พิมพ์หน้านี้ - Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: บีบีจัง ที่ 16-09-2011 12:16:16

หัวข้อ: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-09-2011 12:16:16
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



***** คุยกันหน่อยค่า~ *****

แหมๆ ไม่ทันไรก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้วแหะ > <
คิดว่าหลายคนอาจจะสงสัยหลายเรื่อง เช่นว่า เรื่องนี้บีจะดองมั้ย? จะดราม่ามั้ย? ฯลฯ
ขอไม่ตอบเลยสักคำถามนะคะ (เย้! ^^)
แต่อยากจะขอบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นแนวที่ใฝ่ฝันอยากจะลองแต่งมานานแล้วค่ะ
ตัวเอกของเราก็เป็นเด็กกำพร้าอีกแย้ว แต่ไม่มืดมนนะคะ <3

ชื่อเรื่องก็คือ Love Sick ซึ่งหมายถึง การป่วยเพราะความรัก
ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ชอบชื่อนี้และอาการ Love Sick ก็เป็นเอกลักษณ์ของนายเอกเสียด้วย
ชะเอมเขาขี้อายค่ะ เวลาเขินจัดๆก็ไข้รับประทาน เลยคิดว่าเอาชื่อเรื่องแบบนี้ก็บ่งบอกคาแรกเตอร์ได้ดี (เนอะ ^^)

ตั้งใจว่าเรื่องนี้จะทำการบ้านหนักๆหน่อย อาจจะต้องใช้เวลาเขียนแต่ละตอนนานนิดนึง ก็อย่าเพิ่งเบื่อรอกันนะคะ
ส่วนเรื่องคอมเมนท์ของผู้อ่านทุกคน บีอ่านหมดนะคะ แม้จะไม่ค่อยได้ร่วมพูดคุยด้วยก็เถอะ บางทีมันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอะค่ะ ถ้าเป็นคำติ บีก็จะรีบแก้ทันทีเลยค่ะ ไม่ใช่ไม่รับรู้นะคะ อย่าคิดว่าบีหยิ่งนะคะ T^T

ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสเข้ามาอ่านเรื่องใหม่ของบีนะคะ (กราบงามๆ) -/\-
ปล.สถานที่และบุคคลในเรื่องเป็นสิ่งสมมติ ไม่มีอยู่จริงนะคะ


สารบัญ

Love Sick [-1-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1637337#msg1637337)
Love Sick [-2-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1639669#msg1639669)
Love Sick [-3-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1645831#msg1645831)
Love Sick [-4-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1653531#msg1653531)
Love Sick [-5-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1661874#msg1661874)
Love Sick [-6-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1661877#msg1661877)
Love Sick Service Pack Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1715089.html#msg1715089)
Love Sick Service Pack Part 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1718827.html#msg1718827)
Love Sick [-7-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1720767.html#msg1720767)
Love Sick [-8-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1729932.html#msg1729932)
Love Sick ตอนพิเศษ 'ก่อนที่สีสันจะถูกแต่งแต้มอีกครั้ง' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1731518.html#msg1731518)
Love Sick ตอนพิเศษ 'เริ่มระบาย' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1734943.html#msg1734943)
Love Sick [-9-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1734946.html#msg1734946)
Love Sick [-10-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1741593.html#msg1741593)
Love Sick [-11-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1745405.html#msg1745405)
Love Sick [-12-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1746884.html#msg1746884)
Love Sick [-13-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1750249.html#msg1750249)
Love Sick [-14-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1757552.html#msg1757552)
Love Sick [-15-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1763701.html#msg1763701)
Love Sick [-16-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1766317.html#msg1766317)
Love Sick [-17-] ครึ่งแรก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1772333.html#msg1772333)
Love Sick [-17-] ครึ่งหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1773755.html#msg1773755)
Love Sick [-18-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1806468#msg1806468)
Love Sick [-19-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1807864#msg1807864)
Love Sick [-20-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1819806#msg1819806)
Love Sick [-21-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1875508#msg1875508)
Love Sick [-22-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1920458#msg1920458)
Love Sick [-23-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg2068692#msg2068692)

:music: :music: :music:




หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-09-2011 13:05:31
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Love Sick [-1-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-09-2011 17:21:00

Love Sick

- 1 -



ผมกำลังนั่งเท้าคางจ้องมองก้อนเมฆบนท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย สมองของผมไม่ได้คิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนัก มันเหมือนเป็นการปล่อยอารมณ์ไปกับสิ่งรอบตัว ถึงแม้ว่าในห้องเรียนนั้นจะมีเสียงดังเพราะอาจารย์ที่สอนยังไม่มา แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการนั่งเหม่อของผมแต่อย่างใด...

ในมือของผมมีดินสอดำสำหรับร่างภาพหนึ่งแท่ง ผมตั้งใจว่าจะออกแบบงานตามที่อาจารย์สั่งมาให้เสร็จเสียที อาจารย์สั่งงานผมมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีอารมณ์ที่จะทำ มันเหมือนกับว่ายังคิดไม่ออก และไม่รู้ว่าจะวาดอะไรดี บางทีความรู้สึกที่อยากจะวาดรูปมันก็จะเกิดขึ้นมาเฉยๆ ยิ่งเวลาที่ผมได้ทำตัวผ่อนคลาย ความคิดของผมก็จะตื่นตัวมากขึ้น

เมื่อรู้ตัวอีกทีกลีบดอกไม้สีดำกลีบแล้วกลีบเล่าถูกร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและประกอบเข้ากันเป็นดอกโบตั๋นดอกใหญ่ และจากดอกโบตั๋นเพียงดอกเดียว ก็เพิ่มขึ้นจนเป็นช่อตามแต่มือของผมจะสร้างมันขึ้นมา และในที่สุดก็เต็มหน้ากระดาษ จังหวะนั้นผมก็รู้สึกถึงการจ้องมอง จึงชะงักมือและเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นตรงหน้าผมพอดี

“เอม กูเห็นว่ามึงกำลังมือขึ้น ก็ไม่อยากจะรบกวนนะ แต่...กูขอลอกการบ้านหน่อยสิ”

ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนเกาหัวแกรกและยิ้มแบบเก้อๆมาให้ด้วยสายตาหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรของสัปดาห์ที่เพื่อนมาขอลอกการบ้าน
“เลี้ยงข้าวกูด้วย” ผมพูดสั้นๆแล้วส่งสมุดเล่มหนาให้เพื่อนก่อนจะก้มหน้าวาดรูปต่ออย่างสบายใจว่าจะไม่ต้องเสียค่าข้าวกลางวัน
“เออ ก็ได้วะแม่ง...” คนที่รู้ตัวว่าจะต้องเลี้ยงข้าวเพื่อนบ่นอย่างเสียไม่ได้ เพราะเสียเงินเลี้ยงข้าวย่อมดีกว่าถูกอาจารย์ทำโทษแน่นอน

ห้องเรียนที่ผมมานั่งปล่อยอารมณ์สเก็ตช์รูปอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนศิลปะเฉพาะทางที่มีระบบการเรียนการสอนแบบผสมผสาน คือเรียนทั้งวิชาทั่วไปเช่น เลข ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และสอนวิชาเฉพาะทางอีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเรียนหนักกว่าเด็กที่เรียนโรงเรียนปกติ และเพราะการเรียนที่มีชั่วโมงเรียนเยอะแบบนี้ ที่นี่จึงเป็นโรงเรียนประจำ เพื่อที่นักเรียนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับในแต่ละวัน

นโยบายของผู้สร้างโรงเรียนซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในวงการศิลปะระดับโลกต้องการที่จะผลิตศิลปินที่มีคุณภาพ เด็กแต่ละคนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่ได้จะต้องมีความสามารถที่เป็นเลิศเกี่ยวกับศิลปะด้านใดด้านหนึ่ง โรงเรียนจะขัดเกลาเด็กๆเหล่านั้นให้มีศักยภาพและฝีมือชั้นเลิศก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผู้สร้างโรงเรียนมีความเชื่อว่า ในสภาพแวดล้อมที่ดีเลิศ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะสร้างอัจฉริยะ โรงเรียนนี้จึงกินพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยห้าสิบไร่ ประกอบไปด้วยอาคารเรียนหลายหลังและอาคารปฏิบัติกิจกรรมต่างๆครบถ้วน มีทั้งสวนสาธารณะ โรงอาหาร สนามกีฬา โรงละคร ฯลฯ

ผมชื่อเอม หรือชื่อเล่นเต็มๆก็คือชะเอม ผมเป็นนักเรียนชั้นปีหนึ่งของแผนกศิลปะ หรือเทียบเท่ากับเด็กม.4นั่นเอง ความเป็นมาที่ทำให้ผมตัดสินใจมาเรียนที่นี่ก็เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยม.ต้นเอาเอกสารเกี่ยวกับโรงเรียนนี้มาให้ และบอกว่ามีทุนการศึกษาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ บวกกับที่ผมรักการวาดรูปมาตั้งแต่จำความได้ ผมจึงตั้งใจอ่านหนังสือเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อหวังว่าจะได้เรียนที่นี่ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเด็กกำพร้าแบบผม...

วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักของเด็กปีหนึ่ง ก็ได้พบกับรูมเมทที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดสามปีเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือมิ้นท์ หรือคนที่กำลังลอกการบ้านของผมอยู่ในตอนนี้ นอกจากมันจะเป็นรูมเมทแล้วยังเรียนแผนกเดียวกับผมด้วย มิ้นท์เองสอบเข้ามาเรียนในแผนกศิลปะเช่นเดียวกัน มีรสนิยมคล้ายกัน ชอบอะไรคล้ายกัน พูดคุยในเรื่องแนวเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งผมและมิ้นท์แตกต่างกันก็คือมิ้นท์ไม่ใช่นักเรียนทุนและยอมจ่ายค่าเรียนแพงระยับทุกเทอม นั่นหมายความว่าบ้านของมิ้นท์มีฐานะดีมาก และไม่ได้มีชะตาชีวิตที่ต้องดิ้นรนรักษาเกรดเฉลี่ยให้สูงเข้าไว้แบบผม เพื่อที่จะได้ไม่หลุดจากการเป็นนักเรียนทุน

“แล้ววันนี้มึงจะกินอะไร” มิ้นท์ละมือจากการลอกแล้วมาถาม ผมหยุดคิดแป๊บหนึ่งแล้วนึกถึงร้านที่แพงที่สุดในโรงอาหาร
“จะกินคอร์สเอของร้านโครัลเบอรี่”
“โห เอาซะแพงเลยนะมึง” มิ้นท์ร้องเสียงหลงทันที เมื่อได้ยินว่าเพื่อนอยากจะกินอะไร เพราะเมนูของร้านนี้เริ่มต้นที่ 199++ และยิ่งเป็นคอร์สเอซึ่งประกอบด้วยข้าวแกงกะหรี่ห่อไข่ ซุปสาหร่าย แคลิฟอเนียมากิและไก่ทอดด้วยแล้ว ราคาเซ็ตละ 275 บาทเลยทีเดียว
“มิ้นท์ แล้วทีมึงลอกการบ้านกูมาทั้งอาทิตย์ละ” ผมเค้นถามเสียงเย็น เพราะรู้ว่าถ้าถ้าไปขอเพื่อนคนอื่นลอก เขาคงคิดเงินไอ้มิ้นท์เป็นรายวิชาเลยมั้ง
“แหมๆ กูล้อเล่นน่าเอม เดี๋ยวกลางวันกูพาไปเลี้ยงข้าวตอบแทนละกันนะ” พอเห็นว่าผมเริ่มเอาจริงมันก็หัวเราะกลบเกลื่อนทันที...


“พี่ครับ ผมเอาคอร์สเอ” ผมสั่งรายการอาหารที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องได้กินกับพนักงานในเคาเตอร์ ส่วนเจ้ามือยังคงยืนเลือกอยู่เลยว่าจะกินอะไรดี
“มึงว่ากูกินไรดีวะ” มิ้นท์บ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจมากเท่ากับคนๆหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพี่ปีสามกลุ่มนั้น

พี่เปปเปอร์... เจ้าของร่างสูงที่นั่งพูดคุยเฮฮาอยู่ในกลุ่มเพื่อนดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่สุด ไม่ใช่ว่าคนอื่นในกลุ่มจะขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่เพราะว่าเขาดูดีเกินไปต่างหาก ผิวขาวเนียนละเอียดเหมือนกับเครื่องกระเบื้องเคลือบชั้นดีและหน้าตาที่เหมือนปั้นออกมาจากท้องพ่อแม่แบบนั้น... ผมคิดในครั้งแรกที่เห็นเขาว่าบางทีพี่เปปเปอร์อาจจะเป็นร่างจำแลงของไมเคิล แองเจโลหรือเปล่า...

“ชะเอมครับ กูรู้นะว่ามึงมองอะไร” เสียงกระซิบเบาๆข้างหูทำเอาผมสะดุ้งเฮือกและหลุดจากภวังค์เพ้อฝันทันที
“ไอ้มิ้นท์! เสือก!” ผมตะคอกใส่หูเพื่อน แต่มันคงไม่โกรธหรอก เพราะการกวนตีนแล้วก็โดนด่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับไอ้มิ้นท์อยู่แล้ว
“แหมๆ หนูเอมพูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเลยนะ” ไอ้ตัวแสนรู้เดินถือถาดอาหารตามผมต้อยๆโดยไม่หยุดปาก
“มึงก็เอาแต่มองเนอะ ไม่ทำอะไรสักอย่าง” แน่ะ... ยังมีหน้ามาวิจารณ์ผมอีก...
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงกับเขาละ พี่เขาเป็นผู้ชายนะ แล้วกูก็เป็นผู้ชาย”
“เอ๊า แล้วไงวะ เราเด็กศิลป์ ทุกอย่างมันเป็นศิลปะอยู่แล้ว บางทีเขาอาจจะมีมุมมองความรักแตกต่างจากคนอื่นก็ได้” ฟังที่มิ้นท์พูดแล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมา มันก็เห็นๆกันอยู่ว่าความเป็นจริงคืออะไร พี่เปปเปอร์เป็นหนุ่มหล่อ บ้านรวย แล้วก็เรียนเก่ง เป็นที่รู้จักของทุกคน แล้วจะมีเหตุอะไรให้เขามาสนใจผม เด็กที่ไม่มีพ่อแม่แล้วยังมีจิตใจไม่เหมือนคนทั่วไปเขาอีกต่างหาก...

“เอม มึงจะเป็นยังไงกูไม่สนหรอกนะ ที่กูคิดแบบนี้ก็เพราะว่ามึงเป็นเพื่อนกู” แล้วคำพูดของมิ้นท์ทำให้ผมต้องอมยิ้มจนได้
“พูดอย่างกับรู้จักกูดี นี่เพิ่งจะเทอมสองเองนะ มึงยังรู้จักกูไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”
“ทำไมวะ ความรักไม่ต้องการเวลานะเว้ย”
“จะอ้วก อย่ามาน้ำเน่าตอนนี้สิวะ!” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็รู้สึกดีกับความจริงใจของไอ้มิ้นท์เหลือเกิน


“วันนี้จะไปรอกูที่สนามบาสมั้ยเนี่ย” มิ้นท์ถามขึ้นมาในขณะที่กำลังเก็บกระเป๋า วิชาสุดท้ายเพิ่งเลิกเรียนไป มิ้นท์เป็นสมาชิกของทีมบาสก็จะไปซ้อมบาสทุกเย็น ส่วนผมนั้นอยู่ชมรมกลับบ้าน แต่บางทีก็จะถูกไอ้มิ้นท์ลากให้ไปนั่งรอด้วยทำไมก็ไม่รู้ - -*
“เออ ไปก็ได้ วันนี้ไม่มีการบ้าน กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ” ผมพูดแล้วสะพายกระเป๋าขึ้นหลังเพื่อเดินตามมันออกไปที่จอดจักรยาน

“เฮ้ย!” พอจอดจักรยานเรียบร้อยแล้วมันก็เดินลิ่วไปที่สนามบาสก่อน แต่ยังไม่ทันจะถึงสนามก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาจนผมที่กำลังหยิบขวดเกลือแร่จากตะกร้าหน้าจักรยานแปลกใจไปด้วย
“อะไรของมึง” ยิ่งเห็นเพื่อนยืนนิ่งไม่เดินต่อและทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตา ผมจึงมองไปทางเดียวกับที่สายตามิ้นท์จ้องอยู่บ้าง
“เฮ้ย!” คราวนี้เป็นเสียงของผมเอง ก็ร่างของคนที่กำลังวาดลวดลายอย่างคล่องแคล่วอยู่บนสนามบาสตรงหน้าน่ะดูดพลังงานผมไปหมดเลย ถ้าหากมีเครื่องเอ็กซเรย์ก็คงเห็นว่าหัวใจผมแทบทะลุออกมาจากอกแน่ๆ

“ร้อยวันพันปีกูไม่ยักเคยเห็นพี่เปปเปอร์มาซ้อม จะเห็นก็แค่ตอนไปแข่ง” เสียงมิ้นท์บ่นงึมงำ แต่สภาพจิตใจของผมลอยละล่องจนไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวเสียแล้วสิ
“อ้าวเอม แล้วมึงจะหน้าแดงทำไม”
“เรื่องของกู!”
“นี่แน่ะ กวนตีนนัก!” นึกแล้วก็โมโหที่ไอ้มิ้นท์เสือกรู้มาก ผมเลยซัดที่หน้าแข้งมันเสียหนึ่งที
“โอ๊ย ห่านี่ กูเจ็บนะ” ผมรีบจ้ำหนีก่อนจะโดนเพื่อนรักทำคืน
“อ้าว! แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย” มิ้นท์ส่งเสียงโหวกเหวกเดินตามผมที่กำลังกลับไปที่จักรยาน แน่นอนว่าไอ้มิ้นท์เสียงดังขนาดนั้นต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครแน่นอน
“อย่าเสียงดังดิมิ้นท์ เขาหันมามองกันทั้งสนามแล้วเนี่ย” ผมเดินไปบ่นไป ในใจคิดว่าจะกลับหอทันทีเพราะคงทนอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ๆ ผมคงช็อกตายแน่ครับ
“ก็แล้วมึงจะไปไหนละ ไหนบอกจะมานั่งคอยกูไง แถมยังเอาสปอนเซอร์กูไปอีก เฮ้ย!” พอมันว่าแบบนั้นผมก็เลยโยนขวดสปอนเซอร์ให้แบบไม่ทันตั้งตัว
“อย่าบอกนะว่ามึงอายที่เห็นพี่เปปเปอร์อ่ะ” ทั้งที่ได้ขวดสปอนเซอร์ไปแล้ว แต่มันก็ยังคงแพล่มไม่หยุด
“อ๊ากกก! อย่าพูดออกมานะไอ้บ้ามิ้นท์!”
“ฮ่าๆ จริงด้วย นี่มึงอายเป็นด้วยเหรอเนียะ”

“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ” เสียงพี่เปปเปอร์ถามขึ้นด้านหลังไอ้มิ้น ส่งผลให้ทั้งผมและมันชะงักอย่างทันควัน
เพราะว่าไอ้มิ้นท์ที่ล้อผมเสียงดังจนดึงดูดคนที่ผมไม่น่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ให้มายืนห่างจากผมแค่เมตรเดียว สาเหตุที่ผมชะงักก็เพราะอายจนอยากจะเอาหัวมุดดิน ส่วนสาเหตุที่ไอ้มิ้นท์ชะงักก็คงเพราะไม่คาดคิดว่าบุคคลที่สามที่มันกำลังเอามาล้อผมจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาถามด้วยตัวเอง
“อะ...เอ่อ ไม่มีครับ แค่เล่นกัน” ทั้งสองคนต่างพากันอึ้งไปแป๊บหนึ่ง ก่อนที่ไอ้มิ้นท์จะคิดได้ว่ารุ่นพี่ต้องการคำตอบ
“อืม งั้นก็ไปซ้อมสิครับ เราเป็นเด็กใหม่ของทีมนี่มิ้นท์ ขยันซ้อมหน่อยนะอย่าเอาแต่เล่น” คำดุจากพี่เปปเปอร์ทำให้ผมอมยิ้มได้นิดหนึ่งเพราะสะใจ แต่ไอ้มิ้นท์กลับทำหน้าหงิกหันมามองผมแบบคาดโทษแล้วเดินเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันไปที่สนามบาส
‘แบร่ กูกลัวมึงตายละมิ้นท์’ ผมคิดในใจแล้วแลบลิ้นใส่มัน

อะ...
หง่า...
ผมลืมไปว่าพี่เปปเปอร์ยังยืนอยู่ตรงนี้...

“เอ่อ... ผมไม่ได้เป็นสมาชิกทีมบาสนะครับ” ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักกับคนที่ยืนมองหน้าผมอยู่
“ครับ พี่รู้แล้ว” ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ยังคงยืนยิ้มและมองหน้าผมไม่เลิก
“แล้ว...มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“หึหึ ไม่มีครับ” เสียงหัวเราะของพี่เปปเปอร์ทำให้ผมขนลุกนิดหนึ่ง ย้ำว่านิดหนึ่งนะครับ สรุปแล้วทำไมเขาไม่ไปซ้อมละ จะมาจ้องผมทำไม
“ไม่ไปซ้อมเหรอครับ” เอาวะ ลองถามอีกรอบ เผื่อเขาจะเดินไปสักที
“ซ้อมสิ”
...
..
.
....
..
.
กริบเลยครับ.. พูดแค่นั้นแล้วก็มองหน้าผมต่อ นึกภาพนะ คนสองคนยืนตรงข้ามกัน มองหน้ากัน แต่ไม่พูดอะไรเลย นี่มันจะเข้าพล็อตหนังน้ำเน่าแล้วน้า!!!

“ไม่ไปนั่งดูซ้อมเหรอครับ”
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากกลับห้อง” พี่เขาถามผมขึ้นมาเฉยๆ ผมเองไม่ทันตั้งตัวก็ตอบไปตรงข้ามกับที่ใจคิด อย่างนี้เขาเรียกว่าปากแข็งหรือเปล่านะ...
“เสียดายจัง วันนี้พี่อุตส่าห์เข้ามาซ้อม”
เห?
พี่เข้ามาซ้อม? แล้วเสียดายอะไรครับ?
ผมทำหน้าหมางงยังไม่หายข้องใจพี่เขาก็ลูบหัวผมแล้วเดินกลับไปที่สนาม ผมยกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองตรงที่พี่เขาสัมผัสเมื่อกี้ นี่พี่เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้คนๆหนึ่งใจเต้นแค่ไหนกับสัมผัสของเขา

คืนนั้น...
“เฮ้ย ไอ้เอม มึงเป็นไข้นี่หว่า ตัวร้อนจี๋เลย ไปทำไรมาเนี่ยยยย” เสียงไอ้มิ้นท์โหวกเหวกหลังจากที่มันกลับหอแล้วเห็นว่าผมนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผมไม่รู้หรอกว่าผมตัวร้อนหรือเป็นไข้ ก็ในหัวของผมมีแต่สัมผัสของพี่เปปเปอร์เท่านั้น... สมองผมเอาแต่วนเวียนถามคำถามซ้ำซากที่ผมเองก็คิดไม่ออกเสียที

ทำไมพี่เปปเปอร์ถึงทำแบบนี้กับผม?

โอย...ปวดหัว...



หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 16-09-2011 19:35:34
เม้นก่อน  ค่อยอ่าน
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 16-09-2011 19:44:55
น่ารักจังค่ะ

จะตามนะค่ะ

มาลงเร้วๆๆๆน้าาาาาาาาาาาาาาาา

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 16-09-2011 20:34:07
แปะไว้แปปๆๆๆ
ไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวมาอ่าน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 16-09-2011 21:28:18
 :bye2: ว้าววววววพี่เปปเปอร์ชักจะยังไงซะแล้วววว :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 16-09-2011 22:54:28
ใจตรงกันนี่น่า


วู้ววววววว แบบนี้รอความน่ารักอย่างเดียวเลย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 16-09-2011 22:55:54
เป็นเอามาก
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: konan6688 ที่ 16-09-2011 23:39:47
มาต่อโดยด่วนนะคับ 555 ตอนเดียวติดใจซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 17-09-2011 00:04:14
 :-[ น้องชะเอมของเรา ไงหนูเป็นแบบนี้ค่ะ น่ารักมากๆๆๆ ไม่ต้องสนใจใคร
เดินหน้าจีบพี่เค้าเลย ดูก็รู้ว่ามีใจนะเนี่ย  :z3:มาลงตอนเดียวก็แทบบ้าแล้วค่ะ
อยากอ่านต่อ  :call: พลีส
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 17-09-2011 00:49:39
เปปเปอร์มาแรงเน้อ... ><

หุหุหุ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-1-] 16/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 17-09-2011 02:51:20
อยากอ่านต่อแว้ววววววววว :o8:
หัวข้อ: Love Sick [-2-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 18-09-2011 14:01:33
Love Sick

- 2 -


“!!!”
ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ ร่างดำที่เห็นเป็นเงารางๆ ในความมืดนั่งอยู่ข้างเตียงและจ้องมาทางผม ไอเย็นยะเยือกขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง หรือว่านี่ผมจะเจอดีเข้าให้แล้ว!!
และก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไร ร่างนั้นก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า

“ตื่นแล้วเหรอวะ เป็นไงมั่งเนี่ย”

ไอ้เหี้ยมิ้นท์!!!!!!

“อะไรของมึงเนี่ย! มานั่งจ้องหน้ากูมืดๆทำไม ไฟก็ไม่เปิด ดีนะกูไม่ถีบหงายหลังน่ะ!!” ลองนึกดูสิครับว่าผมจะตกใจแค่ไหน
“อ้าว ก็มึงหลับอะ ถ้าเปิดไฟเดี๋ยวมึงก็จะหลับไม่สบาย จะปลุกมึงกูก็ไม่กล้า เลยคิดว่านั่งรอมึงตื่นดีกว่า” ไอ้มิ้นท์อธิบายแบบซื่อๆ
“...” ผมด่ามันไม่ออกเลยครับ ไม่ใช่ไม่โมโหนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร อึ้งกับตรรกะของมันจริงๆครับ
“แล้วจะปลุกกูทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผมเลี่ยงดีกว่า ขี้เกียจพูดกับมันเรื่องที่มันมานั่งจ้องหน้าผมแล้ว
“คือว่า...” ไอ้มิ้นท์พูดคาไว้แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋ามันมาควานหาอะไรสักอย่างในนั้น
“?” ผมเองก็สงสัยไม่น้อย เพราะไอ้มิ้นไม่เคยมีท่าทีประหลาดๆแบบนี้มาก่อนครับ มันเหมือนว่ามันอึ้ง มึน สับสนจนหาทางออกไม่ได้น่ะครับ
“อะ..นี่ เออ! วันนี้วันอะไรมึงรู้หรือเปล่า” มันหดมือที่ถือกล่องปริศนาในมือกลับ แล้วถามผมเรื่องวันที่ขึ้นมาเฉยๆ
“อะไรของมึงเนียะ วันนี้ก็ 17 ไง เอากล่องนั่นมาดูดิวะ อะไรกันนักหนา”
“ไม่ใช่เว้ย วันนี้ 18 มึงหลับไปวันนึงเลยนะโว้ย” ผมตะลึง นี่ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“มึงอะ ไข้ขึ้น เพ้อทั้งคืนเลย ไปทำอะไรมาถึงไข้ขึ้นวะ”
“เอ่อ...” ผมไม่อยากเล่าเลยครับ เรื่องสาเหตุที่ทำให้ผมไข้ขึ้นน่ะ... พอนึกถึงก็รู้สึกร้อนๆอีกแล้ว...
“แล้วเมื่อเย็นน่ะ ตอนกูออกไปซ้อมบาส พี่เปปเปอร์เขาก็ถามถึงมึง ว่าวันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ” อ๋า~ ชื่อนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากได้ยินชื่อนี้เล้ยยยย แค่นึกถึงก็ใจสั่นอีกแล้ว
“ละ...แล้วไงล่ะ”
“กูก็บอกเขาว่าเพื่อนไม่สบายครับ ไข้ขึ้น พี่เปปเปอร์ก็พยักหน้าว่ารับรู้นะ แล้วก็ไม่มีอะไร ก็ไปซ้อมต่ออะ”
“แค่เนี้ย มึงจะมาทำหน้าแปลกใจอะไรนักหนาวะ” ผมคิดว่าพี่เขาก็คงแค่ขำๆที่พวกผมไปตีกันทีสนามบาส เลยจำได้ ก็แค่นั้นมั้งครับ...
“ไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ อีตอนที่กูจะกลับน่ะ พี่เขาก็ยื่นไอ้กล่องเนี้ยมาให้กู” หงะ ตอนนี้สายตาผมเริ่มชินกับความมืดแล้ว กล่องในมือไอ้มิ้นท์เป็นกล่องที่ใหญ่เอาเรื่องเลยครับ
“มึงแกะดิ กูอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร” ผมรับกล่องมาจากไอ้มิ้นท์ มันลุกมานั่งขัดสมาธิบนเตียงผมแล้วชะโงกหน้ามารอดูอย่างสนใจ
“...” ผมขมวดคิ้ว ทั้งสงสัย ทั้งแปลกใจ พอผมแกะกระดาษที่ห่อออกถึงได้เห็นว่าเป็น....
ซุปไก่สกัดตราแบรนด์...
“แบรนด์เหรอวะ?”
“...เขาให้กูเพื่ออะไรวะ?” ผมมองหน้าไอ้มิ้นท์ด้วยความสงสัย มันเองก็ส่ายหัว
“มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่าเอม”
“เฮ้ย บ้าแล้ว”
“แล้วทำไมจู่ๆพี่เปปเปอร์เขาถึงสนใจมึงวะ พอกูบอกว่ามึงเป็นไข้ ก็ซื้อแบรนด์มาให้อีก” มิ้นท์เริ่มสวมรอยเป็นนักสืบแล้วครับ ผมเองส่ายหัวเหนื่อยใจแล้วเดินเอากล่องไปวางที่หลังตู้เย็นของไอ้มิ้นท์
“กูไม่รู้ และก็ไม่ต้องถามด้วย ไอ้ซุปไก่เนี่ยถ้ามึงจะกินก็กินเลยนะ”
“แล้วมึงไม่กินเหรอ”
“ไม่ว่ะ กูไม่ชอบกิน มันเหม็น”
“ไรว้า คนให้เสียน้ำใจแย่เลย” ไอ้มิ้นท์บ่นพึมพำจนผมเริ่มหมั่นไส้
“แล้วมึงจะกินมั้ย”
“กินดิวะ ของชอบกูเลยนะนั่น”  แล้วมันก็ดี๊ด๊าไปเปิดขวดแรกมากระดกทีเดียวหมดเลยครับ แหวะ... เหม็นจะตาย...


วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียน เมื่อวานผมขาดเรียนไปแล้ววันนึง ผมจึงต้องรีบไปตามงานกับอาจารย์ครับ ที่นี่มีการแข่งขันสูง ถ้าผมมัวแต่เอ้อระเหย ไม่ช้าเกรดเฉลี่ยก็คงแย่ลง
“มึง...รีบตื่นจังวะเอม” เสียงไอ้มิ้นท์งัวเงียอยู่ในผ้าห่ม ผมไม่ได้ตอบอะไรมันเพราะรู้ว่ามันคงหลับต่ออีก ผมสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้า มีเศษฝุ่นติดตรงชายกางเกงนิดหนึ่ง ผมไม่ชอบให้เสื้อผ้าของผมไม่เรียบร้อย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ สงสัยนี่อาจจะเป็นนิสัยของพวกเกย์ละมั้ง..
“กูไปก่อนนะมิ้นท์” ผมบอกเพื่อนที่ยังคงนอนอุตุบนเตียง แม้ว่ามันอาจจะไม่รู้ก็ตามว่าผมออกไปตอนไหนก็ตาม

ผมชอบอาคารเรียนยามเช้ามาก ที่นี่มีต้นไม้เยอะ ตอนเช้าก็เลยมักจะมีหมอกบางๆ ยิ่งถ้าหน้าหนาวละก็ หมอกลงจัดเลยแหละครับ
‘มีคนมาจ๊อกกิ้งด้วยแฮะ’ ผมคิดได้แค่นั้นก็มองเห็นนักวิ่งคนนั้นพอดี ผมตกใจจนอยากจะเดินกลับไปที่หออีกรอบ แต่ก็ไม่ทันแล้วละครับ เจ้าของหน้าหล่อๆนั่นมาหยุดวิ่งตรงหน้าผมแล้วยิ้มกว้างให้
“น้องเอม หายไข้แล้วเหรอครับ” อ๊ากกกก พี่เปปเปอร์เรียกผมว่า ‘น้องเอม’ ด้วยละ!!
“คะ...ครับ” ผม...ผมเก็บอาการอยู่มั้ยนะ ผมแสดงอะไรให้เขาผิดสังเกตไปหรือเปล่านะ
“แล้วได้ของที่พี่ฝากมิ้นท์ไปให้หรือเปล่า” พี่เปปเปอร์ถามพลางเอาผ้าขนหนูมาซับเหงื่อที่หน้า ผมอยากจะดึงผ้าขนหนูผืนนั้นมาลองดมดูจังว่ากลิ่นเหงื่อของพี่เขาจะเป็นยังไง โฮก~
“ได้รับแล้วครับ เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ” นึกได้ผมก็รีบขอบคุณเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กินเลยสักขวดก็เถอะ นึกแล้วยังแหวะกับรสชาติไม่หาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่เต็มใจให้ บำรุงร่างกายดีๆจะได้ไม่ป่วยอีก” พี่เปปเปอร์ยิ้มครับ โอ้มายก็อด ให้ตายเถอะ นี่ผมกำลังจะตายเพราะสำลักความหล่อของพี่เขามั้ยเนี่ย
“คะ...ครับ” ฮึ่ย! นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ทั้งที่มีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ  แต่ดันมาเขินตอบคำถามคำอยู่ได้ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะเว้ยไอ้เอม

ฮือ...แต่ผมก็ไม่กล้าอยู่ดีอะ ผมยังเขินอยู่เลย จะเงยหน้าคุยกับพี่เขายังไม่กล้าด้วยซ้ำ ผมก็ได้แต่ยืนก้มหน้ามองรองเท้าวิ่งไนกี้ของพี่เปปเปอร์อยู่แบบนั้นแหละครับ

“อืม..งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะ” พี่เขาลูบหัวผมอีกแล้ว เขาลูบหัวผมเบาๆแล้วก็ยิ้มให้ ก่อนจะวิ่งต่อไปครับ ทำไมพี่เขาใจดีแบบนี้นะ

ตอนนี้ผมเลยนึกถึงคำคมของฝรั่งที่เขาบอกไว้ว่า การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดี จะทำให้วันนั้นมีแต่เรื่องดีๆไปทั้งวัน แล้วเช้านี้ผมเพิ่งเจอเรื่องดีซูเปอร์ดี แบบนี้วันทั้งวันผมคงโคตรเฮงเลยสินะ!!


ทั้งที่เมื่อเช้าผมคิดแบบนั้นครับ...
แต่ตอนนี้ผมต้องมาช่วยอาจารย์วิชาเลขเก็บสมุดการบ้านของพี่ปีสามหลังเลิกเรียน ทำไมผมถึงต้องเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้เนี่ย!!
คุณคงสงสัยสินะว่าช่วยงานอาจารย์มันแย่ตรงไหน ถ้าเป็นโรงเรียนทั่วไปมันจะไม่แย่เลยครับ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนนี้ พื้นที่ขนาดนี้ ระยะห่างระหว่างแต่ละอาคารไกลขนาดวิ่งมาราธอนได้เลยนะครับ ฮือ....กรรมของไอ้เอม

ในขณะที่ผมกำลังหอบสมุดการบ้านกว่าห้าสิบเล่มแล้วลากสังขารไปที่ตึกแผนกภาษานั้นผมก็นึกก่นด่าความเชื่อของพวกฝรั่งไปในใจด้วย

“ทำไมทำหน้าหงิกแบบนั้นละครับเอม”

โอว.... ผมขอกลับคำพูดแล้วกันนะครับ วันนี้ผมคงโชคดีจริงๆสินะ ได้เจอพี่เปปเปอร์ตั้งสองรอบ! พี่เปปเปอร์เขาเดินลงมาจากบันไดอีกฝั่งพอดีครับ สงสัยคงจะเพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน
“ถืออะไรมาเยอะแยะเนี่ย เอามานี่มา พี่ช่วย” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดสักแอะ พี่เปปเปอร์ก็คว้าสมุดจากผมไปทั้งกองเลย
“ขะ..ขอบคุณมากนะครับ แต่เอมว่าเราช่วยกันถือคนละครึ่งดีกว่ามั้ยครับ” อ๊าก! ผมอยากจะกัดปากตัวเอง นี่ผมใช้คำว่า ‘เรา’ ไปได้ยังไงเนี่ย แถมยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘เอม’ อีก หวังว่าพี่เปปเปอร์คงไม่ทันสังเกตนะ
“ไม่เป็นไรครับ พี่มีคนช่วย เฮ้ย จิน มาช่วยถือหน่อย” เอ๋? พี่เปปเปอร์มีเพื่อนมาด้วยเหรอเนี่ย ผมมัวแต่สนใจพี่เปปเปอร์จนไม่ทันได้สังเกตคนที่เดินตามหลังพี่เขาเลยแฮะ
“อะไรวะเนี่ย?” น้ำเสียงทุ้มห้าวของคนที่ผมเข้าใจว่าเป็น ‘เพื่อน’ ของพี่เปปเปอร์ช่างเหมือนพี่เขาราวกับโขกคีย์เดียวกันมาเลยครับ ติดที่ว่าเสียงพี่คนนี้ฟังดูดิบกว่า แบบว่าเถื่อนๆอะครับ แต่แค่เสียงไม่ใช่ประเด็น หน้าตานั่นเหมือนพี่เปปเปอร์อย่างกับแกะเลยครับ!
“ช่วยน้องเขาถือหน่อย ตัวก็นิดเดียวไม่รู้แบกมาได้ไง” ผมมองพี่เปปเปอร์สองคนคุยกันแบบงงๆ พี่เปปเปอร์คนที่มาทีหลังเหลือบมองผมแล้วก็หันไปคุยกับพี่เปปเปอร์คนแรก
“ไอ้เตี้ยนี่ใครเนี่ย” เฮ้ย! มันด่าผมว่าเตี้ยอะ
“มึงนี่! ไปเรียกเขาว่าเตี้ยได้ไง ชื่อน้องเขาออกจะน่ารัก เอ้อ! พี่ก็ลืมแนะนำไป เอมครับ คนนี้เป็นน้องชายฝาแฝดพี่เอง ชื่อพี่จินเจอร์นะครับ” พี่เปปเปอร์พูดไปยิ้มไป
“เรียกแค่จินก็พอ” เสียงพี่จินพูดขึ้นมาลอยๆ บอกกับผม? หรือบอกกับพี่ชายตัวเอง? แต่จะบอกกับใครก็ช่างมันเถอะครับ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหลอนๆนิดหนึ่ง ทำไมเรื่องพี่เปปเปอร์มีแฝดผมถึงไม่รู้มาก่อนเลยนะ แถมยังดูเป็นพี่น้องที่สนิทกันดีเสียอีก


“นี่มึงไม่รู้จริงดิ ว่าพี่เปปเปอร์มีฝาแฝด” ไอ้มิ้นท์ทำสีหน้าระอาใส่เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง
“เอ๊า ก็กูไม่เคยเห็นเขาเลยนี่หว่า” ผมเถียง
“แหม แล้วมึงจะรู้ได้ไง ว่าบางทีที่มึงเห็นน่ะคือพี่เปปเปอร์จริงๆ ไม่ใช่พี่จิน พี่สองคนนี้เขาเป็นแฝดไข่ฟองเดียวกันนะเว่ย เหมือนกันจะตายห่า” ไอ้มิ้นท์หันไปซดน้ำมาม่าคัพในมือต่อ ผมฟังที่มันพูดแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกอย่างที่มันว่าเลยละ เขาเหมือนกันก็จริงนะ แต่ผมคิดว่าผมแยกออก
ถ้าให้เปรียบพี่เปปเปอร์เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใสและเป็นตัวแทนแสงสว่าง พี่เปปเปอร์ดูใจดี ดูเฟรนด์ลี่
แต่พี่จิน... ดูตรงกันข้ามกับพี่เปปเปอร์นะผมว่า เขาดูดาร์คๆ เหวี่ยงๆ ดูไม่น่าคบอะ
ส่วนเรื่องความหล่อไม่ต้องพูดถึง หล่อกันคนละแบบ คนนึงหล่อแบบใจดี อีกคนหล่อแบบแบดบอย แต่ยังไงผมก็ชอบพี่เปปเปอร์คนเดียวแหละ ก็พี่เขาออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นะ

“แล้ววันนี้มึงไปเจอพี่เขาที่ไหนมาอะ”
“ก็หลังเลิกเรียนแหละ เจอตรงชั้นล่างอาคารศิลปะ พี่เขามาช่วยกูยกสมุดการบ้านไปให้อาจารย์ที่แผนกภาษาอะ แล้วพี่เปปเปอร์ก็เลยให้พี่จินมาช่วยกูยกด้วย”
“โว้! พี่จินเนี่ยนะ”
“ทำไมอะ แปลกเหรอ?”
“เออดิ พ่อคุณนะ หยิ่งจะตายห่า ทั้งหยิ่งทั้งเก๊ก ทั้งโหด ทั้งซาดิสม์” ไอ้มิ้นท์มันพูดเหมือนแค้นครับ จนผมสงสัยว่าพี่จินเขาไปทำอะไรให้มันหรือเปล่า
“พี่จินเขาไปทำอะไรให้มึงเหรอวะ? ดูอาฆาตเขาจัง”
“ก็มึงจำได้ปะ วันที่กูไปรับน้องชมรมบาสอะ ที่กูกลับมาห้องแล้วเปียกโชกเหนื่อยแทบขาดใจอะ” ผมนึกถึงวันที่มิ้นท์บอก เออว่ะ วันนั้นมันกลับมาแบบเปียกโชกทั้งตัว แล้วก็สลบไสลไปทั้งคืนจนเช้าเลย เห็นมันบอกว่ารุ่นพี่ในทีมรับน้องโดยการให้มันว่ายน้ำในสระบัวข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ
“อย่าบอกนะมิ้นท์ ว่าไอ้รุ่นพี่คนที่สั่งให้มึงว่ายน้ำคือพี่จิน”
“เออเดะ แม่ง ถ้าวันไหนไอ้พี่จินมันมาคุมฝึกนะ วันนั้นอะ นรกชัดๆ”
 
แม่เจ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าฝาแฝดจะต่างกันได้ขนาดนั้น คนนึงดีแสนดี อีกคนโฉดแสนโฉด ผมว่าผมคิดถูกแล้วแหละ ที่ชอบพี่เปปเปอร์...
ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่เปปเปอร์



ตายแล้วๆ  :serius2:
นี่บีทำให้ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องแนวน่ารักกุ๊กกิ๊กไปแล้วใช่มั้ยคะ?
จริงๆมันไม่ใช่นะงิ > <
เพราะอย่างนั้นก็เลยเอาตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือพี่จินมาคั่นเวลาไว้ก่อนเลยนะคะ
ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแนวน่ารัก เพราะกลัวว่าถ้าอ่านไปเรื่อยๆแล้วมันไม่ใช่ก็จะผิดหวังกัน
บอกไว้เลยว่าไม่ใช่แค่น่ารักกุ๊กกิ๊กแน่นอนค่ะ เอาชื่อบีการันตีเลยค่ะ โฮะโฮะโฮะ  :impress2:

หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: killy ที่ 18-09-2011 14:59:24
ง่า น่ารักรึป่าวไม่รู้ แต่ไม่เอามาม่าเยอะนะ เค้ากลัวอืด  :sad4:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-09-2011 15:13:00
ดราม่า แอคชั่น ไซไฟ แฟนตาซี ใช่มะคะคุณบี  :laugh:

ถ้าเปปเปอร์เป็นแค่ตัวคั่นเวลา  แสดงว่าจินเจอร์เป็นพระเอกแน่เลยอ่ะ  :m28:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 18-09-2011 15:56:06
เรียกพี่เปอร์ว่าตัวคั่นเวลา ...  o22 รู้สึกเจ็บแทนเลย 555
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 18-09-2011 16:21:01
ตกลงเรื่องนี้มาม่ากระจายใช่ป่าวคะ
จะได้เตรียมทำใจแต่เนิ่นๆ

ว่าแต่พี่จินเป็นพระเอกใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 18-09-2011 16:53:47
ปกติพระเอกของคุณบีต้องซาดิสต์...
อย่าบอกว่าเป็นจินเจอร์   =___="
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 18-09-2011 17:15:41

ไม่มาม่านะค้า!!!

ขอแก้ไขด้วยค่ะ พิมพ์ผิด จริงๆคือ เอาพี่จินมาคั่นไว้ก่อนค่ะ  :m26:
หรือจะเรียกว่าเอามาเป็นตัวเบรกไม่ให้คุณผู้อ่านทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องรักกุ๊กกิ๊กโรแมนซ์ระหว่างพี่เปปเปอร์กับน้องเอม(เท่านั้น)

อุ กรี๊ดดดดดดดดดดด ตอนนี้สมองบรรเจิดมากเลยค่ะ  :fox2:
ถ้าจะให้บอกแนวเรื่องนี้ก็....
เอาความหื่นจากเรื่องเขื่อนกับหนูน้ำมาสัก 30% และความดราม่าของณัฐกับท๊อฟฟี่สัก 20%
ที่เหลือ 50% คืออะไรแบบที่ไม่เคยเขียนมาก่อนค่ะ เพราะนึกภาพหนุ่มหล่อสองคนแล้ว คงเลือกคนใดคนหนึ่งไม่ไหวแน่
โฮกกกก~~~ :m10:

หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 18-09-2011 17:40:38
 :L2:  มาต้อนรับเรื่องใหม่ของน้องบีจ้ะ อิ อิ มาช้าไปนิดนึงคจ้ะ
ว้าย ..ชุมนุมสมุนไพร-เครื่องเทศ
นายเอก หวานชุ่มคอ
พระเอก ยังไม่รู้ใครระหว่างพริกไทยกับขิง แต่ว่าในนี้ดูเหมือนขิงจะเผ็ดร้อนกว่าพริกไทยเนอะ
ด้วยคุณสมบัติทั้งร้อนทั้งเผ็ดของพริกไทยมั้ง เลยทำให้ชะเอมไข้ขึ้นน่ะ อิ อิ
 
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-09-2011 18:35:53
คือว่าห้ามไม่ทันแล้ว น้องเอมน่ารักกิ๊บกิ้วมากเลย แอร๊ยย :o8:
รออ่านตอนต่อไปค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 18-09-2011 19:39:44
:L2:  มาต้อนรับเรื่องใหม่ของน้องบีจ้ะ อิ อิ มาช้าไปนิดนึงคจ้ะ
ว้าย ..ชุมนุมสมุนไพร-เครื่องเทศ
นายเอก หวานชุ่มคอ
พระเอก ยังไม่รู้ใครระหว่างพริกไทยกับขิง แต่ว่าในนี้ดูเหมือนขิงจะเผ็ดร้อนกว่าพริกไทยเนอะ
ด้วยคุณสมบัติทั้งร้อนทั้งเผ็ดของพริกไทยมั้ง เลยทำให้ชะเอมไข้ขึ้นน่ะ อิ อิ
 


กรี๊ดดดด ดีใจค่า
มีคนสังเกตเรื่องชื่อแล้วทักเป็นคนแรกแล้วอะค้า > <


หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 18-09-2011 21:08:07
อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  :z1: อิ อิ ได้ปะแบบอยากได้ทั้งพริกไทยกะขิงเลยอะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 18-09-2011 21:51:37
โอย....เหมาสองคน
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: beer ที่ 18-09-2011 23:37:21
แต่ชอบจินเจอร์นะ ออกแนวโหดๆเหวี่ยงๆดี ถ้าเป็นพระเอกน้องเอมคงช้ำน่าดู  :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick [-2-] 18/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 19-09-2011 00:16:43
แอบเชียร์จินเจอร์อ่ะ

ชอบแบบโหดๆๆ

เอ๊ะ   รึว่าเราซาดิสต์หว่าาาาาาาา

 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Love Sick [-3-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 23-09-2011 12:50:13
Love Sick

- 3 -


วันนี้เป็นวันทำความสะอาดหอพักครับ ที่หอพักของพวกเราจะมีการกำหนดให้นักเรียนสังคายนาห้องตัวเองครั้งใหญ่ ตามกฏระบุไว้ว่า ‘เพื่อให้เกิดความสะอาดเป็นระเบียบร้อย และป้องกันการหมักหมมของสิ่งสกปรกภายในหอพัก’ ผลพลอยได้นอกจากความสะอาดนั้นก็คือการฝึกให้นักเรียนทุกคนได้รู้จักทำโน่นนี่นั่นด้วยตัวเอง

อย่างเช่นไอ้มิ้นท์เป็นต้น เดือนแรกที่ย้ายมานะครับ สิ่งเดียวที่ไอ้มิ้นท์ทำได้ก็คือการทำให้ห้องรก รกแบบที่ผมตามเก็บกวาดไม่หวาดไม่ไหว บอกให้ไปซักผ้ามาถูห้อง ก็ทำเหมือนจะล้างพื้น ไม่รู้ว่าบิดผ้าถูพื้นมาอีท่าไหนถึงได้เปียกโชกขนาดนั้น แต่ตอนนี้ไอ้มิ้นท์มีพัฒนาการแล้วนะครับ มันสามารถถูพื้น กวาดพื้นได้เงาแว๊บ และซักผ้าปูที่นอนได้หอมฟุ้งเชียวแหละ

เดี๋ยวนี้พอถึงวันทำความสะอาด ในฐานะที่ผมไม่ชอบกวาดพื้น ก็จะใช้ให้ไอ้มิ้นท์กวาดถู ส่วนผมขอทำหน้าที่ซักรีดผ้าเอง

“มิ้นท์ เดี๋ยวกูเอาผ้าไปซักก่อนนะ” ผมหันไปบอกไอ้มิ้นท์แล้วหิ้วตะกร้าผ้าที่มีเสื้อผ้าของผมและมันปนกันอยู่ลงไปห้องซักรีด ระหว่างเดินลงไปผมก็เห็นห้องอื่นกำลังทำความสะอาดกันอย่างขมักเขม้นเพื่อจะให้ทันเวลาเย็นที่พวกอาจารย์ประจำหอจะมาเดินตรวจความเรียบร้อย

ผมเลือกเครื่องซักผ้าถังริมสุด จัดแจงเอาผ้าใส่ถังเสร็จแล้วก็มองซ้ายมองขวาว่าไม่เห็นคนอื่นแถวนี้แล้ว ก็หาที่นั่งสำหรับการเหม่อลอย ช่วงนี้ผมรู้สึกคิดถึงพวกครูที่บ้านเด็กกำพร้าจังครับ ผมย้ายออกมาเกือบปีแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าพวกน้องๆที่นั่นจะเป็นยังไงบ้าง ผมอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด ผมไม่เคยสงสัยเรื่องอดีตของผม และไม่เคยคิดจะถาม เพราะประโยคเพียงประโยคเดียวของคนๆหนึ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่จำความได้

‘การผูกใจกับเรื่องเลวร้ายในอดีตไม่ทำให้ชีวิตเราก้าวต่อไปได้หรอกนะลูก’

ถ้อยคำซึ่งออกมาจากปากของครูใหญ่ที่บ้านเด็กกำพร้า หรือที่ผมเรียกติดปากว่าครูฉวียังฝังแน่นในหัว ครูฉวีที่ใบหน้ามีแต่รอยเหี่ยวย่นมักจะยิ้มให้ผมจนตีนกาบนหน้าของท่านดูเยอะขึ้นไปอีก แต่นั่นกลับทำให้ท่านดูสวยเหลือเกินในสายตาของผม ผมไม่รู้ว่าถ้าไม่มีครูฉวีสักคน ผมจะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่ได้ไหม แม้ว่าตอนนี้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ทุกคำสอนของท่านก็ยังเป็นเครื่องเตือนใจผมได้เสมอ

“มานั่งจ้องเครื่องซักผ้าทำไมกันครับ?” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกว่ามีมือแตะที่บ่า หันไปมองเจ้าของมือก็เห็นเป็นพี่เปปเปอร์ของผม(?)นั่นเอง วันนี้พี่ก็หล่อเหมือนเดิมนะครับ >//<
“อ๋อ.. เอ่อ ไม่ได้จ้องนะครับ แค่ใจลอยนิดหน่อย” ผมขยับถอยห่างออกมานิดหน่อย ก็พี่เปปเปอร์เล่นมาซะใกล้ผมจนได้กลิ่นจากตัวพี่เขาเลย ผมรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆยังไงก็ไม่รู้
“ว่าแต่ช่วงนี้เราเจอกันบ่อยจังเลยนะครับ” พี่เปปเปอร์พูดแล้วยืนอมยิ้ม
“ครับ..” ผมพยักหน้าแล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่...
“อืม.. พี่เห็นเวลาเอมคุยกับมิ้นท์ ไม่เห็นเงียบเหมือนตอนคุยกับพี่เลยนะครับ เอมไม่ชอบพี่เหรอ?” พี่เปปเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ไม่ใช่นะครับ เอมชอบพี่เปปเปอร์นะครับ ชอบมากด้ว-!!” เย้ย! ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย พอรู้ตัวผมก็มองหน้าพี่เปปเปอร์ ทำไมดูเหมือนว่าพี่เขาทำสายตาระยิบระยับพิกล
“คือ เอมหมายความว่าพี่เปปเปอร์เป็นรุ่นพี่ที่ใจดีมากเลยนะครับ ใครเขาจะไม่ชอบกันบ้าง...”
“อ๋อ พี่เป็น ‘แค่’ รุ่นพี่ที่ดีสินะครับ” บรรยากาศหม่นหมองทันทีที่พี่เปปเปอร์พูดจบเลยครับ
“...” ผมสงสัยว่าพี่เปปเปอร์ต้องย้ำคำว่า ‘แค่’ ทำไมกันนะ แล้วยังต้องทำหน้าเศร้าอีก ผมพูดอะไรไม่ออกเลย สมองผมเริ่มทำงานมั่วซั่วไปหมด ผมควรจะทำยังไงดี หรือจะทำอะไรก่อนดี จะถามเขาว่าอะไรดี
“ทำไม...” ผมคิด คิดอยู่นานจนพี่เปปเปอร์เลิกคิ้วสูง ผมรู้ว่าเขารอฟังว่าผมจะพูดอะไร ผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี
แต่แล้ว...ผมก็ทนไม่ไหว

“ทำไม...พี่ต้องทำเหมือนแหย่เอมเล่นด้วยละครับ พี่สนุกเหรอ?” ผมกำลังจะร้องไห้ ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกมันมีทั้งเศร้า เสียใจ น้อยใจ ผมรุ้แล้วว่าพี่เปปเปอร์ก็รู้ว่าผมคิดยังไง แล้วเขาก็พอใจกับการได้แกล้งผม? ทำไมเขาต้องทำเหมือนมีความสุขที่ได้เห็นผมวุ่นวายใจด้วย เขาจะรู้บ้างไหมว่ากว่าที่ผมจะเค้นความกล้าให้พูดกับพี่เขาได้สักประโยคหนึ่งมันยากแค่ไหน...

“...” พี่เปปเปอร์ขมวดคิ้วแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอด ผมตกใจและพยายามดันพี่เขาออก แต่เขาก็ตัวใหญ่กว่าและแรงเยอะเหลือเกิน
“ดูสิ ตัวก็แค่นี้... คิดอะไรเยอะแยะกัน” น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนทำให้ผมน้ำตาไหล พี่เปปเปอร์กอดผมไว้แน่น กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มหอมกรุ่นจากเสื้อทีเชิ้ตราคาแพงของพี่เขา กลิ่นโรลออน กลิ่นน้ำยาโกนหนวด ฮือ.... ผมมีความสุขเป็นบ้าเลย ถึงจะร้องไห้อยู่อย่างนี้ก็เถอะ...
“!?!” เฮ้ย ผมรู้สึกเหมือนพี่เปปเปอร์เอาปากมาแตะที่หน้าผากผมเลย ไม่ๆ ไม่ใช่คิดไปเองแน่นอน! ก็พี่เปปเปอร์เอาริมฝีปากมาคลอเคลียกับหน้าผากผมไม่ห่างเลย พี่เขาจูบผมอ้ะ!!!
“มัดจำไว้ก่อนนะ จะได้ไม่คิดว่าพี่แค่หยอกเล่น” พี่เปปเปอร์จับแก้มผมไว้เพื่อเช็ดน้ำตาแล้วก็ยิ้มหวาน อึก..หล่อเป็นบ้าเลยครับ... ผมทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองแผ่นหลังพี่เปปเปอร์ที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ทุกการรับรู้เริ่มกลับเข้ามาในสมองผม ผมแตะที่หน้าผากตัวเองแล้วอยากจะกรี๊ด(??)

‘กูโดนจูบหน้าผาก!!’ ผมจะสติแตกอยู่แล้วครับ พอเริ่มตั้งสติได้ก็เดินกลับไปบนห้อง เห็นไอ้มิ้นท์กำลังเอาขยะออกมาทิ้ง ผมก็เดินเลยมันไป รู้ตัวนะครับว่าไม่ได้ทักเพื่อน แต่แค่ประคองร่างกายเดินกลับห้องก็ยากแล้ว จะอ้าปากพูดยังไม่อยากทำเลย
“มึงเป็นไรเนี่ยเอม ดูมึนๆ หน้าแดงอีก เป็นไข้เปล่า?” ไอ้มิ้นท์ชะโงกหน้ามาจ้องผมแล้วทำท่าจะเอามือมาอังที่หน้าผาก
“เฮ้ย อย่ามาแตะหน้าผากกู เดี๋ยวรอยหาย” ผมปัดให้มือมันออกไปห่างๆ ไม่ได้ครับ เดี๋ยวรอยหาย วันนี้ผมจะไม่อาบน้ำด้วยละ
“อ้าวไอ้นี่ กูอุตส่าห์เป็นห่วง” มันมองผมด้วยสายตาประมาณว่า มึงบ้าเปล่าเนี่ย แล้วมันก็เดินไปเข้าห้องน้ำครับ พอไอ้มิ้นท์ไปแล้วผมก็ทรุดตัวลงนอนเอาหมอนกดหน้าไว้ ผมกลัวน่ะ ว่าถ้าไอ้มิ้นท์เห็นหน้าผมแล้วจะเดาได้ว่าไปเจอพี่เปปเปอร์มา ผมไม่อยากให้มันล้อ แล้วก็ไม่อยากให้สัมผัสจากพี่เปปเปอร์หายไปด้วย...นี่มันครั้งแรกของผมนะ...

ว่าแต่แบบนี้ไม่เรียกว่าพี่แค่แกล้งผมใช่มั้ยครับ?


ณ อีกมุมหนึ่ง
ร่างสูงที่เดินยิ้มกริ่มไปตามทางเดินของหอพักปีสามกำลังอารมณ์ดีที่ตัดสินใจไปเดินโฉบแถวหอของเด็กปีหนึ่ง ทั้งที่กะว่าอาจจะฟลุ้คได้เจอก็กลับเจอจริงๆ แถมยังได้สัมผัสด้วย ที่เคยสงสัยว่าจะผิวขาวนั้นจะนุ่มเนียนเหมือนตาเห็นหรือเปล่าก็ได้รับการพิสูจน์ แถมยังหอมเกินคาดคิด...

หลังจากที่ได้เห็นครั้งแรกตอนที่เจ้าตัวเล็กนั้นมาเฝ้าเพื่อนซ้อมบาสก็รู้สึกสะดุดตาทันที ใบหน้าขาว ผิวขาวสะอาดตา เสียงใสๆที่ดังขึ้นเวลาที่ปากสีสดนั้นขยับช่างดึงดูดใจให้มองตาม น่าเสียดายที่วันนั้นเขามีธุระจึงไม่ได้อยู่เฝ้ามองจนซ้อมเสร็จ แต่หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้เจอแบบนานๆครั้ง เพราะว่าเรียนกันคนละชั้นปี คลาดกันไปคลาดกันมาในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้งจนได้

เสียงคนโหวกเหวกนอกสนามบาสทำให้กลุ่มคนที่กำลังซ้อมบาสอยู่กันไปมอง เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าเสียงเหมือนมิ้นท์เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าทีมมา เขาก็คิดว่าบางทีเจ้าตัวเล็กที่เป็นเพื่อนมิ้นท์อาจจะตามมาด้วย แล้วก็ไม่ผิด... เขายิ้มขึ้นมาทันทีที่เห็นร่างเล็กๆผิวขาวๆนั้นกำลังหัวเราะเสียงดัง และเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กก็เหลือบมองมาที่เขาเหมือนกัน

พอเขาเดินไปใกล้ ก็รับรู้ทันทีว่าถ้าคิดไม่ผิด เจ้าตัวเล็กนี้ต้องมีใจให้เขาแน่นอน เพราะใบหน้าขาวนั้นแดงก่ำเมื่อเห็นเขาไปใกล้ และเงียบกริบไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขิน ก็คงเกลียดมากละมั้ง...

แต่ใครละจะเกลียดแล้วหน้าแดง อย่างนั้นมันอายชัดๆ.. น่ารักเหลือเกิน ทำไมถึงได้ดูสดใสและสะอาดแบบนั้นนะ ผิดกับคนอื่นๆที่เคยเจอมามาก

ยิ่งได้เจอบ่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารัก แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เขาทำตัวเป็นสโตกเกอร์คอยเช็คตารางเรียนของเจ้าตัวเล็ก แล้วยังแอบไปถามประวัติจากพี่สาวที่แผนกทะเบียนโดยอาศัยว่าเป็นนักเรียนดีเด่นที่ใครๆก็รู้จัก พอได้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กเป็นเด็กกำพร้าก็ยิ่งสงสารและเอ็นดู เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า...อยากดูแลใครสักคน
‘พี่เปปเปอร์...’ ร่างสูงนึกแล้วก็ยิ้ม เหมือนว่าเสียงเล็กๆที่เรียกชื่อเขายังคงดังอยู่ใกล้ กลิ่นหอมก็ยังติดอยู่ที่ปลายจมูก ตัวก็เล็กเหลือเกิน กอดทีเดียวก็บังมิดทั้งตัว แรงก็น้อย คิดแล้วก็ต้องรีบหยุดคิด เพราะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มแปลกไป ไม่ได้... เขาอยากจะถนอมร่างเล็กนี้เอาไว้ จะต้องไม่ทำอะไรตามแรงอารมณ์และความต้องการของร่างกาย เด็กคนนี้ไม่ใช่ของแก้เหงาเหมือนคนอื่น เอมแตกต่างจากคนอื่น เขาไม่อยากให้เอมคิดน้อยใจ ว่าเขาแค่เล่นๆแก้เซ็ง เขาอยากให้เอมรับรู้ว่าเขาจริงจังเหมือนกัน...


ต่างกับอีกคนหนึ่ง... ที่รู้สึกว่าอยากครอบครองตั้งแต่แรกเห็น อยากจะทำให้ร่างกายนั้นเป็นของตัวเองไวๆ อยากจะได้ยินเสียงหวานคร่ำครวญอยู่ใต้ร่างเขา อยากจะกัดผิวขาวนั้นให้เป็นจ้ำแดงจนสาแก่ใจ อยากจะฟอนเฟ้นร่างบางให้พังทลาย ถ้าหากว่ากลืนกินได้ทั้งตัวก็คงจะดี...

แต่น่าเสียดายที่เขาคงไม่ใช่คนที่ร่างเล็กนั้นต้องการ ดวงตากลมโตนั้นแฝงแววไม่ชอบใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเขา มันน่าโมโหนัก พอโมโหแล้วก็คิด... ว่าถ้าไม่ได้ใจมา สู้ทำลายทิ้งดีกว่าไหม? ต่อให้เป็นพี่ชายก็เถอะ เขาก็ไม่อยากจะยอมให้ ถึงจะบอกว่ายังมีคนอื่นที่แค่เขากระดิกนิ้วก็คงตามมาเป็นพรวน แต่ไม่รู้ทำไมถ้าไม่ใช่คนนี้เขาก็ไม่ต้องการ พยายามลืมก็แล้ว สมองก็ยังคงจดจำใบหน้านั้นไว้เสมอ แกล้งทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ช่วยอะไรเลย ยิ่งเห็นเจ้าตัวเล็กยิ้มให้พี่ชายก็ยิ่งโกรธ...

‘กูคงบ้าไปแล้ว แค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนเดียว ทำให้กูเป็นไปได้ขนาดนี้...’ คิดแล้วก็นั่งซบหน้ากับฝ่ามือ ใจจริงอยากจะรักให้มากๆ อยากจะเอ็นดู ความรู้สึกอยากดูแลก็ไม่ได้น้อยไปกว่าที่พี่ชายตัวเองมีสักนิด...

ผมกำลังหลับสบายก่อนที่จะรู้สึกว่ามีมือยักษ์มาเขย่าตัวแล้วเรียกเสียงดัง...
“เฮ้ย ไอ้เอม เอาอีกแล้วนะมึง!” เอ๋ เสียงอะไรน่ะ ผมคิดแล้วก็ลืมตา เห็นไอ้มิ้นท์ทำหน้าแตกตื่นพอดี
“อะไรวะ...” ผมงึมงำ เอามือมาขยี้ตา อะไรเปียกๆหว่า??
“เอ้านี่ เอาทิชชู่ซับ” ไอ้มิ้นท์เอากระดาษทิชชู่มาโปะจมูกผมแล้วดันให้ผมนอนลง ผมเหลือบเห็นสีแดงๆที่กระดาษทิชชู่ สงสัย...
“กู...เลือดกำเดาไหลเหรอวะ?”
“เออเดะ กูเดินเข้ามาเห็นมึงนอนเลือดไหลออกจมูก กูก็แทบกรี๊ด” ไอ้มิ้นท์ดูหัวเสีย ผมทำให้มันเป็นห่วงอีกแล้วอะ งือ... ทำไมผมต้องทำให้คนอื่นลำบากเพราะผมเสมอเลยนะ
“กู..ขอโทษนะมิ้นท์..”
“ขอโทษทำไมวะ มึงไม่ได้ทำไรผิดสักหน่อย” ไอ้มิ้นท์ดึงทิชชู่ทิ้งลงถังขยะแล้วดึงแผ่นใหม่มาโปะจมูกผม อืม...เดี๋ยวนี้มันปฐมพยาบาลเก่งขึ้นนะครับ สงสัยได้ผมเป็นที่ฝึกซ้อมบ่อย
“มึงนี่อ่อนแอจังวะเอม เป็นโน่นเป็นนี่ ไปตรวจร่างกายบ้างดีมั้ย” ผมส่ายหัว แล้วไอ้มิ้นท์ก็ชักสีหน้าจะด่าผมอีกรอบ ผมเลยต้องรีบอธิบายให้มันฟัง
“คือมึงก็รู้นี่มิ้นท์ ว่าร่างกายกูมันไม่ได้อ่อนแอหรือมีปัญหาอะไร ถ้ากูไม่ตื่นเต้นอะนะ..” ใช่ครับ ผมเป็นพวกที่อารมณ์สื่อถึงร่างกาย ถ้าผมเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมากๆไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี มันก็จะส่งผลถึงร่างกายเสมอ
“แล้วมึงไปเจอเรื่องอะไรมา?” ว่าแล้วมันต้องถาม ผมเริ่มรู้สึกอายขึ้นมาอีกแล้ว
“เฮ้ยๆ กูไม่ถามละ ไม่ต้องนึก หน้ามึงแดงก่ำแล้ว เดี๋ยวเลือดทะลักอีก” อา...ค่อยยังชั่ว อย่าให้เล่าเลยนะเพื่อน ไม่งั้นเลือดกูหมดตัวแน่ๆเลย

ว่าแต่ทำไมวันนี้อะไรๆรอบตัวก็ดูเป็นสีชมพูไปหมด ว่าไหมครับ?
คิดถึงพี่เปปเปอร์แล้วก็อดยิ้มไม่ได้... พี่เปปเปอร์ของเอม โฮก~


หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-09-2011 13:39:16
เอาแล้ว!! พี่น้องฝาแฝดชอบผู้ชายคนเดียวกันจนได้ :z3:
แต่ดูตอนนี้น้องเอมมีใจให้พี่เปปเปอร์เต็มๆ :z1:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 23-09-2011 13:39:39
+เป็ดให้ค่ะ อย่างงี้น้องเอมต้องให้พี่เปปเปอร์ช่วยรักษาให้หายจากโรคตื่นเต้นจนเลือดกำเดาไหลด้วยการ.......... :z1: ดีมั้ยคะน้อง แต่อีกใจก็ชักอยากให้พี่จินเจอร์รักษามากกว่าแฮะ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 23-09-2011 15:56:17
หลงรักน้องชะเอมเข้าอย่างจัง
น่ารักอะไรขนาดนี้
พี่น้องฝาแฝดแย่งกันเองซะแล้ว
แอบเชียร์นายจินกวนๆดี
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 23-09-2011 19:17:01
คะแนนพี่พริกไทยนำโด่งสูงลิ่ว
ส่วนของพี่ขิงมีคะแนนติดลบเป็นฐาน จะไล่ตามทันไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: killy ที่ 23-09-2011 20:10:25
พระเอกจะเป็นใครน๊อ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 24-09-2011 01:43:14
เพิ่งจะเห็นเรื่องนี้ก็มี 3 แระ แว๊ปแรกติดใจบอกตอนต้นของคุณบีบีว่า นายเอกของเราเขินแล้วป่วย >.< รีบเลื่อนมาอ่านต่อทันทีเลย
 :oni3:ขอให้พระเอกเป็นพี่เปปเปอร์ ก็เค้าสองคนใจตรงกันนี้เนอะ
พี่จินดูความคิดน่ากัวไปหน่อยนะคะ (แต่ก็แอบคิดให้พี่จินคู่กะมิ้น  :laugh:)
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 24-09-2011 02:23:50
เอมเอ๊ย
แบบนี้ ท่าทางจะเป็นโรคหัวใจ.......ต้องการความรัก
แล้วล่ะหนู

 :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 24-09-2011 08:31:43
 :jul3: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 25-09-2011 13:14:36
3pป่าวเนี่ย^^
ตอนแรกว่าจินน่าจะคู่กะมิ้นท์ แต่มิ้นท์มือยักษ์ คงไม่ดีแฮะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-3-] 23/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 26-09-2011 18:51:17
แบบนี้ 3p แน่เลยช่ายป่ะ
หัวข้อ: Love Sick [-4-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 29-09-2011 17:50:14
Love Sick

- 4 -


วันนี้อากาศดีมากเลยครับ ฟ้าใส แดดแรง ผมเลยพาลรู้สึกว่าชั่วโมงเรียนผ่านไปไวเหลือเกิน แป๊บเดียวก็เที่ยงซะแล้ว
“เอม กินข้าวเสร็จแล้วไปดูซ้อมดนตรีกัน” ไอ้มิ้นท์รีบหันมาบอกผมที่นั่งอยู่ด้านหลังมันทันทีที่หมดคาบเรียน
“ซ้อมดนตรีอะไรอ่ะ?”
“ก็วงของโรงเรียนเรานี่ละ เห็นว่ามีซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมไปแข่งระดับภาค” เห? ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโรงเรียนผมมีวงดนตรีด้วย
“เหรอ แล้วเขาเล่นดนตรีแนวไหน”
“ก็เพลงไทยสากล บางทีก็มีเพลงฝรั่งปนๆมาบ้าง พวกพี่เขาเล่นเก่งมากเลยนะโว้ย กูเคยไปแอบดูเขาซ้อมมาแล้วครั้งนึง” อืม... ฟังดูน่าสนใจแฮะ ไปก็ได้วะ ว่าแต่เป็นวงของรุ่นพี่เหรอ พี่เปปเปอร์หรือเปล่าน้า หุหุ
“เออ ไปก็ไป งั้นกินข้าวก่อนแล้วกัน”

หลังจากที่ผมและไอ้มิ้นท์กินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ไอ้มิ้นท์รอคอย พวกเราเดินไปที่หอประชุมเล็กซึ่งเป็นสถานที่ซ้อมประชุมชั่วคราว จำนวนคนที่มากจนล้นทะลักออกมาตรงทางเท้าด้านนอกทำเอาผมแทบถอดใจไม่ไปดู แต่เพราะว่าแรงควายของไอ้มิ้นท์ที่ลากแขนผมเข้าไปนั่นละ พวกเราจึงได้ไปยืนอยู่ด้านหน้าแทบติดกับวงดนตรี

สิ่งแรกที่เข้ามาปะทะกับสายตาของผมทำให้ผมแทบหยุดหายใจ เสียงทุ้มต่ำที่กำลังร้องเพลงเหมือนมีมนต์สะกดสั่งให้ผมหยุดสายตาอยู่ที่คนร้องนำ เพลงที่ต้นฉบับร้องโดยนักร้องผู้หญิงที่มีเสียงหวานเป็นเอกลักษณ์ ไม่น่าเชื่อว่าพอมาถ่ายทอดผ่านเสียงผู้ชายจะฟังได้กินใจขนาดนี้

.......
..
ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
ไม่ไขว้คว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ

อีกคนที่รักๆ เธอคนเดียวเท่านั้นหมดใจ
ไม่ต้องการคำตอบใดๆ แค่อย่าทำร้ายใจก็พอ
อาจมีสักครั้งที่เธอต้องทนอ้างว้างไม่เหลือใคร
แต่อย่าลืมอีกหนึ่งคนไกลคนที่ใจไม่ไกลจากเธอ

สิ่งที่เธอเคยได้เห็นฉันคือ
ฉันคนเดิมอยู่ตรงที่เก่า
แบ่งปันอารมณ์ที่เหงาที่ซึมเซา
แต่ไม่ใช่คนที่เธอรัก...

“พี่จินแม่งร้องเพลงโคตรเพราะ” เสียงไอ้มิ้นท์ดังขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปถามว่ามันแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นพี่จิน ทั้งที่ใจของผมเองก็รู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่าคนนี้คือพี่จิน เพราะสายตาของเขานั้นมันดูเฉยเมย ต่างจากพี่เปปเปอร์ที่มักจะมีสายตาอ่อนโยนเสมอ แต่ถึงแม้จะรู้ว่านั่นจะเป็นพี่จินผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้
“ก็พี่จินเขาเป็นนักร้องนำของวงไง” นั่นคือคำเฉลยจากปากไอ้มิ้นท์ ผมไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนมาดูการซ้อมมากขนาดนี้ ก็ดูนักร้องนำสิ ทั้งน้ำเสียงและรูปร่างเหมือนกับเป็นแม่เหล็กที่ดูดผู้คนให้เข้ามาใกล้ พี่จินทำสีหน้าได้อินกับเพลงมาก อย่างกับว่าเพลงนี้เป็นความรู้สึกจริงๆของเขาอย่างนั้นแหละ

‘?’ ผมรู้สึกว่าแวบหนึ่งสายตาของพี่จินมาหยุดตรงหน้าผม ไม่ใช่... ไม่ใช่แวบเดียว... ผมว่าเขากำลังมองผมต่างหาก ดูเหมือนว่าไอ้มิ้นท์ก็คงรู้สึกเหมือนกัน เพราะมันหันมามองผมสลับกับมองพี่จิน
“อ๊ะ เปลี่ยนคนร้องแล้ว” โชคดีครับ เพราะว่ามีการเปลี่ยนตัวนักร้องจากพี่จินเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมว่าน่าจะปีเดียวกับพวกผมนะ เพราะคุ้นๆหน้าอยู่
“นี่ไง... ที่กูรอคอย” ไอ้มิ้นท์พูดพึมพำเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน ผมหันไปมองที่วงดนตรีว่าอะไรคือสิ่งที่ไอ้มิ้นท์รอคอย อย่าบอกนะว่ามันมาเพื่อรอดูนักร้องหญิงคนนี้? ผมตั้งใจมองนักร้องหญิงที่กำลังฮัมช่วงอินโทรของเพลง อืม น่ารักไม่ใช่น้อย นับว่าไอ้มิ้นท์ตาถึงไม่เบา

ฮืม....ฮือ....ฮืม......
เกลียดคำถามเธอ เมื่อยามที่พบเจอ ว่าวันนี้ฉันไม่เป็นไรใช่มั้ย
ถ้อยคำเหมือนหวังดี ที่เธอแค่พูดไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้น
คนๆหนึ่งที่โดนทิ้ง คงจะอยู่อย่างสุขสันต์ คำผ่านๆประเภทนั้น ถามเอาอะไร
วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า....
มันเหงาจะขาดใจ แต่ละคืนยาวนานและแสนยากเย็น ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ให้ผ่านคืนโหดร้ายไปอีกคืน..

ผมพอรับรู้ได้ว่าเสียงของนักร้องเพราะและมีพลังเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆจะทำได้ แต่ว่าสีหน้าของเพื่อนผมตอนนี้มันทำให้ผมอึ้งมากกว่าครับ ไอ้มิ้นท์ทำตาวิบวับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนผมมั่นใจว่าต้องมี Something Wrong แน่ๆเลย
“มึงชอบเขาเหรอ?” ผมแกล้งถาม แต่ไอ้มิ้นท์กลับพยักหน้าตอบ สงสัยมันกำลังเคลิ้มจัดเลยครับ
“เขาชื่ออะไรอะ” ผมแกล้งถามต่อ
“ชื่อซิน อยู่ปีเดียวกับเรานี่แหละ” โว้ มันตอบมาเยอะกว่าที่ผมถามอีกครับ
“อืม น่ารักเนอะ แล้วจะจีบปะละ” มันกำลังจะตอบครับ แต่แล้วก็เหมือนนึกได้ มันหันมามองผมตาโตแถมหน้าแดงแปร๊ด
“มึงถามอะไรกูเนี่ยยยยย!” กร๊ากกกก ไอ้มิ้นท์มีความรักคร้าบทุกท่าน~
“แหม ทีกูแอบชอบใครกูยังบอกมึงเลยนะ ทีงี้ไม่บอกกูบ้างหรอก” ผมค้อนมันแว่บหนึ่งแต่มันคงไม่สนใจผมหรอกครับ ก็เล่นจ้องนักร้องที่ชื่อซินไม่ละสายตาเลยนะ แล้วที่สำคัญ ผมกำลังแปลกใจกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าครับ ทำไมผมถึงรู้สึกตึกตักตอนเห็นพี่จินร้องเพลงนะ สงสัยอาจจะเป็นเพราะว่าเวลาที่คนเราเล่นดนตรีมันจะดูเท่ขึ้น 50% ละมั้ง ก็คงแค่นั้น... องค์ประกอบของเครื่องดนตรี ทั้งไมโครโฟน กีตาร์ คีย์บอร์ด คงทำให้คนหล่อขึ้นบ้างแหละ... เนอะ...

หลังจากที่หมดเวลาพักเที่ยงผมกับไอ้มิ้นท์ก็แยกย้ายกัน ไอ้มิ้นท์ไปห้องน้ำ ส่วนผมก็ไปที่ห้องเรียนเลยครับ ช่วงบ่ายเป็นวิชาอิสระ อาจารย์ชอบปล่อยให้นั่งสเก็ตช์ภาพกันเอง บางทีก็จะมีเด็กห้องอื่นมาร่วมแจมด้วย
“ขอโทษนะคะ เราขอจับคู่กับเธอได้มั้ย” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูทักผม พอผมเงยหน้าจะขอปฏิเสธก็แอบตกใจไปแวบหนึ่ง ก็นี่มันสาวซินที่ร้องเพลงเมื่อกี้นี่หว่า จากที่กะว่าจะปฏิเสธก็เลยคิดว่าตกลงดีกว่า หึหึ ถ้าไอ้มิ้นท์มาเห็นต้องกรี๊ดแน่เลย
“คือว่าเรากะว่าจะวาดคนเดียวน่ะครับ แต่เดี๋ยวเพื่อนเราก็มา เธอจับคู่กับเพื่อนเราได้มั้ย” ผมเสนอ แหม ทำไมถึงคิดอะไรได้แยบยลขนาดนี้นะเรา
“ได้สิคะ” โอ๊ะ เธอยิ้มสวยเสียด้วย ซินยิ้มให้ผมแล้วก็ดึงอุปกรณ์มานั่งข้างผม ระหว่างนั้นผมก็แอบมองเธอเป็นระยะ เธอน่ารักจริงๆด้วย ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักอะครับ ตัวเล็กกว่าผม ผิวขาว ผมยาว ตาก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน อย่างกับลูกครึ่งแน่ะครับ
“เอ่อ แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นมาด้วยเหรอครับ” ผมถามฆ่าเวลาบวกกับความสงสัย เพราะส่วนมากถ้ามีเด็กต่างห้องมาแจมวิชาอิสระ ก็มักจะมากันเป็นกลุ่มๆน่ะครับ ไม่ค่อยเห็นใครมาคนเดียวหรอก
“อ๋อ คือว่าพวกเพื่อนเราเขาไปห้องงานปั้นกันหมด เห็นว่าอาจารย์ห้องนั้นหล่อน่ะ” ซินพูดยิ้มๆ ผมก็นึกตาม เออ..อาจารย์ที่ห้องงานปั้นหล่อจริงๆครับ เห็นว่าเป็นอาจารย์เพิ่งจบใหม่ด้วย
“ว่าแต่เธอชื่อซินใช่มั้ย เราชื่อเอมนะ” ผมแนะนำตัว ผู้หญิงคนนี้ยิ่งมองยิ่งเพลินจริงๆครับ เสียดายที่รสนิยมผมต้องเป็นชายหนุ่มหล่อล่ำเท่านั้น ไม่งั้นผมคงจีบเธอแน่
“จริงๆแล้วเรารู้จักเอมมานานแล้วแหละ” ซินพูดยิ้มๆ
“อ้าว รู้จักเราได้ไงเหรอ?” นี่ผมเป็นที่รู้จักของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย
“ก็เอมเป็นนักเรียนทุนใช่มั้ย เราก็เป็นนักเรียนทุนเหมือนกัน แล้วอาจารย์ที่ดูแลเรื่องนักเรียนทุนน่ะก็ชอบชมเอมให้ฟังว่าเรียนเก่งแล้วก็วาดรูปเก่งมาก” เหวอ ผมเขินจัง นี่อาจารย์เอาผมไปพูดแบบนั้นด้วยเหรอ แต่ยังไม่ทันจะได้เขินอะไรไอ้มิ้นท์ก็มาพอดีครับ
“อ๊ะ เพื่อนเรามาพอดี” ผมหันไปบอกซิน
“คนนี้ชื่อมิ้นท์นะซิน คนนี้แหละที่จะให้ซินจับคู่ด้วย” พอไอ้มิ้นท์มาถึงตรงที่ผมนั่ง มันก็มองผมทีนึง มองซินทีนึง ผมเลยแนะนำไอ้มิ้นท์ให้กับซิน เธอส่งยิ้มให้ไอ้มิ้นท์ที่ยืนอึ้งเป็นรูปปั้นไปแล้วครับ
“อะ..เอ่อ สวัสดีครับ..” ไอ้มิ้นท์ทักทายแบบเก้อๆ ผมเองก็อยู่เห็นเหตุการณ์ถึงแค่ตรงนั้นแหละครับ เพราะหลังจากนั้นผมก็เดินออกไปหาที่วาดรูปข้างนอกแทน แบบว่าไม่อยากอยู่เป็นกขค.นี่นะ...

ผมเลือกมานั่งตรงใต้อาคารเรียน ช่วงนี้เป็นคาบเรียนจึงไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน บริเวณรอบๆก็เงียบแถมยังมีลมพัดตลอด ผมรู้สึกเหมือนว่าเสียงเพลงของพี่จินยังคงดังชัดเจนอยู่ในหัวของผม ผมถามไอ้มิ้นท์แล้ว มันบอกว่าเพลงที่พี่จินร้องเป็นเพลงของเจ๊คิ้มจริงด้วย ชื่อเพลง ‘คนไกลๆ’ แล้วพี่จินก็ร้องเพลงนี้ได้อินมากเลย อินซะจนผมคิดไปว่าพี่เขาแอบรักใครอยู่หรือเปล่า

‘ฮึ้ย จะไปนึกถึงทำไมนะ’ ผมสะบัดหัวไล่ความคิดถึงพี่จินออกไป มันคงเป็นแค่วูบหนึ่งนั่นแหละที่ผมคิดว่าเขาเท่ ถ้าไม่ใช่ตอนที่เขาร้องเพลงผมก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก... แค่การร้องเพลงทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้...ก็แค่นั้น...

ผมรู้สึกอยากเห็นหน้าพี่เปปเปอร์ที่สุด แต่จนแล้วจนรอดทั้งสัปดาห์ผมก็ไม่เจอเขาเลยสักครั้ง ทั้งพี่ทั้งน้องแหละครับ ไม่เจอเลยแม้แต่เงา...


ในที่สุดผมก็ทนคิดถึงไม่ไหวและตัดสินใจถามไอ้มิ้นท์ในวันศุกร์ บางทีมันอาจจะรู้ก็ได้ว่าพี่เปปเปอร์ไปไหน
“ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่เห็นเขามาซ้อมหลายวันแล้วเหมือนกัน แล้วถามทำไมเนี่ย คิดถึงอะเด้ โอ๊ย!” ผมเอาสันมือฟาดหัวมันไปทีหนึ่งครับ มันใช่เวลามาแซวผมไหมเนี่ย...

และแล้วในวันเดียวกับที่ผมถามไอ้มิ้นท์ ผมก็ตัดสินใจมาเดินแกร่วตรงแถวหอพักของเด็กปีสาม เพราะความหวังอันน้อยนิดว่าจะได้เจอพี่เปปเปอร์แค่สักแว้บก็ยังดี

ผมเห็นรุ่นพี่ปีสามหลายคนไปเตะบอลที่สนาม บางกลุ่มก็รวมตัวกันทำการบ้าน บางกลุ่มก็นั่งคุยเล่นกัน แต่ไม่มีกลุ่มไหนที่จะมีพี่เปปเปอร์ของผมเลย เฮ้อ... อยากเจอชะมัด


วันเวลาผ่านไปอีกสองวัน วันนี้เป็นวันจันทร์แล้วแต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เปปเปอร์ ความหงุดหงิดเริ่มทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด ไอ้มิ้นท์มาโม้เรื่องซินให้ฟังก็หมั่นไส้เผลอแขวะมันไปเสียหลายแผล
“มึงไปกินข้าวคนเดียวนะมิ้นท์ กูจะไปวาดรูปหน่อย” ผมบอกมันเสียงแข็งหลังจากหมดคาบเรียนในช่วงเช้า
“อ้าว ไม่หิวหรือไงวะ”
“ไม่ค่อยหิว แต่ไม่เป็นไรหรอก กูมีแซนวิชติดกระเป๋าอยู่อันนึง” ผมบอกแล้วก็สะพายกระเป๋าออกมาจากห้องเรียนทันที ผมเริ่มสับสนว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขา แต่แค่ไม่ได้เจอเพียงสาม-สี่วันผมก็วุ่นวายใจมากเหลือเกิน... ผมควรจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดี...

ห้องศิลปะเงียบเชียบเพราะว่าตอนนี้คือช่วงพักกลางวัน คนอื่นเขาก็พากันไปกินข้าว มีแต่ผมละมั้งที่มานั่งบ้าวาดรูปอยู่ได้ นึกแล้วก็เศร้าใจ ทำไมผมถึงรู้สึกห่อเหี่ยวแบบนี้นะ ผมหยิบกระดาษวาดรูปแผ่นใหม่ขึ้นมาหนีบไว้บนเฟรม วันนี้ผมอยากลองระบายสีน้ำดู ไม่ร่างเส้นด้วยนะ ผมจะละเลงสีให้เต็มที่เลย

และแล้วจากกระดาษสีขาวก็เริ่มเต็มไปด้วยสีสันละลานตา ผมเองไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ารูปที่ผมระบายอยู่นั้นมันเป็นรูปอะไร พอได้จับพู่กันผมก็เหมือนถูกดึงเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง เวลารอบตัวผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งมีมือหนึ่งแตะลงมาที่บ่าของผม
“บ่ายแล้วเหรอมิ้-” ผมหันไปข้างหลัง คิดว่าคงเป็นเพื่อนร่วมห้องจึงทักออกไปโดยยังไม่ทันเห็นหน้าด้วยซ้ำ แล้วผมก็คิดผิดจนได้ เพราะคนที่ยืนอยู่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างเหมือนคนปญอ.ไปแล้ว...
“พี่หน้าเหมือนเพื่อนเราขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เจ้าของร่างสูงพูดไปยิ้มไป เห็นได้ชัดว่าไม่โกรธที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนอื่น คงเป็นเพราะว่าดีใจที่ได้เจอเช่นเดียวกันละมั้ง ทำให้อะไรๆก็ไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้...
“เอ่อ..ไม่เหมือนหรอกครับ คือเอมคิดว่าเป็นไอ้มิ้นท์ ขอโทษด้วยนะครับ...” อึ๋ย... สั่นอีกแล้วเรา ว่าแต่ดีใจชะมัดที่ได้เห็นหน้าสักที...เอมคิดถึงพี่เปปเปอร์มากเลยนะครับ > <
“ไม่ได้เจอหลายวัน ดูเอมโตขึ้นมากเลยนะ”
“? เอมเป็นคนนะครับ ไม่ใช่ถั่วงอก จะได้โตวันโตคืนขนาดนั้น” ผมพูดแล้วก็ทำหน้างอใส่พี่เปปเปอร์โดยอัตโนมัติ มาถึงก็หาเรื่องแหย่ผมซะแล้ว รู้สึกหมู่นี้พี่เขาชอบแหย่ผมจังแฮะ
“อะไรกัน งอนพี่เหรอ พี่แค่แหย่เล่นเองนะครับ”
“ไม่ได้งอนหรอก ว่าแต่พี่เปปเปอร์หายไปไหนมาหลายวันเลยครับ” แค่เห็นหน้าพี่ผมก็อารมณ์ดีแล้วแหละครับ ใครจะไปโกรธลง
“หืม? เอมสังเกตด้วยเหรอว่าพี่ไม่อยู่”
“ก็แหม...สังเกตสิครับ..” พี่จะต้องทำหน้าดีใจทำไมละเนี่ย ผมแค่ถามว่าพี่หายไปไหนก็แค่นั้น...โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมคิดถึงพี่ และก็มีแต่เรื่องของพี่เต็มหัวไปหมด!
“พี่ไปงานศพคุณทวดมาน่ะครับ” พี่เปปเปอร์พูดแบบไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร จะว่าเศร้าโศกก็ไม่ แต่ก็ไม่ได้ชิลจนน่าเกลียด
“อ้าว... เสียใจด้วยนะครับ... แต่ว่าพี่มีคุณทวดด้วย ท่านอายุเท่าไรเหรอครับ” ทวดนี่คือรุ่นพ่อแม่ของปู่ย่าตายายเราใช่ไหมครับ ผมเห็นน้อยมากเลยนะที่บ้านไหนจะมีทวดเนี่ย เพราะว่ารุ่นทวดจะต้องอายุมากเลย แถมยังมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยถึงรุ่นเราด้วยนี่นา
“ตอนที่เสียท่านก็ 102 ปีแล้วแหละครับ ตอนพี่เด็กๆน่ะ จำได้ว่าท่านยังแข็งแรงอยู่เลยนะ”
“แล้วพี่สนิทกับคุณทวดมั้ยครับ” ผมถามแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวจากพี่เปปเปอร์
“ไม่เลย เพราะว่าพี่อยู่คนละบ้านกับท่านน่ะ คุณทวดท่านอยู่บ้านใหญ่ที่เชียงราย ปีนึงพี่ถึงจะได้ไปไหว้สักครั้ง แถมท่านก็แก่แล้ว คงไม่ชอบเด็กซนๆแบบพี่กับจินเท่าไรนักหรอก” อีกชื่อหนึ่งที่ออกมาจากปากพี่เปปเปอร์ทำให้ผมสะดุดใจ... พี่จิน...
“พี่จินก็ไปด้วยเหรอครับ”
“อ้าว ก็ต้องไปสิ ถามอะไรแปลกๆนะเรา” นั่นสิ ผมถามอะไรพิลึกจริง
“ว่าแต่ว่าวันนี้จะไปดูพี่ซ้อม เอ๊ย จะไปดูมิ้นท์ซ้อมมั้ยครับ?”
“คงไม่ละครับ วันนี้ต้องร่างภาพให้เสร็จ” ผมนึกถึงการบ้านที่ต้องเร่งส่งอาจารย์แล้วก็ถอนหายใจ ทำไมการบ้านผมเยอะแบบเน้!
“ว้า เสียดายจัง..” ผมจะเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ พี่เปปเปอร์เสียดายที่ผมไม่ได้ไปดูไอ้มิ้นท์ซ้อม หรือเสียดายที่ผมไม่ไปดูพี่เขาซ้อม เขาคงคิดว่าผมไม่รู้สินะ...คงคิดว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรสินะ... ถึงได้ชอบทำแบบนี้...
“พี่เปปเปอร์ครับ...” ผมเรียกพี่เปปเปอร์แล้วเงยหน้ามองพี่เขา พี่เปปเปอร์มองผมกลับแล้วยิ้มบางๆ
“อะไรเหรอครับ?” บางทีถ้าผมรู้ว่าพี่เปปเปอร์จะทำสีหน้าแบบนี้ ผมคงไม่ทำในสิ่งที่ผมคิดหรอกครับ แต่มันก็คงไม่ทันเสียแล้ว... ลองนึกภาพเวลาที่เราแอบรักใครสักคน แล้วก็เหมือนว่าเขาจะชอบเราเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังชอบทำเหมือนให้ความหวัง เป็นคุณจะสารภาพไหมละ? ผมเองน่ะแทบจะทนเก็บความรู้สึกไม่ไหวอยู่แล้วนะครับ...
“เอม...นึกถึงเรื่องวันนั้นตลอดเลยครับ...เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันทำความสะอาดหอพัก...” พี่เปปเปอร์จะรู้มั้ย ว่าผมอายจนแทบจะทึ้งผมบนหัวตัวเองเหมือนคนบ้าแล้วเนี่ย!!
“เรื่องไหนเหรอครับ? เรื่องที่เราบังเอิญเจอกัน? เรื่องที่เราได้คุยกัน? หรือเรื่องที่พี่จูบหน้าผากเอม?” พี่เปปเปอร์พูดช้าๆ และเน้นย้ำทุกคำ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น...
“...” ง่ะ... ทำไมพี่เปปเปอร์พูดออกมาได้หน้าตาเฉยเลยเนี่ย พอผมมองหน้าพี่เปปเปอร์ผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าผมโดนแกล้งแน่นอน ก็พี่เปปเปอร์เขาทำสีหน้ากรุ้มกริ่มขนาดนั้นอะ...
“ยังจะมาถามอีก..” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง เคืองนะเนี่ย จะแกล้งผมไปถึงไหน..
“อ้าว ก็พี่ไม่รู้นี่ว่าเอมหมายถึงเรื่องอะไร พี่ก็ต้องถามสิครับ” เย้ย! ดันได้ยินอีก
“งั้นถ้าพี่เปปเปอร์ไม่รู้จริงๆก็ช่างมันเถอะครับ เอมมีนัดกับเพื่อน ต้องรีบไป” ผมพูดหยั่งเชิง ไอ้นัดกับเพื่อนอะไรนั่นน่ะไม่มีหรอกครับ แต่พี่เปปเปอร์เขาชอบแหย่ผมนัก งั้นขอผมแหย่กลับบ้างเถอะ
“นัดกับเพื่อน? คนไหนครับ พี่ไม่เห็นมิ้นท์บอกว่าจะมีนัดกับเอมสักหน่อย” พี่เปปเปอร์คว้าแขนผมหมับเลยครับ แถมทำหน้าถมึงทึงอีก ผมว่าเริ่มคิดถูกแล้วละที่ตัดสินใจพูดแบบนั้น หึหึ ลองโดนยั่วโมโหดูบ้างจะเป็นไรละครับ แต่ผมเริ่มจะรู้สึกแล้วละ ว่าไอ้มิ้นท์เพื่อนผมมันคงเป็นสายให้พี่เปปเปอร์แน่เลย ก็ดูพี่เขาเล่นตามผมไปได้ทุกที่ ถ้าไม่ใช่ไอ้มิ้นท์บอกก็คงเป็นเพราะเขามีญาณวิเศษแล้วมั้ง
“ไม่ใช่ไอ้มิ้นท์หรอกครับ ทั้งโรงเรียนไม่ได้มีแค่มันคนเดียวที่อยากเป็นเพื่อนผมนี่” ผมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วแกล้งทำเป็นว่าจะออกไปจากห้องศิลปะ ฮิ้วว เอาตุ๊กตาทองไปเลยไอ้เอม~
“เอมครับ” พี่เปปเปอร์จับแขนผมไว้แน่น แรงเยอะยังกับช้าง มือพี่เขากำแขนผมได้มิดเลยอะ เสียงพี่เขาก็เริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว
“อะไรครับ?” ต้องใจดีสู้เสือเข้าไว้ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ไอ้เอมกลัวได้ร้อก~
“...อยู่กับพี่ตรงนี้ อย่าไปไหนเลยนะ...” อึ๊ก ขาผมอ่อนยวบเลย พะ..พี่เปปเปอร์อ้อนผม!!
“แต่...เอมมีนัด” ผมพยายามแกะมือพี่เปปเปอร์ออก แต่แล้วโดยที่ไม่ทันตั้งตัว พี่เปปเปอร์ก็ดึงผมเข้าไปนั่งตักเขา อ๊าก! ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว!
“คบกับพี่นะ...”


หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: CHADMM ที่ 29-09-2011 18:48:16
เรื่องน่ารักอ่ะ ชอบน้องเอม ,,,,  เชียร์ให้3pไปเล้ยยยยย  ฮา~  ชอบทั้งเปปเปอร์แล้วก็จินเลยอ่ะ >-<
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-09-2011 19:14:40
พี่พริกไทยรุกหนัก
แล้วพ่อขิงแก่ของชั้นมัวไปทำอะไรอยู่
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 29-09-2011 19:57:48
น้องเอมน่ารักอ่า ดูสดใสดีออกนะคะ :-[
พี่เปปเปอร์รุกแล้ว แล้วพี่จินจะทำอะไรยังไงต่อไป จะแย่งหรือจะปล่อยน้องไปน้อ :z1:
ว่าแต่สาวซินจะมาเป็นเพื่อนสะใภ้น้องเอมป่าวจ๊ะ :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: killy ที่ 29-09-2011 21:11:39
เฮ้อ รักพี่เสียดายน้อง จินอ่ะน่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: MiU ที่ 29-09-2011 21:45:41
คนนู้นก็ดี คนนี้ก็เท่ ทิ้งไม่ได้ หนูเอมเอา 3p ไปโล้ด
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 29-09-2011 22:22:35
ตกลงใครพระเอก -..-

ไม่อยากได้3P
แต่ก็รักพี่ เสียดายน้องอ่ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 29-09-2011 23:12:11
น่ารักจนหลงรักเลยล่ะ
แบบนี้ก็แย่งกันหน่อยเถอะพี่น้อง

จะแบบไหนเราก็เชียร์หมด
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: debubly ที่ 29-09-2011 23:24:50
ค่ะ คบๆๆๆๆ

 :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 30-09-2011 18:17:42
ยั่วไปยั่วมา หึๆ ใสๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 30-09-2011 20:34:18
ไม่ใช่ตอนหน้าเปปเปอร์ูพูดว่า "พี่ล้อเล่น!!  :m20:" นะ
555
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: LittleLoad ที่ 30-09-2011 21:21:14
สนุกดี:]  รออยู่นะ มาต่อเร็วๆ ;]
หัวข้อ: Re: Love Sick [-4-] 29/9/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-10-2011 03:20:45
มารออ่านตอนต่อปายยยยย
หัวข้อ: Love Sick [-5-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 11-10-2011 12:11:19
Love Sick

- 5 -

ตัวผมในตอนนี้คงดูไม่ต่างจากรูปปั้นหินที่เป็นอนุสาวรีย์ประจำโรงเรียนแน่นอน เพราะประโยคเด็ดสายฟ้าฟาดที่ออกมาจากปากพี่เปปเปอร์ทำให้ผมตัวชา สมองประมวลผลไม่ทันและก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบไปดี จะหัวเราะว่าเป็นเรื่องโจ๊ก หรือจะวิ่งหนี หรือจะโผเข้าไปกอดพี่เปปเปอร์แล้วเริ่มร้องไห้เพราะปลาบปลื้มดีละครับ??

“ชะเอมครับ คบกับพี่ได้มั้ย” ม่ายยยยย!!! ผมไม่อยากเชื่อว่าพี่เปปเปอร์คนนั้นจะมาขอให้ผมคบกับเขา ไม่อยากเชื่อว่าพี่เปปเปอร์ที่เป็นขวัญใจของใครทุกคนจะเป็นฝ่ายมาสารภาพรักกับผม!!!
“พะ...พี่เปปเปอร์ล้อเล่นไม่ดีนะครับ...” เอาน่ะ ใจเย็นไว้ไอ้เอม บางทีพี่เขาแค่อาจเห็นเราน่าแกล้ง ก็เลยแหย่เล่นก็ได้
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ” เหวอ! พี่เปปเปอร์ทำสีหน้าจริงจังมากเลยอะครับ แล้วแบบนี้ผมจะตลกออกมั้ยเนี่ย
“เอ่อ... คือว่า...” ผมอ้ำอึ้ง มือไม้ก็สั่นไปหมด
“พี่ก็รู้... ว่าเอมก็รู้สึกเหมือนกับพี่...” พี่เปปเปอร์จับมือผมไว้แน่นเลย อ๋า...ยิ่งพี่เขามาใกล้ผมแบบนี้ ผมยิ่งทำตัวไม่ถูกไปกันใหญ่เลย ถึงแม้ผมจะก้มหน้าอยู่แบบนี้ แต่ผมก็รู้นะว่าพี่เปปเปอร์มองผมอยู่ตลอดเวลา น้ำเสียงของพี่เปปเปอร์ไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบ ติดจะฟังดูนุ่มนวลกว่าปรกติด้วยซ้ำ แต่ใจของผมนี่แหละ ที่มันร้อนรนจนแทบจะทนไม่ได้เสียเอง
“!?!” ใบหน้าของพี่เปปเปอร์ที่ลดต่ำจนแทบติดกับใบหน้าผมทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันจะกระโดดออกมาจากอก จะพูดออกมาก็กลัวว่าริมฝีปากจะแตะกับคนตรงหน้า พอรู้ตัวอีกทีผมก็มองเห็นแพขนตาของพี่เปปเปอร์ใกล้จนนับเส้นได้...
“หืม? ทำไมไม่ตอบพี่ละครับคนดี...” ณ วินาทีนั้นผมเพิ่งจะได้เข้าใจคำว่าอายจนม้วนมันเป็นยังไง พี่เปปเปอร์แตะริมฝีปากตรงปลายจมูกของผมและถอยห่างออกไป สายตาอ่อนโยนของพี่เขาไม่ได้มีสิ่งอื่นใดมากไปกว่าต้องการคำตอบจากปากของผม
“เอม...เอม...อยากอยู่ใกล้พี่ตลอดเวลา...ไม่อยากห่างกันเลยครับ...อยากจะเป็นคนสำคัญของพี่เปปเปอร์...” คำพูดอึกอักเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ในหัวสมองของผมขาวโล่ง คำพูดสวยหรูที่คิดว่าอยากจะเก็บไว้ใช้กับพี่เปปเปอร์ก็หายไปหมด
“น่ารัก...น่ารักเหลือเกินเอม...” พี่เปปเปอร์คลี่รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา ผมกัดริมฝีปากแน่น พอเวลาตื่นเต้นมากๆมันพาลจะร้องไห้อีกแล้ว แต่เพราะมือใหญ่นั้นแตะลงที่ริมฝีปากผมให้คลายจากกัน และเปลี่ยนจากนิ้วเรียวสวยเป็นริมฝีปากของคนที่ผมใฝ่ฝันถึงมาตลอด...
ผมมีความสุขเป็นบ้าเลยครับ...


หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาเกือบสัปดาห์ ผมก็อยู่ในฐานะแฟนของพี่เปปเปอร์เต็มรูปแบบครับ ไม่ว่าจะเป็นการเดินมารับผมไปเรียนตอนเช้า ตอนเย็นก็เดินมาส่ง หรือการที่ผมไปนั่งเฝ้าพี่เปปเปอร์ซ้อมบาสนั้นเป็นอะไรที่ผมไม่ชินเสียที

“เบื่อมั้ยครับ” พี่เปปเปอร์ถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆผม เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากสนามบาสทำให้บรรยากาศห่างไกลจากคำว่าเงียบสงบและโรแมนติกมากโขอยู่ แต่ว่าคนข้างผมคนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาในอกได้เสียอย่างนั้น
“ไม่เบื่อครับ” ใครจะเบื่อละครับ การได้นั่งมองพี่เปปเปอร์อย่างเปิดเผยแบบนี้เป็นสิ่งที่เอมใฝ่ฝันเลยนะครับ  ผมก็แค่คิด แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ ยังไม่อยากถูกพี่เปปเปอร์มองว่าเป็นไอ้โรคจิตน่ะสิครับ
“เกะกะ” จู่ๆก็มีเสียงเหมือนคนหงุดหงิดดังขึ้นใกล้ผม ทั้งผมและพี่เปปเปอร์หันไปมองต้นตอแล้วก็ทำหน้างง
“อะไรของมึงเนี่ยจิน” พี่เปปเปอร์เป็นฝ่ายที่หันไปคุย ส่วนผมน่ะเหรอ ก็นั่งนิ่งสิครับ ไม่อยากคุยด้วยหรอก
“พวกมึงนั่งขวางกระติกน้ำ”
“เอ๊า ก็บอกดีๆสิวะ ไม่ใช่มาพูดจากวนตีนแบบนี้” พี่เปปเปอร์ส่ายหัวเหมือนเหนื่อยใจแล้วออกแรงหิ้วกระติกน้ำด้านหลังผมไปให้พี่จิน พี่จินพอคว้ากระติกน้ำได้ก็เดินไปนั่งอีกฝั่งของสนามบาส
“ขอโทษแทนมันด้วยนะเอม ไอ้จินมันปากหมา แต่ที่จริงมันใจดีนะ” เหอะ...พี่เปปเปอร์จะบอกว่าเขาดียังไงผมก็ไม่สนหรอกครับ คนร้ายกาจแบบนั้นผมไม่มีทางคิดว่าเขาใจดีไปได้หรอก
“ใครจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะครับ แค่เอมรู้ว่าพี่เปปเปอร์ใจดีที่สุดก็พอแล้ว” ผมยิ้มกว้างให้คนข้างๆ ก็จริงนี่ครับ แค่มีพี่เปปเปอร์คนเดียวผมก็พอใจแล้ว ฮิฮิ
“ปากหวานนักนะเรา อย่าทำตัวน่ารักแบบนี้สิ...” พี่เปปเปอร์พูดแล้วก็หยิกแก้มผมเสียแรง โอย เจ็บนิดนึงนะ แต่ถ้าเป็นพี่ผมยอมให้หยิกร้อยทีเลยครับ

หากเปรียบความรู้สึกของผมกับพี่เปปเปอร์เป็นต้นไม้ ผมเชื่อว่ามันคงโตวันโตคืน ความเอาใจใส่ของพี่เปปเปอร์ก็เป็นเหมือนการรดน้ำพรวนดิน ผมเองยังไม่เคยได้สัมผัสคำว่ารักแบบคนรักกัน และก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ผมรู้สึกกับพี่เปปเปอร์นั้นพอจะเรียกว่ารักได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่พอรู้ได้ก็คือทุกวันนี้ผมมีความสุขมากเหลือเกิน

นับจากวันนั้นก็ผ่านมาสองเดือนได้แล้วนะครับ ช่วงเวลาที่มีความสุขนี่มันมักจะผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อ ผลสอบมิดเทอมของผมก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างเคย แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจหรอกนะ ประเด็นคือการสอบมิดเทอม = เดือนตุลาคม และพอเดือนตุลาคมก็จะสิ้นปี และพอสิ้นปีก็จะขึ้นปีใหม่ ปีใหม่อีกสามเดือนก็เป็นฤดูจบการศึกษาของพี่ปีสาม

พี่เปปเปอร์วางแพลนไว้แล้วครับ พี่เขาจะไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเฉพาะทางอย่างที่ตั้งใจไว้ และพอเรียนจบปริญญาตรี ก็จะต่อปริญญาโททางด้านการบริหาร เพื่อที่จะได้ไปช่วยธุรกิจของครอบครัวได้

นั่นมันก็แปลว่าพี่เขาจะต้องจากผมไปเรียนมหาวิทยาลัยใช่มั้ยครับ...

“ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ได้เจอกันสักหน่อยนี่ครับ พี่ก็ยังมาหาเอมได้เสมอ” พี่เปปเปอร์ปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนตามแบบฉบับของเขา เพราะว่าช่วงนี้ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้จนซึมไป พี่เปปเปอร์ก็เลยถามเพราะเป็นห่วง
“พี่เปปเปอร์ไม่เข้าใจหรอก เพราะพี่เป็นฝ่ายที่ต้องไปไกลจากเอมนี่นา เอมเป็นฝ่ายที่ต้องเฝ้ารอให้พี่มาหา รู้มั้ยครับว่าคนที่รอมันทรมานใจ” ผมทำหน้ามุ่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก ฮือ...
“เอมครับ ที่เอมกลัวคืออะไร กลัวว่าจะไม่ได้เจอกับพี่ หรือกลัวว่าพี่จะต้องไปเจอคนอื่น” พี่เปปเปอร์ถามผมเสียงนิ่ง ผมมองตาของพี่เขาแล้วก็ถอนหายใจ
“ไม่รู้สิครับ เอมแค่ไม่สบายใจ” ผมบีบมือพี่เปปเปอร์ไว้แน่น ความไม่สบายใจมันแล่นขึ้นมาในอก บอกไม่ถูกว่ากังวลอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความกังวลมันมาจากไหน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีใครอย่างผม แค่ได้รับความรู้สึกดีๆจากพี่เขาก็มากเกินพอแล้วไม่ใช่หรือ? และเพราะว่าคิดเช่นนี้ ผมจึงยิ้มออก
“แต่เอมก็เชื่อครับ ว่าพี่เปปเปอร์จะมาหาเอม เอมเชื่อว่าพี่เปปเปอร์จะไม่จากเอมไปไหน ใช่มั้ยครับ?”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะทิ้งเจ้าตัวจิ๋วนี่ไปได้ละ” น้ำเสียงพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับมือใหญ่ที่ขยี้ผมอย่างไม่ปราณีปราศัย พี่เปปเปอร์ดึงผมไปกอดไว้แน่น น้อยครั้งนะครับที่เราสองคนจะสัมผัสกันใกล้ชิดแบบนี้ เพราะพี่เปปเปอร์ให้เหตุผลว่าผมยังเด็กนั่นเอง
“เอมชอบเวลาที่พี่กอดเอมไว้แบบนี้จังเลยครับ...” ผมสอดมือรอบเอวของพี่เปปเปอร์และซุกหน้าไว้กับอก สูดกลิ่นคุ้นเคยที่ผมชอบ ยิ่งนับวันก็ยิ่งชอบ เหมือนกับความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน...

...........
.......
.....
....
..
.
..
.

“มึงจะปล่อยไว้แบบนี้ไปถึงเมื่อไร” เสียงทุ้มดังขึ้นในห้องนอนที่มีเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์เล็ดลอดเข้ามา อีกร่างหนึ่งที่นั่งเท้าแขนอยู่บนเก้าอี้ขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายกัน
“กูก็ไม่รู้”
“แต่มึงทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับโรส” เจ้าของเสียงที่พูดคนแรกย้อนกลับด้วยโทสะ
“....”
“มึงก็รู้ว่าโรสรักมึง และมึงก็เคยบอกว่ารักโรสไม่ใช่เหรอ จนกระทั่งมึงมาเจอกับไอ้จิ๋วนั่น...”
“อย่าเอาชะเอมมาเกี่ยวได้มั้ย?”
“กูจะไม่พูดถึงไอ้จิ๋วเลย ถ้ามึงไม่ได้มีคู่หมั้นคือโรสอยู่ก่อนแล้ว”
“แล้วมึงคิดว่ากูควรทำยังไงล่ะจิน...”

คำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลง เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จะเลือกทางไหนก็ต้องมีคนเสียใจทั้งนั้น และยิ่งผู้หญิงที่เป็นคนรักมาก่อนนั้นคือคู่หมั้นคู่หมายที่ผู้ใหญ่ก็รับรู้ ดังนั้นการที่เขาจะเลือกเด็กหนุ่มตัวน้อยที่มาทีหลังก็คงเป็นไปไม่ได้...
“มึงมันเห็นแก่ตัวว่ะเปป...” น้องชายฝาแฝดพูดเบาๆแล้วก็พลิกตัวหันหลังให้ ปล่อยพี่ชายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆเพียงลำพัง...

......
..
..
.
.

เก้าปีก่อน...
งานวันเกิดใหญ่โตของเด็กชายฝาแฝดถูกจัดขึ้นภายในอาณาเขตของคฤหาสน์หรูชานเมืองมีแขกมาร่วมงานมากมาย ซึ่งจำนวนแขกกว่าครึ่ง เป็นเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของวันเกิดทั้งสิ้น

เจ้าของวันเกิดทั้งสองคน ซึ่งก็คือเปปเปอร์ และจินเจอร์ เด็กชายฝาแฝดหน้าตาน่าเอ็นดูที่แฝงเค้าคมเข้มไว้ตั้งแต่ยังเด็ก และความที่มีพ่อแม่เป็นที่รู้จักในสังคม ทำให้ฝาแฝดคู่นี้เป็นที่สนใจของบรรดาพ่อแม่ผู้มีอันจะกินและมีลูกสาวหน้าตาสะสวยอยากจะเข้ามาผูกสัมพันธ์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งพ่อและแม่ของฝาแฝดคู่นี้ไม่เคยมีความคิดที่จะคลุมถุงชนให้ลูก คงเพราะนิสัยใจคอที่สบายๆและไม่ค่อยเจ้ายศเจ้าอย่างจึงถือคติว่าลูกรักใครพ่อแม่ก็รักด้วย

“เปปเปอร์ จินเจอร์ มาไหว้คุณอาสิลูก” เสียงของผู้เป็นแม่เรียกให้สองแฝดละจากกองของขวัญตรงหน้ามาไหว้ทักทายผู้อาวุโส
“ต๊าย มีเค้าหล่อแต่เด็กเลยนะจ๊ะ เอ้า โรส ไปทำความรู้จักกันก่อนสิลูก” คุณอาหน้าตาสะสวยหันไปดึงแขนเล็กๆที่แอบอยู่ด้านหลังให้ออกมาทักทายเพื่อนใหม่ เด็กสาวชื่อโรสมีผิวขาวอมชมพูและเส้นผมสีอ่อนบ่งบอกเชื้อชาติช่างน่ารักน่าเอ็นดู
“พาหนูโรสไปเล่นด้วยสิลูก” และด้วยคำสั่งของแม่ ทำให้เด็กสาวได้กลายมาเป็นเพื่อนใหม่ของฝาแฝดในที่สุด

“ชื่อของเธอหมายถึงดอกไม้ใช่มั้ย?” หนึ่งในฝาแฝดที่โรสไม่รู้ว่าคนไหนเป็นคนไหนถามขึ้นมาอย่างคนที่อัธยาศัยดี ผิดกับอีกคนที่ยืนนิ่งทำแค่เพียงมองเฉยๆ
“อื้อ เป็นดอกไม้ที่คุณแม่ชอบน่ะ” โรสตอบยิ้มๆ ชื่อที่แสนไพเราะคือสิ่งที่เธอภูมิใจนักหนา
“เราชื่อเปปเปอร์นะ ส่วนเจ้านี่คือจินเจอร์” แฝดคนที่อัธยาศัยดีแนะนำตัวเองกลับ
“เรียกว่าจินก็พอ เราไม่ชอบให้เรียกชื่อเต็ม” แฝดคนหน้านิ่งพูดห้วน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเปปเปอร์ ,จิน” รอยยิ้มจริงใจถูกแจกจ่ายให้แก่เพื่อนใหม่แบบไม่ขี้เหนียว โรสร่าเริง คุยเก่ง และนิสัยดี หลังจากงานวันเกิดก็ยังได้เจอกันบ่อยๆ ทำให้สนิทกับทั้งสองแฝดมากขึ้นทุกที

หลายปีผ่านไป...

“นี่ พวกเธอจะเข้าเรียนไฮสคูลที่ไหนเหรอ?” ด้วยความที่มีเศษเสี้ยวเป็นชาวยุโรปอยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้โรสมักจะใช้คำพูดทับศัพท์ด้วยความเคยชิน ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะอยากจะรู้ว่าพวกฝาแฝดจะไปเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ไหนก็เลยถามขึ้นมา
“อืม คงจะเป็นที่ที่เคยบอกไว้น่ะแหละ” เปปเปอร์นึกถึงโรงเรียนศิลปะเฉพาะทางที่บ้านของตัวเองมีหุ้นส่วนอยู่
“ว้า เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีหัวทางด้านนั้น แบบนี้ก็ไปเรียนกับพวกเธอไม่ได้น่ะสิ” โรสนิ่วหน้า เรื่องศิลปะเป็นอะไรที่เธอไม่ถนัดเอาเสียเลย
“เธอเรียนอย่างที่เธอชอบเถอะโรส มันน่าจะไปได้ดีกว่าฝืนเรียนเรื่องที่ไม่ชอบนะ” จินเจอร์พูดเสียงเรียบ ถึงแม้ว่าโรสจะอยากอยู่ใกล้เปปเปอร์แค่ไหน แต่การตามไปเรียนโรงเรียนที่ตัวเองไม่ถนัดมันก็เกินไป
“ฉันก็คิดแบบนั้นน่ะสิจิน ถึงได้ตอบตกลงที่แด๊ดจะพาไปอังกฤษ”
“อืม ดีแล้วแหละโรส เดี๋ยวพอปิดเทอมผมก็จะได้ไปหาเธอที่โน่นไง เธอจะได้พาพวกผมเที่ยวด้วยนะ” เปปเปอร์พูดพร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยปอยผมสีอ่อนนุ่มเล่นอย่างเคยชิน
“ได้สิ ฉันจะตั้งตารอวันที่พวกเธอจะมาหาแล้วกัน ฮิฮิ” โรสจับมือของเปปเปอร์ให้มาแนบแก้มตัวเอง เพียงกิริยาของทั้งสองคนที่เห็นในตอนนี้ก็ทำให้จินเจอร์รู้ดีว่าตัวเองต้องหลบฉากไป ปล่อยให้คู่รักทั้งสองได้สวีทกันตามลำพัง...

โรสนั้นเข้ากับเปปเปอร์ได้ดีมาแต่ไหนแต่ไร ความสดใสร่าเริงช่างพูดของโรส กับความใจดี อ่อนโยนมีมนุษย์สัมพันธ์ของเปปเปอร์เป็นอะไรที่เหมาะเจาะลงตัวกันที่สุด ทั้งสองคนตัดสินใจคบหากันตอนที่เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง จากป๊อปปี้เลิฟที่คิดว่าคงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว กลับกลายเป็นคบยาวมาจนจะจบมัธยมต้น ผู้ใหญ่จึงเห็นดีเห็นงามที่จะจับทั้งสองคนหมั้นกันไว้ก่อน

“เมื่อไรลูกจะพาสาวมาบ้างละจิน” คำถามที่แม่ถามกับจินในวันหมั้นของเปปเปอร์และโรสยังฝังอยู่ในสมอง ตอนนั้นจินแค่ยิ้มแล้วส่ายหัวตอบไปเงียบๆ ตามประสาคนพูดน้อย...

จินเจอร์ไม่เคยคบใครเป็นเรื่องเป็นราว และไม่เคยคิด ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามา แต่ต้องเรียกว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ แล้วพอวันหนึ่ง ได้เจอคนที่คิดว่าถูกใจ มันก็ดันเป็นเด็กผู้ชายเสียนี่ แถมยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจีบยังไง เพราะไม่เคยเข้าไปจีบใครก่อน ผิดกับพี่ชายที่แค่ยิ้มหวานก็ทำให้คนเข้ามาหาได้เองแล้ว

ทั้งๆที่ชอบมาก อยากจะเป็นคนดูแล อยากจะใกล้ชิด แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะไม่ชอบหน้าเขา
ทั้งที่อยากเข้าไปคุย อยากหยอกล้อเล่นหัว เจ้าเด็กน้อยก็มักจะหลบสายตาเขาประจำ
ทั้งที่อุตส่าห์ร้องเพลงเพื่อบอกความรู้สึก แต่ก็ดูเหมือนเจ้าตัวคงจะไม่ทันรับรู้ ถึงความรู้สึกของเขา...
แล้วพอคิดว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของหัวใจและร่างกาย ก็พาลให้อยากรังแก อยากแกล้งให้ร้องไห้...
คิดแล้วก็นั่งซบหน้ากับฝ่ามือ ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะบ้าบอได้ขนาดนี้เพียงเพราะเด็กผู้ชายเพียงคนเดียว...



หัวข้อ: Love Sick [-6-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 11-10-2011 12:13:41
Love Sick

- 6 -

วันนี้อาจารย์เรียกให้ผมไปคุยเรื่องภาพที่จะใช้เป็นฉากหลังของงานจบการศึกษาครับ เพราะว่ามันเป็นภาพขนาดใหญ่ และต้องใช้เวลาในการวาดไม่ใช่น้อย จึงต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าถึงห้าเดือน โดยอาจารย์ได้คัดคนที่จะมาร่วมวาดได้ครบตามต้องการ และจะให้เริ่มทำงานกันวันพรุ่งนี้เลย

เพราะว่าช่วงเย็นถึงค่ำต้องไปวาดรูป ผมจึงไม่ค่อยได้เจอพี่เปปเปอร์บ่อยนัก และพี่เขาก็ยุ่งๆเรื่องการติวสอบ ผมจึงไม่อยากรบกวนเขาเท่าไร

“วันนี้พี่เปปเปอร์ถามหามึงด้วย ไม่ได้เจอกันหรือไงวะ” ไอ้มิ้นท์ที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามาและกำลังถอดถุงเท้าบอกผมเสียงดัง ผมละจากการบ้านตรงหน้าแล้วก็ถามมันกลับ
“วันนี้พี่เขาไปซ้อมบาสด้วยเหรอ”
“อือ มาคุมน่ะ ว่าแต่มึงตอบกูมาก่อน ไม่ได้เจอกันเลยหรือไงวะ”
“ช่วงนี้กูยุ่งอะ แล้วพี่เขาก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย กูก็ไม่อยากไปรบกวนเขา” ผมพูดเสียงอ่อย ในใจก็รู้สึกเหงานิดๆนะครับ
“เอ๊อ พิลึกจริงมึง ทำตัวไม่เหมือนคนเป็นแฟนกันเลยวะ” ไอ้มิ้นท์พูดทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป คำพูดของไอ้มิ้นท์ทำให้ผมต้องนิ่งคิด ‘ทำตัวไม่เหมือนคนเป็นแฟนกัน’ แล้วคนที่เป็นแฟนกันต้องทำยังไงละครับ ?

ผมยังคงนั่งจ้องท้องฟ้าดำมืดนอกหน้าต่างในขณะที่ไอ้คนต้นเหตุตัวการที่ทำให้ผมคิดมากหลับปุ๋ยไปแล้ว การบ้านที่ควรจะทำเสร็จตั้งนานก็ไม่คืบหน้าต่อ ใจหนึ่งอยากจะทำการบ้านให้เสร็จ แต่อีกใจอยากจะไปหาพี่เปปเปอร์ที่หอให้รู้แล้วรู้รอด
 
‘ลองไปดูก็ได้วะ’ พอคิดแบบนั้นแล้วผมก็รีบคว้ากุญแจห้องออกมาและสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น บันไดหอดูเหมือนว่าจะไกลกว่าเดิมในเวลานี้ หรือเป็นเพราะผมใจร้อนอยากจะไปให้ถึงหอของปีสามไวๆกันแน่นะ

อากาศคืนนี้เย็นนิดๆ ผมกระชับเสื้อเข้าหาตัวให้มิดชิดขึ้น ดูท่าว่าช่วงสิ้นปีคงหนาวขึ้นอีกหลายเท่า ดีเหมือนกัน เพราะผมชอบหน้าหนาวที่สุด และที่โรงเรียนก็จะมีการจุดไฟเตาผิงในห้องโถงกลาง บรรยากาศโคตรจะคลาสสิคเหมือนในแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยหละครับ
 
ผมรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก่อนที่มันจะดึกไปกว่านี้ ผมไม่ได้ตั้งใจว่าพอไปถึงแล้วจะเรียกพี่เขาลงมาหาหรอกนะครับ ผมแค่คิดว่าอาจจะบังเอิญได้เจอ แต่ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร เพราะแค่เพียงได้เห็นหน้าต่างห้องที่พี่เขาอยู่ก็เกินพอแล้ว... (ฟังดูเจียมตัวจังเนอะ T T)

ตัวตึกแบบโบราณเริ่มปรากฎสู่สายตาของผม พ้นจากทิวไม้ไปก็เริ่มเห็นหน้าต่างแล้ว บริเวณโรงเรียนจะมีต้นไม้ปลูกอยู่มากมายเลยละครับ ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในป่า แต่เพราะถนนที่ปูด้วยอิฐสีแดงที่ทำให้รู้ว่าอยู่ในสถานที่ปลูกสร้างนะ ไม่ใช่ป่าเหมือนที่รู้สึกได้จากบรรยากาศโดยรอบตัว

ก่อนที่จะถึงหอพักของปีสาม จะมีบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ในเวลากลางคืนจะดูเวิ้งว้างกว้างไกลต่างจากตอนกลางวันที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดวงจันทร์สะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำ ทำให้ดูเหมือนว่าน้ำในบึงเป็นสีทองอร่าม ผมเผลอใจหยุดยืนมองความงามอยู่พักหนึ่งด้วยความคิดเล็กๆว่าหากมีคนรู้ใจอยู่ใกล้ในตอนนี้คงจะดี...
‘แต่พี่เปปเปอร์เขาก็คงไม่ว่างหรอก...’ ผมถอนหายใจและออกเดินต่อ แต่แล้วสายตาของผมก็สังเกตเห็นเงาดำๆอยู่ตรงหลังต้นไม้ใหญ่ เงาดำที่เป็นเหมือนร่างคนกำลังนั่งมองเงาจันทร์ตรงริมบึง... ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้น เพราะอยากจะรู้ว่ามีใครกันนะที่คิดเหมือนผม... คนที่หลงใหลแสงจันทร์ยามค่ำคืนเหมือนกัน...

แสงจันทร์กระจ่างตาทำให้ผมมองเห็นร่างนั้นได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก บางทีผมอาจจะคิดถึงเขามากจนเผลอมองผิด แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ ความเหมือนก็ยิ่งมากขึ้น ผมตื่นเต้นจนเท้าของผมเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งดังกร๊อบ ทำให้ร่างนั้นหันมาทางผมจนได้

“!!” สายตาของคนที่นั่งอยู่ริมบึงหันมาปะทะกับผมพอดี เราต่างจ้องกันและกันอยู่อึดใจหนึ่งจนกระทั่งผมตัดสินใจเปิดปากก่อน น้ำเสียงผมติดจะสั่นน้อยๆเพราะคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจจะเป็นภาพลวงตา...
“พี่เปปเปอร์...” เพราะสายตาที่มองมานั้นมันดูอ่อนโยน อ่อนโยนแบบที่ผมคุ้นเคย และเมื่อผมส่งเสียงเรียก พี่เปปเปอร์ก็ส่งยิ้มให้ผม
“มานั่งนี่สิเอม..” เขาใช้มือตบเบาๆตรงพื้นข้างเขาเพื่อเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ
“พี่มาทำอะไรตรงนี้ครับ?” ผมถามหลังจากที่นั่งข้างเขาแล้ว ในใจมันรู้สึก...ยังไงดีละ... แบบว่ากิ๊บกิ้วอะครับ ไอ้ดีใจมันก็ดีใจนะครับ แต่ก็แบบว่ารู้สึกเขินกับงงๆนิดหนึ่ง
“แล้วเอมละมาทำอะไร” พี่เปปเปอร์ถามกลับ
“เอ่อ...ก็...มาหาพี่แหละครับ...” หวา... ผมพูดอะไรออกไปนี่... ผมลองแอบมองว่าพี่เปปเปอร์จะทำหน้ายังไง แต่พอเห็นสายตาพี่เขาเท่านั้นแหละผมก็ต้องรีบก้มหน้างุดทันที ก็สายตาพี่เขาน่ะแทบจะกลืนผมเข้าไปทั้งตัวแล้วนะครับ!!!
“ปรกติทำตัวน่ารักแบบนี้ตลอดเวลาหรือเปล่า หืม?” พี่เปปเปอร์ไม่ถามเฉยๆ ยังยกแขนขึ้นมาโอบผมให้ขยับไปใกล้พี่เขาอีก
“มะ..ไม่รู้ อ๊ะ อย่านะครับ” ผมรีบดันพี่เปปเปอร์ออกห่าง ก็พี่เขากำลังจะยกตัวผมไปนั่งตักเขานี่นา!!
“ทำไมละ รังเกียจพี่เหรอ” พี่เปปเปอร์ทำหน้าหงอยด้วย หงะ! ทำไมวันนี้ดูมารยาเยอะจังเลยนะ และสุดท้ายผมก็ต้องยอมพี่เขาอยู่ดีครับ ไม่รู้ทำไมถึงปฏิเสธเขาไม่ได้เลยก็ไม่รู้
“พี่เปปเปอร์ชอบมานั่งตรงนี้เหมือนกันเหรอครับ” ผมถามเบาๆ อย่างน้อยต้องมาเรื่องคุยนะ จะได้ตื่นเต้นน้อยลง
“อืม โดยเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนะ แล้วเราล่ะชอบมั้ย?” อ๋า...หน้าพี่เปปเปอร์อยู่ใกล้จนผมมองเห็นรูขุมขนเลยนะครับ ผิวพี่เนี๊ยนเนียนอะ อยาก...อยากหอมชะมัด!
“เราเพิ่งอาบน้ำเหรอ?” หือ อะไรนะครับ พี่นี่ถามแปลกๆ
“ครับ ทำไมเหรอ?” ผมยกแขนตัวเองขึ้นมาดม หรือผมจะอาบไม่สะอาด หรือพี่เปปเปอร์จะได้กลิ่นเหงื่อที่ออกตอนผมเดินมา?
“หอมจัง” ปลายจมูกโด่งของพี่เปปเปอร์กดลงตรงแก้มผมแล้วคลอเคลียไม่ห่าง เส้นขนบนตัวผมลุกซู่พร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย วันนี้พี่เปปเปอร์ทำตัวติดเรทมากเลยนะคร้าบบบ >//<
“จะ...จั๊กจี้นะครับ..” ยิ่งผมพยายามถอยออกห่าง พี่เปปเปอร์ก็ยิ่งกอดผมไว้แน่น ฮึ้ยยย มืออย่างกับปลาหมึกเลยง่า....
“ก็เราตัวหอมนี่นะ... ทั้งหอม ทั้งหวาน แต่เอ...พี่ยังไม่ได้ลองชิม เลยไม่รู้ว่าหวานจริงหรือเปล่า...”
โดยไม่ทันให้ผมคิดว่าที่พี่เปปเปอร์พูดนั้นหมายถึงอะไร ผมก็ถูกมือใหญ่นั้นจับปลายคางให้เงยขึ้นและกดริมฝีปากอุ่นลงมาจนแนบสนิท...
“!?!” ผมรับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าสัมผัสอุ่นชื้นนั้นคือปลายลิ้นของพี่เปปเปอร์กำลังแทะเล็มริมฝีปากของผมอยู่ ปลายลิ้นของเขาพยายามสอดเข้ามาในปาก ผมพยายามถอยหนี แต่พี่เขามีแรงมากกว่าและยึดหลังหัวผมไม่ให้ถอยหนี ณ ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเหลือเกิน จากตอนแรกที่มันเนิบนาบก็เริ่มรุกเร้ามากขึ้น ผมเผลอเอามือทาบทับกับอกของพี่เปปเปอร์โดยไม่ตั้งใจ รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งของคนที่ออกกำลังกายและดูแลตัวเองอย่างดี พี่เปปเปอร์เลื่อนมือมาลูบอยู่ตรงเอวของผมเลยเข้าไปถึงในเสื้อ ผมรู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวจนร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง

ครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ว่าความต้องการทางร่างกายมันเป็นยังไง...

“อืม...หวานจริงด้วยนะ” พี่เปปเปอร์หยุดการกระทำแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหอบๆ ถึงจะหยุดจูบ แต่ริมฝีปากของพี่เขาก็ยังคงคลอเคลียอ้อยอิ่งอยู่ไม่ห่าง
“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ร่างกายของผมมันแปลกไป แปลกแบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน ผมซุกหน้ากับบ่าของพี่เปปเปอร์ไว้นิ่ง
พี่เปปเปอร์ลูบหัวผมเบาๆ อีกมือก็โอบเอวผมเอาไว้แน่น.. เอ่อ...What’s that? อะไรที่มันทิ่มก้นผมอยู่น่ะครับ...
“แย่แล้วแหละเอม...พี่รู้สึกว่ามันจะตื่นแล้วละนะ...” ผมขมวดคิ้ว? พี่เปปเปอร์บอกว่า ’มัน’ ตื่น + วัตถุแข็งๆที่ทิ่มก้นผม + ผมนั่งตักพี่เปปเปอร์ + เราเพิ่งจูบกันแบบดูดดื่มไปเมื่อกี้...
“อ๋า!!” ผมดีดตัวผึงเมื่อสมองประมวลผลสำเร็จ ไอ้ที่ตื่นมันจะเป็นอะไรไปได้ละคร้าบ เง้อออ~
“หึหึ” ฮึ้ยยย พอผมเห็นพี่เปปเปอร์หัวเราะแบบนั้นผมก็จี๊ดทันที ผมเขินจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ!
“ลามก!” ผมตะโกนใส่แล้วรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ได้ยินเสียงพี่เปปเปอร์หัวเราะไล่หลังผมด้วย

“ลามก ลามก ลามก คนอะไรไม่รู้” ผมเดินบ่นมาตลอดทางกลับหอ วันนี้ผีอะไรเข้าสิงพี่เปปเปอร์นะ ถึงได้มือไวแถมยังทะลึ่งแบบนี้
‘แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรังเกียจนี่นะ อ๊า!! ทำไมเราถึงเป็นคนลามกแบบนี้!!!’
ถ้าหากว่าตอนนี้มีคนกำลังมองผมอยู่ คงต้องคิดว่าผมเป็นคนบ้าที่เดินบ่นพึมพำคนเดียวแน่เลย...

และก็ตามเคยครับ... คืนนั้นผมเอาแต่เพ้อถึงตอนที่พี่เปปเปอร์จูบตลอดเลย มันเหมือนกับว่าสัมผัสยังไม่จางหายไปไหน ทั้งวิธีที่พี่เปปเปอร์จูบ สัมผัสตอนที่ลิ้นของผมแตะกับลิ้นของพี่เขา อ๊า~~~

และเช้าวันต่อมา...
“ไอ้เอ๊มมมมมมม มึงไข้ขึ้นอีกแล้วนะ ไปทำอะไรมาว้า!!!”



*** ตอนที่ 6 มาแบบสั้นๆค่ะ พอให้กรุบกริบ กว่าจะเข้าบอร์ดได้ก็แทบจะลืมว่าลงไปถึงตอนไหนแล้ว  :serius2: ***

หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-10-2011 21:16:15
ไม่ปลื้มพี่เปปแล้วอ่ะ  หลอกลวง
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 12-10-2011 21:52:39
เชียร์จินเจอร์จร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 13-10-2011 17:10:53


ช่วงนี้เจอเรื่องน้ำท่วมเข้าไป คิดไรไม่ออกเลยค่ะ T T
เลยเขียนต่อไม่ได้สักที


หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 13-10-2011 17:13:26
จะรอนะจร๊ะ

สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 13-10-2011 18:04:21
สู้ๆนะคะจะเป็นกำลังใจให้น้่า


อย่าเครียดๆ ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 13-10-2011 18:35:02
เริ่มไม่ปลื้นอย่างแรงนะพี่แปปเปอร์
มีคู่หมั่นอยู่แล้ว แถมยังรักกันด้วย แต่มาขอน้องชะเอมเป็นแฟนหมายความว่าไงเนี้ย :m16:
ไม่ได้คิดจะเลิกกับโรสด้วย มันน่า...จริงๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 13-10-2011 18:58:05
พี่เปปเปอร์เคลียร์ผู้หญิงคนนั้นด้วย
ถ้าควบ 2 จะไปเชียร์แฝดน้องทันที
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-10-2011 13:43:28
ขอคนน้อง คนเดียว พอ

ไม่อยากเห็นเอมร้องไห้อ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: Theodore ที่ 24-10-2011 17:18:46
มาต่อด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: gasia ที่ 24-10-2011 19:59:17
ถ้าเปปจะเก็บเธอไว้ทั้งสองคน  เราจะเชียร์จินแทนแล้วนะ ฮึ่ม!
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: TeuyHom ที่ 24-10-2011 22:02:31
กำลังสนุกเลยยย

รีบมาต่อตอนต่อไปนะจ้า  อิอิ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 26-10-2011 14:18:26
ขอติดตามต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 26-10-2011 15:19:43
สู้ๆเน้อ
ท่วมเหมือนกันจ้า
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 31-10-2011 19:08:02
+1เป็นกำลังใจให้น๊า
คนเขียนสู้สู้ :ped149:
ยังงัยก็รอได้จ๊า

ปล.ไม่ปลื้มเปปเปอร์อย่างแรง :m16:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: KanomPhing ที่ 12-11-2011 21:54:28
ชอบจินมากกว่า
พี่เปปไม่ชอบอะ
ทำแบบนี้ได้ไง

ไม่ยอมๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 12-11-2011 22:18:49
สงสารเอม และหนุ่มริมสระไม่ใช่เปปสินะ ท่าทางจะเป็นจิน

แบบนี้เอมจะทำไงอ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-5+6-] 11/10/11
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 13-11-2011 23:39:47
ที่ริมบึงใต้เงาจันทร์คงเป็นจินซิ่นะไม่ใช่เปป
อันที่จริงแอบเชียร์ให้จินคู่กันมิ้นนะเนี่ย
ไงก็ผักสวนครัวเหมือนกัน  แล้วถ้าคู่กันคงสนุกดี
คงได้ทะเลอะกันมันส์ไปเลย
แต่เหมือนจะไม่ได้ซะแล้วมั้งเนี่ย
ดูจินจะฝังใจกับเอมน่าดูเลย
เลยคิดจะเชียร์สามพีดีไหม
แต่ดูแล้วมันไม่น่าจะเป็นสามพีได้อ่ะ
มันขัดในความรู้สึก  งืออออ
เค้าฝังใจอยากให้จินคู่มิ้นอ่ะ
แล้วให้เปปคู่เอมไป  คู่โหดกะคู่หวาน
ไม่อยากให้เกิดศึกสายเลือดชิงนายเอม
ไม่อยากเจอดราม่า  แต่เหมือนจะเห็นเงามารางๆแล้ว
มารอจ่อคิวถึงหลังม่าน  เตรียมออกโรงแล้วอ่ะ

ยังไงก็ขออย่าดราม่าหนักแล้วกัน มันเศร้าาาาา
รอตอนต่อไปนะ
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Love Sick Service Pack Part 1
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 14-11-2011 17:13:05
Part 1


“พี่จิน! อย่ามาทำนิสัยเอาแต่ใจกับเอมนะ!”

“อ๋อ นี่สรุปว่าพี่กลายเป็นคนเอาแต่ใจไปแล้วใช่มั้ย!”

เสียงทุ่มเถียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากวิลล่าหมายเลข A17 ของรีสอร์ทแบบบูติคริมทะเลอาจทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เพราะว่าที่นี่คือรีสอร์ทที่มีความเป็นส่วนตัวสูง และแต่ละวิลล่าก็อยู่ห่างกันครึ่งกม.น่าจะได้ จึงไม่ค่อยมีใครผ่านไปผ่านมาเท่าไรนักหรอก

ตัดฉากกลับมาที่ภายในห้องนอนของวิลล่าหลังนี้ดีกว่า... บรรยากาศร้อนระอุ คนสองคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง หารู้ไม่ว่าทั้งคู่ทะเลาะกันในเรื่องเดียวกันก็จริง แต่ประเด็นที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายโมโหเป็นฟืนเป็นไฟนั้นมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง...

“พี่ว่าอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย งั้นพี่ก็จะไม่ว่าไม่บอกอะไรอีก อยากจะแต่งตัวยังไงก็แต่งไป อยากจะไปไหนกับใครก็ไปเลย!” หากฟังรวมๆแล้วก็ไม่น่าที่จะโกรธเท่าไหร่ แต่ไอ้ไคลแม็กซ์ที่ประโยคสุดท้ายมันกลับทำให้อีกคนเลือดขึ้นหน้าทันที มือเล็กที่กำหมัดแน่นจนขาวซีดถอดเสื้อตัวเองอย่างรวดเร็วจนแทบจะฉีกทิ้ง พอถอดเสร็จก็ปาเสื้อโปโลสีขาวใส่หน้าร่างสูงดังป้าบ
“เออดี งั้นถ้าเอมไม่อยากจะใส่เสื้อเอมก็จะไม่ใส่ และถ้าเอมอยากจะไหนคนเดียว เอมก็จะไปเอง!!” เสียงใสตวาดแว้ดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็หุนหันพลันแล่นออกไปจากห้องโดยไม่ปล่อยให้จินเจอร์ได้ตั้งตัว
“เอม! ไอ้แสบ กลับมาเลยนะ” จินเจอร์รีบวิ่งตามออกมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเจ้าจิ๋วหายตัวไปไวเหมือนอันตรธานจากตรงนั้นในชั่วพริบตา
“ฮึ่ย!” ร่างสูงทุบกำปั้นเข้ากับผนังข้างตัวเต็มแรง ทั้งโมโหทั้งห่วงคละเคล้ากัน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูดังโครมใหญ่เหมือนกับจะไม่สนใจเจ้าตัวเล็กอีกเลย


เพราะอะไรคนสองคนที่ขึ้นชื่อว่ารักกันมากจนคนใกล้ตัวและผู้พบเห็นต่างพากันอิจฉาถึงทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้? คำถามนี้จะได้รับคำตอบเมื่อมองย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้...


อากาศยามเช้าตรู่ในวันพักผ่อนนี้ช่างสดชื่นและสดใสมากเกินกว่าที่จะเอาแต่นอนซุกอยู่บนเตียง แต่เมื่อหันไปมองคนข้างๆที่ยังหลับอุตุไม่ยอมตื่นก็ต้องถอนใจ เพราะไม่อยากจะปลุกคนที่นอนหลับสบาย สุดท้ายแล้วเจ้าตัวเล็กจึงคว้าเสื้อคอกลมผ้าป่านสีขาวบางมาใส่กับกางเกงขาสั้นอย่างลวกๆแล้วก็ย่องออกจากห้องไปตามลำพัง

ชายหาดสีขาวและน้ำทะเลใสแจ๋วกำลังกวักมือเรียกให้ชะเอมลงไปแหวกว่ายแต่หัววัน ร่างเล็กเลือกหาที่นั่งโล่งๆริมหาดแล้วจ้องมองพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ปากเล็กอ้าน้อยๆเพราะทึ่งกับความงามของธรรมชาติที่หาชมได้ยากในเมืองใหญ่ เพราะเมื่อคืนมาถึงก็สองทุ่มไปแล้ว ทานมื้อเย็นเสร็จก็หลับเป็นตาย เช้านี้เด็กน้อยจึงรีบตื่นเพื่อมาดูสายลมและแสงแดด
“มาคนเดียวเหรอครับ?” น้ำเสียงนุ่มนวลเรียกให้ชะเอมต้องหันกลับไปมอง ใบหน้าที่พอเห็นก็มั่นใจว่าไม่ใช่คนรู้จักแน่ๆทำให้ชะเอมแค่ยิ้มกลับไปเฉยๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องไม่มาด้วยเจตนาบริสุทธิ์
“ขอนั่งด้วยได้มั้ย?” แน่ะ เขาไม่สนใจยังจะตื๊อได้อีก ชะเอมลุกยืนแล้วปัดก้น ก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายนั่งได้ตามสบาย
“อ้าว ไม่นั่งด้วยกันเหรอครับ” เฮ้ย ชายหนุ่มนิรนามคว้าข้อมือชะเอมไว้ทันควันก่อนที่เจ้าจิ๋วจะเดินหนีไป ชะเอมจิกสายตาไปที่ข้อมือตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ถ้าไม่รู้จักกันอย่ามาทำสนิทสนมดีกว่านะครับ ผมไม่ชอบพวกตีซี้” 
“และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวแฟนผมเหมือนกัน” เสียงทุ้มที่ชะเอมคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ที่คว้าแขนชะเอมกลับทันที ชะเอมหันไปยิ้มให้พี่จินที่ดูท่าว่าคงจะเพิ่งตื่นหมาดๆ หน้าตายังดูมึนเหมือนคนที่พร้อมจะหาเรื่องชาวบ้านได้ทุกเมื่อ
“อ้าว แหม ผมก็แค่อยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่แค่นั้นแหละ ถ้าไม่อยากรู้จักกันก็ไม่เป็นไร ฮ่าๆ” พอเห็นพี่จินร่างยักษ์ก็ทำเนียนหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วรีบเดินไปที่อื่นทันที ชะเอมจึงทำท่าแลบลิ้นไล่หลังแล้วทำหน้าเยาะเย้ยเหมือนเป็นผู้ชนะ

“แล้วนี่ทำไมลุกเดินมาคนเดียวละ หืม?” พี่จินถามเสียงนิ่ง ทำเอาลูกลิงที่ทำหน้าทะเล้นเมื่อกี้ต้องหันมาซุกอกพี่จินและทำเสียงออดอ้อนทันที
“ก็เอมเห็นพี่จินหลับสบาย เลยไม่อยากปลุกนี่ครับ”
“งี่เง่า วันหลังถ้าไปไหนมาไหนคนเดียวโดยไม่บอกพี่นะ จะตีให้ก้นลาย” ดูท่าว่าการออดอ้อนของชะเอมจะได้ผล เพราะมีเพียงการคาดโทษจากพี่จินเท่านั้น ไม่ใช่การถูกดุเหมือนที่มักจะโดนประจำเวลาทำผิด

“นึกถึงไอ้เวรนั่นแล้วยังโมโห รู้งี้น่าจะกระทืบให้จมทราย” พี่จินบ่นพึมพำขณะจูงมือชะเอมให้เข้ามาในบริเวณที่จัดอาหารเช้า
“ไม่เอานะพี่จิน ไปกินข้าวกันเถอะ เอมหิวจัง” ชะเอมดึงพี่จินให้ไปที่ไลน์ของทอด แต่ด้วยเพราะว่าพี่จินเอาแต่เดินเรียบเรื่อยไม่ทันใจ เจ้าตัวเล็กจึงปล่อยมือพี่จินแล้ววิ่งนำไปก่อน

เท่านั้นแหละ เมื่อร่างเล็กนำหน้าพี่จินไป อะไรๆก็ปรากฎสู่สายตาพี่จินมากขึ้น ทั้งเสื้อสีขาวตัวบางแสนบาง แต่นั่นยังไม่น่าโกรธเท่ากางเกงขาสั้นตัวที่เคยสั่งไว้ว่าห้ามใส่ออกมาเดินข้างนอกโดยเด็ดขาด!!
“เอม หยุด!” เสียงเย็นๆอารมณ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเกรี้ยวกราดตวาดลั่น แขกคนอื่นหันมามองกันด้วยความสงสัย แม้แต่ชะเอมที่กำลังอารมณ์ดีก็หันมามองพี่จินด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“อะไรครับพี่จิน?”
ร่างสูงเดินตรงดิ่งไปหาชะเอมแล้วพูดด้วยเสียงต่ำโกรธจัด มือใหญ่บีบข้อมือชะเอม แม้แรงที่บีบจะไม่มากแต่ก็ทำให้ตกใจได้ไม่น้อย จากคนที่อามรมณ์ดีๆในตอนแรกกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
“แต่งตัวอะไรน่ะ” พี่จินถาม ทำให้ชะเอมต้องก้มมองเสื้อผ้าตัวเองแล้วก็ถึงบางอ้อ
“เอ่อ... คือ... เอมรีบออกมาน่ะครับ คว้าอะไรได้ก็เลยใส่มาเลย” ชะเอมพยายามพูดอย่างนุ่มนวลที่สุด เพราะตัวเองก็ผิดจริงๆที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย และที่สำคัญ พี่จินเป็นคนหวงของที่สุด ยิ่งเป็นชะเอม... เขายิ่งหวง ข้อนี้ชะเอมรู้ดี เพราะพี่จินไม่เคยปล่อยให้ชะเอมแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย ถ้าครั้งไหนที่ชะเอมเผลอใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมนิดหน่อย หรือใส่กางเกงขาสั้นเกินกำหนด พี่จินเป็นต้องทำตาเขียวปั๊ดประจำ
“รีบ? รีบงั้นเหรอ รีบก็เลยเป็นข้ออ้างให้แต่งตัวไม่เรียบร้อย?” พี่จินยังคงเดินหน้าโมโหเต็มอัตราสูบไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง พนักงานในรีสอร์ทก็อึกอักไม่กล้าเข้ามาห้าม เพราะกลัวโดนลูกหลงจากพี่จิน สุดท้ายเอมจึงต้องเป็นฝ่ายโน้มน้าวให้กลับไปคุยกันที่วิลล่า
“พี่จินครับ ไปคุยกันที่ห้องเถอะ ที่นี่คนเยอะ อายเขานะ...”
“เหอะ อาย? อยู่กับพี่แล้วอายคนอื่นใช่มั้ย” โว้ย ชะเอมอยากจะร้องไห้ดังๆ ทำไมเวลาพี่จินโมโหถึงชอบทำตัวส้นตีนแบบนี้ตลอดเลยนะ พูดอะไรก็ผิดไปหมด ความอดทนก็จะหมดตามไปด้วยแล้วนะ!

ไม่ว่าอย่างไรชะเอมก็คิดเพียงแต่ว่ากลับไปที่ห้องก่อนแล้วจะบู๊ให้เต็มที่ จะให้ทะเลาะกันโชว์คนอื่นได้ยังไง ไอ้พี่จินทุเรศ ทำนิสัยเอาแต่ใจที่สุดในโลก!

ปัง!
เสียงปิดประตูดังสนั่นทำให้เอมตวัดสายไปตามองพี่จินตาขวาง ไม่ต่างกับคนปิดประตูที่มองชะเอมตาขวางไม่แพ้กัน
“พี่เป็นอะไรของพี่ ทำไมไม่รู้จักพูดดีๆ ทำไมต้องทำเสียงดังต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนั้นด้วย!” ถึงตอนนี้ชะเอมไม่ทนอีกแล้ว ความอดทนของชะเอมนับได้หนึ่งถึงสิบ เมื่อชะเอมนับถึงสิบแล้วพี่จินยังไม่เย็นลง ชะเอมก็จะวีนแตกบ้างละ
“แล้วทำไม เอมอายคนอื่นเขามากรึไง อยู่กับพี่แล้วอายมากนักใช่มั้ย?”
“เอมจะไม่อายเลยนะถ้าพี่จินไม่เสียงดังแบบนั้น ถ้าเราจะทะเลาะกันทำไมไม่ทะเลาะกันแค่สองคน จะต้องป่าวประกาศให้ชาวบ้านเขารู้ทำไม!”
“นั่นมันไม่ใช่ประเด็นเลยนะเอม ตัวเองทำผิดอะไรไว้อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!” นั่นไง พี่จินของเขา หาเหตุผลอะไรไม่ได้ตอนโมโหหรอก ขี้เหวี่ยงขี้วีนไม่แพ้ผู้หญิงเลยเชียว
“จะบอกว่าเอมผิดที่แต่งตัวไม่ดี เลยทำให้พี่จินต้องเสียงดังใช่มั้ย สรุปแล้วเอมผิดใช่มั้ย!!!” ชะเอมแทบจะกรี๊ด สรุปแล้วเขาเป็นคนผิดงั้นเหรอ?
“เอมไม่ผิดหรอก พี่ผิดเอง” พี่จินพูดเสียงแข็งแล้วหันหน้าหนี สำหรับชะเอมแล้วท่าทางแบบนั้นคือ ‘ทนมองไม่ได้’ การแต่งตัวของเขามันน่าเกลียดขนาดนั้น เลยต้องโมโหเสียงดังให้อายคนอื่นงั้นเหรอ เฮอะ! เหตุผลแบบนี้ชะเอมไม่มีทางรับได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะมองยังไง สำหรับเขาแล้วพี่จินก็ผิดที่เสียงดัง ผิดที่โมโหไม่ฟังอะไร ก็ได้ ถ้าอยากจะชนะเขามากนักเขาก็จะยอม
“...เอมขอโทษนะครับพี่จิน ต่อไปนี้เอมจะไม่แต่งตัวแบบนี้อีกแล้ว” สุดท้ายก็ยอม เขายอมเพราะอะไร? เพราะว่ารักถึงได้ยอมไม่ใช่หรอกหรือ...
“ไม่เป็นไรหรอกเอม พี่ไม่ห้ามแล้วแหละ เอมอยากแต่งแบบไหนก็แต่งไปเถอะ มันเป็นตัวของเอมนี่” พี่จินหันมาพูดแล้วก็ยิ้ม ยิ้มเหยียดๆ แบบที่ทำให้ความโมโหของชะเอมพุ่งปรี๊ดจนเกินร้อย จะโมโหจะอะไรยังไงก็ยังพอทนได้ แต่ไอ้การประชดเนี่ยละที่ชะเอมเกลียดจนอยากจะข่วนหน้าพี่จินให้ยับ!


“พี่จิน! อย่ามาทำนิสัยเอาแต่ใจกับเอมนะ!”




*อันนี้ครึ่งแรกนะฮาว์ฟ เดี๋ยวอีกครึ่งจะตามมาพรุ่งนี้
**เพิ่งจะได้เข้าเวบ และได้ตามอ่านหลายๆคห. ก็เลยมาเฉลยด้วยตอนพิเศษและกันว่าใครคู่ใคร 555+ ไม่ดราม่าแน่ค่ะ
แต่คงไม่ถูกใจใครหลายๆคน อิอิ
***ต้องขอโทษด้วยที่หายไปนานมากกกกกกกค่ะ  เพราะว่าช่วงนี้บีเป็นผู้ประสบภัย (ฟังดูดีมะ) และต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว
ประเด็นคือว่าแฟลชไดรฟ์อยู่ที่อพาร์ตเมนท์ที่โดนน้ำท่วมค่ะ ฮาหงายเงิบเลย ตอนนี้เลยเอาตอนพิเศษที่เพิ่งเขียนสดๆมาแก้ขัดก่อน
หากใครอ่านตอนพิเศษแล้วไม่ได้ดั่งใจก็ต้องทนอ่านนะคะ เพราะว่าบีชอบพี่จินมากกกก ไม่เปลี่ยนพระเอกแน่นอน โฮะๆๆ
****สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ  :กอด1:


 
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 14-11-2011 17:29:23
 :z13:ดีใจ
จินเจอร์อย่าหึงหวง
มากได้มั๊ยเด๋วเอมไม่รักน๊า

1+เป็นกำลังให้คนเขียน :L2:
เอาเป็ดไปกินแทนมาม่า
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 14-11-2011 17:57:37
เย่   จินเปนพระเอกจริงด้วย


แต่อยากบอกว่า  ค้างงงง   อย่างเเรง


มาต่อเร็วๆๆนะ


+1 
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 16-11-2011 04:22:22
แง่ะ  จินเป็นพระเอกหรอเนี่ย  แอบขัดใจเล็กๆ
แตาไม่เป็นไร  เพราะชอบจินเหมือนกัน
แล้วเปปจะมีคู่ไหมอ่ะ  อยากให้เปปมีคู่นะ
ถึงเปปมันจะดูเห้นแกตัว ที่จะบปลาสองมือ
แต่มันก็ดุเป็นคนดีออกนะ  ชอบตัวละครตัวนี้อ่ะ
ชอบความใจดีและความอ่อนโยนของตัวละครตัวนี้
เลยอยากให้เปปมีคู่นะ  ไม่รู้คเขียนจะว่ายังไงเนอะ
( :m13: ทำตาใสปิ๊งๆอ้อนคนเขียน ไม่รู้ได้ผลเปล่า)

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 16-11-2011 05:30:48
อุกรี๊ดดด พี่จินคือพระเอก  :a5:
ไม่ได้ช็อกเว่อร์ แอบคิดอยู่แล้ว จะว่าไปพระเอกโหดๆ ตาจิกๆนี่เราก็ชอบนะ :o8:
ตอนนี้เลิกเป็นผู้ประสบภัยหรือยังคะ ขอให้น้ำลดเร็วๆนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 16-11-2011 12:56:37
สงสัยพี่เปปเคลียร์ตัวเองเรื่องผู้หญิงไม่ได้ พระเอกเลยตกมาเป็นพี่จินแทนซะงั้น หุหุ
หัวข้อ: Love Sick Service Pack Part 2
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-11-2011 17:07:29
เหตุการณ์ที่เกิดหลังจากนั้นก็คือเจ้าจิ๋วที่ปาเสื้อใส่หน้าพี่จินดังป้าบก็หนีมานั่งหน้าหงิกริมสระว่ายน้ำ เท้าเล็กแกว่งไกวอยู่ใต้น้ำเหมือนอยากจะเร่งดับอารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟ เรื่องขี้โมโหชะเอมก็ไม่น้อยหน้าใคร เพียงแต่ว่าก่อนที่ชะเอมจะโมโหสุดๆนั้น เขามักจะพยายามใจเย็น ยอมได้ก็ยอม
 
แล้วทำไมครั้งนี้ถึงไม่ยอมต่อไป?

ก็เพราะว่าความขี้โมโหของพี่จินนั้นไงล่ะ ที่ทำให้วันนี้ชะเอมยอมไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็คงต้องเจอเรื่องแบบนี้ไปตลอด ในเมื่อตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำผิด แต่ทั้งที่ขอโทษแล้วก็ยังมาทำประชดใส่อีก

มันน่ามั้ยล่ะ!!!

“อึ๋ย~ หนาวจัง” อากาศที่เริ่มเย็นในเดือนพฤศจิกายนแบบนี้คงไม่เหมาะที่จะมานั่งเปลือยท่อนบนแล้วจุ่มขาลงไปในน้ำแบบนี้เป็นแน่ แต่กว่าที่จะรู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดก็ไม่ทันแล้ว เพราะจะกลับไปเอาเสื้อที่ห้องก็เสียฟอร์ม

ชะเอมเปลี่ยนท่ามาเป็นนั่งกอดเข่าชิดกับอก เพราะความหนาวส่วนหนึ่งกับความเขินเล็กๆ ก็ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเปลือยอกนอกสถานที่ ถึงแม้จะเป็น เอ่อ...ผู้ชายก็เถอะนะ
‘...’ นั่งไปนั่งมาก็เริ่มซึม อารมณ์ก็หดหู่ น้ำตาก็เริ่มปริ่มขอบตา ความน้อยใจมันแล่นขึ้นมาในอก ชะเอมเกลียดช่วงเวลาแบบนี้ มันจะดูเหมือนกับว่าเป็นคนที่อ่อนแอ แต่ไม่ว่าพยายามกลั้นน้ำตาแค่ไหนก็กลั้นไม่ไหว และเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นมาเป็นเสียงแรก
“ฮึก...” ที่พยายามกลั้นเสียงเพราะรู้ตัวว่าถ้าร้องไห้เมื่อไรก็จะร้องอย่างหนัก ฝ่ามือที่เริ่มเปียกชื้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าน้ำตาของความเสียใจนั้นมากแค่ไหน เพราะว่ารักมาก จึงยิ่งเสียใจมากแปรผันตามกันไป...

“!?!” มือใหญ่ที่หิ้วปีกของร่างเล็กให้ลอยหวือขึ้นมาจากพื้นข้างสระน้ำแล้วประคองไว้ในอ้อมกอดทำให้เจ้าตัวรู้สึกตกใจได้ชั่วขณะ แต่แล้วความตกใจก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง ชะเอมกำมือแล้วทุบรัวๆที่แผ่นหลังกว้าง แต่เจ้าของร่างสูงก็ไม่ได้ใส่ใจ กลับเอาผ้าขนหนูมาคลุมไหล่เนียนนั้นไว้ให้มิดชิด ริมฝีปากนุ่มระดมจูบปลอบที่หัวอย่างอ่อนโยน
“ไม่เอานะครับ อย่าดึงผ้าออก เดี๋ยวโป๊หมด” เสียงนุ่มเอ็ดเบาๆเมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมกอดพยายามจะเขวี้ยงผ้าขนหนูทิ้ง บ่งบอกชัดเจนว่าคงไม่อยากรับความปรารถนาดีอะไรจากเขาทั้งสิ้น   
“ฮึก... พี่จินยุ่งไม่เข้าเรื่อง...”
“ครับๆ พี่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง... แต่ว่าตอนนี้เอมต้องกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ” จินเจอร์พูดเสียงอ่อน น่าแปลกที่ความฉุนเฉียวของพี่จินจะหายไปไวเหลือเกิน สาเหตุก็คงไม่ต้องคาดเดา ความโมโหหมดไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวเล็กวิ่งพรวดพราดหนีเขาไปตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งห่วง ทั้งหวง  ในใจก็คิดไว้แล้วว่าถ้าตามหาเจอ เจ้าตัวแสบคงไม่ยอมใส่เสื้อแต่โดยดีแน่ๆ เลยกลับเข้าห้องไปคว้าผ้าขนหนูผืนโตมาติดมือไว้ก่อน กะว่าถ้าหาเจอก็จะเอาผ้าห่อแล้วอุ้มกลับห้องเลย

และแล้วเขาก็เจอจริงๆ เด็กจิ๋วที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นริมสระว่ายน้ำ อากาศก็เย็น ยังมานั่งโป๊อยู่อีก มันน่าตีนัก แต่ก่อนที่จะได้ตี แค่เห็นหลังชะเอมสั่นไหวเบาๆเพราะสะอื้นก็ใจอ่อนยวบ ทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิด พอรู้ตัวอีกทีก็อุ้มขึ้นมาเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังหอมและจูบไม่หยุด การกระทำของพี่จินก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่ชะเอมเสียใจนั่นแหละ...

เพราะ ‘รัก’ อีกแล้ว...

“คนดี... ไม่เอานะ อย่าหันหน้าหนีพี่แบบนี้” จินเจอร์พยายามใช้น้ำเสียงให้หวานที่สุด เพื่อหวังว่าจะหยุดท่าทีเย็นชาจากชะเอมได้ ร่างเล็กที่พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินมาทิ้งตัวนอนติดขอบเตียงด้านหนึ่งแล้วตะแคงข้างไม่สนใจใคร

พี่จินเอานิ้วเขี่ยแก้มนุ่ม เขี่ยไปเขี่ยมาก็หมั่นเขี้ยวเลยหอมไปฟอดหนึ่ง แล้วก็นึกได้ว่าถูกโกรธอยู่เพราะเสียงฮึดฮัดจากคนถูกหอมนั่นเอง
“หน้าด้านหน้าทน”เสียงด่าลอยมาตามลม แต่เขาก็ยิ้มออก อย่างน้อยชะเอมก็ยอมพูดด้วย ถึงตอนนี้ก็ต้องเดินหน้าอ้อนและตื๊อต่อไป
“พี่มันหน้าด้าน ง้อเอมอยู่แบบนี้แหละ ทำให้เขาโกรธก็ต้องง้อ พี่ทำตัวงี่เง่าเองนี่ครับ...”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว” ชะเอมพูดแล้วก็นิ่ง นิ่งจนพี่จินไปต่อไม่เป็น ได้แต่นอนกอดเอวชะเอมอยู่นิ่งๆ..
“พี่ขอโทษนะครับเอม ต่อไปนี้พี่จะใจเย็นให้มากกว่านี้ เอมอย่าโกรธพี่อีกเลยนะ พี่หวงเอมจริงๆนี่นา ของๆพี่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นนะครับ”
“เลยมาโมโหใส่เอม อืม... ดีเนอะ พูดดีๆกันไม่ได้ สงสัยคงเห็นเอมเป็นหมูเป็นหมา ตวาดเอาๆอย่างเดียว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเอม อย่าพูดแบบนั้น พี่เนี่ยแหละที่เป็นหมา งี่เง่า ไร้เหตุผล ชอบเอาแต่ใจกับเอมตลอด” พี่จินทำเสียงเศร้า ไม่รู้ตัวว่าดวงตากลมโตแอบเหลือบมองมาเป็นระยะ
 
ความโกรธในใจนั้นมลายหายไปตั้งแต่รู้ตัวว่าถูกอุ้มประคองขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเวลาโดนพี่จินกอดหอมแบบนี้ก็มักจะใจอ่อนตลอด เหมือนไม่ได้โกรธมาแต่แรกอย่างนั้นแหละ และยิ่งร่างสูงมาออดอ้อนแบบนี้ มีหรือที่จะทำใจแข็งต่อได้อีก...

“พี่จินรู้แล้วใช่มั้ยว่าตัวเองทำเกินไป”  ชะเอมพูดโดยไม่หันไปมองหน้าหงอยของคนที่ประคองกอดตัวเองจากด้านหลัง
“ครับ พี่รู้...”
“เอมยอมให้พี่ได้ทุกอย่างนะครับ ยกเว้นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล และเอมก็ไม่ชอบเวลาที่เราจะต้องไปทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่นด้วย มันเป็นเรื่องของเราสองคน ทำไมจะต้องให้คนอื่นมารับรู้ด้วยละครับ ทำไมเวลามีอะไรเราถึงไม่คุยกันดีๆ” เอมลุกขึ้นมานั่งมองหน้าพี่จินแล้วพูดยาวเป็นชุด ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างสูง เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองนั้นผิดจริง
“เอมไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้กันอีก มันเจ็บ...เอมเจ็บ...” เจ้าจิ๋วทำหน้าเศร้าจนพี่จินรู้สึกเจ็บไปด้วย หากว่าถ้าดึงเอมเข้ามากอดในตอนนี้แล้วจะแบ่งเบาความเสียใจมาได้มากขึ้นก็คงดี แต่มันก็เป็นไปไม่ได้...
“พี่จะไม่ทำแบบนี้อีก... พี่ไม่อยากเห็นเอมร้องไห้ เอมเจ็บพี่ก็เจ็บไปด้วยนะ...”
ไม่มีคำพูดใดๆถูกเอ่ยขึ้นมาอีก มีเพียงเสียงหายใจและสัมผัสจากกันและกัน มือเล็กที่กอดตอบพี่จินและลูบแผ่นหลังกว้างอย่างรักใคร่ ชะเอมชอบเวลาที่พี่จินกอด และพี่จินก็ชอบเวลาที่ได้จรดริมฝีปากลงที่แก้มของชะเอม แต่ที่พี่จินชอบมากกว่านั้น...

คือการจับชะเอมกด...

“อ๋า! พี่จิน ไม่เอานะ ยังจะมีอารมณ์ทำแบบนี้อีก!!”

สุดท้ายวันที่สองของการมาเที่ยว ทั้งคู่ก็หมดเวลาไปกับการ ‘พักผ่อน’ ในห้องจนหมดวันเหมือนเดิม...

.จบ.

*** ตอนพิเศษนี้ไม่มีอะไรเลยค่ะ นอกจากไร้สาระล้วนๆ 555+

หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.1 14/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 16-11-2011 17:09:19
แง่ะ  จินเป็นพระเอกหรอเนี่ย  แอบขัดใจเล็กๆ
แตาไม่เป็นไร  เพราะชอบจินเหมือนกัน
แล้วเปปจะมีคู่ไหมอ่ะ  อยากให้เปปมีคู่นะ
ถึงเปปมันจะดูเห้นแกตัว ที่จะบปลาสองมือ
แต่มันก็ดุเป็นคนดีออกนะ  ชอบตัวละครตัวนี้อ่ะ
ชอบความใจดีและความอ่อนโยนของตัวละครตัวนี้
เลยอยากให้เปปมีคู่นะ  ไม่รู้คเขียนจะว่ายังไงเนอะ
( :m13: ทำตาใสปิ๊งๆอ้อนคนเขียน ไม่รู้ได้ผลเปล่า)

 :L2: :pig4: :L2:

ความคิดดีค่ะ > <b


อุกรี๊ดดด พี่จินคือพระเอก  :a5:
ไม่ได้ช็อกเว่อร์ แอบคิดอยู่แล้ว จะว่าไปพระเอกโหดๆ ตาจิกๆนี่เราก็ชอบนะ :o8:
ตอนนี้เลิกเป็นผู้ประสบภัยหรือยังคะ ขอให้น้ำลดเร็วๆนะ :กอด1:

ยังเลยค่ะ กลับห้องไม่ได้สักทีเนี่ย ขอบคุณที่เป็นห่วงค่า

หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 16-11-2011 19:22:18
พี่จินจับน้องกดยังไง อธิบายด่วนๆๆๆๆๆๆ :laugh:
มิน่าเขาถึงว่ายิ่งทะเลาะกัน ยิ่งลูกดก สองคนนี้ก็เข้าข่ายไหมนี่ :jul3:
กอดๆคุณบี เอาใจช่วยเรื่องน้ำท่วมนะคะ สู้ๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-11-2011 20:44:14
ชอบพี่จินอ่ะ  อิจฉาชะเอม  อยากมีคนหวง คนห่วง  คนหึงแบบนี้มั่งจัง
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Theodore ที่ 16-11-2011 21:37:05
อยากได้ฉากจับกดคร้าบ ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 16-11-2011 23:10:42
แหม ไม่ไร้สาระหรอกค่ะ กลัวว่าจะเพียงแค่ให้เห็นความหวานเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่ตัวหลักจะกลายเป็นมาม่าหรือเปล่าล่ะสิเนี่ย

ปล. ขอให้เลิกเป็นผู้ประสบภัยเร็วๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 16-11-2011 23:38:31
เชียร์จิน ชอบผู้ชายปากหนัก
ถึงจะปากเสีย น่ากลัว ขี้โมโห แต่คนแบบนี้ไม่ค่อยไขว้เขวไปหาคนอื่น
แอบมั่นใจได้มากกว่า
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 17-11-2011 00:34:22
สามคำให้เปป   สะ ตอ มาก
ให้เอม    ตา สะ หว่าง ( เหอะ)
ให้จิน     บุก เลย ลูก o18
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 17-11-2011 01:28:44
ความคิดดีค่ะ > <b



ถ้าดีคุณบีบีจังก็ช่วยสนองให้คนอ่านด้วยนะค้าาาา
ตอนแรกคิดว่าเปปคู่เอม แล้วจินคู่มิ้น (ตามที่เดาเรื่องตอนแรก)
พอพลิกมาเป็นจินคู่เอม เลยไม่รู้จะให้เปปคู่ใครดีเลย
จะให้คู่มิ้น(เรา)ก็จิ้นไม่ออก เพราะสองคนนี้ไม่ค่อยมีบทคู่กัน
ดังนั้น  จึงต้องขอความกรุณาจากคุณผู้เขียนนะคะ
ให้เปปมีคู่เถอะะะ  คู่กะใครก็แล้วแต่ผู้เขียนเลยค่า

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 17-11-2011 12:12:33
ว่าเเล้วจินต้องเป็นพระเอก 55+  o13
แอบเสียดายเปป ไม่น่าทำตัวงี้เลย
ป.ล. สงสัยเล็กน้อย ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า love sick  << เป็นเพราะเวลาน้องเอมเขินมากๆจะไม่สบายชิมิ :m21:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 17-11-2011 14:57:41
จินง้อได้น่ารักมากกกกก :กอด1:
+1เป็นกำลังให้จ๊า
ปล.รักษาสุขภาพด้วยน๊า :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 17-11-2011 17:09:26
อ่า ดีใจ เชียร์จินเจอร์เหมือนกัน หุๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick Service Pack Part.2 16/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 17-11-2011 17:27:33
ว่าเเล้วจินต้องเป็นพระเอก 55+  o13
แอบเสียดายเปป ไม่น่าทำตัวงี้เลย
ป.ล. สงสัยเล็กน้อย ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า love sick  << เป็นเพราะเวลาน้องเอมเขินมากๆจะไม่สบายชิมิ :m21:

ตามนั้นเลยค่ะ ชะเอมตื่นเต้นมากจัดแล้วชอบป่วย :-)

หัวข้อ: Love Sick [-7-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 17-11-2011 17:30:00
Love Sick [-7-]


ช่วงนี้งานวาดภาพฉากหลังที่จะใช้ในพิธีจบการศึกษาของพี่ปีสามคืบหน้าไปเยอะมากครับ บางทีอาจเพราะทุกคนกระตือรือร้นกันเป็นพิเศษ พอมีเวลาว่างก็เอาแต่มาช่วยกันทำ จนไม่ถึงอาทิตย์ก็เสร็จไปกว่า 70% แล้ว
“ชะเอม ถ้าจะไปเบิกสีจากอาจารย์น่ะ ช่วยเอาแม่สีขาวมาเผื่อเราด้วยนะ” ซินหันมาบอกก่อนที่ผมจะเดินออกไปจากหอประชุม ผมพยักหน้ารับแล้วท่องเอาไว้ในใจว่าอย่าลืมสีขาวของซินด้วย

‘มีสีขาวของซิน แปรงละเลงสี กระดาษทราย...’ ผมเดินนับนิ้วรายการสิ่งของที่จะขอเบิกระหว่างเดินไปห้องพักครู รู้สึกชีวิตช่วงนี้วุ่นวายพิลึกนะครับ ไหนจะเรียน ทำการบ้านกองเท่าภูเขา มาทำงานนอกเวลา และต้องแบ่งเวลาไปสอดส่องหาพี่เปปเปอร์ด้วย!

พูดถึงพี่เปปเปอร์แล้วผมก็นึกออก หลังจากคืนนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยละครับ มีแค่เพียงสวนกันแว่บๆ หรือมองเห็นจากที่ไกลๆเท่านั้นเอง สำหรับคนที่กำลังคบกันเนี่ยมันน้อยไปหรือเปล่าครับ หรือว่าผมจะเรียกร้องมากไปเอง?

“มึงไม่ได้เรียกร้องมากไปหรอก”

ไอ้มิ้นท์บอกกับผมในคืนหนึ่งที่เห็นผมนั่งหน้าเศร้า มันคงเริ่มสังเกตว่าผมมักจะเหม่อลอยบ่อยขึ้นและใช้เวลากับการสเก็ตช์รูปเรื่อยเปื่อยมากกว่าเดิม มันก็คงจะรับรู้ได้ว่าผมเหงา และน้อยใจแค่ไหน
“กูไม่เห็นพี่จินเขาจะยุ่งเหมือนพี่เปปเปอร์เลย เขาก็ยังมาคุมซ้อมได้ทุกวัน นี่นะเอม กูไม่ได้จะพูดให้มึงเครียดนะ แต่กูคิดว่าพี่เปปเปอร์เขาไม่ได้ยุ่งแค่เรื่องเตรียมสอบหรอก เพราะกูรู้มาว่าช่วงนี้มันเป็นช่วงที่เขาจะรอฟังผลสอบกันอย่างเดียว ไอ้เรื่องการสอบน่ะมันจบไปตั้งกะอาทิตย์ก่อนแล้ว” ผมฟังไอ้มิ้นท์พูดแล้วก็อึ้ง ถ้าการสอบจบแล้วทำไมพี่เปปเปอร์ถึงไม่มาเจอกับผมบ้างละ? ผมไม่อยากคิดอะไรไม่ดีเลย แต่ไอ้ความรู้สึกแย่ๆที่มันว้าวุ่นในจิตใจผมนี่สิ
“พี่เปปเปอร์เขาคงมีธุระของเขานะ...” แก้ตัว? ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังช่วยแก้ตัวให้พี่เปปเปอร์แบบน้ำขุ่นๆ
“มีธุระแบบที่บอกมึงไม่ได้เลยเหรอ มึงไม่ได้กำลังคบกับเขาอยู่หรือไง” ไอ้มิ้นท์พูดเสียงเครียด ผมรู้ว่ามันเดือดดาลแทนผม แต่ผมไม่อยากให้ใครมาว่าพี่เปปเปอร์แบบนี้..
“เอาเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะลองไปดักรอเขาที่หอปีสามดูแล้วกัน จะได้ถามด้วยว่าช่วงนี้เขายุ่งเรื่องอะไรอยู่” ผมพูดตัดบทโดยไม่สบตาไอ้มิ้นท์ ผมไม่อยากมองเห็นสายตาของมัน ไม่อยากได้ความสงสารจากใคร... เรื่องมันก็แค่พี่เปปเปอร์ไม่มีเวลาว่าง... ก็แค่นั้น...
...
..
..
.
..
.
ผมตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติก่อนที่นาฬิกาจะปลุกเพียงสองนาที พอหันไปมองข้างๆก็เห็นว่าไอ้มิ้นท์ยังคงหลับสนิท หน้าอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจยังสม่ำเสมอ ผมทำภาระกิจยามเช้าให้เสียงเงียบที่สุด เพราะกลัวว่าถ้ามันตื่นแล้วมันจะแอบติดสอยห้อยตามผมไปด้วย

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวและไม่ลืมที่จะคว้ากุญแจจักรยานของไอ้มิ้นท์มาด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินมากนัก จักรยานของไอ้มิ้นท์จอดอยู่ใต้ตึกพอดี พอผมปลดล็อกโซ่ได้ก็ปั่นฉิวออกมาเลย

ช่วงเช้าแบบนี้คนยังไม่ค่อยตื่นกัน ถนนปูอิฐสีแดงภายในพื้นที่ของอาคารหอพักมีหยดน้ำค้างทำให้ดูชื้น อากาศสดชื่นมากๆ ขัดกับสภาพจิตใจของผมที่มันร้อนรุ่มเหมือนกำลังจะทำเรื่องสำคัญบางอย่าง ถ้าหากว่าผมเฉลียวใจสักนิด ผมก็คงจะรู้ได้ว่าปฏิกิริยาทางร่างกายผมก็คือลางบอกเหตุ... เหตุร้ายๆที่มันกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวผม...

ภาพที่ผมเห็นมันก็ยังคงเหมือนเดิม ตึกหอพักของปีสามที่กำลังโผล่พ้นจากยอดไม้ขึ้นมาทีละนิด ไม่รู้ว่าเช้าขนาดนี้พี่เปปเปอร์จะตื่นหรือยัง แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเข้าข้างผม เพราะเมื่อผมปั่นจักรยานเข้ามาภายในสวนหน้าหอปีสาม ผมก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนนั่นต้องเป็นพี่เปปเปอร์แน่ๆ

“พี่เปปเปอร์” ผมเลี้ยวจักรยานไปจอดตรงริมถนนข้างสวนแล้วส่งเสียงเรียก พี่เปปเปอร์หันมาเห็นว่าเป็นผมก็ดุเหมือนเขาจะตกใจแว่บหนึ่ง ผมสาบานจริงๆครับว่าผมเห็นพี่เปปเปอร์ตกใจ แต่จะตกใจทำไมนั้นผมก็ไม่รู้ ที่แน่ๆคนเราถ้าเจอแฟนของตัวเองจะไม่ตกใจแน่ละครับ
“ทำไมพี่ต้องทำท่าตกใจตอนที่เห็นเอมด้วยละครับ” ผมปากไวถามออกไปในทันที พี่เปปเปอร์มีสีหน้านิ่งไปนิดหนึ่งแล้วเขาก็ลุกเดินมาที่ผม
“อะไรกันเอม มาถึงก็ถามพี่ฉอดๆเลย” พี่เปปเปอร์ยื่นมามาจับจักรยานไปจอดแล้วเดินมาจูงมือผมให้ไปนั่งด้วย พี่เปปเปอร์ยังอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปคือในใจผมต่างหาก

เพราะผมรู้สึก... ว่ามันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในน้ำเสียงและจิตใจของพี่เปปเปอร์...

“เปล่าหรอก เอมก็แค่ตั้งใจจะมาหาพี่ เพราะเห็นเขาว่ากันว่ามันหมดช่วงสอบไปแล้ว ก็เลยมาดูว่าพี่เป็นยังไงบ้าง” อีกแล้วครับ พี่เปปเปอร์นิ่งไปเหมือนคนตกใจ แปลกใจ หรือไม่คาดคิดประมาณนั้น
“อ๋อ ช่วงนี้พี่เหนื่อยๆน่ะ สงสัยจะล้าจากการสอบน่ะครับ ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปหาเอมเลย” หล่อครับ... พี่เปปเปอร์ยังหล่อเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ผมคิดในใจน่ะเหรอ...
‘ตอแหล พักเหนื่อยเป็นอาทิตย์เลยเหรอ ไม่ใช่ว่ามัวแต่ไปทำอะไรลับหลังกันรึไงถึงได้หายไปเงียบแบบนี้...’
“เอมไม่โกรธพี่นะครับคนดี...” เอมไม่โกรธหรอกครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้อีก...
“แล้วทำไมวันนี้พี่ตื่นเช้าจังเลยครับ” บอกว่าเหนื่อย อยากพักผ่อน แต่ตื่นเช้าตรู่ในวันอาทิตย์แล้วแต่งตัวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกนี่นะ...
“พี่อยากมานั่งสูดอากาศยามเช้าบ้างไง อากาศยามเช้าสดชื่นจะตายไป ว่าแต่เอมเถอะ ทำไมซักไซร้พี่ตั้งแต่มาถึงแล้วละ ทำเหมือนว่าพี่เป็นนักโทษเลยนะ” พี่เปปเปอร์ย้อนถามผมกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะนิ่งแล้ว ผมไม่เคยเห็นพี่เปปเปอร์ทำท่าหงุดหงิดมาก่อน และก็ไม่เคยคาดคิดด้วยว่าหวยจะมาออกที่ผม
“พี่ไม่ชอบเลยที่เอมทำท่าเหมือนไม่ไว้ใจพี่”

ผมนิ่ง
พี่เปปเปอร์ก็นิ่ง
สรุปแล้วผมที่ถามโน่นนี่นั่นเป็นคนผิด ส่วนพี่ที่ทำตัวมีพิรุธไม่ผิด? งั้นเหรอ?

“เอมขอโทษนะครับพี่เปปเปอร์” ปากผมพูดออกไปไวกว่าความคิด ผมยิ้มให้พี่เปปเปอร์และทำสีหน้าแบบว่าผมไม่ได้ติดใจอะไรอีกแล้ว
“พี่ไม่ได้โกรธอะไรเอมหรอกครับ”
“งั้นเอมต้องขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ อาทิตย์นี้การบ้านเยอะแยะเลย รีบกลับไปทำจะดีกว่า” ผมลุกจากโต๊ะโดยมีพี่เปปเปอร์เดินตามมาส่งที่จักรยาน ผมขึ้นคล่อมและถีบกลับมาที่หอโดยไม่ได้หันกลับไปมองพี่เปปเปอร์อีก ไม่มีการสัมผัสใดใดอย่างที่เคย เพราะตอนนี้แม้แต่เส้นผมก็ไม่อยากให้เขาแตะ ในหัวผมมีแต่คำว่าไม่ไว้ใจ โกหก หลอกลวง เต็มไปหมด ความไม่เชื่อใจเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก แต่เมื่อลองได้รู้สึกแบบนี้สักครั้ง มันก็จะติดค้างอยู่อีกนานแสนนาน และนั่นละ ที่เป็นสาเหตุให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้...

ผมตัดสินใจวกจักรยานกลับแล้วไปแอบซุ่มอยู่ไม่ห่างจากหน้าหอปีสามครับ...


ผมรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองมันดูทุเรศยังไงไม่รู้ แต่ผมไม่อยากเป็นคนโง่ที่ทำตัวเหมือนว่าไม่ได้รับรู้อะไรเลย ถ้าหากว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดไปเลยดีกว่า

ผมทำเป็นเนียนนั่งอยู่หลังต้นหูกวางต้นใหญ่ แต่สายตาก็ลอบมองพี่เปปเปอร์เป็นระยะ ผมเห็นพี่เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ลักษณะเหมือนกำลังรออะไรอยู่ ผมสงสัยว่าถ้าผมไม่เป็นฝ่ายขอตัวออกมาก่อน พี่เขาจะหาทางไล่ผมยังไงนะ...

ระหว่างที่นั่งจับตามองพี่เปปเปอร์ ผมก็ลองคิดเล่นๆว่าถ้าหากสุดท้ายแล้วมีเหตุให้เราต้องเลิกกันจริงๆมันจะเป็นยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยมีร่วมกันมันก็จะหายไปด้วยอย่างนั้นใช่ไหม?

รวมถึงจูบนั้นด้วย...


“Pepper!!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหันขวับไปมองทันทีราวกับว่าชื่อที่ถูกเรียกเป็นชื่อของผม เจ้าของเสียงใสที่ผมได้ยินช่างมีน้ำเสียงสมตัวเหลือเกิน ผมไม่ค่อยได้เจอคนสวยขนาดนี้บ่อยนัก แต่เธอคนนี้สวยชนิดที่เรียกว่าหยาดฟ้ามาดินเลยทีเดียว
 
ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ถึงแม้ผมจะสังหรณ์ใจไว้แล้ว แต่การที่ได้เห็นคนที่(ได้ชื่อว่า)เป็นแฟนผมกำลังกอดกับผู้หญิงอีกคนด้วยท่าทางที่สนิทสนมเกินกว่าเพื่อนมันก็ชวนให้อึ้งได้ไม่น้อย ภาพที่ทั้งสองคนกอด จูบแก้ม และลูบผมอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้ผมเกือบสติแตก ในใจอยากจะเข้าไปกระชากพี่เปปเปอร์ออกมาแล้วถามว่าทำไมจึงทำแบบนี้ ทว่าความละอายใจและไม่อยากทำตัวเป็นคนบ้าไร้สมองก็ช่วยยับยั้งความหุนหันให้กลายเป็นศูนย์

“รอนานมั้ยคะ”
“ไม่หรอก”

บทสนทนาเพียงสั้นๆของคนทั้งสอง เพียงแค่คำพูดเรียบง่าย แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างภายในน้ำเสียงและจิตใจของคนทั้งสอง สายตาที่พวกเขามองกัน และภาษากายที่แสดงออกมา เพียงแค่นั้นผมก็รู้ได้...

ว่าพวกเขารักกันมากแค่ไหน...

‘เจ็บ...’ ผมกัดปากกลั้นไม่ให้เผลอสะอื้นออกมา รู้สึกไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นต่อแม้สักวินาทีเดียว บางบทสนทนาของพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ แต่มันก็ไม่ได้ซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะฟังออก ผมรู้สึกโกรธที่ตัวเองดันฟังออกด้วยซ้ำ ผมไม่ได้อยากจะฟังถ้อยคำอ่อนหวานที่เขาพูดต่อกันเลยสักคำ

‘I miss you more than I can bear...’

ถ้อยคำที่หวานซึ้ง แบบที่พี่เปปเปอร์ไม่เคยใช้กับผม... ในที่สุดผมก็รู้สึกได้ ว่าผมคงเป็นแค่ ‘ทางผ่าน’ สินะ เป็นแค่คนที่มาคั่นเวลาเหงาของพี่ ในขณะที่พี่กำลังรอตัวจริงกลับมาหา

“ฮึก..” 

เจ็บเหลือเกินครับ ผมกำอกเสื้อด้านซ้ายของตัวเองไว้แน่น ร่างกายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่มันกลับรู้สึกเจ็บเหลือเกิน หัวใจผมมันบีบคั้นมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เหมือนความหวัง ความฝัน และทุกอย่างมันพังลง ผมรวบรวมกำลังคร่อมจักรยานและพยายามจะปั่นกลับไปที่ห้อง หรือที่ไหนก็ได้ให้พ้นจากตรงนี้... ผมไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าพี่เปปเปอร์จะสังเกตเห็นผม ดีเหมือนกัน เขาจะได้รู้ว่าผมก็รู้เรื่องแล้ว จะได้ไม่ต้องมาปิดบังผม และพี่ก็จะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะบอกผมด้วย..

ผมปั่นจักรยานกลับไปตามทางที่ผมมา จังหวะที่ผมกำลังจะผ่านสองคนนั้นผมก็เผลอเหลือบไปมอง มองให้ชัดเต็มสองตา พี่เปปเปอร์ดูตกใจที่เห็นผม แต่ในความตกใจนั้นผมรู้สึกว่ามีความโล่งอกซ่อนอยู่ปะปนกับความเสียใจและรู้สึกผิด ผมยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มแล้วทุกอย่างก็เหมือนเป็นภาพช้า ล้อหน้าจักรยานเหยียบเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งและแฉลบออก บวกกับที่ผมปล่อยมือจากแฮนด์ข้างหนึ่ง ทำให้ผมไม่สามารถประคองจักรยานไว้ได้ทัน ตัวผมเซไปตามจักรยานที่กำลังล้มลง ภายในเสี้ยววินาทีที่ผมกำลังจะกระแทกกับพื้นอิฐ ผมก็เห็นพี่จินที่เดินออกมาจากหอพักและมองมาที่ผม

โครม!!

“เอม!” ไม่ใช่พี่เปปเปอร์ที่ตะโกนเรียกผม... แต่เป็นพี่จิน... พี่เปปเปอร์และผู้หญิงคนนั้นยืนมองผมอย่างตกใจแต่ก็ไม่ได้ขยับตัว ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนและขาข้างที่ไถกับพื้น ผมมองเห็นมือพี่เปปเปอร์แตะต้นแขนของผู้หญิงคนนั้น และเห็นพี่จินวิ่งตรงมาที่ผม เพียงเท่านั้นสมองก็สั่งการร่างกายผมโดยอัตโนมัติ ผมฝืนลุกขึ้นยืนและดึงจักรยานขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมกัดฟันปั่นจักรยานไปโดยที่เจ็บแขนเหลือเกิน น้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปเป็นทาง ผมปั่น ปั่น และปั่น จนเมื่อถึงหน้าตึกหอพัก ผมก็ทิ้งจักรยานและวิ่งเข้าไปภายในอาคาร ผมไม่ได้ทันสังเกตว่ามีคนอีกคนที่วิ่งตามผมมาอย่างเร็วและมาหยุดพักหายใจหน้าตึก เขาคนนั้นยืนมองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินกลับไป....

แอ๊ด....

ผมเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ช่วงเวลานี้ไอ้มิ้นท์ยังไม่ตื่นหรอกครับ ผมไม่อยากให้มันตกใจที่เห็นสภาพของผม แผลที่แขนของผมมีเลือดไหลซิบ ตรงขาก็เหมือนกัน ผมย่องเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูและอุปกรณ์ทำแผล เงาที่มองตอบกลับมาจากในกระจกดูน่าตกใจ ข้างแก้มมีรอยถลอกบางๆเช่นเดียวกันแต่ไม่มากเท่าที่แขน มิน่าละ ตอนที่น้ำตาไหลผมถึงได้รู้สึกแสบที่แก้มนิดๆ

‘สภาพทุเรศ’

ผมรู้สึกับตัวเองแบบนั้นจริงๆครับ ผมทำแผลให้ตัวเองไปก็สมเพชไป ดูสภาพของผมสิ เหมือนหมาตัวหนึ่ง ถูกทิ้งแล้วยังต้องล้มลุกคลุกคลานกลับมารักษาแผลให้ตัวเอง

ผมกินยาแก้ปวดสองเม็ดและมุดเข้าไปในผ้านวมของตัวเอง เพียงครู่เดียวผมก็ผล็อยหลับไปแล้วก็ฝัน ฝันอะไรไม่รู้มั่วซั่วไปหมด ในฝันผมใส่โรลเลอร์เบลดวิ่งหนีไดโนเสาร์ แล้วก็ไปเจอหน้าผา และผมกำลังจะกระโดดข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง (ทั้งที่หน้าผามันห่างกันตั้งยี่สิบเมตรเนี่ยนะ??) แต่พอผมเห็นว่าอีกฝั่งหน้าผามีพี่จินยืนถือกระบองไฟรออยู่ผมก็เลยจะหันกลับ และพอหันกลับมาก็เจอไอ้มิ้นท์ยืนห่างจากผมแค่เมตรเดียว ในฝันมันตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง

“ไอ้เอม!!!”

แล้วจู่ๆแผ่นดินก็ไหวอย่างแรง ผมไม่ทันทรงตัวก็เลยเซไปเกือบชิดขอบหน้าผา วินาทีนั้นผมคงไม่ตกหน้าผาแน่ๆถ้าพี่จินที่อยู่อีกฝั่งไม่ฟาดกระบองไฟลงมาจนมีสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนผม ผมเลยสะดุ้งอีกครั้งและพลัดตกหน้าผาไป ไอ้มิ้นท์มีสีหน้าตกใจเอื้อมมือจะคว้าผมไว้แต่ก็ไม่ทัน มันส่งเสียงเรียกผมดังสนั่นอีกครั้ง

“ไอ้เอมมมม!!!”

ผมสะดุ้งเฮือกอีกรอบ แต่คราวนี้ผมลืมตาขึ้นมาและผมว่าอยู่บนเตียงนอนในห้อง มีไอ้มินท์นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ ผมปวดแผลขึ้นมาทันที ตัวก็รุมๆเหมือนจะเป็นไข้

แปะ!

ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆถูกโปะลงมาที่หน้าผากผม ไอ้มิ้นท์เอื้อมไปหยิบแก้วใส่นมสดมาส่งให้ผมดื่ม แต่ว่าผมยังรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้อยู่มาก ก็เลยไม่อยากกินอะไร
“ไม่ได้ มึงต้องกิน จะได้กินยารอบเย็น” เอ่อ...ยารอบเย็น ไอ้มิ้นท์มันบอกผมแบบนั้น?? ผมจำได้ว่าตอนที่ออกไปมันเพิ่งจะเช้าเองนะ นี่ผมหลับไปจนเย็นเลยเหรอ แถมยังเป็นไข้ต้องให้ไอ้มิ้นท์มาเช็ดตัวอีก...
“อือ...” สุดท้ายผมก็ฝืนดื่มนมจนหมดแก้ว ไม่อยากขัดใจมันครับ มันดูอารมณ์ไม่ดียังไงก็ไม่รู้ พอผมดื่มนมเสร็จ มันก็เอาปรอทวัดไข้มายัดใส่ใต้ลิ้นผมแล้วก็เอาไปดู
“ลดไปเยอะละ พรุ่งนี้คงหาย แต่พักอีกสักวันคงดี”
“ไม่เอาหรอก กูจะไปเรียน งานวาดผนังก็ใกล้จะเสร็จแล้วด้วย” ผมพูดจบไอ้มิ้นท์ก็พยักหน้าบอกว่าแล้วแต่ผม น่าแปลกที่มันไม่ถามอะไรเลย ตัวผมเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมไม่รู้ว่าระหว่างการทำใจให้ยอมรับได้ กับการแกล้งทำเป็นลืม อย่างไหนมันจะดีกว่ากันนะ...



ส่วนที่อัพวันนี้สีน้ำเงินนะคะ
Happy Weekend ทุกคนค่า~~


หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 17-11-2011 18:44:34
จะรอค่ะ :L2:


''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''''

บอกได้คำเดียวว่า "ตัดใจ" เถอะลูก  :กอด1: ให้กำลังใจชะเอม
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 17-11-2011 19:15:01
จะรอค่ะ  มาไวๆๆน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา


รักชะเอม  รักจินด้วยยยยยย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 17-11-2011 19:25:32
สามคำๆๆ  ฉะ หลาด แล้ว  o13
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 17-11-2011 19:51:18
ติดตามตอนต่อไปจ้า
จะว่าพี่เปปดีมั้ยไม่รู้
แต่ไม่เข้าใจว่าถ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว
ทำไมต้องมาทำดีกับน้องเอมด้วยล่ะ
นอกใจเอมหรือนอกใจโรสกันแน่เนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: qwank8 ที่ 17-11-2011 20:38:52
นั่นแหละหนู จัดเลยหนู
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 17-11-2011 21:31:10
ซุ้มแอบดูพี่เปปเปอร์กับเอมด้วยคน

แบบว่าอยากรู้ว่าพี่เปปเปอร์กำลังทำอะไร

ถึงได้โกหกเอม    :z10:   :z10:   :z10:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 17-11-2011 22:21:05
จริงๆ แล้วแอบสะดุ้งเหมือนกันที่น้องหนูใช้คำว่า "ตอแหล" ฮา แสดงว่าโกรธจริงนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-11-2011 22:53:23
บทจะเลวก็เลวเนาะ  บทจะดีก็ดีซะ  ตอนนั้นอยากได้เขาล่ะสิ  สันดานจริง ๆ  ขอให้สมหวังนะเปปเปอร์
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 17/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 18-11-2011 14:58:58
มารอต่อนะจ้ะคนเขียน
พี่แปปนี้นิสัยว่ะ ปั๊ดเหนี่ยวเลย  :z6: :z6:
ป.ล.คนเขียนตอบเราด้วยดีใจ 55+  :กอด1:
....................................................
คนเขียนอัพ เราก็เม้นต่อ  :laugh: :laugh:
น้องเอมฝันแฟนตาซีมากกกกกก
พี่จินเริ่มออกตัวเเล้ว 55+
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 18-11-2011 17:40:57
เปปเปอ เหตุผลด้วยลูก  ขอเหตุผลด้วย

จินเจอร์นี่เรียกไรดี  สุภาพบุรุษในคราบซาตานป่ะ 555+
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Theodore ที่ 18-11-2011 19:56:37
ทิ้งเป้บไปเลยคร้าบ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 18-11-2011 23:22:59
เย่ๆๆๆๆๆๆๆ


จินทำคะแนนเลยจร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 18-11-2011 23:41:20
ที่เหลือก็ตามพี่จิน พระเอกตัวจริงออกโรงแล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-11-2011 01:10:27
โหยยยยยยยยย อยากกระทืบเปปเปอร์
ใจดีแบบตอแหลมาก
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ztriky ที่ 19-11-2011 16:12:12
พี่เปปใจร้ายมากอ่าา     จินทำคะแนนไปเลยสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: qwank8 ที่ 19-11-2011 18:05:36
มีความสุขสะให้พอเปปเปอร์
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 21-11-2011 13:43:39
 :z6:สักทีไอคุณเปป
ถึงเวลาพระเอกตัวจริง
ออกโรงได้แล้ว :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-7-] 18/11/11 อัพครบตอนแล้วค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: moriku ที่ 22-11-2011 08:43:54
555555พี่จินกำลังมา  o13
แปปเปอร์ทำงี้ไม่แมนเลยอ่ะ
หัวข้อ: Love Sick [-8-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 22-11-2011 17:28:24
Love Sick [-8-]

วันรุ่งขึ้นผมตื่นมาโดยไร้อาการปวดหัวตัวร้อน มีเพียงแต่แผลจักรยานล้มเท่านั้นที่เจ็บอยู่ ไอ้มิ้นท์อาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังนั่งรอผมแต่งตัว 
“ปะ” ผมบอกสั้นๆแล้วคว้ากระเป๋าใส่หนังสือเดินออกมา พอเราลงมาถึงข้างล่างผมถึงได้นึกออกว่ายังไม่ได้บอกไอ้มิ้นท์เรื่องที่เอาจักรยานมันไปล้มมา
 “ช่างมันเหอะ” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ สงสัยจักรยานมันคงจะไม่เสียหายละมั้ง? ว่าแต่มันไม่เห็นถามผมเลยว่าทำอีท่าไหนจักรยานถึงล้มได้ ผิดวิสัยคนพูดมากแบบมันจัง

ช่วงบ่ายวันนี้เป็นวิชาอิสระ ผมเลยถือโอกาสไปเก็บรายละเอียดงานวาดผนัง อาจารย์แวะมาดูแป๊บหนึ่งแล้วก็ชมเสียยกใหญ่ สุดท้ายเมื่ออาจารย์ไปแล้ว ผมและคนอื่นๆก็ช่วยกันเอาม่านมาขึงและรูดม่านปิดไว้ เพื่อรอโชว์ภาพและจัดสถานที่อีกทีในวันจริง

“เอมไปทำอะไรมาเนี่ย แผลเต็มตัวเลย” ซินถามผมตอนที่เรากำลังช่วยกันเก็บกวาดสถานที่
“จักรยานล้มน่ะ” ผมตอบยิ้มๆ เธอมีสีหน้าเป็นห่วงและบอกกับผมว่าจะเอายาทาแก้แผลเป็นมาให้พรุ่งนี้โดยไม่ซักไซ้ถาม ผมชอบจังผู้หญิงที่ไม่จุกจิกเนี่ย จนกระทั่งเราทำความสะอาดกันเสร็จ ซินถึงได้มาคุยกับผมอีกรอบ

“มิ้นท์บอกให้เราพาเอมไปด้วย”
“ไปไหนอะ?” ผมถามกลับงงๆ
“ไปรอมิ้นท์ซ้อมบาสเสร็จ แล้วกลับพร้อมกันไง”
 อ้อ ไปรอไอ้มิ้นท์ซ้อมบาส...
...
..
.
.
 เฮ้ย! ไม่เอาไม่ไป ผมไม่อยากไปที่นั่น
“เฮ้ย เราไม่ไปหรอกซิน เราอยากรีบกลับห้องไปทำการบ้านมากกว่าน่ะ” ผมหยิบกระเป๋าและตั้งใจจะชิ่งกลับห้องเลยทันที
“ไม่ได้ๆ มิ้นท์บอกไว้แล้วว่าต้องพาเอมไปด้วยให้ได้นะ มิ้นท์บอกว่าไม่อยากให้เอมอยู่คนเดียว” ซินออกแรงลากแขนผมให้เดินไปกับเธอ พอผมได้ยินที่ซินพูดแล้วผมก็นิ่ง มันเป็นห่วงผม...

ไปก็ได้วะ เพราะยังไงก็คงไม่เจอคนนั้นง่ายๆหรอก เขาคงอยู่กับแฟนเขานั่นแหละ...

ผมคิดแล้วก็เริ่มเศร้า การที่ต้องรับรู้เรื่องของเขากับคนอื่นว่าเจ็บแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมจะต้องใช้ชีวิตหลังจากนั้นมันเจ็บยิ่งกว่า สัมผัส...สิ่งที่ไม่สามารถลบล้างได้ ภาพในหัวมันไม่สามารถที่จะโยนทิ้งได้ แล้วเมื่อไรที่ผมจะทำใจไหว...

ผมใจลอยจนซินพาเดินมาเกือบจะถึงสนามบาส เสียงโหวกเหวกที่ดังมาแว่วๆฟังยังไงก็ไม่ใช่เสียงจากการซ้อมแน่ ซินก็มีสีหน้าสงสัยเหมือนผม เราสองคนเลยรีบเดินเข้าไปดูว่าตกลงแล้วมันเป็นเสียงอะไรกันแน่.

โครม!!
เสียงบางสิ่งกระแทกเสียงดังสนั่น ตามด้วยเสียงคนตะโกนร้องห้ามกันลั่น แถมชื่อของคนที่ถูกเรียกก็ทำให้ผมหูผึ่งทันที
“เฮ้ยไอ้มิ้นท์ หยุดๆ” สมาชิกในทีมสองคนกำลังยื้อไอ้มิ้นท์เอาไว้แน่น ท่าทางโกรธแบบนั้นของมันทำเอาผมกลัวนิดๆ ผมไม่เคยเห็นไอ้มิ้นท์เป็นแบบนี้มาก่อนเลย
“ทำไมมึงถึงทำแบบนี้กับเพื่อนกู! ” เสียงไอ้มิ้นท์ตะโกนก้อง มันโกรธจนหน้าแดงเลยครับ ว่าแต่ ‘เพื่อนมัน’ นั่นหมายถึงผมหรือเปล่า?
พลั่ก!
“เฮ้ยพี่จิน” จู่ๆพี่จินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็พุ่งเข้าไปต่อยคนที่นั่งฟุบอยู่ตรงตะกร้าใส่ลูกบาส คนอื่นพากันมาห้ามชุลมุน แต่ดูท่าว่าพี่จินจะห้ามยากกว่าไอ้มิ้นท์ เพราะคนที่เข้าไปห้ามต่างโดนสะบัดออกมาเป็นแถบๆ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ขาก้าวเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว เสียงซินที่ร้องห้ามไม่ให้เข้าไปผมก็ไม่รับรู้ ไอ้มิ้นท์หันมาเห็นผมแล้วก็ตกใจ แต่คนที่กำลังลุกขึ้นมาแล้วชกพี่จินกลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า

“พี่เปปเปอร์...” เสียงของผมเหมือนจะทำให้คนทั้งสองกลับมาสู่สภาวะปกติ ใบหน้าของพี่จินและพี่เปปเปอร์ดูย่ำแย่พอกัน แต่เหมือนว่าเลือดกำเดาของพี่เปปเปอร์จะมากกว่าเอาเรื่อง พี่จินใช้แขนปาดเลือดทิ้งแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม
“มาที่นี่ทำไม” พี่จินพูดเสียงเข้ม มือพี่เขาบีบต้นแขนผมแน่นจนปวดตุบ
“พี่ชกพี่เปปเปอร์ทำไม” ผมไม่สนว่าพี่จินจะทำอะไรหรอก ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงมารุมชกพี่เปปเปอร์แบบนี้
“มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
“ไม่ใช่เรื่องของผม? พี่แน่ใจนะว่าไม่ใช่เรื่องของผม!!” ให้ดิ้นตายสิ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องที่ชกกันจะไม่ใช่เรื่องของผม ผมรู้ว่าไอ้มิ้นท์อาจรู้เรื่องจากพี่จินแล้วโกรธแทนผม แต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังกันแบบนี้ ผมเหลือบเห็นว่าพี่เปปเปอร์กำลังเอาทิชชู่จากรุ่นน้องคนหนึ่งมาเช็ดเลือดแล้วออกคำสั่งให้คนอื่นๆเลิกซ้อมและกลับได้แล้ว เลือดพี่เปปเปอร์ไหลมากเสียจนผมอยากจะเข้าไปเช็ดให้ อยากจะทำแผลให้ ถึงยังไงผมก็ไม่อยากเห็นพี่เปปเปอร์เจ็บเลย...

ผมสะบัดแขนพี่จินออกแล้วเดินเข้าไปหาพี่เปปเปอร์ มือเกือบจะหยิบทิชชู่มาเช็ดให้แต่ผมก็ยั้งไว้ทัน เพราะถ้าผมทำแบบนั้นไอ้มิ้นท์คงยิ่งโมโห เพราะแค่ตอนนี้มันก็เริ่มแหกปากด่าอีกแล้ว
“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลยนะเอม” เสียงไอ้มิ้นท์ทำให้ผมรู้สึกผิด ผมหันไปมองฝากให้ซินช่วยดูไอ้มิ้นท์ไว้ ซินดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ยึดแขนไอ้มิ้นท์ไว้และยืนอยู่เงียบๆ
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหรือเปล่าครับพี่เปปเปอร์” ผมไม่เคยคิดเลยว่าแค่การคุยกันมันจะยากขนาดนี้ มันเหมือนว่าผมพร้อมจะร้องไห้ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าพี่เปปเปอร์แล้ว ผมอยากจะเอื้อมมือไปแตะที่แผล อยากจะถามว่าพี่เจ็บมากไหม แล้วมือผมก็ไปไวกว่าความคิด แต่ก่อนที่ผมจะได้สัมผัส พี่เปปเปอร์ก็หันหน้าหนีเสียก่อน พี่เปปเปอร์ทำสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถให้ผมถูกตัวได้ อา...ใช่สิ เขามีเจ้าของแล้วนี่นะ... ผมลดมือลงแล้วเอามือสองข้างไปไขว้หลัง น้ำตาหยดแหมะลงมาโดยอัตโนมัติ
“เอม อย่าร้องไห้...” เสียงพี่เปปเปอร์สั่นน้อยๆ
“พี่ขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ... “
“พี่ขอโทษเรื่องอะไรครับ ขอโทษ... ที่ปล่อยให้เอมอยู่แบบคนโง่ ไม่รู้อะไรเลย ขอโทษที่ทำให้เอมเฝ้าแต่รอในขณะที่พี่อยู่กับคนอื่น หรือขอโทษที่ทำให้เอมรักพี่... ทั้งที่พี่ไม่ได้รักเอมแม้แต่น้อย... พี่จะขอโทษเรื่องอะไรก่อนครับ”
“...ทุกเรื่อง...” คนที่ผมรักก้มหน้าพูด ทำไมถึงดูขี้ขลาด ทำไมพี่ดูเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดในเวลานี้ ผมเสียดายช่วงเวลาที่เคยมีกับพี่เหลือเกิน...
“โรสเขามาก่อนเอมนะครับ พี่เองไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เอมต้องมาเสียใจ พี่ยอมรับว่าพี่ผิดเอง แต่ว่าเอมอย่าทำให้โรสรู้เรื่องได้ไหม? พี่ไม่อยากให้โรสเสียใจ..” ถ้อยคำที่แสนทุเรศไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากพี่เปปเปอร์ ผู้ชายที่ผมเคยคิดว่าเขาอ่อนโยน แสนดี ผมมองพี่เปปเปอร์อย่างไม่เชื่อสายตาเพราะคำพูดของเขา ผมเจ็บได้ ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? ถ้าพี่รักผู้หญิงชื่อโรสนัก แล้วจะนอกใจเธอทำไมละ จะมายุ่งกับผมทำไม เพราะผมมาทีหลังถึงต้องทนรับสภาพใช่ไหม?
“เอมไม่คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วแหละครับ” ผมฝืนยิ้ม พี่เปปเปอร์มีสีหน้าโล่งอกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผมมาที่นี่... สรุปแล้วเขามาเพื่อขอไม่ให้ผมออกไปโวยวายก็แค่นั้น...สินะ

ผมอยากถามหลายเรื่อง แต่มันก็ถูกกลืนลงไปพร้อมกับความเสียใจ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไร เรื่องมันจบตรงที่ผมไม่ใช่คนที่พี่เปปเปอร์เลือก พี่เขาไม่ได้รักผม ทุกสิ่งที่ผมเคยรู้สึกก็ควรจะลืมไป ยกเว้นเรื่องนั้น...

“แล้วเรื่องคืนนั้นที่ข้างบึงหน้าหอปีสามละครับ” ผมแค่อยากรู้ เพราะตอนนั้นการกระทำของพี่มันดูเหมือนว่ารักผมมากเหลือเกิน แต่แล้วสายตางุนงงที่เหมือนว่าไม่รู้เรื่องของพี่เปปเปอร์ก็ทำให้ผมตะหงิดใจ
“คืนนั้น? คืนไหนครับ? พี่เคยออกไปเจอเอมตอนกลางคืนด้วยเหรอ ส่วนไอ้บึงน้ำนั่นน่ะพี่ไม่เคยไปนั่งเลยนะ มันน่ากลัวจะตาย มีแต่ไอ้จินแหละที่ชอบไปนั่งดูดาวตรงนั้น” คำพูดพี่เปปเปอร์ทำให้ผมเหมือนถูกตีแสกหน้า พี่จินต่างหากที่ชอบไปนั่งตรงนั้น...

ผมอึ้ง คนที่จูบผมไม่ใช่พี่เปปเปอร์ นี่ผมจะเชื่ออะไรได้อีกเนี่ย

“ช่างเถอะครับ ลืมไปเถอะ เพราะเอมก็จะลืมเรื่องของพี่เหมือนกัน”ผมเดินหันหลังออกมา แต่ก็ถูกพี่เปปเปอร์ดึงไว้
“เอม ยกโทษให้พี่ได้ไหม?” สีหน้าเว้าวอน ยังมีหน้ามาขอให้ยกโทษให้อีกเหรอ...
“เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เอมทำให้ไม่ได้ครับ ขอโทษด้วย” สะใจนิดหนึ่งที่เห็นสีหน้าเครียดปรากฎบนใบหน้าพี่เปปเปอร์อีกครั้ง ผมจะเดินหนีออกมาแต่ก็ถูกเขารั้งแขนไว้อีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้กับเอม แต่พี่ยั้งความรู้สึกไว้ไม่ทันจริงๆ พี่ชอบเอม แต่พี่ก็รักโรส พี่ไม่อยากให้โรสต้องเสียใจ เอมมาทีหลัง เอมก็คงทำใจได้ง่ายกว่าใช่มั้ยครับ” ผมสะบัดมือพี่เปปเปอร์ออก มันจบแล้วครับ ที่ผมต้องเจ็บใจก็เพราะว่าผมเป็นคนที่มาทีหลัง ผมคงเจ็บปวดไม่นานสินะ...

ทฤษฎีบ้าอะไรที่บ่งบอกว่าใช้เวลารักน้อยกว่า ก็จะเสียใจน้อยกว่า...

“ทำไมมึงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนมันล่ะ อย่างน้อยถ้ามันทำมึงเจ็บ มันก็น่าจะต้องเจ็บให้เหมือนกัน” ไอ้มิ้นท์ถามผมขึ้นมาในขณะที่เรากำลังเดินกลับห้อง หลังจากที่แวะไปส่งซินเรียบร้อยแล้วนะครับ

“เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่กูจะต้องลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้มาเจ็บปวดด้วยไงล่ะ” ผมพูดสั้นๆแล้วก็แวะนั่งลงตรงริมฟุตบาท คืนนี้มีดาวเต็มฟ้าสมกับที่เป็นคืนเดือนมืด อากาศก็เย็นกำลังดี
“กูเจ็บ ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำให้คนอื่นเจ็บไปด้วยนะ มึงก็เห็นว่านิสัยแบบนั้นมันทุเรศแค่ไหน กูไม่อยากเป็นคนน่าสมเพชแบบพี่เปปเปอร์ว่ะ...” ผมคว้าเอากิ่งไม้แถวนั้นมาเขี่ยบนผิวดินที่อ่อนนุ่ม
“เพราะมึงมันนิสัยดีซื่อบื้อแบบนี้ไง ถึงได้ถูกคนแบบนั้นหลอกเอาได้”
“เอ๊า มาว่ากูอีก แทนที่มึงจะปลอบใจกูเนอะ”
“ฮ่าๆ เอาเถอะ เพราะกูก็เห็นด้วยกับมึงนะเอม ยังไงมีคนเสียใจน้อยแค่ไหนก็ดีเท่านั้น เพราะกูคิดว่าแค่ยัยโรสนั่นได้ผู้ชายเฮงซวยแบบไอ้เปปเปอร์ไปก็รับว่าโชคร้ายจนน่าสงสารพอแล้วละ”
“มึงก็พูดซะเสียเลย” ผมเกาหัวแกรก ไอ้มิ้นท์มันช่างมองโลกได้พิสดารพันลึกจริงๆเลยครับ

“มิ้นท์ กูขอบใจนะ ที่มึงอยู่เป็นเพื่อนกูแบบนี้”
“มึงอย่าลืมไปขอบใจพี่จินด้วยละ เพราะดูท่าเขาก็ห่วงมึงไม่น้อยเหมือนกัน”
“แล้วโยงไปถึงเขาได้ยังไงวะ” ผมหงุดหงิด พอพูดชื่อนี้ขึ้นมาผมก็นึกถึงเรื่องคืนนั้น ไอ้คนฉวยโอกาส...
“ก็กูรู้ว่าพี่จินเป็นห่วงมึงแค่ไหนละกัน” บ๊ะ! ไอ้นี่ มาทำอมพะนำ
“เออ กูจะจำไว้ละกัน” ผมเลือกที่จะตัดบท ตอนนี้ยังไม่อยากพูดถึงพี่จิน เพราะเมื่อพูดถึงพี่จิน ผมก็จะนึกถึงเรื่องจูบ และเมื่อนึกหลายเรื่องในตอนนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าจะสติแตกเอาเสียก่อน...

ช่วงนี้ผมใช้ชีวิตแบบมึนๆเอาเรื่องเลยละครับ มันเหมือนกับว่าไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง ข้าวปลาก็ไม่ค่อยหิว วันๆก็เรียนแล้วก็วาดรูป สลับสับเปลี่ยนวนเวียนไปมาแบบนี้ ...

แล้ววันจบการศึกษาก็เวียนมาถึงจนได้...

ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าวันนี้ผมจะซุ่มเงียบเก็บตัวอยู่แต่ในหอ จะไม่ออกไปไหน บางทีคิดว่าอาจจะลาป่วยไปเลย แต่เหมือนว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผมจะรู้แกว แกก็เลยสั่งมาว่าผมจะต้องมาช่วยงานและร่วมแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ด้วย
“เธอเป็นว่าที่นักเรียนดีเด่น จะทำตัวเละละไม่ได้นะ” เอ่อ... ได้ข่าวว่าผมก็คนนะครับ จะเกเรบ้างไม่ได้เชียวเหรอ –“-

เซ็งจิต...

และสุดท้ายผมก็ต้องมาเดินร่อนเร่อยู่ในโรงเรียน แต่ผมก็เลือกอยู่ให้ห่างจากสถานที่จัดพิธีนะครับ แบบว่าผมก็พอจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อะไรน่ะเหรอครับ?
ก็อย่างเช่น เดินไปแล้วบังเอิญเจอพี่เปปเปอร์กำลังเก๊กท่าถ่ายรูปกับแฟนเขาไง อู๊ยยย มันคงเจ็บแปลบดีพิลึกเลยละครับ
เอาตามจริงผมก็ไม่ได้อะไรมากมายแล้วละ รู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าพี่เปปเปอร์เป็นคนแบบนั้นก่อนที่จะถลำลึกไปกว่านี้ แต่เหมือนว่าแผลมันยังสดน่ะครับ บางทีวันเวลาผ่านไปก็คงดีขึ้นเอง
แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะทนมองหน้าไอ้คนฉวยโอกาสนี้ได้นะ!!!

“ชะเอม” อ๊ากกก จะมาเรียกผมทำไมมมมมม ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมาทำหน้าหล่อเลยนะ แล้วผมนั่นน่ะ หวีเสยขึ้นไปทำม๊ายยย โอย... พอเห็นหน้าพี่จินที่วันนี้ดูจะผุดผ่องเป็นพิเศษผมก็เริ่มตุ๊มๆต่อมๆแล้วละ เดินหนีดีกว่า
“เอม พี่เรียกเราไม่ได้ยินหรือไง!” เอ่อ...ไม่ต้องเสียงดังก็ได้ครับ ผมหยุดแล้ว T T
“มีอะไร... ครับ” จริงๆไม่อยากจะพูดดีด้วยหรอกนะ ทำไปงั้นแหละ
“มาถ่ายรูปกันก่อน” อะ...เอ๋? ถ่ายรูปเหรอ ผมคิดแล้วก็มองพี่จินที่ยื่นกล้องให้เพื่อนเขาแบบงงๆ เขาจะถ่ายรูปคู่กับผม?
แชะ!
โดยไม่ทันคัดค้าน เขาก็ดึงผมไปโอบแล้วแอ็คท่าอย่างเนียน ผมมั่นใจว่าผมต้องทำหน้าพิลึกๆไปแน่นอน
“แค่นี้แหละ ขอบใจมาก” และแล้วเขาก็เดินจากไปครับ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ยืนใบ้รับประทานอยู่ตรงนี้...
เหลือแต่เพียงความสงสัยที่ติดค้างใจผมอยู่ตอนนี้...
นั่นมันอะไรกันวะ...

หลังจากวันนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ พวกรุ่นพี่ปีสามจบออกไป พวกผมก็เลื่อนชั้นเป็นพี่ปีสอง ได้รับน้องและแก้แกค้นเหมือนกับที่รุ่นพี่เคยทำกับพวกผมตอนรับน้องปีหนึ่ง หึหึ ก้ไม่หนักหนาอะไรถึงขนารับน้องสยองขวัญหรอกครับ

ความสัมพันธ์ของไอ้มิ้นท์กับซินก็ดีขึ้นตามลำดับ อ้อ! ผมได้รู้เรื่องใหม่เกี่ยวกับซินมาด้วยนะครับ ชื่อของซินน่ะ ย่อมาจาก ‘ซินนามอน’ แหม เป็นไงล่ะ ไฮโซเชียว

และเรื่องสำคัญ หลังจากพวกรุ่นพี่จบไปประมาณสี่เดือน ก็มีจดหมายปิดผนึกส่งมาถึงผมฉบับหนึ่ง ซองจดหมายจ่าหน้าถึงผม ผู้ส่งไม่มีชื่อ มีแค่ที่อยู่...  จากที่ไกลแสนไกล... Paris

ข้างในซองเป็นรูปหนึ่งใบ รูปที่ทำให้ผมสับสนจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง รูปที่มีเด็กชายตัวเล็กยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลา ใบหน้าที่เย็นชากับสายตาคมปลาบ แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง นั่นคือบรรยากาศรอบๆในรูปนั้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอบอวลอยู่เต็มรูปภาพ ผมเผลอหยิบรูปมาแนบอก ลมหายใจติดขัด...

‘จะกลับมาอีกทำไมกัน...’




*** วันนี้มีเรื่องจะมาบอกด้วยละค่ะ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่บีลงนิยายมาเลยนะคะ ที่ได้รู้ว่าคอมเมนท์จากผู้อ่านสำคัญอย่างไร
เพราะว่าทุกคอมเมนท์ที่เป็นความคิดเห็นของผู้อ่านน่ะค่ะ คนเขียนอย่างบีสามารถเอาไปต่อยอดได้นะคะ
บางทีคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไร พอได้มาอ่านคอมเมนท์มันก็จะเห็นแนวทางอะค่ะ เพราะฉะนั้นขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ค่ะ
 :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 22-11-2011 18:27:47
อ่านแล้วชอบที่น้องซินพูดมาก

คิดเหมือนกันว่า ในอีกไม่ไกลเดี๋ยวนิสัยอย่างเปปก็ต้องทำอีก ดีแล้วที่รู้ก่อนความรู้สึกหลงจะกลายเป็นรัก
หาคนที่ดีกว่านั้นเพราะเอมพร้อมจะเจอคนที่ดีกว่านั้นเยอะ

ปล.ฝากจินกระทืบเปปอีกทีได้มะ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 22-11-2011 18:31:52
แต่งได้โอเคแล้วค่ะ แอบเสียวตรงที่ชะเอมอย่าใจอ่วนยวบสิ จินเท่านั้น อีเปปหลบไป :laugh:
สามคำ>> จิน จิน จิน  :z2:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 22-11-2011 19:24:36
อย่าว่าต้องน้องเอมโดนหลอก พี่คนอ่านก็โดนหลอกนะคะ :z3:
ผู้ชายแสนใจดีคนนั้นคือพี่จินนี่เอง แหมๆ ร้ายจริงๆ  :m12:
ชอบเขาก็ไปบอกเขาสิคะพี่จิน ว่าแต่ไปอยู่ไกลถึงปารีส จะกลับมาหาน้องหรือเปล่าเนี่ย :z1:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 22-11-2011 19:57:59
เสียใจเเทนเอมมาก ผู้ชายอย่างนั้นอย่าไปสนใจมัน ลืมมันไปซะ
พี่จินจะจีบหนูเอมยังไงนั้น เรียนจบไปเเล้วด้วย
แล้วคนที่อยู่ในรูปนี้ใครนะ อยากรู้
ติดตามนะจ้ะ รอตอนต่อไปอยู่
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-11-2011 20:09:05
เปปเลวดี  เจอคนแบบนี้นะจะตบส่งท้ายก่อนจากสองสองสามที
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: praseat ที่ 22-11-2011 20:57:49
 :z3:เข้าใจ...แต่รับมะค่อยได้....หักมุมซะงั้น  :o12:
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: moriku ที่ 22-11-2011 21:48:34
เฮ้อจบๆก่ะแปปไปก็ดี เชียร์จินสุดใจเลย!!
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 22-11-2011 22:23:55
ว้าวๆๆ พี่จิน(ตนาการ)จิตใจมั่นคงน่าดู

แต่อย่าดีกับเอมเกินไปละ  ปล้ำซะก่อนก็ไม่สาย 555

พอดีคนอ่านชอบแนวข่มขืน
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 22-11-2011 22:42:53
อ่านคำแก้ตัวของพี่เปปแล้วคลั่ง ไรฟะเนี่ย

ว่าแต่งงๆ กับจดหมายจากปารีส ใช่พี่จินแน่หรือเปล่า ถ้าใช่ก็คงดี
หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 23-11-2011 08:37:32
โห  ตอนบอกเลิกนี่มัน :a5:
ไอ้เปปเปอร์ ปั๊ดเหนี่ยว
เหมือนกับว่าไม่เคยรู้สึกอะไรต่อกันอย่างนั้นแหละ
ตื้บมันๆๆ  :z6:

พึ่จินก็นะ ตอนนี้จบไปแล้วด้วยต่อไปจะมาหาน้องเอมยังไงเนี่ย
แอบกรี๊ดเบาๆ ตอนที่รู้ว่าคนที่บึงคือพี่จิน :-[
เรื่องรูปตอนท้ายนี่จะดราม่ารึเปล่า
หัวข้อ: Love Sick ตอนพิเศษ 'ก่อนที่สีสันจะถูกแต่งแต้มอีกครั้ง'
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 23-11-2011 17:20:44
'ก่อนที่สีสันจะถูกแต่งแต้มอีกครั้ง'






กรกฎาคม






สิงหาคม






กันยายน






...

..

.

.

..

.



มิถุนายน



Tirage



“พี่คะ... พี่อยู่ปีสามใช่มั้ยคะ” เสียงใสกล้าๆกลัวๆเรียกให้ร่างเพรียวบอบบางค่อยๆหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นเด็กสาวรุ่นน้องปีหนึ่งที่มีใบหน้าสดใสเจือสีเลือดฝาดระเรื่อ เห็นดังนั้นแล้วก็เผลอยิ้มอ่อนโยนไปให้ด้วยความเอ็นดู

“ใช่ครับ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” ใบหน้าหวานของรุ่นพี่ทำให้เด็กสาวใจสั่นได้อีกรอบ จากตอนแรกที่แค่อยากจะถามทาง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเลือกถามได้ถูกคนเหลือเกิน

“คือ.. คือหนูอยากถามทางไปหอหญิงปีหนึ่งน่ะค่ะ...” รุ่นพี่เหลือบมองข้าวของและกระเป๋าเสื้อผ้าในมือเด็กสาวแล้วก็เข้าใจ คงจะมาทีหลังสินะ เลยไม่ทันตอนที่อาจารย์ประจำหอพามาส่ง
“ได้สิครับ เดี๋ยวน้องเดินไปทาง .......”

เมื่อบอกเส้นทางเสร็จแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไป รุ่นพี่ยังคงไม่รู้ตัวสายตาของรุ่นน้องที่มองมานั้นแฝงแววเพ้อฝันแค่ไหน เพราะไม่ว่าแต่ไหนแต่ไร รุ่นพี่คนนี้ก็เป็นคนที่มักจะประเมินค่าตัวเองว่าไม่ใช่คนน่าสนใจอยู่เสมอ...

ขายาวเรียวก้าวลัดเลาะไปตามทางลัดตัดสนาม แน่นอนว่าผิดกฎ แต่ด้วยอารามเร่งรีบจึงแอบฝ่าฝืนทั้งที่ตัวเองเป็นนักเรียนดีเด่น หอพักปีสามที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ร่างเพรียวถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน เรื่องที่นานแค่ไหนก็ไม่เคยลืม

‘มึงมันเป็นพวกที่ชอบเอาตัวเองไปพัวพันกับอดีต ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ยังนึกถึงอยู่ได้ไม่จบสิ้น’

ถ้อยคำที่เพื่อนสนิทที่สุดของเขากล่าวหาเอาไว้ยังฝังแน่น เขาชอบคิดถึงเรื่องในอดีต เช่นเดียวกับตอนนี้ที่เขากำลังเร่งสาวเท้าเพื่อที่จะได้ไปพบกับสิ่งของจากคนในอดีต

ที่ฝากมาให้ทุกเดือนไม่เคยห่างหาย...

กล่องพัสดุแอร์เมล์ตั้งอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงสามฟุตปูผ้าสีขาวสะอาดตา หน้าต่างห้องเปิดทิ้งไว้ทำให้สายลมภายนอกพัดเอื่อยเข้ามาภายในห้อง เขานั่งลงบนเตียงและหยิบกล่องพัสดุขึ้นมาวางบนตัก เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองมือสั่นแค่ไหนในขณะที่ค่อยๆดึงเชือกรัดกล่องออก ท่าทีทนุถนอมเหมือนว่ากล่องและเชือกเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกช่างดูพิลึก เพราะยังไงมันก็เป็นแค่กล่องและเชือกธรรมดาในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเขา กล่องพัสดุนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่ส่งมาอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่ว่าจะส่วนไหนก็ควรที่จะต้องทนุถนอม เหมือนกับว่ากล่องพัสดุนี้คือตัวตนของคนที่ส่งมา...

เขาได้รับพัสดุแบบนี้เป็นครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน และจะได้รับทุกสอง-สามเดือน แรกเริ่มมันเป็นแค่ซองจดหมายแอร์เมลล์ มีรูปอยู่ข้างในรูปเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไปขนาดของพัสดุก็ทวีคูณ จากซองจดหมายเป็นซองเอกสาร และกลายมาเป็นพัสดุกล่องเบ้อเริ่มในที่สุด

ของข้างในก็มักจะเป็นรูปถ่ายมากมายที่บอกเล่าช่วงเวลาที่ไม่ได้ส่งพัสดุมาให้ คนส่งไปทำอะไรที่ไหนมาก็ถ่ายรูปมาหมด แม้กระทั่งช่วงเรียนยังมีเลย บางทีถ้าเป็นช่วงเทศกาลก็จะมีของขวัญใส่มาด้วย จำพวกน้ำหอมที่มีกลิ่นหวานซึ้ง กระเป๋าหนังเก็บกุญแจ อัลบั้มรูป ฯลฯ

และกล่องพัสดุของคราวนี้ก็เป็นกล่องที่ไม่ได้รับมานานสามเดือนเต็ม หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทว่าเจ้าหน้าที่ประจำหอแบกกล่องขึ้นมาให้หลังจากที่เขาออกมาที่โรงเรียนแล้ว เขาก็รีบจ้ำกลับห้องมาทันที จังหวะนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่สนแล้ว

เขาเองไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปเมื่อไร ตอนแรกที่ได้รับพัสดุ เขารู้สึกอึดอัด หงุดหงิด และหม่นหมอง ในใจอยากจะเขวี้ยงทิ้งแต่ก็ฝืนเก็บไว้ และจากความรู้สึกแบบนั้น มันก็พัฒนามาเป็นเฉยๆ อมยิ้มในบางที และกลายมาเป็น ‘เฝ้ารอคอย’ เมื่อไรไม่รู้...

ดวงตากลมโตมีแววประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งภายในกล่อง นอกจากรูปภาพมากมายเหมือนที่เคยแล้ว ยังมีไอพอดทัชสีดำใหม่เอี่ยมเครื่องหนึ่งใส่มาด้วย เขาหยิบขึ้นมาดู พลิกซ้ายพลิกขวาก็ไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกประหลาดจึงกดเปิดเครื่อง

โลโก้รูปแอปเปิ้ลแหว่งโผล่ขึ้นมาและค่อยๆหายไป ปรากฎเป็นภาพพักหน้าจอรูปแผ่นหลังของคนๆหนึ่งแทน... แค่เพียงแผ่นหลังเท่านั้น เห็นเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนว่าน้ำตาจะเอ่อๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูป เผื่อว่าจะมีรูปอื่นๆอยู่อีก แต่ทว่าภายในอัลบั้ม นอกจากมีรูปที่เป็นวอลเปเปอร์แล้วก็ไม่มีรูปอื่นอีกเลย ส่วนอีกไฟล์หนึ่งเป็นเพียงไฟล์วิดีโอ...

ไฟล์วิดีโอ...

นิ้วเรียวกดเล่นไฟล์วิดีโอทันที รูปของคนๆหนึ่งถือกีตาร์ตั้งท่าเตรียมจะเล่น รุปร่างคุ้นตาแต่มองไม่เห็นหน้า ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ได้เห็นหน้า...  รูปที่ส่งมาให้ตั้งแต่แรกจนป่านนี้ก็ไม่เคยมีเสี้ยวหน้าของคนส่งเข้ามาปรากฎ หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของกันและกัน...

เสียงกีตาร์โปร่งฟังสบายหูดังขึ้นทีละน้อยจนก้องกังวาน ดวงตากลมโตกลับมามองที่หน้าจอเครื่องเล่นอีกครั้ง มือที่จับกีตาร์นั้นเปลี่ยนมาเป็นดีดอย่างคล่องแคล่ว

Have I told you lately that I love you

ประโยคแรกที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ร่างสูงน้ำตาไหลทันที... เสียงที่ทุ้มนุ่มไม่แหบสเน่ห์เหมือนต้นฉบับ เสียงที่เคยฟังมาเมื่อนานแสนนาน สมองนึกถึงภาพดวงตาคมปลาบนั้นขึ้นมาได้อย่างชัดเจนเหมือนได้เห็นครั้งสุดท้ายเพียงเมื่อวาน

“ฮึก....”

Have I told you there's no one else above you
Fill my heart with gladness
Take away all my sadness
Ease my troubles that's what you do

แม้มันจะเป็นแค่การร้องเพลง แต่กลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือน... เหมือนถูกบอกรัก.. เพลงที่ได้ฟังทำให้รู้สึกว่าได้เปิดใจ หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาใช้เวลาไปกับอะไร กับการลืมเรื่องคนเฮงซวยเพียงคนเดียว ในขณะที่อีกคนใช้เวลากับการบอกรักเขามาตลอด ทนุถนอมเขา รอคอยวันที่เขาจะเปิดใจ และบ่มเพาะความรักให้เติบโตขึ้นทุกวัน

“พี่ไม่ได้บอกรักเอมช้าไปหรอกครับ แต่เอมต่างหากที่เอาแต่รอคอยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง...เอมต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า...”

เสียงเพลงจากไอพอดยังดังก้องในโสตประสาท แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่แค่เพียงเสียงก็ได้รับรู้ว่ายังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปไหน... เหลือแค่เพียงรักษาใจเอาไว้เพื่อรอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง ก็เท่านั้น...


* อย่าว่าพี่เปปเปอร์เลยนะคะ คนทุกคนทำผิดได้เหมือนกันหมดแหละค่ะ
มองต่อไปที่เรื่องในอนาคตดีกว่าเนอะ

** ช่วงนี้แลดูบีจะขยันนะคะ อัพทุกวันเลย ไม่ใช่ว่างานไม่ยุ่งนะ แต่ขี้เกียจทำ 555+ (จะโดนไล่ออกมั้ยเนี่ย  :sad4:)



หัวข้อ: Re: Love Sick [-8-] 22/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 23-11-2011 17:26:35
ดีใจได้เม้นท์แรก อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
จินพ่อคนดี

เป็นการจีบระยะไกลที่น่าติดตามมาก อ่านแล้วใจอ่อนเลยค่า
แต่ต่างกับความหวงตอนเป็นแฟนกันแบบสุดๆ
หัวข้อ: Love Sick ตอนพิเศษ 'เริ่มระบาย'
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 25-11-2011 17:16:18


'เริ่มระบาย'


Peinture



ช่วงฤดูหนาวของนักเรียนชั้นปีสาม คือช่วงเวลาของการแข่งขัน ต่างคนต่างก็ขวนขวายที่จะหาหนทางเรียนต่อที่ดีที่สุดเพื่ออนาคตอันสดใสในวันข้างหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนที่ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรเลย...

“เธอลองคิดดูหรือยัง เรื่องโควต้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยน่ะ” มือเรียวของอาจารย์ที่ปรึกษาสาวใหญ่วัยสี่สิบโบกไปมาเหนือกองจดหมายเกือบสิบฉบับ แต่ละซองจ่าหน้าด้วยตราของมหาวิทยาลัยชื่อดัง เสียงอาจารย์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งชีวิตไม่เคยพบมาก่อนจริงๆ คนที่มีฝีมือเก่งกล้าแต่กลับไม่กระตือรือร้นและทะเยอทะยานเอาเสียเลย จวบจนเพื่อนคนอื่นรุ่นเดียวกันเขาเริ่มสอบแข่งขันกันแล้ว แต่ลูกศิษย์คนนี้ก็ยังเอ้อระเหยเหมือนเดิม
“ยังเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้เรื่องมาก ไปที่ไหนก็ได้” เสียงนุ่มพูดแล้วยักไหล่เหมือนไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์ที่ปรึกษาปรายตามองด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่มากขึ้น อย่างน้อยถ้าลูกศิษย์คนนี้ทะเยอทะยานมากกว่านี้สักนิดก็คงดี!
“ไม่ได้ นี่มันอนาคตของเธอ ก็ต้องเลือกเองสิ” อีกครั้งที่คนฟังรู้สึกแปร่งกับคำพูดของอาจารย์ แต่เป็นความแปลกแปร่งที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในประโยค มันเป็นเรื่องของสรรพนามต่างหาก ทำไมใครๆก็ชอบเรียกเขาแบบนี้นะ ‘เธอ’ ทำไมไม่เรียก ‘นาย’ เหมือนที่เรียกนักเรียนชายคนอื่นๆ
“เมื่อไรอาจารย์จะเลิกเรียกผมว่า ‘เธอ’ สักทีเนี่ย ผมก็เป็นผู้ชายนะ”
“ฉันไม่เลิก และถ้าเธอยังไม่เลือกมหาวิทยาลัยนะ ฉันจะส่งชื่อเธอเข้ามหาวิทยาลัยสตรีล้วนเลยดีมั้ย!!” คนโดนบ่นทำสีหน้าสุดเซ็ง นี่มันชักจะเป็นการเหยียดหน้าตาเกินไปแล้วนะเฟ้ย
“ฉันไม่รู้ละ ถ้าเย็นนี้เธอยังสรุปไม่ได้ว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนละก็นะ ฉันจะทำจริง” พออาจารย์พูดจบ ลูกศิษย์ก็เดินหน้าเหม็นเบื่อออกมา แต่ยังไม่ทันออกจากธรณีประตูก็ถูกอาจารย์เรียกไว้อีกรอบและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“รจนกร ฉันคิดว่าเธอคงเป็นคนที่รู้ถึงความหมายของการได้รับโอกาสมากที่สุด การที่เราได้รับโอกาสซึ่งคนอื่นไม่ได้รับ แล้วเราทำเฉยชาเหมือนไม่เห็นค่าของโอกาสนั้น เธอรู้ใช่มั้ยว่ามันเป็นการกระทำที่เหยียดหยามความรู้สึกของคนที่ด้อยโอกาสมากที่สุด... ลองเก็บไปคิดดูนะ”


ชะเอมเดินครุ่นคิดมาตลอดทางหลังจากที่ออกจากห้องพักครูมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับโอกาสให้เข้ามาเรียนที่นี่ และเขาก็รีบคว้ามันเอาไว้ ตอนนั้นตัวเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นแท้ๆ แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกเฉื่อยชาแบบนี้นะ

เขาลองก้มมองฝ่ามือของตัวเอง บางจุดมีรอยด้านของการจับพู่กันวาดรูปมาตลอดตั้งแต่เด็ก ความใฝ่ฝัน ความรัก และความสุขที่เกิดจากการวาดรูปยังทิ้งร่องรอยเอาไว้เหมือนที่เคยเป็นมา บางทีอาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเขาได้ทำสิ่งที่รักมาตลอด ทำให้ความกระตือรือร้นหายไป เพราะเขารู้ตัวว่าตื่นมาก็ต้องได้วาดรูป ต้องได้ทำในสิ่งที่รักอย่างแน่นอน ตามปกติคนเรานั้น เมื่อรู้สึกอุ่นใจก็มักจะชะล่าใจจนหลงลืมไปว่าชีวิตยังต้องก้าวต่อไป

ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้จบอยู่แค่ในช่วงมัธยมนี้...

สำหรับวัย 17 ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัย 18 ในอีกไม่กี่เดือนนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเอาเรื่อง มหาวิทยาลัยดีๆที่เห็นคุณค่าในตัวเขาต่างหยิบยื่นโอกาสมาให้มากเหลือเกิน ที่นั่นก็ดี ที่นี่ก็น่าสนใจ

มิ้นท์เพื่อนสนิทจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยศิลป์ชื่อดังในกรุงเทพ แต่ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่เขาอยากไป ที่นั่นมันอยู่ใจกลางเมือง เขาไม่เคยอยากใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมืองสักนิด... พอคิดได้แบบนั้นแล้วตัวเลือกหลายตัวที่อยู่ในกรุงเทพก็ถูกตัดทิ้ง และมุ่งไปที่ต่างจังหวัดห่างไกลเมืองหลวงแทน..


“ตกลงเธอจะไปที่นี่แน่นะ?” เขาพยักหน้ารับกับอาจารย์ที่ปรึกษาอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นอาจารย์คลี่ยิ้มบางๆบนใบหน้า
“ฉันก็อยากให้เธอไปที่นี่ อากาศก็ดี ชื่อเสียงด้านนี้ก็ดี เธอไม่เหมาะกับเมืองใหญ่ที่ผู้คนมากมายหรอก” ก็ตามนั้นครับอาจารย์...

********************************************************************************************************

“คุยกับอาจารย์ได้เรื่องว่าไงบ้างวะเอม” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งถอดถุงเท้าอยู่บนเตียงทำให้ผมต้องนิ่วหน้า เมื่อไรมันจะเลิกนั่งถอดถุงเท้ารองเท้าบนเตียงสักที(วะ) อืม... แต่เอาเถอะ มันไม่มานั่งถอดบนเตียงผมก็พอละ
“ก็ไม่ยังไง สุดท้ายกูก็เลือกที่ XXX”
“วะ! งี้เราก็เรียนกันคนละที่ดิ” ไอ้มิ้นท์ทำเสียงเสียดาย
“อืม ช่าย~”
“โห่!!”
“โห่ไรของมึงเนี่ย - -*”
“ก็มึงอะ ชอบทำตัวเย็นชากับเพื่อนว่ะ” ผมปวดประสาทจี๊ดเมื่อได้ยินคำตัดพ้อแบบสาวน้อยของมัน อันที่จริงผมน่าจะเหมาะกับคำพูดหวานแหววมากกว่ามันอีกนะ
ตรู๊ดดดดดด
เสียงโทรศัพท์ภายในดังก้องลั่นห้องเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา ไอ้มิ้นท์ปรี่ไปรับทันควันเหมือนกับรู้ว่าโทรศัพท์กำลังจะดัง ผมหันมาเก็บกระเป๋าและทำธุระของตัวเองบ้าง เสียงคุยโทรศัพท์จ๊ะจ๋าคงไม่แคล้วว่าเป็นสาวซินที่โทรมา

ผมเหลือบมองเพื่อนที่คุยโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความรู้สึกโหวงเหวงปนอิจฉาหน่อยๆ การได้อยู่ใกล้คนในหัวใจตนเองมันคงจะรู้สึกดีไม่น้อย ผมเองทำได้แค่เพียงดูรูปและรอคอย แต่ถึงจะทำได้เพียงรอคอย ผมรู้ว่าคนอีกด้านหนึ่งก็คงทรมานใจไม่ต่างกัน

ถามว่าทำไมเราสองคนถึงต้องรอ? ทำไมถึงทำแค่เพียงส่งรูปภาพบอกเล่าความเป็นไป? แม้แต่หน้าตาก็ไม่เห็นกันมาเป็นปีกับอีกหลายเดือน ในสายตาของคนอื่นอาจจะคิดว่าเราสองคนพิลึกที่ต่างฝ่ายก็ทรมานกันเอง ถ้าเพียงแค่พี่จินบินกลับมาหาผม เราสองคนได้พูดคุยกัน ก็คงจะได้ลิ้มรสความสุขอันหอมหวานของการมีความรักไปแล้ว

แต่ในความคิดของผมมันต้องไม่ใช่แบบนั้น ถึงแม้ผมและพี่จินจะไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้พูดคุยและตอบสนองกันแบบเรียลไทม์ แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าขาด เมื่อผมหลับตาก็ยังคงจำใบหน้าของพี่เขาได้แม่นยำ วันเวลาไม่เคยยาวนานจนผมทนไม่ได้ เมื่อมีวันนี้ก็ต้องมีวันพรุ่งนี้เสมอ...

ผมไม่คิดว่าการที่ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้จับมือกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะบั่นทอนให้ความรู้สึกที่มีต่อกันลดน้อยลง...
 
การที่เราต่างรอคอยกันและกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องดี พี่จินเข้าใจความรู้สึกของผมและอดทนรอวันที่ใจผมพร้อม ณ ตอนนั้นเรายังเด็ก บางทีถ้าคบกันก็คงเป็นแต่เรื่องการใช้อารมณ์ และสำหรับคนที่หัวใจเว้าแหว่งอย่างผม คงไม่สามารถทำหน้าที่คนรักของพี่จินได้ดีนักหรอก ผมคิดว่านะ... รออีกสักหน่อยก็ไม่สายใช่มั้ย? รอให้ผมและพี่จินพร้อมจริงๆ..

และเมื่อวันที่เราพบกัน ก็จะได้รู้เองแหละครับ ว่าความรู้สึกทั้งหมดนั้นมันมากแค่ไหน...

ที่แน่นอนยิ่งกว่าอะไรบนโลกใบนี้ คือความรู้สึกของผมที่จะไม่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน



หัวข้อ: Love Sick [-9-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 25-11-2011 17:18:27


“น้องครับ สนใจสมัครชมรมกรีฑามั้ย”
“สนใจชมรมถ่ายภาพมั้ยคะ”
“น้อง”
“น้องครับ”
“ฯลฯ”

เสียงเรียกชักชวนมากมายทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นที่สุด ผมได้ยินมาว่าวันเปิดเทอมวันแรกมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชมรมโน่นนี่นั่นก็จะมาชักชวนให้รุ่นน้องปีหนึ่งมาสมัครกันอย่างกระตือรือร้น

สำหรับผม มันเหมือนกับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มาที่นี่คนเดียว... เอ่อ ไม่สิ บางทีอาจมีเพื่อนที่โรงเรียนเก่าย้ายมาด้วยก็ได้ แต่ผมก็ไม่เคยรู้จักใครที่โรงเรียนเก่านอกจากไอ้มิ้นท์กับซินหรอกครับ

แน่นอนว่าผมไม่คิดจะเข้าชมรมอะไรแน่นอน เอาเวลาว่างไปรับวาดรูปหาเงินดีกว่า แต่ที่แน่ๆวันนี้ผมต้องไปลงทะเบียนเรียนให้เสร็จก่อนเป็นอันดับแรก

เมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้วผมก็ได้รับใบตารางเรียนมา ผมพลิกดูกระดาษในมือและเห็นวิชาเรียนปีหนึ่งส่วนมากจะเป็นวิชาเบสิคอย่างเช่นวิชาเลข ภาษาอังกฤษ ฯลฯ พอเทอมสองโน่นละจึงจะเริ่มเข้าวิชาเฉพาะ นึกถึงสมัยเรียนมัธยมต้องเรียนเช้ายันเย็น แต่พอเข้ามหา’ลัยแล้วบางทีก็เรียนแค่เช้า บางทีก็เรียนแค่บ่าย มีแค่บางวันเท่านั้นที่เรียนทั้งเช้าและบ่าย แต่ก็แค่สองวิชาเอง มันสบายจนน่าอิจฉาพวกเด็กมหา’ลัยจริงๆนะครับ

อีกเกือบสัปดาห์แหละครับกวาจะเริ่มเรียนจริงจัง ช่วงนี้ก็ถือโอกาสสำรวจสถานที่ไปก่อน...

ที่นี่ร่มรื่นไม่แพ้ที่โรงเรียนเก่า คงเพราะว่าเป็นมหาวิทยาลัยไกลกรุงเทพและยังคงรักษาสภาพแวดล้อมป่าๆเอาไว้ มองไปทางไหนก็มีต้นไม้เต็มไปหมด อาคารเรียนหลายคณะตั้งห่างกันมากจนต้องใช้มอเตอร์ไซค์หรือจักรยานในการเดินทาง สงสัยว่าผมคงต้องหาจักรยานเป็นของตัวเองแล้วละ

ตามแบบฉบับนักเรียนทุนอย่างผมแน่นอนว่าต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยครับ ห้องที่ผมอยู่มีแค่ผมคนเดียวเอง ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่มีรูมเมทอีกคนมา เพราะว่าส่วนมากเขาก็จะไปอยู่หอนอกกัน ก็มันสบายกว่าหอในอะครับ หอนอกมีทั้งแอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น แต่หอในมีแค่พัดลมเพดานก็หรูแล้ว พวกลูกคนรวยคงอยู่กันไม่ได้หรอกครับ แต่อย่างว่าแหละ ผมมันอยู่แบบตามมีตามเกิดมานานแล้วก็เลยชิน

“เฮ้อ~” พอได้เอนหลังลงบนที่นอนก็ถอนหายใจยาว สบายจริงๆครับ

แกรก..
ผมควานมือเข้าไปในกระเป่าเพื่อหยิบไอพอดมาเปิดเพลงดังๆ  อา...อยากได้คอมพิวเตอร์จังแฮะ ไอ้มิ้นท์ไม่อยู่ให้ยืมแล้วคงต้องหาเป็นของตัวเอง แต่ผมไม่มีเงินนี่นา คงต้องเก็บอีกนานเลยละ

ลืมบอกไปว่ามือถือผมก็ไม่มีใช้นะ ฮามั้ยละ อิอิ

*********************************************************************************************

และแล้วในที่สุดวันเปิดเรียนจริงๆก็มาถึง เพื่อนในคลาสเดียวกับผมเยอะไม่ใช่น้อยเลยครับสำหรับเอกศิลป์ ผมมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงอีกแล้ว ฟังนามสกุลของแกแล้วคุ้นๆนะ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากไหน อจ.แกชื่อรุจิรัตน์ครับ ดูท่าคงสามสิบกว่าแล้วแหละ แต่ว่าสวยโคตรเลย เดินไปทางไหนเนี่ยมีแต่ลูกศิษย์ชายมองตามเหมือนโดนมนต์สะกดเลย

วันแรกนี้เราเรียนแค่ครึ่งวันครับ เพื่อนร่วมคลาสส่วนมากเหมือนว่าเขาจะย้ายมาเรียนจากที่เดียวกันทั้งนั้น อย่างกลุ่มที่เข้ามาทักผมนี่ก็ย้ายมาจากที่เดียวกันครับ เห็นว่ามาจากโรงเรียนเตรียมฯน่ะ

“เราว่าเราเคยเจอนายมาก่อน นายเคยไปแข่งวาดรูปที่งาน xxx มาใช่มั้ย? ” คนหน้าใสตาตี่ที่ถามผมอยู่นี้คือคนแรกที่มาทัก ก่อนที่เพื่อนคนอื่นของเขาจะเดินเข้ามาสมทบ
“ไอ้กิมันจำคนแม่น มันคงเคยเห็นนายที่ไหนจริงๆแหละ”  อีกคนที่หน้าตาดูไทยๆ ผิวเข้มสะอาดตาและตัวเบ้อเริ่มคือหมายเลขสองที่คุยกับผม
“เอ่อ... ผมก็เคยไปแข่งงานนั้นมานะ แต่จำไม่ได้จริงๆว่าเคยเจอนายหรือเปล่า” พอผมตอบไปแบบนั้นคนที่ชื่อกิก็ทำสีหน้าปวดร้าว
“เรายังจำนายได้เลยนะเว้ย นายคือคนที่ได้รางวัลชนะเลิศแล้วก็รีบกลับทันทีโดยไม่รับรางวัลใช่มั้ย” ผมอึ้ง ดูท่าเจ้ากินี่จะจำได้ฝังใจมากเลยนะ
“ไอ้นี่มันได้ที่สองน่ะ มันเลยอยากเห็นคนที่มันแพ้ก็เลยไปแอบดูหน้านาย ว่าจะเข้าไปคุยด้วยนายก็กลับแล้ว” คนหน้าไทยขยายความ ผมก็เลยถึงบางอ้อ ผมจำได้ว่าวันนั้นน่ะ ผมมีสอบตอนบ่ายที่โรงเรียนก็เลยรีบกลับก่อน
“อ๋อ” ผมพยักหน้า
“ว่าแต่นายชื่ออะไร เราชื่อกิ ส่วนไอ้นี่ชื่ออั๋น ไอ้นี่ชื่อตอง” คนชื่อกิแนะนำตัวเองและเพื่อน คนหน้าไทยๆคนนั้นชื่ออั๋นครับ ส่วนอีกคนที่หน้านิ่งไม่พูดอะไรเลยสักคำก็คือตอง กิเนี่ยดูท่าจะเป็นพวกอัธยาศัยดีครับ อั๋นด็ดูเป็นลูกคู่กับกิได้ดี ส่วนตองเนี่ย ดูเงียบเสียน่ากลัวเลยละ  แต่ก็ดูพวกมันรักกันดีนะครับ
“เราชื่อเอม” ผมยิ้ม ในที่สุดก็ได้เพื่อนใหม่ละ

หลังจากที่เริ่มไปเรียนและคลุกคลีกับพวกนั้นได้สัปดาห์กว่าๆ ก็พอรู้ว่านิสัยดีใช้ได้ แถมยังอยู่หอในเหมือนกันครับ กิมันบอกว่าอยากลองลำบากดูบ้าง นอนแอร์มาทั้งชีวิตแล้ว ผมฟังละหมั่นไส้ อิจฉาลูกคนรวยจริงอะไรจริง
“ว่าแต่เอม ห้องนายอยู่แค่คนเดียวเหรอ?”  กิมันถามผมหลังเลิกเรียนในวันหนึ่ง ผมก็พยักหน้า
“พอดีเลยเนี่ย ห้องเราต้องอยู่กันสามคนแน่ะ ปรกติเขาให้อยู่ห้องละสองใช่มั้ยละ ให้ตองไปอยู่กับนายได้ปะ” เหวอ! ไอ้หน้านิ่งนั่นอะนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาหลายวันเนี่ย มันพูดนับคำได้เลยนะครับ ทำไมไม่เอาเป็นกิหรืออั๋นมาอยู่กับผมแทนละ พอผมจะอ้าปากถามก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา

“พวกมึงอยากอยู่กันสองคนใช่มั้ย”

เสียงนิ่งห้าวๆของตองดังขัดจังหวะ มันเหมือนเป็นปฏิกิริยาอะไรสักอย่างอะครับ พอเวลาคนที่ไม่ค่อยพูด เขาพูดสักครั้งเนี่ย ทุกคนจะหันมาตั้งใจฟังโดยอัตโนมัติเลยนะครับ ผมเองพอได้ยินที่ตองมันพูดแล้วก็งง หันไปมองหน้ากิกับอั๋นก็...

เอ่อ...

สองคนนั้นมันหน้าแดงว่ะครับ...

อั๊ยย่ะ!!

“พวกนาย... สองคน...” ผมพูดแค่นั้นหน้ากิก็แดงกว่าเก่า บ๊ะ ไอ้นี่มันอายแล้วน่ารักไม่ใช่น้อยครับ
“เรากับกิคบกันอยู่น่ะ..” อั๋นพูดแทนกิที่เขินจนใบ้กินไปแล้วครับ ผมเองชักจะเขินตามแล้วสิ
“เอม...เอมคงไม่ได้รังเกียจใช่มั้ย?” กิถามเสียงอ่อน
“เฮ้ย ไม่ๆ ไม่เลย” ผมปฏิเสธทันทีครับ ผมเนี่ยนะจะเกลียดเกย์ ฮ่าๆๆ
“ถ้าตองจะมาอยู่กับเราก็มาเลยนะ ตามสบายเลย” ผมหันไปบอกตองที่ทำแค่สีหน้าเรียบเหมือนเคยแล้วมันก็พยักหน้า กิเอื้อมมือมาบีบมือผมแล้วยิ้มเขินๆ
“ถ้าไอ้ตองมันทำให้รำคาญใจก็บอกเรานะ”
“พ่อมึงแน่ะ” ป้าบ อูย... มือใหญ่ของตองฟาดเบาะๆที่หน้าผากกิ เห็นแล้วเจ็บแทนเลยครับ
“โอ๊ย ไอ้ตอง มึง! กูจะบอกให้เอมแกล้งมึงตอนนอน” กิเอามือลูบหน้าผากตัวเองแล้วด่าตองปาวๆ
“เหอะ” นั่นแหละ วันนั้นตองพูดแค่นั้นแหละครับ แล้วจนกระทั่งมันหอบข้าวของมาห้องผม ผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย

สรุปแล้วผมได้รูมเมทคนใหม่เป็นใบ้??


นี่ก็เปิดเรียนมาได้ครบเดือนแล้วนะครับ พวกผมเรียนๆๆกันจนแทบลืมวันเวลา การบ้านกองพะเนินเป็นอะไรที่ผมเคยชินมาตั้งแต่สมัยมัธยม ผมเลยชิลๆ แต่กิกับอั๋นเนี่ยสิ สงสัยไม่ค่อยเจอการบ้านเยอะเลยทำไม่ค่อยทันต้องมาเร่งทำกันในวันหยุด สงสัยมั้ยครับว่าทำไมผมไม่พูดรวมตองไปด้วย นั่นก็เพราะว่าตองทำการบ้านเสร็จทันเสมอครับ พอเลิกเรียนกลับห้องมาก็ทำการบ้านทันทีเหมือนผม ทำเสร็จแล้วตองถึงจะออกไปเตะบอล เห็นว่าตองอยู่ชมรมฟุตบอลน่ะครับ

“เอาของมึงมาลอกหน่อยสิตอง” อั๋นพูดอย่างหงุดหงิดหลังจากที่แก้โจทย์แมทไม่ได้สักที
“ไม่ได้ ทำเองสิมึงอะ” กิเอ็ดเสียงเขียวทำเอาอั๋นสลด วันหยุดนี้พวกมันมาเทกันที่ห้องผมหมดเลยครับ ผมนอนฟังเพลงในไอพอดอย่างสบายอารมณ์ ส่วนตองก็นั่งเช็ดรองเท้าสตั๊ดอยู่ ตอนแรกที่ผมรู้ว่าตองเล่นบอล ผมก็ตกใจนะครับ เพราะส่วนมากพวกนักกีฬาจะเหม็นเหงื่อและซกมก(ใช่มั้ย?) ผมก็หวาดๆว่าตองจะเป็นพวกซกมกหรือเปล่าหว่า แต่พออยู่ไปก็รู้ครับ ว่าตองรักสะอาดมากกก

เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ที่นอน โต๊ะเขียนหนังสือเนี่ย ตองมันทำความสะอาดประจำครับ สะอาดกว่าผมอีก - -“

ก๊อกๆ

ตองที่อยู่ใกล้กว่าเดินไปเปิดประตู ตัวมันใหญ่จนบังมิดไม่เห็นเลยว่าใครมาเคาะ ได้ยินเสียงพูดคุยนิดหน่อยแล้วตองก็ปิดประตูห้อง
“ใครมาเหรอตอง” ผมถาม
“คนดูแลหอ เขาเอานี่มาส่ง” ตองวางกล่องพัสดุข้างตัวผม ความคุ้นเคยทำให้ผมดีดตัวขึ้นมาพรวดจนเพื่อนตกใจว่าผมจะตื่นเต้นอะไรนักหนากับพัสดุกล่องเดียว ผมยกกล่องมาวางไว้ที่โต๊ะหนังสือแล้วหยิบมีดคัตเตอร์มาค่อยๆกรีดเปิด ใจผมเต้นโครมครามจนลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนใหม่สามคนมายืนจ้องผมอย่างสนใจด้านหลัง

แกร่ก แกร่ก

ผมมือสั่นในขณะที่เปิดฝากล่อง ลายมือหวัดที่จ่าหน้าซองมายังเหมือนเดิม

To Mr.Rojchanakorn Tungchitr-paisal

หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจส่งรูปถ่ายงานจบการศึกษาของผมกลับไปให้พี่จินโดยจ่าหน้าช่องที่อยู่ของผมเป็นที่นี่ ผมจึงได้รับพัสดุกล่องนี้มา มันเป็นการบอกพี่จินอ้อมๆน่ะครับว่าผมย้ายมาอยู่หอในมหาวิทยาลัยแล้วนะ เอ่อ...ผมรู้สึกเขินจัง -//-

พี่จินส่งรูปมาให้เหมือนเดิม แล้วก็มีกล่องบุด้วยกำมะหยี่ขนาดเท่าฝ่ามือ ผมพอเดาออกว่ากล่องหรูหราขนาดนี้คงใส่เครื่องประดับ แต่จะเป็นอะไรนั่นล่ะ?

ผมเปิดกล่องออกแล้วเห็นสร้อยข้อมือสีเงินประดับด้วยจี้พลอยสีขาวรูปตัว G ผมพลิกมันไปมา สร้อยข้อมือส่งประกายล้อกับแสงที่ส่องมาทางหน้าต่าง การ์ดใบน้อยเขียนเพียงแค่ว่า ‘Congratulation’ เท่านั้น

“นี่มันแพลตตินั่มนี่...” เสียงกิจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง แล้วก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสามชะโงกดูกันอย่างสนใจ
“บ้านกิเป็นร้านขายเพชรน่ะ” อั๋นขยายความ
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ก้มมองสร้อยข้อมือต่อ ไม่รู้หรอกครับว่ามันแพงแค่ไหน รู้แต่ว่ามันสวยจริงๆครับ สวยมาก ผมไม่เคยได้มีของแบบนี้เป็นของตัวเองมาก่อน แล้วอักษร G นั่นก็...
“ใครให้เหรอเอม~ แพลตตินั่มมันแพงไม่ใช่เล่นน้า แถมพลอยนั่นก็เป็นไวท์แซฟไฟร์เสียด้วยยยย” กิลากเสียงยาวจนผมขนลุก พอหันไปก็เห็นมันทำตาระยิบระยับเลยครับ
“..เอ่อ...คนรู้จักน่ะ..” ผมอ้อมแอ้มตอบ
“จริงหรา~~~~ คนรู้จักชื่อย่อ G” อั๊ยย่ะ กิมันเซ้าซี้ผมใหญ่แล้วง่ะ ผมหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอั๋น อั๋นยิ้มขำๆแล้วลากคอกิให้ไปทางอื่น
“มึงง่ะ ให้กูเค้นถามจากเอมมันก่อนดิว้า!” เสียงแจ๋วๆโวยวายมาให้ได้ยิน ผมแค่ขำแล้วก็หันมาสนใจกับของในกล่องต่อ

ดูเหมือนว่าที่โน่นเป็นฤดูฝนเหรอ? เพราะในรูปส่วนมากมีแต่ฝนทั้งนั้น  ผมเกลียดฝน เพราะฝนมันมักจะทำให้ผมเหงา และเสียงฟ้าผ่าก็ทำให้ผมกลัว แล้วพี่จินจะเหงาเหมือนผมหรือเปล่า?

“เอมมีแฟนแล้วเหรอ” 
“ตองว่าอะไรนะ” เหมือนว่าผมจะได้ยินตองพูดอะไรสักอย่างแต่ฟังไม่ถนัด ผมหันไปถามตองที่นั่งพิงหัวเตียงใกล้กับโต๊ะที่ผมนั่ง ตองส่ายหัวแล้วก็บอกว่า “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ผมขมวดคิ้ว บางทีผมอาจหูแว่วไปเอง สงสัยจะคิดถึงพี่จินมากเกินไป ผมพลิกดูรูปจนครบทุกใบแล้วก็มีกระดาษโน้ตร่วงลงมาจากรูปใบหนึ่ง ลายมือหวัดๆเขียนข้อความมาสั้นเหมือนเดิม

‘พี่เบื่อฝนที่ปารีสแล้วละ ’

‘คิก.’ ผมหลุดขำมานิดหนึ่ง ในใจคิดออกแค่คำว่า ‘น่ารัก’ ที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ แค่เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆมันก็ดึงดูดใจผมได้อีกแล้ว

“พี่จิน...” เพียงแค่นึกถึงใบหน้าผมก็เผลอเรียกชื่อพี่จินออกมาเสียแล้ว... จะได้ไหมนะ ถ้าผมจะบอกพี่ว่ากลับมาเมืองไทยสิ ถ้าเบื่อฝนที่ปารีสแล้ว...

ผมคิดถึง...


ภาพของชะเอมที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเพื่อนทั้งสามไปได้ คนหนึ่งอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนเป็นเพื่อนกัน และหมายมาดว่าจะต้องรีดเค้นเรื่องราวมาให้ได้ คนหนึ่งคิดว่าจะต้องคอยห้ามคนแรกไม่ให้ไปเซ้าซี้เพื่อนใหม่จนเกินควร และคนสุดท้าย...ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอปัญหาตัวใหญ่บิ๊กเบิ้มที่ชื่อว่า จินเจอร์...


** มาแบบสองตอนต่อเนื่อง ต้อนรับวันหยุดค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Love Sick [-9-] 25/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 25-11-2011 17:40:44
555

ตองงงงงงงงง

เห้อออ
หัวข้อ: Re: Love Sick [-9-] 25/11/11
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 25-11-2011 18:09:16
เป็นความรัก ระยะไกล ที่อ่านทีไร ก็น่ารักทุกที

ถึงไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก แต่ ชะเอม กับ จินเจอร์ ก็เหมือนจะสื่อสารกันด้วยภาษา "ใจ"

(เน่าตัวเอง  :laugh:)
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 25-11-2011 19:43:42
พี่จิน
แต่ถึงยังไงก็เหงาอยู่ดีแหละ เฮ้อ
นายตอง ไม่ได้นะ ห้ามๆ สงวนให้พี่จินคนเดียว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 25-11-2011 19:44:50
สนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว  เริ่มสังคมใหม่  เพื่อนใหม่  และอาจมีปัญหาใหม่ ๆ
มาต่อทุกวันก็ดีน๊า  ชอบ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 25-11-2011 19:49:18
ตัวเร่งปฏิกิริยาชื่อ 'ตอง' เข้ามาแล้ว พี่จินรีบกลับด่วนเลย
ยิ่งนอนห้องเดียวกัน ยิ่งไม่หลอดภัยสำหรับเอมนะ :z3:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 25-11-2011 20:27:14
เผลอเวิ่นเว้อละเวอละเวิดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เข้ามาอ่านน้องเอมล่ะ
จนวันนี้เข้ามาตามจนทันเลย ตอนรู้ว่าเปปเปอร์ทำแบบนั้นกับเอม ก็โกรธนะ
แต่พอมาคิดดูว่า ก็ตอนนั้นแค่เด็กอายุแค่18 -19 ทำแบบนั้น คิดแบบนั้น มันเป็นไปได้แหละ ก็เลยให้อภัย
แล้วมาคิดด้านหนูเอม ถึงหนูจะเจ็บปวด การเจ็บปวดจากความรัก
ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ในวัยรุ่น คงไม่มีใครไม่เคยรัก ไม่เคยอกหัก
บางทีในความเศร้า+ความเจ็บปวดจากความรัก มันก็มีสิ่งที่ดีอยู่นะ (นี่แหละรสชาติของชีวิต)
มันทำให้เรารู้จักระมัดระวังขึ้น ทำให้เราแกร่งขึ้นไง เหมือนหนูเอมตอนนี้ไง
คิดว่าไม่ได้เจ็บปวดแล้วแหละ เหลือแค่แผลเป็นไว้เป็นเครื่องระลึกถึง และไว้เตือนตนแค่นั้นเอง(มั้ง) ผิดเป็นครูน่ะ
        ว่าแต่ว่า ตองแอบคิดไรกะเอมเกินเพื่อนใช่ปะ คิดไปเหอะตองไม่ผิดหรอก
ถึงจะต้อง"อกหัก" ก็ "อกหักดีกว่าไม่ได้รัก" "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น"
แถม  "อกหักไม่ยักกะตาย" หรอกนะตอง
อิ อิ อิฉัน คิดไปไกลเกิ๊น ขออำภัยบีบีจังเด้อ ที่คิดไปก่อนน่ะ(คนแก่ช่างเพ้อฝัน)
 แต่ที่คิดตลอดเวลาที่อ่านนะ เรื่องราวและภาษาในเรื่องของบีบีจังsmoothจังเลย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 25-11-2011 20:39:02
น้องเอมเริ่มเปิดใจให้จินเเล้ว ดีใจที่สุด 55+
เมื่อไรพี่จินจะกลับมานะ คิดถึงพี่ (มีบทกับเขาน้อยจริง :o12: สงสาร)
ตองชอบน้องเอมเหรอ ไม่นะ   :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 25-11-2011 21:50:04
อ่านแล้วกริ๊ดแทน :impress2:
จินน่าร้ากกกกกกกกกกกกก แต่รีบกลับมากเหอะ มีคนหวังชิงของรักอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 25-11-2011 21:53:31
เรื่องราวมหาลัยครั้งใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น  :laugh: :laugh: :laugh:

อ่านไปแล้วเหมือนจุกที่อกเลยละ อินไปไหมเราเนี่ย  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 25-11-2011 23:29:12
โลโก้รูปแอปเปิ้ลแหว่งโผล่ขึ้นมาและค่อยๆหายไป ปรากฎเป็นภาพพักหน้าจอรูปแผ่นหลังของคนๆหนึ่งแทน... แค่เพียงแผ่นหลังเท่านั้น เห็นเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนว่าน้ำตาจะเอ่อๆ เขาสูกหายใจเข้าลึกๆและกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูป เผื่อว่าจะมีรูปอื่นๆอยู่อีก แต่ทว่าภายในอัลบั้ม นอกจากมีรูปที่เป็นวอลเปเปอร์แล้วก็ไม่มีรูปอื่นอีกเลย ส่วนอีกไฟล์หนึ่งเป็นเพียงไฟล์วิดีโอ...

สูดหายใจ

ได้อ่านรวดเดียวสองตอน ทำให้อมยิ้มกับบรรยากาศหวานๆ มากเลยค่ะ 
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 25-11-2011 23:41:51
โลโก้รูปแอปเปิ้ลแหว่งโผล่ขึ้นมาและค่อยๆหายไป ปรากฎเป็นภาพพักหน้าจอรูปแผ่นหลังของคนๆหนึ่งแทน... แค่เพียงแผ่นหลังเท่านั้น เห็นเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนว่าน้ำตาจะเอ่อๆ เขาสูกหายใจเข้าลึกๆและกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูป เผื่อว่าจะมีรูปอื่นๆอยู่อีก แต่ทว่าภายในอัลบั้ม นอกจากมีรูปที่เป็นวอลเปเปอร์แล้วก็ไม่มีรูปอื่นอีกเลย ส่วนอีกไฟล์หนึ่งเป็นเพียงไฟล์วิดีโอ...

สูดหายใจ

ได้อ่านรวดเดียวสองตอน ทำให้อมยิ้มกับบรรยากาศหวานๆ มากเลยค่ะ 

ขอบคุณค่า > <  & ขอบคุณทุกคนที่ชอบค่า <3

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 26-11-2011 00:39:26
เริ่มเข้มข้นซะแล้ว 555 ^___^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 28-11-2011 14:22:47
มันหวานมากกกกกกกกก :L2:
จินน่ารักไปหนายยยยยยยยยย :กอด1:
+1จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: moriku ที่ 28-11-2011 21:34:53
พี่จินสุดยอดดดดดดดดด
จีบทางไกลกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 29-11-2011 00:17:41
เฝ้ารอคอยพี่จินกับมาไม่งั้นเอมเสร็จตองแน่ๆ

รักมั่นคงเนอะพี่จิน แรกนึกว่าจะร้ายกับกลายเปงดีซะงั้น
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-9-] 25/11
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 29-11-2011 01:21:15
ตอนแรกนึกว่าเปปเป็นพระเอกซะแล้ว
แต่ก็เชียร์จินนะ ไม่ชอบพระเอกแสนดี เพราะรู้ว่าคนเรามันมีข้อพกพร่อง
กันบ้าง สำหรับเปป ที่ทำแบบนั้นกับเอม ถ้าเป็นพี่เนี้ย คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน
อาจจะตบสักทีให้สะใจแล้วลืมมันไป ผู้ชายแบบนี้หาง่ายๆ ในท้องตลาด
แล้วก็นึกถึงเพลงโดม ที่บอกว่า หากเธอไม่ทิ้งฉันคงไม่เจอคนที่ดีกว่า(ประมาณนี้)
เพราะพี่จินสุดยอดแห่งความโรแมนติก ไม่คิดว่าคนที่มุทะลุปานนั้นจะโรแมนติกขนาดนี้
ระยะเวลา3 ปีที่ติดต่อกันทางจดหมาย เมลล์อะไรก็ไม่ใช้ สมัยนี้มีเครื่องมือทันสมัยมากมาย
กลับไม่ใช้ แต่มันก็คุ้มค่านะที่จะรักษาความรักให้มั่นคงเพราะคนเราสมัยนี้ไม่นึกถึงคุณค่าทางจิตใจ
ถ้าจะให้ดีพี่จินควรส่ง macbook มาให้น้องเอมด้วยนะคร้า มันจำเป็นต่อการเรียนเน้อ เดี๋ยวน้องจะต้องไป
ใช้คอมที่มหาลัยนะจ๊ะ (แอบเห็นเพื่อนร่วมห้องเหมือนจะรู้สึกพิเศษกับน้องแอมน่ะนั่น)

เพลงที่อีตาจินร้องส่งมาให้น้องเอมก็ตั้งแต่สมัยพี่ยังสาวเลยนะนั่นเด็กรุ่นนี้จะรู้จักไหมเอ่ย

สุดท้ายมาส่วนแสดงความคิดเห็นในงานเขียนบ้างนะ ติเพื่อก่อ อย่าโกรธกันเน้อ
เฉพาะในส่วนของจิน พี่ว่าตัวละครยังมีรายละเอียดน้อยไปนิด ในช่วงแรก
เพราะสายตาของเอมที่มองจินมันใส่ความรู้สึกไปทางอิพี่เปปซะหมด จนหลายคนไขว้เขว(น้องอาจจะเจตนา)
เลยละเลยความรู้สึกฝั่งจินไป พอมาในตอนพิเศษถึงแสดงให้เห็นว่าจินมีลักษณะนิสัยแบบไหน


สุดท้าย ชอบจินอ่ะ โรแมนติกดีแท้ทนห่างกันคนละประเทศได้ไงเนี้ย คงไม่ได้มีข้อเสนออะไรดีๆ จากที่บ้านหรอกนะ
หัวข้อ: Love Sick [-10-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 29-11-2011 12:10:23
Love Sick

- 10 -


บร๊ะเจ้าครับทุกคน...



วันนี้ผมเพิ่งเจอเรื่องเหลือเชื่อมาหมาดๆ หลังจากที่เปิดภาคเรียนมาได้เกือบจะสามเดือน
ก็อย่างที่ผมบอกไปนะครับ ว่าปีหนึ่งเนี่ย ทุกคนจะเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไป เช่น เลข ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
ที่นี้เรื่องมันมีอยู่ว่า... ช่วงนี้ผมต้องเรียน แมท หรือ Math นั่นเอง และตอนนี้ก็เป็นบทเรียนเกี่ยวกับกราฟและก็ฟังก์ชั่นอะไรพวกนี้แหละครับ หลังจากที่เรียนมาหลายสัปดาห์ อาจารย์ก็จัดให้มีการเทสต์ย่อย คะแนนเต็ม 20 คะแนน (หารแล้วเบ็ดเสร็จเป็นคะแนนเก็บ 5 คะแนนครับ อาจารย์โคตรจะช่วยเลย สงสัยเห็นเด็กศิลป์โง่เลขจัด 55+) ผลสอบที่ออกมาปรากฎว่า...



ไอ้เอมได้คะแนน 9/20 ครับ - -*

หารแล้วก็เหลือ 2.25 ....

....

.

..

..


ผม... สอบตกครับ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ


ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับ สมัยเรียนมัธยมผมไม่เคยสอบตกเลยนะ  แต่ไอ้วิชาเนี้ย มันเป็นอะไรที่สุดๆสำหรับผมแล้ว ทั้งที่ก่อนสอบผมพยายามอ่านอย่างเต็มที่ แต่พอเข้าไปสอบมันก็เหมือนกับว่าทุกอย่างที่อ่านมารั่วออกไปหมดเลยครับ เพื่อนผมก็พากันอึ้งเป็นแถบ กิได้ 2.5 คะแนนพอดีเป๊ะ อั๋นได้ 3 คะแนน ส่วนตองนั่นไม่ต้องพูดถึง เต็ม 5 เลยครับ

“ให้เราติวให้เอาปะ” กิอาสาด้วยความมีน้ำใจ แต่ผมไม่เอาดีกว่าครับ... ก็ปรกติน่ะ ผมค้องเป็นคนติวมันนะ จะให้มันมาติวให้ผมได้ไงอ้ะ เสียเชิงแย่เลย T^T

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราให้ตองช่วยติวสอบซ่อมให้ก็ได้ ได้มั้ยตอง?” ประโยคครึ่งแรกผมบอกกับกิ ส่วนครึ่งหลังพอผมพูดจบก็หันไปมองหน้าตอง
“อืม” ตองพยักหน้า ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตองมันเก่งนะครับ วิชาเลขน่ะ น่าไปเรียนหมอ ไม่ใช่เอกศิลป์
“แล้วเย็นนี้จะไปงานเลี้ยงรับสายรหัสรึเปล่า” กิถามขึ้นมา ผมก็เพิ่งนึกออกว่าจะมีงานเลี้ยงรับน้องที่พวกรุ่นพี่รหัสเขาจะจัดให้ อุแม่เจ้า งานเลี้ยงก็ต้องมีเหล้าสิ...
“อืม เราคงไม่ไปหรอก เพราะเดี๋ยววันมะรืนก็สอบซ่อม ขอติวตั้งแต่วันนี้ดีกว่าเพื่อความชัวร์ นะตอง” ผมหันไปขอเสียงสนับสนุนจากตองเมื่อเห็นว่ากิหน้ามุ่ย ไอ้นี่มันชอบงานสังสรรค์เฮฮาครับ แต่ผมไม่ถูกกะเหล้านี่หว่า เกิดมาเคยลองกินแค่ครั้งเดียว แถมยังขมเป็นบ้าเลยด้วย
“มึงจะไปมั้ยตอง” อั๋นถามตอง ตอนนี้ทุกคนเงียบกันหมดเลยครับ เงียบจนเหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงหัวใจแต่ละคนเต้นดังตึก ตึก ตึก เลยนะ นาทีนี้ชีวิตผมขึ้นอยู่กับตองคนเดียว ถ้าเกิดตองมันตกลงไป ไอ้กิมันต้องลากผมไปด้วยแน่ๆ

ตึก ตัก

ตึก ตัก

ผมรู้ว่าตองไม่ไปหรอก

“อืม ไปก็ได้” อ๊ากกกกกกกกกกกกก ไอ้ตอง!!!

“เสียใจด้วยนะเอม คือว่าตองมันเป็นสิงห์คอทองแดงน่ะ ฮ่าๆๆ” เสียงไอ้กิหัวเราะเยาะเย้ยจนผมสาบานว่าจะต้องแก้เผ็ดมันให้ได้ในสักวัน...


ร้านเหล้าระดับหรูหราห่างไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควรครับ แหม เลือกร้านเสียไฮโซกันเลยนะ พวกผมมาที่นี่กันได้ด้วยพาหนะโดยสารของอั๋นครับ นิสสันมาร์ชสีขาวจั๊วะแอร์เย็นเจี๊ยบที่อั๋นได้เป็นรางวัลจากป๊าและม๊าของอั๋นหลังจากเอ็นท์ติดที่นี่ครับ


“เฮ้ย ไอ้กิ ทางนี้โว้ยยยย” เสียงตะโกนเรียกดังจากด้านหนึ่งของร้าน กลุ่มรุ่นพี่ปีสอง,สามและสี่ที่เป็นสายรหัสของพวกผมเริ่มนั่งก๊งกันอยู่ที่โต๊ะใหญ่ ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าแค่เฉพาะในสายรหัสของพวกผมก็กินพื้นที่ไป1/4 ของร้านแล้วครับ
“พี่ย้ง พี่บูม พี่โค้ก พี่โอ๋ ฯลฯ หวัดดีครับ” ไอ้กิเป็นคนนำพวกผมให้ไหว้ทักทายรุ่นพี่มากมายเกือบสิบคน (นี่แค่สายรหัสพวกผมนะเนี่ย) ผมเองจำได้แค่พี่รหัสผมคนเดียวครับ คนอื่นผมไม่รู้จักเลย ทำไงได้ ก็ผมมันพวกสังคมแคบนี่นา...
“เอ้าเฮ้ยพวกมึง เขยิบที่ให้น้องมันนั่งหน่อย” พี่ปีสี่ที่ดูเหมือนว่าจะชื่อย้งและเป็นปู่รหัสของกิก็เริ่มเคลียร์ที่ให้พวกผมนั่ง  โดยรุ่นพี่เขาจับแยกพวกผมให้นางแยกกัน เพราะต้องการให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องสนิทกันไวๆน่ะครับ ผมมองหน้าพี่รหัสผมแล้วก็มองเพื่อนๆสลับกัน ดูท่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้หายใจเป็นแน่แท้...
ทำไมน่ะเหรอครับ...
ก็เพราะผมต้องนั่งติดพี่รหัสผมน่ะสิ...
ผมยังไม่ได้บอกคุณใช่มั้ยครับ... ว่าพี่รหัสผมน่ะ...คือพี่พีร์...
ที่ได้ชื่อว่าเป็นคอทองแดงที่สุดของปีสอง...


“อ้าวเฮ้ยเอม! กินอีกดิวะ แม่ง พี่อุตส่าห์ชงให้นะเนี่ย” แก้วเหล้าสีอำพันเข้มปี๋ถูกเติมจนเต็มแล้ววางลงตรงหน้าผม นี่ขนาดว่าผมพยายามถ่วงเวลาโดยการจิบทีละนิดๆแล้ว แต่ไอ้พี่พีร์มันก็ยังอุตสาหะเติมเหล้าให้ผมโดยไม่ปล่อยให้แก้วพร่องไปแม้แต่น้อย
“พี่พีร์ เอมมันไม่กินเหล้าครับ แล้วพี่เล่นชงเสียเข้มขนาดนั้นมันก็เมาตายพอดี” อั๋นเป็นผู้ช่วยชีวิตผมได้อีกครั้ง
“อ้าว จริงเหรอวะ กูก็ว่าทำไมมันกินน้อยจัง แล้วก็ไม่บอกกูนะไอ้จิ๋ว” พี่พีร์ทำหน้าถึงบางอ้อแล้วมาขยี้หัวผม เอ่อ... นี่ผมเปลี่ยนชื่อเป็นไอ้จิ๋วตั้งแต่เมื่อไร?
แต่พออั๋นบอกพี่พีร์เท่านั้นแหละครับ แก้วเหล้าก็ถูกเก็บไปแล้วกลายเป็นบาร์คาดี้หนึ่งขวดมาวางแทน
“เอ้า มึงกินนี่แทน ไม่เมา เด็กๆ” ผมมองตามขวดที่พี่พีร์เอามาวางให้แล้วก็รู้สึกซึ้งใจในความอาทรของพี่รหัส แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ พี่(มึง)เอาน้ำเปล่ามาให้ผม(กู)กินได้มั้ยคร้าบบบบ แต่ว่าแหม...ไอ้บาร์คาดี้นี่มันก็อร่อยดีแฮะ เปรี้ยวๆหวานๆ

************************************************

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงนิดๆ...

“เฮ้ย พวกมึงอะ เป็นเพื่อนไอ้เอมใช่มั้ย มึงมาพาเพื่อนมึงกลับไปนอนเลยนะ แม่ง ร้องไห้ใหญ่แล้วเนี่ย” เสียงตะโกนจากรุ่นพี่อีกฟากโต๊ะทำให้สามหนุ่มปีหนึ่งต้องหันไปสนใจเพื่อนตัวเอง ร่างบอบบางที่นั่งร้องไห้ซิกๆกำลังเอนพิงอกของพี่รหัสตัวเองอยู่
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะชะเอม เฮ้ย พวกมึงมาพาเพื่อนไปดิวะ กูทำไรไม่ถูกแล้วเนี่ย แม่งร้องใหญ่เลย” พีร์เริ่มโวยวายไปทั่ว เพราะไม่คิดว่าน้องรหัสตัวเองจะเมาแล้วร้องไห้ขนาดนี้ จากตอนแรกที่มันยังยิ้มเฮฮา เผลอแป๊บเดียวตาโตๆนั่นก็มีน้ำตาไหลพรากเสียแล้ว
“อ้าวเวร เอาไงดีวะ” กิหันไปขอความเห็นจากอั๋นที่ส่ายหัวแบบอึ้งๆ
“จะยังไงก็ต้องพาเอมกลับห้องก่อนละ ไม่งั้นไม่ดีแน่ๆ” เพราะว่าคนที่กำลังร้องไห้นั้นไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ถึงน้ำตาจะไหลพรากไม่หยุด แต่ก็เป็นร้องไห้แบบเงียบๆ ชะเอมแค่เพียงนั่งนิ่งๆ แล้วน้ำตาก็ไหล ใบหน้าหวานใสยังไม่ได้บิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย

เรียกว่ายิ่งมองก็ยิ่งน่าทนุถนอม...

ดูได้จากไอ้พี่พีร์จอมมอมเหล้า ที่ถึงปากจะโวยวาย แต่แขนก็ยังคงโอบกอดและปลอบไม่ยอมหยุด...

“เดี๋ยวผมจัดการเอง”

คนที่เข้ามาดึงแขนเอมให้ลุกเรียกความสนใจจากคนอื่นได้มากโข ใบหน้านิ่ง เสียงนิ่ง ท่าทางที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทำให้พี่พีร์ในฐานะพี่รหัสที่ดี(เหรอ?)รู้สึกไม่ไว้วางใจเป็นธรรมดา
“พี่พีร์ครับ ไอ้ตองมันเป็นรูมเมทเอม ให้มันจัดการเถอะครับ” อั๋นช่วยพูดเมื่อเห็นพี่พีร์เริ่มชักสีหน้า
“เออ มึงให้น้องมันจัดการไปสิวะไอ้พีร์ มันเป็นรูมเมทกันเดี๋ยวก็ดูแลกันเองแหละ” พี่ย้งที่เป็นลุงรหัสของอั๋นสนับสนุน
“เออ” พี่พีร์พูดสั้นๆแล้วปล่อยให้ตองพยุงเอมลุกจากโต๊ะ สีหน้าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“พวกมึงกินกันต่อไปเหอะ เดี๋ยวกูพาเอมกลับแท็กซี่เอง” บอกแค่นั้นแล้วก็พยุงเอมออกมา

เจ้าของใบหน้านิ่งรู้สึกสงสัยเหลือเกิน ว่าอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนร้องไห้ในเวลาที่สติหลุดได้มากขนาดนี้ แถมยังเป็นการร้องไห้นิ่งๆไม่มีการฟูมฟายเสียด้วย
“เอม เสียใจเรื่องอะไร?” เมื่อพากลับห้องมาได้สำเร็จและจัดแจงให้ร่างเล็กนั่งพิงหมอนแล้วก็ลองถามดู ใบหน้าหวานส่ายหัวช้าๆแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
“แล้วทำไมน้ำตาถึงไหล”
“....คิดถึง...” เสียงเศร้าแผ่วเบาค่อยเล็ดลอดออกมาจากปาก สายตาที่เหม่อลอยไปไกลแสนไกลทำให้คนตรงหน้ารู้สึกหงุดหงิดในหัวใจยิ่งนัก...
“คิดถึงคนที่ไม่เคยมาหาเลยน่ะเหรอ...” ใช่แล้ว เขารู้เรื่อง เพราะว่าได้เคยแอบดูพัสดุที่เอมเก็บไว้ในกล่องใต้เตียง รุปถ่ายและกระดาษโน้ตไม่กี่แผ่น แม้แต่ใบหน้าก้ไม่ได้เห็น ความสัมพันธ์พิลึก...
“...” ใบหน้าหวานยังคงเงียบและไม่พูดอะไร ไหนที่คนเขาบอกว่าคนเงียบๆเวลาเมาจะรั่วคงเอามาใช้กับเอมไม่ได้ เพราะเวลาปกติที่พูดน้อยอยู่แล้ว พอเมาก็ยิ่งพูดน้อยกว่าเดิม..
“เอม..” อดใจไม่ไหว เห็นน้ำตาใสๆนั่นแล้วก็อยากกอด พอรู้ตัวอีกทีเขาก็โอบร่างบางนั่นไว้แน่น กลิ่นหอมๆจากผิวเอมทำให้รู้สึกอยากทำมากกว่ากอด กลิ่นหอมที่เคยรู้สึกได้เวลาเอมเดินผ่าน กลิ่นหอมที่ติดอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ของเอม...
“อื้อ...” น้ำเสียงหงุดหงิดและแรงดันจากฝ่ามือเล็กทำให้ตองมีสติกลับมา ชะเอมดันตองให้ถอยออกไปห่างและเอนตัวลงนอนบนที่นอน เมื่อสติของตองกลับมาก็ทำให้คิดได้ว่าเมื่อกี้เกือบจะทำพลาดครั้งใหญ่... นอกจากจะไม่ได้หัวใจแล้ว อาจจะเสียความเป็นเพื่อนไปอีกก็ได้..

************************************************

“อืม...” อาการปวดหัวหนึบปลุกให้ผมตื่นจากฝัน ฝันแปลกๆว่าตัวเองร้องไห้ไม่หยุดแต่ไม่มีเสียงสะอื้น แถมยังถูกอะไรหนักๆมากดทับไว้จนหายใจไม่ออก พอตื่นมาก็ปวดหัวแบบเฮฟวี่แถมยังรู้สึกรุมๆอย่างกับจะมีไข้
กึก กัก
ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงของผมแล้วควานหาปรอทวัดไข้มาอมไว้ใต้ลิ้น ระหว่างนั่งรอวัดไข้ผมกก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จำได้ว่าไปงานเลี้ยงสายรหัส แล้วพี่พีร์เอาบาร์คาดี้ให้ ผมกินไปได้ไม่นานก็เริ่มมึนๆ

ผมเมา?

ติ๊ด ติ๊ด
เสียงปรอทร้องเตือนว่าวัดเสร็จแล้ว ผมจึงหยิบมาดู
‘อา...38 องศา ไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ...’ ผมวางปรอทไว้บนโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบ สายตามองไปรอบห้องก็เห็นว่ารูมเมทผมยังหลับอยู่ รู้สึกคิดถึงไอ้มิ้นจังเลยเวลาแบบนี้ สรุปว่าตอนนี้ผมต้องดูแลตัวเองใช่มั้ย... เศร้าจังวะ..

ผมนอนพลิกไปพลิกมาแล้วก็หลับไปอีกรอบ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีอะไรเย็นๆมาแปะที่หน้าผาก

“...”
“เอมมีไข้” ใบหน้าของตองที่อยู่ตรงหน้าผมบอกสั้นๆ ผมยิ้มให้เขา ความรู้สึกสบายใจแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้ง... 
“อย่าลืมติวเลขให้เราด้วยนะตอง” และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดออก


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-11-2011 13:54:31
เมื่อไหร่พี่จินจะกลับมาน๊อออ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 29-11-2011 14:14:31
จินกลับมาเร็วๆ เถอะ 
สงสารคู่ปากหนักนี้จริงๆ ใจตรงกันมาเป็นปีแต่ไม่ยอมคุย ไม่เจอหน้ากันซะที

กลัวใจตองแฮะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 29-11-2011 14:51:51
จินเจอร์กลับมาซักที
น้องเอมคิดถึงจะแย่แล้ว :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 29-11-2011 16:56:13
เมื่อไหร่พี่จินจะกับมาเนี้ยยยย

อย่าปล่อยให้น้องเอมคิดถึงมากขนาดนี้สิคะ รีบๆ กับมานะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 29-11-2011 17:53:14
ตอนแรกนึกว่าเปปเป็นพระเอกซะแล้ว
แต่ก็เชียร์จินนะ ไม่ชอบพระเอกแสนดี เพราะรู้ว่าคนเรามันมีข้อพกพร่อง
กันบ้าง สำหรับเปป ที่ทำแบบนั้นกับเอม ถ้าเป็นพี่เนี้ย คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน
อาจจะตบสักทีให้สะใจแล้วลืมมันไป ผู้ชายแบบนี้หาง่ายๆ ในท้องตลาด
แล้วก็นึกถึงเพลงโดม ที่บอกว่า หากเธอไม่ทิ้งฉันคงไม่เจอคนที่ดีกว่า(ประมาณนี้)
เพราะพี่จินสุดยอดแห่งความโรแมนติก ไม่คิดว่าคนที่มุทะลุปานนั้นจะโรแมนติกขนาดนี้
ระยะเวลา3 ปีที่ติดต่อกันทางจดหมาย เมลล์อะไรก็ไม่ใช้ สมัยนี้มีเครื่องมือทันสมัยมากมาย
กลับไม่ใช้ แต่มันก็คุ้มค่านะที่จะรักษาความรักให้มั่นคงเพราะคนเราสมัยนี้ไม่นึกถึงคุณค่าทางจิตใจ
ถ้าจะให้ดีพี่จินควรส่ง macbook มาให้น้องเอมด้วยนะคร้า มันจำเป็นต่อการเรียนเน้อ เดี๋ยวน้องจะต้องไป
ใช้คอมที่มหาลัยนะจ๊ะ (แอบเห็นเพื่อนร่วมห้องเหมือนจะรู้สึกพิเศษกับน้องแอมน่ะนั่น)

เพลงที่อีตาจินร้องส่งมาให้น้องเอมก็ตั้งแต่สมัยพี่ยังสาวเลยนะนั่นเด็กรุ่นนี้จะรู้จักไหมเอ่ย

สุดท้ายมาส่วนแสดงความคิดเห็นในงานเขียนบ้างนะ ติเพื่อก่อ อย่าโกรธกันเน้อ
เฉพาะในส่วนของจิน พี่ว่าตัวละครยังมีรายละเอียดน้อยไปนิด ในช่วงแรก
เพราะสายตาของเอมที่มองจินมันใส่ความรู้สึกไปทางอิพี่เปปซะหมด จนหลายคนไขว้เขว(น้องอาจจะเจตนา)
เลยละเลยความรู้สึกฝั่งจินไป พอมาในตอนพิเศษถึงแสดงให้เห็นว่าจินมีลักษณะนิสัยแบบไหน


สุดท้าย ชอบจินอ่ะ โรแมนติกดีแท้ทนห่างกันคนละประเทศได้ไงเนี้ย คงไม่ได้มีข้อเสนออะไรดีๆ จากที่บ้านหรอกนะ


คคห.นี้เรียกได้ว่าช่วยตีแผ่ลักษณะนิสัยของพี่จินได้อย่างดีเลยค่ะ
ที่บีเขียนให้พี่จินมีบทน้อย ก็เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาของฮีส่วนนึงค่ะ
และอีกอย่างต้องการจะแสดงนิสัยอาร์ทๆของทั้งพี่จินและหนูเอมออกมาให้ชัดมากที่สุด
การที่ติดต่อมาแค่พอให้จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงกันและกันนะคะ
แต่เพราะรู้ว่าคิดถึงต่างหาก จึงเลือกที่จะเว้นช่องว่างเอาไว้บ้าง
เพราะว่าด้วยนิสัยของมนุษย์นั้นเวลาได้มาแล้วมักจะโลภมาก อยากได้อีก
ในกรณีของพี่จินและเอม ถ้าหากว่าได้คุยกัน ได้เห็นหน้ากัน สักวันก็คงลามไปจนถึงอยากจะพบกันทั้งๆที่อะไรต่อมิอะไรไม่อำนวยค่ะ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆแบบนี้นะคะ  :กอด1:





หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 29-11-2011 17:54:21
หนูเอมคงเก็บกดมานาน พอเมาได้ระดับหนึ่ง เลยหลุดเลย แต่ก็แบบสวยๆน่ารักนะ
ตองแอบมีใจให้เอม แต่ก็รู้ถึงความเป็นไปไม่ได้ นี่ก็น่าสงสารล่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: pronpailin ที่ 29-11-2011 19:17:15
หืออออ พี่จี กลับมาเร็วๆเลย รู้ไหมว่าน้องเอม อ่ะ จาโดน เมท  :oo1: แล้วนร้า
แต่แอ๊ะ เว๊บๆ พี่ พีร์ อะไรนี่ ชักจะยังไง ยังไงและนร้า เหอะๆๆๆ
รีบๆ กลับมาต่อไวไวนะค่ะ สนุกมว๊าก เลย
+1 คนแต่ง
+1 เป็ด จร้า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 29-11-2011 19:20:03
อ๊ายย จะเกิดศึกชิงนายไม๊ แบบตบจูบ ตบจูบ ฉุดกระชากลากถู

แต่ใครก็ได้ ช่วยฉุดเอมจากวังวนความเศร้านี้ทีเหอะ  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 29-11-2011 19:51:27
สงสารเอม ขนาดเมายังร้องไห้คิดถึงพี่จิน
กลิ่นมาม่าเริ่มโชย หวังว่าพี่พีร์จะไม่ได้ชอบน้องเองนะ
เเค่ตองคนเดียว ก็หนักใจแทนพี่จินจะแย่อยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 29-11-2011 20:03:26
ู@pizza2011
คิดว่าต้องเซ็งจินว่าเมื่อไรจะมาปรากฎเป็นตัวเห็นมากกว่านา
ไม่ใช่ว่ากลับมามีหิ้วแหม่มสาวจากเมืองนอกมาให้เอมช้ำใจเล่น เหอๆ  :really2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 29-11-2011 20:40:05
เมื่อไรพี่จินเจอร์จะกลับมาหาเอมสักทีนะ

รักกันห่างไกลแบบนี้  ทั้งความเหงาและความคิดถึงมันยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งมีบางสิ่งมาสะกิดมันก็อดจะที่จะปล่อยน้ำตามาแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ใครบางคน

กลับมาเถอะจินเจอร์กลับมาดูแลดวงใจที่ชื่อเอมสักที   

การรอคอยที่แสนทรมาณ  ความเหงาที่ยาวนาน  ความคิดถึงที่จับต้องไม่ได้   :sad11:    :sad11:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 30-11-2011 00:13:05
ได้แต่หวังว่ากว่าพี่จินจะกลับมา หนูตองคงจะตัดใจได้บ้างนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 30-11-2011 16:22:44
 :กอด1:ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อ่านนรวดเดียวว
อยากให้เป็นจินตั้งแต่แรกๆที่เจอเลย(ก๊ากกกก)
ตอนนี้อยากให้จินกลับมาเร็วๆจังเลย  สงสารตองก็สงสาร แต่สงสารเอมมากกว่า
อยากรู้ว่าเอมกับจินเริ่มคุยกันทางจดหมายได้ยังไง (ยังไงก็บอกทีนะคะคนอ่าน)
ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ มากจริงๆๆๆ
ปลื้ม :n1:

มาต่อเร็วๆนะจ่ะ    :bye2: o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 01-12-2011 15:34:49
เรื่องนี้น่ารักจัง:)
หัวข้อ: Love Sick [-11-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-12-2011 17:27:28
Love Sick

- 11 -

หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านพ้นจากการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแห่งการรับจ๊อบแล้วครับ เป็นธรรมดาของเด็กมหา’ลัยที่มักจะชอบหางานทำตอนปิดเทอมใช่มั้ยละ ผมถามพวกเพื่อนๆดูแล้ว กิบอกว่าจะไปช่วยงานแม่ที่ร้านจิวเวลรี่ อั๋นเองก็จะไปกับกิ ส่วนตองไม่ได้ทำอะไร ก็คงอยู่หอไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็อาจจะไปนั่งวาดรูปเล่นตามสวนบ้าง

ตัวผมเองก็รับจ๊อบพิเศษช่วงปิดเทอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ปิดเทอมคราวนี้ผมได้รับการอนุเคราะห์จากพี่พีร์(จำพี่รหัสผมได้มั้ย?) ให้ไปช่วยวาดรูปตกแต่งผนังให้กับบริษัทรับตกแต่งภายในที่กำลังจะเปิดใหม่ และเจ้าของบริษัทนั้นก็คือพี่พิงค์ พี่ชายพี่พีร์นั่นเองครับ

ตอนแรกผมก็ถามพี่พีร์ว่างานแบบนี้ให้คนที่มีประสบการณ์ทำดีกว่าไหม? แต่พี่พีร์ก็บอกว่าไม่จำเป็น เพราะพี่ชายแกอยากได้อะไรที่ไม่ต้องเป๊ะ อยากให้มันอาร์ตๆ แถมจ้างนักศึกษาแบบผมยังมีค่าแรงถูกกว่าพวกมืออาชีพอีก - -“

แต่ถึงพี่พีร์จะบอกว่าค่าแรงผมถูกกว่ามืออาชีพ เอาเข้าจริงค่าตอบแทนที่ผมจะได้รับก็ดีกว่าไปทำงานพาร์ตไทม์ในฟาสต์ฟู้ดมากโข อา...ทีนี้ผมจะได้มีเงินมาซื้อขาตั้งเฟรมอันใหม่สักที...

“มึงคิดว่าช่วงปิดเทอมเนี่ยจะทำเสร็จมั้ย?” พี่พีร์ถามผมอีกครั้งเพื่อความชัวร์ เพราะว่าบริษัทของพี่ชายพี่พีร์จะเปิดอย่างเป็นทางการคือหลังจากที่ผมเปิดเทอมแล้ว และหน้าที่ของผมก็คือการออกแบบและลงมือละเลงตามกำแพงภายในบริษัทให้หนำใจ (พี่พีร์ก็จะช่วยด้วยครับ ไม่ใช่ผมทำคนเดียวหรอก) ผมลองกะคร่าวๆจากสมัยที่เคยวาดผนังพิธีจบการศึกษามาแล้ว อันนั้นแค่สัปดาห์เดียวก็เสร็จ ถ้าเป็นที่นี่ก็คงไม่นานนัก

ผมรับปากพี่พีร์แล้วก็ตกลงกันเสร็จสรรพว่าจะไปลงมือกันพรุ่งนี้เลย


********************************************************


“พี่พิงค์ นี่ไอ้เอม น้องรหัสกู เอ๊ย ผม” เพราะมือใหญ่ๆของพี่ชายตัวเองที่เงื้อจะฟาดหัวทำให้พี่พีร์ต้องเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองโดยด่วน พี่พิงค์เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ผิวสีน้ำผึ้ง แลดูดุไม่เข้ากับชื่อหวานแหวว ทำเอาผมชักหวั่นๆแล้วสิ...

“มึงนี่พูดให้มันเพราะๆเหมือนคนไม่ได้เลยนะ ต้องพูดจาหมาๆตลอด” เสียงก็ห้าวครับ ผมฟังแล้วก็เผลอขยับไปแอบหลังพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“พี่พิงค์อย่าดูดิวะ เอมมันกลัวแล้วเนี่ย” พี่พีร์พูดเสียงหงุดหงิดแล้วหันมาดึงแขนผมให้ออกมายืนข้างๆ แล้วแนะนำผมกับพี่พิงค์หน้ายักษ์
“นี่พี่พิงค์ พี่ชายกูเอง” ผมยกมือไหว้พี่พิงค์ สายตาพี่พิงค์มองผมอย่างสำรวจ
“ตัวแค่เนี้ยนะไอ้พีร์ จะไหวเหรอวะ” บ๊ะ! นี่ผมโดนดูถูกใช่มั้ยเนี่ย
“โหพี่ ไอ้เนี่ยดีกรีเด็กทุนเลยนะ ฝืมือยังงี้” ผมเห็นพี่พีร์ยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบคำพูด เอ่อ..เขินนิดๆแฮะ พี่พีร์มันชมผมแหละ
“เออดี งั้นวันนี้พวกมึงลองออกแบบคร่าวๆก่อนว่าจะละเลงผนังออฟฟิศกูยังไง แล้วเอามาให้กูดู ถ้ามันโอเคก็ลงมือทำวันนี้เลย”
 
แล้วพี่พิงค์ก็พาผมและพี่พีร์ไปดูบริเวณที่จะให้วาด เป็นโซนของล็อบบี้ด้านหน้าครับ และก็ตามทางเดินแต่ละจุดๆ กำแพงก็ทาสีพื้นไว้เป็นสีขาวเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาผมก็ละเลงได้เลยไม่ต้องมาทาสีรองพื้นอีกรอบ

“ลูกค้าของพี่ส่วนมากจะเจาะตลาดไปที่คนวัยทำงาน พี่ก็เลยอยากได้อะไรที่มันโมเดิร์นหน่อยนะ เรียบง่ายแต่ว่าดูดีน่ะ”
“ขอบเขตกว้างขนาดนี้ทำเองเถอะมึง” ประโยคแรกคือพี่พิงค์พูดกับผม ส่วนประโยคเหน็บแนมอันหลังคือพี่พีร์กระซิบให้ผมได้ยินอ่ะครับ พี่น้องคู่นี้ปากหมากันทั้งคู่จริงๆครับ

ผมกับพี่พีร์ใช้เวลาตลอดช่วงเช้าถกเถียงกันเรื่องออกแบบอย่างเมามัน พี่พีร์มันจะเอาโทนสีแบบที่ฉูดฉาด แนวๆแดง ดำ แต่ผมน่ะอยากได้สีโทนพื้นๆ ขาว น้ำตาล เบจอะไรประมาณนี้ จนใกล้เที่ยงก็ยังไม่ลงตัว พี่พิงค์จึงเป็นฝ่ายเข้ามาตัดสินพร้อมลูกน้องอีกหลายคนช่วยกันเลือก
“พี่ชอบแบบของเอมว่ะ” พี่พิงค์บอกหลังจากดูของผม
“แต่ผมชอบแบบพีร์นะพี่” อันนี้ลูกน้องพี่พิงค์พูดครับ ดูเหมือนว่าแบบของผมกับของพี่พีร์จะมีคนชอบเท่าๆกัน สุดท้ายก็เลยดูความเหมาะสมของจุดที่จะวาดมาประกอบการเลือกครับ พี่พิงค์บอกว่าล็อบบี้ด้านหน้ามันจะเป็นที่รับแขก ลูกค้าจะเดินฝ่าอากาศร้อนๆเข้ามาทางหน้าล็อบบี้ เพราะว่าที่จอดรถแถวนี้แดดแรงจัด ต้นไม้ไม่ค่อยมี พี่พิงค์จึงอยากให้ล็อบบี้ด้านหน้าใช้การออกแบบโทนเย็นของผม และของพี่พีร์นั้นจะเอาไปใช้ภายในออฟฟิศเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้องกระฉับกระเฉงในการทำงาน
“เอาตามนี้แล้วกัน พวกแกโอเคนะ” ผมและพี่พีร์พยักหน้า เป็นการสรุปผลที่แยบยลมากครับพี่พิงค์

ผมชอบบริษัทของพี่พิงค์มากเลยครับ ที่นี่เป็นกันเองและอบอุ่น บรรยากาศในการทำงานก็โคตรเจ๋ง มีการเปิดเพลงผ่านลำโพงที่ฝังไว้ตามจุดต่างๆด้วยนะครับ

ผมนั่งฮัมเพลงระหว่างที่เริ่มกะขนาดพื้นที่เป็นตาราง เพลงเร็วกับเพลงช้าเล่นสลับกันไปชวนให้เพลิดเพลิน ส่วนมากจะเป็นเพลงสากลครับ แถมบางเพลงผมก็ไม่เคยฟังมาก่อนเลย

เพลงที่ผมกำลังฮัมจบลงไปแล้ว เพลงใหม่ค่อยๆดังขึ้นมา มีเสียงเปียโนช่วงอินโทรไม่นานนักเสียงร้องก็ขึ้นต้นเพลง เสียงที่ผมรู้สึกคุ้น... แค่เพียงพยางค์แรกที่ได้ยิน... เสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่เคยฟังมาก่อน

Come and see me
Sing me to sleep
Come and free me
Or hold me if I need to weep
Or maybe it's not the season
Or maybe it's not the year
Or maybe there's no good reason
Why I’m locked up inside
Just cause they wanna hide me
The moon goes bright
The darker they make my night

ผมฟังจนจบท่อนนี้ก็เป็นเสียงผู้หญิงร้องขึ้นท่อนต่อไป เสียงหวานแหลมและแหบน้อยๆในคราเดียวกัน ยามที่เสียงร้องทั้งสองคนดังพร้อมกันผมรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งวูบขึ้นมาในใจ มันรู้สึกอย่างไรนะ...จี๊ดๆงั้นเหรอ?


เหมือนว่าผมจะหึง...

ผมกำลังหึงเสียงผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นใครกับเสียงผู้ชายที่เหมือนพี่จิน...
ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมลืมสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง สิ่งที่คนทั่วไปเขาจะต้องคิดได้เมื่อต้องห่างไกลจากคนรัก 

Unplayed pianos
Are often by a window
In a room where nobody loved goes
She sits alone with her silent song
Somebody bring her home

เสียงร้องของนักร้องผู้หญิงยังคงดังก้องจนมือผมสั่น เพลงเพราะเหลือเกิน เสียงของหล่อนก็เพราะเหลือเกิน...
มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้...เรื่องของผู้ชายคนที่จากผมไปเพื่อไปหาคนที่เขารักมากกว่า 
ถ้าหากผมต้องเจอแบบนั้นอีกครั้งผมคงรับไม่ไหว...

‘...’

ผมสูดหายใจลึกๆ เสียงร้องแค่คล้าย จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ใจผมมันหวั่นไหวเกินไป บางทีมันคงจะเกิดจากการที่ต้องรอนานเกินไป ผมอาจจะไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่ผมก็รู้อยู่ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน ในความเป็นจริงผมคิดถึงพี่จนทนไม่ไหวด้วยซ้ำ ผมอยากจะไปหา อยากจะไปยืนตรงหน้าและจับมือของพี่จินไว้... แต่ผมก็ไม่มีปัญญาที่จะทำอย่างนั้น เด็กกำพร้าปากกัดตีนถีบอย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเครื่องบินละ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่รอเท่านั้นเอง...

ผมพยายามนึกถึงใบหน้าพี่จินที่อยู่ในความทรงจำ ถึงจะเหมือน ถึงเขาจะเป็นฝาแฝดกัน ก็ไมได้แปลว่าจะต้องมีนิสัยเลวๆเหมือนกัน..

สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือเชื่อใจ... ผมเชื่อใจ เชื่อใจพี่จินที่สุด...


********************************************************


“เฮ้ย ไอ้น้องรหัสมึงนี่เวลาทำงานเป็นคนละคนจริงๆว่ะ” เสียงห้าวทุ้มของคนตัวโตยืนออกความเห็นกับน้องชายอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ชะเอมกำลังทำงานเท่าไรนัก สายตาคมๆในตอนแรกเปลี่ยนเป็นประหลาดใจไม่แพ้กับคนเป็นน้อง
“นั่นดิ ปกติเวลากูเห็นมันที่มหา’ลัยนะพี่ มันจะเรียบร้อยโคตรอะ หงิมๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะดูขึงขังจริงจังได้ขนาดนี้” ภาพของร่างเล็กบางที่กำลังวาดลวดลายบนกำแพงด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าอยู่เพียงคนเดียวบนโลกนี้

จากความสดใสและบอบบาง กลายเป็นนิ่งเงียบและดำมืดเหมือนผิวน้ำยามค่ำคืน มือเล็กคู่นั้นทำงานโดยไม่หยุดพัก จากผนังสีขาวเริ่มเต็มไปด้วยลวดลายมากมาย

“เหมือนมันไม่พักหายใจเลยว่ะพีร์” คนเป็นพี่ชายออกความเห็นอีกครั้ง
“นั่นดิ.. กูว่าไปลากมันมากินข้าวก่อนดีมะพี่พิงค์”
“เออ ดีๆ เดี๋ยวมันหมดแรงตายซะก่อน ตัวก็แค่นั้นด้วย”

‘ตัวก็แค่นั้น’ ในสายตาของพีร์ แต่ทำไมจึงดูเหมือนคนที่แบกโลกเอาไว้ทั้งใบ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นก็ถูกชะตา คงเพราะว่าความที่อยากได้น้องชายมาแต่เด็ก (เพราะมีพี่ชายถึกควาย ก็เลยอยากมีน้องละมั้ง) พอเห็นเจ้าตัวเล็ก ตาเศร้า ท่าทางบอบบางก็อยากจะดูแล...

ในความรู้สึกของพีร์ก็คงอยากจะพูดประมาณว่า ‘จริงนะครับกูสาบาน กูไม่ได้คิดเกินเลยสักนิด กูเห็นมันเป็นน้องกูจริงๆนะ...

และที่แน่ๆกูต้องสนิทกับมันให้มากกว่านี้ให้ได้ กูอยากจะรู้เรื่องของมันเยอะๆนี่ครับ...’

“เอม ไปกินข้าวกัน กู เอ๊ย พี่หิวแล้วว่ะ” พอตัดสินใจได้ว่าอยากจะเป็นพี่ชายกับเขาบ้างก็เลยลองเปลี่ยนสรรพนาม หวังว่าไอ้จิ๋วมันคงไม่สังเกตนะว่ากูพูดเพราะขึ้น...

********************************************************

ในตอนนั้นสิ่งแรกที่ผมคิดหลังจากพี่พีร์มาชวนไปกินข้าวก็คือ

‘ทำไมพี่พีร์มันพูดเพราะจัง สงสัยหิวจัดจนหน้ามืดตาลาย’

......
...
.
.
.

“แล้วพี่พิงค์ไม่มากินเหรอครับ”
“ไม่อะ มันก็กินกับพวกลูกน้องมันแหละ” พี่พีร์ตักข้าวใส่ปากเสียจนผมเห็นแล้วอิ่มแทนเลยครับ
“พี่พีร์ ผมถามหน่อยสิ พี่ไม่มีแฟนเหรอ?” ผมเขี่ยข้าวในจานเล่น ปากคุยกับพี่พีร์ แต่ใจลอยนึกไปถึงคนอีกคน...
“ไม่อะ อย่างมากก็แค่คุยๆ ถามทำไมวะ”
“เปล่าหรอก ผมก็แค่สงสัยว่าปกติเนี่ย คนคบกันเขาก็ต้องอยากเห็นหน้ากัน ใช้เวลาด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาใช่มั้ย”
“มึงนี่พูดอย่างกับกำลังน้อยใจแฟน นี่ มึงโดนสาวเมินมาใช่มั้ย” เอ่อ...ผมก็ยิ้มอะครับ ไม่บอกแกหรอกว่าไม่ใช่สาวที่เมินผม แต่เป็น ‘หนุ่ม’ ต่างหาก
“เมินอะไรพี่ ผมยังไม่มีแฟน”
“ก็เห็นทำหน้าหมาหงอย กูก็นึกว่าคิดถึงแฟน อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมวะ” เฮ้ย จริงดิ ผมหน้าแดงเลยเหรอ ไม่นะ ผมไม่ใช่แฟนไอ้พี่จินสักหน่อย!
“ก็...ก็... พี่มาพูดทำไมอะเรื่องแฟนเฟิน ผมไม่มีหรอก จนจะตายใครเขาจะชอบ!”
“บ้าแล้ว ถ้าเป็นกูจะคบใครนะ กูไม่สนเรื่องอื่นหรอก จะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอื่นไปทำไมวะ” โอ๊ะ พี่พีร์พูดจาเข้าท่าอะครับ อืม...จะว่าไปนะ ผมก็อยากจะระบายเรื่องในใจผมให้เขาฟังเหมือนกัน พี่พีร์ดูเป็นคนที่... เหมือนพี่ชายน่ะ พออยู่ใกล้แล้วมันก็สบายใจ ผมลองมองพี่พีร์ที่ยังคงกินข้าวต่อ คิดวนไปเวียนมาว่าจะเล่าให้พี่พีร์ฟังดีมั้ย?
“.พี่พีร์..”
“หืม?”
“ผมน่ะ เคยอกหักแหละ”
“...” พี่พีร์เงยหน้ามามองผมนิดหนึ่งแล้วก็กินต่อ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่พีร์กำลังตั้งใจฟัง
“มันเจ็บมากเลยนะพี่...ตอนนั้นน่ะ...” ผมเขี่ยต้นหอมออกจากผัดกะเพรา ว่าแต่ผัดกะเพราที่ไหนใส่ต้นหอมวะ!
“แต่แล้วมันก็ดีขึ้น ผมไม่ค่อยนึกถึงเรื่องนั้นแล้วละ เพราะมันมีคนที่ทำให้ผมคิดถึงมากกว่า” ผมเงยหน้าขึ้น เห็นพี่พีร์มองผมอย่างตั้งใจ ความรู้สึกประหลาดแผ่ซ่านขึ้นมาในอก

อบอุ่น...

“ผมกับคนๆนี้อยู่ห่างกันมากครับ เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่เค้าก็ยังติดต่อมาเสมอ” ผมยิ้ม และก็เห็นว่าสายตาของพี่พีร์ก็ยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเท่าไรแล้วละ”
“... จะสองปีแล้วครับ ที่ผมเห็นแต่รูปถ่าย กับโน้ตใบเล็กๆที่เค้ามักจะแนบมาให้เวลาส่งรูปถ่ายมาให้ผม”
“ไม่โทรคุยกันเลยเหรอ?” ผมส่ายหัว
“แล้วแชทละ?” ผมส่ายหัวอีก
“เฮ้ย! พวกมึงจะอาร์ตไปไหนวะ ไม่คิดถึงหรือไง”
“คิดสิครับ แต่เพราะผมคิดว่ายังไงสักวันเค้าก็ต้องกลับมา และผมก็เชื่อ... เชื่อใจเค้าที่สุด...”
“...เออ... ก็แล้วแต่มึงเถอะนะ ต่างคนต่างใจ แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจการกระทำของมึงจริงๆว่ะ” พี่พีร์พูดแล้วก็เกาหัว ขนาดผมเองยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลยครับพี่
“ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยนะครับ”
“ไอ้กิก็ไม่รู้เหรอ?”
“ครับ”
“รูมเมทมึงก็ไม่รู้” ผมส่ายหัวอีก
“แล้วเล่าให้กูฟังทำไม?”
“ผมคุยกับพี่แล้วรู้สึกสบายใจ” พอได้ยินผมบอกแบบนี้ พี่พีร์ก็นิ่งไม่พูดเลยครับ ผมพูดอะไรผิดไปเปล่าเนี่ย > <
“ก็กูเป็นพี่มึงนี่” มือใหญ่ข้ามโต๊ะมาขยี้หัวผมจนหัวกระเซิง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะน่ารำคาญหรือไม่ชอบเลยนะเนี่ย แต่ถ้าพี่พีร์รู้ว่าคนที่ผมพูดถึงไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย พี่พีร์จะว่ายังไงน้อ...

********************************************************




** มีคนถามว่าพี่จินกับเอมติดต่อกันได้ยังไง?
อ้างอิงจากตอนที่แปดค่ะ คือครั้งแรกที่พี่จินส่งรูปมาให้เอม

และเรื่องสำคัญ หลังจากพวกรุ่นพี่จบไปประมาณสี่เดือน ก็มีจดหมายปิดผนึกส่งมาถึงผมฉบับหนึ่ง ซองจดหมายจ่าหน้าถึงผม ผู้ส่งไม่มีชื่อ มีแค่ที่อยู่...  จากที่ไกลแสนไกล... Paris

ข้างในซองเป็นรูปหนึ่งใบ รูปที่ทำให้ผมสับสนจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง รูปที่มีเด็กชายตัวเล็กยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลา ใบหน้าที่เย็นชากับสายตาคมปลาบ แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง นั่นคือบรรยากาศรอบๆในรูปนั้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอบอวลอยู่เต็มรูปภาพ ผมเผลอหยิบรูปมาแนบอก ลมหายใจติดขัด...


และตอนที่ 9 คือตอนที่เอมทำใจกล้าบอกที่อยู่ตัวเองให้กับผู้ชายค่ะ -//-

หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจส่งรูปถ่ายงานจบการศึกษาของผมกลับไปให้พี่จินโดยจ่าหน้าช่องที่อยู่ของผมเป็นที่นี่ ผมจึงได้รับพัสดุกล่องนี้มา มันเป็นการบอกพี่จินอ้อมๆน่ะครับว่าผมย้ายมาอยู่หอในมหาวิทยาลัยแล้วนะ เอ่อ...ผมรู้สึกเขินจัง -//-

 :L2: :L2:

*** อันนี้ลิงค์เพลงที่เอามาใส่ในเรื่องค่ะ โคตรเพราะเลย > <b
http://youtu.be/NgQUBecM7OM (http://youtu.be/NgQUBecM7OM)
เพลงเขาเนื้อหาดีด้วยนะ

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-12-2011 17:30:32
ู@pizza2011
คิดว่าต้องเซ็งจินว่าเมื่อไรจะมาปรากฎเป็นตัวเห็นมากกว่านา
ไม่ใช่ว่ากลับมามีหิ้วแหม่มสาวจากเมืองนอกมาให้เอมช้ำใจเล่น เหอๆ  :really2:


ความคิดดีค่ะ
...
..
.
.
..
.
อะ ล้อเล่นค่ะ 555+


ใจเย็นนะคะ แอบเฉลยว่าตอนหน้าพี่จินก็มาแล้วค่า~~~~~~~~~~


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-10-] 29/11
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 01-12-2011 17:35:46
ว้าววววววววว

อยากให้พี่จินกลับมาไวๆจังเลย

กลัวใจตอง  :serius2:

บวกเป็ด ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 01-12-2011 18:12:49
ดีใจที่พี่พีร์อยากได้เอมเป็นน้องชาย (อย่าให้มากกว่านี้นะ ไม่ไงั้นพี่คงโดน  o18 ) 55+
คิดถึงพี่จินแทนเอม (อีกเเล้ว) กลับมาไหวนะพี่
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: qwank8 ที่ 01-12-2011 18:39:50
ไม่ใช่ว่ามาพร้อมกับหิ้วฝรั่งมาด้วยหรอกนะ
ถ้าเป็นแบบนั้น

...พี่ก็แดกฝรั่ง น้องก็แดกฝรั่ง
ท้องอึดเรอเหม็นเปรี้ยวแน่มึง  :a5:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 01-12-2011 18:48:27
นอกจากตองแล้วก็เริ่มมีพี่พรี หึหึ

จินเอ๊ยคู่แข่งมหาศาล ยังไม่รีบมาอีกเหรอ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-12-2011 20:20:21
อยากให้ถึงตอนหน้าเร็ว ๆ จัง
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-12-2011 20:38:05
เพิ่งมาอ่านครับ

เนื้อเรื่องน่ารักดีครับ  แต่งดีทั้งๆที่มันจะดราม่าแต่ก็ไม่ดราม่า  ดูละมุละไมดี

อ่านตั้งแต่ตอนแรกก็เชียร์พี่จินนะ  แบบว่าชอบผู้ชายแบดๆ  5555

พี่เปปนี่เลวนะ  ไม่ชอบผู้ชายแบบนี้

เอมนี่เนื้อหอม  >< 

ตอนหนน้ารอพี่จิน  พี่จินมาแว้ววววววววววววววววว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-12-2011 21:28:39
ดีใจกับเอมนะ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีพี่พีร์(พี่ชายผู้แสนห้าว)
ที่อยู่เคียงข้างทำให้ความโดดเดี่ยวของเอมหายไปบ้าง
พี่จินน่ะเมื่อไรจะกลับ สงสารเอมจะแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: Petalkiss ที่ 01-12-2011 22:19:20
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน...
อยากบอกว่าชอบมากๆๆๆๆๆๆค่ะ
ชอบคาแรกเตอร์ของพี่จินและชะเอม

ดูตอนแรกพี่จินเหมือนจะโหดร้ายป่าเถื่อน
แต่จริงๆกลับเป็นคนที่อบอุ่น มีมุมดีๆกับเค้าเยอะเหมือนกัน
ยิ่งตอนที่พี่จินส่งของ ส่งจม.มาให้ชะเอมตลอด
เราอ่านแล้วรู้สึกซึ้งตามเลย ถ้าเป็นเอมคงจะปลื้มใจน่าดู

รอวันที่พี่จินจะกลับมาเน้อ
ตอนนี้ชักจะเป็นห่วงเอมละ ไม่รู้ว่าตองจะเอายังไง
เข้าทำนอง "เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ" จริงๆนะนี่
ถึงจะดูนิ่งๆ แต่ก็ไม่แน่... เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ยืนยันคำเดิม... คิดถึงพี่จินนนนนนนน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 01-12-2011 23:36:02
ตอนหน้าพี่จินกลับมา พร้อมลูก 1 เมีย 10 ฮ่าๆ  // โดนถีบ  :z6: :z6:

แต่ไม่ได้หวังอย่างงี้เลยนะ อยากให้มาฉุดเอมออกมาวังวนความเศร้านี้ทีเหอะ เห็นแล้วเจ็บอก
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 02-12-2011 00:15:16
ได้แต่หวังว่าตอนหน้าที่พี่จินกลับมา จะทำให้เรื่องนี้มีบรรยากาศอบอุ่นหรือจะหวานไปเลยดีไหม แทนมาม่้านะคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: GEMSTONEz ที่ 02-12-2011 01:27:05
อ่า. เมื่อไรจะกลับมา พี่จินนน หนูคิดถึงงง  :-[

แต่ก็ว่าแล้วว ว่าต้องเป็นพี่จิน เราชอบผู้ชายแข็งๆมากกว่าอ่ะ
ผู้ชายอ่อนโยน มันดูแบบ.. ดีเกินไป! 555(ก็เขาอาจไม่ดีกับเราคนเดียวก็ได้นิ ใช่ม่ะ?)
ต้องเย็นชาๆหน่อย จะได้อยู่กับเราคนเดียว 5555 หวงงง  :m16:

สู้ๆค่ะ เนื้อเรื่องลื่นไหลดี ไม่ติดขัดอะไรเลย อ่านแล้วเคลิ้มกันเลยทีเดียว   o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 02-12-2011 01:43:19
อ๊ากกกก คิดถึงพี่จินแล้วอ่ะ

รีบๆ กับมาซะทีสิ เฮ้อออออออ

หวังว่าคงจะไม่หนีบสาวๆ ที่ไหนกับมาด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-11-] 01/12
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 02-12-2011 02:34:12
อาร์ทว่ะ โรแมนติกโคตรๆเลยคร้าบบบ
พี่จินเอ้ย ให้มันรู้ซะมั่งว่าน้องเอมน่ะเนื้อหอม
สร้อยคอมือนั้นเหมือนส่งมาตีตราจองไว้เลยนะ
หัวข้อ: Love Sick [-12-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 02-12-2011 17:22:15
Love Sick

- 12 -


คืนนั้นหลังจากที่ผมกลับมาจากทำงานพิเศษก็ไม่เจอใคร เพราะว่าตองกลับบ้าน ผมเลยได้เป็นเจ้าของห้องคนเดียว กินข้าวเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำ ก็เลยมานั่งวาดรูปเล่นบนโต๊ะ ผมมองลอดหน้าต่างออกไปด้านนอก เห็นบรรดานักศึกษาที่ไม่ได้กลับบ้านยังคงเดินไปเดินมาหรือไม่ก็จับกลุ่มนั่งคุยกันทั่วบริเวณเหมือนเดิม เพียงแตว่าอาจจะบางตากว่าช่วงเปิดเทอมก็เท่านั้น

มือของผมที่ถือดินสองสองบีกำลังร่างเส้นอย่างขะมักเขม้น ภาพของคนๆหนึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างบนกระดาษสมุดวาดรูปของผม วันเวลาผ่านไปปีกว่าแล้ว เขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหนนะ ภาพบนสมุดนี้มันเกิดจากความทรงจำของผมเท่านั้น...

ความทรงจำที่ผมเก็บไว้ลึกสุดใจ...

“ฮึก...” ผมไม่อยากร้องไห้ เพราะรู้ว่าร้องไห้แล้วมันก็หยุดยาก น้ำตามันจะไหลเหมือนอัดอั้นมาเป็นสิบปี ผมเกลียดช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอแบบนี้ที่สุด การที่ใครสักคนจะทิ้งหัวใจไว้ให้คนอีกคนตลอดระยะเวลาที่รู้ว่าคงไม่สามารถตัดใจได้ ท้อแท้ก็หลายครั้ง อยากที่จะเลิกรอ ไม่ว่าจะพยายามเก็บมันไว้แค่ไหน ไม่ว่าจะอดทนเท่าไร ก็ยังต้องเสียน้ำตาทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าอ่อนโยนและมือใหญ่ที่เคยกอบกุมกันเมื่อนานมาแล้ว...

แกร๊ก

เสียงลูกบิดถูกหมุนพร้อมกับประตูที่เปิดออกโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เมื่อหันไปมองก็เห็นรูมเมทหน้านิ่งของผมเดินเข้ามา สีหน้าเขาดูตกตะลึง ก่อนที่เขาจะวางกระเป๋าลงบนพื้นและเดินมาใกล้ผม
“เอม เป็นอะไร...” ผมเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองร้องไห้อยู่ รีบหันหลังกลับและปาดน้ำตาทิ้ง
“ร้องไห้ทำไม” มือใหญ่บีบที่ไหล่ของผม ไม่เอา... ผมไม่อยากให้ใครมารับรู้เรื่องของผม พอคิดแบบนั้นแล้วก็สูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับกลั้นใจยิ้มกลับไปให้เพื่อน
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก...” ผมโกหก และตองก็รู้ว่าผมโกหก และผมก็รู้ว่าตองไม่ได้พอใจคำตอบของผมสักเท่าไร... แต่เขาไม่ได้พูดออกมา
“...” ในห้องมีเพียงความเงียบเข้ามาครอบคลุม ตองทำหน้านิ่ง แต่สายตาของตองดูโกรธ เพราะอะไร?
....
..
.
.
..
บรรยากาศมันอึดอัดโดยไม่รู้สาเหตุ ผมคิดจะลุกไปจากตรงนั้น แต่ตองก็กดไหล่ผมให้นั่งอยู่ ผมมองตองด้วยสายตาสงสัยและหงุดหงิด นี่มันอะไรกัน ผมไม่ชอบให้ใครมาทำท่าแบบนี้ใส่ผมหรอกนะ...
“ตอง มีอะไรหรือเปล่า”
“...” เงียบ
“ตอง เราจะไปอาบน้ำ หลบหน่อยสิ”
“...” เงียบ
ผมหงุดหงิดมากขึ้นอีก ผมไม่ชอบที่ตองทำแบบนี้ และด้วยความโมโห ผมก็เลยลุกยืนและเดินไปข้างหน้า ไม่สนว่าตองจะขวางหรอก ถ้ามันขวางผมก็จะกระแทกใส่ไปเลย
“เอม!” ตองตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้ง นี่ผมทำอะไรให้มันไม่พอใจเนี่ย
“คิดว่าเราไม่รู้เหรอ ว่าเอมร้องไห้เพราะอะไร เพราะไอ้คนที่ดีแต่ส่งของบ้าๆบอๆมาให้ แต่ไม่มีน้ำใจพอจะโทรมาหาให้ได้ยินเสียงบ้าง เอมจะร้องไห้ให้กับไอ้คนที่ทำร้ายจิตใจเอมเพื่ออะไรกัน” เสียงกราดเกรี้ยวแบบที่ไม่น่าจะออกมาจากปากคนที่เงียบๆแบบตอง หน้าตาที่บอกว่าโกรธมากแค่ไหนดูน่ากลัวผิดไปจากที่เคย

ผมหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของตอง เรื่องของผม เรื่องระหว่างผมกับพี่จิน.. และเมื่อปากไปไวกว่าความคิด ผมก็พ่นวาจาร้ายกาจออกไปไม่แพ้กัน
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องของตองนะ มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องคนอื่นเขา!” ผมโมโห จู่ๆผีบ้าอะไรมาเข้าสิงให้ตองพูดจาแบบนี้กับผม แล้วมันถือดีอะไรมาเรียกพี่จินของผมว่า ‘ไอ้’
“เออ ใช่สิ มันไม่ใช่เรื่องของเรานี่ แต่เราไม่ชอบ เราไม่ชอบที่เอมเอาแต่รอเหมือนคนบ้า ระวังเถอะ ถูกมันหลอกให้รอโดยไม่รู้ตัว!” จี๊ดดดดดดดดดดดดดดเลยครับ
“!!” ผมผลักตองสุดแรงที่ผมมี แม้ว่ามันจะไม่ถึงกับทำให้ตองล้มหงายหลังไป แต่อย่างน้อยมันก็เซไปบ้าง ผมฉวยโอกาสนี้คว้ากระเป๋ามาแล้วจะเดินออกจากห้อง
“ปล่อย!” ผมตวาดใส่ตอง เพราะมันดึงแขนไว้ไม่ให้ผมเดินออกมา ผมกะไว้เต็มที่ว่าวันนี้คงได้มีโอกาสชกคนเป็นครั้งแรกของชีวิต พอตั้งท่ากำหมัดและหันกลับไปเพื่อจะเงื้อมือชก ก็ถูกล็อกมือทั้งสองข้างไว้จนแน่น พริบตาเดียวผมก็ถูกดันจนชิดติดกำแพงห้อง แรงที่ตองดันผมมันแรงเสียจนนาฬิกาบนผนังสะเทือนตาม

“!!!”

เมื่อภาษากายที่เรียกว่า ‘จูบ’ จู่โจมผมไม่ทันตั้งตัว ผมขนลุกชันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมไม่ได้ชอบสัมผัสจากตอง หรือว่าวาบหวามนะ สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือรังเกียจจนแทบทนไม่ได้เมื่อปากของตองกดลงมาบนริมฝีปากของผม ฟันของตองขบกัดปากล่างเพื่อที่จะให้ผมเปิดทางและตองจะได้สอดลิ้นเข้ามา มันไม่เหมือนเลยสักนิดกับที่ผมเคยทำกับพี่จิน นี่ผมรู้สึกไม่ดี จนถึงรู้สึกแย่มากๆ สุดท้ายเมื่อผมไม่สามารถดิ้นรนได้น้ำตามันก็ไหลลงมาช้าๆ และดูเหมือนว่าคนทำก็เริ่มจะรู้สึกตัว...

ตองค่อยๆผละออก ผมรู้สึกได้ถึงสายน้ำลายติดอยู่ที่ริมฝีปากตองกับผม ผมเบะปากแล้วแขนขึ้นมาเช็ดปากด้วยความรังเกียจ...
รังเกียจตัวผมเอง...

“เอม...เราขอโทษ...” แรงบีบที่ไหล่ผมเบาลงพร้อมกับเสียงเศร้าเอ่ยขอโทษ แต่ไม่มีทางที่ผมจะรับคำขอโทษนั้น และผมก็จะไม่ยอมให้ตองรั้งผมไว้ได้อีก
“เอม!” ครั้งนี้มีเพียงเสียงเรียก แต่ไม่มีการฉุดรั้ง ตองยอมปล่อยให้ผมไป ผมวิ่ง วิ่ง และวิ่งออกมาจากที่นั่น สมองมีแต่คำถามว่าผมอยู่กับคนๆนี้มากว่าหกเดือนโดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้กับผม ความรู้สึกดีในฐานะเพื่อนมันถูกลบเลือนได้ด้วยจูบเพียงจูบเดียว อย่างที่คนเขาว่า ทำดีสิบครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำเลวครั้งเดียว...

ผมกึ่งเดินกิ่งวิ่งไม่มองทาง ลมเย็นๆยามค่ำคืนบาดผิวผมจนแห้งผาก คิดวนไปมาก็สรุปว่าจะไปขอพึ่งพี่พีร์ อย่างน้อยรอให้เช้าก่อนแล้วกันค่อยคิดว่าจะเอายังไงต่อไป

พลั่ก!

“โอ๊ย!” ผมเซถอยหลังก้นจ้ำเบ้าเมื่อกระแทกเข้ากับเสา... เอ่อ ไม่ใช่หรอก แค่คนที่เหมือนกับเสาแค่นั้นแหละ เหมือนกับเสายังไงน่ะเหรอ ก็ตัวสูงมาก แข็งโป๊ก ขนาดผมชนแล้วยังล้มเลยอะ แต่ที่ทำให้ผมรู้ว่าที่ผมชนเป็นคนก็เพราะผิวอ่อนนุ่มและอุณหภูมิของร่างกายน่ะสิ บวกกับน้ำเสียงอาทรที่ฟังดูอบอุ่น...

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...” มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าผม ผมยิ้มแล้วส่ายหัว จะบอกว่าไม่เป็นไรคนๆนั้นก็พูดต่อจนจบประโยค

“...คนดีของพี่...”

น้ำเสียงแบบที่คนๆหนึ่งเคยใช้เรียกผมเมื่อนานมาแล้ว น้ำเสียงที่ผมอยากให้มาดังตรงหน้าผมมากที่สุด.. ผมเงยหน้ามองร่างสูง เงาจากเสาไฟฟ้าด้านหลังทำให้หน้าของเขาดำมืด ผมพยายามเพ่งมองต่อสู่กับแสงไฟอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่เคยคุ้นในความทรงจำก็กระจ่างชัดขึ้นทุกที...

“คุณ...” ไม่ใช่ ’คุณ’ สิ ต้องเป็น ‘พี่’ ต่างหาก

“เจ็บหรือเปล่าครับ หืม?” คราวนี้ผมนิ่ง ผมยอมให้เขาใช้มือพยุงผมลุกขึ้นยืน สายตาคมของคนตรงหน้าตรวจสอบความเสียหายทางร่างกายของผมอย่างถี่ถ้วนละเอียดยิบ
“ไม่เจ็บครับ ไม่มีแผลด้วย พี่ไม่ต้องสำรวจขนาดนี้หรอก...”
“ใครบอกว่าพี่มองหาแผล พี่สำรวจดูว่าเราโตไปมากแค่ไหนต่างหาก” ถ้าผมมองไม่ผิด ผมเห็นสายตาระยิบระยับ ที่เหมือนกับในคืนนั้นไม่มีผิด คืนที่เขาจูบผม...
“ก็โตเยอะ แต่อาจจะไม่ใหญ่ยักษ์เหมือนคนบางคน” ผมมองจ้องกลับ แค่ปีกว่าๆ ก็สูงกว่าผมเป็นฟุต แถมยังล่ำขึ้นอีกด้วย หน้าตาก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น หล่อขึ้น... แต่สิ่งเดียวที่เหมือนเดิมคือสายตาของพี่ยามที่ทอดมองมาที่ผม...
“ก็เรามันตัวจิ๋วเดียว ผอมก็ผอม ดูสิ แขนมีแต่กระดูก” ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่จับแขนผม ผมแปลกหรือเปล่านะถ้าจะเขินกับแค่การจับแขน... และร่างสูงที่กระซิบข้างหูผม...

“I miss you...”

ผมส่งยิ้มทั้งน้ำตาที่เอ่อคลอจนเกือบล้นให้กับประโยคบอกเล่าที่บอกว่าคิดถึงผม มากแค่ไหนกันนะ ความรู้สึกของผมน่ะ... จะใช้คำพูดว่าอะไรดีนะ ถึงจะเพียงพอ...

“คิดถึงพี่บ้างมั้ย?”

ฮึก... ไอ้บ้า ถามโง่ๆ ผมไม่ตอบคำถามนั้นหรอก  เพราะมันพูดไม่ออก คำพูดมันติดอยู่ที่คอ จะพูดออกไปก็ไม่ได้
“พี่รู้แล้ว ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้...” ก่อนที่ผมจะถูกจับกดเข้ากับหน้าอกของพี่ ผมก็มองเห็นคิ้วของพี่ชนเข้าหากัน ตาคมๆก็แดงเรื่อ

ความรู้สึกที่ไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด อ้อมกอดที่แม้นานมาแล้วผมก็ยังจำความรู้สึกเวลาถูกกอดได้

มือของผมที่เคยทำได้แค่เพียงวาดใบหน้าของคนในความทรงจำไว้ไม่ให้ลืมเลือน ณ บัดนี้เจ้าของใบหน้านั้นมาอยู่ตรงหน้าผม เพียงแค่ยื่นมือออกไปผมก็ได้สัมผัสกับความอบอุ่นของจริง

“...พี่สบายดีใช่มั้ยครับ..” นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะถาม มองไปทั้งตัวก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ร่างกายที่สูงใหญ่และดูแข็งแรง...

“ดีมากๆ ถ้าไม่นับที่ถูกเด็กกระแทกเมื่อกี้นะ” เสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะ ผมทุบอกแข็งๆนั่นไปอีกอั้กหนึ่ง คนอะไรกวนประสาทได้เหมือนเดิม...
“...” มีเพียงความเงียบที่อยู่รอบเราทั้งสอง ผมไม่รู้จะทำอะไรนอกจากการมองใบหน้าของคนๆนี้ มือของผมถือวิสาสะบีบ จับ และลูบไปตามร่างกายของพี่จิน...

พี่จิน...

พี่จินเจอร์....

คนที่ป่าเถื่อนร้ายกาจในสายตาของผมเสมอ... เมื่อก่อนความอ่อนโยนของพี่หายไปไหน ตอนนี้ผมรู้แล้ว...

พี่เก็บมันไว้เพื่อเอม... ในตอนนี้...

“พี่มาถามคำถามเอม...” พี่จินจับมือผมไว้และจูงให้เดินไปนั่งตรงที่ม้านั่งใกล้ๆ ผมเพิ่งสังเกตว่าไม่มีกระเป๋าเดินทาง แสดงว่าพี่จินคงกลับไปที่บ้านก่อน แล้วจึงมาที่นี่
“คำถามอะไรครับ?”
“คำถามที่พี่เคยคิดว่าเมื่อถึงเวลา... แล้วพี่จะมาถามเอม พร้อมกับทวงคำตอบด้วย...” ผมอดไม่ได้ที่จะเพลินไปกับสัมผัสของพี่จิน มือใหญ่ที่ลูบแก้มผมเบาๆ สัมผัสที่ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป

“เอมรักพี่บ้างหรือเปล่า”

“พี่จินแกล้งเอม” ผมอ้อมแอ้ม คำถามที่เล่นเอาผมหน้าชา คนขี้แกล้ง รู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามอีก..
“พี่แกล้งเรายังไง พี่แค่อยากรู้...” ปลายนิ้วพี่จินเขี่ยแก้มผมเล่น สายตาคมเหม่อมองมาที่ผมเหมือนกำลังลอยละล่องในความฝัน... ความฝันงั้นเหรอ... ถ้าผมฝันได้ขนาดนี้ละก็ ไม่ขอตื่นอีกเลยก็แล้วกัน...
“พี่ก็รู้... ก็รู้อยู่นี่ครับ”
“แต่พี่อยากฟัง... จากปากเอม...”

“.... มาก...”

“อะไรมากครับ...”

“...รัก...มาก...”

“เอมไม่เจ็บอีกแล้วใช่มั้ย” ผมพยักหน้า เดี๋ยวนี้ผมไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องตอนนั้นอีกแล้ว มันก็แค่แสบๆคันๆบ้างตามประสา แต่น้ำตาผมไม่เคยไหลเพราะเรื่องนั้นอีก...
“แล้วเอมพร้อมที่จะเดินไปกับพี่มั้ย พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับพี่หรือยัง...”
“เอมพร้อมยิ่งกว่าพร้อม...” ผมคิดว่าเสียงผมสั่นตอนที่พูดออกไป ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำตัวเป็นเด็กเกเรอย่างนั้นแหละ... ผมเอนตัวลงไปซบที่บ่ากว้าง และกระซิบเบาๆ
“เอมคิดถึงพี่จินเหลือเกิน คิดถึงมากเท่าที่เราจะคิดถึงใครสักคนได้ และเอมก็อดทนมากเหลือเกิน อดทนจนหลายครั้งคิดว่าจะทนไม่ไหว วันเวลาผ่านไปความรู้สึกก็ไม่เคยลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นทั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง เอมถึงได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าความรัก...”

“คนดี...” พี่จินประคองแก้มผมให้สบตากับเขา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของพี่จิน เหมือนกับของผม... ผมชอบที่ได้เห็นเงาของผมสะท้อนอยู่ในตาของพี่จิน ผมรับรู้ได้ว่าปลายนิ้วของพี่จินค่อย ๆ เลื่อนและไล้แผ่วเบาที่แผ่นหลัง ลูบไล้ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน
 ก่อนที่จมูกโด่งของพี่จินจะกดลงกับลำคอของผม...
“อ๊ะ!” นี่ผมทำเสียงน่าเกลียดแบบนั้นได้ยังง้ายยย~

“อืม... พี่ว่าเราต้องหยุดความคิดถึงกันไว้แค่นี้ก่อนนะ...” พี่จินดันไหล่ผมให้ถอยออก ผมเห็นหน้าคมแดงระเรื่อ อ๋าย~ พี่ก็คิดลามกเหมือนเอมใช่มั้ย > <
“ครับ...” ผมเกาคอด้านหลังทั้งที่ไม่ได้คันสักนิด แบบว่ามันเขินอะนะ ก็เลยทำแก้เก้อ...
“ว่าแต่นี่เราจะไปไหนดึกๆดื่นๆ” พี่จินเหลือบมองกระเป๋าที่ผมสะพายอยู่แล้วก็ถาม เรื่องเฮงซวยที่ผมอุตส่าห์ลืมไปแล้วก็ผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง
“...” เอ่อ... ตายละหวา ผมจะพูดยังไงดีละ จะโกหกเหรอ ไม่ดีไม่เอา ยังไงดีว้า...
“พอดี...ทะเลาะกับรูมเมท ก็เลยจะไปค้างกับพี่รหัสน่ะครับ...” เออ อย่าถามต่อนะ ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร...
“เรามีรูมเมทด้วยเหรอ” ผมพยักหน้า แล้วก็เล่าว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่ได้บอกนะครับ ว่ารูมเมทผมมันคิดจะจับผมกด...
“แล้วพี่รหัสเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงละ”
“พี่พีร์เป็นผู้ชายครับ” พอพูดถึงพี่พีร์แล้วผมก็ยิ้มออก แล้วก็เผลอเล่าโน่นนี่นั่น ว่าไปทำงานพิเศษกับพี่พีร์บ้างละ เล่าว่าพี่พีร์ปากร้ายแต่ใจดีบ้างละ
“พอแล้ว” พี่จินเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากผมเบาๆ ให้ผมหยุดพูดเหรอ? ผมก็เลยเงียบ แล้วพี่จินก็ยิ้มใจดี
“ไปนอนกับพี่แล้วกันคืนนี้ ไม่ต้องไปบ้านไอ้พีร์อะไรนั่นหรอก” เฮ้ย! ปุปปับพี่จินก็ดึงแขนผมให้เดินตามไป ท่าทางอ่อนโยนเมื่อกี้ก็หายวับไปเหมือนควันเลยครับ ผมรู้สึกเหมือนว่าพี่จินคนป่าเถื่อนมันกลับมาแล้วอ้ะ นี่มันอะไรกันเนี้ย ผมตามไม่ทันแล้วนะ!!

พี่จินก็ยังคงเป็นพี่จินครับ เผ็ดร้อน แต่ก็ละมุนละไม ทำให้ผมคิดถึงแทบบ้าแล้วก็มาปรากฎตัวตรงหน้าเหมือนความฝัน อ่อนโยนใจดีได้เหมือนเทวดา แต่ก็ขี้โมโหป่าเถื่อนได้เหมือนปิศาจ...

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ณ วินาทีนี้ พี่จะพาเอมไปขึ้นสวรรค์ หรือลงนรก... เอมก็ยอมครับ...

ผมใจง่ายไปหรือเปล่าครับทุกคน > <




หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: Zarch_Chabu_Chabu ที่ 02-12-2011 17:43:52
ถามว่าง่ายไหม?ตอบเลยว่า มากกกกกครับ!555555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 02-12-2011 18:04:13
 :o8: :o8:
ใจง่ายก็ไม่เป็นไรหรอกเอม อิอิ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: P★RiTŸ ที่ 02-12-2011 18:11:30
ไม่เลยจ้ะน้องเอม ทำถูกต้องแล้ว
คิดดูสิเรารอมาตั้งเท่าไหร่
ตอนนี้มันถึงเวลาที่เราจะมีความสุขบางแล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 02-12-2011 18:23:30
ไม่ได้ใจง่ายเลยน้องเอม เค้ารอวันนี้มานานแล้ว วันที่ทั้งสองคนมาเจอกัน :sad4:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: chae ที่ 02-12-2011 18:35:29
ใจง่ายกับคนที่รักเราจิงมันผิดไหม ฮ่าๆ
แล้วเอมจะบอกพี่จินหรือเปล่าเรื่องที่ว่ารูทเรทแอบรักตัวเอง?
บอกไปบ้านคงไหม้
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-12-2011 18:45:55
ไม่ง่ายหรอก ดูซิรอมาตั้งกี่ปี เก็บกดความรักความคิดถึงไว้เต็มแน่น
โป่งพองจนจะแตกแล้ว ไปโลดน้องเอม ไปให้สุดใจสุดอารมณ์ไปเลยเด้อ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-12-2011 19:03:41
แต่มาเจอกันครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเนี่ยะ
พี่จินอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงเลยนะ
ส่วนตองทำผิดเพราะมีใจหรอกนะ  อย่าถึงกับโกรธมากมายเลย  สงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 02-12-2011 19:19:07
 :impress2:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 02-12-2011 19:36:09
ในที่สุดจินเจอร์ก็กลับมา

แถมมีแววว่าจะขี้หึงมาก!!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 02-12-2011 20:29:36
ไม่ใจง่ายเลยจ๊ะกับคนที่เรารัก :กอด1:
เอาไปทุกบวกเลยจ๊า
ตอนรับจินเจอร์ :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 02-12-2011 21:43:36
อ้างถึง
คนที่ป่าเถื่อนร้ายกาจในสายตาของผมเสมอ... เมื่อก่อนความอ่อนโยนของพี่หายไปไหน ตอนนี้ผมรู้แล้ว...

พี่เก็บมันไว้เพื่อเอม... ในตอนนี้...

อ้ายยยยยยย ชอบประโยคนี้สุด จินกลับมาแล้ว
ตองคิดผิดจริงๆ นะนั่น แต่ก็เพราะเหตุผลแบบนี้หรือเปล่า
หลายๆ คนถึงยอมรักษาความเป็นเพื่อนไว้ แทนที่จะบอกรัก
เพื่อนตัวเอง
ปล.ตองมันทำมากกว่าบอกรัก เอมเลยช็อค
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 02-12-2011 22:15:03
จินเจอร์กลับมาแล้ว วว
น่ารักขึ้นเยอะเลยเวอร์ชั่นนี้  :o8:
ตองหลงรักเอมซะเเล้ว  :a5:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 02-12-2011 22:18:45
 :o8:คนดีของพี่หรอ  เขิลๆ  พอไปที่บ้าน ขึ้นเตียงก็  ...คนเก่งของพี่ :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 02-12-2011 23:11:41
ถ้าเราเป็นเอม เราก็ขอเป็นคนใจง่ายเหมือนกัน
กริ๊ดดดดดดดดด พี่จินกลับมาเเล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 03-12-2011 00:16:59
ชอบพี่จิน มากๆ ชื่อเหมือนคนที่เราชอบเลยยยย
พี่จินน่ารัก มากๆ อิจฉาเอม จัง

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-12-] 02/12
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 04-12-2011 09:46:57
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[  อ๊ายยยยยยยยยย เขินมากกกกกกก


ชอบจินมากๆๆๆๆๆ เขินคร่า :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Love Sick [-13-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 04-12-2011 12:19:22
Love Sick

- 13 -



ผมมองบรรยากาศรอบๆของสถานที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้ตาไม่กระพริบ ถึงแม้ว่ามันจะมืดแค่ไหนแต่ผมก็ยังรับรู้ได้ว่าที่นี่...

มันเหมือนในหนังเลยครับ...

บ้านไม้กึ่งโมเดิร์นกึ่งโบราณ รอบๆมีต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นเต็มทั่วทั้งบริเวณ พื้นทางเดินปูด้วยอิฐสีแดงเหมือนกับที่โรงเรียนเก่า...

“เอม มองอะไรครับ?” เสียงพี่จินเรียกให้ผมกลับสู่โลกความเป็นจริง หลังจากที่พี่จินจอดรถให้ผมลงตรงหน้าบ้าน แล้วจึงขับรถเข้าไปจอดด้านหลัง

‘แม่พี่ซื้อให้ฉลองอายุครบยี่สิบปีน่ะ’

นี่คือประโยคที่พี่จินบอก เมื่อผมเห็นรถที่พี่จินขับมา ผมเชื่อแล้วละครับว่าบ้านพี่รวยจริงอะไรจริง T  T

“ที่นี่ที่ไหนเหรอครับพี่จิน” ผมถามและมองไปรอบๆ มันทำให้ผมทึ่งจริงๆนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเห็นบ้านสวยแบบนี้
“บ้านคุณยายพี่เองแหละครับ พอท่านเสียบ้านนี้ก็ตกเป็นของคุณแม่ เพราะงั้นระหว่างที่พี่มาอยู่ที่นี่ คุณแม่ก็เลยให้พี่มาพักที่นี่ไง”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า พี่จินไขประตูเสร็จแล้วก็เดินนำผมเข้าไป ภายในบ้านมันเหมือนกับว่ายังตกแต่งไม่เสร็จ ยังมีถังสีกองอยู่ตามมุมบ้านเป็นจุดๆ
“พี่จินทาสีเองเหรอครับ?”
“หึหึ พี่จะเอาเวลาที่ไหนไปทาละ พี่ก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่เมื่อเย็นเอง พวกนี้คุณแม่เขาจ้างช่างแถวนี้มาทาสีให้น่ะ แต่ยังเก็บรายละเอียดไม่หมด รอเอมมาช่วยไง”
“ช่วยอะไรครับ? พี่จินจะให้เอมช่วยทาสีเหรอ?”
“เปล่าครับ พี่จะให้เอมวาดรูป ดีมั้ย? พี่อยากได้ผนังที่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่ทาสีแล้วแขวนของตกแต่งน่ะ” พี่จินยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง อ๊า! ยังกะนายแบบเลยอะครับ
“ได้สิครับ... เอมทำให้พี่จินได้หมดแหละ” ผมก้มหน้า เพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้มีแค่ผมกับพี่จิน เราอยู่กันตามลำพังนี่นะ...
“น่ารัก...” เสียงทุ้มต่ำและริมฝีปากที่กดจูบลงตรงใบหูทำผมสะดุ้งเฮือก
“อื้อ...พี่จิน...” ทำไม...ทำไม...พี่จินถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ รู้มั้ยครับว่าตั้งแต่ที่ผมขึ้นรถพี่จินมา ก็คอยจะถูกลวนลามเรื่อยเลย เดี๋ยวก็จับมือ ลูบหลังมือ จับแก้ม หอมเส้นผม ฯลฯ สารพัดเลยละครับ >//<
“ก็เราน่ะ... น่ารัก ชอบทำตัวน่ารัก...” อ๋า~ พี่จินทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ผมทำไมเนี่ย
“อ๊ะ แล้วพี่จินกินอะไรมาหรือยังครับ” ผมรีบหาเรื่องมาเบี่ยงเบนประเด็นล่อแหลมในตอนนี้ ผมยังจำได้ดีนะว่าพี่จินทะลึ่งและชอบฉวยโอกาสรังแกผมแค่ไหน
“ยังเลย แล้วเราล่ะ” พี่จินเดินเข้ามาและรั้งเอวผมให้ไปแนบชิดกับตัวพี่เขา จะคุยกันดีๆไม่ได้เลยเหรอเนี่ย ต้องเนื้อแนบเนื้อตลอดอะ
“ก็ยังเหมือนกันครับ ไปหาอะไรกินกันเถอะนะ น้า เอมหิว...” ผมกัดฟันอ้อน ล่อหลอกพี่จินให้กินเยอะๆดีกว่า จะได้อิ่มจนไม่มีแรงทำอะไร อิอิ
“งั้นไปกินร้านข้าวต้มกุ๊ยดีกว่าเนอะ คืนนี้พี่อยากกินอะไรเบาๆท้องหน่อย” ม่ายยยยย เปลี่ยนจากข้าวต้มเป็นพิซซ่า หรือบะหมี่จับกังหน้ามหา’ลัยได้มั้ยคร้าบบบบ

หลังจากสรุปผลได้เราก็ไปกินข้าวต้มกุ๊ยกันครับ ระหว่างที่กิน ผมก็ถามโน่นนี่นั่นกับพี่จิน เช่นเรื่องที่ว่าพี่จินไปเรียนอะไรที่ปารีส และคิดยังไงถึงได้ไป

“พี่ตั้งใจแค่ว่าจะไปเรียนเฉพาะทางเกี่ยวกับการถ่ายรูปสักปีหนึ่ง แต่พอช่วงใกล้จะจบพี่ดันได้รับการเสนอแนะให้ทำงานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งน่ะ ก็เลยอยู่ต่อมาอีกครึ่งปีได้”

และหลังจากนั้นไม่นานผมก็เพิ่งจะได้รู้ว่าที่พี่จินไปเรียนนั้น เป็นโรงเรียนเฉพาะทางที่เข้ายากสุดๆ และต้องเรียนทั้งหมดสี่ปี จึงจะได้รับวุฒิทางการศึกษาอย่างเป็นทางการครับ

หลังจากที่เราทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ก็พากันกลับมาที่บ้าน พี่จินบอกกับผมว่าผมจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้...

“พี่พอมีเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เดี๋ยวคืนนี้เอมเอาไปใส่ก่อนนะ ส่วนห้องน้ำอยู่ชั้นสอง มีสองห้อง เลือกเอาแล้วกันนะครับ” ผมพยักหน้าและรับผ้าขนหนูมาจากพี่จิน
“แล้วพี่จินจะทำอะไรครับ”
“พี่จะลงไปดูโทรทัศน์ข้างล่าง ไม่ได้ดูข่าวเมืองไทยมานานแล้ว” พี่จินขยี้หัวผมเบาๆแล้วก็เดินลงบันไดไป ผมจึงเดินไปเลือกว่าจะอาบห้องไหนดี ห้องน้ำทั้งสองห้องมีอุปกรณ์เหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันก็แค่โทนสี ห้องหนึ่งออกแนวสีเอิร์ธโทนแบบที่ผมชอบ ส่วนอีกห้องเป็นสีขาว

“พี่จินครับ พี่จินจะใช้ห้องไหน” ผมตะโกนถามคนข้างล่าง
“ห้องไหนอะไรครับ?”
“ก็ห้องน้ำอะครับ พี่จินจะใช้ห้องสีขาวหรือสีเอิร์ธโทนดี” พอผมถามจบ พี่จินก็ไม่ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงพี่เขาเดินขึ้นบันไดมา
“ทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” พี่จินมายืนตรงหน้าผมแล้วถาม ปัญหาของผมเหรอ? เอ...มันจะเรียกว่าปัญหาได้หรือเปล่านะ
“เปล่าหรอกครับ เอมก็คิดว่าเราอยู่กันแค่สองคน จะใช้ห้องน้ำหลายห้องทำไม ก็เลยจะให้พี่จินเลือกว่าจะใช้ห้องไหนดี” ผมพูดเขินๆ รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระเป็นบ้าเลย กับอีแค่เรื่องห้องน้ำ
“อืม... เอาไงดีละ” พี่จินทำสีหน้าครุ่นคิด
“งั้นเอางี้แล้วกัน” สิ้นสุดการตัดสินใจพร้อมกับร่างผมที่ลอยหวือจากพื้น พี่จินอุ้มผมไว้เหมือนอุ้มเด็ก แล้วพาลงไปชั้นล่าง
“อ๊า!! พี่จินทำอะไร” ผมร้องเสียงดัง ทั้งขำ ทั้งตกใจ พี่จินเล่นอะไรเนี่ย
“ฮ่าๆ จิน ปล่อยเอมนะ” ทันทีที่หลังของผมแตะโซฟานุ่มๆ ผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที เพราะว่าพี่จินเริ่มรัวนิ้วจั๊กจี้ผมทั้งตัว ผมทั้งดิ้น ทั้งผลัก ทั้งดันพี่จินออกห่าง แต่ก็ดูเหมือนว่าพี่เขาจะแรงเยอะเหลือเกิน และสุดท้ายแขนทั้งสองข้างของผมก็ถูกล็อกไว้จนได้ เมื่อรู้สึกตัวอีกที สายตาของผมกับพี่จินก็กำลังจ้องมองมาที่กันและกัน
“ถ้าเอมเลือกไม่ได้ว่าจะใช้ห้องไหน งั้นเราไปใช้พร้อมกันเลยดีมั้ยครับ?”

....

..

.

.

..

.

.


“บะ บ้าแล้วพี่จิน... ถอยไปเลยนะ!” ผมใช้ฝ่ามือดันหน้าพี่จินให้ออกห่าง ใบหน้าหล่อๆนั่นทำสีหน้าหัวเราะขบขันกับท่าทางของผม หน็อยแน่!
“อ้าว พี่ก็แค่จะช่วยเอมเลือกห้องน้ำเฉยๆนะครับ” ผมรีบฉวยโอกาสช่วงที่พี่จินกำลังขำรีบลุกหนีมาและวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ในใจมันรู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก แต่ไหนแต่ไรผมไม่เคยเอาชนะความขี้แกล้งของพี่ได้สักที ฝากไว้ก่อนเถอะ!

ผมคาดโทษพี่จินไว้ในใจแบบนั้น แต่พอผมเข้ามาในห้องน้ำนี่สิ... ไอ้ข้าวของเครื่องอาบน้ำที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาผมลืมโมโหเสียสนิท ฮือ... ไอ้เอมใจง่าย T T

‘อันนี้ก็หอมง่ะ’ ผมเปิดฝาสบู่เหลวขวดแล้วขวดเล่าออกมาดม บางขวดก็เป็นกลิ่นผลไม้จำพวกเบอร์รี่ บางขวดก็เป็นกลิ่นดอกไม้หอมๆหวานๆ บางขวดก็เป็นกลิ่นแบบผู้ช๊ายผู้ชาย แต่ละขวดมีฉลากที่ติดเป็นภาษาฝรั่งเศส (ละมั้ง) ที่บอกว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสก็เพราะว่าผมอ่านไม่ออกง่ะ ก็เลยคิดว่าไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่นอน

‘เอาขวดนี้ดีกว่า’ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าจะลองใช้ให้ครบทุกขวด สลับกันไปวันละกลิ่น อิอิ ตอนแรกผมกะว่าจะรองน้ำในอ่างอาบน้ำ แต่พอหันไปเห็นว่าฝักบัวเป็นแบบ Rain Shower ที่ผมเคยใฝ่ฝันถึง ก็เลยเปลี่ยนใจมาอาบน้ำฝนจากฝักบัวแทนดีกว่า > <

หลังจากใช้เวลาอยู่ใต้ฝักบัวกว่าสิบห้านาที ผมก็เคลื่อนย้ายร่างกายตัวเองมาที่ส่วนแห้งของห้องน้ำซึ่งกั้นเอาไว้เป็นสัดส่วนห่างจากส่วนเปียกอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจก แล้วก็นึกถึงตอง นึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนเดียว จากหัวค่ำ ช่วงค่ำ และดึก (ซึ่งก็คือตอนนี้) สงสัยว่าคงเป็นเพราะผมได้เจอพี่จิน เรื่องของตองจึงเหมือนถูกลืมไปชั่วขณะ แต่เมื่อผมได้อยู่กับตัวเองอีกครั้งมันก็นึกออก เพียงแต่ว่าความโกรธมันไม่รุนแรงเหมือนตอนแรก เหลือเพียงอารมณ์กรุ่นๆที่เบาบาง ถามว่าหายโกรธแล้วเหรอ ก็ไม่ใช่... ที่ยังเหลืออยู่คือความไม่เข้าใจมากกว่า...

เพราะว่าตองเป็นเพื่อนดีคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ดีมาตลอดตั้งแต่แรก ตอนที่ผมป่วยเพราะแฮงค์เหล้า ก็ได้ตองเนี่ยแหละที่คอยดูแลไม่ใช่เหรอ (มาคิดอีกทีก็เข้าใจว่าคงเพราะมันชอบผมก็เลยดูแลหรือเปล่า?) บางทีก่อนที่ผมจะตัดสินใจโกรธและไม่คุยด้วย ก็ควรที่จะพูดคุยกันก่อนไม่ใช่เหรอ...

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเรียกให้ผมหันไปมอง สงสัยจะเป็นพี่จิน? ผมแต่งตัวเสร็จพอดี และก่อนที่ผมจะเดินไปเปิดประตูพี่จินก็พูดขึ้นมาว่า

“สงสัยว่าถ้าคนข้างในยังไม่ออกมาตอนนี้ พี่คงต้องไขกุญแจเข้าไปละมั้ง...” ฮึ้ยยยย ไอ้คนเจ้ากี้เจ้าการ!

“เสร็จแล้วครับ ถ้าพี่จินจะอาบต่อก็เชิ- เอ๊ย!” ผมเปิดประตูออกไปแล้วก็ตกใจ พี่จินเล่นมายืนขวางหน้าประตูพอดิบพอดี ตัวเท่าประตูเลยนะครับนั่น!
“หือ? หอมจังเลย ชอบกลิ่นสบู่ที่พี่เตรียมไว้ให้มั้ยครับ?”  พี่จินทำจมูกฟุดฟิดแล้วก้มลงมาดมใกล้ๆผม ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้อะ
“ชอบครับ” ปากผมพูด แต่มือสองข้างของผมก็เผลอจับชายเสื้อและกำไว้แน่น ความรู้สึกตุ๊มๆต่อมแบบนี้...
“พี่ก็ชอบ” พี่จินตอบ
“ชอบกลิ่นสบู่เหรอครับ?” ผมเงยหน้าถาม
“เปล่า ชอบชุดที่พี่เลือกมาให้เอมใส่” หงะ... ผมก้มลงมองชุดที่ผมใส่ พี่จินเป็นคนหยิบมาให้พร้อมกับผ้าขนหนูครับ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นจู๋...

อ๊ากกกกก!! ผมแต่งตัวล่อแหลมมากกกกกกก

“เอ่อ เอมขอใช้ห้องน้ำต่ออีกแป๊บนะครับ” ผมกลับหลังหันเดินเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินก็ถูกยก(อีกแล้ว)
“อื๊อ พี่จินเลิกทำแบบนี้ได้ไหม เอมไม่ใช่เด็กนะ” ผมผวาเอามือเกาะพี่จินแน่น ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดเสียงนุ่ม
“พี่ก็ไม่ได้คิดว่าเอมเป็นเด็กนะครับ พี่แค่คิดว่าเอมตัวเล็กน่ารัก น่าอุ้มดี อ๊ะ อย่าดิ้นสิครับ”
“ก็แล้วพี่จินจะพาเอมไปไหนอะ” ผมยังดิ้นยุกยิกอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนนี่นา
“พี่จะพาเอมไปดูห้องนอน” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงคุณชายจินเจอร์มันดูรื่นเริงจริงๆนะ ฮือ..
“เอมไปเองก็ด้ายอ้ะ!” ผมเริ่มใช้วิธีงอแง แต่ก็โดนดุกลับมาเสียอีก
“อย่าดื้อสิครับ”
“อ๊า!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกงับที่ซอกคอ พี่จินบอกว่าถ้าผมงอแงอีกจะงับอีกให้เป็นรอย ผมก็เลยต้องเงียบกริบ...

พี่จินพาผมเกินมาถึงห้องอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็เปิดประตูเข้าไป พี่จินบอกว่านี่เป็นห้องนอนใหญ่ ตรงกลางห้องที่ผมเห็นมีเพียงโซฟาชุดใหญ่ขนาดที่ผมห้าคนลงไปเกลือกกลิ้งได้ ด้านซ้ายเป็นประตูไม้แกะสลักแบบเลื่อน และด้านขวาเป็นประตูกระจกฝ้าเลื่อนได้ พี่จินพาผมเดินไปดูที่ประตูไม้ ข้างในเป็นห้องน้ำและแยกย่อยเป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ย้ำ ห้องเก็บเสื้อผ้า โฮก~ จะรวยไปไหนคร้าบบบบ

ส่วนตรงประตูกระจกนั้น พอเลื่อนออกก็จะมีม่านสีพีชบังอยู่อีกชั้น พี่จินที่อุ้มผมอยู่บอกให้ผมแหวกม่านหนาหนักออก พอผมมองเห็นข้างในเท่านั้นแหละ ผมก็อ้าปากค้างทันที

“สวยมั้ยครับ” พี่จินถาม ผมก็ได้แต่พยักหน้ารัว ความสวยตอนแรกที่เห็นบ้านนี้มันยังเทียบไม่ได้กับห้องนี้เลยนะครับ การสร้างที่ประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดบอกได้เลยว่าคนที่สร้างบ้านนี้ให้ความใส่ใจกับเรื่องการพักผ่อนแค่ไหน

เตียงนอนที่เป็นแบบสี่เสามีผ้าปูดูฟูนุ่มสีขาวนวลตา หมอนหลายใบกองอยู่บนเตียงอย่างมีศิลป์ เพดานเป็นพื้นไล่ระดับลึกเข้าไปมีไฟดวงเล็กซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ อากาศที่ปรับอุณหภูมิจนพอเหมาะ หน้าต่างบานโตที่มองออกไปเห็นแนวต้นไม้ภายในบ้านเขียวชอุ่ม และ..นั่น นั่น นั่น!!!!!

“แมวเหมียวววว” แมวขนสั้นหูหลุบที่นอนคุดอยู่ตรงปลายเตียงทำให้ผมตาลุกวาว แมวอ้ะ ผมชอบแมวที่สุดเลย และก็ไม่เคยบอกใครด้วยนะเรื่องนี้

“พี่จินเอมจะลง” พอผมบอกพี่จินก็ปล่อยผมลง และไม่รอช้าผมก็วิ่งปรี่เข้าไปหาเจ้าลูกแมวน้อยทันที มันปรือตาขึ้นมามองผมนิดหนึ่งแล้วก็อ้าปากหาว ผมเห็นเขี้ยวเล็กๆกับลิ้นสีชมพูสดแลบออกมา ผมลองเอานิ้วแตะที่ปลายลิ้นเจ้าเหมียวแล้วมันก็งับนิ้วผมเข้าไปเลย สงสัยเจ้าลูกแมวน้อยจะคิดว่านิ้วผมเป็นจุกนมละมั้ง

“พี่จิน น่ารักอ้ะครับ แมวเหมียวของใครเนี่ย” ผมหันไปถามพี่จินที่ยืนยิ้มกอดอกอยู่ น้องแมวขนสั้นอ่อนนุ่มสีขาวนวลกลมกลืนกับที่นอน หูเล็กๆหลุบแนบจนแทบติดกับหัว หน้าตาแปลกดีแฮะ
“ของเอมแหละครับ พอดีว่าเจ้าตัวแม่ที่บ้านพี่มันออกลูก แล้วก็หย่านมพอดี” ผมตาลุกวาว นี่ผมจะมีแมวเป็นของตัวเองแล้วจริงเหรอเนี่ย
“ของเอมจริงเหรอครับ ของเอมจริงๆนะ” ผมถลาไปเกาะแขนพี่จินไว้แน่น อารามดีใจแบบสุดๆเลยละครับ เมี้ยวววว~ ลูกแมวแหละ ลูกแมววววววว
“อื้อ ก็จริงสิ แต่ว่าต้องดูแลให้ดีนะ เจ้าเนี่ยเขาเรียกว่าพันธุ์สก็อตติช โฟลด์ เอกลักษณ์มันจะอยู่ที่หูหลุบแนบกะโหลกศีรษะแล้วก็ขนสั้นๆนุ่มๆนี่แหละครับ” ผมพยักหน้า สก็อตติช โฟลด์สินะ สงสัยผมจะต้องไปหาข้อมูลการเลี้ยงแมวมาให้ดีซะแล้วละ
“มันอายุเท่าไรเหรอครับ แล้วมีชื่อหรือยัง ตัวผู้หรือว่าตัวเมีย?”
“โอ้ย ค่อยๆถามสิ มันเพิ่งจะสามเดือนเองครับ เป็นตัวผู้นะ ส่วนชื่อน่ะ พี่ให้เอมเป็นคนตั้ง”
“จริงเหรอครับ งั้นเอมจะตั้งว่าอะไรดีน้า...” ผมครุ่นคิด เจ้าเหมียวสีขาวนวลออกครีมๆ จะชื่ออะไรดีน้า ผมจ้องหน้าเหมียวน้อยแล้วก็มีความสุขบอกไม่ถูก อ๊า น้องเหมียวน่ารักจังเล้ย (> <)b

************************************************************

ผมยืนมองเจ้าจิ๋วที่ถูกอกถูกใจลูกแมวอย่างอารมณ์ดี นานเท่าไรแล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆนี้ ผมได้แต่เฝ้านับวันเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกับเจ้าตัวเล็กนี่อีกครั้ง...

เจ้าของผิวขาวใสกับตากลมโตคงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นที่สเน่หากับใครต่อใครมากแค่ไหน ใบหน้าที่ชอบเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเวลาเข้าไปใกล้ชิด ดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ จากที่คิดว่าไม่เจอกันนานๆ ความบ้าคลั่งในตัวผมมันจะลดลงบ้าง... แต่ก็เปล่า...

ผมยังโหยหาเจ้าตัวเล็กนี่เหมือนเดิม...

แวบแรกที่มั่นใจว่าคนที่มาชนผมในความมืดนั้นใช่เอมแน่นอน ผมก็อยากจะคว้าไหล่บางๆนั่นเข้ามากอด จูบให้สมกับความคิดถึง กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวยังคงเหมือนเดิม มีแต่เพียงแววตานั้นที่เปลี่ยนไป แววตาของน้องที่ทำให้ผมแทบจะลอยละล่อง... แววตาที่น้องมองมา มันบ่งบอกว่ามีเพียงผมเท่านั้นที่อยู่ในสายตา...

“พี่จินครับ เอมให้ชื่อวานิลลานะ” เสียงใสที่ออกมาจากริมฝีปากแดงๆนั่นเรียกสติผมให้กลับคืนมา ชื่อวานิลลางั้นเหรอ เข้ากับสีมันดีแฮะ... แต่นั่นมันตัวผู้นะ ตั้งชื่อหวานแบบนี้จะดีเหรอ แต่ช่างเห๊อะ เห็นน้องยิ้มผมก็ใจอ่อนแล้ว...

“ก็ดีครับ เข้ากับสีขนดี” ชะเอมยิ้มให้ผมแล้วก็หันไปคลอเคลียกับเจ้าวานิลลาต่อ เอ่อ... ไม่ห่างเลย อยู่กับเจ้าเหมียวนั่นไม่ห่างเลยรับ...
“พี่จินไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยววานิลลาเหม็น” น้องพูดแบบนั้นแล้วก็จัดแจงอุ้มเจ้าแมววานิลลามานอนซุกข้างตัว ห่มผ้าให้เสร็จสรรพเลยด้วย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเห็นไอ้เจ้าลูกแมววานิลลามองผมด้วยสายตายิ้มเยาะ... แต่มันเป็นแมวนะ จะยิ้มเยาะได้ยังไง และที่แน่ๆคือผมเป็นหมาหัวเน่าแล้วละ.. พอผมคิดได้แล้วก็เดินปลงตกไปอาบน้ำ รู้งี้ไม่น่ารีบพาไอ้เหมียวนี่มาเลย รอจู๋จี๋กับเอมสักวันสองวันก่อนน่าจะดี ฮึ้ย! ไอ้แมวมาร

ผมเดินเข้าไปอาบน้ำต่อจากน้อง กลิ่นสบู่ที่น้องใช้ยังคงหลงเหลืออยู่ในห้องน้ำ อา...ผมว่าผมนี่จะโรคจิตเกินไปแล้วละ ถ้าเป็นภาษาฝรั่งเขาก็ต้องเรียกว่าเครซี่ละนะ...

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จก็เดินกลับมาที่ห้องนอน ไฟยังเปิดอยู่ แสดงว่าน้องยังไม่หลับ ผมแหวกม่านเข้าไปก็เห็นชะเอมนอนลูบขนเจ้าวานิลลาอยู่ เอมนอนไม่เรียบร้อยนัก เรียวขาขาวพาดยาวอยู่บนผ้านวม เสื้อยืดบ้านั่นเลิกขึ้นมาจนถึงโคนขาอ่อน ผมยืนกลืนน้ำลายดังเอื๊อกพอดีกับที่น้องหันมาเห็นผม..
“พี่จิน ชู่ว์...” นิ้วชี้เล็กๆแตะริมฝีปากที่ทำปากจู๋ดูน่าจูบ เจ้าลูกแมววนอนหลับตาพริ้มเหมือนกำลังสบายจัด ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เอมก็หันมามองผมงงๆ
“พี่จินจะนอนนี่เหรอครับ?”
“อ้าว ทำไมล่ะ พี่นอนที่นี่ไม่ได้เหรอ?” ผมย้อยถามกลับไปแบบงงยิ่งกว่า
“เอมนึกว่าพี่จะให้เอมนอนห้องนี้กับวานิลลาซะอีก” เฮ้ย ไม่ใช่แล้วน้อง
“เอ่อ... คือพี่ไม่ได้ตั้งใจไว้แบบนั้นนะครับ...” ผมเริ่มพูดไม่ออก ผิดแผนไปโขเลยครับ (= =)”
“อ๋า.... มันจะดีเหรอครับ... ถ้าเราจะนอนด้วยกันน่ะ” ใบหน้าหวานอ้ำอึ้ง ผมเองก็อึ้ง นี่เอมเกิดเขินขึ้นมาจนได้สินะ.. สุดท้ายก็คิดว่าถึงเวลางัดไม้ตายมาใช้ซะแล้ว...
“เอมรังเกียจพี่เหรอครับ” เจ้าจิ๋วทำสีหน้าตกใจที่เห็นผมเศร้า
“ปละ เปล่านะครับ เอมไม่ได้รังเกียจพี่จินนะ แต่เอมแค่...”
“แค่..?” ผมเริ่มรู้สึกสนุกแล้วละที่ได้เห็นหน้าเล็กๆนั่นแดงแจ๋ น้ำเสียงอ้ำอึ้งแบบนี้ ท่าทางอึกอักแบบนี้ โอ๊ย ผมหมั่นเขี้ยว!
“เอมแค่อายครับ... ถ้าต้องนอนกับพี่จินน่ะ...” ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่จะเอ็นดูเอมให้เต็มที่...
“ถ้าเอมอายก็ไม่เป็นไร เราเอาหมอนข้างมากั้นสัดส่วนไว้ก่อนก็ได้เนอะ หรือถ้าเอมไม่อยากให้พี่นอนที่นี่จริงๆ พี่ก็จะไปนอนอีกห้องก็ได้ แต่ว่าห้องนั้นยังไม่มีฟูกเลย...” ผมทำตาสลด ทำท่าน่าสงสารให้สมบทบาท
“ไม่ครับๆ นอนที่นี่ก็ได้ แต่เอาหมอนกั้นไว้ก่อนนะ บ้านของพี่แท้ๆ จะไล่พี่ไปนอนที่อื่นได้ไงละ” ผมลอบยิ้มในใจ ดีนะที่น้องมันลืมนึกถึงโซฟาข้างนอก... ไม่งั้นเจ้าตัวเล็กนี่มันต้องไล่ผมไปนอนข้างนอกแน่เลย...
“ขอบคุณนะครับคนดี งั้นนอนกันเถอะ พรุ่งนี้เอมต้องไปทำงานพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมพูดแล้วก็ลูบผมนุ่มมือ เจ้าตัวเล็กยิ้มรับแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างเจ้าแมวขี้เซา ส่วนผมก็นอนลงอีกข้างของเตียง... มันก็แค่หมอนข้างกั้นเองครับ... หึหึ


***ตอนหน้าเราจะมาเคลียร์เรื่องตองกันนะคะ  :L1:







หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 04-12-2011 12:42:19
จิ๊..รอไปอีกวันอังคารเหรอ งั้นขอ:z13:จิ้มตูดที อิ อิ
อ่านไปยิ้มไป ปากฉีกถึงหูแน่ะ ก็ดีใจ เป็นปลื้ม แอบสุขใจเล็กๆไปกับน้องเค้าน่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 04-12-2011 13:31:53
มาสปอยให้เราอยากอ่าน 55+
วันอังคารก็ได้จ้า  จะรอเน้อ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 04-12-2011 13:37:17
  :z3: :z3:
รอค่ะรอ น้องเอม อิอิ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-12-2011 13:53:51
วันอังคารเชียวเหรอออ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 04-12-2011 14:44:57
 :z3: :z3: :z3: :z3:  วันอังคารเลยหรอ TT

รอรอรอรอรอรอ  เพื่อพี่จิน !!!!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 04-12-2011 14:54:57
วันอังคารเลยหรออออออออ

+1

 :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: Zarch_Chabu_Chabu ที่ 04-12-2011 16:21:57
คนเขียนทำแบบน่ี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า แบบค้างสุดๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-12-2011 18:51:55
เพิ่งเข้ามาอ่าน ก็ค้างเลย  อุอุ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 04-12-2011 19:24:10
ได้มาตามอ่านรวดเดียวสองตอนเลย พี่จินมาถึงก็ทำการหม่ำๆ น้องเอมแล้วหรือคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 04-12-2011 20:19:25
รอวันอังคารเลยเหรอ :o12:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 06-12-2011 01:09:55
ไม่ได้อ่านเรื่องนี้ซะนานเลย
กลับมาอ่านที่เดียวรวดเลย ฮ้าๆๆ
แต่ตอนที่ 13 นี่น้องเอมน่ารักมากกกก
อ่านไปยิ้มไป พี่จินก็กลับมาแล้ว ฮิ้ววววว
ฮ้าๆๆๆ ดีใจเวอร์  ออกนอกหน้ามากมาย

รอตอนต่อไป ฮิๆๆ
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 06-12-2011 04:01:36
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ค้างมากๆ ทุบตึกให้พังไปเลย  :z3: :z3: :z3:

หวังว่าจะไม่มีเมียแหม่มโผล่มานะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 04/12 --30%--
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 06-12-2011 06:07:50
วันอังคารก็วันนี้อ่ะดิ ฮิ้ววว :mc4:
มารอดูกันดีกว่า ว่าจะได้อาบน้ำห้องเดียวกันหรือไม่ :interest:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 06-12-2011 17:15:39


ขอดันนิดหนึ่งว่าอัพครบแล้ว
และช่วงนี้กำลังพยายามบวกกลับให้ทุกคนนะคะ  :-[
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 06-12-2011 18:30:33
จินเจอร์แอบเจ้าเล่ห์นะ :z1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 06-12-2011 20:06:14
จินน่ารักกกกกกกกกกก


 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 06-12-2011 21:17:43
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบครับ
มาต่อบ่อยๆ ก็ดีนะครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 06-12-2011 21:46:00
 :o8:  พี่จินมาแล้ว


พี่จินน่ารักมาก  ขี้หวงด้วย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-12-2011 22:10:53
อย่าใจร้ายกับตองนักนะ  ฉงฉาน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 06-12-2011 22:27:13
อ๊ากกกกกก เสียใจ ไม่ได้อาบน้ำด้วยกัน  :z3: :z3: :z3: :z3:

หนีไปร้องไห้แล้ว  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 06-12-2011 22:53:23
อ๊าง พี่จินก็ยังขี้แกล้งให้เขินอยู่เรื่อยเชียว

ว่าแต่เคลียร์เรื่องตองเนี่ย พี่จินจะออกโรงด้วยไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 06-12-2011 23:12:52
พอเจอกันจินเจอร์ก็ชวนนู๋เอมมาค้างที่บ้าน
นังนู๋ก็ตกลงเลยอ่ะ  แถมนอนห้องเดียวกัน  เตียงเดียวกัน
แล้วหมอนข้างมันจะช่วยอะไรนู๋เอมได้อ่ะ  คริคริ

จินเจอร์ยังเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน  ชอบอ่ะ  หึหึ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: moriku ที่ 06-12-2011 23:36:17
พี่จินหื่นตลอดอ่ะ555555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 07-12-2011 00:16:30
อ่านแล้วปากจะฉีก กลั้นยิ้มไม่อยู่
แล้วก็แอบโรคจิตตามจินเจอร์ไปติดๆ อยากสิงจิน(จะได้เอ็นดูน้องเค้ามั่ง)
โฮว แมวน่ารักมาก อยากเล่นมั่ง
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: zitronen-tee ที่ 07-12-2011 00:17:26
พี่จินกับน้องเอมน่ารักมากเลยค่ะ :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 07-12-2011 00:33:53
เข้ามากรี๊ดแมว น้องเอมชอบแมวเหมือนพี่เย้ย
ยิ่งไอ้พันธ์นี้ยิ่งน่ารักน่ากอดที่สุด
งานนี้พี่จินคงมีแมวมารมาคอยเป็นมารขว้างทางรักแทน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 07-12-2011 14:36:35
เอมน่ารักจัง :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 07-12-2011 15:29:00
 :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 07-12-2011 16:13:59
พี่จินเจ้าเล่ห์อ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 07-12-2011 16:38:53
เข้ามากรี๊ดพี่จิน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 07-12-2011 18:58:58
พี่จินกับน้องเอมมมมม  อ่าๆๆๆ น่ารักน่ารัก :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 07-12-2011 19:28:05
หวา ไอ้เราก็นึกว่าจะ...กันซะอีก :haun4:
หมายถึงอาบน้ำด้วยกันอ่านะ :laugh:
แต่เอมก็ชอบแมวเหรอ พี่ก็ชอบแมวมากๆๆๆค่ะ แมวที่บ้านก็ขี้อ้อนมากๆเลย :o8:
แสดงว่าคนหน้าตาดีนี่จะชอบแมวกันใช่ไหมน้องเอม ก๊ากก :m20:
น่ารักๆๆๆ ได้อยู่ด้วยกันแล้วจะมีปัญหาอะไรตามมามั้ยน้า
อย่างน้อยก็เรื่องตองนี่แหละใช่มะ? :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: pronpailin ที่ 07-12-2011 20:47:38
เอมชอบแมว :o8:
น่ารักอ่ะ แต่อิพี่จิน นี้อย่าเพิ่งรุกฆาตเอม นะ  :oo1:
แล้วเรื่อง ตองละ สงสารตอง อ่ะ หาคู่มาดามใจ ตอน ด่วนเลย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 07-12-2011 21:51:53
ThankS
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-13-] 06/12 -100%-
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 08-12-2011 17:02:30
พี่จินกับมาแล้ววววว แถมกับมาคราวนี้น่ารักกว่าเดิมโคตรๆๆๆๆ

แล้วตองจะเปงยังงัยต่อไปนะ ดันไปชอบคนที่มีเจ้าของซะแล้ววววววววว

หัวข้อ: Love Sick [-14-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 08-12-2011 20:37:56
Love Sick

- 14 -



ผมนอนไม่หลับทั้งคืน...

สายตาก็คอยแต่จะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังอยู่เรื่อยเลย ใจก็อยากจะกดโทรศัพท์โทรไปหาใครสักคนที่อาจจะบอกผมได้ว่าเอมไปอยู่ที่ไหน แต่ก็ตัดใจไม่โทร...

เมื่อรอจนเช้าแล้วผมก็ค่อยๆคิดว่าเอมน่าจะไปหาใคร เอมคงไม่ไปหาพวกไอ้กิแน่นอน แล้วผมก็นึกออกว่าเอมเคยพูดเอาไว้ ว่าเอมไปรับจ๊อบกับไอ้พีร์ ไอ้พี่รหัสของเอม...

ผมต้องไปหาไอ้พีร์...


***********************************************************


“มึงมีอะไรวะตอง” ผมบังเอิญเจอไอ้รุ่นพี่ตอนที่มันกำลังจะออกจากห้องมันมาพอดี ผมรู้เลาๆว่าไอ้พีร์อยู่ที่นี่เลยมาดักรอ
“เอมอยู่กับพี่หรือเปล่า” พอผมถามแบบนั้นมันก็ทำหน้างง
“ไอ้เอมไม่ได้กลับห้องหรือไง? ถึงได้ไม่เจอกันน่ะ” อา...ถ้าไอ้พีร์พูดแบบนี้ แปลว่าเอมไม่ได้อยู่กับมัน ผมตัดสินใจเดินกลับ แต่ก็ถูกมันคว้าแขนไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิ ถ้าอยากจะไปเจอเอม ก็ไปพร้อมกูมั้ย เนี่ย เดี๋ยวกูต้องไปทำงาน คงได้เจอกับไอ้เอมแหละ” มันเสนอมา ผมก็เลยพยักหน้ารับ... ผมอยากเจอเอม

“มึงเนี่ยจะเงียบไปไหนวะ เงียบเกิ๊น” ก็เหมือนมึงที่พูดมากเกินแหละไอ้พีร์ ขนาดขับรถยังพูดไม่หยุด...
“แน๊ะ! กูว่าอยู่ยังเงียบอีก” ผมสะบัดหน้าหนี รำคาญมันเป็นบ้าเลยว่ะไอ้นี่ คนอะไรเสื๊อกเสือก ยิ่งผมได้ยินเสียงมันหัวเราะหึหึก็ยิ่งหงุดหงิด

หลังจากที่ผมต้องทนรำคาญไอ้พีร์มายี่สิบนาทีก็ถึงที่หมายสักทีครับ ผมกำลังจะได้เจอเอมแล้ว...

“อะ น้ำส้ม” แก้วน้ำส้มถูกยื่นมาตรงหน้าผม หน้าอย่างผมเนี่ยเหมาะกับน้ำส้ม? เฮอะ แต่กินก็ได้วะ ผมดูดน้ำส้มไปอึกหนึ่งก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมเงยหน้ามองอัตโนมัติ หวังว่าอาจเป็นเอมก็ได้
“ใครวะ?” แต่เสียงพึมพำด้วยความสงสัยของไอ้พีร์ทำให้ผมหมดความสนใจ รถสีขาวที่ไอ้พีร์ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ก็คงไม่ใช่เอมของผมแน่นอน...
“อ้าวเฮ้ย เอม มารถใครวะเนี่ย” ไอ้พีร์มันตะโกนเสียงดังแล้วเดินเข้าไปที่โตโยต้าสีขาวคันนั้น ผมเงยหน้ามอง รูปร่างที่ผมคุ้นเคย ใบหน้าสดใส เอมยังน่ารัก น่ารักเหมือนวันแรกที่ผมเห็น  แต่วันนี้เอมดูพิเศษไปกว่าเดิม มันคืออะไรกันนะ...

เจิดจ้าไงล่ะ...

วันนี้เอมดูเจิดจ้า... ผมสงสัยที่มาของความเจิดจ้าในตัวเอม และเมื่อผมได้เห็นอีกคนที่เดินก้าวลงมาจากรถ ความสงสัยของผมก็กระจ่าง...

“เอม เพื่อนมึงมารอแน่ะ แล้วนี่ใครเนี่ย”
“คนนี้คือพี่จินครับ เป็น... เอ่อ...” เสียงหวานที่ผมชอบฟังเสมอกำลังจะแนะนำไอ้ผู้ชายคนนั้นให้กับไอ้พีร์ ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าไอ้หมอนี่... คือคนเดียวกับที่ส่งรูปส้นตีนพวกนั้นมาให้เอม...
“ผมเป็นแฟนของเอม” หึ.. ไอ้หน้าด้าน  คนอย่างมึงไม่คู่ควรจะเป็นเจ้าของเอมหรอก..

ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองต่างๆนาๆ แต่สีหน้ามีความสุขของเอมทำให้ผมอยากจะเป็นบ้า ทำไม... ทำไมเอมถึงดูมีความสุข ทำไมเอมถึงยิ้ม เอมชอบที่อยู่กับมันเหรอ ไม่จริงหรอก เอมต้องชอบที่ได้อยู่กับผมสิ..

ภาพของเอมเวลาที่อยู่กับผมมันผุดขึ้นมาเป็นฉากเหมือนหนังสั้น เอมที่พูดคุย ยิ้ม และหัวเราะ... แต่ไม่ได้ดูสดใสเหมือนตอนนี้... ตอนที่อยู่ข้างๆมัน...

“แล้วพี่พีร์บอกว่าใครมาหาเอมเหรอครับ”
“อ๋อ ก็ไอ้ตองไง มันนั่งอยู่นั่นน่ะ” ผมเห็นสายตาตกใจของเอมที่มองมาที่ผม ใจผมมันหล่นวูบ สารพัดสิ่งที่ผมคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดมันหายไปกับสายลม เหมือนกับคลื่นที่พัดสูงสุดและก็ยุบตัวมารวมกับผืนน้ำเบื้องล่างในพริบตา ต่อให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองแค่ไหน ความจริงที่เห็นอยู่มันก็ชัดเจนยิ่งกว่า...

ต่อให้ไม่มีไอ้หมอนี่... เอมก็เป็นได้แค่เพื่อนสำหรับผม...
และที่ผมเข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เอมดูมีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่ข้างๆมัน...

“ตอง... มีธุระอะไรหรือเปล่า” เอมเดินมาหยุดตรงหน้าผม เสียงเอมดังอยู่ใกล้ผมเหลือเกิน ความมั่นใจและหยิ่งทะนงของผมในตอนแรกยิ่งหดเหลือน้อยลงเมื่อรับรู้ได้ว่าเอมกลัวผม... ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ...เพราะรู้ว่าตัวเองทำตัวน่าเกลียดแค่ไหนเมื่อคืนนี้..

“ถ้าตองจะมาคุยเรื่องเมื่อคืน เราจะขอให้คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ย...” ผมมองเห็นแล้ว ตากลมโตที่มีน้ำตาคลอ ผมทำอะไรลงไป... ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัวเองของผม... มันทำลายความรู้สึกของเอมไปจนหมด..
“เราขอโทษนะเอม เราขอโทษจริงๆ ” น้ำตาผมหยดผ่านแก้ม รู้สึกโกรธตัวเองเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำลงไป ยิ่งเอมจับมือผมเอาไว้อย่างอ่อนโยนแบบนี้ก็ยิ่งเกลียดตัวเอง...


***********************************************************


“เราไม่โกรธแล้วละตอง...” ผมพูดเสียงอ่อน ความโกรธหายไปหมดเลยจริงๆครับ คนเราจะรู้สึกผิดจริงหรือไม่จริงเนี่ย มันไม่ได้ดูยากหรอกนะ ถ้าคุณไม่ใช่คนโกหกเก่งจริงๆน่ะ และผมก็มั่นใจว่าตองไม่ใช่คนที่โกหกเก่งแน่นอน

ผมอดไม่ได้ที่จะดึงตองให้มากอดเอวผมไว้ ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาชื้นๆที่ตรงท้อง และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อก็มีมือมาแตะที่ไหล่ผม
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” อื้อหือ พระเอกมาเสียแล้ว สงสัยงานจะงอกก็คราวนี้ละ..
“ไม่มีอะไรครับพี่จิน เพื่อนเอมแค่มีปัญหานิดหน่อย” ผมรู้สึกได้ถึงแรงบีบแน่นขึ้นตรงเอว แรง... แรงจนเหมือนว่าเล็บจะจิกลงบนผิวเนื้อ หลังของตองสั่นเท่าเพราะสะอื้น ผมมองเห็นสายตาที่พี่พีร์มองมาแล้วก็แอบแปลกใจเล็กๆ มันแปลกๆนา...
“เราไม่เป็นอะไรแล้วละเอม ขอโทษนะ...” พอพี่จินเดินถอยออกไป ตองก็เงยหน้าขึ้นมา ผิวหน้าเนียนแดงช้ำเพราะร้องไห้ สายตาเศร้าของตองทำให้ผมรู้สึกแย่ไปด้วย แต่ผมเชื่อ... เชื่อว่าวันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...
“เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะตอง” ผมบีบมือตองเอาไว้และยิ้มให้ ตองลุกยืนขึ้นและเอามือถูหน้าแรงๆ ปลายจมูกโด่งเป็นรอยแดงนิดๆ
“ไปละ ขอให้...มี... ความสุขมากๆนะ” ประโยคสั้นๆแต่ผมรู้ว่ามันพูดออกมายากแค่ไหน ตองเดินไปแล้ว ผมได้แค่ยืนมองตองเดินไป
“เดี๋ยวกูไปส่ง” อะ...พี่พีร์มาอารมณ์ไหวหว่า มาบอกจะไปส่งตอง แต่อุ๊ย ไม่สำเร็จแน่ละ เพราะตองมันเดินลิ่วออกไปไม่รอเลย พี่พีร์หันมาทำท่าคั่นเวลากับผมแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ก่อนจะขับตามตองออกไป

“เอม ไม่มีอะไรกันใช่มั้ย” เย้ย! พี่จินมามาดนิ่งซะผมปรับอารมณ์ไม่ทันเลย ทำไมถึงจมูกไวแบบนี้คร้าบบบ
“ก็... นิดหน่อยครับ แต่ไม่มีอะไรแล้วแหละ” ผมพยายามทำท่าออดอ้อนโดยการเข้าไปเกาะเอวพี่จิน ใบหน้าคมยิ้มนิดๆ ผมรู้นะว่าพี่ชอบที่ผมเข้าไปนัวเนีย > <
“ไม่มีก็ไม่มี แต่เอมจำไว้นะครับ ถ้ามีอะไรแล้วไม่บอกพี่ ปล่อยให้พี่รู้ทีหลังเนี่ย เอมจะโดนไม่ใช่น้อย” เสียงอ่อนโยนและท่าทางที่แสนใจดี ขัดกับแววตาอำมหิต พี่จินจูบหน้าผากผมแล้วทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะเดินหล่อขึ้นรถแล้วขับออกไป...

ผมนั่งเหวอแดกกับท่าทางซาดิสม์ของพี่จินอีกอึดใจ ก่อนจะคิดได้ว่าผมกำลังรับจ๊อบหาเงินกินขนมอยู่ ถ้างานเสร็จไม่ทันกำหนด ไม่แคล้วว่าจะได้ทำงานชดใช้ต่ออีกจนเปิดเทอม


ผมนั่งทำงานไปเพลินๆ ผ่านไปประมาณชั่วโมงนึงพี่พีร์ก็กลับมา ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าตกลงได้ไปส่งตองหรือเปล่า พี่พีร์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“เอม ไอ้เพื่อนมึงคนนี้เนี่ย แม่งโคตรเงียบซะจนพี่ใบ้ตามเลยว่ะ” พี่พีร์พูดแล้วหยิบบุหรี่มาจุดสูบ ควันลอยโขมงจนผมต้องหันหน้าไปสำลักควันทางอื่น
“อ้าวเฮ้ย โทษทีๆ พี่ลืมไปว่ามึงไม่ชอบควันบุหรี่” พี่พีร์ใช้เท้าขยี้บุหรี่ให้ดับแล้วหยิบหมากฝรั่งออกมาเคี้ยวแทน
“ตองก็เป็นคนเงียบมาตั้งแต่แรกแล้วครับพี่พีร์” ผมยิ้ม จับสัมผัสบางอย่างได้... หึหึ เสร็จผมแน่ไอ้พี่พีร์
“พี่ก็พยายามชวนมันคุยนะ แต่มันก็คอยจะหันหน้าหนี แล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะว่ะ”
“พี่ก็อย่าไปเซ้าซี้ ตองเขาขี้รำคาญคนพูดมาก” ผมแอบกัดพี่พีร์เสียหนึ่งทีแล้วก็รีบชิ่งไปทำงานต่อ ปล่อยให้เขายืนประมวลผลอยู่ตามลำพังอย่างนั้นแหละ เชื่อเหอะ จนเย็นมันก็คิดไม่ออกหรอกว่าผมหลอกด่า 55+


พอช่วงเที่ยงๆพี่จินก็มารอพาผมไปกินข้าวตามที่บอกไว้ ผมเป็นคนจัดรายการว่าจะพาพี่จินไปเปิบพิสดารที่ไหนดี และก็เตือนตัวเองว่าต้องไม่ลืมซื้อข้าวกลางวันมาเผื่อพี่พีร์ด้วย

ร้านที่ผมพาพี่จินไปกินเป็นร้านข้าวซอยเจ้าประจำ ผมคิดว่าพี่จินน่าจะชอบ แต่ดูเหมือนว่าพี่จินเป็นคนกินง่ายพอสมควรแฮะ เพราะขนาดของที่ไม่เคยกินมาก่อน พี่จินก็ไม่ลังเลที่จะลองชิมดู
“พี่ว่ามันก็อร่อยดีนะครับไอ้ข้าวซอยเนี่ย”
“ดีจังครับที่พี่จินกินง่าย ไม่เหมือนเพื่อนเอมคนนึงที่มันกินย๊ากยาก ชาวบ้านเขากินได้ มีไอ้นี่คนเดียวกินไม่ได้” ผมหมายถึง ’กิ’ น่ะครับ ไอ้หมอนี่มันกินยากจริงๆนะ อะไรที่ไม่เคยกินมาก่อนเนี่ย อยากจะให้มันลองชิมยังยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอีก อย่างข้าวซอยร้านป้าที่พวกผมโปรดปรานกันสุดๆ กว่าไอ้กิมันจะยอมลองชิมก็ปาไปเป็นเทอมแล้วแหละ
“แต่ถ้าเป็นพวกหนอนอะไรนะ ที่เขาขายๆตามรถเข็นอ่ะ พี่ไม่กินนะ รับไม่ได้” พี่จินทำท่าขนลุกประกอบ แหม ผู้ชายตัวเบ้อเริ่มไม่กล้ากินหนอน แต่เอาเถอะเรื่องหนอน เพราะผมก็ไม่กินเหมือนกัน > <

“เดี๋ยวสั่งกลับไปให้พี่พีร์แป๊บนึงนะครับ” จนจะคิดเงินอยู่แล้วผมถึงเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้สั่งเผื่อพี่พีร์เลย ผมหันไปสั่งอาหารกับน้องเด็กเสิร์ฟ พอหันกลับมาก็เห็นพี่จินทำหน้านิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมพี่ทำหน้าแบบนั้นละ” ผมแปลกใจ ตอนแรกยังยิ้มๆอยู่เลย แล้วทำไมตีหน้ายักษ์ซะงั้น
“เปล่าหรอกครับ ว่าแต่เอมสนิทกับพี่รหัสมากเลยเหรอ” พี่จินยิ้มแต่เสียงไม่ยิ้มอะ แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าพี่จินหมั่นไส้พี่พีร์ชัวร์ จากประสบการณ์ตั้งแต่สมัยที่คบกับพี่เปปเปอร์ เวลาพี่จินเห็นผมคุยอยู่กับพี่เปปเปอร์ก็จะชอบเข้ามากวนตีนใส่ ทำตาขวางๆ ทำท่าหาเรื่องแบบนี้เลยละครับ
“พี่เขานิสัยดีกว่าที่เห็นนะครับ” ผมพยายามจะไม่พูดถึงพี่พีร์ในแง่ดีมากเกินไป ไม่งั้นอาจจะเป็นชนวนก่อให้เกิดการหมั่นไส้มากขึ้น เหอะๆ
“อืม” พี่จินยกน้ำขึ้นมาจิบ ผมมองแบบตุ๊มๆต่อมๆ จะเข้าใจง่ายๆหรือเปล่าว้า “พี่ว่าคืนนี้เราคงต้อง ‘คุย’ กันยาวแล้วแหละ พี่อยากจะรู้เรื่องเพื่อนๆแล้วก็คนรู้จักของเอมให้หมดเลย” แง้! พี่จินไม่เข้าใจอะไรเลยง่ะ


บ่ายทั้งบ่ายวันนั้นผมได้แต่ประสาทแดก เพราะว่าถูกท่าทางใจดีของพี่จินหลอกให้คล้อยตามจนลืมไปแล้วว่าคนๆนี้งี่เง่าไม่แพ้ใครในโลก แถมเวลาโมโหก็บ้าสุดๆ

“เป็นไรวะมึง ถอนหายใจอยู่ได้” พี่พีร์เดินแทะกระดูกไก่มาที่ผม มือหนึ่งพี่แกยังถือชามข้าวซอยอยู่เลย อ๊ะ เฮ้ย พี่พีร์มันแอบกินลูกชิ้นปลาระเบิดผมอ้ะ
“เรื่องหัวใจ” ผมตอบเสียงขุ่น เพราะแกแท้ๆไอ้พี่พีร์ ผมแอบเคืองทั้งที่พี่พีร์มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะ
“อะไรวะ แล้วมาทำเสียงงี้ใส่พี่ทำไมเนี่ย” พี่พีร์พูดแล้วพ่นกระดูกไก่ใส่ถุงก๊อบแก๊บ อี๋ หล่อเสียเปล่าทำตัวซกมก
“ก็เพราะพี่แหละแม่ง ทำแฟนผมหึง!”
“แฟนมึง? ใครแฟนมึง? อ๊ะ... อย่าบอกนะว่าไอ้หล่อนั่น!!” ฮึ้ยยยยยย ผมละอยากจะกระชากหัวไอ้พี่พีร์มาตบนัก มันจะโวยวายทำไมเนี้ยยย
“ก็ใช่สิ คนนั้นแหละ คนเดียวกับที่ผมเล่าให้พี่ฟังเมื่อวานอ้ะ”
“อ้าว ไหนมึงบอกว่าอยู่ไกลกันไง ทำไมแค่วันเดียวมันก็มาอยู่ใกล้มึงแบบนี้แล้วอะ”

เมื่อดูท่าว่าเรื่องราวจะบานปลาย ผมจึงตัดสินใจจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ก่อนที่ไอ้พี่พีร์จะคิดไปเองจนใหญ่โต พอผมเล่าจบ ดวงตาขวางๆของพี่พีร์ก็ดูชั่วขึ้นมาถนัดตามันหัวเราะเสียงต่ำแล้วบีบไหล่ผมแน่น
“มึงบอกว่าแฟนมึงขี้หึงใช่มะ งั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้เองนะ”
เฮ้ย ไม่อ๊าวววววววววว~

ผมรู้มาแต่แรกแล้วว่าพี่พีร์หล่อ รวย เท่ห์ กินเหล้าเก่ง สูดนิโคตินเข้าปอดเหมือนหายใจเอาอ๊อกซิเจนธรรมดา ฯลฯ เรื่องชั่วๆของพี่พีร์ผมก็คิดว่ารู้มาหมดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเวลาพีพีร์กวนตีนจะมากขนาดนี้...
“อ้าวเอม นั่นแฟนมึงนี่หว่า” พอพูดจบมือใหญ่ของพี่พีร์โอบไหล่ผมไว้แน่น มึงไม่เอาเชือกมามัดกูไว้กับตัวมึงเลยละครับพี่!!
ผมเห็นแต่ไกลว่าพี่จินทำหน้ายังไงเมื่อเห็นพี่พีร์โอบไหล่ผมไว้แบบนี้ โมโห สงสัย แปลกใจ โอ๊ยสารพัดอะครับ วันนี้ไม่ไอ้เอมก็พี่พีร์เนี่ยละไม่ตายดี
“ไปๆ กลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ” แอร๊ย! พี่พีร์ลูบหัวผมอ่ะ มันเล่นเนียนมากเลยนะนี่ ผมเลยเอามือผลักพี่พีร์ให้ออกห่าง พี่จินก็กำลังเดินมาใกล้ แต่ไอ้พี่พีร์ก็ไม่ปล่อยผมสักที
‘พี่พีร์แม่ง เล่นอะไรเนี่ย’ ผมกระซิบเสียงขู่ พี่จินมันเดินมาจะถึงแล้วนะเว้ย
‘ก็พี่อยากรู้ว่าแฟนมึงขี้หึงแค่ไหนอะ ดูดิ แม่งเหมือนมีเขี้ยวงอกเลยว่ะ ฮ่าๆ’ โอ๊ย ยังจะหัวเราะอีก กูจะบ้า T T ผมมองหน้าพี่จินแล้วก็รู้สึกแบบที่ไอ้พี่พีร์มันพูดครับ หน้าพี่จินโคตรนิ่ง ตาก็ดุ เหมือนกับจะกัดหัวใครได้แล้วอย่างนั้นแหละ

“มีอะไรหรือเปล่า?” อู๊ยยยย เสียงพี่จินยังกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออะ ผมจับทิศทางได้ว่าพี่จินมันจ้องไปที่มือไอ้พี่พีร์ที่โอบผมอยู่ ผมแอบใช้เล็บจิกเนื้อพี่พีร์แต่มันก็ไม่รู้สึก นี่มันเนื้อคนหรือหนังควายเนี้ย!

“เปล่าหรอกครับ ก็แค่เอ็นดูน้องมันเฉยๆ พี่น้องกัน เอ็นดูกันไม่ได้เหรอครับ?” พี่พีร์ยักคิ้วใส่แล้วยิ้มแบบที่ผมก็ดูออกว่ามันเสแสร้งสุดๆ ขนาดเป็นผมยังอยากจะตบให้หัวทิ่มเองเลยครับ - -*
“ถ้าเอ็นดูเสร็จแล้วก็ช่วยปล่อยได้มั้ยละครับ นี่ก็เลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ?” บราโว่ พี่จินของผมยังคงใจเย็นอยู่ แต่สีหน้าดูร้อนจัดเลยนะ
“เอ... ผมก็ไม่รู้ว่าผมเอ็นดูเสร็จแล้ว แต่น้องเขาอยากจะเปลี่ยนมาดูเอ็นผมแทนมั้ย... โอ๊ย!” ไม่ต้องตกใจครับ เสียงไอ้พี่พีร์เนี่ยแหละ รู้สึกว่ามันจะเล่นแรงไปแล้วละ ผมก็เลยจัดการใช้ส้นกระทืบเท้าพี่พีร์เต็มรัก นึกสภาพดูนะ ผมโคตรโกรธอะ พูดอะไรซกมกขนาดนี้วะแม่ง
“พี่พีร์นิสัยว่ะ ผมโกรธแล้วนะเนี่ย เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องมาคุยด้วยเลย” ผมเตะเจาะยางพี่พีร์แล้วก็รีบวิ่งไปหาพี่จินที่ทำหน้างงปนสะใจเล็กๆ ได้ยินเสียงพี่พีร์ร้องโอดโอยขอโทษมาตามลม แต่ผมไม่สนอะ โกรธแม่ง! ต้องรีบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่ผมจะเดือดจัดจนเอาพู่กันฟาดหัวพี่พีร์!!


“ทำไมไอ้นั่นมันถึงทำแบบนั้น” พี่จินถามผมขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ขับรถออกมาจากบริษัทพี่พิงค์ได้ไม่กี่อึดใจ สีหน้าพี่จินดูรีแล็กซ์ขึ้นแล้วละครับ ไม่มีแววอำมหิตเหมือนตอนแรก - -“
“ก็เขากวนตีนน่ะสิครับ... พอเอมบอกว่าพี่เป็นแฟนเอม เขาก็บอกว่าอยากจะรู้ว่าพี่ขี้หึงมากแค่ไหน...” ผมลืมคิดไปว่าพี่จินจะโกรธไหมถ้าผมบอกคนอื่นๆว่าพี่จินเป็นแฟนผม แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว ก็คงต้องพูดต่อให้จบอะนะ...
 
“แล้วเอมว่าแฟนของเอมขี้หึงมั้ย” ผมเงยหน้ามองพี่จินเหมือนไม่เชื่อหู พี่จินบอกว่า ‘แฟนของเอม’ หน้าตาก็ดูยิ้มน้อยๆ พี่จินไม่โกรธใช่มั้ย?

“เอม...ว่า...แฟนของเอม...ขี้หึงครับ...” อึ๋ย เขินอ้ะ ถ้าพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรยังไม่เขินแบบนี้เลยนะ แต่เนี่ยผมต้องมาพูดเน้นๆ ว่า แฟนของเอม แฟนของเอม...

พี่จินเป็นแฟนของเอมล่ะ >//<

เอี๊ยดดดดดดดดดดด!
“เหวอ!!!!!!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆพี่จินก็เลี้ยวหักศอกเข้าข้างทาง โชคดีที่ว่าเริ่มมืดแล้ว ถนนก็เลยโล่ง หัวใจผมเต้นตึกตักๆ และยิ่งเต้นแรงจนแทบจะทะลุอกเมื่อรู้สึกว่าพี่จินโน้มหน้ามาใกล้ผมเหลือเกิน...
“ตกใจเหรอ... กลัวหรือเปล่า” มืออุ่นของพี่จินแตะเบาๆที่แก้มผม เหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้มันเลือนหายไปหมดเลยครับ ผมมองเห็นผิวของพี่จินอยู่ใกล้แค่คืบ เหมือนว่าจะได้กลิ่นของพี่จินด้วย...
“พี่เป็นคนขี้หึงรู้มั้ย พี่หวง... ของๆพี่ พี่ไม่อยากให้ใครมาแตะต้อง พี่รักของพี่ พี่เฝ้ามองของพี่มาตลอด หากจะมีใครสักคนที่จะมาแตะต้องของๆพี่ได้ คนนั้นก็จะต้องเป็นพี่...เท่านั้น” ริมฝีปากของพี่จินแตะลงมาอย่างแผ่วเบาและค่อยๆแทะเล็มไปอย่างไม่เร่งร้อน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนจนเหมือนจะละลาย
“อื้อ...” เสียงรสจูบดังท่ามกลางความเงียบ พี่จินผละออกไปแล้วและเปลี่ยนมาหอมแก้มของผมฟอดใหญ่ ผมหลับตาปี๋ ไม่อยากมองหน้าพี่จินเพราะมันเขิน ให้ตายเถอะทำไมผมอ่อนไหวง่ายแบบนี้ > <
“พี่ว่ากลับบ้านดีกว่านะ เดี๋ยวจะได้เล่นหนังสดโชว์ผู้คนบนท้องถนนซะก่อน” ผมเห็นนะว่าพี่จินพูดแล้วยิ้มกริ่ม ฮึ่ม คนลามก!!



ปล.ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ เนื่องจากงานเร่ง + ทะเลาะกับคุณแฟน (อันหลังเรื่องใหญ่มาก 555)
ก็เลยทำให้ล่าช้าไปเยอะ แล้วก็อยากจะบอกว่า วันหยุดอีกสามวันนี้ จะหายยาวเลยค่ะ
เพราะว่าจิกลับบ้านนอกที่แสนคิดถึง ขอไปสูดอากาศหนาวๆจั๊กหน่อยค่า
ปล.2 พยายามจะตามบวกคืน แต่อาจบวกได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องขออภัยจริงๆค่ะ  :call:

กอดทุกคน  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 08-12-2011 21:04:02
มัวแต่อ่าน สงสัยจะจิ้มคนแต่งไม่ทัน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: moriku ที่ 08-12-2011 22:35:26
พี่พีร์กวนตีนอย่างแรงอ่ะ5555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 08-12-2011 23:00:00
จินจ๋าาาาาาาาาา

รักจินๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-12-2011 23:08:26
ชอบพี่จินตอนหึง ๆ นี่แหละ  อิ อิ อิ ซาดิสต์ว่ะเรา
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 08-12-2011 23:37:25
พี่จินหึงได้น่ารักจัง ว่าแต่เบรกรถอย่างนั้นอันตรายนะเนี่ย

ขอให้เที่ยวให้สนุกนะคะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 09-12-2011 08:55:34
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
เขินมากกกกกกกกกกกกกกกก


แฟนของพี่ !!!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 09-12-2011 11:36:43
เอิ๊กๆ พีร์กับตอง สงสัยจะมีซัมติงวองก์ซะแล้ว   :-[ :-[ :-[ :-[

จินหื่นจริงๆ   :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 09-12-2011 12:39:41
เขินแทนน้องเอม :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 09-12-2011 12:56:05
ชอบจัง แฟนของเอม  :impress2:
1+จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: khuan ที่ 09-12-2011 14:09:00
                          :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 09-12-2011 17:39:27
 :impress3:  น่ารักมาก

พี่จินขี้หึง  พี่พีร์ก็กวนตีนๆ   :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 09-12-2011 18:59:39
พี่จินหึงน่ารัก
 :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 09-12-2011 19:50:55
พี่จินกลับมาก็น่ารักเชียวเรื่องนี้
ดีใจกับนายเอกด้วยที่หัวใจกลับมาแล้ว
ฮิ้ววววว(เลียนคำตัวเอง เหอๆ)

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 09-12-2011 19:55:26
"แฟนของเอม"

พูดไปแล้ว   :-[    :-[   :-[

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-12-2011 21:13:04
เรื่องของคนอื่นน่ะ รู้ไวเชียวนะ

พอเรื่องของตัวเองล่ะก็ .......... ช้าาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-14-] 08/12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 09-12-2011 23:29:19
อะคึ อะคึ กลับไปถึงบ้านเนี่ยสงสัยพี่จินต้องรีบชักชวนน้องเอมทำการบ้านทันทีแน่เลย ก็น้องเอมน่ารักขึ้นทุกวันนี่เนอะ
 คู่นี้น่าจะสมกั๊น สมกันนะ พี่พีร์กะน้องตอง คนหนึ่งก็พูดซะ อีกคนก็เงียบซะ อิ อิ
หัวข้อ: Love Sick [-15-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 13-12-2011 17:09:13
Love Sick

- 15 -


“วานิลลา เด็กดี หิวมั้ยคร้าบบ” เจ้าเหมียวขนฟูวิ่งหางชี้เข้ามาหาเมื่อได้ยินเสียงประตูหน้าบ้าน วานิลลากระโดดเกาะหมับเข้าที่ขากางเกงยีนส์ของผมแล้วก็ใช้เล็บจิกแน่น เอ่อ... นี่เป็นนิสัยเสียของวานิลลาในช่วงนี้น่ะครับ หลังจากวันแรกที่มาอยู่วานิลลาเอาแต่นอนลูกเดียว พอวันที่สองเท่านั้นแหละก็ซนอย่างกับลิง แล้วเวลาเห็นคนใส่กางเกงยีนส์มันก็จะชอบกระโดดเกาะด้วยละครับ ห้ามก็ไม่ฟัง - -* ว่ายากเหมือนใครก็ไม่รู้
“ไหนให้พี่เอมหอมหน่อยสิ” วานิลลาดิ้นดุ๊กดิ๊กตอนที่ผมอุ้มขึ้นมา มันห่วงเล่นน่ะครับ เหอะๆ แต่ผมก็คิดถึงมันทั้งวันเหมือนกันอะ อยากฟัดขนนุ่มๆจะตาย
“เดี๋ยวขนก็เข้าจมูกหรอกครับเอม” พี่จินที่เดินตามเข้ามาทีหลังพูดขึ้น ผมทำแก้มป่องแล้วฟัดเจ้าเหมียวน้อยต่อ
“ต่อให้เอมเป็นภูมิแพ้ เอมก็จะฟัดมันแบบนี้แหละ เชอะ”
“เด็กดื้อ” พี่จินขยี้หัวผมแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา ก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมไปใกล้ๆ
“มานั่งนี่มา”
ผมเดินไปนั่งข้างพี่จิน วานิลลาก็ยังคงอยู่ในอ้อมกอด เจ้าลูกขนฟูๆเอามือตะปบเสื้อผมอย่างเมามัน น่ารักอ้ะ > <
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็วาดได้อีกเยอะเลยครับ เอมคิดว่าอีกไม่เกินห้าวันก็เสร็จ ถ้ามีงานแบบนี้บ่อยๆก็ดีนะครับ เพราะว่ามันเป็นงานแบบที่เอมถนัด แล้วค่าตอบแทนก็ดีด้วย” คำนวณโน่นนี่นั่นแล้ว เงินที่ได้รับยังเอาไปเก็บไว้เผื่อฉุกเฉินได้อีก หุหุ หวาน~
“พี่ก็ว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่... พี่กะว่าจะไม่ให้เอมรับงานแล้วละนะ” ผมหันควับไปมองคนที่พูดเรียบเรื่อยด้วยอารมณ์งุนงง
“แล้วถ้าเอมไม่รับงานพิเศษ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายละครับ”
“ก็ไม่ต้องหาเงิน พี่จะดูแลเอมเอง” ปรี๊ดดดดดเลยครับ!
“ได้ยังไง? พี่จินจะมาเลี้ยงเอมยังงั้นเหรอ เอมรู้ว่าพี่จินรวยนะครับ แต่ไม่มีความจำเป็นที่พี่จะต้องเอาเงินของพี่มาให้เอมช่วยใช้ งานพิเศษที่เอมทำมันไม่ได้ลำบากเลย นานๆทีเอมถึงจะรับงาน แถมค่าตอบแทนก็สูง เรื่องค่าเล่าเรียนเอมก็ได้ทุน พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก!” ผมพูดเสียงเหวี่ยง มันหงุดหงิดบอกไม่ถูก แค่ลำพังตอนนี้ผมรับรู้ว่าพี่จินรวย ผมก็รู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว พี่จินมีอนาคตสดใสรออยู่ แต่ผมเนี่ยต้องตะเกียกตะกายแทบตายกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้อยากจะให้ใครพูดได้ว่าผมรักพี่จินที่เงิน
“เอมใจเย็นๆ พี่ไม่ได้ดูถูก ไม่ได้คิดจะใช้เงินซื้อเอม แต่พี่แค่อยากให้เอมเก็บเงินที่เอมหามาได้ไว้ต่างหาก เอมอยู่กับพี่ พี่ก็ต้องดูแลเอมให้ดีไม่ใช่เหรอ แบบนี้มันก็เหมือนว่าเอมฝากชีวิตไว้กับพี่แล้วนะ” หา? อยู่กับพี่?
“พี่จินหมายความว่ายังไง อยู่กับพี่งั้นเหรอครับ? เอมแค่จะมาอยู่ชั่วคร-” ผมพูดไม่จบนิ้วเรียวยาวก็มาแตะริมฝีปากผมให้หยุดพูด
“ชู่ว์... อย่าพูดว่าจะมาอยู่ชั่วคราวเด็ดขาดนะ เอมหลวมตัวมาที่นี่แล้ว ก็ต้องอยู่ไปตลอดจนกว่าพี่จะคิดย้ายไปที่อื่น ถ้าเอมไม่อยู่กับพี่ เอมก็จะไม่ได้เจอวานิลลานะครับ เพราะพี่ไม่มีทางให้เอมเอาวานิลลาไปอยู่ในห้องแคบๆแน่ แมวน่ะ ต้องอยู่ในที่กว้างเพียงพอกับการวิ่งเล่นนะ และก็อย่าคิดที่จะไปๆมาๆ เพราะพี่บอกแล้ว ถ้ามา ก็ต้องมาถาวร” พอพี่จินพูดจบผมก็อ้าปากค้าง โอ้มายก็อด....
“อ้าปากค้างแบบนี้ทำไมกัน ไม่เรียบร้อยเลย“ พี่จินเอามือบีบคางผมให้หุบปาก ก่อนจะแตะจูบเบาๆ ตัวผมเองก็เหวอไปเรียบร้อย คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทักท้วงว่ายังไง รู้สึกเหมือนตัวเองเดินมาติดหลุมพรางเองง่ะ ไหนจะกับดักน่ารักๆแบบวานิลลา ไหนจะชอบที่ได้อยู่กับพี่จิน ไหนจะไม่อยากกลับไปอยู่ร่วมกับตองสองต่อสอง...

โอย.....

อยากจะบ้า!!

ผมเหลือบมองวานิลลาที่กระโดดแผล็วไปจากตักผมแล้วก็กระโดดวิ่งเล่นไปทั่ว อา...วานิลลาคงไม่เหมาะกับห้องแคบๆจริงๆแหละ แถมยิ่งพอผมหันมามอง... คนที่นั่งวางท่าเป็นองค์ชายข้างผมเนี่ย... ขายาวๆ ใบหน้าหล่อที่ชอบยิ้มมุมปากน้อยๆ มือที่คอยจะมาลวนลามลูบไล้ตัวผม...

“เอมอยู่กับพี่จินก็ได้...”  ผมก้มหน้างุด อายว่ะ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กใจแตกเลยแฮะ - -“
“เด็กดี มาให้พี่กอดหน่อยสิ” พี่จินยิ้มอย่างพอใจแล้วก็ดึงตัวผมไปนั่งตัก... อะ...ทะ...ท่านี้... เหมือน...เมื่อคืนนั้น...เลย
“อื๊อ พี่จินปล่อยนะ!” ผมดิ้นสุดฤทธิ์ พี่จินกลับกอดผมไว้แน่นมากขึ้น เสียงหัวเราะในลำคอบ่งบอกว่าพี่จินสนุกสนานมากแค่ไหนที่ทำให้ผมอายได้
“ทำไมละ ไม่ชอบที่ได้อยู่ใกล้พี่เหรอครับ? หืม เจ้าจิ๋ว” อ๋า! อย่ามาเรียกผมว่าจิ๋วนะ > <
“ฮื้อ พี่จินอย่าเอาจมูกมาถูแก้มเอมแบบนี้สิ... อ๊ะ แล้วนั่นอะไรแข็งๆ”
“อยากจับดูมั้ยละครับ หึหึ”
“ไม่อ๊าว ปล่อยนะคนลามก!!”
“ไม่ปล่อย ให้พี่กอดหอมให้หายคิดถึงเถอะ”
“อย่างพี่อ้ะ กอดทั้งวันหอมทั้งคืนก็ไม่พอหรอก ไอ้หื่น!”
“อ้าว ก็รู้นี่นา งั้นเอมจะได้เตรียมใจไว้เลยเพราะว่าพี่จะฟัดเอมไปโดยไม่หยุดพักอีกสามวันเลยละ” ผมระดมทุบๆที่ตัวพี่จิน แต่ก็เหมือนเอากำปั้นไปทุบหินละครับ ไม่สะเทือนเลย ยิ่งเห็นว่าผมทำอะไรไม่ได้ก็ยิ่งย่ามใจเอาปากขบเม้มตามซอกคอ คาง รวมถึงใบหูของผม ไอ้ร่างกายเจ้ากรรมก็ไม่รักดี จะไปโอนอ่อนตามเขาทำไมเนี่ยยยยยยย

“เมี้ยววววว~”

เสียงเล็กๆทำให้การกระทำทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งพี่จินและผมหันไปมองที่มาของเสียงซึ่งกำลังนั่งเอียงคอมองพวกผมอย่างสงสัยประมาณว่า ‘เล่นอะไรกันเหรอฮับ’ เจ้าก้อนขนเดินยักย้ายมาเกาะโซฟาตรงที่ผมถูกจับกดอยู่แล้วยกเท้าหน้ามาเขี่ยๆมือพี่จิน...

อ๊า~~~~~

น่ารักอ้ะวานิลลา~~~~

“พี่จินอะ เห็นมั้ย ทำอะไรอายวานิลลาบ้างสิ” ผมฉวยโอกาสที่พี่จินนั่งอึ้งขยับตัวออกมาจากอ้อมแขน มือทั้งสองของผมช้อนเจ้าตัวจิ๋วมาคลอเคลียที่ข้างแก้ม เหมือนว่าวานิลลาก็คงชอบที่ผมมาเล่นด้วย เพราะมันใช้อุ้งเท้าหน้าตบเบาๆที่แก้มผมกลับเหมือนกัน
“วานิลลาน่ารักที่สุดเลยมั้ยครับ น่ารักที่ซู้ดดดดเลยเนอะ พี่เอมพาวานิลลาไปหาอะไรกินดีกว่าเนอะ” ลูกผมน่ารักที่สุดอะ ขี้เล่นขี้อ้อน วันนี้วานิลลาเป็นเด็กดีช่วยให้พี่เอมหลุดรอดจากอุ้งเท้าพญามาร เพราะฉะนั้นวันนี้พี่เอมจะผสมอาหารเปียกให้กับอาหารเม็ดน้า > <b

“เอ่อ...แล้วพี่ละ...” สุดท้ายคนที่นั่งนิ่งก็รู้สึกตัว และก็เข้าใจเสียทีว่ามารผจญตัวเบิ้มก็คือเจ้าเหมียวขนฟูนั่นเองที่ได้รับการเอ็นดูจากชะเอมยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
“ฮึ่ม ไอ้แสบวานิลลา” พึมพำแบบหงุดหงิดแล้วก็ตัดใจ วันนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีวันหน้า ช้าๆได้พร้าเล่มงามสินะจินเจอร์...

***********************************************************

“อร่อยมั้ยครับวานิลลา” ผมมองเจ้าของเสียงหวานที่พูดจาจ๊ะจ๋ากับไอ้ก้อนขนนั่นด้วยความหมั่นไส้ ทีกับผมนะเอาแต่วิ่งหนี
“พี่จิน ไม่อร่อยเหรอครับ” เจ้าจิ๋วเสียงหวานทำตาเศร้าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่จ้องแมวจนไม่ยอมตักข้าว แกงจืดวุ้นเส้นหมูบะช่อใส่เต้าหู้ไข่ที่ผมรีเควส กับผัดพริกแกงไก่ใส่ยอดมะพร้าวยังส่งควันกรุ่น ผมมัวแต่หึงแมวสินะ ...
“อร่อยสิครับ แต่พี่อยากรอกินพร้อมเอมมากกว่านะ” ช่วยย้ายก้นจากพื้นมานั่งตักพี่แล้วป้อนข้าวพี่แทนการคลอเคลียแมวจะดีมากเลยครับ... เอ่อ... ขอโทษทีที่ผมคิดอะไรโจ่งแจ้งไปหน่อย
“เอมเพิ่งเคยทำครั้งแรก ปกติแค่เจียวไข่กับต้มไข่ ไม่รู้ว่าจะถูกปากพี่จินแค่ไหน แต่ถ้าพี่จินชอบ เอมจะทำทุกวันเลยนะครับ” ผมยิ้มกลับไปให้เจ้าของใบหน้ามุ่งมั่น แกงจืดนั้นแม้ว่ามันจะจืดไปนิด ผัดพริกแกงก็เผ็ดไปหน่อย แต่โดยรวมทำครั้งแรกได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้วนะครับ ยิ่งเป็นของที่เอมทำให้ ผมว่ามันยิ่งอร่อยเลยแหละ

ไม่นานนักกับข้าวบนโต๊ะก็ถูกจัดการเรียบ ผมเห็นคนทำยิ้มหน้าบานก็มีความสุขไปด้วย ในฐานะที่เอมเป็นคนทำแล้ว ผมก็จะขออาสาล้างจานเอง ปล่อยให้คนกับแมวได้จี๋จ๋ากันต่อไปเถอะครับ
“อ๊ะ วานิลลา อย่าไปกวนปะป๊าสิครับ” หือ? ปะป๊า?
“เฮ้ย!” จู่ๆก็มีบางอย่างที่กระโดดมาเกาะขาผมเต็มรัก แล้วไต่ๆขึ้นมาจนถึงขอบกางเกงยีนส์ ผมก้มมองก็เห็นเจ้าแมวจิกเล็บแน่นบนยีนส์ตัวเก่งของผม อา...รอยเล็บเป็นทางยาวเลย ว่าแต่เมื่อกี้เอมพูดว่าอะไรนะ
“วานิลลา พี่เอมบอกว่าไม่ให้ไปกวนปะป๊าไงครับ” ชัดเลย ผมเป็น ‘ปะป๊า’ ของแมวเหมียวงั้นเหรอ?
“พี่เป็นพ่อแมวเหรอครับ?” พอผมถามแบบนั้นเอมก็ทำตาโต หน้าแดง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“..ใช่ครับ พี่จินตัวโต ก็ต้องเป็นปะป๊า..” ผมวางกองจานชามลงบนโต๊ะ ไอ้แมวแสบก็ยังเกาะขาผมอยู่แบบนั้น
“แล้วใครจะเป็นหม่าม้าละ...” ผมเกลี่ยนิ้วที่แก้มใสแดงเรื่อ ยิ่งอายพี่ก็ยิ่งหมั่นเขี้ยวนะเนี่ย...
“มะ...ไม่มีหม่าม้าครับ..”
“งี้เจ้าวานิลลาก็เป็นแมวกำพร้าสิ มีพ่อ แต่ไม่มีแม่...” อืม...ปากเล็กนั่นน่าจูบเสียจริง...
“เอมเป็นหม่าม้าให้วานิลลาไม่ได้เหรอครับ” ผมรุกต่อเมื่อเห็นเจ้าจิ๋วยังเงียบ หึหึ... วานิลลาทำดีมาก Good Job!
“อะ...เอมเป็นผู้ชายนะ”
“ก็ช่างมันสิ วานิลลาก็อยากให้เอมเป็นหม่าม้าใช่มั้ยครับ เหมียวๆ” ผมหิ้วคอเจ้าเหมียวที่เกาะขาผมอยู่ขึ้นมา จับเอาอุ้งเท้ามันเขี่ยๆแก้มเอม ในที่สุดผมก็รู้ละว่าจุดอ่อนเจ้าจิ๋วอยู่ที่ไหน...
“เป็น..เป็นก็ได้ครับ เอมเป็นหม่าม้าก็ได้” หึหึ เอาแมวมาล่อ คิดไม่ผิดจริงๆ...
“แล้วตอนนี้วานิลลาบอกว่าอยากมีน้อง งั้นหม่าม้ากับปะป๊าก็ต้องทำยังไงน้า..” ผมโยนแมวลงพื้น แล้วกระชับเอวของเอมให้มาแนบชิด ใบหน้าหวานเบิกตากว้าง แต่ผมไม่สนละจังหวะนี้ ไม่ต้องตกใจนะครับเอม เดี๋ยวพี่จินปลอบขวัญเอง..

เพียะ!!

“โอ๊ย!”

“ลามก! บ้า! ฉวยโอกาส!”

คงไม่ต้องบอกว่าหรอกนะว่าผมได้ทำน้องให้วานิลลาหรือเปล่า เพราะว่าการที่ผมมายืนล้างจานพร้อมกับรอยแดงห้านิ้วที่ต้นแขนเนี่ยมันคงอธิบายเรื่องได้ทั้งหมดแหละ..

แต่ถึงแม้จะถูกเล่นงานตอบโต้รุนแรง ผมก็ยังคงจินตนาการถึงร่างเปลือยเปล่าเร่าร้อนของเจ้าจิ๋ว โดยไม่รู้ตัวก็เผลอแสยะยิ้มน้อย ๆ ชนิดที่ถ้าเอมได้เห็นคงต้องรีบหนีห่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หึหึหึหึหึ

***********************************************************

รุ่งขึ้น

“ฮ้าววว~~”
“หาวแต่เช้า ง่วงอะไรนักหนาวะ” พี่พีร์ทักผมเสียงดัง ผมเห็นหน้าพี่พีรืแล้วก็นึกออกเรื่องเมื่อวาน หน้าผมก็เลยสะบัดหนีพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“อะไรวะ ยังโกรธพี่อยู่อีก โอ๋ หายงอนเถอะน้า” ผมกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงง้องอน ใครจะไปคิดละครับว่าพี่พีร์สามารถทำท่าปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้
“แน่ะ หายโกรธแล้วสิ สงสัยสามีดูแลดีเลยไม่ได้นอนใช่มะ” ป๊าดดด ไอ้พี่พีร์ส้นตีน ผมว่าจะหายโกรธละ ดันกวนตีนผมซ้ำอีก
“ปากแบบพี่เนี่ยมันน่าคุยด้วยมะ” ผมเดินหนีไปหยิบที่คาดผมมาคาด ทำงานดีกว่า
“แหม แค่ล้อเล่นน่า เห็นคนมีความสุขพี่ก็อิจฉาอะนะ”
“พี่พูดยังกับว่าชีวิตพี่เนี่ยทุกข์มากมาย”
“ก็นิดนึงอะ อยากจะจีบคนแต่เขาก็ไม่สน” ผมหูผึ่ง พี่พีร์จะจีบคน? ใครเป็นผู้โชคร้ายกันนะ...
“แล้วพี่จะจีบใครละครับ ผมจะได้ไปบอกคนนั้นให้ระวังตัว” ผมพูดกลั้วหัวเราะ พูดเองก็ขำเองอ่ะ อิอิ
“มึงนี่ กวนตีนจริง... พี่จะไปจีบเพื่อนมึงอะแหละ” พี่พีร์ด่าผมแล้วก็พูดเสียงอุบอิบ เพื่อนผม จะจีบเพื่อนผม หรือว่า?
“มันโคตรเงียบเลยว่ะ ไม่คุยกับพี่เลยอะ พี่ไปเคาะห้องก็แล้ว โทรหาก็แล้ว เฮ้อ...” ไม่น่าเชื่อ แค่วันเดียวพี่พีร์เป็นไปได้ขนาดนี้ ผมพยายามนึกว่าพี่พีร์ถูกใจตองที่ตรงไหน? ความเงียบ สุขุม หน้านิ่ง... จะว่าไปตองมันก็สวยนะ ยังไงดีอะ ผู้ชายหน้าสวยประมาณนั้น แล้วยิ่งเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย ก็ยิ่งดูน่าค้นหาแหะ...
“เอ่อ... พี่ก็คงต้องพยายามเยอะๆแหละนะ” ครับ... ผมคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ในกรณีนี้ผมไม่ควรที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่น้อย เพราะอะไรก็คงรู้นะ..
“โห่ มึงนี่ไม่คิดจะช่วยพี่เลยเนอะ เคยเป็นรูมเมทมันแท้ๆ พอผู้ชายมาหาละก็ทิ้งเพื่อนให้อยู่คนเดียว แถมยังไม่คิดจะช่วยพี่อีก” ผมฉุกคิดได้ ไม่ได้โกรธพี่พีร์นะครับที่มันว่าผมติดผู้ชาย แต่ผมนึกได้ว่าตอนนี้ตองต้องอยู่คนเดียว แล้วในสถานการณ์แบบนี้ตองจะรู้สึกแย่แค่ไหนกัน...


พอคิดได้ ผมก็ปลีกตัวออกมาตรงที่เงียบๆและหยิบโทรศัพท์ที่พี่จินให้ผมไว้ติดตัวมาโทรหากิ ผมมีเบอร์กิจดอยู่ในสมุดเล่มเล็กของผม อีกตั้งเกือบสองสัปดาห์กว่าจะเปิดเทอม ให้ตองอยู่คนเดียวต้องเป็นบ้าตายแน่เลย
ตรู๊ดดด ตรู๊ดดด
‘ฮัลโหล ว้อทซับแม้น~~’ โทรศัพท์ดังแค่สองครั้งก็มีคนรับ ยังคงเป็นน้ำเสียงร่าเริงที่ผมจำได้ดี
“กิ นี่เอมเองนะ”
‘เฮ้ย เอมมีมือถือแล้วเหรอ โห เจ๋งว่ะ’
“อืม” ผมยิ้ม นึกออกเลยว่ากิจะทำหน้ายังไงตอนนี้
‘พอได้ยินเสียงเอมก็ชักอยากเปิดเทอมไวๆแล้วดิ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนนนนนน’
“เดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดเทอมอะ เราอยากให้กิช่วยอะไรหน่อย”
‘หือ? ว่ามาสิ’
“คือช่วงนี้ ตองอยู่คนเดียวที่หอน่ะ...”
‘อ้าว เรานึกว่ามันกลับบ้าน แล้วโทรหาก็ไม่รับนะไอ้เวรนั่นน่ะ ว่าจะเข้าไปหาอยู่เหมือนกัน’
“อือ นั่นละ ที่เราอยากให้กิทำ เราอยากให้กิเข้าไปหาตองหน่อย เราไม่อยากให้ตองอยู่คนเดียว” ผมพูดเสียงเศร้า
‘เอม... มีอะไรกันใช่มั้ย... เอมกับตองน่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?’ ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถามของกิ ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหวางตองกับผมให้กิฟัง รวมทั้งเล่าเรื่องพี่จิน และเรื่องที่ผมมาอยู่ที่บ้านพี่จินด้วย

และกิก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจเมื่อกิบอกว่ากิพอรู้ความรู้สึกของตองอยู่แล้ว...

‘ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหกปีนะเอม แค่มองตาก็รู้แล้ว น่าเสียดายที่ไอ้ตองมันไม่เคยรู้สถานะของตัวเอง หึหึ’
“กิหมายความว่ายังไง?”
‘ก็ไอ้ตองน่ะ แค่มองก็รู้ว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นรับ ไม่ใช่รุก หน้าสวยขนาดนั้น ใครเห็นก็อยากจับมันกดทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ’ ผมฟังเสียงหัวเราะของกิแล้วก็เหวอไป รุก? รับ? อะไรน่ะ กิคงไม่ได้หมายถึงเรื่องอย่างว่าใช่มั้ย?
‘อ้าว เอม ทำไมเงียบ อะ ฮัลโหล ฮัล-’
ตรู๊ด...........................................

ผมกดวางสายด้วยสีหน้าสับสน...  รุก... รับ... จับกด... หน้าสวยต้องถูกจับกด หน้าหวานต้องโดนกด...

ใครที่มันบัญญัติกฎเกณฑ์บ้าๆบอๆแบบนี้มาวะ!!!

ผมไม่ยอมถูกกดหรอกโว้ยยยยยยย!!

***********************************************************

“เอม ทำไมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นแบบนั้นละครับ พี่อุตส่าห์พาวานิลลามารับเอมด้วยนะเนี่ย” ผมรู้สึกตัวก้มมองก้อนขนฟูๆที่หลับสนิทบนตัก พี่จินหันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วง
“ก็...คิดอะไรเพลินๆครับ พี่จินตั้งใจขับรถเถอะ” ผมตอบสั้นๆแล้วก็ถอนหายใจ แต่ดูท่าว่าคงพลาดไป เพราะพี่จินกลับจอดรถเข้าข้างทาง(อีกแล้ว) และก็หันมาจ้องหน้าผมเต็มตา
“พี่ไม่ชอบเวลาเอมเงียบไปแบบนี้ เอมกำลังคิดอะไร มีอะไรบอกพี่ไม่ได้เลยเหรอครับ” ผมนึกถึงเรื่องที่ผมคิด... แล้วผมก็ร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาทันที
“อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมเนี่ย” พี่จินเอามือมาแตะหน้าผาก ผมเผลอขยับหนีอัตโนมัติ ในหัวมีแต่เรื่อง จับกด จับกด จับกด เต็มไปหมด!!
“นี่...คงไม่ได้คิดลามกกับพี่ใช่มั้ย...” พี่จินหรี่ตามองผมแล้วแกล้งทำท่าหวาดระแวง อร๊ายยยย อย่ามาดัดจริตใส่ผมนะ!
“บะ...บ้าแล้ว คนอะไรหลงตัวเองชะมัด”
“อะไรกัน แสดงว่าที่พี่คิดว่าเอมรักพี่ ก็กลายเป็นว่าพี่หลงตัวเองเหมือนกันใช่มั้ย” ใบหน้าคมเศร้าสลดจนผมอดใจหายไม่ได้ ผมมองอย่างลังเลแล้วจึงพูดขึ้น
“มะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักสักหน่อย.. รักน่ะเอมก็รักนะ ที่บอกว่าพี่จินหลงตัวเองน่ะ ก็เพราะเอาแต่คิดเองเออเองว่าผมอยากจะมีอะไรกับพี่ละสิ...”
“แล้วเอมไม่อยาก ‘มีอะไร’ กับพี่เหรอครับ พี่น่ะ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งคลั่งไคล้เอมขนาดนี้...” ไวปานสายฟ้า พี่จินชะโงกร่างมาใกล้แล้วกระซิบเสียงหวานปนตัดพ้อ ก่อนจะจูบเบาๆที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเจ้าตัวเล็กที่อายม้วนจนหน้าแดงไปแล้ว
“...งือ... ไม่ใช่ว่าไม่อยากครับ...แต่...แต่เอมยังไม่พร้อม... เรื่องอย่างนี้มันต้องใช้เวลานะครับ...” ถึงจะสั่น แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเพราะไม่อยากให้พี่จินเกิดน้อยอกน้อยใจขึ้นมาอีกถ้าทำท่าสั่นกลัวจนเกินไป...
“พี่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเลยนี่ครับ ถึงยังไง พี่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเอมแบบนี้ที่สุดแล้ว...” โดยไม่รู้ตัวก็เงยหน้ารับจูบจากพี่จินเสียแล้ว จูบอ่อนหวาน เนิบนาบ เชื่องช้า...
“งือ...” บนรถอีกแล้ว ผมจูบกับพี่จินบนรถอีกแล้ว... ทำไมเรี่ยวแรงมันหายไปหมดแบบนี้นะ อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆเหลือเกิน...
“พอเถอะคนดี... ถ้ายังจูบแบบนี้นานๆพี่คงต้องฝืนใจเอมแล้วละ” เสียงพี่จินพึมพำลอดไรฟัน.. ฝืนใจเอม? แล้วไงล่ะ... ก็ช่างมันสิครับ... ถ้าเป็นพี่จิน...เอมยอมทุกอย่าง

“ชะเอม!” พี่จินจับไหล่ผมแล้วดึงผมให้ออกห่าง สติสตังทั้งหมดทั้งมวลถูกกระชากวูบกลับมาที่ตัว ผมหน้าแดง เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ผมคิดอะไรหน้าอายอย่างนั้นได้ยังไงกัน!

“เอ่อ.. เรากลับบ้านกันก่อนเถอะนะ” ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงพี่จินสั่นในขณะที่พูด นับประสาอะไร ผมยังต้องจับเจ้าวานิลลามากอดเรียกสติให้ตัวเองเลย...

“เอม ถึงบ้านแล้วครับ” ประตูรถฝั่งที่ผมนั่งเปิดโดยไม่รู้ตัว ผมชะงักนิดหนึ่งแต่ก็ส่งมือข้างที่ไม่ได้อุ้มวานิลลาให้พี่จิน พี่จินจับมือผมไว้แน่นแล้วปิดประตูรถให้
“วันนี้พี่จินอยากกินอะไรครับ” ผมเงยหน้าถาม
“อืม...อะไรก็ได้นะ”
“ในตู้เย็นมีอะไรบ้างนะ...” ผมคิด มีแครอท หมูสับ หอมใหญ่ มะเขือเทศ... วันนั้นผมเห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยละ
“พี่จินชอบราดหน้ามั้ยครับ”
“ก็กินได้ครับ เอมจะทำเหรอ” ผมพยักหน้า
“ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้กินราดหน้ามานานแล้ว”
“งั้นเอมจะทำราดหน้าหมูสับทรงเครื่องให้ทานนะครับ”
“แล้วเอมทำเป็นหรือเปล่า”
“เอมไม่เคยทำหรอกครับ แต่เคยไปซื้อกิน แค่สับๆ ผัดๆเส้น แล้วก็เอาไปต้มใส่แป้งมันก็ได้แล้วครับ ง่ายๆ” ผมยิ้มร่าเดินนำเข้าไปในครัว โดยไม่ทันได้หันกลับมามองสีหน้าขวัญผวาของพี่จิน และก็คงไม่ได้รู้ด้วยว่าพี่จินคิดอะไรอยู่
‘จะกินได้มั้ยเนี่ย’
....
..
.
.
..
..
.
.



*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ :-[



หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 13-12-2011 17:55:59
ถูกที่ว่า จินเจอร์หื่นมาก ๆ ยิ่งอ่านไปยิ่งหื่นน่ะ  :z1: แต่ก็ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษ (หรือเปล่า) ไว้เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 13-12-2011 18:46:52
พี่จินหื่นนนนนนนนนนนนนน

แต่ชอบบบบบบบบบบบบบบบอ่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 13-12-2011 19:08:46
เอมก็เริ่มหื่นด้วยหรือเปล่า  555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-12-2011 22:16:14
*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ
แต่ก็น่าเห็นใจจินนะคะ ก็อยู่ใกล้คนน่ารักๆแบบหนูเอมแบบนี้ เป็นใครก็ใครล่ะ อิ อิ
แล้วคนเขียนไม่รู้เหรอ คนอ่านลุ้นอยู่ทุกวันว่า...
เมื่อไรน้อจินกับหนูเอมจะ...ซะที
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 13-12-2011 23:18:38
เห็นด้วย   หื่นมากอ่ะ

 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 13-12-2011 23:32:59
น้องเอมน่าจะหื่นกว่าพี่จินนะคะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 14-12-2011 03:01:09

*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ :-[


คิดเหมือนคนเขียนเลย  :z1: :z1: :z1:

แต่ไม่เป็นไรให้อภัย   :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: penda ที่ 14-12-2011 10:59:07
*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ
แต่ก็น่าเห็นใจจินนะคะ ก็อยู่ใกล้คนน่ารักๆแบบหนูเอมแบบนี้ เป็นใครก็ใครล่ะ อิ อิ
แล้วคนเขียนไม่รู้เหรอ คนอ่านลุ้นอยู่ทุกวันว่า...
เมื่อไรน้อจินกับหนูเอมจะ...ซะที
^
^ลุ้นเหมือนกันเลย  ฮิฮิฮิ
คนอ่านก็แอบหื่นเหมือนกัน  ฮ้าๆๆ

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 14-12-2011 11:17:14
พี่จินหื่นมากกกกกกก :z1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 14-12-2011 13:14:37
greezzz
หนูรักน้องเอมกะพี่จินจะตายอยู่แล้ว
หลงเลยทีเดียว
ณ จุดนี้ ฮาความคิดน้องเอมมากกก
ใครคิดกฏนี้เนี่ย หน้าหวานต้องโดนจับกด
ฮาอ่ะ
น่ารักเหลือเกิ๊นนนน
ps เอาใจช่วยพี่พีร์อย่างแรงๆๆๆๆๆๆ
ตองกับพี่พีร์เราจิ้นๆๆๆซ่ะน่ารักเลย
อัยย่ะ ปลื้มมมม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: Mickii ที่ 14-12-2011 16:03:05
พี่จินกลับมาก้อหึงซะ แต่ก้อเข้าใจนะเพราะน้องเองเค้าน่ารักดิเนอะ

ตกลงพี่พีร์จะรุกตองใช่ไหมมม ขอเชียร์ด้วยคนนะ

55555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-15-] 13/12
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 14-12-2011 18:16:08
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: ลุ้นๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Love Sick [-16-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 15-12-2011 12:06:03
Love Sick

- 16 -



“มันใช้ได้จริงเหรอครับลุง”
“เออสิวะ เอ็งจดให้ดีเชียวนะ เอาไปใช้กับสาวที่ไหนสำเร็จทุกราย ดูอย่างลุงเนี่ย เมียหกคนเลยนะเว้ยเฮ้ย ฮ่าๆๆๆ”
“ครับๆ”
ผมนั่งมองคู่หูต่างวัยที่กำลังนั่งฝอยกันอย่างออกรส พี่พีร์คว้าสมุดจดประจำตัวออกมาจดตามประโยคที่ลุงชัดคนดูแลสวนบอกทุกพยางค์โดยไม่ตกหล่น หลังจากที่วันนี้ทั้งผมและพี่พีร์มาทำงานกันเป็นวันสุดท้าย และได้รับค่าจ้างจากพี่พิงค์เรียบร้อยแล้ว (ตอนแรกพี่พีร์จะไม่ได้ครับ เพราะพี่พิงค์บอกว่าครอบครัวเดียวกันก็คิดว่าช่วยกัน แต่พอพี่พีร์มันจะอาละวาด พี่พิงค์ก็เลยยอมจ่ายเงินให้) พี่พีร์ก็ชวนพวกคนในบริษัทมาตั้งวงกินเหล้ากัน... ใช่ครับ เอาเงินค่าจ้างนั่นละไปซื้อเหล้าหมด ปลวกจริงๆ

หลังจากเฮฮากันมาได้พักใหญ่ และแต่ละคนเริ่มกรึ่มกันได้ที่ พวกผู้ชายขี้เมาก็เริ่มวกมาเข้าเรื่องใต้สะดือครับ บางเรื่องก็ลามกแบบเบาะๆ แต่บางเรื่องนี่ทำเอาผมต้องปิดหูเลยนะ -//-

จนกระทั่งลุงชัดแกเริ่มคุยโม้เรื่องที่แกมีเมียเยอะแหละครับ ไอ้พวกผู้ชายชีกอทั้งหลายก็เลยเริ่มถามเคล็ดลับว่าทำยังไงผู้หญิงถึงรักถึงหลง ลุงแกก็เลยบอกว่าแกมีคาถาดี

“พวกเอ็งตั้งนะโมสามจบนะโว้ย แล้วท่องว่า...”  ตามนั้นแหละครับ ทั้งพี่พีร์ พี่พิงค์ และคนอื่นก็จดกันยิกๆ ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าพี่พีร์มันจะเอาไปใช้กับใคร เหอะๆ ก็ตาวาวเสียขนาดนั้น แต่สำหรับผมนะ ให้เอานั่งยัน นอนยัน ยืนยันยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก เรื่องหลอกเด็กทั้งเพ - -*

“คาถานี้จะให้ผู้หญิงเอาไปใช้กับผัวก็ได้นะพวกเอ็ง” ประโยคถัดมาของลุงชัดทำเอาสาวๆที่เป็นชนกลุ่มน้อยกรี๊ดกร๊าดขึ้นมาทันทีครับ เอ่อ... รวมถึงผมด้วย... ละมั้ง

“เอม มึงไม่สนใจจะจดสักหน่อยเหรอวะ อ้ะ เอาของพี่ไปก็ได้ พี่ท่องได้แล้ว” พี่พีร์ทำสายตากรุ้มกริ่มแล้วยื่นกระดาษจดคาถาเมียรักเมียหลงมาให้ผมก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“เฮ้ย บ้าแล้ว! ไม่เอาๆ ผมจะเอาไปทำอะไรละ” ผมดันมือของพี่พีร์ที่ถือกระดาษแผ่นน้อยนั่นออกห่าง
“แหมๆ พี่รู้หรอกว่ามึงอะตาเป็นมันเลยนะ ตอนที่ลุงชัดบอกว่าเอาไปใช้กับผัวก็ได้อะ”
“พี่พีร์พูดอะไร ผัวเผอที่ไหนกัน หยาบว่ะ!” ผมเริ่มรู้สึกร้อนวาบที่หน้าแล้วละ ฮึ้ย พี่พีร์มันจะมาแหย่ผมทำไมเนียะ!!
“เอาน่ะๆ อย่าปากแข็งไปหน่อยเลย เอาไปเหอะ พี่จะกลับละ” พี่พีร์มันล็อกแขนผมไว้แล้วเอากระดาษแผ่นนั้นยัดเข้ามาในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของผมแล้วก็ชิ่งหนีไปขึ้นรถตัวเอง ผมไม่ทันที่จะล้วงกระดาษนั่นออกมาทิ้งพี่จินก็เลี้ยวรถเข้ามาพอดี
“รอนานมั้ยครับ โทษทีนะ วานิลลามันจะตามมาให้ได้เลย” น้องเหมียวที่โผล่หน้ามาเกาะกระจกแล้วร้องแง้วเสียงดังเหมือนจะโวยวายว่าหนูก็อยากมารับพี่เอมเหมือนกันนะทำเอาผมลืมเรื่องคาถาบ้าบอไปชั่วขณะ แต่เมื่อผมเข้ามานั่งในรถโดยมีวานิลลานั่งตักอยู่ เรื่องเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตก็หลอนขึ้นมาอีกรอบ

“พี่จินครับ พี่จินเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มั้ยครับ?” ผมพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กกำลังทำผิดแบบนั้นแหละ > <
“ไสยศาสตร์? พวกคาถามนต์ดำอย่างนั้นเหรอครับ”
“อื้อ” ผมพยักหน้า
“ไม่อะครับ ไร้สาระ” พี่จินยักไหล่ ท่าทางแบบว่าโคตรเป็นหนุ่มมั่นอะ แต่พอได้ฟังพี่จินพูดแบบนั้น จิตใจด้านมืดของผมมันก็เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น ถ้าพี่จินยืนยันว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระขนาดนั้น หากผมจะลองก็คงไม่เสียหายใช่มั้ย??

***********************************************************

ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกว่าน้องเอมมันดูหมกมุ่นจังวะ ยังกับว่ามีเรื่องอะไรกวนใจอยู่ตลอดเวลางั้นแหละ ใจนึงผมก็อยากจะถามนะ แต่ใจนึงก็คิดว่าถ้าน้องมันอยากเล่าก็คงเล่าเองแหละ และที่สำคัญก็คือ การได้มองเอมทำท่ากระวนกระวายใจแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกบันเทิงใจยังไงก็ไม่รู้ หึหึ..

จนกระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จ เอมก็ยังคงมีท่าทีแปลกๆอยู่ ผมเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เจ้าวานิลลา หนูปลอมวิ่งได้ที่ผมซื้อมาทำให้เจ้าเหมียวครึกครื้นน่าดู

“พี่จินครับ...” ผมหันไปมองทางเสียงเรียก เจ้าจิ๋วที่ยืนหน้าแดงทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ครับ? มีอะไรหรือเปล่า?” ร่างเล็กๆนั้นเดินมานั่งข้างผมบนโซฟา เอ่อ...ทำไมผมรู้สึกว่าน้องดูเชิญชวนจัง... แต่ผมคงคิดไปเองแหละนะ...
“เปล่าครับ... ไม่มีอะไร” ใบหน้าหวานยังคงแดงระเรื่ออยู่ เฮ้ย! นี่น้องเอมจะทำท่าน่ารักทำไมครับ โอ๊ย ไม่เอาๆ สงบใจไว้ไอ้จิน พอคิดได้แบบนั้นผมก็หันไปเล่นกับวานิลลาต่อ วันนี้เป็นวันที่ผมต้องใช้สมาธิในการเล่นกับแมวมากเลยนะครับ ฮึ่ม!
“!?!” จู่ๆผมแทบช็อคเมื่อน้องหันหน้ามาหาผมแล้วเอามือสองข้างเกาะแขนผมไว้ ตากลมๆนั่นดูออดอ้อนออเซาะเหมือนลูกแมวไม่มีผิด สมองผมเลอะเลือนจนถึงขนาดว่าเห็นหูแมวงอกออกมาจากผมน้องเลยทีเดียว - -*
“มีอะไรครับ หืม?” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ลูบหัวปลอบน้องดู เผื่อว่าเอมจะมีปัญหาอะไรอยากให้ผมช่วย (เหรอ?)

คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมข่มใจแค่ไหน การที่ต้องนอนด้วยกันทุกคืน อยู่ด้วยกันทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนกับเป็นผัวเมียกันแต่ไม่สามารถแตะต้องได้เพราะกลัวน้องมันจะโกรธ ผมนี่โคตรจะอดทนเลยนะ

ยิ่งเวลาหลับนะ ผมเคยนอนจ้องหน้าน้องมัน แก้มใสๆหลับตาพริ้ม บางทีริมฝีปากบางๆนั่นก็เผยอนิดหน่อย น่าจูบชิบเป๋ง ผมเคยห้ามใจไม่ไหวแอบจูบไปตั้งหลายครั้ง ยังดีที่น้องมันไม่ตื่น ถ้าคืนไหนไม่ได้เปิดแอร์แล้วอากาศอบอ้าว น้องมันก็จะนอนดิ้น ทั้งเสื้อกางเกงก็จะถกขึ้นมา มีคืนนึงผมตื่นมาเข้าห้องน้ำ เห็นเสื้อน้องเลิกขึ้นมาเกือบถึงไอ้เม็ดแดงเล็กๆตรงอก เลือดกำเดาแทบกระฉูด อยากจะปลุกขึ้นมาปล้ำมันซะตอนนั้นเลยละ

ทั้งที่ผมพยายามอดกลั้นความหมั่นเขี้ยวในตัวน้องให้มันน้อยลง แต่แล้วทำไมสวรรค์ถึงต้องกลั่นแกล้งผมโดยการสั่งให้เอมมานั่งทำตาใสออดอ้อนผมแบบนี้วะ!!

“ถูกไอ้พีร์แกล้งมาหรือเปล่า” ใบหน้าหวานชักสีหน้าหงุดหงิดทันทีที่ผมพูดจบ น้องมันทำหน้างอเหมือนไม่พอใจที่ผมถามไปแบบนั้น
“เอมไม่ใช่เด็กนะครับ” เอมพูดแล้วทำหน้างอ โคตรน่ารักอ้ะ พี่จินขอฟัดตรงนี้เลยได้มั้ยครับ?
“เอมก็แค่สงสัยว่าพี่จินไม่รู้สึกอยากจะกอดเอมบ้างเลยเหรอ”

ห๊ะ!!

น้องเอมว่าอะไรนะ พี่จินฟังไม่ชัดเลย

“อยากกอดสิครับ อ้ะ กอดๆ” ผมยกแขนขึ้นมาโอบเจ้าจิ๋วตัวนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมๆจากตัวน้องทำเอาใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว...

“ฮื้อ! ไม่ใช่กอดแบบเด็กๆอย่างนี้สักหน่อย เอมหมายถึงแบบว่ามีอะไรกันน่-” น้องมันพูดเสียงดังแบบคนเหลืออดน่ะครับ แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนนึกได้ว่าพูดอะไรออกมาเลยเอามามาปิดปากตัวเองไว้ หน้าเน่องี้แดงเชียว แต่ไม่ทันแล้วละเด็กน้อย

“อ๋า!” ริมฝีปากเล็กอ้าปากส่งเสียงประท้วง แต่ผมก็จัดการปิดปากน้องให้เงียบสนิทพร้อมกับกดร่างเล็กให้ติดโซฟาแล้วจัดการจูบแบบฟูลคอร์ส
“งือ...อื้อ!” เสียงร้องประท้วงยังคงเล็ดลออดออกมาเมื่อมือของผมเริ่มป่ายเปะปะไปทั่วร่าง ผิวกายเนียนนุ่มของน้องชักชวนให้ผมทำมากกว่าการลูบไล้ ผมถอนริมฝีปากออกห่างแล้วเลื่อนลงไปจัดการกับหน้าท้องเนียนราบ กลิ่นผิวกายหอมกรุ่นที่คอยจะยั่วยวนให้ผมตบะแตกกระตุ้นอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ผมใช้ลิ้นลากยาวจากสะดือไปจนถึงเม็ดแดงสองเม็ดกลางหน้าอก เพียงแตะแค่ส่วนปลายเท่านั้นน้องก็แอ่นจนตัวงอ
“พี่...จิน...อะ อื๊อ...” 
“คนดีของพี่...” แม่ง ชะเอมโคตรตัวหอม ผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว ถ้าวันนี้ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างผมคงต้องระเบิดแน่ๆ
“อื้อ!” มือเอมจิกหัวผมเต็มแรงเมื่อรับรู้ได้ว่าเป้าหมายต่อไปของผมคือการถอดกางเกงที่เกะกะออก ผิวขาวๆเนียนๆแบบนี้ไม่ต้องใส่อะไรจะดีที่สุดคุณว่ามั้ย?
“ไม่ๆ อย่านะครับ!” อืม...นี่แหละคนดีของผม เวลาแบบนี้ยังพูดจาหวานหูได้ตลอด อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผมหลงน้องไม่ลืมหูลืมตาก็เพราะคำพูดจาเนี่ยแหละครับ น้องพูดเพราะผิดกับวิสัยวัยรุ่นทั่วไปจริงๆนะเออ
“ไม่อยากให้พี่กอดแล้วเหรอ” ผมแกล้งทำเสียงเศร้า ได้ผลแหละ... น้องมันจ้องหน้าผมนิ่ง หน้าแดงๆเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมา
“ยะ....อยากครับ...”
แม่งเอ๊ย จังหวะนี้ผมไม่ทนแล้ว ผมรู้สึกเหมือนถูกเอมยั่วจนตบะแตก ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหื่นขนาดนี้มาก่อนเลยนะ! เสียงหวานๆครางทุกครั้งที่ผมจูบลงบนร่างกาย ผมหยัดตัวขึ้นมาแล้วถอดเสื้อออก ใบหน้าของน้องแดงเรื่อ ดวงตากลมก็จ้องมองผมแล้วก็หลับตา อือ...น่ารักจริง
“หลับตาทำไมครับ ไม่อยากมองพี่เหรอ” พอผมถามเอมก็ส่ายหัวยิก
“ไม่ใช่นะครับ... เอมอยากมอง.. แต่เอมเขินนี่ พี่จินเล่นจับเอมถอดเสื้อผ้าแบบนี้...” ผมกวาดตามองตัวขาวๆของน้อง กางเกงที่หลุดลุ่ยเพราะถูกผมรื้อจนกระจุย กับเสื้อที่เลิกขึ้นไปจนถึงคอ เสื้อผ้ายังอยู่ครบ เพียงแต่ไม่อยู่ในสถานะที่สามารถปกปิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ยังไม่เรียกว่าแก้ผ้าของจริงนะน้องหนู หึหึ
“ไม่โป๊สักหน่อย ยังใส่ครบอยู่เลย ถ้าพี่จะจับถอดจริงๆต้องแบบนี้” ผมจับน้องพลิกคว่ำโดยไม่ให้ตั้งตัว มือข้างหนึ่งดึงเสื้อน้องออกทางหัว ส่วนปากก็พรมจูบที่แผ่นหลังจนทั่ว แผ่นหลังนี่เป็นจุดอ่อนของเอมครับ รับความรู้สึกโคตรไว เพราะฉะนั้นถ้าจะจับน้องแก้ผ้าต้องท่านี้เท่านั้น จะได้ขัดขืนไม่ได้
“อ๊ะ ขะ..ขี้โกง อื๊อ!” เสื้อหลุดออกไปแล้ว เหลือแต่กางเกงหลุดลุ่ย ผมกระตุกแค่ทีเดียวกางเกงก็ไปกองที่ข้อเท้า ตอนนี้ก็เหลือแต่ตัวเปล่าๆนุ่มนิ่ม ผมฟัดจนน้องส่งเสียงครางระงม ทั้งแผ่นหลัง เอว หน้าท้อง ยอดอกสีแดง และ... บริเวณเหนือท้องน้อย... ผิวน้องนุ่มมาก ทำเอาผมเริ่มหยุดไม่อยู่...

“พี่...พี่จินครับ... อะ...เอมง่วงนอนแล้ว พอเถอะนะ” น้องเอามือจับหน้าผมไว้เมื่อรับรู้ว่าผมกำลังจะเลื่อนหน้าไปจุดที่ต่ำกว่าเดิม แล้วทำสายตาอ้อนผมครับ นี่ง่วงจริงหรือว่าคิดจะบ่ายเบี่ยงกันแน่ ผมไม่ยอมหรอกนะ มาถึงขนาดนี้แล้ว
“เอมง่วงจริงๆน้า~~” น้องมันพูดแล้วก็เอามือมาจับแขนผมไว้ นี่จะหาทางหนีหรือจะยั่วกันแน่วะ!!
“เอมง่วงก็หลับไปสิครับ เดี๋ยวพี่ทำเอง”

***********************************************************

“ทำอะไรครับ! ไม่เอานะ นอนด้วยกันเถอะครับ...” ผมช้อนตาอ้อนอีกครั้ง ไอ้คาถาเฮงซวยนั่นมันได้ผลจริงหรือว่าเป็นเพราะพี่จินหื่นกันแน่นะ (ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นอย่างหลังมากกว่า) แต่ที่แน่ๆคือพี่จินเอาจริงแน่ ดูตาก็รู้แล้วง่ะ ตั้งแต่ผมโตมาไม่เคยเลยนะที่จะต้องมาโป๊ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แล้วดูสายตานั่นสิ มองเหมือนจะกินผมเข้าไปอยู่แล้ว >//<
“อ๊า ปลดกางเกงทำไมอ้ะ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อพี่จินลงมือปลดกางเกงตัวเอง จากที่เห็นแค่หน้าท้องแน่นๆก็เริ่มเห็นไรขนใต้กางเกงโผล่ออกมายั่วยวน ฮึ่ม! จะเซ็กซี่ไปไหนนะพี่จิน เห็นแบบนี้แล้วผมไม่มีทางยอมให้พี่ไปถอดเสื้อโชว์ที่อื่นแน่ แต่พักเรื่องหึงหวงไว้ก่อน ตอนนี้ผมต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อนนะ!
“ก็จะทำเรื่องที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหรอก” พี่จินทำเสียงเจ้าเล่ห์ ผมรู้สึกเหมือนเด็กกำลังจะถูกหลอกยังไงไม่รู้ บางสิ่งบางอย่างมันบอกว่าผมว่าไม่รอดแล้วแหละเอมเอ๊ย~
“เอาไว้วันหลังได้มั้ยครับ เอมยังไม่พร้อมเลยนะ.. นะครับ...” ผมลองอ้อนอีกครั้ง เพราะคิดว่าเผื่อพี่จินจะใจอ่อน
“จะวันนี้หรือวันไหน ก็โดนอยู่ดีแหละครับ” พี่จินพูดแล้วก็ก้มลงประกบปากแล้วสอดลิ้นเข้ามา การจูบแบบดูดดื่มนี่มันยังไงนะ ทั้งเปียก ทั้งชื้น ทั้งร้อนรุ่ม แล้วยังรู้สึกหอมหวานในคราวเดียวกัน พี่จินใช้ปลายลิ้นรุกไล่จนผมหายใจไม่ทัน กระทั่งผมเหมือนจะขาดอากาศแล้วใช้มือทุบอกพี่จินรัวๆนั่นละเขาถึงหยุด
“ทำไมเราน่ารักแบบนี้ หืม? รู้มั้ยว่าพี่จะคลั่งตายอยู่แล้ว อย่าบ่ายเบี่ยงอีกเลยนะครับ” พี่จินทำเสียงออดอ้อนจนกำแพงป้องกันตัวที่ผมตั้งขึ้นมามันพังทลายไปจนหมดสิ้น จมูกโด่งของพี่จินซุกไซ้ที่ซอกคอของผมรุนแรง ทั้งดูดเม้ม และขบกัด ใจนึงผมก็รู้สึกเจ็บ แต่อีกใจมันก็รู้สึกดีระคนกัน นี่ผมกลายเป็นมาโซฯไปแล้วใช่มั้ย??

“จับดูสิ ของพี่มันขนาดนี้แล้วนะ” จู่ๆพี่จินก็ดึงมือผมไปจับตรงนั้น ไม่รู้ว่าเขาถอดกางเกงไปตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆไอ้วัตถุแข็งๆอุ่นๆที่ผมกำอยู่เต็มกำมือตอนนี้มันทำให้ผมแทบจะกรี๊ดเลยละ >//<

“ไม่เอ๊า! ไม่จับ! ปล่อยมือเอมนะ”
“หึหึ ไม่ปล่อย” พี่จินหัวเราะยั่วผมแล้วยังจับมือผมให้ลูบคลำของเขาซ้ำอีก มันแปลกๆที่ต้องมาจับของคนอื่นแบบนี้ ความอุ่นและลื่นมือทำเอาผมแทบเป็นบ้า.. อยากจะรู้แล้วว่าถ้าลองชิมมันจะรสชาติยังไงนะ..
“ไหนดูของเด็กน้อยสิ...” ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนจากมือของพี่จินที่สัมผัสร่างกายของผม  แล้วโดยไม่ทันตั้งตัว พี่จินก็จับขาผมแยกออกแล้วแทรกตัวเองเข้าคั่นไว้ ผมโคตรจะอายที่รับรู้ได้ว่าน้องชายของผมกำลังถูกจ้องซึ่งๆหน้า
“อ๊ะ....” ผมร้องขึ้นเมื่อตรงนั้นถูกรูดขึ้นลงช้าๆ ฮือ... ของผมมันสู้มือพี่จินด้วยอะ ไอ้ร่างกายไม่รักดี
“อย่าปิดหน้าสิ พี่อยากมอง” พี่จินพูดแล้วก็ดึงมือที่ผมยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเองออก สายตาของพี่จินทำเอาความดันผมพุ่งปรี๊ดจนแทบจะทะลุขีดแดง
“อ๊า!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่ตรงนั้น ผมจิกเล็บลงบนแผ่นหลังของพี่จินเมื่อส่วนนั้นถูกพี่จินใช้ปากครอบครองไปจนหมด ผมเผลอแอ่นหลังขึ้นตามจังหวะโดยอัตโนมัติ ทุกการรับรู้ของผมมันเหมือนถูกย้ายไปรวมอยู่ตรงจุดที่กำลังถูกพี่จินรุกราน ผมทำได้แค่ส่งเสียงร้องน่าอายที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะออกมาจากปากผมเอง...
“โอ๊ย! อื๊อ ไม่เอา!” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมีบางอย่างที่แข็งๆเย็นๆสอดเข้ามาจากด้านหลัง ผมคิดว่าคงจะเป็นนิ้วของพี่จิน มันเจ็บแบบสุดๆไปเลย นี่ขนาดแค่นิ้วนะ ฮือ...
“ทนหน่อยนะครับ” พี่จินหยุดการทำงานที่มือแล้วขยับมาจูบปลอบผม ลิ้นของเราสองคนพันกันนัวเนีย พี่จินค่อยๆขยับนิ้วเข้าออกเบาๆ มันทั้งเจ็บทั้งแน่น แต่สักพักก็เหมือนว่าเริ่มชิน ผมค่อนคลายแรงจิกที่ไหล่พี่จินให้เบาลง พอพี่จินเห็นว่าผมไม่เกร็งแล้วเขาก็สอดอีกนิ้วเข้ามา
“ฮื้อ!!” ผมขยับเอวหนีเพราะความตึงที่รับรู้ได้ เสียงพี่จินจุ๊ปากดังข้างหูผม ก่อนจะมีถ้อยคำอ่อนโยนตามมาปลอบ
“อย่าดิ้นนะครับ ยิ่งดิ้นเดี๋ยวยิ่งเจ็บนะ..” ฮึ! ใช่สิ ก็พี่เล่นขยับนิ้วไม่หยุดแบบนี้นี่นะ อึก... แถมยังทำซะเร็วอีก...
“พี่...พี่จิน...” ผมเกร็งนิ้วจิกไหล่พี่จินแน่น ผิวกายของเราสัมผัสกัน หน้าท้องของพี่จินแตะกับหน้าท้องของผมเวลาที่ผมเผลอแอ่นกายขึ้นสูง พี่จินใช้มือข้างที่ว่างรวบเอวผมให้แนบชิดกับเขามากขึ้น ริมฝีปากร้อนๆของพี่จินกดจูบหนักๆลงบนผิวเนื้อของผม ถ้าหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่หยุดลง ณ ตอนนี้ ผมนี่แหละที่อาจจะเป็นคนขาดใจตายเสียเอง...

อารมณ์ของผมไต่ระดับขึ้นสูงลิบลิ่ว นิยามคำว่ากระเจิดกระเจิงประกฎขึ้นในหัว มันเหมือนกับว่าร่างกายผมกำลังจะกรีดร้องออกมาทุกทีที่พี่จินขยับนิ้วเร็วและแรงขึ้น เสียงของเหลวเหนอะหนะฟังดูน่าอาย แผ่นหลังพี่จินเริ่มมีเหงื่อซึมทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำ

“อื๊อ! พี่จิน เอมไม่ไหว เอม...ปวดชิ้งฉ่อง!” ผมรู้สึกปวดฉี่จี๊ดขึ้นมา หลังจากที่รู้สึกเหมือนใจจะขาด เสียงพี่จินบอกกับผมว่าไม่ต้องทน จะไม่ทนได้ยังไงละ ให้ผมฉี่รดพี่จินอย่างนั้นเหรอ? ฮือ... ไม่เอาหรอก

“อ๊า!!!” กล้ามเนื้อตรงน้องชายของผมมันเต้นตุบๆพร้อมกับบางอย่างที่พุ่งออกมา จากการเรียนวิชาสุขศึกษาตอน ม.ต้นบอกผมได้ว่าสิ่งนั้นคือน้ำอสุจิ ที่มันจะหลั่งออกมาจากน้องของเราเวลาสำเร็จความใคร่... ผมไม่เคยสำเร็จความใคร่... แต่แล้วครั้งแรกของผมก็ถูกคนอื่นสำเร็จให้เสียนี่... ฮือ..

“คนเก่ง เยอะเชียว...” พี่จินใช้นิ้วปาดเอาของเหลวออกจากหน้าท้องของผม ทิชชู่นุ่มๆถูกนำมาซับ ผมเห็นจมูกโด่งของพี่จิน
หอมขาอ่อนของผมฟอดใหญ่
“อื้อ... ไม่เอา...” ผมหุบขาหนี ความอายที่หายไปแว่บหนึ่งกลับมาอีกรอบ แถมคราวนี้ยังอายหนักกว่าเดิม ผมฉวยโอกาสที่หนังตาเริ่มหนักอึ้งหลับเสียเลย..
“อ้าว ไอ้ตัวดี... ชิงหลับเสียอย่างนั้น..” พี่จินพึมพำเบาเหมือนสายลม ผมรับรู้ได้ว่าพี่จินยังคงนัวเนียลูบไล้ตัวผมอีกพักหนึ่ง จนเห็นว่าผมหลับจริงๆนั่นละก็เลยยอมถอย จนกระทั่งแผ่นหลังของผมได้สัมผัสกับความอุ่นนุ่มของที่นอนนั่นละ ผมจึงไม่รับรู้อะไรอีก...

ปล.วันนี้ผมรู้สึกหลับสบายมากเลยครับ สงสัยว่าคงเป็นเพราะเหนื่อยก่อนนอน+สบายตัว รู้แบบนี้ผมยอมตั้งนานแล้ว -//-
ฮะ? อะไรนะ นี่ยังไม่นับว่าผมเป็นของพี่จินร้อยเปอร์เซ็นต์อีกเหรอ ผมโดนทำขนาดนี้แล้วนะ! ไม่มีทางๆ ผมไม่ยอมมากกว่านี้แน่ๆอ้ะ > < ไอ้เอมสาบานเลย!!



** เรทนิดนึง  :o8:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 15-12-2011 12:19:59
 :o8: :-[ชิงหลับหนีกันเลยนะเอม :m20:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 15-12-2011 13:11:26
** เรทนิดนึง   

 เรทนิดนึงดังกล่าวมานี้ คือน้ำจิ้มใช่ไหมคะ
คาดว่าน่าจะมีชุดใหญ่ตามมาในไม่ช้านี้
อิ อิ คาถาท่าจะได้ผลจริงๆนะหนูเอม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-12-2011 13:17:46
นางแมวยั่วสวาท  ใครเขาจะทนได้ล่ะหนูเอม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-12-2011 13:41:06
น้องเอม อันนี้ออเดิฟค่ะลูก
โํธ่ แอบสงสารพี่จิน
นี่คงต้องไปปล่อยในห้องน้ำอีกใช่มั้ย
ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-12-2011 16:08:23
คาถาไรเนี่ย ได้ผลจริงๆด้วย :z1:
น้องเอมน่ารักน่ากอดสุดๆ :-[
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 15-12-2011 16:19:28
ตกลงคาถานั่นคือ?
ถามว่าไม่อยากกอด? หรืออ้อนล่ะเนี่ย XD

สงสารจินนิดๆ แต่ก็เยอะแล้วนะ น้องยังเด็กเล็มๆไปก่อน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: mascot ที่ 15-12-2011 18:30:09
เอมทำงี้กับพี่จินได้ไง
สบายตัวแล้วชิงหลับก่อน เดี๋ยวพี่เค้าก็ระเบิดกันพอดี
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 15-12-2011 19:13:38
ตกลงได้ลองพิสูจน์คาถาหรือเปล่าน้องเอม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 15-12-2011 19:38:50
 :laugh: :laugh: :laugh: :m20: :m20: :m20: :pigha2: :pigha2: :pigha2:

น่าสงสารพี่จิน


 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 15-12-2011 19:52:28
จัดหนักๆเลยพี่จินเจอร์ แอร๊ยยย :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 15-12-2011 19:54:32
** เรทนิดนึง   

 เรทนิดนึงดังกล่าวมานี้ คือน้ำจิ้มใช่ไหมคะ
คาดว่าน่าจะมีชุดใหญ่ตามมาในไม่ช้านี้
อิ อิ คาถาท่าจะได้ผลจริงๆนะหนูเอม

ชุดใหญ่ต้องรอนิดนึงค่ะ เพิ่งคิดได้ว่าน่าจะเอาเปปเปอร์มาแจมด้วย :impress2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: pizza2011 ที่ 15-12-2011 20:39:23
ตอนนี้เรทกันเบาๆ 55+
น้องเอมเอ้ย ระดับหนูเเล้วไม่ต้องพึ่งคาถาผัวหรอก
เเค่นี้ไอ้พี่จินก็หลงจะเเย่อยู่เเล้ว 55+
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 15-12-2011 21:36:35
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:

 เหมือนคาถาไม่ค่อยได้ผลนะ 
เพราะ จินจัดชุดเล็กไป !!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 15-12-2011 21:54:50
 :z1:    อยากอ่านแบบจัดเต็ม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 15-12-2011 22:35:10
พระเอกเรื่องนี้อดทนกว่านายเขื่อนนะเนี่ย หุๆ แต่หนูเอมใจร้ายยยยมากกกก 555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 15-12-2011 23:50:44
อ่านตอนแรกก็อมยิ้ม ขำพี่จินอยู่หรอก แต่พออ่านมาถึงความเห็นของคุณบีบีที่บอกว่าจะเอาเปปเปอร์มาแจมเนี่ย ทำเอาแอบลุ้นไปด้วยเลยว่าจะเป็นแบบไหน?
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-16-] 15/12
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 16-12-2011 00:34:47
ชุดใหญ่ต้องรอนิดนึงค่ะ เพิ่งคิดได้ว่าน่าจะเอาเปปเปอร์มาแจมด้วย :impress2:


หือๆๆๆๆ ตาโตเท่าไข่ห่าน
เอาพี่เปปเปอร์มาแจม
>< กีี๊สสสส ด้วยความดีใจ !!
หัวข้อ: Love Sick [-17-] ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 19-12-2011 17:24:21
Love Sick

- 17 -



วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกครับ เปิดเทอมวันแรกก็คือการได้เจอเพื่อนวันแรก เริ่มเรียนวันแรก ไอ้การเจอเพื่อนวันแรกนี่แหละที่ผมกังวล ผมไม่รู้ว่าตองจะเป็นยังไงบ้าง...
“นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไมครับ?” จู่ๆสารถีของผมก็เอามือยักษ์มาขยี้หัวผม เต็มกำมือเลยนะครับนั่น T T
“เปล่าครับ.. ” ผมดึงมือพี่จินมางับตรงสันมือ มือหอมจัง -//-
“แล้วขมวดคิ้วทำไม เราน่ะชอบขมวดคิ้วเวลาคิดอะไรเครียดๆรู้มั้ย มีอะไรบอกพี่ไม่ได้เหรอ” ผมก้มมองมือพี่จินที่กำลังเข้าเกียร์รถ เพราะว่าอยากจะบอก แต่มันบอกไม่ได้น่ะสิถึงได้เครียด...
“เอมหิวจัง..”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง” โอ๊ะ! พี่จินเคาะหัวผมดังป๊อกแน่ะ
“งือ เอมก็แค่ไม่อยากเจอคนๆนึงก็แค่นั้น...” ผมนิ่วหน้าเอามือกุมหัว
“อ้าว ทำไมถึงไม่อยากเจอละครับ?” อ๋าย จะถึงม.แล้วอะ พี่จินเลี้ยวรถเข้าหน้าม.แล้ว ยังไม่อยากให้มาถึงเลย ผมยังทำใจไม่ด้าย~~
“พี่จินเนี่ย ชอบถามซักไซ้จังเลย” ผมบ่น เซ็งอะ พี่จินชอบแบบนี้ตลอดเลย มีอะไรละต้องคาดคั้นตลอด ความลับน่ะรู้จักม้ายยย
“... งั้นพี่ไม่ถามแล้วก็ได้ครับ” พี่จินนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดออกมา ผมรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงพี่จินแปลกๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร


สุดท้ายพี่จินก็ส่งผมลงตรงหน้าตึกศิลป์ แล้วก็บอกแค่ว่าเลิกเรียนให้โทรบอกก่อนจะขับรถออกไป ไม่มีการร่ำลา ไม่มีกอด ไม่มีหอมเหมือนปกติ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?



“เอมๆๆๆ” เสียงตะโกนจากข้างหลังสั่งให้ผมต้องหยุดคิดแล้วหันไปยิ้มให้เพื่อนที่วิ่งมาหา
“มาซะเกือบสาย ว่าแต่นี่มายืนทำอะไรเนี่ย” กิถามไปหอบไป มันจะวิ่งมาเพื่อ?
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ไปเรียนกันเถอะ” ผมส่ายหัวแล้วยิ้มให้กิ ส่วนอั๋นยืนรออยู่ที่ตีนบันได ผมยังไม่เห็นตองจนกระทั่งเดินมาถึงห้องเรียน ตองจองที่นั่งไว้ให้พวกผมเรียบร้อยแล้ว


ผมยังไม่ได้คุยกับตองเลยสักคำเพราะว่าสมองเอาแต่คิดเรื่องท่าทางห่างเหินของพี่จิน ผมรู้สึกนะว่าพี่จินเคืองผม แต่เคืองเรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่ผมหาว่าพี่จินซักไซ้งั้นเหรอ?...

เออว่ะ... ถ้าเป็นผมถูกพูดใส่แบบนั้นผมก็น้อยใจเหมือนกัน... รู้สึกผิดจัง..


และแล้ววันนี้ผมก็เรียนไม่รู้เรื่องเลย พอพักเที่ยงก็ลงไปกินข้าว ฝากไอ้กิกับอั๋นไปซื้อแล้ว ส่วนผมกับตองก็นั่งรอที่โต๊ะ ตองนั่งเฝ้าโต๊ะ ส่วนผมนอนฟุบกับโต๊ะ
“เอม ไม่สบายหรือเปล่า ดูเงียบๆไปนะ” คนที่ผมคิดตอนแรกว่าไม่อยากเจอกลับเป็นคนที่ดูใจดีที่สุดในเวลานี้ ซึ้งอ่ะ T T
“ป่าว...” ผมลากเสียงยาว รู้สึกว่ารอยยิ้มของตองอย่างกับโอเอซิส ความรู้สึกที่ไม่อยากเห็นหน้าเพื่อนหายวับไปทันตา ทำไมผมชอบคิดอะไรไปล่วงหน้านะ
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกเราได้นะ” ตองยื่นมือมาลูบหัวผม แปลกที่ผมไม่ยักกะรู้สึกไม่ชอบหรือรำคาญเลยแฮะ
“แหมๆ มึงมานั่งจู๋จี๋กับน้องตองของพี่ทำไมวะเอม” เชี่ยครับ... คนที่ไม่อยากเจอที่สุดมาทำไมวะเนี่ย ผมผงกหัวขึ้นมาทำหน้าเหม็นเบื่อให้พี่พีร์ที่เดินมานั่งข้างตอง เห็นตองขยับหนีแล้วทำท่าเหมือนรังเกียจก็รู้แล้วแหละว่าจีบยังไม่สำเร็จ ฮ่าๆ
“พักเที่ยงไม่ไปกินข้าวเหรอครับพี่พีร์ มัวแต่พาหมามาวิ่งเล่นอยู่ได้” ผมแขวะกลับ ตามสเต็ป โดนตบหัวป้าบ แต่พอพี่พีร์มันตบหัวผม ตองมันก็ตบหัวพี่พีร์กลับแรงกว่าอีก
“โอ๊ย! น้องตอง พี่เจ็บนะครับ”
“แล้วมึงตบหัวเพื่อนกูทำไมวะ” พอตองขึ้นเสียงใส่พี่พีร์ ผมก็เห็นพี่พีร์ทำหน้าจ๋อย สะใจว่ะ ฮ่าๆ
“อ้าวพี่พีร์ หวัดดีครับ มาเลี้ยงข้าวพวกผมเหรอ?” กิเดินถือจานข้าวมาสองใบแถมยังมีถุงก๊อบแก๊บคล้องแขนเดินกลับมาที่โต๊ะ จานข้าวใบหนึ่งวางตรงหน้าผม แล้วกิมันก็นั่งลงข้างๆ ส่วนอั๋นก็เดินไปนั่งข้างตอง ในถุงนั่นมันใส่ขนมมาอะครับ
“ตลกแระมึง กูมาหาน้องตองของกู” พอพี่พีร์พูดแบบนั้นกิก็หันไปมองตองตาโต
“มึงเป็นไรกะพี่พีร์เนี่ย”
“กูไม่ได้เป็นไรกับมันทั้งนั้นแหละ แดกข้าวไปเงียบๆเลย” ตองพูดเสียงอย่างโหดเลยครับ เล่นเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบกันไปเป็นแถบ อิพี่พีร์ก็เลิกกวนตีนเลยแหละครับ
“เอ่อ พี่ว่า...พี่ไปหาข้าวกินดีกว่านะครับ ไว้เจอกันนะครับตอง เอ่อ...พวกมึงด้วย ไว้เจอกัน...” ดูๆไปก็น่าสงสารพี่พีร์นะ แต่พี่พีร์ชอบทำตัวเองอะ เหอะๆ


“ไปกินเค้กมั้ยเอม” ตองหันมาชวนผมที่กำลังเก็บหนังสือเรียนเข้ากระเป๋า พอพูดถึงเค้กก็ดีเหมือนกันนะ คลายเครียดๆ ใครที่บอกว่าจะมารับก็ช่างเขาเถอะ ผมก็น้อยใจเหมือนกันวะ วันทั้งวันไม่โทรหาผมเลยสักครั้ง จะโกรธอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้... หึ
“ชวนแต่เอม แล้วพวกกูละ”
“ก็แล้วแต่มึงสิกิ จะมาก็มา”
“เอ๊อออออ คนเราแม่งลำเอียงเนอะอั๋น”
“ก็มาด้วยกันให้หมดนี่แหละ” ผมตัดบท ทำไมรอบตัวมีแต่คนอ้อนตีนนะ...


“แล้ววันนี้ไม่มีคนมารับเหรอเอม” ผมส่ายหัว กิทำผมหมดอร่อยเลยอะ ช็อกเค้กหน้านิ่มของผมเลี่ยนทันที
“แล้วจะกลับยังไง ให้เราไปส่งมั้ย?” ผมกำลังจะส่ายหัวบอกตองว่าไม่เป็นไร แต่กิก็สอดขึ้นมาซะก่อน
“แหม มึงนี่ยังกับมดแดงเลยเนอะ” ผมงง มดแดงอะไรของมันหว่า?
“เรื่องของกูแหละ ทำไมละ”
“เปล๊า ไม่ทำไมหร๊อก ระวังตัวจริงเขามาเอาเรื่องละกัน” กิมันพูดแล้วทำลอยหน้าลอยตา ดูท่าตองมันเดือดจนจะกินหัวกิได้แล้วอ่า...
“เรากลับเองได้แหละ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” ผมสรุปให้ จะได้ไม่ต้องเถียงกันอีก - -*

สุดท้ายผมก็แยกย้ายกับทุกคนที่ร้านเค้กแหละครับ มือหนึ่งหิ้วถุงเค้กมาฝากคนที่บ้าน (หิ้วมางั้นแหละ ไม่ได้อยากจะซื้อมาฝากหรอกนะ) ผมเดินดุ่มๆอยู่ตรงทางเท้าหน้าม.ก็มีรถคันหนึ่งขับมาทางด้านหลังแล้วก็เปิดไฟสูงใส่ผม พอหันไปมองก็ต้องหลับตาลงเพราะมันโคตรจะแสบตาเลยละครับ แล้วนอกจากนั้นมันยังบีบแตรใส่ผมอีกตะหาก แง่ง! ไม่มีมารยาทเล้ย

“!!” พอกำลังจะอ้าปากด่าตอนที่รถมันขับมาตีข้างก็ตกใจนิดหนึ่ง เหมือนเด็กถูกจับได้ว่าทำผิดอะครับ ก็นี่มันรถพี่จินนี่หว่า แถมพี่แกยังเปิดกระจกแล้วจ้องหน้าผมนิ่งเลยด้วย
“ขึ้นมา”
 อูย.... เสียงโคตรเหี้ยมเลยครับ...


ภาพสมัยก่อนที่พี่จินโหดๆผุดขึ้นมาเหมือนฉายวิดิโอ ผมนั่งเกร็งบนเบาะเหมือนว่ากำลังจะถูกพาไปขึ้นเขียง ทั้งที่แอร์รถมันก็เย็นฉ่ำ แต่มือของผมกลับมีเหงื่อซึมอยู่ตลอด นี่ผมไม่ได้ได้กลัวนะ!!
“ทำไมไม่โทรมาบอกว่าเลิกเรียนกี่โมง” อึก...ก็ไม่อยากโทรนี่... เพราะตอนนี้กำลังงอน... (เหตุผลผมดีมะ)
“...ก็กะว่าเดี๋ยวจะโทร” แต่คิดไปคิดมาไม่ตอบแบบนั้นดีกว่านะ
“แล้วเมื่อไรล่ะ”
“ก็กินขนมเสร็จแล้วจะโทร..”
“แต่ที่พี่เห็น คือออกมาจากร้านแล้วก็เดินเตล็ดเตร่ ไม่เห็นคิดจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเลยนะ” เฮ้ย นี่ตามมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย
“ก็กำลังจะโทรอะ แล้วพี่ก็ขับรถมาพอดี..” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เมื่อไรจะถึงบ้านวะ อึดอัดเป็นบ้า พี่จินเริ่มจะเซ้าซี้อีกแล้วเนี่ย
“อย่ามาเถียงข้างๆคูๆเลยเอม โตแล้วก็คุยกันด้วยเหตุผลสิ” ปึ๊ดเลยอะ เออใช่สิ ผมมันเด็กสินะ  คนช่างซักไซ้แบบพี่มันมีเหตุผลมากเลยใช่มั้ย?? บอกว่าไม่มีอะไรก็ยังจะเค้นถามอยู่ได้เนี่ย
“ผมก็ว่างั้นแหละ คุยกันด้วยเหตุผลได้มั้ย ไม่ใช่ว่าอะไรๆก็เอาแต่ซักไซ้ไม่เลิก มันก็มีเรื่องที่ไม่อยากจะบอกบ้างแหละ” ผมเปลี่ยนสรรพนามที่พูดกับพี่จิน เวลานี้ผมไม่อยากจะเรียกแทนตัวเองเวลาคุยกับเขาด้วยซ้ำ
“เธออย่ามาย้อนพี่นะ จะต้องเอาเรื่องเมื่อเช้ากับเรื่องเมื่อกี้มารวมกันทำไม พี่อุตส่าห์จะไม่คิดอะไรแล้ว แต่เธอก็ยังจะมาทำนิสัยเด็กๆใส่พี่อีกนะ!” รถหยุดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ครับ ที่รู้คือเรากำลังเถียงกัน เถียงกันแบบเอาจริงเอาจัง
“พี่ก็ดีแต่ซักโน่นนี่ เมื่อเช้าก็แล้ว มาตอนนี้ยังจะมาซักไซ้กับผมอีก พี่จะต้องเค้นเรื่องจากผมให้ได้เลยใช่มั้ย เดี๋ยวนี้ผมไม่ต้องมีความเป็นส่วนตัวแล้ว? จะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้แล้วใช่มั้ย?” ผมตะเบ็งเสียงคอแทบแตก เริ่มแสบคอแล้วอะ... ตาก็ร้อนๆ หยั่งกะจะร้องไห้เลยแฮะ
“อ๋อ พี่ผิดเองที่ซักไซ้จนเอมรำคาญ งั้นพี่ก็ขอโทษนะ พี่จะไม่ ’เซ้าซี้’ ถามอะไรจากเอมแล้วแหละ เอมอยากทำอะไรเอมก็ทำไปเลย คิดเสียว่าไม่เคยมีพี่มาแต่แรกแล้วกันนะ!” พี่จินทุบพวงมาลัยดังปั้กก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงใส่อารมณ์ ผมได้แต่กัดริมฝีปากแน่นเ มันรู้สึกคับใจบอกไม่ถูก อารมณ์ตอนนั้นก็มีแต่ความโมโหเท่านั้น บอกว่ารักผม แต่ตอนนี้ก็ตะคอกใส่ผมเหมือนกับที่ทำกับคนอื่น สรุปแล้วผมก็มีสถานะเท่ากับคนอื่นอย่างงั้นใช่มั้ย สุดท้ายแล้วพี่จินก็ทำให้ผมเสียใจ ผมเจ็บๆๆๆ เจ็บจนอยากจะหายไปให้พ้นจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้!!


ปึก!


“เอม!!!! ทำอะไ-” ผมได้ยินเสียงพี่จินตะโกนไม่ทันจบประโยคดีก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาสุดๆ นั่นคงเป็นเพราะว่าพี่จินเพิ่งขับรถออกมานิดเดียวแล้วผมก็เปิดประตูลงไป รถกำลังวิ่งแบบนี้ก็ล้มแหละครับ ผมยันตัวลุกขึ้นยืนและหันไปปิดประตูรถ เสร็จแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งข้ามถนนอีกฝั่ง แต่ว่าแสงไฟจ้าที่ผมเห้นตอนนี้ทำให้ผมไม่กล้าขยับไปไหน

“เอมมมม!!!!!”


เสียงพี่จินตะโกนเรียกผมดังสุดชีวิต ก่อนที่แรงอัดตรงช่วงท้องจะทำให้สติของผมดับวูบไป...


ผมสาบาน ถ้าผมย้อนเวลากลับมาได้ ผมจะไม่ลงจากรถพี่จิน ผมจะขอโทษที่งี่เง่า และผมก็จะเล่าเรื่องทุกเรื่องให้พี่จินฟัง


เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องทนมองพี่จินร้องไห้แบบนี้โดยไม่สามารถที่จะโอบกอดปลอบใจได้...



***********************************************************


ครึ่งแรกค่ะ


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BBnuna ที่ 19-12-2011 17:54:07
 :sad4: :sad4:
เอมอย่าเป็นอ่ะไรน่าาาา :z3:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 19-12-2011 18:49:36
 :เฮ้อ:   เอมงี่เง่ามากๆจิงแหล่ะ  ไม่แคร์พี่จินเลย


 :fire:  ดราม่าอีกแล้ววววว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-12-2011 19:10:54
งี่เง่า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 19-12-2011 21:49:04
เห็นด้วยกับคุณๆข้างบน งี่เง่า จริงๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Bowbonk ที่ 19-12-2011 22:55:53
อย่าเป็นไรนะเอม   พี่จินไม่โกรธหรอก
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 19-12-2011 22:57:03
-*- เห็นตามเสียงส่วนใหญ่อะ งี่เง่า บวก ปญอ. ด้วยอีกอย่างเลย 5555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: pronpailin ที่ 20-12-2011 06:40:52
 :o :m29:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 20-12-2011 08:38:24
สงสารพี่จิน.... ;___;
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 20-12-2011 09:40:59
 :a5:อ่านแล้ว ก็เห็นหลาย ๆ คนบอกว่าน้องเอมงี่เง่า พี่เห็นด้วยที่บอกว่าน้องงี่เง่า แต่ก็เข้าใจด้วยว่าน้องยังเด็ก ยังไร้เดียงสา ยังไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของการ "รัก" และการ "ถูกรัก" เท่าไรนัก เหมือนน้องจะซื่อ ๆ น่ะ เลยไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้างยังไง คิดว่าน้องบริสุทธิ์ใจกับทุกฝ่าย เป็นคนที่ทำอะไรตามความคิดของตัวเอง ก็ความคิดของเด็ก ๆ น่ะนะ คือคิดว่าที่ตัวเองทำน่ะถูกแล้ว

อีกอย่างหนึ่งจินเจอร์เป็นผู้ใหญ่กว่า น่าจะอธิบายเหตุผลกับน้องบ้าง ไม่ใช่ใช้อารมณ์ไปซะทุกเรื่อง (ถ้ามันเกี่ยวกับเอม)

ความรัก บางครั้งก็ต้องใช้เหตุผลควบคู่ไปกับหัวใจ นะคะ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 20-12-2011 14:08:44
 o22 :กอด1:
1+จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 19/12 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 20-12-2011 15:15:31
น้องเอมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Love Sick [-17-] ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 20-12-2011 17:12:06
ครึ่งหลัง



“อ้ะ! วันนี้มีการบ้านภาษาอังกฤษด้วยนะ” ผมรับสมุดการบ้านจากกิมาวางไว้ที่โต๊ะ มีทุกวันเลยแฮะการบ้าน สงสัยคืนนี้ต้องเริ่มทำจริงจังสักที
“ขอบใจนะ” ผมไม่ได้ขอบใจแค่กิ ที่มานั่งทำหน้าแป้นแร้นอยู่ตรงนี้ แต่ผมขอบใจทั้งอั๋นและตองที่หมั่นมาเยี่ยมผมและสอนบทเรียนในช่วงที่ผมลา


หลังจากที่ผมทะเลาะกับพี่จินอย่างรุนแรงในวันนั้น ก็เป็นที่รู้กันว่าผมโดนรถชนแหละครับ มันไม่ได้ชนแรงจนตัวผมปลิวกระเด็นไปห้าเมตร แต่มันก็ชนแรงพอที่จะทำให้แขนขวาของผมหัก และต้องเข้าเฝือกกว่าหกเดือน ส่วนขาขวาก็ต้องเข้าเฝือกเหมือนกัน แต่ว่าไม่หนักหนาเท่าแขน หมอบอกว่าสาม-สี่เดือนก็หาย ท้องก็ไม่เป็นอะไร แค่ช้ำเป็นรอยม่วงๆเท่ากระดาษเอห้า หมอเอ็กซเรย์ดูแล้วก็ไม่ช้ำในครับ

หกเดือนนี่มันนานพอสมควรเลยนะครับ เมื่อนึกถึงว่าผมจะต้องเป็นภาระกับพี่จินไปนานขนาดไหน... และจะไม่ได้วาดรูปจนกว่าจะหาย...


“เอม ดื่มนมก่อนครับ” ผมใช้มือซ้ายรับแก้วนมจากพี่จิน คนที่ดูแลผมมาตั้งแต่วันแรกที่ประสบอุบัติเหตุ ผมยังรู้สึกผิดจนวันนี้ ถ้าหากตอนนั้นผมทำตัวดีกว่านี้ ถ้าผมมีเหตุผลสักหน่อย และงี่เง่าให้น้อยลง ผมคงไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องอดวาดรูป และไม่ต้องเป็นภาระพี่จิน... แต่อย่างว่าแหละ คนเราไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา...(อันนี้กิมันด่าผมครับ) T T
“เอ่อ พวกกูกลับดีกว่านะ ไม่อยากอยู่เป็น กขค ว่ะ” ครับ...เดี๋ยวนี้ผมกับกิใช้ กู มึง คุยกันแล้ว รู้สึกมันจะเริ่มลามปามจนจะเหยียบหัวผมเข้าไปทุกทีแล้วละ
“พี่จิน ฝากดูแลเพื่อนผมดีๆนะครับ ให้มันหายช้าๆ จะได้ไม่มีใครมาแย่งผมท๊อปวิชาร่างแบบ ฮ่าๆ” พี่จินยิ้มให้กิที่รีบคว้ากระเป๋าวิ่งออกไปก่อนจะโดนลูกแอปเปิ้ลในมือผมเขวี้ยงหัว มันมากวนตีนผมทุกวันเลยนะ
“พักผ่อนเยอะๆนะเอม” ตองพูดกับผม
“อื้อ ขอบใจมากนะตอง” ผมขอบคุณเพื่อนเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้วันนี้ เหอะๆ ตองเอามือมาลูบหัวผมอีกแล้วละ เออ...ให้บรรยากาศเหมือนพี่สาวเลยแหะ...
“เพื่อนคนอื่นออกไปแล้วก็ไปสักทีสิ มายืนอาลัยอาวรณ์อยู่ได้” อึ๊ก... ผมเหลือบไปมองพี่จินที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูอยู่ เห็นตองมันทำตาขวางใส่พี่จินแวบหนึ่งแล้วก็เดินปึงปังออกไป
“รู้สึกไอ้นี่มันชักจะเยอะนะเอม” พี่จินเดินมานั่งข้างผมแล้วก็เอามามาถูหัวผมตรงที่ตองจับ ถูๆเหมือนจะให้สัมผัสจากตองหายไปไวๆอะครับ ทำไมนิสัยเด็กแบบนี้นะ แต่เอ่อ...มาลองคิดดู ถ้าสถานะของผมกับพี่จินกลับกัน ผมคงหึงบ้ากว่านี้อีกครับ


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเรียนรู้ได้อย่างหนึ่ง คือการเอาใจพี่จินมาใส่ใจผม ให้ลองคิดดู ว่าถ้าเป็นผมเจอสถานการณ์แบบที่พี่จินได้เจอ ผมจะรู้สึกแย่แค่ไหนกับการที่ถูกคนรักหาว่าเราวุ่นวาย และใส่อารมณ์กับเรา รวมถึงมีความลับที่ไม่ยอมบอก ทั้งหมดทั้งมวลมันผิดที่ผมคนเดียวเลยครับ
T T


“ช่างเถอะครับ เห็นว่าตอนนี้พี่พีร์กำลังเร่งทำคะแนน หึหึ” ผมยิ้มขำเมื่อนึกถึงเมื่อวานที่พี่พีร์มาเยี่ยมแล้วก็บอกกับผมว่าจะรุกตองเต็มที่แล้ว เอานะ ขอให้สำเร็จแล้วกัน
“ก็ให้ไอ้พีร์มันจัดการให้เรียบร้อยสักที มันจะได้ไม่มาทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงอีก” ผมบอกพี่จินไปหมดแล้วแหละครับ เรื่องของตองน่ะ แล้วผมก็สัญญากับพี่จินด้วย ว่ามีอะไรก็จะบอกพี่จินให้หมด รวมถึงพี่จินก็ห้ามมีความลับปิดบังผมเช่นกัน


พี่จินยังบอกอีกว่าตอนที่ผมออกจากโรงพยาบาลคืนแรกแล้วผมปวดแขนมาก ผมนอนละเมอร้องไห้แล้วบอกขอโทษพี่จินซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกลัวว่าพี่จินจะไม่ยกโทษให้ ทั้งที่จริงพี่จินหายโกรธตั้งแต่ตอนที่อุ้มผมไปรพ.แล้ว


“หายไวๆนะคนดีของพี่” พี่จินเอามือปัดปอยผมออกจากหน้าผากให้ผม น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม พี่จินทำให้ผมรู้สึกผิดแบบสุดๆ และก็รู้สึกรักพี่จินขึ้นมาสุดๆในเวลาเดียวกัน ไอ้ความงี่เง่าที่ผมเคยมีมันหายวับไปกับตาเลยครับ...

‘เอมก็ตอบแทนพี่ ด้วยการอย่าทำให้พี่เสียใจอีก เอมไม่มีทางรู้หรอกว่าการนั่งเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดห้าชั่วโมงน่ะ มันทรมานใจแค่ไหน’


ผมก็สาบานกับตัวเองแบบนั้น นิสัยแย่ๆที่ผมเคยมีก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก เมื่อไรที่ผมเริ่มจะงี่เง่า หรือวีนขึ้นมา ผมก็จะมองหน้าพี่จินให้ชัดๆ แล้วบอกกับตัวเองว่าผมรักพี่จินแค่ไหน เราสองคนรอคอยมานานแค่ไหนกว่าจะได้มาเป็นอย่างตอนนี้ ผมจะไม่ยอมให้ทุกอย่างพังทลายลงเพราะความหุนหันของผมเด็ดขาด...


“เอมรักพี่จินจังครับ..” ผมยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มพี่จิน เคราเริ่มขึ้นบางๆพอให้จั๊กจี้ริมฝีปาก แต่ความจั๊กจี้ก็เปลี่ยนเป็นดูดดื่มและเร่าร้อนมากขึ้นเมื่อริมฝีปากของผมแนบสนิทกับพี่จิน รสชาติของขนมหวานจากปากพี่จินทำให้การจูบนี้ช่างนุ่มนวล ผมหลับตาและละเลียดความหอมหวานของมันอย่างเต็มที่
“...อืม พอเถอะ...เดี๋ยวจะไปกันใหญ่นะ...” พี่จินผละออกห่าง สองมือใหญ่ประคองแก้มผมไว้ ผมรู้ว่าลมหายใจของพี่จินขาดห้วง เพราะผมก็เป็นเหมือนกัน อยากจะรู้สึกมากกว่านี้ อยากจะได้สัมผัสมากกว่านี้อีก...
“ไอ้จิ๋ว ไม่เจียมตัวเลย..” พี่จินกัดริมฝีปากผมแล้วกอดผมไว้แน่น นั่นสิ ผมไม่เจียมตัวเลยอะ คิดอะไรทะลึ่งทั้งที่ตัวเองยังไม่มีปัญญาจะทำ ก็ใส่เฝือกทั้งขาทั้งแขนมันจะทำอะไรได้เล่า!!!!!



“วานิลลา มานี่เร้ว” ผมส่งเสียงเรียกเจ้าเหมียวที่ตัวเริ่มยืดให้มาบนตัก วานิลลากระโดดแผล็วก็มานั่งหน้าเป็นอยู่บนเฝือกผม ตั้งแต่กิมา วานิลลาก็หายไปครึ่งวันเลยครับ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยชอบกิ เพราะว่ากิชอบแกล้งมัน ฟัดมันแรงๆบ้างละ เอาขนมมาล่อแล้วไม่ให้กินบ้างละ หึหึ ไอ้กิโรคจิต


“เมี้ยวววว” เจ้าเหมียวเอาหัวมาถูฝ่ามือผมเหมือนจะให้ลูบหัวให้ ผมเลยสมนาคุณพิเศษ ทั้งลูบหัว เกาหู และเกาคางเป็นการปลอบใจ เจ้าเหมียวเริ่มอ่อนระทวยเอนตัวลงนอนหลับตาพริ้ม น่าฟัดชะมัด เมี้ยวววว  :music:
“อ้าว วานิลลา มาอยู่นี่เอง มิน่าละ ทำข้าวให้กินก็ไม่ยอมมา มัวแต่มาอ้อนมะม้าอยู่ได้” ผมยิ้มขำเมื่อได้ยินที่พี่จินบอก พี่จินเดินมานั่งตรงปลายเท้าผมแล้วเอามือเขี่ยคางแมว
“มันติดเอมน่าดูเลยนะครับ เวลามันมาอ้อนเอมทีไร เรียกมากินข้าวยังไม่ยอมไปเลย ทั้งที่ตะกละจะตาย”
“ฮื้อ พี่จินอย่าว่าวานิลลานะ ไม่เห็นตะกละเลยเนอะ วานิลลาเป็นเด็กดีจะตาย เป็นแมวคุณหนูเนอะวานิลลา” ผมอุ้มวานิลลาขึ้นมาจ้องตาแล้วก็จุ๊บปาก เจ้าเหมียวตาสีฟ้าแลบลิ้นเลียก่อนที่ปากจะแตะกันแค่วิเดียว
“อึ๋ย วานิลลา ลิ้นสากๆอ้ะ” ผมเอาหลังมือเช็ดปากตัวเอง เจ้าเหมียวนัวเนียผมมากขึ้น เดินวนเวียนถูไถอยู่ไม่ห่าง
“หึหึ โดนแมวขโมยจูบซะแล้ว มา.. พี่ลบรอยให้”
“อือ...” จูบที่สองในรอบวัน รู้สึกเหมือนเดี๋ยวนี้เราจะได้จูบกันบ่อยขึ้นนะครับ.. ผมชอบจัง  :o8:


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงผมจะชอบจูบกับพี่จินแค่ไหน แต่ถ้าทำได้แค่จูบผมก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ ขาดใจตายพอดี แล้วเหมือนช่วงนี้พี่จินจะรู้ว่าผมคิดอะไร เขาก็ยิ่งจูบผมแบบดูดดื่มบ่อยขึ้น แล้วพอจูบเสร็จก็ทำสายตาล้อเลียนผม มีครั้งนึงที่พี่จินหลุดหัวเราะออกมาแล้วก็บอกว่า ‘เอมก็คงถึงวัยที่จะคิดลามกแล้วสินะ หึหึ’


คุณเอ๊ยยย ผมเงี้ยหน้าแดงแจ๋เลย อายบอกไม่ถูกอะ ยิ่งอิตอนที่ผมต้องอาบน้ำโดยให้พี่จินคอยช่วยน่ะ ฮือ... เป็นช่วงเวลาแห่งความอัปยศสุดๆเลย

“เอมครับ ยกแขนหน่อยสิ พี่จะถอดเสื้อให้” พอถอดเสื้อเสร็จก็ถอดกางเกง พี่จินค่อยๆรูดกางเกงออกจากขาข้างที่เข้าเฝือกให้เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว (พี่แกก็ซื้อมาแต่สีขาวเสียด้วยนะ ไอ้ลามก!) แล้วก็เอาถุงมาครอบขากับแขนให้มิดชิด และก็ไม่ใช่ว่าผมจะอาบฝักบัวได้ปกตินะครับ พี่จินต้องเอาผมไปนั่งอาบบนฝาปิดอ่างอาบน้ำ แล้วให้ผมหย่อนขาลงไปในอ่าง เสร็จแล้วก็ยกแขนพาดไว้บนชั้นก่อนจะเอาฝักบัวมาราด ถ้าจะสระผมก็ต้องนอนเอาหัวพาดขอบอ่างอาบน้ำ เป็นอะไรที่โคตรจะทุลักทุเลสุดๆครับ


“ทาแป้งมั้ยครับ?”  ผมพยักหน้า หลังจากอาบน้ำก็แต่งต้องตัว พี่จินจะทาแป้ง ทาครีม และใส่เสื้อผ้าให้ผม มันเป็นอย่างนี้ทุกวัน
จนนานขึ้นเป็นเดือน ผมเริ่มจะสงสัยว่าพี่จินเคยเบื่อมั่งมั้ย? ผมเป็นแบบนี้พี่จินก็ต้องดูแลใกล้ชิด จะออกไปธุระก็ไปได้แป๊บเดียว ยิ่งเห็นว่าช่วงนี้ต้องทำผลงานกลับไปส่งอาจารย์ที่ปารีสด้วย...


“ทำหน้างอทำไมครับน้องหนู หืม?” พี่จินถามขึ้นมาขณะที่กำลังตัดเล็บเท้าให้ผม
“พี่จินเบื่อหรือเปล่าครับ...”
“ถามแบบนี้อีกละ เมื่อไรจะเลิกคิดมากสักที”
“ไม่คิดไม่ได้หรอก เอมรู้ว่ามันน่าเบื่อที่ต้องมาคอยดูแลคนอื่นแบบนี้”
“...เอมไม่ใช่คนอื่นสำหรับพี่นะครับ” พี่จินขยับจากปลายเท้ามานั่งข้างๆแล้วโอบผมไว้
“เอมไม่อยากให้พี่จินเบื่อนี่ ไม่อยากเป็นภาระแบบนี้ พี่จินจะออกไปทำงานส่งอาจารย์ก็ไปไม่ได้”
“ชู่ว์” พี่จินจุ๊ปากแล้วก็เอานิ้วแตะปากผม
“พี่อยู่กับเอม ดูแลเอมแบบนี้ไม่ได้ไปไหน ก็ไม่ได้แปลว่าพี่จะไม่มีเวลาไปถ่ายรูปนะครับ”
“พี่จินจะบอกว่าพี่จินถ่ายรูปที่บ้านเหรอครับ?”
“ก็ประมาณนั้น” ผมทำหน้างงเข้าไปใหญ่ ที่บ้านนี่มีอะไรให้ถ่ายได้อ่า? ถึงบ้านมันจะสวย แต่ก็คงไม่ได้มีมุมมากมายที่จะเอาไปถ่ายส่งเป็นผลงานได้หรอกนะครับ พอพี่จินเห็นผมทำหน้าแมวงงแบบนั้นก็เลยลุกเดินเข้าไปในห้องทำงานพักใหญ่ ก่อนจะหอบกองอะไรบางอย่างออกมาด้วย


“อ้ะ นี่ไง” ผมมองกองรูปถ่ายที่ล้างแล้วตรงหน้า (ที่บ้านนี้มีห้องล้างรูปครับ พี่จินต่อเติมเองกับมือ) บางรูปที่เดาไม่ออกว่าอยู่ส่วนไหนของบ้านเพราะมันเป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ดึงดูดสายตา บางรูปก็เป็นรูปคน เอ่อ...ผมเองแหละ กำลังทำอิริยาบถต่างๆ เช่น
รูปตอนที่พี่จินพาผมไปนั่งในสวนแล้วให้ผมรอพี่จินยกขนมมาให้ มันดูเป็นธรรมชาติมากเลยครับ แถมพี่จินยังถ่ายให้แสงและสีพอเหมาะ เห็นแล้วมันดูแบบว่า อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“หัวข้อผลงานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ พี่ถ่ายแต่หน้าเอมแบบเนี้ย...” ผมพูดอุบอิบ ก็รูปมันมีผมเป็นองค์ประกอบทั้งนั้นเลยอะครับ เห็นแล้วเขิน แถมยังใส่เฝือกทุกรูปอีก
“...” พี่จินยิ้ม แล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ้มแบบโลกสว่างทันตา อ๊า~ หล่อจัง  :m3:
“หัวข้อรูปคือ Best Place ครับ”...
“เอมเป็น Best Place ของพี่จินเหรอครับ” พี่จินพยักหน้า
“ต่อให้เอมเดี้ยงแบบนี้ เป็นภาระกับพี่จินน่ะนะ” พี่จินก็พยักหน้า
“เอมงี่เง่ามากๆเลยนะครับ”
“เรื่องนี้พี่ก็รู้ครับ หึหึ”
“แต่เอมก็รักพี่จินมากที่สุดเลย...” ผมกลั้นไม่ไหว บ่อน้ำตาพังครืน ผมอ้าแขนโผเข้าหาพี่จินที่พูดปลอบผมปนกับเสียงหัวเราะ สุดท้ายวันนั้นพี่จินก็ได้รูปตอนที่ผมร้องไห้เพิ่มเข้าไปอีก ทั้งที่บอกว่าห้ามถ่าย แต่ไอ้รูปหน้าขี้แยก็ยังถูกเอาไปแปะที่ผนังจนได้

เฮ่อ... ห้ามไม่ฟังกันบ้างเล้ย   :a6:


*** ไม่ดราม่าค่ะ ไม่เศร้าด้วย แต่ปัญหาหลักก็คือตอนนี้คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี มึนตึบเลย  :really2:
*** ดีใจจัง มีคนชมว่าหนุเอมงี่เง่ากันหลายคนเลย ปลื้มค่ะ 555+

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 20-12-2011 17:45:40
งี่เง่าสมวัยค่ะ
แต่พี่จินงี่เง่าเกินวัย(อีกนัยนึง)
คนมีความรักงี่เง่าทุกคนค่ะ


5555555555555 เวลามีความรักเหตุผลมันน้อยลงเป็นธรรมชาติเนอะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 20-12-2011 19:17:15
ชอบตรงที่พี่จินบอก "เอมก็ถึงวัยที่จะคิดลามกแล้วนะ"
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: dawnthesky ที่ 20-12-2011 19:18:27
ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าผิดน่ายกย่องค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-12-2011 19:32:43
 :impress3:  ทำผิดแล้วรู้สึดผิด   น่ารักจ้าเอม


พี่จินน่ารักตลอด
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 20-12-2011 21:53:59
พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ รออ่านต่อนะครับ

...ปล. อยากเห็นดราม่าเปปเปอร์ อารมณ์เปปเปอร์เลิกกับโรส แล้วพึ่งมานึกเสียดายเอม แล้วก่อดราม่าพี่น้อง  555  ซาดิสม์
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: sakurazaka ที่ 20-12-2011 23:54:58
อาจจะเป็นเพราะอ่านรวบสองตอน เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยเอมที่งี่เง่า ก็ดูเข้าใจพี่จินมากขึ้น แต่ยังไงพี่จินก็หวานขนาดนี้ ก็ได้แต่หวังว่าหลังถอดเฝือกแล้วจะได้สวีทกันเต็มที่จริงๆ เสียที
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 21-12-2011 08:00:50
รักน้องเอมจังเลยยย  ขนาดงี่เง่าก็ยังดูน่ารักอยู่เลยนะเนี่ย :man1:
พี่จินดูอบอุ่นจังเลยค่ะ นึกภาพ โหดเถื่อนไม่ออกเลยอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 21-12-2011 13:44:18
อืม..ข้อดีของเอมคือ รู้ตัว-ยอมรับว่าตัวเองงี่เง่า
แต่เมื่อได้คิดและคิดได้ก็พยายามปรับตัวนะ
พีจินก็ต้องพยายามเข้าใจน้องแหละ

ป.ล. คนเขียนคะ พักบ้างอะไรบ้างก็ได้นะคะ  เป็นการไปชาร์ตไฟให้ตัวเองค่ะ
       เข้าใจนะว่า คนเราบางทีความคิดมันหยุดชะงัก เหมือนปิดswitchล่ะ
       แต่บางทีมันก็เหมือนน้องน้ำตอนคลั่งอ้ะ ไหลถะถั่งพรั่งพรูมาเชียว
        :กอด1:เรียกพลังให่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 21-12-2011 15:16:28
เอมถึงงี่เง่าก็รักน๊า :กอด1:
1+ให้จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 21-12-2011 17:17:41
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:  โล่งสักที !!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 22-12-2011 19:46:09
พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ รออ่านต่อนะครับ

...ปล. อยากเห็นดราม่าเปปเปอร์ อารมณ์เปปเปอร์เลิกกับโรส แล้วพึ่งมานึกเสียดายเอม แล้วก่อดราม่าพี่น้อง  555  ซาดิสม์

ความคิดดีอีกแล้วค่ะ
ตอนแรกกะลังคิด ว่าให้โรสตายเลยดีม่ะ(สะใจดี) แต่ก็กลัวว่ามันจะสะเทือนใจเกิ๊น
เอาเป็นเลิกกันก็พอเนาะ(?)
ที่แน่ๆคือไม่ตัดพี่เปปออกหรอกค่ะ อุตส่าห์โฉดมาตั้งกะต้นแล้ว 555+
ให้บทบาทแกต่ออีกหน่อยเนาะ  o18

อืม..ข้อดีของเอมคือ รู้ตัว-ยอมรับว่าตัวเองงี่เง่า
แต่เมื่อได้คิดและคิดได้ก็พยายามปรับตัวนะ
พีจินก็ต้องพยายามเข้าใจน้องแหละ

ป.ล. คนเขียนคะ พักบ้างอะไรบ้างก็ได้นะคะ  เป็นการไปชาร์ตไฟให้ตัวเองค่ะ
       เข้าใจนะว่า คนเราบางทีความคิดมันหยุดชะงัก เหมือนปิดswitchล่ะ
       แต่บางทีมันก็เหมือนน้องน้ำตอนคลั่งอ้ะ ไหลถะถั่งพรั่งพรูมาเชียว
        :กอด1:เรียกพลังให่ค่ะ

ขอบคุณคุณ yayee2 มากค่ะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าเดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว
คงหายหลายวันเลย ช่วงนี้งานยุ่งโฮก  :fire:

ชอบตรงที่พี่จินบอก "เอมก็ถึงวัยที่จะคิดลามกแล้วนะ"
รอตอนต่อไปค่า

อยากจัดตอนต่อไปให้ไวๆค่ะ แต่ขอตัวไปคิดอะไรโดนๆก่อนนะ
เพราะส่วนมากเวลาบีจะเขียนแต่ละตอนเนี่ย
มันจะต้องมีอารมณ์ประมาณว่า แว๊บพล็อตนี้เข้ามาในหัว
บางทีเจออะไรที่โดนใจในชีวิตจริงบีก็จะเอามาต่อยอดค่ะ
แต่อิเวลาคิดอะไรไม่ออกเนี่ย โคตรจะเครียดเลย  :sad4:



สุดท้ายขอบคุณทุก คห.มากๆนะคะ และก็ขอให้ติดตามกันไปนานๆด้วย > <

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 30-12-2011 16:00:47
สู้ๆนะคะ ยังจะรอต่อไปเสมออ  o13 o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 30-12-2011 23:37:01
คิดถึงจังเลยยยยยยยยยยย
หายเหนื่อยหรือยัง
มาส่งข่าวบอกกันบ้าง
ว่ายังสบายดีไม่ต้องอัพ
เรื่องก็ได้ :L2:
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าจ๊า
ขอให้มีความสุขในทุกวัน
สุขภาพแข็งแรงนะจ๊ะ :L1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-17-] 20/12 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 06-01-2012 08:56:08
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ :L2:
หัวข้อ: Love Sick [-18-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 12-01-2012 18:04:16
Love Sick

- 18 -



หลังจากที่ผมต้องทนทรมานกับไอ้เจ้าสองเฝือกมาหลายเดือน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ที่ผมจะถอดเฝือกขาแล้วครับ! คงไม่ต้องบอกว่าผมจะดีใจแค่ไหน แต่ทว่าข่าวดีมักจะชอบมาคู่กับข่าวร้าย เพราะว่าพี่จินจะต้องบินไปปารีสหลังจากที่ผมถอดเฝือกได้สองวัน เห็นว่าต้องไปคุยกับอาจารย์เรื่องผลงานอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ


“คงไม่ได้คิดจะหนีเอมไปหากิ๊กที่โน่นใช่มั้ยครับ” ผมเอาคางเกยอกพี่จินแล้วถามเสียงแข็ง พี่จินเลิกคิ้วข้างหนึ่งแล้วตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชวนโมโห
“คนไหนละครับ ซินดี้สาวผมแดงร้อนแรง หรือมารีสวยเอ็กซ์เซ็กสะบึม หรือว่าจะเป็นโทมัสหนุ่มน้อยหน้ามน โอ๊ย!” ผมกำหมัดทุบท้องพี่จินดังอั้ก เรื่องกวนประสาทเนี่ยไม่เคยแพ้ใคร
“ปากดีนัก! นี่แน่ะๆ”
“โอ๊ยๆ อย่าหยิกสิครับ มันเจ็บนะ”
“ใช่สิ พี่มันหล่อเลือกได้นี่” ผมผุดลุกจากตัวพี่จินแล้วมานั่งหน้างอที่โซฟาอีกด้าน พี่จินลุกตามมานั่งข้างผมแต่ก็ยังไม่วายยิ้มล้อผมอีก
“ก็เราน่ะ ถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่ไว้ใจพี่หรือไง” ผมนิ่วหน้า ไม่ใช่ไม่ไว้ใจนะ แต่บางทีมันก็อดคิดไม่ได้ พี่จินต้องไปตั้งสองอาทิตย์เลยนะครับ...
“ความรักมันทำให้คนเราโง่ขึ้นนะครับ ยอมเชื่อทั้งที่ไม่มีหลักประกันอะไร...” รวมถึงยอมเลือกเส้นทางที่รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องทำให้เราเสียใจ ผมรู้เพราะว่าผมก็เคยเป็นมาก่อน
“แต่เอมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเสียใจที่เชื่อพี่นะครับ” ผมบีบมือพี่จินแน่น มองลึกเข้าไปข้างในดวงตาสีเข้มคู่นั้น ความรู้สึกของเจ้าของดวงตายังเหมือนเดิม พี่จินเคยมองผมด้วยความรู้สึกแบบไหน มันก็จะเป็นต่อไปอย่างนั้น...
“I love you” ผมร้อนวูบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำนี้จากปากพี่จิน ผมก้มหน้างุด แต่ก็พยายามเค้นเสียงออกมา
“ผมก็รักคุณ...” เหมือนว่าน้ำเสียงตัวเองมันเบาหวิว แต่สำหรับพี่จินแล้วมันคงฟังชัดเจนดี เพราะรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมาให้ผม มันดูอบอวลไปด้วยความสุข
“วันนี้น้องเอมแมนจังเลยนะครับ หึหึ”
“บ้า!” ผมงับเข้าที่บ่าของพี่จินเต็มรัก เสียงทุ้มร้องโอ๊ยนิดหนึ่งก่อนจะดึงเอาหัวผมออกจากบ่า มือใหญ่กำมะเหงกแล้วเขกที่หัวผมหนึ่งที
“ฮื้อ! พี่จินอะ หัวเอมโนแล้วมั้ง”
“หึหึ ไม่โนหรอก เขกเบาๆเอง” พี่จินเอามามาลูบๆตรงที่เขกหัวผม ผมซุกหน้ากับซอกคอของพี่จินอีก กลิ่นผิวกายผสมกับกลิ่นหอมของเสื้อผ้า แค่นี้ก็ทำผมเคลิ้มแล้วอะ
“พี่จินรู้มั้ยว่าพี่จินน่ะตัวห๊อมหอม” ผมเอานิ้วเขี่ยๆที่กระดุมเสื้อพี่จิน อยากรู้จังว่าข้างในจะหอมเหมือนข้างนอกมั้ย...
“หืม? ไม่รู้สิ ก็เพิ่งจะมีเอมเนี่ยแหละที่บอกแบบนี้” นั่นสิ ถ้ามีคนอื่นพูดแบบผมละเรื่องยาวแน่ หึ..
“เอมก็ตัวหอมรู้มั้ย ขนาดเหงื่อออกยังไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ตัวก็นุ่มนิ่ม แก้มก็นุ่มนิ่ม” พี่จินหอมแก้มผมดังฟอดสลับไปมาทั้งสองข้าง ผมหลับตาปี๋ รู้สึกจั๊กจี้บอกไม่ถูกอ้ะ
“ฮิๆ พี่จิน อย่านะ เอมจั๊กจี้อ่ะ” ผมเอาสองมือดันหน้าพี่จินออก แต่ก็แพ้แรง ตัวก็ใหญ่ แรงก็เยอะ ขี้โกงชะมัด
“นี่ๆ พี่จินร้องเพลงให้เอมฟังหน่อยได้มั้ยครับ” ผมรู้สึกว่าพี่จินเริ่มจะสนุกกับการแหย่ผม เพราะงั้นผมก็เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะดีกว่า พี่จินละจากแก้มผมแล้วทำสีหน้าคิด มือสองข้างก็ยังยึดเอวผมไว้แน่นเหมือนกลัวผมจะหนีงั้นแหละ
“แล้วเอมอยากฟังเพลงอะไรละครับ”
“เพลงอะไรก็ได้ พี่จินร้องเพราะทุกเพลงแหละครับ” ผมยิ้มหวาน
“งั้นเอาเพลงนี้แล้วกัน” พี่จินลูบหัวผมแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แค่คำแรกที่ร้องผมก็นึกออกทันทีเลยครับ


นี่แหละหัวใจหนึ่งที่มั่นคงเสมอ พร้อมจะให้เธอตลอดไป...
นี่แหละชีวิตหนึ่งที่ยังคงวางไว้ ให้เธอคนเดียว
เธออาจไม่รู้และยังสงสัย
ว่าทำไมฉันจึงทำเพื่อเธอทุกอย่าง
ต้องการสิ่งใด ทุกอย่างที่ทำไปนั้นเพื่ออะไร...
ฉันไม่มีเหตุผลใดให้เธอ
รักมันมีเหตุผลในตัวของมัน
ฉันแค่ทำสิ่งนี้ที่ใจฉันต้องการ เหลือแค่เธอจะยอมรับมันไป...


ให้ฉันได้มองเธออยู่ที่ตรงนี้ แค่เท่านี้ฉันก็สุขใจ
ที่ฉันได้ทำอยู่ อาจไม่มีความหมาย
แต่ทำเพื่อเธอ
เธออาจไม่รู้และยังสงสัย
ว่าทำไมฉันจึงทำเพื่อเธอทุกอย่าง
ต้องการสิ่งใด ทุกอย่างที่ทำไปนั้นเพื่ออะไร...
ฉันไม่มีเหตุผลใดให้เธอ
รักมันมีเหตุผลในตัวของมัน
ฉันแค่ทำสิ่งนี้ที่ใจฉันต้องการ เหลือแค่เธอจะยอมรับมันไป...



ผมมักจะชอบคิดเข้าข้างตัวเองเวลาที่ฟังพี่จินร้องเพลงรัก ผมไม่รู้ว่าสายตาที่พี่จินมองมาที่ผมนั้นส่อนัยอะไรหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าสายตาของพี่จินมีพลังเหลือเกิน สายตาของพี่จินทกให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักมากเหลือเกิน


“พี่จินรู้มั้ยครับ ว่าเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเสียใจตั้งแต่คบกับพี่จินคืออะไร” ผมหันหลังนั่งพิงกับอกพี่จิน แขนของพี่จินกระชับกอดผมแน่นขึ้น บางทีประโยคที่ผมพูดออกมาอาจทำให้พี่จินใจหาย
“เรื่องอะไรครับ บอกพี่ได้มั้ย?”
“...” ผมเขี่ยหลังมือพี่จิน อยากจะหอมมือพี่จินจังเลยแฮะ > <
“ผมเสียดาย... ที่เราไม่ได้เจอกันเร็วกว่านี้...” ผมหันไปสบตาพี่จิน
“ถ้าผมได้รักพี่จินไวกว่านี้ ผมคงจะได้สัมผัสความรู้สึกดีๆมากกว่านี้ เราคงจะได้มีความสุขกันมากขึ้นไปอีก...” บางอย่างมันรื้นขึ้นมาในดวงตา ผมกัดริมฝีปาก กลั้นใจไว้ต้องไม่ร้องไห้ ทำไมผมเป็นพวกอ่อนไหวแบบนี้นะ..
“ไม่เห็นต้องเสียดายเลยครับ ถึงเราจะพบกันช้าไป แต่เราก็สามารถที่จะทำดีให้กันและกันเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปได้นี่ครับ” นี่แหละ คนที่ผมรัก... พี่จินมักจะเปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆให้เป็นเรื่องดีได้เสมอเลย
“ไหนขอพี่จุ๊บหน่อยสิ” ผมยื่นหน้าไปจุ๊บกับริมฝีปากนุ่มของพี่จิน รู้สึกถึงอุณหภูมิของลมหายใจพี่จินและกลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ... จากจุ๊บเบาๆ ก็กลายเป็นจูบร้อนแรงไปเมื่อไรไม่รู้
“อะ...อื้อ... พี่จิน... เอมหายใจไม่ทันครับ...”  ผมประท้วง แต่พี่จินก็ยังไม่ผละออก
“ต้องหัดจูบบ่อยๆ จะได้คล่องไงครับ...”
“มะ.. ไม่ใช่แล้ว อื๊อ เจ็บ!” เหอะๆ ไม่รู้เลยครับว่าจะเจ็บตรงไหนก่อนดี ตรงที่พี่จินกัดริมฝีปากผม หรือที่พี่จินบีบก้นผมกันแน่ เอะ... ว่าแต่ก้น...
“อ๊า อย่าลวนลามเอมนะ!” ผมดึงมือพี่จินที่ล้วงเข้าไปบีบก้นผมในกางเกงครับ ทำไมเดี๋ยวนี้มือไวอย่างนี้นะ >//<


พูดถึงมือไว ตั้งแต่ตอนที่ผมใส่เฝือกก็ต้องให้พี่จินคอยช่วยเวลาทำโน่นนี่นั่น พี่จินก็มักจะฉวยโอกาสลวนลามผมประจำเลย บางทีเวลาอาบน้ำ เขาก็จะเอามือมาลูบๆตัวผมแล้วก็จูบ ลูบไปลูบมา จูบไปจูบมา สุดท้ายผมก็ต้องเสียเวอร์จิ้นให้มือพี่จินในห้องน้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไหนจะตอนก่อนเข้านอนอีก ฮือ....


“เอมทำให้พี่จะคลั่งตายอยู่แล้วนะรู้มั้ย ทำไมถึงทำให้พี่ต้องการได้ขนาดนี้ หืม?” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ผมนั่งตัวแข็งทื่อ นึกอะไรไม่ออก  ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดที่ใบหูและสัมผัสจากริมฝีปากที่ไล้เล็มซอกคอยิ่งชวนให้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“ขอพี่สัมผัสได้มั้ย... แค่สัมผัสนะครับ...” ในใจก็คิดว่าไม่เชื่อหรอก แต่ก็ดันพยักหน้ารับซะอย่างนั้น ...

พอรู้ตัวอีกที แผ่นหลังผมก็แนบกับโซฟาแล้ว กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวที่ใส่ก็ร่นลงไปกองที่ขา พร้อมกับศีรษะของร่างสูงที่ง่วนอยู่ตรงหว่างขาของผม สัมผัสอุ่นร้อนของพี่จินทำให้ผมเหมือนจะเป็นลม ไหนจะนิ้วเรียวยาวที่สอดเข้ามา...
“อือ... พี่จิน...”
“อย่าเกร็งนะ..” เสียงพี่จินปลอบประโลมพร้อมกับมือที่ยังคงทำหน้าที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง รู้สึกอีกทีผมก็ทำพี่จินเลอะคราบขาวๆจากตัวผมเต็มไปหมด...


“อะ...พี่จิน... เอมทำเองครับ...” ผมรั้งไว้ไม่ให้พี่จินทำความสะอาด ผมอายง่ะ มีความสุขอยู่คนเดียว แถมยังให้พี่จินทำความสะอาดให้อีก
“มีแรงรึไงเรา นอนเฉยๆเถอะ” พี่จินจับให้ผมนั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟาแล้วเขาก็เดินเอาทิชชู่ไปทิ้ง สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับจะพาผมไปอาบน้ำ

วันนี้ผมได้อาบน้ำอุ่นแหละ พี่จินรองน้ำจนเต็มอ่างแล้วเอาไม้มาพาดให้ผมวางขากับแขน ผมนั่งแช่น้ำพลางมองพี่จินเตรียมเครื่องอาบน้ำให้ผมแล้วก็คิดอะไรดีๆออก
“พี่จินไม่อาบด้วยกันเหรอครับ?” ผมถามพร้อมกับทำตาแป๋ว พี่จินทำหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง จนกระทั่งผมดึงข้อมมือพี่จินอีกครั้งนั่นแหละ
“อ่า... งั้นขอพี่ไปถอดเสื้อผ้าแป๊บครับ...” แล้วผมก็นั่งบีบน้องเป็ดเล่นระหว่างรอพี่จิน รู้สึกเขินไงไม่รู้ว่ะ แต่ทำไงได้ละ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเอาเปรียบพี่จินมากเกินไปแล้ว


เสียงประตูห้องน้ำเลื่อนเปิดทำให้ผมหันไปมอง ร่างสูงแกร่งปราศจากเสื้อผ้าปกปิด มีเพียงผ้าขนหนูผืนน้อยที่พี่จินเอามาปิดตรงกลางร่างกายไว้ ผมเผลอกลั้นหายใจไปเฮือกหนึ่ง รู้สึกอยากจะสัมผัสร่างกายของคนตรงหน้าเหลือเกิน


***********************************************************


ผมค่อยๆจุ่มตัวลงไปในอ่างน้ำ น้ำอุ่นกำลังพอเหมาะ แต่ไอ้บรรยากาศตอนนี้สิที่มันเริ่มจะร้อนฉ่าเกินไป แล้วน้องเอมจะหน้าแดงทำไมครับ แค่นี้ผมก็กลั้นจะตายห่_แล้ว ถ้าไม่ติดที่ผมกลัวว่าจะทำกระดูกน้องมันหักไปมากกว่านี้ละก็ ผมจับมันกดตั้งแต่ที่อาบน้ำให้วันแรกแล้ว

ภาพตรงหน้าผมก็โคตรจะอีโรติก อ่างอาบน้ำบ้านผมมันจะเป็นพื้นอ่างไล่ระดับ มีจุดตื้นและจุดลึก น้องเอมมันนั่งบนขั้นที่ตื้นๆแล้วเอาขาพาดให้พ้นน้ำ ไอ้ท่าฉีกขานั่นน่ะทำเอาผมจะบ้า ยังดีที่ในอ่างมีฟองฟ่อด เลยมองไม่ค่อยเห็น

“เดี๋ยวพี่ถูสบู่ให้ครับ” ผมบีบสบู่เหลวสีแดงออกมา ขวดนี้เอมชอบมากครับ กลิ่นพีช

ผมลูบมือไปตามผิวกายของน้อง ฟองสบู่นุ่มๆยิ่งทำให้เอมตัวลื่นเข้าไปใหญ่ ไอ้การที่ผมลงมาอาบน้ำพร้อมน้องนี่มันจะทำให้ผมทรมานใจทรมานกายมากขึ้นหรือเปล่านะ ข้อดีเพียงข้อเดียวของการอาบน้ำที่ผมคิดได้ตอนนี้คือผมไม่ต้องระวังตัวเปียกน่ะครับ = =

“เอมก็อยากถูสบู่ให้พี่จินบ้าง...”
“เอาไว้ให้หายก่อน แล้วพี่จินจะให้เอมอาบน้ำให้บ้างนะครับ แต่ตอนนี้เอมต้องให้พี่ดูแลไปก่อน”
“ครับ” น้องมันพยักหน้าว่าง่ายเชียวครับ น่ารักว่ะ...
“ถ้าถึงตาที่เอมต้องอาบน้ำให้พี่ จะไม่ใช่แค่อาบเฉยๆหรอกนะ...” ผมพูดลอยๆ แต่ก็ทำเอาเด็กบางคนแถวนี้สะดุ้งได้เหมือนกันครับ... หึหึ

***********************************************************



** หายไปนานมาก แบบว่าได้รับงานใหม่ฉลองปีใหม่ หัวหมุนเชียวค่ะ T T

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 12-01-2012 19:26:35
โหยยย อ่านแล้วยิ่งอยากอ่านตอนหน้ามากยิ่งขึ้น
ยินดีด้วยค่ะที่ได้งานใหม่ ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 12-01-2012 20:37:01
ถ้าถึงตาที่เอมต้องอาบน้ำให้พี่จิน สงสัยพี่จินต้องขอโปรโมชั่นพิเศษแน่ๆ

แบบว่าอาบน้ำแล้วแถมนาบให้ด้วย  หึหึ

คราวนี้แหล่ะนู๋เอมได้หมดเรี่ยวแรงแน่ๆ  หึหึ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-01-2012 20:53:50
เอื้อกกกกกก
สงสารพี่จิน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามนะ ทีนี้ฟันได้กระจุย :o8:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 12-01-2012 21:09:16
พี่จินอดทนจริงๆ น่าชื่นชมมาก อิๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 12-01-2012 21:17:49
น้องเอม -พี่จิน ยังหวานน่ารักเหมือนเดิม
ได้บุรุษพยาบาลชั้นยอดแบบนี้ ร่างกายน้องเอมต้องคืนสู่สภาพปกติไวแน่ๆ
ซึ่งเราขอให้เป็นเช่นนั้น เพราะเห็นใจพี่จินน่ะ ช่วงน้องเข้าเฝือกพี่เขาคงทรม้าน ทรมานแหละ

ป.ล. ดีใจด้วยนะคะกับงานใหม่ ขอให้มีความสุขกับการทำงานจ้ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 12-01-2012 22:08:01
มดขึ้นจอไปเลย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-18-] 12/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-01-2012 22:22:59
ถึงตอนนั้นเอมจะได้อะไรมากกว่าอาบน้ำน่ะสิ  พี่จินคงนับวันรอเลยล่ะ
หัวข้อ: Love Sick [-19-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 13-01-2012 17:13:37
Love Sick

- 19 -



วันนี้พี่จินพาผมมาถอดเฝือกขาโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าเพื่อจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน โรงพยาบาลรัฐบาลเนี่ย ยิ่งสายคิวยิ่งเยอะว่ามั้ยครับ
“เอม ดื่มนมก่อนครับ เดี๋ยวท้องว่าง” พี่จินยื่นกล่องนมมาให้ตรงหน้าผม มืออีกข้างหิ้วถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อ ผมรับกล่องนมที่เจาะหลอดดูดมาให้เรียบร้อยแล้วก็สัญญากับตัวเองไว้ในใจว่าถ้าหายดีจะขอเป็นฝ่ายดูแลพี่จินบ้าง T T

ผมแอบมองพี่จินที่ไม่น่าเชื่อว่าเอาเข้าจริงจะเป็นคนที่ดูใจดีมากกว่าท่าทางแข็งๆภายนอก นึกถึงเมื่อก่อนสิ แค่หน้าผมยังไม่อยากมองเลยอะ นับประสาอะไรกับการมานั่งใกล้กันแบบนี้...
“มองหน้าพี่ทำไมครับ?”
“มองก็ไม่ได้ ขี้งกจัง”
“ฮื้อ ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ละ” พี่จินยกแขนมาโอบไหล่ผมแบบไม่แคร์สายตาพี่ป้าน้าอาแล้วก็ยกกาแฟขึ้นมาดื่ม ว่าแต่กาแฟเนี่ยมันอร่อยนักเหรอ? ผมว่ามันขมออกจะตาย ผมไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไรหรอกนะ
 
นั่งเล่นกันสักพักคุณพยาบาลก็เรียกให้ผมเข้าไปในห้องตรวจ พี่จินปฏิเสธตอนที่พยาบาลจะเข้ามาเข็นรถเข็นของผม และจัดการเข็นเข้าไปเองเสร็จสรรพ พี่จินเทคแคร์ดีจนผมรู้สึกว่าได้รับรังสีอำมหิตจากพยาบาลแถวนี้มากเป็นพิเศษ

“อืม ถือว่าฟื้นตัวไวมากนะครับ แสดงว่าดูแลรักษาร่างกายได้ดี ถ้าขยันเดินบ่อยๆ ไม่นานก็จะกลับมาเดินคล่องเหมือนเดิมเองแหละ” คุณหมอพูดไว้อย่างนี้น่ะครับ เสร็จแล้วพี่แกก็จัดการเอาเลื่อยมาตัดเฝือก ความรู้สึกแรกหลังจากที่เฝือกหลุดออกไปจากขามันโล่งแบบบอกไม่ถูกเลยครับ เหมือนจะบินได้ประมาณนั้นเลย

“เดินไหวมั้ยเอม?” พี่จินยื่นมือมาให้ผมจับขณะที่ลองพยุงตัวเอง ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนเด็กหัดเดินแหะ...
“ไหวครับ”
“ก็ค่อยๆเดินนะครับ อย่าเพิ่งหักโหม” ผมก็คงไม่คิดจะวิ่งตอนนี้หรอกครับคุณหมอ เหอะๆ หักอีกรอบละจะยุ่ง

พี่จินพาผมมานั่งรอระหว่างที่ตัวเองไปจัดการเรื่องเงินๆทองๆ พอขาหายแล้วผมก็เริ่มซ่า อยากจะไปเรียนสุดๆ แต่ถึงไปผมก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ แขนเดี้ยงแบบนี้ T T

“ช่วงที่พี่ไม่อยู่น่ะ ก็ชวนพวกเพื่อนมาอยู่ด้วยนะ จะได้คอยช่วยเหลือกันได้” พี่จินพูดขึ้นมาผมก็นึกได้ วันมะรืนแล้วนี่นาที่พี่จินจะไปปารีส ฮือ...............
“อ้าว ทำหน้างอทำไมครับ”
“เปล่า”
“เปล่าอะไรละ พอพี่พูดเรื่องจะไปปารีสก็หน้าบูดเชียว”
“ก็เอมไม่อยากให้ไปเลยนี่ครับ” ผมจับแขนพี่จินไว้แน่น ทำไมที่จอดรถมันไกลแบบนี้นะ
“เดี๋ยวก็กลับมา พี่ไม่ได้ไปตายนะครับอย่าทำหน้าเศร้า” พี่จินพูดยิ้มๆ
“ก็รู้ครับ แต่เอมคิดถึงนี่...”
“ทำยังกับพี่ไม่คิดถึงแน่ะ” ตามนั้นแหละครับ พี่จินยืนยันหนักแน่นแบบนั้นผมก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้วแหละครับ ทำใจยอมรับและเลิกงอแงดีกว่านะ..


ผ่านไปสองวันผมก็กลับมาเดินได้คล่องแคล่วเหมือนเดิมแล้วครับ วันนี้คือวันที่พี่จินจะเดินทาง ผมเองก็ตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวง่ายๆให้พี่จินทาน แล้วก็มานั่งรอพี่จินอยู่หน้าบ้านเนี่ยแหละ

ผมลองนับวันดูเล่นๆว่าไม่ได้ไปเรียนมากี่วันแล้ว พวกอาจารย์แกก็ใจดีนะครับ อนุญาตให้ผมหยุดได้จนกว่าจะถอดเฝือกขา แต่จะต้องส่งงานให้ครับทุกชิ้น ถอดเฝือกขาเมื่อไรก็ค่อยไปเรียนครับ

ปิ๊งป่อง~

เสียงกดออดเรียกให้ผมเดินไปส่องดูว่าใครมาหา ผมเดินไปจนถึงประตูรั้วก็เห็นผู้ชายตัวสูงที่ยืนหันหลังให้ ผมเอียงคอด้วยความแปลกใจ ไม่มีเพื่อนผมคนไหนรูปร่างแบบนี้นา...

“!” เสียงเดินของผมทำให้ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามา พร้อมกับตัวผมที่แข้งขาอ่อนหมดเรี่ยวแรงเมื่อเห็นหน้าเขา คนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบแบบไม่คาดฝันกลับมายืนตรงหน้าผม...
“เอม...”  ผมยังคงยืนนิ่งเมื่อเขาเรียกชื่อผม ใจสับสนว่าจะทำยังไงดี..

A: เดินเข้าบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
B: เปิดประตูให้และถามไถ่ทุกข์สุขว่าสบายดีไหม
C: กลับเข้าบ้านไปบอกพี่จินให้มาเปิดประตู

ผมยังคิดบ้าบอไม่ทันจบพี่จินก็เดินออกมาพอดี พอเห็นหน้าคนๆนั้นพี่จินก็มายืนขวางหน้าผมและถามพี่ชายตัวเองเสียงแข็ง
“มึงมาทำอะไร?” คนที่ถูกถามยิ้มหน้าปุเลี่ยน เมื่อถูกพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหินจากน้องชาย ผมที่ยืนอยู่หลังพี่จินเกาะเสื้อพี่จินไว้แน่น ทำไมเหมือนว่าอะไรก็ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน....
“กูแค่จะมาพักผ่อน เห็นแม่บอกว่ามึงอยู่ที่บ้านคุณยาย กูก็เลยลองมาดู ไม่นึกว่าจะเจอ...”

ผมรู้ว่าพี่จินก็คงกระอักกระอ่วนเหมือนกัน กระเป๋าเดินทางของพี่เปปเปอร์บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงตั้งใจจะมาพักผ่อนที่นี่ แล้วไหนจะเป็นสายเลือดเดียวกันอีก จะไล่ก็ใช่ที่ แต่ก็ไม่ได้อยากให้อยู่ที่นี่
“พี่จิน... ให้เขาเข้ามาก่อนเถอะครับ” ผมกระซิบบอกพี่จินเบาๆ พี่จินเอื้อมมือมาบีบมือผมก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้พี่เปปเปอร์เข้ามา ส่วนผมก็เดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านทันที

“มึงจะมาอยู่กี่วัน” พี่จินเดินมานั่งข้างผมแล้วโอบเอวผมไว้
“ก็คงสักครึ่งเดือน”
“แล้วไม่ไปเรียนหรือไง”
“ช่วงนี้ทำวิจัย ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้”

ผมนั่งฟังพวกเขาคุยกันแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมไม่เคยจะสนใจอยู่แล้วว่าเขาจะเป็นยังไง เขาจะเรียนที่ไหน เรียนอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย แต่ไอ้เรื่องที่เขาบอกว่าจะมาอยู่เนี่ยสิ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่ใช่น้อย

“จริงๆแล้ววันนี้กูจะต้องไปปารีส แล้วก็คงไม่อยู่อีกเกือบสองอาทิตย์ เพราะงั้นคงไม่สะดวกที่จะให้มึ-”
“อย่าใจดำสิวะ นี่กูอุตส่าห์ตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเลยนะ”
ผมนั่งฟังสองพี่น้องเถียงกัน คนหนึ่งตื๊อ อีกคนหนึ่งพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่รู้ว่าหลังจากที่มีเรื่องของผมไปแล้ว พี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์เป็นยังไงกันบ้าง ที่แน่ๆผมว่าพี่จินคงไม่ค่อยแฮปปี้กับพี่ชายตัวเองเท่าไรนัก
“แล้วกูจะไปอยู่ไหนวะ กูไม่อยากไปอยู่โรงแรม แถมแม่ก็เอาบ้านพักที่หัวหินให้พวกอายืมใช้อยู่” พี่เปปเปอร์ตื๊อจนพี่จินเองก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ผมเลยสะกิดที่แขนพี่จินเบาๆ
“ครับเอม?” พี่จินหันมาถามผมด้วยสีหน้าคนละแบบกับที่มองพี่เปปเปอร์เลยครับ ทำไมเปลี่ยนไวจัง =..=
“คือว่าพี่จินไม่ต้องห่วงเอมหรอกนะครับ เอมอยู่ได้...” พี่จินมองผมด้วยสายตาไม่มั่นใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงแขนผมไปด้านนอกให้ห่างมากพอที่พี่เปปเปอร์จะไม่ได้ยิน

“เอมไม่จำเป็นต้องฝืนหรอกนะครับ ไอ้เปปมันจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว มันทำงี่เง่าไปเองแหละ” พี่จินพูดกับผมด้วยเสียงจริงจัง
“ไม่ฝืนหรอกครับ บ้านก็ตั้งกว้าง ยังไงก็ต่างคนต่างอยู่”
“แต่พี่ไม่อยากให้มันมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเอมตอนที่พี่ไม่อยู่”
“เอมก็รู้ครับพี่จิน แต่ว่าการที่เราจะไม่ให้เขาอยู่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาก็มีสิทธิ์ในบ้านนี้เท่ากับที่พี่จินมี และถ้าเกิดว่าพี่จินเห็นแก่เอมจนไม่ยอมให้พี่ชายตัวเองมาพักก็น่าเกลียดเกินไปนะครับ” พี่จินทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ฟังที่ผมพูด ผมเองก็ไม่ได้ทำใจได้อย่างที่พูดหรอกนะครับ แต่หากคิดถึงความเป็นเหตุเป็นผลแล้ว จะไล่ไม่ให้เขามาอยู่ก็คงไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรกับที่นี่ด้วย สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่ก็คือการที่ ‘ตัวตน’ ของคนๆนั้นจะเข้ามาแปดเปื้อนในสถานที่ของพี่จินกับผมต่างหาก...


สรุปแล้วพี่จินก็จัดให้พี่เปปเปอร์นอนในห้องชั้นล่างครับ เขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมที่ชั้นบน ตอนที่พี่จินจะขับรถไปสนามบินก็หันมาสั่งเสียผมไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนผมคิดว่าถ้าทำได้พี่จินอยากจะเอาผมเข้ากระเป๋าไปด้วยซ้ำ

“พี่จะโทรหาทุกวันนะ” พี่จินเอามือลูบแก้มผมตอนที่ผมเกาะอยู่ที่ประตูรถ นึกแล้วก็ใจหาย จะไม่ได้สัมผัสกันแบบนี้อีกนาน ผมหลับตาแล้วจับมือพี่จินให้แนบแก้มผมมากขึ้น ฮือ.. คิดถึงอะ
“เอมคิดถึงพี่จินนะครับ รีบทำธุระให้เสร็จแล้วก็รีบกลับนะ” เหมือนน้ำตาจะคลอๆอะ งือ..
“อืม ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่ทันทีเลยนะครับ โทรมาเมื่อไรก็ได้ พี่เปิดบริการโทรข้ามประเทศให้แล้วนะ”

ถ้าผมไม่ตัดใจออกปากไล่ให้พี่จินไปละก็คงตกเครื่องแน่ๆครับ คุณลองนึกภาพในหนังดูนะ ฉากที่นางเอกโบกมือลาให้พระเอกน่ะ อารมณ์นั้นเลยแหละ T^T

หลังจากพี่จินขับรถออกไปแล้วผมก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน มองไปรอบๆไม่เห็นพี่เปปเปอร์นะครับ สงสัยจะเข้าห้องไปแล้ว ผมก็เลยขึ้นไปบนห้องตัวเองเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่อยากจะเผชิญหน้าน่ะครับ


..

........

.............

.......

....

..

.

..


.

.


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พี่เปปเปอร์มาอยู่ได้สาม-สี่วันแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เคยเจอหน้าเขาอีกเลยตั้งแต่วันแรก ดูเหมือนว่าผมจะตื่นเช้าไปเรียน ส่วนเขาตื่นสาย ผมกลับไว ส่วนเขากลับดึก หลังจากที่ผมเล่าสถานการณ์ที่บ้านให้ฟังแล้ว บางวันกิมันก็ตามมานอนกับผมด้วย


วันนี้เป็นวันหยุดซึ่งผมไม่มีเรียน  ผมอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาเพื่อวางแผนว่าจะทำอะไรดี ชิ่งหนีออกจากบ้านไปเลยดีมั้ย มืดๆค่อยกลับ หรือว่าจะเล่นเกมมาราธอนดี? คิดไปคิดมาไม่โอสักกะอย่าง วันนี้ผมอยากนั่งวาดรูปอยู่บ้านอะ


ผมจัดแจงขนของกินและเครื่องดื่มสำหรับดำรงชีวิตในวันนี้ไปที่ห้องวาดรูปข้างห้องนอน ด้วยแขนข้างเดียวนี่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ แต่ไม่มีอะไรที่ชะเอททำไม่ได้หรอกคร้าบ~
ผมที่หอบข้างเต็มแขนใช้เท้าถีบประตูห้องปิดเบาๆ เฟรมวาดรุปยังคงตั้งอยู่ที่เดิม กลิ่นผ้าใบ กลิ่นสีช่างชวนให้คิดถึง คอยดูนะ ถ้าผมถอดเฝือกแขนเมื่อไรละจะวาดรูปมันทั้งวันทั้งคืนเลย

“ยังเก่งเหมือนเดิมเลยนะครับ” เสียงจากด้านหลังทำเอาผมที่กำลังเพลินหยุดมือทันที ขนบนร่างกายผมมันก็ลุกซู่ขึ้นมาแบบไม่ได้นัดหมาย นี่ผมจะรู้สึกขนลุกอะไรได้ขนาดนี้เนี่ย
“พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมถามเสียงเย็น โอ๊ย ทำไมผมถึงรู้สึกเกลี๊ยดเกลียดคนๆนี้ขนาดนี้นะ!
“พี่ก็แค่อยากมาพูดคุยทักทายด้วยไม่ได้เหรอครับ”
“แล้วพี่ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าผมจะอยากคุยกับพี่หรือเปล่า?”
“แหม ไม่เจอกันไม่กี่ปี วาจาเผ็ดร้อนขึ้นเยอะเลยนะ” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้ชายคนนี้มันฟังดูก้อร่อก้อติกน่าขยะแขยงพิกล อันที่จริงมันไม่สมเหตุสมผลด้วยซ้ำที่ผมจะต้องรู้สึกรังเกียจอะไรเขาขนาดนี้ มันเพราะอะไรกันนะ?

“แถมยังน่ารักกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ” อี๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ชัดเลย กลิ่นแบบนี้!! เมามาชัดๆ
“อย่ามายุ่งกับผม!” ผมปัดมือพี่เปปเปอร์ที่จับลงมาบนบ่าของผมอย่างถือวิสาสะ กลิ่นละมุดและกลิ่นอาเจียนโชยมาพอให้ผมคลื่นไส้ ความขยะแขยงมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาจนหยุดไม่อยู่
“แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ทีเมื่อก่อนละ พี่เปปเปอร์อย่างนั้น พี่เปปเปอร์อย่างนี้” เขาบีบไหล่ผมแน่นมากเลยครับ แถมยังล็อกแขนข้างที่ดีของผมไว้ ส่วนอีกข้างที่ใส่เฝือกน่ะเหรอ? ช่วยอะไรไม่ได้เลยแม่ง - -*
“เมาแล้วก็ไปนอนซะ อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้!”
“กูไม่ได้เมาโว้ย! แล้วก็มึงนั่นแหละที่ปัญญาอ่อน ร่าน แรด ไม่ได้พี่ก็ไปเอาน้อง ทำไม!! เห็นว่าบ้านกูรวยก็เลยอยากจับพวกกูทำผัวจนตัวสั่นสินะ ที่ร่านมาอยู่กับไอ้จินนี่คงเสร็จน้องกูไปนานแล้วสิ เอากันไปกี่ท่าแล้วละ!!”


โครม!


พี่เปปเปอร์ล้มกระแทกลงกับกองถังสีด้านหลัง ผมลุกยืนหอบแฮ่กๆเพราะว่าออกแรงถีบไปที่ท้องของมันจนเต็มแรง ผมไม่เคยโมโหใครจนต้องลงไม้ลงมือแบบนี้มาก่อนเลย ในเมื่อผมชกมันไม่ได้ ผมก็ถีบแทน แต่ดูท่าว่าเขาคงจะยังเมาไม่พอ เพราะตอนนี้ไอ้พี่เปปเปอร์ลุกมาจ้องหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อได้แล้ว

“เก่งนักเหรอมึง!” ผมลืมไปครับว่าสมัยเรียนเขาเป็นนักกีฬา แถมร่างกายก็ใหญ่โตกว่าผม รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกจับโยนไปกับผนัง เจ็บจนจุก แต่ยังดีที่เฝือกแขนไม่กระแทกซ้ำ เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วคร่อมผมเอาไว้ ก่อนจะเอามือบีบคางผมเต็มแรง
“เก่งนักก็ขัดขืนกูให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะ!!”


***********************************************************



*** เอ่อ... ดูเหมือนจะเข้าใจผิดกันไปเยอะ... คำว่างานใหม่ของบีไม่ได้หมายถึงที่ทำงานใหม่นะคะ
บีหมายถึงได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่ต่างหาก  :sad4:


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 13-01-2012 17:37:03
5555 นึกว่าได้งานใหม่ซะอีกค่ะ ทำไมไอพี่เปป มันชั่วงี้เนี่ยยย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: andromeda ที่ 13-01-2012 18:30:10
 :z6: เปป  :m31:


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 13-01-2012 19:16:51
อ้าว ! เปปเปอร์ มาคราวนี้ไหงมาลุคน่า :z6:แบบนี้ล่ะ
ความสุภาพอ่อนโยนหายไปกับกาลเวลาเหรอ
ไม่เหมือนคนเคยคบกันแบบคนรักที่เข้าใจกันกับเอมมาก่อนเลย
ทำไมกลายเป็นอันธพาลไป แถมดูหมิ่นน้ำใจเอมได้ซะขนาดนั้น
แล้วเอมจะรอดไหมเนี่ย ยิ่งกำลังเดี้ยงๆอยู่ด้วย เพี้ยง ! ปาฏิหาริย์จงบังเกิด

อ้าว ! (ที่2) เข้าใจผิดไปเหรอ  :o8: ไม่เป็นไรเนาะ ก็ ให้มีความสุขกับงานชิ้นใหม่นี่ละกัน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 13-01-2012 19:24:21
ถ้าจะเศร้ายาว ใครจะมาช่วยได้ทัน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 13-01-2012 19:30:28
 :fire: :angry2: :m31: :m16:   ไอชั่ว

แก  :z6: :beat:  ไปตายซะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 13-01-2012 20:31:21
โอ๊ยยยยยยยยย  ไม่น่ะ    :serius2:    :serius2:

นายเปปเปอร์มันเป็นอะไรนึกเสียดายนู๋ชะเอมหรือว่ามันคือนิสัยจริงๆของนายกันแน่

ใครก็ได้มาช่วยนู๋เอมที   ถ้าเป็นไปได้พี่จินรีบกลับมาช่วยนู๋เอมด้วยนะ   :z10:    :z10:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 13-01-2012 20:46:59
อ่านะ อีเปปจะได้เปนตัวร้ายเต็มขั้นแระ เหอะๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 13-01-2012 20:57:33
เอ่อ  อะไรเนี่ยะ  สันดานเดิมหรือว่านิสัยเปลี่ยน  ทำไมเปปเปอร์เป็นได้ขนาดนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 15-01-2012 21:50:55
แล้วใครจะมาช่วยเนี่ย
ทำมัยทิ้งระเบิดไว้แบบนี้
น้องบีบีจัง :z3:
+1จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: santra ที่ 16-01-2012 13:53:30
อ่านตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงตอนนี้
ชอบมากเลยค่ะ ขอโทษนะคะะ
ที่ไม่ได้คอมเม้นให้ทุกตอน
ดำเนินเรื่องเ็ร็วดี ไม่ได้ปล่อยให้เรื้อรัง

ว่าแล้วว่าต้องคู่กะพี่จิน น้องเอมนี่เสน่ห์แรงจริงๆ เลย
ไปที่ไหนก็มีแต่คนชอบ คนเอ็นดู น่ารักจริงๆ

พี่เปปกลับมาทำไมเนี่ย นิสัยเปลี่ยนจกหน้ามือเป็นหลังเท้า
แอบสลับตัวกันป่ะเนี่ย แต่ชอบคาแรคเตอร์พี่จินอ่ะ
ดูขรึมๆ นิ่งๆ แต่อบอุ่น น่ารักกับน้องเอมคนเดียว
น่ารักอ่ะ ขอให้พี่พีร์จีบน้องตองติดสักทีนะคะ
เชียร์อยู่นะคะ สู้ๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yang ที่ 16-01-2012 14:54:19
โว้วววววววววววววว

พี่จินกลับมาเหอะ ! :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-19-] 13/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: ounnajak ที่ 16-01-2012 20:01:26
บอกได้คำเดียว "ไอ้ชั่วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
หัวข้อ: Love Sick [-20-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 20-01-2012 17:15:50
Love Sick

- 20 -



ผมเป็นคนที่มีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่สมัยเด็ก ร่างกายอ่อนแอนี่ไม่ได้หมายถึงอ่อนปวกเปียกแรงน้อยนะครับ ผมแค่เป็นคนที่เป็นไข้ง่าย อากาศเปลี่ยนนิดหนึ่งก็มีหวัดมาถามหาแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงที่ผมแข็งแรงดีไม่ได้เจ็บป่วยอะไรละก็ ผมจะรู้สึกฟิตปั๋งแข็งแรงดีเชียวแหละครับ


และการที่เราเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อหรือแม่คอยปกป้องดูแล ก็ยิ่งทำให้ผมต้องเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจมากขึ้นไปอีก ยิ่งหน้าตารูปร่างแบบผมแล้ว นับว่าเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเด็กเกเรอยากจะรังแกผมกันทั้งนั้น ผมจึงต้องรู้จักป้องกันตัวเองเอาไว้บ้าง ใครจะอยากใช้ชีวิตอมทุกข์ไปตลอดช่วงวัยรุ่นละครับ...


...


.....

..

.

..


.


.



พลั่ก!!!
ผมคว้ากระจาดใส่ขวดสีโปสเตอร์มาเหวี่ยงใส่คนตรงหน้า แรงกระแทกทำให้พี่เปปเปอร์เซหน้าหันไปไม่ใช่น้อย ผมรวบรวมแรงฮึดที่เหลืออยู่วิ่งออกมาจากห้องไปยังบันได จากบันไดวิ่งไปหน้าบ้าน ประจวบเหมาะกับเสียงรถยนต์ที่มาจอดหน้าบ้านพอดี


“ตอง!” มาพร้อมกับพี่พีร์ครับ จังหวะนี้ผมรู้สึกว่าพี่รหัสของผมเป็นเหมือนกับพระผู้มาโปรด
“เป็นอะไรเอม วิ่งหน้าตั้งมาเลย” อดีตรูมเมทผมเองครับ เดินมาเกาะที่รั้วระหว่างที่ผมกำลังเปิดประตูให้
“แย่แล้วอะตอง เรา... เรา...” ผมปากคอสั่น ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดี
“ใจเย็นมึง มีอะไรค่อยๆพูดสิวะ” พี่พีร์เดินมาจับบ่าผม ผมสูดหายใจยาว และชี้ไปข้างในบ้าน
“ผมคิดว่าผมอาจจะเผลอฆ่าคน!”
“!!”



“ดีนะที่มันไม่เป็นอะไรมาก” พี่พีร์พูดเสียงโล่งอกหลังจากที่หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วบอกว่าพี่เปปเปอร์ไม่เป็นอะไร แค่หัวแตกเย็บห้าเข็ม แสกนสมองแล้วไม่มีจุดกระทบกระเทือน แต่ว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงมาก หมอให้แอดมิทดูอาการสักคืนนึงก็พอ
“นั่นสิ ถ้าผมต้องติดคุกไปละก็...” ผมเองก็นั่งถอนหายใจครับ โล่งอกจริงๆ อีตอนทำก็คิดแค่ว่าจะต้องเอาตัวรอดให้ได้ แต่พอทำไปแล้วก็ดันกลัวติดคุก อนาถแท้...
“...ทำไมไม่เป็นไอ้จินที่โดนวะ...” เสียงตองพึมพำแต่ผมฟังไม่ค่อยชัด อะไรจินๆหว่า?
“ตองว่าอะไรนะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ตองยิ้มแล้วก็ส่ายหัว
“แล้วว่าแต่มึงจะเอายังไงเนี่ยเอม ไปอยู่กับพี่ก่อนมั้ย?”
“ไม่ต้องเลย จะให้เอมไปอยู่กับมึงทำไม ให้เอมมาอยู่ที่ห้องกูดีกว่า”
“ได้ยังไงครับ ตอนนี้ตองก็อยู่กับพี่ไม่ใช่เหรอ ถ้าจะไปอยู่กับเอมสองคนพี่ไม่ยอมหรอกนะ”
“มึง! อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดข้างนอกนะ” ผมนั่งมองตองกับพี่พีร์เถียงกันแล้วก็ยิ้ม สงสัยคงจะเรียบร้อยโรงเรียนพี่พีร์แล้วสินะ
“เรายังไม่รู้เลยว่าจะเอายังไงดี จะบอกพี่จินดีหรือเปล่าก็ไม่รู้” ผมถอนใจ ความจริงแล้วไม่อยากให้พี่จินรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ขอเราเข้าไปดูพี่เปปเปอร์หน่อยนะ ตองรออยู่นี่แหละ เราไปแป๊บเดียว” ผมยกมือห้ามเมื่อเห็นว่าตองจะตามผมมาด้วย ตอนนี้พี่เปปเปอร์มันคงหลับอยู่แหละครับ


ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย คนบนเตียงนอนหลับหายใจสม่ำเสมอ ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง พินิจพิจารณาใบหน้าของพี่เปปเปอร์แล้วก็รู้สึกเศร้าใจ บางทีมันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่เปปเปอร์เปลี่ยนไปหรืออาจจะมีเรื่องกังวลจนต้องใช้เหล้าช่วยหาทางออก...

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย ก็เหลือบไปเห็นของที่ติดตัวพี่เปปเปอร์มาโรงพยาบาลกองอยู่บนโต๊ะ ทั้งโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน...

ผมหยิบโทรศัพท์ของพี่เปปเปอร์มาเปิดดู ตั้งใจจะโทรหาคนๆหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่มาดูแลพี่เปปเปอร์ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลได้

 ตรู๊ด.....  ตรู๊ด....

เสียงรอสายดังอยู่นานจนผมกำลังจะตัดใจวางสาย แต่แล้วเสียงหวานที่แม้แต่ฟังในโทรศัพท์ก็ยังฟังหวานซึ้งเหมือนฟังจากตัวเป็นๆก็ดังขึ้น
‘Hello...’
“เอ่อ... คุณโรสใช่มั้ยครับ?” ทางปลายสายนิ่งไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ
‘ใช่ค่ะ แล้วคุณคือ?’
“ผมเป็นคนรู้จักของพี่เปปเปอร์ครับ”
‘แล้วมีธุระอะไรกับชั้นหรือเปล่าคะ?’
“ผมตั้งใจจะโทรมาบอกว่าตอนนี้พี่เปปเปอร์อยู่โรงพยาบาล...”
‘เขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า?’ ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ราบเรียบมาตั้งแต่ต้นเริ่มมีกระแสเสียงเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว
“ไม่อันตรายหรอกครับ ที่ผมโทรหาคุณ เพราะได้ยินว่าคุณเป็นคนรักของพี่เปปเปอร์... มันควรที่จะมีใครสักคนรู้เรื่องและก็มาดูแลเขา ไม่ใช่เหรอครับ?”
‘...’
“ยังอยู่หรือเปล่าครับคุณโรส”
‘เข้าใจแล้วค่ะ... แต่ชั้นคิดว่าชั้นคงไม่อยู่ในสถานะที่จะดูแลเขาได้หรอกนะ เพราะชั้นกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว’

ช็อกครับ!!

“เอ่อ...หมายความว่าคุณเลิกกับเขาแล้วเหรอ”
‘หลายเดือนมาแล้วละค่ะ ชั้นคิดว่าทางที่ดี คุณควรโทรไปหาน้องชายหรือไม่ก็พ่อแม่ของเขาดีกว่า แค่นี้นะคะ ชั้นกำลังยุ่ง’

ตรู๊ด....

ปลายทางวางสายไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังถือโทรศัพท์คาอยู่อย่างนั้น ต่อมอยากรู้ทำงานขึ้นมาทันที แสดงว่าที่พี่เปปเปอร์มีท่าทีแปลกไป ทั้งกินเหล้าเมา ทั้งที่ปุบปับคิดจะมาอยู่ที่นี่ ก็คงเพื่อรักษาแผลใจงั้นเหรอ? แล้วทำไมเขาถึงเลิกกันล่ะ?

“อืม...” พี่เปปเปอร์ขยับตัวเบา ๆ ทำเอาผมสะดุ้ง ผมรีบวางโทรศัพท์คืนที่แล้วก็ออกมาจากห้องพักก่อน เขาคงไม่อยากลืมตามาแล้วเห็นหน้าผมสักเท่าไรหรอก เหอะๆ


สุดท้ายคืนนั้นผมก็ตัดสินใจกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน และไปนอนที่ห้องเก่าในหอพัก โดยมีตองและพี่พีร์ตามมานอนอัดกันเป็นปลากระป๋อง อีกแค่อาทิตย์กว่าๆพี่จินก็คงกลับมา หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที...

นึกสภาพแล้วก็สมเพชนิดๆนะ หัวแตกนอนโรงพยาบาลแต่กลับไม่มีใครไปเฝ้าสักคน แต่ช่างมันเหอะ ก็เขาทำตัวเองนี่หว่า คิดจะมาเปิดซิงผมก็ต้องเจอแบบนี้แล...



***********************************************************



บางทีสิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เกิดในความเป็นจริงก็ไม่ได้สอดคล้องกันเสมอไป ผมคิดว่าผมจะหลบหน้าพี่เปปเปอร์จนกว่าพี่จินจะ
กลับมา แต่แล้วพอวันที่ผมไปเรียนวันแรก พี่เปปแม่งก็มาดักรอผมที่หน้าคณะในตอนเย็นซะงั้น

“มึงจะเอาไง” กิถามผม นั่นสิ ผมจะเดินเข้าไปหาแล้วถอดรองเท้าฟาดซ้ำที่แผลมันอีกรอบเลยดีมั้ย?
“ไม่รู้ว่ะ”
“ให้เราไปกระทืบเลยมั้ย?” ผมส่ายหัวให้ตอง เพื่อนผมชักจะไปกันใหญ่แล้วอ่ะ -..-
“ต่อให้เอมไม่ไปคุยกับเขาวันนี้ เราว่าวันหน้าเขาก็ต้องมาอีก” ความคิดอั๋นฟังดูเข้าท่าที่สุด ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาโดยมีเพื่อนผมคอยเฝ้าระวังอยู่ใกล้ๆ

“พี่มาทำไม?” เขาหันมามองผม ผ้าก๊อซที่แปะอยู่ที่หัวทำให้ผมรู้สึกผิดนิดๆ
“มีเรื่องจะบอก” ตอนนั้นในใจผมคิดไปต่างๆนานๆ คิดว่าเขาจะมาเอาคืนที่ผมทำเขาหัวแตก หรือเขาจะมาขอโทษ หรืออะไรกันแน่... แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมคิดก็ผิดหมด...
“พี่จะไม่ขอโทษเรื่องที่พี่ใช้กำลังกับเอมหรอกนะ เพราะดูเหมือนว่าเอมก็เอาคืนพี่มาแล้วนี่” เขาชี้ไปที่แผล
“แต่พี่จะมาขอโทษเรื่องคำพูดเฮงซวยที่พี่พูดออกไป” พี่เปปเปอร์พูดแล้วเขาก็ก้มมองที่พื้น ท่าทางเหมือนคนที่กำลังละอายใจ...
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ เพราะตัวของเอม เอมก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเอมเป็นยังไง เอมไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนอื่นหรอก” พี่เปปเปอร์หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันหน่วงๆหนักๆอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก ผมอยู่ของผมดีๆเขาก็เข้ามาหา แล้วก็มาทำให้ผมรู้สึกแย่ๆ เจอสิ่งแย่ๆ พอมาตอนนี้ก็มาขอโทษ...

ผมควรจะยกโทษให้เขาหรือเปล่า? นี่คือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด การที่เราจะโกรธใครสักคน มันแปลว่าคนๆนั้นจะต้องมีอิทธิพลกับเรามากพอที่เราจะเก็บความไม่พอใจมาเป็นอารมณ์ได้ แต่กับพี่เปปเปอร์... นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ในห้วงความคิดของผม นานเท่าไรแล้วที่ผมไม่เคยนึกถึงเขา

ผมจึงมั่นใจว่าผมไม่โกรธในเรื่องแย่ๆที่เขาทำกับผมหรอก เพราะเขาไม่ได้มีความสำคัญกับผมมากพอที่ผมจะต้องใส่ใจความรู้สึกพวกนั้น เขาไม่ใช่คนที่จะเดินไปกับผม ไม่ใช่คนที่จะจูงมือผม ไม่ใช่คนที่จะดูแลผม


และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะซื่อสัตย์กับผมเช่นกัน...


“เอมรู้ว่า พี่ไม่ใช่คนสำคัญของเอมอีกต่อไปแล้ว และเอมก็รู้ว่า เอมไม่ใช่คนที่พี่จะเลือกให้เดินเคียงข้างไปด้วยกัน ในเมื่อเราสองคนต่างไม่ได้ต้องการกันและกัน ต่างคนก็ต่างอยู่ดีมั้ยครับ สู้เราเอาเวลาไปให้คนที่เราเห็นความสำคัญของเขาจะดีกว่า” ถ้อยคำที่ฟังดูเจ็บปวด แต่ก็เป็นความจริงอย่างที่สุด บางทีการเผชิญหน้ากับความจริง ก็ทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

ผมมั่นใจแล้ว ว่าคนที่ผมรักคือใคร...

“พี่มีคนที่พี่รู้ว่าเขาสำคัญแค่ไหน แต่พี่คงไม่มีโอกาสที่จะมอบความรักให้คนๆนั้นหรอกนะ เพราะพี่เป็นคนที่ทำให้เขาเดินออกไปจากชีวิตพี่เอง” พี่เปปเปอร์ทำหน้าเศร้า
“คนเราเริ่มต้นใหม่กันได้ครับ ทุกสิ่งจะดีหรือร้ายอยู่ที่มุมมองของเรา”

พี่เปปเปอร์ยิ้ม ยิ้มเหมือนที่เคยทำให้ผมตกหลุมรักเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันต่างกัน ผมมีความสุขที่เห็นเขายิ้ม แต่ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครอง...

“ต่อจากนี้ไป ขอให้เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนแต่แรกนะครับ” ผมพยักหน้า สิ่งเดียวที่ผมจะให้พี่เปปเปอร์ได้ต่อจากนี้ก็มีแค่ความบริสุทธิ์ใจฉันพี่น้องเท่านั้น...

คนบางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นคู่รักกันไปจนวันตาย แต่ไม่ใช่สำหรับผมและพี่เปปเปอร์ ต่อให้อยากจะเลื่อนสถานะแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ นี่แหละครับความมหัศจรรย์ของมนุษย์...


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...

ผมติดรูปใหม่ที่ผมเพิ่งวาดเสร็จเข้ากับผนังสีขาวตรงทางเข้าบ้าน รูปแรกที่ผมใช้มือซ้ายวาดจนสำเร็จ ขณะที่ผมกำลังยืนชื่นชมผลงานของตัวเองอยู่นั้นก็มีเสียงแตรรถดังที่หน้าบ้านพอดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร แม้กระทั่งเสียงเครื่องยนต์ผมยังจำได้เลยนะ!

รถยนต์คันเดิมที่ผมคุ้นเคยจริงด้วย คนขับโผล่หน้าออกมาจากกระจกแล้วโบกมือให้ผม ใบหน้าคมนั้นยิ้มร่าดีใจจนผมต้องฉีกยิ้มตามไปด้วย ผมเปิดประตูรั้วให้รถเข้ามาจอด กลิ่นเครื่องยนต์ กลิ่นควันรถ ผสมกับกลิ่นอากาศยามเช้า ส่วนผสมของกลิ่นที่ไม่น่าจะลงตัวกลับทำให้ผมมีความสุขแบบบอกไม่ถูก...

“คิดถึงพี่มั้ยครับ” ร่างสูงก้าวลงมาจากรถแล้วอ้าแขนกว้าง ใบหน้าคมดูสดใส
“ยังจะถามอีก!” ไม่ต้องให้บอกหรอกนะครับว่าจากนั้นผมจะทำอะไร ขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวบ้างดีกว่าเนอะ ^^



***********************************************************


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-01-2012 17:29:13
รอดไป  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 20-01-2012 17:56:55
อั้ยยะ!!!
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 20-01-2012 17:59:57
โล่งอกล่ะ วิตกอยู่ตั้งหลายวัน เกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงเกินจะเยียวยา
ผลออกมาแบบนี้ก็ดีใจไปกับน้องเอมแหละ
อุ๊แหม ! น้องเอม แอบไปดีใจต้อนรับกลับบ้านกับพี่จินกันสองคน ไม่ให้ใครมีส่วนร่วมรับรู้ด้วยเลยเด้อ
บางอารมณ์ก็อยาก ส.น.น..เปปเปอร์บ้างเหมือนกันนะ แต่ไม่ดีกว่า เพราะตอนนี้เขาได้รับผลนั้นอยู่
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 20-01-2012 18:28:42
ในที่สุดก็รอดด ใจหายจะแย่
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 20-01-2012 18:43:15
น้องเอม ใจดีจัง คิดบวกสมเป็นเอม o13 ยังไงเค้าก็เป็นพี่ชายคนรัก ตั้งแง่กันไป คนลำบากใจคงเป็นพี่จิน
อีตาเปปเปอร์น่าหมั่นใส้ที่สุด  กว่าจะคิดได้ว่าจะเลือกทางไหน ก็ผ่านไปหลายปี สมน้ำน่ามันไร้คู่ไปซ๊ะ :z6:
พี่จินกลับมาแล้ววว จัดหนักน้องเอมซ๊ะที  น้องเอมพกเวอร์จิ้นไว้กับตัวนานๆ มันอันตรายนะคะ  :z1:

ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 20-01-2012 20:59:44
 o13   เอมเยี่ยมยอดเลยจ้า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: NOoTuNE ที่ 20-01-2012 21:35:40
 :เฮ้อ: นึกว่าน้องเอมแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 20-01-2012 21:36:45
หายใจคล่องขึ้นมากเลย
จินกลับมาซักที
แอบขำน้องตองไม่ได้ตอนที่ว่าทำไมไม่เป็นจินโดนเขวี้ยงแทน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 21-01-2012 13:03:14
เอาตัวรอดเก่งมาก :กอด1:
+1จ๊า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 01-02-2012 17:27:12
ThankS
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 04-02-2012 22:21:52
ไม่ได้อ่านซะนาน เลยอ่านไล่ยาวตั้งแต่น้องวานิลลา
จนพี่พริกไทยกลับมา แหม ว่าแล้วเชียวต้องไปกันไม่รอด
ก็นะโลเล้ซะขนาดนั้น ดีแล้วแหละที่เลือกผู้หญิงคนนั้นไม่เลือกเอม
พี่จินกับน้องเอมเลยกลายเป็นคู่กัน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 08-02-2012 20:32:18
ถ้าพี่จินรู้จะเกิดอะไรบ้างล่ะเนี้ย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: LittleLoad ที่ 13-02-2012 22:02:04
มาต่อเร็วๆน้าาา รออ่านอย่างใจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-20-] 20/01/55
เริ่มหัวข้อโดย: MapleZelpaM_68 ที่ 23-02-2012 14:03:25
รอดไปเนอะ น้องเอม
หัวข้อ: Love Sick [-21-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 01-03-2012 17:42:41



ผมกำลังประสบปัญหาใหญ่หลวงในชีวิต...
เรื่องที่ผมกำลังรอคอยมันกำลังจะเกิดกับผม แต่เมื่อเอาเข้าจริงผมกลับไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น...
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้มันเริ่มจากวันนั้นแหละ...



...วันที่แสงแดดเจิดจ้า...



“ฮั่นแน่ แอบมาวาดรูปอะไรที่นี่คนเดียวห๊ะ!!”
“ก็หยุดไปตั้งนาน อยากจะรื้อฟื้นบ้าง” ผมยิ้มให้กิที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างกัน
“ฮืม... นี่ขนาดไม่ได้วาดตั้งนานนะ การลงสียังเจ๋งเหมือนเดิมเลย” กิยื่นหน้าเข้าไปจ้องภาพของผมจนเกือบชิดกระดาษ ผมแค่ยิ้มเงียบๆให้กับรูปภาพของตัวเอง หลังจากที่ต้องหยุดเรียนไปยาวนานและไม่ได้ใช้มือขวาของตัวเองวาดรูปมาหลายเดือน ช่วงเวลานี้ผมอยากจะกอบโกยความรู้สึกนี้ให้สมกับเวลาที่เสียไป



“แล้วพี่จินเป็นยังไงบ้าง”
“หือ? ก็ดีนะ” เมื่อเช้าก็เป็นคนมาส่งผมแหละครับ
“... ไม่ใช่ กูหมายถึงเรื่องนั้นน่ะ” ผมหันไปมองหน้ากิ มันยิ้มกริ่มๆอะครับ ยิ้มมีเลศนัยอะไรสักอย่าง
“เรื่องอะไร?” ผมขมวดคิ้ว มันทำหน้าแบบนั้นแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลยแหะ...
“เอ๊!!!! ก็อุตส่าห์ถอดเฝือกแขนแล้ว เรื่องจ้ำจี้มะเขือเปราะแปะก็น่าจะถึงเวลาแล้วสิ” สิ้นเสียงเพื่อนผม ก็ตามมาด้วยเสียงคนตกเก้าอี้ กระป๋องใส่สีข้างๆก็กระจัดกระจายไปหมด
“!!!”
“อ้าว จะหน้าแดงทำไมวะ เรื่องแค่นี้เอง”
“อะ.. อะ.. ไอ้หน้าด้าน!”
“เอ๊า ด่ากูซะงั้น...”
“ไม่รู้เว้ย ไม่ตอบ เรื่องของกู” ผมรีบคว้ากระเป๋าแล้วก็รีบจ้ำออกมาจากห้องนั้นทันที แต่ยังไม่วายที่ไอ้กิบ้ามันจะตามมารังควานผมต่อตลอดทั้งวัน


“อ้ะ เอาเพลงนี้ไปเปิดฟัง” มันยัดแผ่นซีดีใส่มือผม แม้จะทำหน้ายับและไม่อยากรับมาแค่ไหนก็คงไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยเอาไปเปิดบนรถตอนที่พี่จินมารับ

“เพลงอะไรเหรอครับ” ผมสะดุ้งเมื่อพี่จินถามผม ก็เลยเผลอกดอีเจ็คท์ให้แผ่นออกมาซะงั้น
“อ๋อ ไอ้กิมันให้มาครับ แต่เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ไว้เปิดฟังที่บ้านดีกว่า”


ตลอดช่วงเย็นนั้นผมก็ทนมองหน้าพี่จินไม่ได้ มันเขินบอกไม่ถูก นึกถึงเรื่องที่ไอ้กิมันพูดแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกอาย หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ขณะที่ผมกำลังนั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟาพลางมองพี่จินเดินไปเดินมา ผมก็นึกถึงแผ่นซีดีนั่นอีก เลยตัดสินใจเอามาเปิดตอนนี้แหละ ผมสังเกตเห็นพี่จินหันมามองผมแว่บหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปทำงานของเขาต่อ


เสียงดนตรีเริ่มต้นฟังเหมือนเสียงเพลงตอนที่เจ้าสาวกำลังเดินเข้าโบสถ์ เพลงนี้เหมือนผมจะเคยฟังที่ไหนนะ
อ๋อ!! เพลง A Thousand Years นี่เอง...


One step closer....


ใกล้เข้าไปอีกก้าว...


คำร้องท่อนนี้ทำให้ผมแอบเหลือบไปมองพี่จิน อยากจะขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆจังเลยนะ... โอ๊ย คิดบ้าอะไรเนียะ! ผมขยี้หัวขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ใช่ว่าผมจะไม่คิดนะ ผมคิดเรื่องนั้นทุกคืนเลยรู้ไหม การต้องใช้ชีวิตกับคนที่ดูดีเหมือนปั้นออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เป็นเรื่องยากขนาดไหน แต่ผมก็ทน ทนเพราะกลัว กลัวไปหมด ผมกลัวการที่จะต้องก้าวเข้าไปใกล้มากกว่านี้ กลัวการผูกพัน กลัวที่จะต้องจากลา...



“Darling don’t be afraid...” เสียงร้องทุ้มต่ำตัดกับเสียงร้องคริสติน่า เพอร์รี ผมหันไปมองร่างสูงที่ขยับมานั่งใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ใบหน้าของพี่จินเข้ามาใกล้ผมจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น
“I have love you for a thousand years... I love you for a thousand more...”
“เว่อร์ พี่เป็นคนหรือแวมไพร์เนี่ย ถึงได้จะอายุยืนขนาดนั้น” ผมก้มหน้างุด เอามือดันหน้าพี่จินออกห่าง...
“พี่ก็แค่ร้องตามเพลง เอมชอบไม่ใช่เหรอ เห็นฟังบ่อยจัง...” เสียงนุ่มฟังดูอบอุ่นพร้อมกับมือที่ยื่นมาประคองแก้มผม พี่จินลูบไล้แก้มผมอย่างแผ่วเบาบ่งบอกถึงความปรารถนาในใจ...


“ก็ชอบแหละ...”
“พี่ว่าเหมือนเพลงส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอเลยนะ หึหึ โอ๊ย!” ผมทุบดังอึกไปที่อกพี่จิน หาว่าใครเป็นเจ้าสาววะ!
“เอมไม่ใช่เจ้าสาวนะ”
“แต่พี่ว่าใช่นะ”
“อ๊ะ จะทำอะไรน่ะ!” ผมพยายามเอามือยันพี่จินออก ก็เล่นโถมลงมาทับผมทั้งตัวเสียอย่างนั้น หนักนะ ทะลึ่งด้วย -//-
“อยากอยู่ใกล้ๆนี่ครับ”
“ใกล้ไปแล้ว!”
“หึหึ แนบชิดแบบนี้สิดี พี่จะได้รวบหัวรวบหางเสียทีเดียว”
“ทำไมพี่จินเป็นคนแบบนี้เนียะ”
“พี่ก็เป็นกับเอมคนเดียวแหละ” พี่จินเขี่ยแก้มผมอีกแล้ว ช่วงนี้ชอบเขี่ยแก้มผมตลอดเลยนะ
“เอมก็ยอมให้พี่จินทำแบบนี้กับเอมได้คนเดียวแหละ...” ผมทำแก้มป่อง
“หึหึ น่าร้าก ขอหอมทีนึงสิครับ” พี่จินใช้ปากจุ๊บเบาๆที่แก้ม ก่อนจะค่อยๆไต่ระดับเป็นเอาจมูกสูดกลิ่น แล้วก็ใช้ทั้งจมูกและริมฝีปากคลอเคลียที่แก้มผม เสียงเพลงเงียบไปแล้ว แต่ในสมองของผมมันมีแต่คำว่า ‘One step closer‘ ดังอยู่ตลอดเลย...


ริมฝีปากของผมกับพี่จินอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยจูบกัน แต่ทำไมการจูบตอนนี้มันช่างให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าที่เคย ริมฝีปากพี่จินยังนุ่มนิ่มและอบอุ่นเหมือนเคย ลมหายใจก็ยังเป็นจังหวะเดิม แต่หัวใจของผมกลับเต้นเร็วยิ่งกว่าที่เคยเป็น ถ้าช่วงเวลาทั้งหมดที่เหลือในชีวิตผมหยุดลงแค่ตรงนี้ก็คงจะดี... ความอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำให้ผมยอมทุกอย่าง ทุกอย่างตามแต่ที่พี่จินต้องการ


“จะให้เอมตายเพื่อพี่จินก็ได้...” ผมลูบแก้มพี่จินแผ่วเบา ใบหน้าคมมองผมด้วยแววตาเศร้าแว่บหนึ่ง
“ถ้าเอมตาย... แล้วพี่จะอยู่กับใครครับ พี่จะอยู่เพื่อใคร จะมีใครให้พี่รอ”
“เอมรักพี่จินที่สุดเลยครับ ทั้งชีวิตของเอมมีแค่พี่จิน เหลือแค่พี่จิน... เอมฝากชีวิตของเอมไว้กับพี่จิน...ได้มั้ยครับ?” นัยน์ตาของผมสั่นระริก น้ำตาเหมือนจะเอ่อไหลออกมา หากพี่จินปฏิเสธ หากวันไหนที่ไม่มีพี่จิน ผมก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจะอยู่เพื่ออะไร...
“พี่จะดูแลเอมไปจนกว่าชีวิตของพี่จะหาไม่ แต่ว่าพี่เป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรนอกจากหัวใจ เอมจะสัญญาได้มั้ย? ว่าจะอยู่เคียงข้างพี่อย่างนี้ตลอดไปเช่นเดียวกัน” สายตาของพี่จินมองผมแน่วแน่ มือใหญ่เกลี่ยข้างแก้มผมเหมือนกำลังสัมผัสกับสิ่งที่บอบบางที่สุด ผมรู้สึกว่าตัวเองพยักหน้าทั้งน้ำตา ผมกอดคนตรงหน้าแน่นที่สุดเท่าที่จะจำได้ พี่จินจูบผมดูดดื่ม เราจูบกันนานจนผมจำไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น...


คงไม่มีอะไรให้ผมต้องกลัวอีกแล้ว...



********************************************************************************************



แสงแดดในยามเช้าพร้อมกับเสียงนกร้องและเสียงใบไม้ไหวลู่ไปตามลม สิ่งมีชีวิตรูปร่างเป็นก้อนฟูสีขาวกำลังสนอกสนใจกับตั๊กแตนที่นอกประตูกระจก อุ้งมือปุกปุยตะปบเข้ากับกระจกอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งถูกอุ้มขึ้นมาจากพื้น
“วนิลา ซนแต่เช้าเลย”
“เมี้ยว~”
“ฮึฮึ ไปทำอะไรกินกันดีกว่าเนอะ แล้วจะได้ไปปลุกพี่จินด้วยกัน”
“เมี้ยว~”


ผ่านไปสักพักกลิ่นอาหารก็โชยไปทั่วครัว อาหารเช้าแบบอเมริกันง่ายๆประกอบไปด้วยไข่ดาว ไข่คน เบคอนและไส้กรอก พร้อมกับเครื่องปิ้งขนมปังที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้น
“วานิลลา ไปปลุกพี่จินกัน” มือเรียวอุ้มแมวน้อยที่ขนาดกำลังจะไม่น้อยมาแนบอก ก่อนจะจุ๊บเบาๆที่กระหม่อมของเจ้าเหมียวหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว

พอเข้าไปใกล้ที่นอน สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือแก้มที่โผล่พ้นผ้านวมออกมาเพียงเสี้ยวเดียว มันช่างน่ากระโดดเข้าไปฟัดเสียนี่กระไร
“อืม...” ยิ่งผมเห็นคนใต้ผ้าห่มส่งเสียงอืออาก็ยิ่งชอบใจ ทำไมน่ารักแบบนี้นะพี่จิน >//<
“พี่จิน ตื่นได้แล้วน้า หิวข้าวหรือเปล่า” ผมจับเอาอุ้งมือของวานิลลาเขี่ยที่แก้มพี่จินเบาๆ ลองเจอมือปุกปุยแบบนี้ต้องจั๊กจี๋จนตื่นบ้างแหละ
“เอม ทำไมตื่นไวจังเลยครับ?” ผมถูกมือลึกลับใต้ผ้าห่มดึงผมลงไปนอนด้วย พร้อมกับพูดเสียงงัวเงียจากใต้หมอน
“เอมหิวนี่ พี่จินไม่หิวเหรอครับ เอมทำมื้อเช้าไว้แล้วนะ” ผมลูบมือไปที่แผ่นอกพี่จินเบาๆ ผิวกายเย็นๆทำให้รู้สึกสบายจัง -//-
“พี่ก็หิว แต่หิวเอมนะ” แน่ะ... ผมกะแล้วว่าต้องมาไม้นี้
“ไม่อาว เอมหิวข้าว เอมจะไปกินข้าว พี่จินไม่ต้องมาเสี่ยวเลยนะ” ผมดันตัวเองออกมาจากผ้าห่ม ใจนึงอยากจะลงไปนัวเนียด้วยหรอกนะ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
“ไม่อาวเหมือนกัน ยังไม่ได้จุ๊บอรุณสวัสดิ์เลยนะ” อ่า... เด็กโข่งเริ่มงอแงครับ พอผมก้มลงไปจุ๊บก็ดันลากผมกลับลงไปนอนอีกซะงั้น สุดท้ายผมเลยต้องงัดไม้ตายออกมา
“พี่จิน! ไปกินข้าวก่อนนะครับ ค่อยมาทำอย่างอื่น”
“ก่อน? อย่างอื่น? เอมหมายถึงอะไรครับ” พี่จินเงยหน้าขึ้นมาเต็มๆ สายตาวิบวับสุดๆไปเลยอ้ะ
“ไม่รู้แหละ อยากรู้ก็ไปกินข้าวก่อน” ผมพูดแค่นั้นก็รีบชิ่งมาก่อนครับ วานิลลาก็หิวจะแย่แล้ว ว่าแต่อูย วิ่งแล้วเจ็บก้นชะมัดเลยไอ้คนบ้า > <

********************************************************************************************

“พี่จิน วันนี้เอมอยากไปซื้อของใช้หน่อยนะครับ” ชายหนุ่มที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบเหลือบตามองเจ้าของเสียงใสใบหน้านวลแวบหนึ่งก่อนจะแอบยิ้ม ก็ช่วงหลังๆมานี้น่ะ ดูเหมือนว่าเอมจะยึดเอาหน้าที่ดูแลบ้านไปเป็นของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ ไหนจะทำความสะอาด เริ่มหัดทำอาหาร และอื่นๆอีกหลายอย่าง
“เอาสิครับ” พูดแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มร่าเหมือนได้ของเล่นสมใจ กับอีแค่จะไปซื้อของเนี่ยนะ? แต่ก็นั่นละ ความร่าเริงแบบนี้ที่ทำให้เขาตกหลุมรักเหลือเกิน ไหนจะใบหน้ายิ้มแย้ม ไหนจะใบหน้ายามวาบหวาม ไหนจะใบหน้าเวลาที่ออดอ้อนร้องขอ...
‘อะ!! คิดอะไรวะกู!!’ เจ้าตัวรีบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านแก้เก้อทันทีที่รู้ตัวว่าคิดลามกไม่ถูกเวล่ำเวลา


“พี่จินๆ น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแหละ เอมเอาไปห้าถุงเลยนะ” ยังไม่ทันที่จะเดินไปไหนได้ไกล แค่เพียงเห็นชั้นสินค้าที่จัดรายการปุ๊บ เจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งรี่ไปทันที
“จะเอาไปถมที่เหรอครับ เยอะไปหรือเปล่า”
“หูยยย ลดราคาแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะครับไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไร ซื้อตุนไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร” เสียงเจื้อยแจ้วทำเอาร่างสูงกว่าต้องยอมแพ้และปล่อยให้เด็กน้อยเลือกของเอาตามใจชอบ


********************************************************************************************


หลังจากซื้อของใช้ในบ้านครบแล้ว สิ่งต่อไปก็เป็นเสบียงของกิน ผมกำลังทบทวนอยู่ว่าโชยุที่บ้านหมดหรือยัง แต่พอจะหันไปถามพี่จินก็หาเจ้าตัวไม่เจอซะงั้น

ช่างเถอะ ไว้ค่อยโทรตามก็ได้เนอะ

“เอ่อ ขอโทษนะครับ”
“?” เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปมอง ปรากฎเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของผู้ชายตรงหน้า
“ชะเอม... ใช่มั้ยครับ ปีสามศิลป์ฯกรรม” ผมพยักหน้า ผู้ชายคนตรงหน้านี้ดูไม่มีพิษภัย ร่างสูงใบหน้าอ่อนโยนผิวเข้มต่างจากผิวขาวเนียนของพี่จิน โดยรวมแล้วผมถูกชะตาพอสมควร~
“ใช่ครับ คุณคือ?”
“พี่ชื่อปาล์ม อยู่ปีสี่ ไอที” ผู้ชายตรงหน้าผมยิ้มกว้าง วะ! ฟันสวยชะมัดเลยครับ
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยิ้มกลับให้พี่ปาล์มที่เพิ่งรู้จัก ว่าแต่ว่าจะคุยอะไรต่อละหว่า
“พี่เคยเห็นชะเอมมานานแล้วแหละครับ แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก” ผมก็ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่อง ใจนึงก็แอบงงเหมือนกันว่าคนไม่รู้จักกันจะคุยอะไรกันนักหนาหว่า


สัมผัสที่แตะลงบนบ่าเรียกให้ผมหันหลังไปมองก่อนจะยิ้มกว้าง พี่จินที่หายไปพักหนึ่งกลับมาพร้อมกับถั่วแระญี่ปุ่นถุงโตที่ผมชอบแทะประจำระหว่างดูโทรทัศน์
“พี่จินน่ะ ไปไหนก็ไม่ยอมบอก” ผมส่งเสียงแกมประท้วง แต่นั่นกลับทำให้คิ้วขมวดของพี่จินคลี่ออกจากกันได้
“ก็เห็นพอดี เลยกะว่าจะไปหิ้วมาฝากเราสักหน่อย” พี่จินพูดพร้อมโชว์ถุงถั่วแระ แหม มีกับแกล้มแบบนี้สงสัยผมต้องไปหิ้วเป๊ปซี่มาสักสองลิตร
“พี่ชายชะเอมเหรอครับ” อีกคนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกลืมไปจากการสนทนาถามแทรกขึ้นมา
“อ๋อ...” ผมหันไปทางพี่ปาล์ม แอบอึ้งนิดหนึ่ง จะตอบว่าอะไรไม่ให้เขาตกใจดีนะ
“คนรักครับ” พี่จินเป็นคนตอบพร้อมกับโอบไหล่ผมและรั้งให้ผมไปยืนใกล้ๆ พี่ปาล์มทำสีหน้านิ่งไม่ออกอาการอะไร บางทียุคนี้แล้ว เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกสินะ...

“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะชะเอม ไว้เจอกันที่มหาลัย” ผมโบกมือบ๊ายบายให้พี่ปาล์ม พอหันมามองคนข้างตัวก็เอิ่ม... ตาขวางเชียะ
“เป็นอะไรครับพี่จิน?”
“อะ.. เปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่ว่าเรากลับกันเถอะ” ไม่รู้ทำไมแต่ผมคิดว่าพี่จินท่าทางแปลกๆแฮะ...


เย็นนั้นหลังจากที่ผมเอาไก่ทั้งตัวเข้าเตาอบแล้วก็ลองเดินมาดูมาคนที่กำลังเล่นกับวานิลลาอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่รู้ทำไมเวลาเห็นผู้ชายตัวโตๆเล่นกับสัตว์ตัวเล็กๆแล้วมันรู้สึกว่าน่ารักจัง
“เมี้ยว~” เจ้าเหมียวยกอุ้งเท้าขึ้นมาตะปบกับก้านขนนกในมือพี่จิน พอใกล้จะจับได้เจ้าขนนกก็ลอยหวือห่างไปตลอด จากแค่เล่นๆตอนแรกก็ดูเหมือนว่าเจ้าเหมียวจะเริ่มโมโหเสียแล้ว
“เดี๋ยววานิลลาก็ข่วนเข้าให้หรอกครับ” ผมพูดพลางอมยิ้ม

“เหมือนที่แม่มันชอบข่วนพี่หรือเปล่า หือ?” อ้อมแขนแกร่งตวัดดึงเอาตัวผมเข้าไปได้อย่างง่ายดาย บางทีคงเป็นเพราะผมสมยอมด้วยแหละ >//<
“วันนี้แม่บ้านของพี่ทำกับข้าวเหนื่อยมั้ยครับ” พี่จินเอามือปัดผมออกจากหน้าผากให้ผม มองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อจริงๆนะครับคนนี้ หล่อเสมอต้นเสมอปลาย
“ไม่เหนื่อยหรอก เอมอยากทำนี่” นอกจากไก่อบยังมีลาซานญ่าผักโขมแล้วก็พาสต้าด้วยนะครับ ไม่รู้ว่ารสชาติจะพอกินได้มั้ย
“เอมทำอะไรก็อร่อยหมดแหละครับ”
“เอมทำไม่อร่อยพี่จินก็บอกว่าอร่อยแหละ” ผมทำหน้างอ
“ฮ่าๆ ไม่หรอก ถ้าไม่อร่อยจริงๆพี่ก็จะพูดตามตรง เอมจะได้พัฒนาฝีมือ”
“ให้จริงเหอะครับ” ผมจุ๊บปากพี่จินเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นการจุดประกายให้คนตรงหน้าซะอย่างงั้น
“อื้อ!” แรงบีบจากมือพี่จินที่ไหล่ของผมแน่นขึ้น พร้อมกับจูบที่เนิ่นนานเกินพอ พี่จินไล้เล็มและล่วงล้ำเข้ามาทีละน้อย มือใหญ่ที่ประคองเอวผมก็เลื่อนต่ำลงไปจนถึงสะโพกแล้วก็บีบขยำอย่างย่ามใจ
“ไม่อะ.. ไม่เอานะ...” ดูท่าคำประท้วงของผมจะไม่ได้ผลกับคนตรงหน้าสักเท่าไร เพราะนอกจากมือที่บีบก้นแล้ว ยังจะกดเอวผมให้แนบชิดกับตัวเขามากขึ้นไปอีก
ลมหายใจของผมกับพี่จินรินรดกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์จากใครกันแน่ มือพี่จินที่บีบก้นผมอยู่ก็เริ่มเพิ่มแรงขึ้นเหมือนไม่แคร์ว่าเมื่อคืนผมจะระบมแค่ไหน ทั้งบีบทั้งคลำทั้งขยำจนเหมือนว่าตัวผมจะแหลกคามือพี่จินอยู่แล้ว

“อย่าสิครับ... กินข้าวก่อน...” ผมประท้วงเสียงอ่อย
“อือ... เอมน่ะ ใจร้ายกับพี่จัง กว่าจะได้ใกล้ชิดกับเอมแบบเนี้ยพี่ก็รอมาตั้งนาน แล้วนี่ยังให้พี่กินแบบประหยัดอีก พี่ยังไม่อิ่มเลยรู้มั้ย ถ้าเป็นคนอื่นน่ะ เขาทำกันสามวันสามคืนแล้ว” พี่จินพูดเสียงกระเง้ากระงอดไม่ชวนให้ผมสงสารแล้วยังชักพาความโมโหอีกต่างหาก
“หื่น คนบ้า อัดอั้นนักก็ไปช่วยตัวเองเลยไป๊!”
“เอ๊า อะไรกัน ทำไมใจร้ายแบบนี้ละครับ”
“พี่จินลองรับดูมั้ยละ จะได้รู้ว่ามันโคตรจะเจ็บ แล้วยิ่งขนาดอย่างของพี่นะ เอมไม่ฉีกก็บุญแล้ว”
“แหม มันก็พูดยากนะเอม หึหึ” ฮึ้ย ผมด่าอยู่ปาวๆ ยังมาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มพอใจในความใหญ่อลังการของตัวเองอีกเรอะ อ๊ากกก!! ไอ้คนลามกเอ๊ยยยย
“พี่ทำเอมเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ เอมไม่ได้รู้สึกดีร่วมไปกับพี่บ้างเลยเหรอครับ” จู่ๆพี่จินก็เปลี่ยนโหมดทันควัน ท่าทางกวนประสาทเปลี่ยนมาเป็นออดอ้อนตาใสอย่างคนที่รู้สึกผิดเต็มประดา ง่า...ไปไม่เป็นเลยผม...
“...มะ..ไม่หรอกครับ แรกๆมันก็เจ็บแหละ แต่เอมก็ชอบ...” อึ๋ยพูดอะไรไปเนี่ยผม ยิ่งพอเห็นหน้าพี่จินตอนนี้ก็อยากจะกลืนคำพูดนั้นลงท้องเสียให้หมด!

“เอมพูดออกมาแบบนี้ จะให้พี่ลืมคงยากแล้วแหละครับ ห้ามกลับคำด้วยนะ...” เสียงทุ้มดังเพียงกระซิบ ดวงตาคมเป็นประกายเมื่อสะท้อนกับแสงไฟภายในห้อง สองแขนแกร่งโอบร่างเล็กเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมขยับชิดเสียจนปลายจมูกนั้นแทบจะสัมผัสกับผิวแก้มแดงระเรื่อเพราะความอาย ยังไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธอะไร ก็ถูกจับลงนอนกับโซฟาตัวโตเสียแล้ว

รสชาติหวานละมุนจากปลายลิ้นของคนข้างบนยังติดซึ้งตรึงใจเสมอ แต่ก่อนเป็นจูบที่อ่อนหวานแค่ไหน ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
ปลายนิ้วของพี่จินสอดเข้าท้ายทอยของผมเพื่อออกแรงดันเล็กๆ เชิงบังคับน้อยให้ผมยอมรับจูบนั้นอย่างนุ่มนวล ความนุ่มนวลที่ทำให้ผมเผลอหลุดเสียงครางในลำคอเบาๆ เมื่อลืมตามองใบหน้าของชายหนุ่มที่คร่อมอยู่ด้านบนแล้วก็ต้องหลบตา

คนบ้า จ้องตาวิบวับเชียวนะ...

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อฟันคมกัดลงตรงไหปลาร้า แรงกัดมากพอที่จะฝากรอยรักเอาไว้เหมือนที่ทำเมื่อคืน ผมยังจำได้เลยว่าตอนส่องกระจกเมื่อเช้า ร่างกายของผมมีแต่รอยกัดของพี่จินเต็มไปหมด

จากไหปลาร้าไล่มาจนถึงยอดอกที่แข็งตึงรอโดยอัติโนมัติ ปลายลิ้นของพี่จินลากผ่านยอดอกไปจนถึงหน้าท้อง และลงต่ำไปจนท้องน้อย โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่นั่นก็ดึงกางเกงผมออกรวดเดียว อะไรๆที่มันเติบโตเพราะแรงกระตุ้นก็เลยดีดผึงขึ้นมาอวดโฉมอย่างไม่อายสายตา
“อ๊ะ!” ผมยื่นมือไปปิดบังจุดสงวนอย่างไว แต่ก็คงไวสู้คนที่คว้ามือผมเอาไว้ไม่ได้ พี่จินรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัว ก่อนจะก้มลงเอาลิ้นแตะสัมผัสกับตรงปลายและครอบปากลงไปทันที นิ้วของพี่จินขยับเข้าใกล้เบื้องหลังก่อนค่อยๆฉวยโอกาสที่ผมกำลังสับสนกับสัมผัสเร่าร้อนนั้นรุกรานเข้ามาในร่างกายผมอย่างเอาแต่ใจ...


" อื้อ! เจ็บ" ผมกระตุกสะโพกหนีกับปลายนิ้วทันที พี่จินจึงใช้ลิ้นเลียนิ้วของตัวเองจนชุ่มโชกก่อนจะสอดเข้ามาใหม่และเร่งจังหวะจนผมยิ่งเตลิดไปไกลกว่าเดิม

เกือบที่ผมกำลังจะปลดปล่อยตัวเองออกมา พี่จินก็ละออกห่าง ผมผงกหัวขึ้นมามองอย่างสงสัย และก็ต้องเข้าใจเมื่อเห็นร่างสูงที่มีสีหน้าไม่ต่างกันกำลังขะมักเขม้นถอดกางเกงของตัวเอง ไอ้เจ้าสิ่งมโหฬารที่ผมเห็นเมื่อคืนนั้นมันยังคงอลังการไม่เปลี่ยน ร่างกายที่มีเหมือนผมทุกอย่างแต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างไม่น่าเชื่อ...

“ขออนุญาตนะครับ...” เสียงนุ่มร้องขอฟังดูหวานซึ้งที่สุดที่ผมเคยได้ยิน ผมรู้ดีที่สุดว่ามันหยุดไม่ได้แล้ว จังหวะนี้ต่อให้ใครกำลังจะตายก็ช่างมันเหอะ
“...ครับ... " พูดไปแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตาย ขัดขืนเขาแทบตาย พอโดนเล้าโลมเข้าหน่อยก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ... คิดโน่นคิดนี่เพลินๆไปแป๊บหนึ่งก็ต้องผวาเฮือกเมื่อร่างสูงขยับร่างเข้าหาแทบจะในทันที

“อ๊ะ! พี่จิน อื้อ...” แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สอง... เอ่อ สามละมั้ง เอ... หรือว่าสี่ โอ๊ย ช่างมันเหอะ ทำไมผมยังเจ็บเหมมือนเดิมเลยนะ แน่ๆเลย เพราะว่าขนาดของพี่จินไม่บาลานซ์กับผมแน่ๆเลย ฮึ้ยยยยย!!
“อืม... เอม... ดวงใจของพี่..” พี่จินเอ่อเสียงพร่ำเรียกชื่อผมพร้อมกับริมฝีปากร้อนก้มลงแทะเล็มผิวกาย สะโพกแกร่งขยับกายเข้าหาและยึดตัวผมไว้แน่น คนๆนี้รู้ดีที่สุดว่าผมแพ้อะไร ถ้อยคำอ่อนหวานเหล่านั้นทำให้ผมใจอ่อนเสมอ...

ร่างกายของพี่จินสอดเข้ามาจนสุดและแช่คาไว้ไม่ขยับ ถ้าตอนนี้จะดึงพี่จินออกไปคงต้องใช้ช้างทั้งโขลง  มือใหญ่กอบกุมน้องหนูของผมและค่อยๆรูดขึ้นลงให้สัมพันธ์กับการขยับของร่างกาย ผมรู้ว่าพี่จินคงทนไม่ไหวที่จะอยู่เฉยๆ เพราะผมเองก็เช่นกัน ความเจ็บปวดที่ผมเลือกที่จะสัมผัสมันอยู่ตรงหน้านี้เอง เสียงพร่ำอ่อนโยนของพี่จินดังผ่านหูแต่ผมไม่สามารถจับใจความใดได้ แรงกระแทกเข้ามาในกายกับความร้อนที่เบื้องหน้าทำเอาหูตาลายไปหมดจนผมเผลอจิกเล็บลงกับไหล่กว้างตามแรงอารมณ์ที่อีกฝ่ายกระตุ้นเร้า

พี่จินขยับกายเข้าหาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่ปรนเปรอความสุขสมให้ ทุกสัมผัสที่ส่งผ่านไปด้วยความรักที่เร่าร้อน ร่างกายของผมถูกโอบเข้าแนบชิดกับพี่จิน  ริมฝีปากครางเครือเป็นชื่อพี่จินครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับพี่จินที่แทะเล็มร่างกายของผมเหมือนหิวกระหาย รอยรักเป็นจ้ำที่ฝากไว้นับไม่ถ้วนบนผิวกาย และแรงกระแทกซ้ำๆจนความเจ็บเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสุขจนแทบจะสำลัก ผมขยับสะโพกเข้าหาพี่จินโดยอัติโนมัติ เสียงร้องน่าอายดังขึ้นเพราะความเร่าร้อนที่พี่จินปรนเปรอ จนกระทั่งความร้อนวาบจากร่างกายผมพุ่งเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ด้านหลังของผมกระตุกตุบๆรัดแน่นจนพี่จินขยับกระแทกกระทั้นจากร่างของผมอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกที่ยากจะห้ามใจกำลังใกล้เข้ามา ร่างแกร่งขยับเข้าหาอย่างถี่กระชั้นก่อนขยับกายออกห่างและปลดปล่อยลงที่เดียวกับที่ผมทำเลอะไว้ก่อนหน้า...

“อึก... เอม...” พี่จินทาบทับร่างลงมาบนตัวผม เรี่ยวแรงอ่อนเปลี้ยเหมือนไปวิ่งมาราธอนมาห้ากิโล ก่อนจะพูดเสียงกระซิบข้างหูผม

“พี่ไม่อยากเสร็จข้างใน เพราะเดี๋ยวจะกินข้าวแล้ว กลัวเอมไม่สบายตัว...”

จะพูดเพื่อ???




 
***************************************************************

เอ่อ อย่าให้พูดเลยนะคะ ว่าหายไปนานแค่ไหน -//-

เรื่องมันเยอะค่ะ แบบว่าแฟลชไดรฟ์เค้าหายแหละ T T

แต่ยังไงก็จะแต่งต่อไปเรื่อยๆ หวังว่ายังมีคนอ่านนะ 555+

ขอโทษที่หายไปเนิ่นนานด้วยนะคะ  :m13:


หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-03-2012 18:21:18
 :mc4:   กรี๊ดดดดดดดดดดดดด  กลับมาแล้ว

พี่จินกับชะเอมน่ารักจัง    :haun4:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: NOoTuNE ที่ 01-03-2012 19:14:05
 :m25: :m25: ในที่สุดพี่จินก็ได้กินหัวกินกินหางกินกลางตลอดตัวน้องเอม


รออ่านอยู่นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 01-03-2012 19:28:04
มันซิ๊ดมากเลยค่าา
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-03-2012 20:26:50
ว้าววว... :laugh: :m4:บีพาน้องเอมกับพี่จินมาแล้ว ดีใจจัง
ว่าแล้ว ที่หายไปนานต้องมีสาเหตุ แล้วก็รออ่านอยู่ตลอดแหละจ้ะ
ดังนั้นที่บอกว่าจะแต่งต่อไปเรื่อยๆน่ะ เห็นชอบด้วยที่สุดจ้าาาาา..

 "...กว่าจะได้ใกล้ชิดกับเอมแบบเนี้ยพี่ก็รอมาตั้งนาน แล้วนี่ยังให้พี่กินแบบประหยัดอีก..."   
555 น้องเอมจ๋า ประหยัดเงิน ทอง ข้าวของ ทรัพยากรน่ะประหยัดไปเทอะ
แต่ อันนี้นี่  :oo1:อย่าให้พี่จินกินแบบประหยัดเล้ย  o3โฮะ โฮะ โฮะ ขอเข้าข้างพี่จิน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 01-03-2012 21:11:37
ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้  เพราะเจ่กำลังเสียเลือดอย่างท่วมท้นพอๆกับน้องน้ำเลย   อั๊สสสสสสสส


 :pighaun:     :haun4:    :jul1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-03-2012 22:03:05
ครั้งแรกก็จัดหนักเลยนะพี่จิน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: MapleZelpaM_68 ที่ 01-03-2012 22:18:35
ป้าว่าน้องจินไม่ต้องกินข้าวแล้วมั้ง กินน้องเอมนี่แหละ ได้สารอาหารครบถ้วน5555
 :haun4:  :pighaun:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 01-03-2012 22:23:45
โอ้ ในที่สุด ก็ตะลิดติ๊ดชึ่งกัน หุๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-03-2012 00:14:59
ในที่สุดก็เรียบร้อยโรงเรียนพี่จิน
เอมโดนไปหลายขนานนะนั่น
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: fullmoonny ที่ 02-03-2012 02:26:31
จิ้มมมมมมมมมมมมมมมม
คนแต่งกลับมาแล้ว >3<
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: bytoey ที่ 02-03-2012 02:47:07
 :-[ที่สุดค่ะ o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 04-03-2012 03:23:52
น่ารักดีอะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 05-03-2012 20:10:37
เอิ่ม ยังอุส่าเป็นห่วงเน๊อะ  o13
ชอบคู่นี้จังเรย อยากอ่านต่อเร็วๆจังเรยอ่าาาาา  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: loveis ที่ 05-03-2012 21:29:10
 :jul1: อยากให้หวานอย่างนี้ไปนานๆๆๆ

พี่จินน้องเอม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 05-03-2012 23:36:51
อ่านอยู่น้า แต่นาน ๆ มาทีมันก็หลุดรอดสายตาไปได้
ชอบเพลงนี้เหมือนน้องเอมเลย เพราะดี
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 06-03-2012 01:16:18
ขอให้รักกันนานนะครับ :L1:....
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-21-] 01/03/55
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 12-03-2012 19:12:19
อยากรู้เรื่องไอ้พี่พีร์กับนายตองอะ
หัวข้อ: Love Sick [-22-]
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 02-04-2012 17:53:51



“เอมไม่ได้สังเกตเลยเหรอ?”

น้ำเสียงและท่าทางของตองทำเอาผมเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที กับแค่ถามว่าทำไมช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นอั๋นกับกิอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น ใจคอผมเริ่มระส่ำระสาย หรือว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น??

“มันห่างๆกันมาพักหนึ่งแล้วแหละ ตั้งแต่ที่ไปกินเหล้ากันวันนั้น...” ตองพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น...


************************************************************


วงเหล้าหน้าบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งในย่านที่เงียบสงบกำลังครื้นเครงได้ที่ โชคดีว่าบ้านนี้มีอาณาบริเวณมากพอดู เสียงโหวกเหวกของวงเหล้าจึงไม่ดังไปถึงบ้านอื่น

สมาชิกในวงเหล้าประกอบไปด้วยบรรดานักศึกษาคอทองแดงไม่ต่ำกว่าสิบคน เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค การตั้งวงเลี้ยงฉลองจึงไม่มีทีท่าจะเลิกราง่ายๆ


“เฮ้ย น้องไปเอาน้ำแข็งมาอีกสิ” เสียงรุ่นพี่ปีสองซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน นายกิติศักดิ์ หรือกิของเรานั่นเอง ใบหน้าขาวเนียนเริ่มออกอาการกึ่มๆ ร่างสูงที่อยู่ข้างตัวก็คอยพยายามห้ามปรามการดื่มให้เบาๆลงบ้าง แต่ดูท่าว่ากิจะไม่สนใจฟังเลย
“เพิ่งสอบเสร็จก็ต้องฉลองสิวะอั๋น” มือเล็กดันคนที่พยายามปรามให้ถอยออกไปห่างๆ ส่วนตัวเองก็จัดแจงหยิบเหล้ามาเทเสียเองกว่าค่อนแก้ว
“เฮ้ย ตอง วันนี้คนคุมมึงไม่มาเหรอวะ” ประสาคนเฮฮา พอเหล้าเข้าปากก็ยิ่งโหวกเหวกเข้าไปใหญ่ ตองเองก็รู้ว่าเพื่อนเริ่มเมา เลยพยายามไม่คุยอะไรมากแค่เออออไปตามเรื่องราว
“ดีนะ วันนี้แม่กูไม่อยู่ ไอ้กิเลยแหกปากได้เต็มที่” จิม เพื่อนร่วมห้องกระซิบกระซาบกับตองเบาๆ เพิ่งจะรู้ว่ากิเมาแล้วเกรียนขนาดนี้

คอเหล้าแต่ละคนค่อยๆล่าถอยกันไปเมื่อเวลาล่วงเลย บางคนก็หลับพับคาที่ บางคนที่ยังเมาไม่มากก็กลับบ้าน จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเจ้าบ้านอย่างจิม ตอง อั๋น กิ และรุ่นน้องปีหนึ่งที่ชื่อนิมที่เป็นน้องรหัสของอั๋นอีกคนหนึ่งที่ยังคงตั้งวงกันอยู่
“พอได้แล้วกิ มึงเมามากแล้วเนี่ย” อั๋นเริ่มง่วงและปวดหัว จึงพยายามลากกิกลับบ้าน แต่ไอ้ตัวดีดันเมาจัดจนไม่ค่อยจะมีสติสัมปชัญญะ
“เอ๊ะ มึงนี่ จะวุ่นวายอะไรนักหนา เป็นพ่อกูหรือไงฮะ!” เสียงตวาดอ้อแอ้ รู้ดีว่าไม่ควรถือสา แต่ในใจของคนที่ถูกตวาดก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาจนได้ ร่างสูงปล่อยให้กินั่งต่อไป ส่วนตัวเองก็ลุกเดินออกมาเงียบๆ มีเพียงสายตาของตองที่มองตามไป



************************************************************


“แค่นั้น?” ผมถามซ้ำอีกรอบ ตองพยักหน้า
“มัน ‘แค่นั้น’ ก็จริงนะเอม แต่สำหรับคนที่คบกัน คำพูดแบบนั้นมันแรงเกินไปหรือเปล่า ที่นั่นก็มีคนอื่นอีกเยอะแยะ ที่ผ่านมาไอ้กิมันก็เอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้ตลอด และอั๋นมันก็ทนมาตลอดเลยนะ” ผมฟังที่ตองพูดแล้วก็พยักหน้า จริงอย่างที่ว่า เพราะขนาดผมไม่ค่อยได้ไปกินเหล้ากับพวกนี้ (เพราะพ่อผมดุ > <) แต่ผมก็ยังพอรู้ว่ากิเมาแล้วเรื้อนมาก งี่เง่ามาก กวนตีนมาก สถุลมาก อั๋นที่เป็นเหมือนคนคอยรับอารมณ์กิตลอดก็คงหมดความอดทนได้สักวันสินะ...
“อั๋นมันเองก็เหมือนจะน้อยใจแล้วหนีหน้าไปเลย ส่วนไอ้กิมันก็ไม่ยอมรับความจริง มันเอาแต่บอกว่ามันเมา ไม่รู้เรื่อง อั๋นเป็นแฟนมันก็น่าจะยอมรับมันได้สิ” ตองดูดน้ำปั่นในแก้วแก้เซ็ง ผมรู้ว่าตองก็คงกังวลไม่แพ้กัน คบกันเป็นเพื่อนมาตั้งนานนี่เนอะ
“สองคนนั้นมันคบกันมากี่ปีนะ” ผมถามตอง
“ตั้งแต่มอสอง ตอนนี้ก็เจ็ดปีพอดี”
“อืม เจ็ดปีอาถรรพ์สินะ” ผมกอดอกครุ่นคิด
“ก็ต้องรอดูกันต่อไปแหละ” ผมกับตองยุติการสนทนาเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นกิก็เดินมานั่งด้วยพอดี


“โอ๊ย ร้อนชะมัดเลย” คนมาทีหลังกระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะดังโครม ก่อนจะงัดขวดชาเขียวที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะพราวออกมาดื่ม ผมกับตองมองหน้ากันไปมา ในใจรู้สึกแปลกๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งนินทามันไปเอง เหอะๆ
“มาซะเกือบสายเลยนะ” ผมเริ่มทักก่อน
“ทำไงได้ ไม่มีคนไปรับนี่หว่า” ครับ ปรกติอั๋นมันจะเป็นคนปลุกและก็รับกิมามหา’ลัยด้วยกัน แต่พอตอนนี้มันโกรธกัน กิก็เลยต้องมาเอง
“หัดช่วยเหลือตัวเองมั่งเหอะมึง ใจคอจะเอาแต่พึ่งคนอื่นตลอดเลยหรือไง” ผมตบหัวมันเบาๆ กิมันทำหน้าเศร้าก่อนจะพูดเสียงเบา
“กูก็กำลังพยายามอยู่นี่ไง ใช่ว่ากูเองจะไม่รู้ ไม่มีใครเขาอยู่กับเราไปค้ำฟ้าหรอก” ง่า... ผมอึ้งเลย บรรยากาศหดหู่ขึ้นมาทันที ตองเลยเป็นคนตัดบทแล้วชักชวนกันขึ้นไปเรียน


ในห้องเรียนบรรยากาศยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เจอหน้ากันแต่ไม่พูดกัน ทั้งที่มันเป็นแบบนี้มาครึ่งเดือนแล้ว แต่ผมก็เพิ่งจะสังเกต คงเพราะก่อนหน้านี้โลกผมมันเป็นสีชมพูเกินไปละมั้ง เลยไม่ค่อยรับรู้อะไรรอบตัวเท่าไร >//<

และที่สำคัญครับ ไอ้เหี้ยคนไหนไม่รู้เสือกเอาเพลงอารมณ์สีเทาของพี่ปั๊ปมาเปิด หูฟังมันก็ไม่ใส่นะครับ สงสัยจะอยากเผื่อแผ่เพื่อนให้ฟังด้วย อาจารย์ก็ไม่มาสักที จะบ้าตาย

นั่งมองดาวดวงเดิมอยู่กลางคนรักกันเป็นร้อยพัน
อธิษฐานให้ดาวดวงนั้นเรียกเธอกลับมาให้ที
ไร้กำลังแรงกายอยู่โดยความหวังที่มันริบหรี่...

รู้ตัวแล้วครับ ไอ้จิมผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นนี่เอง ผมลุกย่างสามขุมไปที่ไอ้จิมและจัดการเบิ๊ดกะโหลกมันหนึ่งที
“โอ๊ย ไรวะชะเอม” มันชอบเรียกผมแบบนี้เรื่อยเลยอะ หงุดหงิด ขออีกโบ๊ะ
“มึงนี่! เปิดเพลงไม่ดูบรรยากาศ ไม่เห็นเหรอไงว่าอมทุกข์กันจะตายอยู่แล้ว” ไอ้จิมมองไปตามทางที่ผมว่า กินั่งมุมหนึ่ง อั๋นนั่งมุมหนึ่ง หน้าตามืดหม่นเหมือนโดนทำของมาอย่างนั้น
“อ่าว... กรรม กูปิดก็ได้วะ ว่าแต่เมื่อไรน้องเอมจะไปกินเหล้าบ้านกูบ้างละ จะดูแลอย่างดีเลยนะ” ไอ้จิมทำยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมเลยทำมือมะเหงกใส่มันแล้วเดินกลับโต๊ะ

กว่าจะหมดชั่วโมงเรียนก็เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ อั๋นรีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินลิ่วออกไปทันที ทิ้งให้กิมองตามตาละห้อย ผมสงสารเพื่อนจังอะ แต่ถ้าเพียงแค่กิมันยอมขอโทษละก็นะ...


“กูทำผิดมากเลยเหรอเอม” หือ? อะไรนะ
“กูรู้ว่ากูผิด แต่กูไม่คิดว่าอั๋นจะโกรธกูขนาดนี้” กินั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะ คนอื่นๆลุกกันออกไปเกือบหมดแล้ว
“ผิดมากหรือน้อยก็ขึ้นชื่อว่าผิด มึงก็ควรจะขอโทษ” ตองพูดเสียงเข้ม กิทำหน้ามุ่ย
“ที่ผ่านมากูไม่เคยขอโทษ มึงก็รู้...”
“ทิฐิ ศักดิ์ศรี หรืออะไรที่มันค้ำคอมึงอยู่วะ กูจะช่วยล้วงออกมาให้” ผมอาสา
“ไม่ต้องเลยมึง พูดจาหมาไม่รับทาน ทีกับพี่จินละอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ โอ๊ย!” กิพูดไม่ทันจบก็โดนตองตบเกรียนดังป๊าบ
“อย่าพูดชื่อนั้น ได้ยินแล้วกูหงุดหงิด”
“ตองเนี่ย เกลียดพี่จินเสมอต้นเสมอปลายจริงๆนะ” ผมพูดอึ้งๆ
“แต่เราก็ชอบเอมเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ” ตองพูดเสียงนิ่ม แต่ผมเริ่มขนลุกแล้วละ
“พวกมึง จะมาจีบกันทำไม เห็นมั้ยว่ากูกำลังเศร้าอย่างแรง”
“มึงไปขอโทษมันก็จบแล้วอะกิ”
“พวกมึงยังไม่รู้... กูพยายามจะโทรไปหามันหลายรอบแล้ว แต่มันไม่รับสายกูเลย ที่ห้องก็ไม่กลับ ไม่รู้ไปอยู่ไหน” เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“งั้นก็ไปขอโทษต่อหน้าเลย ดักเจอกันไปเลย” ตองเสนอ
“เอางั้นเลยเหรอ” กิมันทำท่าทางลังเลแบบไม่สมกับเป็นมันเลย ผมเข้าใจนะว่ามันเครียดแค่ไหน
“อืม เอางี้แหละ” ผมเลยช่วยย้ำ ยังไงวันนี้ต้องรู้กันไปเลย


************************************************************


คือผมอยากจะบอกว่า ตอนแรกผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะยากขนาดนี้ คิดว่ากิกับอั๋นคงแค่โกรธๆงอนๆตามประสา คิดว่าอั๋นมันคงแค่อยากให้กิไปง้อบ้าง แต่เหตุการณ์มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพวกผมไปดักรออั๋นจนสำเร็จ สีหน้าอั๋นที่เห็นพวกผมตอนแรกดูอึดอัดแบบชัดเจน บางสิ่งร้องดังอยู่ในหัวผมว่านี่เป็นสัญญาณอันตราย แต่ผมกลับมองข้ามสัญญาณเตือนนั้นแล้วดึงดันอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก...

“เอ่อ... กู เอ้ย กิ... ขอโทษนะ ถ้าทำอะไรให้อั๋นเสียความรู้สึกไป ขอโทษจริงๆนะ...” กิก้มหน้าขณะที่พูด มือสองข้างที่ไขว้หลังอยู่ก็บีบเข้าหากันแน่น บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเกร็งสุดๆ
“อืม ไม่เป็นไรหรอก..” พอได้ยินอั๋นพูดแบบนั้น กิก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้าง แต่ทว่ารอยยิ้มก็หุบหายแบบฉับพลัน ผมที่ยืนอยู่ห่างๆหันไปมองที่อั๋น ใบหน้าเดิม แต่แสดงสีหน้าแบบที่พวกผมไม่เคยเห็น กิขยับเข้าไปจับแขนอั๋นเอาไว้แน่น

มีบางอย่างผิดไป เสียงเล็กๆในสมองบอกให้ผมเข้าไปดึงกิออกมาเดี๋ยวนี้ แต่ขามันก็ยังหนักอึ้งเหมือนประมวลความคิดรอบตัวไม่ทัน

“อั๋น... ถ้ายกโทษให้แล้ว ก็ยิ้มให้กูเหมือนเดิมสิ มึงทำสีหน้าแบบนั้นแปลว่าอะไร” เสียงกิเริ่มสั่นพร้อมกับเขย่าแขนอั๋นแรงขึ้น สีหน้าเฉยชาและเจ็บปวดปนเปกันบนใบหน้าของอั๋นยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของกิให้รุนแรงขึ้น ผมก้าวเข้าไปหาทั้งคู่โดยอัตโนมัติ พร้อมกับตองที่ดึงกิออกมา

“อั๋น มีอะไรก็พูดมา ไม่ใช่ยืนเงียบแบบนี้” ผมจ้องหน้าอั๋นนิ่ง มันยังไงดีละ ผมรู้สึกโกรธ เจ้บปวด เศร้าใจตามไปด้วย อั๋นหันมาสบตาผมช้าๆ
“เราคงเป็นเหมือนเดิมกับกิไม่ได้แล้วละ” อั๋นบอกผม กิที่ได้ยินก็ทรุดทันที
“มันไม่ไหวแล้วละกิ เราสองคนคงไม่สามารถฝืนไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ขอโทษนะ” ผมฟังคำพูดเห็นแก่ได้พวกนั้นแล้วกำหมัดแน่น อยากจะชกคนตรงหน้าสักที แต่คงสู้แรงมันไม่ได้ T T

พลั่ก!!

ไวเท่าความคิด หมัดลุ่นๆของคนข้างๆผมเสยเข้าที่แก้มซ้ายของอั๋นเต็มเหนี่ยว ตองหน้าแดงก่ำเพราะโกรธจัด ผมรีบเข้าไปดึงแขนเอาไว้ไม่ให้ตองถลาเข้าไปหาอั๋นอีกรอบ
“มึงพูดจาเห็นแก่ตัวอะไรของมึง!!” ตองตะคอกเสียงดังใส่อั๋นที่กำลังเอาหลังมือปาดเลือดออกจากมุมปาก
“มึงจะรู้อะไรไอ้ตอง มึงไม่ได้เป็นกู ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของกูนี่!” อั๋นตะคอกกลับ
“ใครเขาจะไปรู้กับมึง รู้สึกอะไรไม่เคยพูด พอบทจะไปก็ไปเอาดื้อๆแบบนี้ มึงจะไปไหนก็ไปเถอะ เพื่อนของกู กูดูแลเองได้!”


ผมจับไหล่กิเอาไว้ สีหน้าเรียบเฉยของกิทำเอาผมไปไม่เป็น ความเจ็บปวดนี้ผมเคยพบมาก่อน แต่คงไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่กิรู้สึกอยู่ตอนนี้ ระยะเวลายาวนานที่กิคบกับอั๋นมา อาจไม่ทำให้กิรู้ใจอั๋นไปเสียทุกอย่าง และกิก็คงไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับตัวเอง
 
ความแน่นอน... ก็คือความไม่แน่นอนสินะ...

“ไปห้องกูก่อน” ตองดึงให้กิเดินตามไป สภาพกิเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ถ้าสั่งให้ไปกระโดดตึกก็คงไปแหละตอนนี้ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาพี่จินแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆพร้อมกับบอกว่าคืนนี้ผมจะค้างที่ห้องตองกับกิ พี่จินบอกว่าเดี๋ยวมืดแล้วเคลียร์งานเสร็จจะเอาสเบียงไปฝาก

พอมาถึงห้องตอง กิก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ พวกผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้กิมันรู้สึกยังไง หลังจากที่ตองกับผมนั่งมองหน้ากันไปมา เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ตองเป็นคนลุกไปเปิด ผมได้ยินเสียงตองกระซิบกระซาบเหมือนกำลังด่าคนแล้วสักพักก็เดินกลับมานั่ง
“ใครเหรอตอง?” ผมกระซิบถาม
“ไอ้ห่าพีร์น่ะสิ มาไม่ดูเวล่ำเวลา เราไล่กลับไปแล้วแหละ”


นั่งคุยกับตองอยู่อีกพักหนึ่งพี่จินก็โทรมาให้ผมลงไปรับของกิน  พี่จินจอดรถไว้ไม่ไกลจากหอนัก มือที่กำลังจุดบุหรี่สูบทำให้ผมนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติ
“ทำไมวันนี้สูบบุหรี่ละครับ”
“พี่เหนื่อยนิดหน่อย” พี่จินยิ้มอ่อนระโหยแล้วจับหัวผมเบาๆ
“งั้นก็ไม่ต้องเอาของกินมาให้เอมก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ก็พี่อยากเจอนี่นา” พี่จินสูดบุหรี่ได้สองทีก็ขยี้ทิ้ง กลิ่นน้ำหอมจางๆผสมกับกลิ่นบุหรี่โชยมาตอนที่พี่จินดึงผมไปกอด
“เวลาเหนื่อยๆแล้วได้กอดเอมเนี่ย พี่รู้สึกดีที่สุดเลย”
“อือ” ผมซุกหน้ากับอกพี่จิน ความหดหู่ที่ติดตัวผมมาตอนเจอเรื่องของกิกับอั๋นก็เหมือนกับจะสลายไปเช่นเดียวกัน
“คืนนี้พี่จินนอนคนเดียวก่อน แต่พรุ่งนี้เอมจะรีบกลับนะครับ”
“อืม พี่จะรอนะ” ผมแอบหลับตาตอนที่พี่จินจุ๊บผมที่หน้าผาก เฮ้อ... อยากกลับไปด้วยชะมัด


คืนนั้นทั้งคืนพวกผมแทบจะไม่ได้นอน เพราะมัวแต่กลัวว่ากิจะลุกมาฆ่าตัวตาย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรน่าห่วง กิแค่เงียบมากๆ เหมือนกำลังคิดอะไรหมกมุ่น พอผมกับตองตื่นเช้ามา กิก็หายไปแล้ว มีแค่โน๊ตใบเดียวเขียนทิ้งไว้ว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง’

ผมก็เลยตัดสินใจกลับมาบ้าน พี่จินเพิ่งตื่นพอดีก็เลยได้กินข้าวด้วยกัน แล้วก็ทำโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย มันก็สงบราบรื่นมาทั้งวันละครับ จนกระทั่งประมาณสองทุ่ม ตองก็โทรเข้ามา
“เอมมาช่วยเราหน่อยได้มั้ย ไอ้กิมันเมาอยู่ที่ผับหลังม.เนี่ย”

ผมกับพี่จินรีบออกจากบ้านตรงไปที่ผับทันที ตองทำสีหน้าปั้นยากอยู่หน้าร้าน พอเห็นผมตองก็เดินนำเข้าไปก่อน เสียงเพลงดังสนั่นจนหูแทบแตก ผู้คนเต้นกันไปทั่วทุกบริเวณ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหงื่อ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งกันไปหมด ไอ้ที่แบบนี้มันมีดีตรงไหนนะ

“อยู่นั่นไง” ตองตะโกนแข่งกับเสียงเพลงแล้วชี้ไปตรงกลางร้าน จุดที่มีแสงไฟสาดส่องและมีเสียงดังที่สุด

“โยกอีกสิน้อง!!”

“มาเต้นกับพี่บ้างสิ!”

อีกสารพัดคำพูดจาบจ้วงและหยาบคายยังไม่ร้อนแรงเท่าคนที่กำลังวาดลวดลายอย่างเมาส์มัน เจ้าตัวเหมือนว่าเต้นอย่างไม่สนใจใคร แต่’ใคร’ที่อยู่รอบตัวกับให้ความสนใจกับนักเต้นเท้าไฟเป็นพิเศษ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘เมาเละ’

“กิ!! กลับบ้านกันเถอะ!” ผมฝ่าฝูงชนเดินเข้าไปโดยไม่ทันได้ฟังคำทัดทานของตองและพี่จิน กิหันมามองผมแบบงงๆ
“อ้าว เอม มาเต้นด้วยกันสิ” กิรั้งแขนผมให้เข้าไปเต้นด้วย พวกคนที่รายล้อมกิก็พากันแบ่งความสนใจมาที่ผม  ผมสะบัดเอามือที่พยายามจะเข้ามาจับให้ถอยออกไปห่างๆ แต่เหมือนกับว่ามีมือนับร้อยมะรุมมะตุ้มมาที่ผมกับกิ พี่จินกับตองก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน จนกระทั่งถึงตอนที่ผมเกือบจะถูกใครสักคนทึ้งตายนั้น...

“เฮ้ย!!! อย่ามายุ่ง!!!” แรงกระชากดึงตัวผมให้ไปชิดกับอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง พร้อมกับลำแขนแข็งแกร่งที่ผลักคนที่มานัวเนียผมให้ออกไป กลิ่นกายและสัมผัสที่ผมคุ้นเคยทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที พี่จินลากผมออกมาจากผับอย่างไว ผมเหลียวไปมองกิ ก็เห็นว่าตองออกแรงกระชากกิให้ตามหลังผมมาจนได้ ท่าทางกิยังเหมือนกับคนที่เมาจัด เอาแต่ยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา

“ฮึ้ย! ทำไมถึงมีผับมั่วยาแบบนี้อยู่หลังมหา’ลัยได้เนี่ย” พี่จินสบถทันทีที่มาถึงที่จอดรถ ผมเอียงคออย่างสงสัย ผับมั่วยา? หมายความว่ายังไงกัน
“มันเพิ่งจะมาเปิดได้ปีกว่าๆนี่เองละ เห็นว่าเป็นของผู้มีอิทธิพลในจังหวัด” ตองจับกิให้นั่งนิ่งๆ แต่ดูท่าเจ้าตัวยังครึกครื้นอยู่ กิเอาแต่นั่งยิ้มร่า เหมือน... เอ่อ คนเมายา...
“ห๊ะ อย่าบอกนะ ว่ากิมันเสพยาเข้าไปด้วย” ผมอุทาน กระจ่างขึ้นมาทันทีเลยครับ ตองมองหน้าผมแล้วก็พยักหน้าเบาๆ
“ทำไงดีละเนี่ย...”
“บางทีคงแค่ครั้งแรก เผลอๆมันอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสพยาเข้าไป คงโดนไอ้พวกในนั้นหลอกให้เสพนั่นละ ทางที่ดีรอให้มันสร่างก่อนดีกว่า อ๊ะ เฮ้ย!” ตองกำลังพูดๆอยู่ แล้วก็ชี้นิ้วไปทางหน้าผับ กิที่แอบลุกไปจากตรงนี้เมื่อไรไม่รู้กำลังจะเข้าไปในร้าน พี่จินที่ไหวตัวทันก่อนใครเพื่อนรีบดึงแขนกิกลับมาทันที
“ปล่อยกู! กูจะไปเต้น กูอยากเมา” กิโวยวายเสียงดัง คนที่เขาเดินผ่านไปมาก็พากันหันมามอง
“จะไปทำไม มีแต่พวกขี้ยา พี้ยากันจนเมาเละไปหมดแล้ว! กลับบ้านกับพวกกูเนี่ยละ เอมมันก็อุตส่าห์มารับนะ” ตองเขย่าบ่ากิให้ได้สติ กิหันมามองผมอย่างแปลกใจ

“เอม... เอมมาคนเดียวเหรอ แล้ว... แล้วอั๋นละ..” คำพูดของเพื่อนทำเอาหัวใจผมหล่นวูบทันที ฟังแล้วจะร้องไห้อ่ะ สงสารมัน T^T

“เปล่าหรอก เรามากับพี่จินสองคน กลับบ้านกันเถอะนะ” ผมบีบมือเพื่อนไว้ แต่กิก็ไม่ฟัง เอาแต่ยืนยันจะกลับเข้าไปในผับท่าเดียว ผมพอจะรู้แล้วละครับ ว่าที่กิมาผับเพราะอะไร...
“กิ! มึงตั้งสติไว้ ต่อให้มึงกินเหล้าเมาทั้งคืน หรือจะสิงอยู่ที่นี่ทั้งคืน ไอ้อั๋นมันก็ไม่มาหรอก!!” คำพูดโหดร้าย แต่ก็ทำให้ตั้งสติได้ น้ำตากิไหลยังกับท่อแตกเลยครับ

“กู... กูไม่เชื่อหรอก... อั๋น.. อั๋นมันต้องต้องมาสิ มันต้องมารับกูเหมือนเมื่อก่อนอะ... ” กิทำหน้าเหยเกเหมือนเด็กที่โดนรังแก คำพูดก็ไม่สม่ำเสมอเพราะเอาแต่สะอื้นไปพูดไป สภาพของเพื่อนตอนนี้ ทำให้ผมเจ็บยิ่งกว่าเจ็บ เพื่อนคนที่แสนดี ไม่สมควรจะต้องเสียใจอย่างนี้เลย...

“กิ... อย่าร้องเลยนะ” ผมกอดกิไว้แน่น กลัว กลัวว่าถ้าปล่อยมือแล้วมันจะบินหนีเตลิดไปไหน มีเพียงเสียงสะอื้ดและเสียงสูดจมุกดังข้างหูผม พี่จินยืนพิงรถอยู่ในความมืด ตองจับมือกิเอาไว้แน่น ถ้อยคำปวดร้าวยังคงถูกถ่ายทอดออกมาไม่จบสิ้น

“กูไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปยังไง... กู... กูมีมันมาตลอด ตื่นมากูก็เจอหน้ามันเป็นคนแรก ทุกอย่างที่กูทำก็เพื่อมัน กู... กูคิดถึง คิดถึงมัน อยากกอดมันเหมือนเดิม... กูมองไปทางไหนก็เหมือนผีหลอก ฮึก.. เห็นแต่ภาพมันเต็มไปหมด... กูตื่นเช้ามา ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน แต่กูก็หลอกตัวเองไม่ได้ ก็ในความเป็นจริงไม่มีมันแล้วนี่นา... ฮือ...” เล็บกิจิกที่หลังของผม แต่น่าแปลกที่ไม่เจ็บเลยสักนิด ถ้าหากว่ามันจิกผมจนเลือดออกแล้วมันหายเจ็บได้ ผมก็ยอม...

คืนนั้นกิกับตองนอนที่บ้านผม บนเตียงในห้องรับแขกมีผม กิ และตองนอนเรียงกัน ผมจับมือกิเอาไว้ทั้งคืน เสียงสะอื้นของกิดังสม่ำเสมอราวกับเสียงหายใจ ผมได้ยินเสียงเปียโนที่นานๆทีพี่จินจะเล่น ทำนองเพลงคนลืมช้าดังอ่อนหวานเหมือนจะขับกล่อมให้หลับตา ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...   


ปล.นานๆมาที -..-

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 02-04-2012 18:10:27
สงสารกิ อั๋นจะเลิกกับกิจริงหรอ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: maicy ที่ 02-04-2012 18:16:46
สงสารน้องกิ...มันมีมากกว่าเรื่องกินเหล้าคืนนั้นหรือเปล่า น้องอั๋นมาไขข้อข้องใจด่วน มีใหม่หรืออะไรยังไงก็บอกมา  ส่วนน้องเอมกับพี่จินก็หวานกันเหมือนเดิม รออ่านต่อนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 02-04-2012 20:18:48
เศร้ามากกกก ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-04-2012 20:44:46
ความผิดเล็กน้อยแต่ซ้ำซาก  บางครั้งก็ทำให้หมดความอดทนได้
เรื่องนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ  โทษอั๋นอย่างเดียวไม่ได้หรอกก
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 02-04-2012 21:52:05
บางที่ที่กิกินเหล้ามเมา และพูดแรงๆกับอั๋นคืนนั้น มันอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็ได้นะ
ก็จะโทษจะว่าอั๋นฝ่ายเดียวก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับอ้ํนนัก เรื่องแบบนี้ บางครั้งต้องเป็นทั้งสองคนเลยที่ต้องสำรวจตัวเอง
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 03-04-2012 11:56:45
เมื่อไหร่ที่กิจะเลิกเสียใจ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-04-2012 15:01:43
 :เฮ้อ:  เลิกกันเพราะเรื่องเล็กน้อย  ถ้าอั๋นรักกิจิงๆต้องให้อภัยได้สิ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: NOoTuNE ที่ 03-04-2012 15:57:34
บางเรื่องมันก็ดูเหมือนเรื่องเล็กๆน้อย แต่พอนานๆไปมันก็สะสมแล้วก็ค่อยๆบั่นทอนความรู้สึกกันและกัน

อีกคนไม่พูด อีกคนไม่รู้ เวลาไม่ช่วยอะไร ถ้าไม่ยอมพูดคุยกัน

กิอย่าฝืนน่ะ ถ้ามันไปกันไม่ได้จริงๆ เวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
สู้ๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 03-04-2012 19:20:25
เรื่องนี้ความรักมันช่างหลากหลาย
สงสารหนูกิ
เห็นใจนายอั๋น
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 04-04-2012 17:25:39
อ่านทันแล้ว  ดันดราม่าซะงั้ล



เหอๆ  เรื่องนี้เค้าอยู่ข้างกิ  กิน่าสงสาร   
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 04-04-2012 18:29:24
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: กอดทุกคนเลย  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 04-04-2012 21:12:15
เห็นแว็บๆ เมื่อหลายวันก่อน เข้ามาอีกที ผ่านไป 2 ตอนซะแล้ว
ช่วงนี้ดูเหมือนชีวิตคู่ของคู่เอกจะราบรื่นดีนะ
ไปหนักที่เพื่อนแทนซะงั้น เอานะ คนเราก็ต้องมีบ้าง
เพิ่มรสชาติชีวิต
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: bytoey ที่ 04-04-2012 21:54:26
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 04-06-2012 02:50:07
ThankS
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-22-] 02/04/55
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-06-2012 10:08:44
รีบๆมาต่อน๊าาาาาาาาาาาาาา :z2: :z2:
หัวข้อ: Love Sick - 23 -
เริ่มหัวข้อโดย: บีบีจัง ที่ 26-07-2012 17:28:01
Love Sick

- 23 -


ผมนั่งเลื่อนดูสเตตัสของเพื่อนๆในเฟซบุ๊ค อันที่จริงผมไม่ค่อยเล่นเฟซบุ๊คเท่าไร แต่ว่าเวลาที่เราอยากจะรู้ความเป็นไปของเพื่อนโดยไม่กล้าถามนี่มันก็เป็นหนทางที่ดีเหมือนกันนะครับ
‘I’m here again...’
คำบรรยายใต้รูปภาพพระอาทิตย์กำลังจะจมหายลงไปในท้องทะเล ตรงด้านซ้ายของภาพมีต้นแก้วต้นเดิม มุมเดิมที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว จากเรื่องของกิกับอั๋นในวันนั้นก็ผ่านมาสาม-สี่เดือนแล้ว ที่ริมทะเลในรูปนี้ ก็เป็นบ้านพักตากอากาศที่หัวหินของกิ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในรอบหนึ่งเดือนที่กิหลบมาที่นี่ มาคนเดียว และถ่ายรูปอัพลงเฟซบุ๊ค เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆว่า ฉันยังอยู่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง...
มันคงไม่ฆ่าตัวตาย... ละมั้ง?

คิดไปก็คงไม่ได้อะไรหรอก เพราะชีวิตของใครก็ต้องดูแลกันเอง คนนอกก็ทำได้แค่คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆเท่านั้นละ โชคดีว่าเพิ่งสอบมิดเทอมไป การบ้านงานกลุ่มอะไรก็ไม่มี ให้มันไปพักเสียให้สบายใจดีกว่า

ตอนนี้พวกผมเหลือเรียนอีกแค่ครึ่งเทอมก็จะขึ้นปีสามแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วแท้ๆ จะเอายังไงกับชีวิตไม่รู้เลย บางทีเรียนจบไปผมอาจเป็นศิลปินไส้แห้งก็ได้มั้ง

“นั่งอมยิ้มอะไรคนเดียวครับ” เสียงนุ่มกระซิบเบาๆข้างหูพร้อมกับแขนโอบรอบคอ ผมลูบที่แขนนั้นด้วยความเคยชินก่อนจะตอบปนขำ
“เอมกำลังคิด ว่าถ้าเอมเรียนจบแล้วเป็นจิตรกรไส้แห้ง พี่จินจะเลี้ยงเอมมั้ยครับ?” ในใจผมก็ลุ้นๆนะครับ อยากรู้ว่าพี่จินจะตอบกลับมายังไง
“อืม...แย่จัง เพราะพี่ก็กะว่า ถ้าเอมเรียนจบแล้วทำงาน จะให้เอมเลี้ยงพี่สักหน่อย”
“อ้าว ไหงงั้นละครับ ไม่ได้นะ พี่จินเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องเลี้ยงเอมสิ”
“หึหึ พี่ก็อยากให้เอมเลี้ยงมั่งสิ ไม่ได้เหรอครับ”
“งั้นเอมก็ต้องหางานทำจริงๆสินะ พี่จินกินจุเสียด้วย...”
“แต่พี่จะว่านอนสอนง่าย ให้ให้เอมต้องเหนื่อยมากหรอก” จินเจอร์ยังคงหยอกล้อต่อ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มทำหน้าครุ่นคิดว่าจะหาเลี้ยงตัวเองยังไงก็ยิ่งตลก ดูท่าว่าคงจะหมกมุ่นเรื่องนี้ไปอีกนานถ้ายังไม่เลิกแกล้ง ว่าแล้วก็อุ้มมันมาเลยดีกว่า

ร่างบางกว่าถูกหิ้วปีกจนตัวลอย จินเจอร์นั่งลงบนโซฟาอีกตัวและจับเอมนั่งตักตัวเอง มือใหญ่ลูบแก้มเอมเบาๆ รักเหลือเกิน... ชีวิตคนเราไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องของเอมก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับจินเช่นกัน

ใครจะไปคิดละว่าเราจะสามารถรักคนๆหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อแม่ได้มากขนาดนี้...
“เอมรู้มั้ย ว่าพี่รักเอมมากเลยนะ” แค่ฟังก็หน้าแดงแล้ว แถมเจ้าคนพูดยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกับว่ากำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย
“แล้วทำไมพี่จินต้องพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้ละครับ!” ผมถามเสียงสูง ประเดี๋ยวก็เหนี่ยวสักทีดีมั้ย >//<
“ก็เพราะว่าพี่กำลังคิดน่ะสิ เอมรู้มั้ยว่าพี่เองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่จะรักเอมมากขนาดนี้”
“อะไรกัน พูดอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากงั้นแหละ”
“ฮ่าๆ นั่นสิ แต่สำหรับพี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มากเลยนะครับ เพราะว่าคนอย่างพี่ที่ไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จะมีเอมอยู่ในความคิดมากขนาดนี้”
“แหวะ”
“หึหึ เขินอะดิ”
“อื๊อ อย่าหยิกตะหมูกดิ เดี๋ยวดั้งแหมบนะ”
“คนบ้านไหนเนี่ย เรียกจมูกว่าตะหมูก”
“อิอิ ก็คนบ้านเนี้ยแหละ” พี่จินยังไม่ยอมปล่อยมือจาก ‘ตะหมูก’ ของผม แต่กลับดึงหน้าผมให้เข้าไปใกล้ชิดขึ้นอีก

ผมชอบเวลาที่ริมฝีปากของเราแตะกันเบาๆ เหมือนเอาปากมาชนกันแบบนั้นแหละ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ทันใจพี่จินสักเท่าไร เพราะเจ้าตัวเริ้มใช้ฟันงับปากผมแรงๆ

“อื้อ เอมเจ็บนะ” เสียงผมไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไร
“ไหนบอกชอบ” นั่นสิ... เถียงไม่ออกเลย ไม่ว่าพี่จินจะจูบ กอด หอม กัด สัมผัสแรง อ่อนโยน หรืออะไรก็ตาม ผมชอบหมดแหละ ผมชอบที่ได้เป็นที่รักของคนๆนี้...

ผมนับไม่ได้ว่าตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของเราได้จูบกันอีกกี่ครั้ง คงเป็นเพราะว่ามันไม่สามารถนับได้ วันเวลาที่ผันผ่านไป ชีวิตของหลายคนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่สำหรับผม คือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชีวิตของผมไว้กับผู้คนเหล่านี้...

ไอ้มินท์ ได้สุขสมหวังในรักกับซินที่ใฝ่ฝัน มีลูกสาวลูกชายฝาแฝดที่น่ารักสองคน และยังคงพาหลานมาหาผมบ่อยๆ 

ตอง วางแผนจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ โดยมีพี่พีร์พยายามจะขอวีซ่าเพื่อตามไปอยู่ด้วย

อั๋น ได้ยินว่าหลังจากทำงานได้แค่สองปี ก็เลิกกับน้องรหัสคนนั้น และตอนนี้กำลังคบหากับผู้หญิงที่เพื่อนเป็รฝ่ายแนะนำให้รู้จัก (มันเป็นไบ? ผมเพิ่งรู้ - -**)

กิ ยังเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยไปลอยมา ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนมากก็ใช้ชีวิตอยู่หัวหินในฐานะเจ้าของบูติกรีสอร์ทที่กำลังมาแรง และดูเหมือนว่ารอยยิ้มของมันก้กลับมาสดใสขึ้นเรื่อยๆ บางทีกาลเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...

และคนในหัวใจของผม ยังเสมอต้นเสมอปลาย ผมยังมีความสุขทุกวันที่ตื่นมาและได้เจอหน้าพี่จินเป็นคนแรก ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเขา คุณแม่ของพี่จินตอนที่รู้เรื่องของเราดูจะอึ้งไปบ้าง แต่ท่านก็รับได้ (คงเพราะลูกชายคนโตผลิตหลานชายสาม หญิงหนึ่งให้ท่านสมใจแล้วนั่นละ) พี่จินยังคงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยและปารีส แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ผมก็ตามไปกับเขาทุกครั้ง เมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น และก็คงเป็นเช่นเดิมตลอดไป

สำหรับคนที่ไม่มีอะไร ไม่มีใครมาแต่แรกอย่างผม เพียงเท่านี้มันก็คุ้มค่าพอที่จะให้ผมใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว...


-- THE END --


จบแล้วนะคะ สั้นๆนิสนึง แต่ก็ยังดีกว่าคาราคาซังไว้ -..-
อันที่จริงเรื่องนี้มันก็ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมากมายหรอกค่ะ คิดว่าส่วนสำคัญๆก็ผ่านไปหมดแล้ว
และตอนนี้สมองก็มีแต่พล็อตเรื่องใหม่ด้วย อิอิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :bye2:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 26-07-2012 17:43:41
อ้าว จบแล้วหรอ 555
แต่เสียดายคู่กิกับอั๋นจริงๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 26-07-2012 22:06:05
กิกับอั๋นเลิกกันจริงๆอะ ไม่น่าเลยน้า
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: capool ที่ 26-07-2012 23:44:38
อ้าว...กิกับอั๋นไม่กลับมาคบกันอีกเหรอ ว๊า...เห็นมีคู่เศร้าเลยไม่กล้าอ่านเลย รอดูก่อนเผื่อมีตอนพิเศษกิกลับมารักกับอั๋นค่อยอ่าน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-07-2012 12:10:31
เศร้าเล็ก ๆ เรื่องอั๋นกับกิ  แต่ก็เข้าใจละนะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 27-07-2012 12:31:17
จบลงด้วยดี
ถึงแม้กิกับอั๋น
จะไม่สมหวัง
ก็เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่
 :pig4:  :L1:

รออ่านเรื่องใหม่จ้า :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: mro ที่ 27-07-2012 13:43:58
สนุกก
ขอบคุณนะคัคนเขียน
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: สตางค์ ที่ 27-07-2012 14:00:35
ตอนที่1   อร๊ายยยยยย  ชะเอมมมน่ารักน่าฉุดจริงๆ ลูก>////<

แอบรักแอบมองเค้าจนเป้าหมายรู้สึกตัวแล้วมั้งนั่น  ฮาาา

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 27-07-2012 15:31:05
งืมๆ น่ารักมากเลยค่ะ ยิ่งช่วงแรกๆยิ่งน่ารัก

แต่เทียบตอนแล้ว ช่วงแรกกะช่วงหลัง ช่วงแรกตัวละครทั้งชะเอมกับจิน มีสเน่ห์มากกว่าช่วงหลังตอนพิเศษไปนะ อย่างกะเปลี่ยนคนเขียน หรือเพราะคนเขียนหายไปนาน เลยลืมเรื่องเป่า?
คือเรื่องนี้ชื่อlove sickใช่มะ ต้องการเล่าว่า เพราะเขินเลยป่วย ซึ่งอาการนี้ทำให้ในช่วงพาร์ทแรกชะเอมเป็นนายเอกที่ ดูน่ารัก มีสเน่ห์มากเลยนะ แต่พอเข้าพาร์ทหลัง อาการนี้ หายไปซะงั้น หรือโตขึ้นเลยหาย? ขอแอบแนะนำว่า ถ้าคาแรกเตอร์ใดๆที่ตั้งขึ้นมาแล้ว พยายามkeepคาแรกเตอร์นั้นไว้ให้ดีจ้า อย่าลืม อย่าหลงทาง เช่นตอนแรกจินเถื่อนๆ ตอนหลังถ้ายังเถื่อน แต่อ่อนโยน ในขณะที่ชะเอมเขินมากเวลาพระเอกทำตัวหวานใส่เป็นครั้งเป็นคราว(แบบเถื่อนๆ) เรื่องราวจะน่ารักกว่านี้มากกก  แต่ช่วงหลังไม่เห็นความเถื่อนของจินเลย กลายเป็นพระเอกนายเอกธรรมดาซะงั้น เรื่องราวตอนหลังๆเลยธรรมดา คล้ายกะเรื่องอื่นๆอ่ะ

อย่าโกรธเด้อ ติเพื่อก่อนา เผื่อใช้กะเรื่องต่อไป
จะรอเรื่องต่อไปจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 27-07-2012 21:04:26
สงสารกิเหมือนกันเนอะ

แต่ครบกันมาตั้ง7ปี

แต่ก็นะคนเราย่อมมีเหตุผลของตัวเอง

ทำไมตองไม่ยอมพี่พีร์ซะที 5555
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: kasune ที่ 28-07-2012 11:10:25
อ๊ายยยย! อ่านจบแล้วตกใจ
ตกลงกิกับอั๋นเลิกกันแล้วจริงๆ!?
สงสารอ่ะ 7 ปีที่รักกัน... ชอบที่กิพูดว่าเลยค่ะ

อ้างถึง
กู... กูมีมันมาตลอด ตื่นมากูก็เจอหน้ามันเป็นคนแรก ทุกอย่างที่กูทำก็เพื่อมัน กู... กูคิดถึง คิดถึงมัน อยากกอดมันเหมือนเดิม... กูมองไปทางไหนก็เหมือนผีหลอก ฮึก.. เห็นแต่ภาพมันเต็มไปหมด... กูตื่นเช้ามา ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน แต่กูก็หลอกตัวเองไม่ได้ ก็ในความเป็นจริงไม่มีมันแล้วนี่นา...

แต่ที่สุดแล้วก็ต้องเลิกกันจริงๆสินะ? โอยร้องไห้เลยอ่ะ T_T
กิเนี่ยเข้มแข็งมากค่ะ ที่ไม่ฆ่าตัวตาย นับถือ ฮือ
สงสารกิจัง แต่อั๋นเขาก็ทนมานาน เขาก็ต้องมีลิมิตบ้างล่ะเนอะ อั๋นคงเสียใจอยู่เหมือนแหละเราว่า T T
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jaajaa ที่ 01-08-2012 19:20:21
แปะค่าา ปลื้มคนเขียนมากๆ o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-08-2012 20:30:04
ชอบนะ มันหลายมุมมองดี ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-08-2012 01:34:28
เอมยังน่ารักเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 03-08-2012 22:45:10
ThankS

                             :n1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: lovely1714 ที่ 04-08-2012 05:26:15
ชอบมาก
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 05-08-2012 00:21:36
สนุกดีครับ
น่ารักดี
ขอบคุณมาก ๆ ครับ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 10-08-2012 17:38:55
อยากให้กลับมาพบกันอีกครั้ง
อยากอ่านเรื่องราวของกิกะอั๋น ตอนพิเศษจัง
เหอๆ ไม่รู้ว่าจะกลับมารักกันได้รึป่าว
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 18-08-2012 21:36:26
รู้สึกเหมือนกับว่าอั๋นมีแฟนใหม่เป็นน้องรหัสใช่มั้ยอ่ะ
เรื่องของกิกับอั๋นมันค้างๆไงไม่รู้สิ
อยากให้มีตอนพิเศษเรื่องของตองกับพี่พีร์จัง
ชอบสองคนนั้นมากเลย
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 19-08-2012 08:47:03
 o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 21-08-2012 12:47:56
ชอบอ่ะ
น่ารักดี o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 23-08-2012 12:42:13
อยากอ่านตอนพิเศษจังงงงงงงงงงงง
เลยค่่า :)
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: OJSG7 ที่ 25-08-2012 01:14:15
ทำไมมีเรื่องไห้เศร้าจนได้ ถ้าอั๋นกับกิไม่เลิกกันจะทำไห้เรา
แฮปปี้มากกว่านี้ โอ๊ย~ อินจัด เจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 25-08-2012 04:51:09
ขอบคุณนะครับ เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องออกแนวจะข้ามกระโดดบ่อยมาก ตัวละครพัฒนาเร็วแบบฉับพลัน
ยังสงสัยว่าอาการป่วยง่ายของชะเอมหายไปไหนหมด จากที่ตื่นเต้นแล้วไม่สบาย อาการพวกนี้หาย
ได้ยังไง สงสัยจุดนี้มาก เรื่องกิกับอั๋นไม่ใช่ไม่เข้าใจแต่เหมือนเข้ามามีบทบาทตอนท้ายเพื่อแย่งซีน
จินเอมเลย สงสารทั้งสองฝ่ายแต่เมื่อเหตุการณ์มันผ่านไปแล้วก็ต้องก้าวข้ามมาให้ได้

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ หวังว่าจะได้อ่านผลงานใหม่ๆ เพ่ิมเติมอีก
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: Naenprin ที่ 25-08-2012 11:38:31
 :z2:

น่ารักมากค่ะ  ชอบเรื่องนี้จัง  เนื้อเรื่องน่ารักมากเลย 

พี่จินน่ารักมากเลย  ชะเอมก็น่ารักก  นิสัยดีอ่ะ  พี่จินเป็นผู้ชายทีี่น่าค้นหาจังเลยค่ะ

ชอบมากค่ะ  จะติดตามนิยายเรื่องต่อไปเรื่อยๆๆนะคะ :z10:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-08-2012 15:25:54
อ่านเรื่องนี้สองวันเต็ม พี่จินกับชะเอมน่ารักมากเลย ดูรักกันเรื่อยๆอบอุ่นดี ตอนท้ายๆแอบเศร้าเรื่องกิกับอั๋น
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: whynotme ที่ 25-08-2012 16:44:17
ขอบคุณค่ะ

ปัญหาทุกอย่างมีทางออก อบอุ่น สวยงาม .....

มันก็จริงเนอะ ชีวิตใคร ๆ ก็ต้องดูแลเอง ในมุมของเอม ที่มีต่อเพื่อน " กิ " ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 27-08-2012 23:02:10
น่ารักดีอ่าาา
จิน กับ เอม
แต่สงสารอั๋นกับกิ อ่า รักกันมาตั้ง 7 ปี แล้วต้องมาเลิกกัน อ่าาาา T^T
แต่ก็ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 01-09-2012 12:25:58
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 28-11-2012 18:24:22
เอมน่ารักมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: annly ที่ 30-11-2012 01:24:17
ชอบเรื่องนี้มากๆ น่ารัก o13 o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: omuya ที่ 03-12-2012 05:22:21
หลากหลายอารมณ์
 :กอด1:  :เฮ้อ:  :a5:  :impress2:  :monkeysad:  o13
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 25-01-2014 15:05:14
เสียดาย จบชีวิตไปคู่นึง... :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 16-02-2014 23:47:46
สนุกมากจ้าาาาา ชอบพี่จิน เหมาะกับเอมมากๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: - lloJ!จิ้a - ที่ 23-02-2014 08:53:39
มึนๆ งงๆ แต่ก็จบลงด้วยดี   :mc4: :mc4:

หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 16-06-2014 23:42:23
เป็นเรื่องที่น่ารักดีค่ะ มาม่าพอกรุบกริบ และเรื่องของอั๋นกะกิเป็นเรื่องที่เข้าใจและยอมรับได้
ชอบตรงที่พี่จินกะน้องเอมเค้าจีบ?กันอ่ะ เอ๊ะ! รึไม่ได้จีบ
แบบว่าไม่มีคำพูด ไม่มีคำหวานใดๆ แถมอยู่ไกลกันมากอีก
มีแต่รูปถ่ายที่สื่อความรู้สึกถึงกันเท่านั้น สุดยอดอ่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 23-08-2014 22:21:13
เพิ่งเข้า มาอ่านเรื่อง นี้ ผ่านตา ไปได้ ยังไง  TT
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 25-08-2014 01:23:45
สนุกน่ารักมากค่ะ พี่จินกับน้องเอมหวานกันน่าดู
ขอบคุณคนแต่งมากค่าสำหรับเรื่องน่ารักๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 01-12-2014 23:34:55
สนุกมากครับเรื่องนี้ แต่แอบสงสาร กิ อั๋น

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: mucan99 ที่ 02-12-2014 17:31:18
อือออออ สนุกมากเลยอ่าาาาา ชอบๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 28-04-2017 11:19:06
เข้ามาอ่านอีกรอบ
ขอบคุณค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Love Sick เมื่อร่างกายตกเป็นทาสของหัวใจ [-23-] จบแล้วค่ะ!!
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 01-05-2017 12:40:40
อ่านแล้วก็สนุกดีนะ มีหลายอารมณ์
แต่ตอนจบเศร้าจังเงยอ่ะ