หลงแทรกศรีษะเข้ามากระซิบข้างหู
“หลง ปล่อยพี่” ผมทำเสียงเข้มดุเขาเหมือนเช่นที่ทุกครั้งที่เขาทำทะลึ่งกับผม แต่คราวนี้ดูจะไม่ได้ผลเสียแล้วเพราะเขากอดรัดผมแน่นกว่าเดิมอีก ผมสัมผัสถึงฟองสบู่ลื่นๆ จากตัวเขามาเปื้อนที่ตัวผม ทั้งๆ ที่ผมกำลังชำระล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัวแต่ผมยังสัมผัสถึงความลื่นจากตัวเขาอยู่ ความอบอุ่นจากทุกสัมผัสของเขาถ่ายทอดมาตลอดแผ่นหลังที่ติดกับแผ่นกายด้านหน้าของเขา

“พี่เอิร์ธครับ ผมขอเถอะนะ”

ประโยคสั้นๆ จากปากของเขา และต่อด้วยการถาโถมจู่โจมด้วยริมฝีปากซุกไซ้บริเวณลำคอของผมกับลำตัวของเขาที่แนบชิดผมมากขึ้น ร่างผมแทบละลายอยู่ตรงนี้ ด้วยร่างกายของผมที่ยังไม่เต็มร้อยด้วยแล้วยิ่งทำให้ผมแทบจะขัดขืนกับการเล้าโลมของอีกฝ่ายไม่ได้เลย (ถึงร่างกายผมจะครบร้อยผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะสู้แรงเขาได้)

ผมเผลอครางออกมาหลายครั้งในขณะที่ผมพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการโอบรัดของหลง สุดท้ายผมก็ต้องยอมหยุดหลบหนีเพราะหมดแรงที่จะต่อต้าน พอเห็นว่าผมค่อยๆโอนอ่อนไปตามรสลิ้นและริมฝีปากของเขาที่เวียนวนอยู่รอบคอ มือของเขาไล่วนจนมาถึงจุดยุทธศาสตร์ของผมที่ตอนนี้มันไม่เชื่อฟังจิตใต้สำนึกผมสักเท่าไหร่ เขาใช้มือของเขาค่อยลูบไล่ขึ้นลงช้าๆ จนผมไม่อาจฝืนใจตัวเองอีกต่อไป

ไม่นานเขาก็จับผมพลิกตัวไปประจันหน้ากับเขา ผมรู้สึกหอบหายใจถี่จนเหมือนวิ่งรอบสนามสักสองรอบแบบไม่หยุดพัก ตอนนี้ผมเห็นทุกส่วนสัดของเขาแบบเต็มตากับความเต็มที่ที่เขามีจนผมรู้สึกกลับกับสิ่งที่เห็น มันเกินเด็กจริงๆ(หรือว่ามัธยมหกนี่โตเป็นผู้ใหญ่กันเต็มที่แล้ว) หลงกดริมฝีปากลงที่ปากของผมก่อนที่ผมจะปรามเขาด้วยคำพูด ความอบอุ่นที่เขามอบให้กลางสายน้ำเย็นที่ออกจากฝักบัวคล้ายฝนพรำมันทำให้ผมเคลิ้มโต้ตอบกับริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ นั่น ผมลองใช้ลิ้นแทรกเข้าไปด้วยความเคยชินและเจนจัดกว่า แต่ก็ถูกอึกฝ่ายรุกกลับมาได้ร้อนแรงกว่าจนผมแทบหายใจไม่ออก เขาเหมือนสิงโตที่กำลังพยายามขย้ำเหยื่ออย่างผมให้ตายช้าๆ ไหนจะมือของเขาที่ลูบไล้สำรวจทั่งร่างผมอย่างถนุถนอมจนตอนนี้ผมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ผมก็ยอมทุกอย่าง

เหมือนหลงจะสื่อใจผมได้ เขายกตัวขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ

“พี่ผมขอนะ”

แต่ยังไม่ได้ฟังคำตอบของผม เขาก็พลิกตัวผมกลับด้านง่ายๆ เหมือนตุ๊กตายัดนุ่นและใช้มือที่มีเจลเย็นลูบตรงปากทางเข้าอย่างชำนาญ
“โอ้ย….เย็น… อะไรน่ะ”
“สบู่เหลวไงครับ”
“อะไรนะ!!?!  โอ้ย!!!…”
ผมร้องสุดเสียงเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมขนาดไม่ธรรมดา พยายามแทรกตัวเข้ามาในร่างกายของผม มันเจ็บและอึดอัดไปหมด ไม่ใช่ว่าผมบริสุทธิ์อะไร แต่แบบนี้มันไม่เคยเลย โอ้ย… ผมจะทนไม่ไหวแล้ว…. ผมพยายามใช้มือผลักไอ้ตัวต้นเหตุไปถอยไปแต่…กลับไม่ขยับ มันยิ่งทำให้หลงดันตัวเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด ผมร้องขึ้นอีกครั้ง
“เจ็บไหมครับ?” เขาหยุดเคลื่อนไหวและก้มลงมาถามผมที่ตอนนี้แทบหมดแรงจนจะกองไปกับพื้น (หากหลงไม่ดันผมไว้ ผมคงล้มลงไปกองแล้ว)

“เจ็บสิวะถามได้!”
“งั้นผมค่อยๆ ทำนะ ผมเองก็ไม่เคย….แบบนี้..”
อ้าวไม่ใช่ว่าจะหยุดหรอกเรอะ? ผมนี่อึ้งกับคำตอบ สักพักเขาก็ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ โดยเริ่มจากข้าแล้วค่อยๆ ไปเร็วขึ้นจนผมไม่รู้สึกเจ็บแล้วตอนนี้ แต่อยากให้เขารู้สึกดีเหมือนกับที่หลงส่งเสียงอยู่ตอนนี้ เสียงของเขาเร่งเร้าให้ผมรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่หลงปล่อยเสียงทุ้มต่ำยาว แล้วผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของเขาฉีดเข้ามาในเข้าร่างกาย เขาผ่อนตัวเองลงและก้มลงมากอดรัดผมแน่น

“ผมรักพี่ที่สุดเลย” เขาพูดขณะเอาหน้าไถที่หลังผมเบาๆ
“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ!! นี่ไม่ได้ใส่ถุงเรอะ?!?”
“จะเอาเวลาไหนไปใส่ล่ะพี่?”
“โธ่!! ไอ้บ้า….”

หลังจากนั้นผมก็รีบล้างตัวทำความสะอาดอีกรอบ แถมบ่นอุบอิบกับหลงเสียยกใหญ่ (แก้เขิน) ระหว่างล้างทำความสะอาดผมรู้สึกแสบร้อนไปหมด รู้สึกเหมือนประตูกลังบ้านกลายเป็นประตูโรงรถไปแล้ว

ผมเดินออกจากห้องน้ำในสภาพหมดแรง ตามเนื้อตัวก็ยังมีน้ำหมาดๆ ประพรมอยู่ รู้สึกว่ายังมองหน้าหลงไม่ได้ยังไงไม่รู้ ไม่คิดว่าตัวเองจะปล่อยตัวได้ขนาดนี้ หลงเดินมาใกล้และปลดผ้าเช็ดตัวของตัวเองขึ้นมาเช็ดศรีษะให้ผม (ไอ้เด็กขี้อ่อย เอะอะแก้ เอะอะแก้)

“คราวหลังอย่าลืมใช้ถุงยางด้วยล่ะ ทำให้เคยชินเข้าใจไหม?” ผมพูดขึ้นขณะที่โดนเช็ดผมให้อยู่ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนลูกหมาตกน้ำและมีเจ้าของนำผ้ามาเช็ดให้
“แปลว่าจะมีคราวหลังอีก?” หลงมากระซิบข้างหูอีกแล้ว
“ไม่โว้ย!!” ผมโวยวายพลางเหวี่ยงผ้าเช็ดตัวของหลงกลับไปหาเจ้าของ
“แปลว่า ให้ผมสามารถใช้กับคนอื่นได้!!!” หลงยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ลองดูสิ! จะได้หาไม้ฟาดหัวแตก!!”
“ยอมแล้วครับ ผมจะเก็บไว้ใช้กับพี่แค่คนเดียวเท่านั้น” พูดไม่ทันจบประโยคหลงก็โผเข้ามากอดผมทั้งที่ตัวเปล่าเปลื่อย
“ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป” ผมพูดแบบเขินๆ เพราะรู้สึกน้องชายของหลงมันจะขอทำโอทีซะแล้ว
“เอาน่า ผมอุตส่าห์เตรียมมาให้ผมได้ลองใช้กับพี่หน่อยสิ”
“ลองอะไร?”
“ก็ถุงยางกับเจลหล่อลื่นไง”
พูดจบเขาก็ทิ้งตัวเองมาทางผมซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ชิดเตียงให้ล้มลงไปนอนพร้อมกับเขา ผมร้องโอ้ยและกำลังจะอ้าปากดุเขาแต่ก็โดนเขากดริมฝีปากมาอุดเสียงผมไว้ ผมดิ้นรนอยู่เพียงชั่วครู่ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้อารมณ์พาไป……….


……………………………………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบ part 5 (อัพ 11/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-10-2017 12:20:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบ part 5 (อัพ 11/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 13-10-2017 04:00:45
ได้กันไวเชียว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเอ็ด part 1 (อัพ 14/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-10-2017 10:23:22
กวี #8




สงสัยว่าผมคงยังไม่คุ้นเคยกับสรรพนามใหม่ที่ถูกเรียกโดยชัย ถึงมันจะจริงในแง่มุมหนึ่ง แต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่ชอบให้ถูกใครเรียกว่า ‘เมีย’ เลยให้ตายเหอะ  ผมเดินเรื่อยเปื่อยจากร้านอาหารริมทะเลที่กินมื้อเย็นกับชัย หลงและพี่หมอ จากเหตุการณ์ที่ชัยมักจะพูดอะไรไม่คิด จนเส้นความอดทนของผมขาดสะบั้น ผมวิ่งออกจากร้านแทบไม่คิดโดยทันที ผมไม่สนใจแม้ชัยที่ตะโกนเรียกชื่อผมให้หยุดรอเขาด้วย

ผมสาวเท้าอย่างเร็วจนมาหยุดที่โขดหินริมหาดทรายสุดทางทางด้านซ้ายของร้านอาหาร บรรยากาศทำให้ผมใจเย็นลง เม็ดทรายที่ท่วมเข้ามาในรองเท้าแตะอาดิดาสสีดำพร้อมกับคลื่นน้ำทะเลที่พัดเข้ามา ทำให้ผมต้องถอดรองออกมาดูอาการแสบคันที่เกิดจากการเดินควบทรายมาตลอดทาง ทำให้ต้องนั่งลงที่โขดหินใกล้ๆ เอาเท้าแช่น้ำเพื่อให้สบายเท้าขึ้น ความเย็นของน้ำทะเลยามนี้มันทำให้ผมไม่อยากลุกหนีไปไหนเลย ระหว่างที่ผมกำลังเหม่อมองแสงไฟจากเรือหาปลาในทะเลวูบวาบไกลออกไป กำลังให้ความรู้สึกของตัวเองกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ พร้อมเสียงเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าฝั่งเบาๆ

“อยู่นี่เอง! เราหาตั้งนาน เมื่อกี้ไปผิดทาง กว่าจะหานายเลยใช้เวลานานเลย”
“………” ผมมองหน้าชัยอย่างรู้สึกอารมณ์เสีย ทั้งการที่ชัยมาขัดจังหวะทอดน่องของผม บวกกับคดีที่เพิ่งผ่านมา

“โอ๋ๆ เมียจ๋า ไม่โกรธดิ” ชัยเดินมาทำท่าจะโอบไหล่ผม
“เราจะโกรธนายก็ตอนนี้แหละ!” ผมมองเขาตาเขียวพร้อมปัดมือเขาทิ้ง
“อ้าว……เป็นอะไรล่ะเนี่ย?”
“ก็ไอ้การพูดไม่คิดของนายเนี่ย”
“ขอโทษนะ ขอโทษ เราก็รู้นะว่านายไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่ก็อดพูดออกมาไม่ได้ เราอยากจะประกาศให้ทุกคนรู้ไม่ได้ว่า คนนี้น่ะเมียเรา ห้ามยุ่ง!”
พอผมฟังจบก็อดที่จะอายไม่ได้ รู้สึกดีกับสิ่งที่เขาพูด ทำให้โกรธเขาไม่ลงสักที

“ไม่อายใครเขาเหรอ ที่มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันเนี่ย”
“แล้วนายอายเหรอ? ที่มาคบกับเรา” ชัยทำหน้าข้องใจปนเสียใจ
“เปล่าๆ เราไม่เคยเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเรื่องที่ตกลงคบกับนาย แต่…. ”
ชัยดูสีหน้าดีขึ้น เขาเดินมาแล้วยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของผม

“เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ตรงนี้ไง จะรักใครไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นะเป็นใคร แต่อยู่ที่ใจว่าเรารักเขาหรือเปล่า อยู่ด้วยแล้วมีความสุขแบบนี้หรือเปล่า รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกกังวลว่าในใจเขามีเราหรือไม่ อยากให้ใจเขาอยู่ใกล้ๆกับใจของเรา ให้สิ่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายของเราเป็นตัวตัดสินใจ แล้วทำตามนั้นแล้วเราจะไม่เสียใจเลย นี่คือสิ่งที่อยู่อกข้างซ้ายเราคิด นายล่ะ? ของๆนายมันว่ายังไง?”

พอฟังจบผมรู้สึกมีไอร้อนวนอยู่รอบดวงตา รู้สึกมองอะไรมันขุ่นมัวไม่หมด ผมไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ฟังเท่าไหร่ว่ามันออกมาจากคนที่วันๆพูดแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้

“อืม…” ผมไม่ตอบอะไรมาก ทำเพียงทาบมือทับไปที่มือของเขาที่สัมผัสอกข้างซ้ายของผม และพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเท่านั้น  เขาตอบผมด้วยการโผเข้ามากอดผมเต็มแรง

“แต่ไม่เรียกเราแบบนั้นอีกได้ไหมอ่ะ?”
“ได้… งั้นเรียก ‘ที่รัก’ ได้ไหมครับ?”
“ไม่เอา…. ถ้าเรียก…. ‘แฟน’ ก็คงพอไหวนะ”
“ได้ครับ คุณแฟน” เขายกฝ่ามือขึ้นทาบที่ปลายคิ้วแบบล้อเลียนเหมือนตำรวจ
ผมยิ้มและหัวเราะในลำคอในความทะเล้นของเขา

ชัยชวนผมกลับที่พักทันทีที่เห็นคนบริเวณชายหาดเริ่มน้อยลงแล้ว เพื่อความปลอดภัยผมเห็นด้วยในทันที ชัยกับผมเดินเคียงกันไปจนถึงร้านอาหารริมหาดเมื่อครู่ ผมจะไปขอตัวลาและขอโทษกับพฤติกรรมแย่ๆของผมเมื่อกี้กับพี่หมอด้วย แต่ชัยห้ามไว้เพราะอยากให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันบ้าง อุตส่าห์วางแผนมาเสียดิบดี แม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เป็นไปตามแผนเลย พวกเราจะเข้าไปก็ขัดจังหวะสองคนนั้นเสียเปล่า ผมก็เห็นด้วยนะ งั้นพรุ่งนี้เจอพี่เขาค่อยขอโทษก็แล้วกัน ส่วนค่าอาหารค่อยคุยกับหลงอีกที

พวกเราเดินเลยร้านนั้นขึ้นไปจนถึงถนนทางไปที่พักของเรา เขาเดินนำผมขึ้นไปบนทางลาดที่จะขึ้นไปถนนหลัก ชัยหันหลังและยื่นมือมาทางผมเหมือนจะช่วยดึงผมขึ้นทางลาด
“ไม่ต้องหรอกมั้ง เราเดินเองได้แค่นี่เอง”
“อยากหลอกแอบจับมือแฟนมันผิดตรงไหนเนี่ย?”
“…..ไอ้บ้าเอ้ย…” ปากผมก็ว่าเขาแต่ก็ยื่นมือออกไปหาเขาด้วยรอยยิ้มแบบเขินๆ

เขาเดินจูงมือผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงที่พัก ผมรู้สึกดีกับท่าทางของชัยวันนี้มาก เขาดูแปลกไปนิดหน่อยตรงที่เขาห่วงใยกับผมแบบเปิดเผยมากขึ้น อาจเพราะสิ่งนี้แหละที่ผมหลงไหลในตัวเขา เขาเหมือนสายลมที่อิสระ เปิดเผย จริงใจกับความต้องการของตัว ยิ่งมาได้รู้ว่าเขารักผมด้วยใจจริง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับเขามากขึ้น (รู้สึกเหมือนโดนขอแต่งงาน)

“เฮ้ย!! ทำอะไรน่ะ?”

ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินขณะเดินมาถึงหน้าประตูห้องพัก หลังจากที่ชัยปลดล็อคประตู ชัยอุ้มผมในท่าประคองทั้งสองมือ มือหนึ่งสอดใต้หลัง มือหนึ่งสอดใต้หัวเข่า

“ขออุ้มเจ้าสาวเขาหอก่อนนะ ได้ฤกษ์แล้ว”
“เดี๋ยวๆ ฤกษ์อะไรน่ะ?”

เขาอุ้มผมเข้าห้องโดยใช้เท้าเขี่ยปิดประตูดังปัง แล้ววางผมลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
“แหม…..รู้แล้วยังจะถามนะ” ชัยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์มาใกล้ที่หน้าผม
“ไม่รู้โว้ย…..” ผมใช้มือดันหน้าเขาออกไปแต่โดนจับข้อมือกดลงไปบนพื้นที่นอน

แล้วเขาก็เริ่มต้นด้วยการลงริมฝีปากมาประกอบกับริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อนก่อนที่ผมจะโวยวาย………………………

…………………………


ผ่านวันหยุดที่พัทยาได้สองวันแล้ว ชีวิตกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิม ผมโดนป๊ากับคุณน้าดุนิดหน่อยเพราะไปโดยไม่ได้บอกกับทั้งสองคนก่อน (ก็เห็นว่าไปต่างประเทศกัน ไม่คิดว่าจะกลับมากันง่ายๆ)
ป๊าดุว่าทำไม่บอกกันก่อนจะได้แนะนำโรงแรมดีๆ ให้ เพื่อนป๊าทำธุระกิจนี้เยอะ
ส่วนคุณน้าก็ดุว่ากลัวเราไปทำอะไรเหลวไหล ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากเพราะผมไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี

“คุณครับ เด็กผู้ชายมันก็ต้องแบบนี้แหละ ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายลูกก็กลับมาบอกนี่”
“คุณก็ให้ท้ายลูกแบบนี้ทุกที ระวังจะเสียคนนะ!”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะขอตัวไปนอน (กลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องฟังเขาทะเลาะกันอีก

ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้วันกีฬาของโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด (เป็นงานร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนในตัวจังหวัดมาจัดแข่งขันกีฬากัน) วันนี้เลิกเรียนเสร็จก็กะว่าจะมาติวหนังสือกับชัยเพื่อชดเชยในช่วงที่หายไปเที่ยวกันสองวัน แต่ดันมาเจอโค้ชทีมบาสฯตามไปซ้อมเพราะใกล้แข่งแล้ว (ผมแอบโห่ แต่ในเมื่อใจมันรักที่จะสมัครเล่นก็ต้องทำ) ดีที่ทางฝ่ายชัยก็โดนให้ซ้อมหนักเหมือนกัน เราเลยต้องขอทำหน้าที่นักกีฬาที่ดีก่อนทำหน้าที่นักเรียนที่ดี (และหน้าที่แฟนที่ดีที่ควรจะไปอยู่ร่วมกันบ้าง)

กว่าจะซ้อมจบก็ล่วงเลยมาประมาณเกือบสองทุ่ม ผมรู้สึกกังวลว่าชัยจะไปรอผมที่ร้านประจำนาน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบคว้าโทรศัพท์มากดปุ่มโทรด่วนหาเขาทันที (ชื่อของชัยอยู่ในรายชื่อโทรด่วนในระดับต้นๆ)

“สวัสดีครับคุณแฟน” ปลายสายอีกฝั่งดังลั่นออกมา
“ทะเล้นแบบนี้ได้แปลว่าไม่เหนื่อยใช่ไหม?”
“โห….. อย่าให้พูดเลย เหนื่อยโคตร นี่ถ้าทุกคนไม่บอกโค้ชว่าหมดแรงนะ ป่านนี้ยังซ้อมกันอยู่เลย”
“แล้วนายอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
“อาบน้ำเสร็จแล้ว ว่าโทรหาอยู่เลย มัวแต่วุ่นวายกับไอ้หลง มันหน้าบูดบ่นโอดควรจะเป็นจะตาย เพราะพี่หมออยู่เวรดึก พอเลิกซ้อมดึกขนาดนี้ คงไม่ได้เจอกัน มันมาอ้อนให้เราไปส่งมันอยู่เนี่ย ปกติก็เห็นไปเองได้ โรงพยาบาลกับร้านประจำเรามันอยู่ไกลกันอยู่นะ เรากลัวไปเจอนายไม่ทันช่วงเคอฟิวส์ของบ้านนาย”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปส่งหลงก่อนเหอะ”
“โอ้ย! ไม่ต้องเป็นห่วงมันแล้ว อยู่ๆ พี่หมอก็มารับมันถึงขอบสนาม ไอ้หลงมันถลาตัวหายไปกับพี่หมอเรียบร้อยแล้ว ไม่บอกลาโค้ชลาเพื่อนเลย ไอ้เวรนี่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” ผมอดที่หัวเราะกับคำพูดของเขาไม่ได้จริงๆ

…………………..

ผมขับรถมาจอดที่ร้านประจำที่เดิม ก่อนเลี้ยวเข้ามาผมเห็นรถบิ้กไบค์ของชัยจอดอยู่หน้าร้านแสดงว่าเขามาถึงก่อนแล้ว ผมรีบเดินออกจากรถไปจนถึงหน้าร้าน จากจุดที่ผมยืนอยู่ทำให้เห็นชัยนั่งอยู่ในที่ประจำของเราชัดเจน แต่ผมก็ต้องสะดุดเท้าลงเพราะเสียงหัวเราะของชัยที่ดังลั่นขึ้นมา ผมมองเข้าไปด้วยความสงสัยก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในที่ประจำของผมหัวเราะไปพร้อมกับชัยด้วย

ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาชอบกลแต่ยังนึกไม่ออก อาจเพราะตอนนี้ในอกของผมรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ เหมือนมีไฟฟ้าประจุเล็กๆ จี้เข้ามาที่กลางอกผม และรู้สึกไม่ชอบหน้าไอ้หมอนี่เอาเสียเลย

ผมยืนลังเลที่จะเข้าไปหาชัยแว่บหนึ่ง เพราะท่าทางที่ดูสนิทสนมกันขนาดนี้ทำให้ผมยิ่งสงสัย ทันทีที่จะก้าวเท้าเข้าไปยังสิ่งกวนใจตรงหน้า ก็มีเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้า ผมเผลอกดรับสายด้วยความใจลอย

“พี่กวีคะ นิ่มเองนะคะ”

“……..” ผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นดูหมายเลขที่หน้าจออีกครั้งเพื่อทบทวนหมายเลขที่โทรมา
“พี่กวี อย่าเพิ่งวางสายนะคะ นิ่มอยากคุยกับพี่นะคะ” เสียงดังลอดออกจากรูลำโพงในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผม
“โอเคครับ นิ่มว่าไง” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาทาบหูอีกครั้ง พยายามทำใจให้เย็นลง ผมยังไม่อยากเจอนิ่มตอนนี้เท่าไหร่ เพราะเราสองคนก็ยังจบกันไม่สมบูรณ์ แล้วไหนจะสถานะภาพของผมกับชัยตอนนี้อีก ผมรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที

“นิ่มรู้แล้วว่านิ่มผิด นิ่มอยากจะเคลียร์กับพี่กวีนะคะ อย่างน้อยหากเราคุยกันแล้ว มันต้องจบจริงๆ นิ่มขอเป็นน้องสาวของพี่กวีก็ได้คะ นิ่มไม่อยากให้เราจบกันโดยไม่พูดคุยกันดีๆ”

อืม…. ผมคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ยังไงสักวันหนึ่งก็คงต้องคุยกันสักวันหนึ่ง

“อืม….” ผมยังมีความลังเลอยู่บ้าง
“พี่กวีเห็นแก่ความสัมพันธ์และความทรงจำดีๆ ของเรา พี่มาร่วมงานวันเกิดนิ่มได้ไหมคะ?” ผมนึกไปถึงเรื่องต่างๆที่เรามีกันทุกเรื่อง ผมคงต้องรับผิดชอบโดยการทำให้มันจบดีๆ แล้วนี่ผมลืมวันเกิดนิ่มไปเสียสนิทเลยนะเนี่ย ความรู้สึกผิดเข้าครอบงำผมจนต้องตอบตกลง

“ได้ครับ….. ที่ไหนดีล่ะครับ”
“ที่เดิมก็ได้ค่ะ ร้านคาเฟ่ที่ใกล้ๆบ้านนิ่มไง พรุ่งนี้พี่ว่างไหมคะ”
“ได้ๆ หลังซ้อมบาสฯ แล้วจะไปหานะ รอไหวไหม?”
“รอได้คะ อยู่ไม่ไกลบ้านอยู่แล้ว”
“อืม… เจอกัน”
“คะ…แล้วเจอกัน”

ผมวางสายแล้วเดินเข้าร้านไปเผชิญกับปัญหาคาใจอีกอันหนึ่ง

…………………..

ผมไม่ได้บอกชัยว่าวันนี้มางานวันเกิดของนิ่ม กลัวชัยจะตามมาด้วยและจะทำให้สถานะการณ์แย่ลง ผมอยากจบความสัมพันธ์นี้ลงสวยๆ ผมบอกกับชัยว่าแค่มาทำธุระกับพ่อเท่านั้น วันนี้ชัยต้องซ้อมบาสฯดึกด้วย ผมเลยสามารถมาทางนี้ได้สะดวก

ผมเดินลงจากรถที่จอดไว้บริเวณลานหน้าร้านที่นัดหมายกับนิ่ม ร้านนี้เป็นร้านของญาติห่างๆ ของนิ่ม เราเคยมาเวะมาบ่อยๆ เวลามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเพราะใกล้บ้านนิ่มมาก ระหว่างที่ผมเดินเข้าใกล้ร้านมากขึ้น ผมรู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศภายในร้านเพราะหากเป็นการจัดงานวันเกิดมันก็ควรจะครื้นเครงกว่านี้ แต่พอเดินเข้ามาถึงบริเวณร้านกลับพบลูกค้าเพียงไม่กี่คน นิ่มน่าจะเป็นคนเพื่อนเยอะทำไมถึงมีคนอยู่ในร้านไม่ถึงสิบคน

“พี่กวี….. มาแล้วหรือคะ?” เสียงหวานๆ แว่วมาแต่ไกล ผมมองหาต้นเสียง ผมมองเห็นเธอยืนอยู่หลังเคาเตอร์บริการเครื่องดื่ม เธอแต่งตัวได้สทกับเป็นนิ่มดี เสื้อเกาะอกรัดรูปสีชมพูอ่อนกับกระโปรงบานสั้นเหนือเข่า ทำผมแต่งหน้าสวยเข้ากับชุด เหมือนนางฟ้าประจำวันเกิด

“ทำไมคนน้อยจัง?” ผมถามหลังจากที่ตื่นตะลึงดับชุดของนิ่มที่ปกปิดน้อยเหลือเกิน
“พี่กวีคะ นี่มันกี่โมงแล้วคะพี่?” นิ่มเดินลงมาหาพร้อมเครื่องดื่มสีอำพันในมือ ผมมองนาฬิกาในมือที่เข็มสั่นชี้ไปจนเกือบเลขแปดแล้ว ผมรับเครื่องดื่มจากนิ่มและยิ้มกลับในเชิงขอโทษ
“นี่…เดี๋ยวนี้ นิ่มดื่มของแบบนี้แล้วเหรอ?” ผมยกแก้วกลิ่นฉุนที่นิ่มยื่นให้ในมือขึ้นมาระดับศรีษะ
“ก็เพราะอกหักน่ะคะ” นิ่มหันมาพูดด้วยท่าทีเศร้าสร้อย ในอกผมเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่เล็กจนผมแอบหลบตา นั่นสิผมคงยังไม่พร้อมที่จะมาเจอนิ่มจริงๆ ผมยังหลงเหลือความรู้สึกแคร์นิ่มอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรคะ ยังไงนิ่มก็อยากลองอยู่แล้ว มันก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก พี่กวีไม่คิดมากหรอกคะ มาสนุกกันดีกว่า เพื่อนนิ่มกลับไปบางส่วนแล้ว แต่ยังมีเค้กกับของโปรดพี่อยู่ทางโน้นนะคะ”
“เอ่อ… ครับ…” อย่างน้อยเธอก็ยังจำของโปรดผมได้ ผมกระดกของเหลวในมือเข้าปากเพราะรู้สึกคอแห้งขึ้นมา

“ว่าแต่พี่กวีก็ดูจะชินกับของพวกนี้อยู่นะคะ เห็นกระดกกินแบบไม่ลังเลเลย” นิ่มชี้มาที่แก้วที่ผมยกดื่มจนเกือบหมดแก้วในครั้งเดียว ตั้งแต่คบกับชัยผมก็ได้ลองอะไรแบบนี้บ่อยๆ เลยเผลอชินไม่รู้ตัว ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เป็นคำตอบ

บรรยากาศในร้านดูเป็นกันเองเช่นเดิม มีเพื่อนของนิ่มที่ผมดูจะคุ้นหน้าอยู่บ้างเหลืออยู่ในร้านซึ่งตอนนี้จับกลุ่มคุยกันเองเป็นกลุ่มย่อยๆ สองสามกลุ่ม ผมเดินตามนิ่มไปโซนนอกชานที่ชั้นสอง ที่ตอนนี้ไม่ทีคนนั่งเลย นิ่มบอกแค่ว่าอยากคุยกันสองคนก่อน ผมไม่ลืมที่จะให้ของขวัญวันเกิดแก่นิ่ม ผมเคยคิดจะให้นิ่มเป็นของขวัญวันเกิดอยู่แล้ว สร้อยแพรทตินั่มประดับชาร์มสีชมพูที่นิ่มเคยพาไปดูบ่อยๆ แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง นิ่มเลยตัดใจซื้อไม่ลงเสียที ผมเลยคิดจะให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด และคราวนี้ถือเป็นของขวัญอำลาที่ดี

นิ่มเปิดกล่องของขวัญดูทันทีที่ได้รับไป ดูเธอดีใจมากจนเกือบน้ำตาไหล และโผมากอดเหมือนเช่นปกติที่เธอเคยทำบ่อยๆเวลาที่เธอดีใจ ผมแสดงท่าทางอึดอัดนิดหน่อยเพราะผมคิดกับเธอไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอพยายามข่มสีหน้าไม่ให้เศร้าสร้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด พยายามจับเธอให้อยู่ในระยะห่างเท่าเดิม

“นิ่มก็นึกว่าพี่จะมาขอคืนดีด้วย พี่ยังจำของที่นิ่มอยากได้อยู่เลย”
“ก็อย่างที่นิ่มว่า พี่อยากให้เราจบกันด้วยดี ถึงเป็นแฟนไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นพี่น้องที่ดีกันได้”
“…………” ผมมองเธอทำหน้าเกินที่ผมจะบรรยายออกมาได้ เศร้าปนโกรธปนสับสน
“นิ่ม….โอเคใช่ไหม?”
“โอเคคะ นิ่มโอเค เราไปนั่งตรงนั่นกันก่อนเถอะคะ นิ่มอยากคุยกับพี่ ไม่เจอตั้งนานคิดถึงจะแย่…..ส่วนเรื่องของเรา นิ่มก็ทำใจมาสักพักกนึ่งแล้ว และคิดว่าพี่คงจะมีคนอื่นแล้วใช่ไหม?”
“………..” ประโยคสุดท้ายของนิ่มทำเอาผมไร้คำพูดที่จะโต้ตอบใครจะไปบอกได้ว่า ผมทิ้งเธอไปหาผู้ชาย ผู้ชายที่เธอก็รู้จักดี
“น้ำในแก้วพี่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวนิ่มลงไปเติมให้นะ แล้วค่อยคุยกันต่อนะคะ” นิ่มยิ้มหวานให้ในแบบที่เธอชอบทำแล้วก็แย่งแก้วในมือผมเดินลงไปที่ชั้นล่าง ผมเลยต้องมองหาที่นั่งจากเก้าอี้ที่ว่างมากมายบนนี้มานั่งระหว่างรอนิ่ม

นิ่มหายไปสักพัก และกลับมาพร้อมถาดที่บรรจุเครื่องดื่มและนำ้แข็งมาเต็มถาด ในถาดนั่นมีแก้ววางอยู่สองแก้ว แต่ละแก้วบรรจุเครื่องดื่มผสมสีอำพันเติมอยู่จนเกือบเต็มแก้ว นิ่มยกมาที่ที่ผมนั่งอยู่ และนั่งลงคุยกับผมโดยเริ่มจากสารทุกข์สุขดิบทั่วไปจนกระทั่งนิ่มพยายามถามว่าผมมีคนใหม่หรือยัง? ชอบใครอยู่ไหม่? แต่ผมพยายามบอกปัดๆ ไปก่อนเพราะไม่ต้องการให้นิ่มรู้สึกแย่ไปกว่านี้ และผมก็รู้จักนิ่มดีขึ้นแล้ว เรื่องที่ผมจะเล่าคงไม่หยุดอยู่แค่นิ่มคนเดียวแน่ๆ

เหมือนนิ่มจะรู้ว่าหากผมไม่สบายใจกับคำถามของนิ่มเมื่อไหร่ผมจะยกแก้วขึ้นมาดื่มแบบไม่รู้ตัว เธอเลยพยายามถามเรื่องแบบนั่นถี่ขึ้น นิ่มเป็นคนฉลาดแม้คำพูดจะไม่ซ้ำ แต่ทุกประโยคเชื่อมโยงให้ตอบได้แบบเดียวเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงพักและกำลังโดนสอบปากคำอยู่ ผมว่านี่แหละจุดประสงค์ของนิ่ม

“ตอนนี้พี่โสดแล้ว ไม่เปิดใจหาคนใหม่บ้างหรือ?”
“…….. เอ่อ…. ไม่ ขอพักก่อนดีกว่า” ผมรู้สึกว่าต้องทันกับทุกคำถาม อึกๆ ….นี่ผมยกกระดกดื่มแบบไม่รู้ตัวอีกแล้ว! คงต้องหยุดเดี๋ยวเมากันพอดี
“แล้วเพื่อนพี่ พี่ชัยน่ะ ไม่แนะนำใครมาให้อีกเหรอ? แบบมาดามใจพี่อะไรแบบเนี่ยคะ”
“ไม่มีนะ…..” ผมแอบตอบเสียงสั่น ชัยไม่ได้แนะนำใครเลยนอกจากตัวเอง จะให้ผมบอกแบบนี้หรือไง? อึกๆ… เฮ้ย ผมต้องหยุดดื่มเสียแล้ว

“เอาแก้วมาคะ พร่องแล้วเดี๋ยวนิ่มเติมให้” เธอแย่งแก้วผมไปเติมอีกแล้วและรู้สึกว่าเครื่องดื่มมันจะขมขึ้นทุกครั้ง
“พอๆ พอแล้ว พี่ไม่เติมแล้วได้ไหม?”
“ไม่ได้คะ วันนี้วันเกิดนิ่มนะคะ มาดื่มกับนิ่มก่อนนะ อีกหน่อยก็คงไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันแล้วนะคะ” เธอทำสายตาเศร้าเสียจนผมใจอ่อนหยิบแก้วที่เติมน้ำสีเหลืองอ่อนจิบไปสองอึกใหญ่
“โอเค” ผมว่าผมเริ่มหน้าชาๆ แล้วล่ะ
“พี่กวีสัญญากับนิ่มได้ไหมคะว่าอย่าเพิ่งควงคนใหม่ช่วงนี้ นิ่มกลัวเสียใจกว่านี้ ถ้าจะควงก็อย่าให้สวยกว่านิ่มนะคะ ได้ไหมคะ?”
“……” ผมพยักหน้าก่อนกระดิกให้ของเหลวกลิ่นฉุนไหลลงคอไปอีกจำนวนหนึ่ง (ใช่ รับรองว่าไม่สวยกว่านิ่มแน่เพราะมันหล่อ!)
“อ่ะ!! แก้วเริ่มว่างแล้วเดี๋ยวนิ่มชงให้ใหม่แล้วมาชนแก้วกันนะคะ”
“………..”

ผมรู้สึกว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ จนผมจำคำถามข้อสุดท้ายของนิ่มไม่ได้………….


…………………...........(ต่อ).................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 1 (อัพ 14/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 15-10-2017 02:38:56
โดนล่อลวงอีกแล้วคนดี  :m16:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเอ็ด part 2 (อัพ 15/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-10-2017 21:04:52

€>€<€<€~~€~~~€€€~~~~~€


เสียงริงโทนของผมดังลั่นเข้ามาในความฝันที่มืดสนิท ผมใช้มือคว้าหาต้นเสียงอย่างงุนงง เสียงเหมือนอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมหาไม่เจอสักที หนังตาผมมันหนักมากจนลืมแทบไม่ขึ้น ศรีษะเหมือนมีคนมาบีบไว้ไม่ปล่อย ปวดร้าวไปหมดทั้งสมอง ผมลืมตาขึ้นมาเจอเพดานสีทึมๆและดวงไฟนีออนหลอดยาวสีมัวๆ เป็นภาพที่ไม่คุ้นตา

นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย? ...................ผมกำลังลำดับเหตุการณ์เท่าที่จำได้แต่สมองตอนนี้ทำงานได้ไม่ดีเท่าไหร่

เสียงริงโทนหยุดร้อง และดังขึ้นใหม่แทบจะทันที ทำให้เรียกสติผมตื่นเต็มที่มากขึ้น ผมรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนต้องเอามือขึ้นมากอดอก ทำให้สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนบางสีขาวอมเหลือง สิ่งนี้ทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมานั่งทั้งๆที่หัวยังปวดร้าวไปหมดเหมือนมีระเบิดขนาดเล็กกำลังทำลายเซลล์สมองอยู่ ผมพยายามให้สายตาปรับแสงภายในห้องที่มีแสงสว่างจำกัด ผมพบว่าตัวเองนอนเปลือยกาย (ก็ไม่เชิงมีผ้าห่มผืนบางห่อหุ้มอยู่) ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์อยู่น้อยชิ้น ทางซ้ายมีห้องน้ำที่มีกระจกบางๆกั้นอยู่ ไม่มีประตูห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ (มันเป็นการออกแบบแบบไหนกัน?) รวมๆคือสภาพเหมือนห้องพักเก่าๆ

ใจผมเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะผมจำไม่ได้เลยว่าเอาตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผมเริ่มต้นควานหาโทรศัพท์ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ที่พื้นข้างเตียงซึ่งตอนนี้เสียงเงียบไปอีกแล้ว ที่หน้าจอแสดงให้เห็นถึงจำนวนสายที่ไม่ได้รับจากชัย หลง และพี่หมอ แต่ละคนโทรมาไม่ต่ำกว่า 20-30 มิสคอล ก่อนที่จะโทรกลับผมรีบสำรวจตัวเองและทรัพย์สินก่อน เนื้อตัวผมดูสะอาดสะอ้านดี มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ บ้างแต่ไม่มีบาดแผลอะไร ไม่ได้เจ็บปวดอะไร (นอกจากหัวที่ตอนนี้พร้อมจะระเบิดตัวเอง) ข้าวของเสื้อผ้ากระเป๋าเงินอยู่ครบทุกอย่าง (แม้จะกระจัดกระจายไปบ้าง)

หลังจากนั้นผมก็ปลดล็อคโทรศัพท์และเลือกหมายเลขของชัยและโทรออกทันที เลขสัญญาณปลายสายดังอยู่สองสามครั้ง

“กวี! กวีใช่ไหม? นายอยู่ไหนทำไมโทรไปตั้งหลายสายทำไมไม่รับสาย?” เสียงจากอีกฝากของโทรศัพท์ที่ดูร้อยรนจนผมโต้ตอบไม่ถูก
“เอ่อ….. เดี๋ยวนะ เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฟื้นมาก็อยู่ในห้องที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนโรงแรมแหรือห้องเช่ารายวันเก่าๆหน่อย” ผมพยายามมองรอบๆ อีกครั้งหนึ่งแต่เท่ารู้ก็เหมือนเดิม
“ส่งที่อยู่ผ่านไลน์มา จีพีเอสในมือถือน่ะ ทำเป็นไหม?”
“อืม… ทำเป็น”
“โอเค ส่งมานะเดี๋ยวไปรับ”
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมชัยดูร้อนรนจัง?”
“ไม่ต้องถามมาก! เตรียมตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวไปรับ รีบส่งที่อยู่มาด้วย!!”
“……….” ผมกำลังงงกับอากัปกิริยาของชัย ชัยก็วางสายไปผมเลยเลือกส่งที่อยู่ไปให้ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น จากแผนที่ทำให้เห็นว่าผมอยู่ไม่ห่างจากคาเฟ่ที่จัดงานเลี้ยงวัดเกิดนิ่มมากนัก เหมือนผมจะจำได้ว่าแถวนี้มีโรงแรมเก่าๆ อยู่สองสามแห่งสำหรับคนที่ต้องมาทำงานค้างจังหวัด และหนึ่งในนั้นก็มีโรงแรมม่านรูดอยู่ด้วย!!

ผมรีบแต่งตัวและพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อวานว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง หรือผมเมามากเลยต้องหาที่พักก่อน หรือ…… มีใครพาผมมา…. แต่จากสภาพที่ผมเห็นตัวเองทำให้ผมไม่อยากคิดถึงสิ่งนี้เท่าไหร่ ผมสำรวจตัวเองอีกครั้งอย่างตระหนก แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลตรงไหน (โดยเฉพาะตรงบั้นท้าย) ผมแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

ก็อกๆๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าใคร หากเป็นชัยน่าจะพูดแสดงตัวก่อนและเขาเองก็ไม่น่าที่จะมาเร็วแบบนี้

“น้องๆ น้องต้องเช็คเอ้าท์แล้วนะ ไม่งั้นพี่คิดตังเพิ่มนะ น้องๆ ตื่นหรือยัง?”
สงสัยเป็นผู้ดูแล
“เอ่อ….. ผม….. กำลังออกไปครับ”
ผมตะโกนออกไปแบบกลัวๆ
“โอเค เสร็จแล้วก็ออกมาพี่จะได้เข้าไปทำความสะอาด”
“ครับๆ” ผมมองรอบๆ ห้องให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไร พลางคิดว่า คงต้องสร้างใหม่เลยถึงจะดูสะอาดขึ้น ห้องนี้ไม่น่าจะทำให้ดีหรือสะอาดขึ้นได้

ผมเปิดห้องออกไปเจอคุณป้าวัยกลางรูปร่างค่อนข้างใหญ่ยืนรออยู่หน้าห้อง พร้อมตระกล้าน้ำยาต่างๆและอุปกรณ์ทำความสะอาด เธอมองหน้าผมและส่ายหน้าอย่างเหลืออด พอผมเดินผ่านคุณป้าไปได้สองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงเธอบ่นลอยตามลมมา
“วัยรุ่นสมัยนี้ เฮ้อ! หน้าตาก็ดี ไม่น่ามาทำอะไรแบบนี้เลย!”

ผมยังงงๆ กับคำพูดนั้น ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ป้าคนนั้นพูดหมายถึงอะไร ผมเดินหน้าต่อไปอย่างเพลียๆ แสงข้างนอกสว่างกว่าข้างในห้องมาก ทำให้ใช้เวลาสักพักในการปรับสายตา พอออกจากห้องมันเป็นเหมือนโรงรถขนาดเล็กที่มีผ้าม่านสีเทาบางๆ กันไว้ ผมเปิดผ้าม่านออกไปเจอแสงแดดยามที่พระอาทิตย์ตรงหัวพอดี ผมมองสภาพรอบๆ อาคารและพื้นที่อยู่ใกล้ๆ นี่มันเป็นสถานที่ผมเดาไว้เลยนี่นา โรงแรมม่านรูดที่มีเพียงไม่กี่แห่งในตัวจังหวัด สถานที่อโคจรที่คนจะมาเป็นครั้งคราวเวลาที่ต้องการทำอะไรตามความปรารถนาเพียงชั่วครั้งชั่วครู่ นี่ผมเมาขนาดเข้ามาพักในที่แบบนี้โดยไม่รู้ตัวเลยเหรอ (ผมถือนโยบายเมาไม่ขับ) ผมกำลังสับสนเดินเรื่อยเปื่อยออกมา ผมพยายามมองหารถ แต่ก็หาไม่เจองุนงงเหงื่อชุ่มอยู่กับเสื้อผ้านักเรียนตัวเมื่อวาน พยายามหาข้อแก้ตัวจากสถานะการณ์นี้ในสมอง

‘หรือว่าเราเมามากเลยเรียกแท็กซี่ให้เขาหาที่พักให้เลยมาถึงที่นี่ ห้องมันร้อนเราเมาเราก็เลยถอดเสื้อผ้าออก’
คิดแบบนี้ซ้ำไปมาจนเดินพ้นสถานที่อโคจรมาอยู่ที่ศาลาพักริมถนนใหญ่ ความสับสนยังคงครอบงำผมจนผมคิดอะไรไม่ออก…..

“กวี!! เฮ้ย!! กวีจริงๆ ด้วย” เสียงที่คุ้นหูตะโกนดังเข้าหูมา แต่ผมเหมือนจะไม่ได้สนใจ ผมยังคงวนเวียนกับความคิดตัวเองอยู่

………………….
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 2 (อัพ 15/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-10-2017 22:52:30
กวี ใส ซื่อเกินไปแล้ว
เลิกก็เลิกกัน ทำไมยังต้องไปอะไรแบบนี้
แค่เห็นชัยกับเด็ก ที่ไม่รู้ว่าอะไร ยังไง
ก็อารมณ์เสีย หึง จนไปกับนางมาร ขัดใจกวีจริงๆ  :z3: :z3: :z3:

นี่โดนนิ่ม มอมเหล้า มีเซ็กส์ ถ่ายภาพไว้แบล็กเมล์ล่ะสิ
กวี เชื่อคนอย่างนางมารนิ่มไปได้  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ป่านนี้ยังนึกไม่ออก ว่าเมื่อคืนไปงานอะไร กินเหล้ากับใคร
อย่างนี้แหละ ฉลาดแต่เรียนจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 2 (อัพ 15/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 16-10-2017 01:34:52
มาต่อให้รู้เรื่องเถอะ สั้นเกินนน :hao5: :hao5: :hao5: อย่าไปได้กับชะนีนั่นเชียวนะ ไปเอาชัยเลย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 3 (อัพ 20/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-10-2017 21:50:30

ชัย #13


“เดี๋ยวเจอกันนะ”

คำพูดทิ้งท้ายของกวี  แฟนผม คนที่ทำให้ผมยิ้มใส่โทรศัพท์จนโดนเพื่อนทั้งทีมเหล่ตาใส่อย่างแปลกใจ สงสัยผมยังอยู่ในช่วง ‘เห่อ’ ความสัมพันธ์ใหม่นี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบกับใครนะ แต่กับกวี ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่คลิ๊กที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขาทำให้มีความสุขทุกครั้งที่เจอและอยู่ด้วย คงเพราะเรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง มันเลยไม่ต้องพูดอะไรมาก ไม่ต้องมีฟอร์มมาก เป็นตัวของตัวเองได้เต็มท่ีและผมก็รู้สึกว่า กวีเองก็ชอบผมที่เป็นผมแบบนี้ด้วย

หลังจากวิ่งผ่านน้ำเรียบร้อย ผมก็บิดบิ้กไบค์คันงามของผมไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว (ไม่ต้องแวะไปส่งไอ้หลงนี่โคตรดี ถึงเร็วมาก) ผมรีบเข้ามาในร้าน เพื่อไปนั่งที่ประจำผมทันที ตอนนี้หลังจากเคลียร์กับพี่โน่ได้แกก็จะสั่งพนักงานในร้านให้ติดป้ายจองให้พวกผมในช่วงเวลานี้เป็นประจำ (จนบางทีผมเริ่มจะคิดมากว่าพี่โน่มันคงยังไม่ตัดใจจากกวี) เลยไม่ต้องรีบมาถึงที่นี่มากเพื่อจองที่นั่งเหมือนเมื่อก่อน ผมมาถึงผมก็หยิบสมุดหนังสือที่เตรียมมาอ่านกับกวีมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน (เพราะกวีบ่นทุกวันถึงความไม่พร้อมของผม หลังจากได้มันเป็นเมีย เอ้ย….เป็นแฟนเลยต้องเอาใจหน่อย เดี๋ยวอด….)

“สวัสดีครับ พี่ชัยใช่ไหมครับ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้างในขณะที่ผมกำลังจัดหนังสือให้เป็นระเบียบอย่างหน้ามืด(เยอะจัง ไม่เคยอ่านหมดแต่ก็ให้เอามาทุกเล่มทำไมเนี่ย?)
“เอ่อ….สวัสดี ….เรารู้จักกัน?” ผมเงยหน้าจากกองหนังสือมาเจอเด็กผู้ชายที่ขาวสูง ผมและตาสีอ่อน ขายาวแขนยาวดูเก้งก้างไม่ได้ส่วนเท่าไหร่เพราะดูผอมเกินไป แต่สิ่งเดียวที่เด่นคือหน้าขาวใสออร่านั้น ใครวะ? ผมคิดในใจ

“พี่ไม่รู้จักผมหรอก แต่ผมรู้จักพี่โคตรดีเลย พี่แม่งหล่อและเล่นบาสฯโคตรเก่ง!”
“เฮ้ย!! ชมกันเกินไป ว่าแต่มึงเป็นใครวะ?”
“อ้าว พูดขนาดนี้นึกว่าจะนึกออก ก็เพิ่งแข่งรอบกระชับมิตรไปกันเอง”
“……..” อย่างที่เคยบอกผมจำตัวผู้ไม่ค่อยได้ พอมันพูดแบบนี้ก็ยิ่งนึกไม่ออก เจอกันตอนแข่ง เวลาแข่งขันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะโว้ย ใครจะไปจำได้
“อ่ะๆ…. ใบ้ให้อีกนิด”
“……..” คราวนี้มันเดินลงมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามเฉยเลย ผมถึงกับขมวดคิ้วกับสิ่งที่ไอ้เด็กนี่มันทำ
“พี่ผมก็ลงแข่งด้วย เราหน้าตาคล้ายกัน”
“เฮ้ย!! ไอ้แฝดนรก!!” ผมนึกออกทันทีเพราะมันเป็นที่เล่นกวนบาทาที่สุดแล้ว สลับตัวสับขาหลอกตลอด งุนงงกันทั้งสนามจนคนพากษ์เลิกเรียนชื่อมัน ทุกคนเลยเรียกว่า ‘ไอ้แฝดนรก’
“เออ…. อืม…. อันนั้น ใครๆ เขาก็เรียกพวกผมแบบนั้น จนชักจะลืมชื่อตัวเองแล้ว”  ไอ้เด็กคนข้างหน้าผมมันทำหน้าซึมเหมือนเด็กอนุบาลโดนล้อชื่อพ่อ
“เฮ้ยๆ โทษทีๆ ก็กูจำไม่ได้หรือป่าววะ ชื่อพวกมึงน่ะ จำยากจะตายห่า”
“โอเค งั้นผมแนะนำตัวให้พี่ใหม่ก็ได้ ผมวศิน เรียกไอซ์ก็ได้ครับ ส่วนพี่ผมก็วสุ ชื่อเล่นเฟรมครับ”
“แล้วมึงจะบอกชื่อพี่ชายมึงให้กูงงเพื่ออะไรวะ”
“พี่จะได้ไม่สับสนไง”
“กูว่ากูยิ่งงวมากกว่าว่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาว่าพี่ความจำสั้นเห็นจะจริง”
“ความจำกูดีจะตายไป”
“งั้นผมชื่ออะไร?”
“สาด…. ถามงี้กูก็ตายดิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหม?”  มันหัวเราะตาหยีใส่ผม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมรู้สึกสนิทกับไอ้เด็กนี่ง่ายดี ท่าทางที่มันแสดงออกดูเปิดเผยจริงใจจนผมเผลอหัวเราะกับท่าทางของมันไปด้วย

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ไอ้เด็กเวรนี่ เล่นกูซะแล้ว นี่กูเพื่อนเล่นมึงเหรอ!”
“………….” พอได้ยินผมเสียงแข็งใส่ มันก็พาลหยุดหัวเราะหน้าซีดไปสงสัยมันจะกลัวผมจริงๆ ไอ้เด็กนี่มันหลายอารมณ์ดี สงสัยจะเกลียดมันไม่ลงเสียแล้ว
“กูล้อเล่น ฮ่าฮ่าฮ่า…. มึงนี่ตลกดีนะ”
ผมเผลอหลุดขำเสียงดังจน ไอ้เด็กเด็กนี่ยิ้มและหัวเราะตาม
“พี่ล้อผมเล่นอีกแล้ว”
“ไม่! กูพูดจริง! กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมีง แต่กูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงหรอกนะ ไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว มึงนั่งทับที่แฟนกูอยู่”
“แฟน? หมายถึงพี่กวี ที่มานั่งด้วยกันบ่อยๆ ใช่ไหม?”
“………” ผมพูดอะไรไม่ออก กำลังงงว่าทำไมมันรู้เรื่องผมดีจัง
“พี่จะถามใช่ไหมว่าผมรู้เรื่องพี่ขนาดนี้ได้ไง?  ก็ผมเป็นแฟนคลับพี่ไง แอบปลื้มมานานแล้ว”
“กูเนี่ยนะ มีแฟนคลับ?”
“อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ ผมแอบชอบพี่มานานแล้วนะ หากรู้ว่าพี่ชอบผู้ชายเกมือนกัน ผมคงจีบพี่ตั้งแต่ม.สี่แล้ว”
“อะไรนะ?” ข้อมูลมันมาเร็วไปผมรับไม่ทัน
“ก็ผมชอบพี่ไง”
“เฮ้ย อะไรของมึง! ที่กูชอบกวี ไม่ใช่เพราะมันเป็นผู้ชาย กูชอบที่กวีคือกวี ตัวผู้คนอื่นกูไม่ได้พิศวาสด้วยกรอกนะ”
“แต่อย่างน้อย ก็แปลว่าผมก็มีโอกาสล่ะ เพราะพี่ไม่ได้รังเกียจผู้ชาย แล้วพี่ได้กันยังล่ะ แล้วพี่เป็นแบบไหน รุกหรือรับ? แต่ผมว่าพี่รุกแน่เลย ดีจังยิ่งรู้ยิ่งอยากได้เลย” มันพูดน้ำไหลไฟดับ ปล่อยคำถามไม่ยั้งแถมแต่ละคำที่มันพูด…

“มึงนี่มัน!!….” ผมไม่เคยเจอผู้ชายด้วยกันจีบแบบรุกไล่อย่างนี้มาก่อน ถึงกับอยากจะตะบันหน้าขาวออร่านั้นด้วยหมัดรัวๆให้มันสาสมที่มันมาวุ่นวายกับผม

“คุยอะไรกัน? ท่าทางน่าสนุกดี” เสียงของกวีดังขึ้นทางด้านหลัง ผมรู้สึกถึงความเย็นในน้ำเสียงเสียดแทงกระดูกสันหลังจนขนลุกวาบไปครึ่งตัว แฟนจ๋าอย่าเข้าใจผิดนะ มันมาเองผมไม่เกี่ยว
“ไม่มีอะไร เราไม่รู้จักมัน นั่งก่อนสิ”

“……….” กวีมองไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งไอ้เด็กโย่งนั่งอยู่
“นี่ไง เจ้าของเก้าอี้มาแล้ว มึงลุกไปได้แล้ว ไปไหนก็ไปไป๊”
ผมสะบัดมือไล่ไอ้เด็กนั่น ชื่ออะไรนะ ‘ไอซ์’ มั้ง
“ครับพี่” ไอ้เด็กไอซ์พูดลากเสียงกรอกตาลุกจากเก้าอี้เดินข้างๆ กวี
“พี่ก็ดูไม่เท่าไหร่ เตี้ยกว่าผมอีก แถมเล่นบาสฯก็งั้นๆ ผมว่าผมเหมาะกับพี่ชัยมากกว่าพี่นะ” ไอ้เด็กไอซ์พูดขึ้นมาตรงหน้ากวี มันมองทางผมยิ้มตาหยีเหมือนเช่นเคยและโบกมือลาเดินหนีไปทางหน้าร้าน (มันมาทำอะไรที่นี่วะ?)

“………..” กวีมองหน้าผมเชิงตั้งคำถาม
“เฮ้ย! เราไม่รู้จักมัน อยู่ๆ มันก็เข้ามาทักตีสนิทด้วย”
“นายก็เลยทำเป็นสนิท เห็นหัวเราะเสียงดังเลย”
“ก็ไอ้เด็กนี่มันตลกดีนี่……” ผมเห็นสายตาของกวีแล้วทำให้หยุดพูดไปเฉยๆ
“แต่สุดท้ายก็พยายามไล่มันไปล่ะ”
“เนื้อหอมจริงๆนะเนี่ย” กวีพูดพลางเปิดหนังสือตรงหน้าแบบผ่านๆ แบบแผ่นต่อแผ่น
“กวี… นายหึงน่ะดิ? ใช่ไหม?”
“เปล่า!” กวีมีอาการเสียงสูงเล็กน้อย
“ตอนนายหึงนี่มันน่ารักดีนะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้หึงไง ไม่มีอะไรทำหรือไง? อ่านหนังสือไป”
กวีโยนหนังสือเตรียมสอบเล่มใหญ่ใส่หน้าผม
“ฮ่าฮ่าฮ่า….. นายนี่มันน่ารักจริงๆ” ผมยิ้มและยักคิ้วให้เขา ผมเห็นกวีก้มหน้าอ่านหนังสือโดยพยายามหลบหน้าแดงๆ ของเขาไว้

…………………
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 3 (อัพ 20/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-10-2017 22:41:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 3 (อัพ 20/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 21-10-2017 01:43:38
อ่าวแค่นี้หรอสั้นจัง
 :ling1: :ling1: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเอ็ด part 4 (อัพ 21/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-10-2017 08:48:57
……

เฮ้อ!!!……

ผมถอนหายใจหลังซ้อมกีฬาเสร็จ วันนี้มันโคตรว่าง กวีไม่ว่างต้องไปทำธุระกับพ่อแล้ววันนี้จะทำอะไรล่ะ ปกติคืนวันศุกร์แบบนี้ผมจะขอไปนอนบ้านกวี หากเขาต้องอยู่บ้านคนเดียว (ซึ่งก็เกือบทุกสัปดาห์) บางทีเลิกเรียนหรือเลิกซ้อมบาสฯ พวกเราก็ไปคลุกอยู่ด้วยกันเลย (กินข้าวอ่านหนังสือ อะไรไป คุยกันเรื่อยเปื่อย ส่วนเรื่องแบบนั้นเขาไม่ได้ยอมผมง่ายๆหากไม่มีอารมณ์ร่วม เขายังบ่นเจ็บทุกครั้ง แต่เขาก็ทนผมรบเร้าไม่ได้นานหรอก)

“ไอ้หลง โอเวอร์วอท์ช โต้รุ่งไหมมึง??”
“ไม่ล่ะ พี่เอิร์ธไม่มีเวร กูต้องรีบไปดูแลพี่เขา”
“ดูแล พี่หมอเป็นอะไรวะ?”
“พี่เอิร์ธบอกกูว่าคลื่นไส้ อยากกินของเปรี้ยวๆ สงสัยกูจะทำพี่เขาท้อง”
“ไอ้สัด พี่เขาเป็นผู้ชายจะท้องได้ไง…… เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ มึงจับพี่เขากดสำเร็จแล้ว!! ดีใจด้วยเว้ย!!”
“กด? เชี้ย!! ใช้ศัพท์เหมือนกูไปข่มขืนพี่เขา เขาเต็มใจกับกูโว้ย วันนี้ว่าจะขอจัดถึงสว่าง”
“ไอ้ขี้โม้ กูจะฟ้องพี่หมอว่ามึงพูดแบบนี้”
“เชี้ย!! ใจเย็นๆดิ เฮ้ย!! พี่เอิร์ธโทรมาแล้ว กูไปล่ะ” ไอ้หลงมันทำท่าจะเข้ามาคล้องคอผม พอได้ยินเสียงริงโทนเฉพาะกิจ มันก็วิ่งออกไปรับสายด้านนอกห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
“ไอ้หลง ไอ้คนทิ้งเพื่อน!!” ผมตะโกนด่ามันก่อนที่หลังของมันจะหายไปจากสายตาผม และหลงมันก็หายไปเลย

ผมออกจากโรงเรียนเดินเรื่อยเปื่อยหาของกินแถวย่านตลาดโต้รุ่งในเมือง ผมคงต้องหาอะไรรองท้องก่อนเข้าบ้านเพราะผมกลับบ้านดึกเป็นประจำเลยทำให้แม่มักจะไม่ทำมื้อเย็นเผื่อเท่าไหร่

วันศุกร์แบบนี้คนเยอะเป็นพิเศษ วัยรุ่น หนุ่มสาวส่วนใหญ่มากันเป็นกลุ่ม หรือมากันเป็นคู่ แต่วันนี้เหลือเราคนเดียวทำให้คิดถึงกวีขึ้นมาจับใจ  กวีกำลังทำอะไรอยู่นะ ไปทำธุระกับพ่อนี่คือไปทำอะไรฟะ? ชักสงสัย ถึงจะพยายามถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบเสียที (สงสัยกลัวผมแอบตามไป) แต่พอเขาอ้างพ่อทีไรผมก็เกรงใจที่จะถามต่อทุกที เพราะดูกวีจะมีท่าทีเกรงใจพ่อเขาอยู่มาก และก็พ่อนี่แหละทำให้ผมแสดงความเป็นเจ้าของเขาได้ลำบาก

บึ้ก!!

ระหว่างที่ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เลยเดินไปชนคนที่เดินสวนมาอย่างจัง แต่ขนาดหุ่นอย่างผมนี่เกือบหน้าหงายเลย คนอะไรแข็งแรงชะมัด

“ขอโทษครับ ผมรีบเลยไม่ทันมอง” ไอ้โย่งที่ชนผมรีบขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไร ผมเองก็เหม่อ……ไป..หน่อย” ผมทิ้งประโยคด้วยการลากเสียงเพราะไอ้โย่งที่ชนผม มันคือไอ้แฝดนรกนั่น แต่ว่านี่มันคนพี่หรือคนน้องล่ะ?
“อ้าว! พี่ชัย!! บังเอิญจัง” ไอ้นี่เรียกผมเสียสนิทแบบนี้แปลว่าเป็นแฝดน้อง
“เจอมึงอีกแล้ว!! มึงนี่เหมือนสะกดรอยตามกูมาเลยนะ”
“ก็ไม่เชิงพี่ ผมเห็นคนถ่ายรูปพี่ลงในเพจว่ามาเดินแถวนี้ ผมก็เลยมาหาอะไรแถวนี้กินบ้าง เผื่อฟลุ๊คเจอพี่ไง แต่โชคดีโคตร เจอพอดี อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ดวงสมพงษ์กัน”
มันพูดมากเหมือนเคย
“เออ.. งั้นกูไปหาอะไรกินก่อนล่ะ”ผมเดินหลบมันไปทางด้านหน้า
“โห… เมื่อกี้ยังคุยกับผมดีๆอยู่เลย จะหนีผมไปอีกแล้ว” ไอ้เด็กเวรนั่นหันหลังเดินตามมา
“กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกู” พูดจบผมก็สาวเท้ากว้างขึ้น
“โห…ใจร้ายอ่ะ ว่าแต่พี่จะไปกินอะไรที่ไหนอ่ะ”  มันยังเดินตามมาทันผม เหมือนกับเงาอย่างไม่ลดละ
“มึงจะตามกูมาทำไมวะ?”
“ก็ผมจะไปกินร้านเดียวกับพี่ไง ร้านข้าวผัดปูที่ท้ายตลาด”
“เอ๊ะ!!… มึงรู้ได้ไงว่ากูจะไปที่นั้น?” ผมหยุดเท้ามามองหน้ามัน
“ผมเป็นใคร? แฟนคลับพี่ไง เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“เอาจริงง่ะ นี่มันแฟนคลับหรือโรคจิตวะ?”
“จริงๆ พี่ อ่ะดูเลย” มันควักโทรศัพท์สมาร์โฟนหน้าจอยักออกมาเขี่ยๆ จิ้มๆ สามสี่รอบก็หันโทรศัพท์ของมันให้ผมเห็นภาพตัวเองกินข้าวกับไอ้หลงเมื่อนานมาแล้ว มีคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘ขาประจำร้านนี้ มาบ่อยกว่าลูกเจ้าของร้านอีก งานดีขนาดนี้แวะมาดูกันได้ ร้านนี้อร่อยมากแวะมานั่งโต๊ะข้างๆเลยก็ได้’ (เฮ้ย! นี่มันแอบโฆษณารึเปล่าเนี่ย?)
“เดี๋ยวนะ สมัยนี้มีเขียนกันถึงแบบนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“ธรรมดาพี่ ดูสิคอมเม้นท์เพียบเลย” ไอ้เด็กโย่งเลื่อนรูปภาพขึ้นไปทำให้เห็นข้อความที่เขียนทิ้งไว้มากมาย จนไม่อยากอ่าน
“เออๆ กูไปล่ะ”
“ผมไปด้วยสิ!”
“มีขามึงก็ตามกูมาเองสิ แต่กูไม่ได้ชวนนะ”
“ครับ”
พอมาถึงร้านผมก็นั่งและสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนูด้วยความชำนาญทันที ครู่เดียวไอ้เด็กนั่นก็ตามมาทันและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามผมทันที
“ผมสั่งเหมือนพี่คนนี้ครับ” มันหันไปตะโกนบอกเจ้าของร้าน
“เฮ้ย! มีง!! ใครให้มึงมานั่งที่เดียวกับกู กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ชวน” ผมดุใส่มัน
“โห! พี่ร้านนี้คนก็เยอะ ที่มันเหลือน้อยแล้ว นั่งตรงนี้แหละจะได้ไม่เหงาด้วย ยังไงเราก็รู้จักกัน”
“ใครรู้จักมึง!”
“เราแนะนำตัวกันแล้วไง!”
“ไปเลย ไปนั่งตรงโน้น กูไม่รู้จักมึง!”
“พี่ชัยครับ นั่งด้วยคนดิครับ นะนะ” ไอ้เด็กนี่มันทำท่าออดอ้อนเสียงดัง ไหนจะอากัปกิริยาที่เหมือนเด็กนั่นอีก พอเห็นคนตัวใหญ่ขนาดนี้ทำแบบนี้แล้ว มันดูน่าอายพิลึก  ดีที่หน้ามันน่ารักไม่งั้นคงจะแย่กว่านี้ ผ่านไปเป็นนาทีมันก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดทำ
“เออๆ พอได้แล้ว ไม่อายเขาบ้างหรือไง!”
ทั้งที่ผมวางเฉยไปแล้ว แต่ก็ทนคนรอบข้างที่จ้องมองมากันเป็นตาเดียวไม่ได้
“ขอบคุณครับ” ยิ้มตาหยีให้ผมเหมือนเคย

ไม่นานนานอาหารที่ผมสั่งก็มาถึงโต๊ะของผมประกอบไปด้วย ข้าวผัดปูจานพิเศษ กระเพาะปลาน้ำแดงพิเศษและ หมูสะเต๊ะ 1 ชุดใหญ่ (หลังซ้อมบาสฯ มันหิวหน้ามืด) ส่วนอีกคนก็มาเป็นเซ็ตเดียวกับผม ดูสีหน้ามันก็รู้ว่ามันคงคิดว่ากินไม่หมดแน่นอน นี่สิเขาเรียกว่าสั่งไม่คิด

ผมเริ่มจากการตักพริกที่แช่อยู่ในแก้วน้ำปลาตรงหน้าใส่จานจนกลายเป็นเหมือน ข้าวผัดราดพริก ผมชอบรสชาติที่ลงตัวของมันเวลามันคลุกอยู่ในข้าวผัด นี่สิรสชาติของชีวิต (กวีมักจะทำหน้าน่ากลัวทุกครั้งที่เห็น เพราะเขาไม่กินเผ็ดก็รู้สึกแสบท้องแทนผมทุกครั้ง)  พอเห็นผมตักพริกใส่จาน ไอ้เด็กฝั่งตรงข้ามมันก็ทำตามทันที แต่พอมันตัดใส่ปากเท่านั้นแหละ หน้าแดง เป่าปาก กินน้ำเข้าไปทีเดียวเกือบหมดแก้ว ผมเห็นเหงื่อมันผุดออกมาทุกรูผุมขนบนหน้า ดูแล้วสังเวชชะมัด

“เฮ้ย!! มึงอ่ะ กินเผ็ดไม่ได้ก็อย่ามากินสิว่ะ”
“ก็ผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไงนี่นา…เห็นพี่กินน่าอร่อย อีกอย่างผมมีชื่อนะเรียกชื่อผมก็ได้นะ”
“………….”
“ไอซ์ ครับ ผมชื่อไอซ์”
“ก็กูจำพวกตัวผู้ไม่ค่อยได้นี้หว่า”
“งั้นก็จำผมไว้สักคนก็ได้ครับ จำในฐานะ ‘น้องที่สนิทกันเป็นพิเศษ’ ก็ได้ครับ”
“เชี้ย กูก็เคยบอกแล้วว่ากูมีเมียแล้วไง!!”
“นั่นไง ผมว่าแล้วว่า อย่างพี่กวีเนี่ยต้องเป็นเมียพี่แน่นอน อิจฉาพี่เขาจังเลยอ่ะ”
“นี่อะไรของมึงเนี่ย…… เดี๋ยวนะ แปลว่า…..”
“ผมก็บอกอยู่ว่าอยากเป็นเมียพี่ไง!! เสียดายรู้งี้มาจีบนานแล้ว แมนๆ อย่างพี่ผมก็กลัวพี่เตะ”
“กูจะเตะมึงตอนนี้แหละ สัด!! กูบอกว่ากูไม่ชอบผู้ชายไง”
“ก็พี่มีแฟนเป็นผู้ชาย!!”
“กวีเป็นข้อยกเว้นคนเดียวในโลกโว้ย!!”
“ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกครับ!”
“ไอ้เชี้ยนี่!!!”

มันไม่โต้ตอบแล้ว เหลือแค่ยิ้มฟันขาวให้ วันนี้พอมานั่งดูมันดีๆ แบบนี้แล้ว มันมีหน้าตาที่คมคายไม่เบา จมูกดูโด่งเป็นสัน ตาที่สีดูอ่อนกว่าคนทั่วไป ปากสีชมพูจนเกือบแดง ผิวขาวที่มีกระอยู่ประปราย ดูจะผอมไปหน่อย แต่หากโตขึ้นนับว่าหน้าตาดีจนบัลลังค์หนุ่มฮอตของผมในปีถัดไปน่าจะสั่นคลอนเสียแล้ว
“มึงชื่อว่าอะไรนะ?”
“พี่นี่ความจำสั้นจริงๆ ผมไอซ์ วศิน สตีเว่นสัน ครับ”
“?!?!”
“อ้อ นามสกุล ได้จากพ่อที่เป็นคนต่างชาติน่ะครับ”
“กูก็ว่าแล้วเชียวหน้ามึงแม่งแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนใคร”
“พี่นี่ความรู้สึกช้านะครับ เพราะทุกคนถามผมตั้งแต่แรกเจอเลย”
“เออๆ กินข้าวเถอะ กูรำคาญ  กูอยากกลับบ้านแล้ว”

ระหว่างกินข้าวไอ้เด็กไอซ์นี่ มันก็ชวนผมคุยตลอดจนผมต้องนั่งกินข้าวไปเกือบชั่วโมงกว่าจะหมด ผมรีบเรียกพนักงานในร้านมาเก็บเงิน ก่อนที่จะมีคนถ่ายรูปผมกับมันไปลงเพจนั่น จนผมต้องอธิบายยืดยาวให้กวีฟังอีก แค่คิดถึงสายตาเย็นๆ แบบนั้นผมก็เสียวสันหลังแล้ว กวีเป็นคนดื้อเงียบ ดังนั้นผมรู้ได้ทันทีเลยว่า ง้อยากแน่นอน

ระหว่างรอพนักงานคำนวนเงินค่าอาหารแบบแยกจ่ายอยู่ ไอ้เด็กไอซ์ที่นั่งเล่นโทรศัพท์เครื่องใหญ่ของมันแบบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ (หวังว่ามันคงไม่แอบถ่ายรูปผมไปลงเพจคู่กับมันนะ)
“เฮ้ย!!” อยู่ๆ ไอ้เด็กนั่นมันก็ร้องออกมา
“อะไรของมึงอีกเนี่ย?” ผมหยิบเงินให้พนักงานร้านอาหารที่ตกใจเสียงมันจนสะดุ้ง
“พี่ว่า คนนี้มันคล้ายพี่กวีหรือเปล่า?” ไอ้เด็กไอซ์หันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู
“ไหนๆ” ผมคว้าข้อมือมันขึ้นมาดูหน้าจอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะแว่บแรกที่เห็นภาพที่แสดงขึ้นมานั่นมันเป็นแนว 18+  ผมส่องภาพนั่นอย่างตั้งใจมากขึ้น มันเป็นภาพเด็กหนุ่มนอนกึ่งเปลือยอยู่บนเตียงแบบไร้สติ ผมเลื่อนดูภาพต่อๆมาด้วยใจระทึก ภาพต่อมาเป็นภาพที่เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังโดน ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งโอบรอบตัวและหน้าซุกไซ้อยู่ที่ต้นคอ และอีกหลายๆภาพที่แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังโดนลักหลับอย่างโจ่งครึ้มกับชายหนุ่มที่ไม่เห็นหน้าตามากกว่าหนึ่งคน!!

จริงๆแล้วตั้งแต่ภาพแรกแล้วผมมองคนในภาพมีความคล้ายกวีถึง 70% แต่เปิดดูภาพอื่นๆ ให้แน่ใจอีกที ทำไมผมยิ่งแน่ใจยิ่งขึ้น ทำไมผมจะจำรูปร่างแฟนตัวเองไม่ได้ (โดยเฉพาะตอนเปลือย) แต่ผมยังคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่ใช่ ผมพยายามพินิจพิเคราะห์ภาพที่เห็นอย่างใส่ใจมากขึ้น

“ใช่ไหมพี่? ไอ้เด็กไอซ์ถามด้วยหน้าตาที่ดูซีดลงไป
“มึงไปเอามาจากไหน?” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
“เพื่อนๆ ส่งต่อๆ มาอีกที เห็นบอกเป็นเซ็ตภาพที่ลงไว้ในบล็อคเฉพาะกิจอันหนึ่งที่พวก…แบบอย่างพวกผมไปปล่อยของกันน่ะครับ”
“ปล่อยของ??”
“ก็พวกภาพ หรือคลิป18+ น่ะครับ”
“พวกมึงนี่ก็แก่แดดนะ อายุถึงแล้วหรือไง?”
“แฮะๆ” มันยิ้มเจื่อนๆ ใส่ผม แต่ผมก็คงว่ามันไม่ได้หรอกนะเพราะผมก็เป็นแบบนั้นแหละ
“เวปอะไร มีลิงค์ไหมเปิดให้ดูหน่อย”
สักพักมันก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ เขี่ยและยื่นมาให้ผม
ผมเห็นบล็อกที่มีการแสดงภาพชายหนุ่มหลายชาติในสภาพนุ่งน้อยห่มน้อยแสดงอยู่ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีเวปอะไรพวกนี้อยู่ด้วย (แต่ก็ไม่น่าแปลก ผมก็ดูเว็ปแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่เป็นสาวญี่ปุ่นมากกว่า)
“มึงรู้ไหมว่าใครโพสต์ภาพพวกนี้?”
“ไม่…ไม่รู้ครับ” พูดจบมันก็เขี่ยไปมากับหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองอย่างร้อนรน

มือผมสั่นไปหมดในมือของผมตอนนี้กำลังกดโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากวีทันที แต่ไม่รับสาย ผมยิ่งรู้สึกใจไม่ดี

“รูปพวกนี้มันโพสต์เมื่อไหร่?” ผมถามมันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิมในมือกดหมายเลขโทรด่วนจากโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งแต่ก็เหมือนครั้งแรกไม่มีใครรับสาย ผมมองนาฬิกาตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว กวีที่บอกผมว่าไปทำธุระกับพ่อน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว แต่ทำไมไม่รับสายผม อยู่ในห้องน้ำ? หรืออะไร? ผมคิดจนขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง

“รู้สึกว่าจะพึ่งโพสต์นะครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจออย่างละเอียด
“ไหนกูขอดูหน้าเวปหน่อย!!” ไอ้เด็กไอซ์ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ผมพิมพ์ค้นหาชื่อเวปในมือถือตัวเองจนเจอ ภาพเซ็ตนั้นยังอยู่ในท้อปคอมเม้นของบล็อกนี้อยู่ มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย หลายคนถึงกับถามว่ามาจากนิตยาสารไหน? มีเบื้องหลังไหม? ผมพยายามมองหน้าคู่กรณี แต่ก็เห็นแค่คางบ้าง เห็นเป็นด้านหลังศรีษะบ้าง ดูแล้วเหมือนถูกเซ็ตไว้อย่างดีแต่คนที่หน้าตาเหมือนกวีนี่เปลือยแทบจะเห็นหมดทุกอวัยวะ

ผมรู้สึกร้อนรน ผมต้องพิสูจน์ให้แน่ใจ ผมวิ่งออกจากจุดที่ยืนคุยกันอยู่ในร้านจนมาถึงรถบิ้กไบค์ของผม ผมบิดไปหากวีที่บ้านแบบไม่ดูเข็มบอกความเร็วที่บอกเลยว่าน่าจะเกินกำหนด เพียงอึดใจเดียวผมก็มาถึงหน้าบ้านของกวี ประตูรั่วบานใหญ่ยังคงปิดสนิทเงียบงัน ภายในรั่วบ้านมีเพียงแสงสว่างจากเสาโคมไฟตามถนนที่ทอดยาวไปถึงตัวคฤหาสหลังใหญ่ด้านในบรรยากาศยังดูเงียบเหงาเหมือนเคย

“น้าขาวครับ น้าขาว” ผมเดินไปที่ประตูบานเล็กด้านข้างประตูบานใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยกลางคน เดินออกมาจากมุมมืดเช่นเคย
“อ้าวคุณชัย มาเสียดึกเลย”
“กวีอยู่ไหมครับ”
“อำน้าอีกแล้วใช่ไหมอ่ะเรา ไม่ได้ไปด้วยกันรึ?” ลุงขาวทำท่าชะเง้อส่องซ้ายขวาของผมอย่างกับจะหาอะไรที่ผมซ่อนไว้
“กวี ไม่ได้อยู่บ้านกับคุณพ่อหรือครับ?”
“คุณหนูยังไม่กลับเลยครับ คุณผู้ชายไม่อยู่บ้านครับ น้านึกว่าคุณหนูอยู่กับคุณชัย?”
“เอ่อ…. สงสัยคราดกันตอนขับรถมา ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรหาเขาเอง ขอบคุณครับ”

พูดจบผมก็ขับรถออกมาเลย ตอนนี้อาหารในท้องที่เพิ่งกินเข้าไปเริ่มปั่นป่วนจนเหมือนมันอยากจะพุ่งออกมา หัวสมองกะลังประมวลผมว่าจะต้องทำอย่างไรต่อดี ผมหยุดรถที่ข้างทางไม่ไกลจากบ้านของกวี หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาขอความช่วยเหลือทันทีผมไม่รู้พึ่งใคร ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะมันอาจจะทำให้เสื่อมเสียได้หากข่าวมันแพร่กระจายออกไป

“ไอ้หลง มึงอยู่ไหน? กูมีเรื่องให้มึงช่วย!!”
“เชี้ย!! อะไรวะ กูกำลัง….”
“ไอ้หลงกูขอร้อง ช่วยกูด้วย”
“เฮ้ย!! เกิดอะไรขึ้นน้ำเสียงไม่ดีเลย”
ไอ้หลงมันคงจะรู้ คบกันมานานผมเคยใช้คำว่าขอร้องกับมันนับครั้งได้ บวกกับน้ำเสียงผมคงจะสั่นมากจนไอ้หลงรู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น  ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่รู้มาให้มันฟัง

“เชี้ย! กูว่ามันแม่งไม่ดีแล้วว่ะ เอางี้!! มึงมาหากูที่บ้านพี่เอิร์ธแล้วกูกับพี่เอิร์ธจะพยายามปรึกษากันว่าจะช่วยมึงยังไง”
“โอเค”

ผมขับรถไปถึงบ้านพี่เอิร์ธได้ไวเท่าความคิดก็คงจะดี แม้จะขับรถอ้อมเมืองไปแต่ผมก็ไปถึงเร็วจนไอ้หลงแปลกใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์หรือนั่งพรมวิเศษมา พี่เอิร์ธขอเว็ปอันนั้นมาและทำเรื่องรายงานไปยังโฮสของบล็อกนี้เนื่องจากพี่เอิร์ธพอจะมีเพื่อนที่มีเส้นสายทางกระทรวงไอซีทีอยู่บ้างเลยทำให้เวปไซต์นั่นถูกปิดชั่วคราวไปเรียบร้อยเพื่อสอบสวนที่มาที่ไปของภาพและพิจารณาฟ้องร้องสำหรับการเปิดเว็ปไซต์อนาจารนี้ (ถือว่าซวยไปนะ) ที่เหลือก็แค่ภาวนาไม่ให้มีใครเซฟรูปออกไปก่อนเท่านั้น ส่วนเพื่อนพี่เอิร์ธกำลังช่วยหาต้นตอที่มาของคนที่โพสต์รูปภาพเหล่านี้ว่ามาจากแหล่งใด ผมแทบจะกราบแทบเท้าพี่เอิร์ธที่ช่วยเหลือขนาดนี้

ตอนนี้ปัญหาเหลืออีกหนึ่งคือ ตามหากวีให้เจอ!

ผมกับไอ้หลงช่วยกันโทรเข้าโทรศัพท์ของกวีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีการรับสายจากกวีเลย ผมร้อนใจมากแต่ไม่อยากแจ้งตำรวจให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงพ่อผมจะเป็นตำรวจ ผมรู้จักเพื่อนพ่อเยอะ แต่ก็กลัวเรื่องมันจะบานปลายกลายเป็นข่าวใหญ่โต ผมรู้ว่ากวีไม่ชอบแบบนั้น และครอบครัวของกวีเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาของจังหวัด มันคงไม่ดีที่จะเป็นข่าวแบบนี้

แน่นอนครับว่าพี่เอิร์ธไม่เห็นด้วย แต่ผมขอทัดทานไว้ก่อน หากยังหาทางอื่นที่จะตามหาไม่ได้ผมคงต้องพึ่งพ่อตัวเอง
พ่อผมเป็นคนเถรตรง คงไม่ยอมอยู่นิ่งๆ แน่นอน ในหัวผมวนเวียนอยู่กับการตัดสินใจจนไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้

“ไอ้ชัย มึงจะเดินวนไปวนมาทำไมนักหนาวะ?”
“กูกำลังคิด กูร้อนใจกูอยู่เฉยไม่ได้ กูไม่รู้จะต้องทำยังไงจริงๆ”
ผมมองนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมานิดๆแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถติดต่อกวีได้ แม้เรื่องของพวกภาพในเวปเหล่านั้นจะเรียบร้อยแต่มันเทียบไม่ได้กับการหายตัวไปของกวีผมแทบจะภาวนาเทพทุกองค์ในโลกให้ช่วยผมหากวีให้เจอ

“กูเข้าใจ….เออ มึงโทรถามเพื่อนร่วมทีมบาสฯ ของไอ้กวียัง?”
“กูไม่ค่อยรู้จักเพื่อนกวีเท่าไหร่ กวีเป็นคนมีเพื่อนน้อย….. เออ!! ใช่ ทำไมกูนึกไม่ถึงนะ ไอ้หยก กูเคยไปกินเหล้ากับมัน มันอยู่ทีมเดียวกับกวี”
“เออ!! โทรหามันดู เผื่อมันบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายเห็นกวีที่ไหน? แล้วเราจะเริ่มจากตรงนั้น!!”

หลังจากพยายามติดต่ออยู่สองสามรอบก็โทรหาไอ้หยกติด ไอ้หยกมันรับสายด้วยน้ำเสียงสลึมสลือ ไล่เรียงถามไปจนได้ความว่า ไอ้หยกมันเห็นกวีครั้งสุดท้ายหลังซ้อม มันบอกว่าเห็นกวีรีบขับรถออกจากโรงเรียนหลังซ้อมเสร็จทันที เหมือนมีนัด แล้วกวีก็ไม่ได้บอกกับใครด้วยว่าไปไหน หลงบอกให้ผมถามมันว่ากวีขับรถรุ่นไหนมาจนได้รู้ว่าเป็นรถวอลโว่ที่กวีมักจะขับเป็นประจำ (ที่บ้านกวีมีรถหลายคัน)

“ขอบใจมากหยก …… อ้อ ไม่มีอะไร แค่….. มันเบี้ยวนัดแดกเหล้าวันนี้นะ” ไอ้หยกมันถามด้วยความหงุดหงิดว่าทำไมต้องตามตัวกวีขนาดนี้ ผมเลยต้องหาคำแก้ตัวแบบเอาสีข้างเข้าถู
“ไอ้กวีเนี่ยนะ แดกเหล้า!! แล้วแม่งไม่ชวนกู!!” หยกบ่นอุบอิบผ่านสายโทรศัพท์
“เออๆ วันหลังนะ เดี๋ยวกูจะชวนมึงด้วย นอนต่อเถอะมึง” ผมกดวางสายรู้สึกตัวเองแก้ตัวได้ไม่เนียนเท่าไหร่…
“แล้วมึงให้กูถามเรื่องรถทำไม่วะ?” ผมถามไอ้หลงด้วยความสงสัย
“อ้าว!! มึงเป็นลูกตำรวจจริงไหมเนี่ย สมัยนี้ทุกถนนมีกล้องวงจรปิด มึงไปถามใครที่ดูแลการจราจรก็น่าจะรู้ว่า ไอ้กวีไปแถวไหน แล้วเราค่อยเริ่มหาจากจุดนั้น!”
“เออจริง!! ทำไมมึงถึงคิดได้?” ผมค่อนข้างงงกับความคิดที่เฉียบแหลมของไอ้หลง สงสัยอยู่กับพี่หมอมาก พี่เขาเลยแบ่งความฉลาดมาให้มันบ้าง
“มึงมันหัวร้อนจนคิดไม่ถึงเอง” ไอ้หลงสวนมา
“……….” เออ! จริงของมัน ผมมันหัวร้อนมากจนคิดอะไรไม่ออก ความจริงผมบอกกับไอ้หลงกับพี่เอิร์ธแล้วว่าจะขับรถออกตามหามันให้ทั่วเมือง แต่พี่เอิร์ธบอกว่าเสียเวลาเปล่า เมืองใหญ่ขนาดนี้เราไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน สู้เรามารวมหัวกันคิดกันดีกว่าว่าจะเริ่มกาจากจุดไหน หาทางสืบไปเรื่อยๆ ก่อน มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยมันดีตรงนี้
“ปัญหาคือ…. เราจะให้ใครดูกล้องวงจรปิดให้ รู้เรื่องรถแล้ว รู้เวลาแล้ว” พี่หมอเดินมาจากไหนไม่ทราบ เขาพูดและทำท่าคิดแบบนักสืบ
“เรื่องนั้น ผมพอจะคิดออกครับ ผมมีน้าเขยที่สนิทกันในแผนกจราจร เดี๋ยวผมขอไปปรึกษาเขาก่อนนะครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาทันทีในขณะที่ไอ้หลงและพี่หมอยืนลุ้นอยู่ข้างๆ


...............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเอ็ด part 5 (อัพ 28/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-10-2017 00:16:26

หลังจากที่ตอบคำถามล้านแปดกับน้าเขยอยู่มากกว่าสิบนาที กว่าเขาจะยอมร่วมมือด้วย และผมต้องกำชับไว้แน่นหนาว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด น้าเขยแค่รับปากแบบผ่านๆทำให้ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเรื่องจะไม่ไปถึงหูพ่อหรือเปล่า..... เมื่อคราวแก็งเด็กแว๊นที่รุมทำร้ายผมนั่นก็ทีหนึ่งแล้ว ไอ้พวกนั่นโดนเข้าสถานพินิจกันหมดเป็นข่าวใหญ่โต และคราวนี้ผมอยากให้เงียบที่สุด แต่ไม่มีเวลามาลังเลแล้วคงต้องเดินหน้าสถานเดียว!

ไม่นานหลังจากวางหูกับน้าเขย หลังจากที่พวกผมนั่งเฝ้ารอข่าวคราวจากน้าเขย ในที่สุดเขาก็โทรกลับมาเป็นสิบห้านาทีที่ยาวนานมากๆ ในชีวิตผม

“ชัย.. น้ารู้แล้วว่ารถคันนั้นมุ่งหน้าไปทางไหน รู้สึกจะไปแถวคลองส่งน้ำประปาชานเมืองนะ และก็ไม่เห็นกลับออกมาเลย น้าแน่ใจนะว่ายังไม่ออกมา พยายามดูอยู่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นรถคันนั่นผ่านออกมาเลย เอาไงเรา? ให้น้าช่วยไหม? เดี๋ยวให้ลูกน้องขับตามหาให้” ผมเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยินด้วยกันจนทั่ว

“อืมมมม.... ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลองไปหาดูก่อน ผมรู้จักแถวนั้นดี”
“เออ.. งั้น.... ถ้าจะให้ช่วยก็บอก”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมวางสายเสร็จก็หันไปหาพี่หมอกับไอ้หลงทันที

“กูว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นไม่ดีแล้วล่ะ เพราะที่ๆ กวีไปน่ะ มันเป็นแถวบ้านนิ่ม มันไปทำอะไรแถวนั่นวะ”
“หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุ” ไอ้หลงพูดสวนขึ้น
“ไม่นะ.... ไม่น่าจะใช่ เราเคยคุยกันเรื่องนี้อยู่ ด้วยความเป็นคนดีของกวี มันอยากจะจบกับนิ่มดีๆ ซึ่งแน่นอนกูไม่เห็นด้วย เพราะกูก็บอกกวีว่ามันจบตั้งแต่ยัยนิ่มมันไปเริ่มเดทกับคนอื่นในช่วงที่กวีทะเลาะกันแล้ว!!”

“หรือว่าเขาจะนัดกันไปเคลียร์ให้เรียบร้อย” พี่หมอเสริม
“แล้วทำไมต้องไปเคลียร์ในถิ่นนั่นด้วย เคลียร์กันที่อื่นก็ได้” ผมวิเคราะห์ต่อ
“กู...ว่า.... น่าจะใช่... กูได้ยินพวกเชียร์ลีดเดอร์พูดกันว่าจะไปงานวันเกิดนิ่มที่จัดขึ้นแถวบ้าน แต่กูฟังผ่านๆ นะไม่แน่ใจว่าวันไหน...” ไอ้หลงพูดด้วยทำหน้าเหมือนพยายามเค้นเอาข้อมูลออกจากสมองน้อยๆ ของมัน
“นี่แหละ นั่นแหละ ใช่เลย!! เดี๋ยวกูโทรหาน้องฟ้าก่อน น้องเป็นลีดฯ ใหม่ในกลุ่มน่าจะถูกเชิญด้วย”
“คอนเน็คชั่นเยอะมากไอ้ชัย กวีน่าจะดีใจนะเนี่ย!”
“มันใช่เวลามาล้อเล่นไหม...สัด แล้วมันก็มีประโยชน์ไม่ใช่เรอะเวลาแบบเนี่ย!”
“เออๆ กูไม่เถียงกับมึงแล้ว รีบๆ โทรเหอะ ดึกแล้วเนี่ย! น้องไม่นอนไปแล้วเหรอ”

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาน้องฟ้าทันที ฟังเสียงที่เป็นเพลงรอสายยังไม่ทันจบท่อนฮุค เสียงใสๆ จากอีกฝั่งก็ทักมา จากน้ำเสียงแปลว่ายังไม่ได้นอน
“สวัสดีคะ พี่ชัย เปลี่ยนใจอยากมาปาร์ตี้กับฟ้าแล้วเหรอคะ”
“ปาร์ตี้?”
“อย่างงสิคะ ฟ้าส่งไลน์ไปชวนอยู่”
“ปาร์ตี้อะไร? แล้วฟ้าอยู่ที่ไหน?”
“ไม่สนใจฟ้าเลย งอนแล้วเนี่ย”
“โอ๋ๆ น้องฟ้าอย่างอนพี่เลยนะ พี่ก็เคยบอกน้องแล้วนี่ว่าพี่มีแฟนแล้ว คงไปไหนมาไหนกับน้องฟ้าไม่ได้แล้ว ว่าแต่น้องฟ้าอยู่ไหนครับ” ขณะที่ผมพูดอยู่ก็โดนสายตาหมั่นไส้จากไอ้หลงที่นั่งข้างๆ ส่งมาจนต้องยิ้มแห้งๆ กลับไป น้องฟ้าเป็นเด็กน่ารักที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมา ความน่ารักของเธอทำให้ถูกทาบทามไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ และก็ไม่รู้อะไรหรือทำไมที่เธอพยายามตามชื่นชมผมอยู่ตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมไปถูกใจอะไรเธอแต่ผมก็ไม่ปฏิเสธนะครับ ถ้าจะแค่คุยด้วยพอกระชุ่มกระชวย แต่จะให้เกินเลยคงไม่ครับ ตอนนี้หัวใจมันไม่ได้อยู่กับผมแล้วและตอนนี้หัวใจผมหายไป ผมกำลังตามมันกลับมา

“อ้าว!! ก็งานวันเกิดนิ่มไงคะ จำไม่ได้เหรอ ฟ้าส่งโลเคชั่นให้ด้วยนี่คะ บอกว่าว่างก็ตามนี่คะ” เออ! ผมอ่านแล้วแต่ไม่สนใจเลยจำรายละเอียดไม่ได้ ผมใส่ใจแฟนตัวเองที่อยู่ข้างๆ มากกว่า
“อ้อ...พี่จำได้แล้วจ๊ะ ว่าแต่ฟ้ายังอยู่ที่ปาร์ตี้ไหม?”
“อยู่คะ พี่จะตามมาใช่ไหมคะ แต่ไม่ทันแล้วคะเพราะวันนี้ฟ้าเจอคนจองควงแล้ว”
“เอ่อ.... เสียดายจัง ว่าแต่พี่ถามหน่อยได้ไหมครับว่า น้องฟ้าเห็นผู้ชายหน้าตาน่ารัก ขาวสูง หุ่นนักกีฬา ดูมีฐานะและไม่ใช่เด็กโรงเรียนเราอยู่แถวนั้นไหม?”

“คนแถวนี้ก็สเปคแบบนั้นเยอะเลย นี่พี่จะถามหาเพื่อนหรอกเหรอ ไม่ได้โทรมาง้อน้องใช่ไหม?” ผมว่าในกระแสเลือดเธอน่าจะมีแอลกอฮอล์บ้างแล้วล่ะ เพราะเริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว ปกติแม้เธอจะเป็นคนเปิดเผยแต่ไม่ถึงขั้นนี้ แต่จากประโยคของฟ้าแสดงว่านิ่มก็กว้างขวางไม่น้อย

“เอ่อ.... คนที่มาหานิ่มน่ะมีไหม?”
“อืม....จะว่าไปก็มีนะ มีแบบนั้นสองสามคนแต่ก็หายไปกับนิ่มข้างบนน่ะ  แล้วนี่เจ้าของวันเกิดมันหายไปไหนเนี่ย?”
ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เสียวสันหลังวาบ
“โอเค งั้นแค่นี้นะ” ผมวางสายทันทีแทบไม่ฟังเสียงโวยวายของฟ้าที่ลั่นออกมาจากลำโพงโทรศัพท์เลย

“กูว่ากวีต้องแอบไปเคลียร์กับนิ่มแน่ๆ แม้จะมีข้อมูลไม่ชัดเจนแต่กูว่าใช่แน่ๆ กูรู้สถานที่แล้วไปกันเถอะ”
“พอมาทีนี้แล้วจะมีจิตสัมผัสเกิดขึ้นเลยว่างั้น?”
“โธ่! ไอ้ห่ากูจริงจัง” ผมเริ่มหงุดหงิดกับไอ้ปากไม่มีกาละเทศะของไอ้หลงจริงๆ
“กูล้อเล่นให้มึงคลายเครียด เอ้า!! ไปกัน!!”
 
ผมทั้งสามคน รวมไอ้หลงและพี่หมอ รับออกเดินทางไปที่จุดที่ส่งจีพีเอสมาจากน้องฟ้า ผมรู้สึกว่ารถคันใหญ่ของพี่หมอเดินทางไม่คล่องและเร็วเท่าผม เลยขอขับบิ้กไบค์ของตัวเองมา และก็จริงดังคาดผมขี่มาถึงก่อนสองคนนั้นล่วงหน้าหลายนาที แต่ปรากฎว่าร้านคาเฟ่สุดแนวแห่งนี้เงียบเหงาลงเสียแล้ว มีเพียงไฟไม่กี่ดวงเปิดอยู่ภายใน มีรถจอดอยู่หน้าร้านสองสามคันแต่ไม่ใช่รถของกวีสักคัน

ผมโทรติดต่อสองคนนั้น ทั้งหลงและพี่หมอบอกว่าผมไม่เจอรถของกวีจอดอยู่ที่นี่ ทั้งสองบอกผมให้รอก่อน เดี๋ยวค่อยออกไปตามหาแถวนี้พร้อมกัน ผมมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเวลานี้ล่วงเลยจนถึงตีหนึ่งแล้ว ผมร้อนใจเลยเดินโผงผางลุยเข้าไปในร้านมืดสลัวตรงหน้า

มองจากนอกร้านผ่านผนังที่เป็นกระจกพบว่ายังมีคนหลงเหลืออยู่ในนั้นเกือบสิบชีวิต  ที่สำคัญประตูไม่ได้ล็อค ผมตัดสินใจผลักประตูเข้าไปมองหาให้หายข้องใจ  ภายในร้านที่เต็มไปด้วยขวดน้ำอัดลม โซดา แก้วพลาสติก และขวดเหล้าราคาถูกหลากหลายยี่ห้อนอนกลิ้งไปมาเกลื่อนโต๊ะไปหมดทุกโต๊ะ พื้นที่ดูเหมือนคนแถวนี้ไม่รู้จักถังขยะ เศษนู้นนี่วางระเกะระกะไร้ระเบียบ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนอยู่ในสนามรบเลย ผมพยายามเดินเลี่ยงเศษขยะเหล่านั้นไปจนถึงกลุ่มคนเบาบางที่ยังเหลืออยู่

“น้องๆ” คิดว่าน่าจะอายุน้อยกว่า กลุ่มคนเหล่านั้นหันมาอย่างเหนื่อยหน่ายเหมือนภาพช้าในหนัง
“ครับ....พี่.....”  ผมไม่เข้าใจว่าคนเมาทำไมต้องลากเสียงด้วย ตอนผมเมาผมก็ไม่เคยรู้สึกตัวด้วยสิ
“อันนี้ปาร์ตี้วันเกิดน้องนิ่มใช่ไหม?”
“ใช่ป่าวว่ะ?” ไอ้คนที่มีสติที่สุดที่ตอบผมอยู่คนเดียวตอนนี้หันกลับไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะ
“อืมๆ มั้ง ก็ชวนๆกันมาบอกว่าฟรี...... ก็เลยตามกันมา” คนที่อยู่ถัดจากคนแรกตอบกลับมา
“กูว่าใช่.....คนที่เป็นเด็กใหม่ ‘ไอ้วศุ’ นั่นไง น่าจะชื่อนิ่มนะ กูมาไม่ทันตอนเป่าเค้กช่วงหัวค่ำว่ะ” ไอ้คนที่อยู่ด้านในรีบแสดงความคิดเห็น

นี่สรุปว่าแขกที่มาร่วมงานพวกนี้มันมาโดยไม่รู้เลยรึไงว่างานนี้มันงานใคร คนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนผมแน่นอน ไม่คุ้นหน้าสักคน มีผู้หญิงอยู่ในกลุ่มสองสามคนที่ไม่ได้พูดอะไร แค่จับกลุ่มซุบซิบกันเฉยๆ ไม่ได้สนใจผมเลย (ผมเดาว่าพวกเธอน่าจะเป็นแฟนของไอ้สามตัวขี้เมานี่แหละ) ผมเดินเลยเข้าไปในร้านไปถึงโซฟาตัวใหญ่ด้านในที่เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งหลับสลบไสลไม่ได้สติกองอยู่สองสามคน มีหนึ่งในนั่นที่ผมจำได้ดี ‘น้องฟ้า’ นั่นเอง เธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าน่ารักได้เลย ผู้หญิงเวลาเมานี่หาความสวยไม่เจอเลย ไหนจะบรรดาเศษอาหารที่พวกเธอสำรอกออกมารอบๆถังขยะที่ล้อมตัวพวกเธออยู่ ผมแอบแสดงสีหน้ารังเกียจแบบแสแสร้ง

“พวกนั่นน่ะพี่ เป็นพวกเมาแล้วโวยวายเลยจับไปกองรวมกัน ให้อ้วกอยู่ด้วยกันแบบนั่นแหละ”

หญิงสาวในกลุ่มเมื่อครู่ตะโกนข้ามโต๊ะมา ผมหันไปแสยะยิ้มกลับไปเป็นเชิงขอบใจ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นที่นี่แน่ๆ ที่กวีมา แต่เขาหายไปไหน? แล้วรถของเขาล่ะ ยิ่งคิดหัวผมก็ยิ่งเบลอ ดวงตาของผมแสบร้อนจนต้องให้น้ำในตาช่วยบรรเทา มันเจ็บจี๊ดข้างในอก แข้งขาผมเหมือนจะหมดแรง ผมรวบรวมกำลังทั้งตัวผมไปที่มือกำแรงๆและยกขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ บอกกับตัวเองว่าจะยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะหากวีจนกว่าจะเจอ ผมจำได้ว่าฟ้าพูดถึงข้างบนชั้นสอง ผมกวาดตาโดยทั่วและวิ่งไปที่ประตูบานหนึ่งที่มีป้ายรูปบันไดเล็กๆอยู่ด้านบน

............(ต่อ)............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเอ็ด part 6 (อัพ 29/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-10-2017 09:01:04


ผมวิ่งขึ้นไปชั้นบนแบบไม่ลังเล พอออกจากโพลงบันไดทางขึ้น พื้นที่ข้างบนนี้เป็นลานกลางแจ้งที่มีการจัดโต๊ะแบบอยู่ในสวนจำลอง บรรยากาศดีมากหากเปิดไฟสลัวๆ เพื่อดื่มเครื่องดื่มไปด้วยชมจันทร์ชมดาวไปด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความมืดสลัว มีแสงไฟเรืองด้วยแรงไฟอ่อนๆ ตามมุมเสาเท่านั่นที่ทำให้ที่นี่ไม่มืดเกินไป ผมเดินสำรวจไปทั่วพื้นที่นี้ พบแต่เพียงร่องรอยการเฉลิมฉลองข้างบนนี้เท่านั้น

ขณะที่ผมกำลังตัดใจจากการหาร่องรอยของกวีที่ชั้นสอง ผมทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า สายตาผมก็พบกับสิ่งหนึ่งที่สะท้อนแสงไฟที่น้อยนิด แยงเข้าตาผมพอดี ผมรุดหน้าเอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นมาดูว่ามันคืออะไร ผมใช้ไฟจากแฟลชมือถือส่องพินิจดูให้แน่ใจว่ามันคืออะไร มันคือเศษอลูมิเนียมรูปโดนัท ผมจำได้ทันทีว่านี่คือเศษพวงกุญแจรถของกวีแน่นอนเพราะผมเคยล้อให้เขาเปลี่ยนเสียทีมันเก่าเสียจนจะพังอยู่แล้ว กวีบอกว่าชอบและหาซื้อไม่ได้แล้ว มันเป็นของร้านประจำของผมกับเขาซึ่งมีมาขายตอนเปิดครบ 1 ปีและตอนนี้ไม่มีแล้ว ผมแน่ใจว่าใช่ของเขาแน่ๆ

ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่างและสอบถามคนที่ยังเหลืออยู่ในร้านทันทีแต่ไม่มีใครเห็นมีอะไรแปลกๆ เลย เพราะทุกคนก็เมาเหมือนกันหมด เป็นภาพชินตาที่จะเห็นเพื่อนๆ ที่เมาน้อยกว่าแบกคนที่หมดสภาพออกจากร้าน เนื่องจากคนมันเยอะมากไม่มีใครจำใครได้เลย

 ผมตัดสินใจออกจากร้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เตะหญ้าเตะใบไม้แห้งไปทั่วลานจอดรถหน้าร้าน พยายามสกัดกั้นไม่ให้ตัวเองร้องโวยวาย เพียงครู่เดียว ไอ้หลงกับพี่หมอก็ขับรถมาถึง ผมรีบเล่าทุกอย่างให้ฟังทันที

พี่หมอมีอาการหน้าซีดชัดเจนหลังฟังที่ผมเล่าให้ฟังและสะกิดให้ไอ้หลงที่ทำท่าลังเลอะไรสักอย่างอยู่

“บอกมันตอนนี้จะดีหรือพี่?”
“พี่ว่า.... ดีกว่าไม่บอกนะ อย่างน้อยจะได้ช่วยกันคิดตามหากันต่อ”
“อะไร? ไอ้หลง! พี่หมอหมายความว่าไง?”
“เออ.....กู.....กูกับพี่หมอ.. ที่พวกกูมากันช้า.... เพราะทางเข้าหลักของที่นี่มีอุบัติเหตุ เลยต้องอ้อมเข้ามาอีกทางหนึ่งน่ะ แล้วกูก็ไปเจอนี่!” ไอ้หลงมันชูกุญแจรถของกวีที่มีพวงกุญแจชำรุดอันนั้นพ่วงติดอยู่ ผมเอาเศษที่อยู่กับผมลองไปทาบดู มันคืออันเดียวกันจริงๆ ผมกระชากกุญแจรถจากไอ้หลงมากำไว้แน่น

“มึงไปเจอที่ไหน?” เสียงผมสั่นเครือ
“กูก็จะเล่าให้ฟังนี่ไง กูขับรถไปเจอรถไอ้กวีจอดอยู่แถวปากทางเข้าถนนเส้นนี้อีกทาง กูพอจะจำทะเบียนได้เลยเดินเข้าไปสำรวจดู ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่ในรถมีแต่กุญแจรถเสียบคาอยู่ว่ะ ดีนะที่รถไม่หายไปด้วย”

“ใครเป็นคนทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้วะ อย่าให้กูรู้นะกูฆ่าแม่งให้ตายสักสิบครั้ง?” ผมสบถออกมาทั้งๆ ที่น่าจะรู้คำตอบดีในใจ
“ใจเย็นๆ หลง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การหากวีให้เจอก่อนนะ พี่ว่ารถของเขาอยู่แถวนั่น ไอ้คนที่ทำร้ายกวีน่าจะอยู่ไม่ไกลหรอก!” พี่หมอเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบให้ผมเย็นลง
“ใช่! กูเห็นด้วย แถวนั้นมีพวกโรงแรม ห้องเช่ารายวัน ม่านรูดอยู่เยอะหลายทีด้วย ต้องใช้เวลานะ”
“ได้!! แต่ก่อนอื่น... กูขอเผาร้านเหี้ยนี่ก่อน กูว่าไอ้เจ้าของร้านนี่มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน” พูดจบผมก้าวเท้าอย่างเร็วไปที่รถ ในใจคิดว่าจะเอาน้ำมันในตัวถังราดและเผามันให้วอดไปเลย
“ไอ้บ้า!! กูบอกให้ใจเย็นๆ” ไอ้หลงวิ่งมาล็อคคอผมไว้ก่อนที่ผมจะไปถึงตัวรถ
“เชี้ย!! กูไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว สัด!! มันทำถึงขนาดนี้เลยนะ หากเปลี่ยนจากกวีเป็นพี่หมอแล้วมึงจะทำยังไง?”
“กู.... กูก็คงทำแบบมึง” ผมรู้สึกว่าแรงแขนของไอ้หลงที่ยึดผมอยู่เริ่มอ่อนลง

“พอได้แล้ว” พี่หมอตวาดเสียงดัง

“พวกเธอกำลังทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ไหนว่าเป็นห่วงกวีไง ไหนว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกวี ทำแบบนี้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ทำแบบนี้มีแต่จะเป็นข่าวใหญ่โต แล้วพวกเธอก็จะกลายเป็นอาชญากร!!”

เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม คำพูดของพี่หมอเหมือนจะช่วยเรียกสติผมกลับคืนมา การมีผู้ใหญ่อยู่ในกลุ่มมันดีแบบนี้นี่เอง เขาจะเป็นคนที่ใจเย็นที่สุด อ่านสถานะการณ์ได้ดีและเตือนสติเราได้ ดีจังที่เพื่อนผมมีแฟนอายุเยอะกว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดไม่ผิดที่แอบเชียร์สองคนนี้ให้ได้กัน อย่างน้อยไอ้หลงก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง

“ขอโทษครับ / ขอโทษครับ” ผมกับไอ้หลงพูดขึ้นพร้อมกัน

ผม ไอ้หลงและหมอ ช่วยกันตะเวนตามหาตามที่ต่างๆโดยเริ่มจากจุดที่รถของกวีจอดอยู่ การตามหากวีครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเมืองเรามีซอกซอยเยอะมาก  และในระแวกนี้มีโรงแรมหรือที่พักชั่วคราวอยู่เยอะมากเช่นกัน การเดินไปเคาะหากวีทุกๆทีบริเวณนี้เป็นเรื่องยากมาก และใช้เวลามากๆ  เพราะคนแถวนี้ไม่ให้คงามร่วมมือดีๆ เลย จนต้องอ้างเป็นตำรวจกันเลยทีเดียวบางที ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ยังเหลืออีกสองสามซอยในการค้นหาและสอบถาม ผมพยายามโทรหากวีอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรับสายอยู่ดี ตอนนี้ผมทั้งง่วงทั้งเหนื่อยทั้งหิว พี่หมอชวนไปกินข้าวต้มโต้รุ่งที่เปิดอยู่ใกล้ถนนใหญ่บริเวณนั้นที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นความคิดที่ดีจะได้พักผ่อนกันก่อน

โชคดีนะที่พี่หมอหยุดในวันนี้เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไร ผมเกรงใจทั้งสองคนมาก เพราะแทนที่จะต้องเอาเวลาที่ต้องอยู่ร่วมกันแต่ต้องมาช่วยกันหากวีกับผมทั้งคืน ระหว่างที่กำลังกินข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหิว พี่หมอก็ถือโอกาสถามลุงว่าเห็นรถของกวีมาจอดตั้งแต่เมื่อไหร่

“อ้อ!! ไอ้รถคันนั้นน่ะนะ เหมือนคนขับมันเมามั้ง เห็นมีเพื่อนมาแบกไปตั้งแต่หัวค่ำ”
“อะไรนะครับ? ลุงเห็นไหมครับว่าไปทางไหน?”
ผมวางทุกอย่างพุ่งไปหาลุงเพื่อเค้นเอาคำตอบทันที
“เอ่อ.. ลุงไม่ทันสังเกต รู้แต่ว่าไปทางนั้นน่ะ เหมือนจะเข้าซอยนั่นไปนะ”
“ขอบคุณครับลุง” นั่นเป็นซอยสุดท้ายที่ผมกำลังจะไปกัน ผมหันไปมองสองคนนั่นที่เตรียมผมจะไปตามหากับผมเช่นกัน เขาวางช้อนวางตะเกียบและเตรียมลุกออกจากโต๊ะโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย เราจ่ายเงินให้ลุงและรีบเดินไปที่รถของแต่ละคนทันที เมื่อนาทีที่ผ่านเหมือนจะหมดแรงหิวแต่ไม่อยากอาหาร แต่ตอนนี้ผมเร่ิมมีความหวังแล้ว ระหว่างที่ทุกคนสตาร์ทพร้อมที่จะพุ่งออกไป คุณลุงร้านข้าวต้มที่ไม่รู้มาจากไหน วิ่งมาขวางรถพี่หมอไว้จนพี่หมอร้องลั่นรถ

“ลุง!! ทำไรเนี่ย?” พี่หมอลดกระจกลงมาต่อว่า
“ลุงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ แต่เอ้า!! ข้าวปลาแทบไม่พร่องเลย จ่ายเงินแล้วก็เอาไปกินให้หมดเถอะ เสร็จเรื่องจะได้กิน ลุงทำอร่อยนะเช้ามืดแถวนี้หาอะไรกินยาก” ลุงร้านข้าวต้มยื่นอาหารที่เราสั่งเมื่อที่ตอนนี้อยู่ในถุงหมดแล้วให้พี่หมอ ซึ่งพี่หมอก็รับไว้แบบงงๆ ผมก็งงครับ เพราะลุงแกเอากับข้าวเยอะแยะพวกนั้นใส่ถุงหมดได้ไงเวลาแค่นี้ ลุงยื่นให้เสร็จแกก็เดินเข้าร้านไปอย่างเร็วเช่นกัน ก่อนขับออกมาผมเหลือบไปมองชื่อร้านของลุงแกนิดหนึ่ง ‘ลุงเทอร์โบข้าวต้มจานด่วนริมทางหลวง’ อ่านจบก็เข้าใจในทันที

ตอนนี้แสงแรกของวันวาดขึ้นมาบนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว ขับไล่ม่านมืดยามราตรีไปจนหมด กว่าผมจะขับรถผ่านจุดกลับรถมาถึงซอยที่ลุงบอกมาได้ก็ใช้เวลาหลายนาทีอยู่ ตอนนี้ผมเพลียมากมากเสียจนจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ต้องอดทนเดินเข้าไปถามที่พักริมทางอีกสองที่ที่เหลืออยู่ให้ได้ จนแล้วจนรอดพวกผมก็คว้าน้ำเหลวเพราะไม่มีใครจำกวีได้เลย ทุกคนมักจะบอกเป็นเสียงกันว่าวัยรุ่นสมัยนี้ก็คล้ายๆ กันหมด ยิ่งบ้านเมืองเจริญขึ้น เด็กก็โตไวขึ้น การมาใช้บริการห้องพักชั่วคราวแบบนี้ก็ยิ่งมากขึ้น ผมแอบเห็นด้วยเพราะผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น สมัยนี้อะไรมันง่ายไปหมด หากมีเงินก็ทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก ผมแอบเสียใจกับการกระทำของตัวเองและเด็กวัยรุ่นรุ่นผมทันที แต่นี่ยังไม่ใช่เวลามาติดเรื่องแบบนี้ ผมเดินเรื่อยเปื่อยออกมาจากโรงแรมม่านรูดหลังสุดท้ายของบริเวณนี้ น้ำตามันไหลอออกมาไม่รู้ตัว เดินผ่านรถบิ้กไบค์ของตัวเองและห่างขึ้นเรื่อยๆ

“ชัย.... เฮ้ย... ไอ้ชัย มึงจะไปไหน?”
ผมได้ยินเสียงของไอ้หลงเรียกชื่อผมแต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากหันกลับไปเจอหน้ามัน ไม่อยากเจอหน้าใครอยากอยู่คนเดียว คิดถึงคนที่ผมอยากเจอที่สุดคนเดียว
สายตาผมมองออกไปไกลออกไปในแสงแดดยามเช้าที่อบอุ่น เหมือนดวงตาของผมในตอนนี้ที่เริ่มจะร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนน้ำในตาค่อยๆหลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมันไว้


ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงที่ตั้งไว้เฉพาะกวีเท่านั้น ผมรีบควานหาโทรศัพท์ในกะเป๋าสะพายตัวเองและกดรับทันที

ด้วยความเป็นห่วงผมรีบสอบถามถึงสถานภาพของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง? แต่ดูเหมือนเขาจะยังมีอาการมึนงง บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองได้น้อย คล้ายคนเพิ่งตื่นนอน และมีอาการเมาค้างนิดๆ ผมไม่ถามต่อให้มากความ แม้ความจริงแค่ได้ยินเสียงเขาว่าปลอดภัยดีมันก็ดีมากแล้วแต่ผมต้องการมากกว่านั่นต้องการเห็นเขา กอดเขา สัมผัสเขาให้รู้กันว่าเขาปลอดภัยดีจริง 100% ผมบอกให้เขาส่งโลเคชั่นผ่านไลน์มาทันที ก่อนกดวางสายผมบอกเขาว่าให้เตรียมพร้อมให้ดีเดี๋ยวผมไปรับ

ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถพร้อมอธิบายให้สองคนที่ช่วยกันตามหาทราบถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนผมจะอธิบายจบ กวีก็ได้ส่งโลเคชั่นเข้ามาพอดี ผมเปิดแผนที่ดูพบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมอยู่กันเลย ผมเดาว่าต่าจะเป็นโรงแรมม่านรูดเก่าๆ ที่ก่อนที่จะมาถึงโรงแรมที่ผมยืนอยู่ เป็นที่ๆ มีอาม่าแก่ๆ เฝ้าอยู่และเป็นที่ๆ ไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ บ่นแต่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีใครมาเช่า คนที่เช่าวันนี้ก็เช็คเอ้าท์ออกหมดแล้วด้วย ผมนึกไปขับรถไป

ผมมาถึงจุดหมายตามแผนที่ที่กวีส่งมา ผมเดินหารอบๆบริเวณเพราะแผนที่ที่ระบุในโทรศัพท์ เป็นที่รู้กันว่าเป็นอะไรที่คลาดเคลื่อนได้มหาศาลมาก ไม่นานพี่หมอกับชัยก็ขับรถมาถึง ผมสั่นหน้าเป็นการบอกให้คนในรถรู้ว่าผมยังหากวีไม่พบ ผมลองเดินออกห่างมาอีกหน่อยก็เห็นเงาร่างที่คุ้นตาเดินโซเซไร้เรี่ยวแรงที่ริมถนนทางหลวงใกล้ศาลาพักริมทาง ผมวิ่งตามเงาร่างนั้นจนแน่ใจว่าใช่แน่นอนเมื่อคนๆนั้น ไปหยุดนั่งพักที่ศาลาผมตะโกนเรียกสุดเสียง  เขาหันมาหาผมและยิ้มซึมๆกับมาด้วยท่าทางหมดแรง

.................................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 6 (อัพ 29/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 30-10-2017 02:59:40
ไปๆมาๆกวีกลายเป็นเมียโดยสมบูรณ์ได้ยังไง ม่ายยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเอ็ด part 6 (อัพ 29/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-10-2017 08:24:54
กวี......ซื่อเหลือเกิน ทำไมชะล่ากับคนแบบนิ่มนรกได้  :z6: :z6: :z6:

ชัย ได้หลักฐานจัดให้หนักเลย
นิ่มนรก คิดได้นะแรื่องเลวๆ เลิกกันแล้ว ก็ทำถึงขนาดนี้
ล่อลวง วางยา ให้เพื่อนชาย ลับหลับ ถ่ายคลิป แบล็กเมล์ เลวชาติ
ให้เวรกรรมตามสนองเถอะคนเลวแบบนี้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสอง part 1 (อัพ 30/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-10-2017 11:06:19

ชัย#14

หลังจากผมพบกวีและพากลับมาชำระล้างตัวที่บ้านพี่หมอ ผมจับเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า กินยาที่พี่หมอเตรียมให้ พาเขาไปหลับที่ห้องรับรองแขกของบ้าน พี่หมอขอเข้าไปตรวจสอบร่างกายในช่วงเขาหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา ผมขอเข้าไปด้วยแต่พี่หมอปรามไว้ พี่เขาบอกว่าพี่สะดวกใจมากกว่าที่จะทำคนเดียว ผมยืนลุ้นอยู่นอกห้องจนไอ้หลงแซวว่า ผมพาเมียมาทำคลอด เดินไปมาเหมือนลุ้นว่าลูกจะคลอดออกมาเป็นยังไง หากเป็นปกติผมคงหัวเราะและกระโดดถีบมันไปแล้ว แต่ผมรู้สึกเป็นห่วงกวีจนทำใจขำกับมุกของไอ้หลงไม่ออก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่กับความรู้สึกของผมเหมือนรออยู่ด้านนอกนานมาก นานจนคิดว่าผมจะติดอยู่ในช่วงเวลานี้ชั่วนิรันด์  ทันทีที่พี่หมอออกมาจากห้องรับรองแขกพร้อมถอดถุงมือยางสีขาว พี่หมอยิ้มให้ผมด้วยท่าทางอิดโรย ผมเข้าใจนะครับ ไหนจะอดนอน ขับรถออกตามหากวีกับผมทั้งคืน ไหนจะต้องมาตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กวีอีก เป็นใครก็คงมีหน้าตาแบบนั้นแหละ

“มีแต่รอยช้ำเล็กน้อย คงโดนกระทำนู้นนี่นิดหน่อย เหมือนที่เห็นในภาพนั่นแหละ แต่ไม่มีร่องรอยการล่วงล้ำเข้าไปนะ ดูจากอาการแค่ขาดน้ำจากอาการเมาอย่างหนัก ไม่น่าโดนยาอะไรนะ อันนี้พี่คงต้องส่งไปตรวจเลือดอีกที”

“ขอบคุณมากครับ พี่หมอ” ผมแทบจะลงไปกราบพี่หมอแทบเท้า
“เอ้ยๆ ไม่ต่องทำขนาดนั้นคนกันเอง แล้วนี่ก็เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว”
“ผมเข้าไปหาเขาได้หรือยังครับ”
“อืม.....ได้สิ”

พอสิ้นคำพี่หมอ ผมรีบเปิดห้องเข้าไปหากวีที่นอนหมดสติที่เตียงนอนขนาดห้าฟุต หน้าตายังดูซีดเซียวเหมือนตอนที่เจอเขาครั้งแรกที่ศาลาริมทางหลวง เขามีท่าทางหลับสบาย กวีนอนนิ่งๆ หายใจเข้าออกปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคงยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เขาหายไป ผมลงไปนั่งข้างๆ ทรุดลงไปกับพื้นเตียงจับมือของเขาข้างที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนบางที่คลุมเขาไว้อย่างอบอุ่น ในที่สุดผมก็ได้สัมผัสกับเขาอีกครั้ง ผมหอมแก้มเขาเบาๆให้ชื่นใจ ทันใดนั้นความอ่อนเพลียก็เข้าครอบงำผมจนผมต้องเอนตัวพับลงมานอนข้างๆเขา และผมก็จมสู่ความมืดของห้วงนิทราแบบไม่รู้ตัว

......................
จ้อกกกก......

ผมตื่นมาเพราะเสียงความหิวของตัวเองปลุกให้ลุกขึ้นมาหาอาหารเลี้ยงร่างกาย ผมลืมตาขึ้นมาภายใต้เพดานสีครีมอ่อน ที่ซึ่งมีโคมไฟดวงโตแขวนอยู่กลางพื้นที่แบบขัดใจ เพราะพื้นที่ที่ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่

สิ่งที่ผมควานหาหลังจากที่ตื่นเต็มตาและสติกลับมาเกือบร้อยคือกวี คนที่ผมจำได้ว่าก่อนผมจะเผลอหลับไปผมได้นอนข้างๆเขา และผมก็อดยิ้มไม่ได้ เมื้อมือผมได้เอื้อมไปสัมผัสเขาได้อีกครั้ง ผมลุกขึ้นนั่งมองคนขี้เซาที่ยังไม่มีทีท่าจะตื่นเสียที

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงแดดภายนอกยังทำงานอย่างขยันขันแข็งส่องแสงสว่างจ้าเข้ามากระทบตาผมจนแสบร้าวไปหมด ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเลยเที่ยงไปไม่นาน ผมยืนขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเคย ผมมักจะร้องโอยเบาๆช่วงที่บิดลำตัวไปมาเพื่อคลายเส้นที่ตึงหลังจากนอนนิ่งยาวๆ แบบนี้ ผมมองเห็นกวีที่นอนในสภาพยืดแขนขาบนเตียง เสียผ้าที่ไม่พอดีกับขนาดของเขาหย่อนยืดจนเห็นเนื้อหนังขาวเนียนของเขา ผมยอมรับว่าผมคิดถึงเขามากจนอยากจะล่วงเกินเขาทั้งที่ยังหลับอยู่ (ผมคิดเอาเองว่าเขาคงโอเค) แต่ผมลองสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับเขา ใช้มือลูบและค่อยๆ ดึงเสื้อขึ้นมา ทำให้ผมเห็นรอยจ้ำ รอยช้ำแดงปนเขียว ตามตัวของเขา แม้ไม่เยอะจนน่าเกลียด มันไม่ได้ทำให้ผมหมดอารมณ์ แต่มันทำให้ผมโกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ ผมถึงกับต่อยพื้นเตียงเสียงดัง ‘พั่บ’

“ช่วยไปเล่นตรงนั่นด้วยนะ เราจะนอน ยังปวดหัวอยู่เลย”
“ตื่นแล้วนี่นึกว่ายังไม่ตื่น”
“อืม... ตื่นมาพักหนึ่งแล้ว ก็นายเล่นขยับตัวเสียแรง”
“โทษทีนะ หิวหรือยังเนี่ย? ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาได้แล้ว!”
“หัวยังหน่วงๆ อยู่เลยน่ะ”
“นี่แหละน๊า ไม่เจียมตัว คอไม่แข็งทำไมถึงดื่มเยอะขนาดนี้”
“ก็นิ่มนั่นแหละ เติมให้เราไม่หยุดเลยเหล้าอะไรก็ไม่รู้แรงโคตรๆ”

ผมกำมือแน่นพอได้ยินชื่อนิ่ม ผมรู้สึกว่าไม่เคยเกลียดผู้หญิงเท่านี้มาก่อนในชีวิต
“เหล้าอะไรก็แรงสำหรับนายทั้งนั่นแหละ!” ผมพูดหยอกขณะที่พยายามยิ้มข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้
“เออ! ก็จริง”
“ว่าแต่..... ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าไปอยู่ที่โรงแรมนั่นยังไง?”
“..........” เขาทำหน้าเหมือนพยายามบีบเค้นเอาความทรงจำเรื่องนี้ออกมาจากสมองที่ปวดเหมือนโดนบีบขมับอยู่
“ทำหน้าแบบนี้ แปลว่าจำไม่ได้แน่นอน” ผมนั่งอยู่บนเตียงกอดอกในขณะที่อีกคนนอนนอนกุมขมับตัวเองอยู่
“....จำไม่ได้นะ สงสัยจะเมามาก จนพาตัวเองไปหาที่พักใกล้ๆ เพราะขับรถไม่ไหวน่ะ เราเป็นคนนอนละเมอนะ ไม่แน่ว่าจะเป็นแบบนั้น” กวีเหมือนพยายามหาเหตุผลที่เข้าตัวเองจนดูไร้เดียงสาไปเกินไป

“เฮ้อ......” ผมถอนหายใจแบบหน่ายๆ กับความคิดบวกแบบเกินขอบเขต แต่ในอีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่อย่างนั้นคงจะเจ็บปวดมาก ... มากกว่าที่ผมเป็นอยู่เมื่อวานนี้
“เมื่อวานเราฝันถึงนายด้วย ในแบบ....อย่างว่า ... บ้าชะมัด”
กวีเขินหน้าแดงทำให้ผมพอนึกออกว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร ไม่เอาไปฝันก็แปลกก็นายโดนเล้าโลมไปจริงๆ นี่หว่า ผมรู้สึกถึงเล็บตัวเองที่จิกในฝ่ามือจากการกำหมัดสุดแรง ผมจะพวกมันขดใช้อย่างสาสม ผมจะทำให้มันตายทั้งเป็น!! อย่าให้ผมรู้ว่ามันเป็นใคร!!

“ชัย!!! ชัย เป็นอะไรน่ะ ดูเหม่อๆ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก แต่คิดว่าจะจัดการลงโทษนายยังไง พ่อเด็กไม่ดีอย่างนาย จะทำให้เหมือนที่นายฝันไว้ดีไหม?”
“นายไม่มีสิทธิ์ว่าเราได้หรอก ชีวิตนายยิ่งกว่าเราอีก”
“เดี๋ยวนี้เก่งนะเราน่ะ ได้!! งั้นเรามาต่อจากที่นายฝันไว้เลยล่ะกัน”

“เฮ้ย!!!!”

ผมกระโจนเข้าหาคนที่นอนอยู่ตรงหน้า พรมจูบลงบนทุกส่วนของร่างกาย อีกฝ่ายได้แต่ดิ้นไปมาร้องโอดโอยกับการบุกของผม ผมจับเขากดลงบนพื้นเตียง ผมรู้สึกว่าเขาพร้อมไปเสียทุกส่วน ผมนอนทับเขาอยู่ผมรู้สึกได้ถึงการตื่นของอวัยวะบางอย่าง ด้วยความคิดถึงผมทนต่อความต้องการของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป ผมดำดิ่งสู่ห้วงปรารถนาและมอบความสุขกับกวีอย่างต่อเนื่อง

.................(ต่อ)....................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสอง part 1 (อัพ 30/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-10-2017 12:34:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสอง part 1 (อัพ 30/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 31-10-2017 03:46:13
ตอนหน้าชัยต้องเป็นเมียบ้างแล้วล่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสอง part 1 (อัพ 30/10/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-10-2017 13:54:58
ค้างงงงง   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสอง part 2 (อัพ 4/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-11-2017 06:18:42

เพี๊ยะ!!!!

ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกเข้าที่ท้ายทอยสะเทือนถึงแกนสมอง ขณะที่ผมเดินออกจากประตูห้องนอนรับรองแขก

“ไอ้เชี้ยหลง อะไรของมึงเนี่ย เดี๋ยวกูโง่กันพอดี” ผมหันหลังไปหาไอ้เลือดเย็นข้างหลัง ท่าทางของมันเหมือนมาดักรอผมโดยเฉพาะ
“สัด มึงน่าจะรู้กูตบกะโหลกมึงเพราะอะไร?”
“อะไรของมึง?”
“ไอ้เชี้ย! บ้านพี่เอิร์ธนะมึง ไม่ใช่โรงแรม ที่มึงจะทำอะไรกันแบบนี้ในบ้านเขา!”
“เอ่อ.... เชี้ย กูทำอะไรวะ ก็นอนเฉยๆ” ผมรู้สึกถึงความลนลานของตัวเอง
“นอนเฉยๆ เตี่ยมึงสิ เสียงดังลงไปถึงข้างล่าง ขนาดพวกกูนอนหลับกันอยู่ยังสะดุ้งตื่นเลยสัด! พี่เอิร์ธนี่ รีบเดินหนีไปนั่งที่สวนเลย กูเลยมาดักรอจัดการมึงอยู่เนี่ย!!”

“โห...ดังขนาดนั่นเลยเหรอวะ?”
“เออ! สิวะ...... เฮ้ย! ว่าแต่นี่มึงพกอุปกรณ์ มาด้วยหรือวะ พวกมึงทำกันยังไงว่ะ สดเหรอ? กวีไม่แย่เหรอวะมึง”
“สัด!! ไม่รู้เหรอวะ ว่ากูพร้อมตลอด นี่ไงขนาดพกพา ทั้งถุง ทั้งเจล... เห็นไหมโคตรพร้อม” ผมค่อยควักของเหล่านั้นออกมาจากกระเป๋า แล้วเสียงที่พูดก็ค่อยหรี่เบาลงเรื่อยจนเกือบกระซิบ
“แม่งเจ๋งวะ ทำไมกูโง่ว่ะ ทีหลังกูพกบ้างก็ดี จะสะดวกหน่อย ไม่งั้นกว่าจะได้ทำกัน กูแม่ง..... ว่าแต่.... ขอกูสักชุด!!”
ไอ้หลงค่อยๆขยับมาไกลจนเกือบจะเรียกได้ว่าชุมนุมซุบซิบนินทา
“เชี้ยแม่ง ไม่ลงทุนอีกแล้ว!”

“ซุบซิบอะไรกัน!!”
เสียงดุๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง ไม่รู้ว่าพี่เอิร์ธเดินมาถึงข้างหลังพวกเราได้ยังไง (หมอหรือนินจาวะ?)
“วางแผนอะไร ไม่ดีกันอีก? หือ?” พี่หมอกอดอกคิ้วขมวดเป็นปม
“เปล่าครับ พี่เอิร์ธ!” ไอ้หลงยืดตัวตรงส่ายหน้าลนลาน โถ่! คิดว่าแน่ นึกว่ามึงจะเป็นเสือที่แท้ก็แมว คราวนิ่มมันก็เป็นแบบนี้ พอคิดถึงตรงนี้ความอารมณ์ดีของผมก็หมดไปดื้อๆ
“กวีไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเครียดนะ แต่ถ้าให้ดี พาไปตรวจเลือดไว้หน่อยก็ดีนะ”
“ขอบคุณครับพี่หมอ ไม่ได้พี่หมอเนี่ยผมไม่รู้จะทำยังไงเลย”
“ไม่เป็นไร คนกันเอง เพื่อนหลงก็เพื่อนพี่เหมือนกัน”
“แล้วเรื่อง..... ในห้อง.....เมื่อกี้... ผม... ขอโทษนะครับ คือมัน....”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ วัยรุ่นก็งี้แหละ”
“ขอบคุณครับพี่หมอ” ผมนี่ไหว้พี่หมอจนมือแทบจะถึงพื้นเลย ไม่เคยรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณใครมากเท่านี้ ผมเคารพพี่หมอรองจากพ่อแม่เลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก เชยจัง ว่าแต่เลิกเรียกพี่ว่าพี่หมอเหอะ เรียกพี่เอิร์ธก็ได้”
“ไม่ได้!! ผมเรียกได้คนเดียว!! ให้มันเรียกพี่หมอเหมือนเดิมล่ะดีแล้ว”
ผมยังไม่ทันจะตอบรับคำพี่หมอ ไอ้เพื่อนตัวดีดันแทรกคำขึ้นมา เวลามันอยู่กับพี่เอิร์ธนี่เหมือนเด็กเอาแต่ใจมากๆ แต่จะว่าไปเวลาผมอยู่กับกวีผมก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ พยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาตลอด ก็ทำไงได้มีแฟนขรึมพูดน้อย ไม่ชอบแสดงความรู้สึกก็อย่างนี้

“เฮ้อ!! เมื่อไหร่จะโตวะเรา” พี่หมอกุมขมับส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินปากแล้วด้วยครับ เรียกพี่หมอนี่ล่ะครับ”
“อืม.. ตามใจ”

หลังจากคุยกับผมเรียบร้อยแล้วพี่หมอก็หันไปหาไอ้หลงทันที
“แล้วเมื่อกี้ซุบซิบอะไรกัน บอกพี่มาซิ”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ” แล้วไอ้หลงมันก็เดินหนีเนียนลงไปชั้นล่าง ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“อ้อ! พี่ เรื่องนี้ไง” ผมหยิบของเหล่านั้นให้พี่หมอดู อุปกรณ์ปฏิบัติการรักแบบพกพา
“ มันบอกว่าจะได้พร้อมตลอดเวลาครับ เผื่อพี่อยากจะเอ้าท์ดอร์”
พอจบประโยค ผมรู้สึกได้ถึงความดันของพี่เอิร์ธพุ่งสูงขึ้นได้ทันทีสังเกตได้จากหน้าที่แดงก่ำไปด้วยเลือดฝาด

“ไอ้หลง ไอ้เด็กเปรต!” พี่เอิร์ธย่างสามขุมไปหามัน ไอ้หลงมันเหมือนจะรู้ตัวรีบวิ่งหนีไปล่วงหน้าพี่หมอสามก้าว
“กูไม่ได้พูดแบบนั่นโว้ย!! ไอ้สัดเอ้ย... @£&@@!” มันตะโกนทิ้งท้ายไว้ขณะที่ก้าวขาลงบันไดไปอย่างรวดเร็วและคำหยาบคายทั้งหลายที่ไม่สามารถเขียนมาได้ตามมาอีกมากมาย

“ไอ้ตัวดี!! อย่าหนีนะ ถ้าหนีพี่ ก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก!!” พี่เอิร์ธเสียงเข้มมากจนผมรู้สึกกลัวไปด้วย ท่าทางจะโมโหจริงๆ
“แล้ว... ชัย ช่วยพี่เอาผ้าปูปอกหมอนผ้าห่มออกมากองไว้หน้าห้องด้วย พี่จะได้ให้แม่บ้านเอาไปซัก!!!”

”คับ....ครับ” ผมตกใจกับเสียงดั่งฟ้าฟาดลงมาที่ผมเผลอทำตัวตรงเหมือนทหารรับคำสั่งจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ พี่หมอพูดก่อนที่จะก้าวยาวๆ ตามไอ้หลงลงไปข้างล่าง

“อะไรกันเหรอ?”
กวีที่เพิ่งออกจากห้องเดินมาถามผมใกล้ๆ
“ไม่มีอะไร ไอ้หลงมันหาเรื่องใส่ตัวน่ะ ว่าแต่คุยกับลุงขาวว่าไง  สรุปว่า พ่อกับน้าหน่อยกลับมาหรือยัง?”
“โชคดี ยังไม่กลับ แต่น้าหน่อยแกโทรมาเช็คกับลุงขาวเหมือนเคย ดีนะที่ลุงแกสนิทกับชัย เหมื่อนเห็นลุงบอกว่าชัยไปหาเราที่บ้าน ลุงก็เลยเข้าใจว่าเราอยู่กับชัย ลุงแกก็เลยช่วยปิดเรื่องทีเราหายไปทั้งคืนให้”
“แล้วบอกลุงไปว่าอะไรล่ะ” ผมถามต่อ
“บอกไปว่ามาอ่านหนังสือบ้านชัยเลยเผลอหลับยาวน่ะ”
“ใช้ได้ นายได้ความกะล่อนเราไปบ้างแล้วนะเนี่ย”
“ชัย!!” กวีทำเสียงเข้มแบบเขินๆ
“เออๆ เรารู้ว่ามันไม่ใช่เวลา”

“.............” อยู่ๆ กวีก็เงียบไป
“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆก็....” ความกังวลเข้าครอบงำผมทันที หรือว่าเขาจะเริ่มจำอะไรได้!
“เราขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วงน่ะ”
“ไม่เป็นไร ปลอดภัยก็ดีแล้ว และอีกอย่างต่อไปนี้จะไปไหน ช่วยบอกเราด้วยนะ ไม่ดีกว่า!! ให้เราไปด้วยนะจะได้ช่วยดูแลนายไง”
“นายดีกับเราจัง” แววตาของกวีดูวาวแววเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน
“แฟนมีคนเดียว ไม่ทำดีกับแฟน จะให้ไปทำกับใครล่ะ รู้แล้วใช้ไหมว่าเราห่วง หลังจากนี้ไม่ทำแบบนี้แล้วนะ!”
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวเขาเบาๆ จนยุ่งมากกว่าเดิม
“อืม” กวียิ้มให้ผมด้วยแววตาสำนึกผิด
ทำไมน่ารักอย่างนี้วะ ผมคิดพลางดึงเขาเข้ากอดอย่างแน่น

“ข้างบนน่ะ เสร็จแล้วก็ลงมากินข้าวนะ พี่เตรียมอาหารเสร็จแล้วนะ”
เสียงพี่หมอดังจากข้างล่างจนผมต้องรีบไปปฏิบัติหน้าที่พี่หมอสั่งไว้ให้เสร็จ

...........................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสาม part 1 (อัพ 4/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-11-2017 18:17:49

ชัย#15


“มึงว่าพวกมันเป็นใครวะ? ใครเป็นคนคิดทำเรื่องพรรณนี้วะ?”

ผมเกริ่นขึ้นขณะนั่งพักระหว่างเบรกซ้อมบาสฯ ช่วงหลังเลิกเรียน
“กูว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับนิ่ม แต่เท่าที่กูสืบมา นิ่มแม่งมีพยานหลักฐานว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุว่ะ” ไอ้หลงพูดขึ้นขณะนั่งแผ่ขาออกขนานกับพื้นเป็นวงกว้าง
“มึงแน่ใจได้ไงวะว่านิ่มบริสุทธิ์? แล้วพยานที่ว่านี่คือใครวะ?”
ผมที่นั่งข้างมันตอนนี้เริ่มรำคาญขายาวๆของมันที่เต็มไปด้วยเหงื่อและสัมผัสเบียดขาผมอยู่เลยขยับห่างออกไปเล็กน้อย

“กูมาถามพวกเชียร์ลีดฯ น่ะว่าได้ไปงานวันเกิดนิ่มกันไหม ใครรู้ว่านิ่มไม่อยู่ช่วงไหน?”
“แล้วมึงเชื่อถือได้หรือว่ะ คำพูดพวกนั้น”
“เอาหน้าตากูเป็นประกันสิวะ”
“ถุย!!” ผมทำท่าถ่มน้ำลายใส่ไอ้หลงที่ทำหน้ามั่นใจเหลือเกิน
“มีงมีคอนเน็คชั่นของมึง กูก็มีของกู!”
“อ้อ..... อีอ๊อฟสิใช่ไหม?” อีอ๊อฟคือชายร่างอ้อนแอ้นซึ่งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ม.5 ที่ตามจีบไอ้หลงอยู่ตั้งแต่มันอยู่เป็นปี มันคงยอมคายทุกอย่างที่รู้แน่นอน หากไอ้หลงมันลงทุนไปถามถึงที่ นับว่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง (แต่น่าจะโดนลูบคลำแบบเปลืองตัวไม่น้อย ภาพเหล่านั้นมันผุดขึ้นมาในหัวกับมือปลาหมึกพวกนั้น!)
“ไม่แค่อีอ๊อฟหรอกนะ ทุกคนที่ไปร่วมงานพูดเหมือนกันว่า พ่อนิ่มมารับที่งานตอนห้าทุ่มน่ะ กูว่าคงไม่ใช่นิ่มแล้ว”
“ยังไงก็ยังน่าสงสัยนิ่มอยู่ดี มึงว่ามันแปลกๆไหมวะ! กวีไม่เคยมีเรื่องกับใคร แล้วทำไมต้องไปมีเรื่องแบบนี้ในวันงานวันเกิดยัยนิ่ม กูว่ายังไงไอ้สองคนในรูปนั่นต้องโดนจ้างมา หรือโดนไว้วานมาให้ทำแน่ๆ แม่งดูมืออาชีพมาก” ผมยังเก็บรูปเหล่านั้นไว้บางภาพในโทรศัพท์ ผมเลยหยิบขึ้นมาขยายภาพดูอีกครั้ง
“มึงรู้จักใครที่กว้างขวางขนาดว่าแค่เห็นหน้าที่ใส่แว่นใส่หมวกแล้วจำได้เลยทั้งวะ?” ไอ้หลงมันชี้เข้าไปในภาพ
“พูดถึง.....มันก็มีนะ...แต่ไม่ค่อยอยากไปหามันเท่าไหร่?”
“ทำไมวะ?”
“ก็มันเคยจีบกวีน่ะสิ!!” จริงๆ มันเป็นคนที่ผมจะพึ่งให้น้อยที่สุด เพราะกลัวมันหาเรื่องเข้ามาวุ่นวายกับกวี นี่ผมกำลังหึงใช่ไหมเนี่ย

”อ้อ!! มึงหมายถึงพี่โน่! นั่นสิทำไมกูคิดไม่ออกวะ” ไอ้หลงตบเข่าตัวเองดังพั่บ
“นั่นสิ มึงที่สามารถไปสืบเรื่องพวกนี้เองได้ ทำไมมึงนึกถึงแค่นี้ไม่ออก!” ผมหันไปหาไอ้หลงที่มันทำท่าทางเขินๆอยู่ตอนนี้
“พี่เอิร์ธ ช่วยใบ้ให้ พี่เขาบอกให้กูลองไปเข้าทางเพื่อนนิ่มเพื่อหาข่าวน่ะ และก็ถามเผื่อด้วยว่า หากมีคนคุ้นๆ ไอ้สองคนนั้นในภาพจะดีมาก การสืบหาคนทำจะง่ายขึ้น”
“อ้อ อย่างนี้นี่เองกูก็นึกว่ามึงฉลาดขึ้นแล้วซะอีก”
“อ้าว!! ไอ้เลว!! นี่กูช่วยมึงอยู่นะ สัด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า.... เออๆ กูขอโทษ”

แล้วโค้ชก็เรียกพวกเราไปซ้อมต่อ ผมกับหลงตกลงนัดกันว่าจะไปหาพี่โน่เสียหน่อยหลังซ้อมบาสฯเสร็จ

..........................

ณ สถานบันเทิงย่านดังในตัวจังหวัดที่วันนี้มีผู้คนไม่แน่นเนืองเหมือนเช่นทุกวันเพราะมันเป็นวันธรรมดา ผู้คนดูบางตาจนสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ผมเดินเข้าร้านด้วยชุดลำลองที่เตรียมมาในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ (ฉุกคิดได้ว่าอยากจะเที่ยวเป็นต้น) ผมเดินรี่เข้าไปในพื้นที่ด้านในฝั่งบาร์เครื่องดื่มที่ซึ่งผู้จัดการและเจ้าของกิจการตัวเล็กอย่างพี่โน่นั่งตรวจสอบเอกสารโน่นนี่เป็นประจำ  คนแถวนี้คุ้นเคยกับพวกผมดีเลยไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะเดินไปส่วนไหนของร้าน ผมรู้จักตั้งแต่พี่ที่เฝ้าประตูทางเข้ายันพนักงานเสิร์ฟนั่นล่ะ

“อ้าว!? พี่โน่ไม่อยู่เหรอครับ ปกติจะนั่งตรงนี้ประจำ”
ผมถามพี่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนจัดของบนชั้นเครื่องดื่มใกล้ๆ
“วันนี้ยังไม่เห็นนะ สงสัยจะไม่เข้ามั้ง?”
“ขอบคุณครับ แล้วพี่รู้ไหมครับว่าพี่โน่ไปไหน?”
“น้องว่า พี่โน่เคยบอกใครเรอะ!”
“เออ... นั่นสิเนอะ”
“แต่เห็นน้องๆ พริตตี้ชอบบอกว่าพี่โน่แกไปติดเด็กแถวร้านคาเฟ่ห้องสมุดอะไรนี่แหละ ไปมาก่อนเข้าร้านบ่อยๆช่วงนี้”

“.......เอ่อ....” อ้าวไอ้นี่ หวังตีท้ายครัวเราอีกแล้ว ที่ผมเหมือนเคยเห็นมันที่ร้านประจำนี่สงสัยจะไม่ตาฝาด
“ขอบคุณครับ” ผมตอบกับพี่บาร์เทนเดอร์และหันมาส่ายหัวใส่ไอ้หลง
“ทำไงดีวะ? ไอ้วันที่อยากเจอแม่งเสือกไม่เจอ ไอ้วันที่ไม่อยากเจอ แม่งเจอมันตลอด”
“เอาไงดีล่ะมึง รอไหม?”
“กูขอโทรหากวีก่อน เผื่อไอ้พี่โน่จะไปอยู่ร้านที่พวกกูนั่งกันประจำ แม่งกะตีท้ายครัวกูแน่ๆ อย่าให้กูรู้นะว่าแอบไปคุยกับแฟนกูอีก”
“มึงก็เยอะ คนอย่างไอ้กวีมันไม่นอกใจหรอก ถ้ามึงก็ว่าไปอย่าง” ไอ้หลงทาบมือลงบนบ่าของผมอย่างเป็นการเตือนอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่เข้าใจที่มันพูดเท่าไหร่
“เชี้ยอะไรเนี่ย! กูน่ะไว้ใจกวีแต่กูไม่ไว้ใจไอ้หน้าหม้ออย่างไอ้พี่โน่มัน!!”

“นินทากูซะดังเลยนะ!!” เสียงทุ้มๆ ของคนตัวเล็กๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังไม่ไกล

“อ้าว! พี่โน่สวัสดีครับ”  ไอ้หลงรีบทักทายด้วยท่าทางประจบ ส่วนผมแค่ยกมือไหว้สวัสดีและยิ้มน้อยๆ ตามไป
“พวกมึงมีธุระอะไรถึงได้มาดักรอกูที่นี่”
“พี่โน่รู้ได้ไงว่าผมมารอพบพี่”
“กูไม่ได้โง่....” พูดพลางชี้ไปที่พี่บาร์เทนเดอร์ ซึ่งตอนนี้เขาโบกมือให้เชิงว่า ‘กูบอกให้แล้วนะว่าพวกมึงมาหาพี่โน่’
ส่วนพวกผมได้แต่หัวเราะแฮะๆ ตามไป

“กูรู้ว่าพวกมีงมาหากูทำไม?”
“หือ! แล้วพี่รู้เหรอเรื่องอะไร?”
“เออ.. ตามกูมานี่ หาที่คุยกันเงียบๆ”
แล้วพี่โน่ก็เดินพาพวกผมไปโซนเอ้าดอร์ทางด้านนอกที่ตอนนี้ไม่มีผู้คนอยู่เลย มีแต่เพียงโต๊ะเก้าอี้เปล่าๆ และแสงเทียนเทียมวิบวับตามโต๊ะเท่านั้น พี่โน่ไปนั่งที่มุมหนึ่งด้านในแล้วกวักมือเรียกผมกับไอ้หลงให้นั่งฝั่งตรงข้ามเขา
“โห!! พามานั่งเสียมุมเชียว แถมโต๊ะใหญ่เสียด้วย” ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามและมองสำรวจพื้นที่
“กูเผื่อคนที่กูนัดมาด้วย พวกมึงมาได้จังหวะเลย กูว่าจะชวนพวกมึงมาคุยเรื่องของกวีเสียหน่อย” พี่โน่เอนหลังนั่งสบายขณะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เรื่องกวี?!?” ผมทำหน้างงๆเล็กน้อย

“เรื่องภาพเซ็ตนั่นไง ถึงตอนนี้มันจะหายไปจากเวปแล้วก็เถอะ แต่กูก็ทันเห็นพอดี กูเห็นกูก็จำได้เลยว่าใช่กวีแน่ๆ”
“เฮ้ย!! แล้วพี่เห็นได้ยีงไง?”
“เด็กที่กูตามจีบอยู่เอาให้ดูน่ะสิ”
“เด็กที่ตามจีบ?”
“เด็กในร้านคาเฟ่ห้องสมุดนั่นแหละ เชี้ย!! มึงอย่าเพิ่งนอกเรื่อง!!”
“ว่าแต่กวีเป็นไงบ้าง เมื่อกี้กูเห็นที่ร้านแต่ไม่กล้าไปทัก”
“อย่านะพี่ผมขอร้อง คือเขายังไม่รู้เรื่องอะไรน่ะ วันนั้นกวีมันเมามากจนจำอะไรไม่ได้น่ะ”
“ถึงว่าล่ะ ทำไมถึงยังทำตัวไม่รู้ร้อนอะไร เป็นกูคงตามหาตัวคนทำและจัดการแม่งให้ปางตาย!”
“ผมก็อยากทำแบบนั้นน่ะ แต่.....”
“ไม่ต้องพูดอะไรมาก เล่าทุกอย่างที่มึงรู้ให้กูฟังก่อน!!”

.........................


“เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นข้อมูลที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“พูดเหมือนพี่รู้อะไรอย่างนั้นล่ะ?” ผมรู้สึกสงสัยกับประโยคบอกเล่าของไอ้พี่โน่เหลือเกิน
“โชคดีของพวกมึงที่กูเป็นกว้างขวาง กูพอจะรู้จักไอ้พวกที่ทำอะไรเลวๆพวกนี้อยู่บ้าง”
“..........”

“เฮ้ย!! อย่ามองกูแบบนั้น กูแค่เคยเห็นผลงานพวกมันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ติดตาม กวีน่ะกูก็ถือเป็นน้องกูเหมือนกัน พวกมันมาทำแบบนี้กับน้องกูไม่ได้!! มันเล่นผิดคนแล้ว!!”
เสียงพี่โน่ทิ้งท้ายได้โหดจนผมแอบสั่นกลัวกับสายตาที่ดุดันนั่น สงสัยไอ้พี่โน่มันคงชอบกวีจริงๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่มีแต่คนชื่นชอบแฟนตัวเองแบบนี้

“แล้วพี่รู้อะไรบ้างล่ะ?”
“ก็มากกว่าพวกมึงขั้นหนึ่งล่ะ เอาเป็นว่ารอให้ครบองค์ประชุมก่อนแล้วค่อยรวบรัดทีเดียว”
“องค์ประชุม??” ผมทวนคำที่ผมสงสัยในขณะที่ไอ้หลงนั่งเกาหัวอยู่ข้างๆ

“อุ้ย! ต๊าย!!.... ไม่นึกว่าจะได้เจอกันในที่แบบนี้เลยนะ พี่โน่ก็เก่งนะไปรวบไอ้พวกถุงพลาสติกลอยตามลมพวกนี้มาได้ด้วย”
เสียงโทนสูงที่ดังจากระยะไกลลอยมาตามลมกระทบหูผมจนผมเผลอสะดุ้งกับคำสรรพนามที่แทนตัวผมแบบแปลกๆ

“แปลว่าอะไรวะเจ๊พิ้งค์??”
ผมหันไปเจอสาวทรงโตที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าชิ้นน้อยแบบไม่เกรงใจคนที่เดินมาข้างๆ ซึ่งมีหน้าบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
ไอ้ผู้ชายที่หน้าบูดบึ้งนั่นเดินตัดหน้าเจ้พิ้งค์มานั่งตรงมุมที่ไม่ไกลจากพี่โน่เท่าไหร่ ส่วนเจ๊พิ้งค์ก็เดินย่องเข้ามาใช้มือแตะห้วพวกผมเบาๆ เป็นการทักทาย ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างพี่โน่

“มาทำอะไรกันน่ะ?” ผมมองไปที่ผู้หญิงทรงโตตรงหน้าและมองไอ้คนที่มาด้วยหางตาแบบโจ่งแจ้ง
“อ้าว!! ก็มาเรื่องพวกแกนั่นแหละ!” เจ๊พิ้งยกมือขึ้นมาชี้กน้าผมกับไอ้หลงทั้งสองคน
“?????” ผมอึ้งจนนึกคำถามไม่ออก ไม่แน่ใจว่าเรื่องไหน? รวมกับกำลังว่า ‘แล้วทำไมไอ้อาร์ตมันถึงได้มาด้วย’
“งง อะไรเนี่ย?!? คืองี้....” เจ๊พิ้งค์ทำท่าเหมือนเตรียมเม้ามอยนินทาเหมือนที่เคยเห็นทุกครั้ง

“พอๆ เดี๋ยวพี่อธิบายเอง!!”

พี่โน่ยกมือขึ้นปราม ทำให้เจ็พิ้งค์แอบส่งสายตาค้อนใส่ กอดอกนั่งพิงพนักเก้าอี้ไป
“ไอ้อาร์ต!! มึงก็มานั่งใกล้ๆกูนี่ กูจะได้ไม่ต้องตะโกนเสียงดัง!!”
ไอ้คนหน้าบึ้ง ได้แต่ถอนหายใจและลุกขึ้นมากระแทกนั่งข้างเจ๊พิ้งค์ที่ยิ้มต้อนรับรออยู่
“เอาล่ะ! ครบองค์ประชุมแล้ว พวกมึง” พี่โน่ชี้หน้าผมกับไอ้หลง “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฟังเรื่องที่กูจะเล่าให้ฟัง และวางแผนต่อไปร่วมกันว่าจะเอายังไงเข้าใจนะ!”
“เอ่อ.. ครับ / ครับ” ผมกับไอ้หลงตอบตกลงไปแบบเสียงสั่น เพราะพี่โน่เข้าสู่โหมดน่ากลัวเสียแล้ว ตัวเล็กแต่เวลาเอาจริงแม่งโคตรน่ากลัว! รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาชัดเจน

“อย่างแรกเรื่องคนทำ ด้วยที่กูเป็นคนกว้างขวาง พอกูส่องหน้าพวกมันดีๆ ทำให้กูนึกออกอยู่ไม่กี่คน แต่ละตัวที่กูนึกได้มีแต่เป็นคนหาตัวยาก กูเลยไว้วานไอ้อาร์ทที่มีเพื่อน(หรือลูกน้อง)เยอะแยะในตัวจังหวัด ช่วยกันตามหาและช่วยกันเค้นหาตัวจริงของไอ้คนที่ทำเรื่องระยำนี่”
“แปลว่าพี่โน่เจอตัวคนทำแล้ว?”
“ใช่!! ไม่ยากเกินความสามารถของคนอย่างไอ้อาร์ท กูสั่งสอนพวกมันไปพองาม คิดว่าพวกมันคงไม่กล้ามายุ่งกับเด็กในจังหวัดนี้อีกต่อไป”
“แล้วไฟล์รูปพวกนั้น!!”  ผมถามด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วง! ที่บอกว่ากูสั่งสอนแต่พองามคือ กูทำลายฮาร์ดดิสทั้งหมดของมัน เผาชนิดไม่ให้กู้กลับมาได้อีก ไม่แค่นั้นกูรู้จักกับไอ้เวปมาสเตอร์เวปนั่นกูเลยสั่งให้มัน ควานหาว่ามีใครเข้ามาโหลดรูปไปเก็บบ้าง และหาทางทำลายรูปเหล่านั้นซะ!!”
“อ้าว... แล้วมันจะทำได้เหรอ?” ไอ้หลงที่เงียบไปนานแทรกถามขึ้นมา
“ไม่รู้มัน...มันติดหนี้กูอยู่ มันคงหาทางรู้ได้เองว่าใครเข้ามาในช่วงนั้นได้บ้าง และคงหาทางไปปล่อยไวรัสอะไรใส่เครื่องล่ะมั้ง กูก็ไม่แน่ใจ ให้มันจัดการ และให้มันข่วยสอดส่องด้วยว่าใครเอาภาพเหล่านั้นอัพขึ้นอีกให้รีบจัดการทันที!! นี่คือเรื่องที่สองที่กูจะพูด”
ผมแค่นั่งฟังยังอึ้งกับสิ่งที่พี่โน่ทำ นี่มันงานระดับเจ้าพ่อมาเฟียชัดๆ รู้สึกเสียวสันหลังทันทีที่ผมเคยคิดจะงัดข้อกับไอ้พี่โน่

ผมหันไปมองไอ้อาร์ทที่นั่งฟังอย่างไม่เต็มใจนัก
“ขอบใจนายด้วยนะ อาร์ตที่ช่วย”
ไอ้อาร์ทแสยะยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างไม่สนใจจะพูดโต้ตอบอะไร

“ไม่เป็นไรๆ เขาแค่ทำตามที่พี่โน่ขอร้อง อีกอย่างคงจะสำนึกผิดที่ไปอัดพวกแกวันนั้นเพราะความเข้าใจผิดด้วย”
เจ้พิ้งค์ชิงพูดขึ้นก่อนที่เกิดสูญญากาศแห่งความเงียบจะเกิดขึ้น
“ไอ้อาร์ท!! อีกเรื่องที่กูไกว้วานล่ะ?”
“...........”  ไอ้อาร์ทมันนิ่งเหมือนไม่ด้ยิน
“ไอ้อาร์ท!!”
“เออๆ ผมจะช่วยให้คนของผมช่วยสอดส่องให้ว่าใครมีภาพเซ็ตนั้นเก็บไว้อีกให้ จะตามไปลบให้โอเคไหม?”
“เออ! ดีมาก อย่าลืมว่ามึงติดหนี้อะไรกูอยู่!”

โห!! มาเฟียตัวพ่อจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอภาพนี้!

“เรื่องที่สาม!” พี่โน่หันมาทางผมกับไอ้หลง เป็นอะไรที่ทำให้ตกใจเล็กน้อย
“กูพยายามถามไอ้พวกสารเลวนั่น ว่าทำไมถึงเล็งกวีไว้ มันบอกว่ามีคนให้ค่าจ้างมันส่งมาทางอีเมล ซึ่งเท่าที่กูให้ไอ้เวปมาสเตอร์นั่นตามสืบก็พบว่ามันเป็นอีเมลสร้างใหม่ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเลย รู้แต่น่าจะส่งออกมาภายในตัวจังหวัดนี่แหละในอีเมลนั่นระบุแค่สถานที่ให้สองคนนั้นไปรับกวีไปทำอนาจารและจำนวนเงินที่จะโอนให้หลังจากเห็นภาพเหล่านั้นไปโพสลงออนไลน์แล้ว ซึ่งพวกมันก็ได้เงินครบตามจำนวนเรียบร้อย  ตามนิสัยอย่างพวกมันแค่ได้ไปทำอนาจารแบบนั้นฟรีก็ดีแล้วนี่ได้เงินอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง!”

“แบบนี้ก็ไม่รู้สิว่าใครเป็นคนจ้างไอ้พวกนั้น” ไอ้หลงแทรกพูดขึ้น
“แต่ข้อมูลที่ได้จากพวกเอ็งช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ขึ้น”
พี่โน่ตบโต๊ะเบาๆ

“ใช่ครับ คราวนี้ผมแน่ใจเลยว่า ยัยนิ่มเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้แน่นอน ประเด็นคือขาดหลักฐานที่แน่นหนากว่านี้!”
ผมพูดในสิ่งที่ผมคิดตามจากเหตุการณ์ทั้งหมดพอดี
“ถูกต้อง!!” พี่โน่ชี้มาที่หน้าผม
“ดังนั้น... เรื่องนี้จึงต้องพึ่งเจ๊ไง!” เจ้พิ้งค์ยึดอกขึ้นและยิ้มมาที่พวกเราทุกคนในโต๊ะ
“ยังไงล่ะเจ๊ เจ๊จะทำอะไร?” ผมถามข้ามโต๊ะไป
“ผู้หญิงด้วยกันน่ะพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร โดยเฉพาะยัยเด็กนิ่มนั่น สมองมันคนละไซส์ เอางี้! จะบอกอะไรให้อย่างนะ ลองคิดดูสิ หากเรากำลังจะแก้แค้นใครสักคนที่ทำเราเจ็บและอยากให้เจ็บอีกกว่าเรา แต่คนๆนั้นสุขสบายดีหลังจากเรื่องที่เราทำไปตั้งเยอะจะเป็นยังไง?” เจ้พิ้งค์ทำสีหน้าเหมือนเล่นคะครเวที คือดูเล่นใหญ่เหมือนที่เธอทำอย่างเคยเวลาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้
“หือ??” ไอ้หลงส่งเสียงและทำหน้าเหมือนตามสิ่งที่เจ้พิ้งค์พูดไม่ทัน ส่วนผมพยายามคิดตามอยู่ เพราะไอ้เรื่องซับซ้อนพวกนี้ ไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ ส่วนคนที่เหลือในโต๊ะได้แต่นิ่งเงียบ
“เฮ้อ!! ฉันล่ะเบื่อพวกผู้ชาย ไม่ทันกันเลย คืองี้ ถ้านิ่มเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆ แล้วหากเราแสดงให้ยัยนั่นเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกวีได้ ยัยนั่นต้องร้อนรนแน่”
“แล้วไงอ่ะครับ?” ผมยังคิดไม่ออกว่าจะเอาหลักฐานจากนิ่มยังไง
“แน่นอนว่ายัยนิ่ม ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้เป็นไปตามแผนอีกแน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจว่าเราไม่ลงโทษผิดคน เจ๊สั่งให้คนในของเจ๊จัดการอะไรบางอย่างอยู่ รอสักครู่นะจ๊ะ” เจ้พิ้งค์หยิบโทรศัพท์เครื่องใหญ่ของตนเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ

เพียงครู่เดียวจากการจบประโยคของเจ๊พิ้งค์ เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น และดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“นั่นไง มาแล้ว!” เจ๊พิ้งค์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเขี่ยๆ กดๆ สองสามรอบก็ยิ้มยิงฟันออกมาเหมือนเลขที่ซื้อจากฉลากกินแบ่งถูกรางวัล

“เป็นไปตามที่เจ้คิด เรื่องมันคงไม่บังเอิญขนาดที่ว่าเจ้าของงานวันเกิดมีรูปอนาจารของอดีตแฟนตัวเองอยู่ในมือถือกระมัง!” เจ้พิ้งลดโทรศัพท์ตัวเองลงมาแสดงให้เห็นถึงหน้าจอมีรูปของโทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่หน้าจอแสดงภาพวาบหวิวของกวีที่เหมือนในเวปไซต์ที่ผมเจอ
“นี่มันโทรศัพท์ของนิ่ม! เจ๊ทำได้ยังไง?” ไอ้หลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อย่างเจ๊ซะอย่าง ง่ายมากๆ”
“สุดยอด!! ทำได้ไง” ผมผสมโรงอวยเจ๊แกด้วย
“ความลับจ๊ะ” เจ้พิ้งค์ยกมือขึ้นมาจุ๊ปาก
“งั้นไม่อยากรู้แล้ว แล้วเอาไงต่อ”

“เฮ้ยๆ ฟังก่อนสิตาบ้า ฉันอุตส่าห์คิดแทบตาย” ผมยิ้มกับความเหนือชั้นกว่าของตนเองส่งไปให้ผู้หญิงทรงโตฝั่งตรงข้าม

“คืองี้.... คนบ้าผู้ชายอย่างยัยนิ่มน่ะ เจ๊แค่ส่งนายแบบหน้าตาดีไปจีบ แล้วให้หาทางทำให้โทรศัพท์ยัยนั่นตกน้ำหรือส่งซ่อมให้ได้ หลังจากนั่นอาสาไปซ้อมให้ หรือซื้อใหม่ให้ก็แล้วแต่ ระหว่างแบ็คอัพข้อมูลให้ก็ดีลกับทางร้านซ่อมต่อได้เลย ก็เลยได้ภาพที่เห็น และก็ไม่ต้องห่วงนะ รูปโดนล้างเรียบร้อยแล้ว”
รู้สึกอึ้งกับความคิดและการกระทำของผู้หญิงตรงหน้า พอมานั่งประจันหน้ากับสามคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้ว เหมือนศูนย์รวมเหล่าร้ายในตำนานเลยนะเนี่ย ทั้งผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง หัวหน้านักเลง และนักวางแผนตัวยง ดีนะที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน

“แล้วแน่ใจได้ไงว่านิ่มจะไม่มีภาพเหล่านั้นอีก” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่สั่งให้คนไปปล่อยไวรัสใส่เครื่องยัยนั่นเอง รับรองว่าพังจนกู้ข้อมูลอะไรไม่ได้!” พี่โน่พูดด้วยเสียงเข้มน่ากลัว
“ต่อนะ พอยัยนั่นหมดหนทางที่จะจัดการกวีด้วยภาพเหล่านั้นแล้ว มันต้องหาทางทำอะไรต่อแน่นอน และเมื่อนั่นเราจะแก้เผ็ดนางนั่นกัน” เจ๊พิ้งค์ตบมือหลังจบประโยคด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“โอ้โห...... แล้วต้องทำยังไงล่ะ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น
“เรื่องนี้ไม่ยาก เจ๊คิดเอาไว้บ้างแล้ว เข้ามาใกล้ๆสิ จะเล่าให้ฟังคราวนี้คงต้องขอความร่วมมือจากทุกคนเลย”

......................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสาม part 2 (อัพ 11/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-11-2017 22:53:00

หลังจากเมื่อวานที่ได้ฟังเหล่าร้ายรวมหัวกันวางแผนแล้ว บอกตามตรงผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่พอได้ฟังเรื่องเมื่อวานเข้าไปเล่นเอาผมตามไม่ทันจริงๆ คงเพราะผมไม่ใช่คนคิดอะไรซับซ้อน

วันนี้ผมก็ถูกสั่งจากเจ้พิ้งค์ให้ชวนกวีมาเปลี่ยนบรรยากาศที่ร้านตรงข้ามโรงเรียนกวดวิชาของกวีและนิ่ม แน่นอนที่ทำแบบนี้เพราะจะให้นิ่มสังเกตว่า กวีมีความสุขและไม่รับรู้เรื่องแย่ๆ ที่นิ่มทำกับกวีเลย ให้ยัยนั่นเดือดจนต้องหาทางทำอะไรกับกวีอีกครั้ง และสิ่งที่นิ่มจะทำเธอจะได้รับบทเรียนว่าไม่ควรยุ่งกับแฟนผม (อันนี้คือแผนที่ผมทราบคร่าวๆ)

เนื่องจากวันนี้เลิกซ้อมบาสฯ เร็ว ผมเลยได้มีโอกาสมานั่งรอกวีก่อนในร้าน ระหว่างที่พลิกเมนูไปมาบนโต๊ะขนาดสองที่นั่งซึ่งใกล้กับหน้าร้าน ก็มีมือหนึ่งมาโอบไหล่ผมเบาๆ

“โห! บังเอิญจัง!!” เสียงทุ้มสากดังขึ้นข้างหู ผมจำได้ทันทีว่าใคร เพราะช่วงนี้ดูจะเจอมันบ่อยมาก
“ไอซ์เอง!! จะใครล่ะ” ไอ้คนพูดมันทำท่าทะเล้นใส่ก่อนจะกระแทกนั่งที่ฝั่งตรงกันข้าม

“กูไม่ได้ถาม!” ผมทำเสียงเข้มดุใส่
“โหยพี่ อย่าบอกว่าตกใจ แค่นี้ก็โกรธกันด้วย” มันยื่นหน้ามายิ้มใส่แบบทะเล้นอีกครั้ง
“กูไม่ได้ตกใจ กูกำลังรอแฟนอยู่ และมึงก็นั่งทับที่เขาอยู่ ไปไหนก็ไป!” ผมสะบัดมือทำท่าไล่เหมือนไอ้เด็กนั่นเป็นแมลงวี่แมลงวัน

“เบื่อจัง! คำก็แฟนสองคำก็แฟน อยากมีแฟนที่รักกันขนาดนี้บ้างจัง!!” แล้วไอ้เด็กหัวสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ลุกไปจากโต๊ะแบบปั้นปึง เห็นแล้วอยากลุกไปถีบก้นมันนัก มันจะรู้ไหมว่าที่มันทำน่ะไม่ได้น่ารักเลย

“เอ้อ! พี่ๆ เรื่องรูปนั่นสรุปว่าใช่แฟนพี่ไหมน่ะ?” อยู่ๆ ไอ้เด็กนั่นมันก็หันกลับมาและกระโจนมาที่ข้างโต๊ะ
“ไม่ใช่โว้ย! แค่หน้าคล้าย มึงถามทำไม?”
“เอ่อ.... คือหลังจากคืนนั้น เวปนั่นก็โดนปิดไปเลยว่ะพี่ โชคดีของแฟนพี่แล้วไม่งั้น กลายเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ แล้วแฟนพี่เห็นยังล่ะ?”
“กวีเขาไม่เคยเข้าเวปอะไรพวกนี้หรอก”
“ก็ดีครับ เพราะมีข่าวลือว่ามันเป็นรูปอาถรรพ์น่ะ ใครที่เข้าไปดู ไปโหลดเก็บ เครื่องคอมฯ โดนไวรัสล้างข้อมูลไปหมดเลย เท่านั่นไม่พอ มือถือของคนพวกนั้นหายไปทุกคนเลย ดีนะผมแค่ดูอย่างเดียวไม่เคยเซฟไว้”
“ขนาดนั่นเลยเหรอวะ?”
“เออสิพี่! ภาพนั่นมันลงไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็วิบัติขนาดนี้ น่ากลัวฉิบหาย!”
“เออ... น่ากลัวจริงๆ” ผมหมายความอย่างที่พูดจริงเวลาพี่โน่มันเอาจริง แม่งโคตรน่ากลัว นี่มันหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ย ผมแอบกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่

“แล้วมึงมาทำอะไรเนี่ย?” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะจินตนาการของไอ้เด็กนี่จะพาผมไปไกลกว่านี้
“มากับพี่เฟรมน่ะ มันมาดักรอหญิงใหม่ของมัน” ไอซ์ชี้ไปด้านหลัวตัวเองแบบผ่านๆ ผมเลยมองตามไปที่จุดที่ชี้ จนไปเห็นคนที่หน้าตาเหมือนมันอย่างกับแกะ นั่งเอนพิงเก้าอี้บาร์ตัวสูงไปพร้อมกับกดโทรศัพท์เล่นไปมา จุดที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้น่าจะเป็นไอซ์จะแต่งตัวเรียบร้อยกว่าคนพี่

“หน้าแม่งเหมือนกันฉิบหาย พ่อแม่เอ็งแยกกันออกได้ยังไงวะ?”
“นิสัยมั้ง หรือไม่ก็เสียง เสียงผมน่ารักกว่า”
“เออ... มึงก็ช่างกล้าชมตัวเองเนอะ”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า.... อ่ะ!! หญิงที่พี่ผมจีบอยู่มาแล้ว ผมต้องไปแล้ว แม่ให้กลับบ้านพร้อมกันน่ะครับ ไปก่อนนะครับพี่!”
“เออ!ไปไหนก็ไปเถอะ!” หลังจากพูดไล่ไอ้เด็กไอซ์ไป ตาผมก็เหลือบไปเห็นนิ่มเดินเข้ามาในคลองสายตา ยิ้มร่าดูน่ารักแบบปลอมๆ เดินไปทางแฝดผู้พี่คนนั้น
เชี้ย!! อะไรมันจะบังเอิญแบบนี้วะ!!!
นิ่มมองผมด้วยหางตาแต่ทำเป็นไม่สนใจผมที่นั่งอยู่ในร้านยืนพูดคุยกับแฝดผู้พี่อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะชวนกันเดินออกไปที่หน้าร้านโดยมีผมมองตาเขียวอย่างไม่ละสายตา ผมพยายามข่มใจไม่ให้มันมีเรื่องเพราะจะเข้าทางยัยจิ้งจอกนั่น

ไม่นานนักคนที่ผมนั่งรออยู่ก็เดินสวนกับคนกลุ่มนั้นที่หน้าร้าน แถมยังยิ้มทักทายกับนิ่มอย่างเป็นปกติ ยัยนิ่มพูดอะไรสัก อย่างกับกวีด้วยท่าทางเป็นห่วง แต่ดูเหมือนกวีจะทำงงๆ ใส่และเดินจากมาด้วยท่าทางไว้ไมตรีเหมือนปกติ สมเป็นคนดีของผมเสียจริง!

“ท่าทางจะไม่เบื่อระหว่างที่จะรอเรานะ!” กวีเดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่ทำให้ผมขนลุกได้
“อะไรเหรอ?” ผมรู้สึกมึนๆกับประโยคบอกเล่าเย็นๆนั่น
“ก็เห็นมีคนมาอยู่คุยด้วยตลอด” กวีพูดพลางหยิบเมนูขึ้นมาพลิกไปมา
“อ้อ!..... ไอ้เด็กน้่นน่ะเหรอ มันเดินเข้ามาทักเองไม่ได้นัดกันเสียหน่อย อย่าคิดมากดิ” ใจผมมันสั่นๆ ชอบกลเวลาตอบ รู้สึกว่าตัวเองสังเกตสีหน้าเขาตลอดเวลา
“เจอกันบ่อยเนอะ!”  กวียังเปิดพลิกเมนูวนไปมา
“บ่อยอะไร  เราก็เจอมันด้วยกันทุกครั้ง”
“แต่ไม่ใช่ครั้งนี้มั้ง” กวีหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมากดไปมาอยู่พักหนึ่งก็ยื่นมาให้ผมดู มันเป็นเพจหนุ่มน้อยน่ารักฯ นั่นและมีรูปผมกำลังนั่งกินข้าวกับไอซ์อยู่ที่ตลาดโต้รุ่งวันนั้น

กูว่าแล้ว!! ผมคิดกับตัวเองในใจ ฉิบหายแล้วทำไงดีล่ะ ในหัวของผมคิดหาข้อแก้ตัวล้านแปด แต่สุดท้ายผมก็สรุปที่จะตอบตามความจริง

“วันนั้นเราแค่ไปกินข้าว ส่วนไอ้เด็กนั่นมันก็ตามเราไปเฉยๆ ไม่ได้นัดกันนะ”
“เหรอ?” กวีวางเมนูดัง ‘พั่บ’ และจ้องมาที่ผม ด้วยความบริสุทธิ์ใจผมเลยจ้องกลับไม่ละสายตา

“เฮ้อ....”  กวีผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
“ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยว่ะ เรารู้ว่าเรางี่เง่านะแต่บางทีพอเป็นเรื่องของนายเราก็บังคับตัวเองได้ยาก ขอโทษนะ” กวีดันตัวเองพิงพนักเก้าอี้ทางด้านหลัง
“เฮ้ย.. ไม่เป็นไร”
“เราเห็นรูปนี้มาสักพักแล้วล่ะ ว่าจะไม่พูดอะไร แต่พอมาเจอกับตามันเลยเผลอปล่อยไปตามอารมณ์มากไปหน่อย”

“หึงอ่ะดิ!  แบบนี้ก็ดีเราชอบแปลว่านายรักเรามากไง!” ผมเอื้อมไปจับมือเขาและยิ้มใส่หน้าเขาเต็มๆ รัศมีรอยยิ้มของผมมันคงเจิดจ้ามากจนกวีหลบตาแก้มแดง และก็เดินไปสั่งอาการแก้เขิน (อาการหลงตัวเองเริ่มกำเริบ)

...................(ต่อ)................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสาม Part 2 ต่อ (อัพ 11/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-11-2017 23:16:17
วันถัดมาผมกับกวีก็เริ่มกลับสู่ชีวิตปกติคือ อ่านหนังสือเตรียมสอบ ช่วงนี้การบ้านลดลงไปมากคงเพราะอาจารย์เห็นว่าใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เลยอยากให้ทุ่มเวลาอ่านหนังสือให้เต็มที่

หลังซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียนเรียบร้อยผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันโปรดวิ่งมาถึงร้านประจำเพียงชั่วอึดใจ  ที่ผมรีบขนาดนี้ไม่ใช่อะไร เพราะไม่อยากคลาดสายตาจากกวีอีก เจ๊พิ้งค์กำชับเตือนผมตลอดทั้งวันว่า เหยื่อกำลังติดกับแล้ว ผมยังตามเจ๊พิ้งค์ไม่ค่อยทันอยู่ด้วยช่วงนี้ คงเพราะตอนนี้เจ๊แกเป็นร่างทรงของนางมารจอมวางแผนอยู่ แถมบอกให้ทำนู้นนี่แบบกระท่อนกระแท่น

ผมวิ่งเข้าร้านไปพบกับภาพแรกที่เห็นคือ กวีกับนิ่มนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับอดีตแฟนอย่างกวี (กวีมันจะเป็นคนดีไปถึงไหนวะ!)

“อ้าว!! ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่” ผมเดินเข้าไปขัดจังหวะ
“สวัสดีคะพี่ชัย ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” เมื่อวานก็เจอกันนะน้องสาว ผมคิดในใจ เอาโล่ห์รางวัลตอแหลดีเด่นไปเลย
“มาคนเดียว?” ผมถามพร้อมมองไปรอบๆ
“ปล่าวคะ นัดเพื่อนไว้ นิ่มมาก่อนก็เลยมาคุยกับพี่กวี ฆ่าเวลา”
“เพื่อนหรือแฟนใหม่?” พอผมกระแทกพูดคำนี้จบประโยค กวีก็หันมาค้อนผมทันที ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป
“ยังไม่ถึงขั้นแฟนหรอกคะ นิ่มแค่คุยกันไป ดูๆกันไป นิ่มเพิ่งอกหักนี่คะ จะให้คบใครทันทีเลยคงยังไม่ได้” พูดจบยัยนิ่มก็ก้มหน้าหลุบลงไปมองที่โต๊ะ ผมรู้สึกอยากตบมือให้กับบทละครที่เธอคนนี้แสดงออกมา แต่ก็ทำได้แค่นิ่งเฉยกับอาการของนิ่ม เพราะเท่าที่ผมรู้ นิ่มเริ่มคบกับไอ้แฝดผู้พี่ตั้งแต่เริ่มร้าวฉานกับกวีแล้ว

“พี่ขอโทษนะ แต่เราคงเข้ากันไม่ได้จริงๆ” ผมแอบคว่ำปากเล็กน้อยเมื่อกวีพูดออกมาพร้อมยื่นมือมาสัมผัสมือของนิ่มที่วางอยู่บนโต๊ะเบา ( ตอนนี้อยากลากนิ่มออกจากร้านมาก)

“ไม่เป็นไรคะ นิ่มบอกพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้วไงคะ ว่านิ่มผิดเอง นิ่มทำให้พี่กวีรักนิ่มได้ไม่มากพอ นิ่มขอเป็นแค่น้องพี่กวีก็พอคะ”
นิ่มยกอีกมือหนึ่งเอื้อมมาจับบนมือของกวีที่จับมือของนิ่มอีกข้างอยู่ ตอนนี้กลายเป็นแซนวิชมือสามชั้นแล้ว ผมแอบถอนหายใจกับภาพที่เห็น นี่มันละครช่องไหนฟะ?!?

เสียงริงโทนโทรศัพท์เพลงสไตล์เกาหลีดังขึ้น ท่ามกลางฉากละครนำ้เน่าตรงหน้าผม ทำให้รู้สึกขัดๆ ยังไงบอกไม่ถูก นิ่มรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้โรงเรียนของเธอขึ้นมารับอย่างรีบร้อน

“สวัสดีค่ะ........... ถึงแล้วล่ะคะ......... แต่ร้านแน่นมากเลย เราเปลี่ยนร้านนั่งกันเถอะคะ.................. ได้คะ เดี๋ยวไปรอที่หน้าร้านนะคะ” นิ่มวางสายและส่งสายตาหวานๆ ให้กวีและผม
“เดี๋ยวนิ่มไปก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะคะ” นิ่มพูดจบเธอก็เคลื่อนย้ายออกจากโต๊ะไปอย่างมาดมั่นดุจพญาหงส์เหมือนเช่นที่เธอทำเป็นปกติ ผมโบกมือลาเธออย่างไม่ใส่ใจ ผมมองตามเธอไปจนถึงหน้าร้าน ไม่นานก็มีรถทรงกระทัดรัดตรายี่ห้อมีปีกมาจอที่ด้านหน้าเธอ เธอโบกมือให้คนขับขับเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง

“คุยอะไรกัน? แล้วคุยนานหรือยัง?” ผมถามทันทีหลังจากกระแทกนั่งที่เบาะที่นิ่มเพิ่งฝากความอบอุ่นยามสัมผัสทิ้งไว้ หากเป็นผู้หญิงสวยๆ คนอื่นผมคงจะฟินไม่น้อยแต่พอเป็นยัยงูพิษนี่ผมรู้สึกแหยงๆ ชอบกล

“ดูท่าทางนายไม่ค่อยชอบนิ่มเลยนะ เรารู้ว่านิ่มเองก็มีนิสัยบางอย่างที่เหลืออด แต่รวมๆ เธอเป็นน่ารักนะ” กวีพูดพลางตักเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าปากไป

“ชมแฟนเก่าต่อหน้าแฟนใหม่ ไม่คิดว่าเราจะเคืองบ้างหรือไง?” ผมสวนกลับไปแบบเคืองๆ ที่กวียังปกป้องยัยงูพิษนั่นอยู่
“...........” กวีดูจะอึ้งไปนิดหน่อยจนพูดโต้ตอบไม่ออกได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจ
“โอ๋ๆ เราล้อเล่น เรารู้! รู้ว่านายตอนนี้รักเรามากกว่าใครทุกคนอยู่แล้ว!” ผมหยอกเขาไปโดยการเอื้อมมือไปหยิกแก้มหนึ่งครั้งเบาๆ
“ไอ้บ้า!” เขาสบถกลับมาด้วยสีหน้าเขินอาย กวีมันน่ารักตรงนี้แหละ นอกจากจะเป็นคนดีแบบไม่คิดมาก แล้วยังซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองจนโกหกใครไม่เนียน เห็นอย่างนี้แล้วอยากกระโดดเข้าไปกอดตรงนี้เลย แต่กลัวเขาจะโกรธเพราะตรงนี้มันเป้าสายตาทุกคนอยู่ ผมทำได้แค่ยิ้มกลับไป

“ว่าแต่คุยเรื่องอะไรกัน เอาน่า... แค่อยากรู้ ไม่ได้หึงอะไรมากมายเหมือนนายหรอก.... หรืออยากให้เราหึงล่ะ!!”
ผมพยายามทำหน้าไม่จริงจัง กวีจะได้รู้ว่าผมไม่ติดใจอะไรเรื่องที่คุยกับแฟนเก่าของเขา
“ไม่มีอะไร เราคุยกันเรื่องวันเกิดนิ่มนะ นิ่มแค่มาขอโทษที่ไม่ได้ดูแลเรา เพราะต้องรีบกลับบ้าน วันนั้นพ่อกับแม่มารับกลับบ้านเพราะไม่อยากให้กลับบ้านเองมันดึกแล้ว”
“แค่เนี่ย?”
“เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราก็จำไม่ค่อยได้ สงสัยจะดื่มหนักไปหน่อย เลยบอกไปว่า คืนนั้นเราขับกลับไม่ไหวเลยค้างที่พักชั่วคราวแถวนั้นน่ะ พอตื่นมานายก็มารับประมาณนี่ มันออกจะดูไม่ดีใช่ไหมล่ะถ้าบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย”

อืม..... นับว่ากวีมันก็ฉลาดตอบไม่เบา แปลว่าที่เจ๊พิ้งค์พูดก็ถูกหมด คราวนี้ได้แต่รอดูว่ายัยนั่นจะทำยังไงต่อ หากเธอปล่อยให้จบให้มันเงียบไป ก็จะได้ไม่ต้องทำอะไร แต่หากเธอไม่จบก็คอยดูผลกรรมที่เธอจะได้รับให้ดี!!

“ชัยๆเป็นอะไร? ทำท่าคิดหนัก แล้วก็เงียบไป”
“อ้อๆ ไม่มีอะไรครับ มาอ่านหนังสือกันต่อเถอะ ถึงไหนแล้ว”
“เหม่ออะไรเนี่ย? กินของหวานหน่อยไหมจะได้ดีขึ้น?”
“ไม่ล่ะ นายกินเหอะ...” ผมมองขนมที่อยู่บนโต๊ะแล้วรู้สึกขนลุกทันที

................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสาม part 2 (อัพ 11/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-11-2017 05:57:46
นิ่ม งูพิษ เลวมาก   ทั้งที่กวีดีกับตัวเอง  :z6: :z6: :z6:
แค่กวีไม่รักนาง ยังทำถึงขั้นนี้
ซึ่งถ้ากวี เห็นคลิปจะเป็นอย่างไร
พี่โน่ พี่พิ้ง จัดการกับนิ่มแบบหนักๆเลย  :fire:
ให้รู้ถึงรสชาติที่ตัวเองทำกับกวีเลย  :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสาม part 3 (อัพ 12/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 12-11-2017 23:06:04

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์นับตั้งแต่ที่ผมกับนิ่มปะทะกันวันนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างผมกับกวีต่างก็เข้าสู่กิจวัตปกติ ผมแทบไม่เห็นนิ่มเข้ามาในวงจรชีวิตพวกเราอีก รวมถึงข่าวคราวเรื่องรูปหลุดของกวีก็หายไปเหมือนกองทรายที่ถูกคลื่นซัดหายไป ไม่มีใครพูดถึงหรือมีรูปหลุดออกมาอีก ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก (อิทธิพลมืดของกลุ่มพี่โน่นี่น่ากลัวชะมัด คราวนี้ผมคงไม่กล้าหือกับพี่โน่ไปตลอดชีวิตของผม)

หลังสอบกลางภาค ทุกโรงเรียนต่างตื่นเต้นกับกิจกรรมงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด  ดังนั้นผมกับกวีเลยแทบจะไม่มีเวลามาอยู่ด้วยกันมากนักเพราะต่างเป็นนักกีฬาของโรงเรียนเหมือนกัน ผมได้แต่นึกว่าหากต้องมาเผชิญหน้ากันในสนามแข่ง ผมจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือเปล่า (แต่คงไม่ เพราะหากเล่นไม่เต็มที่ เมียสุดที่รักก็จะโกรธ ไม่อยากให้เอาเรื่องความสัมพันธ์ของเรามาทำให้เรื่องกีฬาเสียหาย มันเป็นศักดิ์ศรีของโรงเรียน เขาคงไม่ยอมรับที่จะชนะแบบนี้)

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องเลิกค่ำกว่าปกติ เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขแปดแล้ว ส่วนเข็มยาวเลยเลขสองมานิดหน่อย แต่ในเวลานี้พื้นที่ภายในโรงเรียนกลับยังคึกคักอยู่ อาจเพราะอีกสองวันงานกีฬาของโรงเรียนประจำจังหวัดกำลังจะจัดขึ้นแล้ว เหล่าผู้มีความรับชอบงานด้านต่างๆ กำลังมุ่งมั่นที่จะทำงานนี้ออกมาให้ประสบความสำเร็จ เพราะมันเป็นหน้าตาของโรงเรียน

ตอนนี้โค้ชให้กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วหลังจากที่ให้ผมซักซ้อมแผนการรับมือต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย โค้ชอ้างว่าที่ผ่านมาเรายังทำได้ไม่ดีพอ เลยจัดการพวกผมเสียหมดแรง

ผมเดินออกจากอาคารรวมกีฬาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมพบว่าหลายๆ ทีมกีฬาทางด้านต่างๆ ทยอยกันเดินกลับบ้านอย่างหมดแรง ผมเหลือบไปเห็นทีมเชียร์ลีดเดอร์อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย (ที่แยกออกได้ชัดเจนเพราะคนกลุ่มนี้จะมีออร่าส่องสว่างออกมาด้วย สาวๆ ก็น่ารัก หนุ่มๆก็หน้าตาดี) แม้ผมจะไม่เห็นคนที่ผมไม่ชอบหน้าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคนมันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆเหมือนมดแตกรัง ผมได้ยินเสียงอาจารย์ที่อาสาอยู่เวรเฝ้าเด็กๆ ตะโกนไล่พวกนักเรียนกลับให้ทยอยกลับกันได้แล้ว ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทางโรงเรียนอนุโลมให้อยู่ทำกิจกรรมต่อในช่วงนี้ ดังนั้นนิ่มเองอาจจะเดินปะปนไปกับพวกแก๊งผึ้งหลวงผึ้งงานของเธอจนผมมองไม่เห็น

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไปที่เบอร์ลัดเบอร์แรกเพื่อโทรหาสุดที่รักของผมทันที เสียงรอสายดังเพียงสองสามครั้ง ก็ได้ยินเสียงที่ปลายสายตอบรับทันที

“สวัสดีครับ เลิกซ้อมแล้วหรือ?”
“ดีจ๊ะ... นายเลิกซ้อมหรือยัง?”
“เลิกแล้ว วันนี้เลิกเร็วผิดคาดเลยมาหาอะไรกินที่เดิมน่ะ”
“โอเคเดี๋ยวตามไปนะ”
ผมมองนาฬิกาข้อมือแล้วตอบกลับไป
“โอเครีบมาล่ะ ดึกแล้ว”
“ได้จ๊ะ เร็วกว่าลมก็เรานี่แหละ เรื่องขับเร็ว ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
“เฮ้ยๆ ระวังหน่อยก็ดีนะ ขับขี่ปลอดภัยหน่อย เราไม่อยากเป็นหม้ายนะ”
“ได้จ๊ะเมียจ๋า”
“ชัย!!!!”
“โอ๋ๆ ลืมๆ ขออภัยๆ”

“พี่ชัยจะมาแล้วหรือครับ ดีจังอยากเจออยู่พอดี!” เสียงคุ้นหูลอดออกมาจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่ง
“กวี.... นายอยู่ใครหรือเปล่า?” ผมที่กำลังจะวางสาย เลยต้องตะโกนสวนไปก่อนที่ปลายสายอีกฝั่งจะวางหู
“อ้อ...... นายน่าจะรู้จักนะ น้องไอซ์ไง บังเอิญเจอพร้อมกับน้องเฟรมที่คบกับนิ่มอยู่ไง เนี่ย! มากันเป็นกลุ่มเลย นิ่มก็อยู่ด้วย”
“หา!!! อะไรน่ะ?” ผมรู้สึกย่อยข้อมูลที่กวีพูดออกมาเมื่อครู่แทบไม่ทัน มันอะไรยังไงกันวะเนี่ย?!?
“เออ! รีบมาเหอะ พวกนี้นั่งอยู่โต๊ะติดกัน ไอซ์มันชวนเราคุยตลอดเลย พาเราออกจากที่นี่หน่อยสิ!” เสียงกวีแผ่วลงเหมือนพยายามพูดเบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนแถวนั้นได้ยิน
“โอเค เดี๋ยวรีบไปเลย!”

ผมวางหูและวิ่งบึ่งที่รถบิ้กไบค์ของผมทันที ผมเข้าใจเลยครับว่ามันเป็นยังไง กวีกำลังเจออะไรอยู่ ผมเจอกับตัวมาแล้ว ไอ้ไอซ์มันช่างพูดขี้ตื้อเม้าส์มอยไปได้เรื่อง และนี่ก็ไม่รู้จะคุยกับกวีเรื่องอะไรอยู่ คือผมก็พอดูออกนะว่าใครเข้ามาจีบผม (คนมันหน้าตาดีเนี่ยลำบากชะมัด) แล้วไอ้ความชัดเจนของไอ้ไอซ์เนี่ยเป็นใครก็ดูออก ผมกลัวมันจะพ่นเรื่องที่ผมกับมันอยู่ด้วยกันบ่อยๆ จนเป็นเรื่อง (อยู่คนละโรงเรียนแต่เจอกันโคตรบ่อย มันคงหาโอกาสมาเจอผมเท่าที่มีโอกาส) ผมไม่อยากง้อแฟนผมอีกแล้ว งอนทีผมแทบอยากกราบเท้า ผมเกลียดความรู้สึกเวลาโดนเข้าใจผิด

แล้วไหนจะนิ่มอีก ผู้หญิงคนนี้มันหายตัวได้หรือไงวะ ทำไมไปโผล่ที่นั่นไวจัง หรือว่าเธอโดดซ้อมเชียร์ลีดเดอร์? ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที นิ่มเธอต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ!

ผมบิดคันเร่งทางขวามือสุดกำลังออกจากลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ของโรงเรียนอย่างเร็วที่สุด ใจของผมคิดแต่จะไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขับโดนที่ไม่มองหน้าปัดบอกความเร็วตามระยะที่แสดงให้เห็นเลย (แอบคิดในใจว่าหากโดนจับ คงโดนพ่อเขกกะบาลอีกแบบไม่นับแน่ๆ แต่ไม่สนใจโว้ยวันนี้!)

ผมขับออกห่างจากตัวโรงเรียนได้ไม่นาน ไอ้ตาเจ้ากรรมดันไปเหลือบไปเห็น สาวน้อยนางหนึ่งยืนโบกรถด้วยความรีบร้อน ในสภาพเสื้อผ้าที่ไม่สมประกอบเท่าไหร่ ผมลดความเร็วลงพร้อมวกรถกลับไปหาสาวน้อยผู้นั้นอย่างไม่ลังเล

“ช่วยด้วยคะ!! ช่วยด้วย!!!”

เธอเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผมที่กำลังชะลอความเร็วเข้ามาหาเธอสาวน้อยคนนี้น่าจะอายุใกล้ๆ กับผมแต่รูปร่างเล็กดูบอบบาง เสื้อผ้าของเธอดูเลอะเทอะและมีรอยขาดวิ่นอยู่ตามเนื้อผ้า เธอท่าทางเหมือนมีบาดแผลถลอกหลายจุด แต่หน้าตาเธอยังดูดีน่ารักใช้ได้

“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ผมจอดรถและถามเธอพร้อมกับสำรวจรอบข้าง
“ช่วยด้วยคะ เมื่อกี้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มากับแฟนแล้วเจอหมาตัดหน้า รถเลยเสียหลักเข้าชนต้นไม้ในซอยนั่นนะคะ” เธอชี้เข้าไปในซอยที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่
“แล้วแฟนล่ะ?” ผมถามเพราะเห็นเธออยู่คนเดียว
“ช่วยเขาด้วยคะ คือ...... เขาสลบอยู่ตรงโคนต้นไม้ รถทับเขาอยู่คะ รถมันคันใหญ่ เราไม่มีแรงพอจะช่วยเขานะคะ โทรศัพท์ก็พังไปแล้วด้วย ไม่รู้จะทำยังไงเลยวิ่งออกมาหาคนช่วย นี่ก็ดึกแล้วด้วย ไม่มีใครเลยแถวนั้น” เธอร้องไห้ไปด้วยอธิบายไปด้วย เธอเหมือนพยายามระบายความอัดอั้นออกมา ผมตัดสินใจช่วยเหลือเธอในทันที เพราะผมเข้าใจครับว่าพื้นที่ๆโรงเรียนผมตั้งอยู่มันจะอยู่ชานเมืองนิดหน่อย แม้ถนนจะทำดีแล้วมีไฟส่องสว่างตลอดเวลา แต่รอบๆข้างทางยังเป็นต้นไม้ ทุ่งหญ้า และที่รกร้างเสียเยอะกว่าที่พักอาศัย มันคงไม่ง่ายที่จะหาความช่วยเหลือ (กวีรอก่อนนะ ผมคิดว่าเขาคงไม่โกรธเพราะผมกำลังทำความดีอยู่)

“อยู่ไหนครับ? เดี๋ยวผมช่วย!”
“ขอบคุณคะ ทางนี้คะ” เธอทำท่ากระตือรือร้นที่จะนำทางโดยการเดินนำหน้าไป เธอเหมือนหายเจ็บจากการอาการรถล้มไปชั่วขณะ (สงสัยดีใจมาก)

“ขึ้นรถเลยครับ เร็วกว่าเดิน” ผมตีเบาะข้างหลังผมเพื่อให้เธอขึ้นซ้อนท้าย แต่เธอดูมีอาการตกใจเล็กน้อย (สงสัยยังเข็ดกับบิ้กไบค์)
“เอ่อ...คะ” เธอสูดลมหายใจหืดหนึ่งก่อนที่จะเหยียบขาหยั่งขึ้นมาซ้อนท้าย ด้วยท่าทางสั่นๆ ก่อนที่ผมจะขับออกไปตรงทางที่เธอชี้เข้าไปในซอย

“อยู่แถวไหนครับ?” ผมขับเข้ามาในซอยที่มืดสลัด มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้าของผมและไฟจากโคมไฟบนเสาไฟฟ้าห่างๆ ในซอยเท่านั่นที่ให้แสงสว่างอยู่ตอนนี้ ทำให้การมองทางค่อนข้างลำบาก

“ตรงนั้นคะ เธอชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่ข้างทางซ้ายมือที่อยู่ถัดจากถนนเข้าไปพอสมควร
“โห....ขับอีท่าไหนเนี่ย ถึงได้เข้าไปลึกขนาดนั้น” ผมจอดใกล้กับจุดเกิดเหตุตามที่หญิงสาวตัวเล็กนั่นเล่าให้ฟัง ผมสำรวจดูรอบข้างไม่พอร่องรอยของรอยล้อหรือพุ่มไม้ที่หักพังเท่าไหร่
“ใช่คะ เข้าไปด้านใน”
“แน่ใจนะว่าถูกที่ใช่ต้นไม้ต้นนี้จริงๆ นะ” ผมถามเธอดูอีกทีเพราะข้างในมันมืดมาก และต้นไม้ต้นหญ้าในพื้นแถวนี้ก็ดูรกครื้มเกินกว่าว่าเคยมีรถขับฝ่าเข้าไป ผมกลัวเธอจะช้อคมากจนจำผิดแล้วมันจะเสียเวลา
“คะ ไม่ผิดแน่ เราเดินออกมาจากตรงนี้แน่ๆ” ดูท่าทางจะไม่ได้โกหก เพราะเธอดูสั่นกลัว อาจเป็นไปได้ว่าเธอเดินฝ่าออกมาทางนี้จริงๆแต่รถอาจจะหลุดเข้าไปอีกทางเพราะแถวนี้ถนนย่อยและซอยย่อยมันเยอะ

ผมเดินฝ่าพงไม้พงหญ้าเข้าไป ไม่นานก็เจอต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันต้นอะไร ใหญ่ฉิบหาย ดูน่ากลัวมากๆ ในความมืดแบบนี้) ผมใช้ไฟจากโทรศัพท์ของตัวเองส่องไปรอบต้นไม้ด้วยความแปลกใจเพราะ รอบๆโคนต้นไม้มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอบรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งควรจะนอนพับอยู่อย่างที่หญิงสาวคนนั้นอธิบายเลย

“เธอๆ” ผมก็ลืมถามชื่อ “เธอๆ ไม่เห็นเจอเลย ผิดที่หรือเปล่า?” ผมตะโกนถามเธอออกไป

“ไม่ผิดหรอก ถูกที่แล้ว!!!”

ผมตกใจกับเสียงเย็นๆ ที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่จะหันไปหาต้นเสียงนั่น

ผลั่วะ!!!!!!

ผมรู้สึกเหมือนอะไรแข็งๆ ตกใส่ท้ายทอย แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสติของผม....

...............................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสาม part 3 (อัพ 13/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 12-11-2017 23:28:54
เฮ้ย..ชัยโดนแผนลวงของสาวนิ่มซะแล้ว

พี่โน่กับเจ๊พิงค์จะมาช่วยทันไหมนะ

 :katai4:   :katai4: :katai4:  :katai4:  :katai4:

.....

.
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสี่ part 1 (อัพ 18/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-11-2017 00:05:45
กวี # 9

ผมเหวี่ยงตัวเองลงบนเบาะที่นั่งประจำของผมที่ร้านคาเฟ่ห้องสมุดที่ผมมาเป็นประจำ ความรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของผมถูกดูดออกไปจนหมด เพราะอยู่ในช่วงการซ้อมหนักที่สุดในรอบปี

ใกล้วันงานกีฬาเข้ามาแล้ว ความเครียดทั้งหมดของโค้ชมาตกลงที่สมาชิกในทีมบาสฯ ทั้งหมด ผมเข้าใจนะครับว่ามันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่โรงเรียนเราไม่เคยตกลงจากอันดับท้อปทรี (Top 3) เลย

ยิ่งได้เห็นการซ้อมแข่งแบบรอบกระชับมิตรกับโรงเรียนต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้โค้ชเห็นว่า ช่องว่างของพวกเรามันมีมากแค่ไหน โอกาสที่ทีมเราจะเข้ารอบสูงๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง อาจเพราะพวกเราพร่องเรื่องการซ้อมมามาก ยิ่งโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแห่งวิชาการ ที่เน้นเรื่องผลการเรียนมากกว่าความถนัดทางด้านกีฬา เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรทำให้ทีมเราขาดเรื่องการซักซ้อม ทั้งที่น่าจะเป็นกีฬาไม่กี่ประเภทในโรงเรียนที่เคยได้เหรียญทองก็เถอะ

ผมนั่งคิดทบทวนไปด้วยถอนหายใจเอาลมร้อนๆ ออกจากร่างกายไปด้วย ขณะนั่งดูเมนูเติมพลังงานให้ร่างกายอยู่ ตอนนี้ร่างกายต้องการของหวานๆ มาหล่อเลี้ยง ผมพลิกไปจนถึงหน้าฮันนี่โทสต์ที่มีให้เลือกหลากหลายหน้าทั้งผลไม้ ครีมสด หรือชีส รู้สึกเมนูหน้านี้จะเป็นของหวานประเภทเดียวที่ชัยบอกว่าอร่อย นอกนั้นเขาก็ทำหน้าแหย่ๆ ใส่เวลาชวนกิน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะครับว่าแฟนตัวเองไม่ชอบอะไร แค่อยากจะแกล้งหยอกไปงั้นแหละ สนุกดีเวลาเห็นเขาทำท่าฝืนกินอะไรแล้วแอบทำหน้าเหมือนปิดบังไม่ให้ผมเห็น

สายตาของผมเหลือบไปเห็นกระจกที่ติดผนังฝั่งตรงข้ามกับที่ผมนั่ง ผมเหมือนไอ้บ้าที่ยิ้มใส่เมนูรายการอาหารและเครื่องดื่ม ผมไม่ปฏิเสธครับว่า การนึกถึงชัยทำให้ผมมีความสุข ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยให้ตายสิ ยิ่งคิดว่าคืนนี้เขาต้องขอไปค้างด้วยแน่ๆ หากเขารู้ว่าวันนี้ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ผมเลยอาจจะต้องคิดหาทางทำอะไรสักอย่างไม่ให้เขาชวนทำอะไรแปลกๆบนเตียงเพราะวันนี้เหนื่อยจะแย่ ทำกิจกรรมอื่นๆต่อคงไม่ไหว คนอะไรพลังงานเยอะมาก ซ้อมกีฬาเสร็จยังมาทำอย่างอื่นต่อได้อีก ( รู้สึกตัวเองหน้าร้อนผ่าวเวลาคิดเรื่องแบบนี้ ใจเต้นตูมตามในอก)

“สวัสดีครับ พี่กวีใช่ไหมครับ?”

เสียงใสๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังระหว่างที่ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ผมหันกลับไปหาไอ้ตัวต้นเหตุทันที เป็นไอ้เด็ก ม.4 ที่เคยเห็นอยู่กับชัยบ่อยๆ (มั้ง) เป็นเด็กที่ตัวเก้งก้างแขนขายาวไม่ค่อยสมส่วน อาจเพราะยังเติบโตไม่เต็มที่ ผมสีน้ำตาลอ่อนกับหน้าที่ขาวซีดนั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือนี่คืออาการแค่เห็นก็ไม่ชอบหน้าแล้ว
“ครับ” ผมตอบกลับไปทื่อๆ
“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเจอพี่กวีที่นี่ดีจัง มาคนเดียวหรือครับ?”  ไอ้เด็กโย่งถามมาเป็นชุดในขณะที่ผมหันหน้ากลับตั้งแต่คำตอบแรกของผมแล้ว
“พี่ชัย ไม่มาด้วยเหรอครับ ไม่เห็นเลย?”
นั่นไง กะไว้แล้วว่ามันต้องถามคำถามนี้ ผมเลยนิ่งไม่ตอบอะไร
“พี่กวี ผมคุยกับพี่อยู่นะ” ไอ้เด็กโย่งนั้นเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่ขออนุญาติผมที่นั่งอยู่ก่อนสักคำ
“โอเคๆ ผมขอโทษนะครับ เมื่อคราวที่แล้วผมมันปากไม่ดีไปหน่อย แต่ผมรู้แล้วว่า พี่ชัยน่ะรักพี่มากขนาดไหน? ผมคงไม่มาแข่งกับพี่หรอกครับ”
“.........” ผมมองหน้าไอ้เด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอายๆ จากท่าทางการพูดและกิริยาที่แสดงผมเลยไม่ถือสาอะไรแล้วเพราะดูจะเป็นคนโผล่งผาง ใจร้อนมากกว่าจะมาคิดมิดีมิร้ายกับผม
“ผมก็ชอบพี่เหมือนกันนะ แต่พี่หน้าหวานไปหน่อย เรียบร้อยไปนิด ไม่ใช่สเปกผมเท่าไหร่ ผมก็เลยชอบพี่ชัยมากกว่า พี่กวีนี่ผิดกับพี่ชายผมเลยนะ ไม่รู้ว่าทำไมพี่นิ่มถึงไปทนคบอยู่ได้” ไอ้เด็กโย่งนั่งฝอยแบบไม่คิดว่าผมกับมันเพิ่งจะเคยคุยกันวันนี้ และที่สำคัญผมแทบไม่ได้พูดสักคำ
“ใจร้อน บ้าพลัง ปากเสีย สมองน้อย”
ไอ้เด็กที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดต่อโดยไม่สนใจว่าผมจะฟังมันหรือไม่
“แต่จากที่บรรยายมา ทำให้พี่คิดถึงใครคนหนึ่งออกนะ แต่ที่ต่างคือพี่เขาสมองไม่น้อยนะ!” ผมเผลอตอบไปโดยไม่ตั้งใจ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมชัยถึงได้คุยกับไอ้เด็กนี่แล้วบอกว่ามันมีเสน่ห์น่ารักดี คงเพราะการที่เขาเข้าถึงคนที่สนทนาด้วยง่ายมั้ง คงเป็นพรสวรรค์
“พี่ชัยใช่มะ?” ไอ้เด็กนั่นแหล่ตามองผมพร้อมพูดออกมา
แล้วเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เออ! เมื่อกี้ที่พูดถึงนิ่มนี่คือ....”
“ก็แฟนเก่าพี่ไง!” ไอ้เด็กนี่พูดสวนออกมา
“อ้อ..... พี่ก็พอรู้แต่อยากถามให้แน่ใจ แล้วตอนนี้นิ่มโอเคไหม?”
“โอเคครับพี่ มีความสุขโคตร พี่ผมแม่งโคตรจะตามใจ!”
“ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจนะ” ผมตอบไปเบาๆ
“พี่แม่งโคตรจะเป็นคนดีน่ะ”
“............” ผมไม่ตอบอะไรแค่พนักหน้าตอบเล็กน้อย

“อืม......วันนี้นอกจากผมจะมาขอโทษเรื่องวันแรกที่ผมปากไม่ดีแล้ว ผมเลยจะขอแนะนำตัวกับพี่ด้วยละกัน ไหนๆก็เป็นนักกีฬาเหมือนกัน ผม’ไอซ์’ นะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับน้อง ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ แล้วก็แล้วกันไป”
“.........” ไอซ์นั่งยิ้มหวานกลับมาไม่พูดไม่จา
“อะไรวะ?” ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมคิ้วที่ขมวดติดกัน
“ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชัยถึงรักพี่กวีขนาดนี้ พี่น่ารักใจดีแบบนี้นี่เอง พี่รู้ไหม ขนาดพี่ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา เขายังเดือนร้อนแทนพี่ช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง ไม่หนีหายไปไหน พี่แม่งโคตรโชคดี ผมอยากได้คนที่รักผมแบบนี้ได้มั้งจัง”

“เรื่องอะไรวะ?” ผมถามกลับด้วยความสงสัย คำพูดของไอซ์ทำให้ผมรู้สงสัยมาก
“...เอ่อ.....” ไอซ์ดูอ้ำอึ้งกับคำถามของผม

€~€€€~~~>€€>

เสียงริงโทนเพลงรักหวานๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของบทสนทนาผมและไอซ์ ไอ้เด็กที่ดูอึ้งๆนั่นรีบรับโทรศัพท์ทันทีเหมือนกำลังรออะไรมาคั่นจังหวะพอดี

“ฮัลโหล~~~~” ไอซ์ลากเสียงยาวๆแบบล้อเล่นกับคนในโทรศัพท์
“.............”
“เออๆ รู้แล้ว จองให้แล้วล่ะหน่า..... มาได้เลย ยู(you)เกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีทำไมชอบสั่งไอ(I)จังวะ” ไอซ์ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปทางโต๊ะข้างๆ พลางพยักหัวให้เป็นเชิงขอตัว
“...........”  ผมพยักหน้าเป็นการรับรู้ความหมายของเขา
“อยู่ข้างในหลังตู้หนังสือนี่ไง ยูก็เดินเข้ามาอีกหน่อยสิ เออๆ เห็นยัง? แค่นี้นะ” ไอซ์พูดไปพลางโบกไม้โบกมือไปพลาง

ไม่นานหลังจากจบประโยคก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาที่โต๊ะที่ไอซ์มันจองให้ซึ่งก็คือโต๊ะใหญ่ที่ถัดจากผมไปนั่นเอง ในกลุ่มนั่นมีคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่ด้วย คนหนึ่งคือคนที่หน้าเหมือนไอซ์ทุกอย่างแค่ผมสั้นจนเกือบสกินเฮด และควงผู้หญิงที่ผมรู้จักดีคนหนึ่ง ‘นิ่ม’ นั่นเอง

“สวัสดีคะพี่กวี เจอกันอีกแล้วนะคะ สบายดีไหมคะพี่?”
นิ่มเอ่ยทักทันทีที่เห็นผม
“ดีจ๊ะ มาทำอะไรกันเยอะแยะเลย?”
“มาเลี้ยงวันเกิดเพื่อนเฟรมนะคะ” นิ่มยิ้มกลับและชี้เด็กผู้ชายที่ควงแขนอยู่ข้างๆ ผมยิ้มและพนักหน้าตอบไปก่อนที่นิ่มจะกันไปสนใจทักทายกับผู้ชายนักกีฬาทั้งโต๊ะอย่างเป็นกันเอง

ผมสั่งของหวานมานั่งทานขณะอ่านหนังสือที่เตรียมมาไปด้วย ซึ่งในขณะเดียวกันไอซ์ที่นั่งอยู่ใกล้กับโต๊ะที่ผมนั่งก็แอบหันมาคุยกับผมเป็นระยะ โดยบทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชัยมากกว่าเรื่องของผมเสียอีก นอกจากจะรบกวนสมาธิในการอ่านหนังสือแล้วยังน่ารำคาญมากๆด้วย (เลิกถามเรื่องแฟนผมเสียทีเหอะ ก่อนที่เส้นความอดทนผมจะขาด)

ไม่นานนักเสียงริงโทนโปรดของผมก็ดังขึ้นเป็นระฆังช่วยชีวิต ผมอยากให้ชัยพาผมออกไปจากที่นี่จัง โคตรอึดอัดกับไอ้เด็กนี่และภาพแฟนเก่าอี๋อ๋อกับชายคนใหม่แบบพยายามให้ผมเห็นทุกกิริยา ถึงผมจะไม่รู้สึกกับนิ่มเหมือนเมื่อก่อนอต่มันก็ดูกวนใจอยู่ดี

“สวัสดีครับ” ผมรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดเพราะเหมือนมีคนพยายามแอบฟังอยู่ (ไอซ์มันก็หันหน้ามาขัดเจนขนาดนั่นไม่รู้ก็แปลก)

ระหว่างที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับชัย เจ้าไอซ์ก็ตะโกนข้ามโต๊ะมาถามแทรกจนผมอยากจะออกจากที่นี่แล้ว สุดท้ายผมเลยตัดสินใจชวนชัยไปที่อื่นกัน ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ นอกจากจะไม่มีสมาธิแล้วยังอึดอัดอีกด้วย ผมวางสายจากชัยและนั่งรอเขาแบบนับเวลาแทบจะเป็นวินาทีเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปนานพอควร ผมเริ่มกระวนกระวายกับชัยที่มาช้ากว่าที่บอกไว้ ผมรู้ว่าเขาเป็นคนขับรถเร็วซึ่งคำนวนจากระยะทางของโรงเรียนเขากับร้านประจำที่ผมนั่งอยู่ ไม่น่าจะเกิน 20 นาทีชัยน่าจะมาถึงที่นี่แล้ว ผมมองนาฬิกาข้อมือตัวเองและนึกคำนวนเวลาตั้งแต่ที่ผมวางสายกับชัยจนถึงตอนนี้มันเกินชั่วโมงแล้ว ทำให้ผมรู้กังวลว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาทันทีเพื่อคลายกังวลที่มีอยู่ เสียงสัญญาณรอสายจากโทรศัพท์ของชัยดังอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่รับสาย เขาอาจขับรถอยู่แต่อย่างน้อยอยากให้จอดและช่วยรับสายของผมหน่อย ผมกดโทรหาอีกครั้งทันทีหลังจากที่สายแรกโดนตัดไปเนื้องจากสิ้นสุดระยะเวลา

นิ่มที่ขอตัวอยกออกจากกลุ่ม (สงสัยไปห้องน้ำ) ได้เดินกลับมาในช่วงที่ผมนั่งโทรศัพท์หาชัยด้วยความกังวล และพยายามไม่สนใจไอซ์ที่พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่โต๊ะข้างๆ

“เป็นอะไรไปคะ สีหน้าไม่ดีเลย?” นิ่มถามขึ้นขณะที่กำลังเดินผ่านผมไป
“ไม่มีอะไรจ๊ะ แค่โทรหาชัยไม่ติดน่ะ” ผมตัดสายที่กำลังโทรอยู่ก่อน เพราะจะได้ยินนิ่มถามได้ถนัดขึ้น
“พี่ชัยขับรถอยู่มั่งคะ คงรับสายไม่ได้ ให้นิ่มนั่งเป็นเพื่อนไหมคะ เห็นพี่กวีนั่งเหงามานานแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแฟนใหม่นิ่มหึงเอา”
“โอ้ย! คนนั้นเขาอยู่กับเพื่อนแล้วก็ไม่ค่อยสนใจนิ่มหรอกคะ อย่างน้อยนิ่มอยู่ตรงนี้ ไอซ์เขาจะได้ไม่กวนพี่ไงคะ”
เออ! ความคิดดี ผมพยักหน้าเป็นเชิงตกลง

ถึงนิ่มจะบอกว่ามานั่งเป็นเพื่อนผม แต่เวลาส่วนใหญ่ของเธอก็คือการพลิกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดู ใช้นิ้วเขี่ยหน้าจอไปมา หัวเราะคิกคักและมีพิมพ์ข้อความพร้อมขำในลำคอเป็นระยะๆ บางครั้งก็เอารูปตลกๆ ให้ผมดูเหมือนสมัยก่อนตอนที่เรายังคบกันไม่ผิด ส่วนผมก็กังวลจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหนึ่งย่อหน้าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความบ้าง โทรออกหาชัยบ้างเป็นระยะ แต่ที่แปลกคือ ชัยไม่รับสายและไม่ตอบกลับมาเลย จนสุดท้ายผมต้องพ่นลมหายใจออกมาด้วยความร้อนใจ

“พี่กวีเป็นอะไรไปคะ? ท่าทางแปลกๆ”
“อืม... พี่แค่แปลกใจที่....ชัยยังไม่มาอีก”
“พี่โทรหาเพื่อนสนิทเขายังล่ะคะ อาจจะเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันก็ได้” น้ำเสียงนิ่มมีการกระแทกที่ท้ายประโยค
“เออ!! จริงสิ!!” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อค้นหาเบอร์ของหลงทันที
“พี่กวีนี่ก็นะ เพื่อนดีๆ มีตั้งเยอะ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาคบพี่ชัยด้วย ระวังเขาจะทำให้พี่เสียใจนะ!” นิ่มพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบไป

€~€€€~€€€€~€€~€

เสียงริงโทนเฉพาะที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมหน้าจอที่มีรูปทะเล้นๆของชัยปรากฏขึ้น ขณะที่ผมกำลังค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของหลง ผมรู้สึกโล่งอกรีบกดรับสายทันที

“สวัสดีคะ” เสียงหวานๆ ของหญิงสาวที่ปลายสายดังขึ้น
“เอ่อ.....” ผมถึงกับต้องยกเครื่องโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูเบอร์ให้แน่ใจอีกครั้ง
“สวัสดีคะ ได้ยินไหมคะ?” ผมเอาหูกลับมาแนบที่เดิมและเสียงหวานๆเสียงเดิมก็ยังคงดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ.... สงสัยผมโทรผิดครับ ผมจะโทรหาเพื่อนผมน่ะครับขอโท......”
“อ๋อ! .... ไม่ผิดหรอกคะ น้องกวี! ชื่อกวีใช่ไหมคะ?“
“เอ่อ... ครับ ใช่ครับ คุณรู้จักผม?”
“ไม่รู้จักหรอกคะ มันขึ้นโชว์ชื่อที่หน้าจอโทรศัพท์ของน้องชัยน่ะคะ”
“ครับ?? ใครครับเนี่ย?” ผมเริ่มงงไปหมด ปลายสายเป็นใคร สายมันพันกันหรือไง ทำไมเขามีเบอร์ผมด้วย
“น้องไม่ต้องอยากรู้หรอกคะว่าพี่เป็นใคร รู้แต่ว่าเรามีสามีร่วมกันอยู่น่าจะพอเข้าใจ”
“อะไรนะครับ?”
“ชัยเคยบอกพี่ว่าแค่อยากลองคบผู้ชายเล่นๆ แต่พี่ก็ไม่คิดนะว่าจะติดใจอะไรนานขนาดนี้ แต่พี่ไม่ถือหรอกนะ เพราะยังไงชัยก็บอกว่าแค่ของเล่น! สนุกๆ”
“..........” ผมตามประโยคเหล่านั้นไม่ทันยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนหูจะอื้อ เสียงแหลมวี๊ดวี๊ดังเข้ามาจนผมมือสั่นไปหมด
“พูดไป น้องคงจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวพี่จะทำให้เข้าใจเอง”
แล้วเธอก็วางหูไป ทิ้งให้ผมอยู่ในอาการมึนงงอยู่ตรงนั้น

“พี่กวีคะ เป็นอะไรไหมคะ ดูหน้าซีดๆ”

ผมกำลังจะเอ่ยปากตอบกลับไป เสียงข้อความเข้าที่โทรศัพท์ก็เข้ามาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นข้อความมาจากชัยทั้งสิ้น ผมลืมสิ่งที่จะตอบกลับนิ่มทั้งหมด รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนเปิดดูข้อความที่ถูกส่งออกมาทันที

ภาพปรากฏขึ้นมาเป็นภาพผู้หญิงผมสั้นตัวเล็กๆกึ่งเปลือยมีเพียงผ้าห่มปิดไว้เพียงบางส่วน นอนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มในสภาพเปลือยเปล่า นอนหลับไม่ได้สติ แต่มือกลับโอบกอดฝ่ายหญิงไว้ มุมที่ถ่ายเป็นแบบเซลฟี่หลากหลายมุม ทำให้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นชัดเจน ยิ่งพินิจดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั่นคือ ‘ชัย’ ไม่ผิดแน่ และมีข้อความเขียนมาเป็นลำดับสุดท้ายด้วย

‘หวังดีนะ ถึงได้ทำแบบนี้จะได้ตาสว่างเสียที ตัดใจเสียเถอะ เรื่องของน้องมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ยังไงผู้ชายอย่างชัยก็ชอบผู้หญิงมากกว่า เรื่องบนเตียงมันก็ดีกว่า สักวันหนึ่งชัยก็ต้องเบื่อและกลับมาหาพี่อยู่ดี”

ผมรู้สึกเหมือนน้ำลายเป็นของแข็ง กลืนลงคอลำบากมาก ความร้อนทั่วทั้งร่างกายตอนนี้เหมือนมารวมตัวอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ผมรู้สึกถึงการเต้นของเส้นเลือดที่ขมับอย่างชัดเจน ลมหายใจของผมร้อนขึ้นมาก ตอนนี้บอกไม่ได้เลยว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเสียใจ มันสับสนไปหมด

“พี่กวีคะ นิ่มรู้แล้วว่า.... พี่กวีอยู่ที่ไหน? นี่ไงคะ เป็นข่าวดังเลย” ระหว่างที่ผมกำลังสับสนจนรู้สึกเวียนหัวอยู่นั่น นิ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาพร้อมค่อยๆ ยื่นสมาร์ทโฟนจอยักษ์ที่ใหญ่กว่ามือของเธอมาที่ผม ที่หน้าจอแสดงให้ว่าเป็นหน้าของ ‘เพจหนุ่มน่ารักฯ’ ซึ่งภาพที่กำลังแสดงอยู่ เป็นภาพเหมือนกับภาพที่ถูกส่งเข้ามาที่มือถือผม ต่างกันตรงที่เป็นภาพครึ่งตัวไม่โป๊ และคำบรรยายใต้ภาพว่า

‘เปิดตัวเสียทีกับสาวโชคดีที่ได้ควงกับหนุ่มฮอตที่ไร้คู่มานาน’ 

มาพร้อมกับระบุโลเคชั่นว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนชัยเท่าไหร่

ผมรู้สึกเส้นความอดทนมันขาดสะบั้นลง ไม่มีอะไรชัดเจนเท่านี้อีกแล้ว ผมคืนโทรศัพท์ให้นิ่มแบบเบลอๆ และเดินออกจากร้านแบบไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจว่าจะมีใครเรียกผมสักกี่ครั้ง ผมรู้แต่ว่าผมต้องการอยู่คนเดียว... คนเดียวเท่านั้น

................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสี่ part 1 (อัพ 13/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 21-11-2017 02:11:48
โอยแผนตื้นๆๆๆ ตบมัน :beat:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสี่ part 2 (อัพ 25/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-11-2017 17:33:36
ชัย# 16

“ชัย! ชัย!! ไอ้ชัย ไอ้เชี้ยชัย!!”

เพี๊ยะ!!

ความรู้สึกเหมือนโดนไม้แบดมินตันจากนักตบมืออาชีพตบหน้า ผมรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนเหล่านั่นส่งไปถึงก้านสมอง ผมลืมตาโพล่งจากอาการเจ็บจนหน้าชา แสงไฟสีนวลส้มส่องเข้าดวงตาผมจนพล่ามัวไปหมด อาการเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นมาจากศรีษะทางด้านหลัง ผมพยายามขยับตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่พื้นที่หยาบนิ่ม มีหนามทู่ทิ่มตำตลอดทั้งร่าง อยู่ๆก็เกิดอาการขนลุกตลอดทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมด จนผมต้องยกมือขึ้นลูบถูตัวเพื่อให้เกิดความอบอุ่น ผมต้องตกใจอีกครั้งเพราะผมรู้ว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่

ผมพยายามเหลียวมองรอบตัว ผมพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่มืดสลัว มีแสงจากดวงไฟสีส้มนวลดวงเล็กจำนวนหนึ่งส่องลงมาที่ตัวผม

“มึงโอเคไหม? จำได้ไหมว่าทำไมมึงมาอยู่ตรงนี้?”
“..........” ในหัวของผมยังดูว่างเปล่า ทั้งที่พยายามคิดค้นหาคำตอบไล่เรียงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“งั้น... ไม่เป็นไร! อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
“........” ผมยกมือขึ้นมาคลำบริเวณท้ายทอยที่เจ็บแปลบ พอนิ้วมือได้สัมผัสความแสบแล่นขึ้นมาจนผมร้องโอยขึ้นมา
“เฮ้ย!! พวกมึง! มาทางนี้ซิ!! มาช่วยกูหน่อย”
ไม่นานก็มีเสียงแซบซาบหลากหลายทิศทางและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่รอบๆ กายผม
“พยุงมันขึ้นมา จับมันใส่เสื้อผ้าด้วย เสียสายตากู แล้วก็พามันไปขึ้นรถไปโรงพยาบาลด้วย!”

ใช้เวลาเพียงชั่วน้ำเดือด ทุกที่เสียงเข้มแหบนั่นสั่งก็เสร็จเรียบร้อยดั่งเนรมิต ผมมานอนอยู่ในรถขนาดใหญ่คันหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น แสงไฟจากถนนด้านนอกหน้าต่างรถผ่านแว่บวับเข้าตามาดวงแล้วดวงเล่าเป็นระยะ อาการมึนงงของผมดีขึ้นเป็นระยะตามเวลาที่ผ่านพ้นไป ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นมาในท่านั่งก็พบว่ารถได้เข้ามาจอดในเขตห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

ประตูเปิดรถด้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเปิดกว้างออกด้วยความเร็ว ผมหันไปตามเสียงประตูรถที่เปิดออกมา ทำให้เห็นเพื่อนสนิทของผม ไอ้หลง มีท่าทางและหน้าตาแตกตื่น ก่อนที่มันจะอ้าปากถามอะไรโง่ๆ ตามประสามัน บุรุษพยาบาลที่ไม่รู้มาจากทิศใดก็ได้แทรกตัวมาขวางหน้าไอ้หลงจนผมอึ้งไปเล็กน้อยกับภาพที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน

“ขอทางให้กับผู้ป่วยด้วยครับ ขอทางให้ผมจัดส่งผู้ป่วยไปให้คุณหมอประเมินหน่อยครับ!”

บุรุษพยาบาลที่มาพร้อมเสียง ได้ขยับตัวเข้ามาในรถครึ่งตัวเพื่อพยุงผมออกจากรถและหิ้วปีกผมไปที่รถเข็นที่เตรียมไว้ไม่ไกล ไม่กี่อึดใจผมถูกโยกย้ายมาอยู่ในห้องตรวจของแพทย์จนเหมือนวาปมา

“เฮ้อ......  พี่ไม่อยากพูดคำนี้เลย แต่พี่เริ่มจะเบื่อตรวจศรีษะเราแล้วนะ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาในห้อง ผมหันไปเห็นพี่หมอเอิร์ธในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ผมยิ้มให้แบบไม่มีแรงตอบไป

....................

ผมฟื้นขึ้นมาอีกทีบนเตียงที่ล้อมรอบไปด้วยม่านสีขาว (ผมเดาว่าน่าจะอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ผมรู้สึกคุ้นชินกับที่นี่จังช่วงนี้) ผนังสีขาวกับหลอดไฟทรงกลมปรากฎอยู่ตรงหน้า อาการเวียนหัวดีขึ้นมากคงเหลือแต่อาการอ่อนเพลีย ผมมองไปเห็นไอ้หลงนอนฟุบอยู่ข้างๆเตียง ผมค่อยๆ ขยับตัวจนไอ้หลงรู้สึกตัวตื่นขึ้น

“เฮ้ย!! เป็นไงบ้างมึง? มึงทำบุญด้วยอะไรวะ? แม่งหัวแตกอีกแล้ว!” ไอ้หลงขยี้ตา บิดขี้เกียจขณะที่พูดไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“เออ... ดีขึ้นแล้ว แค่ง่วงๆ เพลียๆ จริงของมึงกูแม่งโคตรซวยสงสัยจะเจอนางนกต่อให้ไอ้พวกโจรมันดักปล้นว่ะ” ผมหลับตาหยีพยายามนึกภาพลำดับเหตุการณ์ก่อนที่จะโดนไม้อัดเข้าที่หัว พอนึกถึงตรงนี้ความเจ็บที่หัวก็แล่นผ่านเข้ามาจนผมเอามือขึ้นมากุมศรีษะ

“ค่อยๆ มึง ยังไม่รีบนึกอะไรก็ได้ แต่กูว่าไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”
“อะไรของมึงวะ? เออ... แล้วกวีล่ะ กลับบ้านแล้วเหรอ?”
“เรื่องนี้แหละที่กูจะคุยกับมึง เรื่องนี้ยาวเลย”
“อะไรวะ?”
“คือ......”
“หลง!! อย่าเพิ่งเลย ให้ชัยพักก่อนดีไหม?”
เสียงของพี่หมอดังขึ้นพร้อมม่านที่ล้อมรอบเตียงอยู่แหวกออกเห็นพี่หมอกับพยาบาลรุ่นป้าตามมาติดๆ
“เอ่อ..... ครับ” หลงตอบเสียงต่ำและหลบไปอยู่มุมม่านอีกฝากหนึ่ง
“ไหนขอตรวจหน่อยก่อนหมอจะออกเวร ถ้าดีขึ้นก็จะให้กลับบ้านเลย” พี่หมอเดินมาพร้อมไฟฉายมาส่องตา จับโน่นจับนี่ พยาบาลรุ่นป้าคนนั้นก็เดินมาพร้อมอุปกรณ์ที่มีสายระโยงระยางมาวัดโน่นนี่อย่างวุ่นวายพัลวัน และจบด้วยรอยยิ้มพี่หมอที่เห็นแล้วรู้สึกใจชื่นขึ้น

“หมอคิดว่าไม่เป็นอะไรนะ น่ากลับบ้านเลย กลับพร้อมหมอก็ได้นะ” ผมพยักหน้า
“กูโทรไปบอกแม่มึงแล้วว่ามามึงมาค้างบ้านกู ไม่ต้องห่วงพ่อแม่มึงยังไม่รู้”
“อืม...ก็ดี กูเริ่มสงสารแม่แล้วว่ะ ไม่อยากให้แกห่วงมากไปกว่านี้”
“พี่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่คราวนี้จะพี่ร่วมมือด้วย แค่ครั้งนี้นะ!” หลังจากพยาบาลรุ่นป้าขอตัวออกไปสรรพนามแทนตัวพี่หมอก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ
“ทำไมพี่หมอวันนี้ยอมง่ายจัง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“ไปพักที่บ้านพี่ก่อนแล้วจะมีคนเล่าให้ฟังเอง”
“ใคร????”
“นี่โน่!”
“?????” ผมได้แต่ทำหน้าแปลกใจตอบไป เรื่องที่ผมโดนดักทำร้ายนี้มันมีอะไรงั้นเหรอ แล้วพี่โน่มันเกี่ยวอะไรด้วยวะ? ผมคิดทบทวนจนหัวของผมเริ่มปวดอีกครั้ง

...................

“เกิดอะไรขึ้น บอกผมได้หรือยัง?” 

ผมพูดขึ้นทันทีหลังจากนั่งรอคอยตัวละครหลักอย่างพี่โน่ที่ตอนนี้ได้เวลาปรากฏตัวเสียที

“มึงดูนี่แล้ว มึงจะเข้าใจทุกอย่าง” พี่โน่ยื่นมือถือของผมซึ่งไม่รู้ว่าไปอยู่กับพี่โน่ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าทรัพย์สินทุกอย่างของผมมันหายไปหมดแล้ว (หวังว่ารถบิ้กไบค์ผมคงยังอยู่นะ!)
“นี่มัน??” ผมรับมันมาอย่างงงๆ
“ไม่ต้องถามอะไร แล้วก็ช่วยเปิดไปที่อัลบั้มรูปด้วย!” พี่โน่ที่ยืนคำ้หัวผมอยู่พูดห้วนๆใส่จนผมต้องทำตามทันที

ผมปลดล็อคโทรศัพท์ของผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นและไร้ซึ่งเคสลายสัญลักษณ์ทีมบาสเก็ตบอลทีมโปรดของผมที่กวีไปหาซื้อมาให้อย่างยากเย็น

“เคสที่กวีซื้อให้หาย ผมจะบอกเขายังไงดีเนี่ย?” ผมบ่นอุบอิบ
“กูว่ามึงมีเรื่องที่จะต้องเคลียร์กับเขามากกว่านั้นว่ะ!”
“..........”  ผมมองหน้าพี่โน่แว่บหนึ่ง เป็นเชิงคำถามว่าพี่โน่พูดอะไรอยู่วะ ผมไม่เข้าใจ
“นานจังวะ!!! นี่โทรศัพท์มึงเองนะเนี่ย!!” ผมรู้สึกว่าพี่โน่มันดูร้อนใจกว่าผมอีก
“เออๆ เจอแล้วนี่ไง ใจร้อนจัง ผมก็ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ มันมีอะไรใน.....นี้...... เฮ้ย!!!!!!”
ผมร้องลั่นเมื่อผมเจอภาพล่าสุดในอัลบั้มที่ผมไม่ได้เป็นคนถ่าย มันเป็นภาพเปลือยเปล่าของผมเองกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เหมือนจะคุ้นหน้าว่าเคยเห็นที่ไหน

“เป็นไง เข้าใจอะไรหรือยัง?” พี่โน่ถามขึ้นในขณะที่ผมยังพินิจพิเคราะห์กับรูปที่หน้าจอหลายรูป
“ผู้หญิงคนนี้...... น่ารักดีนะ จะมาลักหลับทำไมเนี่ย ขอดีๆ ก็ให้นะ!”
“ไอ้สัด!! ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นไหมเนี่ย?” ไอ้หลงตวาดขึ้นหลังจากเห็นหน้าผากพี่โน่เริ่มมีเส้นเลือดโปนปูดขึ้นมา
“เออๆ กูขอโทษ ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่ามันคืออะไรนี่หว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ทุกคนซีเรียสกันอยู่เนี่ย?” ผมเริ่มแก้ตัวไปเรื่อยเพราะรู้สึกถึงไออำมหิตแผ่ออกมาจากพี่โน่มากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นกูจะเล่าให้มึงฟังเอง!” ไอ้หลงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นหลังจากที่ยืนอยู่กับพี่เอิร์ธทางด้านหลังผมอยู่นาน

“ตอนนี้รูปนั่น บางภาพถูกอัพโหลดขึ้นเพจ ‘หนุ่มน่ารักฯ’ ตอนนี้เขาเห็นกันหมดบ้านหมดเมืองแล้ว โดยเฉพาะกวี อันนี้หนักเลย เท่าที่กูรู้นอกจากจะเห็นภาพแล้ว.... ผู้หญิงในภาพนั่นยังทำให้กวีเข้าใจผิดอีก!!”

“เฮ้ย!!!!” ผมร้องเสียงหลง

“ที่เหลือกูจะเล่าให้มึงฟังต่อเอง” พี่โน่พูดเสียงเรียบแต่ดูดังกังวาลมาก ไอ้หลงหุบปากแทบไม่ทัน

“อย่างที่รู้กัน พวกเราร่วมมือกันเพื่อป้องกันไม่ให้ยัยนิ่มมาก่อเรื่องกับกวีอีกหลังจากเรื่องคราวที่แล้ว พวกของกูเฝ้าระวังตลอด พอผ่านมาหลายวันก็นึกชะล่าใจคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนี้ฉลาดและเจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าที่คิด ในเมื่อเธอทำร้ายกวีทางกายไม่ได้ เธอเลยทำร้ายกวีทางจิตใจแทน ท่าทางยัยนั่นจะรู้ว่ามึงกับกวีมีความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนจริงๆ ประกอบกับยัยนิ่มรู้จักกวีดี ทุกอย่างมันก็เลยง่าย กูไม่คิดว่าหล่อนจะมาทำร้ายมึงเลยไม่ได้ใส่ใจระวังมึงเลย เรื่องคราวนี้ถือว่าเป็นแผนที่ร้ายกาจมาก สามารถทำร้ายได้ทั้งคู่เลย”
พี่โน่อธิบายเสียยืดยาวแต่แปลกที่ผมกลับตั้งใจฟังทุกประโยค และเจ็บจี๊ด ร้อนวูบวาบในอกแบบบอกไม่ถูก

“ผมจะไปอธิบายกับกวีเอง เชื่อว่าเขาต้องเข้าใจ”
ผมลุกขึ้นยืนและเตรียมพร้อมจะออกจากบ้านทันที
“หยุดก่อน! มึงน่าจะรู้จักกวีดี ดื้อๆ แบบนั้นเขาจะยอมฟังดีๆหรือไง ความสัมพันธ์ของพวกมึง มันเปราะบางมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กูเชื่อว่ากวีน่าจะรู้ถึงข่าวคราวความกะล่อนของตัวมึงเองตั้งแต่ก่อนคบกับเขาแล้ว”

“แต่ผมรักเขา เขาต้องรับรู้สิ!”
“ใช่ หากมึงสามารถฝ่ารั่วฝ่า รปภ. เข้าไปพบกวีที่บ้านได้นะ”
“ผมรู้จักทุกคนที่นั่น ผมเชื่อว่า พวกเขาต้องช่วยให้ผมได้พบกับเขา”
“งั้นก็ตามใจ!!” พี่โน่ถอนหายใจอย่างเหลืออดกับความดื้อดึงของผม แล้วก็โยนบางสิ่งมาที่ผมจนรับไว้แทบไม่ทัน

“โชคดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นในร้านคาเฟ่ของกูเอง มีคนเป็นหูเป็นตาให้ คนที่กวีคุยด้วยคนสุดท้ายคือนิ่ม กูเลยมั่นใจว่ายัยผู้หญิงนี้เกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ เพราะยัยนิ่มนี่แหละเป็นคนโชว์ภาพในเพจให้กวีดูเอง แล้วหลังจากนั้น กวีก็เดินออกจากร้านไปเลย กูว่าน่าจะกลับบ้านนะ เพราะวันนี้วันหยุดแท้ๆ กวีควรจะมานั่งอ่านหนังสือตามปกติแต่ก็ยังไม่มา”

“.....เอ่อ... ขอบคุณครับที่ช่วย...”
“ไม่เป็นไร อย่างที่กูเคยพูด กวีก็น้องกู ใครทำให้น้องกูเสียใจ กูจะทำให้กรรมตามสนองมันเร็วขึ้นและสมทบให้อีกสิบเท่า!!”
พี่โน่กำมือแน่นขึ้น

ผมแบมือพบว่าสิ่งที่พี่โน่โยนให้คือ กุญแจรถของผมเอง
“...โชคดีโคตร!! มันยังอยู่!!”
“ใช่ โชคมึงยังดี พอไอ้หลงเห็นภาพแปลกๆ นั่นและบอกให้กูรู้ กูรู้สึกเลยว่ามันแปลกๆ เลยสั่งให้ไอ้อาร์ทกับพรรคพวกมันออกไปตามหามึงแถวๆ ที่ภาพมันระบุสถานที่ไว้  คนร้ายมันไม่ได้เอารถไป ส่วนกุญแจรถนั่นก็อยู่ในกระเป๋าเสื้อมึงนั่นแหละ”
“ขอบคุณครับ พี่โน่ แล้วก็ ฝากไปขอบใจไอ้อาร์ทด้วยนะ”
“เออ!! แล้วมึงจะไปได้ยังเนี่ย??”
“ครับ.. ครับ”
“มึงไปจัดการเรื่องของมึง กูจะไปจัดการเรื่องของกู หากเรียบร้อยดีแล้ว โทรหากู กูจะเคลียร์ทุกอย่างให้ยัยผู้หญิงนั่นไม่มีจุดยืนในสังคมนี้อีก!!”

เป็นถ้อยคำที่ทรงพลังเหลือเกิน ยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับพี่โน่อีกเยอะสินะ พอจบประโยคพี่โน่ ผมรีบวิ่งขึ้นรถเพื่อบิดไปหาหัวใจของผมทันที

.........................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสี่ part 3 (อัพ 26/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-11-2017 10:45:43
(ต่อ)...............


“ขอโทษด้วยครับ วันนี้คุณหนูสั่งว่าอย่าให้ใครเข้าไปกวนระหว่างอ่านหนังสือ แม้แต่.....คุณชัยครับ”

ลุงขาว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ทำหน้าที่อยู่ที่ประตูใหญ่หน้าบ้านเสมอ พูดกับผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ผมมาบ้านนี้บ่อยจนสนิทกับลุงขาวและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ  หลังๆ ผมก็ใช้หน้าตัวเองนี่แหละเป็นบัตรผ่านในการเข้าคฤหาสแห่งนี้

“แต่กวีอยู่บ้านใช่ไหมครับ?” ผมส่งคำถามลอดรั่วเข้าไป
“อยู่ครับ..... แต่วันนี้ผมยังไม่เห็นตัวเลยครับ เพราะตอนสั่งก็สั่งผ่านโทรศัพท์ลงมาครับ”
“ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับกวีน่ะครับ ช่วยเปิดประตูให้ได้ไหมครับ? มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ!”
“ไม่ได้ครับคุณชัย ผมคงขัดคำสั่งคุณหนูไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ”
“โธ่....โว้ย!!” ผมเดินห่างจากรั้วเล็กน้อยเพื่อระบายความอึดอัดด้วยความร้อนใจ

เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นจากทางป้อมที่ทำการของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวบ้านไม่ไกล (ขนาดป้อมรปภ. ยังทำไว้เสียดีเลยที่นี่ กระจกรอบด้านติดฟิมล์ทึบสีดำติดแอร์ฯ ให้ด้วย) ลุงขาวขอตัวเข้าไปรับโทรศัพท์ด้านในป้อมฯ ก่อน

ไม่นานลุงขาวก็เดินออกมาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“คุณหนูยืนยันว่าไม่รับแขก และห้ามให้ลุงใจอ่อนเปิดให้ใครเข้ามาเด็ดขาด คุณหนูบอกว่าให้คุณชัยกลับไปเถอะ คุณหนูไม่ต้องการฟังคำอธิบายอะไร ไม่ต้องเจอกันอีกเลย!!”

“............” ผมได้แต่ทำสีหน้าเป็นหมาหงอยลอดรั่วไปให้ลุงขาวเห็นเพื่อขอความเห็นใจ
“เฮ้อ..... มีเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่คุยกันดีๆ นะเด็กสมัยนี้  คนรักกันก็ต้องคุยกันจะได้เข้าใจกัน ลุงก็ไม่รู้นะว่าไปมีเรื่องอะไรกันมา วันนี้กลับไปก่อนเถอะ รอให้คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนค่อยกลับมาคุย”
“ลุง.....ลุงรู้”
“ก็พอดูออก คุณหนูน่ะ ไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านเลยนอกจากแฟน ล่าสุดก็คุณนิ่ม แล้วก็คุณชัยนั่นแหละ แต่สำหรับคุณชัยนี่พิเศษหน่อย เพราะคุณหนูดูมีความสุขเป็นพิเศษ เห็นแบบนี้ลุงก็พอรู้นะเรื่องแบบนี้สมัยนี้มันธรรมดา หลานลุงมันก็เป็น!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ผมหัวเราะแห้งๆ ตอบไป เรื่องของผมกับกวีนี่ แค่เห็นก็รู้กันแล้วหรือไง หรือหน้าที่มีความสุขมากๆของเราสองคนมันฟ้อง
“กลับไปก่อนนะคุณชัย”
“ไม่!! ผมจะรอจนกว่าเขาจะคุยกับผม!!”
ผมยืนยันหนักแน่น

“อืม.....” ลุงขาวมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าบอกคุณหนูว่าลุงบอกเลยนะ จริงๆ คุณหนูกวีบอกแล้วว่าคุณชัยจะมา และพยายามให้ไล่กลับไปก่อน เพราะความจริงวันนี้คุณหนูต้องออกไปพบคุณท่านที่นอกเมืองน่ะ ลุงเปิดประตูให้คุณชัยไม่ได้ แต่รอให้คุณหนูออกมาเองก็น่าจะได้ อีกสักชั่วโมงก็น่าจะออกมาแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับลุง” ลุงขาวยิ้มกึ่งหัวเราะกับท่าทีลิงโลดของผม

...................................................



เวลาผ่านไปมากกว่าชั่วโมงแล้ว หลังจากที่ผมเข็นรถมาจอดข้างๆ รั่วเพื่อจะหลบสายตากวีที่มองจากในบ้าน จะได้คิดว่าผมกลับไปแล้ว ผมรอโอกาสที่กวีจะขับรถออกมาแล้วผมก็จะกระโดดขวางหน้ารถ เพื่อให้เขาลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง ผมต้องอธิบายให้ได้ว่าความจริงมันคืออะไร เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่จริงและจะไม่มีวันเป็นจริง

ไม่ต้องมองนาฬิกาก็รู้ว่าเวลาคล้อยมาที่ช่วงบ่ายของวันแล้วเพราะแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงนั่นค่อยๆ ลอยต่ำลงมาจากกึ่งกลางท้องฟ้าไปทางตะวันตกเล็กน้อย ที่ๆผมยืนอยู่มีเพียงร่มเงาเล็กๆจากต้นไม้ขนาดกลางริมรั่วใหญ่ของบ้านกวี อากาศแบบนี้ทำให้เหงื่อไหลออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย เสื้อผ้าที่ใส่มาเปียกชุ่มไปเกือบครึ่ง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุ้กกี้ที่อยู่ในเตาอบที่ใกล้สุก เหงื่อบางส่วนที่ไหลลงจากศรีษะลงไปสัมผัสแผลที่เพิ่งผ่านการปฐมพยาบาลมาจนเริ่มแสบร้อน แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ผมก็ยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะต้องเอาตัวและหัวใจที่เป็นของผมกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้งให้ได้!

“ลุงครับ นี่มันเกินสองชั่วโมงแล้วนะครับ คุณลุงแน่ใจนะว่า กวีจะออกมาจริงๆ น่ะ?” ผมเดินไปทักท้วงคุณลุงที่บริเวณประตูรั่วเล็กอีกที

“แปลกนะ ก็คุณหนูบอกลุงเองว่าจะออกเดินทางบ่ายโมงนี่นา” ลุงขาวที่นั่งใช้พัดโบกตัวเองอยู่หน้าป้อม รปภ. ยกนาฬิกาขึ้นมองพร้อมรำพันออกมาเสียงดัง (ลุงน่าจะเปิดแอร์นะ ตอนนี้ผมอยากไปอยู่แทนลุงเลย)
“งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมรอจนกว่าเขาจะออกมาก็ได้ครับ” ผมรู้สึกเกรงใจลุงแล้ว ใจจริงอยากจะขอร้องลุงให้เขาไปดูกวีให้หน่อย แต่ก็ไม่อยากให้ลุงเสี่ยงกับหน้าที่การงานของตัวเอง ผมรู้สึกแปลกใจมากเพราะกวีไม่เคยผิดเวลานัดกับใครเลย
“เออๆ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวลุงไปดูให้” ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปแต่ลุงก็ตัดสินใจลุกเดินเข้าไปด้านในคฤหาส ที่หน้าประตูบ้านมีอินเตอร์สำหรับติดต่อคนในบ้าน ลุงขาวแกคงเดินไปเรียกกวีจากตรงนั้น (ผมเคยไปเล่นอยู่จำได้)

ผมตัดสินใจเดินกลับไปรอที่เดิมเพราะการเดินเข้าไปด้านในคงจะใช้เวลาพอสมควรโดยเฉพาะกับคนรุ่นลุงขาว

“คุณชัยๆ” เสียงลุงขาวตะโกนดังมาจากรั่วด้านหน้า ทำไมลุงถึงได้เดินไปมาเร็วขนาดนี้

“มีอะไรครับลุง หน้าตาตื่นเชียว”

“คุณหนู ....แฮ่ก... คุณหนูน่ะครับ.....แฮ่ก...” ลุงขาวกับอาการหอบทำให้พูดจบประโยคได้ยาก

“กวี?! กวีเป็นอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น?!” การเว้นวรรคของลุงขาวทำให้ผมคิดออกไปไกลเลยเถิด ขออย่าให้เป็นเรื่องคิดสั้นเลย

“คุณหนู..... ไม่ได้เป็นอะไรครับ..... แต่คุณหนู ขับรถออกไปแล้วครับ เนี่ยเพิ่งขับออกจากโรงรถเลย!!”

“อ้าว!! ผมไม่เห็นเลย ประตูใหญ่ก็ไม่ได้เปิดนี่!”

“คุณหนูขับออกไปทางประตูหลังครับ มันจะไปออกอีกซอยหนึ่งครับ ตามไปตอนนี้น่าจะทัน!”

“เฮ้ย!! บ้านนี้มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ!!” ผมอุทานออกมาเสียงดัง ก็นั่นน่ะสิ มานอนบ้านนี้ตั้งหลายครั้ง ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านนี้มันมีทางออกอีกทางด้วย! (สงสัยอยู่ผมคงแต่ในห้องนอนมากไป)

“ไม่มีเวลามาตกใจแล้วครับ จะตามมาง้อไม่ใช่หรือ? รีบตามไปสิครับ วิ่งออกไปดักที่ปากซอยน่าจะทันนะครับ!!”

“เออ!! จริงด้วย ขอบคุณนะครับลุง”

“โชคดีนะครับคุณชัย!!” ผมเห็นลุงขาวโบกมือก่อนที่ผมจะวิ่งไปสตาร์ทรถเพื่อขับตามอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

............................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบสี่ part 3 (อัพ 26/11/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-11-2017 11:39:49
แก้แค้นทั้งกวี ทั้งชัยเลย นังนิ่มเน่า
อย่างนี้ค้องเอาคืนให้เจ็บเลย
คิดว่าตัวเองฉลาดคนเดียว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสี่ part 4 (อัพ 2/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-12-2017 10:51:12

............................(ต่อ)................


เสียงสายลมที่แทรกผ่านกระบังหน้าหมวกกันน็อคกระทบหน้า ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วที่ผมค่อยๆ เร่งขึ้นเพื่อไล่ตามรถซีดานวอลโว่สีน้ำตาลคันใหญ่ ที่วิ่งนำหน้าด้วยความเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย เปรียบเหมือนกวางวิ่งหนีเสือซึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเพื่อคร่าชีวิต ผมไม่เคยเห็นกวีขับรถด้วยความเร็วระดับนี้มาก่อน เขาต้องการหลบหน้าผมขนาดนี้เลยหรือนี่

ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนจะเห็นผมบิดมอเตอร์ไซค์ตามมา เพราะขนาดผมพยายามเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งขับน้ำมันใส่ระบบเกียร์รถมากขึ้นเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างผมกับเขามันไม่ได้ใกล้ขึ้นเลย ด้วยความที่ถนนเส้นนี้เป็นถนนเส้นนี้เป็นถนนสายขาออกนอกตัวจังหวัดทำให้มีการใช้รถบนท้องถนนค่อนข้างบางตาการเร่งความเร็วในการขับรถจึงทำได้สะดวก  ใจหนึ่งผมเป็นห่วงกวีจับใจว่าการที่ไม่คุ้นชินกับการขับด้วยความเร็วระดับนี้จะทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้วทุกอย่างคงเลวร้ายกว่านี้ ส่วนอีกใจหนึ่งผมไม่ต้องการให้เราจบกันแบบนี้ผมจะต้องตามไปอธิบายให้เข้าใจให้ได้

ระหว่างความคิดกำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ป้ายจราจรที่ถนนซึ่งแสดงภาพสัญญาณไฟจราจรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมมองเห็นโอกาสที่จะไล่ตามทันและภาวนาให้มีสัญญาณตรงแยกไฟจราจรด้านหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่การไล่ตามของผมกับกวีไปถึงตรงนั้น

เหมือนเทวดาอารักษ์บริเวณนั้นจะอ่านใจผมได้และบันดาลให้เป็นจริง ผมเห็นสัญญาณไฟจราจรด้านหน้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลือง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นสีแดงสว่างขึ้นมา คนอย่างกวีไม่มีทางขับฝ่าสัญญาณไฟสีแดงแน่นอน ผมเห็นรถของกวีที่ขับนำหน้าอย่างไม่ลดละ ทิ้งระยะห่างหลายเมตรค่อยๆ ลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนไปจอดอยู่หน้าเส้นขีดสีขาวแสดงการหยุดรถรอสัญญาณไฟ

เมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้ผมไม่รอช้าที่จะขับเพื่อจอดขนาบข้างทันที ผมพยายามส่องมองเข้าไปผ่านกระจกรถสีเทาดำ ผมดีใจที่ได้เห็นใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของเขาอีกครั้ง ผมพยายามใช้เวลาที่เทวดามอบให้พยายามให้เขาหันมาและลดกระจกลงเพื่อคุยกับผมดีๆ ผมเรียกร้องความสนใจทุกอย่างทั้งโปกมือ ทั้งเคาะกระจก ทั้งเรียกขื่อเขา แต่เขาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ไม่รับรู้ว่าผมพยายามจะปฏิสัมพันธ์กับเขา และแล้วเวลาที่ได้มาจากการภาวนาขอเทวดาของผมก็หมดลงเมื่อสัญญาญไฟจราจรเปลี่ยนสีไปเป็นสีเขียว กวีขับเคลื่อนรถออกตัวไปข้างหน้าอย่างเร็วจนไม่สนใจผมที่กำลังใช้มือเกาะกระจกหน้าต่างรถของเขาอยู่ แต่เสียใจด้วยนะหากถ้าต้องออกรถในเวลาใกล้เคียงกันอย่างนี้ด้วยฝีมือในการขับรถแข่งของผมไม่ใช่ปัญหาที่ตามทันเลย

ผมเปลี่ยนเกียร์บิดคันเร่ง สองสามครั้งความเร็วของผมก็ตามรถซีดานสีน้ำตาลคันเป้าหมายได้ทัน ผมพยายามสื่อสารกับเขาแต่ดูเหมือนความพยายามของผมมันไร้ประโยชน์ แต่หากเหตุการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีเพราะผมรู้เต็มอกว่าการทำแบบนี้มันอันตราย ผมผ่อนลมหายใจยาวพร้อมตัดสินใจใชัแผนสุดท้ายที่ผมคิดเผื่อไว้ระหว่างที่รอกวีอยู่หน้ารั่วบ้านอยู่นาน

‘เอาวะ!! เอาแผนนี้ก็แล้วกัน เป็นไงเป็นกัน!’

ด้วยความที่ประสบการณ์บนท้องถนนมันต่างกัน ผมใช้ความเร็วที่กำลังได้เปรียบบิดแซงขึ้นไปนำหน้าและเร่งความเร็วขึ้นไปอีกไกล ในใจก็พยายามคำนวนและหาพื้นที่ที่เหมาะสม แต่ผมไม่รู้ว่ากวีกำลังจะไปไหนผมต้องรีบดำเนินการตามแผน ‘แผนโง่ๆ’ คำพูดของไอ้หลงดังขึ้นมาในหัว

ภาพของกวีตอนนี้คงเหมือนผมตัดใจและบิดแซงขี้นมาเพื่อจะหนีหายไปตามอารมณ์ฉุนเฉียวของผมตามปกติ แต่เรื่องนี้ผมไม่ผิดผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก! เมื่อเห็นท้องถนนที่โล่งกว่างไร้รถยนต์วิ่งขนาบ มองกระจกหลังเห็นรถของกวีเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เพียงคันเดียว ผมตัดสินใจชะลอ และหยุดรถ บังคับให้จอดขวางเลนที่กวีกำลังขับตรงมาพอดี ถนนตรงนี้ถูกบีบให้เหลือสองเลนเพราะกำลังซ่อมแซ่มทางอยู่ (ผมจำได้ลางๆ ตอนมาขับรถเล่น) ด้วยความเร็วระดับนั้นกวีเลี้ยวหลบไม่ทันแน่ เขาต้องจอดสถานเดียว!

เป็นดังคาด กวีดูท่าทางจะไม่เปลี่ยนเลนเลย และ.....ดูจะไม่ลดความเร็วเลย แย่แล้ว!! นี่เขามองไม่เห็นผมหรือจะวัดใจกับผมกันวะเนี่ย!?!  เอาวะ!!ผมกลั้นไม่ขยับรถออกจากจุดนั้น หากจะวัดใจกัน ผมใจแข็งกว่าเขาอยู่แล้ว!!

เอี๊ยด!!!!!!!!!!

เสียงยางรถยนต์เสียดสีเข้ากับ พื้นถนนคอนกรีตเสียงดังสนั่น รถเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความเร็วลดลงก็จริงแต่มันยังไม่พอที่หยุดก่อนที่จะถึงผมแน่ๆ ในสายตาผมตอนนี้มองทุกอย่างเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนภาพยนต์แอ็คชั่นที่เคยดู ไม่เคยนึกว่าของจริง สมองจะสั่งการให้เราเห็นภาพเหล่านี้ก่อนตายจริงๆ
‘แผนโง่ๆ’ เสียงไอ้หลงดังขึ้นในหัวอีกแล้ว ไอ้สัด!! เอ้ย เอาความทรงจำดีๆ ก่อนตายก็ไม่ได้

โครม!!!!!!!!!

เสียงโลหะปะทะกันด้วยความเร็วกึกก้องดังทั่วท้องถนน


........................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสี่ part 4 (อัพ 02/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-12-2017 11:08:10
กวี# 10


“ครับป๊า ได้ครับ เดี๋ยวผมออกไปหาครับ”

นั่นเป็นคำตอบของผมที่ให้กับป๊าของผมก่อนที่ท่านจะวางสายไป ท่านมักจะหาโอกาสไปกินข้าวกับผมตามลำพังและคุยกันประสาพ่อลูกอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ท่านรู้ว่าผมไม่ค่อยกินเส้นกับแม่เลี้ยงเท่าไหร่ แม้จะไม่เคยเถียงทะเลาะกันเสียงดังแต่ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบตึงเครียด

แม่เลี้ยงของผมที่ผมมักจะเลี้ยงเธอว่า ‘คุณน้า’ (บางทีต่อหน้าคนอื่นผมก็เรียกเธอว่า ‘คุณนาย’ บ้าง ‘คุณผู้หญิง’บ้าง) เธอเป็นเข้มงวดมากโดยเฉพาะกับผม แต่กับทีลูกชายของตัวเองกลับปล่อยปะละเลยจนกลายเป็นเด็กมีปัญหา

เฮ้อ..........

ผมผ่อนลมหายใจออกแรงๆ อย่างจงใจ เพื่อตัดเอาความคิดเกี่ยวกับแม่เลี้ยงตัวเองออกไป ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาเมื่อวาน พยายามคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขี้นที่ร้านคาเฟ่เมื่อวานมันจริงเท็จแค่ไหน

จะจริงหรือไม่ ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วเพราะเหตุการณ์นี้มันดันไปจี้ใจดำของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวมาโดยตลอด กลัวว่าความรักครั้งนี้มันจะไม่ยั่งยืน ผู้ชายสองคนมันจะไปรักกันได้ยังไง ผมไม่รู้ว่าชัยจะคิดยังไงกับเรื่องของเราสองคน แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่าตัวเองถลำลึกเสียจนถอนตัวไม่ขี้นแล้ว ไม่รู้ว่าชัยรู้ไหมว่า ผมแอบปลื้มเขามานานแล้ว แม้ตอนแรกจะไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์แบบนี้ แต่พอมามันมาบรรจบกลายเป็นความรัก ผมรู้สึกมีความสุขแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งมีความสุขมากก็ยิ่งกลัวมาก กลัวว่ามันจะไม่จีรังยั่งยืน

ด้วยความที่ผมรู้นิสัยของชัยดี เจ้าชู้ กะล่อน กิ๊กเยอะ เขาไม่เคยมีท่าทีชอบผู้ชายมาก่อนแต่ดันมาลงเอยที่ผม จากประวัติของเขาทำให้ผมไม่แน่ใจอะไรกับความสัมพันธ์ครั้งนี้เท่าไหร่อยู่ก่อนแล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อวานมันเป็นเครื่องยืนยันสิ่งนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าสักวันมันต้องเกิด วันที่ชัยเจอผู้หญิงที่เขาสนใจจริงๆ อยากจะสร้างสัมพันธ์แบบจริงจังด้วย!!

ระหว่างที่นึกอะไรเรื่อยเปื่อยขณะมองออกมานอกหน้าต่างที่เป็นภาพวิวสวนหน้าบ้าน กว้างขวางและเงียบเหงา เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ขับมาจอดด้วยความเร็ว ภาพที่คุ้นตาทั้งรถทั้งคนปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นภาพที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ชัยต้องมาง้อหรือมาแก้ตัวอะไรแน่นนอน ดีที่ผมบอกกับลุงขาว เจ้าหน้าที่ รปภ. ที่มาเข้าเวรวันนี้ว่า ชัยจะเข้ามาหาและห้ามให้เข้ามาเหมือนเช่นปกติเด็ดขาด! (ลุงขาวสนิทกับชัยมาก ชัยเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายจนน่ากลัว)

ลุงขาวแกพยายามถามหาเหตุผลของคำสั่งของผม ผมอ้ำอึ้งไม่รู้ตอบคำถามลุงไปว่าอะไรดี ด้วยความสนิทสนมระหว่างลุงขาวกับผม ลุงขาวเลยเซ้าซี้จนเส้นความอดทนของผมขาดลง ทำให้ผมหลุดปากไปเสียงดัง

‘จะเป็นใครก็ไม่ให้เข้าทั้งนั้น ผมจะทำการบ้าน อ่านหนัง ต้องการสมาธิ ลุงห้ามให้ใครก้าวข้ามประตูมาเด็ดขาด นอกจากป๊ากับคุณนาย!!’

ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับคนในบ้านมาก่อน ลุงขาวแกคงแปลกใจมาก แต่ผมยังไม่อยากจะนึกถึงเหตุผลนั้น ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่ ไม่อยากตอบคำถามอะไรลุงทั้งนั้น แค่นี้ผมก็เจ็บมากพออยู่แล้ว

ผมปิดม่านเข้าหากันเหลือเพียงช่องเล็กๆ ที่พอจะให้ผมแอบมองได้ ผมเห็นเหมือนลุงขาวพยายามอธิบายให้กับชัยฟังอยู่ และดูจากอากัปกิริยาของชัยก็ตอบสนองต่อคำอธิบายได้ไม่ดีเท่าไหร่

ผมเดินยกโทรศัพท์บ้านเพื่อกดโทรไปที่ป้อม รปภ. หน้าบ้านทันที เสียงสัญญาณรอสายดังไม่กี่ครั้ง ลุงขาวก็รับสาย

“สวัสดีครับคุณหนู ..... คือ... คุณชัยมาหาน่ะครับ”
“ผมเห็นแล้วครับ”
“จะให้ผมเปิดประตูให้คุณชัยเข้าพบไหมครับ?”
“ไม่! ที่ผมโทรหาลุงเนี่ยเพื่อจะบอกว่า ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!”
“คุณหนูกับคุณชัยมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ ทำไมไม่คุยกันดีๆ”
“ไม่เอา ผมไม่อยากพูดถึงมัน พยายามไล่เขาออกไปก็พอ เดี๋ยวผมต้องออกไปกินข้าวกับป๊าตอนบ่าย แค่นี้นะ!”

ผมวางหูด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำไมพอมีคนมากระตุ้นให้คิดถึงเรื่องนั่นผมจะต้องพยายามเลี่ยงที่จะตอบมันผมก็ไม่เข้าใจ หรือคงเพราะในใจผมคงจะยอมรับมันว่าสุดท้ายมันจะต้องจบแบบนี้ งั้นให้มันจบเสียตอนนี้เลยดีกว่า ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรจากชัยอีกแล้ว

เวลาล่วงเลยมาจากนาทีเป็นชั่วโมงที่ผมพยายามมีสมาธิกับการทำรายงานวิชาสังคมศึกษา ที่ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย เพราะมัวแต่คอยแอบมองไปที่รั่วหน้าบ้าน ที่แม้ตอนนี้ผมจะไม่เห็นเงาของคนที่รบกวนจิตใจผมอยู่ตอนนี้ แต่ผมรู้จักเขาดี คนแผนเยอะอย่างเขาไม่ยอมรามือกลับไปง่ายๆ แน่ เขาจะต้องอยู่รอดักเจอผมแน่ ในทันทีที่ผมปรากฏตัวพ้นประตูรั่วไปต้องเจอเขาดักอยู่แน่นอน

ผมมองนาฬิกาที่เข็มสั้นคล้อยไปทางเลขหนึ่งแล้ว ใกล้ถึงเวลานัดหมายระหว่างผมกับป๊าแล้ว ผมต้องคิดหาทางหลบหนีจากเขาให้ได้ ในใจตัวเองก็รู้ดีนะว่าคงไม่สามารถหนีได้ตลอดชีวิต แต่ใจตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเจอเขาจริงๆ มันเจ็บจี๊ดที่ใจแปล๊บๆ เวลานึกถึงเรื่องนี้

วันนี้ผมขอหนีให้ได้ก่อนก็แล้วกัน ในหัวคิดวนเวียนไปมาระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก ก็นึกถึงประตูฉุกเฉินที่ไม่ได้ใช้มานาน เป็นประตูที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้รถพยาบาลเข้ามารับตัวแม่ของผมตอนที่ป่วยอยู่ได้ง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ได้อยากนึกเท่าไหร่ แต่ก็ดูจะมีประโยชน์ตอนนี้ล่ะ พอคิดได้ดังนี้ ผมรีบเก็บของ หยิบกุญแจรถและวิ่งไปที่โรงรถทันที

ผมวิ่งไปปลดล็อคประตูทางออกพิเศษของบ้าน และเลื่อนเปิดไปจนสุดทาง ผมขับเคลื่อนรถออกจากบ้านและวิ่งออกจากรถมาปิดประตูกลับตามเดิม ทำให้สายตาเหลือบไปเห็นลุงขาวที่กำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาที่บริเวณบ้าน ผมรู้สึกสะกิดใจนิดหน่อยเพราะปกติลุงแทบจะไม่เคยเข้ามาบริเวณบ้านเลย หากไม่เรียกใช้ ตามกฏของคุณนายของบ้าน พอสายตาผมประสานกับลุงขาวขณะที่ผมเลื่อนบานประตูบานใหญ่ปิดลง ก็ทำให้ผมนึกได้ทันทีจากอาการกระตือรือร้นที่จะวิ่งกลับไปที่จุดเดิมของลุง

ผมน่าจะเดาได้ถูกต้อง ลุงขาวต้องแอบช่วยชัยอยู่แน่ เพราะดูลุงขาวแกเอ็นดูชัยเป็นพิเศษ ชัยต้องดักรออยู่แถวรั่วแน่นนอน ผมน่าจะเดาทางเขาได้ถูกต้อง โชคดีที่ไม่วิ่งออกทางประตูหน้า นึกได้ดังนี้ผมวิ่งขึ้นรถและเหยียบคันเร่ง ออกตัวรถอย่างเร็วแบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน!

วิ่งออกมาจนถึงถนนใหญ่แล้ว ผมพยายามมองกระจกหลัง และกระจกมองข้างสลับไปมาระหว่างขับรถที่เสียงเครื่องยนต์ดังฮัมเสียงกังวาล ไม่เห็นบิ้กไบค์คู่กรณีทำให้ผ่อนลมหายใจแบบโล่งอกที่ผมคงคิดไปเองว่าชัยจะติดตามมา ผมมองเข็มวัดความเร็วบนคอนโซลรถ มันชี้เลยไปที่เลข 100 นิดๆ
หนึ่งร้อยเป็นความเร็วที่ผมจำกัดให้กับตนเอง ผมไม่เคยขับถึงเลขนี้มาก่อน พอมาเจอเข็มที่มันวาดไปเกินร้อยนี่ทำเอาผมใจสั่นไปหมด ผมรู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูกกับความเร็วเท่าไหร่  เพราะยิ่งเร็ว ความชัดเจนต่างๆ มันก็ยิ่งลดหน่อยลง การตัดสินใจต่างๆก็จะขาดความเฉียบคม ผมเคยเห็นอุบัติเหตุร้ายแรงมาก่อน เลยมีความกลัวแฝงมาโดยตลอด (ผมถึงไม่ชอบซ้อนท้ายชัยเท่าไหร่ เขาซิ่งจนผมเข่าอ่อนทุกครั้ง)

ขณะที่กำลังลดความเร็วลง หูเจ้ากรรมของผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่แสนคุ้นหูจนผมต้องเหลือบไปมองกระจกหลัง รถบิ้กไบค์สีแดงสลับดำและหมวกกันน็อกที่มีลวยลายไม่เหมือนใครแบบนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ชัย’ แน่นอน!!

เขาขับจี้ตามมาด้วยความเร็วสูง (ความเร็วปกติที่เขาขับนั่นแหละแต่สูงสำหรับผม) ภาพนั้นทำให้ผมหันกลับมาตั้งสมาธิกับการเหยียบคันเร่งใหม่อีกครั้ง ในหัวมันคิดได้แค่ต้องหนีให้พ้นแค่นั้น! ระหว่างที่ภาพต้นไม้และเสาบอกระยะทางวิ่งเข้าหาตัวรถอย่างเร็วจนผมได้ยินเสียงหวีดหวิวเขามาในรถก็นึกแผนที่จะสลัดเขาให้หลุดได้ ข้างหน้านี้มีสี่แยกไฟแดง หากทำให้เขาติดไฟแดงได้ ผมก็สามารถหลบเข้าซอยทางลัดข้างหน้าได้ น่าจะหลบหนีเขาได้พ้น ผมคุ้นเคยกับถนนเส้นนี้ดี เป็นเส้นทางไปร้านอาหารที่พ่อพาผมไปกินเป็นประจำเวลาอยากคุยกันลำพังตามประสาพ่อลูก คิดได้แล้วผมก็เหยียบคันเร่งไปให้ถึงจุดนั้น พอภาพสัญญาณไฟปรากฏขึ้นในสายตาผมก็คำนวนเวลาตามเลขที่นับถอยหลังที่เห็นไกลๆ นั่นทันที

ระยะทางจากรถและแยกไฟแดงค่อยๆ ร่นลงมาเรื่อยๆ จามความเร็วของผมและเลขที่นับถอยหลังไม่ถึง15 วินาที ผมคาดว่าผมคงจะขับผ่านแยกนี้ไปได้โดยทิ้งให้ชัยจอดค้างรอสัญญาณไฟแดงอยู่ที่แยกนี้ในขณะที่ผมเลี้ยวเข้าซอยทางลัดไปถึงจุดหมายได้โดยหายไปจากสายตาของผู้ติดตามได้สำเร็จ (ชัยไม่กล้าฝ่าไฟแดงแน่นอน เพราะเคยโดนพ่อเขาดุหลายทีแล้ว)

ชั่ววินาทีที่ผมคิดถึงความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาประมาณ10วินาทีข้างหน้า ขณะที่รถเข้าใกล้สี่แยกมากขึ้นเรื่อยๆ ไฟสัญญาณจราจรก็เปลี่ยนสีเป็นแดงอย่างไร้เหตุผล ผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างนะ แต่ไม่นึกว่าจะมาเป็นในวันที่ผมอยากจะข้ามผ่านแยกนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ผมเปลี่ยนมาเหยียบเบรคจนเกิดเสียงเสียดระหว่างล้อกับถนน ผมมองเลขสีแดงข้างๆสัญญาณไฟจราจรที่แขวนอยู่เหนือหน้ารถซึ่งนับถอยหลังอย่างใจเย็น ผมมองซ้ายขวาไปมาหลายครั้ง จนเกิดความสงสัยว่า รถที่ขับผ่านแยกนี้แทบจะนับคันได้ ทำไมถึงได้ใช้เวลาในการนับถอยหลังนานขนาดนี้ ผมมองตัวเลข 40.....39.....38...... ตรงสัญญาณไฟอย่างร้อนรน

ก็อกๆๆๆ

ชัยที่ตอนนี้ขับมาจอดขนาบข้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจโดยการเคาะกระจกรถบ้าง เรียกชื่อบ้าง โบกไม้โบกมือเหมือนคนบ้าเล่นกับกระจกบ้าง แต่ผมก็ใจแข็งพอที่จะไม่หันไปมอง ผมกลัวจะใจอ่อนเมื่อได้เห็นดวงตากลมใสของเขาจ้องมองมา รอยยิ้มที่ทำให้ผมอบอุ่นทุกครั้งที่มอง คำพูดทุกคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ  มันรู้สึกอึดอัดและทรมานมากๆ เมื่อผมต้องอยู่ใกล้กับคนที่เราแคร์เขามาก แต่ไม่สามารถโต้ตอบได้ ผมยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ผิดหวัง เสียใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากจะผ่านมันไปให้ได้ เรื่องที่ผมกลัวที่สุดมันก็กลายเป็นจริง ผมกลัวสิ่งที่ชัยจะพูดออกมา กลัวเขาจะบอกความจริงและอยากจะให้เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ผมทำใจเรื่องนั่นยังไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมต้องหนี!

ในที่สุดผมก็ใจเข็งพอที่จะไม่หันไปสนใจจนกระทั่งเลขนับถอยหลังสีแดงจบลงและกลายเป็นสีเขียว ผมเปลี่ยนเกียร์และเหยียบคันเร่งจนสุด รู้สึกว่าตัวเองตอนนี้เหมือนพอล วอร์คเกอร์ ในฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส ภาพวิวข้างหน้าวิ่งเข้ามาปะทะกับสายตาและผ่านพ้นขอบสายตาอย่างรวดเร็ว เสียงล้อยางเสียดสีพื้นถนนดังเข้ามาถึงภายในตัวรถ ผมกำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง จนทำให้ใจสั่นไปหมด รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจตัวเองไปทั่วทั้งตัว เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เข็มบอกความเร็วบนแผงควบคุมด้านหน้าบอกว่าผมก็กำลังก้าวข้ามความเร็วที่ตัวเองจำกัดไว้ ในหัวไม่คิดอะไรนอกจากขับไปให้พ้นจากชัยที่กำลังขับตามมา

แต่เหมือนเป็นเรื่องเสียดสีขำขันในหนังสือที่ผมเคยอ่าน ในขณะที่ผมพยายามเร่งความเร็วจนฝ่าความกลัวของตนเองได้สำเร็จ แต่ไอ้บิ้กไบค์ของชัยกลับแซงผมไปได้ด้วยเวลาไม่ถึงสามนาที ไม่เท่านั้นยังแซงผมล้ำหน้าไปไกลหลายสิบเมตรจนผมเห็นรถของเขาเล็กลงจนเหลือแค่ขนาดไอซ์ครีมรสช้อกโกแลตแบล็คฟอร์เรส 1 สกูป(สงสัยผมจะหิว มองอะไรเป็นของกินไปหมด) ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ผ่อนความเร็วลงเพราะตอนนี้เข็มวัดระยะความเร็วมันชี้เลยเลข 120 มาเล็กน้อย ในเมื่อหนีเขาไม่พ้นก็คงต้องพยายามเผชิญหน้ากับเขาก็แล้วกัน

ในขณะที่ผมเพิ่งละสายตาจากหน้าปัดบอกความเร็วที่หลังพวงมาลัย รถบิ้กไบค์สีดำสลับแดงของชัยกลับค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนหยุดนิ่ง ไม่ใช่สิ! มันหยุดนิ่งอยู่จริงๆ ซ้ำยังจอดขวางเลนที่ผมกำลังมุ่งตรงไปด้วย เขาบ้าไปแล้วหรือไง! ระยะทางแค่นี้ผมหยุดรถก่อนที่จะถึงเขาไม่ได้แน่ด้วยความเร็วระดับนี้ ผมสลับเท้าตัวเองไปเหยียบที่คันเบรกทันที

เอี้ยดดดด!!

เสียงล้อยางขนาด 15 นิ้วเสียดสีกับพื้นถนนดังก้องไปทั่ว ภาพในวินาทีที่ผ่านเข้ามาตอนนี้เหมือนเป็นภาพช้าแบบฉากในภาพยนต์แอ็คชั่น รถวอลโว่ของผมค่อยๆขับเคลื่อนพุ่งไปที่เป้าหมายข้างหน้าอย่างช้าๆ จนได้ยินเสียงปะทะกันของโลหะสองสิ่งดังลั่น

..........................(ต่อ)..................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบสี่ part 5 (อัพ 10/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-12-2017 10:42:52
..........................(ต่อ)..................

โครม!!

รถหยุดลงตามด้วยเสียงที่เงียบงัน ศรีษะของผมที่โดนแรงเฉื่อยของการหยุดรถอย่างแรงเอนไปจนเกือบชิดติดกับพวงมาลัย ผมเงยหน้าขึ้นมองไปนอกรถด้านหน้า ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มเพราะผมไม่เห็นรถของชัยจอดขวางแล้ว เห็นแต่เส้นถนนที่ทอดยาวออกไปท่ามกลางแสงยามบ่ายที่เผาจนภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ผมรีบเปิดประตูรถลงไปดูสภาพแวดล้อม เพราะผมกลัวว่าจะเผลอขับรถทับชัยกับรถของเขาหรือเปล่า

ผมวิ่งอ้อมไปที่ด้านหน้ารถไปอย่างแรก ภาพที่เห็นทำเอาผมแทบเข่าอ่อน ดวงตาร้อนรุมไปหมด มันเป็นสภาพที่บิ้กไบค์ของชัยล้มลงไปราบกับพื้น มีรอยบุบที่ตัวถังและรอยถลอกประปรายไปทั่ว ชัยที่นอนราบหมดสติแผ่หลาบนพื้นถนนที่มีไอร้อนระเหยขึ้นมาจนมองเห็นด้วยตาเปล่า ผมก้าวเดินไปหาคนที่นอนอยู่เบื้องหน้าทีละก้าว สายตาก็พลางสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถและคนตรงหน้า

ผมไม่เคยขับรถแล้วมีอุบัติเหตุอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ใจของผมแทบจะเต้นออกมานอกอก โดยเฉพาะกับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของชัยที่นอนแน่นนิ่ง ผมกล้าๆกลัวๆที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เห็น ผมยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งใกล้และใช้มือสำรวจตัวเขา เขามีบาดแผลที่ด้านหลังศรีษะตรงท้ายทอย สังเกตได้จากเลือดที่ไหลหยดออกมาที่พื้นถนนซึ่งแทบจะแห้งทันทีเพราะความร้อน ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ร่างกายไม่เคลื่อนไหว ทั้งร่างนอนอยู่ห่างจากรถเพียงเล็กน้อยคงเพราะแรงกระแทก

ผมสัมผัสไปที่หน้าของเขา น้ำตาที่ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ที่ไหนตอนนี้มันไหลท่วมหน้าผมจนผมแทบมองเห็นหน้าเขาเพียงลางๆ

“เพราะความดื้อด้านของเราเอง เราขอโทษ ทำไมนายทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้!”
ผมพยายามปาดน้ำตาและตั้งสติโดยการตบหน้าตัวเองเบาๆ
“ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องโทรหาหมอ โทรหาที่บ้านชัยทุกคน”

ระหว่างที่มือของผมกำลังพะวงอยู่กับการหาเบอร์โทรศัพท์อยู่นั้น ก็มีมืออุ่นๆ ยื่นมาจับแขนผมและเขย่าด้วยความอ่อนแรง

“อ้าว!! ชัย นายฟื้นแล้ว!!”
“ไม่เป็นไร! ไม่ต้องโทรหรอก เราไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง นายบาดเจ็บแถมเมื่อกี้ก็หมดสติไปอีก ยังไงก็ต้องหาหมอ!!”
“ได้......งั้น.......นายช่วยฟังอะไรเราหน่อยได้ไหม?”
“.................เอ่อ......... อืม” ผมไม่รู้จะตอบเขาไปว่าอะไรกับสภาพที่นอนอ่อนแรงของเขา
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น..”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดอะไรเราเข้าใจ เรา....จะยอมหลีกทางให้....” น้ำตาที่หยุดไปของผม มันกลับมาเอ่ออยู่ที่ตาอีกครั้งไม่รู้ตัว แผลในใจที่เมื่อครู่นี้ลืมไปแล้วกลับมาเจ็บอีกครั้ง
“ไม่ใช่ เราไม่ต้องการ..... เราแค่จะบอกว่า เราไม่รู้จักเธอเลย เราโดนแกล้ง เราไม่มีวันทำแบบนี้กับนาย....”
“อย่ามาแก้ตัวเลย ใครเขาจะแกล้งกันขนาดนี้!!” ผมเผลอขึ้นเสียงกับคนเจ็บตรงหน้าแบบไม่รู้ตัว
“เรารักนายนะ เรารักนายแค่คนเดียว ยิ่งเรารู้ว่า เราจะเสียนายไปแบบนี้ เรายอมทำทุกอย่างให้นายกลับมาหาเรา แม้แต่วิธีโง่ๆ แบบนี้!”
“..........................” ในใจของผมสับสนอย่างที่ผมอธิบายไม่ได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว เพราะคนที่รู้ว่า ผมกับชัยเป็นอะไรกันมันมีไม่กี่คน

“หากนายไม่เชื่อ นายไม่ต้องโทรหาหมอหรอก เรายอมตายตรงนี้ ดีกว่าปล่อยให้นายเข้าใจผิดไปแบบนั้น” เขาคว้าโทรศัพท์ของผมไประหว่างที่พูด (ขนาดบาดเจ็บอยู่ก็ยังเร็วขนาดนี้)
“โอเคๆ เราเข้าใจแล้ว เราเชื่อนาย อย่าเอาชีวิตของตัวเองมาทำแบบนี้สิ!! เอาโทรศัพท์เราคืนมาได้แล้ว!!”
“สัญญาก่อน!!” ชัยเบี่ยงมือข้างที่ยึดโทรศัพท์ของผมให้เบนห่างออกไป
“ได้!”
“และห้ามโกรธเรา เรื่องที่เราทำแบบนี้ด้วย!”
“ได้ เราเข้าใจแล้ว เราสัญญาว่าจะไม่โกรธ” เขาอยู่ในสภาพนี้แล้วจะให้ผมโกรธลงได้ยังไงกัน
“อ่ะ... เอาคืนไป แต่ไม่ต้องโทรหาใครหรอก เราไม่เป็นอะไรมาก”
“จะบ้าเรอะ ไม่ได้! ยังไงก็ต้องไปหาหมอก่อน หัวของนายเลือดออก แล้วอาการของนาย......”
ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค ชัยก็ลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ ปัดเสื้อผ้าทั้งตัวแถมบ่นอุบอิบว่าร้อนยังงั้นยังนี้
“เฮ้ย!!! นายแกล้งเราเหรอ?”
“ไม่ได้แกล้ง นายชนเราจริงๆ แต่แค่สะกิดเบาๆ ทำให้เกิดเสียงนิดหน่อย เราพอจะหนีทันก็เลยคิดแผนแบบด้นสดแบบนี้แหละ ไม่งั้นนายก็ไม่ฟังที่เราพูดเลย ส่วนแผลที่หัวนี้ ไม่ใช่ฝีมือนายหรอก เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ชัยเดินไปยกรถบิ้กไบค์ของตนเองขึ้นมาตั้งพลางสำรวจไปทั่ว แถมบ่นอุบอิบอีกว่า คงต้องโดนแม่สวดยับแน่นอน และอื่นๆ อีกมากมาย

“นาย!! นี่มัน!!” ผมรู้สึกเสียหน้าและโกรธจัดจนกำหมัดแน่น
“อ่ะๆ นายสัญญาแล้วนะ ว่าจะไม่โกรธ” เขาหันมาหาผมก่อนที่จะเข็นรถตัวเองไปจอดที่ไหล่ทาง

“..............”
จริงครับ ผมสัญญาไว้แบบนั้น ผมพยายามสะกดความโกรธของตัวเองลง
“กวีที่รักครับ ช่วยขับรถมาจอดที่ไหล่ทางด้วยกัน เราจะได้คุยกันดีๆ” ผมพยักหน้าแบบขุ่นๆ ก่อนที่จะขับรถมาจอดที่ไหล่ทางใกล้ๆกับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของชัย

ผมกับชัยเลือกที่จะนั่งคุยกันต่อในรถของผมที่จอดในที่ปลอดภัยเรียบร้อย แถวนี้ไม่ค่อยมีรถขับผ่านเท่าไหร่ การจอดตรงไหล่ทางแบบนี้ก็ถือว่าปลอดภัย

เขาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ตั้งแต่โดนล่อลวงให้ไปที่จุดเกิดเหตุ โดนไม้ตีหัวจนน็อคหมดสติ (อีกแล้ว) แล้วมารู้สึกเต็มตัวอีกทีก็อยู่ที่บ้านพี่หมอ มีคนที่้ช่วยเหลือทั้งพี่โน่แล้วก็คนที่ชื่ออาร์ตนั่นอีก

“พวกเขาจะทำไปทำไมวะ?” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากจบประโยคบอกเล่าของชัย ดูท่าทางเขาจะไม่ได้โกหก เพราะในเรื่องที่เล่ามีคนที่คนผมนับถืออย่างพี่หมอและพี่โน่อยู่ในเรื่องด้วย เขาคงไม่ยกคนพวกนี้มาโกหกด้วย เพราะชัยรู้ว่าผมเช็คได้เร็วแน่ไหน

“เรื่องนี้ นายจะได้รู้เร็วๆนี้! เป็นไงเชื่อเราแล้วใช่ไหม?”
“อืม.... มันก็น่าเชื่ออยู่ .....แต่....ก็ยังไม่หายโกรธนายอยู่ดี”
“อะไรวะ? เรื่องอะไรวะเนี่ย? มันไม่ใช่ความผิดเราเสียหน่อย เรื่องมันก็เรื่องไม่จริง!” ชัยทำเป็นแกล้งโวยวายเรียกร้องความสนใจเหมือนทุกครั้ง
“ใช่!! เรื่องไม่จริงที่นายแกล้งล้มเมื่อกี้ไง!!” ผมมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชัยทำท่าหัวเราะกลบเกลื่อน
“อันนี้เราโกรธจริงๆ นายรู้ไหมว่า เราเป็นห่วงนายแค่ไหน เลิกให้เรารู้สึกแบบนี้เสียทีได้ไหม?”
“ดีใจจังที่นายรู้สึก..... แบบนั้น......โอเคๆ อย่างที่บอก เรายอมทุกอย่างให้นายหายโกรธ หายงอน นี่ก็หนึ่งในนั้น!”
ชัยดูจะรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีหลังจากเห็นหน้าผมที่บอกบุญไม่รับ
“แต่ตอนนี้เรายังโกรธอยู่!!” ผมกระแทกเสียงใส่อีกครั้ง
“อืม....อยากให้เราทำอะไรให้นายดีขึ้น เราสัญญาเราจะทำ!”
“ทุกอย่างแน่นะ?”
“ทุกอย่าง บัญชามาเลย!!”
“งั้นคืนนี้ เราขอกดนายทีหนึ่ง ยอมไหม?”
ชัยดูหน้าเปลี่ยนสีทันทีหลังจากที่ผมพูดจบประโยค ซึ่งแน่นอนผมพูดจริง!! จะทำให้ไปเป็นผัวใครไม่ได้อีกเลย จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผมเสียบ้าง

................................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบห้า part 1 (อัพ 10/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-12-2017 10:56:44

กวี# 11

หลังจากเคลียร์กับชัยเรียบร้อย ผมรีบขอแยกตัวออกจากชัยเพื่อมุ่งหน้าไปหาป๊าก่อน (ความจริงผมชวนชัยไปกับผมด้วย แต่เขาไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่กับพ่อผมเท่าไหร่ ชัยมักจะบอกว่าพ่อผมดุ และดูจะเกร็งทุกครั้งที่อยู่ด้วย สำหรับผม ผมว่าพ่อผมใจดีจะตายไป) ก่อนขับรถออกไป ผมขอสำรวจความเสียหายของรถอีกครั้ง โชคดีที่มีรอยถลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก และภาวนาไม่ให้พ่อเห็นรอยนี้ก่อนที่ผมจะส่งเคลมประกัน (ขอคิดคำแก้ตัวก่อน)

ผมไปถึงร้านอาหารชานเมืองซึ่งเป็นที่ประจำของผมกับพ่อ(และแม่) หากพ่อมีเวลาพ่อจะพาผมมาที่นี่เป็นประจำ เพื่อคุยกันประสาพ่อลูก และระลึกถึงแม่ที่เสียไป ที่นี่เป็นร้านที่ไม่ใหญ่มาก ตกแต่งเรียบง่าย เป็นร้านที่เปิดมานานหลายชั่วอายุคน พ่อผมกับเจ้าของที่นี่รู้จักกันและเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนตั้งแต่มัธยมยันมหาวิทยาลัย ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อหลายอย่าง แต่ที่ผมชอบและเป็นที่โดนเด่นของร้านนี้คือน้ำตกจำลองที่ตั้งอยู่กลางร้าน ผมมักจะชอบมานั่งทานอาหารใกล้ๆจุดนั้นเสมอ พอได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วผมรู้สึกอารมณ์ดี ใจเย็น และเจริญอาหาร

วันนี้ผมจอดรถไกลจากร้านหน่อยเพราะไม่อยากให้พ่อสังเกตถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ลานจอดรถที่นี่กว้างขวางพอสมควรน่าจะช่วยได้ ที่ผมมาสายก็ต้องโดนพ่อว่าแล้ว หากพ่อรู้เรื่องนี้อีก ผมว่าผมโดนยึดรถคืนแน่นอน

ผมเดินเข้ามาในร้านที่ตกแต่งประยุกต์จากเก๋งจีนขนาดใหญ่ เป็นร้านแบบเปิดให้อากาศหมุนเวียนจากด้านหนึ่งไปอีกได้หนึ่งได้สะดวก ภายในอาการไม่ร้อน เพราะถูกออกแบบมาให้มีหลังคาสูง หลายเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยสีแดง เป็นภาพที่ดูขัดตากับสิ่งปลูกสร้างโดยรอบที่เป็นทุ่งนาและบ้านทรงไทย ผมมองกี่ทีก็ไม่เบื่อเลย (มันมีเอกลักษณ์ดี) ผมสาวเท้าอย่างเร่งรีบไปที่จุดหมายอย่างชำนาญพลางหลบหลีกโต๊ะอาหารที่วางกันแน่นขนัด และคนเริ่มทยอยเข้ามาลิ้มรสอาหารรสเด็ดของที่นี่มากขึ้นจนตาลาย กว่าผมจะถึงโต๊ะที่ป๊านั่งอยู่ก็กินเวลาพอสมควร

“ช้านะเรา ทำอะไรอยู่ ป๊าบอกตั้งแต่เช้าแล้วนี้ อาหารที่ป๊าสั่งให้เย็นหมดแล้ว!”
คำแรกที่หลุดออกจากปากพ่อของผมหลังจากที่ไม่เจอกันหลายวัน
“ขอโทษครับ ผม... ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนออกมาเลยช้าครับ”
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าชาไปเล็กน้อยหลังจากพยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่มันเข้าท่า แต่ผมก็ไม่พอใจกับสิ่งที่พูดออกมาเท่าไหร่

“เรียนดีอยู่แล้วนี่ ไม่ต้องทำให้มันหนักมากขนาดนี้ก็ได้ ยังไงพ่อก็วางแผนให้แกอยู่แล้ว เรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกน่ะ แกไม่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียหน่อย!”

พ่อผมเริ่มบ่นยาวเรื่องนี้อีกแล้ว ดูท่าทางพ่อจะโกรธที่ต้องมารอผมนานขนาดนี้ (เพราะชัยคนเดียว!)  ผมตัดสินใจเงียบไว้ก่อน เพราะไม่อยากที่จะเถียงกับป๊าเรื่องที่ผมอยากสอบสัตวแพทย์มากกว่า ความใฝ่ฝันของผม เราคุยกันหลายรอบเรื่องนี้ แต่ดูป๊าจะไม่เข้าใจเท่าไหร่และเหมือนจะแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ด้วย ป๊ายังคงยืนกรานให้ผมไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่ป๊าตั้งใจไว้ ท่านอยากให้ผมช่วยดูแลธุรกิจแทนท่านสักวันในอนาคต ผมก็เลยมักจะเหวี่ยงบอกป๊าไปเสียงทุกครั้งว่าก็ไปบังคับเจ้าสุนทรสิพ่อ (สุนทรน้องชายต่างแม่ของผม ที่...ช่างมันเถอะ...เรื่องมันยาวยังไม่อยากคิดถึงมันตอนนี้)

“ช่วงนี้ดูแกยุ่งๆ นะ ไม่ค่อยอยู่บ้านเลย แล้ว.. นิ่มแฟนแกล่ะ ไม่เห็นมาพักหนึ่งแล้ว?”
ความเงียบของผมจากการเลิกสนใจบทสนทนาของพ่อและหันไปสนใจกับข้าวบนโต๊ะแทนเปิดโอกาสให้พ่อคิดคำถามเพิ่มอีก
“ก็มีกิจกรรมที่โรงเรียนด้วยครับ งานกีฬาน่ะครับ ส่วน.... นิ่ม.. ผมไม่ได้คุยกันแล้ว”
ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากพูดถึงนิ่มเท่าไหร่ก็เลยลังเลที่จะตอบ
“ป๊าขอพูดหน่อยนะ ป๊าไม่ชอบที่แกเล่นกีฬาเลย แกผอมลงป๊าก็รู้สึกโอเคอยู่ แต่หลายครั้งที่แกเจ็บตัวกลับมาอย่านึกว่าป๊าไม่รู้ ป๊าเป็นห่วงแกรู้ใช่ไหม?”
“ครับ” ผมตอบสั้นๆทุกครั้งที่ป๊าแกบ่นเรื่องนี้ซึ่งน่าจะเป็นครั้งที่พันได้
“เรื่องของนิ่มอีก เราได้เขาแล้ว เป็นลูกผู้ชายต้องรู้จักรับผิดชอบหน่อย อย่ากินทิ้งกินขว้างมันไม่ดี แล้วนี่แกป้องกันดีใช่ไหม ป๊ายังไม่อยากเลี้ยงหลานนะ!”
ผมแทบสำลักข้าวออกมาเพราะคำพูดของป๊า และเสียงท่านก็ไม่ใช่คนพูดเสียงเบาๆเสียด้วย
“ป๊า!!” ผมรีบตัดพ้อป๊าด้วยเสียงลากยาว
“อะไร!! ก็มันจริง ป๊าก็เคยเป็นวันรุ่นมาก่อนนะ เรื่องแค่นี้ทำไมป๊าจะไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง”
“โอเคครับป๊า... เอาเป็นว่าผมกับนิ่มเลิกกันด้วยดี ก็เธอทำนิสัยไม่ดีก่อนนี่ป๊า”
“อะไรวะ พวกแกคบกันไม่นานเสียหน่อย?”

สุดท้ายผมเลยเล่าเรื่องความนิสัยเสียของนิ่มให้ป๊าฟังพอสังเขปเฉพาะเรื่องที่ผมรู้ดี ส่วนเรื่องข่าวลือต่างๆ ส่วนใหญ่ผมก็ไม่ได้เล่า

“เสียดาย หน้าตาน่ารักขนาดนั้น แม่ออกจะนิสัยดี เป็นถึงนางงามของจังหวัดเชียวนะ พ่อก็ดีใจเผื่อที่จะได้ดองกันเสียอีก แกนี่แน่กว่าพ่อเยอะ”
“พ่อรู้จักแม่นิ่มด้วย!?!”
“คนสมัยพ่อ ใครๆก็รู้จัก ก็ต่างแย่งกันจีบนี่นะ!”
“โห...... แล้วใครสวยกว่ากันครับระหว่างแม่ผมกับแม่นิ่ม”
“ไอ้นี่ ถามเอาอะไรวะ? ก็ต้องแม่เอ็งสิวะ! พอๆ แค่นี้แหละ!! เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องอยากรู้ให้มากนัก!!”
“ครับ...ครับ” ในที่สุดผมก็เปลี่ยนบรรยากาศบริเวณโต๊ะสำเร็จ
“เออ!......ช่วงนี้แกเป็นไงบ้าง? มีอะไรจะเล่าให้ป๊าฟังไหม?”
“........... ไม่มีนี่ครับ ก็อย่างที่พ่อรู้  ผมก็ยุ่งกับการซ้อมกีฬา แล้วก็อ่านหนังสือสอบแล้วก็เลิกกับนิ่มแล้ว”
“แค่นี้?”
“อืม....ก็คิดว่า...แค่นี้ครับ” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ในใจก็คิดถึงเรื่องของชัย
“ไม่มีอะไรใหม่ๆมาอัพเดทป๊าเลย?”
“เอ่อ.... ยังไม่มีครับ” หน้าของชัยลอยมาวนเวียนอยู่ในความคิด ใจเต้นตูมตามเหมือนหนูที่วิ่งอยู่ในกรงล้ออย่างไม่เป็นสุข
“อืม.. ยังไงมีอะไรก็มาปรึกษาป๋าได้นะ ป๊ายินดีรับฟังเสมอ”
“ครับป๊า”
ป๊าผมถึงจะดูดุและเข้มงวด แต่ก็ทำไปด้วยความรัก และสุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยความห่วงใยผมเสมอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นการที่ป๊าห่วงผมมาก มากเสียจนผมแทบไม่มีอิสระจากความคิดของป๊าเลย มันก็เลยทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อย เรื่องเรียนต่อสัตว์แพทย์ กับเรื่องของชัยคงต้องรออีกสักพักถึงค่อยคุยกัน

หลังจากกินมื้อบ่ายกันเสร็จป๊าก็ขอตัวแยกไปทำงานต่อเลย มีประชุมกับหุ่นส่วนของบริษัท พ่อพยายามเดินมาส่งผมที่รถแต่ผมพยายามแยกตัวออกจากป๊าจนสำเร็จ (สงสัยจะติดความกะล่อนจากชัยมา)

............................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบห้า part 2 (อัพ 17/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-12-2017 08:56:03
สายลมเย็นๆ พัดมาจากทิศตะวันตกขณะที่ผมเดินออกจากสนามบาสเก็ตบอลหลังจากจบการซ้อมแบบหฤโหดจากโค้ชเลือดเย็นประจำโรงเรียน พอเข้าช่วงใกล้การแข่งขันทีไร ก็เหมือนโดนผีเข้าสิงทุกที ซ้อมกันเสียคนในทีมต่างหมดแรงไปตามๆกัน แม้จะเป็นทีมที่เป็นที่สองมาตลอดอย่างโรงเรียนผม ก็อยากจะได้ที่หนึ่งมาครอบครองบ้าง ทำให้ช่วงใกล้งานแข่งขันทำให้บรรยากาศแห่งความจริงจัง มาเยือนสนามซ้อมอย่างต่อเนื่อง ผมแอบคิดว่าโรงเรียนของผมมีแต่เด็กเนิร์ดเด็กเรียนจะไปสู้กับโรงเรียนเด็กนักกีฬาอย่างนั้นได้อย่างไรกัน แต่ในเมื่อใจมันรักที่จะเล่นมันก็ต้องทำให้สุดล่ะครับ แม้ทีมที่จะต้องแข่งด้วยมันคือทีมที่มีแฟนตัวเองเล่นอยู่ก็ตาม
(ใช้คำว่าแฟนทีไรแอบเขินทุกที)

วันนี้ผมก็มีนัดกับชัยเช่นเคย แต่คราวนี้มันดูจะแปลกๆ เสียหน่อยเพราะเขาบอกผมไปนั่งรอก่อนเดี๋ยวเขาจะตามมา เขาขอตัวไปทำธุระก่อน ชัยจะมาช้าหน่อยและย้ำให้ผมรออยู่ทึ่เดิมอย่าไปไหนก่อนที่เขาจะมา ผมตกลงตามปกติ เพราะเกือบทุกครั้งผมก็จะไปถึงก่อนและรอชัยเป็นประจำอยู่แล้ว ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือเรื่องที่โทรมาบอกให้รอนี่แหละ

ผมมาถึงที่ร้านคาเฟ่ร้านประจำในเวลาไม่ต่างจากทุกวัน ผมเดินมาลงนั่งที่เดิมแทบจะทันที แต่วันนี้เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงทำเลเล็กน้อยของตู้หนังสือและโต๊ะบางตัวรอบๆ บริเวณที่ประจำของผม สงสัยคงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศในร้าน ผมหยิบทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงมากองไว้บนโต๊ะเช่นเดิม และไม่ลืมที่จะสั่งเมนูแก้หิวระหว่างรอชัยที่มักจะมาช้าเป็นประจำ

ของที่สั่งทุกอย่างมาวางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะทุกอย่างแล้วทั้งคาวทั้งหวาน ผมนั่งเล็มอาหารบนโต๊ะเรื่อยๆ ระหว่างรอคนที่ผิดเวลาเสมออย่างชัย วันนี้ลูกค้าในร้านค่อนข้างแน่น อาจเพราะเป็นช่วงต้นเดือนเลยมีคนไหลเข้ามานัดกันกินอาหารกันอย่างไม่ขาดสาย ผมอ่านหนังสือหนึ่งย่อหน้าพลางยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ทำแบบนี้เป็นระยะ หลายนาทีผ่านไปที่ยังต้องนั่งอยู่คนเดียวกับกองหนังสือและอาหารคาวหวานที่สั่งเผื่อสำหรับสองคน มีเพียงข้อความสั้นๆ จากชัยว่า ‘กำลังไป’ แสดงอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่ทำให้ผมยังนั่งรอเขาอยู่ วันนี้ผมรู้สึกว่าผมรอนานกว่าทุกวัน

“พวกนายนัดฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย? คนเยอะขนาดนี้จะบ้าเรอะ”
เสียงผู้หญิงแหลมเล็กฟังดูคุ้นหูดังขี้นไม่ไกลจากอีกฟากของตู้หนังสือ
“คนเยอะสิดี จะได้ไม่มีใครสังเกตเรา เอ่อ... คือ....พวกพี่กำลังเดือนร้อน ทำไมน้องไม่บอกว่าคนที่น้องให้ไปจัดการ รู้จักคนใหญ่คนโตในจังหวัดด้วย!”
เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นแต่ไม่ชัดเจนเท่าไหร่เหมือนกระซิบกระซาบมากกว่า ทำให้ผมเอียงหูฟังอย่างไม่ตั้งใจ
“ก็พวกแกคุยนักหนาไม่ใช่เหรอว่า แค่มีเงินให้จะให้ทำอะไรก็ทำได้ไม่กลัว ทำมาเยอะแล้ว”
เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูอีกแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนไหนพูดด้วยถ้อยคำประมาณนี้เท่าไหร่
“โห...น้อง... จะมีเรื่องกับใคร พี่ก็ไม่กลัวหรอกแต่ต้องไม่ใช่กับเฮียโน่คนนี้!!”
“โอ้ย!! เบื่อ!! รำคาญพวกดีแต่ปาก งานที่สั่งให้ทำก็ไม่เห็นได้เรื่องเลย แล้วนี่ต้องการอะไร?”
“พี่ต้องการเงินที่เหลือเดี๋ยวนี้ เงินที่บอกว่าจะให้อีกครึ่งหนึ่งหลังเสร็จงานไง!!”
“เสร็จงาน? งานไหนมิทราบ งานยังไม่สำเร็จเสียหน่อยจะเอาเงินอะไรของแกอีก บอกให้จัดการสั่งสอนไอ้ผู้ชายหน้าด้านนั่น และทำให้มันเลิกกันให้ได้ แล้วไหนล่ะ ก็ยังเห็นสองคนนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!! งานไม่เสร็จก็ไม่ได้ส่วนที่เหลือ เข้าใจไหม!! ฉันยังเสียดายเงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้อยู่เลย”
“นังนี่นิ!! ฉันเหลืออดแล้วนะ!! ถ้าไม่เห็นแก่พี่โน้ตญาติแก ฉันตบแกตรงนี้เลย งานก็ทำให้แล้ว คิดจะเบี้ยวหรือไง!”
เสียงผู้หญิงอีกคนดังแหลมขึ้นมาจนผมต้องหันไปสนใจต้นเสียงนั้น โดยพยายามมองผ่านช่องว่างของตู้หนังสือที่คั่นระหว่างโต๊ะที่ผมนั่งกับคนกลุ่มนั้น แต่ก็เห็นเป็นอวัยวะบางส่วนเท่านั้น

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆก่อนที่รัก” เสียงผู้ชายคนนั้นเหมือกำลังปลอบให้อีกฝ่ายเย็นลง
“น้องพี่ขอร้องนะ พี่ไม่อยากจะเดือนร้อน พี่แค่อยากได้เงินส่วนที่เหลือ แล้วพี่ก็จะหนีหายไปเลย เรื่องของน้องพี่จะปิดปากเงียบไม่พูดถึงอีกเลย”
“นี่จะขู่กันเหรอ?”
“ก็น้องทำพี่ไม่มีทางเลือกนี่”
“เชอะ! ก็ได้แต่มีแค่ สองพันนะ จะเอาไหม?”
“ได้ครับน้อง”
หญิงสาวน้ำเสียงเหยียดหยามนั่นยกมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเพื่อค้นหาของบางสิ่ง และหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งขึ้นมายื่นให้ ผมฟังจากบทสนทนาทั้งหมดของคนกลุ่มนี้ไม่น่าจะร่วมมือกันทำเรื่องดีๆแน่นอน ในระหว่างที่คิดจะลามือจากการตั้งใจฟังบทสนทนาที่ติดลบเหล่านั้น สายตาผมก็ดันไปจับจ้องอยู่ที่สร้อยข้อมือของผู้หญิงเสียงเหยียดคนนั้น ผมจำได้ทันทีว่านั้นมันเป็นสร้อยข้อมือที่ผมเคยซื้อให้ใครคนหนึ่ง และสร้อยเส้นนั่นมันมีจี้ที่ผมทำเป็นพิเศษให้ด้วย จี้รูปเสี้ยวจันทร์ ตามชื่อของผู้ส่วนใส่ ‘สิตางศุ์’ ที่แปลว่าพระจันทร์ ชื่อจริงของนิ่ม

“แล้วเฮียโน่นี่เป็นใครกันชักอยากจะรู้จักเสียแล้วสิ ทำพวกนายกลัวได้ขนาดนี้!”

ผมรู้สึกอยากลุกขึ้นไปพิสูจน์ว่าเสียงนั่นใช่นิ่มจริงหรือไม่ เพราะฟังจากเสียงนับว่าใกล้เคียงมากเว้นเสียแต่สำเนียงและคำพูดที่ฟังไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่เนื้อหาในบทสนทนามันทำให้ผมนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชัยในทันที ขณะที่ผมกำลังยกตัวขึ้นเพื่อลุกไปดูด้วยตาตัวเอง ก็ถูกมือเล็กมือหนึ่งสัมผัสแน่นที่หัวไหล่ให้นั่งลงที่เดิมด้วยแรงกดที่ผมต้านไม่อยู่ ผมมองไปทางมุมของมือนั่นเพื่อดูที่มาของแรงกดนี้

“รอก่อน ละครยังไม่จบ”
“พี่โน่!”
“เบาๆ หน่อยสิ” พี่โน่ทำเสียงซุบซิบใส่ผม พร้อมใช้นิ้วชี้ทาบที่ปากตัวเอง ผมเลยได้แต่ทำหน้าตกใจใส่พี่โน่ไปเท่านั้น
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบห้า part 2 ต่อ (อัพ 17/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 17-12-2017 09:04:05
“นี่ๆ อยากรู้จริงหรือว่า พี่โน่เนี่ยคือใคร จะให้เล่าให้ฟังไหม?”
เสียงที่ผมรู้จักดีดังขึ้นทันทีที่ก้นผมสัมผัสกับเบาะนั่งอย่างสมบูรณ์

“พี่ชัย?”
เสียงหญิงสาวที่คุ้นหูกับสำเนียงการใช้น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมเริ่มแน่ใจในตัวตนของคนพูด

“ใช่พี่เอง.... อย่าทำหน้าตกใจแบบนี้สิ แล้วพวกนายก็ด้วยว่าไง?”
ชัยเหมือนกับรู้จักกับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

“พี่ชัยก็รู้จักคนพวกนี้หรือคะ?”
“เรียกว่าว่ารู้จักได้ไหมนะ? เอาเป็นว่าว่าเคยเจอกันดีกว่า ก็เพราะน้องไง!”
“พี่ชัยพูดถึงเรื่องอะไรคะเนี่ย” เสียงหญิงสาวดูร้อนรน
“พี่ว่าน้องรู้ดีนะ”

“พี่ชัยคะ .... คนพวกนี้เขาพยายามจะมาแบล็คเมล์นิ่มน่ะคะ เป็นคนไม่ดี หากพี่รู้จักคนพวกนี้ก็ช่วยนิ่มด้วยสิคะ” เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูขัดกับบทสนทนาเมื่อครู่จนขาดความน่าเชื่อถือ
“นิ่ม!! เลิกเล่นละครเหอะ!! งั้นพวกนายสารภาพมาตรงนี้เลยดีกว่า!”

เหมือนจะเกิดสูญญากาศขึ้นชั่วครู่กับบทสนทนาต่อไป ผมแอบส่องลอดช่องชั้นหนังสือไปเห็นสองคนชายหญิงปริศนานั่นทำท่าเหมือนเกี่ยงกันอธิบาย
“นิ่มไม่รู้จักสองคนนี้นะคะ นิ่มกำลังโดนข่มขู่อยู่นะคะ เขาแอบถ่ายนิ่มในห้องน้ำเลยจะมาขอเงินแบล็คเมลนิ่ม”

“หยุดเลยนังตอแหล นั่นเป็นเรื่องก่อนที่แกจะมาข่มขู่ชั้นแบบนี้ แล้วชั้นก็ไม่มีรูปแกแล้วด้วย ถ้าไม่โดนไอ้พี่โน้ตข่มขู่ว่าจะไปฟ้องตำรวจ ฉันไม่ทำงานสกปรกนี้ให้แกหรอก!!”
“อะไร!! เธอพูดเรื่องอะไร ชั้นไม่รู้เรื่อง!” หญิงสาวที่บอกว่าตกเป็นเหยื่อดูรนรานมากขึ้น
“ได้เลย อีนี่นิ พอถึงเวลานี้จะเอาตัวรอดแบบนี้ใช่ไหม?! ได้!!”
“งั้นเรื่องมันเป็นยังไงครับ?”
“ก็นังนี่มัน บอกว่าจะจ้างให้พวกฉัน ไปทำร้ายน้อง แล้วพยายามใส่ความให้น้องเลิกกับแฟนน้องน่ะสิคะ”
“โอ้....จริงหรือนิ่ม?” ถึงมองไม่เห็นหน้าชัยก็พอนึกภาพสายตาเจ้าเล่ห์ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ได้

“.................” สูญญากาศเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้นิ่มทำหน้ายังไงรู้แต่ว่าตัวเธอมีอาการสั่นเล็กน้อย
“นังงูพิษนี่บอกให้พี่หลอกน้องไปดักทำร้าย และถ่ายรูปตอนเราเปลือยกายและให้โทรไปคุยกับแฟนน้องให้เข้าใจผิด แผนการที่ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้อย่างพี่คิดไม่ได้หรอกนะ เห็นหน้าตาน่ารักแบบนี้ ทำไมร้ายกาจขนาดนี้นะ!”
“นิ่ม เธอทำแบบนี้ไปทำไมน่ะ!?!”

“ทำไมน่ะหรือคะ?!? ก็นิ่มเกลียดพวกพี่ไงคะ เกลียดพี่ชัยที่พยายามแยกนิ่มจากคนที่นิ่มรัก เกลียดพี่กวีที่บอกว่าจะดูแลนิ่ม จะมีนิ่มคนเดียวแต่ก็ดันไปเสียท่าให้ผู้ชายอย่างพี่ พี่อุตส่าห์ยอมมอบครั้งแรกของนิ่มให้ แต่สุดท้ายก็ทิ้งนิ่มไปอยู่กับผู้ชายอย่างพี่ รู้ไหมว่านิ่มรู้สึกเสียหน้าแค่ไหนตอนรู้ความจริงเรื่องนี้ ผู้ชายอย่างพี่มันมีดีกว่านิ่มตรงไหน? นิ่มจะทำให้พวกพี่ไม่มีความสุข จะให้พบจุดจบเหมือนนิ่ม!! จะทำให้พวกพี่อายจนไม่มีที่ยืนในสังคม!!”

“นิ่มกำลังยอมรับว่านิ่มเป็นคนทำทั้งหมด รวมถึงเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม?” ชัยหยิบมือถือขึ้นมาแสดงแต่ผมกลับมองไม่เห็นภาพที่แสดงบนหน้าจอไม่ชัด
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ใช่ ฝีมือนิ่มเอง นิ่มจะให้พี่กวีรู้สึกอับอายขายหน้าเหมือนที่นิ่มรู้สึกตอนนี้!!”
“เธอนี่มัน!!” รู้สึกถึงความโกรธของชัยผ่านน้ำเสียงโดยไม่ต้องมองหน้า
“ใช่! พี่ชัยก็ด้วย พี่ก็ต้องไม่มีความสุขเหมือนที่นิ่มเป็น เป็นไงล่ะ พี่กวีเลิกกับพี่ชัยหรือยังล่ะ ทะเลาะกันบ้านแตกหรือยัง? นิ่มเคยบอกพี่กวีแล้วว่า พี่ชัยจะต้องทำพี่กวีเสียใจเข้าสักวัน นิ่มก็แค่ทำให้เห็นภาพนั้นเร็วขึ้นเท่านั้นเอง!!! จะได้รู้ว่าคบกับพี่ชัยมีดีกว่านิ่มตรงไหนกัน?”

“ก็ตรงจิตใจไงล่ะ!!” ผมเผลอสะกดอารมณ์ไม่อยู่ขณะที่ทนนั่งฟังจนจบ ผมสะบัดไหล่ที่พี่โน่พยายามรั้งไว้และเดินไปที่โต๊ะเป้าหมายทันที พอผมเดินไปถึงมันก็ตรงกับที่ผมจินตนาการไว้ทุกอย่าง สภาพการนั่งของแต่ละคนและหน้าตาโกรธกริ้วของนิ่มที่ตอนนี้กำลังซีดเผือดลงเรื่อยๆ

“กวี!! มาทำไมเนี่ย ละครยังไม่จบเลย!”
“ไม่จำเป็นแล้ว” ผมหันไปบอกชัยด้วยนำเสียบเยียบเย็นและหันไปหานิ่มเป็นรายถัดไป
“นิ่ม พี่รู้สึกผิดมาตลอดเรื่องนิ่ม พี่นึกว่านิ่มจะให้อภัยและสามารถเป็นพี่น้องกันได้”
“นิ่มเจ็บขนาดนี้จะให้นิ่มเป็นพี่น้องกับพี่เนี่ยนะ!!”
“ถ้าจะโกรธจะเกลียดจะด่าพี่ยังไงก็ได้ แต่พี่ไม่นึกเลยว่านิ่มจะเป็นคนแบบนี้ สิ่งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า...พี่คิดถูกแล้วที่ไม่เลือกนิ่ม!!”

“นิ่ม.. นิ่ม... ขอโทษ ที่นิ่มทำทุกอย่างไปเพราะอยากให้พี่กวีกลับมาหานิ่มนะคะ!!” นิ่มเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ เป็นปฏิกิริยาที่ผมคาดไม่ถึง

“นิ่มใช้ผิดวิธีนะ!!” ผมพยายามจะสะบัดมือนิ่มให้หลุดแต่แรงเธอเยอะกว่าที่คิด
“ใช่ๆ ผิดมาก และเรื่องนี้ มันจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เฮ้ย! พวกนาย ตอนนี้ยังไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊คอยู่ไหม?” สองคนที่นั่งนิ่งอยู่ตอนนี้ได้หยิบสมาร์ทโฟนออกจากกระเป๋าที่วางอยู่ทางด้านหลังออกมา
“นิ่ม! กล่าวทักทายทุกคนหน่อยสิ!!”

“ว้าย!!!” เสียงกรี๊ดร้องที่คิดว่าจะได้ยินแค่ในละครดังลั่นออกจากปากนิ่ม
“พวกแกทำกับฉันแบบนี้จบไม่สวยแน่” นิ่มปล่อยแขนผมและยกขึ้นมาชี้หน้าทุกคนยกเว้นผม

“อย่าแม้แต่คิด แค่นี้เรื่องก็บานปลายแล้ว อย่าทำให้มันแย่กว่านี้!! หากเห็นทำอีก อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วพี่จะไม่กล้าทำอะไร หากมาวุ่นวายกับคนที่พี่รักอีก เราจะได้เห็นดีกัน!!”
ผมจับนิ่มหันมาเผชิญหน้ากับผม

“พี่กวี!!” น้ำเสียงดูตัดพ้อที่ฟังแล้วสะท้อนใจผมมากแต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ เพื่อตัวนิ่มเองจะได้ไม่ทำเรื่องพวกนี้อีก
“อ้อ! อย่าลืมยิ้มทักทายให้กล้องวงจรปิดตรงนั้นด้วย ตอนนี้ถ่ายทอดสดไปทั่วร้านเลยนะ!” ชัยชี้ไปที่กล้องทรงกลมที่ติดอยู่บนเพดานร้าน ผมกับนิ่มมองตามขึ้นไป ผมคิดในใจว่าไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน ส่วนนิ่มมีสีหน้าที่ซีดเผือดลงไปอีก

เธอกรีดร้องโวยวายก่อนจะวิ่งหนีจากจุดนั้นไป ผมได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เห็น ไม่นึกว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้

“หวังว่าจะได้บทเรียนบ้างนะ” พี่โน่พูดขึ้นขณะปรากฏกายแบบเงียบๆ
“นี่เป็นแผนของพี่โน่ใช่ไหมเนี่ย?”
“อืมมม...ส่วนหนึ่งน่ะ”

“ใช่เพราะแผนส่วนใหญ่เป็นของเจ้เอง นี่ถือว่าเบาะๆ นะ ตอนแรกกะว่าจะให้ยัยนั่นอายกว่านี้ โดยการทำเหมือนที่มันทำกับกวี แต่พี่โน่น่ะห้ามไว้ บอกว่าถึงร้ายยังไงก็เป็นผู้หญิง ทำแบบนั้นมันโหดร้ายไปโน่นนี้ ยัยนิ่มโดนแค่นี้เบาจะตายไป”
เจ้พิ้งค์ปรากฏกายตามมาข้างหลังพี่โน่พร้อมเสียงเจื้อยแจ้วดังลั่นตามประสาคนสวยขี้โวยวาย
“พิ้งค์!! พูดมากไปแล้ว!!” พี่โน่หน้าดุเสียงเข้มใส่

“เอ่อ....ผมสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นิ่มเขาทำอะไรผมเหรอ แล้วรูปที่ชัยให้นิ่มดูคืออะไร ขอดูได้ไหม?” ตอนนี้ผมสับสนกับสิ่งที่เจ้พิ้งค์พูดมาก นอกจากที่ทำกับชัยแบบนั้นแล้ว นิ่มเธอทำอะไรกับผมด้วยงั้นเหรอ ฝันร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายคืนก่อนอยู่ๆก็กลับมาในหัวผมทั้งๆที่ยังตื่นอยู่

“อุ้ย!!” เจ้พิ้งค์อุทานออกมา สบตาพี่โน่กับชัยด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ไม่มีอะไรหรอก! แค่ภาพตัดต่อนะ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
ชัยพยายามพูดให้ผมเลิกร้อนใจ

“ไหนดูหน่อย?” ผมยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยออกไปขอโทรศัพท์ในมือของชัย
“ภาพมันไม่น่าดูหรอก!” ชัยพยายามโน้วน้าวให้ผมเลิกสนใจและทำหน้าเหมือนขอความช่วยเหลือจากพี่โน่

“ให้ดูไปเถอะ กวีเป็นคนฉลาด เดี๋ยวก็หาทางรู้เองจนได้แหละ อีกอย่างจะได้รู้ว่ายัยนั่นมันร้ายกาจแค่ไหน? ส่วนกวีดูแล้วอย่าคิดมาก ตอนนี้พวกพี่จัดการให้หมดแล้วไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”
“ครับ” ผมหันไปตอบพี่โน่และหันไปทางชัยที่ทำหน้าตัดพ้อพี่โน่ที่ยอมให้ผมดูภาพเหล่านั้น

“..............” ผมรับโทรศัพท์จอใหญ่สีดำจากชัย ผมเข้ารหัสของชัยด้วยความคล่องแคล้วเหมือนโทรศัพท์ตัวเอง เพราะชัยมักให้ผมเข้าไปทำอะไรในโทรศัพท์ให้บ่อยๆ เขาไม่เคยมีความลับกับผม จนผมแปลกใจว่ารูปพวกนี้มันอยู่ตรงไหมทำไมผมไม่เคยเห็น (คงเพิ่งได้จากพี่โน่หรือเจ๊พิ้งค์)

ผมเลื่อนดูทีละภาพอย่างใจระทึก ผมจำสภาพห้อง สภาพเตียงได้ เหมือนภาพต่างๆ ที่เหมือนความฝันเหล่านั้นมันชัดเจนขึ้น ผมรู้สึกตัวสั่นไปหมด ทั้งโกรธและอายไปพร้อมๆ กัน โชคดีที่ผมได้รู้จักพี่โน่และพี่พิ้งค์ ไม่งั้นภาพพวกนี้คงเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วจังหวัด ไม่สิ! น่าจะทั่วประเทศเลย

“ไม่เป็นไรนะ รูปพวกนี้เป็นรูปสุดท้ายที่เหลืออยู่” ชัยเข้ามาโอบกอดผมอย่างอ่อนโยน แต่ผมยังคงดูรูปภาพเหล่านั้นวนเวียนไปเรื่อยจนเหมือนย้ำคิดย้ำทำ

“ทำไมนิ่มต้องทำกับเราขนาดนี้?” ผมปล่อยแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงไปข้างตัวขณะที่พูดและมองหน้าชัยที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาร้อนผ่าวไปหมด ฟันขบเบียดกันแน่นในปากจนมีเสียงเสียดสี เอี๊ยดอ๊าด ดังออกมาเป็นระยะ ผมรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ ใจหนึ่งอยากจะให้อภัยแต่อีกใจหนึ่งอยากจะตามไปถามเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เหมือนมีเทวดากับปีศาจต่อสู้กันอยู่ในจิตใจ

“การกระทำของคนเลวๆน่ะ มันไม่มีเหตุผลเสมอไปหรอก” เสียงพี่โน่ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“ใช่ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว วันนี้คงทำให้ยัยนิ่มได้สำนึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองแล้ว” ชัยขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นขึ้นจนหน้าผมที่ก้มลงมองพื้นอยู่เบียดกับหน้าอกแน่นๆของเขาจนผมเริ่มหายใจไม่ออก แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ผมผ่อนคลายจากเหตุการณ์วันนี้ลงไปมาก อยากอยู่แบบนี้ไปสักพัก วันนี้ผมเลยปล่อยให้ชัยกอดไว้แบบนี้ไม่ขัดขืน

“สำนึกน่ะก็ใช่ และก็อายมากๆ ด้วย ในที่สุดเจ๊ก็สามารถทำลายหน้ากากนางเอกของนางได้สำเร็จ แต่เจ้ว่านี่มันดูน้อยไปเสียด้วยซ้ำ!! เจ๊อยากให้นางอายกว่านี้อีก!!”

“พอเถอะ นิ่มยังเด็กอยู่ แค่นี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีในการกลับตัวนะ อีกอย่างหากเราทำมากกว่านี้ เรานี่แหละจะติดคุกเสียเองนะ!” พี่โน่พูดเสียงเรียบใส่เจ้พิ้งค์ รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ของพี่โน่ขึ้นมาทันที ไม่เคยเห็นพี่โน่ในมุมนี้

“ขอบคุณครับทุกคน ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้วครับ ผมอยากให้มันจบๆ ไป แม้มันจะจบแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ต้องการให้เรื่องมันไปไกลมากกว่านี้แล้วครับ อีกอย่างครอบครัวผม....”
ผมสะบัดตัวหลุดจากอ้อมแขนแน่นของชัยหันมาหาผู้มีพระคุณทั้งสองทางด้านหลัง แอบเหลือบเห็นชัยมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย

“ก็นั่นแหละ ที่พี่โน่เตือนสติเจ๊ เจ๊ก็เลยสั่งสอนนังชะนีน้อยนั่นแค่เบาะๆ แต่อย่าให้มันมาหาเรื่องอีกนะ แล้วจะหาเจ๊ไม่เตือน รับรองยัยนั่นมันต้องอับอายมากกว่านี้!!” เจ๊พิ้งค์ทำหน้าเหมือนตัวร้ายในทีวีช่องมากสีจนผมอดอมยิ้มไม่ได้
“ไง..... รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” พี่โน่ยิ้มฟันขาวส่งมา และยื่นมือมาจับแขนผมอย่างอ่อนโยน
“ครับ....ขอบคุณพี่โน่มากๆ เลยครับ” ผมยิ้มตอบอย่างไม่เต็มที่นัก
“พี่ๆนี่แฟนผมนะ” ชัยพูดพลางกระชากไหล่ผมให้เซไปอยู่ในอ้อมกอดเขา
“เออ รู้ว่าแฟนเอ็ง ทีหลังมึงก็หัดดูแลแฟนตัวเองดีๆ หน่อยสิวะ .......แต่น้องกวี หากเสียใจจากมันเมื่อไหร่ พี่เปิดรับน้องเสมอนะ” พี่โน่หัดมาคุยกับผมด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมเสียกวีให้ใครแน่นอน” ผมรู้สึกโดนกอดรัดแน่นขึ้นแต่ก็รู้สึกอุ่นใจดีกับทั้งคำพูดและการกระของเขา

“กูจะคอยดู! กูรอได้!!”
“รอให้แก่ตายไปเลยไอ้พี่โน่ กวีเป็นของผมคนเดียว” พูดจบเขาก็อุ้มผมเดินหนีไปจากกลุ่ม
“เฮ้ย!! ไอ้บ้า!! ปล่อย!!” ผมเผลอหัวเราะออกมาไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะชัย เขาทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่ด้วยเสมอ จนผมคิดว่าไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ผมกับเขาคงข้ามผ่านมันไปได้

..............................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 1 (อัพ 23/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 23-12-2017 11:03:15
หลง # 14

เสียงพลุและดนตรีวงดุริยางค์บรรเลงครื้นเครงเสียงดังไปทั่วบริเวณสนามกีฬาเอนกประสงค์ประจำจังหวัด แสงแรกของวันสัมผัสพื้นได้ไม่ทันร้อน ผู้คนจากนานาโรงเรียนที่ร่วมงานนี้ก็ได้เข้ามาประจำพื้นที่ของตนเป็นที่เรียบร้อย  งานเปิดตัวกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมซึ่งอยู่ในทัพนักกีฬาที่เดินพาเหรดรอบสนามเรียบร้อยและมาหยุดอยู่ที่กลางสนามเพื่อมาฟังคำปราศรัยของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ยืดยาวจนไม่มีใครสนใจจะฟัง ผมต้องทนกับอาการเบื่อจนกระทั่งท่านผู้ว่าฯ กดปุ่มจุดไฟที่คบเพลิงกลางสนามและเสียงพลุที่ทะยานขึ้นฟ้าเป็นควันหลากหลายสี ซึ่งทำให้มีผู้คนทั้งสนามให้ความสนใจอย่างล้นหลาม (มากกว่าการฟังบรรยายก่อนหน้านี้ ฟังจากเสืยงฮือฮาทั่วสนามก็คงจะเดาได้)

แสงสีเสียงภายในงานไม่ได้ดึงความสนใจของผมไปได้เท่าไหร่เพราะผมมัวแต่พะวงมองหาพี่เอิร์ธของผมอยู่ วันนี้ผมชวนเขามาดูผมแข่งขันนัดเปิดสนามกับผมแล้ว แต่ดูเหมือนพี่เขาบอกว่าติดงาน มีเวรที่เขาจะต้องขึ้นให้ได้อยู่ แม้ผมจะทำสลดแค่ไหน แต่พี่เอิร์ธเหมือนจะใจแข็งเสียจนผมหมดหนทางจะทัดทานได้ ประโยคสุดท้ายที่พี่เอิร์ธพูดกับผมก็คือ ‘เดี๋ยวก็เจอกัน’ ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้นะครับหมอทำงานหนักแค่ไหน กว่าจะเจอกันคงหลังจบงานนั่นแหละ แต่ผมก็แอบหวังว่าพี่เขาจะแวะมาได้บ้าง (อยากได้กำลังจากแฟน เหมือนที่เพื่อนๆ ผมเขามีกัน ไม่ต้องไปพูดถึงไอ้ชัย แฟนมันอยู่ทีมใกล้ๆนี่เอง อิจฉาฉิบหาย)

หลังจากพยายามมองไปทั่วสนามเหมือนกวางหาคู่แล้ว ผมก็ต้องผิดหวังเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นบนอัฒจันทร์ หรือรอบๆสนามแข่งขัน ผมพบแต่ความผิดหวัง จนไอ้ชัยเดินอยู่ข้างๆ ต้องตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ผมหันไปหาเพื่อนแสดงสีหน้าขอบใจส่งไป แต่ก็พบว่าสายตามันไม่ได้มองผมเลย มันมองทีมนักกีฬาอีกโรงเรียนหนึ่งพร้อมโบกมือทักทายเรื่อยๆ

“ไอ้บ้า กูก็นึกว่ามึงจะให้กำลังใจเพื่อน สัด!! มองหาแต่แฟนอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว! ก็มึงดูสิ แฟนกูแม่งโคตรน่ารักอ่ะ ใส่ชุดกีฬาสีน้ำเงินแล้วดูดีโคตรๆ... กวี! ทางนี้”
มันพูดไปโบกมือไป แต่ดูท่าทางกวีจะทำเป็นมองไม่เห็นก่อนที่จะเดินตามเพื่อนๆในแถวเข้าที่เก็บตัวนักกีฬาไป

ผมเดินคอตกเดินตามแถวที่ทยอยเข้าสู่ที่พักนักกีฬาสำหรับโรงเรียนผม ไม่นานโค้ชก็เรียกไปประชุมทีมเพื่อเตรียมแข่งนัดเปิดสนามกับโรงเรียนเอกชนประจำจังหวัด วันนี้โค้ชดูจริงจังกว่าทุกครั้ง (ลงแข่งจริงแล้วจะพลาดไม่ได้) ซักซ้อมแผนให้พวกเราอีกครั้ง แม้ผมจะอยู่ใกล้อาจารย์ที่สุดในฐานะหัวหน้าทีม แต่ผมกลับไม่มีจิตใจจะฟังเท่าไหร่ เพราะโชคดีที่เราได้ทีมอ่อนตั้งแต่แข่งคู่แรกแบบนี้ และกำลังใจผมก็ไม่ได้มาด้วยยิ่งบั่นทอนกำลังไปหมด (งอนนิดหน่อย)

โป๊ก!!!!

“โอ้ย!!”
“ไอ้หลง เอ็งเป็นหัวหน้าทีม ตั้งใจฟังหน่อยสิวะ!”
อาจารย์โค้ชฟาดสมุดแผนที่พกมาด้วย ม้วนฟาดมาที่หัวผมอย่างจัง
“ครับ ครับ โหย... อาจารย์! ทีมอ่อนขนาดนี้ หลับตาเล่นยังชนะเลย”
“เอ็งอย่าประมาท ทุกทีมเขาซ้อมกันมาหนักทั้งนั้น อาจารย์ไปแอบสืบมาแล้วห้ามประมาท เข้าใจไหม?”
อาจารย์โค้ชเตรียมง้างใส่หัวผมอีกจนผมยกมือขึ้นไหว้และพยักหน้าเข้าใจทันที
“พอแล้วครับ เข้าใจแล้วครับ”
“แล้ววันนี้เป็นอะไรของเอ็งเหม่อเชียว?”
“ป่าวครับ”
“มันขาดกำลังใจครับ อาจารย์”
ไอ้ชัย ไอ้เพื่อนเลวพูดแทรกขึ้นมา
“เฮ้อ!! เบื่อพวกวันรุ่นเสียจริง เออๆ อย่าให้เสียการแข่งขันก็แล้วกัน รีบเรียกสติคืนมาด้วย!!”
“ครับ.....” ผมตอบเสียงลากยาวและถอดถุงเท้าเตรียมปาใส่ไอ้เพื่อนเลวข้างๆ

ในที่สุดก็ถึงเวลาแข่งขัน ผมและเพื่อนๆในทีม ถูกอาจารย์เกณฑ์เดินแถวไปเตรียมตัวที่สนาม ระหว่างเดินผมพยายามเรียกสติกลับคืนมา งานแข่งกีฬาปีนี้นับเป็นการแข่งกีฬางานใหญ่ครั้งสุดท้ายในชีวิต ม.ปลายของผมแล้ว คงต้องทำให้ดีที่สุดและหากทำได้ดี ผมอาจจะได้เสนอชื่อเป็นโควต้านักกีฬา ผมอาจจะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อยากไปโดยไม่ต้องสอบ แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าจะเลือกเรียนอะไรก็เถอะ

“แกๆ เห็นคุณหมอที่จุดปฐมพยาบาลตรงข้างสนามป่ะ น่ารักโคตรๆ”
“ใช่แล้วแก! ฉันนะอยากจะเป็นลมแล้วให้เขาดูแลจัง อ้าย!!”
สาวๆ กลุ่มทีมงานสนับสนุนกองเชียร์พูดขึ้นขณะเดินสวนกับผมเข้าไปด้านในห้องพักนักกีฬาและห้องจัดเตรียมกองเชียร์

ทำให้ผมแอบหวังว่าจะเป็นพี่เอิร์ธขึ้นมาจับใจ หรือว่าเขาจะมาทำให้ผมประหลาดนะ ผมเร่งฝีเท้าแซงเพื่อนร่วมทีมคนรวมถึงไอ้ชัยที่มัวแต่คุยแก้เครียดกับเพื่อนคนอื่นๆ ในทีม หลังจากผมเดินหลุดออกจากซุ้มประตูทรงห้าเหลี่ยมเข้าสู่ภายในสนามที่คึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เป็นกองเชียร์และทีมงาน ผมพยายามมองหาคนที่ผมคิดถึงอยู่ที่จุดปฐมพยาบาล แม้จะอยู่อีกมุมสนามแต่ก็เห็นคนสวมชุดเหมือนเจ้าหน้าที่ ซึ่งน่าจะเป็นหมอและพยาบาลกำลังจัดเตรียมความพร้อมของยาและอุปกรณ์ต่างๆ

ผมกวาดตามองจนไปสะดุดที่ผู้ชายรูปร่างสูงบาง ผมค่อนข้างยาวยืนหันหลังพลางเช็คโน่นนี่พัลวัล ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีเหมือนบ่อน้ำที่กำลังเอ่อล้นด้วยน้ำผุดจากใต้ดิน ผมสาวเท้าก้าวเดินต่อไปยังจุดที่ชายคนนั้นยืนอยู่โดยไม่ได้สนใจว่าจุดที่เพื่อนร่วมทีมผมต่างรวมตัวกันอยู่นั้นมันคนละทาง

อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุดหมายผมก็ต้องหยุดเท้าลงเพราะน้ำเสียงของชายคนนั้นมันต่างจากพี่เอิร์ธมากแม้จะมีรูปร่างใกล้เคียงกัน และความสดชื่นของผมก็หมดไปโดยพลันเมื่อชายคนนั้นหันหน้ามาเพราะเขาไม่ใช่พี่เอิร์ธ แม้จะมีหน้าตาที่หล่อเท่พิมพ์นิยมเหมือนดาราเกาหลี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกปลื้มเลย (ผมชอบพี่เอิร์ธคนเดียวนี่นา)

“อ้าว น้องเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณหมอประจำจุดปฐมพยาบาลเอ่ยทักผมก่อน อาจเพราะผมเดินมาด้วยความรวดเร็วและมาหยุดตรงด้านหน้าโต๊ะและทำสีหน้าผิดหวังแบบสุดๆ
“ไม่.. ไม่มีอะไรครับ”
“อ้าว! เห็นเดินมานึกว่าเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรครับหมอ ผมก็แค่... ทักคนผิด”

“เป็นนักกีฬาทำไมไม่ไปนั่งตรงที่ตัวเอง มากวนหมอทำงานทำไม?” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง
“พี่เอิร์ธ!!” ผมหันไปเจอคนที่ผมอยากเจอที่สุด
“เออ พี่เอง แล้วเสียงดังทำไมวะ”
“ก็ผม.... ไม่นึกว่าพี่จะมา...ก็ไหนว่าพี่ติดงาน” เสียงผมแผ่วลงมาโดยอัตโนมัติ
“งาน? ก็นี่ไงงาน โดยไว้วานให้มาอยู่แลจุดปฐมพยาบาลที่นี่ ต้องคอยมาดูแลพวกอินเทิร์นที่นี่ไง”
“โหย.. จะเซอร์ไพรส์ผมน่ะสิ”
“เออๆ เซอร์ไพรส์ก็ได้ รีบๆกลับไปประจำที่ไป!!” พี่เอิร์ธดูมีอาการเขินอายเล็กน้อย

“ผมเตรียมจุดนี้ เสร็จแล้วนะครับ พี่จะให้ผมทำอะไรต่อครับ?”
หมอหน้าเกาหลีเดินมาแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เอิร์ธ และใช้ปากสีอมชมพูนั่นยิ้มให้พี่เอิร์ธโดยไม่ได้มองผมเลย

“ขอบใจมาก”
“น้องเป็นอะไรไหมครับ ให้พี่ช่วยอะไรไหม?” หมอหน้าเกาหลีหัดมาพูดทักผมด้วยท่าทีตรงกันข้ามกับคำพูด รู้สึกเหมือนโดนไล่
“อ้อ! ไม่เป็นไร เด็กคนนี้พี่รู้จัก น้องไปนั่งสแตนด์บายเถอะ”
พี่เอิร์ธตอบแทนผมที่กำลังคิดหาคำเจ๋งๆสวนกลับไป

“ใช่เรารู้จักกันดีด้วย สนิทแนบแน่น!!”
ผมคิดออกได้เท่านี้ พูดออกมาพร้อมจับมือพี่มือที่มีอาการเกร็งขึ้นมา ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกๆใส่ผม
“จะเริ่มแข่งแล้วยังไม่ไปอีก!!จะไร้สาระตรงนี้อีกนานไหม?”
พี่เอิร์ธขึ้นเสียงจนผมต้องวิ่งกลับไปประจำจุดรวมพลของผม แต่ก่อนไปผมขอบีบมือพี่เขาอีกครั้ง
“อยู่ดูผมแข่งก่อนนะ!”
ผมพูดสั้นๆ ทิ้งท้ายไว้
พี่เอิร์ธแค่ยิ้มแบบเขินตอบกลับมาซึ่งผมเข้าใจว่ามันคือคำว่า ‘ตกลง’

ผมพอจะรู้ว่าอะไรเป็นไรอยู่บ้างหลังจากอยู่กับพี่เอิร์ธบ่อยๆ พี่คงไม่ชอบให้ผมป่าวประกาศไปตรงๆว่าเราเป็นอะไรกัน โดยเฉพาะกับคนที่ผมรู้ว่าเขาก็แอบเล็งพี่เอิร์ธอยู่อย่างไอ้หน้าเกาหลีนั่น ผมทำแค่นี้ก็น่าจะรู้นะว่าผมเป็นอะไรกับพี่เอิร์ธ

การแข่งขันนัดเปิดสนามวันนี้เผ็นไปตามคาด หมูในอวยดีๆนี่เอง ทีมผมเอาชนะได้ไม่ยากเย็นคะแนนห่างกันเกือบจะสองเท่า คงเพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาเราทุ่มเทกับการฝึกซ้อมกันมาก แม้จะมีนักกีฬาหน้าใหม่ที่สูงกว่าผมเข้ามาเพิ่มในทีมฝั่งตรงข้าม แต่ก็ยังไม่ทำให้ทีมผมลำบาก เพราะยังเล่นประสานกันได้ไม่ดี

ระหว่างการแข่งขันผมมักจะหันไปเจอทีมเชียร์ลีดเดอรที่วันนี้จัดเต็มกว่าปีที่แล้วมาก ชุดเสื้อผ้าที่แนบเนื้อที่ทองและส้มนั้น ไหนจะส่วนที่เปิดช่วงไหล่ของฝ่ายหญิงที่เปิดให้เห็นความขาวเนียนของผู้สวมใส่ ทำให้แอบเคลิ้มเบาๆ แต่ผมคงแอบมองแบบนั้นบ่อยไม่ได้เพราะพี่เอิร์ธนั่งมองอยู่ (เดี๋ยวโดนโกรธเอา) สายตาเจ้ากรรมมักจะหันไปเจอนิ่มที่ยังคงเต้นนำอยู่ในทีมอยู่ เป็นอีกครั้งที่ผมนับถือในความเข้มแข็งของเธอ ทั้งๆ ที่เธอถูกพูดถึงในทางที่ไม่ดีมากมายจากทุกคนในโรงเรียนหลังคลิปวิดีโอนั่นเผยแพร่ออกไปทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค จนคิดว่าเธอคงจะสติแตกไปแล้ว แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ได้ดีแบบไม่ขาดตกบกพร่อง หากเธอนิสัยดีผมคงยังรักเธออยู่ แต่ตอนนี้แม้แต่คำว่าน้องสาวผมยังลำบากใจที่จะเรียกขาน

หลังจากนี้ก็เป็นช่วงพักผ่อนเพื่อรอแข่งรอบชิงชนะเลิศเลย ปกติงานแข่งขันกีฬาโรงเรียนแบบนี้ต้องจัดแข่งให้จบภายในหนึ่งวัน โชคดีที่โรงเรียนซึ่งเข้าโครงการนี้มีเพียงแค่ 6 โรงเรียนเท่านั้น ดังนั้นหากผมซึ่งเป็นแชมป์เก่าชนะรอบเปิดสนาม ทีมผมก็มีสิทธิ์ไปรอแข่งรอบชิงชนะเลิศทันที ทีมตัวเก็งที่จะคาดการณ์กันไว้ว่าจะมาแข่งรอบชิงชนะเลิศกับทีมของผมก็มีสองทีมคือทีมไอ้แฝดนรกนั่น กับทีมของเหล่าคุณหนูเรียนดี (ทีมของกวี) ช่วงเวลาแบบนี้โค้ชจึงให้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่จะเรียกประชุมทีมแบบจริงจังตอนก่อนแข่ง
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 1 (อัพ 23/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-12-2017 18:30:36
ชอบบบบ ไรท์ลงยาวจุใจ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

นิ่ม โดนซ้อนแผน ยังอยากให้กวีมาชอบตัวเองอีก
ทั้งที่ทำร้ายกวีขนาดนี้ จิตใจนางช่างเหี้ยมโหด เลวซะจริง
กวี ก็ตอบนางได้ถูกใจจริงๆ คิดถูกแล้วที่ไม่เลือกนาง  :z3: :z3: :z3:

พี่เอิร์ธ หลอกหลง ที่แท้มาเซอร์ไพรซ์ หลง
แต่นศพ.อินเทิร์นที่มา ท่าทางจะชอบพี่เอิร์ธของหลงซะแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 1 (อัพ 23/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 25-12-2017 05:32:15
เป็นเรื่องที่อ่านเรื่อยๆ แต่บางตอนก็ขัดใจความคิดตัวละคร สงสัยจะอิน  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 2 (อัพ 26/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-12-2017 23:47:22

โค้ชขอตัวไปดูทีมอื่นแข่งก่อน ที่เหลือใครอยากทำอะไรก็ทำแต่ห้ามออกนอกบริเวณงาน โดยปกติปีที่ผ่านมาผมกับไอ้ชัยจะหนีไปแอบส่องสาวๆเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนต่างๆ  นั่งดูลีลาเธอโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสวยงาม แต่ปีนี้ไอ้ชัยรีบวิ่งไปดูการแข่งของเมียมัน หลังทีมเราแข่งเสร็จมันหายไปเหมือนหายตัวได้ วิ่งหนีบรรดาแฟนคลับของมันไปแอบนั่งอยู่ข้างสนามฝั่งโรงเรียนของกวีแบบเนียนๆ ส่วนผมได้แต่เดินโฉบไปมาแถวๆจุดปฐมพยาบาลที่พี่เอิร์ธกับไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋นั่นทำงานอย่างขมักเขม่น  จนผมรู้สึกอิจฉาอยากเรียนหมอบ้าง แต่หัวสมองผมมันไม่เอาไหน คงสอบไม่ติดแน่นอน ตอนนี้ก็ได้แต่ยืนมองห่างๆ วันกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดแบบนี้ เด็กนักเรียนจากหลากหลายโรงเรียนต่างมากระจุกอยู่ที่เดียว ไหนจะเล่นกีฬา ไหนจะเล่นสนุกกันอย่างโลดโผน ทำให้เกิดอุบัติเหตได้ง่าย จุดของพี่เอิร์ธเลยมีคนเดินเข้ามาใช้บริการกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็นลม บางรายมีเลือดตกยางออกแบบหนังแอ็คชั่นก็มี รู้สึกสงสารพี่เอิร์ธมาก ผมอยากเข้าไปช่วยนะแต่กลัวจะไปเกะกะมากกว่า

ผมคิดว่าพี่เอิร์ธน่าจะรู้สึกถึงสื่อความคิดที่ผมส่งให้ พี่เอิร์ธเงยหน้าขี้นมามองผมหลายครั้งระหว่างดูแลเด็กนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมยิ้มให้ทุกครั้งที่เขามองมา จนกระทั้งครั้งนี้ พี่เอิร์ธมองมาทางผมและยกมือกวักเรียกผมให้เข้าไปหา ผมรู้แปลกใจนิดหน่อยที่พี่เอิร์ธเรียกผมขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ ปกติเวลาแบบนี้เขาจะไม่ให้ผมเข้าไปกวนเลย (หน้าตอนพี่เอิร์ธทำงานดุมากจนผมสั่น)

”ครับพี่ พี่เอิร์ธเรียกผมหรือเปล่า?” ผมเดินเข้ามาใกล้พี่เอิร์ธในขณะที่พี่เขากำลังใชัมือสัมผัสแขนนักกีฬาคนหนึ่งอยู่
“ว่างไหม?”
“ตอนนี้ยังว่างอยู่ครับ” สงสัยพี่หมอจะพาผมไปกินข้าวผมนึกในใจเพราะตอนนี้เริ่มหิวแล้วหลังจากวิ่งอยู่ในสนามหลายรอบ
“ช่วยหน่อย!”
“หา!!?!” ผมอุทานด้วยความสงสัย
“นี่ไง! ไม่รู้วิ่งอีท่าไหน ล้มแขนหักเนี่ย ต้องหาอะไรมาดาม แล้วพาไปที่โรงพยาบาลต่อ พี่ขอแรงช่วยปฐมพยาบาลตรงนี้ก่อนได้ไหม?” ผมมองไปเห็นนักกีฬากรีฑาโรงเรียนผมที่ดูสบักสบอมดูไม่จืด อืม.... จริงไปล้มอีท่าไหนของมันฟะ? แผลถลอกเต็มตัวแล้วแขนที่ช้ำผิดรูปนี้อีก
“ได้ครับ” ผมตอบอย่างเต็มใจ หลังจากที่เข้ามาเห็นเหงื่อพี่หมอในระยะประชิดแบบนี้ โถงที่พี่เอิร์ธอยู่มันไม่ร้อนเท่าไหร่แต่ดูสภาพพี่เอิร์ธเหมือนอยู่ในห้องอบซาวน่าไม่ผิด (ไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋นั่นก็ด้วย)
“น้องตี๋กับพยาบาลที่พามาด้วยก็วุ่นอยู่กับพวกกองเชียร์ที่เป็นลมล้มอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวนี้จริงจังกันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?” พี่เอิร์ธที่หันไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างหันกลับมาบ่นอุบอิบ
“ประมาณนั้นครับ” ผมก็เคยชินกับมันไปแล้วเสียด้วยเลยตอบได้แค่นี้
“เฮ้อ.... เอ้า!! ช่วยพี่หน่อย” พี่หมอสั่งให้ผมทำโน่นนี่อย่างคล่องแคล้ว ผมซึ่งไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนโดนดุไปหลายรอบจนเริ่มเครียด แต่ก็สามารถเสร็จสิ้นเคสแขนหักนี้ไปได้ ไม่นานก็มาคนบาดเจ็บรายถัดๆ จนผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจุดปฐมพยาบาลไปโดยไม่รู้ตัว หมอเป็นอาชีพที่เหนื่อยและเสียสละมากครับ ผมบอกได้เลย (ซึ่งตอนนี้ผมไม่คิดจะเป็นแล้ว)

เวลาผ่านมาจนเกือบเที่ยง ตอนนี้จุดปฐมพยาบาลเริ่มอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้แล้ว คนเริ่มมาน้อยลงอาจเพราะอากาศด้านนอกเริ่มเย็นขึ้นจากการที่เมฆฝนเริ่มมาปกคลุมทัองฟ้าทั่วบริเวณสนาม การแข่งขันกีฬาต่างๆ ก็เริ่มทยอยหยุดพักกันไปตามกำหนดเวลาการแข่ง ทำให้พี่เอิร์ธและบรรดาคนติดตามต่างได้มีเวลาพักหายใจกันบ้าง โดยเฉพาะกับผมที่ผ่อนหายใจออกยาวๆ หลายครั้ง

“ขอโทษนะ เลยกลายเป็นว่าต้องมาช่วยพี่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่างอยู่ อีกอย่างจะได้อยู่ใกล้พี่เอิร์ธด้วย”
“............” พี่เอิร์ธไม่ตอบอะไรแค่ยิ้มตอบกลับมาแบบเหนื่อยๆ
“อย่างนี้จะไปกินข้าวกันยังไงครับ จุดปฐมพยาบาลนี่ปิดได้ไหมครับ?” ผมถามเพราะท้องมันเริ่มงอแงแล้ว
“อ้อ...เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง จุดปฐมพยาบาลมีสองจุด เวลาพักก็ผลัดกันไป เดี๋ยวเที่ยงจุดนี้ได้ไปก่อน แต่คงได้แค่ครึ่งชั่วโมงล่ะ”
“งั้น......” ผมกำลังจะชวนพี่เอิร์ธไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันแต่ก็ถูกอีกเสียงหนึ่งดังแทรกกลางวงสนทนาผมกับพี่เอิร์ธ
“พี่เอิร์ธครับ ผมเตรียมปิดจุดปฐมพยาบาลแล้วครับ ที่เหลือพี่อ้อยเขาจัดการต่อ เรารีบไปกินข้าวกันก่อนเถอะครับ”
ผมเหลือบมองนางพยาบาลร่างท้วมกำลังขมักเขม้นเก็บข้าวของอุปกรณ์เพื่อปิดจุดปฐมพยาบาลจุดนี้พร้อมตั้งป้ายพักทานข้าว

“ไม่เป็นไรครับตี๋ เดี๋ยวพี่ไปกินกับน้องครับ ตี๋ไปกินกับพี่อ้อยเถอะ แล้วกลับมาเจอกัน” ถึงผมจะขัดใจสรรพนามแทนตัวผมว่า ‘น้อง’ จากประโยคพี่เอิร์ธแต่ก็รู้สึกดีที่พี่เอิร์ธปฏิเสธคนอื่นเพื่อเลือกไปกับผม เหมือนเขาจะรู้ว่าผมอยากไปกินข้าวด้วย

“อ้อ ครับ.....” ไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋ในชุดกราวด์สั้นนั่นหน้าหดลงไปเหลือสองนิ้วเห็นจะได้ ก่อนที่จะเดินหันหลังกลับไปทางนางพยาบาลที่กำลังหน้าหงิกกับการตั้งป้ายให้ตั้งตรงเห็นชัด

“น้อง? ใครน้อง”
“ก็เอ็งไง!!”
“เรียกแฟนไม่ได้เหรอ?”
“หลงไม่อายเหรอ ที่มีแฟนเป็นผู้ชายตัวสูงเหมือนกันแบบนี้”
“อายทำไม โคตรภูมิใจ แฟนผมเป็นหมอนะ เก่งแถมน่ารักขนาดนี้”
“ไอ้บ้า พูดซะเสียงดัง เอ็งไม่อาย แต่พี่อายนะเว้ย”
“พี่อายเหรอที่มีผมเป็นแฟน?”
“ไม่ใช่ หมายถึงจะมาทำหวานทำซึ้งอะไรต่อหน้าคนเยอะแยะ”
“ไม่อาย ผมจะได้ประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าผมกับพี่เป็นอะไรกัน!!” ผมแอบเหลือบมองไปทางไอ้หน้าตี๋ที่แอบเหลือบมองมาทางนี้จนตาประสานกัน

“พอๆ ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ไปกินไหนดีครับ ความจริงทางโรงเรียนก็เตรียมข้าวให้นักกีฬาแล้วอะนะ แต่ผมอยากกินกับพี่มากกว่า แต่ร้านอาหารแถวนี้คนคงเยอะแน่เลย!”
ผมเดินไปโอบไหล่พี่เอิร์ธและพยายามดันหลังให้พี่เขาเดินหน้าทั้งๆที่ยังสวมเสื้อกราวด์ยาวสีขาวอยู่
“งั้นตามพี่มา” พี่เอิร์ธเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อไล่มือผมที่โอบไหล่เขาอยู่ให้ตกไปเพื่อถอดเสื้อกราวด์ออก เผยให้เห็นเสื้อโปโลที่มีอักษรย่อโรงเรียนของผมที่หน้าอกข้างซ้าย ผมเผลอยิ้มเมื่อเห็นมันชัดขึ้น

“ยิ้มอะไร?”
“เห็นก็รู้เลยครับว่าพี่มาเชียร์แฟนตัวเอง ผมนี่อย่างปลื้ม!”
“ไอ้บ้า เชียร์ทีมโรงเรียนเก่าตัวเองผิดตรงไหนวะ!”
พี่เอิร์ธพูดด้วยอาการแก้มแดงจนผมรู้สึกอยากชิมแก้มนั้นเสียตรงนี้ ผมขยับเข้าไปใกล้แบบห้ามตัวเองไม่อยู่
“เลิกทำตัวเยอะได้แล้วตามมา!!” พี่เอิร์ธใช้สายตาดุผมพลางเดินนำหน้าผมไป
“ไปไหนน่ะครับ?” ผมสาวเท้ายาวๆ ตามไป
“ไปกินข้าวไง!”
“ไปไหนน่ะพี่?”
“ตามมาเหอะ อย่ามัวแต่พูดมากพี่มีเวลาน้อย”

.........
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 2 (อัพ 26/12/17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-12-2017 23:50:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 3 (อัพ 4/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 04-01-2018 11:26:33

ผมเดินตามพี่เอิร์ธไปที่ด้านหลังอาคารกีฬาเอนกประสงค์ มีอาคารสำนักงานสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เป็นอาคารชั้นเดียวที่ปลูกสร้างแบบง่ายๆ สีไข่ไก่หม่นไปทางเก่า พี่เอิร์ธเดินเข้าไปที่โถงของอาคารที่มีห้องแยกเป็นสองฝั่งมากมาย สักพักก็มีคุณป้าอายุน่าจะแก่กว่าแม่ผมพอควร เดินกึ่งวิ่งออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร

“คุณหมอ มาแล้วเหรอคะ ป้าเพิ่งเตรียมเสร็จพอดีเลย”
ป้าแกเดินมาพรัอมเสียงที่ดังกังวาล
“ขอบคุณครับป้า อยู่ที่ไหนครับเดี๋ยวไปหิ้วมาเอง”
พี่เอิร์ธตอบไปเหมือนรู้จักกันดี
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวป้าเอามาให้”
พูดจบป้าก็เดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง เพียงอึดใจเดียวป้าก็หอบหิ้วตระกล้าพลาสติกสีเขียวแบบมีฝาปิดเดินมายื่นที่พี่เอิร์ธ
“ป้าอุ่นไว้ให้แล้วตามที่บอกเลยลูก”
“ขอบคุณครับป้า”
พี่เอิร์ธพูดพร้อมหยิบธนบัตรสีแดงจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ายื่นให้คุณป้าคนนั้น

“อุ้ย!! ป้ารับไว้ไม่ได้หรอก คุณหมอช่วยป้ามาเยอะแล้วนะ คราวที่แล้วก็ไม่คิดตังค์ที่พาหลานไปหาหมอ”
“ไม่เป็นครับป้า ผมจ้างป้านี่นา รับไปเหอะ?”
พี่หมอทำท่ายืนยันให้ป้ารับให้ได้จนเกิดเหตุการณ์ยื้อยั้งธนบัตรจำนวนนั่นจนผมอยากเดินไปหยิบเข้ากระเป๋าตัวเอง สุดท้ายคุณป้าก็ต้องยอมแพ้ให้กับความดื้อของพี่เอิร์ธแล้วรับเงินไป พร้อมไหว้ขอบคุณพี่เอิร์ธจนพี่เอิร์ธทำตัวไม่ถูกกับการที่ถูกคนอายุคราวป้ายกมือไหว้ขนาดนี้

“อะไรกันครับพี่ เมื่อกี้?” ผมถามหลังจากเดินออกห่างจากอาคารไปได้สักระยะ
“พี่เคยช่วยป้าแกน่ะ เห็นแกไม่ค่อยมีเงินเลยไม่เก็บค่ารักษา 2-3 ครั้งเห็นจะได้” พี่เอิร์ธพูดขึ้นโดนแทบไม่มองผมเหมือนกำลังรีบเดินไปที่ไหนสักแห่ง
“อ้อ... ครับ แล้วพี่ให้ป้าแกทำอะไรน่ะครับ”
“............” พี่เอิร์ธเหมือนทำเป็นไม่ได้ยินและเดินนำผมไปจนคนเดินตามอย่างผมเหนื่อยหอบ (ผมเป็นนักกีฬานะ ยังหอบ)

ในที่สุดพี่เอิร์ธก็ไปหยุดเดินที่ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอีกด้านหนึ่งของสนามแข่งกีฬาซึ่งถือว่าเงียบสงบร่มรื่น แม้จะได้ยินเสียงฮาเฮดังมาจากสนามไกลๆ อยู่บ้าง

“โชคดีนะที่ยังอยู่”
“อะไรครับพี่?”
“ต้นไม้ต้นนี้ไง ตอนสมัยเรียนพี่ชอบหนีมานั่งเล่นแถวนี้ มันเงียบสงบและต้นไม้ก็ร่มรื่นดี”
“อ้อ....ก็คงจะเงียบล่ะ” ผมชี้ไปทิศที่เลยไปอีกไม่เกินสองร้อยเมตรที่เห็นอุโบสถ และเมรุ ของวัดที่ตั้งอยู่ข้างๆ พื้นที่สนามกีจังหวัด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พี่ก็ว่างั้น แต่พี่ไม่กลัวผีหรอกนะ หรือว่าหลงจะกลัว?”
“ไม่.. ไม่กลัวครับ” เหมือนจะโกหกพี่เขาไม่เนียน เพราะพี่เอิร์ธดูยิ้มแบบมีเลสนัยมาที่ผม

“ว่าแต่... นั่นอะไร ยังไม่เฉลยเสียที?”
พี่เอิร์ธไม่พูดอะไรแต่พี่เอิร์ธวางตระกร้าลงและจัดเตรียมทุกอย่างออกมาจากตระกล้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมื้ออาหารเที่ยงที่น่ากินในปิ่นโตขนาดต่างๆ วางบนผ้าปูสีเรียบๆที่เคยเห็นที่บ้านพี่เอิร์ธ ทั้งของคาวของหวาน
“อ่ะ!... เฉลย!! พี่อุตส่าห์ไปทำกับน้ารุ่งตั้งแต่เช้า ถึงได้มาสาย รู้ว่าป้าคนนั้นแกเป็นแม่บ้านดูแลที่นี่ก็เลยไปฝากแกอุ่นสำหรับกินตอนเที่ยงไง”
“พี่ทำให้ผม?”
“อื้อ ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า เพิ่งเคยทำตามสูตรน้ารุ่ง”
“แม่กับเมียอุตส่าห์ทำให้กิน! น่ารักที่สุดเลย” ผมกำลังจะเตรียมโผไปกอดพี่เอิร์ธก็ถูกมือยาวของอีกฝ่ายประทับที่หน้าหงายไปอีกทาง
“ไอ้บ้า!! จะมาทำอะไรตรงนี้!!”
“แปลว่าที่บ้านทำได้?” ผมลุกขึ้นมานั่งประจำจุดใกล้ๆพี่เอิร์ธ
“หุบปากแล้วรีบกินเข้าไป เดี๋ยวช่วงบ่ายก็ต้องแข่งแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ได้กินของฝีมือแฟนแบบนี้ กำลังใจมาเต็ม! ชนะแน่นอน”
“อย่าให้มันอิ่มมากล่ะ เดี๋ยววิ่งไม่ได้พาลจะแพ้เอานะ ทำมาเยอะไม่ต้องกินหมดก็ได้ เหลือก็เก็บไว้กินเย็นได้!”
“ครับ..พี่เอิร์ธที่รัก”
คราวนี้เขาไม่ว่าอะไรแล้วนอกก้มหน้าตักข้าวใส่จานให้ผมพร้อมแก้มที่แดงเหมือนผลแอปเปิ้ลที่น่ากิน

......................


หลังจากกินมื้อเที่ยงด้วยความเร่งรีบ เพราะช่วงแรกของการนั่งกินข้าวมัวแต่ชิมโน้นนี่ที่พี่เอิร์ธทำให้ ตั้งแต่แกงเขียวหวานสูตรพิเศษของแม่ผม หมูผัดกระเทียมชิ้นใหญ่ ไข่เจียวกุ้ง ผัดผักรวมใส่หมูกรอบ ของโปรดทั้งนั้น กว่าจะกินกันอิ่มก็ทำให้พี่เอิร์ธไปทำงานสายไปร่วมสิบนาทีจนนางพยาบาลที่มาด้วยแอบแซวพี่เอิร์ธ ตามด้วยความหน้าหงิกงอของตี๋ แพทย์อินเทิร์นประจำจุดนี้ แต่ผมไม่สนใจและแอบยิ้มเยาะใส่ ก่อนจะลาพี่เอิร์ธไปรอประชุมทีมก่อนแข่งขัน

ผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเป็นไปตามคาดการณ์ของผมคือ ผมจะได้แข่งกับทีมไอ้แฝดนรกนั่น เท่าที่ได้ฟังจากโค้ชคือ ทีมนี้มีกลยุทธ์ที่หลากหลายกว่าทีมของกวีมาก อาจเพราะชั่วโมงการซ้อมที่ต่างกัน บวกโค้ชใหม่ไฟแรงของทีมแฝดนรกนั่นทำให้ชนะมาอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ คะแนนต่างกันเกือบสิบคะแนน จนไอ้ชัยหลุดปากขึ้นมาว่าจะแก้แค้นให้กวี

“แล้วกวีเป็นไงบ้างวะ?”
“ก็ไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อย แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับผลของการแข่งขันดี เพราะทีมนั่นเขาซ้อมมาน้อยจริงๆ”
“เออ งั้นก็ดี แล้วมึงจะไปแก้แค้นพวกมันเพื่ออะไรฟะ?”
“พวกมันทำให้กูไม่ได้แข่งกับกวี กูว่ากูจะแสดงความเทพให้กวีเห็น จะได้หลงกูหนักขึ้นไปอีก”
“ถุย! นี่มึงสนองตัณหาตัวเองล้วนๆเลยนี่หว่า!!”

“เฮ้ย!! พวกเอ็งสองตัวจะแข่งอยู่แล้ว ช่วยมีสมาธิกับการประชุมทีมหน่อยสิวะ!!”

โค้ชตะโกนลั่นข้ามหัวเพื่อนร่วมทีมผมที่นั่งอยู่ด้านหน้ามาถึงผมจนรู้สึกถึงรังอำมหิตแผ่มาชัดเจน ผมกับไอ้ชัยเลยทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไปและหันกลับไปตั้งใจฟัง

การประชุมทีมก่อนแข่งครั้งนี้บรรยากาศดูเครียดกว่าทุกครั้ง อาจเพราะโค้ชไปเห็นการเล่นที่พลิกแพลงของทีมที่จะมาแข่งด้วยเต็มสองตา แผนที่วางมาตั้งแต่แรกมีการปรับปรุงนิดหน่อย ผมซึ่งในนามของหัวหน้าทีมผมต้องจำทริกเหล่านี้ให้ได้ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากเป็นเรื่องกีฬาผมดูจะเข้าใจอะไรง่ายไปหมด และที่เหลือโค้ชบอกให้ผมประยุกต์ใช้แผนเอาเองตามสถานการณ์อีกที จริงๆ ผมมีไพ่ตายอยู่แต่ยังไม่อยากบอกโค้ช แต่คิดไว้แล้วว่าวันนี้คงถึงเวลาควักออกมาใช้แล้วล่ะ....

การแข่งขันเป็นไปอย่างตึงเครียดเพราะทีมผมโดนนำไปก่อน 10 แต้มจาการสลับกันชู้ตของไอ้แฝดนรกนั่นที่สับขาหลอกได้เก่งเสียจนทำให้กระบวนแผนของทีมผมรวนไปหมด รวมทั้งที่เหมือนฝ่ายนั่นศึกษานักกีฬาทีมผมมาอย่างดีจนสามารถสกัดการทำคะแนนของผมและชัยได้ รวมถึงเพื่อนร่วมทีมของผมทั้งไอ้บอลและไอ้แจ็คต่างโดนสกัดการส่งบอลให้ตัวทำคะแนนอย่างผมและชัยได้อย่างหมดจด จนกระทั้งหมดครึ่งแรก แม้ผมจะเปลี่ยนยุทธวิธีการทำคะแนนไปเยอะแต่ก็ทำได้แค่ทำแต้มตีตื้นขึ้นจนไม่ทิ้งระยะห่างมาก ทีมผมตามอยู่ 5 แต้ม

โค้ชดูร้อนรนขึ้นพยายามถกกับทีมในห้องพักนักกีฬาระหว่างพักครึ่ง เพื่อเพิ่มคะแนนของทีมผมให้สูงขึ้นในครึ่งหลัง

“โค้ชเชื่อใจผมไหม?”
“หือ!!??”
“เอาน่า! เชื่อใจผมไหม? ผมว่าทีมนั้นศึกษาข้อมูลทีมเรามาดีครับ จะให้เล่นแบบเดิมคงเอาชนะไม่ได้ ไหนจะมีคนที่เก่งๆอย่างไอ้แฝดสองตัวนั่นป่วนอีก”
“.........อืม......เออ....โค้ชเชื่อเอ็ง!!”
โค้ชคิดหนักก่อนจะตอบแบบปลงๆ
“งั้นผมขอเอา ไอ้นิคกี้ลงครึ่งหลังนะ!”
“เฮ้ย.... จริงน่ะ มันไม่เคยซ้อมจริงกับเราเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เอาไปลงแทนไอ้แจ็ค ส่วนเรื่องที่เหลือผมจัดการเอง” ผมมองโค้ชด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนที่จะขยิบตาใส่ไอ้นิคกึ้ที่ดูรนๆแบบไม่มั่นใจ

“เออ!! เอาไงเอากันวะ!!”
โค้ชพูดออกมาเสียงดังก่อนจะผ่อนลมหายใจแบบยาวๆ ใส่พื้นที่ด้านหน้าตัวเอง ทำให้กลิ่นสาบบุหรี่ลอยวนอยู่ตรงนั้นสักพัก
“งั้นมาสรุปแผนกันใหม่ ผมเคยให้ไอ้นิคกี้ไปถ่ายวีดิโอการซ้อมจริงของไอ้พวกนั้นมาแล้ว ผมพอจะมีแผนลับในหัวอยู่บ้าง” ผมเรียกให้ทุกคนมาขยับมาตั้งกลุ่มกันแน่นขึ้น

“เอ่อ....พี่หลงครับ.... คือ.....”
“เฮ้ย! มั่นใจในตัวเองหน่อย เอ็งเคยซ้อมพี่ ทำได้อยู่แล้ว!”
“เอ่อ...ครับ” นิคกี้ตอบตกลงทั้งที่แววตายังดูหวาดหวั่น

..........
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 3 (อัพ 04/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2018 12:37:45
Happy New Year 2018
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  ขอให้ไรท์สุขสันต์ มีความสุขมากๆ

หลง น่าจะแก้เกมได้นะ
หลง พี่เอิร์ธ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
         :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 4 (อัพ 08/01/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-01-2018 00:20:40
..........

”เฮ้ย!! ไอ้หลง! มึงแน่ใจนะ!” ไอ้ชัยเดินมาหาผมหลังจากที่ประชุมทีมวางแผนใหม่กันเรียบร้อยแล้ว
“เออ! สิวะ”
ผมตอบออกไปเสียงดังขณะที่ทุกคนในทีมที่นั่งอยู่ในห้องดูท่าทางกระสับกระส่าย จนทุกคนแอบมองมาทางผมกับไอ้ชัย

“อย่าลืมว่า ไอ้นิคกี้น่ะมันก็นักกีฬาโรงเรียนสมัย ม.ต้นนะ”
“เออ!! กูรู้ กูรู้ว่าตอนมันอยู่ ม.ต้นที่ต่างอำเภอมันเป็นนักกีฬามาก่อน แต่มันไม่เหมือนกันป่าววะ?”
“เชื่อกูสิ ตอนที่กูใช้มันไปถ่ายวีดิโอให้ มันก็กลับมาวิจารณ์เสียทะลุปรุโปร่ง และความเห็นส่วนใหญ่มันก็ตรงกับกู ทำให้กูคิดแผนแก้เผ็ดพวกทีมไอ้แฝดนั้นจนได้ และพอได้จับคู่ซ้อมกับมันบ่อยๆ ทำให้รู้ว่าน้องมันทักษะดีพอๆกับกูเลยนะ”

“..............” ไอ้ชัยเงียบและทำท่าคิดหนัก เหมือนกับทุกคนในห้องที่ไม่ได้พูดคุยกันเลย ทุกคนเหมือนตั้งใจฟังผมอธิบายเหตุผลของการวางแผนของผม
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะ ดีกว่าเล่นแบบเดิมให้พวกนั้นแก้ทางได้”
“เอาวะ! เพื่อชัยชนะ!!” ไอ้แจ็คพูดขึ้นในขณะที่ไอ้บอลพยักหน้าเห็นด้วยชัดเจน
“เออ! ต้องชนะเท่านั้น!!” ไอ้ชัยเสริมขึ้นมาทำให้ทั้งห้องกลับมามีกำลังใจที่จะแข่งอีกครั้ง ผมยิ้มกับภาพที่เห็น ในที่สุดผมก็สามารถทำให้ทีมกลับมาเป็นทีมได้อีกครั้ง

“แต่เดี๋ยวก่อน!!” ไอ้ชัยกระชากคอผม ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
“อะไรของมึง!!” ผมรู้เจ็บที่ท้ายทอยนิดหน่อย แรงเยอะฉิบหาย
“ว่าแต่... กูไม่เคยเห็นมึงจะเคยดูวีดิโอเหล่านั้นให้พวกกูเห็นเลย และมึงไปซ้อมกับไอ้นิคกี้ตอนไหนวะ?”
“ก็ช่วงที่มึงวุ่นวาย เรื่องของมึงไง กูห่วงว่าปีนี้กูจะแพ้ มันสำคัญกับกูมากนะ กูไม่ได้เรียนเก่งเหมือนพวกมึง กูอยากได้โควต้านักกีฬา กูไม่อยากให้พี่เอิร์ธต้องเป็นห่วงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย” ผมเอามือไอ้ชัยออกให้พ้นคอและหาที่นั่งคุยกับมันตรงมุมห้อง
“กูก็เลยใช้ไอ้นิคกี้ไปแอบถ่ายพวกนั้นซ้อมมา มันเป็นเด็กใหม่คงไม่ค่อยมีใครจำได้ ไฟล์มันยาวมากไอ้นิคกี้ก็เลยเอามือถือมันมาดูที่บ้านพี่เอิร์ธด้วยกัน”
“อ้อ...อยู่ด้วยกันบ่อยจังนะ ตั้งแต่แม่ไฟเขียวเนี่ย”  ไอ้ชัยมันพยักหน้ากวนๆใส่ผม
“ไอ้สาด!! มึงจะฟังต่อไหมเนี่ย!” ผมตวาดใส่มันไปที
“เออๆ แล้วไง ทำไมมึงถึงมั่นใจในตัวไอ้เด็กนี่จัง” ไอ้ชัยมันมองไปทางไอ้เด็กใหม่ตัวสูงชะรูดที่ยืนกระสับกระส่ายที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งด้วยความตื่นเต้น

“ก็ตอนกูนั่งดูอยู่กับมัน ระหว่างที่พล่ามไม่หยุดเกี่ยวกับสิ่งที่มันเห็น กูก็ไม่ได้สนใจฟังมันหรอก แต่พี่เอิร์ธน่ะสิเห็นแววมันเลยให้กูลองทดสอบทักษะบาสฯกับมัน ปรากฏว่านี่มันเพชรในตมชัดๆ!!”
“ถามจริง... มึงรู้ความหมายประโยคที่มึงพูดไหมเนี่ย?”
“กูก็ไม่แน่ใจ.. แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นโค้ชให้กูมองหาคนที่จะมาแทนกูมาตลอดเทอม กูว่ากูเจอแล้ว!”
“หากมึงพูดขนาดนี้ กูก็จะคอยดูนะ”
พอพูดจบไอ้ชัยก็เดินไปหาไอ้เด็กโย่ง ม.สี่นั้นทันที  ไอ้ชัยเหมือนจะไปพยายามพูดคุยให้เด็กนั่นผ่อนคลายกับการแข่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้

และแล้วการแข่งขันก็เป็นไปตามที่ผมคาดเดาไว้ ช่วงสิบนาทีแรก ทีมผมลองใช้แผนเดิมในการลงสนาม ปรากฏว่าทีมไอ้แฝดนรกนั่นรู้วิธีการส่งบอลของเรา เกือบทุกจังหวะ นับว่าทำการบ้านมาดี แม้เราจะพยายามเปลี่ยนแผนเร็วแค่ไหนแต่ก็เหมือนทีมนั้นปรับกลยุทธ์ตามเราได้อย่างทันท่วงที จนกระทั้งทีมผมตามอยู่ 10 แต้ม หลังจากผมเห็นว่าเราจะทำแต้มได้ยากขึ้นจากการบุกและตั้งรับแบบเดิมๆ ตอนนี้ทีมผมเริ่มอ่อนล้าและหมดกำลังใจจากการที่เราพลาดท่าให้กับทีมคู่แข่งบ่อยขึ้น ใน 10 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ผมตัดสินในเปลี่ยนแผนลับที่เตรียมไว้ทันที

ผมส่งสัญญาณบอกโค้ชให้พักเบรกและเปลี่ยนตัวให้นิคกี้เข้ามาอยู่ประจำตำแหน่ง เด็กผู้ชายสูงขาวแบบไทยๆ เดินเก้งก้างอย่างไม่มั่นใจเกินเข้าสู่วงล้อมของการประชุมทีมตัวจริงในช่วงพักเบรก และก้าวลงสนามไปด้วยสีหน้ากังวล แต่ที่แน่ๆคือทีมตรงข้ามค่อนข้างแปลกใจกับการลงมาของสมาชิกคนใหม่ในทีมผมถึงกับทำหน้าประหลาดใจจนเห็นได้ชัด

ทีมนั่นต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้แจ็คที่ถูกแทนทีด้วยไอ้เด็กไร้ชื่อที่ไหน สัญญาณเป่านกหวีดดังขึ้นเพื่อให้เวลาการเล่นเดินต่อไป การส่งบอลจากทีมฝั้งตรงข้าม โดยเริ่มจากหัวหน้าทีมที่อยู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่สูงที่สุด บอลถูกส่งให้กับสมาชิกทีมที่เร็วที่สุดอย่างไอ้เฟรมแฝดผู้พี่ ที่เลี้ยงบอลหลบหลีกเก่งได้อย่างกับจับวาง ทีมผมต่างพยายามตั้งโซนป้องกันอย่างที่เตรียมกันมา แต่อาจจะแปลกไปบ้างตรงที่ นิคกี้ไม่ได้ยืนตรงที่แจ็คควรจะยืนแต่เป็นตัวอิสระในการมองหาโอกาสตีโต้ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเพราะวินาทีที่ไอ้เฟรมตัดสินใจไม่ปะทะกับโซนป้องกันที่ทีมผมตั้งรออยู่ เขาเตรียมส่งให้กับมือชู้ตระยะไกลซึ่งในทีมมีสองคนคือ ไอ้ไอซ์น้องชายมันกับไอ้แขก (จำชื่อไม่ได้แต่เห็นหน้าเหมือนแขกอินเดียก็เลยเรียกแบบนั้น) ตัวเล็กที่สุดของทีม พอหลังจากที่ไอ้เฟรมเหวี่ยงบอลออกจากมือเพื่อส่งให้กับคนใดคนหนึ่งในนั้น ซึ่งตำแหน่งอยู่คนละทางเลยปีกซ้ายและปีกขวา เราเสียท่ากับการสับขาหลอกแบบนี้หลายครั้ง ไหนจะมีกัปตันทีมที่อยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์อีกคนที่คอยเก็บบอลตอนพลาดอีก คนนั้นสูงกว่าผมและทุกคนในทีมผม และยังตัดสินใจในการส่งบอลต่อได้เร็วมาก (อันนี้ผมนับถือ ว่าทีมนี้ซ้อมกันมาดีจริงๆ) แต่ไม่ใช่ครั้งนี้! จังหวะที่บอลลอยคว้างออกไปยังทิศปีกซ้ายที่เป็นที่อยู่ของไอ้ไอซ์ บอลกำลังพุ่งไปถึงแค่ระยะกลางทางก็มีมือยาวๆ ขาวๆ มาคว้าตัดหน้าไปเสียก่อน

ไอ้นิคกี้นั่นเอง!! พร้อมทั้งวิ่งพุ่งขึ้นไปที่ห่วงฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วชนิดที่ผมคิดไว้แล้วว่าเขาต้องทำได้

“เฮ้ย!! ทุกคน” ผมตะโกนเรียกสติทุกคนให้วิ่งขึ้นไปสนับสนุนไอ้นิคกี้เพราะทั้งทีมผมอยู่ในภาวะอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดอย่างรวดเร็วเมื่อสักครู่อยู่ แต่ผมว่าไม่ใช่แค่ทีมผมหรอก ทีมฝั่งตรงข้ามเองก็เป็นอะไรที่นึกไม่ถึงเหมือนกัน เสียงตะโกนของผมเหมือนปลุกทุกคนในสนามให้ออกจากภวังค์ เพื่อดำเนินเกมส์ต่อไป แต่ดูเหมือนว่าทีมไอ้แฝดนรกนั่นจะไปไม่ทันการชู้ตลงห่วงแบบสบายของไอ้นิคกี้เสียแล้ว การชู้ตครั้งนี้ของมันเรียกเสียงเชียร์ทั้งสนามให้ดังกระหึ่มและสร้างกำลังใจให้กับทีมอีกครั้ง ทุกคนในทีมผมวิ่งเข้าไปลูบหัวขยี้หัวไอ้นิคกี้จนแทบล้มพร้อมเฮกันลั่นและชื่นชมในความเก่งและการตัดสินใจที่ดีของนิคกี้ ผมยิ้มให้เขาไกลๆ ผมเห็นความมั่นใจแผ่ออกมาจากเขามากขึ้น สีหน้าดูสว่างไสวและมุ่งมั่นมากขึ้น

หลังจากนั้นตลอดทั้งการแข่งขันนิคกี้ทำให้กระบวนการส่งบอลทั้งหมดภายทีมฝั่งตรงข้ามรวนไปหมดเพราะเขาจับทางได้ทุกครั้ง อันนี้อาจจะเป็นพรสวรรค์ของเขา เพราะตอนที่มันไปพูดมากใส่ผมตอนดูวิดิโอบันทึกการซ้อมนั้น พี่เอิร์ธเกิดเห็นแววในตัวมันเข้าจึงให้ผมลองใส่ใจมันให้มากขึ้น ทำให้ผมมองเห็นพรสวรรค์ของนิคกี้ เขาจำทุกการส่งลูกได้หมดของทีมฝั่งตรงข้ามรวมถึงเห็นถึงวิธีการตัดสินใจของการส่งต่อบอลในแต่ละครั้ง ซึ่งเท่าที่ผมลองทดสอบก่อนหน้านี้ ปรากฎว่ามีความแม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ (สุดยอด) ผมเลยฝึกฝนให้มันเล่นเข้าขากับผมให้ดียิ่งขึ้น และให้นิคกี้เป็นไพ่ตายของผม สิ่งที่ผมกลัวมีแค่เรื่องเดียวคือการยอมรับจากเพื่อนในทีมซึ่งนิคกี้ก็กังวลเช่นกัน ผมมักจะบอกเขาอยู่เสมอว่าให้ทำให้เต็มที่ก่อน แล้วการยอมรับมันก็จะมาเอง วันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็น

ตลอดการแข่งขันหลังจากนั้น ทีมผมสามารถโต้กลับได้เร็วขึ้นและสามารถสกัดการทำคะแนน ของทีมฝั่งตรงข้ามได้เกือบตลอดทั้งเกม ทำให้คะแนนของทีมผมกลับมานำคะแนนทีมฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไม่ถึงห้าคะแนน ต่อไปนี้เป็นการแข่งที่สูสี ไม่มีใครได้เปรียบใครมากเหมือนเมื่อช่วงแรกของการแข่งขัน แต่ทีมผมใช้ความเจนสนามของสมาชิกในทีมซึ่งแข่งขันด้วยกันบ่อยจนแทบไม่ต้องมองหาก็สามารถทำตามความนึกคิดของอีกฝ่ายได้ ทำให้ทีมผมนำจนถึงช่วงท้ายเกมและชนะไปอย่างเฉียดฉิวเพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น พอเสียงนกหวีดเป่าหมดเวลา ความเหนื่อยตลอดการแข่งขันเหมือนถูกปลดเปลื้อง ผมมองคะแนนที่สกอร์บอร์ด แล้วกู่ร้องด้วยความดีใจก่อนจะล้มลงนั่งด้วยความอ่อนแรง ในที่สุดพวกผมก็ปกป้องแชมป์ได้สำเร็จ ทุกคนเดินมารวมตัวกันที่ผมและยกผมขึ้นมาโยนกลางสนามพร้อมส่งเสียงร้องไชโยอย่างมีชัย ผมมองไปที่จุดพยาบาลเห็นพี่เอิร์ธยิ้มและปรบมือ และยกนิ้วโป้ที่แปลว่ายอดเยี่ยมมาทางผม ผมรู้สึกดีใจที่ทำให้พี่เอิร์ธรู้สึกภูมิใจในตัวผม ( วันนี้ลองอ้อนแล้วจัดสักดอกพีเขาน่าจะให้- - ถ้าผมไหว)

........(ต่อ)..........

Happy new year every one!!
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 5 (อัพ 13/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 13-01-2018 17:38:43
พอวางผมลงทุกคนก็วิ่งไปนิคกี้ โอบล้อมด้วยท่าทีดีใจและยอมรับในตัวเขามากขึ้น ผมได้ยินแต่เสียงชื่นชมนิคกี้ที่ดูจากสีหน้าแล้วเขาคงอยากจะร้องไห้มากกว่าหัวเราะ

“สุดยอดเลยครับ” เสียงห้าวๆสากๆ แบบเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มดังขึ้นข้างผม
“..........” ผมหันไปหาต้นเสียง
“ทีมพี่..แม่งโคตรสุดยอด” ไอ้เฟรมแฝดผู้พี่ที่เดินมาจากไหนไม่ทราบมายืนยิ้มทั้งที่เหงื่อเต็มหน้าอยู่ข้างๆ
“ขอบใจ ทีมน้องก็สุดยอดเหมือนกัน ทีมพี่ไม่เคยทุ่มสุดตัวแบบนี้มาก่อน”
“กว่าจะได้แบบนี้พวกผมก็ซ้อมกันอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะครับ เป็นการแข่งขันที่สนุกจริงๆ! ผม.....เฟรมนะครับ พี่หลง”
ไอ้เฟรมยื่นมือมาทำท่าเชกแฮนด์เพื่อแสดงความเคารพแบบฝรั่ง ผมยื่นมือไปจับแบบไม่ลังเล และยิ่มแสดงความจริงใจให้คืนไป ผมทำท่าไม่แปลกใจที่เขาจะรู้จักผมเพราะดูจากสไตล์การเล่นแล้วก็รู้ว่าคงศึกษาพวกผมมาอย่างดี

“เอ่อ... ผมขอตัวก่อนนะครับ”เหมือนไอ้เฟรมเห็นอะไรบางอย่างดึงความสนใจของเขาและวิ่งตามไป ผมหันตามหลังที่สวมเสื้อกล้ามนักกีฬาสีขาวสลับเขียวที่วิ่งไปทางเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนผม เขาวิ่งไปจนหยุดอยู่ตรงหน้านิ่มที่พยายามช่วยคนในทีมที่เหลือเก็บอุปกรณ์สำหรับเชียร์กีฬาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งที่นิ่มทำงานร่วมอยู่กับทุกคนแต่ทุกคนกลับทำเธอเป็นอากาศธาตุ เหมือนเธอยืนอยู่ตรงนั่นคนเดียว

ผมมองการสนทนาของทั้งสองทั้งที่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน นิ่มพยายามที่จะหลบหน้าแต่อีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้แล้วเหมือนพูดอะไรบางอย่าง สายตาของนิ่มที่ดูเศร้าสร้อยนั้นผมสามารถมองเห็นได้จากจุดกลางสนามที่ผมยืนอยู่ มันคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เธอโดนแฉผ่านโซเชี่ยลโดยการ ‘ไลพ์’ เฟสบุ๊คของเพจ ‘หนุ่มน่ารักฯ’ ไป เธอก็แทบจะอยู่ที่โรงเรียนแบบสงบสุขไม่ได้ เพื่อนเริ่มทยอยเลิกคบเพราะความชั่วร้ายที่เธอทำมันเกินที่ใครในโรงเรียนจะรับได้จริงๆ

ไหนจะพี่โนที่เคยเอ่ยปากว่าจะไม่ให้เธอมีจุดยืนในสังคมนั่นอีก พี่โน่กัดไม่ปล่อยโดยการไปขุดเอาความชั่วที่เธอทำกับคนอื่น ทั้งแบล็คเมล์และกลั่นแกล้งอื่นสารพัด มาประจานลงโซเชี่ยลอีกเรื่อยๆ จนเธอเกือบจะถูกปลดจากการเป็นเชียร์ลีดเดอร์และตัวแทนอื่นๆของโรงเรียน โชคดีของเธอที่เธอมีความสามารถจริงๆ และหาใครมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตำแหน่งเธอได้ นิ่มจึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้

สุดท้ายการสนทนาจบลงด้วยที่นิ่มพยายามจะหนีแต่ถูกไอ้เฟรมกระชากเข้ากอดและพูดอะไรบ้างอย่างจนนิ่มสงบลง ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอกและภาวนาให้ความรักของทั้งสองลงเอยด้วยดี และขอให้นิ่มเลิกนิสัยแบบเดิมเสียทีเธอจะได้มีความสุขกับเขาบ้าง ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการแย่งชิงเหมือนการทำแต้มในเกมบาสเก็ตบอลหรอกนะ หวังว่าครั้งนี้นิ่มคงจะได้บทเรียนและมีความรักจริงจากไอ้เฟรมช่วยเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้น คนเมืองนี้ ลองได้ทำตัวดีๆหน่อยสักปีเดียวก็ลืมแล้ว อดทนไปก็แล้วกันนะ

“เป็นอะไรเหม่อเชียว?” เสียงทุ้มที่อ่อนหวาน (สำหรับผม) ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“พี่เอิร์ธ!!” ผมพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ
“เสร็จแล้วไปไหนกันต่อล่ะ”
“พี่หมอก็รู้ธรรมเนียมของที่นี่ ชนะหรือแพ้ก็ต้องฉลอง!! พี่ไปด้วยกันไหมครับ”
ใช่ครับ! ธรรมเนียมของที่นี่ คือการฉลองกับการแข่งขันที่อุตส่าห์เก็บตัวแข่ง ซ้อมกันหนัก ฉลองกับการทำที่เต็มที่ของทีม ซึ่งเป็นแบบนี้มานานจนการเป็นธรรมเนียมประจำทีมไปแล้ว เพียงแต่หากแพ้โค้ชจะไม่เลี้ยงก็เท่านั้นเอง
“ว่าแล้วเชียว! ไปกับเพื่อนในทีมเหอะ พี่มีเข้าเวรต่อถึงสองทุ่ม”
“................” ผมทำหน้าผิดหวังส่งไป
“เอาน่าๆ หากฉลองเสร็จแล้วก็ไปนอนบ้านพี่กันนะ พรุ่งนี้วันหยุดราชการนี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปฉลองด้วยกันนะ เอ้านี้กุญแจบ้านสำรอง พี่บอกน้ารุ่งให้แล้ว”
สมกับเป็นแม่ที่น่ารักจริงๆ พอพี่เอิร์ธ(ว่าที่สะใภ้) ขออนุญาติแล้ว อนุมัติทุกอย่างเลยนะ ส่วนเรื่องฉลองนี่ผมกะไว้ว่าจะไม่รอถึงพรุ่งนี้หรอก ขอคืนนี้เลยก็แล้วกัน
“ครับ แล้วเจอกัน”
แล้วผมกับพี่เอิร์ธก็แยกย้ายกันตรงนี้

........................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 6 (อัพ 19/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-01-2018 13:47:59
............

สุดท้ายก็จบที่ร้านหมูกะทะร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน คนแน่นร้านเพราะดันเป็นจุดหมายเดียวกันของนักกีฬาทุกคน โชคดีที่ร้านกว้างใหญ่พอสำหรับนักกีฬาทุกคนที่ตั้งใจมาเกือบครึ่งงาน ผมคิดว่าวันนี้ร้านนี้คงจะขาดทุนแน่นอนเพราะพวกนักฬาเป็นที่รู้กันว่ากินจุมาก (รู้สึกสงสารเจ้าของร้านขึ้นมาทันที)

จริงๆแล้วคนที่มาร่วมเลี้ยงเฉลองก็ไม่ได้มีแค่นักกีฬาเท่านั้น บรรดาเหล่าสต๊าฟกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์ก็มาด้วย ผมไม่เห็นนิ่มกับแฟนใหม่ของเธอ แต่ก็ไม่แปลกใจที่จะไม่กล้ามาเจอผู้คนเยอะๆแบบนี้ในเวลาที่เธอกำลังเป็นข่าวคาวๆ ขณะนี้

แต่ตอนนี้ปัญหาของผมคือ บรรดาสาวๆ เหล่าสต๊าฟกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์จากหลากหลายโรงเรียนกำลังผลัดกันเข้ามาทักทายผมจนผมแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากข้าวผัดวิญญาณกุ้งที่ตักมาจากโต๊ะบุ๊ฟเฟ่ฝั่งอาหารทานเล่น

“พี่มีไลน์ไหมคะ?”
“พี่คะแลกเบอร์กันไหมคะ?”
“พี่คะ นี่เบอร์หนูนะคะ?”
“พี่มีแฟนหรือยังคะ?”
“เสร็จนี่พี่ไปไหนต่อไหมครับ ไปเที่ยวต่อกันไหม?” (ฟังไม่ผิดหรอกครับ มีผู้ชายมาชวนผมไปต่อด้วยจริงๆ)

แต่ละคำชวน คำจีบ กรูเข้ามาจนผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นสักพัก ความจริงมันก็เกือบจะปกตินั่นแหละสำหรับนักกีฬาหน้าตาอย่างผม แต่ครั้งนี้ผมกลับปฏิเสธไปเสียทุกคน เพราะคนที่ผมคิดถึงอยู่ตอนนี้มีเพียงคนเดียว คือ พี่เอิร์ธเท่านั้น อยากกลับไปหาเขาเหลือเกิน แต่ไอ้เพื่อนเวรฝูงนี้ ยังกับฝูงซอมบี้ที่พยายามจะฉุดรั้งให้อยู่จนจบงาน เพราะต่างถูกอกถูกใจคนที่มาชวนผมคุยทั้งนั้น และพยายามใช้ผมเป็นพ่อสื่อให้ (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูเลย ไอ้พวกเวรนี่)

“พี่หลงๆ ขอบคุณนะครับวันนี้” นิคกี้เดินมาพูดกับผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซึ้งใจ
“เออ ไม่เป็นไร มึงเก่งของมึงอยู่แล้ว กูแค่ช่วยให้คนอื่นยอมรับก็เท่านั้น ปีต่อๆไปก็ฝากทีมเราด้วยนะ”
“จริงสิ! พี่จะเรียนจบแล้ว....” เสียงของนิคกี้ดูแผ่วลงที่ท้ายประโยค
“...........” ผมไม่พูดอะไรแค่ยิ้มกลับไปให้พร้อมพยักหน้า
“ได้ครับ ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง!!” นิคกี้ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น
“ดีมาก และที่สำคัญ อย่างลืมคำว่าทีมเด็ดขาด!!”
“ครับพี่!!..........ว่าแต่....... คนที่พี่ชัยไปคุยด้วยนี่ใครน่ะครับ?” นิคกี้มองกวีกับชัยนั่งกินข้าวคุยกันด้วยท่าทางสนิทสนม (โต๊ะตัวเองมีก็ไม่มากินด้วยกันนะไอ้ชัย ติดเมียจริงนะมึง!!)
“อ้อ!! กวี นักกีฬาทีม AAA วิทยาไง แฟนไอ้ชัยมัน!”
“หา!! เป็นแฟนพี่ชัย?? ผมไม่เห็นเคยรู้สึกเลยว่าพี่ชัยชอบผู้ชายด้วย!?!”
“ไปอยู่ไหนมาวะ คู่นี้ออกจะดังลั่นโซเชี่ยล”
“โหย... เสียดาย พี่กวีน่ารักมากเลย ว่าจะจีบสักหน่อย!”

“...........” ผมได้แต่มองเด็กผู้ชายสูง 179 ซม.ที่มองผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกว่าสองคนนั่นแบบเสียใจปนเสียดาย ผมแปลกใจที่นิคกี้มันมีรสนิยมแบบนี้ด้วย (แต่ก็ไม่แปลก เพราะตอนนี้ผมเองก็มองผู้ชายน่ารักอยู่หลายคน รวมถึงไอ้นิคกี้นี่ด้วย!! ไม่ๆ พี่เอิร์ธน่ารักที่สุดสิ)

สุดท้ายกว่าจะได้กลับถึงบ้านก็เลยสี่ทุ่มมานิดหน่อย ผมติดรถเพื่อนร่วมทีมที่อาศัยอยู่แถวบ้านพี่เอิร์ธมาส่งถึงหน้าประตูรั้วบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังเล็กที่ตอนนี้มืดเพราะเหลือดวงไฟที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่ดวง ภายในบ้านดูมืดและเงียบสงบ สงสัยว่าพี่เอิร์ธคงจะเข้านอนแล้วเพราะวันนี้ก็เป็นวันที่หนักหน่วงสำหรับพี่เอิร์ธเหมือนกัน มีคนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย (หมอหน้าตาดีสองคนอยู่จุดเดียวกันมันก็เลยคึกคักเป็นพิเศษ) มีตั้งแต่เป็นลมหมดสติไปจนถึงบาดเจ็บเล็กน้อย บางรายถึงขั้นกระดูกหัก ไม่แปลกเลยที่พี่เอิร์ธอาจจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว

ผมใช้เปิดกุญแจสำรอง เปิดเข้าไปในตัวบ้านที่มืดสลัว มีโน้ตอยู่ที่ประตูว่า ‘หากพี่หลับแล้วก็เข้าไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องพี่ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องอาบน้ำก่อนนอนเข้าใจไหม!!’

“ว้า....รู้ทัน” ผมพูดออกมาลอยๆ

ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอนอย่างเงียบเชียบเพราะไม่อยากรบกวนพี่เอิร์ธที่น่าจะหลับไปแล้ว ที่หน้าประตูห้องแปะโน้ตว่า เตรียมชุดนอนให้แล้ว วางอยู่ตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจก ผมอมยิ้มกับความเตรียมพร้อมของพี่เอิร์ธ

เมื่อบิดลูกบิดและผลักประตูให้เปิดกว้างออก สายลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในห้องปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง ทำให้ขนลุกขึ้นมาเพราะอากาศที่แตกต่างกันระหว่างนอกห้องกับภายในห้อง แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องมีเพียงโคมไฟริมห้องใกล้ห้องน้ำเปิดแรงไฟอ่อน แม้จะแสงจะสลัว
แต่ก็เพียงพอที่จะมองสภาพภายในห้องเห็นอยู่บ้าง ผมมองสำรวจเห็นพี่เอิร์ธที่นอนห่มผ้าห่มหันหลังให้ และกองชุดนอนที่เก้าอี้หน้ากระจกตามที่พี่เอิร์ธเขียนบอกไว้ เพียงแต่ดูเหมือนว่าชุดเหล่านั้นวางทับอะไรไว้ มันดูสูงผิดปกติ

ตอนนี้ผมเพลียมากจากการใช้ร่างกายอย่างฟุ่มเฟือยทั้งวันจนไม่มีแรงจะสำรวจอะไร ผมรีบขอหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำก่อน เพราะการอยู่ในห้องที่ต่ำกว่า 24 องศาฯ ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนาวแล้ว ก่อนจะขี้เกียจอาบน้ำผมคงต้องรีบจัดการตัวเองก่อน แล้วก็รีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไป .......

ผมออกจากห้องน้ำด้วยเนื้อตัวเปียกโชก ผมมองพี่เอิร์ธที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมรีบเช็ดตัวและหยิบกองเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างที่เคยทำทุกครั้งเพื่อจะได้รีบโดดไปกอดพี่เอิร์ธเป็นการขอโทษที่กลับมาเสียดึก

ทันที่ที่ผมกางเกงชุดนอนขึ้นมาใส่ ผมก็พบโน้ตแผ่นหนึ่งที่ติดไว้บนกล่องใต้เสื้อผ้า เขียนว่า

‘รางวัลแห่งความสำเร็จนะครับ ยินดีด้วย’

........ต่อ.......

Page 516
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 6 (อัพ 19/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-01-2018 22:40:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 7 (อัพ 20/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-01-2018 10:19:30
ผมอมยิ้มและดึงกระดาษโน้ตแผ่นใหญ่ออกจากกล่อง ที่เผยให้เห็นเป็นกล่องขนาดยาวประมาณหนึ่งฟุตสีดำสนิท มีโลโก้สินค้าดังติดอยู่ที่กลางกล่อง ด้วยความตื่นเต้นผมรีบเปิดฝากล่องออกทันที ภายในกล่องมีรองเท้ากีฬาหุ้มส้น สีดำสลับขาว ลายที่พื้นรองเท้าออกแบบอย่างปราณีต เป็นรองเท้ายี่ห้อดังรุ่นจำกัดจำนวน ที่หาซื้อยาก และแพงมาก ผมเคยบ่นๆกับพี่เขาสองสามครั้งเองว่าอยากได้ แต่ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ด้วยความดีใจทำให้ผมเกือบร้องลั่นออกมา แต่โชคดีที่คิดได้ว่าพี่เอิร์ธนอนหลับอยู่จึงทำให้เสียงออกมาแบบแผ่วๆ จนผมรู้สึกขำกับเสียงตัวเอง

ผมปิดฝากล่องและรีบแล่นไปที่เตียงเพื่อทำการขอบคุณเขาอย่างเงียบๆ โดยการขโมยหอมแก้มพี่เขาเบาๆ แล้วค่อยทำพิธีขอบคุณอย่างจริงจังในวันพรุ่งนี้

ผมค่อยๆ สอดตัวเองเข้าไปที่ในผ้าห่มใกล้พี่เอิร์ธที่นอนตะแคงอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง และค่อยๆสอดมือเข้าไปโอบกอดเขาเบาๆใต้ผ้าห่ม เอี่ยวตัวข้ามไปกดริมฝีปากที่แก้มของเขา

“รอจนจะหลับไปจริงๆ แล้วเนี่ย!”

เสียงเอิร์ธดังขึ้นจนผมสะดุ้งผงะไปข้างหลัง
“เฮ้ย!! พี่ยังไม่หลับเหรอเนี่ย?”
“ก็รอเซอร์ไพรส์หลงจนเกือบหลับไปจริงๆ แล้วเนี่ย!”
พี่เอิร์ธหันมาพูดกับผมที่ตอนนี้อยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งจากการผงะถอยออกมาด้วยความตกใจ
“ขอบคุณนะครับ ไปหาซื้อมาได้ยังเนี่ย ของมันหายากไม่ใช่เหรอ?”
“พี่มีเพื่อนเยอะ ของแค่นี้หาไม่ยากหรอก  พี่น่ะอุตส่าห์รีบกลับมารับของที่เพื่อนที่พี่ฝากเขาซื้อมาจากเมืองนอกเลยนะ ไหนจะต้องเลี้ยงข้าวมันอีก นึกว่าจะกลับมาไม่ทันเราเสียแล้ว แต่หลงดันกลับดึกซะงั้น!”

“ขอโทษครับพี่”  ผมขยับเข้าไปโอบพี่เอิร์ธที่นอนอยู่เพื่อง้อ เพราะเสียงพี่เขามีความน้อยใจแฝงอยู่นิดหน่อย
“อืม ไม่เป็นไร” พี่เอิร์ธยกศรีษะขึ้นมาเพื่อให้ปากของเขาชนกับริมฝีปากผมเบาๆ
“แล้วชอบไหม?” พี่เอิร์ธถามต่อ
“ชอบครับ... แต่ไม่ชอบเท่าพี่เอิร์ธ ผมชอบพี่เอิร์ธมากกว่า”
ผมกอดพี่เอิร์ธแน่นขึ้นพร้อมเอาหน้าซุกไปที่หน้าอกอุ่นๆของเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กบ้า จะให้พี่หลงเราไปถึงไหน?”
“ผมจะพี่หลงผมจนโงหัวไม่ขึ้นเลย!”  ผมเอาหน้าถูไถไปที่หน้าอกของพี่เอิร์ธจนได้ยินเสียงหัวใจพี่เขาเต้นแรงขึ้น
“หลง! พี่จั๊กจี้ หยุดนะ!” พี่เอิร์ธร้องขึ้น พร้อมใช้มือยกศรีษะผมขึ้นมาเสมอหน้าของเขา ผมมองเห็นเขาในแสงไฟสลัวนั่นได้ชัดเจน สายตาเริ่มปรับชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดในห้อง ผมเห็นสายตาที่เขามองผมอย่างโหยหา

เพียงเสี้ยวนาทีที่ผมกำลังคิดว่า เขาเป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ใจผมเริ่มสั่นระรัวกับความปรารถนาภายในกาย พี่เอิร์ธกลับเป็นคนเริ่มกดริมฝีปากลงมาที่ผมอย่างเร้าร้อน จนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน แท่งลิ้นที่อ่อนนุ่มเลียวนรอบริมฝีปากผมอย่างชำนาญ แต่การกระทำนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจ ยิ่งปลุกไฟที่รุมเร้าผมในตอนนี้ให้ตื่นขึ้นไปอีก ผมผลักพี่เขาให้นอนแผ่อยู่เบื้องล่างและกระโจนขึ้นทาบบนตัวเขาและกดริมฝีปากลงที่ปากสีชมพูสดอย่างดูดดื่ม ผมโลมลันรุกเร้าพี่เอิร์ธอยู่พักหนึ่งจนกลัวปากพี่เขาจะช้ำ ผมเลยหยุดมองหน้าเขาที่ดูน่าจะเปลี่ยนสีไปทั้งมาก สายตาพี่เอิร์ธดูเปลี่ยนไปจากปกติจนผมรู้สึกขนลุกไปหมด ความปรารถนาอย่างดุดันแสดงออกมาทางสายตาจนผมรู้สึกได้

ผมหยุดพักหายใจเพียงครู่ เปิดโอกาสให้พี่เอิร์ธได้เปลี่ยนท่า เขาผลักผมให้ล้มไปนอนหงายอยู่ข้างๆ พี่เอิร์ธในสภาพที่ถูกผมปลดเปลื้องกระดุมเสื้อชุดนอนออกจนเกือบหมด ลุกขึ้นมาขึ้นคล่อมผมจนผมรู้สึกถึงความแข็งแรงของเขาที่กลางลำตัวกระทบกับท้องน้อยผมอย่างจัง

“วันนี้หลงเหนื่อยแล้ว พักอยู่เฉยๆนะ เดี๋ยวพี่จัดการให้”
เสียงพูดสั่นๆ ปนหอบถูกพ่นใส่หูผมทันทีที่พี่เอิร์ธก้มลงมาประชิดหูผม หลังจากนั้นผมก็โดนพี่เอิร์ธใช้ริมฝีปากสัมผัสทุกส่วนตั้งแต่ใบหน้าจนไปถึงส่วนอก มือของผมที่ถูกมือของพี่เอิร์ธกดลงกับพื้นเตียงแน่นจนแทบขยับไม่ได้ บิดเกร็งไปด้วยรสสัมผัสแห่งความต้องการที่พี่เอิร์ธมอบให้อย่างร้อนแรง ผมไม่เห็นเห็นพี่เอิร์ธเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติผมจะเป็นคนไล่รุกพี่เขาให้ทำตามที่ผมต้องการบนเตียงมาตลอด (ก็ไม่กี่ครั้งที่พี่เขาจะยอม) แต่ครั้งนี้กลับเป็นผมเองที่โดนรุกไล่โลมเลียเสียจนผมอ่อนเปลี๊ยะไปหมด

พี่เอิร์ธใช้ปากสัมผัสผิวผมลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงท้องน้อยและลงไปถึงหลงน้อยที่ตอนนี้แข็งขันลุกขึ้นพร้อมสู้อยู่ ผมรู้สึกหนาวไปทั้งร่างกาย ไม่รู้ว่าเพราะการโดนโลมรันจากพี่เอิร์ธ หรือเพราะการที่เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องออกโดยไม่รู้ตัวกันแน่

ทันที่พี่เอิร์ธทำให้หลงน้อยชุ่มไปด้วยน้ำบ่อน้อยที่เอิร์ธบรรจงมอบให้อย่างแผ่วเบาที่ทำเอาผมบิดตัวไปมาร้องเสียงหลง เขาก็เปลี่ยนท่ายกตัวขึ้นมาจูบผมที่ปากเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบอะไรดังก๊อกแก๊กและกลับไปประจำที่เดิม ด้วยแสงที่ค่อนข้างจำกัดและจากการที่ผมหลับตาเคลิ้มมาตลอดกิจกรรมเมื่อครู่ทำให้ไม่แน่ใจว่าพี่เอิร์ธทำอะไรอยู่ จนกระทั้งหลงน้อยถูกสวมเสื้อผ้าและชโลมด้วยของเหลวเย็นๆ เพียงชั่วครู่ ผมก็เกือบร้องเสียงหลงจากการที่เจ้าหลงน้อยถูกบีบอัดเข้าไปในที่คับแคบ  สัมผัสหยาบลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะแบบไม่ตั้งใจทำให้ผมพบกับความหฤหรรษ์ที่พี่เอิร์ธมอบให้จนแทบกระอัก ผมลืมตาแอบมองพี่เอิร์ธที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะช้าบ้างเร็วบ้างจนผมรู้สึกทึ่ง ประหนึ่งผมเป็นม้าศึกที่ควบข้ามสนามรบเพื่อเอาชัยชนะ พี่เอิร์ธทำกิจกรรมตรงนั้นซ้ำๆอยู่เรื่อยๆ จนผมแทบจะทนไม่ไหวกับอาการปริ่มล้นที่แทบจะพุ่งออกมา กล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มเกร็งจนจะเป็นตะคริว

ผมตัดสินใจช่วยพี่เอิร์ธโดยการเอื่อมมือไปจับเอวเพื่อควบคุมจังหวะให้เหมาะสม การทำแบบนี้ให้ผลดีเกินคาดพี่เอิร์ธเริ่มส่งเสียงสอดประสานกับผมดีขึ้นจนในที่สุดผมก็ให้ความรักของเรามันล้นออกมาจนสุดแรง จนถึงนอนแผ่เพราะหมดแรงจากการเกร็งครั้งสุดท้าย  แต่พี่เอิร์ธยังขยับต่อไปอีกสักพีกจนผมเริ่มจะรู้สึกตื่นอีกครั้ง เพียงขยับเพิ่มอีกไม่กี่ครั้งพี่เอิร์ธก็ทำผมเลอะเทอะเนอะไปทั่วตั้งแต่ท้องจนถึงหน้าอก ผมดึงพี่เอิร์ธเข้ากอดไว้บนตัวแน่น

“ไม่เอาน่า เลอะเทอะหมดแล้ว ไปล้างตัวกันเถอะ”
พี่เอิร์ธพูดด้วยน้ำเสียงเขอะเขิน จนผมแอบยิ้ม
“แหม.. พี่... วันนี้เล่นทำเอาผมหมดแรงเลย นี่ยิ่งกว่าแข่งบาสฯอีกนะเนี่ย”
“ไอ้เด็กบ้า... งั้นทีหลังไม่มีแล้ว!!”
พี่เอิร์ธเหวี่ยงเสียงด้วยความเขินอาย และทำท่ายันแขนขึ้นเพื่อจะลุกหนี
“ไม่เอาน่าพี่ อย่างอนสิ พี่ทำแบบนี้กับผมได้ทุกวันที่พี่ต้องการเลย”
“ไอ้เด็กบ้า ไม่พูดด้วยแล้ว ลุกไปอาบน้ำเลย พี่หนาวจะแย่แล้ว”
“ไม่เอา กอดอยู่แบบนี้แหละ ดีจะตาย”
“ไม่เอา ไปอาบน้ำ!!” พี่เอิร์ธเสียงเข้มขึ้น
“พี่ไม่รักผมเหรอ?” ลองอ้อนด้วยมุกนี้
“เอ่อ.... รัก..... รักสิ ไม่รักจะทำให้ขนาดนี้รึไง!” เสียงพี่เอิร์ธแผ่วลงเรื่อยๆ จนผมแทบไม่ได้ยินท้ายประโยค
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“เออ รักไง ไม่รักเอ็งพี่จะทำขนาดนี้ไหม?”

คราวนี้ได้ยินชัดจากการถถูกตะโกนใส่หู ผมถึงกับดึงมือออกจากการโอบกอดพี่เอิร์ธมาถูที่หูเบาๆ พี่เอิร์ธได้โอกาสเลยเดินหนีเข้าห้องน้ำทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า ผมลุกจากที่นอนเดินตามไปติดๆ

“พี่มีทีเด็ดไม่เบานะเนี่ย ทำไมเก็บไว้ ไม่เอาออกมาใช้ตั้งแต่แรก!” ผมพูดขึ้นทันที่เอาตัวไปอยู่ใต้ฝักบัวกับพี่เอิร์ธ

“ไอ้เด็กบ้า..... พี่ก็....... ไม่เคยทำแบบนี้หรอก.... แต่..”
“แต่อะไร?” ผมถามย้ำเพราะเสียงพี่เอิร์ธเริ่มถอยหายไปอีกแล้ว
“ก็เพื่อนพี่มันบอกว่า มีแฟนเด็ก ก็ต้องมีทีเด็ดให้เด็กมันหลง มัดเด็กให้อยู่มัน มันก็เลยแนะนำให้ทำแบบนี้”
“โห... เพื่อนพี่สุดยอดอ่ะ แล้วมีทีเด็ดอะไรอีกไหม?”
“............” พี่เอิร์ธเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยใช้ความเงียบตอบแทน ดูจากอาการแล้วน่าจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ อาการขวยเขินแบบนี้ยิ่งดูน่ารักขึ้นไปอีก ผมตัดสินใจโผไปโอบกอดเขาจากข้างหลังทันที
“เฮ้ย!! ทำอะไร!!??!”
“พี่ก็ทำให้ผมหลงจริงๆ แล้วไง งั้นผมขอต่อเลยนะ!”
“เฮ้ยเดี๋ยว!!”
พี่เอิร์ธยังไม่ทันห้ามผมจนจบประโยค ผมก็เริ่มเล่าโล้มพี่เขาจนไม่สามารถปฏิเสธผมได้ และเราก็เริ่มกันอีกครั้งภายใต้ฝักบัวที่ส่งน้ำอุ่นออกมาเป็นเส้นฝอยไม่ขาดสาย..................

.................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 7 (อัพ 20/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2018 10:38:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 8 (อัพ 28/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 28-01-2018 12:29:03

ผมตื่นมาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มหนาผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้ม รู้สึกหนาวและคอแสบแห้งผาดจากอากาศที่แห้งเย็นภายในห้อง ผมค่อยๆให้สายตาปรับสภาพกับแสงสลัวในห้องที่ปิดทึบด้วยม่านกันแสงยูวีหนาสองชั้น ทำให้ภายในห้องมีบรรยากาศไม่ต่างกับกลางคืนเท่าไหร่ ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ตอนที่ร่างกายเพิ่งตื่นใหม่พยุงตัวลุกขึ้นและเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว ทำให้คอชุ่มชื่นขึ้นมาหน่อย

ผมบิดตัวเองเบาๆ ไล่เอาความง่วงและความเกียจคร้านออกไป ทำให้พบว่าตัวเองปวดเหมื่อยไปหมด ร่างกายเหมือนถูกสูบพลังออกไปและการนอนยังไม่สามารถเติมเต็มพลังกายได้หมด จากสภาพห้องที่ปิดทึบทุกด้านยากจะคาดเดาได้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

ผมจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเมื่อวานผมนอนตอนไหน ผมหลับไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมกับพี่เอิร์ธเราต่างได้มอบความสุขให้แก่กันหลายครั้งจนผมลืมนับไปแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้คืออาการปวดเหมื่อยและอาการแสบร้อนในบางพื้นที่ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น

ผมขยับร่างกายตัวเองไปหาคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้างๆ ในสภาพนอนคว่ำและแขนข้างหนึ่งตกออกนอกเตียงจนมือถึงพื้น ปกติพี่เอิร์ธจะเป็นคนนอนนิ่งและเรียบร้อยมาก ผมเลยรู้สึกแปลกใจกับท่านอนที่แปลกประหลาดของพี่เขามาก ผมโอบกอดพี่เขาทางด้านหลังที่เปลือยเปล่าของพี่เอิร์ธ ใช้มือสอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างลำตัวกับแขนขวาและแขนซ้าย ใช้หน้ากดลงไประหว่างร่องกล้ามเนื้อบริเวณหลัง สัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวพี่เอิร์ธ

“ไม่เอาแล้วนะหลง พี่ไม่ไหวแล้วนะ”

พี่เอิร์ธพูดลอยๆขึ้นมาเหมือนละเมอทำให้ผมแอบที่จะขำไม่ได้ (ผมเองก็จะบอกว่า ‘ก็ไม่ไหวแล้วนะ’ เหมือนกัน) พี่เอิร์ธพยายามพลิกตัวและสลัดผมให้หลุดออกจากท่าเดิม แต่กลายมาเป็นหันมาประจันหน้าผมแทน เสียงลมหายที่พ่นเข้าออกของพี่เอิร์ธชัดเจนขึ้นเมื่อมาอยู่ใกล้ในระยะนี้ เขายังหลับตาและอยู่ในภาวะเหมือนจำศีล ผมพยายามใช้มือลูบโครงหน้าเล็กๆ ของเขา ดวงตาและสันจมูกที่สวยได้รูป ผมนอนจ้องแผงขนตาเหล่านั้นได้ไม่เบื่อเลย ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองชอบมองของเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มองเขาโดยเฉพาะในระยะนี้

“จัองกันขนาดนี้พี่ก็เขินนะ”
“หึ..... จ้องแฟนตัวเองมันแปลกตรงไหนครับ ตื่นแล้วหรือครับพี่?” ผมยิ้มออกมาเพราะมันเหมือนพี่เอิร์ธละเมออยู่จริงๆ (แต่หลับตาอยู่แบบนี้รู้ได้ไงว่าผมจ้องอยู่นะ?)
“อืม... ง่วงนะแต่หิวมากกว่า สงสัยออกกำลังมากไปหน่อยเมื่อคืน”
“ก็เมื่อคืนอ่อยผมขนาดนั่น ผมก็ขอปล่อยทีเด็ดบ้างสิ!!” ผมพูดกึ่งหัวเราะออกไป
“ทีหลัง ไม่เอาแล้วนะ พี่เจ็บไปทั้งตัวแล้วเนี่ย!” พี่เอิร์ธพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“พี่ก็เลิกทำตัวน่ารักสิ ผมจะได้เลิกหลงพี่แบบโงหัวไม่ขึ้นเสียที” ผมพูดสวนไปทันที หลังจากจบประโยคของผม พี่เอิร์ธก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดเขาแน่น เขายิ้มและไม่พูดอะไรปล่อยให้ความอบอุ่นของร่างกายเราสองคนสอดประสานกัน ใช้จังหวะหัวใจของเราสองคนเต้นประสานจังหวะกันให้เป็นทำนองเดียวกัน จนกระทั่งสติของผมค่อยหายไปตามจังหวะหัวใจของเราสองคน

.......................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 8 (อัพ 28/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2018 19:12:13
พี่เอิร์ธ หลง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หลง แหย่พี่เอิร์ธแรงนะเนี่ย
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 9 (อัพ 29/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-01-2018 16:12:12
.......................................

กว่าผมกับพี่เอิร์ธจะเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าค้าใหญ่ของตัวจังหวัดก็เกือบบ่ายสองแล้ว หลังจากที่เราหลับกันต่อในช่วงเช้า และถูกพี่เอิร์ธปลุกเพราะความหิวของเขา ผมเลยเสนอให้เราออกมาหาอะไรอร่อยๆ กินกันเป็นมื้อรวมเช้ากับกลางวันไปเลย อีกอย่างจะได้เดินยืดเส้นสายที่ต้องขดอยู่บนเตียงตลอดช่วงเช้าด้วย (หลังอาบน้ำเสร็จมาผมโดนตีไปหลายครั้งเพราะผมดันมันมือมือไปหน่อยทำพี่เอิร์ธมีรอยแดงตามตัวเต็มไปหมด)

เราหาอะไรกินง่ายๆ ด้วยความหิวที่ร้านประจำของผม ต่อด้วยธรรรมเนียมของพี่เอิร์ธที่ต้องเดินเล่นย่อยอาหาร เหมือนเช่นทุกครั้ง พี่เอิร์ธมักจะมีอาการตื่นเต้นกับสินค้านานาชนิดที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า ปากก็บ่นว่าไม่ไม่ค่อยได้มีเวลามาเดินเล่นแบบนี้เท่าไหร่ เป็นหมอนี่ลำบากเหลือเกิน สุดท้ายก็ซื้อของเต็มมือเต็มไม้ไปหมด (เต็มมือผมนี่ไง!!) และที่จะขาดไม่ได้คือร้านรองเท้าคัทชูสำหรับใส่ทำงาน ผมแอบแซวไปหลายครั้งแล้วเรื่องรองเท้าของพี่เอิร์ธที่เขามีจนสามารถใส่ได้ทั้งเดือนไม่ซ้ำ (ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะมีทำไมหลายคู่)

“อ้าว! ใช่พี่เอิร์ธจริงๆด้วย” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพี่เอิร์ธด้วยท่าทางลังเล ผมที่กำลังนั่งรอพี่เอิร์ธเลือกรองเท้าถึงกับต้องสะดุดสายตาเพราะเธอสวยและแต่งตัวดูดีเกินกว่าที่จะเป็นคนท้องที่

“อ้าว!! ลูกเกด!! ไปไงมาไงล่ะเนี่ย?” พี่เอิร์ธหันมายิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตร การแสดงออกแบบนี้แปลว่ารู้จักกันดี ปกติผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนหรือคนรู้จักของพี่เอิร์ธเท่าไหร่ ญาตินี่ไม่ต้องพูดถึง พี่เอิร์ธเป็นคนไม่ค่อยผูกมิตรกับใครง่ายๆ การแสดงท่าทีเป็นมิตรแบบนี้คงเป็นเพราะรู้จักกันดีมากแน่นอน

“ก็.... มาทำธุระกับ....อืม... คนรู้จักน่ะคะ” หญิงสาวพูดเหมือนพยายามจะปั้นคำตอบออกมา
“มาเสียไกลกรุงเทพเลยนะ” พี่เอิร์ธพูดพร้อมรอยยิ้มที่ผมแทบจะไม่เคยเห็น
“อืม.. คะ..... แล้วพี่เอิร์ธหยุดหรือคะ แล้วมาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย?”
“ก็ว่าจะมาซื้อรองเท้าเพิ่มสักครู่ รองเท้าที่มีก็เริ่มสึกหมดแล้ว”
“เป็นหมอหรือเป็นทหารค่ะเนี่ย ต้องเดินทางไปรักษาในป่าด้วยไหมคะเนี่ย?”
“ก็มีบ้างนะ แต่ส่วนใหญ่ะเตรียมรองเท้าแบบลุยๆ ไป .....เอ๊ะ!!! นี่แซวพี่ป่าวเนี่ย?!?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า......... พี่เอิร์ธความรู้สึกช้าเหมือนเคยเลยนะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”  พี่เอิร์ธหัวเราะตามแก้เขินทันที

เป็นการสนทนาที่ผมนั่งอยู่ไม่ไกลแต่กลายเป็นคนนอกขึ้นมาทันที แต่ก็แอบเห็นด้วยกับหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ จนเผลอขำออกมาไม่รู้ตัว

“อ้อ นี่หลง มากับพี่เองล่ะลูกน้ารุ่งที่พี่เคยเล่าให้ฟัง น้ารุ่งที่พี่มาอยู่ด้วยสมัยเรียนไง” พี่เอิร์ธพยายามอธิบายทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้นทำท่าทางสงสัยกับอาการขำของผมในระยะประชิดซึ่งไปแทรกบทสนทนาของทั้งสองคน

“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้องหลง ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณหมอขี้เหงานะคะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ผมว่าสลับกันมากกว่า พี่หลงต่างหากที่คอยดูแลผม ฮ่าฮ่าฮ่า”
“........” หญิงสาวทำหน้านิ่งจนผมคิดว่ามุกตีสนิทของผมคงจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว
“หลง.. นี่พี่ลูกเกดนะ เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทแม่พี่เอง เมื่อก่อนบ้านอยู่ติดกันก็เลยเล่นด้วยกันบ่อยๆ จนพี่มาสอบติดหมอนี่แหละก็เลยห่างๆ กันไป”
“สวัสดีครับ เอ่อ.....”
“สวัสดีคะ เรียกพี่ลูกเกดก็ได้คะ แล้วมากันสองคนหรือคะ”
“ครับพี่ลูกเกด.. เมื่อวานไปค้างบ้านพี่เอิร์ธก็เลยมาหาข้าวทานกัน”
“ว้าย!! เดี๋ยวนี้พี่เอิร์ธกินเด็กเหรอคะ?” พี่ลูกเกดหลุดพูดออกมาเสียงดัง จนผมอดไม่ได้ที่จะเขินและมองไปรอบๆ
“ชู่ส์ๆๆ... เบาหน่อยสิลูกเกด” พี่เอิร์ธรีบตัดบท
“อ้อคะ ขอโทษนะคะ แล้วมันจริงไหมคะ?”
“เอ่อ..... คือ....”

€~>€€~<¥>~~

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิต ผมยังไม่ชินกับการถูกคนไม่คุ้นเคยมาถามเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แม้จะไม่อายที่จะบอกว่าพี่เอิร์ธน่ะแฟนผมแต่มาเจอสาวสวยเหมือนนางฟ้ามาจี้ถามต่อหน้าแบบนี้มันเลยรู้สึกแปลกๆ

“คะ...... คะ...... ได้คะ....... เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
เสียงพี่ลูกเกดหันหลังไปคุยโทรศัพท์เสียงใส
“ขอตัวก่อนะคะ คือโดนตามตัวแล้วนะคะ คือลูกเกดแอบมาเดินเล่นรออีกคนที่มาด้วยเขาทำธุระอยู่นะคะ”
พี่ลูกเกดหันมาพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มและร้อนรน
“มาเที่ยวกับแฟนก็บอกพี่ได้นะ ไมเห็นต้องปิดบังเลย พี่ไม่บอกพ่อน้องหรอก!”
“แหม... พี่เอิร์ธน้องยังไม่มีแฟนเสียหน่อย นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องธุระทางบ้าน ลูกเกดไม่มาไกลขนาดนี้หรอกพี่ก็รู้ ขอตัวไปก่อนนะคะ”
พูดจบเธอก็ตอกส้นสูงเดินไปอย่างรวดเร็ว ผมกับพี่เอิร์ธหันไปมองกันด้วยท่าทางขบขันกับสาวไฮโซ ที่มาเดินห้างฯ ต่างจังหวัดแบบนี้ เดินด้วยท่าทางร้อนรนแต่ก็ยังสง่าเหมือนเดินบนรันเวย์เดินแบบ ดูมันไม่ค่อยเข้ากับสภาพแวดล้อมเสียเท่าไหร่

“ดูสนิทกับพี่ดีนะครับ”
“ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก”
“เธอดูไฮโซมากเลยนะครับ”
“เพื่อนแม่พี่ก็มีแต่แบบนี้แหละ”
“.............” ผมมองหน้าพี่เอิร์ธเมื่อเวลาที่พี่เอิร์ธพูดถึงแม่ทุกครั้ง พี่เอิร์ธจะทำหน้าแปลกไปจนอธิบายไม่ถูก ดูเหมือนคิดอะไรอยู่แต่พอผมถามเขาก็มักจะพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทุกครั้ง เขามักไม่ค่อยพูดถึงครอบครัวตัวเองเท่าไหร่ เพราะจากสีหน้าของเขาเวลาพูดถึงเรื่องครอบครัว ทำให้ผมไม่กล้าที่จะถามต่อ ผมพยายามไปสืบจากแม่แล้ว แต่แม่ก็บอกแค่ว่าครอบครัวพี่เอิร์ธไม่สมบูรณ์แบบเหมือนที่เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกของพี่เอิร์ธที่ทุกคนคิดว่าน่าจะมีความสมบูรณ์แบบ หากอยากรู้มากกว่านี้ให้พี่เอิร์ธเล่าเองดีกว่า แต่ผมก็ไม่เคยกล้าถาม

“เพื่อนแม่พี่... ก็แม่ผมเนี่ยนะ!” แม่ผมเป็นคนเรียบง่ายสมถะมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เออ! ใช่พี่ก็ลืมนึกไป พี่ว่าน้ารุ่งน่าจะเป็นข้องดเว้นนะ เพราะตั้งแต่รู้จักเพื่อนแม่ทุกคน มีน้ารุ่งนี่แหละไม่เหมือนใคร แต่รู้ไหม? พี่ว่ามีน้ารุ่งคนเดียวนี่แหละที่พูดกับแม่พี่แบบตรงไปตรงมาได้คนเดียว”
“จริงง่ะ?”
“จริงสิ! ก็ตอนพี่มาอยู่ที่นี่น่ะ น้ารุ่งโทรศัพท์ไปต่อว่าแม่พี่ตั้งหลายเรื่อง แต่แปลกนะที่แม่พี่ไม่เคยโกรธน้ารุ่งเลย ดูท่าทางจะเกรงใจมากด้วย”
“แม่เจ๋งอ่ะ แสดงว่าแม่พี่เป็นคนดุมาก?”
“แม่พี่เป็นผู้หญิงทำงานเก่ง เป็นคนใหญ่คนโตของบริษัท ใครๆก็เกรงใจ”
“อ้อ.... แล้วแม่ผมไปดุแม่พี่เรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เรื่องที่แม่พี่แยกทางกับพ่อพี่แล้ว จับพี่ย้ายหนีมาอยู่ไกลขนาดนี้แล้วไม่มาดูแลนั่นแหละ”
“อ้าว....แล้วทำไมเลิกกันล่ะครับ?”
“........ เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้!” พี่เอิร์ธอยู่ๆก็เสียงเข้มขึ้น
“ครับๆ แต่แปลกนะ ผมก็ไม่เคยเห็นแม่พี่จริงๆ นะแหละ ผมจะมีโอกาสไปกราบแม่ของเมียบ้างไหมครับ?”
ผมพยายามทำตัวตลกเหมือนเช่นทุกครั้งเพื่อคลายบรรยากาสที่ดูจะตึงเครียดขึ้น

“..................” พี่เอิร์ธมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย และเงียบเฉยไป ทำให้ผมรู้สึกว่าร้านรองเท้าที่ยืนกันอยู่มีบรรยากาศเย็นขึ้นจนสัมผัสได้
“เอ่อ...... พี่เอิร์ธครับ....... พี่เลือกรองเท้าได้หรือยังครับ?”
ผมพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศ
“เอ้อ... อืม..... แม่เขาก็ยุ่งตลอดแหละ พี่เองก็ไม่ค่อยได้เจอ...”
“อ่า... ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมก็พูดไปงั้นแหละ มีโอกาสก็คงได้เจอกัน แล้วเรื่องรองเท้า....?”
ผมทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เจอคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม
“เออ! จริงด้วย พี่เอาคู่นี้แหละ สวยไหม?”  พี่เอิร์ธชี้รองเท้าที่ตัวเองกำลังลองสวมใส่อยู่ ผมได้ยิ้มตอบไปเชิงเห็นด้วย

................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 9 (อัพ 29/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-01-2018 16:49:06
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 9 (อัพ 29/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-01-2018 20:17:31
มีแววดราม่านะ
เหมือนหลงจะต้องได้เจอแม่พี่เอิร์ธ
ดูๆ ลูกเกดจะปิดบังเรื่องคนที่มาด้วย
เหมือนคนที่มากับลูกเกด ต้องรู้จักเอิร์ธ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 9 (อัพ 29/01/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-01-2018 20:36:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 10 (อัพ 03/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 03-02-2018 15:01:33
นับจากวันแข่งกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด ความรู้สึกของผมเหมือนจะผ่านไปไม่นาน แต่ตอนนี้ทั้งโรงเรียนก็เข้าสู่บรรยากาศของการเตรียมสอบปลายภาคแล้ว รวมถึงการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ทุกคนดูหมกหมุ่นกับการอ่านหนังสือกันไปหมด ส่วนผมช่วงหลังๆ มานี่ โค้ชเรียกผมไปคุยด้วยบ่อยครั้งเกี่ยวกับโควต้านักกีฬาของผม ซึ่งจากผลงานในช่วงวันกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดที่ผ่านมา ผมทำได้ดีจนมีมหาวิทยาลัยมาให้เลือกถึงสามมหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยท้องถิ่นและที่กรุงเทพฯ

โค้ชแนะนำให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพเพราะทีมแข็งแรงกว่าและมีคณะที่น่าสนใจเยอะ โดยเฉพาะคณะที่เกี่ยวกับการกีฬาอย่างวิทยาศาสตร์การกีฬาน่าจะเหมาะกับผมที่เรียนสายสามัญแทบจะเอาตัวไม่รอด ติดอยู่ที่ต้องมีเกรดที่ดีระดับหนึ่ง (2.50 ขึ้นไปแต่ผมนี่ เฉียดไปมาอยู่แถว 2.25-2.40) ในใจผมกะจะเลือกมหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดนี้ แต่พี่เอิร์ธก็เป็นอีกคนที่อยากให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่เอิร์ธ ช่วงนี้เลยกลายสภาพเป็นเหมือนช่วงก่อนสอบกลางภาคที่ถูกบังคับให้เรียนพิเศษกับไอ้คู่รักหัวดีนั่นจนกว่าจะสอบเสร็จ เลยกลายเป็นว่าช่วงนี้ทำให้ผมไม่ได้เจอพี่เอิร์ธเท่าไหร่ และพี่เอิร์ธก็ไม่เคยชวนผมไปนอนที่บ้านของเขาอีกเลย เพราะอ้างว่าผมจะเสียสมาธิ ทำให้อ่านหนังสือสอบไม่เต็มที่ หากสอบได้ตามเป้าคือ จะต้องมีเกรด 3 เกินครึ่งจึงจะให้ผมมาค้างที่บ้านเขาได้ พี่เอิร์ธบอกว่ามันเป็นการเสริมแรงให้ผมอยากอ่านหนังสือเพื่อสอบให้ผ่าน แต่ผมนี่สิเหมือนจะขาดใจ โดยเฉพาะที่ต้องมานั่งมองไอ้สองคนตรงหน้าอย่างไอ้ชัยกับไอ้กวีมาจู๋จี๋กันอยู่ตรงหน้า (หมั่นไส้...แอบปาหมอนใส่มันไปหลายครั้ง!)

แล้วแล้วช่วงเวลาแห่งความทรมานของผมก็สิ้นสุดลง วันที่สอบปลายภาควิชาสุดท้าย พี่เอิร์ธบอกว่าให้เอาผลการเรียนทั้งหมดที่ผ่านตามเกณฑ์ที่ตกลงกันไปให้เขาดูจึงจะสามารถไปพบเขาที่บ้านได้ ด้วยความใจร้อนและการมีทักษะทางวาจาที่ดีเลิศบวกกับใช้ความเป็นลูกของอาจารย์ในโรงเรียนผมจึงขอให้อาจารย์แต่ละท่านตรวจข้อสอบและคำนวนเกรดคร่าวๆให้ (แล้วให้ไอ้ชัยที่เก่งคำนวนช่วยคำนวนเป็นเกรดเฉลี่ยอีกที) ทำให้ผมมีผลคะแนนไปแสดงให้พี่เอิร์ธเร็วกว่ากำหนด (ผมทนไม่ไหวแล้ว ที่ผ่านมาได้เจอหน้ากันก็จริง แต่ก็เจอที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็ตามร้านอาหาร ไม่ได้กอดพี่เอิร์ธเป็นเดือนแล้ว พี่เขาจะรู้ไหมว่าผมคิดถึงสัมผัสของเขาขนาดไหน?)

หลังจากรบกวนอาจารย์หลายท่านกับไอ้ชัยให้ช่วยคำนวนเกรดเฉลี่ยให้จนเสร็จก็ล่วงเลยไปดึกมากแล้ว วันนี้พี่เอิร์ธก็ต้องอยู่เวรดึก เลยต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้พาตัวเองไปหาเขา (แม่ช่วยห้ามด้วยเลยต้องยอม)

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวรีบบึ่งไปหาพี่เขาแต่เช้าที่บ้านพร้อมติดอาหารเช้าที่ผมมักจะซื้อไปฝากเขาเป็นประจำเหมือนทุกครั้งที่ผมมาหาพี่เอิร์ธแต่เช้าแบบนี้ (ความจริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ แต่ก็เช้าที่สุดของผมแล้ว)

ผมไขกุญแจเข้าบ้านพี่เอิร์ธด้วยกุญแจสำรองที่พี่เอิร์ธเคยให้มาด้วยความเคยชิน เปิดประตูเข้าไปในรั่วบ้านและรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านเพื่อเข้าไปเตรียมอาหารเช้าให้คนขี้เซาข้างบนที่อาจจะตื่นมาด้วยความหิวในอีกไม่ช้า ผมอยากจะให้เขาแปลกใจที่เจอผม แต่ผมจะไม่ขึ้นไปปลุกเขาหรอก ผมว่าจะรอให้เขาลงมาทำหน้าแปลกใจเมื่อเจอผมนั่งอยู่ในตัวบ้าน

แต่ก็กลายเป็นผมเองที่ต้องประหลาดใจเพราะบนโต๊ะอาหารกลับมีอาหารเช้าเตรียมไว้อยู่แล้วทั้งไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง และแฮมชิ้นหนาสีชมพูสวย และยังมีไอร้อนกรุ่นออกมาพร้อมกลิ่นที่ชวนให้น้ำย่อยทำงานเสียงดัง (ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย)

‘เฮ้ย!?! พี่เอิร์ธรู้ว่าเราจะมาหรือวะ?’ ผมพูดออกกับตัวเองที่หน้าโต๊ะอาหารและวางโจ๊กและหมูปิ้งที่ซื้อมาบนโต๊ะอาหาร

เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บันได ผมหันไปทางต้นเสียง และแปลกใจไม่คิดว่าพี่เอิร์ธจะตื่นขึ้นมาเวลานี้ได้ ปกติเขาจะต้องนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงถึงจะตื่นมาหาอะไรกิน แต่นี้หากเลิกเวรเช้ามันก็ผ่านมาแค่ 2 ชั่วโมงเอง ผมเห็นชายเสื้อคลุมอาบน้ำที่คุ้นเคยแต่อากัปกิริยาการเดินนั่นแปลกไป พี่เอิร์ธไม่เคยเดินนวยนาดแบบนี้ และในที่สุดภาพตรงหน้าก็ทำให้เห็นว่าคนที่ลงมานั่นไม่ใช่พี่เอิร์ธแต่เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยแม้จะอยู่สภาพไร้เมคอัพและผมยังไม่ได้จัดทรงดี เธอสวมชุดคลุมอาบน้ำของพี่เอิร์ธอย่างหลวมๆ อาจเพราะตัวเล็กกว่าพี่เอิร์ธมาก ทำให้มีสภาพเหมือนฮอบบิทในคลุมของจอมเวทย์ในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง ผมไม่ได้แสดงท่าทางขบขำใส่เธอกับชุดที่เธอสวมใส่ที่ไม่เข้าทรงกัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึดว่าเธอเซ็กซี่มากเพราะในความหลวมโครกเหล่านั้นทำให้เผยให้เห็นเนินเนื้อที่หลุดออกมานอกเสื้อคลุมหลายที่ ความขาวเนียนเหล่านั้นทำให้ผมหยุดมองไม่ได้ นี่เหมือนเธอไม่ได้สวมชุดนอนไว้ข้างในเลยนี่!!

“อ้าว!! น้องหลง พี่ก็นึกว่า...... มาทำอะไรแต่เช้าเลยคะเนี่ย?”
พี่ลูกเกดเสยผมไปด้วยระหว่างที่พูดทำให้เกิดช่องว่างของแขนเสื้อเมื่อเธอยกมือขึ้น ทำให้ผมเห็นทะลุเข้าไปเห็นเนื้อขาวๆด้านใน ผมแน่ใจได้เลยว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้นมันชุดวันเกิดชัดๆ

“เอ่อ.... ผมซื้ออาหารเช้ามาให้พี่เอิร์ธนะครับ”
ผมชี้ไปที่ถุงอาหารบนโต๊ะข้างๆ
“อุ้ย! ขอบใจนะจ๊ะ แต่วันนี้พี่เตรียมให้พี่เอิร์ธแล้วล่ะ งั้นเก็บอันนี้ไว้ทานวันหลังนะจ๊ะ”
พูดจบเธอก็เดินมาคว้าถุงบนโต๊ะไปโยนที่หลังเคาเตอร์สำหรับเตรียมอาหารในส่วนห้องครัวอย่างไม่ใยดี
“เอ่อ...... พี่เอิร์ธ....”
“อ้อ พี่เอิร์ธยังไม่ตื่นนะจ๊ะ คงรู้ใช่ไหมว่าหากขึ้นไปปลุกตอนนี้จะเป็นยังไง” เธอพูดสวนออกมากับคำถามที่ผมกำลัวจะถามว่าพี่เอิร์ธยังนอนอยู่ใช่ไหม? ผมต้องรู้อยู่แล้วผมอยู่กับพี่เอิร์ธมาตั้งกี่เดือนแล้วผมไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียแต่เช้าหรอก

“ครับ.... งั้นผมขอนั่งรอได้ไหมครับ”
“อ้อได้คะ เดี๋ยวพี่ขอไปแต่งตัวดีๆ ก่อนนะอายจังที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ให้น้องเห็น”

แล้วเธอก็เดินขี้นไปพร้อมคำถามมากมายในหัวของผมที่ไม่กล้าถามออกไป ผมจำได้ว่าที่นี่มีห้องนอนแค่สองห้อง ห้องรับรองแขกก็หลังคารั่วและแอร์ฯเสียอยู่ตอนนี้เท่าที่ผมจำได้ แปลว่าตอนนี้พี่ลูกเกดนอนเตียงเดียวกับพี่เอิร์ธเหรอ...... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้นอนเตียงเดียวกันในสภาพกึ่งเปลือยแบบนั้น แต่พี่เอิร์ธไม่น่าจะชอบผู้หญิงนี่นา แล้วไหนจะอาการต่างๆของพี่ลูกเกดที่ชวนให้เข้าใจผิดเยอะแยะนั่นอีก และพี่เขามาพักอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน???? ในหัวผมมันคิดจนแทบระเบิด อยากจะรีบเดินขึ้นไปคุยกับพี่เอิร์ธให้กระจ่างเลยแต่คงจะไม่เหมาะหากมีคนอื่นอย่างพี่ลูกเกดกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง

กริงก๊องๆๆๆ

เสียงกริ่งที่รั่วบ้านดังอย่างต่อเนื่องเป็นเหมือนระฆังหมดยกให้ผมหยุดคิดเรื่องนี้ แล้วหันมาสงสัยว่าใครกันที่มาหาพี่เอิร์ธแต่เช้าขนาดนี้?

ผมเดินไปที่ประตูหน้าบ้านก็พบว่ามีผู้หญิงน่าจะรุ่นเดียวกับแม่ผม เธอแต่งตัวดูดีเหมือนหลุดออกจากละคร แบบผู้หญิงทำงานในออฟฟิศ แม้จะดูมีอายุแต่ก็ไม่รู้สึกว่าแก่ แต่งหน้าค่อนข้างจัด ทรงผมที่ดูทันสมัย เสื้อผ้าที่ดูคล่องตัว สวมรองเท้าส้นสูงขนาดเท่าตะเกียบและสูงเหมือนเธอกำลังเล่นกายกรรมอยู่

“เธอเป็นใคร?”

ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูรั่วเอ่ยขึ้นมาอย่างห้วนๆ พร้อมถอดแว่นกันแดดอันโตเกือบเท่าใบหน้าเธอออกมาเผยให้เห็นแววตาที่ดูเยียบเย็นและเฉียบขาด รวมกับปากสีแดงวาวและสำเนียงการพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยยังไงบอกไม่ถูก

“เอ่อ... ผมเป็น....”
“สวัสดีคะคุณแม่ ขอโทษนะคะ หนูขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาน่ะคะ” เสียงใสๆ ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“สวัสดีจ๊ะลูก แล้วเด็กนี่ใคร? มาทำอะไรในบ้านตาเอิร์ธเนี่ย?”
“อ้อ.... ก็เด็กพี่เอิร์ธไงคะ” พี่ลูกเกดเดินมาเปิดประตูให้กับผู้หญิงปากแดงคนนั้น ผมรู้สึกเป็นคนนอกอย่างไงก็ไม่รู้
“เหรอ............ คนที่เกดเล่าให้แม่ฟังน่ะเหรอ?”

“สวัสดีครับ”
ไม่ว่าเป็นใคร แต่เราเป็นเด็กก็ควรไหว้ผู้ใหญ่ไว้ก่อน ผมยกมือไหว้ทันที่รู้ว่าน่าจะเป็นคนรู้จักของทั้งพี่ลูกเกดและพี่เอิร์ธ เธอรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มสั้นๆ ประมาณสองวินาทีเห็นจะได้ มันสั้นมาก ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก

“หลงจ๊ะ คนนี้คือแม่พี่เอิร์ธจ๊ะ” พี่ลูกเกดที่อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมทั้งเสื้อผ้าและทรงผมได้เอ่ยแนะนำคนที่เพิ่งปรากฏตัวมา (แม้เป็นหน้าสดพี่ลูกเกดก็ยังดูดี)

“..............” ผมยกมือไหว้อีกครั้งด้วยความตกใจ ผมไม่เคยเจอแม่พี่เอิร์ธมาก่อน พี่เอิร์ธเคยบอกว่าแม่เขาต่างจากแม่ของผมมากไม่รู้ว่ามาเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ ต่างกันทั้งนิสัยและรสนิยมจริงๆ

“ดีเลย มาเจอเราก็ดีจะได้ไม่ต้องตามหาแล้วนัดพบ เอ่อ... แล้วเอิร์ธล่ะ?” แม่พี่เอิร์ธหันมาจ้องผมและหันไปถามพี่ลูกเกดต่อทันที
“ยังนอนอยู่คะ คือพี่เขาพึ่งกลับเวรดึกตอนเช้ามืด นี่ก็เพิ่งหลับไปเองคะ”
“โอเค... เธอ... มานี่สิ” สีหน้าของแม่พี่เอิร์ธดูเข้มขึ้นจนผมรู้สึกหวาดๆ
“ผมเป็นลูกแม่รุ่งนะครับ เคยแต่ได้ยินแม่พูดถึงไม่เคยเจอตัวจริง คุณแม่เป็นสวยอย่างที่แม่เล่าจริงๆ นะครับ” ผมรู้สึกต้องหาทางตีสนิทเพื่อลดความตึงเครียดนี่ คิดอะไรออกก็เลยพูดขึ้นมาเลย

“....... เธอเป็นลูกยัยรุ่ง?” คุณแม่พี่เอิร์ธหันมามองพร้อมเสียงสูงที่ท้ายประโยค
“เอ่อ... ครับ...” ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนตัวหดลงขนาดเท่ามด ในขณะที่แม่พี่เอิร์ธสูงใหญ่ขึ้นเท่าต้นไทรต้นใหญ่ จากสายตาที่ท่านมองมา
“ดี!! จะได้คุยกันง่ายๆ” แม่พี่เอิร์ธพูดจบก็เดินนำไปทางด้านข้างของบ้านที่มีเก้าอี้ในสวนที่จัดไว้สวยงามโดยผมเมื่อไม่นานมานี่ ผมเดินตามไปอย่างว่าง่าย และตามมาด้วยสาวหน้าใสอย่างพี่ลูกเกดที่ไม่พูดอะไรเลยหลังจากประโยคแนะนำตัวผมกับแม่พี่เอิร์ธในตอนแรก

“แม่ชอบตรงนี้จัง จัดได้สวยร่มรื่นดี” แม่พี่เอิร์ธพูดจบก็กระแทกนั่งที่เก้าอี้สานสีดำคลับ
“ผมจัดให้พี่เอิร์ธเองละครับ เห็นพี่เขาไม่ค่อยมีเวลา”
“เหรอ...... นั่งลงสิ” แม่พี่เอิร์ธตอบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ และใช้สายตาชำเลืองมองเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งเป็นเชิงคำสั่งให้ผมนั่งลงตรงจุดนั้น
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 11 (อัพ 10/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-02-2018 15:45:16
“เอาล่ะ!! แม่ขอพูดตรงประเด็นเลยนะ!”
“เอ่อ... ครับ” ผมนั่งยังไม่ทันเรียบร้อยก็โดนจู่โจมด้วยสายตาที่รุนแรงของอีกฝ่าย ส่วนพี่ลูกเกดก็เหมือนรู้งานเดินไปนั่งข้างๆ คุณแม่พี่เอิร์ธอย่างเรียบร้อย

“แม่อยากให้เราเลิกกับพี่เอิร์ธซะ!!”
“..........” ผมเบิกตากว้างมองผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“แม่น่ะรู้หมดแล้ว ลูกเกดน่ะเขาบอกแม่เอง ตาเอิร์ธกับลูกเกดน่ะเขาสนิทกันมาก ไม่มีความลับต่อกัน”
“แต่ผมกับพี่เอิร์ธ.. เรารักกัน” มันเป็นคำพูดที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถพูดเพื่อให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้น โดยที่แอบเห็นพี่ลูกเกดดูมีท่าทีอึดอัดกับคำพูดของผม

“ชื่อหลงใช่ไหม? หลงลูกลองคิดดูสิว่ามันถูกต้องหรือเปล่า? เรื่องที่เราทำกันอยู่น่ะ? คิดถึงอนาคตของพี่เอิร์ธบ้าง!! พี่เอิร์ธเป็นคนเก่งมากเราน่าจะรู้ดี ในอนาคตพี่เอิร์ธอาจจะต้องไปได้ไกลกว่าที่พวกเราคิดมาก และการที่คบกับเธออยู่อาจจะเป็นตัวถ่วง!! มันเป็นเรื่องผิดปกติ ผิดธรรมชาติ!!”

“เอ่อ.... คือ.....” ความรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ผมบอกตามตรงว่าไม่เคยนึกถึงจุดนี้ ผมรู้แต่ว่าเรามีความสุขกัน แค่เรามีความสุขไปทุกวันก็พอ

“พูดไม่ออก? แปลว่าเธอเห็นด้วยกับแม่!”
“...........” ผมไม่กล้าสบตาคุณแม่พี่เอิร์ธ เพราะกลัวจะตอบเห็นด้วยทางสายตาออกไป บอกตามตรงการมาถูกผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยแบบนี้มันทำให้ผมเริ่มคิดมากขึ้นมาอีก

“ นี่!! ... พี่ลูกเกด ท่าทางรู้จักกันแล้วใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าและมองตามที่แม่พี่เอิร์ธชี้ไปที่พี่ลูกเกด
“เธอคือคู่หมั้น ที่แม่กับครอบครัวของลูกเกดตกลงหมั่นหมายกันมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่ยังไม่ทันได้เข้าพิธี ตาเอิร์ธก็หนีไปอยู่พ่อเขาเสียก่อน เพราะไอ้ผู้ชายรูมเมทนั่นมาติดพันอยู่!!”
“...............” ผมนึกไปถึงไอ้คนที่ชื่อ ‘เอ’ คนนั่น
“แม่ก็นึกว่า พอตาเอิร์ธมันเลิกกับไอ้หมอคนนั้น มันจะได้กลับมาเป็นปกติเสียที ก็ดันหนีมาอยู่เสียไกลปืนเที่ยงแบบนี้!! แล้วมิหน้ำซ้ำยังมามีสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายที่เป็นลูกของเพื่อนอีก โอ้ย!! ฉันล่ะปวดหัว!!”  ท่าทางของคุณแม่พี่เอิร์ธเหมือนมาระบายมากกว่าจะมาขอร้องอะไรผม

“แต่ว่า.... แม่ผม.....”
“แม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร จะบอกว่าแม่รับรู้และอนุญาติให้คบกันใช่ไหม? ก็ไม่แปลก ยัยรุ่งก็ชอบทำอะไรแปลกๆ แบบนี้แหละ แต่แม่ไม่ยอมหรอกนะ ดังนั้นมันทำให้แม่ต้องใช้แผนขั้นสุดท้าย!!”
คุณแม่พี่เอิร์ธตบโต๊ะดังปัง ในขณะที่พี่ลูกเกดก็เกิดอาการหน้าแดง อายม้วนขึ้นมา  ผมเผลอตกใจกั
บสิ่งที่แม่เขาทำไปเล็กน้อย
“แม่ขอให้ลูกเกดช่วยดึงเอาความเป็นชายของตาเอิร์ธกลับมา”
ผมแอบกรอกตาและนึกไปถึงวันที่พี่เอิร์ธโดดขึ้นมาขี่ผมจนผมอ่อนระทวย ‘มันจะเป็นไปได้เหรอวะ?’ ผมแอบคิดในใจ

“และทุกอย่างก็ไปได้ดี ในระหว่าง หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันสองต่อสองบนเตียงเดียวกัน เคมีบางอย่างทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ..... ใช่ไหม เมื่อเช้าก็เพิ่งเกิดนี่ เห็นเล่าให้แม่ฟังอยู่?”
ผมเบิกตาโพลงอีกรอบพร้อมกับมองไปทางพี่ลูกเกดที่ทำท่าเขินอายตามคำพูดของคุณแม่พี่เอิร์ธ เฮ้ย!! มันเกิดอะไรขึ้นวะ!

“นี่นะ!! พอแม่รู้นะ แม่ดีใจม๊ากมาก!! กว่าแม่จะบังคับให้ตาเอิร์ธ ยอมสวมแหวนหมั้นให้ลูกเกดได้นี่แทบแย่!!”
แล้วแม่พี่เอิร์ธก็ดึงมือของพี่ลูกมาวางบนโต๊ะเผยให้เห็นแหวนสีเงินแวววาวประดับเพชรเม็ดใหญ่ที่นิ้วนางข้างซ้าย ผมจ้องสิ่งนั่นตาไม่กระพริบ ไม่ใช่ว่าผมเห็นว่ามันสวยหรูดูแพงหรืออะไร แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้เหรอ?

“ตาเอิร์ธเขาคงคิดได้ คิดอยากจะบอกกับหลงเอง แต่แม่ว่าไม่ต้องรอให้เอิร์ธมาอธิบายหรอก เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกไม่ควรอยู่แล้ว แม่ก็เห็นด้วยนะแต่แม่อยากพูดเองมากกว่า!”

“คุณแม่หมายความว่าไงครับ?” ตอนนี้สมองของผมมันเหมือนประเมินผลไม่ค่อยทันกับประโยคมากด้วยคำพูดของหญิงสาวอาวุโสที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“ก็หมายความว่า... แม่อยากให้เราสองคนเลิกพฤติกรรมแบบนี้เสียที แล้วทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง!”
“พี่เอิร์ธต้องการจะเลิกกับผม?”
“ใช่! และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตาเอิร์ธต้องรับผิดชอบ และต้องแต่งงานกับลูกเกด!”

“ผมอยากอยู่รอคุยกับพี่เอิร์ธได้ไหมครับ?” ผมไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นผมนึกภาพพี่เอิร์ธเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ไม่ออก ผมอยากได้คำยืนยันจากพี่เอิร์ธด้วยตนเอง

“ไม่ต้องหรอก! เชื่อแม่ หลงกลับไปเถอะลูก มันจะทำให้ทุกอย่างมันอึดอัดมากกว่าเดิม แล้วก็เลิกติดต่อพี่เอิร์ธเสียเถอะ แม่เตรียมเรื่องงานแต่งไว้หมดแล้ว เธอจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง!”
คุณแม่พี่เอิร์ธลุกขึ้นและผายมือเป็นคำเชิญให้ผมออกไปให้พ้นจากตัวบ้าน
“ผมอยากเจอพี่เอิร์ธก่อนได้ไหมครับ ผมรอพี่เอิร์ธตื่นได้ ผมแค่อยากฟังจากปากพี่เขา?”
ผมลุกขึ้นและเดินตามผู้หญิงสวยสูงวัยที่ทำท่าต้องการให้ผมออกจากตัวบ้านโดยเร็ว
“แม่ทำเพื่อเธอทั้งสองคนนะ อย่าทำให้ตัวเองเสียใจไปกว่านี้เลย แม่เข้าใจนะแต่ความสัมพันธ์แบบนี้มันก็ต้องจบแบบนี้แหละ จะวันนี้หรือวันข้างหน้าวันไหน ของแบบนี้จะเป็นความรักที่ยั่งยืนอะไร?!?”
เธอเดินถึงประตูบ้านและเปิดประตูรั่วและใช้สายตาไล่ผมอีกรอบ

“...............”
ผมจนปัญญาที่จะพูด ผมมองไปที่พี่ลูกเกดที่ก้มหน้าก้มตาไร้คำพูดอยู่ข้างๆ คุณแม่พี่เอิร์ธ ผมมองขึ้นไปตรงหน้าต่างชั้นสองที่ม่านถูกปิดสนิท และมีแรงสั่นไหวเล็กน้อยด้วยแรงลมจากเครื่องปรับอากาศ ผมเชื่อว่าเราพูดคุยกันเสียงดังขนาดนี้พี่เอิร์ธต้องตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์บ้าง แต่ม่านหน้าต่างก็ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ผมจนปัญญาที่จะพูดอะไรได้อีก ทำได้แค่เพียงก้าวขาออกไปให้พ้นรั่วบ้าน และมองตัวบ้านด้วยความรู้สึกที่ผมบรรยายไม่ถูก น้ำตาลูกผู้ชายมันเอ่อร้นออกมาไม่รู้ตัวแบบไร้เสียงใดๆ ไม่นานเสื้อผมก็เปื้อนคราบน้ำตา ผมเดินออกจากซอยบ้านพี่เอิร์ธแบบไร้จุดหมาย เป็นครั้งที่สองในปีเดียวกันที่หัวใจผมต้องเจ็บปวดแบบนี้ มีคนบอกว่าหากเคยบาดเจ็บจากความรักมาแล้ว ครั้งต่อไปจะไม่เจ็บเท่าครั้งแรก ผมว่ามันไม่จริงเลย ทำไมผมเจ็บขนาดนี้ หากเป็นบาดแผลจริงๆ ผมคงทนพิษบาดแผลตายไปแล้ว
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบหก part 12 (อัพ 12/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 12-02-2018 15:14:49
ปี๊ปๆๆ

เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นจากทางซ้ายมือ เท้าผมหยุดลงด้วยความตกใจ ผมพบตัวเองยืนอยู่กลางถนนสี่แยกไฟแดงที่ตอนนี้สัญญาณไฟจราจรจะเป็นสีเขียว

“ไอ้น้องจะบ้าเหรอไง!! อยากตายเรอะถึงได้เดินแบบนี้!!”
ผมก้มหัวขอโทษไปทางต้นเสียงและเดินต่อไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน
“เอ้ย!!! หลง!! หลงใช่ไหม? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ผมหันไปมองหญิงสาวที่เพิ่งด่าทอผมเสียงดังเมื่อสักครู่ เป็นพี่พิ้งค์นี่เอง
“สวัสดีครับ” ผมยิ้มแห้งทักทายกลับไป
“ไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ ตาแดงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เฮ้ย!! แก เจอก็ดี เจ้มีเรื่องจะถาม มากับเจ้ก่อนได้ไหม?”
“อืม... ครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ ไหนๆ ก็ไม่ทีอะไรทำ ผมกำซองจดหมายขนาดครึ่งเอสี่ เดินขึ้นรถไป ซองจดหมายที่มีผลการเรียนของผม

“สวัสดีครับ พี่หลง”
เสียงจากเบาะหลังดังขึ้น หลังจากผมเดินขึ้นรถด้านข้างคนขับ
“เอ่อ...ดี เอ่อ.... ไอซ์ใช่ไหม?”
ผมมองคนที่นั่งหลังเป็นไอ้เด็กนักกีฬาบาสฯ ติ่งไอ้ชัยมัน นั่งอยู่ด้วยสภาพกึ่งยับเยิน

“แม่นแล้ว!! เก่งนะเนี่ย”
“ปางตายแล้วยังจะปากดีอีก!!” เสียงเจ๊พิ้งค์แหลมขึ้นมา
“อ้าว...ไปทำอะไรมาเนี่ย!!”
“เรื่องมันยาวพี่” ไอซ์ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆก่อนพูดออกมา
“จะมีอะไร๊.. ก็หาเรื่องไปโดนตีนนะสิ!!”
“โห... เห็นคนเดือนร้อนผมก็ต้องไปช่วยไหม?”
“เอ็งรู้จักพี่โน่น้อยไป แค่สองสามคนพี่โน่จัดการได้!!”
“เออ!! ผมมันโง่เอง!!” เสียงโอดครวญมาจากเบาะหลัง

“ว่าแต่จะถามอะไรผมล่ะครับเจ๊?”
ผมรีบตัดบทก่อนที่การสนทนาจะเลยเถิด
“เรื่องคนที่ชื่อ ‘โน้ต’ น่ะ เห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องนิ่ม รู้จักไหม?”
“อืม........ เหมือนจะเคยเจอนะ เห็นว่ามีร้านกาแฟสวยๆ แถวชานเมือง ก็ไอ้ร้านที่นิ่มจัดงานวันเกิดไง เคยเจอไม่กี่ครั้ง เพราะไม่ค่อยอยู่ร้าน หน้าตาดีใช่ได้เลยล่ะ เจ๊สนใจเหรอ?”
“บ้า!! ฉันไม่สนใจไอ้พวกนักเลงหัวไม้พวกนั้นหรอก!!!”
“เหรอ.....????” ผมลากเสียงยาวเชิงประชด ส่วนไอ้เด็กที่นั่งหลังนี่หลุดหัวเราะคิกคักออกมา

“อาร์ท เป็นข้อยกเว้นจ๊ะ เห็นอย่างนั้นเขาเรียนเก่งนะยะ อีกนิดก็เกียรตินิยมแล้วยะ!!”
“จ้าๆ ชั่วโมงอวดผัวว่างั้น!!”
“ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวตีตายเลย ไอ้ข้างหลังก็ด้วยเดี๋ยวไม่พาไปโรงพยาบาลเลย” เจ๊พิ้งค์มองตาเขียวใส่ผ่านกระจกมองหลัง
“ขอโทษฮัฟ” ไอ้เด็กไอซ์เบาะหลังไหว้ประหลกๆ
“เอ่อ.... แล้วจะไปหาพี่หมอไหม พี่กำลังจะพาไอ้ลิงนี่ไปโรงพยาบาลพอดี” เจ๊พิ้งค์หันมาคุยกับผมที่ยิ้มตามท่าทางตลกๆของไอ้เด็กที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวแวะส่งผมที่แยกหน้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินไปนิดหนึ่งก็ถึงบ้านแล้ว”
“อ้าว!! ทำไมล่ะ ปกติเห็นกระตือรืนร้นยิ่งกว่าไปเรียนหนังสือ”
“ก็พี่เอิร์ธเขา...... อยู่บ้านแล้ว.....อืม.... ผมกลับบ้านดีกว่า...”
พอพูดถึงพี่เอิร์ธแล้วร่างกายผมมันรู้สึกชา ทุกอย่างในสายตาผมมันดูมืดลงไปถนัดตา

“อ้อ... ไปเจอและทำ ‘ธุระ’ กันแล้วสินะ ถึงได้ไปเดินแถวนั้น”

“.................” ผมไม้ได้ตอบคำถามนั่น ได้แต่มองออกไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถหลากสีในยามสายของวันหยุด ผมพยายามมองหาสิ่งอื่นให้คิด ไม่อยากจะคิดถึงพี่เอิร์ธตอนนี้ ผมต้องเข้มแข็งเอาไว้พยายามอดทนกับความรู้สึกที่บรรยายออกไม่ได้นี้ที่ผมอุตส่าห์อดกลั้นมานานตั้งแต่เจอพี่พิงค์จะพังทลายลงมา
“หลง! หลง! เหม่ออะไรน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เอ้อ... เปล่าครับ.... แล้ว... แล้วพี่ถามถึงคนชื่อโน้ตทำไมล่ะ?”
“อ้อ!! ไม่มีอะไรเจ๊แค่สงสัยว่า ไอ้คนชื่อโน้ตเนี่ย!! คงพยายามจะเขย่าบังลังค์ราชานักเลงอย่างพี่โน่น่ะสิ!!”

........................................


ผมกลับถึงบ้านด้วยท่าทางที่ขาดความกระตือรือร้น ผมเดินทอดน่องเข้าประตูรั่วบ้านด้วยความคิดอะไรมากมายในหัวกับคำถามที่ผมแทบจะหาคำตอบไม่ได้  ผมเฝ้าถามตัวเองในใจมาตลอดการเดินทางกลับมาที่บ้านว่าสิ่งที่ผมเจอนี่ใช่เรื่องจริงหรือไม่? แต่ทุกอย่างมันก็ดูลงตัวไปหมด ทั้งช่วงนี้ที่พี่เอิร์ธขาดการติดต่อกับผม ทั้งเรื่องที่ไปเจอพี่ลูกเกดในบ้านพี่เอิร์ธในสภาพนุ่งห่มน้อยชิ้น ทั้งแหวนทั้งอาการต่างๆ ของพี่ลูกเกด ไหนจะคำพูดยืนยันจากแม่พี่เอิร์ธอีก!! ผมไม่รู้จะหาคำอธิบายไหนมาแก้ตัวให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

ผมเดินจนมาถึงบริเวณหัองนั่งเล่นของบ้านที่ว่างเปล่า ผมมองไปยังโซฟา ที่ๆ ผมเจอกับพี่เอิร์ธครั้งแรกที่บ้าน  นึกถึงเตียงนอนที่เราเคยนอนอยู่ข้างๆ กัน..... มันจะไม่มีภาพแบบนั้นอีกแล้วหรือ?

“หลง!  ทำไมกลับมาเร็วจังลูก พี่เอิร์ธไม่ว่างหรือลูก?” เสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิตผมดังขึ้นไม่ไกล

“แม่..... คือ......”
“อะไร? เป็นอะไรลูกหน้าซีดๆ ไม่สบายหรือลูก?”
“ไม่..... ไม่ครับแม่ผมสบายดี?”
“แล้วนั่น..... อะไร?”
แม่ผมเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นห่วงพร้อมคว้าซองจดหมายที่ผมเขียนเกรดคร่าวๆ ที่คำนวนโดยไอ้ชัยใส่กระดาษไว้ภายในขึ้นมาแกะดู

“ว้าว! ไม่เคยเห็นแกมีเกรดสามเยอะขนาดนี้เลยนะนอกจากวิชาพละศึกษา!”
“ครับ... ก็เพราะทุกคนนั่นแหละครับ”
“ดีๆ วันนี้พ่อแกกลับมาบ้านพอดี จะได้โชว์ให้พ่อแกภูมิใจหน่อยว่าเวลาแกตั้งใจอะไรก็ทำได้ แม่ทำมื้อเที่ยงไว้รอแล้ว ไปล้างหน้าล้างแล้วลงมากินข้าวพร้อมหน้ากัน”

“ครับ”
ผมเดินหันหลังขึ้นบันไดไปโดยมีพ่อเดินสวนลงมาพอดี
“สวัสดีครับป๊า” ผมไว้ทักทายพ่อแบบผ่านๆ
“เออ ดี.... เดี๋ยวรีบลงมากินข้าวนะ ไม่เจอเอ็งอยู่บ้านตอนกลางวันแบบนี้ตั้งนานแล้ว จะได้กินข้าวพร้อมหน้ากันบ้าง!!”

“ครับ”
ผมเดินต่อไปแบบแทบไม่มองหันหลังกลับเลย ปกติผมค่อนข้างจะเกรงใจป๊ามาก เวลาป๊าอยู่บ้านผมมักจะเกร็งๆ และยิ่งเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกไม่อยากอาหารยังไงบอกไม่ถูก อยากจะปฏิเสธแต่ก็กลัวโดนดุอีก เลยได้แต่เดินทอดน่องแบบเซ็งๆ เวลาแบบนี้ใครจะมากินลงกันล่ะ ในเมื่อหัวสมองผมยังคิดวนเวียนกับเรื่องเมื่อเช้าไม่จบสิ้น

ผมเดินเข้าห้องน้ำมุ่งตรงไปที่อ่างชำระล้างหน้ากระจก เปิดน้ำและกวักน้ำใส่หน้าตัวเองแรงๆ เผื่อว่ามันจะช่วยล้างความคิดเหล่านั้นออกจากหัวบ้าง น้ำเย็นๆ อาจทำให้หัวผมโล่งบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ผมยังคงมีความรู้สึกเช่นเดิมอยู่ ผมกวักน้ำกระแทกหน้าซ้ำไปมาเหมือนคนบ้า นอกจากจะทำให้ตัวเปียกและหน้าแดงแล้ว แต่ความคิดในหัวมันยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิม

“ไอ้หลง เอ็งจะอยู่ข้างบนอีกนานไหมป๊าหิวข้าวแล้วนะ!!!”

เสียงดังที่สะเทือนสติผมให้กลับมาจากความมืดในจิตใจ ผมคงต้องไปทำหน้าที่ลูกที่ดีก่อนค่อยกลับมาคิดเรื่องนี้ต่อไปว่าจะเอายังไงกับความรักของตัวเองดี

บรรยากาศในการรับประทานอาหารมื้อเที่ยงในวันหยุดแบบนี้หายากพอสมควรที่เราจะอยู่กันแบบพร้อมหน้าเพราะพ่อก็มักจะออกไปวิ่งเทียวไปมาระหว่างโรงงานกับบริษัทเพื่อดูแลกิจการขนาดกลางของท่าน ในขณะที่ผมเองมักจะมีกิจกรรมตามประสาวัยรุ่น ผมกับพ่อก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่?

“หลง.. แม่เอ็งบอกว่าเอ็งสอบได้คะแนนดีขึ้นหรือ ไหนป๊าดูหน่อยสิ?” พ่อเอ่ยถามแบบกระทันหันในขณะที่ข้าวยังเคี้ยวอยู่ในปาก ทำให้เกือบสำลักออกมา
“เอ้าๆ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวแม่เดินไปหยิบมาให้”
แม่พูดขึ้นพลางทำหน้าที่แม่ที่แสนดีเดินไปหยิบกระดาษที่คำนวนเกรดแผ่นนั้นเดินมาให้พ่อผมถึงโต๊ะ

“เดี๋ยวนี้ เขาให้เกรดกันแบบเขียนใส่เศษกระดาษแบบนี้เหรอวะ?”
“ป๋าก็.. ไม่ใช่ครับ คือผมเดินไปถามคะแนนเก็บอาจารย์กับคะแนนที่สอบปลายภาคมาแล้วก็เลยลองคำนวนเป็นมาครับ ผมให้ไอ้ชัยช่วยคำนวนให้ คงไม่ผิดไปจากนี้เท่าไหร่ครับ”

“..............” ป๊ามองผมพลางหยิบแว่นจากกระเป๋าเสื้อโปโลสีเขียวซีดขึ้นมาสวมและใช้สายตาไล่เรียงตามความยาวของกระดาษเอสี่
“เป็นไงป๊า?” แม่ผมถามพร้อมยิ้มด้วยความภูมิใจ แต่ผมนี่ใจลอยกระแทกไปมาในอกจนแทบจะระเบิดเพราะสีหน้าพ่อผมไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยตอนไล่อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ

“เออ!! ถ้าตั้งใจก็ทำได้นี่ ไม่นึกว่าจะได้เห็นเลขสามบนหน้าแสดงผลการเรียนเอ็งเลยนะเนี่ย!” พ่อผมลงท้ายด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ครับ” เป็นคำตอบเดียวที่ผมจะพูดออกไปได้หลังใจกลับไปอยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายเหมือนเดิม

“ดีๆ จะเรียนจบอยู่แล้ว รู้รึยังว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน สาขาอะไร?” พ่อวางกระดาษแผ่นนั้นลงและถามต่อ
“เอ่อ..... คือ...” เป็นอะไรที่ผมยังไม่ได้นึกถึงมาก่อนจริงๆ
“ไม่เป็นไร.... เรียนอะไรก็เรื่องของเอ็ง ป๊าไม่ว่าขอให้ตั้งใจเรียน ขอให้จบก็พอ!! ไอ้เรื่องไร้สาระ อย่างกีฬาเนี่ยเพลาๆ บ้างก็ได้ แล้วพ่อจะเตือนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เมียน่ะยังไม่ต้องรีบหาให้ป๊าก็ได้ ตั้งใจเรียกให้มันจบก่อน เข้าใจนะ!!” พ่อเริ่มเสียงเข้มเรื่อยๆ
“ครับ.....” ผมก้มมองจานข้าวข้างหน้าและตอบแบบไม่เต็มเสียง เพราะพ่อกำลังเข้าสู่โหมดบ่นยาวเหมือนเคย
“เรียนจบ หางานทำให้มันมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานก่อน แล้วค่อยมาช่วยป๊า พออะไรมันพร้อมแล้วค่อยหาเมียแต่งงานสร้างครอบครัวก็ยังทัน สมัยนี้ไม่รู้ว่าจะรีบมีกันไปทำไม ฟงแฟนอะไรเนี่ย เงินก็ยังหาไม่ได้เลย เข้าใจไหมหลง!”
“................” พ่อก็ยังเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ มักจะเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกอย่าง บังคับผมยังกับตัวละครในเกม RPG  ให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองบ้างไม่ได้หรือไงนะ! พอผมคิดมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าของแม่พี่เอิร์ธก็ลอยขึ้นเสียอย่างนั้น พี่เอิร์ธก็คงโดนอะไรประมาณนี้มาทั้งชีวิตสินะ

“หลง!!! เหม่ออะไร ฟังป๊าหรือเปล่า?”
“......เอ่อ.... ครับ ตามนั้นครับป๊า...... ผมอิ่มแล้วไปก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นเดินเอาจานไปเก็บที่อ่างล้างจานและวิ่งขึ้นห้องทันที
“ไอ้หลง!! ป๊ายังพูดกับแกไม่จบเลย จะรีบไปไหน?”
“ผมนึกได้มีธุระผมขอไปข้างนอกก่อนนะครับ” ผมตะโกนลงมาจากหน้าบันไดชั้นสองของบ้าน
“เฮ้ย!! แม่ดูมัน!! แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ ป๊าบ่นด่ามันได้ยังไง กำลังสอนมันอยู่ดีๆ ก็หนีไปเสียอย่างนั้น มันใช่ได้ที่ไหน? ไอ้หลงลงมาคุยกับป๊าก่อน!! ธุระอะไรมันจะสำคัญกว่าการคุยกับพ่อของเอ็งวะ!!” เสียงพ่อผมว้ากขึ้นมาจากโต๊ะกินข้าวมาถึงชั้นสองที่ห้องผม

“คุณคะ เดึ๋ยวแม่ไปคุยกับลูกเองนะเรื่องนี้ เรื่องอนาคตน่ะปล่อยลูกตัดสินใจบ้างก็ได้นะจ๊ะ” แม่ผมพยายามปลอบให้พ่อผมใจเย็นลงเหมือนปกติ  เพราะทุกครั้งที่พ่อสอนอะไร (หรือพยายามจะให้ทำตามที่สั่ง) ลงท้ายผมกับพ่อก็จะมีอาการไม่ลงรอยกันทุกครั้งไป คงมีแม่ผมคนเดียวที่ทำให้พ่อใจเย็นลงได้ ผมไม่เคยเห็นพ่อชนะแม่ได้เลยสักครั้งในชีวิต นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทึ่งกับพ่อ ทึ่งในความรักที่พ่อมีให้แม่
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 12 (อัพ 12/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-02-2018 10:52:13
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 12 (อัพ 18/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-02-2018 10:18:47
“แกเป็นอะไรของแกอีกหลง!! วันนี้พ่อแกไม่ได้ดุแกเหมือนทุกทีเสียหน่อย?” แม่เดินขึ้นมาถึงหน้าประตูหัองผมที่เปิดค้างไว้ระหว่างที่ผมเตรียมของใส่กระเป๋า
“ผมแค่ไม่ชอบให้พ่อมาบงการชีวิตผมเยอะแยะขนาดนี้ ผมโตแล้วนะ!! ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงชอบบวการชีวิตพวกเราจัง!!”

“ลูกน่ะ จะโตแค่ไหนก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่อยู่ดีนะ! แล้ววันนี้แกเป็นอะไรถึงของขึ้นขนาดนี้ แล้วเตรียมของนี่จะไปไหน?”
“พ่อทำให้ผม นึกถึงแม่พี่เอิร์ธ ผมจะไปหาเขา!”
“หา!! ยัยอรมาเหรอเนี่ย! แอบมาไม่บอกแม่อีกแล้ว คงจะมาวุ่นวายกับพี่เอิร์ธอีกนะสิ”
“ใช่ครับ วุ่นมาก ผมต้องรีบแล้ว ผมอยากไปหาพี่เอิร์ธ ไปถามเขาให้แน่ใจเรื่องที่พี่เขาจะแต่งงานเนี่ย!”
“ว้าย! อะไรนะ ยัยอรเอาอีกแล้วนะ พยายามจะมาบังคับลูกตัวเองอีกแล้วสิเนี่ย หลง เกิดอะไรขึ้น? เล่าให้แม่ฟังได้ไหม? แม่รู้สึกเป็นห่วงพี่เอิร์ธน่ะ”

ผมถอนหายใจและพยายามเล่าทุกอย่างที่เจอมาเมื่อเช้าอย่างรวบรัดที่สุด เพราะผมร้อนใจอยากไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง

“โห.... คราวนี้เล่นใหญ่ขนาดนี้เลย ทำไมถึงชอบทำแบบนี้กับลูกตัวเองขนาดนี้ด้วย สงสารตาเอิร์ธจัง!” แม่เหมือนพึมพำพูดกับตัวเอง
“โอเค! เท่าที่แม่ฟังนะ แม่ว่าเรื่องนี้มันแปลกจริงๆ แม่ของพี่เอิร์ธจะเป็นคนแปลกๆ แบบนี้แหละ และก็เป็นนักวางแผนตัวยงด้วย แม่บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรแน่นอน”

“แม่รู้ได้ยังไง?” ผมเอ่ยทัก
“แม่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม่ว่าดีที่สุดคือลูกต้องไปฟังจากปากพี่เอิร์ธเอง”
“ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ ผมจะไปดักรอพี่เอิร์ธที่โรงพยาบาล เอ้อ! ฝากแม่คุยกับป๊าให้ผมด้วยนะครับ”
“ได้ลูก เดี๋ยวแม่คุยให้”
“เอ่อ.... แม่ ผมไม่ได้ให้บอกเรื่องผมกับพี่เอิร์ธนะ แค่คุยเรื่องที่ผมรีบร้อนออกไปแบบนี้!” ผมเอี้ยวตัวกลับมาหาแม่หลังจากจะเปิดประตูห้องออกไป
“เออน่ะ! แม่รู้หรอก!” แม่พูดพลางยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

ผมรีบวิ่งลงมาผ่านห้องทานข้าว ผ่านเสียงพ่อที่พยายามเรียกให้ผมหยุดฟังเขาบ่นต่อโดยที่มีแม่เดินเข้ามาขัดตาทัพให้พ่อใจเย็นลง ผมเหลือบไปมองเพียงเล็กน้อย ผมเห็นว่าพ่อสงบลงและนั่งกินข้าวต่อผมก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง  และเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถประจำทางตรงไปโรงพยาบาลทันที
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 12 (อัพ 18/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-02-2018 18:40:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 13 (อัพ 25/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 25-02-2018 10:17:00
ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมคุ้นเคยกับการมาที่นี่ดี ผมมาหาพี่เอิร์ธบ่อยๆ จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สามของผม(หลังที่สองก็บ้านพี่เอิร์ธ) แต่การมาครั้งนี้ของผมมันไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะทุกครั้งผมรู้ว่าพี่เอิร์ธยินดีที่จะเจอผม แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าพี่เอิร์ธจะยังรู้สึกแบบนี้หรือไม่

เนื่องจากว่าผมกับพี่เอิร์ธไม่ได้ติดต่อกันหลายวันเพราะเป็นช่วงสอบปลายภาคของผม วันนี้ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขาจะเข้าเวรกี่โมงแล้วจะว่างเมื่อไหร่ นี่เป็นสาเหตุที่ผมต้องหิ้วกระเป๋าใบใหญ่มาซึ่งใส่อุปกรณ์ฆ่าเวลา ทั้งหนังสือการ์ตูนเกมส์แบบพกพาและอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลได้โดยไม่เบื่อ

ผมวางแผนว่าจะไปนั่งรอพี่เอิร์ธที่โถงสำหรับคนไข้นั่งรอบริเวณหน้าห้องตรวจแล้วอยู่รอจนกว่าพี่เอิร์ธจะว่าง ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมก็เดินไปเจอพี่พยาบาลที่เป็นผู้ช่วยพี่เอิร์ธในห้องตรวจบ่อยๆ จึงรี่เดินไปทักแบบไม่ลังเล

“พี่พยาบาลคนสวยครับ” ผมมักจะเรียกเธอแบบนั้นเพราะจะทำให้เธอหายหน้าบึ้งจากภาระงานโดยทันที
“จ๋าน้องหลง ว้าย! พูดเสียงดังแบบนี้พี่เขินแย่” ดูจากลักษณะท่าทางน่าจะชอบมากกว่าเขิน
“วันนี้พี่ไม่ต้องอยู่ในห้องตรวจหรือครับ?”
“พี่ก็ต้องเบรกบ้างอะไรบ้างนะคะน้อง ยืนจนเส้นเลือดคอดหมดสวยหมดแล้วดูสิ” แล้วเธอก็โชว์ขาให้ผมดูซึ่งผมก็เห็นว่ามันก็ยังดูเรียบเนียนดี ผมได้แต่ยิ้มตอบไป
“ว่าแต่.... เป็นอะไรจ๊ะมาโรงพยาบาลทำไมคะ หมอเอิร์ธไม่ได้ขึ้นเวรเวลานี้เสียหน่อย”
“อ้าว!! เหรอครับ” ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอในทันทีแต่ไม่เป็นไรผมอยู่รอได้ผมเตรียมความพร้อมมาดี
“แต่ก็น่าจะมาแล้วนะ อยู่รอก็ได้นะ หมอมักจะมาก่อนเวลาอยู่แล้วล่ะจ๊ะ ช่วงนี้ไม่เห็นน้องหลงเลย เรียนหนักเหรอจ๊ะ”
“ครับ ติดสอบน่ะครับ งั้นผมขอตัวนะครับ”
“จ้า เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรกินก่อนเดี๋ยวหมดเวลาพัก พี่จะต้องเข้าเวรแล้ว”

ผมโบกมือลาพี่พยาบาลแล้วเดินทางต่อเข้าไปด้านในเพื่อหาที่นั่งรอตามแผน ผมเดินจนเกือบถึงที่หมายอยู่แล้วแต่ไอ้ท้องเจ้ากรรมมันดันร้องโวยวายขึ้นมาเสียงดัง อาจเพราะมื้อเที่ยงที่บ้านผมแทบไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ทำให้ผมตัดสินใจหักเลี้ยวไปหาอะไรกินบริเวณศูนย์อาหารของโรงพยาบาลเสียก่อน ค่อยมารอตามแผนต่อไป

ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลนั่นปลูกอยู่ไม่ไกลจากตัวตึกหลักของโรงพยาบาลมากนัก เป็นอาคารชั้นเดียวเพดานสูงสีขาวออกเหลืองหลังคาทรงสูงเหมือนอาคารกีฬาที่ติดเครื่องระบายอากาศไว้บนหลังคามากกว่าปกติ เป็นศูนย์อาหารมีคนมาใช้บริการไม่มากนักเพราะบริเวณรอบๆ โรงพยาบาลมีร้านอาหารดีๆมาเปิดเยอะขึ้น รสชาติก็ดีกว่าราคาไม่ต่างกันมาก ที่นี่เลยมักจะเป็นของตายของบุคลากรที่นี่ ในกรณีเร่งด่วน ดังนั้นที่นี่มักจะคร่าคร่ำไปด้วยหมอและบุคลากรทางการแพทย์ที่ผมเห็นจนชินตา เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่เสื้อยูนิฟอร์มสีขาวเต็มไปหมด (หมอส่วนใหญ่ไม่ใส่กราวด์มากินข้าวก็ยังใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว) ผมเดินมาแถวนี้ทีไรรู้สึกตัวเองอยู่ในก้อนเมฆทุกที (ขาวโพลนไปหมด)

ผมเดินไปร้านที่ผมกับพี่เอิร์ธมักไปสั่งข้าวทานกันเป็นประจำ ขาของผมเดินไปที่โต๊ะประจำของผมแบบไม่ได้คิด สายตาผมก็ไปสะดุดที่ชายร่างสูงโปร่ง ผมยาวหวีเรียบร้อย ด้านหลังที่ผมคุ้นเคยไม่ว่าเขาจะยืนหรือนั่งอยู่ไกลแค่ไหนผมก็จำได้ แต่ครั้งนี้ผมไม่เห็นเขานั่งอยู่คนเดียว ไอ้หมอฝึกหัดหน้าเกาหลีนั่นก็อยู่ด้วยและพูดคุยใกล้ชิดด้วยความสนิทสนม

ผมเดินเลยร้านอาหารที่ตั้งใจจะไปซื้อ สาวเท้าเข้าไปหาเป้าหมายที่ผมตามหาอยู่โดยลืมว่าท้องกำลังส่งเสียงร้องขออาหารอย่างหนัก

“แล้วพี่จะบอกแฟนพี่เรื่องแม่ยังไง?”
ผมเข้าใกล้จนได้ยินเสียงไอ้ตี๋นั่นพูดออกมา
“พี่ไม่รู้จะเริ่มยังไงว่ะ”
เสียงพี่เอิร์ธที่ผมคิดถึงดังขึ้น แฝงไปด้วยความกังวล

“ก็เริ่มจากการเลิกหลบหน้าผมไง!!”
ผมหลุดปากออกไปในทันทีที่รู้ว่าพูดถึงผมในบทสนทนา
“หลง!! มาได้ไง!!”
พี่เอิร์ธหันมาเจอผมด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง
“อ้าว!! น้องที่งานกีฬา ญาติพี่เอิร์ธเหรอครับ?”
ไอ้หมอหน้าเกาหลีหันมาทักบ้าง

“ไม่ใช่ญาติ!! ผัว!!”
“..........” ไอ้หมอหน้าตี๋มีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ผมโต้ตอบไป
“หลง!!! มานี่!! เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน!!”
พี่เอิร์ธลุกขึ้นแบบฉับพลัน และก้าวเข้ามาดึงมือผมไปตรงทางออกอีกทาง
“หรือว่า... นี่คือแฟนที่พี่พูดถึง??!!”
ไอ้หมอหน้าตี๋รำพันขึ้นมาและชี้มาทางพวกเรา พี่เอิร์ธหันไปยิ้มแห้งๆ ใส่และก้มหัวให้เป็นเชิงขอโทษ
“ดี!!! ผมก็มีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่เยอะเลย!!”
ผมพูดเสียงเข้มและก้าวเดินตามพี่เอิร์ธไป
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 13 (อัพ 25/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-02-2018 12:44:08
แม่พี่เอิร์ธ แปลกๆนะ  :angry2:
รอฟังจากปากพี่เอิร์ธ   :ling1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 13 (อัพ 26/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-02-2018 05:07:05

พี่เอิร์ธจับมือผมแน่น ละลากผมออกมาไกลจากศูนย์อาหารมาพอสมควร บริเวณนี้ถูกจัดให้เป็นเหมือนสวนพักผ่อนเอนกประสงค์ของโรงพยาบาล มีร่มไม้ที่ร่มรื่นมากมายและมีคนไม่พลุ่กพล่านมากนัก

“นั่งลงนี่เลยไอ้ตัวดี!!”
พี่เอิร์ธลากผมมาหยุดที่ม้านั่งยาวใต้ร่มไม้ใหญ่ (น่าจะเป็นต้นหูกวาง) ผมกระแทกตัวนั่งลงไปด้วยความอารมณ์เสีย
“เป็นบ้าอะไรมาโวยวายเสียงดังแบบนั้นในศูนย์อาหาร??!!”
พี่เอิร์ธขึ้นเสียงดังใส่
“ผมต้องถามพี่มากกว่า จะแต่งงานอยู่แล้วยังจะไปจู๋จี๋กับไอ้ตี๋นั่นอีก!!! สรุปพี่จะเอายังไงวะ!”
“เดี๋ยวนะ! ใครจะแต่งงานนะ?”
“ก็พี่ไง! ผมไปหาพี่เมื่อเช้าที่บ้าน แม่พี่เล่าให้ผมฟังหมดแล้ว!!”
“อะไรนะ!! หลงไปเจอแม่พี่ด้วย? ว่าแล้วเชียว ว่าแล้วแม่ต้องมีแผนอะไรจริงๆ ด้วย! ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะมาหาเสียหน่อย!”  พี่เอิร์ธเหมือนค่อยๆ เข้าสู่โหมดพูดคุยกับตัวเอง

“พี่เอิร์ธ!!”

ผมเรียกพี่เอิร์ธเพราะดูเหมือนพี่เขาจะลอยไปในความคิดตัวเองตั้งแต่ผมพูดคำว่า ‘แม่ของพี่เอิร์ธ’
“โอเค! ฮ่าฮ่าฮ่า......เรื่องนี้พี่อธิบายได้!!”
อยู่ๆ พี่เอิร์ธก็เหมือนเปลี่ยนโหมดอารมณ์ตัวเอง
“ดี!! นั่นเป็นสิ่งที่พี่ควรจะทำตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ใช่เอาแต่หลบหน้าผมอยู่หลังแม่และผู้หญิงคนนั้น!!”
“เอางี้.... เราเรื่องเมื่อเช้าให้พี่ฟังก่อนได้ไหม?”
“ได้!!!...........เมื่อเช้านี้..........”

.............................


“โอเค! เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง”
พี่เอิร์ธที่นั่งอมยิ้มฟังผมเล่าตลอดเวลา พูดขึ้นเมื่อผมเล่าจนจบประโยคสุดท้าย พร้อมยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ

“พี่มีอะไรจะพูดกับผมไหม?”
ผมสบัดหัวให้พ้นมือพี่เอิร์ธและใช้สายตาจ้องหน้าพี่เอิร์ธเพื่อขอคำตอบ
“เฮ้อ!...... จะเริ่มจากตรงไหนดี?”
พี่เอิร์ธผ่อนลมหายใจออกยาวๆ ก่อนจะเอามือเกาหัวตัวเองจนเริ่มยุ่ง
“..............” ผมยังคงมองหน้าพี่เอิร์ธอย่างไม่ลดราวาศอก
“เฮ้อ......... งั้นพี่บอกเราเรื่องหนึ่งก่อนนะ เพื่อจะได้เห็นภาพชัดขึ้น?” พี่เอิร์ธดูท่าทางถอนหายใจถี่มากตั้งแต่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบ
“อะไรครับ? เช่นพี่ได้กับผู้หญิงคนนั่นยังไง และกำหนดการแต่งเมื่อไหร่? อย่างนี้ผมแม่งรับไม่ได้ว่ะ?”
“ใจเย็นๆ  ก่อนอื่นพี่ยอมรับว่า ลูกเกดมาขอพักด้วยจริง เพราะเธอหนีพ่อเธอมาที่บังคับแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก...”
“พี่ก็เลย...” ผมสวนขึ้นเพราะไม่อยากคาดเดาประโยคถัดไปเอาเอง
“ฟังให้จบก่อนได้ไหม. ไอ้หมาบ้านี้!!” พี่เอิร์ธมักจะใช้คำพูดนี้กับผมเวลาผมงี่เง่าวอแว
“.........” ผมได้แต่จ้องตาเขาและหุบปากตัวเองลง พยายามสะกดจิตตัวเองให้ฟังพี่เอิร์ธก่อน
“พี่ให้เขานอนบนห้องพี่ ส่วนพี่ต้องลงมานอนโซฟาข้างล่างเพราะห้องรับรองแขกมันซ่อมอยู่ พี่รู้ว่าลูกเกดพยายามจะทำอะไร เขามาสารภาพรักกับพี่ พยายามจะมอบความเป็นสามีให้พี่ พี่ก็ไม่อยากพูดกับใครเพราะมันไม่ดี!  พี่ก็เคยพูดตามตรงว่าพี่ไม่ชอบผู้หญิง แต่ดูเหมือนลูกเกดจะดูกดดันมาก พี่เองก็เพิ่งรู้ว่ามีแม่พี่อยู่เบื้องหลังด้วยนี่แหละ!!”
“แปลว่า.... พี่ไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น ??”
“หลงน่าจะรู้นะ.... ว่าพี่.... เออ!! นั้นแหละ พี่ก็พิสูจน์ให้เรารู้หลายครั้งแล้วนะ” อยู่ๆ พี่เอิร์ธก็หน้าแดงขึ้นมาอีก
“อีกอย่าง พี่ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วย เมื่อคืนก็นอนห้องพักเวรที่โรงพยาบาลนี่แหละ!!”

“อ้าว... แปลว่า.... เมื่อเช้า???” ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเอง
“เออ! เอ็งโดนแม่พี่ปั่นหัวเข้าแล้ว ประเด็นคือพี่ไม่คิดว่า ลูกเกดก็จะร่วมมือด้วยแบบนี้!”

“อ้อ... แล้วไอ้หมอฝึกหัดนั่น?”
“ตี๋น่ะเหรอ เขาก็แค่เป็นแพทย์ฝึกหัดที่มาติดตามพี่ เห็นพี่สีหน้าไม่ดีก็เลยปรับทุกข์ด้วยนิดหน่อย ไม่มีอะไร”
“ก็ลองมีสิ!!”
“เราเข้าใจกันแล้วใช่ไหม?”
“ครับ.... ก็ได้ แต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่? ทำไมแม่พี่ถึงต้องทำขนาดนี้?”
“เฮ้อ...... เรื่องมันไม่ซับซ้อนหรอก.....  แต่หลงจะเข้าใจไหมนะ?”
“เล่ามาก่อนสิจะได้รู้ว่าเข้าใจไหม?”
“อืม.........”

แล้วพี่เอิร์ธก็เริ่มเล่าตั้งแต่ที่แม่พี่เอิร์ธรู้ว่าพี่เอิร์ธมีแฟนคนแรกเป็นผู้ชายสมัยเรียน (ก็ไอ้หมอเอนั่นไง!! พูดถึงมันแล้วก็หงุดหงิด!!) แม่พี่เอิร์ธพยายามพูดแกมบังคับกับพี่เอิร์ธให้เลิกมาโดยตลอด เพราะแม่พี่เอิร์ธเห็นว่ามันไม่เหมาะไม่ควร ไม่อยากให้ลูกชายคนเดียวต้องเป็นแบบนี้!! หลังจากนั้นก็มีเรื่องระหองระแหงกับแม่มาโดยตลอด ทั้งพยายามหาคู่หมั้นหมายมาให้เรื่อยๆ พี่เอิร์ธก็หนีจากสถานการณ์น้่นๆมาได้ทุกครั้ง

เธอทำทุกวิถีทางให้พี่เอิร์ธกลับมาเป็นเหมือนปกติ (แล้วแบบนี้มันไม่ปกติตรงไหน?) ยิ่งตอนที่เลิกกับไอ้หมอนั่น แม่ของพี่เอิร์ธ นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้วยังมาซ้ำเติมอีกด้วย และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พี่เอิร์ธหนีมาอยู่ที่นี่โดยไม่ได้บอกแม่หรือเพื่อนคนไหนเลย

“แล้วตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามาตามหาพี่จนเจอได้ยังไง?!!”
เป็นประโยคสุดท้ายของพี่เอิร์ธที่พูดอย่างปลงๆ

“อืม.... แปลว่า..... แม่พี่ไม่ชอบที่พี่ชอบผู้ชาย?”
“อื้อ!”
“แต่พ่อพี่รู้ ?”
“พ่อไม่เคยว่าอะไรนะ แถมคนที่ช่วยพี่ย้ายหนีมาที่นี่ก็พ่อนี่แหละ!”
“พี่ลูกเกดคนนั้นก็ทำเป็นหลอกผม .....ให้ผมตัดใจ”
“งั้นมั้ง คงคิดแผนนี้มากับแม่พี่มาแล้ว... เธอดูพยายามจะรุกพี่อย่างมากจนพี่กลัวเลยล่ะ!”
“ผมก็นึกว่าพี่จะเปลี่ยนใจ....”
“พี่เป็นคนชัดเจนนะ ชอบแบบไหนก็แบบนั้น ไม่เคยคิดจะปิดรสนิยมตัวเองด้วย แค่ไม่ชอบป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ โดยเฉพาะเรื่องคนที่ชอบ ชอบใครแล้วชอบเลยไม่เปลี่ยนใจ รักแล้วรักเลย!!”  พี่เอิร์ธเอียงคอส่งสายตามาทางผม สายตาที่หวานฉ่ำแบบนั้น ทำเอาผมอยากกระโดดไปจัดการกอดรัดและเผด็จศึกเขาเสียตรงนี้ แต่คงไม่เหมาะ ผมเลยทำได้แค่ยิ้มตอบ สบตาเขาและขยับมือไปสัมผัสและประสานนิ้วมือเขา ให้ไออุ่นของเราส่งถึงกัน
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 13 (อัพ 26/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-02-2018 06:08:46
เข้าใจกันแล้ว  :katai2-1:
ลูกเกด ก็ประหลาดๆ  o22
รู้ทั้งรู้ว่าเอิร์ธไม่ได้ชอบหญิง ยังยัดเยียดตัวเองให้  :angry2:
ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า   :fire:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบหก part 13 (อัพ 26/Feb/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-02-2018 10:39:35
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 3/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 03-03-2018 13:31:42
ของเราส่งถึงกัน

“อยากกลับบ้านไปนอนกอดพี่จังเลย”
“พูดอย่างนี้ทีไร พี่เจ็บตัวทุกที ไม่เคยจะกอดเฉยๆ สักที”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใครใช้ให้พี่น่ารักจนผมอดใจไม่อยู่ล่ะ?”
“ไอ้เด็กบ้าเอ้ย.... เฮ้ย.... ตายแล้ว!! นี่มันเลยเวลาเข้าเวรพี่แล้ว โดยหัวหน้าตึกดุแน่เลย .. เฮ้ย!! พี่ไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน กลับบ้านไปก่อนเดี๋ยวพี่โทรหา”
“ได้ครับ..... เอ้อ.... พี่เอิร์ธ!!”
“อะไร!!?? พี่รีบ!!” พี่เอิร์ธที่ออกตัวไปสองก้าวแล้วหันกลับมาที่ผม
“เลิกเวรแล้วมาค้างบ้านผมนะ!!”
“หา!!!?!?”

..................................................






เอิร์ธ # 11

เสียงลมจากเครื่องปรับอากาศดังอื้ออึงอยู่เหนือศรีษะ ผมลืมตาขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นทีวีที่ปลายเตียง เครื่องเกมคอนโซลที่วางสะเปะสะปะที่ชั้นวางด้านล่าง ภาพโปสเตอร์รูปตัวการ์ตูนโปรดจากอนิเมะนินจาเรื่องดังทั้งสี่ด้าน หนังสือบนชั้นที่วางแบบไร้ระเบียบ กลิ่นหอมของผ้าห่มที่เพิ่งผ่านการซักและใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มหอมตลบจมูก ผมนอนอยู่บนเตียงขนาดห้าฟุตที่ไม่คุ้นเคย เมื่อคืน(หรือเรียกว่าเช้ามืดดี) ผมโดนเซ้าซี้จากไอ้เด็กดื้อไม่ยอมนอน นั่งรอผมเลิกงาน ไลน์เข้าเครื่องผมเป็นระยะๆ ผมต้องออกเวรตั้งแต่ห้าทุ่มแต่ติดเรื่องงานเอกสารชาร์ตคนไข้จนเกือบสว่าง ผมต้องตกใจทุกครั้งที่ไอ้เด็กเวรนี่ไม่ยอมนอนและส่งข้อความผ่านไลน์แอปพริเคชั่นมาหาผมทุกๆ ครึ่งชั่วโมงจนผมใจอ่อนตอบยอมรับกับหลงไป

ผมมาถึงที่บ้านของหลงด้วยท่าทางอ่อนเพลียในขณะที่ที่หลงกลับมีทีท่าดีใจและกระตือรือร้นมาเปิดบ้านและเชิญผมขึ้นบ้านจนผมรู้สึกแปลกๆ

“ผมบอกแม่ไปว่าพี่จะมานอนด้วยนะครับ พอผมเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ตอบตกลงเลย ผมยังพูดกับผมอีกว่า วันนี้อย่ามีกิจกรรมกันนะ พ่ออยู่!!”

“เฮ้ย!! จะบ้าเหรอ! ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นในบ้านเธอ เดี๋ยวนะ! ลุงธีอยู่เหรอ?!” ผมค่อนข้างเกร็งๆเวลาอยู่กับลุงธีเพราะลุงธีเป็นคนพูดน้อย และสายตาที่คมกริดนั้นอีก
“ครับ ช่วงนี้พ่อกะจะมาพักผ่อนสักสองสามวัน”
“งั้นพี่ขอกลับไปนอนที่ห้องพักเวรดีกว่า”
“ไม่เอาน่าพี่  แม่ผมอุตส่าห์ช่วยผมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลยนะ พอรู้ว่าพี่จะมานอนด้วย”
“น้ารุ่งสุดยอดเหมือนเคยเลย คงรู้ว่าพี่ไม่อยากนอนบนผ้าปูกลิ่นอับๆของหลง”
“พี่เอิร์ธ!! ผมก็เปลี่ยนบ่อยจะตาย สองสามเดือนครั้ง!”
“โอเคๆ นั่นบ่อยแล้วใช่ไหม?”
ผมที่โดนลากมาถึงหน้าประตูบ้านเลยต้องยอมใจอ่อนตกลงที่จะนอนกับหลงที่นี่

.......

ตอนนี้ผมกำลังให้สายตาปรับกับแสงสลัวในห้องที่ม่านปิดสนิทมีเพียงลำแสงเล็กๆ สามสี่เส้นลอดผ่านม่านสีเทาเข้ม ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาที่หน้าจอ แสดงให้เห็นว่าเวลาที่ผมตื่นนี่ใกล้เคียงกับเที่ยงวันมาก พอรู้เวลาท้องไส้ผมก็เริ่มทำงานเรียกร้องให้หาสารอาหารเข้าร่างกายทันที ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าเวรดึก ผมเลยเอื้อมมือไปวางโทรศัพท์ที่หัวเตียงที่เดิมเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อพักผ่อนเพิ่มเติม แม้จะหิวแต่ร่างกายมันยังต้องการการพักผ่อนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า

ระหว่างที่ผมกำลังถอนมือจากหัวเตียงและพร้อมจะพลิกตัวกลับมานอนใต้ผ้าห่มที่เดิม ก็มีมือเย็นๆมือหนึ่งมาคว้าโอบรอบเอวผมทำให้ถึงกับสะดุ้งตัวลอย

“เฮ้ย!!!”
ผมร้องเสียงหลง

“ตกในอะไรของพี่ ทีเมื่อคืนมานอนเบียดผมทั้งคืนผมยังไม่บ่นเลย”
“เออ! ขอโทษ..... ก็มือหลงเย็นจะตาย”
“ก็พี่เอิร์ธเปิดแอร์ฯ เสียเย็นขนาดนี้ แปลกคนจริงๆ เปิดเสียจนหนาวแล้วก็มาซุกผมทั้งคืนเลย ผมนี่ตื่นทั้งคืนเลย แทบไม่ได้นอน!”
“ตื่น??”
ผมทำเสียงสูงใส่คนที่อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งตัวมิดข้างๆ
“นี่ไง!!” หลงคว้ามือผมลงไปที่จุดยุทธศาสตร์ที่ตอนนี้มันพร้อมรบแข็งแรง
“ไอ้บ้า!! ไอ้ลามก!!.... ก็คนมันเคยชิน หากไม่อยู่ในอากาศแบบนี้พี่นอนไม่หลับนี่นา!”
ผมสะบัดมือของหลงและพลิกตัวนอนหันหลังให้เขาพร้อมใช้ผ้าห่มคลุมโปงทั้งตัว ถึงมันจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมจับมัน แต่ผมก็ไม่เคยชินกับกิจกรรมแบบนี้กับเขาเสีย ผมตื่นเต้นทุกครั้ง หลงทำให้ผมเหมือนเด็กน้อยใจแตกทุกที มันดูทะลึ่ง ไม่ค่อยนิ่มนวลแต่ตรงไปตรงมา มีความเร้าใจแบบที่ผมไม่เคยเจอใครทำกับผมแบบนี้มาก่อน ทุกครั้งที่เขารุกเข้ามาขนาดนี้ ผมมักจะหนีห่างไว้ก่อนทั้งที่ร่างกายตอนนี้พร้อมติบสนองกับความต้องการของเขาแทบจะทันที เหมือนน้ำมันที่พร้อมจะติดไฟทุกเมื่อ

“เอาน่า.... ผมก็รู้กาละเทศะดีอยู่ เราอยู่ใต้ชายคาแม่กับพ่อผมนะ ผมห้ามใจตัวเองได้อยู่” หลงพูดพลางขยับเข้าใกล้จนชิดพร้อมโอบกอดผมจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา
“.........” ผมพูดไม่ออกเพราะกำลังทำสมาธิกับร่างกายตัวเองอยู่ แต่ทำได้ยากเพราะส่วนหน้าของหลงทุกส่วนตอนนี้อยู่แนบกับผม จนผมรู้สึกถึงทุกสัมผัสของเขาทั้งลมหายใจและ อวัยวะภายในร่มผ้า
“ซื้ด......” เสียงสูดลมหายใจจากคนทางด้านหลัง
“ตัวพี่หอมจัง  หอมแบบนี้ทุกวันเลยไม่รู้ทำไม...” หลงจรดจมูกที่ท้ายทอยของผมและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอกอีกครั้งและพูดออกมา แล้วเขาก็กอดผมแน่นขึ้น....

ไอ้เด็กบ้านี่จะทำให้ผมตายเสียให้ได้ ผมรู้สึกถึงลมหายใจที่หอบถี่ของตัวเองและแรงสั่นจากการเต้นของหัวใจในช่วงอกที่ทำเอาที่นอนที่ผมนอนอยู่สั่นกระเพื่อมไปด้วย

“ไปนอนดีๆไป พี่จะขอนอนต่ออีกหน่อย”
ผมพูดกระแทกออกไป
“ไม่เอาอ่ะ ผมอยากอยู่ตรงนี้ รู้ไหมผมคิดถึงพี่ขนาดไหน?”
“ไม่รู้โว้ย พี่ง่วงพี่จะนอน!!”
“พี่เอิร์ธจะนอนก็นอนไปผมจะอยู่แบบนี้แหละ”
“เออ!! ตามใจ!!”
ผมดันตัวเองพลิกให้เป็นท่านอนหงายจนไอ้เด็กลามกนั่นกลิ้งขยับออกไปจนต้องร้อง ‘โอ้ย’ ออกมา ‘สมน้ำหน้า’ ผมคิดในใจ แต่ไม่ทันที่คิดผมจะหยุดนิ่งเพื่อทำใจให้หลับ ไอ้เด็กหลงก็เด้งตัวขึ้นมาคร่อมท่อนบนของร่ายกายจนผมแทบขยับไม่ได้
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 3/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 03-03-2018 20:45:41

“เฮ้ย!! ทำอะไรอีกเนี่ย?? ไหนว่าแม่เธอห้ามแล้วไง! เรื่องแบบนี้”
ผมเสียงเข้มขึ้นใส่ใบหน้าของหลงที่ตอนนี้หย่อนลงมาเกือบจะชิดหน้าผมห่างกันอยู่ไม่กี่มิลลิเมตร
“ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พี่คิดหรอกน่า.... ร่างกายพี่มันโกหกไม่เก่งเลยนะดูสิ...”
หลงเอื้อมมือลงไปแตะจุดกลางลำตัวผมที่ตอนนี้มันทรยศกับความต้องการของผมเรียบร้อย
“ตื่นมาผู้ชายที่แข็งแรงทุกคนมันก็ต้องแบบนี้ทั้งนั้น!! เรื่องปกติโว้ย!! ปล่อยพี่ได้แล้วพี่หายใจไม่ออก!!”
“ไม่เอา!! ผมขอลงโทษพี่ก่อนที่ทำให้ผมเจ็บตัว!!”
พอหลงพูดจบก็แสยะยิ้มออกมา ตอนนี้ผมเสียวสันหลังวาบเหมือนมีพายุลูกใหญ่กำลังโหมกระหน่ำให้บ้านผมพังทลาย
“เฮ้ยๆ.. เดี๋ยวทำอะไรน่ะ........”

ปากของผมถูกอุดด้วยริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติที่กดลงมาแบบอ่อนโยนกว่าที่ผมคิด ทั้งลิ้นและแรงขบของเขาทำให้ห้วงความคิดของผมขาดช่วงไป มือเท้าผมอ่อนแรงจนไร้การต่อต้าน หลงค่อยๆ ผ่อนแรงตัวเองลงและค่อยๆ คืบขยับลงมานอนคว่ำขนานกับผม ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับแรงกดทับนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้รู้สึกหนักมาก มือผมค่อยๆ โอบล้อมลำตัวเขาไว้ตามความรู้สึกที่พลุ่นพล่านพาไป ทำไมเขาถึงทำให้ผมเป็นไปถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้หลงคล่องขึ้นจนผมยังรู้สึกกลัว
ก็อกๆๆๆๆ

เสียงเคาะประตูดังลั่น ทำให้ผมหลุดออดจากห้วงหฤหรรษ์นั้นมาสู่หัองสี่เหลี่ยนจัตุรัสในความมืดของเงาม่านที่หน้าต่าง หลงเป็นฝ่ายถอยห่างและพลิกตัวเด้งออกไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

“ตื่นกันแล้วใช่ไหมลูก แม่ได้ยินเสียงคุยกัน?”
เสียงอู้อี้ดังมาจากอีกฝากของประตู
“เอ่อ... ครับ เพิ่งตื่นครับ”
หลงกระแอมสองสามรอบก่อนตอบกลับไป
“พี่เอิร์ธเขาตื่นยังล่ะลูก”
“ตื่นแล้วครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบลงมากินข้าวกันนะ”
“ครับ / ครับ” ผมกับหลงตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“เดี๋ยวแม่ขอเข้าไปเอาเสื้อผ้ามาซักให้ได้ไหมลูก?”
“เฮ้ย! แม่!! ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเอาลงไปให้!”
หลังจากจบประโยคของน้ารุ่งผมถึงกับรีบดึงผ้าห่มมาคลุมให้มันหนาขึ้น เพราะตอนนี้สิ่งที่ยืนตรงอยู่มันไม่ใช่ร่างกายของผมน่ะสิ ส่วนหลงรีบลุกขึ้นกุมเจ้าหลงน้อยและตะโกนตอบไปทันที

“โอเคๆ รีบลงมาล่ะกัน”
น้ารุ่งพูดจบก็ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวไกลออกไป ทำให้ผมผ่อนลมหายใจยาวใส่กองผ้าห่มตรงหน้า
“เรามาต่อกันไหม?”
หลงกระโดดลงมานอนข้างผมพร้อมกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“ไอ้บ้า!! มันใช่เวลาไหม? รู้จักกาละเทศะบ้าง ไป๊!! ไปอาบน้ำ”
“นั่นสิเนอะ”
แล้วหลงก็กลิ้งตัวลงจากที่นอนและลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกทันที หลงเปลือยกายมายืนตรงหน้าภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที (เป็นความเร็วที่ควรบันทึกไว้จริงๆ มีแข่งขันคงชนะ)
“งั้นไปอาบน้ำด้วยกันครับ” หลงเดินมายืนใกล้ๆผมที่ยังนอนอยู่บนเตียง
“จะบ้าเรอะ พ่อแม่เธออยู่ข้างล่างนะ อย่ามาทำอะไรบ้าๆ ได้ไหม?” ผมรู้สึกไม่กล้ามองภาพตรงหน้าที่มีหลงน้อยมาชี้หน้าผมอยู่อย่างแข็งขัน
“ผมรู้หรอกน่า.. แค่อยากจะแกล้งยั่วพี่ไปงั้นแหละ งั้นผมไปอาบก่อนนะ”
แล้วไอัเด็กนั่นก็เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัว ปล่อยให้ผมใจเต้นอยู่บนเตียงกับอาการกระสับกระส่ายแบบอธิบายไม่ถูก

................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 1 (อัพ 3/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-03-2018 18:43:36
ทั้งตื่นเต้น สนุก และลุ้นไปพร้อมกัน กับคุณนายแม่พี่เอิร์ท
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเจ็ด part 2 (อัพ 5/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-03-2018 12:55:51
ผมเดินตามหลงมาในชุดลำลองของเขาที่ผมสวนใส่ได้เกือบจะพอดี เขายิ้มแย้มทักทายพ่อแม่ของเขาตามปกติ ส่วนผมหลังจากไหว้สวัสดีน้ารุ่งแล้วก็มากล่าวสวัสดีกับลุงธี ที่ผมรู้สึกเกร็งกับสายตาดุๆ ของเขาทุกที เขาเป็นคนเหมือนไม่พอใจอะไรอยู่ตลอดเวลา ผิดกับน้ารุ่งที่จะสีหน้าเปื้อนยิ้มตลอดทั้งวัน ถ้าเปรียบน้ารุ่งเป็นดวงตะวัน ลุงธีก็น่าจะเป็นเมฆฝนครึ้มๆ ที่มีฟ้าแล่บตลอดเวลา

“สวัสดีครับ ลุงธี” ผมรู้สึกถึงความสั่นของเสียงตัวเอง
“อืม... สวัสดี.... เป็นไง? ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ลุงธีละสายตาจากหนังสือพิมพ์ที่ตนอ่านอยู่และมองผมจากหางตาวูบหนึ่งก่อนพูดทักทายตอบมา
“คะ...ครับ สบายดีครับ ลุงละครับ?”
“ก็สบายดีไม่ป่วยไม่ไข้ เมื่อคืนนอนสบายไหม? ไอ้เจ้าหลงมันกวนหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ผมเองก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยด้วยล่ะครับเลยนอนสบายดี”
“ห้องไอ้หลงมันรกจะตาย ห้องว่างๆ ก็มีในบ้านทำไมน้ารุ่งแกไม่จัดให้ไปนอนก็ไม่รู้?”
ลุงธีเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง คราวนี้เหล่มองไปทางน้ารุ่งเป็นเชิงตั้งคำถาม
“คุณคะ ห้องนั้นฝุ่นเยอะจะตายเตรียมห้องไม่ทันหรอก!”
แม่พูดขึ้นขณะเตรียมจัดกับข้าวบนโต๊ะอาหาร
“แล้วให้ผู้ชายตัวใหญ่ๆสองคนนอนเบียดกันบนเตียง มันจะไปนอนสบายได้ยังไง?”
ลุงธีพูดขณะหันหน้ากลับไปจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือบนหน้ากระดาษอีกครั้ง
“ผมโอเค ผมนอนเบียดได้สบายดี”
หลงพูดแทรกขึ้นมาพร้อมขำไปด้วย ทำให้ผมแอบตาเขียวใส่เขาไปยกหนึ่ง และผมไม่ลืมหันไปดูปฏิกิริยาของผู้ที่ผมยำเกรงที่สุดในบ้านอย่างลุงธีที่นิ่งเฉย ซึ่งผมเดาว่าน่าจะไม่ได้ยินหรือไม่ใส่ใจกับคำพูดของไอ้เด็กไม่รู้กาละเทศะอย่างหลง แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งอก ในขณะที่น้ารุ่งก็แอบตีต้นแขนของหลงดัง ‘พั่บ’ ผมล่ะอยากเดินไปเขกหัวอีกสักรอบ

“คุณคะเสร็จแล้ว ไปกันเถอะคะ”
น้ารุ่งพูดขึ้นหลังจากเดินไปล้างมือมาเรียบร้อยแล้ว
“อืม..โอเค”
“อ้าว! แม่จะไปไหน? ไม่กินข้าวด้วยกัน?”
หลงพูดขี้นมาขณะนั่งประจำเก้าอี้ประจำตัว
“พ่อกับแม่กินกันแล้วจ๊ะ ก็เล่นตื่นกันเสียเกือบบ่าย น่าจะรู้ว่าพ่อเขาต้องกินข้าวตรงเวลา ใครจะไปรอจ๊ะ”
น้ารุ่งพูดจบก็ใช้มือตบหน้าผากหลงเบาๆ
“ขอโทษครับ..” ผมรีบขอโทษน้ารุ่งโดยอัตโนมัติ
“เอิร์ธน่ะ.. ไม่เป็นไรหรอกลูก แต่ไอ้ลูกน้าเนี่ย มันขี้เกียจไม่รีบตื่นขึ้นมาทำอย่างอื่นบ้างเอาแต่นอน!”
“แม่ก็... ปิดเทอมแล้วขอขี้เกียจบ้างดิครับ”
ผมโอดครวญ
“ก็ตื่นมาช่วยแม่แกทำงานบ้านบ้างไง สันหลังยาวจนถึงเพดานแล้ว!!”
ลุงธีเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ทำเอาผมสั่นไปหมด
“ครับป๊า.....”
หลงดูจะหมดคำพูดกับการโต้กลับของลุงธีร์

“กินข้าวกันไปเลยนะ น้ากับลุงธีขอไปทำธุระข้างนอกสักหน่อย แล้ว น้าวานเป็นธุระดูเรื่องเกรดของไอ้ลูกไม่เอาไหนให้น้าหน่อยนะ ลงโทษให้หนักเลยหากเกรดมันไม่ได้เรื่อง?”
น้ารุ่งพูดด้วยท่าทางอมยิ้มเหมือนเคย ส่วนหลงก็ทำท่าไม่พอใจเล็กน้อยกับประโยคของแม่ตัวเอง

“อ้าว!! เกรดออกแล้วเหรอ??”
ผมหันไปทางไอ้ลิงทโมนที่อยู่อีกฝาก
“ยังไม่เป็นทางการ ผมไปถามคะแนนดิบจากอาจารย์มา แล้วก็ให้ไอ้ชัยมันคำนวนให้ก็น่าจะไม่ห่างจากนี้”
หลงพูดพลางลุกออกจากเก้าอย่างเกียจคร้านไปหยิบกระดาษขนาดเอสี่พับครึ่งจากน้ารุ่งมายื่นให้ผมแบบส่งๆ
”น้าไปก่อนนะ แล้วก็หลง... กินเสร็จก็เก็บโต๊ะให้เรียบร้อยด้วยนะ!”
“คร้าบ.......” หลงลากเสียงตอบยาวขณะที่มองกับข้าวหลากหลายบนโต๊ะ
“ไม่เป็นไรครับน้ารุ่ง เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมส่งเสียงให้น่ารุ่งที่กำลังเดินพ้นประตูบ้านไป
“ให้ไอ้หลงมันทำน่ะแหละ เอิร์ธเป็นแขกไม่ต้องไปทำให้มันหรอก!” ลุงธีเสริมขึ้นมาในขณะที่ตัวพ้นประตูไประยะหนึ่งแล้ว พลังเสียงของคนบ้านนี้สุดยอดทุกคน พอได้ยินแบบนั้นผมก็หันไปยิ้มให้ไอ้ตัวดีที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อืม..... ไม่เลวนี่ เกรดถือว่าอยู่นเกณฑ์ดีนะ คะแนนก็ดีขึ้นเยอะเลย” ผมคลี่กระดาษเอสี่ที่พับอยู่ในมือออกมาและพิจารณาคะแนนแต่ละวิชาในหน้ากระดาษ
“ก็คนพยายามแทบตาย.... แต่ดันไปเจอเรื่องแบบนั้นที่บ้านพี่ เล่นเอาผมประสาทกินไปเลย” หลงพูดด้วยสีหน้าบึงตึงกับส่งสายตาที่เสียดแทงมาทางผม ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาจุดหนึ่งที่กลางอก ดูจากสีหน้าและน้ำเสียง เหตุการณ์นี้คงทำเขาเสียใจไม่น้อย

“โอ๋ๆ  เอาน่าเดี๋ยวพี่ให้รางวัลแห่งความพยายามนะ จะพาไปเที่ยวปิดเทอมเอาไหม?”
“โอเค!! ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ว่าแต่จะไปไหนดีนะ”
“แล้วแต่เลย หลงคิดเลยเดี๋ยวพี่พาไป”
“งั้นขอคิดดูก่อนนะ... แต่ก่อนอื่น.....”
หลงเหล่มองมาทางผมด้วยสายที่หิวโหย
“อะไร? ไม่ต้องเลย รู้นะคิดอะไร?”
“อะไรพี่? ผมแค่อยากได้มัดจำแค่นั้นเอง! นะ.. ผมขอวันนี้ก่อนนะพี่นะ? ผมคิดถึงพี่จะแย่ ตั้งหลายวันเราไม่เจอกันเลย แค่เมื่อเช้าผมยังไม่หายคิดถึงเลย!”
หลงพูดไปพลาง ยื่นมือมาจับที่มือผม และยื่นหน้าหล่อๆ ของเขาเข้ามาใกล้ผมเสียจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขา
โอย... ไอ้เด็กบ้า อย่าทำตัวน่ารักได้ไหม? หัวใจผมมันอ่อนแอกับการออดอ้อนแบบนี้

“กลับไปนั่งกินข้าวดีๆเลย!!”
ผมทำเสียงแข็งใส่
“โหย....พี่เอิร์ธน่ะ!”
“กินข้าวให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันโอเคนะ ตอนนี้พี่หิว เวลาท้องหิวมันไม่คิดเรื่องอื่นเข้าใจป่ะ?”
“โอเคครับ!!”
หลงยิ้มร่าและกลับไปนั่งประจำที่พร้อมตักข้าวเข้าปากอย่างสบายใจ

...............




 :katai4:  งานเยอะ แต่ยังปั่นต้นฉบับอย่าขมักเขม้น
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเจ็ด part 3 (อัพ 11/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-03-2018 09:39:42
.......................

แสงสีส้มอ่อนๆ ส่องมาทางทิศตะวันตก พระอาทิตย์ลอยตัวต่ำลงเกือบเลียดพื้นสะท้อนกับผนังบ้านเดี่ยวสองชั้นของผมให้มีสีสวยที่แปลกตาไปอีกแบบ ผมยืนอยู่หน้าบ้านตัวเองหลังจากโดนลูกตื้อลูกอ่อยจากเด็กวัยสิบแปดที่ทำให้ผมอ่อนสะท้านจนยอมโดนคลุกวงในอยู่บนเตียงกับเขาตลอดช่วงบ่าย รู้สึกปวดเหมื่อยและแสบตัวไปหมด สงสัยเราคงออกกำลังกายน้อยไปจริงๆ

ผมกำลังทำใจเข้าบ้านตัวเองอยู่ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ผมไม่แน่ใจว่า หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้ว ผมจะเจอกับอะไรบ้าง...... ผมนึกหน้าตัวเองไม่ออกว่าจะต้องทำหน้ายังไงหากเดินเข้าไปเจอลูกเกดที่ทำให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เรื่องเธอร่วมมือกับแม่ของผมในการหลอกลวงคนที่ผมรัก

และนี่ยังไม่รวมกับการที่ผมต้องกลับไปเจอแม่ของตัวเองนั่งหน้างออยู่ในบ้านและพยายามหว่านล้อมผมสารพัดให้ผมเลิกเป็นตัวของผมเอง ‘เลิกเป็นเกย์และหันมาทำตัวปกติเหมือนคนอื่นเขา’ แม่มักจะมีประโยคประมาณนี้ติดปากเสมอ แล้วเป็นแบบนี้มันผิดปกติตรงไหน? ผมละไม่เข้าใจแม่เสียเลย! ผมก็มักจะพูดประมาณนี้กับแม่เสมอ เราแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไม่ตรงกันเสมอตั้งแต่ผมเริ่มเปิดตัวมาคบกับเอที่เป็นผู้ชาย และเราก็เริ่มมีปากเสียกัน สมัยผมคบกับเอ แม่ก็มักจะมาวางยาใส่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาเสมอโดยการแอบมาคุยกับเอตามลำพัง ขนาดว่าเอเป็นมีความมั่นใจสูงและแน่วแน่ในความต้องการของตนเอง ยังโดนแม่ผมเล่นงานด้วยคำพูดเสียจนเสียศูนย์ไปพักใหญ่ๆ แต่อย่างหลงที่ภูมิคุ้มกันกับเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยดี คงคิดเตลิดไปไกล แม่ของผมมักจะทำอะไรอย่างมีแผนที่แยบยลตลอด แต่ผมก็ทันแม่เรื่อยมา (มันคงตกทอดมาจากดีเอ็นเอ) และการกระทำครั้งนี้ทำให้ผมโกรธแม่อย่างจริงจัง

ผมก้าวขาเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ภายในบ้านดูสงบเงียบเหมือนไร้ผู้คน ผมเดินตรวจดูตามห้องต่างๆ ที่ชั้นล่างก็ไร้วี่แววของคน ในขณะที่ที่ผมตั้งใจจะเดินไปดูชั้นบนของบ้าน เสียงเปิดประตูรั่วก็ดังขึ้น ผมตัดสินใจเดินไปที่ต้นเสียงทันที ผมพบว่าคนที่เข้าบ้านมาคือ ลูกเกด เธอทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นผมอยู่ในบ้าน

“พี่เอิร์ธ...พี่เอิร์ธกลับมาแล้วหรือคะ?”
เธอถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบแสแสร้ง
“อืม..... เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ผมตอบกลับไปเสียงเรียบ

“เรื่อง....  เรื่องอะไรคะ? คือลูกเกด... ไม่ได้ทำบ้านพี่เอิร์ธรกเลยนะคะ ลูกเกดช่วยแม่บ้านดูแลห้องพี่เอิร์ธด้วยนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น! เร็วหน่อยพี่ต้องรีบไปทำงาน”
ผมตอบและหันเดินไปทางสวนข้างบ้าน ทั้งที่ตอนแรกผมแค่จะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดกระเป๋าเพื่อไปค้างที่อื่น (บ้านหลง) แล้วจะรีบไปทำงาน แต่พอเห็นหน้าลูกเกดผมก็อดไม่ได้ที่จะจัดการเคลียร์ทุกอย่างให้จบ!! ประจวบกับแม่ผมก็ไม่อยู่ด้วยโอกาสเหมาะมากเพราะลูกเกดพื้นฐานแล้วเป็นคนไม่มีพิษภัยอะไร แม่ผมนี่แหละตัวต้นคิด

“แม่พี่ล่ะ?” ผมถามขึ้นลอยๆ ขณะจัดแจงที่นั่งมี่ม้านั่งลายหินอ่อนในสวนข้างบ้าน
“เห็นว่าจะไปทำธุระกับเพื่อนนะคะ..เกดเลยขอตัวกลับมาก่อน.... อุ๊บส์!!”
“ไม่ต้องปิดพี่หรอก! พี่รู้แล้วว่าแม่พี่ยังไม่กลับกรุงเทพ!!”

ใช่ครับ ผมน่ะเข้าใจมาตลอดว่าแม่ผมกลับไปกรุงเทพแล้ว หลังจากตามหาผมจนเจอที่นี่ ผมไม่รู้หรอกว่าแม่ไปสืบรู้ได้ยังไง แต่ผมคิดว่าผมเคลียร์กับแม่จนแม่กลับกรุงเทพไปแล้วเสียอีก ส่วนลูกเกดนี่ผมก็เพิ่งรู้จากปากหลงว่าอยู่ด้วยกันกับแม่ผมเมื่อวาน แบบนี้น่าจะแปลว่า ลูกเกดน่าจะสมคบคิดทำเรื่องนี้กับแม่ผมแน่นอน การมาหาผมนี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว

“คือ.... ลูกเกด.... คือเกดจำเป็นจริงๆ นะคะพี่เอิร์ธ!”
ลูกเกดดูท่าทางร้อนรนและสำนึกผิดจนออกนอกหน้า คิดถูกจริงๆ ที่คุยกับลูกเกดก่อนเพียงลำพัง

“จำเป็นอะไร?”
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พี่เอิร์ธรู้จัก ปิยะลูกอาฤทธิ์ไหมคะ?”
“อ้อ... จิม ลูกของอาฤทธิ์ ทำไมเหรอ?”
อาฤทธิ์คือหุ้นส่วนแม่อีกคนหนึ่ง

“พ่อจะจับหนูแต่งงานกับเขา!!”
“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ! เพิ่งเริ่มทำงานกันเองไม่ใช่เรอะ? ทำไมรีบร้อนจัง”
“คงเป็นเหตุผลของผู้ใหญ่เขาน่ะคะ เกดไม่รู้หรอก แต่ปิยะเขาน่ะ เจ้าชู้จะตาย เกดไม่ชอบคนแบบนั้นน่ะคะ  แล้วก็ไม่เคยสนิทด้วยเลย ออกจะเกลียดด้วยซ้ำ แม่พี่เอิร์ธรู้ก็เลย อาสาจะช่วย!!

“................”
พอมาถึงจุดนี้ ทำให้ผมคิดได้ทันที ไม่แปลกที่แม่จะอยากช่วยลูกเกด เพราะพ่อของลูกเกดถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท แน่นอน! ไม่ว่าเป็นใครก็อยากจะดองด้วย แม่คงอยากจะส่งผมใส่พานให้ไปเป็นลูกเขยบ้านนี้แน่ๆ ส่วนลูกเกดก็คงหมดหนทางจริงๆ เลยมาพึ่งผมทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ และยิ่งได้เห็นลูกเกดนั่งน้ำตาปริ่มที่เส้นขอบตาแบบนี้ทำเอาผมคิดไม่ตกเลยทีเดียว

“เกดรู้นะคะว่ามันไม่ดี แต่แม่พี่บอกว่า หากมาพูดคุยกับพี่ดีๆ พี่คงไม่เห็นด้วยเรื่องแผนนี้!”
ลูกเกดใช้หลังนิ่วชี้ปาดน้ำตาที่ปริ่มออกมาไม่ให้ไหลลมาอาบแก้ม

“ก็แน่ล่ะ เรื่องโกหกแบบนี้มันจะดีได้ยังไง!”
ผมตอบและกระแทกเสียงที่ท้ายประโยค
”เนี่ย!! ลูกเกดไม่รู้จะพึ่งใครก็เลยหนีออกจากบ้านไปอยู่กับคุณน้าอร น้าก็เลยคิดแผนช่วยลูกเกดแบบนี้”
“เดี๋ยวนะ... ไอ้แผนที่ว่าเนี่ยมันคืออะไร?”
“คือ.... แผนประมาณว่า... ให้พี่เอิร์ธไปขอเป็นคู่หมั้นเกด เพราะ....... ต้องรับผิดชอบเกด...... อะไรประมาณนี่คะ”

“รับผิดชอบ? รับผิดชอบอะไร? แล้วเรื่องโกหกแบบนี้ มันจะโกหกได้นานหรือไง? ลูกเกดก็น่าจะรู้ว่าพี่ไม่มีทางมีแฟนเป็นผู้หญิง!! พี่ว่าเรื่องแบบนี้... ไปคุยกับอาก้องดีกว่าไหม? พี่ว่าอาก้องเป็นคนมีเหตุผลพอต้องฟังลูกสาวคนเดียวของเขาแน่ๆ”
ผมพ่นความอัดอั้นออกมายาวเพราะไม่เข้าใจตรรกะของหญิงที่เป็นเหมือนน้องสาวของผมตรงหน้า เราเติบโตมาด้วยกันจนผมสามารถดุว่ากล่าวเขาได้เหมือนญาติผู้ใหญ่ แต่ผมไม่ถือสาเธอหรอก ผมจะโทษคนที่เอาความคิดพวกนี้มายัดเยียดให้น้องสาวผมคนนี้ ..... แม่ผมนั่นเอง....
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเจ็ด part 4 (อัพ 12/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 12-03-2018 12:09:25

“เกดขอโทษคะ เกดขอโทษ เกดไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย แต่ป้าอรบอกว่า พี่เอิร์ธจะเข้าใจความหวังดีของป้าอรแน่นอน”
ลูกเกดตาแดงก่ำและมองมาที่ผมด้วยแววตาสำนึกผิด

“อืม.. ช่างมันเถอะ ดีนะที่พี่เคลียร์กับหลงเขาเรียบร้อยแล้ว”
“.............”  ลูกเกดใช้ฝ่ามือนวดคลึงบริวณรอบดวงตาและพยายามหลบตา เป็นท่าทางที่เธอมักทำ เวลามีความในใจบางอย่างที่อยากจะพูดแต่สะกดไว้

“เกดเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่คะ เกดโอเค เกดคงต้องยอมกลับไปรับกรรมแล้วละคะ”
“ไม่ต้องหรอก พี่ตัดสินใจแล้ว... พี่กลับไปด้วย พี่จะกลับไปช่วยคุยกับอาก้องเอง พี่ว่าอากัองต้องเข้าใจ!!”
ผมยกมือสัมผัสที่ไหล่บางๆ ซึ่งกำลังสั่นเทาของลูกเกดและยิ้มให้ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงหนักแน่น
“ขอบคุณคะ” ลูกเกดตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ดวงตาจะยังเศร้าสร้อยอยู่

......................

ผมซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดทักสิโด้ สำหรับออกงานเปิดตัวหมู่บ้านโครงการใหม่ของบริษัทของแม่ผม กำลังยืนลังเลว่าจะเข้าไปในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยสื่อแบบนี้ดีหรือไม่?

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมหรูหราขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท ทั้งงานตกแต่งด้วยต้นไม้ขนาดเล็กและดอกกล้วยไม้สีขาวประดับประดาด้วยแสงไฟ LED สีขาวดูเย็นตา แซมด้วยของประดับบ้านหรูหราที่ทำจากแก้วและคริสตัล ผู้คนในงานที่คราคร่ำต่างแต่งตัวด้วยชุดออกงานสีเงินและสีขาว ผมรู้สึกเกร็งๆกับงานลักษณะแบบนี้ทุกครั้งที่มากับแม่ของผมตั้งแต่จำความได้ คนร่วมงานก็เยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็ไม่รู้จัก และไหนแสงแฟลชจากกล้องของพวกสื่อมวลชนและประชาสัมพันธ์ประจำบริษัท มันทำให้ผมอึดอัดมาก ช่วงหลังๆ ก่อนที่ผมจะหนีแม่ออกจากบ้าน เลยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมางานลักษณะนี้กับแม่

แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องมา! (ทั้งที่เกลียดงานแบบนี้มาก ชุดทักซิโด้แบบทางการแบบนี้ไม่เหมาะกับผมเสียเลย) ผมต้องมาพบและคุยกับอาก้องเรื่องลูกเกด ผมต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้สำเร็จ ลูกเกดอุตส่าห์ไว้ใจให้ผมพากลับมาที่บ้านของเธอและเป็นตัวแทนเธอในการพูดกับพ่อของเธอให้  และเหตุที่ผมต้องมางานนี้ก็เพราะว่าอาก้องเป็นบุคคลที่เข้าพบได้ยากมาก บ้านก็แทบไม่ได้อยู่ ที่นี่น่าจะเป็นที่เดียวที่สามารถพบเขาได้โดยไม่ต้องนัดหมายเป็นเดือน ผมไม่มีเวลารอได้นานขนาดนั้น (วันลาของหมอมือใหม่อย่างผมมันน้อยเสียนี่กระไร)
ภายในงานคราคร่ำไปด้วยผู้คนจากหลากหลายอาชีพที่ถูกเชิญมา เสียงดนตรีในงานเลี้ยงด้านในเริ่มดังขึ้น เหล่าออแกนไนเซอร์ตามวิ่งกันอุตลุตในชุดทีมงานสีดำ ผมซึ่งตอนนี้ยืนอยู่บริเวณหน้างานกับลูกเกด รู้สึกเหนื่อยแทนพวกเขาเหล่านั้นจับใจ ภาพมันต่างจากคนที่แต่งชุดหรูหราอยู่ในงานที่ดูจะใช้ชีวิตวันนี้อย่างไม่รีบร้อนและครื้นเครง และภาพเหล่านี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ค่อยชอบมางานแบบนี้ ผมว่ามันดูสิ้นเปลืองสิ้นดี

“พี่เอิร์ธคะ งานน่าจะเริ่มแล้ว หลังจากที่คุณพ่อกล่าวเปิดงานและประชาสัมพันธ์โครงการ ก็น่าจะมีเวลาว่างประมาณ 20 นาทีก่อนที่จะออกมาจากห้องพักหลังเวทีเพื่อมาพบแขกในงานและนักข่าวคะ”

ลูกเกดในชุดราตรียาวสีขาวประดับมุขและเกล้าผมแซมด้วยเครื่องประดับมุกสีขาวทำให้เธอดูโดดเด่นไม่น้อย ผมเชื่อว่าผู้ชายทุกคนในงานต่างต้องจับจ้องมาที่เธอแน่นอน เธอเดินเข้าคุยกับผมพร้อมคล้องแขนผมเพื่อเตรียมเข้างาน เพราะเธอคือบัตรเชิญของผมในการเข้างาน เพราะผมไม่มีบัตรเชิญและทุกคนต่างจำลูกสาวเจ้าของงานได้แน่นอน

ผมเดินเข้ามาในงานที่ตอนนี้แสงสีต่างๆในงานต่างดับแสงลงเหลือเพียงไม่กี่ดวงให้สว่างพอที่จะมองทางได้ แสงสีส้มและขาวเกือบครึ่งงานต่างถูกหันเหให้หันไปที่คนที่ยืนอยู่ที่กลางเวที คนที่เป็นประธานของงานในครั้งนี้ กล่าวสวัสดีทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง กลังจากนั้นยังนำเสนอผลงานของบริษัทได้อย่างน่าทึ่ง ผมชอบฟังการขึ้นนำเสนอของอาก้องทุกครั้ง และอยากที่จะพูดได้น่าประทับใจและดึงดูดแบบนั้นบ้าง

เวลาผ่านไปเร็วมาก รู้สึกเหมือนผ่านไม่นานแต่อาก้องก็จบการนำเสนอโครงการได้อย่างน่าทึ่งเหมือนเช่นเคย ผมเลยต้องรีบแหวกฝูงชนไปที่มุมเวทีที่อาก้องเดินลงไปอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้ลูกเกดมายืนรอผมอยู่ก่อนแล้วเพื่อพาผมเดินผ่านเจ้าหน้าที่ของงานเข้าไปหลังเวทีที่จัดเป็นที่พักผ่อนของอาก้องก่อนที่จะเดินไปพบปะกับแขกและสื่อมวลชนตามกำกนดเวลา

“สวัสดีครับอาก้อง”
ผมเดินเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่สร้างจากฉากกั้นทำด้วยผ้าสีดำอย่างง่ายๆ สี่ด้าน อาก้องที่นั่งอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่ท่าทางนั่งสบายหันมาหาผมด้วยรอยยิ้ม

“อ้าว!! เอิร์ธ ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีไหมเรา?”
“สบายดีครับ อาก้องครับ ผมขอคุยกับอาสักครู่ได้ไหมครับ?”
“ได้สิ! ได้ มานั่งนี่มา! คนกันเองไม่เป็นไร”
“ขอบคุณครับ ผมจะมาขอคุยเรื่อง น้องลูกเกดน่ะครับ คือ... เรื่องการหมั้นหมายของลูกเกดน่ะครับ”
“อ้อ.... เรื่องนั้นเอง ไม่เป็นไร แม่เราน่ะบอกอาหมดแล้ว ไม่มีปัญหาเลย!”
“........เอ่อ. ครับ?.....”  ผมรู้สึกแปลกใจทั้งประโยคของอาก้องตั้งแต่เรื่องที่แม่มาบอกอาก้องด้วยตนเองแบบนี้ (แม่ทำเรื่องดีๆ แบบนี้ก็เป็นด้วย ผมรู้สึกมาเสียเที่ยวขึ้นมาเลย วันหยุดของผม T-T) รวมถึงเรื่องที่อากัองเป็นคนพูดง่ายกว่าที่คิดมาก ผมอุตส่าห์ คิดหาเหตุผลมาคุยกับอาก้องทั้งคืนกลับไม่ได้พูดสักประโยค

“แม่เธอก็แปลก น่าจะพูดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว อาก็ไม่ค่อยสบายใจเลยที่ต้องยกลูกสาวคนเดียวให้กับคนไม่เอาอ่าวอย่างเจ้าปิยะมัน! แต่ก็ขัดใจอีกฝ่ายลำบาก ไม่งั้นโครงการวันนี้ล้มไม่เป็นท่าแน่หากทำเขาไม่พอใจ ดีนะที่แม่เอิร์ธเขามาอธิบายทุกอย่างจนอึกฝ่ายยอมยกเลิกเรื่องสู่ขอไปเอง”

“แม่ผม? อธิบาย??” ผมรู้สึกว่าเรื่องมันง่าย และจบดีเกินไป ผมว่าเรื่องที่อากัองเล่ามันยังแปลกๆ อยู่หลายจุดเลยกะว่าจะถามต่อ

“อ้าว!! ก็เรื่อง....”

“คุณก้องคะ ได้เวลาแล้วคะ ตอนนี้กองทัพสื่อฯ มารอพบท่านแล้วนะคะ”
อาก้องกำลังร่ายสิ่งที่ผมสงสัยแต่ก็ถูกพีอาร์สาวสวยปากแดงฉ่ำเดินเข้ามาขัดจังหวะ

“เอ้อ....อ้อ...... โอเค ขอคุยอีกเดี๋ยวได้ไหม?” อาก้องยกนาฬิกาเรือนสีทองชมพูที่ข้อมือขึ้นมาดู และยิ้มให้พีอาร์สาวปากสวยกลับไป

“ไม่ได้คะ หากออกไปช้ากว่านี้จะส่งผลให้งานเลิกช้าไปกว่านี้นะคะ!”
“โอเคๆ..... เอ้อ... เอิร์ธเดี๋ยวค่อยคุยกันต่อนะ”
อาก้องที่เป็นประธานกรรมการบริษัทตอบกลับไปด้วยท่าทางเกรงใจ และหันมาคุยกับผมในขณะที่อาก้องยืนขึ้นแล้ว
“ครับอา” ผมยืนขึ้นเพื่อส่งอาก้องเช่นกัน
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 4 (อัพ 12/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-03-2018 12:46:58
ไม่ใช่กลายเป็นการประกาศหมั้นหรอกนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 4 (อัพ 12/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-03-2018 12:57:58
เหมือนคนละประเด็นกัน คนละเรื่องเดียวกัน
ต้องโทษเอิร์ธ พูดไม่ตรงเอง  ทำไมไม่พูดเรื่องไม่หมั้น
ไปพูดเรื่องหมั้น   มันก็เข้าทางแม่เอิร์ธน่ะสิ  :angry2: :fire:
เซ็งเอิร์ธ แล้ว   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

พอดีได้ออกข่าวการหมั้นระหว่างเอิร์ธ กับเกด แน่นอน  :z3: :z3: :z3:
         :L1: :L1: :L1:
   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 4 (อัพ 12/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-03-2018 12:59:57
เอิร์ท สงสัยงานนี้โดนกับดักเป็นแน่ เอาใจช่วยนะ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 (อัพ 19/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 19-03-2018 15:23:48

“เออ! จริงสิ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอิร์ธมากับอาหน่อยสิ อาคิดอะไรออกแล้ว!”
“ครับ???” ผมตอบไปด้วยอาการงงๆ

“ท่านคะ ห้ามมีเรื่องนอกตารางงานอีกนะคะ พูดแค่เรื่องที่จัดให้ก็พอนะคะ” พีอาร์สาวคอยปรามอาก้องซึ่งดูจากรูปประโยคแปลว่าอาก้องน่าจะทำบ่อย

“เออน่ะ นิดเดียว พอเป็นสีสันให้สื่อฯ”
“.....เฮ้อ......” พีอาร์สาวกลอกตาและพ่นลมหายใจออกมายาวๆ
“มาเอิร์ธมา เดินมากับอาหน่อย”
อาก้องกวักมือเรียกอย่างจริงจังจนผมขัดไม่ได้เลยเดินตามไปแบบงงๆ

................

อาก้องนอกจากจะเป็นที่รู้จักของคนทั้งงานแล้ว ยังโดนนักข่าวตามติดตั้งแต่ออกจากบริเวณห้องพักด้านหลังเวที เท่าที่ผมพยายามจับใจความคำถามได้ก็เป็นเรื่องที่จะจัดงานแต่งงานใหญ่ระหว่างลูกสาวกับลูกนักธุรกิจใหญ่อีกคนที่เป็นหุ้นส่วนของโครงการนี้ อาก้องมีฝีปากที่ดีในการตอบคำถามเพราะไม่ว่าใครจะถามคำถามแบบไหน อาก้องก็ไม่หลุดพูดเรื่องงานแต่งงานของลูกสาวเลย (เทพมาก) แถมยังทำได้แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ได้ขุ่นด้วย

จนกระทั่งพีอาร์สาวเดินมาจี้ให้อาก้องเดินไปที่จุดแบล็คดร๊อปหน้างานเพื่อให้สัมภาษณ์ แม้งานนี้จะมีเหล่าบรรดาเซเลปมากันอย่างคับคั่ง แต่เหล่าบรรดาเหยี่ยวข่าวที่มารุมล้อมอาก้องอยู่ก็ไม่ได้ลดจำนวนลงเลย มีแต่จะมากขึ้นด้วย อาจเพราะเจ้าของธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่สองคนกำลังจะเกี่ยวดองกันเลยกลายเป็นข่าวที่น่าจับตามอง

“เอาล่ะๆ ไหนๆ ทุกคนก็อยากรู้เรื่องของลูกสาวผมมากขนาดนี้ เห็นทีผมคงจะไม่พูดไม่ได้ใช่ไหมครับ?”

หลังจากที่อาก้องได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ระดับเมก้าโปรเจ็คของอาจบลง ก็พูดประโยคทิ้งท้ายแบบนี้ออกมา ผมซึ่งยืนเป็นตัวประกอบอยู่ที่ฉากหลังกับพีอาร์สาวตั้งแต่แรก ก็เริ่มแปลกใจจนหันไปหาพีอาร์สาวและลูกเกดที่ตอนนี้เดินมาสมทบยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆผม ซึ่งตอนนี้เธอเริ่มหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาทันที คงเพราะเธอกลัวคำตอบที่พ่อตัวเองจะพูดขึ้นมา

“เรื่องที่เป็นข่าวลือที่ว่าผมจะยกลูกสาวของผมให้แต่งงานกับนายปิยะ ลูกชายคุณอิทธิภัทร หุ้นส่วนใหญ่อีกคนของโครงการนี้.... ผมจะบอกว่าเรื่องนั้นไม่จริงครับ!”

พออาก้องพูดจบประโยค สีหน้าของลูกเกดก็ดีขึ้นมามาก เธอยิ้มมาทางผมและขยับปากสีชมพูสดแวววาวเป็นคำว่าขอบคุณ เธอจับมือผมแน่นแสดงความจริงใจ ทั้งที่ผมเองก็งงมากเพราะผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย แม่ผมต่างหากที่อยู่จัดการเสียทุกสิ่ง ผมเลยไม่เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมาแม่น่าจะคุยกับอากัองให้ตั้งนานแล้วทำไมถึงเพิ่งมาคุยหลังจากไปทำวุ่นวายที่บ้านผม หลังจากคิดทบทวนไปมาเลยตัดสินใจไม่ตอบอะไรออกไปและยิ้มกลับไปทางลูกเกดและจับมือเธอแน่นขึ้นแสดงความดีใจ

“ผมยอมรับครับว่า.... เรื่องนี้มีมูลอยู่บ้าง ทางคุณอิทธิภัทรเคยมาพูดคุยกับผมจริง” อาก้องพูดต่อ
“แต่หลังจากที่มาทบทวนดู คุณก็รู้ว่านายปิยะ มีข่าวเยอะมากกว่าดาราหนังไทยเสียอีก! จะให้ผมยกแก้วตาดวงใจให้ได้ยังไง?” อาก้องพูดถึงตรงนี้ทำให้บรรดากองทัพสื่อส่งเสียฮือฮาบ้างเห็นด้วยและบ้างขบขัน

“โชคดีที่ คุณอรอนงค์ ที่ปรึกษาและหุ้นส่วนคนสำคัญของผมได้ทำให้ผมตาสว่างขึ้น” อาก้องชี้ไปที่จุดที่แม่ผมยืนยิ้มและยกแก้วไวน์ขึ้นสูงในชุดราตรียาวสีขาวมุก

“ทำให้ผมรู้ว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าความสุขของลูก!” อาก้องหันมาทางลูกสาวซึ่งตอนนี้ลูกเกดยังคงกุมมือผมอยู่

“ทำให้ผมได้รู้ว่า ลูกเกดตอนนี้มีคนที่คบกันอยู่แล้ว และผมก็ต้องการให้ลูกมีความสุข วันนี้ฤกษ์ดีผมเลยขอแนะนำคู่หมั้นของลูกสาวผม นายแพทย์ ปฐวี ชาญดำรงฤทธิ์ ณ อยุธยา หรือลูกชายของคุณอรอนงค์ นั่นเอง ผมทราบมาว่าพวกเขาชอบพอกันมานานแล้ว ดูจากท่าทางคุณน่าจะดูออกนะ”

!!!!!!!!

สภาพผมตอนนี้เป็นใครก็คงเข้าใจผิด ในที่สุดสื่อที่ดูท่าทางสงสัยว่าผมเป็นใครอยู่นานก็รู้เสียทีว่าผมดันตกไปเป็นลูกเขยของตระกูลนี้ไปเสียแล้ว ตากล้องทุกคนสาดแสงแฟลชใส่ผมทั้งที่ผมยังมีอาการตกใจกับบทสัมภาษณ์ของอาก้องและยังอยู่ในสภาพกุมมือของลูกเกดอยู่


ในใจผมตอนนี้ทั้งโกรธและอาย เลือดในกายพุ่งพล่าน อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นจนผมรู้สึกหูและใบหน้าร้อนฉ่า หากถ่ายรูปผมตอนนี้คงเหมือนผมเขินอาย แต่ปล่าวเลย ผมโกรธมากต่างหากล่ะ มองหน้าอากัองที่ทำท่ายิ่มร่าด้วยความยินดี กับลูกเกดที่ยิ้มเจื่อนๆ ใส่กล้องที่เล็งมาทางเราสองคน ทำให้ผมเดาว่าเรื่องก็เป็นเรื่องคาดไม่ถึงเช่นกัน

ผมมองหาตัวต้นเหตุคือแม่ของผมท่ามกลางแสงแฟลช ผมเห็นเธอยิ้มเยาะมาทางผมและชูแก้วไวน์เหนือศรีษะ รอยยิ้มที่เธอแสดงออกมาถึงชัยชนะเหนือผมและพ่อของผม เพราะพ่อสนับสนุผมในทุกเรื่องและรับรู้ถึงรสนิยมทางเพศของผม พ่อปกป้องผมมาโดยตลอด แม่ผมเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง เธอมีเชื้อสายเป็นถึงขุนนางเก่า มียศถาบรรดาศักดิ์ที่ทำให้เธอจมไม่ลง แม้จะเคยมีจุดตกต่ำสุดในวัยเด็ก (ถึงได้เจอกับแม่ของหลง) แม่ได้แต่งงานกับพ่อเพราะพ่อเป็นราชการมีอนาคตไกลในกระทรวงสาธารณสุข แต่เพราะพ่อเป็นคนสมรรถะเรียบง่าย พอดีพอเพียง จึงขัดใจกับแม่บ่อยครั้งจนต้องเลิกกัน

ผมอยากจะโวยวายกรีดร้องออกมา แต่เพราะผมให้ความเคารพอาก้องเหมือนญาติผู้ใหญ่ ผมจึงไม่ต้องการหักหน้าท่านตอนนี้ เรื่องของข่าวกับสื่อเดี๋ยวค่อยมาเคลียร์ทีหลัง แต่ผมมีเรื่องจะต้องเคลียร์กับแม่ผมก่อน ผมรีบเดินออกจากพื้นที่ให้ข่าวทั่งที่ยังจูงมือของลูกเกดอยู่ ผมพยายามแหวกทางผู้สื่อข่าวที่กลุ้มรุมเข้ามาขอสัมภาษณ์แต่ผมไม่ได้สนใจคำถามใดๆ ได้แต่ขอโทษและขอทางเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ลูกเกดยิ้มให้เหล่าบรรดาเหยี่ยวข่าวที่หื่นกระหายข้อมูลและขออภัยได้เป็นเรื่องเป็นราวกว่าผมมาก

“ขอโทษนะคะ ค่อนข้างกระทันหันเลยยังไม่พร้อมจะให้ข่าวน่ะคะ” เป็นประโยคที่ผมได้ยินซ้ำไปมาตลอดเส้นทางที่ผมแหวกสายธารผู้คนเดินไป

สิ่งที่ผมได้ยินเป็นสิ่งสุดท้ายจากทางด้านหลังคือ เสียงอาก้องหัวเราะร่ากับวงล้อมสื่อมวลชนที่ยังเหลืออยู่ เพราะตอนนี้สมาธิผมพุ่งตรงไปที่แม่ของผมที่อยู่ห่างไม่เกินสิบเมตร

..............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 (อัพ 19/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-03-2018 17:37:34
เอาละสิ เอิร์ท จะแก้สถานการณ์ยังไง สู้ๆ น้าา
 :L2:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 (อัพ 19/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-03-2018 18:25:13
บอกไปซี้ ว่าคุณอาเข้าใจผิด  ผิดประเด็น
ยังไม่ทันตกลงแน่นอน ก็ประกาศไปซะแล้ว
ลัดขั้นตอนไปหรือเปล่า

แม่อย่างนี้ก็มีด้วย  :serius2:
ประหลาด แอนด์ประสาทชัดๆ   :fire: :fire: :fire:
เอิร์ธ  น่าจะประกาศไปเลยว่าที่ประกาศไปน่ะ.......
ผิดครับ  ผมไม่หมั้นครับ เม่ื่อไหร่ๆ ผมก็ไม่พร้อมครับ  (ผมเป็นเกย์ครับ)
ถึงคราวหลงออกโรงละม้าง เอาให้แม่พี่เอิร์ธยิ้มค้างเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 (อัพ 20/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 20-03-2018 14:38:19
“แม่ติดคำอธิบายผมอยู่ เยอะเลยด้วย!!!”
ผมเอ่ยประโยคแรกกับแม่หลังจาก เชิญแม่เข้าที่พื้นที่ปลอดสื่อฯ ที่หลังเวที โดยมีลูกเกดคอยดูต้นทางอยูที่ประตูทางเข้าให้
ตอนนี้ผมอยู่กับแม่ลำพัง ลูกเกดยืนอยู่ไม่ห่างจากจุดนั้นมากนัก ผมต้องการอยู่กับแม่แค่สองคนแต่ผมอนุญาติให้เธออยู่ในการสนทนานี้ได้เพราะผมคิดว่าเธอเป็นเหยื่อของเรื่องนี้เช่นกัน

“ก็เห็นแกอยากช่วยน้องเกด แม่ก็ช่วยด้วยนี่ไง”
แม่ตอบด้วยรอยยิ้มที่หวานปานน้ำผึ้งซ่อนใบมีด ผมรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่แม่สามารถมีรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยชัยชนะเสมอมา
“แม่กำลังทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงมากกว่า!! และยิ่งจะทำให้ลูกเกดรู้สึกแย่ลงอึก”
ผมเหวี่ยงคำพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แน่นหนัก

“แย่กว่าตรงไหน? แม่เห็นว่าลูกเกดน่ะได้ประโยชน์เต็มๆ เลย”
“มันจะได้ประโยชน์ได้ยังไง มันคือการแต่งงานแบบคลุมถุงชนอยู่ดี!!”
“ลูกนี่โง่หรือตาบอด? เอิร์ธไม่รู้จริงๆ เหรอว่า ลึกๆ แล้วลูกเกดเองก็อยากจะให้มันเป็นแบบนี้”

“??????”

ผมรู้สึกงงกับคำพูดของแม่ ผมหันไปทางลูกเกดที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ มีเพียงสายตาที่เขินอายส่งกลับมาเท่านั้น
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 ต่อ (อัพ 20/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-03-2018 15:38:52
อ๊ะ มาน้อยจัง มาให้อยากแล้วจากไป รีบๆ มาต่อเลยน้าาา
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 5 ต่อ (อัพ 20/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-03-2018 20:23:25
ทำไมเอิร์ธ อ่านลูกเกดไม่ออก  :hao4:
นางแสดงออกชัดเจนสุดๆ
เข้าทางนาง กับแม่ไปแล้ว

นางก็แปลกนะ รู้ทั้งรู้ว่าเอิร์ธ ชอบชายยังทู่ซี้จะหมั้น จะแต่งให้ได้
ได้ประโยชน์อะไรเนี่ย มีแต่จะยุ่งเหยิง ทุกข์ทั้งสองฝ่าย
ขอแค่ครอบครองเท่านั้นพอหรือ   :really2: :really2: :really2:
เอิร์ธ นายเสนอตัวไปตกหลุมหญิงเองแท้ๆ  :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 6 (อัพ 24/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 24-03-2018 11:11:36
“เดี๋ยวนะ..... ลูกเกด.... เอ่อ....”
ผมรู้สึกบ้านหมุนเล็กน้อย ไม่นึกว่าทั้งสองคนนี้ยังร่วมมือกันได้ถึงขนาดนี้
“พี่เอิร์ธคะ หนูรักพี่เอิร์ธจริงๆนะคะ ใช้โอกาสนี้ให้ลูกเกดได้ดูแลพี่เอิร์ธนะคะ”
ลูกเกดเดินเข้ามากุมมือผมไว้ทั้งสองข้าง
“แต่ลูกเกดก็รู้ว่าพี่....”
ผมมองหน้าเธออย่างจริงจัง

“เกดไม่สนใจอดีตหรอกคะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะเรามาสร้างครอบครัวอย่างที่แม่พี่เอิร์ธต้องการ พี่เอิร์ธเองจะได้ไม่ต้องหักหน้าพ่อลูกเกด เห็นไหมคะ win win ทั้งสองฝ่าย”
ลูกเกดพยายามเข้ามาใกล้ชิดผมอีกในขณะที่ผมเริ่มถอยหลังมาทีละครึ่งก้าว

“มันจะ win win ได้ยังไง? แล้วพี่ล่ะ ความสุขของพี่อยู่ตรงไหนของสมการนี้ทุกคนเอาแต่ได้ประโยชน์กันหมด แล้วพี่ล่ะ??”
ผมสะบัดมือลูกเกดและเดินถอยห่างไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก
“คิดให้ดีก่อนที่จะทำอะไออกไปนะเอิร์ธ เรื่องวันนี้มันกลายเป็นข่าวใหญ่มากเลยนะ จะทำอะไรก็หัดคิดถึงหน้าตาแม่ และอาก้องบ้าง!”
แม่ผมพูดออกมาด้วยสายตาเย็นชา เธอเป็นผู้หญิงที่เย็นชาทึ่สุดเท่าที่ผมรู้จักคนหนึ่ง

“ผมไม่สนใจเรื่องหน้าตาของแม่หรอก!!.....” ผมประกาศกร้าวออกไป แต่ผมจะทำให้ครอบครัวอาก้องอับอายไม่ได้.... ผมต้องทำอะไรสักอย่าง!! ในหัวของผมตอนนี้มันสับสนไปหมด ความคิดมันขดกันยุ่งเหมือนก้อนไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิง

“พี่เอิร์ธคะ...” เสียงลูกเกดเรียกผมออกจากห้วงความคิดทำให้ผมกลับมาที่ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งมีแสงไฟน้อยกว่าปกติ
“พี่ขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย”
ผมเดินผ่านลูกเกดแบบเฉียดไหล่เธอแบบไม่ใยดี ไม่ใช่ว่าผมไม่แคร์เธอ ผมยังคิดกับเธอเหมือนน้อง แค่นั้นจริงๆผมต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ผมไม่รู้ว่าข่าวที่เกิดขึ้นวันนี้จะไปลงหนังสืออะไรบ้าง และไปได้ไกลแค่ไหน ผมทำได้แค่ภาวนาให้ผมแก้ปัญหานี้ได้ก่อนที่เรื่องนี้จะไปถึงคนที่ผมรักที่สุดตอนนี้ “หลง’ ผมคิดถึงเขาจัง เวลาที่ผมมีอยู่ที่นี่มันน้อยเหลือเกิน ผมลางานมาได้แค่สองวัน ผมจะทำอย่างไรดี? ความคิดอันยุ่งเหยิงกลับมาขณะที่ผมเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ผ่านกลุ่มคนงานที่กำลังเก็บของในงานอีเว้นท์ บรรดาแขกและผู้สื่อข่าวต่างทยอยกันกลับหมดแล้ว

ผมไม่เจออาก้องระหว่างทาง ซึ่งก็ดีผมยังไม่อยากเจอหน้าท่านตอนนี้ เพราะผมคงทำตัวไม่ถูกกับการที่ท่านโดนแม่ผมปั่นหัวเข้าเต็มๆ ผมเดินไปแบบไร้จุดหมายพยายามหลบเลี่ยงคนจนเดินไปจนถึงชั้นจอดรถของโรงแรมชั้นบนสุดที่เป็นที่โล่งไม่มีหลังคา สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ ท้องฟ้ายามราตรีของกรุงเทพซึ่งเรืองแสงสีแดงจนบดบังแสงจากดวงดาวหมดไป มันช่างต่างจากที่ผมจากมาเสียจริง ที่ๆมีดาวเต็มฟ้าและคนที่ผมรักนอนอยู่ข้างๆ ผมออกมามองท้องฟ้าเพื่อเคลียร์เรื่องในหัวให้หมดจะได้วางแผนแก้ไขเรื่องนี้ได้ถูกต้อง ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่คอและผมเดินวนเวียนอยู่นานจนเหนื่อยแต่ก็ยังหาวิธีที่ดีไม่ได้

“เฮ้ย!! มึง!! ไอ้เอิร์ธ!!”
เสียงตะโกนที่แค่ฟังก็รู้ว่าเจ้าของเสียงเสพของมึนเมามาเต็มที่ส่งมาจากทางด้านหลัง
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 6 (อัพ 24/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-03-2018 13:14:12
 :m28:
มาน้อยจัง
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 6 (อัพ 24/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-03-2018 17:33:35
ค้างงงงงงงงงงงงง
ลูกเกด ไม่เข้าใจตัวเอิร์ธ จริงๆ
บอกไม่คิดเรื่องอดีตเอิร์ธ ถถถถถถถถ เปลี่ยนได้หรือการเป็นเกย์
ใครอยากจะหมั้นกับนางกัน
มีแต่ตัวเองกับแม่เอิร์ธที่คิดถึงแต่หน้าตาตัวเอง ไม่คิดถึงตวามสุขของลูก

แต่หวังว่า คนที่ทักเอร์ธ จะเป็นคนที่ทำให้สถานการณ์การหมั้นเปลี่ยนไป
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 7 (อัพ 31/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 31-03-2018 10:53:03

“”ปอ!!”

ผมเรียกชื่อคนที่ผมหันไปเจอด้วยน้ำเสียงตกใจ เพราะเขาอยู่ในระยะแค่มือเอื้อม ผมคงคิดอะไรมากไปจนไม่ทันรู้สึกตัว ปอคือชื่อเล่นของปิยะ คนที่คาดว่าจะได้หมั้นหมายกับลูกเกด แต่ผมมักจะเรียกชื่อจริงเขามากกว่าเพราะไม่ได้สนิทกันมาก

“มึง!! กูไม่นึกเลยว่าจะเป็นมึง!!”
เขาเป็นคนแบบนี้แหละครับ พูดจาห้วนด้วยภาษาพ่อขุนรามฯ ตั้งแต่รู้จักกับเขาตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยถือสาแต่ก็ไม่ชินเสียที

“เดี๋ยวปอ! ใจเย็นๆ เราอธิบายได้!!” ผมเดินถอยไปครึ่งก้าวเพื่อทิ้งระยะห่างจากกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แผ่ออกมาเข้มข้นเสียจนผมคิดว่าหากเกิดประกายไฟขึ้นตรงนี้ผมกับเขาคงระเบิดเป็นจุล

“กูไม่ต้องการคำอธิบาย มึงแย่งของๆกูไป! มึงจะมาอธิบายอะไรอีก!”  เขาเดินเข้ามาใกล้ผมเสียจนผมเผลอใช้มือยันเพื่อหยุดปอก่อนที่จะล้มใส่ผมเพราะอาการเมาโซเซ

“เฮ้ย!! เดี๋ยวๆ ทำไมต้องเมามาขนาดนี้ด้วยวะ?!!”
ผมถอยไปอีกครึ่งก้าวเพราะท่าทางเขาขาดสติมากกว่าเดิม เขาเดินมาพร้อมกำหมัดแน่นขึ้นมือหนึ่ง และอีกมือหนึ่งกำขวดเหล้าขึ้นมาซดอย่างจริงจัง (กินขนาดนี้อาจตายได้เลยนะ)

“มึงเอาของๆกูไป กูเสียใจ กูมีสิทธิ์จะเมา!!”
“อย่าบอกนะว่าที่นายเมาเพราะข่าวเรื่องลูกเกดน่ะ”
“ ใช่... ลูกเกดน่ะผู้หญิงของกู กูคบกันมาตั้งนาน อยู่มาวันหนึ่งเธอก็เปลี่ยนไป แค่กูพูดเรื่องแต่งงาน!!”

“............”
นี่มันเรื่องอะไรกันวะ? ผมงงไปหมดแล้ว ผมเข้าใจมาตลอดว่าลูกเกดถูกจับแต่งงานกับปอ แต่สิ่งที่ปอพูดทำให้ผมรู้สึกเหมือนนิยายคนละเรื่อง

“ปอ..... นี่นายคบอยู่กับลูกเกด?”
“มึงอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง สามปี.... สามปีที่คบกันมา กูรู้ว่ากูน่ะนิสัยไม่ดีเจ้าชู้ แต่พอกูตกลงได้คบกับลูกเกดสำเร็จกูก็เลิกกับทุกคน แต่ถึงขนาดนั้น ลูกเกดก็ยังไม่ยอมเปิดเผยเรื่องที่เราคบกัน...”
“แปลว่าเรื่องนี้.... ไม่มีใครรู้....”

“ไม่..... กูกับลูกเกดจะทำท่าทางสนิทสนมกันก็ต่อเมื่ออยู่ต่างประเทศเท่านั้น.... สามปีที่กูพิสูจน์แล้วว่ากูทำได้ เรามีความสุขกันมา กูรักเธอ....แต่พอกูขอลูกเกดแต่งงานเท่านั้นแหละ.... เธอค่อยห่างเหินจากกูไป..... กูเลยไปบอกป๊าให้ไปขอเลย บอกให้ป๊าทำยังไงก็ได้ให้ได้แต่งงานกับเธอ แต่ดูเหมือนกูคงไม่ดีพอ!! แต่วันนี้กูจะมาง้อลูกเกด .........”
ปิยะหยุดไปพักหนึ่งเหมือนเครื่องยนต์ที่ต้องหยุดพักจากการทำงานหนักมานานแล้วนิ่งไป

“.... เพราะมึง!!!”
หลังจากอยู่ในโหมดเล่าความเศร้าจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็เปลี่ยนมาเป็นโหมดแค้นเพราะความหึงจนตั้งตัวไม่ทัน ปอใช้ช่วงเวลาที่ผมตั้งใจฟังเหวี่ยงหมัดขวาของเขาเข้ามาเต็มแก้มข้างซ้ายของผมอย่างจัง โชคดีที่ฤทธิ์ของหมัดคนเมาไม่ได้สติไม่ได้รุนแรงอะไรแต่ก็ทำให้ผมหน้าหงายไปเหมือนกัน

“เฮ้ย!!..... ปอ.!!... ปิยะ!! หยุดก่อน!!” หลังจากเซไปเล็กน้อบผมก็ตั้งหลักได้ และใช้มือจับหมัดขวาที่เหวี่ยงมาอีกรอบได้อย่างแม่นยำ
“กูไม่หยุด!!” ปอสะบัดมือขวาให้หลุดจากการพันธนาการของผม และเซเข้ามาหมายจะเหวี่ยงหมัดใส่ผมอีกรอบ แต่คราวนี้ผมตั้งตัวได้แล้ว ไม่มีทางมีหนที่สองแน่นอน ผมจับหมัดเขาได้อีกครั้งและบิดแขนเขาในท่าไพล่หลัง เขาเสียสูญและเจ็บปวด จนปิยะถึงกับทิ้งขวดเหล้าที่ถือมาด้วยกลิ้งหกเลอะเทอะ

“โอ้ย!! ปล่อยกู!!!” ปอพยายามดิ้นแต่แรงคนเมาหรือจะสู้คนที่สมบูรณ์อย่างผมได้ ผมเคยเรียนศิลปะการป้องกันตัวมาบ้าง เรื่องแค่จึงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผมเท่าไหร่?

“ไม่ปล่อย!! จนกว่าจะมีสติพูดกันดีๆ”
“กูจะต่อยมึง กูจะให้มึงเจ็บอย่างที่กูเจ็บ”

“ปอ!! ฟังนะ ฟังดีๆ เราไม่เคยคิดกับลูกเกดเกินน้องสาว เราไม่เคยคบกัน และที่สำคัญ.... เราเป็นเกย์!!!!”
ผมตะโกนใส่หูไอ้คนเมาด้านหน้าเพื่อจะเรียกสติกลับมาได้บ้าง แต่ก็ได้ผล เขาค่อยๆสงบและเงียบลงไปทันที ผมเลยปล่อยและผลักเขาไปด้านหน้า เพื่อเว้นระยะห่างเผื่อเขาจะกระโจนขึ้นเข้ามาหาอีก ผมจะได้ตั้งตัวป้องกันได้ทัน แต่เขาดูนิ่งและใช้มือเสยผมตัวเองหลายครั้ง ผู้ชายมาดดีไฮโซ กลายมาเป็นไอ้ขี้เมาข้างถนนผมแทบไม่เชื่อสายตาว่าความรักทำให้เราเป็นไปได้ขนาดนี้ (มานึกอีกทีผมก็คงไปว่าคนอื่นไม่ได้ ผมผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน เห็นแล้วโคตรเข้าใจปอเลย!!)

“เออ........ มันก็จริงนะ..... ตั้งแต่วัยรุ่น กูไม่เคยเห็นมึงเดทกับสาวเลยว่ะ!!”

“อืม!” ผมพยักหน้าตอบไปด้วย เหมือนเขาจะเรียกสติกลับมาแล้ว
“แล้วมึงก็ชอบมองกูแปลกๆ เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกัน!”
มันหันมาชี้หน้า แต่ก็ทำให้เห็นว่าสีหน้าเขาดีขึ้นมาก
“หลงตัวเองแล้ว คนอย่างนายเดินแก้ผ้ามาขอมีอะไรด้วย เราก็ไม่สนใจโว้ย!!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” อยู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ในที่สุดพ่อเทพบุตรเจ้าชู้ มากอารมณ์ขันก็ได้สติกลับมาแล้ว

“แต่กูไม่เข้าใจ ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง กูรู้แต่ว่าเกดมีคนที่แอบชอบมานานแล้ว แต่ไม่สมหวัง......”
เสียงของปอค่อยๆหายไปตามความยาวของประโยค เหมือนจมไปกับความคิดของตนเอง

“เฮ้ยๆ เดี๋ยว!! อย่าพูดคนเดียวสิ เล่าให้ฟังก่อนว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงเนี่ย เรางงไปหมดแล้ว แล้วนี่นายไปคบกับลูกเกดตอนไหน? อะไรยังไง?”
ผมยิงคำถามเป็นชุด คำถามที่หากเป็นปอยามปกติคงไม่มีทางพูดเรื่องนี้แน่ๆ แต่แอลกอฮอล์ทำให้ ไฟร์วอลล์อันนั้นหายไป
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 7 (อัพ 31/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-03-2018 12:26:43
อ๊าว พี่เอิร์ธ เปลี่ยนเป็นศิราณีไปแล้วหรือ
เอาใจช่วยทั้งตัวเอง และอีกฝ่ายนะ
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 6 (อัพ 24/Mar/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-03-2018 16:09:17
ถถถถถถถถ บอกไปเล้ย บอกทั้งพ่อเกด ว่าเป็นเกย์
แล้วเปลี่ยนไม่ได้หรอกการเป็นเกย์ ไม่ใช่หวัดกินยาก็หาย
เกด หลอกคนหลายคน  หลอกตัวเองด้วยม้าง
มีแต่ตัวเองกับแม่เอิร์ธที่คิดถึงเรื่องหมั้น
แต่งไปใครจะมีความสุข มีสมองป่ะเนี่ย  :hao3: :hao3: :hao3:

ปอ มาทำให้สถานการณ์การหมั้นเปลี่ยนเถอะ
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 7 ต่อ (อัพ 1/April/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 01-04-2018 10:21:25

“อืม...... เรื่องมันยาว......ว่ะ”
“เฮ้ย!! เราว่าง เล่ามาเหอะ”
“เอ่อ... เออ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะ.......”
ปอเริ่มเล่าเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับลูกเกด ขณะที่เล่าเขาก็ลากตัวเองค่อยๆ ก้าวเท้าเดินผ่านผมไปหยุดที่ระเบียงริมลานจอดรถ เขาเล่าขณะมองฟ้าที่ความมืดค่อยๆกลืนกินแสงสีฟ้าไปจนเกือบหมดไปทางทิศตะวันออก สีแดงเรื่อๆของท้องฟ้าเมืองหลวงที่ดูไม่ได้สวยสดเท่าใดเพราะขาดแสงจากดวงดาว ทำให้บรรยากาศในการเล่าดูหม่นหมองมากกว่าจะเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆ ที่น่ารัก

เขาเล่าตั้งแต่เขาเริ่มแอบชอบลูกเกดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายที่เดียวกัน ตอนนั้นเป็นตอนที่ลูกเกดเริ่มเปลี่ยนจากเด็กกะโปโรข้างบ้านเป็นเด็กสาวแรกแย้มที่น่ารักน่าทะนุถนอม เธอกลายดาวของโรงเรียนภายในเวลาไม่ถึงปีนับตั้งแต่เริ่มเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ในช่วงนั้นปอยอมรับว่าตัวเองเกเรและเจ้าชู้มาก เนื่องจากหน้าตาและฐานะทางบ้านดีจึงเป็นที่หมายปองของสาวๆมากมาย จึงยังไม่คิดที่จะสนใจลูกเกดมากนัก แต่ก็แอบมองเรื่อยมา ผมซึ่งอายุมากที่สุดในบรรดาสามคนนี้ ผมจบไปก่อนที่ลูกเกดจะเข้าเรียนมัธยมปลายเลยไม่ทันเรื่องพวกนี้ (ปออายุมากกว่าลูกเกดปีหนึ่ง)

เรื่องมันบรรจบถึงที่สุดตรงที่ ทั้งคู่ดันได้มาเจอกันอีกในตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ลูกเกดเป็นสาวสะพรั่งและเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย และได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับปอหลายครั้งในฐานะรุ่นพี่เดือนมหาวิทยาลัย ความใกล้ชิดทำให้เกิดเป็นความรัก และปอก็ตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวที่จะจีบดาวมหาวิทยาลัยคนนี้ให้ได้ในปีที่ตัวเองใกล้จะจบแล้ว

แต่เพราะชื่อเสียงของปอในทางที่ไม่ดีมีมาก มันเลยเป็นการยากที่ลูกเกดจะเล่นด้วย และด้วยที่ความสนิทกันของทั้งคู่ตั้งแต่เด็กทำให้ลูกเกดรู้ทันปอไปเสียทุกสิ่ง มันเลยเป็นการยากที่ปอจะจีบลูกเกดติดโดยง่าย แต่เพราะความตื้อและความจริงใจที่ปอแสดงออก ปอตื้อจีบจนกระทั้งลูกเกดใจอ่อนยอมคบด้วย

แต่ที่ผ่านมาลูกเกดไม่เคยยอมรับกับใครเรื่องคบกัน เรื่องนี้มันง่ายเพราะทั้งสองบ้านสนิทกันอยู่แล้ว การไปมาหาสู่กันมันเลยกลายเป็นเรื่องปกติ ลูกเกดรักษาระยะตัวเองตลอดเวลาอยู่ในสายตาคนอื่น แต่หากอยู่กันสองคนกับปอ ลูกเกดจะเปิดใจคุยกับปอได้ทุกเรื่อง และทำกิจกรรมทุกอย่างเยี่ยงคู่รักที่รักกันดี ปอรู้ดีมาตลอดว่า ลูกเกดมักจะมีที่ว่างในใจให้ใครอยู่เสมอ แต่ไม่รู้ว่าใคร ทำให้ปอรู้สึกด้อยมากเวลาที่ลูกเกดหลุดพูดถึงคนๆนั้น แล้วปอก็หยุดอยู่ตรงนี้ นั่งนิ่งไปเฉยๆ

“เราพูดตามตรงนะ” ผมพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่นิ่งและเย็นเหมือนแช่แข็งไว้
“............” อีกฝ่ายเหมือนยังหลุดเข้าไปห้วงความคิดของเขา
“เรารู้ว่า..... ใครที่ลูกเกดแอบหลงรักอยู่”
“มันเป็นใคร?!!” ดูเหมือนคำพูดประโยคล่าสุดของผมจะไปกระตุ้นความสนใจของเขาจนออกจากเขาวงกตในความคิดของเขา

“เราเอง!! ลูกเกดเพิ่งสารภาพตอนที่ข่าวมันออกไปแล้ว!!”
“...........” ปอทำหน้านิ่งเรียบจนเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งอีกครั้ง เขามองหน้าผมเหมือนพยายามนึกอะไรสักอย่าง

“อะไร?” ผมถามด้วยความสงสัย
“อย่างนี้มันก็เข้าเค้า...... บอกตามตรงว่ากูเคยสงสัยมึงอยู่ไม่น้อย แต่เพราะ.... พวกเราไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนก่อน กูเลยตัดมึงออกไป.... ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกว่ะ..... หากยัยนั่นรู้ว่านายเป็นเกย์คงช้อคว่ะ!!”
สุดท้ายปอก็หลัดหัวเราะในลำคอออกมา

“อืม..... จริงๆ แล้วนอกจากแม่กับพ่อ และเพื่อนสนิทบางคน คนที่รู้เป็นคนแรกๆ ก็ลูกเกดนี่แหละ เรารักเธอเหมือนน้องเลยไม่ค่อยปิดบังเรื่องอะไร”

“อ้าว!!! แล้วทำไมยัยนั่นถึงยังทำอะไรแบบนี้อีกล่ะ??”
“ลูกเกดบอกเราว่าเพราะความรัก แต่เราว่ามันไม่น่าจะใช่!!”
“โธ่เว้ย!! งงโว้ย อะไรกันวะ!!” ปอเริ่มเหวี่ยงแข้งขาโวยวาย ผู้ชายตัวกระทัดรัดแค่ 170เศษ ทำท่าแบบนี้มันเหมือนเด็กร้องโวยวายเวลาพ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้เลย
“ใจเย็นๆ เรื่องนี้ ระหว่างเรายังอยู่ที่นี่ เราจะหาทางรู้ให้ได้ เพื่อจะได้แก้ไขเรื่องนี้ให้มันถูกต้อง!!”

.....................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 7 ต่อ(อัพ 1/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-04-2018 10:39:09
เฮ้อ ดีใจกับเอิร์ธด้วยนะ ที่มีคนมาช่วยแก้ปัญหาให้
แทคทีมไปเลย ได้ทั้งคู่วินวิน ทั้งสองฝ่าย
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 8 (อัพ 9/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-04-2018 09:27:48
เช้าวันรุ่งขึ้นผมขับรถพุ่งไปบ้านอาก้องอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสามารถเข้าพบบุคคลที่ยุ่งที่สุดในบริษัทคนนี้ได้ ผมมาถึงบ้านอาก้องก่อนเวลานัดหมายถึง 30 นาที ภายในบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่กว่าบ้านที่ผมอยู่ตอนนี้เกือบสิบเท่า ภายในอาณาเขตรั่วของบ้านนี้ยังมีบ้านทรงไทยประยุกต์หลังเล็กปลูกอยู่ห่างๆกัน มีเพียงเนินสนามหญ้าสีเขียวเตี้ยๆ ขวางกั้นแต่ละบ้านอยู่ ผมชอบการวางต้นไม้ดัดทรงต่างๆ ของบ้านหลังนี้มันทำให้บ้านบริเวณนี้มีเรื่องราวคล้ายกับวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาก้องเป็นคนชอบวรรณคดีไทยมากๆ จึงทำให้เป็นแรงบรรดาลใจในการปลูกบ้านของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ผมเดินมารออาก้องที่ห้องรับแขกใกล้สระว่ายน้ำลวดลายกินรีเล่นน้ำ เสียงน้ำตกจำลองลอยมาตามลมเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย คนรับใช้ของบ้านที่พาผมมาถึงจุดนี้แจ้งว่าอาก้องยังอยู่ในห้องออกกำลังกายของบ้านยังไม่ลงมาให้รอที่นี่ก่อน (หวังว่าผมคงไม่หลับไปก่อนอาก้องจะลงมานะ เพราะบรรยากาศตรงนี้ดีจริงๆ)

“ลมอะไรหอบแกมมาถึงนี่แต่เช้า”
เสียงที่แหวกอากาศมาทำลายบรรยากาศดีๆ ตรงนี้จนผมสะดุ้งและหันไปมองที่ต้นเสียง

“แม่!! ทำไมแม่มาอยู่ที่นี่ เวลานี้?”
“ก็อาก้องนัดมาคุยธุระ.... นี่เป็นคำถามของแม่นะ ว่าเอิร์ธมาทำอะไรแต่เช้าที่นี่?”
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับอาก้องเหมือนกัน?”
มาถึงจุดนี้ผมรู้ว่าเรื่องราวมันคงไม่เป็นไปตามที่ผมคิดไว้แน่นอน รู้สึกมวนท้องเหมือนอาหารเช้ามันจะตีกลับขึ้นมา

“อืม... ก็ดี...... มีแม่อยู่ด้วยแกจะได้ไม่ทำตัวขัดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

“...................”
ผมคาดได้ทันทีว่าแม่จะมาคุยกับอาก้องเรื่องอะไร คงไม่พ้นเรื่องงานแต่งของผมกับลูกเกด

ผมไม่ได้ตอบอะไรกับไป และไม่คุยกับแม่อีกเลยในระหว่าที่รออาก้อง ผมได้แต่มองสระน้ำรูปทรงกึ่งธรรมชาติด้านนอก ปล่อยให้เวลาผ่านไป แม่ผมเองก็นิ่งเงียบและฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย แม่คงคิดว่าผมคงไม่สามารถควบคุมบทสนทนาที่กำลังจะเกิดได้ และแม่ยังไงก็ต้องได้สิ่งที่ต้องการ ทำให้ผมต้องคิดหนักทบทวนเรื่องที่จะพูด และสร้างพลังให้ตัวเองมากขึ้น

“อยู่กันพร้อมหน้าเลย เราก็ว่ามาเร็วแล้วนะ ว่าจะมาอ่านหนังสือรอเสียหน่อย” เสียงอารมณ์ดีของอาก้องดังขึ้นที่มุมห้องทางเข้าอีกด้านหนึ่ง
“ผมกะระยะเวลาไม่ถูกจากที่บ้านพ่อน่ะนะครับ เลยรีบมาดีกว่า”
ผมรีบตอบไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะในใจไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
“อ้าว.... ทำไมไม่นอนบ้านแม่ล่ะ ก็อยู่ข้างๆกันนี่เอง”
ลุงทำเสียงแปลกขณะที่เดินมานั่งเก้าอี้บุนวมสีเบจข้างๆ เก้าอี้ที่แม่ผมนั่งอยู่

“โอ้ย!! เด็กคนนี้ธุระเยอะ คงอยากไปนอนพักใกล้เมืองมากกว่าจะมาอยู่บ้านแถบชานเมืองแบบนี้จะไปไหนก็ลำบาก!!”
แม่ผมรีบตอบตัดหน้าก่อนที่ผมจะหลุดเอ่ยเรื่องราวระหว่างผมกับแม่ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ ตั้งแต่ผมมีแฟน แม่ไม่ชอบ ไม่ยอมรับที่ผมเป็นแบบนี้ ผมเลยไม่เคยกลับมาหาแม่อีกเลย เพราะทุกครั้งที่เจอกัน แม่ก็จะชวนทะเลาะเพราะเรื่องของผมทุกครั้ง สุดท้ายผมเลยหนีไปพึ่งพ่อที่เข้าใจผมมากกว่า

“ครับ ผมไม่ชินเพราะไม่ได้กลับมานอนบ้านหลังนี้มานานมากแล้วครับ เลยรู้สึกเหมือนไม่ใช่บ้านของตัวเองแล้วครับ”
ผมพูดประชดสวนออกไป

“เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร มาถึงก่อนเวลากันก็ดีจะคุยกันเร็วหน่อย อามีเวลาน้อยเดี๋ยวต้องไปประชุมสำคัญต่อพร้อมกับแม่เรานั่นแหละ”
“ครับ .... เอ่อ อาครับผมมีเรื่องจะขอโทษครับ เรื่องงานเมื่อวานที่ผมเดินหนีออกมาก่อน..... คือว่า.....”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไร มันก็เป็นสีสันของงานดี งานอาเลยดังขึ้นแทบไม่ต้องลงทุนโปรโมทเยอะเลย!”

“อ่า.....ครับ...... แล้วก็อีกเรื่อง......” ผมรู้สึกอากาศมันจุกอยู่ที่คอจนแทบจะไม่สามารถคายคำพูดออกมาได้ ผมเหลือบมองหน้าแม่เพราะกลัวว่าแม่จะแทรกคำพูดขึ้นมาขัด แต่ดูแม่ผมกลับมีท่าทางนิ่งเฉยกว่าที่คาด

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว แม่เธอเขาขอโทษอาไปหลายรอบแล้ว อาไม่ใส่ใจหรอก สมัยนี้แล้วอาเข้าใจ!!”

“อาเข้าใจ?”
ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกแล้ว แม่ผมไปขอโทษเรื่องอะไรแล้วอาก้องรับได้เรื่องอะไร เรื่องที่ผมเป็นเกย์ทีจะแต่งกับลูกสาวอาเนี่ยเหรอ? หรือเรื่องแต่งงานแบบหลอกๆ ทั้งที่ไม่ได้รักกันแบบนี้!!

“เข้าใจสิ เรื่องของหนุ่มสาวสมัยนี้ ชิงสุกก่อนห่าม อาไม่ว่าหรอกนะ และอาก็ยินดีที่เอิร์ธต้องการจะรับผิดชอบ!! แต่ที่อาเรียกเรามาคุยเนี่ยไม่ใช่ว่าจะมาต่อว่านะ ไม่ต้องกลัว อาจะมาคุยเรื่องกำหนดการงานแต่ง อาอยากจะเร่งให้เร็วหน่อย ไม่อยากให้ลูกเกดท้องโตในงานพิธีเลย!!”

“ลูกเกดท้อง!!!!!!!”
อาก้องพูดรัวและเร็วจนผมย่อยข้อมูลแทบไม่ทัน ผมได้แค่ทวนสิ่งที่ผมสรุปได้ออกมา

“อ้าว!! เป็นหมอภาษาอะไร อยู่ด้วยกันบ่อยๆ นี่ไม่รู้เหรอว่าลูกเกดท้อง! โอเค!! แต่แม่เอิร์ธน่ะรู้ก็เลยรีบมาขอโทษลุงและบอกให้ลุงรีบจัดงานแต่งงาน เอาล่ะ! ลุงเข้าใจแล้วว่าทำไมเอิร์ธถึงได้ดูประหลาดใจ อาก็เหมือนกัน แต่อาไม่ว่าอะไรหรอกนะ อาน่ะแก่แล้ว ได้อุ้มหลานเร็วๆ ก็ดี บ้านลุงก็พร้อมเลี้ยงหลานคนเดียวหรือสองคนก็ได้ทั้งนั้น แต่แค่อยากทำให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน!!”

“ลุงครับคือว่า.......” ผมเริ่มรู้สึกลังเลว่าจะพูดออกมาว่าอย่างไร ณ สถานการณ์แบบนี้ หากผมสารภาพออกไป แล้วเรื่องลูกในท้องของลูกเกดนี่มัน ลูกใคร? หรือว่าของปิยะ? ฉิบหายแล้ว เรื่องนี้มันไม่ง่ายเสียแล้ว

“ว่าไง ลุงว่าจะจัดสักเดือนหน้าเลย ตามที่คุยกับแม่เราไว้ อาดูฤกษ์ไว้แล้ว ลางานมาแต่งงานเขาน่าจะให้ใช้ไหม?”
“เอ่อ.... คือว่า....” ความคิดของผมมันพันไปมาเหมือนเส้นไหมพรมที่มัดพันเป็นปม ผมรู้สึกว่าผมควรจะไปเคลียร์เรื่องนี้กับต้นเรื่องก่อน! ผมต้องคุยกับลูกเกดก่อน แต่.... ผมจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี้ได้ยังไงก่อนดีกว่า

“คุณก้องคะ ไม่เป็นไรคะเรื่องนั้นเดี๋ยวอรคุยกับลูกเอง ลูกคงยังตื่นเต้นเรื่องลูก เลยพูดอะไรไม่ออก”
แม่ผมพูดตัดบทขึ้นมาเสียจนผมหันไปมองค้อนใส่เธอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า เออๆ ลุงก็ตื่นเต้นเหมือนกัน งั้นตามสบายนะ ลุงมีงานที่ต้องไปจัดการเสียก่อน”
อาก้องพูดจบประโยคก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางสบายใจ และเดินหายไปตรงทางที่เขาเข้ามาอย่างน่าทึ่ง สมเป็นนักธุรกิจชั้นนำจริงๆ ทำอะไรรวดเร็วฉับไวไปเสียหมด

หลังจากอาก้องเดินจากไป ผมมองจ้องหน้าแม่ผมอย่างขุ่นเคืองผมไม่รู้ว่าจะโกรธแม่เรื่องอะไรก่อนดี แม่เป็นฉลาดในการวางแผนเสียจนผมรู้สึกเสียใจที่เต้นตามจังหวะที่แม่วางไว้มาโดยตลอด

“อยากจะโกรธก็เชิญ แต่แม่ทำไปด้วยความหวังดีนะ”
แม่พูดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ร้อนแรงของผมที่สาดใส่แม่แบบไม่ปราณี
“แม่ทำอะไรของแม่? นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ แล้วใครเป็นพ่อเด็ก?!!”
ผมพยายามลดโทนเสียงตัวเองลง เพราะหน้าต่างมีหูประตูมีตา เรื่องแบบนี้คงจะโวยวายเสียงดังไม่ได้
“ก็แกไง!” แม่ผมก็ยังไม่หยุดดื้อดึงที่จะทำแผนนี้ต่อไป

“ผมถามจริงแม่! แม่ก็รู้ว่าผมกับลูกเกดน่ะ ไม่ได้มีอะไรกัน และไม่มีทางจะมีวันนั้นด้วย เรื่องการสร้างครอบครัวไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ โดยเฉพาะการสร้างครอบครัวปลอมๆ แบบนี้มันไปไม่รอดหรอกแล้วคนที่เสียใจที่สุดก็คือ ลูกเกด คนที่แม่บอกว่าอยากจะช่วยนั่นแหละ!! แม่มีประสบการณ์นี้ดีน่าจะรู้นะ!!”
ผมนำเอาความเดือดดาลทั้งหมดใส่ไปที่แม่ซึ่งตอนนี้ท่านทำนิ่งเฉยเสียจนผมอยากเข้าไปเขย่าตัวแรงๆ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 8 (อัพ 9/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-04-2018 12:45:08
เออ.นะ แม่หวังอะไรเนี่ย ขนาดรู้ว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของลูกชายก็ยังดันทุรังทำ
 o18
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 8 (อัพ 9/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-04-2018 17:09:08

“เฮ้อ....  แม่อยากจะช่วยน้องจริงๆ นะ แต่ก็แค่ได้ประโยชน์ด้วยนิดหน่อย” แม่พูดเสียงราบเรียบด้วยรอยยิ้มจอมปลอมเหมือนเคย ผมไม่ชอบแม่ก็ตรงนี้

“แม่!!” ผมพูดเสียงเข้มเพราะยังไม่พอใจกับคำตอบของเธอ
“โอเคๆ” เสียงสูงของแม่ดังขึ้นมา แสดงถึงตัวตนของเธอได้กลับมาประทับร่างแล้ว
“เอิร์ธ.... มานั่งใกล้ๆนี่ แม่จะอธิบายให้ฟัง....”
แม่เอื้อมมาจับมือผมด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา และพยายามดึงมือผมเข้าไปไกล เธอจะทำแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องการใช้ไม้อ่อนกับผม ซึ่งผมก็ใจอ่อนทุกครั้ง เพราะการที่แม่แสดงความอบอุ่นอ่อนโยนกับผมมันหายากมาก

“ลูกเกดน่ะเข้ามาปรึกษาแม่...” แม่พูดขึ้นแต่ในใจผมกลับคิดอีกแบบ (ผมว่าแม่สังเกตอาการแพ้ท้องลูกเกดแล้วพยายามล้วงถามจนลูกเกดสารภาพมากกว่า)

“แม่ไม่อยากถามอะไรน้องมาก แค่รู้สึกอยากช่วยเหลือก็เท่านั้น” (ผมว่างานนี้ลูกเกดน่าจะปากแข็งพอที่จะไม่บอกมากกว่า)

“ลูกเกดไม่อยากเอาเด็กออกและเครียดมาก แม่ก็เลยเสนอตัวเข้าช่วย...” (ผมรู้ว่าลูกเกดคงเครียดมาก และกังวลใจ แม่ก็เลยยัดเยียดแผนแปลกๆ แบบนี้ให้ลูกเกดจนต้องยอมทำตาม)

“แม่น่ะดูออกนะว่า ลูกเกดน่ะแอบรักเอิร์ธอยู่นานแล้ว แม่เองก็อยากให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แม่ก็รักลูกเกดเหมือนลูกในไส้ เด็กที่ออกมาแม่จะช่วยเลี้ยงเอง...” (พอคำว่ารักออกจากปากทำให้น้ำหนักในคำนั้นมันเบาลงไปมาก ผมเริ่มให้ความเชื่อถือเรื่องแอบรักนี้น้อยลงไปอีก ผมว่าจุดประสงค์หลักของแม่น่าจะอยู่ที่ประโยคที่สอง ส่วนประโยคสุดท้ายเรื่องรักเด็กนั่น ผมว่ามีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะแม่มีลูกของตัวเองยังไม่เลี้ยงเลย จะไปเลี้ยงลูกใครก็ไม่รู้ได้ยังไง!)

“แม่พูดถึงตรงนี้แล้ว แม่รู้ว่าเอิร์ธต้องเข้าใจ เอิร์ธเข้าใจความหวังของแม่ที่มีให้ทั้งเอิร์ธทั้งน้องใช่ไหมลูก...”
แม่ใช้มือเอื้อมมาตบไหล่ผมเบาๆ

“.........ขอบคุณที่บอกผมครับ...... แต่.....ผมขอคิดดูก่อน” ผมยิ้มแบบยิงฟันแบบไม่เต็มปากให้แม่ก่อนที่จะลุกเดินออกจากห้องไป....

ผมไม่ได้ยินยอมไปกับแผนของแม่หรอกนะครับ เพียงแต่ว่าผมต้องถอยออกมาตั้งหลักเพื่อหาทางหาข้อมูลที่เพียงพอที่จะรับมือแผนของแม่เสียก่อน และจุดหมายถัดไปที่ผมจะไปพบคนต่อไปก็คือ ‘ลูกเกด’ ผมต้องไปคุยกับเธอให้รู้เรื่อง!!

...............................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเจ็ด part 9 (อัพ 10/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-04-2018 19:22:37
รีบเลยนะเอิร์ธ อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ สู้ๆ น้าา
 :interest:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ยี่สิบแปด part 1 (อัพ 11Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-04-2018 08:08:40

เอิร์ธ # 12


“คุณภัสสร ไม่อยู่คะ”

คนที่น่าจะเป็นเพื่อนในสำนักงานของลูกเกดซึ่งรับสายแทนตอบกลับมาเสียงเจื้อยแจ้ว เนื่องผมไม่สามารถติดเธอได้ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอ

“เธอจะกลับมาเมื่อไหร่ทราบไหมครับ บังเอิญว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” ผมถามเธอกลับไปทันที
“ไม่ทราบคะมีอะไรฝากข้อความไว้ไหมคะ?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรหาใหม่ครับ”
“สวัสดีคะ” แล้วเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็วได้ยินแต่เสียง ตู๊ดๆๆ ดังมากจากลำโพงโทรศัพท์ฝั่งผม

ผมขับรถมาตั้งไกลเพื่อมายืนอยู่ที่หน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ระดับต้นๆของประเทศเนี่ยนะ ผมพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับลูกเกดตั้งแต่ขับออกจากบ้านของเธอที่ชานเมืองแล้ว แต่เธอดูเหมือนจะพยายามหลบหน้าทุกคนอยู่ช่วงนี้ แม้กระทั้งผม อาจเพราะปิยะเองก็พยายามตามตื้อเธออยู่ ไหนจะนักข่าวที่พยายามสืบหาข้อมูลของการแต่งงานสายฟ้าแลบครั้งนี้ด้วยโชคดีที่ผมไม่ใช่คนโด่งดังอะไรเลยอยู่นอกเรดาของหมาล่าเนื้อเหล่านั้น

ผมเฝ้าทางเข้าออกบริษัทอยู่ได้ครึ่งค่อนวันในระหว่างที่ยังติดต่อลูกเกดไม่ได้ ในใจผมนั่นร้อนรนจนเหมือนมีพระอาทิตย์ มาเผาไหม้อยู่ข่างใน เพราะในขณะที่ผมยังนั่งรอเจอลูกเกดอยู่ที่นี่ เวลาที่ผมขอลางานมาเพียงไม่กี่วันก็หมดลงเรื่อยๆ  และไหนจะหน้าข่าวสังคมตามสื่อต่างๆ พยายามพัดประโคมข่าวเรื่องงานครั้งนี้ระหว่างลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังกับหนุ่มนิรนามนี่อีก ผมเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะรับแขกที่ทำด้วยกระจกขนาดเล็กในพื้นที่รับรองแขกชั้นล่างสุดของบริษัท

ผมตัดสินใจเดินกลับไปตั้งหลักที่รถเพราะคิดว่าผมคงไม่เจอลูกเกดที่นี่แล้วแน่ๆ เพราะเป็นที่ๆ เธออาจจะเจอนักข่าว และคนที่เธอไม่อยากเจอได้ง่ายๆ ลูกเกดอาจจะพยายามหลักเลี่ยงพื้นที่ตรงนี้อยู่

ในขณะที่ผมกำลังปลดล็อกโทรศัพท์เพื่อค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของปิยะ คนสนิทของลูกเกดคนที่ผมคิดว่าน่าจะรู้ดีว่าลูกเกดอยู่ที่ไหนเวลาเธอไม่ต้องการเจอใคร  ผมคิดว่าใครๆ ก็มี safe house เป็นของตัวเองทุกคน (ผมก็มี)  ในขณะที่แสงยามบ่ายคล้อยลงมาที่รถของผม ทำให้ผมสังเกตเห็นหญิงสาวในชุดลำลองมิดชิดเดินออกจากอาคารสำนักงานตรงหน้า แม้จะแต่งตัวแปลกไป แต่มีหรือครับที่ผมจะจำน้องสาวของตัวเองไม่ได้ ลูกเกดคงหลบอยู่ที่บริษัทและให้เพื่อนๆ ที่นี่ช่วยแก้ต่างให้กับคนที่ต้องการหาตัวเธอ

ลูกเกดวิ่งไปที่รถสปอร์ตสีเหลืองคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกล ผมไม่รอช้าที่จะสตาร์ทรถและขับตามเธอไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่เธอจะหนีหายไปอีก ยังไงวันนี้เรื่องนี้ผมก็ต้องจบมันให้ได้!!

สภาพถนนยามบ่ายในเมืองหลวงแบบนี้ ทำให้การสะกดรอยตามทำได้ยาก แต่โชคดีที่เส้นทางที่เธอขับมานั้นผมค่อนข้างคุ้นเคย เลยทำให้การติดตามไม่ยากเท่าไหร่ ลูกเกดขับมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งของย่านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ชานเมือง หลังจากเธอจอดรถได้เธอก็เดินเลยหายเข้าที่จะเข้าไปที่ทางเข้าทะเลสาปของสวนแห่งนี้  ผมเดินตามเธอไปโดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้เธอสังเกตเห็น จนกระทั่งเธอไปยืนอยู่ที่ศาลาชมวิวริมทะเลสาป

ชุดลำลองแบบกระโปรงเต็มตัวยาวถึงเข่า แขนยาวลายลูกไม้โปรงแสงสีเทาเข้ากับแว่นดำยี่ห้อกุชชี่สีน้ำตาลอ่อน ผมที่สยายตามลมธรรมชาติของทะเลสาป รับกับใบหน้าที่สวยน่ารักตามธรรมชาติของหญิงสาวเชื้อสายจีน เธอเหม่อมองไปที่ทะเลสาปเหมือนมันกำลังพูดคุยกับเธอทางสายตา เป็นภาพมองไปแล้วเหมือนเธอกำลังถ่ายทำมิวสิควีดีโออยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจจะเดินเข้าไปทำลายพลอตมิวสิควีดีโอของเธออยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทักลูกเกด เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปหน้าคมสันคล้ายคนตะวันตกผิวขาวใส่สูทหรูมาเต็มยศประดับด้วยแว่นตาดำทรงโตที่ใบหน้าจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูขัดตาไปเลย
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 2 (อัพ 16/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 16-04-2018 13:47:02
สภาพถนนยามบ่ายในเมืองหลวงแบบนี้ ทำให้การสะกดรอยตามทำได้ยาก แต่โชคดีที่เส้นทางที่เธอขับมานั้นผมค่อนข้างคุ้นเคย รวมกับที่รถยนต์ที่ลูกเกดขับมันก็เด่นด้วยรูปลักษณ์และทะเบียนหมายเลขพิเศษ มันทำให้การติดตามไม่ยากเท่าไหร่ ลูกเกดขับมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งของย่านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ชานเมือง หลังจากเธอจอดรถเลียบบาทวิถีด้านสวนสาธารณะได้ เธอก็เดินถลำหายเข้าไปที่ทางเข้าทะเลสาปของสวนแห่งนี้  ผมสะกดรอยตามการเดินเธอไปโดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้เธอสังเกตเห็น จนกระทั่งเธอไปยืนอยู่ที่ศาลาชมวิวริมทะเลสาป

ชุดลำลองแบบกระโปรงเต็มตัวยาวถึงเข่า แขนยาวลายลูกไม้โปรงแสงสีเทาเข้ากับแว่นดำยี่ห้อกุชชี่สีน้ำตาลอ่อน ผมที่สยายตามลมธรรมชาติของทะเลสาป รับกับใบหน้าที่สวยน่ารักตามธรรมชาติของหญิงสาวเชื้อสายจีน เธอเหม่อมองไปที่ทะเลสาปเหมือนมันกำลังพูดคุยกับเธอทางสายตา เป็นภาพมองไปแล้วเหมือนเธอกำลังถ่ายทำมิวสิควีดีโออยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจจะเดินเข้าไปทำลายพลอตมิวสิควีดีโอของเธออยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทักลูกเกด เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปหน้าคมสันคล้ายคนตะวันตก ผิวขาวใส่สูทหรูมาเต็มยศประดับด้วยแว่นตาดำทรงโตที่ใบหน้าจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูขัดตาไปทันที

ด้วยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน ผมจึงรีบหันหลังกลับและเดินไปสังเกตุสถานการณ์ในจุดใหม่ที่มิดชิดและใกล้กว่าเดิมนิดหน่อย (ความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพวกถ้ำมอง โชคดีที่คนแถวนี้ไม่พลุกพล่าน)

จากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่สามารถบอกได้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันอยู่ แต่ดูจากท่าทางในการทักทายและสนทนากันทั้งสองฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกันระดับหนึ่ง ผมรู้สึกคุ้นหน้าฝ่ายชายมากๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก (ปกติหากเป็นผู้ชายหน้าตาดีผมมักจะจำได้ดี) ทั้งคู่สนทนามาระยะหนึ่งจนมาถึงท่าทีอักอ่วนของลูกเกดเกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายชายรู้สึกสงสัยและมีท่าทีร้อนใจจนต้องถอดแว่นตาดำอันใหญ่ออกมา หน้าตาภายใต้แว่นดำนั้น ช่างเกินกว่าที่ผมจินตนาการไว้มาก นอกจากความใสของหน้าแล้ว โครงหน้ายังได้รูปเหมือนรูปปั้นเดวิดของลีโอนาโด้ ดาวินชี่ ผมมองจากระยะนี้ยังไม่สามารถละสายได้จากเขาได้ง่ายๆ

แต่ก็วินาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมนึกชื่อผู้ชายที่ยืนอยู่กับลูกเกดออก เขาคือ ‘กาย’ เจ้าของธุรกิจหนุ่มไฟแรง ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีภายในบ้านของเขากำลังได้รับความนิยมสูงมาก และหากจำไม่ผิดเขาน่าจะเคยร่วมมือกับอาก้องสร้างหมู่บ้านล้ำๆแห่งหนึ่งอยู่ แล้วลูกเกดมาอยู่กับไอ้เพลย์บอยนี่ได้ยัง?

ลูกเกดทำท่างลำบากใจที่จะเล่าอะไรบางอย่างให้เขา ซึ่งหลังพูดจบประโยค น้ำตาของสาวสวยอย่างลูกเกดก็หยดลงมาพร้อมสีหน้าที่เป็นกังวลเหมือนกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ ส่วนฝ่ายชายดูมีสีหน้าตกใจมาก จนหน้าซีดเผือดกว่าเดิม พร้อมทั้งโวยวายอะไรบางอย่างที่ผมจับเป็นศัพท์อะไรไม่ได้ ลูกเกดพยายามอธิบายอะไรบางอย่างกับด้วยน้ำตาแต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนี้จะยิ่งทำให้ฝ่ายชายหงุดหงิดดว่าเดิม

สุดท้ายก็จบที่ฝ่ายชายกำลังเดินจากไปด้วยท่าทีฉุนเฉียว ลูกเกดก้าวไปจับแขนเขาอย่างรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาของฝ่ายชายดูจะได้เปรียบกว่า เขาสบัดมือลูกเกดจนหลุดและเดินจากไปอย่างไม่ใยดี..... ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีเหตุผล ผมก้าวเท้าวิ่งออกจากจุดสังเกตการณ์และสาวหมัดเข้าที่ไอ้หน้าตัวเมียข้างหน้าอย่างแรง แต่อาจเพราะเซ้นส์ของนักกีฬาหรืออะไรบางอย่าง ทำให้เขาเอียงตัวหลบหมัดของผมได้และ ทำให้หมัดของผมเฉียดแค่ผิวหน้าของเขาเท่านั้นเอง

“ว้าย!!! พี่เอิร์ธ!!” ลูกเกดอุทานเสียงสูง
“ลูกเกด ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร มันทำอะไรลูกเกดหรือเปล่า?”
ผมหันไปหาหญิงสาวที่ตอนนี้หน้าซีดกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“พี่เอิร์ธ มาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
“พี่อยากคุยกับลูกเกด เลยแอบตามมาน่ะ แต่ช่างมันก่อน!! เกดมาอยู่กับไอ้หมอนี่ได้ยังไง? มันทำร้ายอะไรเกดหรือเปล่า?”  ผมยืนคุมเชิงอยู่ระหว่างลูกเกดกับไอ้หล่อหน้าลูกครึ่งนี่

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรจะพูดกับคุณไหม? คุณเป็นใครกล้าดียังไง มาทำร้ายผม?” ไอ้หนุ่มลูกครึ่งยึดตัวตรงและกำหมัดแน่น
“เดี๋ยวคะ!! เดี๋ยว คือ... นี่พี่เอิร์ธคะ พี่เอิร์ธเป็น....คู่หมั้นเกดเอง ส่วน.... คนนี้ เป็นเพื่อนน่ะคะ มาคุยเรื่องงานกัน”

“อ้อ... ไอ้หมอหน้าหวานที่เธอเล่าให้ฟังนั่นเอง.... ก็ดี!! แต่งกับมันไปสิเรื่องจะได้จบ จะได้เลิกมาวุ่นวายกับผมเสียที!!” กายพูดเสียงเข้มดังขึ้นด้วยท่าทีฉุนเฉียว

“นี่มันอะไรกัน เกด!!” ผมเห็นภาพตรงหน้าแล้วอดหัวร้อนจนหยุดไม่อยู่ไม่ได้ ผมเป็นคนเกลียดคนประเภทนี้อยู่ด้วย

“คือ.....คือว่า.....” ลูกเกดทำท่าทางเหมือนกำลังปั้นเรื่องที่พูดออกมาให้ฟังมีเหตุผลในสถานการณ์แบบนี้ แต่ยิ่งทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวคร่าวๆ จนพอเดาได้

“หรือว่า.... ไอ้คนนี้เป็นพ่อของเด็กในท้อง!!!” ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา
“ดูท่าทางฉลาดนะแต่ทำไมถึงพูดอะไรโง่ๆ พ่อเด็กเป็นใครก็ยังไม่รู้!! อย่ามาเหมาว่าเป็นของผมสิ เรามีอะไรกันไม่กี่ครั้งเอง!!”
ชายใส่สูทพูดด้วยถ้อยคำไร้นำ้ใจและไร้ความรับผิดชอบ

“แก!!!! มัน..!!!” ไอ้ปากปีจอเปิดปากทีผมนี่แทบอยากถลาตัวไปบวกกับมันตรงนี้เลย แต่พอผมได้มองสีหน้าของลูกเกดทำให้ผมคิดว่าต้องเคลียร์ปัญหาด้วยสมองมากกว่ากำลัง

“อยากจะทำอะไรก็ตามสบาย นึกว่านัดให้มาเจอเพื่ออะไร ผมไม่มีเวลาว่างมากหรอกนะ!!” ไอ้หน้าหล่อมันพูดพร้อมสวมแว่นตาดำอันใหญ่สวมกลับไปบนใบหน้าขาวๆนั่น และเตรียมหันหลังเดินจากไป

“เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ!! แล้วคุณจะไม่รับผิดชอบอะไรหน่อยเหรอ?” ผมตะโกนใส่เสียงดังลั่น

“รับผิดชอบ? รับผิดชอบเรื่องอะไร? ในเมื่อเราก็ตกลงกันแล้วเรื่องพวกนี้ ต่างคนต่างให้ ต่างคนต่างได้รับความสุข ผมเองก็มีแฟนแล้ว จะแต่งงานอีกสองเดือนแล้ว แล้วเธอเองก็มีแฟนอยู่แล้วอย่านึกว่าผมไม่รู้!! ดังนั้นจะให้ผมรับว่าเด็กในท้องเป็นลูกของผมได้ยังไง!!” เขาหันกลับมาตอบเป็นชุดด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน หน้าตาเหมือนคนตะวันตกแต่พูดไทยชัดมาก
 ผมฟังกายพูดจนจบ ก็ยังไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าน้องสาวที่ดูน่ารักสดใสจะมีพฤติกรรมทางสังคมแบบนี้

“ลูกเกด... นี่มันหมายความว่ายังไง? เล่ามาให้หมด” ผมพูดเสียงเข้มใส่หญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยเมคอัพที่เริ่มเลอะเทอะ

“ตามสบายนะ ผมไม่ได้ว่าง เรื่องนี้ถือว่าจบกันไปแบบนี้ก็แล้วกัน ผมไปล่ะ!” แล้วกายหนุ่มลูกครึ่งก็เดินสาวเท้าจากไปอย่างไม่ใยดี

“เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ!!” ผมตะโกนเรียกให้เขามาเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน แต่คราวนี้เขากลับไม่สนใจและเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่เท้าผมกำลังหยั่งออกไปตามชายที่เดินหนีไปตรงหน้าก็มีมือที่เรียวยาวมาจับแบนผมเพื่อหยุดผมไว้

“ช่างเถอะคะ พี่เอิร์ธ!! ปล่อยเขาไป อย่างไรเกดก็ไม่ได้อยากให้เขามารับผิดชอบหรอกคะ เพราะเราไม่ได้รักกัน”
ลูกเกดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“เกด??” ผมทำน้ำเสียงตัดพ้อและสงสัยใส่ลูกเกด
“เกดก็แค่ อยากให้เขารับทราบว่า มีชีวิตน้อยๆที่เป็นของเขาอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการให้เขารับผิดชอบอะไร? แต่เขาพูดจาทำร้ายจิตใจเกดเกินไปก็เลยทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาเท่านั้นเอง เกดไม่เคยเจอใครดูถูกเกดแบบนี้มาก่อน เกดไม่ได้ต้องการจะจับเขาเสียหน่อย เกดแค่จะบอกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
 ลูดเกดร่ายยาวจนไม่เปิดโอกาสให้ผมถามแทรก

“เรื่องมันเป็นมายังไง เล่าให้ฟังหน่อย ไม่ใช่ว่าเกดคบอยู่กับปิยะหรอกหรือ?”

“พี่เอิร์ธรู้?!?”
“บังเอิญว่าพี่มีโอกาสได้เจอกับปิยะน่ะ” ซึ่งเป็นการเจอที่ไม่ประทับใจเท่าไหร่ ผมคิดในใจ
“..........” ลูกเกดกลับเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอีกแล้ว
“เกด .... ไปนั่งพักตรงนั้นหน่อยไหม?”
“คะ.....”
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 3 (อัพ 21/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-04-2018 09:25:29


ผมพาเธอไปนั่งที่ม้านั่งหินอ่อนริมทะเลสาบที่เงียบสงบ จนได้ยินแต่เสียงลมพัดโบกจนต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นพริ้วไหวเอนไปมาเป็นรูปศิลปะที่สวยงาม แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ ที่ไม่ร้อนแรงทำให้ที่นี่เย็นสบายขึ้น ลูกเกดมองไปที่ทะเลสาปอีกครั้งหลังนั่งลงเรียบร้อย เธอเช็ดทำความสะอาดใบหน้าที่เลอะเทอะคราบน้ำตาและเครื่องสำอางต์ก่อนที่จะเปิดปากเล่าทุกอย่างให้ฟัง

เธอเล่าว่า.... หลังที่ลูกเกดได้แอบคบหากับปิยะ ตั้งแต่ช่วงใกล้ที่จะเรียนจบ เนื่องจากไม่ค่อยแน่ใจในหลายๆ เรื่องของปิยะ เพราะชื่อเสียงในทางไม่ดีของเขาทำให้ลูกเกดไม่กล้าที่เปิดตัวเต็มที่ เพราะสาวๆ ของปิยะที่ตามเกาะเแกะปิยะมีอยู่เยอะ และมีข่าวชิงรักหักสวาทมีเรื่องราวบ่อยครั้ง ลูกเกดไม่อยากให้ตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เลยให้ปิยะได้พิสูจน์ตัวเองก่อน ผ่านมาสามปี ปิยะที่ใจอ่อนกับหญิงสาวก็ไม่เด็ดขาดเสียที จนในที่สุดเรื่องของลูกเกดกับปิยะก็ดันไปสะดุดตากับแม่ม่ายสาวคนหนึ่งที่ติดพันปิยะอยู่ช่วงหนึ่ง (ไม่มั่วแต่ทั่วถึงจริงๆ ฟังกี่ทีปิยะนี่ก็ทำให้ผมประหลาดใจในความเจ้าชู้ของมันจริงๆ) ตอนนั้นลูกเกดเรียนจบและเข้ามาช่วยงานที่บริษัทของพ่อแล้ว แม่ม่ายสาวคนนั้นเดินทางมาขอพบและคุยด้วยอย่างจริงจัง (ผมคิดว่าน่าจะมาหาเรื่องมากกว่า) ทำให้ตอนนั้นลูกเกดอับอายมาก ลูกเกดเลยไปคุยกับปิยะอย่างจริงจังให้จัดการให้เรียบร้อย แต่ผลกลับตรงข้าม เพราะเธอตามลูกเกดไปหาเรื่องอีกถึงช่วงเวลาที่เธอไปช้อปปิ้งกับเพื่อน ช่วงเวลานั่นลูกเกดทุกข์ใจมาก เพราะปิยะดูเหมือนไม่พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์แบบนี้เลย

จนกระทั่งลูกเกดได้พบกับกายที่มาช่วยอาก้องดูแลโครงการเมก้าโปรเจคของบริษัท กายเป็นคนมาดดี หล่อ อบอุ่นน่ารัก และเป็นคนที่ให้เกียรติ์ลูกเกดมาก เลยเผลอใจไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง แรกๆก็ทำไปเพื่อประชดปิยะ แต่พอนานเข้าก็เกิดเป็นเรื่องเกินเลยขึ้น จนกระทั้งลูกเกดเกิดอาการแพ้ท้องจนแม่ผมสังเกตเห็นเข้า จึงได้เข้ามาทำการช่วยเหลือ ที่เหลือเหตุการณ์ก็เกินเลยมาจนถึงปัจจุบันนี้

“แต่เรื่องที่เกด..... แอบรักพี่ตั้งแต่เด็กน่ะ เป็นเรื่องจริงนะคะ เกดฝันว่าอยากแต่งงานกับพี่เอิร์ธ แต่เกดก็รู้ล่ะคะว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ เกดรู้เรื่องที่พี่เอิร์ธมีแฟน.... เป็นผู้ชาย... พอฟังแผนของแม่พี่เอิร์ธ แล้วรู้สึกมีความหวังขึ้นมาน่ะคะ”
ลูกเกดพูดทิ้งท้ายด้วยท่าทางขวยเขิน

“แล้วเกดทำไม่รีบมาบอกไอ้กายนั่นตั้งแรกล่ะ?”
“เกดรูดีคะว่าเขาต้องตอบประมาณนี้ ...คือ.... เกดเพิ่งมารู้ทีหลังคะว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วที่ต่างประเทศ รู้ว่าระหว่างเราคงเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเวลาที่เรา หลบปัญหาจากคนที่เรา......รัก....”
ลูกเกดเน้นคำสุดพร้อมกับน้ำตาไหลลงมาหนึ่งหยดคล้ายกับเธอเพิ่งจะรู้ว่าเธอได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปแล้ว! ผมฟังแล้วผมก็เข้าใจได้ทันที

“เกด...” ผมโอบไหล่ที่สั่นเทาของเธอ
“มันคงสายไปแล้วใช่ไหมคะ.... ที่เกดจะได้กลับไปหาปิยะ...” ลูกเกดพูดออกมาทั้งน้ำตาอีกระลอก

“..........” ผมทำได้แต่กอดเธอไว้แน่นๆ เพราะพอมาถึงจุดนี้ จุดที่หักศอกของสถานการณ์นี้ ผมจะทำยังไงกับมันดี ผมคิดถึงคำพูดของแม่ตัวเองขึ้นมาทันที ‘ถือเป็นการช่วยน้อง’ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมตัดสินใจต่อจากนี้ หลงจะเข้าใจผมไหมนะ?

.........................



เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงเครื่องยนต์คำรามและเสียงแตรรถยนต์ดังมาเป็นระยะ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีส้มอ่อน พร้อมกับความรู้สึกที่หนักอึ้ง วันนี้ผมควรจะต้องเตรียมตัวกลับไปที่พักพิงของผมที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่หากเรื่องยังเป็นแบบนี้อยู่ ผมคงกลับไปทำงานอย่างมีความสุขไม่ได้ หากผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาอันนี้ได้จบ ผมคงต้องขอลางานจากผู้ใหญ่ที่โรงพยาบาลเพิ่มแล้ว ผมนั่งนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จนถึงช่วงเวลาที่ลูกเกดเปิดใจกับผมริมทะเลสาป ผมยังนึกไม่ออกว่าทางออกมันอยู่ตรงไหนของสถานการณ์นี้ 

ผมเดินออกจากห้องทำให้รู้ตัวว่าเป็นเวลาสายพอสมควร มันเป็นเวลารีบเร่งของคนเมืองที่ใจร้อนจะไปทำงานให้ทัน สังเกตได้จากแสงแดดที่สาดเข้ามาในตัวบ้านและเสียงเครื่องยนต์และแตรรถที่อื้ออึงอยู่ไกลๆ ผมเดินลงบันไดจากห้องที่ชั้นสาม ของบ้านพ่อของผม ภายนอกห้องเงียบสงัด แปลว่าพ่อผมน่าจะไปทำงานแล้ว ผมมองสภาพโดยรอบ ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ผมเคยมาพักอยูที่นี่

ที่นี่เป็นสถานที่พักใจของผมมาก่อน ช่วงเวลาที่ทะเลาะกับแม่ตอนผมคบกับแฟนคนแรก พ่อเปิดรับผมเข้ามา เตรียมที่พักให้พร้อม พ่อผมไม่เคยถามว่ามีปัญหาอะไรกับแม่ มีแต่ผมที่พุ่งเอาปัญหามาให้พ่อ และพ่อก็ยังเปิดใจยอมรับตัวตนของผม ทั้งที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าพ่อจะรับได้ พ่อผมมักจะช่วยผมแก้ปัญหาเสมอ และครั้งนี้ผมก็ไม่อยากจะรบกวนท่านอีกแล้ว ครั้งนี้ผมคงต้องจัดการด้วยตนเอง

ผมเดินไปถึงส่วนห้องรับแขกของบ้านอย่างงัวเงีย สายตาที่มองทอดไปที่ภายนอกบ้านผ่านกระจกบานใหญ่ของบ้าน ทำให้สังเกตถึงตัวปัญหาที่นอนพาดยาวอยู่ที่โซฟาของห้องรับแขกที่เงียบสงัดและไร้แสงแดดส่องมาถึง ผมถึงกับหยุดเท้าตัวเองลงและภาพของเหตุการณ์เมื่อวานก็ตัดเข้ามาในหัวสมองทันที......
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 3 (อัพ 21/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-04-2018 09:46:08

หลังจากไปส่งลูกเกดกลับไปที่บ้านเพื่อพักผ่อน ผมตัดสินใจให้เธอปล่อยรถไว้ที่ทะเลสาป และให้คนขับรถของที่บ้านไปขับกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะเท่าที่ผมประเมินสภาพร่างกายและจิตใจของเธอแล้ว ดูท่าจะไม่เหมาะกับการขับรถกลับบ้านด้วยตนเอง

ผมขับรถมาถึงหน้าบ้านทาวโฮมขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ผมเดินออกมาจากรถเพื่อไปเปิดประตูบ้าน ขณะที่ผมใจลอย ผ่อนลมหายใจถี่ๆจนเหมือนคนบ้า  แสงไฟหน้ารถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลก็สว่างขึ้นมาวาบใหญ่ ทำให้สายตาของผมพร่ามัวไประยะหนึ่งจนเห็นจุดแสงค้างอยู่ในดวงตาไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมใช้มือบังแสงที่ส่องมากระทบตา พยายามให้ตาปรับตัวกับแสงสว่างที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้

หลังจากผ่านไปสักพักสายตาผมก็กลับมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ผมมองเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายหลังแสงไฟนั่น และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยท่าทางการเดินที่ไม่ปกติ คล้ายคนๆนั้นกำลังเดินอยู่ในพื้นที่ไม่เรียบและไม่เท่ากัน เงานั้นโอนเอนไปมาจนผมเริ่มขนลุกซู่ไปหมด ความกลัวทำให้สมองจินตนาการไปต่างๆ นานา ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร ในขณะที่ผมกำลังก้าวเท้าเพื่อหนีเข้าไปในพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน เสียงที่คุ้นหูแต่อ่อนแรงก็ดังขึ้นมา

“ไอ้เอิร์ธ!!”
“......... ใครครับ” แม้เสียงจะคุ้นหูแต่ก็ยังนึกไม่ออก
“กูเองไง!! เรามีเรื่องต้องคุยกัน!!” เสียงนั่นดังใกล้ขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนกายที่เร็วขึ้นด้วยท่าทางโซเซ เงานั้นเข้ามาใกล้จนผมเห็นเงานั้นได้ชัดเจนขึ้น

“ปิยะ!!! มาได้ไง!!”
“เรื่องนี้... ไม่เห็นจะยาก แค่มีเงิน..... อยากรู้เรื่องอะไรก็รู้หมดนั่นแหละ” ปิยะตอบด้วยท่าทางยียวน

“แล้ว.... มาหาเราทำไม?”
“กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง!!” ปิยะเดินมาใช้มือยกคอเสื้อของผมขึ้น ไม่ใช่เพื่อทรงตัวแต่ท่าทางจะมาหาเรื่อง ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งจนผมที่สูดดมเข้าไปแทบจะเมาไปด้วย

“เฮ้ยเดี๋ยวสิวะ!! ใจเย็นๆ” ครั้งก่อนผมยังให้อภัยนะครับ มาครั้งที่สองเนี่ยผมเริ่มหมดความอดทนกับไอ้เตี้ยใจบางคนนี้แล้ว ผมจับมือเขาที่แทบจะไม่มีแรงเหลือสะบัดออกจากคอเสื้อผม คนตัวเล็กกว่าบวกกับความเมาจึงทำให้เขาเกือบทรงตัวไม่อยู่

“เชี้ยเอ่ย... ไหนว่ามึงเป็นเกย์ไง ไม่เอาผู้หญิงแล้วลูกเกดจะท้องกับมึงได้ไงวะ?” คนพูดที่ทรงตัวลำบากขนาดเอามือทาบกำแพงพยายามจ้องหน้าผมตาเขียว
“เอ่อ..... อืม..... เราไม่เคยมีอะไรผู้หญิงมาก่อนเลยนะสาบาน ยิ่งกับลูกเกดที่เราคิดกับเขาแค่น้องสาวยิ่งเป็นไปไม่ได้!!”
เขาท้องกับนายหรือเปล่า?”
ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ผมว่าปิยะไม่น่าจะรับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้

“ไม่จริง!! กูไม่เคยทำอะไรลูกเกดถึงขั้นนั้น กูไม่ชอบขืนใจใคร! ทำได้แค่กอด จูบ มันจะไปท้องได้ไงวะ กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย!!” ปิยะเดินโซเซเข้ามาใกล้ขี้น

“..............” ผมทำได้แค่ถอยไปก้าวหนึ่ง เพราะนึกคำพูดอะไรไม่ออก (เชี้ยแล้วไง!! ใครจะไปรู้ความสัมพันธ์ของเอ็งสองคนฟะ!!)

“มึง! ไอ้เลว กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง!! ไอ้สัดเอ้ย!!”
ปิยะกำหมัดและโถมทั้งตัวพุ่งมาหาผมด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ด้วยความเร็วของคนเมา มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะปัดการโจมตีของเขาได้ แต่ผมลืมตัวไปว่าเขาเมาเกินกว่าที่จะรักษาความสมดุลให้ตัวหยุดลงด้วยความแรงสุดตัวแบบนั้น ปิยะพุ่งผ่านผมไปหยุดที่เสาไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังผมไม่ไกล หัวไปกระแทกกับเสาต้นนั้นเต็มแรง ปิยะเขาอ่อนลงไปทันที นั้นเป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อผมในสภาพนี้

ผมมองผ้าพันแผลที่หัวของเขา พลางผ่อนลมหายใจออกยาวๆ โชคดีของเขาที่ศรีษะไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นเรื่องราวคงจะใหญ่โตกว่านี้มาก (ผมไม่อยากเป็นฆาตกรนะครับ)

ครู่หนึ่งขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน คนที่ผมกำลังหนักใจอยู่ก็ลุกขึ้นนั่งและมองมาทางผมทั้งที่ผ้าพันแผลพันปิดหน้าผากของเขาเกินครึ่ง ผมผงะถอยหลังมาครึ่งก้าวด้วยความตกใจ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมาตั้งท่าป้องกันไว้โดยอัตโนมัติ

“ปวดหัวชะมัด....” ปิยะเปรยออกมาโดยที่มีมือหนึ่งเกาะกุมศรีษะตัวเองไว้
“จำได้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” ผมถามภายใต้มือที่ตั้งฉากเตรียมป้องกันตัวเอง
“อืม.... ขอโทษนะ...” เสียงที่เบาจนแทบจะกลืนหายไปกับอากาศนั้นทำให้ผมเบาใจขึ้นถอนมือตัวเองลง
“เอ่อ......งั้น...... เดี๋ยวหายามาให้กินก็แล้วกัน”  ผมพูดจบก็เดินไปที่ห้องทำงานพ่อของผมที่อยู่ไม่ไกล ห้องที่มีหนังสือเรียงรายกันยังกับห้องสมุดและมีตู้ยาที่พร้อมสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน พ่อผมเป็นคนเตรียมความพร้อมเสมอ คนแถวนี้มักจะมาแวะมาหาแกเพื่อขอปรึกษาเรื่องอาการเจ็บป่วยต่างๆ และจะได้ยาแถมไปด้วยแบบไม่คิดเงิน  (พ่อผมก็เป็นหมอนี่ครับ)

“เอ้า กินเข้าไป แล้วรีบกินข้าวตามไปเลยนะเดี๋ยวปวดท้อง!” ผมยื่นยาให้เสร็จผมก็เดินไปห้องครัวทันทีเพื่อหามื้อเช้ากิน และคงต้องหาเผื่อไอ้ปิยะด้วย โชคดีที่พ่อผมเตรียมไว้ให้แล้วเหมือนกัน เป็นข้าวต้มกุ้งปรุงร้อนๆเต็มหม้อ (พ่อผมน่ารักที่สุด)
“เอ้า!! มากินข้าวได้แล้ว เออ!! เดินไหวไหม?” ผมตะโกนออกไปนอกห้องแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมเลยสาวเท้าเดินออกไปดูเผื่อปิยะต้องการความช่วยเหลือ  แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ผมก็เกือบเดินไปปะทะกับปิยะที่เดินโยกเยกมาอย่างแผ่วเบา

“เออ!! ไหวน่า”  เขาพูดด้วยท่าทางฉุนเฉียวเล็กน้อยจนผมแอบแปลกใจ
“ไหน? ขอดูผ้าพันแผลหน่อย?” ผมพูดแก้เก้อไปอย่างนั้น แต่ตาก็เหลือบไปมองที่หน้าผากเขาจริงๆ
“ไม่เป็นไร” ปิยะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ก็ทำไว้ก่อนนอน เลยว่าจะขอเช็คสภาพตอนตื่นนอนหน่อย เผื่อมันไม่มีอะไรไม่เรียบร้อยจะได้พันให้ใหม่!”
ผมเซ้าซี้จนเขาหยุดให้ผมดูดีๆ หน้าผากของเขาตรงกับปากของผมพอดี เลยไม่ได้เป็นการลำบากเท่าไหร่

“อ้าว!! สภาพเหมือนใหม่เลยนี่นา นายเป็นคนนอนเรียบร้อยกว่าที่คิดนะ” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ

“เรียบร้อยบ้าอะไร! พ่อนายมาทำให้ใหม่ตั้งแต่เช้าต่างหาก ผ้าที่นายพันไว้เมื่อคืนหลุดหมดแล้ว” ปิยะบ่นอุบอิบ

“อ้าวเหรอ” ผมพูดแก้เขินขณะใช้มือสัมผัสกับผ้าที่ถูกพันรอบศรีษะอย่างปราณีตเรียบร้อย ฝีมือผมยังห่างไกลจากพ่อจริงๆ
ขณะที่ผมกำลังมองรอบๆศรีษะของปิยะอย่างพินิจ ก็ถูกมือหนึ่งเชยคางและกดที่ปลายคางให้ผมมองต่ำลงมาทำให้ดวงตาผมไปประสานกับดวงตากลมโตของปิยะทันที

“นายหน้าสวยหวานเหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะ” ปิยะพูดขึ้นขณะที่สายตาของเขาวนพินิจรอบวงหน้าของผม
“เฮ้ย!!” ผมผงะปัดมือเขาออกและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ใจเย็นๆ เราไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แค่อยากเช็คว่าเราไปทำร้ายอะไรนายอีกหรือเปล่า? เห็นหน้านายยังใสอยู่ก็เลยพูดล้อเล่นออกไป”
“แล้วไป... เรามีแฟนแล้วนะ อย่ามาทำให้เราลำบากใจสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แค่ล้อเล่นน่า ไม่ต้องจริงจัง ได้ข่าวว่ากินเด็กด้วยนี่!”
“เฮ้ย!! รู้ได้ไง....?? ว่าแต่ ทำไมดูสบายใจจังวะ?”
“ก็พ่อนายนั่นแหละ เล่าให้เราฟังเรื่องลูกเกดหมดแล้ว รวมถึงเรื่องแฟนเด็กของนายด้วย!!”
ปิยะพูดด้วยท่าทางสบายแต่สายตากลับมีความกังวลเจือปนอยู่
“..............” (พ่อนะพ่อ... ผมไม่เคยปิดปังเรื่องอะไรกับพ่อเลย ผมปรึกษาพ่อมาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร เพราะพ่อมักจะมีคำสอนหรือข้อชี้แนะให้เราคิดไปต่อได้ แก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ แต่ไม่เคยนึกเลยว่าพ่อจะเล่าให้ปิยะฟังทั้งหมด หรือว่านี่เป็นการช่วยแก้ปัญหาในแบบฉบับของพ่อเอง หวังว่าคงไม่เล่าไปทั้งหมดนะ)

“ตอนแรกเราโมโหมาก แต่พอได้ฟังพ่อนายสอนและเล่าสิ่งต่างๆ ให้ฟังก็เลยทำให้เราคิดอะไรได้หลายอย่าง”
“ใช่.... พ่อเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดเสมอ”
“รู้สึกอิจฉานายก็ตรงนี้แหละ ได้คนดีๆ มาเป็นพ่อ ไม่รู้ว่าน้าอรทำไมถึงเลิกกับคนดีๆ แบบนี้”
“ความคิดเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่องน่ะ ว่าแต่.... นายจะทำยังไงต่อไป...?”
“ไม่รู้ว่ะ... ไม่รู้จริงๆ แต่พ่อนายบอกว่า ความทุกข์ก็เหมือคมมือที่ถืออยู่ในมือ ที่เรากำไว้แน่น หากเราปล่อยมือจากคมมีดที่เรารู้ว่ามันคมมันทำให้เรามีบาดแผล เราก็ควรจะปล่อยมือ ปล่อยให้แผลมันหาย มันจะได้ไม่เจ็บ... เราก็เลยคิดทบทวนดูแล้ว.... เธออาจไม่ได้รักเราเราก็ไม่ควรจะยื้อต่อไป เราควรจะปล่อย...” ปิยะพูดไปด้วยสายตาที่แดงก่ำ ฟันกรามขบแน่น ผมเห็นทำให้นึกถึงตัวเองในอดีตจนมือไม้อดจะสั่นกับความรู้สึกของปิยะที่สื่อมาจนท่วมท้นไม่ได้

“แต่เราว่านายยังโชคดี.....”
“ยังไง?? โชคดีที่โดยทิ้งน่ะเหรอ?”
“....อืม.....” ผมยังลังเลที่จะบอกเรื่องที่ผมคุยกับลูกเกดเมื่อวานดีหรือไม่?
“เราไม่รบกวนแล้ว ขอตัวล่ะ!”  ปิยะลุกขึ้นทันทีหลังพูดจบ
“เดี๋ยว!!”
“เราไม่หิว ไม่อยากกินอะไร”
“แต่นายควรกิน อย่าทรมานตัวเองเลย และที่บอกว่านายโชคดีน่ะ เรื่องจริงนะ”
“อะไรนะ?” สีหน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม
“ลูกเกดน่ะ เธอรักนาย ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้สึกตัวก็เถอะ และพอเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เธอเสียใจมาก”
“ห๊ะ!! อะไรนะ!!”
“เออ ได้ยินไม่ผิดหรอก เธอรักนาย!”
“จริงนะ?!?”
“เออ!! จริงสิ!”
“...........” ปิยะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชนิดที่ผมยังแปลกใจ ดูสว่างสดใสกว่าเมื่อเช้ามาก

“คือเมื่อวานได้มีโอกาสเคลียร์กับลูกเกดน่ะ แล้วก็.....”
“อะไร!!?!...” สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของผมคงไปสะกิดต่อมอยากรู้ของเขามากขึ้น เพราะท่าทางของเขาเหมือนพร้อมจะออกตัวออกจากบ้านผมเต็มที่ คงอยากไปหาสุดที่รักของเขา แต่ผมมีเรื่องที่ต้องเล่าให้เขาฟังก่อน เรื่องที่เขาต้องรู้เกี่ยวลูกเกด!!

“คือ.....มีเรื่องหนึ่งที่นายต้องฟังและตัดสินใจก่อน...ก่อนไปหาลูกเกด”
“เรื่องอะไร??”
“นั่งก่อน .... เรื่องที่ลูกเกดท้องน่ะ.... เป็นเรื่องจริง!!”
“............” สีหน้าของเขาทำให้ผมรู้จักคำว่าหน้าถอดสีได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

“ตั้งใจเรื่องต่อไปนี้ให้ดี.........”
ผมเล่าเรื่องที่ผมไปเจอให้ปิยะฟัง รวมถึงทุกถ้อยคำที่ผมได้พูดคุยกับลูกเกด ทำให้ปิยะดูนิ่งและเงียบไปจนผมกังวลไปขณะเล่าให้เขาฟัง แต่มันเป็นเรื่องจริง เขาต้องยอมรับว่าความรักของเขามันมีอุปสรรค และมันมีปัญหาที่ผู้ชายส่วนใหญ่คงให้อภัยผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้แน่นอน

ผมเล่าและมองดูท่าทีของปิยะอย่างเป็นห่วง เขาขบฟันกรามแน่นและปล่อยและขบอีกครั้งสลับไปมาเหมือนขบคิดอะไรอย่างหนัก โดยเฉพาะเส้นเลือดที่หัวที่ดูปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย ผมรู้สึกอยากไปหยิบโทรศัพท์ไปตามรถพยาบาลเพราะกลัวจะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกตายไปเสียก่อน

เพี้ยะ!!!!

เขาตบเข่าตัวเองเสียดังจนผมตกใจเกือบหงายหลัง
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเราเอง เราทำให้ลูกเกดเป็นแบบนี้ ลูกเกดทนเพื่อเรามามาก ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำเพื่อลูกเกดบ้าง ลูกในท้อง พ่อจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่เมื่อมีแม่เป็นลูกเกด เราจะรับเป็นพ่อเอง และเราจะรักเขาเท่าที่ลูกเกดรักเช่นกัน!!” คำพูดที่หนักแน่นโพล่งออกมาจากปากเพลย์บอยที่ตอนนี้ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวจริงอย่างที่สุด เขาได้รับความชื่นชมจากผมไปเต็มๆเลยที่เดียว
“ผมจะไปสู่ขอลูกเกด!!”
พูดจบเขาก็เดินโผงผางออกไปอย่างรวดเร็ว

......................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 3 (อัพ 21/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 21-04-2018 12:06:35
นี่มันเรื่องอะไรกัน อยากสคิปไปตอนจบเลย วุ่นวายเหลือเกิน เรื่องนี้จัดการคุณแม่คนเดียวนี่จบเลยนะ คนอื่นดูไม่มีอะไรเลย เดินตามเฉยๆ ="=
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 3 (อัพ 21/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-04-2018 13:39:05
แม่เอิร์ธ วุ่นวายมาก   :z6: :z6: :z6:
อยากช่วยลูกเกด ช่วยแบบไหนกัน
ช่วยเขา แต่ทำให้ลูกตัวเองเดือดร้อน
แทนที่จะพูดกันดีๆ  นี่จับลูกใส่กระสอบ ประเคนเขา   :fire: :fire: :fire:
เป็นแม่ที่ไม่น่ารัก  :serius2:
ปิยะ เป็นพระเอกซะที
ตลกนะเจ้าชู้ไปทั่ว ทั้งแม่ม่าย ผู้หญิง
แต่กับคนที่ตัวเองรัก  แค่กอดจูบ ยังไง  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 3 (อัพ 21/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-04-2018 19:35:02
เข้าใจปิยะนะ รักลูกเกดจริงแค่กอดจูบ เป็นคนอื่นฟันดะเจ้าชู้ไม่เลือก
แต่ไม่ชัดเจนกับเขาเองนิช่วยไม่ได้ สุดท้ายได้ลูกคนอื่นเป็นของแถม
 o18
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 4 (อัพ 29/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 29-04-2018 11:13:51

ท่ามกลางการจราจรของวันทำงาน บนท้องถนนที่รถรถเรียงรายอย่างกับลานจอดรถขนาดใหญ่ ผมอยู่ตรงสี่แยกเส้นทางที่จะไปชานเมืองฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ ผมกำลังเร่งรีบขับตามรถสปอร์ตป้ายแดงของปิยะที่ขับออกจากบ้านผมไปทั้งสภาพเหมือนเดิ่งตื่นจากฝันร้าย (ไม่ต่างจากผมเลย ดีนะที่ล้างหน้าแปลงฟันแล้ว)

การขับรถของปิยะที่ซิ่งเหมือนในสนานแข่งจนผมแทบตามไม่ทันเห็นเพียงหลังรถที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น หากสี่แยกนี้เปิดไฟเขียวต่ำกว่า 10 วินาทีผมคงตามปิยะไม่ทันแน่ๆ เพราะรถของปิยะจอดอยู่คันหน้าสุดในขณะที่ผมพยายามเหยียบคันเร่งเต็มที่ก็ยังตามมาได้จอดเป็นคันที่หก ห่างจากเขา

และเป็นไปตามคาด ไฟเขียวที่เปิดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เหมือนไฟกระพริบก็เกิดขึ้น!! รถออกตัวไปพ้นไฟแดงได้เพียงสามแถวแรก ผมผ่อนลมหายใจและเอนหลังลงอย่างทำใจ

สามสิบนาทีให้หลังก็มาถึงจุดหมาย ผมขับตามเขาไปต่อได้ไม่ยากเพราะผมรู้จุดหมายของเขาอยู่แล้ว ในที่สุดผมตามปิยะมาจนถึงบ้านของอาก้อง รถเขาจอดอยู่หน้าบ้านอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะความเร่งรีบของเขา ผมพยายามรีบมาห้ามไม่ให้ปิยะทำอะไรวู่วาม เพราะอาก้องน่าจะยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด มันจะยิ่งทำให้อาก้องโกรธลูกเกดเสียเปล่าๆ
ผมวิ่งเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่อย่างไม่รู้ที่ทาง (บ้านมันหลังใหญ่จริงๆ) ผมรีบจนลืมสอบถามคนรับใช้ภายในคฤหาสน์ วิ่งผ่านทุกคนที่ดูท่าทางตกใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในตอนเช้า

“ออกไป!! จะเข้ามาโวยวายอะไรในบ้านคนอื่นแต่เช้าแบบนี้ไม่ได้!!”

เสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองของอาก้องดังขึ้นมาทางปีกตะวันออกของบ้าน ผมจึงเร่งฝีเท้าตามเสียงของอาก้องไป

“อาก้องครับ ผมขอร้อง ผมอยากเจอลูกเกด!!”
ผมมาทันเห็นภาพปิยะในสภาพคุกเข่าอ้อนวอน

“ออกไป!! ลูกเกดไม่สบาย ไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น!!”
อากัองขึ้นเสียงดังด้วยดวงตาขุ่นเคือง ส่วนผมได้แต่ยืนมองนิ่งตรงทางเข้าห้องอาหารเหมือนหนูหวาดกลัวดวงตาของงูใหญ่จ้องเอาชีวิต อาก้องไม่ชอบปิยะเสียเท่าไหร่เป็นทุนเดินอยู่แล้ว เพราะความที่เป็นลูกเศรษฐีที่ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังเจ้าชู้ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เขามีภาพลักษณ์ที่ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ชอบ

“อาก้องครับ ผมมีเรื่องที่จะคุยกับเกด ผมขอพบลูกเกดได้ไหมครับ?” น้ำเสียงของปิยะดูอ้อนวอนมากกว่าปกติ
“อย่าให้อาพูดหยาบคายเลยนะ แค่นี้ลูกอาก็เสียใจเพราะแกจะแย่แล้ว อาว่าแกพอเถอะนะ!!”
อาก้องถอนหายใจยาวๆ ก่อนพูดเสียงเข้มออกมา

“อารู้......” ปิยะรำพันขึ้นมาตรงหน้าอาก้อง
“อารู้เรื่องลูกตัวเองทุกเรื่อง..”
“งั้นอาน่าจะรู้ว่าเรารักกัน ผมจะขอลูกเกดแต่งงาน”
“เขามีคนที่ดีที่จะแต่งด้วยแล้ว และกำลังมีทายาทด้วยกัน มันสายไปเสียแล้วล่ะ!!”
“ผมไม่สนใจ ผมรักเกด ผมจะแต่งงานกับเกด ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเกด เด็กในท้องจะเป็นลูกใครไม่สำคัญ ผมรับได้ขอแค่ได้อยู่กับลูกเกด!!”
เสียงของปิยะดูหนักแน่นและมีสายตาที่มั่นคงจนผมรู้สึกถึงความจริงใจได้

“เอ็งจะบ้าเรอะ ลูกตัวเองก็ไม่ใช่ ทำไปเพื่ออะไรวะ?”
อาก้องเสียงอ่อนลง
“รักครับ ผมรักเธอผมจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว ผมยอมทำทุกอย่างให้เธอกลับมาหาผม”
“เฮ้อ..... อาก็แค่อยากได้คำตอบแบบนี้ล่ะ แม้มันจะสายไปแล้วก็เถอะ อาตกลงกับเอิร์ธไว้แล้วด้วยสิ สงสารเอิร์ธเหมือนกันที่ต้องโดนจับคลุมถุงชนแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรเลย.........”

“หมายความว่ายังไงครับ?” ผมโพล่งพูดออกไปแบบไม่รู้ตัวเพราะจากประโยคของอาก้องมันชวนให้ผมสงสัยอยู่มาก

”อ้าว!!! เอิร์ธ!! .... เฮ้อ.........”
อาก้องถอนหายใจจนผมเกือบเห็นไอร้อนจากลมหายใจออกมาด้วย

“อาก้องครับ!” ผมเน้นคำพูดเพราะต้องการรีดคำตอบออกจากปากอาก้อง

“เฮ้อ.... เออๆ  อารู้มาสักพักแล้วเรื่องเอิร์ธ เรื่องปิยะ แล้วก็เรื่องลูกสาวอา.... แล้วนี่ลูกเกดก็เพิ่งมาสารภาพกับอาเมื่อคืน!!”

“แปลว่า......” ผมยังอึ้งกับคำตอบของอาก้อง ไม่ต่างอะไรกับปิยะที่อ้าปากค้างอยู่กับที่
“ลูกสาวอา อาก็มีสิทธิ์จะรู้ไหม? อาก็พอรู้จักนักสืบอยู่บ้าง อารู้เรื่องปิยะกับลูกสาวอา รู้แม้กระทั้งเรื่องของไอ้ลูกครึ่งที่มันทำร้ายจิตใจลูกเกดคนนั้น!!” อาก้องทิ้งน้ำหนักแห่งความชังลงที่ท้ายประโยค

“แล้วลุงยังจะเออออไปกับแผนของแม่ผมอีก!!” ผมเริ่มรู้สึกของขึ้น
“ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา

“.........” พอมาถึงจุดนี้ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก เพราะคนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก อาก้องคงรู้ว่าลูกเกดจะต้องอับอายแค่ไหนกับการที่ท้องไม่มีพ่อ

“เกด.. เขาตัดสินใจจะไปยกเลิกงานแต่งและย้ายไปอยู่ต่างประเทศจนกว่าจะคลอด.... และอาจจะอยู่ตลอดไป.....”
เสียงอากัองเริ่มสั่นเครือ

“ขอผมคุยกับเกดหน่อยได้ไหมครับคุณอา!!” ปิยะพูดสอดขึ้น
“อย่าเลย..... มันอาจจะแย่ลงกว่านี้ เพราะแก ลูกเกดถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้!!” อาก้องสวนไปทันทีที่ปิยะจบประโยค

“อาครับ.... ผมว่าลองให้โอกาสดูก่อนไหมครับ ผมเชื่อนะครับว่าความรักของทั้งสองคนจะแก้ปัญหานี้ได้” ผมพูดเข้าข้างปิยะ
“...........” อาก้องหยุดคิดนิ่งไป
“นะครับ  หากผมทำไม่ได้ ผมจะไม่มายุ่งกับเกดอีกเลย!! ผมขอโอกาสนะครับ”

“เออๆ ครั้งนี้เท่านั้น วันนี้เอ็งเปลี่ยนใจเกดไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก!!”
“ครับผม” พูดจบสีหน้าเขาก็ดีขึ้นและวิ่งไปที่ห้องของลูกเกดทันที ผมมองหลังเขาไปจนหลับตา และอวยพรให้เขาโชคดีในใจ

“อาขอโทษนะ...” อาก้องหันมาพูดกับผมด้วยแววตาสำนึกผิด
“ไม่เป็นครับ ผมเข้าใจ... แค่ส่วนหนึ่งนะ และผมก็อยากให้เกดมีความสุขเหมือนกัน... เรามารอดีกว่าว่าผลมันจะเป็นยังไง”
ผมพูดกับอาก้องด้วยสีหน้าราบเรียบ

............................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 4 (อัพ 29/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 29-04-2018 12:53:41
โห อ่านมาแล้วจี้ด [ “ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา ] นี่ไม่เข้าใจเลย ถึงไม่เคยเป็นพ่อคนแต่เป็นคนอยู่ คนแบบไหนเอาความเห็นแก่ตัวของครอบครัวตัวเอง ของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่น ทำลายเขาไม่แค่คนที่ยัดเยียดให้แต่รวมถึงทำลายคนรักของเขาด้วย
โห..... จากตอนแรกก็ไม่อะไรนะพออ่านตอนนี้อาก้องอะไรเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลย
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบแปด part 4 (อัพ 29/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-04-2018 16:23:30
โห อ่านมาแล้วจี้ด [ “ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา ] นี่ไม่เข้าใจเลย ถึงไม่เคยเป็นพ่อคนแต่เป็นคนอยู่ คนแบบไหนเอาความเห็นแก่ตัวของครอบครัวตัวเอง ของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่น ทำลายเขาไม่แค่คนที่ยัดเยียดให้แต่รวมถึงทำลายคนรักของเขาด้วย
โห..... จากตอนแรกก็ไม่อะไรนะพออ่านตอนนี้อาก้องอะไรเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลย

คิดเหมือน 
อาก้อง  โคตรเห็นแก่ตัว  เอาแต่ความอยู่รอด ปลอดภัยของครอบครัวตัวเอง

แต่คนที่น่ารังเกียจมากที่สุดคือแม่เอิร์ท
รู้ทั้งรู้ว่า ลูกไม่ได้ชอบหญิง ลูกมีคนรักแล้ว ยังยัดเยียดลูกเกดที่ท้องให้ลูกแต่งงานด้วย
มีความเป็นแม่ในตัวสักนิดหรือเปล่าเนี่ย ไม่คิดถึงใจลูก ความสุขของลูกเลย
ทำแบบนี้แล้วลูกจะหายขาดจากการเป็นเกย์หรือ แก่กะโหลกกะลาชัดๆ
ถ้าลูกจะไม่รัก ไม่สนใจใยดี ก็เพราะแม่ทำตัวเอง โทษตัวเองเลย ไม่ต้องโทษใคร   :fire:  :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 1 (อัพ 30/Apr/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 30-04-2018 13:50:50
เอิร์ธ # 13


ผมทิ้งตัวเองลงที่โซฟาที่ห้องรับแขกที่คุ้นเคย สูดลมหายใจรับอากาศภายในบ้านที่แสนโหยหา บ้านที่ผมอยากจะกลับมาใจจะขาด อยากมาทำงานที่รักก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมอยากกลับมาหาสุดที่รักของผมมากกว่า ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ล้วนมีความทรงจำของเราสองคนอยู่ทุกที่ แค่เห็นรูปหมาพันธ์ุชิวาว่าที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องรับแขก ซึ่งหลงเขาชอบมากแต่ไม่ถูกอนุญาตให้เลี้ยง ผมก็อมยิ้มไม่หุบแล้ว

สองสามวันที่ผ่านมานี้ ผมไม่ได้ติดต่อเขาเลยเพราะมัวแต่ยุ่งกับละครน้ำเน่าที่คนกรุงเป็นจัดฉากขึ้น (ว่าไปนั่น ผมก็คนกรุงนี่หว่า แต่หัวใจจผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ) ตอนจบสุดท้ายของละครเรื่องนี้ หลังจากที่ส่งปิยะขึ้นไปเคลียร์กับลูกเกดอยู่นานหลายชั่วโมง ในที่สุดปิยะก็สามารถเคลียร์กับลูกเกดได้สำเร็จ ลูกเกดเดินมาพร้อมกับปิยะ ทั้งคู่โอบกอดกันเข้ามาหาอาก้อง สีหน้าลูกเกดดีขึ้นมากทั้งๆที่รอบดวงตาและแก้มทั้งสองข้างยังคงบวมแดงและมีคราบนำ้ตาติดอยู่ ลูกเกดเดินมาขอโทษทุกคนที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ส่วนปิยะเข้ามากราบเท้าอากัองพร้อมขอลูกเกดแต่งงาน และสัญญาจะดูแลลูกเกดอย่างดี ทำให้อาก้องยิ้มได้อีกครั้ง ทั้งอาก้องและลูกเกดต่างหันมาขออภัยจากผม ผมซึ่งเห็นความปิติตรงหน้าไหนเลยจะกล้าโกรธคนพวกนี้ลง ผมให้อภัยในเรื่องทั้งหมด อาก้องสัญญากับผมว่า จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเอง ไม่ให้ผมต้องเป็นห่วง ผมถึงรีบเดินทางกลับมาที่นี่อย่างสบายใจ

ผมวางแผนว่าจะมาเซอร์ไพรส์หลงที่คาดว่าจะมารอผมที่บ้านทุกวัน เลยไม่ได้บอกหลงว่าจะกลับวันไหน ผมเดาว่าเด็กคนนี้น่าจะมาช่วยผมดูแลบ้านบวกกับมารอผมทุกวัน แต่แปลกที่บ้านของผมมันดูเงียบสงัดผิดปกติไป ผมมานอนพักเหนื่อยอยู่นานพอควรแล้วแต่บ้านก็ยังไร้สุ่มเสียงใดๆ เหมือนไร้ผู้คน

เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่กระเป๋ากางเกงดังและสั่นขึ้นมาพักหนึ่ง ผมรับหยิบขึ้นมาดูเผื่อว่าเป็นข้อความจากหลงที่เขามักจะส่งมาทักทายทุกวัน (แต่ผมนี่สิ..ไม่ค่อยได้ตอบ) ไฟหน้าจอสว่างขึ้นทันทีหลังจากที่ผมยกขึ้นมาขนานกับใบหน้า ชื่อที่แสดงบนข้อความมาจากลูกเกด ผมเลยเลื่อนแถบข้อความนั้นเพื่ออ่านเนื้อหาภายใน ผมพบว่ามันเป็นลิ้งค์ของเวปไซต์หนึ่ง ผมเลือกที่จะเข้าไปดูอย่างไม่รอช้า พบว่าเป็นหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง ‘วิวาห์ฟ้าผ่าเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว งงทั้งงาน!!’ หัวข้อข่าวที่ดูตื่นเต้นเร้าใจเหมือนปกติของหนังสือประเภทนี้ มีรูปลูกเกดยืนจับมือกับปิยะ และอาก้องยืนประกบอยู่อีกด้าน ทั้งสามคนถูกห้อมล้อมด้วยสื่อจำนวนมาก (ทั้งไมค์ทั้งกล้องเต็มไปหมด) ส่วนเนื้อหาในข่าวผมอ่านแบบพอผ่านสายตา เพราะเนื้อหาพวกนี้ บทสัมภาษณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่ผมรู้หมดสิ้นแล้ว (อาจจะรู้มากกว่าด้วย)

งานแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงแม่ของผมที่เก่งเรื่องงานแถลงข่าวมาก แต่กลับไม่เห็นวี่แววของเธอเลย และที่สำคัญตั้งแต่เรื่องเมื่อวานจบลงด้วยดี ผมก็ไม่เห็นท่านอีกเลย ซึ่งผมคิดว่าแม่ผมคงจะอายที่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแผน และผมก็ชินกับอาการห่างเหินของแม่แล้วด้วยจึงไม่ติดใจอะไร

หลังจากที่ปล่อยตัวเองไปกับความคิดและอยู่ในความเงียบสงบอยู่นาน ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อหาหลงเสียหน่อย ผมคิดแผนว่าจะลองสอบถามถึงที่อยู่ของเขาเสียหน่อย แล้วเดินทางไปทำให้เขาประหลาดใจถึงที่ แต่.... ที่ปลายสายกลับไม่มีคนรับเลย ผมพยายามกดหมายเลขเดิมโทรศัพท์ติดต่อกันหลายครั้ง แต่ก็ยังไร้คนตอบรับจนผมเริ่มหมดความอดทนอารมณ์เสีย ผมเลื่อนไปกดหมายเลขอีกเบอร์ทันที

ตู๊ด....ตรู๊ดดดดดดด

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังติดต่อไปเรื่อยๆ สักพัก
“สวัสดีครับ.... พี่หมอ.....” ปลายสายรับด้วยเสียงหืดหอบ
“สวัสดีครับชัย หลงอยู่กับชัยไหม? พี่โทรศัพท์หาเขาไม่ติดเลย”
“อ้าว... มันไม่ได้ไปบ้านพี่เหรอ ตั้งแต่ปิดเทอมมา มันไปบ้านพี่ทุกวัน”
“ไม่นะ.....”
“อ้าว... มันไปไหนของมัน วันนี้ผมก็ยังไม่เห็นมันเลยนะครับ งั้นเดี๋ยวผมถามเพื่อนคนอื่นให้ พี่ลองโทรถามแม่ไอ้หลงดูนะ”
“โอเค” ผมตอบตกลงและรีบวางสายทันทีเพื่อต่อสายไปหาน้ารุ่ง

......ตู๊ดดดดด .... ตรู๊ดดด......

“ว่าไงลูก... กลับมาหรือยัง?”
“กลับมาแล้วครับ แต่อย่าเพิ่งบอกหลงนะครับ!”
“จ้า จะเซอร์ไพรส์ล่ะสิ แล้วธุระเรื่องนั้นจบลงเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
“เรียบร้อยครับ ทุกอย่างลงตัวดี ผมไม่ต้องแต่งงานแล้วครับ แล้วหลงอยู่ไหมครับ?”
“อ้าว! ไม่ได้อยู่บ้านเอิร์ธหรือลูก?”
“ไม่...ไม่ได้อยู่ครับ” เสียงผมเริ่มแผ่วลงเพราะความรู้สึกไม่ดีที่เพิ่มขึ้น
“เอ.... ไปไหนล่ะเนี่ยเด็กคนนี้ ตั้งแต่เห็นข่าวเรื่องเอิร์ธจะแต่งงานวันนั้น หลงก็ขอไปอยู่ที่บ้านเอิร์ธยาวเลยจ๊ะ”
“อะไรนะครับ?....แล้วเขาติดต่อกลับมาบ้างไหมครับ?......”

ก่อนที่น้ารุ่งจะตอบเสียงสายซ้อนก็แทรกเข้ามา ผมยกโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อเหลือบมองชื่อที่โชว์อยู่ที่หน้าจอ

‘ชัย’

“ผมขอโทษครับ ผมขอรับสายซ้อนก่อนนะครับ”
ผมไม่รอน้ารุ่งตอบให้จบประโยคผมรับสลับสายเพื่อรับสายซ้อนทันที

“ว่าไงชัย?”
“พี่เอิร์ธๆ ไม่มีใครเห็นมันเลยครับพี่!! แน่ใจนะครับว่ามันไม่ได้อยู่บ้านพี่?”
“ไม่! ไม่นะ น้ารุ่งบอกว่าหลงมาบ้านพี่แต่พี่ก็อยู่บ้านตัวเองนะ ไม่เห็นเจอหลงเลย!!”
“อ้าว.....แล้วมันไปไหนล่ะเนี่ย? ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลองถามพี่โน่ดูครับ”

“โอเคๆ เดี๋ยวขอไปตามหาด้วย ชัยอยู่ที่ไหนเดี๋ยวพี่ไปหา?”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ พี่หมอรออยู่ที่บ้านเถอะ เผื่อว่าไอ้หลงมันอาจจะกำลังเดินทางไปที่นั่นก็ได้!!”
“โอเคๆ” ผมวางสายด้วยใจที่ว้าวุ่น ในใจรู้สึกกังวลแบบบอกไม่ถูก ผมไม่น่าปล่อยให้ตัวเองยุ่งจนลืมติดต่อส่งข่าวมาให้หลงบ้างเลย หลงเป็นเด็กที่ขี้ใจน้อยและคิดมากกว่าที่เห็นเสียด้วย
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 2 (อัพ 5/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 05-05-2018 12:42:43

จากห้านาทีกลายเป็นห้าสิบนาทีแห่งการเฝ้าคอย ผมเก็บข้าวของ และอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อสลัความอ่อนเพลียออกไป จนกระทั่งมานั่งเฝ้าหน้าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองที่ชาร์ทไฟฟ้าเข้าเครื่องอยู่อย่างใจจดจ่อ

ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาชัยอีกครั้ง เพราะผมรอต่อไปไม่ไหวแล้ว การกลับมาที่บ้านโดยที่ไม่ได้เจอคนที่เราเฝ้าถวิลหามันทรมานอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนทำให้ผมยิ่งกังวล ถึงผมจะเคลียร์ปัญหาตัวเองได้แล้ว แต่มันก็ช้ากว่ากำหนดมาก คนคิดมากไม่รู้คิดไปถึงไหน....

“พี่เอิร์ธ!!!” อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันเอ่ยปาก
“ครับ ว่าไง?”
“พี่เอิร์ธ มาที่ร้านเหล้าปั่นริมฝายน้ำด่วนเลย!!”
“ห่ะ..!! ที่ไหนนะ ริมฝายใหญ่ชานเมืองไงพี่ ร้านเหล้าปั่นเล็กๆ บรรยากาศดีๆไง ด่วนเลย!!”
“ทำไมล่ะ??”
“มีคนเห็นไอ้หลงมันเมาแล้วไปเดินริมฝาย ทำท่าจะกระโดดลงมา ช่วงนี้น้ำน้อย เดี๋ยวมันได้ตายพอดี!!!”
“เฮ้ย!! เดี๋ยวไปเจอกันที่นั่น!!”
“ครับพี่!!”
ผมคว้าทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นวิ่งขึ้นรถ ขับออกจากบ้านโดยไม่ได้มองเข็มวัดความเร็วที่หน้าปัดรถเลย

..........


ฝุ่นตลบขึ้นมาคลุ้งใหญ่หลังจากที่ผมจอดรถบนพื้นที่หินกรวดหยาบหน้าร้านขายเหล้าปั่นสถานที่แฮงค์เอ้าท์ของบรรดาวัยรุ่นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ผมเดินลงจากรถพร้อมกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสายออกนอกเมืองที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ที่ยังขายอยู่ได้อาจเพราะบรรยายกาศริมน้ำยามค่ำคืนที่แสนเย็นสบายสงบเงียบ

ผมเดินเข้าไปสำรวจรอบร้านที่เป็นแบบเอ้าท์ดอร์ ตอนนี้มีผู้คนอยู่เพียงบางตาจนผมแอบคิดไปว่าร้านมันจะเปิดขายของได้อีกเท่าไหร่? ผมเดินไปจนทั่วร้านจนเห็นทางออกอีกทางซึ่งเป็นทางออกไปที่โต๊ะด้านนอกริมฝายกั้นน้ำ ผมเดินมาจนถึงประตูทางออกได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ในความมืด

“สวัสดีครับ หาใครอยู่เหรอครับ?”
ผมหันไปทางต้นเสียงเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าใสไว้หนวดเข้มครึ้มที่คาง

“อ่า... สวัสดีครับคุณ......”
“โน่ครับ ไม่เจอกันพักเดียวลืมชื่อกันไปเสียแล้ว”
“อ่าครับ ขอโทษครับ คือตอนนี้ผม คิดอะไรไม่ออกเลยครับ ผมเป็นห่วงหลง เห็นหลงไหมครับ?”
“อ้อ ไอ้หลง มันแอบมาตั้งโต๊ะกินเหล้าตั้งแต่เย็น ไม่รู้ไปเจอเรื่องอะไรมา... คุณหมอคงไม่ได้ทิ้งมันอีกคนใช่ไหม?”
“ทิ้งอะไรกันเล่า ผมนึกว่าผมคุยกับเขารู้เรื่องแล้วเสียอีก”
“เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่อง....เอ่อ......”
“อ้อ.... ไอ้เรื่องข่าวคุณหมอประกาศแต่งงานนะเหรอ???”
“........คุณ.....”
“เออ.... ใครก็รู้เล่นลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ!”
ผมนึกในใจอย่างโกรธเคือง เพราะผมรู้ดีว่านี่เป็นฝีมือแม่ผมแน่ๆ
“แต่.... เราคุยกันแล้ว.....”
“เล่นออกข่าวเสียขนาดนั้น เป็นใครก็เจ็บกันบ้างล่ะ แล้วไหนหมอจะหายไปหลายวันอีก!”
“........” ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆกลับไป
“เฮ้อ.....ไอ้หลง มันเก็บอะไรเก่งที่ไหน? มันเมามันก็เล่าให้ฟังหมดล่ะ!” คนตัวเล็กถอนหายใจเสียงดังและพูดต่อ

“เอ่อ.... โอเคครับ แล้ว.... หลงอยู่ไหมครับ?”
“อยู่สิ... เห็นมันเดินอยู่แถวฝายน้ำตั้งแต่เย็น เมาขนาดนั้นยังจะซ่าอีก ผมต้องมาดูแลร้านเลยไม่ได้ดูมันเท่าไหร่ แต่สั่งเด็กในร้านช่วยดูแล้วนะ! เอ้อ... เมื่อกี้ไอ้ชัยก็เพิ่งวิ่งไปหามันด้วย!”

“ขอบคุณครับ...”
ยังไม่ทันที่จะพูดขอบคุณจบขาผมก็ก้าวออกไปจากจุดนั้นแล้ว หนทางข้างหน้าค่อนข้างมืด มองอะไรไม่ค่อยชัด ความกลัวทำให้ผมมุ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ ‘หวังว่าหลงคงไม่ทำอะไรโง่ๆ นะ’ ผมคิดขึ้นในใจ ระหว่างวิ่งผมก็กดโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาชัยแต่เขาก็ไม่รับสาย ผมร้อนใจเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมน้ำทึ่เงียบสงบและมีแสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆเท่านั้น

“หลง!!”
ผมตะโกนสุดเสียงฝ่าความมืดที่ไม่สิ้นสุดตรงหน้า

............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 3 (อัพ 7/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-05-2018 15:48:34
............ หลง........ หลง.......... หลง..........

มีเพียงเสียงสะท้อนเท่านั้นที่ตอบกลับมา

“พี่หมอ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ชัย!! ชัยเจอหลงไหม?” ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“หลง..........” ชัยตอบมาด้วยน้ำเสียงสั่นและเบา
“...........” ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรแต่เข่าผมทรุดถึงพื้นหินเบื้องล่าง ถึงแม้ความแหลมคมของหินจะทิ่มตำหัวเข่าแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว

“ยืนขึ้นก่อนพี่หมอ ตั้งหลักให้มั่น ผมมีเรื่องจะบอกพี่....”
“.........” ผมมองหน้าชัยที่เรียบเฉยด้วยน้ำในตาที่เอ่อขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ได้แต่โทษตัวเองที่ใส่ใจเขาน้อยไปไม่พยายามอัพเดทเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย ทุกอย่างมันถึงได้บานปลายแบบนี้ คงจะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างกับหลง หากเป็นอย่างนั้นจริงผมจะไม่ให้อภัยตัวเอง ผมจะอยู่ได้ยังไงหากไม่มีเขา ผมจะอยู่กับความรู้สึกผิดแบบนี้ไปชั่วชีวิตได้ยังไง?

เพียงชั่วพริบตาที่ผมใช้แขนปาดน้ำตา ไฟจากสปอร์ตไลท์ทั่วทั้งบริเวณก็เปิดขึ้นโดยมีผมเป็นเหมือนจุดศูนย์กลาง สว่างจนเกือบจะเหมือนแสงในเวลากลางวัน ในระหว่างที่สายตาผมกำลังปรับกับแสงที่สว่างจ้าขึ้นมาแบบกระทันหันเงาร่างหนึ่งก็เดินมาคุกเข่าที่ตรงหน้า ผมกระพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่ความพร่ามัวออกจากสายตา ในที่สุดรูปหน้าที่คุ้นเคยในชุดสูทเต็มยศก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าในสภาพคุกเข่า

“หลง!!!” ผมเผลอร้องเรียกชื่อเขาสุดเสียง
“ครับพี่เอิร์ธ” เขาอมยิ้มตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“พี่ก็นึกว่า....”
“คิดว่าผมคิดสั้น? ผมไม่โง่ขนาดนั้นนะครับ ถึงจะหัวไม่ดีแต่ผมก็ไม่คิดสั่นแน่นอน”

“แต่.... เรื่องข่าวนั้น.....”
“ผมเชื่อใจพี่ครับ ผมเชื่อว่าพี่เอิร์ธจะจัดการได้ แต่ถึงแม้มันจะต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมไม่มีทางปล่อยพี่ไปแบบนั้นแน่ ความรักก็เหมือนกับบาสเก็ตบอล อยากจะได้คะแนนก็ต้องคว้าลูกบาสฯมาไว้ในมือและโยนลงห่วงให้ได้!!”

“..........” ผมฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้วครับตอนนี้รู้แต่ว่า ดีใจที่ได้เจอเขารู้ว่าเขาปลอดภัยแค่นั้นก็ดีมากแล้ว (ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีมากก็เถอะวันนี้)

“พี่ร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจที่เจอผมเหรอ?”
“ร้องบ้าอะไร?!? ฝุ่นมันเยอะแถวนี้พี่แพ้น่ะ แล้วคุกเข่าทำไมเนี่ย พื้นมีแต่ฝุ่น”
“..... ผมอยากให้มันพิเศษ....”
“.........หือ..?!??” ผมทำตาโตใส่แบบแสดงความสงสัยแต่หัวใจเต้นตุบตับ
“ผมขอจองพี่ไว้ก่อนนะ.......” แล้วหลงก็บรรจงใช้มือของเขาประคองมือซ้ายของผมขึ้นมา เขาหยิบแหวนทองเกลี้ยงแวววาวมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างบรรจง

“นี่มัน........”
“ผมไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง แต่ผมอยากแต่งงานกับพี่นะ ผมอยากจะเป็นเพียงคนเดียวที่สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของพี่” เขามองผมขึ้นมาด้วยดวงตาที่ผมบรรยายความรู้สึกไม่ออก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้ายังไง

หลงยืนขึ้นและยื่นแหวนทองเกลี้ยงอีกวงมาวางไว้บนมือผมพร้อมยื่นมือซ้ายของเขามาให้ผม ผมปาดน้ำตาและหัวเราะออกมา สีหน้าผมตอนนี้มันคงตลกมาเพราะหลงก็อมยิ้มใส่ผมไม่หยุด หลังจากดันแหวนไปจนสุดนิ้ว ผมเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเจอกับเด็กชายคนหนึ่งโผเข้ามาประทับจูบที่ปากของผมอย่างร้อนแรง ผมตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องส่งสัญญาณอะไร ผมส่งเอาความปิติที่ผมมีอยู่ตอนนี้ส่งให้เขาไปจนหมด เราแลกความอบอุ่นกันจนผมเกิดเขินขึ้นมาเพราะเพิ่งมาระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่แจ้งและสว่างไสวขนาดนี้

“ไอ้เด็กบ้า!! ทำเอาตกอกตกใจหมด!!” ผมใช้มือผลักไปที่อกเขาเบาๆทำให้เขาถอยห่างออกไปครึ่งก้าว
“พี่เอิร์ธน่ะ!!! กำลังได้บรรยากาศเลย” เขาทำสีหน้าโอดครวญแต่ก็ยังดูหล่อและน่ารักมากอยู่

“เฮ้ออออออ........... จบเสียที เกร็งแทบแย่”
โน่ที่โผล่มาจากไหนไม่ทราบพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่นึกว่าคนเป็นหมอจะหลอกง่ายแบบนี้นะคะ” พริ้งเป็นอีกคนเดินออกมาจากด้านหลังเสาไฟสปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่

“ผมนี่ลุ้นแทบตาย ยิ่งหลอกใครไม่เก่งอยู่ด้วย”
ชัยเดินออกมาจากเสาแสงไฟอีกต้นหนึ่ง
“มึงเนี่ยนะ!! อย่าให้กูพูดถึงเรื่องของมึง!!”
หลงพูดสวนไปทันที แล้วหลงก็เดินไปจับมือผมแบบสอดประสานนิ้วกันและกำแน่น

“ทีหลังเล่าให้เราฟังบ้างสิ!!”
กวีเดินตามหลังชัยออกมาพูดแทรกขึ้นมา
“แฟนจ๋า ไอ้หลงมันปากเสียที่รักก็รู้ มีอะไรที่ไหน?”
พูดจบชัยก็หันมาค่อนใส่หลงตาเขียว ขยับปากด่าเป็นคำหยาบคายที่ผมต้องขอเซ็นเซอร์ ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

“แล้วจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะคู่นี้”
โน่ ชายหนุ่มตัวเล็กร่างบางพูดขึ้นจนทำให้ทุกคนหยุดอมยิ้มและหันมาทางผม
“ทำได้ที่ไหนเล่า....” ผมตอบไปแบบเขินๆ
“ขอเก็บเงินจัดงานก่อนนะครับ” หลงพูดสวนขึ้นทันที
“เรียนจบมีงานทำก่อนไหม?” ผมสวนออกไปบ้าง
“งั้นตกลงแล้วนะว่า วันไหนผมเรียนจบ มีงานทำแล้วเรามาจัดงานแต่งกัน!!” หลงพูดด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง
“ไอ้...ไอ้เด็กบ้า!!” ผมยกมือขึ้นกะว่าจะหวดกะบาลทุยๆ นั้นสักรอบแต่ไอ้ตัวดีดันวิ่งเข้ามากอดผมจนผมเขินไปหมด พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยียวน
“เมียจ๋า อย่าทำผัวเลยน๊า!!!”
ส่วนทุกคนในที่นั้นก็หัวเราะร่าขึ้นพร้อมกัน......


ชีวิตผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีช่วงเวลาแบบนี้ ผมเคยหมดศรัทธาในความรักไปแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกก็เมื่อวันที่พ่อกับแม่แยกทางกัน อันเนื่องมาจากความต้องการของแม่ส่วนกับความต้องการของพ่อ พ่อของผมเป็นแค่หมอที่รับราชการในกระทรวงสาธารณสุข แม้จะเป็นมียศระดับสูง แต่พ่อก็เป็นคนสมถะพอเพียง ส่วนแม่เป็นคนทะเยอทะยานที่จะมีหน้ามีตาในสังคม ที่แม่เลือกพ่อก็เพราะพ่อเป็นคนจากข้านที่มีฐานนันดร แม้พ่อจะไม่มีคำนำหน้าหรูๆ แต่ก็ฐานะดี ผู้ดีเก่า เมื่อต่างคนต่างทัศนคติ นานวันเข้าก็ต้องเลิกรา ครั้งแรกนี้แม่ทำให้ผมเห็นว่าความรักนั้นมีค่าด้อยกว่าเงิน

ครั้งที่สองก็กับเอ แฟนคนแรกที่เขาทำให้ผมคิดว่ารักแท้มีจริง ทำให้ผมมีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ทุกวัน เพราะไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะได้เดือนมหาวิทยาลัยมาคบด้วย แต่สุดท้ายความห่างไกลและความสุขสบายก็ทำให้เขาออกจากชีวิตผมไป ผมรู้สึกเจ็บปวดที่โดยหักหลังแบบนี้ จนไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก

จนกระทั้งมาเจอความรักใสๆ แบบหลง เขาทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความรักเสียใหม่ เขาเพิ่งผ่านความเจ็บปวดแบบเดียวกันกับผม เราเข้าใจกันในเรื่องนั้น และต่างใช้เวลาร่วมกันเพื่อเยียวยาบาดแผลเหล่านั้น เรารู้จักความเจ็บปวดและได้เรียนรู้จักซึ่งกันและกันจนกลายมาเป็นความรัก

ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมรู้แต่ว่าแผลผมหายแล้ว และผมจะสร้างอนาคตร่วมกับเขาไปอีกไกล หลังจากผมรับแหวนของเขามาสวมใส่ ผมก็สาบานกับตัวเองเช่นกันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ผมจะไม่ปล่อยให้เขาหายไป ยามใดที่เราไม่เข้าใจหรือมีอะไรทำให้เราต้องไกลห่าง ผมจะรีบไปคว้าเขาไว้ไม่ให้เขาหายไปไหน ให้เขาอยู่กับผมตลอดไป ให้เรามีกันตลอดไป

....................................

จบ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 3 (อัพ 7/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 07-05-2018 15:55:33
ตอนพิเศษ ของชัยกับกวี


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องของมือใหม่หัดเขียนอย่างข้าพเจ้านะครับ
จริงๆ มีต่อนะ ลืมไปว่าส่วนของกวียังมีต่อ เขียนไว้ยังไม่จบ จะเอามาลงต่อสัปดาห์หน้านะครับ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 3 (อัพ 7/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-05-2018 17:35:31
 :L2:
จบเสียทีลุ้นแทบแย่
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทที่ยี่สิบเก้า part 3 (อัพ 7/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-05-2018 14:14:26
จบอย่างมีความสุข :mew1: :mew1: :mew1:

หลง  เอิร์ธ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทพิเศษของกวีและชัย part 1 (อัพ 14/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 14-05-2018 11:57:33
ตอนพิเศษ ของชัยกับกวี



ชัย


โอ้ยย โอยยย

ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บขึ้นมาทันทีที่ผมลุกขึ้นมานั่งหลังจากตื่นขึ้นมาในยามสายแดดแรงของวันหยุด ณ หัองนอนของตัวเอง ผมพยายามสะกดเสียงโอดโอยของตัวเองเพราะกลัวจะไปปลุกกวีที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล ผมเหลือบไปมองหน้ากวีที่หยุดนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นสม่ำเสมอแสดงให้รู้เขายังไม่ตื่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมตื่นและลุกขึ้นจากที่นอนก่อนกวี

พอเห็นหน้าที่น่ารักยามหลับแบบนี้ ผมเกิดความรู้สึกอยากแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนเสียหน่อย แต่ร่างกายกลับตอบสนองได้ไม่ดีนักเพราะความปวดแสบของร่างกายท่อนล่าง ทำให้ผมได้แต่นั่งมองหน้าเขาด้วยความหงุดหงิด และถอนหายใจยาวๆ

ขณะที่ผมกำลังทำใจลุกขึ้นมาเพื่อไปทำธุระเบาในห้องน้ำ ผมถูกมือๆหนึ่งฉุดดึงแขนของผมในขณะที่ผมกำลังหมุนตัวเพื่อลุกขึ้นจากที่นอน

พลั่ก!!

โอ้ย!!! อูยยยยย....

“ทำอะไรของนายเนี่ย?” ผมแผดเสียงกลับไปหาคนทำ
“เป็นไงล่ะ เข้าใจความรู้สึกของเราหรือยังล่ะ?”
“เรื่องอะไร?”
“ก็...เรื่องนี้ไง!!” กวีใช้มือตบที่ก้นผมอย่างแรง
“โอ้ย!! ไอ้บ้า เจ็บนะโว้ย!!”
“นี่ไง!! เข้าใจหรือยัง?”
“เออ! เข้าใจแล้วก็ได้วะ!!”
“พูดกับเราแบบนี้เหรอ?” กวีพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก
“โอ๋ๆ แฟนจ๋า เราขอโทษนะ ก็มันเจ็บนายไม่ควรตีก้นเราแบบนี้นะ”
“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่า เข้าใจความรู้สึกของเรา”
“ครับ... ครับ.... เข้าใจแล้วครับ แต่บอกไว้เลยนะ ถ้าไม่ติดที่ไปรับปากนายแบบนั่น เราไม่มีทางให้นายได้แอ้มเราแบบนี้แน่ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำเรื่องแบบนี้!!”
“แล้ว... ร่างกายเรามันใช่หรือไง!!”
“เราก็นึกว่านายชอบ...” ผมพูดเสียงทะเล้นใส่และหันหน้าไปทางเขา
“ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า... ไม่ชอบ แค่มันก็เจ็บทุกครั้งอยู่ดี แต่ว่านะนายก็เหมือนกันนี่ เมื่อคืนเห็นร้องเสียงหลง แถมบอกว่ารู้สึกดีเหมือนกันด้วย” เขายิ้มแบบยียวนกลับมา

“.....อืม.... กวี.... ไม่ไหวแล้ว แบบนี้นายต้องโดนทำโทษ รอบเช้า!!”
ใบหน้าสวยๆ ยามเช้าของกวีกับลีลายียวนกวนบาทาของเขาในระยะประชิดแบบนี้ มันช่วยกระตุ้นไฟราคะของผมที่ดับมอดเพราะความเจ็บปวดให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผมขยับตัวเข้าไปกอดรัดเขาให้แน่นขึ้น ใช้แรงที่มีพลิกตัวให้ผมกดทับเขาจากด้านบน ในขณะที่เราร้องโวยวายอยู่ผมใช้ริมฝีปากกดบี้ลงไปตรงจุดอ่อนของเขาบริเวณซอกคอใกล้กับหลังหู เสียงของเขาเบาลงและแรงขัดขืนค่อยๆหายไป ผมอยู่กับกวีมานานพอที่รู้ว่าจุดไหนคือจุดที่ทำให้เขาอ่อนแอและพร้อมให้ผมเผด็จศึกได้ต่อไป

ผมจัดการโลมรันอยู่ทั่วบริเวณจุดอ่อนของเขาอยู่นานพอให้กวีหมดแรงขัดขืน ผมดึงริมฝีปากตัวเองขึ้นมาและบรรจงไปประกบกับริมฝีปากของกวีที่หอบถี่ ผมใช้เวลาสัมผัสความหวานของกวีอยู่พักใหญ่ พร้อมใช้มือที่จากโอบกอดเขาแน่นกลายมาเป็นลูบไล้ก่ายเกาะไปทั่วจุดสำคัญทั่วร่างกายอย่างชำนิชำนาญ ตอนนี้กวีไร้แรงต่อต้านใดๆ เขาทำได้เพียงขยับไปตามจังหวะมือของผมอย่างลืมตัว เสียงครางเบาๆในคอของกวีทำให้ผมรู้ว่าเขาพร้อมที่จะทำขั้นตอนถัดไปแล้ว

ผมไม่รอช้าค่อยปลดเสื้อผ้าทุกชิ้นที่มีติดตัวเราสองคนออก และใช้ขาทั้งสองข้างดันถ่างให้ขาทั้งสองของกวีเปิดกว้างออก กวีมีทีท่าขัดขืนอยู่บ้าง ผมจึงใช้ลิ้นลูบไล้บริเวณจุดอ่อนของเขาตรงแผงอกที่แน่นนวล สีชมพูอมแดงเหมือนสตรอเบอร์รี่แรกเก็บนั่น ทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเองไม่ได้ ไม่นานกวีก็โอนอ่อนแรงขยับตามใจผมปรารถนา ขาที่ถ่างกว้างถูกผมยกขึ้นมาให้พอดีตรงจุด ผมเอื้อมไปหยิบอุปกรณ์รบที่อยู่ไม่ไกลมาสวมใส่และวุ้นสีใสมันลื่นมาทาทั่งบริเวณปากทางสมรภูมิ กวีสะดุ้งกับความเย็นหลังสัมผัส สีหน้าที่แสดงออกนั่นทำให้ผมเตลิดไปไกล ทนไม่ไหวที่จะได้เห็นมันอีกแบบถี่ๆ ผมค่อยดันตัวเองเข้าไปในช่องรบ เสียงโอดโอยของกวีดังขึ้นในลำคอพร้อมกับใช้มือกำผ้าปูที่นอนสีเทาเข้มเสียจนผิดรูป ผมตัดสินใจดันจนสุดวิถี กวีแทบจะเด้งตัวหนีห่าง แต่ผมจับเขาไว้ได้ทันไม่งั้นเดี๋ยวได้เริ่มใหม่

ผมแช่อยู่ในท่านั้นพักหนึ่งพร้อมกับใช้มือลูบไล้ส่วนสำคัญกลางลำตัวของเขาให้ผ่อนคลาย ก่อนที่จะบรรเลงกระบวนเพลงรักของผมใส่กวีอย่างไม่หยุดหยั่ง ช่วงแรกเขามีสีหน้าทรมานจนผมอยากจะหยุด ผมพยายามค่อยๆ ชะลอความเร็วแต่กวีกลับใช่มือเอื้อมมารวบรอบก้นผมไม่ใช้ทำแบบนั้น พอผมเห็นสัญญาณไฟเขียวของเขาผมจึงใช้กระบวนท่ารักที่มีประโคมใส่เขาจนหมด และในที่สุดเราก็ถึงที่หมายพร้อมกัน ผมล้มลงไปบนตัวเขาทั้งที่หัวรบยังคงค้างอยู่ในช่องสมรภูมิ

กวีกอดผมแน่น และบีบรัดจรผมร้องโอย

“โอ้ย!! ทำอะไรของนายเนี่ย!!?!”
“เราควรจะถามนายมากกว่านะ  แก้แค้นกันหรือไง!!?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่เชิง เราแค่อดใจไม่ไหวก็เท่านั้น”
“ว่าแต่.....เอาออกไปได้แล้วไหม? จะให้มันอยู่อย่างนั่นอีกนานไหมเนี่ย เราเจ็บนะ!”
“อ่า.. โทษที... ว่าจะต่อเลยเสียหน่อย!!”
“ไอ้บ้าพอแล้ว เมื่อวานเราก็เหนื่อยจะแย่ วันนี้ยังจะมาให้เราเหนื่อยซ้ำอีก!”
“ขอโทษนะที่รัก” ผมพร้อมที่จะกดริมฝีปากไปที่จุดอ่อนของเราอีกรอบ กวีแอบส่งเสียงคราวเล็กน้อย
“พอเลย!! ไปอาบน้ำได้แล้ว! สายแล้วเนี่ย! เดี๋ยวแม่นายก็มาตามไปกินข้าวแล้ว” เขาใช้มือผลักหน้าผมออกไปเบาๆ และพลิกตัวลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำด้วยท่าทางโหยกเหยกน่าขัน

“จ้าๆ แต่อาบน้ำด้วยกันนะ”
“............ เออๆ รีบตามมาสิ” กวีตอบด้วยสีหน้าแดงเขิน
ผมพลิกตัวลุกขึ้นตามเขาเข้าห้องน้ำไปด้วยตัวเปล่าเปลือย กวียังเป็นคนขี้อายแบบนี้ทำให้เขาดูน่ารักเขามากขึ้นไปอีก เราอาบน้ำด้วยกันตั้งหลายรอบแล้ว แต่เขาก็จะมีอาการแบบนี้ทุกรอบ

.....................

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 1 (อัพ 14/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 14-05-2018 19:53:54
ตามอ่าน ..
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 2 (อัพ 15/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 15-05-2018 10:22:53


“นี่!! ไอ้ตัวดี!! มานี่ซิ!!”
หญิงร่างท้วมส่วนสูงแค่หัวไหล่ ผมหยักศกธรรมชาติ แต่งหน้าสีสันสดสวย เธอตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังของผม หลังจากที่ผมเดินลงมาถึงชั้นล่าง

“ครับ แม่.... เสียงดังแต่เช้าเลย”
“เช้าบ้านแก! ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว!!”
ผมเดินไปถึงตรงหน้าแม่ของผมที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย

“โอ้ย! โอ้ยยยย ...... อะไรเนี่ยแม่”
ผมถูกแม่ใช้นิ้วจิกหูและดึงขึ้นสูงจนผมคิดว่าจะโดนแขวนเหมือนหัวหมูตามตลาดสด

“ก็เมื่อคืนนี้แกทำอะไรล่ะ??”
“.....!!!!!!!!...” ผมได้ทำสีหน้าซีดเผือด ตกใจกับประโยคคำถามของแม่ตัวเอง แม่หมายเรื่องที่ผมโดน......... งั้นหรือ??
“ไม่พูดนี่ยอมรับใช่ไหม? แกนี่มันน่า....นัก ชั้นละเอือมระอากับแกจริงๆ” แม่ผมพูดขึ้นพร้อมกับบิดหูผมไปทางขวาครึ่งรอบ
“โอ้ย..... แม่น่ะ โอ้ย!! แม่ คือ.... มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะแม่ มันเป็นความต้องการตามธรรมชาติไง!!”
ผมพูดขณะพยายามเขย่งขาให้สูงขึ้นเพื่อผ่อนอาการเจ็บที่หูลงไปได้บ้าง ผมมองไปทางกวีที่มันหันมามองทางนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด คือพวกผมยังไม่พร้อมจะให้พ่อแม่รับรู้เรื่องแบบนี้ ด้วยวิธีนี้!

“ธรรมชาติ แม่รู้ว่ามันธรรมชาติ แต่แกควรจะให้ชาวบ้านเขารู้ไหมว่าแกทำอะไรกันอยู่??!”
“ทำอะไร??! ไม่ได้ทำอะไร?!?!”
“อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้ แกเปิดหนังโป๊แล้วทำอนาจารกับตัวเองอยู่ใช่ไหม?? ทำคนเดียวไม่ว่า ไปชวนกวีเขามาทำอะไรกับแกแบบนี้อีก ชั้นรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แกจะทำให้ลูกคนอื่นเขาเสียคนแบบแกหรือไง?!?” พูดจบแม่ก็ดึงหูผมให้สูงขึ้นไปอีก
“โอ้ย!! โธ่เอ้ย แม่!! เรื่องแบบนี้ใครๆเขาก็ทำกัน”

“ก็ทำอย่าให้คนอื่นเขารู้สิ!! ชั้นกับพ่อแกนะแทบนอนไม่หลับ แกนี่ควรญครางตั้งหลายนาที!!”
“โอ้ยๆ แม่พอได้แล้ว อายเขาอายกวีมันแม่!!”
ตอนนี้กวีได้แต่ทำหน้าแดงหันไปทางอื่น คงรู้สึกโล่งอกและขบขันในเวลาเดียวกัน

“ทีหลังก็อย่ามาทำแบบนี้ในบ้านฉันอีก!!”
“ครับๆ ทีหลังผมจะทำเบาๆนะครับ”
“ไอ้เด็กคนนี้นี่!!” แม่ปล่อยมือจากหูของผมและเตรียมยกมือขึ้นสูงเตรียมจะตีผม แต่ผมเร็วกว่าจึงสามารถวิ่งหลบได้ทัน ผมวิ่งไปทางกวีทั้งที่หัวเราะไปด้วย ผมแอบเห็นกวีหัวเราะแบบโล่งอกและเดินตามมาอย่างไวหลังจากยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีแม่ผมที่ยิ้มรับไหว้และมีสายตาเอ็นดูมากกว่าลูกชายตัวเองเสียอีก

..................

ในที่สุดก็เปิดเทอม....... เวลาช่วงวันหยุดปิดระหว่างภาคเรียนนี่ช่างสั้นเสียเหลือเกิน คนทีจริงจังอย่างกวีก็มุมานะในการอ่านหนังสือสอบเหมือนเคย ทำให้การใช้ชีวิตอย่างเฉื่อยแฉะสไตล์ผมต้องหมดไปด้วย เพราะต้องพยายามติวหนังสือเป็นเพื่อนเขา 
ส่วนไอ้หลงที่กำลังลุ้นสิทธิ์เข้าตรงจากการเป็นนักกีฬาก็กำลังรอลุ้นอยู่ว่าจะได้ไหม จากการที่ส่งคำร้องไปพิจารณาที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่น เพราะมันยังอยากอยู่ใกล้ๆพี่เอิร์ธ มันเลยไม่ส่งจดหมายไปที่อื่นเลย แอบอิจฉามันนิด เพราะผลงานของมันในช่วงงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด ทำให้มันมีสิทธิ์เลือกหลายที่ เรื่องสอบดูมันเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ แค่ทำให้ได้ผ่านตามเกณฑ์ที่แต่ละมหาวิทยาลัยตั้งไว้ก็พอ

ส่วนผมไม่อยากจะไปแข่งขันกับไอ้หลงมัน และผมก็อยากจะพยายามไปพร้อมกับกวีมากกว่า มันก็เลยจะขัดกับไลฟสไตล์ผมพอควร ทำได้แต่บ่นครับ (บ่นทีไรก็เจอกวีต่อว่าทุกที)

กวีเขาฝันอยากเป็นสัตวแพทย์ครับ เขาพูดให้ผมฟังบ่อยๆ จนผมอยากจะเป็นตามเขาไปด้วยแล้วครับ ผมไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ ครั้นจะให้เป็นตำรวจเหมือนกับพ่อ พ่อผมก็ไม่อยากให้เป็น มันก็เลยเคว้งคว้างอยู่ช่วงหนึ่งจนได้มาเจอกับกวี กวีมาเติมเต็มส่วนที่หายไปของผม ผมก็เป็นคนรักสัตว์อยู่แล้วจึงยินดีที่จะเดินทางไปพร้อมกับคนที่ผมรักมากๆคนหนึ่ง

ช่วงกลางภาคที่อยู่ในช่วงสอบข้อสอบกลางต่างๆ ทั้งหลายของทบวงมหาวิทยาลัยนั้น ผมกับกวีเราพยายามกันมากๆ เพราะเขาพูดลอยๆออกมาตลอดว่า ‘อยากเรียนที่เดียวกัน’ ‘อยากเรียนในห้องเดียวกันดูบ้าง’ อยู่บ่อยๆ จนทำให้ผมสู้เต็มที่เพื่อที่จะได้เรียนที่เดียวกับเขาให้ได้

แต่หลังจากสอบเสร็จเรียบร้อย จนกระทั้งวันที่ผลของคะแนนกำลัวจะออกมา ผลของการขยันอ่านหนังสือมาหลายเดือนกำลังจะเห็นผลลัพธ์ของมันแล้ว ผมนั่งเปิดคอมพิวเตอร์ที่บ้านในห้องตัวเองคนเดียวด้วยใจระทึก ผมนั่งกดรีเฟรชหน้าจอรัวๆ จนกว่าผลมันจะออกมา ผมไม่เคยตื่นเต้นกับการรอคอยคะแนนสอบอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งรอดูผลด้วยตาตนเอง และอยากจะดูก่อนที่กวีจะเห็นด้วย ใจจริงคือไม่อยากผิดหวังต่อหน้าเขา อย่างน้อยหากมันไม่ได้อย่างที่หวังจริงๆ จะได้เตรียมใจไว้ก่อน

ผมกดรีเฟรชครั้งที่ร้อยหรือเปล่า ไม่ได้นับ ในที่สุดผลคะแนนก็ออกมาให้เห็นจนได้ ผมนั่งลุ้นทีละหัวข้อด้วยความเครียด จนกระทั้งหมดทั้งหน้าจอ รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะได้คะแนนสูงกว่าที่คิดมาก หลังจากโล่งใจในคะแนนของตัวเองผมก็แอบไปกดดูคะแนนของกวีทันที ผลคือคะแนนสูงกว่าผมไม่มาก เราอยู่ในระดับไล่เรี่ยกัน

ผมควานหาโทรศัพท์เพื่อว่าจะโทรศัพท์ไปโอ้อวดกับกวีเสียหน่อยแต่ปรากฎว่า ผมไม่สามารถติดต่อกวีได้เลย ผมไม่ได้พยายามติดต่อเขาเท่าไหร่เพราะจำได้ว่าวันนี้เขาบอกว่าจะทำธุระกับพ่อ คงยุ่งๆ จนไม่ได้รับสาย หลังจากสบายใจผมเลยเดินกลับไปที่เตียงและฉลองวันหยุดหลังสอบด้วยการนอนพักผ่อนยาวๆ

วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน จากการที่ผลคะแนนออกมาแล้ว ทำให้ทุกคนหมกหมุ่นอยู่กับคะแนนสอบของตัวเอง จนกระทั่งเกิดการจัดลำดับของคะแนนสอบทั้งในและนอกโรงเรียนเกิดขึ้น ทำให้ผมทราบว่าคะแนนของผมกับกวีอยู่ลำดับท้อปของจังหวัด จนพวกผมคิดว่าไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าจะต้องแยกจากกันเพราะเราสามารถเลือกไปเรียนที่ไหนก็ได้แน่ๆ หากมีคะแนนระดับนี้ ผมตัดสินใจว่าหลังเลิกเรียนจะต้องไปฉลองกับเขาเสียหน่อยและไปวางแผนเรื่องที่เรียนในอนาคตของพวกเรา

......................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 3 (อัพ 21/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 21-05-2018 20:14:08

กวี

ผมเหวี่ยงตัวเองลงบนเตียงหลังจากแยกย้ายจากชัยในวันสอบวันสุดท้าย รู้สึกภาระต่างๆ ที่แบกไว้บนบ่าค่อยๆทลายลงมาทีละน้อย ผมได้ทำเต็มที่แล้ว และตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ผลคะแนนออกมาดีอย่างใจหวัง ข้อสอบไม่ยากกว่าที่คิดแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำให้ผมแอบกังวลในใจ จนต้องขอแยกกับชัยมาทำใจเงียบๆคนเดียวที่ห้อง บวกกับวันนี้พ่อบอกว่าจะกลับมากินข้าวด้วย พร้อมกับคุณน้าเล็ก แม่เลี้ยงของผมเอง ซึ่งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเบื่อและเหนื่อยมากขึ้นไปอีก ผมไม่เคยชอบกินข้าวกับน้าเล็กเลย มันอึดอัดกับสายตาที่จับจ้อง เหมือนเต็มไปด้วยคำถามของเธอ แต่คล้ายกับเธอเกรงใจคุณพ่อไม่กล้าถาม

ผมรู้สึกเหมือนเธอจะคอยจับผิดผมตลอดเวลา รู้สึกเหมือนไม่เป็นที่พอใจ ผมเลยต้องทำตัวสมบูรณ์แบบตลอดเพื่อลดการเสียดสีทางสายตาของน้าเล็กมาตลอดหลายปี มีหลายครั้งที่ผมทนไม่ไหวไประเบิดกับพ่อ แต่พ่อก็มักจะแก้ตัวแทนเธอเสมอ พ่อมักจะบอกว่า ‘เธอเป็นห่วงกวีนะ เลยต้องดูแลอย่างเข้มงวด’ แต่เธอกลับทำให้ผมผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม!

เสียงบีบแตรรถยนต์ดังขึ้นจากทางหน้าบ้านเป็นสัญลักษณ์บอกถึงการมาถึงคุณนายใหญ่ของบ้าน (หากเป็นพ่อจะขับรถเข้ามาเงียบๆ) เพื่อเรียกให้คนรับใช้มาช่วยขนของที่เธอซื้อเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าวของที่น้าเล็กซื้อมันจะมีมากกว่าที่คนๆหนึ่งจะถือไหว ส่วนพวกคนรับใช้น่าจะยินดีกับการมาของเธอเพราะเธอมักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้เหล่าบรรดาคนรับใช้ในบ้านเสมอ ทตัวให้สมเป็นแม่พระของบ้านตลอดเวลา จนผมอยากฉีกหน้ากากนางเองของเธอนัก

ในขณะที่ผมนอนฟุบหน้าลงบนฟุกที่นอนหนานุ่ม พยายามไม่สนใจเสียงเรื่องราวความวุ่นวายข้างล่างที่เกิดขึ้น เสียงเคาะประตูที่ทุ้มหนักก็ดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กวี...... กวีอยู่ไหมลูก?”
“ครับ.... อยู่ครับ”
“ทำอะไรอยู่ สอบเป็นไงบ้าง?” พ่อเดินเปิดประตูเข้ามาในขณะที่ผมยังนอนหมดแรงอยู่บนเตียง
“ก็ดีครับ” ผมลุกขึ้นนั่งกับที่นอนขณะตอบ
“พ่อมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย... แต่หลังกินข้าวก็ได้นะ”
“อ่ะ.... ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ คุยเลยก็ได้นะครับ”
ผมเดาว่าคงเป็นการคุยเรื่องเดิมๆ ที่พ่ออยากให้ผมไปเรียนต่อทางด้านบริหารธุรกิจที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่คุยกันไม่จบสิ้นสักทีระหว่างผมกับพ่อ เพราะผมก็มีความฝันของผม โดยเฉพาะตอนนี้ที่ผมมีฝันร่วมกับชัย ทำให้ผมตัองเข้มแข็งในความต้องการของตัวเองมากขึ้น ผมเองก็ต้องการคุยให้มันเด็ดขาดไปเลย แม้ระยะหลังมานี่ พ่อมักจะฟังผมมากขึ้นก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็จะถามผมซ้ำๆเสมอๆเหมือนจะตื้อให้เปลี่ยนใจ

“ไม่เป็นไรลูก...... คือ..... เดี๋ยวคุยพร้อมน้าเล็กไปเลย”
“???????” ตอนนี้ผมไม่รู้ปั้นหน้ายังไงแต่พ่อมีการตอบสนองมาทันทีที่ผมนิ่งไป
“เอาน่า... ลงมากินด้วยกันก่อน พ่อหิวแล้ว”
“ครับพ่อ” ผมตอบทั้งที่หน้าตายังคงเดิมอยู่

...........

“ต้องให้พ่อไปเชิญลงมาเลยหรือลูก”
เสียงแหลมเล็กของน้าเล็กดังขึ้นทันทีที่ผมลงมาถึงโต๊ะอาหาร
“ผมเดินไปหาเขาเองแหละ ก็เลยชวนลงมากินข้าวด้วยกัน”
“........”
หากเป็นผมเมื่อก่อนคงเดินหนีขึ้นห้องไปแล้วแต่ตอนนี้ผมโตพอที่นิ่งเฉยกับอาการส่อเสียดของแม่เลี้ยงตัวเองเสียแล้ว

ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างมุมหนึ่งที่ห่างจากน้าเล็กพอควร ที่ซึ่งผมเคยบอกกับคนรับใช้ในบ้านให้จัดจานของผมวางไว้เป็นที่ประจำ มันเป็นเก้าอี้ที่นั่งอยู่ข้างพ่อของผมและอยู่คนละด้านกับแม่เลี้ยงของผม โต๊ะกินข้าวบ้านผมไม่เหมือนบ้านคนรวยคนอื่นเขาที่เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวและกว้างจนเหมือนสามารถนั่งได้ทั้งกองพลทหาร พ่อบอกว่ามื้ออาหารเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะได้ใช้ร่วมกันภายในครอบครัว จึงได้สั่งซื้อโต๊ะสีขาวหินอ่อนทรงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแค่สองเมตรมานั่งร่วมกัน เพราะพ่อเป็นนักธุรกิจที่ยุ่งมากเลยมีเวลาอยู่ครอบครัวน้อย เหลือแค่เวลากินข้าวที่จะได้นั่งใกล้ชิดพูดคุยกัน ดังนั้นกฏของโต๊ะอาหารคือ ‘ห้ามโทรศัพท์และห้ามดูโทรทัศน์ขณะมื้ออาหาร!!’  และทุกคนจะต้องคุยกัน!! มันเป็นธรรรมเนียมปฏิบัติในบ้านนี้ เพราะลักษณะของโต๊ะผมคงเลี่ยงน้าเล็กได้เพียงเท่านี้

“คุณจะคุยกับลูกเลยไหมคะ?” น้าเล็กพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดของผมที่พ่อซื้อมาให้บนโต๊ะ
”อิ่มแล้วค่อยคุยก็ได้! เสียบรรยากาศเปล่าๆ”
“ไม่ใช่คุณจะถ่วงเวลาหรอกนะคะ!!”
“......เออ!! น่า!!” พ่อผมทิ้งประโยคห้วนจนน้าเล็กปากนิ่งสงบไป
“อะไรเหรอครับพ่อ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“กินข้าวให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวไปคุยกับพ่อที่ห้องรับแขก”
“อ่า....ครับ” เป็นประโยคตอบกลับที่ทำให้ผมแทบจะยัดข้าวเข้าปากคำต่อไปไม่ลงเพราะความสงสัยตอนนี้มันพอกพูนขึ้นมาจนจุกอิ่มขึ้นมา
“งั้นผม..... ไปนั่งรอพ่อที่ห้องรับแขกนะครับ” ผมพูดขึ้นหลังจากเคี้ยวข้าวคำทึ่ค้างอยู่ลงคอเพราะกับอาการวูบวาบที่ท้องแบบประหลาด

ผมเดินไปเก็บจานข้าวที่ห้องครัวพร้อมเดินทอดน่องต่อไปที่ห้องรับแขกด้วยใจที่เป็นกังวล ผมรู้ในใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปแน่นอน เพราะพ่อมักจะคุยกับผมทุกเรื่องที่โต๊ะอาหาร ผมทิ้งตัวเองลงบนโซฟาสีเหลืองทองทรงหลุยส์ขนาดใหญ่ และผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่ วันนี้ผมเดาไม่ออกจริงๆว่าพ่อจะมาพูดกับผมเรื่องอะไร น้อยครั้งมากที่พ่อต้องการจะขอคุยกับผมแบบนี้ เพราะมีเวลาน้อยดังนั้นหากไม่ใช่ตอนมื้ออาหารก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย

“หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องเรียนต่อนะ” ผมบ่นกับตัวเองเสียงงึมงำ
“พ่อก็ว่าจะมาคุยเรื่องนั้นแหละ!” ผู้เป็นพ่อเดินมาในจังหวะที่ผมใจลอยพอดี ทำให้ผมในท่านั่งสบายๆ สะดุ้งลุกขึ้นมานั่งตัวตรง

“แต่.... พ่อ..... ผมก็เคยคุยกับพ่อหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่อยากเรียนบริหารธุรกิจ! ผมนึกว่าพ่อเข้าใจแล้วเสียอีก”
“พ่อเปลี่ยนใจแล้ว!!” พ่อเดินมานั่งเก้าอี้ทรงหลุยส์เข้าชุดฝั่งตรงข้ามผมและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อ้าว!!! ทำไมล่ะครับ นี่ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วนะครับ ผมเลือกมหาวิทยาลัยแล้วด้วยเหลือแค่รอคะแนนสอบเท่านั้นเอง!!”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว พ่อจะให้แกไปเรียนต่ออังกฤษ พ่อมีเพื่อนอยู่ที่นั้น จะได้ช่วยดูแลแกได้!”
พ่อพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“พ่อ!! แต่ผมบอกพ่อแล้วว่าผมอยากเป็นสัตวแพทย์ ผมจะทำตามความฝันของผม!!”
“แล้วแกไม่ห่วงพ่อแกรึไง พ่อแก่ลงทุกวันนะ ไม่คิดว่าจะมาช่วยพ่อทำงานหรือยังไง??” พ่อเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย

“พ่อยังมีเจ้ากร อยู่นี่ รอให้มันเรียบจบแล้วมาช่วยพ่อก็ได้ พ่อยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย!” กรคือน้องชายต่างมารดาของผมซึ่งถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่ปีที่แล้ว อายุต่างจากผมแค่สองปี (ผมไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงได้โดนส่งตัวไปแบบนั้น เขาก็เรียนเก่ง แถมหัวการค้าเหมือนพ่อ)

“เดี๋ยวนี้เถียงพ่อคำไม่ตกฝากเลยนะ ไปเอานิสัยไม่ดีแบบนี้มาจากเพื่อนของแกใช่ไหม? คิดถูกแล้วที่ให้จับแยกกันไป”
ในที่สุดคนที่ต้นคิดเรื่องนี้ก็โผล่หางออกมา
“เล็ก! ผมบอกแล้วว่าผมจะคุยกับลูกเอง”
“เดี๋ยวคุณก็ใจอ่อนตามใจลูกอีก คุณก็รู้ว่าฉัน..”
“เล็ก.... อย่าให้ผมพูดซ้ำนะ!!” พ่อพูดเสียงเข้ม
“เจ้ากรมันก็เสียคนไปคนหนึ่งแล้วเพราะคุณตามใจมากไป!! ฉันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกหรอกนะ โดยเฉพาะกับลูกของคุณพี่!!” น้าเล็กพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและหันหลังจากไป

กลายเป็นผมที่งงกับการทะเลาะกันของผู้ใหญ่ทั้งสองคน ผมควรจะโกรธกับการที่แม่เลี้ยงของผมพยายามเข้ามาแทรกการสนทนาของเราพ่อลูก และแทรกแซงการตัดสินใจของพ่อ แต่ประโยคสุดท้ายที่น้าเล็กพูดนั่น!...... มันทำให้ผมไม่รู้สึกโกรธเลย น้ำเสียงและสีหน้าเหล่านั้นผมไม่เคยเห็นจากน้าเล็กมาก่อน มันทำให้ผมรู้ประหลาดใจมากกว่า

คุณนายของบ้านเดินห่างออกไปด้วยตาที่แดงก่ำ วงหน้าที่อึดอัดเหมือนถูกสกัดกั้นคำพูดเป็นร้อยแปดอยู่ภายใน ผมกลับมามองหน้าพ่อที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน มือหนึ่งยกขึ้นมาบีบขมับทั้งสองข้างเหนื่อยล้า
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 3 (อัพ 22/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 22-05-2018 18:10:53
“พ่อครับ ผมขอร้อง ให้ผมได้เลือกเส้นทางของชีวิตด้วยตัวเองเถอะครับ”
“หยุด!! พอได้แล้ว พ่อไม่อยากให้แกอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว มันมีแต่เรื่องแย่ๆ”  พ่อพูดห้วนออกมาทั้งที่ยังไม่มองตาผมเสียด้วยซ้ำ

“เรื่องแย่ๆ ผมไม่เคยทำตัวแย่ๆ เลยนะ พ่อก็รู้ ผลการเรียนผมก็ดี นักกีฬาผมก็เป็น ไม่เคยถูกหักคะแนนความประพฤติเลย!!”
“พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อจะเรียกมาคุยแค่นี้แหละ ขึ้นห้องไปได้แล้ว พรุ่งนี้จะเรียกมาคุยเรื่องมหาวิทยาลัยที่พ่อติดต่อไว้แล้วที่ลอนดอน”
“พ่อ!! พ่อไม่มีเหตุผลเลย ทำไมพ่อถึงไม่ฟังผมบ้าง!! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!! ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมขอประท้วง คราวเจ้ากรก็ทีแล้ว!! ผมไม่เข้าใจ!!”
ผมขึ้นเสียงกับพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ได้!!! แกอยากรู้ใช่ไหมว่าทำไม ฉันถึงอยากให้แกไป!!”
พ่อพูดอย่างเหลืออด พอจบประโยคก็พ่อเดินห่างออกไปที่โต๊ะเข้ามุมที่มุมห้องด้านหนึ่ง ไปค้นกระเป๋าเอกสารจนได้ไอเพดมาเครื่องใหญ่ พ่อเขี่ยไปมาบนหน้าจอสี่ห้าครั้ง ถือมาโยนที่หน้าตักผม

“ดูเอาเอง!! แล้วจะให้พ่อทำยังไง!!??”
“............”
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันคือภาพตัวผมเองในมุมที่ผมไม่คุ้นเคย ภาพที่ผมเปลือยเปล่ากับกลุ่มคนที่ผมไม่คุ้นตา ผมเลื่อนภาพเหล่านั้นไปเรื่อยๆ อึกหลายภาพ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือความอับอาย ผมเข้าใจในที่สุดว่าทำไม ชัยถึงไม่เคยให้ผมเห็นภาพชุดนี้ ผมบอกตามตรงว่าผมรับไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์แบบไหน ทั้งโกรธทั้งอาย ทั้งเสียใจ ยิ่งคนที่ยื่นมาภาพนี้มาเป็นพ่อของผมเอง ยิ่งทำให้ผมอยากจะระเบิดตัวเองกระจายหายไปจากตรงนี้เลย

ตาและหน้าของผมมันร้อนไปหมด ผมเลื่อนภาพเหล่านั้นไปเรื่อยในสภาพที่ไม่อยากมองหน้าพ่อที่นั่งอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบงัน จนในที่สุดผมก็มาหยุดที่ภาพของผมกับชัย ภาพแรกเป็นภาพที่ชัยเดินจับมือผมที่หน้าบ้าน ภาพต่อๆมาเป็นภาพความใกล้ชิดกันระหว่างผมกับชัยที่ร้านกาแฟร้านประจำ และภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ผมถูกกดลงที่โซฟาบ้านตัวเองและถูกริมฝีปากของชัยประกบกับริมฝีปากของผมแน่น

“พ่อเข้าใจเพศสภาพของคนในปัจจุบันนี้นะ แต่ทำไม่ถึงทำตัวเหลวแหลกแบบนี้!!” พ่อพูดขึ้นในขณะที่ที่กำลังดูหลักฐานชิ้นสุดท้าย

“พ่อครับ... คือ ผมอธิบายได้!!!”
“ไม่ต้องแล้ว! สุดท้ายประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยอีก พ่อไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แย่ๆกับคนในบ้านเราอีกแล้ว!!”

“แต่ผมไม่เหมือนกันกรนะครับ!!”
“แกรู้รึว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง!!??”
“คือ..... ผม... ไม่ทราบ”
“งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว!! สักวันหนึ่งแกจะเข้าใจถึงความรักและความหวังดีของพ่อ และแม่เล็ก!!”
“แต่ที่พ่อเห็นมันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะ ผม...ผมโดนกลั่นแกล้ง!! และอีกอย่างผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่ผม!!”
ผมชี้ไปทางทิศที่แม่เลี้ยงผมเดินจากไป

“หยุดทำท่าทีก้าวร้าวแบบนี้ แกไม่รู้อะไร อย่ามาพูดเอาแต่ใจ ขี้นห้องแกไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้แกจะต้องอยู่ในสายตาฉันตลอด!!”
สายตาของพ่อที่ดุดันนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าผมพูดอะไรไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไร คงต้องลองหาิธีมาคุยกับพ่ออีกครั้ง ผมกระแทกเท้าเดินจากมาด้วยใจที่ปวดร้าว

.............
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 3 (อัพ 22/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Redz ที่ 23-05-2018 04:07:26
เอ้าจะได้จบดีๆมั้ยเนี่ย คู่นี้ละกรนี่มายังไง :a5:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 4 (อัพ 27/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 27-05-2018 17:12:06

.............

“สวัสดีครับ คุณหนู”
ลุงพรคนขับรถของคุณพ่อมารับผมถึงหน้าโรงเรียน เนื่องจากนับตั้งแต่ผมทะเลาะกับพ่อไปวันก่อน ผมก็โดนพ่อยึดทุกอย่างตั้งแต่รถที่ใช้ขับ คนขับรถส่วนตัว โทรศัพท์สมาร์ทโฟน บัตรเครดิต และอิสระภาพในการใช้ชีวิต

“สวัสดีครับลุงพร ผมขอแวะไปหาเพื่อนก่อนกลับบ้านนะ?”
ผมต้องบอกลุงเพราะลุงไม่เคยมารับผมกลับบ้าน
“ไม่ได้ครับ พอลุงไปส่งคุณหนูเสร็จแล้ว ลุงต้องรีบไปรับคุณท่านที่ทำงานด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ลุงพรไปส่งผมอย่างเดียวก็ได้ เดี๋ยวผมให้เพื่อนไปส่ง”
“ไม่ได้ครับ ถ้าคุณท่านรู้ว่าลุงไปส่งคุณหนูไม่ถึงบ้านลุงจะโดนหักเงินเดือนเอานะ”
“............” ผมหน้านิ่วตอบกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะผมรู้ว่าเวลาแบบนี้พ่อเอาจริง ผมไม่อยากให้ลุงพรแกเดือดร้อน เลยต้องจำยอมขึ้นรถไปโดยไม่ปริปากอะไร ได้แต่ทำท่าอึดอัดใจเท่านั้น

“ลุงขอโทษนะ แต่ลุงขัดคุณท่านไม่ได้จริงๆ”
ผมมองสายตาลุงขณะที่ลุงพูดผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่เป็นไรครับลุง ผมเข้าใจ ผมไม่โกรธลุงหรอก”
แต่คนที่ผมโกรธคือพ่อต่างหาก!! ผมคิดในใจ

ผมมองถนนหนทางจากโรงเรียนมาบ้าน ผมไม่เคยรู้สึกอึดอัดเท่านี้เลย ผมโทรหาใครก็ไม่ได้ จะเดินทางไปหาใครก็ไม่ได้ แถมยังต้องโดนบังคับให้นั่งคุยกับพ่อทุกวันก่อนนอนเพื่อคุยเรื่องสถานที่เรียนมหาวิทยาลัยที่ลอนดอนอีก

คนที่ผมคิดถึงที่สุดคือ ‘ชัย’ ผมไม่รู้ว่าเขาจะพยายามติดต่อผมหรือเปล่า ผมอยากจะคุยกับเขาเหลือเกิน ผมอยากจะคุยกับเขาเรื่องคะแนนสอบที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสดูเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ให้ใช้อินเตอร์เน็ต ผมอยากเจอหน้าเขา ตั้งแต่หลังสอบผมก็ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเขา ดวงตาของผมมันร้อนผ่าว ใจสั่นหวิว และลำคอตีบตันจนไม่สามารถส่งเสียงได้ ตอนนี้ชัยกำลังทำอะไรอยู่นะ  ผมจินตนาการถึงชัยต่างๆ นานา ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ จนกระทั่งทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนมาเป็นภาพรั่วยาวเป็นตารางเหล็กสีดำสลับช่องสีเขียวของต้นไม้ด้านใน ผมมองเข้าในรั่วก็พบกับบ้านหลังสีขาวสไตล์โมเดิร์นขนาดใหญ่ ที่พักพิงที่ผมไม่คุ้นเคย

......................



ชัย

‘หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ.....’

เป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตลอดสองสามวันที่ผมพยายามติดต่อกับกวี

“เฮ้ย!! มึงยังติดต่อกวีไม่ได้หรือวะ?” ไอ้หลงที่นั่งอยู่ข้างๆ ทักขึ้นขณะช่วงเวลาพักเที่ยง
“เออว่ะ... กูแม่งหงุดหงิดฉิบหาย แล้วก็เป็นห่วงด้วย”
ผมปล่อยโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของผมลงคว่ำหน้า
“มึงจะมาหงุดหงิดอะไรวะ มึงก็ไปหากวีที่บ้านสิวะ!”
ไอ้หลงแสดงความคิดเห็นพร้อมใช้มือเสยหลังหัวผมเบาๆ

“มึงว่ากูยังไม่ได้ทำหรือไง! กูไปมาเมื่อวานแล้ว บ้านแม่งปิดเงียบ เหมือนร้าง ลุง รปภ. ก็เปลี่ยนคนดูแลแล้ว พอถามก็บอกไม่รู้เรื่องอะไรเลย!!”

“อ้าว..... แล้วนี่มึงเจอกันล่าสุดเมื่อไหร่วะ?”
ก็ช่วงสอบนั่นแหละ หลังนั้น..... กูก็ติดต่อกวีไม่ได้เลย!!” ผมพูดพลางหยิบมือถือขึ้นมากดเขียนข้อความถึงกวีผ่านแอปปริเคชั่นไลน์ แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีคำตอบใดๆ ส่งผ่านมาปรากฏที่หน้าจอของผม ไม่มีแม้แต่คำว่าอ่านขึ้นที่กล่องคำพูดของผม
“มึงไปถามหน่วยข่าวกรองหรือยัง?” ไอ้หลงใช้มือตบไหล่ผมสองครั้ง ขณะที่ผมกำลังเหม่อมองโทรศัพท์ของตัวเอง

“ใครวะ??!”
“พี่โน่ไง!!”
“พี่โน่จะไปรู้ทุกเรื่องได้ไงวะ?”
“ก็คนรู้จักพี่เขาเยอะ แล้วครอบครัวกวีก็แบบมีชื่อเสียงในจังหวัด บวกกับพี่โน่เคยให้ลูกน้องแอบติดตามกวีอยู่ช่วงที่มีเรื่องกับยัยนิ่ม มันต้องมีใครรู้เรื่องบ้างล่ะวะว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง?”
ผมมองหน้าไอ้หลงที่มันพูดอะไรฉลาดๆแบบนี้
“มึงนี่ก็...ฉลาดเหมือนกันนะ ไม่เคยรู้...”
“แปลว่าอะไรวะ?!?” ไอ้หลงมันคิ้วขมวดใส่ผม
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ!! เออ ขอบใจนะ เย็นนี้ไปหาพี่โน่กัน!”
“เชี้ย!! มีงหลอกด่ากูอีกแล้ว!!” หลงยกมือขึ้นฟาดที่หัวผมดังลั่น
“เชี้ย!! เดี๋ยวกูโง่กันพอดี!!”
“เออ ดี จะโง่กว่ากู!!”
“ไอ้สาดดดด”
ผมลุกขึ้นหมายจะเหวี่ยงแข้งใส่ก้นมันสักที แต่หลงกลับรู้ตัวโดดหนีได้ทันท่วงที
ตอนนี้เลยกลายเป็นภาพของพวกผมวิ่งไล่กันอยู่ ให้เพื่อนๆ บริเวณนั้นที่นั่งพักกัน หัวเราะกันยกใหญ่
“พอสบายใจมึงก็มีแรงเลยนะ!!”
ไอ้หลงหันหลังตะโกนมา
“กูจะร่าเริงกว่านี้ ถ้ากูเตะมึงได้ อย่าหนีสิวะ!!”

....................


“อืม....... เรื่องนี้มัน....”
พี่โน่พูดขึ้นหลังจากผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“พี่รู้อะไรงั้นเหรอ?”
ผมไม่รอฟังให้จบประโยคก็โพล่งพูดแทรกขึ้นมา
“กูจะบอกว่า......”
“ว่า....???”
“มึงนี่ความรู้สึกช้าจังวะ เป็นกูแฟนหายไปวันเดียวกูก็ออกตามหาแล้ว ไอ้ฟาย!!”
ผมเจอพี่โน่กระแทกหน้าด้วยคำด่าเต็มคำ ตัวเล็กแต่แม่งเสียงทรงพลังฉิบหาย

“อ้าว!! พี่โน่... ทำไมพูดแบบนี้วะ?”
ผมหน้านิ่วใส่อีกฝ่ายทันที
“พี่พูดแบบนี้แปลว่าพี่รู้อะไรมางั้นเหรอ?”
ไอ้หลงเสือกตัวขึ้นมาใกล้พี่โน่มากกว่าเดิม พร้อมน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็นิดหน่อย...” พี่โน่ทำท่าทางสบายๆ ใส่หน้าผมแบบไม่สนใจท่าทางกระตือรือร้นของไอ้หลง
“พี่รู้อะไรก็รีบบอกมาดีกว่า จะมาอมพะนำทำไม?”
ผมพูดเสียงดังขึ้นรู้สึกถึงความร้อนรนในอกมันแฝงออกมาทางคำพูด
“เออๆ กูรู้แค่ว่ากวีน่าจะมีปัญหากับครอบครัว เพราะเหมือนโดนคุมตัวแจเลย ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีคนติดตามไปรับไปส่งตลอด กูสงสัยก็เลยพยายามโทรศัพท์ไปถามแต่ก็เหมือนติดต่อไม่ได้ แล้วล่าสุดนี่.... ถึงกับถูกย้ายไปอยู่บ้านใกล้โรงเรียนอีกด้วย!!”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน??”
“กูก็ไม่รู้? กูก็รู้แค่นี้แหละ ย่านที่พักแถวนั้นมันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลด้วย เข้าไปไม่ได้!”
“พี่รู้ขนาดนี้แล้วทำไมไม่รีบบอกผม”
“กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะทำยังไง หากมึงห่างเหินกันจริงๆ ก็เผื่อฟลุ๊คให้กูแทรกได้ ยังไงกวีก็ยังน่ารักสำหรับกูอยู่ดี”

“พี่โน่..... มึง... แม่ง.....”
ผมนี่กัดฟันดังกรอดๆรอดช่องปากออกมาด้วยความหงุดหงิด
“เฮ้ยๆ กูล้อเล่น แค่คิดเล่นๆ เอานี่แผนที่กูเตรียมให้แล้ว”
“โห.... พร้อมโคตร!!” ผมอึ้งตาโตใส่พี่โน่

“มึงว่าทำไมไอ้หลงถึงพามึงมาที่นี่ละ?”
“...??... หรือว่า....”
“เออ.... กูบอกให้ไอ้หลงพามึงมาหากูเองนี่แหละ!!”
พี่โน่พูดพร้อมยิ้มกว้างในขณะที่ไอ้หลง ยิ้มแห้งๆ ใส่ผม
“กูนึกแล้วเชียวว่ามึงไม่น่าฉลาดขนาดนั้น!!”
“อ้าว!! ไอ้นี่ กูอุตส่าห์ช่วย ไอ้สาดดด”
ไอ้หลงลุกขึ้นยืนทำท่าหาเรื่อง
“เอ้าๆ เสร็จธุระแล้ว พวกมึงก็ไปกันได้แล้ว อย่ามาทะเลาะกันแถวนี้”
พี่โน่ยกมือทำท่าไล่ด้วยความรำคาญ


.............................


“นี่! มึงแน่ใจนะว่าเป็นหมู่บ้านหลังนี้”
ผมพูดขณะดูแผนที่ในมือของไอ้หลงที่ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดของผม
“กูว่าใช่ แถวนี้ก็มีแต่ที่นี่นะที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ขนาดนี้”
ไอ้หลงพูดขึ้นมาด้วยสายตาสอดส่องไปทั่วบริเวณ รถผมจอดอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ แค่ประตูทางเข้าก็ใหญ่กว่ารั่วบ้านผมแล้ว บวกกับรูปปั้นขบวนม้าในท่าทางวิ่งสีสัมฤทธิ์ มีน้ำพุน้อยใหญ่อยู่ล้อมรอบ ดวงไฟที่ประดับประดาประหนึ่งอยู่ในงานรื่นเริง ประตูเลื่อนขนาดใหญ่สีทองอร่ามสะท้อนแสงไฟสีส้มดูแวววาว จนไม่สามารถคิดมูลค่าสิ่งเหล่านั้นได้

“งั้นเข้าไปกัน!”

“เดี๋ยวๆ”
ไอ้หลงเลื่อนมือมาจับที่แขนผมเป็นเชิงห้าม
“อะไรวะ?!”
“มึงรู้เหรอไงว่าหลังไหน?”
“ไม่รู้... เดี๋ยวค่อยไปถาม!”
“ไอ้บ้า!! รปภ. ที่ไหนเขาจะบอกกัน!!”
“อ้าว!! แล้วไงวะ!! แบบนี้ก็ได้แต่มองดิวะ?”
“ก็คงงั้นแหละ!!”
“เชี้ย!! นี่มันไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วหรือวะ?”
“ก็เออดิ!! ขืนมึงบุกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต รับรอง เตรียมคุยกับพ่อมึงยาวเลยที่โรงพัก!!”
“..............,” ผมนึกภาพตาม ภาพที่พ่อดุผมต่อหน้าคนทั้งโรงพัก ไหนจะต้องอธิบายเรื่องต้องบุกไปหาแฟนตัวเองอีก ผมยังไม่เคยบอกพ่อเรื่องกวีเลย ทุกคนในบ้านคงแค่เห็นว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเท่านั้น

“กูว่าทำได้แค่... รอ.... เผื่อว่าจะได้ดักเจอกันบ้างเท่านั้นแหละวะ” ไอ้หลงเสริมเหตุผลเพิ่มทับมาอีก
“.................” ผมไม่เห็นกับวิธีนี้เท่าไหร่ ผมใจร้อนเกินกว่าจะมานั่งรออะไรแบบนี้ แต่ผมยังนึกหาทางไม่ออกได้นั่งมองทางเข้าหมู่บ้านหรูไปเท่านั้น

.................

สี่วันผ่านไป.....ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่ผมมานั่งเฝ้ากินนอนอยู่หน้าหมู่บ้านหรู ผมเห็นรถคันใหญ่หรูหราผ่านไปนับไม่ถ้วน แต่ผมไม่คุ้นรถคันไหนเลยที่จะเป็นรถของบ้านกวี  หรือว่าพ่อกวีจะซื้อรถคันใหม่? โห... ลงทุนทำขนาดนี้เลยหรือนี่! แต่พอดูจากฐานะของครอบครัวกวี ผมก็คิดว่าทำแค่นี้ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง...

ระหว่างที่ผมใจลอยมองผืนน้ำที่มีน้ำพุน้อยใหญประโคมน้ำสูงเหนือหัวรูปปั้นฝูงม้าขนาดใหญ่หน้าหมู่บ้านที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นระยิบระยับงามตา นี่เป็นสวยงามสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเบื่อที่นี่น้อยลง  รถตู้หรูคันใหญ่ขับมาจอดขวางคลองสายตาของผม ทำให้ผมเผลอสะดุ้งดึงตัวเองยึดตรงพร้อมมองตาขวางไปที่ไอ้รถไม่มีกาละเทศะด้านหน้าตรงนี้

ครึด...วีดดดดด....

เสียงประตูรถตู้เลื่อนไปด้านข้างเบาๆ ด้วยเสียงอันเงียบเชียบ เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่ทำให้ผมเฝ้ารอตรงนี้มานานหลายวัน รูปหน้าและทรงผมยังคงน่ารักเหมือนเคย ผิวขาวใสเนื้อละเอียด ปากออกรื่อชมพูแบบธรรมชาติที่ผมอยากจะเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว เว้นเสียแต่ดวงตาที่แดงก่ำและมีน้ำปริ่มๆ ที่ขอบตา แต่เพียงเท่านี่ก็เพียงที่จะให้ผมยิ้มกว้างออกมาไม่หุบ

“ชัย!!” กวีโผตัวลงมากอดผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะเขินอายเวลาที่ผมแสดงความรักกับเขา เป็นครั้งแรกที่เขาโผเข้ามากอดผมแบบเต็มตัวแบบนี้   ยิ่งในที่สาธารณะแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้

“คุณหนูพอเถอะ เดี๋ยวคุณนายรู้เข้าผมจะโดนไล่ออก!”
เสียงดังมาจากทางหน้ารถด้านคนขับ เพียงแค่จบประโยคนั้น กวีก็ถอยตัวออกห่างจากผมทันที
“เดี๋ยว!! เรามีเรื่องต้องคุยกัน! เกิดอะไรขึ้น นายหายไปไหม ทำไมเราติดต่อไม่ได้เลย?”
ผมยิงคำถามแบบรัวไม่หยุดในขณะที่มือก็ชุดรั้งกวีไว้ไม่ให้เขาเดินห่างไป
“นายกลับไปเถอะ..... เราก็แค่อยากจะเจอนายบ้าง ซึ่ง.... มันก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย....”
กวีเหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดมือให้พ้นจากการพันธนาการของมือผม จนก้าวขึ้นรถไปได้
“ไม่!! เราไม่กลับ!! คุยกันก่อน มันหมายความยังไง?”
“คือ......”
กวีดูอ้ำอึ้งสับสน สายตาส่ายไปมาไม่นิ่ง

“น้องเห็นใจลุง เห็นใจคุณหนูเถอะ” ลุงคนขับรถพูดเชืงขอร้องดังออกมาจากด้านคนขับ
“ไม่ลุง..... ผมต้องรู้! นายเป็นอะไร บอกได้ไหม? เราเป็นห่วงนายมากนะ!!”
“ชัย......” ความทุกข์ของเขาส่งออกมาทางสายตาแม้แต่ผมยังรับรู้ได้จนแทบเจ็บปวดใจไปด้วย...”
“รู้ไหมเราคิดถึงนายมากขนาดไหน??” ผมพูดถ้อยคำที่ออกมาจากใจมากที่สุดถ้อยคำที่ผมอยากพูดกับเขามากที่สุด
“ชัย...... กลับไปเถอะ เรายังไม่มีอะไรจะคุยด้วย!!”
กวีผลักผมออกจากรถตู้คันหรู จนผมเสียหลักเกือบล้ม

“กวี!!” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้ตอนนี้ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเท่านั้น ผมไม่รู้จริงๆว่าจะช่วยให้เรื่องนี้จบอย่างไร
“ลุง!! ปิดประตู กลับกันได้แล้ว!!” กวีพูดเสียงดังแต่เต็มไปด้วยความเสียใจแฝงอยู่ เสียงสั่นเครือไปหมด ผมมองไม่เห็นหน้าเขาว่าเป็นยังไง แต่มันทำให้ดวงตาของผมมันร้อนผ่าวไปหมด

ครึดดดดดด..... วี๊ดดดดดดด...... เสียงประตูรถที่ค่อยๆ ทำงานเลื่อนปิดช้าๆ ด้วยเครื่องกลอย่างกับเวทมนต์
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 4 (อัพ 27/May/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-05-2018 18:45:38
มีเรื่องทั้งสองคู่เลย    :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 5 (อัพ 2/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-06-2018 16:05:47

“โธ่...โว้ย!!!  ไม่ไหวแล้วโว้ย!!”
เสียงลุงคนขับรถลอดดังออกมานอกรถก่อนที่ประตูรถจะปิดสนิท

“...........” ในขณะที่ผมกำลังจะพูดอะไรออกไปก็ต้องอึ้งกับเสียงตะโกนของลุง
“ไอ้หนุ่ม!! ขึ้นรถ!! วันนี้คุณท่านไม่อยู่ มาเคลียร์กันที่บ้าน ลุงทนเห็นคุณหนูเป็นแบบนี้ทุกวันไม่ไหวแล้ว เห็นแล้วลุงอยากจะร้องไห้ตามเลย” ลุงคนขับรถพูดขึ้นอีกครั้งหลังประตูรถเลื่อนเปิดออกเองอีกครั้ง

“ลุงแต่ ผม....” กวีหันไปพูดกับลุงคนขับรถ
“ลุงรู้ว่าคุณหนูกวีไม่เคยร้องไห้ คุณหนูกวีเข้มแข็งมาก แต่คุณหนูเปลี่ยนไปจนลุงรู้สึกได้!! คุณหนูไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน... อ้าว!! ไอ้หนู!! รีบขึ้นมา!!”
ลุงคนขับรถพูดกับกวีที่ดูอ้ำอึ้งอยู่ตรงประตูรถด้านในเสร็จแล้วเขาก็หันมากวักมือเรียกผม
“ครับ!! ลุง!!” ผมไม่รอช้าทิ้งรถคันโปรดให้จอดอยู่ตรงนั้นและก้าวขึ้นรถตู้คันหรูที่สูงใหญ่ขนาดที่ผมขึ้นไปยืนได้สบาย

“นั่งลงดิ” ผมผลักกวีให้นั่งลง กวีมีท่าทีขัดขืนนิดหน่อยแต่ก็ถูกผมผลักให้นั่งโดยง่าย ผมลงไปนั่งข้างเขาแบบใกล้ชิด มือผมยื่นไปจับมือเขาและกำไว้แน่น กวีหยุดดิ้นรนและจ้องหน้าผมด้วยแววดีใจฉายอยู่เต็มสองตา ประตูรถปิดอย่างอัตโนมัติ รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม และขับไปถึงที่พักชั่วคราวที่กวีถูกพามาซ่อนไว้ เราสองคนเพียงแค่นั่งจับมือไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ผมรู้ว่าผมกำมือเขาแน่นมาก เพราะคิดถึงความรู้สึกนี้และกลัวว่าความรู้สึกแบบนี้จะหายไปอีกครั้ง

คำว่า ‘ที่พักช่วคราว’ นี่ดูจะเล็กไปเลยหากเทียบกับบ้านหลังที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปพร้อมกวี รถขับเข้ามาจอดในบ้านที่มีประตูอัตโนมัติเปิดอย่างช้าๆ เลื่อนด้านข้างเหมือนมีหุ่นยนต์ไขลานแบบล่องหนมาช่วยเปิดให้ รั่วบ้านสีดำเรียบง่ายเป็นทรงลูกกรงสี่เหลี่ยม มีพื้นที่สวนขนาดย่อมอยู่รอบๆ บ้านที่เต็มไปด้วยไม้ประดับขนาดกลางสีเขียวครึ้มสวยงาม จากประตูบ้านไปที่ตัวบ้านไม่ห่างไกลเหมือนคฤหาสน์ของกวีแต่ก็ถือว่ากว้างกว่าบ้านโดยรอบมาก บ้านทรงโมเดิร์นสีขาวขุ่นออกครีมสองชั้นมีความเรียบง่ายแต่โอ่อ่า มีบ้านใหญ่ๆ ทำไมตั้งสองหลัง?

“พ่อซื้อให้ญาติที่จะกลับมาจากต่างประเทศน่ะ นานๆจะกลับมาที แต่กลับมาแต่ละครั้งก็อยู่นานก็เลยซื้อบ้านนี้ไว้รับรอง”
กวีคงมองแววตาผมออกจากการที่ผมมองสอดส่องออกมาด้านนอกผ่านกระจกรถ เลยช่วยตอบคำถามคาใจให้ผมโดยไม่ได้เอ่ยปากถาม
“จะคุยกันก็มานี่!!” กวีลุกขึ้นและดึงมือของผมที่เกาะกุมกันอยู่ฉุดให้ตัวผมลุกขึ้นตามเขาออกมาหลังจากที่รถจอดสนิทและประตูรถเปิดอย่างอัตโนมัติ

ผมถูกดึงเข้าไปในตัวบ้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นแบบบิ้วด์อินทั้งหลัง แค่ห้องรับแขกกับห้องทานข้าวก็ประดับดวงไฟมากกว่าบ้านผมทั้งบ้าน ทั้งคริสตัลที่แขวนประดับตามโคมไฟห้อยระย้าขนาดเล็กที่แค่มองแสงระยิบระยับที่สะท้อนมาก็ทำให้ตาพร่าได้ในทันที ที่นี่ดูจะประดับเกินระดับมาตรฐานคำว่าสวยไปหน่อย ผมถูกดึงไปเรื่อยๆ จนไปถึงชั้นสองห้องนอนใหญ่

“คุณหนู.... ลุงวางกระเป๋าไว้ที่ห้องรับแขกและรอไปส่งเพื่อนคุณหนูอยู่ที่รถนะครับ” ลุงคนขับรถตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง
“ครับ” กวีตะโกนกลับทั้งที่ยังคงเดินนำหน้าและลากผมไปเรื่อยจนผมแทบเดินตามไม่ทัน วันนี้ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกวีมากกว่าปกติ (หรือปกติออมแรงไว้ตลอด)

พอมาถึงในห้องเขาก็เหวี่ยงผมลงไปนั่งที่เตียง ก่อนที่ผมจะโอดโอยการแรงกระแทก กวีก็โผเข้าโอบกอดผมไว้ เพียงแค่ได้สัมผัสไออุ่นจากร่างกายของเขา ร่างกายของผมก็ขยับไปกอดเขาโดยอัตโนมัติ ผมกอดเขาแน่นขึ้นให้คุ้มกับความคิดถึงมาตลอดหลายวัน กวีเองก็เช่นกัน เราสองคนอยู่ในท่านั้นโดยไร้คำพูดใดๆ ไปหลายนาที ทุกอย่างในห้องเงียบสนิทและหยุดนิ่ง ผมสูดกลิ่นกายของกวีเข้าปอดอึกใหญ่ เสียงหายใจของผมดัง จนทำให้กวีแอบหัวเราะในลำคอ ทำลายบรรยากาศที่นิ่งสนิทนั้นไป

“ผอมลงหรือเปล่า?” ผมพูดขึ้นขณะแขนยังโอยรอบเอวเขา และหน้ายังอยู่ระนาบกับช่วงท้องที่บอบบางของกวี
“อืมมมม มั้ง ไม่รู้สิ ไม่ค่อยได้ชั่งน้ำหนัก อาจเพราะช่วงนี้ไม่เจริญอาหารมั้ง” กวีตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง เราเป็นห่วงนะ..... ไหน......เล่ามาให้ฟังหน่อยเกิดอะไรขึ้น? เรื่องมันเป็นไงมาไง นายถึงหายหน้าไปเลย?” ผมจับให้กวีลงมานั่งระดับเดียวกับผม

“เราไม่อยากพูดถึงมันเลย....”
กวีโน้มตัวลงมากดริมปากของเขาจรดที่ริมฝีปากผม ผมสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนของเขาผ่านริมฝีปากและลิ้นที่ลุกล้ำเข้ามาในช่องปากของผม ด้วยความคิดถึงผมจึงเผลอโต้ตอบไปอย่างเร้าร้อน มือของกวีป่ายปัดไปทั่วร่างกายท่อนบนของผม ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ผมเอนตัวลงนอนโดยไม่รู้ตัว

ก่อนที่เสื้อผ้าผมจะถูกมือปลาหมึกของกวีปลดออกจนหมดผมจึงเอื้อมมือไปคว้าจับมือของกวีไว้

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า? นายดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย!”
“เฮ้อ!!!! .....” กวีถอนหายใจยาววูบใหญ่ใส่หน้าผมและพลิกตัวกระแทกลงนั่งข้างๆ ผม แม้จะรู้สึกเสียดายที่แม่ทัพใหญ่ด้านล่างพร้อมจะออกศีกอย่างแข็งขันแล้วก็เหอะ แต่ผมก็อยากรู้ความไม่สบายใจของแฟนตัวเองมากกว่า ผมสะกดความรู้สึกตัวเองไว้ และกลืนคำพูดร้อยแปดที่แสดงถึงความต้องการของตัวเองลงท้องไป

“เรารู้สึกไม่สบายใจเลย นายเป็นอะไรวะ?”
ผมคิดคำพูดเพื่อเริ่มเรื่องที่ควรจะเป็น ผมมาหากวีเพื่อคุยไม่ได้มาทำเรื่องอย่างว่า
“เราแค่..... ความทรงจำดีๆ เป็นครั้งสุดท........”
กวีพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินท้ายประโยค แต่เป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มีความสั่นเครือที่ท้ายประโยค
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 6 (อัพ 11/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 11-06-2018 17:16:56
“อะไรนะ!!” ผมเสียงดังใส่กวีด้วยความตกใจ
“...........” กวีไร้ซึ่งคำพูดมีเพียงแววตาที่แดงก่ำตอบกลับมา
“กวี..... นายหมายความว่ายังไง?” ผมลงไปนั่งคุกเข่าหันหน้าไปหาเขาเพื่อให้มองหน้าเขาชัดขึ้น น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาที่แก้มของผมหนึ่งหยด กวีรีบปาดน้ำตาที่เหลือและหันหน้าหนี

“ทำไมเราอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้จังวะ...”
กวีพูดขึ้นขณะปาดน้ำตาที่หยดออกจากดวงตาไม่กี่หยด

“..........” ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ใช้มือจับหน้าเขาเบาๆ ภาพตรงหน้าทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ผมไม่เคยเจอเขาเป็นแบบนี้มาก่อน กวีมักจะเข้มแข็งและยิ้มแย้มเสมอแม้เขาจะทุกข์เพียงใด ไม่ว่าเขาจะเผชิญอะไรมาหนักแค่ไหน แม้แต่เรื่องแม่เลี้ยงของเขา

“พ่อเขารู้เรื่องของเราแล้ว น้าเล็กเราเป็นคนบอก แล้วเรื่องภาพพวกนั้นอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเห็นได้ยังไง พวกเขาคิดว่าเพราะเราคบกับชัย มันเลยเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พ่อเขาคิดไปต่างๆนาๆ คิดแต่เรื่องแย่ๆ เขาไม่ฟังเราเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ฟังเราเลย!!! ไม่แม้แต่หยุดฟังที่เราพยายามอธิบาย!!”
กวีคร่ำครวญออกทั้งที่ตายังแดงเรื่อ น้ำตาหายไปแล้ว คงเหลือแต่ความอึดอัดคับใจในดวงตา

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง เดี๋ยวเราไปช่วยอธิบายให้ เรามีหลักฐานเยอะแยะเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่โดนกลั่นแกล้ง!!” ผมรู้สึกอยากลากยัยนิ่มไปถ่วงน้ำสักสามรอบที่ยังให้เรื่องนี้ตามมาหลอกหลอนเราสองคนได้ขนาดนี้ และยังสร้างความเสียหายแก่กวีอย่างมหาศาลอีกด้วย ผมคิดไปถึงสุภาษิตไทยประโยคหนึ่งคือ ‘ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด’ จริงๆ

“ไม่มีประโยชน์แล้ว..... เพราะ.......”

€>>*$**€€€~~€

เสียงริงโทนของโทรศัพท์กวีดังขึ้นขัดจังหวะกลางประโยคของกวี

“คุณหนู คุณหนู!! แย่แล้ว!!”
เสียงที่ฟังคุ้นหูและตื่นตระหนกดังลอดออกมาจากปลายสาย
“แย่? อะไรแย่ครับลุง”
คุณท่านกับคุณนายมาแล้วน่ะสิครับ!! ตอนนี้กำลังจะขับรถเข้าไปจอดในบ้านแล้วครับ!!”
เสียงของลุงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์เครื่องเล็กแต่เสียงดังออกมาเหมือนลำโพงงานวัด
“เฮ้ย!! ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง!!”  กวีทำท่าตื่นตระหนกไม่แพ้กับเสียงของลุงที่ดังเกินปกติ
“นั่นสิครับเอาไงดีครับคุณหนู ทั้งสองท่านรู้เรื่องที่เราแอบพาคุณชัยมาบ้านเข้าผมโดนไล่ออกแน่เลยครับ!!”

“....อืม...... ไม่ต้องตกใจไปครับ เดี๋ยวผมให้ชัยอยู่บนห้องนี้แหละ เดี๋ยวผมลงไปคุยกับคุณพ่อตามปกติเอง พ่อไม่เคยเข้าห้องผม ไม่เป็นไรหรอกลุง แล้วเดี๋ยวดึกๆ ค่อยให้ชัยแอบออกไปก็ได้ครับ ลุงทำตัวเป็นปกติก็พอ!!”
“โอเคครับ งั้นลุงลงจากรถไปต้อนรับนายท่านก่อนนะครับ”
“ครับๆ”

“อะไรเหรอ คุณพ่อมาแล้วเหรอ?”
ผมถามออกไปเพื่อให้แน่ใจ หลังจากที่นั่งฟังกวีพูดโทรศัพท์ด้วยความตื่นตระหนกตกใจกับลุงคนขับรถ
“อืม.... ใช่ นายช่วยอยู่บนนี้ก่อนนะ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยกลับ... ได้ไหม?”
กวีหันมาตอบคำถามผมและถามกลับมาด้วยความกังวลในประโยคเดียวกัน
“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องตื่นตูมแบบนี้ด้วย พ่อนายมาก็ดีจะได้เคลียร์กันไปเลย ว่าพ่อกำลังเข้าใจผิดเรื่องรูปนั่น ถ้าจะโทษก็ไปโทษยัยงูพิษ ยัยนิ่มนั้น!!”

“วันนี้คงไม่เหมาะ.... เราว่า....”
กวีตอบกลับมาด้วยอาการอึดอัดใจ
“เราไม่กลัวแม่เลี้ยงนายหรอก และการที่เราคบกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดด้วย เราจริงใจกับนาย เรารักนายจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องผิด!!”
“ชัย.......”
น้ำในตาของกวีไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก คำพูดของผมคงไปสะกิดอะไรในหัวของเขาเข้าไป เหมือนเขื่อนที่ร้าวใกล้จะพังแต่พอเจอหินก้อนเล็กๆ กระทบใส่ก็ทลายลงมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะจากไม้เนื้อแข็งที่ประตูดังขึ้นทำให้ทุกสิ่งในห้องแทบจะหยุดนิ่ง ผมแทบจะหยุดหายใจไปด้วยเพราะหน้าที่ซีดเผือดของกวี

“กวี?? ทำอะไรอยู่ เปิดประตูให้พ่อเข้าไปหน่อย”
คงเพราะประเป็นแบบล็อคอัตโนมัติ ทำให้เจ้าของเสียงติดอยู่ที่หน้าประตูอีกด้าน ในขณะที่ผมขยับพูดแบบไร้เสียงว่า
‘ไหนว่าพ่อนายไม่เคยขึ้นมาไง!!’

ครับผมเพิ่งออกจากห้องน้ำเดี๋ยวไปเปิดให้ครับ”
กวีทำได้แค่กระวีกระวาดไล่ให้ผมไปแอบในห้องน้ำในห้องนอนแบบมาสเตอร์เบดรูมนี้ หลังจากผมถูกลากไล่เข้าอยู่ห้องน้ำก็ถูกประตูห้องน้ำปิดใส่หน้าดัง ‘ปัง’

“ขอร้องนะว่าอย่าออกมาจนกว่าพ่อจะไป เราไม่อยากเพิ่มปัญหาให้มันยุ่งยากมากขึ้น!”
กวีกระซิบไปที่ประตูก่อนที่จะเดินจากไป

“สวัสดีครับพ่อ ผมนึกว่าพ่อจะกลับมาวันพรุ่งนี้เสียอีก?”
กวีกล่าวขึ้นหลังจากที่เสียงประตูเปิด
“เอ้อ... ก็ธุระมันเสร็จกว่าที่คาดก็เลยเปลี่ยนตั๋วกลับมาเลย ไม่อยากอยู่นาน แล้วพ่อจะมาบอกข่าวดีด้วย!!”
เสียงคุณพ่อของกวีดังเข้ามาใกล้ขึ้นแปลว่าคุณพ่อน่าจะเดินเข้ามาในห้อง ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าหนังสือที่ติดตัวมาด้วยยังกองอยู่ข้างเตียง ผมหวังว่าพ่อกวีคงไม่ได้สังเกต!!

“ข่าวดี..???”
กวีลากเสียงสูงเป็นเชิงตั้งคำถาม
“อ้าว!!!! ก็เรื่อง....”
“อ้อ.... ครับ เดี๋ยวไปคุยกันข้างล่างดีกว่าครับ ผมวางพวกใบปลิว และสมุดคู่มือคำแนะนำต่างๆ ไว้ข้างล่าง”
กวีรีบพูดขึ้นมาตัดบทก่อนที่คุณพ่อจะพูดจบประโยค

“โอเค ได้ๆ พ่อหิวน้ำพอดี น้าเล็กแกคงเตรียมของให้พ่อแล้ว จะตามพ่อมาเลยไหม?”
“เดี๋ยวผมขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ แล้วจะตามลงไป”
“โอเคๆ รับลงมานะ พ่อเหนื่อยแล้วว่าจะกลับไปนอนเสียหน่อย”
“ครับ”
เสียงฝีเท้าหนึ่งค่อยๆ ดังไกลออกไป ในขณะที่ผมรู้สึกโล่งใจที่คุณพ่อของกวีก้าวเดินออกไป ทั้งที่ใจหนึ่งอยากจะคุยให้รู้เรื่องแต่ก็ไม่อยากให้กวีลำบากใจ ผมแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกวี ตอนนี้ผมรู้แล้ว เรื่องคุยกับพ่อของกวี ค่อยหาเวลาไปคุยก็ได้ หากเรื่องมันเกิดจากผม ผมก็ควรจะไปเคลียร์กับพ่อของกวีด้วยตัวเอง

ในขณะที่ผมกำลังจะบิดลูกบิดเพื่อออกจากที่ซ่อน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“กวี!! ผลสอบ IELTS ลูกออกหรือยัง? จะไปเรียนต่อที่ลอนดอนมันสำคัญนะ!!”
เสียงพ่อของกวีส่งเข้าในห้องจนใจผมสั่นวูบ  ผมไม่ได้ตกใจกับเสียงของคุณพ่อแต่ประหลาดใจในสิ่งที่พ่อพูดมากกว่า

“ครับ ออกแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาลงไปคุยด้วยครับ”
เสียงกวีตอบอย่างราบเรียบ พร้อมเสียงปิดของบานประตูห้องและเสียงถอนหายใจของกวี

“นี่มัน......อะไรกัน??” ผมเอ่ยคำถามขึ้นมาพร้อมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ
“เรา...... เรากำลังจะบอกนายพอดี..... แต่ยังไม่มีโอกาส...”
กวีพูดพร้อมหลบสายตาที่กราดเกรี้ยวของผม
“เข้าใจแล้ว!! นายถึงพูดและมีท่าทีแปลกๆแบบนี้!!”
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความโกรธแต่พอเห็นหน้าเขาผมก็ทำไม่ลง ( บวกกับพ่อกวีและน้าสาวเข้าก็อยู่ข้างล่างจะเสียงดังมากก็ไม่ได้โชคดีที่รั้งตัวเองได้ทัน!)

“......เราขอโทษนะ เราไม่ได้อยากปิดบังนาย แต่เรื่องแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย!!” กวีมองผมด้วยแววตาสำนึกผิด
“บอกเราหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พ่อนายรู้เรื่องระหว่างเรา และเข้าใจผิดเรื่องรูปพวกนั้น?” ผมเดินเข้าไปหากวีและลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน

“เราทะเลาะกับพ่อหลายครั้ง แต่พ่อก็ไม่เข้าใจ น้าเล็กแกก็ไม่พอใจเร่งเร้าให้พ่อจัดการให้เด็ดขาด!! พ่อเลยจัดการให้เราไปเรียนต่อที่ลอนดอนให้ได้ จะได้อยู่ไกลๆ จากนายและสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี พ่อมีญาติเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นจะได้จัดการคุมความประพฤติเราได้ง่าย!!”
กวีเล่าสิ่งเหล่านี้ออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและไร้ชีวิต

“อืม.... ไม่ได้แล้ว รอไม่ได้แล้ว แบบนี้เราต้องไปคุยกับพ่อนายให้รู้เรื่อง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เรายังมีหลักฐานเหลืออยู่ในมือถือ คิดไว้แล้วว่าสักวันต้องใช้ คำสารภาพของยัยงูพิษนั้น ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา เราคิดว่าอธิบายให้พ่อเข้าใจถึงความจริงใจของเรา พ่อเขาต้องเข้าใจแน่นอน!!”
ผมพูดไปร้อยแปดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กวี แต่ความจริงแล้วผมให้กำลังใจตัวเองมากกว่า เพราะผมเองก็ไม่มั่นใจหรอกว่า ผมจะไปอธิบายยังไงให้พ่อกวีเชื่อ แต่ผมจะใช้ความจริงใจของผมสู้จนกว่าพ่อเขาจะเข้าใจ ผมไม่เคยคุยกับพ่อของกวีแบบจริงจังเลย ทักทายกันแบบผ่านๆ ตลอด เพราะความวุ่นวายเรื่องงานของพ่อกวี

ผมพูดจบและสูดหายใจเข้าดังๆ ก่อนที่จะก้าวขาสั่นๆ ออกจากจุดที่ยืนอยู่ แต่แล้วก็มีมือๆหนึ่งมาจับแขนผมไว้แน่น

“อย่าเลย... ไม่ต้องหรอก.... เป็นกำลังใจให้ผมก็พอ วันนี้ผมจะจริงจังกับพ่ออีกครั้ง พอได้มาเจอนายทำให้เรามีพลังมากขึ้นเยอะเลย”
“แน่ใจนะ?” ผมมองตากวีเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น
“อืม!” เขามองตาผมกลับด้วยความมั่นใจพร้อมพยักหน้า
“โอเค งั้นเรารอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่นะ”  ผมเดินไปกอดกวีอน่างแนบแน่นเพื่อให้พลังใจเขาเพิ่มอีก
“อืม!! นายรออยู่ที่นี่ล่ะ เดี๋ยวเรามานะ” กวีผละจากผมไปหยิบเอกสารบางอย่างที่โต๊ะหนังสือมุมห้องก่อนที่จะก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างมั่นคง

.................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 6 (อัพ 11/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-06-2018 18:47:03
มันแปลกๆนะ  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 7 (อัพ 18/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 18-06-2018 10:18:08

สิบนาทีผ่านไป สิบนาทีที่เปี่ยมไปด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ละนาทีมันช่างผ่านไปอย่างเนิ่นนาน ผมสาบานว่าผมเห็นฝุ่นในห้องลอยผ่านหน้าผมไปอย่างกับภาพช้าสไตล์หนังแอ๊คชั่น รู้สึกถึงความอ่อนล้าและขี้เกียจของเข็มวินาทีของนาฬิกา จนกระทั้งผมได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นทะลุผ่านประตูไม้สีขาวบานหนา ผมพยายามเอี้ยวหูฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ๆผมมองไม่เห็นแต่ด้วยระยะทางและความหน
าของผนังและประตู (มันเป็นผนังกั้นเสียงหรือเปล่าวะ?)  ทำให้จับคำศัพท์อะไรไม่ได้เลย เสียงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมรู้แต่ว่าเสียงนี้เป็นเสียงกวี เสียงนี้เป็นเสียงของคุณพ่อกวี และมีเสียงแหลมๆ เล็กๆ ของผู้หญิงที่ผมไม่คุ้นเสียงแทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ

ฟังได้เพียงชั่วครู่ ความอยากรู้มันก็เอ่อล้นขึ้นมาจนบดบังความกลัวที่จะเปิดเผย
ตัวตนที่หลบซ่อนอยู่ในห้อง ผมตัดสินใจเปิดประตูออกมา ใช้สายตาสอดส่องซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง ก้าวเท้าด้วยน้ำหนักที่เบาที่สุด ค่อยๆ ย่างก้าวมาจนถึงทางลงบันไดชั้นสองของบ้าน จุดที่อยู่ใกล้กับห้องรับแขกที่เกิดเหตุ และเป็นที่ผมคิดว่าจะได้ยินบทสนทนาพวกนั้นโดยที่คนข้างล่างไม่รู้ว่าผมยืนแอบฟังอยู่

“พ่อครับ ผมอธิบายไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่า รูปพวกนั้นผมถูกกลั่นแกล้ง และคนที่ช่วยให้ผมไม่ต้องถูกประนามบนโลกออนไลน์ก็พวกของชัยนี่แหละ ชัยเขาหวังดีกับผมจริงๆ นะ เรา.....เรา.....”
กวีเสียงดังขึ้นมาขณะที่ผมหยุดอยู่ตรงจุดแอบฟังบริเวณทางลงชั้นสอง
“แกจะบอกว่า พวกแกรักกัน มันจะเป็นไปได้ยังไง ผู้ชายด้วยกันมันจะไปรักกันได้ยังไง!! แกจะมีแฟนเป็นผู้หญิงกี่คนสมัยก่อนหน้านั้น พ่อไม่เคยว่า แกเองก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียอะไรแบบนี้ พอมาคบกับไอ้เด็กคนนี้ แกก็มีภาพอนาจาร เสียลูกตาคนมองแบบนี้อออกมา ลูกจะให้พ่อคิดว่ายังไง ยังไงพ่อก็ไม่เชื่อว่าสุดท้ายทุกอย่างมันจะออกมาดี เพราะแค่เริ่มต้นพวกแกก็เละเทะกันแล้ว”
เสียงพ่อกวีดูจะดังกว่ากวีสองเท่า

“แต่พ่อครับ พวกเรารักกันจริงๆ ผมรักชัยด้วยใจจริง และเขาก็รักผมด้วยใจจริงเหมือนกัน เขาหวังดีกับผม เขาช่วยผมตั้งหลายเรื่อง และเรื่องภาพพวกนั้นชัยก็ไม่เกี่ยวด้วย ภาพพวกนั้นมันฝีมือแฟนเก่าผมที่เป็นผู้หญิงต่างหาก!!”
ผมรู้สึกถึงความแข็งกร้าวผ่านน้ำเสียงของกวี

“แต่เรื่องทั้งหมดมันก็เพราะลูกเริ่มไปคบกับชัยอยู่ดี หากลูกไม่เจอชัยเรื่องทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น และลูกจะไม่มีวันมาเถียงพ่อฉอดๆ แบบนี้!!” เสียงเข้มของพ่อกวีดูมีอำนาจเหนือกว่ากวีมาก

หลังจากผมได้ฟังคำจากปากพ่อของกวีทำให้ภาพต่างๆ ในอดีตตัดย้อนขึ้นมาในหัว
“จริง..... หากเราไม่เข้ามาในชีวิตของกวี เรื่องแบบนี้มันคงไม่เกิด.....” ผมรำพันกับตัวเองเบาในความมืดของชั้นสองของบ้าน

“คุณคะ ใจเย็นๆ ก่อน” เสียงผู้หญิงแหลมเล็กดังขึ้นมา
“ก็ดูมันสิ!!” เสียงใหญ่ที่รู้สึกถึงความหอบเล็กน้อยตอบกระแทกมา

“กวี!! พ่อเธอไม่ค่อยสบายนะ จะทำอะไรควรคิดดีๆ เสียก่อน ที่พวกเราทำนะเพราะหวังดีกับเธอนะ!!”
เสียงแหลมเล็กตวาดขึ้นสูงจนดูเหมือนแก้วแถวนั้นจะแตก โดยเฉพาะแก้วหูผม เป็นเสียงที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากกว่าจะทำให้กลัว

“คุณไม่เกี่ยว นี่เป็นเรื่องของคนในครอบครัว!!” กวีตอบออกมาอย่างร้ายกาจจนอีกฝ่ายหนึ่งเงียบไปพักใหญ่

“แก ไอ้ลูกเลว แกไม่รู้หนือไงว่าน้าเขาห่วงแกแค่ไหน แกนี่มันเนรคุณจริงๆ!!” เสียงใหญ่แข็งกร้าวดังขึ้นจนผมอดใจสั่นไม่ได้

“คุณคะ!! ไม่นะคะ เราตกลงกันแล้วไงคะ!!” เสียงแหลมเล็กร้องเสียงหลง
“พ่อจะมาทำร้ายผมยังไงก็ได้ แต่ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะเรียนที่นี่กับชัย เราจะเดินไปตามฝันด้วยกัน!!” กวีเสียงดีงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“คุณเล็ก ผมไม่เอาแล้ว ก็มันดื้อขนาดนี้ ผมไม่ทนแล้วนะ ผมขอยกเลิกข้อตกลงที่ว่า จะให้คุณเป็นนางร้ายของบ้านแล้วให้ผมเป็นพ่อพระแล้วนะ หวังดีกับมันขนาดนี้ มันยังไม่รู้สำนึก สงสัยต้องให้มันโดนลงโทษแบบลูกผู้ชายสักหมัดสองหมัดมันจะได้เชื่อฟังบ้าง!!”
เสียงที่ทำให้บ้านทั้งหลังสั่นไหวเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เท่ากับใกล้กวีมากขึ้น!!

“อย่าคะคุณ อย่าทำลูก!!!”  เสียงแหลมเล็กดังขึ้นสุดเสียงเหมือนตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้ผมเขยื้อนกายลงมาตามบันไดช้าๆ จนพอมองเห็นร่างคนรูปร่างกำยำ กำลังใช้มือยื้อคอเสื้อชายตัวสูงบอบบางขึ้นจนหน้าของอีกฝ่ายแดงเรื่อเหมือนผลมะเขือเทศสุกห่าม คนนั้นคือกวี ทั้งสองอยู่ในโซนต้อนรับแขกไม่ไกลจากบันไดเท่าไหร่นัก

“ขอสักหมัด มันจะได้หายก้าวร้าวลงบ้าง” คนพูดง้างมือกำหมัดขึ้นสุดแขน ในขณะที่ที่หญิงสาวร่างบอบบางพยายามรั้งมือนั้นให้หยุดลง

พลั่ก!!!!!

เสียงกระดูกที่กำปั้นกระแทกกับผิวหนังบริเวณหน้าเข้าอย่างจัง ผมรู้สึกหน่วงหนุบที่ใบหน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเจ็บค่อยๆรุกคืบเข้ามาที่สมองอย่างช้าๆ รู้สึกตัวอีกทีหน้าผมก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว......

ร่างกายไวกว่าความคิดของผมเสมอ ผมเห็นหมัดที่ถูกเงื้อขึ้นมาเหนือหัวพ่อของกวี และสีหน้าของกวีที่ดูท้าทายต่ออำนาจที่สูงเหนือหัวนั้นอย่างไม่ยี่ระ ด้วยความเจนสนามนักเลง ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าหมัดนั้นอนุภาพไม่ธรรมดาแน่นอน รู้ตัวอีกทีผมก็พุ่งลงมาเอาหน้าตัวเองไปรับหมัดจนตัวเองล้มลงไปกองกับพื้นจนเห็นฝุ่นลอยคลุ้งเต็มสายตา (หรือเราตาพล่าไปหมดแล้ว) ผมจำไม่ได้ด้วซ้ำว่าตัวเองพุ่งลงมาจากบันไดชั้นสองได้อย่างไรเร็วขนาดนี้ ตอนนี้รู้แต่ว่าหน้าตัวเองชาไปด้านหนึ่ง สายตายังคงปรับให้เข้าที่ไม่ได้ทุกอย่างเบลอไปหมด

“ชัย!!”
เสียงกวีที่รัองออกมาด้วยความตกใจเรียกผมให้กลับจากสติที่เลื่อนลอย เขารีบเข้ามาพยุงผมให้ทรงตัวขึ้นมานั่งหลังตรง

“เออ!! ดี!  สมน้ำหน้า บังอาจมาทำอะไรลับหลังพ่อ”
พ่อกวีพูดขึ้นเหมือนไม่แปลกใจที่จะเจอผมที่บ้านหลังนี้
“ตายแล้ว ทำไมเด็กคนนี้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้!!”
ผู้หญิงในชุดเรียบหรูซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของพ่อกวีร้องเสียหลงและมีท่าทีแปลกใจมากที่เห็นผม

“พ่อก็น่าจะเห็นเขาเข้ามาขวางแต่ทำไมยังลงมือรุนแรงขนาดนี้” กวีพูดพลางใช้มือยกหน้าผมขึ้นมาส่องนู้นนี่อย่างตกใจ
“เราไม่เป็นไร....” ผมพยายามรวบรวมแรงตอบกลับ
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง เราเห็นนายล้มพับลงไปกองอยู่กับพื้นนิ่งไปหลายวิ!!” กวีตะคอกใส่หน้าผมด้วยความตกใจจนผมเริ่มจะรู้สึกเวียนหัวจริงๆ แล้ว หมัดของพ่อกวีหนักหน่วงพอจะเทียบเป็นรุ่นเฮฟวี่เวตได้เลย

“พ่อ ถ้าป๊าจะทำร้ายผมก็ทำแค่ผมคนเดียว นี่ป๊าเหมือนจะตั้งใจจะทำร้ายเขาเลย!”
“ก็เออสิวะ!!! มันบังอาจมายุ่งกับของรักของป้า โดยไม่มาขอป๊าสักคำ มันก็ต้องโดนแบบนี้!!”
“ป๊า!!! ผมไม่ไหวแล้ว ผมจะไม่อยู่.....”

“เดี๋ยว......”
ผมใช้มือปรามปากของกวีก่อนที่จะแตกหักกับพ่อของเขาจริงๆ ผมไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผม
“ชัย.......”
“เราขอพูดเอง!!”
“แต่......”
“เอาน่า.... ไว้ใจเรานะ”
“...........”
กวีไม่พูดอะไรหลังจากเห็นผมทำหน้าจริงจังใส่ (หรือหน้าที่เริ่มเขียวช้ำเหยเกของผม)

“พ่อครับ...” ผมขยับร่ายกายเหยียดตรงยืนขึ้นและค่อยๆ ขยับเข้าไปไกลพ่อของกวีมากขึ้น

“...........” พ่อของเขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว น้าไม่ยอมให้เรื่องที่เราจะขอมันเป็นไปได้หรอก น้า.....”
คุณผู้หญิงของบ้านออกหน้าแทนพ่อของกวีแต่ก็ถูกพ่อของกวีใช้มือปรามไว้เช่นกัน  ในขณะที่อีกมือกำหมัดแน่นยกขึ้นมาเสมออก
“พูดมา หากพ่อไม่พอใจกับคำตอบก็เตรียมเจ็บตัวและกระเด็นออกจากบ้านนี้ โดยอย่าหวังว่าจะได้กลับมาอีกเลย!!”
เสียงเข้มของพ่อกวีทำให้ผมขาอ่อนแรงได้เลย
“คุณคะ อย่าใช้ความรุนแรงเลยนะคะ ฉันขอร้อง”
คุณผู้หญิงของบ้านพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายโดยใช้มือยั้งหมัดอีกฝ่ายไว้
“ครั้งผมขอตัดสินใจ ตัดสินโทษเอง คุณไม่ต้องทำหน้าที่แล้ววันนี้!!”  พ่อกวีเสียงแข็งใส่อีกฝ่ายเช่นกันจนอีกฝ่ายถอยไปหนึ่งก้าว
“เอ้า!! มีอะไรอธิบายก็พูดมา!!” พ่อกวีหันมาทางผมด้วยสายตาที่สามารถทำลายกำแพงความมั่นใจผมได้หมดไม่มีเหลือ

“เอ่อ... คือ..... เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากผมเอง หากผมไม่เข้ามาในชีวิตของกวี หากผมไม่คิดอยากจะแกล้งให้กวีเลิกกับนิ่ม หากผมไม่คิดกับกวีมากกว่าเพื่อน หากผมไม่คิดว่าผมขาดกวีไม่ได้ หากผมไม่ได้..... รักกวี...... กวีคงไม่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ต้องถูกทำให้อับอาย ผมคิดว่ามันเป็นความผิดของผมเสมอมา นั้นเป็นเหตุที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ทำให้กวี เสียใจ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ทิ้งกวีไปไหน ผมอยากจะขอคุณพ่อดูแลกวีนับจากนี้ไป อย่าให้กวีไปจากผมเลยนะครับ” พูดจบผมค่อยๆ ก้มตัวลงกราบที่เท้าของพ่ออย่างเรียบร้อยที่สุดในชีวิตคนอย่างผม

“มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่ไหม?” คุณพ่อของกวีพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นหลังจากที่ผมดึงกายขึ้นมาจากพื้น และมองผมด้วยสายตาไม่ต่างจากเดิมเลย

“ไอ้บ้า พูดอะไรของนายวะ น้ำเน่าจะตาย!!” กวีขยับตัวลงมานั่งข้างพร้อมกระซิบใส่หน้าผม แต่ผมไม่ได้สนใจเขา ผมมองหน้าพ่อของกวี และพร้อมจะรับผลที่จะเกิดขึ้น

“พ่อจะซ้อมผมจนกว่าจะพอใจก็ได้ แต่ก็เปลี่ยนเรื่องจริงไม่ได้ว่า ผมจะคบกับกวีอย่างคนรัก และตั้งใจจะอยู่กับเขาตลอดไป!!” ผมพูดออกพร้อมส่งสายตาที่มุ่งมั่นออกไปที่คนที่ยืนสูงใหญ่ตรงหน้าทั้งที่ใจผมสั่นระรัวเป็นกลองวงดนตรีร็อค

“เออ!! เอ็งเป็นลูกผู้ชายแบบนี้พ่อก็ดีใจ มันต้องอย่างนี้ กล้าทำกล้ารับผิดชอบ พ่อชอบ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“???????”  ผมรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ทัน เพราะจากความถมึงทึงดำมืดกลับกลายมาเป็นหัวเราะสดใสเหมือนฟ้าหลังฝน

“พ่อ!! นี่มันอะไรกัน พ่อเล่นอะไรเนี่ย?” กวีโพล่งถามขึ้นมา

“กวี พ่อชอบเพื่อน.. เอ้ย!!!แฟนลูกนะ” พ่อกวีพูดปนหัวเราะ

“อะไรนะพ่อ!!” กวีมีท่าทีตกใจกับคำตอบของพ่อเขาไม่น้อยไปกว่าผม

“โอเคๆ พ่อยอมแล้ว เอาเป็นว่าพ่อโอเคกับเรื่องของเราก็ได้”
พ่อกวีพูดจบก็ยิ้มที่มุมปาก
“คุณ!! ฉันว่าแล้วเชียวว่าคุณต้องใจอ่อน!!” เสียงคุณผู้หญิงของบ้านร้องเสียงแหลมแทรกมา
“คุณ!! พอเถอะ ผมไม่อยากให้เรื่องมันจบเหมือนสมัยของเจ้ากรนะ!! แล้วสุดท้ายคุณก็จะไม่ได้ใจลูกเลย ลูกไม่มีความสุขแล้วคุณมีความสุขไหม?”
“...........” สายตาของคุณผู้หญิงของบ้านที่ส่งออกมาแทบจะบอกทุกอย่างออกมา มีทั้งความเศร้าและความเสียใจพลั่งพลูออกมา

“ฉะนั้น เรื่องในวันนี้ผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง!!”
พ่อของกวีพูดออกมาอย่างหนักแน่นท่ามกลางสายตาแห่งความงงและสงสัยของผมและกวี

“พ่อครับ .......” กวีพูดขึ้นอย่างลังเล
“เอ้อ!! พ่อเหมือนว่าพ่อติดคำอธิบายให้เรานะ คืออย่างนี้ หลังจากที่พ่อรู้เรื่องนี้จากน้าเล็ก พ่อยอมรับว่าเครียดมาก แต่พ่อไม่อยากมานั่งเสียใจเหมือนคราวเจ้ากรอีก พ่อเลยตัดสินใจวางแผนวัดใจครั้งนี้ โดยให้ลุงน้อย คนขับรถช่วยพ่ออีกแรง!!”
“ ....ช่วย??” กวีพูดขึ้นลอยเป็นคำถามและมีสีหน้างุนงงไม่ต่างจากผมเลย
“ช่วยวัดใจคนของลูก หากเห็นถึงความจริงใจก็ยอมให้เข้าบ้านมาในวันนี้ และที่เหลือพ่อจะจัดการเอง!!”
พ่อกวีพูดพร้อมวาดหมัดใส่อากาศเบาๆ
“นี่พ่อตั้งใจทำร้ายชัยเหรอ?” กวีมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา ส่วนผมยังรู้สึกถึงกำปั้นทำลายล้างอันนั้นได้อยู่
“เปล่า!!!!........” พ่อกวีลากเสียงสูง
“พ่อแค่อยากลองใจว่าแฟนลูกจะยอมรับสิ่งที่ทำหรือหนีจากปัญหาที่เกิดหรือเปล่า.... พ่อไม่ได้คิดทำร้ายลูกหรอกนะ แค่เหลือบไปเห็นเงาคนตรงบันไดก็เลยเล่นให้มันสมบทบาทหน่อย บังเอิญมันเป็นจังหวะพอดี ชัยเข้ามาขวางพ่อเลยเผลอใส่อารมณ์เข้าไปนิดหน่อย!” พ่อกวีกำหมัดขึ้นมาทำเอาเสียวใบหน้าแปลบ
“โอ้โห นิดหน่อย ทำเอาผมตาลายเกือบน็อค...” ผมเปรยกับตัวเองลอยๆ
“แค่นี้มันยังน้อยไป กล้าดียังไงมาแอบมิดีมิร้ายของรักของป๊า!!”
“ป๊า.. ชัยไม่เคยทำร้ายผมเลยนะ!!” กวีพูดแทรกขึ้น
“อย่าให้ป๊าพูดเลยนะ แค่ดูเราสองคนป๊าก็รู้แล้วว่า ใครทำใคร!! หรือว่ามันไม่จริง จะบอกว่าเราสองคนยังไม่เคยมีอะไรกันงั้นสิ!!” พ่อของกวีพูดสวนมาจนผมตั้งหลักไม่ทัน

“เอ่อ.....คือ......” กวีถึงกับคิดคำพูดที่จะโต้ตอบไม่ออก และหน้าแดงก่ำแบบกระทันหัน
“ดูท่าป๊าจะเดาถูกสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า” พ่อกวีพูดจบก็หัวเราะเสียงดัง

“คุณคะ ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่มาปรึกษากันก่อนคะ ฉันไม่ยอมนะคะ มันไม่ถูกต้อง!! ฉัน....” เสียงของคุณผู้หญิงของบ้านดังขี้นอีกครั้งและแผดหนักกว่าเดิม เธอพยายามเดินเข้ามามีบทบาทในวงสนทนานี้อีกครั้ง

“คุณหยุดเลยนะ!! พวกเรากำลังพูดคุยกันฉันครอบครัวอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์เจ้ามาสอด!! คุณไม่อยากเห็นผมมีความสุขใช่ไหม? คุณทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมมีความสุข!!” กวีลุกขึ้นพรวดและขึ้นเสียงแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเดาว่าความอดทนของเขากับแม่เลี้ยงของเราคงมาถึงจุดสิ้นสุด

“หยุดก้าวร้าวใส่น้าของแกเดี๋ยวนี้!!  แกไม่รู้อะไรอย่ามาทำปากดี!!” พ่อของกวีเกี้ยวกราดขึ้นอีกครั้ง
“แต่พ่อครับ พ่อก็รู้ว่า ผมรู้สึกยังไง ผมเล่าให้พ่อฟังทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องพ่อก็คอยแก้ต่างให้เขา พ่อน่าจะรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร!!” กวีโต้ตอบทันที

ผมสังเกตเห็นคุณนายของบ้านตาแดงและมีน้ำตาไหลอาบแก้มจนผมต้องจับมือรั้งให้สติของกวีกลับมาใจเย็นดังเดิม

“คุณไปพักเถอะ เดี๋ยวผมอธิบายกับลูกเอง”
พ่อกวีพูดขึ้นเบาๆ ใส่น้าเล็ก
“คะ” เธอตอบทั้งน้ำตาและเสียงที่สั่นเครือแบบควบคุมไม่อยู่

“กวี พ่อขอบอกอะไรกับเราสักเรื่อง และช่วยฟังให้จบได้ไหม จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เรานะ” พ่อกวีหันมาพูดกับกวีหลังจากใช้สายตาส่งภรรยาตัวเองไปพักผ่อนจนพ้นสายตา
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทพิเศษของกวีและชัย part 8 (อัพ 25/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-06-2018 14:25:41

“เอ่อ.....ครับ” กวีตอบแบบไม่เต็มเสียง
“เฮ้อ!!!!! รู้ไหม? น้าเล็กน่ะรักและเป็นห่วงเราไม่ต่างจากลูกเลยนะ ตอนนี้น้าเล็กแกเห็นรูปพวกนี้แทบจะเป็นบ้าเลย ไปตามร้องเรียน ตามซื้อตามปิดทุกอย่างไม่ให้มันถูกเผยแพร่ออกไป โชคดีมันมีไม่มากเท่าไหร่ แต่น้าแกลังเลอยู่นานกว่าจะกล้ามาบอกป๊า ตอนเธอมาบอกป๊าก็ร้องไห้ไม่หยุด เพราะคิดว่าตัวเองดูแลลูกไม่มี ขอร้องให้ป๊าอย่าลงโทษเรา เหมือนอย่างที่เคยทำกับน้องชายแก!”

“..........” กวีฟังด้วยสีหน้าครั่นคิด
“เชื่อป๊าเหอะ ทุกอย่างที่น้าแกทำนะก็เพราะหวังดี ถึงได้เข้มงวดกับแกยิ่งกว่าลูกในไส้ตัวเองเสียอีก .... อืม.... จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก นึกถึงแล้วก็เข้าใจว่าทำไมน้าเล็กถึงได้ห่วงแกมากขนาดนั้น แกก็เหมือนลูกในไส้เขานั่นแหละ”

“???” กวียังคงงุนงงกับคำตอบที่พ่อเล่าให้ฟัง
“อยากรู้รายละเอียด แกก็ไปถามน้าแกเองก็แล้วกัน พ่อบอกได้เลยว่า ทุกอย่างที่แกเห็น แกรู้สึกตลอดหลายปีที่ผ่านมาต่อ น้าเล็กน่ะ เขาอยากให้แกได้ดีนะจนบางครั้งรับบทเป็นตัวร้ายเสียเอง เพราะอยากให้พ่อดูเป็นฮีโร่ในสายตาพวกเรา เฮ้อ... พ่อไม่ดีเอง พ่อไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพวกเราเท่าไหร่ มันก็เลยกลายมาเป็นภาพแบบนี้โดยตั้งใจไป”

“โห......” ผมเผลอพูดอุทานออกไปหลังฟังความหลังที่ซับซ้อนนี้
“อ้อ!!! งั้นเรามาต่อเรื่องของเรากันเลยล่ะกันนะชัย” พ่อกวีเปลี่ยนเรื่องและหันมาหาผมอย่างที่ผมตั้งตัวไม่ติด

“เอ่อ...ครับ..” ผมตอบแบบไม่เต็มเสียง

“อยากให้พ่อเปลี่ยนใจเรื่องส่งกวีไปเรียนต่อต่างประเทศหรือเปล่า??”  พ่อกวีพูดไปพร้อมยิ้มที่มุมปาก
“ครับ อยากครับ” ปากผมตอบไปแบบนั้นแต่ผมคิดในใจว่า ‘อ้าว!! โดนต่อยไปขนาดนี้ กูยังต้องทำอะไรพิสูจน์อีกวะ!’

“ไปบอกพ่อแม่ของนายมาให้มาคุยกับพ่อเรื่องของนายกับลูกของพ่อ ให้ผู้ใหญ่รับรู้และยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด พ่อจะยอมเปลี่ยนใจ!!” พ่อของกวีพูดด้วยน้ำเสียบราบเรียบแต่จบประโยคด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่

“อะไรนะครับ!!” ผมกับกวีพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เออ! ตามนั้นล่ะ ไปบอกพ่อแม่นายมาคุยกับพ่อ ให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายพ่อจะได้ไม่ห่วง!!”

“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยครับ” กวีแย้งขึ้นมา ส่วนผมกำลังประมวลความคิดอยู่ว่า พ่อของกวีพูดเล่นหรือพูดจริง

“พ่อจริงจังนะ พ่อไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราสองคนเป็นยังไง ต่อให้พ่อแม่รักลูกแค่ไหน มาเจอเรื่องแบบนี้ใช้ว่าจะรับได้ทุกคน ขนาดพ่อยังต้องทำใจอยู่หลายวันกว่าจะเข้าใจ วันข้างหน้าพวกลูกเติบโตไปมากกว่านี้ ตกลงร่วมชีวิตกันจริงจัง ถ้าเกิดพ่อแม่ของชัยไม่ยอมรับ กวี! ลูกคิดว่าลูกสองคนจะมีความสุขเหรอ!!??” ความคิดที่ลึกล้ำของผู้ใหญ่มันไปไกลกว่าผมมาก ผมไม่เคยคิดไปไกลกว่าสองเดือนข้างหน้าเลย พ่อของกวีคิดไปไกลกว่านั้นมาก และคำนึงถึงความสุขของลูกเป็นหลัก  พ่อของกวียอมรับในตัวตนของกวี ในตัวตนของพวกเราแล้วแต่ก็ยังห่วงอนาคตของลูกตัวเองอยู่ดี ผมนิ่งเงียบเพื่อคิดตาม ในขณะที่ กวีนั้นได้แต่มองพ่อของตนเองอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“กวี!! ลูกเข้าใจพ่อนะ ทุกอย่างที่พ่อทำน่ะ เพื่อตัวลูกเองทั้งนั้น” พ่อของกวีเข้ามาลูบหัวกวีอย่างอ่อนโยนซึ่งกวีก็ไม่มีท่าทีขัดข้องอะไรได้แต่พยักหน้าตาม หลังจากนั้น พ่อลูกก็หันมาทางผมเพื่อขอคำตอบ

“ได้ครับ! ผมจะให้ พ่อแม่มาสู่ขอหมั้นหมายกวีเป็นเรื่องราว!!”
ผมหลุดพูดความคิดในใจออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะใจคิดตามคำพูดพ่อของกวีไปเรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้นมันก็เลยโพล่งพรวดออกมา

“ไอ้บ้า!!!” กวีเหวี่ยงคำโต้ตอบมาทันที

....................................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 7 (อัพ 18/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 26-06-2018 14:37:43

เช้าวันหยุดที่แสนสงบสุขของผม ต้องถูกรบกวนโดยความคิดต่างๆ นาๆ ของตัวเอง จากวันก่อนที่รับปากพ่อของกวี เรื่องจะไปคุยกับพ่อแม่ของผม ไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับกวี ผมขอบอกตามตรงนะครับว่าเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวผมมาก่อนเลย คือ..... ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่..... ผมว่ามันสามารถบอกได้ ด้วยพฤติกรรมของผมสองคนและเวลาที่เหมาะเจาะ มันจะเล่าเรื่องราวด้วยตัวมันเอง ประมาณว่า ‘ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน ไม่ต้องหาคำๆไหนมาอธิบาย’ อะไรประมาณนั้น

แม้ว่าตอนนี้พ่อของกวีจะหยุดเรื่องการกักบริเวณของกวีไปแล้ว และยังคืนอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างให้ดังเดิม (โทรศัพท์รุ่น 2G ไม่เหมาะกับลูกคุณหนูอย่างกวีเลย) กวีสามารถมาโรงเรียนได้เองตามปกติ แต่คุณพ่อของเขาจะยังไม่เปลี่ยนใจเรื่องส่งกวีไปเรียนต่างประเทศ จนกว่าผมจะให้พ่อแม่รับรู้เรื่องของเราและพาไปหาพ่อกวีเป็นการพิสูจน์!

แค่คิดผมก็ปวดหัวแล้ว  พ่อผมคงไม่เคยคิดว่าจะได้ลูกสะใภ้เป็นผู้ชายแน่นอน พ่อเป็นคนไม่ค่อยอ่อนไหวกับเรื่องรักๆใคร่ๆ เท่าไหร่ แล้วพ่อจะเข้าใจผมบ้างไหมนะ ส่วนแม่ของผมนั้น แม้ผมจะแอบสงสัยอยู่บ้าง แต่ผมว่าแม่น่าจะรู้เรื่องของเราสองคน แค่แม่ก็ไม่เคยพูดออกมาเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่แสดงท่าทีสงสัยเวลาที่ผมอยู่กับกวีและทำท่าทางแปลกๆกับเขาเกินเพื่อน ทั้งสองท่านเป็นคนรักเด็กมาก ผมแอบคิดในใจว่าท่านต้องคาดหวังหลานตัวน้อยๆ จากผมเป็นแน่ แล้วไหนจะต้องพาทั้งสองท่านไปพบกับพ่อของกวีอีก มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ นี่มันภารกิจที่ยากเกินกว่าจะเป็นไปได้เลย

ผมคิดทบทวนกับตัวเองไปมา ในขณะที่เอามือกุมกัวตัวเองอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์อันเป็นริงโทนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นทำลายความเงียบจนผมตกใจเล็กน้อย

ชื่อของผู้โทรมาแสดงขึ้นที่หน้าจอชื่อที่ทำให้ผมยิ้มแย้มได้เสมอ

‘กวี❤️’


“อรุณสวัสดิ์ เป็นไง คิดได้หรือยังว่าจะเริ่มยังไง?”
เสียงกวีที่สดใสดังขึ้น ทำให้ผมพ้นจากห้วงความคิดที่ทับซ้อนไปมา
“สวัสดี... ยังเลย....” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอ่อนแรง
“อ้าว! ปกติเห็นเป็นห้าวกับทุกเรื่อง!”
“ยกเว้นเรื่องพ่อแม่ว่ะ.... สำหรับแม่เรายังรู้สึกโอเคนะที่จะบอก แต่กับพ่อนี่...... บอกเลยว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง”
ใช่ครับ พ่อผมนี่คือชายชาติตำรวจที่องอาจน่าเกรงขาม พ่อเลี้ยงลูกแบบดุดันตรงไปตรงมาสุดๆ พูดกันตรงๆ พูดกันด้วยเหตุผลทุกเรื่อง พ่อไม่เคยใช้อารมณ์ความรู้สึกในการเลี้ยงดูผมเลย แล้วพ่อจะรู้สึกยังไงกับเรื่องตรงนี้นะ!

“ให้เราไปช่วยอยู่ข้างๆ ตอนนายบอกพ่อกับแม่ไหม?”
กวีให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร เราว่าไม่เป็นไรดีกว่า เรื่องนี้เราจัดการเองดีกว่า”
ผมพูดไปแบบนั้นเพราะเดาปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ไม่ออกเลย ผมไม่อยากให้กวีมาเป็นภาพพ่อตอนอาละวาดหากผลมันออกมาไม่ดีนัก

“ทางโน้นเป็นไงบ้าง?” ผมถามเหตุการณ์ทางบ้านของกวีบ้าง
“ก็ไม่ยังไง”
“อ้าวนี่ยังไม่ได้ไปคุยกับน้าเล็กอย่างที่ป๊านายบอกรึ?”
“คุยแล้ว แต่ก็เหมือนเดิม ไม่เห็นเขาจะพูดเรื่องอะไรให้ฟังเลย” ผมได้ยินเสียงกวีผ่อนลมหายใจใส่โทรศัพท์
“ถามคำ ตอบคำเหมือนเคย” กวีพูดต่อ
“คงไม่ชินมั้ง รับบทตัวร้ายมาตั้งหลายปี จะให้อยู่ๆกลับมาทำดีด้วยคงยาก” ผมพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะผมได้มีโอกาสแอบคุยกับพ่อของกวีตอนขากลับจากบ้านกวีวันนั้น

พ่อเขาเล่าให้ฟังว่าเหตุผลที่น้าเล็กรักกวีเสมือนลูกในไส้เพราะน้าเล็กเป็นคนอุ้มบุญให้แม่ของกวี พูดง่ายๆว่าทัองแทนนั่นแหละ ด้วยภาวะบางอย่างของแม่กวี ทำให้อ่อนแอจนไม่สามารถตั้งครรค์เองได้ จึงได้จ้างญาติห่างๆ ที่ฐานะไม่ดีของแม่กวีมาอุ้มบุญให้ รวมถึงจ้างเป็นแม่นมระหว่างที่กวีแบเบาะอีกด้วย คนๆนั้นก็คือน้าเล็ก ที่มีหน้าตาและผิวพรรณดีไม่แพ้แม่ของกวี หลังจากนั้นสิบปี แม่ของกวีก็เสียเพราะโรคประจำตัว ด้วยความใกล้ชิดกับพ่อของกวี พ่อของกวีจึงได้ตกลงคบและแต่งงานกับน้าเล็กในปีถัดมา  ทั้งหมดนี้คือเรื่องคร่าวๆ ที่ผมฟังจากพ่อของเขาระบายออกมา พ่อกวีบอกว่าน้าเล็กรักและนับถือแม่ของกวีมากเพราะเป็นคนให้โอกาสดีๆ ทุกอย่างในชีวิต ก่อนตายจากไป แม่กวีฝากฝั่งกวีไว้กับน้าเล็กจึงทำให้เธอจริงจังกับการเลี้ยงกวีมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก ผมฟังเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้จนงง และจับใจความได้แค่นี้ ที่เหลือก็แค่ให้กวีเปิดใจมากขึ้นเท่านั้น ผมเข้าใจเขานะครับ รู้สึกเหมือนโดนทำร้ายมาตลอด เข้าใจว่าน้าเล็กมาแย่งความรักของพ่อไปจากแม่ของเขา เพราะช่วงสุดท้ายของชีวิตของแม่ของเขา ทั้งน้าเล็กและพ่อของเขาก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปได้ไดลจนมีลูกกันไปแล้ว มันโหดร้ายมากกับประสบการณ์ในมุมมองของกวี แต่แท้จริงแล้วมันตรงกันข้ามกัน มันยากจะยอมรับได้จริงๆ


หลังจากพูดคุยให้กำลังใจกันสักพักผมก็ขอวางสายจากสุดที่รักของผม เพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวไปเจอหน้าพ่อกับแม่ผมในช่วงทานอาหารมื้อเช้าวันนี้ และผมคิดว่าน่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะบอกทั้งสองท่านให้เข้าใจ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 8 (อัพ 25/June/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 02-07-2018 14:46:53
.............


เสียงเคาะเบาๆที่เกิดจากจานกับช้อนส้อม ระหว่างรับประทานอาหารมื้อเช้า ดังขึ้นเป็นระยะๆ พ่อกับแม่ต่างมองหน้าผมเป็นระยะ เนื่องมาจากความเงียบของผมในขณะกินข้าวซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น ปกติผมจะหาอะไรมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตลอดจนบางครั้งเคยโดนพ่อดุบ่อยๆ ว่าให้กินข้าวมากกว่าพูดด้วย (แต่กับกวี เขาไม่เคยบ่นผมเรื่องนี้เลย)

“เอ่อ......” ผมกำลังนึกคำกล่าวเริ่มต้น
“อะไรของเอ็งวะ เงียบมาตั้งแต่ลงนั่ง เป็นอะไรหรือเปล่า? แล้วมาอ้ำอึ้งอะไร อยากจะขออะไรพ่อเอ็งหรือไง?” พ่อผมพูดอย่างกับเจ้ามาอยู่ในใจผมได้อย่างนั้น
“เอ่อ.... คือ มีเรื่องจะขอร้องพ่อหน่อยครับ”
“เรื่อง? อย่าบอกว่าเอ็งจะมาขออะไรเป็นพิเศษเพราะจากคะแนนสอบสูงๆ ของเอ็ง!”
“ไม่ใช่...เรื่องนั้นครับ แต่...ไหนๆ พ่อก็พูดแล้ว ก็อ้างอิงตรงนั้นมาหน่อยก็ได้ครับ”
“ไม่ต้องเลย การเรียนการสอบมันก็หน้าที่นักเรียนอย่างเอ็งอยู่แล้ว ทำดีมันก็เป็นเรื่องที่ดี คนที่จะได้ประโยชน์มันก็เอ็งไม่ใช่พ่อเสียหน่อย”
“อ่า..... ครับ... งั้นไม่เป็นครับ” เจอสวนมาขนาดนี้ทำเอาผมปอดแหกไปเลย รู้สึกพ่อผมดูฉุนเฉียวกว่าปกติ ใจหนึ่งไม่อยากจะพูดแล้ววันนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า มันไม่มีเวลาแล้วคงต้องจัดการเสียวันนี้

“พ่อครับ.... คือ.......” อยู่ๆเสียงผมก็หายไปเสียอย่างนั้น
“อะไรวะ! พ่อชักจะรำคาญเอ็งแล้วนะ มีอะไรก็พูดมา พ่อต้องไปเข้าเวรต่อ!!” พ่อฉุนเฉียวขมวดคิ้วขึ้นมาเหมือนเคย ผมกับพ่อไม่เคยคุยกันได้เกินสามประโยคเลย เพราะจะโดนพ่อ ‘สอนสั่ง’ เรื่องความไม่เหมาะสมในพฤติกรรมของผมเสมอ

“พ่อก็... ใจเย็นๆ หน่อยสิ นานๆ ได้กินข้าวด้วยกันทั้งที” แม่ส่งเสียงมาปรามพ่อ จนพ่อผมผ่อนหัวคิ้วลงไปราบเสมอกัน พ่อของผมหากไม่นับความฉุนเฉียวใจนักเลงนี่ ก็นับเป็นคนหน้าตาใจดีและดูเป็นคนใจดีมากๆ เลยทีเดียว คนที่ทำให้พ่อสงบลงได้ก็คงมีแต่แม่นั่นแหละ แต่แม่มักจะไม่ค่อยปรามพ่อเวลาดุผมเท่าไหร่ (คอยสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ แต่ผมมันเด็กดื้อไม่ค่อยเชื่อฟัง)

“เออ! จะพูดอะไรก็พูด” พ่อใช้อำนาจของสารวัตรใหญ่ในน้ำเสียงกับผมอีกครั้ง
“ผม.... อยากให้พ่อกับแม่ไปพบกับพ่อของกวีกับผมหน่อยครับ” ผมรีบพูดออกไปทีเดียวเพราะกลัวว่าเสียงจะขาดหายไปอีก
“ชัย!! อย่าบอกว่าลูกไปทำร้ายลูกชายเขา โธ่.... กวี เด็กเรียบร้อยน่ารักแบบนั้นน่าสงสาร..... แกไปทำอะไรเขาชัย!! ต่อยตีแย่งผู้หญิงกันหรือไง?” แม่ผมที่เอ็นดูกวียิ่งกว่าลูกในไส้ของตัวเองพูดขึ้นมา แล้วไอ้เรื่องผมไปแย่งผู้หญิงกันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว จะพูดให้ถูกก็คือผมไปแย่งไอ้ชัยจากผู้หญิงถึงจะถูก

“โธ่....แม่ ดูพูดเข้า!!” ผมรีบตัดบทก่อนที่พายุลูกใหญ่จากพ่อจะซัดเข้าที่ผม
 “แต่...... ก็...... ไม่เชิงแบบนั้น ไม่เชิงทำร้ายอะไรแบบนั้น...”
ภาพในหัวผมตอนนี้คิดไปถึงเรื่องบนเตียงขึ้นมาเลย
“อะไรของแก! ไม่มีเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมต้องให้พ่อแม่เอ็งไปพบพวกเขาด้วย!!” พ่อถามด้วยความสงสัย คิ้วของพ่อเริ่มย่นเข้าหากัน

“คือแบบ.....” ผมไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาเริ่มอธิบาย หรือควรพูดตรงๆ ไปเลยดีว่า ‘กวีมันเมียผมไงครับ พ่อกับแม่ช่วยไปรับรองอนุญาติการคบกับของเราสองคนด้วย’  มันคงดูแปลกดี ผมนึกสีหน้าของพ่อกับแม่ไม่ออกเลย

“อย่าบอกนะว่า... จะให้พ่อกับแม่ไปขอกวีมาเป็นลูกสะใภ้น่ะ?” แม่พูดตัดบทออกมาหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมจมอยู่ในห้วงความคิดว่าจะเริ่มต้นด้วยวิธีไหนดี

“.....................” ผมอยากมีกระจกส่องหน้าตัวเองตอนนี้มากมันคงเหวอแบบตลกสุดๆ

“ไอ้ชัยเอ้ย........... ทำสีหน้ามาเสียตอบคำถามแม่เอ็งทุกอย่างเลยนะ!!” พ่อผมยิ้มมุมปาก แซวท่าทางตลกๆของผม

“คือ..... ผม... แบบว่า....” เอาวะเป็นไงเป็นกัน ไหนๆ พ่อกับแม่ก็มากันถูกทางแล้ว
“เอาเป็นว่า.. แม่เดาถูกก็แล้ว ผมกับชัยคบกันแบบ... มากกว่าเพื่อน... แบบแฟนน่ะ แล้วคราวนี้พ่อเขาจะไม่ให้เราคบกันต่อ หากผมไม่พาพ่อกับแม่ไปคุยกับกับเขา ให้พ่อกับแม่รับเรื่องพวกเราได้ครับ!!” ผมพ่นความคิดที่จะพูดออกมาให้หมดในครั้งเดียวเลย อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นข้อความที่กระชับได้ใจความที่สุด อย่างน้อยหวังว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจผม หลังจากก้มหน้าก้มตาพูดจนจบ ผมก็แอบชำเลืองดูปฏิกิริยาของทั้งสองคนพร้อมกับอาการหอบเล็กๆไปด้วย

ทั้งสองท่านดูนิ่งเงียบ ไม่คำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากของทั้งสองท่าน ทั้งสองทำเหมือนรอผมพูดขึ้นมาทั้งรอยยิ้มว่า ‘ล้อเล่นครับ’ แต่ผมกลับทำได้แค่จ้องกลับไปหาท่านทั้งสองเท่านั้น ผมยอมรับสีหน้าของความผิดหวังของทั้งสองท่านที่ลูกชายคนเดียวของท่าน มีแฟนไม่เหมือนคนทั่วๆไป

“เฮ้อ..... พูดออกมาจนได้นะ กว่าลูกจะคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เนี่ย ปล่อยให้รอตั้งนาน!!” แม่พูดขึ้นในขณะที่เสียงสนทนาเงียบหายไปพักใหญ่ ส่วนพ่อของผมได้แต่นั่งถอนหายใจ

“แม่... กับพ่อ..... รู้??” ผมมองหน้าทั้งสองท่านด้วยความแปลกใจ
“เออ!! รู้มาพักหนึ่งแล้ว แม่เอ็งเล่าให้พ่อฟังเอง” พ่อพูดคัดบทแม่
“รู้เมื่อไหร่?” ผมรับรู้ได้เลยว่าผมทำหน้าประหลาดขนาดไหน กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุกไปหมด และยังมีหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

“โอ้ย!! ฉันเป็นแม่แกนะ ฉันรู้ทุกเรื่องของแกนั่นแหละ!”
แม่พูดเสียงสูงใส่ผม
“การปฏิบัติตัวของพวกลูกมันเกินเพื่อนจนแม่รู้สึกได้ แล้วไหนจะพามานอนด้วยกันบ่อยๆ แกก็ไปค้างบ้านแล้วกวีบ่อย อีกอย่าง ผนังที่นี่ไม่ได้กันเสียงได้ทุกเสียงนะ เวลาแกทำอะไร แม่ได้ยินหมดแหละ อีกอย่างแม่เป็นทำความสะอาดห้องแก แม่เห็นขยะทุกชิ้นของแกนะ!! แต่ก็ดีนะที่แกรู้จักป้องกันน่ะถึงจะไม่ทัองแต่ก็ควรทำเป็นนิสัย” แม่เสริมขึ้นมาอีก ในขณะที่พ่อนั่งหน้านิ่งและแอบกระแอมนิดหน่อย

หน้าผมร้อนผ่าวไปหมดกับการโดนแม่แฉและรู้ทันผมไปหมด การมีแม่ฉลาดนี่ไม่ดีเลย (แม่ผมเคยเป็นพยาบาลมาก่อน)

“อ้อ!! แล้ว....”

“โอเคๆ ยอมแล้วครับ รู้แล้วครับว่าแม่รู้อยู่แล้ว” ผมรีบส่งเสียงปรามแม่ก่อนที่จะมีหลักฐานน่าอายๆอะไรหลุดออกมาจากแม่อีก
“ฟังแม่พูดให้จบก่อน!!” แม่ขึ้นเสียงดังใส่หน้าผมพรัอมขมวดคิ้วดุกับการพูดแทรกของผม ตอนนี้ไม่มีใครสนใจกับข้าวกับปลาตรงหน้าแล้วครับ ตอนนี้เรื่องของผมกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเวลานี้

“ครับ...” ผมตอบเสียงต่ำจนหายเข้าไปในคอ แม่ผมไม่ค่อยดุผมเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาท่านดุผมทีไรผมจะกลัวมากกว่าพ่อเสียอีก ส่วนพ่อผมนั้นยังคงนั่งนิ่งและทำหน้าสะใจใส่ผมเล็กน้อย

“อีกเรื่องที่ทำให้แม่มั่นใจมากๆ ก็คือ น้าสาวของกวี เขามาขอพบแม่และพูดคุยเรื่องนี้ด้วยกัน!” แม่เล่าต่อด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว

“อ่ะ!! เขามาคุยกับแม่ด้วยเหรอครับ ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย! แล้วแม่ว่าไงครับ?” ผมบ่นอุบอิบตามไปและถามต่อทันทีเป็นนิสัย
“แม่ก็บอกว่า แม่ไม่โง่นะ แม่พอจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และแม่ก็มองเห็นว่าพวกลูกก็ทำตัวดี ไม่ได้ประพฤติไม่ขอบตรงไหน อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ รักษาไม่ได้ มันไม่ใช่โรคร้าย เราเป็นพ่อแม่ มีหน้าที่ดูแลลูกให้เติบโตแล้วเป็นคนดีดูแลตัวเองได้ เรื่องความรักและคู่ครองให้เขาเลือกเอง เราไปเลือกแทนเขาไม่ได้หรอก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกัน เราคงทำได้แค่ทำใจ โลกตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ห้ามไปจะไปมีประโยชน์อะไร หากคบกันไปทำเรื่องไม่ดีถึงค่อยห้าม!!” แม่ผมพูดเป็นชุดอย่างออกรส ผมเห็นภาพตอนที่แม่ผมเปิดอกคุยกับน้าสาวของกวีเลย คงดุเดือดน่าดู ฟังจบแล้วอยากวิ่งไปกอดแม่แน่นๆ จัง อย่างนี้การพาทั้งสองท่านไปหาพ่อของกวีก็ไม่น่ายากแล้วสิ แต่ติดปัญหาคาใจอีกเรื่องนี่สิ

“น้าของกวีเขาพูดแค่นี้เหรอครับ?” ผมถามต่อแบบกล้าๆ กลัวๆ
“อ้อ! ไอ้เรื่องภาพพวกนั้นน่ะเหรอ? โอ้ย!! เรื่องนี้แม่กับพ่อรู้จากน้าแกหมดแล้ว ก็แกไปขอความช่วยเหลือจากเขานี่ ตำรวจน่ะเขาไม่ปิดบังข้อมูลกับผู้บังคับบัญชาหรอกนะ!!”
พูดจบพ่อก็ยิ้มและยักคิ้วให้

โธ่..... ไอ้เราก็ปิดแทบแย่สุดท้ายบุพการีเรารู้เรื่องมาโดยตลอดทุกอย่าง ทำให้รู้สึกละอายใจต่อตัวเองจริงๆ

“งั้นพ่อกับแม่... จะไปคุยกับพ่อของกวีให้ใช่ไหมครับ?”
น้ำขึ้นให้รีบตัก ผมรีบชิงถามต่อทันที
“ก็นัดมาก็แล้วกัน... แต่.....” แม่ของผมดูลำบากใจที่จะพูดต่อ
“แต่.. อะไรครับ?” ผมรู้สึกนำลายเหนียวติดคอที่ได้ยินแม่พูดคำว่า ‘แต่’  คำนี้มันไม่ควรมีอยู่ท้ายประโยคในสถานการณ์แบบนี้
“แต่....... แม่ไม่มีสินสอดไปขอนะลูก ลูกเก็บเงินไปขอเองนะ”
แม่จบประโยคด้วยรอยยิ้ม ส่วนพ่อผมก็นั่งกินข้าวต่อจนแทบไม่สนใจเรื่องราวของผมเสียแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
“โธ่!! แม่นึกว่าอะไร จะเอาไปทำไมสินสอด แค่ไปคุยกันเฉยๆ!” ผมรู้แล้วผมไปเอานิสัยแบบนี้จากใครมา

.....................
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end(อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 09-07-2018 11:29:34
และแล้วก็มาถึงวันที่ผมตัองพาพ่อและแม่ไปพบคุณพ่อของกวี ตอนที่รถของพวกผมมาถึงประตูรั่วคฤหาสน์หลังใหญ่ของกวี ทำให้พ่อกับแม่ผมอ้าปากค้างกับขนาดของบ้านหลังนี้  จนแม่ผมต้องพูดขึ้นมาเลยว่า... ‘ไม่คิดว่าจะขนาดนี้’  ผมว่ามันไม่แปลก ผมเองก็รู้สึกแบบนี้ตอนมาที่นี่ครั้งแรก พวกเราถูกคนงานในบ้านเชิญไปที่หัองรับแขก พอพวกเราได้เข้ามาถึงห้องรับแขกของบ้านยิ่งทำให้แม่ผมตื่นเต้นจนแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด เพราะแม่มีท่าทางเงียบและสอดส่องทุกอย่างในบ้านจนแทบจะไม่ยอมนั่งที่โซฟาตัวใหญ่สไตล์หลุยส์สีทองฉลุด้วยลายดอกไม้สีมุกสวยงามเลย

การเจรจาเป็นได้ด้วยดี คุณพ่อของกวีเดินเข้ามาพร้อมกับกวี และมีแม่เลี้ยงของเขาตามมาด้วยห่างๆ ทั้งสองฝ่ายต่างแนะนำตัวเองและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั้งเรื่องเผาลูกชายตัวเองของแม่ผม น้าสาวของกวีวันนี้มีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก เธอยิ้มบ่อยขึ้น และมีสายตาที่อ่อนโยนมากกว่าแต่ก่อน สงสัยคงได้คุยปรับความเข้าใจกับกวีมากขึ้นแล้ว และคาดว่าเธอคงยอมรับเรื่องของเรามากขึ้นแล้ว หมดความกังวลว่ากวีจะไม่มีความสุขหากคบหากับผม เพราะพ่อแม่ของผมเป็นคนน่ารักและเปิดใจรับกวี เปิดใจรับพวกเรา กวีหันมายิ้มให้ผมเป็นระยะ แบบเขินอาย ดูเผินๆสภาพการพูดคุยตอนนี้เหมือนครอบครัวผมเดินทางมาสู่ขอกวีจริงๆด้วย ผมเผลอคิดจนผมเกิดเขินอายขึ้นมาด้วย พอมานึกแบบนี้ใบหน้าของผมก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

หลังจากที่ผมโดนพ่อกับแม่เผาในระยะประชิดเสียจนเกรียมกับวีรกรรมต่างๆ ที่ผมเคยทำ แม้จะมีชมผมบ้างในเรื่องความเชื่อฟังพ่อกับแม่ แต่ก็ลบล้างความอับอายต่างๆ ที่พ่อกับแม่ขายผมแบบนี้ไม่ได้ พ่อของกวีดูจะถูกคอกับพ่อผมอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึงขั้นชวนกันไปดื่มกันถึงที่บาร์เครื่องดื่มที่ห้องถัดไป แม่ผมกับน้าเล็กก็เลยต้องตามไปด้วย ส่วนผมนั้นก็กะว่าจะตามไปชิมเสียหน่อยเพราะมีแต่ชื่อไวน์และเครื่องดื่มที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อ แต่โดนสายตาเพชฌฆาตของพ่อปรามไว้จนผมต้องกลับลงไปนั่งที่เดิม ส่วนกวีก็เลยต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนผม

“ไปเดินเล่นกัน นั่งมาตั้งนาน เหมื่อยมากเลย” กวีพูดขึ้นขณะที่ตอนนี้ในห้องเหลือแต่เราสองคน
“อืม.... ดีเหมือนกัน เซ็งเลย....นึกว่าจะได้ชิมของแพง” ผมเหล่ตามมองไปทางห้องที่ผู้ใหญ่เขาส่งเสียงครื้นเครงกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า.... อยากดื่มขนาดนั้นเดี๋ยวเรามาชิมกันสองคนตอนผู้ใหญ่ไม่อยู่ก็ได้ พ่อเราไม่เคยหวงหรอกนะ” กวีเดินนำหน้าไปพร้อมขำกับท่าทางชวนหัวเราะของผม
“เออ!! จริงของนาย กินกับพ่อจะไปสนุกอะไร เรากินกับนายก็พอ เวลานายเมาตัวแดงๆ แล้วน่าฟัด!”
ผมเดินตามมากอดคอกวีจนแทบเสียหลัก

“ไอ้บ้า!! คิดได้อยู่เรื่องเดียว!” กวีตวาดผมเบาๆ
“เดี๋ยววันไหนเราไม่คิดแบบนั้นแล้วนายจะเหงานะ..” ผมพูดอ้อนไป ขณะที่เราเริ่มเดินกอดคอขยับไปจนเกือบพ้นห้องรับรองแขก
“จะมีวันนั้นจริงๆ ใช่ไหม?” อ้าว!! ทำไมกวีเข้าโหมดจริงจังเสียอย่างนั้น เขาเดินช้าลงและก้มหน้าหลุบต่ำ
“เรื่องแบบนี้มันก็อาจจะมีบ้างนะ แต่เรารับรองว่าเรื่องความรักของเราที่มีให้นายจะไม่มีวันหมดไปแน่นอน” ผมพูดใส่หูเขาใกล้ๆ
“ไอ้บ้า!! ได้ทีก็น้ำเน่าเชียวนะ” กวีผลักผมให้ถอยห่างไปและเขาเสือกตัวเองไปข้างนำผมไปอีกสามก้าว
“เฮ้ย!! จริงนะ!!” ผมเร่งท้าวไปเกาะเขาอีกครั้งโดยเอาคางไปเกยที่ไหล่เขาเช่นเดิมผมเห็นเขายิ้มจนแก้มแทบปริ

“นี่แกล้งหลอกให้เราพูดใช่ไหม?!?” ผมยกมืออีกข้างขึ้นมาหยิกแก้มเนียนๆของเขา
“โอ้ย!! ไอ้บ้า!! เจ็บ .... เราก็แค่อยากฟังน่ะ ไม่ได้ฟังนายน้ำเน่าตั้งนาน” กวีร้องและสะบัดให้ตัวเองหลุดจากมือของผม จนผมแทบล้มแต่มือผมเหนียวพอ สลัดผมหลุดน่ะมันไม่ง่ายหรอก
“ได้จ้าทีรัก.... เราพาพ่อแม่มาสู่สู่แล้วนะ ต่อไปนี้ที่รักจะได้ยินคำพูดน้ำเน่าจากเราทุกวันเลย”
“โอย!! ไม่ไหวมั้ง!! แล้วนี่คือสู่ขอแล้ว? ไหนละสินสอด”
“นี่ไง!!! เอาไปทั้งใจเราเลย!” ผมเอื้อมมือไปกุมมือกวีขึ้นมาขยำที่หน้าอก ทำเอาเขาหน้าแดงไปหมด  ตอนนี้เรายืนกันอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีสวนกว้างเป็นวิวประกอบ แสงสนทยาและลมที่พัดอ่อนๆ เสียงนกน้อยที่โผบินกลับรังร้องจากที่ไกลๆ บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมอยากจะกอดเขาตรงนี้เสียเหลือ ผมค่อยๆ ใช้มืออีกข้างหนึ่งดันร่างของเขาเข้าใกล้ผมมากขึ้น สัมผัสที่มือรู้สึกถึงความอบอุ่นและกระแสเลือดที่สูบฉีดของเขา กวีคงรู้สึกไม่ต่างจากผม เรารู้สึกอย่างเดียวกันคืออยากมีกันและกันอย่างนี้เรื่อยไป สายตาของพวกเราที่ส่งถึงกันยืนยันถึงสิ่งเหล่านั้นได้ ในขณะที่บรรยากาศเป็นใจถึงขีดสุดผมติดถึงแต่ริมฝีปากตรงหน้า ผมกำลังจะโน้มตัวไปหากวีที่ตอบรับไม่ขัดขืน

“เฮ้ย!!! พอเลยๆ พ่ออนุญาตให้เอ็งคบกันไม่ได้แปลพ่อจะรับเรื่องที่เห็นได้ทุกเรื่องนะโว้ย!!” เสียงพ่อของผมดังขึ้นทำลายทุกบรรยากาศที่สร้างมา ผมแทบจะกระโดดออกจากกันแทบจะทันที
“ใช่ๆ ทำอะไรมีกาละเทศะหน่อย พ่อลูกเขย!!”
แล้วผู้ใหญทุกคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานบริเวณลานหน้าประตูบ้านต่างส่ายหน้าขมวดคิ้วมองมาทางพวกผมเป็นตาเดียว ผมรู้สึกเขินและกดดันกับบรรยากาศตรงนี้พอสมควร

“งั้นผมไปทำกันไกลๆ ตาพวกคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ครับ!!”
พูดจบผมก็กุมมือพากวีออกไปนอกรั้วบ้าน กวีก้าวเท้าตามผมมาทันที พร้อมจับมือผมแน่น ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ มันทำให้ผมอยากหัวเราะไปกับเขาด้วย เรากุมมือวิ่งกันไปพร้อมกันและพวกเราต่างก็หวังว่าะให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป............
....................................

จบ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-07-2018 12:52:00
จบแล้ว  อย่างมีความสุข  พลิกล็อกเลย   :mew1: :mew1: :mew1:

ชัย กวี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้คำผิดนะ
พลั่งพลู ------  พรั่งพรู
สรรเพเหระ ------  สัพเพเหระ
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Shonennihon ที่ 10-07-2018 15:59:51
ขอบคุณครับ สำหรับผู้ติดตามอ่านทุกท่าน กับนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของผม (ก็ถือว่ายาวแล้วสำหรับผม)
มือใหม่หัดแต่ง ขออภัยหากพบข้อผิดพลาดทางภาษาไทยและความไม่เหมาะสมของเนื้อหาบางส่วนครับ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน

ผมสัญญาว่าจะมีเรื่องถัดไป ไม่ว่าจะมีคนอ่านหรือไม่ก็ตาม
จะว่าเป็นเรื่องใหม่ก็ไม่ถูกเพราะ ผมเคยเขียนทิ้งไว้ แต่ยังเขียนไม่จบ
ว่าจะจะเอามาปัดฝุ่นและลงไว้ที่นี่เสียหน่อยครับ
หวังว่าทุกคนจะชอบกันครับ กับนิยายเรื่องแรกที่แท้จริงของผม
ขอบคุณอีกครั้งครับ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-07-2018 14:48:00
 :L2: :pig4:

เรื่องนี้บอกว่า บางที่อะไรที่เราเห็น หรือคิด ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:32:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 24-04-2020 18:05:46
เฮ้อ แต่ละคู่ลุ้นกันจนตัวโก่งเลย แต่คู่ของหมอกับหลง ยังไม่ไปเคลียกับพ่อหลงเลยว่าจะยังไง แต่ยังไงก็ขอให้แฮปปี้นะ ขอบคุณมากค่ะ สนุกค่ะ :pig4: