พิมพ์หน้านี้ - เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lingfang ที่ 08-12-2015 12:30:21

หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 08-12-2015 12:30:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



***************************************************************************************


  เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ ภาคต่อของเรื่อง เล่ห์รักเทวาสวรรค์
  หมายเหตุ เรื่องนี้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเหมือนกับเรื่องเล่ห์รักเทวาสวรรค์ค่ะ
 
      โปรยเล็กน้อย
      เมะชนเมะ แล้วใครจะกดใคร...
     
      "หลิ่วเหวินอี้" ชีวิตที่ถูกหักหลังและมีปมในใจจนหล่อหลอมให้เป็นคนเย็นชา
      "ลั่วเหยียนเจิ้ง" สวรรค์บัญชาให้เป็นฮ่องเต้ที่อดีตต้องต่อสู้กับคำลวงเล่ห์แห่งวังหลวง เสแสร้งแกล้งทำจนชินชา ภายใต้ใบหน้ายิ้มอ่อนโยนกลับซ่อนความร้ายกาจเอาไว้
      ทว่าโชคชะตาได้นำพาทั้งคู่มาพบกัน หนึ่งต้องการเอาชนะใจ อีกหนึ่งเบื่อหน่ายมิอาจเชื่อใจใครได้อีก จะเกิดอะไรขึ้นติดตามในเรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์!!


เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
แต่งโดย : หลิ่งฟาง
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการที่ไม่มีประวัติศาตร์จริง หรืออ้างอิงประวัติศาสตร์แต่อย่างไร ชื่อเรื่อง ชื่อสถานที่ และชื่อต่างๆ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าหยิบยืมมาเป็นบางส่วนเพื่อความสนุกของเนื้อเรื่องเท่านั้น จึงใคร่โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยเจ้าค่ะ
 จึงเรียนมาเพื่อทราบ
 หลิ่งฟาง (ความหอมหวานแห่งสายลม)***************************************************************************************


         บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง



**********************************************************************************
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
บทนำการตายไม่ใช่จุดจบแต่มันคือการเริ่มต้น! (P.1วันที่ 8/12/58)

       

         ว่ากันว่าเดิมทีชีวิตคนเราสั้นยาวไม่เท่ากัน “นาธาน” รู้เรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าชีวิตตนจะมาจบลงเพราะการถูกเพื่อนรักทรยศ เวลานี้แผ่นหลังอันเย็นชืดของเขาทอดร่างแน่นิ่งจมกองเลือดด้วยลมหายใจรวยริน ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่าง เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือเปล่งเสียงออกมาได้ ทว่าดวงตาคมกริบยังจ้องมองผู้ทรยศหักหลังด้วยความโกรธแค้น พร้อมคำถามภายในใจว่า ทำไม ทำไมต้องฆ่าเขาทั้งๆ ที่ร่วมเป็นร่วมตายมานานหลายปี
    
        “Sorry, but I need to do” น้ำเสียงและแววตาที่ส่งมานั้นมันไม่เข้ากับคำขอโทษเลยสักนิด นาธานพยายามใช้เรี่ยวแรงที่มีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
    
        “I've done nothing wrong”
    
         “นายโดดเด่นเกินไป นายเป็นสายลับที่ทำงานยอดเยี่ยมเกินไปนาธาน หากชาติหน้าไม่อยากตายง่ายๆ อย่าทำตัวให้โดดเด่นให้มากนัก” นั่นคือความหมายที่ได้ยินก่อนที่ดวงตาเริ่มหนักอึ้งจนไม่อาจฝืนลืมตาขึ้นมามองได้อีก ลมหายใจเริ่มติดขัด ครั้นจะพยายามสูดลมหายใจเขาปอดก็เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเต็มที เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามาคือสิ่งสุดท้ายที่ได้ยินพร้อมลมหายใจที่ใกล้จะหมดลงทุกที
    
        ปัง!
    
        เฮือก!!
    
       ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ใบหน้างดงามยามนี้เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่ยังสั่นระรัวผ่านไปครึ่งก้านธูปจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรไปจุดตะเกียงน้ำมัน อดีตที่ตามหลอกหลอนมาตลอดสิบแปดปี และเป็นอดีตที่ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขหรือแม้กระทั่งล้างแค้นได้ จากวันนั้นที่เขาได้ตายไปด้วยน้ำมือของเพื่อนสนิท
    
      เขาได้กลับมาเกิดใหม่ในยุคที่ไม่รู้จักหรือคุ้นเคย ทว่าความทรงจำในอดีตกลับยังคงอยู่เหมือนตอกย้ำความรู้สึกของเขา ใบหน้างดงามมีแต่เพียงความเย็นชาเท่านั้น แม้จะตกใจกับอดีตที่ตามหลอกหลอนทว่าใบหน้ากลับนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก ประสบการณ์ในอดีตและปัจจุบันหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้
    
       ‘หลิ่วเหวินอี้’ หยิบเสื้อคลุมมาสวม ก่อนจะเดินออกไปหน้าตำหนัก ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามองพระจันทร์นิ่งๆ ทว่าในใจกำลังครุ่นคิดถึงอดีต เมื่อก่อนเขาชื่อนาธาน ลูกครึ่งไทยอังกฤษ เป็นCentral Intelligence Agency หรือเรียกสั้นๆ ว่า ซีไอเอ เป็นหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกาซึ่งเขาโดดเด่นที่สุดในหน่วย แต่ความโดดเด่นนั้นกลับทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนให้ขาดสะบั้นลง
    
      แต่หากเป็นไปได้เขาอยากจะกินน้ำแกงยายเมิ่งลบเลือนความทรงจำทั้งหมดจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับความฝันที่ตามหลอกหลอนแบบนี้อีก ทว่านั่นมันแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของเขาเท่านั้นเพราะหลังจากที่เขาสิ้นใจตายไป พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเป็นเพียงทารกที่เกิดใหม่เท่านั้น
    
       “นายน้อยฝันร้ายอีกแล้วหรือขอรับ” เสียงที่เอ่ยถามจากทางด้านหลังไม่ได้ทำให้ผู้ที่ดูเฉยชาหันไปมอง
    
       “อืม” หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่ขานรับในลำคอ แต่หากเป็นปกติเขาจะไม่ตอบรับด้วยซ้ำไปเพียงแต่หลวนซานเป็นทั้งเพื่อนและพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่มารดาหนีไปตอนเขาเกิดได้สามเดือน แม้คนอื่นๆ จะบอกว่ามารดาเขาได้ตายจากไปแล้ว หากเป็นเด็กปกติก็คงต้องเชื่อกับสิ่งที่บอกเล่าแต่ไม่ใช่สำหรับเขาคนที่มีจิตวิญญาณอายุร่วมสี่สิบเจ็ดปี
    
       “นายน้อยนอนไม่หลับไปเล่นกันไหมขอรับ” เสียงสดใสที่เอ่ยถามทำให้หลิ่วเหวินอี้หันกลับไปมองนิ่งๆ หลวนซานอายุมากกว่าเขาหกปีแต่หน้านี่หวานและยังดูอ่อนเยาว์กว่าผู้ใดที่เขาพบเจอ ดีแต่ว่าไม่ได้ตัวเล็กน่ารัก แต่มีส่วนสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบแปดเซ็นที่ไล่เลี่ยกับเขาเลย รูปร่างนับว่าเป็นนายแบบได้สบายและนั่นจึงเป็นคู่มือการฝึกซ้อมอย่างลับๆ ของเขาเพราะรูปร่างที่เท่าเพียงกัน
    
        “อืม” ขานรับอีกฝ่ายเมื่อถูกจ้องมองอยู่นาน
    
       พรึบ!
    
        สองร่างพุ่งทะยานหายไปกับความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความว่างเปล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาออกจากตำหนักไปยามวิกาลโดยที่ไม่มีใครรู้
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
        ห่างไกลจากตำหนักของนิกายมารฟ้าไปกว่ายี่สิบลี้ ณ ป่าไผ่ที่มีพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ยามนี้กลับมีการต่อสู้อันดุเดือดของสองร่างที่โหมรันฟันแทงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
        พรึบ!
    
        ปลายกระบี่ของหลิ่วเหวินอี้ตวัดพาดลำคอของหลวนซานด้วยความเร็ว จนผู้ที่เป็นคู่ฝึกซ้อมถึงกลับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
    
        “นายน้อยเก่งขึ้นมากนะขอรับ แบบนี้ข้าน้อยคงเบาใจยามที่นายน้อยคลาดสายตา” หลิ่วเหวินอี้ยกกระบี่ออกจากลำคอมองคนพูดด้วยสายตาเฉยเมย แม้เขาจะซาบซึ้งใจที่หลวนซานจงรักภักดีแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมาทำให้เขาไม่เชื่อใจผู้ใดได้อีก แม้จะเติบโตมาด้วยกันแต่เขาก็ยังหวาดกลัว กลัวว่าจะถูกหักหลังอีกครั้ง...
    
        “กลับเถอะ” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะเร้นกายหายไปปล่อยให้หลวนซานมองตามเงาร่างนั้นเงียบๆ ก่อนจะพึมพำตามหลังอย่างแผ่วเบา
    
        “ท่านกลัวสิ่งใดกันนะ”



      ฝากเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ จุ๊บๆ :mew1: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 08-12-2015 12:44:13
ติดตามเรื่องใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: jaokhwan ที่ 08-12-2015 14:59:09
 :impress2: :impress2: :impress2: :hao7: :hao7: :hao7:

กรีดร้องงงงง
เข้ามานั่งรอทุกวัน เมื่อไหร่จะได้เห็นหัวข้อเรื่องนี้  :mew3:

ติดตามฮะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 08-12-2015 16:55:08
ตามมาจากเรื่องหยวนน้อย. รออออออ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 08-12-2015 18:48:14
อืม พอเริ่มเรื่องใหม่ เราก็งงใหม่อีกครั้ง รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-12-2015 20:28:16
มารอ น่าสนุกอีกแล้ว  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทนำ (P.1วันที่ 8/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-12-2015 20:43:13
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่2กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 23-12-2015 20:00:12
บทที่ 2 กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)

     
        หน้าอกด้านขวาต้องคมศร แผ่นหลังมีบาดแผลลึกมากกว่าสามแผลจากคมดาบจนมองเห็นกระดูก เลือดสดๆ หลั่งไหลราวกับไม่ยอมสิ้นสุด ขาทั้งสองข้างเริ่มไร้เรี่ยวแรงเดินสะเปะสะปะไปเสียทุกย่างก้าวแม้จะอ่อนแรงมากเพียงใดแต่ร่างเล็กของเด็กชายวัยสิบขวบปีมิอาจยอมแพ้ได้ พยายามลากสังขารอันอ่อนล้าหลบหลีกผู้ตามล่าโดยมีองค์รักษ์คอยต้านรับอยู่เบื้องหลัง พลันใดนั้นร่างเล็กก็สะดุดรากไม้จนกลิ้งลงเนินเขาไปอย่างมิอาจช่วยเหลือตนเองได้อีก ‘ลั่วเหยียนเจิ้ง’ ร่วงตกยังหุบเขาเว้งว้างไร้ก้นหลุมอย่างไร้การควบคุมดวงตากลมโตหลับลงอย่างอ่อนล้า การตายเป็นเช่นนี้นี่เอง...
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะหลับตาลงเมื่อต้องแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ร่างกายรู้สึกปวดร้าวจนแทบขยับไม่ไหว แต่ก็บ่งบอกให้รู้ว่าตนยังไม่ตายจึงค่อยๆ พยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทำให้เห็นว่าตนอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง น่าจะเรียกว่ากระท่อมไม้เสียมากกว่า
    
        “ฟื้นแล้วหรือข้านึกว่าเจ้าจะไปเฝ้ายมโลกเสียแล้ว นับว่าฝีมือยาข้าก็ไม่เลวร้าย” เสียงทักทายพร้อมร่างสูงสง่าใบหน้าคมคายเดินเข้ามาหาพร้อมถ้วยยาในมือ ลั่วเหยียนเจิ้งพลันลุกขึ้นนั่งอย่างหวาดระแวง มองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
    
       “ท่านคือผู้ใด”
    
       “คนที่ช่วยชีวิตเจ้าไง ถามโง่ๆ” ลั่วเหยียนเจิ้งตะลึงงันไปชั่วครู่เกิดมานับตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยมีผู้ใดว่าตนโง่สักครั้ง แต่เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไว้จึงจำต้องปิดปากเก็บความไม่พอใจเอาไว้แล้วพยายามลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ ทว่าร่างเล็กกลับทรุดลงข้างเตียงไม้อย่างอ่อนแรง
    
        “เจ้านี่โง่จริงๆ หลับไปหนึ่งอาทิตย์ข้าวปลายังไม่ลงท้องจะมาลุกขึ้นให้เป็นภาระข้าอีก” แม้จะกล่าวตำหนิแต่ก็พุ่งมารับร่างเล็กไว้โดยที่ยาในมือขวาไม่กระฉอกออกจากถ้วยแม้แต่น้อย
    
         “กินนี่ไปก่อน ข้าจะไปเอาข้าวมาให้กิน” บอกพร้อมยัดถ้วยยาใส่มือเล็กพร้อมหมุนกายออกไป
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างมึนงงเขารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นคนประหลาด ก้มมองยาในมืออย่างลังเลแต่ก็จำใจกลืนกินเข้าไปอย่างไรคนผู้นั้นก็ช่วยชีวิตตนไว้ เพียงไม่นานข้าวต้มมื้อแรกจากการฟื้นขึ้นก็มาวางอยู่เบื้องหน้า เขามองตามอย่างไม่แน่ใจว่ามันจะรับประทานได้จริงๆ
    
         “ข้าวต้มสมุนไพร ข้าทำสุดฝีมือเพราะฉะนั้นกินให้หมด”
    
         ชายร่างสูงในอาภรณ์สีขาวบอกด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำให้รู้สึกสยองเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เมื่อเห็นสายตาบังคับขู่เข็ญมองมาทำให้ค่อยๆ ตักข้าวทานทีละคำ ก่อนจะเบ้ปากมองคนทำแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ทำไมองค์รัชทายาทอย่างเขาถึงต้องมาทนกินข้าวต้มสุดจะย่ำแย่ลงคอด้วย แต่เพราะความหิวอีกทั้งสายตาอาฆาตของผู้หวังดี? ทำให้ฝืนกินจนหมดถ้วย
    
         “ดีมากเด็กน้อย ฮ่าๆ ๆ เจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีเสียจริง วันนี้พักก่อนเถอะเดี๋ยวข้าจะทดลองยาตัวใหม่กับเจ้าในตอนเย็น” ลั่วเหยียนจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างตะลึงงัน เมื่อครู่ฟังผิดไปใช่ไหม ว่าเขากำลังเป็นหนูทดลองยาให้กับคนประหลาดผู้นี้
    
        ทว่านั่นเป็นการได้ยินที่ถูกต้อง หลังจากถึงเวลาเขาก็ได้กินยาสูตรแปลกของคนผู้นี้จริงๆ แต่แผลก็หายอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจขณะเดียวกันร่างกายเขากลับร้อนผ่าวเหมือนมีไฟมาแผดเผาร่างจนต้องไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น
    
       “หืม แรงไปเหรอ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเจ้าก็ชิน” นั่นคือคำพูดของผู้มีพระคุณที่ลั่วเหยียนเจิ้งได้ยินก่อนจะสลบไปเพราะทนความปวดร้อนในอกและตามร่างไม่ไหว
    
       ฟู่ซานยกมือตวัดร่างเด็กน้อยไปนอนเป็นเตียงไม้เล็กเหมือนเดิมก่อนจะหยิบไข่มุกสีขาวอายุพันปีบดละเอียดในมือกรอกลงคอเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง แม้จะชอบกลั่นแกล้งแต่หน้าที่ก็ยังเป็นหน้าที่ไฉนเลยเทพตกสวรรค์อย่างตนจะกล้าทำร้ายบุตรสวรรค์ได้ลงคอ
    
        ไม่รู้ว่าหลับไปเป็นเวลานานเท่าไหร่ เมื่อตื่นมาอีกทีถึงได้ขึ้นวันใหม่ที่พระอาทิตย์ตั้งฉากอยู่กลางศีรษะร่างกายตอนนี้ไม่ได้เจ็บปวดเหมือนแต่เดิมแล้ว มีเพียงรอยแผลเป็นบางเบาเท่านั้น ลั่วเหยียนเจิ้งลุกออกจากเตียงไม้เดินออกไปนอกกระท่อมหลังเล็กเห็นผู้มีพระคุณนอนอาบแดดอยู่ใต้ต้นเหมยแดงอาภรณ์สีขาวขับผิวขาวเนียนให้ดูงดงาม แต่หากนับความร้ายกาจที่กลั่นแกล้งเขาแล้วทำให้ความงดงามที่เห็นไม่ได้ทำให้สนใจแม้แต่น้อย
    
        ร่างเล็กวัยสิบขวบปีเดินเข้าไปหาตอนนี้ตนหายดีแล้วจึงมิอาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป และหากเป็นไปได้เขาอยากให้ผู้มีพระคุณที่แสนประหลาดคนนี้ชี้ทางกลับแคว้นลั่วหยาง
    
        “เวลานี้เจ้ายังกลับไม่ได้หรอก” น้ำเสียงราบเรียบของผู้ที่นอนอยู่กล่าวออกมาแผ่วเบา ทว่ากลับทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักงัน เพราะยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อยแล้วคนประหลาดผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการไปจากที่แห่งนี้
    
         “ทำไมขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างนอบน้อมด้วยความไม่เข้าใจ ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวลุกขึ้นนั่งหันมามองเขานิ่งๆ ดวงตาที่เคยแวววาวกลับฉายแววจริงจังกว่าปกติที่เคยพบเห็น
    
         “ที่นี่เป็นหุบเขาเร้นลับกาลเวลาที่นี่จะเดินเร็วกว่าโลกภายนอกที่เจ้าจากมา ต่อไปนี้ข้าฟู่ซานจะเป็นอาจารย์สอนสั่งเจ้า เมื่อใดที่ข้าคิดว่าเจ้าสำเร็จวิชาที่ข้ามีและเอาตัวรอดได้แล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่จะมาเป็นอาจารย์อย่างพิจารณาอีกครั้งพร้อมคิดทบทวนคำพูดของฟู่ซานอย่างถี่ถ้วน
    
        “ท่านว่าที่นี่เวลาเดินเร็วอย่างนั้นหรือขอรับ”
    
        “ใช่ หนึ่งปีที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก หากเจ้าฝึกสักสิบปีหายไปแค่สิบวันคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง” น้ำเสียงจริงจังที่ตอบกลับมาทำลั่วเหยียนเจิ้งมึนงงเล็กน้อย แม้ตกตะลึงกับเวลาทว่าใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่แสดงสิ่งใดออกมา แต่เมื่อพินิจในคำพูดแล้วจึงรู้ว่าย่อมเป็นผลดีกับตน
    
       “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าลั่วเหยียนเจิ้งฝากตัวด้วยขอรับอาจารย์” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างนอบน้อมและก้มลงคารวะอย่างจริงใจ
    
        หลังจากที่ตกลงเป็นลูกศิษย์แล้ว ลั่วเหยียนเจิ้งจึงได้รู้ว่าอาจารย์ฟู่ซานนั้นมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งตนเป็นที่สุด โดยเฉพาะให้เขาเป็นหนูทดลองยาสูตรแปลกใหม่จนบัดนี้ผ่านไปสามเดือนร่างกายเขาก็สามารถต้านทานพิษได้ถึงห้าสิบชนิดนับว่าเป็นผลดีอย่างมากเพราะในวังหลวงที่อาศัยอยู่นั้นล้วนอันตรายด้วยยาพิษและมีผู้คนมากมายที่ตายตกเพราะมัน
    
      แต่มีสิ่งหนึ่งที่ลั่วเหยียนเจิ้งสงสัยเหตุใดหุบเขาเร้นลับแห่งนี้ถึงมีแค่ตนกับอาจารย์เท่านั้น ทว่าเมื่อยามเอ่ยถามกลับได้คำตอบเป็นรอยยิ้มละไม แต่ดวงตากลับเศร้าหมองจนมิอาจคาดเดาได้ จึงมิคิดจะไถ่ถามอีกและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์ฟู่ซานคือการเสแสร้งด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าคิดสิ่งใดมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น แม้กระทั่งลงมือเอายาพิษให้ลูกศิษย์ดื่มใบหน้ายังยิ้มอบอุ่นจนบัดเดี๋ยวนี้เขารู้สึกระแวงรอยยิ้มอาจารย์ไปเสียทุกครั้ง
    
       “เหยียนเจิ้งวันนี้ข้ามีข้าวต้มสูตรพิเศษมาให้เจ้าด้วย”
    
        เสียงนุ่มทุ้มพร้อมรอยยิ้มเดินเข้ามาหาตนในมือถือชามข้าวใบใหญ่มาให้เหมือนทุกครั้ง แม้รสชาติจะย่ำแย่แค่ไหนเขาก็ต้องจำใจกินให้หมดไม่เช่นนั้นโดนงดอาหารมื้อต่อไป และที่สำคัญเขาทำกับข้าวไม่เป็น หลังจากลองทำครั้งสุดท้ายเมื่อหนึ่งเดือนก่อนคือการเผาโรงครัวอาจารย์จนวอดวายหมด สุดท้ายจึงได้รับโทษมานอนตากน้ำค้างด้านนอกอยู่เจ็ดคืน หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าเข้าไปห้องครัวอีกเลย
    
        “อาจารย์วันนี้ข้าต้องเรียนรู้สิ่งใดขอรับ”
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเพราะสามเดือนมานี้เขาได้แต่วิ่งขึ้นลงบนเขาแห่งนี้อีกทั้งจำสมุนไพรแปลกๆ ของอาจารย์ไปด้วยและทำให้เขาจดจำสมุนไพรเหล่านี้ได้มากขึ้น แต่วิธีปรุงยาอาจารย์นั้นกลับดูแปลกตา บางครั้งจะปรุงยาแก้แต่ได้ยาพิษมาแทนซึ่งเจ้าตัวดูไม่สำนึกแม้แต่น้อย จนเขาเริ่มชินชาไปแล้วว่าอาจารย์ปรุงยาได้เพราะโชคช่วยเป็นบางครั้งเท่านั้น
    
         “นั่นสิเจ้าอาการก็หายดีแล้ว ยาพิษในร่างก็พอจะไม่ตายง่ายๆ ต่อไปก็เรียนกระบี่แล้วกัน” อาจารย์ยกมือลูบคางครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา ลั่วเหยียนเจิ้งมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าอาจารย์จะมีวรยุทธ
    
         ทว่าตั้งแต่นั้นมาลั่วเหยียนเจิ้งไม่เคยดูถูกคนที่ภายนอกอีกเลย เห็นอาจารย์เหมือนไม่มีแรงแต่กระบี่ที่ฟาดฟันมาแต่ละทีเอาแขนสั่นสะท้าน กระบวนท่าที่ว่องไวและเฉียบขาดที่สอนสั่งทำให้เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายในใจ เพราะเหตุใดคนที่มีความสามารถเช่นนี้ถึงได้มาหลบซ่อนอยู่ที่หุบเขาเร้นลับ ไม่มีผู้คนคบหา? หรือมองอีกทางหนึ่งคือที่แห่งนี้เหมือนคุกคุมขังอย่างดี เวลาเดินเร็วกว่าภายนอกหากไม่สงบใจได้จริงๆ คงทุกทรมานกับเวลาไม่สิ้นสุดอีกทั้งไม่แก่ ไม่ตาย นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากที่แห่งนี้
    
        วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วทว่าความรู้ความสามารถที่ได้รับกลับมากมาย ทั้งร่างกายที่สามารถต้านทานพิษได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะโดนพิษในวังหลวงฆ่าตายได้ง่ายๆ ร่างกายที่ฝึกฝนฝึกกระบี่แม้จะรวดเร็วดุจสายลมแต่ยังคงอยู่ในวัยสิบขวบจนไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้เหมือนกาลเวลาหยุดนิ่งทั้งๆที่ความจริงผ่านมานานกว่าสามปี อาจารย์ฟู่ซานยังคงเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย รสชาติอาหารย้ำแย่อย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นการได้กลั่นแกล้งเขาเหมือนเป็นงานอดิเรกของอาจารย์จนเขาเริ่มชินชา
    
       “เหยียนเจิ้งร่างกายเจ้าต้านพิษได้หลายชนิด อีกทั้งวิชากระบี่วิหคลมเก่งกาจกว่าผู้คนธรรมดาแล้ว เวลานี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องออกจากหุบเขาแห่งนี้แล้วล่ะ” เช้าวันนี้อาจารย์เรียกพบเขาแต่เช้า คำกล่าวของอาจารย์พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย ตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันมาทำให้รู้จักอาจารย์ฟู่ซานมากขึ้น
    
        “อาจารย์ข้าอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสิบปีเลยนะขอรับทำไมรีบผลักไสข้าไปแล้วเล่า หรืออาจารย์เบื่อหน้าข้าแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดท้อ แม้จะรู้หน้าที่ในอนาคตของตนเองแต่บางครั้งเขาก็อยากใช้ชีวิตเงียบๆ อย่างที่นี่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ไม่ต้องระแวงว่าผู้ใดจะเข้ามาสังหารตนเอง
    
        “ใช่ เจ้ารู้ทันข้ามากเกินไปจนน่าเบื่อ” ฟู่ซานตอบกลับเสียงเบื่อหน่ายเพราะไม่ว่าเขาจะกลั้นแกล้งลั่วเหยียนเจิ้งอย่างไรเจ้าตัวก็มีแต่รอยยิ้มที่ลอกเลียนแบบเขามาอย่างไม่มีผิดเพี้ยนและให้ความรู้สึกว่าตัวเขากำลังมองตัวเองในวัยเด็กอย่างไรอย่างนั้น ที่สำคัญลูกศิษย์เขายังมีหน้าที่ต้องทำจะมาเสียเวลากับที่นี่ไม่ได้อีกทั้งตนก็ไม่รู้จะสอนอะไรกับคนเจ้าเล่ห์รู้ทันคนอย่างบุตรสวรรค์คนนี้แล้ว
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปเมื่อรับรู้ความจริงจากปากผู้เป็นอาจารย์คนแรกและคนเดียว ทว่าดวงตาจริงใจที่ส่งมาทำให้หัวใจอบอุ่นมากขึ้น
    
       “เหยียนเจิ้งอนาคตของเจ้าล้วนแต่ถูกสวรรค์กำหนด หากสิ่งใดที่ทำให้เจ้ามีความสุขจงอย่าปล่อยทิ้งไป แม้หน้าที่ของเจ้าจะหนักหนาจงอย่าท้อ แม้ไม่มีใครรักเจ้าจงจำไว้ว่าสวรรค์หาได้ทอดทิ้งเจ้าไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับเพราะอาจเป็นครั้งแรกที่อาจารย์จะพูดจริงจังกับเขาเช่นนี้
    
        “ขอรับอาจารย์ ข้าจะจดจำไว้”
    
        “ดีแล้วเจ้าเป็นศิษย์คนแรกและคนเดียวของข้า ต่อไปนี้เจ้าอาจไม่ได้พบข้าอีกเพียงแค่เจ้าจดจำในสิ่งที่ข้าสอนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ข้าก็พอใจแล้ว” ฟู่ซานบอกด้วยจริงใจเขาไม่ได้คาดหวังให้ผู้ใดทำเพื่อตน เทพตกสวรรค์อย่างตนเพียงได้รับโอกาสได้สอนบุตรสวรรค์ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
    
         “เพราะเหตุใดอาจารย์ถึงออกไปจากที่แห่งนี้ไม่ได้ขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่คาใจมาตลอดหลายปี อาจารย์เขานิ่งไปชั่วครู่รอยยิ้มที่มุมปากกลับเย้ยหยันชีวิตจนน่าประหลาดใจ
    
         “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ไปเก็บของจำเป็นของเจ้าเถอะข้าจะส่งเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้” ฟู่ซานหันไปบอกด้วยรอยยิ้มตามปกติ ทว่าคนฟังกลับยืนนิ่งก่อนจะก้มหน้าไปเก็บของตามคำสั่ง นี่เป็นข้อดีของลั่วเหยียนเจิ้งคือการเคารพในการตัดสินใจของเขา แม้เจ้าตัวจะสงสัยใคร่รู้แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบแต่นั่นเป็นเพราะเขาคืออาจารย์ แต่หากเป็นคนอื่นลูกศิษย์คนนี้คงคาดคั้นจนมุม จนกว่าจะได้คำตอบแน่ๆ เขาดูคนไม่เคยผิด
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาที่กระท่อมหลังขนาดกลางที่อาศัยตลอดสามปีที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกใจหาย ต่อไปนี้เขาไม่สามารถกลับมาที่แห่งนี้ได้อีกแล้วเพราะที่นี่เป็นที่มนุษย์ไม่สมควรอยู่ แม้จะดูสงบแต่กลับอ้างว้างเขาไม่รู้ว่าต่อไปนี้อาจารย์เขาจะอยู่คนเดียวได้เช่นไร
    
        ภายในห้องนอนมีเพียงเตียงไม้ไผ่แข็งๆ ไม่ได้นุ่มอุ่นเหมือนในวังหลวงแต่มันก็เป็นที่ที่เขาหลับตาลงได้อย่างสบายใจเสียทุกครั้ง เขาไม่ได้เอาสิ่งใดออกไปนอกจากกระบี่หยกสีขาวที่อาจารย์มอบให้มันสวยและเด่นสะดุดตาเกินไป ทว่าด้วยคาถาอาคมของอาจารย์กลับเปลี่ยนโฉมภายนอกเหมือนกระบี่สนิมเขรอะไร้ราคาเล่มหนึ่งเท่านั้น
    
         เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีขาวดูสะอาดของจอมยุทธน้อยเขาหยิบหยกประจำตัวมาห้อยที่ข้างเอวเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงเดินออกมาหาอาจารย์ แม้ภายนอกอาจารย์จะดูสง่างามมีรอยยิ้มอ่อนโยนเพียงใดทว่าดวงตากลับฉายแววเศร้าหมองจนเขาซึ่งยังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งยังรับรู้สึกความเจ็บปวดไปด้วย ได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องอันใดกันที่ทำให้อาจารย์ผู้ที่เหมือนไม่สนใจสิ่งใดมีดวงตาที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้
    
         “ความจริงข้าเป็นเพียงเทพตกสวรรค์ที่ถูกคุมขังไว้ในที่แห่งนี้เท่านั้น” ขณะเดินไปตามแผ่นหลังกว้างของผู้มีพระคุณเพื่อออกนอกเขตหุบเขาเร้นลับแห่งนี้ ฟู่ซานก็กล่าวออกมาจนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักงันหันไปมองอาจารย์อย่างไม่แน่ใจ
    
          “เจ้าจากไปหากข้าไม่พูดคงค้างคาใจเจ้าใช่หรือไม่” คำถามที่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ายอมรับความจริง เพราะเขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับอาจารย์ผู้นี้เลยนอกจากความโดดเดี่ยวไร้คนคบหา
    
       “เทพสวรรค์แม้จะมีความรักได้ แต่ก็มิอาจรักกับปีศาจได้นั่นคือความผิดของข้า ที่แห่งนี้คือที่คุมขังข้ามิให้ออกไปหรือผู้ใดเข้ามาได้ที่เจ้าตกมายังที่แห่งนี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน” คำอธิบายสั้นๆ แต่จับใจความได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไป แม้ตนจะยังไม่เข้าใจเรื่องความรัก แต่ก็เข้าใจเรื่องความผิดของอาจารย์ผู้นี้
    
        “แล้วเมื่อไหร่จะพ้นความผิดขอรับ” ฟู่ซานหันไปยิ้มให้ลูกศิษย์สองเท้าก้าวเดินไปยังเขตทางออก เพราะเขาเองก็มิอาจตอบได้ก็ในเมื่อหัวใจตนตอนนี้ยังมิอาจตัดรักได้โทษทัณฑ์นั้นยังคงอยู่
    
        “ข้าก็มิอาจรู้แต่ข้าไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ข้าทำ เจ้าเองก็เหมือนกันเหยียนเจิ้งหากคิดจะทำสิ่งใดจงอย่าเสียใจ”
    
        “ขอรับอาจารย์” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับอย่างว่าง่าย แม้อาจารย์จะโดนลงทัณฑ์ มีดวงตาที่เศร้าหมองแต่ก็ไม่เคยที่จะเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปจนอดที่จะนับถือไม่ได้ หากเป็นตนเองไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้หรือไม่
    
        “ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้ ออกไปแล้วแม้จะหันกลับมาเจ้าก็จะไม่เห็นที่นี่อีก วาสนาเราสิ้นสุดแล้วจงนำสิ่งที่เจ้ามีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ภายภาคหน้าข้าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ขอให้เจ้าโชคดี” ฟู่ซานอวยพรให้ลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบให้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งน้ำตาซึมแต่เขาไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้มีเพียงรอยยิ้มจริงใจเท่านั้นที่ส่งมอบให้อาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย
    
        “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ขอรับ ข้าจะจดจำคำสอนอาจารย์ตลอดไป” ลั่วเหยียนเจิ้งคุกเข่าคารวะอย่างจริงใจก่อนจะลุกขึ้นก้าวเดินออกจากที่แห่งนี้ด้วยความเชื่อมั่น
    
        ดวงตากลมโตหันไปมองอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายรอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบให้มา ทำให้เขาได้แต่อวยพรให้สวรรค์เมตตาละเว้นโทษให้อาจารย์สักครั้ง สองเท้าเล็กก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ รอยยิ้มที่มุมปากมองไปตามเส้นทางของแคว้นลั่วหยาง ทว่าดวงตากลับเย็นชามากขึ้น ต่อไปนี้เขาค่อยๆ จัดการหนูในวังหลวงให้สาสมกับที่กล้าลอบสังหารเขา ต่อไปนี้จะไม่มีลั่วเหยียนเจิ้งคนเดิมอีกแล้ว
    
        ...เพราะจะมีเพียงจิ้งจอกในคราบเด็กน้อยผู้อ่อนแอเท่านั้น!



   ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจ้า :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-12-2015 20:39:20
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 23-12-2015 21:14:32
มาตามอ่านเรื่องนี้แทนละกัน

แล้วใครพระเอก ใครนายเอกอะ

ตอนนี้ยังดูไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 25-12-2015 03:48:23
จะมีหยวนน้อยโผล่มามั้ยนะ ตามมาจากหยวนน้อยเลย เสียดายเพิ่งเจอ เลยไม่ทันสั่งหนังสือ. ถ้าสั่งตอนนี้จะทันมั้ยคะ  แต่ก็จะ
ติดตามๆๆๆๆ ต่อไปชอบแนวนี้ นี่จินตนาการไกลมาก
ถ้าสร้างเป็นหนังเป็นละคร โอ้ยยยยฟิน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 25-12-2015 06:37:07
 :yeb: :yeb: :yeb: :วู้วว1: :yeb: :yeb: :yeb:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: KhunToOk ที่ 25-12-2015 08:30:04
รอจ้า สนุกๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 25-12-2015 11:57:40
เห็นคอมเม้นอื่นพูดถึงหยวนน้อยเราก้อเอ๊ะ

สงสัยเราจะพลาดอะไรไปว่ะ

แต่เรื่องนี้น่าติดตามมากจ้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 25-12-2015 19:06:22
อยากอ่านคู่ท่านเทพ555
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 25-12-2015 20:44:34
รออ่านตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 05-01-2016 08:32:04
ตามมาจากเรื่องของลู่เฟยกับจิวชงหยวนจ้า
คนแต่งสู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้ อิอิ
ปล. รออ่านตอนต่อไปจ้าาา  :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 07-01-2016 01:09:35
อยากให้เหยียนจิ้งรุก เอ๊ะ หรือสลับกันดี
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 07-01-2016 01:31:03
ปักกกกก เราชอบเรื่องนั้นมากกกก ตอนนี้กำลังคลั่งแนวจีนโบราณ เจอเรื่องนี้คือกรี๊ดมากกด

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 07-01-2016 01:57:22
ตามมาจากหยวนน้อย 555
ชอบนิยายแนวนี้มาก รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจใ้ห้นะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 25-01-2016 23:51:24
ตามๆๆๆ
เมื่อไหร่จะมาต่อ เขารออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-01-2016 01:17:06
/โบกป้ายไฟองค์ชายรัชทายาท
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่ 2 สืบเรื่องราว (P.1วันที่ 09/02/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 09-02-2016 22:57:16
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่ 2
  สืบเรื่องราว (P.1วันที่ 09/02/59)

       ลั่วเหยียนเจิ้งยืนเหม่อมองพระจันทร์เต็มดวงด้วยหัวใจหว้าเหว่ แม้จะมีพระสนมมากมายเต็มตำหนักหลังแต่มิเคยมีใครที่ทำให้หัวใจอบอุ่นแม้แต่คนเดียว หญิงสาวพวกนั้นเป็นเพียงหมากการเมืองเท่านั้น หวนให้คิดถึงน้องห้าที่ได้อยู่กับคนที่รัก ทว่าอดีตที่ผ่านมาของตนล้วนพบเจอแต่ความเจ็บปวดอีกทั้งหน้าที่ต้องรับผิดชอบคงยากจะพบเจอ
    
       “ฝ่าบาทวันนี้เสด็จไปตำหนักใดพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยถามพร้อมยื่นไม้เสี่ยงทายมาให้ ลั่วเหยียนเจิ้งปรายตามองอย่างเบื่อหน่าย เพราะเข้าไปได้แต่กลิ่นน้ำหอมแรงจนไม่อยากเข้าใกล้
    
        “ข้าไม่ไป” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับทันควันหันวรกายกลับไปนอนเตียงนอนตัวเองโดยไม่สนใจสายตาลำบากใจขององค์รักษ์คนสนิทแม้แต่น้อย
    
       “ฝ่าบาทตั้งแต่รับสนมเข้ามาพระองค์เสด็จแทบนับครั้งได้นะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่ทรงโปรดสนมคนไหนบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
    
       “ข้าอยากนอน” เมื่อเจ้าเหนือหัวกล่าวมาเช่นนี้หยางซือหมิงจึงมิกล้าขัดพระทัยอีก จึงได้ก้มหน้าคารวะถอยไปจากห้องบรรทม เห็นทีคราวนี้คงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์เสียแล้วกระมัง
    
       หลังจากพ้นหลังองค์รักษ์ไป ลั่วเหยียนเจิ้งจึงลุกขึ้นนั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หน้าที่ฮ่องเต้ที่ดีต้องดูแลประชาชนให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขเรื่องนี้เขาสามารถทำได้ แต่เรื่องสตรีในวังหลังเขามิอาจมอบความสุขให้พวกนางได้ ร่างสูงลุกขึ้นนั่งก่อนจะทะยานออกไปนอกหน้าต่างด้วยเร็วและเงียบเชียบโดยที่องค์รักษ์ไม่มีทางจับได้ว่าตนมิได้อยู่ในห้องบรรทม วิชานี้เขาได้มาจากอาจารย์ฟู่ซานซึ่งฝึกสอนเขาเมื่อสิบหกปีที่ผ่านมาทว่าจนบัดนี้ที่ลึกลับแห่งนั้นเขาก็ไม่ได้พบเจออีกเลย มิรู้ว่าป่านนี้อาจารย์จะหลุดพ้นการลงทัณฑ์ไปได้หรือยัง
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งปรากฏตัวอีกครั้งที่ห้องอักษรเดินไปหยิบราชกิจที่ค้างพิจารณามามองอีกครั้ง เรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้านเกี่ยวกับว่าผู้ว่าราชการในแต่ละเมืองเริ่มเก็บภาษีราฏรเพิ่มมากขึ้นอีกทั้งมีการคดโกงการค้าจนอยากลงไปสัมผัสด้วยตนเอง
    
        แต่ก่อนจากไปจะต้องให้ใครมาสวมตำแหน่งแทนชั่วคราว และคนที่ไว้ใจได้อีกทั้งรูปร่างพอๆ กับตนก็มีเพียงองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายและขวาเท่านั้น หากให้หยางซือหมิงอยู่แทนคงไม่ยินยอมแน่ๆ ส่วนกวงไห่ก็เป็นคนไม่ค่อยจะยิ้มแต่ละตัวเลือกน่าลำบากใจจริงๆ
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งเก็บม้วนฏีกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้กับตัวก่อนจะกลับมายังห้องบรรทม เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเสด็จออกไปเยือนประชาชนให้เห็นด้วยตาตนเอง
    
        เช้าวันรุ่งขึ้นลั่วเหยียนเจิ้งเรียกองค์รักษ์มาสั่งงานเพื่อดำเนินตามเป้าหมาย โดยมอบหมายให้หยางซือหมิงปลอมเป็นพระองค์เพราะรูปร่างที่คล้ายกับตนมากที่สุดและหน้ากากยางที่มีใบหน้าเขา ซึ่งจิวชงหยวนมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่ผ่านมา ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ใช้เหมือนอีกฝ่ายกล่าวไว้จริงๆ
    
        “ฝ่าบาทให้กระหม่อมเสด็จไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากมีใครจับได้หัวกระหม่อมคงหลุดจากบ่าแน่ๆพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงเอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ทว่ากลับไม่สะดุ้งสะเทือนหัวใจเจ้าเหนือหัวแม้แต่น้อย มีเพียงร้อยยิ้มอ่อนโยนที่เห็นทีไรรู้สึกหวาดระแวงไปเสียทุกครั้งแทน
    
        “ใครจะสังหารเจ้ากัน ในวังหลวงแห่งนี้ข้ามีอำนาจสูงสุดและนี่เป็นคำสั่งข้า เจ้ากล้าปฏิเสธหรือ อีกอย่างเจ้าโกหกเรื่องที่ข้าประชวรมานานหลายปีได้จะโกหกต่อไปจะเป็นไรไป” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนฟังเถียงไม่ออกได้แต่มองตามอย่างอ้อนวอนเท่านั้น แต่มีหรือผู้มีหัวใจด้านชาเรื่องเช่นนี้จะใส่ใจ
    
        “โธ่ฝ่าบาท กระหม่อมทำตามบัญชาฝ่าบาทไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งแต่เรื่องนี้พระองค์ทำไมไม่ให้กวงไห่อยู่แทนกระหม่อมล่ะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ที่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องปรายสายตาไปมองสหายอย่างไม่พอใจแต่เมื่อคำสั่งจากเจ้าชีวิตจึงได้ปิดปากเงียบ
    
        “ไม่ต้องห่วงเพราะกวงไห่ต้องอยู่กับเจ้าแน่นอน” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มหวานเรื่องนี้เขาพิจารณาดีแล้ว หากมีตัวแทนเขาขึ้นมาแล้วไม่มีองค์รักษ์ติดตามยิ่งทำให้ผิดสังเกตได้ง่าย
    
         “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาอีกครั้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงคุกเข่าก้มหน้าชิดพื้น ตามด้วยกวงไห่ที่เห็นด้วยคุกเข่าอ้อนวอนอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างเข้าใจว่าทั้งคู่เป็นห่วงแต่ใช่ว่าตนจะไร้ฝีมือ
    
         “พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้ามิใช่คนไร้ฝีมืออีกอย่างยังมีองค์รักษ์เงาของน้องห้าติดตามข้าอยู่ย่อมไม่มีอันตรายง่ายๆ หรอก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าในมุมปากกลับยกยิ้มน้อยๆ พลางคิดว่าเรื่องอะไรจะให้ใครติดตามการหาโอกาสไปเที่ยวข้างนอกนั้นยากยิ่ง
    
         ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากองค์รักษ์กลับไม่ได้เห็น ทั้งคู่ได้แต่นอบน้อมรับคำสั่งอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็เชื่อมั่นในฝีมือขององค์จักรพรรดิ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดของพระองค์ทำให้พวกเขามั่นใจไปมากกว่าครึ่ง
    
          หลังจากจัดการแบ่งหน้าที่ให้คนที่ไว้ใจดูแลส่วนนี้แล้วจึงได้ออกจากวังหลวงลั่วหยางในวันถัดมา เขาสามารถหลบหลีกเหล่าองค์รักษ์เงาของลู่เฟยได้อย่างง่ายดาย หากใครมาพบเห็นในเวลานี้คงไม่มีกล้ากล่าวว่าองค์จักรพรรดิมีดีแค่สมองไร้ซึ่งวรยุทธแน่นอน
    
         ณ เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งเดินชมนกชมไม้ ในเขตนอกเมืองอย่างสบายอารมณ์สองมือไขว่หลังเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่ชาวบ้านใช้สันจร เขาเดินผ่านหมู่บ้านใหญ่เล็กมาเรื่อยๆ อย่างไม่ได้รีบร้อนอาภรณ์สีขาวในชุดจอมยุทธพเนจรพร้อมด้วยกระบี่หยกขาวซึ่งภายนอกยังดูสนิมเขรอะตามอาคมของอาจารย์สะพายด้านหลังกับห่อผ้าเล็กน้อย
    
         ใบหน้าคมคายถูกทาสีดำไว้ครึ่งหน้าทางฝั่งซ้ายส่วนทางขวาแทนที่จะงดงามกลับถูกแต่งแต้มด้วยไฝ่ปลอมเม็ดใหญ่ซึ่งเป็นของเล่นของจิวชงหยวนทำไว้ให้ ยิ่งดูอัปลักษณ์มากขึ้นจึงไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจมากนัก แม้จะไม่เคยออกไปไหนเพียงคนเดียวแต่ก็พอรู้ว่าต้องทำอะไรบ้างเพราะเคยผ่านความยากลำบากตอนที่ฝึกกับอาจารย์ฟู่ซานมาก่อน แม้จะผ่านมาเนิ่นนานแต่ใจก็หวังอยู่ลึกๆ ว่าจะได้พบอาจารย์ผู้มีพระคุณอีกครั้ง
    
         ผ่านมาสองวันลั่วเหยียนเจิ้งก็เดินทางมาถึงเมืองหยางเซาซึ่งเป็นราชอานาจักรของลั่วหยางซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ช่วงนี้อยู่ในฤดูใบไม้พลิสองข้างทางจึงมีใบไม้หลากสีร่วงโรย หมู่บ้านนี้ไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนในวังหลวง มีกำแพงเมืองล้อมรอบมีทหารตรวจการดูคนเข้าออกของเมืองทำให้รู้ว่ามีความเจริญไม่น้อยไปกว่าเมืองหลวง แล้วเหตุใดกันทำไมถึงมีเรื่องร้องเรียนไปถึงเขาได้
    
        “เข้าแถวๆ ใครจะเข้าเมืองต้องเข้าแถวให้ทหารตรวจการเสียก่อน”
    
        เสียงร้องของทหารดังอยู่หน้าประตูเมือง ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามแล้วครุ่นคิดว่ามีการจัดระเบียบดี น่ายกย่องไม่น้อย ทว่าเมื่อตนเดินเข้าแถวไปกับชาวบ้านและผู้คนที่เข้าเมืองต้องนิ่วหน้าน้อยๆ มองคนเก็บเบี้ยค่าเข้าเมืองอย่างครุ่นคิด ทำให้เสียความรู้ตั้งแต่เริ่มเข้าเมือง แต่เมื่อตนหมายจะมาจับปลาตัวใหญ่จึงยื่นเบี้ยให้ไหลตามน้ำไป
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้าไปในเมืองมองหาโรงเตี๊ยมเป็นอันดับแรกเพราะตอนนี้เขาหิวมาก และการทำอาหารเขาแย่ยิ่งกว่าสิ่งใดจึงไม่คิดจะแตะต้องมัน คิดถึงเรื่องนี้ทีไรทำให้เขาเจ็บใจทุกทีเพราะสองปีมานี้เขาไม่ได้กินบัวลอยไข่หวานเลย คนในวังหลวงก็ทำไม่เป็นน่าตัดหัวทิ้งให้หมดเสียจริง แค่คิดถึงเรื่องนี้ทีไรรู้สึกทรมานหัวใจจนไม่อยากนึกถึงมันอีก
    
       “คุณชายมากี่ท่านขอรับ” แม้จะหน้าตาอัปลักษณ์แต่การแต่งตัวทำให้รู้ว่ามีเงิน เสี่ยวเอ้อจึงออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ในใจเพราะที่แห่งนี้ผู้มีเงินคือลูกค้าชั้นยอด
    
       “คนเดียว” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับเสียงเรียบ ทว่ากลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ทำให้ผู้พบเห็นเบือนหน้าหนีอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาเดินไปนั่งริมระเบียงบนชั้นสองของเหลาอาหารตามคำเชิญของเสี่ยวเอ้อก่อนจะสั่งอาหารมาสามสี่อย่าง
    
       “ไก่อบเหล้าเหลือง ซี่โครงหมูน้ำแดง ซาลาเปาเห็ดหอม แปดทรัพย์ตุ่นไห่ และก็ชาหลงจิ่งมาป้านหนึ่ง” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปสั่งอย่างคุ้นเคย เสี่ยวเอ้อยิ้มร่ารับคำก้มหน้าคารวะจากไปพร้อมรายการอาหาร
   
        เสียงพูดคุยและเรื่องนินทาของแต่ละโต๊ะนั้นฟังดูแล้วน่าสนใจ สิ่งที่หนีไม่พ้นก็ยังเป็นข่าวของสำนักเซียนโอสถของจิวชงหยวน ทว่าสิ่งที่ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจในเวลานี้คือการปะทะกันระหว่างพรรคมารกับพรรคธรรมะ กอปรกับข่าวของนิกายมารฟ้าซึ่งเขาเคยได้ยินมาเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจมาก่อนเพราะคิดว่าตนจะเกี่ยวข้องกับยุทธภพ แต่ข่าวลือจากชายฉกรรจ์ข้างโต๊ะกำลังนินทาบุตรคนเล็กคนประมุขนิกายมารฟ้าทำให้ไม่อาจละเลยได้เช่นกัน
    
        “เจ้าแน่ใจหรือว่านี่เป็นเรื่องจริง” ชายร่างสูงโปร่งใบหน้าธรรมดาเอ่ยถามสหายในชุดสีน้ำตาลคาดเอวด้วยผ้าสีเหลืองบ่งบอกว่ามาจากสำนักเดียวกันเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง
    
        “จริงแท้ ข้าได้ยินมากับหูเห็นกับตาเมื่องานวันเกิดท่านประมุขเมื่อปีที่ผ่านมา บุตรคนเล็กของประมุขนิกายมารฟ้าเป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนขยะของตระกูล วรยุทธอ่อนด้อย ปัญญาไม่มี มีแต่ความสวยที่งดงามจนล่มบ้านล่มเมืองทว่ากลับเย็นชาเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวผู้ใดแม้แต่พี่น้องกันเองยังไม่เสวนาด้วย” ชายร่างสูงใหญ่เอ่ยตอบอย่างออกรส สีหน้าจริงจังดวงตาหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อนานมาแล้วแต่ยังจดจำได้ไม่ลืม
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทว่าหูกลับตั้งใจฟังการนินทาของโต๊ะข้างๆ อย่างตั้งใจ จนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟเขาจึงล่ะความสนใจมาทานอาหารเงียบๆ แม้จะหิวกระหายมากแค่ไหนทว่าการนั่งดื่มกินยังสง่างามจนทำให้หลายคนหันมามองด้วยความสนใจ อีกทั้งมาเพียงผู้เดียวทำให้ผู้คนมั่นใจว่าชายผู้นี้มีวรยุทธสูงล้ำจนอยากขอท้าประลอง
    
       “พี่ชายท่านมาจากสำนักใด น้องชายคนนี้ขอคำชี้แนะได้หรือไม่”
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งที่กำลังคีบไก่อบเหล้าเหลืองกำลังเข้าปากชะงักงัน เขาเงยหน้ามองผู้เอ่ยถามแล้วก้มหน้ามองอาหารตรงหน้าอย่างพิจารณาแต่มารยาทที่มีแต่กำเนิดทำให้จำใจวางอาหารที่กำลังเข้าปากลงแล้วกล่าวตอบชายร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยรอยยิ้มการเมือง
    
        “น้องชายข้ามาจากสำนักเซียนโอสถ วรยุทธข้ายังด้อยมาก แต่หากน้องชายไม่รังเกียจขอข้าทานมื้อกลางวันก่อนได้หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเบาบางขณะกล่าวอ้างถึงสำนักของน้องสะใภ้คนงามโดยไม่มีใครสังเกตเห็น พลางคิดว่าค่อยให้จิวชงหยวนมาคอยเก็บกวาดปัญหาที่เขาก่อ? เอาเองแล้วกัน
    
       “โอ้ ที่แท้พี่ชายมาจากสำนักเซียนโอสถเองหรอกรึ ข้าได้ยินมาว่าผ่านมาหลายปีมีศิษย์เพียงแค่หยิบมือแต่กลับมีฝีมือร้ายกาจเช่นนั้นหลังอาหารข้าคงต้องขอคำชี้แนะพี่ชายเสียแล้ว”
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับอย่างไมตรี เชิญอีกฝ่ายร่วมทานด้วยอย่างไม่รังเกียจ  อาหารมื้อนี้จึงทำให้เขาได้รับความรู้เกี่ยวกับยุทธภพมากขึ้นแม้จะรับฟังและจดจำได้แต่เขาก็กล่าวตอบอย่างพองามเท่านั้น
    
        “ข้าจอมยุทธฟ่านหลี่มาจากสำนักมังกรฟ้าไม่ทราบพี่ชายมีนามว่าอะไร” ชายร่างสูงโปร่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจริงใจใบหน้าคมคายออกหวานนั้นดูดีไม่น้อยขณะยิ้มแต่ไม่ว่าใครก็ยังงดงามเท่าน้องสะใภ้คนงามจิวชงหยวนไม่ได้
    
        “ข้าเหยียนเจิ้ง”
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มมองคนที่ไม่รังเกียจหน้าตาอัปลักษณ์ตนเองอย่างสนใจ เขาเองก็อยากมีสหายที่ไม่ได้สนใจหน้าตาและอำนาจที่เขามี แต่จะมีคนแบบนั้นอยู่จริงหรือไม่นั้นเขาคงต้องค้นหาคำตอบด้วยตนเอง และที่เขาบอกชื่อจริงของตนเองเพราะไม่มีคนรู้จักชื่อเขาจริงๆ ส่วนมากจะเรียกเขาองค์รัชทายาทหรือไม่ก็ฝ่าบาทจนทุกคนเริ่มลืมเลือนชื่อจริงๆ เขาไปเสียแล้วกระมัง
    
         หลังจากจบอาหารมื้อเที่ยงเขาก็ได้ออกไปประลองยุทธกับฟ่านหลี่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันทางด้านนอกเมือง ทว่าเพียงแค่ห้ากระบวนท่าฟ่านหลี่ก็พ่ายแพ้ต่อลั่วเหยียนเจิ้งทำให้รู้ว่าเทียบกันไม่ติดแม้แต่น้อย
    
          “ขอบคุณพี่เหยียนเจิ้งที่ชี้แนะสำนักเซียนโอสถวรยุทธสูงล้ำจริงๆ” ฟ่านหลี่ยกมือคารวะเคารพอย่างจริงใจ ทว่าคนฟังกลับยิ้มไม่ออกเพราะเขาไม่ได้มาจากเซียนโอสถจริงๆ ได้แต่กล่าวตอบอย่างนอบน้อม
    
         “น้องฟ่านหลี่กล่าวชมไปแล้วข้ายังต้องฝึกอีกมาก”
    
         “ฮ่าๆๆ ข้ารู้สึกชมชอบนิสัยท่านนัก นับแต่นี้ท่านมาเป็นสหายข้าได้หรือไม่” ฟ่านหลี่บอกด้วยรอยยิ้มเริงร่าไม่ได้รังเกียจใบหน้าอัปลักษณ์แม้แต่น้อย จอมยุทธมีคุณธรรมและเป็นคนดีย่อมนับถือที่ฝีมือใช่หน้าตา
    
         “ตกลงน้องฟ่านหลี่ต่อไปนี้เจ้าคือสหายข้า”
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับอย่างว่าง่าย ไม่ใช่ว่าเขาเชื่อใจคนอื่นแต่ทุกการกระทำของเขาย่อมมีเหตุผลหากได้มิตรที่ดีย่อมมีประโยชน์กับเขา แต่หากมิใช่คนที่จริงใจแค่ตัดทิ้งจะเป็นไรไปแม้กระทั่งสายเลือดเดียวกันเขายังสามารถสังหารได้นับประสาอะไรกับสหายร่วมสาบานที่มิใช่สายเลือดเดียวกัน
    
          หลังจากนั้นฟ่านหลี่ก็ได้ขอตัวไปทำธุระให้อาจารย์ ลั่วเหยียนเจิ้งก็มิได้คัดค้านหากได้พบกันอีกครั้งก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ตกเย็นเขาจึงออกมาเดินเล่นเพื่อสืบข่าวจากฏีกาที่ใส่อกเสื้อมาด้วย ทว่าตอนนี้ช่วงเย็นทำให้ผู้คนพลุกพล่านจับจ่ายซื้อของกันเต็มไปหมด
    
         หมับ!
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งคว้ามือขอทานที่กำลังฉกถุงเบี้ยของตนหรี่ตามองเด็กน้อยหน้าตามอมแมมเอาไว้ได้ทันท่วงทีมือเรียวเล็กสะบัดมือออกด้วยความแรงและเร็วจนหลุดมือร่างเล็กพุ่งหายไปตามฝูงชนอย่างว่องไว
    
        “แม้แต่ขอทานเดี๋ยวนี้ก็มีวรยุทธแล้ว หรือว่าเป็นพรรคกระยาจก” ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำคนเดียวมองตามร่างเล็กที่หายไปอย่างสงสัยแต่เมื่อไม่มีสิ่งใดหายไปจึงไม่ได้สนใจอีก
    
        ร่างสูงเดินตามสำรวจร้านค้าต่างๆ อย่างใจเย็นโดยไม่ได้สนใจสายตาลึกลับที่มองตามมาหรือไม่ก็ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ขณะเดียวกันเด็กน้อยที่เป็นขโมยกลับมายืนรายงานชายหนุ่มร่างสูงที่มุมมืดของกำแพงบ้านหลังหนึ่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    
        “อาจารย์คนผู้นั้นวรยุทธล้ำเลิศ เพียงแค่ข้าสัมผัสตัวคนผู้นั้นก็รู้ทันที ยังดีที่คนผู้นั้นไม่รู้ว่าข้ามีวรยุทธจึงทำให้หนีมาได้ขอรับ” เด็กน้อยวัยสิบขวบหน้าตามอมแมมกล่าวกับชายหนุ่มร่างสูงใบหน้างดงามทว่ากลับเย็นชาไร้ความรู้สึก
    
        หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น สายตายังจับจ้องชายหนุ่มร่างสูงท่าทางสง่างามอย่างพิจารณาแม้ใบหน้าดูคล้ายคนอัปลักษณ์แต่คนที่อยู่ในวงการสายลับมานานย่อมรู้ว่านั้นเป็นการปลอมตัว เพียงแต่ไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีการปลอมตัวเช่นนี้อยู่ แม้จะแนบเนียนแต่ก็มิอาจหลุดพ้นสายตาตนไปได้
    
       “ขอบใจเจ้ามากโหลวหลัน เจ้าไปได้แล้วต่อจากนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง” หลวนซานผู้ติดตามและผู้ที่เข้าใจนายน้อยอย่างดีบอกเด็กน้อยที่อยู่ในกลุ่มวิหคดำพร้อมขยี้ศีรษะอย่างเอ็นดู เด็กน้อยก้มหน้าคารวะก่อนจะจากไปด้วยความเร็ว
    
        “นายน้อยเหตุใดถึงสนใจคนผู้นั้นขอรับ” หลวนซานเอ่ยถามอย่างระวังมองใบหน้าเรียบนิ่งอย่างฉงน เพราะน้อยนักที่จะเห็นนายน้อยผู้เย็นชาจะสนใจสิ่งใด ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันเฉกเช่นทุกครั้งได้แต่ทำใจให้ชินและเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างสงบ
    
        หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ตอบคำถาม ดวงตายังจับจ้องร่างสูงโปร่งที่หายไปกับผู้คนที่จับจ่ายซื้อของในยามเย็น คราแรกก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจแต่มีบางอย่างสะกิดใจเขา แม้จะมองจากที่ห่างไกลทว่ารัศมีการเดินกลับแปลกแยกออกไปทำให้นึกไปถึงกิริยาที่คล้ายกับลู่เฟยซึ่งเขาเคยเจอเมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับหมอเทวดาผู้นั้น
    
       “ไปเถอะ”
    
         
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่1กำเนิดจิ้งจอกแห่งวังหลวง (P.1วันที่ 23/12/58)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 09-02-2016 22:57:55

จำนวนคำเกินต่อจากตอนเมื่อครู่จ้า


         หลิ่วเหวินอี้บอกพร้อมก้าวเดินไปยังหอบุปผาของเมืองซึ่งเป็นแหล่งนางโลมและนายโลมให้เลือกสันมากมาย ทว่าจุดมุ่งหมายใช่ว่าจะมีจิตพิศวาสกับผู้ใดเพียงแต่หลายปีมานี้เขาเข้าออกหอนางโลมตามเมืองต่างๆ เพื่อปกปิดความจริงกับคนในครอบครัวและผู้คน จากประสบการณ์การตายจากภพชาติที่ผ่านมาทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น ไม่ทำตัวโดดเด่นเรื่องวรยุทธ ทำตัวไร้สมองเสเพลในวงเหล้าเคล้านารีและการพนันเท่านั้น ตอนนี้จึงเป็นเพียงขยะไร้ค่าผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการและพึงพอใจที่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้
    
        ใบหน้าที่งดงามกึ่งหล่อเหลานั้นนิ่งเรียบเย็นชา กิริยาหยิ่งยโสเหมือนคุณชายที่เอาแต่ใจ แต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามายังหอนางโลมเหล่านางงามต่างเข้ามาอ้อมล้อมเข้าหาอย่างคุ้นเคย
    
         “คุณชายวันนี้ต้องการกี่ท่านเจ้าคะ” หญิงวัยกลางคนที่ยังงดงามซึ่งเป็นเถ้าแก่เนี่ยออกมาต้อนรับตามด้วยบรรดาสาวงามที่เข้ามากอดแขนซบไหล่อย่างเอาอดเอาใจ ใบหน้านิ่งเรียบไม่เผยสิ่งใดออกมา
    
        “ข้ากับคุณชายได้ข่าวว่ามีนายโลมมาใหม่สองสามคน พวกข้าต้องการคนเหล่านั้นไปพบที่ห้องพวกข้า” หลวนซานกล่าวตอบแทนผู้เป็นนาย เถ้าแก่เนี่ยหน้าเสียเล็กน้อยแม้จะรู้จุดหมายการมาของคุณชายท่านนี้แต่บางครั้งนางก็อยากได้คนอยู่ที่นี่จริงๆ
    
        “คุณชายข่าวของคุณชายนั้นล้วนเป็นจริงเพียงแต่เวลานี้เด็กๆ ในเวลานี้ยังไม่ได้ขัดเกลาอีกทั้งเนื้อตัวยังไม่สะอาดไว้โอกาสหน้าคุณชายค่อยมาชมใหม่ หากคุณชายสนใจจริงๆ เวลานี้มีนายโลมที่งดงามยิ่งมาจากสาขาใหญ่มาพักอยู่กับเรา แต่ใช่ว่าผู้ใดจะได้พบเจอได้ง่ายนักหากไม่มีปัญญาเพียงแค่ท่านตอบปริศนาเพียงเล็กน้อยและถูกใจนายโลมผู้นั้นย่อมได้พูดคุยสนทนาด้วยแน่นอนเจ้าค่ะ”
    
        หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยได้ยินข่าวเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ได้สนใจนายโลมผู้มากประสบการณ์เพียงแต่ต้องการไถ่ตัวเด็กน้อยที่อยากอยู่ร่วมกับกลุ่มวิหคดำเท่านั้น แต่ข่าวนี้ทำให้ปล่อยผ่านไม่ได้เช่นกัน ทว่าหากเขาตอบคำถามปริศนาได้ไม่เป็นการเปิดโปงความจริงในตัวเขาไปหลอกหรือ
    
        “หากนายน้อยสนใจข้าจะตอบคำถามแทนท่าน” หลวนซานผู้รู้ใจนายน้อยดีกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังมองใบหน้านิ่งเฉยอย่างระวังเพราะบางครั้งก็มิอาจคาดเดาใจของนายน้อยหลิ่วเหวินอี้ได้เช่นกัน
    
        “คุณชายโปรดวางใจ เรื่องนี้ล้วนเป็นความลับ ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” เถ้าแก่เนี่ยกล่าวบอกด้วยรอยยิ้มการค้าเพราะอยู่กับวงการเช่นนี้มานานย่อมรู้ว่าผู้ใดต้องการความส่วนตัวผู้ใดต้องการข่าว
    
          เมื่อเถ้าแก่เนี่ยกล่าวมาเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จึงพยักหน้ารับตกลงพร้อมเดินขึ้นไปยังชั้นบนซึ่งจัดไว้สำหรับแขกพิเศษ เงินหลายตำลึงถูกยื่นให้ผู้นำทางอย่างควรค่า เถ้าแก่เนี่ยยิ้มหวานก้มหน้าคารวะเชิญเข้าไปในห้องพิเศษ ภายในห้องถูกตกแต่งงดงามและเป็นระเบียบกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในห้องทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าอีกครั้งแม้จะไม่ได้มีความรู้เรื่องสมุนไพรแต่ก็พอรู้ว่ากลิ่นนี้เป็นยากล่อมประสาทแบบอ่อนๆ
    
         “คุณชายเชิญนั่งเจ้าค่ะ นายน้อยของเรามีคำถามเพียงเล็กน้อยจะถามท่านหากท่านตอบได้คุณชายจะตอบแทนท่านตามที่คุณชายปรารถนาเจ้าค่ะ” หญิงสาวงดงามสองนางผายมือเชิญให้ทั้งคู่นั่งลงพร้อมรินน้ำชาให้อย่างนอบน้อม
    
         หลิ่วเหวินอี้ในอาภรณ์น้ำเงินนั่งลงอย่างสง่างามไม่ได้หวาดหวั่นกับยากล่อมประสาทแม้แต่น้อย วรยุทธที่มีก็ไม่ได้ด้อยจนยาพิษแค่นี้จะทำให้เบลอได้
    
         “ข้ากับคุณชายได้ยินข่าวของท่านจึงได้อยากยลโฉมท่านสักครั้ง ไม่ทราบว่าท่านต้องการถามปริศนาอันใดกับข้าและคุณชายขอรับ” หลวนซานผู้ทำหน้าที่เจรจากล่าวออกมาด้วยน้ำราบเรียบเรียบ เขานั่งเยี่ยงลงมาจากนายน้อยไปเล็กน้อย มองร่างโปร่างบางในผ้าม่านสีขาวอย่างสนใจ
    
         “ไม่ทราบคุณชายทั้งสองท่านมีชื่อเรียกว่าอะไร พอจะบอกข้าผู้น้อยได้หรือไม่” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนทางด้านหลังผ้าม่านสีขาวทำให้ผู้ฟังต้องใจสะท้าน ทว่าสองนายบ่าวยังนั่งนิ่งตอบคำถามอย่างไม่สะทกสะท้านอาจเป็นเพราะคิดว่ายังมีผู้ใดงดงามยิ่งกว่าตนอีก ยกเว้น จิวชงหยวน หมอเทวดาผู้นั้น
    
         หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้มีจิตพิศวาสบุรุษที่เข้ามาเพราะความใคร่สงสัยบางอย่าง อาจเป็นเพราะลางสังหรณ์ในช่วงนี้ทำงานนักจนต้องยอมตกลงก้าวตามเถ้าแก่เนี่ยมายังที่แห่งนี้
    
        “คุณชายข้ามีนามว่าหลิ่วเหวินอี้ ส่วนข้าผู้ต่ำต้อยมีนามว่าหลวนซาน”
    
         น้ำเสียงเรียบนิ่งที่ตอบกลับมาทำให้ผู้อยู่หลังผ้าม่านเลิกคิ้วอย่างแปลกใจมองเงาร่างทั้งสองที่นั่งนิ่งไม่มีหวั่นไหว ตั้งแต่มาถึงยังที่แห่งนี้ยังไม่ได้ยินน้ำเสียงของคุณชายหลิ่วเหวินอี้ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ในพรรคมาร มุมปากบางยกยิ้มบางแล้วกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    
        “คุณชายหลิ่วเหวินอี้งดงามกว่าอิสตรีทำให้ทั้งบุรุษและสตรีลุ่มหลง ข้าผู้น้อยนั้นยังเทียบไม่ติด คุณชายมาตอบปริศนาเช่นนี้คงไม่คุ้มค่าราคาหรอกขอรับ”
    
       “ข้าหาได้สนใจหน้าตาไม่ ปริศนาของเจ้าต่างหากที่ทำให้ข้ามาที่นี่” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ความจริงตนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้เพียงแต่มีบางสิ่งที่สะกิดใจเขาจนต้องเอ่ยปากด้วยตนเอง
    
        ทว่าน้ำเสียงและท่าทางเย็นชาของหลิ่วเหวินอี้กลับทำให้ผู้ที่อยู่หลังผ้าม่านสนใจมากกว่าเดิมชื่อเสียงเลวร้ายเป็นเพียงขยะไร้ค่าเห็นทีคงจะไม่เป็นจริงเสียแล้วกระมัง
    
        “คุณชายช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้ามีคำกล่าวไม่มากนัก หากท่านตอบได้ข้าจะทำตามความปรารถนาของท่านหนึ่งข้อ”
    
         “เชิญ” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับ
    
        “ทะเลทุกข์เวิ้งว้าง หันหลังกลับคือฝั่ง”
    
         คำกล่าวสั้นๆ ของผู้ที่อยู่หลังผ้าม่านทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งงัน ฟังดูเหมือนคำถามง่ายๆ ทว่าหากไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตอบคำถามปรัชญาข้อนี้ไม่ได้
    
         “เกียรติยศ ชื่อเสียงลาภยศ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ แม้ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานก็ยังหมายจะแย่งชิง แต่เมื่อไหร่ที่ปล่อยวางหันหลังกลับสู่ฝั่งธรรมชาติรอบตัว ไม่ได้หวังอำนาจ ลาภยศ และปล่อยวางย่อมทำให้พบความสุขที่แท้จริง” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบนิ่งแววตายากจะคาดเดา ก่อนจะพึมพำช่วงท้ายแผ่วเบา ทว่ากลับตรึงใจผู้ฟังจนทำให้นิ่งงัน ความฉลาดล้ำของคุณชายหลิ่วเหวินอี้หากใครพบเจอคงมีหน้าค่าตาผู้คนนับถือเพียงแต่เจ้าตัวกลับซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด
    
         “ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต แต่แมลงเม่ากลับบินหาเปลวเทียน ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลกจะมีสักกี่คนเชียว?”
    
         “นับถือ นับถือ วันนี้ข้าน้อยฟางเทียนฟงได้ประจักษ์ความจริง ท่านนั้นมีค่าคู่ควรที่ข้าจะพบเป็นสหายได้” ชายหลังผ้าม่านสีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนผ้าม่านที่ปิดกลั้นถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นบุรุษหน้าตางดงามกึ่งหล่อเหล่าดั่งมิใช่มนุษย์เส้นผมสีขาวโพลนทำให้สะดุดตา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดังปีศาจจิ้งจอกจำแลง รูปร่างโปร่งผิวขาวเนียนดุจสตรีอาภรณ์สีขาวคลิบเงินเด่นสง่าเปิดเผยอกแกร่งให้เห็นดูยั่วยวน
    
           ทว่าหลิ่วเหวินอี้กลับมองนิ่งๆ มิได้ต้องมนต์สิเน่หานั้นเลย หากนับความงดงามคล้ายอิสตรีเขาคิดว่าไม่มีใครงดงามกว่าหมอเทวดาผู้นั้นอีกแล้ว และหากนับความหล่อคมคายดุจเทพบุตรก็คงไม่มีใครเกินลู่เฟยบุรุษที่เขาพบเจอเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ภาพตรงหน้าดูธรรมดาในสายตาตนทว่าไม่ใช่สำหรับหลวนซานที่อ้าปากค้างมองคนงามกึ่งหล่อเหลาตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
    
         “น่าแปลกใจนัก ที่คุณชายหลิ่วเหวินอี้ไม่หวั่นไหวรูปโฉมของข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนของนายโลมผู้นั้นทำให้หลิ่วเหวินอี้มองนิ่งๆ มุมปากยกยิ้มนิดๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบ
    
        “อาจเป็นเพราะข้าพบเจอคนที่งดงามกว่าเจ้ากระมัง”
    
         “ข้ามิแปลกใจหากเจ้าพบเจอเหล่าเซียนเทพมาก่อน” น้ำเสียงเรียบนิ่งคำพูดเปลี่ยนไปพร้อมแววตาเหม่อลอยของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างสนใจ
    
        “เจ้าคงมาจากหอกิเลน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องเขาไม่ชอบบรรยากาศเศร้าๆ ที่แผ่ออกจากตัวของนายโลมผู้นี้
    
        “เจ้ารู้จักหอกิเลนย่อมไม่ธรรมดา แต่ข้าไม่ได้มาจากหอกิเลนหากเจ้าอยากรู้ข้าจะตอบคำถามเจ้าจากความปรารถนาหนึ่งข้อ เจ้าตกลงหรือไม่” ฟางเทียนฟงตอบเป็นปริศนารอยยิ้มแต้มบนใบหน้า หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่มองนิ่งๆ ทุกคนย่อมมีความลับเขาเองก็ไม่อยากคาดคั้นและเขาคงไม่เอาความปรารถนาหนึ่งข้อมาแลกกับเรื่องไร้สาระแน่ๆ
    
        “ไม่” คำตอบแน่วแน่และไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำเอาฟางเทียนฟงนิ่งงันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพึงใจ
    
         “แต่ตอนนี้ข้าฟางเทียนฟงติดหนี้ความปรารถนาของเจ้าหนึ่ง เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามอย่างจริงจัง แม้จะไม่ใช่คนสัตย์ซื่อแต่หากรับปากแล้วย่อมทำตามที่เอ่ยออกไป
    
         “เวลานี้ข้ายังไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ หากมีแล้วข้าจะติดต่อกลับมา” น้ำเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลาของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าตน นับว่าน่าประหลาดใจที่มีมนุษย์เช่นนี้อยู่ จิตใจแข็งกล้าแววตาบางครั้งเย็นเยือกดั่งคนผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ผู้ใดกันจะมีอายุมากกว่าตนในเวลานี้อีกเล่ารูปร่างอีกฝ่ายนับว่าใกล้เคียงกับตนเลยทีเดียว หากมองผิวเผินคงคิดว่าเป็นอิสตรี
    
        “ข้ามิได้อยู่กับที่ หากเจ้าต้องการพบข้าจงไปที่สำนักจิ้งจอกฟ้า” เพียงแค่นั้นหลิ่วเหวินอี้ก็ทราบได้ทันทีว่าคนตรงหน้ามิใช่นายโลมทั่วไปแต่เป็นถึงคนในสำนักจิ้งจอกฟ้าพรรคมารพรรคหนึ่ง นับว่าเขาหาเรื่องใส่ตนเสียแล้ว
    
        “ไม่ต้องกังวลไปเรื่องของเจ้าข้าจะเก็บไว้เป็นความลับ” รอยยิ้มลึกลับของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้ระวังตัวเช่นเดียวกับหลวนซานที่เผลอตกหลุมสิเน่หาของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อน้ำเสียงเรียบนิ่งของนายน้อยดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้ได้สติกลับคืนมานับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจแก่ฟางเทียนฟงไม่น้อย
    
        “การเจรจาสิ้นสุด” หลิ่วเหวินอี้กล่าวเสียงเรียบลุกขึ้นคาวระเล็กน้อยอย่างให้เกียรติเพราะหากเดาไม่ผิดคนผู้นี้คงเป็นประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าที่กำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
    
       “เดี๋ยวก่อน ป้ายทองนี้จะนำพาเจ้ามาพบง่ายขึ้น” ฟางเทียนฟงยื่นป้ายท้องสลักคำว่าฟางเทียนฟงเอาไว้ ซึ่งหลิ่วเหวินอี้ก็รับมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่างามเหมือนดั่งตอนมาไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาที่มองตามแม้แต่น้อย หลวนซานก็รีบติดตามไปอย่างสงบ ทว่าแววตาเรียวคมแอบชำเลียงมองร่างงามสง่าของผู้ที่นั่งพิงหมองอิงส่งยิ้มมาทางตน พลันรู้สึกขนในกายลุกซู่อย่างไม่รู้สาเหตุก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
    
       “หึๆ” ฟางเทียนฟงหัวเราะในลำคออย่างถูกอกถูกใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้สนใจผู้ใด ร้อยปี สองร้อยปีหรือพันปี อ่า เริ่มจำไม่ได้แล้วสิ ว่าแต่เขาจะปล่อยผ่านสิ่งที่สนใจไปง่ายๆ ได้เช่นไร
    
        “เราคงได้พบกันเร็วๆ นี้ หลิ่วเหวินอี้”


   หายไปนานกลับมารายงานตัวค่าา  :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่ 3 แรกพบ?(P.1วันที่ 09/02/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 09-02-2016 23:02:34
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
บทที่ 3 แรกพบ?(P.1วันที่ 09/02/59)

       ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งหายไปกับฝูงชนในตลาดพลุกพล่าน ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาที่ล้ำลึกแอบมองตามร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินซึ่งเดินเข้าไปยังหอบุปผาด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาเห็นเพียงแผ่นหลังทว่าการก้าวเดินนั้นกลับมั่นคงสง่างามจนทำให้ผู้คนเหลียวมองตาม อีกทั้งบรรยากาศเย็นเยือกที่แผ่ออกมาทำให้ดูน่าสนใจ แต่เหตุใดกันคนผู้นั้นถึงลอบมองตามเขาเงียบๆ อีกทั้งมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกันแน่ๆ
    
        เมื่อร่างนั้นพร้อมผู้ติดตามหายเข้าไปในหอบุปผาลั่วเหยียนเจิ้งจึงเลิกสนใจ หากไม่ใช่ว่าตนเป็นลูกศิษย์ของเทพตกสวรรค์ป่านนี้คงไม่รู้ว่าถูกลอบมอง อีกทั้งยังมีขอทานน้อยซึ่งมีวรยุทธแสร้งมาขโมยถุงเบี้ย ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก แต่เวลานี้ตนยังมีเรื่องต้องจัดการจึงเดินถอยกลับมาไปยังจวนผู้ว่าราชการของเมืองหยางเซา
    
        ช่วงนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วผู้คนเริ่มบางตา ลั่วเหยียนเจิ้งมองดูกำแพงรั่วของจวนผู้ว่าอย่างครุ่นคิด หากเดินเข้าไปเฉยๆ คงมิอาจได้เข้าไปและคงยังไม่รู้เรื่อง ทางเดียวคือการแอบบริเวณเข้าไปเท่านั้น เมื่อคิดได้ดั่งนั้นจึงทะยานข้ามกำแพงหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้ภายในจวน แสงไฟที่สาดส่องจากภายในห้องจึงพลิ้วกายขยับไปใกล้มากขึ้น แม้จะอยู่ในอาภรณ์สีขาวที่ดูโดดเด่นทว่าความรวดเร็วนั้นกลับไม่สามารถมองตามได้ทัน   
    
         “บัดซบ! ตระกูลถังคิดจะต่อกรกับข้าเช่นนั้นรึ คงไม่อยากมีชีวิตอีกแล้วสินะ” ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนตบมือลงบนโต๊ะด้วยความเดือดดาล ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว
    
        “นายท่านยังไงตระกูลถังก็เคยเป็นขุนนางมาก่อน แม้คนที่นี่จะเป็นตระกูลเล็กๆ ที่แยกออกมาแต่ความร้ายกาจก็ยังอยู่ขอรับ” ข้ารับใช้ก้มหัวลงต่ำกล่าวบอกอย่างระวัง
    
       “หึ ก็แค่ขุนนางชั้นต่ำไร้ชื่อเสียงจัดจัดการให้สิ้นชื่อก็ยังได้”
    
        “แต่ข้าน้อยเกรงว่าเรื่องนี้จะถึงคนในตระกูลใหญ่ที่อยู่เมืองหลวงขอรับ” ผู้เป็นบ่าวยังเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ทว่ากลับต้องคุกเข่าลงด้วยความเร็วเมื่อฝ่ามือหนาฟาดเข้าเต็มหน้าซีกขวา
    “ข้าน้อยผิดไปแล้วนายท่านโปรดอภัย” น้ำเสียงร้อนรนผู้เป็นบ่าวทำให้คนมองแอบขำ ไม่ว่าจะเป็นใครที่ต่ำต้อยย่อมกลัวเจ้านาย ทว่าเหตุใดองค์รักษ์เขาถึงไม่ได้กลัวเขาจริงๆ เอาเสียเลย ไม่กลัวแต่นอบน้อมยอมถวายชีวิตไม่หวั่นแม้ความตาย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขาต้องการข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดิ์ดีด้วยหัวใจ หาใช่มาจากความกลัวไม่
    
       “ฮึ โง่เง่าสิ้นดีตระกูลต่ำต้อยและยังถูกทอดทิ้งจากตระกูลใหญ่ยังกล้ามาเหิมเกริมต่อข้าแซ่เฝิง หากข้าไม่ต้องการแม่นางหยุ่นซีข้าคงสังหารล้างตระกูลไปแล้ว ในเมื่อพวกมันไม่ยอมรับไมตรี ข้าก็จะไม่ปล่อยให้มาเป็นเสี่ยนหนามตำใจอีก ส่งอีกาไปจัดการอย่าให้เรื่องมาถึงข้าได้”  น้ำเสียงโกรธแค้นพร้อมคำสั่งโหดเหี้ยมดวงตาฉายแววดุดันแม้กระทั่งคนรับคำสั่งยังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
    
        “ขอรับ” บ่าวรับใช้รับคำก่อนจะรีบถอยไปตามคำสั่งโดยมิอาจรู้เลยว่าความลับนี้มีใครบางคนรับรู้ไปด้วย
    
        ดวงตาคมกริบมองผู้ว่าราชการเมืองหยางเซาด้วยแววตาเย็นเยียบ นี่แค่การเริ่มต้นเขายังพบหลักฐานเลวร้ายด้วยตาตนเอง แต่ว่าแค่นี้มันยังไม่เพียงพอต่อการเอาความผิดได้ อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเฝิงเฉินผู้นี้มากเล่ห์เพียงใด หากไม่ระวังอาจแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเปล่า
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งพลิ้วกายตามบ่าวรับใช้ไปอย่างเงียบงัน ทว่าต้องหลบพุ่มไม้ด้วยความเร็วเมื่อปรากฏชายชุดดำหนึ่งคน แม้เพียงคนเดียวมองดูภายนอกก็ทำให้รู้ว่ามีวรยุทธล้ำเลิศ ดวงตาคมจ้องมองคนเหล่านั้นอย่างเงียบงัน นับว่าการมาครั้งนี้ทำให้เจอเรื่องไม่คาดฝัน หนึ่งปีผ่านมานี้นึกว่าราชฏรอยู่เย็นเป็นสุขหากไม่ได้รับฏีกาลึกลับฉบับนั้นคงโง่งมอีกนาน
    
        แต่ว่าผู้ใดกันที่คิดก่อกบฎกับตนหรือมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอยู่ในวังหลวงเงียบๆ หากไม่มีผู้คนหนุ่นหลังตระกูลเฝิงคงไม่กล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้
    
       “จัดการให้หมดนำตัวแม่นางถังหยุ่นซีกลับมาให้นายท่าน นี่เงินจำนวนที่สังหาร หากได้แม่นางถังหยุ่นซีจะได้อีกครึ่งหนึ่ง” น้ำเสียงเข้มงวดดวงตาดุดันจ้องมองกลุ่มอีกาอย่างดุดันไม่หลงเหลือความขี้ขลาดดั่งอยู่ต่อหน้าเจ้านายแม้แต่น้อย
    
        “อย่าคิดเหิมเกริมกับเหล่าอีกา แม้มีอำนาจล้นฟ้าเงาหัวอาจไม่มี” น้ำเสียงเย็นเยือกกล่าวกับผู้จ้างวาน ดวงตาเรียวคมที่โผล่พ้นผ้าปิดใบหน้าจ้องมองอย่างดุดัน ทำให้คนฟังหัวใจสั่นสะท้าน แม้แต่อีกามันยังต้องยำเกรงเช่นนั้นรึ
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งแอบมองเงียบๆ ถึงกลับนิ่วหน้าจ้องมองชายชุดดำที่ปกปิดตัวตนคล้ายดั่งนักฆ่า น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้รู้สึกคนฟังใจสั่นสะท้าน หากตนมิได้มีชีวิตที่อยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าแย่งชิง เย็นชา ไร้ความปราณีคงหวาดหวั่นไม่น้อย ก่อนจะสะดุ้งหลบวูบเมื่อสายตาเรียวคมหันมาทางตนก่อนจะใช้วิชาเร้นกายหายไปจากจุดที่เคยอยู่
    
       พรึบ!
    
         เงาร่างสีดำเคลื่อนตัวมายังพุ่มไม้ซึ่งอยู่ไม่ห่างด้วยความเร็ว ทว่ากลับเพียงความว่างเปล่า คิ้วขมวดมุ่นลางสังหรณ์ตนมิเคยผิดพลาด หรือมีสิ่งใดที่ยังรวดเร็วและน่าหวาดหวั่นกว่าตน
    
        “มีอะไร”
    
       “การเจรจาสิ้นสุด” เงาร่างนั้นไม่สนใจจะตอบคำถามพลิ้วกายหายไปจากสายตาและหลบซ่อนไปกับความมืดด้วยความเร็ว ทว่าความเร็วระดับนี้หากมิใช่ยอดฝีมือคงมิอาจตามได้ทัน
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งแอบอยู่หลังกำแพงลอบมองอย่างตื่นตระหนก ฝีมือร้ายกาจเพียงครู่เดียวกลับรับรู้ตัวตนเขา หากช้ากลัวนี้คงได้ปะมือ เขาไม่ได้บ้าพลังที่มีแต่ใช้กำลังในการตัดสินทุกสิ่ง การเป็นคนอ่อนแอแบบเสแสร้งมานานทำให้เขาถนัดกับการใช้สมองมากกว่า แต่ใช่ว่าฝีมือจะตกลง ก็เหมือนที่เราเขียนหนังสือทุกวันแม้ไม่ได้เขียนนานแต่ก็ยังจดจำท่าและวิชาได้อย่างขึ้นใจ อีกทั้งมีนักฆ่ามาให้เขาปะมือเล่นอยู่บ่อยครั้งทำให้วิชาไม่ขึ้นสนิท แต่ว่าอีกาคืออะไรกัน เป็นสำนักหรือกลุ่มอะไรกันแน่
    
       ในเมื่อยังไม่รู้จึงใช้วิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศแอบตามเงาร่างนั้นไป ทว่าเขาคงช้าไปถึงไม่เห็นแม้แต่เงา ลั่วเหยียนเจิ้งมองรอบกายอย่างระวัง ข้างนอกนี้มีเพียงแต่ป่าเพราะออกนอกเมืองมาแล้ว
    
       พรึบ!
    
       และไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพลาดพลั่งให้กระบี่พาดที่ลำคอตนอย่างไม่ทันตั้งตัว นับว่าเจอคู่ปรับที่คู่ควร เขายังยืนนิ่งมิได้โต้ตอบเพราะอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งๆ พร้อมแผ่บรรยากาศเย็นๆ ออกมาเท่านั้น เมื่อทั้งคู่ยืนนิ่งมองสบตากันนานจนรู้สึกอึดอัด
    
       “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงลอบตามข้ามา” น้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้ใจสั่นสะท้านทว่ากลับไม่ใช่ลั่วเหยียนเจิ้งที่ยกยิ้มบางไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับกระบี่ที่พาดอยู่ลำคอ
    
       “ข้าเปล่า ข้าแค่หลงทาง” คำตอบที่ทำให้คนฟังนิ่วหน้ามองตามอย่างไม่แน่ใจ ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าอัปลักษณ์หากเป็นคนอื่นคงรู้สึกอบอุ่นแต่เขามองเพียงครั้งเดียวดูอย่างไรก็เหมือนจิ้งจอกชัดๆ แล้วแบบนี้จะไว้ใจได้อย่างไร
    
        “ข้าหลงทางจริงๆ นะ ข้าเพิ่งเคยมาเมืองนี้ครั้งแรก” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับเสียงหนักแน่นพร้อมทำหน้าซื่อตาใส โดยไม่ได้สำนึกกับคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ของตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าดวงตาเรียวคมที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้ากลับมองเขานิ่งๆ แต่น้ำหนักมือที่ลงกระบี่มามิได้อ่อนลงแม้แต่น้อย
    
       “จิ้งจอกลวงเล่ห์เช่นเจ้าอาจหลอกผู้อื่นได้ แต่มิใช่กับข้า” น้ำเสียงเย็นๆ ของคนเอ่ยทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาชายตรงหน้าสูงพอๆ กับตน การยืนบ่งบอกความระวังตัวไม่มีช่องโหว่ให้เห็นช่องการโจมตีได้
    
      “ข้าเป็นจอมยุทธพเนจร ไยจะเป็นจิ้งจอกลวงเล่ห์ได้เล่า เจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาประกายความสนใจคนตรงหน้า จะมีใครสักคนที่มองเห็นนิสัยที่แท้จริงของเขา จิ้งจอกลวงเล่ห์เช่นนั้นหรือ ก็สมดีหรอก
    
        ชายผู้นั้นมองมาที่ลั่วเหยียนเจิ้งอย่างลังเล ทว่าเพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้ว่าคนตรงหน้าหาไร้ใจไม่ เพียงแต่มีเหตุผลบางอย่างให้ทำเช่นนี้
    
       ผัวะ!
    
       ตุ๊บ!
    
         ทว่าความคิดเหล่านั้นกลับอันธพาลหายไป เมื่อหน้าอกโดนฝ่ามือผลักด้วยความเร็ว จนร่างเขากระเด็นไปชนต้นไม้ด้านหลังไม่ทันตั้งตัว ร่างบุรุษที่ควรจะซ้ำเติมกลับเลือนหายไปกับความมืด แต่มีหรือว่าเขาจะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ
    
        พรึบ!
    
        กระบี่สนิทเขรอะทว่าภายในกลับเป็นหยกขาวชั้นดีพุ่งเข้ามาขวางทางมิให้หนีไปได้ ฝ่ามือเพียงแค่นั้นมิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้อีกทั้งกำลังภายในเขามิได้ด้อยไปกว่าคนตรงหน้า
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
       กระบี่สองเล่มทั้งต้านรับและเข้าฟันนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทั้งคู่กลับจ้องตากันอย่างไม่ยินยอม หนึ่งต้องการเอาชนะอีกหนึ่งเริ่มหงุดหงิดรำคาญ จนพื้นที่บริเวณโดยรอบเกิดหลุดบ่อตามความรุนแรง
    
        “ข้าแค่อยากรู้จักเจ้า” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องบอกขณะต้านรับกระบี่ที่เฉียบคมและรุนแรง ใบหน้านิ่วน้อยๆ เมื่อต้องระวังไม่ให้กระบี่โดนคนตรงหน้าอย่างจริงจัง เขาหมายเพียงแค่อยากหยุดอีกฝ่ายไว้เท่านั้น
    
        “แต่ข้าไม่” น้ำเสียงเย็นชา และแววตาดุดันมองมาที่ลั่วเหยียนเจิ้งอย่างหงุดหงิด พลางคิดว่านี่เป็นวิธีอยากรู้จักของเจ้าจิ้งจอกนี่หรือไง
    
        “นี่ใจเย็นก่อนสิ เรามาเจรจากันดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ เดี๋ยวกระบี่แทงจริงๆ มันเจ็บนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมดวงตาฉายแววห่วงใยทำให้บุรุษชุดดำชะงักไปชั่วครู่ ทว่าเพียงแค่นั้นกระบี่สนิทเขรอะนั่นกลับตวัดกระชากผ้าปิดหน้าออกจนหมดสิ้น ร่างนั้นแข็งทื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนพิษที่ทำให้เป็นอัมพาตชั่วคราว
    
        “เจ้า!” บุรุษชุดดำกัดฟันกรอดดวงตาเย็นชาจ้องมองผู้ลงมืออย่างไร้ยางอายด้วยความโกรธ เจ้าเล่ห์เพอุบายถึงเพียงนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นจอมยุทธ
    
       “หืม นี่ข้ามีวาสนาพบเจอคนงามอีกแล้วหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งจ้องมองใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลานั้นอย่างสนใจ พระจันทร์ยามนี้สาดส่องให้เขามองเห็นได้ชัดเจนทว่าดวงตาเรียวคมที่ตวัดมองนั้นดุยิ่งกว่าแม่เสือ เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้เป็นการหยามหมิ่นอีกฝ่ายมาก แต่เขาสนใจคนผู้นี้จริงๆ หากได้มาเป็นพวกคงจับขุนนางชั่วได้ง่ายขึ้น
    
       “เจ้ามีนามเรียกว่าอะไร” ใบหน้าที่ดูอัปลักษณ์ ทว่ามันก็แค่ส่วนนอกขยับเข้ามาใกล้ชายชุดดำที่ตกเป็นรองเพราะฤทธิ์ยาชาชนิดรุนแรง บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาพร้อมดวงตาเย็นชาทำให้คนถูกมองรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่ชอบให้ใครมองตนเช่นนี้โดยเฉพาะคนที่สนใจ ทว่าใบหน้ากลับยังยิ้มอ่อนโยนเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
    
      “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า”
    
        ตูม!
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองกลุ่มควันที่ทำให้แสบตาและมองไม่เห็นอย่างนิ่งเงียบ ร่างนั้นหายไปแล้วเขาไม่ได้แปลกใจที่คนตรงหน้าหนีไปได้คนที่มีวรยุทธสูงขนาดนั้นคงมีดีสักอย่าง เขาไม่ได้ติดตามไปเพราะไม่มีประโยชน์อย่างไรเขาก็เห็นใบหน้าที่แท้จริงแล้วคงติดตามได้ไม่ยาก
    
        “ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้คงเปลี่ยนโฉมนี่แล้วสินะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำกับตัวเองเบาๆ ดวงตาจากที่เคยประกายความสนใจ สนุก ตื่นเต้น ทว่าตอนนี้กลับนิ่งเรียบ เย็นชา เมื่อไม่มีผู้คนเขาย่อมไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง มุมปากยกยิ้มนิดๆ
    
       “เราคงได้เจอกันเร็วๆ นี้แน่อีกา ดูซิหอกิเลนจะหาเจ้าให้ข้าไม่ได้” เมื่อกล่าวจบร่างนั้นก็เลือนหายไปกับความมืด ในพระทัยเย็นชาไร้ใจเช่นไร เวลานี้ก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม
    
         แล้วผู้ใดกันจะมาทำให้พระทัยนี้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง...




หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์บทที่4บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 09-02-2016 23:09:44
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
บทที่4 บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)

      เงาร่างสีดำที่พาร่างกายที่ยังชาหนึบไปทั้งร่างกลับมายังตำหนักเหวินอี้ด้วยความหงุดหงิดใจ คนผู้นั้นไร้ยางอายสิ้นดีแต่งกายเป็นชาวยุทธ ทว่าจิตใจมากไปด้วยเล่ห์กล หากชาวยุทธผู้ผดุงคุณธรรมไฉนเลยจะกล้าใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ มือหนาปลดชุดดำออกจากร่างพร้อมรีบกลืนยาแก้เหน็บชาอย่างหงุดหงิดใจ ทว่าใบหน้ายังคงนิ่งเฉยเหมือนคนไร้ความรู้สึก มือหนาถอดหน้ากากยางซึ่งทำเองกับมือออกเก็บซ่อนเสื้อผ้าและหน้ากากเอาไว้ในหีบกล่องขนาดกลาง ซุกซ่อนไว้ใต้เตียงนอนเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ใบหน้านี้ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริง จะเป็นอีกาไยจะทำให้ผู้ใดติดตามตัวเองได้เล่า
    
        “นายน้อยข้าเตรียมน้ำไว้ให้แล้วขอรับ”
    
         เสียงร้องบอกดังมาจากห้องน้ำดั่งรู้งาน  หลิ่วเหวินอี้เดินไปห้องอาบน้ำโดยไม่กล่าวอะไร การที่ร่างกายโทรมไปด้วยเหงื่อและได้อาบน้ำทำให้ความหงุดหงิดมลายหายไปบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิ้วเข้มขมวดมุ่นนึกไปถึงใบหน้าอัปลักษณ์ซึ่งเป็นคนเดียวที่เขาแอบติดตามเมื่อเย็นมานี้ แต่เพราะเหตุใดคนผู้นี้ถึงไปอยู่ในจวนผู้ว่า และยังฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตน หรืออาจจะมากกว่า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทำให้หงุดหงิดยิ่งนักเขาแอบฝึกวิชามาหลายปียังอ่อนด้อยอีกหรือ?
    
        “นายน้อยอีกาสองมารับงานขอรับ” หลวนซานเอ่ยบอกอย่างระวังเมื่อเงาดำเข้ามายืนอยู่หน้าประตูทางเข้า
    
        “ไปช่วยงานอีกาห้า ให้ได้หลักฐานมาเร็วที่สุด” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่เอ่ยออกมาทำให้เงาร่างสีดำก้มหน้าคารวะก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวคมหลับตาลงเมื่อคิดถึงงานที่ตนรับมามุมปากยกยิ้มคล้ายเย้ยหยันเฝิ่งเฉิน เขาไม่ได้เป็นคนดีแต่ก็ไม่เคยทรยศต่อการกระทำของตนเอง เขาเลือกทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้น
    
       “นายน้อย ตระกูลเฝิ่งมีคนหนุนหลัง หากมันหน้าด้านหน้าทนไม่ยอมรับความผิดจะทำเช่นไรขอรับ” หลวนซานซึ่งรับรู้ความต้องการของนายน้อยเอ่ยถามคนที่นอนแช่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่อย่างระวัง นายน้อยผู้นี้นิสัยแปลกแยกกว่าผู้คนที่มันรู้จักมาจึงต้องรอบคอบขณะเอ่ยถาม
    
        “ฮึ ข้าไม่เชื่อว่าจะเอาผิดเฝิ่งเฉินไม่ได้ ไปนอนได้แล้วเรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” ประโยคที่ยาวที่สุดนั้นฟังดูราบเรียบแต่คนที่อยู่ด้วยกันมานานนั้นกลับรับรู้ความหงุดหงิดในอารมณ์
   
       “ขอรับ” หลวนซานรับคำยังว่าง่ายก่อนจะถอยห่างจากไปห้องพักของตน
    
        หลิ่วเหวินอี้มองตามร่างโปร่งที่หายไปด้วยสายนิ่งเฉย หลวนซานคือทาสที่เขาซื้อมาตั้งแต่เยาว์วัยทำให้มันภักดิ์ดีกับเขาแต่ว่าความดีนั้นมิอาจทำให้เขาเชื่อใจได้เลย ความหวาดกลัวที่จะถูกหักหลังฝังลึกเข้าไปในจิตใจ กำแพงเย็นชาตั้งตระหง่านเพื่อปกปิดความกลัวเหล่านั้น และฝึกฝนให้ตนเองเก่งกาจเพื่อไม่ให้ผู้ใดรังแกตนได้แต่กลับปิดบังตนเองยอมเป็นคนโง่งมในสายตาผู้อื่น
    
        ร่างโปร่งลุกขึ้นจากน้ำจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปห้องนอนอย่างเกียจคร้าน ภายนอกเหมือนคนว่างงาน แต่ทุกวันนี้งานเขากลับกองท่วมหัวอาจเพราะเขามีสิ่งที่ต้องดู หน้าที่ต้องรับผิดชอบ จุดเริ่มต้นมาจากจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้นั้น การได้พบกันวันนั้นทำให้เขามีภาระที่หนักอึ้งเพิ่มขึ้น ทว่าเขากลับรู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยเหล่านั้นให้พ้นจากความตายจากพรรคพยัคฆ์คำรน ไม่สิ เดี๋ยวนี้ชื่อพรรคนั้นไม่มีอีกแล้ว
    
         หลายปีมานี้เขาจึงต้องจัดการทุกอย่างโดยมีสหายเพิ่มขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจไว้ใจผู้ใดได้ นี่คงเป็นกรรมตั้งแต่ชาติปางก่อนทำให้เขาหวาดกลัวจนมิอาจรับรู้ความสุขและความสงบที่แท้จริง

    
         เช้าวันรุ่งขึ้นหลิ่วเหวินอี้ยังนอนเกียจคร้านอยู่บนที่นอน ทว่าวันนี้ต่างจากปกติเมื่อพี่ชายต่างมารดาเปิดประตูเข้ามาอย่างไม่สนใจหลวนซานที่พยายามห้ามปราม
    
        “เหวินอี้เจ้าเศษขยะ ทำตัวขี้เกียจยิ่งกว่าแมวลุกจากเตียงนอนมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโมโห อาภรณ์สีฟ้าอ่อนพลิ้วไหวตามแรงเดินของอีกฝ่าย หลิ่วเหวินอี้ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองคนบุกรุกตำหนักตนเอง ดวงตาเย็นชาไร้ความรู้สึกทำให้คนถูกมองยิ่งหงุดหงิด
    
         “มีอะไร” เอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาเรียวคมมองนิ่งเงียบ
    
         “เจ้าอย่ามาทำไขสื่อ เจ้าขโมยพัดท่องนภาข้าไป” คำกล่าวหาทำให้ดวงตาเรียวหรี่มองพี่ชายที่ทำตัวดั่งเด็กน้อยอย่างเหนื่อยหน่าย
    
        “หลักฐาน” เอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่าคนฟังกลับโมโหจนควันออกหู ใบหน้าคมคายแดงก่ำ
    
         “นี่ไง” ไม่พูดเปล่ายังมีลายลักษณ์อักษรที่สลักด้วยลายมืออ่อนช้อยและลงนามของเขาไว้อย่างเรียบร้อย ขอความนั้นไม่มีไรมาก แค่บอกว่า ‘ข้าขอยืมพัดท่องนภาของท่านก่อนนะพี่รอง ลงนาม หลิ่วเหวินอี้’
    
        “ไม่ใช่ลายมือข้า”
    
        “แต่นี่ชื่อเจ้า เจ้าคงให้หลวนซานเขียนให้ก็ได้” หลิ่วเหวินอี้กรอกตามอง ‘หลิ่วเชวี่ยนไป๋’ อย่างเบื่อหน่าย เป็นถึงพี่รองแต่กลับไร้สมองสิ้นดี หากเขาเอาไปจริงไยจะมาลงชื่อให้ตามตัวเล่า อีกอย่างพี่รองคนนี้เป็นคนขี้หงุดหงิดเชื่อใจคนอื่นก็ง่าย แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ หากนับโดยรวมควจะเรียกว่าดีกว่าคนอื่นๆ กระมัง
    
        “ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น อีกอย่างข้าเพิ่งกลับมาจากหอบุปผาจะเอาเวลาไหนไปขโมยของเจ้า” ประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักน้องชายคนนี้มาทำให้หลิ่วเชวี่ยนไป๋ลังเล มองลายมืออ่อนช้อยสลับกับใบหน้าเฉยชาของน้องชายอย่างพิจารณา
    
        “เจ้ามันคนน่าตาย อย่าให้ข้าจับได้แล้วกัน” กล่าวจบพร้อมกระแทกเท้าจากไป หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองแล้วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เชื่อคนง่ายเกินไป!
    
        “ให้ข้าน้อยไปสืบไหมขอรับ” คำถามของบ่าวรับใช้คนสนิททำให้หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเกียจคร้าน เขาเพิ่งได้นอนชั่วยามเดียว แต่กลับถูกรบกวนแต่เช้า
    
        “ไม่ต้อง ข้ารู้ว่าผู้ใด” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา พร้อมอาหารเช้าที่ถูกเตรียมไว้ให้ ส่วนมากตำหนักเหวินอี้ไม่ค่อยมีคนเข้าออกเพราะเขาเป็นเพียงลูกนอกคอกที่วรยุทธต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็นเศษขยะภายในนิกายมารฟ้าเท่านั้น
   
         หลังจากจัดการอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลิ่วเหวินอี้จึงเที่ยวเตร่ออกนอกนิกายมารฟ้าอย่างไม่สนใจสายตาดูแคลนแม้กระทั่งผู้เฝ้ายามหน้าประตูก็ยังไม่เห็นหัวเขาด้วยซ้ำไป แต่ยังดีที่ไม่ต้องบอกว่าเขาจะไปที่ใด เมื่อพ้นเขตนิกายมารฟ้าสองร่างนายบ่าวจึงพุ่งทะยานหายไป ทั้งคู่ตรงมายังเมืองหยางเซา ทว่าก่อนจะเข้าไปในตัวเมืองกลับมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคนปิดล้อมพวกเขาไว้ ต่างถืออาวุธครบมือโดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาสังหารเขา
    
        “นี่นะหรือคุณชายหลิ่วเหวินอี้บุตรของนิกายมารฟ้า ไม่คิดว่าประมุขจะให้มากำจัดขยะไร้ค่าเช่นนี้โดยใช้คนสิบห้า” น้ำเสียงเย้ยหยันและหงุดหงิดของชายร่างยักษ์ซึ่งน่าจะเป็นผู้นำ ทว่าคำกล่าวของมันกลับทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองอย่างแปลกใจ มีผู้ใดกันที่ไม่เห็นหัวประมุขนิกายมารฟ้าบิดาตน แม้จะเป็นบุตรไร้ค่าแต่อย่างไรเขาก็เป็นคนตระกูลหลิ่ว
    
         หลวนซานชักกระบี่เดินออกหน้านายน้อยอย่างปกป้อง ดวงตาเรียวมองศัตรูมากกว่าตนอย่างไม่หวาดกลัว
    
         “พรรคศิลาแดงคงไม่อยากมีชื่ออยู่ในยุทธภพแล้วสินะ ถึงเอาชีวิตมาสังเวยให้นิกายมารฟ้า” หลวนซานกล่าวออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง ทว่าพวกมันกลับหัวเราะร่าคล้ายดั่งเห็นเป็นเรื่องตลกเท่านั้น
    
        “แค่เจ้าสองคนจะเอาอะไรมาชนะข้าได้ อีกอย่างพวกเจ้าตายไปผู้ใดจะคาบข่าวไปบอกประมุขนิกายมารฟ้า หากข้าทิ้งหลักฐานไว้พรรคอื่นแค่นี้เรื่องก็ไม่มาถึงพรรคศิลาแดงแล้ว” คำตอบอย่างมั่นใจของผู้นำ ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า ครุ่นคิดเหตุใดพรรคศิลาแดงซึ่งเป็นฝ่ายอธรรมคิดลงมือกับตน
    
       “หากข้าตายพวกเจ้าจะใส่ความผิดให้พรรคใด” ใบหน้างดงามทว่าเย็นชาอีกทั้งดวงตานั่นนิ่งเรียบจนมิอาจคาดเดาได้ น่าเสียดายที่ความงามไม่อาจทำให้รอดตายได้
    
       “เพื่อเห็นแก่ชีวิตไร้ค่าของเจ้าข้าจะบอกให้ หากเจ้าตายความผิดนี้จะตกอยู่ที่พรรคค้ำฟ้า” น้ำเสียงเหิมเกริมและความมั่นใจบนใบหน้าไม่ได้ทำให้หลิ่วเหวินอี้สนใจเท่ากับเรื่องที่จะใส่ความพรรคธรรมะ เห็นที่พรรคศิลาแดงคงอยากสิ้นชื่อเสียแล้วกระมัง
    
        “หากเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าคงผิดหวังแล้วล่ะ” หลวนซานตอบกลับอย่างมั่นใจ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของศัตรูยิ้มเย้ยหยันก่อนจะพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว
    
        เคร้ง!
    
        หลวนซานต้านรับอย่างหนักหน่วง มากคนทำให้รับมือได้ยากยิ่ง เพราะนายน้อยตนมิได้พกกระบี่เหมือนกับตน ทว่าฝีมือหมัดทั้งสองข้างก็ไม่ได้อ่อนด้อยแต่ว่าหมัดเปล่าหรือจะสู้คมกระบี่ได้นอกจากพลิ้วหลบไปมาเตะขาให้ศัตรูหน้าทิ่มดินเท่านั้น
    
       “บัดซบ!” หนึ่งในนั้นที่หน้าทิ่มดินลุกขึ้นมองอย่างเดือดดาล ทว่ากระบี่กลับหลุดออกจากมือเมื่อถูกลูกเตะอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้เอี้ยวตัวหลบคมกระบี่ที่พุ่งเข้าหาหมายสังหารเขาจากชายอีกคน สองเท้าก้าวท่องดาราหลบอย่างว่องไวมือหยิบกระบี่ของศัตรูที่ร่วงตกขึ้นมาต้านรับ แม้จะเป็นเพียงขยะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น แต่มิคิดเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆ
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
         ห้ารุมหนึ่งอย่างมิอายว่าลงมือกับผู้น้อยกว่า ทว่ากระบี่ที่ฟาดฟันเข้าหาขยะไร้ค่ากลับถูกต้านรับได้ทุกกระบวนท่าทำให้พวกมันเริ่มระวังตัว หนึ่งในนั้นที่ถูกแย่งกระบี่ถึงกลับเดือดดาลด้วยความโมโห เกิดมาไม่เคยมีครั้งใดที่มีคนหยามหมิ่นมันเช่นนี้มาก่อน
    
       ตูม!!
     
         ความรุนแรงจากการปะทะกันอีกทั้งลมปราณที่ต้านรับทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงทำให้ต่างฝ่ายกระเด็นห่างจากกัน ส่วนทางหลวนซานต่างไม่น้อยหน้าไปกว่าตน ทว่าความรุนแรงและไร้ความปราณีของหลวนซานทำให้ตายตกอย่างง่ายดายกว่าสามชีวิต
    
        “บัดซบ ไหนว่ามันไม่มีลมปราณ” หนึ่งในนั้นสบถออกมาอย่างหงุดหงิดคิดว่ารับงานที่ง่ายๆ แสนง่าย ทว่าจากการที่ปะทะกันเพียงชั่วครู่กลับรับรู้ความแตกต่าง ใบหน้างดงามนั้นยังนิ่งเฉยไม่มีเหงื่อผุดขึ้นใบหน้าแม้แต่น้อย บ่งบอกว่าไม่ได้เหนื่อยกับการปะทะกับพวกมัน
    
        “มิน่าประมุขถึงให้คนมามากขนาดนี้” ชายร่างยักษ์ที่เป็นหัวหน้ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดมองร่างสูงโปร่งยืนสง่างาม มือที่ถือกระบี่ก็เป็นของคนในพรรคที่คัดมาล้วนมีลมปราณไม่ต่ำกว่าขั้นกลาง เมื่อมองไปยังศิษย์น้องที่โรมรันกับผู้ติดตามก็ต้องหน้าเสีย มันถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดทว่าผู้ที่สังหารกลับยกยิ้มเย็นจนรู้สึกเดือดดาล
    
        “ฆ่ามัน!” เมื่อคำสั่งโกรธเกรี้ยว บรรดาพรรคศิลาแดงจึงพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าหลบคมกระบี่ที่พุ่งผ่านมาจากทางด้านหลังอย่างหงุดหงิด อีกทั้งต้านรับกระบี่ที่ฟาดฟันมาทางด้านหน้ารุนแรงดุจเปลวเพลิง
    
          ฉัวะ!
    
         ไหล่ข้างซ้ายถูกคมกระบี่เฉือนอย่างมิอาจหลบพ้น เลือดไหลย้อมเสื้อผ้าขาดแหว่ง ทว่าใบหน้ากลับเย็นชาไม่ได้สะทกสะท้านกับโลหิตที่อาบย้อมอาภรณ์สีขาว สองเท้าสับเปลี่ยนจังหวะก้าวท่องดาราอย่างคล่องแคล่วมือที่ถือกระบี่ออกกระบวนท่ามารฟ้าอย่างไร้ที่ติด
    
        ฉัวะ!!
    
        อ๊ากกกก
    
        หนึ่งในนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแขนซ้ายห้อยตกลงอย่างน่าหวาดกลัว ทว่าผู้ลงมือกลับไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลง การต่อสู้ที่ดุเดือดอีกทั้งเสียงกระบี่ที่ฟาดฟันมาทำให้ผู้ที่เดินผ่านทางมองตามอย่างสนใจ ทว่าการรุมผู้ไร้ทางสู้? เพียงสองคนก็มิอาจละเลยได้
    
       และก่อนจะที่คมกระบี่จะเฉือนเนื้อหลิ่วเหวินอี้ไปมากกว่านี้กลับมีกระบี่หยกขาวออกมาต้านรับ ช่วยเหลือตนอย่างทันท่วงที ดวงตาเย็นชาเหลือบมองผู้ช่วยเหลือตนเล็กน้อย ทว่าในใจกำลังหงุดหงิด เขาไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดเพราะในยุทธภพเรื่องหนี้บุญคุณนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เหมือนคำกล่าวว่า บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!
    
       “บัดซบ! นี่เป็นเรื่องของพรรคศิลาแดง เจ้าไม่ควรเข้าร่วมไม่เช่นนั้นถือว่าตั้งตนเป็นศัตรูกับพรรคศิลาแดง” ชายร่างยักษ์ถอยห่างออกมา เมื่อถูกไร้ต้อนจากคนไม่รู้จักดวงตาประกายความเกรี้ยวกราดศิษย์น้องที่พามาด้วยต่างตายตกเหลือไม่กี่คน หากถอยออกยามนี้มันจะมีหน้าไปพบผู้ใด
    
       “ข้าเป็นจอมยุทธพเนจรเห็นการกระทำต่ำช้าของเจ้าก็มิอาจละเลยได้ หรือนี่คือวิธีปฏิบัติของพรรคศิลาแดง” คำกล่าวของบุรุษหน้าตาคมคาย รอยยิ้มมุมปากคล้ายหมิ่นหยามตนยิ่งทำให้มันเดือดดาลมากขึ้น มือกำกระบี่เข้าแน่น ในเมื่ออยากลิ้มรสความตายมันจะสนองให้
    
       เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
    
       ทั้งสามคนต่างต้านรับอย่างคล่องแคล่วไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย หลวนซานมองผู้มาช่วยพวกตนอย่างระวัง เหลือบมองนายน้อยเมื่อเห็นว่าไม่ได้กล่าวอะไรจึงปิดปากเงียบ กระบี่ในมือพุ่งเข้าหาศัตรูอย่างว่องไว
    
        อ๊ากกกกก
    
        ชายร่างยักษ์ผู้นำทีมมาถึงกลับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกกระบี่ตัดแขนขวาขาดหลุดกระเด็นไปไกล กระบี่หยกขาวตวัดแทงเข้ากลางอกด้วยความเร็วที่เหนือชั้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงกับความเร็ว ทว่าทุกอย่างสายเกินแก้เมื่อกระอักโลหิตออกมาคำโต รอยยิ้มมุมปากบนใบหน้าของผู้ลงมือนั้นอ่อนโยนจนรู้สึกอบอุ่น ทว่าแรงกดดันที่กระแทกเข้าสู่หน้าอกด้านซ้ายมิได้เป็นดั่งหน้าตาไม่ ลมหายใจขาดห้วงก่อนจะกระตุกอย่างรุนแรง ร่างใหญ่ล้มลงตามแรงกระชากกระบี่ขาวออกมา
    
       หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะสังหารคู่ต่อสู้ของตัวเอง เพียงไม่นานพื้นที่โดยรอบก็อาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน สภาพศพไม่ค่อยน่าดูนัก
    
       “นายน้อย” หลวนซานหลังจากจัดการศัตรูจนหมดสิ้นรีบรุดหน้าเข้ามาหานายน้อยที่บาดเจ็บช่วงไหล่ซ้าย
    
        “เจ้าบาดเจ็บ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของผู้ช่วยเหลือทำให้หลิ่วเหวินอี้ละสายตาจากบ่าวรับใช้ไปมอง ใบหน้าหล่อคมคาย อีกทั้งผิวขาวเนียนไม่เหมือนจอมยุทธทั่วไป รอยยิ้มอ่อนโยนแฝงด้วยความห่วงใยทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะเกิดมาในชาตินี้ยังมิมีใครเคยสนใจใยดีตนสักคนเดียวกระมัง
    
        “ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณที่ช่วยเหลือ” แม้ไม่อยากพูดแต่จำต้องกล่าวออกมาตามมารยาท ใบหน้าคมคายแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นยังมองตามอย่างเป็นห่วงคิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเป็นปม
    
       “เลือดไหลขนาดนี้ไยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าทำแผลให้” หลิ่วเหวินอี้มองตามบุรุษแปลกหน้าผู้มีพระคุณอย่างลังเล หากเป็นคนรู้จักธรรมดาเขาจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แต่นี่อีกฝ่ายมีบุญคุณต้องทดแทน บุรุษผู้นั้นยังมองตามเขาอย่างนิ่งงันคล้ายรอให้ตัดสินใจ
    
       “ท่านเป็นหมอ?” หลวนซานเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง เมื่อเห็นสายตาคมซึ่งมองนายน้อยตนไม่วางตา แม้บรรยากาศที่แผ่มานั้นดูอบอุ่น แต่ก็ไม่น่าไว้ใจในขณะเดียวกัน
    
       “ข้าไม่ได้เป็นหมอหรอก แต่รู้วีธีห้ามเลือดบ้าง เพราะข้าอยู่ยุทธภพเรื่องวุ่นวายก็ยังตามมา หากบาดเจ็บไม่มีความรู้เรื่องนี้ชีวิตข้าคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้ได้” คำกล่าวนุ่มทุ้ม รอยยิ้มอ่อนโยนดุจแสงตะวันทำให้คนมองรู้สึกสบายใจ
    
        “รบกวนด้วย” หลิ่วเหวินอี้กล่าวบอกเสียงเรียบ ซึ่งทำให้หลวนซานมองตามอย่างตะลึงงัน ไม่คิดว่านายน้อยจะไว้ใจคนอื่นง่ายดายเพียงนั้น
    
        “นายน้อย”
    
        “ไม่เป็นไร” หลิ่วเหวินอี้กล่าวตอบหลวนซานโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก เดินไปนั่งขอนไม้ใหญ่ที่ล้มลงจากแรงปะทะเมื่อครู่ ซึ่งบุรุษอาภรณ์สีเขียวก็เดินตรงมาหยิบจับถุงย่ามตัวเองอย่างคล่องแคล่ว หลิ่วเหวินอี้ปลดเสื้อออกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนไม่ต่างจากหมอจำเป็น ดวงตาคมกริบประกายวาววับเพียงชั่วครู่ก่อนจะช่วยทำแผลให้อย่างชำนาญ
    
        “ขอบคุณ ข้าเหวินอี้ติดหนี้บุญคุณท่านแล้ว” หลิ่วเหวินอี้ดึงเสื้อมาสวมใส่ก่อนจะหันไปบอกชายหนุ่มอย่างขอบคุณ น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบใบหน้าเฉยชาจนมิอาจเดาใจได้
    
       “เรื่องเล็กน้อย เรียกข้าเหยียนเจิ้ง” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งงันคล้ายได้ยินจากที่ใดมาก่อนแต่นึกไม่ออก ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนหลังจากทำแผลเรียบร้อย หันไปมองหลวนซานที่ยืนนิ่งเงียบรอคำสั่ง รอยแผลที่ได้รับไม่ได้ทำให้เจ้าตัวปริปากออกมาแม้แต่น้อย แต่ไม่ทันได้บอกกล่าวบุรุษนามว่าเหยียนเจิ้งก็ช่วยทำแผลให้ สรุปแล้วพวกเขาติดหนี้ชีวิตคนผู้นี้อีกครั้งเสียแล้ว
    
       “ข้าจะตอบแทนบุญคุณท่านได้เช่นไร” น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ทำให้เหยียนเจิ้งหันไปมองยกยิ้มบาง
    
       “ข้าไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน หากอยากชดใช้เลี้ยงข้าวข้าสักมื้อคงได้กระมัง” คำขอที่ไม่ได้มากมายทว่าคนฟังกลับนิ่วหน้าเพราะแค่นี้มิอาจชดใช้ได้หมด
    
        “หากทำให้เจ้าลำบากใจ ให้ที่พักข้าเสียหนึ่งเดือนได้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนขอเพิ่มดั่งรู้ว่าเขาลำบากใจกับหนี้บุญคุณครั้งนี้มาก ทว่าเมื่อทบทวนดูแล้วมันก็ดีที่เขาจะได้ชดใช้เสียให้หมด แต่หากเรื่องที่เขามีวรยุทธรู้ถึงหูบิดาและคนอื่นเขาจะมีชีวิตสงบได้อย่างไร
    
       “หากท่านรับปากข้าว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับข้าก็จะยินดี”
    
      “ความลับหรืองั้นเจ้าคงเป็นหลิ่วเหวินอี้” คำกล่าวด้วยรอยยิ้มและประกายตาเจิดจ้าทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างกังวล
    
       “ข้ารับปากเจ้า แต่เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่เหยียนเจิ้ง” หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างตื่นตระหนก เพียงแค่ชั่วครู่คนผู้นี้กลับเขาใจความต้องการของเขาโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย แต่เมื่ออีกฝ่ายร้องขอมาเช่นนี้เขาจะมีทางเลือกอื่นได้เช่นไร
    
     “ตกลงหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามคนงามที่ทำให้ใจสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ใบหน้านิ่งเฉยอีกทั้งดวงตาเย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึกยิ่งกระตุ้นความปรารถนาในใจ
    
       “...”
    
       “เจ้าเงียบถือว่าตกลง น้องเหวินอี้เชิญนำทางเถิด” รอยยิ้มอ่อนโยนดวงตาจริงใจที่ส่งมา ไม่ได้ทำให้หลิ่วเหวินอี้ครุ่นคิดเท่าน้ำเสียง ที่รู้สึกคุ้นเคยเหมือนคนที่ติดตามเขาเมื่อคืนที่ผ่านมาหรือว่าคิดไปเอง? เขาไม่ได้ไว้ใจเหยียนเจิ้งผู้นี้ เพียงแต่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณผู้ใด หากลบล้างได้หมดเขาก็อยากทำให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด 
   
        หลวนซานตอนนี้อ้าปากค้างมองตามร่างสูงของทั้งสองคนที่เดินเข้าเมืองอย่างมึนงง เขาก็พอรู้ว่าบุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เห็นนายน้อยยินยอมง่ายๆ เช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือว่านายน้อยมีแผนใดในใจอีก เขาเดินตามทั้งคู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แม้จะรับใช้มาหลายปีแต่บางครั้งก็มิอาจคาดเดาได้ถูก ครั้งนี้ก็เช่นกัน...


   ขอบคุณที่ติดตามจ้า ในเล้าจะลงช้ากว่าเด็กดีใครค้างคาตามไปอ่านได้นะคะ :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่4 บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-02-2016 00:46:17
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่4 บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 10-02-2016 08:10:30
เด็กดีตามมมม
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่4 บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-02-2016 14:16:56
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่4 บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!(P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 10-02-2016 14:56:54
 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:ติดตามด้วยคนจ้า :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่ 5 สัญญาสองเรา? (P.2วันที่ 12/02/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 12-02-2016 13:48:51
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
บทที่ 5 สัญญาสองเรา? (P.1วันที่ 12/02/59)


        ลั่วเหยียนเจิ้งก้าวตามคนร่างสูงสง่าใบหน้างดงามชวนให้ถวิลหา ความงดงามเพียงอย่างเดียวเขาคงไม่สนใจเท่าบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาและดวงตาเย็นชาฉายแววหงุดหงิดๆ ของอีกฝ่ายซึ่งดึงดูดตนให้เข้าหา สองเท้าก้าวเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ ความเงียบงันทำให้อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
    
       “เจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน” ดวงตาที่แสนนิ่งเรียบติดเย็นชาปรายตามองตนเล็กน้อย ทว่ากลับไม่กล่าวสิ่งใดออกมา เมื่อหันไปมองผู้ติดตามเพียงคนเดียวซึ่งเดินตามมาเงียบๆ คล้ายไม่สนใจสิ่งใด แต่ดวงตาเรียวคมคู่นั้นก็เหลือบมองเขาอย่างไม่วางใจ
    
        ...ช่างน่าสนใจ ทั้งนายและบ่าว
    
         ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางเบา อ่อนโยน ชวนให้บรรยากาศอบอุ่นขัดกับบรรยากาศเย็นเยียบชวนให้ขนลุกชันที่แผ่ออกมาจากหลิ่วเหวินอี้ คล้ายกำแพงน้ำแข็งที่สูงตระหง่านหากทำให้ใจที่เหน็บหนาวเย็นชาไร้ความรู้สึกมาเนิ่นนานอยากปีนป่ายข้ามกำแพงน้ำแข็งเข้าไปยังหัวใจผู้เป็นเจ้าของ
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาภายในเมืองหยางเซาตามหลิ่วเหวินอี้จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่คฤหาสน์หลังหนึ่งภายในเมืองไปทางทิศตะวันออก ห่างจากตลาดไปไม่มากนักทันทีที่ยามเฝ้าประตูเห็นผู้เดินเข้ามาต่างเปิดประตูเชื้อเชิญเข้าไปภายในอย่างนอบน้อม
    
       “ถังต้าหลี่อยู่หรือไม่” เสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกเอ่ยถามปรายตามองยามเฝ้าประตูเพียงเล็กน้อย
    
      “อยู่ขอรับ ตอนนี้นั่งเล่นอยู่ศาลาดอกบัวกับคุณชายใหญ่ขอรับ” มันเอ่ยตอบพลางหันมองแขกที่มาด้วยกับสหายของเหล่าคุณหนูและคุณชายอย่างใคร่สงสัย
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองแผ่นหลังของหลิ่วเหวินอี้นิ่งเรียบ ดวงตาประกายวาววับไปชั่วครู่จนมิมีใครสังเกตได้ทัน ใบหน้ายังฉายแววอ่อนโยนบรรยากาศอบอุ่นชวนให้คบหา ทว่าในใจกำลังครุ่นคิดว่าบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่เขาจะเจอกับคนตระกูลถังเร็วเช่นนี้ หากเป็นตระกูลเดียวกับตาแก่บ้าตันหานั่นต้องการ แล้วอีกาจะจัดการล้างตระกูลนี้จริงๆ หรือไม่ ยิ่งก้าวเดินรู้สึกยิ่งซับซ้อนทุกอย่างเหมือนเป็นปริศนา
    
        หลิ่วเหวินอี้หยุดเดิน พร้อมหันกลับมามองตนนิ่งๆ คล้ายกับครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนิ่งเรียบดวงตาเรียวคมเย็นชาไม่ได้แสดงกิริยาอื่นใด ทว่าเหตุใดหัวใจถึงเต้นเร้าอยากสัมผัสใบหน้านั้นยิ่งนัก อยากเห็นรอยยิ้มของคนผู้นี้ว่าจะงดงามเพียงใด
    
        “ที่นี่บ้านตระกูลถัง ข้าคงให้ท่านพักที่นี่ชั่วคราว” หลิ่วเหวินอี้กล่าวมองเขาคล้ายดูกิริยา ทว่าเขาเพียงแค่ส่งยิ้มพยักหน้ารับคล้ายไม่ได้ใส่ใจกับที่พักของตนซึ่งก็มีความจริงเจ็ดส่วนเพราะเขาอยากรู้ว่าอีกาจะมาฆ่าล้างตระกูลหรือไม่ แต่อีกสามส่วนนั้นเสียดายที่ไม่ได้อยู่ใต้หลังคาเดียวกับคนที่ทำให้ความสนุกของตนกลับมาอีกครั้ง
    
         “ท่านจะไม่ถาม?” คำถามของหลิ่วเหวินอี้ ทำให้ยกยิ้มบางก่อนจะบอกเสียงนุ่มทุ้มตามเอกลักษณ์ของฮ่องเต้ที่แสนอ่อนโยนและอ่อนแอ ยามนี้ต่างกันแค่เขามิได้แสดงความอ่อนแอออกมาเท่านั้นเอง
    
         “แค่นี้ก็เป็นพระคุณแล้ว แต่สัญญาสองเราไยเจ้าไม่ทำตามเล่า” ใบหน้างดงามนั้นชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหูแดงเล็กน้อยแม้จะเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ใบหน้าก็มิอาจกลบเกลื่อนความเขินอายได้เช่นกัน
    
        “ข้ายังไม่ชิน” น้ำเสียงเย็นชา ดวงตาประกายตาคล้ายลำบากใจ ลั่วเหยียนเจิ้งก็มิได้เร่งรัดเพราะคนเช่นนี้อาจไม่คุ้นเคยหรือไม่ก็ไม่เคยเรียกผู้ใดว่าท่านพี่มาก่อน
    
        “น้องเหวินอี้หากข้าทำให้เจ้าไม่สบายใจข้าจะออกเดินทางไปต่อ และเรื่องของเราถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตกลงหรือไม่” หลวนซานที่หยุดมองทั้งคู่อ้าปากค้างมองบุรุษอาภรณ์สีเขียวอ่อนพูดเรื่องชวนให้คิดไปไกลด้วยความตกตะลึง ทว่าเมื่อมองหน้านายน้อยมันถึงกลับทำอันใดไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าหลบตาทำหูตาไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองใบหน้าเย็นชาทว่าใบหูกลับแดงเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาคู่นั้นตวัดมองมาทางตนอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเม้มปากเน้นเหมือนไตร่ตรองอย่างหนัก เขายังแสร้งตีหน้าเศร้าคล้ายเสียใจนักหนา
    
        “ข้าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านพี่เหยียนเจิ้ง” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอย่างพอใจ มองคนหน้านิ่งสนิททว่าใบหูกลับเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเจ้าตัวกำลังเก้อเขิน
    
       “ดียิ่งน้องเหวินอี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะรังเกียจผู้ไร้ที่มาไม่มีที่ไปเช่นข้าเสียแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี ทว่าคนที่เอ่ยปากดวงตากลับฉายแววยุ่งยากใจจนอดที่จะขำไม่ได้ เมื่อทั้งคู่ตกลงกันได้แล้วจึงเดินไปยังศาลาดอกบัวทางตะวันตกของบ้าน
    
        หลวนซานยกมือเกาหัวอย่างมึนงง เขาไม่เคยเห็นนายน้อยยอมใครเช่นนี้มาก่อน แต่เพราะเหตุใดกันนายน้อยถึงเปลี่ยนไป แม้มันจะเฝ้าถามตนก็มิอาจได้คำตอบนอกจากก้าวเดินตามทั้งคู่เงียบๆ ดั่งไร้ตัวตนเมื่อเจ้านายมิต้องการให้รับใช้
    
       ขณะที่หลิ่วเหวินอี้เดินไปทางศาลาดอกบัวนั้นกลับมีเสียงดนตรีหวานละมุนดังมา ไม่ต้องบอกก็พอคาดเดาได้ว่าผู้ใดเป็นผู้บรรเลง เขาพาแขกชั่วคราวเดินมาถึงศาลาดอกบัวเห็นถังหยุนซีกำลังนั่งเล่นพิณ ข้างกายมีพี่ชายใหญ่นามว่าถังต้าหลี่นั่งเล่นหมากล้อมคนเดียวฟังน้องสาวบรรเลงเพลงอย่างอารมณ์ดี
    
         ถังต้าหลี่รู้สึกว่าถูกมองจึงเงยหน้าจากหมากล้อมเหลือบมองแขกที่ก้าวเดินเข้ามา ใบหน้าคมคายยกยิ้มอย่างยินดีก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาสหาย
    
         “เหวินอี้เจ้าหายไปหลายวันคิดว่าจะลืมสหายเช่นข้าเสียแล้ว” หลิ่วเหวินอี้มองคนพูดนิ่งๆ หันไปมองถังหยุนชีที่ยังบรรเลงเพลงต่อใบหน้าหวานละมุนมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มสดใส
    
        “ข้ามิได้ว่างงานเหมือนเจ้า” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงนิ่งเรียบไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ถังต้าหลี่ก็ไม่ได้ใส่ใจเชื้อเชิญไปนั่งเล่นหมากล้อมด้วยกัน แต่กลับต้องชะงักงันเมื่อเห็นว่าวันนี้มิได้มีเพียงแค่สหายกับบ่าวรับใช้เท่านั้น
    
        “ท่านผู้นี้คือ...”
    
        “นี่ท่านพี่เหยียนเจิ้งพี่น้องร่วมสาบานของข้า” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ ใบหน้าและดวงตายังนิ่งเฉยคล้ายกลับเรื่องที่ออกปากไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าสหายที่คบหากันมานานกลับอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงมองลั่วเหยียนเจิ้งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ว่ามองอย่างไรคนผู้นี้ก็เหนือกว่าตนจนเทียบไม่ติด
    
        หลิ่วเหวินอี้ยังคงนิ่งเฉยไม่สนสายตาแปลกใจจากทั้งสามคน ที่เขากล่าวไปเช่นนั้นเพราะต้องการความช่วยเหลือจากถังต้าหลี่ หากบอกว่าเพิ่งพบเจอเขาคงมิอาจฝากไว้ที่นี่ได้
    
        “ข้าฝากท่านพี่เหยียนเจิ้งพักอยู่กับเจ้าหนึ่งเดือน” หลิ่วเหวินอี้กล่าวต่อเสียงเรียบ มองใบหน้าสหายนิ่งๆ ซึ่งตอนนี้ถังต้าหลี่หันขวับมามองตนกับแขกของตนอย่างตื่นตระหนก
    
        “เหวินอี้สหายข้าเราคบหากันมานานข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีพี่น้องร่วมสาบานด้วย” เมื่อสติกลับมาถังต้าหลี่หรี่สายตามองสหายอย่างจับผิด ทว่าใบหน้าเย็นชาและบรรยากาศรอบตัวกลับมิอาจจับผิดได้เลยแม้แต่น้อย ส่วนผู้ที่ถูกฝากตัวไว้เพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนโยนดุจสายธารในฤดูใบไม้ผลิ
    
        “ข้าเหยียนเจิ้ง รบกวนท่านแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งก้มหน้าทักทายเล็กน้อยตามมารยาท ทว่ากิริยาที่ดูอย่างไรก็สูงส่งทำให้ถังต้าหลี่รู้สึกแปลกๆ มองแขกตรงหน้าอย่างพิจารณาไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนลูกเศรษฐีหรือไม่ก็ขุนนางดังเช่นตน แต่ในเมื่อสหายเอ่ยปากร้องขอมานับว่าคนตรงหน้านี้ต้องมีอะไรพิเศษไม่เช่นนั้นคนเย็นชาที่ตนตื้อเป็นสหายจะยินยอมพามาที่นี่ง่ายๆ ได้อย่างไร
    
       “ท่านพี่เหวินอี้” ถังหยุนซีซึ่งบรรเลงเพลงจบลุกขึ้นมาหาสหายของพี่ชายด้วยรอยยิ้มดีใจ พลางยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม ใบหน้าหวานละมุนและรอยยิ้มสดใสทำให้คนมองส่งยิ้มให้อย่างเอ็นดู ทว่ามีเพียงหลิ่วเหวินอี้ซึ่งเย็นชาเช่นไรก็ยังเป็นเช่นนั้นทว่าทุกคนกลับไม่ได้ใส่ใจคล้ายชินชากับกิริยาเช่นนี้อยู่แล้ว
    
       “พี่เหยียนเจิ้งนี่ถังต้าหลี่สหายข้า ส่วนนี่ถังหยุนซีบุตรีคนเล็กของตระกูลถัง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวแนะนำให้ทั้งสามคนรู้จักกัน
    
        “ท่านพี่เหวินอี้พี่ใหญ่จะไปสอบจอหงวนเดือนหน้าเจ้าค่ะ ทั้งวันอ่านแต่หนังสือวันนี้ข้าจึงลากมาฟังเพลงเพื่อผ่อนคลาย” สาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวอายุวัยสิบห้าปี กล่าวฟ้องผู้ตนรักและนับถือดุจพี่ชายพลางขยับมากอดแขนอย่างประจบโดยไม่ได้ฟังคำแนะนำเมื่อครู่
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองสาวน้อยในชุดสีชมพูงดงามสดใสกอดแขนหลิ่วเหวินอี้แล้วนิ่วหน้าอย่างไม่พึงพอใจนัก เป็นสตรีกับถือแขนบุรุษอย่างไม่อายฟ้าดินอีกทั้งมิได้ออกเรือนทำไมไม่รักนวลสงวนตัว ถังหยุนซีหันไปทางสายตาที่ถูกจับตามองใบหน้านิ่งค้างอ้าปากมองอย่างตกตะลึงเพราะตนเพิ่งเห็นเพิ่งเห็นบุรุษผู้นี้อาจเป็นเพราะความดีใจเกินเหตุที่ได้เห็นพี่ชายที่แสนงดงามจึงไม่ได้สังเกตรอบกาย ใบหน้าหวานแดงซ่านอย่างเขินอายพลางหลบไปอยู่ด้านหลังหลิ่วเหวินอี้
     
       “พี่ชายพาแขกมาไยไม่บอกน้องเล่า น้องทำขายหน้าแล้ว” หลิ่วเหวินอี้ก้มมองร่างบอบบางที่หลบอยู่ด้านหลังตนก่อนจะแอบไปมองเหยียนเจิ้ง เขาไม่แปลกใจที่สาวน้อยจะเขินอายเพราะนางไม่ค่อยพบเจอบุรุษที่หล่อเหลาดุจเทพเซียนเช่นนี้
    
      “เจ้ากลับห้องไปก่อน” ถังต้าหลี่บอกน้องสาวเสียงเรียบมองแขกอย่างไม่พึงพอใจนักหวังว่าน้องเล็กไม่ตกหลุมรักคนผู้นี้หรอกนะ
    
        หลิ่วเหวินอี้มองผู้มีพระคุณกับสาวน้อยที่เขินอายรีบเดินจากไป ใบหน้างดงามยามนี้นิ่วหน้ามองตามอย่างครุ่นคิดเห็นทีคงคิดผิดเสียแล้วที่จะพาเหยียนเจิ้งผู้นี้มาพักอยู่ตระกูลถัง ประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีย่อมดูออกว่าถังหยุนซีสนใจเหยียนเจิ้งผู้นี้ เพื่อตัดปัญหาแต่ต้นลมเขาต้องไม่นำความเดือดร้อนให้แก่ตระกูลถัง
    
       “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว พี่เหยียนเจิ้งกลับนิกายมารฟ้ากับข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองผู้ที่เอ่ยปากแล้วยกยิ้มบางอย่างพอเข้าใจ ตนอาจนำปัญหามาให้กับตระกูลถัง แต่เวลานี้ตระกูลถังใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อีกาจะมากวาดล้าง แต่เมื่อข้อเสนอนี้มาจากคนงามเขาจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
    
       “นายน้อยโปรดพิจารณาอีกครั้ง” หลวนซานที่นิ่งเงียบไปนานเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี หลิ่วเหวินอี้หันมามองบ่าวรับใช้ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดพลางหันมองผู้มีพระคุณอย่างพิจารณา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภายในนิกายมารฟ้าพี่น้องต่างมารดากำลังคิดกำจัดตนเพราะเห็นว่าอ่อนแออีกทั้งทำให้ชื่อเสียงนิกายมารฟ้าด่างพร่อย แต่เมื่อเขาตัดสินใจแล้วย่อมมีทางแก้ปัญหา
    
       “เหวินอี้ตระกูลถังยังมีที่พักเจ้าอย่าห่วงเลย ข้าจะให้พี่เหยียนเจิ้งพักที่เรือนข้า” ถังต้าหลี่รินน้ำชาให้ทั้งสามคนกล่าวบอกด้วยรอยยิ้ม แม้จะรู้ว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นแต่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้
    
         ลั่วเหยียนเจิ่งมองทุกคนอย่างพิจารณาเงียบๆ ใบหน้าคมคายฉายแววลำบากใจ ก่อนจะบอกหลิ่วเหวินอี้เสียงนุ่มทุ้มทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความเกรงใจ
    “น้องเหวินอี้ข้าทำให้พวกเจ้าลำบากใจ ครั้งนี้ข้าจะรับไว้เพียงน้ำใจ โรงเตี๊ยมที่นี่มีมากข้าจะพักอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงและแววตาที่ส่งมานั้นฉายไว้ด้วยจริงใจและลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด หลิ่วเหวินอี้มองกลับนิ่งๆ ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ ที่ทำให้คนฟังหัวใจกระตุกมุมปากยกยิ้มพอใจโดยไม่มีผู้ใดจับสังเกตได้
    
         “ท่านพี่เหยียนเจิ้งรังเกียจนิกายมารฟ้าหรือ” น้ำเสียงเย็นชาและใบหน้านิ่งเฉยทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางส่ายหน้าช้าๆ แล้วกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
    
         “ถึงนิกายมารฟ้าจะเป็นฝ่ายอธรรมแต่ข้าหาได้รังเกียจเจ้าไม่” คำพูดชวนคิดไปไกลทำให้หลวนซานอ้าปากค้างมองผู้มีพระคุณอย่างตะลึงงัน น้ำเสียงที่อ่อนโยนอีกทั้งบรรยากาศอบอุ่นทำให้เจ้าตัวขยับห่างอย่างไม่รู้ตัว
     
        แค่กๆ ๆ
    
        ทว่าคนที่หน้าดำหน้าแดงสำลักน้ำชากลับเป็นถังต้าหลี่ ดวงตาคมกริบหันมามองสหายและแขกแปลกหน้าอย่างไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ การมีคนรักเป็นบุรุษมิใช่เรื่องแปลกในแผ่นดินนี้ ตั้งแต่คบหาหลิ่วเหวินอี้มานานหลายปีก็คิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีภรรยาเป็นสตรีแน่ เพราะคงไม่มีหญิงใดต้องการสามีที่งดงามกว่าตน ทว่าเมื่อสำรวจคนทั้งคู่รูปร่างไม่ต่างกันมากนักก็มิอาจคาดเดาได้เช่นกันว่าผู้ใดจะถูกกระทำ
    
       หลิ่วเหวินอี้นิ่งงันไปชั่วครู่หรี่สายตามองผู้มีพระคุณอย่างจับผิด ใบหน้าที่อ่อนโยนทว่าดวงตากลับประกายเจิดจ้ามาเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป แต่มิอาจหลุดพ้นสายตาไปได้การกระทำและกิริยาของเหยียนเจิ้งคล้ายบุรุษที่เขาพบเจอเมื่อวาน ลางสังหรณ์ในใจตีรันกันไปหมด ทว่าร่างกายกลับแข็งทื่อ ขนกายลุกชันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อหันไปมองทางความรู้สึกก็เห็นสายตาแปลกๆ ของสหาย
    
        “ถังต้าหลี่” น้ำเสียงเย็นเยือกพร้อมดวงตาคมกริบของสหายทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง
    
        “ข้าอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง จะเรียกเสียงดังทำไม” ถังต้าหลี่ตอบกลับทำหน้ามุ่ย เหล่ตามองเหยียนเจิ้งที่มีรอยยิ้มเฉกเช่นเดิมกลับให้ความรู้สึกไม่วางใจ
    
        หลิ่วเหวินอี้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกปรายตามองคนพูดชวนให้คิดไปไกลแล้วได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ คิดเสียว่านี่เป็นเวรกรรมของเขาที่ต้องชดใช้หนี้บุญคุณให้หมด เพียงหนึ่งเดือนไม่มากและน้อยเกินไป
    
        “ข้ามีเรื่องต้องจัดการคงต้องกลับก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันไปบอกสหาย ถังต้าหลี่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจมองพี่น้องร่วมสาบานที่ดูเหมือนคิดไม่ซื่อกลับสหายได้แต่ยิ้มแหยปล่อยให้โชคชะตานำพาแล้วกัน แต่ว่าน้ำแข็งเคลื่อนที่ก้อนนี้ใช่ว่าจะมีคนมาละลายหัวใจได้ง่ายๆ
    
       “ราตรีนี้อีกยาวนานรอพระจันทร์กลับมาตะวันจะส่องแสง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวประโยคปริศนาไว้กับสหายก่อนจะพาเหยียนเจิ้งกลับตำหนักเหวินอี้นิกายมารฟ้า ใบหน้างดงามกระตุกยิ้มเย็นชา คิดจะจับจิ้งจอกไยจะไม่เอาไว้ใกล้ตัวเล่า
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งครุ่นคิดกับปริศนาที่ถูกทิ้งไว้เขาได้ยินอย่างชัดเจน เป็นไปได้ไหมว่าหลิ่วเหวินอี้รู้ความเคลื่อนไหวของผู้ว่าราชการและกลุ่มอีกา แต่ว่าพรรคอธรรมและธรรมมะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมาช้านาน เรื่องนี้ชักไม่ชอบมาพากลใครกันที่อยู่เบื้องหลัง หากไปนิกายมารฟ้าพร้อมหลิ่วเหวินอี้จะเกิดเหตุการณ์ใดกับตระกูลถังหรือไม่ อย่างน้อยตระกูลถังก็รับใช้ราชวงศ์มาตั้งแต่สมัยเสด็จพ่อจะปล่อยให้ตายง่ายๆ คงไม่ใช่นิสัยตนเอง อย่างน้อยต้องเก็บไว้ใช้ประโยชน์เพราะไม่รู้ว่าในวังหลวงจะก่อคลื่นใต้น้ำขึ้นมาหรือไม่ ยิ่งลมสงบหากเกิดพายุยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงยากจะรับมือได้




   ยู้ฮู้มีใครอ่านบ้างค่ะ รายงานตัวด้วยจ้า  :3123: :3123: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่5 สัญญาสองเรา ? (P.1วันที่ 9/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 12-02-2016 15:04:38
คุณรัชทายาทก็เนียนไปอีก
ต่ออออออ รอๆเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.1วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 14-02-2016 10:30:52
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
 บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.1วันที่ 14/2/59)

         หลิ่วเหวินอี้เดินทางกลับมายังตำหนักเหวินอี้ ซึ่งอยู่ทางปีกตะวันออกห่างไกลจากตำหนักใหญ่ของนิกายมารฟ้าและพี่น้องคนอื่นๆ มากโข ที่นี่ปลูกต้นดอกทอออกดอกบานสะพรั่งงดงามจับตา แต่ก่อนจะถึงตำหนักต้องผ่านทางเข้าประตูใหญ่เสียก่อน ทุกย่างก้าวต่างถูกจ้องมองจากลูกศิษย์ภายในนิกายมารฟ้า ที่นี่มีบรรดาลูกศิษย์พักอาศัยอยู่ทางตะวันตกรวมแล้วหลายร้อยคนซึ่งไม่นับสาขาย่อยที่แตกกิ่งกันไปตามหน้าที่ที่ถูกมอบหมาย
    
         ทว่าสายตาที่มองมามิใช่การชื่นชมมีแต่การดูถูก หยามหมิ่น แม้จะเป็นหนึ่งในบุตรของประมุขนิกายมารฟ้าแต่กลับไม่ได้รับความยำเกรงแม้แต่น้อย
    
          “นั่นนายน้อยหลิ่วเหวินอี้นี่ ไม่คิดว่าวันนี้จะกล้าหาญเอาบุรุษมาอยู่ด้วย ข้าคิดไว้แล้วเชียวว่านายน้อยผู้นี้ชมชอบบุรุษด้วยกัน”
    
       “นั่นสิหากถึงหูท่านประมุข เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่” หลิ่วเหวินอี้ฉาดสายตาเย็นเยือกไปยังผู้ที่นินทาตนเองในระยะใกล้ชิด พวกมันสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะเดินหลบหนีอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นคนไม่ได้เรื่องแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบุตรชายของประมุขหลิ่วโอวหยางซึ่งเป็นที่ยำเกรงของคนในนิกาย
    
        “ดอกท้อล้วนงดงาม งดงามเหมือนกับเจ้ายิ่งนัก” เสียงนุ่มทุ้มของลั่วเหยียนเจิ้งดังขึ้นโดยไม่ได้ใส่ใจกับบรรยากาศรอบกาย ใบหน้ายิ้มละมุนอีกทั้งอาภรณ์สีเขียวอ่อนทำให้ดูอบอุ่นชวนมอง
    
         ทว่าคำกล่าวชมกลับทำให้คนฟังนิ่วหน้า ใครกันจะชอบให้มีคนชมว่าตัวเองงดงาม ดอกท้อที่นี่เขาปลูกไว้เพราะต้องการเอาไปทำสุราดอกท้อส่งไปยังโรงเตี๊ยมในกลุ่มวิหคดำ เพราะค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเนื่องจากเขาต้องรับผิดชอบคนสองพวกจึงต้องมีการสร้างโรงเตี๊ยมทำอาหารให้ที่พักเพิ่ม ลำพังเงินเดือนที่ท่านพ่อให้คงไม่สามารถไปทำอะไรได้
    
        ภายในตำหนักเหวินอี้ดูเรียบง่าย มีข้าวของจำเป็นที่ต้องใช้เท่านั้น ไม่ได้มีของประดับเลอค่าอย่างที่ควรเป็น หลิ่วเหวินอี้พาแขกไปยังห้องรับแขกโดยมีจูเก๋อพ่อบ้านในตำหนักรินสุราดอกท้อให้ทั้งคู่ พร้อมความสงสัยภายใจเพราะนายน้อยมิเคยพาใครกลับมายังตำหนักเหวินอี้มาก่อน
    
         “ท่านพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ที่นี่อาจจะไม่สะดวกในหลายๆ อย่าง หากต้องการอะไรเพิ่มให้บอกหลวนซาน” หลิ่วเหวินอี้ซึ่งนั่งลงเก้าอี้ไม้แข็งกล่าวบอกคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามเสียงเรียบ แววตาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย หลวนซานก็เดินไปยืนนิ่งๆ อยู่ด้านหลังเจ้านายปล่อยให้จูเก๋าทำหน้าที่ของตัวเองไป
    
         “รบกวนเจ้าแล้วน้องเหวินอี้” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับด้วยรอยยิ้มบาง ลองดื่มสุราในมือพร้อมระบายยิ้มกว้างที่ทำให้คนเห็นใจสั่นแต่ไม่ใช่กับหลิ่วเหวินอี้ผู้นี้
    
        “สุราดี ไม่คิดว่าน้องเหวินอี้จะมีสุราที่หอมหวานเช่นนี้ ข้าไม่เคยลิ้มรสมาก่อนไม่ทราบว่าน้องเหวินอี้ได้มาจากที่ใด”
    
         “นายน้อยหมักเองขอรับ” จูเก๋อบอกด้วยรอยยิ้มภูมิใจ ก่อนจะหุบยิ้มอย่างลืมตัวเพราะเรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวชมนายน้อยจึงเผลอตัวไป ได้แต่ส่งสายตาสำนึกผิดไปให้ผู้เป็นนาย
    “จริงหรือน้องเหวินอี้” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างสนใจ
    
        หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับเพราะอย่างไรก็เผลอหลุดปากไปแล้ว จะมาโป้ปดคนตรงหน้าคงไม่เชื่อแน่ๆ และเขาเองก็คิดว่าเรื่องแค่นี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
    
       “ท่านพี่เหยียนเจิ้งมาทำอะไรที่หยางเซา” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามแม้จะกระดากลิ้นกับคำเรียกขานไปบ้าง แต่ก็พอยอมรับได้กับข้อแลกเปลี่ยน
    
       “ข้าแค่ออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น” น้ำเสียงและหน้าตายังชวนให้คบหาเช่นเดิม ทว่าคนฟังกลับมองนิ่งๆ ให้ความรู้สึกกดดันกับคนรอบข้าง เว้นแต่เพียงคนเดียวที่ส่งยิ้มอยู่เท่านั้นซึ่งไม่ได้สะทกสะท้านกับความกดดันทางสายตาแม้แต่น้อย
    
        “พวกเจ้าออกไปก่อน” หลิ่วเหวินอี้บอกพ่อบ้านและผู้ติดตามเสียงเรียบดวงตายังจ้องมองรอยยิ้มของผู้มีพระคุณอย่างจับผิด
    
        “เจ้าอยากอยู่กับข้าเพียงลำพังหรอกหรือ ข้าไม่ได้รังเกียจคนงามเช่นเจ้าหรอกนะ เพราะน้องชายข้าก็มีภรรยาเป็นบุรุษ หากบุรุษที่งดงามเช่นเจ้าข้าก็ยินดี” คำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้คนงามตวัดสายตามองดุดันเย็นเยือกมากกว่าเดิม
    
        “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น ไม่ต้องมองข้าด้วยความรักเช่นนั้นหรอก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มบาง ภายนอกไม่ได้รู้สึกรู้สากับสายตาที่มองมาแม้แต่น้อย ทว่าในใจกลับเต้นระรัวจ้องมองคนงามยิ่งดุยิ่งอยากเข้าใกล้ ยิ่งห้ามยิ่งอยากทำ แม้จะไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันเพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น
    
        “ถือว่าข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ สายตามองคนเสแสร้งอย่างพิจารณา พลางคิดว่าคนเช่นนี้เหตุใดถึงออกมาอยู่ในยุทธภพ
    
        ใบหน้าคมคายผิวกายขาวผ่องเหมือนคุณชายเจ้าสำราญ อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นผ้าเนื้อดีตัดเย็บอย่างประณีตมิใช่ฝีมือพื้นๆ จากชาวบ้านธรรมดา ยิ่งกิริยาดูสูงส่งขณะเดียวกันกลับวางตัวได้อย่างน่าเชื่อถือ คุณสมบัติเหล่านี้หากประสบการณ์ดูหนังมาตั้งแต่อดีตคงคิดว่าคนตรงหน้าเป็นฮ่องเต้ปลอมตัวเป็นแน่ ทว่ากลับไม่มีผู้ติดตามสักคนจึงทำให้ไม่แน่ใจนัก หรือไม่ก็เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ความปราดเปรื่องของคนตรงหน้านับว่าไม่ธรรมดาสามารถเป็นได้ทั้งบู๊และบุ๋น”
    
         “จุดประสงค์ของท่านพี่เหยียนเจิ้งคืออะไรกันแน่”
    
         “เจ้าหมายถึงสิ่งใดกัน ข้าไม่เข้าใจ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบ ใบหน้ามึนงงมองคนงามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
    
        “ช่างเถอะ” หลิ่วเหวินอี้ตัดบทเพราะอย่างไรคนตรงหน้าคงไม่ปริปากบอก เวลาหนึ่งเดือนหวังว่าไม่นำพาความยุ่งยากมาสู่เขาก็แล้วกัน
    
         “นายน้อยไม่ต้องการพบผู้ใดโปรดกลับไปเถอะขอรับ” เสียงเข้มงวดของจั่วเหรินผู้ติดตามหลิ่วเหวินอี้อีกคนดังขึ้นอยู่หน้าประตู ทว่ากลับรั้งตัวผู้ที่บุกรุกเข้ามาไม่ได้
    
       “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมผลักจั่วเหรินถอยไปสามก้าว
    
        หลิ่วเหวินอี้ยกมือห้ามปล่อยให้คนบุกรุกเดินเข้ามา สายตามองคนบุกรุกอย่างเอือมระอา ‘หลิ่วเมิ่งซุน’ หรือพี่สามที่ชอบหาเรื่องใส่ความเขามาโดยตลอดแต่ไม่เคยมีหลักฐานเสียที หลิ่วเมิ่งซุนเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาคนที่สี่ที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุดจึงได้แต่เอาแต่ใจ หยิ่งยโสเหมือนกับมารดาความร้ายกาจเขายกให้เป็นมินิบอสในบรรดาพี่น้องทั้งหมดห้าคน รูปร่างสูงโปร่งเหมือนบิดาแต่ไม่ได้ดูองอาจเหมือนพี่ใหญ่
    
       “ฮึ นี่นะหรือสามีเจ้าช่างน่ารังเกียจนัก” คำกล่าวหาของหลิ่วเมิ่งซุนทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อหันมามองแขกกลับนั่งดื่มสุราดอกท้ออย่างอารมณ์ดีมองพวกเขานิ่งๆ คล้ายกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนดั่งเหมือนละครฉากหนึ่งให้ดูเท่านั้น
    
       “ท่านตาบอดหรือ” หลิ่วเหวินอี้กล่าวเสียงเรียบมองคนหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
    
        “เจ้า! อย่าทำเป็นพูดดี ท่านพ่อเรียกเจ้าไปพบ หวังว่ามีข้อแก้ตัวให้ท่านพ่อแล้วกัน” คำกล่าวของหลิ่วเมิ่งซุนทำให้หลิ่วเหวินอี้มองคนบอกนิ่งๆ พลางคิดว่าความยุ่งยากเริ่มมาอีกแล้วสินะ เพราะบิดาไม่เคยเรียกเขาไปพบเลยตั้งแต่จำความได้แทบพบหน้ากันไม่กี่ครั้งเท่านั้น เป็นบุตรเหมือนกันแต่ไม่เคยได้รับความรักเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ
    
        หากหลิ่วเหวินอี้เป็นแค่เด็กน้อยไม่รู้ความคงร้องไห้ซ้ำใจตายไปแล้ว มารดาก็หนีไปโดยไม่บอกผู้ใดได้แต่ถูกใส่ความว่าหนีไปกับชู้รักเท่านั้น แต่เขารู้ดีว่านางจำเป็นต้องไป เขาเองก็เข้าใจใครจะอยู่กับผู้ชายที่ไม่ได้รักตนเอง หากรักก็คงทำใจยากเพราะบิดามิได้มีมารดาแค่คนเดียว เพียงแต่นางไม่รู้เท่านั้นว่าทารกที่เกิดได้สามวันนั้นฟังที่นางพูดได้อย่างไม่มีตกบกพร่อง
    “คราวนี้ข้าสงสัยนักเจ้าจะหลุดพ้นไปได้หรือไม่” หลิ่วเมิ่งซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ดวงตาเรียวเล็กมองทั้งคู่อย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ทว่าใบหน้าหลับยกยิ้มสมใจที่คิดจะชุดกระชากคนตรงหน้าให้จมดินได้ แม้อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรให้ทว่าเห็นมันอยู่เหมือนเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทงหัวใจ
    
       “แค่นี้ใช่หรือไม่ หลวนซานส่งแขก”
    
        “เจ้า!” หลิ่วเมิ่งซุนโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่มิอาจทำสิ่งใดได้ แม้บิดาทำเหมือนไม่ได้สนใจหลิ่วเหวินอี้ ทว่าทุกคนกลับรู้ดีว่าหากไม่รักและเอ็นดูจะให้อีกฝ่ายสำราญใจ สร้างเรื่องเสื่อมเสียให้กับนิกายมารฟ้าอย่างที่เป็นอยู่หรือ มันคิดว่าการคงอยู่ของคนไร้ค่าทำให้นิกายมารฟ้าแปดเปื้อน
    
        หลิ่วเมิ่งซุนสะบัดชายผ้าจากไปด้วยความโมโห ได้แต่เฝ้ารอบิดาลงโทษคนน่าตายคนนี้ให้พ้นไปจากนิกายมารฟ้า
    
        เมื่อพ้นหลังพี่สาม หลิ่วเหวินอี้จึงหันมามองคนชมละครฉากหนึ่งในนิกายมารฟ้านิ่งๆ พลางพิจารณาอีกฝ่ายเงียบๆ พร้อมคำพูดที่ทำให้คนฟังยกยิ้มบางไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างไร
    
        “เพียงแค่ข้าพาท่านกลับมาก็มีเรื่องฉาวแล้ว ท่านในเวลานี้เหมือนฝ่ายธรรมะที่ต้องการสอดแนมภายในนิกายมารฟ้าเท่านั้น ท่านคงรู้ว่าตัวร้ายฝ่ายอธรรมคงต้องทำเช่นไร” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างมั่นใจว่าคนตรงหน้าคงแสดงละครเก่งและตบตาทุกคนได้ เพียงแต่ว่าจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง
    
       “แลกกับสิ่งใดน้องเหวินอี้” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของอีกฝ่ายเวลานี้กลับระคายหูยิ่งนัก ยิ่งรอยยิ้มที่ฉาบไปด้วยความเจ้าเล่ห์ทำให้อดที่จะยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ช่างแปรเปลี่ยนได้รวดเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสีเสียอีก ทว่ารอยยิ้มเพียงนิดเดียวกลับทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งตกตะลึง
    
       งดงาม! นั่นคือนิยามเดียวที่ฝังลึกลงไปในใจของตน อย่างไม่รู้ตัว...
    
        “มิตรภาพดีหรือไม่”
    
         “หากข้าอยากได้มากกว่านั้นเล่า” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ดวงตาเรียวคมมองคนที่ยกยิ้มเย็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังพิกล หรือตนคิดมากไป?
    
        “ข้าเชื่อว่าท่านพี่เหยียนเจิ้งคงอยากมีแท่งหยกไว้ใช้งานอีกนาน ใช่หรือไม่ขอรับ” คำกล่าวที่เรียบง่าย ทว่ารอยยิ้มทำให้คนฟังหนาวสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้ติดตามที่ยืนอยู่ไม่ห่างถึงกลับเหงื่อไหลเปียกชื้นเต็มแผ่นหลัง
 
          “หึ เจ้านี่โหดจริงเชียว ข้าล้อเจ้าเล่นไฉนเลยจะกล้าเอาแท่งหยกมาให้เจ้าหั่นเล่นเล่า” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มบาง เหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้จะไม่ค่อยได้ใช้งานแท่งหยกแต่ต่อให้ตายเขาก็จะต้องปกป้องมันไว้จนสุดความสามารถ ที่สำคัญเขาแค่สนใจคนตรงหน้าหาได้มีความรักใคร่ไม่
    
         “ข้ายินดียิ่งที่ท่านพี่เหยียนเจิ้งคิดได้เช่นนั้น”  คนกล่าวบอกยังมีสีหน้านิ่งเฉยรอยยิ้มมุมปากเลือนหายไปดั่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ
   
       “ข้าคงต้องไปพบท่านพ่อ ท่านเองก็รออยู่ที่นี่แล้วกัน จูเก๋อพาไปที่ห้องรับแขกริมศาลาส่องฟ้า” หลิ่วเหวินอี้กล่าวบอกแขกเสียงเรียบก่อนจะหันไปสั่งงานกับพ่อบ้านประจำตำหนักเหวินอี้ ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนก้าวเดินจากไปอย่างไม่สนใจผู้ใดอีก
    
        “จับตาดูเขาไว้” เมื่อเดินออกมายังหน้าตำหนักหลิ่วเหวินอี้เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จั่วเหรินก้มหน้ารับคำก่อนจะถอยห่างออกไป จั่วเหรินเป็นดั่งสายลับภายในนิกายมารฟ้า ภายนอกเหมือนผู้รับใช้ธรรมดาที่ชื่นชอบการพูดมากเป็นพิเศษ แต่ทุกการนินทาและข่าวสารภายในนิกายมารฟ้าล้วนไม่พ้นหูของจั๋วเหรินไปได้
    
         หลิ่วเหวินอี้พาตัวเองมายังตำหนักใหญ่ที่ไม่ได้เข้ามาเหยียบย่ำนับปี ภายในห้องโถงใหญ่ผู้ที่นั่งอยู่กลางห้องบนโต๊ะคือชายวัยกลางคนอายุห้าสิบปีทว่าใบหน้ายังอ่อนเยาว์คล้ายคนอายุสามสิบปีเท่านั้น ใบหน้านั้นฉายแววดุดันให้ความรู้สึกกดดัน ทว่ามันกลับไม่ได้ผลสำหรับเขา
    
         “เหวินอี้คารวะท่านพ่อขอรับ” หลิ่วเหวินอี้คุกเข่าคารวะตามทำเนียม ใบหน้าก้มต่ำรอการอนุญาต ความเงียบสงบภายในห้องทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัด แต่กลับไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดออกมาก่อนคล้ายกับจะลองเชิงกันและกัน นานเกือบก้านธูปที่ประมุขหลิ่วโอวหยางจะเหยียดกายตรงหลังจากนั่งเอนหมอนพิงใบใหญ่ ข้างกายมีภรรยาคนที่สี่บีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ คาดว่าคงใส่ความกันไม่น้อย
    
          “รู้หรือไม่ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อการใด” น้ำเสียงเย็นนิ่ง ไม่ได้แฝงอารมณ์ใดๆ ออกมา ทว่าสายตากลับจ้องมองบุตรคนที่สี่ของตนจนยากจะคาดเดาได้
    
        “ข้าด้อยปัญญาไม่อาจรู้ได้ขอรับ” คำกล่าวเหมือนโทษว่าตัวเองโง่งม ทว่ากิริยาที่นั่งคุกเข่าก้มหน้านิ่งไม่ได้สั่นไหวกับสายตาที่ถูกมองมาแม้แต่น้อย
    
        “หลิ่วเหวินอี้เจ้ารู้หรือไม่เจ้าเป็นคนตระกูลหลิ่ว คนตระกูลหลิ่วหาได้เคยมีเรื่องเสื่อมเสียอย่างที่เจ้ากระทำ แม้จะเสเพลทำตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญแต่มิเคยทำเรื่องต่ำช้าอย่างที่เจ้ากระทำมาก่อน” น้ำเสียงเย็นนิ่งไม่ได้บอกว่าผู้พูดรู้สึกเช่นใด ทำให้บรรยากาศรอบข้างรู้สึกกดดันมากขึ้น
   
       “ท่านพี่โปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ลูกเหวินอี้แม้จะเป็นคนตระกูลหลิ่วแต่ก็งดงามจนเกินหน้าอิสตรี หากจะมีสามีเป็นบุรุษนับไม่แปลกอันใดเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหวานหยดแฝงไว้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่วาจากับทิ่มแทงเสียดสีคล้ายดังฉุดกระชากให้จมลงไปในโคลนตมมากกว่าเดิม ทว่ากลับไม่ได้ทำให้หลิ่วเหวินอี้สนใจคล้ายกับเรื่องที่นางพูดเป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่านเท่านั้น
    
        “เจ้าออกไปก่อน”
    
         “ท่านพี่...” นางปิดปากเงียบเมื่อเจอสายตากดดัน แม้จะได้รับการโปรดปราน ทว่าในใจรู้ดีกว่าใคร นางลุกขึ้นเดินจากไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจากไปใบหน้าสวยสง่ากลับยกยิ้มเย้ยหยันคนที่นั่งคุกเข่า สองเท้าเดินจากไปเพราะเชื่อมั่นว่าหลิ่วเหวินอี้จะไม่มีทางรอดแน่
    
         “เจ้ามีเรื่องจะบอกข้าหรือไม่” คำถามเหมือนดังไม่ได้สนใจ ทว่าหลิ่วเหวินอี้รู้ดีกว่าใครว่านั่นคือเปิดโอกาสให้เขาแก้ตัว ข่าวฉาวภายในวันนี้ไม่คิดว่าจะดังไปทั่ว ใบหน้างดงามดั่งมารดาเงยหน้าสบตาบิดาอย่างกล้าหาญมิได้หวาดกลัวว่าจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลแม้แต่น้อย
    
        “พรรคศิลาแดงกำเริบเสิบสานคิดสังหารข้าป้ายความผิดให้พรรคค้ำฟ้าหมายหยิบยืมอำนาจนิกายมารฟ้ากำจัดศัตรูแทนตน หากไม่มีบุรุษผู้นั้นคอยช่วยเหลือ วันนี้ข้าอาจไม่ได้มาพบท่านพ่อได้”
    
       น้ำเสียงนิ่งเรียบแววตาเฉยเมยต่อทุกสิ่งนั้นคล้ายถอดแบบมาจากตนไม่มีผิด มองดูคล้ายไม่มีคมเขี้ยวแต่ไฉนจะไม่รู้ว่าบุตรชายตนแต่ละคนเป็นคนอย่างไร ทว่าวันนี้กลับแปลกที่บุตรชายคนนี้ยอมเผยเรื่องราวออกมาคาดว่าคงคิดหยิบยืมนิกายมารฟ้ากำจัดพรรคศิลาแดงสินะ มุมปากยกยิ้มบางเบาหากไม่สังเกตคงไม่ทันได้เห็น
    
        “รู้หรือไม่ข้าเห็นเจ้าดั่งเหมือนเห็นตัวเองในอดีต” น้ำเสียงนิ่งเรียบของคนพูดทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างระวัง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าในหลายๆ เรื่องคงไม่พ้นหูพ้นตาบิดา เพียงแต่ไม่พูด ในเมื่อไม่พูดไม่กล่าวตักเตือนเขาก็ไม่จำเป็นต้องหยุดในการกระทำของตน
    
        “เรื่องพรรคศิลาแดงข้าจะจัดการเอง แต่เรื่องเสื่อมเสียภายในวันนี้ข้าจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเจ้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าน้อยๆ ลางสังหรณ์ตีรันกันอยู่ภายในใจ
    
        “เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย หาใช่ความจริงไม่ ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ว่าบุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ ไฉนเลยเหวินอี้จะกล้าไม่ตอบแทนผู้มีพระคุณ เพียงแค่ที่พักและอาหารคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าหรอกขอรับหรือท่านพ่อไม่เห็นด้วย” หลิ่วเหวินอี้ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น หวังให้ผู้ฟังรู้ว่าที่ทำมาทั้งหมดเพราะคำสั่งสอนบิดาหาใช่การกระทำอันบุ่มบ่ามของตนไม่
    
      “ฮึ” หลิ่วโอวหยางหัวเราะในลำคอ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็คงจะจริง ตอนนี้มันถูกบุตรชายที่ทุกคนบอกว่าไร้ค่าเบาปัญญาย้อนความเข้าให้เสียแล้ว
    
        “เรื่องนี้คือปัญหาของเจ้า แต่เรื่องเสื่อมเสียของตระกูลหลิ่วยังคงอยู่ ในฐานะที่ข้าเป็นประมุขนิกายมารฟ้าย่อมไม่อยากให้เรื่องเล็กน้อยมาแปดเปื้อน พรุ่งนี้เหมยฮวาบุตรีของพรรคตะวันดับจะมาอยู่ที่นี่ในตำหนักเจ้าหวังว่าเจ้าจะดูแลนางอย่างดีเพราะอีกไม่นานนางจะเป็นคู่หมั่นเจ้า” น้ำเสียงจริงจังของผู้ที่นั่งเหยียดหลังตรงมือแกว่งจอกชาในมือไปมา ทว่าสายตายังจับจ้องบุตรชายคนที่สี่อย่างสมใจที่เห็นใบหน้างดงามนิ่วหน้าขมวดมุ่น
    “ท่านพ่อน่าจะรู้ว่าเหมยฮวาเป็นที่ชื่นชอบของพี่สาม ท่านต้องการทำสิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่าในใจไม่ได้สงบดั่งภายนอกแม้แต่น้อย หวังว่าหลิ่วโอวหยางไม่ต้องการให้พี่น้องฆ่ากันเองหรอกนะ
    
       “เหมยฮวาไม่เหมาะกับพี่สามของเจ้า ไปได้แล้ว”
    
          “หากข้าปฏิเสธนางเล่า” เอ่ยถามคล้ายท้าทาย ทว่าในใจกลับเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง เขาเพิ่งอายุสิบแปดแม้ในยุคสมัยนี้จะมีภรรยาสามอนุสี่ไปแล้วก็ตาม แต่ไม่ใช่กับคนที่ยังมีความคิดที่ล้ำสมัยกว่ายุคโบราณนี้
    
        “เลิกทำตัวโง่งมแล้วข้าจะเก็บไว้พิจารณา” คำตอบเรียบง่ายทว่าเหมือนศรปักอกเต็มเป้า สมกับเป็นประมุขนิกายมารฟ้า ซึ่งเป็นฝ่ายอธรรมที่ไม่สนใจผู้ใดแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนเพียงขอให้ได้ตามที่ตนต้องการ ทำแม้กระทั่งเหยียบย่ำผู้บริสุทธิ์ หลิ่วเหวินอี้สูดลมหายใจเข้าไปในอกเก็บอารมณ์ขุ่นมัวไม่พอใจไว้ในใจดวงตากลับมานิ่งเฉยเฉกเช่นเดิม
    
       “ข้ามิเข้าใจในสิ่งที่ท่านพ่อกล่าว แต่หากท่านพ่อเห็นสมควรข้าก็มิอาจปฏิเสธได้” หลิ่วเหวินอี้กล่าวเสียงเรียบ ดวงตาเรียวคมมองสบบิดาแล้วยกยิ้มบางที่ทำให้คนมองนิ่วหน้า
    
        “แต่มือเท้าข้าเกิดลั่นขึ้นมาทำให้แม่นางน้อยเหมยฮวาสิ้นชีวาขึ้นมาโปรดอย่าได้กล่าวโทษข้านะขอรับท่านพ่อ” ใบหน้าของผู้เป็นบิดาระบายยิ้มเย็นแล้วกล่าวเสียงเย็น
    
       “เจ้ากล้า...”
    
          “มิกล้าขอรับ ท่านพ่ออย่าได้โกรธเคือง อุบัติเหตุเป็นเรื่องไม่คาดฝัน ข้าน้อยก็โง่เขลาเบาปัญญา วรยุทธก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจะไปปกป้องแม่นางเหมยฮวาได้อย่างไร จริงหรือไม่ขอรับท่านพ่อ” หลิ่วโอวหยางหรี่สายตามองบุตรชายคนที่สี่ของตน มุมปากกระตุกยกยิ้ม หากมิใช่เหวินอี้มันคงสั่งสอนให้รู้จักประมุขนิกายมารฟ้าไปแล้ว
    
       “ข้าจะรอดูการแสดงของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นก็เตรียมรับมือ วันนี้ถือว่าข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
    
        “ขอบคุณท่านพ่อที่เข้าใจ”
    
         หลิ่วเหวินอี้คารวะอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นถอยจากไป เมื่อพ้นตำหนักใหญ่ ใบหน้างดงามกลับเย็นเยือกดวงตาประกายความชิงชังที่มีต่อบิดา แม้จะไม่ได้ค่อยพูดคุยกันทว่ากลับเหมือนงูเห็นนมไก่ ไก่เห็นตีนงู เขาจะคอยดูเกมนี้ผู้ใดจะลงไปเกลือกกลิ้งที่โคลนตม!




           สวัสดีวันแห่งความรักจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ :mew1: :mew1: :mew1: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 14-02-2016 11:36:01
สนุกมากค่ะ รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ouioui ที่ 14-02-2016 13:28:52
ไม่เคยอ่านแนวนี้มาก่อนน่าสนใจมากค่ะ มีลับลมคมในดี555 ขอไปค้นอ่านตอนแรกก่อนนะคะ o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 14-02-2016 14:18:22
 o18 o18 o18 :serius2:   “ข้าเชื่อว่าท่านพี่เหยียนเจิ้งคงอยากมีแท่งหยกไว้ใช้งานอีกนาน ใช่หรือไม่ขอรับ”   :serius2: o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 14-02-2016 14:21:34
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-02-2016 15:06:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 14-02-2016 18:01:26
อื้อออออออออ ชอบนายเอกมากกกกกก :katai5:
ทุกคนดูฉลาด อ้ากกกกก ชอบบบบบ ขอเยอะๆๆๆๆ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่6 เรื่องวุ่นวาย1 (P.2วันที่ 14/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natty58 ที่ 15-02-2016 08:40:34
 :impress2: ชอบชอบ อ่านตามมาตั้งแต่หยวนน้อย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ บทที่7 เรื่องวุ่นวาย2 (P.2วันที่ 18/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 18-02-2016 11:35:13
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์
 บทที่7 เรื่องวุ่นวาย2 (P.2วันที่ 18/2/59)


         ลั่วเหยียนเจิ้งมองสำรวจห้องพักชั่วคราวของตัวเองอย่างสนใจ แม้ภายในห้องจะดูเรียบง่ายทว่าภาพวาดที่ประดับล้วนงดงามแปลกตา ลายเส้นนั้นงดงามจนมิคิดว่าจะมีผู้ใดสร้างสรรค์ได้ถึงเพียงนี้อีกทั้งมีสีสันแต้มสดใสชวนให้น่ามอง การลงเส้นและลักษณะกลับบ่งบอกนิสัยคนวาดได้เป็นอย่างดี หนักแน่นจริงจังและซ่อนความอ่อนไหวไว้ภายในเส้นที่แข็งแกร่งจนแทบแยกไม่ออก
    
        หากตนไม่ได้อยู่ในวังหลวงคงมิอาจดูออกได้เพราะนอกจากแกล้งป่วยอ่อนแอไปวันๆ ยังต้องเรียนรู้ในสิ่งที่อิสตรีทำกัน เรื่องการวาดรูปเล่นพิณ เป่าขลุ่ยนับว่าเป็นเรื่องง่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขามิอาจทำได้อย่างที่ต้องการคือการทำอาหารสูตรแปลกตาของจิวชงหยวน ตั้งแต่ไปสร้างสำนักเซียนโอสถก็ไม่ค่อยพบหน้าบ่อยนัก
    
        เมื่อเปิดหน้าต่างก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์งดงาม ศาลาส่องฟ้าล้วนมีไม้ประดับงดงามอีกทั้งมีดอกบัวอยู่กลางน้ำ หากเวลากลางคืนคงได้ชมดวงดาราได้อย่างเต็มที่ มีม้านั่งแบบนอนได้รูปร่างแปลกตาวางอยู่ ทุกอย่างที่เห็นภายในวันนี้ล้วนแปลกใหม่ มิเคยพบเจอมาก่อน เมื่อคิดถึงเจ้าของตำหนักใบหน้าที่เรียบเฉยกลับยกยิ้มอบอุ่นชวนมอง หลิ่วเหวินอี้ดูภายนอกเย็นชาไร้ใจ ทว่ากลับซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างมิดชิด บางครั้งแววตากลับเหมือนผู้ที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี แต่แววตาเช่นนั้นทำไมปรากฏกับคนที่เกิดได้ไม่เกินสิบแปดปีไปได้
    
        “หลิ่วเหวินอี้เจ้าเป็นคนเช่นไรนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำกับตัวเองเบาๆ เหลือบตามองเงาร่างหลายเงาที่แอบมองตามเขาเงียบๆ หากวรยุทธไม่สูงล้ำเช่นตนคงมิอาจรู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง นิกายมารฟ้าเป็นฝ่ายมารที่ไม่ควรเกี่ยวข้องแต่ไม่รู้เหตุใดคนเพียงผู้เดียวถึงทำให้เขาสนใจมากมายถึงเพียงนี้
   
         เสียงฝีเท้าที่ก้าวย่ำหนักแน่นเชื่องช้า ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหันกลับไปมอง ใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นใบหน้านิ่งเรียบ ดวงตาเย็นชาจับจ้องมายังตน ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามองสบตาเขานิ่งๆ
    
        “ท่านพี่เหยียนเจิ้งมีภรรยาแล้วหรือไม่” คำถามของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งตะลึงงันไปชั่วครู่ แววตาคาดคั้นที่ส่งมาทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เวลานี้เขาควรจะบอกอย่างไรดี หรือบอกความจริงว่า ข้ามีภรรยามากกว่ายี่สิบอย่างนั้นเหรอ แต่ไม่รู้ทำไมเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้กัน
    
          “หืม น้องเหวินอี้สนใจเรื่องของข้า หรือว่าเจ้าหลงรักพี่เหยียนเจิ้งคนนี้เข้าเสียแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเริงร่าประกายตาใครรู่ ทว่าคนตรงหน้ากลับส่งสายตาเอือมระอามาให้
    
         “ช่างเถอะข้าคงก้าวก่ายมากไป ที่นี่สะดวกหรือไม่” น้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมแววตากลับมานิ่งเฉยเฉกเช่นเดิมทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบาง
    
         “ที่นี่สะดวกสบายดี ส่วนเรื่องภรรยาข้าหากเมื่อไหร่ที่เจ้าตกหลุมรักพี่เหยียนเจิ้งผู้นี้แล้วจะบอก ดีหรือไม่” ใบหน้ายังคงยิ้มละไมอบอุ่นเช่นเดิม ดวงตาเรียบเฉยจนมิอาจคาดเดาได้ง่ายๆ การตบตาผู้คนผ่านประสบการณ์มากว่ายี่สิบกว่าปีไยแค่นี้จะทำไม่ได้เล่า
    
         “หึ ท่านชอบบุรุษหรืออย่างไร ถึงเกี้ยวพาราสีข้าไม่เว้นแม้สักเวลาที่เห็นหน้า” น้ำเสียงที่ออกจะเบื่อหน่ายกับดวงตาเรียวคมที่มองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มขำ การได้หยอกล้อคนตรงหน้าก็ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย
    
        “แต่เจ้าก็มิได้หวั่นไหวมิใช่หรืออย่างไร”
    
        “ข้ามิใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา จะไม่รู้ว่าคนเช่นท่านพี่เหยียนเจิ้งเป็นเช่นไร ในสักวันจิ้งจอกเช่นท่านคงเผยหางมาให้ข้าดูทีละหางกระมัง”
    
        “จะมีสักกี่หางจะสนใจไปไย ขอแค่มิคิดร้ายก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับสายตาที่จ้องมองอย่างจับผิด มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ร่างสูงเดินไปเก้าอี้แบบนอนเอนกายนอนอย่างระวัง ความรู้สึกสบายๆ ทำให้ก้มมองโต๊ะไม้แปลกตาอีกครั้ง สายตาเรียวคมมองเขาอย่างนิ่งๆ จึงหันไปส่งยิ้มให้อีกครั้ง
    
        “ที่นี่งดงาม หากไม่นับความวุ่นวายภายนอกตำหนักคงคิดว่าเป็นแดนสวรรค์” ลั่วเหยียนเจิ้งยกแขนสองข้างรองศีรษะนอนมองท้องฟ้าที่เริ่มพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดินดูงดงามตา กิริยาทวงท่าดูแสนสบายยิ่งกว่าเจ้าของบ้านทำให้คนยืนมองหางคิ้วกระตุก เพราะอาจไม่เคยเจอใครหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อน ภายนอกคล้ายสุภาพบุรุษที่แสนอบอุ่น ทว่าในความอบอุ่นนั้นกลับซ่อนความร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวเพลิงไว้อย่างมิดชิด
    
         หลิ่วเหวินอี้เดินมายืนใกล้ก่อนจะนั่งบนม้านั่งใกล้ๆ อย่างเงียบงัน ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ที่พบเจอกันครั้งแรก
    
        “เจ้ายังอยู่ดีหรือไม่”
    
         “ข้ามิได้บุบสลายท่านก็เห็น” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ดวงตามองท้องฟ้าที่เริ่มค่ำมืดอย่างหนักหน่วงใจเพราะยังมีงานอีกมากมายต้องทำ แต่เวลานี้เขาไม่อาจเดินเรื่องได้เองโดยง่าย และมิอาจไว้ใจผู้ใดได้อีก แม้กระทั่งบิดาของตนเอง
    
         “เรื่องวันนี้ข้าขอโทษ แต่หากให้ข้าไปตอนนี้เห็นทีคงไม่ได้” ลั่วเหยียนเจิ้งพูดเป็นการเป็นงานครั้งแรก ดวงตาคมเหม่อมองท้องฟ้าไม่ได้เหลือบมองคนข้างกายแม้แต่น้อย เวลานี้เขามาที่นี่เพราะเหตุใดย่อมรู้ตัวดี และความรู้สึกของเขาบอกว่าคนข้างกายจะช่วยเขาได้ ดวงตาเรียวคมที่ฉาบไว้ด้วยความเย็นชามองเขาเล็กน้อยแต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาคล้ายเปิดโอกาสให้เขาได้พูดให้จบ แต่ว่าเขาจะไว้ใจหลิ่วเหวินอี้ผู้นี้ได้จริงๆ หรือ
    
         ทว่าว่านานกว่าหนึ่งก้านธูปก็ยังมิมีใครเปิดปากพูดอันใดออกมา แต่น่าแปลกที่บรรยากาศไม่ได้กระอักกระอ่วนใจอย่างที่ควรจะเป็น อีกคนไม่ได้กล่าวต่อ อีกคนไม่ได้ชักถาม ช่างเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับคนพบเห็น
    
         “นายน้อยอาหารเย็นพร้อมแล้วขอรับ” หลวนซานเข้ามาขัดบรรยากาศมุ้งมิ่งในความคิดของตนเอง มองสองบุรุษที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาแล้วให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแทน ยิ่งเวลานี้ข่าวลือว่านายน้อยนำสามีเข้าบ้านดังออกไปนอกนิกายมารฟ้าเสียแล้ว ปากคนนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ
   
          หลังจากผ่านเวลาอาหารมื้อค่ำที่แสนเรียบง่าย กลางดึกของคืนนั้นหลิ่วเหวินอี้จึงลุกขึ้นจากเตียงนอนที่นุ่มกว่าที่เห็นภายนอกพลางเอาหมอนผ้าห่มมาวางไว้คล้ายคนกำลังนอนหลับ ดวงตาคมมองผ่านความมืดที่ยังมีคนเฝ้าจับตามองจากภายนอกแต่นับไม่เป็นปัญหาอันใดกับตนในเวลานี้
    
         ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มพลิ้วไหวหายไปจากห้องพักริมศาลาส่องฟ้าด้วยความรวดเร็วดุจสายลมที่พัดผ่าน เงาร่างสีดำพุ่งตรงมายังคฤหาสน์ตระกูลถังที่เงียบสงัดและมีเวรยามอย่างแข็งขัน สายตาคมมองสำรวจภายนอกไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาก็รู้สึกโล่งอก อีกาคงยังไม่คิดลงมือในเวลานี้ แต่ว่าเพราะเหตุใดนั้นเขากลับไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงได้ ใบหน้าเดิมที่หล่อเหล่าถูกแทนที่ด้วยหน้าดำครึ่งซีกและเม็ดใฝ่สีดำอันโตติดไว้เหมือนยามเมื่อคืนก่อน
    
         เมื่อเห็นทุกอย่างสงบมีเพียงแสงไฟที่ฉาดส่องมาจากเรือนทางขวามือจึงพุ่งไปดูอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่เคยมาที่เรือนนี้แต่ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่ชอบย่องเข้าบ้านเรือนผู้อื่นในการหาข่าว ภายในห้องมีถังต้าหรี่นั่งอ่านหนังสือตำราในมืออย่างเคร่งเครียด บ้างก็อ้าปากหาว บ้างก็สะบัดสายหัวไปมาชวนให้ขบขัน หากคาดเดาไม่ผิดคงคิดจะสอบเข้าจอหงวนในเมืองหลวงอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แต่ก่อนถึงเวลานั้นถังต้าหลี่คนนี้จะรักษาชีวิตให้รอดได้หรือไม่เท่านั้นเอง
    
         ทุกอย่างภายในคฤหาสน์ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ลั่วเหยียนเจิ้งจึงพลิ้วไหวหมายจะไปที่จวนของผู้ว่าเพื่อดูความเคลื่อนไหว ทว่าหางตากลับเห็นเงาร่างสีดำที่คุ้นตาพลิ้วไหวมาทางตน ร่างสูงจึงพุ่งออกไปขวางทางไว้อย่างไม่เสียเวลาคิด เงาร่างนั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ไอเย็นสังหารที่แผ่ออกจากร่างทำให้เขานิ่วหน้าน้อยๆ เพราะรู้สึกคุ้นเคย ผ้าโพกหน้าปิดไว้เหลือเพียงดวงตา จึงเผลอเรียกอีกฝ่ายออกมาอย่างลืมตัว
    
       “อีกา”
    
         ดวงตาเรียวคมที่คุ้นตาหรี่สายตามองเขาอย่างหวาดระแวง มือพ้นชายเสื้อปรากฏมีดสั้นที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นของดี มิน่าครั้งที่แล้วถึงต้านรับกระบี่หยกขาวของเขาได้
    
         “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์” น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบเดาไม่ออกว่าตกใจหรือไม่ ทว่ากลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง
    
         “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
    
         “ข้าควรถามเจ้ามากกว่าอีกา ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องมาสังหารตระกูลถังในคืนนี้ แต่มิคิดว่าจะมาคนเดียวหรือเจ้ามั่นใจฝีมือว่าจัดการคนเดียวได้เรียบร้อยเช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน” คำกล่าวของเขาทำให้อีกฝ่ายนิ่งงัน ดวงตาที่ฉาดมานั้นเย็นเยือก
   
        “เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลถัง” น้ำเสียงนั้นเย็นเยือก ดวงตาเรียวมองมาอย่างจับผิด ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยิ้มรับไม่ได้ตอบอันใดออกมาจะบอกว่าตระกูลถังยังเป็นข้าราชการให้ข้าก็กระไรอยู่
    
         “อยากรู้ก็เข้ามาถามสิ แต่อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้เหมือนเมื่อคืน” ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำขมวดคิ้วมุ่น แม้จะใช้ความคิดอย่างหนักก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสหายตนจะมีญาติพี่น้องนิสัยเสียเช่นนี้ แต่หากต้องการปกป้องตระกูลถังเขาก็จะยอมถอย ทว่าเหมือนคนตรงหน้าคงไม่อยากให้เขาหนีพ้น พุ่งเข้าหาอย่างไม่ได้ต้องบอกล่วงหน้า อย่างไรก็จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คำพูดจะเชื่อถือได้อย่างไร
    
         เงาร่างสีดำของอีกาพลิ้วไหวหายวับไปต่อหน้าต่อตาแต่ก็ยังจับความรู้สึกได้ความเร็วของอีกฝ่ายยังไปไม่ไกล ลั่วเหยียนเจิ้งตามไปติดๆ ด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยกว่ากันนัก กระบี่สนิมเขรอะตวัดตัดหน้าเพื่อกันหนี อีกฝ่ายฝีมือมิอาจดูถูกได้หลบได้อย่างคล่องแคล่ว ดวงตาเรียวตวัดมองเขาอย่างเย็นชา มีดสั้นตวัดเข้ามาหาอย่างหนักหน่วงจนต้องยอมถอยให้สามก้าวเพื่อต้านรับ
    
         “ข้าไม่ได้หมายชีวิตเจ้า ข้าแค่อยากยื่นข้อเสนอกับเจ้าหากเจ้าอยากฟังหยุดมือก่อน” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวพร้อมถอยห่างออกมาเพื่อพิสุทธิ์ว่าตนพูดความจริง ร่างสูงโปร่งหยุดนิ่งมองมายังเขาอย่างพิจารณา
    
       “ข้าจะจ่ายให้เจ้าสองเท่าหากยกเลิกคำสั่งของเฝิ่งเฉิน และข้าจะจ่ายให้เจ้าอีกสองเท่าหากรับงานจากข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตรงไปตรงมาผิดวิสัยที่แท้จริงซึ่งหลอกล่อจนเหยื่อตายใจถึงค่อยๆ เล่นด้วย
    
        “เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้า”
    
        “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้ต้องการสังหารตระกูลถัง ไม่เช่นนั้นคงไม่มาคนเดียว เจ้าไม่รองไตร่ตรองดูก่อนหรือ ข้าว่าเจ้ามิได้ขาดทุนสักแดงเดียวด้วยซ้ำไป” หลิ่วเหวินอี้หว่านล้อมมองร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งห่างจากตนไปเมตรเดียวอย่างระวังและตรวจสอบอีกฝ่ายไปด้วย
    
       “อีกาทำงานตามใจตน ไม่ได้หมายเป็นทาสผู้ใด เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว”
    
        ตูม!
    
        พอสิ้นคำพูดของอีกาบริเวณโดยรอบก็ถูกปกคลุมด้วยควันที่แสบตาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือโบกควันพร้อมถอยหลังออกมา ใบหน้าแสนอัปลักษณ์นิ่วหน้ามองเหยื่อที่หายไปกับความมืดแล้วถอนหายใจ หยิ่งยโส อุดมการณ์สูงส่ง รุกควรรุกถอยเมื่อควรถอย ช่างน่ากลัวจริงๆ เห็นทีเขาจะปล่อยกับอีกาผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้เสียแล้ว ว่าแต่ป่านนี้องค์รักษ์เงาไยไม่โผล่หัวมาให้เห็นไม่ใช่ตายกันหมดหรอกนะ เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะตามหาฮ่องเต้หนีเที่ยวอย่างเขาไม่เจอ!
    
    ร่างสูงโปร่งมาปรากฏตัวภายในจวนผู้ว่าอย่างเงียบงัน การปกครองที่นี่นับว่าแย่มาก ข้าวของแพงไม่พอยังคิดยักยอกทรัพย์สินของทางการอย่างอาจหาญ ดวงตาเรียวคมภายใต้ผ้าคลุมสีดำจ้องมองทางลับที่อีกาสองเพิ่งค้นเจออย่างครุ่นคิด แม้อีกาสองจะพบเจอช่องทางลับแต่กลับหาของที่ต้องการไม่เจอนับว่าแปลกเกินไป หากไม่มาด้วยตนเองเห็นทีคงล่าช้าไม่ทันการ
    
        พรึบ!
    
        เงาร่างสีดำหลบเขาซอกมุมภายในห้องเก็บของที่ไม่มีใครสนใจด้วยความเร็วเมื่อรับรู้ว่ามีคนอื่นเข้ามาที่แห่งนี้เช่นกัน ใบหน้าขมวดมุ่นเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตา ‘เจ้าจิ้งจอก’ เหตุใดมาอยู่ที่นี่อีก หรือว่าตามตนมาเมื่อครู่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาปล่อยระเบิดควันแก็ซน้ำตาลที่ทำให้แสบตาหนีพ้นมาได้
    
        จิ้งจอกตัวนั้นมองเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวัง ก่อนหลบหายเข้ามาในห้องที่ตนอยู่ จึงใช้ความเร็วหลบปีนขึ้นคานไม่บนหลังคา ในใจหงุดหงิดเพราะคนผู้นี้ขัดขวางงานเขาสามครั้งแล้ว หลิ่วเหวินอี้เกร็งร่างปรับลมหายใจให้นิ่งทำตัวกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบกาย ทว่าดวงตายังจ้องไปเงาร่างนั้นอย่างระวัง เพียงครู่ก็มีบุรุษชุดดำพุ่งเข้ามาหาพร้อมคุกเข่าต่อหน้าจิ้งจอกผู้นั้น
    
        “ฝ่าบาทหลักฐานช่อโกงของตระกูลเฝิ่งยามนี้อยู่กับองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้องค์ชายห้าต้องการให้ฝ่าบาทเสด็จกลับวังหลวงเพื่อความปลอดภัยของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” คำกล่าวนิ่งเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความยำเกรงของคนที่คุกเขาทำให้หลิ่วเหวินอี้ซึ่งแอบซ่อนอยู่คานไม้ตะลึงงัน จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนั้นเป็นฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ
    
        “น้องห้าไม่ก้าวก่ายการเมืองมานานหลายปีเพราะเหตุใด หรือว่าเจ้าแก่ไม่กลัวตายนั้นไปเกี้ยวพาราสีหยวนน้อยหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายฉงน ทว่าการคาดเดากลับแม่นยำจนผู้ที่มารายงานก้มหัวต่ำยิ่งกว่าเดิม
    
       “พ่ะย่ะค่ะ”
    
       “พวกเจ้าไปได้แล้วไม่ต้องติดตามข้า”
    
       “แต่ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับคำสั่งให้ปกป้องฝ่าบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นที่ตอบกลับมาทำให้ร่างสูงใบหน้าที่ดูแสนอัปลักษณ์ยืนนิ่ง ทว่าไอเย็นที่แผ่ออกมาทำให้คนแอบมองนิ่วหน้าน้อยๆ
    
       “หากข้าไม่คิดปรากฏตัว คิดหรือว่าพวกเจ้าจะตามข้าพบ ถึงแม้น้องห้าจะเป็นเทพสวรรค์หากข้าไม่ต้องการให้เจอตัวต่อให้พลิกแผ่นดินก็มิอาจหาข้าเจอ”
    
        “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว พวกกระหม่อมจะกลับเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” เงาร่างสีดำบอกเสียงหนักแน่นก่อนจะลุกขึ้นก้าวถอยหลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม การกระทำเช่นนี้ทำให้หลิ่วเหวินอี้ฉงนมากขึ้นเหตุใดถึงได้หวาดหวั่นเช่นนั้น
    
        ฟิ้วววว
   
          พรึบ!
    
         หลิ่วเหวินอี้พลิกกายหลบทันท่วงทีเมื่อเข็มสีเงินพุ่งเข้าหาตนอย่างดุดัน ร่างสูงโปร่งมาปรากฏตรงหน้าผู้ที่ลงมือ เขาไม่คิดว่าองค์จักรพรรดิจะรับรู้การคงอยู่ของตน หากรู้แล้วเหตุใดจึงยังสนทนาเรื่องลับๆ ให้เขาฟังอยู่เล่า ดวงตาเรียวคมมองผู้ที่เขารู้ความลับอย่างเงียบงัน ไอเย็นที่แผ่ออกจากร่างทำให้รู้สึกหนาวสะท้านในใจ แม้ใบหน้าภายนอกจะนิ่งเฉยก็ตาม บรรยากาศเวลานี้สมกับที่เป็นฮ่องแต้ของแคว้นลั่วหยางจริงๆ เทียบกับการเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แล้วช่างต่างกันลิบลับ
    
          “มิมีผู้ใดสอนมารยาทเจ้าหรืออย่างไรว่าห้ามแอบฟังผู้อื่นคุยกัน” น้ำเสียงกล่าวมาทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า หากฮ่องเต้ผู้นี้ยังความจำดีอยู่น่าจะรู้ว่าตนมาอยู่ก่อนแล้ว
    
          “หืม อีกาเองหรอกหรือ ดวงชะตาเราคงผูกพันกันอย่างลึกซึ่งว่าไหม ไปที่ใดก็เจอกันตลอด ครั้งแรกเพราะเหตุบังเอิญ ครั้งสองโชคชะตา ครั้งที่สามพรหมลิขิต นับว่ามีวาสนาต่อกัน แม้เจ้าในเวลานี้จะเป็นคนที่ข้าชื่นชอบแต่โทษทัณฑ์ครั้งนี้ข้าก็ไม่อาจละเว้นได้ เจ้าต้องมาทำงานให้ข้า” น้ำเสียงเนิบนาบเดาใจมิออกทว่าดวงตาคมกริบนั้นจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ แต่ใคร่ควรแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตนมีความผิดอันใด จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นสินะ กล่าวผิดผู้อื่นได้อย่างไม่รู้สึกผิด แล้วดวงซะตาผูกพันลึกซึ่งนั่นคืออะไรทำไมฟังแล้วรู้สึกมือเท้ากระตุกยิ่งนัก
    
          “ฝ่าบาททรงฉลาดหลักแหลม น่าจะรู้จุดมุ่งหมายของกระหม่อม ในเมื่อเรื่องนี้บรรลุเป้าหมายแล้วกระหม่อมก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาที่นี่อีก” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง มองใบหน้าที่ถูกปรุงแต่งทำให้อดที่จะนับถือกับไหวพริบไม่ได้ และคนผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่เขาตามติดเมื่อวานก่อน เพียงแต่การเจอกันครั้งแรกไม่น่าประทับใจนัก
    
        “ฎีกาลับที่ส่งมาคือฝีมือเจ้า” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความน่ายำเกรงผิดกับที่เจอกันครั้งแรกลิบลับทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกเกร็งไม่ได้ อาจเพราะไม่เคยพบเจอเชื้อพระวงศ์มาก่อน ทว่าเขายังไม่ทันตอบร่างก็ถูกกระชากเข้าหาด้วยความเร็วจนน่าตื่นตระหนก พลันนั้นก็มีเสียงฝีเท้ามากมายวิ่งมาทางนี้
    “หาตัวคนร้ายให้เจอ มันเอาผู้หญิงไปด้วยคงหนีไปได้ไม่ไกล” เสียงร้องสั่งโหวกแหวกจากด้านนอกทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนรวบร่างตัวเองไปกอดเข้าซอกชั้นตู้เก่าๆ อย่างอึดอัดใจ
    
         “ท่าน!”
    
        “ชูว์ ~~” หลิ่วเหวินอี้กรอกตามองคนเจ้าเล่ห์ทางด้านหลังอย่างขัดใจ ทว่าร่างกายกลับยืนนิ่งให้อีกฝ่ายรวบเอวเอาไว้ไม่กล้าส่งเสียงอันใดอีก แม้ภายนอกจะนิ่งเฉยทว่าในใจกลับครุกรุ่นอย่างหงุดหงิดเพราะหันไปชนคางอีกฝ่ายเมื่อครู่ และไม่รู้สวรรค์กลั่นแกล้งหรืออย่างไรพวกนั้นถึงยืนออกันอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องเก็บของซอมซ่อแห่งนี้
    
        “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยถามเพื่อน ทว่าทุกคนกลับสายหน้า
   
        “งั้นแยกย้ายกันตามหามันคงหนีไปได้ไม่ไกล” น้ำเสียงนั้นร้องสั่งก่อนที่เสียงฝีเท้าหลายคนเริ่มห่างออกไป
    
        “ทำไมเจ้าตัวหอม”
    
        “...”
    
         เสียงกระซิบข้างหูทำให้หลิ่วเหวินอี้เกร็งไปทั้งร่างขนกายลุกชันรู้สึกขยะแขยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางคิดว่าหากปล่อยไปนานกว่านี้เขาได้ฆ่าฮ่องเต้หมกห้องเก็บของจวนผู้ว่าแน่ๆ
    
         “หอมเหมือนกลิ่นดอกท้อ” เสียงนั้นยังกระซิบบอกหลิ่วเหวินอี้หลับตาข่มอารมณ์อยากฆ่าคนไว้ในอก ก่อนจะยืนเกร็งมากกว่าเดิมเมื่อประตูห้องเก็บของถูกเปิดเข้ามา
    
         “ห้องนี้คือห้องเก็บของคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ฝุ่นก็เยอะ” ผู้ที่เข้ามาคือชายร่างผอมสูงเอ่ยบอกคนร่างใหญ่ที่มองสำรวจรอบห้อง แต่ความมืดภายในห้องยามค่ำคืนอีกทั้งความสกปรกทำให้พวกมันเลิกสนใจ มือหนาที่เกี่ยวเอวเขาดึงเข้าหาจนชิดแผ่นอกมากขึ้น เวลานี้เริ่มนับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อสงบสติอารมณ์อยากฆ่าคนไว้ภายในใจ
    
        ตุ๊บ!
    
          เมื่อทุกอย่างเงียบเชียบร้างไร้ผู้คนโดยรอบ ข้อศอกก็กระทุ้งเข้าท้องคนมือปลาหมึกอย่างเหลืออด ใบหน้าอัปลักษณ์แหยเกเล็กน้อย
    
         “ข้าช่วยชีวิตเจ้าเหตุใดจึงใจร้ายนักเล่า” น้ำเสียงตัดท้อทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า ไอเย็นแผ่ออกจากร่างอย่างที่อดกลั้นไม่อยู่ ก่อนจะพุ่งออกจากห้องเก็บของด้วยความเร็ว ไม่หันไปมองคนน่าตายด้านหลังแม้แต่น้อย หากว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ฮ่องเต้ สาบานได้ว่าเขาต้องสังหารแร่เนื้อเอาเกลือโรยแน่ๆ
    
          ใบหน้าอัปลักษณ์ยกยิ้มบางเบาจนมิอาจดาดเดาได้ ก่อนจะรีบออกไปจากที่แห่งนี้ แม้ไม่ได้ชอบบุรุษแต่การได้กลั่นแกล้งคนมันเป็นความรื่นเริงของเขา ที่สำคัญอีกาผู้นี้ลักษณะนิสัยคล้ายหลิ่วเหวินอี้แปดส่วนสิบ จากนี้เขาคงต้องสืบให้ได้ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องอันใดกัน ครั้งนี้ถือว่าปล่อยปลาเล็กไปก่อนแล้วค่อยตามไปเก็บทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ภายหลังก็ยังไม่สายเกินไป!


หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่6 เรื่องวุ่นวาย2 (P.2วันที่ 18/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 19-02-2016 09:38:58
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่ 8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 21-02-2016 21:37:36
ล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่ 8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)


         หลิ่วเหวินอี้กลับมายังตำหนักเหวินอี้และถอดชุดสีดำออกอย่างรวดเร็วเพราะเข้าเวลายามสี่แล้ว แม้จะจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วทว่าในใจกลับยังไม่หายหงุดหงิดจึงออกไปนอนแช่น้ำ น้ำเย็นทำให้จิตใจสงบมากขึ้นเมื่อคิดทบทวนเรื่องที่เกิดในคืนนี้ทำให้รู้ว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้นิ่งดูดายกับฎีกาที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพวก มิหนำซ้ำยังลงทุนมาสืบข่าวด้วยองค์เอง แม้จะพอเข้าใจเรื่องนี้แต่การสนทนาระหว่างข้ารับใช้ก็มิอาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงได้เช่นกัน
    
        “นายท่าน” เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากเงามืดภายในห้องอาบน้ำ หลิ่วเหวินลืมตาขึ้นมามอง เขารับรู้ว่ามีคนมาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะบุคคลนี้นึกอยากมาก็มานึกอยากไปก็ไป
    
        “เวลานี้มีคนตามสืบข่าวของกลุ่มอีกา บุคคลผู้นี้ไม่ธรรมดานายท่านให้ข้าจัดการเช่นไร” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าน้อยๆ ยอมรับว่าข่าวสารของอีกานั้นเร็วทันใจเสียจริงๆ
    
        “หอกิเลนรับหน้ามาสินะ” เสียงเรียบนิ่งไม่ได้หวั่นไหวขณะคาดการ หอกิเลนและอีกามีผลประโยชน์ร่วมกันผู้ที่ทำให้หอกิเลนนั่งไม่ติดคงเป็นใครไม่ได้ นอกจากฮ่องเต้จอมเสแสร้งนั่น แต่เขามิเคยรู้มาก่อนว่าฮ่องเต้คนปัจจุบันมีอำนาจในหอกิเลน
    
       “ขอรับนายท่าน” เสียงนอบน้อมครั้งนี้ดังแผ่วเบา ก้มหน้าหลบตาอยู่มุมมืด มิใช่หวาดกลัวเพียงแต่เวลานี้หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นจากน้ำเดินหันหลังไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่อย่างไม่อายผู้ที่มอง เรือนร่างงดงามสมส่วนบุรุษพึงมี แม้ใบหน้าจะงดงามอิสตรี แต่ไม่ได้อ่อนแอบอบบาง
    
         “ตอนนี้ยังไม่มีงาน อีกาห้าทำงานผิดพลาดเพราะมีบุคคลที่ไม่คาดหมายยื่นมือข้องเกี่ยว พวกเจ้าก็หลบซ่อนตัวตนไปก่อน ทำได้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเงาร่างสูงพอๆ กับตน ใบหน้าถูกปกปิดเหลือเพียงดวงตาเรียวเล็กตอบกลับมา
    
        “เรื่องเล็กน้อยนายท่านไม่ต้องห่วงขอรับ” น้ำเสียงเรียบนิ่งตอบกลับมา ทว่านัยน์ตาเรียวเล็กคู่นั้นมองสบใบหน้างดงามผู้เป็นนายอย่างลังเล ว่าจะกล่าวต่อไปดีหรือไม่
    
         “มีสิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วเอ่ยถามเพราะหากจบงานผู้นี้จะหายไปทันที แต่ตอนนี้ยังคงยืนนิ่ง
    
        “เปล่าขอรับ แต่ข้าขอบังอาจเตือนนายท่าน อย่าเที่ยวเปลืองผ้าให้ใครดูอีกนะขอรับ” กล่าวจบพร้อมพุ่งหายจากไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเบื้องหลังที่กำลังนิ่วหน้าขมวดคิ้วมุ่น พลางคิดว่าที่ผ่านมาก็เป็นอีกฝ่ายที่เทียวเข้ามาห้องน้ำเขาจนชินชาแล้ว แปดปีแล้วที่เห็นเข้าๆ ออกๆ ที่นี่ยังไม่ชินตาอีกหรืออย่างไร

    
        เช้าวันรุ่งขี้นหลิ่วเหวินอี้ได้นอนไปแค่ชั่วยามเดียว จำต้องลุกออกไปรับหน้าแขกที่เขานำเข้ามาเมื่อคืนวันนี้ยังมีเหมยฮวาบุตรีพรรคตะวันดับและต้องคอยรับมือพี่สาม ซึ่งคาดว่าคงจะบุกเข้ามาไม่เกินชั่วยามแน่ ร่างสูงโปร่งอาภรณ์ขาวสวมทับสีเขียวอ่อนคาดด้วยผ้าพันผ้าสีเดียวกันเข้ากับตัวเสื้อ ลายดอกท้อทักทออยู่ภายในชุดดูงดงาม ใบหน้ายังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนเส้นผมรวบไว้ด้านหลังเพียงครึ่งปักปิ่นลายดอกท้อเป็นเอกลักษณ์ คราแรกที่พบเห็นล้วนตกตะลึง แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ยังอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงเพราะนายน้อยไม่ค่อยแต่งตัว ส่วนมากแค่สวมๆ ใส่แล้วแต่เขาจะจัดให้ ทว่าวันนี้กลับเต็มยศจนทำให้คนมองใจสั่นสะท้าน
    
        “นายน้อยไม่สบายหรือขอรับ” จั่วเหรินที่เอ่ยถามเป็นคนแรก มองสำรวจเจ้านายตนเองแล้วยิ้มแก้มปริ เป็นบุญตาจริงๆ
    
        “ประมุขนิกายมารฟ้าต้องการให้ข้าสานสัมพันธ์ไมตรีกับเหมยฮวาบุตรีพรรคตะวันดับ พวกเจ้าเห็นว่าไง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบทว่ามุมปากกลับยิ้มเย็นพร้อมดวงตาประกายท้าทายอำนาจผู้เป็นบิดา ทว่าบรรดาข้ารับใช้ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พลางคิดว่าวันนี้ท่านงดงามดั่งเซียนขนาดนี้แล้วคุณหนูที่ไหนจะกล้ามาแต่งด้วย หากมาเห็นไม่รู้จะร้องไห้กลับบ้านหรืออย่างไร
    
       “อะ...แฮ่ม นายน้อยท่านเหวินอี้รออยู่ที่ห้องอาหารขอรับ” หลวนซานเอ่ยบอกหลังจากสติกลับมา หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับก่อนจะก้าวไปยังห้องอาหารที่ถูกแบ่งแยกเป็นสัดส่วนอย่างมั่นคง แม้เสื้อผ้าอาภรณ์จะเปลี่ยนไป ทว่าบรรยากาศเย็นเยือกรอบกายกลับแน่นหนามากกว่าเดิม สงสัยงานนี้คงจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปมองตามเสียงฝีเม้าที่ก้าวย่ำอย่างสม่ำเสมอจากหน้าประตู ทว่าตอนนี้ปรากฏร่างสูงโปร่งที่งดงามอีกอาภรณ์ที่สวมใสสดใสกว่าทุกวัน แต่ไม่รู้เหตุใดเขากลับรู้สึกว่าบรรยากาศมันเย็นเยือกกว่าเมื่อวาน คงไม่ใช่รู้ว่าเขาเป็นฮ่องเต้หรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นเขาคงได้ขอมอบตัวเป็นลูกศิษย์แน่ๆ ใบหน้างดงามดูเย่อหยิ่งกว่าเมื่อวานมาก แต่กลับทำให้หัวใจเต้นสั่นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
    
       “ขออภัยที่ข้ามาช้า พี่เหยียนเจิ้งหลับสบายดีหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับบางๆ จะให้บอกได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้นอนหลับทั้งคืน แต่ก็ยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มและกล่าวหยอกล้อคนเย็นชาตรงหน้าอย่างรื่นเริง
    “ข้าหลับสบายดี แต่วันนี้เจ้างดงามยิ่งนัก คงไม่ตกหลุมรักพี่เหยียนเจิ้งผู้นี้จริงๆ หรอกกระมัง” ดวงตาเย็นชาคู่นั้นมองเขาอย่างเอือมระอาเพียงครู่ก่อนจะกลับมาปกติ ร่างสูงโปร่งเดินมานั่งเก้าอี้ข้างกาย เพียงไม่นานอาหารหน้าตาแปลกๆ ก็ถูกทยอยเข้ามาภายในห้อง ลั่วเหยียนเจิ้งละสายตาจากคนงามมามองอาหารแปลกตาและมีบางรายการที่ตนรู้จักดี
    
       “ข้าวต้มธันญาพืช”
    
       “ท่านรู้จัก” น้ำเสียงที่เอ่ยถามยังคงนิ่งเรียบ ทว่าดวงตากลับประกายบางอย่างก่อนจะเลือนหายไป มองใบหน้าคมคายที่จ้องมองอาหารไทยตรงหน้าคล้ายตะลึงงันยิ่งทำให้ฉงนสงสัยมากกว่าเดิม หลิ่วเหวินอี้มั่นใจอาหารเหล่านี้ไม่น่าจะมีคนรู้จัก
    
        “ข้ารู้จัก แต่ไม่ได้กินนานมากแล้ว” คำตอบที่ได้รับทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งงัน ยังมีคนทำเป็นด้วยหรือ
    
        “ใครทำให้ท่านกิน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามพร้อมรับช้อนที่สั่งทำเองและตะเกียบคู่จากจูเก๋อ แสร้งเอ่ยถามคล้ายไม่ได้สนใจ ทว่าหางตากลับเหลือบมองแขกที่ยังไม่หายตกใจกับอาหารตรงหน้า เขาพอทำอาหารได้แต่ก็ทำเป็นเฉพาะที่ชอบทานเท่านั้น จึงได้บอกสูตรแก่พ่อบ้านไว้เมื่อเขาต้องการยามใดจะต้องไม่เสียเวลาไปทำรับประทานเอง
    
        “เจ้านั่นเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบเมื่อคิดถึงน้องสะใภ้ที่แสนเจ้าเล่ห์ แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างปลงตกเมื่อรู้ว่าคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว  ดวงตาเศร้าหมองเพียงครู่ก่อนจะกลับมายิ้มตามปกติ
    
         หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับคำตอบ เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าผู้ใดที่รู้จักอาหารไทย แต่คำตอบกำกวมคงยากที่จะคาดคั้น และที่สำคัญมันกลับกระตุ้นความทรงจำในอดีตอีกครั้ง ความรัก ความแค้น หักหลัง มันเป็นอดีตแล้วมิใช่หรือ จะคิดย้อนไปให้เจ็บปวดทำไมในเมื่อมีชีวิตใหม่แต่เหตุใดความเจ็บปวดถึงตามหลอกหลอนไม่หยุดเสียที
    
         บรรยากาศสบายๆ ในคราแรกกลับเย็นเยือกขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าเพราะครั้งนี้มีไอลมปราณที่เจ้าตัวเก็บซ่อนแผ่ออกมามันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดและจิตสังหาร แต่คนที่ปลดปล่อยออกมากลับสายตาเลื่อนลอย ดวงตาดำมืดและว่างเปล่าจนน่าใจหาย เขายื่นมือไปจับมือขาวผ่องของอีกฝ่ายที่จับช้อนจนแหลกเป็นฝุ่นผง
    
        “เหวินอี้” น้ำเสียงแข็งกระด้างทำให้สติของหลิ่วเหวินอี้กลับมามองมือที่ถูกกุมแน่นอย่างฉงน ก่อนจะบัดออกมองคนที่ฉวยโอกาสจับมืออย่างหงุดหงิด ทว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมาทำให้หนาวสั่นสะท้านอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ใบหน้าคมคายผ่อนคลายขึ้นและลอบหายใจออกมาอย่างโล่งอก
    
       บ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้ๆ มองนายน้อยของตนอย่างตื่นตระหนก เพราะนานมากแล้วที่นายน้อยไม่เกิดอาการเช่นนั้น แม้เขาจะไม่เข้าใจแต่มั่นใจว่ามีบางสิ่งไปสะกิดบาดแผลของนายน้อย บาดแผลที่แม้แต่คนสนิทอย่างหลวนซานก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด
    
       “ขออภัยท่านพี่เหยียนเจิ้งที่ทำให้อาหารมื้อนี้เสียอรรถรส”
    
       “ไม่หรอก เริ่มกินเถอะอาหารเริ่มเย็นแล้ว วันนี้เจ้ามีแขกไม่ใช่หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่นคล้ายกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    
         หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับมองอุปกรณ์ทานข้าวในมือตัวเอง บัดนี้กลับว่างเปล่า หลวนซานจึงรีบนำชุดใหม่มาให้ เขากลับมาสงบเยือกเย็นได้เช่นเคย อาหารมื้อเช้าจึงผ่านไปได้ด้วยดี ทว่าในใจของทั้งคู่ก็มิอาจคาดเดาได้เช่นกันว่าคิดเยี่ยงไรอยู่
    
         “ท่านมีสิ่งใดต้องทำหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามขณะพาแขกเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารเช้า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาก็กลับมาปกติเช่นเดิมแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างไรเพราะคนตรงหน้าก็รู้อยู่แล้วว่าตนมีวรยุทธ ความแค้น อดีต ใครบ้างจะไม่มีเพียงแต่จะปล่อยวางได้แค่ไหน เขาไม่ใช่ไม่อยากปล่อยวางแต่ความฝันยังตามหลอกหลอนเขาไม่เลิกลา จนบางครั้งไม่รู้จะจัดการปัญหานี้อย่างไรดี
    
        “ไม่หรอกเจ้าอย่ากังวลเลย ข้าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม” คำกล่าวของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ รอยยิ้มอบอุ่นที่มองอย่างไรก็คุ้นตาและมองอย่างไรก็รู้ว่าเสแสร้ง
    
        “อีกห้าสิบเมตรกำลังมีคนพุ่งมาหาเจ้าพร้อมคนติดตามสองคน เจ้าเห็นเช่นไร” น้ำเสียงจริงจังขึ้นมานิดของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
    
         “ท่านพี่เหยียนเจิ้งก็ปกป้องนายน้อยสี่ที่ไม่เอาอ่าวอย่างข้าเสียหน่อยจะเป็นไรไป” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าพร้อมยกยิ้มอ่อน คนตรงหน้าทำอย่างที่เขาคาดเดาไม่มีผิด ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างล้อเลียน
    
         “นั่นสินะ ในเมื่อน้องอี้เอ๋อร์คาดหวังเช่นนี้พี่เจิ้งคนนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร” คำเรียกสนิทสนมทำให้คนฟังคิ้วกระตุก ดวงตาเย็นชาปลายตามองอย่างเอือมๆ หากตนไม่ใช่ผู้ชายคงหลงคารมไปแล้ว
    
        “เจ้าเศษขยะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังก้องตำหนักเหวินอี้ เพียงชั่วพริบตาก็มาปรากฏตรงหน้าหลิ่วเหวินอี้สมกับเป็นยอดฝีมือ แม้จะเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ฝีมือก็ไม่ได้อ่อนด้อย
    
         หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบคมกระบี่ได้อย่างหวุดหวิด ดวงตายังเฉยชาไม่ได้เดือดร้อนใจ ทว่าก่อนที่จะได้ลงคมกระบี่ครั้งที่สองกระบี่หยกขาวก็ออกมาขวางหน้าอย่างทันท่วงที
    
        “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” หลิ่วเมิ่งซุนตะคอกถามคนที่เข้ามาขัดขวางตนอย่างฉุนเฉียว ดวงตาคมแดงก่ำด้วยความโมโห หลังจากที่ทราบข่าวเมื่อเช้ามันก็พุ่งตรงมาที่นี่เลย ดวงตาพิจารณาใบหน้าคมคายหล่อเหล่าสมบุรุษ รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าทำให้บรรยากาศรอบกายดูแปลกตา อาภรณ์สีขาวคลิบทองลักษณะของอีกฝ่ายดูสูงส่งจนไม่กล้าเข้าจู่โจม
    
          “ขออภัยคุณชาย ข้าเป็นสหายน้องเหวินอี้และไม่อาจนิ่งดูดายให้สหายไร้ความสามารถบาดเจ็บได้” หลิ่วเหวินอี้เก็บกระบี่ไว้ในฝักเหมือนเดิม พร้อมกล่าวบอกผู้บุกรุกด้วยน้ำเสียงเกรงใจเล็กน้อยตามมารยาทของแขกที่ดี
    
         “ฮึ เป็นสหายหรือเป็นสามีเจ้านี่ ข้าไม่ได้หูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เจ้าทำ เหวินอี้ไม่ว่าอย่างไรข้าจะขัดขวางการหมั่นหมายขอเหมยฮวาให้ได้”
    
         “นี่เป็นคำสั่งของท่านพ่อ หากท่านแน่จริงก็ไปร้องขอกับท่านพ่อเองสิ หรือท่านไม่กล้า” ใบหน้างดงามนั้นเย็นชา ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มท้าทาย หลิ่วเมิ่งซุนกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เหตุใดตนจะไม่ร้องขอท่านพ่อเล่า แต่เมื่อไปมาแล้วกลับได้คำตอบที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
    
          ‘เหวินอี้วรยุทธอ่อนหัด เหมยฮวามีความเก่งกาจเป็นถึงจอมยุทธหญิงทั้งที่อายุยังน้อยย่อมเป็นผลดีที่ทั้งคู่จะแต่งงานเจ้า ส่วนเจ้ามากความสามารถจะหาผู้ใดมานอนเคียงหมอนย่อมง่ายดายนัก’ นั่นคือคำตอบที่ทำให้เขาโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
    
         “ในเมื่อข้าไม่ได้ก็อย่าหวังว่าผู้ใดจะได้เหมยฮวาไปครอบครอง เตรียมรักษาชีวิตพวกเจ้าไว้ให้ดี” หลิ่วเหวินอี้มองอีกฝ่ายนิ่งๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำข่มขู่ ร่างสูงของหลิ่วเมิ่งซุนสะบัดจากไปพร้อมด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขารู้ดีว่าพี่สามคนนี้คงลงมืออย่างไร้หลักฐานมามัดตัว แม้จะใจร้อนวู่วามแต่คนที่มองข้ามไม่ได้คือองค์รักษ์ที่ยืนนิ่งๆ อยู่ด้านหลังนั่นต่างหาก เป็นมันสมองและมีเล่ห์เหลี่ยมสมกับอยู่ฝ่ายมารไม่รู้ว่าพี่สามไปเอาคนแบบนี้มาจากที่ใด
    
        “เขามีกุนซือที่ดี” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองใบหน้ายิ้มละไมสนุกกับละครในครอบครัวของเขา จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แม้แต่คนในครอบครัวยังไม่รักกันแล้วจะมีผู้ใดรัก ความทรงจำที่ติดตามจากชาติที่ผ่านมาคงเป็นเครื่องเตือนใจให้ใช้ชีวิตในยุทธภพอย่างไรกระมัง
    
        “เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามคนที่ยืนมองตามเงาร่างของพี่ชายที่หายไปจากตำหนัก ความเย็นชาและแววตาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมทำให้คาดเดาไม่ถูก
    
       “ไม่ต้องทำอะไร ตอนนี้เหมยฮวากับคนในพรรคตะวันดับคงจะมาแล้ว ท่านจะไปด้วยหรือไม่”
    
        “ข้าจะรออยู่ที่ตำหนัก เรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวเจ้าคงไม่เหมาะหากข้าจะตามไปด้วย”
    
         หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ หากเป็นตนก็คงไม่ไปเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าหมายให้คนอื่นมาสงสัยในตัวเอง นับว่าลั่วเหยียนเจิ้งวางหมากไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว เขาเหลือบตามองคนฉลาดหลักแหลมและมีเรื่องปิดบังอีกมากมายอย่างครุ่นคิด แม้จะทำดีกับเขามากมายแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเชื่อใจได้เลย
    
          “ข้าขอตัวก่อน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกพร้อมเดินไปยังตำหนักใหญ่อีกครั้ง ร่างสูงสง่าบรรยากาศรอบกายยังเย็นเยือกเฉกเช่นเดิม
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามนิ่งๆ ก่อนจะกลับไปยังห้องพักของตัวเอง และเริ่มวางแผนต่อไปนี้จะทำเช่นไรดี กลับวังหลวงหรืออยู่ดูละครสนุกภายในนิกายมารฟ้าดี
    
           อ่า เริ่มไม่อยากกลับวังหลวงตอนนี้แล้วสิ...


       ยินดีต้อนรับนักอ่านใหม่นะคะ เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ เป็นภาคต่อ เล่ห์รักเทวาสวรรค์ที่ออกเล่มไปแล้ว
       แต่สามารถตามอ่านได้ค่ะ เนื้อเรื่องสามารถแยกอ่านได้นะคะ :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 21-02-2016 22:45:15
ลับ ลวง พราง มากๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 21-02-2016 23:21:10
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: PingPong_Hunlay ที่ 22-02-2016 01:42:43
อ่าาาาา ต่อได้มั้ยยย :z3: สนุกมากกกก :z2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่8 เรื่องวุ่นวาย3 (P.2วันที่ 21/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 22-02-2016 03:49:34
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4(จบ) (P.2วันที่ 23/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 23-02-2016 19:21:47
ล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4 (P.2วันที่ 23/2/59)

         หลิ่วเหวินอี้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่อย่างเชื่องช้า จังหวะการก้าวเดินหนักแน่นสม่ำเสมอเรียกให้ผู้อยู่ภายในห้องหันมามอง เบื้องหน้าคือประมุขนิกายมารฟ้าที่ยังสง่างามแม้จะวัยล่วงเข้าเกือบห้าสิบปีแล้วก็ตาม สองฝั่งซ้ายขวาล้วนมีโต๊ะเล็กจัดให้แขกนั่งจิบชาคุยกันไปมาด้วยน้ำเสียงรื่นเริงก่อนจะหยุดลงเมื่อเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่เดินเข้ามา
    
        ซูโหลวหลันประมุขพรรคตะวันดับมองคนที่เข้ามาอย่างตะลึงค้าง ใบหน้างดงามราวอิสตรี ดวงตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก บรรยากาศเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างล้วนดึงดูดผู้คนให้สะดุดตาสะดุดใจ แม้จะได้ยินข่าวฉาวบุตรชายคนที่สี่ของนิกายมารฟ้าแต่ก็ไม่เคยเห็นตัวจริงเสียที แต่เมื่อมาเห็นคิ้วคมเฉียงขมวดมุ่นอย่างคิดมิตก ภายภาคหน้าจะฝากชีวิตบุตรสาวที่รักไว้ในความดูแลได้อย่างไร
    
        และความงามนั่น! เมื่อเหลือบมองบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนซึ่งบัดนี้มองคนมาใหม่ตาค้าง ดวงตาสั่นระริก ความสวยน่ารักของบุตรสาวตอนนี้เทียบไม่ติดของบุตรชายผู้โง่งมของประมุขนิกายมารฟ้าเลยแม้แต่ฝุ่นผง
    
       “เหวินอี้คารวะท่านพ่อ ขออภัยที่ล่าช้าขอรับ”หลิ่วเหวินอี้ยกมือคารวะก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมตามที่บุตรพึงกระทำ เหลือบตามองประมุขตะวันดับเล็กน้อยก่อนจะหันไปคารวะตามพิธี
    
       “หลิ่วเหวินอี้คารวะท่านประมุขตะวันดับขอรับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบของคนตรงหน้าทำให้ประมุขพรรคตะวันดับตอบรับด้วยรอยยิ้ม
    
        “อย่าได้มากพิธีเลย อย่างไรเราก็คนกันเอง” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยันเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เขาไม่คิดจะนับญาติกับผู้ใด
    
        “นี่คงเป็นน้องเหมยฮวา” หลิ่วเหวินอี้แสร้งเอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ใบหน้าสวยน่ารักของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขาสั่นไหวเท่าสายตาของหญิงสาวตรงหน้าที่ทำเหมือนจะถอดเสื้อผ้าเขาอยู่รอมร่อ คิ้วคมเฉียงนิ่วน้อยๆ เพราะนางทำตนเหมือนสตรีในหอบุปผาซึ่งไม่มีความกุลสตรีแม้แต่น้อย
    
        “พี่เหวินอี้งดงามสมคำร่ำลือ เป็นบุญตาจริงๆ เจ้าค่ะ” ใบหน้าน่ารักยิ้มสดใสดวงตาพราวระยับ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่มองตามเล็กน้อยพลางคิดว่าบุรุษใดเล่าจะให้คนอื่นชมว่าตัวเองงดงาม
    
        “ไหนๆ พวกเจ้าก็รู้จักกันแล้วพาเหมยฮวาไปเดินเล่นและเอาข้าวของไปไว้ที่ตำหนักเหวินอี้ด้วยแล้วกัน” คำสั่งออกจากผู้เป็นเจ้าของนิกายมารฟ้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบ ก่อนจะคารวะบิดาและชูโหลวหลันพร้อมถอยห่างออกไป มือขวาผายมือเชิญแม่นางเหมยฮวาออกไปจากตำหนักใหญ่ ในเมื่อผู้ใหญ่ตกลงกันแล้วเขาคงออกปากเสียงตอนนี้ไม่ได้ หางตาเหลือบมองผู้เป็นบิดาที่ยกยิ้มที่มุมปากคล้ายเห็นเป็นเรื่องสนุก
    
      “ที่นี่ใหญ่โตมากเจ้าค่ะ สมแล้วที่นิกายมารฟ้าอยู่เหนือกว่าพรรคอธรรมอื่นๆ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะสายตากวาดมองรอบบริเวณ ดวงตาสดใสมองคนงดงามที่นิ่งเรียบ บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาไม่ได้ทำให้สาวน้อยสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ปีนี้นางอายุย่างสิบเจ็ดนับว่าไม่ได้น้อยไปกว่าคนข้างกาย ทว่าความเย็นชาและแววตานิ่งเฉยกับทุกสิ่งนั้นทำให้รู้สึกว่ากำลังอยู่กับผู้เป็นลุงเสียมากกว่า
    
        “....”
    
       หลิ่วเหวินอี้มิได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวนำหน้าเดินกลับมายังตำหนักเหวินอี้ด้วยฝีเท้าหนักแน่น ร่างบอบบางเดินตามอย่างไม่ค่อยสนใจคนนำหน้าเท่าไหร่นัก เพราะบรรยากาศรอบตัวและดอกท้อที่ปลิวไสวจากต้นดูงดงามคล้ายอยู่แดนสวรรค์ ตำหนักนี้ห่างไกลออกมาพอสมควรแต่กลับดูสงบจนน่าแปลกใจ
    
       “ที่นี่อาจไม่สะดวกเพราะข้าไม่ชอบความวุ่นวาย” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยขึ้น หางตาเหลือบมองสาวน้อยที่ยื่นมือออกไปรับดอกท้อที่ร่วงโรยลงมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนใจกับการที่มานอนต่างถิ่น
    
         “ท่านพี่เหวินอี้อย่าได้กังวล ข้าไม่ได้ชอบความฟุ่มเฟือย ขอแค่มีอ่างน้ำให้ข้าแช่ก็เพียงพอแล้ว”
    
          เหมยฮวาเงยหน้ามองว่าที่คู่หมั้นที่งดงามจนนางต้องอาย ทว่าไม่รู้เหตุใดนางจึงผูกชะตากับคนตรงหน้า ความรู้สึกแรกพบมิใช่หัวใจเต้นแรงแต่กลับเป็นความรู้สึกชื่นชมความงามและกิริยาสูงส่งของคนหลิ่วเหวินอี้ แม้ข่าวลือที่ได้ยินนั้นนับว่าเสียหาย ในเมื่อเจ้าตัวไม่ใส่ใจแล้วตนจะใส่ใจทำไม เพราะอย่างไรบุตรสาวเช่นตนไม่ถูกจับแต่งงานกับคนนี้ก็ยังมีคนอื่นเรียงคิวรอ นางเลยคิดว่าจะแต่งกับผู้ใดก็คงเหมือนกัน
    
         กิริยาเรียบง่ายใบหน้าสวยน่ารัก ทว่าดวงตาประกายความซุกซนเผยให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างพิจารณา แผนชายงามคงจะใช้ไม่ได้ผลเพราะเหมือนนางจะไม่สะทกสะท้านที่จะได้แต่งงานกับคนที่งามกว่าตน
    
         “ข้ามิมีสิ่งใดดี วรยุทธก็ได้ต่ำเตี้ยเจ้าไม่กลัวอับอายผู้อื่นหรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างลองเชิงอีกฝ่าย นางเดินเร็วจนมาเคียงข้างแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าน่ารัก
    
        “เหตุใดข้าต้องอับอายในเมื่อท่านพี่เหวินอี้เป็นถึงบุตรของนิกายมารฟ้าที่ใครๆ ต่างต้องยำเกรง”
    
         คำกล่าวขานของเหมยฮวา ทำให้หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอไม่รู้จะสมเพชตัวเองหรือว่าสาวน้อยข้างกายดี ‘ต่างต้องยำเกรง’ หรือ น่าขำสิ้นดี ไม่รู้ว่าหูตามืดบอดหรือกระไรถึงมองไม่ออกสายตาผู้อื่นว่าเป็นเช่นไร
    
       “โลกนี้ยังมีหลายสิ่งให้ค้นหา เจ้าอายุยังน้อยไม่ควรด่วนตัดสินใจ ชีวิตเป็นของเจ้า อนาคตหากเลือกผิดคนที่ทุกข์หนักก็คือเจ้า บิดามารดาหาได้อยู่กับเจ้าตลอดชีวิตไม่” เหมยฮวาชะงักเท้าหยุดมองแผ่นหลังกว้างที่ก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ วาจานั้นนับว่าร้ายกาจแต่มองอีกมุมคือการสั่งสอน หากทำตามเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นบุตรอกตัญญูหรอกหรือ?
    
        ...แล้วคนที่บอกก็อายุห่างจากตนแค่ปีเดียวเอง!
    
         “ท่านพี่เหวินอี้กล่าวเช่นนี้ ข่าวลือที่ท่านชมชอบบุรุษนั้นคงเป็นจริง มิเช่นนั้นคงไม่ตัดรอนน้ำใจข้าเช่นนี้” หลิ่วเหวินอี้ชะงักเท้านิ่งไม่ได้หันไปมองคนพูดแม้แต่น้อย ใบหน้านิ่วน้อยๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด บางครั้งการอธิบายก็เหมือนกับแก้ตัว ปิดปากเงียบไปไม่นานข่าวลือก็คงเงียบหายไป
    
         เหมยฮวานิ่งเงียบริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น มิคิดว่าจะได้รับการต้อนรับเช่นนี้ สองเท้าเล็กก้าวตามอย่างครุ่นคิด ความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาเหมือนกำแพงขวางกั้นไม่ให้ล้ำเส้นเข้าไป แต่นางเป็นอิสตรีจะมีปากเสียงไปเถียงบิดามารดาได้อย่างไร เรื่องที่คิดว่าง่ายทำไมมันดูยากเย็นถึงเพียงนี้ ใครกันบอกว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษเจ้าสำราญ นี่ไม่ชายตาแลนางแม้แต่น้อย
    
        ...อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นจริงนะ ชูเหมยฮวาผู้นี้จะไปตัดลิ้นคนผู้นั้นให้ดู!

   
        ลั่วเหยียนเจิ้งมองทางเข้าตำหนักเหวินอี้ด้วยสายตานิ่งเรียบ ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาเชื่องช้าแต่หนักแน่น ตามหลังด้วยสาวน้อยน่ารักผู้หนึ่ง กิริยาของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันมาก ทั้งๆ ที่อายุไม่ต่างกันนัก ความรู้สึกที่มองเห็น ทำไมเหมือนลุงกับหลานกัน หรือว่าตนคิดมากไป?
    
        “ท่านพี่เบื่อหรือไม่” ร่างสูงโปร่งมาหยุดเบื้องหน้า น้ำเสียงนิ่งเรียบดวงตาว่างเปล่า ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าช้าๆ
    
        “ที่นี่เงียบสงบ บรรยากาศก็กำลังดีไม่ได้ทำให้ข้าเบื่อหน่ายอะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ่มมองคนเย็นชาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองผ่านไปด้านหลังที่มีสาวน้อยมองเขาตาแป๋ว
    
        “แม่นางคือ...” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถาม เว้นช่วงให้เจ้าบ้านเป็นคนตอบ ดวงตาเย็นชาเหลือบมองสาวน้อยด้านหลังเพียงครู่
    
       “เหมยฮวาบุตรีประมุขตะวันดับ จูเก๋อพานางไปห้องรับแขกเรือนเล็ก” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยตอบลั่วเหยียนเจิ้งก่อนจะหันไปบอกพ่อบ้านในตำหนักเหวินอี้ ซึ่งมองตามอย่างลังเลเล็กน้อย
    
       “เชิญขอรับคุณหนู” จูเก๋าผายมือเชื่อเชิญ เหมยฮวามองเจ้าบ้านและบุรุษแปลกหน้าเพียงครู่ก่อนจะเดินตามหลังพ่อบ้านไป
    
       “เจ้าไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะที่สาวน้อยเดินตามพ่อบ้านไปอย่างว่าง่าย และแอบมองมาที่ตนเล็กน้อย นางก็น่ารักดี จากที่รู้เรือนเล็กนับว่าห้องพับน้อยกว่าห้องที่ตนอยู่มาก
    
         “...”
    
         หลิ่วเหวินอี้ไม่ตอบเดินเข้าไปภายห้องรับแขกโดยมีแขกกิตติมศักดิ์เดินตามเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ที่ตนให้พักเรือนนั้นเพราะที่นี่มีแต่บุรุษไม่เหมาะกับอิสตรีเช่นนาง และที่เขาไม่ได้แนะนำรู้จักลั่วเหยียนเจิ้งเพราะคิดว่าไม่จำเป็น
    
         “เหตุใดนางถึงมาอยู่กับเจ้า นางยังไม่ได้ออกเรือนมิใช่หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะนั่งรับจอกชามาจากอีกฝ่าย ดวงตาเรียวคมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    
        “ว่าที่คู่หมั่นข้า มิแปลกอันใดที่นางจะมาพักผ่อนที่นี่” คำตอบเย็นนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกของผู้พูด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้ายังยิ้มบางเบา หัวใจรู้สึกคันยุบยิบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   
         “แล้วเจ้าก็ยินดีรับนางมาเป็นภรรยา”
    
        “ข้าบอกเช่นนั้นหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปกับใบหน้างดงามที่ยกยิ้มมุมปาก มันงดงามจนตาพร่าไปชั่วครู่ ความรู้สึกชั่วร้ายที่ส่งมาทำให้คิ้วขมวดมุ่น
    
         “เจ้ามีแผนอันใด” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งเอ่ยถามพร้อมจิบชาในมืออย่างเชื่องช้า มือซ้ายหยิบขนมกินเล่นอย่างไม่รีบร้องเอาคำตอบ
    
         “ท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ดวงตาเย็นชาที่มองมาไม่ได้ทำให้ความอยากรู้ลดหายไป แต่เมื่อคาดคั้นเอาคำตอบไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องสอบถาม ในเมื่อเขาก็ยังต้องอยู่ที่นี่อีกเดือนคงได้เห็นเองและคนเช่นนี้เขารู้วิธีรับมือ
    
        “นั่นสินะ ข้าก็แค่คนนอก” น้ำเสียงแผ่วเบาของลั่วเหยียนเจิ้ง อีกทั้งเสหน้าหันไปทางอื่น ทำให้หลิ่วเหวินอี้มองเสี้ยวหน้าคมคายด้วยความมึนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าทำกิริยาเหมือนงอนตนทำไม ขณะคิดขนในกายกลับลุกชันอย่างไม่รู้สาเหตุ ใบหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำแง่งอนเหมือนคู่รัก
    
        คู่รักหรือ! นี่เขาคิดไปได้อย่างไรกัน ให้ตายสิ สงสัยจะนอนไม่พอถึงทำให้ประสาทกลับถึงเพียงนี้
    
        “นายน้อย” เสียงเรียกของหลวนซานดังมาจากหน้าประตู ก่อนจะเดินมาหยุดเบื้องหน้ามองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างลังเล ก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างหูนายน้อยอย่างระวัง
    
        “ข้ารู้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงเรียบเมื่อข่าวที่ได้รับเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืน เฝิ่งเฉินถูกปลดตำแหน่งและยังถูกยึดทรัพย์สินจนหมด มิหนำซ้ำยังถูกขังคุกหลวงรอลงอาญา ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เพราะฮ่องเต้ผู้นั้นคงไม่ให้คนร้ายที่จับได้คาหนังคาเขาขนาดนั้นหนีรอดไปได้ เมื่อเหลือบมองผู้มีพระคุณยังเมินเฉยต่อเขาคล้ายไม่สนใจก็ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ สองวันมานี่รู้สึกว่าเขาจะใช้สมองหนักไปกับการรับมือคน
    
        “ข้ามีธุระออกไปข้างนอก น้องเหวินอี้ก็อยู่สร้างสัมพันธ์อันดีกับว่าที่คู่หมั่นไปแล้วกัน แขกเช่นข้าคงเป็นก้างขวางคอเสียเปล่า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายยังยิ้มอ่อน ทว่าดวงตากลับประกายความเศร้าออกมา หลิ่วเหวินอี้แสร้งมองไม่เห็น ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบดุจเช่นเดิม
    
        “ข้าไม่ได้หมายสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนาง วันนี้ข้ามีนัดกับสาวงามที่หอบุปผา หากท่านพี่เหวินอี้ไม่รังเกียจที่นั่นไปเที่ยวชมกับข้าหรือไม่” คำชวนอย่างใจกว้างของหลิ่วเหวินอี้ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มอ่อนก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ในเมื่อเป็นบุรุษจะไปที่นั่นไม่แปลกอันใด แต่ที่แปลกคือคนเฉยชาต่อทุกสิ่งเช่นคนตรงหน้านี่ต่างหาก ว่าไปที่นั่นด้วยเหตุผลใด

    
        หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนเมาหัวราน้ำนอนฟุบกับโต๊ะภายในห้องพิเศษของหอบุปผางามอย่างเบื่อหน่าย บอกว่าตนเองคอแข็งแล้วนี่อะไรกินไปยังไม่ถึงไหคอพับคออ่อนไปแล้ว ช่างอ่อนหัดจริงๆ ข้างกายมีสาวงามปรนนิบัติอย่างไม่ตกบกพร่อง
    
        “นายน้อยแขกของท่านไม่ได้สติเสียแล้ว ช่างคออ่อนจริงๆ เจ้าค่ะ คิกๆ” พวกนางกล่าวอย่างล้อเลียนเมื่อพยายามปลุกแต่ไม่ยอมตื่น
    
        “ฟางเทียนฟงอยู่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามโดยไม่ได้คาดหวังเอาคำตอบ สาวงามเหลือบมองอย่างมีจริตเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานล้ำ สองมือบางกอดแขนเขาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก
    
        “นายท่านกลับไปเมื่อคืนเจ้าค่ะ มีอะไรฝากไว้หรือไม่เจ้าคะ”
    
         “ไม่ ข้าจะกลับแล้วรบกวนพวกเจ้าแค่นี้ หลวนซานจัดการที่เหลือด้วย” หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเมื่อหมดธุระกับที่นี่ แม้พวกนางจะมองตามอย่างเสียดายก็ตามแต่เขาไม่นิยมใช้ผู้หญิงร่วมกับผู้อื่น จึงมาใช้แค่หาข่าวและสร้างข่าวลือเท่านั้น เถ้าแก่เนี่ยที่นี่ย่อมรู้จักเขาดี
    
         ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นเดินไปฉุดคนคอแข็งลุกขึ้น น้ำหนักที่กดทับลงมาช่วงบ่าทำให้คิ้วคมเฉียงขมวดมุ่นไม่คิดว่าดูสูงโปร่งจะหนักขนาดนี้ เมื่อยกธรรมดาไม่ขึ้นจำต้องใช้พลังภายในช่วย
    
        “นายน้อยให้ข้าจัดการเองดีกว่าขอรับ” หลวนซานเอ่ยบอกช่วยพยุงร่างของลั่เหยียนเจิ้งอย่างระวัง
    
        “ไม่ต้อง เดี๋ยวข้ากลับก่อน ไปดูที่โรงเตี๊ยมให้เรียบร้อย” หลิ่วเหวินอี้ยกร่างนั้นฟาดบ่าก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว เวลานี้เริ่มพลบค่ำหากไม่สังเกตย่อมมองไม่เห็น เขาเดินทางมาตั้งแต่บ่ายแต่พาลั่วเหยียนเจิ้งเดินเที่ยวเล่นภายในเมืองหยางเซาจนทั่วเมืองและมาจบที่หอบุปผา
    
         เงาร่างพุ่งผ่านสายลมเหยียบย่ำอยู่บนยอดไม้อย่างคล่องแคล่วและว่องไว คนที่ถูกฟาดบ่าลืมตาขึ้นมองความเร็วระดับสูงแล้วยกยิ้มที่มุมปาก จิ้งจอกเช่นเขานะหรือจะเมาสุราแค่ไหเดียว อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อคนที่หลิ่วเหวินอี้ต้องการจะพบ เพียงแค่นี้ก็ง่ายกับการสืบแล้ว
    
        เมื่อมาถึงตำหนัก หลิ่วเหวินอี้ก็ผลักร่างที่แบกมาลงเตียงนอนอย่างไม่ไยดีนัก ใบหน้าคมคายที่หลับตานิ่งนิ่วหน้าน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้น
    
       “นายน้อยท่านน่าจะให้คนอื่นช่วยแบกมานะขอรับ” จั่วเหรินที่เห็นเงาคุ้นตาเข้ามาภายในตำหนักจึงรีบเข้ามารับหน้าแต่ก็ยังช้ากว่าผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นว่าทำอันใดอยู่จึงได้เอ่ยบอกอย่างห่วงไย
    
       “ข้ามิได้อ่อนแอ เรื่องแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร ปล่อยให้เขานอนไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบแล้วหมุนกายออกจากห้องรับแขกไปยังห้องของตน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสาวน้อยน่ารักว่าที่คู่หมั่นมาดักรออยู่หน้าห้อง เขาเหลือบมองจั่วเหรินอย่างตำหนิที่ไม่ได้บอกลวงหน้าและยังให้มารออยู่ที่นี่
    
        “เจ้ามีธุระอันใด”
    
        “ข้ามีเรื่องตกลงกับท่านพี่เหวินอี้” ใบหน้าน่ารักส่งยิ้มหวานมาให้ แววตาทอประกายสดใสหลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะพาไปหยุดที่ศาลารินสระน้ำ
    
        “มีอันใดว่ามา” ร่างสูงสง่ายืนนิ่ง มือไขว่หลังมองใบหน้าเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง
    
       “ข้ารู้ว่าท่านมิได้ชอบข้า และข้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับท่านมากกว่าพี่ชาย แต่ในเมื่อข้าเก็บคำพูดของท่านมาพิจารณาแล้วล้วนเป็นจริง บิดามารดาหาได้อยู่กับข้าตลอดชีวิตไม่ และท่านพี่เหวินอี้เองก็ปฏิเสธการหมั่นหมายระหว่างเราไม่ได้ ข้าจึงอยากทำข้อเสนอกับท่าน” น้ำเสียงหวานสดใสและดวงตาแน่วแน่จ้องมองมา
    
       “ให้ข้าแกล้งว่าชมชอบเจ้า แต่งงานกับเจ้าแต่เพียงในนามใช่หรือไม่”  เมื่อจบคำพูดของบุรุษงดงามตรงหน้าทำให้เหมยฮวาตาโตอย่างคาดไม่ถึง นี่นางยังพูดไม่ทันจบแต่กลับจับใจความได้ ใครบอกว่าคนตรงหน้าโง่งม ข่าวลือบัดซบ! อย่าให้นางเจอตัวนะจะตัดลิ้นเสียให้หมดเลย
    
      “เอ่อ เป็นจริงอย่างท่านพี่กล่าว” นางละอายใจเล็กน้อยเมื่อต้องเอ่ยมาเช่นนี้ นางเองก็เห็นบรรดาแม่เลี้ยงของนางที่ไม่ได้รับความรักจากบิดา จึงได้มีแต่ความริษยาชิงชังให้กันเท่านั้น
    
        “แต่ท่านพี่มิต้องกังวลข้าจะไม่อยู่ให้ท่านระคายเคืองตา ข้าอยากออกท่องยุทธภพให้ทั่วหล้าข้าอยากเป็นจอมยุทธหญิงที่เที่ยวทั่วทุกแคว้น” หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายสิ่งที่นางเสนอมาก็เข้าที แต่เขาจะปล่อยให้เด็กน้อยไร้เดียงสาออกไปท่องโลกกว้างได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองยังมิอาจหลีกหนีอันตรายพ้น
    
        “มีคนผู้หนึ่งรักเจ้า หากเจ้าทำให้เขาเชื่อฟังได้เขาต้องติดตามเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง”
    
        “ท่านหมายถึงคุณชายหลิ่วเมิ่งซู” นางกล่าวพร้อมเบ้หน้าอย่างน่ารัก
    
        “ข้ากับคุณชายเมิ่งซูเจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน เขาเป็นคนมุทะลุ ใจร้อนวู่วามหากข้าแต่งกับเขาเพียงไม่เกินหนึ่งเดือนมีอนุมาเพิ่มอีกเป็นสิบคนแน่” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มมุมปาก การคาดเดาของนางนั้นถูกต้องนิสัยหลิ่วเมิ่งซูที่ถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กคงยากจะเปลี่ยนเพื่อคนๆ เดียว
    
        “ท่านไม่ทำตามข้อเสนอข้าอย่างนั้นหรือ” ใบหน้าเศร้าหมองของนางไม่ได้ทำให้ความเย็นชาลดลงแม้แต่น้อย เขาไม่ต้องการเอาตัวผูกมัดไว้กับผู้ใดแต่ก็ไม่อาจดูดายกับเด็กน้อยเบื้องหน้าได้
    
        “ไว้พรุ่งนี้เจ้าจะได้คำตอบทุกสิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นจงทำตามที่ใจต้องการ นี่ก็ดึกแล้วเจ้าไปนอนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงนิ่งพร้อมเดินกลับห้อง ปล่อยให้หญิงสาวมองตามอย่างมึนงงไม่เข้าใจ
    
        ร่างสูงโปร่งเดินเข้าห้องอย่างอย่างเงียบงัน วันนี้รู้สึกเหนื่อยล้ากว่าทุกวันทั้งใช้สมองอย่างหนักและยังใช้กำลังภายในไปมากโขสองวันติด วันนี้จั่วเหรินเตรียมน้ำให้อาบเหมือนแทนหลวนซานก่อนจะถอยออกไปรออยู่หน้าห้อง
    
        “ส่งข่าวบอกอีกาห้ามารับตัวเหมยฮวาไปดูแล อย่าให้ผู้ใดติดตามได้”
    
        เสียงนิ่งเรียบบอกเงาร่างหนึ่งมุมห้องก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด คำสั่งนี้เหมือนจะยุ่งยากแต่ก็ไม่ยากไปสำหรับกลุ่มอีกาที่เป็นดั่งเงายามราตรีอันมืดมิด  หลิ่วเหวินอี้เหม่อมองท้องฟ้าที่มืดมิดอย่างครุ่นคิด แม้เรื่องหลายวันนี้จะดูวุ่นวายแต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาได้ กลุ่มอีกาบิดาไม่มีทางรู้ และจะไม่มีวันได้รู้เด็ดขาด!



   ขอบคุณที่ติดตามมากค่าา ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4(จบ)(P.2วันที่ 23/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 23-02-2016 22:36:20
ผู้น้อย มึนส์ ไปหมดแล้วเจ้าค่ะ ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก รออ่านต่อไป  :hao4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4(จบ)(P.2วันที่ 23/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 24-02-2016 01:35:38
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ) บทที่9 เรื่องวุ่นวาย4(จบ)(P.2วันที่ 23/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Isunn ที่ 24-02-2016 13:56:44
ชอบแนวจีนโบราณมาก  ติดตามๆๆ

ขอแก้คำผิดหน่อยละกันนะ
 “เหตุใดนางถึงมาอยู่กับเจ้า นางยังไม่ได้ออกเรือนมิใช่หรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามขณะนั่งรับจอกชามาจากอีกฝ่าย
 “ข้าไม่ได้หมายสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนาง วันนี้ข้ามีนัดกับสาวงามที่หอบุปผา หากท่านพี่เหวินอี้ไม่รังเกียจที่นั่นไปเที่ยวชมกับข้าหรือไม่”
“เจ้าอันใด” อันนี้น่าจะเป็น เจ้ามีธุระอันใด  หรือเปล่า :mew2:

แต่ยังไง เนื้อเรื่องโดยรวมถือว่าดีมากๆเลย ชอบมาก :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 25-02-2016 23:57:37
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)


        เช้าวันรุ่งขึ้นลั่วเหยียนเจิ้งตื่นมาก็พบกับความวุ่นวาย เมื่อห้องที่ตนพักอาศัยถูกค้นหาด้วยศิษย์เอกของนิกายมารฟ้า ผู้คนเดินกันพลุกพล่านโดยมีเจ้าของตำหนักมีสีหน้าเศร้าสลดยืนนิ่งให้ใครบางคนด่าทออย่างน่าแปลกประหลาด คนผู้นั้นร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบตวัดมองเขาอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะออกคำสั่งกับคนในพรรคอย่างเคร่งเครียด
    
        “ค้นให้หมด หาหลักฐานให้ได้!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและดวงตาคมตวัดไปมองผู้ที่ยืนก้มหน้านิ่ง
    
        “เจ้าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
    
         “พี่ใหญ่ข้าวรยุทธต่ำช้า จะตามหานางได้เช่นไร ท่านมิคิดว่านางหนีออกไปเองบ้างหรอกหรือ” น้ำเสียงนิ่งเรียบขัดกับดวงตาที่สลดลงมากกว่าปกติ ทำให้ผู้แอบมองนิ่วหน้าดูการแสดงของครอบครัวประหลาดอย่างใคร่สงสัย ตั้งแต่มาพักอาศัยอยู่นี่สองวันไม่มีวันไหนสงบเลย
    
         “บัดซบ! เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาหรือไง เหมยฮวาถึงแม้มีวรยุทธแต่ไม่ได้เก่งกาจจะหายไปโดยไร้ร่องรอย อีกทั้งคนในนิกายมารฟ้าฝีมือมิได้ต่ำช้า ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นที่ตำหนักเหวินอี้ เจ้าต้องตามนางกลับมาเช่นนั้นประมุขพรรคตะวันดับคงไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
    
        “ข้าเข้าใจแล้ว” น้ำเสียงนิ่งเรียบตอบรับอย่างว่าง่ายทำให้หลิ่วเหวยจวงมองตามอย่างหงุดหงิด
    
        “ไม่พบสิ่งใดเลยขอรับ แม้กระทั่งร่องรอยก็ไม่เหลือ” คนสนิทเข้ามารายงานหลิ่วเหวยจวง ดวงตาเหลือบมองเจ้าของตำหนักเล็กน้อย
    
        “คำสั่งท่านพ่อหากไม่สามารถตามตัวเหมยฮวามาได้ ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก” น้ำเสียงจริงจัง ร่างสูงใหญ่เหยียดตรงใบหน้าคมคายดุดันเพราะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
    
        “นี่คงเป็นการขับไล่ข้าใช่หรือไม่ขอรับ” ใบหน้างดงามเงยหน้าสบตาเมื่อได้ยินคำสั่งออกจากปากพี่ใหญ่ ดวงตาคมมองมาที่ตนแล้วถอนหายใจ
    
        “ข้าจะพยายามตามสืบว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับผู้ใด หากทำได้เจ้าอาจจะได้กลับบ้านเร็วขึ้น” แม้จะโหดร้ายจริงจัง แต่ก็ยังเป็นพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลน้องๆ แม้จะเป็นน้องชายที่ไม่ได้เรื่องก็ตาม
    
        “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือ เหวินอี้จะไม่ลืมบุญคุณ”
    
        “หึ...” หลิ่วเหวยจวงหัวเราะในลำคอก่อนจะออกคำสั่งให้ทุกคนกลับไป ร่างสูงใหญ่แต่สง่างามเดินจากไปพร้อมดวงตาเย้ยหยันหันไปมองบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามนิ่งๆ ไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด เรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้เขาพอจะจับใจความได้ ดวงตาที่เศร้าสลดของหลิ่วเหวินอี้กลับมาเย็นชาเฉกเช่นเดิม มุมปากแต้มรอยยิ้มเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไป แต่ก็มิอาจพ้นสายตาแหลมคมของตนไปได้
    
        “พี่เหยียนเจิ้งขออภัยท่านด้วยที่ทำให้ท่านเดือดร้อน ข้ามิอาจต้อนรับให้ท่านพักอยู่ที่นี่อีกต่อไปได้” ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงหมองลงเล็กน้อย ลั่วเหยียนเจิ้งส่ายหน้ากับการแสดงของคนตรงหน้ายิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกสองตัว เขาอยากรู้นักในสมองคนผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่
    
        “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะตามเจ้าออกไปด้วย มีข้าช่วยอีกแรงจะได้ตามหาเหมยฮวาได้เร็วขึ้น” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับทำหน้ามึนเหมือนไม่เข้าใจว่าตนเองก็โดนไล่ไปเช่นกัน ดวงตาเรียวตวัดมองเขาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสงบเหมือนเดิม
    “ขอบคุณท่านที่เข้าใจข้า แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวข้า และข้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณท่านเพิ่ม” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นยังนิ่งสงบ ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับ
    “เจ้าอย่าได้ถือสาเรื่องเล็กน้อย ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานเรื่องของเจ้าย่อมเป็นเรื่องของข้า” คำตอบจริงจังและดวงตาจริงใจที่ส่งให้ทำให้หลิ่วเหวินอี้ชะงักงัน เพราะเคยกล่าวอ้างว่าตนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับถังต้าหลี่มาก่อน
    
       “เรื่องนั้น...”
    
        “อย่าได้คิดมาก ข้ายังไม่มีจุดหมายไปที่ใดไปกับเจ้าข้าอาจพบความสนุก หรือว่าเจ้ารังเกียจข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบก็แกล้งกล่าวด้วยน้ำเสียงสลด ดวงตาคมมองคนยืนนิ่งอย่างเฝ้ารอคำตอบ
    
        “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไปเตรียมตัวเถอะ”
    
         หลิ่วเหวินอี้ตอบรับ ก่อนจะเดินไปเก็บของจำเป็นของตัวเองบ้าง ทว่าในใจกลับไม่ได้นิ่งสงบเหมือนดังภายนอก เมื่อมีปลิงตามเกาะไม่ห่าง ปลิงตัวนี้ยังเจ้าเล่ห์เพอุบายไม่ต่างจากฮ่องเต้ผู้นั้น ช่างเถอะสักวันคงจะเบื่อแล้วเดินจากไปเอง ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยั่วยุนิสัยเด็กจริงๆ
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามร่างสูงโปร่งของเจ้าของตำหนักที่โดนเนรเทศออกจากบ้านอย่างครุ่นคิด เขาไม่ได้เกิดความสงสารเพราะคนเช่นนี้คงจะมีแผนการในใจ คิดจะผลักไสเขาออกไปด้วยงั้นหรือ ไม่มีทางหรอกเรื่องอะไรจะยินยอมง่ายๆ ในเมื่อยังมีเรื่องสนุกให้ชม อีกอย่างเขาจะได้ถือโอกาสไปท่องเที่ยวบ้าง
    
    หลิ่วเหวินอี้มองนิกายมารฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย แม้ที่นี่จะไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขแต่ก็ยังเป็นบ้านที่เขาอาศัยอยู่ตั้งแต่แรกเกิด “บ้าน” อย่างนั้นหรือ ทำไมเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่เคยเป็นบ้านเลย อยู่ท่ามกลางดงศัตรู แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไม่มีวันไหนจะอยู่อย่างสงบ
    
       “นายน้อยจะไปที่ไหนกันดีขอรับ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาไปมองหลวนซานที่ตามติดรับใช้มาตั้งแต่เด็ก ข้างกายมีผู้ติดตามสองคน นอกนั้นเขาให้อยู่ที่นี่รอการกลับมาอีกครั้งที่สำคัญเขายังต้องการสืบข่าวในนิกายมารฟ้าจะพาคนที่พอจะไว้ใจได้ไปหมดได้อย่างไร
    
        “ระยะนี้คนของท่านพ่อยังติดตามมา เดินเที่ยวตามเมืองต่างๆ ไปก่อนแล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับ ก่อนจะหันไปมองแขกผู้มีเกียรติที่ยอมติดตามตน ใบหน้าคมคายดวงตาอ่อนโยนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย คล้ายกับรู้ทันตนจนต้องระวังตัวมากขึ้น
    
         “ท่านพี่เหยียนเจิ้งอยากไปที่ใดหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามขณะโดดขึ้นม้าสำหรับไว้เดินทาง แม้จะไม่ค่อยได้ขี่แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างไร มองลั่วเหยียนเจิ้งที่กระโดดขึ้นม้าอย่างชำนาญหันมาส่งยิ้มให้
    
       “เจ้าจะตามใจข้าหรือ”
    
        “เป็นเช่นนั้น เพื่อไถ่โทษที่ไม่ได้ต้อนรับท่านอย่างดี”
    
        “ข้าอยากไปเมืองหยางไห่” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ เมืองหยางไห่ยังเป็นเขตแดนของแคว้นลั่วหยางซึ่งจำได้ว่ามีอ๋องมู่เหรินปกครองอยู่ ดวงตาเรียวคมเหลือบมองคนเอ่ยปากอีกครั้ง กิริยาสง่างามยามขี่อยู่บนม้าทำให้สะดุดตา อาภรณ์สีขาวเนื้อผ้าดีที่เย็บปักอย่างประณีต ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่นับว่าเป็นจอมยุทธธรรมดา แต่ใช่ว่าเขาจะนิ่งดูดายนิสัยสายลับอยากรู้สิ่งใดต้องสืบมาให้ได้ เวลานี้รอข่าวจากผู้ที่ติดค้างเขาเท่านั้น
    
         ทั้งห้าคนออกเดินทางโดยอาศัยม้าไปอย่างไม่รีบร้อนจนทำให้คนที่แอบติดตามได้แต่หงุดหงิดใจ เป้าหมายคือให้นายน้อยสี่ตามหาคุณหนูเหมยฮวาแต่เวลานี้อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไปท่องเที่ยวไม่ได้สนใจสืบข่าวหรือสอบถามผู้ใดแม้แต่น้อย
    
         ผ่านไปกว่าสามวันที่พวกมันตามติดอย่างใกล้ชิด ทว่าทุกอย่างเหมือนธรรมดาไปเสียหมด ไม่มีการกระตือรือร้น บ้างก็สอบถามผู้คนอย่างไม่จริงจัง จนพวกมันต้องรีบนำเรื่องนี้ไปบอกประมุขนิกายมารฟ้า ทว่าบางคนกลับมีแววตามาดหมายหากสังหารคุณชายสี่ได้ มันต้องได้หน้าจากคุณชายสามแน่ๆ
    
        หลิ่วเหวินอี้พาผู้ติดตามและลั่วเหยียนเจิ้งเข้าพักอาศัยภายในโรงเตี๊ยมในเมืองซานหลงเมื่อเริ่มพลบค่ำ เมืองนี้ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชไร่ข้าวของที่ไม่ได้แพงมากมายอะไร ต่างจากเมืองหยางเซาโดยสิ้นเชิง และคนที่มองด้วยความสนใจและยิ้มอ่อนโยนกับภาพที่เห็นกลับเป็นคนที่ขอตามมาด้วย
    
       ดวงตาเรียวมองตามอย่างครุ่นคิด กิริยาสูงส่งมองประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยรอยยิ้มจริงใจ ไม่ว่าดูอย่างไรก็เหมือนผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูง หรือว่าเป็นขุนนางในจอหงวน
    
       “ท่านจะเดินเล่นก่อนหรือว่าทานอาหารก่อน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามลั่วเหยียนเจิ้ง เมื่อส่งม้าให้เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่ง
    
        “ข้าขอเดินเล่นก่อน แล้วเจ้าเล่า” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับก่อนจะตอบกลับ ส่วนหลวนซานไปจัดการหาห้องพักสามห้องจั่วเหรินพักกับหลวนซานเพราะทั้งคู่เขาเก็บมาเลี้ยงด้วยกันจึงไม่ได้ติดขัดอันใด
    
       “ข้าขอนอนพักก่อน” หลิ่วเหวินอี้ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเดินตามเสี่ยวเอ้อไปยังห้องพักของตัวเอง เขาปล่อยโอกาสให้ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเล่นเพื่อตนจะได้ไปเอาข่าวกับสายของตน เพียงไม่นานลูกศรก็พุ่งเข้าทางหน้าต่างปีกขอบกำแพงด้วยความเร็ว เขาเดินไปดึงออกพร้อมจดหมายที่ถูกส่งมา
    
       หลิ่วเหวินอี้มองไปทิศทางที่ลูกศรพุ่งมา เห็นเพียงบุรุษอาภรณ์สีเขียวอ่อนนั่งเล่นอยู่บนหลังคาบ้านเรือนไม่ไกลนัก คนผู้นั้นส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหายไปจากสายตา มือหนาเปิดอ่านข้อความอย่างไม่รีบร้อนและไม่คิดว่าจะได้ข่าวสารเร็วทันใจเช่นนี้
    
        ‘ผู้ที่ติดตามเจ้ามีนามว่าลั่วเหยียนเจิ้งเป็นฮ่องเต้แคว้นลั่วหยาง แค่นี้เจ้าคงเข้าใจกระมัง หากใคร่สงสัยคืนนี้มาพบข้าที่หอโคมเขียว’
    
       หลิ่วเหวินอี้กำกระดาษในมือแน่น ริมฝีปากบางเม้มแน่น “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์” ต้องการสิ่งใดจากเขากันแน่ ดวงตาเย็นชาจ้องมองกระดาษในมืออย่างเคร่งเครียด คนผู้นี้หลอกลวงเขามาเสียนาน หวังว่าลั่วเหยียนเจิ้งจะไม่รู้ว่าเขาคืออีกา เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนจึงได้ข้อสรุปในใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากให้เขารู้ก็แสร้งไม่รู้ต่อไป แต่ระหว่างไม่รู้เขาจะเอาคืนทบต้นทบดอกกับที่กล้าใช้พิษกับเขาเมื่อครั้งแรกที่พบกัน อีกทั้งยังกล้าลวนลามเขาที่จวนอดีตผู้ว่าผู้นั่น แค่คิดความโกรธก็จุกที่ลำคอจนพูดไม่ออก กระดาษในมือยื่นใส่เปลวเทียนจนไม่เหลือหลักฐาน มาดูซิจิ้งจอกตัวนี้จะมีสักกี่ห่างกันเชียว

    ทางด้านลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งกำลังดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านถึงกลับจามออกมาสามครั้งติดต่อกัน ใบหน้าคมคายแดงก่ำ มือขยี้พระนาสิกตัวเองไปมา พลางคิดว่าใครกล้านินทาตนกัน ร่างสูงเดินเที่ยวเล่นมองความเป็นอยู่อย่างพอใจก่อนจะมาหยุดที่ร้านรองเท้าหนังสัตว์สีดำอย่างดี ทักทอด้วยหงส์คู่ประดับงดงาม เมื่อมองด้วยสายตากลับพบว่ามันน่าจะพอดีกับเท้าของลั่วเหยียนเจิ้ง
    
       “เถ้าแก่เอาคู่นี้”
    
       “ข้าเห็นก่อน ข้าต้องได้มัน” ลั่วเหยียนเจิ้งมองไปยังบุรุษอาภรณ์สีเขียวอ่อนถือพัดโบกไปมามือที่ว่างชี้มาที่รองเท้าคู่ที่เขาต้องการ
    
         “เอ่อ...คุณชายทั้งสองช่างตาถึงนัก รองเท้าประณีตสวยงามและหาได้ยากยิ่งเพียงแต่มันมีคู่เดียวที่ทางร้านขายในราคาสิบตำลึงขอรับ”
    
      “ข้าเอา”
    
        “ข้าเอา” สองเสียงร้องบอกพร้อมกัน ดวงตาคมกริบตวัดมองใบหน้างดงามของคุณชายไร้มารยาทที่ดูอย่างไรก็เหมือนไม่ใช่คนธรรมดา กลิ่นไอคล้ายอาจารย์แต่แปลกที่ดูแตกต่างในขณะที่เข้าใกล้ มองภายนอกเหมือนเย็นจิตใจทว่าเข้าใกล้กลับรู้สึกร้อนระอุในอก
    
        “เอ่อ...คือคุณชายทั้งสองข้าก็อยากขายให้พวกท่านเพียงแต่มันมีคู่เดียว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่หากท่านใดสวมใส่ได้ค่อยซื้อไป” เถ้าแก่เอ่ยตอบและเสนอด้วยความจนใจ คุณชายทั้งสองรูปลักษณ์ดูสูงส่งอีกทั้งกลิ่นไอของอำนาจแผ่ออกมาทำให้คนมีประสบการณ์ค้าขายมามากกว่าครึ่งชีวิตลอบปาดเหงื่อในใจ
    
       “ข้าต้องการไปฝากคน”
    
        “ข้าจะไปให้คนสำคัญของข้า” เสียงตอบรับพร้อมเพรียงกันทำให้เถ้าแก่ร้านเหงื่อตก ทั้งคู่มองสบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร และเสียงของทั้งคู่ก็เรียกให้คนบริเวณโดยรอบหันมามองด้วยความสนใจเพราะปกติจะเห็นแต่แย่งซื้อเครื่องประดับกันไฉนวันนี้คุณชายทั้งสองถึงมาแย่งซื้อรองเท้า ช่างน่าประหลาดนัก
    
        ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองผู้ที่ต้องการแย่งชิงรองเท้าคู่หงส์ของตนด้วยแววตาดุดัน ความอ่อนโยนบนใบหน้ามิหลงเหลือ มุมปากยกยิ้มเย็นผู้ที่ไม่เคยมีใครขัดใจกำลังโดนแย่งชิงของที่หมายปองต่อหน้าต่อตาคนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งจะยินยอมได้อย่างไร แม้จะเป็นเพียงของเล็กน้อยไม่มีค่าอันใด แต่มันคือสิ่งที่เขาคิดจะให้หลิ่วเหวินอี้และคิดว่าไม่มีใครสวมใส่มันได้ดีกว่าคนผู้นั้นอีกแล้ว
    
       “ข้าให้ยี่สิบตำลึง” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเถ้าแก่ที่อ้าปากค้างกับราคาที่เสนอ ส่วนคุณชายหน้าหยกกลับไม่ยอมแพ้เสนอราคาขึ้นจนคนรอบข้างตื่นตะลึง
    
        “ห้าสิบตำลึง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนตรงหน้าอย่างเดือดดาล แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่ง
    
        “หนึ่งร้อยตำลึง” คราวนี้เสียงฮือฮาดังรอบกาย มองคุณชายทั้งสองที่กำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา คุณชายหน้าหยกกลับยกยิ้มบางแล้วบอกราคาที่ทำให้คนฟังแทบล้มทั้งยืน
    
          “สองร้อยตำลึง”
    
           “เจ้า!” ลั่วเหยียนเจิ้งกัดฟันกรอดด้วยความโมโหเกิดมาไม่มีใครกล้ายั่วโมโหตนมากขนาดนี้ ความเยือกเย็นที่เคยมีก็ไม่ได้ทำให้หลุดวาจาหยาบคายออกไป
    
          “ห้าร้อยตำลึง” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งเสนอราคาทำให้ผู้คนบริเวณโดยรอบอ้าปากค้าง ทว่าเถ้าแก่กลับเป็นลมล้มทับไปกับราคารองเท้าเพียงคู่เดียวไปแล้ว เหลือเพียงลูกน้องภายในร้านที่รีบห่อผ้าให้อย่างรวดเร็ว

       “ฮ่าๆๆ รองเท้าคู่เดียวท่านกลับเสนอราคาห้าร้อยตำลึงแต่ในตัวท่านกลับไม่มีเงินถึงเพียงนั้น ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือ” คุณชายหน้าหยกกล่าวอย่างล้อเลียนคล้ายกับว่ารู้ว่าไม่ได้มีเบี้ยเลี้ยงดังที่กล่าวมา ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนตรงหน้านิ่งๆ มุมปากกลับยกยิ้มเย็นล้วงเข้าไปในอกเสื้อหมายจะเอาตั๋วแลกเงินให้ กลับพบเพียงว่างเปล่า ใบหน้าคมคายยังนิ่งสงบ มองคุณชายตรงหน้าอย่างเดือดดาล คิดไว้แล้วว่ามิใช่คนธรรมดามือเร็วฉกของคนอื่นไปต่อหน้าต่อตาและยังเอาตั๋วเงินมาโบกแทนพัดในมืออย่างยั่วโมโห
    
        “นี่ข้าซื้อต่อหกร้อยตำลึงเลย หวังว่าเจ้าจะไม่ว่าอะไรนะ” คุณชายหน้าหยกกล่าวด้วยวาจาหยอกล้อ ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มเย็น ในมือปรากฏกระบี่หยกขาวพุ่งเข้าหาร่างสูงโปร่งของบุรุษชุดเขียวด้วยความโมโห ร่างนั้นพลิ้วหลบไหวด้วยความเร็ว ชาวบ้านต่างแตกตื่นกับภาพตรงหน้า การต่อสู้ดุเดือดอีกทั้งลอยตัวอยู่บนฟ้าอย่างน่าตื่นตระหนก
    
        ฟิ้ววว
    
        ร่างสูงโปร่งของคุณชายหน้าหยกหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าดวงตาที่ยิ้มระรื่นกลับมองกระบี่ในมืออีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก เส้นด้ายสีขาวพุ่งเข้าหาหยุดร่างของลั่วหยียนเจิ้งไว้บนอากาศ
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มเย็น คิดไว้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถฉกเงินจากเขาไปได้โดยไม่รู้ตัวเช่นนี้ เส้นด้ายที่พันธนาการตนไว้นั้นต้องใช้กำลังภายในถึงสิบส่วนถึงจะขาดสะบั้นได้
    
        “ช้าก่อน เจ้าได้กระบี่หยกขาวมาจากที่ใด” น้ำเสียงที่เอ่ยถามสั่นพร่า ดวงตาตื่นตระหนกยืนมองร่างที่สะบัดหลุดพลังมารตัวเองได้อย่างแปลกประหลาดใจ
    
       “ฮึ มันเรื่องของข้าปีศาจเช่นเจ้าไม่สมควรรู้ที่ไปที่มา” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตอบอย่างเย็นชา ดวงตาที่เคยอบอุ่นไม่หลงเหลือ พร้อมพุ่งร่างเข้าหาร่างสูงโปร่งตรงหน้าอีกครั้ง
    
       ฟิ้วววว
    
        “เจ้าอย่าคอยแต่หลบ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกศัตรูตรงหน้าอย่างโมโหเมื่ออีกฝ่ายไม่โต้ตอบ คอยแต่หลบไปมามองกระบี่ในมือตน ดวงตาประกายเศร้าหมองสุดจะหยั่งถึงมันเสียดแทงหัวใจผู้ที่มองเห็น จนต้องหยุดชะงักไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
    
         “ข้าขอโทษที่ยั่วโมโหเจ้า และขโมยตั๋วเงินเจ้า แต่บอกได้หรือไม่ว่าเจ้าได้กระบี่หยกขาวมาจากที่ใด”น้ำเสียงเว้าวอนของอีกฝ่ายทำให้ฮ่องเต้ที่รับมือกับผู้คนมาหลายปีถึงกลับนิ่งงัน หมดอารมณ์ที่จะฆ่าฟันอีกคนรับตั๋วเงินที่ลอยมาเบื้องหน้า ก่อนจะลงพื้นเดินเข้าไปหยิบรองเท้าและตั๋วเงินให้เถ้าแก่ ผู้คนล้วนเปิดทางให้ไม่กล้าตอแย ทว่าแม้จะเดินออกจากร้านไม่สนใจบุรุษหน้าหยกนั่นแต่เจ้าตัวกลับเดินตามเขาไม่เลิกรา
    
        “เจ้าจะตามข้าทำไม” เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงหันกลับไปถามผู้เดินตามตนต้อยๆ อย่างหงุดหงิด    “ข้ามาหาสหายข้าหาใช่เดินตามเจ้าไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับผิดกับเมื่อครู่นี่จนแทบเป็นคนละคน ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองคนตรงหน้าอย่างพินิจ สายตาแหลมคมที่อยู่ในวังหลวงแห่งการหลอกลวงมาหลายปีเมื่อพิจารณาดีแล้วคนตรงหน้าหมายเพียงต้องการรู้ที่มาของกระบี่ ทั้งๆ ที่กระบี่เล่มนี้ไม่น่าจะมีคนรู้จัก หรือว่า...

    “กาลเวลาผันเปลี่ยน คนมิเปลี่ยน กาลเวลาเปลี่ยน ทัณฑ์สวรรค์มิเปลี่ยน เดียวดายไร้ที่สิ้นสุด”
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบก่อนจะเดินจากไป ทว่าคนที่ได้สดับฟังคำปริศนากลับยืนนิ่งงัน น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า เส้นผมที่เคยเป็นสีดำกลับกลายเป็นสีเงินร่างที่ยืนอยู่สั่นระริก หัวใจร้าวรานไม่กล้าแม้จะขยับกาย หิมะโปรยปรายลงมาเหมือนผิดฤดูกาล ความเหน็บหนาวเวลานี้ยังไม่เหน็บหนาวเท่าจิตใจผู้ที่สดับรับฟัง...


  ขอบคุณที่ติดตามค่าา คำผิดจะทยอยแก้ให้นะคะ ดีใจที่มีคนท้วงติงเพราะเขียนเสร็จแล้วลงเลยไม่ได้ตรวจทาน ต้องขอโทษด้วยนะคะหากอ่านแล้วเสียอรรถรส :3123: :3123: :3123:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 26-02-2016 07:37:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 10-03-2016 18:02:12
รออ่านตอนต่อไปจ้า เป็นกำลังใจให้คุณฟางจ้า สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ้Sin.7 ที่ 18-03-2016 05:44:45
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
ได้โปรดอัพตอนต่อไปเถอะนะ เขารอคนเขียนอยู่นะ คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 18-03-2016 08:40:58
สนุก  ตื่นเต้น เหมือกำลัง ดูหนัง กำลังภายในเลยค่ะ :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่10เหตุเกิดเพราะรองเท้า(P.2วันที่ 25/2/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 19-03-2016 07:19:37
แง กำลังหนุก  :sad4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 07-04-2016 18:05:58
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)


        เวลาหลิ่วเหวินอี้มองรองเท้าสลับกับใบหน้าคมคายที่จ้องมองอย่างคาดหวังว่าจะถูกใจตน ข่าวการปะทะแย่งชิงรองเท้าดังรอบเมืองอย่างรวดเร็ว และผู้คนมากมายต่างเห็นรองเท้าคู่นี้แล้วเขาจะกล้าสวมใส่ได้อย่างไร และที่สำคัญทำไมเขาใส่ร้องเท้าที่คนอื่นซื้อให้!
   
        “น้องเหวินอี้เจ้ารังเกียจข้าหรือ” น้ำเสียงเศร้าสลดและดวงตาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ทำให้หลิ่วเหวินอี้ขมวดคิ้วมองจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ว่าจะมาไม้ไหน
    
         “ท่านรู้ความหมายของรองเท้าหรือไม่” คำถามของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะส่งยิ้มกลับมา
    
         “รองเท้าคู่นี้เหมาะกับเจ้า ไม่ว่าความหมายจะเป็นเช่นไรน้องเหวินอี้เท่านั้นที่คู่ควร” หลิ่วเหวินอี้กรอกตามองอย่างเบื่อหน่าย
    
         “ท่านเอากลับไปเถอะ ข้าไม่สามารถรับได้” การปฏิเสธเสียงแข็งของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าคมคายนิ่วหน้าน้อยๆ เพราะไม่เคยมีใครปฏิเสธของที่ตนให้มาก่อน
    
         “เพราะเหตุใด” น้ำเสียงนิ่งเรียบและแววตาผิดหวังที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่น ไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี เขาไม่ใช่คนพูดมากแต่เมื่อไม่กล่าวสิ่งใดคงจะทำให้มัวหมองต่อกันไม่มากก็น้อย
    
        “ความหมายของรองเท้าสำหรับข้า คือการที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน แม้จะสุขหรือทุกข์ก็จะไม่ทอดทิ้งกัน ข้าจึงไม่อาจรับรองเท้าของท่านพี่เหยียนเจิ้งได้ โปรดเข้าใจข้าด้วย” น้ำเสียงลำบากใจของอีกฝ่ายและความหมายของรองเท้าที่เกินจากที่คาดหมายเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
    
        “ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับอย่างว่าง่ายไม่ได้กวนใจอีก รองเท้าที่ซื้อมาห้าร้อยตำลึงถูกโยนลงถังขยะอย่างไม่ไยดี หากเจ้าของไม่อยากได้เหตุใดต้องเก็บไว้
    
       “ข้าเหนื่อยขอตัวก่อน” หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึงกับการกระทำของคนตรงหน้า เอาแต่ใจสุดๆ ใบหน้าผิดหวังของอีกฝ่ายยังกวนใจไม่หยุดแม้เจ้าตัวจะกลับเข้าห้องตัวเองไปแล้ว
    
      “เอ่อ...นายน้อยจะไม่รับจริงๆ หรือขอรับ” จั่วเหรินที่เข้ามาเตรียมน้ำให้อาบเอ่ยถามอย่างเกรงใจรองเท้าราคาแพงนั้นงดงามแต่ราคานั้นไม่สำคัญเท่ากับน้ำใจผู้ให้ เรื่องนี้นายน้อยของตนรู้ดีเพียงแต่หลิ่วเหวินอี้เป็นคนที่อ่านใจยาก การกระทำทุกอย่างล้วนมีเหตุผล
    
      “เจ้าออกไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบ ประตูห้องถูกปิดลงแต่เจ้าของห้องอย่างเขายังยืนนิ่งกังวลใจกับสิ่งที่ตนเป็นคนทำ เขาไม่เคยคิดอะไรที่มันยุ่งยากเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่เกิดมาในชาตินี้มิมีใครซื้อสิ่งใดให้แม้แต่ของขวัญวันเกิดยังไม่มีสักชิ้น!
    
        ดวงตาเรียวมองรองเท้าที่ถูกทิ้งแล้วได้แต่ถอนใจยาว...
    
   
         ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งเอนกายพิงเก้าอี้นั่ง มือขวารับชามาดื่มอย่างเกียจคร้าน อาหารตรงหน้าพร่องไปมากพอควร แม้จะไม่อร่อยเท่าในวังหลวงแต่เมื่อมีคนมานั่งดื่มกินด้วยก็ทำให้รู้สึกรสอาหารถูกปากไม่น้อย ดวงตาเรียวมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนไม่ได้น้อยใจกับของขวัญที่ถูกทอดทิ้ง หลิ่วเหวินอี้ทานอาหารได้อย่างเจริญตานัก ความไม่พอใจในอกถูกลบเลือนหายไปเมื่อถูกตามใจด้วยอาหารหลากรส รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ตนจะเห็นแก่กินไปเสียแล้ว
    
       ลั่วเหยียนเจิ้งวางชาในมืออย่างเชื่องช้า แล้วหยิบตะเกียบคีบผัดผักชิงช่ายฮวา   (บรอกโคลี) วางใส่จานให้หลิ่วเหวินอี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายกินแต่จำพวกเนื้อไม่แตะต้องผักเท่าที่ควร ดวงตาเย็นชาเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะเขี่ยผักที่ตนวางให้ไปไว้มุมจาน อีกทั้งใช้ตะเกียบไปคีบเขาหรูจู(หมูหัน)วางใส่จานตัวเองนั่งทานต่ออย่างไม่สนใจ
    
      “เจ้าน่าจะกินผักบ้างมันมีประโยชน์” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ดวงตาเย็นชาคู่นั้นเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะทานต่ออย่างไม่ใส่เช่นเคย มุมปากยกยิ้มเบาบางกิริยาของคนตรงหน้าดูเหมือนเด็กน้อย เลือกกินและดื้อเงียบ เขาคีบเสี่ยวหวงกวา (แตงกวา) ใส่จานอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่กิริยาเมินเฉย
    
      “เสี่ยวหวงกวากินง่าย มีประโยชน์ด้วย”
    
        “...”
    
         ใบหน้างดงามมองเขานิ่งๆ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะคีบเสี่ยวหวงกวงเข้าปากอย่างไม่ค่อยยินยอมนัก ลั่วเหยียนยกยิ้มพอใจ
    
       “พอใจหรือยัง” น้ำเสียงเย็นนิ่งเอ่ยถามเมื่อผักที่วางอยู่ในจานรับประทานจนหมด
    
        “ดียิ่ง” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบรับอย่างไม่ใส่ใจดวงตาดุๆ ที่มองมา หลิ่วเหวินอี้ยกผ้าชับปากพร้อมดื่มน้ำชาตามอึกใหญ่ พวกเขาทานข้าวอยู่ภายในห้องพักเพราะผู้คนเวลานี้เริ่มเยอะ แม้จะอยากหาข่าวแต่เขาเบื่อสายตาที่ผู้คนมองมา ชื่อเสียงภายในวันนี้ของเขาลือกระส่อนไปทั่วทั้งเมืองอีกทั้งความงดงามของคนตรงหน้าดูถูกไม่ได้ทำให้ผู้คนมองตามไม่ขาดสาย
    
        “นี่คงแทนที่รองเท้าได้กระมัง” ดวงตาเย็นชามองมาที่หน้ากากสีดำลายพยัคฆ์ที่เขายื่นให้ ใบหน้านั้นนิ่วน้อยๆ
    
         “ข้าไม่เข้าใจการกระทำของท่าน ท่านพี่เหยียนเจิ้งต้องการสิ่งใดกับข้า” น้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าดวงตาที่ส่งมาให้ความรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่คำถามนี้กลับทำให้เขานิ่งอึ้ง นั่นสิ เพราะเหตุใดถึงอยากซื้อข้าวของให้คนตรงหน้า และเพราะเหตุใดเขาถึงสนใจอีกฝ่ายมากมายเพียงนี้ แม้แต่ตัวเขาเองยังตอบคำถามนี้ไม่ได้
    
        “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้านึกเอ็นดูเจ้าเพราะเจ้าเหมือนน้องชายข้า ทว่าตั้งแต่ได้เมียไปกลับเป็นคนชอบติดเมียจนลืมข้าไปเสียแล้ว น่าน้อยใจจริงๆ” คำกล่าวตัดท้อและดวงตาที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างทำให้คนมองหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีภาพนั้น กิริยาดูเป็นธรรมชาติของคนตรงหน้าช่างน่ากลัวนัก หลิ่วเหวินอี้ได้แต่ครุ่นคิดและเพิ่มการระวังตัวมากขึ้น
    
        หลังจากลั่วเหยียนเจิ้งออกจากห้องไป หลิ่วเหวินอี้จึงได้ขยับออกจากเก้าอี้ที่นั่งทานข้าว หัวใจยังนิ่งสงบแม้จะถูกก่อกวน ไม่ว่าอย่างไรจิ้งจอกก็เป็นจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ ไม่อาจไว้ใจได้ฮ่องเต้ที่ปกครองคนทั่วแคว้นได้อย่างสงบร่มเย็นมาหลายปีคงไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แม้กระทั่งข่าวลือว่าพระองค์พระวรกายอ่อนแอขี้โรคมาตั้งแต่เด็ก ทว่าตัวจริงวรยุทธสูงล้ำ การที่คนในวังหลวงไม่มีคนรู้ย่อมหมายถึงคนผู้นี้เสแสร้งแกล้งทำได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติจนน่าหวาดกลัว อยากรู้นักในจิตใจที่ว่างเปล่าของฮ่องเต้ผู้นี้คิดการใดอยู่
    
         ยื่นมือไปจับหน้ากากที่วางไว้อย่างพิจารณา มันประณีตและสวยงาม แต่เหตุใดคนผู้นั้นถึงเพียรซื้อข้าวของให้ตน หรือว่าจะถูกจีบ? ดวงตาเหลือบมองของอีกอย่างที่เขาเก็บมาด้วยความใจอ่อน ไม่สิ เขาเสียดายเงินห้าร้อยตำลึงต่างหาก คนอย่างหลิ่วเหวินอี้นี่นะจะใจอ่อนให้คนพรรค์นั้น
    
         หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจของฝากลุกขึ้นไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุดอีกครั้ง เพื่อไปหาใครบางคนที่ส่งข่าวให้ที่หอโคมเขียว พอร่างโปร่งเดินเข้าไปหากลับได้การต้อนรับอย่างดี จึงทำให้ระวังตัวมากขึ้น คนผู้นี้ไม่ธรรมดาแม้กระทั้งข่าวสำคัญยังสามารถหามาได้เพียงแค่สองคืนเท่านั้น หากเป็นศัตรูย่อมเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงแต่หากได้ผูกเป็นมิตรย่อมหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกันได้
    
         หลิ่วเหวินอี้มาเพียงคนเดียวเดินตามสาวงามเข้าไปในห้องหนึ่ง จึงได้เห็นคนที่ต้องการจะพบสวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอ่อนนอนเอนพิงหมอนใบใหญ่ เหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเศร้าหมองจนทำให้คนที่หัวใจเย็นชาเช่นตนยังรู้สึกสะท้านในอก รับรู้ความรู้สึกนั้น เหตุใดถึงได้เศร้าหมองถึงเพียงนั้น
    
        “เจ้ามาแล้วหรือ” ใบหน้างดงามและเรือนผมสีขาวสะดุดตาหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อน หลิ่วเหวินอี้เดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างทางซ้ายมือโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองเขานิ่งๆ
    
       “ข้าคิดว่ารองเท้าคู่นั้นจะเป็นของเจ้าเสียอีก” คำทักทายแรกและรอยยิ้มล้อเลียน ทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมอง รับชาที่ถูกสาวงามรินให้มาถือไว้
    
        “ฝีมือเจ้า”
    
         “จะว่าเช่นนั้นก็ได้” ฟางเทียนฟงตอบรับอย่างไม่ได้เดือดร้อนใจกับข่าวลือในเมือง มือเรียวลูบเส้นผมตนเองเล่นอย่างแผ่วเบา ดวงตายังจับจ้องใบหน้างดงามที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชาอย่างพิจารณา คนผู้นี้แม้อายุยังน้อยแต่มีความคิดความอ่านมากกว่าคนทั่วไป
    
       “เจ้าพอจะรู้หรือไม่ฮ่องเต้ติดตามข้ามาเพราะเหตุใด” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงนิ่ง พยายามไม่สนใจบรรยากาศเศร้าหมองของอีกฝ่าย แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่มิอาจลบออกไปได้ง่ายๆ
    
        “นั่นสิ ข้อนี้ข้าเองก็อยากรู้ ราชสำนักไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพมาช้านาน แต่กลับตามติดเจ้าไม่ห่างช่างน่าสงสัยจริงๆ เจ้าว่าไหม” รอยยิ้มเหมือนล้อเลียนของฟางเทียนฟงทำให้คิ้วคมเฉียงที่รับกับใบหน้างดงามนิ้วขึ้นน้อยๆ
    
        “ข้าควรกลับ” หลิ่วเหวินอี้วางถ้วยชาและลุกขึ้นอย่างตัดเยื้อใย ฟางเทียนฟงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
    
         “ช้าก่อน ข้าอาจไม่รู้ความปรารถนาในใจของฮ่องเต้ผู้นี้ได้เพราะมีบางอย่างขวางกั้น แต่สิ่งที่ข้าพอรู้เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับยุทธภพ เช่นนั้นจงวางใจว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากเจ้า” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองอาการลนลานของอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเพราะไม่ติดค้างน้ำใจอันใดแก่กันแล้ว
    
         “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอันใด ถึงได้ร้อนรนเช่นนี้” น้ำเสียงนิ่งเรียบและดวงตาเย็นชาที่มองมาทำให้ฟางเทียนฟงหลุบตาลงอย่างครุ่นคิด
    
        “ข้าเพียงปรารถนาจะเป็นสหายเจ้าอย่างแท้จริง หาใช่เพียงแค่ผลประโยชน์ไม่” คำตอบของบุรุษตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาประกายเย็นชา สหายหรือ? เขาไม่เคยชื่นชอบคำว่าสหายเลย
    
       “คนเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องมีข้าเป็นสหายหรอกฟางเทียนฟง แต่เจ้าต้องการใช้ประโยชน์จากข้ามากกว่า หากไม่บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงข้าคงต้องกลับ” น้ำเสียงเย็นชาและแววตาเย้ยหยันทำให้เจ้าของชื่อนิ่งงันไปชั่วครู่ เหตุใดคนตรงหน้าถึงได้ต่อต้านคำว่าสหายอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่คิดจะรับไมตรีแม้แต่น้อย
    
        “ข้าเข้าใจแล้ว” ฟางเทียนฟงกล่าวอย่างยอมแพ้แววตาเย็นชาและไม่มีการอ่อนข้อของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่าคนตรงหน้ารู้เหลี่ยมผู้คนมามากมาย และไม่เคยเชื่อใจผู้ใด หากคิดจะให้คนตรงนี้เชื่อใจไว้ใจอย่างแรกคือจริงใจกับหลิ่วเหวินอี้เสียก่อน
    
        “ข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วย หากเจ้าทำได้ข้าจะตอบแทนทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังที่ส่งมา ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด เหตุใดคนอย่างประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าถึงขอร้องตนแต่ก็ยอมนั่งลงตามเดิม
    
       “หากข้าทำตามไม่ได้เล่า”
    
        “ถือว่าข้าไร้วาสนา” คำตอบพร้อมรอยยิ้มเศร้าทำให้หลิ่วเหวินอี้เบือนหน้าหนี อย่างไรคนตรงหน้าก็มีประโยชน์แก่ตน หากสร้างบุญคุณไว้ภายภาคหน้าเดือดร้อนมาอย่างไรก็สามารถทวงบุญคุณกับคนผู้นี้ได้ แม้จะเจ้าเล่ห์ไปบ้างแต่ก็ยังรักษาสัจจะที่เคยให้ไว้
    
        “บอกจุดประสงค์มาเถอะ หากข้าช่วยได้จะช่วยแล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้แบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่รู้ว่าคนอย่างฟางเทียนฟงต้องการอะไรที่เกินความสามารถตนไปหรือไม่ ใบหน้างดงามเหมือนดั่งไม่ใช่มนุษย์แย้มยิ้มออกมาคล้ายคาดหวัง
    
        “ข้าอยากรู้ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ได้กระบี่หยกขาวมาจากที่ใด เรื่องนี้สำคัญกับข้ามากหากเจ้าได้คำตอบและที่อยู่ของบุคคลที่ให้กระบี่นี้แก่เหยียนเจิ้งข้าจะตอบแทนทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับคำขอร้อง การตามหาคนและสิ่งของฟางเทียนฟงย่อมทำได้อยู่แล้ว เหตุไฉนจึงใช้ตน
    
        “เรื่องนี้เกินความสามารถของข้า กระบี่เล่มนั้นมิใช่ของธรรมดาทั่วไป” ฟางเทียนฟงกล่าวเหมือนรู้ความในใจ หลิ่วเหวินอี้ครุ่นคิดเรื่องที่ขอนั้นยากเกินความสามารถของตน เพราะคงไปบังคับขู่เข็นจิ้งจอกเก้าหางอย่างลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ อีกทั้งตนไม่ใช่คนพูดมากมองไปทางไหนก็เหมือนจะตัน อย่างแรกต้องให้เหยียนเจิ้งไว้ใจและค่อยๆ ถามเกี่ยวกับกระบี่ แต่ว่าปัญหาอยู่ที่ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้โง่เขลา
    
        “ข้าจะพยายามแต่อย่าได้คาดหวัง เพราะลั่วเหยียนเจิ้งผู้นี้เป็นคนเช่นไรท่านย่อมรู้ดี” ฟางเทียนฟงพยักหน้ารับเพราะที่กล่าวมานั้นถูกต้อง แม้จะอ่านจิตใจไม่ได้แต่ก็ยังพออ่านออกว่าเป็นคนเช่นไร
    
         “ก่อนจะช่วยเจ้า ข้ามีคำถาม” หลิ่วเหวินอี้กล่าวขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเย็นชามองคนนั่งลูบเส้นผมอย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ตนนิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ เขามองไปที่สาวงามซึ่งคอยรินน้ำชาให้ ฟางเทียนฟงเหมือนจะเข้าใจโบกมือไล่พวกนางออกไป เมื่อประตูปิดอีกครั้งเขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
    
         “เจ้ามิใช่มนุษย์ใช่หรือไม่” คำถามของหลิ่วเหวินอี้ทำให้ฟางเทียนฟงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยกยิ้มบางและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เอนกายพิงหมอนอย่างเกียจคร้านไม่ได้หวาดกลัวกับความลับของตนจะถูกเปิดเผย
    
        “เหตุใดจึงคิดว่าข้ามิใช่มนุษย์” หลิ่วเหวินอี้เหยียนยิ้มที่มุมปากมองคนตรงหน้าแล้วกล่าวเสียงเรียบ
    
        “เจ้าคงไม่เคยมองคันส่องตัวเองหรอกกระมัง” ฟางเทียนฟงลูบเส้นผมตัวเองเล่นไปมา เงยหน้าสบตากับหลิ่วเหวินอี้อย่างเชื่องช้า พลางครุ่นคิดกับตนเองในใจว่าคนตรงหน้ามีบางอย่างที่พิเศษแต่มิอาจรู้ว่าพิเศษที่ตรงไหน แต่ที่มั่นใจ คือคนตรงหน้านี้เป็นมนุษย์แน่นอน
   
        “เวลานี้เจ้าเห็นข้าเป็นเช่นไร” หลิ่วเหวินอี้นิ้วหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็บอกตามที่ตนเห็น
    
        “ใบหน้างดงามดุจไม่ใช่มนุษย์ เส้นผมสีขาวโพลนอีกทั้งดวงตาสีน้ำเงินเข้มให้ความรู้สึกถึงปีศาจจิ้งจอกที่จำแลงมาโลกมนุษย์” คำกล่าวของหลิ่วเหวินอี้ทำให้ฟางเทียนฟงลุกพรวดจ้องมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เหตุใดภาพมายาถึงใช้ไม่ได้ผลกับคนผู้นี้!
    
        “เจ้าเห็นเช่นนี้นานเท่าไหร่” คำถามตื่นตระหนกของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งเงียบ ความรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและสัญชาตญาณร้องเตือนว่ากำลังเจอเรื่องยุ่งยาก และลางสังหรณ์ตั้งแต่เกิดมาในชาติภพนี้ไม่เคยผิดพลาด
    
       “เหวินอี้เจ้าเป็นใครกันแน่” ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองเหมือนจะทะลุให้ถึงจิตใจ
    
        “ข้าเป็นเพียงมนุษย์” ตอบพลางสบตาสีน้ำเงินเข้มมิหลบหนี จะให้ตอบเป็นอะไรในเมื่อเขาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้
    
        “ฟางเทียนฟงไม่ว่าเจ้าจะสงสัยอันใดข้า แต่ข้าคือมนุษย์ที่สำคัญข้าถามเจ้าก่อน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยตอบเสียงแข็งและส่งแรงกดดันไปให้ โดยไม่ได้หวาดกลัวสายตาที่จ้องมองมาแม้แต่น้อย แต่แล้วขนในกายกลับลุกชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุโดยเฉพาะรอยยิ้มหวานละมุนของคนตรงหน้า
    
        “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ดวงตาของเจ้าไม่ธรรมดา” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนที่เข้ามาใกล้ด้วยความเร็วจนน่าตกใจ ใบหน้าอีกฝ่ายยื่นมาใกล้จนต้องถอยห่าง เขาขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ
    
        “ข้ามิใช่มนุษย์ แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นสิ่งใด แต่หากเมื่อไหร่ที่เจ้าได้ที่อยู่ของคนที่ให้กระบี่หยกขาวจากเหยียนเจิ้งมาได้ข้าจะบอกเจ้าตกลงหรือไม่” คำต่อรองและคำตอบไม่ได้เกินจากที่คาดหมายไว้ หลิ่วเหวินอี้ขยับกายถอยห่างแต่อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้หลบหนีสายตาคู่นั้นจ้องมองเขาด้วยแววตาพราวระยับ
    
       “ถอยไป” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเสียงเย็น ดวงตาฉายแข็งกร้าวมองผู้ที่รุกล้ำเข้าใกล้ตนเกินไปอย่างโกรธ
    
       ฟางเทียนฟงสัมผัสแววตาเอาจริงของอีกฝ่ายจึงยอมถอยห่างออกมา คนตรงหน้ากำลังทำให้จิตใจดำมืดของเขามีความหวัง กลิ่นไอคนตรงหน้าไม่ใช่คนนั้นแต่เขากำลังเริ่มมีความวัง ไม่ว่าเพราะเหตุใดความรู้สึกถึงบอกว่าคนคนนี้สามารถให้เขารู้ที่อยู่ของคนผู้นั้นได้ แม้ต้องบุกนรกลุยสวรรค์เขาก็จะทำหากได้ที่อยู่คนที่อยู่ในหัวใจเขาจะทำ
    
        “ขอโทษข้าตื่นเต้นไปหน่อย” น้ำเสียงอ่อนลงของคนตรงหน้าและแววตาคาดหวังของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใ
จ เรื่องวุ่นวายคงจะตามมาในไม่ช้า
    
      “ช่างเถอะ ข้าจะกลับได้ข่าวแล้วจะบอก” หลิ่วเหวินอี้ตัดบท ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจอะไรหรือว่าเป็นเทพเซียนจากไหนแล้ว ยิ่งก้าวเข้าใกล้เหมือนเดินไปในเส้นทางที่ไม่รู้จัก
    
       “ระวังตัวด้วย”
    
        ฟางเทียนฟงกล่าวลา ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายพุ่งทะยานออกไปทางหน้าต่างอย่างว่าง่าย ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ เหตุใดคนผู้นี้ถึงมีดวงตามองผ่านมายาได้หรือว่าตบะของตนอ่อนแอลง?
    
        ขณะเดียวกันหลิ่วเหวินอี้กลับมาถึงห้องก็ได้ครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ คำกล่าวของฟางเทียนฟงยังก้องอยู่ภายในหัว

        “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ดวงตาของเจ้าไม่ธรรมดา” มือหนาลูบขอบตาแผ่วเบา คำถามนี้เขาไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเจออะไรที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน เขาไม่คิดว่าตนเองพิเศษกว่าคนอื่นเพราะมีเพียงแค่ความทรงจำของชาติที่แล้วเท่านั้นที่ติดมา นอกนั้นก็เหมือนคนปกติมิใช่หรือ?
    
         พรึบ!
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ้Sin.7 ที่ 08-04-2016 02:04:07
 :hao5: มาต่อแล้วววววว โอ้ยลุ้นทุกตอนนนนน กลับมาต่อไวๆนะ
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 08-04-2016 04:21:02
พรึบ!!!  :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-04-2016 07:20:32
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 14-04-2016 00:09:01
ยังรออยู่นะค้า ติดตามมาจากภาคแรกค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 21-04-2016 20:16:14
ติดตามแบบเกาะติด
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 22-04-2016 22:40:19
ค้าง จนอยากจะกรีดร้อง  :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 23-04-2016 12:15:06
รออยู่นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 24-04-2016 09:05:12
รอติดตามค่ะ   ฟงเทียนต้องเป็นปีศาจจิ้งจอกที่รักกับเทพตกสวรรค์ที่เคยช่วยฮ่องเต้แน่เลย   เมื่อไหรน้าเหวินอี้จะยอมรับรักฮ่องเต้เสียที
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 24-04-2016 15:34:14
 :3123: อ่านเพลินจนหยุดไม่ได้เลย รอมาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: repilca ที่ 26-04-2016 14:15:05
พรึบ! อะไร
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: devilpoo ที่ 26-04-2016 14:31:47
มาลงที่เล้าบ่อย ๆ นะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่11ความหมายของรองเท้า(P.2วันที่ 07/4/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 26-04-2016 14:55:43
อารายยยย พรึบ!!  มาต่อเด๋วนี้ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่12สวยสังหาร(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-05-2016 08:06:13


เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่12สวยสังหาร(P.3วันที่ 13/5/59)           

            พรึบ!
    
           เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำบนหลังคาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยิ้มเย็น ในที่สุดพวกมันก็มารนหาที่ตาย เขารู้ดีว่าพวกนี้คิดกำจัดเขาเพื่อเอาหน้า และคิดใส่ความพรรคอื่น ร่างสูงโปร่งหลบไปข้างเตียงดึงผ้าม่านมุมเสามาบังกายเอาไว้ ในมือปรากฏมีดสั้นสองเล่มทำมาจากเหล็กเนื้อดีซึ่งสั่งทำพิเศษ และเป็นสิ่งที่เขาถนัดมากกว่ากระบี่หรือดาบ
    
          เงาร่างสีดำพุ่งเข้ามาในห้องอย่างระวัง ก่อนจะพุ่งมาที่เตียงนอนหมายสังหารให้ตายตกภายในโจมตีเดียวเพื่อไม่ให้เกิดเสียง
    
           ปุ๊!
    
            มันเบิกตากว้างเมื่อมีดสังหารหมายประหัตประหารนายน้อยผู้ไร้ค่ากลับพบเป็นเพียงหมอนใบหนึ่งเท่านั้น ทันใดสันชาติญาณของนักฆ่าร้องกรีดเตือนถึงอันตรายด้านหลัง
    
            ฉัวะ!
    
           แม้จะหลบแต่ก็มิอาจพ้น แผ่นหลังมันถูกคมกระบี่เฉือนลึกจนปวดร้าวไปทั้งร่าง มันหันไปมองผู้ที่ทำร้ายมันด้วยความเกรี้ยวโกรธ ทว่าภาพตรงหน้าทำให้มันไม่อยากเชื่อสายตา จิตสังหารเย็นเยือกของคนตรงหน้าทำให้มันถึงกับเข่าอ่อน ทำไมนายน้อยสี่ที่ไร้ค่าในสายตากลับมีจิตสังหารได้น่ากลัวเช่นนี้ ร่างสูงโปร่งใบหน้างดงามสะท้อนแสงจันทราให้ดูงดงามทว่ามันกลับรู้สึกหวาดกลัวไปถึงจิตใจ คนผู้นั้นมองมันเหมือนกระต่ายที่จับฆ่ายามใดก็ได้
    
           ฉัวะ!
    
            อ๊ากกก
    
            ร่างนักฆ่าจากเงามืดล้มลงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด มันไม่ได้บาดเจ็บธรรมดา หลิ่วเหวินอี้เฉือนเส้นเอ็นเท้า ข้อมือ และตามจุดสำคัญอีกหลายแห่งด้วยความเร็วที่เหนือชั้น ความใจเย็นของอีกฝ่ายทำให้มันสั่นอย่างหวาดกลัวสุดหัวใจ มันไม่เคยเห็นผู้ใดเหี้ยมโหดเช่นนี้มาก่อน แม้ประมุขนิกายมารฟ้าจะลงโทษพวกมันแต่ก็ตรงไปตรงมา หาใช่การทรมานให้ตายทั้งเป็นเช่นนี้
    
          “คนที่อวดฉลาดมักจะตายก่อนเพื่อน เจ้าว่าจริงไหม” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เอ่ยถาม มือสองข้างควงมีดไปมาความคมกริบสะท้อนกับจันทราในคืนนี้ทำให้มันดูน่ากลัวเป็นพิเศษ เลือดที่อาบย้อมไม่ได้ลบความคมของมีดสั้นคู่ได้เลย ดวงตาเย็นเยือกที่มองมาขัดกับรอยยิ้มที่แต้มมุมปากยิ่งนัก
    
          “นายน้อยได้โปรดอภัยให้ความโง่เขลาของข้าด้วย ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ” มันร้องขอด้วยความร้อนรนปนหวาดกลัวที่ฉายชัดในดวงตาสีดำ
    
            “แม้กระทั่งหักหลังนิกายมารฟ้าหรือ”
    
           “ได้ๆ ขอรับ ข้าจะยอมทำตามนายน้อยทุกอย่าง” มันรีบร้อนบอกเมื่อเริ่มเห็นทางรอดเบื้องหน้า ทว่าดวงตาที่เย็นเยือกของคนตรงหน้ามองมาทำให้มันสั่นไปทั้งร่าง
    
           หลิ่วเหวินอี้ตวัดคมมีดเข้าหาร่างที่นอนวอนขอชีวิตอยู่บนพื้นด้วยความเร็ว ลมหายสุดท้ายหมดไปพร้อมดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวสุดหัวใจของมัน ดวงตาเย็นชามองอย่างรังเกียจ เขาเกลียดคนประเภทนี้เพียงแค่ไม่อยากตายก็ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ยอมแม้กระทั้งหักหลังพวกพ้อง!
    
          “นายน้อย!” ประตูห้องถูกผลักเข้ามาอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องดังไปทั่วโรงเตี๊ยม หลวนซานมองภาพตรหน้าแล้วลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่หวาดกลัว จั่วเหรินเดินเข้าสำรวจร่างที่ถูกสังหารอย่างหวาดๆ มือกระชากผ้าปิดหน้าออกแล้วหันไปมองนายน้อยของตนอย่างกังวล
    
         “จัดการให้เรียบร้อย” หลิ่วเหวินอี้ออกคำสั่งแล้วหมุนกายไปหาผ้ามาเช็ดเลือดที่เปื้อนเลือดอยางนิ่งงัน หลวนซานรีบช่วยสหายตนนำศพออกไปและทำความสะอาดห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    
          ขณะเดียวกันห้องข้างๆ นั่งเอนหลังบนเตียงนอนอ่านหนังสือในมือเล่นอย่างใจเย็น แม้จะยามสามแล้วแต่หลิ่วเหวินอี้ยังไม่นอน มีเพียงตะเกียงน้ำมันอยู่เป็นเพื่อนยามค่ำคืน เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างห้องตน จึงเหลือบไปมองกำแพงที่ขวางกั้นอย่างพินิจแม้จะไม่เห็นกับตาแต่ผู้ที่ตายตกย่อมเป็นผู้มาเยือนยามวิกาลอยู่แล้ว ผ่านไปหนึ่งเค่อทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบ จึงได้วางหนังสือไว้ที่เดิมสะบัดมือดับตะเกียงน้ำมันแล้วล้มตัวลงนอน คืนนี้ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน...
    
         เช้าวันรุ่งขึ้นลั่วเหยียนเจิ้งได้เดินทางไปเมืองหยางไฮ่ โดยไม่ได้ชักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน แม้วันนี้การเดินทางปกติแต่กลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านผิดปกติ! ทางข้างหน้าเป็นป่าไผ่ยาวไปไกลหลายลี้ ใบไผ่เอนไหวและปลิวลงอย่างเชื่องช้า มันจะงดงามมากหากไม่มีความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเพราะสามคนข้างๆ เริ่มกวาดตามองอย่างระวัง มือชักกระบี่ออกมาตามสัญชาตญาณเตือนภัยของตนเอง
    
          พรึบ!
    
          เคร้ง!
 
           การเคลื่อนไหวรวดเร็วและเป็นกระบวนท่าต่างพุ่งเข้าหาอย่างดุดัน ทว่าเป้าหมายการสังหารครั้งนี้กลับไม่ใช่หลิ่วเหวินอี้ดังเมื่อคืน พวกนั้นเพ่งเป้าไปหาลั่วเหยียนเจิ้งอย่างดุดันรุนแรงเป็นกระบวนท่าที่แปลกตาแต่เฉียบขาด
    
            เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งใช้กระบี่หยกขาวของตนต้านรับและตอบโต้อย่างรุนแรง ใบหน้าที่อ่อนโยนนั้นไม่ได้หวาดหวั่นกับการลอบโจมตีในครั้งนี้แม้แต่น้อย
    
          ตูม!!!
    
          พวกเขาต่างกระโจนดีดตัวออกจากตัวม้าเมื่อพลังลมปราณที่เหนือชั้นปะทะกันอย่างรุนแรง ม้าแตกตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศทาง พวกนักฆ่าชุดดำต่างแยกกันเป็นสองกลุ่มอย่างคล่องแคล่ว กลุ่มหนึ่งต้านรับกับผู้ที่ร่วมทางมาด้วย อีกกลุ่มต่างทะยานเข้าหาลั่วเหยียนเจิ้ง ความเร็ว ความเฉียบขาดอีกทั้งการล้อมวงเข้าหาดังค่ายกลยิ่งทำให้ต้องระวังมากขึ้น
    
          การมีระเบียบแบบแผนของนักฆ่ากลุ่มนี้ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า มิคิดว่าตนจะไปก่อเรื่องให้ใครมาหมายชีวิต ทว่าพวกมันกลับพุ่งเป้าเขาหาลั่วเหยียนเจิ้ง ดวงตาและจิตสังหารของพวกมันล้วนแต่ถูกฝึกมาเพื่อทำการใหญ่เท่านั้น มือที่ตวัดมีดสั้นนั้นต้องใช้ความเร็วอีกเท่าตัวก่อนจะเข้าไปถึงเป้าหมาย
    
            เคร้ง!
    
            ฉัวะ!
   
             แม้จะเป็นเพียงมีดสั้นแต่เมื่อได้ลงมือย่อมโหดเหี้ยมไม่ต่างจากกระบี่ มีดสั้นหยินหยางอาวุธคู่ประจำกายที่เขาสืบทอดมาจากผู้เฒ่าอีกาดำ พุ่งแทงชายชุดดำอย่างโหดเหี้ยมเพราะเวลานี้หากไม่สังหารพวกมันคนที่ตายตกจะเป็นเขาเอง แม้ไม่ได้หวาดกลัวกับความตายแต่มันไม่สนุกหรอก หากโดนคมกระบี่พวกนั้นทิ่มแทง
    
            เคร้ง เคร้ง เคร้ง
    
            ตูม!!
    
           หลิ่วเหวินอี้คว้าร่างของลั่วเหยียนเจิ้งไว้ด้วยความเร็วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แรงปะทะเมื่อครู่ที่รุนแรงจนร่างนั้นกระเด็นถอยห่างออกมาทางตน ใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มขมวดมุ่น มือหนากำกระบี่หยกขาวแน่น แม้ใบหน้าจะยังมีนอยยิ้มอ่อนๆ แต่ดวงตากลับเย็นเยือกแผ่จิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้าหากลุ่มนักฆ่านั้นอีกรอบ
    
          หลิ่วเหวินอี้เอนหลังหลบคมกระบี่ได้เส้นยาแดงผ่าแปด มุมแก้มขวาถูกกระบี่เป็นรอยเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เลือดไหลอาบแก้ม
    
          “รนหาที่ตาย” ลั่วเหยียนเจิ้งที่หันไปมองเห็นพอดีสบถออกมาด้วยความโมโห แม้จะมีรอยยิ้มอบอุ่นทว่า จิตสังหารอันเย็นเยือกพุ่งเข้าหาร่างนักฆ่าคนนั้นอย่างรุนแรง กระบี่สีขาวเปล่งแสงนวลตาตวัดเข้าหาร่างนั้นอย่างรวดเร็ว
    
           อ๊ากกก
    
          แขนขวาที่มันถือกระบี่ขาดกระเด็น ไม่หยุดเพียงแค่นั้นเมื่อกระบี่หยกขาวตัดเฉือนร่างมันเป็นบาดแผลใหญ่ ร่างมันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
    
           ฉึก!
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งกระชากกระบี่ออกด้วยอารมณ์หงุดหงิด ลมปราณที่ออกมาใช้แค่หกส่วนถูกดึงออกมาจนถึงเก้าส่วน ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวเคลื่อนกายหายไปจนมองเห็นเงาร่างก่อเกิดมานับสิบ
    
         อ๊ากกก
    
          พวกมันกรีดร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อการไล่ล่ากลับเป็นการโดนล่าฆ่าแทน ประวัติที่ได้รับล้วนถูกบิดเบือนเจ้านายของมันกล่าวไว้ถูกแล้ว นับว่างานนี้เป็นการหยั่งเชิงได้ถูกต้องยิ่งนัก
    
          เพียงไม่นานพื้นที่โดยรอบป่าไผ่ก็เจิงนองไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน เมื่อพวกมันคิดว่าไม่มีทางรอดจึงได้กัดยาพิษที่อมไว้หนีการถูกทรมาน ทว่ามีหนึ่งในนั้นโดนลั่วเหยียนเจิ้งสกัดจุดไม่ให้ฆ่าตัวตาย มันกัดปากข่มความเจ็บปวดไว้จนสั่นไปทั้งร่าง มันไม่ปริปากพูดอันใดออกมาแต่นับเป็นคราวเคราะห์ของมันที่มิอาจกัดยาที่ซ่อนไว้ในปากตายเหมือนคนอื่นๆ ได้
    
          หลิ่วเหวินอี้มองดูลั่วเหยียนเจิ้งจับคนมัดห้อยหัวกับต้นไม้และใช้กระบี่ตัดเสื้อผ้าอีกฝ่ายจนหมด เห็นแล้วระคายตายิ่งนัก บนร่างค่อยๆ ถูกคมมีดเฉือนเนื้อ นิ้วมือเริ่มหายไปทีละนิ้ว เขาคิดว่าตนเองโหดเหี้ยมแล้วแต่เมื่อเทียบกับคนผู้นี้แล้วเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอนุบาลเท่านั้น ทั้งๆที่อายุวิญญาณเขามันร่วมห้าสิบปีแล้ว!
    
         “จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ เดี๋ยวตอนบ่ายข้าไม่เจริญอาหาร” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างอดรนทนดูไม่ไหว ใบหน้าคมคายหล่อเหล่าเอียงหน้ามามองพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ทว่าในใจกลับรู้สึกสั่นสะท้าน ยิ่งคนนี้ยิ้มอ่อนโยนมากเท่าไหร่ความโหดเหี้ยมยิ่งมากขึ้น เสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยมานั้นทำให้คนฟังลอบกลืนน้ำลาย
    
         “ข้ายังไม่ได้เฉือนแท่งหยกมันเลยนะน้องเหวินอี้ อีกอย่างข้ายังไม่ได้เลาะฟันมันออกเลย ลิ้นก็ยังไม่ได้ตัด” น้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มหวานละมุนมันไม่เข้ากับคำที่กล่าวออกมาเลย หากเขาไม่ได้ผ่านการถูกซ้อมทรมานมาจากชาติภพที่ผ่านมาคงทำให้ร่างสั่นด้วยความกลัวแน่ๆ
    
          “หากช้าหน้าข้าจะเป็นแผล” หลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตัดบทก่อนจะหันหน้าเดินหนีโดยลูกน้องทั้งสองรีบตามไปอย่างว่องไว ทุกคนได้รับบาดเจ็บกันเล็กน้อย ทว่าที่เขาใช้เหตุนี้กล่าวอ้างเพราะคนผู้นี้มีปฏิกิริยาต่อใบหน้าของเขา แม้จะไม่ค่อยเขาใจฮ่องเต้ผู้นี้เท่าไหร่นักแต่คงเป็นคนชื่นชอบคนหน้าตาดีกระมัง
    
         “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี”
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวขึ้น มองตามร่างสูงโปร่งอาภรณ์สีน้ำเงินเดินไปตามเส้นทางข้างหน้า ความสง่างามของอีกฝ่ายทำให้ไม่อาจละสายตาได้ มองเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะเบื่อ น่าเสียดายหากใบหน้าที่งดงามเหมือนสวรรค์สร้างสรรค์นั้นมีรอยแผลเป็น ก่อนจะเบือนกลับมามองนักฆ่าที่หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรมอย่างเลือดเย็น มุมปากแต้มยิ้มอ่อนไม่คิดว่าจะยังหลงเหลือคนที่คิดจะแย่งชิงบัลลังก์ ในบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่ในเวลานี้มีเพียงแค่หยิบมือ เป็นไปได้ไหมว่าตนจะถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจ เพราะคนที่รู้ว่าเขาออกจากวังหลวงมีไม่กี่คนเท่านั้น
    
           ฉึก!
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกระชากกระบี่ออกจากกลางอกด้วยความไม่เต็มใจนัก เพราะไม่ทันรู้ความจริง แต่ไม่อยากทำให้คนงามเคืองตนเท่าไหร่ หากเจอจิวชงหยวนครั้งหน้าจะให้ทำยาคลายความจริงให้เสียหน่อย เพราะเรื่องยารักษาเขาทำไม่ค่อยจะเป็น ส่วนมากออกมาเป็นพิษเสียมากกว่า
    
           เฮ่อ ลูกศิษย์กับอาจารย์ไยได้เหมือนกันนัก...

 
    หลังจากผ่านไปหนึ่งวันข่าวนักฆ่าที่ส่งไปกลับเงียบหาย และถูกพบเจอเพียงแค่ซากศพที่ถูกทรมานเล่นจนน่ากลัว มือเรียวบางเย็นเฉียบอย่างหวาดหวั่นปนโกรธแค้น เรื่องนี้วางแผนมานานเนิ่นนานคิดไว้แล้วไม่มีผิดคนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งจะไร้วรยุทธ อ่อนแออ่านแต่ตำรับตำรา น่าขันสิ้นดี!
    
           หากเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่ได้รับความสนับสนุนหลายฝ่าย ไม่สิ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าตอบโต้เพราะมีลู่เฟยคอยเป็นมือเป็นเท้าให้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายตนรับรู้ดี แต่ในเวลานี้พี่ห้าไม่ได้อยู่ในวังหลวงแล้วอีกทั้งตัดขาดการเป็นองค์ชายจึงง่ายกับการลงมือ
    
           “ท่านจะทำเช่นไรต่อ ในเมื่อโอกาสของเราใกล้มาถึงแล้ว” เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนพร้อมมือหนาเหนี่ยวรั้งร่างนั้นมานั่งบนตัก ใบหน้าสะอาดสะอ้านคล้ายบัณฑิตผู้ทรงธรรมก้มลงจุมพิตริมฝีปากบางที่ยั่วเย้าตนได้เสมอ
    
          “ไม่เห็นต้องถาม” เมื่อปากเป็นอิสระจึงเอ่ยตอบ ใบหน้าขาวนวลยกยิ้มเย็นเมื่อคิดไปถึงแผนการที่วางเอาไว้มานานหลายปี ‘โทษเขาไม่ได้นะพี่ชาย ในเมื่อท่านมันทำตัวน่ารังเกียจนัก’ ให้พี่น้องคนอื่นเข่นฆ่ากันอย่างใจเย็นแล้วตนเป็นผู้ได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง เขาเกลียดนักคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหมือนกับตนที่เกิดจากมารดาที่เป็นนางกำนัล ต้องดิ้นรนเองทุกอย่างทำตัวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพื่อรอวันที่ได้ชำระแค้น!
    
           ดวงตาหวานมาดมั่นกับเปลวแค้นในครั้งนี้ ก่อนที่จะละลายไปกับรสจูบที่ถูกปรนเปรอให้ ไฟรักไฟสวาทจึงลุกโซนขึ้นภายในตำหนักหลังที่ไม่มีผู้คนใส่ใจมากนัก หรือไม่ก็อาจจะลืมไปแล้วว่า ยังมีองค์ชายผู้นี้อยู่อีกคน! ความเงียบสงบในยามวิกาลมีเพียงเสียงครวญครางของคนทั้งคู่เท่านั้น...




             :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่12น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-05-2016 08:26:32
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่12น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)



         หลังจากผ่านการลอบสังหารครั้งนี้ ลั่วเหยียนเจิ้งจึงได้ระวังตัวมากขึ้น อีกทั้งครุ่นคิดถึงคลื่นใต้น้ำที่เงียบสงบมานาน ทว่ายามนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหว นึกไปถึงน้องๆ ที่เหลือแต่ละคนอย่างพิจารณา น้องรองและน้องสามได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว น้องสี่ก็เป็นอิสตรีที่แต่งงานไปกับองค์ชายฉวี่เหลียนแคว้นฉางหลังจากการสร้างสัมพันธ์ไมตรีเมื่อปีที่ผ่านมา น้องหกลั่วเฟิ่นเยว่สละตำแหน่งออกไปท่องยุทธภพเพราะรักอิสระยิ่งกว่าสายลม น้องเจ็ดลั่วหวังอู๋ก็อยู่ชายแดนกับแม่ทัพห่านหลงซึ่งเป็นสวามี จะเหลือที่พอสงสัยไม่กี่คนเท่านั้น ลั่วหลิ่งเห้อองค์ชายเก้า  ลั่วหลิงเซียวองค์ชายสิบ ลั่วเหวินฉินองค์ชายสิบเอ็ด ลั่วมู่เหรินองค์ชายสิบสามหรือเหรินอ๋องที่ตนให้มาปกครองเมืองหยางไห่ สุดท้ายเพ่ยอวี้น้องเล็กสุดองค์ชายสิบห้าซึ่งอายุเพิ่งได้สิบหนาวเท่านั้น
    
          นอกนั้นก็เป็นอิสตรีที่ไม่มีอำนาจใดๆ ในมือ ไม่ว่าจะเป็นใคร ลั่วเหยียนเจิ้งไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย อำนาจที่ใครๆ อยากได้โดยต้องผ่านการฆ่าล้างสายเลือดเดียวกัน แม้ตนอยู่ตำแหน่งสูงสุดแต่กลับรู้เดียวดายยิ่งนัก
    
         “เข้ามาสิ” ลั่วเหยียนเจิ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินฝีเท้าดังมาจากหน้าห้องพักภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหยางไห่ เขายังไม่ได้ไปยังตำหนักของมู่เหรินเพราะยังไม่อยากให้คนที่นี่รับรู้ อีกทั้งยังต้องสืบสาวเรื่องราวการลอบสังหารครั้งนี้ให้ได้เสียก่อน ไม่ว่าผู้ใดเวลานี้ก็มิอาจวางใจไว้ได้
    
         “ข้าเอายามาคืนให้” ประตูเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงามดวงตาเย็นชามองมาที่เขานิ่งๆ
    
         “เจ้าควรเก็บไว้ใช้ยาแค่นี้ข้าหาได้ง่ายดายนัก” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวบอกด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มครั้งนี้กลับไม่ถึงดวงตาอาจเพราะเขายังมีเรื่องที่ต้องกังวลอีกมาก แววตาเรียวคมมองสบตามานิ่งๆ แต่ทำไมรู้สึกว่าครั้งนี้หลิ่วเหวินอี้กำลังจ้องมองเข้าไปลึกถึงจิตใจ สายตาเหมือนผ่านร้อนผ่านหนาวมานานของอีกฝ่ายทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ทั้งที่คนตรงหน้าอายุน้อยกว่าตนนัก
    
        “ท่านพี่อยากให้ข้ามีแผล?” คำถามพร้อมแววตานิ่งเรียบ ทว่าคิ้วคมเฉียงที่รับกับใบหน้าเลิกขึ้นเล็กน้อย ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย ทวนคำพูดตนเองในใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ
    
       “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าอยากให้เจ้าเก็บไว้เพราะแผลที่ใบหน้าจะหายเร็วขึ้นหาได้คิดเช่นอื่นไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจตนผิด ทว่าคำตอบที่ได้รับทำให้เขานิ่งอึ้งอีกครั้ง
    
       “ข้าล้อท่านเล่น” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนกล่าวคำล้อเล่นแต่ทำหน้าตายอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีจึง ได้แต่ยิ้มแห้ง ผ่ายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งบนโต๊ะเล็กพร้อมรินน้ำชาร้อนแต่รสชาติจืดชืดให้อีกฝ่าย
    
        “ข้าร่วมเดินทางกับน้องเหวินอี้มาร่วมสองสัปดาห์ยังไม่เห็นว่าตั้งใจตามหาคู่หมั่นคู่หมาย หากข้าเดาไม่ผิดเรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นฝีมือของน้องเหวินอี้” ลั่วเหยียนเจิ้งเปิดประเด็นไถ่ถามเรื่องว่าที่คู่หมั่นซึ่งถูกนำตัวไปที่ใดไม่รู้อย่างใคร่สงสัยว่าคนตรงหน้าจะเล่นลูกไม้อันใดอีก ใบหน้างดงามยกยิ้มที่มุมปากเบาบางเพียงชั่วครู่พร้อมน้ำเสียงเย็นๆ เอ่ยถามขณะเคาะมือลงบนโต๊ะเบาๆ
    
        “ท่านพี่น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว คนฉลาดเช่นท่านเรื่องเล็กน้อยแค่นี้มิอาจรอดสายตาไปได้หรอก ใช่หรือไม่ขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองอีกฝ่ายที่ทำเหมือนรู้จักเขาดีอย่างพิจารณาอีกครั้ง ใบหน้างดงามยกยิ้มท้าทายในแววตา ดวงตาเย็นชาที่นิ่งปกติยามนี้ประกายคมกล้า
    
         “น้องเหวินอี้กล่าวชมไปแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้กล่าวปฏิเสธ แม้ไม่ได้รู้แบบละเอียดแต่ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอด คืนนั้นเขาแค่แกล้งเมาจึงได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรคนตรงหน้าเขาล้วนดูมีปริศนาให้ค้นหาจนไม่น่าเบื่อหน่ายมากเกินไป แต่น่าเสียดายที่เขาต้องกลับวังหลวงอีกในไม่ช้า เขาไม่อยากให้หนูในวังหลวงมาวิ่งเผ่นพล่านเช่นนี้อีก
    
          “ที่ผ่านมาข้าขอบใจเจ้ามาก ที่ให้คนไร้ที่มาไม่มีที่ไปเช่นข้าติดสอยห้อยตามมาเกือบครึ่งเดือนและยังดูแลข้าอย่างดี” ลั่วเหยียนเจิ้งเป่าชาร้อนในมือแผ่วเบาหลังกล่าวจบ หลิ่วเหวินอี้ชะงักงันไปชั่วครู่ ดวงตาเย็นชามองสำรวจเขาไปทั้งร่างจึงยกยิ้มบางให้คนที่เฝ้าพินิจตน
    
         “ท่านกำลังขอแยกทาง” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างพอใจที่คนตรงหน้าสามารถรู้ได้ทันทีว่าเข้าต้องการสิ่งใด โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ
    
         “เป็นเช่นนั้น ข้าคงหมดเวลาเที่ยวเล่นแล้ว” บอกด้วยรอยยิ้มอ่อน มองไปนอกหน้าต่าง บ้านเรือนอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข ข้าวของไม่ได้แพงมากมาย ขณะเดียวกันเมืองนี้ขอทานน้อยกว่าที่อื่นมากนักนับว่ามู่เหรินปกครองได้ดี เพียงแต่มิอาจวางใจได้ บางครั้งรู้หน้าไม่รู้ใจ อำนาจทำให้คนเปลี่ยนยิ่งตอนนี้มู่เหรินมีกองกำลังเป็นของตนเอง และยังมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อลั่วหวังอู๋ที่อยู่ชายแดนทางตอนใต้ ยิ่งเวลานี้แคว้นชิงเว่ยเริ่มมีการแข็งข้อ เครื่องบรรณาการของปีที่ผ่านมานับว่าน้อยมาก อีกในไม่ช้าคงได้เกิดสงครามทั้งนอกและในแคว้นแน่ๆ
    
         “ข้าขอไปด้วย” ลั่วเหยียนเจิ้งหันขวับไปมองคนที่ขอติดตามตนอย่างมึนงง ดวงตาคมกริบมองหลิ่วเหวินอี้อย่างพิจารณา ดวงตาเย็นชาคู่นั้นไม่ได้หวาดหวั่นหลบตาแม้แต่น้อย ไหล่กว้างยักไหล่เล็กน้อยแล้วกล่าวต่อเสียงเรียบ
    
        “ข้าแค่เบื่อที่จะอยู่ให้คนของพี่ใหญ่มาฆ่า จะตามท่านที่เก่งกาจปกป้องข้าได้นับว่าแปลกอันใด” คำกล่าวที่เหมือนกับตนอ่อนด้อยฝีมือทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอ เจตนาของคนตรงหน้าเขาไม่รู้แน่ชัดเพราะดวงตาของอีกฝ่ายมันนิ่งเฉยมากเกินไป บางครั้งก็มิอาจคาดเดาได้ว่าคิดอันใดอยู่กันแน่
    
       “ข้าคิดว่าที่ที่ข้าจะไป น้องเหวินอี้คงไม่อยากไปเป็นแน่ หากเจ้ากลัวที่พี่น้องจะตามฆ่า พี่เหยียนเจิ้งผู้นี้ขอบอกเจ้าว่ากรณีของเจ้ายังไม่ถึงเศษเสี้ยวความอันตรายที่ข้าจะพบเจอด้วยซ้ำไป” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวอย่างจริงจัง จ้องมองใบหน้างดงามที่นิ่วหน้ามองเขานิ่งๆ แล้วรู้สึกใจอ่อนชอบกล
    
       “ข้าดูแลตัวเองได้ หรือว่าท่านรังเกียจที่จะให้ข้าติดตามไปด้วย” คราวนี้ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน สรุปความห่วงใยของเขาเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ? ใบหน้างดงามเบือนหน้าหนีเขาดวงตาหลุบต่ำลงจนทำให้หัวใจที่ด้านชาคันยุบยิบอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดี ได้แต่ถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่ง ต่อสู้แย่งชิง แสแสร้งมารยามาก็เยอะ แกล้งชาวบ้านก็มากพอควร แต่เหตุใดคนตรงหน้าทำให้หัวใจกระสับกระส่ายเช่นนี้
    
       “ข้าขอตัว หากท่านไม่อยากเห็นหน้าข้า พรุ่งนี้เราคงต้องแยกทางกัน” ร่างสูงโปร่งกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาหลุบต่ำไม่ยอมสบตาลุกขึ้นก้าวเดินจากไป ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างมึนงง มือที่ยื่นไปคว้าชายผ้าของอีกฝ่ายหยุดชะงักปล่อยให้ร่างนั้นเดินจากไป ดวงตาฉายแววสับสน มองตามร่างที่หายไปจากห้องพักตนอย่างไม่เข้าใจแล้วเหตุใดเขาถึงรู้สึกกังวลใจเพราะคนๆ เดียวเช่นนี้

    
        หลิ่วเหวินอี้เดินออกจากห้องพักลั่วเหยียนเจิ้งอย่างไม่รีบร้อนนัก แววตาที่แสร้งเศร้าหมองกลับมาเย็นชาเฉกเช่นเดิม ทว่าใบหน้ากลับยกยิ้มที่มุมปากอย่างแสนเจ้าเล่ห์เพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป คิดจะเสแสร้งเป็นคนเดียวหรืออย่างไรดูถูกอดีตสายลับมือหนึ่งอย่างเขาไปเสียแล้ว ร่างโปร่งเดินไปนั่งจิบชาบนโต๊ะเล็กมุมหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ คนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเจอแต่พวกประจบสอพลอ ไม่เคยมีใครกล้าขัดใจมาก่อน หากอยากติดตามคนเช่นนี้ต้องใช้ไม้อ่อน ส่วนไม้แข็งนั้นไว้สำหรับบางเวลาเท่านั้น
    
        “นายน้อย” เสียงเรียกจากหน้าประตูทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองก่อนจะอนุญาตให้เข้ามา ก่อนหน้านี้เขาได้สั่งการคนทั้งคู่ไว้แล้ว นิ้วเรียวลูบจอกน้ำชาแผ่วเบา สายตาเหลือบไปมองผู้ติดตามทั้งสองซึ่งมองมาอย่างกังวล ทั้งคู่รู้แล้วว่าลั่วเหยียนเจิ้งเป็นใคร และที่เขาลงทุนยอมเข้าวังหลวงด้วยก็เพื่อสืบข่าวกระบี่หยกขาวให้ฟางเทียนฟงเท่านั้น
    
        “นายน้อยที่นั่นอันตรายมากเหตุใดต้องเข้าไปด้วยขอรับ” จั่วเหรินเอ่ยถามอย่างกังวล หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าไปมองหน้าต่างที่มืดมิดในยามวิกาลเช่นนี้ เหตุผลเดียวที่เขาทำงานให้ฟางเทียนฟงเพราะต้องการให้อีกฝ่ายสืบข่าวใครบางคน ซึ่งเขาไม่อาจสืบได้เลยว่านางอยู่ที่ไหน ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางหายไปราวกับหายสาบสูญไปแล้ว
    
       “พวกเจ้าน่าจะรู้คำตอบดีไม่ใช่หรือ” เอ่ยตอบกลับแผ่วเบา ในใจหวนคิดถึงใบหน้าของสตรีนางหนึ่งที่ตนเห็นตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในภพนี้ แม้ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งในสายสัมพันธ์แต่เขาก็ยังอยากรู้ว่านางสบายดีหรือไม่
    
        ....ซูเม่ย มารดาผู้ให้กำเนิด!
    
         “นายน้อยให้หลวนซานติดตามไปด้วยเถอะขอรับ อย่างน้อยท่านก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในที่แบบนั้น” จั่วเหรินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าวังหลวงมันมีแต่จิ้งจอกจอมแสแสร้ง แล้วนายน้อยผู้เย็นชาจะไปทันคนจอมเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร?
    
         หลิ่วเหวินอี้มองคนเป็นห่วงอย่างนึกขำในใจ คนตรงหน้ายังคิดว่าเขาไร้เดียงสาในที่แบบนั้นอีกหรือ แม้จะไม่ค่อยรู้กฎระเบียบของวังหลวง แต่เขาไม่ได้โง่ให้ใครมารังแกได้ อีกอย่างเขามั่นใจว่าคนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งไม่ปล่อยให้เขาตายตกง่ายๆ นักหรอก เพราะอย่างไรเขาก็เปรียบเหมือนสิ่งแปลกใหม่สำหรับฮ่องเต้ผู้ไร้ใจคนนั้น
    
        “วางใจเถอะ หากข้าได้ไปด้วยจะให้หลวนซานไป ส่วนเจ้าก็คอยสืบข่าวมารดาข้าไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน” คำตอบของเขาทำให้ทั้งคู่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เขาส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยกมือไล่ให้ไปพักผ่อน ดวงตาเลื่อนมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ใบหน้าเย็นชายกยิ้มแผ่วเบาไม่ว่าอย่างไรเขามั่นใจต้องได้ติดตามลั่วเหยียนเจิ้งเข้าวังได้อย่างแน่นอน
    
   
       
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 13-05-2016 08:28:45
 

ต่อจากตอนเมื่อครู่จ้า มันยาวไปเลยตัดมา><


เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)


         ดึกสงัดภายในโรงเตี๊ยมสมใจซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งได้พักอาศัยอยู่ เวลานี้กลับมีเงาร่างของนักฆ่าซึ่งวรยุทธไม่ต่ำช้าทะยานเหยียบหลังคามาแผ่วเบา ดาวกระจายทอประกายคมกริบสะท้อนกับแสงจันทร์ขณะพุ่งเข้าหาร่างที่นอนอยู่บนเตียงนอนด้วยเร็วดุจเส้นแสง
    
         เคร้ง!
    
          ทว่ากระบี่หยกขาวสะท้อนปัดป้องดาวกระจายออกได้ทันท่วงที ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นต้านกระบี่ของอีกฝ่ายที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่แรงปะทะรุนแรงจากกำลังภายในของอีกฝ่ายทำให้ร่างนั้นกระเด็นติดผนังห้อง กำแพงพังลงอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้วรยุทธล้ำเลิศเช่นนี้เป็นสุนัขรับใช้คนในวังหลวง
    
          ตูม!
    
         ห้องพักหลิ่วเหวินอี้พักพังไปทั้งแถบ เจ้าของห้องลุกขึ้นนั่ง มองที่เกิดเหตุอย่างมึนงงชั่วครู่ก่อนจะชักมีดสั้นหยินหยางที่หัวเตียงเข้าไปช่วยผู้ที่ถูกทำร้าย
    
         เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
    
         ฉัวะ!!
    
         ความรุนแรงที่โหมกระหน่ำเข้าหาคนทั้งคู่ทำให้มือที่ถือมีดสั้นสั่นสะท้าน การรับมือร่วมสองคนของนักฆ่าตรงหน้านับว่าดูถูกไม่ได้ เพราะแรงที่ลงน้ำหนักมานั้นแฝงไว้ด้วยลมปราณที่หนาแน่น อีกทั้งรับมือจากพวกเขาทั้งสองอย่างไม่มีพลาดพลั้ง
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองนักฆ่าตรงหน้าอย่างกังวล กระบี่ที่ฟาดฟันเข้ามานั้นรุนแรงจนต้องก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก เหลือบมองผู้ที่ช่วยเหลือตนแล้วนิ่วหน้า เมื่อกระบี่ฟันเข้าไหลซ้ายของหลิ่วเหวินอี้อย่างรุนแรง เสื้อผ้าสีขาวอาบย้อมด้วยโลหิตสีแดงอย่างน่ากลัว ดวงตาคมกริบประกายคมกล้ามองนักฆ่าไม่กลัวตายด้วยโทสะที่ไม่รู้ว่าปะทุมาจากที่ใด กระบี่หยกขาวพุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง
    
        เคร้ง เคร้ง เคร้ง
     
         สองร่างฟาดฟันพุ่งออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเร็ว ลั่วเหยียนเจิ้งดักทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปสังหารหลิ่วเหวินอี้ได้ จึงหลอกล้อออกจากโรงเตี๊ยมจนถึงนอกเมือง กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วง ทั้งรุนแรงเซี่ยวกรากพื้นที่โดยรอบเป็นหลุมเป็นบ่อฝุ่นฟุ้งกระจาย เวลากลางคืนมีแต่แสงจันทราที่สะท้อนให้เห็นเงากระบี่ของกันและกัน แต่นับว่าไม่มีปัญหาอันใด
    
         ผ่านไปร้อยกระบวนท่า ลั่วเหยียนเจิ้งมองศัตรูตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ทว่าใบหน้ากลับแต้มรอยยิ้มอ่อนโยนดุจแสงตะวันยามเช้า ทำให้นักฆ่าผู้นั้นถึงกลับหงุดหงิดพร้อมกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
    
         “จะตายอยู่แล้วยังมายิ้มเหมือนคนบ้า มิน่านายท่านถึงเกลียดเจ้านัก” คำกล่าวโอหังอย่างไม่ได้หวาดกลัวกับตำแหน่งของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใส่ใจเท่ากับคำว่านายท่าน!
    
         “เช่นนั้นนายท่านของเจ้าเป็นผู้ใด ข้าตายจะได้บอกยมโลกได้ว่าผู้ใดคิดสังหารข้ากัน” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มขณะกระบี่ในมือไม่ได้ลดแรงลงแม้แต่น้อย
    
         ตูม!!!
    
        ทั้งคู่ผงะออกจากกัน ลมปราณที่โหมกระหน่ำรุนแรงของทั้งคู่นับว่าร้ายกาจจนยากจะเชื่อว่ายังมีคนมีฝีมือเช่นนี้เก็บซ่อนตัวอยู่
    
        “ฮ่าๆๆ ข้ามิได้โง่งม อย่าหลอกถามเสียให้ยาก” ร่างโปร่งในชุดดำของนักฆ่าหัวเราะลั่น แม้มุมปากจะมีเลือดไหลอกมาแต่เจ้าตัวกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
    
         “งั้นหรือ น่าเสียดายที่เจ้าทำงานพลาด” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มเย็น มองบุรุษชุดดำซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง ร่างที่ยืนตรงไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีกลับทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นอย่างตื่นตะลึง ใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าสีเดียวกับชุดเหลือเพียงดวงตาเพ่งมองผู้ที่วางยาพิษตนอย่างไม่เชื่อสายตา
    
         “สุนัขลอบกัด” มันกัดฟันแน่น เมื่อพิษร้ายที่ไม่รู้จักซึมเข้าเส้นลมปราณยิ่งขับพิษยิ่งแล่นเข้าเส้นเลือดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
    
         “จุ๊ๆ อย่ากล่าวเช่นนั้นสิ ข้าไม่ได้อยู่สนามการแข่งประลองถึงจะได้มีกฎระเบียบ อีกอย่างข้าไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้มีใจคุณธรรมมากนัก คนที่ทำร้ายข้าต้องได้รับความเจ็บปวดร้อยเท่า แต่คนที่ทำร้ายคนที่ข้าสนใจต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานจะตายก็ไม่ได้ตาย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานละมุม มองดูร่างที่ดิ้นทุรนทุราย จะหนีก็หนีไม่ได้จะขับพิษก็ยิ่งเร่งให้มันทำงานเร็วขึ้นด้วยความพอใจ
    
         “ชั่วช้า!” คำบริภาษของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบาง เดินเข้ามามองร่างที่นอนคลุกฝุ่นด้วยดวงตาเป็นประกาย
    
        “ชมข้าเช่นนี้ข้าก็เขินแย่สิ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน มือซ้ายยกเกาคางตัวเองเบาๆ ยิ่งสร้างโทสะให้คนที่อยู่แทบเท้ามากขึ้น
    
         “มารดามันเถอะ” ร่างนั้นยังสบถออกมาอย่างโกรธแค้น ที่ทำอะไรไม่ได้ ฝีมือสูงส่งแต่จะมาตายตกเพราะพิษร้ายที่ไม่รู้จัก ช่างน่าขันสิ้นดี!
    
        “หื้ม เจ้าคงไม่อยากมีลิ้นไว้ใช้งานสินะ” ลั่วเหยียนเจิ้งใช้เท้าเขี่ยร่างที่นอนนิ่งเพราะฤทธิ์ยาเจ็ดมารหลอนกลืนกินดวงจิต มันมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้ แต่กลับรับรู้ความเจ็บปวดที่เริ่มกัดกินเลือดในร่างกายช้าๆ และเพียงแค่หนึ่งเค่อจะเห็นภาพหลอนให้จ่มดิ่งลงในอดีตที่มืดมน ยาพวกนี้สำหรับมือสังหารเท่านั้น ความจริงเขาคิดจะสร้างยาเจ็ดนารีพิชิตสวรรค์สำหรับบำรุงร่างกายแต่ไม่รู้ไปผสมส่วนไหนผิดถึงได้ออกมาเป็นยาพิษที่รุนแรงเช่นนี้ได้
    
        ...อ่า จะโทษเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาได้เจริญรอยตามอาจารย์มาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนเช่นนี้
    
        อ๊ากกก
    
         เสียงกรีดร้องอย่างทรมานของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งก้มมองแล้วยกยิ้มบาง แค่นี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามภาพหลอนจะค่อยๆ หายไป เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะให้รู้จักการทรมานที่แท้จริง
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งบนขอนไม้รออย่างใจเย็น ร่างที่ส่งเสียงกรีดร้องพยายามเกลือกกลิ้งกับพื้นแต่ว่าร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจนึกทำให้มันได้แต่แหกปากกับความทรมานที่เหมือนเข็มนับพันทิ่มแทงเท่านั้น เวลานี้ภาพหลอนน่าจะหายไปแล้ว ดวงตาที่เคยคมกล้าเลื่อนลอย
    
         “นายท่านของเจ้าเป็นใคร”
    
        “นายท่านคือองค์ชาย...” มันกล่าวอย่างเลื่อนลอยก่อนจะชะงักกึก หันไปมามองคนถามอย่างมึนงง ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองคนจิตแข็งอย่างเบื่อหน่าย คิดว่าจะได้คำตอบง่ายๆ แต่กลับรับรู้ความจริงได้เร็วเกินความคาดหมาย
    
         “เจ้า!ฝันไปเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่สติกลับคืนมาแล้วยิ้มเย็น ผู้ใดกันที่สร้างนักฆ่าที่น่าหวาดหวั่นได้อย่างนี้ ใครกันที่รอดหูรอดตาเขาไปได้
    
         “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะใจแข็งไปได้นานเท่าไหร่กัน” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนมองคนกายลุกซันด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากเม้มแน่นแม้ต้องตายก็มิอาจแพร่งพราย ร่างสูงลุกจากขอนไม้เดินเข้าไปหาอย่างใจเย็น ในมือมีเม็ดยาบางอย่าง ดวงตามันเบิกกว้างเมื่อถูกยัดลงปากบังคับให้กลืนกินลงไป
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งมองมันอย่างใจเย็น ก่อนจะเป่านกหวีดขนาดเล็กที่ทำจากไม้ เป่าออกครั้งหนึ่งเพียงชั่วครู่ก็มีเงาร่างสีดำพุ่งมาคุกเขาเบื้องหน้าสามคน
    
        “เจ้า...เอาอะไรให้ข้ากิน” ร่างที่นอนคดตัวอยู่กับพื้นเอ่ยถามตะกุกตะกักอย่างยากลำบาก ใบหน้าคมคายดังเทพสวรรค์หันมาส่งยิ้มหวานให้มัน พลันนั้นมันรู้สึกสยองเป็นครั้งแรกในชีวิต
    
          “จับมันไปผูกกับต้นไม้ไว้แล้วถอดเสื้อผ้าให้หมด” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกองครักษ์เงาซึ่งเหลือบมองเหยื่อตรงหน้าอย่างเฉยชาก่อนจะรีบทำตามอย่างเร่งด่วน
    
        “ส่วนเจ้าไปหารังมดมาให้ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกคนที่ยังนั่งคุกเข่านิ่งอีกคนด้วยรอยยิ้มชวนขนหัวลุก ร่างนั้นรีบลุกพรวดไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็วกลัวว่าหากช้ากว่านี้คนที่จะโดนทรมานจะเป็นตนเองแทน ทว่าผู้อยู่ตำแหน่งสูงสุดยังได้ยินเสียงลอบกลืนน้ำลายพวกมันอย่างน่าขัน
    
         “เอ่อ...ฝ่าบาทกระหม่อมขอบังอาจทูลถาม พระองค์เอาสิ่งใดให้มันกินพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาคุกเข่าใกล้เมื่อทำหน้าที่ตนเองเรียบร้อย ทว่าดวงตายังเหลือบมองร่างที่ถูกมัดเริ่มบิดเร้าไปมาอย่างน่าประหลาด อีกทั้งแท่งหยกแข็งขืนขึ้นมาชวนให้ระคายตายิ่งนัก เห็นการทรมานของฮ่องเต้ผู้นี้ทีไรรู้สึกสยดสยองเสียทุกครั้ง วีธีการล้วนแตกต่างกันไปแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว!
    
         “หื้ม ข้าแค่เอายากำหนัดให้มันกินเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน คนฟังทั้งสามที่อยู่รอบๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก องครักษ์ที่เหลืออยู่สองคนถอยห่างออกไปประมาณสามก้าวพร้อมเพรียงกัน ทว่าผู้เป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายรับรู้ว่าตนได้กินสิ่งใดไปถึงกลับเบิกตากว้าง ความอับอายแล่นพล่านไปทั้งร่าง
    
         “ฆ่าข้าซะ” มันตะโกนร้องขอความตายด้วยน้ำตาตกใน ความตายไม่น่าหวาดกลัวเท่ากับศักดิ์ศรีที่มีถูกเหยียบย่ำเล่นจะตายก็ตายไม่ได้ สองเท้าโดนมัดห้อยหัวหมุนไปมาจนตาลายอีกทั้งฤทธิ์ยาที่ออกทำให้ร้อนผ่าวไปทั่วร่างกาย ความปรารถนาที่จะปลดปล่อยแต่สองแขนถูกมัดไขว่ติดกันอยู่ด้านหลังมิอาจช่วยเหลือตนเองได้
    
          “ตายหรือ ไม่ต้องกลัว เจ้าได้ตายสมใจแน่ แต่ก่อนอื่นเรามาเล่นกันก่อนเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ขยับสองเท้าเข้าไปใกล้ร่างเหยื่อตัวน้อยที่มองด้วยดวงตาหวาดกลัว ความหยิ่งยะโสทรนงตัวไม่หลงเหลือให้เห็นอีก
    
          ฉึก!
    
          กระบี่หยกขาวแทงตรงไหล่ซ้ายอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกร่างนั้นแข็งทื่อด้วยความเจ็บปวดแต่มันกลับไม่กรีดร้องออกมาแม้แต่น้อย
    
          “นี่เป็นแผลที่เจ้าทำกับอี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวบอกด้วยรอยยิ้ม มองร่างที่อาบโลหิตสีแดงฉานชวนให้ดูงดงาม ทว่าเขากลับเฉยเมยต่อการลงมือของตน
    
           “ฆ่าข้า” เสียงกัดฟันร้องขอความตายของเหยื่อตรงหน้าไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจเท่ารอยสักแมงป่องทะเลทรายกลางหน้าอกของพวกมัน เพราะครั้งที่แล้วก็เป็นรอยเดียวกันใบหน้าคมคายนิ่วขึ้นน้อยๆ หวนไปถึงคนที่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับทางตอนใต้แคว้นเจียงหนาน
    
          “พวกเจ้าไปสืบที่มาของรอยสักแมงป่องกลางหน้าอกมาให้ข้า ข้าชักอยากเห็นหน้าคนที่อยากฆ่าข้าแล้วสิ” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกองครักษ์เงาทั้งสองคน
    
          “พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเหลือบมองเงาร่างหนึ่งที่มาพร้อมกับรังมด ใบหน้าฉีกยิ้มยินดี คนที่เห็นถึงกับผวาก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานเมื่อรังมดแดงถูกเคาะลงบนร่างนั้นเบาๆ อีกทั้งฤทธิ์ยาที่ออกทำให้เหงื่อไหลอาบไปทั้งร่าง
    
         “จะบอกข้าได้หรือยังว่าผู้ใดส่งเจ้ามา หากคำตอบพึงใจข้าจะละเว้นชีวิตเจ้าให้” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นชวนให้ผู้คนคล้อยตาม แต่ลางสังหรณ์ของมันบอกว่าไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องตาย ไม่ตายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้โรคจิตผู้นี้ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของนายท่าน!
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งมองร่างที่ดิ้นทุรนทุรายห้อยกับต้นไม้อย่างเบื่อหน่าย เพราะมันยอมตายแต่ไม่ยอมบอกกล่าวอันใด ยาพิษในร่างอีกทั้งยากำหนัดทำให้มันเกร็งไปทั้งร่างเลือดไหลออกตามปากตามจมูก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวแต่ไม่ยอมพ่นความจริงออกมา
    
          “ข้าเบื่อแล้วพวกเจ้าจัดการต่อเถอะ”
    
          “พ่ะย่ะค่ะ”
    
          “อ้อแล้วข้าให้พวกเจ้าไปสืบกลุ่มอีกาได้ความว่าอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเมื่อเรื่องสำคัญที่มอบหมายให้ยังไม่หมด
    
          “อีกาเป็นกลุ่มลึกลับที่รับงานตามใจชอบตนเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีที่อยู่แน่ชัด ไม่รู้ตัวตนของผู้เป็นหัวหน้าแม้แต่หอกิเลนที่ทำงานร่วมกันยังไม่รู้ความเป็นมาพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ากับคำตอบแต่ก็พยักหน้ารับ
    
           “แล้วฟางเทียนฟง”
    
           “ทูลฝ่าบาทฟางเทียนฟงเป็นประมุขจิ้งจอกฟ้าแต่ไม่ค่อยมีคนพบหน้าตา บ้างก็ว่าอัปลักษณ์ บ้างก็ว่างดงามดุจเซียนจิ้งจอกพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้องค์ชายลู่เฟยสนพระทัยอยู่อีกในไม่ช้าน่าจะได้คำตอบพ่ะย่ะค่ะ”
    
          “ลู่เฟยสนใจ? น่าแปลกมีสิ่งใดที่ลู่เฟยสนใจมากกว่าจิวชงหยวนอีกหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งลูบคางแผ่วเบาครุ่นคิดไปถึงน้องชายคนที่ห้าซึ่งออกไปอยู่ยุทธภพร่วมกับหมอเทวดาคนงาม
    
           อ๊ากกกก
    
           เสียงกรีดร้องของเหยื่อดังขัดจังหวะความคิดอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งจึงคร้านจะใส่ใจจึงยกมือโบกปล่อยให้องครักษ์เงาจัดการต่อ ส่วนตัวเองก็ตรงดิ่งกลับโรงเตี๊ยมอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่ายังมีคนบาดเจ็บอยู่ที่นั่น ร่างสูงพลิ้วไหวหายไปความมืดมีเพียงเสียงโหยหวนตามมาแผ่วเบาก่อนจะเงียบหายไป
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งมาถึงห้องก่อนจะชะงักงันเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งถอดเสื้อทำแผลให้ตนเองอย่างทุลักทุเล ดวงตาเย็นชาเหลือบมามองที่เขาเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น
    
          “ข้าทำให้ แล้วสองคนนั่นไปไหนแล้ว”
    
         “เที่ยวหอโคมเขียว” เสียงนิ่งเรียบตอบกลับมาทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะช่วยล้างแผลให้ผิวขาวเนียนมีบาดแผลลึก ดวงตาสั่นไหวอย่างรู้สึกผิดที่คนตรงหน้าต้องมาบาดเจ็บเพราะตนเอง
    
          “ข้าขอโทษ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวแผ่วเบา ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามองเขาเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงเรียบ
    
          “ท่านไม่ได้ผิดอันใดจะขอโทษเรื่องอะไร” ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยขณะเทยาสมุนไพรลงไป ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่งไม่รู้เหตุใดคนตรงหน้าต้องเอาตัวมาเสี่ยงกับตนด้วย
    
         “อยู่กับข้าอาจบาดเจ็บหนักกว่านี้” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวช้าๆ มองกิริยาของหลิ่วเหวินอี้ที่นั่งนิ่งและสะดุ้งน้อยๆ ขณะนิ้วเรียวเขาฟาดผ่านแผ่นหลังที่มีแผลเพิ่มอีกเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่นเพราะจำได้ว่าก่อนจะหลอกล้อออกไปข้างนอกคนตรงหน้าเขามีบาดแผลแค่แห่งเดียว
    
          “หนีไปได้คนหนึ่ง” น้ำเสียงราบนิ่งของคนที่นั่งนิ่งคล้ายรู้ทันทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักอีกครั้ง
    
          “ลำบากเจ้าแล้ว”
    
          “ข้าแค่ตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยช่วยข้าไว้ อีกอย่างพรุ่งนี้เราก็แยกทางกันอยู่แล้วจะได้ไม่มีเรื่องติดค้างกันอีก”
    
           น้ำเสียงเย็นชาทว่าดวงตาเรียวคมเบือนหน้าหนี ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักมืออีกครั้ง มองคนตรงหน้าอย่างใครพิจารณา อาการแง่งอนของอีกฝ่ายทำไมเขารู้สึกหัวใจเต้นแรง มือเรียวเผลอลูบแผ่นหลังที่บาดเจ็บอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ร่างนั้นสะดุ้งหันขวับกลับมามองไอเย็นเยือกแผ่ออกมาทำให้สติกลับมาอีกครั้ง ร่างโปร่งขาวผ่องเนียนนุ่มตรงหน้าทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ แต่ก็รีบทำแผลให้แม้จะเสียดายลูบแผ่นหลังขาวนั่นก็ตาม
    
          “อี้เอ๋อร์” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัว ขนกายลุกซันก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเมื่ออีกฝ่ายทำแผลเสร็จ เหลือบตามองคนเรียกชื่อชวนสยองด้วยสายตาเย็นๆ แต่เมื่อเห็นดวงตาสั่นไหวของอีกฝ่ายทำให้คำพูดที่จะต่อว่ากลืนลงคอเช่นเดิม และเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากรับรู้ความสั่นไหวในดวงตาคู่นั้น
    
          “หากข้าไม่ใช่พี่เหยียนเจิ้งที่เจ้ารู้จัก เจ้ายังอยากตามข้ากลับบ้านหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่ชอบคนพูดโป้ปด ทว่าการได้รู้จักคนตรงหน้าเขาก็มิเคยได้กล่าวความจริงออกมาแม้แต่น้อย แล้วหากคนผู้นี้รู้ความจริงว่าเขาเป็นใครยังจะกล้าเรียกว่าท่านพี่เหยียนเจิ้งอีกหรือไม่
    
         “พี่เหยียนเจิ้งก็คือพี่เหยียนเจิ้งจะเป็นอื่นได้อย่างไร นอกเสียจากท่านไม่ใช่ ถึงกระนั้นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าเพราะอย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณซึ่งความจริงข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” น้ำเสียงนิ่งเรียบและดวงตาเฉยเมยเหมือนไม่ได้แยแสต่อสิ่งใด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปอีกครั้ง เขาเกิดมายังไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน คิดว่าจิวชงหยวนน้องสะใภ้คนงามเป็นคนน่าประหลาดแล้วคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขาสนใจยิ่งกว่า
    
         “แม้ข้าจะเคยโป้ปดเจ้าอย่างนั้นหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งหลิ่วเหวินอี้เพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่พร้อมคำตอบที่ทำให้โง่งมอยู่ชั่วครู่ หรือคนตรงหน้ามองผืนผ้าเป็นสีเทาไม่มองเห็นสิ่งใดดีงามและไม่เห็นสิ่งดำมืดจริงๆ
    
        “ทุกคนย่อมมีความลับเป็นของตนเอง ข้าอาจจะเคยโป้ปดท่านพี่เหยียนเจิ้ง หรือท่านจะโป้ปดข้าไม่นับว่าแปลกอันใดเพราะเราสองคนไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก อีกอย่างไม่มีผู้ใดไม่มีความลับหรอกขอรับเพียงแต่เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันเท่านั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย ความคิดเห็นที่กล่าวออกมายาวเหยียดเป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากปากคนตรงหน้า ทว่าคำพูดนั้นเป็นหลักสัจธรรมของมนุษย์จริงๆ ดวงตาหรี่ลงมองคนที่ขยับออกห่างตนเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
    
           “เจ้าคงไม่นึกอยากออกบวชหนีข้าหรอกนะ” ใบหน้างดงามอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาเย็นชามองเขานิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างระอา ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างมึนงง เขาพูดผิดตรงไหนกัน? ก็เห็นเจ้าตัวมองเห็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ได้ถึงเพียงนั้น
    
           "ข้าจะไปพักที่ห้องสองคนนั่น” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างเสียดายนิดหน่อย เมื่อครู่ผิวอีกฝ่ายเนียนนุ่มมือดีจริงๆ เสียดายไอเย็นที่แผ่มาพร้อมสายตาเย็นชาตวัดมองทำให้รีบทำแผลให้อีกฝ่ายจนเสร็จ
    
           “หากคืนนี้เจ้าเล่นหมากล้อมชนะข้า ข้าจะให้ติดตามไปด้วย” ร่างโปร่งชะงักชั่วครู่ก่อนจะหันกลับมามองดวงตาเย็นชามองมาที่เขานิ่งจนรู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่ตนเป็นถึงฮ่องเต้ที่กดดันคนอื่นโดยไม่แยแสสิ่งใด ทว่ายามนี้สายตาคู่นี้กลับทำให้รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้หวาดกลัวแต่อยากยินยอมให้อีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าตน นี่เกิดอันใดขึ้นกับเขากันแน่!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งหลับตาสะกดความรู้สึกแปลกๆ ไว้ในอกแล้วลืมตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง ว่าคนผู้นี้เหมาะสมที่จะพากลับเข้าวังหลวงหรือไม่ แล้วพากลับในฐานะอะไร?
    
          “เชิญท่านชี้แนะ”


           :mc4: :katai4: :katai4:  :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 13-05-2016 12:53:47
ฮ่องเต้อ่อย5555
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 13-05-2016 14:51:56
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: IrinAllDear ที่ 13-05-2016 15:42:21
 :mew1:  ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 13-05-2016 15:55:17
รอเรื่องนี อ่านในเด็กดีแล้ว ก็ตามมาอ่านในเล้า ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 14-05-2016 21:41:30
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่12 น้ำแข็งจอมมารยา?(P.3วันที่ 13/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 15-05-2016 13:05:11
ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ   อี้เอ๋ออร์จะตามฝ่าบาทเข้าวังแล้ว อย่าลืมเอ็นดูน้องนะ ฝ่าบาท
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่ที่13เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 22-05-2016 15:02:16
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บททีj13เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)

   
            สามวันต่อมาลั่วเหยียนเจิ้งได้มาปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นลั่วหยางอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มีคนติดตามมาด้วย เขาไม่เคยคิดว่าจะเล่นหมากล้อมแพ้หลิ่วเหวินอี้ได้ แต่กลยุทธการหลอกล่อ กับดัก และเถรตรง ถอยเมื่อควรถอย รุกเมื่อควรรุกจนในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ เหลือบมองร่างสูงโปร่งของคนข้างกายซึ่งมองดูสิ่งของผ่านๆ จนเดินมาหยุดที่ทางเข้าวังหลวง สีหน้านิ่งเรียบ การก้าวเดินมั่นคง ไม่ได้เอ่ยถามว่าเขาจะพาไปที่ไหน ความสงบนิ่งของอีกฝ่ายทำให้ประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง
    
          “เจ้าจะไม่ถามข้าบ้างหรือว่าข้าเป็นใคร พามาที่นี่ทำไม” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัยคนผู้นี้ติดตามมาอย่างว่าง่าย หลวนซานเองก็เงียบเหมือนไม่ได้เอาปากมาด้วยเหมือนเจ้านายไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเทียบกับองครักษ์ของตนช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ไม่สิ ยังนิสัยคล้ายกวงไห่อยู่เจ็ดส่วน
    
         “จำเป็นด้วยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปกับคำถาม ใบหน้างดงามหันมามองพร้อมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขายกมือกุมขมับอย่างไม่เชื่อว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย เมื่อเหลือบมองคนถามได้แต่ก้มหน้าอย่างนึกปลงตกกับตัวเอง คนอะไรทำไมเรียบง่ายเช่นนี้ ไม่กลัวเขาหลอกมาขายบ้างหรืออย่างไร
    
        “ไปเถอะรู้อะไรแล้วอย่าตกใจแล้วกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหน้าประตูทางเข้าวัง โดยไม่ได้เห็นมุมปากยกยิ้มของคนที่ติดตามมาแม้แต่น้อย
    
         เพียงแค่ร่างสูงปรากฏตัวทหารเฝ้าประตูก็ยกดาบมาขวางทางกั้น ใบหน้าทมึงทึงมองมาที่ลั่วเหยียนเจิ้งอย่างดุดัน ทว่าเพียงแค่เห็นป้ายทองอาญาศิษย์พวกมันก็ทรุดตัวคุกเข่าขออภัยอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเลิกใส่ใจเพราะทหารยามอาจพลัดเปลี่ยนกันไปบางคนก็ไม่รู้จักเขานับว่าไม่แปลกอันใด สายตาเหลือบมองคนที่ติดตามมาด้วยแล้วอดที่จะขยี้หัวตัวเองไม่ได้ คนอะไรนิ่งได้ใจเสียจริง ไม่ตื่นเต้นบ้างหรืออย่างไรเขาพากลับวังหลวงเชียวนะ!
    
          ตลอดการเดินทางไม่ว่าผ่านไปที่ใดเหล่าทหารกำนัลขันทีต่างคุกเข่าทำความคารพก้มหน้าชิดพื้นอย่างพร้อมเพรียงกันแม้พวกเขาอยากจะมองหน้าผู้ที่ติดตามมาใจแทบขาดแต่ก็ไม่มีความกล้าเพียงพอ ลั่วเหยียนเจิ้งเดินลัดเลาะมาทางตำหนักของตนอย่างไม่เร่งรีบนัก จากทวงท่าเจ้าสำราญเลือนหายไปเหลือเพียงแผ่นหลังเหยียดตรง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นนิ่งเรียบอาจมีบ้างที่มีรอยยิ้มแต้มใบหน้าแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น    
    
        คนที่ติดตามมาเงียบแอบอมยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อเห็นท่าทางกระล่อนอีกฝ่ายเลือนหายไป เหลือเพียงความน่ายำเกรง อดที่จะชื่นชมกับการแสดงของอีกฝ่ายไม่ได้ จนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วลั่วเหยียนเจิ้งผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ จากที่เดินเคียงคู่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวทำให้คนตรงหน้าหยุดเท้าหันมามอง
    
       “อี้เอ๋อร์เจ้าเป็นคนฉลาด แต่เจ้าทำห่างเหินกับข้าเช่นนี้ข้าก็น้อยใจแย่สิ” ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดเท้าหันไปมองคนที่เคยเดินข้างๆ กลับถอยห่างไปยืนอยู่เบื้องหลังตน ใบหน้าก้มต่ำลงเล็กน้อย แต่ทำไมเขารู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำตัวห่างเหินกับตนเช่นนี้ ใบหน้างดงามเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองบรรดานางกำนัลขันทีซึ่งคุกเข่าไม่ห่าง พวกเขาก้มหน้าชิดพื้นยิ่งกว่าเดิมแม้อยากจะเห็นคนที่ฮ่องเต้คุยด้วยก็ตาม
    
        “น้อยใจ? ฝ่าบาทน้อยใจเป็นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบทว่านุ่มทุ้มอ่อนโยนกว่าปกติ ทำให้คนฟังหัวใจกระตุก ความห่างเหินที่อีกฝ่ายมอบให้นั้นคนตาบอดยังรู้เลย ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์คิดว่าเขาจะปล่อยให้ทำตัวห่างเหินเช่นนี้ได้หรือ
    
        “ภรรยาข้า เจ้าทำตัวห่างเหินเช่นนี้จะให้ข้าทบทวนความจำว่าเราสัญญากันว่าอย่างไรหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ความอ่อนโยนบนใบหน้ามีมากเท่าไหร่ความร้ายกาจมีขึ้นเท่านั้น ใบหน้างดงามมองมาที่เขานิ่งๆ ทว่าไอเย็นเยือกกลับพุ่งเข้าหาอย่างรุนแรง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
    
         “ท่านพี่เหยียนเจิ้งเมื่อครู่ข้าฟังผิดไปใช่หรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยือกพร้อมบรรยากาศไม่น่าเข้าใกล้ ทำให้ผู้คนโดยรอบตัวสั่นระริอย่างหวาดหวั่น นี่พวกมันกำลังเจอเรื่องอันใดกัน
    
          “เจ้าคิดว่าไงเหวินอี้ที่รัก” ลั่วเหยียนเจิ้งกระตุกยิ้มเมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ของอีกฝ่าย แต่แล้วดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นมีดสั้นวาววับปรากฏขึ้นในมืออีกฝ่าย นี่หลิ่วเหวินอี้ผู้นี้คิดจะสังหารเขาในวังหลวงเลยหรืออย่างไร โทษทัณฑ์มันหนักหนาแม้กระทั้งเขายังช่วยไม่ได้เลยนะ
    
          “หากเรียกข้าเช่นนั้นอีก สังหารข้าซะ!” คราวนี้ลั่วเหยียนเจิ้งตะลึงงันรู้สึกตัวเองโง่งม บัดซบ นี่มันอะไรกัน มองดูมีดในมือตนเองที่ถูกยัดเยียดมาให้พร้อมคอขาวๆ ยื่นมาหาคมมีดอย่างไม่กลัวตาย เขาส่ายหน้าพรึบ รีบเก็บมีดด้วยความเร็ว มองคนยอมตายแต่ไม่ยอมรับฐานะที่เขามอบให้อย่างเหงาใจ ตำแหน่งนี้มีแต่คนอยากได้ ทำไมคนตรงหน้านี้ไม่สนใจบ้างหรืออย่างไร เห็นน้องห้ายัดเหยียดตำแหน่งให้จิวชงหยวนได้แล้วทำไมเขาถึงทำไม่ได้ โชคชะตาใยไม่เข้าข้างเขาบ้าง
     
          “เป็นเมียข้าไม่ดีตรงไหน” เอ่ยถามเสียงอ่อย ทว่าดวงตาเรียวคมตวัดเข้าหาอย่างรวดเร็ว หากมันเป็นคมมีดเขาคงได้พรุนไปทั้งร่างแน่ๆ ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือลูบท้ายทอยตัวเองเบาๆ พลางคิดว่าตนพูดอะไรผิดอีก
    
           จ๊อกกกก
    
           เสียงท้องร้องของคนตรงหน้าทำให้ลั่งเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ทว่าเจ้าของท้องกลับทำหน้าตายสนิทไม่ได้สนใจเสียงท้องร้องของตัวเองแม้แต่น้อย มีแต่ดวงตาเย็นๆ ที่ส่งมาให้ผู้เป็นฮ่องเต้
    
           “เจ้าคงหิวแล้ว ไปกันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำหน้าไปทางตำหนักของตนเองโดยไม่ลืมสั่งนางกำนัลแถวนั้นไปหาอาหารให้ด้วย
    
             “ฝ่าบาท...”
    
           ทันทีที่เข้ามาในตำหนักคนที่พุ่งเข้าหาคนแรกเป็นหยางซือหมิง ดวงตาปลื้มปริ่มยินดีจนน้ำตาไหลพราก เพราะตนต้องรับหน้ากับบรรดาขุนนางทั้งหลายอีกทั้งนางสนมนางในที่ต่างจะขอเข้าเฝ้าให้ได้ ทว่าเวลานี้รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่หน้าตาเหมือนตนเองก้มคุกเข่าน้ำตาไหลอาบแก้มแล้วรู้สึกระคายตายิ่งนัก ยกเท้าถีบอีกฝ่ายห่างออกไปอย่างหงุดหงิดใจ
   
          “เจ้าอย่าเอาหน้าข้าไปทำทุเรศเช่นนี้อีก” บอกด้วยความโมโห ทว่าเสียงหัวเราะเบาๆ พร้อมร่างโปร่งสั่นน้อยๆ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้หัวเราะมาก่อน
    
           “เจ้าขำอันใด” เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาเรียวหันมาสบตาเขาพร้อมรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่หยางซือหมิงที่ล้มกลิ้งเพราะแรงถีบเมื่อครู่
    
            “หากท่านทำเช่นนั้นจริง คงไม่น่ามองนัก” ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบไปมองแล้วทำหน้าแหยแก เขาไม่เคยร้องไห้ทำตาน่าสงสารเหมือนลูกหมาขอข้าวเจ้านายกินเช่นนี้มาก่อน เมื่อนึกสภาพว่าตัวเองทำอย่างนั้นจริง แค่คิดก็หน้าซีดเซียวแล้ว
    
           “หยางซือหมิงเจ้าไปถอดหน้ากากข้าออกเดี๋ยวนี้” หยางซือหมิงรีบถอยห่างไปเปลี่ยนชุดเปลี่ยนหน้ากากอย่างว่องไว ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่ต้องเห็นสภาพอันน่าทุเรศเช่นนั้นอีก เมื่อหันไปมองหลิ่วเหวินอี้จึงได้เห็นเจ้าตัวมองตามหลังหยางซือหมิงด้วยความสนใจ
    
           “ใครทำหน้ากากให้ท่าน”
    
           “ความลับ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะเชื้อเชิญอีกฝ่ายไปนั่งรอโต๊ะกลางห้องเพื่อรออาหารยามบ่าย น้ำชารสดีถูกรินให้อย่างเอาใจ หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะรับมาดื่ม คิ้วขมวดเป็นปมแต่ไม่ยอมเอ่ยถามสิ่งใดต่อ อาจเพราะรู้ว่าซักถามไปก็ไม่ได้คำตอบ
    
           “ชาดี”
    
           “หากเจ้าชอบเอากลับบ้านด้วยก็ได้นะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างใจกว้าง ทว่าคนตรงหน้ากลับชะงักงัน ดวงตาไหววูบเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไป น่าประหลาดที่ความอ่อนไหวในดวงตาของคนตรงหน้าทำให้เขาใจสั่นอีกครั้ง เมื่อใคร่ควรกิริยาของตรงหน้าแล้วรู้สึกห่วงใยไม่ได้ เขากับหลิ่วเหวินอี้มีส่วนคล้ายกันแม้แต่คำว่าบ้านยังทำให้ไม่รู้สึกอบอุ่นพอ เพียงแค่หลับตายังไม่สามารถหลับได้สนิทใจ แล้วที่แบบนั้นจะเรียกว่าบ้านได้อีกหรือ?
    
          เพียงไม่นานอาหารมื้อกลางวันก็ถูกนำมาวางเรียงรายให้อย่างงดงาม ทว่าผู้ที่ลงมือทานยังมีสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้ตื่นเต้นอาหารล้ำค่าและยากจะได้ทานบนโต๊ะแม้แต่น้อย หลิวกงกงหัวหน้าขนทีมองผู้ร่วมรับประทานอาหารกับฮ่องเต้อย่างตื่นตระหนก ความงดงามของผู้ร่วมโต๊ะนับว่าล่มบ้านล่มเมืองได้เลยทีเดียว ความเย็นชาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้ากลับดึงดูดให้ผู้คนเข้าหา แต่น่าเสียดายที่คนตรงหน้าเป็นบุรุษได้แต่หวังว่าองค์จักรพรรดิ์จะไม่หลงใหลความงามจนลืมไปแล้วว่าตนต้องมีโอรสสืบทอดบัลลังก์ต่อไป หลิวกงกงก้มหน้าหลบตาเมื่อสายตาเย็นแต่นิ่งจนไม่บ่งบอกความรู้สึกมองมาที่ตน
    
          “อาหารถูกปากเจ้าบ้างหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เพราะการเห็นหลิ่วเหวินอี้เจริญอาหารทำให้เขารู้สึกยินดียิ่ง แต่กิริยาของคนตรงหน้าเฉยชาจนรู้สึกผิดหวังไม่ได้ อาหารของฮ่องเต้ยากนักที่ใครจะได้ร่วมรับประทานด้วยทว่าคนตรงหน้ากลับไม่รู้สึกยินดียินร้ายแม้แต่น้อย
    
             “....”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนนิ่งเงียบเหลือบตามามองเพียงนิดก่อนจะทานข้าวต่อโดยไม่คิดจะตอบคำถามแม้แต่น้อย เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจคีบไท่ไป๋เจิงยา(เป็ดนึ่งไท่ไป๋) ใส่ถ้วยให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจเพราะเจ้าตัวเหมือนจะไม่ชอบผักนัก
    
            “ฝ่าบาท”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปมองกวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายที่พรวดพราดเข้ามาอย่างฉงยเพราะนานครั้งจะเห็นเจ้าตัวทำตัวเสียมารยาท
    
             “มีอะไร”
    
            “ฝ่าบาทพระสนมจ้าวเหมย ณ ตำหนักเหมยพระนางสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าทบทวนความจำพระสนมจ้าวเหมยเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นจวงไห่ทางใต้ของแคว้นลั่วหยางเมื่อปีที่ผ่านมา ใบหน้าคมคายนิ่วน้อยๆ หันไปมองหลิ่วเหวินอี้ซึ่งนั่งนิ่งไม่ได้ทานอาหารต่อ
    
            “เจ้าพาหลวนซานไปหาไรกินก่อนแล้วกันค่อยไปจัดการ น้องเหวินอี้ทานข้าวต่อเถอะอย่าไปสนใจเรื่องไร้สาระเลย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนี้กลับทำให้คนที่รู้จักพระองค์ดีรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
    
            “ฝ่าบาทพระสนมถูกสังหารจนสิ้นพระชนม์ พระนางมิได้เจ็บป่วยอันใดพ่ะย่ะค่ะ” กวงไห่ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าสายตากลับสำรวจผู้ที่ร่วมรับประทานอาหารกับฮ่องเต้อย่างพิจารณาและหันไปมองคนแปลกหน้าซึ่งยืนนิ่วหน้าอยู่ด้านหลังของบุรุษชุดขาว
    
            “ข้ารู้ต้องทำอะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งตวัดสายตามองนิ่งๆ กวงไห่จึงปิดปากเงียบมองไปยังคนที่ติดตามบุรุษชุดขาวพร้อมพยักหน้าให้ติดตามไปด้วย ทว่าหลวนซานกลับยืนนิ่งไม่ได้ตอบรับ แต่หันไปมองนายน้อยตนเองนิ่งๆ
    
            “ไปเถอะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยแผ่วเบา ร่างโปร่งจึงยอมติดตามออกไปพร้อมกับกวงไห่ ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามแล้วยกยิ้มบางเพราะหลวนซานนั้นซื่อสัตย์กับหลิ่วเหวินอี้จนไม่ยอมฟังคำสั่งของผู้ใด คนที่มีคนยอมภักดิ์ดีด้วยใจจริงย่อมเป็นคนที่มีจิตใจดี มิใช่ความน่ากลัวจนต้องยอมทำตามดั่งเช่นตน
    
            “อาหารไม่อร่อยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าเอ่ยถามคนที่วางมือ ใช้ผ้าเช็ดปากตัวเองแผ่วเบา ดวงตาเรียวสวยเหลือบมองเขานิ่งๆ
    
            “ฝ่าบาทควรไปจัดการเรื่องวังหลังของท่านให้เรียบร้อย คนที่ตายอยู่ในส่วนที่ท่านรับผิดชอบจะเป็นเรื่องไร้สาระได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งและแววตาตำหนิมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ้วหน้าน้อยๆ
    
            “ข้ามิได้บอกว่าจะไม่จัดการ เพียงแค่จะทานอาหารมื้อเที่ยงกับเจ้าก่อนไม่ได้เชียวหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อยเรื่องในวังหลังใช่ว่าเขาจะไม่คิดเพียงแต่ยิ่งตื่นตระหนกผู้ที่ลงมือยิ่งได้ใจ
    
            “...”
    
            หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ก่อนจะจับตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งอาจเพราะครั้งนี้เข้าใจความต้องการลั่วเหยียนเจิ้งมากขึ้น
    
            “ทานเถอะแล้วค่อยไป”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางเมื่อเห็นคนตรงหน้าคีบกับข้าวมาวางไว้ให้ เพียงแค่กล่าวเล็กน้อยคนตรงหน้ากลับเข้าใจตนได้เป็นอย่างดี หากเขามีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้างตลอดไปจะดีแค่ไหนกัน
    
            หลังจากร่วมรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ลั่วเหยียนเจิ้งจึงได้ให้หลิวกงกงหัวหน้าขันทีคนสนิทหาห้องพักข้างๆ ตัวเองให้ แม้จะไม่มีใครเห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครกล้าออกความเห็น ได้แต่แอบมองหลิ่วเหวินอี้อย่างพิจารณาเท่านั้น
    
             เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดสีเหลืองลายมังกรเรียบร้อยแล้วจึงได้ไปยังวังหลังอีกครั้งหลังจากไม่ได้เข้ามานานนับเดือน ร่างสูงสง่างามและทรงอำนาจเดินไปเส้นทางที่คุ้นเคยแต่ไม่อยากจะเหยียบย่างด้วยความเฉยชา แผนการครั้งนี้คงเป็นฝีมือคนในวังหลวงที่เหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้น นับว่าทำการอุกอาจและท้าทายอำนาจมืดจากเขายิ่งนัก มุมปากยกยิ้มบางดวงตาฉายแววเย็นเยือกเมื่อหนอนแอบซ่อนอยู่ในวังกำลังดิ้นรนมาหาความตาย
    
            ...หากไม่ตอบสนองความต้องการของพวกมัน คงได้เสียชื่อจิ้งจอกลวงเล่ห์เช่นตนเป็นแน่



                              :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่13 เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 22-05-2016 16:38:56
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่13 เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 22-05-2016 22:31:29
ทำไมฝ่าบาทมีแววเกรงใจอี้เอ๋อร์ในอนาคต. ฮาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่13 เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 22-05-2016 22:56:39
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่13 เข้าวังหลวง(P.3วันที่ 22/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 22-05-2016 23:02:05
รู้สึกอารมณ์สะดุดหลายฉาก  เหมือนฝ่าบาทจะพยายามจีบอี้เออร์ แต่ยังไม่พลิ้ว ดูฝืนๆยังไงชอบกล ส่วนอี้เออร์ก็รู้สึกไร้อารมณ์เหมือนเสี่ยวเล่งนึ่ง ถ้าอีกฝ่ายเย็นชาฮ่องเต้ก็น่าจะสดใส และโหดเหี้ยมสลับกันแต่นี่พอต่างฝ่ายต่างอึมครึมเลยกลายเป็นอ่านแล้วอึดอัด
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 23-05-2016 19:04:52



เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)       


           เมื่อมาถึงตำหนักจ้าวเหมยก็ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ระงมของนางกำนัลคนสนิทของจ้าวเหมย ทันที่เห็นองค์จักรพรรดิ์เสด็จมานางก็รีบเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมให้พระสนมด้วยน้ำตานองหน้า ใครเห็นอาจจะสงสารนางแต่มิใช่ลั่วเหยียนเจิ้ง ใบหน้าเรียบนิ่งไม่ได้ยิ้มละไมเหมือนเวลาปกติทำให้บรรยากาศกดดันไปทั้งตำหนัก
     
            “เรื่องเป็นมาอย่างไร”
    
           “เรียนฝ่าบาทเมื่อเช้าพระสนมจะไปถวายพระพรฝ่าบาท พระนางให้หม่อมฉันไปทำชุปโสมไก่ตุ๋นเพื่อนำไปถวายฝ่าบาทเพค่ะ แต่เมื่อหม่อมฉันกลับมาร่างพระสนมก็ผูกพระศอสิ้นพระชนม์แล้วเพค่ะ ไม่มีทางที่พระสนมจะสิ้นคิด ต้องมีคนคิดสังหารพระสนมจ้าวเหมยแน่ๆ  ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมพระสนมด้วยเพค่ะ”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับเดินเข้าไปใกล้ร่างของพระสนมซึ่งนอนอยู่บนเตียง สายตาคมกริบสำรวจร่างนั้นอย่างพิจารณา แต่มองภายนอกเหมือนผูกพระศอด้วยตนเองจริงๆ ไม่มีร่องรอยอื่นๆ สายตาคมกริบหันไปมองหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ไม่ห่าง
    
          “ในร่างมียาพิษหรือไม่”
    
          “ทูลฝ่าบาทกระหม่อมตรวจร่างกายมีรอยซ้ำของยาพิษพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาไม่มีสั่นไหวให้จับผิด
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งละความสนใจหันไปมองร่างไร้วิญญาณอีกครั้ง มือหนาเข้าไปจับข้อมือหญิงสาวแผ่วเบาสร้างความตื้นตันใจแก่นางกำนัลคนสนิทยิ่ง ที่พระองค์ไม่รังเกียจแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว สายตาคมกริบหยุดที่เล็บมือนางซึ่งมีรอยเลือดเศษหนังติดอยู่ปลายเล็บเล็กน้อย ใบหน้าคมคายนิ่วน้อยๆ เป็นจริงเหมือนที่กวงไห่ได้เอ่ย นางถูกฆาตกรรมจริงๆ เมื่อสำรวจร่างกายส่วนอื่นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงจับที่ศีรษะนางพร้อมปลดปิ่นที่มวยผมออก ทำให้เห็นช่วงท้ายทอยมีรอยเขียวซ้ำ เป็นไปได้ว่านางถูกตีแต่ไม่สลบเสียทีเดียวเพราะเล็บยังมีเศษหนังติดอยู่ ผู้ที่ลงมือคงมีรูปร่างพอกับนางไม่เช่นนั้นปลายเล็บคงไม่มีเศษเนื้อติดอยู่เช่นนี้
    
         “เรียกพระสนมมาพบข้าให้หมด ไม่อนุญาตให้พวกนางป่วยใกล้ตายหรือมาช้าแม้สักก้านธูป” ทันทีที่ออกคำสั่ง ขันทีจึงได้รีบเร่งไปจัดการอย่างตื่นตระหนก และคำสั่งนี้สร้างโกลาหลให้พวกเหล่าพระสนมไม่น้อย บางคนยังแต่งกายไม่ทันเรียบร้อย ทว่ามีบางคนที่พระนางแต่งมาเต็มยศเชิดฉายความงามของตนหวังมัดใจผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งกวาดสายตามองพวกนางผ่านๆ ก่อนจะมาหยุดที่พระสนมผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาที่หลังคนอื่นๆ หากจำไม่ผิดนางเรียกว่าสนมฉิงหลันซึ่งแต่งกายเต็มยศโดยไม่ได้ใส่ใจว่ามีคนนอนตายอยู่ตำหนักนี้
    
         “สนมฉิงหลันมีความผิด แต่งกายงดงามไม่ให้เกียรติคนตาย ให้ไปอยู่ตำหนักเย็นสำนึกความผิดเป็นเวลาหนึ่งปี” น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยออกมาทำให้พระสนมคนอื่นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พระสนมฉิงหลันถึงกลับตะลึงงันเมื่อสติกลับคืนมาจึงได้คุกเข่าอ้อนวอนทั้งน้ำตานองหน้า ไม่คิดว่าคนที่ดูอ่อนโยนจะลงโทษแบบไร้เหตุผลเช่นนี้
    
         “ฝ่าบาทโปรดละเว้นโทษหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ” ลั่วหยียนเจิ้งไม่ได้ใส่เสียงร้องอ้อนวอนของนาง แต่กวาดสายตามองสนมคนอื่นๆ อย่างพิจารณาทำให้พวกนางก้มหน้าต่ำด้วยความหวาดกลัวได้แต่คิดว่าพวกนางทำถูกแล้วที่รีบมาโดยแต่งกายไม่ได้หรูหรามากนัก
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งกวาดสายตามองพวกนางทีละคนจนมาสะดุดตากับพระสนมร่างเล็กบอบบางผู้หนึ่ง นางดูน่าทะนุถนอมแต่กลิ่นไอที่เขาคุ้นเคยทำให้เหยียดยิ้ม นางเหมือนมารดาขององค์ชายรองที่ดูภายนอกไม่มีพิษมีภัยใดๆ แต่กลับร้ายกาจยิ่งกว่าอสรพิษ เขาจำได้ว่านางเป็นเครื่องบรรณาการของแคว้นชิงเว่ยเมื่อปีที่ผ่านมา    

           “พระสนมชิงอิ๋งเล็บมือที่งดงามของเจ้าเหตุใดถึงหักไปเช่นนี้” ร่างเล็กบอบบางสะดุ้ง แววตาคลอด้วยน้ำตาชวนให้น่าสงสาร ร่างเล็กสั่นน้อยพร้อมตอบเสียงสั่น
    
           “ทูลฝ่าบาทพระสนมกำลังทำเล็บอยู่เพค่ะ พอมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าหม่อมฉันจึงเร่งรีบมาโดยไม่ทันระวังเพค่ะ”
    
           “อืม เป็นเช่นนี้เอง แล้วใบหูข้างซ้ายเจ้าเป็นแผลลึกก็เพราะทำเล็บสินะสนมรัก” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนใบหน้าระบายยิ้มอ่อนๆ ทว่าคนที่ถูกจ้องมองกลับตัวสั่นระริกอย่างหวาดหวั่น ใบหูที่นางพยายามปกปิดแต่ปิดอย่างไรก็ไม่มิดเผยให้คนช่างสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
    
         “ฝ่าบาท...หม่อมฉันไม่ระวังเพคะ” น้ำเสียงและร่างกายสั่นเทาขณะโดนจ้องมอง ใบหน้าก้มต่ำเหมือนขอความเป็นธรรมและคำกล่าวนี้ทำให้สนมคนอื่นๆ หันมามองอย่างเหยียมหยาม
    
          “งั้นหรือ วันนี้พระสนมที่รักก็ไปทำเล็บในคุกหลวงรอลงอาญาแล้วกันนะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นอ่อนโยนและห่วงใย ทว่าความหมายของคำนั้นทำให้ร่างของสนมชิงอิ๋งแข็งค้างเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงกลางหัว
    
         “ฝ่าบาทหม่อมฉันบริสุทธิ์ โปรดให้ความเป็นธรรมหม่อมฉันด้วยเพคะ” เสียงร้องขอสั่นเทาและดูสิ้นหวัง ดวงหน้าซีดเผือดแข่งกับคนที่นอนตายไม่ห่าง ร่างนั้นถูกลากออกไปพร้อมเสียงร้องขอชีวิต เวลานี้พวกพระสนมที่เหลือต่างก้มหน้าชิดพื้นไม่มีใครกล้ากล่าวสิ่งใดออกมาก กลัวว่าคนต่อที่จะโดนลากออกไปคือนางเอง
    
          “จัดพิธีศพของพระสนมจ้าวเหมยให้สมเกียรติ แจ้งข่าวบอกแคว้นจวงไห่ข้าจะหาความยุติธรรมให้พระสนมให้ได้ ส่วนพวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งประกาศก้องสร้างความปิติยินดีแก่นางกำนัลคนสนิทของสนมจ้าวเหมยยิ่งนัก
   
          “พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะรีบไปจัดการหน้าที่ตัวเองทันที
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาที่ตำหนักอีกครั้ง ใบหน้าที่เรียบเฉยยกยิ้มมุมปาก คนที่ลงมืออย่างแพ้จริงคงหัวฟัดหัวเหวี่ยงน่าดูที่แผนไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ร่างสูงเดินเข้าไปห้องทำงานก่อนจะลงมือเขียนคำสั่งให้แม่ทัพห่านหลงและลั่วหวังอู๋กลับวังหลวง พร้อมด้วยมู่เหริน เวลานี้เขาจะยึดอำนาจทุกคนคืนให้หมด จากนั้นจึงดูความเคลื่อนไหวของแต่ละคนอีกครั้ง
    
         “จับตาดูองค์ชายสิบอย่าให้คลาดสายตา” เมื่อเขียนใบเรียกตัวส่งนกพิราบสื่อสารไปแล้วจึงกล่าวกับเงามืดแผ่วเบา หลิงเซียวองค์ชายสิบที่ถูกทอดทิ้งมาช้านาน แต่เบี้ยเลี้ยงก็มีให้ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ไม่มีสิ่งใดไว้ใจได้ ชื่อว่าหลิงเซียวแปลว่าไต่สวรรค์ย่อมมีความทะเยอทะยานไม่มากก็น้อย อีกสองคนก็มิอาจดูแคลนได้ ลั่วหลิ่งเหอ ลั่วเหวินฉิน เมื่อมองดูแล้วทุกคนสามารถมีความเกี่ยวข้องกับพวกแมงป่องทะเลทรายได้หมดทุกคน
    
         “ฝ่าบาท” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปมองกวงไห่ที่ให้พาคนสนิทของหลิ่วเหวินอี้ไปทานข้าวกลับมาอีกครั้ง เขาพยักหน้ารับให้เข้ามา
    
           “ระหว่างข้าไม่อยู่มีความผิดปกติหรือไม่”
    
          “ทูลฝ่าบาท องครักษ์เงาสังหารชายชุดดำที่วิ่งเพ่นพ่านในวังหลวงไปสามคนขอรับ และแต่ละคนล้วนมีรอยสักแมงป่องอยู่กลางอกเหมือนกันหมดพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งอธิบายพร้อมเหลือบตามองเจ้าเหนือหัวอย่างระวัง
    
            “ค้นพบที่ตำหนักใด”
    
            “สามคนทิศทางที่พบไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ คนแรกที่ตำหนักจ้าวเหมย คนสองตำหนักหวังฉินและคนที่สามท้ายอุทยานพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานขององครักษ์คนสนิททำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้า ตำหนักหวังฉินคือตำหนักของมารดาตน หรือว่า...
    
           “ให้คนไปดูแลเสด็จแม่อย่าให้คาดสายตา”
    
           “พ่ะย่ะค่ะ” กวงไห่รับคำเรียบง่าย ก่อนจะถอยจากไปอย่างแผ่วเบาเหมือนตอนมา
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างแผ่วเบา สมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนักกับคลื่นใต้น้ำที่เหมือนกำลังปั่นหัวเขา ใครกันที่มีมันสมองหลอกใช้คนได้มากมายเพียงนี้ ใครกันที่รอดสายตาเขาไปได้หรือว่ามีใครหนุนหลังเมื่อมองดูเหล่าขุนนางในเวลานี้ทุกคนไม่ได้กระด้างกระเดื่องกับตนแม้แต่น้อย หากมีคนสนับสนุนย่อมเป็นคนนอก หรือไม่ก็คนในที่หลอกให้เขาตายใจเสียก่อนแล้วค่อยลงมือทีหลัง หากเป็นเช่นนั้นนับว่าร้ายกาจไม่เบาที่หลอกตบตาเขามาได้หลายปี
    
           “ฝ่าบาท เอ่อคือท่านเหวินอี้มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงเดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้านอบน้อมและลำบากใจปนกันไปเพราะไม่รู้ฐานะของบุรุษชุดขาวนั่นมาก่อน
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบไปมองแล้วครุ่นคิดไปถึงคนที่ขอพบด้วยรอยยิ้ม หลิ่วเหวินอี้บุรุษที่งดงามจนล่มบ้านล่มเมือง ดวงตาเย็นชาและความเย็นเยือกในร่างทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบระงับอาการกลั่นแกล้งอีกฝ่ายไม่ไหว ทว่าสิ่งที่ยังติดใจคือคนผู้นี้ต้องการติดตามตนมาทำไม ฝีมือนับว่าร้ายกาจเพียงแต่ปิดซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด กิริยาและกลิ่นกายของคนผู้นี้คล้ายอีกาจอมหยิ่งไม่มีผิดเพี้ยน ข่าวอีกาก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
    
           “ให้เข้ามา” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกพร้อมเก็บข้าวของบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย พร้อมรินสุรานั่งจิบรออย่างใจเย็น ร่างสูงสง่าเดินเข้ามาใบหน้านิ่งเรียบ ดวงตาเย็นชามองเขานิ่งๆ ก่อนจะกำหมัดคารวะเขาอย่างนอบน้อม
    
           “ไม่ต้องมากพิธีมานั่งนี่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกพร้อมกวักมือเรียกอีกฝ่ายมานั่งใกล้ๆ แต่กิริยาไว้ทีของอีกฝ่ายทำให้เหลือบมองหลินกงกงจึงโบกมือไล่ไปเสียทีหนึ่ง ร่างสูงที่ยืนไม่ห่างจึงยอมขยับเข้ามาใกล้
    
           “ข้าได้ยินมาว่าท่านจับพระสนมสองคนเข้าคุกหลวงกับขังในตำหนักเย็น ท่านพี่เหยียนเจิ้งแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกนางมีความผิด” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งแปลกใจเหตุใดคนผู้นี้ถึงใส่ใจคนที่ตนไม่รู้จักด้วย ดวงตาคมหรี่มองดวงตาเย็นชาซึ่งมองตอบอย่างไม่ลดละ
    
            “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเป็นใยสนมของข้า”
    
            “เปล่า ข้าแค่ให้ท่านจับคนผิดจริงๆ ไม่ใช่จับแพะมาชนแกะ” คำตอบที่คล้ายประชดประชันทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอารมณ์ดีขึ้นมาสามส่วน คนผู้นี้ช่างรู้ใจเขาจริงๆ รู้ด้วยว่าเขาต้องการทำอะไร ดวงตาคมมองดวงตาเย็นนิ่งแล้วหัวใจสั่นระรัวอีกครั้ง
    
            “เหวินอี้ข้ารู้สึกไม่สบายนัก เวลาอยู่กับเจ้าทีไรหัวใจข้าเต้นแรงจนข้ากลัวจะหยุดเต้น แบบนี้เขาเรียกโรคอะไรนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาคนละเรื่องที่หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถาม ทำให้คนเอ่ยปากถามเม้มปากเน้นรู้สึกเส้นเลือดจะขึ้นสมองแบบเฉียบพลัน และเหมือนเขาจะคุยกับคนบ้าตรงหน้าไม่รู้เรื่อง
    
           “อ่า ข้าไม่เล่นก็ได้ ไม่ใช่ข้าอยากจับแพะชนแกะหรอก แต่เรื่องนี้ต้องมีคนผิดจะหาแพะที่ไหนมารับบาป ในเมื่อแพะตัวจริงเก็บหลักฐานเรียบ ข้าทำเช่นนี้เพราะแพะต้องมาฆ่าแกะตัวนี้แน่” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงเศร้ากับสายตาเย็นๆ ที่มองมามันแฝงไว้ด้วยระอาเบื่อหน่าย ทั้งๆที่คนเพียบพร้อมเช่นเขาไม่เคยมีใครแสดงสีหน้าเช่นนี้ใส่มาก่อน
     
         “ก็ยังดีที่มีสมอง” เสียงพึมพำแผ่วเบา แต่คนที่มีวรยุทธสูงหูดีมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ไม่รู้จะเรียกว่าคำชมหรือว่าคำด่ากันแน่ แต่หากออกจากปากคนเย็นชาเช่นนี้จะถือเป็นคำชมได้ไหม แล้วทำไมหลิ่วเหวินอี้ถึงไม่หวั่นเกรงเขาซึ่งเป็นฮ่องเต้และยังไม่ได้ตกใจกับความจริงที่รับรู้ ใบหน้าอ่อนโยนกลับมาจริงจังอีกครั้ง
    
         “เหวินอี้เจ้ารู้มาก่อนใช่หรือไม่ว่าข้าคือฮ่องเต้” คำถามเรียบนิ่งจริงจังพร้อมดวงตาทรงอำนาจที่จ้องมองมาแตกต่างจากที่พบเจอ มันแฝงไว้ด้วยความกดดัน ไม่มีแววตาขี้เล่นหลงเหลืออยู่ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่มองนิ่งๆ แม้จะแอบเกร็งกับสายตาที่เห็นในเวลานี้แต่ใบหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
    
           “หากข้าตอบว่าใช่ฝ่าบาทจะลงโทษกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้างดงามเหยียดยิ้มมองสบตาอย่างท้าทาย
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกระตุกยิ้มมองคนที่ตนสนใจเป็นพิเศษอย่างพิจารณาอีกครั้ง มุมปากยกยิ้มอ่อนหวาน อ่อนหวานจนคนถูกมองรู้สึกขนกายลุกชัน ทว่าดวงตากลับประกายคมกริบ แววตามืดมิด ไม่ได้หวานเหมือนรอยยิ้ม แม้กระทั่งคนที่มีอายุวิญญาณร่วมห้าสิบปียังรู้สั่นสะท้าน
    
           หลิ่วเหวินอี้คิดว่าตัวเองจิตใจดำมืดไม่เห็นสิ่งรอบข้างอยู่ในสายตา ไม่ไว้ใจผู้ใด ทว่าเวลานี้กลับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นแววตาดำมืดของอีกฝ่ายยิ่งนัก แม้คนตรงหน้าอยากให้เขาตาย เขาจะไม่มีทางจะขัดขืนได้ ที่ผ่านมาเพียงแค่ถูกหยอกล้อเล่นเพราะเห็นเขามีความงามที่คนตรงหน้าสนใจ หากหมดความสนใจเมื่อไหร่คงเป็นได้แค่เพียงเศษขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคนที่ใช้ชีวิตข้ามความเป็นความตายในวังหลวงและขึ้นมายิ่งใหญ่จะมีความอ่อนโยนในจิตใจได้อย่างไร?
    
          “ข้าจะลงโทษพี่น้องร่วมสาบานเช่นเจ้าได้อย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมายิ้มอ่อนตามปกติอีกครั้ง พร้อมเทเหล้าใส่ถ้วยใบใหญ่หนึ่งใบ พลางเหลือบตามองคนนิ่งเงียบกิริยาไม่เปลี่ยนแปลงด้วยความสนใจยิ่งกว่าเดิม คนตรงหน้ากลัวสิ่งใดบ้าง แม้กระทั่งความตายก็คงไม่กลัวหรอกกระมัง
    
          “กระหม่อมกับฝ่าบาทไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกันข้อนั้นพระองค์น่าจะรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ” คำกล่าวเรียบนิ่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับ ที่กล่าวมานั้นล้วนถูกต้องจะว่าผู้มีพระคุณก็คงจะไม่ใช่เพราะหลิ่วเหวินอี้ผู้นี้เอาชีวิตตัวเองมาปกป้องเขาจึงหมดสิ้นบุญคุณกันไปแล้ว หากจะให้เป็นองครักษ์ก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้ง่ายๆ สุดท้ายก็แค่พี่น้องร่วมสาบานเท่านั้น
    
           “ข้ารู้ แต่หากเจ้าต้องการเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับข้าจริงๆ ก็แค่กรีดเลือดลงถ้วยเหล้านี้” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวพร้อมกรีดฝ่ามือตัวเองให้เลือดไหลลงถ้วยอย่างใจเย็น เหลือบมองคนงามนั่งเม้มปากแน่น ดวงตาไหววาบจนทำให้ใจสั่นอีกครั้ง
    
           “ข้าไม่เคยทำเช่นนี้กับใครมาก่อน ที่ทำเช่นนี้เพราะจริงใจกับเจ้า แต่หากเจ้าไม่ต้องการถือว่าเราสิ้นวาสนากัน” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่างอย่างใจเย็นเอาผ้ามาซับเลือดตัวเองมองคนตรงหน้าอย่างใจเย็น มือเรียวคว้ามีดมาพร้อมกรีดมือตัวเองด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่คำพูดที่ออกมาทำให้เขายกยิ้มบางอย่างยินดีปนขำ
    
          “ข้าก็ไม่เคย นับแต่นี้หากให้ข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานแล้วห้ามท่านคิดลามกกับข้าอีก” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ตอบรับ ยกสุราที่ผสมเลือดของคนทั้งคู่มาดื่มพร้อมยื่นอีกครึ่งให้คนตรงหน้าที่หน้าแดงเล็กน้อยขณะดื่มจนหมด สุราร่วมสาบานหมดถ้วยเขาจึงเอ่ยออกมาช้าๆ ที่ทำให้คนตรงหน้าถลึงตาใส่แต่เขารู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
    
         “ไม่มีกฎข้อไหนห้ามพี่น้องร่วมสาบานคิดลามกต่อกัน เช่นนั้นแล้วคำขอของเจ้าข้าขอปฏิเสธ” เวลานี้หลิ่วเหวินอี้หน้าแดงอย่างโมโหปนอับอายที่เสียท่าให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์จนได้!
    
         “น่าตายนัก”
    
          “ขอบคุณสำหรับคำชม ว่าแต่คืนนี้ไปจับแพะกับข้าหรือไม่” คำกล่าวตอบรับอย่างน่าไม่อายทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตาดุ แต่เหมือนคนตรงหน้าจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ทว่าคำถามที่ตามมาทำให้สนใจไม่น้อย
    
         “ข้าขอไปชม”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับ พลางคิดว่าแค่นี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ได้ใช่ไหม กลิ่นหอมดอกท้อกลิ่นกายเช่นเจ้ามีคนเดียวเท่านั้นแหละ หลิ่วเหวินอี้กับอีกาจะเป็นอื่นไปได้อย่างไร...


               เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 23-05-2016 20:07:21
รู้ๆกันอยู่สินะ แบบรอวันที่จะไ้ด้(เห็นไส้)เห็นพุงกันอย่างแท้จริง :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-05-2016 20:27:29
ติดตามค่ะ  มาอัพต่อเนื่องแล้วก็พยายามผูกเรื่องราวให้น่าสนใจ ฮ่องเต้ดูฉลาด มีการวางแผนดีอย่างนี้คงจะจับตัวร้ายได้ไม่นาน   สู้ๆค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ

ป.ล. มีคำพลาดที่สะดุดตามากค่ะ คือ มีฉากหนึ่งใช้คำว่า " เรียน" ฝ่าบาท ต้องใช้คำว่า " ทูล" ฝ่าบาทค่ะ   
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 23-05-2016 21:40:39
ซาหนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ชอบเหวินอี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-05-2016 21:42:52
ทำไมเรื่องนี้มีแต่คนฉลาด รู้ทันกันหมดทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่14 จับแพะชนแกะ(P.3วันที่ 23/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-05-2016 22:51:07
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 24-05-2016 19:32:38
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)


             ดึกสงัดภายในห้องคุมขังคุกหลวงที่ไม่มีคนอยากย่างกายเข้ามา เวลานี้มีเงาร่างสีดำสองร่างนั่งอยู่คานไม้อย่างสงบ ดวงตาสอดส่องมองเหยื่อตัวน้อยที่สะอื้นไห้ด้วยความกลัวอย่างเฉยเมย เหมือนสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภาพที่คุ้นตา หลิ่วเหวินอี้ยกมือปิดปากขณะหาวด้วยความง่วงงุน เวลานี้จะเข้ายามสี่อยู่รอมร่อแล้วแต่แพะยังไม่ออกมาให้จับเสียที เมื่อมองคนข้างตัวแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกที่หลวมตัวมาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคนที่คิดไม่ซื่อกับตนเองเช่นนี้ กระบี่หยกขาวเป้าหมายที่เขาอยากรู้ไม่ทราบว่าเจ้าตัวไปเก็บไว้ที่ไหนเพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นมันอีกเลย แล้วเขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นถามอย่างไรดีอาจเพราะยังไม่สนิทกันพอ ถึงเอ่ยถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ
    
           หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่ยื่นมือมาจับมือตนไว้ด้วยสายตาดุๆ แม้ห้องนี้จะมืดมองเห็นแค่เงาเลือนลาง แต่เขามั่นใจว่าลั่วเหยียนเจิ้งกำลังส่งยิ้มมาให้ ทว่าเมื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่ในมือเขาไม่แน่ใจว่ามันคือสิ่งใด มันเป็นลูกกลมๆ เม็ดเล็กๆ คิ้วขมวดมุ่นพร้อมความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา มันเป็นลูกกวาด เขาแอบทึ่งเล็กน้อยที่ฮ่องเต้นิสัยประหลาดผู้นี้ชอบของหวานพกแม้กระทั่งลูกกวาด เขาไม่ได้กินอย่างที่อีกฝ่ายต้องการแกล้งทำเป็นไม่สนใจนั่งนิ่งๆ รอคอยเงียบๆ ต่อไป
    
              พรึบ!
    
              เสียงความเคลื่อนไหวดังเข้ามาใกล้ หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างสนใจ รอคอยจนจะหลับในที่สุดก็โผล่มาซะที เหลือบมองคนข้างตัวแม้เห็นไม่ค่อยชัดนักแต่มั่นใจว่าเจ้าตัวคงยิ้มหวานอยู่แน่ๆ เขากลับมาสนใจอดีตพระสนมอีกครั้ง ความงดงามอ่อนหวานที่เคยมีไม่หลงเหลืออีกแล้ว เวลานี้นางหลับไปเพราะความอ่อนเพลียแต่อีกไม่นานนางจะได้หลับไปตลอดกาล
    
             ชีวิตของอิสตรีในวังหลวงก็แค่นี้ ไม่หักหลังทรยศก็แย่งชิงความโปรดปราน เขารั้งสายตากลับไปมองคนข้างตัวอีกครั้งแล้วต้องลอบถอนหายใจอย่างสังเวชพวกนาง คนผู้นี้จะมีหัวใจได้อย่างไร ฮ่องเต้ที่ฉลาดหลักแหลมไม่เอาหัวใจไปวางไว้ให้ผู้ใดหรอก    
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเคลื่อนตัวด้วยความเร็วมากกว่าปกติ พุ่งเข้าหาเงาร่างสีดำที่ไม่สมควรปรากฏตัวในห้องคุมขังเวลานี้อย่างเงียบเชียบ เงาร่างนั้นสะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะต้านรับยกกระบี่ปัดป้องเข็มสีเงินที่พุ่งออกไปหลายร้อยเล่มด้วยความเร็ว หลิ่วเหวินอี้นั่งชมโดยไม่คิดจะยื่นเขาไปช่วยแม้แต่น้อย และครั้งนี้ทำให้
เขาได้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ถนัดแค่อาวุธกระบี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    
              อึก!
    
            เพียงไม่นานผลก็ออกมา เข็มเงินที่พุ่งออกไปแต่ละเล่มล้วนเคลือบยาพิษแม้เขาจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษแต่มั่นใจว่าอ่องเต้เจ้าเล่ห์คงต้องใช้มันอย่างแน่นอน และเป็นอย่างที่คิดเมื่อร่างนั้นกระอักโลหิตออกมาคำโต พร้อมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไม่ยินยอม แม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนกลับไม่มีเสียงร้องออกมาสักนิดเดียว นับว่ากบฏในครั้งนี้มียอดฝีมือไม่ต่ำช้า เวลานี้ห้องคุมขังที่สมควรมืดมิดเหลือเพียงเงาเลือนลางถูกจุดคบเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง กับดักหลอกล่อในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแต่ก็เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถสาวถึงตัวการใหญ่ได้    
    
             “เปล่าประโยชน์ที่จะซักถาม” หลิ่วเหวินอี้กระโดดลงมาจากคานไม้ ใบหน้าฉายแววง่วงงุนเล็กน้อยแต่ดวงตาเรียวคมยังบ่งบอกได้ว่าร่างที่ถูกจับกุมได้นี้ไม่มีทางพูดออกมาได้ไม่ว่าใช้วิธีทรมานอย่างไรก็ตาม
    
            “หมายความอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งหันมาเอ่ยถามอย่างสงสัย คบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นทำให้เห็นต้นคอของมันมีสลักคำว่า “ตาย” ไว้ นั่นบ่งบอกว่าไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้านี้ไม่มีทางได้พูดความจริง แม้จะถูกสกัดจุดไม่ให้ด่วนกินยาพิษก็ตาม
    
            “ข้าเคยเห็นคนกลุ่มนี้ พวกมันถูกตัดลิ้นจนหมดสิ้น” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ยกมือขึ้นปิดปากหาวอีกครั้ง วันนี้เขาง่วงจริงๆ มาถึงวังหลวงครั้งแรกก็เจอเรื่องวุ่นวาย ตอนแรกว่าจะไม่สนใจแต่ไหนๆ ต้องการความเชื่อใจจึงต้องยอมเล่นกับจิ้งจอกเสียหน่อย
    
            “เจ้ารู้จักพวกมันดีหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้ปรือตาที่จะหลับอยู่รอมร่อขึ้นไปมองคนถาม รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้เห็นทีไรก็รู้สึกขนลุกทุกที เขาส่ายหน้าเพราะไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ในเมื่อพวกมันไม่ยุ่งกับกลุ่มอีกาและวิหคดำเขาก็คร้านที่จะใส่ใจ
    
           “เจ้าไปนอนเถอะ ในเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะเอ่ยถาม ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกมันเอาไว้” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอดีตพระสนมซึ่งโดนเข็มพิษสังหารจากลั่วเหยียนเจิ้งอย่างรวดเร็ว แต่นี่ถือว่าเป็นความปราณีสูงสุดแล้ว เขาเดินออกจากห้องคุมขังอย่างไม่สนใจอีกว่าฮ่องเต้ผู้นี้จะเอาคำตอบจากคนที่ไม่สามารถพูดได้อย่างไร
    
           ทว่าขณะเดินออกมาข้างนอกกลับเห็นเงาร่างเลือนลางของบุคคลน่าสงสัยพุ่งหายไปทางปีกตะวันออก หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างลังเลว่าจะหาเรื่องใส่ตัวดีหรือไม่ แต่ว่าตามไปดูเสียหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
    
           ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีดำพุ่งตามไปอย่างรวดเร็ว วิชาตัวเบาไม่ได้เป็นรองผู้ใด จนกระทั่งมายังตำหนักหลังหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่โตมากนัก เขาไม่แน่ใจว่าที่แห่งนี้เรียกว่าตำหนักอะไรเพราะครั้งล่าสุดที่เขาส่งคนนำฎีการ้องเรียนมาส่งให้ฮ่องเต้ก็เป็นเฉียวฟงอีกาหมายเลขหนึ่งเป็นคนดำเนินการทุกอย่าง ฝีมือที่ลำเลิศกว่าพวกพ้องทำให้เขาพอจะไว้วางใจ
    
           “มาช้า” น้ำเสียงเย็นนิ่งดังมาจากห้องหนึ่งแม้ไม่ได้จุดเทียนไขให้ความสว่าง แต่สายตาผู้เยี่ยมยุทธก็ยังพอมองเห็นได้เลือนลาง แต่มิอาจรู้ได้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดเพราะเขาไม่ได้ไปสืบตำแหน่งของเหล่าองค์หญิงองค์ชายหรือพระสนม  แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาผงะออกด้วยความตกใจ ทั้งสองคนกำลังกอดรัดจูบกันอย่างดูดดื่มเหมือนพลัดพรากกันมาแสนนานและกำลังถอดเสื้อผ้าออกอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความอับอายและสยดสยองสายตา เพราะภาพที่เห็นเป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่!
    
           หลิ่วเหวินอี้ถอยกลับอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ตอนนี้เขารู้สึกคลื่นไส้จนแทบอาเจียน ไม่น่าตามมาเลย ได้แต่สบถกับตัวเองในใจ เมื่อมาถึงห้องนอนกลับมีใครมานั่งรออยู่ สายตาคมๆ มองมาเหมือนปกติ ทว่าทำให้ตอนนี้เขารู้สึกสยดสยองไปหมด ร่างโปร่งพรวดเข้าห้องน้ำพร้อมอาเจียนออกมาอย่างหมดท่า
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งลุกพรวดตามเข้ามาด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นหลิ่วเหวินอี้คุกเข่าอยู่ขอบอ่างอาเจียนอย่างหมดแรงทำให้เขามองตามอย่างมึนงงเล็กน้อย และไม่รู้จะช่วยคนตรงหน้านี้อย่างไรดี
    
          “เหวินอี้เจ้าเป็นอะไร” น้ำเสียงกังกลจากคนด้านหลังทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อย แม้จะไม่เกี่ยวกันแต่ภาพที่เห็นทำให้เขาเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แม้เขาจะเคยเห็นบุรุษรักกันแต่ไม่เคยเห็นอะไรที่มันโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะตัวเองตามไปเอง
    
           “เปล่า ข้าแค่ปวดท้อง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก พร้อมลุกขึ้นด้วยสีหน้าซีดๆ สายตาที่มองมาคือไม่เชื่อในสิ่งที่พูด เขาเดินผละออกมาอย่างไม่สนใจก่อนจะไปนอนบนเตียงนอน เวลานี้เขาทั้งเหนื่อยและง่วงที่สำคัญเขาโดนทำร้ายสายตามาอย่างแรง
    
           “เดี๋ยวข้าไปเรียกหมอหลวงมาดูอาการเจ้า” แม้ครั้งแรกจะไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นท่าทีอ่อนแรงของอีกฝ่ายก็ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยอมแพ้ สายตามองสำรวจร่างโปร่งนอนหลับตาพริ้มใบหน้าแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู
    
          “ไม่ต้อง ข้าง่วงนอนท่านก็ไปนอนได้แล้ว” เสียงอู้อี้ของคนที่นอนหมอบกับเตียงเอาหมอนมาทับศีรษะตัวเองเอาไว้ ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปแม้จะสงสัยว่าหายไปไหนมา แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอกต่อให้คาดคั้นก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่เดินเข้ามาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยสายตานิ่งๆ ใบหน้างดงามมีขอบตาดำซ้ำอยู่บ้าง ใบหน้าเย็นชาเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงทานข้าวตามปรกติ เขาชอบที่หลิ่วเหวินอี้เป็นเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าเขาเป็นใครแต่ก็ยังทำตัวเช่นเดิม ความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายเหมือนคนรู้จักกันมาช้านาน เขารินน้ำชาให้อีกฝ่ายเงียบๆ มองมือเรียวเขี่ยผักออกจากจานตัวเองแล้วส่ายหน้าอย่างเอ็นดู อาจเป็นมุมนี้ที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนเด็ก
    
          “เจ้านอนไม่หลับหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถาม ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือไปชั่วครู่ก่อนจะคีบกับข้าวกินต่อ ทว่าใบหน้าที่แดงระเรื่อนั่นคืออะไร เขามองอย่างมึนงงเพราะอาการเช่นนี้จะว่าโกรธไม่ใช่ที่ จะว่าอายก็ไม่น่าใช่อีก ดวงตาเย็นชาเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
    
          “ไม่มีใครสอนหรือว่าเวลาทานข้าวห้ามพูด” ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักไปชั่วครู่ มองคนงามที่มองเขานิ่งๆ แต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง ไม่รู้ตอนนี้ตนเองทำสีหน้าอย่างไรดี เกิดมาก็เพิ่งจะมีคนตำหนิ แล้วเรื่องกินข้าวห้ามพูดไม่เห็นมีกฎข้อนี้เลย หรือว่าเขาทานคนเดียวมาตลอด ไม่สิอย่างน้อยเขาก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็ยังพูดคุยตามปกติ เพียงแต่พูดน้อยคำเท่านั้นเอง
    
           “หึ...” เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงข้ามทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองและสรุปได้ว่าคนตรงหน้ากำลังแกล้งตนด้วยสีหน้าตายด้านสุดๆ เขามองดวงตาเย็นนิ่งที่นั่งทานข้าวต่อเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ คีบผัดผักใส่จานของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจสายตาเย็นๆ ที่ส่งกลับมา
    
          “ผักมีประโยชน์” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มหวาน ที่มองอย่างไรมันก็เป็นการเสแสร้ง ทำให้คนถูกแกล้งมองหน้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับผักเต็มจานตัวเองสลับไปมา ก่อนจะคีบแล้วยัดใส่ปากคนที่ยิ้มหวานอย่างหงุดหงิด
    
          “ผักมีประโยชน์ห้ามคายออกมา” ลั่วเหยียนเจิ้งอึ้งไปเมื่อเจอคำยอกย้อนจากคนเย็นชา ได้แต่มองตามด้วยท่าทางน่าสงสาร เพราะในปากเขาตอนนี้เต็มไปด้วยผักที่อีกฝ่ายยัดใส่อย่างไม่ปราณีเลยสักนิด เอาเถอะยกนี้เขาขอยอมแพ้ก็ได้ คิดอย่างปลงตกกับตนเองรีบเคี้ยวกลืนผักลงคอก่อนมันจะติดคอตายเสียก่อน
    
            “หึ...”
    
             เสียงหัวเราะของหลิ่วเหวินอี้ยามนี้ฟังแล้วทำไมรู้สึกระคายหูนัก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่แต้มมุมปากทำให้กลืนคำพูดต่อว่าลงคออีกครั้ง เฮ่อ ยอมให้ก่อนแล้วกันแล้วจะเอาคืนทั้งต้นและดอกเลยคอยดู
    
             หลังจากผ่านอาหารมือเช้าที่เหมือนจะฆ่ากันจบลง ลั่วเหยียนเจิ้งจึงพาแขกมาเดินเล่นในอุทยานหลังตำหนัก ดอกไม้งดงามแต่ไม่มีดอกท้อ ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกอยากปลูกดอกท้อขึ้นมา
    
            “หลินกงกงให้คนไปจัดการสร้างตำหนักเถาฮวา(ดอกท้อ)ห่างจากตำหนักข้าไปแค่ครึ่งลี้ ปลูกต้นท้อและดอกอิงฮวา(ซากุระ)ล้อมรอบ” คำสั่งสายฟ้าแลบทำให้ผู้ติดตามตะลึงงัน เมื่อสติกลับคืนมาจึงคุกเข่าคารวะรับคำสั่ง ทว่าเวลานี้หลิ่วเหวินอี้หัวคิ้วกดลึกมองคนออกคำสั่งอย่างเคร่งเครียด ความนัยบางอย่างที่ออกปากไปลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเกี่ยวกับตนทั้งสิ้น
    
             “ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมดวงตาเรียวคมจ้องมองมาอย่างจับผิดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง
    
            “ข้าอยากสร้างตำหนักให้เจ้าไง” บอกอย่างไม่ปิดบัง ตำหนักเถาฮวาเหมาะกับคนตรงหน้านี้จริงๆ
    
             “ไม่จำเป็นยกเลิกคำสั่งไปซะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งแต่ครั้งนี้กลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ คลื่นใต้น้ำก็พร้อมจะซัดเข้าหา แต่ยังมีหน้ามาสร้างตำหนักให้เปลืองงบประมาณไม่รู้ว่าฮ่องเต้มากเล่ห์คิดการณ์ใดอยู่
    
             “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ เจ้าอย่าห่วงเลยข้าย่อมมีแผนการ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม มองคนเคร่งเครียดกว่าตนอย่างขำๆ แม้ตำหนักเถาฮวาจะเป็นสิ่งที่เขาอยากได้จริงๆ แต่แผนการต่อไปนี้ต่างหากที่สำคัญ ใบหน้าคมคายดวงตาคมกริบมองคนงามที่ประกายความไม่พอใจในดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่นเวลานี้หลิ่วเหวินอี้พลาดพลั้งให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เสียแล้ว
    
            “ท่านมันเจ้าเล่ห์นัก หากข้าไม่ร่วมมือกับท่าน” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง ไม่ได้เดือดร้อนให้กับคนที่เอ่ยปากถาม หลังจากที่รู้จักพอประมาณแม้หลิ่วเหวินอี้จะเย็นชาสร้างกำแพงขวางกั้นมากมาย แต่สุดท้ายย่อมใจอ่อนให้คนที่รู้จักและยิ่งตอนนี้เขายังเป็นพี่น้องร่วมสาบานของอีกฝ่ายซึ่งไม่อาจนิ่งดูดายได้ง่ายๆ เช่นกัน
    
           “ข้าก็คงต้องรอเวลาต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บชีวิตนี้ตนเองไว้ได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง” ลั่วเหยีนเจิ้งเอ่ยตอบมองคนที่คิดจะให้มาเป็น “เหยื่อ” หรือ “จุดอ่อน” ของตนเอง ด้วยแววตาเศร้าหมอง
    
          “ข้ามีสิ่งแลกเปลี่ยน” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนเม้มปากแน่นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับหากได้คนมีฝีมือมาอยู่ด้วยย่อมเป็นเรื่องดี ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้เจริญสายตาเป็นไหนๆ
    
          “หากงานนี้สำเร็จข้าอยากรู้ชื่อที่อยู่คนที่ให้กระบี่หยกขาวแก่ท่านพี่เหยียนเจิ้ง” คำตอบตรงไปตรงมาของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ คำขอนี้ทำให้หวนนึกไปถึงคนน่าตายคนนั้น ที่กล้าแย่งซื้อรองเท้าจากเขาไป มิหนำซ้ำคนตรงหน้าไม่รับไปอีกแค่คิดก็ให้อารมณ์ครุกรุ่นในอกอีกครั้ง
    
           “เพราะเหตุใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเสียงเย็น เมื่อคิดว่าเพราะเรื่องนี้อีกฝ่ายถึงยอมขอติดตามตนมา
    
            “มิอาจบอกได้”
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปสบดวงตาเย็นนิ่งไม่มีสั่นไหวของอีกฝ่ายอย่างจับผิด เขารู้จักผู้คนมากมาย และรู้จักนิสัยใจผู้คนเพียงแค่เหลือบมอง แต่คนตรงหน้าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถอ่านใจได้หมดใจ กำแพงอีกฝ่ายสูงเกินไป มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะพังลงมาให้เขาได้เข้าไป
    
            “เข้าใจแล้ว ข้าตกลง” ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมายิ้มอ่อนตามปกติอีกครั้ง ร่างสูงสง่าในชุดมังกรเดินเคียงข้างกันมาจนถึงบึงน้ำ ที่สระน้ำไม่มีเรือพายแต่มีศาลาขนาดเล็กอยู่ตรงนั้นหากจะเข้าไปต้องมีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศเท่านั้น ทว่าไม่มีปัญหาสำหรับคนสองคน
    
            ศาลากลางน้ำมีพิณงดงามวางอยู่ ลั่วเหยียนเจิ้งเดินไปนั่งลงตรงพิณสีทองพร้อมนิ้วเรียวสัมผัสแผ่วเบา เมื่อเหลือบมองคนงามที่ยืนจ้องมองเขานิ่งๆ จึงส่งยิ้มให้อ่อนโยน คนตรงหน้านี้เขาไม่จำเป็นพูดมากทว่าอีกฝ่ายกลับเข้าใจเขาว่าต้องการสิ่งใด แม้แต่กุนซือข้างกายยังไม่ฉลาดล้ำเช่นนี้ หากได้คนอย่างนี้มาอยู่ข้างกายจะดีสักเพียงใด อีกทั้งใบหน้าก็งดงามดูแล้วยิ่งเจริญตา
    
           “เล่นเป็นหรือไม่” เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องมองพิณในมือนิ่งๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะขยับกายไปนั่งเหยียดกายหลังตรงบนโต๊ะกระดานหมากล้อม
    
           “ข้าสอนเจ้าเล่นพิณดีหรือไม่”
    
           “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าท่านคิดจะลวนลามข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคอมองคนที่รู้ทันอย่างขำขัน บางครั้งก็รู้ทันมากเกินไป เขาแค่อยากได้กลิ่นดอกท้อใกล้ๆ เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่อยากไปกวนโมโหคนงามเดี๋ยวจะหนีกลับตำหนักเสียก่อน มือเรียวเริ่มขยับนิ้วบรรเลงเพลงหนึ่งที่คนฟังได้แต่นิ่วหน้าเหลือบมองคนบรรเลงเพลงที่นั่งเหยียดหลังตรงในชุดฮ่องเต้เต็มยศ
    
            ทว่าเวลานี้บรรยากาศรอบตัวของลั่วเหยียนเจิ้งดูอบอุ่นกว่าเวลาปกติ เพลงที่บรรเลงนั้นไม่ได้หวานละมุนและไม่ได้ร้อนแรงอย่างฮึกเฮิมแต่มันเป็นเพลงแห่งความอบอุ่นท่ามกลางหิมะเหน็บหนาวคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องโดดเดี่ยวในความเหน็บหนาวอีกต่อไป มันจะดูปกติมากสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้ชายสองคนที่อยู่ด้วยกันเวลานี้มันทำให้หลิ่วเหวินอี้มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ภาพของเมื่อคืนฉายเข้ามาในหัวอีกครั้ง
    
           หวังว่าเขาจะรอดปลอดภัยกลับนิกายมารฟ้าได้หรอกนะ...




                      ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคะ จุ๊บๆ

                 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovetogether ที่ 24-05-2016 21:15:50
น่ารักกกกกจัง มีการป้อนกันด้วยยย
ติดตามจ้าาา รีบมานะะะะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 24-05-2016 21:18:46
โถ่เหวินอี้ถึงกับอ้วก. แพ้ท้องอ๋ออออ~~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 24-05-2016 21:36:07
ชอบๆๆ
มาไวดี
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 24-05-2016 21:40:39
เหวินอี้ท่าทางจะยังไม่ชิน เหยียนเจิ้งต้องคอยทำให้ชินซะแล้ว 555+
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovetogether ที่ 24-05-2016 22:18:50
เหวินอี้น่ารัก รู้นะว่าเขินใช่ไหมล่ะ
รีบมานะ เป็นกำลังใจให้จ้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 24-05-2016 22:36:01
เดี๋ยวก็ได้เดี๋ยวก็โดนหรอกหนู อิอิ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-05-2016 00:15:37
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่15 ผักมีประโยชน์(P.4วันที่ 24/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 25-05-2016 00:38:06
เฮ้อ ในที่สุดก็มีฉากพอที่จะฟินได้บ้าง หลังจากเหี่ยวแห้งมายาวนาน อยากให้คู่ฝ่าบาท เหวินอี้รักชอบกันเสียที
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่16 ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 25-05-2016 20:18:48
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่16 ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)


            ภายในคุกห้องใต้ดิน นักฆ่าผู้หนึ่งมีคราบเลือดเกรอะกรังไปทั่วทั้งร่าง บนกายเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์จนมิอาจมองเห็นผิวที่แท้จริงได้ ภายใต้คบไฟที่ส่องสว่างดูคล้ายคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เหตุเพราะเขาเพิ่งผ่านการลงโทษโบยตีอย่างหนักหนาสาหัส
    
           “พูดออกมาหรือไม่” น้ำเสียงนิ่งเรียบของผู้อยู่เหนือแผ่นดินดังขึ้นขณะก้าวเข้าห้องที่อับชื้นแห่งนี้ อาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูสง่างามและน่าเกรงขามลากยาวกับพื้นตามจังหวะก้าวเดิน นักฆ่าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ลอบสังหารลั่วเหยียนเจิ้งเมื่อครั้งก่อน หลังจากเบื่อหน่ายก็ให้องครักษ์เงานำตัวมาเก็บไว้ที่คุกมืดมิดในวังหลวงที่ยากจะเข้ามาได้ เพราะมันเป็นห้องลงทัณฑ์ที่ไว้ใช้สำหรับทรมานคาดคั้นเหยื่อซึ่งตั้งอยู่ใต้ดินในตำหนักตนเอง ทว่าแม้พยายามคาดคั้นนักโทษผู้นี้ก็ยังไร้ผลแม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม
    
          “ข้าน้อยลงโทษอย่างหนักทุกวิธีทาง แต่มันหาได้ปริปากพูดออกมาไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้คุมคุกเข่ารายงานอย่างจนปัญญาไม่ว่าคาดคั้นอย่างไรนักฆ่าผู้นี้ก็ไม่ปริปากอันใด ร่างนั้นถูกตรึงไว้กับเสาอย่างโรยแรงเต็มที แต่กลับไม่ปริปาก ข้างๆ กันเป็นร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าซึ่งถูกลากมาวันก่อน แต่เพราะลิ้นโดนตัดแต่มันก็ไม่ยอมปริปากและได้ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ไม่เหมือนนักฆ่าอีกคนซึ่งมีรอยสักแมงป่องที่ทนยาพิษสารพัดได้อย่างน่าฉงน
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับ ไม่ได้แปลกใจจากที่คาดไว้ ดวงตาคมมองนักฆ่าที่คาดว่ามีสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งซึ่งเป็นรอยสักแมงป่อง อีกกลุ่มเป็นนักฆ่าใบ้ที่ถูกตัดลิ้นหมดแล้วและยังถูกสลักคำว่าตายให้ เขามองพินิจร่างที่ไร้วิญญาณอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าทนพิษบาดแผลไม่ไหวแต่เหมือนมีบางอย่างควบคุมพวกมันเอาไว้เหมือนยาสั่งตาย แต่ว่าผู้ใดจะมีความสามารถผลิตยาได้เพียงนั้นหากไม่ใช่จิวชงหยวน แต่ว่าน้องสะใภ้คนงามเป็นคุณธรรมไม่น่าจะสร้างยาต่ำช้าเช่นนี้
    
            “สังหารซะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงเรียบ ทว่าคนที่เหมือนคนตายกลับยกยิ้มอย่างสมใจ ในที่สุดมันก็พ้นความทรมานเสียที
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสะบัดชายผ้าจากไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดคั้นแต่ก็สามารถรู้ได้นักฆ่าสองคนมาจากคนละกลุ่ม ยอมตายแต่ไม่ยอมปริปากนับว่าผู้อยู่เบื้องหลังคงน่ากลัวกว่าเขาเป็นแน่ ดวงตาคมหรี่ตาอย่างครุ่นคิดขณะเดินออกจากคุกลงทัณฑ์
    
            “ฝ่าบาทสนมจางหวงหลานสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนัก กวงไห่จึงได้เข้ามารายงานด้วยสีน้าเคร่งเครียด ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าอย่างกังวล จางหวงหลานเป็นบุตรีของจางหูเตี๋ยขุนนางขั้นหนึ่งซึ่งเป็นพระญาติทางมารดาของลู่เฟย  พวกมันกล้าทำเช่นนี้นับว่าอาจหาญนัก
    
            “คราวนี้นางเป็นอะไรตาย”
    
            “ตกสระบัวหลังตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบยิ่งทำให้ฉงน นางไปทำอะไรที่นั่น ลั่วเหยียนเจิ้งครุ่นคิดเดินไปนั่งจิบเหล้าหยกน้ำค้างดื่มอย่างเชื่องช้าพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ
    
            “แล้วสนมฉิงหลันเป็นเช่นไร”
    
             “นางยังสุขสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบที่ได้รับไม่ได้เกินจากที่คาดเดา ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวภายในวังหลวงขณะที่ลั่วหวังอู๋ กับมู่เหรินกำลังเดินทางกลับมา ใบหน้าคมคายคิ้วคมเฉียงกดลึกขณะครุ่นคิด มือแกว่งเหล้าไปมาอย่างเชื่องช้า มุมปากยกยิ้มเย็นเมื่อก่อนองค์ชายรองกับองค์ชายสามแผนการไม่ได้ลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ แต่นี่ทำให้เขามองไม่ออกว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่ เขาอยากเห็นหน้าของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแล้วสิว่าจะเป็นผู้ใด
    
             “ฝ่าบาท ใต้เท้าจางมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนุ่มนิ่มของหลินกงกงหัวหน้าขันทีรายงานอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งวางแก้วเหล้าในมือลงแล้วลุกขึ้นเดินออกไป เพราะมีเรื่องเดียวที่ทำให้จางหูเตี๋ยมาขอเข้าเฝ้า เขาถอดถอนใจ ใบหน้าอ่อนโยนเวลานี้แต่งแต้มด้วยความเศร้าสลด ดวงตาแดงระเรื่อเหมือนคนโกรธแค้นเจ็บใจที่ตนมิอาจช่วยชีวิตสนมรักไว้ได้
    
             “ฝ่าบาทโปรดหาความเป็นธรรมให้พระสนมจางหวงหลานด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่ประตูเปิดออก ก็เจอร่างท้วมของจางหูเตี๋ยคุกเข่าก้มหน้าชิดพื้นอย่างอ้อนวอน
    
            “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องหาความเป็นธรรมให้พระสนมของข้าอยู่แล้ว” แม้เสียงจะราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอารมณ์สะท้อนความเสียใจออกมา ยิ่งทำให้จางหูเตี๋ยรู้สึกซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือใคร จะไม่ปล่อยชีวิตพวกมันไว้เป็นอันขาด
    
           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่ก้มหน้าขอบคุณด้วยความซาบซึ้งด้วยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปยังตำหนักของสนมจางหวงหลาน แม้ตำหนักนี้จะไม่ได้ใหญ่โตแต่มีทุกอย่างที่สนมคนหนึ่งพึงจะมี เขามองดูศพที่ตายอย่างละเอียดทว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เมื่อถามความจึงได้รู้ว่าพระสนมคนนี้มีอาการเหม่อลอยในช่วงหลังๆ นางอาจถูกใครข่มขู่จึงคิดไม่ตก แต่เมื่อวันก่อนที่เขาเรียกพวกนางไปพบยังมีสีหน้าปกติดี
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งสั่งให้จัดพิธีศพให้อย่างสมเกียรติพร้อมมอบของปลอบใจให้ตระกูลจางอย่างที่ควร การตายของนางแม้จะยังเป็นปริศนาแต่คงอีกไม่นานที่พวกฆาตกรรมจะเปิดเผยตัวเอง ในเมื่อคิดทำการอุกอาจอย่างไม่กลัวความตาย คงจะอยู่อย่างสงบได้ไม่นาน
    
           สองสามวันมานี้เหมือนมีแต่เรื่องวุ่นวายภายในวังหลวง เมื่อกลับมายังตำหนักหันไปมองทางตะวันออกกำลังมีการเริ่มก่อสร้างตำหนักเถาฮวา แม้จะเป็นที่คัดค้านจากหลายฝ่ายเพราะยังมีการตายของพระสนมในช่วงนี้ แต่เขาแสร้งอ้างว่าเป็นฮวงจุ้ยของนักพรตผู้หนึ่งที่จะขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายภายในวังหลวง เรื่องนี้จึงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
    
          “ฝ่าบาทองค์ชายลู่เฟยกับพระชายาจิวชงหยวนจะเสด็จมาวังหลวงอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานจากองครักษ์เงาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอย่างยินดี เพราะตั้งแต่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้มาลู่เฟยกับจิวชงหยวนก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย แค่คิดว่าจะได้ทานของอร่อยก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกเท่าตัวแล้ว
    
            “บัวลอยไข่หวาน...”
    
            องครักษ์เงาเหลือบมองเจ้าเหนือหัวอย่างอึ้งๆ ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนไม่ใช่ว่ายินดีที่จะได้พบน้องชาย แต่กลับยินดีที่จะได้ทานบัวลอยไข่หวาน เอ่อ...ฝ่าบาทท่านน่าจะคิดถึงน้องชายพระองค์บ้างนะ องครักษ์เงาได้แต่คิดอย่างปลงตก ก่อนถอยหลังจากไปเมื่อหมดหน้าที่ของตน...

    
           หลิ่วเหวินอี้นั่งกินนอนกินภายในห้องพักของตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกอึดอัด ชีวิตที่นี่ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน หากอยู่นานไปเขาคงได้ตายเพราะความเบื่อหน่ายแน่ๆ ดวงตาเรียวคมมองสุราหยกน้ำค้างในมืออย่างชื่นชม มันหอมหวานรสชาตินุ่มคอ หากไม่ได้เป็นของหายากที่ดื่มได้เฉพาะวังหลวงเขาคงแอบนำสูตรไปขายในโรงเตี๊ยมหู่ผีอิงอู่ในเครือของกลุ่มวิหคดำแล้ว และคงมีสิ่งนี้เท่านั้นที่ช่วยให้รู้สึกอยากอยู่ต่อสักหน่อย
    
           “หลวนซานมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
    
           หลิ่วเหวินอี้บอกพร้อมเตรียมกระดานหมากล้อมไว้บนโต๊ะ หลวนซานเดินมานั่งตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเพราะว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเล่นเป็นเพื่อน หมากสีดำและขาวถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับมีแขกเดินเข้ามาหา ไม่สิ ต้องเรียกว่าเจ้าของตำหนักถึงจะถูก เขาเหลือบมองใบหน้าคมคายซึ่งตอนนี้เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ข่าวการตายของพระสนมใช่ว่าเขาจะไม่รู้เพียงแต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง จึงอยู่นิ่งๆไม่ได้สืบสาวความจริงแต่อย่างไร
    
          “รบกวนเจ้าหรือเปล่า”
    
          “เปล่า” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ หลวนซานลุกขึ้นยืนถอยหลังห่างออกไป ลั่วเหยียนเจิ้งจึงมานั่งแทนที่ ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเดิมแต่แววตาหนักใจนั้นไม่อาจปิดบังสายตาตนไปได้
    
          “เจ้าคงจะเบื่อ” ดวงตาคมที่มองมาเหมือนมานั่งอยู่กลางใจ หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับเพียงแค่จับหมากในมือพร้อมยื่นหมากสีขาวให้อีกฝ่าย
    
          “เจ้าเหมือนจิวชงหยวน ที่ไม่ชอบการผูกมัดและหาทางออกไปจากวังหลวงและในที่สุดชงหยวนก็ทำได้อีกทั้งยังพาน้องชายข้าไปด้วย” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง แต่ว่าจิวชงหยวนหากเขาจำไม่ผิดคือหมอเทวดาที่ช่วยเหลือเขาเมื่อสามปีก่อน
    
          แสดงว่าลู่เฟยบุคคลที่ติดตามหมอเทวดาผู้นั้นคือน้องชายของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทอดทิ้งความสบายติดตามคนรักออกไปท่องยุทธภพข้างนอก แต่เมื่อมองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วได้แต่เก็บซ่อนความคิดไว้ในใจเพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนผู้นี้จะทอดทิ้งทุกอย่างเพื่อคนคนหนึ่ง ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจถึงจะนั่งครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
    
          “คนเช่นเจ้ายากนักที่อยากอยู่ในกรงทอง” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงนุ่มวางหมากสีขาวลงตำแหน่งที่เหมาะสม ใบหน้ายังฉายแววอ่อนโยน หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างไม่เข้าใจว่าวันนี้ฮ่องเต้ผู้นี้จะมาไม้ไหน
    
           “ท่านเป็นอะไร หรือว่านอนไม่พอ”
    
           “เปล่า ข้าแค่คิดว่าหากมีเจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดไปคงดีไม่น้อย” รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจส่งมาให้ทำให้มือที่วางหมากสีดำสะดุดลงและเผลอไปวางผิดตำแหน่งจนโดนกินหมากไปอย่างง่ายดาย
    
           “ท่านต้องการอะไรพูดมาเลยดีกว่า ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ดวงตากวาดมองใบหน้าคมคายที่แต้มด้วยรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดในใจ คนผู้นี้ชอบทำให้ใจเขาไม่สงบอยู่เรื่อย
    
           “น้องเหวินอี้ฉลาดหลักแหลม ต้องการมาเป็นกุนซือข้างกายพี่เหยียนเจิ้งคนนี้หรือไม่”
    
           “ข้าไม่ชอบหลายตำแหน่ง แค่พี่น้องร่วมสาบานก็มากพอแล้ว อีกอย่างข้าคงมิกล้ารับตำแหน่งกุนซือข้างกายฮ่องเต้หรอก” หลิ่วเหวินอี้กล่าวประชดอย่างอดไม่อยู่ ใบหน้าแต้มยิ้มหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะยึดหมากสีดำเขาไปอีกครั้ง การเดินหมากที่ใจไม่สงบกลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
    
           “ปกติในวังหลวงเขาทำอะไรกัน” หลิ่วเหวินอี้เปลี่ยนเรื่องคุย ขณะเก็บหมากล้อมที่พ่ายยับเยินเพราะไม่มีอารมณ์จะเล่นต่อ ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเก็บช่วย
    
           “สำหรับข้าหากว่างจากราชกิจก็จะเล่นหมากล้อม วาดรูป เล่นพิณ อ่านหนังสือ” หลิ่วเหวินอี้หลับตาปิดบังความรู้สึกตนเองเงียบๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าหงุดหงิดกับกิจกรรมยามว่างของคนตรงหน้า ชีวิตทำไมน่าเบื่อและจืดชืดเช่นนี้ และของพรรคนั้นเห็นแต่พวกผู้หญิงทำกันไม่ใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเย็บปักถักร้อยคนตรงหน้าก็ทำเป็น
    
           เสียงหัวเราะในลำคอของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้ลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง ดวงตาคมจับจ้องมองเขาอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มแต้มบนใบหน้ามีแต่การลวงหลอกจนบางครั้งอยากรู้ว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของคนตรงหน้าจะเป็นเช่นไร และโหดเหี้ยมแค่ไหน
    
          “เจ้าอยากเล่นอะไรก็ได้แก้เบื่อ แต่อย่าให้โดนจับได้ก็พอแล้ว”รอยยิ้มและดวงตาอ่อนลงกว่าปกติสองส่วน ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า เขาเข้าใจความหมายนั้นดีเพียงแต่เหตุใดเขาต้องเอาตัวไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองด้วย
    
          “ข้าขออยู่เฉยๆ” หลิ่วเหวินอี้ปฏิเสธอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เรื่องภายในวังหลวงเขาไม่อยากข้องเกี่ยว แค่นี้ก็หลวมตัวมามากแล้ว
    
           “เจ้ารู้จักกลุ่มนักฆ่าแมงป่องกับนักฆ่าใบ้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำถามที่ครั้งนี้ตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม ใบหน้าคมคายกลับมาจริงจังอีกครั้งอาจเพราะเห็นว่ายิ่งหลอกล่อยิ่งไม่ได้อะไรเลย
    
           “ท่านอยากได้คำตอบแบบไหน”
    
           “ความจริง” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาคมกริบมองมาไม่ได้คาดคั้นแต่กลับแฝงไว้ด้วยความจริงใจ ซึ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกแปลกๆ เพราะปกติคนตรงหน้าจะมากเล่ห์มีรอยยิ้มจอมปลอมอยู่เป็นนิจ
    
           “ข้าจะได้อะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานแต่เขาก็ไม่อยากขาดทุน ทุกการลงทุนย่อมมีผลกำไร แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่หากฉวยโอกาสได้เขาก็จะทำอย่างไม่ลังเล   

          “ข้าจะตอบคำถามเจ้าก่อนหนึ่งเรื่องในสิ่งที่เจ้าอยากรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาวหรือผู้เป็นเจ้าของ” หลิ่วเหวินอี้มองอีกฝ่ายนิ่งๆ การเปลี่ยนแปลงสีหน้าและดวงตาจริงใจอีกฝ่ายทำให้ไม่คุ้นเคยแม้มุมปากจะยกยิ้มบางก็ตาม แต่หากได้คำตอบอย่างที่อีกฝ่ายรับปากจริงๆ เขาก็จะได้ไปจากที่แห่งนี้เช่นกันนับว่าไม่เสียเปรียบ
    
          “นักฆ่าแมงป่องเป็นคนกลุ่มน้อยจากทะเลทรายทางตอนใต้ของเจียงหนาน มีความสัมพันธ์กับแคว้นชิงเว่ยทุกคนมีรอยสักรูปแมงป่องอยู่กลางหน้าอก ส่วนนักฆ่าใบ้ชอบทำงานเป็นกลุ่มทุกคนโดนตัดลิ้นการควบคุมพวกเขาเป็นหนอนพิษแดงและผู้ผลิตยาชนิดคือพรรคหมื่นพิษที่หนีรอดจากการสังหารของหมอเทวะมารได้” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบมองดูใบหน้าคมคายที่ฉายแววเคร่งเครียดตรงหน้า แม้ไม่ค่อยได้รู้ประวัติของสองกลุ่มนี้มากนัก แต่ข่าวสารของอีกาดำไม่ได้เป็นรองผู้ใด
    
         “แสดงว่ามีสองกลุ่ม” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ เพราะความเป็นไปได้สูงมากที่คนในวังร่วมมือกับคนพรรคมาร และอาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนสร้างนักฆ่าขึ้นมาด้วยตนเองโดยไม่ต้องจ้างวาน
    
         “คราวนี้ตอบคำถามข้า”
    
         “เหตุใดเจ้าต้องการรู้เกี่ยวกับกระบี่หยกขาว” หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองคนถามที่ยกยิ้ม หรือว่าเขาเชื่อใจคนตรงหน้าเกินไปจึงเบี้ยวที่จะตอบคำถาม
    
          “ไม่ใช่เรื่องที่ฮ่องเต้เช่นท่านจะรู้ แค่ตอบคำถามข้าก็พอ” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมไอเย็นที่แผ่ออกมา ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ
    
          “ข้าไม่ได้คิดเบี้ยวคำตอบจากเจ้าเพียงแค่อยากรู้ว่าเหตุผลเพราะคนที่ให้กระบี่ข้าหาใช่มนุษย์ไม่”
    
           หลิ่วเหวินอี้กลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม แต่ใบหน้างดงามเบือนออกนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยเพราะคนที่ต้องการคำตอบนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่มนุษย์ หากคนที่ให้กระบี่หยกขาวของล้ำค่าเช่นนั้นแก่ลั่วเหยียนเจิ้งมิใช่มนุษย์ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด แต่สิ่งที่เขาสงสัยเหตุใดถึงมีสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ เทพ เซียน ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเพราะแม้แต่ตนเองยังเป็นวิญญาณมาจากภพภูมิอื่น
    
           “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ” น้ำเสียงตัดท้อจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้หันกลับมามองอีกครั้ง แววตาเรียวคมมองใบหน้าคมคายดวงตาตัดท้อของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
    
           “เปล่า ข้าแค่คิดว่าเหตุใด ปีศาจ เทพ เซียน ถึงมาท่องอยู่ในโลกมนุษย์”
    
           “ทุกคนอาจมีหน้าที่ หรือไม่ก็บางคนอาจถูกลงทัณฑ์ไม่สามารถกลับดินแดนตนเองได้”
    
           “แล้วคนที่ให้กระบี่หยกขาวแก่ท่านเล่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาเศร้าสลดของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป ทว่ามันกลับสร้างความสงสัยภายในใจว่าคนผู้นี้ทำไมมีสีหน้าเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่ควรจะไร้ใจมิใช่หรือ
    
          “ถือว่าเป็นหนึ่งคำถามที่ข้าจะตอบเจ้า คิดดีแล้วหรือว่าอยากได้คำตอบแบบไหน ข้าจะตอบเพียงคำถามเดียว” หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่นมองคนฉลาดอย่างเจ็บใจนิดๆ เผลอหน่อยก็ไม่ได้เขาจะได้คำตอบทั้งหมดอยู่แล้วเชียว
    
          “ข้าขอที่อยู่คนคนนั้นก็แล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ตัดสินใจเอ่ยคำถามที่น่าจะมีประโยชน์มากที่สุด ชื่อแซ่ยังไงค่อยไปไถ่ถามกันทีหลังหากพบเจอแล้วก็คงจะง่ายขึ้น ทว่าเมื่อสบตาคมของลั่วเหยียนเจิ้งกลับรู้สึกว่าตนเองถามคำถามผิดไป
    
           “คำถามนี้แม้แต่ข้าก็ไม่อาจตอบได้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าที่นั่นเรียกว่าหุบเขาเร้นลับ กาลเวลาไม่สิ้นสุด หนึ่งปีที่นั่นเท่ากับหนึ่งวันในโลกมนุษย์” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ภายในใจเกิดความสงสัยเหตุใดคนตรงหน้าถึงยอมบอกความจริงกับเขา จากที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานทำให้รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้โกหก เขาถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าเรื่องมันช่างเป็นปริศนาไปหมด
    
           “รู้หรือไม่เหตุใดข้าถึงยอมความจริงกับเจ้าทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยสนใจสิ่งใดมาก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันมามองคนเอ่ยปากถามอีกครั้ง แววตาและรอยยิ้มที่ส่งมาทำให้รู้สึกแปลกๆ ความเชื่อใจก็ไม่ใช่เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกการไว้วางใจใครสักคนอย่างหมดหัวใจมาก่อน
    
           “ข้าแค่อยากจริงใจกับเจ้า เผื่อสักวันเจ้าจะเปิดใจรับข้าไว้พิจารณาบ้าง” หลิ่วเหวินอี้นิ่งไปกับคำตอบ มองร่างสูงลุกขึ้นยืนมองมาที่เขาอย่างลังเล แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ
    
          “เจ้าควรพักผ่อน” บอกพร้อมเดินจากไปไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ แม้อีกฝ่ายจะแสดงความจริงใจ แต่เขากลับยิ่งรู้สึกไม่ไว้วางใจ เหมือนกับว่าโดนหลอกล่อให้ตกหลุมพรางเท่านั้น
    
          “นายน้อย” หลวนซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นายน้อยตนเองนิ่งเกินไปใบหน้าเย็นชาแต่ดวงตาเรียวคมมองตามหลังฮ่องเต้ไม่วางตา
    
            “ฮ่องเต้ย่อมไร้ใจ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดอ่อน เจ้าว่าเขาต้องการอะไรจากข้า”
    
            คำถามนี้ทำให้หลวนซานเกาศีรษะ มองใบหน้างดงามของเจ้านายแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง พรางคิดว่านายน้อยไม่รู้คำตอบจริงๆ หรือ ตั้งแต่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาองค์จักรพรรดิผู้นี้มองหลิ่วเหวินอี้อย่างชื่นชมความงดงามและความฉลาด บางครั้งสายตายังอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป หากให้บ่าวผู้ต่ำต้อยคาดเดาก็คงเป็น ฮ่องเต้ผู้นี้หลงรักนายน้อยอย่างไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว



          ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่16ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 25-05-2016 20:56:32
คนฉลาดมักโง่(?)เรื่องรักสินะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่16ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 26-05-2016 01:43:56
 :katai4: :kaขยันโพสต์มากๆค่ะ ชื่นชม  ตอนนี้ยังคงเป็รปริศนาต่อไป แต่คู่รององค์ชาย3 กับจิงชงหยวนกำลังมา เย้ จะได้มีฉากสวีทบ้าง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่16ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 26-05-2016 11:03:48
เหวินอี้คงมีอคติกับความรักสินะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่16ข้อแลกเปลี่ยน(P.4วันที่ 25/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 26-05-2016 11:17:41
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 26-05-2016 20:19:34
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่าตั้งใจ(P.4วันที่ 26/5/59)

            ณ ตำหนักเยว่ชิงตอนนี้กลับมีไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว ร่างเล็กวัยสิบสองขวบปีสะดุ้งตื่นจากที่นอน มองรอบกายอย่างตื่นตระหนก มือเล็กโบกควันตรงหน้าไปมาพร้อมสำลักเล็กน้อย แม้จะโดนยาพิษหลากหลายชนิดก็ยังไม่ตายและยังรอดปลอดภัยมาได้ แต่หากไม่มีอาจารย์ผู้ล้ำเลิศอย่างฝู่ซานก็คงไม่มีวันนี้ ทุกวันนี้เพียงแค่แสร้งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่บ่อยครั้งเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าวันนี้ตนจะโดนย่างสดเช่นนี้
    
           “ฝ่าบาท!” หยางซือหมิงพุ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ควันไฟฟุ้งไปทั่วห้องพร้อมไฟเริ่มลุกลามเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
    
           “ข้าไม่เป็นไร รีบออกไปเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งหรือรัชทายาทของแคว้นลั่วหยางเอ่ยบอกเสียงนิ่งเรียบ แม้เหตุการณ์ตรงหน้าน่าหวาดหวั่นแต่แววตากลับนิ่งเฉยไม่ได้หวั่นกลัวความตายที่ผู้อื่นมอบให้ มือเล็กคว้ากระบี่หยกขาวบนที่นอนพุ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ความสามารถนี้ยังมิมีใครรู้และจะไม่รู้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร หยางซือหมิงองครักษ์ฝ่ายขวาก็ตามมาติดๆ ทั้งคู่ออกห่างจากตำหนักมาไกลมากโขมองดูตำหนักเยว่ชิงที่โดนไฟลุกไหม้อย่างน่ากลัว ทหารองครักษ์รอบบริเวณต่างพากันช่วยดับไฟแต่กว่าจะมอดดับก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
    
              แค่กๆ
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักควันไฟเล็กน้อย ใบหน้าคมคายตั้งแต่เยาว์วัยดำไปด้วยเขม่าควัน ดวงตาคมนิ่งกวาดมองรอบด้านเพื่อหาหนทางแก้ตัวที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่
    
            “กวงไห่ยังไม่มาเหรอ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามถึงองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตนเองซึ่งให้ไปหาซื้อสมุนไพรหายากบางชนิดนอกวังหลวง เพราะคนที่แกล้งป่วยอย่างตนจึงไม่สามารถไปเพ่นพ่านในห้องยาได้
    
            “ยังพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงที่อายุราวสิบเจ็ดปี แต่มีวรยุทธล้ำเลิศเหนือกว่าพวกพ้องรุ่นเดียวกันจึงได้ถูกมอบหมายมาทำหน้าที่องครักษ์รัชทายาทเช่นตน และเป็นคนที่เสด็จพ่อคัดเลือกด้วยตนเองจึงวางพระทัยได้ เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนที่ตนหนีรอดตายมาได้ แต่องครักษ์ที่ช่วยเหลือถูกสังหารจนหมดสิ้นจึ งได้องครักษ์ชุดใหม่มา แต่กว่าเขาจะไว้ใจได้ทั้งคู่ต่างถูกทดสอบจากเขาแทบเอาชีวิตไม่รอด แค่คิดก็รู้สึกยินดีที่ได้กลั่นแกล้งพวกองครักษ์ ครั้งแรกทำหน้าที่เหมือนผีดิบตายซาก  ไม่พูดไม่จา ยืนเฝ้ารอรับคำสั่งเหมือนคนตายด้าน
    
          “ไปหาน้องห้ากันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกพร้อมหมุนกายไปยังตำหนักกลางของลู่เฟยน้องชายคนที่ห้าที่ตนไว้ใจมากที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงวางใจจากคนคนนี้ แม้จะหาเหตุผลไม่พบแต่ภายภาคหน้าเขาคงได้คำตอบ    
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองน้องชายวัยสิบเอ็ดขวบปีที่นั่งอยู่บนเตียงนอนเหมือนรอคอยตนอย่างฉงน ข้างโต๊ะมีอ่างน้ำกับผ้าสีขาวเตรียมไว้ให้ล้างหน้าเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็นำผ้ามาเช็ดหน้าจนเขม่าสีดำบนใบหน้าออกจนเกลี้ยงเกลา
    
         “ไม่ต้องแปลกใจหรอก ข้าฝันเห็นเมื่อวาน” น้ำเสียงเล็กๆ ใบหน้าคมคายและออกจะหล่อเหลาในภายภาคหน้าแต่กลับนิ่งเรียบ คำกล่าวที่แสนประหลาดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดน้องชายเหมือนจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แม้จิตใจจะสงบแต่ในใจก็อดที่จะรู้สึกหวาดระแวงไม่ได้ อาจเพราะหลายปีมานี้ไม่เคยมีวันไหนที่เขาจะไม่โดนลอบสังหาร
    
         “ท่านพี่วางใจเถอะข้าไม่เคยคิดสังหารท่าน” คำกล่าวเหมือนมานั่งกลางใจทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจ บางครั้งก็เขารู้สึกว่าลู่เฟยฉลาดมากไป หากคนอื่นรับรู้คงได้ถูกสังหารไม่ต่างจากตน เห็นทีคราวนี้คงมาหาน้องห้าไม่ได้บ่อยๆ และคงจะแอบติดต่อกันเพื่อป้องกันอันตรายในภายภาคหน้า
    
          “พี่ขอรบกวนเจ้าแค่วันนี้” บอกกล่าวพร้อมปีนขึ้นที่เตียงนอนอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็ขยับถอยไปให้อย่างว่าง่าย
    
         “ข้ายังไงก็ได้ แต่ข้าไม่ยอมให้ท่านพี่ตายง่ายๆ หรอกวางใจได้” คำกล่าวของเด็กวัยสิบเอ็ดขวบทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งแปลกใจ แม้จะห่างกันแค่ปีเดียวแต่เนื่องจากตนไปอยู่ในหุบเขาเร้นลับมาหลายปีทำให้รู้ความมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว และที่สำคัญเขามีอาจารย์ดีจึงได้รู้เท่าทันโฉมหน้าที่แท้จริงของคนพวกนั้น แต่ลู่เฟยน้องห้าผู้ที่เกิดจากสนมจางกุ้ยเฟยจึงได้สงบนิ่งและเหมือนรู้เท่าทันผู้คนได้มากมายเพียงนี้
    
          “น้องห้าเจ้าไม่อยากได้บัลลังก์เหมือนคนอื่นๆ บ้างหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้จะนอนเคียงข้างกันแต่ดวงตาคมยังลืมตาขึ้นมองเพดานเงียบๆ เชิงเทียนถูกดับลงคล้ายจะไม่รับรู้เหตุการณ์วุ่นวายภายนอก
    
          “ไม่รู้สิ แม้แต่ตัวข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกับตนเกิดมาเพื่อปกป้องท่านมากกว่าที่จะขึ้นครองบังลังก์ด้วยตนเอง” น้ำเสียงนิ่งเรียบ ฟังแล้วรู้สึกสงบคนข้างกายบอกเล่าเหมือนรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองน้องชายที่เพียบพร้อมอีกทั้งมีมารดาเป็นที่รักของเสด็จพ่อ แต่กลับไม่ต้องการความเป็นใหญ่ ตระกูลจางที่หนุนหลังใช่ว่าจะต่ำต้อย
    
          “ข้าจะเชื่อเจ้าลั่วลู่เฟย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงแผ่ว ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเก็บแรงไว้รับมือกับวันพรุ่งนี้ ภายในตำหนักลู่เฟยนั้นเงียบสงบ ต่างจากตำหนักเยว่ชิงที่มีเสียงร่ำไห้อย่างแสแสร้งอยู่รอบบริเวณ เพราะคิดว่าองค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์แล้ว
    
          ทว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังคงได้เสียน้ำตาจอมปลอมเปล่าประโยชน์ เพราะเจ้าของตำหนักเวลานี้กำลังหลับสบายอยู่ตำหนักองค์ชายห้าลู่เฟย...
    
          เช้าวันรุ่งขึ้นองค์รัชทายาทเดินกลับตำหนักด้วยใบหน้าใสซื่อ เมื่อเห็นตำหนักที่ถูกไหม้จนไม่หลงเหลือเค้าเดิมดวงตากลับปรากฏความเศร้าหมอง ใบหน้าซีดเผือดร่างเล็กวัยสิบสองขวบปีสั่นระริกคล้ายคนหวาดกลัว เมื่อทุกคนถามไถ่ ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่บอกว่าไปเล่นหมากล้อมกับองค์ชายห้าจนเผลอหลับที่ตำหนักนั้นไม่ได้กลับตำหนักเยว่ชิง
    
           ฮ่องเฮาผู้เป็นมารดาได้แต่กราบไหว้ฟ้าดินที่รัชทายาทไม่ทรงเป็นอะไร ทว่าสร้างความเคียดแค้นชิงชังให้กับผู้ลงมือ แม้จะสาเหตุไฟไหม้นั้นพบเจอเพียงเชิงเทียนล้มลงตามแรงลมจึงทำให้ไม่สามารถจับมือใครได้ แม้ภายนอกจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่เขากลับรู้ดีว่าเป็นความตั้งใจของใครบางคน
    
           ตำหนักเยว่ชิงได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่และใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม ทำให้ผู้ที่วางแผนสังหารเจ็บใจยิ่งนักแทนที่กำจัดศัตรูที่ขวางทางก้าวหน้าตนได้ กลับกลายเป็นทำให้รัชทายาทได้ตำหนักและองครักษ์เพิ่มมากขึ้นจนยากต่อการลอบสังหาร      
    
           เหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยู่อย่างสงบได้นับเดือน แต่ก็มีบ้างที่เผลอกินยาพิษไป แต่ร่างกายที่ต้านพิษได้ทำให้ไม่เป็นไรมากอี กทั้งพิษเหล่านี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไร จึงแค่แสร้งเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอในช่วงฤดูหนาวก็จะเก็บตัวเหมือนคนโดนอากาศเย็นไม่ได้ แม้ภายนอกคนอื่นจะคิดว่าองค์รัชทายาทพระวรกายอ่อนแอจึงไม่อยู่พบปะผู้คน แต่แท้จริงแล้วเจ้าตัวชอบแอบออกนอกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งได้มีการร่วมมือกับองค์ชายห้าลู่เฟยอยู่เงียบๆ เริ่มจัดหาผู้คนมาเป็นองครักษ์เงา การดำเนินเป็นไปอย่างเงียบๆ ผ่านมาหลายปีจนกระทั่งมียอดฝีมืออยู่ข้างกายหลายคน อีกทั้งมั่นใจว่าตนจะไม่ถูกหักหลัง
    
         “ฝ่าบาทพระสนมหลิ่วเหวินอี้มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนิ่มของหลินกงกงรายงานอยู่หน้าประตู ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหลุดจากภวังค์หันไปมองแล้วยกยิ้มบาง ตำแหน่งที่หลินกงกงเรียกขาน ป่านนี้คนงามที่ยืนอยู่ด้านนอกคงโกรธจนควันออกหูแล้วแน่ๆ เขาเดินออกไปหาด้วยรอยยิ้มเมื่อเป็นอย่างที่คิด ดวงตาเย็นเยือกมองสบตาเขาพร้อมจิตสังหารพุ่งมาทิ่มแทงเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนั้น แต่จะแปลกอันใดในเมื่อเขาคิดจะสร้างตำหนักเถาฮวาให้หลิ่วเหวินอี้ ทุกคนที่นี่ต้องรับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีฐานะใด
    
          “ท่านพี่ไม่ทราบว่าข้ามีตำแหน่งนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ดวงตาเย็นเยือกพร้อมน้ำเสียงที่เหมือนจะกัดฟันพูดทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับมือขวาพาดไหล่คนงามที่ตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะพามานั่งบนโต๊ะน้ำชาที่มีอาหารว่างวางอยู่
    
          “เจ้าอย่าได้คิดมากไป แม้คนอื่นจะเข้าใจว่าน้องเหวินอี้เป็นสนมรักข้าในเวลานี้ แต่แท้จริงเรายังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันเช่นเดิม” น้ำเสียงนุ่มนวลไม่ได้ทำให้คนเย็นชาผ่อนคลายลง ยกมือปัดแขนคนที่ฉวยโอกาสลวนลามตนอย่างระอา นี่จะให้ไว้ใจได้อีกหรือว่าไม่ได้คิดไม่ซื่อกับตน
    
          “น้องเหวินอี้มาพบข้าเพราะเหตุใดกัน” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ใส่ใจกับดวงตาเย็นเยือกที่ส่งมา เลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่งอย่างเอาใจ ก่อนจะรินน้ำชาดอกท้อกลิ่นเดียวกับคนงามให้อย่างคุ้นเคย แม้ไม่เคยรับใช้ผู้ใดแต่ตนกลับยินดีที่จะทำให้อีกฝ่ายอย่างน่าประหลาดใจ
    
           “ข้าจะออกไปข้างนอก” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่รับจอกชาไปแต่ไม่ดื่ม ดวงตาเย็นชาที่มองมาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แม้ใบหน้างดงามจะเรียบนิ่งเช่นเดิมก็ตาม
    
           “เจ้าเบื่อ”
    
           “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งเงียบไป ไม่ได้แปลกใจกับอีกฝ่ายที่ไม่ชอบความน่าเบื่อเช่นนี้ที่นี่ไม่มีอะไรให้ชาวยุทธสนใจจริงๆ
    
           “แม้แต่ตัวข้าก็น่าเบื่อสำหรับเจ้าหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนงามที่นิ่วหน้าขมวดคิ้วมุ่นมองเขาคล้ายคิดมิตก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างระอา ทำให้รู้สึกเศร้าในใจไม่ได้ เขาไม่มีสิ่งใดทำให้อีกฝ่ายหายเบื่อหน่ายได้หรอก ที่นี่ไม่ใช่ยุทธภพที่จะมีเรื่องกันอย่างออกนอกหน้า มีแต่พวกสุนัขลอบกัดเท่านั้น
    
           “ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาบอกว่าท่านน่าเบื่อ แค่อยากออกไปข้างนอกสืบข่าวอะไรเสียหน่อย เพราะข้าออกจากตำหนักนี้ไม่ได้มีแต่คนติดตามเหมือนจะมีคนมาฆ่าข้าเสียอย่างนั้นแหละ” น้ำเสียงเบื่อหน่าย และดวงตาเรียวคมมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบาง หากคนตรงหน้าคิดจะไปจริงๆ คงไม่มีใครตามเจอ เขารู้สึกยินดีที่อีกฝ่ายยังเห็นความสำคัญของตนอยู่บ้าง
    
         “เข้าใจแล้ว เย็นนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยดวงตาเป็นประกาย ทว่าหลิ่วเหวินอี้กลับนิ่วหน้ามองตามอย่างไม่เข้าใจ
    
         “ท่านจะไปทำไม รอจับหนูที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
    
         “อีกสามวันน้องชายข้าจะมาพวกหนูฉลาดๆ แบบนี้คงอยู่เงียบๆ ไปสักพักไม่มีอะไรน่าห่วงในช่วงนี้ ไปเที่ยวกับเจ้าน่าจะสนุกกว่า” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างมั่นใจ พวกหนูกลุ่มนี้ฉลาดและมีสายข่าวที่ดีไม่เช่นนั้นคงมีการเคลื่อนไหวบ้าง แต่องครักษ์เงาไม่สามารถหาสิ่งแปลกปลอมในวังหลวงได้ สิ่งเดียวที่พอคิดได้เวลานี้คือ พวกมันกลัวลู่เฟยกับจิวชงหยวน
    
          เหอะ พวกสุนัขลอบกัดคิดว่าไม่มีสองคนนี่แล้วจะรอดสายตาเขาไปหรืออย่างไร
    
          “เช่นนั้นก็ไปตอนบ่ายนี่เลย” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนใจร้อนอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นความเบื่อหน่ายในสายตาจึงพยักหน้าตกลง จากนั้นจึงไปเปลี่ยนชุดเป็นชาวบ้านธรรมดา และแน่นอนพวกเขาไม่ได้ออกไปอย่างฮ่องเต้หรือขุนนาง
    
         หลิ่วเหวินอี้พลิ้วไหวพุ่งข้ามกำแพงวังสูงใหญ่อย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้มีอุปสรรคขัดขวางในการเดินทางเพราะมีฮ่องเต้ผู้แสนยิ่งใหญ่ติดตามมาด้วย และที่สำคัญเจ้าตัวไม่พกแม้แต่องครักษ์สักคนเดียว คนที่เคยเห็นก็เหมือนมีหน้าที่รับผิดชอบจึงไม่ค่อยได้เห็นอีกฝ่ายบ่อยนัก หากคาดเดาไม่ผิดคงไปสืบข่าวหาสาเหตุการตายของเหล่าสนม
    
          หลังจากพ้นกำแพงวังมาคือเมืองหลวงอันมั่งคั่งของแคว้นลั่วหยาง ที่นี่ดูวุ่นวายแต่ก็ทำให้ไม่น่าเบื่อเหมือนภายในวัง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจิวชงหยวนน้องสะใภ้ของลั่วเหยียนเจิ้งถึงอยู่ที่นั่นไม่ได้ ชาวยุทธที่ชอบท่องอิสระยากนักที่จะอยู่ในกรงทองได้ แม้แต่ตัวเขาเองหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนก็คงไม่อยู่ ใช่ว่าเขาจะชอบความวุ่นวายแต่ความสงบนิ่งมีแต่คลื่นใต้น้ำมันก็ใช้ชีวิตไม่สงบเหมือนกัน ไม่ว่าที่นิกายมารฟ้าหรือที่วังหลวงก็ไม่อาจนอนหลับได้สนิทใจ แต่เขากลับเริ่มชินชาในเรื่องนี้เพราะตลอดชีวิตในสองชาติภพก็ไม่มีวันไหนได้นอนหลับสนิทเช่นกัน
    
         “เจ้าจะไปที่ไหนก่อน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่เดินเคียงข้างซึ่งสวมใส่อาภรณ์สีขาวเนื้อผ้าราคาแพงดูเรียบง่ายแต่ไม่อาจบดบังสง่าราศีของอีกฝ่ายได้
    
        “เดินเล่นเรื่อยๆ” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างไม่ใส่นัก มองดูบ้านเรือนที่เริ่มประดับโคมไฟเพราะใกล้เทศกาลหยวนเซียวแล้ว ร้านค้าแต่ละร้านดูครึกครื้นแต่น่าแปลกในวังหลวงยังไม่ได้จัดงานหรือเขาไม่ได้สังเกตกันแน่ หลวนซานวันนี้ไม่ได้ติดตามมาด้วยเพราะให้ไปสืบข่าวตำหนักทางตะวันออกซึ่งเป็นตำหนักไม้ไผ่ที่ตนเผลอเข้าไปวันนั้น เขาอยากรู้ความสัมพันธ์ของบุรุษแปลกหน้าทั้งคู่ แม้จะสะอิดสะเอียนกับภาพที่เห็นแต่ก็ไม่อาจปล่อยวางได้ หากเขาช่วยลั่วเหยียนเจิ้งได้ก็นับว่ามีบุญคุณต่อกัน
    
        “อีกเจ็ดวันจะมีเทศกาลหยวนเซียว มิน่าละน้องชายข้าถึงมาเยือน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนโบกพัดในมือหันมองรอบเมืองอย่างสนใจ กิริยาเช่นนี้ทำให้เจ้าตัวเหมือนฮ่องเต้เจ้าสำราญไม่มีผิด และอาจจะใช่เพราะสนมนางในวังหลังมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบหรืออาจมากกว่านั้น
    
       “ในวังมีงานหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถาม ทว่าคนข้างกายกลับหายไปอย่างว่องไว เมื่อมองรอบกายจึงเห็นร่างสูงสง่างามกำลังซื้อถังหูลู่อยู่ร้านรวงไม่ไกลนัก เขายกมือกุมขมับกับนิสัยชอบของหวานของอีกฝ่าย นี่แม้แต่ขนมข้างทางยังซื้อกิน หากเทียบพวกเชื้อพระวงศ์คงไม่มีใครทำเหมือนเจ้าแน่ๆ ใบหน้าร่าเริงและรอยยิ้มละไมของอีกฝ่ายเวลานี้กลับทำให้หัวใจที่เย็นชารู้สึกกระตุกแปลกๆ ใบหน้าคมคายหันมาทางตนพร้อมร้อยยิ้มกว้างที่ทำให้รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ
    
        “ข้าซื้อมาเผื่อเจ้าด้วย ร้านนี้อร่อยข้ารับรองได้ ข้าแอบมากินบ่อยๆ” หลิ่วเหวินอี้รู้สึกมึนงงกับตัวเองชั่วครู่มองถังหูลู่ในมือที่ถูกยัดเยียดให้โดยไม่ถามว่าเขาชอบของหวานหรือไม่ แต่เมื่อเงยหน้ามองคนให้ซึ่งกำลังยืนกินน้ำตาลเชื่อมในมือแล้วถึงกับพูดไม่ออก ทวงท่าแสนสบายไม่ได้ห่วงกิริยามารยาทเหมือนผู้ดีคนอื่นๆ
    
        “ไม่กินหรือ” หลิ่วเหวินอี้มองถังหูลู่แต่มันทำมาจากน้ำตาลล้วนๆ อย่างนิ่งงัน เขาไม่ใช่คนชอบของหวานแต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังจากอีกฝ่ายทำให้ลองยกกัดดูสักคำ ความหวานที่แผ่ซ่านทั่วลิ้นทำให้นิ่วหน้าน้อยๆ มองคนยิ้มบางกินของตนเองอย่างมีความสุขแล้วรู้สึกอิจฉาไม่ได้ แค่เพียงกินของที่ชอบก็รู้สึกมีความสุขขนาดนี้เชียวหรือ
    
         “เจ้าไม่ชอบ?” คำถามและดวงตาคมที่มอง ทำให้หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบก่อนจะกินส่วนที่เหลืออย่างเงียบๆ พรางเดินไปเบื้องหน้าโดยมีรอยยิ้มบางของคนข้างกาย เพียงพริบตาถังหูลู่ในมือของลั่วเหยียนเจิ้งก็หมดไป เจ้าตัวจับมือที่ว่างของเขาลากไปหาพุทราเชื่อมอีกร้านโดยไม่เอ่ยถามความเห็น
    
          มือซ้ายถูกจูงลากไปนู่นนี่อย่างน่าเวียนหัว ที่สำคัญขนมเต็มมือขวาจนแทบจะปาทิ้ง แล้วทำไมคนที่ไม่เคยสนใจอะไรถึงต้องมากล้ำกลืนกินขนมหวานของลั่วเหยียนเจิ้งด้วย
    
          เฮ่อ ชักเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง...



   ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์จ้า จุ๊บๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อ สัก2ตอนดีไหมหว๋า อิอิ :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 26-05-2016 21:26:35
เข้ามาติดตาม  :katai5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 26-05-2016 21:42:57
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-05-2016 21:52:14
ดีค่ะ. ดีงามมมมมมม~~. //เหวินอี้เริ่มมจอ่อนแล้วววว~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-05-2016 06:58:47
ลากอ่านอย่างยาว แม้ว่าตอนอรกจะสับสนเรื่องชื่อคนไปบ้างก็ตาม ยังสนุกเช่นเคยชื่อคนแต่งรับประกันได้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 27-05-2016 12:38:11
ตอนนี้มีความมุ้งมิ้งนะเหวินอี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 27-05-2016 18:34:10
เหวินอี้ตามเหยียนเจิ้งไม่ทันแล้ว 5555+
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovetogether ที่ 27-05-2016 19:42:25
รู้สึกว่าลั่วเหยียนเจิ้งนี่ ห่วงของกินมากกว่าน้องชายนะ  :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่17เรื่องบังเอิญหรือว่า(P.4วันที่ 26/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovetogether ที่ 27-05-2016 19:44:13
ฟินนนนนน :mew3:
เหวินอี้จะตกหลุมที่ลั่วเหยียนเจิ้งขุดไว้รึเปล่าน้าาาาา
รอลุ้นอยู่และติดตามนะจ้าาาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่18กินน้ำส้มสายชูไม่รู้(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 27-05-2016 19:59:13
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่18กินน้ำส้มสายชูไม่รู้ตัว (P.4วันที่ 27/5/59)

              ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาถึงตำหนักในเวลาพลบค่ำพร้อมด้วยขนมหวานหลายอย่าง ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มกลับมานิ่งเรียบ ทว่าเมื่อคิดถึงคนหน้านิ่งที่คิ้วขมวดเป็นปมลึกจนน่าขำก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ การได้แกล้งหลิ่วเหวินอี้ทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าปกติ จากครั้งแรกที่พบคนผู้นี้ดึงดูดให้เข้าหาอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาเย็นชาติดจะรำคาญทำให้อยากจะเห็นรอยยิ้มบ่อยๆ แต่ก็แทบจะนับครั้งได้ที่เจ้าตัวจะยิ้มออกมา พอบอกให้ยิ้มก็เหมือนจะแยกเขี้ยวใส่เสียมากกว่า แค่นึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะกลับตำหนักก็ทำให้ดวงตาประกายอีกครั้ง
    
           “ข้าจะเป็นเบาหวานอยู่แล้ว กลับเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งของคนที่หอบหิ้วขนมหวานของตนอีกทั้งดวงตาเย็นชาตวัดมองอย่างหงุดหงิด ยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดี คำพูดที่บอกจะเป็นเบาหวานคล้ายจิวชงหยวนซึ่งเคยบอกเขาว่าสักวันคงได้ตายเพราะโรคเบาหวาน ตอนแรกคิดว่ามันจะเป็นขนมหวานแต่ที่ไหนได้มันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่รักษาหายยาก หรือในกรณีหนักๆ ก็ไม่หายเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กลัว การที่ไม่ได้กินของที่ชอบนั่นสิ คือเรื่องเลวร้ายสุดๆ
    
         “เจ้ายิ้มหวานให้ข้าก่อนแล้วจะพากลับ” เขากล่าวหยอกล้อ ซึ่งอีกฝ่ายเหมือนอยากจะกลับมากถึงขนาดแยกเขี้ยวใส่เขาแทนที่จะเป็นยิ้มหวานเหมือนต้องการ แค่คิดถึงทีไรก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
    
         “ฝ่าบาทท่านอ๋องมู่เหรินมาถึงแล้วขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปมองหยางซือหมิงองครักษ์ฝ่ายขวาซึ่งหายไปทั้งวัน เพราะเขาสั่งให้ไปสืบเรื่องภายในวังหลังเงียบๆ
    
          “มีอะไรผิดปกติหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะเคาะพัดในมือเบาๆ ดวงตาเหม่อมองไปตำหนักเถาฮวาที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
    
       “ไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ตำหนักเยี่ยเซียงขององค์ชายสิบหลิงเซียวมีการเคลื่อนไหวผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคบหากับองค์ชายสิบอย่างลับๆ ที่สำคัญอีกฝ่ายมีวรยุทธที่ร้ายกาจซึ่งลักลอบเข้าไปตำหนักท้ายวังได้อย่างไม่มีใครสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าครุ่นคิดไปถึงน้องสิบซึ่งรูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามคล้ายอิสตรีแต่ก็ถือว่าธรรมดามากหากเทียบกับหลิ่วเหวินอี้กับจิวชงหยวน หลิงเซียวมีมารดาเป็นนางกำนัลทำให้ฐานะไม่อาจเทียบเท่ากับองค์ชายองค์อื่นๆ ที่สำคัญมีงานเลี้ยงอันใดหากไม่จำเป็นเจ้าตัวจะไม่ค่อยปรากฏตัวหรือไม่เสด็จพ่อทรงลืมไปแล้วว่ามีบุตรคนนี้อยู่จึงไม่ได้ถูกเชื้อเชิญเข้าร่วม
    
            “จับตาดูไว้”
    
            “เอ่อ...ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมเห็นหลวนซานผู้ติดตามพระสนมหลิ่วเหวินอี้เพ่นพ่านอยู่หลังตำหนักเยี่ยเซียงด้วยพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานถัดมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ขมวดคิ้วลึกกว่าเดิม ร่างสูงเดินไปรินน้ำชาดื่มช้าๆ พลางครุ่นคิดกับการเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
    
           “เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการ เจ้าให้องครักษ์เงาไปตามสืบนักฆ่าใบ้กับรอยสักมาให้ข้าภายในหนึ่งเดือน”
    
           “พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงรับคำอย่างเคร่งเครียด ความขี้เล่นหายไปกับภารกิจที่ยากจนแทบไม่มีเวลานอน ขอบตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ร่างสูงถอยหลังเดินจากไปเหลือเพียงแต่กวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายซึ่งทำเหมือนไร้ตัวตนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างสงบ มีเพียงสายตาที่มองสหายอย่างเป็นห่วงเท่านั้น
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมององครักษ์ตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะผละไปสรงน้ำหลังจากหนีไปเที่ยวตั้งแต่บ่าย น้ำอุ่นพอดีทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น เวลาอาบน้ำเขาไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย เหล่านางกำนัลขันทีจะรู้เรื่องนี้เพียงแค่เตรียมน้ำไว้ให้เท่านั้น เขาหลับตาลงผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากภารกิจในวันนี้ ทว่าขณะนั้นกลับพบความเคลื่อนไหวผิดปกติภายในห้องอาบน้ำ ดวงตาคมกริบประกายแววดุดันหันไปมองเงาร่างที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
    
             พรึบ!
    
            “โอ้ ข้าเข้าห้องผิดหรอกหรือ” น้ำเสียงที่ฟังแล้วยียวนกวนปราสาทยิ่งนัก ทว่าใบหน้างดงามหวานล้ำของอีกฝ่ายทำให้ความตึงเครียดเลือนหายไป ดวงตากลับมาอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม
    
            “เข้าห้องผิดหรือว่าตั้งใจมาดูข้าอาบน้ำกันแน่น้องสะใภ้คนงาม” ลั่วเหยียนเจิ้งหยอกเย้า มองใบหน้างดงามที่เชิดขึ้นอย่างถือดี มุมปากยกยิ้มนิดๆ หลังจากมาเป็นเจ้าสำนักเซียนโอสถเจ้าตัวจะดูเย่อหยิ่งขึ้น ไม่อาจเล่นสนุกได้เหมือนในอดีตเพราะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ ทว่าขณะนั้นเขากลับเห็นเด็กน้อยวัยสามขวบปีเดินออกมาจากด้านหลังร่างโปร่งของจิวชงหยวน
    
          “ข้าไม่พบเจ้ามาสี่ปีเจ้าถึงกับมีลูกแล้วหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างตกใจ ใบหน้าเด็กน้อยดูน่ารักน่าเอ็นดูทว่าดวงตานิ่งเรียบของเด็กน้อยผู้นี้ช่างแปลกประหลาดไม่เหมาะกับเด็กในวัยนี้
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้งคงกินของหวานมากไปจนความทรงจำเลาะเลือน ถึงลืมว่าข้าเป็นบุรุษ แล้วบุรุษบ้านไหนกันจะคลอดลูกได้” น้ำเสียงประชดประชันและฝีปากอีกฝ่ายพัฒนาขึ้นมากจนน่าขัน ว่าแต่เหตุใดลู่เฟยถึงปล่อยให้ภรรยาคนงามมาอยู่ห้องอาบน้ำเขาได้
    
          “อาจารย์ท่านไม่ควรดูผู้ชายอาบน้ำ หากอาจารย์ลู่เฟยมาเห็นเข้า ท่านจะไม่ได้ออกจากตำหนักเป็นเดือนนะขอรับ” น้ำเสียงเล็กๆ และใบหน้าน่ารักเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง กิริยาดูขึงขังกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้วิธีเอาคืนคนงาม ก่อนจะแสร้งลุกขึ้นยืนจากอ่างน้ำ ซึ่งอีกฝ่ายร้องเสียงหลงพร้อมคว้าเด็กน้อยนั่นหายไปด้วย เขาหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ การมาเยือนของอีกฝ่ายคงน่าสนุก
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วออกมายังห้องรับแขกซึ่งจิวชงหยวนอยู่รอที่นี่จริงๆ ดวงตาเรียวคมหันมามองเขานิ่งๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะปอกผลไม้ให้เด็กน้อยข้างกายกิริยาแสนสบายทำให้เจ้าของตำหนักอย่างเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้
    
         “ข้าได้ยินข่าวตำหนักหลังของท่านพี่เหยียนเจิ้งกำลังลุกเป็นไฟ ไม่ทราบนี่เป็นวิธีกำจัดสตรีของท่านพี่หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองคนเอ่ยถามแล้วยกยิ้มบาง
    
           “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
    
         “ลู่เฟยบอกว่าท่านพี่ไม่ชอบพวกนางจึงยังไม่มีโอรสสืบทอดบัลลังก์ แต่หากท่านไม่ทำอะไรเลยจะไร้ผู้สืบทอดบัลลังก์” ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างไม่สนใจ นั่งลงตรงข้ามรับน้ำชาจากกวงไห่แล้วหันไปมองเด็กน้อยที่กินผลไม้เงียบๆ ทว่าสสายตากลับมองเขาอย่างสำรวจ
    
            “เด็กน้อยผู้นี้คือ...”
    
           “เปาอี้ฟานศิษย์ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสำนักเซียนโอสถจะมีลูกศิษย์ที่อายุน้อยเช่นนี้
    
            “แล้วลู่เฟยไปไหน ทำไมถึงปล่อยเจ้ามาคนเดียวได้” จิวชงหยวนนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบ
    
           “ไปทำธุระ เดี๋ยวก็คงตามมา” ลั่วเหยียนเจิ้งสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วไม่ได้กล่าวอันใดอีก ทว่าขณะนั้นสายตากลับมองเห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังยืนนิ่งท่ามกลางดวงจันทร์ และจะไม่สนใจเลยหากไม่รับรู้ของเงาร่างเลือนรางของใครอีกคนที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่
    
            “เจ้ากลับตำหนักเจ้าได้แล้ว ข้ามีธุระ” ลั่วเหยียนเจิ้งไล่แขกยามวิกาลไปดื้อๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากตำหนักไปอย่างรวดเร็ว
    
            จิวชงหยวนมองตามอย่างมึนงง เพราะไม่ว่าอย่างไร ลั่วเหยียนเจิ้งจะไม่มีสีหน้าอื่นนอกจากรอยยิ้มอ่อนโยน แต่เรื่องใดกันทำให้ฮ่องเต้ผู้มีสีหน้าอ่อนโยนเปี่ยมล้นคุณธรรมถึงมีแววตาหงุดหงิดออกมาได้ ทว่าเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องยกยิ้มบาง สงสัยจะมีคนมาดัดนิสัยเจ้าเล่ห์ของจิ้งจอกตัวนี้เสียแล้วสิ ว่าแต่เป็นผู้ใดกันนะ
    
             “อี้ฟานเราไปกันเถอะ”
    
            “ไปไหนขอรับ” จิวชงหยวนฉีกยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงรื่นเริง มือคว้าร่างเล็กของลูกศิษย์ตัวน้อยที่อดีตเป็นสหายกลับชาติมาเกิดติดมือไปอย่างว่องไว เรื่องสนุกแบบนี้จะพลาดได้อย่างไร
    
           “ไม่เห็นต้องถามเลย ไปดูนะสิว่าใครที่ทำให้จิ้งจอกตัวนี้นั่งไม่ติด!”

    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนที่อยู่หลังต้นไม้นิ่งๆ ใบหน้างดงามไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เงาร่างสีขาวยืนถือดอกกุหลาบสีแดงหลบมุมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คนผู้นี้มาทวงหาคำตอบจากงานที่เขารับมา หลังจากที่ได้รับคำตอบเจ้าตัวก็เป็นเช่นนี้มาหนึ่งก้านธูปแล้ว
    
           “เหยียนเจิ้งบอกอะไรเจ้าเพิ่มหรือไม่” ใบหน้างดงาม อาภรณ์สีขาวและเส้นผมสีเดียวกันยาวลากพื้น มีเพียงกุหลาบสีแดงหนึ่งดอกที่ตัดกับชุด ทว่าความงามเหมือนไม่ใช่มนุษย์ก็ยังไม่อาจปกปิดรอยเศร้าหมองในแววตาได้ เขาเหม่อมองดวงจันทร์นิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ แม้จะไม่รู้เรื่องของฟางเทียนฟงมากนัก แต่ความเศร้าหมองและบรรยากาศรอบกายทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน
    
           “ไม่” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับสั้นๆ ฟางเทียนฟงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แค่รู้จักสถานที่ก็ดีมากแล้ว ดวงตาเรียวคมมองไปยังร่างของใครบางคนที่กำลังพุ่งมาที่นี่ มุมปากยกยิ้มบางความเศร้าหมองเลือนหายไป
    
           “เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าให้สืบข่าวนี้ไปสักพัก เพียงแต่เจ้ามีสิ่งใดให้ข้าตอบแทนเจ้าหรือไม่” น้ำเสียงจริงใจ ตรงไปตรงมาผิดกับกิริยาที่ยอมออกจากเงาต้นไม้ใหญ่เข้ามาจับมือหลิ่วเหวินอี้ด้วยรอยยิ้ม
    
            ใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิ่วหน้าน้อยๆ มองคนที่ฉวยโอกาสจับมือตนอย่างไม่เข้าใจ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่อันใด คำถามของอีกฝ่ายเหมือนเปิดโอกาสให้เขาได้เสนอข้อแลกเปลี่ยน
    
             “ข้าอยากให้เจ้าตามหาสตรีนามว่าซูเม่ย” ฟางเทียนฟงนิ่วหน้าน้อยๆ ข้อแลกเปลี่ยนจะว่าง่ายๆ ก็แสนง่ายจะว่ายากก็คงจะใช่อีก เพราะสตรีที่มีนามว่าซูเม่ยมิใช่มีคนเดียวและนางเป็นผู้ใดถึงทำให้คนที่แสนเย็นชาต้องตามหา
    
            “นางเป็นมารดาข้า เจ้าตามหานางให้ข้าได้หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ มือคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น เหมือนจะบอกว่าเรื่องนี้สำคัญกับตนมาก ฟางเทียนฟงก้มมองมือตนเองแล้วยกยิ้มบางหากไม่มีคนที่รักอยู่ในหัวใจเขาคงไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้แน่ๆ
    
           “เจ้าวางใจเถอะ ข้าสัญญาจะตามหามารดาเจ้าให้พบ” คำตอบที่ได้รับทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ทว่าต้องสะดุ้งตกใจเมื่อร่างตนเองถูกดึงออกจากฟางเทียนฟงอย่างรุนแรง จนร่วงชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนอย่างไม่ทันตั้งตัว
    
            ใบหน้างดงามซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิ่วน้อยๆ มองฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจลากเขาไปไว้ในอ้อมกอดอย่างมึนงง อีกทั้งตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตจากกันมากนักจึงทำให้รู้สึกแปลกๆ ในอก กลิ่นกายประจำตัวของอีกฝ่ายใกล้จมูกจนต้องผละออก ทว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายเวลานี้แน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก เมื่อเงยหน้ามองสบกับคนที่ชอบฉวยโอกาสยิ่งทำให้มึนมากกว่าเดิม
    
           ดวงตาเย็นชาเหมือนจะฆ่าคนจ้องมองฟางเทียนฟงเขม็ง จิตสังหารพุ่งตรงไปหาร่างโปร่งสีขาวอย่างรุนแรง ทว่าคนที่บุกรุกยามวิกาลเข้ามาในวังหลวงเดินเข้าออกง่ายดายเหมือนสวนหลังบ้านตัวเองได้แต่ยกยิ้มยั่วยวน
    
          “เจอกันอีกแล้วนะน้องชาย ไม่ทราบว่ารองเท้าคู่นั้นเหวินอี้ได้ใส่หรือไม่” คำกล่าวของฟางเทียนฟงยิ่งทำให้ใบหน้าของลั่วเหยียนเจิ้งมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้หลิ่วเหวินอี้ร้อนรนขึ้นมาในใจนิดๆ แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ว่าเขาเก็บรองเท้ามา แต่คาดว่าคงจะสะเทือนใจแน่ๆ ที่สำคัญเขาเพิ่งรู้ว่าคนที่กอดเขาแน่นแย่งซื้อรองเท้ากับฟางเทียนฟง หรือว่าโลกใบนี้มันกลมเกินไป?
    
          “เจ้าหัวขโมย รนหามาตายถึงที่” น้ำเสียงดุดันพร้อมดวงตาคมกริบพร้อมจะเชือดคนได้ทุกเมื่อ ทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจออก เรื่องที่ผ่านมาแล้วไยต้องเก็บมาคิดให้วุ่นวายในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
    
           “ท่านพี่ปล่อยข้า แล้วนั่นก็สหายข้าท่านไม่ควรเสียมารยาท” แม้ในใจจะหงุดหงิดแต่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าอ้อมกอดของอีกฝ่ายยิ่งแน่นขึ้นจนต้องเอาศอกกระทุ้งเอวแต่เหมือนลั่วเหยียนเจิ้งจะรู้ทันรัดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม
    
           “แน่ใจหรือว่าสหาย” น้ำเสียงกดดันทำให้หลิ่วเหวินอี้กรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันทำไมเหมือนไปกินน้ำส้มสายชูจากไหนกัน
    
           “อือ ปล่อยได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงนิ่ง ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มของฟางเทียนฟงกลับรู้สึกเหมือนงานจะเข้า ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งคลายอ้อมแขนร่างเขาก็ถูกฟางเทียนฟงใช้พลังบางอย่างฉุดเขาไปอ้อมกอดอีกครั้ง
    
          “เจ้าคิดจะทำอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามฟางเทียนฟงที่แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ บรรยากาศรอบตัวในเวลานี้เหมือนจะร้อนขึ้นมาเท่าตัว ดวงตาเย็นชาและบรรยากาศดำมืดของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ชะงันอีกครั้ง
    
          “ปล่อยอี้เอ๋อร์เดี๋ยวนี้” น้ำเสียงกดดันและแววตาจริงจังที่ส่งมาไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกสนุกที่ได้หยอกล้อมนุษย์น้อยที่ริอาจทำตัวเหมือนจิ้งจอกอย่างน่าหมั่นไส้ อีกทั้งยังได้กระบี่หยกขาวอาวุธประจำกายของฝู่ซานอีกด้วย ยอมรับเลยว่าเขาอิจฉา ความรักความคิดถึงในเวลานี้มันเอ่อล้นจนแทบทานทนไม่ไหว หากให้ฮ่องเต้ผู้นี้สมหวังง่ายไปก็คงไม่ใช่นิสัยของตน อย่างน้อยก็ต้องหาคนทุกข์ทรมานในความรักมาเป็นเพื่อนบ้าง ยิ่งมีศัตรูหัวใจมากเท่าไหร่ความรักและความผูกพันยิ่งแน่นเฟ้นมากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เขาพอทำให้สหายได้
    
          หลิ่วเหวินอี้มองดูทั้งคู่แล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเวลานี้เหมือนผู้ชายสองคนกำลังยื้อแย่งสาวน้อย? ซึ่งที่สำคัญเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมายื้อแย่งกันเสียหน่อย แล้วมือของฟางเทียนฟงเป็นญาติกับตุ๊กแกหรืออย่างไรแกะไม่ออกเสียที
    
         ฟิ้ววว
    
         หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อลั่วเหยียนเจิ้งชักกระบี่มาจากไหนไม่รู้พุ่งเข้าหาเข้าอย่างรวดเร็ว ทว่ายังดีที่ฟานเทียนฟงไม่ใช่มนุษย์ทำให้ความเร็วเหนือชั้นกว่า แต่ว่าจะฆ่ากันทำไมไม่ปล่อยเขาเสียที ใบหน้างดงามที่แผงไว้ด้วยความเย็นชาตอนนี้มีไอเย็นแผ่ออกมาด้วยความโมโห ซึ่งคนที่กอดอยู่เหมือนจะรู้ตัวรีบปล่อยออกจากอ้อมแขนทันที
    
          “จะฆ่ากันก็ฆ่ากันไป ทำไมต้องเอาข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย” หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่อย่างดุดัน แม้จะเป็นอิสระแต่ก็ยังไม่หายหงุดหงิด เมื่อครู่นี้คมกระบี่ของลั่วเหยียนเจิ้งเฉียดใบหน้าเขาไปนิดเดียวจนน่าโมโห เขาสะบัดหน้าหนีเดินกลับห้องตัวเองอย่างไม่สนใจสุนัขสองตัวปล่อยให้กัดกันเองจนพอใจไปเลย
    
           “หว้า อี้เอ๋อร์โกรธแล้ว ข้าต้องตามไปง้อสหายรักข้าแล้ว”
    
            “ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับทันควันเวลานี้มีรอยยิ้มหวานล้ำจนน่าหวาดผวา ฟางเทียนฟงส่ายหน้ายกยิ้มน้อยๆ
    
          “ไม่เป็นไร ไว้เจ้าเผลอแล้วข้าจะมาใหม่” ฟางเทียนฟงกล่าวจบแล้วหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ลั่วเหยียนเจิ้งมองศัตรูคู่อาฆาตอย่างเจ็บใจ รับรองได้ต่อไปนี้เขาจะไม่เผลอแน่ แต่เมื่อมองร่างที่หายไปแล้วต้องคิดหนัก เพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้อยากฆ่าคนที่เข้าใกล้หลิ่วเหวินอี้โดยไม่ได้ไถ่ถามเหตุผล จะว่าไปทำไมเขาถึงหงุดหงิดเพราะเรื่องแค่นี้
    
           ...แล้วต่อไปเขาจะไปง้อคนที่งอนอย่างไรดี?
    
            จิวชงหยวนนั่งมองภาพนั้นบนหลังคาพร้อมเปาอี้ฟานอย่างแสนสบายใจ เหตุการณ์เมื่อครู่นี่ทำให้เขายกยิ้มอย่างอารมณ์ไม่ดีไม่ ครั้งก่อนได้ช่วยให้ลั่วหวังอู๋สมปรารถนาในรัก แต่ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งผู้นี้ทำไว้กับเขาแสบมาก หลอกลู่เฟยว่าเขาชอบความรุนแรงทำเอาซะลุกจากเตียงนอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องตอบแทนอย่างสาสมใจ!





                           :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 27-05-2016 20:09:27
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่19ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)



            หลิ่วเหวินอี้เดินกลับห้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าในใจยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้ว่าสองคนนั่นเป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้พูดคุยกันด้วยกระบี่ อีกทั้งยื้อแย่งตัวเขาไปมาเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น และที่น่าแปลกใจทำไมลั่วเหยียนเจิ้งไม่รับรู้ความผิดปกติของฟางเทียนฟง เส้นผมสีขาวโพลนยาวจนแทบลากพื้น นัยน์ตาสีฟ้าใสซึ่งคนที่นี่ไม่มีย่อมเป็นที่สะดุดสายตาอยู่แล้ว ร่างโปร่งเดินมานั่งรินน้ำชาดับอารมณ์ไม่คงที่ของตัวเอง คิ้วคมเฉียงเหมือนกระบี่กดลึกลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเหลือบเห็นสายตาแปลกๆ ของหลวนซาน
    
           “มีอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงนิ่ง บ่าวรับใช้ที่ให้ไปหาข่าวเมื่อคืนกลับมาก็มีทีท่าแปลกๆ มาเสียจนไม่น่าไว้วางใจ
    
           “นายน้อยขอรับข้าขอบังอาจเอ่ยถาม ท่านคิดเช่นไรกับฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งขอรับ” คำถามของคนติดตามมานานหลายปีทำให้เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ทวนคิดคำถามอย่างรอบคอบก็ไม่อาจเข้าใจได้
    
           “เจ้ามีอะไรเอ่ยมาตามตรงดีกว่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามตัดความรำคาญใจ อีกทั้งไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัว

    “นายน้อยก็รู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร แต่ท่านขี้เกียจใส่ใจมากกว่า เวลานี้นายน้อยอาจไม่ทราบว่าคนที่นี่เรียกนายน้อยว่าพระสนม นายน้อยคิดเห็นเช่นไรกับตำแหน่งนี้ขอรับ” หลวนซานตอบกลับเหมือนมานั่งอยู่กลางใจทำให้อดที่จะยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ทว่าคำถามนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
    
           “ก็แค่ในนามเจ้าจะใส่ใจทำไม หรือว่ากลัวตัวเองจะเป็นขันที” เอ่ยตอบพร้อมกระเส่าคนเอ่ยถามซึ่งทำให้หวนวานอ้าปากค้างส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว
    
          “นายน้อยล้อเล่นอีกแล้ว ฮ่องเต้ผู้นั้นต้องการให้ท่านเป็นพระสนมจริงๆ ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือ วันนี้ยิ่งแสดงเห็นได้ชัดว่าพระองค์หึงท่านจนเลือดขึ้นหน้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับความคิดเห็นของหลวนซาน แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยพูดแต่หากได้แสดงความคิดเห็นแล้วนั้นไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไปได้ เรื่องนี้เขาไม่ได้เคยคิดอย่างจริงจังมาก่อน อาจเพราะว่าไม่ได้สนใจบุรุษ อีกทั้งการแสดงออกของลั่วเหยียนเจิ้งเอาแน่เอานอนไม่ได้ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เช่นนั้นจะมีหัวใจได้อย่างไร คนที่ฮ่องเต้ผู้นั้นสนใจเพียงแค่คนที่มีประโยชน์เท่านั้นแหละ
    
         “เรื่องนี้ช่างเถอะว่าแต่ไปสืบได้ข่าวอะไรมาบ้าง” หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจคนที่ยังทำให้หงุดหงิดไม่หาย นั่งจิบชาเอ่ยถามเรื่องของวันนี้อย่างใจเย็น
    
         “ตำหนักวังหลังในเรือนไผ่คือตำหนักเยี่ยเซียงขององค์ชายสิบหลิงเซียวขอรับ ส่วนคนที่มาหาพระองค์รู้สึกจะเสนาบดีขั้นหนึ่งของราชสำนัก แต่ว่านายน้อยเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เราที่ไปสืบ ข้ายังเห็นหยางซือหมิงองครักษ์ของฮ่องเต้ด้วยขอรับแต่น่าแปลกที่คนนั้นไม่เข้ามาหาข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าหลบอยู่แถวนั้น” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของภายในวังหลวงลั่วเหยียนเจิ้งต้องไม่นิ่งดูดายแน่ๆ
    
           “ขอบใจเจ้ามาก ไปพักผ่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ ยกมือไล่อีกฝ่ายไปพักขณะนั้นขันทีหน้าประตูก็ตะโกนด้วยเสียงที่แหบเล็กว่าฮ่องเต้เสด็จ  แม้จะได้ยินชัดเจนทว่าคนในห้องยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง หลวนซานเหลือบมองนายน้อยอย่างกังวลการกระทำเช่นนับว่าเสียมารยาทกับฮ่องเต้ผู้เป็นเจ้าของตำหนักที่แท้จริง
    
           หลวนซานส่ายหน้ากับกิริยาของนายน้อย ก่อนจะเดินออกไปรับหน้า เมื่อประตูเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงสง่างามของฮ่องเต้ในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูสูงส่งจนมิคาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้เข้าเฝ้าใกล้เช่นนี้ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกเสียงเรียบ
    
           “ฝ่าบาทขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ นายน้อยไม่อยากพบพระองค์ในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่ได้หวาดกลัวความตายแม้แต่น้อย เพราะคำพูดเช่นนี้ก็เหมือนการยื่นหัวไปให้อีกฝ่ายตัดทิ้งเล่นเสียมากกว่า ทว่าเวลานี้ชีวิตของเขาเป็นของหลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่ไม่ว่าผู้ใดเขาก็จะไม่ยอมสวาภิภักดิ์ให้จนกว่าคนผู้นั้นจะรักนายน้อยด้วยความจริงใจ    

          “นายเจ้าบอกเช่นนี้หรือ” น้ำเสียงเย็นนิ่งฟังแล้วรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเหลือบมองจึงได้เห็นดวงตาคมประกายแววคมกริบ แม้อีกฝ่ายจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนมากแค่ไหน ทว่าหลวนซานกลับรู้สึกว่ามันอาบย้อมไปด้วยยาพิษ
    
           “พ่ะย่ะค่ะ” หลวนซานกล่าวตอบด้วยความหนักแน่น หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว แต่ชีวิตเขาอุทิศให้หลิ่วเหวินอี้ไปแล้วต่อให้ตายเพื่อความปรารถนาของนายน้อยเขาก็ยินดีที่จะทำ
    
           “ข้าคิดแล้วต้องเป็นเช่นนี้”  หลวนซานมองตามร่างของฮ่องเต้ที่เดินสะบัดชายผ้าจากไปอย่างตะลึงงัน ไปง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ เมื่อมองกวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายมองมาที่ตนแล้วยกยิ้มบางพร้อมเดินตามจากไปเงียบๆ เขาลุกขึ้นมองตามอย่างมึนงงอย่างไม่เข้าใจ สายตาคู่นั้นเหมือนรักนายน้อยเขาจริงๆ เหตุใดถึงไม่ยอมงอนง้อเสียเสียหน่อย แต่นี่เพียงแค่มาก็จากไปหรือนี่เป็นวิธีการง้อที่สุดของคนที่เป็นฮ่องเต้แล้ว
    
           “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เสียงของนายน้อยดังแผ่วมาจากด้านใน ทำให้เขามองกลับไปก็เห็นเชิงเทียนถูกดับไปแล้ว กิริยาเช่นนี้หากเดาไม่ผิดนายน้อยคงรู้สึกหงุดหงิดมากๆ เป็นแน่
    
          “ขอรับ” เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้จึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าแทนที่จะกลับไปยังห้องของตนเองกลับกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเอนกายนอนมองพระจันทร์บนฟ้าอย่างเหม่อลอย ชีวิตในวังหลวงมีแต่อันตรายแต่เขากลับรู้สึกท้าทาย ยิ่งเมื่อคิดไปถึงงานที่รับมาเมื่อตอนกลางยิ่งรู้สึกตื่นเต้น รอยยิ้มท้าทายของหยางซือหมิงยังติดตามุมปากยกยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายพนันกับเขาว่าใครจะสืบผู้ร้ายได้เร็วกว่ากัน
    
          เสียงก้าวเดินอย่างมั่นคงกลับมาอีกครั้งทำให้หลวนซานลุกขึ้นนั่งมองคนตรงหน้าอย่างฉงน ร่างสูงสง่างามเดินเข้ามาหยุดที่หน้าห้องของลั่วเหยียนเจิ้งพร้อมพิณในมือโดยไม่มีผู้ติดตามมาเหมือนครั้งแรก ร่างนั้นนั่งลงตรงทางเข้าพร้อมจับวางพิณในท่าที่ตนถนัด จากนั้นไม่นานเสียงเพลงที่อ่อนหวานละมุมก็ดังไปทั่วทั้งตำหนัก เขาเบิกตากว้างมองคนมาง้อนายน้อยของตนอย่างตื่นตะลึง
    
          หลิ่วเหวินอี้ผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อเสียงเพลงดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้อง ความหงุดหงิดในใจกลับเงียบสงบดั่งบทเพลงที่ถูกบรรเลง ใบหน้างดงามนิ่วขึ้นน้อยๆ เมื่อเพลงที่บรรเลงมันคือเพลงที่ไว้สำหรับงอนง้อคนรัก ฟ้าล้อมดาวที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขาดกันไม่ได้ ไยใจร้ายทอดทิ้งกันโปรดกลับมาคืนดีกันเฉกเช่นวันวานกันได้ไหมคนดี นั่นคือความหมายที่รับรู้ เขาไม่ได้ชอบบุรุษอีกทั้งไม่ใช่ว่าไร้ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก แต่เหตุใดคนที่บรรเลงเพลงในยามนี้กลับทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าอ่อนโยนฉายชัดในดวงตาแม้จะหลับตาลงก็ยังแจ่มชัดในดวงใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
    
           เพลงหวานซึ่งละมุน ทำนองเจ็บปวดเมื่อไม่ได้รับการอภัยทำให้คนฟังรู้สึกกระวนกระวายภายในใจเป็นครั้งแรก ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนมองคนที่อยู่ด้านหน้าประตูอย่างสงบนิ่งกิริยาภายนอกไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวแรงเร็วจนน่ากลัว
    
           หลิ่วเหวินอี้เปิดประตูออกมาเห็นร่างสง่างามนั่งบรรเลงเพลงอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทันทีที่เห็นเขาใบหน้าคมคายระบายยิ้มอ่อนโยนทำให้มือที่เปิดประตูค้างอยู่ท่าเดิม รอยยิ้มเจิดจรัสของอีกฝ่ายทำให้มือเท้าเขารู้สึกเกะกะไปเสียหมด ดวงตาที่เคยเย็นชาฉายแววหวั่นไหวเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไป เพลงที่บรรเลงค่อยๆ ผ่อนลงดนตรีที่จบไปแต่ดวงตาคมกริบรอยยิ้มอ่อยโยนมองมาจนทำให้หลิ่วเหวินอี้เรียกสติตัวเองกลับคืนมา
    
          “นี่ดึกแล้วเจ้าจะไม่ให้ข้าหลับนอนบ้างหรืออย่างไร” น้ำเสียงเย็นนิ่งผิดกับภายในใจที่ดูงุ่มง่ามไปเสียหมด ลั่วเหยียนเจิ้งยังส่งยิ้มมาให้เหมือนคนบ้า
    
        “หากเป็นข้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้หลับได้นอนข้ายินดีอย่างยิ่ง” คำพูดสองแง่สองง่ามของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งเงียบไป ดวงตาเรียวสวยจ้องมองคนพูดเพื่อมองให้ทะลุถึงจิตใจ จิตใจที่นิ่งสงบมานานหลายปีกำลังถูกเด็กตัวร้ายเจ้าเล่ห์ล่อลวงให้สั่นไหว ตอนนี้รู้สึกว่าตนเองจะก้าวขาลงหลุมพรางเด็กนี่มาครึ่งขาแล้ว หากไม่อยากเจ็บปวดคือต้องก้าวถอยกลับไปที่อยู่ที่จุดเดิม แต่หากคิดล่อลวงเขามีหรือว่าจะยอมถูกล่อลวงฝ่ายเดียว ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มบางแล้วกล่าวเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติจนทำให้คนฟังใจสั่นระรัว
   
          “แล้วท่านพี่เหยียนเจิ้งคืนนี้จะยอมอดนอนทั้งคืนเป็นเพื่อนข้าหรือไม่” ร่างโปร่งย่อกายนั่งลงตรงข้ามพร้อมชะโงกใบหน้ามาใกล้อีกฝ่าย ลมหายใจแผ่วเบาใกล้กันแค่เอื้อมมือมีเพียงพิณที่ขว้างกั้นทั้งคู่เท่านั้น หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางฉุดร่างสูงสง่างามของลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นยืนพร้อมลากเข้าห้องโดยที่อีกฝ่ายเหมือนจะตัวแข็งทื่ออย่างตื่นตะลึง
    
           “ฮาๆๆๆ” ทันทีที่ประตูปิดลงคนที่แอบดูหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นทีคราวนี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งจะมีคนกำจัดเสียแล้วจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกน้อยเสียแล้ว น่าสนใจจริงๆ
    
           “อาจารย์ข้าง่วงจะตายแล้ว เมื่อไหร่ท่านจะพาข้าไปนอน” ใบหน้าน่ารักเริ่มถลึงตาเล็กมองอาจารย์ที่ทำตัวเถลไถลอย่างดุๆ ที่ออกมานี่ก็ยังไม่ได้บอกจุ้ยซิงเลย ไม่รู้กลับไปจะแอบร้องไห้อีกหรือไม่
    
           “กลับแล้ว กลับแล้วเด็กดี” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มงดงาม ที่ทำให้คนมองกรอกตามองอย่างระอา สองมือยกขึ้นให้อีกฝ่ายอุ้มอย่างคุ้นเคย สองร่างเลือนหายไปกับเงาของราตรีมีเพียงเชิงเทียนภายในห้องของหลิ่วเหวินอี้เท่านั้นที่ยังสว่างไสว หลวนซานหลบหนีเข้าห้องตนก่อนที่จะได้ยินเสียงที่ไม่สมควรได้ยิน
    
            แม้ภายนอกจะคิดต่างๆ นาๆ ทว่าภายในคนที่ถูกลากเข้าห้องกลับมองคนยิ้มหวานตาละห้อย วางเบี้ยสีขาวในมืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นึกว่าจะได้อดหลับอดนอนขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า เหตุใดถึงได้มาใช้สมองโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้...
    
           หลิ่วเหวินอี้มองคนปิดปากขณะหาวจนน้ำตาเล็ดอย่างนึกขำ ดวงตาคมหรี่มองเขาคล้ายจะหงุดหงิด จึงฉีกยิ้มหวานให้พร้อมลูกกวาดในมือยื่นใส่ปากอีกฝ่าย ซึ่งลั่วเหยียนเจิ้งอ้าปากรับคล้ายกับจำใจ
    
          “เหวินอี้สว่างแล้วเจ้าจะไม่ให้ข้าเข้าราชการบ้างหรือ วันนี้ข้ามีประชุมพวกขุนนางนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกขณะรับลูกกวาดสีหวานมาอม นัยน์ตาแดงก่ำเล็กน้อยนี่ขนาดบอกว่าไม่งอนเขายังได้ง้อทั้งคืน หากบอกว่างอนเขาไม่ต้องตามง้ออยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนหรอกหรือ
    
          “หื้ม ท่านพี่ไม่อยากอยู่กับข้าหรอกหรือ เช่นนั้นท่านไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบ เก็บหมากล้อมใส่กล่องคล้ายน้อยอกน้อยใจ ทำให้กษัตริย์ผู้ไร้หัวใจถอนหายใจออกมา มือหนายื่นไปจับมืออีกฝ่ายอย่างจริงจัง
    
          “เหวินอี้ข้าชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้และก่อนหน้านี้ แต่หากให้ดีอย่าทำหน้าเช่นนี้ให้ใครเห็นอีก” บอกจบพร้อมลุกขึ้นยืนเดินจากไปปล่อยให้คนคิดจะเอาคืนมองตามแล้วยกยิ้มที่มุมปาก เคยได้ยินไหมยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุแต่ว่าหากไม่เป็นตัวของตัวเองจะเสแสร้งกับผู้อื่นไปทำไม
    
          หลิ่วเหวินอี้อ้าปากหาวลุกขึ้นยืนบิดกายไปมา ความง่วงงุนยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แต่วันนี้คงไม่ได้นอนต่อเพราะคงไม่เหมาะที่แขกอย่างเขาจะอยู่สุขสำราญใจเกินไป ร่างโปร่งเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ อาหารเช้าหรูหราเฉกเช่นเดิมเพียงแค่วันนี้ไม่ได้มีเพื่อนกินข้าวเช้าเท่านั้น
    
           “บังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ” เสียงทักทายพร้อมร่างโปร่งของคนคุ้นตาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้างดงามและดวงตาเรียวสวยของคนตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีใบหน้านี้ยังเฉกเช่นเดิมจนน่าประหลาดใจ
    
          “หมอจิว” เขาเรียกอีกฝ่ายเบา ทว่ากลับทำให้จิวชงหยวนฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ
    
           “ดีใจที่เจ้าจำข้าได้ และยังเรียกขานคำที่ข้าต้องการที่ได้ยินมาแสนนานน่าปลื้มใจนัก” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับรู้ไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นเพราะจากที่ตามสืบมาทุกคนเรียกขานต่างกันไป บ้างก็หมอเทวดา หมอเทวะมาร เซียนกระบี่และอีกมากมายจนคร้านจะจดจำ
    
          “เจ้าไม่แปลกใจบ้างหรือที่เห็นข้าอยู่ที่นี่” คำถามพร้อมดวงตาเรียวสวยมองมาอย่างคาดหวังทำให้เลิกคิ้วแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
    
          “ข้าต้องแปลกใจด้วยหรือ ในเมื่อเจ้าอยากไปไหน อยู่ที่ใด ข้าจำเป็นต้องรู้?” ใบหน้างดงามอึ้งตะลึงงัน คิ้วขมวดลึกคล้ายกำลังมือเท้ากระตุกทำให้อดที่จะยิ้มบางไม่ได้
    
          “ข้าล้อเจ้าเล่น” คราวนี้คนตรงหน้ากลับอ้าปากค้าง มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะพึมพำออกมาในภาษาที่ทำให้เขาตื่นตะลึง ร่างกายสั่นสะท้านความเหน็บหนาวบีดรัดหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก เขาก้าวถอยหลังจากคนตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว
    
           “ล้อเล่นได้หน้าตายมาก” แม้จะแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดในหัวใจ มันเป็นภาษาไทย!
    
           “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างห่วงใย อาการใจเต้นแรงและร่างกายสั่นสะท้านของคนตรงหน้าทำให้เขาฉงนสงสัยเมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย
    
           “เปล่า เมื่อครู่เจ้าพูดภาษาไทย” หลิ่วเหวินอี้เรียกสติตัวเองกลับมา พร้อมเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกฝ่ายซึ่งจิวชงหยวนอ้าปากค้างตื่นตะลึง ก่อนจะลากเขาไปยังตำหนักทางฝั่งซ้ายห่างจากที่นี่กว่าหนึ่งลี้ด้วยความเร็ว ทันทีที่ห้องปิดลงร่างโปร่งบางแต่เรี่ยวแรงมากกว่าช้างสารทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างระวัง แม้จะโดนลากมาไม่ทันตั้งตัว ทว่าลองใช้ลมปราณตัวเองต่อต้าน กลับน่าเศร้าเมื่อไม่อาจเทียบกับคนตรงหน้านี้ได้เลยแม้แต่น้อย
    
          “เจ้าเป็นใครกันแน่เหวินอี้” คราวนี้ภาษาไทยชัดแจ๋วจนทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งค้าง ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา จากที่เคยใช้ชีวิตรวมกันสองชาติทำให้พอคาดเดาได้ว่าคนตรงหน้านี้มีความจริงใจขณะเดียวกันหากเป็นศัตรูเจ้าตัวก็ไม่ยอมเป็นเต่าหดหัวอย่างแน่นอน
    
           “ข้าคือหลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่นิกายมารฟ้าข้อนี้เจ้าน่าจะรู้ดี” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับด้วยภาษาเดิมไม่เปลี่ยนแม้จะเป็นลูกครึ่งแต่เขาฟังออกทว่ากลับพูดภาษาไทยไม่ชัด จะโทษใครได้เขาอยู่อเมริกามาตั้งแต่เด็กจึงได้พูดภาษาแม่น้อยมาก คนตรงหน้ากอดอกกรอกตาไปมาอย่างระอา มือเรียวถือเม็ดยาสีอำพันสะท้อนให้เห็นเงาตัวเองทว่ามันดูไม่น่าไว้ใจ และเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
    
           ใบหน้าสวยคมในสายตาจิวชงหยวนขมวดคิ้วกดลึกอย่างไม่พอใจ สีหน้ายังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนไปจากเดิมหลังจากพบกันครั้งสุดท้าย มีเพียงความสวยเท่านั้นที่ดูเจิดจรัสมากขึ้นอายุเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวแต่กลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้แปลกใจเลยที่ลั่วเหยียนเจิ้งสนใจผู้นี้มากขนาดนี้ การปิดกั้นตัวเองของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ผู้ที่ชอบเอาชนะผู้อื่นอย่างฮ่องเต้ปรารถนา หวังว่าหลิ่วเหวินอี้จะได้หัวใจมังกรได้อย่างแท้จริงหากเป็นการโปรดปรานเพียงชั่วครั้งชั่วคราวคนที่เจ็บอาจจะไม่ใช่แค่คนสองคนเท่านั้น
    
         “ข้าแค่เคยเกิดและตายในโลกนั้นมาแล้ว เจ้ายังอยากรู้หรือไม่ว่าข้าตายด้วยเหตุผลใด” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบ ดวงตาประกายเย็นวาบ ทำให้จิวชงหยวนชะงักงันดวงตาเรียวสวยฉายแววรู้สึกผิดมาชั่วครู่
    
          “ข้าขอโทษที่เสียมารยาท ข้าเพียงแค่ดีใจที่จะได้เจอคนที่เคยอยู่โลกเดียวกัน แต่ความทรงจำของเจ้าอาจไม่ดีนัก เพื่อเป็นการไถ่โทษข้ามอบยาคลายความจริงให้เจ้าแล้วกัน นี่เป็นสูตรใหม่ที่ข้าค้นพบเลยนะ” ใบหน้าสำนึกผิดและคำตอบจริงใจของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นจริงเหมือนจิวชงหยวนกล่าวการได้พบเจอคนที่เคยอยู่โลกเดียวกันนั้นน่าดีใจมากแค่ไหน และการได้มาพบเจอเช่นนี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน เพียงแต่เขาจะเปิดใจให้คนที่เคยช่วยชีวิตตนได้มากแค่ไหนเท่านั้นเอง
    
           “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่กลัวความจริงเท่านั้น บางทีข้าคิดว่าที่นี่เป็นโลกแห่งความฝันสักวันคงตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง แต่เวลาผ่านไปสิบแปดปีข้าไม่มีวี่แววจะพบเจอคนที่มาจากโลกเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อเจ้ามาปรากฏตัวตอนนี้ข้ากลับไม่มั่นใจ” หลิ่วเหวินอี้เดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามจิวชงหยวนแม้จะบอกกล่าวความจริงภายในใจ ทว่าดวงตากลับเหม่อลอยออกไปข้างนอก แม้จะเป็นคนปิดกั้นตัวเองมานานแต่เมื่อมาเจอจิวชงหยวนกลับที่จะกล้าบอกความจริง
    
           “เจ้ากล้าที่จะเปิดเผยความกลัวของตัวเองก็นับว่ามีความกล้าหาญแล้ว เจ้าวางใจเถอะที่นี่เป็นโลกใหม่จริงๆ ข้าไม่ได้ตายจากที่นั่นแต่ถูกดึงตัวมาใช้งานมากกว่า แต่ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ตราบใดที่คนรักยังอยู่กับข้า” หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองคนที่เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้าแดงเล็กน้อยมือยกมือลูบท้ายทอยอย่างเก้อเขินทำให้เขายกยิ้มที่มุมปาก ท่าทางดูใสซื่อแต่ความร้ายกาจของคนตรงหน้าดังไปทั่วยุทธภพของมีน้อยคนที่จะได้เห็นภาพลักษณ์เช่นนี้
    
           “จริงสิ ตอนนี้เจ้าเป็นพระสนมของท่านพี่เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มาก เจ้าเป็นคนฉลาดอาจจะรู้ว่า...เอ่อ...” หลิ่วเหวินอี้มองคนลำบากใจด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกเศร้าหมอง หากตนหมดผลประโยชน์ก็คงต้องทางใครทางมัน
    
           “ข้าเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่ฮ่องเต้คิดจะใช้งาน ขอบคุณเจ้ามากเรื่องนี้ข้ารู้ดี”
    
           “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสองคนข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่เรื่องเอาคืนลั่วเหยียนเจิ้งข้ามีร้อยแปดวิธี และมีวิธีหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้านำไปใช้” ใบหน้างดงามราวเทพเซียนยกยิ้มมุมปากดูแสนเจ้าเล่ห์ ดวงตาประกายวาววับเหมือนมีความแค้นกับลั่วเหยียนเจิ้งโดยคิดจะยืมมือเขาแก้แค้นแทนเสียมากกว่า
    
           “เจ้าคิดจะยืมมือข้าไปแก้แค้นแทนตัวเองมากกว่าก็บอกมาเถอะ” ใบหน้างดงามอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มบาง
    
           “เรื่องนี้เจ้าได้ผลประโยชน์ โดยไม่ขาดทุนแม้แต่น้อย” หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์หมายเลขสองอย่างระวัง คบคนฉลาดเจ้าเล่ห์ต้องตามให้ทันไม่เช่นนั้นคงได้ซ้ำในตายแน่ๆ
    
            “เชิญชี้แนะ”




   วันนี้มาสองตอนรวด ขอบคุณที่ติดตามและคอมเมนท์ให้กำลังใจนะคะ สำหรับใครที่สนใจเรื่องเล่ห์รักเทวาสวรรค์ตอนนี้ทางสนพ. ได้เปิดการสั่งซื้ออีกครั้ง สามารถติดตามได้ที่แฟนเพจจ้าและต้องขอโทษด้วยที่ฟางเอาลิ้งลงให้ที่นี่ไม่เป็น แล้วพบกันพรุ่งนี้จ้า

                   :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:


หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 27-05-2016 20:40:12
งื้ออออ~~. เหวินอี้ดีงามอะ.ยั่วเยอะๆเลย. ฮ่ะๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-05-2016 00:20:36
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: miya_pp ที่ 28-05-2016 01:18:08
หึหึ. สองคนนี้ใาเจอกันแล้ว สนุกแน่
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-05-2016 01:39:16
มีหมอจิวมาร่วมมือด้วย ตายแน่ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 28-05-2016 08:10:10
กร๊าวใจสุดๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: devilpoo ที่ 28-05-2016 10:03:45
ตามมาให้กำลังใจฟาง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 28-05-2016 13:21:39
อ้างถึง
อ้างถึง
ชักเริ่มสงสารฮ้องเต้สะแล้วสิ
รับมือหลายด้านเลย
[/size]
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่19 ง้อคนงาม(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 28-05-2016 14:27:53
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ชงหยวน โปรดเห็นใจพี่ผัวด้วย

สงสารฮ่องเต้จิงๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้(P.5วันที่ 28/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-05-2016 20:32:43
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน... (P.5วันที่ 28/5/59)


           ร่างสูงสง่างามในอาภรณ์สีเหลืองลวดลายมังกร บนศีรษะสวมมาลาสีเดียวกันห้อยด้วยไข่มุกสีเงินเม็ดเล็กยาวมาระดับปลายคางบดบังใบหน้าคมคายไปกว่าครึ่ง ดวงตาคมกริบทอดมองขุนนางน้อยใหญ่เบื้องล่างบัลลังก์อย่างพิจารณา การถกเถียงกันยังเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของบรรดาพระสนม และยังต้องมีการจัดงานเทศกาลหยวนเซียวเพื่อเชื่อมสารไมตรีจากเมืองใหญ่ต่างๆ ภายในแคว้น บ้างใกล้เคียงก็ได้นำบุตรีมาเจริญสัมพันธ์ไม่ตรี และเรื่องที่ขาดไม่ได้ในที่ประชุมวันนี้คือการที่เขายังไม่มีบุตรสืบทอดทายาทจึงเป็นที่กังวลของเหล่าขุนนาง
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งฟังพวกเขาถกเถียงกันไปมาอย่างเบื่อหน่ายเรื่องไหนเขาควรสอดแทรกก็จะกล่าวตัดบทและให้ขุนนางที่รับผิดชอบในส่วนนั้นจัดการไป ทุกเรื่องจัดการได้อย่างง่ายดายทว่าเรื่องการที่เขายังไม่มีโอรสธิดากลับเป็นเรื่องประเด็นร้อนในวันนี้ เหมือนกับว่ามีขุนนางบางคนต้องการใส่เชื้อเพลิงให้เรื่องบานปลายและใหญ่โตขึ้น
    
           “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางขั้นหนึ่งและสองบางกลุ่มคุกเข่าก้มหน้าลงอย่างอ้อนวอน ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่มองนิ่งๆ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการแสดงละครชุดนี้ แม้กระทั่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังเห็นด้วยกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำให้เขายกยิ้มมุมปากเพียงครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์
    
           “พวกเจ้าอยากให้เรามีโอรสพร้อมหมั่นหาสตรีงดงามมาให้ ข้าปลาบปลื้มใจนักเพียงแต่เวลานี้การตายพระสนมยังมีเงื่อนงำจะให้เราสำราญใจผู้เดียวได้อย่างไร อีกทั้งข้านั้นยังหนุ่มแน่นไม่ได้จะตายเข้าโลงในวันนี้หรือพรุ่งนี้เสียหน่อย พวกท่านร้อนรนกันถึงเพียงนี้หรือว่าข้าจะตายในวันนี้กันเล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้สบายในทว่าความหมายของคำพูดทำให้เหล่าขุนนางนั่งไม่ติด เพราะการกระทำเช่นนี้หากมองในแง่ร้ายก็เหมือนจะสาปแช่งให้กษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถสิ้นพระชนม์เร็วขึ้น
    
           “ฝ่าบาทกระหม่อมมิกล้า” น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยพร้อมเพียงกัน ดวงตาพวกเขาแอบมองสบกันไปมา ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มดวงตาฉายแววเย็นชาอีกครั้ง
    
           “เอาเถิดข้ารู้ว่าพวกเจ้าหวังดี วันนี้เลิกประชุมเพียงแค่นี้ ส่วนงานพวกท่านที่รับผิดชอบหวังว่าจะทำให้แขกบ้านแขกเมืองพึงพอใจ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวตัดบทพร้อมลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ทอง เดินออกจากท้องพระโรงอย่างสง่างามเหมือนยามที่ก้าวเข้ามา
    
           “น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้เดินกลับตำหนักตัวเอง แต่เดินไปยังตำหนักหลันฮวาห่างไกลจากตำหนักอื่นๆมากโขแม้จะดูโดดเดี่ยวและเงียบสงบ ทว่าภายในยังมีเสียงพูดคุยกันอยู่บ้าง เขาทอดมองเด็กน้อยวัยสิบหนาวกำลังถกเถียงปัญหากับฉีเห้อหลันอาจารย์ที่เขาจ้างมาสอนสั่งโดยเฉพาะ คนผู้นี้รอบรู้ทุกด้านเพียงแต่เป็นคนเก็บตัวหากเขาไม่ได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้คงจะยากที่จะได้คนผู้นี้มารับใช้
    
           “พระถวายพระพรเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าน่ารักเหมือนซาลาเปาในสายตาของลั่วเหยียนเจิ้งหันมามองพร้อมรอยยิ้มบาง กิริยาไว้ทีพร้อมคุกเข่าทำความเคารพสูงสุดดุจขุนนางผู้หนึ่งกระทำ เขาเพียงพยักหน้ารับเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เพ่ยอวี้จะแสดงกิริยาเช่นนี้ ดวงตากลมโตประกายความฉลาดตั้งแต่เยาว์วัย ฉีเห้อหลันหันมาคุกเข่าคารวะอีกคน ใบหน้าแสนธรรมดาของอีกฝ่ายที่ดูอย่างไรก็ขัดนันย์ตาเพราะมันเป็นหน้าปลอมๆ ฉายาของเจ้าตัวที่ยุทธภพมอบให้คือกวนอิมพันหน้า
    
          “ไม่ต้องมากพิธี” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ยกมือลูบหัวน้องเล็กอย่างเอ็นดู การใช้ชีวิตในวังหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่ฉลาดพอคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ทุกวันนี้ มารดาของเพ่ยอวี้ได้สิ้นพระชนม์เมื่อสามปีก่อนอดีตพระนางเคยเป็นสายลับให้กับตนจึงได้รับปากว่าจะดูแลเพ่ยอวี้ให้อย่างดี เพราะเป็นความผิดพลาดของเขาที่ให้นางต้องตาย
    
           “ช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามขณะมานั่งในศาลา ฉีเห้อหลันขยับกายถอยห่างพร้อมรินน้ำชาให้อย่างนอบน้อม
    
           “กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
    
           “องค์ชายสิบห้าขยันหมั่นเรียนรู้ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจรับน้ำชามาจิบแก้กระหาย แล้วกล่าวบอกเสียงเรียบ
    
            “อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงพวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เจิ้นสั่งตัดชุดใหม่มาให้ได้รับหรือยัง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามมองน้องเล็กอย่างเอ็นดู ใบหน้าน่ารักยกยิ้มบางก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงมากขึ้น
    
            “กระหม่อมได้รับเมื่อเช้านี้ ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับพร้อมยกนิ้วหยิกแก้มขาวๆ ของน้องชายเล่นอย่างเอ็นดูและเหมือนคนถูกกระทำจะชื่นชอบเสียด้วย เขาหัวเราะในลำคอแผ่วเบาก่อนจะหันไปบอกฉีเห้อหลัน
    
           “ต่อไปนี้ช่วยสอนวิชากวนอิมพันหน้าให้เพ่ยอวี้ด้วย” ฉีเห้อหลันเงยหน้ามามองนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเรียบ แม้ไม่แน่ใจการกระทำของฮ่องเต้ผู้นี้ทว่าความจริงใจที่มอบให้เพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้านั้นคือของจริงอย่างแน่นอน
    
           “พ่ะย่ะค่ะ”
    
           “ขอบพระทัยเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมร้องขออาจารย์มานานแต่ไม่ยอมรับปากเสียที” เพ่ยอวี้เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดีใจ ดวงตาวาวใสอย่างร่าเริงเมื่อคิดถึงเรื่องสนุกๆ รออยู่ข้างหน้า
    
          “อย่ามัวเล่นแต่สนุก เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มาก เพราะเจิ้นไม่ได้มาหาเจ้าบ่อยหนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ให้ได้รู้หรือไม่” น้ำเสียงจริงใจและดวงตาห่วงใยที่ส่งมาทำให้เพ่ยอวี้พยักหน้ารับอย่างจริงจัง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาน้ำใจเสด็จพี่ฮ่องเต้นั้นตนจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม
    
           “เจิ้นคงต้องกลับก่อนอยู่นานมิได้หนูแถวนี้ปากมากไปเสียหน่อยคงไม่เป็นการดีนัก” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนเดินกลับตำหนักซึ่งมีคนงามรออยู่
    
           “น้อมส่งเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของสองศิษย์อาจารย์น้อมส่งตามหลังมา ลั่วเหยียนเจิ้งเดินลัดเลาะตามอุทยานจนกระทั่งมาหยุดตำหนักลู่เฟย ดวงตาคมหรี่ตามองคนคุ้นตากำลังนั่งคุยกับจิวชงหยวนอย่างออกรส ข้างๆ คนทั้งคู่มีเด็กน้อยที่มีนัยน์ตาลึกลับเหลือบมองมาทางตน เพียงชั่วครู่ทั้งสองคนก็ได้หันมามองเขาเช่นกัน ทว่าเพียงแค่เหลือบมองและหันไปคุยกันต่ออย่างไม่สนใจฮ่องเต้อย่างเขา
    
            เขาโดนเมิน!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาหาทั้งคู่ซึ่งกำลังนั่งคุยกันพร้อมสมุดบันทึกที่ทั้งคู่ใช้ขีดเขียนในภาษาที่ไม่เข้าใจ จากที่คุยกันอย่างสนุกกลับเงียบเสียงลงจากนั้นก็เอ่ยขึ้นในภาษาที่ตนไม่อาจเข้าใจได้อีกครั้ง เขายืนนิ่งอยู่นานแต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ มือหนาคว้าข้อมือหลิ่วเหวินอี้จากนั้นก็ลากออกจากห้องของจิวชงหยวนอย่างไม่สนใจเสียงโวยวายของน้องสะใภ้คนงาม ไม่สิตอนนี้ไม่งามแล้วมีแต่น่าฆ่าให้ตายนัก มาสอนสั่งคนของเขาให้กล้าเมินเขาได้อย่างไร
    
           “เดี๋ยวสิเจ้าจะลากข้าไปไหน” น้ำเสียงเย็นนิ่งของอีกฝ่าย ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตอบเงียบๆ นัยน์ตาของหลิ่วเหวินอี้เวลานี้แดงก่ำเล็กน้อย
    
           “พาเจ้าไปนอน” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับหน้าตาย คนโดนลากมองเขาอย่างอึ้งๆ เมื่อหันไปมองคนที่ชักชวนให้หลิ่วเหวินอี้เมินตน ตอนนี้เพียงแค่โบกมือบ้ายบายอย่างน่าหมั่นไส้ ลู่เฟยกลับมาจะให้สั่งสอนเสียให้เข็ดจะได้ไม่มีเวลามาป่วนคนของเขาเช่นนี้อีก
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองคนโดนลากที่ไม่ยอมขัดขืนด้วยความแปลกใจ ดวงตาคมมองสบดวงตาเรียวสวยมองที่เขานิ่งๆ จนคาดเดาไม่ออก
    
          “โกรธหรือ” หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบที่ทำให้เขารู้สึกผิดที่คิดอะไรเกินเหตุ
    
          “เปล่าแต่ท่านพี่เหยียนเจิ้งเป็นอะไร เมื่อครู่จิวชงหยวนกำลังสอนวิธีทำขนมบัวลอยให้ข้าไว้ทำให้ท่านทาน หรือว่าท่านไม่ชอบกินแล้ว”
   
          “ก็เจ้าเมินข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวพึมพำ นึกเสียดายที่ตนไม่เอ่ยถามสาเหตุก่อนเพียงแค่โดนหลิ่วเหวินอี้ไม่สนใจเขาเมื่อครู่หัวใจก็ร้อนรนและหงุดหงิดไปหมด
    
          “จิวชงหยวนบอกข้าว่าสอนแค่ครั้งเดียว ข้าจึงตั้งใจฟังเท่านั้นเอง” ดวงตาเรียวสวยมองสบกับเขานิ่งๆ ดวงตาฉายแววจริงจังจนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกผิด
    
           “ข้าขอโทษ”
    
            “ช่างเถอะเพราะข้าก็ไม่ชอบเข้าครัวอยู่แล้ว” คำตอบเรียบง่ายพร้อมแกะมือออก แต่ลั่วเหยียนเจิ้งจับกุมไว้แน่น ก่อนจะพาเดินกลับตำหนักโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ใบหน้างดงามที่แสดงความเย็นชาตลอดเวลานั้นตอนนี้ที่มุมปากกลับมีรอยยิ้มลึกลับแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ทว่าฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจกลับไม่ได้มองแม้แต่น้อย
    
            หลิ่วเหวินอี้กลับมาทานข้าวกลางวันพร้อมลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งตอนนี้ดูแปลกๆ จนน่าขบขัน คิดจะล่อลวงเขาเป็นฝ่ายเดียวหรืออย่างไร เขาไม่ได้โง่งมถึงเพียงนั้นเสียหน่อย หลังจากทานอาหารเรียบร้อยช่วงบ่ายจึงได้มีช่างตัดชุดเข้ามาวัดตัวแพรผ้าที่เลือกคือคนที่ลากเขามาเมื่อช่วงเที่ยง เขาไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นสีอะไรแค่ให้วัดตัวก็ทำไปส่งๆ แค่นั้นเอง
    
            หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจ ซึ่งเวลานี้นั่งมองเขานิ่งๆ ทว่าคิ้วขมวดเป็นปมเหมือนคนคิดไม่ตกทำให้เขารู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้ ก็เล่นจ้องมองซะจนเหมือนถอดเสื้อผ้าเขาอยู่รอมร่อ
    
            “หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
    
            “นอนที่นี่ก่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนชวนนอนด้วยในเวลาบ่ายอย่างนี้ เขาส่ายหน้าเพราะอย่างไรคงไม่ไปนอนกลางวัน ทว่าร่างสูงกว่าเขาเพียงไม่กี่เซ็นต์กลับลากเข้าไปในห้องนอนใหญ่ใหญ่โตการจัดตกแต่งนับว่าสิ้นเปลืองมาก เตียงนอนขนาดใหญ่แม้กระทั่งสองคนตัวใหญ่นอนด้วยกันยังไม่รู้สึกอึดอัด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางนอนร่วมห้องกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เป็นแน่
    
           “ข้าจะไปนอนที่ห้อง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเข้มใช้ลมปราณมาช่วยแกะมือตุ๊กแกออกจากมือตนเองด้วยความเร็ว ซึ่งอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวถึงกลับนิ่วหน้ามองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างไม่พอใจ
    
            “เจ้ารังเกียจข้าหรือ” หลิ่วเหวินอี้มองคนเล่นบทเศร้าอย่างระอา ทว่าแววตาของลั่วเหยียนเจิ้งที่ส่งมาเวลานี้กลับทำให้โต้เถียงไม่ออก หากมีหูและหางก็คงจากลู่ลงแน่ๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ภาพลักษณ์หลอกลวงนี้มาก่อกวนหัวใจโดยเด็ดขาด หากไม่พูดอะไรสักอย่างคนที่เจ็บปวดคงไม่พ้นตัวเองเป็นแน่
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง ท่านเห็นข้าเป็นสิ่งใดกันแน่ พี่น้องร่วมสาบาน สหาย คนรัก พระสนม สิ่งแปลกใหม่สำหรับท่านหรือเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างจริงจัง หลายวันมานี้เขารู้สึกว่าจะโดนรุกหนักจนคนที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดมาก่อนถึงกลับใจสั่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ตกลงหลุมรักคนมากเล่ห์ไร้หัวใจอย่างลั่วเหยียนเจิ้งแน่ๆ แม้ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คารมคมคายและความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายมันมากเกินจนกลัวว่าจะต่อต้านไม่ไหว ดวงตาคมกริบมองเขานิ่งงันไม่ได้ตอบคำถามอันใด หลิ่วเหวินอี้จึงถอยห่างออกมาแล้วกล่าวเสียงเรียบ
    
          “หากท่านพี่ตอบได้ช่วยกลับไปบอกข้าด้วย หากแค่หมากตัวหนึ่งข้าจะยอมช่วยท่านเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” กล่าวจบก็เดินจากไป ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเดินจากไปอย่างมั่นคง ความเย็นชามีอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้นจนยากจะคาดเดาความในใจ ปล่อยให้สายตาคมกริบมองตามนิ่งงัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้เพราะคำถามนี้มันเหมือนแทงใจดำตัวเองเข้าอย่างจัง เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคิดเช่นไรกับหลิ่วเหวินอี้ รู้เพียงแต่ว่า อยากมีคนผู้นี้เคียงข้างตลอดไป...
    
           ร่างโปร่งเดินกลับห้องตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เขาไม่เคยมีความรักเพราะชีวิตที่ผ่านมาแขวนอยู่ในเส้นด้ายตลอดมาจึงไม่คิดจะลงเอยกับใคร แต่ใจเขารู้ดีว่าเขายังชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่นๆ ทว่าเกิดมาในชาตินี้ทำไมถึงมีแต่บุรุษเข้าหาตนเอง แต่คนที่ทำให้หนักใจจนออกจะกลัดกลุ้มคงจะเป็นลั่วเหยียนเจิ้ง เมื่อคืนอีกฝ่ายมาตามง้อเล่นพิณให้ฟังเพียงแค่ไม่ถึงวันก็ต้องมามีเรื่องให้ลำบากใจกันอีกแล้ว
    
           หลิ่วเหวินอี้เปลืองเสื้อผ้าลงไปแช่อ่างอาบน้ำเพื่อคลายความหนักใจ ห้องน้ำที่นี่ใหญ่โตยิ่งกว่าสระว่ายน้ำเสียอีก เขาดำหัวลงในน้ำเพื่อปิดกั้นความคิดของตัวเองชั่วคราว การกลั้นลมหายใจในน้ำเพียงแค่ใช้ลมปราณช่วยก็สามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งชั่วยาม ไม่รู้เวลานานไปเท่าไหร่จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตใจสงบแล้วจึงผุดลุกขึ้นจากน้ำในอ่าง ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่ขอบอ่างน้ำ ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเหลืองในชุดเดิม มีเพียงมาลาคอบศีรษะเท่านั้นที่เอาออกไปแล้ว สายตามองมาที่เขาเหมือนมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้นด้วยและมันเริ่มทำให้เขาหายใจติดขัดเป็นครั้งแรก
    
           “ท่าน...” หลิ่วเหวินอี้พูดไม่ออกเมื่อร่างนั้นพุ่งลงน้ำเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว และจะไม่ตกใจเลยหากว่าตัวเองไม่เปลือยล่อนจ้อนเช่นนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความโกรธปนอับอาย ลั่วเหยียนเจิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาดวงตาคมมองเขาด้วยเปลวเพลิงปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    
           ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อถูกอีกฝ่ายจู่โจมด้วยริมฝีปากอ่อนนุ่ม ความร้อนแรงและวาบหวานอีกทั้งรสจูบที่ชำนาญของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกมึนงง ก่อนจะชะงักงันเมื่อมือปลาหมึกของอีกฝ่ายมาหยุดที่แท่งหยกร้อนผ่าวของตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะผลักร่างนั้นออกเต็มแรง
    
           ตูม!
    
           เสียงน้ำดังตามแรงกระเด็นของร่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่ทันตั้งตัว ทว่าเมื่อลุกขึ้นยืนดวงตาคมกริบกลับทอประกายวาววับพร้อมเลียริมฝีปากแผ่วเบาอย่างยั่วยวน หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างมองคนโรคจิตอย่างหวาดๆ จะลุกจากน้ำก็ไม่ได้
    
           “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ” ร้องสั่งเสียงหลงเมื่อเห็นลั่วเหยียนเจิ้งจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้ไม่รู้ว่าตัวเองมีสีหน้าเช่นไร รู้แค่ว่าตอนนี้เขาโกรธมาก นี่เพิ่งทิ้งคำถามให้เก็บไปคิดแต่กลับมาแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเขาอย่างไม่น่าให้อภัย ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์ด้วยความโมโห
    
           ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยกปลายนิ้วจับริมฝีปากของตัวเองแล้วเอ่ยพึมพำไม่ได้ศัพท์เหมือนคนไม่มีสติ ดวงตาคมกริบยังมองเขาด้วยความปรารถนา ทว่ายังสามารถสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้ เขาลอบหายใจอย่างโล่งอกนิดๆ อย่างน้อยน่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
    
           “ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ข้าแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง” ใบหน้าคมคายกลับมายิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม แม้ดวงตาจะปกปิดความร้อนแรงของเปลวเพลิงไม่หมดแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่ หลิ่วเหวินอี้จ้องเขม่งยังไม่กล้าที่จะลดความระวังตัวเอง ทันใดนั้นร่างนั้นกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เสื้อคลุมลายมังกรประจำตำแหน่งของฮ่องเต้ถูกสวมใส่ให้อย่างอ่อนโยนจนเขาทำตัวไม่ถูก
    
           “ท่านออกไปก่อน” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นนิ่ง มองคนที่อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรีมีครรภ์อย่างระแวดระวังเมื่อครู่นี้ก็ทำเอาใจหายใจคว่ำ แม้จะโดนล่อลวงทางใจแต่สภาพล่อแหลมเช่นนี้ไม่มีวันที่เขาจะยอมเอาคืนให้ตัวเองขาดทุนแน่ๆ
    
          “สัญญาก่อนว่าจะไม่หนีข้าไปไหน” หลิ่วเหวินอี้มองคนตรงหน้าอย่างฉงน แต่เมื่อนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ถึงได้เข้าใจ เขาไม่ใช่สตรีจะได้มาเสียใจกับเพียงแค่จูบเดียว และเขาไม่ได้งี่เง่าที่จะหนีไปง่ายๆ ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้
    
           “ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเพราะข้ากับท่านมีเรื่องต้องคุยกันยาว” หลิ่วเหวินอี้ออกคำสั่งเสียงเข้มที่ทำให้คนฟังยกยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เมื่อร่างสูงของลั่วเหยียนเจิ้งจากไปเขาถึงกับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากเหตุการณ์เมื่อครู่สอนให้เขารู้ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน ที่สำคัญอย่าไว้ใจห้องน้ำบ้านคนอื่น!




    ลวนลามวันละนิดจิตใจแจ่มใส เจิ้นได้กล่าวเอาไว้ 5555 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 28-05-2016 21:37:35
 :hao7: :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 28-05-2016 22:53:12
ฉากนี้ชอบที่สุก ฮ้องเต้ลุกหนักสักที อ่านมาตั้งนานนึกว่า ฮ่องเต้ตายด้าน ไม่เห็นสนใจู้หญิง สนใจเหวินอี้ แต่ไม่คิดจะทำอะไร  เฮ้อ ส่วนเหวินอี้นี่ปกติดีทุกอย่าง ส่วนจิงชงหยวนน่ารักเหมือนเดิม วางแผนได้น่าหยิก เอาเรื่องบัวลอยไข่หวานมาใช้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 30-05-2016 22:14:35
 :m3: อร๊ายยยยย ในที่สุดก็เริ่มรุกแล้วสินะฮ่องเต้
นึกว่ากามตายด้านไปซะแย้ว  :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-05-2016 22:49:45
รู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 30-05-2016 23:41:33
อิจฉาเหวินอี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 31-05-2016 01:43:57
 รออ่านอยู่จ้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่20จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชี(P.4วันที่ 27/5/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 31-05-2016 20:47:33
ฮ่องเต้รู้ใจตัวเองแน่ๆแล้วใช่ไหม

ถ้าชอบก็บอกไปเลยว่าชอบ

ไม่ใช่คิดแค่ว่ารู้สึกดี และอยากอยู่ด้วย :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 02-06-2016 13:12:05
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่21ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)


        ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาห้องของตนเองด้วยหัวใจสั่นระรัว ความตื่นเต้นปรารถนาฉายชัดในดวงตา ร่างเปลือยเปล่าของหลิ่วเหวินอี้กระตุ้นความต้องการจนแทบหยุดยั้งตัวเองไม่ไหว ร่างโปร่งแต่ไม่ได้บอบบางมีมัดกล้ามตามที่พึงมี ผิวขาวเนียนจนอยากจะสัมผัส ความงามของใบหน้าและเรือนร่างแทบปลุกอารมณ์ดิบเถื่อนที่กักเก็บเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ออกมา ความเย็นชาของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์น่าลุ่มหลง เขาไม่เคยรู้สึกอยากครอบครองใครเท่านี้มาก่อน หลังจากที่ถูกทิ้งคำถามเอาไว้เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดกับคำตอบเพราะอย่างไรเขาก็ต้องการคนผู้นี้มาอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าหลิ่วเหวินอี้อยากได้ตำแหน่งอะไรเขาจะมอบให้ทุกอย่างจึงได้เร่งรุดไปหา ทว่าไม่คาดคิดว่าจะได้พบเห็นภาพที่สวยงามจนละสายตาออกไปไม่ได้เช่นนี้
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งอาบน้ำเปลี่ยนชุดอีกครั้ง พร้อมมาปรากฏตัวที่ห้องของหลิ่วเหวินอี้ซึ่งนั่งรออยู่โต๊ะริมหน้าต่างอย่างสงบ ความเงียบงันและบรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายเวลานี้ทำให้เขาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก รู้เพียงแค่ว่าตอบไม่ถูกใจคงได้คุยด้วยกระบี่แน่ๆ แล้วเขาจะกล้าทำร้ายคนงามได้อย่างไร
    
          “เชิญนั่ง” น้ำเสียงเย็นนิ่งของอีกฝ่ายเขาควรจะชินชา ทว่าไม่รู้เหตุวันนี้เขารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนเป็นฝ่ายผิดอย่างไรอย่างนั้น ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยกิริยาปกติเช่นเดิม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มนิดๆ แม้จะรู้สึกแปลกๆภายในใจ ทว่าเขายังสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
    
          มือรินเหล้าองุ่นให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่รับไปวางไว้เท่านั้น ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขานิ่งๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยฝีมือของเขา เพียงแค่เห็นร่างกายก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เหตุใดเขาจึงถูกกระตุ้นได้ง่ายดายนัก
    
          “ท่านได้คำตอบหรือยัง” คำถามเรียบง่ายทว่าดวงตาเรียวจ้องเขม่ง ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มบางก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเริงร่า    
    
          “ไม่เห็นต้องถามเลย เจ้าก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานข้าไง” คำตอบที่ทำให้คนฟังเม้มปากแน่น ดวงตาเย็นชามองมานิ่งๆ จนเริ่มทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งไม่ติด ผ่านไปครึ่งธูปที่คนตรงหน้าขยับตัวแต่ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกหนีไปเขาจึงรีบคว้าร่างนั้นเอาไว้ ดวงตาตวัดมามองมันเฉยชากว่าทุกครั้งจนน่าใจหาย
    
           “เจ้าไม่พอใจกับคำตอบข้าหรือ” เอยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ดวงตาคมมองคนตรงหน้าอย่างคาดหวัง เขาไม่เคยมีความรักแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าความรักมันเป็นรูปแบบไหน
    
          “เจ้าจูบพี่น้องร่วมสาบานทุกคนหรือไง” คำถามที่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันก่อนจะส่ายหน้าไปมา
    
          “ไม่ ข้าจูบเจ้าคนแรก” คำตอบอย่างจริงจังของเขาไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าหายโกรธ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บ จึงลุกขึ้นลูบริมฝีปากของหลิ่วเหวินอี้แผ่วเบา ใบหน้างดงามหลบฝ่ามือของเขาพร้อมดวงตาที่เคยเย็นชาถลึงมองมาอย่างไม่พอใจ
    
           “เหยียนเจิ้ง” น้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงไว้ด้วยความโกรธ แววตาวาวโรจน์ทว่ามันกลับดูน่ามองในสายตาของลั่วเหยียนเจิ้ง มือขวายังจับข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น
    
           “ปล่อย”
    
           “ปล่อยเจ้าก็หนี” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับหนักแน่น เขาคุ้นชินกับการออกคำสั่งทว่าสำหรับคนตรงหน้าเป็นกรณียกเว้น ยอมให้อีกฝ่ายสั่งเขาได้เพียงแต่มีขอบเขต
    
          “เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่ลั่วเหยียนเจิ้ง หากคิดว่าข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานอย่าทำรุ่มร่ามกับข้าอีก” คำถามจริงจังพร้อมดวงตาเย็นเยือกของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก คำถามนี้เขารู้ดีว่าหลิ่วเหวินอี้ต้องการคำตอบแบบไหน ทว่าผู้ที่ไร้หัวใจอย่างตนจะมีความรักให้อีกฝ่ายได้อย่างไร และถึงจะมีแล้วเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันคือความรักไม่ใช่ความปรารถนาที่อยากจะครอบครองอย่างเช่นในเวลานี้
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยมือกลับไปนั่งลงเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้าด้วยความเฉยเมย ไม่ได้มีรอยยิ้มแต่งแต้มเช่นทุกครั้ง ทว่ารูปแบบประโยคและความสนิทชิดเชื้อที่มอบให้หลิ่วเหวินอี้ผู้นี้คือของจริง
    
         “อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร เจิ้นเกิดมาก็มีแต่การเข่นฆ่า แย่งชิง  และมีแค่การโปรดปรานกับไม่โปรดแค่นั้นเอง และเวลานี้เจิ้นโปรดปรานอี้เอ๋อร์มาก มากจนอยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าอี้เอ๋อร์ต้องการตำแหน่งอะไรเจิ้นให้ได้ทั้งนั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่หยุดพูดมือก็รินสุราในเหยือกลงจอกแก้วอย่างเชื่องช้า ทว่าคนรับฟังกลับยืนนิ่งมองมาอย่างใจเย็น เขาชอบที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ คนตรงหน้ามีเหตุผลเมื่อยกสุราดื่มหมดจอกจึงได้กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงโทนเดิม
    
         “แต่เจิ้นรู้ดีว่าอี้เอ๋อร์ชอบอิสระมากกว่าในวังที่ไม่รู้ว่าจะตายเพราะถูกลอบฆ่าเมื่อไหร่ เจิ้นจึงไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่านี้เพราะหากผิดหวังมา...” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวถึงตรงนี้มุมปากก็ยกยิ้มเหี้ยมโหดจนคนมองดูถอนหายใจแล้วกลับมานั่งที่เดิม
    
          “บ้านท่านกับบ้านข้าไม่เห็นต่างกันตรงไหน ที่ไหนก็ต้องการชีวิตข้าทั้งนั้น แต่ท่านก็เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” คำกล่าวเรียบนิ่ง ใบหน้างดงามหันออกไปนอกหน้าต่างทว่าใบหน้ากลับแดงขึ้นเล็กน้อย ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างนิ่งงันคนตรงหน้านับวันยิ่งทำให้ตนหลงใหล คำพูดเช่นนี้หากคิดเข้าข้างตัวเองก็เหมือนกับหลิ่วเหวินอี้ตอบรับที่จะอยู่ในวังกับเขาไม่ว่าด้วยฐานะอะไรก็ตาม
   
          ใบหน้าคมคายคิ้วคมเฉียงงดงามลงตัวกลับกดลึกยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นประเภทดีมาดีตอบ ร้ายมาจะตอบคืนอย่างแสนสาหัส แต่เรื่องนี้เขาต้องคิดให้หนักตอนแรกเขาเพียงต้องการให้หลิ่วเหวินอี้เป็นเพียงเหยื่อล่อเท่านั้น แต่การที่อีกฝ่ายไว้ใจตนเองเช่นนี้เขาต้องระวังความปลอดภัยชีวิตของอี้เอ๋อร์มากขึ้น วรยุทธของคนตรงหน้าไม่ได้ต่ำต้อยแต่ก็ยังน้อยกว่าตนอยู่สองส่วน
    
          “ข้าจะอยู่ช่วยงานท่านจนกว่าจะจับคนร้ายได้แต่มีข้อแม้สามข้อ” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาเรียวสวยมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอีกครั้ง
    
         “ข้อแรกท่านห้ามทำรุ่มร่ามกับข้า ข้อสองตำแหน่งสนมข้ารับไว้แค่เพียงในนามเท่านั้น หากจบงานถือว่าเป็นโมฆะ ข้อสามหากคิดอยากมีโอรสสืบทอดบัลลังก์ห้ามมาลวนลามข้า ข้าเป็นประเภทรักแรงเกลียดแรงของของข้า ข้าไม่ชอบแบ่งปันกับผู้ใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองคนงามที่ยิ้มเย็นทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ทว่าความเหี้ยมโหดที่ปรากฏในดวงตาทำให้ยกยิ้มบาง คนตรงหน้าไม่คิดจะยอมลงให้เขาจริงๆ แต่ไม่ว่าข้อไหนก็เป็นข้อป้องกันตัวจากเขาทั้งนั้นรู้สึกขาดทุนอย่างบอกไม่ถูก
   
         “แล้วแค่จูบละ” หลิ่วเหวินอี้มองตาดุ แล้วกล่าวแบบกัดฟันเหมือนสะกดกลั้นความโมโหของตัวเอง
    
         “กลับไปทวนข้อแรกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบาง ยิ่งเห็นสีหน้าหลากหลายของอีกฝ่ายยิ่งอารมณ์ดี พลางครุ่นคิดหาวิธีเอาเปรียบอีกฝ่ายไว้ภายในใจ ผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูปกว่าเขาจะกล่าวตอบด้วย
    
          “เจิ้นจะเก็บไปพิจารณา เพียงแต่เวลาอี้เอ๋อร์เจ้าทำบัวลอยไข่หวานเป็นแล้วหรือไม่ เจิ้นอยากกินมากเลย”
    
          แค่กๆๆ
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นลูบหลังให้คนสำลักสุราจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาที่เคยเย็นชาเหลือบมองเขาเหมือนรู้ทัน จึงยกมือออกจากแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างเสียดาย แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้
    
           “จิวชงหยวนมาท่านพี่ก็ไปขอให้ทำเองสิ เรื่องอะไรข้าจะทำให้กิน อีกอย่างข้าจดวิธียังไม่หมดท่านก็ลากข้าออกมา” ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนงามแม้แววตาจะเรียบนิ่ง ทว่าทำไมเขารู้สึกถูกกลั้นแกล้งอย่างไรอย่างนั้น หรือว่าคิดไปเอง?
    
          “จิวชงหยวนไม่ได้สอนอะไรผิดๆ แก่เจ้ามาใช่หรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง จิวชงหยวนฉลาดและชอบกลั่นแกล้งเขาเป็นที่สุดจึงไม่น่าไว้วางใจเลยจะให้หลิ่วเหวินอี้รู้จักน้องสะใภ้คนนี้ว่าแต่ทั้งคู่ไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
    
          “เหตุใดท่านพี่เหยียนเจิ้งกล่าวเช่นนั้นเล่า หรือว่าท่านไปทำสิ่งใดมาถึงได้หวาดระแวงน้องสะใภ้ตนเองเช่นนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักไปชั่วครู่ ก้มมองดวงตาเรียวสวยซึ่งเงยหน้าสบตาเขาด้วยรอยยิ้มบาง ความสวยงามบนใบหน้าทำให้เขาไม่อาจตัดใจปล่อยอีกฝ่ายจากไปได้
    
          ทว่าคำถามนี้ทำให้หวนคิดไปถึงอดีตที่ผ่านมาของตนเอง เขาไม่ได้ทำอะไรเลยครั้งแรกที่เจอก็แค่เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายทั้งคืน แต่เมื่อย้อนกลับมาดูตัวเองว่าไปเขาก็โดนหลิ่วเหวินอี้บังคับเล่นหมากล้อมไม่ให้หลับให้นอนทั้งคืน หรือว่านี่เป็นกรรมตามสนอง? แต่เมื่อคิดถึงเรื่องอื่นเขาได้แกล้งลู่เฟยที่ปลอมตัวไปเป็นทหารเฝ้าจับตามองจิวชงหยวนระหว่างไปค่ายชายแดนให้หึงหวง หวังว่าเขาไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เองหรอกนะ
    
           “เปล่า เหตุใดอี้เอ๋อร์คิดเช่นนั้น” เอ่ยถามพร้อมจับเส้นผมเหมือนแพรไหมสีดำนุ่มมืออีกฝ่ายเล่นอย่างเบามือ ความนุ่มและสุขภาพดีทำให้รู้สึกดีอีกทั้งกลิ่นหอมดอกท้ออ่อนๆ ที่แผ่ออกมาทำให้เผลอยกขึ้นมาสูดดมความหอมอย่างไม่เกรงใจผู้เป็นเจ้าของ ร่างโปร่งยังนั่งบนเก้าอี้เช่นเดิมทว่าเขาซึ่งลุกขึ้นมายืนตั้งแต่หลิ่วเหวินอี้สำลักสุราก็ถือโอกาสลวนลามเล่นเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาเหลือบมองเขาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างระอา มุมปากยกยิ้มบางแม้จะเป็นคนเย็นชาทว่าเนื้อแท้ภายในใจกลับเป็นคนใจอ่อนเสียจนทำให้เขาเคยตัว
    
          “เหวินอี้ โปรดเรียกข้าว่าเหวินอี้” น้ำเสียงหงุดหงิดและมือหนาปัดมือเขาออกอย่างเย็นชาไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว แต่กลับทำให้เขาเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
    
          “ใครจะเรียกเจ้าอย่างไรเจิ้นไม่สน  แต่เจิ้นจะเรียกเจ้าว่าอี้เอ๋อร์” คำตอบที่แสนเอาแต่ใจ ทว่าคนถูกเรียกทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
    
           “วันนี้เจ้าคงเหนื่อยนอนพักเถอะ อีกสองวันมีงานเลี้ยงเจ้าต้องเข้าร่วมงานกับเจิ้นในฐานะพระสนมเข้าใจหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งออกคำสั่งเสียงเรียบ ดวงตาเรียวสวยตวัดมองมาด้วยสีหน้าเย็นเยือกทว่าริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างไม่ชอบใจกับการร่วมงานในครั้งนี้นัก เขาผละออกจากร่างโปร่งที่นั่งนิ่งเบือนหน้าหนีไปทางอื่น กิริยาดูแสนเย็นชาทว่ามันกลับดึงดูดให้ค้นหา
    
          ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีขาวเดินจากไปอย่างสง่างาม หลิ่วเหวินอี้จึงหันกลับมามองอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่เอาแต่ใจจนน่าฆ่า เจ้าเล่ห์แสนกลก็ที่หนึ่งได้คืบก็จะเอาศอกเขารู้สึกว่าช่วงนี้ใช้สมองรับมือกับเรื่องไร้สาระจนเหนื่อย
    
           “นายท่าน ท่านจะไม่ทิ้งพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ”
    
            หลิ่วเหวินอี้หันไปมองเงาร่างสีดำที่มุมห้อง แม้จะเป็นเวลากลางวัน ทว่าวิชาพลางตัวของอีกาหมายเลขหนึ่งกลับเป็นหนึ่งในใต้หล้า ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทใบหน้าปกปิดไว้จนหมดเหลือเพียงดวงตาคมกริบที่มองมาอย่างหวาดหวั่น อีกาหนึ่งหายไปหลังจากให้ไปเก็บตัวระหว่างลั่วเหยียนเจิ้งตามล่าสืบข่าวอีกาดำเมื่อครั้งที่แล้ว และหลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็เงียบไปคาดว่าคงได้รู้ความจริงแล้วไม่เช่นนั้นคนที่กัดไม่ปล่อยอย่างฮ่องเต้ไร้ใจผู้นี้คงไม่นิ่งดูดายเช่นนี้
    
           “ทำไมคิดเช่นนั้น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้ให้ความเย็นชาเลือนหายไปกลับกันมันกลับนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิมจนผู้คนที่แอบมองไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่น้อย ดวงตาเรียวสวยจ้องมองมู่ฉีอีกาหมายเลขหนึ่งที่เมื่อห้าปีก่อนควรจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเสียเอง ทว่ากลับเป็นเขาเองที่มีหยกดำและมีดสั้นหยินหยางซึ่งเป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้ากลุ่มอีกาดำ ไม่รู้เหตุใดคำสั่งนั้นถึงสืบทอดกันมาอย่างเคร่งครัด แม้เขาจะมาทีหลังแต่ทุกคนกลับเชื่อฟังอีกทั้งยอมตายเพื่อเขา จนเวลาผ่านไปสองปีในที่สุดจึงได้รู้ว่าความจริงว่า ผู้เฒ่าอีกาที่ตายต่อหน้าผู้นั้นกลับเป็นท่านตาของเขาเองแต่ป่านนี้ทุกคนก็ยังไม่รู้ว่ามารดาไปอยู่ที่ใดกันแน่
    
          “นายท่านน่าจะรู้คำตอบดี” คำตอบที่แฝงไว้ด้วยความกังวลของมู่ฉีทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาเย็นชาฉายแววจริงจัง
    
          “มู่ฉีหากเจ้ารู้จักข้าดีย่อมรู้ว่าทุกการกระทำข้าย่อมมีเหตุผล หรือว่าข้าต้องแจ้งการกระทำแก่เจ้าทุกครั้งไปเช่นนั้นหรือ”
    
           “มู่ฉีผิดไปแล้ว นายท่านโปรดลงโทษข้าที่ไม่ไว้ใจท่าน” ร่างสูงนั่งลงคุกเข่าตรงหน้าอย่างนอบน้อมและยอมรับความผิดของตนเอง หลิ่วเหวินอี้มองดูนิ่งๆ มือแกร่งจอกสุราในมือแผ่วเบา ในตาเย็นชาเวลานี้ยากจะคาดเดาได้ง่าย
    
           “มู่ฉีนายน้อยจะมีคนรักหรือไม่เหตุใดเจ้าต้องร้อนรน” หลวนซานที่นอนนิ่งทำตัวเหมือนไร้ตัวตนอยู่บนคานไม้พลิกกายลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง มองคนตรงหน้าอย่างไม่ชอบใจเพราะช่วงหลังๆ รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเจ้ากี้เจ้าการนายน้อยเหมือนเป็นเจ้านายเสียเอง
    
          “ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้นเหตุใดข้ารับใช่อย่างเจ้ามาใส่ร้ายข้า” ร่างสูงที่คุกเข่าปรายตาไปมองพร้อมตอบกลับเสียงดัง ดวงตาคมกริบมองผู้ติดตามหลิ่วเหวินอี้อย่างไม่พอใจ ใบหน้าสวยหวานเหมือนอิสตรีและยังมีนิสัยชอบแขวะชาวบ้านเหมือนพวกสตรีไม่มีผิด
    
          “เฮอะ เจ้าแค่จะอ้าปากข้าก็เห็นลิ้นไก่เจ้าแล้ว ทำตัวร้อนรนแทนพี่น้องคนอื่นแต่แท้จริงแล้วเจ้าคิดไม่ซื่อกับนายน้อยเสียมากกว่า” หลวนซานตอบกลับอย่างเหลืออด มองคนที่คุกเข่าอย่างไม่ยอมแพ้ มุมปากยกยิ้มเย้ยหยันแม้มู่ฉีจะทำงานไม่มีผิดพลาดภายนอกเหมือนคนเย็นชาทว่าแท้จริงแล้วขี้หงุดหงิดโมโหกับเขาทุกครั้ง แค่หลับตามองข้างเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายอิจฉาตนจึงหาเรื่องอยู่บ่อยครั้ง มีครั้งนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาต่อว่าเสียก่อน
    
          “หากพวกเจ้าอยากทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันไกลๆ ข้าจะได้พักผ่อน” แววตาเย็นเยียบของนายน้อยทำให้หลวนซานและคู่กัดปิดปากเงียบเลิกทะเลาะกันชั่วคราว เมื่อทั้งคู่สงบศึกกันได้หลิ่วเหวินอี้จึงกล่าวเสียงเรียบ
    
          “ตอนนี้ข้ารู้ดีว่าควรทำอะไร มู่ฉีข้าไม่เคยคิดทิ้งพรรคพวกที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี แม้ข้าจะอยู่ที่นี่แต่ใช่ว่าจะไม่กลับไป อีกอย่างข้าเป็นบุรุษมิได้ชมชอบตัดแขนเสื้อ แต่ภายภาคหน้าข้ามิอาจรู้ได้แต่ข้าจะระวัง ช่วงนี้คลื่นใต้น้ำภายในวังหลวงกำลังเริ่มเคลื่อนไหว มู่ฉีเจ้าสั่งคนแยกกลุ่มเพิ่มอีกสองกลุ่มไปสืบเรื่องนักฆ่าใบ้กับพวกรอยสักจากหนานเจียงมาให้ข้าเร็วที่สุด ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังกันแน่ จบงานนี้ข้าจะได้กลับบ้าน”
    
            หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเสียงเรียบพร้อมเพิ่มคำสั่งอย่างจริงจังเพราะยิ่งนานไปยิ่งไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ลั่วเหยียนเจิ้งนั้นมากไปด้วยเล่ห์เขากลัวจะตกหลุมพรางรักของอีกฝ่ายเข้าสักวันเพราะฉะนั้นต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุด
    
           “ขอรับ” มู่ฉีตอบรับอย่างจริงจังก่อนจะปรายตามองคู่กัดชั่วคราวอีกครั้ง พร้อมร่างสูงเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว หลวนซานเหลือบมองนายน้อยที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกังวล การที่จะตามหามารดาทำให้นายน้อยลงทุนมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วหากฮูหยินไม่มีชีวิตอยู่แล้วคุณชายสี่ผู้นี้จะเป็นเช่นไรต่อไป
    
           “นายน้อยจากที่ข้าฟังเมื่อครู่ฮ่องเต้ผู้นี้จริงใจกับท่านเพียงแต่เขาไม่อาจมอบหัวใจให้ใครได้ อนาคตข้างหน้าข้าเกรงว่า...” หลวนซานไม่กล้าจะกล่าวต่อ ได้แต่มองดูนายน้อยอย่างระวัง หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากดวงตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
    
          “หลวนซานภาพที่เจ้าเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ยอมมอบหัวใจให้คนที่ไร้หัวใจหรอกวางใจเถอะ”
    
           น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของนายน้อยทำให้หลวนซานคลายความกังวล คุณชายสี่ไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดทุกการวางแผนล้วนเป็นไปตามที่วางใจ ความฉลาดและความเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้เขาวางใจได้ระดับหนึ่งเพียงแต่เขาจะไม่มีวันทำให้หลิ่วเหวินอี้ผิดหวัง หากฮ่องเต้ไร้ใจทรยศหักหลังต่อความรู้สึกของนายน้อยต่อให้อยู่สูงค้ำฟ้าเขาจะสังหารให้ได้!
    
          “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้หันไปบอกหลวนซานที่ทำหน้าตาจริงจังเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป เมื่อทุกคนออกไปแล้วดวงตาเย็นชาจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งอย่างเหม่อลอย แผนการของจิวชงหยวนที่บอกเขามาล้วนแล้วมีแต่น่าสนใจ จิวชงหยวนเป็นคนฉลาดและเก่งกาจอีกทั้งใบหน้างดงามราวอิสตรี ความเพียบพร้อมของอีกฝ่ายทำไมลั่วเหยียนเจิ้งไม่สนใจ ข้อนี้ทำให้อดที่จะสงสัยไม่ได้
    
           “ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ไร้ใจภายนอกเหมือนคนอ่อนโยน ทว่าเนื้อแท้เป็นคนโหดเหี้ยมอีกทั้งทั้งโรคจิตอีกต่างหาก แต่จะโทษเจ้าตัวก็ไม่ได้เพราะสังคมของเหยียนเจิ้งเป็นเช่นนี้ ที่นี่หากไม่เข้มแข็งและมีอำนาจคงไม่มีชีวิตรอด หากเจ้าอยากได้ใจของคนผู้นี้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย ภายนอกเหมือนโปรดปรานเจ้าแต่ในใจนั้นแม้แต่ข้าก็ยากที่จะคาดเดาได้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีหนทางเลยเจ้าที่เป็นเช่นนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของลั่วเหยียนเจิ้ง แต่จะเป็นการโปรดปรานชั่วคราวหรือว่าตลอดไปนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง แต่หากให้ข้าคาดเดาเจ้าเองก็ไม่ได้ชมชอบลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนคนรัก เจ้าเองคล้ายกับข้าที่คิดว่าชาตินี้จะไม่มีวันชอบผู้ชายโดยเด็ดขาด แต่ก็อย่างว่าหัวใจข้าไม่ใช่หินผาที่จะทนการตามตื้อและความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายได้ เจ้ากลับไปคิดให้ดีเถอะที่ข้ายอมพูดเรื่องเหล่านี้ให้ฟังเพราะอย่างไรเราก็ถือว่าเป็นคนที่เคยมาจากโลกเดียวกัน หากเจ้ารู้จักข้าดีจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนชอบพูดพร่ำเพ้อกับคนอื่นเช่นนี้หรอก”
   
           นั่นเป็นคำพูดที่จิวชงหยวนกล่าวทิ้งไว้ให้เขาเก็บไปคิด จิวชงหยวนเหมือนจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ทว่ากลับมีความยุติธรรมกับทุกคน ไม่ได้ลำเอียงไปที่ใครแม้ลั่วเหยียนเจิ้งจะเป็นญาติฝ่าย เอิ่ม...สามี? แต่ก็ไม่ได้ลำเอียงยกความดีให้เสียทีเดียว ขณะเดียวกันกลับยอมเล่าเรื่องของครอบครัวให้คนนอกอย่างเขาฟัง หากมิใช่คนที่เคยมาจากโลกเดียวกันเชื่อว่าจิวชงหยวนคงไม่ยอมเปิดใจให้ถึงเพียงนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายจริงใจมาเขาย่อมเปิดเผยความจริงใจให้อีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
    
            แต่เรื่องลั่วเหยียนเจิ้งเขากลับไม่รู้เลยว่าตนคิดเช่นไรกันแน่ เขาไม่เคยมีความรักและยังปิดกลั้นความรู้สึกภายในใจมานานหลายปี จนคิดว่าชาตินี้คงไม่มีภรรยาทว่าช่วงหลังๆมานี้เขากลับรู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ให้นิ่งสงบได้ยากมากขึ้นเมื่อถูกอีกฝ่ายกระตุ้น หวังว่ากำแพงที่สร้างขึ้นภายในใจจะยังคงอยู่ไปอีกนาน เขาไม่อยากเป็นเหมือนจิวชงหยวนแม้อีกฝ่ายจะมีความสุข ทว่าหากเป็นผู้ถูกกระทำเขาขอแต่งกับสตรียังดีกว่าเจ็บตัวเสียเอง แต่หากงานนี้ผิดพลาดขึ้นมาเขาจะกดอีกฝ่ายลงไหมนะ...


ปล*เจิ้น ใช้สำหรับกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ชาย ที่ใช้แทนตัวเอง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21 ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 02-06-2016 18:37:31
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21 ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 02-06-2016 20:44:22
ชอบจังมาต่อไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21 ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 02-06-2016 21:28:41
หวั่นไหวแล้วววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21 ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 03-06-2016 19:03:10
มาให้กำลังใจคนเขียน
เรื่องก่อนอ่านแต่ไม่แสดงความเห็น
เวลาอ่านนิยายจีนโบราณชอบล้าเพราะตัวอักษรเย๊อะเยอะ
ถ้าใครดูหนังจีนแบบแย่งชิงบันลังก์บ่อยๆ จะเข้าใจพระเอกเลย
อำนาจราชศักดิ์ล้วนปูทางด้วยเลือดเนื้อแม้กระทั้งสายเลือดเดียวกัน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่21 ก่อนเทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 2/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 04-06-2016 07:04:33
เฮ้อ เหนื่อยแทนนายเอกเลย
ต้องคิดหลายตลบหลายเรื่องเลย
สงสารนายเอกมากมาย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่22เทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 05-06-2016 10:59:31
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่22เทศกาลหยวนเซียว(P.5วันที่ 5/6/59)

            ใบหน้างดงามซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าเวลานี้นัยน์ตาสีดำสนิทกลับทอไว้ด้วยความหงุดหงิด แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาก็ทำให้นางกำนัลที่ทำหน้าที่แต่งกายให้ถึงกับสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่อง อาภรณ์สีม่วงถักทอด้วยเส้นไหมสีทองเป็นรูปหงส์สยายปีกงดงามจับตา เส้นผมสีดำเงางามม้วนขึ้นปักด้วยปิ่นทองลายเดียวกันกับชุด ความงดงามบนใบหน้าเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น อาภรณ์ที่สวมใสขับทอให้ผิวเขาเนียน ความสง่างามแลดูสูงส่งของหลิ่วเหวินอี้ยิ่งทำให้เหล่านางกำนัลนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
    
           “พระสนมเรียบร้อยแล้วเพคะ” น้ำเสียงนอบน้อมจากเหล่านางกำนัลทำให้หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับพร้อมลอบหายใจอย่างโล่งอกเพราะตนโดนลากจากที่นอนมาแต่งตั้งแต่เข้ายามสี่ คำเรียกขานแม้ไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะนางกำนัลเหล่านี้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของลั่วเหยียนเจิ้งเท่านั้น
    
           “เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าที่ถูกส่งตัวมารับใช้พระสนมลั่วเหวินอี้แม้ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการ ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนบอกว่าหากผู้ใดได้รับใช้ย่อมได้ดิบได้ดี ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินออกตำหนักด้วยกิริยาเป็นธรรมชาติแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกลับรับรู้รัศมีเจิดจ้าของอีกฝ่าย
    
           “นายน้อยวันนี้จะมีการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หลวนซานที่แต่งกายเป็นองครักษ์เดินติดตามมากระซิบข้างๆ แผ่วเบาที่ทำให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มบางอย่างไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ พลางคิดว่าผู้ใดช่างโง่เขลาสิ้นดีแม้เทศกาลหยวนเซียวในครั้ง ผู้คนมากมายภายในงานที่สำคัญยังมีจิวชงหยวนที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดี่รักษาได้ทุกโรคจะมีใครมาตายต่อหน้าได้
    
          “คอยดูละครก็พอแล้ว” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกหลวนซานแผ่วเบาก่อนจะเดินไปยังห้องพักของลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพราะเขาพักอยู่ตำหนักเดียวกับอีกฝ่ายเมื่อมองไปยังตำหนักดอกท้อที่กำลังอยู่ขั้นตอนการก่อสร้างซึ่งคืบหน้าไปมากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้วคาดว่าไม่เกินสองเดือนคงเสร็จเรียบร้อย แต่เขาน่าจะทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเห็นทีตำหนักดอกท้อคงจะเป็นของผู้อื่นเสียแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หัวใจกลับรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
    
           ขณะนั้นลั่วเหยียนเจิ้งเดินออกจากห้องมาจึงได้เห็นร่างโปร่งในอาภรณ์สีม่วงสด ความสง่างามของคนตรงหน้าช่างตราตรึงจนอยากเก็บไว้คนเดียว เมื่อไหร่กันที่ตนมีความคิดเช่นนี้ ดวงตาเรียวสวยหันมาสบตาเขาพลันนั้นหัวใจที่เงียบสงบกับเต้นระรัว ทุกครั้งที่เขาเห็นอีกฝ่ายเหตุใดหัวใจถึงได้เต้นแรงอย่างนี้
    
          หลิ่วเหวินอี้ที่ความรู้สึกไวหันไปมองสายตาที่ถูกจับจ้อง ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยมาลาสีเดียวกันกับชุดซึ่งมีไข่มุขสีเงินเม็ดเล็กห้อยลงมาจนยากจะเห็นสายตาคู่นั้นว่าเป็นเช่นไร ความสง่างามของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงส่งจนมิกล้าจะอาจเอื้อม หากเขาหลงรักคนผู้นี้จริงคงได้ไปถูกคอตายกับต้นมะเขือเพราะความซ้ำใจแน่แท้
    
           “เจ้างดงามมากอี้เอ๋อร์” คำชมของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า คำชมนั้นมันสำหรับผู้หญิงไม่ใช่หรือ? แต่ว่าฮ่องเต้มากเล่ห์อย่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือเท็จเขาจะไม่ใส่ใจแล้วกัน
    
           “เจ้าไม่ชอบชุดที่ข้าเลือกให้หรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยถามอย่างฉงนเมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย แววตาคู่สวยเวลานี้มันนิ่งจนไม่อาจเดาอารมณ์ได้ หลิ่วเหวินอี้เป็นคนเดียวที่เขาไม่สามารถอ่านสายตาได้
    
            คำถามของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ก้มมองชุดตัวเองอีกครั้ง ความเนียนนุ่มของเนื้อผ้าอีกทั้งลวดลายของชุดล้วนงดงาม จนอยากขอบคุณที่ไม่ตัดชุดอิสตรีให้เขาไม่เช่นนั้นคงได้ฆ่ากันก่อนจะได้เข้าร่วมงานแน่ๆ แต่ว่าลายหงส์ที่ตนสวมใส่เวลานี้มันทำให้รู้สึกขัดแย้งเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทว่าเวลานี้คร้านที่จะไถ่ถาม ทำแต่เพียงเป็นผู้เข้าร่วมงานและชมละครฉากใหญ่เท่านั้น
    
          “ป่านนี้ทุกคนรอท่านพี่อยู่ อย่าชักช้าเลยดีกว่า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยตัดบท ก่อนจะหรี่ตามองมือของตัวเองที่เวลานี้ถูกมือหนาเกาะกุมไว้แน่น ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นปลาหมึกกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไรมือไม้ถึงได้เร็วอย่างนั้น แล้วข้อตกลงสามข้อที่ให้ไปนั้นไม่จดจำบ้างหรืออย่างไร
    
            “ท่านพี่เหยียนเจิ้งอย่าเนียน”
    
            “เจิ้นกลัวเจ้าหลงทาง จับไว้เช่นนั้นดีแล้วอีกอย่างในงานเจ้ายังไม่คุ้นเคยกับใครอยู่ข้างๆ เจิ้นจะได้ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าได้”
    
            คำกล่าวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หากมีหางคงแกว่งไปมา หลิ่วเหวินอี้ได้กดคิ้วลึกลงยิ่งกว่าเดิมเพราะที่กล่าวมานั้นไม่มีสิ่งใดถูกต้อง ยิ่งเขาอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไรเขาจะเป็นเป้าโจมตีทางสายตาจากบรรดาพระสนมของเจ้าตัวเป็นแน่ ที่สำคัญศัตรูจะหันมาเล่นงานเขาก่อนอย่างแน่นอน
    
            “ฝ่าบาทคงไม่เหมาะสมที่จะให้กระหม่อมเดินเคียงข้าง”
    
             หลิ่วเหวินอี้พูดสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยจริงจัง เพราะไม่มีพระสนมที่ไหนเดินเคียงข้างฮ่องเต้มากสุดก็เดินตามหลังอย่างระวังเท่านั้นเพราะกฏระเบียบภายในวังหลวงมีมากมายหากไม่ระวังศีรษะอาจจะหลุดจากบ่าอย่างไม่รู้ตัว แม้ตนจะมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้อื่นแต่เขาไม่อยากโดนตำหนิหรือถูกดูถูกจากเหล่าขุนนางได้เช่นกัน
    
           “ผู้ใดมาตัดสินว่าเหมาะสมหรือไม่ แค่เจิ้นพอใจผู้ใดจะกล้าคัดค้าน” 
    
            รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างเบื่อหน่าย ยอมให้จับจูงไปตามเส้นทางอย่างว่าง่ายเพราะเถียงไปก็เประโยชน์อยู่ดี ได้แต่คอยรับมือกับสายตาเชือดเฉือนเหล่าพระสนมของลั่วเหยียนเจิ้งพร้อมด้วยศัตรูของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ว่าการรับมืออิสตรีเป็นงานที่ยากจริงๆ เห็นทีต้องคิดต้นทบดอกกับฟางเทียนฟงเสียแล้วที่ทำให้ตกตระกำลำบากเช่นนี้
    
           “ฝ่าบาทเสด็จ...”
    
           ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในงาน เสียงขันทีเฝ้าหน้าประตูห้องโถงใหญ่ก็ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงแหบแห้งของตัวเองทว่าทุกคนกลับลุกขึ้นพร้อมคุกเข่ากันอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างสูงสง่าก้าวเดินอย่างไม่ติดขัดผิดกับหลิ่วเหวินอี้ซึ่งรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เป็นผู้นำคนมาก็มากแต่ไม่เคยรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้มาก่อน
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งจูงมือเขาตามเข้าไปด้วยท่าทีมั่นคงไม่ได้หวั่นต่อสายตาที่แอบมองทั้งหลายของเหล่าขุนนางและเหล่าพระสนมที่มีที่นั่งตำแหน่งของตนเอง ขณะเดียวกันหากเขาไม่โดนลากมาก็ไม่รู้จะไปนั่งที่ตรงไหนเช่นกัน บนบัลลังก์สีเหลืองทองนั้นดูสง่าน่าเกร็งขามซึ่งมีแต่ผู้คนอยากครอบครอง ดวงตาเย็นชากวาดมองรอบๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมย แม้จะประหม่าไปบ้างทว่ากิริยาภายนอกกลับเย็นชาสูงส่ง
    
           หลิ่วเหวินอี้หยุดเดินเมื่ออีกฝ่ายใกล้จะถึงบัลลังก์จิ้งจอกเจ้าเล่ห์นี่ไม่คิดว่าเขาจะลำบากใจบ้างหรือ ข้างกายมีแต่อิสตรีและไม่มีที่ว่างสำหรับเขา ลั่วเหยียนเจิ้งหันมามองเขาเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองที่นั่งข้างตน ดวงตาคมกริบหันไปมองผู้รับผิดชอบงานซึ่งตอนนี้ตัวสั่นระริกเหมือนรู้ความผิดพลาดของตนเอง
    
           “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์จะพาพระสนมองค์ใหม่มาจึงไม่ได้จัดที่นั่งให้ ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ชายร่างท้วมวัยกลางคนคุกเข่าลงอย่างร้อนรน ใบหน้ามีเหงื่อซึมอีกทั้งร่างกายสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มละมุนทว่าคำกล่าวออกมาเชือดเชือนน่ากลัวจนทำให้คนฟังใจสั่นสะท้าน
    
            “เราเป็นคนเมตตาอ่อนโยนจะกล้าตำหนิขุนนางที่ตั้งใจทำงานได้อย่างไร เพียงแต่ความไม่รู้ของท่านทำให้พระสนมเราไม่มีที่นั่ง เราคงลำบากใจหากท่านไม่ไปสำนึกในคุกหลวงพร้อมรับไม้โบยหนึ่งร้อยไม้ พระสนมเราคงเสียใจ เช่นนี้แล้วทหารนำตัวไปสำนึกตามเจตนาพระสนมเราเถิด” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบหลิ่วเหวินอี้จึงเงยหน้ามองสบคนเจ้าเล่ห์อย่างเย็นเยือก นี่มันใส่ร้ายเขาเห็นๆ ทำเป็นพูดดีกล่าวอ้างความต้องการของเขาอย่างหน้าด้านๆ มันน่าฆ่านัก
    
            “พระสนมโปรดละเว้นกระหม่อมด้วยครั้งหน้าจะไม่มีอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางร่างท้วมที่ดูจากชุดคงเป็นแค่ขุนนางขั้นสอง เพียงการกล้าหักหน้าฮ่องเต้ได้คงมีพระสนมคนอื่นหนุนหลังอยู่ เขาปลายตาเย็นชามองอย่างเงียบงัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะนี่เป็นความต้องการของฮ่องเต้ผู้มากไปด้วยเล่ห์ หากได้เอ่ยปากไปแล้วจะคืนคำได้อย่างไร แล้วเรื่องอะไรเขาจะช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักด้วย
    
            “ข้าจะไปนั่งกับจิวชงหยวน” หลิ่วเหวินอี้บอกความตั้งใจของตนเองมองไปยังตำแหน่งว่างข้างๆ จิวชงหยวนซึ่งมองดูละครฉากนี้ด้วยตาประกายจนน่าหมั่นไส้
    
           “ที่ตรงนั้นไม่ว่างสำหรับอี้เอ๋อร์ มานั่งกับเจิ้นดีกว่า” กล่าวจบก็ลากอีกฝ่ายไปนั่งตรงข้างบัลลังก์ซึ่งใช้สายตาให้เหล่าสนมขยับที่นั่งให้ แม้พวกนางไม่กล้าปริปากได้แต่เพียงทำตามพร้อมสายตาเชือดเชือนเกลียดชังไปให้หลิ่วเหวินอี้เท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ยังอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางพร้อมเชื้อพระวงศ์โดยเพราะไทฮ่องไทเฮาพระมารดาของพระองค์เอง
    
            “ลุกขึ้น”
    
            ทันทีที่คำสั่งนี้ออกไปเหล่าขุนนางถึงกลับลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเหตุการณ์เมื่อครู่นี้พวกมันคิดว่าฝ่าบาทจะลืมเหล่าขุนนางคนอื่นไปเสียแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตการแสดงต่างๆ จึงเริ่มขึ้นพร้อมอาหารมากมาย วันนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่กันพร้อมหน้า ทุกสายตาล้วนจับจ้องหลิ่วเหวินอี้พระสนมคนใหม่ด้วยความสนใจ ความงดงามและสูงส่งอีกทั้งความเย็นชาที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนหันไปด้วยความสนใจทว่าแต่ละคนคามคิดล้วนหลากหลายต่างกันไป
    
             “เจ้าว่าพระสนมของฝ่าบาทกับพี่สะใภ้ห้าคิดว่าผู้ใดงดงามกว่ากัน” ลั่วหวังอู๋องค์ชายเจ็ดที่ไปอยู่ชายแดนมาหลายปีเอ่ยถามสวามีที่นั่งข้างกายด้วยรอยยิ้มมองดูความงดงามของเหล่าพี่สะใภ้อย่างสนใจ แม่ทัพห่านหลงเหลือบมองภรรยาตัวเองด้วยสีหน้านิ่งเฉยก่อนจะตอบกลับเสียงหนักแน่น
    
          “เจ้างดงามที่สุด”
    
           แค่ก ๆ ๆ
    
           “.....”
    
           ลั่วหวังอู๋ที่กำลังดื่มสุราหยกน้ำค้างถึงกับสำลักจนหน้าดำหน้าแดง มองค้อนสามีอย่างขวยเขินทำให้มู่เหรินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดอะไรไม่ออก มองสามีภรรยาหยอกกันแล้วรู้สึกปวดใจ หลายปีมานี้ตนไม่เคยพบเจอคนที่ใช่เสียที
    
            “น้องมู่เหรินเจ้าว่าพี่สะใภ้คนใดงดงามที่สุด” แม้เสียงดนตรีจะไพเราะเพียงใดลั่วหวังอู๋ยังไม่ทิ้งความรื่นเริงของตนเอง มู่เหรินหันกลับไปมองจิวชงหยวนพระชายาของพี่ห้าก่อนจะเงยหน้าไปทางบนบัลลังก์ความงดงามเย็นชาที่แผ่ออกมาทำให้สะดุดใจ ความเย็นชาและความนิ่งสงบของอีกฝ่ายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยากปราบความพยศไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้หลงใหลผู้นี้มากขนาดนี้ บรรยากาศรอบกายแตกต่างจากจิวชงหยวนโดยสิ้นเชิง
    
          “พี่สะใภ้จิวชงหยวนมีความงดงามดุจเทพเซียนมาเกิด ส่วนพระสนมหลิ่วเหวินอี้ความงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า” คำตอบของมู่เหรินทำให้ลั่วหวังอู๋มองตามอย่างมึนงง
    
           “อ๋องมู่เหรินจะบอกเจ้าว่าพระชายาจิวชงหยวนงดงามดุจไม่ใช่มนุษย์จึงไม่อาจเปรียบเทียบกับมนุษย์ธรรมดาได้ ส่วนพระสนมหลิ่วเหวินอี้นั้นแม้จะงดงามแต่ยังดูเหมือนมนุษย์เดินดินมากกว่าพระชายาอีกทั้งงดงามที่สุดในใต้หล้าทว่าสำหรับข้าแล้วเจ้างดงามที่สุด” แม่ทัพห่านหลงกล่าวอธิบายให้ภรรยาฟังเสียงเรียบใบหน้านิ่งเฉยทว่าคนฟังทั้งคู่กับทำหน้าปุเลี่ยน อาหารตรงหน้ารสชาติหวานบาดคอไปหมด!
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองมุมหนึ่งในงานเลี้ยงชั่วครู่ การที่มีวรยุทธสูงส่งทำให้ได้ยินการนินทาตนเองได้อย่างชัดเจน เขามองคนสปอยภรรยาตัวเองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลิกสนใจ เมื่อจับจิตสังหารเพียงชั่วครู่ของใครบางคน อาภรณ์สีเขียวอ่อนแม้ไม่สะดุดตาแต่จิตสังหารเพียงชั่วพริบตาทำให้เห็นร่างโปร่งบางที่อยู่เกือบท้ายแถวของราษวงศ์
    
            ใบหน้างดงามเหมือนอิสตรีแม้จะด้อยกว่าตนก็ตาม ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มน้อยๆ ขณะเหลือบมองมาที่เขา กิริยาภายนอกดูเหมือนเจียมเนื้อเจียมตัวเมื่อคุยกับขุนนางข้างกาย เขาจะไม่สนใจเลยหากคู่นี้มิใช่คนที่เขาแอบไปเจอคืนนั้น เมื่อย้อนกลับมาที่ตัวเองพลันรู้สึกตกใจเพราะเมื่อครั้งที่ตนเองโดนจู่โจมเหตุใดเขาไม่อาเจียน มีแต่ความขุ่นเคืองและโทสะต่ออีกฝ่ายเท่านั้น
    
             “เจ้าชอบหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้รั้งสายตากลับมามองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความเฉยเมย การเต้นระบำหน้าท้องเบื้องหน้านับว่างดงามและเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าสายตาของพวกนางล้วนชะม้ายชายตาให้ผู้เป็นฮ่องเต้อย่างเอียงอาย จึงเหลือบมองคนที่ยิ้มอ่อนโยนอย่างหมั่นไส้ มีสนมในตำหนักกว่าครึ่งร้อยและยังมีรอต่อคิวของวันนี้อีกมากมาย สักวันคงได้ตายด้วยน้ำมือสตรี จิตใจของสตรีนั้นล้ำลึกจนยากจะคาดเดาหวังว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะรู้เท่าทันจิตใจสตรีหรอกนะ
    
              “ก็ดี” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงเรียบ ทว่าทำให้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทางขวามือของลั่วเหยียนเจิ้งมองตามด้วยความสนพระทัย
    
             ตำแหน่งฮ่องเฮายังว่าง ไทฮ่องไทเฮาเองก็ไม่ชอบการบังคับบุตรชายได้แต่เพียงลอบสังเกตคนที่พระองค์โปรดปรานในเวลานี้เท่านั้น แม้จะเป็นบุรุษแต่นางเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งเพราะองค์ชายห้าลู่เฟยก็ยังมีภรรยาเป็นบุรุษเช่นกันอีกทั้งความสามารถของจิวชงหยวนนั้นมากมายนัก แต่คนตรงข้ามพระนางเวลานี้จะช่วยสร้างผลประโยชน์แก่บุตรตนเองได้หรือไม่ยังมิอาจรู้ เพียงแต่รัศมีความงามและความเย็นชาของคนผู้นี้ช่างน่าสนพระทัยจริงๆ
    
             “เจ้าโปรดพวกนางหรือไม่” คำถามนี้ทำให้หลิ่วเหวินอี้จ้องมองเขม่ง ใบหน้าอ่อนโยนกับมุมปากที่แต่งแต้มรอยยิ้มจอมปลอมคงมีแผนชั่วภายในใจแน่ๆ
    
            “มีบุรุษไหนเลยจะไม่โปรดอิสตรี หรือพระองค์จะมอบพวกนางให้กระหม่อม” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากมองตอบอย่างท้าทาย เสียงเพลงไพเราะดังไปทั่งห้องโถงใหญ่ เสียงตอบโต้ของเขาจึงพอได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น ใบหน้าคมคายบูดบึ้งเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    
           “เจ้าฝันกลางวันอยู่หรือไง” คำตอบที่ไม่เกินจากที่คาดเดาทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจ หันไปมองสายตาทิ่มแทงของเหล่าสนมที่มองตามอย่างอิจฉาด้วยความเฉยเมยพวกนางไม่มีค่าให้ใส่ใจ
    
            “คณะทูตแคว้นโจวเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่นั่งดื่มกินอย่างอารมณ์ดีก็มีขันทีหน้าประตูเข้ามารายงาน ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกมือไล่นางระบำออกไป เตรียมการเสด็จมาของแคว้นพันธมิตรที่จะมาผูกสัมพันธ์ไมตรี
    
             หลิ่วเหวินอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่ได้แตะอาหารตรงหน้าแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวสวยมองไปยังคณะทูตที่เดินเข้ามาเขาหรี่ตามองอย่างสนใจเพราะคนที่เดินเข้ามาเป็นคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้นไปสืบข่าวที่นั่น ไป๋หู่องค์ชายแปดของแคว้นโจว ข้างหลังพระองค์หากคาดเดาไม่ผิดคงเป็นธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง แม้จะปกครองแว่นแคว้นของตนเองอย่างผาสุกแต่ก็ยังมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีเมืองใกล้เคียงไว้เผื่อเกิดสงครามขึ้น
    
           ครั้งนี้ลั่วเหยียนเจิ้งลุกขึ้นต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มบางก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งทางตำแหน่งราชทูตและคณะที่แวะมาเยี่ยมเยียน หลิ่วเหวินอี้มองดูเงียบๆ แคว้นลั่วหยางถือว่าเป็นแคว้นที่ใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นโจว หากสองแคว้นนี้ร่วมมือกันแคว้นอื่นคงไม่กล้าก่อสงคราม
    
            หลังจากที่องค์ชายแปดไป๋หูทักทายกับฮ่องเต้ของแคว้นลั่วหยางจบเจ้าก็เข้าไปทักทายจิวชงหยวนคล้ายกับรู้จักกันดี ก่อนที่จะเดินไปนั่งประจำตำแหน่งตนเองพร้อมสตรีที่ติดตามมาด้วย นางทอดสายตามองมายังลั่วเหยียนเจิ้งอย่างเหนียมอาย
    
            “องค์ชายแปดไป๋หู่เดินทางมาเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีพร้อมด้วยองค์หญิงสิบสองหมู่ตานหมายจะให้นางมาเป็นสนมของข้าเจ้ามีความเห็นเป็นเช่นไร” น้ำเสียงรื่นเริงที่เอ่ยถามทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมอง ก่อนจะเบือนหน้าไปมองที่ประทับขององค์หญิงหมู่ตานแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จะคิดเห็นเช่นไรแล้วอย่างไรไม่เห็นเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย เขาแค่รับหน้าที่จับกบฏช่วยเท่านั้น
    
          “ก็เหมาะดี”
    
           คำตอบเรียบง่ายโดยน้ำเสียงไม่มีอารมณ์อื่นแอบแฝงแม้แต่น้อยทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ สิ่งที่เขาลงทุนยอมตามใจทุกอย่างอีกทั้งพยายามชิดใกล้ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่มีอ่อนไหว ไม่หึงหวงเขาบ้างหรืออย่างไร
    
            “เรายินดีอย่างยิ่งที่จะรับไมตรีจากองค์ชายเก้า เราจะรับองค์หญิงสิบสองหมู่ตานมาเป็นพระสนมตำแหน่งกุ้ยเหริน มิทราบว่าองค์ชายแปดเห็นเช่นไร”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาเสียงนุ่มอ่อนโยน ทว่าตำแหน่งนี้แม้จะยังไม่สูงส่งแต่หากได้รับการโปรดปรานอาจจะได้เลื่อนขั้นดีไม่ดีในอนาคตข้างหน้าตำแหน่งฮ่องเฮาอาจเป็นของตนซึ่งทำให้เหล่านางสนมคนอื่นๆ มองตามด้วยความอิจฉาเพราะพวกนางล้วนอยู่ตำแหน่งพระสนมระดับล่างเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่สูงกว่าพวกนางในเวลานี้ล้วนตายตกและอยู่ตำหนักเย็นหมดแล้ว
    
           “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
    
            หมู่ตานตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน องค์ชายแปดไป๋หู่ก็พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างบัลลังก์ซึ่งสมควรเป็นตำแหน่งฮ่องเฮาอย่างประหลาดใจ ความงดงามเย็นชาของคนผู้นั้นยังจำได้ไม่ลืมเลือน หลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขยะตระกูล แต่กลับเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาเมื่อห้าปีก่อนจากการลอบสังหารของกบฎ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่
    
          “คนผู้นี้คือ...” ไป๋หู่เอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจว่าตนไม่ได้ดูผิดไป ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างไม่พอใจนักที่คนของตนเองถูกผู้อื่นจับจ้องมากขนาดนี้
    
           “หวงกุ้ยเฟยสนมรักของเรา” ตำแหน่งที่ถูกยัดเยียด ทำให้หลิ่วเหวินอี้ที่นั่งนิ่งเป็นหินสลักมานานนิ่วหน้ามองคนเอาเรื่องวุ่นวายมาให้อย่างเบื่อหน่าย และคำกล่าวนี้เรียกเสียงฮือฮาจากรอบข้างอย่างดีเพราะตำแหน่งนี้รองลงมาแค่ตำแหน่งฮ่องเฮาเท่านั้น เวลานี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาเหมือนเป็นตัวประหลาด ทว่าเขากลับเคยชินกับสายตาผู้คนจึงทำให้ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
    
           “ละครวันนี้ช่างน่าสนุกจริงๆ”
    
           จิวชงหยวนเอ่ยเสียงแผ่วเบากับลูกศิษย์ตัวน้อย พลางผิวปากมองความวุ่นวายตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี เหลือบมองน้ำจัณฑ์ที่มีพิษไร้ลักษณ์ผสมมาด้วยขึ้นดื่มอย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าดวงตากลับมองหาตัวการอย่างรื่นเริง มีหมอเทวดาเช่นตนนั่งหัวโด่อยู่นี่ยังมีใครอาจหาญไม่กลัวตายอีก คิดไว้แล้วเชียวว่าลั่วเหยียนเจิ้งได้ขึ้นตำแหน่งฮ่องเต้ได้ง่ายเกินไป เวลานี้งูพิษที่หลับใหลตัวนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้วสินะ อยากรู้นักจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะใช้แผนการใดรับมือกับงูพิษชนิดนี้...



หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา? ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 05-06-2016 11:04:13
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่23ภรรยา? ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)


           หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นโดยการแต่งตั้งพระสนมตำแหน่งขั้นสูงอย่างไม่มีเหตุผลทำให้เหล่าขุนนางบางคนไม่พอใจ อีกทั้งพระสนมตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยนั้นยังเป็นบุรุษที่ไม่มีที่ไปที่มา และความเย็นชาสูงส่งที่เห็นทำให้คนที่คิดก่อกบฏเริ่มหวาดระแวงเพราะอาจเป็นเชื้อพระวงศ์จากแคว้นอื่นได้ แต่ได้ลงมือไปแล้วจึงไม่อาจถอนตัวได้ในขณะนี้ คนที่ดูเหมือนนั่งไม่ติดเวลานี้กลับเป็นองค์ชายลั่วหลิงเห้อองค์ชายเก้าซึ่งนั่งอยู่ข้างองค์ชายสิบหลิงเซียวซึ่งเหยียดยิ้มสังเวชคนข้างตัว ทว่ากลับแสร้งก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้คน แม้จะตอบโต้พูดคุยกับผู้อื่นบ้างแต่กิริยาที่มองอย่างไรก็ดูน่าสมเพช ความอ่อนแอขี้ขลาดขององค์ชายสิบทำให้ผู้อื่นไม่เห็นอยู่ในสายตา
    
         ขณะเดียวกันองค์ชายสิบห้าน้องเล็กสุดแม้อาภรณ์จะงดงามล้ำค่าแต่เรียบง่ายไม่สะดุดตามากนักอีกทั้งใบหน้าน่ารักนั้นดูไร้เดียงสาไม่มีพิษสงจึงทำให้ผู้คนไม่ได้หวาดระแวงซึ่งตอนนี้เจ้าตัวเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินผลไม้ที่คนใช้หน้าตาอัปลักษณ์ป้อนให้อย่างไม่สนใจผู้ใด พลันใดนั้นร่างสง่างามบนบัลลังก์ก็กระอีกโลหิตออกมาอย่างน่าตื่นตะลึง พร้อมหัวหน้าขันทีตะโกนก้องที่ทำให้คงฟังตื่นตระหนก
    
           “ฝ่าบาทโดนยาพิษ!”
    
            ทันทีที่เสียงประกาศก้องทำให้ผู้คนภายในงานดูวุ่นวายมากกว่าเดิม ประตูในห้องโถงถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว ความโกลาหลตรงหน้าทำให้จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนเพราะจากที่เคยตรวจร่างกายลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเจ้าตัวสามารถต้านพิษได้หลากหลายชนิดจะมาโดนพิษแสนกระจอกเช่นนี้ได้อย่างไร
    
            หลิ่วเหวินอี้ประคองร่างสูงที่ทิ้งตัวมายังตนอย่างตื่นตระหนก อาหารวันนี้เขาไม่ได้แตะต้องจึงไม่ได้เป็นอะไรแม้จะไม่เชี่ยวชาญด้านยาพิษแต่หากไม่ไร้สีไร้กลิ่นก็พอดูออกบ้าง ใบหน้าคมคายซีดเผือดอีกทั้งกระอักโลหิตออกมาอย่างน่าหวาดกลัว เขามือสั่นเล็กน้อยขณะประคองร่างที่ซีดขาวเหมือนคนตาย
    
           “ท่านพี่” เอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจแม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแต่ไม่คิดว่าจะบอกกล่าวจนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นอันตราย เรื่องนี้เป็นความผิดของเขาที่ไม่เอ่ยเตือน เขาคาดหวังความฉลาดล้ำของอีกฝ่ายมากเกินไปคิดว่าน่าจะรู้เท่าทันศัตรู หัวใจที่เคยเย็นชารู้สึกหนักอึ้งจนทำสิ่งใดไม่ถูก แม้ภายในใจจะหวาดหวั่นเพียงไรแต่กิริยาภายนอกในสายตาผู้อื่นนั้นมีแต่ความเย็นชาเฉยเมยต่อทุกสิ่ง พลันนั้นจิวชงหยวนพุ่งเข้ามาพร้อมจับชีพจรอีกฝ่ายอย่างเคร่งเครียดพร้อมสั่งเสียงเข้ม
    
          “พากลับไปห้องบรรทม”
    
           หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองจิวชงหยวนแล้วลอบหายใจอย่างโลกอก เพราะอย่างไรที่นี่ก็ยังมีหมอเทวดา เขาลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรหรือว่าคนในอ้อมแขนเวลานี้มีอิทธิพลกับหัวใจตนมากจนเกินไป เสียงหวีดร้องของเหล่าสตรีไม่ได้เข้าหูแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นแบกร่างลั่วเหยียนเจิ้งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้ผู้คนตามหาคนร้ายกันเอง ความเร็วดุจสายลมที่พัดผ่านทำให้ผู้ลอบสังหารถึงกับตื่นตระหนก พระสนมผู้นี้มีวรยุทธสูงล้ำคงยากที่จะลงมือสังหารได้ง่ายๆ เหมือนรายอื่นๆ
    
          หลิ่วเหวินอี้วางร่างสูงที่หนักเอาเรื่องลงเตียงนอนอย่างเบามือ ทว่าขณะผละออกมือหนาจับมือเขาไว้แน่น ใบหน้างดงามนิ่วขึ้นน้อยๆ เมื่อครู่ยังไม่มีเรี่ยวแรงเหตุใดตอนนี้ถึงมีแรง?
    
         “ลุกขึ้นได้แล้วไม่ต้องมาเสแสร้ง” จิวชงหยวนที่พุ่งตามหลังมาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
    
           คำพูดของจิวชงหยวนทำให้หลิ่วเหวินอี้กดคิ้วลึกลงกว่าเดิม ดวงตาเรียวมองสบหมอเทวดาที่ทำหน้าเบื่อๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบที่ทำให้คนฟังลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
    
           “ท่านพี่หากยังไม่ลุกขึ้นมา ข้าจะเอายาพิษของจริงให้ดื่มเดี๋ยวนี้แหละ” ทันทีที่กล่าวจบร่างสูงลุกขึ้นพรวดขึ้นมาหลิ่วเหวินอี้ถึงกับตัวแข็งค้างอย่างตื่นตะลึง ความรู้สึกห่วงใยและเป็นกังวลเมื่อครู่... เขารู้สึกพูดอะไรไม่ออกมาชั่วขณะทว่าในใจตอนนี้มีแต่โทสะจนแทบอยากจะฆ่าคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้า
    
          “เอ่อ...ข้าออกไปก่อน เคลียร์กันเองนะ” จิวชงหยวนยิ้มแหยเมื่อเห็นความเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากคนสวย มองฮ่องเต้ที่ตอนนี้หน้าซีดของจริงอย่างนึกขำได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายเอาตัวรอดได้แล้วกัน
    
          “อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้า” หลิ่วเหวินอี้ยังยืนนิ่งไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมามีเพียงดวงตาเรียวที่มองมาว่างเปล่าจนน่าใจหาย ความเย็นชาห่างเหินที่เห็นในเวลานี้ทำให้ลั่วเหยียนรู้สึกร้อนรนเป็นครั้งแรกในชีวิต มือหนาเกาะกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นกลัวว่าหากปล่อยไปจะไม่ได้พบกันอีกครั้ง
    
           “อี้เอ๋อร์ที่เจิ้นทำเช่นนี้เพื่อหลอกให้ผู้ลงมือตายใจเท่านั้นเอง หากบอกเจ้าก่อนกลัวว่าพวกมันจะรู้ตัวและหนีรอดไปได้” น้ำเสียงอ้อนวอนของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ ความโมโหเมื่อครู่ลดลงกว่าครึ่งมาเมื่อย้อนกลับไปคิดด้วยเหตุและผลก็เป็นจริงดังที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวมา คนที่ผิดคือเขาเองที่ร้อนรนและขาดความรอบครอบไป
    
           ร่างโปร่งถูกดึงไปกอดรัดเอาไว้แนบแน่นความนิ่งงันของเจ้าของร่างทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกไม่ดี แต่เมื่อสบดวงตาเรียวสวยที่มีความสับสนอยู่เล็กน้อยก็รู้สึกเบาใจไปกว่าครึ่งเพราะคนตรงหน้าไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล เพียงแต่ผิดที่เขาเอาความเป็นห่วงของผู้อื่นมาล้อเล่น แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้รู้ว่าคนงามตรงหน้าห่วงตนมากแค่ไหน
    
           “ปล่อย” เสียงเย็นนิ่งเอ่ยออกคำสั่งเมื่อร่างโปร่งของตนเองถูกอีกฝ่ายเอารัดเอาเปรียบอีกแล้ว หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายคนตรงหน้านี้ไม่เคยยอมฟังข้อตกลงของเขาบ้างเลย มือหนายอมปล่อยเหมือนจะไม่เต็มใจมากนัก เวลานี้ข้างนอกเหมือนจะวุ่นวายทว่าภายในห้องบรรทมกลับรู้สึกเหน็บหนาวทำให้เหล่าองครักษ์เงาที่ติดตามเงียบซ่อนเร้นตัวเองทำเหมือนไร้ตัวตนต่อไป
    
           “ข้าจะกลับห้องเรื่องนี้จะจัดการอย่างไรก็ทำเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกกล่าวเสียงเรียบ ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าริมฝีปากยังมีคราบโลหิตติดอยู่ ไม่สิ น่าจะเรียกว่าน้ำหวานสีแดง เหตุใดตอนนั้นถึงได้สะเพร่าจนไม่เห็นความจริงข้อนี้กัน ตอนนี้รู้สึกกลัวใจตนเองขึ้นมาจนไม่อยากคิดหาเหตุผลของมัน
    
           “เดี๋ยวก่อนวันนี้เทศกาลหยวนเซียวเจ้าจะอุดอู้อยู่เพียงในห้องได้อย่างไร เดี๋ยวเจิ้นพาเจ้าไปออกไปเดินเล่นนอกเมือง” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนหาเรื่องออกนอกวังหลวงอย่างไม่พอใจนัก เมื่อครู่ยังทำเหมือนคนใกล้ตายแล้วจะเที่ยวเล่นข้างนอกได้อย่างไร ความหงุดหงิดภายในใจยังหายไปไม่หมดยิ่งเวลานี้เขาอยากจะซัดฝามือลงกลางหลังสักที แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
    
          “ท่านจะไปอย่างไร เวลานี้พวกขุนนางขั้นสูงและเหล่าพี่น้องคงมากองกันหน้าห้องแล้ว”เอ่ยถามเสียงเย็นนิ่ง ดวงตาเย็นชามองตามอย่างหงุดหงิดไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะคิดตื้นเขินนี้
    
           “เจ้าอย่าห่วงเลย เดี๋ยวทางนี้จิวชงหยวนจะจัดการเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมกริบทอประกายวาววับ หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างเบื่อหน่ายเขาเคยได้ยินมาบ้างว่าก่อนที่จะเป็นฮ่องเต้อีกฝ่ายก็เป็นเพียงรัชทายาทที่แสนอ่อนแอ ขี้โรคเก็บตัวอยู่เพียงแค่ตำหนักตัวเองเท่านั้น ไม่รู้ว่าผู้อื่นหลงเชื่อคนเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร ก่อนจะตอบรับเสียงเรียบมุมปากยกยิ้มลึกลับที่ทำให้คนถูกมองหวาดระแวง
    
            “ก็ได้ แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ...”
    
    
            เทศกาลหยวนเซียวนอกเมืองหลวงครึกครื้นไปด้วยผู้คนและต่างก็พาคู่ครองตัวเองออกมาเที่ยวเล่นบ้างก็มาปล่อยโคมลอยเป็นคู่กัน ของหวานอย่างเช่นถังหูลู่ที่ปั้นเป็นรูปชายหญิงมีวางขายหลายร้านจนเลือกซื้อไม่ถูก ส่วนผู้ที่มีเงินทองต่างก็พากันนั่งเรือสำราญล่องตามแม่น้ำ อีกทั้งมีการแสดงความสามารถของเหล่าสตรีเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบุรุษ หลังจากงานเลี้ยงภายในวังหลวงปั่นป่วนเวลานี้ขุนนางขั้นสูงยังไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่นับว่าโชคดีไม่น้อย
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายแล้วใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าคมคายถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางของอิสตรีทำให้ดูงดงาม กิริยาก้าวเดินยิ่งเหมือนสตรีสูงศักดิ์อาภรณ์สีชมพูหวานของผู้หญิงทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่เบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น ไม่คิดว่าคนที่เป็นถึงฮ่องเต้จะยอมทำตามคำสั่งเขาขนาดนี้ เวลานี้รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปเพราะเจ้าตัวเหมือนจะชื่นชอบด้วยซ้ำไป
   
            “เจิ้นไม่สวยหรือเหตุใดต้องเบือนหน้าหนีด้วย” ใบหน้าที่ตกแต่งเหมือนสตรีโดยที่ไม่มีใครรับรู้ว่าคนคนนี้เป็นบุรุษทั้งแท่งยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูหลิ่วเหวินอี้คล้ายหยอกล้อ ใบหน้างดงามที่ไม่ตกแต่งสิ่งใดเอนกายหลบเล็กน้อย
    
             “ท่านระวังหน่อยสิ ตอนนี้ท่านแต่งกายเป็นสตรีอยู่ ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้กัน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเตือนเสียงเบา ดวงตาเรียวพยายามไม่มองคนข้างกายที่เกาะแขนเขาไว้แน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก แม้จะพยายามแกะออกหลายครั้งแต่ก็ยังไร้ผล แม้อีกฝ่ายเวลานี้จะดูงดงามเหมือนสตรีทั่วไปทว่าในใจก็ยังรับรู้ว่าคนตรงหน้าคือลั่วเหยียนเจิ้งไม่เปลี่ยนแปลง
    
            “งั้นอี้เอ๋อร์มาแต่งกายสตรีเป็นเพื่อนเจิ้นดีหรือไม่” ดวงตาคมเวลานี้ดูสวยขึ้นวาววับมองหลิ่วเหวินอี้อย่างคาดหวัง
   
          “ฝันไปเถอะ” เสียงเย็นนิ่งที่ตอบกลับมาอย่างไม่เสียเวลาคิด ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ หากคนข้างกายเวลานี้แต่งสตรี ผู้หญิงทั่วหล้าคงดับแสงกันไปหมด
    
            หลิ่วเหวินอี้พยายามเลิกสนใจคนข้างกาย ลากร่างที่ตามติดตัวเองไปร้านขายถังหูลู่เมื่อจ่ายเงินจึงหันมามองคนข้างกายสลับกับถังหูลู่ในมือที่เป็นรูปชายหญิงก่อนจะยื่นรูปผู้หญิงให้อีกฝ่ายพร้อมมุมปากยกยิ้มเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    
          “เหตุใดเจิ้นต้องได้รูปของสตรีเล่า ควรเป็นอี้เอ๋อร์ต่างหาก” ลั่วเหยียนเจิ้งประท้วงเสียงแผ่วมองคนงามตาปริบๆ ทว่าคนเย็นชาตรงหน้ากลับเบือนหน้าพร้อมกัดถังหูลู่ผู้ชายเข้าปากคล้ายกลั้นแกล้งเขาเป็นเรื่องสนุก แต่มีหรือฮ่องเต้เช่นเขาจะยินยอมได้โดยง่าย ยื่นใบหน้าไปใกล้พร้อมคว้าคออีกฝ่ายหันมา ริมฝีปากร้อนผ่าวกดลึกเข้าริมฝีปากของหลิ่วเหวินอี้โดยไม่สนใจสิ่งรอบกายอีกต่อไป ร่างโปร่งยืนแข็งค้างดวงตาเบิกกว้างคล้ายตื่นตะลึงทำให้มีโอกาสดูดกลืนความถังหูลู่ในปากรสชาติหวานล้ำในโพรงปากของคนในอ้อมกอดเวลานี้มันอร่อยยิ่งกว่าถังหูลู่ไม้ไหนๆ ที่กินมา
    
            หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกล้าปล้นจูบเขาอย่างอุกอาจเช่นนี้ ประสบการณ์ที่เหนือล้ำทำให้สมองขาวโพลนจนไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร รับรู้เพียงความวาบหวามก่อเกิดขึ้นภายในใจอีกทั้งรสจูบหอมหวานดูดดื่มที่ถูกชักชวนจนทำให้เกือบเผลอตัว หากไม่มีสายตารอบกายทิ่มแทงมามีทั้งความอิจฉาและหมิ่นแคลนเขาคงสติหลุดแน่ๆ
    
            “โอ้ยๆๆ ยอมแล้ว เจิ้นยอมแล้วอี้เอ๋อร์คนดีปล่อยเจิ้นก่อน” หลิ่วเหวินอี้แสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหด ความเย็นเยือกแผ่ออกมาอย่างไร้ความปราณี มือขวาบิดหูซ้ายลั่วเหยียนเจิ้งเต็มแรงด้วยความโมโห ข้อตกลงเมื่อสามวันก่อนมันไม่เข้าหูบ้างเลยหรืออย่างไร
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง กฎข้อที่หนึ่งข้ามีว่าอย่างไร” น้ำเสียงหวานอย่างผิดปกติ นัยน์ตาวาวโรจน์ริมฝีปากแสยะยิ้มดูอีกทั้งไอเย็นแผ่ออกมาอย่างไม่มีกักเก็บเอาคนที่ติดตามหลบกายถอยห่างออกมาอย่างหวาดระแวง ทว่าคนก่อเรื่องกลับยิ้มอ่อนโยนรับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น พลางคิดว่า...
    
            มือต้องไวใจต้องนิ่ง เมื่อนั้นชัยชนะจะเป็นของตน?
    
           ใบหน้าที่ตกแต่งเหมือนสตรีทำให้หัวใจหลิ่วเหวินอี้เต้นผิดปกติอีกครั้ง ไม่ว่าคนตรงหน้าจะแต่งหญิงหรือชายหัวใจดวงนี้ก็ยังเต้นแรงเหมือนเดิม
    
            “เจิ้นทำอะไรผิด เจิ้นแค่อยากกินถังหูลู่ตัวผู้ชายเฉยๆ” คำกล่าวอย่างไร้ยางอายของจิ้งจอกตรงหน้าทำเอาคนที่มีจิตวิญญาณเกือบห้าสิบปีพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มือที่บิดหูปล่อยออกตั้งแต่เจ้าตัวร้องโวยวายแล้ว หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนแก้ตัวก่อนจะแสยะยิ้มเย็นอีกครั้ง ร่างโปร่งผละออกไปซื้อถังหูลู่ทุกร้านที่ขายเป็นผู้ชายก่อนจะหอบมากองไว้ให้คนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าอย่างมีโทสะ
    
           “กินให้หมด หากยังไม่พอข้าจะเหมาทุกร้านให้ท่านพี่หมดเลย” คำสั่งเย็นเยือกที่ทำเอาคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หันหาองครักษ์คู่กายก็หายหัวไปกันหมดเหลือเพียงแต่คนตรงหน้าที่ส่งสายตาทิ่มแทงมาให้ หากเขากินไม่หมดจริงๆ จะโดนงอนอีกแล้วหรือ?
    
           “เจ้าเป็นบุรุษเหตุใดต้องกลั้นแกล้งสตรีเช่นนี้ ไม่น่าละอายบ้างหรืออย่างไร” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองบุรุษชุดขาว ใบหน้าคมคายหมดจด ในมือมีพัดจีบโบกไปมาคล้ายคุณชายเจ้าสำอาง ร่างนั้นชะงักไปชั่วครู่เมื่อเห็นโฉมหน้าผู้ที่รังแกสตรี? อย่างชัดเจน เขามองคนที่ทำตัวเป็นฮีโร่อย่างขำขันหากคนผู้นี้รู้ว่าคนที่ออกหน้าช่วยเหลือเป็นชายทั้งแท่งจะทำสีหน้าอย่างไร
    
           “ข้ารังแกเรื่องใดกัน คุณชายท่านนี้เข้าใจผิดแล้ว นางเพียงชื่นชอบของหวานข้าใจดีเหมาซื้อมาให้นางไม่ถูกไม่ควรอันใด” น้ำเสียงรื่นเริงที่เอ่ยถามทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเหงื่อตกเพราะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงสนุกสุขใจเช่นนี้มาก่อน เขาเหลือบมองคนสอดเรื่องชาวบ้านอย่างขัดใจนิดหน่อย แม้จะรู้สึกขอบคุณที่มาช่วยเหลือแต่ตอนนี้เหมือนงานจะเข้ามากกว่า
    
            “แต่เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเจ้ารังแกนาง เหยียดหยามนางอย่างไม่อายผู้คน หากเรื่องนี้ไปถึงบิดานางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” คำกล่าวของคุณชายผู้หวังดีทำให้หลิ่วเหวินอี้หน้ามืดครึ้มลงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเย็นเยือกจ้องมองดวงตามืดบอดของคุณชายที่ทำตัวมีคุณธรรมอย่างทิ่มแทง คนที่เสียหายควรจะเป็นเขามากกว่าเหตุใดตนถึงเป็นฝ่ายผิดด้วย
    
            “คุณชายเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้ากับคนรัก ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือเพียงแต่ข้ามิได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งดัดเสียงให้แหลมเล็กคล้ายสตรีกล่าวบอกคุณชายผู้ตาบอดอย่างด้วยกิริยางดงามที่ทำให้คนมองรู้สึกอิจฉาและเห็นใจที่มีคนรัก? นิสัยแย่เช่นนี้
    
             หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่น หากมีรางวัลออสก้าเขาจะมอบให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวด้วยตัวเองเลย แล้วนั่นอะไร เหตุใดทำตัวเป็นผู้หญิงจนน่าหงุดหงิดเช่นนี้
    
            “แม่นางอย่าได้เกรงใจ ข้าเยี่ยเฟิงผู้มีคุณธรรมเห็นผู้คนถูกรังแกจะปล่อยผ่านได้อย่างไร” หลิ่วเหวินอี้มองผู้ที่อ้างคุณธรรมแต่สำหรับเขาต้องเรียกว่าสอดยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียมากกว่า เขาไม่ใช่คนดีในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องตนจะปล่อยผ่านได้อย่างไร ในเมื่อคิดว่าเขารังแกลั่วเหยียนเจิ้งเขาก็จะทำเดี๋ยวนี้! มือคว้าร่างคนข้างกายมากอดแนบชิด ดวงตาเย็นเยือกมองเยี่ยเฟิงอย่างท้าทาย
    
            “ไปเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นพร้อมกอดร่างลั่วเหยียนเจิ้งก้าวจากไป ทว่าพัดจีบกลับขวางหน้าเอาไว้ ดวงตาเล็กเรียวของอีกฝ่ายหรี่ตามองมาอย่างไม่พอใจ พลันนั้นหยางซือหมิงและหลวนซานเข้ามาขัดขวาง
    
           “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณชาย นายท่านและนายหญิงเป็นสามีภรรยากันเหตุใดคนนอกอย่างท่านถึงได้อยากก้าวก่าย หรือท่านคิดเป็นอื่นกับนายหญิงของเรา”
    
            แค่กๆๆ
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำกล่าวของหลวนซาน ดวงตาคมเหลือบมองคนงามที่ยกยิ้มที่มุมปากอย่างน่าหมั่นไส้ ตำแหน่งภรรยาเขาจะยอมเป็นวันนี้วันเดียวแล้วกัน อย่าให้ถึงเวลาเขานะจะเอาคืนทบต้นและดอกเลยเชียว




      ขอบคุณกำลังใจที่มอบให้ค่าาา เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลงอีก จุ๊บๆ :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 05-06-2016 11:52:13
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สนุกกกกกก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 05-06-2016 12:36:28
โอย สงสารพระสนมยิ่งนัก หวงช่าง น่าทุบวันละสามเวลา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 05-06-2016 12:49:51
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 05-06-2016 13:21:33
555. สนุกมากค่าา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 05-06-2016 15:45:48
หวายยยๆๆ ชักอยากเห็นเหวินอี้อี้เอ๋อร์คนงามแต่งหญิงซะแล้วสิ
จะมีซักตอนมั้ยนะ คริคริคริ  :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่23ภรรยา?ชั่วคราว(P.5วันที่ 5/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 05-06-2016 23:08:26
โอ๊ยยยย เจิ้งลงทุนไปไหมมมมมมม

ยอมแต่งหญิงเพื่ออี้เอ๋อ สุดยอดจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่24ลอยโคมไฟ(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 06-06-2016 19:33:34
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่24ลอยโคมไฟ(P.5วันที่ 6/6/59)

          “เสน่ห์แรงจริงๆ นะ” หลิ่วเหวินอี้ปล่อยมือออกจากเอวอีกฝ่ายแล้วแขวะคนข้างกายอย่างหมั่นไส้ คุณชายที่รักคุณธรรมผู้นั้นไม่ได้ติดตามมาด้วยแล้ว แต่หากยังดื้อด้านตามมาเขาคงได้สั่งสอนด้วยกระบี่ข้อหายุ่งไม่เข้าเรื่องแน่ๆ
    
          “อี้เอ๋อร์กินน้ำส้มสายชูหรอกหรือ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนยิ้มละไมแล้วนิ่วหน้า สายตาสำรวจร่างสูงแม้จะแต่งเป็นสตรีทว่าไม่ว่ามองอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง
    
          “ข้าไม่เคยมีความรักแล้วจะกินน้ำส้มสายชูได้อย่างไร”
    
           “แต่ตอนนี้เจิ้นเป็นภรรยาอี้เอ๋อร์อยู่ เจ้าจะไม่รักเจิ้นเชียวหรือ” คำกล่าวของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทำให้หลิ่วเหวินอี้หน้าเห่อร้อนขึ้นมา แม้ครั้งแรกที่ได้ยินจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยทว่ายามนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนเอาคืนอย่างไรอย่างนั้น
    
          “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว นี่ถังหูลู่ท่านกินให้หมดไม่เช่นนั้นข้อตกลงข้อที่สามท่านพี่เหยียนเจิ้งจะต้องรับผิดชอบ” หลิ่วเหวินอี้ยัดถังหูลู่ในมือตัวเองยี่สิบกว่าไม้ให้คนข้างกายจนหมด พร้อมคำกล่าวข่มขู่ที่คนตรงหน้าละเมิดข้อตกลงอย่างหาญกล้าหากเขาปล่อยไปครั้งหน้าอาจถูกกระทำอย่างอุกอาจอีก
    
          “เจิ้นต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของตนเองอยู่แล้ว ว่าแต่หากเจิ้นแต่งตั้งเจ้าเป็นฮ่องเฮาอี้เอ๋อร์จะมีลูกให้เจิ้นได้หรือไม่”
    
           “ไปตายซะ!”
    
           หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างเสียเวลาคิด เขาเป็นผู้ชายจะท้องได้อย่างไรหากอยากมีลูกก็ท้องเองสิ เดี๋ยวสิ สรุปพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน! เขารู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์ที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างหมั่นไส้
    
            ปุง!!
    
            เสียงพลุถูกจุดแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้าดูงดงาม พวกเขาซึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำที่ห่างไกลผู้คนหันไปมองด้วยรอยยิ้ม เทศกาลหยวนเซียวคล้ายกับวันปีใหม่ มีการลอยโคมไฟเพื่อเกิดสิริมงคลให้กับตัวเอง
    
           “อี้เอ๋อร์เจิ้นรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ข้างเจ้า” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายที่เหม่อมองท้องฟ้าดวงตาคมมีประกายลึกล้ำ เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอาจเพราะเข้าใจความหมายของคนข้างกาย แม้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดูคลุมเครือทว่าสักวันหนึ่งคงได้รู้ผล เพียงแต่เวลานี้ยังไม่อาจยอมรับได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คืออะไร รู้เพียงแค่ว่ามันทำให้หัวใจที่เย็นเยือกอบอุ่นขึ้นมา
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้น โคมไฟสีแดงงดงามก็ถูกองครักษ์นำมายื่นให้ เขารับมาไว้อย่างระวังหันไปมองคนข้างกายที่เหลือบมองมาทางตนนิ่งๆ ความจริงใจที่ส่งมาทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง
    
           “ลอยโคมไฟด้วยกันเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยชักชวน แม้จะเข้าใจความหมายของการลอยคู่ดี ทว่าเขากลับรู้สึกอยากทำเช่นนี้ ใบหน้างดงามส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีทำให้อดที่ยิ้มออกมาไม่ได้ คนตรงหน้าเวลาดูเก้อเขินนั้นน่ามองนักและยิ่งมีโทสะทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้เลย
    
         “อยากลอยก็ลอยคนเดียวสิ”
    
           ร่างโปร่งผละออกห่างจึงคว้าข้อมือหลิ่วเหวินอี้เอาไว้ ก่อนจะเดินไปตำแหน่งที่โล่งๆ พร้อมโคมไฟในมือขวา ทว่าร่างที่แข็งขืนของคนงามทำให้หันไปมอง ดวงตาเย็นชามองมานิ่งๆ เหมือนจะมองให้ทะลุจิตใจของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เจอคำตอบเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ทำเช่นนี้เพราะเหตุผลใด เพียงแค่รู้ว่าหัวใจต้องการมีหลิ่วเหวินอี้อยู่เคียงข้างเท่านั้น เขาอาจเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากค้นหาคำตอบ เขากลัว... กลัวว่าจะมีจุดอ่อนและปกป้องจุดอ่อนนั้นไม่ได้ ยิ่งเวลาเช่นนี้เขาไม่ควรหาจุดอ่อนให้ตัวเองเพราะคนที่เสียใจอาจเป็นตัวเขาเอง
    
           หลิ่วเหวินอี้มองนัยน์ตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ยอมจุดโคมลอยตามอีกฝ่ายโดยไม่ได้อธิษฐานสิ่งใด แววตาของลั่วเหยียนเจิ้งเขามองได้อย่างทะลุปุโป่งอาจเป็นเพราะมีจิตวิญญาณร่วมห้าสิบปี ที่มีประสบการณ์ผ่านพ้นความเป็นความตายมาหลายครั้ง อดีตเขาก็ไม่ได้คิดจะรักใครเพราะชีวิตตนแขวนอยู่เส้นด้ายอีกทั้งไม่อยากให้มีจุดอ่อนจนศัตรูเข้ามาทำร้าย วงการเช่นนั้นยากนักที่จะมีความสุขโดยไม่ได้หวาดระแวง
    
          หลิ่วเหวินอี้เลิกสนใจที่ซักถามความรู้สึกของลั่วเหยียนเจิ้ง ยังทำตัวเฉกเช่นเดิมไม่ได้ทวงความยุติธรรมที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามข้อตกลง ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นคิดเสียว่าหมา? เลียปากก็พอจะได้ไม่ต้องมาคิดอะไรให้ปวดหัว
    
         “เจ้าอธิษฐานสิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนถามเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบที่ทำให้คนฟังหันมาหรี่ตามองพร้อมแสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ
    
         “ข้าขอให้ท่านไร้ทายาท”
    
          “อี้เอ๋อร์หากเจิ้นไร้ทายาท เจิ้นจะไม่ให้เจ้าลุกจากเตียงจนกว่าจะมีบุตรให้เจิ้นสักคนสองคนดีหรือไม่” หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบมองดวงตาวาววับและคิดไปไกลอย่างระอา ร่างโปร่งเดินหนีไปอย่างเบื่อหน่าย โดยมีร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีสูงศักดิ์เดินตามอย่างอารมณ์ดี ภาพที่เห็นทำให้เหล่าองครักษ์พูดไม่ออก แค่ฮ่องเต้แต่งเป็นสตรีก็นับว่าแปลกประหลาดแล้วทว่าทั้งคู่กลับคุยในเรื่องที่พวกมันมิอาจเข้าใจ!
    
          ว่า... บุรุษจะมีลูกได้ด้วยหรือ?
   
    
           ขณะที่ฮ่องเต้ออกไปสำราญอยู่ข้างนอก จิวชงหยวนผู้รับหน้าที่ขัดขวางเหล่าขุนนางชั้นสูงและเหล่าองค์ชายมิให้เข้าไปในห้องบรรทมเพียงแค่เอ่ยปากว่าอาการของฮ่องเต้อยู่ในช่วงรักษามิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย ด้วยชื่อเสียงขจรทั่วหล้าทำให้ผู้ที่คอยเฝ้าดูอาการต่างถอยกลับไปก่อน
    
          หนึ่งในนั้นมองดูด้วยความขัดใจที่มิอาจเป็นไปตามแผนการ เขาวางหมากผิดพลาดไปเพราะจิวชงหยวนไม่ได้ปรากฏในวังหลวงมานานกว่าสามปี นี่ยังไม่เห็นพี่ห้าย่อมหมายความว่าอีกไม่นานเจ้าตัวคงมาปรากฏที่นี่
    
          จิวชงหยวนมองตามร่างเหล่าองค์ชายที่จากไปอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เหลือเพียงองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้ที่ตนไม่คุ้นเคยนักยืนมองตามอย่างกังวล สีหน้าและห่วงใยที่แท้จริงทำให้เขาเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปทำการใดมาถึงทำให้น้องเล็กของตนเป็นห่วงมากขนาดนี้ หลายปีมานี้คงมีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
     
           “เจ้าเพ่ยอวี้ใช่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่เคยได้คุยด้วย เด็กน้อยตรงหน้าพยักหน้ารับ มองมาที่เขาอย่างคาดหวังทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้
    
          “องค์ชายกลับไปเถอะ ฮ่องเต้อยู่ในมือข้าแล้วหากข้าไม่อนุญาตให้ตาย ก็ตายไม่ได้หรอก” เพ่ยอวี้เงยหน้ามองจิวชงหยวนชั่วครู่ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมด้วยผู้ติดตามที่หน้าตาแสนธรรมดาทว่าในสายตาหมอเทวดายอมรับว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดยอดฝีมือถึงได้มาอยู่กับองค์ชายน้อยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์
    
          เมื่อทุกคนกลับไปแล้วจิวชงหยวนจึงหมุนกายกลับมาห้องบรรทมของฮ่องเต้ซึ่งว่างเปล่าอีกครั้ง แผนการในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดคิดลอบสังหารอย่างอาจหาญเช่นนี้ คลื่นใต้น้ำที่เงียบสงบมาหลายปีกำลังปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
    
          “อาจารย์เหตุใดต้องช่วยให้สองคนนั่นไปเที่ยวเล่นในเวลาเช่นนี้ด้วยขอรับ” เสียงเอ่ยถามจากร่างเล็กวัยสามขวบแต่ดวงตาล้ำลึกทำให้จิวชงหยวนหันไปมองแล้วยกยิ้มบาง
    
          “ข้าแค่อยากเห็นฮ่องเต้รู้จักความรักบ้าง”
    
           จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมเดินไปขยี้หัวเด็กน้อยที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างเอ็นดูซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอาจเพราะเริ่มชินชาไปแล้ว พรางคิดไปถึงคำถามของลูกศิษย์ โดยปกติเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นทว่าสำหรับลั่วเหยียนเจิ้งนั้นเขาถือว่าเป็นคนไข้จำเป็นต้องรักษา หากปล่อยไว้นานไปอาจทำให้จิตใจที่บิดเบี้ยวเข็นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลมากขึ้น หลังจากที่สังเกตมาหลิ่วเหวินอี้ผู้นั้นอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้สงบลงได้
    
          พลันใดนั้นมีเงาร่างสองเงาพุ่งเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าที่อาบเหงื่อเหมือนเร่งรีบกับการเดินทางทำให้สองศิษย์อาจารย์หันไปมองก่อนจะฉีกยิ้กยินดี ร่างที่เล็กกว่าหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ มองอาจารย์ตนเองอย่างตัดท้อ ทว่าทันทีที่เห็นร่างเล็กของเปาอี้ฟานก็พุ่งเข้ากอดพร้อมเอ่ยถามอย่างกังวล
    
          “อี้ฟานเจ้าไม่เป็นไรนะ อาจารย์กลั่นแกล้งเจ้าหรือไม่” จิวชงหยวนมองลูกศิษย์สองคนสำรวจร่างกายกันไปมาด้วยสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบกลั้นแกล้งลูกศิษย์ขนาดนั้นเสียหน่อย เมื่อเหลือบมองสายตาคมกริบที่จับจ้องมาอย่างคาดโทษได้แต่ยิ้มแหย เขาหนีมาก่อนแค่สามวันเองเหตุใดต้องทำหน้าบูดบึ้งเช่นนั้นด้วย    
    
          “หยวนน้อยข้าคิดว่าเจ้าคงมีแรงมากไปจนหนีมาก่อนเช่นนี้ เห็นทีข้าต้องลงโทษเจ้าเสียแล้ว” คำกล่าวของลู่เฟยทำให้จิวชงหยวนตาเหลือก ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างตนเองถูกรวบยกขึ้นพาดบ่ากว้างพุ่งทะยานออกจากห้องบรรทมลั่วเหยียนเจิ้ง
   
           ม่ายยย ปล่อยข้าก่อน...
    
           แม้จะร้องขอปานใดกลับไร้แววว่าลู่เฟยจะปล่อยตน มีเพียงเสียงแว่วของลูกศิษย์ตามหลังมาแล้วรู้สึกปลงๆ ได้แต่รอรับการลงโทษอย่างจนใจ หวังแต่ว่าพรุ่งนี้จะสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้หรอกนะ
    
          “โชคดีขอรับท่านอาจารย์”

   
           หลิ่วเหวินอี้เดินลงเรือสำราญที่จอดเทียบท่าซึ่งกำลังเตรียมจะไปล่องแม่น้ำเมื่อใกล้ถึงเวลาซึ่งมีเรือหลายลำจอดอยู่ล้อมรอบเรือสำราญขนาดกลาง ที่นั่นมีสตรีมากมายต่างแสดงการความสามารถของตนเองอย่างสุดความสามารถ เพราะเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองพบเจอเนื้อคู่ แม้บางคนจะถูกตกแต่งเป็นภรรยารองแต่นับว่ามีวาสนาสำหรับบางคนที่เป็นเพียงบุตรีของภรรยาลำดับต่ำต้อย
    
           การที่ได้มาเยือนเมืองหลวงแต่ไม่ได้ดูสาวงามนับว่ามาไม่ถึงแคว้นลั่วหยางที่มีชื่อเสียงเรื่องของหญิงงาม หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย ความสง่างามเหมือนสตรีสูงส่งทำให้ผู้คนหันมาสนใจเป็นระยะ บ้างอยากทักทายแต่ตอนนี้มีองครักษ์ติดตามไม่ห่างทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
    
           “เหตุใดเจ้าต้องมาดูพวกนางแสดง เจิ้นดีดพิณให้เจ้าฟังที่ตำหนักก็ได้” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคนบ่นขณะที่เดินติดไม่ห่าง หากใครตาไม่บอดคงรู้ว่าสตรีข้างกายกำลังตามตื้อเขาอยู่หาได้เป็นฝ่ายรังแกนาง?ไม่ แม้จะแต่งกายเป็นสตรีแต่กิริยาไม่ได้อ่อนนุ่มนิ่มเหมือนสตรีทั่วไป ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจลั่วเหยียนเจิ้งมากขึ้นสายตาเหล่าบุรุษที่มองมามีทั้งความชื่นชมและปรารถนา ทว่าคนถูกมองคล้ายกับชินชาไม่ได้ใส่ใจสิ่งไร้ค่านอกสายตาตนเลยแม้แต่น้อย
    
            “ตอนนี้ท่านพี่โดนพิษเป็นตายเท่ากันจะมาเล่นพิณร้องรำให้ข้าดูได้อย่างไร” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
    
            “งั้นเจิ้นเล่นให้เจ้าฟังที่นี่ก็ได้” กล่าวจบร่างสูงในอาภรณ์ของสตรีก็ดีดตัวพุ่งลงไปยังเรือของหญิงงามอย่างไม่ฟังคำคัดค้านผู้ใด หลิ่วเหวินอี้ยกมือกุมหน้าผากอย่างปลงตก ตอนนี้เขายืนอยู่กาบเรือสำราญสำหรับบุคคลทั่วไป ที่นี่จึงไม่ค่อยมีตระกูลสูงมากนักและเวลานี้เหล่าบุตรธิดาของเหล่าขุนนางชั้นสูงก็เริ่มทยอยกันมาบ้างแล้ว หากมีคนจำเขาได้ความลับที่ลั่วเหยียนเจิ้งปกปิดไว้คงเปิดเผยแน่ๆ
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งหยิบหน้ากากสีเงินครึ่งหน้ามาปกปิดใบหน้าตนเองเอาไว้ เหล่าองครักษ์ที่ติดตามก็ทำเฉกเช่นเดียวกันคล้ายกับรู้ว่าต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้
    
            “ซือหมิงปกตินายเจ้าวู่วามเช่นนี้หรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามองครักษ์ของฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์ที่เริ่มกลายร่างเป็นเด็กที่เอาแต่ใจอย่างมึนงง เขารู้สึกจะเริ่มตามพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของลั่วเหยียนเจิ้งไม่ทันเสียแล้ว เจ้าเล่ห์และยังเอาแต่ใจจนเขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด
    
            “เอ่อ...กระหม่อมก็เพิ่งจะเคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบกลับเสียงอ่อย เหงื่อเต็มหน้าผากอย่างหวาดหวั่น ปกติฮ่องเต้จะเจ้าเล่ห์เพอุบายวางหมากกลอย่างระมัดระวังเสมอ แม้จะมีหุนหันบางครั้งแต่ไม่มีพฤติกรรมเหมือนกินน้ำส้มสายชูเช่นนี้มาก่อน แค่พระองค์แต่งกายเป็นสตรีเขาก็ตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
    
            หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองตามร่างลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งเดินไปพูดคุยกับสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก่อนจะรับพิณมานั่งแสดงร่วมกับเหล่าสตรีวัยกำดัดซึ่งบางคนมีการร้องเพลงบ้างก็ร่ายรำ ทันทีที่ถึงคิวของลั่วเหยียนเจิ้งผู้คนมากมายต่างจับจ้องไปที่สตรีผู้งดงามและดูสูงศักดิ์ เสียงพิณหวานละมุนดังไปทั่วเรือสำราญน้อยใหญ่ บทเพลงไพเราะจนยากจะละสายตาออกไป บุรุษมากมายต่างมายืนมองที่กาบเรือจนแทบไม่มีที่เว้นว่าง ร่างงดงามพร้อมเพลงพิณที่เหนือชั้นกว่าสตรีคนไหนๆ ทว่าสายตาคมคู่นั้นหันมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่กลับสร้างเสียงฮือฮาให้คนที่ไม่รู้ความจริงว่าผู้ที่นั่งอยู่ที่ตรงนั้นเป็นชาย!
    
           “ท่านกล้าให้ภรรยาตัวเองไปแสดงความสามารถให้บุรุษเชยชมได้อย่างไร” น้ำเสียงจริงจังที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองเล็กน้อย ทว่าคนข้างกายเขาเวลานี้กลับเป็นคนเดียวที่เคยกล่าวหาเขาเมื่อครั้งก่อน
    
          “นี่ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ” เมื่อไม่ได้รับความสนใจ เยี่ยเฟิงจึงกระชากแขนบุรุษรูปงามให้หันมาทางตน ทว่าหลิ่วเหวินอี้ไม่ทันได้ตั้งตัวร่างโปร่งจึงปลิวไปตามแรงชากปะทะกับอกแกร่งของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ อุบัติเหตุครั้งนี้คนภายนอกกลับมองเห็นว่าทั้งคู่กำลังโอบกอดกันอย่างไม่อายฟ้าดิน ดวงตาคมกริบของผู้ที่ดีดพิณวาวโรจน์ จิตสังหารพุ่งเข้าหาบุรุษชุดที่บังอาจแตะต้องคนของตน
    
           “ขอโทษข้ามิได้ตั้งใจ”
    
            หลิ่วเหวินอี้ผละออกจากคนตรงหน้าที่สูงไล่เลี่ยกับตนอย่างรวดเร็ว ดวงตาเรียวสวยภายใต้หน้ากากจ้องมองคนตรงหน้าอย่างล้ำลึก เขาไม่ได้โวยวายการที่คนผู้นี้จดจำเขาได้ทั้งๆ ที่สวมหน้ากากย่อมหมายความว่าเยี่ยเฟิงผู้นี้ติดตามพวกเขาตลอดเวลาเพราะเขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ
    
           “เจ้าติดตามพวกข้ามาทำไม” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงเรียบ ยกมือขึ้นไม่ให้เหล่าองครักษ์และผู้ติดตามเข้ามาสอดแทรก คนตรงหน้าเกาศีรษะตัวเองเล็กน้อยคล้ายขวยเขินทำให้เขานิ่วหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
    
            “ข้าเปล่าตามพวกเจ้าเพียงแค่บังเอิญเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้ไม่เชื่อกับคำแก้ตัวนั้นเหลือบมองด้านหลังเยี่ยเฟิงที่มีคนติดตามไม่ห่างเช่นกัน หากคนตรงหน้าไม่ใช่ชาวยุทธก็น่าจะเป็นบุตรขุนนางคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้แสร้งทำตัวมีคุณธรรมมารบกวนพวกเขา หรือว่า?
    
            “มิใช่ว่าเจ้าสนใจข้าหรอกหรือ”
    
            แค่กๆ ๆ
    
             เยี่ยเฟิงสำลักน้ำลายตัวเองพร้อมรีบโบกพัดไปมาคล้ายกับว่าอากาศบนเรือลำนี้มันร้อนจนใบหน้าเห่อร้อนไปหมด กิริยาของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามนิ่งๆ ก่อนจะหันไปทางจิตสังหารของหลิ่วเหวินอี้ที่ทิ่มแทงมาอีกทั้งดนตรีที่บรรเลงร้อนแรงจนเหมือนจะฆ่าคนได้
    
             “เดี๋ยวสิ ไยเจ้ากล่าวหาข้าเช่นนั้น เจ้าเป็นบุรุษเหตุใดข้าต้องสนใจเจ้า ข้าสนใจภรรยาเจ้าต่างหาก” เยี่ยเฟิงรีบกล่าวแก้ตัวโดยลืมเรื่องผิดศิลธรรมซึ่งผิดกับการแสดงตัวมีคุณธรรมตั้งแต่แรก
    
             หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับคำแก้ตัวไม่ขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบจนกระทั่งตอนนี้สายตาเจ้าตัวไม่ได้หันไปมองลั่วเหยียนเจิ้งในร่างสตรีแม้แต่น้อย เขาไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าผู้ใดสนใจตัวเอง เพียงแต่บางครั้งแกล้งปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปบ้างเท่านั้นเอง
    
            “เอ่อ...เจ้าไม่หึงหวงภรรยาเจ้าบ้างหรือ” คำถามที่เหมือนหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองทำให้หลิ่วเหวินอี้เลิกใส่ใจ หันไปทางลั่วเหยียนเจิ้งที่ยังคงไว้ด้วยกิริยาของสตรีสูงศักดิ์กำลังเล่นเพลงที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยจิตสังหารที่ทำให้เยี่ยเฟิงหันไปมองด้วยความสนใจก่อนจะนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียด เขาไม่ได้แปลกใจจิตสังหารระดับนี้หากยังเฉยชาอยู่ได้แสดงว่าวรยุทธสูงส่งกว่าลั่วเหยียนเจิ้ง
    
            หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้สนใจจิตสังหารและสายตาคาดโทษของลั่วเหยียนเจิ้งที่ส่งมา แต่กวาดสายตามองรอบเรือสำราญซึ่งมีบุรุษมากหน้าหลายตาโยนผ้าเช็ดหน้าให้หมายจะได้นางมาเป็นภรรยา เพียงแต่พวกเขาคงต้องผิดหวัง
    
           “ดูเหมือนภรรยาเจ้าจะหึงหวงข้ากับเจ้า หรือว่าคิดไปเอง?” หลิ่วเหวินอี้หันมามองเยี่ยเฟิงที่จ้องมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสีหน้าจริงจัง พัดจีบในมือหุบเข้าหากันพร้อมเคาะลงที่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจะมาหึงหวงทำไม
    
           “ท่านคงคิดมากไป”
    
            “หากเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่หึงหวงนาง หรือว่าพวกเจ้ามิได้แต่งงานกันจริงๆ” เยี่ยเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง หลิ่วเหวินอี้มองคนเอ่ยถามด้วยนัยน์ตาล้ำลึกยากจะคาดเดา มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยซึ่งทำให้คนมองใจสั่นระรัว
    
            “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับท่าน” ทันทีที่เพลงจบลงลั่วเหยียนเจิ้งก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาแทรกกลางระหว่างเยี่ยเฟิงด้วยสีหน้าหงุดหงิด คิดไว้ไม่มีผิดจอมยุทธผู้คุณธรรมคิดจะช่วยเหลือสตรีแต่กลับไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย
    
            “เอ่อ...แม่นางข้าขออภัยที่ทำให้โกรธเคือง ข้าขอตัวก่อน” เยี่ยเฟิงบอกกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มโอบอ้อมอารี ก่อนจะรีบผละออกไปเมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
    
            “ท่านไม่น่ารีบมาเลย” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเสียดายเมื่อครู่นี้แทบจะรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเฟิงเป็นใครกันแน่ หากได้สนทนาเพิ่มอีกสักนิดน่าจะรู้ ทว่าสายตาเย็นเยือกที่ส่งมาทำให้หันไปมองอีกครั้ง
    
            “ข้าพูดอะไรผิดหรือ?” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ดวงตาเรียวสวยจับจ้องอย่างไม่เข้าใจทำให้คนโมโหหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุอยากโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายซะเดี๋ยวนั้นเลย
    
             “ไม่ เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้น เจิ้นผิดเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างปลงตก จ้องมองคนเย็นชาไร้หัวใจแล้วรู้สึกเศร้า ที่ผ่านมาตนไม่มีความสำคัญกับคนตรงหน้าบ้างเลยหรืออย่างไร
    
               หลิ่วเหวินอี้มองคนหางลู่หูลู่อย่างไม่ใส่ใจ ความจริงเขารู้ดีว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องการอะไร เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกหึงหวงอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ การที่จะชอบใครสักคนใช่ว่าจูบเดียวจะรักได้เลย อีกอย่างคนตรงหน้าเขาเวลานี้เพียงแค่หึงหวงสิ่งที่คิดว่าเป็นของตัวเองเท่านั้น หาใช่เพราะความรักไม่
    
               สิ่งสำคัญที่สุดเขายังอยากรักษาเอกราชตัวเองเอาไว้!


                 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 06-06-2016 19:50:03
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 5/6/59)

           เพล้ง!
    
           ณ ตำหนักหลิ่งเห้อทางฝั่งตะวันตก เวลานี้องค์ชายเก้าผู้ที่ทำตัวปลีกวิเวกไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดเพียงแค่ร่วมงานเป็นบางครั้ง เวลานี้ปาจอกสุราในมือด้วยโทสะ ริมฝีปากเม้มแน่นเหตุการณ์ในครั้งผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่คิดว่าจิวชงหยวนจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย คนผู้นี้ร้อยพิษไม่กล้ำกลายซ้ำร้ายยังรักษาได้ทุกสารพัดพิษอย่างน่ากลัว วรยุทธสูงล้ำจนไม่มีผู้ใดกล้าต่อกร เขาจึงทำเป็นเสือหลับใหลไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้มังกรวางใจและไม่ระหวาดระแวง ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ แต่ตอนนี้จบสิ้นไปแล้ว
   
          “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งวู่วาม พระวรกายของฮ่องเต้นั้นไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก พิษไร้ลักษณ์อาจซึมเข้ากระแสโลหิตได้ แม้จะมีหมอเทวดาอยู่เคียงข้างแต่พิษชนิดนี้ก็นับว่าร้ายกาจอีกทั้งยังมีพิษหนอนแดงที่หลับใหลอยู่ในพิษไร้ลักษณ์พวกมันอาจจะยังไม่เจอ แต่ถึงจะเจอพิษหนอนแดงคงได้วิ่งเข้าสู่หัวใจไปแล้ว” เงาร่างบอบบางอยู่ด้านหลังผ้าม่านเอ่ยเตือนเสียงเรียบ ทำให้เจ้าของห้องหันไปมองอย่างขัดใจได้แต่เม้มปากแน่นมากขึ้นเมื่อไม่อาจโต้เถียงคนที่อยู่เบื้องหน้าตนได้
    
          “เอายาแก้พิษของเดือนนี้มา” แม้จะโดนข่มเหงทว่าสายเลือดของราชวงค์ชั้นสูงก็ยังมีความเย่อหยิ่งชวนให้คนมองตามด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แม้จะสูงศักดิ์กว่าตนทว่ากลับมีความขี้ขลาดกลัวตายเหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจนอดที่จะผิดหวังไม่ได้
    
          “นายท่านให้มาแค่ครึ่งเดียวเพราะฉะนั้นยานี่อยู่ได้แค่ครึ่งเดือน นายท่านคาดเดาได้ถูกต้องว่าฝ่าบาทมิอาจทำงานนี้สำเร็จ หลังจากนี้อีกครึ่งเดือนหากฝ่าบาทยังไม่สามารถกำจัดพระสนมหลิ่วเหวินอี้ได้ ชีวิตท่านก็คงไร้ความหมายอีกต่อไป”
    
           ทันทีกล่าวจบร่างบอบบางในอาภรณ์สีดำก็เลือนหายไป มีเพียงขวดยาเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ ปล่อยให้เจ้าของห้องได้แต่กำหมัดแน่นกระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บแค้น ความผิดพลาดเดียวทำให้ก้าวถอยหลังก็ไม่ได้ จะก้าวไปข้างหน้าก็มีแต่หุบเหวแค่มองไปเบื้องหน้าก็เห็นจุดจบของตัวเองได้เลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจให้คนที่รักตายได้!
    
           ลั่วหลิ่งเห้อเช็ดโลหิตที่มุมปากก่อนจะเดินไปคว้าขวดยาที่ถูกทิ้งไว้ต่างหน้าลงไปยังชั้นใต้ดินอย่างเงียบเชียบที่แห่งนี้แม้จะอยู่ชั้นใต้ดินแต่ไม่ได้อับชื้น ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีค่า ทว่าบนเตียงนอนกลับมีร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งนอนอยู่ มือเท้าของคนผู้นี้ถูกพันธนาการเอาไว้จนดิ้นไม่ได้ ใบหน้าแสนธรรมดาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทำให้คนที่มาเยือนปวดร้าวในอก แม้แต่คนที่รักก็ไม่อาจปกป้องได้ มีกองกำลังเป็นของตัวเองแต่กลับพ่ายแพ้ให้งูพิษที่พร้อมจะทำลายราชวงค์ลั่วหยาง
    
          “ฉางเอ๋อร์อดทนอีกนิด เปิ่นหวางจะหาทางรักษาเจ้าให้ได้” มือหนาลูบไล้ใบหน้าที่แสนธรรมดาทว่าหัวใจของคนตรงหน้านี้ทำให้องค์ชายเช่นตนไม่อาจทอดทิ้งได้
    
           “ฝ่าบาทฆ่ากระหม่อมอย่าทำเช่นนี้ อย่าทรมานตนเองพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของร่างที่นอนอย่างทรมานคืนสติกลับมาเมื่อสัมผัสถึงการคงอยู่ของใครบางคน ลั่วหลิ่งเห้อส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับข้อเสนอ
    
           “ฉางเอ๋อร์เปิ่นหวางไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าจะตายไม่ได้”
    
            “ฝ่าบาทชีวิตกระหม่อมมีหน้าที่ปกป้องพระองค์แต่เวลานี้กระหม่อมกลับเป็นภาระให้ฝ่าบาท ได้โปรดสังหารกระหม่อม เพียงแค่นี้ฝ่าบาทมิต้องทำตามคนชั่วพวกนั้น อย่าได้กระหม่อมรู้สึกรังเกียจตัวเองไปมากกว่านี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาอ้อนวอนและจริงจังของคนในอ้อมกอดทำให้ลั่วหลิ่งเห้อส่ายหน้าอย่างจริงจังเช่นกัน
    
           “ฉางเอ๋อร์คนดี หากไม่มีเจ้าแล้วเปิ่นหวางจะมีชีวิตเพื่ออะไร หากครั้งนี้เรามีชีวิตรอดไปได้เปิ่นหวางจะพาเจ้าไปอยู่ในที่สงบ เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ต้องกลัวใครมาฆ่า ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจผู้ใด”
    
            คำกล่าวขององค์ชายเก้าทำให้องครักษ์เจี่ยงฉางน้ำตาไหลริน  ชั่วชีวิตนี้มันไม่รู้จะตอบแทนองค์ชายเก้าผู้นี้อย่างไรต่อให้มอบร่างกายและหัวใจให้ก็มิอาจทดแทนสิ่งที่พระองค์มอบให้แก่มันมา ดวงตาอ่อนล้าหลับตาลงไม่อยากมองดวงตาเศร้าหมองของคนที่รักอีกทั้งเป็นเจ้าชีวิตของมัน เพียงแต่การที่พระองค์ได้ส่งคนของตนไปลอบสังหารฮ่องเต้ต่อให้มีอีกร้อยชีวิตก็คงไม่เพียงพอ หากตนไม่ใช่จุดอ่อนของลั่วหลิ่งเห้อทางเดินของคนรักคงไม่มาจบเช่นนี้
    
           “กินยาก่อนนะฉางเอ๋อร์คนดี”
    
            ลั่วหลิ่งเห้อบอกเสียงอ่อนโยน กอดประคองร่างนั้นอย่างถนอมพร้อมยกขวดยาเข้าปากตนเองจากนั้นจึงก้มจูบลงที่ปากซีดเซียวของคนในอ้อมกอด การป้อนยาที่หัวใจสองดวงหล่อหลวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หนึ่งองครักษ์ผู้ทักษ์ดีอีกหนึ่งองค์ชายสูงศักดิ์ที่ไม่หวังสิ่งใดนอกจากอยู่เคียงข้างคนในอ้อมกอด
    
            เหตุการณ์ตรงหน้าองครักษ์เงาของฮ่องเต้ซึ่งขึ้นตรงต่อพระองค์เพียงผู้เดียว ปกติฝ่าบาทอยู่ที่ใดผู้เป็นเงาย่อมไม่ควรห่างกาย ทว่าด้วยครั้งนี้เป็นคำสั่งของลั่วเหยียนเจิ้งโดยตรงจึงมิอาจปฏิเสธได้ อีกทั้งปกติพระองค์ไม่ออกคำสั่งกับตนมากนักหากมิใช่เรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อรับรู้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงเร้นกายจากไปอย่างเงียบงันเหมือนกับตอนเข้ามา คำสั่งคือติดตามและรายงานผลมิได้ให้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้!

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกลับมาห้องบรรทมอีกครั้งหลังจากพาหลิ่วเหวินอี้ไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวง เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้หัวใจที่ด้านชารู้สึกแปลกใหม่มากขึ้น เขารู้สึกน้อยใจกับคนเย็นชาเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน ในห้องเวลานี้เหลือเพียงกวงไห่องครักษ์ฝ่ายซ้ายที่ให้รอรับหน้าที่อยู่ที่นี่ เขาโบกมือไล่ทีหนึ่งก่อนจะหันไปมองเงาของตนเอง
    
           “สิ่งที่ฝ่าบาทสงสัยล้วนไม่ผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ” คำรายงานสั้นๆ ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับ คิ้วคมเฉียงขมวดลึกครุ่นคิดไปถึงลั่วหลิ่งเห้อองค์ชายเก้าผู้ที่ชื่นชอบการเที่ยวเล่น ไม่เคยทำผลงานใดให้เสด็จพ่อพึงพอใจมาก่อน แม้ไม่ได้หมายแย่งชิงอำนาจทว่าเขาเองก็ไม่ได้วางใจ คอยจับตามองทุกคนอยู่ตลอด
    
           “ไม่คิดว่าน้องเก้าจะยอมทำตามผู้อื่นได้ง่ายๆ มีสิ่งใดที่ยังไม่ได้รายงาน” เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนเป็นไปได้ยากที่ลั่วหลิ่งเห้อจะลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้ แม้น้องเก้ามีความหยิ่งทรนงตนแต่ก็รู้จักการประมาณตัวเองไม่ทำอะไรสิ้นคิดอย่างนี้ เป็นไปได้ว่ามีคนคาดคั้นอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าเหตุผลใดกันที่ทำให้น้องเก้าถึงยินยอมลดตัวลงมาเชื่อฟังผู้อื่น
    
            “องครักษ์เจี่ยงฉางโดนหนอนพิษแดงควบคุมพ่ะย่ะค่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้า ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเย็นเยือก มันผู้ใดที่กล้าข่มขู่เชื้อพระวงศ์โดยใช้คนรักเป็นเครื่องมือช่างกล้าท้าทายอำนาจเขาซะเหลือเกิน เขาพอรู้มาบ้างว่าองครักษ์เจี่ยงฉางเป็นคนรักของลั่วหลิ่งเห้อ และเหตุนี้เองที่องค์ชายเก้าผู้นี้ไม่หมายชิงอำนาจเพราะกลัวคนรักจะตกอยู่ในอันตราย แต่สุดท้ายก็หลีกหนีไม่พ้นช่างน่าอดสู่นัก
     
            องครักษ์เจี่ยงฉางครั้งแรกเขาจดจำไม่ได้เพราะรูปลักษณ์ที่แสนธรรมดา รูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่อ่อนแอเขาไม่รู้เหตุใดน้องเก้าถึงได้มอบความรักให้กับคนที่ดูธรรมดาเช่นนี้ เรื่องนี้เขาไม่ได้ใส่ใจเพราะไม่เห็นถึงความสัมพันธ์ทว่าครั้งนี้คงไม่อาจละเลยได้อีก
    
           “เจ้าได้ติดตามไปหรือไม่”
    
           “ไม่พ่ะย่ะค่ะ นางเป็นคนของเผ่ามูซอผู้ที่นับถือภูตผีปีศาจและมีวิชาหายตัวได้พ่ะย่ะค่ะ”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกดคิ้วลึกยิ่งกว่าเดิมเมื่อเรื่องนี้ชักจะวุ่นวายมากขึ้น ลั่วหยางปกครองราษฎรมาอย่างผาสุกไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพและชนเผ่ากลุ่มน้อยใหญ่ ทว่าเหตุใดกันคนพวกนั้นถึงมายุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนัก คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ประมาทไม่ได้เสียแล้ว เขาโบกมือไล่หนึ่งทีเงาร่างนั้นก็เลือนหายไป ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเงาหากไม่จำเป็นเขาจะไม่เรียกใช้งาน คนผู้นี้เขาเป็นคนสอนวิชาทุกอย่างให้เองการเคลื่อนไหวและพลังลมปราณล้วนถึงขั้นปรมาจารย์
    
         “หนอนพิษแดงแม้แต่หมอเทวดาอย่างจิวชงหยวนยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้หรือไม่”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งพึมพำถึงพิษร้ายที่คนรักของน้องเก้าโดนเล่นงาน พิษชนิดนี้แม้แต่เขาเองยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร แม้จะมีพิษหลากหลายที่รู้จักและแก้ได้ แต่หนอนพิษแดงมันเป็นคุณไสยชนิดหนึ่ง แต่เขาโชคดีที่ร่างกายมีไข่มุขพันปีอยู่ในร่างขณะที่อยู่ในหุบเขาเร้นลับทำให้รับรู้สิ่งชั่วร้ายในจอกสุราในวันนี้ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาและลิขิตไม่ให้เขาตาย เพราะฉะนั้นเขาจะสั่งสอนคนที่คิดทำร้ายอย่างสาสม!

    
            เช้าวันรุ่งขึ้นอาการประชวรของฮ่องเต้ถูกปิดเงียบ มีเพียงขุนนางชั้นสูงที่ร่วมงานเมื่อคืนกับเหล่าองค์ชายเท่านั้นที่รู้ความจริงข้อนี้ การหาตัวคนร้ายจับได้แต่เพียงนางกำนัลชั้นต่ำที่รินสุราซึ่งถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้ว ตำหนักห้องบรรทมถูกปิดเงียบมีเพียงหัวหน้าขันทีซึ่งอยู่หน้าห้องคอยกีดกันผู้ที่เข้าเฝ้าอย่างจริงจัง ยิ่งสร้างความสงสัยแก่ผู้คนเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีหมอเทวดาจิวชงหยวนอยู่ด้วยแต่ว่าพระอาการไม่ดีขึ้น จนในที่สุดเรื่องที่พระองค์เจอพิษหนอนแดงก็ดังออกไป สร้างความตื่นตระหนกแก่ขุนนางน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก และเหล่าองค์ชายต่างก็เก็บตัวเงียบ มีบ้างที่แวะเวียนมาไถ่ถามอาการ เหตุการณ์ในครั้งนี้ยืนยาวไปกว่าหนึ่งสัปดาห์
    
           ทว่าคนที่ทุกคนใคร่อยากรู้อาการกำลังนั่งอยู่ยอดไม้ไผ่ตำหนักตะวันออกมองดูการเคลื่อนไหวขององค์ชายสิบหลิงเซียวอย่างเงียบงัน ดวงตาคมกริบทอประกายวาวโรจน์มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น ทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย หลายวันมานี้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ทำการทำงานจริงจังมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนขี้เล่นหยอกล้อเขาเมื่อคืนนั้น ดวงตาทอประกายวาววับเขารู้ความหมายดีเพราะเมื่อสองวันก่อนเพิ่งจะจับมือสังหารที่ลอบเข้ามาฆ่าเขาได้ ซึ่งเป็นนักฆ่าที่มีรอยสักและวันถัดมาคือนักฆ่าใบ้ซึ่งสืบเรื่องได้ความว่าเป็นคนที่มาจากตำหนักขององค์ชายเก้าและสิบ เพียงแต่เวลานี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ
    
          “หนอนพิษแดงจิวชงหยวนแก้ไม่ได้จริงๆ หรือ” หลังจากทนนั่งยุงกัดมานานจึงได้เอ่ยถาม เขาไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจสองคนนั่นแม้แต่น้อยแม้จะเป็นผู้ส่งคนมาลอบสังหารแต่ก็รับรู้สาเหตุที่องค์ชายเก้ากระทำ ถึงตอนนี้ยังไม่ได้ควบคุมตัวไว้แต่ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของลั่วเยียนเจิ้งจนหมดสิ้น
    
           “จิวชงหยวนค้นคว้าอยู่แต่ยังไม่คืบหน้า หนอนพิษแดงเป็นพิษคุณไสยจึงต้องใช้เวลามากหน่อย”
    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถอ่านได้ว่ารู้สึกเช่นไรกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ภายนอกเหมือนคนอ่อนโยน มีคุณธรรมสูงส่งทว่าแท้จริงแล้วจิตใจกลับเย็นชา โหดเหี้ยมไร้ความปราณี ซ้ำร้ายยังทรมานนักฆ่าพวกนั้นจนอยากตายก็ไม่ได้ ความลับที่พรั่งพลูออกมาก็ไม่ได้ทำให้ตายอย่างสงบได้ แค่คิดไปถึงอดีตจิตใจเขากลับรู้สึกว่างเปล่าไปหมด
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าคิดว่าเจิ้นเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่”
    
           หลิ่วเหวินอี้รั้งสายตากลับมามองคนที่เอ่ยถาม กดคิ้วลึกลงมากขึ้นอย่างครุ่นคิด เหตุใดถึงเอ่ยถามคำถามนี้ แววตาเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นในดวงตาคมกริบคู่นั้นทำให้ชะงักไปชั่วครู่ เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนจึงพอจะเข้าใจกับคำถาม ภาระหน้าที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่ตำแหน่งที่อยู่บนบ่าของลั่วเหยียนเจิ้งนั้นหนักหนามาก อีกทั้งไม่มีผู้ใดที่จะวางใจได้เมื่อไหร่ที่พลาดพลั้งชีวิตก็คงถึงจุดจบ ชีวิตเขากับลั่วเหยียนเจิ้งไม่ต่างกันนัก แต่เวลานี้เขารู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่อย่างน้อยก็ยังทำตัวเที่ยวเล่นได้บ้าง
    
          “ท่านพี่เหยียนเจิ้งปกครองได้ดี เพียงแต่กิเลสในใจมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด หากได้ขึ้นหลังเสือแล้วมิอาจลงมาได้ ท่านพี่น่าจะรู้ความหมายดี” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปาก เหตุใดเขาจะไม่รู้
    
          “เจ้ากลัวไหมที่จะอยู่บนหลังเสือร่วมกับเจิ้น” คำถามที่มีนัยน์ได้หลายอย่างทำให้ใบหน้างดงามกดคิ้วคมลงลึกยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเรียวสวยมองสบดวงตาคมกริบที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนหลอกล่อให้ตกหลุมพราง ทว่าคนโดนหลอกล่อกลับนั่งนิ่งไม่ได้ร้อนใจกับสายตาที่มองมาอย่างเฝ้ารอคำตอบ
    
          “คำพูดร้อยคำไม่อาจเชื่อใจได้ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์” คำตอบที่ครอบคลุมในทุกๆ ความหมายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไป รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าเหม่อมองไปท้องฟ้า ความรู้สึกวางใจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน แม้กระทั้งน้องห้าที่ช่วยเหลือมาโดยตลอดก็ยังให้ความรู้สึกแตกต่าง
    
            หลิ่วเหวินอี้มองคนยกยิ้มบางด้วยสีหน้านิ่งเฉย ความรู้สึกที่มีให้ลั่วเหยียนเจิ้งในเวลานี้เป็นเพียงสหายผู้หนึ่งเท่านั้น แม้หัวใจจะเต้นแรงเป็นบางครั้งแต่เขายังสามารถควบคุมร่างกายและจิตใจได้อย่างมั่นคง แม้จะไม่เคยมีความรักแต่เขาเชื่อเสมอว่าคนผู้นั้นจะต้องทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองและยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่รัก แม้กระทั้งชีวิตตัวเองก็ยังให้ได้ แต่ว่าตอนนี้... เขายังไม่รู้สึกเช่นนั้น
    
          “มาแล้ว”
    
           หลิ่วเหวินอี้หันไปยังทิศทางการเคลื่อนไหวของเงาร่างสีดำ ที่พุ่งเข้าไปยังตำหนักขององค์ชายสิบหลิงเซียว พลันนั้นลั่วเหยียนเจิ้งก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณบางอย่าง เงาลึกลับมากมายพุ่งทะยานแยกออกไปนับสิบสาย เขามองด้วยความประหลาดใจ นับว่าน่าหวาดกลัวที่ลั่วเหยียนเจิ้งมีกองกำลังลึกลับและเก่งกาจเช่นนี้
    
          “ลงมือเด็ดขาดแล้วสินะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเสียงเรียบนิ่งมองคนออกคำสั่งข้างกายที่มีสีหน้าจริงจังอีกครั้ง อาภรณ์สีดำที่สวมใส่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเหมือนมัจจุราชที่พร้อมจะคร่าชีวิตผู้คนมากขึ้น
    
    
            ขณะเดียวกันภายในตำหนักหลิงเซียวซึ่งมีกองกำลังลับแอบซุกซ่อนอยู่เวลานี้ กำลังนั่งปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ใบหน้างดงามขมวดคิ้วลึกอย่างไม่พึงพอใจคนที่โปรดปรานออกความเห็นให้รีบสังหารฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง เวลานี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะวิ่งแจ้นมาหาเขา อาภรณ์สีแดงขับผิวขาวให้ดูงดงามสง่าสูงส่งทว่าดวงตาเย็นเยือกที่สาดส่องมองเหล่าคนโปรดปรานมีแต่ตำหนิ ติเตือนทำให้พวกมันก้มหัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิม มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กอดเอวบางเข้าหาอย่างออดอ้อน
    
           “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งมีโทสะ พวกกระหม่อมเห็นสมควรแล้วที่จะชิงลงมือในครั้งนี้ จิวชงหยวนกับลู่เฟยแม้จะช่วยรักษาชีวิตฮ่องเต้ไว้แต่หนอนพิษแดงอีกไม่นานคงกำเริบเมื่อนั้นไม่ว่าผู้ใดก็แก้ไม่ได้”
    
           “แต่ทั้งคู่ยังอยู่ เวลานี้เสด็จพี่ประชวร พวกเจ้าย่อมไม่ควรปรากฏตัว” น้ำเสียงสงบนิ่งแต่สายตาเย็นเยือกมองลูกน้องไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย ก่อนจะนิ่วหน้ามองออกไปข้างนอกอย่างตื่นตระหนก
    
           “เพราะความสะเพร่าของพวกเจ้า ทำให้พวกมันรู้ตัวแล้ว เรียกรวมตัวสังหารคนที่ขัดขวางไว้ให้หมด คืนนี้หากพวกมันไม่ตายก็เป็นพวกเราเอง” คำสั่งเหี้ยมโหด ทว่าทุกคนกลับเรียกอาวุธของตัวเองออกมาพร้อมสัญญาณบางอย่างที่พุ่งขึ้นฟ้า ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว!
    
            ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำถักทอด้วยไหมสีเหลืองทองด้วยลายมังกรดูสง่างาม ทว่าเวลานี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนพญามัจจุราชที่ทำให้คนมองอกสั่นขวัญผวา ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามายังตำหนักหลิงเซียวด้วยสีหน้านิ่งเฉยมองความวุ่นวายเบื้องหน้าแล้วยกยิ้มที่มุมปาก ความน่ากลัวของฮ่องเต้ผู้นี้ยังไม่ค่อยมีคนพบเห็น การต่อสู้อย่างดุเดือดรอบกายไม่ได้ทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ในมือมีกระบี่หยกสีขาวการตวัดกระบี่หนึ่งรอบทำให้ผู้ที่พุ่งเขามาล้มตายลงอย่างง่ายดาย
    
         ลั่วเหยียนเจิ้งมองร่างโปร่งในอาภรณ์สีแดงงดงามยืนถือกระบี่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเย็นชา จิตสังหารพุ่งเข้ามาอย่างมีความปราณี มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มเย้ยหยันไม่ได้หวาดหวั่นกับความพ่ายแพ้ที่ใกล้จะมาถึงแม้แต่น้อย น่าเสียดายนักที่เขาต้องสูญเสียพี่น้องไปอีกหนึ่งคน
    
         “สมกับเป็นท่านพี่ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างท่านพี่คงไม่ปล่อยให้ข้าได้คิดทบทวนให้นานกว่านี้” น้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้ที่สวมใส่อาภรณ์สีแดงตรงหน้าไม่ได้ทำให้หัวใจลั่วเหยียนเจิ้งสั่นไหว มีแต่รอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น ทว่าความอ่อนโยนบนใบหน้าเวลานี้กลับดูน่าสะพรึงกลัวต่อผู้พบเห็น
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบ มองคนที่เคยแกล้งตัวสั่นหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ๆ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก อรสรพิษที่หลับใหลตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาที่เย็นเยียบคู่นั้นมีแต่ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณี
    
          “เจ้าอยากได้บัลลังก์มากหรือหลิงเซียว”
    
          “ฮ่าๆๆ บัลลังก์เลือดเช่นนั้นหรือที่ข้าอยากได้ เปล่าเลยท่านพี่ แต่ข้าเกลียดชังคนที่นั่งอยู่บนนั้น รู้ไหมท่านพี่เพราะเหตุใด”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองใบหน้างดงามของน้องสิบอย่างแสนเสียดาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นไม่ได้น่าดูนัก เหตุใดน้องชายที่น่ารักเขาถึงได้มีจิตใจวิปลาสเช่นนี้ เขามองดูนิ่งๆ ไม่ได้ตอบคำถามหรือเอ่ยถามสิ่งใด รอบกายมีแต่เสียงกระบี่และพลังยุทธตอบโต้กันไปมาอย่างรุนแรง ทว่าพวกเขายังมองกันนิ่งๆ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบกาย มีบ้างที่ตวัดกระบี่เข้าหาร่างที่พุ่งเข้ามาหาตน
    
           “บัลลังก์เลือดนั่นท่านได้มันมาแต่ต้องเหยียบย่ำชีวิตของผู้คนมามากเท่าไหร่ พี่น้องของท่านพี่ต้องสังหารไปเท่าไหร่ ไม่สิ ท่านพี่เหยียนเจิ้งไม่ได้ทำอะไรเลยแค่ยืนเฉยๆ ทำตัวอ่อนแอรอให้คนโง่อย่างพี่ห้าและพี่เจ็ดคอยถากถางเส้นทางให้แล้วนั่งบนบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มผู้มีชัย ฮ่าๆๆ พวกเขาช่างโง่งมเหลือเกิน”
    
          เสียงหัวเราะของหลิงเซียวดังก้องไปทั่ว จิตใจดำมืดเกินที่จะเยียวยา ตรรกะความคิดที่ไร้เหตุผลและแก่นสารทำให้หลิ่วเหวินอี้ยืนมองอยู่บนยอดไม้มองตามอย่างนึกสงสาร วังหลวงล้วนผลิตบุคลากรที่มีจิตใจน่าหวาดหวั่นเสียจริง คนเช่นนี้น่ากลัวเพราะไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการทำลาย แม้แต่ชีวิตตนเองก็ไม่อาจเห็นความสำคัญด้วยซ้ำไป เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในที่ลั่วเหยียนเจิ้งต้องสะสางเองจึงไม่ได้ยื่นมือไปข้องเกี่ยว
    
          แม้กระทั่งองค์ชายห้าและจิวชงหยวนยังไม่ขอยุ่งเรื่องนี้ด้วย เหตุผลง่ายๆ คือหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว ต่อไปนี้ลั่วเหยียนเจิ้งต้องพิสูจน์การเป็นฮ่องเต้และรักษาตำแหน่งด้วยตนเอง ซึ่งเขาก็เห็นด้วยอยู่ลึกๆ ดวงตาเรียวคมมองเหตุการณ์เบื้องล่างด้วยความนิ่งเฉย ทว่าในใจนั้นได้แต่ภาวนา
    
          ขอให้ปลอดภัยนะพี่เหยียนเจิ้ง...


 ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์มากค่าา  เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อจ้า :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 06-06-2016 22:23:34
เจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้แน่

แต่จะจัดการกับพวกกบฎยังไง?

ให้พวกนั้นไม่กล้ามายุ่งอีก

ชีวิตจะได้สงบขึ้นมาหน่อย :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 06-06-2016 22:48:47
มาอัพเร็วมากๆค่ะ ตอนนี้เริ่มเข้มข้นแล้ว   อี้เออร์ใจแข็งเหลือเกิน ส่วนฮ่องเต้ก็เริ่มร้ายมากๆ   นึกถึงหย่งเจิ้นในเรื่องปู้ปู้จิงซินเลยค่ะ  รักนะ แต่ก็ต้องรักษาอำนาจจนรั่วซีทนไม่ไหว รัก แต่ไม่กล้าอยู่กับพญามังกรเลือดเย็นไร้หัวใจ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-06-2016 02:00:38
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-06-2016 03:03:46
สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 07-06-2016 16:45:21
รักเรื่องนี้ชอบเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 07-06-2016 20:12:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่25จับหมูตัวอ้วน?(P.5วันที่ 6/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 07-06-2016 21:03:04
ล้างโคตรมานนนนนนน :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่26ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 07-06-2016 21:09:50
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่26ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)

            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าน้อยๆ กับคำพูดของน้องสิบผู้ที่ทำตัวป็นอสรพิษที่หลับใหลมาหลายปีด้วยความแปลกใจ ที่ทำเช่นนี้มาเนิ่นนานไม่ได้หมายแย่งชิงบัลลังก์แต่คิดจะทำลายราชวงค์ลั่วหยางโดยใช้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว หากเขาไม่เหมาะสมที่จะครองบัลลังก์แล้วผู้ใดกันที่ควรนั่งในตำแหน่งนั้นแทนเสด็จพ่อ
    
         “ข้าแค่ปกป้องชีวิตตนเองเอาไว้ สังหารผู้ที่คิดกบฏนั่นเป็นสิ่งสมควร หลิงเซียวหากไม่ใช่ข้าที่เหมาะสมแล้วผู้ใดเล่าควรได้ปกครอง หรือว่าเจ้าคิดจะล้มล้างอำนาจในวังหลวงโดยใช้ยุทธภพมายุ่งเกี่ยวเช่นนั้นหรือ”     “ท่านพี่คาดการณ์ได้ไม่ผิดเพียงแต่คลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่ข้ามิได้โง่เขลาที่จะบอกแผนการแก่ท่านพี่” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปาก ใบหน้าสงบนิ่งของหลิงเซียวไม่ได้เกินจากที่คาดหมายคนที่เจ้าแผนการล้วนไม่เผยสีหน้าที่แท้จริงให้ศัตรูได้พบเห็น แต่ที่ไม่เข้าใจเหตุใดหลิงเซียวถึงได้เกลียดชังราษวงศ์ลั่วหยางมากมายถึงเพียงนี้
    
          “โลหิตในกายเจ้าครึ่งหนึ่งเป็นของราษวงศ์ลั่วหยางเหตุใดต้องคิดทำลายแม้กระทั่งตัวเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างใจเย็น รอบกายการต่อสู้ดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ทว่าคนตรงหน้าเขานั้นกลับมีรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ
    
           “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องรู้ ชีวิตท่านข้าขอแล้วกัน”
    
           เคร้ง!
    
           ตูม!!!
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งถอยหลังไปถึงสามก้าว ใบหน้าคมคายนิ่วหน้าน้อยๆ พลังลมปราณเมื่อครู่นี้รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง อสรพิษที่หลับใหลแอบไปฝึกวิชามาจนถึงขั้นสูงไม่ต่างจากตน ร่างสีแดงพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วแต่เขาซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเทพตกสวรรค์ฝู่ซานจะพ่ายแพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวเช่นนั้นหรือ ไม่มีทาง!
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวขึ้นต้านรับอีกครั้ง พลังลมปราณที่ผนึกลงในกระบี่โจมตีสะท้อนกลับจนร่างสีแดงกระเด็นห่างไปนับสิบก้าว ทว่าหลิงเซียวกลับยังทรงตัวได้ดี
    
           “คิดไว้ไม่มีผิดท่านพี่หาใช่ฮ่องเต้ที่ไร้วรยุทธ ที่ผ่านมาพวกมันช่างโง่เขลานัก แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ปีหน้าก็เป็นวันตายของท่าน”
    
          “อย่ามั่นใจนักหลิงเซียว” ลั่วเหยียนเจิ้งเค้นเสียงตอบโต้ ก่อนจะพุ่งเข้าหากันอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน เวลานี้ไม่มีคำว่าพี่น้อง มีเพียงคำว่าศัตรูเท่านั้น การลงมือที่รุนแรงทำให้ตำหนักทั้งหลังพังทลายลงอย่างง่ายดาย วรยุทธของทั้งคู่ล้วนอยู่ในขั้นสูงล้ำ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับได้เปรียบความเร็วที่เหนือกว่า กระบี่สองสายฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วดุจเส้นแสง
    
          ตูม!
    
           ลมปราณของทั้งคู่ประทะกันอย่างดุเดือด สองร่างกระเด็นถอยห่างกันออกห่างจากกัน พื้นดินโดยรอบแตกเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างน่าตกใจ ทว่าเงาร่างสีดำที่ปะทะกันต่างก็ต่อสู้กับศัตรูของตนเองจนไม่ได้หันมาสนใจเจ้านายที่ปะทะกัน มีเพียงสายตาคมกริบเหลือบมองเล็กน้อยเท่านั้น
    
             อึก!
    
            หลิงเซียวกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แรงปะทะเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าตนยังด้อยกว่าพี่ชายจอมแสแสร้งผู้นี้มากนัก ไม่คิดว่าพี่ชายที่ทำตัวไร้ประโยชน์จะมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่คอยสืบตามข่าวมาหลายปีแต่ไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมีอาจารย์ผู้ฝึกสอน มือบางกำกระบี่แน่นขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างนั้นอีกครั้ง
    
            เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่หยกขาวต้านกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างว่องไว การโจมตีที่รวดเร็วและดุดัน ไม่ได้ทำให้ในใจหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ใบหน้าที่สงบนิ่งยิ่งสร้างแรงกดดันให้ศัตรูมากขึ้น รัศมีการโจมตีของทั้งคู่ทำให้ป่าไผ่ล้มลงและถูกตัดขาดต้นแล้วต้นเล่า
    
           หลิ่วเหวินอี้พลิ้วกายหลบรัศมีการโจมตีของทั้งคู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มองดูความพินาศของตำหนักและสวนไผ่ด้วยความเย็นชา ดวงตาจับจ้องไปยังเงาร่างสีแดงและดำอย่างกังวลใจ หลิงเซียวเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและทำอะไรอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจแม้แต่ชีวิตตนเอง เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรที่ไม่อาจคาดเดาได้
    
             พรึบ!
    
            หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบรัศมีกระบี่ที่ฟาดผ่านมาได้อย่างคล่องแคล่ว เหลือบมองคนที่ลงมือกับตนด้วยสีหน้าเฉยชา แต่เมื่อเห็นเป็นผู้ใดกลับยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ชายชู้? ขององค์ชายสิบหลิงเซียว เสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เขาพบในคืนนั้น
    
           “ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่อสรพิษแดง” 
    
            ทันทีที่หลิ่วเหวินอี้เอ่ยคำร่างที่พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วชะงักงันขาที่ก้าวผิดจังหวะทำให้ร่างนั้นถลาลงดินหน้าทิ่มอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นหันไปมองพระสนมคนใหม่อย่างไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใด คิ้วคมเฉียงกดลงลึกอย่างหวาดระแวง มองดูมุมปากที่ยกยิ้มทว่าแววตากลับเย็นนิ่งไม่มีสั่นไหวช่างน่าคุ้นเคยนักแต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนรู้จักพระสนมเป็นการส่วนตัว ไม่สิ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มอสรพิษแดง ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
    
            “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงกดดันและสายตาที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปากอย่างขำขัน เมื่อครู่นี้น่าเสียดายนักที่ไม่มีกล้องไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าหัวหน้าอสรพิษแดงจะทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้
    
            “คิดว่าเช่นไร”
    
             น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยตอบกลับมาทำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายหรืออสรพิษแดงเซี่ยจวินครุ่นคิดอย่างหนักว่าเคยคุ้นเคยกับน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหน ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อว่าจะเจอคนที่ไม่อยากเจออีกครั้ง อีกาดำ! นี่หรือโฉมหน้าของคนกลุ่มอีกาดำ ทำไมรูปโฉมถึงได้งดงามไม่เหมาะสมกับชื่อกลุ่มเลยสักนิด
    
           เซี่ยจวินเคยเจออีกาดำมาแล้วกว่าห้าคน ทว่าคนที่ทีท่าสงบเยือกเย็นเช่นนี้ มีอยู่สองคนจึงมิอาจคาดเดาได้ว่าเป็นคนไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเขาก็ไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด แม้จะเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษทว่าทักษะพรางตัวและความเร็วของอีกฝ่ายทำให้มิอาจทำอะไรได้เช่นกัน
    
          “อีกาดำไยเจ้ามาอยู่ที่นี่” เซี่ยจวินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง คนของอีกานั้นมิอาจดูดายได้แม้ชื่อเสียงจะเหี้ยมโหดแต่ก็ทำงานตามใจตัวเอง มิคิดว่าวันนี้จะมาพบอีกาที่เปิดเผยตัวตนเช่นนี้
    
            “อสรพิษแดงยังอยู่ที่นี่ได้เหตุใดอีกาดำถึงจะอยู่มิได้ แต่น่าเสียดายที่วันนี้พวกเราต่างอยู่คนละฝั่ง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวอย่างสงบ ทว่าในมือปรากฏมีดสั้นหยินหยางเพราะไม่ว่าเช่นไรอสรพิษแดงก็ไม่อาจเป็นมิตรได้ ความโหดเหี้ยมไร้ความปราณีของเซี่ยจวินแม้กระทั่งลูกน้องยังต้องตัดลิ้นมิให้พูดในสิ่งที่ไม่ควร ซ้ำร้ายพวกมันล้วนโดนพิษหนอนแดงควบคุม หลังจากที่เคยจับตัวมาได้เมื่อไม่ได้รับยาแก้พิษภายในหนึ่งเดือนล้วนตกตายจนหมดสิ้น
    
          “หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงมิต้องเสียเวลาต่อรอง”
    
           เคร้ง!
    
            กระบี่ยาวคมกริบถูกต้านรับด้วยมีดสั้นหยินหยางอย่างทันท่วงที  ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าบุคคลที่มีมีดสั้นคู่นี้คือผู้ใด มันเคยพ่ายแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้งคราวนั้นมันแทบเอาชีวิตไม่รอด ทว่าเวลาผ่านไปมันก็ไม่ได้คิดจะไปแก้แค้นเพราะกลุ่มอีกามิใช่กระจอกที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้า!
    
           ที่สำคัญอีกาดำทำเหมือนไร้ตัวตน เช่นเดียวกับคนหอกิเลน พวกกลุ่มปริศนามีน้อยคนนักที่รู้จัก ทั้งหมดสี่กลุ่มด้วยกันหนึ่งหอกิเลน สองกลุ่มอีกาดำ สามวิหคดำ และสุดท้าย อสรพิษแดง ซึ่งเป็นมันเองที่เป็นหัวหน้า แม้ความสัมพันธ์พวกมันจะไม่ลงเอยกันนัก ทว่ายังใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งสี่กลุ่มเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในยุทธภพทว่ามันกลับร้ายกาจกว่าพรรคใหญ่บางพวกเสียอีก แต่เมื่อได้ลงมือแล้วก็มิอาจถอยหลังได้
    
            เคร้ง!
    
            ตูม!!!
    
            หลิวเหวินอี้ต้านรับก่อนจะผนึกลมปราณเข้าไปยังมีดสั้นหยินหยางและตวัดเข้าหาร่างของเซี่ยจวินด้วยความเร็ว พลังที่ผนึกลมปราณไปห้าส่วนพลักร่างที่จู่โจมเข้าหาให้ถอยห่างไปกว่าสามเมตร  ใบหน้างดงามเย็นเยือกการลงมือเด็ดขาดไร้ความปราณีทำให้คู่ต่อสู้มิอาจประมาทได้อีกต่อไป
    
           เซี่ยจวินกลืนโลหิตที่อยู่ลำคอลงท้องไป ไม่อาจเผยให้ศัตรูได้เห็นว่าตนได้รับบาดเจ็บ การต่อสู้ที่ห่างหายไปกว่าสามปี คนผู้นี้ฝีมือสูงขึ้นจากเดิมมาก หากอยากชนะต้องงัดเอาทุกอย่างขึ้นมาต่อสู้แต่สุดท้ายเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะตนจะบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ นี่ยังไม่นับเหล่าองครักษ์เงาของฮ่องเต้ที่สังหารคนของตนดุจใบไม้ร่วง เมื่อมองไปยังเงาร่างสีแดงที่มีสภาพยับเยินได้แต่กัดฟันพุ่งเข้าหาหลิ่วเหวินอี้อีกครั้ง หากวันนี้มันไม่ชนะอาจจะเป็นวันตายของมันก็เป็นได้
    
           เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    
          ตูม!!!
    
           การโจมตีของทั้งคู่ทำลายพื้นที่โดยรอบไม่ต่างจากคู่ของฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้ง ลมปราณสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง จนสะท้อนตีกลับทำให้สองร่างถอยห่างจากกัน แต่เพียงอึดใจก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง! การต่อสู้ที่ดุเดือด รุนแรงโหมกระหน่ำราวกลับพายุคลั่งทำลายดอกไม้ในสวนจนยับเยิน ทั้งคู่ต่อสู้พัวพันกันจนถอยห่างจากลั่วเหยียนเจิ้นไปไกลกว่าครึ่งลี้
    
           ฉัวะ!
    
           หลิ่วเหวินอี้เอนกายหลบคมกระบี่ที่ฟาดฟันมาอย่างหนักหน่วงแม้จะมีความเร็วที่เหนือกว่า ทว่าประสบการณ์ของเซี่ยจวินมิอาจดูถูกได้ คมมีดตัดเส้นผมไปปอยหนึ่งและเฉือนไหล่ไปอีกเล็กน้อย ใบหน้านิ่วเล็กน้อยเมื่อรับรู้สิ่งผิดปกติที่ไหล่ขวาของตนเอง ยาพิษ! นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ในเวลานี้
    
            หลิ่วเหวินอี้พุ่งเข้าหาร่างนั้นพร้อมพลิกกายหลบคมกระบี่อย่างรวดเร็วดุจสายลม ความเร็วที่เพิ่มขึ้นทำให้มีดสั้นคู่หยินหยางฟาดฟันพากผ่านมีเพียงลมจนเกิดเสียงหวีดหวิวอย่างน่ากลัว
       
           ฉัวะ!
    
            ตูม!!
    
           เซี่ยจวินหล่นกระเด็นตกไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ร่างนั้นกระอักโลหิตออกมาคำโต หน้าอกมีคมมีดสั้นกรีดเป็นทางยาว เมื่อครู่มันเร็วมาก มากจนมิอาจมองตามได้ทัน
    
            อ๊ากกกก
    
           เสียงกรีดร้องของหลิงเซียวเรียกความสนใจให้ทั้งคู่หันไปมองอีกครั้ง แขนข้างซ้ายขององค์ชายสิบตอนนี้หลุดห้อยลงจนเกือบขาด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกันนับว่าฝีมือของทั้งคู่นั้นดูแคลนไม่ได้แม้แต่น้อย 
    
          ขณะที่ฮ่องเต้จะลงมืออีกครั้งร่างบอบบางสีดำก็พุ่งเข้ามาป้องกันไว้ได้อย่างหมดจดจนน่าทึ่ง ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดมือมองอีกฝ่ายอย่างระวัง พลันใดนั้นมีหมอกควันปรากฏพร้อมร่างของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง พวกมันล้วนตายตกจากคมกระบี่จากองครักษ์เงาทว่ามันกลับลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างไร้ชีวิต!    
    
             อึก!
    
             เพล้ง!!
    
             หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด เอนกายหลบกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าหาตนเองแม้สัมผัสจะเฉียบคมแต่มิอาจหลบพ้น กระบี่เสียบทะลุกลางอกอย่างรวดเร็ว พลันใดนั้นร่างกายรู้สึกปวดแสบจนมิอาจบรรยายได้แต่ก็ยังฝืนกระชากกระบี่ที่เขามองเห็นเป็นสีโลหิตซึ่งมันพยายามดูดเลือดในกายออกอย่างรวดเร็ว ลมปราณในร่างรู้สึกปั่นป่วนไปหมด
             
             “อี้เอ๋อร์!” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกร่างโปร่งที่เซเล็กน้อย แม้จะมองไม่เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายจับเอาไว้แต่ความรู้สึกบอกมันไม่ใช่สิ่งที่ดี ร่างสูงพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นทว่าถูกสะกัดกั้นด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น แม้จะไม่เห็นสิ่งที่ขวางกั้นทว่าสัมผัสที่เฉียบคมก็สามารถป้องกันไว้ได้ แต่มันมีมายมายจนน่าหงุดหงิด มองไปยังคนงามใบหน้าตอนนี้ซีดเผือด ทว่าลมปราณที่แผ่ออกมาเย็นเยือกอย่างน่ากลัว มีดสั้นหยินหยางหมุนรอบกาย ประกายการสังหารแผ่ออกมาอย่างรุนแรงปะทะกับสิ่งที่ไม่เห็น มีเพียงประกายไฟออกมาเท่านั้น
    
            ตูม!!
    
            หลิ่วเหวินอี้เม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่ตนต่อสู้ในเวลานี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นฝีมือมนุษย์ธรรมดา เขาได้ยินมาว่าเผ่ามูซอเป็นพวกนับถือภูติผีวิญญาณแต่เวลานี้กลับไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พบเป็นอะไรกันแน่ ลมปราณที่กักเก็บไว้ถูกดึงออกมาต่อต้านจนหมดสิ้น ลมปราณในร่างปั่นป่วนจนร่างเหมือนโดนฉีกกระชากแต่เวลานี้ไม่อาจผ่อนแรงได้
    
            เซี่ยจวินถือโอกาสนี้พุ่งเข้าหาทว่าขณะเดียวกันบุรุษชุดดำก็เข้ามาขวางทางเอาไว้ แรงกดดันที่แผ่ออกมาทำให้รู้ได้ว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มอีกาดำ มันยกมือเพียงครั้งเดียวกลุ่มอสรพิษแดงก็พุ่งเข้าไปเป็นคู่ต่อสู้แม้จะไม่ใช่คู่มือแต่ก็สามารถสกัดกั้นคนพวกนั้นไว้ได้ 
    
            เปรี๊ยะ!!
    
             ตูม!
    
             เวลานี้ทุกอย่างเหมือนจะเกินเลยจากที่คาดการณ์ไว้ พลังลมปราณสีทองที่ฟาดเข้าแทรกระหว่างกลางทำให้ทั้งสองฝั่งแยกออกจากกันรวดเร็ว พลันใดนั้นเพียงการโบกสะบัดเพียงครั้งเดียวเหล่าผีดิบที่ถูกปลุกชีพขึ้นมาก็ล้มลงสิ้นใจอีกครั้ง หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนที่ช่วยเหลือตนเองด้วยความทึ่ง ใบหน้าคมคายสาดประกายสังหารจนคนมองตัวสั่น
    
             ลู่เฟย! นี่หรือคือพลังลมปราณขององค์ชายห้า น่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวเหล่าผีคืนชีพกลับตายลงอีกครั้ง
    
             อึก!
    
            “อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งร้องเรียกคนที่อยู่อีกฝั่งด้วยความร้อนรน เขาไม่เคยรู้สึกห่วงใครมากเท่านี้มาก่อน พลังที่มองไม่เห็นเวลานี้หายไปแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปหาร่างโปร่งอย่างร้อนรน ดวงตาเย็นชาที่มองมามีความเหนื่อยล้าเผยออกมา
    
            เคร้ง!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่เข้ามาขัดขวางด้วยแววตาเย็นเยือก ทว่าหลิงเซียวที่แขนซ้ายขาดห้อยกลับยังถือกระบี่ขัดขวางทุกวิธีทาง คำสั่งร้ายกาจที่ทำให้คนฟังโกรธเกรี้ยวจนแทบอยากสับร่างน้องร่วมสายเลือดเป็นหมื่นๆ ชิ้น
    
           “สังหารเหวินอี้เร็วเข้า!”
    
            หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเงาร่างบอบบางที่พุ่งเข้ามาหา มีดสั้นหยินหยางตวัดรับกระบี่โลหิตในมือของร่างบอบบางที่พุ่งเข้าหาตนด้วยความเร็ว แรงกดดันที่แผ่ออกมานั้นทำให้ลมปราณแทบแตกซ่าน ความรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก
    
            ฉัวะ!
    
           หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อตวัดผ้าคลุมหน้าอีกฝ่ายออกจนหมด และด้วยความตกใจนี้เองที่ทำให้พลาดท่าจนมิอาจกล่าวสิ่งใดได้ กระบี่โลหิตเสียบทะลุกลางอกซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างกว่าครั้งไหนๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มเย็นเยือกขณะที่แทงกระบี่หมายจะซ้ำเติม
    
             “ท่านแม่...”
    
              ร่างบอบบางชะงักงันถอยห่างออกมาอย่างตื่นตระหนก เสียงที่แม้จะเบาหวิวแต่กลับดังก้องไปภายในใจ ใบหน้างดงามซีดเผือดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ มือสองข้างสั่นเล็กน้อย
    
             “นภาเยือนถิ่น” นางกล่าวเพียงเท่านั้น ทุกคนที่เหลือต่างถอยจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หลิงเซียวองค์ชายสิบก็ถูกนำตัวไป ทุกอย่างตรงหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็วความพินาศตรงหน้าเหมือนกับความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ทว่าผู้เป็นฮ่องเต้กลับปล่อยไอเย็นเยือกไปทั่ว กระบี่หยกขาวเกรี้ยวกราดแยกเป็นร้อยสายพุ่งติดตามศัตรูและฟาดฟันดุจใบไม้ร่วง กระบี่สรรค์ยามนี้กลับถูกชโลมไปด้วยความโกรธทำให้อานุภาพรุนแรงกว่าครั้งไหน
    
             อ๊ากกก
    
             เสียงกรีดร้องท่ามกลางความมืดก่อนจะเงียบหายไป เหลือเพียงความเงียบงัน ลั่วเหยียนเจิ้งพุ่งกายเข้ามาหาร่างโปร่งสองมือสั่นระริกด้วยความกลัว
    
            อึก!
    
            ใบหน้างดงามซีดเผือดพร้อมกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งรับร่างที่ล้มลงได้อย่างหวุดหวิด เวลานี้หลิ่วเหวินอี้ดูบอบบางจนแทบสลายไปต่อหน้า
    
           “อี้เอ๋อร์” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า หัวใจหนักอึ้งและรู้สึกว่างเปล่าไปหมด เขาสูญเสียมามากแต่เวลานี้หัวใจที่เย็นเยือกกลับเจ็บปวดแทบทนไม่ได้ กอดประคองร่างนั้นขึ้นมาแม้ดวงตาเย็นชาจะมองมาแต่ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน
    
            “แฮ่กๆๆ ให้ตายสิ พวกนั้นตัวอะไรกันแน่” จิวชงหยวนที่กว่าจะเข้ามาเขตตะวันออกได้ถึงกลับหอบแฮ่กเพราะเขาเองก็เจอการสะกัดกั้นจากบางกลุ่มที่ใช้วิชาที่ไม่รู้จักมาก่อน แม้จะส่งลู่เฟยออกมาก่อนแต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคงมาไม่ทันแน่ๆ ไม่สิ ลู่เฟยไม่ได้มาช้าเพราะพลังเทพก็มี เพียงแต่อีกฝ่ายคิดการใดกันแน่ถึงได้ลงมือช้าเช่นนี้ ใบหน้างดงามขมวดมุ่นมองหลิ่วเหวินอี้อย่างเป็นห่วง เขามองไปสำรวจร่างนั้นเพียงครู่ก่อนจะเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
    
            “หนอนพิษแดงอีกแล้ว! ไม่สินี่มันหนักกว่าเจี่ยงฉางอีกเพราะยังมีโลหิตกลืนกินที่แฝงไว้ในร่างกายด้วย”
    
             “หมายความว่าไง” น้ำเสียงและดวงตาที่เย็นเยือกของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้จิวชงหยวนสะดุ้งน้อยๆ ด้วยไม่เคยเห็นภาพลักษณ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อมองไปเห็นลู่เฟยที่ยืนสงบนิ่งยิ่งทำให้เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่นี่เล่นแรงไปไหม เขายกมือลูบศรีษะเบาๆ เมื่อเจอสายตากดดันอีกฝ่าย
    
            “ก็เจอพิษเดียวกับเจี่ยงฉางแล้วก็พิษโลหิตกลืนกินซึ่งมันกินโลหิตและลมปราณของเหวินอี้เป็นอาหาร” เมื่อได้ยินเช่นนั้นลั่วเหยียนเจิ้งกำมือตัวเองแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น เมื่อก้มมองคนในอ้อมแขนความโกรธจึงจางลงบ้าง
    
            หลิ่วเหวินอี้รู้สึกใจหายเป็นครั้งแรก แม้จะคุ้นเคยชื่อพิษนี้ดีแต่หัวใจกลับสงบกว่าที่คิดไว้ การตายของเขาไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชาติที่แล้วเจอเพื่อนรักทรยศหักหลัง มาชาตินี้กลับเป็นมารดาที่สังหารตัวเอง เขาหัวเราะออกมาอย่างขำขัน
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าต้องปลอดภัย” ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกร้อนรนเวลานี้คนในอ้อมกอดยังมีอารมณ์มาขำแต่ว่าหัวใจเขากลับเย็นเยือกไปหมด
    
            “ชงหยวนเจ้ารักษาได้หรือไม่”
    
             คำถามที่กดดันมาทำให้จิวชงหยวนถอนหายใจอย่างหนักอก แม้เขาจะเป็นหมอเทวดาแต่เรื่องของคุณไสยเขาไม่ได้มีความรู้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามหาทางแก้ไขแต่ทำได้แค่บรรเทาเท่านั้นในเวลานี้ หากใช้เวลาเพิ่มขึ้นเขาอาจหาทางแก้ไขได้ และมีอีกหนทางหนึ่งที่แก้ไขได้อย่างหมดจดคือยาอายุวัฒนะที่เหลือเพียงสองเม็ด แต่หากทำเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะไม่ได้เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นหลิ่วเหวินอี้จะทำใจยอมรับได้หรือไม่ที่เห็นลั่วเหยียนเจิ้งตายไปก่อน
    
           “บัวหยกน้ำค้างพันปีที่แดนเซียนจะแก้ได้ เพียงแต่ไม่มีมนุษย์คนไหนขึ้นไปได้” ลู่เฟยกล่าวเหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนคิดอะไร ทว่าคำกล่าวนี้เหมือนดับความหวังลั่วเหยียนเจิ้งไปทันที สถานที่แห่งนั้นยังไม่มีใครเคยพบเห็นแล้วจะไปหาได้อย่างไร ไม่สิในร่างเขามีไข่มุกพันปีเพราะฉะนั้นโลหิตเขาน่าจะแก้ได้
    
           “ท่านคิดจะทำอะไร!” จิวชงหยวนร้องถามอย่างตกใจ เมื่อลั่วเหยียนเจิ้งกรีดข้อมือตนเองหยดโลหิตลงเข้าปากหลิ่วเหวินอี้ซึ่งเบิกตากว้างกับการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ทว่าคนที่ชื่อว่าหมอเทวดากลับกระชากแขนออกอย่างหงุดหงิด
    
            “โลหิตท่านมีพิษกว่าร้อยชนิด เหวินอี้เวลานี้จะต้านทานพิษพวกนั้นได้อย่างไร แม้กายท่านจะมีไข่มุกพันปีแต่ใช่ว่าจะทำอะไรง่ายๆ อย่างนี้ได้”
    
           “แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร จะให้ข้ามองคนที่ข้ารักตายต่อหน้าหรือไง” จิวชงหยวนชะงักงัน เขาไม่เคยเห็นลั่วเหยียนเจิ้งร้อนรนเช่นนี้มาก่อน น้ำเสียงที่ตะคอกถามมันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดทว่าเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดสิ่งใดออกมา
    
            หลิ่วเหวินอี้เวลานี้มองคนที่กอดตัวเองแน่นขึ้นอย่างตะลึงงัน ใบหน้าที่เจ็บปวดและดวงตาที่โกรธแค้นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คนที่เขาคิดว่าไม่มีหัวใจกำลังหลั่งน้ำตาเพื่อตนเอง ความเจ็บปวดที่ถาโถมเพราะพิษยังน้อยกว่าบาดแผลภายนอกที่โดนกอดแน่นเสียอีก แต่หัวใจที่ว่างเปล่ากลับเต้นแรงอีกครั้งเพียงแค่คำพูดว่ารักของคนที่ไม่คิดว่าจะมีใจให้ตนจริงๆ
    
            “พิษแค่นั้นไม่ได้ทำให้ข้าตายวันนี้เสียหน่อย แต่บาดแผลข้าที่ท่านกอดตอนนี้จะทำให้ข้าตายก่อน” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนในอ้อมกอดทำลั่วเหยียนเจิ้งสติกลับคืนมา
    
            “พากลับไปที่ห้องบรรทมท่านพี่ก่อนเถอะ” จิวชงหยวนกล่าวพร้อมหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะความวุ่นวายเช่นนี้แหละที่เขาไม่ชอบอยู่วังหลวง แม้ยุทธภพจะวุ่นวายไปบ้างแต่ก็ไม่ใครกล้ามาสังหารตนเช่นนี้ เพียงแค่กล่าวจบเงาร่างสีดำก็พุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงหันไปมองสามีตนเองอีกครั้ง
    
           “เจ้าเล่นแรงไปไหม รู้ว่าอยากให้รู้ใจตัวเองแต่วิธีนี้มันโหดร้ายเกินไป ก็รู้อยู่พิษพวกนั้นข้ายังหาทางแก้ไม่ได้ แล้วบัวหยกน้ำค้างพันปีบ้านั่นใครมันจะไปเอามาได้” จิวชงหยวนหันมาตำหนิลู่เฟยอย่างหงุดหงิด ที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่น
    
           “เรียนรู้ที่จะรักและควรเรียนรู้ที่จะรักษาเอาไว้ วิธีนี้จะช่วยให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ใจตนเองและระวังมากขึ้น ฮ่องเต้ที่ดีย่อมมีจุดอ่อน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นกษัตริย์ทรราชย์”
    
             จิวชงหยวนนิ่วหน้าแม้จะไม่ชอบวิธีของลู่เฟยแต่ก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ ลั่วเหยียนเจิ้งฉลาดหลักแหลมแต่จิตใจที่บิดเบี้ยวอาจทำให้เดินเส้นทางที่ผิด กษัตร์ย์ทรราชย์เขารู้จักดีจุดจบย่อมไม่ตายดี หากมีคุณธรรมเต็มเปี่ยมย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ เมื่อได้คำตอบแล้วจึงทะยานตามร่างของลั่วเหยียนเจิ้งไปยังตำหนัก ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดไม่น้อย แล้วเขาจะแก้พิษหนอนแดงได้อย่างไร หรือว่าไปเอายาแก้พิษ?
    
              ไม่ว่าทางเลือกไหน ก็ยากเหมือนกัน...


            :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:   
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่27ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-06-2016 22:23:41
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่27ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 07-06-2016 23:28:26
คิดว่ายังไงคงไม่มีทางที่จะปล่ยให้น้องเหวินอี้ตายง่ายๆแน่   ให้รู้ใจตัวเองแบบนี้ดีที่สุด ได้พูดคำว่า รักออกมาเสียที     ขอชมในความขยันมากๆ ค่ะ อัพทุกวันเลย    และมีคำผิดที่เห็นคือ  ราษวงศ์   ต้องแก้เป็นราชวงศ์ค่ะ   ราช= ราชา ค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่27ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 07-06-2016 23:45:23
 :hao6:อ้าาก บอกรักแล้ว ๆ กำลังน่าติดตามที่สุด
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่27ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 08-06-2016 01:07:41
อี้เอ๋อจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม หมอจะรักษาได้ใช่ไหม

สงสารจริงๆ โดนพิษที่ตอนนี้ยังหายามารักษาไม่ได้ :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่27ปราบกบฏ(P.6วันที่ 7/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 08-06-2016 01:47:33
อ่านทุกวัน สนุกมาก ชอบหนังจีน กำลังภายใน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 14-06-2016 19:48:18
 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่28(P.6วันที่ 14/6/59)

           ลั่วเหยียนเจิ้งวางร่างหลิ่วเหวินอี้ลงเตียงนอนอย่างแผ่วเบา มือสองข้างสั่นระริกคล้ายไม่กล้าแตะต้องแรงได้ ใบหน้างดงามของคนตรงหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว เวลานี้อี้เอ๋อร์ของเขาดูบอบบางพร้อมจะแตกสสลายไปง่ายๆ เช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่มันปวดร้าวจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามคนที่หลับตาพริ้มด้วยเสียงสั่นพร่าด้วยความกลัวที่จะสูญเสียคนตรงหน้าไป เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกห่วงมากมายถึงเพียงนี้ คำถามของเขาทำให้คนนอนด้วยความเจ็บปวดปรือตาขึ้นมามองอย่างค้อนๆ หากมีแรงคงพ่นเป็นคำพูดว่า ท่านมาเจอเองไหม เป็นแน่
    
           “หากเจิ้นเจ็บแทนอี้เอ๋อร์ได้ก็ดีสินะ”  ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวออกมาด้วยความจริงที่กลั่นออกมาจากหัวใจ ส่วนคนฟังเวลานี้เริ่มเบลอไปหมด ความเจ็บปวดเหมือนร่างกายจะแตกสลายทำให้สติเริ่มพร่าเลือนทว่าสัมผัสที่อบอุ่นที่กอดประคองร่างตัวเองนั้นยังคงอยู่
    
           “ท่านพี่ช่วยถอยมาก่อนข้าจะรักษาเบื้องต้น” จิวชงหยวนที่ตามหลังมากล่าวเสียงเรียบ ในมือมีอุปกรณ์รักษาแผลและยารักษาบาดพิษบางส่วน ลั่วเหยียนเจิ้งขยับกายออกมายืนเบื้องหลังแม้ภายนอกจะดูสงบทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งไปหมด ในใจได้แต่คาดหวังว่าจะมีทางแก้ไขพิษร้ายนี้ได้
    
           จิวชงหยวนตรวจชีพจรที่แผ่วเบาอีกครั้ง บาดแผลนับว่าไม่สาหัสนักแม้จะโดนกระบี่ซ้ำกันถึงสองครั้งแต่ก็ยังห่างไกลหัวใจและไม่โดนจุดสำคัญ ทว่าสิ่งที่น่าห่วงตอนนี้คือพิษหนอนแดงกับโลหิตกลืนกิน เวลานี้หลิ่วเหวินอี้สลบไปแล้วแต่ใบหน้าที่ซีดเผือดนั้นน่าห่วงมาก เขาถอนหายใจหายาวิเศษหลายขนานออกมากรอกปากคนสลบแต่มันช่วยได้แค่บรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น
    
          “เป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจด้วยความกังวลไม่แพ้กัน ดวงตาเรียวคมเงยหน้ามามองเขานิ่งๆ
    
          “แม้ข้าจะเป็นหมอเทวดาแต่พิษพวกนี้ล้วนเป็นพิษคุณไสย โลหิตกลืนกินเป็นวิชาของพวกมาร อาจต้องใช้เวลา แต่มิอาจหายขาดได้มีเพียงบัวหยกน้ำค้างพันปีที่หุบเขาแห่งเซียนที่จะช่วยขับสิ่งชั่วร้ายภายในร่างกายได้ แต่ท่านพี่น่าจะรู้ว่ามันหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก” จิวชงหยวนกล่าวอย่างหนักใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับพิษพวกนี้ แต่ความรู้ที่มีนั้นหากมีส่วนผสมครบทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาตอนนี้อยู่ที่วัตถุดิบในการปรุงยานั้นมันมิมีในโลกมนุษย์!
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งหัวใจสั่นสะท้าน แม้ร่างสูงจะยืนนิ่งไม่ไหวติงทว่าในใจกลับอื้ออึงจนพูดไม่ออก เขาจะปล่อยให้คนตรงหน้าตายจริงๆ หรือ? ไม่! นั่นคือคำตอบที่อยู่ภายในใจแต่ว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นตนจะไปหาบัวหยกน้ำค้างพันปีได้จากที่ใด เมื่อมองคนที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดายังมีสีหน้าหนักใจขนาดนั้น จิวชงหยวนไม่มีทางอื่นรักษาจริงๆ หรือ
    
           “มีวิธีอื่นหรือไม่” น้ำเสียงเย็นนิ่งที่เอ่ยถามทำให้คนมองคาดเดาไม่ถูกว่าคิดสิ่งใดอยู่ จิวชงหยวนทำแผลให้หลิ่วเหวินอี้เบามือก่อนจะหันมาสบตาผู้เป็นฮ่องเต้อีกครั้ง
    
           “มีอีกทาง ตามหาคนที่วางยาพิษและเอายาแก้มาให้ได้ เพียงแต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันคิดหายาแก้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง” ลั่วเหยียนเจิ้งกำมือแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม จิวชงหยวนกล่าวได้ถูกหากยาแก้พิษมีส่วนผสมของบัวหยกน้ำค้างพันปีแล้วพวกมันจะหามาจากที่ใด ทางเดียวที่คิดได้คือมันไม่มียาแก้พิษ!
    
          “พิษหนอนแดงข้าคิดว่าไม่เกินสามวันน่าจะแก้ได้ แต่โลหิตกลืนกินนั้นข้ายังหาหนทางอื่นไม่ได้” จิวชงหยวนเอ่ยเสียงหนักแน่น ดวงตาเรียวมองคนที่มีความแค้นในอกอย่างเข้าใจ
    
         “ขอบคุณ” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่หลับใหลมือหนาปัดเส้นผมสีดำเงางามออกจากใบหน้าแผ่วเบา ใบหน้างดงามซีดเผือดและมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า มุมปากแม้มแน่นเหมือนข่มความเจ็บปวดของตัวเอง ทว่าหัวใจเขากลับเจ็บปวดยิ่งกว่า ความรู้สึกเวลานี้แม้คนโง่เขลายังรู้ว่ามันคือความรัก กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีความรู้สึกเช่นนั้นหลงเหลืออยู่ในหัวใจ แต่หากค้นพบแล้วไยจะกล้าปล่อยให้คนที่รักตายต่อหน้าอีกตาเล่า
    
          “ร่างกายเหวินอี้จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เรามีเวลาแค่หนึ่งเดือนหากไม่...” ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งเงียบทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ก่อนจะถอยออกมาปล่อยให้คนที่เคยไร้ใจรู้ใจตัวเองเสียที หากรักจริงมีหรือว่าจะไม่หาหนทางรอดให้กับคนที่รัก เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งน่าจะเข้าใจองค์ชายเก้าที่ถูกกักขังอยู่ห้องอาญารอรับโทษทัณฑ์มากขึ้น ส่วนเจี่ยงฉางยังอยู่กับเขาเพื่อค้นหายาแก้ หากเจี่ยงฉางหายได้หลิ่วเหวินอี้ย่อมมีโอกาสเช่นกัน
    
          “อี้เอ๋อร์เจิ้นขอโทษ หากเจิ้นไม่ประมาทเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” น้ำเสียงสั่นพร่าแต่แฝงไว้ด้วยเจ็บปวดในอก ความเสียใจถาโถมเข้ามาภายในใจ มือขวาลูบใบหน้างดงามอย่างแผ่วเบาก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากบางที่ตอนนี้ซีดเซียวไม่ต่างจากดวงหน้า รสจูบที่หอมหวานอย่างตราตรึงหากเขาต้องสูญเสียคนผู้นี้หัวใจที่เย็นเยือกคงไม่มีสิ่งใดเยียวยาอีกแล้ว
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งก้มลงจูบริมฝีปากที่ซีดเซียวของคนนอนนิ่งอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาที่สั่นไหวเวลานี้เย็นเยือกมีแต่จิตสังหารที่เข้มข้นองครักษ์เงาถึงกับสั่นไหว ความเย่อหยิ่งของตนเองและความมั่นใจทำให้เขาต้องเกือบสูญเสียคนที่รัก มองไปนอกหน้าต่างอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องตามหาบัวหยกน้ำค้างพันปีมาให้ได้แม้ต้องตายเขาต้องนำมาให้ได้!
    
          “อี้เอ๋อร์คนดีรอเจิ้นอยู่ที่นี่ เจิ้นจะไปหาบัวหยกน้ำค้างพันปีมารักษาเจ้าให้ได้” ดวงตาที่เคยเยือกเย็นกลับอ่อนโยนลงเมื่อมองร่างที่หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด แม้เวลานี้ภายในวังหลวงจะวุ่นวายแต่หากชีวิตคนที่รักยังรักษาไม่ได้แล้วเขาจะกล้าปกครองเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร!
    
            ภายในคืนนั้นข่าวของฮ่องเต้ผู้ทรงมีจิตใจคุณธรรม อ่อนโยนดั่งสายน้ำได้ปราบกบฏดังไปทั่วทุกหัวแคว้น ขุนนางน้อยใหญ่ที่แอบเป็นสายและคิดทรยศต่อลั่วเหยียนเจิ้งถูกจับกุมได้อย่างรวดเร็ว หลักฐานการช่อโกงและรับสินบนของขุนนางขั้นหนึ่งและสองถูกนำมาเผยแพร่จนดิ้นไม่หลุด ยามนี้พวกมันถึงได้รู้อย่างแท้จริงว่าฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งมิได้โง่งมเบาปัญญา มิได้อ่อนแอดั่งที่เข้าใจ มิหน้ำซ้ำหลักฐานที่พวกมันได้ทำขึ้นแม้จะถูกซุกซ่อนอยู่ในที่ลับหรือชั้นใต้ดินถูกรื้อค้นและพบเห็นจนหมดสิ้น ภายในสองวันขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่คิดไม่ซื่อต่างสูญหายและล้มตายอย่างน่าเวทนา อีกทั้งถูกประหารทั้งตระกูล! ทำให้ขุนนางที่กำลังหลงผิดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เวลานี้ทำได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างซื่อสัตย์ เหล่าพระสนมนางในที่เป็นสายล้วนตายตกไม่ต่างกัน ยาพิษสิ้นใจคือสิ่งที่ประทานให้อย่างเลือดเย็น!
    
          ในวันที่สามฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งได้หายออกไปจากวังหลวงเพื่อภารกิจบางอย่างที่เวลานี้ถูกปิดเงียบ แต่ถึงแม้จะรู้พวกขุนนางที่ทำตัวซื่อสัตย์ต่างก้มหน้าทำงานของตนอย่างตั้งใจ เพราะพวกมันรู้แล้วว่าพระองค์นั้นมีสายลับมากถึงเพียงไหน แม้กระทั่งคนข้างตัวพวกมันเองก็อาจจะใช่ เรื่องราวภายในวังหลวงลั่วหยางถูกเก็บกวาดจนสะอาด แม้แต่หนูสักตัวก็ไม่มีเว้น!
    
           การลงมือเด็ดขาดในครั้งนี้ทำให้แคว้นลั่วหยางสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่น้องที่เหลือต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด และสืบตามหาหยกน้ำค้างพันปีอย่างเงียบงันตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัว แม้ทุกอย่างจะกลับมาสงบ ทว่าหัวใจของผู้ที่ลงมือโหดเหี้ยมกลับหนักอึ้งจนปวดร้าว
    
             เวลานี้ร่างสูงในอาภรณสีดำ ใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินครึ่งหน้ากำลังพุ่งทะยานไปตามหุบเขาน้อยใหญ่ไม่ว่าจะลึกลับเพียงใดเขาก็ก้าวย่างไปอย่างไม่มีหวาดกลัวอันตราย แต่ไม่ว่าไปที่ใดกลับไม่พบขุนเขาแห่งเซียนอย่างที่เล่าลือ
    
            “ฝ่าบาทพระองค์ควรหยุดพักพระวรกายบ้างพ่ะย่ะค่ะ พระองค์หักโหมมาห้าวันแล้วหากพระสนมหวงกุ้ยเฟยทรงทราบคงไม่ยินดีแน่พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงองค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยเตือนด้วยหัวใจเจ็บปวดเมื่อเห็นผู้เป็นนายไม่ห่วงใยตัวเองเช่นนี้
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ปรายตามองอย่างเย็นชา ก่อนจะท่องทะยานไปตามหุบเขาอย่างไม่มีย่อท้อ สองวันมานี้เขายังไม่เจอหุบเขาที่ว่า และยังไม่เจอหุบเขาเร้นลับที่อยู่ของอาจารย์ หากเจออาจารย์อีกสักครั้งอาจจะมีโอกาสช่วยอี้เอ๋อร์ได้
    
           หยางซือหมิงมองตามอย่างหนักใจก่อนจะรีบติดตามไปด้วยความเหนื่อยล้า หลายวันมานี้แทบจะไม่ได้พัก หากฝืนต่อไปอีกสักวันสองวันฝ่าบาทคงได้ตายก่อนพระสนมหลิ่วเหวินอี้แน่ๆ
    
           พลันใดนั้นกระบี่หยกสีขาวที่สงบนิ่งกลับทอแสงสีฟ้าอ่อนแล้วทะยานออกจากด้านหลังของลั่วเหยียนเจิ้ง ร่างสูงชะงักงันมองกระบี่อย่างระวัง พลันใดนั้นกระบี่หยกขาวตวัดเขียนเป็นตัวอักษรเรืองแสงสีทองอ่านได้ความว่า
    
    สายธารามิอาจไหลกลับ        ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์
    สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง     ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองตาอักษรอย่างตะลึง ลายมืออาจารย์นั้นยังจำได้ แต่ปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ทำให้หัวใจหวาดหวั่น นี่คือหนทางที่อาจารย์จะช่วยเขาได้ใช่ไหม แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงไม่มาพบเขาด้วยตนเอง พลันใดนั้นกระบี่สีขาวก็กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งยังยืนนิ่งอยู่กับที่จนกระทั่งองครักษ์ตามมาทัน ใบหน้าคมคายเวลานี้แทบไร้สีเลือด คิ้วคมเฉียกดลึกครุ่นคิดไปถึงปริศนา สายธารามิอาจไหลกลับ คล้ายจะบอกว่าไม่มีสิ่งใดย้อนเวลากลับไปได้ ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์ นั่นคงหมายถึงมันมิได้อยู่ในดินแดนมนุษย์ธรรมดา หุบเขาแห่งเซียนอยู่บนสวรรค์เรื่องนี้เขาพอรู้จากลู่เฟยเพียงแต่เพราะความหวังอันน้อยนิดจึงคิดว่าจะมีหนทางไปหุบเขาได้บ้าง สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง คงหมายถึงคนใกล้ตัว แต่ว่าผู้ใดจะมีหยกน้ำค้างพันปี แต่คงมิใช่จิวชงหยวนกับลู่เฟยแน่ๆ เพราะทั้งสองไม่ได้โป้ปดตน  ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร แสดงว่าคนผู้นี้มิใช่มนุษย์แล้วเป็นผู้ใดกัน
    
           “ฝ่าบาท” หยางซือหมิงเอ่ยเรียกอย่างกังวล เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดและร่างที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงของพระองค์ ดวงตาคมกริบหันมามองจนแอบสะดุ้งในใจ
    
           “ซือหมิงเจ้าว่าผู้ใดเป็นจิ้งจอกมาร” คำถามของเจ้าเหนือเวลานี้ทำให้มันรู้สึกมึนงง
    
            “กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบตรงไปตรงมาขององครักษ์ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างหงุดหงิด ไม่ได้เรื่อง!
    
            “โอ้ยยยย ร้อนๆ ๆ ๆ” เสียงคร่ำครวญโวยวายของใครบางคนพุ่งตรงมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างระวัง มือกระชับกระบี่หยกขาวอย่างไม่ไว้ใจ
    
           “ให้ตายสิ นี่มันร้อนอะไรอย่างนี้” เสียงโวยวายดูนุ่มทุ้ม ร่างโปร่งสีขาวพุ่งทะยานจะผ่านไป ทว่ากลับหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างที่คุ้นตาในอาภรณ์ลายพยัคฆ์ ร่างสีขาวงดงามและใบหน้าขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ ในมือโยนหัวมันที่ร้อนๆ สลับไปมา ก่อนที่มันจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันทีด้วยฝีมือของลั่วเหยียนเจิ้ง
    
            “โอ้ย หัวมันข้า โถ่ๆ แข็งไปซะแล้ว เจ้าแช่แข็งหัวมันร้อนๆ ข้าทำไม” ลั่วเหยียนเจิ้งกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ในเมื่อเห็นมันร้อนจะจับโยนไปโยนมาทำไม แล้วเหตุใดเขาต้องมาเจอศัตรูหัวใจด้วย!
    
             “โง่เง่า” ฟางเทียนฟงอ้าปากค้างมองคนด่าตัวเองอย่างตะลึง ก่อนจะสลับมองหัวมันที่แอบขโมยมา เขาอยากกินหัวมันร้อนๆ แต่ตอนนี้กลับถูกแช่แข็งจนกินไม่ได้ด้วยความเสียดาย ก่อนจะหรี่ตามองคนที่ทำลายอาหารมือเที่ยงของตนเองอย่างสนใจ
    
            “ฮ่องเต้อย่างเจ้าว่างงานจนมาเที่ยวเล่นที่นี่หรือ แล้วอี้เอ๋อร์ของข้าอยู่ไหนแล้วล่ะ” ลั่วเหยียนเจิ้งคิ้วกระตุกมองประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าอย่างหงุดหงิด อี้เอ๋อร์คนดีของเขาไปเป็นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นี้ตอนไหนกัน
    
            “เมียข้าไปเป็นคนของเจ้าตอนไหน” ดวงตาเย็นเยือกที่ส่งมาทำให้ฟางเทียนฟงหัวเราะในลำคออย่างนึกสนุก
    
            “อี้เอ๋อร์เป็นคนของข้าก่อนจะเจอเจ้าก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เอ่ยตอบอย่างยั่วโมโห ทว่าดวงตามองมานั้นดูใสซื่อจนน่าหมั่นไส้ ลั่วหยียนเจิ้งมองตามอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินหนีอย่างไม่ใส่ใจ ทะเลาะกันไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์สู้เอาเวลาไปหาหยกน้ำค้างพันปียังดีกว่าอีก    
    
              ฟางเทียนฟงหรี่ตามองคนเดินหนีตัวเองด้วยความประหลาดใจ ข่าวการทำลายกบฏแคว้นลั่วหยางดังไม่ถึงเจ็ดวัน แต่เจ้าตัวกลับมาเดินเล่นอยู่ในป่าลึกที่มนุษย์ไม่ควรมาอย่างใคร่สงสัย ใบหน้าคมคายที่ปกปิดด้วยหน้ากากสีเงินนั้นซีดเซียวดูอ่อนล้าแต่กลับมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพัก เขาแอบติดตามไปเงียบๆ เฝ้าดูพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างครุ่นคิด
    
                ฟางเทียนฟงติดตามลั่วเหยียนเจิ้งอีกสองวันก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาหวาดหวั่นพาดผ่านในแววตาอย่างน่าประหลาด เกิดอันใดขึ้นทำไมลั่วเหยียนเจิ้งถึงได้เดินทางข้ามเขาลูกนั้นลูกนี้อย่างไม่ย่อท้อ พอพักเหนื่อยก็ไปต่อ จนผู้ติดตามกลายเป็นผีตายซากไปแล้ว
    
            พรึบ!
    
               ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนที่มาดักรอเบื้องหน้าอย่างหวาดระแวงเขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายแอบตามมาแม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นร่างตรงหน้ากลับปรากฏภาพแปลกตาอย่างน่าประหลาด เกศาสีขาวโพนยาวจนลากพื้นดวงตาสีฟ้าอ่อนที่มองมาคล้ายจะสะกดจิต เขาส่ายหน้าไปมาเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง สงสัยเขาจะเหนื่อยล้าจนเห็นภาพประหลาดจากฟางเทียนฟงไปได้
    
             “เจ้าตามข้ามาทำไม” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง ดวงตาสีดำล้ำลึกจ้องมองมาที่เขาจนรู้สึกหวาดหวั่น คล้ายดวงตาที่อ่านทุกอย่างภายในใจ คนตรงหน้าเหมือนมนุษย์ธรรมดาขณะเดียวกันกลับดูแปลกตา สงสัยเขาต้องหยุดพักจริงๆ เสียแล้ว
    
            “ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเจ้าตามหาสิ่งใดกันแน่”
    
             “เจ้าพูดถึงอะไร” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับนิ่งเรียบไม่ได้เผยพิรุจอันใดออกมา ทว่าร่างกายยังคงยืนมั่นคงเพื่อป้องกันอีกฝ่ายจะโจมตี แม้จะไม่มีจิตสังหารทว่าในใจกลับร้องเตือนว่าคนตรงหน้าอันตราย จากที่เคยปะทะกันสองครั้งก็ทำให้รู้ว่าวรยุทธแตกต่างกันหลายขั้น
    
            “หึ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อ?  ฮ่องเต้ไร้ใจเช่นเจ้ามีสิ่งใดสำคัญถึงได้ทุ่มเทถึงเพียงนี้ เจ้าคงไม่รู้ว่าสภาพตัวเองตอนนี้น่าเวทนาขนาดไหน”
    
           “เรื่องของข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างเย็นชา ความอ่อนโยนที่เคยมีไม่หลงเหลือแล้วในเวลานี้ มีแต่ความเย็นชาและโหดร้ายเท่านั้น
    
            “ข้าก็ไม่อยากยุ่งหรอก หากกระบี่หยกขาวไม่เรียกร้องหาข้าจนปวดแก้วหูขนาดนี้”
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองคนกอดอกยืนนิ่งมองกระบี่ของเขาอย่างหงุดหงิด ขณะเดียวกันมันก็ประกายเศร้าหมองจนหัวใจสั่นสะท้าน ความรู้สึกนี้อีกแล้ว! ฟางเทียนฟงต้องผ่านสิ่งใดมาบ้างถึงได้มีความเศร้าหมองในดวงตาจับจิตจับใจมากขนาดนี้ หรือว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ฝู่ซานจริงๆ?
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งสงบสติอารมรณ์ตัวเองก่อนจะหยุดพัก เดินไปนั่งบนก้อนหินซึ่งไม่ไกลมากนักแล้วหันไปมองหยางซือหมิงที่นั่งลงกับพื้นจนไม่มีแรงพูดด้วยความรู้สึกผิด เหลือบมององค์รักษ์เงาของตนเองที่มีสภาพไม่ต่างกัน ซึ่งเขาก็คงไม่พ้นเหมือนผีตายซากอย่างสองคนนั่น
    
            “พักก่อนเถอะ”
    
            เพียงแค่คำสั่งสั้นๆ ทว่าหยางซือหมิงรู้สึกเหมือนแม่พระมาโปรด เขาหันไปมองฟางเทียนฟงอย่างขอบคุณสุดซึ้ง ก่อนจะล้มตัวนอนอย่างเอน็ดอนาจไม่หลงเหลือภาพลักษณ์องครักษ์ผู้สง่างามอีกต่อไป พลันนั้นเขารู้สึกอิจฉากวงไห่สหายร่วมตายที่มีหน้าที่อารักษ์พระสนมหลิ่วเหวินอี้ขึ้นมาทันที ไม่น่าเสนอตัวเลยเรา...
    



       :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 14-06-2016 21:12:22
น่าสงสารที่สุด ไม่รู้จะสงสารใครก่อนดี
เจิ้นก็น่าสงสาร อี้เอ๋อก็น่าสงสาร
โดนหักหลังอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 14-06-2016 23:15:45
อยากอ่่านต่อๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-06-2016 23:28:29
เล่นยาแรง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 15-06-2016 01:41:06
รอตอนต่อไปนะค้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 15-06-2016 05:32:16
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 15-06-2016 07:55:52
เทียนฟงมีใช่มั้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :katai4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 15-06-2016 12:47:13
ฟางเทียนต้องมียาแก้พิษอี้เอ๋อร์แน่ๆ  รีบๆบอกไปสิว่า อี้เอ๋อร์ป่วย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: little_pig ที่ 15-06-2016 13:35:47
สนุกมากๆค่ะ o13 o13  รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ :m13: :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่28 รู้ใจตัวเอง(P.6วันที่ 14/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 15-06-2016 23:19:28
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
 :ling3:

กะลังมันเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 16-06-2016 15:03:27
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)


          กลางดึกสงัดภายในตำหนักมังกรที่ประทับของฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้มีร่างของพระสนมหลิ่วเหวินอี้นอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม ร่างโปร่งซีดเผือดในอาภรณ์สีขาวบางเบา ซึ่งตอนนี้มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มร่างด้วยความเจ็บปวดของพิษโลหิตกลืนกิน ข้างกายยังมีจิวชงหยวนที่ยินนิ่งสงบมองคนไข้ด้วยความหนักอึ้ง แม้เวลานี้พิษหนอนแดงคุณไสยได้ถูกกำจัดไปหมดแล้วแต่ยังหลงเหลือพิษโลหิตกลืนกินซึ่งร้ายกาจไม่แพ้พิษชนิดไหน เขาลองทดลองสมุนไพรที่ใกล้เคียงกันแต่ทำได้แค่ยับยั้งไว้ชั่วคราวนั้น ความรู้มากมายภายในหัวกลับไร้ประโยชน์เมื่อไม่มีวัตถุดิบในการปรุง
    
         “จะปล่อยไว้อย่างนี้หรือลู่เฟย” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่ยืนกอดอกอยู่ริมหน้าต่าง ร่างสูงสง่าตอนนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเทพ ดวงตาคมกริบมองมาที่คนรักอย่างอ่อนโยน ทว่าถ้อยคำที่ตอบกลับมาฟังดูโหดร้าย
    
         “ลิขิตสวรรค์ ข้ามิอาจแพร่งพราย พวกเขาล้วนมีชะตากรรม บัดนี้ข้ากลับมาเป็นเทพเต็มตัวแล้วมิอาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวได้มากนัก แค่คอยมองดูราษวงศ์ลั่วหยางได้อีกห้าสิบปีก็หมดหน้าที่ข้าอย่างแท้จริงแล้ว” จิวชงหยวนนิ่วหน้าไม่พอใจนัก หากลู่เฟยไม่นิ่งเฉยเพื่อนร่วมภพของเขาคงไม่จบลงเช่นนี้
    
        “แต่ข้าไม่ได้เป็นเทพ ข้าจะยื่นมือไปช่วยได้ไหม” รอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วยกมือลูบผมอย่างปลอบประโลม
    
        “หยวนน้อยเจ้าจะไปที่แดนเซียนไม่ได้ เทพโอสถก็มิอาจยื่นมือไปช่วยได้เช่นกัน เส้นทางนี้ลิขิตชะตาถึงสี่ชีวิตด้วยกัน หากลั่วเหยียนเจิ้งรู้จักเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง คนที่ได้รับผลดีในครั้งนี้มิใช่ผู้เดียว” คำกล่าวของลู่เฟยฟังดูมีปริศนา สี่ชีวิตที่เอ่ยถึงจิวชงหยวนมิเข้าใจแม้แต่น้อยว่าเป็นผู้ใด ดวงตาล้ำลึกของคนรักทำให้ปิดปากเงียบ บางครั้งไม่รู้อันใดเลยยังดีกว่า
    
         “ไปพักเถอะ วันนี้เจ้าทำได้ดีแล้ว”
    
          จิวชงหยวนเม้มปากแน่นมองคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงนอน เขาหันไปสั่งงานกับองครักษ์กวงไห่อีกครั้ง ก่อนจะเดินเร้นกายหายไปพร้อมด้วยเทพสวรรค์ลู่เฟย...
    
         ดวงตาเรียวสวยปรือขึ้นมามองรอบกายที่ไม่คุ้นเคย หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นยืนกวาดสายตามองผ่านความมืดอย่างระวัง พลันนั้นเขาได้เห็นลั่วเหยียนเจิ้งวิ่งทะยานผ่านหน้าเขาไป ความรวดเร็วดุจเส้นแสงทว่ากลับจดจำร่างนั้นเป็นอย่างดี ตามมาติดๆ ด้วยองครักษ์หยางซือหมิงที่เห็นไม่บ่อยนัก ทว่าทั้งคู่กลับพุ่งผ่านเขาไปเหมือนไม่มีใครมองไม่เห็น
    
         เกิดไรขึ้น หรือว่าเขาตายไปแล้ว?
    
         หลิ่วเหวินอี้รู้สึกมึนงงเล็กน้อย จำได้ว่าตัวเองบาดเจ็บสาหัส ทว่าตอนนี้ร่างกายกลับรู้สึกเบาหวิวไม่ได้เจ็บปวดอันใด ดวงตาเรียวมองตามแผ่นหลังที่หายไปของลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความสงสัย เขาพุ่งทะยานตามไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าเหนื่อยหอบ ทว่าคนตรงหน้าเขากลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าและแผ่นหลัง บ่งบอกความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้ง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยเรียก ทว่าคนตรงหน้ากลับได้ยินที่ซ้ำร้ายเขายืนอยู่เบื้องหน้าแต่กลับไม่เห็นเขา เหลือบมองผู้ติดตามก็มีลักษณะเดียวกัน พลันใดนั้นหัวใจกลับสั่นสะท้าน เขาตายแล้วจริงๆ สินะ หัวใจที่ว่างเปล่ากลับรู้สึกสั่นสะท้าน ทว่าเมื่อยกมือจับกลางหน้าอกกลับไม่ได้ยินเสียงมันเต้นอีกครั้ง
    
          หลิ่วเหวินอี้เงยหน้าขึ้นมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก หากก่อนตายเขาไม่ได้ยินคำว่ารักจากคนไร้ใจและน้ำตาของมังกรเขาคงจากไปด้วยจิตใจสงบกว่านี้  ดวงตาที่เย็นชามองตามร่างของคนที่เคยบอกรักพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วบ้าง ช้าบ้างอย่างสับสน หากเขาตายแล้วฮ่องเต้เจ้าเล่ห์ผู้นี้มาทำอะไรที่นี่ มองรอบกายมีแต่ ป่า หุบเขาและสัตว์ดุร้ายเต็มไปหมด เพียงแค่มันตามความเร็วของทั้งคู่ไม่ทันเท่านั้นเอง
    
         เพียงแค่นึกถึงร่างของเขากับมาปรากฏอยู่ข้างกายลั่วเหยียนเจิ้งได้อย่างรวดเร็วแม้กระทั่งตัวเขาอย่างตกตะลึง เหตุใดเขาตายไม่ได้ไปเกิดใหม่เหมือนที่แล้วมาแต่กลับมาปรากฏกายอยู่ไม่ห่างคนที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานแต่คิดไม่เคยซื่อกับเขาแม้แต่น้อยเช่นนี้
    
         แม้จะร้องเรียกและพยายามจับร่างของลั่วเหยียนเจิ้งเอาไว้แต่กลับไร้ผล ทุกอย่างเขาไม่อาจแตะต้องได้เหมือนวิญญาณไร้ญาติทำได้เพียงตามติดเจ้ากรรมนายเวรจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อยู่อย่างนี้ เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้ผลจึงตามมองอย่างเงียบๆ วันที่หนึ่งเขามองด้วยความเฉยชา สงบนิ่ง วันที่สองความกังวลพาดผ่านในแววตา วันที่สามความรู้สึกห่วงใยจู่โจมหัวใจจนรู้สึกสั่นสะท้านทั้งร่าง เข้าวันที่สี่หลิ่วเหวินอี้ได้แต่เบือนหน้าหนีมิอาจมองภาพตรงหน้าได้ ร่างที่เคยสง่างามกลับคลุกฝุ่น อดมื้อกินมื้อ วันหนึ่งแทบไม่นอนเพียงแค่หลับตาหนึ่งก้านธูปก็เดินทางต่อ ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงฉายไปทั่วร่าง แต่กลับไม่แยแสร่างกายตัวเองแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าเขาจะไม่สนใจไยดีเลยสักนิด หากมิใช่ว่าการกระทำที่ทำร้ายแม้กระทั่งตัวเองในเวลานี้ก็เพราะเพื่อตัวเขาเอง ร่างที่ทรุดโทรมวิ่งข้ามภูเขาลูกนั้นลูกนี้ สอดสายตามองหาสิ่งที่ตามหาอย่างแน่วแน่
    
            ....คนคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจผู้ใด แม้กระทั่งสายโลหิตเดียวกันกลับทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตกลับมาอีกครั้ง
    ...คนคนหนึ่งที่ไม่เคยห่วงใยผู้ใด กลับห่วงใยเขาอย่างแท้จริง
    ...และคนคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักคำว่ารัก กลับบอกรักเขาด้วยความจริงใจ
    
            แล้วจะให้เขามองภาพเจ็บปวดในแววตาเย็นชานั้นได้อย่างไร!
    
            เวลานี้หลิ่วเหวินอี้รู้แล้วว่าตนเองเป็นเพียงดวงจิตที่หลุดออกจากร่าง แต่คงอีกไม่นานเขาคงได้กลายเป็นวิญญาณจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่หรือคนตาย เขาก็ไม่อยากให้ลั่วเหยียนเจิ้งทุ่มเทเพื่อเขามากมายถึงเพียงนี้ สิ่งที่ไม่มีในโลกมนุษย์จะหามาเจอได้อย่างไร และหากหาพบสุดท้ายเขาจะมาตอบแทนความรักให้คนตรงหน้านี้ได้หรือไม่
    
           หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งไม่กล้าที่จะหันไปมองเงาร่างที่พุ่งทะยานไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุดพัก แม้ภายนอกจะเฉยชากับสิ่งที่เห็น ทว่าในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งและสับสน ความขัดแย้งภายในใจทำให้ไม่อยากมอง ไม่อยากคิดสิ่งใดอีก เขาไม่เคยมีประสบการณ์ที่มีใครสักคนห่วงใยอย่างแท้จริงเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ไม่รู้จะตอบรับสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างไร
    
           พลันใดนั้นหลิ่วเหวินอี้รับรู้ถึงพลังบางอย่างมาจากลั่วเหยียนเจิ้ง กระบี่หยกขาวที่อยู่ด้านหลังลอยออกมาเบื้องหน้าผู้เป็นเจ้าของมันส่องประกายสีฟ้าอ่อนออกมา พร้อมตวัดตัวอักษรสีทองงดงาม เพียงแค่คิดเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าฮ่องเต้ซึ่งบัดนี้ไม่หลงเหลือความสง่างามอีกแล้ว
    
             สายธารามิอาจไหลกลับ        ลาลับขอบฟ้าแด่แดนสวรรค์
    สิ่งยื้อใจอยู่ใกล้เหมือนกรรมบัง     ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร
        
             สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือปริศนา หลิ่วเหวินอี้มองดูกระบี่วิเศษที่มีเศษเสี้ยวดวงจิตของใครบางคนอยู่ ขณะนั้นเขามองเห็นร่างสูงสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏกายแม้จะเจือจางแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึก แววตาล้ำลึกมองดูลั่วเหยียนเจิ้งคล้ายจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่าน่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็น ร่างนั้นหันมามองทางเขาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน รัศมีรอบกายล้วนบอกได้ว่าไม่ธรรมดาทว่าน่าเสียดายที่ร่างนั้นเจือจางลงไปทุกทีก่อนจะหายไปกับสายลมพร้อมคำพูดที่ทิ้งไว้ในหนักอึ้งในอก
    
            “ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้” คำพูดที่แผ่วเบา คล้ายคนพูดไม่ได้อยู่ที่นี่เศษเสี้ยวดวงจิตในกระบี่คือผู้ใด เหตุใดจึงช่วยเขา แววตาล้ำลึกมีความเศร้าหมอง และอ้างว้างหมือนใครบางคนที่เขารู้จัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือคนที่ฟางเทียนฟงตามหา
    
            หลิ่วเหวินอี้หันกลับมามองลั่วเหยียนเจิ้งอีกครั้ง ใบหน้าคายขมวดคิ้วลึก เคร่งเครียดจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ร่างสูงยืนนิ่งครุ่นคิดถึงปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ ทำให้เขาหวนคิดไปถึงความหมายของมัน
    
           “ฝ่าบาท” เสียงเรียกพร้อมลมหายใจติดขัดจากความเหนื่อยล้าของหยางซือหมิง ทว่าใบหน้านั้นเผยความห่วงใยเจ้าเหนือหัวอย่างจริงจัง  ทำให้หลิ่วเหวินอี้หันไปมองอย่างเวทนา ในเมื่อเจ้านายไม่หยุดพักแล้วผู้ติดตามจะกล้าพักได้อย่างไร สภาพตอนนี้ของทั้งคู่เห็นแล้วทำให้เขารู้สึกผิดภายในใจลึกๆ ขณะเดียวกันกลับรู้สึกยินดี
    
         “ซือหมิงเจ้าว่าผู้ใดเป็นจิ้งจอกมาร” คำถามของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้หันไปมองด้วยความสนใจ ความรู้สึกว่าเขารู้จักจิ้งจอกถาโถมเข้ามาในใจ จิ้งจอกคือปีศาจจิ้งจอกใช่หรือไม่ เขาครุ่นคิดกับตัวเองด้วยความสงสัย แต่หากเป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ น่าจะเป็น...
    
           พลันใดนั้นร่างสีขาวที่คุ้นตาก็พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงโวยวายเล็กน้อยแต่น้ำเสียงไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่ร้องออกมาจริงๆ ภาพที่เห็นทำให้หลิ่วเหวินอี้พูดไม่ออก ฟางเทียนฟง ทุกอย่างตรงหน้าทำไมดูแปลกตาคนที่เขากำลังคิดถึงกลับปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนสวรรค์กำหนด ทว่าขณะเดียวกันกลับเหมือนมีม่านหมอกปิดบังหัวใจมิให้เห็นความจริง
    
           จากภาพที่เห็นลั่วเหยียนเจิ้งไม่เห็นร่างที่แท้จริงของฟางเทียนฟง ยกมือขึ้นลูบดวงตาแผ่วเบาเกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของเขา เมื่อครั้งตอนที่เขาเจอกระบี่โลหิตกลืนกินแทงทะลุกลางอกก็ยังสามารถมองเห็นมันได้ในขณะที่คนอื่นมิอาจมองเห็นได้ ที่สำคัญเขามองเห็นรัศมีสูงส่งได้จากลู่เฟย อำนาจที่ทำลายล้างเพียงแค่สะบัดมือทว่าเจ้าตัวเพียงแค่ช่วยเหลือเล็กน้อยและยืนมองอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น
    
           หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองสองคนที่ทะเลาะกันอย่างเด็กๆ ทว่าหัวข้อกลับเกี่ยวโยงกับเขา คำเรียกว่าเมียที่ออกจากปากของลั่วเหยียนเจิ้งในครั้งนี้ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครเห็นเขาในเวลานี้แม้กระทั่งฟางเทียนฟงก็ไม่อาจเห็นเขาได้เช่นกัน แต่น่าแปลกที่เขาสามารถเห็นรูปลักษณ์ของฟางเทียนฟงได้ชัดเจน อาภรณ์สีขาวขับผิวให้ดูผ่องใส ขณะที่หางทั้งเก้าสะบัดไหวไปมาคล้ายอารมณ์ดีที่ได้ต่อปากต่อคำจากลั่วเหยียนเจิ้ง
    
          “จิ้งจอกเก้าหาง!”
    
           หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างอึ้งๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจน พลันใดนั้นข้อความปริศนากลับฉายชัดภายในใจ ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร เขาเม้มปากแน่นด้วยความตื่นเต้นทุกอย่างเหมือนถูกจัดฉากขึ้น ทว่ากลับเหมือนเส้นผมบังภูเขาเพราะลั่วเหยียนเจิ้งไม่มีทางรู้ว่าฟางเทียนฟงที่อยู่ตรงหน้าเขานี้มีหยกน้ำค้างพันปีที่กำลังตามหา ถึงแม้เขาจะร้องบอกก็ไร้ผลในเมื่อไม่มีคนเห็นเขาแล้วจะได้ยินหรืออย่างไร
    
          ทว่าน่าเสียดายที่ลั่วเหยียนเจิ้งมีทิฐิมากเกินจะเอ่ยถามหรือไม่ก็ยังไม่ไว้วางใจฟางเทียนฟง ร่างสูงเดินหนีและเร่งรีบเดินทางอีกครั้ง เขามองตามอย่างเสียดายที่ทั้งคู่มิอาจเป็นสหายที่ดีร่วมกันได้อาจเพราะการพบเจอของคนทั้งคู่ไม่ได้ดีนัก ที่สำคัญหากฟางเทียนฟงรู้แล้วจะกล้ามอบหยกน้ำค้างพันปีให้ลั่วเหยียนเจิ้งมารักษาเขาหรือไม่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับประมุขจิ้งจอกฟ้านั้นเพียงแค่มีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น

   “แปลกทำไมข้ารู้สึกมีคนแอบมอง” ฟางเทียนฟงพึมพำอย่างสงสัยแต่ด้วยอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดาจะมีใครรอดสายตาคนเองไปได้ สงสัยครุ่นคิดไปเอง จากนั้นจึงเลิกสนใจและแอบติดตามลั่วเหยียนเจิ้งไปเงียบๆ
    
            หลิ่วเหวินอี้พยายามเรียกฟางเทียนฟงแต่กลับไร้ผลจึงเริ่มถอดใจ และตามคนทั้งหมดไปถึงปลายทาง เวลาผ่านไปอีกสองวันจนร่างสูงของลั่วเหยียนเจิ้งเกินขีดจำกัดของตนเอง ทำให้เขายิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นขณะนั้นฟางเทียนฟงก็ออกไปจากที่หลบซ่อน เขารู้สึกโล่งอกในรอบสองวันที่อย่างน้อยคนหัวดื้อก็ยอมเชื่อฟัง
    
           “เจ้าบ้าจะให้ข้ารู้สึกผิดไปนานแค่ไหน” หลิ่วเหวินอี้สบถออกมาอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากแต่เฝ้าดูด้วยหัวใจเจ็บปวดและรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุของความยุ่งยาก สวรรค์ต้องการสิ่งใดกับเขากันแน่ถึงทำให้เห็นความพยายามมากมายของลั่วเหยียนเจิ้งถึงเพียงนี้...



 
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 16-06-2016 16:07:54
ติดงอมแงมเลยเรา :serius2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: little_pig ที่ 16-06-2016 17:09:30
มาต่อเถอะค่ะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 16-06-2016 22:15:25
ติดมากมายเหมือนกัน
ทำไมเรื่องมันเศร้าขนาดนี้
สงสารเจิ้น สงสารเหวิ้นอี้
ทั้งๆที่ความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า
แต่ไม่มีใครรู้....
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 16-06-2016 22:37:17
ิเหวินอี้รู้แล้วว่า ฮ่องเต้รัก  น่าสงสารมองคนรักตามหาบัวหิมะทั้งที่รู้ความรักแต่บอกอะไรไม่ได้   
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 17-06-2016 01:48:50
โอ้ยย  อยากให้ได้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 17-06-2016 03:25:03
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 17-06-2016 10:22:20
โอย ปวดใจนัก :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 17-06-2016 17:07:34
อ๊าาาาาาา อยู่ใกล้ๆนี่เอง ฝ่าบาทมองให้ออกเร็วๆที จะได้ไปช่วยเหวินอี้ที่รักก  :a6:
รู้สึกร้อนใจ ว๊ากกกกก  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่29เส้นผมบังภูเขา 1(P.6วันที่ 16/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-06-2016 14:22:30
รู้ทีเถอะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่30เส้นผมบังภูเขา 2(P.7วันที่ 18/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 18-06-2016 20:14:57
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่30เส้นผมบังภูเขา 2(P.7วันที่ 18/6/59)

            หลังจากย่างไก่ป่ากินจนอิ่มท้องและร่างกายเริ่มดีขึ้น ลั่วเหยียนเจิ้งก็เตรียมที่จะเดินทางอีกครั้ง ทว่าร่างโปร่งของฟางเทียนฟงกลับมายืนขวางทางเอาไว้ ใบหน้ายิ้มละมุนอย่างน่าหมั่นไส้ ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกขัดตา คนตรงหน้ายกกิ่งไม้ในมือโบกไปมาแต่แววตาเรียวคมนั้นกลับไม่มีทีท่าจะปล่อยเขาไป
    
            “ถอย” น้ำเสียงเย็นนิ่งไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เพียงแค่หยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
    
            “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยเจ้าตามหาสิ่งใดแล้วอี้เอ๋อร์ข้าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
   
            “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบเสียงเย็น เขารู้สึกหงุดหงิดขณะเดียวกันก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าเป็นถึงประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด หากเขาต้องการความช่วยเหลือคนผู้นี้อาจจะช่วยได้ แต่... เขาจะลดตัวลงไปขอร้องศัตรูหัวใจอย่างนั้นหรือ ทว่าชีวิตของคนที่รักก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเวลานี้เป็นตายเท่ากัน เหลือเวลาอีกสามสัปดาห์เขาจะทำสำเร็จไหม
    
          ฟางเทียนฟงเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ แม้ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปทว่าดวงตากลับฉายแววสับสนยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้ว่าคนตรงหน้ามีสิ่งใดให้กังวลใจ ยิ่งเขาเอ่ยชื่อหลิ่วเหวินอี้ดวงตาคมคู่นี้กลับเจ็บปวดขึ้นมาแม้เพียงเสี้ยวแต่ไม่อาจหลุดพ้นสายตาตนไป
    
         “คงมิใช่หลิ่วเหวินอี้ตกอยู่ในอันตรายหรอกนะ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเรียวคมที่จ้องมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามนิ่งๆ อย่างชั่งใจ ระหว่างทิฐิที่มีกับคนที่รัก ใบหน้าคมคายฉายแววเคร่งเครียดอย่างมิอาจตัดสินใจได้
    
          “ข้าว่าเราต้องมีเรื่องต้องคุยกัน” ฟางเทียนฟงเอ่ยเสียงเรียบแต่แรงกดดันมิใช่เล่นๆ อีกต่อไป เพราะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหลิ่วเหวินอี้คนที่ผิดก็คือตัวเองที่เป็นสาเหตุ หากเขาไม่อยากรับรู้เรื่องกระบี่หยกขาวคนอย่างหลิ่วเหวินอี้คงไม่ลงทุนติดตามเข้าไปในวังหลวง ขณะเดียวกันเขายังติดค้างข่าวสารเรื่องมารดาของหลิ่วเหวินอี้
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจริงจังประสบการณ์เลวร้ายหลายปีทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าจริงใจกว่าที่เขาคิดไว้ ดวงตาห่วงใยคู่นั้นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่อาจปล่อยให้หลิ่วเหวินอี้ตายได้ต่อให้แลกสิ่งใดก็ตาม
    
            อี้เอ๋อร์หากเจ้ารู้ข้ายอมลดศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อเจ้าขนาดนี้แล้ว โปรดอย่าทิ้งใจให้ผู้อื่น โปรดมอบมันให้ข้าแต่เพียงผู้เดียว...
    
            “อี้เอ๋อร์ถูกพิษโลหิตกลืนกิน”
    
            คำตอบเรียบง่ายทว่าคนฟังถึงกลับชะงักงัน พิษนี้มาจากกระบี่มารที่สูญหายไปกว่าห้าร้อยปีมันได้กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งอย่างนั้นหรือ? มันผู้ใดไปปลดผนึกมารชั่วขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ครานั้นผู้คนล้มตายมายมายจนแทบสูญสิ้นดินแดนมนุษย์ หากเขาไม่คิดถึงความเหงาที่กัดกร่อนกินหัวใจคงไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย การได้เห็นชีวิตมนุษย์ดำเนินไป เกิด แก่ รัก โลภ โกรธ หลง มันทำให้เขาได้รู้ว่าไม่ได้มีตัวเองผู้เดียวที่รู้สึกเช่นนั้น    

             “ยามนี้เป็นเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งมองหน้าคนตรงหน้าที่แววตาล้ำลึกจนยากจะคาดเดาได้ เป็นไปได้ไหมว่า คนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์    
    
             “ข้ากำลังตามหายาแก้พิษ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบความจริงซึ่งทำให้คนฟังหรี่ตามองคนพูดอย่างพิจารณา ทว่าดวงตาคมกริบมีแต่ความเชื่อมั่นว่าเขาต้องทำสำเร็จต่อให้ต้องแลกชีวิตก็ตาม
    
             “เจ้ารู้หรือว่ายาแก้พิษต้องใช้สิ่งใด” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามเสียงเรียบ ความเชื่อมั่นในแววตาทำให้รู้สึกประหลาดใจ ยาแก้พิษชนิดนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ต่อให้ค้นหาทั่วโลกมนุษย์ก็มิอาจทำได้ และอะไรทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมั่นใจขนาดวิ่งพร่านไปทั่วหุบเขาเช่นนี้
    
             “ข้ารู้ เพียงแต่...” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างหนักแน่นพร้อมดวงตาคมกริบมองศัตรูหัวใจอย่างชั่งใจว่าหากกล่าวออกไปจะเกิดผลอันใดตามมา แต่เมื่อตัดสินใจแล้วจึงพูดต่ออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
    
              “ข้าตามหาหยกน้ำค้างพันปีในหุบเขาแห่งเซียน แต่ข้าไม่รู้ว่าจะขึ้นไปอย่างไรจึงคิดว่ามันต้องมีหนทางที่จะขึ้นไปได้”
    
               “อะไรทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้น สิ่งที่พูดถึงใช่ว่าจะวิ่งไปแล้วจะเจอ หุบเขาแห่งเซียนลย สิ่งที่เจ้ากำลังตามหาอยู่กึ่งกลางสวรรค์ซึ่งมันมิได้อยู่ที่โลกมนุษย์” ฟางเทียนฟงโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งพร้อมจับคางตัวเองเอียงคอมองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ดวงตาจิ้งจอกเหมือนจ้องมองให้ถึงสิ่งที่ปิดซ่อนเร้นในใจ แต่น่าแปลกแม้จะใช้ภาพมายากับคนตรงหน้าแต่เหมือนจะไร้ผล
    
              “ คนของสวรรค์อีกแล้วหรือ” ฟางเทียนฟงพึมพำเสียงเศร้าเมื่อเห็นดวงจิตได้อย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบที่มองมาที่เขาไม่ได้คลายความหวาดระแวงแม้แต่น้อยในทางกลับกันหากไม่จำเป็นฮ่องเต้บุตรของสวรรค์ผู้นี้คงไม่เอ่ยปากร้องขอเขาแน่ๆ น่าอิจฉาหลิ่วเหวินอี้นักที่มีคนรักจนกระทั่งไม่ห่วงใยชีวิตตัวเองเช่นนี้
    
             “เปล่าประโยชน์ ที่แห่งนั้นใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ต่อให้เจ้าเป็นบุตรสวรรค์ก็ตาม ยิ่งเวลานี้เจ้าเป็นมนุษย์ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง เพียงแต่...” ฟางเทียนฟงเอ่ยตอบอย่างจริงจัง หางทั้งเก้าแกว่งไปมาอย่างช้าๆ อารมณ์ตอนนี้มันยากจะอธิบาย ของที่ตามหาอยู่นั้นมันมีความหมายกับเขามากมายยิ่งนักขณะเดียวกันมันเหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเขาด้วยซ้ำ
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองคนตรงหน้าอย่างระวังขณะเดียวกันก็คิดตามคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะฟังดูแปลกประหลาด แต่สิ่งที่มั่นใจคือคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ พลันนั้นหวนคิดถึงคำทำนายช่วงท้าย “ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร” อีกทั้งคนตรงหน้าสนใจกระบี่หยกขาวของเขาเป็นพิเศษ และยังมีคำกล่าวของอาจารย์ที่เคยบอกว่าความผิดที่หลงรักปีศาจ หรือว่า...
    
             “เจ้าเป็นจิ้งจอกมาร” น้ำเสียงและแววตาเหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายโป้ปดตนเป็นอันขาด ทำให้ฟางเทียนฟงยิ้มออกมาก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีคนเรียกเขาเช่นนั้น
    
              “เหตุใดเจ้าถึงได้คิดเช่นนั้น” คำถามและแววตารื่นเริงของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปากคล้ายได้รับรู้ว่าสิ่งที่ต้องการ และเขากำลังมีชัยที่เหนือกว่า
    
             “ข้อแรกเจ้าต้องการรู้ที่ไปที่มากระบี่หยกขาวของข้า ซึ่งคนที่ให้ข้ามิใช่มนุษย์” เพียงแค่เกริ่นนำฟางเทียนฟงก็ถลาวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น หางทั้งเก้าที่อีกฝ่ายไม่เห็นส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว มือเรียวจับมือลั่วเหยียนเจิ้งเขย่าไปมาอย่างอดทนเก็บซ่อนงำความดีใจไว้แทบไม่ไหว
    
           “ฝู่ซาน! เจ้าเห็นฝู่ซานใช่หรือไม่ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งยืนนิ่งอย่างอึ้งๆ เมื่อเห็นกิริยาเปลี่ยนไปของคนตรงหน้า ดวงตาสีฟ้ามีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความดีใจจนทำให้คนที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดอย่างเขาถึงกับไปไม่ถูก แต่คนตรงหน้าหาใช่คนที่เขาจะให้ความสำคัญจึงได้แกะมืออีกฝ่ายออก
    
             “ปล่อย”
    
            “ข้าขอโทษ แต่ได้โปรดบอกข้าทีว่าฝู่ซานอยู่ที่ไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างครุ่นคิดหากเขาจะเอาเปรียบฟางเทียนฟงเวลานี้จะเป็นการรังแกอีกฝ่ายเกินไปหรือไม่ แต่เขาใช่ว่าจะเป็นคนดี ต่อให้ทำผิดกับอาจารย์ก็ตามแต่หากมันช่วยคนที่เขารักหายได้ก็ขอต่อรองกับจิ้งจอกมารตัวนี้หน่อยแล้วกัน
    
            “หากข้าบอกเจ้าข้าจะได้หยกน้ำค้างพันปีหรือไม่” ฟางเทียนฟงชะงักงัน เพราะความดีใจที่มีเบาะแสของคนรักทำให้ลืมตัวจนถูกอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่า แต่เรื่องนี้เขาก็มีความผิดที่เป็นต้นเหตุ ทว่ามันต้องแลกมาด้วยชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาเหมือนกัน
    
            “เช่นนั้นข้าคงต้องแลกชีวิตข้ากับคำตอบแล้วละ”
    
            “หมายความว่าเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเมื่อรู้สึกความไม่ชอบมาพากล ดวงตาคมกริบจ้องมองฟางเทียนฟงซึ่งถอยห่างจากเขาไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ใบหน้างดงามเงยขึ้นมองฟ้าคล้ายตัดท้อสวรรค์ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น
    
           “ข้ามีหยกน้ำค้างพันปีก็จริง เพียงแต่มันหลอมรวมกับหัวใจข้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ยามนั้นข้าบาดเจ็บหนักจากแม่ทัพสวรรค์ซึ่งตามล่าข้า ในคืนที่เหน็บหนาวคนที่ช่วยเหลือข้ามีเพียงผู้เดียว หยกน้ำค้างพันปีที่รักษาได้ทุกอย่างถูกหล่อหลอมกับหยดโลหิตของเทพและถูกฝังอยู่ในหัวใจ คนที่มอบชีวิตใหม่ให้ข้า แต่กลับต้องมารับเคราะห์กรรมแทนข้าทุกอย่าง และเพื่อชีวิตใหม่ที่ถูกมอบให้ข้าจึงใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด ในเมื่อสวรรค์พรากคนที่ข้ารักไป ลั่วเหยียนเจิ้งเจ้าช่วยตอบข้าได้หรือไม่ว่าข้าควรเลือกทางไหนระหว่างทิ้งชีวิตที่เหลือให้กับสหายที่รู้จักได้ไม่นานกับเก็บชีวิตเพื่อตามหาคนที่ข้ารักต่อไป”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปกับความจริงที่ได้รับ แสดงว่าหยกน้ำค้างพันปีมิใช่หาง่ายๆ แม้กระทั่งที่แดนเซียนเองก็ตาม ความเจ็บปวดทั้งแววตาและน้ำเสียงของฟางเทียนฟงในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่แพ้กัน เขารู้แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงชอบไปนอนเหม่อใต้ต้นดอกเหมยแดงทุกเช้า บ้างก็นอนอาบแดดจนตะวันลาลับขอบฟ้าไปก็ไม่ยอมลุกไปที่ใดจนกระทั่งเขาไปหา เขามองร่างโปร่งที่เหมือนแก้วใสที่ราวจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าทางเลือกไหนฟางเทียนฟงก็จะไม่ได้พบเจอคนที่รักอีกครั้ง
    
             “เจ้าอยากได้คำตอบแบบไหน จากหัวใจข้าหรือคุณธรรมที่แทบไม่หลงเหลือในใจข้าละฟางเทียนฟง”
    
             “จากใจเจ้า” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดวงตาสีฟ้าหันกลับมาอย่างเฝ้ารอคำตอบดวงตาคมกริบที่สะท้อนมานั้นดูว่างเปล่าเย็นชา เพียงแค่นี้เขาก็รู้คำตอบแล้ว
    
             “ข้าอยากให้เจ้ามอบหยกน้ำค้างพันปีให้ข้า” คำตอบที่ไม่เกินจากที่คิดไว้ไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงแปลกใจแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยถามกลับอย่างใจเย็นเพราะเชื่อมั่นว่าคนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งย่อมมีเหตุผลในการตัดสินใจมิเช่นนั้นคงจะเป็นฮ่องเต้มิได้
    
              ทว่าคำตอบนี้กลับทำให้ดวงจิตที่ไม่มีใครมองเห็นถึงกลับสั่นสะท้าน ดวงตาเรียวสวยมองทั้งคู่อย่างตื่นตะลึง มองคนเห็นแก่ตัวอย่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ทำตัวโหดร้ายเพื่อให้เขามีชีวิต ขณะเดียวกันชีวิตของฟางเทียนฟงกลับดูเวทนาจนน่าใจหาย และยังถูกซ้ำเติมจากคนโหดเหี้ยมไร้ใจ
    
            “พอจะบอกเหตุผลให้ข้าฟังได้หรือไม่”
    
            “ประการแรกเพราะเจ้าใช้ชีวิตมานานมากแล้ว ประการที่สองเพราะเจ้าไม่มีทางได้พบเจออาจารย์อีกครั้งต่อให้ผ่านไปสักหมื่นปีก็ตาม และสุดท้ายหากจบชีวิตของเจ้าลงสวรรค์อาจปลดปล่อยอาจารย์ออกจากที่กักขังก็เป็นได้ แต่ก็เป็นการคาดเดาของข้าเท่านั้น”
    
             “หมายความว่าไง ฝู่ซานถูกสวรรค์กักขังไว้งั้นหรือ” ดวงตาสีฟ้าตวัดมองพร้อมแรงกดดันทับมาจนแทบทำให้ขยับไม่ได้ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งยังคงยืนนิ่งสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวตอบอย่างใจเย็น
    
             “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ที่แห่งนั้นไม่ได้มืดมิดเหมือนคุกมืดแต่กลับมีพรหมแดนไร้สิ้นสุด กาลเวลาที่หยุดนิ่งหนึ่งปีที่นั่นเท่ากับหนึ่งวันในโลกมนุษย์ ที่ที่ไม่มีผู้คนหรือสัตว์ชนิดใด เจ้าว่ามันทรมานหรือไม่กับความเว้งว้างเดียวดายไม่เห็นผู้ใด อาจจะลืมเลือนผู้คนหรือแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำไป อาจารย์ทรมานมามากแล้วฟางเทียนฟงเพราะเหตุใดเจ้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด”
    
              “ผิดมากหรือที่ปีศาจอย่างข้าจะมีความรักให้เทพสวรรค์” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่าดวงตากลับฉายแววเครียดแค้นชิงชัง ความรู้สึกที่หายไปนานเริ่มกลับมาอีกครั้งราวกับถูกกระตุ้น
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ สรุปที่เขากินน้ำส้มสายชูไปนี่โง่เขลาสิ้นดี คนผู้นี้ไม่ได้รักอี้เอ๋อร์ของเขาแม้แต่น้อย หากคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่รักของอาจารย์เขาอาจจะลงทุนฆ่าฟันเพื่อแย่งมันมา
    
              “ข้ากับเจ้าไม่มีเรื่องต้องคุยกันอีก ความรักของเจ้าอย่าได้โทษสวรรค์เลย ทำไมไม่รู้จักโทษตัวเองหนึ่งพันปีที่ผ่านมาหากเจ้าบำเพ็ญเพียรไม่ออกมาแฝงตัวอยู่กับมนุษย์คงได้บรรลุเป็นเซียนไปแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงจริงจังคล้ายกับตำหนิฟางเทียนฟงที่เลือกทางเดินที่ไม่ถูกต้อง
    
               ร่างสูงทะยานจากไปพร้อมผู้ติดตามที่ทำตัวเหมือนไร้ตัวตนมาตั้งแต่แรก เหลือทิ้งเพียงจิ้งจอกมารผู้เดียวซึ่งได้แต่ยืนนิ่งเหม่อออกไปด้วยแววตาที่เจ็บปวด  คำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจทำให้เขารู้สึกสูญเสียตัวตน ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวได้ถูกต้อง เขาเดินทางผิดเพราะความชิงชังสวรรค์จึงมิอาจเข้าสู่บำเพ็ญเพียรได้ หากตนปล่อยวางและเข้าฌานมาตั้งแต่แรก เขาอาจจะพบกับคนที่รัก แต่เวลานี้ทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปแล้ว
    
              ข้าจะเลือกหนทางไหนดี ...ฝู่ซาน
    
              สายลมพัดผ่านรอบตัวอย่างแผ่วเบาแต่กลับอบอุ่นในหัวใจ เสียงสายลมคล้ายจะบอกว่าข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ทำให้ฟางเทียนฟงน้ำตาไหลริน ดวงตามองไปยังเงาร่างลั่วเหยียนเจิ้งที่เลือนหายไป ร่างโปร่งสีขาวเลือนหายไปจากที่เคยอยู่พร้อมการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของชีวิต...
    
              ลางสังหรณ์เลวร้ายย้ำเตือนให้หลิ่วเหวินอี้ติดตามฟางเทียนฟงไป ร่างโปร่งเลือนหายไปทว่าในใจร้องเตือนว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะเห็นฟางเทียนฟง เร็วเท่าความคิดร่างโปร่งใสดั่งดวงวิญญาณไล่ติดตามจิ้งจอกเก้าห่างไปอย่างกังวล เขากวาดมองรอบด้านที่มีอาคารน้อยใหญ่ตระการตาแล้วนิ่วหน้าครุ่นคิดนี่คงเป็นพรรคจิ้งจอกมาร แม้จะไม่เคยมาแต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เขาติดตามฟางเทียนฟงไปอย่างใกล้ชิดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกว่ามีคนตามเพราะใช้สายตากวาดมองรอบกายแต่ก็ไม่สิ่งผิดปกติใดๆ จากนั้นจึงเดินเข้าสำนักไปอย่างรวดเร็ว
    
             หลิ่วเหวินอี้มองฟางเทียนฟงสั่งงานผู้อาวุโสสามท่านภายในห้องพักอย่างเรียบง่าย ทว่าชายชราทั้งสามตรงหน้ากลับมีสีหน้าเศร้าใจเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง จากที่ฟังพวกเขาก็พอรู้ว่าฟางเทียนฟงไม่ใช่มนุษย์และยังเลี้ยงดูพวกมันมาตั้งแต่เด็ก ฟางเทียนฟงกล่าวสั่งลาและไม่ต้องตามหา บอกว่าจะเข้าฌานมุ่งหน้าการบำเพ็ญเพียรตัดขาดจากโลกมนุษย์ทั้งปวง แต่นั่นเป็นข้ออ้างเท่านั้นหัวใจที่ด้านชารู้สึกหน่วงในอก เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเอาชีวิตมาแลก อีกอย่างเขาเพิ่งรู้จักฟางเทียนฟงไม่นานเหตุใดต้องช่วยชีวิตเขาด้วย
    
             หลิ่วเหวินอี้มองฟางฟางเทียนฟงจัดการธุระภายในพรรคเป็นเวลาสามวัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นลั่วหยาง ทว่าดวงจิตที่แอบติดตามฟางเทียนฟงมาหลายวันกลับไม่สามารถเข้าไปในวังหลวงลั่วหยางได้ แต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนเดิม ดั่งทุกอย่างถูกลิขิตไว้ไม่ให้รับรู้มากไปกว่านี้  ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเช่นนี้เขาจึงได้แต่ทำใจยอมรับแม้จะมีสิ่งที่ค้างคาใจว่าเพราะเหตุใดก็ตาม
    
             ดวงตาเรียวสวยมองลั่วเหยียนเจิ้งที่กำลังสู้อยู่กับนักฆ่าใบ้กลุ่มหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม เวลานี้ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากตามดูเงียบๆ ทว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวอบอุ่นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะเดียวกันมันกลับเปิดใจรับจิ้งจอกมากเล่ห์ผู้นี้เขามาในหัวใจทีละน้อยๆ จนกลัวว่าสักวันเขาจะหลงรักลั่วเหยียนเจิ้งจนหมดหัวใจ...



     เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อน๊าาา :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่30เส้นผมบังภูเขา2(P.7วันที่ 18/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 18-06-2016 20:49:58
รอเสมอจ้าไม่ต้องห่วงนะจะตามติด
ชนิดติดขอบจอโทรศัพท์เลย
อ่านแล้วติดมากๆเลยคะ อยากอ่านแบบ
ไม่หยุดพักอ่ะ มันค้างคาในใจมาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 19-06-2016 08:24:19
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)


             ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปรากฏตัวภายในห้องบรรทมลั่วเหยียนเจิ้งอย่างเงียบงัน ในยามวิกาลที่มืดมิดภายในห้องมีเพียงเชิงเทียนตั้งอยู่มุมห้องทำให้เห็นร่างโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสันเหมือนดังเคย บนคานไม้มีองค์รักษ์หน้าหวานที่เรียกขานว่าหลวนซานเพียงแค่มนต์มายาร่างสีดำนั้นก็หลับนิ่งไป บัดนี้จึงเหลือเพียงแค่ฟางเทียนฟงกับหลิ่วเหวินอี้สองคนเท่านั้น
    
             ฟางเทียนฟงเดินเข้าไปหาร่างโปร่งพร้อมเปิดเสื้อดูบาดแผลน้อยใหญ่อย่างพิจารณา ดูเหมือนหนอนพิษแดงได้รักษาหายขาดเหลือเพียงพิษโลหิตกลืนกินที่วิ่งพล่านทั่วเส้นลมปราณ มันเหมือนมีสัญชาตญาณสัมผัสถึงสิ่งเลวร้ายสำหรับตัวมันถึงได้หดตัวเหลือเล็กเพียงเท่าเม็ดถั่วซ่อนเร้นทำตัวกลมกลืนไปกับสายโลหิต แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจพ้นสายตาจิ้งจอกเก้าหางที่มีตบะสองพันปีไปได้
    
             นิ้วเรียวเขี่ยเส้นผมสีดำเงางามออกจากใบหน้าเผยให้เห็นใบหน้างดงามได้อย่างชัดเจน ดวงตาเรียวมองคนนอนไร้สติอย่างนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนถึงไม่อยากให้หลิ่วเหวินอี้ตาย หรืออาจเป็นเพราะดวงตาล้ำลึกคู่นี้ที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด มีชีวิตโดดเดี่ยวเช่นเดียวกับตนเอง คนที่ใครต่อใครเรียกว่าขยะไร้ค่า แต่กลับมีค่าเหนือกว่าผู้ใด หากหัวใจไม่ได้มีความรักที่ซื่อสัตย์ต่อเทพสวรรค์เขาคงรักคนตรงหน้าที่มีแรงดึงดูดไม่ต่างจากฝู่ซานจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและเย็นเยือกคล้ายกันนั้นเป็นสิ่งดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็น
    
            “เหวินอี้ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องมารดาของเจ้า สตรีผู้นั้นไม่เหมาะสมจะเป็นมารดาของเจ้าที่ข้าไม่บอกเจ้าเพราะนางขายจิตวิญญาณให้กับปีศาจไปแล้ว ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้านางก็ยังไร้ความรู้สึกหากเจ้าไม่รู้ในวันหนึ่งเจ้าจะได้สังหารนางอย่างไม่รู้สึกผิด แต่ข้าคิดผิดตั้งแต่แรกทำไมเจ้าถึงพิเศษกว่าผู้ใด ทำไมเจ้าถึงจดจำนางได้”
    
            ฟางเทียนฟงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ความรู้สึกนี้เหมือนกับคนสำคัญกำลังหายไปอีกครั้ง ความทรงจำที่เขาดึงมาได้แม้เพียงน้อยนิดแต่ก็สามารถคาดเดาไปได้ หากในเวลาปกติเขาคงไม่สามารถดูความทรงจำของหลิ่วเหวินอี้ได้แน่
    
           ดวงตาเรียวเงยหน้าขึ้นจากร่างที่นอนนิ่งเหม่อมองออกยังหน้าต่าง ความมืดยามราตรีในค่ำคืนนี้ให้ความรู้สึกเหงาหว้าเหว้เหลือเกิน อาจเป็นค่ำคืนแห่งการลาจากของเขา หยกน้ำค้างพันปีที่หล่อหลอมกับโลหิตคนที่รักอีกทั้งรวมเป็นหนึ่งของตบะนับพันปีของตนเอง หากไม่มีมันเขาก็เป็นเพียงจิ้งจอกขาวธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้นและไร้ซึ่งสติปัญญาพร้อมความทรงจำใดๆ ทั้งสิ้น แต่คงเป็นทางเลือกที่ดีเพราะตอนนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน...
    
          พลันนั้นฟ้าที่มืดมิดเหนือน่านฟ้าของแคว้นลั่วหยางกลับเกิดปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด ท้องฟ้าเกิดเป็นสีขาวสว่างจ้าไปทั่วทุกหนทุกแห่งกาลเวลาคล้ายจะหยุดนิ่ง มีเพียงร่างโปร่งสีขาวเท่านั้นที่ขยับเคลื่อนไหวกระอักสำรอกสิ่งสำคัญออกจากหัวใจ จากนั้นที่เบื้องหน้าของฟางเทียนฟงปรากฏหยกสีเขียวมรกตเป็นรูปหยดน้ำเรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมาสว่างไปทั่วห้อง เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้เป็นเจ้าของ
    
          “เหวินอี้จงมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเจ้า อย่าให้ความช่วยเหลือของข้าสูญเปล่า ตบะของข้าจะทำให้พลังลมปราณเจ้ากลับคืนมา”
    
          น้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยบอกเสียงสั่นพร่า หยาดน้ำตาไหลรินหยดลงบนใบหน้างดงามของผู้ไร้สติ เวลาเหลือเพียงน้อยนิดมิอาจทำสิ่งใดไปมากกว่านี้ ฟางเทียนฟงตวัดมือนำหยกน้ำค้างพันปีที่หล่อหลอมกับตบะของตนเองใส่ลงปากของหลิ่วเหวินอี้ด้วยรอยยิ้มบาง ไม่มีความเสียใจอยู่บนใบหน้า พลันนั้นร่างที่นอนนิ่งเหมือนผักปลาเปร่งแสงสีเขียวอ่อนทั่วทั้งร่างพิษมารโลหิตกลืนกินดิ้นพล่านก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่อยรอย
    
          ฟางเทียนฟงมองผลลัพธ์ที่ได้อย่างพึงพอใจ ร่างโปร่งลุกขึ้นโซเซอย่างอ่อนล้า เวลาเหลือน้อยเต็มทีพลันใดนั้นร่างสีขาวก็ทะยานออกนอกแคว้นลั่วหยางด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่พลังอันน้อยนิดจะเหลืออยู่มุมปากโลหิตไหลซึมออกมา
    
          ตุ๊บ!
    
          พอพ้นเขตเมืองหลวงร่างโปร่งสีขาวก็ร่วงหล่น แม้จะเจ็บเจียนตายทว่าเจ้าตัวกลับยิ้มออกมาคล้ายสมปรารถนาต่อไปนี้ไม่ต้องเฝ้าตามหา ไม่ต้องทุกทรมานกับการรอคอย ไม่ต้องเจ็บปวดกับความรักอีกแล้ว ดวงตาสีฟ้าใสมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาช้าๆ ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ
    
           ร่างโปร่งสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน จากนั้นมันค่อยๆ หดเล็กลงๆ เหลือเพียงจิ้งจอกน้อยสีขาวธรรมดาตัวหนึ่งภายใต้หิมะที่ตกลงมาปกคลุมร่างเล็กที่หลับไหลไร้ความรู้สึกจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับสีหิมะ พลันนั้นแว่วเสียงเพลงไร้ที่มาดังสะท้อนทั่วหุบเขาเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่เหน็บหนาวเดียวดาย
    
            ปลดปล่อยข้าจากการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    แม้ดาวจะตกหรือพายุจะพัด
    ในที่สุดข้าก็จะกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้า
    หัวใจสองดวงของเราจะเต้นไปพร้อมกัน
    เชื่อข้าเถอะว่าหัวใจของข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
    ต่อให้รออีกหลายพันปี...
    เจ้าจะมีคำสัญญาของข้า
    แม้ลมหนาวจะเหน็บหนาวข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากไป...
    
           แว่วเสียงเพลงขับขานจบลงพลันใดนั้นสองเท้าเปล่าเปลือยของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิ้งจอกน้อย อาภรณ์สีขาวขลิบทองดูสง่า สูงส่งดุจมิใช่มนุษย์ สองมืออุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาในอ้อมกอดอย่างถนุถนอมพร้อมรอยยิ้มที่งดงามคล้ายภาพลวงตา
    
           สิ้นสุดแล้วไซร้กับการรอคอยที่เนิ่นนาน...
    
           จิวชงหยวนเงยหน้ามองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับเต้นระรัวเมื่อรับรู้ความจริงว่านี่เป็นการมอบหยกน้ำค้างพันปีและตบะของตนเองให้กับหลิ่วเหวินอี้ แม้เขาไม่รู้จักจิ้งจอกมารตัวนี้แต่เมื่อรับรู้ความจริงใจและความโดดเดี่ยวของฟางเทียนฟงมันทำให้หัวใจปวดร้าวไม่ต่างไปจากผู้เป็นเจ้าของ แต่นี่เป็นชะตาของสวรรค์ซึ่งลิขิตไว้ทำให้ไม่อาจก้าวก่ายไปได้มากกว่านี้ จึงทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น
    
           มือใหญ่ลูบศีรษะอย่างแผ่วเบาจึงเงยหน้าไปมอง ดวงตาเย็นนิ่งของลู่เฟยในเวลานี้เขาไม่อาจรู้ว่าคิดการใดอยู่ หากเจ้าตัวไม่แสดงออกมา เขาที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคงอ่านไม่ออก
    
           “มันจบแล้ว” น้ำเสียงอ่อนนุ่มเหมือนปลอบประโลมความรู้สึกผิดในใจทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบางเบา ก่อนจะเหม่อมองแสงสว่างที่จางหายไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ในเวลาต่อมากลับมีหิมะแรกของฤดูโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนมันกำลังชะล้างความรู้สึกเศร้าหมองให้หายไป
    
           “ลู่เฟยเหตุใดฟางเทียนฟงถึงยอมละทิ้งตบะและสิ่งสำคัญให้กับหลิ่วเหวินอี้” จิวชงหยวนเอ่ยถามลู่เฟยด้วยความสงสัย หากเป็นเพราะความเหนื่อยล้าหัวใจอย่างเดียวก็ไม่น่าจะทำให้ละทิ้งง่ายๆ เช่นนี้
    
           “หลิ่วเหวินอี้อดีตกาลเป็นน้องชายฝู่ซานจึงมีกลิ่นไอเหมือนกัน ฟางเทียนฟงเห็นยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดอีกทั้งลั่วเหยียนเจิ้งไปพูดกระตุ้นความรู้สึก จึงได้เลือกเส้นทางนี้” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เรื่องราวที่ซับซ้อนล้วนแล้วเป็นชะตากรรมของบุคคลที่ร่วมทำบุญและบาปมาร่วมกันทั้งสิ้น
    
          “พรุ่งนี้ข้าจะส่งข่าวไปบอกลั่วเหยียนเจิ้ง เพราะเราต้องไปแล้ว”  จิวชงหยวนพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินไปดูอาการหลิ่วเหวินอี้พร้อมกับลู่เฟยอีกครั้งก่อนจะออกเดินทาง เพราะพวกเขาเองก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หนทางการเป็นเซียนนั้นอีกยาวไกล
    
          เส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกันล้วนแล้วว่าจะเลือกเดินไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่  แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใดชะตากรรมของแต่ละคนก็มิอาจหลุดพ้นไปได้ มีเพียงหัวใจที่เข้มแข็งและยึดมั่นเท่านั้นถึงจะให้ประสบสำเร็จกับสิ่งที่มุ่งหวัง แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ตาม...
    
           หลิ่วเหวินอี้รู้สึกเจ็บที่หน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ เสียงเศร้าหมองของฟางเทียนฟงกัดกร่อนภายในใจ ร่างโปร่งคล้ายวิญญาณเริ่มจางหาย ทว่าใบหน้าที่เย็นชากลับมีน้ำตาไหลออกมาเมื่อรับรู้การสูญเสียสหายคนสำคัญ คนที่เขาไม่เคยไว้ใจ แต่กลับละทิ้งชีวิตเพื่อเขา แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลแต่ความจริงใจที่ถูกส่งมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เขาได้ยินคำสั่งสุดท้ายของจิ้งจอกมาร “เหวินอี้จงมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเจ้า อย่าให้ความช่วยเหลือของข้าสูญเปล่า ตบะของข้าจะทำให้พลังลมปราณเจ้ากลับคืนมา” นั่นคือสิ่งที่ได้ยินก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาในร่างของตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงและทำให้รู้ว่า ต่อไปนี้ ไม่มีสหายนามว่าฟางเทียนฟงอีกแล้ว    
    
           “เพราะอะไรเจ้าถึงทำเช่นนี้เทียนฟง” หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นนั่งเหม่อมองออกยังท้องฟ้าในยามรัติติกาล หัวใจเขาตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้งและเศร้าหมอง แต่เพื่อไม่ให้ความช่วยเหลือของสหายสูญเปล่าจึงนั่งเดินโคจรภายในร่างกายอีกครั้ง พลังลมปราณภายในร่างดูแปลกใหม่มันดูบริสุทธิ์กว่าครั้งไหนๆ และยังมีพลังวัตรมีมากกว่าร้อยปีอยู่ในร่างด้วย   
    
            ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อลืมตัวขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เห็นจิวชงหยวนและลู่เฟยนั่งมองมาที่เขานิ่งๆ พวกเขาล้วนเป็นผู้มีพระคุณจนชาตินี้ก็คงชดใช้ไม่หมด พิษหนอนแดงเป็นของคุณไสยแต่หมอเทวดาผู้นี้กลับรักษามันได้ แม้กระทั่งคนรักขององค์ชายเก้าก็ยังหายขาด
    
            หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นพร้อมคุกเข่าขอบคุณด้วยความรู้สึกแท้จริง หลังจากผ่านความเป็นความตายมาอีกครั้ง ทำให้รู้ว่าชีวิตเขามีค่ามากแค่ไหน ชีวิตที่ถูกมอบให้ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ใครมาพรากไปง่ายๆ
    
             “เจ้าจะทำอะไร ลุกขึ้นๆ แม้จะมีคนมากราบข้าบ่อยๆ ข้าก็ไม่ถือแต่สำหรับเจ้าว่าที่ฮองเฮาข้าคงรับการคารวะจากเจ้าไม่ได้” จิวชงหยวนบอกอย่างร้อนรนพร้อมพุ่งมาประคองร่างโปร่งของคนที่เพิ่งฟื้นแต่ใบหน้าและร่างกายกลับแข็งแรงเหมือนที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตาเท่านั้น
    
             หลิ่วเหวินอี้เงยหน้าลุกขึ้นตามอย่างว่าง่าย ใบหูแดงเล็กน้อยกลับคำพูดของจิวชงหยวน ดวงตาเรียวเหลือบมองหลวนซานที่ส่งสายตาห่วงใยมาให้ เขาพยักหน้ารับเหมือนจะบอกว่าเขาไม่เป็นไร
    
            “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามพร้อมตรวจชีพจรไปด้วย ร่างกายที่มีพลังวัตรมากมายจนน่าอิจฉาเพราะการเสียสละของใครบางคน ดวงตาเรียวมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ใบหน้างดงามไม่ได้สลักไว้ด้วยน้ำแข็งอีกแล้ว มันฉายไว้ด้วยความเศร้าหมองอย่างเปิดเผย
    
            “ข้าสบายดีทุกอย่าง ขอบคุณพวกท่านมาก” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ พิจารณาทั้งคู่ที่ดูแตกต่างกันรัศมีสีทองที่แผ่ออกมาจากลู่เฟยทำให้มองตามอย่างครุ่นคิด สายตาเขามีปัญหาหรืออย่างไรถึงได้มองเห็นสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็นกัน
    
           “ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ว่าแต่ตอนที่เจ้าสลบเจ้าพอจะรู้อะไรบ้างไหม” จิวชงหยวนลองเอ่ยถามขณะยื่นน้ำชาให้อีกฝ่ายดื่มเพาะสลบไปหลายวันทำให้เสียงแหบแห้งไปบ้าง
    
            หลิ่วเหวินอี้รับมาดื่มอย่างว่าง่ายรอบมองคนถามอย่างครุ่นคิดก่อนจะเหม่อมองออกข้างนอก เขาไม่เคยรู้สึกสูญเสียคนสำคัญ ทำให้ความรู้สึกนี้ยากจะอธิบายตั้งแต่เกิดมาใหม่ในชาตินี้เขาไม่เคยคิดจะไว้ใจผู้ใด เหตุผลที่คบล้วนแล้วแต่ผลประโยชน์ทั้งสิ้น จนกระทั่งผ่านความเป็นความตายมาครั้งนี้ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเสมอไป
    
            “นี่ไม่ใช่จุดจบของฟางเทียนฟงแต่มันเป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่เขาเลือกที่จะเดิน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองลู่เฟยที่เอ่ยออกมาเหมือนไปนั่งอยู่กลางใจ ความสูงส่งของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขจัดความเศร้าหมองภายในใจได้แต่ขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกยินดีที่ฟางเทียนฟงจะได้พบคนผู้นั้นเสียที
    
           “แสดงว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง” จิวชงหยวนลูบคางตัวเองมองสหาย? อย่างพิจารณาก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองเหมือนจะเข้าใจ
    
           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกและไม่จำเป็นต้องพูดเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ดีจิวชงหยวนและลู่เฟยก็ขอตัวออกเดินทางและให้รอลั่วเหยียนเจิ้งที่นี่ซึ่งเขาเองก็ยังไม่คิดจะกลับไปตอนนี้ หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากห้องไปหลวนซานก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมสำรวจร่างวของเจ้านายอย่างมึนงงเพราะตอนหัวค่ำอาการยังหนักอยู่แต่ตอนฟ้าใกล้สางอาการกลับหายดีแล้ว
    
           “นายน้อยท่านไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมขอรับ” หลวนซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงแต่เมื่อดูลมปราณของเจ้านายกลับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พลังวัตรมากมายและแน่นหนาเช่นนี้มาจากที่ใด
    
          “ขอบใจเจ้ามาก ข้ายังสบายดี” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มซึ่งทำให้หลวนซานตกตะลึง คำขอบคุณที่ไม่ได้ยินมานานแสนนานยังทำให้ไม่ใจเต้นแรงเท่ารอยยิ้ม ทำให้ใบหน้าและใบหูแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน เพราะนี่อาจเป็นรอยยิ้มแรกที่นายยิ้มมอบให้ ทำให้มันรู้สึกปราบปลื้มยิ่งนัก
    
          หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นรอยยิ้มโง่งมของคนติดตาม ก่อนจะไล่ไปพักผ่อนเพราะขอบตาเจ้าซ้ำจนเป็นหมีแพนด้าแล้ว แต่เหมือนเจ้าตัวจะดื้อดึงพร้อมเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง
    
           “นายน้อยขอรับข้าว่าพวกเรากลับนิกายมารฟ้ากันเถอะขอรับที่นี่มันอันตรายเกินไป อีกอย่างอีกาดำเข้ามาช่วยนายน้อยได้ลำบาก” หลวนซานกล่าวอย่างอึกอักใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้กลุ่มอีกาดำโมโหจนแทบจะลุกเป็นไฟ ทุกคนต่างวิ่งพล่านหายาแก้ให้นายน้อยแต่มิอาจทำได้สำเร็จ ทำให้พวกมันรู้สึกไม่อยากให้หลิ่วเหวินอี้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
    
            หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองหลวนซานอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นกลุ่มอีกาได้เข้ามาช่วยเหลือด้วยและยังดีเขาไม่ได้สูญเสียพี่น้องไปมีบ้างที่บาดเจ็บสาหัสแต่จิวชงหยวนก็ช่วยรักษาจนหายดีแล้ว
    
         “ส่งข่าวไปบอกพวกเขาว่าข้าหายดีแล้วและไม่ต้องเข้ามาที่วังหลวงอีก แต่ให้สืบหาที่อยู่ขององค์ชายสิบหลิงเซียวกับผู้หญิงคนนั้น” หลิ่วเหวินอี้บอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ดวงตาวาวโรจน์ทำให้หลวนซานรอบมองอย่างตื่นตระหนก เพราะครั้งนี้นายน้อยคงคิดจะกวาดล้างพวกมันอย่างจริงจังแทนลั่วเหยียนเจิ้งแล้วสินะ

   “หากสตรีผู้นั้นเป็นมารดาท่านจริงๆ ท่านจะทำเช่นไรขอรับ” หลวนซานถามอย่างระวัง วันนั้นเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่ไม่อาจไปช่วยได้ทันเพราะคืนนั้นไม่ได้ติดตามนายน้อยไปตั้งแต่แรก ครั้งที่โดนแทงหัวใจเขาแทบสลาย คนตรงหน้าเปรียบเหมือนทุกอย่างกับเขา น้องชาย เจ้านายและครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว หากสูญเสียไปมันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของมันจะเป็นเช่นไรต่อไป
    
          “จับเป็นมาหากทำไม่ได้ก็สังหารซะ” คำตอบที่โหดเหี้ยมและหนักแน่นทำให้หลวนซานกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เพราะอย่างไรคนผู้นั้นก็เป็นมารดาจะสังหารโดยง่ายอย่างนั้นหรือ    
    
           “หลวนซานชีวิตข้าถูกนางมอบให้แต่นางก็พรากมันไปแล้ว ต่อไปนี้ข้ากับนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบเหมือนจะเข้าใจสีหน้าลำบากใจของผู้ติดตามคนสนิท แม้จะเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายใครจะรู้ว่าหัวใจเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ว่า... เขาได้ตายจากไปด้วยน้ำมือของนางแล้ว
    
           “เข้าใจแล้วขอรับ”
    
            หลวนซานรับคำหนักแน่นก่อนจะถอยห่างออกไปทำตามคำสั่ง ปล่อยเหลือไว้เพียงร่างโปร่งลุกขึ้นยืนเหม่อมองท้องฟ้าที่เงียบเหงา ต่อไปนี้เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่ากับที่พวกเขามอบให้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายแต่กลับเป็นหัวใจที่ไม่ได้รู้สึกเดียวดายอีกต่อไป...




   ฝู่ซานค่าตัวแพงเจอกันตอนพิเศษในเล่มนะจ๊ะ อิอิ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 19-06-2016 09:50:31
โอยยยยยมีพิเศษด้านพี่จิ้งเก้าหางมั้ยจ้ะ  แฟนๆพี่จิ้งปวดกระดองจายยยยยย :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 19-06-2016 10:14:22
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 19-06-2016 17:22:49
สงสารฟางเทียนฟงมากเลยคะ
ขอให้เขาได้ไปเจอคนรักนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 19-06-2016 22:42:52
ผ่านวิกฤติรอดตายมาแล้ว  อี้เอ่อร์ดูแลตัวเองและรอทำหน้าที่ฮ่องเฮาเลย   สงสารฟางเทียนฟง แต่คิดว่าอย่างน้อยก็ได้อยู่กับคนที่รักเสียทีนะ   
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-06-2016 01:45:11
ทั้งเศร้าทั้งยินดี
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 20-06-2016 08:48:29
รอเวลาที่เจิ้งกับอี้เอ๋อกลับมาเจอกัน

สภาพเจิ้งคงเหมือนศพเดินได้ หักโหมตั้งหลายวัน :hao5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 20-06-2016 09:15:30
ช่างปราบปลื้มยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ...(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 22-06-2016 10:40:10
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่32เปิดใจ...(P.7วันที่ 22/6/59)


             หลิ่วเหวินอี้มองดูรองเท้าสีดำที่ถักทองดงามที่เคยถูกทิ้งและเขาเก็บมันไว้ เวลานี้เขาเลือกที่สวมใส่ การตัดสินใจที่จะลองเปิดใจพิจารณาลั่วเหยียนเจิ้งในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการฝืนใจแต่อย่างไร หัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับสั่นระรัวทุกครั้งเมื่อย้อนคิดไปถึงคนที่เร่งเดินทางกลับมาแคว้นลั่วหยาง คนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตรอดแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักแต่ความรักที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่ายทำให้ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ
    
             “อี้เอ๋อร์” เสียงร้องเรียกพร้อมร่างสูงพุ่งเข้ามากอดหลิ่วเหวินอี้ไว้แน่นจนดิ้นไม่ได้ เวลานี้เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเองมีรูปร่างสูสีกับคนตรงหน้าพอให้มีความหวังเล็กน้อยว่ายังสามารถกดลั่วเหยียนเจิ้งลงได้ ร่างโปร่งยืนแข็งค้างเมื่อคิดว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่พ้นผู้ชาย แต่หากเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจะได้เปรียบกว่าไหม?
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งมองสำรวจร่างโปร่งอย่างพิจารณา มือหนากระชากเสื้ออีกฝ่ายออกเพื่อดูบาดแผลข้างใน หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างคว้ามืออีกฝ่ายไว้แน่น เขาเพิ่งจะทำใจยอมรับเรื่องนี้แต่นี่มันเร็วเกินไปไหมที่จะ... ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบแม้จะตื่นตระหนกแต่ยังไม่สูญเสียการเป็นตัวเอง
    
           “ข้าสบายดีท่านพี่กลับมาเหนื่อยๆ ควรพักก่อน” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเป็นห่วงคนตรงหน้าสภาพดูไม่ได้เลยผมเผ้ารุงรังและยังมีหนาดเคราขึ้นจนเขี้ยวครึ้ม ที่สำคัญดวงตาอ่อนล้าของอีกฝ่ายทำให้อดที่จะห่วงใยไม่ได้    “ให้เจิ้นดูบาดแผลเจ้า” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ยอมแพ้จับมือออก สายตาดื้อรั้นและไม่ยอมเชื่อฟังจนกว่าจะเห็นด้วยตาตนเองทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกมือออกอย่างยอมแพ้
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งมองแผ่นอกขาวเนียนอย่างตะลึงงัน บาดแผลสาหัสหายไปไม่มีร่อยรอยให้เห็นแม้แต่น้อย และยังสัมผัสได้ถึงลมปราณอันล้ำลึกของอีกฝ่ายและรูปหยดน้ำสีเขียวอ่อนตรงตำแหน่งหัวใจ ดวงตาคมหรี่มองอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งเหมือนรับรู้ที่ไปที่มาของมัน นิ้วมือไล้ตามหน้าอกยาวลงมาจนถึงหน้าท้องซึ่งเจ้าของร่างเวลานี้ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อจนน่ากลั่นแกล้ง มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะนิ้วสำรวจร่างขาวผ่องมีกล้ามเนื้อพองามอย่างหาผลกำไรเล็กๆน้อยๆ ความกังวลที่ผ่านมาคลายลงเมื่อเห็นว่าหลิ่วเหวินอี้ยังอยู่สบายดีและยังมีพลังลมปราณมากกว่าเขาตอนนี้เสียอีก
    
           “ท่านกำลังลวนลามข้า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบแม้ภายในใจตอนนี้กำลังเต้นระรัว ดวงตาคมเงยขึ้นจากอกมามองหน้าเขา แววตาเร่าร้อนของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยแดงระเรื่อ
    
           “อือ” เสียงที่ตอบรับกลับมาพร้อมสีหน้าไม่ได้สำนึกกับสิ่งที่กระทำอยู่ทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างระอาก่อนจะดึงเสื้อขึ้นกลับมาใส่ไว้เหมือนเดิม
    
            หมับ
    
            หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งน้อยๆ เมื่อร่างตัวเองถูกรวบเข้าหาอกแกร่งของลั่วเหยียนเจิ้งอีกรอบ เขานิ่วหน้าน้อยๆ รู้สึกว่าช่วงนี้คนที่กอดเขาแน่นในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทั้งร่างกายและจิตใจ
    
           “หลิ่วเหวินอี้สัญญากับเจิ้นว่าชีวิตที่เหลือของเจ้าจะปกป้องมันไว้จนสุดความสามารถ จะไม่ให้ผู้ใดพรากมันไปอีก” น้ำเสียงที่สั่นพร่าและร่างที่สั่นเล็กน้อยทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ความรู้สึกห่วงใยของอีกฝ่ายเขารับรู้ดีอีกทั้งความพยายามทุกวิธีทางที่คนตรงหน้าพยายามที่จะช่วยเหลือตน ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะพูดหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ
    
            “ไม่ใช่ว่าท่านต้องบอกว่าจะปกป้องชีวิตที่เหลือของข้าหรอกหรือ”
    
            “นั่นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เวลานี้วรยุทธข้าด้อยกว่าเจ้ามากเห็นทีข้าต้องหมั่นฝึกฝนมากกว่าเดิม” ลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยคนในอ้อมกอดพร้อมตอบกลับอย่างจริงจัง แต่ต้องนิ่วหน้าเมื่อรับรู้ว่าวรยุทธของเขามันด้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างน้อยก็ตั้งสองขั้น เขาดูถูกพลังวัตรของฟางเทียนฟงไม่ได้จริงๆ หากเจ้าตัวคิดจะเก็บเขาจริงๆ คงได้ฝังอยู่ในสุสานไปนานแล้ว
    
             หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบาง พลังวัตรของจิ้งจอกสองพันปีจะอ่อนด้อยได้อย่างไร หากเทียบกับมนุษย์ธรรมดามันก็เหนือกว่ามากแต่กับคนตรงหน้านับว่าความห่างชั้นไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวมีไข่มุกพันปีอยู่ในร่างทำให้วรยุทธสูงส่งขึ้นมากกว่าคนปกติเป็นธรรมดา
    
            “ท่านไปอาบน้ำก่อนเถอะ ข้าทำของโปรดไว้ให้” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบแต่ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใจสั่นระรัว ความรู้สึกอยากกอด อยากจูบคนตรงหน้าถาโถมเข้ามาในใจจนแทบสะกดกลั้นไม่ไหว ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เย็นชาเหมือนที่ผ่านมาทำให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่า เพราะอะไรทำให้อีกฝ่ายลดความทิฐิลงมาได้มากถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าสีหน้าแบบไหนมันก็ทำให้ไม่อยากละสายตาออกไป แต่คำว่าของโปรดทำให้ตาคมกริบวาวขึ้นมาทันที
    
            “ข้าทำเป็นแต่บัวลอยไข่หวานและก็พายองุ่น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยดักคอ เขาทำอาหารฝรั่ง อาหารไทยและขนมหวานได้แต่อาหารจีนเขาทำไม่เป็น แม้จะมีโรงเตี๊ยมของวิหคดำแต่ก็ไม่ได้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง
    
            “เดี๋ยวข้ามา” ลั่วเหยียนเจิ้งหายวับไปด้วยความเร็วทำให้หลิ่วเหวินอี้หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดว่าจะเห็นแก่ของหวานมากขนาดนี้ แต่เอาเถอะอีกฝ่ายผ่ายผอมไปมากเพราะมัวแต่วุ่นวายเรื่องของเขามานานสองสัปดาห์จนแทบไม่ได้หลับได้นอน ตอบแทนแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร จากนั้นจึงสั่งให้ขันทีนำอาหารที่เตรียมไว้ให้มารอฮ่องเต้ ที่เขารู้วันมาถึงของลั่วเหยียนเจิ้งเพราะจิวชงหยวนกับลู่เฟยบอกเอาไว้จึงได้เตรียมข้าวปลาอาหารที่ชอบไว้รอได้
    
            ผ่านไปสองก้านธูปลั่วเหยียนเจิ้งก็กลับมาที่ห้องโถงภายในตำหนักมังกรอีกครั้ง ใบหน้าคมคายถูกทำความสะอาดอย่างดีกลับมาดูหล่อเหลาเหมือนเดิม เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่สง่างามไม่ต่างจากเมื่อก่อนเพียงแต่ตรงโหนกแก้มหายไปมากโขน้ำหนักคงหายไปหลายกิโล หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจเมื่อคิดว่าตนเป็นปัญหาจึงได้แต่เรียบเรียงอาหารวางลงจานคนตรงหน้าอย่างเอาใจ รอยยิ้มจริงใจของฮ่องเต้ในเวลานี้ทำให้หน้าร้อนผ่าว
   
           ทั้งคู่นั่งทานข้าวกันอย่างเงียบๆ เรื่องที่ผ่านมาไม่มีใครเอ่ยถามใครให้ลำบากใจ บรรยากาศรอบกายไม่ได้ดูอึดอัดทว่ามันกลับอบอวลไปด้วยสีชมพูจนองครักษ์ผู้ติดตามต่างหลบห่างไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน
    
            อาหารเลิศรสตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งตั้งใจทานอย่างช้าๆ เพื่อรับรู้รสชาติของอาหารแม้มันจะเป็นของพ่อครัวคนเก่าๆ ภายในวังแต่คนที่ตักให้คือคนที่เขารักทำให้มื้อนี้เจริญอาหารมากกว่าครั้งไหน ตะเกียบคู่ในมือคีบกินได้เรื่อยๆ แม้จะถูกวางกับข้าวจนพูนจานเจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปาก แต่ในที่สุดกระเพาะในท้องเหมือนจะมาสุดทางตัน แต่อาหารหวานยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อยจึงได้วางตะเกียบลง
    
           “อิ่มแล้วหรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างกังวลเพราะแม้จะพร่องไปมากแต่เขาอยากให้อีกฝ่ายทานมากกว่านี้
    
           “เจิ้นอยากทานบัวลอยไข่หวานฝีมือเจ้า” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับก่อนจะเรียกขันทีนำของหวานมาตบท้ายรายการมื้อเที่ยง บัวลอยหลากสีดูงดงามน่าทานและยังสอดไส้ด้วยเผือก เขาตักใส่ถ้วยเล็กและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างระวัง
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งรับมาพร้อมลองชิมช้าๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อรสชาติอร่อยกลมกล่อมหอมหวานถูกปากและเริ่มลงมือทานอย่างจริงจัง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทานบัวลอยไข่หวานแต่ก็ยังจดจำรสชาติได้เป็นอย่างดี แม้จะแตกต่างจิวชงหยวนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
    
             อาหารมื้อเที่ยงจบลงด้วยดี ลั่วเหยียนเจิ้งจึงออกมาเดินเล่นนอกตำหนักและเดินชมการก่อสร้างตำหนักเถาฮวาที่สร้างเสร็จเกินครึ่งแล้วเขามองตามอย่างพึงพอใจ ข้างกายมีหลิ่วเหวินอี้เดินเคียงข้างใบหน้างดงามนิ่งเฉยเหมือนทุกครั้งทว่ากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เย็นชาไร้ใจอีกแล้ว ใบหูแดงเล็กน้อยเพราะเขาจับมือเอาไว้แน่นแม้จะพยายามดึงออกแต่ในเมื่อเขาไม่ยอมจึงได้ปล่อยเลยตามเลย มุมปากยกยิ้มเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจนอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
    
            “ท่านพี่องค์ชายเก้าท่านจะจัดการอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดเท้ามองคนที่เอ่ยถามขัดบรรยากาศอารมณ์ดีของตนเองแล้วถอนใจยาว ดวงตาคมจ้องมองใบหน้านิ่งเรียบอย่างครุ่นคิดอาจเพราะเรื่องของน้องเก้าเขายังไม่ได้จัดการอย่างจริงจังและกักขังอยู่ในห้องอาญารอรับโทษทัณฑ์
    
           “แล้วเจ้าคิดเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งลองเอ่ยถามคนงามตรงหน้าซึ่งคิ้วขมวดมุ่น เหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงจะมีใครขอร้องมาให้พูดกับเขา
    
           “ข้าเป็นคนนอกความจริงไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ เพียงแต่ในความคิดของข้าองค์ชายเก้าไม่ได้เลวร้าย” หลิ่วเหวินอี้กล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย สังเกตคนข้างกายไปด้วยก่อนจะถอนใจยาวแล้วกล่าวต่ออย่างยอมรับความจริงเพราะสายตาจ้องจับผิดของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ไม่อยากโป้ปด
    
            “ความจริงองค์ชายสิบห้ามาขอร้องข้าให้ท่านปล่อยองค์ชายเก้าไป” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเพ่ยอวี้จะออกปากให้หลิ่วเหวินอี้ออกหน้าแทนองค์ชายเก้าและยังไม่เคยได้ยินว่าน้องเล็กจะมีความสัมพันธ์อันดีกับลั่วหลิ่งเห้อมาก่อน
    
            “เรื่องนี้เจิ้นตัดสินใจไปแล้วเพียงแต่ยังไม่มีเวลาจัดการเพราะยุ่งเรื่องของเจ้าอยู่” บอกพร้อมแตะมือลงใบหน้าหลิ่วเหวินอี้อย่างถนอมซึ่งเจ้าตัวก็ถอยหลบอย่างไม่ยินยอมให้จับโดยง่าย ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขาอย่างดุๆ ทำให้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
    
            “ในเมื่อท่านพี่ตัดสินใจไปแล้วข้าคงพูดอันใดมากไม่ได้” น้ำเสียงราบเรียบและยอมรับการตัดสินใจของเขาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะกระทำสิ่งใดจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เขากระทำนั้นมีน้อยนัก แต่ส่วนมากที่เห็นด้วยล้วนแล้วแต่ทำเพราะความหวาดกลัวทั้งสิ้น
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าเป็นสนมรักของข้าหากเป็นเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรดี กับคนที่คิดสังหารตนเองแม้จะไม่ได้เต็มใจแต่ก็ถือว่าเป็นความผิด มิหน้ำซ้ำยังมีกองกำลังลับไว้เป็นของตนเองย่อมถูกมองว่าคิดกบฏแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตแต่ก็มิอาจหนีพ้นความผิดได้เจ้าคิดเห็นด้วยเช่นไร”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งดึงร่างโปร่งมากอดพร้อมเกยคางไว้บ่นบ่าอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เห็นสีหน้าที่แท้จริง แม้เขาจะเย็นชาโหดร้ายแต่อย่างไรก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น น้ำเสียงที่เอ่ยถามแม้จะราบเรียบแต่คนที่ความรู้สึกไวย่อมสัมผัสถึงความอ่อนไหวในคำกล่าวนั้นได้
    
           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ผลักร่างสูงออก คำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้แม้แต่ตัวเขายังรับรู้ความเจ็บปวดไปด้วย หากไม่ลงโทษกบฏขั้นเด็ดขาดก็เหมือนปล่อยให้เหล่าขุนนางได้ใจและจะมีคนทำตามเป็นเยี่ยงอย่าง การที่เป็นฮ่องเต้ต้องเด็ดขาดไม่เช่นนั้นชีวิตตนเองก็จะไม่เหลือ แม้เวลานี้เหล่าขุนนางกบฏจะถูกสังหารไปจนหมดสิ้นทว่ายังเหลือองค์ชายเก้าที่ยังรอรับโทษทัณฑ์และยังมีองค์ชายสิบที่หนีไปได้ซึ่งสักวันคงย้อนกลับมา
    
           “เรื่ององค์ชายเก้าข้ามีหนทางช่วยได้” หลิ่วเหวินอี้จุดประกายความหวังให้ฮ่องเต้ที่ไม่อยากสังหารพี่น้องของตัวเอง หากองค์ชายเก้าไม่ได้มีจิตใจเมตตามาตั้งแต่ต้นลั่วเหยียนเจิ้งคงไม่กังวลใจเช่นนี้
     
            ทันทีที่กล่าวจบลั่วเหยียนเจิ้งกลับยกยิ้มบาง แผนการเรียบง่ายทว่าหากไม่ใช่พลังลมปราณของฟางเทียนฟงคงจะกระทำไม่ได้ ภาพมายาความสามารถใหม่ที่หลิ่วเหวินอี้ทำได้ทำให้เขาตื่นตะลึง แผนการแยบยลในครั้งนี้ยากนักจะมีคนจับได้หากสองสามีนั่นไม่เปิดเผยตัวตน แต่นี่ถือว่าเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายที่สามารถมอบให้น้องชายร่วมสายโลหิตได้ ลั่วหลิ่งเห้อหากมิใช่คนจิตใจดีมาตั้งแต่ต้น เขาคงสังหารอย่างไม่ลังเลแต่เพราะอีกฝ่ายไม่อยากมีอำนาจและทะเยอทะยานอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถึงทำให้เขาคิดมากถึงเพียงนี้
    
           ผ่านไปสามวันข่าวการประหารองค์ชายเก้าดังไปทั่วแคว้นลั่วหยางในฐานะกบฏพร้อมกับป้ายประกาศจับตัวองค์ชายสิบดังไปทั่วทุกหัวเมืองกอปรกับเงินรางวัลล่อตาล่อใจให้เหล่าจอมยุทธทั้งหลาย ข่าวเล่าลือนี้ดังไปนานหลายเดือน ทว่าคนที่ทุกคนคิดว่าตายแล้วเวลานี้กำลังสร้างหลักปักฐานอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในแคว้นจ้าวซึ่งห่างไกลแคว้นลั่วหยางมากกว่าหมื่นลี้ ทั้งคู่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ตกเบ็ดหาปลาอยู่กินฉันสามีภรรยาอย่างมีความสุขไม่มีตำแหน่งองค์ชายและองครักษ์อีกต่อไป มีเพียงเจี่ยงฉางกับเจี่ยงเห้อซึ่งคนในหมู่บ้านเรียกขานว่าสองพี่น้องตระกูลเจี่ยงเท่านั้น...



   ขอบคุณทุกกำลังใจมากค่าา  ใกล้จะหมดสต๊อกที่ฟางเขียนไว้แล้ว มาช้าไปบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ จุ๊บๆ :bye2: :bye2:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 22-06-2016 11:08:31
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 22-06-2016 14:28:16
รอเสมอค้าบบบบบ สู้ๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-06-2016 14:43:26
เขินๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 22-06-2016 17:40:55
 :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 22-06-2016 19:54:59
ไม่ทิ้งจ้า รอเสมอนะคะ
สู้ๆนะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้คะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 22-06-2016 20:01:08
มาจิ้มก่อน เดี๋ยวมาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 22-06-2016 20:49:21
 :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 22-06-2016 22:17:28
 :ling1:
เขิลลลลลลล
แค่กอดก้อฟินได้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่32เปิดใจ(P.7วันที่ 22/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 22-06-2016 22:46:02
รอเรื่อยๆ  ค่ะ ิไม่ต้องกังวลนะคะ   ไม่ทิ้งแน่นอน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 23-06-2016 19:30:54
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!(P.7วันที่ 23/6/59)


           หลังจากเรื่องวุ่นวายภายในราชสำนักจบลงด้วยดี ภายในวังหลวงยังดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายต่อไป เหล่านางสนมที่หลงเหลือไม่มากนักต่างอยู่กันอย่างสงบ ทว่าในหัวใจของพวกนางล้วนเจ็บปวดเพราะยามนี้ตนเองไม่ต่างจากไม้ประดับต้นหนึ่งของวังหลวงเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่เคยเสด็จมาหาตั้งแต่แต่งตั้งพระสนมหวงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นบุรุษที่งดงามเกินกว่าสตรีนางใด เวลานี้พวกนางจึงเหมือนดอกไม้รอวันเหี่ยวเฉาเท่านั้น อีกทั้งไม่กล้าลงมือทำการใดเพราะความโหดเหี้ยมที่พระองค์กระทำให้หวาดกลัวไปจนถึงหัวใจ
    
           มีเพียงพระสนมกุ้ยเหรินหมู่ตานซึ่งเป็นธิดาของแคว้นโจวเท่านั้นที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้ นางยังอยู่สุขสบายดีมีรอยยิ้มงดงามสดใสสมวัยสิบหกพรรษา แม้จะมีตำแหน่งสูงกว่าสนมนางในผู้อื่นแต่นางก็ไม่ไปกดขี่ข่มแหงพวกนางเพราะรู้ว่ากระทำไปก็ไร้ประโยชน์ สู้หาความสุขให้ตัวเองในแต่ละวันยังดีกว่า
    
            ร่างบอบบางงดงามในอาภรณ์สีชมพูเดินเล่นภายในอุทยานในตำหนักของตัวเอง ทว่าวันนี้นางเดินมาไกลกว่าทุกวันจึงได้เห็นพระสวามีเพียงในนามและพระสนมหวงกุ้ยเฟยกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานส่วนพระองค์เช่นกัน สองมือที่จับจูงกันนั้นชวนให้อิจฉา ทว่าพระนางเพียงแค่ยกยิ้มดวงตาพราวระยับ ความเอียงอายบนใบหน้าที่เคยแสดงกลับไม่หลงเหลืออยู่
    
           “พระสนม” นางกำนัลคนใกล้ชิดเอ่ยเรียกอย่างห่วงใยกลัวว่าจะเจ็บปวดกับภาพที่เห็น หมู่ตานเอียงคอมองนางกำนัลด้วยรอยยิ้มสดใสไม่ได้มีทีท่าหึงหวงแต่อย่างไร
    
           “อย่าห่วงเลย แบบนี้ก็ดีแล้ว” หมู่ตานเอ่ยตอบพร้อมหลบมุมต้นไม้แอบมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มงาม นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่เมื่อเห็นทั้งคู่แสดงความรักต่อกันนางไม่ได้รู้สึกหึงหวงหรือริษยาแต่กลับมีความสุขแบบแปลกๆ ครั้งแรกนางไม่แน่ใจยามที่เห็นเหล่าเสด็จพี่กำลังแสดงความรักให้เหล่าสนมชายในแคว้นโจว ยามนี้นางกลับรู้แล้วว่าตนเองมีความชอบแปลกประหลาด
    
            นางยืนบิดกายไปมาอย่างเขินอายรู้สึกเหมือนร่างจะแตกเป็นชิ้นๆ เมื่อเห็นทั้งคู่น้อมกายหอมแก้มกัน แทบทำให้นางกรีดร้องออกมาได้แต่ปิดปากตัวเองและรีบหลบกลับตำหนักเท่านั้น หากช้ากว่านี้คนทั้งคู่คงรู้ตัวว่ามีคนแอบมอง ร่างบอบบางเร่งรีบจากไปโดยมีสายตาเรียวคมคู่หนึ่งมองตามอย่างเงียบๆ
    
            หลิ่วเหวินอี้ผลักศีรษะคนขี้อ้อนออกจากบ่าตัวเองเหลือบมองตามเงาร่างเล็กที่จากไป ใบหน้าขมวดมุ่นอย่างไม่แน่ใจแต่กิริยาที่เห็นในเวลานี้บ่งบอกได้สตรีที่จากไปเมื่อครู่เป็นสาววายอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าในโลกนี้จะมีสาววายอยู่ด้วย เขาส่ายหัวสลัดความคิดในอดีตชาติตัวเองออกเพราะคำว่าสาววายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับบุรุษ ทว่ายามนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองยังเป็นชายแท้หรือเปล่า
    
           “อี้เอ๋อร์เดือนหน้าไปประพาสป่ากับเจิ้นนะ” น้ำเสียงออดอ้อนของคนข้างตัวให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจ ความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายหายไปหมดหลังจากรู้ใจตัวเอง แม้เขาไม่เคยบอกความรู้สึกให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ทว่าการกระทำที่อ่อนลงยอมให้หลายส่วนก็น่าจะรู้ได้
    
           “ข้าหมดหน้าที่แล้วจะกลับนิกายมารฟ้า”
    
            หลิ่วเหวินอี้บอกความตั้งใจของตัวเอง แม้จะตกหลุมรักลั่วเหยียนเจิ้งไปแล้วแต่เขาก็ยังมีหน้าที่ของตัวเองไม่อาจอยู่กับอีกฝ่ายได้นานนัก ร่างสูงตัวแข็งทื่อจับข้อมือเขาแน่นมากขึ้นดวงตาคมกริบจ้องมองเขาอย่างจริงจังจนอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ทว่าใบหน้ายังคงเรียบนิ่งมองตอบด้วยสายตาเรียบเฉยจนทำให้คนมองมาหงุดหงิด
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าจะทิ้งเจิ้นเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงเคร่งขรึมและดวงตาคมที่มองมาทำให้หลิ่วเหวินอี้เบือนหน้าหนี แม้จะชอบลั่วเหยียนเจิ้งแต่ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้ เขาไม่ใช่นกและไม่ชอบการถูกกักขังให้อยู่แต่ในกรงทองถึงจะสุขสบายแต่ก็ไร้อิสระ
    
            แต่หากเขารักคนตรงหน้ามากกว่านี้อาจทำให้ยอมอยู่ที่นี่ก็ได้ เพียงแต่เวลานี้เขายังไม่พร้อมที่จะละทิ้งทุกอย่างเพื่อลั่วเหยียนเจิ้ง เช่นเดียวกับฮ่องเต้ที่ไม่มีทางละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา เป็นถึงองค์จักรพรรดิของแคว้นลั่วหยางจำต้องมีผู้สืบทอดสกุล แต่เขามิได้ใจกว้างเป็นแม่พระที่จะให้คนที่รักไปมีหญิงอื่นเพื่อมีลูกสืบทอดบัลลังก์ สู้ออกไปยามนี้เสียยังดีกว่า
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้งเวลานี้ข้อตกลงเราสิ้นสุดแล้ว อีกทั้งข้าไม่มีความจำเป็นต้องรู้เรื่องกระบี่หยกขาวอีกแล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงจริงจังทว่าประโยคสุดท้ายกลับเบาหวิวเมื่อนึกถึงคนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับตนเอง
    
           ลั่วเยียนเจิ้งมองตามร่างโปร่งอย่างนิ่งงัน มือหนากำข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น เขาไม่อยากปลอยมือคู่นี้เด็ดขาดต่อให้แลกสิ่งใดก็ยอม ดวงตาคมมองคนเย็นชาด้วยหัวใจปวดร้าวความเย็นชาห่างเหินที่หลิ่วเหวินอี้มองมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก แต่เขาไม่อยากให้จบลงเช่นนี้
    
           “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเจิ้นบ้างหรือ” น้ำเสียงเจ็บปวดของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งเงียบ หากเขายอมบอกความจริงไปอีกฝ่ายจะแก้ปัญหาเช่นไร แต่เขาอยากลองบอกดูสักครั้ง
    
           “แม้ข้ากับท่านจะรู้สึกเช่นเดียวกันแต่แล้วอย่างไรเพราะว่าข้ามิได้ใจกว้างให้คนที่ข้ารักมีสตรีหรือบุรุษอื่นอีก ที่สำคัญแม้ข้ากับท่านจะรู้สึกตรงกันแต่ข้ามิอาจมีบุตรให้ท่านได้สืบทอดบัลลังก์ หนทางดีที่สุดคือท่านกับข้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย”
    
            “ไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งคว้าร่างโปร่งมากอดไว้แน่นพร้อมปฏิเสธการพบเจอกันอย่างจริงจัง แม้คำพูดของหลิ่วเหวินอี้จะมีมากมายแต่คำว่า “คนที่ข้ารัก” กลับฝั่งแน่นในใจจนไม่สามารถกระทำตามที่อีกฝ่ายต้องการได้
    
            “อี้เอ๋อร์เจิ้นปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ได้โปรดอย่าทิ้งเจิ้นเช่นนี้” น้ำเสียงสั่นพร่าและร่างที่สั่นสะท้านออกมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งอย่างคิดไม่ตก เขายังมีพี่น้องอีกาดำรออยู่และยังมีวิหคดำที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนนานมากแล้วที่สำคัญปัญหาภายในนิกายมารฟ้าก็ยังไม่ได้แก้ไข
    
            “หากเจ้ายังดื้อรั้นเจิ้นจะหนีตามเจ้าไป!” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาคมกริบแน่วแน่ทำให้หลิ่วเหวินอี้อึ้งไปครู่ใหญ่ เขามองคนตัวโตแต่ตัวแต่ไร้สมองอย่างปวดหัวคิดว่าตัวเองเป็นแค่สามัญชนหรืออย่างไร
    
            “ท่านเป็นฮ่องเต้อย่ากระทำอันใดไร้เหตุผลเช่นนี้สิ” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเหนื่อยใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นตาแก่ขึ้นทุกวันขณะอยู่กับคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ ไม่รู้ว่าในใจคิดการใดอยู่ถึงกล่าวออกมาเช่นนี้
    
           “แต่เจิ้นรักเจ้าจริงๆ นะอี้เอ๋อร์ เจิ้นไม่เคยมีความสึกเช่นนี้กับใครมาก่อน หากไม่มีเจ้าเจิ้นคงอยู่ไม่ได้”       คำบอกรักอย่างไร้ความหวานแต่กลับทำให้ใบหน้างดงามแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน ตอนนี้หลิ่วเหวินอี้จนคำพูดไม่รู้จะหาข้ออ้างใดมาสลัดคนตรงหน้าทิ้ง ความรู้สึกตอนนี้เขายังไม่ได้ลึกซึ้งจึงยังสามารถตัดใจได้แต่หากนานไปกว่านี้เขากลัวว่าจะถอนตัวไม่ขึ้นและสุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็เป็นเขาเอง
    
            “อี้เอ๋อร์หากเจ้ากังวลเรื่องบุตร ข้าสัญญาว่าจะมีบุตรกับเจ้าเพียงผู้เดียว” น้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้หลิ่วเหวินอี้ทำหน้าไม่ถูก ลั่วเหยียนเจิ้งสติไม่ดีแล้วหรืออย่างไรผู้ชายที่ไหนจะมีบุตรได้ ยิ่งพูดไปเขายิ่งรู้สึกมึนงงเหมือนโดนหลอกล่อให้ตกหลุมพรางของอีกฝ่ายอย่างมึนๆ และไม่รู้ว่าตกปากรับคำอย่างไรเขาถึงได้ยังอยู่ภายในวังหลวงและที่สำคัญยังอยู่ห้องเดียวกับฮ่องเต้ผู้มากไปด้วยเล่ห์กล

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองคนงามขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดจนอดที่จะขำออกมาได้ สองวันก่อนเขาหลอกล่อคนงามให้ตกลงปลงใจอยู่ในวังหลวงด้วยโดยใช้ความใจอ่อนอีกฝ่ายทั้งหลอกล่อให้เห็นใจทั้งข่มขู่สารพัดจนยอมตกลง “พอได้แล้ว ตกลงข้าจะอยู่กับท่านเลิกทำให้ข้าปวดหัวเสียที” ทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวมาเช่นนั้นเขาก็รีบให้อีกฝ่ายเอ่ยปากสัญญาจนประสบผลสำเร็จ
    
            มือหนาตวัดพู่กันขีดเขียนราชโองการและราชกิจอย่างอารมณ์ดี เขาได้หอบงานมาทำในห้องบรรทมซึ่งมีคนงามมานอนด้วย เพียงแค่มีคนนอนกอดในยามค่ำคืนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน ทว่าคนโดนกอดจะดูไม่ชอบใจนักเพราะขอบตาดำช้ำอาจเพราะนอนไม่เต็มอิ่มมาสองวันแล้ว
    
            “อี้เอ๋อร์มาฝนหมึกให้เจิ้นหน่อยสิ” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกคนงามที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่าง แม้จะง่วงนอนแต่กลับไม่หลับ ขณะที่เขานอนหลับฝันดีเมื่อมีร่างอุ่นๆ ของคนรักในอ้อมกอด ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนเหลือบมองร่างโปร่งมองมาที่เขาเงียบๆ ก่อนจะลุกมาฝนหมึกให้อย่างไม่เต็มใจนัก
    
            “อี้เอ๋อร์อีกสองวันมีการสอบจอหงวน เจิ้นได้ยินข่าวว่าสหายเจ้าก็มาร่วมสอบด้วยหลังจากเลื่อนงานออกไปเมื่อคราวที่แล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งชวนคุยและนึกได้ว่าในรายชื่อมีถังต้าหลี่ร่วมอยู่ด้วย ร่างโปร่งมีกิริยาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับรู้ ทำให้ยกยิ้มบางมือหนาตวัดอักษรงดงามอ่อนช้อยซึ่งทำให้คนมองแอบทึ่งเล็กน้อย
    
            “เจ้าไม่ขอร้องเจิ้นหน่อยหรือ” เอ่ยถามโดยไม่ได้มองหน้าคนงาน หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    
            “เหล่าขุนนางต้องการคนมีความสามารถไม่ใช่เส้นสาย” คำตอบไม่เกินจากที่คิดไว้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกมีความสุขเพราะเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดให้มาก แต่หลิ่วเหวินอี้กลับรู้อะไรควรไม่ควร กิริยาบางครั้งดูล้ำลึกยากจะคาดเดา เขายังเคยคิดว่าคนข้างกายเวลานี้แท้จริงแล้วอายุเพียงแค่สิบเก้าจริงๆ หรือ
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนหน้านิ่งแต่นั่งหาวจนน้ำตาเล็ด ทำให้อดที่จะขำออกมาไม่ได้ ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเหมือนทุกวันทว่า ที่แตกต่างคือความหนาหากเดาไม่ผิดคงใส่ซ้อนไม่ต่ำกว่าหกชั้น แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่มันคงจะมากไปในเวลาจะเข้านอนเช่นนี้
    
           “สองวันนี้เจ้าไม่ได้นอนหรือไง” ดวงตาเรียวตวัดมองไปอย่างดุๆ จะว่านอนหลิ่วเหวินอี้ก็ได้นอนทั้งคืนนั่นแหละเพียงแต่ไม่ได้หลับเพราะกลัวว่าจะหลับไปแล้วมีคนคิดไม่ดีถอดเสื้อผ้าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือว่าเขาจะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อนดีถึงจะได้เปรียบ?
    
            ดวงตาเรียวคมวาววับชั่วครู่ทว่าคนถูกมองกลับรู้สึกหนาวแบบแปลกๆ ลั่วเหยียนเจิ้งหันกลับมามองคนงามอย่างพิจารณาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
    
          “ไม่ใช่เจ้ากำลังคิดไม่ดีกับเจิ้นอยู่หรอกใช่ไหมอี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายตัวเองเหมือนโดนรู้ทัน มองค้อนคนตรงหน้าแล้วกล่าวตอบเสียงแข็ง
    
            แค่กๆ ๆ
    
            “ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
    
            “ดีแล้วที่ไม่คิดเพราะหากเจ้าเริ่มก่อนเจิ้นก็คงอดใจไม่ไหวที่จะตอบสนอง” ใบหน้างดงามแดงระเรื่อพร้อมเบือนหน้าหนีคนรู้มากที่ยังหัวเราะในลำคออย่างน่าหมั่นไส้ จากนั้นฮ่องเต้ผู้มากเล่ห์ก็ลงมือทำงานต่ออย่างอารมณ์ดีผ่านไปหนึ่งชั่วยามคนข้างกายที่ฝนน้ำหมึกให้กลับนั่งหลับอย่างน่าขัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งวางมือจากงาน เลือบมองคนนั่งหลับแต่พิงไหล่ตัวเองอย่างรักใคร่ เขาประคองร่างโปร่งพร้อมอุ้มขึ้นไปนอนแท่นบรรทมอย่างเบามือ ลมหายใจที่สม่ำเสมอของหลิ่วเหวินอี้ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับลึกแค่ไหน สองวันมานี้เห็นนอนตัวแข็งทื่ออย่างน่าสงสาร นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าอย่างถนอมก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากบางอย่างรักใคร่ ความจริงเขาอยากทำมากกว่านี้แต่ว่าหลิ่วเหวินอี้ยังไม่พร้อมจึงต้องให้เวลาคนรักมากกว่านี้ ดวงตาคมกริบมองเสื้อผ้าหนาหลายชั้นอย่างอ่อนใจไม่นึกว่าจะกลัวเขามากขนาดนี้
    
            ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางก่อนจะค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าหนาตาและน่าหงุดหงิดใจออกจากตัวหลิ่วเหวินอี้อย่างเบามือ ตอนนี้เหลือเพียงชุดขาวเบาบางตัวในเพียงตัวเดียวจึงยกยิ้มออกมาอย่างยินดี หากไม่หลับลึกเขาคงทำไม่ได้มากขนาดนี้ กลิ่นหอมดอกท้อที่ติดกายไม่จางหายทำให้หัวใจเริ่มติดขัดมองคนรักหลับตาพริ้มแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ร่างโปร่งงดงามภายใต้เชิงเทียนทำให้เขายกมือนวดระหว่างคิ้ว คิดผิดเสียแล้วที่เปลืองเสื้อผ้าอีกฝ่ายออก นี่เป็นการทรมานตัวเองชัดๆ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวโดยแท้ เหงื่อเย็นเยือบเต็มแผ่นหลังมือหนาตวัดผ้าห่มมาคลุมกายอีกฝ่ายเอาไว้
    
            “หนาว...” เสียงพึมพำเบาๆ พร้อมร่างโปร่งขยับมากอดร่างเขาไว้แน่นทำให้รู้สึกตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม ยั่ว? นั่นคือความคิดที่ก่อขึ้นในใจเมื่อร่างโปร่งขยับชิดกายพร้อมกอดลั่วเหยียนเจิ้งไว้แน่น
    
             อดทนไว้ลูก อดทน อดทน...
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งนอนแข็งทื่อและพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ทว่าแสงสว่างจากเชิงเทียนทำให้เห็นคนในอ้อมกอดชัดเจนยิ่งทำให้ลมหายติดขัดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปกตินอนกอดมาสองคืนเขาก็ไม่ได้เกิดอารมณ์มากมายเช่นนี้เพราะยังควบคุมตัวเองได้ ทว่ายามนี้เขารู้สึกว่ามันยากมาก ยากยิ่งกว่าอาจารย์ให้เขายกก้อนหินยืนขาเดียวบนลานหน้าบ้านเสียอีก
    
             แกะตัวหนึ่ง อดทนไว้ลูก... แกะตัวที่สอง อดทนไว้ลูก... แกะตัวที่สาม...
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกอยากร้องไห้แม้เวลานี้จะนับแกะถึงหนึ่งพันแต่ว่าเขาไม่ง่วงเลยสักนิด กลับกันเขาอยากรังแกคนข้างกายและกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้สมกับทำให้เขาทรมานเสียจริง...
    
             เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศดีและทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกสดชื้นกว่าสองวันที่ผ่านมา แม้ร่างกายจะเหลือเสื้อผ้าบางๆ ตัวเดียวแต่เขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนตกหลุมพรางว่าเสียตัวไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรร่างกายยังรู้สึกปกติดีทุกอย่าง ทว่าคนข้างกายเขาเวลานี้กลับเหมือนผีดิบตายซากขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าเหมือนอดหลับอดนอนเหมือนเขาเมื่อสองวันก่อน หากเดาไม่ผิดคงคิดจะแกล้งเขาแต่กลับเป็นตัวเองที่นอนไม่หลับ น่าตลกจริงๆ
    
             “ท่านพี่ไม่ได้นอนหรอกหรือเมื่อคืน ข้าหลับสบายดีมากเลยนะ” กล่าวหยอกล้อด้วยน้ำเสียงเรียบ ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอย่างขำขัน ดวงตาคมตวัดมองค้อนมาจนทำให้หลุดหัวเราะออกมาพร้อมเอ่ยถามอีกครั้ง
    
            “เมื่อคืนนี้นับแกะไปกี่ตัวละท่านพี่” น้ำเสียงราบเรียบและดวงตาวาววับมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยากจับฟัดจูบเสียให้พูดไม่ออก แต่ว่าตอนนี้ได้แต่คิดหากหลิ่วเหวินอี้ไม่ยอมจริงๆ มีหรือพลังลมปราณเขาจะสู้อีกฝ่ายได้ เขาต้องเก็บตัวฝึกมากกว่านี้!
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งบอกตัวเองอย่างแน่วแน่ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วดุจสายลมทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างงขำขัน เมื่อคืนนี้เขารู้สึกตัวเพียงแต่ง่วงจนไม่อยากพูดออกมาเท่านั้น  สุภาษิตบอกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว คงไม่เกินจริงนัก ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะลุกไปอาบน้ำเตรียมทานอาหารเช้าเหมือนทุกวัน...




    หวานวันละนิดจิตแจ่มใส >< ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากค่าาาา :bye2: :bye2: :bye2:



หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-06-2016 20:25:48
เมื่อไรจะเข้าหอหนอ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-06-2016 20:30:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 23-06-2016 21:07:01
น่ารักจังเลยอ่ะ หวานมากๆ   เจิ้นนอนไม่หลับ ส่วนอี้เอ๋อร์นอนหลบสบายเลย  ฟินเบาๆกับสนนสายวาย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 23-06-2016 21:18:16
เจิ้งใจเย็นๆนะ อย่าเพิ่งทำอะไรอี้เอ๋อ เดี๋ยวก็โดนโกรธหรอก

รอให้อี้เอ๋อใจอ่อนกว่านี้อีกนิดนึงก่อน :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 23-06-2016 22:36:01
รอวันเข้าหอ
และองชายน้อยในอนาคต

ว่าแต่

ผู้ใดจะเป็นคนท้อง???
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 24-06-2016 06:56:08
เจิ่นใจเย็นเจิ้น อี๋เออไม่ไปไหนหรอก
อดทนไว้ ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 24-06-2016 13:48:32
แหมๆ เจิ้นจ๊ะ รออีกซักนิดเถอะนะ เดะอี้เอ๋อร์ก็ใจอ่อนเองแหละ  :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้(P.7วันที่ 23/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 24-06-2016 19:17:58
โถ่ เหวินอี้น้อยยยยยยย ช่างน่ารักขึ้นทุกวัน ความยั่วก็เพิ่มขึ้นนะ
แบบนี้ฮ่องเต้จะอดทนได้นานแค่ไหนกันเชียว
คงต้องเก็บตัวไปฝึกฝนวรยุทธกับพลังลมปราณให้เหนือกว่าซะแล้ว อี้เอ๋อร์จะได้สู้ไม่ได้  :laugh3:  :hao7:
ยังติดตามอยู่นะจ้ะ สู้ๆค่ะ  :a1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่34การสอบจอหงวน(P.8วันที่ 27/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 27-06-2016 11:04:01
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่34การสอบจอหงวน(P.7วันที่ 27/6/59)




           ผ่านไปหนึ่งวันภายนอกในเขตราชฐานซึ่งจัดงานรับสมัครผู้เข้าร่วมสอบจอหงวนในปีนี้จะคึกคักกว่าทุกปีเพราะขุนนางน้อยใหญ่ตายตกเนื่องจากก่อกบฏมากมายทำให้ช่วงนี้ขาดขุนนางที่ซื่อสัตย์เหล่าบัณทิตจากทั่วทุกสารทิศต่างเข้ามาทดสอบความสามารถของตนเองเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีถังต้าหลี่บุตรหลานของตระกูลถังซึ่งเป็นสายรองทำให้คนในตระกูลใหญ่ไม่สนใจมากนัก หลังจากอ่านตำรับตำรามานานหลายเดือนวันนี้ก็ได้มาถึง
    
          สูงโปร่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดูสะอาดสะอ้านกำลังยืนรอเพื่อรับการสอบร่วมกับคนอื่นๆ อีกในครึ่งชั่วยามหลังจากมาสมัครสอบไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาเรียวคมมองคู่แข่งตัวเองด้วยความเฉยเมยไม่ใช่มั่นใจในฝีมือตัวเองเพียงแต่คิดว่าทำให้ดีที่สุดสำหรับวันนี้เท่านั้น
     
          “ฮ่าๆ นั่นมันต้าหลี่จากเมืองหยางเซานี่ไม่คิดว่าขยะอย่างเจ้าจะมาสอบขุนนาง” น้ำเสียงรื่นเริงปนดูถูกดูแคลนมาจากชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเนื้อผ้าดีบ่งบอกว่ามีฐานะดี ถังต้าหลี่หันไปมองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงนึกออกว่ามันคือถังไป๋หยุนจากตระกูลหลัก เขาเลิกสนใจหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา
    
          “ฮึ อ่านให้ตายยังไงเจ้าก็เป็นได้แค่ขยะ” น้ำเสียงดูแคลนนั้นส่งเสียงดังไปทั่วห้องเริ่มทำให้ผู้คนหันมาสนใจ ถังต้าหลี่เดินหนีไปนั่งบนเก้าอี้รับรองเหล่านักศึกษาและอ่านต่ออย่างสงบก่อนจะชะงักเมื่อหนังสือในมือถูกกระชากออกจากมือพร้อมดวงตาเย้ยหยันของถังไป๋หยุนที่ตามตอแยไม่เลิกลา
    
           “เอาคืนมา” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทำให้ถังไป๋หยุนฉีกยิ้มกว้างพร้อมฉีกหนังสือในมือตัวเองอย่างยั่วโมโหคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งทำหน้าไร้อารมณ์จนน่าหมั่นไส้ การกระทำนี้ทำให้เหล่านักศึกษาที่มาเข้าสอบหันไปมองอย่างสนอกสนใจ
    
          ถังต้าหลี่มองตามอย่างระอากับการกระทำแบบเด็กๆ แม้อยากจะเอาคืนแต่เขาไม่อยากถูกตัดสิทธิ์จึงไม่ก่อเรื่อง เขาปรายตามองอย่างเย็นชาไม่ได้โต้ตอบแต่กลับเดินหนีอย่างไม่ใส่ใจทว่าถังไป๋หยุนที่ถูกตามใจมาอย่างเคยตัวกลับไม่ยอมปล่อยไป
    
           “เจ้าจะไปไหนไม่ได้ ขยะไร้ค่าเช่นเจ้าคงทำให้เสียชื่อตระกูลทางที่ดีเจ้าสละตัวเองออกจากการแข่งขันนี้ซะ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายทำให้ถังต้าหลี่เลิกคิ้วพยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยวตัวเองเอาไว้
    
           “ข้าไม่ไป”
    
           “เจ้า” ถังไป๋หยุนกัดฟันกรอดอย่างโมโห ไม่เคยมีใครขัดใจมันมาก่อนร่างโปร่งกระชากร่างสูงมาใกล้แต่ว่าร่างกายนักศึกษาธรรมดาหรือจะสู้คนที่ฝึกวรยุทธเป็นเป็นประจำได้ ถังต้าหลี่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงขณะที่คนหาเรื่องล้มก้นกระแทกพื้นพรหมอย่างแรง
    
            “โอ้ย! เจ้า...”
    
            “ช่วยข้าด้วยมีคนรังแกข้า” เสียงร้องตะโกนดังก้องทำให้เหล่าขันทีที่คุมสอบเข้ามาไกล่เกลี่ย คนที่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้แต่เอามือปิดปากด้วยความคาดไม่ถึงกับความหน้าด้านไร้ยางอายของถังไป๋หยุน
    
            “อะไรกัน วันแรกพวกเจ้าก็ทะเลาะกันแล้วหรือ” เสียงแหบออกจะแหลมของขันทีที่รับผิดชอบเดินเข้ามามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างโมโหที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับตนเองอีก ทว่าเมื่อเห็นใครล้มลงกองกับพื้นก็รีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นและกวาดตามองถังต้าหลี่อย่างเย็นชา
    
            “เจ้าทำผิดกฎเพราะฉะนั้นเจ้าหมดสิทธิ์สอบในครั้งนี้” น้ำเสียงแหบแหลมของขันทีและดวงตาเรียวเล็กเชิดหน้าขึ้นเหมือนเป็นการตัดสินใจถูกต้องทำให้ถังต้าหลี่หรี่ตามองอย่างไม่พอใจ
    
            “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเหตุใดต้องโดนตัดสิทธิ์ คนในนี้เป็นพยานให้ข้าได้” ทันทีที่ถังต้าหลี่เอ่ยเช่นนั้นผู้คนก็ถอยห่างจากเขาไปเหมือนไม่ออยากยุ่งเกี่ยวด้วย เหลือเพียงบุรุษชุดขาวจากที่อยู่ด้านหลังสุดกลับเป็นว่ายืนอยู่หน้าสุด ใบหน้าแสนธรรมดาร่างกายที่ยังเยาว์วัยกอดอกยืนมองนิ่งๆ ดวงตาเรียวคมเหมือนมีอำนาจปรายตามองขันทีและคนที่ยืนอยู่ข้างกายก่อนจะเงยหน้าไปมองคนที่ถูกหาเรื่องแล้วถอนหายใจยาว
    
             “เจ้าเป็นพยานให้เจ้านี่รึ” น้ำเสียงกดดันของขันทีมองมายังหนุ่มน้อยหน้าตาธรรมดาจนออกขี้เหล่ ดวงตาข่มขู่ไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
    
           “ใช่เราเป็นพยานให้นักศึกษาผู้นี้” นิ้วเรียวชี้ไปยังถังต้าหลี่อย่างใจเย็นไม่ได้สนใจสายตาของนักศึกษารอบข้างที่มองมายังตนเหมือนคนโง่งม หาเรื่องไม่ดูคน
    
           “เช่นนั้นเจ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับนักศึกษาผู้นี้สินะ ทหารนำตัวสองคนนี่ออกจากห้องตัดสิทธิ์คนทั้งคู่ไม่ให้เข้ามาร่วมสอบอีก” น้ำเสียงแหบแหลมและเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีในอำนาจของตนเอง ทหารกรู่เข้ามาหาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
    
            “จะไล่ข้าก็ไล่ข้าเพียงคนเดียว คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้า” ถังต้าหลี่เอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว และรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงที่ในวังหลวงลั่วหยางไร้ความยุติธรรมสิ้นดี
    
           คำพูดของถังต้าหลี่ทำให้บุรุษชุดขาวยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างยินดี แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรร่างสูงโปร่งของพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามา บรรยากาศภายในห้องเหมือนเย็นลงจนผู้คนเริ่มเกร็งยืนนิ่งมองคนใหม่อย่างพิจารณา เหล่าขันทีที่จำได้ก็คำนับถวายพระพรก้มหน้าต่ำอย่างนอบน้อมซึ่งทำให้คนอื่นทำตามเช่นกันไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
    
           ดวงตาเรียวคมกวาดตามองอย่างเฉยเมยแต่กลับทำให้ผู้ถูกมองเย็นวาบทั่วแผ่นหลังได้ สายตาคู่นั้นมาหยุดอยู่ที่ร่างสีขาวที่ค้อมศีรษะลงต่ำ แต่ไม่ได้ต่ำมากเหมือนผู้อื่นใบหน้างดงามขมวดคิ้วลึกพร้อมเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
    
            “ท่านมาทำอะไรที่นี่องค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวสะดุ้งสุดตัว เขาว่าปลอมตัวมาดีแล้วเหตุใดถึงไม่พ้นสายตาของพระสนมอีก ใบหน้าแสนธรรมดาก้มลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่เหมือนพระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใส่ใจเอาคำตอบนักก่อนจะเดินไปมองเหล่าขันทีพร้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนซึ่งถูกหาเรื่องในวันนี้
    
            “แยกย้ายเตรียมตัวสอบกันได้แล้ว ไม่มีใครในนี้ถูกตัดสิทธิ์หรือว่ามีคนคัดค้านข้า” ดวงตาเรียวมาหยุดที่ขันทีที่ถูกยัดเงินมาไม่น้อยถึงได้เห็นผิดเป็นถูกเช่นนี้
    
            “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นตอบกลับเสียงสั่นก้มต่ำมากกว่าเดิม ทำให้ผู้คนแอบเหลือบขึ้นมามองอย่างแปลกใจ
    
           “ดี” กล่าวจบแค่นั้นก่อนจะผละจากไป ทำให้ผู้คนกลับมาหายใจได้โล่งกว่าปกติ แม้กระทั่งเพ่ยอวี้ซึ่งเป็นองค์ชายเองยังรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกมอง
    
           “นั่นผู้ใดหรือท่านขันที” ถังไป๋หยุนเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองจึงได้เห็นแต่แผ่นหลังงามสง่าที่เดินจากไปเท่านั้น
    
           “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เรื่องนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดีไป แยกย้ายกันไปได้แล้ว” ทันทีกล่าวจบทุกคนก็เริ่มไปตรียมสอบให้ห้องโถงใหญ่ ถังต้าหลี่มองตามเงาร่างสีขาวที่คุ้นตาอย่างครุ่นคิด ทำไมรู้สึกคล้ายสหายเขาจังหรือว่าคิดไปเอง?
    
            “ขอบคุณท่านมาก” ถังต้าหลี่เลิกสนใจคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือตนเองก่อนจะหันไปบอกร่างโปร่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใครแต่กิริยาและการวางตัวคงมิใช่สามัญชนทั่วไป
    
            “ไม่เป็นไร ข้าแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไปสอบเถอะขอให้ท่านโชคดี” ถังต้าหลี่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วตอบกลับด้วยความจริงใจ
    
             “ท่านก็เช่นกัน หากจบงานนี้ข้าขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อเป็นการตอบแทนได้หรือไม่” เพ่ยอวี้นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนยกยิ้มบาง
    
             “อืม ร้านวิหคดำนอกวังหลวงตกลงหรือไม่” ถังต้าหลี่ครุ่นคิดถึงร้านชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปยังห้องสอบพร้อมกับคนอื่นๆ
    
             “ฝ่าบาทไม่ควรรับปากพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าแสนธรรมดาดูกลมกลืนกับทุกสิ่งมายืนอยู่เบื้องหลังแล้วเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
    
             “ท่านพี่กล่าวไว้ว่าอย่าตัดรอนน้ำใจผู้อื่น เดี๋ยวเขาจะเสียใจ” บอกเสียงรื่นเริงก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเนียนๆ โดยไม่มีใครสังเกตได้ องครักษ์ที่พ่วงด้วยตำแหน่งอาจารย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ความเจ้าเล่ห์ถอดแบบผู้เป็นพี่ชายมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    
             ภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ วางเรียงพอเพียงสำหรับนักศึกษาที่สอบผ่านมาถึงรอบสามจากจำนวนที่เข้ามาสมัครมากกว่าพันคนตอนนี้เหลือเพียงห้าสิบคนเท่านั้น บ่งบอกว่าผู้ที่นั่งประจำที่ของตนเวลานี้มีความสามารถพอสมควรแต่หากต้องการตำแหน่งที่สูงกว่านี้จึงต้องผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านสุดท้าย พรรคพวกที่ใช้เงินยัดใต้โต๊ะกับเหล่าผู้คุมสอบต่างถูกคัดออกอย่างไร้ความปราณี ทว่ายังมีคนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่คือถังไป๋หยุนซึ่งบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวมีดีอยู่ไม่น้อย แม้จะดื้อรั้นเอาแต่ใจทว่าคำตอบและลายมือกลับอ้อนช้อยงดงามและตรงตามคำถามเกือบทุกข้อ สร้างความแปลกใจให้กับถังต้าหลี่ซึ่งผ่านเข้ารอบมาได้เช่นกัน
    
             ผ่านไปหนึ่งชั่วยามการสอบจึงเสร็จสิ้น ถังต้าหลี่ผ่านเข้ารอบสองง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก อาจเพราะศึกษาตำรามามากจึงทำให้ตอบคำถามได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งเหลือเพียงสิบคน ทว่าตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์นั้นรับเพียงแค่สองคนเท่านั้น การแข่งขันครั้งนี้จึงเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เองติดตามมาด้วยพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเขายังไม่ทราบว่าพระนามว่าอะไรเพียงแต่ข่าวที่ได้ยินมาในช่วงสองวันนี้คือพระสนมเป็นบุรุษที่งดงามมาก บางครั้งถังต้าหลี่ยังอดคิดไม่ได้ว่าในโลกหล้านี้ยังจะมีชายใดงดงามกว่าสหายตนอีกหรือ แม้จะอยากรู้แต่เขาก็ยังไม่อยากหัวหลุดจากบ่าจึงได้แต่ก้มหน้าน้อมตัวต่ำไม่กล้าสบพระพักต์
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกวาดสายตามองนักศึกษาเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์เหมือนที่ผ่านมาทว่าดวงตาคู่คมกลับสร้างแรงกดดันให้กับผู้อยู่เบื้องหน้าจนแผ่นหลังเย็นเบือกเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของตัวเอง ร่างสูงงดงามในอาภรณ์สีเหลืองทองลายมังกรน่าเกรงขาม สวมมาลาห้อยด้วยมุกสีเงินบดบังใบหน้าทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนักพระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองงดงามข้างกายมีพระสนมคนโปรดซึ่งใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปปั้นน้ำแข็งกับบรรยากาศเย็นเยือกในรอบกาย
    
           “ลุกขึ้น” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยออกคำสั่งคำแรกเมื่อพิจารณาผู้เข้าสอบเพียงพอแล้ว ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าถังต้าหลี่มาไกลได้ถึงเพียงนี้และคนที่ทำให้ประหลาดใจคือถังไป๋หยุนซึ่งฝ่าฝันมาไกลถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนยัดเงินเหล่าผู้คุมสอบตั้งแต่วันแรก ทว่ากลับใช้ความสามารถตัวเองเข้ามาได้ ช่างน่าสนใจ นิสัยที่แสดงออกคล้ายเด็กเรียกร้องความสนใจทว่าความตั้งใจอันแน่วแน่และว่าความรู้ของอีกฝ่ายบอกได้ว่าอ่านตำรับตำรามามากนัก แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เป็นวรยุทธเลยสักนิด
    
             “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสิบกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันแม้จะลุกขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองพระพักต์พระองค์เพราะมันเป็นกฏของราชสำนักหากไม่ได้รับอนุญาติไม่อาจสบพระพักต์เจ้าเหนือหัวได้
    
             “การทดสอบรอบสุดท้ายมีไม่มากนักพวกเจ้าผ่านมาถึงด่านนี้ได้นับว่าเป็นขุนนางของแคว้นลั่วหยางแล้ว เพียงแต่ข้าต้องการที่ปรึกษาสองคน” น้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้ผ่อนคลายทว่ารูปแบบประโยคทำให้ขุนนางหน้าใหม่ต่างรู้สึกกดดัน ตอนนี้เทียบขั้นได้เพียงขุนนางชั้นผู้น้อยเท่านั้น หากประสบความสำเร็จนั่นหมายถึงเขาจะเลื่อนเป็นขุนนางขันที่หนึ่งทันที
    
            “ข้าต้องการคำปรัชญาจากใจคนละหนึ่งบทความภายในหนึ่งก้านธูป บทความผู้ใดทำให้ข้าชื่นชอบได้ข้าจะแต่งตั้งผู้นั้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาส่วนตัวข้า” ทันทีที่ฮ่องเต้กล่าวจบเหล่าขันทีก็เตรียมอุปกรณ์และโต๊ะนั่งให้ผู้เข้าสอบสิบคนอย่างรวดเร็ว ที่นั่งห่างกันไกลไม่อาจมองเห็นได้ว่าเขียนสิ่งใดอยู่ แม้โจทย์ที่ได้มานั้นดูแสนง่ายทว่าใครเล่าจะรู้ว่าฮ่องเต้ผู้มากความสามารถผู้นี้จะชื่นชอบบทความแบบไหนกัน ทว่าพวกเขาไม่มีเวลามาคิดถึงข้อนี้เพราะก้านธูปเดียวนับว่าน้อยนิด
    
            หลิ่วเหวินอี้ที่นั่งเงียบเป็นรูปปั้นน้ำแข็งมานานมองดูสหายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโต๊ะเตี้ยของตัวเอง ผู้อื่นเริ่มลงมือเขียนแล้วทว่าเจ้าตัวเพียงแค่หยิบพู่กันขึ้นมาเท่านั้น
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าว่าสหายเจ้าจะเขียนบทดความแบบใดกัน” คำถามของคนที่นั่งสูงกว่าตนนิดหน่อยทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นไปมอง ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองสหายอีกครั้งซึ่งกำลังลงมือเขียนลายมือของเจ้าตัวเขายอมรับว่างดงามอ่อนช้อยแต่ก็หนักแน่นน้ำหนักของตัวอักษร
    
            “ข้าเป็นสหายไม่ใช่ผู้รู้ใจ” คำตอบเรียบนิ่งแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งก้มหน้ามามองพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
    
            “นั่นสินะ เจ้ารู้ใจข้าผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนตอบกลับมาอย่างระอามีโอกาสไม่ได้เลยหยอดได้หยอดดี วันไหนไม่ได้เกี้ยวพาราสีเขานี่คงนอนไม่หลับ
    
             “หมดเวลา” เมื่อธูปไหม้หมดดอกหัวหน้าขันทีก็ตะโกนก้องพร้อมผู้เข้าสอบวางมือและส่งกระดาษให้เหล่าขันทีซึ่งเดินไปรับพร้อมเดินกลับมาถวายฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ ขณะนั้นถังต้าหลี่เผลอเงยหน้าไปทางฮ่องเต้กลับต้องตะลึงงันเมื่อเห็นสหายของตนนั่งอยู่บนนั้นด้วย เวลานี้พวกเขาลุกจากโต๊ะเตี้ยที่เตรียมสอบก่อนหน้านี้มารวมตัวกันตรงหน้าฮ่องเต้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ถังต้าหลี่กลับมองสหายไม่วางตาจนลืมแม้กระทั่งมารยาทก่อนจะสะดุ้งเมื่อถังไป๋หยุนบิดที่เอวจนสะดุ้ง
    
            “อยากตายหรือไงเจ้าโง่” เสียงกระซิบพร้อมดวงตาเรียวเล็กถลึงมองมาทำให้ถังต้าหลี่มองตามอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายห่วงใยตน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจดีเหมือนกัน
    
             “อย่าคิดว่าข้าห่วงใยเจ้า ข้าแค่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงวงค์ตระกูล” ถังไป๋หยุนกระซิบตอบพร้อมหันหน้าหนีด้วยใบหูแดงก่ำ ทำให้ถังต้าหลี่ชะงักงันอย่างมึนงง ทว่าในใจกลับคิดว่าคนข้างกายเขาเวลานี้ทำไมดูน่ารักไปได้ เขาเลิกสนใจคนข้างตัวก่อนจะแอบเหลือบมองดวงตาเย็นชาของสหายที่มองมาเช่นกันมุมปากยกยิ้มขึ้นมาเพียงนิดเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวทำให้แน่ใจว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือ หลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่นิกายมารฟ้าไม่ผิดตัวแน่ ไม่ได้เจอกันสองเดือนไยเจ้าตัวมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้ ความคิดมากมายต้องหยุดลงเมื่อเสียงนุ่มอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของฮ่องเต้ดังขึ้น
    
           “บทความของแต่ละคนน่าสนใจ เพียงแต่ข้าชื่นชอบมีเพียงสอง ข้าอ่านบทความของผู้ใดจงก้าวออกมา” คำกล่าวนั้นทำให้หัวใจของผู้ที่รับฟังใจสั่นเต้นระรัวเพราะการสอบครั้งนี้เหมือนการตัดสินอนาคตตัวเองเลยก็ว่าได้ ทว่าคนที่สงบนิ่งที่สุดกลับเป็นบุรุษในอาภรณ์สีขาวเรียบง่ายคนเดียวกับที่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือถังต้าหลี่ในวันนั้น
    
             “แต่ก่อนอื่นข้าขอตัดสิทธิ์ผู้เข้าสอบออกหนึ่งคน” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบทำให้เหล่าขุนนางหน้าใหม่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างลืมตัว น้ำเสียงแม้จะอ่อนโยนแต่รูปแบบประโยคที่กล่าวออกมาสร้างความกดดันให้ผู้เข้าสอบจนหายใจไม่ทั่วท้อง แม้จะกระทำอย่างไร้มารยาททว่าพระองค์มิได้กล่าวติเตือนอันใดพวกเขาจึงก้มหน้าลงตามมารยาทที่พึงมีของตน
    
            “เพ่ยอวี้มิใช่เจิ้นให้เจ้าศึกษาวรยุทธและหมั่นศึกษาตำราในตำหนักหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่กดดันทำให้เจ้าของชื่อก้าวขึ้นมาข้างหน้ายกมือคารวะอย่างนอบน้อมเมื่อมิอาจหลบสายตาได้พ้น
    
             “ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเพียงแค่อยากทดสอบความสามารถของตนเอง มิได้เจตนาก่อความวุ่นวายให้พระองค์ ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่นอบน้อมด้วยใจทำให้ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นั่งนิ่งครุ่นคิดแล้วกล่าวตอบอย่างเชื่องช้า
    
           “เวลานี้เจ้าผ่านการทดสอบของนักศึกษาแล้วเพ่ยอวี้ หากวรยุทธเจ้ายังต่ำต้อยเห็นทีเจิ้นต้องฝึกเจ้าด้วยตัวเอง”
    
            “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมให้ฉีเห้อหลันฝึกให้เหมือนเดิมดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหวาดหวั่นที่แสดงออกมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ทว่าคนที่คุ้นเคยกันดีกลับรู้สึกหนาวเยือกจนรู้สึกยืนไม่ติด ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังหลิ่วเหวินอี้อย่างขอความช่วยเหลือ
    
            “หากฝ่าบาทต้องการผู้ฝึกซ้อมกระหม่อมจะช่วยให้ฝ่าบาทฝึกเองพ่ะย่ะค่ะ มิต้องเดือนร้อนไปถึงองค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงเย็นนิ่งฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับหันศีรษะมามองคนรักที่ออกตัวช่วยเหลือองค์ชายสิบห้าอย่างไม่อยากเชื่อ และเกิดความสงสัยว่าสองคนนี่ไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
    
            “อะแฮ่ม! เรื่องนั้นช่างเถอะ เพ่ยอวี้เจ้ากลับตำหนักได้แล้ว” เพ่ยอวี้มองตามอย่างลังเลก่อนจะถอยกลับตำหนักอย่างไม่มีทางเลือก
    
             แต่คนที่ตกใจมากที่สุดคือถังต้าหลี่วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เขลานัก จึงได้ก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิมยามนี้เขาไม่กล้าสบตากับใครทั้งสิ้น ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งสูงเท่าไหร่ความมากเล่ห์ภายในวังหลวงยิ่งเห็นได้ชัดเจน แต่หากทำให้บิดามารดามีฐานะที่ดีขึ้นเขาก็ยินดีที่จะก้าวเข้าไป แม้ต้องพบเจอกับอะไรเขาก็ยังจะเป็นถังต้าหลี่ที่สัตย์ซื่อคนเดิมตลอดไป...



         ขอบคุณมากค่าา แล้วพบกันใหม่นะคะ :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่34การสอบจอหงวน(P.8วันที่ 27/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 27-06-2016 13:41:26
ถังหลี่ต้าจะมีคู่แล้วววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่34การสอบจอหงวน(P.8วันที่ 27/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 27-06-2016 13:49:26
 :bye2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่34การสอบจอหงวน(P.8วันที่ 27/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 27-06-2016 17:39:13
 :hao7: ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่34การสอบจอหงวน(P.8วันที่ 27/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 27-06-2016 18:36:25
สนุกมากกกก อยากวาร์ปไปตอนหน้า 555
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1(P.8วันที่ 28/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 28-06-2016 11:12:56
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1(P.8วันที่ 28/6/59)

           


            “อย่าถามว่าเคล็บลับแห่งความสำเร็จอยู่แห่งใด แต่จงทำในสิ่งที่ควรทำให้สุดความสามารถ”
    
            “คนโง่ไตร่ตรองพันครั้งย่อมได้ประโยชน์” (ความคิดของคนโง่บางครั้งก็ถูก)
 
               ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยคำปรัชญาที่บ่งบอกอุปลักษณ์นิสัยของคนที่ถูกใจที่สุดออกมาสองประโยคด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ตัวอักษรอ่อนช้อยและหนักแน่นล้วนบอกตัวตนของผู้เขียนได้อย่างดี ดวงตาคมกริบมองไปเบื้องหน้าปรากฏว่าเป็นคำปรัชญาของสองพี่น้องตระกูลถัง มุมปากแต้มรอยยิ้มถังต้าหลี่สหายของหลิ่วเหวินอี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกขึ้นมาใช่ว่าคนตรงหน้าเป็นคนรู้จักแต่นี่เป็นการเลือกขุนนางที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
    
              “นับแต่นี้พวกเจ้าทั้งสองคือขุนนางขั้นห้าของราชวงศ์ลั่วหยางมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าและพระสนมหวงกุ้ยเฟยหลิ่วเหวินอี้”
    
             “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทั้งคู่คุกเข่าลงตอบรับอย่างนอบน้อมพร้อมชำเลืองมองพระสนมรักของฮ่องเต้ไปด้วยสนพระทัย ทว่าเวลานี้พวกเขามิใช่นักศึกษาสามัญชนธรรมดาอีกต่อไป จึงต้องรักษามารยาทเอาไว้อย่างเคร่งครัดแม้จะสงสัยเพียงใดก็ตาม
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งให้แยกย้ายกันไป ส่วนสองขุนนางหน้าใหม่จะมีเรือนพักเป็นของตัวเองโดยให้หัวหน้าขันทีเป็นผู้นำทางไป ทว่ายังเหลือหนึ่งคนที่ยังถูกรั้งตัวเอาไว้ซึ่งถังต้าหลี่รู้ดีว่าเพราะเหตุใด เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้วเวลานี้จึงเหลือเพียงสามคนเท่านั้น
    
             “เจ้าลุกขึ้นเถอะถังต้าหลี่” น้ำเสียงอ่อนโยนอนุญาตผู้ที่ยังคุกเข่าก้มหน้านิ่ง เสียงตอบรับหนักแน่นจริงใจพร้อมร่างสูงลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่เงยหน้าสบพระพักต์
    
            “ไปที่ศาลาเหลียนฮวากันก่อนเถอะ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบเพราะการอยู่ในสถานที่แห่งนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน การวางตัวและยังต้องนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นให้ผู้คนแอบมองอีกทั้งตำแหน่งที่ถูกยัดเยียดให้ฟังทีไรก็ระคายหูเสียทุกครั้ง
    
             “เช่นนั้นก็ได้ ต้าหลี่เจ้าไม่คิดจะเงยหน้ามองพวกข้าหน่อยหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยหยอกเย้าเวลานี้เหลือคนไม่มากอีกทั้งถังต้าหลี่เป็นสหายของหลิ่วเหวินอี้จึงไม่ได้แสดงสีหน้ากดดันมากนัก ทว่าคนตรงหน้าเหมือนจะอึกอักไม่กล้าตอบโต้ดั่งที่อยู่ในจวนตระกูลเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน
    
            “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” ถังต้าหลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม ก่อนจะสดุ้งเมื่อมือหนาตบลงไหล่กว้างของตนเอง
    
             “อย่าไปสนใจคนบ้าอำนาจเลยไปศาลาเหลียนฮวากับข้าก่อนเถอะข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าเหมือนกัน” หลิ่วเหวินอี้เดินลงมาจากแท่นนั่งเหลือบมองคนที่เดินตามมาเล็กน้อย ถังต้าหลี่เงยหน้ามามองอย่างไม่แน่ใจทว่ากิริยาเฉกเช่นเดิมของสหายทำให้คลายความหวาดหวั่นลงได้มาก  แต่ก็ยังรู้ตัวเวลานี้ตนอยู่ในฐานะอะไรทำให้เดินตามหลังทั้งคู่ออกไปอย่างระวัง
    
             “ตามสบายเถอะ ยังไงข้าก็เป็นสหายเจ้า” เมื่อมาถึงศาลาเหลียนฮวาหลิ่วเหวินอี้จึงเอ่ยบอกสหายให้คลายความวิตกกังวลออกไป แม้ตอนนี้ตำแหน่งที่รับไว้จะสูงส่งแต่อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสี่นิกายมารฟ้าอยู่ดี ทว่าถังต้าหลี่ยังยืนเกร็งไม่ห่างเหลือบมองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างไม่แน่ใจเพราะใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยมาลาห้อยมุกสีเงิน ร่างสูงสง่านั่งหลังเหยียดตรงอย่างน่าเกร็งขาม
    
           “นั่งเถอะเจ้ากับข้าย่อมรู้จักกันมาก่อน” รอยยิ้มอ่อนโยนและน้ำเสียงของฮ่องเต้ทำให้ถังต้าหลี่ครุ่นคิด เงยหน้าสบพระพักต์อย่างจริงจังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของกษัตริน์ลั่วหยาง
    
             “ท่านมิใช่พี่น้องร่วมสาบานของเหวินอี้หรอกหรือ หรือว่าจำผิด” ลั่วเหยียนเจิ้งสำลักน้ำชาที่กำลังจิบหันไปมองสบตากับหลิ่วเหวินอี้ที่ทำสีหน้านิ่งเฉย เมินจากเขาไปกวักมือเรียกให้ถังต้าหลี่มานั่งด้วย
    
             “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ มานั่งเถอะ แต่พี่น้องร่วมสาบานของข้าคนนี้มักจะโลภมากนักชอบยัดเหยียดตำแหน่งแปลกๆ ให้ข้าอยู่บ่อยครั้ง” หลิ่วเหวินอี้กล่าวตอบเชิงประชดประชันฮ่องเต้เล็กน้อย ก่อนจะรินน้ำชาให้สหาย อาหารว่างถูกนำมาวางตรงหน้าแต่คนที่ยังไม่คุ้นเคยกับฮ่องเต้เพียงแค่ยื่นมือไปรับมาถือไว้เท่านั้น
    
            “ตามสบายเถอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกเสียงอ่อนเพราะเห็นคนตรงหน้าหวั่นเกร็งเขาซะเหลือเกินที่สำคัญถังต้าหลี่เป็นสหายคนสำคัญของหลิ่วเหวินอี้ซึ่งไม่ใช่คนต่ำช้าจึงไม่อยากสร้างความขุ่นมัวให้คนรักมากนัก    “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
    
            “อือ ไม่ต้องเกร็งใจ สหายเมียเจิ้นก็เหมือนสหายเจิ้นนั่นแหละ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะลูบหลังให้คนสำลักน้ำชาหน้าดำหน้าแดง พร้อมดวงตาเย็นนิ่งมองตาเขียวกลับมาทำให้อดที่จะยิ้มออกมาจากหัวใจไม่ได้ เขาชอบที่ตนเองสามารถทำให้หลิ่วเหวินอี้เปลี่ยนสีหน้าได้และยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเวลาที่เจ้าตัวนอนอยู่ภายใต้ร่างเขาจะมีสีหน้าเช่นไร
    
            “ข้าไปเป็นเมียท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วอีกอย่างเลิกทำสีหน้าโรคจิตนั่นเถอะ” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเอือมระอา บรรยากาศสองคนทำให้ผู้เป็นแขกรับเชิญมาทำสีหน้าไม่ถูกรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางจึงได้แค่ก้มหน้าจิบชาในมืออย่างเงียบงันทำตัวไร้ตัวตนให้มากที่สุด
    
           “หึ” เสียงหัวเราะอย่างไม่น่าไว้ใจของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนจะเลิกสนใจ หันศีรษะกลับมามองสหายที่นั่งเงียบงันเป็นใบ้แล้วได้แต่ส่ายหน้า ความรื่นเริงของถังต้าหลี่หายไปไหนหมดหรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างที่เขาพักอยู่วังหลวง
    
            “เกิดอะไรขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนหรือไม่”
    
            “เปล่า จริงสิก่อนเข้าเมืองเมื่อสี่วันก่อนข้าเจอเจ้าห้ากับแม่นางเหมยฮวาพวกเขาฝากจดหมายมาให้เจ้าด้วย ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าทำไมถึงฝากมาให้ข้าในวังหลวง ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว
    
            “หืม...” หลิ่วเหวินอี้รับจดมาอ่านแปลกใจ ก่อนจะเปิดอ่านด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะหันไปบอกคนส่งจดหมาย
    
             “ขอบใจเจ้ามาก”  ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองทั้งคู่อย่างไม่ชอบนักรู้สึกเวลานี้ตนเหมือนคนนอกอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะฉุกร่างโปร่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างเข้ามาใกล้จะแทบจะเกยหน้าตักตนเองพร้อมจดหมายในมือที่ถือวิสาสะเปิดอ่านโดยมีเจ้าของจดหมายเหลือบตาขึ้นมองอย่างระอา
    
            “ท่านหึง?”
    
            “เหมยฮวาเป็นว่าที่คู่หมั่นเจ้า เจิ้นจะกินน้ำส้มสายชูย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจในเมื่อเจ้าเป็นเมียเจิ้น” น้ำเสียงตอบรับและยอมรับความจริงอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้คนที่นั่งอยู่ด้วยสำลักน้ำชาหน้าแดงก่ำมองทั้งคู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีแค่อยากจะไปจากตรงนี้เสียเหลือเกิน
    
           “เช่นนั้นสนมในวังหลังของท่าน ข้านี่ไม่รู้สึกอะไรเลยนะ” น้ำเสียงประชดพร้อมดวงตาเย็นชามองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มกว้างกอดร่างโปร่งเข้าหาตัวแน่นขึ้น
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าน่ารักที่สุดเลย เช่นนั้นให้เจิ้นส่งพวกนางกลับหมดเลยดีหรือไม่” คำถามรื่นเริงและแววตาสดใสของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้กรอกตาไปมารู้สึกตัวเองจะพลาดท่าเสียทีอย่างไรอย่างนั้น
    
             “ท่านจะสร้างศัตรูเพิ่มหรือไง ข้าไม่ได้เบาปัญญาเช่นนั้น” หลิ่วเหวินอี้ผลักร่างสูงออกห่างแต่ลั่วเหยียนเจิ้งกลับยิ้มกว้างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน และยังไม่อายฟ้าดินอีกจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เหลือบมองสหายที่มองมาด้วยดวงตาเบิกกว้างคล้ายตกใจและทำตัวไม่ถูกอย่างนึกสงสาร
    
             “เจ้าไปดูที่พักใหม่ของเจ้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวว่างๆ ข้าจะเข้าไปหา” หลิ่วเหวินอี้หันไปบอกสหายซึ่งพยักหน้ารับอย่างแข็งจขันเหมือนยกภูเขาออกจากอก จากนั้นขันทีผู้หนึ่งได้นำทางออกไป ภายในสวนดูสงบร่มเย็นทว่าเวลานี้เหมือนร่างกายจะร้อนผ่าวแปลกๆ
    
            “ปล่อยข้าได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นนิ่งพร้อมดวงตาเรียวคมมองมาอย่างดุๆ ทำให้คนลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
    
             “อี้เอ๋อร์เทศกาลล่าสัตว์ของปีนี้เจ้าไปเป็นเพื่อนเจิ้นนะ” หลิ่วเหวินอี้นั่งครุ่นคิดมองคนออดอ้อนอย่างไม่ไว้ใจ ดวงตาคมกริบมองมาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นทุกครั้งแต่ความรู้สึกบางอย่างยังก่อกวนหัวใจจึงมิได้ตอบโต้กลับไป
    
            “เจ้าเงียบถือว่าเจ้าตกลง” ลั่วเหยียนเจิ้นมัดมือชกอย่างเอ่ยความเห็น ทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ ดวงตาเย็นนิ่งฉายแววลำบากใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยเหมือนปกติทุกวันแต่เขากลับวางแผนที่จะออกไปเคลียร์ปัญญาของตัวเองให้เรียบร้อย

    
           หลังจากการสอบจอหงวนหาขุนนางที่ซื่อสัตย์ผ่านไปร่วมสามสัปดาห์และใกล้ถึงงานเทศกาลล่าสัตว์จากวันนี้หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยหลิ่วเหวินอี้ก็ยังอยู่ภายในวังหลวงอย่างสงบ มีข่าวสารทางนอกมาบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าข่าวของเหมยฮวากับอีกาห้าซึ่งถังต้าหลี่นำมาให้ครั้งที่ผ่านมานั้นไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก เหตุเพราะทั้งคู่ท่องเที่ยวร่วมกันจนเกิดความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่ในฐานะของสตรีนั้นคงไม่อาจยอมรับบุตรเขยที่ภายนอกเป็นแค่คนธรรมดาได้ จึงทำการตัดสินใจหนีไปด้วยกันนั่นหมายความว่าอีกาห้าขอไปใช้ชีวิตสามัญชนธรรมดากับคนที่รัก เขาจึงได้ปล่อยผ่านไปแม้จะเสียดายยอดฝีมือแต่ในเมื่อเป็นคนเลือกทางเดินเขาก็จะไม่โต้แย้งเพียงแค่อำนาจที่เจ้าตัวเคยมีไม่หลงเหลืออีกแล้ว
    
           ร่างโปร่งเดินออกจากตำหนักเถาฮวาซึ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยก้าวเดินไปยังตำหนักมังกรที่อยู่ไม่ไกลนัก ทว่าการมาครั้งกลับต้องผิดหวังเช่นเคย ตั้งแต่วันที่สอบจอหงวนเสร็จเขาก็ไม่เคยเห็นฮ่องเต้ผู้นี้อีกเลย มีบ้างที่เห็นออกมาว่าราชกิจภายในห้องโถงร่วมกับเหล่าขุนนางแต่เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย
    
           “พระสนมฝ่าบาททรงเก็บตัวฝึกวนยุทธยังไม่อาจพบท่านได้พ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงออกมาบอกกล่าวด้วยความลำบากใจทุกครั้ง หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามบอกเสียงเรียบ
    
           “ฝากความไปถึงเจ้านายเจ้าด้วยว่าภายในหนึ่งก้านธูปยังไม่เอาตัวมาพบข้า...” หลิ่วเหวินอี้บอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้คนฟังเย็นเยือกทั้งแผ่นหลัง น้ำเสียงเย็นนิ่งหยุดลงพร้อมคำขู่ที่ทำให้คนฟังเหงื่อตก
    
            “ข้าจะกลับนิกายมารฟ้า” รอยยิ้มหวานที่ทำให้คนมองเย็นเยือก มุมปากแย้มยิ้มเพียงครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเช่นเดิม ทว่าในใจนั้นกลับรู้สึกหงุดหงิดโมโหคนที่หายไปไม่ยอมบอกกล่าว เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าลั่วเหยียนเจิ้นแอบไปฝึกวรยุทธอยู่ที่ไหน ที่เขายอมเสียเวลาอยู่ที่นี่ทั้งที่มันน่าเบื่อเพราะสัญญาอีกฝ่ายเอาไว้จะไปร่วมเทศกาลล่าสัตว์ที่จะถึงไม่กี่วันนี้ ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงไม่เห็นเงาหัวเขาแล้ว
    
           หลิ่วเหวินอี้กลับมายังตำหนักพร้อมชดชาดับอารมณ์คุกรุ่นของตัวเอง ไม่คิดว่ายามไม่เห็นอีกฝ่ายจะทำให้คิดถึงอย่างนี้ และยังน่าหงุดหงิดตัวเอง ทั้งๆ ที่คิดว่าไม่ได้รักลึกซึ้งมากมายแต่กลับกังวลและอยากเจอหน้าตลอดเวลา จากที่เคยมีคนนอนกอดจนดิ้นไม่ได้เวลานี้ข้างที่นอนกลับว่างเปล่า ความเคยชินเมื่อก่อนถูกลบเลือนไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของใครบางคน แม้ทุกคืนจะหลับเหมือนทุกวันแต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายและเขาไม่ได้โง่เขลาจนไม่รู้ว่าตัวเองคิดเช่นไรอยู่
    
           เพียงแค่อึดใจเงาร่างสีเหลืองทองก็พุ่งมายังประตูห้องและเปิดออกอย่างรุนแรง การปรากฏตัวของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งค้างไปชั่วครู่  เพิ่งจะไปข่มขู่มานั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยแต่คนที่ต้องการมาพบกลับมาปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้น่าจะไปข่มขู่ตั้งนานแล้ว ร่างสูงใบหน้าคมคายแตกตื่นเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้ามาสวมกอดเขาแน่น ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิดไว้
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าจะทิ้งเจิ้นไปหรือ” น้ำเสียงดูเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายทำให้เพิ่งสังเกตว่าเจ้าตัวเหนื่อยมากเหมือนวิ่งระยะไกลเป็นพันลี้ เมื่อสำรวจร่างตรงหน้าจึงได้เห็นว่าวรยุทธของอีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้นมาอย่างน่าตกใจ หายไปสามสัปดาห์แต่วรยุทธสูงเกือบเท่าเขาห่างชั้นกันแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
    
           “ใครบอกให้ท่านหายไปเงียบๆ” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบผลักร่างสูงออกจากตัวพร้อมรินน้ำชาต่ออย่างไม่สนใจ แม้ภายในใจจะยินดีแค่ไหนทว่าใบหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง
    
           “โธ่ อี้เอ๋อร์คนดีเจิ้นแค่เก็บตัวฝึกวรยุทธไม่นานเจ้าถึงกับคิดถึงเจิ้นจนทนไม่ไหวเชียวหรือ” ใบหน้าคมคายฉายแววเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มรื่นเริงทำให้หลิ่วเหวินอี้มองนิ่งๆ ก่อนจะตอบรับเสียงเรียบ
    
            “อือ คิดถึง” คำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้าง เอามือแตะหน้าผากวัดอุณภูมิในร่างคนงามอย่างไม่แน่ใจ ว่าไม่สบายหรือไม่ ดวงตาเย็นชามองมาอย่างดุดัน จึงฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมพร้อมรวบร่างโปร่งมากอดอีกครั้ง เพียงแค่คำว่าคิดถึงเขาก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่หากได้ยินคำว่ารักเขาคงไม่ยอมให้หลิ่วเหวินอี้ออกจากห้องบรรทมแน่ๆ
    
             “เจิ้นก็คิดถึงเจ้า”
    
             หลิ่วเหวินอี้นั่งนิ่งมองคนบอกว่าคิดถึงอย่างไม่เชื่อถือเท่าไหร่นัก แต่เขาก็เลิกที่จะใส่ใจเพราะคนเป็นกษัตริย์เชื่อใจไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ยังซ่อนเขี้ยวเล็บไว้อีกมากอย่างลั่วเหยียนเจิ้ง ทว่าหัวใจกลับรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    
            “ปล่อยข้าได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกคนที่กอดเอวตนเองไม่ปล่อยแม้จะไม่ได้รัดแน่นอย่างน่าอึดอัดแต่มันกลับทำให้หัวใจเขาทำงานมากกว่าปกติ
    
            “เจิ้นขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าเหงาอยู่คนเดียว” น้ำเสียงสำนึกผิดพร้อมมือหนาปล่อยร่างโปร่งออกอย่างไม่เต็มใจนัก ดวงตาคมมองสำรวจร่างโปร่งที่งดงามไปไม่เปลี่ยนอย่างแสนคิดถึงเพราะความอ่อนด้อยในฝีมือจึงเก็บตัวฝึกให้มากขึ้นอย่างน้อยก็ควรปกป้องคนที่รักได้เพราะเทศกาลล่าสัตว์ในครั้งนี้ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ศัตรูอยู่ในที่มืดย่อมทำให้เขาต้องระมัดระวังมากขึ้น
    
            “ข้าแค่เบื่อไม่ได้เหงา แล้วนี่ใกล้จะถึงเทศกาลล่าสัตว์แล้วต้องเตรียมตัวออกเดินทางล่วงหน้าหากข้าไม่ทำเช่นนี้ท่านพี่คงไม่ออกมา” หลิ่วเหวินอี้อธิบายเสียงเรียบนิ่งสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทว่าคนที่อยู่ใกล้ชิดกันมาหลายเดือนเริ่มที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามและรับน้ำชามาจิบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยิ่งอยู่ใกล้ชิดคนตรงหน้ายิ่ง์ทำให้เขาหลงใหลหลิ่วเหวินอี้มากขึ้น งดงามเย็นชาแต่จิตใจอ่อนโยนมากกว่าที่เห็นหรือไม่อาจเป็นเขาเพียงคนเดียวที่ได้เห็นด้านนี้ของคุณชายสี่ซึ่งใครๆ ต่างเรียกว่าขยะไร้ค่า แม้เจ้าตัวจะมาอยู่กับเขาที่นี่ทว่ากลับมีตัวแทนของตัวเองเดินเร่ร่อนอยู่ข้างนอก จึงสืบลงไปได้ความว่าคนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนกลับเป็นจั่วเหรินคนที่ทำตัวสนุกเฮฮาอยู่ภายนิกายมารฟ้าแต่กลับแสดงบทบาทของหลิ่วเหวินอี้ได้อย่างไม่มีตกหล่น
    
             “ใครไปงานนี้บ้าง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
    
            “ไม่มากนัก เจ้าว่าอันใดหรือไม่หากเจิ้นต้องพาเหล่าสนมไปด้วย” คำถามของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้เบิกคิ้วสูงดวงตาเรียวคมจ้องมองคนเอ่ยปากอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ไปหวงห้าม ไม่มีสิทธิ์แม้จะหึงหวงด้วยซ้ำไป เห็นทีจบงานนี้คงได้หลบหนีไปทำใจสักพัก
    
             “นั่นเรื่องของท่าน”
    
             “อี้เอ๋อร์คนดีที่เจิ้นทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล เจิ้นไม่ได้เอาไปหมดหรอกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น หมากสำคัญเช่นนี้ไม่ใช้ให้คุ้มค่าได้เช่นไร” หลิ่วเหวินอี้มองคนตรงหน้าที่ฉายแววเจ้าเล่ห์มาเพียงครู่ก่อนจะถอนหายอีกครั้ง
    
             “แค่คิดกำจัด ให้พวกนางอยู่อย่างสงบเถอะ” เอ่ยตอบอย่างรู้ทัน ซึ่งทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหรี่ตามองกลับแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    
             “อี้เอ๋อร์เจ้าใจอ่อนอีกแล้วนะ เจิ้นกำจัดขวากหนามภายในใจให้เจ้าไม่ดีหรอกหรือ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนที่แสร้งอ่อนโยนต่อผู้คนทั่วหล้าทว่าจิตใจที่แท้จริงนั้นกลับโหดเหี้ยมเย็นชายิ่งกว่าสิ่งใด หากไม่มีเขาคอยปรามนี่จุดจบลั่วหยางจะเป็นเช่นไรต่อไป
    
             “ไว้นั่นแหละ แค่ไม่รับมาเพิ่มก็พอแล้ว แต่หากยังมี... พวกนางก็จะเป็นของข้าด้วยเช่นกัน ของของท่านพี่ย่อมเหมือนของของข้า ใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มยั่วโมโหและเหมือนจะได้ผลเพราะใบหน้าคมคายมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิม ดวงตาคมกริบมองมาอย่างคาดโทษพร้อมรอยยิ้มและคำพูดที่ทำให้คนฟังหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ
    
               “เจิ้นจะสังหารพวกนางให้หมด เจ้าจะได้มีแต่เจิ้นเพียงผู้เดียว!”




ขอบคุณมากค่าาา ลงให้ทันเว็ตอื่นแล้วนะคะ ใกล้ถึงช่วงNC จึงต้องรีบลงเพราะในเด็กดีกลัวได้กินแบนเป็นอาหารเสริมค่ะ 5555

แล้วพบกันจ้า จุ๊บๆ :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1 (P.8วันที่ 28/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 28-06-2016 13:42:37
เพิ่งรู้ว่ามีลงที่เว็บอื่นด้วย แต่ยังไงก็จะรอติดตามเว็บนี้เสมอค่า

ใกล้จะถึงฉาก NC แล้ววววว ตื่นเต้นนนนน :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1 (P.8วันที่ 28/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-06-2016 17:56:07
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1 (P.8วันที่ 28/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 28-06-2016 18:45:12
ขอบคุณที่มาต่ออย่างไวนะคะ จุฟๆๆ
รักคนเขียนจริงๆเลย เราเสมอนะคะ
อี๋เอ๋อก็รู้ใจตัวเองแล้วแต่ยังไม่เลิกเย็นชาอีก
มีคำผิดอยู่นะคะ วรยุทธ์ เขียนเป็น วนยุทธ์
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่35เทศกาลล่าสัตว์1 (P.8วันที่ 28/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 28-06-2016 22:26:56
ชอบความหวานของเหวินอี้กับฝ่าบาทจัง   ตอนนี้หัวใจตรงกันแล้ว   ส่วนเพื่อนถังนี่น่าสนใจ คิดว่า ไม่คู่กับองค์ชายก็คู่กันเองกับถังอีกคน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 29-06-2016 11:17:25
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)


             ขบวนเสด็จในการประพาสป่าในครั้งนี้ดูเหมือนจะคึกคักไม่น้อยไปกว่าทุกปี แม้คนที่มาร่วมงานด้วยจะไม่มากมายนักแต่ทุกคนกลับไว้ใจได้ไม่ต้องหวั่นเกรงเหมือนทุกปีที่ต้องมีการลอบสังหารเกิดขึ้น ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อย ตราบใดที่เขายังไม่ได้หลิ่วเหวินอี้เป็นเมียเขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ แน่ ดวงตาคมกริบฉายแววเจ้าเล่ห์คิดหาหนทางให้คนนั่งนิ่งอยู่ข้างกายยอมมอบร่างกายและหัวใจให้ จิตใจที่เข้มแข็งและความเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้หนักใจไม่น้อย หากคนอื่นรู้ว่าจนป่านนี้เขายังไม่ได้กินคนที่รักคงโดนหัวเราะเยอะแน่ๆ
    
             ดวงตาเรียวสวยเหลือบมามองเล็กน้อยแต่กลับทำให้หัวใจที่เคยไร้ความรู้สึกเต้นระรัวอีกครั้งจนอดไม่ได้ที่จะรวบร่างโปร่งมากอดไว้อย่างออดอ้อน ซึ่งก็โดนผลักออกจนหัวกระแทกรถม้าอย่างไร้ความปราณี
    
            “อี้เอ๋อร์ทำไมเจ้าเขินอายได้รุนแรงอย่างนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งตัดท้อ มือหนาลูบหัวตัวเองเบาๆ ดวงตาเรียวสวยมองสบมาพร้อมเลิกคิ้วคมเฉียงขึ้นสูง
    
           “เขิน? ท่านพี่ใช้ตาไหนมอง” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนปากแข็งก่อนจะหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะความหน้าด้านไร้ยางอายเขามีมาก และเชื่อว่าคงทำให้หลิ่วเหวินอี้ยอมเป็นของตัวเองในสักวัน  ร่างสูงขยับไปกอดร่างโปร่งอีกครั้งซึ่งได้รับสายตาเอือมระอากลับมา
    
            “อากาศมันหนาวเจิ้นอยากได้ความอบอุ่น”
    
            “หึ แล้วใครหน้าไหนคิดได้ว่าต้องมาล่าสัตว์ในยามหิมะโปรยอย่างนี้” น้ำเสียงเย็นนิ่งที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจทุกครั้ง ทว่ารูปแบบประโยคนั่นช่างประชดประชันเสียจริง หากเขาบอกว่านี่เป็นการหาเรื่องอู้งานและอยากมาท่องเที่ยวกับเจ้าตัวจะยอมเชื่อไหม
    
             เวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วยามที่ทั้งคู่ยังนั่งอยู่ภายในรถม้าโดยที่ลั่วเหยียนเจิ้งพยายามลวนลามร่างโปร่งทุกครั้งเมื่อมีโอกาส การเดินทางเป็นไปอย่างเรื่อยเฉื่อย เขตล่าสัตว์อยู่ทางหุบเขาเมฆาล่องลอยจึงใช้เวลาการเดินทางร่วมวันที่จะถึงที่หมาย เสื้อผ้าที่ใส่มาอย่างเรียบร้อยของหลิ่วเหวินอี้เริ่มจะหลุดลุ่ยกับคนมือซน มือเรียวขาวจับมือหนาที่พยายามฉวยโอกาสกับตน ดวงตาเรียวคมมองมาอย่างดุๆ
    
            “ท่านพี่อย่าให้ข้าทำคืนนะ” น้ำเสียงเย็นนิ่งข่มขู่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มหวาน เขาแทบทนรอการเอาคืนของอีกฝ่ายไม่ไหว ดวงตาพราวระยับมองริมฝีปากที่แดงเล็กน้อยกับอากาศที่เย็นชื้นแต่เขาอยากจะจูบให้หายปรารถนาเหลือเกิน
    
          “ปกติท่านหื่นอย่างนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงคล้ายระอาของคนที่จับมือตนเองไว้แน่นทำให้ยกยิ้มบาง แล้วย้อนนึกไปถึงตนเองในอดีต มีบ้างที่เขาจะเสพสมกับเหล่านางสนมแต่ไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้เขาอยากโอบกอดเท่าคนตรงหน้า ที่สำคัญเขาไม่เคยแสดงความรู้สึกด้านอื่นๆ นอกจากความอ่อนโยนให้ผู้อื่นได้เห็น เพราะคนที่เคยเห็นล้วนแล้วตายตกหมดแล้ว
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักงันเมื่อใบหน้างดงามขยับกายเข้าหาพร้อมมอบจุมพิตให้อย่างไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่หวานละมุนละไมคล้ายชะโลมความเหน็บหนาวภายในใจให้หายไป เขาไม่จูบตอบโต้แต่เลือกที่จะให้หลิ่วเหวินอี้เป็นฝ่ายนำ ทว่าเหมือนคนตรงหน้าประสบการณ์ด้านนี้จะไม่มีมากนักทำให้อดใจไม่ไหวที่จะตอบโต้ รสจูบที่หวานละมุนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนหอบหายใจสะท้าน เมื่อคนนำเปลี่ยนเป็นผู้มีประสบการณ์ที่เหนือกว่า
    
              หลิ่วเหวินอี้หอบหายใจแรงเร็วขึ้นแม้ตอนนี้ริมฝีปากจะเป็นอิสระแล้วแต่อารมณ์วาบหวามภายในอกยังคงอยู่ ใบหน้างดงามแดงขึ้นเล้กน้อยรู้สึกขัดใจตัวเองที่คิดว่าตัวเองจะได้เปรียบทั้งๆ ที่เป็นคนเริ่มก่อนแต่ตกเป็นเบี้ยล่างให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่า แค่คิดก็ยิ่งทำให้หงุดหงิด
    
             “อี้เอ๋อร์ถึงจะอยู่บนรถม้าแต่หากเจ้ายั่วเจิ้นอย่างนี้ เจิ้นก็ทนไม่ได้สิ” หลิ่วเหวินอี้มองตาขวาง ที่เขาจูบอีกฝ่ายก่อนเพราะเพียงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่มั่นคงของลั่วเหยียนเจิ้งคล้ายกับเจ้าตัวพร้อมจะสังหารทุกสิ่งที่ขวางหน้า จนต้องเรียกสติอีกฝ่ายกลับคืนมา
    
             “ช่วยตัวเองไปแล้วกัน” หลิ่วเหวินอี้ผละออกจากร่างหนาเมื่อครู่แทบไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดึงขึ้นมานั่งทับอีกฝ่ายเอาไว้หากไม่สัมผัสบางส่วนที่ตื่นตัวขึ้นมาคงมึนเบลอไปอีกนาน
    
            “หึ มิใช่ของเจ้าก็ตื่นตามเจิ้นหรอกหรือ” ร่างหนาขยับตามมาจนทำให้แผ่นหลังชิดกับขอบหน้าต่าง พื้นที่ตั้งมากมายแต่กลับถูกเบียดจนชิด หลิ่วเหวินอี้มองดวงตาคมกริบที่ทอประกายมุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เขามองตามอย่างหวาดระแวง แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัวการที่ได้อยู่กับคนที่รักในสภาพล่อแหลมอย่างนี้มันทำให้ควบคุมตัวเองยากมาก
    
             “อ่า!” หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งอย่างตื่นตระหนกเมื่อมือซุกซนขยับไปจุดสำคัญที่มันตื่นขึ้นมาไม่ต่างจากคนตรงหน้า ริมฝีปากถูกปิดด้วยปากอีกฝ่ายอีกครั้งทว่าครั้งนี้กลับปลุกเร่าอารมณ์ที่นอนนิ่งมาเนิ่นนานให้ตื่นจากการหลับใหล มือหนาที่ชำนาญลูบไล้ส่วนอ่อนไหวของตนไปมาอย่างได้ใจ
    
             ผัวะ!
    
              หลิ่วเหวินอี้หอบหายใจแรง ดึงกางเกงขึ้นมาปกปิดส่วนสำคัญ ก่อนจะเหลือบมองคนที่เขาถีบจนติดผนังอีกฝั่งและด้วยความแรงมากไปหน่อยหรือไม่ เพราะมันทะลุออกไปเลย เขานิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่และรถม้าก็หยุดนิ่งเมื่อฮ่องเต้ไปนอนกลิ้งอยู่ข้างทาง
    
             หลิ่วเหวินอี้พุ่งตัวออกไปหาอย่างตื่นตระหนก ตายหรือยัง? นั่นเป็นคำถามในใจเมื่อครู่เขาไม่ได้ตั้งใจแต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเองตามธรรมชาติ ทหารรอบกายหันดาบเข้าหามาทางเขาอย่างรวดเร็วซึ่งเขาก็ยังยืนนิ่งไม่ได้ตอบโต้อันใด ร่างสูงลุกขึ้นมองเขาตาขวาง จึงยกมือเกาคางตัวเองแล้วเอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
    
             “เอ่อ... ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
    
              หยางซือหมิงมองตามทั้งคู่อย่างนิ่งงัน เมื่อสำรวจร่างของฮ่องเต้ยังสบายดีจึงหันไปมองคนต้นเหตุ ทว่าสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยจนเห็นแผ่นอกขาวเนียนและใบหน้างดงามแดงระเรื่อโดยเฉพาะริมฝีปาก สภาพตอนนี้ของพระสนมบอกได้คำเดียวว่า มันทำให้ผู้ชายด้วยกันมองตาค้าง!
    
             “มองอะไร! แยกย้ายไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงดุดันของฮ่องเต้ทำให้เหล่าทหารเก็บดาบกลับประจำที่ตัวเองอย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่วายแอบมองพระสนมที่ตอนนี้ดูน่ากินอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าคมคายของฮ่องเต้ลั่เหยียนเจิ้งมืดครึ้มตนไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม แม้แต่องครักษ์ยังแอบหลบกลับที่ตัวเอง
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยอย่างหงุดหงิด แผ่นอกขาวๆ นั่นเขาดูได้คนเดียวแต่นี่มายืนโชว์จนทำให้เขาอยากควักลูกตาพวกที่มองเห็นออกให้หมด ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้พร้อมถอดชุดคลุมมังกรตัวเองไปสวมทับให้คนที่ยืนนิ่งเป็นเป้าสายตาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
    
            “ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย”
    
             “แต่ท่านเป็นคนถอดเองนะ” คำตอบหน้าตายจากคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกพูดไม่ออก ก่อนจะลากคนข้างตัวไปขึ้นรถม้าคันใหม่โดยที่องค์ชายเพ่ยอวี้มานั่งรถม้าคันนี้แทน เหตุการณ์วุ่นวายกลับมาสงบเหมือนเดิม ครั้งนี้พวกทหารก็ได้เรื่องใหม่ไปเล่าลือกันอย่างสนุก บ้างก็ไปปรับเปลี่ยนจนไม่หลงเหลือความจริง ทว่าคนโดนนินทาก็แสร้งปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้เรื่องไป
    
            หลังจากการเดินทางสิ้นสุดลงขบวนเสด็จก็ได้ตั้งหลักหาที่พักอาศัยสำหรับคืนนี้ เพื่อได้ออกล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาอีก ทว่าบรรยากาศอึมครึ้มระหว่างทั้งคู่บอกได้อย่างดีว่าตอนนี้ฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งกำลังงอนพระสนม ซึ่งหลิ่วเหวินอี้เองกลับนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเหมือนที่ผ่านมาโดยไม่มีการง้อขอคืนดีจนทำให้ภายในกระโจมเหมือนมีน้ำแข็งซึมซับเข้ามาด้านใน หยางซือหมิงมองดูทั้งคู่อย่างลำบากใจเพราะคิดไม่ออกว่ารูปปั้นน้ำแข็งอย่างพระสนมจะง้อฝ่าบาทอย่างไร จึงทำได้แค่หลบฉากออกมาเท่านั้น
    
             “จะรอดไหมเนี้ย” หยางซือหมิงขยี้ศีรษะตัวเองอย่างหนักใจกับบรรยากาศเย็นเยือกภายในกระโจม ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหลวนซานที่ยืนกอดอกมองอยู่ไม่ห่างจึงเดินเข้าไปหาหลังจากอยู่ร่วมกันมาหลายเดือนทำให้คุ้นเคยกันมากขึ้น
    
            “เจ้าว่านายเจ้าจะง้อฝ่าบาทหรือไม่” เอ่ยถามคนที่พิงต้นไม้กอดอกมองมาด้วยดวงตาว่างเปล่า ใบหน้าหวานไม่เหมาะกับสีหน้านิ่งเฉยที่เห็นทีไรก็อดแกล้งไม่ได้ทุกครั้งและไม่ใช่แค่เขาที่คิดอย่างนั้นเพราะคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้เหนือศีรษะของคนทั้งคู่ก็คิดไม่ต่างกัน
    
             “แม้แต่ตัวข้าเองก็คาดเดาอารมณ์นายน้อยไม่ได้หรอก” หลวนซานตอบกลับอย่างง่ายดายเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโป้ปดคนทั้งคู่ที่พยายามช่วยชีวิตนายน้อยของตน
    
             “นั่นสินะ” หยางซือหมิงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยถามกวงไห่สหายร่วมตายที่นั่งอยู่บนต้นไม้เพื่อตัดบทสนทนาเรื่องของเจ้านาย
    
            “เฮ้อ ช่างเถอะว่าแต่เจ้าเตรียมของไว้พรุ่งนี้เรียบร้อยหรือยัง”
    
             “อือ” คำตอบสั้นๆ สมกับเจ้าตัวไม่ได้ทำให้หยางซือหมิงแปลกใจก่อนจะแยกย้ายกันไปเพราะพรุ่งนี้ยังมีงานรอพวกเขาอยู่ ส่วนเรื่องภายในกระโจมพวกเขาจะไม่พยายามไปยุ่งเพราะไม่อยากโดนแช่แข็งเอง
    
             ภายในกระโจมที่บรรยากาศดูอึมครึ้มกว่าทุกวันซึ่งมันมาจากสาเหตุเมื่อตอนกลางวัน หลิ่วเหวินอี้ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงนอนขณะที่ลั่วเหยียนเจิ้งเอาแต่อ่านหนังสืออย่างไม่สนใจเขาเช่นเคย แต่เขาอยากบอกเหลือเกินว่าหนังสือที่อ่านอยู่นั่นมันกลับหัว ทว่าตอนนี้เขาโดนงอนอยู่จึงไม่อยากไปกวนอารมณ์เพิ่มอีกจึงได้นั่งมองโดยไม่รู้จะหัวเราะหรือเยอะเย้ยดี
    
            ผ่านไปหนึ่งก้านธูปที่ลั่วเหยียนเจิ้งยังนั่งอ่านหนังสือภายใต้โคมไฟ แม้มือจะแสร้งพลิกหน้ากระดาษแต่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวว่าถือหนังสือผิดด้านจนในที่สุดหลิ่วเหวินอี้ก็ทนไม่ไหว ร่างโปร่งเดินเข้าไปหาพร้อมดึงหนังสือในมือออก ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างไม่พอใจ
    
            “เอาหนังสือคืนมา” น้ำเสียงนิ่งเรียบของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกนิ่งอึ้งไป นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงห่างเหินเช่นนี้
    
             “โกรธอะไร หากเรื่องเมื่อกลางวันข้าแค่ไม่คุ้นเคยเท่านั้นเอง” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติหลายส่วน มองดวงตาคมกริบที่เบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจยาว เขาต้องมาง้อเด็กตัวโข่งทั้งๆ ที่ตัวเองผิดแค่นิดเดียวเอง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นอย่างครุ่นคิด
    
              หลิ่วเหวินอี้ขยับเข้าไปใกล้ มือขาวยื่นไปจับไหล่คนที่นั่งเบือนหน้าหนีให้หันกลับมา แต่เหมือนจะไร้ผล เขาถอนหายใจอย่างคิดหนักเกิดมาใหม่ได้สิบเก้าปีจะยี่สิบไม่กี่เดือนแต่ยังไม่เคยง้อใครเลย จะมีคนรักกับเขาทั้งทีก็ดันเป็นผู้ชายและยังตัวโตกว่าตัวเองเสียอีก มองไปทางไหนมีแต่เสียเปรียบไปหมด
    
            “ท่านพี่ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาบอกคนที่ยังไม่สนใจตน ตอนแรกเขาก็ยังเฉยชาได้ทว่านานเข้าหัวใจเขากลับรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากคนที่ไม่เคยคิดอะไรไร้สาระต้องมานั่งคิดว่าจะง้อฮ่องเต้ขี้งอนผู้นี้อย่างไร
    
             ร่างสูงลูกขึ้นปัดมือเขาออกห่างจากตัวพร้อมลุกขึ้นหมายจะเดินออกจากระโจม ยิ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้ร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากให้ถีบคืนตอนนี้จะหายโกรธไหม มือขาวคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นซึ่งร่างสูงหยุดหันมามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าจนน่าใจหาย เขาเม้มปากแน่นก่อนจะกล่าวอย่างแผ่วเบา
    
             “ท่านถีบข้าคืนก็ได้ แต่หายโกรธข้านะ” ร่างสูงเลิกคิ้วสูงก่อนจะสลัดมือออกอีกครั้ง พร้อมเดินออกจากกระโจมไปอย่างเงียบงัน หลิ่วเหวินอี้มองตามแผ่นหลังแล้วถอนใจยาว ให้ตายสิ การง้อคนเขาติดลบจนไม่น่าให้อภัย หากดุด่ากันสักนิดคงไม่ปวดใจเท่านี้ หรือต้องไปปรึกษาใคร?
    
             หลิ่วเหวินอี้ออกจากกระโจมตามร่างสูงออกมาแต่กลับไร้เงาของลั่วเหยียนเจิ้งเห็นเพียงกลุ่มองครักษ์กับผู้ติดตามของตัวเองนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ไม่ห่างจึงเดินเข้าไปหา
    
            “นายน้อย” หลวนซานเห็นเป็นคนแรกก่อนจะลุกขึ้นเคารพหลิ่วเหวินอี้ยกมือขึ้นบอกไม่ต้องมากพิธี ดวงตาเรียวมองดูสุราที่พวกเขานั่งจิ๊บเพื่อคลายหนาวอย่างสนใจ เพราะมันอาจทำให้เขาหายอึดอัดใจได้บ้าง
    
            “นายน้อยดื่มไหมขอรับเผื่อจะดีขึ้น” หลวนซานยื่นสุราในไหเล็กให้เหมือนรู้ใจ ทั้งๆ ที่ตนไม่ชอบแต่เวลานี้กลับอยากดื่มจึงรับมาจิบเป็นอึกแรก รสชาติบาดคอของเหล้าทำให้อากาศที่เหน็บหนาวคลายลงได้ จากนั้นจึงนั่งรวมกลุ่มกับสามคนนี่เพราะตอนนี้เขาอยากปรึกษาและคนที่ใกล้ชิดลั่วเหยียนเจิ้งที่สุดก็คือองครักษ์คู่พระทัย
    
           “ซือหมิงนายเจ้าทำไมขี้งอนจัง ข้าเกิดมาง้อคนไม่เป็นพวกเจ้ามีวิธีบ้างไหม”  เพียงแค่เอ่ยถามองครักษ์กลับตาวาวก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆ หลิ่วเหวินอี้ฟังการง้อของหยางซือหมิงแล้วหน้าแดงก่ำไม่ใช่เพราะเมาแต่มันอายจนแทบแทรกแผ่นดิน เมื่อหันไปมองหลวนซานคนสนิทเจ้าตัวก็ไร้เดียงสาไม่ต่างจากตน ดวงตาเรียวคมมองคนที่ดูเชี่ยวชาญตรงหน้าจนพูดไม่ออก 
    
            “แล้วตอนนี้ฝ่าบาทหายไปไหน”
    
             “กระโจมกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงตอบรับด้วยสีหน้าคาดหวังเต็มที่ว่าหลิ่วเหวินอี้จะไปง้อฮ่องเต้สำเร็จ
    
             หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไปและเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตัวดูกระตือรืนร้นมากกว่าปกติเพราะตอนนี้โดนยึดกระโจมนี่เอง เขายกเหล้าในมือดื่มไปอึกใหญ่เพื่อเรียกความกล้าออกมา เป็นไงเป็นกัน ไหนๆ ก็รักคนขี้งอนและขี้หึงไปแล้ว ก่อนจะลุกจากวงเหล้าเดินไปยังกระโจมเล็กของสององครักษ์ด้วยหัวใจเต้นระรัว
    
              หลิ่วเหวินอี้เดินเข้ามาภายในกระโจมเล็กอย่างตั้งใจแน่วแน่ แม้ใบหน้ายังเรียบเฉยทว่าหัวใจเขากลับเต้นแรงเร็วอาการตื่นเต้นเช่นนี้เขาไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว แต่มันจะมีอาการทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งเขารู้เหตุผลดีว่าเพราะเหตุใด ร่างสูงนั่งเดินลมปราณอยู่บนเตียงทำให้เขามองอย่างลังเลกลัวว่าไปก่อกวนตอนนี้ธาตุไฟจะเข้าแทรก แต่หากเขาไม่เคลียร์ปัญหาคาใจตอนนี้คงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ๆ
    
             หลิ่วเหวินอี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอย่างชั่งใจว่าควรทำอย่างไรดี ประสบการณ์ความรักก็ช่างติดลบสิ้นดีแล้วเขาจะง้อคนขี้งอนสำเร็จไหม
    
             “ท่านพี่” เอ่ยเรียกเสียงเบาแต่ไร้การตอบรับจากคนที่นั่งนิ่งจึงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นสองมือโอบกอดร่างสูงเอาไว้ด้วยหัวใจอัดอั้น เขาไม่ชอบให้อีกฝ่ายเมินเฉยกับเขาอย่างนี้เลย ดวงตาที่เคยเย็นชาคลอไปด้วยน้ำตา ความรักทำให้คนอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อเงยหน้ามองหน้าคมคายกลับเห็นดวงตาคมกริบที่มองมานิ่งๆ ทำให้เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะยื่นใบหน้าไปสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างเอาใจ
    
           ร่างหนานั่งนิ่งให้แทะโลมตามอำเภอใจแต่เจ้าตัวไม่ได้ตอบสนองเหมือนทุกครั้ง หลิ่วเหวินอี้ผละออกห่างออกมาแล้วถอนหายใจยาว หากยังทำเฉยชาเช่นนี้กับเขาสาบานได้จะจับปล้ำเสียให้เข็ด
    
            “หากท่านยังเย็นชากับข้า ข้าจับท่านข่มขืนแน่ๆ”
    
            หลิ่วเหวินอี้มองอย่างจริงจังเหมือนจะบอกว่าว่าพูดจริงทำจริง ดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายทอประกายบางอย่างเล็กน้อยก่อนจะกลับมานิ่งสนิทเช่นเคย
    
            หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะสลัดความคิดไร้สาระในหัวออก หากทำตามแต่ความคิดรับรองว่าทั้งคืนก็ง้อไม่สำเร็จ ต่อไปนี้เขาจะทำตามความรู้สึกล้วนแล้วๆ กัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งตกใจเล็กน้อยเมื่อร่างโปร่งผลักเขานอนลงกับเตียงพร้อมก้มลงมาปิดปากด้วยริมฝีปากนิ่ม รสจูบที่หอมหวานละมุนละไมเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาไม่เปิดปากออกให้อีกฝ่ายควานหาความหวาน ใบหน้างดงามขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อยมือขาวเริ่มจะซุกซนกับแผ่นอกและถอดเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว
    
            คนงามตรงหน้าท่าทางจะจริงจังกับการข่มขืนเขามากโดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาเลยสักนิด ในเมื่อเขาเป็นจิ้งจอกที่ห่มหนังแกะมาเนิ่นนานเรื่องแค่นี้ไยจะแสดงละครไม่ได้อีก ทว่าความซุกซนของอีกฝ่ายเวลานี้เริ่มทำให้ควบคุมอารมณ์ไว้แทบไม่ไหว จนต้องเปิดปากจูบตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้รสจูบที่เร่าร้อนกว่าครั้งไหนๆ เสื้อที่สวมใส่หลุดออกจากตัวด้วยฝีมือของคนที่เอ่ยปากจะข่มขืนเขา
    
            ท่าทางจริงจังและตั้งใจของหลิ่วเหวินอี้เวลานี้ช่างน่ารักจนแทบอดใจไม่ไหวที่จะขย้ำร่างโปร่งให้นอนระทวยภายใต้ร่าง เมื่อคิดดังนั้นจึงผลิกร่างคนงามมาอยู่ใต้ร่างแทนตน ดวงตาเรียวคมเบิกกว้างมากขึ้น ร่างกายแข็งทื่อไปชั่วขณะก่อนจะยอมผ่อนคลายและจูบตอบเขาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ศึกนี้เพิ่งจะเริ่มต้นทว่าใครจะได้ชัยชนะย่อมเป็นฮ่องเต้ผู้เกรียงไกลเช่นเขาอยู่แล้ว!



     แล้วพบกันใหม่จ้า :hao3: :hao3: :hao3:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-06-2016 13:19:09
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 29-06-2016 15:26:54
โอววว :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 29-06-2016 15:58:16
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :heaven
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-06-2016 16:32:09
ไม่ทันฮองเต้เจ้าเล่ห์หรอก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chouxcream59 ที่ 29-06-2016 16:43:43
กรี๊ดดดดดดดดดด ฮ่องเต้นี่ร้ายลึกจริมๆ
เหวินอี้จะเสร็จเหยียนเจิ้งแล้วหรอ รอออออออ  :a11: :a2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 29-06-2016 18:33:29
ขำพวกนางจริงๆเลย ผลัดกันรุผลัดกันรับ
จะรอดูนะว่าใครจะเป็ผู้กุมอำนาจเรื่องบนเตียง
เราก็เดาไม่ออกอ่ะ แม้จะเอียงไปทางเจิ้นก็เถอะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 29-06-2016 20:28:40
 :-[ :impress2: :-[ :hao6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 29-06-2016 20:47:55
ฮ่องเต้สู้ๆ จับกดไปเลยยย :z1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 29-06-2016 21:42:16
บางทีก็คิดอยากจะเห็นฮ่องเต้ผู้เกรียงไกรโดนปราชัยเหมือนกันนะเจ้าคะ... :mew2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 30-06-2016 08:28:00
เจ้าเล่ห์มากกกกก ฮ่องเต้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 30-06-2016 18:04:24
อ๊ากกกกกก ขอต่อเลยด่วนๆ ค้างอย่างมาก  :katai1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่36เทศกาลล่าสัตว์2 (P.8วันที่ 29/6/59)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 30-06-2016 18:44:07
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:


อี้เอ่ออออออ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ?(NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 03-07-2016 18:26:30



เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่37ศึกรักศึกรบ?(NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)


             คำเตือน โปรดอย่าลืมหากระดาษทิชชู่ก่อนอ่านนะคะ อิอิ





            หลิ่วเหวินอี้รู้สึกร่างสั่นสะท้านเมื่อเสื้อผ้าหลุดออกจากกายจนหมดสิ้น รสจูบที่เร่าร้อนทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างแม้จะโดนปลุกเร้าอารมณ์ให้ปรารถนาจนถึงขีดสุด ทว่าเขายังรู้ตัวว่ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่ เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระเขาได้แต่หอบกระเส่าพยายามสูดเอาอากาศให้ได้มากที่สุด ดวงตาเรียวสวยมองคนขี้งอนซึ่งเวลาฉายแววปรารถนาร้อนแรงจนทำให้ลมหายใจสะดุด หัวใจที่สั่นระรัวอยู่แล้วแต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม
         

            “หายโกรธข้าหรือยัง” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเสียงสั่นพร่าเมื่อเริ่มรู้สถานการณ์ตอนนี้ซึ่งตัวเองเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ลั่วเหยียนเจิ้งตัวหนากว่าเขาและยังสูงกว่าอีกเล็กน้อย แต่จะโทษอีกฝ่ายก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนต้องยอมรับชะตากรรม หากเป็นไปได้เขาอยากกอดอีกฝ่ายเองมากกว่าแต่ดูจากสายตาและประสบการณ์แล้วคงจะสู้ไม่ไหว
         

            สายตาเร่าร้อนที่ส่งกลับมาทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อน ริมฝีปากถูกปิดอีกครั้งจูบที่สูบวิญญาณเหมือนไม่อยากให้เขาได้ใช้เวลาคิดเรื่องอื่นซึ่งมันก็ได้ผลเพราะตอนนี้รู้สึกมึนเบลอกับรสจูบไปหมด
     

            “อี้เอ๋อร์เจิ้นขอนะ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายที่มองมาอย่างเร่าร้อนเสื้อผ้าที่หายไปจากร่างอีกฝ่ายเผยให้เห็นร่างหนาแกร่งสมส่วนและยังทำให้เขาใจสั่นระรัว แม้จะยังไม่เคยทำอะไรอย่างนี้กับบุรุษมาก่อนแต่เขาไม่ได้โง่งมจนไม่รู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งต้องการอะไร ถึงแม้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างน้อยเขาก็อยากได้ศักดิ์ศรีตัวเองคืนมาสักเล็กน้อยก็ยังดี สองมือกอดลำคอของลั่วเหยียนเจิ้งอย่างแน่วแน่
       

           “ให้ข้าปรนนิบัติท่าน”  ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ร่างที่เคยอยู่ใต้อ้อมกอดพลิกร่างเขาลงแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ วรยุทธอีกฝ่ายช่างล้ำเลิศจริงๆ ดวงตาคมกริบแม้จะมีความปรารถนาอยู่เต็มเปี่ยมแต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกหลิ่วเหวินอี้กินเสียเอง
       

            หลิ่วเหวินอี้ก้มลงไปจูบคนที่อยู่ใต้ร่างด้วยความปรารถนาในส่วนลึก แม้จะเป็นครั้งแรกกับบุรุษด้วยกันแต่กลับตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายของลั่วเหยียนเจิ้นนั้นงดงามสมกับเป็นบุรุษและยังสามารถปลุกเร่าอารมณ์ให้เขาตื่นตามด้วยผิวขาวเนียนสมกับเป็นฮ่องเต้แต่ไม่อ่อนนุ่มเหมือนสตรี
         

           หลิ่วเหวินอี้ลากลิ้นร้อนของตัวเองจูบลงมาที่ลำคอของอีกฝ่ายพร้อมฝากรอยความเป็นเจ้าของ ใบหน้างดงามยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสบดวงตาคมกริบที่ยังนอนนิ่งใจเย็นให้เขาสำรวจร่างกายมือหนายื่นมาปัดปอยผมที่หลุดลุ่ยออกจากใบหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนทว่าดวงตากลับเร่าร้อนกว่าครั้งไหนๆ ทำให้รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่คนอย่างหลิ่วเหวินอี้ฆ่าได้หยามไม่ได้เพราะฉะนั้นเขาจะพยายามเป็นผู้นำที่ดี
         

           “อี้เอ๋อร์ให้เจิ้นสอนเจ้าก่อนดีกว่านะ” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาทำให้หลิ่วเหวินอ้ะงักไปชั่วครู่แต่ความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าต่อให้เสียเปรียเขาต้องเป็นคนนำให้ได้จึงส่ายหน้าแล้วก้มลูงจูบคนใต้ร่างอีกครั้ง สองมือลูบไล้ไปทั่วร่างแกร่งอย่างได้ใจก่อนจะเริ่มรุกเร่าแท่งหยกที่ใหญ่โตจนน่าหวาดหวั่นอย่างเชื่องช้า
       

             “อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้แทบเสียการทรงตัวเมื่อคนใต้ร่างเป็นฝ่ายรุกเร้าเองลิ้นร้อนสอดแทรกและดูดดื่มในโพรงปากเขาอย่างหิวกระหายจนลมหายใจสั่นสะท้าน แม้จะโดนจูบจนแทบสูญเสียจิตวิญญาณแต่มือที่ได้ครอบครองแท่งหยกร้อนๆ ก็ลูบไล้เร็วขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งครางลึกในลำคอและยังกอดรัดร่างเข้าหาตัวแน่นยิ่งขึ้น
     

               “อื้อ” หลิ่วเหวินอี้ครางประท้วงเล็กน้อยเมื่อมือหนาไม่อยู่นิ่ง ดวงตาคมมองมาจนทำให้หน้าร้อนผ่าวไปหมด เขาถอนริมฝีปากออกอย่างเหนื่อยหอบก่อนจะเคลื่อนกายลงมาหาแท่งหยกร้อนที่มือของตัวเองกำลังหยอกเย้า ความใหญ่โตของมันทำให้กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ถอนตัวตอนนี้ยังจะทันไหม?
       

              ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อลิ้นร้อนโอบอุ้มความเป็นชายของเขาอย่างไม่นึกรังเกียจ ที่สำคัญไม่เคยมีใครปรนนิบัติเชขาเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกวาบหวามและอิ่มเอมหัวใจทำให้ครางลึกในลำคอสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองให้คงนิ่งมากที่สุด ทว่าลิ้นร้อนที่ดูดเลียขึ้นลงอย่างมีจังหวะทำให้เขาแทบกระชากร่างโปร่งที่ขาวเนียนไปทั้งตัวขึ้นมากอดรัดให้สมอารมณ์หมาย
       

            อึก!
     

               ลั่วเหยียนเจิ้งกัดริมฝีปากตัวเองแน่น มองใบหน้างดงามที่ยังแฝงความเย็นชาแต่กลับมีเสน่ห์มากล้นของเจ้าตัวด้วยดวงตาประกายกล้า จิ้งจอกที่ห่มหนังแกะอย่างเขาตอนนี้หิวกระหายจนแทบจะกินร่างงามตรงแต่อาหารอันโอชะและรสชาติหวานเขาต้องอดทนใจเย็นให้สุกหง่อมเต็มที่ หัวใจที่เคยไร้ความรู้สึกกลบสั่นระรัวมันเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นหลิ่วเหวินอี้กำลังตั้งใจปรนนิบัติเขาเต็มที่ น่ารัก คนตรงหน้าน่ารักเกินไปแล้ว
       

             หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นมองใบหน้าคมคายซึ่งงมีสีหน้าแหยแกด้วยความเสียวซ่านแล้วรู้สึกได้ใจมาเล็กน้อยและยังมีกำลังใจที่จะรุกรานแท่งหยกร้อนมากขึ้น ลิ้นร้อนเพิ่มความเร็วขึ้นมาจนร่างนั้นกระตุกเกร็งแม้นี่จะเป็นครั้งแรกสำหรับบุรุษด้วยกันแต่เขาย่อมรู้ดีว่าจุดกระสันของผู้ชายอยู่ตรงไหนบ้าง ใครบ้างที่ไม่เคยช่วยตัวเอง? เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกขนาดนั้น
       

             “อี้เอ๋อร์” เสียงแหบพร่าของลั่วเหยียนเจิ้งที่เอ่ยเรียกทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงเพิ่มความเร็วมากขึ้นลิ้นร้อนตวัดเลียรอบพร้อมโอบอุ้มดูดกลืนแท่งหยกร้อนเร็วมากขึ้นเท่าที่ความต้องการของคนเรียกร้อง เสียงครางลึกในลำคอของคนที่นอนกระตุกเกร็งทำให้รู้สึกอิ่มเอมหัวใจน้ำสีขุ่นพุ่งเข้าเต็มโพรงปากร้อนรสชาติฝาดปนหวานทำให้เผลอกลืนลงคออย่างอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าตื่นตะลึงของคนที่ใต้ร่างทำให้เหลือบขึ้นมองอย่างสนใจ น้อยครั้งนักจะได้เห็นสีหน้าอื่นจากคนตรงหน้า
       

             ใบหน้างดงามตอนนี้แดงระเรื่ออย่างน่ามอง น้ำสีขาวขุ่นที่ออกจากร่างติดตามปากจนดูยั่วเย้าไปหมด ยิ่งเรือนร่างสมส่วนไม่ได้บอบบางเหมือนน้องสะใภ้ แต่กลับดูเร่าอารมณ์กว่าใครทั้งสิ้น หน้าอกแบนราบไม่ได้เต่งตึงเหมือนเหล่าสนมแต่เขาอยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงร่างตรงหน้ามากกว่าผู้ใด
       

            “อี้เอ๋อร์คนดี” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกคนตรงหน้าอย่างรักใคร่ ตอนนี้เขาทั้งรักทั้งคลั่งไคล้คนตรงหน้าจนแทบอยากจะกลืนกินร่างโปร่งที่พยายามเปิดช่องทางของตัวเองพร้อมปีนคร่อมขึ้นมาบนร่างของเขา ความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะปรนนิบัติเขาทำให้ต้องนอนนิ่งให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ เขาอยากจะถนุถนอมคนตรงหน้าให้มากที่สุด ความสุขสมที่ได้รับจากหลิ่วเหวินอี้ทำให้หัวใจพองโตและเต้นเป็นจังหวะอีกครั้งหลังจากที่มันไร้ความรู้สึกมาเนิ่นนาน
       

           อึก!
       

           ใบหน้างดงามขมวดคิ้วแน่นเมื่อความเจ็บถาโถมเข้าหา แม้จะใช้น้ำรักของลั่วเหยียนเจิ้งเปิดทางให้ตนเองแล้วแต่ความใหญ่โตก็ทำให้ช่องทางที่เล็กแคบเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่ความพยายามที่สูงส่งและความแน่วแน่แม้จะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เขาต้องเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าให้ได้จึงไม่ย่อท้อที่จะให้คนใต้ร่างสยบให้แก่ตนเอง



       

             ลั่วเหยียนเจิ้งมองสีหน้าเจ็บปวดของคนรักแล้วอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของหลิ่วเหวินอี้เขาไม่อยากให้เจ้าตัวเคร่งเครียดมากเกินไปจึงลุกขึ้นนั่งพิงเตียงนอนไม้ขนาดเล็กภายในกระโจมแล้วดึงร่างโปร่งเข้ามาจูบอีกครั้ง รสจูบที่อ่อนหวานและปลอบประโลมทำให้ร่างโปร่งหายตึงเครียดมากขึ้น มือหนากอบกุมส่วนสำคัญของคนรักที่อ่อนตัวลงจากความเจ็บปวดปลุกเร้าอารมณ์จนมันแข็งขืนขึ้นอีกครั้ง
         

            การกระทำเอาใจใส่ของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกตื้นตันใจ และครั้งนี้สอนให้เขาได้รู้ว่าการดื้อรั้นเกินไปมันไม่ได้เป็นผลดี ความรักหากไม่เอาใจใส่กันและกันแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร และเหตุที่เขายินยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำเองเพราะคำว่ารัก ที่สำคัญคนใต้ร่างเขาเวลานี้ไม่เหมาะที่จะเป็นฝ่ายรับแม้แต่น้อยหากคนทั่วหล้ารับรู้ฮ่องเต้ที่ปกครองราชอาณาจักรเป็นที่รองรับอารมณ์ผู้อื่นจะมีผู้ใดเคารพนับถืออีก
       

            อึก!
         

            หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งเมื่อนั่งท่านี้แท่งหยกอันใหญ่โตแทงลึกเข้ามาจนจุกไปหมด ทว่าจูบสูบวิญญาณที่ลั่วเหยียนเจิ้งมอบให้ทำให้ความหวาดกลัวและความเจ็บบรรเทาลงได้บ้าง ร่างโปร่งค่อยๆ ขยับกายไปมาอย่างเชื่องช้าสองมือกอดคอคนที่อยู่ใต้ร่างให้ชิดใกล้มากขึ้น จากความเจ็บแสบเริ่มเลือนหายความเสียวซ่านเข้ามาแทนที่ร่างกายโยกไหวไปตามอารมณ์ที่เริ่มเดือดพร่านจากบทรักที่อ่อนโยนกลับเร่าร้อนจนเปร่งเสียงหอบกระเส่าออกมา
         

            “อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นขณะที่จังหวะการโยกย้ายสะโพกนุ่มบนเรือนร่างแกร่งกำยำเร็วและแรงขึ้น ความเสียวกระสันทำให้อดกลั้นเสียงไม่ไหว ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยความอับอายเพราะคนใต้ร่างแค่ครางลึกในลำคอไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยิน ทว่าตัวเองกลับอดกลั้นไม่ไหว ช่างน่าอายนัก!
       

           ใบหน้าคมคายยกยิ้มที่มุมปากเหมือนพึงพอใจขณะที่เร่งจังหวะรับการเคลื่อนไหวสะโพกตอบรับความเสียวซ่านมือหนาลูบไล้เรือนร่างที่น่าหลงใหลอย่างปลุกเร่าอารมณ์วาบหวาม และความสุขเอ่อล้นค่อยๆ เติมเต็มหัวใจที่เหน็บหนาว
         

            “อ๊ะ...อา...” จุดอ่อนไหวถูกกระทบไม่หยุดยั้ง ทั่วร่างของหลิ่วเหวินอี้เหมือนถูกความแผดเผาด้วยไฟปรารถนา เขาส่ายเอวไปมาบนเรือนร่างกำยำแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะมือใหญ่ที่บีบก้นนุ่มเข้าหาร่างหนาบดเบียดส่วนอ่อนไหวเข้าหน้าท้องของคนใต้ร่างอย่างเร่งเร้า
         

            “อ่า...อา...” หลิ่วเหวินอี้เปร่งเสียงออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว ร่างโปร่งกระตุกเกร็งน้ำรักอุ่นร้อนชโลมทั่งท้องลั่วเหยียนเจิ้งอย่างน่าอาย มือกอดเกี่ยวร่างนั้นพร้อมเสียงหอบเหนื่อย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อร่างถูกผลักลงนอนบนเตียงด้วยความเร็ว ดวงตาเร่าร้อนฉายแววปรารถนาอย่างแรงกล้าของคนเหนือร่างทำให้ต้องเม้มปากแน่น เมื่อครู่เขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็หลั่งเต็มช่องทางด้านหลังของเขาแล้ว
         

            “อี้เอ๋อร์เด็กดี ทำไมเจ้าน่ารักอย่างนี้” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยชมด้วยความคลั่งไคล้ จากความรักเป็นความหลง ทว่าตอนนี้เขาอยากกลืนกินร่างงดงามตรงหน้าเหลือเกิน
         

           “เดี๋ยวสิ พอก่อน” หลิ่วเหวินอี้ร้องบอกเสียงหลงแม้เมื่อครู่เขาจะสุขสมไม่ต่างจากอีกฝ่ายทว่าช่องทางด้านหลังที่เคยใช้งานครั้งแรกยังรู้สึกเจ็บและแสบอยู่ เขาเบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่คาอยู่ภายในร่างขยายใหญ่โตอีกครั้ง เมื่อครู่เพิ่งจะเสร็จไปด้วยกัน
         

          “หื้ม... เจ้าพูดอะไรที่รัก บอกให้เอาอีกทั้งคืนใช่ไหม ได้เจิ้นจัดให้” หลิ่วเหวินอี้มองคนหน้าด้านอย่างหงุดหงิด ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือของลั่วเหยียนเจิ้งไม่อยู่นิ่ง ริมฝีปากถูกปิดลงอีกครั้งความวาบหวามเริ่มกลับมาลมหายใจเริ่มติดขัด รสจูบที่เร่าร้อนทำให้ร่างกายร้อนผ่าวแก่นกายที่หดตัวกลับแข็งขืนขึ้นมาต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้
         

           “อ๊ะ!” หลิ่วเหวินอี้ร้องขึ้นอย่างขัดใจเมื่อส่วนนั้นถูกผละออก เขาเหลือบตามองลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งยกยิ้มร้ายกาจที่ทำให้รู้สึกขนลุกชัน ข้อมือถูกตวัดขึ้นเหนือหัวพร้อมเชือกผูกเอวที่หล่นกองอยู่กับพื้นแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนตรงหน้า เขานิ่วหน้ามองข้อมือของตนเองผูกมัดติดกับหัวเตียงเล็กที่หากใช้แรงดึงก็ออกอย่างง่ายดาย แต่เขากำลังสงสัยว่าคนเจ้าเล่ห์จะเล่นอะไร
       

          รอยยิ้มงดงามและเร่าร้อนของลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว ลิ้นอุ่นร้อนจูบสำรวจทั่วเรือนร่างของเขา ผ่านไปที่ไหนก็สร้างรอยแดงเอาไว้เป็นจุดๆ ทว่ามันกลับทำให้ท้องน้อยปั่นป่วนไม่อาจอยู่นิ่งได้ ร่างกายบิดเร่าตอบรับลิ้นและมือของคนตรงหน้าด้วยความวาบหวาม
       

           “อ๊า...” เข้าสะดุ้งออกมาด้วยความตกใจเมื่อลูกชายเขาถูกครอบครองด้วยปากคนตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดว่าไม่เหมาะสมจะให้คนที่อยู่เหนือแผ่นดินมาทำเรื่องอย่างนี้ให้อย่างไร
         

           “อย่า ท่านไม่ควรทำอย่างนั้น” บอกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าความเสียวกระสันจุดเร่าอารมณ์จนสติเริ่มเลือนหาย ใจหนึ่งอยากให้ทำต่ออีกใจกลับคิดว่าไม่สมควร
         

           “เจิ้นอยากรักเจ้า ทุกอย่างภายในร่างกายเจ้าเจิ้นอยากครอบครองผู้เดียว ในเมื่อเจิ้นรักเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่สมควร” หลิ่วเหวินอี้ไร้คำพูดทว่าหัวใจกลับเต้นระรัวด้วยความยินดี เขาหลับตาลงยอมรับสิ่งที่ถูกปรนเปรอให้อย่างเต็มใจ ความอ่อนโยนในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงมากขึ้น
       

            “อึก!”
       

             “อี้เอ๋อร์คนดี เจิ้นอยากได้ยินเสียงของเจ้า” เสียงกระซิบแหบพร่าดังอยู่ข้างหู ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองดวงตาร้อนแรงของคนตรงหน้าทำให้เบือนหน้าหนีด้วยความอาย เรื่องน่าอายอย่างนั้นยังจะพูดมาอีก แค่นี้เขาก็อับอายจะแย่แล้ว
         

             “หุบปากไปเลย” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเย็นก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อมือที่ลูบไล้แก่นกายของเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้น ใบหน้าคาคายยกยิ้มร้ายอย่างไม่น่าไว้ใจ ลั่วเหยียนเจิ้งขบเม้มยอดอกของเขาพร้อมลิ้นร้อนไล้เลียยอดสีชมพูอ่อนซึ่งไม่เคยมีใครสัมผัสมาก่อน
       

            “อื้ม...อ่า...อา” หลิ่วเหวินอี้บิดกายด้วยความเสียวซ่าน การทำงานของลั่วเหยียนเจิ้งยอดเยี่ยมเกินไป ปากกระตุ้นอารมณ์ให้เขาเดือดพร่านขณะเดียวกันมือหนากลับทำหน้าที่ปรนเปรอความสุขสมให้จนหายใจหายคอไม่ทัน
         

             “อ๊า...อา...” เขาแทบกรีดร้องไม่เป็นภาษารู้สึกเหมือนโยนลงจากที่สูงเมื่อถูกหยุดกะทันหัน เขาลืมตาถลึงมองคนเจ้าเล่ห์อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งเปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปากร้อนพร้อมโอบอุ้มน้องชายเขาอย่างไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย
         

            “อ่า...อา...เร็วอีก” หลิ่วเหวินอี้ร้องเร่งอย่างลืมตัวเมื่อความเสียวซ่านพุ่งขึ้นสูง ร่างโปร่งยกสะโพกตอบรับการดูดกลืนของลั่วเหยียนเจิ้งเป็นจังหวะ ก่อนจะกระตุกเกร็งไปทั่งร่างพร้อมน้ำสีขาวขุ่นพุ่งเข้าเต็มโพลงปากของคนตรงหน้า เขาลืมตามองอย่างอับอาย ทว่าเจ้าตัวเพียงแลบลิ้นเลียและกลืนกินส่วนที่เหลือเหมือนมันเป็นอาหารอันโอชะ เขานอนหอบกระเส่ามองตามอย่างเหนื่อยอ่อน
         

           “หวานจริงๆ ด้วยอี้เอ๋อร์เจิ้นอยากกินอีก”
       

            หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไร้คำพูด ปล่อยกายปล่อยใจให้คนโลภมากดูดกลืนตัวเองให้สาสมใจไหนๆ ก็ยอมเป็นเมียลั่วเหยียนเจิ้งไปแล้วแต่หากพรุ่งนี้ล่าสัตว์ไม่ได้ ไม่ได้ตายดีแน่!



     

             อึก!
           

            หลิ่วเหวินอี้เม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกเจ็บแสบช่องทางด้านหลัง ทว่าเขากลับให้ความร่วมมือกับคนที่รุกรานเข้ามา ก่อนจะครางแผ่วเบาเมื่อได้เป็นหนึ่งกับคนที่รักอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งขยับแก่นกายที่เปี่ยมด้วยความต้องการอยู่ภายในร่างของเขาอย่างลึกล้ำ
         

           “อ่า...ซี๊ดดด...เร็วอีก” หลิ่วเหวินอี้ครางเสียงแผ่วด้วยความรัญจวนใจ สะโพกนุ่มถูกจับไว้แน่นพร้อมส่งแรงกระแทกกระทั่นตามคำร้องขอ เขาเงยหน้าสั่นสะท้านไปทั้งร่างทว่ากลับทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งได้ยินเสียงครางลึกของคนเหนือร่างยิ่งทำให้รู้สึกอิ่มเอมในใจ
       

             “อี้เอ๋อร์เจ้าทำให้เจิ้นแทบคลั้ง” เสียงแหบพร่าดังอยู่ข้างหู ดวงตาเร่าร้อนฉายเพลิงปรารถนาพร้อมแรงกระแทกที่หนักหน่วงมากขึ้น หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ตอนนี้เขาแทบสำลักความสุขออกมา เขารู้สึกอยากโอบกอดปลุกเร่าอารมณ์ดุเดือดและป่าเถื่อนของคนตรงหน้าให้ถูกขีดสุดแต่มือสองข้างผูกมัดติดไว้แน่นจึงใช้ขาเกี่ยวรั้งเอวอีกฝ่ายเข้าหาร่างตัวเองดวงตาที่เคยเย็นชาฉายแววท้าทาย
         

             “ฮึก... อ่า...” หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งกัดไหล่เขาจนจมเขี้ยว และเผื่อไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบอีกทั้งความเสียวซ่ายปลุกเร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงจนน้ำตาเล็ดออกมาด้วยความสุขสม เขากดหน้าลงไหล่กว้างและกัดตอบด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ ทว่าให้ความรู้สึกดีอย่างไม่บอกไม่ถูก เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนเจ้าเล่ห์ จึงยกยิ้มท้าทายอย่างลืมตัว
         

              ลั่วเหยียนเจิ้งจับร่างโปร่งที่ดูยั่วเย้าไปทั้งตัวผลิกนอนคว้ำหน้ากับพื้น เขาไม่ได้แก้เชือกที่มัดมืออีกฝ่ายออกจึงเกิดรอยแดงที่แขนขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้ายั่วยวนนั้นทำให้เขาอดกลั้นความรุนแรงตัวเองแทบไม่ไหว เขาจับสะโพกนุ่มยกขึ้นและตอบรับส่วนหนึ่งภายในร่างกาย ความคับแน่นและบีดรัดทำให้เขาครางออกมาเสียงแผ่วด้วยความซาบซ่าน เสียงหวานที่ครางแผ่วเบาทำให้เขาเร่งจังหวะรุกล้ำมากขึ้น เขาอยากได้ยินเสียงของหลิ่วเหวินอี้ ดังมากว่านี้
         

             “ซี๊ดดดด อ่า...อา ท่านพี่แรงหน่อย” เสียงที่เคยเย็นชาตอนนี้กลับหวานจนอยากกอดรัดร่างคนชอบยั่วให้เขาสติแตก เขากัดลงช่วงไหลของคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว
     

              “อื้ม” ลั่วเหยียนเจิ้งครางอย่างพึงพอใจ เขาไม่เคยสุขสมและเร่าอารมณ์ได้เท่านี้มาก่อน เขากระแทกกระทั่นบนสะโพกนุ่มแรงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการบีดรัดและเกร็งร่างของคนในอ้อมกอด
       

             “อ๊า!” ร่างโปร่งอ่อนระทวยเมื่อน้ำสีขาวขุ่นออกจากเรือนร่าง เขาก้มลงจูบซับแผ่นหลังอย่างปลอบโยน เขาไม่เคยอ่อนโยนและแสดงความรักกับใครเช่นนี้มาก่อน หลิ่วเหวินอี้เป็นเพียงคนเดียวและจะเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะรัก
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งแกะเชือกที่มัดมือออกดึงร่างอีกฝ่ายชิดเข้าหาจับสองมือให้โอบกอดรอบคอเขาเอาไว้ ร่างโปร่งสะดุ้งเอียงหน้ามามองตาขวาง
       

            “พอแล้ว” น้ำเสียงหอบกระเส่าอย่างเหนื่อยอ่อนของคนใต้ร่างไม่ได้ทำให้เขาสงสารแต่มันกลับทำให้ตื่นตัวมากขึ้น เขาจะโอบกอดรัดร่างนี้ไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืนให้สมกับที่รอคอยมานาน
       

             “อ๊ะ...” หลิ่วเหวินอี้ครางประท้วงเมื่อร่างกายถูกปลุกเร่าอารมณ์วาบหวามให้กลับมาอีกครั้ง เขาเอียงหน้ามองคนหื่นจัดอย่างเหนื่อยใจ สรุปแล้วจะกินเขาให้ได้เลยใช่ไหม เสียงเขาเริ่มแหบพร่าเพราะเปร่งเสียงไปมาก เขาแอ่นอกกอดรัดรอบคออีกฝ่ายแน่นขึ้น จุดอ่อนไหวถูกกระตุ้นอีกครั้ง... ครั้งแล้วครั้งเล่า...
       

             ผ่านไปหนึ่งชั่วยามภายในกระโจมหลังเล็กยังมีเสียงหอบกระเส่าและเสียงครางให้ได้ยินไม่หยุด แม้ค่ำคืนนี้จะเหน็บหนาว ทว่าด้านในกลับร้อนระอุด้วยเพลิงปรารถนา สองร่างรวมเป็นหนึ่งเดียวซึ่งโอบกอดรัดกันจนกระทั่งรุ่งสางเสียงครางชวนให้วาบหวิวจึงเลือนหายไป มีเพียงคำสั่งให้เตรียมน้ำใส่ถังไว้ให้เท่านั้น!
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่นอนสลบอย่างนึกสงสาร ทว่าใบหน้ากลับยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ เรือนร่างขาวเนียนงดงามไร้ที่ติเวลานี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงเต็มทั่วร่าง เขาลงมือทำความสะอาดร่างคนรักให้ด้วยความเต็มใจมือหนาเกี่ยวผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อออกจากใบหน้าสวยงามจนสตรียังต้องอายด้วยความชื่นชม แม้จะปากแข็งแต่ก็ยอมทำตามใจเขาจนกระทั่งตัวเองไม่ไหว เวลานี้เขาหลงใหลหลิ่วเหวินอี้จนถอนตัวไม่ขึ้น เขาเอ่ยบอกคนหลับไหลอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกมานานฉายแววอ่อนโยนด้วยความรักใคร่
         

             “เจิ้นรักเจ้าอี้เอ๋อร์ รักมากอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน เพราะฉะนั้นต่อให้เจ้าอยากกางปีกออกไปเจิ้นก็ไม่มีทางปล่อยมือเจ้าไป”
         

              แม้คนที่หลับใหลไม่ได้ยินในสิ่งที่พูด ทว่าร่างโปร่งกลับเบียดกายเข้าหาความอบอุ่นตามความเคยชิน มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มบางบ่งบอกว่ากำลังฝันดี ทว่ากลับทำให้อะไรๆ ที่หลับตามไปตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วเหยียนเจิ้งหลับตาข่มอารมณ์เอาไว้แน่นก่อนจะหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
       

                 “มันน่านัก ยั่วได้ยั่วดี!”





มาแล้วเป็นไงเม้นท์บอกฟางด้วยนะคะ ติดขัดตรงไหนหรือเปล่า บทนี้ตั้งใจเขียนมากกกก เพราะเขียนยากมากๆๆๆ เนื่องจากกลัวจะตัวละครจะหลุดบุคลิกจึงแก้อยู่หลายรอบ สรุปคือ ถึงอี้เอ๋อร์จะเป็นเคะ แต่ขอเป็นเคะราชินี แล้วกัน 5555 แล้วพบกันใหม่ค่าาา

 :bye2: :bye2: :bye2:




หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 03-07-2016 19:16:45
 :hao6: :impress2: :mc4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-07-2016 19:34:27
เลือดหมดตัวววววววว ขอบคุณค่าา คุณฟาง สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: flowerloveyaoi ที่ 03-07-2016 20:09:18
 :oo1: :haun4: :jul1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 03-07-2016 20:15:20
เร่าร้อนมากกกก~~ :jul1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 03-07-2016 21:05:03
 :m25: กระอักเลือด ตายอย่างสงบ :jul1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 03-07-2016 21:59:25
ในที่สุด อ่าฮ่า  :haun4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 03-07-2016 22:14:52
ตายตาหลับแล้ว เจิ้นได้กินเหวินอี้แล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 04-07-2016 02:03:36
 :pighaun: :jul1: :jul1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 04-07-2016 03:22:31
คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 04-07-2016 07:27:02
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-07-2016 11:43:18
กลายเป็นเมียดังคำเรียกขานแล้ส
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 04-07-2016 12:49:33
จัดหนักจริงๆ :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 04-07-2016 13:20:11
ในที่สุด เหยียนเจิ้งก็สมหวังแล้ว
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 04-07-2016 16:55:37
โอ้โหแฟนตาซี  :jul1: :oo1: :oo1: :oo1:

ขออนุญาตติงนิดเดียวนะคะ คำว่า เร่าร้อน กับ เร้าอารมณ์ ใช้วรรณยุกต์คนละตัวกันนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: cuteymummy ที่ 04-07-2016 18:38:50
โอยยย ดีงามมากกกกกกกกกกกกกกข่ะ
หนูน่ารักมากลูกกกกกก หลงแทน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 04-07-2016 21:43:50
หลงเข้ามาอ่านตอนแรก หึหึ แล้วเป็นไงล่ะ ยาวยาวเลยสิ สนุกมากกกกกกจริงๆ อ่านทุกตัวอักษรเลย เป็นจีนเรื่องแรกที่อ่าน โคตรชอบทั้งเจิ้นทั้งอี้เอ๋อร์เลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-07-2016 22:04:07
 o13.   :heaven. 
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: zazoi ที่ 04-07-2016 22:10:59
 :pighaun: :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 05-07-2016 14:03:09
สนุกสุดยอด
 :katai2-1: :katai2-1:

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 05-07-2016 14:47:26
น้ำตาแทบไหล เขาได้กันแล้ววว :mew6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 06-07-2016 18:59:32
มันเริ่ดมากเลยคะ ชอบใจหลิ้วเหวิ่นอี่
ถึงจะเป็นรับแต่ขอเป็นรับที่อยู่บนละกัน
สนุกๆๆมากเลยตะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 06-07-2016 21:32:42
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 11-07-2016 18:12:51
ฮาโหลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล

มารออย่างมีความหวังค่ะ :mew6:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่37ศึกรักศึกรบ? (NC18+) (P.8วันที่ 3/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 11-07-2016 23:52:42
โอ้...แม่เจ้าาาาาา คนนึงก็ยั่ว คนนึงก็หื่นนนน
อ่าาาาาา ขอบริจาคเลือดหน่อยยยยยย :m10: :m10: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39เหยียนเหวินตัวแทน (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 12-07-2016 13:58:51
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่39เหยียนเหวินตัวแทนแห่งรัก (P.9วันที่ 12/7/59)


          ช่วงสายของวันใหม่หลิ่วเหวินอี้ตื่นขึ้นมาจากความเคยชิน แม้จะเหนื่อยหรือบาดเจ็บแค่ไหนเขาไม่เคยนอนทั้งวัน ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ เมื่อรู้สึกเจ็บทางด้านหลังจนแทบขยับไม่ได้ ร่างกายปวดร้าวระทมไปทั้งร่างคล้ายกับเพิ่งออกกำลังกายเป็นครั้งแรก เหตุการณ์เมื่อคืนฉายชัดในความทรงจำ พลันใดนั้นใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายความรู้สึกวูบวาบตามร่างยังไม่ได้จางหาย ช่วงไหล่ยังมีรอยกัดจากเมื่อคืนน่าแปลกเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวกมากนัก หรือว่าเขาจะเดินเส้นทางมาโซคิสม์ไปซะแล้ว หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับตัวเองพร้อมดวงตาเรียวมองรอบห้องซึ่งเป็นกระโจมใหญ่ ซึ่งจำไม่ได้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร
    
           หลิ่วเหวินอี้ก้มมองร่างตัวเองที่ถูกทำความสะอาดพร้อมสวมใส่อาภรณ์ให้อย่างเรียบร้อยแม้จะบางไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่สวมใส่อะไรเลย เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ พลันนั้นหัวใจเขากลับรู้สึกผิดหวัง ก่อนจะสลัดความรู้สึกไร้สาระออกจากความคิด เขาไม่ใช่สาวน้อยที่ต้องตื่นมาเจอคนรัก
    
          “นายน้อยท่านตื่นแล้ว” หลวนซานเปิดกระโจมเข้ามาพร้อมอาหารในมือ หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ แม้จะผ่านค่ำคืนที่เร่าร้อน ทว่าใบหน้างดงามกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาแสร้งเมินสายตาล้อเลียนของคนสนิท ริมฝีปากเม้มแน่นขณะก้าวลงจากเตียงความเจ็บแสบจากผลงานเมื่อคืนทำให้นิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเล็ก รับน้ำมาล้างหน้าและลงมือทานอาหารอย่างเงียบๆ
    
           “ฝ่าบาทเสด็จออกประพาสป่าตั้งแต่เช้าตรู่ขอรับ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนเอ่ยบอกเล็กน้อยก่อนจะทานข้าวต่อ หลวนซานก็หลบไปยืนอยู่ไม่ห่างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดให้เขาได้อับอาย คิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อยเมื่อนึกได้สององครักษ์นั่นไม่มีที่นอน ที่สำคัญพวกเขาเล่นบทรักกันอย่างดุเดือด แล้วสองคนนั่นไปนอนที่ไหนกัน
    
           “หลวนซานเมื่อคืนสองคนนั่นไปนอนที่ใดกัน”
    
            “กระโจมข้าน้อยขอรับ” หลิ่วเหวินอี้มองหลวนซานอย่างพิจารณา สายตาสำรวจเหมือนหาร่องรอยบางอย่างทำให้หลวนซานเบิกตากว้างก่อนจะร้องประท้วงด้วยสีหน้าแดงก่ำ
    
            “ไม่ใช่อย่างนายน้อยคิดนะขอรับ”
    
            “ข้าคิดอะไร” หลวนซานท่าทางอึกอักอย่างไร้คำพูด ดวงตาเรียวเล็กมองมาอย่างเหี่ยวเฉาเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอก่อนจะทานต่ออย่างไม่สนใจ การได้แกล้งคนก็สนุกดีไม่น้อย อ่า...เริ่มจะติดนิสัยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์มาแล้วสิ
    
            หลิ่วเหวินอี้ยกน้ำดื่มและลุกขึ้นบิดกายเล็กน้อยความปวดร้าวตามร่างทำให้อยากได้ยาแก้ปวดสักสองเม็ด ว่าไปเขาก็อึดไม่ใช่เล่น เพราะไม่ได้มีไข้อย่างที่หวาดกลัว การเดินยังติดขัดแต่เขาก็ข่มความเจ็บและเดินเหินเหมือนปกติทุกวัน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอก
     
            พระอาทิตย์ตั้งฉากกลางศรีษะ แต่ลั่วเหยียนเจิ้งยังไม่กลับมาทหารเดินเวณยามเป็นจุดๆ เพราะขบวนเสด็จของฮ่องเต้อย่างเป็นทางการทำให้มีทหารและการตั้งกระโจมหลายหลัง หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับความเอิกเกริกของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวคมตวัดมองไปยังเงาร่างสีดำที่อยู่ห่างพร้อมคำพูดที่ส่งผ่านลมปราณมา
    
           “นายน้อยเผ่ามูซอมีการเคลื่อนไหว องค์ชายหลิงเซียวออกจากหุบเขาและพรรคพวกจำนวนหนึ่งคาดว่าคืนนี้จะมีการลอบสังหารที่นี่ขอรับ”
    
           หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของภายในวังหลวงเขาไม่อยากให้อีกาดำเปิดตัวมากเกินไป ทว่ากลับมีกลุ่มอสรพิษแดงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย
    
            "เตรียมคนของเราให้พร้อม หากอสรพิษแดงไม่ถอนตัว สังหารให้หมด”
    
            “ขอรับ” เงาร่างนั้นตอบรับและมองมาอย่างลังเล ก่อนจะถอนใจและผละจากไปอย่างรวดเร็ว หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองตามเงาร่างสีดำที่หายไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด อะไรทำให้มู่ฉีนักฆ่าหมายเลขหนึ่งถอนตัวโดยไม่กล่าวอย่างอื่น เสียงเหยียบใบไม้จากด้านหลังทำให้หันศีรษะกลับไปมอง
    
            “นายน้อย ข้าว่ามู่ฉีแปลกไปขอรับ” หลวนซานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลิ่วเหวินอี้มองตามแล้วระบายลมหายใจ เขามั่นใจว่ามู่ฉีไม่ได้ทรยศเพียงแค่คิดว่าเจ้าตัวไปก่อเรื่องให้ละอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขา สองเท้าหยุดเดินหันกลับไปยังเงาดำที่เคยอยู่ ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ
    
            “หลวนซานเจ้าได้ยินข่าวอะไรกับจั่วเหรินหรือไม่”
    
             “ไม่มีอะไรแปลกใหม่นี่ขอรับจั่วเหรินปลอมเป็นนายน้อยและพักอยู่เรือนตะวันออก ส่วนเรื่องคุณหนูเหม่ยฮวาทางนิกายมารฟ้าไม่เกี่ยวข้องแล้วขอรับเพราะคนของเราไปเจอนางอยู่กับคนที่นางเลือก”
    
            “สิบเอ็ดมาเล่าให้เจ้าฟัง”
    
             “ขอรับ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะเลิกสนใจเพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการในคืนนี้ หลังจากจบเรื่องของลั่วเหยียนเจิ้งค่อยกลับนิกายมารฟ้า เขาหมุนกายกลับไปภายในกระโจมและเริ่มเดินลมปราณอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมการรับมือในคืนนี้
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งดึงสายธนูจนสุดแขนก่อนจะปล่อยลูกธนูพุ่งไปยังเหยื่อด้วยความเร็ว ความแม่นยำของลูกธนูแหลมคมปักเขาลำคอของกวางป่าเป็นตัวที่สามของวัน ร่างสูงนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าปล่อยให้องครักษ์ไปเก็บซากมันกลับมาเหมือนทุกครั้ง
    
           “เสด็จพี่กระหม่อมว่าสัตว์ป่ามันน้อยผิดปกตินะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อปีที่ผ่านมายังไม่เงียบอย่างนี้เลย” เพ่ยอวี้ควบม้าเข้ามาใกล้มองสำรวจรอบกายแล้วเอ่ยบอกฮ่องเต้พ่วงด้วยตำแหน่งพี่ชายอย่างระวัง
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอ่อนโยน เอ่ยบอกเอ่ยเพ่ยอวี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทั้งๆ ที่เรื่องที่พูดไปนั้นเกี่ยววพันถึงชีวิตตน
    
            “มันต้องเงียบเป็นธรรมดา ในเมื่อพี่สิบของเจ้ากำลังมาเยี่ยมเยียนป่าแห่งนี้” เพ่ยอวี้นิ่งอึ้งไปใคร่ควรถึงคำพูดของพี่ชายแล้วขมวดคิ้วลึกลงไปเวลานี้อายุได้เพียงสิบห้าปีแต่ไม่ได้โง่เขลา แม้วรยุทธเขาจะยังห่างชั่นกว่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่ก็พอปกป้องตัวเองได้ และคำสั่งของเสด็จพี่ฮ่องเต้จะบอกให้เขาเอาตัวรอดให้ได้เสมอ
    
             “ฉีเห้อปกป้องเพ่ยอวี้ด้วยชีวิต” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกบุรุษร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าแสนธรรมดาแต่วรยุทธไม่ธรรมดา เพ่ยอวี้เป็นคนสำคัญของเขาหากเป็นอะไรไปคนที่ทุกข์ทรมานก็คือตัวเอง
    
             “พ่ะย่ะค่ะ” ฉีเห้อรับคำหนักแน่นเหลือบมององค์ชายน้อยที่มีสีหน้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยแล้วถอนใจยาว คาดว่าคงจะรู้แล้วว่าเหตุใดถึงได้รับความเอ็นดูและปกป้องจากองค์จักรพรรดิมากมายเช่นนี้
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตามกริบเหลือบมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลนัก ใบหน้าคมคายเลิกคิ้วมองสิ่งตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ ริมฝีปากยกยิ้มบางเมื่อเจ้าเหมียวเงยหน้ามาเห็นแต่ไม่ได้หวาดกลัวมันกลับเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง เขากลั่นขำไว้แทบไม่อยู่เจ้าเหมียวนี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกเสือหรืออย่างไร
    
            “นั่นแมวป่า” เพ่ยยอวี้พูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายมองไปยังจุดหนึ่ง ก่อนจะมองอย่างแปลกใจเมื่อร่างสูงสง่างามพุ่งทะยานด้วยความเร็วคว้าเจ้าแมวสีทองงดงามมาไว้ในกำมือ มันเป็นแมวป่าที่หาได้ยาก
    
          เมี้ยวววว
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งจับมันอย่างระวังไม่ได้สนใจเสียงขู่ฟ่อของมันแม้แต่น้อยจับตัวมันผลิกไปมาจึงได้รู้ว่ามันเป็นตัวผู้ ช่างเหมือนหลิ่วเหวินอี้ยิ่งนัก ดวงตาสีเขียวอ่อนดูเย่อหยิ่งและท่าเชิดหน้าของมันทำให้ไม่อาจปล่อยไปได้
   
            “เสด็จพี่จะเอามันไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยอวี้มองตามอย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงเดินกลับมาและกระโดดขึ้นอาชาสีดำอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนซึ่งครั้งนี้แววตาก็อ่อนลงหลายส่วนจนน่าแปลกใจ
    
          “ไปให้พี่สะใภ้เจ้า” คำตอบและรอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้เพ่ยอวี้นิ่งอึ้งไป หวนคิดไปถึงพี่สะใภ้ซึ่งก็คือเหล่านางสนมแต่เมื่อนึกใคร่ควรคงจะมีคนเดียวที่ทำให้คลั่งไคล้อยู่ตอนนี้ แต่เมื่อนึกไปถึงพระสนมหวงกุ้ยเฟยหลิ่วเหวินอี้ซึ่งงดงามราวกับรูปปั้นน้ำแข็งกับแมวจอมหยิ่งตัวนี้ได้แต่ส่ายหน้า หวังว่ามันไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของพระสนมหรอกนะ
    
           “กลับเถอะ”
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกน้องชายก่อนจะกระตุกม้ากลับไปยังที่พัก มือขวาจับเจ้าเหมียวที่ดิ้นขลุกขลักไว้มั่นดวงตาสีเขียวของมันมองมาอย่างไม่พอใจ แมวป่าแสนประหลาดที่ให้ความรู้สึกคล้ายคนที่รักมุมปากยกยิ้มบาง ก่อนจะเร่งม้าให้เดินทางเร็วขึ้นผ่านไปสองเค่อก็มาถึงกระโจม ร่างสูงกระโดดลงจากม้าก่อนจะเดินเร็วขึ้นไปยังกระโจมใหญ่
    
           ดวงตาคมกริบมองคนที่นั่งเดินลมปราณอยู่บนเตียงแล้วยกยิ้มบาง ใบหน้างดงามที่แสนเย็นชาแต่บทรักเมื่อคืนนี้เร่าร้อนวาบหวามมิรู้ลืม เรือนร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวดูสูงส่งเหมาะที่จะเคียงข้างคู่กับมังกรเช่นเขา หากจบเรื่องนี้เขาจะจัดการแต่งตั้งหลิ่วเหวินอี้เป็นฮองเฮาคู่บัลลังก์พร้อมการแต่งตั้งเพ่ยอวี้เป็นองค์รัชทายาท ความรักและความเห็นแก่ตัวภายในใจเขาไม่อาจมีคนอื่นได้นอกจากคนตรงหน้า
 
    ดวงตาเรียวคมลืมตาขึ้นมามองเขาอย่างนิ่งงันทว่าใบหูกับแดงระเรื่อ ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่หลุดจากสมาธิ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่คนตรงหน้ากลับอายจนใบหูแดง
    
          “เหตุใดไม่นอนพักเยอะๆ นั่งแบบนั้นไม่เจ็บหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวงใย ดวงตาเรียวคมตวัดมองอย่างไม่พอใจ
    
            “ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ความเข้มแข็งของหลิ่วเหวินอี้เขาย่อมรู้ดีและก็พึงใจที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ภายในวังหลวงนั้นแสนอันตรายหากอ่อนแอจะโดนเหยียบย้ำ หากผิดพลาดแม้แต่ก้าวมีกี่ชีวิตก็ไม่เหลือ แต่ไม่ว่าอย่างไรจะปกป้องคนรักให้ได้! มือหนาลูบเรือนผมสีหมึกงดงามอย่างแผ่วเบาก่อนจะยื่นเจ้าเหมียวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังมายื่นให้
    
           “ของฝาก” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองเจ้าแมวสีทองตาสีเขียวน่ารักที่ตอนนี้ยังขู่ฟ่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ดวงตาเรียวคมตวัดมองมาที่เขาเหมือนต้องการคำอธิบาย ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนอ่อนโยนและไม่ใช่สตรีที่จะได้ชื่นชอบสิ่งมีชีวิตน่ารักอย่างนี้ ทว่าแมวสีทองตัวนี้มันเหมือนคนตรงหน้าจนไม่อาจปล่อยไปได้
    
          “เจ้าไม่ชอบหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งตีหน้าเศร้าพร้อมลดมือที่จับเจ้าเหมียวออกมา คนตรงหน้าถอนหายใจคล้ายปลงตกก่อนจะรับเจ้าเหมียวสีทองไป ทว่าแมวป่าที่ยังไม่เชื่องกลับหันไปขู่ฟ่อคนตรงหน้า ดวงตาสีเขียวของมันมองอย่างไม่พอใจ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่จ้องกลับเจ้าตัวเล็กในมือก็หดตัวลงและเลียมืออีกฝ่ายอย่างออดอ้อน นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ ลมปราณจิ้งจอกนี่มันดีจริงๆ
    
           “เจ้านี่ชื่อเหยียนเหวิน มันจะเป็นเพื่อนเจ้ายามที่เจิ้นงานเยอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงครู่ก่อนจะนั่งลงข้างกายรวบร่างโปร่งมานั่งบนตัก
    
          “ปล่อย” เสียงเย็นนิ่งของตรงหน้าไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหวาดกลัวแต่กดริมฝีปากจูบแก้มคนตรงหน้าอย่างออดอ้อน
    
           “คิดถึง” ร่างโปร่งตัวแข็งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจมองเขาอย่างระอา
    
            “กินน้ำตาลมาหรือไง” น้ำเสียงประชดประชันทว่าใบหน้ากลับแดงระเรื่อทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ใบหน้าคมกดจูบอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะกระซิบเสียงพร่า
    
           “ขอรักอีกครั้งได้ไหม เจ้าหอมไปทั้งตัวเลย” คนในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อ ก่อนที่จะได้ตั้งตัวร่างโปร่งก็พลิกกายออกจากอ้อมกอดเหวี่ยงร่างเขาออกจากกระโจมด้วยความเร็วที่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างสูงยืนอยู่นอกกระโจมมองคนอยู่ด้านในตาปริบๆ
    
            “วันนี้นอนด้านนอกไม่ต้องเข้ามา”
    
            “เมียจ๋าผัวขอโทษ ให้เจิ้นเข้าไปนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งอ้อนวอนคนในกระโจมเสียงอ่อน ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เคยเจอใครที่ใช้แรงกับเขาอย่างนี้มาก่อน เมื่อวานก็โดนถีบจนตกรถม้าวันนี้ก็โดนเหวี่ยงออกนอกกระโจม ทำไมคนรักเขาเขินแรงอย่างนี้
    
             ทว่าทำให้เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบบริเวณขนกายลุกชัน ต่างก้มหน้าหลบตากันอย่างกลัวตาย หยางซือหมิงมองภาพตรงหน้าอย่างปลงตกเห็นทีคืนนี้ไม่ได้นอนกระโจมตัวเองอีกแล้ว!
    
            หลิ่วหวินอี้ใบหน้าแดงก่ำอย่างอับอาย คนบ้าอะไรหื่นไม่เลือกเวลา ร่างสูงยังตั้งหลักอยู่นอกกระโจมยิ่งทำให้หัวใจสั่นระรัว จากคนที่เฉยเมยต่อทุกสิ่งเวลานี้กลับหวั่นไหวกับคำหวาน เวลาผ่านไปสองเค่อทว่าลั่วเหยียนเจิ้งยังปักหลักไม่ไปไหน คำหวานหูที่ฟังแล้วหัวใจสั่นดังมาเรื่อยๆ อยู่นอกกระโจม หากเรื่องนี้รู้ไปถึงไหนคงอับอายไปถึงที่นั่น ดวงตาคมกริบมองเจ้าแมวเหมียวนามว่าเหยียนเหวินด้วยใบหน้าร้อนผ่าว คนบ้าอะไรเอาชื่อเขากับตัวเองมาตั้งให้แมว แต่ท่าทางเชิดๆ ที่เห็นทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้
    
           “เมียจ๋า” เสียงเรียกจากหน้ากระโจมยิ่งทำให้นั่งไม่ติด ร่างโปร่งเดินไปเปิดกระโจมมองคนที่ฉีกยิ้มหวานอยู่เบื้องหน้าอย่างหมั่นไส้
    
            “เข้ามา” ร่างสูงรีบพาร่างตัวเองเข้ามาภายในกระโจมอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าร่างโปร่งเข้ามากอดอย่างออดอ้อน หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนกระล่อนอย่างอ่อนใจ นี่เขาเรียกว่าอาการคนหลงเมียหรือเปล่า? เฮ้อ
    
           “เป็นบ้าอะไร ปล่อยได้แล้วข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
    
            “ไว้คุยทีหลัง กินก่อนได้ไหม” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้ว แล้วพยักหน้ารับเมื่อคิดว่าไปล่าสัตว์มาคงจะหิว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งจูบลงมาพร้อมสอดลิ้นเข้ามาดูดกลืนความหวานอย่างไม่ทันตั้งตัวเขายกมือหยิกเอวคนตรงหน้าอย่างโมโห เมื่อคืนนี้ก็ทั้งคืนยังมาทำเป็นอดอยากมาหลายวัน
    
           “เจ็บ”
    
            “หยุดเลยไม่ใช่เวลาหื่น คืนนี้พวกเผ่ามูซอจะบุกเข้ามาและงานนี้จะมีอสรพิษแดงร่วมมาด้วย” หลิ่วเหวินอี้บอกคนตรงหน้าอย่างเป็นการเป็นงาน ร่างสูงหยุดชะงักใบหน้ารื่นเริงหายไปกลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดวงตาคมกริบกลับมาเย็นชามืดมิดอีกครั้ง ไอสังหารแผ่ออกมาเย็นเยือกทำให้เขามองตามอย่างระวัง นี่สินะตัวตนที่จริงของฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนลงจนทำให้ใจสั่น
   
            “เจ้าห้ามเข้าร่วม” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนสั่งอย่างแปลกใจ แต่เขาไม่ใช่คนอ่อนแอจะได้แต่คอยหลบเป็นเต่าหดหัว
    
            “เจิ้นเป็นห่วง อี้เอ๋อร์เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังแววตามั่นคงที่มองมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจยาวอีกครั้ง เขาเข้าใจว่าลั่วเยียนเจิ้งกำลังหวาดกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย แต่อีกฝ่ายไม่คิดบ้างหรือว่าเขาเองก็เป็นห่วงเจ้าตัวเหมือนกัน
    
             “ท่านพี่ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าก็ห่วงใยท่านไม่น้อยกว่าที่ท่านห่วงข้า หากจะสู้ก็ต้องสู้ด้วยกันหากจะตายก็ตายด้วยกัน” ร่างสูงชะงักไปครู่แววตาประกายความสับสนก่อนจะเลือนหายไป มือหนาลูบไล้เรือนผมอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ ดวงตาคู่นี้อ่อนลงมากจากที่เคยพบกันครั้งแรกแต่เขาก็มองตอบอย่างไม่ยอมแพ้
    
            “อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่เคยมีความรัก แต่เจิ้นก็รักเจ้ายิ่งกว่าตัวเอง เจิ้นไม่อยากให้เจ้าเจ็บและไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้”
    
             “แต่ข้ามีพลังมากกว่าท่านรับรองไม่เป็นอันตราย” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างแน่วแน่ไม่ได้หลบสายตาเขาไม่อาจหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ ยิ่งตอนนี้ความรักของเขามันลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ได้อีกแล้ว
    
             “แต่ตอนนี้เจ้ายังอ่อนเพลีย” ดวงตาที่สื่อความหมายมาทำให้ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน เขาหลบสายตาแล้วตอบเสียงเบา
    
              “แค่เดินติดขัดเล็กน้อยเอง ข้าไม่ได้เป็นไรมากกว่านั้นเสียหน่อย” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางกอดร่างโปร่งเข้ามาชิดยิ่งกว่าเดิม คนตรงหน้าจะทำตัวน่ารักไปถึงไหน แค่นี้เขาก็หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วใบหน้าคมคายขบคิดอย่างหนัก ออกรบสู้กับกบฏไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ไตร่ตรองและระวังเท่านี้มาก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเป็นอันเด็ดขาด
    
             “อยู่ข้างกายเจิ้น หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย เจ้าต้องมีชีวิตรอดให้ได้เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ เพราะลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่แน่ใจว่าศึกนี้จะชนะ หากไม่มีพวกมารหรือภูตผีมาเกี่ยวข้องเรื่องมันคงง่ายกว่านี้ แม้ตอนนี้จะมีเงาอสูรที่เขาฝึกฝนเองมาร่วมตัวกันเขาก็ยังไม่อาจวางใจได้
    
             “เข้าใจแล้ว อย่าห่วงมากเลย นี่ไม่ใช่นิสัยของท่านเสียหน่อย”
    
              น้ำเสียงราบเรียบและใบหน้างดงามยกยิ้มบางทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ เพราะมันไม่ใช่นิสัยเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อคนตรงหน้าคือดวงใจของเขาไปแล้ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางเมื่อหลิ่วเหวินอี้กดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยความอาย เขายกยิ้มอย่างพอใจ นี่สินะที่เรียกว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน แล้วแบบนี้เขาจะมีใจให้ใครได้อีก...




                ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ ปลื้มใจมากเลยค่ะ อ่านทุกคอมคอมเม้นท์ ดีใจที่ทุกคนชอบ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้าแล้วพบกันใหม่ค่าาา จุ๊บๆๆ :bye2: :bye2: :bye2:

หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 12-07-2016 16:22:22
เริ่มหวานแล้ว  ชอบๆๆ

รอต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-07-2016 16:56:54
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 12-07-2016 17:07:35
สถานการณ์ตอนนี้ น้ำตาลจืดเลยค่ะ :impress2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 12-07-2016 17:24:27
คู่นี้หวานกันน่ารักมากๆค่ะ   ขอให้ปลอดภัยจากพวกกบฎนะคะ   กลุ่มหนอนแดงแล้วจะได้เจอแม่เหวินอี้หรือเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 12-07-2016 19:52:18
หวานแป๊บๆๆๆก็จะออกรบกันอีกแระ หวานนานๆหน่อยน้าาาา  o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 12-07-2016 20:42:54
หวานแล้วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-07-2016 20:47:47
เหยียนเหวินนี่เป็นลูกชาย(?)สินะ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 12-07-2016 21:51:40
ฮือๆ เริ่มกังวลล่วงหน้าแล้วนะ
อย่ามีใครเป็นอะไรอีกเลยนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 12-07-2016 22:57:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-07-2016 23:39:22
ศึกใหญ่อีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 12-07-2016 23:43:50
โย่ว ฮ่วย งานจะเข้าบ่อยไปแล้ว ตอนนี้มีความหวาน เมียจ๊ะเมียจ๋าเชียว แอร้ยยย ฟิน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-07-2016 03:37:02
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่38 เหยียนเหวินตัวแทนแห่ง (P.9วันที่ 12/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 13-07-2016 22:22:52
อี้เอ๋อน่ารักอ่ะ อั๊ยยยยๆๆๆ แล้วเฮียเจิ้งจะไปไหนได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพ มีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 18-07-2016 10:28:53


 เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
 บทที่39มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน (P.10วันที่ 18/7/59)



           ยามวิกาลในค่ำคืนนี้ดูเงียบผิดปกติกว่าคืนที่ผ่านมา หิมะไม่ได้โปรยลงมาแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยือกเหล่าทหารที่มีสัมผัสไวต่างระวังตัว คบเพลิงถูกจุดไว้เป็นจุดๆ เพื่อเพิ่มแสงสว่างแต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจ ทหารลาดตระเวนยังคงทำงานอย่างเคร่งครัด แต่กลับมีบางกลุ่มล้มลงพร้อมลมหายใจสุดท้ายโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดแม้แต่น้อย!
         

           งานประพาสป่าในครั้งนี้มิได้มีเพียงฮ่องเต้ที่เสด็จแต่ยังมีเพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้าและเหล่าสนมขั้นเฟยมาร่วมงานด้วยอีกสามคนและหนึ่งในนั้นมีพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ต่านที่ยังติดตามมาด้วยรอบบริเวณดังกล่าวจึงมีทหารมากกว่าทุกจุด
     

         ร่างบอบบางในอาภรณ์แดงสดนั่งอ่านหนังสือภายในกระโจมมาเงียบๆ หลายชั่วยามดวงตางดงามดังหงส์เงยหน้าจากหนังสือในมือมองออกไปภายนอกกระโจมที่เย็นเยือกผิดปกติอย่างเงียบงัน คิ้วสวยเหมือนใบหลิวเลิกขึ้นสูง มือบางวางหนังสือลงแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบกระบี่บางเฉียบสีเงินประกายลวดลายพยัคฆ์อย่างระวัง สัญชาตญาณอันตรายร้องเตือนให้นางเดินไปหยิบอาวุธประจำกายเอาไว้ ภายนอกบอบบางเหมือนกิ่งหลิวที่พร้อมจะโดนพัดปลิวให้ตายตกง่ายๆ ทว่าคนที่ช่วยเหลือพี่ชายกอบกู้บัลลังก์แคว้นโจวจะบอบบางดังภาพลักษณ์ได้เช่นไร
       

           “องค์หญิง” นางกำนัลคนสนิทเดินเข้ามาใกล้อย่างระวังภัย แม้คนภายนอกจะเรียกนางพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ต่านแต่พระนางก็ยังเป็นองค์หญิงน้อยของตนเสมอ นิ้วเรียวยกขึ้นทาบริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา
       

             “ไปหาองค์ชายเพ่ยอวี้” หมู่ต่านบอกเสียงเบาเก็บกระบี่ไว้นายเสื้อคลุม ก่อนจะเดินลากกระโปร่งยาวออกนอกกระโจม บรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้พระนางเดินเร็วขึ้นภารกิจที่แท้จริงคือปกป้องเพ่ยอวี้องค์ชายสิบห้าเพื่อตอบแทนบุญคุณเมื่อสี่ปีก่อน
       

            ร่างบอบบางมาหยุดที่หน้ากระโจมดังกล่าวพร้อมบอกประสงค์กับคนด้านในเ พียงไม่นานกระโจมก็ถูกเปิดออกเชื้อเชิญให้เขาไปอย่างง่ายดาย ดวงตาคมกริบที่ถอดแบบพี่ชายมองมาที่ตนอย่างพินิจ
       

            “พระสนมคงไม่ได้เข้ามาเพื่อเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเปิ่นหวางหรอกกระมัง” หมู่ต่านมององค์ชายอายุสิบห้าซึ่งน้อยกว่านางสองปีด้วยรอยยิ้มบาง
         

            “หม่อมฉันนอนไม่หลับจึงอยากเล่นหมากล้อมกับองค์ชายจริงๆ เพคะ พระองค์ควรทราบว่าบรรดาน้องหญิงไม่มีใครเล่นหมากล้อมเป็นเลย” น้ำเสียงหวานละมุนและรอยยิ้มอ่อนโยนไม่ได้ทำให้องค์ชายที่ถูกลอบฆ่ามาหลายครั้งเชื่อใจ แต่ก็ยังจัดหมากล้อมไว้ให้นางตามคำขอเพราะเพ่ยอวี้เองก็อยากจะรู้ว่าพระสนมที่ไม่ได้ถวายตัวผู้นี้ของเสด็จที่จะมาหลอกล่ออันใดตน!
 




          การเคลื่อนไหวจากด้านนอกแม้จะเงียบเชียบ ทว่าคนในกระโจมก็ยังรับรู้การมาเยือนของแขกยามวิกาล หลิ่วเหวินอี้จับมีดสั้นหยินหยางอาวุธประจำกายออกมาอย่างระวัง ดวงตาเรียวคมมองลั่วเหยียนเจิ้งกษัตริย์ลั่วหยางและเป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าหกแคว้นที่เหลือ ทว่าเวลานี้ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ตนอย่างกังวลจึงยกยิ้มบางให้กำลังใจ
         

            “เชื่อใจข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองสบตานิ่งๆ ยกมือลูบใหน้างดงามอย่างแผ่วเบา การมีความรักเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายแม้จะเป็นจุดอ่อนแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
       

             ฟิ้วววววว
         

              ตูม!!!
       

              เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วค่ายพักพร้อมเสียงการต่อสู้ที่ดุเดือด หลิ่วเหวินอี้และลั่วเหยียนเจิ้งเดินออกมานอกกระโจมอย่างใจเย็น เงาร่างสีแดงโดดลงมาจากยอดไม้หยุดลงเบื้องหน้าของทั้งคู่ ใบหน้าขาวซีดดวงตาแดงก่ำและขอบตาดำมืดกลิ่นไออันตราย
           

            ความเปลี่ยนแปลงของหลิงเซียวองค์ชายสิบพี่น้องร่วมบิดาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใจหาย เหตุใดคนตรงหน้าถึงคิดทำลายราษวงศ์ลั่วหยางและแปรเปลี่ยนตัวเองเป็นมารเช่นนี้ ข้างกายมีสตรีบอบบางใบหน้างดงามที่เหมือนคนรักตนไม่ผิดเพี้ยน ทว่าดวงตากลับไร้แววของสิ่งมีชีวิตเขาเหลือบมองใบหน้าเรียบนิ่งของหลิ่วเหวินอี้อย่างห่วงใยสตรีตรงหน้านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่
           

           “ถวายบังคมเสด็จพี่ฮ่องเต้ ยินดีกับการกลับมาของน้องหรือไม่” เสียงราบเรียบและดวงตาเหยียดหยันที่ส่งมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเพียงแค่ยืนนิ่งมิได้ตอบโต้อันใด กระบี่หยกขาวปรากฏขึ้นในมือดวงตาสีแดงเหมือนโลหิตเหลือบมองมาเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้ม
           

           “กระบี่เทพไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมีของดีอยู่ในตัว ถึงว่าครั้งที่แล้วแขนขาเกือบขาดเพราะมัน” น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แม้หน้ากระโจมใหญ่บรรยากาศจะดูเยือกเย็นจนน่าขนลุกทว่ารอบด้านกลับมีเสียงกรีดร้องและการต่อสู้ที่โหมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกกังวลเล็กน้อยถึงน้องชายคนเล็กสุดที่เป็นความหวังเดียวของตนเวลานี้
           

           “บอกข้าได้หรือไม่เจ้ามีความแค้นเคืองใดกับแคว้นลั่วหยาง” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างใจเย็น ดวงตาโลหิตมองมาอย่างชิงชัง
         

            “เสด็จพี่ข้ามิได้แค้นเคืองแคว้นลั่วหยาง แต่ข้าชิงชังสายโลหิตของกษัตริย์ เกียจชังความเย่อหยิ่งจองหองพวกท่านไม่เห็นผู้ที่ต่ำช้ากว่า มารดาข้าเป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำแต่แล้วอย่างไร ข้ามิใช่น้องชายของพวกท่านหรอกหรือถึงปล่อยให้ข้าอยู่เดียวดายในตำหนักหลังร้างไร้ผู้คน มีงานเทศกาลไม่มีแม้กระทั่งบัตรเชิญ เสื้อผ้าอาภรณ์แต่ละปีกลับน้อยยิ่งกว่านางกำนัลชั้นสูง ฤดูเหมันต์มาเยือนไม่มีกระทั่งเตาอุ่นให้ผิง เงินเบี้ยหวัดแต่ละปีกลับไม่ได้รับแม้แต่อีแปะเดียว อาหารแต่ละมื้อสุนัขของพี่เจ็ดยังได้กินดีกว่าข้า หากคิดจะทำลายมันก็สมเหตุผลแล้วมิใช่หรือ”
         

             ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันไปกับคำตอบ ความรู้สึกสะเทือนใจจนมิอาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ เรื่องนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนแต่การปรากฏตัวของน้องสิบนับว่าน้อยมากจนบางครั้งเขายังลืมไปด้วยซ้ำไปว่ายังมีน้องชายคนนี้อยู่แต่ว่าเรื่องที่กล่าวมาไม่เคยมีใครมารายงายเขามาก่อน
         

             “แต่อย่างไรในร่างกายเจ้าก็มีสายโลหิตของกษัตรย์” แม้จะเห็นใจและสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทว่าตอนนี้เขามิใช่รัชทายาทที่ปิดตาไม่รับรู้ได้อีก หน้าที่ฮ่องเต้คือปราบกบฏและดูแลราษฏรให้อยู่อย่างผาสุก
       

             “เพราะเช่นนี้อย่างไรละข้าถึงได้เกียจตัวเองไปด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าต้องสังหารท่านและทำลายเชื้อพระวงศ์ให้สิ้นไม่เช่นนั้นข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับพวกท่าน” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดขององค์ชายสิบดังก้องจนสะทือนไปรอบบริเวณต้นไม้ไหวใบร่วงหล่น
       

               เพียงแค่ความโกรธก็ทำลายสิ่งรอบกายจน่าหงาดหวั่น หลิ่วเหวินอี้กระชับมีดสั้นหยินหยางในมืออย่างระวัง ดวงตาเรียวมององค์ชายสิบอย่างเห็นใจเพราะสภาพแวดล้อมทำให้จิตใจวิปริตจนยากจะแก้ไข ตอนนี้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลั่วเหยียนเจิ้งบางครั้งเหมือนกระหายเลือดเค่นฆ่าศัตรูอย่างไร้ความปราณี
       

             เรื่องขององค์ชายหลิงเซียวไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจเท่ากับร่างบอบบาง ดวงตาไร้ชีวิตกลิ่นไอมารแผ่ความเย็นเยียบและจิตสังหารออกมาเต็มเปี่ยม แม้จะผ่านไปนานกว่าสิบเก้าปีแต่เขาจำได้ไม่เคยลืมว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แม้จะไม่ได้ผูกพันแต่กลับรู้สึกเสียใจ เหตุใดสตรีที่เพรียบพร้อมถึงขายวิญญาณให้กับมารโลหิตกลืนกินได้ ดวงตาที่เหนือมนุษย์ทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน แม้ราตรีนี้จะมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์ทอให้เห็นบางเบาเท่านั้น แต่หัวใจกลับรับรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่มารดาที่ตนรู้จักอีกต่อไป
         

           “อี้เอ๋อร์” น้ำเสียงห่วงใยของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองเล็กน้อยใบหน้าเรียบเฉยทว่าดวงตาเย็ยเยียบราวกับน้ำแข็ง
     

           “นางมิใช้มารดาข้าอีกต่อไป ท่านวางใจเถิด” 
       

           “สังหารให้หมด!!!”
           

           คำสั่งสะเทือนฟ้าดังก้องทั่วค่ายพร้อมเงาดำมากมายปรากฏตัวขึ้นด้วยความเร็ว ลั่วเหยียนเจิ้งแสยะยิ้มกระบี่ในมือเรืองแสงก่อนจะพุ่งเข้าหาน้องสิบที่บัดนี้มิใช่พี่น้องอีกต่อไป!
         

           ตูม!!
         

           พลังลมปราณสีขาวนวลปะทะกับสีแดงฉานอย่างรุนแรง ความเร็วของทั้งคู่ทำให้เห็นเป็นเงาเลือนลางเท่านั้น กระบี่สองเล่มฟาดฟันกันอย่างดุเดือดจนเป็นประกายไฟออกมาอย่างน่ากลัว ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันอย่างหนักหน่วงต้นไม้รอบบริเวณหักโค้นล้มลงเป็นแนวทางของกระบี่ กระโจมหลายหลังถูกไฟเผาไหม้พร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่าสนมที่หาเรื่องตายเร็วมากขึ้น แม้บริเวณโดยรอบจะฆ่ากันดังผักปลาทว่าบรรยากาศด้านหน้ากระโจมหลังใหญ่กับเย็นเยือกจนอุณภูมิรอบบริเวณต่ำลง
         

            หลิ่วเหวินอี้มองสตรีร่างบอบบางตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ทว่าไอสังหารที่แผ่ออกมาไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามของนางเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ ทว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมานับว่าไม่ธรรมดา
         

            เคร้ง!!
         

            หลิ่วเหวินอี้ยกมีดสั้นหยินขึ้นมาต้านรับกระบี่สีโลหิตที่แผ่ไอมารออกมาอย่างรวดเร็ว พลังโจมตีที่รุนแรงทำให้ถอยหลังรองเท้าครูดลึกลงไปตามทางถึงสามก้าว!
       

             เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

             หลิ่วเหวินอี้พลิกร่างตวัดกระบี่หยางฟาดฟันตอบโด้วยความเร็วที่เหนือกว่าทว่าร่างบอบบางมิได้กระจอกหลบการโจมตีและวัดกลับมาอย่างทันท่วงที มือกำมีดสั้นหยินหยางอาวุธประจำกายแน่นขึ้นพร้อมอัดพลังลมปราณมากขึ้นเป็นเจ็ดส่วน พุ่งเข้าหาร่างนั้นอย่างว่องไว
           

            เคร้ง!
     

          ตูม!
       

            ทั้งคู่ถอยห่างกันไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ดวงตาที่ไร้แววกลับประกายวางอย่างขึ้นมาก่อนจะเลือนหายไป ทว่ากิริยาแม้เพียงเล็กน้อยหลิ่วเหวินอี้ยังมองเห็นได้ชัดเจน ดวงตาเขามองเห็นเส้นใยสีแดงดังโลหิตผูกมัดกับร่างบอบบางเอาไว้
         

             หุ่นเชิด!
       

           นั่นเป็นความคิดที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ใบหน้างดงามฉายแววเคร่งเครียดแม้เขาสู้คนตรงหน้าก็ไม่อาจจะชนะได้เพราะนี่เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้นแล้วผู้ใดเป็นคนควบคุม!
     

             “หลวนซาน” หลิ่วเหวินอี้ร้องเรียกองค์รักษ์ข้างกายที่ยังฟาดฟันศัตรูอยู่ไม่ไกลนัก เพียงชั่วครู่เจ้าตัวก็มาปรากฏตัวตรงหน้า มองสตรีที่ยืนอยู่ไม่ห่างอย่างระวัง หลวนซานไม่ใช่คู่ของนางแต่สามารถถ่วงเวลาให้เขาได้
       

           “ถ่วงเวลาให้ข้า”
         

            หลวนซานไม่ได้มองนายน้อยแต่จ้องมองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาคุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าไม่วางตา นางพยายามฆ่าลูกในไส้มาสองครั้งแล้วแต่ดวงตาที่ไร้แววคู่นั้นทำให้ต้องระวังตัวมากขึ้น
         

          “ขอรับ”
       

            หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะทะยานมองไปตามเส้นสายใยที่ผูกร่างของสตรีที่ขึ้นชื่อว่าแม่ไว้ ระหว่างทางเขาต้องหลบการโจมตีและฆ่าฟันคนที่ขวางทางไปตลอดเส้นสาย จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีดำที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าผ้าดีเส้นไหมสีทองที่ถักทอลายพยัคฆ์ยิ่งขับให้คนผู้นี้ดูยิ่งใหญ่ทว่า ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากพยัคฆ์จนไม่อาจเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
         

           “ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนหาข้าเจอด้วย” น้ำเสียงที่ราบเรียบทว่าเขาจำน้ำเสียงนั้นได้ดีและไม่อาจลืมได้ หลิ่วเหวินอี้หัวใจกระตุกอย่างแรงมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา คนที่ทำตัวไร้สะระไปวันๆ และพูดจาไร้แก่นสาร คนที่เขาคิดว่าไม่ได้เป็นภัยกลับอันตรายกว่าผู้ใด ไม่คิดว่าสายตาจะมองพลาดไปมากมายเช่นนี้
         

          “หลิ่วเชวี่ยนไป๋เหตุใดถึงเป็นท่าน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างระวังกระชับมีดในมืออย่างระวัง เขาคิดว่าตัวเองแสดงละครได้ดีแต่กลับมีมืออาชีพยิ่งกว่าตน!
         

           “ผิดหวังหรือน้องสี่ที่เป็นข้า แต่เจ้าเองก็ทำให้ข้าแปลกใจเหมือนกัน”
         

           “พี่รองท่านต้องการอะไร” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามร่างโปร่งตรงหน้าที่ยืนนิ่งสงบเหมือนดังภูผาอย่างไม่เข้าใจเหตุใดต้องฝึกตนเป็นมารและยังตบตาผู้คนได้อย่างหมดจด
       

            “ข้าจะทำสิ่งใดต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ากับคำตอบ บรรยากาศรอบกายเงียบสงบ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีด เขาตามร่องรอยมาไกลจากผู้คนมากพอสมควร ดวงตาเรียวมองหลิ่วเชวี่ยนไป๋อย่างครุ่นคิด ก่อนจะถอนใจยาวเพราะไม่ว่าด้วยเหตุผลใดคนตรงหน้าก็คงไม่ถอนตัว
       

           “ไม่ต้องมองหาสิ่งใดกับข้าหรอกน้องสี่ มาร่วมมือกับข้าเถอะแล้วเจ้าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องโดนผู้ใดดูหมิ่นเหยียดหยาม มาร่วมสร้างนิกายมารฟ้าให้ยิ่งใหญ่กำจัดพรรคธรรมะเสียให้หมดสิ้น” หลิ่วเหวินอี้มองตอบนิ่งๆ แววตาที่เปร่งประกายความหิวกระหายอำนาจของพี่ชายจอมเสแสร้งทำให้เขานิ่วหน้าอย่างเคร่งครึม
         

            “พี่รองท่านทำร้ายมารดาข้าเช่นนี้ ยังคิดจะให้ร่วมมือด้วยอีกหรือ”
       

            “หากเจ้าหมายถึงสตรีผู้นั้น นางตายตั้งแต่สิบปีที่แล้วสิ่งที่เจ้าเห็นก็เพียงหุ่นเชิดข้าเท่านั้น” หลิ่วเหวินอี้มองพี่รองที่ใจดีผิดปกติ เหตุใดถึงอธิบายให้เขาฟังอย่างง่ายดาย ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อสัมผัสบางสิ่งกำลังเลื้อยเข้ามาหาเส้นสายโลหิตสีแดงฉานขยับเหมือนสิ่งมีชีวิต
       

             ฉัวะ!!
       

           มีดสั้นหยินหยางตวัดหมุนรอบกายอย่างทันท่วงที หลิ่วเชวี่ยนไป๋หรี่ตามองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าเส้นสายที่ควบคุมจิตวิญญาณของโลหิตกลืนกินจะถูกตัดขาดสะบั้นได้ง่ายดายเช่นนั้น และนับว่าแปลกที่น้องชายร่วมบิดามองเห็นมัน
     

            “คิดจะควบคุมข้าหรือ” น้ำเสียงเย็นนิ่งและไอสังหารรุนแรงที่แผ่ออกมาจากน้องสี่ซึ่งไม่เคยเปิดเผยความสามารถมาก่อนกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดาทำให้มันมองตามอย่างระวัง อสรพิษสีแดงตัวเขื่องในอกเสื้อเลื้อยออกมามองหลิ่วเหวินอี้ ดวงตาสีเขียวของมันมองศัตรูตัวจ้อยอย่างหวาดหวั่น กลิ่นไอที่คุ้นเคยและกักขังมันมานับพันปี ทำให้มันอดที่สั่นด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้ หลิ่วเชวี่ยนไป๋มองอสรพิษตัวนี้อย่างแปลกใจเนื่องจากไม่เคยเห็นมันหวาดกลัวสิ่งใดมาก่อน เหตุใดถึงได้กลัว
       

          ฟ่อ ฟ่อ~~~
     

        หลิ่วเหวินอี้สะบัดมือพุ่งมีดสั้นหยินพุ่งเข้าหาอสรพิษแดงตัวเขื่องบนร่างพี่ชายด้วยความเร็ว สัญชาตญาณร้องเตือนว่าสิ่งที่อันตรายคืออสรพิษแดงตัวนี้ อีกทั้งลมปราณจิ้งจอกเดือดพร่านเหมือนดังเจอศัตรูคู่อาฆาต ก่อนหน้านั้นแค่รู้สึกไม่น่าไว้ใจทว่าเวลานี้เพียงเห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้าก็ได้รับคำตอบทันทีว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งปวง อสรพิษแดงตัวนี้เป็นผู้ควบคุมเกมไว้ทั้งหมด!
       

           ตูม!!
       

           หลิ่วเชวี่ยนไป๋พลิกกายหลบด้วยความเร็วพื้นที่ที่เคยอยู่เป็นหลุมลึกกว้างอย่างน่าตกใจ หากไม่ได้รับการเตือนจากอสรพิษแดงตัวนี้มันคงหลบไม่พ้น
   

          “นี่คงเป็นคำตอบของเจ้า”
         

           “ข้าไม่มีสิ่งใดต้องตอบท่าน ในเมื่อข้ากับท่านเลือกคนละเส้นทางย่อมไม่มาบรรจบกันอยู่แล้ว” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของพี่ชายอีกครั้ง
       

            เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
         

           เงาร่างสองสายพุ่งฟาดฟันกันอย่างรวดเร็วจนเกิดแสงวูบวาบผ่านตาเท่านั้น ร่างโปร่งสีดำรวมตัวเข้าหากับอสรพิษแดงเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ดวงตาสีดำที่เคยมีชีวิตกับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งโลหิต มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะสยดสยองดังก้องทั่วหุบเขา
   

            “ฮ่าๆๆ ฟางเทียนฟง ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ไม่คิดว่าเจ้าจะอ่อนแอลงมากถึงเพียงนี้เป็นโอกาสของข้าจริงๆ ฮ่าๆๆ” น้ำเสียงแหบแห้งที่เปลี่ยนไปของพี่ชายไม่ได้ทำให้หลิ่วเหวินอี้แปลกใจหากคิดเป็นมารก็ต้องถูกควบคุมร่างอยู่แล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลิ่วเชวี่ยนไป๋จะให้ผู้อื่นควบคุมร่างตัวเองง่ายดายเช่นนี้
     

            หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้สนใจว่ามันจะเห็นเขาเป็นผู้ใด กระชับมีดสั้นที่บรรจุพลังลมปราณแปดส่วนพุ่งเข้าหาศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ครั้งนี้หากตนพ่ายแพ้นั่นหมายถึงความตาย แม้ชีวิตนี้จะถูกหักหลังและทรยศมามากแต่อย่างไรเขาต้องไม่ตาย เขาจะไม่มีวันให้จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์เป็นพ่อหม้ายและคอยสำราญกับสตรีอื่นเป็นแน่!
     

         “อยากตายก็เข้ามา!”







             หวานละมุมไม่กี่บทก็เลือดสาดอีกแล้ว สาบานได้ว่านี่คือนิยายรักโรแมนติก^^

             ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเสมอมาเหลืออีก3บทก็จบเรื่องอีกแล้ว รู้สึกใจหายไม่น้อย เรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์มี 1 เล่มจบ เรื่องจึงสั้นกว่าเล่ห์รักเทวาสวรรค์ นิยายที่ลงให้อ่านในเว็ตยังเป็นไฟล์ดิบมากไม่ได้แก้คำผิดและขัดเกลาภาษา อ่านติดขัดต้องขอโทษด้วยนะคะ ส่วนตอนพิเศษ 5 บทเจอกันในเล่มเหมือนเดิมค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามแล้วพบกันใหม่จ้า จุ๊บๆ


หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 18-07-2016 12:29:16
ฮาตรงที่ไม่ยอมให้สำราญกับหญิงอื่นเป็นแน่~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 18-07-2016 14:12:24
ปริศนาช่างลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก//ปาดเหงื่อ :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 18-07-2016 14:20:28
ดุเดือดเลือดพล่านกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 18-07-2016 15:36:43
โหดแท้ อี้เอ๋อ สู้ๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 18-07-2016 16:00:11
มีหวงด้วย ไม่ยอมตายด้วยเหตุนี้นี่เองพระสนมหยางกุ้ยเฟย 55555
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 18-07-2016 21:36:39
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 18-07-2016 22:25:28
เรานึกว่านิยายแอคชั่น มันส์มากเลย
รอตอนต่อไปจ้าลุ้นใจจะขาด
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 19-07-2016 00:06:03
ถ้าคนเขียนลงทุนสาบาน เราก้อจะเชื่อ ว่ามันเปนเรื่อง รักโรแมนติก ค่ะ  o22
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่39มีสุขร่วมเสพมีทุก (P.10วันที่ 18/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: PRINCESSPRIME ที่ 23-07-2016 18:40:53
 :mc4:   :mc4:
ติดตามมาจาก  'เล่ห์รักเทวาสวรรค์' (เพิ่งอ่านจบหมาดๆ)
เมะชนเมะ เป็นอะไรที่.... :z1:

ปล.วิ่งไปไล่อ่านให้ทันแปป  :katai5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสิน (P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 24-07-2016 12:28:36
 
      เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
       บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสิน (P.10วันที่ 24/7/59)   



         ตูม!!!
       

         เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
         

         เงาร่างสีขาวและสีแดงฟาดฟันกันอย่างรุนแรง พลังลมปราณที่อัดแน่นด้วยความบริสุทธิ์ปะทะพลังสีแดงฉานที่มีไอมารเต็มเปี่ยมจนเกิดแรงปะทะอันดุเดือด พื้นที่โดยรอบเกิดเป็นหลุมบ่อและไฟลุกไหม้ตามเส้นสายของกระบี่สองเล่มที่พุ่งผ่าน
     

            ฉัวะ!!
       

            ลั่วเหยียนเจิ้งตวัดกระบี่ในมือโจมตีเงาร่างสีแดงด้วยความเร็ว พลังลมปราณผนึกเข้ากับกระบี่หยกขาวถึงแปดส่วน ดวงตาคมมองศัตรูตรงหน้าเย็นเยียบ
         

            “เมฆเคลื่อนมังกรบิน” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกชื่อวิชาออกมาแผ่วเบาทว่าพลังที่แผ่ออกมานั้นทำให้หลิงเซียวถอยหลังไปสามก้าว พลังที่พุ่งออกมาเป็นมังกรตัวใหญ่ที่แผ่อำนาจออกมาจนร่างสั่นสะท้านความกดดันทำให้มันไม่อาจเคลื่อนกายหนีไปได้ง่ายๆ
         

           เปรี้ยง!!!
         

           พื้นที่โดยรอบเกิดเป็นหลุมลึกและสะเก็ดไฟที่เผาไหม้ต้นไม้ราบเป็นหน้ากอง ร่างสีแดงที่เคยสง่างามและเย่อหยิ่งดำไปด้วยเขม่าควัน ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแต่กลับไม่ตายอย่างที่คาดหวัง โลหิตที่ไหลจับกันเป็นกลุ่มก้อนรวมตัวเป็นกระบี่โลหิตในมือ เงาร่างสีแดงพุ่งเข้าลั่วเหยียนเจิ้งด้วยความเกรี้ยวกราด
         

            เคร้ง!
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งยกกระบี่รับแรงปะทะอย่างทันท่วงที มือหนารู้สึกชาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบหรี่ตามองน้องชายร่วมสายโลหิตที่อึดเกินมนุษย์ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตวัดกระบี่ตอบโตด้วยความเร็วมากขึ้น
       

            ฉัวะ!
       

           แผ่นอกของหลิงเซียวอาบย้อมไปด้วยโลหิตคมกระบี่กรีดเป็นทางยาวอย่างน่ากลัว ทว่าใบหน้างดงามทอประกายเกรี้ยวกราดโกรธแค้น พุ่งเข้าหาอย่างไม่มีกระบวนท่า
       

          “ตายยย!”
         

           เคร้ง เคร้ง
         

            ฉัวะ!!
     

          ลั่วเหยียนเจิ้งเอนกายหลบคมกระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งตั้งรับและตอบโต้จนเงาร่างสีแดงกระเด็นถอยห่างออกไปไกล ทว่าเขาไม่หยุดเพียงแค่นั้นผนึกลมปราณลงในกระบี่เพื่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนและดึงอำนาจที่แท้จริงของกระบี่มาใช้อย่างต่อเนื่อง
       

         เปรี้ยง!
       

         ตูม!!
       

           พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้งอย่างต่อเนื่องเงาร่างสองสีพุ่งผ่านด้วยความเร็วจนมิอาจมองได้ทัน ทว่าหากใครมองเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนจะรู้ว่าลั่วเหยียนเจิ้งกำลังได้เปรียบแม้จะมีบาดแผลามร่างกายแต่นับว่าน้อยกว่าหลิงเซียวมากโข
         

           ฉัวะๆ ๆ
         

            อึก...
         

           ร่างโปร่งในอาภรณ์สีแดงซึ่งอาบย้อมไปด้วยโลหิตเริ่มโงนเงนด้วยความเหนื่อยล้า พลังอำนาจของลั่วเหยียนเจิ้งมิอาจดูดายได้จริงๆ ครั้งที่แล้วอาจเพราะประมาทตนไปทำให้รอดชีวิตไปได้ แต่ครั้งนี้เห็นทีคงยากนัก ที่จะมีชีวิตรอด ทว่าใบหน้างดงามกลับยกยิ้มเบาบาง มีชีวิตแล้วอย่างไร ตายแล้วอย่างไร เขามองไม่เห็นความต่างแม้แต่น้อย ชีวิตที่ไร้ความหมายจะจบลงวันไหนก็มีค่าเท่ากัน     
       

           “ย้อมแพ้เถิดหลิงเซียว ทำเช่นนี้ไปเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยบอกเสียงเรียบมองร่างโปร่งที่ยืนแทบไม่ไหวด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับรู้สึกปวดร้าวกี่ครั้งแล้วที่เขาต้องสังหารพี่น้องร่วมสายโลหิต บัลลังก์ที่นั่งต้องแลกมาด้วยกี่ชีวิต แม้ไม่อยากได้แต่ก็ไม่อาจฝืนลิขิตสวรรค์ทอดทิ้งชาวประชาให้โดนข่มเหงได้
       

          “ได้สิพี่ชาย มีคนผู้หนึ่งบอกข้าว่าอำนาจจะทำให้ผู้คนยอมสยบแก่ข้าและไม่มีใครกล้าดูถูกข้าอีกและอำนาจนั้นก็คือบัลลังก์เลือดที่ข้าเกียจนักหนานั่นไงละ”
       

           คำตอบของน้องชายทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งถอนหายใจอีกครั้ง สุดท้ายก็ไม่พ้นความโลภกระหายอำนาจแม้เหตุผลจะต่างกันกับพี่น้องคนอื่น ทว่าสุดท้ายผลลัพท์ก็เหมือนกัน เขาหลับตาลงข่มขวามเจ็บปวดไว้ในอกผนึกลมปราณลงกระบี่อีกครั้ง
         

           ลั่วเหยียนเจิ้งลืมตาขึ้นอีกครั้งทว่าครั้งนี้ดวงตากลับเย็นเยียบไร้ซึ่งความปราณีอีกต่อไป เงาร่างสีขาวพุ่งเข้หาร่างสีแดงที่ผนึกพลังมารออกมาอีกครั้ง
       

           ฉัวะ!!
       

        เคร้ง เคร้ง เคร้ง....
     

         สองร่างฟาดฟันกันอย่างรุนแรงจนพื้นดินสั่นสะเทือนอากาศรอบตัวสั่นไหว ทหารที่อยู่รอบกายต่างกระโดดหลบถอยห่างจากรัศมีการโจมตีของทั้งคู่พลังการทำลายล้างน่ากัวจนไม่อาจยื่นมือไปเกี่ยวข้องได้นอกจากกำจัดมดปลวกที่อยู่รอบกายเท่านั้น เงาอสูรทหารลับของต่างปะทะกับเหล่าพวกมูซออย่างรงดเร็วเช่นกันขณะเดียวกันกลุ่มอสรพิษแดงที่ร่วมมือกับเผามูซอต้องรับมือกับอีกาดำด้วยความเคร่งเครียดเราะฝีมือแต่ละคนนับว่าเป็นตัวอันตราย!
       

           ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟผ่านไปสองชั่วยามที่มีการโจมตีกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ นอกจากความตายเท่านั้น เผ่ามูซอแม้จะเป็นเผ่าที่ควบคุมเหล่าภูตผีทว่าถูกการลอบสังหารของเหล่าอสูรก็ดับดิ้นเป็นใบไม้ร่วงเช่นกัน ส่วนอสรพิษแดงก็ต่างจากเผ่ามูซอฝีมือของเหล่าอีกาดำไม่อาจนิ่งดูดายได้
         

          เซี่ยจวินเองก็ไม่ได้ดูดีนักเมื่อคู่มือของเขาคือมู่ฉีอีกาหมายเลขหนึ่งที่ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าตน ร่างกายของทั้งคู่อายย้อมไปโลหิตทว่าแรงใจในการสังหารนั้นมันมากจนอาจล้มลงได้ง่ายๆ เงาสองร่างพุ่งเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง
         

          เปรี้ยง...

       

           อึก...
       

           หลิงเซียวเบิกตากว้างมองกระบี่หยกขาวที่เสียบทะลุกลางหัวใจความเจ็บปวดโถมเข้าหาจนร่างทรุดลงกับพื้นดินที่เป็นหลุมน้อยใหญ่ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยโลหิตพลังลมปราณถูกทำลายจนขาดสะบั้น กระบี่หยกขาวที่ดูธรรมดาบัดนี้กลบเรืองรองและทำลายอำนาจแห่งมารลงอย่างง่ายได้ ดวงตาสีแดงก่ำเหมือนโลหิตหายไปเหลือเพียงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่เดิม ขอบตาที่เคยดำคล้ำเนื่องจากสูบไอมารมาหายไป ร่างกายอ่อนปวกเปียกเหมือนไร้เรี่ยวแรง เสียงหอบหายใจถี่ๆ จนดูน่าเวทนา
       

           ลั่วเหยียนเจิ้งกระชากกระบี่ออกมองร่างของน้องชายที่พร้อมจะดับสลายไปทุกลมหายใจ กระบี่ในมือแสดงอำนาจของมันอย่างแท้จริง กระบี่เทพที่ไว้สังหารมารของอดีตเทพปราบมารฝู่ซานอาจารย์เพียงหนึ่งเดียวเวลานี้มันได้ทำหน้าที่หลังจากที่ถูกกักไว้ในแดนลี้ลับมานานหลายปี เขามองร่างที่อ่อนแอเปาะบางของน้องชายเป็นครั้งสุดท้ายลมหายใจที่กระตุกแรงทำให้รู้ว่าสิ้นใจแล้ว เขาหลับตาลงด้วยความรู้สึกมากมาย ก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้าอยากเอ่ยถามสวรรค์ว่าเขาทำอันใดผิดถึงต้องสังหารพี่น้องตัวเองครั้งแล้ว... ครั้งเล่า...
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง เขาไม่มีเวลามาอาลัยอาวรณ์พี่น้องร่วมสายโลหิตเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้หลิ่วเหวินอี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาพรากคนรักเขาอันเด็ดขาด! เงาร่างสีขาวพุ่งไปหาคนในดวงใจด้วยความเร็วตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ ใบหน้าคมคายนิ่วหน้ามองเส้นทางที่รับรู้สิ่งผิดปกติอย่างเคร่งเครียด
     

          ตูม!!!
     

         ลั่วเหยียนเจิ้งมองเงาร่างสีขาวกับสีดำซึ่งปะทะกันอย่างรุนแรงจไม่มีช่อว่างให้แทรกเข้าไปได้ ดูจากสภาพตอนนี้เหมือนอาวุธของหลิ่วเหวินอี้จะเสียเปรียบอีกฝ่ายเอามาก ทว่าพลังที่เอ่อล้นออกมาก็ไม่ได้ด้อยกว่าศัตรูและเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำ
       

         เปรี้ยง!!
       

        กระบี่สีแดงฉานปะทะกับมีดสั้นหยินหยางอย่างรุนแรงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้อาวุธธรรมดาไม่อาจต่อต้านอาวุธมารได้ สองร่างกระเด็นถอยห่างไปไกลกว่าสามเมตรแต่ละคนมีโลหิตซึมออกมาจากมุมปาก ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบไม่ได้หวาดหวั่นกับศัตรูแม้แต่น้อย
       

         ลั่วเหยียนเจิ้งอาศัยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปหาคนรักด้วยความเป็นห่วงเพราะอาวุธที่ถือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะทนรับพลังของหลิ่วเชวี่ยนไป๋ไม่ไหว เขายื่นกระบี่หยกขาวให้คนรักอย่างไม่ต้องคิดอันใดมาก ทว่าทันทีที่หลิ่วเหวินอี้จับกระบี่หยกขาวมันกลับแยกออกมาเป็นกระบี่สองเล่ม ทั้งคู่มองตากันอย่างแปลกใจเพราะมันเกินคาดหมาย ทว่าหลิ่วเชวี่ยนไป๋กลับมองตามอย่างเคร่งเครียดแม้กระบี่ที่แยกออกมาจะคล้ายกันแต่กลับมีพลังเท่าเทียมกัน ความหวาดกลัวก่อเกิดขึ้นในใจ
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนรักด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะพุ่งเข้าหาศัตรูพร้อมเพรียงกัน สองร่างประสานกระบี่กันได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนร่วมมือกันต่อสู้มาเนิ่นนาน การสอดประสานทั้งรุกและรับของทั้งคู่ทำให้หลิ่วเชวี่ยนไป๋ตอบโต้ไม่ทันร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลอีกทั้งพลังเทพปราบมารในตัวกระบี่ทำให้อาจฟื้นฟูกำลังได้
         

           ฉัวะ!!
       

         เปรี้ยง!
     

         ร่างสีดำกระแทกลงพื้นด้วยความเร็วเมื่อรับกรโจมตีของทั้งคู่ไม่ไหว พลังมารถูกดึงมาใช้ครั้งแล้ว ครั้งเล่าทว่าพลงที่โอบล้อมเอาไว้นั้นเหนือกว่าตนมาก ดวงตาสีแดงฉานมองทั้งคู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว โลหิตที่ไม่อาจรวมตัวเพิ่มพลังของตัวเองได้ยิ่งทำให้มันอาฆาตแค้น
       

           ตูมตูม...
     

          กระบี่หยกขาวสองเล่มพุ่งฟาดฟันร่างที่พยายามหลีกหนีด้วยความเร็วการสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวยิ่งเรียกอำนาจของกระบี่ได้เต็มที่
     

             ฉัวะ!!
       

          อ๊ากกกกก~
       

           “ไม่ข้าจะไม่ยอมตาย!” หลิ่วเชวี่ยนไป๋ตะโกนก้องอย่างไม่ยอมแพ้ร่างกายถุกมารกลืนกินจนหมดตัวจากร่างมนุษย์เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นอสรพิษสีแดงตัวใหญ่หางยาวกว่าห้าเมตรทว่าส่วนบนคล้ายมนุษย์ทว่ามันไม่ใช่หลิ่วเชวี่ยนไป๋ที่พวกเขารู้จักอีกต่อไป!
       

            หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ดวงตาทอแสงสีทองออกมาอย่างประหลาดร่างกายอบอวนไปด้วยพลังหลังจากจับกระบี่หยกขาวร่างกายเขารู้สึกมีพลังที่มากล้นขึ้นมากอย่างน่าประหลาด ก่อนจะเหลือบมองลั่วเหยียนเจิ้งทีมีบาดแผลน้อยใหญ่เต็มร่างทว่าพลังชีวิตยังคงไม่ได้จางหายไปความรู้สึกที่ร่วมกันต่อสู้มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ดวงตาคมกริบหันมาสบตาเขาอีกครั้งก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปากคล้ายรู้ใจกัมาเนิ่นนาน
       

           สองร่างพุ่งเข้าหามารตรงหน้าด้วยอย่างคล่องแคล่ว การโจมตีสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวของทั้งคู่ทำให้อสรพิษแดงหงุดหงิดและเกรี้ยวโกรธ พลังสามสายที่ปะทะกันอย่างรุนแรงแม้กระทั้งต้นไม้น้อยใหญ่หักโค้นลง เส้นทางที่กระบี่วาดผ่านต่างโล่งเตียนอย่างน่าหวาดกลัว
       

           เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

           ฉัวะ...
         

            ผ่านไปครึ่งชั่วยามที่ทั้งสามปะทะกันอย่างดุเดือด เวลานี้พื้นที่โดยรอบเงาอสูรและอีกาดำล้วนกำจัดได้หมดแล้วเหลือเพียงหัวหน้าใหญ่ตัวการสำคัญที่กำลังถูกฟาดฟันจนร่างกายขาดไปหลายท่อนแต่ก็ยังไม่ยอมตาย พวกเขาต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกเกิดมาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน แต่ที่ทำให้พวกเขาต่างชื่นชมคือพลังการทำลายล้างของเจ้าเหนือหัวและพระสนมที่คว้าหัวใจจอมราชันย์อย่างลั่วเหยียนเจิ้งได้
     

            “จะชนะไหม” หลวนซานเอ่ยถามหยางซือหมิงกับกวงไห่อย่างกังวลวันนี้ตัวเองก็แทบไม่มีชีวิตรอดหากไม่ได้สองคนนี่มาช่วยเหลือ เขาติดหนี้บุญคุณสองคนนี้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มือหนาของหยางซือหมิงลูบหัวเขาแผ่วเบาแต่กลับทำให้ใจสั่นอย่างผิดปกติ
       

           “ต้องชนะสิ ฝ่าบาทไม่เคยแพ้ใครมาก่อนอีกอย่างตอนนี้ทั้งคู่ร่วมมือกันอยู่เราต้องเชื่อใจเจ้านายสิ” แม้จะได้คำปลอบโยนแต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจเพราะศัตรูตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาใบหน้าที่ออกไปทางหวานหันไปมองเจ้าของมือหนาที่กุมมือตนไว้แน่น ดวงตคมกริบมองมาเงียบๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดทว่ามันทำให้จิตใจเขาสงบนี่เป็นวิธีการปลอบโยนของกวงไห่ใช่หรือไม่
         

           “หืม...ยังมาทันแฮะ” หลวนซานหันไปมองคนมาใหม่อย่างตกใจ ลู่เฟยอดีตองค์ชายห้าและจิวชงหยวนหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกล
     

           “ไปจัดการได้แล้ว เดี๋ยวโอรสสวรรค์ก็เดี้ยงก่อนหรอก” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยผู้เป็นสามีซึ่งเป็นถึงเทพปราบมารทว่าทำตัวย็นชาจนออกจะเฉื่อยไปหมด การปรากฏตัวครั้งนี้เพราะไอมารแผ่ออกมารุนแรงมากเกินไป
   

            “ให้ทั้งคู่ออกแรงบ้างก็ดีไม่น้อย ฝีมือจะได้ไม่ตก” จิวชงหยวนกรอกตามองสามีตัวเองอย่างระอาหันไปมองการต่อสู้เบื้องหน้าทีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ได้ห่วงสองคนนั่นมากมายหรอก ทว่าที่หุบเขาแห่งนี้มันมีสมุนไพรเยอะแต่ตอนนี้ถูกทำลายจนเป็นภูเขาหัวโนหมดแล้ว!
     

             ตูม!!!
   

           หลิ่วเหวินอี้มองศัตรูตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด มันเป็นแมวเก้าชีวิตหรืออย่างไรตัดหางออกมาสี่ท่อนแล้วยังไม่ตาย ตอนนี้พลังที่ดึงมาใช้จนแทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว ใบหน้างดงามแม้จะดูเย็นเบือกทว่าเวลานี้กลับมีเหงื่อไหลซึม มองคนที่ร่วมต่อสู้ก็มีสภาพไม่ต่างกันอาจเพราะทั้งคู่เป็นเพียงคนธรมดาถึงไม่อาจเอาชนะมารตรงหน้าได้ง่าย
       

           “พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับจอมมารที่มีตบะมากกว่าพันปีหรอก แม้มันจะโดนฟางเทียนฟงกักขังไว้มากกว่าห้าร้อยปีแต่มันไม่ได้นิ่งดูดายดูดซับพลีงชีวิตของมนุษย์ที่หลงเข้าไปใกล้มันมาเป็นพลังของตัวเองตลอด” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองคนที่มาใหม่รัศมีสีทองที่แผ่ออกมาจากร่างดูน่าเกรงขามทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว กลับกันดวงตาของเขากลับทอประกายมากขึ้นจนต้องยกมือเตะดวงตาทั้งสองข้างของตนเองไว้ จึงไม่ไดเห็นรอยยิ้มล้ำลึกของเทปราบมารผู้นี้
         

            ลั่วเหยียนเจิ้งมองมาใหม่ด้วยความแปลกใจแต่ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทำให้ถอนใจยาว คนตรงหน้าไม่ใช่น้องห้าที่เขารู้จักอีกแล้ว มือหนาจับมือคนรักถอยออกมา ต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปราบมาร แต่เป็นคนตรงหน้าต่างหาก ไม่คิดว่าความฝันเมื่อสามปีก่อนที่ได้ไปร่วมงานแต่งงานลู่เฟยกับจิวชงหยวนบนทรวงสวรรค์จะเป็นความจริง
         

           เปรี้ยง!
       

          อ๊ากกกกกก
         

            เพียงแค่สะบัดมือมารร้ายตรงหน้กลับกรีดร้องออกมาและดิ้นรนอย่างทุรนทุราย ร่างกายที่หลอมลวมจากโลหิตถูกไฟเผาไหม้อย่างรวดเร็ว แม้จะพยามดิ้นรนถอยหนีก็ยังทำไม่ได้
       

            หลิ่วเหวินอี้มองภาพตรรงหน้าอย่างตื่นตะลึง พวกเขาพยายามฆ่ามันแทบตายกลับทำไม่ได้ แต่นี่เพียงแค่สะบัดมือเพียงครั้งเดียวกลับทำให้ศัตรูพ่ายแพ้อย่างหมดรูป สองมือกำเข้าหากันแน่นด้วยความหวาดหวั่น ลู่เฟยไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่มารแต่ว่าจะเป็นใครนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่มันทำให้ดวงตาเขาเห็นภาพทุกอย่างชัดเจนมากขึ้นเหมือนถูกกระตุ้น
       

          “จบเรื่องเสียที”
         

           ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงเรียบมือซ้ายยังจับมือคนรักเอาไว้แน่น กระบี่ที่แยกกันเวลานี้มารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แม้เรื่องนี้จะสงสัยทว่ากระบี่นี้เป็นของอาจารย์มันย่อมมีความลับมากมายอยู่แล้ว
       

            หลังจากกำจัดมารและศัตรูได้อย่างหมดจดลั่วเหยียนเจิ้งก็ได้กลับมาที่วังหลวง การปราบกบฏในครั้งนี้ศูนย์เสียทหารมือดีไปหลายคน และบาดเจ็บสาหัสอีกนับสิบคนแต่ยังดีมีจิวชงหยวนไปช่วยในครั้งนี้ทำให้รอกตายกันได้ แต่ที่ทำให้ลั่วเหยีนเจิ้งกัวลในครั้งนี้กลับเป็นเรื่องของพระสนมกุ้ยเฟยหมู่ตานองค์หญิงจากแคว้นโจวที่เอาชีวิตตัวเองมาปกป้องเพ่ยอวี้จนบาดเจ็บสาหัส แม้บาดแผลจะถูกรักษาได้แต่เจ้าตัวกลลับยังไม่ฟื้นขึ้นมาและหากนางเป็นอะไรไปอาจเกิดสงครามระหว่างแคว้นก็เป็นได้
       

            “คงต้องรออีกสักระยะดูอาการของนางไปก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยบอกเสียงเรียบไม่ได้ร้อนใจแต่อย่างไรเพราะมันเคยมีกรณีนี้เหือนกันจะฟื้นหรือไม่ขึ้นอยู่จิตใจคนไข้เอง
       

           “เหตุใดนางถึงปกป้องเพ่ยอวี้” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปถามน้องชายที่ยืนเงียบขรึมไม่พูดไม่จามาสักระยะ ดวงตาคู่คมฉายแววอ่อนล้าออกมาเล็กน้อย
       

            “กระหม่อมเคยหนีไปเที่ยวข้างนอกและพบนางที่กำลังหนีพวกนักฆ่าจึงได้ช่วยเอาไว้ ไม่คิดว่านางจะจำได้อีกครั้งตอนนั้นกระหม่อมยังเล็กไม่ได้คิดเป็นบุญคุณอันใด”
       

            “นางชอบเจ้า” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบกลับทำให้ร่างโปร่งของเพ่ยอวี้สะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมหลบสายตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
       

           “กระหม่อมไม่กล้า เสด็จพี่อย่าทรงกริ้ว” หลิ่วเหวินอี้กอดอกมองสองพี่น้องที่จ้องกันจับผิดกันอย่างระอา แค่สนมคนเดียวจะมาผิดใจกันหรืออย่างไร ทำไมเขารู้สึกหงุดหงิดอย่างนี้
         

          “ห่วงนางมากหรือไม่” น้ำเสียงเย็นเยือกมาจากคนงามที่กอดอกมองลั่วเหยียนเจิ้งด้วยสายตาเย็นชาทำให้คนถูกมองสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะยกยิ้มบาง
         

           “อี้เอ๋อร์เจ้าอย่างเพิ่งหึง ใจของเจิ้นมีแต่เจ้าจะห่วงนางมากกว่าเจ้าได้อย่างไร”
       

            แค่กๆๆ
         

           คำพูดหวานหูและดวงตาทอประกายที่เปลี่ยนเป็นคนละคนของฮ่องเต้ ทำให้คนที่อยู่ภายในห้องสำลักน้ำลายตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอายสองคนนั่นจะหวานไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย
         

        “พวกข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนดีกว่า ไว้พวกเจ้าตกลงกันได้แล้วค่อยคุยกันอีกนะ” จิวชงหยวนออกความเห็นซึ่งทุกคนภายในห้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พร้อมเดินออกจากห้องกันอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเพ่ยอวี้ที่เร้นกายหายไปเร็วกว่าเพื่อน
     

            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้าน้องชายเขาไปเรียนวิชาท่าเท้าท่องนภามาจากไหน หนีได้เร็วเกินไปแล้ว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของหลิ่วเหวินอี้ ร่างสูงเดินไปกอดร่างคนงามอย่างออดอ้อนพร้อมคำพูดเดียวที่ทำให้คนเย็นชาใจอ่อนลงยวบ
       

           “เจิ้นรักเจ้าคนเดียวจริงๆ นะ”

 

 

 

      ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปหลายวัน ยอมรับว่าฟางเฟลจริงๆ ไม่อยากลงนิยายเลยก็ได้งานที่ฟางตั้งใจเขียนกับไปปรากฏในนิยายของคนอื่น! การที่นิยายฟางเป็นแรงบันดานใจในการเขียนนิายของคุณฟางดีใจที่ทำใหเกิดจินตนาการได้ แต่ฟางขอร้อง ได้โปรดอย่าลอกนิยายฟางไปเลย ฟางเขียนด้วยรักและลงให้อ่านด้วยหัวใจ แต่ฟางไม่อาจทิ้งนักอ่านที่น่ารักอีกหลายๆ ท่านได้ จึงได้กลับมาลงให้อ่านตามปกติ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้ฟางได้พบความสุขมากมายและประสบการณ์ที่ดีตลอดมา เหลืออีก 2 บทก็จบอีกเรื่องแล้ว! ใครที่พบนิยายที่คล้ายกับของฟางสามารถแจ้งฟางได้เสมอนะคะ ขอบคุณมากจ้า

ปล. นักอ่านที่น่ารักอยากอ่านเรื่องอะไรเป็นเรื่องต่อไป

1. เทพสายลมสะท้านพิภพ (จีนโบราณสายปกติไม่มีนางเอก)

2. จ้าวยุทธภพเจ้าสำราญ (จีนโบราณสายฮาเร็ม Yaoi)

3. มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ (จีนโบราณYaoi แนวสงครามระหว่างแคว้น)

4. บันทึกรักขันทีวังบูรพา (จีนโบราณ Yaoi)

 

ปล.2 ฟางมีกิจกรรมครบรอบ1ปีที่อยู่ด้วยกันมาให้เล่นค่ะ สามารถเข้าไปเล่นได้ที่แฟนเพจนะคะ

 

 
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 24-07-2016 16:20:59
สู้ๆน้าาา~ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 24-07-2016 17:18:53
อยากอ่านหลิ่งเหวินต่อคะ ค้างมานานแล้วววววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 24-07-2016 17:58:24
ขอหวานๆมั่งนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 24-07-2016 18:00:10
สู้ๆนะค้าบบบบ ติดตามๆ :110011: :z7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 24-07-2016 18:26:11
สู้ๆนะคะ เจอคนก๊อปก็แจ้งบลอกไม่ได้หรอคะ จัดการไปเลย
ส่วนเราชอบแบบที่1.เทพสายลมสะท้านพิภพ แต่ขอให้มีนายเอกได้คะ อยากได้แบบหวานๆ ชิลๆบ้าง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 24-07-2016 20:18:32
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 24-07-2016 20:23:54
อยากอ่านจ้าวยุทธภพเจ้าสำราญให้จบก่อน เพราะตามอยู่ รอมาต่อค่ะ

แต่ชื่อเรื่องมู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ อันนี้ก็น่าอ่าน

แล้วแต่นักเขียนแต่งเลยค่ะ อ่านทุกเรื่องค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ สำหรับเรื่องที่โดนขโมยความคิด สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 24-07-2016 21:58:24
คุณฟางเขียนนิยายดีมากจริงๆๆๆ

อย่าเพิ่งทิ้งกันน๊าาา

เค้าจะคอยติดตาม เป็นแฟนคลับติดขอบสนามตลอดไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 24-07-2016 22:32:49
เราตามมาตั้งแต่หมอจิว คุณฟางเขียนดีมากค่ะ ภาษาสลวย อ่านแล้วเข้าใจง่าย ปกติไม่อ่านนิยายจีนเลยเพราะชื่อจำยากแล้วหลายๆเหตุการณ์จะทำให้งง แต่พอได้อ่านผลงานของคุณแล้วมันปลื้มปริ่มมากค่ะ ชอบแนวนี้เลยสิ สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 24-07-2016 23:26:35
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ

การที่มีคนมาลอกนิยายเราก็คิดเสียว่านิยายเราดี เขาจึงอยากลอกนิยายเราค่ะ

และนิยายที่เราเป็นคนแต่งขึ้นมาเองถ้ามีคนลอกไป ก็ควรเอาเรื่องให้ถึงที่สุดค่ะ

นิยายแต่ละเรื่องกว่าจะแต่งออกมาได้ก็ใช้เวลา ต้องหาแรงบันดาลใจในการแต่ง

แล้วการที่มีคนลอกของเราไปง่ายๆเป็นสิ่งไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-07-2016 01:38:52
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 26-07-2016 12:24:10
สนุกมากค่ะ รอติดตามนะคะ

สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 27-07-2016 15:12:18
เซ็งแทนเลยค่ะ
อยากอ่านเรื่องขันทีค่ะ แปลกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: hereg407 ที่ 27-07-2016 23:07:43
หลวนซาน หยางซือหมิง กวงไห่     3P เลยไหม 
อร๊ายยย   :-[  :-[
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 28-07-2016 09:33:58
 :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายม(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 29-07-2016 09:55:16
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้า(P.10วันที่ 29/7/59)






          หลังจากผ่านวันวุ่นวายไปหนึ่งเดือนทุกอย่างจึงได้กลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ไม่มีศัตรูหรือพี่น้องที่จะแย่งชิงอำนาจ เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือพี่น้องเพียงแค่สามคนเท่านั้นหากไม่นับคนที่ตัดขาดไปแล้วอย่างเช่นองค์ชายเก้าและองค์ชายห้า เวลานี้ผู้ที่รับใช้ราชวงศ์อย่างแท้จริงจึงเหลือองค์ชายเจ็ดลั่วหวังอู๋ องค์ชายสิบเอ็ดมู่เหรินและสุดท้ายองค์ชายสิบห้าเพ่ยอวี้เท่านั้น
     

        นับตั้งแต่การลอบสังหารของหลิงเซียวในครั้งนั้น ทำให้พระสนมกุ้ยเฟยหมู่ตานนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราถึงหนึ่งเดือนและด้วยความดีความชอบที่ปกป้องว่าที่องค์รัชทายาทจึงได้มอบอิสระให้ตามคำร้องขอ เวลานี้นางจึงได้ตำแหน่งองค์หญิงคืนมาและพักอยู่ในวังหลวงในฐานะแขก ซึ่งทางฮ่องเต้แคว้นโจวไม่ได้ตำหนิอันใดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแผนการขององค์หญิงที่ต้องการตอบแทนบุญคุณเพ่ยอวี้ จึงได้ใช้วิธีนี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงลั่วหยางแทน อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้แคว้นโจวกับลู่เฟยและจิวชงหยวนนั้นดีต่อกันเสมอมาจึงไม่ได้เก็บมาให้ขุ่นพระทัย
       

        ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นหลังจากผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ลั่วเหยียนเจิ้งคิดว่าพระสนมรักอย่างหลิ่วเหวินอี้จะไม่กล้าไปไหนแล้ว แต่ที่ไหนได้ ตอนนี้เมียเขาหายไปเหลือทิ้งไว้จดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น เมื่อคืนสอนบทเรียนรักให้เมียรักจนสลบคาอกแทบขยับไมได้ ทว่าช่วงสายกลับหายไป! บทรักที่ร้อนแรงเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งหลอกล่อให้เขาตายใจ น่าเจ็บใจนักคนที่เจ้าเล่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาก็คืออี้เอ่อร์
       

         “ฝ่าบาทไม่ไปตามพระสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ” หยางซือหมิงเอ่ยถามอย่างวิตกกังวล เวลานี้ฮ่องเต้กลับนั่งอ่านฏีกาอย่างเคร่งเครียดทั้งๆ ที่สนมรักหายไป
       

          ลั่วเหยียนเจิ้งนั่งเงียบ ในมือยังถือจดหมายแปกปลอมที่วางทับกับฏีกาไว้แน่นแล้วถอนหายใจเมียก็ห่วงงานก็ห่วง แต่หลังจากที่อ่านฏีจดหมายฉบับนี้แล้วทำให้อารมณ์หงุดหงิดดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามององครักษ์ตัวเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน
       

          “ที่ร้อนรนอย่างนี้พวกเจ้าห่วงเมียข้าหรือว่าห่วงกวางหนุ่มตัวนั้นกัน”
       

         “เอ่อ...ฝ่าบาทพวกกระหม่อมก็ห่วงพระสนมสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้หายไปไหนหากกลับไปนิกายมารฟ้าจะโดนรังแกหรือไม่ ฝ่าบาททรงเข้าใจผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนของหยางซือหมิงทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างรู้ทันก่อนจะอ่านจดหมายในมืออีกครั้ง
         

         “เคลียร์งานของท่านให้เรียบร้อย ข้าจะรออยู่นิกายมารฟ้าหากต้องการให้ข้าอยู่เคียงข้าจริงๆ ท่านพี่คงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ขอเตือนว่าท่านพ่อข้าเจ้าเล่ห์ไม่น้อยไปกว่าท่านระวังจิ้งจอกเฒ่าจะลอบกัดด้วย หลิ่วเหวินอี้”
       

         ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มมุมปากคล้ายเห็นเรื่องสนุก กว่าจะได้ครอบครองหลิ่วเหวินอี้ก็หลอกล่อจนเหนื่อยยังจะมีจิ้งจอกเฒ่ามาขัดขวางความรักเขาอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเขาจะแสดงให้รู้ว่าต่อให้เจ้าเล่ห์เพียงใดก็ต้องพ่ายให้กับเขาให้จงได้ สองมือพับกระดาษไว้ในอกเสื้อและเริ่มทำงานอย่างจริงจัง ในเมื่อเมียรักรออยู่จะชักช้าไม่ได้
         

         “รอเจิ้นก่อนนะอี้เอ๋อร์”
 
       

          หลิ่วเหวินอี้กลับมานิกายมารฟ้าหลังจากหายไปเกือบครึ่งปี เวลานี้นิกายมารดูเงียบเหงามากเนื่องจากการหายตัวไปของพี่รองหลิ่วเชวี่ยนไป๋ แม้เขาจะรู้ดีว่าเพราะเหตุใดแต่เขาไม่จำเป็นต้องมาอธิบายให้ใครฟัง ทว่าการกลับมาครั้งนี้กลับเห็นภาพแปลกประหลาด ดวงตาเรียวสวยมองดูสองร่างที่กำลังแง่งอนต่อกันภายในเรือนดอกท้อของตนเอง ใบหน้างดงามที่เหมือนตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนกำลังหงุดหงิดโมโหมู่ฉีดูแล้วก็แปลกตาเพราะโดยปกติเขาไม่เคยมีกิริยาแบบนั้นมาก่อนนอกช่วงหลังๆ ที่รู้สึกหงุดหงิดบ่อยเพราะราชภูตในหัวเมืองจะส่งผู้หญิงมาถวายให้ลั่วเหยียนเจิ้ง
         

         “นายน้อย ข้าว่ามันแปลกๆ นะขอรับ” หลวนซานที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยออกมาเสียงเบา หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มมุมปากนิดๆ อาจจะแปลกจริงๆ ก็ได้ นี่คงเป็นสาเหตุที่มู่ฉีมีกิริยาแปลกไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เหมือนเด็กที่ทำความผิด แต่เขาสงสัยว่ามู่ฉีจะหลงรักจั่วเหรินในร่างของเขาหรือว่ารักจั่วเหรินจริงๆ เท่านั้นเอง
         

           “จั่วเหรินข้าขอโทษ ยกโทษให้ข้านะ”
         

           “ไม่ ไปให้พ้น”
         

           “แต่เจ้าเป็นเมียข้านะจะให้ข้าไปไหน”
         

          “ใครเมียเจ้าอย่าพูดให้มั่ว เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจนายน้อยผิดไป เจ้าคนใจโลเลไปให้พ้นข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
       

           “ข้าชอบเจ้าจะให้ข้าไปที่ใดกัน”
         

           “ฮึ อย่าหลอกตัวเองเลย เจ้าชอบนายน้อยหาใช่ข้าไม่”
       

            หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองการสนทนาของทั้งคู่แล้วส่ายหน้า หน้าต่างมีหูประตูมีช่องแต่ทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ในสวนดอกท้อโจ้งแจ้งแบบนี้ชื่อเสียงของเขาไม่หายไปก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ร่างโปร่งกระโดดลงจากต้นไม้ลงไปหาทั้งคู่อย่างเงียบงัน ทั้งคู่มองมาที่ตนด้วยความตกใจ
       

           “ข้ากลับมาแล้วไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกจั่วเหรินเสียงเรียบ ก่อนจะปรายตามองมู่ฉีอย่างเย็นชาจากสิ่งที่ได้ยินก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร
         

          “ขอรับ” จั่วเหรินตอบกลับเสียงเบาก่อนจะเดินเร็วกลับไปยังห้องของตน ความร่าเริงของอีกฝ่ายเหมือนจะหายไปเพราะไข้ใจจากที่ดูก็พอรู้ว่าจั่วเหรินรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ทั้งคู่เป็นคนในปกครองของตนเองแต่เรื่องของความรักเขาไม่อาจยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวได้



       

           “พิสูจน์ตัวเองว่าเจ้ารักจั่วเหรินจริงๆ มิใช่เห็นเขาเป็นตัวแทนของข้า”
           

            “ขอบคุณนายน้อย ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ฉีตอบรับด้วยความโล่งใจก่อนจะเร้นกายจากไปเมื่อเห็นเจ้านายโบกมือไล่
       

            “นายน้อยจะใจดีไปหรือเปล่าขอรับ” หลวนซานเดินเข้ามาหาอย่างไม่เห็นด้วย       
       

            “ไม่หรอกข้าเข้าใจพวกเขา” หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบางแล้วส่ายหน้าเบาๆ สองมือไขว่หลังเดินไปยังตึกใหญ่ซึ่งมีท่านพ่อที่แสนจะเจ้าเล่ห์อยู่ที่นั่น ความเคลื่อนไหวของเขาอีกฝ่ายคงจะพอรู้ไม่มากก็น้อย ในเมื่อปิดไม่มิดก็เปิดเผยไปเลยแล้วกัน...
           
       

           ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีปักดิ้นด้วยไหมทองงดงามลายหงส์ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจมีไว้ครอบครองได้ ทว่าเวลานี้กลับอยู่นเรือนร่างสูงโปร่งของคุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายอธรรม เหล่าลูกศิษย์น้อยใหญ่ที่ฝึกซ้อมวิชาอยู่ลานกลางของนิกายต่างหันไปมองนายน้อยผู้ซึ่งถูกเรียกขยะทางเดียวกัน ความสง่างามและรัศมีเจิดจ้ากว่าครั้งไหนที่เห็น ร่างกายที่ผู้คนบอกว่าไม่เอาไหนกลับสร้างความกดดันให้ผู้พบเห็นอย่างน่าตกใจ
         

           “นั่นคุณชายสี่หรือ” หนึ่งในนั้นเอ่ยถามสหายคล้ายกับละเมอ คุณชายสี่ที่พวกมันรู้จักไม่ย่างกายเข้ามาทางตึกใหญ่ โดยเฉพาะลานฝึกของนิกายมารฟ้า อีกทั้งช่วงนี้ได้ข่าวว่าป่วยไข้เก็บตัวอยู่แต่เรือนดอกท้อแล้วเหตุใดวันนี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
       

           และคนที่แปลกใจไม่ได้มีเพียงแค่ลูกศิษย์เท่านั้น หลิ่วโอวหยางที่มาดูการฝึกซ้อมของเหล่าลูกศิษย์วันนี้ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงมองบุตรชายคนที่สี่อย่างประหลาดใจ มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มมองดูความเปลี่ยนแปลงของบุตรชายอย่างใคร่สงสัย วันนี้เหตุใดจึงเผยความจริงที่ปิดบังซ่อนเร้นมาสิบกว่าปีออกมาให้ผู้อื่นพบเห็น ก่อนจะหรี่ตามองเสื้อผ้าที่บุตรชายสวมใส่ซึ่งคนธรรมดาคงไม่มีไว้ครอบครองเสื้อผ้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเชื่อพระวงศ์!
       

          “เหวินอี้คำนับท่านพ่อ”
       

            หลิ่วเหวินอี้ยกมือคำนับบิดาที่จ้องมองตนอย่างเงียบงัน สายตามากมายหยุดลงที่เขาแต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวมองผ่านไปยังหลิ่วเหวยจวงกับหลิ่วเมิ่งซุนซึ่งอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคมของทั้งคู่มองมาที่เขาคล้ายประหลาดใจ
     

          “ชนะข้าให้ได้ ก่อนที่คิดจะออกจากนิกายมารฟ้า” หลิ่วเหวินอี้นิ่งอึ้งไป เขาไม่ได้ต้องการที่จะออกจากนิกายมารฟ้าเลยเพียงแค่อยากเป็นอิสระเท่านั้น ที่นี่เป็นที่แห่งแรกที่ลืมตาขึ้นมาในโลกแห่งนี้แม้มันไม่ได้อบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็นแต่มันมีความผูกพันธ์ไม่น้อย
   

            คำพูดของประมุขทำให้เหล่าลุกศิษย์ฮือฮาราวกับผึ้งแตกรัง มองดูคุณชายสี่ที่ไร้ประโยชน์ ไม่อยู่ในสายตาพวกมัน วรยุทธอ่อนด้อยมีแค่ความงามเท่านั้นที่เหนือกว่าผู้อื่น อีกทั้งนิสัยเย่อหยิ่งเย็นชาไม่เห็นหัวผู้ต่ำกว่าทำให้พวกมันเกียจชังนายน้อยสี่เข้ากระดูกดำ และคำยั่วยุจากคุณชายสามทำให้ไม่มีใครเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว เพราะอาจจะเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัว วันนี้พวกมันได้ยินคำพูดของประมุขนิกายมารฟ้าเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น คุณชายสี่ที่วรยุทธอ่อนด้อยจับกระบี่แทบไม่เป็นจะชนะท่านประมุขได้อย่างไร น่าขำสิ้นดี!
       

            “ตกลง” หลิ่วเหวินอี้ตอบรับเสียงดังเมื่อพิจารณารูปแบบประโยคและแววตาห่วงใยของอีกฝ่ายออกแม้เพียงชั่วครู่แต่เขากลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน “ดวงตาทิพย์” นั่นคือสิ่งที่ลู่เฟยเคยบอกไว้ดวงตาของเทพพยากรณ์ที่หายตัวไปหลายพันปี เรื่องราวแต่หนหลังเขาไม่ได้เอ่ยถามเพราะคิดว่าอยู่ปัจจุบันดีกว่า เขาเคยเจ็บและจมปรักอยู่กับอดีตจนไม่มีความสุข ทว่าต่อไปนี้ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะเขายังมีคนต้องคอยดูแลและปกป้อง
     

            “หาเรื่องตาย” หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของพี่ใหญ่ แต่เดินไปยังลานประลองพร้อมหยิบกระบี่ในนั้นมาหนึ่งเล่ม แม้มันไม่ได้คุณภาพแต่ก็พอแก้ขัดไปได้ ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธประจำกายหลังจากมันแตกหักไปแล้ว
       

            “เหวยจวงไปเอาดาบวงเดือนและกระบี่จันทราในห้องเก็บอาวุธมา” คำสั่งของประมุขพรรคทำให้คนฟังต่างตื่นตระหนกเพราะกระบี่ทั้งคู่ถือว่าเป็นศาสตร์ตราวุธที่สำคัญของพรรคมีแต่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะได้ครอบครอง
     

            “ขอรับ” แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งบิดาได้ ผ่านไปหนึ่งเค่อเหวยจวงก็มาพร้อมกับศาสตร์ตราวุธ หลิ่วโอวหยางรับทั้งคู่มาก่อนจะทยานลงไปกลางเวทีซึ่งบุตรชายคนที่สี่รออยู่
       

           “เจ้าต้องการใช้สิ่งใด” หลิ่วเหวินอี้มองศาตร์ตราวุธทั้งคู่ที่อยู่เคียงคู่นิกายมารฟ้ามาช้านาน ก่อนจะเลือกกระบี่จันทราแม้มันใช่กระบี่เทพเหมือนของลั่วเหยียนเจิ้งแต่มันก็เป็นกระบี่ที่ดี
     

           “ทำไมคุณชายสี่ถึงได้โง่เขลาเช่นนั้น”
     

           “หาเรื่องตายหรือยังไงคนที่ไม่เคยจับกระบี่จะสู้ประมุขได้อย่างไร”
       

           “พวกเจ้าพูดถูกแค่ชนะคุณชายสามให้ได้ก่อนเถอะ”
       

            “เงียบ!”
     

         คำสั่นที่ดังก้องทั่วลานประลองอัดแน่นไปด้วยลมปราณทำให้ลูกศิษย์ที่นินทาดูถูกคุณชายสี่ต่างพากันเงียบกริบร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
       

           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้เดือดร้อนใจกับเสียงนกเสียงกาที่กำลังดูถูกตนเอง เขากลับรู้สึกชื่นชอบเสียอีกเพราะพวกมันล้วนประมาทและต้องรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ไม่ได้ดูถูกศัตรูอย่างเช่นบิดานั่นถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เขาลองตวัดกระบี่กับอากาศไปมาจนรู้สึกคุ้นมือ
       

           “เข้ามา”
         

            หลิ่วเหวินอี้มองร่างสูงสง่าดั่งภูผาของบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ความแข็งแกร่งของบิดาคือของจริงประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้มาเพียงแค่ชื่อ เขายกมือคารวะตามธรรมเนียมผู้น้อย ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของหลิ่วโอวหยางด้วยความเร็ว
         

           ร่างสีขาวเคลื่อนกายพุ่งเข้าหาประมุขนิกายมารฟ้าด้วยเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างมองตามอย่างตกตะลึง พวกมันกำลังฝันไปใช่ไหม ความเร็วขนาดนั้นคนที่ไร้ประโยชน์จะทำได้เช่นไร
       

           เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
       

           กระบี่สีดำสนิทปะทะเข้ากับดาบวงเดือนที่โค้งยาวเป็นวงกลมล้อมร่างประมุขหลิ่วโอวหยางไว้ ความเร็วที่โจมตีและตอบโต้ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะหลิ่วเหวยจวงบุตรชายคนโตที่ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง น้องสี่ของมันมีวรยุทธและไม่ได้ต้ำช้าแม้แต่น้อย หมายความว่าที่ผ่านมาหลิ่วเหวินอี้ปกปิดความจริงมาโดยตลอด แต่ทำเช่นนั้นทำไมในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ
       

            เปรี้ยง!!!
     

           พลังสองสายปะทะกันอย่างรุนแรง สองร่างถอยห่างจากกันไปสามก้าวหลิ่วโอวหยางมองบุตรชายด้วยรอยยิ้มมุมปาก เป็นอย่างที่คิด เจ้าเด็กนี้ร้ายกาจแต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กน้อย ดวงตาคมเบิกกว้างอีกครั้งเมื่อร่างของบุตรชายเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความเร็วจนเกิดภาพลวงตา สองมือตวัดกระบี่ตอบรับและตอบโต้ด้วยคามเร็ว
       

            ตูม!
       

            ทว่ากลับช้าไปหนึ่งก้าว ร่างประมุขนิกายมารฟ้ากระเด็นถอยห่างไปอีกเจ็ดก้าว ดวงตาคมหรี่มองบุตรชายที่ก้าวเท้าบางอย่างจนเกิดภาพลวงตามันเป็นวิชาอันใดในนิกายไม่เคยมีวิชาเช่นนี้มาก่อน
       

            เคร้ง เคร้ง เคร้ง
         

           หลิ่วเหวินอี้ก้าวเท้าสลับกันไปมาด้วยความเร็วเพื่อให้เกิดภาพลวงตา และยังใช้พลังลมปราณของจิ้งจอกวิชาอาคมที่ฝังลึกเข้ามาในใจเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจึงทำให้ไม่อาจแยกออกได้ว่าร่างไหนจริงร่างไหนคือภาพหลอก
         

          เปรี้ยง!
     

        ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เหล่าลูกศิษย์ต่างมองตามอย่างโง่งม นี่มันเกิดอะไรขึ้นคนที่ไร้ประโยชน์สามารถทำให้ประมุขก้าวถอยหลังได้ ที่สำคัญพลังโจมตีมันไม่ใช่ต่ำอีกทั้งมากมายกว่าพวกมันเสียอีก ใบหน้าแต่ละคนอ้าปากค้างอย่างตะลึงอีกทั้งเบิกตากว้างขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เห็นมันคือความจริงไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิด
     

          สองร่างโรมรันฟันแทงกันอย่างดุเดือด พลังลมปราณที่น่าหวาดกลัวกระจายทั่วอากาศ ความกดดันทำให้เหล่าคนดูต่างถอยห่างออกไปไกลสามเมตรเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง พื้นลานประลองแตกร้าวจนกระทั่งยุบลงไม่หลงเหลือเค้าเดิม ทว่าสองร่างที่ฟาดฟันกันนั้นไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้เพราะความเร็วของวรยุทธขั้นสูงและพลังวัตรที่เอ่อล้นจนยากที่จอมยุทธธรรมดาจะมองตามได้ทัน
     

           เปรี้ยง!
         

            หลิ่วโอวหยางตอบโต้บุตรชายได้อย่างดุเดือดแม้จะฟาดฟันไปยังเงาร่างลวงตาบ้างแต่ด้วยความเร็วที่ตวัดดาบวงเดือนกลับมาทันทำให้ไม่ได้รับคมกระบี่จันทรา แต่เมื่อหลายครั้งเข้าจึงได้พลาดท่าเสียทีจนได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย ความสามารถของหลิ่วเหวินอี้ช่างน่าหวาดหวั่นและน่าภูมิใจเสียดายที่เจ้าตัวไม่โลภมากในอำนาจแต่ถึงกระนั้นก็ยังได้อำนาจที่เหนือกว่าชาวยุทธภพ
       

            “ท่านพ่อท่านคงไม่ได้ออกแรงมานาน วิชาท่านคงไม่ขึ้นสนิมหรอกใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้มองร่างที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย จึงได้แสร้งเอ่ยถามเพื่อไว้หน้าให้กับบิดา เขาคงเอาชนะประมุขนิกายมารฟ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนตรงหน้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดลูกศิษย์จะเคารพอยู่เช่นเดิมหรือไม่ แม้ไม่ได้ผูกพันธ์แต่อย่างไรจิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นบิดาบังเกิดเกล้า
     

            “เจ้าชนะแล้วเหวินอี้” หลิ่วเหวินอี้มองหน้าบิดาที่ไม่ได้มีใจสู้ต่ออาจเพราะเห็นผลลัพท์ที่จะตามมา เขายกมือคารวะแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบ
     

           “ขอบคุณท่านพ่อที่ออมมือ”
       

           “เอาเถิดเรื่องนี้ไปคุยกันในห้องหนังสือแล้วกัน” หลิ่วโอวหยางเดินมาตบไหล่บุตรชายพร้อมเดินนำไปยังห้องสมุด
   

            สองร่างที่เดินจากไปนั้นดูสง่างามน่าเกรงขาม การประลองเมื่อครู่ดูก็รู้ว่ายังออมมือ แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันไม่อยากเชื่อคือคุณชายสี่ไม่ใช่ขยะอีกต่อไป พลันใดนั้นข่าวลือของคุณชายสี่หลิ่วเหวินอี้ต่างร่ำลือไปไกลทั่วแคว้นว่ามีวรยุทธล้ำเลิศสามารถต่อสู้กับบิดาได้อย่างทัดเทียม จากคุณชายเจ้าสำราญชอบทำตัวไร้ค่ากับเป็นคุณชายน้อยมากความสามารถเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวลือนี้ยังมีต่อไปอีกเนิ่นนาน บ้างก็ใส่สีตีไข่จนบัดนี้คุณชายสี่กลายเป็นผู้วิเศษไปเสียแล้ว...



         ขอบคุณทุกกำลังใจมากนะคะ อีกหนึ่งตอนก็จบแล้ว ฟางมีกิจกรรมแจกหนังสือเรื่องเล่ห์รักเทวาสรรค์ในหน้าแฟนเพจตามไปเล่นได้ค่ะ แล้วพบกันใหม่ค่าาา :bye2: :bye2: :bye2:







หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 29-07-2016 10:10:47

คุณชายสี่ไม่กระจอกนะคะ อึ้งไปเลยละสิ 5555
รีบไปรับอี้เอ๋อร์นะะะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่40การต่อสู้ที่ตัดสินชะตา(P.10วันที่ 24/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: apple32 ที่ 29-07-2016 10:52:21
อี้เอ๋อ จะอยู่ในวังกับฝ่าบาทจริงๆแล้วใช่มั้ยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-07-2016 15:35:12
เจิ้น เมียหายเหรอ~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 29-07-2016 18:16:51
ไม่สามารถละสายตาได้เลย
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เจิ้นนนนน เมียหาย รีบตามไปนะ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-07-2016 20:55:38
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 29-07-2016 20:56:51
ห๊าาาาตะจบแล้วหรอม่ายยยยนะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 29-07-2016 21:08:44
 :pig4: :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-07-2016 21:10:02
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 29-07-2016 21:13:08
หึๆๆๆ อึ้งละสิ อึ้งกันเข้าไป เดี๋ยวได้เจอสามีอี้เออจะยิ่งกว่าอึ้งอีก 5555 :haun5: :haun5: :haun5:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 29-07-2016 21:16:19
ตอนหน้าจบเหรอ   แล้วจะมีสกู๊ปแฮปปี้เอนดิ้งของฟางเทียนฟงมั้ย(หรือมีแล้วเราลืมไปแล้ว?)
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 31-07-2016 06:32:15
หายไปแบบนี้เจิ้งจะคิดถึงอี้เอ๋อรึยังน้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 31-07-2016 07:56:14
อยากอ่าน จ้าวยุทธภพ เจ้าสำราญค่ะ

อยากอ่านฟางเทียนฟงด้วยค่ะ

สนุกมากค่ะ ชอบอี้เออร์ ชอบเคะราชินี
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 31-07-2016 09:33:01
อี้เอ๋อเคลียร์กับทางบ้านเรียบร้อยแล้ว  เจิ้นมารับไวๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-07-2016 11:03:32
อันวาจาคนเรานี้...
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 31-07-2016 20:32:37
งื้อ เพิ่งตามอ่าน ตอนเเรกก็เฉยๆ พออ่านไปอ่านมา อ๋า นี้รัชทายาทในเรื่องจิงชงหยวนนี้เอง
เลยอ่านรวดเดียวเลยค่ะ5555555 :hao7: :hao7: :hao7:
มาเจอกันอีกทีก็ใกล้จะจบเเล้วว รอพี่ฟางนะคะ!
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 31-07-2016 20:49:22
 :L2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 31-07-2016 23:01:03
เรารอเจิ้นมารับ อี้เอ๋อไปอยู่ด้วย
พ่อเมียจะต้อนรับเจิ้นขนาดไหนเนี้ย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 01-08-2016 12:10:35
เจิ้นจะจัดการอี้เอ๋อร์ยังไงน้าาาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 01-08-2016 17:59:55
 :L2: :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 02-08-2016 12:24:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 02-08-2016 16:35:59
บอกทันไหมว่าเราชอบเจ้ายุทธภพ เจ้าสำราญ อยากอ่านเรื่องนี้ แต่แล้วแต่คนเขียนเลย แต่เชียร์เรื่องนี้เป็นพิเศษ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 02-08-2016 16:45:19
รอน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
นี้เข้าม่รีเฟรชทุกครึ่งชั่วโมง
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 02-08-2016 18:34:10
รอเจ้าคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 03-08-2016 01:37:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 03-08-2016 20:03:13
 :L1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่41คุณชายสี่แห่งนิกายมารฟ้(P.10วันที่ 29/7/59)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 05-08-2016 13:44:13
สนุกคะ   :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re:เล่ห์ร้ายจอมราชันย์(จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 08-08-2016 17:26:25





เล่ห์ร้ายจอมราชันย์(จีนโบราณ)
บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)


            หลิ่วเหวินอี้เดินไปยังสวนดอกท้อสวนหลังเรือนของตัวเอง วันนี้ครบรอบสองเดือนที่มารดาจากไป เขาได้นำร่างนางมาฝังไว้ที่นี่ หลังจากวันนั้นเขาได้รู้ความจริงว่าทำไมมารดาถึงโดนกลืนกินร่างกายและจิตวิญญาณ นางเป็นคนแรกที่นำกระบี่มารโลหิตออกมาแต่ไม่อาจรองรับพลังของมันได้ สุดท้ายจึงถูกกลืนกินจนหมด ส่วนพี่รองหลิ่วเชวี่ยนไป๋คือตัวเลือกของมารร้ายและร่างกายที่รองรับพลังอำนาจได้จึงทำให้เขาได้ครอบครองพลังที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัว แต่สิ่งที่ต้องแลกก็ไม่ต่างจากมารดาของเขา
     

           เวลานี้พวกเขาได้จากไปอย่างสงบเรื่องนี้มีเพียงบิดาเท่านั้นที่ได้รับรู้ความจริง หลังจากผ่านการประลองเขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลิ่วโอวหยางได้ฟัง ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็รับฟังอย่างเงียบสงบ เพียงแค่ตอบรับว่าท่านพ่อรับรู้ความผิดปกติของหลิ่วเชวี่ยนไป๋แต่ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด
       

          หลิ่วโอวหยางแม้จะดูเย็นชาไม่ใส่ใจสิ่งใด ทว่ากลับรับรู้ทุกอย่าง แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายอธรรมแต่ก็ไม่เคยทำสิ่งใดขัดต่อมโนธรรมของตนเอง การได้เปิดใจในครั้งนี้ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะไว้ใจมากขึ้น บิดานั้นรักเขาอย่างแท้จริง เพียงแต่ใช้วิธีเลี้ยงดูบุตรตามวิถีของตนเองที่คิดว่ามันถูกต้อง เรื่องนี้เขาไม่อยากไปคิดเพราะเกิดมาเขาก็ไม่เคยมีลูกและชาตินี้ก็คงมีไม่ได้ ในเมื่อหัวใจเขามอบให้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปแล้ว
       

          ใบหน้างดงามแต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าวันนี้กลับมีความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมาเพราะผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วแต่คนเจ้าเล่ห์ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น!
     

          “นายน้อยแย่แล้ว” หลวนซานพุ่งเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนรน หลิ่วเหวินอี้หันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าคิ้วขมวดขึ้นสูงบ่งบอกความสงสัย
       

           “มีอะไร”
         

          “ฝ่าบาทเสด็จมานิกายมารฟ้าขอรับ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองคนบอกอย่างไม่เข้าใจ มานิกายมารฟ้าก็ไม่เห็นจะแปลกเพราะเจ้าตัวก็เคยมาแล้ว
       

           “นายน้อยต้องรีบไปห้ามนะขอรับไม่งั้นประมุขได้ไล่ฆ่าฝ่าบาทแน่ๆ” ใบหน้าซีดเผือดและลมหายใจติดขัดด้วยความตื่นเต้นของคนติดตามทำให้หลิ่วเหวินอี้หมุนกายเดินเร็วตรงไปยังตึกใหญ่ความรู้สึกสังหรณ์ใจทำให้ต้องเร่งสาวเท้าให้เร็วขึ้น
       

           “เอ่อ นายน้อยฝ่าบาทยังอยู่หน้าประตูขอรับ” สองเท้าชะงักหันกลับไปมองหลวนซานที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าอย่างกังวลก่อนจะดีดปลายเท้าใช้กำลังภายในทะยานมาหยุดบนกำแพงหน้าประตูเขานิกายมารฟ้า ดวงตาเรียวคมเบิกตากว้างเมื่อเห็นขบวนเสด็จที่ยาวสุดลูกหูลูกตาทหารองครักษ์มากมายยืนออเต็มหน้าประตู
       

           นี่จะมารบหรือว่ามาหาเขากันแน่!
         

          “ข้าจะให้ท่านเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองหยางเซาเพื่อตอบแทนที่เลี้ยงบุตรชายที่ดีงามอย่างอี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้มองลั่วเหยียนเจิ้งยื่นข้อเสนอให้บิดาเห็นแล้วได้ส่ายหน้า
         

           “ไสหัวกลับไปให้พ้น ข้าเป็นประมุขนิกายมารฟ้าตำแหน่งข้าสูงส่งพอแล้วจะเอาเมืองเล็กๆ นั่นมาทำไม”
       

            “ไม่พอใจหรือไม่งั้นไปเป็นอำมาตย์รับใช้ข้าดีหรือไม่”
         

           “ไปให้พ้นหน้าข้า”
       

            “เฮ่อ ยศถาบรรดาศักดิ์ท่านก็ไม่เอา แก้วแหวนเงินทองและของล้ำค่ามากมายท่านก็ไม่เอา แบบนี้ข้าฉุดกลับวังด้วยท่านคงจะตกลงใช่หรือไม่” หลิ่วเหวินอี้มองคนต่อรองบิดาเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของโอรสสวรรค์แม้จะอ่อนลงหลายส่วนแต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีสูงส่งได้ ยิ่งชุดมังกรสีเหลืองลายมังกรยิ่งทำให้คนรอบกายหวาดกลัว ทว่ายกเว้นไว้เพียงหนึ่งคนที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห
         

           “ต่อสู้กับอี้เอ๋อร์ให้ชนะ หากพ่ายแพ้ก็กลับไป” หลิ่วเหวินอี้มองบิดาอย่างแปลกใจ แม้จะหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหแต่กลับยื่นเสนอที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง และคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดก็คือลั่วเหยียนเจิ้ง ดวงตาคมกริบเหลือบมามองกำแพงเล็กน้อย ดวงตาสองคู่มองเขานิ่งแต่มันกลับทำให้เขาใจสั่น ดวงตาคมที่ทอประกายหยอกเย้าทำให้เขาหน้าแดงอย่างเก้อเขิน ไม่ได้เจอกันแค่เดือนเดียวทำให้เกิดความรู้สึกมากมายและหนึ่งในนั้นคือคำว่าคิดถึง
         

           “ไม่มีทาง ข้าไม่หันคมดาบใส่คนรักเป็นอันเด็ดขาด” ลั่วเหยียนเจิ้งหันมาบอกพ่อตาอย่างจริงจัง ไม่คิดว่าคนที่ทำตัวไม่สนใจลูกจะรักหลิ่วเหวินอี้จริงจังเช่นนี้และดูจากสภาพเมียเขาเป็นลูกรักเสียด้วยสิ
         

           “งั้นข้าไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกเขยกลับไปซะ” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนตอบโต้อย่างสนใจ เกิดมาตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีใครกล้าขัดใจเขามาก่อนนอกจากหลิ่วเหวินอี้และคนต่อมาก็คือพ่อตาขี้หวงตรงหน้าเขาเวลานี้
         

          “อี้เอ๋อร์พ่อเจ้าไม่ยอมให้เจิ้นเข้าบ้าน เจ้าได้เจิ้นแล้วเจ้าต้องรับผิดชอบนะ ดูสิพ่อเจ้าใจร้ายกับเจิ้นแค่ไหนให้เจิ้นตากแดดเป็นชั่วยามแล้ว” หลิ่วโอวหยางอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึ งมองฮ่องเต้ที่หน้าด้านหน้าหนาจากความเย่อหยิ่งและจองหอง เวลานี้เห็นลูกชายเขากลับทำตัวจากหน้ามือเป็นหลังเท้าพลิกลิ้นกลับจนเขาเป็นฝ่ายผิดไปเสียอย่างนั้น
         

           แค่กๆๆ
       

          หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายมองคนหน้าไม่อายด้วยใบหูที่แดงก่ำ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่เขาอายจริงๆ พูดออกมาได้อย่างไร เขากระโดดลงไปหามองฮ่องเต้ที่มีเหงื่อไหลออกมาอย่างเห็นใจนิดหน่อย
         

           “ท่านจะมาสู่ขอข้าหรือว่ามาออกรบ ไอ้พวกข้างหลังจะเอามาทำอะไรเยอะแยะไม่อายชาวบ้านหรือไง”
         

           “เจิ้นมาสู่ขอฮองเฮาก็ต้องมาเอามาต้อนรับอย่างสมเกียรติ” หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งมองฮ่องเต้ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ตำแหน่งนั้นมันสูงค่าเกินไปเขารับผิดชอบไม่ไหวที่สำคัญไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีฮองเฮาเป็นผู้ชาย
         

           “โอ้โห่ เจ้าลงทุนกับลูกข้ามากถึงขนาดแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเลยหรือ” หลิ่วโอวหยางมองดูลูกเขยอย่างประหลาดใจ ตำแหน่งที่สูงย่อมมาด้วยกับความรับผิดชอบที่หนักหนา แล้วแบบนี้เขาจะกล้ายกลูกชายสุดรักเข้าไปดงหนามได้อย่างไร ใครๆ ต่างก็รู้ว่าวังหลังไม่ใช่ที่วิ่งเล่น ก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจตายได้
         

           “อี้เอ๋อร์เป็นคนรักข้าย่อมต้องเป็นฮองเฮาอยู่แล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบกลับอย่างมั่นใจ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดจาโผงผางของพ่อตาแม้แต่น้อย
       

            “เฮอะ เหวินอี้บอกข้าสิว่าเจ้ารักเจ้าหนุ่มขี้โรคนี่จริงๆ”
       

            แค่กๆๆๆ
         

           หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายอีกครั้งเมื่อบิดาเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา จิ้งจอกเจ้าเล่ห์วันนี้ทำไมเถรตรงจนน่าตกใจ คิดการอันใดไว้เบื้องหลังอีกหรือเปล่าละนี่ ดวงตาคมกริบที่มองมายังเขาทอประกายเจิดจ้าและคาดหวัง อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยบอกรักลั่วเหยียนเจิ้งมาก่อน แต่ว่าจะให้เขาบอกรักต่อหน้าผู้คนนับหมื่นจริงๆ หรือ
         

            “อี้เอ๋อร์คนดีหากครั้งนี้เจ้าบอกรักเจิ้น เจิ้นจะยอมอยู่ข้างล่างอีกครั้ง”
       

            แค่กๆๆ
         

           ครั้งนี้ไม่ใช่หลิ่วเหวินอี้ที่ไอจนหน้าดำหน้าแดงแต่กลับเป็นประมุขนิกายมารฟ้าที่เกิดมาจะห้าสิบปีแล้วแต่เพิ่งเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายแบบนี้เป็นครั้งแรก
           

          หลิ่วเหวินอี้ปิดปากเงียบมองคนตาปริบๆ คาดหวังด้วยใบหูแดงก่ำและสายตากดดันจากผู้เป็นพ่อทำให้เขาพูดไม่ออกรู้สึกกดดันเป็นครั้งแรกในชีวิต
         

           “ตอบความจริงมา ไม่รักก็บอกพ่อไม่ต้องกลัว”
           

          “กล้ารึ” ดวงตาที่คาดหวังกลับเต็มเปี่ยมไว้ด้วยอำนาจการข่มขู่ หลิ่วเหวินอี้มองทั้งคู่แล้วถอนใจยาวทำไมคนที่ผิดกลับเป็นเขาเช่นนี้
         

           “ข้ารักท่านพี่เหยียนเจิ้งจริงๆ นั่นแหละท่านพ่อ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยตอบเสียงเรียบ จึงได้รับรอยยิ้มเปรมปรีจากลั่วเหยียนเจิ้ง ทว่าใบหน้าบูดบึ้งของบิดาทำให้ยิ้มเจี้ยนถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เลี้ยงเขาจนโตมาถึงตอนนี้
       

          “เฮอะ ข้าคิดแล้วว่าต้องได้ลูกเขย แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นสะใภ้ข้า” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนเอ่ยแล้วได้แต่ปิดปากเงียบ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องบนเตียงให้ใครฟัง ร่างสูงดึงร่างโปร่งของคนรักมากอดด้วยความคิดถึงไม่สนใจสายตาพ่อตาที่มองเขาอย่างไม่พอใจ
       

          “ตกลงท่านจะเอาอะไรเป็นสินสอด”
         

          “ราชโองการละเว้นโทษตายหลิ่วเหวินอี้ตลอดชีวิต” คำตอบที่ได้รับทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งงันไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้มาก่อน คนตรงหน้าห่วงใยหลิ่วเหวินอี้จริงๆ ร่างในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อริมฝีปากแม้มแน่นอย่างคาดไม่ถึง
         

          “ท่านพ่อ”
         

           “อย่าร้องไห้นะไม่งั้นข้าไม่ให้เจ้าออกเรือน” หลิ่วเหวินอี้มองบิดาแดงด้วยความอายเพราะไม่เคยแสดงความรักกับบุตรคนไหนมาก่อน เขารู้สึกซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออกเขาไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวมาก่อนแต่ว่าครั้งนี้ทำให้เขาน้ำตาซึมออกมาจริงๆ ดวงตาคมกริบที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากของบิดามองลั่วเหยียนเจิ้งและกล่าวออกมาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
         

           “หากเป็นไปได้กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทรักอี้เอ๋อร์เพียงคนเดียวและไม่รับสนมเข้าวังหลังหากไม่จำเป็น กระหม่อมไม่อยากให้อี้เอ๋อร์เจ็บปวดเหมือนมารดาของเขา เพราะกระหม่อมมีภรรยาหลายคนจึงเกิดเรื่องมากมาย หวังว่าฮ่องเต้ที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างพระองค์จะเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วโอวหยางจ้องมองลูกเขยอย่างจริงจังเขาไม่ได้คาดหวังให้คนที่เป็นฮ่องเต้มีภรรยาแค่คนเดียวเพราะอำนาจบางครั้งจำเป็นต้องฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่อยากทำ เขาแค่อยากให้ฮ่องเต้ไตร่ตรองให้ดีก่อนเท่านั้น
       

            “ได้ข้ารับปาก”
       

             ลั่วเหยียนเจิ้งรับปากอย่างจริงจัง เพราะสนมที่มีอยู่ภายในวังหลวงก็เป็นขั่วอำนาจเพียงพอแล้ว หากอยากสานต่ออำนาจมากกว่านี้คงให้เพ่ยอวี้เป็นคนดำเนินการเอง ที่สำคัญเขาไม่เคยเข้าไปหาพวกนางเลยตั้งแต่มีหลิ่วเหวินอี้เข้ามาอยู่ในหัวใจ
     

            หลังจากตกลงกันได้ก็ผ่านไปหลายชั่วยาม ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้พักอยู่ที่นิกายมารฟ้าเพราะได้มีการจัดเตรียมงานแต่งตั้งฮองเฮาและรัชทายาทไว้ล้วงหน้าแล้ว หากประมุขหลิ่วโอวหยางไม่ยอมตกลงจริงๆ เขาก็จะฉุดหลิ่วเหวินอี้กลับวังด้วยอย่างแน่นอน
         

            ขบวนเสด็จกลับวังหลวงยิ่งใหญ่เหมือนตอนมา ทว่าครั้งนี้กลับมีฮองเฮาเสด็จกลับวังหลวงไปด้วยสร้างความยินดีแก่ทหารกล้าทุกคนที่ไม่ต้องได้ออกแรง ตอนมาพวกเขาทำใจเอาไว้แล้วเพราะว่าที่ฮองเฮาเป็นถึงบุตรชายของนิกายมารฟ้าซึ่งขึ้นชื่อว่าพรรคมาร ทว่าเขาเล่าเป็นตัดสินว่าพรรคมารต้องเลวร้ายเสมอเพราะที่พวกเขาเห็นคือความจริงใจและเปิดเผย ใครจะดีหรือว่าชั่วไม่อาจตัดสินใจได้หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง...
         

           หลิ่วโอวหยางมองตามขบวนเสด็จด้วยความเงียบงัน กิริยาที่ดูขี้โมโหและเอาแต่ใจเปลี่ยนกลับคืนมาเย็นชาเฉกเช่นเดิม หากต้องรับมือกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แห่งวังหลวงไม่อาจเอาชนะด้วยความเจ้าเล่ห์ได้ เพราะคนธรรมดาอย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้กับเล่ห์เหลี่ยมในวังหลวงได้ และความจริงใจเปิดเผยคือสิ่งที่ฮ่องเต้ผู้นี้ต้องการ ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นถึงราชันย์แห่งแคว้นและยิ่งใหญ่ที่สุดในหกแคว้น แล้วแบบนี้ใครเล่าจะกล้าต่อกร จะห่วงก็แต่หลิ่วเหวินอี้เท่านั้นหวังว่าจะมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองได้เลือก
       

            “ข้าทำให้เจ้าได้แค่นี้อี้เอ๋อร์”
 




          งานเฉลิมฉลองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและฮองเฮาของแคว้นลั่วหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ กษัตริย์ต่างแคว้นต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันทุกแคว้นเนื่องจากฮ่องเต้ลั่วเหยียนเจิ้งทรงเป็นจักรพรรดิที่มีความปรีชาสามารถกว่าฮ่องเต้องค์อื่นๆ ความฉลาดและน่ายำแกรงของอีกฝ่ายต่างเป็นที่ยอมรับ แม้ครั้งนี้พวกเขาจะตกใจไปบ้างที่พระองค์แต่งตั้งฮองเฮาซึ่งเป็นผู้ชายคนแรกในประวัติศาตร์ ทว่าความงดงามจนสามารถล้มบ้านเมืองได้ทำให้พวกเขาต่างกล่าวขานเป็นเสียงเดียวกันว่า
         

             น่าอิจฉา!
       

          โดยเฉพาะเยี่ยเฟิงกษัตร์ย์แคว้นเยี่ยที่ครั้งหนึ่งเคยปลอมตัวมาเที่ยวเล่นเมืองลั่วหยาง เขายังติดตาตรึงใจกับใบหน้างดงามของหลิ่วเหวินอี้เป็นอย่างดี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบกันอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างกับสายเกินไปเสียแล้วได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนา
         

            ภายในงานต่างจัดขึ้นอย่างงดงามสมเกียรติ การแสดงมากมายถูกจัดต้อนรับคณะแขกผู้มาเยือน แม้นางรำจะชม้ายชายตายั่วยวนลั่วเหยียนเจิ้งเพียงใดกลับไร้ผลเพราะพระองค์ไม่สนใจผู้ใดแม้แต่น้อย วันนี้หลิ่วเหวินอี้สวมใส่อาภรณ์สีแดงสดทักทอด้วยดิ้นทองงดงาม แม้ใบหน้าไม่ได้ตกแต่งเหมือนอิสตรีแต่ความงามกลับเฉิดฉาย ใบหน้าเย็นชาดวงตานิ่งสงบไม่ได้หวั่นใจกับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อยคล้ายกับว่าคุ้นเคยเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี ทว่าใครจะรู้เท่าเจ้าตัวเล่า
         

           หลิ่วเหวินอิ้กุมมือตัวเองนั่งนิ่งอยู่เคียงข้างลั่วเหยียนเจิ้ง แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยทว่าหัวใจกลับสั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น ไม่เคยคิดเคยฝันว่าตัวเองจะเป็นฮองเฮาแม่พระของแผ่นดิน แม้ตำแหน่งจะไม่ชอบใจนักแต่หากอยากเคียงคู่กับคนที่รักก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาเชื่อว่าคนที่เขามอบหัวใจให้นี้ไม่มีวันทอดทิ้งตน
         

           “เหนื่อยหรือไม่” มือหนาที่ยื่นมาจับมือตัวเองไว้ หลิ่วเหวินอี้เงยหน้ามองแล้วส่ายหน้าเบาๆ ความห่วงใยที่ลั่วเหยียนเจิ้งมอบให้หัวใจเขารู้สึกอบอุ่นเสมอ
         

           “อย่ามองเจิ้นเช่นนั้น ถ้ายังไม่อยากถูกกิน” หลิ่วเหวินอี้ใบหน้าแดงระเรื่อก้มหน้าหลบสายตาคนหื่นไม่เป็นเวลา ขนาดอยู่บนรถม้ายังกลืนกินเขาอย่างไม่อายดีแค่ไหนที่เขามีแรงลุกมาร่วมงานด้วยเช่นนี้
         

           หลังจากผ่านพ้นเวลาแสนทรมานที่ต้องนั่งปั้นหน้าไร้ความรู้สึกมาหลายชั่วยาม ในที่สุดงานเลี้ยงก็ได้ถึงเวลาเลิกลา เขารู้สึกขอบคุณลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่จัดงานเจ็ดวันเจ็ดคืนตามที่เหล่าขุนนางเสนอ เพราะแค่สามวันเขาก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากร่วมงานแล้ว การนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำให้เข้าเหนื่อยอะไรมากมายเพียงแต่การปั้นหน้าตอบรับความยินดีของเหล่ากษัตริย์ในพันธมิตรต่างหากที่ทำให้เขาเหนื่อยใจ อาจเพราะคนเหล่านั้นไม่อาจล่วงเกินได้อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักจึงต้องรักษาหน้าเอาไว้
       

           “เหนื่อยหรือไม่อี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนที่เข้ากอดเอวเขาเล็กน้อย แล้วพยักหน้ายอมรับเขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ แต่ขณะเดียวกันเขารู้สึกมีความสุข ดวงตาเรียวหันไปมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กับเอนกายพิงร่างสูงที่อยู่ด้านหลัง ลั่วเหยียนเจิ้งเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกวางใจและมอบชีวิตไว้ได้ แม้ในอดีตจะไม่ไว้ใจใครจนไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร หากเขาไม่เปิดใจรับลั่วเหยียนเจิ้งเข้ามาในหัวใจคงไม่รับรู้ว่าความสุขเหมือนเวลานี้แน่ๆ ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาอบอุ่นที่ทำให้หัวใจคนฟังเต้นระรัว
         

            “ข้ารักท่าน ขอบคุณที่ทำให้ข้ารู้จักความรักความไว้ใจอีกครั้ง”
         

            ร่างสูงกอดรัดร่างโปร่งแน่นขึ้นก่อนจะก้มลงจูบแก้มอย่างคิดถึงและโหยหา หลิ่วเหวินอี้ไม่รู้หรอกว่าตัวเองคือแสงสว่างที่จุดประกายความรู้สึกให้เขาอีกครั้ง คนที่ควรขอบคุณที่ทำให้หัวใจซึ่งไร้ความรู้สึกได้รู้จักคำว่ารักก็คือตัวเขา เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เขาจะต้องตอบแทนแสงสว่างดวงนี้ด้วยการบอกรักทั้งคืน ให้สมกับที่ได้มาครอบครองอย่างยากลำบาก
         

           “อ๊า...เดี๋ยวสิจะทำอะไร” หลิ่วเหวินอี้ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อร่างถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาวเข้าไปในห้องบรรทม แม้พอจะคาดเดาได้แต่ว่าตอนนี้เขายังเหนื่อยไม่หายเลย
         

           “เจิ้นจะบอกรักเจ้าจนกว่าจะมีทายาท เพื่อตอบแทนความรักที่อี้เอ๋อร์มีให้เจิ้น เจ้าว่าดีหรือไม่” ดวงตาเรียวเบิกกว้างมองคนที่วางตัวเองลงเตียงอย่างไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ หรือ แล้วเขาเป็นผู้ชายจะมีลูกได้อย่างไร หรือว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่ต้องลงจากเตียงเลยรึ!
     

         “ถ้าอย่างนั้นช่วยถนอมข้าหน่อยนะ”
         

            ลั่วเหยียนเจิ้งฉีกยิ้มกว้าง มองรอยยิ้มท้าทายซึ่งสวนทางกับคำพูดด้วยความหมั่นเขี้ยวเพราะฉะนั้นคืนนี้และคืนต่อไปเขาต้องลงโทษให้หนักๆ ขอบคุณสวรรค์ทำให้เขาได้พบเจอหลิ่วเหวินอี้ เขาสัญญาว่าจะปกครองแคว้นลั่วหยางให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข และมอบความรักความเอ็นดูให้อี้เอ๋อร์คนดีคนเดียวตลอดไป...
             



   

                                                      จบบริบูรณ์



  ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกท่านที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงตอนจบบริบูรณ์ หากไม่มีนักอ่านทุกท่านหลิ่งฟางคงไม่สามารถดำเนินเรื่องมาถึงปลายทางได้ ขอบคุณด้วยใจที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา สำหรับเรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์ หากมีการสั่งจองฟางจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ ในเล่มจะมีตอนพิเศษ 5 บทได้แก่

1.น้ำแข็งจอมยั่ว (NC18+)

2.หึง หวง และห่วงมาก...

3.จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ขี้งอน

4.จับมือเดินไปด้วยกัน (50ปีให้หลัง)

5.ฟางเทียนฟง (การกลับมาของคนรัก)



 สำหรับคนที่ยังสงสัยเรื่องจิวชงหยวนว่าได้เป็นเซียนหรือไม่ คำตอบคือจิวชงหยวนในรูปแบบเล่มจิวชงหยวนเป็นเซียนค่ะ เพียงแต่เรื่องเล่ห์ร้ายจอมราชันย์การดำเนินเรื่องมันผ่านมาไม่กี่ปีเท่านั้นจึงยังไม่ได้เป็นเซียนค่ะ

 หากจบเรื่องนี้แล้วไปอ่านอะไรดี หลิ่งฟางจะเขียนเรื่องต่อไปนี้ค่ะ สามารถตามไปหาอ่านได้ แต่ไม่รับปากว่าจะลงเรื่องไหนก่อน จะลงเรื่อยๆ ช่วงนี้ฟางขอพักผ่อนไปก่อนหลังจากสุขภาพจิตใจดีขึ้นจะลงให้อ่านตามปกติค่ะ

เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้

1. จ้าวยุทธภพเจ้าสำราญ (ฮาเร็ม)

2. มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ

3. บันทึกรักขันทีวังบูรพา

ส่วนเรื่องอื่นที่จะลงมีเทพสายลมซึ่งไม่ใช่นิยายวายแต่ไม่มีนางเอกค่ะ

สุดท้ายและท้ายสุด กราบขอบคุณทุกท่านมากค่าาา



   ด้วยรักจากใจ หลิ่งฟาง (ความหอมหวานแห่งสายลม)




หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 08-08-2016 17:34:13
ใครจะหน้าด้านหน้าทนเกินท่านเหยียนเจิ้งอีกหรือไม่ในแผ่นดินนี้... :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yupa ที่ 08-08-2016 19:12:47
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-08-2016 19:58:20
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 08-08-2016 20:21:35
ฮ่องเต้ มารับได้อลังมาก  ขอบคุณคร๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Derzy ที่ 08-08-2016 21:42:18
ขอบคุณคุณฟางสำหรับนิยายดีๆครับ
ขอปวารณาตัวเป็นแฟนขับตลอดไป อิอิ   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: tontaln ที่ 08-08-2016 21:59:49
เจ้ายุทธภพเจ้าสำราญสนุกมากค่ะจะมาต่อแล้ว ดีใจ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-08-2016 22:22:34
คำขอของท่านพ่อทำเอาซึ้ง
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-08-2016 23:42:02
เสร็จสมอารมณ์หมายท่านฮ่องเต้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-08-2016 06:05:12
 o13 o13

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2016 13:27:35
 :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 09-08-2016 21:29:52
ขอบคุณมากครับ ตอนแรกนึกว่าเป็นอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะไม่ได้บอกไว้ก่อน แต่พออ่าน ๆ ไป คิดว่าชื่อคุ้น ๆ ก็เลยพอประติดประต่อได้

จริง ๆ แล้วที่ติดตาม มาจากเนื้อเรื่องเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเนื้อเรื่อง ภาษาไม่ชวนน่าติดตาม น่าตื่นเต้น ต่อให้เป็นนิยายแบบไหน ก็คงไม่ติดตามต่อ

รอผลงานเรื่องต่อ ๆ ไป ครับ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: kinjikung ที่ 10-08-2016 16:58:14
อ่านจบแล้ว สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 11-08-2016 14:19:27
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: tontaln ที่ 11-08-2016 14:35:47
จบแล้วสนุกมากค่ะ ขอบคุณนักเขียนที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้น่ะค่ะ สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
รอติดตามเรื่องใหม่อยู่น่ะค่ะ สู้ๆค่ะ o13 :mew1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-08-2016 17:10:22
ฮ่องเต้ เล่นใหญ่มากค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: vilaroly ที่ 11-08-2016 19:00:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 12-08-2016 12:34:59
ฟินมาก จบได้สวยงามมาค่ะ ชอบสุดๆเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-08-2016 15:24:03
 :pig4: สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 12-08-2016 16:27:42
อ่านแล้วเพลินมากกกก  ไม่ผิดหวังจริงๆ     :impress2:
  :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 13-08-2016 12:05:00
สนุกมากเลยค่ะ ติดตามเรื่องต่อไปน้าาาา  o13
หัวข้อ: รอเป็นรูปเล่มเมื่อไหร่มาค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: hoo ที่ 14-08-2016 16:20:12
ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นรูปเล่มเมื่อไหรค่ะ รอหยอดกะปุกจะเต็มแล้วอ่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 14-08-2016 18:08:43
ชอบอ่านนิยายแนวกำลังภายในมาก เรื่องนี้ ครบรสจริงๆ ขอบคุณคนแต่งมากๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 15-08-2016 13:53:55
สนุกมากๆ ๆ ๆ ๆๆ ๆ ๆ จ้าาาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 15-08-2016 16:33:55
อ๊ายยยยยย
ทำไงดีอยากอ่านสองเรื่องนี้จัง 555 จ้าวยุทธภพเจ้าสำราญ กับ
มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ เลือกไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 15-08-2016 22:24:06
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 16-08-2016 07:34:02
 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: am_am ที่ 21-08-2016 08:44:36
น่ารักมาก ๆ เลย ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 23-08-2016 17:41:41
จบแล้วว ชอบมากกกกก สนุกมากๆๆๆๆ ติดตามผลงานคุณหลิ่งฟางมาตลอด(แต่ไม่ได้มาเม้นเลย  :z6:)
ชอบภาษา เนื้อเรื่อง คาแรกเตอร์ตัวละครมากๆๆค่ะ อ่านลื่นสุดๆ เขินทุกทีเวลาฮ่องเต้เรียกตัวเองว่าเจิ้น มีความแบ๊ว5555555
เราชอบอ่านแนวจีนโบราณเพราะคุณหลิ่งฟางเลย หาอ่านยากแล้วก็หาสนุกๆยากด้วย :z3:
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 27-08-2016 15:46:25
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 29-08-2016 23:31:51
สนุกมากๆๆๆ
อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบภาษา ตัวละครต่างๆ
ขอบคุณมากนะ ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 04-09-2016 17:02:28
สนุกมากๆ
อ่านจิงชงหยวนกับลู่เฟยละติดใจ
ตามมาเรื่องนี้ต่อ
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ สนุกมาก
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 05-09-2016 15:58:47
โอ้ย รวดเดียวจบ ชอบอะ แอบเชียร์ให้มีเบบี้ด้วยย ไหนๆก็แฟนตาซีขนาดนี้แล้วว ถ้ามีโอรสสักคนคงครื้นเครงน่าดู อร้ายย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 16-09-2016 19:04:23
 :mew1:  ขอบคุณค่ะ เป็นนิยายอีกเรื่องที่ประทับใจมาก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 22-09-2016 07:18:02
อยากอ่านฟู่ซานกับฟางเทียนฟงงงง งือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lovemongjang ที่ 30-09-2016 19:43:41
สนุกมาก ขอบคุณคะ ชอบจิ้งจอกดูกวนๆดี
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mochimanja2 ที่ 02-10-2016 03:44:46
สนุกมากกก ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายดีๆให้อ่าน อ่านจบปุ๊บหลงรักในความเจ้าเล่ห์ของเจิ้นจริงๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 06-10-2016 17:08:37
ยังคงสนุกเหมือนเดิม รายละเอียดของเรื่องก็ดี ชอบจริงๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: GF_pp ที่ 15-10-2016 21:58:14
สนุกค่ะ ของฮ่องเต้น่ารักดี  :o8:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 19-10-2016 18:35:08
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 23-10-2016 18:37:45
สนุกมากค่ะ ตามมาจากหยวนน้อย(จิวชงหยวน)


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)แจ้งเรื่องหนังสือเล่ห์ร้ายP.13วันที่ 26/10/59)
เริ่มหัวข้อโดย: lingfang ที่ 26-10-2016 13:51:09
สวัสดีค่าา ฟางขออนุญาตเข้ามาแจ้งเรื่องหนังสือเล่ห์ร้ายจอมราชันย์นะคะ ตอนนี้เปิดสั่งซื้อทางไปรษณีย์แล้วนะคะ
หากใครสนใจติดต่อสอบถามได้ที่แฟนเพจเลยจ้า

https://www.facebook.com/lingfangg/

เรื่อง : เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ ...
ผู้แต่ง : หลิ่งฟาง
 ราคา : 400 บาท
 ตอนพิเศษในเล่ม 5 ตอน
 

ของแถม
- โปสการ์ด 1 ใบ
- ที่คั่น 2 ลาย (ลายที่ 2 มีจำนวนจำกัด แต่มีพอแน่นอน)

เรื่องย่อ :

แม้หลิ่วเหวินอี้จะได้กลับมาเกิดในยุคใหม่ที่ไม่รู้จักทว่าความทรงจำในอดีตยังคงตามหลอกหลอน
 ประสบการณ์ในภพก่อนและภพปัจจุบันหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ แต่แล้วปราการน้ำแข็งที่สร้างขึ้นกลับสั่นคลอนเมื่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ลั่วเหยียนเจิ้งตามก่อกวน
 แม้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์จะแย้มยิ้มเป็นนิจ ทว่ากลับหาความจริงใจได้ไม่

แล้วความรู้สึกที่มีให้คือนิรันดร์หรือแค่ชั่วขณะหนึ่ง?

เรื่องรักยังไม่ทันลงตัว คลื่นใต้น้ำที่สงบมานานก็เริ่มปั่นป่วนเมื่ออสรพิษในวังหลวงหมายสังหารลั่วเหยียนเจิ้งผู้เป็นฮ่องเต้ อีกทั้งพิษที่ใช้เล่นงานแม้แต่หมอเทวดาก็ไม่อาจรักษาได้

ปัญหาหัวใจก็วุ่นวาย ราชสำนักก็ปั่นป่วนแล้วแบบนี้เรื่องวุ่น ๆ จะลงเอยเช่นไร

_______________

** เรื่องนี้ไม่ได้ Pre-order นะคะ เปิดขายที่งานหนังสือบูธ Y10 วันที่ 13-24 ตุลาคม 2559 ฝากขายที่บูธสนพ.หนึ่งเดียวจ้า

ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน้าาาา

ขอบคุณมากค่า
 ปกเล่หห์ร้ายจอมราชันย์ภาคต่อเล่ห์รักเทวาสรรค์ค่ะ
 ปล.ไม่จำเป็นต้องอ่านต่อเนื่องกันก็ได้ค่ะเพียงแต่จะพลาดโอกาสความสนุกของเรื่องเล่ห์รักเทวาสรรค์จ้า
 
 
http://2upublishing.lnwshop.com/

http://2upublishing.lnwshop.com/


     ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่าา  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ

    และสุกท้าย ฝากเรื่องมู่เหรินจอมคนอัจฉริยะไว้ในอ้อมใจด้วยค่าา
 
                                       
 
   
           
                                           
 








หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: M.J. ที่ 27-10-2016 18:23:02
ชอบมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 01-11-2016 20:04:30
จบอีกแล้วยังไม่อยากให้จบเลย อ่านต่อสองเรื่องรวด สนุกมากกก จะติดตามต่อๆไป
...อยากอ่านเรื่องของฟางเทียนฟงมากๆ ตลกตรงนางเคยคิดจะจีบอี้เอ๋อร์  นึกไม่ออกจริงๆใครจะปั๋วใครจะเมีย หรือจะเบี้ยน  :mew5:
ขอบคุณสำหรับความสุขที่แบ่งปันกันจ้าาา  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 07-11-2016 00:01:48
เป็นนิยายที่อ่านแล้วเหมือนนิยายแปล เขียนดี เรียบเรียงคำดีมาก สนุก น่าติดตามเป็นระยะ ชอบมาก ขอบคุณที่แต่งออกมาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 11-11-2016 20:53:57
วั้ยยยยยยยยยยยย เรื่องนี้ดีงาม ตามอ่านไม่กินไม่นอนทีเดียว
ชอบบุคลิกของทั้งคู่อะ ชอบตรงเขาจะเข้าหากันจนรักกันได้ยังไง แบบเจ้าเล่ห์กันทั้งคู่ สาบานว่าตอนแรกดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครจะรุกใครจะรับ55555555555555555 มาเอะใจช่วงความงามของอี้เอ๋อร์ที่เริ่มบรรยายให้เห็นเรื่อยๆ ในใจคิดว่าเอาล่ะวะ เคะราชินีแน่นอนอีผี โป๊ะเชะด้วย
ฉากบู๊ก็มัน ฉากหวานก็โอ๊ยเขินนนนนนนนนนนน

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ แบบนี้ให้อ่านนะคะ <3
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 20-12-2016 01:53:50
ทั้งสองคนตอนที่ยังไม่ยอมรับใจตัวเองนี่น่าห่วงมาก ลุ้นแล้วลุ้นอีก
แต่หลังจากนั้นก็ชวนให้เขิน หวานจนน่าอิจฉาจริงๆ 555 โดยเฉพาะฮ่องเต้ดูจะหลงเหวินอี้มากๆๆๆๆๆ
แอบสงสัยว่าหลวนซานจะเป็นสามพีหรือเปล่า คึๆๆ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 06-01-2017 00:06:27
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chaihm ที่ 16-05-2017 15:36:56
 :oo1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 13-07-2017 21:34:12
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 15-07-2017 04:28:31
โอ้โห กว่าจะลงเอยกันได้ ลุ้นหนักมากค่ะ ว่าจะรักกันตอนไหน
ชอบคู่จิ้งจอกมารกับท่านอาจารย์นะ ถึงอ่านแล้วแอบเศร้าไปหน่อย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคเหมันต์ ที่ 16-07-2017 23:27:45
 :o8: :-[ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: maedaekoara ที่ 19-08-2017 14:07:46
 :pig4: ภาษาสวยมากเลยคะ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: MindAlice ที่ 26-04-2018 14:00:21
ชอบทุกตัวละคร :-[ :katai4:  แอบเอะใจกับพวกองครักษ์มากๆ เขามีซัมติงใช่ไหมคะ  ภาษาสวยงามเหมือนดูหนังจีนเรื่องหนึ่งจริงๆ ขอบคุณมากนะค่า ที่เขียนเรื่องสนุกๆแบบนี้  :hao5:[/b][/size]
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-04-2018 11:06:56
จะอ่านกี่ทีก้อดีมากๆค่ะ  ยิ้วนิ้วโป้งเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 24-07-2018 15:07:18
THANK YOU  :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Panamapaper ที่ 25-07-2018 20:48:51
 :L2: log in มาบอกว่สชอบมากกกกกก สนุกสุดไๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 26-05-2019 18:50:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 27-05-2019 02:53:51
เกลียดความหลงเมียหัวปักหัวปำนี้ โอ๊ยยยยยยอ่านไปตัวบิดไปหมดดดดอี้เอ๋อร์ยิ่งน่าเอ็นดูเป็นเรานี่จะฟัดเช้าเย็น แต่นี่ประทับใจสุดคงต้องยกให้คู่ฟานเทียนฟงกับอาจารย์ของเหยียนเจิ้ง หวังว่าจะได้ครองคู่กันสมใจแล้วนะสมกับที่ต้องจากกันมานานมาก :sad4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-07-2019 17:23:12
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 17-10-2019 15:14:14
ตามมาจากเรื่องนู้น  สนุกมากค่ะ เอ็นดูคนหลงเมีย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 17-10-2019 15:17:23
สนุกมากเลยค่ะ ตามมาจากเรื่องเล่ห์รักเทวาสวรรค์
เก็บไว้ใน list นิยายดีมากๆๆๆ
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 24-10-2019 13:55:06
ตามมาจากเรื่องของจิวชงหยวน
ชอบเจิ้นมาก มีความรักร้อนแรงมากๆ
คู่นี้NCเยอะกว่าคู่หมอจิว ร้อนแรงสุดๆ
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบอีกเรื่องหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-11-2019 20:16:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 25-11-2019 22:37:15
สนุกมากกก ค่ะ
ข้าไปอยู่ภพใดมา เพิ่งจะมาพบเรื่องนี้เล่า ไม่อยากอภัยในความเขลาของตัวเองยิ่งนัก
ขอบคุณคนเเต่งน้าาาส จุ๊บ
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Khratiin ที่ 01-12-2019 16:57:08
 :pig4: :pig4: นิยายสนุกมากกก ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆแบบนี้ให้ได้อ่านนะคะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 02-12-2019 20:29:00
 :z13:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Pitachio ที่ 29-07-2020 21:56:53
 :mew1: :hao3:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 04-08-2020 22:06:32

อ่านจบแล้ว ภาค 2

ขอบคุณนักเขียน(ฟาง) ให้กำลังใจ +1
สนุกมาก เรารักเจิ้น... อ้อนเก่งจริ้งงงง

รักทั้ง 2 คู่ พระเอก/นายเอก ดีใจที่ได้อ่าน และจะรออ่าน
จิวชงหยวนเป็นเซียนค่ะ ต่อไปน้าาาาาา

 :pig4: :pig4: :pig4:

 o13 o13 o13

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 10-04-2022 13:59:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-10-2022 16:14:17
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 04-12-2022 23:23:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: