ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
***** คุยกันหน่อยค่า~ *****
แหมๆ ไม่ทันไรก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้วแหะ > <
คิดว่าหลายคนอาจจะสงสัยหลายเรื่อง เช่นว่า เรื่องนี้บีจะดองมั้ย? จะดราม่ามั้ย? ฯลฯ
ขอไม่ตอบเลยสักคำถามนะคะ (เย้! ^^)
แต่อยากจะขอบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นแนวที่ใฝ่ฝันอยากจะลองแต่งมานานแล้วค่ะ
ตัวเอกของเราก็เป็นเด็กกำพร้าอีกแย้ว แต่ไม่มืดมนนะคะ <3
ชื่อเรื่องก็คือ Love Sick ซึ่งหมายถึง การป่วยเพราะความรัก
ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่ชอบชื่อนี้และอาการ Love Sick ก็เป็นเอกลักษณ์ของนายเอกเสียด้วย
ชะเอมเขาขี้อายค่ะ เวลาเขินจัดๆก็ไข้รับประทาน เลยคิดว่าเอาชื่อเรื่องแบบนี้ก็บ่งบอกคาแรกเตอร์ได้ดี (เนอะ ^^)
ตั้งใจว่าเรื่องนี้จะทำการบ้านหนักๆหน่อย อาจจะต้องใช้เวลาเขียนแต่ละตอนนานนิดนึง ก็อย่าเพิ่งเบื่อรอกันนะคะ
ส่วนเรื่องคอมเมนท์ของผู้อ่านทุกคน บีอ่านหมดนะคะ แม้จะไม่ค่อยได้ร่วมพูดคุยด้วยก็เถอะ บางทีมันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอะค่ะ ถ้าเป็นคำติ บีก็จะรีบแก้ทันทีเลยค่ะ ไม่ใช่ไม่รับรู้นะคะ อย่าคิดว่าบีหยิ่งนะคะ T^T
ขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสเข้ามาอ่านเรื่องใหม่ของบีนะคะ (กราบงามๆ) -/\-
ปล.สถานที่และบุคคลในเรื่องเป็นสิ่งสมมติ ไม่มีอยู่จริงนะคะ
สารบัญ
Love Sick [-1-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1637337#msg1637337)
Love Sick [-2-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1639669#msg1639669)
Love Sick [-3-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1645831#msg1645831)
Love Sick [-4-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1653531#msg1653531)
Love Sick [-5-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1661874#msg1661874)
Love Sick [-6-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1661877#msg1661877)
Love Sick Service Pack Part 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1715089.html#msg1715089)
Love Sick Service Pack Part 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1718827.html#msg1718827)
Love Sick [-7-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1720767.html#msg1720767)
Love Sick [-8-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1729932.html#msg1729932)
Love Sick ตอนพิเศษ 'ก่อนที่สีสันจะถูกแต่งแต้มอีกครั้ง' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1731518.html#msg1731518)
Love Sick ตอนพิเศษ 'เริ่มระบาย' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1734943.html#msg1734943)
Love Sick [-9-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1734946.html#msg1734946)
Love Sick [-10-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1741593.html#msg1741593)
Love Sick [-11-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1745405.html#msg1745405)
Love Sick [-12-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1746884.html#msg1746884)
Love Sick [-13-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1750249.html#msg1750249)
Love Sick [-14-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1757552.html#msg1757552)
Love Sick [-15-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1763701.html#msg1763701)
Love Sick [-16-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1766317.html#msg1766317)
Love Sick [-17-] ครึ่งแรก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1772333.html#msg1772333)
Love Sick [-17-] ครึ่งหลัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,28879.msg1773755.html#msg1773755)
Love Sick [-18-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1806468#msg1806468)
Love Sick [-19-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1807864#msg1807864)
Love Sick [-20-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1819806#msg1819806)
Love Sick [-21-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1875508#msg1875508)
Love Sick [-22-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg1920458#msg1920458)
Love Sick [-23-] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=28879.msg2068692#msg2068692)
:music: :music: :music:
Love Sick
- 2 -
“!!!”
ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ ร่างดำที่เห็นเป็นเงารางๆ ในความมืดนั่งอยู่ข้างเตียงและจ้องมาทางผม ไอเย็นยะเยือกขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง หรือว่านี่ผมจะเจอดีเข้าให้แล้ว!!
และก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไร ร่างนั้นก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า
“ตื่นแล้วเหรอวะ เป็นไงมั่งเนี่ย”
ไอ้เหี้ยมิ้นท์!!!!!!
“อะไรของมึงเนี่ย! มานั่งจ้องหน้ากูมืดๆทำไม ไฟก็ไม่เปิด ดีนะกูไม่ถีบหงายหลังน่ะ!!” ลองนึกดูสิครับว่าผมจะตกใจแค่ไหน
“อ้าว ก็มึงหลับอะ ถ้าเปิดไฟเดี๋ยวมึงก็จะหลับไม่สบาย จะปลุกมึงกูก็ไม่กล้า เลยคิดว่านั่งรอมึงตื่นดีกว่า” ไอ้มิ้นท์อธิบายแบบซื่อๆ
“...” ผมด่ามันไม่ออกเลยครับ ไม่ใช่ไม่โมโหนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร อึ้งกับตรรกะของมันจริงๆครับ
“แล้วจะปลุกกูทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผมเลี่ยงดีกว่า ขี้เกียจพูดกับมันเรื่องที่มันมานั่งจ้องหน้าผมแล้ว
“คือว่า...” ไอ้มิ้นท์พูดคาไว้แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋ามันมาควานหาอะไรสักอย่างในนั้น
“?” ผมเองก็สงสัยไม่น้อย เพราะไอ้มิ้นไม่เคยมีท่าทีประหลาดๆแบบนี้มาก่อนครับ มันเหมือนว่ามันอึ้ง มึน สับสนจนหาทางออกไม่ได้น่ะครับ
“อะ..นี่ เออ! วันนี้วันอะไรมึงรู้หรือเปล่า” มันหดมือที่ถือกล่องปริศนาในมือกลับ แล้วถามผมเรื่องวันที่ขึ้นมาเฉยๆ
“อะไรของมึงเนียะ วันนี้ก็ 17 ไง เอากล่องนั่นมาดูดิวะ อะไรกันนักหนา”
“ไม่ใช่เว้ย วันนี้ 18 มึงหลับไปวันนึงเลยนะโว้ย” ผมตะลึง นี่ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“มึงอะ ไข้ขึ้น เพ้อทั้งคืนเลย ไปทำอะไรมาถึงไข้ขึ้นวะ”
“เอ่อ...” ผมไม่อยากเล่าเลยครับ เรื่องสาเหตุที่ทำให้ผมไข้ขึ้นน่ะ... พอนึกถึงก็รู้สึกร้อนๆอีกแล้ว...
“แล้วเมื่อเย็นน่ะ ตอนกูออกไปซ้อมบาส พี่เปปเปอร์เขาก็ถามถึงมึง ว่าวันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ” อ๋า~ ชื่อนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากได้ยินชื่อนี้เล้ยยยย แค่นึกถึงก็ใจสั่นอีกแล้ว
“ละ...แล้วไงล่ะ”
“กูก็บอกเขาว่าเพื่อนไม่สบายครับ ไข้ขึ้น พี่เปปเปอร์ก็พยักหน้าว่ารับรู้นะ แล้วก็ไม่มีอะไร ก็ไปซ้อมต่ออะ”
“แค่เนี้ย มึงจะมาทำหน้าแปลกใจอะไรนักหนาวะ” ผมคิดว่าพี่เขาก็คงแค่ขำๆที่พวกผมไปตีกันทีสนามบาส เลยจำได้ ก็แค่นั้นมั้งครับ...
“ไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ อีตอนที่กูจะกลับน่ะ พี่เขาก็ยื่นไอ้กล่องเนี้ยมาให้กู” หงะ ตอนนี้สายตาผมเริ่มชินกับความมืดแล้ว กล่องในมือไอ้มิ้นท์เป็นกล่องที่ใหญ่เอาเรื่องเลยครับ
“มึงแกะดิ กูอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร” ผมรับกล่องมาจากไอ้มิ้นท์ มันลุกมานั่งขัดสมาธิบนเตียงผมแล้วชะโงกหน้ามารอดูอย่างสนใจ
“...” ผมขมวดคิ้ว ทั้งสงสัย ทั้งแปลกใจ พอผมแกะกระดาษที่ห่อออกถึงได้เห็นว่าเป็น....
ซุปไก่สกัดตราแบรนด์...
“แบรนด์เหรอวะ?”
“...เขาให้กูเพื่ออะไรวะ?” ผมมองหน้าไอ้มิ้นท์ด้วยความสงสัย มันเองก็ส่ายหัว
“มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่าเอม”
“เฮ้ย บ้าแล้ว”
“แล้วทำไมจู่ๆพี่เปปเปอร์เขาถึงสนใจมึงวะ พอกูบอกว่ามึงเป็นไข้ ก็ซื้อแบรนด์มาให้อีก” มิ้นท์เริ่มสวมรอยเป็นนักสืบแล้วครับ ผมเองส่ายหัวเหนื่อยใจแล้วเดินเอากล่องไปวางที่หลังตู้เย็นของไอ้มิ้นท์
“กูไม่รู้ และก็ไม่ต้องถามด้วย ไอ้ซุปไก่เนี่ยถ้ามึงจะกินก็กินเลยนะ”
“แล้วมึงไม่กินเหรอ”
“ไม่ว่ะ กูไม่ชอบกิน มันเหม็น”
“ไรว้า คนให้เสียน้ำใจแย่เลย” ไอ้มิ้นท์บ่นพึมพำจนผมเริ่มหมั่นไส้
“แล้วมึงจะกินมั้ย”
“กินดิวะ ของชอบกูเลยนะนั่น” แล้วมันก็ดี๊ด๊าไปเปิดขวดแรกมากระดกทีเดียวหมดเลยครับ แหวะ... เหม็นจะตาย...
วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียน เมื่อวานผมขาดเรียนไปแล้ววันนึง ผมจึงต้องรีบไปตามงานกับอาจารย์ครับ ที่นี่มีการแข่งขันสูง ถ้าผมมัวแต่เอ้อระเหย ไม่ช้าเกรดเฉลี่ยก็คงแย่ลง
“มึง...รีบตื่นจังวะเอม” เสียงไอ้มิ้นท์งัวเงียอยู่ในผ้าห่ม ผมไม่ได้ตอบอะไรมันเพราะรู้ว่ามันคงหลับต่ออีก ผมสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้า มีเศษฝุ่นติดตรงชายกางเกงนิดหนึ่ง ผมไม่ชอบให้เสื้อผ้าของผมไม่เรียบร้อย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ สงสัยนี่อาจจะเป็นนิสัยของพวกเกย์ละมั้ง..
“กูไปก่อนนะมิ้นท์” ผมบอกเพื่อนที่ยังคงนอนอุตุบนเตียง แม้ว่ามันอาจจะไม่รู้ก็ตามว่าผมออกไปตอนไหนก็ตาม
ผมชอบอาคารเรียนยามเช้ามาก ที่นี่มีต้นไม้เยอะ ตอนเช้าก็เลยมักจะมีหมอกบางๆ ยิ่งถ้าหน้าหนาวละก็ หมอกลงจัดเลยแหละครับ
‘มีคนมาจ๊อกกิ้งด้วยแฮะ’ ผมคิดได้แค่นั้นก็มองเห็นนักวิ่งคนนั้นพอดี ผมตกใจจนอยากจะเดินกลับไปที่หออีกรอบ แต่ก็ไม่ทันแล้วละครับ เจ้าของหน้าหล่อๆนั่นมาหยุดวิ่งตรงหน้าผมแล้วยิ้มกว้างให้
“น้องเอม หายไข้แล้วเหรอครับ” อ๊ากกกก พี่เปปเปอร์เรียกผมว่า ‘น้องเอม’ ด้วยละ!!
“คะ...ครับ” ผม...ผมเก็บอาการอยู่มั้ยนะ ผมแสดงอะไรให้เขาผิดสังเกตไปหรือเปล่านะ
“แล้วได้ของที่พี่ฝากมิ้นท์ไปให้หรือเปล่า” พี่เปปเปอร์ถามพลางเอาผ้าขนหนูมาซับเหงื่อที่หน้า ผมอยากจะดึงผ้าขนหนูผืนนั้นมาลองดมดูจังว่ากลิ่นเหงื่อของพี่เขาจะเป็นยังไง โฮก~
“ได้รับแล้วครับ เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ” นึกได้ผมก็รีบขอบคุณเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กินเลยสักขวดก็เถอะ นึกแล้วยังแหวะกับรสชาติไม่หาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่เต็มใจให้ บำรุงร่างกายดีๆจะได้ไม่ป่วยอีก” พี่เปปเปอร์ยิ้มครับ โอ้มายก็อด ให้ตายเถอะ นี่ผมกำลังจะตายเพราะสำลักความหล่อของพี่เขามั้ยเนี่ย
“คะ...ครับ” ฮึ่ย! นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ทั้งที่มีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ดันมาเขินตอบคำถามคำอยู่ได้ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะเว้ยไอ้เอม
ฮือ...แต่ผมก็ไม่กล้าอยู่ดีอะ ผมยังเขินอยู่เลย จะเงยหน้าคุยกับพี่เขายังไม่กล้าด้วยซ้ำ ผมก็ได้แต่ยืนก้มหน้ามองรองเท้าวิ่งไนกี้ของพี่เปปเปอร์อยู่แบบนั้นแหละครับ
“อืม..งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะ” พี่เขาลูบหัวผมอีกแล้ว เขาลูบหัวผมเบาๆแล้วก็ยิ้มให้ ก่อนจะวิ่งต่อไปครับ ทำไมพี่เขาใจดีแบบนี้นะ
ตอนนี้ผมเลยนึกถึงคำคมของฝรั่งที่เขาบอกไว้ว่า การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดี จะทำให้วันนั้นมีแต่เรื่องดีๆไปทั้งวัน แล้วเช้านี้ผมเพิ่งเจอเรื่องดีซูเปอร์ดี แบบนี้วันทั้งวันผมคงโคตรเฮงเลยสินะ!!
ทั้งที่เมื่อเช้าผมคิดแบบนั้นครับ...
แต่ตอนนี้ผมต้องมาช่วยอาจารย์วิชาเลขเก็บสมุดการบ้านของพี่ปีสามหลังเลิกเรียน ทำไมผมถึงต้องเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้เนี่ย!!
คุณคงสงสัยสินะว่าช่วยงานอาจารย์มันแย่ตรงไหน ถ้าเป็นโรงเรียนทั่วไปมันจะไม่แย่เลยครับ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนนี้ พื้นที่ขนาดนี้ ระยะห่างระหว่างแต่ละอาคารไกลขนาดวิ่งมาราธอนได้เลยนะครับ ฮือ....กรรมของไอ้เอม
ในขณะที่ผมกำลังหอบสมุดการบ้านกว่าห้าสิบเล่มแล้วลากสังขารไปที่ตึกแผนกภาษานั้นผมก็นึกก่นด่าความเชื่อของพวกฝรั่งไปในใจด้วย
“ทำไมทำหน้าหงิกแบบนั้นละครับเอม”
โอว.... ผมขอกลับคำพูดแล้วกันนะครับ วันนี้ผมคงโชคดีจริงๆสินะ ได้เจอพี่เปปเปอร์ตั้งสองรอบ! พี่เปปเปอร์เขาเดินลงมาจากบันไดอีกฝั่งพอดีครับ สงสัยคงจะเพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน
“ถืออะไรมาเยอะแยะเนี่ย เอามานี่มา พี่ช่วย” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดสักแอะ พี่เปปเปอร์ก็คว้าสมุดจากผมไปทั้งกองเลย
“ขะ..ขอบคุณมากนะครับ แต่เอมว่าเราช่วยกันถือคนละครึ่งดีกว่ามั้ยครับ” อ๊าก! ผมอยากจะกัดปากตัวเอง นี่ผมใช้คำว่า ‘เรา’ ไปได้ยังไงเนี่ย แถมยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘เอม’ อีก หวังว่าพี่เปปเปอร์คงไม่ทันสังเกตนะ
“ไม่เป็นไรครับ พี่มีคนช่วย เฮ้ย จิน มาช่วยถือหน่อย” เอ๋? พี่เปปเปอร์มีเพื่อนมาด้วยเหรอเนี่ย ผมมัวแต่สนใจพี่เปปเปอร์จนไม่ทันได้สังเกตคนที่เดินตามหลังพี่เขาเลยแฮะ
“อะไรวะเนี่ย?” น้ำเสียงทุ้มห้าวของคนที่ผมเข้าใจว่าเป็น ‘เพื่อน’ ของพี่เปปเปอร์ช่างเหมือนพี่เขาราวกับโขกคีย์เดียวกันมาเลยครับ ติดที่ว่าเสียงพี่คนนี้ฟังดูดิบกว่า แบบว่าเถื่อนๆอะครับ แต่แค่เสียงไม่ใช่ประเด็น หน้าตานั่นเหมือนพี่เปปเปอร์อย่างกับแกะเลยครับ!
“ช่วยน้องเขาถือหน่อย ตัวก็นิดเดียวไม่รู้แบกมาได้ไง” ผมมองพี่เปปเปอร์สองคนคุยกันแบบงงๆ พี่เปปเปอร์คนที่มาทีหลังเหลือบมองผมแล้วก็หันไปคุยกับพี่เปปเปอร์คนแรก
“ไอ้เตี้ยนี่ใครเนี่ย” เฮ้ย! มันด่าผมว่าเตี้ยอะ
“มึงนี่! ไปเรียกเขาว่าเตี้ยได้ไง ชื่อน้องเขาออกจะน่ารัก เอ้อ! พี่ก็ลืมแนะนำไป เอมครับ คนนี้เป็นน้องชายฝาแฝดพี่เอง ชื่อพี่จินเจอร์นะครับ” พี่เปปเปอร์พูดไปยิ้มไป
“เรียกแค่จินก็พอ” เสียงพี่จินพูดขึ้นมาลอยๆ บอกกับผม? หรือบอกกับพี่ชายตัวเอง? แต่จะบอกกับใครก็ช่างมันเถอะครับ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหลอนๆนิดหนึ่ง ทำไมเรื่องพี่เปปเปอร์มีแฝดผมถึงไม่รู้มาก่อนเลยนะ แถมยังดูเป็นพี่น้องที่สนิทกันดีเสียอีก
“นี่มึงไม่รู้จริงดิ ว่าพี่เปปเปอร์มีฝาแฝด” ไอ้มิ้นท์ทำสีหน้าระอาใส่เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง
“เอ๊า ก็กูไม่เคยเห็นเขาเลยนี่หว่า” ผมเถียง
“แหม แล้วมึงจะรู้ได้ไง ว่าบางทีที่มึงเห็นน่ะคือพี่เปปเปอร์จริงๆ ไม่ใช่พี่จิน พี่สองคนนี้เขาเป็นแฝดไข่ฟองเดียวกันนะเว่ย เหมือนกันจะตายห่า” ไอ้มิ้นท์หันไปซดน้ำมาม่าคัพในมือต่อ ผมฟังที่มันพูดแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกอย่างที่มันว่าเลยละ เขาเหมือนกันก็จริงนะ แต่ผมคิดว่าผมแยกออก
ถ้าให้เปรียบพี่เปปเปอร์เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใสและเป็นตัวแทนแสงสว่าง พี่เปปเปอร์ดูใจดี ดูเฟรนด์ลี่
แต่พี่จิน... ดูตรงกันข้ามกับพี่เปปเปอร์นะผมว่า เขาดูดาร์คๆ เหวี่ยงๆ ดูไม่น่าคบอะ
ส่วนเรื่องความหล่อไม่ต้องพูดถึง หล่อกันคนละแบบ คนนึงหล่อแบบใจดี อีกคนหล่อแบบแบดบอย แต่ยังไงผมก็ชอบพี่เปปเปอร์คนเดียวแหละ ก็พี่เขาออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นะ
“แล้ววันนี้มึงไปเจอพี่เขาที่ไหนมาอะ”
“ก็หลังเลิกเรียนแหละ เจอตรงชั้นล่างอาคารศิลปะ พี่เขามาช่วยกูยกสมุดการบ้านไปให้อาจารย์ที่แผนกภาษาอะ แล้วพี่เปปเปอร์ก็เลยให้พี่จินมาช่วยกูยกด้วย”
“โว้! พี่จินเนี่ยนะ”
“ทำไมอะ แปลกเหรอ?”
“เออดิ พ่อคุณนะ หยิ่งจะตายห่า ทั้งหยิ่งทั้งเก๊ก ทั้งโหด ทั้งซาดิสม์” ไอ้มิ้นท์มันพูดเหมือนแค้นครับ จนผมสงสัยว่าพี่จินเขาไปทำอะไรให้มันหรือเปล่า
“พี่จินเขาไปทำอะไรให้มึงเหรอวะ? ดูอาฆาตเขาจัง”
“ก็มึงจำได้ปะ วันที่กูไปรับน้องชมรมบาสอะ ที่กูกลับมาห้องแล้วเปียกโชกเหนื่อยแทบขาดใจอะ” ผมนึกถึงวันที่มิ้นท์บอก เออว่ะ วันนั้นมันกลับมาแบบเปียกโชกทั้งตัว แล้วก็สลบไสลไปทั้งคืนจนเช้าเลย เห็นมันบอกว่ารุ่นพี่ในทีมรับน้องโดยการให้มันว่ายน้ำในสระบัวข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ
“อย่าบอกนะมิ้นท์ ว่าไอ้รุ่นพี่คนที่สั่งให้มึงว่ายน้ำคือพี่จิน”
“เออเดะ แม่ง ถ้าวันไหนไอ้พี่จินมันมาคุมฝึกนะ วันนั้นอะ นรกชัดๆ”
แม่เจ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าฝาแฝดจะต่างกันได้ขนาดนั้น คนนึงดีแสนดี อีกคนโฉดแสนโฉด ผมว่าผมคิดถูกแล้วแหละ ที่ชอบพี่เปปเปอร์...
ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่เปปเปอร์
ตายแล้วๆ :serius2:
นี่บีทำให้ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องแนวน่ารักกุ๊กกิ๊กไปแล้วใช่มั้ยคะ?
จริงๆมันไม่ใช่นะงิ > <
เพราะอย่างนั้นก็เลยเอาตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือพี่จินมาคั่นเวลาไว้ก่อนเลยนะคะ
ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแนวน่ารัก เพราะกลัวว่าถ้าอ่านไปเรื่อยๆแล้วมันไม่ใช่ก็จะผิดหวังกัน
บอกไว้เลยว่าไม่ใช่แค่น่ารักกุ๊กกิ๊กแน่นอนค่ะ เอาชื่อบีการันตีเลยค่ะ โฮะโฮะโฮะ :impress2:
ไม่มาม่านะค้า!!!
ขอแก้ไขด้วยค่ะ พิมพ์ผิด จริงๆคือ เอาพี่จินมาคั่นไว้ก่อนค่ะ :m26:
หรือจะเรียกว่าเอามาเป็นตัวเบรกไม่ให้คุณผู้อ่านทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องรักกุ๊กกิ๊กโรแมนซ์ระหว่างพี่เปปเปอร์กับน้องเอม(เท่านั้น)
อุ กรี๊ดดดดดดดดดดด ตอนนี้สมองบรรเจิดมากเลยค่ะ :fox2:
ถ้าจะให้บอกแนวเรื่องนี้ก็....
เอาความหื่นจากเรื่องเขื่อนกับหนูน้ำมาสัก 30% และความดราม่าของณัฐกับท๊อฟฟี่สัก 20%
ที่เหลือ 50% คืออะไรแบบที่ไม่เคยเขียนมาก่อนค่ะ เพราะนึกภาพหนุ่มหล่อสองคนแล้ว คงเลือกคนใดคนหนึ่งไม่ไหวแน่
โฮกกกก~~~ :m10:
'ก่อนที่สีสันจะถูกแต่งแต้มอีกครั้ง'
กรกฎาคม
สิงหาคม
กันยายน
...
..
.
.
..
.
มิถุนายน
Tirage
“พี่คะ... พี่อยู่ปีสามใช่มั้ยคะ” เสียงใสกล้าๆกลัวๆเรียกให้ร่างเพรียวบอบบางค่อยๆหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นเด็กสาวรุ่นน้องปีหนึ่งที่มีใบหน้าสดใสเจือสีเลือดฝาดระเรื่อ เห็นดังนั้นแล้วก็เผลอยิ้มอ่อนโยนไปให้ด้วยความเอ็นดู
“ใช่ครับ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” ใบหน้าหวานของรุ่นพี่ทำให้เด็กสาวใจสั่นได้อีกรอบ จากตอนแรกที่แค่อยากจะถามทาง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเลือกถามได้ถูกคนเหลือเกิน
“คือ.. คือหนูอยากถามทางไปหอหญิงปีหนึ่งน่ะค่ะ...” รุ่นพี่เหลือบมองข้าวของและกระเป๋าเสื้อผ้าในมือเด็กสาวแล้วก็เข้าใจ คงจะมาทีหลังสินะ เลยไม่ทันตอนที่อาจารย์ประจำหอพามาส่ง
“ได้สิครับ เดี๋ยวน้องเดินไปทาง .......”
เมื่อบอกเส้นทางเสร็จแล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไป รุ่นพี่ยังคงไม่รู้ตัวสายตาของรุ่นน้องที่มองมานั้นแฝงแววเพ้อฝันแค่ไหน เพราะไม่ว่าแต่ไหนแต่ไร รุ่นพี่คนนี้ก็เป็นคนที่มักจะประเมินค่าตัวเองว่าไม่ใช่คนน่าสนใจอยู่เสมอ...
ขายาวเรียวก้าวลัดเลาะไปตามทางลัดตัดสนาม แน่นอนว่าผิดกฎ แต่ด้วยอารามเร่งรีบจึงแอบฝ่าฝืนทั้งที่ตัวเองเป็นนักเรียนดีเด่น หอพักปีสามที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ร่างเพรียวถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อก่อน เรื่องที่นานแค่ไหนก็ไม่เคยลืม
‘มึงมันเป็นพวกที่ชอบเอาตัวเองไปพัวพันกับอดีต ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาแล้วก็ยังนึกถึงอยู่ได้ไม่จบสิ้น’
ถ้อยคำที่เพื่อนสนิทที่สุดของเขากล่าวหาเอาไว้ยังฝังแน่น เขาชอบคิดถึงเรื่องในอดีต เช่นเดียวกับตอนนี้ที่เขากำลังเร่งสาวเท้าเพื่อที่จะได้ไปพบกับสิ่งของจากคนในอดีต
ที่ฝากมาให้ทุกเดือนไม่เคยห่างหาย...
กล่องพัสดุแอร์เมล์ตั้งอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงสามฟุตปูผ้าสีขาวสะอาดตา หน้าต่างห้องเปิดทิ้งไว้ทำให้สายลมภายนอกพัดเอื่อยเข้ามาภายในห้อง เขานั่งลงบนเตียงและหยิบกล่องพัสดุขึ้นมาวางบนตัก เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตัวเองมือสั่นแค่ไหนในขณะที่ค่อยๆดึงเชือกรัดกล่องออก ท่าทีทนุถนอมเหมือนว่ากล่องและเชือกเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกช่างดูพิลึก เพราะยังไงมันก็เป็นแค่กล่องและเชือกธรรมดาในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเขา กล่องพัสดุนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่ส่งมาอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่ว่าจะส่วนไหนก็ควรที่จะต้องทนุถนอม เหมือนกับว่ากล่องพัสดุนี้คือตัวตนของคนที่ส่งมา...
เขาได้รับพัสดุแบบนี้เป็นครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีก่อน และจะได้รับทุกสอง-สามเดือน แรกเริ่มมันเป็นแค่ซองจดหมายแอร์เมลล์ มีรูปอยู่ข้างในรูปเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไปขนาดของพัสดุก็ทวีคูณ จากซองจดหมายเป็นซองเอกสาร และกลายมาเป็นพัสดุกล่องเบ้อเริ่มในที่สุด
ของข้างในก็มักจะเป็นรูปถ่ายมากมายที่บอกเล่าช่วงเวลาที่ไม่ได้ส่งพัสดุมาให้ คนส่งไปทำอะไรที่ไหนมาก็ถ่ายรูปมาหมด แม้กระทั่งช่วงเรียนยังมีเลย บางทีถ้าเป็นช่วงเทศกาลก็จะมีของขวัญใส่มาด้วย จำพวกน้ำหอมที่มีกลิ่นหวานซึ้ง กระเป๋าหนังเก็บกุญแจ อัลบั้มรูป ฯลฯ
และกล่องพัสดุของคราวนี้ก็เป็นกล่องที่ไม่ได้รับมานานสามเดือนเต็ม หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทว่าเจ้าหน้าที่ประจำหอแบกกล่องขึ้นมาให้หลังจากที่เขาออกมาที่โรงเรียนแล้ว เขาก็รีบจ้ำกลับห้องมาทันที จังหวะนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่สนแล้ว
เขาเองไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปเมื่อไร ตอนแรกที่ได้รับพัสดุ เขารู้สึกอึดอัด หงุดหงิด และหม่นหมอง ในใจอยากจะเขวี้ยงทิ้งแต่ก็ฝืนเก็บไว้ และจากความรู้สึกแบบนั้น มันก็พัฒนามาเป็นเฉยๆ อมยิ้มในบางที และกลายมาเป็น ‘เฝ้ารอคอย’ เมื่อไรไม่รู้...
ดวงตากลมโตมีแววประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งภายในกล่อง นอกจากรูปภาพมากมายเหมือนที่เคยแล้ว ยังมีไอพอดทัชสีดำใหม่เอี่ยมเครื่องหนึ่งใส่มาด้วย เขาหยิบขึ้นมาดู พลิกซ้ายพลิกขวาก็ไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกประหลาดจึงกดเปิดเครื่อง
โลโก้รูปแอปเปิ้ลแหว่งโผล่ขึ้นมาและค่อยๆหายไป ปรากฎเป็นภาพพักหน้าจอรูปแผ่นหลังของคนๆหนึ่งแทน... แค่เพียงแผ่นหลังเท่านั้น เห็นเพียงเท่านั้นแต่ก็ดูเหมือนว่าน้ำตาจะเอ่อๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูป เผื่อว่าจะมีรูปอื่นๆอยู่อีก แต่ทว่าภายในอัลบั้ม นอกจากมีรูปที่เป็นวอลเปเปอร์แล้วก็ไม่มีรูปอื่นอีกเลย ส่วนอีกไฟล์หนึ่งเป็นเพียงไฟล์วิดีโอ...
ไฟล์วิดีโอ...
นิ้วเรียวกดเล่นไฟล์วิดีโอทันที รูปของคนๆหนึ่งถือกีตาร์ตั้งท่าเตรียมจะเล่น รุปร่างคุ้นตาแต่มองไม่เห็นหน้า ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ได้เห็นหน้า... รูปที่ส่งมาให้ตั้งแต่แรกจนป่านนี้ก็ไม่เคยมีเสี้ยวหน้าของคนส่งเข้ามาปรากฎ หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของกันและกัน...
เสียงกีตาร์โปร่งฟังสบายหูดังขึ้นทีละน้อยจนก้องกังวาน ดวงตากลมโตกลับมามองที่หน้าจอเครื่องเล่นอีกครั้ง มือที่จับกีตาร์นั้นเปลี่ยนมาเป็นดีดอย่างคล่องแคล่ว
Have I told you lately that I love you
ประโยคแรกที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ร่างสูงน้ำตาไหลทันที... เสียงที่ทุ้มนุ่มไม่แหบสเน่ห์เหมือนต้นฉบับ เสียงที่เคยฟังมาเมื่อนานแสนนาน สมองนึกถึงภาพดวงตาคมปลาบนั้นขึ้นมาได้อย่างชัดเจนเหมือนได้เห็นครั้งสุดท้ายเพียงเมื่อวาน
“ฮึก....”
Have I told you there's no one else above you
Fill my heart with gladness
Take away all my sadness
Ease my troubles that's what you do
แม้มันจะเป็นแค่การร้องเพลง แต่กลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือน... เหมือนถูกบอกรัก.. เพลงที่ได้ฟังทำให้รู้สึกว่าได้เปิดใจ หนึ่งปีที่ผ่านมาเขาใช้เวลาไปกับอะไร กับการลืมเรื่องคนเฮงซวยเพียงคนเดียว ในขณะที่อีกคนใช้เวลากับการบอกรักเขามาตลอด ทนุถนอมเขา รอคอยวันที่เขาจะเปิดใจ และบ่มเพาะความรักให้เติบโตขึ้นทุกวัน
“พี่ไม่ได้บอกรักเอมช้าไปหรอกครับ แต่เอมต่างหากที่เอาแต่รอคอยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง...เอมต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า...”
เสียงเพลงจากไอพอดยังดังก้องในโสตประสาท แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่แค่เพียงเสียงก็ได้รับรู้ว่ายังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปไหน... เหลือแค่เพียงรักษาใจเอาไว้เพื่อรอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง ก็เท่านั้น...
* อย่าว่าพี่เปปเปอร์เลยนะคะ คนทุกคนทำผิดได้เหมือนกันหมดแหละค่ะ
มองต่อไปที่เรื่องในอนาคตดีกว่าเนอะ
** ช่วงนี้แลดูบีจะขยันนะคะ อัพทุกวันเลย ไม่ใช่ว่างานไม่ยุ่งนะ แต่ขี้เกียจทำ 555+ (จะโดนไล่ออกมั้ยเนี่ย :sad4:)
Love Sick
- 10 -
บร๊ะเจ้าครับทุกคน...
วันนี้ผมเพิ่งเจอเรื่องเหลือเชื่อมาหมาดๆ หลังจากที่เปิดภาคเรียนมาได้เกือบจะสามเดือน
ก็อย่างที่ผมบอกไปนะครับ ว่าปีหนึ่งเนี่ย ทุกคนจะเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไป เช่น เลข ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
ที่นี้เรื่องมันมีอยู่ว่า... ช่วงนี้ผมต้องเรียน แมท หรือ Math นั่นเอง และตอนนี้ก็เป็นบทเรียนเกี่ยวกับกราฟและก็ฟังก์ชั่นอะไรพวกนี้แหละครับ หลังจากที่เรียนมาหลายสัปดาห์ อาจารย์ก็จัดให้มีการเทสต์ย่อย คะแนนเต็ม 20 คะแนน (หารแล้วเบ็ดเสร็จเป็นคะแนนเก็บ 5 คะแนนครับ อาจารย์โคตรจะช่วยเลย สงสัยเห็นเด็กศิลป์โง่เลขจัด 55+) ผลสอบที่ออกมาปรากฎว่า...
ไอ้เอมได้คะแนน 9/20 ครับ - -*
หารแล้วก็เหลือ 2.25 ....
....
.
..
..
ผม... สอบตกครับ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับ สมัยเรียนมัธยมผมไม่เคยสอบตกเลยนะ แต่ไอ้วิชาเนี้ย มันเป็นอะไรที่สุดๆสำหรับผมแล้ว ทั้งที่ก่อนสอบผมพยายามอ่านอย่างเต็มที่ แต่พอเข้าไปสอบมันก็เหมือนกับว่าทุกอย่างที่อ่านมารั่วออกไปหมดเลยครับ เพื่อนผมก็พากันอึ้งเป็นแถบ กิได้ 2.5 คะแนนพอดีเป๊ะ อั๋นได้ 3 คะแนน ส่วนตองนั่นไม่ต้องพูดถึง เต็ม 5 เลยครับ
“ให้เราติวให้เอาปะ” กิอาสาด้วยความมีน้ำใจ แต่ผมไม่เอาดีกว่าครับ... ก็ปรกติน่ะ ผมค้องเป็นคนติวมันนะ จะให้มันมาติวให้ผมได้ไงอ้ะ เสียเชิงแย่เลย T^T
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราให้ตองช่วยติวสอบซ่อมให้ก็ได้ ได้มั้ยตอง?” ประโยคครึ่งแรกผมบอกกับกิ ส่วนครึ่งหลังพอผมพูดจบก็หันไปมองหน้าตอง
“อืม” ตองพยักหน้า ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย ตองมันเก่งนะครับ วิชาเลขน่ะ น่าไปเรียนหมอ ไม่ใช่เอกศิลป์
“แล้วเย็นนี้จะไปงานเลี้ยงรับสายรหัสรึเปล่า” กิถามขึ้นมา ผมก็เพิ่งนึกออกว่าจะมีงานเลี้ยงรับน้องที่พวกรุ่นพี่รหัสเขาจะจัดให้ อุแม่เจ้า งานเลี้ยงก็ต้องมีเหล้าสิ...
“อืม เราคงไม่ไปหรอก เพราะเดี๋ยววันมะรืนก็สอบซ่อม ขอติวตั้งแต่วันนี้ดีกว่าเพื่อความชัวร์ นะตอง” ผมหันไปขอเสียงสนับสนุนจากตองเมื่อเห็นว่ากิหน้ามุ่ย ไอ้นี่มันชอบงานสังสรรค์เฮฮาครับ แต่ผมไม่ถูกกะเหล้านี่หว่า เกิดมาเคยลองกินแค่ครั้งเดียว แถมยังขมเป็นบ้าเลยด้วย
“มึงจะไปมั้ยตอง” อั๋นถามตอง ตอนนี้ทุกคนเงียบกันหมดเลยครับ เงียบจนเหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงหัวใจแต่ละคนเต้นดังตึก ตึก ตึก เลยนะ นาทีนี้ชีวิตผมขึ้นอยู่กับตองคนเดียว ถ้าเกิดตองมันตกลงไป ไอ้กิมันต้องลากผมไปด้วยแน่ๆ
ตึก ตัก
ตึก ตัก
ผมรู้ว่าตองไม่ไปหรอก
“อืม ไปก็ได้” อ๊ากกกกกกกกกกกกก ไอ้ตอง!!!
“เสียใจด้วยนะเอม คือว่าตองมันเป็นสิงห์คอทองแดงน่ะ ฮ่าๆๆ” เสียงไอ้กิหัวเราะเยาะเย้ยจนผมสาบานว่าจะต้องแก้เผ็ดมันให้ได้ในสักวัน...
ร้านเหล้าระดับหรูหราห่างไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควรครับ แหม เลือกร้านเสียไฮโซกันเลยนะ พวกผมมาที่นี่กันได้ด้วยพาหนะโดยสารของอั๋นครับ นิสสันมาร์ชสีขาวจั๊วะแอร์เย็นเจี๊ยบที่อั๋นได้เป็นรางวัลจากป๊าและม๊าของอั๋นหลังจากเอ็นท์ติดที่นี่ครับ
“เฮ้ย ไอ้กิ ทางนี้โว้ยยยย” เสียงตะโกนเรียกดังจากด้านหนึ่งของร้าน กลุ่มรุ่นพี่ปีสอง,สามและสี่ที่เป็นสายรหัสของพวกผมเริ่มนั่งก๊งกันอยู่ที่โต๊ะใหญ่ ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าแค่เฉพาะในสายรหัสของพวกผมก็กินพื้นที่ไป1/4 ของร้านแล้วครับ
“พี่ย้ง พี่บูม พี่โค้ก พี่โอ๋ ฯลฯ หวัดดีครับ” ไอ้กิเป็นคนนำพวกผมให้ไหว้ทักทายรุ่นพี่มากมายเกือบสิบคน (นี่แค่สายรหัสพวกผมนะเนี่ย) ผมเองจำได้แค่พี่รหัสผมคนเดียวครับ คนอื่นผมไม่รู้จักเลย ทำไงได้ ก็ผมมันพวกสังคมแคบนี่นา...
“เอ้าเฮ้ยพวกมึง เขยิบที่ให้น้องมันนั่งหน่อย” พี่ปีสี่ที่ดูเหมือนว่าจะชื่อย้งและเป็นปู่รหัสของกิก็เริ่มเคลียร์ที่ให้พวกผมนั่ง โดยรุ่นพี่เขาจับแยกพวกผมให้นางแยกกัน เพราะต้องการให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องสนิทกันไวๆน่ะครับ ผมมองหน้าพี่รหัสผมแล้วก็มองเพื่อนๆสลับกัน ดูท่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้หายใจเป็นแน่แท้...
ทำไมน่ะเหรอครับ...
ก็เพราะผมต้องนั่งติดพี่รหัสผมน่ะสิ...
ผมยังไม่ได้บอกคุณใช่มั้ยครับ... ว่าพี่รหัสผมน่ะ...คือพี่พีร์...
ที่ได้ชื่อว่าเป็นคอทองแดงที่สุดของปีสอง...
“อ้าวเฮ้ยเอม! กินอีกดิวะ แม่ง พี่อุตส่าห์ชงให้นะเนี่ย” แก้วเหล้าสีอำพันเข้มปี๋ถูกเติมจนเต็มแล้ววางลงตรงหน้าผม นี่ขนาดว่าผมพยายามถ่วงเวลาโดยการจิบทีละนิดๆแล้ว แต่ไอ้พี่พีร์มันก็ยังอุตสาหะเติมเหล้าให้ผมโดยไม่ปล่อยให้แก้วพร่องไปแม้แต่น้อย
“พี่พีร์ เอมมันไม่กินเหล้าครับ แล้วพี่เล่นชงเสียเข้มขนาดนั้นมันก็เมาตายพอดี” อั๋นเป็นผู้ช่วยชีวิตผมได้อีกครั้ง
“อ้าว จริงเหรอวะ กูก็ว่าทำไมมันกินน้อยจัง แล้วก็ไม่บอกกูนะไอ้จิ๋ว” พี่พีร์ทำหน้าถึงบางอ้อแล้วมาขยี้หัวผม เอ่อ... นี่ผมเปลี่ยนชื่อเป็นไอ้จิ๋วตั้งแต่เมื่อไร?
แต่พออั๋นบอกพี่พีร์เท่านั้นแหละครับ แก้วเหล้าก็ถูกเก็บไปแล้วกลายเป็นบาร์คาดี้หนึ่งขวดมาวางแทน
“เอ้า มึงกินนี่แทน ไม่เมา เด็กๆ” ผมมองตามขวดที่พี่พีร์เอามาวางให้แล้วก็รู้สึกซึ้งใจในความอาทรของพี่รหัส แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ พี่(มึง)เอาน้ำเปล่ามาให้ผม(กู)กินได้มั้ยคร้าบบบบ แต่ว่าแหม...ไอ้บาร์คาดี้นี่มันก็อร่อยดีแฮะ เปรี้ยวๆหวานๆ
************************************************
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงนิดๆ...
“เฮ้ย พวกมึงอะ เป็นเพื่อนไอ้เอมใช่มั้ย มึงมาพาเพื่อนมึงกลับไปนอนเลยนะ แม่ง ร้องไห้ใหญ่แล้วเนี่ย” เสียงตะโกนจากรุ่นพี่อีกฟากโต๊ะทำให้สามหนุ่มปีหนึ่งต้องหันไปสนใจเพื่อนตัวเอง ร่างบอบบางที่นั่งร้องไห้ซิกๆกำลังเอนพิงอกของพี่รหัสตัวเองอยู่
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะชะเอม เฮ้ย พวกมึงมาพาเพื่อนไปดิวะ กูทำไรไม่ถูกแล้วเนี่ย แม่งร้องใหญ่เลย” พีร์เริ่มโวยวายไปทั่ว เพราะไม่คิดว่าน้องรหัสตัวเองจะเมาแล้วร้องไห้ขนาดนี้ จากตอนแรกที่มันยังยิ้มเฮฮา เผลอแป๊บเดียวตาโตๆนั่นก็มีน้ำตาไหลพรากเสียแล้ว
“อ้าวเวร เอาไงดีวะ” กิหันไปขอความเห็นจากอั๋นที่ส่ายหัวแบบอึ้งๆ
“จะยังไงก็ต้องพาเอมกลับห้องก่อนละ ไม่งั้นไม่ดีแน่ๆ” เพราะว่าคนที่กำลังร้องไห้นั้นไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย ถึงน้ำตาจะไหลพรากไม่หยุด แต่ก็เป็นร้องไห้แบบเงียบๆ ชะเอมแค่เพียงนั่งนิ่งๆ แล้วน้ำตาก็ไหล ใบหน้าหวานใสยังไม่ได้บิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย
เรียกว่ายิ่งมองก็ยิ่งน่าทนุถนอม...
ดูได้จากไอ้พี่พีร์จอมมอมเหล้า ที่ถึงปากจะโวยวาย แต่แขนก็ยังคงโอบกอดและปลอบไม่ยอมหยุด...
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
คนที่เข้ามาดึงแขนเอมให้ลุกเรียกความสนใจจากคนอื่นได้มากโข ใบหน้านิ่ง เสียงนิ่ง ท่าทางที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทำให้พี่พีร์ในฐานะพี่รหัสที่ดี(เหรอ?)รู้สึกไม่ไว้วางใจเป็นธรรมดา
“พี่พีร์ครับ ไอ้ตองมันเป็นรูมเมทเอม ให้มันจัดการเถอะครับ” อั๋นช่วยพูดเมื่อเห็นพี่พีร์เริ่มชักสีหน้า
“เออ มึงให้น้องมันจัดการไปสิวะไอ้พีร์ มันเป็นรูมเมทกันเดี๋ยวก็ดูแลกันเองแหละ” พี่ย้งที่เป็นลุงรหัสของอั๋นสนับสนุน
“เออ” พี่พีร์พูดสั้นๆแล้วปล่อยให้ตองพยุงเอมลุกจากโต๊ะ สีหน้าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“พวกมึงกินกันต่อไปเหอะ เดี๋ยวกูพาเอมกลับแท็กซี่เอง” บอกแค่นั้นแล้วก็พยุงเอมออกมา
เจ้าของใบหน้านิ่งรู้สึกสงสัยเหลือเกิน ว่าอะไรที่ทำให้คนหนึ่งคนร้องไห้ในเวลาที่สติหลุดได้มากขนาดนี้ แถมยังเป็นการร้องไห้นิ่งๆไม่มีการฟูมฟายเสียด้วย
“เอม เสียใจเรื่องอะไร?” เมื่อพากลับห้องมาได้สำเร็จและจัดแจงให้ร่างเล็กนั่งพิงหมอนแล้วก็ลองถามดู ใบหน้าหวานส่ายหัวช้าๆแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
“แล้วทำไมน้ำตาถึงไหล”
“....คิดถึง...” เสียงเศร้าแผ่วเบาค่อยเล็ดลอดออกมาจากปาก สายตาที่เหม่อลอยไปไกลแสนไกลทำให้คนตรงหน้ารู้สึกหงุดหงิดในหัวใจยิ่งนัก...
“คิดถึงคนที่ไม่เคยมาหาเลยน่ะเหรอ...” ใช่แล้ว เขารู้เรื่อง เพราะว่าได้เคยแอบดูพัสดุที่เอมเก็บไว้ในกล่องใต้เตียง รุปถ่ายและกระดาษโน้ตไม่กี่แผ่น แม้แต่ใบหน้าก้ไม่ได้เห็น ความสัมพันธ์พิลึก...
“...” ใบหน้าหวานยังคงเงียบและไม่พูดอะไร ไหนที่คนเขาบอกว่าคนเงียบๆเวลาเมาจะรั่วคงเอามาใช้กับเอมไม่ได้ เพราะเวลาปกติที่พูดน้อยอยู่แล้ว พอเมาก็ยิ่งพูดน้อยกว่าเดิม..
“เอม..” อดใจไม่ไหว เห็นน้ำตาใสๆนั่นแล้วก็อยากกอด พอรู้ตัวอีกทีเขาก็โอบร่างบางนั่นไว้แน่น กลิ่นหอมๆจากผิวเอมทำให้รู้สึกอยากทำมากกว่ากอด กลิ่นหอมที่เคยรู้สึกได้เวลาเอมเดินผ่าน กลิ่นหอมที่ติดอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ของเอม...
“อื้อ...” น้ำเสียงหงุดหงิดและแรงดันจากฝ่ามือเล็กทำให้ตองมีสติกลับมา ชะเอมดันตองให้ถอยออกไปห่างและเอนตัวลงนอนบนที่นอน เมื่อสติของตองกลับมาก็ทำให้คิดได้ว่าเมื่อกี้เกือบจะทำพลาดครั้งใหญ่... นอกจากจะไม่ได้หัวใจแล้ว อาจจะเสียความเป็นเพื่อนไปอีกก็ได้..
************************************************
“อืม...” อาการปวดหัวหนึบปลุกให้ผมตื่นจากฝัน ฝันแปลกๆว่าตัวเองร้องไห้ไม่หยุดแต่ไม่มีเสียงสะอื้น แถมยังถูกอะไรหนักๆมากดทับไว้จนหายใจไม่ออก พอตื่นมาก็ปวดหัวแบบเฮฟวี่แถมยังรู้สึกรุมๆอย่างกับจะมีไข้
กึก กัก
ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะหัวเตียงของผมแล้วควานหาปรอทวัดไข้มาอมไว้ใต้ลิ้น ระหว่างนั่งรอวัดไข้ผมกก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จำได้ว่าไปงานเลี้ยงสายรหัส แล้วพี่พีร์เอาบาร์คาดี้ให้ ผมกินไปได้ไม่นานก็เริ่มมึนๆ
ผมเมา?
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงปรอทร้องเตือนว่าวัดเสร็จแล้ว ผมจึงหยิบมาดู
‘อา...38 องศา ไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ...’ ผมวางปรอทไว้บนโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบ สายตามองไปรอบห้องก็เห็นว่ารูมเมทผมยังหลับอยู่ รู้สึกคิดถึงไอ้มิ้นจังเลยเวลาแบบนี้ สรุปว่าตอนนี้ผมต้องดูแลตัวเองใช่มั้ย... เศร้าจังวะ..
ผมนอนพลิกไปพลิกมาแล้วก็หลับไปอีกรอบ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีอะไรเย็นๆมาแปะที่หน้าผาก
“...”
“เอมมีไข้” ใบหน้าของตองที่อยู่ตรงหน้าผมบอกสั้นๆ ผมยิ้มให้เขา ความรู้สึกสบายใจแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้ง...
“อย่าลืมติวเลขให้เราด้วยนะตอง” และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดออก
Love Sick
- 11 -
หลังจากที่ผมเพิ่งผ่านพ้นจากการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งเรียบร้อย ก็ถึงเวลาแห่งการรับจ๊อบแล้วครับ เป็นธรรมดาของเด็กมหา’ลัยที่มักจะชอบหางานทำตอนปิดเทอมใช่มั้ยละ ผมถามพวกเพื่อนๆดูแล้ว กิบอกว่าจะไปช่วยงานแม่ที่ร้านจิวเวลรี่ อั๋นเองก็จะไปกับกิ ส่วนตองไม่ได้ทำอะไร ก็คงอยู่หอไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็อาจจะไปนั่งวาดรูปเล่นตามสวนบ้าง
ตัวผมเองก็รับจ๊อบพิเศษช่วงปิดเทอมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ปิดเทอมคราวนี้ผมได้รับการอนุเคราะห์จากพี่พีร์(จำพี่รหัสผมได้มั้ย?) ให้ไปช่วยวาดรูปตกแต่งผนังให้กับบริษัทรับตกแต่งภายในที่กำลังจะเปิดใหม่ และเจ้าของบริษัทนั้นก็คือพี่พิงค์ พี่ชายพี่พีร์นั่นเองครับ
ตอนแรกผมก็ถามพี่พีร์ว่างานแบบนี้ให้คนที่มีประสบการณ์ทำดีกว่าไหม? แต่พี่พีร์ก็บอกว่าไม่จำเป็น เพราะพี่ชายแกอยากได้อะไรที่ไม่ต้องเป๊ะ อยากให้มันอาร์ตๆ แถมจ้างนักศึกษาแบบผมยังมีค่าแรงถูกกว่าพวกมืออาชีพอีก - -“
แต่ถึงพี่พีร์จะบอกว่าค่าแรงผมถูกกว่ามืออาชีพ เอาเข้าจริงค่าตอบแทนที่ผมจะได้รับก็ดีกว่าไปทำงานพาร์ตไทม์ในฟาสต์ฟู้ดมากโข อา...ทีนี้ผมจะได้มีเงินมาซื้อขาตั้งเฟรมอันใหม่สักที...
“มึงคิดว่าช่วงปิดเทอมเนี่ยจะทำเสร็จมั้ย?” พี่พีร์ถามผมอีกครั้งเพื่อความชัวร์ เพราะว่าบริษัทของพี่ชายพี่พีร์จะเปิดอย่างเป็นทางการคือหลังจากที่ผมเปิดเทอมแล้ว และหน้าที่ของผมก็คือการออกแบบและลงมือละเลงตามกำแพงภายในบริษัทให้หนำใจ (พี่พีร์ก็จะช่วยด้วยครับ ไม่ใช่ผมทำคนเดียวหรอก) ผมลองกะคร่าวๆจากสมัยที่เคยวาดผนังพิธีจบการศึกษามาแล้ว อันนั้นแค่สัปดาห์เดียวก็เสร็จ ถ้าเป็นที่นี่ก็คงไม่นานนัก
ผมรับปากพี่พีร์แล้วก็ตกลงกันเสร็จสรรพว่าจะไปลงมือกันพรุ่งนี้เลย
********************************************************
“พี่พิงค์ นี่ไอ้เอม น้องรหัสกู เอ๊ย ผม” เพราะมือใหญ่ๆของพี่ชายตัวเองที่เงื้อจะฟาดหัวทำให้พี่พีร์ต้องเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองโดยด่วน พี่พิงค์เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ท่าทางน่ากลัว ผิวสีน้ำผึ้ง แลดูดุไม่เข้ากับชื่อหวานแหวว ทำเอาผมชักหวั่นๆแล้วสิ...
“มึงนี่พูดให้มันเพราะๆเหมือนคนไม่ได้เลยนะ ต้องพูดจาหมาๆตลอด” เสียงก็ห้าวครับ ผมฟังแล้วก็เผลอขยับไปแอบหลังพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“พี่พิงค์อย่าดูดิวะ เอมมันกลัวแล้วเนี่ย” พี่พีร์พูดเสียงหงุดหงิดแล้วหันมาดึงแขนผมให้ออกมายืนข้างๆ แล้วแนะนำผมกับพี่พิงค์หน้ายักษ์
“นี่พี่พิงค์ พี่ชายกูเอง” ผมยกมือไหว้พี่พิงค์ สายตาพี่พิงค์มองผมอย่างสำรวจ
“ตัวแค่เนี้ยนะไอ้พีร์ จะไหวเหรอวะ” บ๊ะ! นี่ผมโดนดูถูกใช่มั้ยเนี่ย
“โหพี่ ไอ้เนี่ยดีกรีเด็กทุนเลยนะ ฝืมือยังงี้” ผมเห็นพี่พีร์ยกนิ้วโป้งขึ้นมาประกอบคำพูด เอ่อ..เขินนิดๆแฮะ พี่พีร์มันชมผมแหละ
“เออดี งั้นวันนี้พวกมึงลองออกแบบคร่าวๆก่อนว่าจะละเลงผนังออฟฟิศกูยังไง แล้วเอามาให้กูดู ถ้ามันโอเคก็ลงมือทำวันนี้เลย”
แล้วพี่พิงค์ก็พาผมและพี่พีร์ไปดูบริเวณที่จะให้วาด เป็นโซนของล็อบบี้ด้านหน้าครับ และก็ตามทางเดินแต่ละจุดๆ กำแพงก็ทาสีพื้นไว้เป็นสีขาวเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาผมก็ละเลงได้เลยไม่ต้องมาทาสีรองพื้นอีกรอบ
“ลูกค้าของพี่ส่วนมากจะเจาะตลาดไปที่คนวัยทำงาน พี่ก็เลยอยากได้อะไรที่มันโมเดิร์นหน่อยนะ เรียบง่ายแต่ว่าดูดีน่ะ”
“ขอบเขตกว้างขนาดนี้ทำเองเถอะมึง” ประโยคแรกคือพี่พิงค์พูดกับผม ส่วนประโยคเหน็บแนมอันหลังคือพี่พีร์กระซิบให้ผมได้ยินอ่ะครับ พี่น้องคู่นี้ปากหมากันทั้งคู่จริงๆครับ
ผมกับพี่พีร์ใช้เวลาตลอดช่วงเช้าถกเถียงกันเรื่องออกแบบอย่างเมามัน พี่พีร์มันจะเอาโทนสีแบบที่ฉูดฉาด แนวๆแดง ดำ แต่ผมน่ะอยากได้สีโทนพื้นๆ ขาว น้ำตาล เบจอะไรประมาณนี้ จนใกล้เที่ยงก็ยังไม่ลงตัว พี่พิงค์จึงเป็นฝ่ายเข้ามาตัดสินพร้อมลูกน้องอีกหลายคนช่วยกันเลือก
“พี่ชอบแบบของเอมว่ะ” พี่พิงค์บอกหลังจากดูของผม
“แต่ผมชอบแบบพีร์นะพี่” อันนี้ลูกน้องพี่พิงค์พูดครับ ดูเหมือนว่าแบบของผมกับของพี่พีร์จะมีคนชอบเท่าๆกัน สุดท้ายก็เลยดูความเหมาะสมของจุดที่จะวาดมาประกอบการเลือกครับ พี่พิงค์บอกว่าล็อบบี้ด้านหน้ามันจะเป็นที่รับแขก ลูกค้าจะเดินฝ่าอากาศร้อนๆเข้ามาทางหน้าล็อบบี้ เพราะว่าที่จอดรถแถวนี้แดดแรงจัด ต้นไม้ไม่ค่อยมี พี่พิงค์จึงอยากให้ล็อบบี้ด้านหน้าใช้การออกแบบโทนเย็นของผม และของพี่พีร์นั้นจะเอาไปใช้ภายในออฟฟิศเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้องกระฉับกระเฉงในการทำงาน
“เอาตามนี้แล้วกัน พวกแกโอเคนะ” ผมและพี่พีร์พยักหน้า เป็นการสรุปผลที่แยบยลมากครับพี่พิงค์
ผมชอบบริษัทของพี่พิงค์มากเลยครับ ที่นี่เป็นกันเองและอบอุ่น บรรยากาศในการทำงานก็โคตรเจ๋ง มีการเปิดเพลงผ่านลำโพงที่ฝังไว้ตามจุดต่างๆด้วยนะครับ
ผมนั่งฮัมเพลงระหว่างที่เริ่มกะขนาดพื้นที่เป็นตาราง เพลงเร็วกับเพลงช้าเล่นสลับกันไปชวนให้เพลิดเพลิน ส่วนมากจะเป็นเพลงสากลครับ แถมบางเพลงผมก็ไม่เคยฟังมาก่อนเลย
เพลงที่ผมกำลังฮัมจบลงไปแล้ว เพลงใหม่ค่อยๆดังขึ้นมา มีเสียงเปียโนช่วงอินโทรไม่นานนักเสียงร้องก็ขึ้นต้นเพลง เสียงที่ผมรู้สึกคุ้น... แค่เพียงพยางค์แรกที่ได้ยิน... เสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่เคยฟังมาก่อน
Come and see me
Sing me to sleep
Come and free me
Or hold me if I need to weep
Or maybe it's not the season
Or maybe it's not the year
Or maybe there's no good reason
Why I’m locked up inside
Just cause they wanna hide me
The moon goes bright
The darker they make my night
ผมฟังจนจบท่อนนี้ก็เป็นเสียงผู้หญิงร้องขึ้นท่อนต่อไป เสียงหวานแหลมและแหบน้อยๆในคราเดียวกัน ยามที่เสียงร้องทั้งสองคนดังพร้อมกันผมรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งวูบขึ้นมาในใจ มันรู้สึกอย่างไรนะ...จี๊ดๆงั้นเหรอ?
เหมือนว่าผมจะหึง...
ผมกำลังหึงเสียงผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเป็นใครกับเสียงผู้ชายที่เหมือนพี่จิน...
ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมลืมสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง สิ่งที่คนทั่วไปเขาจะต้องคิดได้เมื่อต้องห่างไกลจากคนรัก
Unplayed pianos
Are often by a window
In a room where nobody loved goes
She sits alone with her silent song
Somebody bring her home
เสียงร้องของนักร้องผู้หญิงยังคงดังก้องจนมือผมสั่น เพลงเพราะเหลือเกิน เสียงของหล่อนก็เพราะเหลือเกิน...
มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อก่อนหน้านี้...เรื่องของผู้ชายคนที่จากผมไปเพื่อไปหาคนที่เขารักมากกว่า
ถ้าหากผมต้องเจอแบบนั้นอีกครั้งผมคงรับไม่ไหว...
‘...’
ผมสูดหายใจลึกๆ เสียงร้องแค่คล้าย จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ใจผมมันหวั่นไหวเกินไป บางทีมันคงจะเกิดจากการที่ต้องรอนานเกินไป ผมอาจจะไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่ผมก็รู้อยู่ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน ในความเป็นจริงผมคิดถึงพี่จนทนไม่ไหวด้วยซ้ำ ผมอยากจะไปหา อยากจะไปยืนตรงหน้าและจับมือของพี่จินไว้... แต่ผมก็ไม่มีปัญญาที่จะทำอย่างนั้น เด็กกำพร้าปากกัดตีนถีบอย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเครื่องบินละ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่รอเท่านั้นเอง...
ผมพยายามนึกถึงใบหน้าพี่จินที่อยู่ในความทรงจำ ถึงจะเหมือน ถึงเขาจะเป็นฝาแฝดกัน ก็ไมได้แปลว่าจะต้องมีนิสัยเลวๆเหมือนกัน..
สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือเชื่อใจ... ผมเชื่อใจ เชื่อใจพี่จินที่สุด...
********************************************************
“เฮ้ย ไอ้น้องรหัสมึงนี่เวลาทำงานเป็นคนละคนจริงๆว่ะ” เสียงห้าวทุ้มของคนตัวโตยืนออกความเห็นกับน้องชายอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ชะเอมกำลังทำงานเท่าไรนัก สายตาคมๆในตอนแรกเปลี่ยนเป็นประหลาดใจไม่แพ้กับคนเป็นน้อง
“นั่นดิ ปกติเวลากูเห็นมันที่มหา’ลัยนะพี่ มันจะเรียบร้อยโคตรอะ หงิมๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะดูขึงขังจริงจังได้ขนาดนี้” ภาพของร่างเล็กบางที่กำลังวาดลวดลายบนกำแพงด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าอยู่เพียงคนเดียวบนโลกนี้
จากความสดใสและบอบบาง กลายเป็นนิ่งเงียบและดำมืดเหมือนผิวน้ำยามค่ำคืน มือเล็กคู่นั้นทำงานโดยไม่หยุดพัก จากผนังสีขาวเริ่มเต็มไปด้วยลวดลายมากมาย
“เหมือนมันไม่พักหายใจเลยว่ะพีร์” คนเป็นพี่ชายออกความเห็นอีกครั้ง
“นั่นดิ.. กูว่าไปลากมันมากินข้าวก่อนดีมะพี่พิงค์”
“เออ ดีๆ เดี๋ยวมันหมดแรงตายซะก่อน ตัวก็แค่นั้นด้วย”
‘ตัวก็แค่นั้น’ ในสายตาของพีร์ แต่ทำไมจึงดูเหมือนคนที่แบกโลกเอาไว้ทั้งใบ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นก็ถูกชะตา คงเพราะว่าความที่อยากได้น้องชายมาแต่เด็ก (เพราะมีพี่ชายถึกควาย ก็เลยอยากมีน้องละมั้ง) พอเห็นเจ้าตัวเล็ก ตาเศร้า ท่าทางบอบบางก็อยากจะดูแล...
ในความรู้สึกของพีร์ก็คงอยากจะพูดประมาณว่า ‘จริงนะครับกูสาบาน กูไม่ได้คิดเกินเลยสักนิด กูเห็นมันเป็นน้องกูจริงๆนะ...
และที่แน่ๆกูต้องสนิทกับมันให้มากกว่านี้ให้ได้ กูอยากจะรู้เรื่องของมันเยอะๆนี่ครับ...’
“เอม ไปกินข้าวกัน กู เอ๊ย พี่หิวแล้วว่ะ” พอตัดสินใจได้ว่าอยากจะเป็นพี่ชายกับเขาบ้างก็เลยลองเปลี่ยนสรรพนาม หวังว่าไอ้จิ๋วมันคงไม่สังเกตนะว่ากูพูดเพราะขึ้น...
********************************************************
ในตอนนั้นสิ่งแรกที่ผมคิดหลังจากพี่พีร์มาชวนไปกินข้าวก็คือ
‘ทำไมพี่พีร์มันพูดเพราะจัง สงสัยหิวจัดจนหน้ามืดตาลาย’
......
...
.
.
.
“แล้วพี่พิงค์ไม่มากินเหรอครับ”
“ไม่อะ มันก็กินกับพวกลูกน้องมันแหละ” พี่พีร์ตักข้าวใส่ปากเสียจนผมเห็นแล้วอิ่มแทนเลยครับ
“พี่พีร์ ผมถามหน่อยสิ พี่ไม่มีแฟนเหรอ?” ผมเขี่ยข้าวในจานเล่น ปากคุยกับพี่พีร์ แต่ใจลอยนึกไปถึงคนอีกคน...
“ไม่อะ อย่างมากก็แค่คุยๆ ถามทำไมวะ”
“เปล่าหรอก ผมก็แค่สงสัยว่าปกติเนี่ย คนคบกันเขาก็ต้องอยากเห็นหน้ากัน ใช้เวลาด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาใช่มั้ย”
“มึงนี่พูดอย่างกับกำลังน้อยใจแฟน นี่ มึงโดนสาวเมินมาใช่มั้ย” เอ่อ...ผมก็ยิ้มอะครับ ไม่บอกแกหรอกว่าไม่ใช่สาวที่เมินผม แต่เป็น ‘หนุ่ม’ ต่างหาก
“เมินอะไรพี่ ผมยังไม่มีแฟน”
“ก็เห็นทำหน้าหมาหงอย กูก็นึกว่าคิดถึงแฟน อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมวะ” เฮ้ย จริงดิ ผมหน้าแดงเลยเหรอ ไม่นะ ผมไม่ใช่แฟนไอ้พี่จินสักหน่อย!
“ก็...ก็... พี่มาพูดทำไมอะเรื่องแฟนเฟิน ผมไม่มีหรอก จนจะตายใครเขาจะชอบ!”
“บ้าแล้ว ถ้าเป็นกูจะคบใครนะ กูไม่สนเรื่องอื่นหรอก จะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอื่นไปทำไมวะ” โอ๊ะ พี่พีร์พูดจาเข้าท่าอะครับ อืม...จะว่าไปนะ ผมก็อยากจะระบายเรื่องในใจผมให้เขาฟังเหมือนกัน พี่พีร์ดูเป็นคนที่... เหมือนพี่ชายน่ะ พออยู่ใกล้แล้วมันก็สบายใจ ผมลองมองพี่พีร์ที่ยังคงกินข้าวต่อ คิดวนไปเวียนมาว่าจะเล่าให้พี่พีร์ฟังดีมั้ย?
“.พี่พีร์..”
“หืม?”
“ผมน่ะ เคยอกหักแหละ”
“...” พี่พีร์เงยหน้ามามองผมนิดหนึ่งแล้วก็กินต่อ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าพี่พีร์กำลังตั้งใจฟัง
“มันเจ็บมากเลยนะพี่...ตอนนั้นน่ะ...” ผมเขี่ยต้นหอมออกจากผัดกะเพรา ว่าแต่ผัดกะเพราที่ไหนใส่ต้นหอมวะ!
“แต่แล้วมันก็ดีขึ้น ผมไม่ค่อยนึกถึงเรื่องนั้นแล้วละ เพราะมันมีคนที่ทำให้ผมคิดถึงมากกว่า” ผมเงยหน้าขึ้น เห็นพี่พีร์มองผมอย่างตั้งใจ ความรู้สึกประหลาดแผ่ซ่านขึ้นมาในอก
อบอุ่น...
“ผมกับคนๆนี้อยู่ห่างกันมากครับ เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว แต่เค้าก็ยังติดต่อมาเสมอ” ผมยิ้ม และก็เห็นว่าสายตาของพี่พีร์ก็ยิ้ม
“ไม่เจอกันนานเท่าไรแล้วละ”
“... จะสองปีแล้วครับ ที่ผมเห็นแต่รูปถ่าย กับโน้ตใบเล็กๆที่เค้ามักจะแนบมาให้เวลาส่งรูปถ่ายมาให้ผม”
“ไม่โทรคุยกันเลยเหรอ?” ผมส่ายหัว
“แล้วแชทละ?” ผมส่ายหัวอีก
“เฮ้ย! พวกมึงจะอาร์ตไปไหนวะ ไม่คิดถึงหรือไง”
“คิดสิครับ แต่เพราะผมคิดว่ายังไงสักวันเค้าก็ต้องกลับมา และผมก็เชื่อ... เชื่อใจเค้าที่สุด...”
“...เออ... ก็แล้วแต่มึงเถอะนะ ต่างคนต่างใจ แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจการกระทำของมึงจริงๆว่ะ” พี่พีร์พูดแล้วก็เกาหัว ขนาดผมเองยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลยครับพี่
“ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยนะครับ”
“ไอ้กิก็ไม่รู้เหรอ?”
“ครับ”
“รูมเมทมึงก็ไม่รู้” ผมส่ายหัวอีก
“แล้วเล่าให้กูฟังทำไม?”
“ผมคุยกับพี่แล้วรู้สึกสบายใจ” พอได้ยินผมบอกแบบนี้ พี่พีร์ก็นิ่งไม่พูดเลยครับ ผมพูดอะไรผิดไปเปล่าเนี่ย > <
“ก็กูเป็นพี่มึงนี่” มือใหญ่ข้ามโต๊ะมาขยี้หัวผมจนหัวกระเซิง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะน่ารำคาญหรือไม่ชอบเลยนะเนี่ย แต่ถ้าพี่พีร์รู้ว่าคนที่ผมพูดถึงไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย พี่พีร์จะว่ายังไงน้อ...
********************************************************
** มีคนถามว่าพี่จินกับเอมติดต่อกันได้ยังไง?
อ้างอิงจากตอนที่แปดค่ะ คือครั้งแรกที่พี่จินส่งรูปมาให้เอม
และเรื่องสำคัญ หลังจากพวกรุ่นพี่จบไปประมาณสี่เดือน ก็มีจดหมายปิดผนึกส่งมาถึงผมฉบับหนึ่ง ซองจดหมายจ่าหน้าถึงผม ผู้ส่งไม่มีชื่อ มีแค่ที่อยู่... จากที่ไกลแสนไกล... Paris
ข้างในซองเป็นรูปหนึ่งใบ รูปที่ทำให้ผมสับสนจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง รูปที่มีเด็กชายตัวเล็กยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลา ใบหน้าที่เย็นชากับสายตาคมปลาบ แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง นั่นคือบรรยากาศรอบๆในรูปนั้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอบอวลอยู่เต็มรูปภาพ ผมเผลอหยิบรูปมาแนบอก ลมหายใจติดขัด...
และตอนที่ 9 คือตอนที่เอมทำใจกล้าบอกที่อยู่ตัวเองให้กับผู้ชายค่ะ -//-
หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจส่งรูปถ่ายงานจบการศึกษาของผมกลับไปให้พี่จินโดยจ่าหน้าช่องที่อยู่ของผมเป็นที่นี่ ผมจึงได้รับพัสดุกล่องนี้มา มันเป็นการบอกพี่จินอ้อมๆน่ะครับว่าผมย้ายมาอยู่หอในมหาวิทยาลัยแล้วนะ เอ่อ...ผมรู้สึกเขินจัง -//-
:L2: :L2:
*** อันนี้ลิงค์เพลงที่เอามาใส่ในเรื่องค่ะ โคตรเพราะเลย > <b
http://youtu.be/NgQUBecM7OM (http://youtu.be/NgQUBecM7OM)
เพลงเขาเนื้อหาดีด้วยนะ
Love Sick
- 14 -
ผมนอนไม่หลับทั้งคืน...
สายตาก็คอยแต่จะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังอยู่เรื่อยเลย ใจก็อยากจะกดโทรศัพท์โทรไปหาใครสักคนที่อาจจะบอกผมได้ว่าเอมไปอยู่ที่ไหน แต่ก็ตัดใจไม่โทร...
เมื่อรอจนเช้าแล้วผมก็ค่อยๆคิดว่าเอมน่าจะไปหาใคร เอมคงไม่ไปหาพวกไอ้กิแน่นอน แล้วผมก็นึกออกว่าเอมเคยพูดเอาไว้ ว่าเอมไปรับจ๊อบกับไอ้พีร์ ไอ้พี่รหัสของเอม...
ผมต้องไปหาไอ้พีร์...
***********************************************************
“มึงมีอะไรวะตอง” ผมบังเอิญเจอไอ้รุ่นพี่ตอนที่มันกำลังจะออกจากห้องมันมาพอดี ผมรู้เลาๆว่าไอ้พีร์อยู่ที่นี่เลยมาดักรอ
“เอมอยู่กับพี่หรือเปล่า” พอผมถามแบบนั้นมันก็ทำหน้างง
“ไอ้เอมไม่ได้กลับห้องหรือไง? ถึงได้ไม่เจอกันน่ะ” อา...ถ้าไอ้พีร์พูดแบบนี้ แปลว่าเอมไม่ได้อยู่กับมัน ผมตัดสินใจเดินกลับ แต่ก็ถูกมันคว้าแขนไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิ ถ้าอยากจะไปเจอเอม ก็ไปพร้อมกูมั้ย เนี่ย เดี๋ยวกูต้องไปทำงาน คงได้เจอกับไอ้เอมแหละ” มันเสนอมา ผมก็เลยพยักหน้ารับ... ผมอยากเจอเอม
“มึงเนี่ยจะเงียบไปไหนวะ เงียบเกิ๊น” ก็เหมือนมึงที่พูดมากเกินแหละไอ้พีร์ ขนาดขับรถยังพูดไม่หยุด...
“แน๊ะ! กูว่าอยู่ยังเงียบอีก” ผมสะบัดหน้าหนี รำคาญมันเป็นบ้าเลยว่ะไอ้นี่ คนอะไรเสื๊อกเสือก ยิ่งผมได้ยินเสียงมันหัวเราะหึหึก็ยิ่งหงุดหงิด
หลังจากที่ผมต้องทนรำคาญไอ้พีร์มายี่สิบนาทีก็ถึงที่หมายสักทีครับ ผมกำลังจะได้เจอเอมแล้ว...
“อะ น้ำส้ม” แก้วน้ำส้มถูกยื่นมาตรงหน้าผม หน้าอย่างผมเนี่ยเหมาะกับน้ำส้ม? เฮอะ แต่กินก็ได้วะ ผมดูดน้ำส้มไปอึกหนึ่งก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมเงยหน้ามองอัตโนมัติ หวังว่าอาจเป็นเอมก็ได้
“ใครวะ?” แต่เสียงพึมพำด้วยความสงสัยของไอ้พีร์ทำให้ผมหมดความสนใจ รถสีขาวที่ไอ้พีร์ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ก็คงไม่ใช่เอมของผมแน่นอน...
“อ้าวเฮ้ย เอม มารถใครวะเนี่ย” ไอ้พีร์มันตะโกนเสียงดังแล้วเดินเข้าไปที่โตโยต้าสีขาวคันนั้น ผมเงยหน้ามอง รูปร่างที่ผมคุ้นเคย ใบหน้าสดใส เอมยังน่ารัก น่ารักเหมือนวันแรกที่ผมเห็น แต่วันนี้เอมดูพิเศษไปกว่าเดิม มันคืออะไรกันนะ...
เจิดจ้าไงล่ะ...
วันนี้เอมดูเจิดจ้า... ผมสงสัยที่มาของความเจิดจ้าในตัวเอม และเมื่อผมได้เห็นอีกคนที่เดินก้าวลงมาจากรถ ความสงสัยของผมก็กระจ่าง...
“เอม เพื่อนมึงมารอแน่ะ แล้วนี่ใครเนี่ย”
“คนนี้คือพี่จินครับ เป็น... เอ่อ...” เสียงหวานที่ผมชอบฟังเสมอกำลังจะแนะนำไอ้ผู้ชายคนนั้นให้กับไอ้พีร์ ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าไอ้หมอนี่... คือคนเดียวกับที่ส่งรูปส้นตีนพวกนั้นมาให้เอม...
“ผมเป็นแฟนของเอม” หึ.. ไอ้หน้าด้าน คนอย่างมึงไม่คู่ควรจะเป็นเจ้าของเอมหรอก..
ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองต่างๆนาๆ แต่สีหน้ามีความสุขของเอมทำให้ผมอยากจะเป็นบ้า ทำไม... ทำไมเอมถึงดูมีความสุข ทำไมเอมถึงยิ้ม เอมชอบที่อยู่กับมันเหรอ ไม่จริงหรอก เอมต้องชอบที่ได้อยู่กับผมสิ..
ภาพของเอมเวลาที่อยู่กับผมมันผุดขึ้นมาเป็นฉากเหมือนหนังสั้น เอมที่พูดคุย ยิ้ม และหัวเราะ... แต่ไม่ได้ดูสดใสเหมือนตอนนี้... ตอนที่อยู่ข้างๆมัน...
“แล้วพี่พีร์บอกว่าใครมาหาเอมเหรอครับ”
“อ๋อ ก็ไอ้ตองไง มันนั่งอยู่นั่นน่ะ” ผมเห็นสายตาตกใจของเอมที่มองมาที่ผม ใจผมมันหล่นวูบ สารพัดสิ่งที่ผมคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดมันหายไปกับสายลม เหมือนกับคลื่นที่พัดสูงสุดและก็ยุบตัวมารวมกับผืนน้ำเบื้องล่างในพริบตา ต่อให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองแค่ไหน ความจริงที่เห็นอยู่มันก็ชัดเจนยิ่งกว่า...
ต่อให้ไม่มีไอ้หมอนี่... เอมก็เป็นได้แค่เพื่อนสำหรับผม...
และที่ผมเข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เอมดูมีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่ข้างๆมัน...
“ตอง... มีธุระอะไรหรือเปล่า” เอมเดินมาหยุดตรงหน้าผม เสียงเอมดังอยู่ใกล้ผมเหลือเกิน ความมั่นใจและหยิ่งทะนงของผมในตอนแรกยิ่งหดเหลือน้อยลงเมื่อรับรู้ได้ว่าเอมกลัวผม... ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ...เพราะรู้ว่าตัวเองทำตัวน่าเกลียดแค่ไหนเมื่อคืนนี้..
“ถ้าตองจะมาคุยเรื่องเมื่อคืน เราจะขอให้คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ย...” ผมมองเห็นแล้ว ตากลมโตที่มีน้ำตาคลอ ผมทำอะไรลงไป... ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัวเองของผม... มันทำลายความรู้สึกของเอมไปจนหมด..
“เราขอโทษนะเอม เราขอโทษจริงๆ ” น้ำตาผมหยดผ่านแก้ม รู้สึกโกรธตัวเองเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำลงไป ยิ่งเอมจับมือผมเอาไว้อย่างอ่อนโยนแบบนี้ก็ยิ่งเกลียดตัวเอง...
***********************************************************
“เราไม่โกรธแล้วละตอง...” ผมพูดเสียงอ่อน ความโกรธหายไปหมดเลยจริงๆครับ คนเราจะรู้สึกผิดจริงหรือไม่จริงเนี่ย มันไม่ได้ดูยากหรอกนะ ถ้าคุณไม่ใช่คนโกหกเก่งจริงๆน่ะ และผมก็มั่นใจว่าตองไม่ใช่คนที่โกหกเก่งแน่นอน
ผมอดไม่ได้ที่จะดึงตองให้มากอดเอวผมไว้ ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาชื้นๆที่ตรงท้อง และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อก็มีมือมาแตะที่ไหล่ผม
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” อื้อหือ พระเอกมาเสียแล้ว สงสัยงานจะงอกก็คราวนี้ละ..
“ไม่มีอะไรครับพี่จิน เพื่อนเอมแค่มีปัญหานิดหน่อย” ผมรู้สึกได้ถึงแรงบีบแน่นขึ้นตรงเอว แรง... แรงจนเหมือนว่าเล็บจะจิกลงบนผิวเนื้อ หลังของตองสั่นเท่าเพราะสะอื้น ผมมองเห็นสายตาที่พี่พีร์มองมาแล้วก็แอบแปลกใจเล็กๆ มันแปลกๆนา...
“เราไม่เป็นอะไรแล้วละเอม ขอโทษนะ...” พอพี่จินเดินถอยออกไป ตองก็เงยหน้าขึ้นมา ผิวหน้าเนียนแดงช้ำเพราะร้องไห้ สายตาเศร้าของตองทำให้ผมรู้สึกแย่ไปด้วย แต่ผมเชื่อ... เชื่อว่าวันเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...
“เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะตอง” ผมบีบมือตองเอาไว้และยิ้มให้ ตองลุกยืนขึ้นและเอามือถูหน้าแรงๆ ปลายจมูกโด่งเป็นรอยแดงนิดๆ
“ไปละ ขอให้...มี... ความสุขมากๆนะ” ประโยคสั้นๆแต่ผมรู้ว่ามันพูดออกมายากแค่ไหน ตองเดินไปแล้ว ผมได้แค่ยืนมองตองเดินไป
“เดี๋ยวกูไปส่ง” อะ...พี่พีร์มาอารมณ์ไหวหว่า มาบอกจะไปส่งตอง แต่อุ๊ย ไม่สำเร็จแน่ละ เพราะตองมันเดินลิ่วออกไปไม่รอเลย พี่พีร์หันมาทำท่าคั่นเวลากับผมแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ก่อนจะขับตามตองออกไป
“เอม ไม่มีอะไรกันใช่มั้ย” เย้ย! พี่จินมามาดนิ่งซะผมปรับอารมณ์ไม่ทันเลย ทำไมถึงจมูกไวแบบนี้คร้าบบบ
“ก็... นิดหน่อยครับ แต่ไม่มีอะไรแล้วแหละ” ผมพยายามทำท่าออดอ้อนโดยการเข้าไปเกาะเอวพี่จิน ใบหน้าคมยิ้มนิดๆ ผมรู้นะว่าพี่ชอบที่ผมเข้าไปนัวเนีย > <
“ไม่มีก็ไม่มี แต่เอมจำไว้นะครับ ถ้ามีอะไรแล้วไม่บอกพี่ ปล่อยให้พี่รู้ทีหลังเนี่ย เอมจะโดนไม่ใช่น้อย” เสียงอ่อนโยนและท่าทางที่แสนใจดี ขัดกับแววตาอำมหิต พี่จินจูบหน้าผากผมแล้วทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะเดินหล่อขึ้นรถแล้วขับออกไป...
ผมนั่งเหวอแดกกับท่าทางซาดิสม์ของพี่จินอีกอึดใจ ก่อนจะคิดได้ว่าผมกำลังรับจ๊อบหาเงินกินขนมอยู่ ถ้างานเสร็จไม่ทันกำหนด ไม่แคล้วว่าจะได้ทำงานชดใช้ต่ออีกจนเปิดเทอม
ผมนั่งทำงานไปเพลินๆ ผ่านไปประมาณชั่วโมงนึงพี่พีร์ก็กลับมา ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าตกลงได้ไปส่งตองหรือเปล่า พี่พีร์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เอม ไอ้เพื่อนมึงคนนี้เนี่ย แม่งโคตรเงียบซะจนพี่ใบ้ตามเลยว่ะ” พี่พีร์พูดแล้วหยิบบุหรี่มาจุดสูบ ควันลอยโขมงจนผมต้องหันหน้าไปสำลักควันทางอื่น
“อ้าวเฮ้ย โทษทีๆ พี่ลืมไปว่ามึงไม่ชอบควันบุหรี่” พี่พีร์ใช้เท้าขยี้บุหรี่ให้ดับแล้วหยิบหมากฝรั่งออกมาเคี้ยวแทน
“ตองก็เป็นคนเงียบมาตั้งแต่แรกแล้วครับพี่พีร์” ผมยิ้ม จับสัมผัสบางอย่างได้... หึหึ เสร็จผมแน่ไอ้พี่พีร์
“พี่ก็พยายามชวนมันคุยนะ แต่มันก็คอยจะหันหน้าหนี แล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะว่ะ”
“พี่ก็อย่าไปเซ้าซี้ ตองเขาขี้รำคาญคนพูดมาก” ผมแอบกัดพี่พีร์เสียหนึ่งทีแล้วก็รีบชิ่งไปทำงานต่อ ปล่อยให้เขายืนประมวลผลอยู่ตามลำพังอย่างนั้นแหละ เชื่อเหอะ จนเย็นมันก็คิดไม่ออกหรอกว่าผมหลอกด่า 55+
พอช่วงเที่ยงๆพี่จินก็มารอพาผมไปกินข้าวตามที่บอกไว้ ผมเป็นคนจัดรายการว่าจะพาพี่จินไปเปิบพิสดารที่ไหนดี และก็เตือนตัวเองว่าต้องไม่ลืมซื้อข้าวกลางวันมาเผื่อพี่พีร์ด้วย
ร้านที่ผมพาพี่จินไปกินเป็นร้านข้าวซอยเจ้าประจำ ผมคิดว่าพี่จินน่าจะชอบ แต่ดูเหมือนว่าพี่จินเป็นคนกินง่ายพอสมควรแฮะ เพราะขนาดของที่ไม่เคยกินมาก่อน พี่จินก็ไม่ลังเลที่จะลองชิมดู
“พี่ว่ามันก็อร่อยดีนะครับไอ้ข้าวซอยเนี่ย”
“ดีจังครับที่พี่จินกินง่าย ไม่เหมือนเพื่อนเอมคนนึงที่มันกินย๊ากยาก ชาวบ้านเขากินได้ มีไอ้นี่คนเดียวกินไม่ได้” ผมหมายถึง ’กิ’ น่ะครับ ไอ้หมอนี่มันกินยากจริงๆนะ อะไรที่ไม่เคยกินมาก่อนเนี่ย อยากจะให้มันลองชิมยังยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาอีก อย่างข้าวซอยร้านป้าที่พวกผมโปรดปรานกันสุดๆ กว่าไอ้กิมันจะยอมลองชิมก็ปาไปเป็นเทอมแล้วแหละ
“แต่ถ้าเป็นพวกหนอนอะไรนะ ที่เขาขายๆตามรถเข็นอ่ะ พี่ไม่กินนะ รับไม่ได้” พี่จินทำท่าขนลุกประกอบ แหม ผู้ชายตัวเบ้อเริ่มไม่กล้ากินหนอน แต่เอาเถอะเรื่องหนอน เพราะผมก็ไม่กินเหมือนกัน > <
“เดี๋ยวสั่งกลับไปให้พี่พีร์แป๊บนึงนะครับ” จนจะคิดเงินอยู่แล้วผมถึงเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้สั่งเผื่อพี่พีร์เลย ผมหันไปสั่งอาหารกับน้องเด็กเสิร์ฟ พอหันกลับมาก็เห็นพี่จินทำหน้านิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมพี่ทำหน้าแบบนั้นละ” ผมแปลกใจ ตอนแรกยังยิ้มๆอยู่เลย แล้วทำไมตีหน้ายักษ์ซะงั้น
“เปล่าหรอกครับ ว่าแต่เอมสนิทกับพี่รหัสมากเลยเหรอ” พี่จินยิ้มแต่เสียงไม่ยิ้มอะ แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าพี่จินหมั่นไส้พี่พีร์ชัวร์ จากประสบการณ์ตั้งแต่สมัยที่คบกับพี่เปปเปอร์ เวลาพี่จินเห็นผมคุยอยู่กับพี่เปปเปอร์ก็จะชอบเข้ามากวนตีนใส่ ทำตาขวางๆ ทำท่าหาเรื่องแบบนี้เลยละครับ
“พี่เขานิสัยดีกว่าที่เห็นนะครับ” ผมพยายามจะไม่พูดถึงพี่พีร์ในแง่ดีมากเกินไป ไม่งั้นอาจจะเป็นชนวนก่อให้เกิดการหมั่นไส้มากขึ้น เหอะๆ
“อืม” พี่จินยกน้ำขึ้นมาจิบ ผมมองแบบตุ๊มๆต่อมๆ จะเข้าใจง่ายๆหรือเปล่าว้า “พี่ว่าคืนนี้เราคงต้อง ‘คุย’ กันยาวแล้วแหละ พี่อยากจะรู้เรื่องเพื่อนๆแล้วก็คนรู้จักของเอมให้หมดเลย” แง้! พี่จินไม่เข้าใจอะไรเลยง่ะ
บ่ายทั้งบ่ายวันนั้นผมได้แต่ประสาทแดก เพราะว่าถูกท่าทางใจดีของพี่จินหลอกให้คล้อยตามจนลืมไปแล้วว่าคนๆนี้งี่เง่าไม่แพ้ใครในโลก แถมเวลาโมโหก็บ้าสุดๆ
“เป็นไรวะมึง ถอนหายใจอยู่ได้” พี่พีร์เดินแทะกระดูกไก่มาที่ผม มือหนึ่งพี่แกยังถือชามข้าวซอยอยู่เลย อ๊ะ เฮ้ย พี่พีร์มันแอบกินลูกชิ้นปลาระเบิดผมอ้ะ
“เรื่องหัวใจ” ผมตอบเสียงขุ่น เพราะแกแท้ๆไอ้พี่พีร์ ผมแอบเคืองทั้งที่พี่พีร์มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะ
“อะไรวะ แล้วมาทำเสียงงี้ใส่พี่ทำไมเนี่ย” พี่พีร์พูดแล้วพ่นกระดูกไก่ใส่ถุงก๊อบแก๊บ อี๋ หล่อเสียเปล่าทำตัวซกมก
“ก็เพราะพี่แหละแม่ง ทำแฟนผมหึง!”
“แฟนมึง? ใครแฟนมึง? อ๊ะ... อย่าบอกนะว่าไอ้หล่อนั่น!!” ฮึ้ยยยยยย ผมละอยากจะกระชากหัวไอ้พี่พีร์มาตบนัก มันจะโวยวายทำไมเนี้ยยย
“ก็ใช่สิ คนนั้นแหละ คนเดียวกับที่ผมเล่าให้พี่ฟังเมื่อวานอ้ะ”
“อ้าว ไหนมึงบอกว่าอยู่ไกลกันไง ทำไมแค่วันเดียวมันก็มาอยู่ใกล้มึงแบบนี้แล้วอะ”
เมื่อดูท่าว่าเรื่องราวจะบานปลาย ผมจึงตัดสินใจจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ก่อนที่ไอ้พี่พีร์จะคิดไปเองจนใหญ่โต พอผมเล่าจบ ดวงตาขวางๆของพี่พีร์ก็ดูชั่วขึ้นมาถนัดตามันหัวเราะเสียงต่ำแล้วบีบไหล่ผมแน่น
“มึงบอกว่าแฟนมึงขี้หึงใช่มะ งั้นเดี๋ยวพี่จัดการให้เองนะ”
เฮ้ย ไม่อ๊าวววววววววว~
ผมรู้มาแต่แรกแล้วว่าพี่พีร์หล่อ รวย เท่ห์ กินเหล้าเก่ง สูดนิโคตินเข้าปอดเหมือนหายใจเอาอ๊อกซิเจนธรรมดา ฯลฯ เรื่องชั่วๆของพี่พีร์ผมก็คิดว่ารู้มาหมดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าเวลาพีพีร์กวนตีนจะมากขนาดนี้...
“อ้าวเอม นั่นแฟนมึงนี่หว่า” พอพูดจบมือใหญ่ของพี่พีร์โอบไหล่ผมไว้แน่น มึงไม่เอาเชือกมามัดกูไว้กับตัวมึงเลยละครับพี่!!
ผมเห็นแต่ไกลว่าพี่จินทำหน้ายังไงเมื่อเห็นพี่พีร์โอบไหล่ผมไว้แบบนี้ โมโห สงสัย แปลกใจ โอ๊ยสารพัดอะครับ วันนี้ไม่ไอ้เอมก็พี่พีร์เนี่ยละไม่ตายดี
“ไปๆ กลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ” แอร๊ย! พี่พีร์ลูบหัวผมอ่ะ มันเล่นเนียนมากเลยนะนี่ ผมเลยเอามือผลักพี่พีร์ให้ออกห่าง พี่จินก็กำลังเดินมาใกล้ แต่ไอ้พี่พีร์ก็ไม่ปล่อยผมสักที
‘พี่พีร์แม่ง เล่นอะไรเนี่ย’ ผมกระซิบเสียงขู่ พี่จินมันเดินมาจะถึงแล้วนะเว้ย
‘ก็พี่อยากรู้ว่าแฟนมึงขี้หึงแค่ไหนอะ ดูดิ แม่งเหมือนมีเขี้ยวงอกเลยว่ะ ฮ่าๆ’ โอ๊ย ยังจะหัวเราะอีก กูจะบ้า T T ผมมองหน้าพี่จินแล้วก็รู้สึกแบบที่ไอ้พี่พีร์มันพูดครับ หน้าพี่จินโคตรนิ่ง ตาก็ดุ เหมือนกับจะกัดหัวใครได้แล้วอย่างนั้นแหละ
“มีอะไรหรือเปล่า?” อู๊ยยยย เสียงพี่จินยังกับน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออะ ผมจับทิศทางได้ว่าพี่จินมันจ้องไปที่มือไอ้พี่พีร์ที่โอบผมอยู่ ผมแอบใช้เล็บจิกเนื้อพี่พีร์แต่มันก็ไม่รู้สึก นี่มันเนื้อคนหรือหนังควายเนี้ย!
“เปล่าหรอกครับ ก็แค่เอ็นดูน้องมันเฉยๆ พี่น้องกัน เอ็นดูกันไม่ได้เหรอครับ?” พี่พีร์ยักคิ้วใส่แล้วยิ้มแบบที่ผมก็ดูออกว่ามันเสแสร้งสุดๆ ขนาดเป็นผมยังอยากจะตบให้หัวทิ่มเองเลยครับ - -*
“ถ้าเอ็นดูเสร็จแล้วก็ช่วยปล่อยได้มั้ยละครับ นี่ก็เลิกงานแล้วไม่ใช่เหรอ?” บราโว่ พี่จินของผมยังคงใจเย็นอยู่ แต่สีหน้าดูร้อนจัดเลยนะ
“เอ... ผมก็ไม่รู้ว่าผมเอ็นดูเสร็จแล้ว แต่น้องเขาอยากจะเปลี่ยนมาดูเอ็นผมแทนมั้ย... โอ๊ย!” ไม่ต้องตกใจครับ เสียงไอ้พี่พีร์เนี่ยแหละ รู้สึกว่ามันจะเล่นแรงไปแล้วละ ผมก็เลยจัดการใช้ส้นกระทืบเท้าพี่พีร์เต็มรัก นึกสภาพดูนะ ผมโคตรโกรธอะ พูดอะไรซกมกขนาดนี้วะแม่ง
“พี่พีร์นิสัยว่ะ ผมโกรธแล้วนะเนี่ย เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องมาคุยด้วยเลย” ผมเตะเจาะยางพี่พีร์แล้วก็รีบวิ่งไปหาพี่จินที่ทำหน้างงปนสะใจเล็กๆ ได้ยินเสียงพี่พีร์ร้องโอดโอยขอโทษมาตามลม แต่ผมไม่สนอะ โกรธแม่ง! ต้องรีบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนที่ผมจะเดือดจัดจนเอาพู่กันฟาดหัวพี่พีร์!!
“ทำไมไอ้นั่นมันถึงทำแบบนั้น” พี่จินถามผมขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ขับรถออกมาจากบริษัทพี่พิงค์ได้ไม่กี่อึดใจ สีหน้าพี่จินดูรีแล็กซ์ขึ้นแล้วละครับ ไม่มีแววอำมหิตเหมือนตอนแรก - -“
“ก็เขากวนตีนน่ะสิครับ... พอเอมบอกว่าพี่เป็นแฟนเอม เขาก็บอกว่าอยากจะรู้ว่าพี่ขี้หึงมากแค่ไหน...” ผมลืมคิดไปว่าพี่จินจะโกรธไหมถ้าผมบอกคนอื่นๆว่าพี่จินเป็นแฟนผม แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว ก็คงต้องพูดต่อให้จบอะนะ...
“แล้วเอมว่าแฟนของเอมขี้หึงมั้ย” ผมเงยหน้ามองพี่จินเหมือนไม่เชื่อหู พี่จินบอกว่า ‘แฟนของเอม’ หน้าตาก็ดูยิ้มน้อยๆ พี่จินไม่โกรธใช่มั้ย?
“เอม...ว่า...แฟนของเอม...ขี้หึงครับ...” อึ๋ย เขินอ้ะ ถ้าพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรยังไม่เขินแบบนี้เลยนะ แต่เนี่ยผมต้องมาพูดเน้นๆ ว่า แฟนของเอม แฟนของเอม...
พี่จินเป็นแฟนของเอมล่ะ >//<
เอี๊ยดดดดดดดดดดด!
“เหวอ!!!!!!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆพี่จินก็เลี้ยวหักศอกเข้าข้างทาง โชคดีที่ว่าเริ่มมืดแล้ว ถนนก็เลยโล่ง หัวใจผมเต้นตึกตักๆ และยิ่งเต้นแรงจนแทบจะทะลุอกเมื่อรู้สึกว่าพี่จินโน้มหน้ามาใกล้ผมเหลือเกิน...
“ตกใจเหรอ... กลัวหรือเปล่า” มืออุ่นของพี่จินแตะเบาๆที่แก้มผม เหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้มันเลือนหายไปหมดเลยครับ ผมมองเห็นผิวของพี่จินอยู่ใกล้แค่คืบ เหมือนว่าจะได้กลิ่นของพี่จินด้วย...
“พี่เป็นคนขี้หึงรู้มั้ย พี่หวง... ของๆพี่ พี่ไม่อยากให้ใครมาแตะต้อง พี่รักของพี่ พี่เฝ้ามองของพี่มาตลอด หากจะมีใครสักคนที่จะมาแตะต้องของๆพี่ได้ คนนั้นก็จะต้องเป็นพี่...เท่านั้น” ริมฝีปากของพี่จินแตะลงมาอย่างแผ่วเบาและค่อยๆแทะเล็มไปอย่างไม่เร่งร้อน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกร้อนจนเหมือนจะละลาย
“อื้อ...” เสียงรสจูบดังท่ามกลางความเงียบ พี่จินผละออกไปแล้วและเปลี่ยนมาหอมแก้มของผมฟอดใหญ่ ผมหลับตาปี๋ ไม่อยากมองหน้าพี่จินเพราะมันเขิน ให้ตายเถอะทำไมผมอ่อนไหวง่ายแบบนี้ > <
“พี่ว่ากลับบ้านดีกว่านะ เดี๋ยวจะได้เล่นหนังสดโชว์ผู้คนบนท้องถนนซะก่อน” ผมเห็นนะว่าพี่จินพูดแล้วยิ้มกริ่ม ฮึ่ม คนลามก!!
ปล.ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ เนื่องจากงานเร่ง + ทะเลาะกับคุณแฟน (อันหลังเรื่องใหญ่มาก 555)
ก็เลยทำให้ล่าช้าไปเยอะ แล้วก็อยากจะบอกว่า วันหยุดอีกสามวันนี้ จะหายยาวเลยค่ะ
เพราะว่าจิกลับบ้านนอกที่แสนคิดถึง ขอไปสูดอากาศหนาวๆจั๊กหน่อยค่า
ปล.2 พยายามจะตามบวกคืน แต่อาจบวกได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องขออภัยจริงๆค่ะ :call:
กอดทุกคน :กอด1:
Love Sick
- 15 -
“วานิลลา เด็กดี หิวมั้ยคร้าบบ” เจ้าเหมียวขนฟูวิ่งหางชี้เข้ามาหาเมื่อได้ยินเสียงประตูหน้าบ้าน วานิลลากระโดดเกาะหมับเข้าที่ขากางเกงยีนส์ของผมแล้วก็ใช้เล็บจิกแน่น เอ่อ... นี่เป็นนิสัยเสียของวานิลลาในช่วงนี้น่ะครับ หลังจากวันแรกที่มาอยู่วานิลลาเอาแต่นอนลูกเดียว พอวันที่สองเท่านั้นแหละก็ซนอย่างกับลิง แล้วเวลาเห็นคนใส่กางเกงยีนส์มันก็จะชอบกระโดดเกาะด้วยละครับ ห้ามก็ไม่ฟัง - -* ว่ายากเหมือนใครก็ไม่รู้
“ไหนให้พี่เอมหอมหน่อยสิ” วานิลลาดิ้นดุ๊กดิ๊กตอนที่ผมอุ้มขึ้นมา มันห่วงเล่นน่ะครับ เหอะๆ แต่ผมก็คิดถึงมันทั้งวันเหมือนกันอะ อยากฟัดขนนุ่มๆจะตาย
“เดี๋ยวขนก็เข้าจมูกหรอกครับเอม” พี่จินที่เดินตามเข้ามาทีหลังพูดขึ้น ผมทำแก้มป่องแล้วฟัดเจ้าเหมียวน้อยต่อ
“ต่อให้เอมเป็นภูมิแพ้ เอมก็จะฟัดมันแบบนี้แหละ เชอะ”
“เด็กดื้อ” พี่จินขยี้หัวผมแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา ก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมไปใกล้ๆ
“มานั่งนี่มา”
ผมเดินไปนั่งข้างพี่จิน วานิลลาก็ยังคงอยู่ในอ้อมกอด เจ้าลูกขนฟูๆเอามือตะปบเสื้อผมอย่างเมามัน น่ารักอ้ะ > <
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็วาดได้อีกเยอะเลยครับ เอมคิดว่าอีกไม่เกินห้าวันก็เสร็จ ถ้ามีงานแบบนี้บ่อยๆก็ดีนะครับ เพราะว่ามันเป็นงานแบบที่เอมถนัด แล้วค่าตอบแทนก็ดีด้วย” คำนวณโน่นนี่นั่นแล้ว เงินที่ได้รับยังเอาไปเก็บไว้เผื่อฉุกเฉินได้อีก หุหุ หวาน~
“พี่ก็ว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่... พี่กะว่าจะไม่ให้เอมรับงานแล้วละนะ” ผมหันควับไปมองคนที่พูดเรียบเรื่อยด้วยอารมณ์งุนงง
“แล้วถ้าเอมไม่รับงานพิเศษ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายละครับ”
“ก็ไม่ต้องหาเงิน พี่จะดูแลเอมเอง” ปรี๊ดดดดดเลยครับ!
“ได้ยังไง? พี่จินจะมาเลี้ยงเอมยังงั้นเหรอ เอมรู้ว่าพี่จินรวยนะครับ แต่ไม่มีความจำเป็นที่พี่จะต้องเอาเงินของพี่มาให้เอมช่วยใช้ งานพิเศษที่เอมทำมันไม่ได้ลำบากเลย นานๆทีเอมถึงจะรับงาน แถมค่าตอบแทนก็สูง เรื่องค่าเล่าเรียนเอมก็ได้ทุน พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก!” ผมพูดเสียงเหวี่ยง มันหงุดหงิดบอกไม่ถูก แค่ลำพังตอนนี้ผมรับรู้ว่าพี่จินรวย ผมก็รู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับเหวอยู่แล้ว พี่จินมีอนาคตสดใสรออยู่ แต่ผมเนี่ยต้องตะเกียกตะกายแทบตายกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้อยากจะให้ใครพูดได้ว่าผมรักพี่จินที่เงิน
“เอมใจเย็นๆ พี่ไม่ได้ดูถูก ไม่ได้คิดจะใช้เงินซื้อเอม แต่พี่แค่อยากให้เอมเก็บเงินที่เอมหามาได้ไว้ต่างหาก เอมอยู่กับพี่ พี่ก็ต้องดูแลเอมให้ดีไม่ใช่เหรอ แบบนี้มันก็เหมือนว่าเอมฝากชีวิตไว้กับพี่แล้วนะ” หา? อยู่กับพี่?
“พี่จินหมายความว่ายังไง อยู่กับพี่งั้นเหรอครับ? เอมแค่จะมาอยู่ชั่วคร-” ผมพูดไม่จบนิ้วเรียวยาวก็มาแตะริมฝีปากผมให้หยุดพูด
“ชู่ว์... อย่าพูดว่าจะมาอยู่ชั่วคราวเด็ดขาดนะ เอมหลวมตัวมาที่นี่แล้ว ก็ต้องอยู่ไปตลอดจนกว่าพี่จะคิดย้ายไปที่อื่น ถ้าเอมไม่อยู่กับพี่ เอมก็จะไม่ได้เจอวานิลลานะครับ เพราะพี่ไม่มีทางให้เอมเอาวานิลลาไปอยู่ในห้องแคบๆแน่ แมวน่ะ ต้องอยู่ในที่กว้างเพียงพอกับการวิ่งเล่นนะ และก็อย่าคิดที่จะไปๆมาๆ เพราะพี่บอกแล้ว ถ้ามา ก็ต้องมาถาวร” พอพี่จินพูดจบผมก็อ้าปากค้าง โอ้มายก็อด....
“อ้าปากค้างแบบนี้ทำไมกัน ไม่เรียบร้อยเลย“ พี่จินเอามือบีบคางผมให้หุบปาก ก่อนจะแตะจูบเบาๆ ตัวผมเองก็เหวอไปเรียบร้อย คิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทักท้วงว่ายังไง รู้สึกเหมือนตัวเองเดินมาติดหลุมพรางเองง่ะ ไหนจะกับดักน่ารักๆแบบวานิลลา ไหนจะชอบที่ได้อยู่กับพี่จิน ไหนจะไม่อยากกลับไปอยู่ร่วมกับตองสองต่อสอง...
โอย.....
อยากจะบ้า!!
ผมเหลือบมองวานิลลาที่กระโดดแผล็วไปจากตักผมแล้วก็กระโดดวิ่งเล่นไปทั่ว อา...วานิลลาคงไม่เหมาะกับห้องแคบๆจริงๆแหละ แถมยิ่งพอผมหันมามอง... คนที่นั่งวางท่าเป็นองค์ชายข้างผมเนี่ย... ขายาวๆ ใบหน้าหล่อที่ชอบยิ้มมุมปากน้อยๆ มือที่คอยจะมาลวนลามลูบไล้ตัวผม...
“เอมอยู่กับพี่จินก็ได้...” ผมก้มหน้างุด อายว่ะ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กใจแตกเลยแฮะ - -“
“เด็กดี มาให้พี่กอดหน่อยสิ” พี่จินยิ้มอย่างพอใจแล้วก็ดึงตัวผมไปนั่งตัก... อะ...ทะ...ท่านี้... เหมือน...เมื่อคืนนั้น...เลย
“อื๊อ พี่จินปล่อยนะ!” ผมดิ้นสุดฤทธิ์ พี่จินกลับกอดผมไว้แน่นมากขึ้น เสียงหัวเราะในลำคอบ่งบอกว่าพี่จินสนุกสนานมากแค่ไหนที่ทำให้ผมอายได้
“ทำไมละ ไม่ชอบที่ได้อยู่ใกล้พี่เหรอครับ? หืม เจ้าจิ๋ว” อ๋า! อย่ามาเรียกผมว่าจิ๋วนะ > <
“ฮื้อ พี่จินอย่าเอาจมูกมาถูแก้มเอมแบบนี้สิ... อ๊ะ แล้วนั่นอะไรแข็งๆ”
“อยากจับดูมั้ยละครับ หึหึ”
“ไม่อ๊าว ปล่อยนะคนลามก!!”
“ไม่ปล่อย ให้พี่กอดหอมให้หายคิดถึงเถอะ”
“อย่างพี่อ้ะ กอดทั้งวันหอมทั้งคืนก็ไม่พอหรอก ไอ้หื่น!”
“อ้าว ก็รู้นี่นา งั้นเอมจะได้เตรียมใจไว้เลยเพราะว่าพี่จะฟัดเอมไปโดยไม่หยุดพักอีกสามวันเลยละ” ผมระดมทุบๆที่ตัวพี่จิน แต่ก็เหมือนเอากำปั้นไปทุบหินละครับ ไม่สะเทือนเลย ยิ่งเห็นว่าผมทำอะไรไม่ได้ก็ยิ่งย่ามใจเอาปากขบเม้มตามซอกคอ คาง รวมถึงใบหูของผม ไอ้ร่างกายเจ้ากรรมก็ไม่รักดี จะไปโอนอ่อนตามเขาทำไมเนี่ยยยยยยย
“เมี้ยววววว~”
เสียงเล็กๆทำให้การกระทำทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งพี่จินและผมหันไปมองที่มาของเสียงซึ่งกำลังนั่งเอียงคอมองพวกผมอย่างสงสัยประมาณว่า ‘เล่นอะไรกันเหรอฮับ’ เจ้าก้อนขนเดินยักย้ายมาเกาะโซฟาตรงที่ผมถูกจับกดอยู่แล้วยกเท้าหน้ามาเขี่ยๆมือพี่จิน...
อ๊า~~~~~
น่ารักอ้ะวานิลลา~~~~
“พี่จินอะ เห็นมั้ย ทำอะไรอายวานิลลาบ้างสิ” ผมฉวยโอกาสที่พี่จินนั่งอึ้งขยับตัวออกมาจากอ้อมแขน มือทั้งสองของผมช้อนเจ้าตัวจิ๋วมาคลอเคลียที่ข้างแก้ม เหมือนว่าวานิลลาก็คงชอบที่ผมมาเล่นด้วย เพราะมันใช้อุ้งเท้าหน้าตบเบาๆที่แก้มผมกลับเหมือนกัน
“วานิลลาน่ารักที่สุดเลยมั้ยครับ น่ารักที่ซู้ดดดดเลยเนอะ พี่เอมพาวานิลลาไปหาอะไรกินดีกว่าเนอะ” ลูกผมน่ารักที่สุดอะ ขี้เล่นขี้อ้อน วันนี้วานิลลาเป็นเด็กดีช่วยให้พี่เอมหลุดรอดจากอุ้งเท้าพญามาร เพราะฉะนั้นวันนี้พี่เอมจะผสมอาหารเปียกให้กับอาหารเม็ดน้า > <b
“เอ่อ...แล้วพี่ละ...” สุดท้ายคนที่นั่งนิ่งก็รู้สึกตัว และก็เข้าใจเสียทีว่ามารผจญตัวเบิ้มก็คือเจ้าเหมียวขนฟูนั่นเองที่ได้รับการเอ็นดูจากชะเอมยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
“ฮึ่ม ไอ้แสบวานิลลา” พึมพำแบบหงุดหงิดแล้วก็ตัดใจ วันนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีวันหน้า ช้าๆได้พร้าเล่มงามสินะจินเจอร์...
***********************************************************
“อร่อยมั้ยครับวานิลลา” ผมมองเจ้าของเสียงหวานที่พูดจาจ๊ะจ๋ากับไอ้ก้อนขนนั่นด้วยความหมั่นไส้ ทีกับผมนะเอาแต่วิ่งหนี
“พี่จิน ไม่อร่อยเหรอครับ” เจ้าจิ๋วเสียงหวานทำตาเศร้าเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่จ้องแมวจนไม่ยอมตักข้าว แกงจืดวุ้นเส้นหมูบะช่อใส่เต้าหู้ไข่ที่ผมรีเควส กับผัดพริกแกงไก่ใส่ยอดมะพร้าวยังส่งควันกรุ่น ผมมัวแต่หึงแมวสินะ ...
“อร่อยสิครับ แต่พี่อยากรอกินพร้อมเอมมากกว่านะ” ช่วยย้ายก้นจากพื้นมานั่งตักพี่แล้วป้อนข้าวพี่แทนการคลอเคลียแมวจะดีมากเลยครับ... เอ่อ... ขอโทษทีที่ผมคิดอะไรโจ่งแจ้งไปหน่อย
“เอมเพิ่งเคยทำครั้งแรก ปกติแค่เจียวไข่กับต้มไข่ ไม่รู้ว่าจะถูกปากพี่จินแค่ไหน แต่ถ้าพี่จินชอบ เอมจะทำทุกวันเลยนะครับ” ผมยิ้มกลับไปให้เจ้าของใบหน้ามุ่งมั่น แกงจืดนั้นแม้ว่ามันจะจืดไปนิด ผัดพริกแกงก็เผ็ดไปหน่อย แต่โดยรวมทำครั้งแรกได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้วนะครับ ยิ่งเป็นของที่เอมทำให้ ผมว่ามันยิ่งอร่อยเลยแหละ
ไม่นานนักกับข้าวบนโต๊ะก็ถูกจัดการเรียบ ผมเห็นคนทำยิ้มหน้าบานก็มีความสุขไปด้วย ในฐานะที่เอมเป็นคนทำแล้ว ผมก็จะขออาสาล้างจานเอง ปล่อยให้คนกับแมวได้จี๋จ๋ากันต่อไปเถอะครับ
“อ๊ะ วานิลลา อย่าไปกวนปะป๊าสิครับ” หือ? ปะป๊า?
“เฮ้ย!” จู่ๆก็มีบางอย่างที่กระโดดมาเกาะขาผมเต็มรัก แล้วไต่ๆขึ้นมาจนถึงขอบกางเกงยีนส์ ผมก้มมองก็เห็นเจ้าแมวจิกเล็บแน่นบนยีนส์ตัวเก่งของผม อา...รอยเล็บเป็นทางยาวเลย ว่าแต่เมื่อกี้เอมพูดว่าอะไรนะ
“วานิลลา พี่เอมบอกว่าไม่ให้ไปกวนปะป๊าไงครับ” ชัดเลย ผมเป็น ‘ปะป๊า’ ของแมวเหมียวงั้นเหรอ?
“พี่เป็นพ่อแมวเหรอครับ?” พอผมถามแบบนั้นเอมก็ทำตาโต หน้าแดง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“..ใช่ครับ พี่จินตัวโต ก็ต้องเป็นปะป๊า..” ผมวางกองจานชามลงบนโต๊ะ ไอ้แมวแสบก็ยังเกาะขาผมอยู่แบบนั้น
“แล้วใครจะเป็นหม่าม้าละ...” ผมเกลี่ยนิ้วที่แก้มใสแดงเรื่อ ยิ่งอายพี่ก็ยิ่งหมั่นเขี้ยวนะเนี่ย...
“มะ...ไม่มีหม่าม้าครับ..”
“งี้เจ้าวานิลลาก็เป็นแมวกำพร้าสิ มีพ่อ แต่ไม่มีแม่...” อืม...ปากเล็กนั่นน่าจูบเสียจริง...
“เอมเป็นหม่าม้าให้วานิลลาไม่ได้เหรอครับ” ผมรุกต่อเมื่อเห็นเจ้าจิ๋วยังเงียบ หึหึ... วานิลลาทำดีมาก Good Job!
“อะ...เอมเป็นผู้ชายนะ”
“ก็ช่างมันสิ วานิลลาก็อยากให้เอมเป็นหม่าม้าใช่มั้ยครับ เหมียวๆ” ผมหิ้วคอเจ้าเหมียวที่เกาะขาผมอยู่ขึ้นมา จับเอาอุ้งเท้ามันเขี่ยๆแก้มเอม ในที่สุดผมก็รู้ละว่าจุดอ่อนเจ้าจิ๋วอยู่ที่ไหน...
“เป็น..เป็นก็ได้ครับ เอมเป็นหม่าม้าก็ได้” หึหึ เอาแมวมาล่อ คิดไม่ผิดจริงๆ...
“แล้วตอนนี้วานิลลาบอกว่าอยากมีน้อง งั้นหม่าม้ากับปะป๊าก็ต้องทำยังไงน้า..” ผมโยนแมวลงพื้น แล้วกระชับเอวของเอมให้มาแนบชิด ใบหน้าหวานเบิกตากว้าง แต่ผมไม่สนละจังหวะนี้ ไม่ต้องตกใจนะครับเอม เดี๋ยวพี่จินปลอบขวัญเอง..
เพียะ!!
“โอ๊ย!”
“ลามก! บ้า! ฉวยโอกาส!”
คงไม่ต้องบอกว่าหรอกนะว่าผมได้ทำน้องให้วานิลลาหรือเปล่า เพราะว่าการที่ผมมายืนล้างจานพร้อมกับรอยแดงห้านิ้วที่ต้นแขนเนี่ยมันคงอธิบายเรื่องได้ทั้งหมดแหละ..
แต่ถึงแม้จะถูกเล่นงานตอบโต้รุนแรง ผมก็ยังคงจินตนาการถึงร่างเปลือยเปล่าเร่าร้อนของเจ้าจิ๋ว โดยไม่รู้ตัวก็เผลอแสยะยิ้มน้อย ๆ ชนิดที่ถ้าเอมได้เห็นคงต้องรีบหนีห่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หึหึหึหึหึ
***********************************************************
รุ่งขึ้น
“ฮ้าววว~~”
“หาวแต่เช้า ง่วงอะไรนักหนาวะ” พี่พีร์ทักผมเสียงดัง ผมเห็นหน้าพี่พีรืแล้วก็นึกออกเรื่องเมื่อวาน หน้าผมก็เลยสะบัดหนีพี่พีร์โดยอัตโนมัติ
“อะไรวะ ยังโกรธพี่อยู่อีก โอ๋ หายงอนเถอะน้า” ผมกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงง้องอน ใครจะไปคิดละครับว่าพี่พีร์สามารถทำท่าปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้
“แน่ะ หายโกรธแล้วสิ สงสัยสามีดูแลดีเลยไม่ได้นอนใช่มะ” ป๊าดดด ไอ้พี่พีร์ส้นตีน ผมว่าจะหายโกรธละ ดันกวนตีนผมซ้ำอีก
“ปากแบบพี่เนี่ยมันน่าคุยด้วยมะ” ผมเดินหนีไปหยิบที่คาดผมมาคาด ทำงานดีกว่า
“แหม แค่ล้อเล่นน่า เห็นคนมีความสุขพี่ก็อิจฉาอะนะ”
“พี่พูดยังกับว่าชีวิตพี่เนี่ยทุกข์มากมาย”
“ก็นิดนึงอะ อยากจะจีบคนแต่เขาก็ไม่สน” ผมหูผึ่ง พี่พีร์จะจีบคน? ใครเป็นผู้โชคร้ายกันนะ...
“แล้วพี่จะจีบใครละครับ ผมจะได้ไปบอกคนนั้นให้ระวังตัว” ผมพูดกลั้วหัวเราะ พูดเองก็ขำเองอ่ะ อิอิ
“มึงนี่ กวนตีนจริง... พี่จะไปจีบเพื่อนมึงอะแหละ” พี่พีร์ด่าผมแล้วก็พูดเสียงอุบอิบ เพื่อนผม จะจีบเพื่อนผม หรือว่า?
“มันโคตรเงียบเลยว่ะ ไม่คุยกับพี่เลยอะ พี่ไปเคาะห้องก็แล้ว โทรหาก็แล้ว เฮ้อ...” ไม่น่าเชื่อ แค่วันเดียวพี่พีร์เป็นไปได้ขนาดนี้ ผมพยายามนึกว่าพี่พีร์ถูกใจตองที่ตรงไหน? ความเงียบ สุขุม หน้านิ่ง... จะว่าไปตองมันก็สวยนะ ยังไงดีอะ ผู้ชายหน้าสวยประมาณนั้น แล้วยิ่งเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย ก็ยิ่งดูน่าค้นหาแหะ...
“เอ่อ... พี่ก็คงต้องพยายามเยอะๆแหละนะ” ครับ... ผมคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก ในกรณีนี้ผมไม่ควรที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเลยแม้แต่น้อย เพราะอะไรก็คงรู้นะ..
“โห่ มึงนี่ไม่คิดจะช่วยพี่เลยเนอะ เคยเป็นรูมเมทมันแท้ๆ พอผู้ชายมาหาละก็ทิ้งเพื่อนให้อยู่คนเดียว แถมยังไม่คิดจะช่วยพี่อีก” ผมฉุกคิดได้ ไม่ได้โกรธพี่พีร์นะครับที่มันว่าผมติดผู้ชาย แต่ผมนึกได้ว่าตอนนี้ตองต้องอยู่คนเดียว แล้วในสถานการณ์แบบนี้ตองจะรู้สึกแย่แค่ไหนกัน...
พอคิดได้ ผมก็ปลีกตัวออกมาตรงที่เงียบๆและหยิบโทรศัพท์ที่พี่จินให้ผมไว้ติดตัวมาโทรหากิ ผมมีเบอร์กิจดอยู่ในสมุดเล่มเล็กของผม อีกตั้งเกือบสองสัปดาห์กว่าจะเปิดเทอม ให้ตองอยู่คนเดียวต้องเป็นบ้าตายแน่เลย
ตรู๊ดดด ตรู๊ดดด
‘ฮัลโหล ว้อทซับแม้น~~’ โทรศัพท์ดังแค่สองครั้งก็มีคนรับ ยังคงเป็นน้ำเสียงร่าเริงที่ผมจำได้ดี
“กิ นี่เอมเองนะ”
‘เฮ้ย เอมมีมือถือแล้วเหรอ โห เจ๋งว่ะ’
“อืม” ผมยิ้ม นึกออกเลยว่ากิจะทำหน้ายังไงตอนนี้
‘พอได้ยินเสียงเอมก็ชักอยากเปิดเทอมไวๆแล้วดิ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนนนนนน’
“เดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดเทอมอะ เราอยากให้กิช่วยอะไรหน่อย”
‘หือ? ว่ามาสิ’
“คือช่วงนี้ ตองอยู่คนเดียวที่หอน่ะ...”
‘อ้าว เรานึกว่ามันกลับบ้าน แล้วโทรหาก็ไม่รับนะไอ้เวรนั่นน่ะ ว่าจะเข้าไปหาอยู่เหมือนกัน’
“อือ นั่นละ ที่เราอยากให้กิทำ เราอยากให้กิเข้าไปหาตองหน่อย เราไม่อยากให้ตองอยู่คนเดียว” ผมพูดเสียงเศร้า
‘เอม... มีอะไรกันใช่มั้ย... เอมกับตองน่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?’ ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถามของกิ ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหวางตองกับผมให้กิฟัง รวมทั้งเล่าเรื่องพี่จิน และเรื่องที่ผมมาอยู่ที่บ้านพี่จินด้วย
และกิก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจเมื่อกิบอกว่ากิพอรู้ความรู้สึกของตองอยู่แล้ว...
‘ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหกปีนะเอม แค่มองตาก็รู้แล้ว น่าเสียดายที่ไอ้ตองมันไม่เคยรู้สถานะของตัวเอง หึหึ’
“กิหมายความว่ายังไง?”
‘ก็ไอ้ตองน่ะ แค่มองก็รู้ว่ามันเกิดมาเพื่อเป็นรับ ไม่ใช่รุก หน้าสวยขนาดนั้น ใครเห็นก็อยากจับมันกดทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ’ ผมฟังเสียงหัวเราะของกิแล้วก็เหวอไป รุก? รับ? อะไรน่ะ กิคงไม่ได้หมายถึงเรื่องอย่างว่าใช่มั้ย?
‘อ้าว เอม ทำไมเงียบ อะ ฮัลโหล ฮัล-’
ตรู๊ด...........................................
ผมกดวางสายด้วยสีหน้าสับสน... รุก... รับ... จับกด... หน้าสวยต้องถูกจับกด หน้าหวานต้องโดนกด...
ใครที่มันบัญญัติกฎเกณฑ์บ้าๆบอๆแบบนี้มาวะ!!!
ผมไม่ยอมถูกกดหรอกโว้ยยยยยยย!!
***********************************************************
“เอม ทำไมนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นแบบนั้นละครับ พี่อุตส่าห์พาวานิลลามารับเอมด้วยนะเนี่ย” ผมรู้สึกตัวก้มมองก้อนขนฟูๆที่หลับสนิทบนตัก พี่จินหันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วง
“ก็...คิดอะไรเพลินๆครับ พี่จินตั้งใจขับรถเถอะ” ผมตอบสั้นๆแล้วก็ถอนหายใจ แต่ดูท่าว่าคงพลาดไป เพราะพี่จินกลับจอดรถเข้าข้างทาง(อีกแล้ว) และก็หันมาจ้องหน้าผมเต็มตา
“พี่ไม่ชอบเวลาเอมเงียบไปแบบนี้ เอมกำลังคิดอะไร มีอะไรบอกพี่ไม่ได้เลยเหรอครับ” ผมนึกถึงเรื่องที่ผมคิด... แล้วผมก็ร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาทันที
“อ้าว แล้วหน้าแดงทำไมเนี่ย” พี่จินเอามือมาแตะหน้าผาก ผมเผลอขยับหนีอัตโนมัติ ในหัวมีแต่เรื่อง จับกด จับกด จับกด เต็มไปหมด!!
“นี่...คงไม่ได้คิดลามกกับพี่ใช่มั้ย...” พี่จินหรี่ตามองผมแล้วแกล้งทำท่าหวาดระแวง อร๊ายยยย อย่ามาดัดจริตใส่ผมนะ!
“บะ...บ้าแล้ว คนอะไรหลงตัวเองชะมัด”
“อะไรกัน แสดงว่าที่พี่คิดว่าเอมรักพี่ ก็กลายเป็นว่าพี่หลงตัวเองเหมือนกันใช่มั้ย” ใบหน้าคมเศร้าสลดจนผมอดใจหายไม่ได้ ผมมองอย่างลังเลแล้วจึงพูดขึ้น
“มะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักสักหน่อย.. รักน่ะเอมก็รักนะ ที่บอกว่าพี่จินหลงตัวเองน่ะ ก็เพราะเอาแต่คิดเองเออเองว่าผมอยากจะมีอะไรกับพี่ละสิ...”
“แล้วเอมไม่อยาก ‘มีอะไร’ กับพี่เหรอครับ พี่น่ะ ทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งคลั่งไคล้เอมขนาดนี้...” ไวปานสายฟ้า พี่จินชะโงกร่างมาใกล้แล้วกระซิบเสียงหวานปนตัดพ้อ ก่อนจะจูบเบาๆที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเจ้าตัวเล็กที่อายม้วนจนหน้าแดงไปแล้ว
“...งือ... ไม่ใช่ว่าไม่อยากครับ...แต่...แต่เอมยังไม่พร้อม... เรื่องอย่างนี้มันต้องใช้เวลานะครับ...” ถึงจะสั่น แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเพราะไม่อยากให้พี่จินเกิดน้อยอกน้อยใจขึ้นมาอีกถ้าทำท่าสั่นกลัวจนเกินไป...
“พี่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเลยนี่ครับ ถึงยังไง พี่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเอมแบบนี้ที่สุดแล้ว...” โดยไม่รู้ตัวก็เงยหน้ารับจูบจากพี่จินเสียแล้ว จูบอ่อนหวาน เนิบนาบ เชื่องช้า...
“งือ...” บนรถอีกแล้ว ผมจูบกับพี่จินบนรถอีกแล้ว... ทำไมเรี่ยวแรงมันหายไปหมดแบบนี้นะ อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆเหลือเกิน...
“พอเถอะคนดี... ถ้ายังจูบแบบนี้นานๆพี่คงต้องฝืนใจเอมแล้วละ” เสียงพี่จินพึมพำลอดไรฟัน.. ฝืนใจเอม? แล้วไงล่ะ... ก็ช่างมันสิครับ... ถ้าเป็นพี่จิน...เอมยอมทุกอย่าง
“ชะเอม!” พี่จินจับไหล่ผมแล้วดึงผมให้ออกห่าง สติสตังทั้งหมดทั้งมวลถูกกระชากวูบกลับมาที่ตัว ผมหน้าแดง เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ผมคิดอะไรหน้าอายอย่างนั้นได้ยังไงกัน!
“เอ่อ.. เรากลับบ้านกันก่อนเถอะนะ” ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงพี่จินสั่นในขณะที่พูด นับประสาอะไร ผมยังต้องจับเจ้าวานิลลามากอดเรียกสติให้ตัวเองเลย...
“เอม ถึงบ้านแล้วครับ” ประตูรถฝั่งที่ผมนั่งเปิดโดยไม่รู้ตัว ผมชะงักนิดหนึ่งแต่ก็ส่งมือข้างที่ไม่ได้อุ้มวานิลลาให้พี่จิน พี่จินจับมือผมไว้แน่นแล้วปิดประตูรถให้
“วันนี้พี่จินอยากกินอะไรครับ” ผมเงยหน้าถาม
“อืม...อะไรก็ได้นะ”
“ในตู้เย็นมีอะไรบ้างนะ...” ผมคิด มีแครอท หมูสับ หอมใหญ่ มะเขือเทศ... วันนั้นผมเห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยละ
“พี่จินชอบราดหน้ามั้ยครับ”
“ก็กินได้ครับ เอมจะทำเหรอ” ผมพยักหน้า
“ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้กินราดหน้ามานานแล้ว”
“งั้นเอมจะทำราดหน้าหมูสับทรงเครื่องให้ทานนะครับ”
“แล้วเอมทำเป็นหรือเปล่า”
“เอมไม่เคยทำหรอกครับ แต่เคยไปซื้อกิน แค่สับๆ ผัดๆเส้น แล้วก็เอาไปต้มใส่แป้งมันก็ได้แล้วครับ ง่ายๆ” ผมยิ้มร่าเดินนำเข้าไปในครัว โดยไม่ทันได้หันกลับมามองสีหน้าขวัญผวาของพี่จิน และก็คงไม่ได้รู้ด้วยว่าพี่จินคิดอะไรอยู่
‘จะกินได้มั้ยเนี่ย’
....
..
.
.
..
..
.
.
*** ยิ่งแต่งยิ่งรู้สึกว่าพี่จินหื๊นหื่นค่ะ :-[
ผมกำลังประสบปัญหาใหญ่หลวงในชีวิต...
เรื่องที่ผมกำลังรอคอยมันกำลังจะเกิดกับผม แต่เมื่อเอาเข้าจริงผมกลับไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น...
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้มันเริ่มจากวันนั้นแหละ...
...วันที่แสงแดดเจิดจ้า...
“ฮั่นแน่ แอบมาวาดรูปอะไรที่นี่คนเดียวห๊ะ!!”
“ก็หยุดไปตั้งนาน อยากจะรื้อฟื้นบ้าง” ผมยิ้มให้กิที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างกัน
“ฮืม... นี่ขนาดไม่ได้วาดตั้งนานนะ การลงสียังเจ๋งเหมือนเดิมเลย” กิยื่นหน้าเข้าไปจ้องภาพของผมจนเกือบชิดกระดาษ ผมแค่ยิ้มเงียบๆให้กับรูปภาพของตัวเอง หลังจากที่ต้องหยุดเรียนไปยาวนานและไม่ได้ใช้มือขวาของตัวเองวาดรูปมาหลายเดือน ช่วงเวลานี้ผมอยากจะกอบโกยความรู้สึกนี้ให้สมกับเวลาที่เสียไป
“แล้วพี่จินเป็นยังไงบ้าง”
“หือ? ก็ดีนะ” เมื่อเช้าก็เป็นคนมาส่งผมแหละครับ
“... ไม่ใช่ กูหมายถึงเรื่องนั้นน่ะ” ผมหันไปมองหน้ากิ มันยิ้มกริ่มๆอะครับ ยิ้มมีเลศนัยอะไรสักอย่าง
“เรื่องอะไร?” ผมขมวดคิ้ว มันทำหน้าแบบนั้นแล้วผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลยแหะ...
“เอ๊!!!! ก็อุตส่าห์ถอดเฝือกแขนแล้ว เรื่องจ้ำจี้มะเขือเปราะแปะก็น่าจะถึงเวลาแล้วสิ” สิ้นเสียงเพื่อนผม ก็ตามมาด้วยเสียงคนตกเก้าอี้ กระป๋องใส่สีข้างๆก็กระจัดกระจายไปหมด
“!!!”
“อ้าว จะหน้าแดงทำไมวะ เรื่องแค่นี้เอง”
“อะ.. อะ.. ไอ้หน้าด้าน!”
“เอ๊า ด่ากูซะงั้น...”
“ไม่รู้เว้ย ไม่ตอบ เรื่องของกู” ผมรีบคว้ากระเป๋าแล้วก็รีบจ้ำออกมาจากห้องนั้นทันที แต่ยังไม่วายที่ไอ้กิบ้ามันจะตามมารังควานผมต่อตลอดทั้งวัน
“อ้ะ เอาเพลงนี้ไปเปิดฟัง” มันยัดแผ่นซีดีใส่มือผม แม้จะทำหน้ายับและไม่อยากรับมาแค่ไหนก็คงไม่ได้ สุดท้ายผมก็เลยเอาไปเปิดบนรถตอนที่พี่จินมารับ
“เพลงอะไรเหรอครับ” ผมสะดุ้งเมื่อพี่จินถามผม ก็เลยเผลอกดอีเจ็คท์ให้แผ่นออกมาซะงั้น
“อ๋อ ไอ้กิมันให้มาครับ แต่เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว ไว้เปิดฟังที่บ้านดีกว่า”
ตลอดช่วงเย็นนั้นผมก็ทนมองหน้าพี่จินไม่ได้ มันเขินบอกไม่ถูก นึกถึงเรื่องที่ไอ้กิมันพูดแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกอาย หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ขณะที่ผมกำลังนั่งจุ้มปุ๊กบนโซฟาพลางมองพี่จินเดินไปเดินมา ผมก็นึกถึงแผ่นซีดีนั่นอีก เลยตัดสินใจเอามาเปิดตอนนี้แหละ ผมสังเกตเห็นพี่จินหันมามองผมแว่บหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปทำงานของเขาต่อ
เสียงดนตรีเริ่มต้นฟังเหมือนเสียงเพลงตอนที่เจ้าสาวกำลังเดินเข้าโบสถ์ เพลงนี้เหมือนผมจะเคยฟังที่ไหนนะ
อ๋อ!! เพลง A Thousand Years นี่เอง...
One step closer....
ใกล้เข้าไปอีกก้าว...
คำร้องท่อนนี้ทำให้ผมแอบเหลือบไปมองพี่จิน อยากจะขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆจังเลยนะ... โอ๊ย คิดบ้าอะไรเนียะ! ผมขยี้หัวขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ใช่ว่าผมจะไม่คิดนะ ผมคิดเรื่องนั้นทุกคืนเลยรู้ไหม การต้องใช้ชีวิตกับคนที่ดูดีเหมือนปั้นออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เป็นเรื่องยากขนาดไหน แต่ผมก็ทน ทนเพราะกลัว กลัวไปหมด ผมกลัวการที่จะต้องก้าวเข้าไปใกล้มากกว่านี้ กลัวการผูกพัน กลัวที่จะต้องจากลา...
“Darling don’t be afraid...” เสียงร้องทุ้มต่ำตัดกับเสียงร้องคริสติน่า เพอร์รี ผมหันไปมองร่างสูงที่ขยับมานั่งใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ใบหน้าของพี่จินเข้ามาใกล้ผมจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น
“I have love you for a thousand years... I love you for a thousand more...”
“เว่อร์ พี่เป็นคนหรือแวมไพร์เนี่ย ถึงได้จะอายุยืนขนาดนั้น” ผมก้มหน้างุด เอามือดันหน้าพี่จินออกห่าง...
“พี่ก็แค่ร้องตามเพลง เอมชอบไม่ใช่เหรอ เห็นฟังบ่อยจัง...” เสียงนุ่มฟังดูอบอุ่นพร้อมกับมือที่ยื่นมาประคองแก้มผม พี่จินลูบไล้แก้มผมอย่างแผ่วเบาบ่งบอกถึงความปรารถนาในใจ...
“ก็ชอบแหละ...”
“พี่ว่าเหมือนเพลงส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอเลยนะ หึหึ โอ๊ย!” ผมทุบดังอึกไปที่อกพี่จิน หาว่าใครเป็นเจ้าสาววะ!
“เอมไม่ใช่เจ้าสาวนะ”
“แต่พี่ว่าใช่นะ”
“อ๊ะ จะทำอะไรน่ะ!” ผมพยายามเอามือยันพี่จินออก ก็เล่นโถมลงมาทับผมทั้งตัวเสียอย่างนั้น หนักนะ ทะลึ่งด้วย -//-
“อยากอยู่ใกล้ๆนี่ครับ”
“ใกล้ไปแล้ว!”
“หึหึ แนบชิดแบบนี้สิดี พี่จะได้รวบหัวรวบหางเสียทีเดียว”
“ทำไมพี่จินเป็นคนแบบนี้เนียะ”
“พี่ก็เป็นกับเอมคนเดียวแหละ” พี่จินเขี่ยแก้มผมอีกแล้ว ช่วงนี้ชอบเขี่ยแก้มผมตลอดเลยนะ
“เอมก็ยอมให้พี่จินทำแบบนี้กับเอมได้คนเดียวแหละ...” ผมทำแก้มป่อง
“หึหึ น่าร้าก ขอหอมทีนึงสิครับ” พี่จินใช้ปากจุ๊บเบาๆที่แก้ม ก่อนจะค่อยๆไต่ระดับเป็นเอาจมูกสูดกลิ่น แล้วก็ใช้ทั้งจมูกและริมฝีปากคลอเคลียที่แก้มผม เสียงเพลงเงียบไปแล้ว แต่ในสมองของผมมันมีแต่คำว่า ‘One step closer‘ ดังอยู่ตลอดเลย...
ริมฝีปากของผมกับพี่จินอยู่ห่างกันเพียงแค่นิดเดียว ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยจูบกัน แต่ทำไมการจูบตอนนี้มันช่างให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าที่เคย ริมฝีปากพี่จินยังนุ่มนิ่มและอบอุ่นเหมือนเคย ลมหายใจก็ยังเป็นจังหวะเดิม แต่หัวใจของผมกลับเต้นเร็วยิ่งกว่าที่เคยเป็น ถ้าช่วงเวลาทั้งหมดที่เหลือในชีวิตผมหยุดลงแค่ตรงนี้ก็คงจะดี... ความอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำให้ผมยอมทุกอย่าง ทุกอย่างตามแต่ที่พี่จินต้องการ
“จะให้เอมตายเพื่อพี่จินก็ได้...” ผมลูบแก้มพี่จินแผ่วเบา ใบหน้าคมมองผมด้วยแววตาเศร้าแว่บหนึ่ง
“ถ้าเอมตาย... แล้วพี่จะอยู่กับใครครับ พี่จะอยู่เพื่อใคร จะมีใครให้พี่รอ”
“เอมรักพี่จินที่สุดเลยครับ ทั้งชีวิตของเอมมีแค่พี่จิน เหลือแค่พี่จิน... เอมฝากชีวิตของเอมไว้กับพี่จิน...ได้มั้ยครับ?” นัยน์ตาของผมสั่นระริก น้ำตาเหมือนจะเอ่อไหลออกมา หากพี่จินปฏิเสธ หากวันไหนที่ไม่มีพี่จิน ผมก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจะอยู่เพื่ออะไร...
“พี่จะดูแลเอมไปจนกว่าชีวิตของพี่จะหาไม่ แต่ว่าพี่เป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรนอกจากหัวใจ เอมจะสัญญาได้มั้ย? ว่าจะอยู่เคียงข้างพี่อย่างนี้ตลอดไปเช่นเดียวกัน” สายตาของพี่จินมองผมแน่วแน่ มือใหญ่เกลี่ยข้างแก้มผมเหมือนกำลังสัมผัสกับสิ่งที่บอบบางที่สุด ผมรู้สึกว่าตัวเองพยักหน้าทั้งน้ำตา ผมกอดคนตรงหน้าแน่นที่สุดเท่าที่จะจำได้ พี่จินจูบผมดูดดื่ม เราจูบกันนานจนผมจำไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น...
คงไม่มีอะไรให้ผมต้องกลัวอีกแล้ว...
********************************************************************************************
แสงแดดในยามเช้าพร้อมกับเสียงนกร้องและเสียงใบไม้ไหวลู่ไปตามลม สิ่งมีชีวิตรูปร่างเป็นก้อนฟูสีขาวกำลังสนอกสนใจกับตั๊กแตนที่นอกประตูกระจก อุ้งมือปุกปุยตะปบเข้ากับกระจกอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งถูกอุ้มขึ้นมาจากพื้น
“วนิลา ซนแต่เช้าเลย”
“เมี้ยว~”
“ฮึฮึ ไปทำอะไรกินกันดีกว่าเนอะ แล้วจะได้ไปปลุกพี่จินด้วยกัน”
“เมี้ยว~”
ผ่านไปสักพักกลิ่นอาหารก็โชยไปทั่วครัว อาหารเช้าแบบอเมริกันง่ายๆประกอบไปด้วยไข่ดาว ไข่คน เบคอนและไส้กรอก พร้อมกับเครื่องปิ้งขนมปังที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้น
“วานิลลา ไปปลุกพี่จินกัน” มือเรียวอุ้มแมวน้อยที่ขนาดกำลังจะไม่น้อยมาแนบอก ก่อนจะจุ๊บเบาๆที่กระหม่อมของเจ้าเหมียวหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว
พอเข้าไปใกล้ที่นอน สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือแก้มที่โผล่พ้นผ้านวมออกมาเพียงเสี้ยวเดียว มันช่างน่ากระโดดเข้าไปฟัดเสียนี่กระไร
“อืม...” ยิ่งผมเห็นคนใต้ผ้าห่มส่งเสียงอืออาก็ยิ่งชอบใจ ทำไมน่ารักแบบนี้นะพี่จิน >//<
“พี่จิน ตื่นได้แล้วน้า หิวข้าวหรือเปล่า” ผมจับเอาอุ้งมือของวานิลลาเขี่ยที่แก้มพี่จินเบาๆ ลองเจอมือปุกปุยแบบนี้ต้องจั๊กจี๋จนตื่นบ้างแหละ
“เอม ทำไมตื่นไวจังเลยครับ?” ผมถูกมือลึกลับใต้ผ้าห่มดึงผมลงไปนอนด้วย พร้อมกับพูดเสียงงัวเงียจากใต้หมอน
“เอมหิวนี่ พี่จินไม่หิวเหรอครับ เอมทำมื้อเช้าไว้แล้วนะ” ผมลูบมือไปที่แผ่นอกพี่จินเบาๆ ผิวกายเย็นๆทำให้รู้สึกสบายจัง -//-
“พี่ก็หิว แต่หิวเอมนะ” แน่ะ... ผมกะแล้วว่าต้องมาไม้นี้
“ไม่อาว เอมหิวข้าว เอมจะไปกินข้าว พี่จินไม่ต้องมาเสี่ยวเลยนะ” ผมดันตัวเองออกมาจากผ้าห่ม ใจนึงอยากจะลงไปนัวเนียด้วยหรอกนะ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
“ไม่อาวเหมือนกัน ยังไม่ได้จุ๊บอรุณสวัสดิ์เลยนะ” อ่า... เด็กโข่งเริ่มงอแงครับ พอผมก้มลงไปจุ๊บก็ดันลากผมกลับลงไปนอนอีกซะงั้น สุดท้ายผมเลยต้องงัดไม้ตายออกมา
“พี่จิน! ไปกินข้าวก่อนนะครับ ค่อยมาทำอย่างอื่น”
“ก่อน? อย่างอื่น? เอมหมายถึงอะไรครับ” พี่จินเงยหน้าขึ้นมาเต็มๆ สายตาวิบวับสุดๆไปเลยอ้ะ
“ไม่รู้แหละ อยากรู้ก็ไปกินข้าวก่อน” ผมพูดแค่นั้นก็รีบชิ่งมาก่อนครับ วานิลลาก็หิวจะแย่แล้ว ว่าแต่อูย วิ่งแล้วเจ็บก้นชะมัดเลยไอ้คนบ้า > <
********************************************************************************************
“พี่จิน วันนี้เอมอยากไปซื้อของใช้หน่อยนะครับ” ชายหนุ่มที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบเหลือบตามองเจ้าของเสียงใสใบหน้านวลแวบหนึ่งก่อนจะแอบยิ้ม ก็ช่วงหลังๆมานี้น่ะ ดูเหมือนว่าเอมจะยึดเอาหน้าที่ดูแลบ้านไปเป็นของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ ไหนจะทำความสะอาด เริ่มหัดทำอาหาร และอื่นๆอีกหลายอย่าง
“เอาสิครับ” พูดแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มร่าเหมือนได้ของเล่นสมใจ กับอีแค่จะไปซื้อของเนี่ยนะ? แต่ก็นั่นละ ความร่าเริงแบบนี้ที่ทำให้เขาตกหลุมรักเหลือเกิน ไหนจะใบหน้ายิ้มแย้ม ไหนจะใบหน้ายามวาบหวาม ไหนจะใบหน้าเวลาที่ออดอ้อนร้องขอ...
‘อะ!! คิดอะไรวะกู!!’ เจ้าตัวรีบเอาหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านแก้เก้อทันทีที่รู้ตัวว่าคิดลามกไม่ถูกเวล่ำเวลา
“พี่จินๆ น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแหละ เอมเอาไปห้าถุงเลยนะ” ยังไม่ทันที่จะเดินไปไหนได้ไกล แค่เพียงเห็นชั้นสินค้าที่จัดรายการปุ๊บ เจ้าตัวเล็กก็รีบวิ่งรี่ไปทันที
“จะเอาไปถมที่เหรอครับ เยอะไปหรือเปล่า”
“หูยยย ลดราคาแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะครับไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไร ซื้อตุนไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร” เสียงเจื้อยแจ้วทำเอาร่างสูงกว่าต้องยอมแพ้และปล่อยให้เด็กน้อยเลือกของเอาตามใจชอบ
********************************************************************************************
หลังจากซื้อของใช้ในบ้านครบแล้ว สิ่งต่อไปก็เป็นเสบียงของกิน ผมกำลังทบทวนอยู่ว่าโชยุที่บ้านหมดหรือยัง แต่พอจะหันไปถามพี่จินก็หาเจ้าตัวไม่เจอซะงั้น
ช่างเถอะ ไว้ค่อยโทรตามก็ได้เนอะ
“เอ่อ ขอโทษนะครับ”
“?” เสียงทักจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปมอง ปรากฎเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของผู้ชายตรงหน้า
“ชะเอม... ใช่มั้ยครับ ปีสามศิลป์ฯกรรม” ผมพยักหน้า ผู้ชายคนตรงหน้านี้ดูไม่มีพิษภัย ร่างสูงใบหน้าอ่อนโยนผิวเข้มต่างจากผิวขาวเนียนของพี่จิน โดยรวมแล้วผมถูกชะตาพอสมควร~
“ใช่ครับ คุณคือ?”
“พี่ชื่อปาล์ม อยู่ปีสี่ ไอที” ผู้ชายตรงหน้าผมยิ้มกว้าง วะ! ฟันสวยชะมัดเลยครับ
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยิ้มกลับให้พี่ปาล์มที่เพิ่งรู้จัก ว่าแต่ว่าจะคุยอะไรต่อละหว่า
“พี่เคยเห็นชะเอมมานานแล้วแหละครับ แต่ไม่กล้าเข้าไปทัก” ผมก็ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่อง ใจนึงก็แอบงงเหมือนกันว่าคนไม่รู้จักกันจะคุยอะไรกันนักหนาหว่า
สัมผัสที่แตะลงบนบ่าเรียกให้ผมหันหลังไปมองก่อนจะยิ้มกว้าง พี่จินที่หายไปพักหนึ่งกลับมาพร้อมกับถั่วแระญี่ปุ่นถุงโตที่ผมชอบแทะประจำระหว่างดูโทรทัศน์
“พี่จินน่ะ ไปไหนก็ไม่ยอมบอก” ผมส่งเสียงแกมประท้วง แต่นั่นกลับทำให้คิ้วขมวดของพี่จินคลี่ออกจากกันได้
“ก็เห็นพอดี เลยกะว่าจะไปหิ้วมาฝากเราสักหน่อย” พี่จินพูดพร้อมโชว์ถุงถั่วแระ แหม มีกับแกล้มแบบนี้สงสัยผมต้องไปหิ้วเป๊ปซี่มาสักสองลิตร
“พี่ชายชะเอมเหรอครับ” อีกคนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกลืมไปจากการสนทนาถามแทรกขึ้นมา
“อ๋อ...” ผมหันไปทางพี่ปาล์ม แอบอึ้งนิดหนึ่ง จะตอบว่าอะไรไม่ให้เขาตกใจดีนะ
“คนรักครับ” พี่จินเป็นคนตอบพร้อมกับโอบไหล่ผมและรั้งให้ผมไปยืนใกล้ๆ พี่ปาล์มทำสีหน้านิ่งไม่ออกอาการอะไร บางทียุคนี้แล้ว เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกสินะ...
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะชะเอม ไว้เจอกันที่มหาลัย” ผมโบกมือบ๊ายบายให้พี่ปาล์ม พอหันมามองคนข้างตัวก็เอิ่ม... ตาขวางเชียะ
“เป็นอะไรครับพี่จิน?”
“อะ.. เปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่ว่าเรากลับกันเถอะ” ไม่รู้ทำไมแต่ผมคิดว่าพี่จินท่าทางแปลกๆแฮะ...
เย็นนั้นหลังจากที่ผมเอาไก่ทั้งตัวเข้าเตาอบแล้วก็ลองเดินมาดูมาคนที่กำลังเล่นกับวานิลลาอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่รู้ทำไมเวลาเห็นผู้ชายตัวโตๆเล่นกับสัตว์ตัวเล็กๆแล้วมันรู้สึกว่าน่ารักจัง
“เมี้ยว~” เจ้าเหมียวยกอุ้งเท้าขึ้นมาตะปบกับก้านขนนกในมือพี่จิน พอใกล้จะจับได้เจ้าขนนกก็ลอยหวือห่างไปตลอด จากแค่เล่นๆตอนแรกก็ดูเหมือนว่าเจ้าเหมียวจะเริ่มโมโหเสียแล้ว
“เดี๋ยววานิลลาก็ข่วนเข้าให้หรอกครับ” ผมพูดพลางอมยิ้ม
“เหมือนที่แม่มันชอบข่วนพี่หรือเปล่า หือ?” อ้อมแขนแกร่งตวัดดึงเอาตัวผมเข้าไปได้อย่างง่ายดาย บางทีคงเป็นเพราะผมสมยอมด้วยแหละ >//<
“วันนี้แม่บ้านของพี่ทำกับข้าวเหนื่อยมั้ยครับ” พี่จินเอามือปัดผมออกจากหน้าผากให้ผม มองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อจริงๆนะครับคนนี้ หล่อเสมอต้นเสมอปลาย
“ไม่เหนื่อยหรอก เอมอยากทำนี่” นอกจากไก่อบยังมีลาซานญ่าผักโขมแล้วก็พาสต้าด้วยนะครับ ไม่รู้ว่ารสชาติจะพอกินได้มั้ย
“เอมทำอะไรก็อร่อยหมดแหละครับ”
“เอมทำไม่อร่อยพี่จินก็บอกว่าอร่อยแหละ” ผมทำหน้างอ
“ฮ่าๆ ไม่หรอก ถ้าไม่อร่อยจริงๆพี่ก็จะพูดตามตรง เอมจะได้พัฒนาฝีมือ”
“ให้จริงเหอะครับ” ผมจุ๊บปากพี่จินเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นการจุดประกายให้คนตรงหน้าซะอย่างงั้น
“อื้อ!” แรงบีบจากมือพี่จินที่ไหล่ของผมแน่นขึ้น พร้อมกับจูบที่เนิ่นนานเกินพอ พี่จินไล้เล็มและล่วงล้ำเข้ามาทีละน้อย มือใหญ่ที่ประคองเอวผมก็เลื่อนต่ำลงไปจนถึงสะโพกแล้วก็บีบขยำอย่างย่ามใจ
“ไม่อะ.. ไม่เอานะ...” ดูท่าคำประท้วงของผมจะไม่ได้ผลกับคนตรงหน้าสักเท่าไร เพราะนอกจากมือที่บีบก้นแล้ว ยังจะกดเอวผมให้แนบชิดกับตัวเขามากขึ้นไปอีก
ลมหายใจของผมกับพี่จินรินรดกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นคาร์บอนไดออกไซด์จากใครกันแน่ มือพี่จินที่บีบก้นผมอยู่ก็เริ่มเพิ่มแรงขึ้นเหมือนไม่แคร์ว่าเมื่อคืนผมจะระบมแค่ไหน ทั้งบีบทั้งคลำทั้งขยำจนเหมือนว่าตัวผมจะแหลกคามือพี่จินอยู่แล้ว
“อย่าสิครับ... กินข้าวก่อน...” ผมประท้วงเสียงอ่อย
“อือ... เอมน่ะ ใจร้ายกับพี่จัง กว่าจะได้ใกล้ชิดกับเอมแบบเนี้ยพี่ก็รอมาตั้งนาน แล้วนี่ยังให้พี่กินแบบประหยัดอีก พี่ยังไม่อิ่มเลยรู้มั้ย ถ้าเป็นคนอื่นน่ะ เขาทำกันสามวันสามคืนแล้ว” พี่จินพูดเสียงกระเง้ากระงอดไม่ชวนให้ผมสงสารแล้วยังชักพาความโมโหอีกต่างหาก
“หื่น คนบ้า อัดอั้นนักก็ไปช่วยตัวเองเลยไป๊!”
“เอ๊า อะไรกัน ทำไมใจร้ายแบบนี้ละครับ”
“พี่จินลองรับดูมั้ยละ จะได้รู้ว่ามันโคตรจะเจ็บ แล้วยิ่งขนาดอย่างของพี่นะ เอมไม่ฉีกก็บุญแล้ว”
“แหม มันก็พูดยากนะเอม หึหึ” ฮึ้ย ผมด่าอยู่ปาวๆ ยังมาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มพอใจในความใหญ่อลังการของตัวเองอีกเรอะ อ๊ากกก!! ไอ้คนลามกเอ๊ยยยย
“พี่ทำเอมเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ เอมไม่ได้รู้สึกดีร่วมไปกับพี่บ้างเลยเหรอครับ” จู่ๆพี่จินก็เปลี่ยนโหมดทันควัน ท่าทางกวนประสาทเปลี่ยนมาเป็นออดอ้อนตาใสอย่างคนที่รู้สึกผิดเต็มประดา ง่า...ไปไม่เป็นเลยผม...
“...มะ..ไม่หรอกครับ แรกๆมันก็เจ็บแหละ แต่เอมก็ชอบ...” อึ๋ยพูดอะไรไปเนี่ยผม ยิ่งพอเห็นหน้าพี่จินตอนนี้ก็อยากจะกลืนคำพูดนั้นลงท้องเสียให้หมด!
“เอมพูดออกมาแบบนี้ จะให้พี่ลืมคงยากแล้วแหละครับ ห้ามกลับคำด้วยนะ...” เสียงทุ้มดังเพียงกระซิบ ดวงตาคมเป็นประกายเมื่อสะท้อนกับแสงไฟภายในห้อง สองแขนแกร่งโอบร่างเล็กเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมขยับชิดเสียจนปลายจมูกนั้นแทบจะสัมผัสกับผิวแก้มแดงระเรื่อเพราะความอาย ยังไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธอะไร ก็ถูกจับลงนอนกับโซฟาตัวโตเสียแล้ว
รสชาติหวานละมุนจากปลายลิ้นของคนข้างบนยังติดซึ้งตรึงใจเสมอ แต่ก่อนเป็นจูบที่อ่อนหวานแค่ไหน ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น
ปลายนิ้วของพี่จินสอดเข้าท้ายทอยของผมเพื่อออกแรงดันเล็กๆ เชิงบังคับน้อยให้ผมยอมรับจูบนั้นอย่างนุ่มนวล ความนุ่มนวลที่ทำให้ผมเผลอหลุดเสียงครางในลำคอเบาๆ เมื่อลืมตามองใบหน้าของชายหนุ่มที่คร่อมอยู่ด้านบนแล้วก็ต้องหลบตา
คนบ้า จ้องตาวิบวับเชียวนะ...
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อฟันคมกัดลงตรงไหปลาร้า แรงกัดมากพอที่จะฝากรอยรักเอาไว้เหมือนที่ทำเมื่อคืน ผมยังจำได้เลยว่าตอนส่องกระจกเมื่อเช้า ร่างกายของผมมีแต่รอยกัดของพี่จินเต็มไปหมด
จากไหปลาร้าไล่มาจนถึงยอดอกที่แข็งตึงรอโดยอัติโนมัติ ปลายลิ้นของพี่จินลากผ่านยอดอกไปจนถึงหน้าท้อง และลงต่ำไปจนท้องน้อย โดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่นั่นก็ดึงกางเกงผมออกรวดเดียว อะไรๆที่มันเติบโตเพราะแรงกระตุ้นก็เลยดีดผึงขึ้นมาอวดโฉมอย่างไม่อายสายตา
“อ๊ะ!” ผมยื่นมือไปปิดบังจุดสงวนอย่างไว แต่ก็คงไวสู้คนที่คว้ามือผมเอาไว้ไม่ได้ พี่จินรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัว ก่อนจะก้มลงเอาลิ้นแตะสัมผัสกับตรงปลายและครอบปากลงไปทันที นิ้วของพี่จินขยับเข้าใกล้เบื้องหลังก่อนค่อยๆฉวยโอกาสที่ผมกำลังสับสนกับสัมผัสเร่าร้อนนั้นรุกรานเข้ามาในร่างกายผมอย่างเอาแต่ใจ...
" อื้อ! เจ็บ" ผมกระตุกสะโพกหนีกับปลายนิ้วทันที พี่จินจึงใช้ลิ้นเลียนิ้วของตัวเองจนชุ่มโชกก่อนจะสอดเข้ามาใหม่และเร่งจังหวะจนผมยิ่งเตลิดไปไกลกว่าเดิม
เกือบที่ผมกำลังจะปลดปล่อยตัวเองออกมา พี่จินก็ละออกห่าง ผมผงกหัวขึ้นมามองอย่างสงสัย และก็ต้องเข้าใจเมื่อเห็นร่างสูงที่มีสีหน้าไม่ต่างกันกำลังขะมักเขม้นถอดกางเกงของตัวเอง ไอ้เจ้าสิ่งมโหฬารที่ผมเห็นเมื่อคืนนั้นมันยังคงอลังการไม่เปลี่ยน ร่างกายที่มีเหมือนผมทุกอย่างแต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างไม่น่าเชื่อ...
“ขออนุญาตนะครับ...” เสียงนุ่มร้องขอฟังดูหวานซึ้งที่สุดที่ผมเคยได้ยิน ผมรู้ดีที่สุดว่ามันหยุดไม่ได้แล้ว จังหวะนี้ต่อให้ใครกำลังจะตายก็ช่างมันเหอะ
“...ครับ... " พูดไปแล้วก็แทบจะกัดลิ้นตาย ขัดขืนเขาแทบตาย พอโดนเล้าโลมเข้าหน่อยก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ... คิดโน่นคิดนี่เพลินๆไปแป๊บหนึ่งก็ต้องผวาเฮือกเมื่อร่างสูงขยับร่างเข้าหาแทบจะในทันที
“อ๊ะ! พี่จิน อื้อ...” แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สอง... เอ่อ สามละมั้ง เอ... หรือว่าสี่ โอ๊ย ช่างมันเหอะ ทำไมผมยังเจ็บเหมมือนเดิมเลยนะ แน่ๆเลย เพราะว่าขนาดของพี่จินไม่บาลานซ์กับผมแน่ๆเลย ฮึ้ยยยยย!!
“อืม... เอม... ดวงใจของพี่..” พี่จินเอ่อเสียงพร่ำเรียกชื่อผมพร้อมกับริมฝีปากร้อนก้มลงแทะเล็มผิวกาย สะโพกแกร่งขยับกายเข้าหาและยึดตัวผมไว้แน่น คนๆนี้รู้ดีที่สุดว่าผมแพ้อะไร ถ้อยคำอ่อนหวานเหล่านั้นทำให้ผมใจอ่อนเสมอ...
ร่างกายของพี่จินสอดเข้ามาจนสุดและแช่คาไว้ไม่ขยับ ถ้าตอนนี้จะดึงพี่จินออกไปคงต้องใช้ช้างทั้งโขลง มือใหญ่กอบกุมน้องหนูของผมและค่อยๆรูดขึ้นลงให้สัมพันธ์กับการขยับของร่างกาย ผมรู้ว่าพี่จินคงทนไม่ไหวที่จะอยู่เฉยๆ เพราะผมเองก็เช่นกัน ความเจ็บปวดที่ผมเลือกที่จะสัมผัสมันอยู่ตรงหน้านี้เอง เสียงพร่ำอ่อนโยนของพี่จินดังผ่านหูแต่ผมไม่สามารถจับใจความใดได้ แรงกระแทกเข้ามาในกายกับความร้อนที่เบื้องหน้าทำเอาหูตาลายไปหมดจนผมเผลอจิกเล็บลงกับไหล่กว้างตามแรงอารมณ์ที่อีกฝ่ายกระตุ้นเร้า
พี่จินขยับกายเข้าหาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่ปรนเปรอความสุขสมให้ ทุกสัมผัสที่ส่งผ่านไปด้วยความรักที่เร่าร้อน ร่างกายของผมถูกโอบเข้าแนบชิดกับพี่จิน ริมฝีปากครางเครือเป็นชื่อพี่จินครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นเดียวกับพี่จินที่แทะเล็มร่างกายของผมเหมือนหิวกระหาย รอยรักเป็นจ้ำที่ฝากไว้นับไม่ถ้วนบนผิวกาย และแรงกระแทกซ้ำๆจนความเจ็บเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสุขจนแทบจะสำลัก ผมขยับสะโพกเข้าหาพี่จินโดยอัติโนมัติ เสียงร้องน่าอายดังขึ้นเพราะความเร่าร้อนที่พี่จินปรนเปรอ จนกระทั่งความร้อนวาบจากร่างกายผมพุ่งเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ด้านหลังของผมกระตุกตุบๆรัดแน่นจนพี่จินขยับกระแทกกระทั้นจากร่างของผมอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกที่ยากจะห้ามใจกำลังใกล้เข้ามา ร่างแกร่งขยับเข้าหาอย่างถี่กระชั้นก่อนขยับกายออกห่างและปลดปล่อยลงที่เดียวกับที่ผมทำเลอะไว้ก่อนหน้า...
“อึก... เอม...” พี่จินทาบทับร่างลงมาบนตัวผม เรี่ยวแรงอ่อนเปลี้ยเหมือนไปวิ่งมาราธอนมาห้ากิโล ก่อนจะพูดเสียงกระซิบข้างหูผม
“พี่ไม่อยากเสร็จข้างใน เพราะเดี๋ยวจะกินข้าวแล้ว กลัวเอมไม่สบายตัว...”
จะพูดเพื่อ???
***************************************************************
เอ่อ อย่าให้พูดเลยนะคะ ว่าหายไปนานแค่ไหน -//-
เรื่องมันเยอะค่ะ แบบว่าแฟลชไดรฟ์เค้าหายแหละ T T
แต่ยังไงก็จะแต่งต่อไปเรื่อยๆ หวังว่ายังมีคนอ่านนะ 555+
ขอโทษที่หายไปเนิ่นนานด้วยนะคะ :m13:
Love Sick
- 23 -
ผมนั่งเลื่อนดูสเตตัสของเพื่อนๆในเฟซบุ๊ค อันที่จริงผมไม่ค่อยเล่นเฟซบุ๊คเท่าไร แต่ว่าเวลาที่เราอยากจะรู้ความเป็นไปของเพื่อนโดยไม่กล้าถามนี่มันก็เป็นหนทางที่ดีเหมือนกันนะครับ
‘I’m here again...’
คำบรรยายใต้รูปภาพพระอาทิตย์กำลังจะจมหายลงไปในท้องทะเล ตรงด้านซ้ายของภาพมีต้นแก้วต้นเดิม มุมเดิมที่ผมเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว จากเรื่องของกิกับอั๋นในวันนั้นก็ผ่านมาสาม-สี่เดือนแล้ว ที่ริมทะเลในรูปนี้ ก็เป็นบ้านพักตากอากาศที่หัวหินของกิ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วในรอบหนึ่งเดือนที่กิหลบมาที่นี่ มาคนเดียว และถ่ายรูปอัพลงเฟซบุ๊ค เหมือนจะเป็นการบอกกลายๆว่า ฉันยังอยู่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง...
มันคงไม่ฆ่าตัวตาย... ละมั้ง?
คิดไปก็คงไม่ได้อะไรหรอก เพราะชีวิตของใครก็ต้องดูแลกันเอง คนนอกก็ทำได้แค่คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆเท่านั้นละ โชคดีว่าเพิ่งสอบมิดเทอมไป การบ้านงานกลุ่มอะไรก็ไม่มี ให้มันไปพักเสียให้สบายใจดีกว่า
ตอนนี้พวกผมเหลือเรียนอีกแค่ครึ่งเทอมก็จะขึ้นปีสามแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วแท้ๆ จะเอายังไงกับชีวิตไม่รู้เลย บางทีเรียนจบไปผมอาจเป็นศิลปินไส้แห้งก็ได้มั้ง
“นั่งอมยิ้มอะไรคนเดียวครับ” เสียงนุ่มกระซิบเบาๆข้างหูพร้อมกับแขนโอบรอบคอ ผมลูบที่แขนนั้นด้วยความเคยชินก่อนจะตอบปนขำ
“เอมกำลังคิด ว่าถ้าเอมเรียนจบแล้วเป็นจิตรกรไส้แห้ง พี่จินจะเลี้ยงเอมมั้ยครับ?” ในใจผมก็ลุ้นๆนะครับ อยากรู้ว่าพี่จินจะตอบกลับมายังไง
“อืม...แย่จัง เพราะพี่ก็กะว่า ถ้าเอมเรียนจบแล้วทำงาน จะให้เอมเลี้ยงพี่สักหน่อย”
“อ้าว ไหงงั้นละครับ ไม่ได้นะ พี่จินเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ต้องเลี้ยงเอมสิ”
“หึหึ พี่ก็อยากให้เอมเลี้ยงมั่งสิ ไม่ได้เหรอครับ”
“งั้นเอมก็ต้องหางานทำจริงๆสินะ พี่จินกินจุเสียด้วย...”
“แต่พี่จะว่านอนสอนง่าย ให้ให้เอมต้องเหนื่อยมากหรอก” จินเจอร์ยังคงหยอกล้อต่อ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มทำหน้าครุ่นคิดว่าจะหาเลี้ยงตัวเองยังไงก็ยิ่งตลก ดูท่าว่าคงจะหมกมุ่นเรื่องนี้ไปอีกนานถ้ายังไม่เลิกแกล้ง ว่าแล้วก็อุ้มมันมาเลยดีกว่า
ร่างบางกว่าถูกหิ้วปีกจนตัวลอย จินเจอร์นั่งลงบนโซฟาอีกตัวและจับเอมนั่งตักตัวเอง มือใหญ่ลูบแก้มเอมเบาๆ รักเหลือเกิน... ชีวิตคนเราไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องของเอมก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับจินเช่นกัน
ใครจะไปคิดละว่าเราจะสามารถรักคนๆหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อแม่ได้มากขนาดนี้...
“เอมรู้มั้ย ว่าพี่รักเอมมากเลยนะ” แค่ฟังก็หน้าแดงแล้ว แถมเจ้าคนพูดยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนกับว่ากำลังพูดเรื่องคอขาดบาดตาย
“แล้วทำไมพี่จินต้องพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้ละครับ!” ผมถามเสียงสูง ประเดี๋ยวก็เหนี่ยวสักทีดีมั้ย >//<
“ก็เพราะว่าพี่กำลังคิดน่ะสิ เอมรู้มั้ยว่าพี่เองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่จะรักเอมมากขนาดนี้”
“อะไรกัน พูดอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากงั้นแหละ”
“ฮ่าๆ นั่นสิ แต่สำหรับพี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มากเลยนะครับ เพราะว่าคนอย่างพี่ที่ไม่เคยเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จะมีเอมอยู่ในความคิดมากขนาดนี้”
“แหวะ”
“หึหึ เขินอะดิ”
“อื๊อ อย่าหยิกตะหมูกดิ เดี๋ยวดั้งแหมบนะ”
“คนบ้านไหนเนี่ย เรียกจมูกว่าตะหมูก”
“อิอิ ก็คนบ้านเนี้ยแหละ” พี่จินยังไม่ยอมปล่อยมือจาก ‘ตะหมูก’ ของผม แต่กลับดึงหน้าผมให้เข้าไปใกล้ชิดขึ้นอีก
ผมชอบเวลาที่ริมฝีปากของเราแตะกันเบาๆ เหมือนเอาปากมาชนกันแบบนั้นแหละ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ทันใจพี่จินสักเท่าไร เพราะเจ้าตัวเริ้มใช้ฟันงับปากผมแรงๆ
“อื้อ เอมเจ็บนะ” เสียงผมไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไร
“ไหนบอกชอบ” นั่นสิ... เถียงไม่ออกเลย ไม่ว่าพี่จินจะจูบ กอด หอม กัด สัมผัสแรง อ่อนโยน หรืออะไรก็ตาม ผมชอบหมดแหละ ผมชอบที่ได้เป็นที่รักของคนๆนี้...
ผมนับไม่ได้ว่าตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของเราได้จูบกันอีกกี่ครั้ง คงเป็นเพราะว่ามันไม่สามารถนับได้ วันเวลาที่ผันผ่านไป ชีวิตของหลายคนก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่สำหรับผม คือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชีวิตของผมไว้กับผู้คนเหล่านี้...
ไอ้มินท์ ได้สุขสมหวังในรักกับซินที่ใฝ่ฝัน มีลูกสาวลูกชายฝาแฝดที่น่ารักสองคน และยังคงพาหลานมาหาผมบ่อยๆ
ตอง วางแผนจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ โดยมีพี่พีร์พยายามจะขอวีซ่าเพื่อตามไปอยู่ด้วย
อั๋น ได้ยินว่าหลังจากทำงานได้แค่สองปี ก็เลิกกับน้องรหัสคนนั้น และตอนนี้กำลังคบหากับผู้หญิงที่เพื่อนเป็รฝ่ายแนะนำให้รู้จัก (มันเป็นไบ? ผมเพิ่งรู้ - -**)
กิ ยังเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยไปลอยมา ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนมากก็ใช้ชีวิตอยู่หัวหินในฐานะเจ้าของบูติกรีสอร์ทที่กำลังมาแรง และดูเหมือนว่ารอยยิ้มของมันก้กลับมาสดใสขึ้นเรื่อยๆ บางทีกาลเวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...
และคนในหัวใจของผม ยังเสมอต้นเสมอปลาย ผมยังมีความสุขทุกวันที่ตื่นมาและได้เจอหน้าพี่จินเป็นคนแรก ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเขา คุณแม่ของพี่จินตอนที่รู้เรื่องของเราดูจะอึ้งไปบ้าง แต่ท่านก็รับได้ (คงเพราะลูกชายคนโตผลิตหลานชายสาม หญิงหนึ่งให้ท่านสมใจแล้วนั่นละ) พี่จินยังคงต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างไทยและปารีส แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ผมก็ตามไปกับเขาทุกครั้ง เมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น และก็คงเป็นเช่นเดิมตลอดไป
สำหรับคนที่ไม่มีอะไร ไม่มีใครมาแต่แรกอย่างผม เพียงเท่านี้มันก็คุ้มค่าพอที่จะให้ผมใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว...
-- THE END --
จบแล้วนะคะ สั้นๆนิสนึง แต่ก็ยังดีกว่าคาราคาซังไว้ -..-
อันที่จริงเรื่องนี้มันก็ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมากมายหรอกค่ะ คิดว่าส่วนสำคัญๆก็ผ่านไปหมดแล้ว
และตอนนี้สมองก็มีแต่พล็อตเรื่องใหม่ด้วย อิอิ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :bye2: