พิมพ์หน้านี้ - ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kirimanjaro ที่ 23-05-2008 20:44:20

หัวข้อ: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 23-05-2008 20:44:20
เรื่องนี้เป็นนิยายความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเรื่องแรกของผม
และเคยลงครั้งแรกที่เว็บพันทิปเมื่อประมาณสี่ปีก่อนครับ
เรื่องนี้ค่อนข้างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า(รึเปล่า?)  และออกแนวเศร้านิด ๆ อบอุ่นหน่อย ๆ
อยู่กึ่ง ๆ ระหว่างความจริงและความฝัน  และคงไม่หวือหวาอย่างความรักวัยรุ่น
ก็ขอให้ทุกท่านทนอ่านไปหน่อยนะครับ  ^ ^

 :oni3:








อ้างถึง

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
 






 


*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว








บทนำ




สายลมแผ่วพัดให้สมุดปกน้ำเงินไพลินพลิกเปิดออก  หน้ากระดาษขาวที่เต็มไปด้วยอักษรแห่งความทรงจำกำลังเต้นรำกับสายลมนั้นหน้าต่อหน้า  ผมยกแขนที่ทับมุมหนึ่งของปกหนังสือไว้  แล้วจรดปลายปากกาลงบันทึกเรื่องราวต่อไป  ..เรื่องราวของผม  และ

                                                  ...หวังเทวา






   แสงจันทร์อ่อนนวลสาดส่องผ่านผ้าม่านระบัดพลิ้วด้วยสายลมยามดึก     เงาร่างของใครสักคนที่กำลังยืนอยู่บนระเบียง  กระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของผม  และเรียกให้ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ

"นั่นใครน่ะ?"  

คล้ายดั่งหลุดจากมนต์สะกด  เงาร่างสูงที่ยืนนิ่งประดุจดั่งปฏิมากรหินอ่อนเมื่อครู่กลับคืนสู่ชีวิต   ใบหน้าที่ซีดขาวเนื่องจากแสงจันทร์กระตุกรอยยิ้มซึ่งผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีตรงมุมปาก   ลักยิ้มเล็กที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด  

"ไง  ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ  นัส"  

ผมชะงักปลายเท้า    ความงุนงงสงสัยและความประหลาดใจเข้าเกาะกุมห้วงความคิด   แต่แล้วความประหลาดใจก็เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างถึงที่สุด  

"เฮ้ย!  เทพ     เทพ...  ใช่ เทพมั้ย?    เฮ้ย..  ไม่ได้เจอกันนานเป็นไงมั่งวะ"  

ทว่า  ท่าทีและคำพูดละล่ำละลักของผมไม่ได้แพร่เชื้อความตื่นเต้นจากการพบกันโดยมิได้คาดหมายไปสู่เขาเลย   เทพ   หรือ 'ดั่งเทวา' เพื่อนรักแต่ครั้งอดีตของผมเพียงแต่แตะริมฝีปากเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว  

“จุ๊ ๆๆ  อย่าเอ็ดไป  ทำเป็นตื่นตูมไปได้     พอดีวันนี้รู้สึกอยากมาหาแกว่ะ   แกเคยเล่าให้เราฟังหลายครั้งแล้วว่าระเบียงที่บ้านของแกชมจันทร์ได้สวยที่สุด"  

ผมพยักหน้าช้า ๆ   ดวงจันทร์เพ็ญลอยอยู่กึ่งกลางของท้องฟ้าสีนวลเนื่องด้วยรัศมีจันทรา   แสงสีขาวตกกระทบกับพื้นปูกระเบื้องของระเบียงจนขาวโพลน   ราวระเบียงอันก่อจากปูนถูกเลื้อยปกคลุมไว้ด้วยเถาเฟื่องฟ้าอันไต่จากเบื้องล่างขึ้นมาชูช่อไสวทางเบื้องบน  เป็นบรรยากาศที่ดูราวกับสรวงสวรรค์   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อมีเทพบุตรหนุ่มรูปงามยืนอยู่เบื้องหน้าด้วย  

"เฮ้  มองอะไรเรานัก  เราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอก   ยกเว้นแต่ว่า....    หล่อขึ้นเยอะ  ก็แค่นั้นเอง"

  "ถุยส์   ไอ้หลงตัวเองเอ๊ย     ว่าแต่...มาเยี่ยมเราเพื่อชมจันทร์แค่นั้นหรอกรึ    ชักอิจฉาดวงจันทร์เสียแล้วสิเนี่ย"  

  เทพหลุดหัวเราะพรืดด้วยความขบขัน  เมื่อผมใช้สำนวนออดอ้อน    

"โถ โถ  ไอ้นัสเพื่อนเลิฟ  เราก็คิดถึงแกเหมือนกันแหละวะ  ไม่งั้นจะมาทำไม   แล้ว....เป็นไงบ้างล่ะ?"  

"อืม  ก็สบายกายดี  ไม่เจ็บไม่ไข้อะไร   แต่หัวใจ  อาจจะมีนิดหน่อย"  

"อ่า  ..แล้วแฟนล่ะ  มีหรือยัง?"  

ดวงตาสีสนิมเข้มจับจ้องมายังผมพร้อมกับคำถาม  บ่งให้ทราบว่าผมไม่มีทางเลี่ยงการตอบไปได้   ผมก้มใบหน้าเพื่อหลบสายตาของเขาและชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี  

"ไม่มี.."  

"หา!"  

"ไม่มี     ..ยังหลงรักคนที่แอบชอบอยู่"  

ผมไม่กล้าสบสายตาเขา  เลยไม่ทราบว่าบัดนี้เทพมีสีหน้าอย่างไร  แต่เสียงทุ้มเจือเศร้าของเขากลับเรียกให้ผมต้องเงยหน้ากลับขึ้นมองใบหน้าเขาอีกครั้ง  

"อืม  เหมือนกันเลย"  

"นายก็มีคนที่แอบรักอยู่หรือ?"  

เทพไม่ตอบคำถาม  เขาเหยียดยิ้มกว้างพร้อมกับสร้างรอยลักยิ้มชวนหลงใหลขึ้นอีกครา  ผมไม่อาจคาดเดาถึงความคิดของเขาได้    

"ตัดใจไม่ได้  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้   น่าเศร้าเนอะ"  

ผมรับคำเบา ๆ ในลำคอ  ทั้ง ๆ ที่อยากจะถามใจแทบขาด  ว่าใครคือคนที่เพื่อนรักของผมพูดถึง  แต่เพราะผมรู้ดีว่าถึงอย่างไรเขาก็คงจะไม่บอก  ผมจึงยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม

สายลมพัดพรูมาอีกวูบ  ผมก็เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน  เมื่อคนตรงหน้ากลับหายไปจากที่ที่เขาอยู่อย่างไร้ร่องรอย  ความว่างเปล่าทางเบื้องหน้าทำให้ผมต้องตบแก้มตนเองเบา ๆ   แทบจะไม่อยากเชื่อว่า  เสียงที่คิดถึง  ใบหน้าที่คะนึงหา  และคนที่เฝ้าใฝ่ฝันทุกวันคืนเมื่อครู่  เป็นเพียงภาพฝันยามดึก      

ผมยิ้มเศร้า ๆ ให้แก่เถาเฟื่องฟ้าเบื้องหน้า  ก่อนที่จะหันหลังกลับไป  และก้าวช้า ๆ  เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน

"ลาก่อน  นัส เพื่อนรัก"
  
ผมสะดุ้ง  เมื่อเสียงเดิมนั้นแว่วมาจากเบื้องหลังอีกครา   แต่ก็ไม่หันกลับไป และส่ายศีรษะเบา ๆเมื่อทราบดีว่านั่นเป็นเพียงฝัน...  



....ที่ไม่มีวันเป็นจริง



หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 23-05-2008 20:50:54
จิ้มครับ จะรอติดตามตอนต่อไปครับ  :m4:
หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 23-05-2008 21:11:15
ขอบคุณคุณแจ๊คกี้ที่มาเจาะไข่ให้ผมไม่เหงาครับ  อิอิ

 :oni1:




บทที่ ๑



 
[ความฝัน]
 

                "เฮ้ย!ป๊อกเก้าเด้งเว้ย"

เสียงเริงร่าอย่างมีชัยแกมสะใจนิด ๆ จากคนฝั่งตรงกันข้ามทำให้ผมหน้าเสียนิด ๆ

ผมวางแผ่นกระดาษลายข้ามหลามตัด และดอกจิก ในมือลงอย่างเสียดาย  เพราะแต้มรวมเพียงแค่แปดเท่านั้น

               "เห้-เอย  เสียอีกแล้ว  แม่มเซ็งว่ะ"

               "ขอโทษครับน้อง  เสียอะไรหรือครับ  ให้พี่ช่วยซ่อมให้มั้ยครับ"

เสียงนุ่มของบุคคลที่ผมคุ้นเคยดี  เพราะเคยพบเจอกันบ่อยมาก  ดังมาจากเบื้องหลัง  เรียกหยดเหงื่อให้ตกติ๋ง ๆ ข้างหน้าผาก

            "เฮ้ย  พ่อมา  เผ่นเว้ย"

ไอ้เจ๋ง  ตัวตั้งตัวตีพาคนมาเล่นไพ่กลางป่าข้างโรงเรียนเผ่นก่อนเพื่อนตามด้วยนักพนันหนุ่มอื่น ๆ  ที่กระเจิงกันป่าราบไปคนละทิศละทาง

"แหะแหะ  พี่สารวัตรนักเรียนสุดหล่อครับ    อ่า..ช่วยปล่อยมือออกจากคอเสื้อผมหน่อยได้มั้ยคับ"

จะใครซะอีกล่ะ  ผมโดนทิ้งไว้คนเดียวอีกแล้ว   ความเชื่องช้างุ่มง่ามของผมทำให้ตกเป็นเป้าหมายของพี่ปองในการจับกุมอยู่เสมอ ๆ

"เห็นจะไม่ได้หรอกกระมังครับ  น้องนัสที่รัก    เราเจอกันหลายครั้งแล้ว  และน้องก็ไม่เข็ดหลาบซะที  ยังไงก็ ช่วยให้ความร่วมมือกับพี่  ไปเยี่ยม ผบ.นิรันดร์ ซะดี ๆ เถอะครับ"

ใบหน้ายิ้มแย้มของพี่เขาช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้   เพราะความกระหายเลือดที่ซ่อนไว้แทบไม่มิดหลังหน้ากากทำให้ผมเสียวสันหลังวาบเป็นระยะ

 "โถ พี่ปองคร้าบ  เห็นแก่น้องแก่นุ่งเถิด  แค่พักผ่อนหย่อนใจยามเว้นว่างจากการเรียนนิด ๆ หน่อย ๆ นี่ต้องไปพบท่าน ผบ.สุดโหดด้วยหรือครับ    ปล่อยผมไปเถอะนะครับ  นะคร้าบ"

พี่ปองส่ายหน้าด้วยความระอาใจ  แต่รอยยิ้มเหี้ยมก็ยังคงประดับอยู่ที่มุมปากเช่นเดิม

"แหม  น้องครับ  ไม่เนียนเลยจริง  ดูนี่สิ"   พี่แกสะบัดแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ออกมาแสดงแก่ผม

"ตารางเรียนของน้องบ่งชัดว่า   ตอนนี้อยู่ในคาบคณิตศาสตร์นะครับ ดังนั้นข้อแก้ตัวแรกเป็นอันตกไป"

ผมอึ้งกิมกี่เลยน่ะสิ  เพิ่งทราบบัดนี้เองว่าพี่ปองยอมลงทุนหาข้อมูลมาเพื่อจับผมให้ได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังไม่ละความพยายาม

"งั้นปล่อยผมไปเถอะครับ  ผมจะรีบทำตัวเป็นเด็กดีไปเรียนคณิตศาสตร์เดี๋ยวนี้เลย   คิดดูสิครับ  หากว่าจับผมไป  ผมต้องพลาดคาบเลขเป็นแน่   ในฐานะสารวัตรนักเรียนผู้ทรงเกียรติจะปล่อยให้การเรียนการสอนต้องชะงักงันหรือครับ"

"พี่ไม่สนครับว่าน้องจะพลาดอะไรไป   แต่กฎต้องเป็นกฎ!"

"กฎถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์   ดังนั้นย่อมปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพสถานการณ์และสังคมเพื่อให้เหมาะกับมนุษย์นี่ครับ"

พี่ปองขมวดคิ้วเล็กน้อย  มือที่จับอยู่เริ่มคลายนิดหน่อย  เนื่องจากกำลังครุ่นคิดวิธีตอบโต้กับรุ่นน้องหัวหมอ

"แต่พี่ไม่เห็นควรว่าควรจะปรับเปลี่ยน   ดังนั้นไปกับพี่เหอะ"

ผมตีสีหน้าเศร้าด้วยมาดของดาราออสการ์

"ถ้าพี่เห็นควรเช่นนั้น   ...ก็แล้วแต่พี่เถอะครับ   แต่ว่า"

ดวงตาผมกลอกไปมาอย่างระวังระไว

"ผมคงไม่อาจอยู่ร่วมสนทนาต่อได้  ขอตัวก่อนนะคร้าบ"     ผมเอื้อมมือคว้าบ่วงเชือกที่ห้อยลงมาจากต้นไม้สูงลิบแล้วกระตุกหนึ่งที  ก่อนพาร่างลอยสูงขึ้นไปสู่คาคบไม้นั้น

ผมโหนร่างขึ้นสู่ทางลับเหนือป่าอันทอดเชื่อมต่อระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น   ดวงตาสีสนิมเข้มที่ซุ่มมองอยู่แล้วในคาคบไม้  เรียกให้ผมหันไปสบ  และยิ้มให้
   
"เจ๋งมากเลยว่ะเทพ"   นิ้วโป้ที่ชูให้การันตีเป็นอย่างดี  และเรียกรอยยิ้มกว้างขวางจากหนุ่มน้อยตรงหน้า

"พี่ปองคร้าบ  ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร  ผมขอตัวก่อนนะคร้าบ  แล้วโอกาสหน้าเชิญใหม่   ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

หัวหน้าสารวัตรนักเรียนสุดโหดแห่งมัธยมหก  แทบเต้นผางด้วยความแค้นใจ  เมื่อเหยื่อเซื่อง ๆ กลับกลายเป็นเสือดาวเปรียวเผ่นโผนขึ้นไปสู่ที่ที่เขาตามไม่ถึงในพริบตา

"คอยดู   พี่จะให้  ผบ.นิรันดร์มาเผาที่นี่ให้ราบ    คราวนี้แก  ไอ้นัส  แก...แก"

ผมผิวปากหวืออย่างไม่ใส่ใจ  ก่อนสะกิดสีข้างของไอ้เทพ  ให้นำทางไปสู่ฐานบัญชาการ(บ่อน)ต่อไปจากบันไดพาดมากมายเหนือกิ่งไม้


[อดีต]

เสียงอื้ออึงดังขึ้นในหัวของผม  ปลุกให้ผมตื่นจากความฝันยามกลางวัน    ความฝันพิลึกพิลั่นพิสดาร  และใครบางคนที่ยิ่งนำความประหลาดใจมาให้

                          "เทพ..."

ผมทวนชื่อนั้นเบา ๆ เมื่อปาดน้ำลายออกจากมุมปาก  และเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะไม้โปร่งภายใต้ตัวอาคารหลังใหม่ล่าสุดของโรงเรียน   คนในฝันคนนั้นของผมคือใครกันแน่    ผมจำได้ว่าผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อน      แต่ดวงตาของเขานี่สิ   ชวนให้คุ้นเคย  ด้วยความสดใสของดวงวงกลมสีน้ำผึ้งอ่อนอันล้อมรอบแก้วตาสีสนิมเข้มสดใสพราวราวกับแย้มยิ้มได้   ...ช่างแตกต่างจากผม   ผู้มีดวงตาสีดำสนิทอันเคลือบด้วยฝ้าของน้ำแข็ง  และความหม่นหมองอยู่เป็นนิจ

ลมหนาวแห่งเดือนธันวาคมพัดให้หนังสือที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าผมเปิดหน้ารัวถี่จนเสียงกระดาษตีพั่บ ๆ   และส่งผลให้กระดาษแข็งสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กปลิวกระเด็นออกจากจุดที่คั่นหนังสือไว้ด้วย

"Exodia The Forbidden One"

ไม่ทันที่ผมจะลุกจากโต๊ะขึ้นเพื่อเก็บกระดาษแข็งแผ่นเล็กแผ่นนั้น   มือขาวสะอาดของใครบางคนก็หยิบมันขึ้นมาจากพื้นและยกดูใกล้ ๆ

"เทพ!"

ผมหลุดปากเรียกชื่อของชายหนุ่มซึ่งผมไม่เคยรู้จักออกมา   เมื่อสายตาของผมไล่จากมือเรียวยาวนั้นสู่ดวงหน้ารูปไข่  และจ้องลงไปในดวงตาสีสนิมพราวระยับนั้น

 "อ้าว  นัสรู้จักเราแล้วหรือนี่   อ่ะนี่ของนาย"

ผมรับกระดาษแผ่นเล็กอันมีภาพศีรษะของปีศาจที่ถูกโซ่ล่ามไว้จากมือของเขาโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เพราะการที่พบกับใครซึ่งเพิ่งเข้าฝันเมื่อครู่นั้นยากที่จะทำใจให้เชื่อได้

 "นายเป็นใคร ?"

ฝ่ายตรงกันข้ามเกาหัวแกรกด้วยความงุนงง  "อ้าว  ก็เมื่อครู่ยังเรียกชื่อเราถูกเลย"

 "ไม่อ่ะ  เราเดาเอา"

 "เดาแม่นจริง     เราชื่อเทพ  หรือดั่งเทวา    อยู่ห้อง ม.4/1 "

เมื่อเขายังเห็นผมทำหน้างง  เขาจึงอธิบายเพิ่มเติม  "ก็ห้องเดียวกับนายนั่นแหละนัส"

ผมยังไม่หายเอ๋อ   ก็ไม่แปลกอะไรที่ผมจะจำใครรอบตัวไม่ได้เลย   เพราะว่าผมมักจะสร้างโลกส่วนบุคคลเพื่อเก็บตัวไว้ในนั้นคนเดียวเสมอ  นายเทพโบกมือให้ผมก่อนหันร่างเดินจากไป

"ยินดีที่ได้รู้จักนะนัส   แล้วเจอกัน"

ผมหยิบบัตรแผ่นนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อพลางหาวอย่างไม่ใส่ใจ  และซบศีรษะลงบนหนังสือเล่มเดิมอีกครั้ง    เหมือนจะหลับ  แต่ไม่...  สายตาของผมยังคงจ้องตามร่างสูงโปร่งที่เดินจากไปทางเบื้องหน้าอย่างสนใจ

                        เทพเหรอ   หน้าตาไม่เลว  นิสัยก็คงไม่เลว.....

และนี่  ก็เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผมกับเทพ    เด็กหนุ่มผู้สดใสร่าเริง  และขี้แกล้งจนน่าเตะ





โต๊ะตัวสุดท้ายทางมุมขวาของห้องมักจะถูกผมใช้เป็นที่นั่งประจำ  เนื่องจากว่ามันเป็นจุดที่มืดที่สุด   และห่างไกลจากผู้คนมากที่สุด  ผมเดินเข้าไปยังที่นั่ง  เผื่อพบกับใครบางคนยิ้มเผล่ให้จากที่นั่น

เทพนั่นเอง   เพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ถือสิทธิ์เข้ามายุ่มย่ามกับอาณาจักรส่วนตัวของผมแล้วงั้นรึ    มันจะมากเกินไปหรือเปล่า

ผมไม่ค่อยพอใจเขาเท่าใดนัก  จึงเปลี่ยนใจไปนั่งตรงกลุ่มโต๊ะตัวที่ว่าง ๆ ตัวอื่นแทน

              เทพเก็บยิ้ม  เขารวบเอาข้าวของบนโต๊ะ  และตามมานั่งข้าง ๆ ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย    ผมทั้งฉิวทั้งขำกับการที่เขาถือวิสาสะเอามาก ๆ    แต่ด้วยความที่ผมขี้เกียจพูด  จึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ  อยู่ที่โต๊ะตัวเดิม  และเปิดหนังสือการ์ตูนเล่มเดิมออกอ่าน       





เราทั้งคู่  ไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่ประโยคเดียวตลอดชั่วโมง ...

              คาบเรียนต่อมา    ผมนั่งกลุ้มอยู่กับที่อยู่เดิมของตนที่เพิ่มสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมเข้ามาอีกชนิด  นายเทพอีกแล้ว    ผมถอนหายใจด้วยความกังวล  เมื่อนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงตามรังควาญผมนัก   ความเงียบที่น่าอึดอัดครอบคลุมระหว่างเราทั้งคู่

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของเขาที่คร่ำเคร่งกับการจดเลคเชอร์   รู้สึกว่าเทพจะเป็นคนที่ขยันน่าดูเลยทีเดียว   ผมปรายตามองไปที่คิ้วโก่งดุจคันศร   ดวงตากลมรีคล้ายเมล็ดอัลมอลด์   และจมูกโด่งพอประมาณอันประดับอยู่บนดวงหน้านวลรูปไข่

ไอ้ตี๋นี่  หล่อไม่เบา

แต่ผมไม่ได้จ้องหน้าเขานานนัก  เพราะฝ่ายที่ถูกลอบมอง  กลับหันมาสบตาผม   ทำให้ผมต้องรีบก้มหน้างุดลงอ่านหนังสือในมือของตนเองอย่างไว้เชิง

คราวนี้เป็นรอบที่ผมต้องรู้สึกอึดอัดจากสายตาของใครบางคนที่นั่งข้าง ๆ บ้างเสียแล้ว     เมื่อไอ้เทพ  ไม่คิดจะปิดบังการจ้องมองอย่างสนอกสนใจที่มีต่อผมเลยแม้แต่น้อย         จนในที่สุด  ผมก็ทนไม่ไหว  และตวัดสายตาจ้องสวนกลับอย่างหาเรื่อง

"มองไร"

รอยยิ้มนั้น  เริ่มจากรอยบุ๋มที่ข้างแก้มทั้งสองของเทพ  ซึ่งค่อย ๆ บุ๋มลึกลงไปเรื่อย ๆ และลามไปทั่วดวงหน้าและดวงตา   กลายเป็นรอยยิ้มขบขันกว้างขวางอย่างจริงใจ

"ฮ่าฮ่าฮ่า   เดี๋ยวก็รู้"

ผมงี้โคตรหงุดหงิด  เมื่อหางเสียงท้ายของเทพตวัดสูงขึ้นอย่างน่าฉงน และน่าสนใจใครรู้  ว่าอะไร  คือสิ่งที่เขาว่าเดี๋ยวก็รู้   โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ  ที่ผมหัวอ่อนเกินกว่าจะต่อปากต่อคำอย่างที่ใจคิด    ผมจึงได้แต่ก้มใบหน้าลงทำสิ่งที่ทำค้างอยู่ต่อ  โดยพยายามอย่างเต็มที่  ที่จะไม่สนใจกับสายตาจาบจ้วงไร้มารยาทนั่น

"นัสเล่นการ์ดยูกิด้วยเหรอ ?"

คำถามแรกที่เขาเอ่ยปากถามในชั่วโมงนี้  สะกิดความสนใจจนผมต้องถามซ้ำอีกรอบ

"หา  ว่าไงนะ"

"นัสเล่นยูกิด้วยเหรอ  เมื่อเที่ยงเราเห็นนายมี        Exodia The Forbidden One"

ผมปรายตามองเขาอีกครั้งด้วยความไม่ไว้วางใจ   

 "นายเป็นสายของพวกสารวัตรนักเรียนหรือเปล่าน่ะ    เราจะบอกให้รู้นะ   การ์ดเกม  ไม่ใช่การพนัน  แค่เล่นสู้กันแล้วก็แพ้ ก็ชนะ  จบ  แค่นั้น "

"เออ  เรารู้อยู่หรอก  ว่ามันไม่ใช่การพนัน    นัสนี่ขี้ระแวงเป็นบ้าเลย"

ก็ระแวงน่ะสิ  ตั้งแต่ ผบ.นิรันดร์มีคำสั่งกวาดล้างการ์ดเกมทุกชนิด  โดยไอ้พี่ปองเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำจับ   จนผมเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเมื่อหัวเที่ยง  เฮ้อ  เด็กดีอย่างผมจะไปเกี่ยวข้องกับการพนันได้อย่างไรล่ะ

                                "น้องเราก็เล่น"

                                "แล้วไง"

เขาเอียงคอเล็กน้อยแล้วยักไหล่    ลักยิ้มของไอ้เทพนี่ยียวนเป็นชะมัด

                                   "ก็ไม่ไง.."

เราทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง     จนกระทั่งนายเทพเริ่มการสนทนาอีกครั้งเมื่อออดหมดคาบดังขึ้น

                                              "เราก็เล่นเป็นนะ   แล้ววันหลังจะมาเล่นด้วย"

เทพดึงกระเป๋าขึ้นสะพายหลังและลุกจากเก้าอี้    ผมกำลังตื่นเต้นที่จะมีเพื่อนในวงการเพิ่มอีกคน    ผมอยากจะถามเขาว่า  วันหลังน่ะเมื่อไหร่....

บางที  ถ้าผมรู้ว่า   วันหลังที่เขาพูดจะไม่มีวันมาถึงอีกเลยชั่วชีวิต  ผมอาจจะดึงแขนเขาไว้เดี๋ยวนั้นก็เป็นได้
แต่น่าเสียดาย  ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจล่วงรู้ลิขิตฟ้า   จึงต้องปล่อยตนให้เป็นตัวหมากของเทพเจ้าแห่งโชคชะตาให้จับเดินเล่นตามใจชอบ

และบัดนี้  ใครบางคน  กำลังกลั่นแกล้งผมด้วยการจับตัวหมากของผม และเทพ  มาเดินในกระดานเดียวกัน..





หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
เริ่มหัวข้อโดย: ChiiCaLorz ที่ 23-05-2008 22:35:53

มาเป็นกำลังใจให้คับ มาต่อเยอะๆนะ รออ่านอยู่ค๊าฟ  :o8:
หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 23-05-2008 22:44:25
 :m4: :m4:
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2: :L2:
ตามอ่านต่อนะคะ :m1:
หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [นิยายเกย์แนวสัจจนิยมเหนือจริง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-05-2008 08:46:31
อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว

คุณ ChiiCaLorz, คุณ romaneeya  ขอบคุณมากคร้าบ  ดีใจมีคนมาอ่านตั้งสองคน  แหะแหะ  ^ ^
พระเอกชื่อแปลกนิดหนึ่งนะครับ  ชื่อ  ธ มนัส (ทะ-มะ-นัด)  แปลว่าหัวใจแห่งราชา หรือหัวใจแห่งผู้เป็นใหญ่
ส่วนเพื่อนพระเอกชื่อ  ดั่งเทวา  ออกแนวลิเกนิดนึง  ความหมายก็ตรงตามชื่อ  อิอิ






 
ดอกทองกวาวสีแสดร่วงโปรยลงเกลื่อนทางเดินกว้างอันทอดยาวเข้าสู่ตัวโรงเรียน    เสียงกระซิบกระซาบของสายลมแห่งฤดูหนาวล้อผ่านซอกใบไม้  ผสานกับเสียงเฮฮาของเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มกลางสนามบาสข้างทางเดิน  ถูกผมลงความเห็นว่า  'เอะอะวุ่นวาย'

ผมกระชับกระเป๋าให้แนบชิดกับหลัง   กระเป๋าของผมค่อนข้างหนัก  เพราะเตรียมหนังสือเรียนทุกวิชา  ซึ่งผมไม่คิดแม้แต่จะหยิบออกมาอ่าน    แสงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าไล่ระตามซอกคอและผิวเนื้อตรงแขนส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า มันคงจะแผดกล้าเผาผมให้ร้อนรนราวกับถูกย่างสดกลางสนามในเวลาไม่นานนัก   

"นัส  เฮ้  ไอ้นัส" 

ใครบางคนกำลังเรียกผม   และถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็.... 

         "อะไร     กรรม์   เรียกอะไรแต่เช้า" 

หนุ่มน้อยร่างใหญ่ตาตี่ ๆ    ผิวออกสีน้ำตาลจาง ๆ   นั่งถือแผ่นกระดาษแข็งเรียงเป็นรูปพัดในมือ   เขานั่งอยู่บนม้าหินอ่อนบนพื้นยกระดับเหนือเอวจากถนนข้างโรงยิมขนาดใหญ่ 

ผมยิ้มบาง ๆ ให้เขา  แล้วก้าวขึ้นตามบันได  เพื่อไปสู่ม้าหินอ่อนนั้น

กรรม์เหยียดยิ้มเครียด ๆ   ซึ่งผมมักจะมองว่าไอ้หมอนี่ขี้เก๊กชิบ  เสียงแหบพร่าของหนุ่มวัยกำลังแตกพานอธิบายถึงเหตุผลที่เขาเรียกผมมา 

          "เนี่ย  เราได้การ์ดมาใหม่    พอดีพี่ที่ไปญี่ปุ่นซื้อมาฝาก"

                       "ไปซื้อทำไมที่ญี่ปุ่น  ใช้ของก๊อปดีกว่า เงินตราไม่รั่วไหล"

             "โธ่เอ๊ย  ไอ้นัส  ทำเป็นพูดดีไป   แกก็ใช้ของนอกเหมือนกันล่ะวะ"

 ผมได้แต่หัวเราะหึหึ ในลำคอ   เมื่อกรรม์พูดได้จี้ใจดำ 

                              "นัส  Exodia The Forbidden One  แกขาดส่วนขาซ้ายใช่มะ"

   นัยน์ตาของเพื่อนผมเป็นประกายพิกล 

                          "อ่ะใช่  แล้วไง"

                                        "งั้นดูนี่     แอ่นแอ๊น..."

 เขาค่อย ๆ เปิดมือออก  และเลื่อนการ์ดที่บังการ์ดอีกใบ     ผมสูดหายใจลึกยาวด้วยความตื่นเต้น  เมื่อเห็นของสะสมที่ผมตามหามานานเพื่อให้ครบชุด  อยู่ในมือของกรรม์

                                    "เฮ้ย   หามาได้ไง" 

                         "ฮั่นแน่ะ    อยากได้ใช่มั้ยล่ะ" 

ผมพยักหน้ารัวเร็ว    ผมรู้ว่าอย่างไรกรรม์ก็ต้องให้ผมอยู่แล้วแน่ ๆ  เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องความใจป้ำมาก

                         "งั้นวันอาทิตย์เจอกันที่บ้านเรา   มีอะไรดี ๆ ให้ดู"

                                    "ok  ได้เลย   มาสักตามะ  ก่อนเข้าแถว"

 กรรม์เก๊กยิ้มรับ  ก่อนหยิบกองการ์ดมาสับให้เรียงสุ่ม   และเริ่มกระบวนการเล่น

ผมแทบจะไม่ต้องห่วงเรื่องสารวัตรนักเรียนเลยเมื่ออยู่กับกรรม์   เพราะเขาค่อนข้างนักเลง ๆ   หรือเรียกอีกอย่างว่าขาใหญ่    เราสองคนแตกต่างกันมาก   กรรม์  เล่นกีฬาเก่ง  ชำนาญวิธีการต่อสู้ประชิดตัวแบบคอมมานโด   ซึ่งเขาก็เคยถ่ายทอดให้ผมท่าสองท่า     ขณะที่ผมค่อนข้างอ่อนแอ     และไร้พรสวรรค์ทางด้านกีฬาอย่างถึงที่สุด    ผมคิดว่า  สาเหตุที่ทำให้เรามาเป็นเพื่อนกันได้  ก็คงเป็นเพราะมีความชอบในเกมการ์ดชนิดเดียวกันกระมัง

                            "ปีหน้า  เราจะไปอเมริกา"

 คำเปรยโดยไม่มีปี่ขลุ่ยของกรรม์ทำให้ผมตกใจจนแทบตกเก้าอี้

                                 "หา!" 

                        "เราได้เข้าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ   ก็เลยต้องไปอยู่ที่โน่นสักพัก"

              "นัส   เราเป็นห่วงแกว่ะ     อยากให้แกมีเพื่อนสักคนนอกจากเรา.."

 ผมหลบสายตาของเขาที่จ้องมองมา   เพราะกรรม์มักจะทำตัวเป็นองครักษ์ให้ผมเสมอ   คอยปกป้องผมจากพวกชอบหาเรื่อง   ที่อยากทำคนไม่มีทางสู้แบบผม 

ช่วยไม่ได้  ก็ผมมันอยากอ่อนแอเองนี่...    แต่จะว่าไป   ก็ไม่รู้ว่าที่กรรม์คอยช่วยผมตลอดนั้น   เป็นเพราะว่าเขาถือว่าผมเป็นเพื่อนรักของเขาจริง ๆ  หรือว่าเพียงเพราะสำนึกผิด  ที่ครั้งแรกที่เราพบกัน  เขาก็ทำผมจนเกือบเป็นเจ้าชายนิทราเสียแล้ว 

ผมคงคิดมากเกินไป  เพราะจวบจนถึงวันนี้   กว่าสามปีมาแล้ว  ที่เขาก็ยังเป็นเพื่อนผู้แข็งแกร่ง  พร้อมเป็นแรงหนุนไม่ว่าในด้านพละกาย  หรือกำลังใจ  ให้ผมตลอดมา 

ทำให้  ความจริงที่ว่า  ผมต้องมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยปราศจากเขา  เป็นเรื่องที่ค่อนข้างโหดร้าย

                    "เราก็มี...  เพื่อนร่วมห้องไง" 

           "หึหึ  ไอ้พวกนั้นน่ะเหรอ  แกยังนับพวกมันเป็นเพื่อนอีกเหรอวะนัส"

                  "ไม่รู้ดิ   อย่างน้อยก็อาจ...จะมีสักคนนึง"

 ใบหน้ายียวนของเทพลอยเด่นขึ้นมาในห้วงสมอง   ผมชักเกลียดตนเองที่ไปประหวัดนึกถึงจอมกวนรายนั้น

              "แกมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วไอ้นัส"

                "ไม่หรอก  เราว่าเรามองโลกในแง่ร้ายกว่าใครนะ"

           "แกไม่เคยเกลียด  ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยคิดจะแก้แค้นไอ้พวกที่เคยกลั่นแกล้งแกเลยแม้แต่น้อย  เนี่ยเหรอ  มองโลกในแง่ร้ายของแก      เราอยากรู้จริง ๆ ว่ะ  ...ทำไมแกถึงยังยิ้มได้อยู่ฮึ นัส"

 ผมหลุบตาลงต่ำ  และจัดการรวบรวมกองการ์ดอันกระจายเกลื่อนโต๊ะให้รวมกอง  และเก็บใส่กล่องพลาสติกอันสำหรับไว้จัดเก็บการ์ดพวกนี้โดยเฉพาะ 

                  "ไปกันเถอะ    ใกล้เวลาเข้าแถวแล้ว    ไว้เจอกันตอนเที่ยงนะกรรม์"

 ผมคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายหลัง  และรีบสาวเท้าจากไป     ทว่า   คำถามสุดท้ายจากกรรม์ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก

         "ทำไมแกถึงไม่ตอบ..."

 ผมสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง 

             "เพราะว่าแม้แต่เราเอง   ก็ยังไม่ทราบคำตอบที่นายถาม   ..แล้วเจอกัน"

 ไม่ต้องหันไปมอง  ผมก็รู้ดีว่ากรรม์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  และมองตามเงาหลังของผมด้วยความครุ่นคิด  ผมกระตุกรอยยิ้มเฉยชาดุจหน้ากากมาสวมใส่อีกครั้ง  เมื่อเสี้ยวหน้าของตนพ้นจากเงาของอาคารมาสู่โลกอันมีแสงตะวันสาดส่องไสวเบื้องนอก





เสียงลากยานของป้าแก่แห่งวิชาประวัติศาสตร์ชวนให้ง่วงเป็นบ้าเช่นทุกวัน    ผมปิดปากที่หาวกว้างจนเห็นลิ้นไก่สีเนื้อภายในปาก   พร้อมกับพ่นลมออกมาด้วยความเซ็งในอารมณ์   เสียงปากกาขีดแกรก ๆ กับกระดาษเนื้อดีข้าง ๆ ทำให้ผมอดที่จะเหลือบมองไอ้คนนั่งข้างไม่ได้   จะว่าไป  ผมก็ชักชินเสียแล้วล่ะที่นายนี่นั่งเป็นสากหินอยู่คู่กับผมที่หลังห้องอยู่เสมอ

เขาเหยียดยิ้มอีกแล้ว..  เมื่อพบว่าผมเป็นฝ่ายลอบมองเขาก่อน

ผมขมุบขมิบปากเจริญพรเขาในใจ  แต่ก็น่าแปลก   ถ้าผมรำคาญเขาจริง ๆ  ผมก็คงจะหนีไปเรื่อย ๆ ได้แท้ ๆ   แต่ดูเหมือนเทพจะมีความลึกลับน่าค้นหา  และน่าสนใจอย่างประหลาด  จึงทำให้ผมต้องยอมทนถูกเขากวนประสาทด้วยสงครามเย็นอยู่แบบนี้

เอ  หรือจะเป็นการจีบมาเป็นเพื่อนแบบใหม่ที่ไม่เคยลงบันทึกไว้ในกินเนสต์บุ๊คมาก่อน   เอาเหอะ  อย่างไรผมก็ต้องคอยดูต่อไป   คนหล่อ ๆ น่ารัก ๆ อย่างนายเทพนี่  ยังไงก็น่าอยู่ใกล้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า

                 “ขอยืมปากกาแดงหน่อยนะ”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค  ปากกาแดงของผมก็อันตรธานไปปรากฏในมือของเทพทันใด    ให้ตายสิ  ไอ้หมอนี่ถือวิสาสะเป็นบ้า

                   “ทีหลังไม่ต้องขอก็ได้นะ  หยิบได้ตามสบายเลย”

                            “ไม่ได้หรอก   เราต้องพูดตามมารยาท”

ชิชะ  มันยังไม่รู้ว่าผมประชดอีก

                 เทพขีดเส้นลากจบบรรทัดเสร็จแล้วจึงคืนไว้ที่เดิม

                                                “ขอบคุณครับ”    ผมขอบคุณมันเพื่อประชดอีกรอบ

                         “ไม่เป็นไร”

แน่ะ  มันยังรับมุกอีก     ฮึ้ย  ไอ้หมอนี่

                                   “ทำไมนัสไม่จดบ้างล่ะ  เห็นนั่งอ่านแต่การ์ตูนทั้งวัน”

                                           “เราจำได้  เลยขี้เกียจจด”

                            “จำได้แน่เร้อ   งั้นติวให้เราหน่อยดิ๊”

หางเสียงลากสูงอย่างไม่เชื่อ  และประโยคท้ายก็ท้าทายกันเห็นเห็น

                                            “ติวตัวต่อตัวน่ะหรือ ?”

  เทพเอื้อมแขนข้างขวามาโอบถึงไหล่ผมอีกข้างพร้อมกับยื่นใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเพื่อกระซิบ

                             “อืม   เราอยากรู้  ว่านัสจะแน่สักแค่ไหน”

ผมสะดุ้งเมื่อแขนของเขาวางบนไหล่   ประสบการณ์ไม่ดีบางประการ  ทำให้ผมกลัวการถูกเนื้อต้องตัวจากผู้อื่น  ผมค่อย ๆ เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างสุภาพ  ปากก็ตอบไป

                           “เราไม่แน่หรอก  ที่บอกว่าจำได้ก็โม้ไปงั้น ๆ”

แววตาเยาะ  ถูกส่งจากนายเทพชั่ววูบหนึ่ง  ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงจดเลคเชอร์ต่อ   และในขณะนั้นเอง  อาจารย์ก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

                    “นักเรียนรู้มั้ย  เหตุใดรัชกาลที่ห้าจึงถูกขนานนามว่า พระปิยะมหาราช”

ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง  ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะมีผู้กล้าลุกขึ้นมาตอบ  คำถามพวกนี้  ส่วนใหญ่ผมก็รู้คำตอบดี  และเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนก็ทราบ  ทว่า  มักจะไม่ค่อยอยากตอบกัน  เพราะจะเป็นจุดเด่นเกินไป   แต่วันนี้  ไม่รู้อะไรดลใจให้นักเรียนหลังห้องอย่างผมยกมือขึ้นเพื่อขอตอบคำถาม

อาจารย์พยักหน้าให้ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นจากเก้าอี้    ปรายตามองเทพซึ่งจ้องมายังผมด้วยความสนอกสนใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ภายในห้อง

             “ครับ   พระปิยะมหาราช   หมายถึงมหาราชาผู้เป็นที่รักของปวงชน  เนื่องจากคุณานูปการในพระราชกรณียกิจของพระองค์  เช่นการเลิกทาส  การจัดตั้งสภาแผ่นดินสองสภา   การปฏิรูปการศึกษาโดยจัดตั้งโรงเรียนระบบใหม่   จัดตั้งศิริราชพยาบาลเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของประเทศไทย  จัดตั้งกรมไปรษณีย์   สร้างทางรถไฟหลวงสายแรกแห่งประเทศไทย...”

                         “พอ ๆ   เอาล่ะ  ปรบมือให้นายธ มนัสหน่อย”

เสียงปรบมือดังมาจากทั่วห้อง  ทว่าคนข้างๆ ผมกลับนั่งด้วยท่าทางเนือยๆ ราวกับว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ 

                 “เก่งนิ    แต่น่าเสียดาย  ยังสรุปความได้ไม่ดีนัก”

ผมรู้สึกแทบอยากจะฆ่าคนข้าง ๆ  เพราะมันก็ยังไม่วายกัดนิด ๆ หน่อย ๆ    แต่ด้วยนิสัยรักสงบผมจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเปิดการ์ตูนหน้าที่อ่านค้างอยู่  เพื่ออ่านต่ออย่างไม่ใส่ใจ










   “ไปกินข้าวด้วยดิ”

        “หา!”

             “ไปกินข้าวเที่ยงด้วยดิ”

ผมแทบจะไม่เชื่อหู  เมื่อจอมกวนคนนั่งข้างถามผมแบบนั้น

                                       “วันนี้เราไม่กิน  ไม่หิวอ่ะ   นายไปคนเดียวเหอะ”

                   “ฮ่าฮ่า  อย่าโม้น่า   เห็นนัสห่อข้าวมากินทุกวัน    วันนี้ไปกินกับเราที่โรงอาหารหน่อยจะเป็นไรไป”

                                    “ไม่อ่...”

                        “ไม่ปฏิเสธใช่มั้ย  เราถือกระเป๋าให้นะ    รีบตามมาล่ะ”

เทพคว้ากระเป๋าของผมขึ้นพาดหลังแล้วก้าวยาว ๆ ออกไปล่วงหน้าทันที   ผมโมโหจนแทบควันออกหู  เมื่อมันมาทำเหมือนบังคับกันกลาย ๆ

                                        “ให้ไว นัส เดี๋ยวไม่มีโต๊ะว่าง”

แต่ดวงตาพราวระยับ  รอยยิ้มสดใส และลักยิ้มน่ารักตรงข้างแก้มทำให้ผมโกรธเขาไม่ลง   จำต้องลากร่างตามเขาไปอย่างเชื่องช้าแทน

                           “นายนี่อืดอาดเป็นบ้า”

เทพตบหลังผมด้วยกระเป๋าของผมเองในมือ  จนผมเซแทบล้ม

                                      “เฮ้  นายทำอะไรเพื่อนเรา”

เสียงแหบห้าวของคนที่ผมรู้จักดีดังมาจากใต้อาคาร   เมื่อกรรม์เห็นถนัดว่า กระเป๋าของผมอยู่ในมือของเทพ  และเขาก็กำลังผลักผมอยู่

ผมคว้ากระเป๋าคืนจากนายเทพ  และช่วยแก้ต่างให้เขา

                                 “ป่าว  นี่เทพ  เพื่อนเราเอง”

               กรรม์ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ และหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด          “อืม  แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะ”

เทพยิ้ม  แต่ไม่ตอบคำถาม  ร้อนถึงทูตสันถวไมตรีจำเป็นอย่างผมต้องกล่าวแทนอีกครั้ง   

            “กำลังจะไปกินข้าวกันน่ะ   กรรม์ไปด้วยกันป่ะ”

                      “ไม่หรอก   เรากินแล้วน่ะ   นัส  อย่าลืมนะเว้ย วันอาทิตย์”

คราแรก  ผมคิดว่าบุคลิกยียวนกวนส้นตรีนของเทพจะทำให้กรรม์เขม่นเสียอีก   แต่น่าแปลก  ที่ทั้งคู่ดูเหมือนเข้ากันได้ดี

                                   “เออ  ไม่ลืมหรอก  แล้วเจอกัน”

เมื่อกรรม์เดินเลี่ยงไปอีกทาง  ผมก็ทำท่าจะแยกตัวออกไปจากเทพบ้าง

                                                    “เดี๋ยวสิ  จะไปไหนน่ะ นัส”

เทพคว้าแขนผมไว้ในทันที...

                    “ไปกินข้าว”

                  “โรงอาหารไปทางนู้น  ไม่ใช่ทางนี้”

                           “เฮ้ย  เราพูดสักคำหรือเปล่าว่าเราจะไปกินที่โรงอาหาร”

           “เอ๊ะ”   เทพเอียงคอมองอย่างน่าหมั่นไส้  “เมื่อครู่นายก็ยังบอกกับเพื่อนของนายเลยว่า จะไปโรงอาหารกับเรา   เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านโกหกไม่ดีนะคร้าบ”

            “เพราะฉะนั้น”   กระเป๋าถูกบังคับปลดจากมือผมอีกครั้ง   “ตามเรามาเหอะน่า”

เทพยิ้มน่ารักอีกแล้ว  ยิ้มแบบที่เหมือนกับรู้ว่าผมไม่สามารถปฏิเสธเขาได้

  โต๊ะหินกลมใต้ร่มไม้  ซึ่งนั่งไว้ด้วยผู้คนกลุ่มหนึ่ง   ผมรู้สึกคุ้นตาพวกเขาอย่างบอกไม่ถูก  จนกระทั่งเทพพาผมเดินเข้าไปใกล้

                         “ไงเทพ  ไงนัส มากินข้าวกัน”

ผมตีสีหน้าเอ๋ออีกแล้ว  เพราะความประหลาดใจที่ผมไม่รู้จักพวกเขาแต่พวกเขากลับรู้จักผม

          “อืม   ป่องป๊อง  เขยิบหน่อยสิ”

ผมรู้จักชื่อเพิ่มอีกคน  คือคนที่ทักผมเมื่อครู่  เขาตัดผมทรงรองสั้นเกรียน  โชว์ศีรษะรูปไข่โดดเด่น

เทพผลักผมให้นั่งลงกับเก้าอี้หินอ่อนอันล้อมรอบวงนั้น   ผมก้มหน้างุดหลบสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาจากรอบ ๆ ด้าน

        “สวัสดีนัส”     เสียงลากยานคางจากหนุ่มร่างอวบฝั่งตรงกันข้ามเรียกให้ผมตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิวไม่แพ้กัน

                                        “อืม  สวัสดี”

                       “เรา  เสนานะ  ถ้านายจำได้  พวกเราทุกคนอยู่ห้องเดียวกับนายหมด”

ผมถึงค่อยเงยหน้าขึ้นและสังเกตแต่ละคน  ฝั่งตรงข้ามผมคือเสนา  และคนที่ติดกับเสนา  ผมว่าผมจำได้  เพราะเขาค่อนข้างโดดเด่นในห้องพอสมควร

       คนที่นั่งข้างเสนียิ้มให้ผม   มีคนเคยว่าใบหน้าของนายนี่คล้ายกับดาราเกาหลี  เขาจึงได้ฉายาว่า คิม แทนชื่อเล่น   แต่ผมว่าเขาหน้าเหมือนเด็กญี่ปุ่นมากกว่า   เพราะผิวบางขาวอมชมพูกับดวงตาตี่ภายใต้คิ้วหนาดก   และริมฝีปากบางแดงระเรื่อเหมือนกลีบดอกไม้สด

คิม   ล้วงกระเป๋าเสื้อ  และคว้าแว่นสายตากรอบรีอันเล็กมาใส่  เพื่อที่จะได้มองเห็นผมชัดขึ้น

              “นายคือ คิม..”

คิมยิ้มรับอย่างร่าเริง  เสียงของเขาซึ่งแหบคล้าย ๆ เป็ด  คงจะเป็นเพราะยังคุมเส้นเสียงได้ไม่ดีนัก

                         “ใช่  นัส  คาบที่แล้วนายเจ๋งมาก”

ดูท่าคิมจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถก่อนอย่างอื่น   แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร  เพราะตัวเขาเองนั้นเป็นกลุ่มเด็กหัวกะทิโครงการช้างเผือกของโรงเรียน    โดยวิชาที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคงจะเป็นชีววิทยา

        “เราชื่อเพรียงพร้อม”     น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลจากคนข้าง ๆ   เรียกให้ผมหันไปพบกับดวงหน้าซึ่งยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ    ผมกลืนน้ำลายลงคอนิดหน่อย  เมื่อพบว่า  พวกที่นั่งล้อมหน้าล้อมหลังของผมอยู่ในตอนนี้  คือ จตุราชาแห่งห้องคิงส์ของโรงเรียน

   “นัส  เอาข้าวออกมากินสิ  เดี๋ยวหมดคาบพักเที่ยง”   เทพเร่งผม  เมื่อเห็นผมยังอิดเอื้อนอยู่

“เพื่อนๆ  เราไปโรงอาหารก่อนนะ  ฝากนัสด้วย”       โหย  ดูมัน  สั่งเสียยังกับฝากดูแลสัตว์เลี้ยง

ผมจึงจำต้องเอากล่องข้าวที่แม่ห่อให้มาเป็นอาหารกลางวันออกมาอย่างเสียไม่ได้    ตอนนั้น  สิ่งนี้เคยเป็นปมด้อยของผมอย่างยิ่ง  ที่ครอบครัวไม่ยอมให้ซื้ออาหารจากแม่ค้าที่โรงเรียน  แต่เมื่อคิดได้  ผมก็รู้สึกภูมิใจมาก  ที่ได้รับประทานอาหารผสมความรักความห่วงใยของมารดาในทุก ๆ วัน




หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [นิยายเกย์แนวสัจจนิยมเหนือจริง]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-05-2008 09:02:26
อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว







บทที่ ๒




               "เทพครับ..."

                             "หืม.."

                  "เมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน ?"

            "เอ้า  เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ"

"พูดจาเหมือนคนเหลวไหลเลยนะเทพ"

              "เราเคยบอกนายแล้วไง   ชะตากรรมก็เหมือนลม  พัดเราให้มาพบกันได้  ก็พัดให้เราแยกจากกันได้  สักวัน  เมื่อลมเปลี่ยนทิศ  เราก็อาจจะได้เจอกัน"

  ผมถอนหายใจพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มรสขมในกระป๋องประทับลายสิงห์ให้ล่วงเข้าสู่คอหอย   เสียงน้ำทะเลซัดมาซู่ซ่าจากเบื้องล่างผา  เสียงของเทพค่อย ๆ จางไปจากความทรงจำทุกที  เหมือนกับรอยคลื่นบนหาดซึ่งค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ ในทุกคราที่น้ำซัดเข้าหาฝั่ง

ผมยื่นมือออกไปเบื้องหน้าในระดับสายตา  ลมทะเลหวีดหวิดพัดพรูผ่านซอกนิ้ว   ผมจับจ้องที่มือของตนเอง  เพื่อรอ...
รอว่าเมื่อไหร่ลมจะเปลี่ยนทิศ....

กระป๋องในมือถูกกระดกขึ้นจ่อกับปากอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้  มือแกร่งอีกข้างกลับรั้งมันไว้

                     "พอเหอะนัส  อย่าดื่มอีกเลย"

ใครบางคนที่เป็นห่วง  ใครบางคนที่อบอุ่น  ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม    เขาค่อย ๆ ไล้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่เปรอะข้างแก้มของผมออกเบา ๆ

                           "พี่แนค  ผมลืมเค้าไม่ได้  ผมขอโทษ...ผมไม่ควรจะได้รับความรักจากพี่"

                    "ร่าเริงไว้ไอ้น้อง     ไม่ว่าอะไรที่นัสอยากได้  ไม่ว่าใครที่นัสต้องการ  พี่ชายคนนี้พร้อมเสมอที่จะเป็นกำลังหนุนให้น้องชายสุดที่รัก"

ผมก้มหน้านิ่ง   กระป๋องในมือตกลงไปที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   ทรายสีขาวละเอียดกระเซ็นสาด  เมื่อชายที่อยู่ข้างหมุนตัวจะเดินจากไป

                       "เดี๋ยวพี่หาน้ำผลไม้มาให้ดื่ม   จะได้ไม่เมาค้างไง"

          "พี่แนค"      มือของผมไขว่คว้าอีกมือของอีกคนไว้

                                                "อย่าเพิ่งไปครับ  อยู่เป็นเพื่อนผม..."

ผู้ถูกเรียกชะงักเท้า       เขาคุกเข่าลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าและยกมือข้างที่ผมยุดไว้มากุม  และจุมพิตลงบนปลายนิ้วเบา ๆ

"พี่อยู่เป็นเพื่อนเราได้เสมอนั่นล่ะ   พร้อมที่จะคอยตลอดชีวิต     หัวใจของนัสจะโบยบินไปไหน  จะรักใครก็ได้  แต่พี่   จะเตรียมหัวไหล่ไว้ให้ซบยามที่นัสเหนื่อยกลับมาเสมอ"

ทำไมกันนะ  ยิ่งผมฟังข้อความนี้ผมก็ยิ่งเศร้า   ทำไมผมถึงไม่สามารถที่จะดีพอให้ได้เสี้ยวหนึ่งของความรักของเขาเลยแม้แต่น้อย

สายลมพัดพรูมาอีกวูบหนึ่ง  ในมุมที่แตกต่าง

                                   .......และนั่น  ผมก็รู้สึกได้ว่า     สายลมกำลังเปลี่ยนทิศ



สายตาของเราทั้งคู่ถูกดึงไว้ด้วยเครื่องมือสื่อสารชิ้นเล็กบนโต๊ะ     มันส่งเสียงเพลงที่ผมจำเนื้อไม่ได้แล้ว
ผมเอื้อมมือคว้ามันมาดูด้วยใจเต้นระทึก   และยิ่งหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นเบอร์ของคนโทรมา
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกดรับสาย  พี่แนคยิ้มให้แล้วลุกขึ้นถอยออกห่างอย่างเงียบ ๆ

                               "ไง  เทพ  สบายดีมั้ย   งานเป็นไงบ้าง"

ผมพยายามปั้นเสียงร่าเริงที่สุดกรอกลงไปในสาย  ด้วยหวังว่าเสียงที่ตอบรับกลับมาจะสดใสไม่แพ้กัน
                        ทว่า...คนอีกฟากกับตอบรับด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ไร้ชีวิตชีวา

                             "อืม  ก็คงงั้นมั้ง   ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน  เราไปหาได้มั้ย ?"

                   "เราอยู่บังกะโลเก่าหัวหิน  เฮ้ย  จะมาจริง ๆ น่ะเหรอ   จากกรุงเทพมันไกลนะเว้ย"

สายหลุดไปแล้ว  เหลือเพียงเสียงสัญญาณ ตื๊ด ๆ ดังไม่หยุด

            ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์   เพื่อพบกับเงาร่างของพี่แนค  ซึ่งอาบย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามตกดิน  เขาหันหน้าไปทางทะเล  ที่ซึ่งประกายคลื่นล้อแสงสนธยาจนเป็นประกายทองอร่าม

                    "พี่ต้องกลับแล้วล่ะ..."

เขากล่าวโดยไม่หันหน้ากลับมา         "ดูแลตัวเองด้วยนะเรา   อย่าดื่มมากนัก  แล้วอย่านอนดึกด้วย  เดี๋ยวโทรมพอดี"

ผมอยากจะโผเข้าไปกอดร่างนั้นเป็นที่สุด   แต่สิ่งที่ผมทำเพียงแต่ฝืนยิ้มและไม่ปล่อยคำพูดใด ๆ เล็ดรอดออกมา

"โชคดี  แล้วเจอกัน"   

ผมมองเงาร่างเดียวดายนั้นเดินจากไปตามแนวชายหาดจนลับตา   ผมทำถูกหรือทำผิดกันแน่  ที่ปล่อยให้คนที่รักผม  และผมก็รักเขาจากไปแบบนี้...         
                               เพื่อแลกกับ...
                                  โชคชะตาของสายลมที่หาความแน่นอนไม่ได้....












อะไรบางอย่างกำลังสั่นเขย่าอยู่บนหัวไหล่ของผม   มือของใครบางคนที่พยายามยื้อยุดผมออกจากโลกแห่งนิทรา

                "นัส  ตื่น    อาจารย์มองแล้ว"

เทพนั่นเอง  เขาเขย่าหัวไหล่ผมด้วยมือขวา  และก้มหน้าลงมาใกล้ผมจนแทบจะมองเห็นขนตาทุกเส้นของเขา
สายตาของเขาเหลือบจ้องไปเบื้องหน้า   และเมื่อผมมองตาม  ป้าแก่หน้าตาบูดบึ้งก็รออยู่อีกปลายแห่งครรลองจักษุแล้ว   ผมยันกายขึ้นมาจากท่าหลับนกชนิดขี้เซาพิเศษ  และพยายามเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง  จนกระทั่งสายตาสยองนั้นละไปจากผมจนได้

                            "ขี้เซาจริง  เมื่อคืนไปทำอะไรมาดึกนัก"

ผมไม่ตอบในปาก  แต่ผมตอบในใจ

                                                                            มัวแต่คิดถึงนายน่ะสิ   

อ๊ะอ๊ะ  ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด  ผมเพียงแต่สับสนและกังวลกับท่าทีของคนที่ยังไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของการเข้าประชิดของเขา  และงุนงงกับผู้คนกลุ่มใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำความรู้จักพร้อม ๆ กันในชีวิต

ผมมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่เทพจะได้จากการเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผม  ทว่า  ครั้งนี้เขากลับยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่           คนที่คล้ายปล่อยตัว  ลอยชาย  ขี้เล่น  ขี้แกล้ง   กลับมีกลุ่มเพื่อนแวดล้อมไปด้วยระดับหัวกะทิ  มันน่าแปลก  และยิ่งน่าค้นหา   อย่างน้อย   พวกป่องป๊อง  คิม  เสนา  และเพรียงพร้อมเอง  ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่พวกเก่งแล้วเห็นแก่ตัวหรือดูถูกคนอื่นแต่อย่างใด    ผมเองก็เลยไม่ลำบากใจอะไรที่จะทำความรู้จักเอาไว้

                              "เหม่ออะไรอ่ะ  ถามแล้วก็ไม่ตอบ"

คราวนี้ถึงตาผมที่จะยิ้มอย่างสมใจแล้ว  ในเมื่อสบช่องแก้แค้น      ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและก้มลงอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น  ทว่า  ท่าทีของคนข้าง ๆ กลับทำให้ผมร้อนเสียเอง

              เทพเองก็จดเลคเชอร์ต่อ  เสมือนกับว่าลืมไปแล้วว่าถามอะไรออกไป

                        "เอ้า  ไม่อยากรู้เหรอว่าเมื่อคืนเราทำอะไรอยู่ดึก"

เทพหันมายิ้มให้   ยิ้มเหมือนจะน่ารักนะ  แต่ผมว่ามันดูน่ากลัวยังไงไม่รู้

                            "หึ  ไม่อยากหรอก  ถามไปงั้น ๆ เอง  พอดีปากมันว่าง   ไม่ได้เคี้ยวเอื้องอยู่นิ"

            "ถ้านายไม่อยากเราจะเล่าให้ฟัง"               

                                 "เล่ามาก็ฟัง  ไม่เล่าก็ไม่ฟัง"   

                                          "เออ ดี     คือว่านะ  เมื่อคืน..."

ผมกำลังพยายามคิดเรื่องโม้ให้น่าสนใจอยู่พอดีเชียว ว่าเมื่อคืนผมทำอะไร    พอดีกับที่ว่า  เสียงจากป้าแก่ดังมาจากหน้าห้อง   

         "นี่  นายดั่งเทวา  นายธ มนัส   ถ้าไม่อยากเรียนก็ออกไปนั่งข้างนอก  อย่าส่งเสียงรบกวนเพื่อน ๆ ในห้อง"

ได้ผล..  เราทั้งคู่เงียบกริบลงทันที  และทำท่าทางเหมือนกับว่ากระตือรือร้นต่อการเรียนอย่างเต็มที่  แต่ในใจผมน่ะสิ  รู้สึกหน้าชาไปเลย  เพราะคนในห้องหันมาลอบมองเราทั้งคู่อยู่บ่อย ๆ      ขณะที่เทพยังทำท่าสบายอารมณ์  และไม่ลืมที่จะหันมาเลิกคิ้วหนึ่งข้างด้วยมาดกวนประสาทให้ผมอีกด้วย

  ผมกุมหัวด้วยความปวดกะโหลก   แต่กระนั้นเอง  ผมก็ยังไม่มีความคิดที่จะกำจัดหมอนี่ออกจากวงจรชีวิตเลยแม้แต่น้อย    ..ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน





               
                            "นัส  เป็นอะไรหรือเปล่า    ดูเหม่อ ๆ พิกล  หน้าก็ซีด ๆ"

กรรม์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามผมเอื้อมมือข้ามโต๊ะอันเกลื่อนไปด้วยการ์ดยูกิ    มาสัมผัสหน้าผากผมเบา ๆ เพื่อวัดอุณหภูมิ   แต่นั่น  กลับทำให้ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ

                       "เออะ  โทษที  ลืมไปว่านาย..กลัว"

ผมไม่ได้กลัว  ผมแค่หวาดระแวง  แต่ป่วยการที่จะโต้เถียงกับพวกหัวแข็งอย่างกรรม์  ผมจึงนิ่งเงียบไว้

                              "เปล่า ๆ โทษที   ช่วงนี้ฟุ้งซ่านไปหน่อยน่ะ   โทษทีที่ทำให้เป็นห่วง"

                           "คนที่ควรจะขอโทษน่ะมันเรามากกว่านะ"

ประโยคนี้ทำให้เราทั้งคู่เงียบกริบ   ถึงจะไม่ได้กล่าวต่อ  แต่ผมก็เข้าใจว่ากรรม์กล่าวถึงเรื่องอะไร

           "มันผ่านไปนานมากแล้ว  ลืมไปเสียเถอะ"

                   "แต่ผลของมันยังคงอยู่.."

ผมหลับตาและสูดลมหายใจลึกยาว   

                           "กรรม์  ถ้ายังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนนะ   อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก.."

                "อืม.."

        "เอาล่ะ  เราคงต้องกลับแล้ว  ป่านนี้เสด็จพ่อท่านคงมารับเสด็จนานจนหน้าเขียวหน้าเหลืองแหง ๆ"

กรรม์หลุดหัวเราะเบา ๆ   เมื่อเห็นสีหน้าสยดสยองของผม

                                   "โชคดีเพื่อน  อย่าลืมวันอาทิตย์นะ"

ผมไม่ตอบ  ผมรีบคว้ากระเป๋า  แล้ววิ่งออกไปสู่ทางเดินอันทอดยาวหน้าโรงเรียนในทันที   ด้วยอารามเกรงว่าจะเย็นจนเกินไป     ใบทองกวางหล่นพลิ้วระบัดลงเกลื่อนทางเดิน   เวลาอันแสนสงบสุขแบบนี้   มีค่ามากที่สุดหรือเปล่า  ผมเองก็ไม่แน่ใจ    เพราะผม   รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนเหลือเกินที่จะผ่านวันเวลาอันเปล่าเปลี่ยวในแต่ละวัน

ผมยิ้มให้ดอกทองกวาวเพียงดอกเดียวบนกองใบไม้     ก่อนที่สายลมจะพัดพรูหอบเอาใบไม้สีเหลืองแกมเขียวเข้ามากลบดอกไม้สีแสดนั้น....







 :sad2:  เหงาเล็กน้อย  กระซิก ๆ
หัวข้อ: Re: หวังเทวา - [นิยายเกย์แนวสัจจนิยมเหนือจริง]
เริ่มหัวข้อโดย: แก้ว ที่ 24-05-2008 09:51:07
มาทักทายค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-05-2008 13:43:23
เรื่องราวมีหลายเวอร์ชั่นจัง

อ่านแล้วแอบงงหน่อยๆ  อิอิ  มันเลยยากอยู่นะกับการอ่านเรื่องนี้

ปล. เข้าใจเอา คำ มาตั้งเป็นชื่อคนนะ  เก่งจัง

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: KriT_SuN ที่ 24-05-2008 23:59:13
...มาจด ๆ จ้อง ๆ ไว้ก่อน อ่านไม่ไหว ปวดตามาก ปวดหัวด้วย 555...
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 25-05-2008 20:10:38
มาลงชื่ออ่านครับ อ่านดะ อิอิ  :oni2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Clear eyes ที่ 25-05-2008 21:11:03
เพิ่งเข้ามาอ่านเพราะถูกใจชื่อเรื่อง :m23:
อ่านแล้วชอบสำนวนการใช้ภาษามากเลยค่ะ อยากเขียนให้ได้แบบนี้มั่งจัง
ถูกใจประโยคที่ว่า
"ชะตากรรมก็เหมือนลม พัดเราให้มาพบกันได้ ก็พัดให้เราแยกจากกันได้ สักวัน เมื่อลมเปลี่ยนทิศ เราอาจจะได้เจอกัน" o13

ไอเดียการแบ่งสีตามช่วงเหตุการณ์ถือว่าแปลกดีค่ะ
ตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยชิน แต่นานไปก็ไม่แน่

สรุปว่าชอบบบบบ..... :m1:

แล้วมาต่อเร็วๆนะคะ
จะรอและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-05-2008 22:01:58
มีหลายสีจัง เวลาเจอสีใหม่ทีต้องเลื่อนไปอ่านว่าสีนี้แทนอะไร ทำให้สะดุดอ่ะ  :m23:

เนื้อเรื่องดูจะเริ่มจับเค้าได้บ้างแล้ว ก็สนุกดีนะ ชอบ  :oni2: :oni2:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 26-05-2008 00:50:49
เรื่องจับทิศทางเรื่องของนิยาย ต้องยกให้ ทิพ

ตัวแม่ในเรื่องแบบนี้จริง  o13
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-05-2008 02:26:45
คุณ oaw_eang  :  ดีใจที่เจ๊สองแวะมาเยี่ยมครับผม  ช่วงแรก ๆ จะอ่านยากนิดหนึ่งเพราะมีสอดแทรกหลายสี  แต่ช่วงต่อไปจะเป็นสีเดียวกันยาว ๆ ทั้งตอน  ก็คงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ   :a1:

คุณ KriT_SuN : สวัสดีครับพี่เอก  หายไว ๆ นะครับ  ผมเป็นกำลังใจให้นะ   :L1:

คุณ myLoveIsYOu : ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับผม  :m13:

คุณ Clear eyes : อิอิ  ผมยังกลัวอยู่เลยครับว่าชื่อเรื่องมันไม่ค่อยวัยรุ่นอ่ะ  กลัวจะไม่ค่อยโดน
ขอบคุณสำหรับคำชมคร้าบ   ส่วนเรื่องการแบ่งสีตามเหตุการณ์  ถ้าไม่แบ่งจะยิ่งงงกว่านี้อ่ะครับ
แต่ต่อไปจะจัดเรียงเหตุการณ์ประเภทเดียวกันต่อกันยาว ๆ ในตอนตอนหนึ่ง

สำหรับไอเดียที่แบ่งเป็นสอง  เพราะเรื่องราวจะดำเนินสองทิศทางและมาบรรจบกันที่จุดจุดหนึ่งครับ
ซึ่งทั้งสองทางจะเห็นความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น  และเป็นตัวโครงเรื่องหลัก
อันที่จริง  เรื่องนี้มาจากชีวิตจริงของผมเองครับ  ตัวละครก็มีจริงเกือบทุกคน  เพียงแต่เพิ่มความเป็นนิยายเข้าไป 
 :m23:
 
คุณ THIP : ต้องขออภัยจริง ๆ ครับที่ทำให้สะดุด  >,<  ผมเขียนแสดงบริบทของเรื่องไม่ดีพอที่จะให้ผู้อ่านรู้ได้ว่าเป็นเหตุการณ์แบบไหนอ่ะครับเลยต้องแยกด้วยสี   แล้วก็ดีใจที่คุณทิพจับโครงเรื่องหลักได้และเริ่มรู้สึกสนุกครับผม   :o8:
 






อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว





[ปัจจุบัน]



ผมพยายามลืมเปลือกตาอันหนักอึ้ง  และรวบรวมสติจากสมองอันมึนงงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์   หมอนหนานุ่มใบใหญ่รองรับศีรษะของผมอยู่   ในขณะที่ร่างกายของผมเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศที่เป่าลงมาบนผิวเปลือยเปล่า
แขนข้างซ้ายของผมปาดไปเบื้องข้าง  และสัมผัสกับผิวนุ่มลื่นของใครอีกคน

              เทพ   เทพ หรือ...  ไม่สิ  เทพไม่ได้มา       เขาโทรบอกผมอีกทีว่าคงมาไม่ได้

แล้วใครกันล่ะ  ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผม...

        ผมยันร่างขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง   พลางทบทวนความทรงจำช้า ๆ

ผมเมา   ใช่สิผมเมา     เทพโทรมาอีกทีด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่าติดนัดกับสาว ๆ   ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า  เมื่อคนที่ตั้งตารอ  กลับผิดคำในวินาทีสุดท้าย

คนที่นอนข้าง ๆ ยังไม่ตื่นจากหลับใหล    แม้ว่าผมจะเคลื่อนกายจนเตียงยวบ  ใบหน้าของเขาถูกปิดซ่อนอยู่ในความมืด    ทว่าผมไม่อยากใส่ใจ   ตอนนี้ผมรู้สึกเพียงความรังเกียจตนเอง

รังเกียจในความโสมม   รังเกียจในคราบราคีที่ถูกผู้อื่นฝากไว้ตรงซอกคอ  ยอดอก   ผิวหน้าท้อง   และส่วนนั้น     ผมจำได้ราง ๆ ถึงสัมผัสอันเร่าร้อนและรุนแรงเมื่อคืน  กับชายหนุ่มนิรนามที่พบเจอกันที่บาร์

ผมเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกาย   เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอายแล้ว   ผมมันหมดสิ้นซึ่งยางอาย  ฮะ ฮะ ฮะ  งั้นก็ยิ่งไม่ต้องกังวลในความสกปรกน่ะสินะ

แต่ไม่รู้สิ  อย่างน้อยสายน้ำเย็นที่ราดจากฝักบัวอาจจะพอให้ผมสำนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร   ใครบางคนที่ไม่จำเป็นต้องมีผม  และใครบางคนที่ผมทำร้ายเขา   ด้วยการกลับไปคว้าใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาสนองความเจ็บปวดของจิตใจ

เหมือนกับเอาน้ำเกลือราดที่แผลเรื้อ      รังแต่จะทำให้ยิ่งเจ็บปวดขึ้นทุกที

แต่ผมก็ยังมีความสุข  เวลาที่เห็นผิวเนื้อสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด  และเลือดซึมเล็ดออกมาจากปากแผลนั้น
ใครบางคนทางเบื้องนอกตื่นแล้ว  ผมสัมผัสได้จากเสียงสวบสาบของเนื้อผ้า   เขาคงถูกรบกวนด้วยแสงไฟและเสียงน้ำจากในห้องน้ำ   ผมยิ้มขื่น ๆ ให้กับตนเอง  ก่อนดึงเอาผ้าเช็ดตัวที่มีประจำอยู่ในห้องน้ำมาซับผิวเนื้อให้ปราศจากหยดน้ำเกาะพราว   และตวัดผ้าผืนนั้นรอบเอว

                        “ไงนัส     ชอบเมื่อคืนมั้ยครับ”

วาจาสองแง่สองง่ามอันกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่มกริ่มบนใบหน้าขี้เล่นของชายหนุ่มวัยเดียวกับผม  เอ่ยทัก  เมื่อผมก้าวออกมาจากประตูห้องน้ำ

นี่ผมบอกชื่อของผมให้เขารู้จักแล้วหรือนี่  ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ

                                 “คุณคือ...”

                     “ผมพันไพรครับ”

เขาหุบยิ้มลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น  เมื่อเห็นว่าผมสีหน้าเครียด   

ผมเหยียดยิ้มให้เขานิดหนึ่งและพิจารณารูปหน้าของเขาเมื่อต้องแสงไฟ    พันไพรมีผิวสีน้ำนมอ่อน  ผิวหน้าของเขาที่เนียนเรียบจนไม่น่าเชื่อ  ตัดกับคิ้วดกคมเข้ม  และไรหนวดจาง ๆ เหนือริมฝีปาก  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน  ที่ดูคุ้นเคย  จนผมประหวัดจิตนึกถึง เทพ   เจ้าของดวงตาสดใสแพรวพราวน่าหลงใหลดุจเดียวกัน

                “พันไพรครับ     ผมจะออกไปข้างนอก    ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ฝากล๊อคห้องด้วยนะครับ”

พันไพรอ้าปากจะทักท้วง  แต่ผมรีบตัดบท

                             “ผมว่าคุณคงง่วง  และตอนนี้ก็ยังมืดเกินไป   นอนที่เตียงผมต่อก่อนก็ได้ครับ”

ระหว่างที่พูด  ผมก็คว้าเอาเสื้อเชิ้ตสีขาว  และกางเกงขายาวสีเข้มมาแต่งตัวที่โต๊ะเครื่องแป้ง
พันไพรเอนร่างลงนั่งพิงฝาผนังติดเตียง  และเฝ้ามองผมตอนแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ

                       “แล้วเจอกันนะครับ”

ผมบอกลาเขาแต่เพียงแค่นี้  แล้วจึงปิดประตูห้องตามหลัง  ผมหลับตายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง  ทำไมผมต้องหนีออกมาด้วย   เพราะความกลัวหรอกหรือ

กลัวที่จะทำเรื่องโสมมเช่นเมื่อคืนอีกครั้ง      กลัวจะถูกสัมผัสจากมือคู่อื่น   ผมเกลียดตนเองขึ้นทุกทีที่ก้าวห่างจากห้องไป

                    ชีวิตมันก็แบบนี้ล่ะนะ...

ผมยิ้มหยันให้กับโลกยามราตรีที่มืดหม่นราวจะบดขยี้คนไร้ทางไปอย่างผมให้แบนราบภายใต้ท้องฟ้าสีหมึกนั้น
   




        ลมทะเลพัดเฉื่อยฉิวริมหาดขณะที่แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณเริ่มแต่งแต้มขอบฟ้าอีกด้าน    เงาเมฆสีแดงจางจับกลุ่มเกาะเหนือทิวเขาด้านตรงกันข้ามของฝั่งทะเล     ผมสูดลมหายใจลึกยาวเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด  หวังจะชำระล้างคราบความแปดเปื้อนภายในจิตใจ     เสียงคลื่นซัดซ่าดังมาจากที่ไกล ๆ เนื่องจากช่วงน้ำลงยาวจนเห็นสันทรายชายหาดยาวลิบ  ผมเดินทอดน่องกลับยังทางเก่า  ที่รอยเท้าเดิมของผมทิ้งรอยประทับไว้บนผืนทราย

บังกาโลของผมอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล  สวนเล็กเบื้องหน้าปูด้วยพรมหญ้าสีเขียวสด  แซมประดับกอแก้วกลิ่นกรุ่น   ผมได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่าของคนมากกว่าหนึ่งคนจากภายใน  มันทำให้ผมร้อนรุ่ม  ด้วยคิดไปว่าพันไพรพาใครมายุ่มย่ามที่นี่หรือเปล่า    แต่อย่างไรก็เป็นความผิดของผมเองที่ไปไว้ใจใครง่าย ๆ จนเกินไป

ผมผลักประตูเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะ  ด้วยความร้อนรน   ทว่าคู่หญิงชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะสีขาวกลางห้องโถงกลับทำให้ผมหยุดชะงัก  และครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา

  “เทพ...”

เทพโบกมือให้ผมจากโต๊ะนั้น  เขาไม่คิดที่จะลุกขึ้นต้อนรับ'เจ้าของบ้าน'  ขณะที่หญิงสาวอีกคน  ซึ่งผมจำได้ว่าหล่อนคือน้องสาวของเพื่อนเมื่อครั้งม.ปลาย

           “ไง นัส  เราแวะมาเยี่ยม    แก้ตัวที่เมื่อคืนรับปากแล้วไม่มา  หุหุหุ”

              ผมดีใจแทบตายอยู่แล้วที่เขามา  แต่ก็แกล้งทำเปนเก๊กขรึม

               “อืม  มาก็ดี”

                  “อะไรอ่ะคะ พี่นัส    ทักแต่พี่เทพคนเดียวไม่ทักยีนส์บ้างเลย”

สาวน้อยซึ่งนั่งฝั่งตรงกันข้ามทักท้วงด้วยเสียงอ่อนหวาน   

                         “ไงญิณรา     ฌิณชัยเป็นไงบ้าง”

         “ก็สบายดีค่ะ   เห็นบ่นถึงพี่นัสบ่อย ๆ ว่าไม่ค่อยติดต่อมาเลย”

        “อืมพี่ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่น่ะ  ฝากขอโทษไอ้ชัยมันด้วยล่ะกัน   ว่าแต่ลมอะไรพัดยีนส์มานี่ด้วยกับไอ้เทพล่ะ”

                           “ลมคิดถึงพี่นัสไงคะ”

เสียงกุกกักจากครัวเรียกสายตาของทุกคนไปยังชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีฟ้าซึ่งถือกระทะร้อนกรุ่นออกมา
ผมสะดุ้งใจหายวาบเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือพันไพร

               “อ่า  นัสมาพอดีเลย  โชคดีที่ผมเตรียมอาหารเช้าไว้สี่ชุด”

                      “พี่ไพรทำอาหารเก่งจัง  หอมเชียว”

ผมชักเอ๋อ   ที่ดูเหมือนว่าทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว  แต่ก็ยังไม่วายใจสั่นที่ความลับอะไรของผมจะรั่วไหลหรือเปล่า

                          “ไม่นึกว่า  นัสจะรู้จักไพรด้วย  เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเราเอง”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก   เมื่ออะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้

                                “โลกมันกลมเหลือเชื่อ   ใช่มั้ยครับนัส”

พันไพรยิ้มหวานให้   ดวงตาของเขาแพรวพราวดุจเดียวกับเทพไม่มีผิด   และสิ่งที่เหมือนกันคงจะเป็นความสามารถในการถือวิสาสะตีสนิทกับคนอื่นได้เก่งพอ ๆ กัน

เทพรวบมีดส้อมเข้าหากันเมื่อรับประทานเสร็จ     ผมนั่งถือมันค้างไว้ด้วยความที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในบางเรื่อง  พันไพรเช็ดปากกับผ้าเช็ดหน้าของเขาเอง  ส่วนญิณราค่อย ๆ รวบมีดส้อมเข้าหากันอย่างนุ่มนวล

             “ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ ?”

                   “พี่เทพเขากลัวว่าจะมาขี้แยใส่พี่น่ะสิคะ”

                       “ยัยยีนส์!”

คนโดนนินทาระยะเผาขนปรายตาเข้มทำเสียงดุใส่   ญิณราลอบแลบลิ้น

      “อีทีนี้ล่ะมาทำเป็นดุ”

ผมมองภาพของคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย  และหลุดคำพูดออกไปจนได้

                      “ยีนส์กับเทพดูสมกันดีนะ...”

สาวน้อยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ  และเงียบไปในพริบตา  ขณะที่เทพกลับแก้ตัวเป็นพัลวัน

  “เปล่า..  เปล่านี่  นัสก็รู้ว่าเรายังไม่อยากมีแฟน   กับยีนส์เราก็คิดแค่น้องสาว  ใครจะเอายัยตัวแสบแบบนี้ทำแฟนลงคอ  โชคร้ายตายเลย”

             “โธ่เอ๊ย   คนขี้เก๊ก  ขี้แย  ขี้แกล้ง  จอมกวนประสาทอันดับหนึ่ง หล่อก็ไม่หล่อ แบบพี่เทพ  ใครเขาจะอยากได้กันล่ะคะ”

ญิณราก็ว่าไปแต่ดวงตาของเธอเสไปทางอื่นไม่ยอมสบกับใคร

                   “เออ  เมื่อไหร่แกจะกลับล่ะ”       พันไพรพลันทะลุกลางปล้อง  จนคนรอบ ๆ สีหน้าเจื่อน  แต่เทพที่รู้แกวกันดีจึงตอบโต้กลับ 

                         “หนอย  มีเพื่อนใหม่แล้วลืมเชื้อลืมแถว  นี่นัส  อย่าไปเชื่อไอ้หมอนี่มากนักนะ  มันชอบหลอกให้พาไปเลี้ยงข้าวฟรีแล้วก็ชักดาบ”

ผมหลุดหัวเราะ  เมื่อเทพเผาลูกพี่ลูกน้องเขาซึ่ง ๆ หน้า

                                 “เฮ้ย  อย่าไปเชื่อไอ้เทพ  ผมไม่เคยทำแบบนั้น  ผมเป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”

                “เอ้า  งั้นรีบ ๆ ตายไป  จะได้ไปกินข้าวต้มงานศพ”

วาจายอกย้อนใครจะเกินเทพ   จนผมต้องรีบห้ามทัพ        “เกรงใจเจ้าของบ้านหน่อยสิครับ  เขาจะสำลักไข่ดาวไหม้ติดคอตายแล้ว  หึหึหึ”

พันไพรฝากสายตาอาฆาตให้ลูกพี่ลูกน้อง  ก่อนลุกขึ้นเก็บจานให้กับทุกคนยกเว้นเทพ   ผมส่ายหน้าช้า ๆ แล้วลุกขึ้นเก็บให้เทพแทน

                          “นายบอกอะไรเทพไปบ้าง ?”

เมื่อเราอยู่สองต่อสองในครัว  ผมก็ได้โอกาสซักไซ้     พันไพรหันมายิ้มให้อีกครั้งด้วยมาดสบาย ๆ

                          “จะให้บอกอะไรล่ะครับ  ไม่เห็นมีอะไรต้องบอก”

                                   “นายรู้จักเรามาก่อนหรือเปล่า ?”

            “เปล่านี่ครับ  เราพบกันเพราะโชคชะตา  หรือเรียกอีกอย่างว่าบุพเพสันนิวาส”

ดวงตาของเขาระยิบระยับจนผมไม่กล้าสบตาตรง ๆ อีกแล้ว

 เสียงฝีเท้าดังมาใกล้  จนผมต้องถอยห่างออกจากพันไพรโดยอัตโนมัติ

                       “พวกเราจะกลับกันแล้วนะคะ”

                                       “ครับ  เดี๋ยวผมออกไปส่ง”

                             “ไม่ต้องหรอกค่ะ  พี่เทพไปรถแล้วค่ะ   เลยฝากยีนส์มาลา”

ผมหัวใจโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก   เมื่อยังไม่ทันได้เตรียมใจที่จะมองหน้าของเขาเพื่อเก็บความทรงจำไว้  ก็ต้องลาจากกันโดยไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว 

                             “ครับ”

ผมรับคำอย่างเลื่อนลอยจนแทบไม่รู้ตัวว่าญิณราออกไปเมื่อไหร่

                                   “นัสครับ  ..ผมมาหาได้อีกหรือเปล่าครับ”

                        “นายจะมาหาผมอีกทำไม”

                             “ก็อย่างเมื่อคืนไงครับ”

พันไพรหลิ่วตาให้ด้วยสีหน้าทะเล้น

                                       “เสียใจครับ  ผมทำแบบนั้นกับคนที่เกี่ยวข้องกับเทพไม่ได้”

                          “เพราะนัสอยากทำกับเทพเสียเองน่ะสินะ”

ความเงียบกริบขนาดที่ว่าแม้เข็มตกยังได้ยินปกคลุมเราทั้งคู่

                               “ผมเห็นสายตาของนัส   ว่านัสมองเทพยังไง”

                    “ประตูอยู่ทางนั้นครับ  ออกไปจากบ้านของผมได้แล้ว”

แต่พันไพรไม่ขยับจากที่เดิมแม้แต่ก้าวเดียว

                                 “เอาล่ะ  ผมขอโทษ  ที่พูดแบบนั้น    แล้วถ้าผมอยากจะขอกลับมาหาอีกครั้งในฐานะเพื่อน   หรือไม่ก็ฐานะของลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนล่ะ  นัสยินดีต้อนรับผมอีกมั้ยครับ”

                “ทำไมนายถึงอยากเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตผมนักล่ะ ?”

                                “นัสเคยได้ยินคำว่า  ..รักแรกพบมั้ยครับ”

               “ผมไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบครับ   ผมเชื่อแต่เซ็กแรกพบ”

                                   “งั้นสักวันผมจะทำให้นัสเชื่อ  ว่ารักแท้ที่เริ่มจากเซ็กมันก็มีอยู่จริงเหมือนกัน”

             “ผมไม่เชื่อ..”

                    “งั้นก็ให้โอกาสผมลองสิครับ   หรือว่านัสกลัว”

ท้าทายเก่งเหมือนกันไม่มีผิด  ทำไมทั้งคู่ถึงเหมือนกันขนาดนี้นะ..

                              “ถ้างั้น  พรุ่งนี้เจอกันครับ  แล้วผมจะมาเยี่ยม”

                          “เดี๋ยว ...  นี่...”

แต่พันไพรทำหูทวนลม  เขาก้าวยาว ๆ ตัดห้องรับแขกออกสู่ระเบียงหน้าบ้าน  และก้าวจากไปพ้นเขตบังกะโลในที่สุด  พวกตระกูลนี้นี่  หัวดื้อแบบนี้หมดทุกคนเลยหรือเปล่า




หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: namtansaidang ที่ 26-05-2008 13:27:30
ปฤษณะ    ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: InLuSt ที่ 26-05-2008 16:10:28
แอบแปลกใจที่เจอนิยายพี่ณะ... :oni1:
พี่พึ่งเข้าเล้าเหรอ... :a3:
เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มความสนุกของเรื่องนี้... o13
(ในใจอยากทวงอีกเรื่องนึงเหลือเกินแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วเพราะพี่ณะลบไปจากเด็กดีแล้ว...เศร้า :o12:)

ปล...ทีในเด็กดีไม่เห็นจะเปลี่ยนสีให้เลย(ถ้าจำไม่ผิดนะ)ต้องใช้ความพยายามขั้นสูง(หรือศูนย์)ตลอด
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 26-05-2008 16:54:48
ง่าคุณน้ำตาลทรายแดง  รู้จักผมด้วยเหรอครับนี่

ส่วนน้องเบส  สวัสดีจ้ะ  เรื่องที่ว่านั่นปักษานฤมิตหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-05-2008 01:37:57
ดูจากเหตุการณ์ปัจจุบันแล้ว ยิ่งทำให้ลุ้นถึงเหตุการณ์ในอดีตเนอะ
ดูสิว่า จะแต่งได้เข้มข้นขนาดไหน น่าลุ้นจริงๆ  :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-05-2008 02:11:13
คุณ THIP : บทหลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งแล้วครับ  ^ ^ 
อิอิ  ผมก็ตื่นเต้นครับ  ลุ้นว่าคนอ่านจะชอบหรือเปล่ากับวิธีการดำเนินเรื่องแบบนี้

 :o8:


อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
อื่น ๆ ใช้สีครามเขียว



บางทีผมก็หลงลืมวัยอยู่บ่อย ๆ ยามเมื่อนอนอยู่บนเตียงในเวลารุ่งเช้า นอนรอหวังให้มีใครบางคนมาทุบประตูเรียก นอนรอหวังว่าใครบางคนจะเข้ามาแกล้งด้วยการจุ่มมือลงในน้ำเย็น ๆ แล้วเอามาลูบหน้าเมื่อปลุกให้ตื่น บางทีใครบางคนนี้ก็สตาร์ทรถขู่ยามเช้า ๆ ให้ผมรีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวไปพร้อมกับเขาเพื่อให้ทันโรงเรียน

แต่ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวแล้วสินะ ผมเคยเกลียด และน้อยใจใครบางคนที่ว่านั้น ถึงขนาดที่คิดจะตายให้พ้น ๆ หน้าเขา แต่ตอนนี้ผมคิดถึงพ่อจับใจ พ่อของผมไม่ใช่คนที่รู้ความลับของผมมากที่สุด เพาะว่าผมมักจะปิดบังความคิดและความรู้สึกต่าง ๆ ไว้จากการสังเกตของเขา เรื่องราวเกินกว่าเจ็ดในสิบในชีวิต ผมไม่เคยเล่าให้เขาฟัง ความคิดของผมกว่าครึ่งผมก็ไม่ยอมให้เขาล่วงรู้

แต่..ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ รู้สึกถึงความเข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว แค่รู้ว่า มีใครบางคน ที่รอให้ผมกลับไปหาในทุก ๆ วัน....

ผมร้องไห้อีกแล้ว ผมมักจะร้องไห้ในทุก ๆ รุ่งเช้าที่หวนนึกถึงเวลาเก่า ๆ ผมรู้สึกเกลียดยามเช้าเข้าทุกที พอพอกับที่เกลียดความอ่อนแอของตนเอง  ผมมักจะปิดประตูความสงสารใส่หน้าของผู้อื่นด้วยความหยิ่งทระนง เพื่อแลกกับช่วงเวลาที่อ่อนแอและเปราะบางอยู่คนเดียว เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมากใช่มั้ย

ผมเกลียดที่จะมีใครมาสงสาร มีใครมองเห็นด้านอ่อนแอ ด้วยความสมเพชเวทนา ผมอยากได้ความเข้าใจ อยากให้ใครบางคนเข้าใจอารมณ์แปรปรวนของผม
แต่...ความเข้าใจมักมาพร้อม ๆ กับความสงสารอยู่เสมอ และผมเกลียดมัน!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะช้า ๆ เนิบนาบ ดังมาจากเบื้องหน้าของตัวบ้าน ผมรีบคว้าเอาผ้าห่มข้าง ๆ มาเช็ดถูข้างแก้มอย่างเร่งรีบ

“ใครน่ะ ?”

ผมก้าวออกจากประตูห้องนอน และตะโกนถามด้วยเสียงดังพอสมควร

“ผมเองคร้าบ...”

คำตอบรับที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว ผมสังหรณ์ว่าไอ้คนที่อยู่หน้าบ้านต้องเป็นไอ้หมอนั่นเป็นแน่

“ผมเองน่ะใครกัน ?”

“พันไพรไงครับ..”

คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินชื่อที่คาดเดาไว้

“ขอโทษครับ ที่บ้านนี้ไม่มีใครรู้จักคนชื่อพันไพร”

เสียงเคาะประตูเงียบหายไป ในขณะที่ผมเองก็ใจหายนิด ๆ เหมือนกัน
แต่ก็ดีแล้วล่ะ เลิกยุ่งกับผมได้ซะก็ดี
ผมหมุนร่างกลับ หวังจะไปชงกาแฟดื่มยามเช้าในครัว

แต่ในขณะนั้นเอง ผมก็สะดุ้งตกใจ เมื่อร่างสูงของใครบางคนผลักหน้าต่างไร้เหล็กดัดของผม พร้อมกับพาร่างของตนเข้ามาในตัวบ้าน พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ

“โทษทีครับที่ผมแอบถอดสลักไว้ก่อนจะกลับไปเมื่อวาน”

พันไพรยิ้มร่าราวกับเด็ก ๆ โดยไม่รู้สึกรู้สา นี่มันบุกรุกนะเว้ยไอ้ตัวแสบ

“ดอกไม้ครับ แทนคำบอกรัก”

เขายื่นช่อดอกไม้สีฟ้าอ่อนในมือออกมาสุดแขน แต่ผมไม่รับซะอย่างใครจะทำไม

“ผมเกลียดดอกไม้ครับ มันบอบบาง ยากต่อการดูแล ซ้ำเมื่อโรยราแล้วยังเหี่ยวแห้งไม่น่าดูอีกต่างหาก แต่ถ้านายจะให้ผมจริง ๆ ผมจะรับไว้ก็ได้นะครับ เพราะดูเหมือนว่า ดอกฟอร์เก็ตมีนอตจะใช้ทำปุ๋ยหมักชั้นยอดได้”  ผมแอบสะใจเล็ก ๆ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังอย่างแรงจากเจ้าของช่อดอกไม้แทนใจช่อนั้น

“หมดธุระแล้วก็รีบกลับเถอะครับ บ้านผมคับแคบคงรับรองนายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก”

ทว่า หมอนั่นกลับแย้มยิ้มอีกครั้งราวกับต้นไม้ได้น้ำ เขี้ยวเล็ก ๆ น่ารักของเขาปรากฏแทรกอยู่ในไรฟันภายใต้ริมฝีปากบางประดับด้วยไรหนวดจาง ๆ สีเขียวอ่อน เขากำลังจะล่อลวงผมด้วยรอยยิ้ม!

“ยังครับยังไม่หมดธุระ ผมว่าจะมาชวนนัสไปถีบจักรยานออกกำลังกายด้วย เห็นว่านัสมีจักรยานเสือหมอบที่ได้จากคุณแม่อยู่คันนึงไม่ใช่หรือครับ”

ผมหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด สงสัยเสียจริงว่าเทพมันเล่าอะไรเกี่ยวกับผมให้ลูกพี่ลูกน้องจอมตื้อรายนี้ไปแล้วบ้าง ครั้งจะปฏิเสธอีกคราก็จะหักหาญน้ำใจวัวเคยขาม้าเคยขี่อย่างแรงซึ่งผมไม่นิยมกระทำ

“ก็ได้ครับ”

คำตอบรับจากผมยิ่งขยายรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาให้กว้างขึ้น พันไพรวางช่อดอกฟอเกตมีนอทไว้บนโต๊ะพลาสติกสีขาวอย่างเบามือ แล้วเดินนำออกไปทางประตูหน้าอย่างกระฉับกระเฉง




ผมถอดหมวกแก๊ปที่สวมอยู่ออกมาพัดคลายร้อนระหว่างที่หมอบหลังราบบนเสือหมอบบนเส้นทางขึ้นสู่เขา คนข้างหน้าช่างปั่นจักรยานได้ไม่มีเหน็ดเหนื่อยและไม่คิดจะปราณีผมเลยแม้แต่น้อย

แผ่นหลังของเขาภายใต้เสื้อฮาวายสีสันสดใสเห็นสะบักหลังแข็งแกร่งอันผมเคยสัมผัสอย่างแนบชิดมาก่อน น่องของเขาซึ่งมีกล้ามแต่พองามบ่งบอกว่าคงจะเล่นกีฬาบ่อยพอสมควร กำลังถีบลงไปบนที่ถีบของพาหนะ

พันไพรลดความเร็วลงเมื่อขึ้นสู่ทางลาดยางอันลาดชันซึ่งนำไปสู่จุดชมวิวบนยอดเขา ต้นไม้เริ่มสานกิ่งใบกันอย่างร่มรื่น เมื่อจักรยานของพวกเราเลี้ยวเข้าสู่สถานที่ชมวิว โขดหินวางเรียงตัวกันอย่างงดงามข้างลานจอดรถ และเบื้องหลังของโขดหินเหล่านั้นก็เป็นกอบุปผชาติละลานตาซึ่งชูช่อไสวอยู่บนสันเขากั้นระหว่างผู้มาเยี่ยมชมกับความเวิ้งว้างของโตรกผาเบื้องล่าง   

ผมจอดรถพิงกับกอหินกอหนึ่ง และก้าวไปชมความงามของธรรมชาติเบื้องล่าง น้ำทะเลสีครามอมเขียวเข้มลึกล้ำไกลลิ่ว ๆ ตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดใสอันมีปุยเมฆสำลีขาวลอยอ้อยอิ่ง เกาะเล็ก ๆ กลางน้ำสีคราม เมื่อสังเกตเห็นจากหน้าผาก็ราวกับที่พำนักของนางเงือกในตำนานปรัมปรา

ใครอีกคนก้าวเข้ามาประชิดร่างผมและถือวิสาสะโอบไหล่เอาไว้

"ทะเลสวยมั้ยครับ "

ผมมองหน้าพันไพรด้วยครุ่นคิดว่าหมอนี่มันจะมาไม้ไหน

"ครั้งหนึ่ง ผมเคยมาที่นี่ ชมดูทิวหาดขาวยาวเหยียด ทอดสายตาไล่ตามผิวน้ำสีมรกต.."

"แล้วไง"

"ผมเห็นว่ามันสวย ผมมองเห็นถึงความงามของมัน ในครั้งนั้น ผมเลยตั้งใจไว้ว่า..."

พันไพรหันมาสบตาผม ดวงตาของเขาสะท้อนประกายจากท้องทะเลจนแพรวพราว

"สักวัน ผมจะพาคนที่ผมรัก ขึ้นมาชมที่นี่ด้วยกัน"

ผมรู้ดี ว่าเขาพูดถึงใคร ถ้าเขาต้องการอะไรล่ะก็ ต้องนับว่าประสบผลแล้ว เพราะผมเริ่มหวั่นใจขึ้นทุกที

"จะกลับกันยังล่ะ ผมหิวแล้ว"

"ได้ครับ ผมรู้จักร้านอร่อย ๆ แถว ๆ นี้. เดี๋ยวผม..."

"ใครว่าผมจะไปกินกับนาย ก็ชวนมาออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ เสร็จแล้วก็ทางใครทางมันสิครับ"

ผมเบี่ยงร่างออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วจับเสือหมอบที่พิงอยู่ข้างโขดหินเพื่อขึ้นคร่อม

ทางลาดลงเขาต้องขับลงอย่างระมัดระวัง ซึ่งผมต้องกดเบรกบ่อยครั้ง ขณะเดียวกันก็ลอบเหลียวมองข้างหลังซึ่งจักรยานอีกคันขับตามมาติด ๆ

ผมกัดริมฝีปากด้วยความขัดใจ เมื่อเห็นพันไพรยังไม่เลิกตาม นิ้วหัวแม่มือที่กดตรงแฮนด์ไว้อยู่จึงเลื่อนมาที่เกียร์เพื่อเป็นเป็นการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง

ผมกระแทกเท้ากดถ่ายน้ำหนักลงไปเพื่อส่งให้พาหนะวิ่งฉิวราวกับลมพัด พลางหันหลังมามองว่าอีกฝ่ายถูกทิ้งล้าหลังแค่ไหนแล้ว

พันไพรไม่ยอมแพ้ เขาเหยียดร่างขึ้นปั่นในท่ายืน เพื่อให้ทันผม แต่ผมเหยียดยิ้มที่มุมปาก เนื่องจากหากเป็นทางลาดลง เสือหมอบของผมได้เปรียบเห็น ๆ ผมหมอบลู่ร่างลงแทบขนานกับพื้นโลก ปล่อยให้กระแสอากาศแล่นฉิวผ่านซอกใบหูไป เวลาที่อยู่ในความเร็วสุดยอด รู้สึกราวกับได้ปลดปล่อยอะไรสักอย่าง เหมือนกับได้โบยบินอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ

ผมเหลียวหลังกลับไปบ่อยครั้ง และมักจะชะลอโดยไม่รู้ตัว เมื่อพันไพรเริ่มตามไม่ทัน

ไม่น่ะ... ผมอยากจะสลัดหลุดจากนายนั่นจะตาย บ้าจริง!

ผมเหลียวคอมองเขาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้พันไพรมีสีหน้าตกใจ เขาพยายามตะโกนอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน และผมก็พยายามฟัง พันไพรพยายามชี้ไปเบื้องหน้า...

ผมหันกลับไปมอง...

รถทัวร์ขนาดใหญ่แล่นอย่างอย่างเร็วทางเบื้องหน้า ไม่มีที่ให้ผมหลบเลยแม้แต่น้อย เพราะรถทัวร์คันนั้นกำลังแซงปิคอัพอีกคันอยู่ เสียงของพันไพรอาจจะเพิ่งแล่นมาถึงผม

"เฮ้ย! นัสระวังรถ!!!"




........




ผมหักจักรยานให้เป๋ลงข้างทาง มันพุ่งพรวดสู่เนินเตี้ยจากส่วนขรุขระไหล่ทางและดีดดิ้นราวกับม้าพยศ ผมถูกมันเขย่าให้สั่นไปทั้งร่าง ล้อที่กระแทกลงกับก้อนหินระเกะระเกะส่งแรงสะเทือนและสลัดร่างผมลงไปจากอานจนได้
ผมกระเด็นไปสองสามตลบ แต่ก็ไม่บาดเจ็บอะไรนัก เพราะเคยฝึกม้วนตัวบ่อยครั้งจากยูโด ทว่า คนที่รีบลงจากจักรยานแล้ววิ่งอย่างร้อนรนมายังผม ดูจะงุ่นง่านหัวเสียยิ่งกว่าคนโดนเสียอีก

ผมยันกายขึ้น เมื่อพันไพรก้าวยาว ๆ เข้ามาหิ้วปีกของผม

"นัส ๆ เป็นอะไรมากมั้ย เดี๋ยว ๆ ค่อย ๆ ลุกสิ"

น้ำเสียงร้อนรนของคนที่เป็นห่วงอย่างจริงใจ เรียกรอยยิ้มจากผม

"ไม่นี่ ไม่เป็นไรมาก ดูสิ สบายดี"

ผมลุกขึ้น แล้วสะบัดแข้งขาให้เขาเห็น ทว่าพันไพรรีบรวบร่างของผมไว้

"อย่าขยับมาก ดูสิ ถลอกเลือดแดงฉานเลย"

ผมก้มมองตามสายตาของเขา และพบว่าหน้าแข้งรวมทั้งหัวเข่าของผม เปรอะไปด้วยเลือดจริง ๆ ซ้ำบางส่วนยังเห็นชั้นไขมันขาว ๆ ภายใต้เนื้อเลอะเลือด แต่ผมไม่รู้สึกเจ็บ คงเป็นความชาที่เกิดจากความตื่นเต้นจากประสบการณ์เฉียดตาย

พันไพรล้วงกระเป๋าของเขา และเปิดโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กจิ๋วดูหรูหราจนผมแทบไม่อยากคาดเดาราคาของมัน เขาหันหน้าไปทางอื่นและกรอกเสียงเบาจนผมไม่ได้ยินลงไปในสาย

พันไพรเก็บโทรศัพท์ แล้วหันมาดูแล เขา"ลาก"ผมไปนั่งเหยียดขาที่โขดหินก้อนหนึ่ง แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีออกจากกระเป๋า มาเช็ดตรงส่วนที่ผมเกิดบาดแผลอย่างไม่รังเกียจ

"อ้าก! เบา ๆ หน่อยสิครับ"

ตอนนี้ผมเริ่มเจ็บแล้วล่ะ การเสียดสีของเนื้อผ้ากับเนื้อผิวที่เปิดเข้าไปจากแผลมันไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด

"โทษทีครับ เอ้า มาแล้ว"

รถคันยาวสีดำติดฟิมล์กรองแสงมืดทึบแล่นมาจอดข้าง ๆ ถนนตรงที่ผมนั่งอยู่ พันไพรตามคนมารับไปได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ เขาฉุดดึงร่างผมอีกครั้งให้ถลาไปตามแรง และเปิดประตูส่วนหลังของรถ พร้อมกับโยนร่างผมลงไปในนั้น ผมไม่ได้สังเกตคนขับรถเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่าพันไพรให้คนขับออกไปจัดการนำรถจักรยานของเราทั้งคู่ไปเก็บไว้ก่อน
ส่วนเขา ก้าวเข้ามาประจำตำแหน่งคนขับ และออกรถไปโดยไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงของผมเลยแม้แต่น้อย

"เดี่ยวสิ เฮ้ย ไปไหนน่ะ"

"ก็ไปที่พักของนัสไง หรืออยากให้พาไปบ้านผม"

คนถูกถามส่งยิ้มยั่วมาจากกระจกส่องหลัง

"เอ หรือว่า นัสทนรอไม่ไหวที่จะได้ไปแนะนำตัวเป็นเขยที่บ้านผมแล้วนะ ถึงได้ถามอะไรแปลก ๆ"

ผมส่งหน้าบึ้งไปแทนคำตอบ จนพันไพรหัวเราะหึหึ

เพียงไม่กี่นาที เราก็มาถึงที่พักจนได้...

หมอนั่นยังไม่เลิกฉุดดึงผม จนผมต้องสลัดมือของเขาออก และก้าวเข้าบ้านโดยพยายามฝืนความเจ็บปวดที่เริ่มมากขึ้นทุกที

"นัสมีชุดทำแผลมั้ย"

ผมปรายตาไปทางตู้ยาเหนือชั้นวางของ พันไพรก็กดร่างผมนั่งบนโต๊ะที่ยังค้างไว้ด้วยช่อดอกฟอเก็ตมีน๊อต ซึ่งเริ่มเหี่ยวแห้งลงตามกาลเวลา เขาวิ่งไปยังตู้ยา และค้นเอาเครื่องมือผ้าและขวดยาออกมาจำนวนหนึ่ง ผมสูดปากด้วยความเจ็บแสบ เมื่อพันไพรเริ่มกระบวนการล้างแผล

"นิ่ง ๆ สิครับ เป็นลูกผู้ชายภาษาอะไร อดทนหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"

"ผมเป็นเกย์ครับ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย อูย ซี๊ด เบา ๆ หน่อยเดะ"

พันไพรยิ้มขำกับคำย้อน แล้วส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่กำลังสิ้นสุดกระบวนการขั้นสุดท้ายคือการพันแผล

"อ่าว เสร็จแล้วครับ เท่ห์เชียวนะ เทรนด์ใหม่ ผ้าพันแผลสุดจ๊าบ"

"โอย พันซะแน่นเลย งี้ผมก็ใช้หัวเข่าไม่ได้น่ะสิ" ผมชักเริ่มยิ้มออก และหยอกกลับ เมื่อพบว่าพันไพรเป็นคนดีกว่าที่คิด

"ขอบคุณนะครับ"

ผมชักงง จะมาไม้ไหนนี่ จู่ ๆ ก็ทำตาซึ้งแล้วมาขอบคงขอบคุณ

"วันนี้ผมมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้"

ผมเบนใบหน้าหลบสายตาของเขาที่จ้องขึ้นมาในท่าคุกเข่า แต่พันไพรกลับจับคางของผมแกมบังคับให้มองหน้าของเขาด้วย

"สิ่ง .. อะไร เหรอครับ"

พันไพรไม่ตอบ เขาค่อย ๆ ยันกาย เคลื่อนตัวเข้าใกล้ผม

ผมตาลายไปด้วยประกายในดวงตาของอีกฝ่ายในระยะห่างกันไม่ถึงคืบ

"ผมรักคุณครับ.."

ผมตะลึงกับคำสารภาพนี้ ถึงแม้จะเคยได้ยินแล้ว แต่ครั้งนี้มันช่างแตกต่าง เหมือนกับจู่จู่ ก็มีคนเปิดเพลงหวานให้ฟังใกล้ ๆ หู   และในวินาทีนั้น ริมฝีปากร้อนลวกก็โน้มลงมาประทับรสจูบอันร้อนแรงในทันใด...





เครื่องปรับอากาศตัวเดิม พ่นลมลงมากระทบผิวเปล่าเปลือยของผมเช่นเคย และข้าง ๆ ใครอีกคนก็นอนลืมตาอยู่ด้วย

"นายรักผมจริงหรือครับ ไพร"

คนถูกถามยันกายขึ้นมาด้วยสีหน้าพิศวง

"ครับ"

"แล้ว... ความรักของนายต้องตอบแทนด้วยเซ็กส์ทุกครั้งหรือเปล่า?"

พันไพรนิ่งอึ้ง แต่แล้วก็รีบตอบ

"ฟังนะ ผมรักนัสจริง ๆ แต่เรื่องเซ็กส์นี่ ถ้านัสสมัครใจ ผมสมัครใจ เราก็น่าจะมีได้ไม่ใช่หรือครับ ถ้านัสไม่อยาก บอกผมได้นี่นา รับรองว่าผมจะไม่แตะต้องนัสแม้แต่ปลายก้อย แล้วถ้า.."

"ผมไม่ได้ไม่พอใจครับ" ผมยิ้มให้แก่เขา พร้อมกับบีบมืออีกข้างของเขาไว้เบา ๆ "ผมก็แค่ถามไปงั้นเอง ผมมีความสุขมาก แต่.. ไม่รู้สินะ ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่ถามเล่น ๆ"

พันไพรถอนหายใจเฮือก แล้วทิ้งตัวลงกับเตียงช้า ๆ

"ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะผูกมัดคุณไว้อย่างไร ระหว่างพวกเรา แทบไม่มีอะไรยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ว่า ถ้านัสอยากให้ผมเป็นอะไร ผมจะเป็นอย่างนั้น ผมอยากเห็นนัสมีความสุข อยากเห็นนัสยิ้มอย่างจริงใจเหมือนคราวที่พบกับเทพ ยิ้มแบบนั้นให้ผมบ้าง ..ได้มั้ยครับ"

ผมฝืนยิ้มด้วยใจปวดร้าว เขาพูดถึงเทพอีกแล้ว ชื่อที่ผมอยากจะลืมแต่ลืมไม่ได้ ยิ้มของผมคงเต็มฝืนเต็มที แต่ผมก็ยังชี้ให้เขาดู

"นี่ไงครับ ผมยิ้มให้แล้ว"

พันไพรเองก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่เศร้าเป็นบ้า เขาคงรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร

"ผมเห็นรอยแผลในดวงตาของนัส..."

ผมแทบหยุดหายใจ เมื่อเขามองได้ลึกกว่าที่คิด

"ไม่สิ ผมไม่ควรพูดถึงมัน ผมเพียงแค่อยากเห็นนัสมีความสุขบ้าง ..นะครับ"

"บางที มันอาจจะสายไปแล้ว ผมไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนความชั่วช้าและความเจ็บปวดที่ผมกระทำต่อผู้คนรอบข้าง    ไพร..นายอย่าทำดีกับผมนักเลย ผมไม่คู่ควรต่อมันหรอก ผมเชื่อนะ ว่ามีผู้หญิงหรือผู้ชายอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องการคนเพียบพร้อมแบบนาย"

"แต่ผมต้องการนัสเพียงคนเดียว!"

"แต่ผมไม่ต้องการ...!"

ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเรา มันเหมือนกระจกใสกางกั้นให้เพียงมองเห็นแต่มิอาจสัมผัสแตะต้องซึ่งกันและกัน
ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนี้ในที่สุด

"ผมต้องไปแล้ว ไพรรอผมที่นี่...จนกว่าผม..จะกลับมา ได้หรือเปล่าครับ"

พันไพรพยักหน้า เขาเผยอริมฝีปากจะถาม แต่หยุดยั้งมันไว้ เขาเอื้อมแขนเหมือนจะรั้ง แต่ก็ปล่อยผมไป ผมสวมเสื้อผ้าอย่างลวก ๆ แล้วก้าวยาว ๆ ออกจากห้อง ซึ่งใครอีกคนมองตามด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย



หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Loin_diciz ที่ 27-05-2008 19:08:06
ไม่ได้เข้าบอร์ดมาซะนาน

ไม่คิดเลยจิงๆ ว่าเปิดมาอีกที จะได้มาเจอคุร ปฤษณะ

คิดถึงคุณมากๆเลยนะ



อยากอ่านมาก  เคยอ่านในเด็กดี เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ได้เซฟเก็บไว้

พอคุณลบไป  เราก็ไม่รู้จะไปหาอ่านอีกได้ที่ไหน

พยายามคุ้นในกูเกิ้ล  ไม่คิดเลยว่าจะได้มาอ่านในเล้าแบบนี้



ติดตามนิยายคุณเสมอนะ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Loin_diciz ที่ 27-05-2008 19:48:23
สำหรับใครที่ยังไม่ได้มาอ่านเรื่องนี้ และบังเอินเปิดเข้ามา อยากจะบอกว่า

อย่าพึ่งรีบปิด ลองอ่านเรื่องด้วยหัวใจคุณดู

รับรองว่า ภาษา แบบนี้ สำนวนแบบนี้ คุณหาอ่านในเล้าไม่ได้แน่ๆ

คุณปฤษณะสุดยอด   ลองอ่านดูสักครั้ง



ปล. คุณปฤษณะ  ไม่ทราบว่าพอจะมีโอกาสได้อ่านชาดาริกาต่อรึเปล่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตเราเลยหละ

แล้วก็เรื่อง วิปลาส - วิปริต -โรคจิต
อ่อ เรื่อง รักซาดิสส์ของคุณกิมฮวย ด้วยนะคะ


ดองไปเยอะเชียว แต่ชอบมากเลยนะ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: KriT_SuN ที่ 27-05-2008 23:58:03
...ดีใจด้วยนะค้าบ เจ้าของเรื่องได้พบเพื่อนเก่า ๆ ที่นี่ ^^...
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: namtansaidang ที่ 28-05-2008 06:46:38
มายืนยันอีกคนว่าเป็นงานเขียนคุณภาพ     เอากำลังใจมาให้นะครับ   บุรุษปริศนา
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: tarkung ที่ 29-05-2008 11:49:54
อ่านดูแล้วชอบครับ น่าสนใจมากๆ

แต่ขออนุญาติแนะนำอะไรหน่อยนะครับ

 เรื่องการแบ่งเนื้อเรื่องโดยใช้สีนิ ผมว่า ในแต่ละส่วนน่าจะแบ่งแบบนี้มากกว่านะครับ โดยมีการเขียนบอกก่อนเริ่มต้นในส่วนนั้นๆ เช่น...

  [ความฝัน]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

  [อดีต]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

  [ปัจจุบัน]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

 ที่แนะนำมานี้ผมคิดว่านน่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้สะดวกขึ้นนะครับ บางทีผมเองก็งงๆอยู่เหมือนกัน แม้จะมีบอกแล้วก็ตามว่าสีไหนเป้นแบบไหน จึงอยากแนะนำนะครับ

ยังไงก็จะติดตามต่อไปนะครับ

 

 
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 29-05-2008 15:25:21
คุณ Loin_diciz : ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งครับ  ^ ^   
หวังเทวาผมลบออกเอามาว่าจะปรับแก้นิดหน่อย  แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้แก้อะไรเลย  แง้วว!!
ถ้าสนใจเรื่องที่ผมเขียน  ลองใช้นามปากกาเก่าของผมเสิร์จในกูเกิ้ลครับ 
แนะนำเรื่อง Queer PM คุณ Loin_diciz น่าจะชอบ 
ส่วนคำถามอื่น ๆ ตอบไปทาง Personal Message แล้วนะครับผม

คุณ KriT_SuN :  อิอิ  รู้หรอกว่าจะแซวว่าหนีหนี้มาเลยเปลี่ยนนามปากกาอ่ะดิ  ฮ่าๆๆ
พอดีช่วงนี้อยากเป็นคุณชายคีรี มัญจาโรครับ  เลยใช้ชื่อนี้  เพราะผมกะเจ้าคีก็หล่อไม่แพ้กันอยู่แล้ว  กร๊ากกก

คุณ namtansaidang :  ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำคอนเฟิร์มคร้าบผม  >,< 
แหะแหะ  แต่ผมนี่แย่จัง  เอาแต่เรื่องเก่ามาหากิน  ไม่ค่อยได้เขียนเรื่องใหม่เท่าไหร่เลยครับ

คุณ tarkung :  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคร้าบ  เดี๋ยวจะไปปรับแก้ตรงช่วงบน ๆ อีก 
ตอนแรกสุดที่ผมยังไม่ได้ใส่สี  โคตรจะงงเลย  ผมอ่านเองยังงงเองว่านี่มันช่วงไหนกันแน่วะ  ฮ่าๆๆ




บทที่ ๓


[อดีต]


ในช่วงพักเที่ยงของยามใกล้สอบกลางภาคการศึกษา กลุ่มของเหล่าจตุรเทพ ก็จะจับกลุ่มกันอ่านหนังสือภายใต้ร่มอาคารหลังใหม่ล่าสุดของโรงเรียน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกทองกวาวเริ่มผลิดอก และลมหนาวเริ่มพัดเอาความอบอุ่นออกจากร่างกาย

ถึงแม้ว่า ตัวผมเองนั้นจะถูกแนะนำเข้าสู่กลุ่มอย่างเป็นทางการแล้ว และพวกเขาก็คงยินดีที่ผมจะเข้าร่วมในการอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย แต่ด้วยสันดานขี้เกียจขี้คร้านของผม จึงทำให้ผมละเลยกิจกรรมนี้ และใช้เวลายามว่างในการหาความเพลิดเพลินในชีวิตด้วยการเล่นการ์ดเกมชนิดต่าง ๆ วันนี้เป็นวันศุกร์ วันสุดสัปดาห์ที่เปรียบเสมือนสวรรค์สำหรับหลาย ๆ คน แต่คงไม่ใช่สำหรับผม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ความสุขก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับผมอยู่ดี

ตอนนี้ผมร่าเริงและมีชีวิตชีวา เมื่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนร่วมเล่นการ์ด กรรม์ก็นั่งอยู่ด้วย น่าแปลก ที่ผมไม่สามารถหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าได้ มันเกลื่อนไปหมดราวกับได้โอกาสยิ้มแย้มเพียงครั้งเดียวในชีวิต มันคงจะทดแทนให้สมดุลกับหน้ากากน้ำแข็งที่ผมสวมใส่มาทั้งวันกระมัง




ผมเสพติดความสุขนี้ ช่างประหลาดเสียจริง เมื่อนานวันผมไม่อาจระงับความรู้สึกสุข หรือเศร้าได้ ชีวิตที่กดดันกว่าผู้อื่น ไฉนจึงต้องตอบแทนด้วยราคาสูงกว่าผู้อื่นอีกด้วย ผมเคยถามตนเอง แต่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ คำตอบดูเหมือนมีมากมายในอากาศ และมีให้กับทุกเรื่อง แต่ว่าไม่มีสำหรับเรื่องนี้

ผมทอดสายตาข้ามไหล่ของกรรม์ไปยังอีกฟาก ที่ซึ่งเทพและเพื่อน ๆ ของเขานั่งอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
เทพพลันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและยิ้มให้ ขนาดผมอยู่ไกลเพียงนี้ผมยังสัมผัสได้ถึงความขบขันอันหยอกล้อในประกายตา ผมเพิ่งสังเกตเห็นอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เทพ ฌิณชัยเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ เขาคงจะรู้สึกได้ถึงสายตาของผมที่จ้องมองมา จึงเหลือบตาขึ้นสบกับผมบ้าง

ฌิณชัยทำหน้ามุ่ย ก่อนหันไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับเทพ จนกระทั่งผู้ฟังหัวเราะร่าโชว์รอยลักยิ้มเด่นข้างแก้ม ผมลอบยิ้มตามไปด้วยเมื่อเห็นเทพมีความสุข ผมคงไม่รู้ตัวเป็นแน่ ว่าผมกำลังถลำลึกเข้าสู่หลุมเสน่ห์ของหมอนั่นเข้าไปทุกที

“เป็นอะไรไป นัส”

กรรม์เป็นคนสะกิดให้ผมตื่นจากภวังค์

“ตานายแล้วน่ะ”

ผมรับคำเบา ๆ และเริ่มกระบวนการเล่นต่อ

“เอาใช่ เทพบอกว่าเทพเล่นเป็นเดี๋ยวมาเล่นด้วย”

“เทพไหน”

“คนที่นายเจอเมื่อวานไง”

กรรม์ถึงบางอ้อ เขาเหยียดยิ้มเล็ก ๆ “ก็ไปชวนมาเล่นสิวันหลัง”

“เขานั่งอยู่ข้างหลังนายโน่นแน่ะ แต่เราไม่กล้าไปชวน กลัวรบกวนเพื่อน ๆ เขา”

กรรม์เหลียวหลังไปดู ขณะที่เทพเองก็มองเห็นว่าตนเองตกเป็นเป้าสนใจ เขาส่ายหัวช้า ๆ ด้วยรอยลักยิ้มเดิม แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ

“อืม หน่วยก้านไม่เลวนะ แล้วเป็นไงล่ะ นิสัยเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้อ่ะ แปลก....มั้ง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นัสเอ๊ย สรุปได้คำเดียวเองเหรอวะ ความสามารถเชิงวิจารณ์หายไปไหนหมด”

กรรม์ตบหลังผมดังป๊าป จนผมตกใจ จะว่าไปผมก็สรุปได้แค่คำนี้จริง ๆ นั่นล่ะ เพราะว่าผมไม่สามารถที่จะเดาความคิด หรือการกระทำลำดับต่อไป รวมทั้งปฏิกิริยาตอบรับของเทพในเรื่องต่าง ๆ ได้  เขาเหมือนหมอกขมุกขมัว ยากที่จะจับต้อง มีท่าทีทีเล่นทีจริงตลอดเวลาจนผมสับสน บางทีก็ดูเย็นชา บางทีก็ดูอบอุ่น เฮ้อ.... ทั้ง ๆ ที่ผมเชี่ยวชาญในการคาดเดาพฤติกรรมมนุษย์ แต่กลับไม่สามารถใช้ได้กับเทพเลยแม้แต่น้อย...





"จะออกไปข้างนอกวันอาทิตย์หรือ ?" คำถามด้วยเสียงเรียบเฉยจากบิดาทำให้ผมตัวสั่น เพราะอารมณ์ของเขาดูราบเรียบเกินไป ราวกับทะเลก่อนพายุ

"ครับ กรรม์ชวนไป"

"กรรม์เป็นใคร ?"

ผมคอตก เพราะผมคงบอกเล่าเรื่องราวละเอียดยิบเกี่ยวกับกรรม์ไม่ได้หรอก เพราะหลาย ๆ รายละเอียดที่ผมไม่อยากให้ทางบ้านรับรู้ และแน่นอนว่า เมื่อผมบอกเล่าได้ไม่ชัดเจน ความเป็นไปได้ของการขออนุญาตออกนอกบ้านในวันหยุดก็เท่ากับศูนย์

"มันไม่ค่อยสำคัญอะไรหรอกครับ งั้นนัสไม่ไปล่ะ"

ผู้เป็นบิดาขมวดคิ้ว เมื่อผมกลับเปลี่ยนความตั้งใจเอาเสียดื้อ ๆ

"อาทิตย์นี้เวรใครซักถุงเท้า ?"

"นัสเองครับ"

"อ้าว ก็รู้ตัวดีนี่ ไปทำสิ"

เมื่อรับคำเรียบร้อย ผมก็ถอยออกมาจากห้องหน้าบ้านอันบิดาใช้เป็นสถานที่ลงสีบนภาพสีน้ำมันทิวทัศน์สำหรับตกแต่งภายในบ้าน ผมปรายตามองภาพอีกภาพที่เสร็จเรียบร้อยแล้วบนผนังอีกข้าง เป็นภาพของนกขุนทองผัวเมียร่วมกันคาบอาหารมาเลี้ยงดูลูก ๆ ในรังเหนือต้นไม้ ผมอิจฉาพรสวรรค์เชิงศิลป์และความใจเย็นของเขา และอิจฉาที่ต่อให้เขาบันดาลโทสะอย่างไร เขาก็ไม่เคยทำลายภาพของตนทิ้งไป

ใช่สิ ไม่เหมือนผมเลย อารมณ์รุนแรงของผมที่ซ่อนภายใต้เปลือกของความเย็นจัดของผิวหน้า ความคิดของผมล่องลอยกลับไปยังครั้งหลังสุดที่ผมทะเลาะอย่างรุนแรงกับพ่อ

ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย และทวีความรุนแรงเนื่องจากทิฐิของผมเอง ผมเป็นฝ่ายถอยออกมา ขึ้นไปหมกตัวในห้องส่วนตัว ผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และต้องมาหลบซ่อน และที่นั่นเอง ผมเห็นภาพสีน้ำมันอีกภาพ

ภาพของเรือนไม้ไทยโบราณ มีเล้าเป็ดอยู่กลางน้ำ ฉากหลังคือทิวเขาเขียวครึ้ม และดวงอาทิตย์ยามเช้า เป็ดมีชีวิตชีวาหนึ่งฝูงว่ายตามจ่าฝูงของมันเหนือน้ำใสกระจ่าง ในเงามืดของป่ากล้ายข้างเรือนไทยเหนือหนองน้ำ จอดไว้ด้วยเรือโบราณเก่าแก่ ประดับแกมกอบัวสีสันสดใสในน้ำนิ่งจนแทบเห็นหลังปลา

ผมวาดภาพนั้นเอง เป็นภาพแรกที่ผมวาดภายใต้การแนะนำของพ่อ และตอนนี้ผมอยากทำร้ายจิตใจของเขาด้วยการทำลายมัน!

ผมกระชากมันลงจากข้างฝา เอาคัทเตอร์กรีดมันจนป่น ฉีกสองแนวกากบาทก่อนกลางภาพ ทำไม ผมรู้สึกเหมือนกรีดลงไปในใจของตนเลยนะ ผมป่นผืนผ้าใบจนยับ กรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฮ่าฮ่าฮ่า ผมกำลังหัวเราะ หัวเราะอย่างมีความสุขที่สุด หัวเราะทั้งน้ำตา ที่ได้ทำร้ายจิตใจของพ่อ
....และตนเอง

ผมเอาเศษภาพโยนทิ้งในบ่อน้ำหลังบ้าน ใช้แววตาเลื่อนลอยมองมันจมลงไปในน้ำ พ่อผมมองอยู่ข้างหลัง ผมหันไปเห็นแววตาเจ็บปวดไม่แพ้กันของเขา เขารีบหันร่างแล้วเดินหนีไปในทันที สำเร็จสมวัตถุประสงค์แล้วสินะ แต่ทำไม ทำไมผมไม่ยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว

และบัดนี้ ความทรงจำเก่าแก่นั้นกลับมาวนเวียนหลอกหลอนผมอีกครั้ง เมื่อผมมองภาพอันวิจิตรฝีมือของบิดา ผมรู้สึกเสียใจในภายหลัง คนเราก็มักจะรู้สึกเสียใจเมื่อสายไปแล้วทั้งนั้น และผมก็ไม่ใช่กรณียกเว้น

"ไปซักถุงเท้าสิลูก ทำเสร็จไว ๆ บ่าย ๆ พ่อจะได้พาเล่นแบดฯ"

บางเวลาพ่อของผมก็น่ารัก เขาเป็นคนใจเย็น สุขุม รอบคอบ มีฝีมืองานช่างหลากหลายแขนง ตั้งแต่งานไม้ งานสวน งานภาพ งานโลหะ แม้กระทั่งการซ่อมแซมเครื่องยนต์ หรือก่อสร้าง เป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายในฝันของหญิงสาวหลาย ๆ คน

บางทีเขาก็ขี้เล่นหยอกกับลูก ๆ และภรรยาเสมือนเป็นเด็ก ๆ แต่เวลาที่เขาโกรธ ไฟไหม้ป่าก็ไม่เทียมกับแรงพิโรธนั้น
และผม ก็ควรจะทำตัวดี ๆ สำหรับยามบ่าย แผนการที่จะออกไปตามนัดของกรรม์จึงต้องถูกยกเลิกอย่างช่วยไม่ได้






  ผมก้มหน้างุดเมื่อเดินผ่านบุคคลอันคุ้นเคยยามพักเที่ยง   ผมพยายามสาวเท้าให้ผ่านหน้าเขาไปโดยเร็ว   ทว่ากรรม์กลับเรียกผมไว้เสียก่อน

                             “นัส  มานี่ซิ”

                  “อืม  มีอะไรล่ะ  วันนี้เราจะไป...”

                                  “นายจะไม่ไปไหนทั้งนั้น  มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

กรรม์ยุดชายคอเสื้อของผมไว้   แล้วดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ เขา

                       “เรื่องอะไรล่ะ ?”

             “ทำไมเมื่อวานไม่มาบ้านเรา”

                             “แล้วทำไมเราต้องไปด้วยล่ะมันสำคัญตรงไหน”

กรรม์เริ่มหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ  เส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดโปนจนเขียวเป็นแนว

                     “วันอาทิตย์วันเกิดเรา  และเราอยากให้เพื่อนที่เรารักที่สุดไปร่วมงานวันเกิด   ทำไมนายถึงไม่มา”

ผมตกใจและเสียใจ  เมื่อรู้ว่าเมื่อวานสำคัญสำหรับกรรม์มาก   แต่ปากของผมไม่เคยตรงกับใจเสียที

                “วันเกิด?  แล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะ  ขนาดเรายังไม่เห็นเคยจัดงานเลย”

   “มันไม่สำคัญสำหรับนาย  แต่สำคัญสำหรับเรา!”     กรรม์ตวาดด้วยสีหน้าโกรธจัด  ก่อนลดเสียงลงมา     “เราบอกแม่เราให้ทำเค้กสำหรับวันเกิดนายย้อนหลังด้วย   เรารู้ว่านายไม่เคยได้เค้กวันเกิดเลย    แต่แล้วไง    เจ้าของเค้กไม่มา  หึหึหึ   เรารู้สึกยังไง   คนอื่นรู้สึกยังไง    นายไม่เคยรู้เลยหรือไง!”

ผมชักน้อยใจบ้างแล้ว  ทำไมเพื่อนผมถึงเอาแต่อารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง  ทำไมไม่ถามบ้างเลยว่าที่ผมมาไม่ได้น่ะเพราะอะไร

            “เราไม่รู้  เราไม่สน  นายจะทำอะไรก็เรื่องของนาย    ไม่เกี่ยวกับเราเลยสักนิด”

กรรม์โมโหถึงขีดสุด  เขาจับต้นคอผมกดกระแทกลงไปกับเสาปูนข้าง ๆ  ฟันหน้าของผมกระแทกเข้ากับเนื้อแข็งของปูน  จนเจ็บลึกเข้าไปถึงประสาทฟัน  เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป  จึงคลายมือออกจากคอเสื้อที่ขยุ้มผมไว้  กรรม์มีสีหน้าสำนึกผิดและเสียใจ     ผมเองก็เจ็บปวดใจ  แต่ผมก็ยังฝืนยิ้มกว้างให้เขา

                             “กรรม์  เราขอโทษนะ  ที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป  เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ   แล้วค่อยเจอกัน”
กรรม์ยังคงยืนนิ่ง  ด้วยพูดไม่ออก   ส่วนผมรีบสาวเท้ายาว ๆ ก้าวจากมา     น้ำตากลับไหลรินอาบแก้ม  เมื่อลับสายของเขา     ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดิน   โดยไร้จุดหมาย

วิ่งไปเรื่อย ๆ....

                    จนกระทั่ง   ถึงโต๊ะไม้ใต้อาคารคณิตศาสตร์    อาคารที่อยู่ลึกที่สุดในโรงเรียน  และล้อมรอบไปด้วยพันธุ์ไม้หนาครึ้ม   ผมนั่งลงบนโต๊ะซึ่งร้างผู้คน    กลุ่มของเด็ก ม.ต้น เตะบอลกันอยู่ที่ลานข้างอาคาร  ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
   น้ำตา..  เมื่อได้ไหลแล้ว   มันจะไหลไม่หยุด

                         ไหลรินเรื่อย ๆ   ห้ามไม่ได้    จนกว่า  จะมีใครบางคนมาช่วยซับมันออกไป

ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด  ถูกยื่นจากมือที่ขาวสะอาดไม่แพ้กัน

                       “ใช้ดิ  ฝุ่นเข้าตาใช่มะล่ะ”

น้ำเสียงกวนนิด ๆ   จะเป็นของใครไม่ได้นอกเสียจาก..

             “เทพ..”

            “อืมเราเอง  รีบ ๆ รับดิ  เมื่อยนะเว้ย”

ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเทพเอาแขนอีกข้างมายกแขนข้างที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ราวกับว่ามันหนักเสียเต็มประดา

      “เราไม่ใช้หรอก  ”  ผมปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มด้วยแขนเสื้อข้างซ้าย   “ผ้าของนายคงใช้เช็ดขี้มูกมาใช่มะล่ะ”

เทพหลุดขำก๊าก  กับการคาดเดาอะไรแปลก ๆ ของผม     เขานั่งลงอีกฟากของโต๊ะ   แล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ ๆ

                  “เอ้า  ดูจมูกเรา  แห้งจะตาย  มีขี้ม่งขี้มูกซะที่ไหน”

เขาหลับตาลง  แล้วยื่นใบหน้าของเขาเข้าใกล้ผมทุกที   ผมกลืนน้ำลายลงคอ  เมื่อมองใบหน้าของเขาใกล้ ๆ  ช่วงเวลาที่เทพโน้มร่างเข้าใกล้ผมนั้น  เสมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์

  ทำไมมันต้องหลับตาด้วยวะ    เผยอปากหน่อย ๆ อีกต่างหาก   ตอนนี้ผมหวั่นไหวแบบสุด ๆ     อีกเสียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น  ริมฝีปากของเราก็จะสัมผัสกัน

                      ในที่สุด...

                                  ผมก็เบี่ยงใบหน้าออก   พร้อมกับสูดลมหายใจลึกยาวเพื่อระงับอารมณ์
เทพลืมตาขึ้นทันใด   ดวงหน้าของเขาใสซื่อราวกับไม่ล่วงรู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่เกือบทำให้ผมหัวใจวายตาย

              “อ้าว  ดูเสร็จแล้วเหรอ   ว้า  พูดไม่ออกล่ะสิ     แต่ช่างเหอะ  ตานายแห้งแล้ว  คงไม่ต้องใช้ผ้าเราแล้วล่ะ”
เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋าเสื้อด้วยท่าทีปกติ  ก่อนหยิบหนังสือเรียนในกระเป๋าออกมาอ่าน  เขายังเหมือนเดิมทุกประการ    แล้วผมล่ะ...             

                    ผมที่ถูกใครบางคนค่อย ๆ รุกคืบกินพื้นที่ในหัวใจทีละน้อยควรจะทำอย่างไรดี!   
   
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-05-2008 19:15:11
รู้สึกว่าบาดแผลในใจของนัส จะลึกเกินกว่าจะคาดคิด  :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยา
เริ่มหัวข้อโดย: Clear eyes ที่ 30-05-2008 19:37:06
 :o
นี่ถ้าเพื่อนคุณปฤษณะไม่เข้ามา
คงไม่รู้ว่ามีนิยายอีกหลายเรื่องทีเดียวที่คุณเขียน

อยากอ่านเรื่องอื่นๆด้วยน่ะค่ะ :m23:
ไม่ทราบว่าจะหาได้จากที่ไหนค่ะ?
(ก็บอกแล้วว่าชอบสำนวนภาษาของคุณจริงๆ)

แล้วมาต่ออีกนะคะ
รออยู่...............

ปล.ว่าแต่...มีเรื่องที่คุณเขียนจบบ้างรึป่าวน้า??????????? :laugh:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 30-05-2008 21:50:51
คุณ THIP :  เจ้านัสมันขี้แยครับ  แผลมันตื้นนิดเดียวแต่มัวแต่นั่งย้ำคิดอยู่นั่นแหละน่าเบื่อจะตาย  ฮ่าๆๆ

คุณ Clear Eye :  เราเคยเจอกันที่เด็กดีเมื่อนานมาแล้วใช่ไหมครับ  เรื่องที่ผมแต่งจบก็มี
หวังเทวา, นฤมิตพิศวาส, พิภพเงินตรา, ความฝันของผีเสื้อ(Chaung Tzu Philosophy)  และ AbGay แผนลับสลับรัก  ครับผม
เรื่องที่เกือบจบก็
ปักษานิรมิต, นกกระจาบแห่งสุวรรณภูมิ และ Queer PM เกมกลคนเมือง
เรื่องที่ยังค้างไว้และมีโครงการจะเขียนต่อ
Shadarika, ศึกแมวเหมียวทะลุจักรวาล, Zombified School โรงเรียนพันธุ์นรก  และล่าสุดก็  ควีนยกกำลังสอง ตามล่าหารุกแท้  ขอรับ

สนใจเรื่องไหนก็ลองเอาชื่อเรื่องไปกดค้นหาในกูเกิ้ลได้ครับ  หรือถ้าหาไม่เจอ PM มานะครับ  เดี๋ยวจะส่งลิงค์ให้หลังไมค์   

 :L1:








[เหตุการณ์ปัจจุบัน]



              จักรยานของเขาจอดอยู่ในโรงรถเรียบร้อยแล้ว  ส่วนของผมคงอยู่ที่ร้าน   ตอนนี้ผมเพียงแค่อยากไปที่ไหนไกล ๆ สักแห่ง  ผมเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก  และผมไม่สามารถที่จะข่มตาหลับหรือหยุดนิ่งได้

ลมเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด   มวลอากาศหนักอึ้งเสมือนจะกดทับผมให้แบนราบภายใต้ท้องฟ้าอันลอยล่องด้วยกลุ่มเมฆก้อนใหญ่  ผมไม่ได้สังเกตสภาพแวดล้อมมากนัก  ผมรู้แต่เพียงถนนสีดำอันทอดอยู่ภายใต้พาหนะที่ผมใช้อยู่  ผมกระแทก  บึ่งมันออกไป   ไม่รู้สิ  ผมไม่มีเป้าหมาย

รอยแผลที่หัวเข่าของผมยังเจ็บยอกไม่หาย  และเลือดก็ไหลซึมออกจากผ้าพันแผล   แต่ผมไม่สนใจความเจ็บปวดอีกต่อไป    เมื่อบางอย่างกำลังเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายหลายเท่า   อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นหลายเท่า   เหงื่อซึมออกมาทั่วแผ่นหลังของผม

และผมกำลังไปยังทางเดิม  ทางขึ้นสู่ยอดเขา  ที่มาเมื่อเช้า  ..โดยไม่รู้ตัว

                   อาทิตย์อัสดงกำลังลับผืนน้ำ   ประกายทองของมันไม่แพรวพราวดุจเดิม    กลับดูหม่นเศร้าแปลก ๆ   รับกับบรรยากาศหนักอึ้งรอบ ๆ ตัว   ผมพิงจักรยานคันเดิมไว้ข้าวโขดหินเก่า   แล้วเดินอย่างเลื่อนลอยข้ามแปลงดอกไม้ที่อยู่ระหว่างลานปูนกับที่กั้นริมผา

ผมนั่งลงบนขอบที่กั้น  และห้อยขาออกไปทางเบื้องนอก    เบื้องล่างของร่างผมคือผาสูงชันอันน้ำทะเลซาดเซาะครืนโครม

  ผมเหงา   ..และรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก    ขอบตาก็ร้อนผ่าว ๆ  ราวกับสิ่งที่เก็บกักไว้กำลังจะทะลักออกมา   แต่ไม่   

           ท้องฟ้ามืดครึ้มลงทุกที    และในที่สุดมันก็ปลดปล่อยหยาดละอองฝนบาง ๆ ลงมาต้องผิว    ผมกอดไหล่ตนเองไว้หวังจะคุ้มกายจากความหนาวเหน็บ   ฝนเริ่มหนาหนักขึ้นทุกที   สถานที่นี้ว่างเปล่า   คงไม่มีใครคิดจะมาชมวิวในยามนี้เป็นแน่

  เสียงสั่นระริกของผม ฮัมเพลงกล่อมเด็กเก่าแก่เบา ๆ...

                                “นกเขาของเราแต่เก่าก่อน
                               คู่พรากจากจร  มิอาวรณ์คืนรัง
                             โอ้เจ้านกเขาดง  เจ้าคงหลงลืมรัง
                             ลืมกระทั่ง  ...จู้ฮุกกรู


พิรุณพร่างพรำหนาหนักทุกที  ราวจะกลบเสียงผมให้หายไปในอากาศ  นกเขาลืมรัง  ก็คงผมสินะ    ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมกลับบ้านครั้งหลังสุดเมื่อไหร่    แต่ผมจำได้  ว่าผมคิดถึง..ที่นั่น  ถึงเพียงไหน

บางอย่างที่ผมหวังจะหามาทดแทนความรักความอบอุ่น    แต่มันไม่ใช่    มันไม่ได้ให้ผลเหมือนที่หวังเมื่อสิ่งนั้นยิ่งทำร้าย  กรีดลงไปในแผลกลางใจของผมให้กว้างขึ้น   

ผมหลับตาลงอย่างช้า ๆ  บางอย่างที่อุ่นร้อนเริ่มไหลอาบแก้มคละเคล้ากับสายฝน   ผมเริ่มโยกตัวและฮัมเพลงเก่าอีกครั้ง   ทว่าเสียงฟ้าคะนองกลบเสียงของผมไปสิ้น      ผมก้มลงมอง    มองความเวิ้งว้างและลึกล้ำของผิวน้ำและอากาศ   ผมจินตนาการถึงร่างของผมที่ลอยลิ่วลงไปกระทบผิวน้ำ      มันอาจจะดำดิ่งลึกลงไปจนไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้   หรือกระแทกแง่งหินโสโครกจนแหลกเหลวเสียก่อน

ความเศร้า  ทำไมต้องเกิดขึ้นที่หน้าอกด้วย   มันลามขึ้นมาจากสองข้างของชายโครง  เข้าสู่กลางหน้าอก  ผมรู้สึกวูบหวิวในหัวใจ  ตอนนี้ผมเริ่มปวดหัว   ดูท่าโรคเก่าคงกำเริบ...     

                   “นายจะบ้าเหรอ    ไปนั่งตรงนั้นได้ไง”

เสียงใครบางคนตวาดลั่นข้างหู   มือของเขาคนนั้นฉุดกระชากผมจากที่เดิม  และลากร่างอ่อนปวกเปียกของผมมากลางลาน

ตอนนี้สายตาของผมเริ่มพร่าเลือน  แต่ยังพอมองเห็นความร้อนรนของเขาเมื่อเขาสัมผัสใบหน้าของผม
เขาพูดอะไรอีกก็ไม่รู้   เพราะหูของผมทั้งสองข้างอื้ออึงไปด้วยเสียงวี้วี้  รบกวนจนผมอยากหลับไปให้พ้น ๆ
       ...แล้วความมืด  ก็เข้าครอบคลุมอนุสติของผมอีกครั้ง




   ใครบางคน  ที่ตั้งใจจะเข้ามาหาร่างบนที่กั้นริมผาแต่แรก  กลับชะงัก  เมื่อเห็นพันไพร   เขายืนนิ่งจ้องมองพันไพรโอบอุ้มร่างของผู้เป็นที่รักขึ้นสู่รถคันยาวสีดำ  คนคนนั้น  ก้มใบหน้าลง  แล้วยิ้มเศร้า ๆ ให้กับตนเอง

                          “ตอนนี้  เราคงยังไม่จำเป็นสินะ...”








   สัมผัสอบอุ่นที่ล้อมรอบร่างของผมในยามรุ่งเช้า  เมื่อเสียงไก่ขันกู่แว่วมาแต่ไกล  คือผิวเนื้อของร่างเกือบจะเปลือยเปล่าของพันไพร  เขาและผมมีผ้าผืนเล็กเพียงผืนเดียวปกปิดเรือนร่าง  แขนของเขาตวัดรัดเกี่ยวกอดผมเอาไว้แนบกายกรุ่นกลิ่นชาย

   ผมปวดหัวและคอแห้งมาก  เจ็บคอไปหมด   ดูท่าฝนหลงฤดูเมื่อคืนทำร้ายผมหนักกว่าที่คิด      เมื่อผมสลัดใบหน้าเพื่อไล่ความง่วงงำและงุนงงออกจากห้วงสมอง  คนข้างกายก็ลืมตาตื่นในสภาพงัวเงียเช่นกัน 

                          “นัส  ฟื้นแล้วหรือ    นายเป็นไข้หนักมาก  ตัวร้อนจัดเลย  จนผมคิดว่าจะไม่ได้เจอนัสอีกแล้ว”

                       “อืม...”

ผมยันหน้าอกเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายให้ออกห่างด้วยมือไร้เรี่ยวแรง   แน่นอนว่ามันไร้ผล  เมื่ออีกฝ่ายยังดื้อดึงที่จะกอดผมไว้แบบนี้

                               “ออกไปก่อน..   ผมอึดอัด”

ด้วยประโยคนี้  คนถูกดุถึงยอมคลายมือออกหลวม ๆ   แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดรอดกรงเล็บไปอยู่ดี

                “นี่  นายฟังรู้เรื่องหรือเปล่า  คนยิ่งปวดหัวอยู่ด้วย”

                   “นัส”     พันไพรยังไม่ยอมปล่อย  หมอนี่หน้ามึนจริงพับผ่าสิ    “ผมขอโทษนะครับ  ผมไม่รู้ว่ามันจะทำร้ายนัสขนาดนี้   ถ้าผมรู้ว่าบางสิ่งที่ผมทำ  มันทำร้ายคนที่ผมรักแล้วล่ะก็  ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”

ผมรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร  และผมก็รู้ดีว่าตอนนี้จิตใจของผมกำลังอ่อนแอ  ง่ายต่อการถูกเป่าหูด้วยคำหวาน  ผมจึงเอื้อมมือลงไปยังจุดกึ่งกลางร่างกายของพันไพร   พร้อมกับคลึงเคล้นเล้าโลมบางสิ่งของเขาซึ่งชูชันอยู่ก่อนแล้วอันเนื่องจากธรรมชาติของชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ในตอนเช้า ๆ   พันไพรสะดุ้งเฮือก   เขาบิดหน้าเหยเกด้วยรสสัมผัสจากปลายนิ้ว

         “แล้วไพรจะทนได้หรือครับ    แน่ใจหรือครับ  ว่าไพรจะรักผมได้โดยที่ไม่มีมัน”

                “ผม..อ่ะ  อั่ก ..”

ผมไล้ปลายนิ้วรุนแรงขึ้น  เพื่อเร่งเร้ายั่วยุอารมณ์ของเขา  พันไพรหอบหายใจเร่งร้อนขึ้นทุกที  และในที่สุด  ..
เขาก็ตวัดอ้อมแขนแกร่งกอดรัดร่างผมราวกับจะบดขยี้ให้แหลกเหลว   เรียวปากบางประดับไรหนวดจาง และเคราเขียวสั้นซุกไซร้ลงตามซอกคอของผมพร้อมกับดูดกินอย่างหื่นกระหาย   

  ผมพริ้มตาลงช้า ๆ ถอนมือออก  และรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง  และอีกครั้ง

              “ผม  ผมทำแบบนี้กับนัสไม่ได้   นัสกำลังลองใจผม”

พันไพรพลันถอนกายออก   เขาผงะออกไปนั่งที่มุมเตียง  เมื่อผมชันกายขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า

                             “ทำไมล่ะ  ทำไมถึงทำไม่ได้    ทำแบบที่นายทำทุกครั้งสิ   ไพรเคยบอกผมนี่  ว่าถ้าเราทั้งคู่สมัครใจ  มันก็เกิดขึ้นได้     แล้วตอนนี้ผมก็สมัครใจ..”

พันไพรมีสีหน้าเจ็บปวด  เมื่อรับฟังถ้อยคำราบเรียบไร้อารมณ์ของผม  เขาจิกผ้าปูเตียงไว้แน่นด้วยมือข้างขวาจนเส้นเอ็นปูดโปนไปทั่วแขน

                           “นัสไม่ได้รักผม   ฝืนทำแบบนี้ไปรังแต่จะเจ็บปวด   มีแต่ผมที่เป็นสุขอยู่ฝ่ายเดียว  มันไม่ยุติธรรม”

ผมคืบคลานเข้าใกล้ร่างของเขา    ความต้องการของเขายังคงอยู่  และเต็มเปี่ยม     

       “ไม่มีความยุติธรรมหรอกนะ  บนโลก   เราถูกใครคนหนึ่งเบียดเบียน  และอีกคนก็ถูกเราเบียดเบียนอีกที”

ผมรั้งคอของเขามา  และจุมพิตลงยังซอกคอ

                        “แต่ผมไม่  ผมไม่มีวันทำร้ายคนที่ผมรัก”

พันไพรแกะมือของผมออก  และรีบถอยหลังออกไปจากห้อง      ผมได้แต่มองตาม  และเอนร่างหลับตาลงบนเตียง  เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำกระแทกตัวปิดดัง ปัง!





เตียงยวบไหวอีกที   เมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม     กลิ่นสบู่อ่อน ๆ ระเหยออกจากร่างของคนข้าง ๆ   ไพรคงจะขับความต้องการของเขาออกไปแล้ว  และอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย   ผมตะแคงหลังให้เขา  แต่ก็จินตนาการได้ว่า พันไพรคงกำลังเอนร่างจ้องมองแผ่นหลังของผมเงียบ ๆ     

         “ไพร   ทำไมนายถึงรักผม ?”

คำถามลอย ๆ ที่ถามโดยไม่เห็นหน้าผู้ตอบ  เรียกความเงียบให้คลี่คลุมระหว่างเราอยู่ครู่ใหญ่..

                        “ก็..ไม่รู้สินะ      แล้วทำไม  นัสถึงไม่รักผมล่ะ ?”

ถึงคราวที่ผมจะต้องครุ่นคิดอย่างหนักกับคำถามของเขาบ้าง   นั่นสิ  ทำไมกัน    ในเมื่อพันไพรพร้อมทั้งรูปสมบัติ  ทรัพย์ศฤงคาร  อัธยาศัย    สติปัญญา   รวมทั้งความรักมั่นไม่เปลี่ยนแปร   หากจะกล่าวไปแล้ว  เขาเหนือกว่าเทพหลายเท่า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เขาเป็นคนที่รักผม

                 บุรุษที่เพียบพร้อมขนาดนี้  ทำไมผมถึงไม่รักเขาล่ะ ?

แต่พันไพรไม่ต้องการคำตอบของเขา  เขาเฉลยมันออกมาด้วยสไตล์ของเขาเอง

                       “ก็เหมือนกันนั่นล่ะ  ความรักไม่ต้องการเหตุผล  ถ้าผมรักนัส  ก็เพราะว่าผมรักนัส  แล้วนัสล่ะ  เปิดใจให้ผมบ้างได้มั้ย   ให้ผมลองดูสักครั้ง    ลองสู้เพื่อเอาหัวใจของนัสมา..”

                 ผมหันหน้ากลับไปหาเขา  และจ้องดวงตาอันแพรวพราวราวกับสะท้อนประกายดาวไว้ในนั้น

         “ก็ลองดูสิครับ...   แต่ว่านายอาจจะเหนื่อย  หรือท้อไปก่อนก็ได้นะ”

เพียงคำนี้  รอยยิ้มกว้างก็เกลี่ยระบายไปทั้งใบหน้าหล่อเหลาของพันไพร  ผมชักจะเคลิ้มกับหมอนี่มากขึ้นทุกทีแล้วสินะ   เขาดีดร่างจากท่าตะแคงนอนบนเตียงด้วยความยินดี   

        “งั้นผมขอไปปฏิบัติภารกิจแรกนะครับผม  พิสูจน์ความเป็นพ่อศรีเรือน   นัสอยากกินอะไรครับ  เอาโจ๊กกุ้งมั้ย ?”

ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ  กับท่าทีเริงร่าเหมือนเด็กเล็กได้ของเล่นใหม่     นายคนนี้มองได้ไม่เบื่อจริง ๆ ไม่ว่าอารมณ์ไหน ๆ

                      “ok ครับ  ผมจะรอรับประทานนะ     แต่ถ้าไม่อร่อยจริง ๆ ผมจะจับพ่อครัวหัวป่าก์มัดโยนให้ฉลามกิน”

                  “โหย  ทำอย่างนั้นก็แย่สิครับ  แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง  เขาว่าคนชั่วน่ะตายยาก  ยังไงผมก็ต้องรอดสักทางหนึ่งล่ะ    รอดมาหานัสไงล่ะครับ”

แววตาขี้เล่นพราวระยับจนผมไม่กล้าจ้องนานอีกแล้ว   คนอะไร  มีดวงตาเป็นอาวุธ

                     พันไพร   ก้าวออกจากห้องนอนไปอย่างกระฉับกระเฉง  และปิดประตูห้องตามหลังอย่างเบามือ

รอยยิ้มที่เกลื่อนไปบนหน้าของผมจึงค่อยสลายคลาย    ผมถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย  เมื่อคิดถึงคนอบอุ่นอ่อนโยนอีกคน  ที่หากว่าเขามาหาผมบ้างสักครั้งล่ะก็  ผมคงไม่ตกลงปลงใจกับพันไพรง่ายขนาดนี้

                  พี่แนค  พี่อยู่ไหนกันนะ…




หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update30/05/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 02-06-2008 01:47:45
 o13 เขียนเหตุการณ์บอกไว้บนหัวแล้วอ่านง่ายคะ

อย่าลืมมาโพสเรื่องนี้ต่อนะคะ  :L2:

ไว้จะลองตามหาเรื่องเก่า ๆ อ่านบ้างค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update30/05/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 02-06-2008 16:07:20
สวัสดีครับคุณ cj
ขอแค่มีคนอ่านเรื่องนี้สักคน  ผมก็ยังหน้าทนลงมันต่อไป  ฮ่าๆๆๆ




บทที่ ๔

[เหตุการณ์ในอดีต]


แม่ของผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า "เกิดเป็นคนก็ต้องอดทน ไม่ว่าจะความลำบากกายหรือลำบากใจ โดยเฉพาะผู้ชาย ที่จะต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวในเวลาข้างหน้า อย่างแม่เอง เวลาที่เลี้ยงลูกตอนตัวเล็ก ๆ เมื่อหกล้ม แม่และพ่อจะไม่เข้าไปปลอบ ไม่เข้าไปฉุดให้ยืน ไม่เข้าไปโอ๋ ลูกต้องยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง อาจจะดูใจร้าย แต่แม่อยากให้ลูกรู้แต่เล็กว่า น้ำตาและคำคร่ำครวญของเรามันไร้ประโยชน์ สิ่งที่จะได้ตอบแทนมันมีเพียงแต่ความสมเพชเวทนา ซ้ำบางคนยังจะเหยียบย่ำเรา ดังนั้นเข้มแข็งไว้.."

และนั่นทำให้ผมพยายามปิดซ่อนความอ่อนแอของตนด้วยท่าทีแข็งกร้าว ความเย็นชา และรอยฝืนยิ้มที่ผมหัดทำทุกวัน จนกระทั่ง..มันดูสมจริงขึ้นทุกที จนบางครั้งผมก็หลงลืมตัวตนของตนเอง ว่าใบหน้าไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของตนกันแน่นะ ?

ผมเหยียดยิ้มร่าเริงเมื่อชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ณ ตำแหน่งคนขับรถเอ่ยปากถามหลังจากที่ผมขึ้นมาบนรถได้พักใหญ่

"โรงเรียนเป็นไงบ้างล่ะลูก"

"ก็ดีครับ ก็ปกติดี"

ผมตอบโดยที่เสสายตามองรถคันอื่นนอกหน้าต่าง แรงสะเทือนเบา ๆ จากการทำงานของเครื่องยนต์เหมือนจะกล่อมให้ง่วงเหงาหาวนอน

"วันนี้ไม่อ่านหนังสือสักวันได้มั้ยครับ ง๊วงง่วง"

ผู้เป็นบิดาเพียงแต่พยักหน้า ผมจึงปรับเบาะให้เอนไปเบื้องหลัง เพื่อเหมาะแก่การเอนกายพักผ่อน

"ฟันเป็นอะไรล่ะลูก"

ผมสะดุ้งเล็กน้อย และเอานิ้วชี้ที่ลูบฟันหน้าบิ่น ๆ ออกจากปาก

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ พิสูจน์กลิ่นปากเฉย ๆ"

"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฟันจะอยู่กับเราไปชั่วชีวิตดูแลมันดี ๆ หน่อย"

"แน่นอนคร้าบ นัสแปรงฟันก่อนนอนทุกวัน เจอคุณแม่บังคับจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ"

"อืม ดี"

บทสนทนาของผมและพ่อสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ เมื่อผมเอาแขนอีกข้างพาดดวงตาเอาไว้ เพื่อป้องกันการรบกวนจากแสงอาทิตย์ยามสนธยา

เขาขับรถไปเงียบ ๆ ผ่านทางสายเลี่ยงเมือง จนกระทั่งถึงบ้านของผมในเขตชนบท

บ้านของผมไกลจากตัวเมืองแค่ไหนน่ะหรือ ถ้าจะกล่าวไปก็ไม่ไกลเท่าใดนัก แต่ทว่าความล้าหลังของการสื่อสารนั้นอยู่ในระดับที่ไม่มีโทรศัพท์เข้าถึง แน่นอนว่าร้านเกม เทค ผับ หรืออะไรเทือก ๆ นั้นก็เข้ามาไม่ถึงแถบนี้เช่นกัน

บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันตั้งอยู่ท่ามกลางเนื้อที่หนึ่งไร่ อันเขียวขจีไปด้วยสวนกล้วย มะม่วง น้อยหน่า ขนุน สะตอ มะรุม แค มะขาม มะพร้าวน้ำหอมเตี้ย มะนาว มะกรูด และอื่น ๆ อีกมากมาย ตรงพื้นที่ทางหน้าตัวบ้าน ข้างถนนปูนอันนำไปสู่โรงจอดรถ ปลูกไว้ด้วยผักสวนครัวยามหน้าหนาว เช่นคะน้า ผักชี ผักกาดหอม ฟักทอง กวางตุ้ง และยี่หร่า สวนนั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำในบ่อขนาดหนึ่งงานอันขุดไว้เบื้องตะวันออกของตัวบ้าน ฮวงจุ้ยดีไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ

ที่ระเบียงของชั้นสอง เปิดกว้างจนแทบจะเป็นห้องห้องหนึ่ง ที่มีผ้าเพดานเป็นท้องฟ้า และหลอดไฟเป็นดวงดาว หากว่าคุณยังจำได้ มุมนั้นมีเฟื่องฟ้าสองกอเลื้อยไล่พัวพันขึ้นมาชูช่อบนระเบียง ผมเป็นคนออกความคิดเอง ว่าปล่อยให้มันขึ้นมา แล้วตัดแต่งบนระเบียงเลยนี่ล่ะ แต่ความสวยงามของดอกเฟื่องฟ้าหลากสีสัน ทั้งดอกขาว ดอกชมพู ดอกแดงสด ใบเขียวเข้ม และใบด่างขาวต้องยกความดีให้แก่พ่อของผม ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการตัดต่อกิ่ง เพาะชำอีกแขนงด้วย    

รถของเราแล่นเข้าสู่ตัวบ้าน สุนัขที่เลี้ยงไว้พากันเห่าขรมต้อนรับ พวกมันล้วนมีสีดำเป็นสีหลัก เป็นสีโปรดของผมและแม่ ไอ้ตัวดำปนน้ำตาลท่าทางดุร่างใหญ่ ๆ มันชื่อ เฉาก๊วย ตัวดำถุงเท้าขาว มันชื่อเปียกปูน และตัวดำปลอดตัวสุดท้ายที่อายุน้อยที่สุด เป็นตัวที่ผมรักมากที่สุด เพราะผมนำมันมาจากโรงเรียนมาเลี้ยงที่บ้าน มันมีชื่อว่าตับเต่า

เฉาก๊วย ออกมายืนต้อนรับ และเห่าพอหอมปากหอมคอ มันแก่แล้ว จะให้ไปวิ่งตะกายแบบไอ้เปียกปูนที่กำลังพยายามงับแก้มผมอยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ ส่วนตับเต่าถือโอกาสที่ประตูรั้วเปิดเผ่นแน่บออกไปข้างนอกทันที มันคงเขินมั้ง...

ผมปรับเบาะให้เข้าที่แลคว้ากระเป๋ามาพาดหลังไว้พร้อมกับก้าวออกจากรถ สายตาก็เหลือบไปเหนดอกแก้วพราวขาวทั้งกอ ต้นแก้วที่ผมหามาปลูก เพื่อเป็นการขอขมาแก่แม่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งผมจำมันไม่ได้แล้ว แต่ผมเองก็รู้สึกยินดีที่เห็นมันเติบโตเคียงข้างกับดอกไม้ที่กลิ่นหอมไม่แพ้กันคือพุทธชาด ดอกกล้ายไม้สีเหลืองเล็กละเอียดในกระบะเพาะหน้าบ้าน ราวกับแย้มยิ้มชวนเชิญให้คนชำเลืองมอง ผมรักบ้านของผม เพราะมีแต่สิ่งน่าสบายตาสบายใจ

แต่เกลียดแกเว้ยไอ้เปียกปูน เมื่อไหร่จะเลิกตะกายสักที..

ผมเขี่ยร่างของมันออกจากการเกาะแกะแล้วเปิดประตูบ้านเข้าไป แม่ของผมในชุดสบาย ๆ เสื้อสายเดี่ยว กับกางเกงขาสั้นยืนรออยู่ในบ้านอยู่แล้ว  ผมยิ้มให้แม่แล้วกล่าวสวัสดี การสวัสดีเป็นสิ่งหนึ่งที่แม่ของผมถือมาก ว่าควรจะกระทำทุกครั้งเมื่อพบเจอผู้หลักผู้ใหญ่

"ผู้ใหญ่น่ะ เขาจะเอ็นดูคนที่มีสัมมาคารวะ การไหว้ไม่เมื่อยมากหนักหรอก แต่ผลที่ได้คุ้มค่ากว่าที่คิดนะลูก คนอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ที่ไหนก็สบาย แม่ไม่บังคับมากหรอกในเรื่องนี้ แต่ขอให้ลูกนำไปคิดดูให้ดี ๆ"

"วันนี้อยากกินอะไรลูก"

"อะไรก็ได้ครับที่อร่อย"

"แหม อร่อยทุกอย่างล่ะจ๊ะ ถ้าฝีมือแม่ล่ะก็"

ผมหัวเราะเบา ๆ พลางถอดกระเป๋าออกไว้ในที่โต๊ะหนังสือส่วนตัวบริเวณห้องกินข้าว อันผนวกเข้ากับห้องหนังสือ

"เดี๋ยวขอนัสไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ แล้วจะลงมาชิมฝีมือคุณแม่"

ผมก้าวขึ้นบันไดสู่ห้องชั้นบนอันเป็นส่วนของผมโดยเฉพาะ ตู้เสื้อผ้าในห้องกลางชั้นสองของผม อุดมไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายชนิดอันได้รับสืบต่อจากญาติพี่น้องมาอีกที เท่าที่ผมจำได้ ผมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ไม่เสียใจอะไรกับเรื่องนี้ เพราะผมเองไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับความหล่อเหลาของตนมากนัก

เสียงกระทะ ตะหลิว กะละมัง จานกระเบื้องกระทบกันเคร้งคร้าง บ่งบอกว่าเบื้องล่างมารดาของผมกำลังจัดการเตรียมอาหารสำหรับทุกคนในครอบครัวอยู่ คำที่แม่เคยกล่าวเมื่อกาลก่อนก็ลอยกลับมาอีกครั้ง

"แม่เลือกที่จะทำอาหารให้ลูก และพ่อด้วยตนเอง ก็เพราะว่า เราสามารถไว้ใจได้ว่าเราเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด สะอาด ปลอดภัยได้คุณค่าทางโภชนาการ และประหยัดอีกด้วย หากจะให้ซื้อกับข้าวถุง ก็ทำได้ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรลงไปบ้าง เขาจะทำสะอาดเช่นดังที่ทำให้ครอบครัวเขาหรือเปล่า แม่อยากให้ครอบครัวของแม่ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอจ๊ะ"

ผมยิ้มขำกับความทรงจำเก่าอีกครั้ง เมื่อแม่ของผมร่อนจานผัดผักจานใหญ่สีสันสวยสดใสราวกับผัดผักสายรุ้งตามภัตรคารจีน แล้วให้ทายราคาของวัตถุดิบ ซึ่งเธอเฉลยในตอนหลังว่าทั้งหมดนั้นเพียงห้าบาทเท่านั้น ครอบครัวของผมอยู่ในระดับชนชั้นกลาง ดังนั้นอะไรที่ประหยัดได้ก็จะประหยัด เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนรุ่นต่อไป





ผมกับกรรม์เหมือนคนแปลกหน้ากันตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น   เราไม่พูดคุยกัน   ไม่สบตากัน  และไม่อยู่ที่ไหนด้วยกัน   ยามเดินผ่าน  หากผมเห็นล่วงหน้าผมจะรีบหลบไปทางอื่น  ขณะที่กรรม์เองก็มักจะมองนิ่งมาทางผมด้วยแววตาเสียใจ

ผมนั่งแยกกับเขาในช่วงพักเที่ยง  อยู่อยู่เดียวดายกับกลุ่มเพื่อนเล่นการ์ดเกมสองสามคน   ผมพยายามหัวเราะ  แต่ก็ฝืนยิ้มได้ไม่นานเท่าใด  กระทั่งต้องปลุกปั้นรอยยิ้มใหม่ซ้ำอยู่เรื่อย ๆ

ทว่า  จะไม่มีใครเห็นความเศร้าจากดวงตาผม   ผมพยายามคิดเสียว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมาก  เมื่อเทียบกับความทุกข์ของผู้อื่น   แต่ทำไมหนอ   ทำไมผมถึงหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว  เมื่อคิดถึงเรื่องนี้  ใจผมก็พาลโบยบินไปถึงเรื่องระทึกต่อจากนั้น   ริมฝีปากบางใสยังคงลอยติดตาในความทรงจำ  กระทั่งผมเผลอไล้เรียวปากล่างด้วยปลายนิ้ว

ออดหมดคาบพักดังขึ้น  ผมจึงเก็บของเล่นลงถุง  แล้วนำสมุดที่ใช้วางรองใส่กระเป๋า   

              ทันใดนั้นเอง   มือจาบจ้วงก็แทรกเข้ามาจากด้านหลัง  และดึงเอาถุงเก็บการ์ดของผมออกไปในทันที  ผมหันไปประจันหน้ามันทันที

รายเดิม  ยังคงเป็นรายเดิม    ไอ้หมอนี่ชอบที่จะถูกเรียกว่าตี๋หล่อ   แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะหล่อตรงไหนเลย  หน้าขาวปานงิ้ว   ซ้ำตายังตาตี่ ๆ   ไม่คมเข้มเลยแม้แต่น้อย

ไอ้ตี๋หล่อ  เป็นนักเลงที่อยู่ห้องท้าย ๆ ของสายชั้น  ผมกับมันเคยรู้จักด้วยความบังเอิญ  และมันก็มักจะกลั่นแกล้งผมอยู่บ่อย ๆ    แต่ไม่รุนแรงนัก   เช่น  เข้ามาเตะข้างหลัง  จับไข่  ตบหัว  เป็นต้น    ซึ่งผมก็ทำอะไรมันไม่ได้  ได้แต่เดินหนีไปทุกครั้ง

ทว่าครานี้มันละเมิดข้อห้ามอันรุนแรงของผม  คือยุ่งเกี่ยวกับการ์ดของผม  ซ้ำยังมารบกวนตอนที่ผมอารมณ์แปรปรวน   ผมกราดตาขวางใส่คนที่ทำหน้าล้อเลียนตรงหน้า  ตอนนี้ผมอารมณ์คุกรุ่นเอามาก ๆ ความคิดและสติในหัวเริ่มมืดสนิท  จนลืมความจริงไปถึงสามข้อ     

  ไอ้ตี๋หล่อไม่รอช้า  มันออกวิ่งในทันที    พร้อมกับชูถุงผ้าในมือเป็นการเย้ยหยันอีกต่างหาก

ความจริงข้อแรกที่ประจักษ์เมื่อผมวิ่งตามมันไม่ทัน      คือผมตัวเล็ก   และอ่อนแอกว่าไอ้ตี๋หล่อมาก

ความจริงข้อสองคือ   ไอ้ตี๋มันมีพรรคพวกมากกว่า   ผมรู้ก็ต่อเมื่อมีใครบางคนมาวิ่งขนาบข้างและฉุดรั้งแขนของผมไว้  แต่ผมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว  ผมดึงไอ้หมอนั่นที่มาขวางผมมาใกล้ ๆ แล้วซัดไปที่ใบหน้าของมันหนึ่งที  น่าแปลกจริง ๆ ผมไม่เคยกล้าขนาดนี้มาก่อน

แล้วความจริงข้อสามก็ปรากฏ  ว่าผมสู้ใครไม่ได้เลย  เมื่อหมอนั่นก็สวนคืนผมไปด้วยหมัดอีกหมัด   เพื่อนของมันที่นั่งอยู่ศาลาข้าง ๆ ก็กรูกันออกมาและช่วยรุมยำผมอีกที

ผมดิ้นรนชกสะเปะสะปะ  ถีบ กัด  กระชาก  อยู่ท่ามกลางพวกเวรนั่น

ตอนนี้เป็นช่วงที่ระทึกที่สุด  เพราะเลือดกำเดาและเลือดจากปากของผม  เริ่มชโลมเสื้อนักเรียนตรงช่วงอกให้แดงฉาน     ในที่สุด  ผมก็กดหนึ่งในพวกตัวแสบลงกับพื้นได้   ผมกดคอของมันแนบกับพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็ต่อยมันไม่ยั้ง   ในขณะที่คนอื่น ๆ บ้างก็พยายามดึง  บ้างก็ระดมเตะเข้าใส่ข้างลำตัวของผม   แต่ผมแทบไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น  ผมรู้แต่เพียงว่า  ผมจะถ่ายทอดความแค้นทั้งหมดลงที่คนตรงหน้ายังไง

   ทันใด   ก็มีเสียงตะโกนดัง ๆ ว่า                  “เฮ้ย  อาจารย์บก.รด. มา!!!”

พวกที่รุมผมอยู่นั้น  ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากแดนไหนในบางขวาง   ก็ยังต้องสำเหนียกกับชื่อของกลุ่มอาจารย์เหล่านี้    มันมันรีบวิ่งแตกฮือกระจายไปคนละทิศ    แต่ผมไม่หยุด  ผมยังทุบลงไปที่ใบหน้าของเหยื่อในมือ    มันคิ้วแตก  และเริ่มร้องครวญคราง

                        และในที่สุด   ใครบางคนก็จับแขนขวาของผมหักไพล่หลังแล้วกระชากออกมาจากร่างของผู้เคราะห์ร้าย   ผมจำท่าของหน่วยคอมมานโดแบบนี้ได้  จึงหันไปมองคนที่มาห้ามผมไว้

กรรม์นั่นเอง   เขาก็มองหน้าผม  แล้วสักครู่จึงปล่อยผมให้เป็นอิสระ     ไอ้ตี๋หล่อเดินมาอย่างเซื่อง ๆ   มันคงไม่คิดว่าความขี้เล่นของมันจะทำให้เรื่องลุกลามขนาดนี้    มันเอาถุงผ้าบรรจุการ์ดเกมคืนให้แก่ผม

อย่างน้อยไอ้ตี๋นั่นก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกที่รุมสกรัมผม   ผมจึงยอมรับคำขอโทษและฝืนยิ้มให้แก่มัน

กรรม์ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว  เขาลากผมที่เบลอ ๆ ไปห้องพยาบาล    ลากไปลากมาจนกระทั่งถึงอาจารย์ฝ่ายปกครอง  แม้ว่าผมจะยืนกรานปฏิเสธการต่อความยาวสาวความยืดแค่ไหนก็ตาม

อาจารย์ตามสืบจนถึงตัวคนที่ฉุดดึงผมไว้     และพาทั้งหมดมาสอบสวนพร้อม ๆ กัน   ไอ้ตี๋นั่งคอตก  และรับไว้ทุกข้อหา    ส่วนไอ้คนที่มาแจมรอบสอง   มันกลับบอกว่า   มันเพียงแต่จะมาห้ามผม  แต่ผมไม่ฟังอะไรเลยกลับซัดมันก่อน  มันเลยต้องป้องกันตัว     ผมเองย้อนคิดไปก็ใจหายวาบ  เพราะรู้สึกว่าผมเริ่มก่อนจริง ๆ   แต่โชคดีที่ภาพพจน์ของผมดูดีในสายตาของอาจารย์มาก    คำกล่าวหาผมนั้นจึงเป็นอันตกไป  และผมเองก็รอดจากการถูกลงโทษ

   ผมปรากฏตัวในคาบต่อไปในสภาพที่ทำให้ทั้งห้องเหวอ  เพราะคราบเลือดที่ยังค้างคาบริเวณอก และปกเสื้อ   รวมทั้งรอยปูดบวมบริเวณใบหน้า   ผ้าพันแผลตรงหัวคิ้ว     แต่ผมไม่สนสายตาของพวกเขาเท่าไหร่หรอก    ผมเพียงแต่นั่งกังวลว่าผมจะตอบกับครอบครัวอย่างไรเกี่ยวกับรอยแผลพวกนี้ 




ผมไปยังจุดที่พ่อจอดรถรับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และพยายามเอากระเป๋าปิดบังคราบเลือดไว้ แต่ผมก็เลี่ยงมันไม่พ้น  เมื่อเขาเรียกผมให้มาใกล้ ๆ

                                “ไหนมานี่ซิลูก   เอากระเป๋าออก   บังอะไรไว้” 

ผมจำใจต้องแสดงร่องรอยจากการต่อสู้ให้เขาเห็น     บิดาของผมอึ้งไปครู่หนึ่ง

                              “ขึ้นรถ”

 ผมก้าวขึ้นที่นั่งข้างหน้า  และพยายามไม่หันมองหน้าของอีกฝ่าย

                              “ไหนเล่าให้พ่อฟังซิ  ว่าเรื่องราวเป็นไงมาไง”

 ผมอึดอัด   ผมจะเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร   ผมจะบอกเขาได้เหรอว่าลุกของเขาน่ะเป็นเด็กอ่อนแอที่ถูกคนอื่นกลั่นแกล้งตามอำเภอใจอยู่เสมอ  อย่ากระนั้นเลย  มิสู้ปั้นเรื่องมาใหม่จะดีกว่า

                             “นัสเริ่มก่อนครับ  นัสไปหาเรื่องเขาเอง  เลยชกต่อยกัน”

 ดวงตาสีดำสนิทภายใต้คิ้วดกเข้มอันเป็นต้นแบบของผมจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด  ก่อนหลุดคำกล่าวออกมา 

                       “ถ้าลูกเริ่มหาเรื่องใครเขาก่อน  พ่อก็คงช่วยอะไรลูกไม่ได้     แต่...พ่อจำไม่ได้ว่าสอนให้ลูกโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่   เท่าที่พ่อรู้จักมา  ลูกไม่ใช่คนแบบนี้    อย่างไรก็ตาม   การที่จะบอกหรือไม่บอกก็เป็นสิทธิของลูก  ซึ่งพ่อจะไม่ก้าวก่าย   เพียงแต่อยากให้รู้ว่า  การโกหกจะเป็นผลร้ายต่อชีวิตมากกว่าที่คิด   หวังว่า  ครั้งหน้า  เราคงพูดกันด้วยความจริง”

    ผมนิ่งเงียบ   พ่อของผมมักจะรู้ทันความคิดของผมเสมอ     หลายครั้งที่เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้บ้างเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้   มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าสำหรับความจริง  ในเมื่อผมกล่าวเท็จไปแล้ว   ผมหลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน  และเอนเบาะลงนอนดังเช่นทุกวัน...


หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 02-06-2008 16:47:09
 :กอด1:   :L2:

มานั่งจองรออ่านแถวหน้าเลย  :a11:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 03-06-2008 15:14:42
พึ่งจะเข้ามาอ่านคะ..เข้ามาเป็นกำลังใจให้คะ...
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: KriT_SuN ที่ 03-06-2008 16:33:28
 o13 ยังไม่ได้อ่านซะที ก๊าก แต่ก็มาช่วยดันละ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kaku-tsu ที่ 04-06-2008 18:46:11
เหมือนจะเศร้าจังเลยอะ คับ

มาต่อไวๆนะคับ    o13
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 05-06-2008 22:49:55
 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

ขอลงชื่อติดตามอย่างใกล้ชิด    o13
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: namtansaidang ที่ 06-06-2008 07:14:15
 o13 o13 o13เอากำลังใจมาส่งคร๊าบ :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 06-06-2008 08:15:29
  :a3: :a4: :a3: :a11: :a1:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 06-06-2008 11:32:38
cj : นั่งที่นั่งริงไซด์เลยใช่มะครับ *0*  คุณ cj เต้นให้ดูด้วย  แหะแหะ

subaru : ขอบคุณและยินดีต้อนรับครับ ^ ^

KriT_SuN : สวัสดีครับพี่ ^ ^

Kaku-tsu : ไม่ค่อยเศร้าหรอกครับ  แค่อารมณ์เหงา ๆ

Taurus : ที่นั่งริงไซด์อีกท่าน  *0*

namtansaidang : ขอบคุณคร้าบ  ดอกไม้สวยมาก ^o^





[เหตุการณ์ปัจจุบัน]



โลกยังคงต้องหมุนไปตามเดิมแม้ว่าผมจะป่วยหนักและนอนซมอยู่กับเตียงให้พันไพรดูแล เขาคอยเฝ้าเช็ดตัวและทำอาหารให้ผมกินได้สามวันแล้ว พันไพรเคยคิดจะนำตัวผมไปรงพยาบาล แต่ผมไม่ยอม เพราะเห็นว่ามากเรื่องเปล่า ๆ

"ผมไม่อยากไป ผมก็ป่วยแบบนี้ทุกปีล่ะ ทุกหน้าหนาวกับหน้าฝน เดี๋ยวมันก็หาย"

"ไม่ไปได้ไงล่ะ เดี๋ยวถ้าอาการหนักขึ้นมาจะทำไง"

ผมประดับยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ที่ผมเห็นว่าหนักคือไออย่างทรมานทั้งคืนก็เคยผ่านมาแล้ว ครั้งนี้ก็แค่ตัวร้อนหมดแรงนอนซมอยู่กับเตียงเท่านั้นเอง

"ไม่หนักหรอกน่า หรือว่า..ไพรเบื่อที่จะดูแลผมแล้ว ถึงคิดจะส่งมือหมอให้พ้น ๆ ไป"

พันไพรฮึดฮัดด้วยความขัดใจ เหตุผลข้อนี้ทำให้เขาเถียงไม่ออก ผมแอบยิ้มด้วยความสะใจ ที่ได้เถียงชนะบ้าง

"งั้นช่างมัน ไม่อยากไปก็ได้ " เขาไปค้นตู้ยาของผม

"อ่า ยาลดไข้ ลดมูก แก้ไอ มีครบเลยแฮะ อ้าวอะไรกัน ยาแก้อักเสบนัสเคยกินหมดแผงบ้างมั้ยนี่"

เสียงฉุนเฉียวโวยวายมาจากตู้ยาจนผมหัวเราะ แต่ต้องรีบหยุดเมื่อการหัวเราะทำให้ผมไออย่างเจ็บปวด
พันไพร รีบวิ่งเข้ามาพร้อมน้ำอุ่น และแผงยาพวกนั้น

"เอ้า กินซะ ไม่รู้ว่าหมดอายุหรือยัง กินกินเข้าไปเถอะ ไม่อยากไปหาหมอเองนี่"

ผมแกะซองยาและเลือกมาอย่างละเม็ดอย่างว่าง่าย ขณะที่อีกคนนั่งอยู่ปลายเตียงและยันคางจ้องมองผมอย่างเงียบๆ

"นัส ผมรักนัสนะครับ"

ผมงี้ทำอะไรไม่ถูก เมื่อเจอเขารุกเร้าด้วยเสียงทุ้มนุ่ม และดวงตาสีน้ำตาลเข้มชวนฝันนั้น

"บ้าแล้วนาย มาบอกรักอะไรคนป่วยใกล้ตาย ดูดิ หน้าซีด ตาโบ๋ ๆ รักลงด้วยเหรอ"

ผมนำเม็ดยาไว้ในกำมือและกรอกปากลงไป ขณะที่จะดื่มน้ำตามมาก ๆ พันไพร ก็กระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกับยุดแขนขวาของผมเอาไว้

"อัน อ๋ม อ๊ะ เอ๊ย" (มันขมนะเว้ย)

เขาแย่งแก้วน้ำอุ่นจากมือไร้เรี่ยวแรงของผมและกรอกลงไปในปากของเขา แก้มพอง ๆ และปากบางใสของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเรื่อย ๆ

ผมรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผมไม่อาจทนขมปากได้ เลยต้องเผยอริมฝีปากรอรับน้ำอุ่นที่พันไพรจะป้อนด้วยวิธีพิสดาร

ผมจำต้องหลับตาโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่อาจสู้สายตาของเขาได้ ดวงตาที่น่าหลงใหล ลึกลับ มองลึกเข้าถึงข้างใน
จูบที่ผิวเผินกว่าคราวก่อน เพียงประทับริมฝีปากเข้าด้วยกัน แต่ทำไม ผมรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
พันไพรถอนริมฝีปากออกมา เมื่อถ่ายทอดน้ำอุ่นในปากเข้าสู่ลำคอของผมจนหมด
ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าและมีความรู้สึกเสมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออกเลย

พันไพรเองก็มีใบหน้าออกสีเรื่อเหมือนกัน เขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มเจนสนามอีกแล้ว ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มแรกรักเสียมากกว่า

"ผม..เอ่อะ..ผม อยากให้นัสรู้ว่าผมรักนัสจริง ๆ"

"ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ"

ความขวยเขินปิดไม่มิดในน้ำเสียง จนผมต้องเสใบหน้าออกไม่ให้เขาเห็นความอายของผมชัดเจนนัก

ให้ตายสิ ยิ่งกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว ไอ้บ้านัสเอ๊ย ทำไมมัวมาเขินอยู่ได้วะ

"งั้น ดะ ..เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ไปเอาเสือหมอบของนัสที่ส่งซ่อมกลับมาให้"

ผมพยักหน้ารับ เขาจึงยันร่างลุกขึ้น แต่ก่อนจะไป เอาโน้มคอของผมเข้าใกล้และจูบหน้าผากลวก ๆ

"อยู่บ้านเฉย ๆ นะครับคนดี อย่าซนมากนักนะครับ"

อารายวะ สั่งยังกะสั่งหมาสั่งแมว แต่ผมก็ดีใจนะ ที่มีคนยอมเตือนผมแบบนี้

พันไพรสาวเท้ายาว ๆ พาร่างสูงออกจากห้องไป เสียงรถสตาร์ท แล้วแล่นออกไปไกลจากที่พักในที่สุด

ผมถอนหายใจลึกยาว แต่พลันสะดุ้งเมื่อมีเสียงประตูเปิดแอ๊ดจากหน้าบ้าน

"ใครน่ะ!"

ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเงาวูบวาบจากเงาร่างของใครตัดแสงอาทิตย์จากหน้าประตูห้อง ผมพยายามยันกายขึ้นจากเตียงเพื่อออกไปดูให้รู้แน่  เพียงโผเผของผมก้าวไปถึงประตูห้อง มันก็เปิดผลัวะออกมาพร้อมกับอีกร่างที่จู่โจมใส่ผมโดยไม่ทันให้ตั้งตัว !!!!






หัวใจของผมกระตุกวาบอย่างรุนแรงราวกับว่ามีใครบางคนพยายามเข้าใกล้คนที่ผมรัก  ผมหักพวงมาลัยอย่างกระวนกระวายใจ   เมื่อรู้สึกว่าเขาห่างจากที่พักเดิมไปเรื่อย ๆ   แต่จะไปที่ไหนนั้นผมไม่รู้แน่ชัด   รู้แต่เพียงร่องรอยของกระแสอะไรบางอย่างที่จะช่วยนำทางผมไปพบกับเขาในที่สุด

เวลาของผมใกล้หมดลงทุกที    และทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป  ได้กัดกร่อนผมให้ลางเลือนตามกระแสเวลา   ผมอยากจะใช้เวลาอันมีค่าเหล่านี้ร่วมกับคนที่ผมรัก   แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รับรักผมเลย   ผมบีบแตรอย่างงุ่นง่านเมื่อรถคัดข้างหน้ายังคงอืดอาดชักช้าไม่ยอมเคลื่อนกายออกไปเสียทีแม้ว่าไฟเขียวจะติดนานถึงสามวินาที   ดูท่าไอ้คนขับนั่นคงจะหลับใน

ทิวของกิ่งสนทะเลขึ้นครึ้มระหว่างเส้นทางที่แยกออกนอกตัวเมือง   บรรยากาศยามสายของวันที่อากาศสดใสช่างน่าสดชื่น   และผมเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะพาคนในห้วงคำนึงไปอาบแดดริมหาดเสียหน่อย   แต่เห็นทีจะต้องยกเลิกเสียแล้วเมื่อเกิดเหตุกะทันหัน      ผมเริ่มรู้สึกแล้ว  รู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่  ป้ายหินอ่อนสีขาวทางเบื้องหน้าบอกว่าอีกห้าร้อยเมตรจะถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากตัวเมือง

ผมเริ่มคาดเดาได้แล้วว่าใครเป็นคนบุกเข้าไปพาตัวเขามา

ผมจอดรถตรงลานจอดซึ่งอยู่เคียงข้างสนามหญ้าอันมีต้นลั่นทมโดดเดี่ยวสองสามต้น   กลีบดอกสีขาวแกมชมพูร่วงหล่นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ต้องลมฉิวโชยอ่อน   เจ้าหน้าที่และพยาบาลในชุดขาวสะอาดเดินไปมาในบริเวณตัวอาคารเพื่อต้อนรับคนไข้และญาติของคนไข้    คราแรกผมตั้งใจไว้ว่าจะไปถามชื่อของเขาจากหน่วยประชาสัมพันธ์   ทว่าเงาร่างของใครบางคนที่ยืมอยู่บริเวณลิฟท์อันนำขึ้นสู่ชั้นสูงของตัวอาคาร  เรียกให้ผมสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปใกล้     มือของใครคนนั้นเพียบไปด้วยของกินชนิดต่าง ๆ  และเมื่อผมเหลือบมองของในมือก็พบว่าเป็นของโปรดของคนที่ผมรักทั้งสิ้น   ไอ้หมอนี่นี่เอง  ที่ไปพาตัวของเขามาโดยพละการ

คนคนนั้นเริ่มรู้สึกว่าตนตกเป็นเป้าของการจ้องมอง  จึงหันหน้ามาสบตากับผมจนได้


                                              “ไง..”

เขาเริ่มทักทายก่อน  แต่ผมไม่แปลกใจมากนัก  เพราะผมเองก็รู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เขาไม่รู้เหมือนกัน

                                          “อืมก็ดี   คุณแนคคิดยังไงถึงอุตส่าห์ไปลักพาตัวนัสมาที่นี่ล่ะ”

  เขามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมรู้จักชื่อของเขา  แต่ยังหรอก  ความประหลาดใจไม่ได้มีเพียงแค่นี้

                           “นัสเล่าให้คุณฟังแล้ว ?”

                         “เปล่าหรอกครับ  นัสน่ะเก็บความรู้สึกและความลับดีจะตาย  ในเมื่อเขาสัญญาว่าจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคุณเป็นความลับแล้ว  ต่อให้ใกล้ตายเขาก็ไม่มีวันปริปากบอกใครหรอก   แต่ว่าคุณเองเหอะ   คิดยังไงถึงเพิ่งมา   ถ้าหากคุณก้าวเข้ามาตั้งแต่คืนฝนพรำคืนนั้น  ผมเองก็คงจะไม่ลำบากใจที่จะหลีกทางให้คุณหรอกนะ”

                                  “คุณรู้ ..?”

                “ใช่ผมรู้   ผมรู้หลายอย่างที่คุณไม่รู้   รู้กระทั่งว่า..”   ผมนึกอยากยั่วโมโหเขาจึงลดเสียงเบาปานกระซิบ  “...นัสมีลีลายังไงบนเตียง”

เขาจิกปลายนิ้วแน่นในเนื้อมือด้วยความโกรธที่ถูกบีบอัดลงจนไม่มีที่ระบาย

                         “อย่าพูดถึงนัสแบบนั้น   คุณมันปีศาจ  คุณล่อลวงนัส  ถ้าไม่มีคุณ...”

           “ใช่  ผมมันปีศาจ   ถ้าไม่มีผม  นัสก็คงไปมีอะไรกับคนอื่นอยู่ดี   เหอะเหอะ  อย่าให้ผมพูดเลย..”

เขาส่งแววตากร้าวจ้องสวนไม่ลดละ  จนชั่วขณะหนึ่งผมเกือบคิดว่าเราใกล้ปะทุกันเต็มที

ในที่สุด  แนคก็เป็นฝ่ายที่ควบคุมอารมณ์ได้ก่อน

      “ช่างมันเถอะ   ผมเคยคิดว่าคุณจะดูแลนัสได้เป็นอย่างดี  เคยคิดว่าคุณจะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของเขา    เคยคิดว่าคุณจะเยียวยาแผลในใจของเขาได้  ...

                ..แต่ไม่เลย   คุณตามใจเขามากเกินไป   ดูอย่างครั้งนี้  หมอว่าบอกนัสเป็นไข้หวัดใหญ่  หากนำมาส่งมือหมอช้าไปสองสามวันล่ะก็  เหอะเหอะ  เตรียมต่อโลงไว้ได้เลย

ความรัก  ไม่ได้มาคู่กับการตามใจเสมอไป    ถ้าคุณรักเขาจริง  ก็จงรู้จักเป็นห่วงเขาจากเนื้อแท้  สรรหาสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้มาให้เขา   อย่าเอาแต่ตอบสนองความสุขของทั้งคู่ให้มากนัก”

         ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง  คำกล่าวของเขานั้นก็ถูกต้อง   แต่สิ่งที่สะเพร่าไปกว่านั้นคือการที่ผมไม่รู้จักดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย  ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมใหม่ด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าเดิม

              “เพราะว่าผมเป็นเสมือนดั่งปีศาจร้าย   ผมคงไม่คู่ควรกับเขาได้นานนักหรอก    สักวัน  ผมจะคืนเขาให้คุณ  ให้ผู้ที่เข้าใจเขามากกว่าใคร ๆ และมีความรักถึงระดับที่ยินยอมมอบเขาไว้ภายใต้การดูแลของคนที่คุณคิดว่าดีกว่าคุณ  สักวัน...”

                  “ไม่  คุณจะไม่คืนให้ผม  คุณจะต้องดูแลเขาต่อไป  ผมก็เป็นได้แค่พี่ชายที่พร้อมเตรียมไหล่ให้เขาเช็ดน้ำตาเสมอก็เท่านั้น    อนึ่ง  อย่าพูดคำว่า’คืน’ นัสไม่ใช่สิ่งของที่จะโยนกันไปกันมาได้   เขาเป็นมนุษย์  มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ  มนุษย์ที่สามารถเลือกอะไรได้ด้วยตัวของเขาเอง   และเขาเลือกคุณแล้ว...

                เขาเคยกล่าวว่า ‘ผมจะเคารพการตัดสินใจของคนที่ผมรักเสมอ’  และในครั้งนี้ผมขอยืนกรานคำพูดนั้นคืนให้แก่คุณ   ผมเชื่อในการตัดสินใจของนัส  แม้ว่ามันจะทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม  และจงอย่าลืม  หากวันใดที่คุณบังอาจทำให้นัสเสียใจ   ผมจะฆ่าคุณแน่!”

เขายัดเยียดถุงของเยี่ยมให้แก่ผม    “เอามันไปซะ  นัสต้องการมัน”

ชายผู้นั้น  หันหลังกลับไปและสาวเท้าอย่างรวดเร็วจนกึ่งวิ่ง   ทว่า  ผมรีบเรียกเขาเอาไว้เพื่อถามคำถามสุดท้าย

     “เดี๋ยว”     เขาชะงัก  แต่ไม่ยอมหันกลับมา  บางทีเขาคงกำลังปิดบังบางอย่างที่ไหลรินออกจากดวงตาอยู่ก็เป็นได้
“คุณรักนัสแน่เหรอ    ถ้าคุณรักจริง  ทำไมไม่ลองสู้เดิมพันหัวใจกับผมดูสักตั้งเพื่อแสดงความรักของคุณ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”   แนคระเบิดเสียงหัวเราะดังบั่นจนพยาบาลและคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นหันมองชายผู้หัวเราะทั้งน้ำตา

“คุณคงเข้าใจความรักผิดอย่างมหันต์  ความรัก  ไม่ได้มีแค่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมาหรอกนะ   ความรักในความหมายของผม  คือการที่เป็นสุข  เมื่อมองเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนที่เขาเลือก...  ขอให้คุณโชคดี    กับความรัก”

ผมไม่สามารถจะรั้งเขาไว้ได้อีก  เมื่อชายผู้นั้นวิ่งจากไปจากอาคารหลักในทันที

เงาของอาทิตย์ไล่ตามหลังเขาไป  แม้ว่าแผ่นหลังของเขาจะไม่กว้างจนถึงที่สุด   ทว่าแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ปฏิเสธได้ว่า  แผ่นหลังนั้นดูน่าอบอุ่นสมกับฐานะของเขาที่บอกว่าตนเป็นพี่ชายอย่างแน่นอน

ผมละความสนใจจากชายผู้จากไป  และก้าวเท้าเข้าหาประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามที่ตั้งของห้องพักของนัสแทน







ผมนอนนิ่งมองพัดลมติดเพดานหมุนช้า ๆ เหนือเตียงสีขาว    ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียว  จนผมอดเหงาไม่ได้    พี่แนคบอกว่าจะลงไปหาอะไรมาให้กินข้างล่าง

แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้น    ผมเกรงแต่เพียงว่าพันไพรจะตกใจแค่ไหนหากพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่พัก 
ให้ตายสิ  ผมชักจะลำเอียงและเทใจไปให้หมอนั่นมากขึ้นทุกที    ..เฮ้อ
ทำไมคนที่เขาทำดี ๆ กับเราแต่แรกไม่เอาวะ  ประหลาดจริง

แต่ผมไม่มีเวลาบ่นกับตนเองมากนัก  เมื่อประตูบานสีฟ้าอ่อนถูกผลักเข้ามา  ผมยันกายเพื่อลุกขึ้นดูว่าใครมา
ถึงผมจะรู้แน่ว่า  เวลาแบบนี้มีแต่พี่แนคที่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ก็เหอะ  แต่ก็อดจะดูให้แน่ใจไม่ได้

          ทว่าผมที่โผล่ใบหน้ายิ้มเผล่จากขอบประตูกลับทำให้ผมประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

                            “พันไพร...”

            “อะฮ่า    หายดื้อแล้วหรือครับ   ถึงกับมาโรงพยาบาลด้วยตนเองเชียว”

                  “เปล่าครับ  มีคนพามา”

พันไพรลูบปลายครางอันมีเคราหรอมแหรมของเขาเล็กน้อย        “เอ  ใครพามากันน้อ  ใช่คนสูง ๆ หล่อ ๆ เข้ม ๆ หรือเปล่าครับ”

ผมยิ่งประหลาดใจ  เมื่อคำบรรยายของเขาช่างตรงกับพี่แนคนัก      จึงผงกศีรษะตอบรับเบา ๆ

              “ถ้าหากคุณแนคล่ะก็  เขาขอตัวกลับไปแล้วล่ะครับ  เลยให้ผมมาดูแลนัสแทน”

ผมงงเข้าไปใหญ่   ว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่   แต่สิ่งที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ...

        “แล้วไพรตามผมมาที่นี่ได้ไงอ่ะ”

 พันไพรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะที่มือของเขาก็จัดวางของกินไว้บนโต๊ะข้างเตียง  พร้อมกับยกกาแฟคาปูชิโน่กระป๋องดื่มอย่างเอร็ดอร่อย   จนผมต้องกระวนกระวายเสียเอง  เมื่อมองไปยังลำคอที่ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนตัวตลอดเวลาที่เทของเหลวรสเข้มเข้าปาก อั่ก ๆ

              “อ..ฮ่า..”      ชายหนุ่มปาดหลังมือกับริมฝีปาก  เพื่อเช็ดคราบกาแฟออก     “ถ้าจะให้เล่าตั้งแต่ต้นก็คงจะยาวเกินไป   เอาเป็นว่าผมสรุปง่าย ๆ นะครับ    เอางี้ดีกว่า  นัสเคยได้ยินทฤษฎี  การสั่นพ้องของคลื่นมั้ยครับ”

        “เคย   แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรสักหน่อย”

รอยยิ้มยั่วยังคงประดับที่มุมปากของเขา   ริมฝีปากบนของพันไพรเผยอขึ้นนิดหน่อยเผยเขี้ยวเล็ก ๆ ที่ละลายใจอีกครั้ง

            “ฮ่าฮ่าฮ่า  เกี่ยวสิครับ  เกี่ยวมากเสียด้วย    ถ้าหากนำทฤษฎีการสั่นพ้องของคลื่นมาใช้กับหัวใจสองดวง”

เขาเดินเข้ามาใกล้ผม  และชี้ที่หัวใจของเขาเอง  ลากเป็นเส้นโยงในอากาศจนถึงหน้าอกเบื้องซ้ายของผม

  “หัวใจสองดวงที่ตรงกัน   จะส่งคลื่นหากัน  และทั้งคู่  จะรับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน”

              “บ้าแล้ว  ใครว่าเราใจตรงกันวะ”

พันไพรยิ้มกริ่ม  ผมชักสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่เลย  บ้าชิบ.

               “งั้นให้ผมบอกประโยคหนึ่ง  แล้วผมจะถามนัสประโยคหนึ่งนะครับ   ดูซิว่าเราจะตรงกันหรือเปล่า”

                               “นายบอกก่อนนะ  แล้วเดี๋ยวผมตอบ”

                                           “ครับ”

หึ หึ หึ  อย่างนี้สบาย ๆ  ผมก็แค่แกล้งพูดให้ไม่ตรงก็ได้นี่หว่า

                            “งั้นว่ามา”

พันไพรยิ่งก้าวเข้าใกล้ผมขึ้นทุกที  จนผมขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้บนเตียงคับแคบ   แขนข้างซ้ายของเขาท้าวกับผนังคล้ายจะปิดกั้นทางหลบหนีของผมให้สิ้น

ดวงตาของเขาจ้องลงมาจากที่สูงกว่า   ดวงตาสีน้ำตาลสวยอันแพรวพราวยิ่งกว่าประกายดาวยามราตรี    ดวงตาที่ทรงพลังอย่างประหลาด  สะกดผมให้ต้องสบตาเขาแน่นิ่ง  ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาระบายจากจมูกโด่งเป็นสัน   กระทบหน้าผากผมเบา ๆ

“นัสครับ   ผมไม่รู้ว่าผมพูดคำนี้กับนัสเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว   แต่ผมจะไม่ท้อ  ที่จะกล่าวถ้อยคำนี้เรื่อย ๆ     ฟังวาจาจากใจจริงของผมอีกครั้งนะครับ”

ผมกลั้นลมหายใจเมื่อแววจริงจังที่แฝงในดวงตาของฝ่ายตรงกันข้ามทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ   

                           “ผมรักคุณครับ..”

ช่วงเวลานั้นยาวนานเหลือเกิน   ดวงใจของดวงที่เต้นแข่งกันโครมครามเหมือนจะช่วยใช้ในการบอกเวลาแทนเข็มวินาทีของนาฬิกาแขวนบนผนัง   ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก  เมื่อปะทะกับแรงกดดัน  ทั้งคำพูด ท่าทาง  แววตา

                              “กะ..ก็  ..แล้ว  ..ไง”

พันไพรยิ้มอย่างอบอุ่น  และยอมคลายมนต์สะกดแห่งดวงตาของตนออกเล็กน้อย

                    “ผมอยากรู้ว่า   นัสล่ะครับ  รักผมมั้ย”

ผมอึ้ง   หูอื้อ ตาลายไปหมดจากคำสารภาพรักที่ดูจริงใจกว่าทุกครั้งของพัน  และตอนนี้เขากำลังถามผมว่าผมรักเขามั้ย


เพียงคำเดียวที่ปรารถนา
อยากฟังให้ชื่นอุราใจพะว้าภวังค์
นานเท่านานพี่คอยจะฟัง
คำนี้คำเดียวที่หวังอยากฟังจากปากดวงใจ
คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง
พี่รักพี่แหนพี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ไม่เคยเฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป
เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
มีหลายคราที่เคยเหมือนเจ้าจะเอ่ย
เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์
กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา
เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนาตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้แอบเอาไปบอกคู่ใจ
ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
มีหลายคราที่เคย
เหมือนเจ้าจะเอ่ยเปิดเผยเฉลยคำนั้น
แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์
กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้
จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ดังไม่มีเยื่อใย
แม้นเจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย
พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็ รัก อย่างไรเจ้าเอย


[color]
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 08-06-2008 14:48:42
 :oni1: มานั่งรอตอนต่อไปค่ะ



หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Clear eyes ที่ 08-06-2008 17:12:35
กลอนเพราะมากเลยค่ะ o13
แต่งเองหรือเปล่าคะเนี่ย?

เรื่องนี้ก็สนุก ส่วนเรื่องอื่นก็ติดตามอยู่เช่นกัน

มาต่อเร็วๆนะคะ
(ระหว่างนั้นก็ขอไปรื่นเริงกะเรื่องอื่นๆต่อ :oni1: :oni1:)

ปล.ขอบคุณนะคะที่บอกบรรดาเรื่องที่คุณแต่งให้ทราบ
     แล้วยังไงจะไปตามหาดู
     ถ้าไม่เจอแล้วจะมาบอกค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 16-06-2008 22:50:37
ยังไม่มาอีกหรอคะคุณน้องขา  :laugh:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 16-06-2008 23:13:28
เม้นต์ก่อน เดี๋ยวตามมาอ่านทีหลังนะคร๊าบ :a11:

ง่วงแล้ววันนี้ :a12:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 17-06-2008 00:51:15
 :m31: :m31: :m31:  ทำไมนานขนาดนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดองได้ที่แล้วกระมั้งคับ      :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 18-06-2008 22:12:16
เหอๆ พึ่งแอบเห็นว่ามีเรื่องนี้เลยตามมาอ่าน

ชอบอะ ชอบแอบรักเพื่อน อิอิ แต่ตัว นัส ก็น่าสงสารเนอะ

เครียดจังอะ แบบนี้ให้นายแบดมาช่วยดีกว่า555
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 18-06-2008 22:25:41


[เหตุการณ์ปัจจุบัน]





   “เคยมีคนถามผมว่า   ทำไมผมถึงเศร้านัก”     

       “แล้วนัสตอบว่าอะไรล่ะ ?”

“ผมตอบเขาไปว่า   หลายหลายอย่างทำให้ผมเศร้าสร้อย    ใบไม้ไหวปลิดปลิวจากขั้ว  สายลมพัดพรูหอบเอาเศษฝุ่นทรายคละคลุ้ง   เสียงคลื่นกระทบฝั่งพลิกเปลือยหอยบางให้ไหวพะเยิบตามจังหวะคลื่น    แม้แต่ยามเช้าอันสดใสกำจายไอหมอกขาวพร่างน้ำค้างพรู  หรือยามสายอับอบอุ่นด้วยไอแดดก็ทำให้ผมเศร้าได้”

  “แล้วไงอีก..”

          “ผมยังบอกเขาอีกว่า    บางทีผมก็เศร้าขึ้นมาเฉย ๆ   รู้สึกวูบไหวกับความว่างเปล่าและกาลเวลาที่ไหลผ่านตัว  ผมเป็นคนไร้สาระใช่มั้ยล่ะครับ”

               “ไม่หรอก  อารมณ์ศิลปิน”

        “อืม  เขาก็พูดเช่นนั้น  แต่...”

แต่ผมรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น    ความเศร้าโดยไร้สาเหตุส่งผลกระทบต่อชีวิตของผมมากกว่าที่คิด   มันดูดเอากำลังใจและพลังชีวิตของผมจนหมดสิ้น  ทำให้ผมเป็นเพียงเครื่องจักรที่เผาผลาญกิเลสเป็นพลังงานเชื้อเพลิง  มันทำให้ผมเกลียดตนเอง  ทำให้ผมไม่รักตัวเองเพียงพอที่จะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

  ตอนนี้ผมก็เหมือนกอสวะไหลไปมาตามแต่กระแสธารของชีวิตจะพัดพาไป     

ผมเป็นคนมองการณ์ไกลนะ    ผมสามารถมองเห็นผลอันยาวไกลจากการกระทำที่ผมทำลงไป   มองเห็นผลร้ายและความพินาศรออยู่เบื้องหน้า     แต่น่าเสียดาย   ที่ผมไม่รักตัวเองเพียงพอที่จะหยุดยั้งการกระทำนั้นนั้น
ผมยังคงจม   ..จมลึกลงเรื่อย ๆ   แต่ผมก็ยังคงหลับตา   ผมยินดีกับความสิ้นสลายนั้น  หากว่าจะนำพาผมไปให้พ้นจากห้วงแห่งความเหงาและความเศร้า

  ผมไออย่างรุนแรงสองสามที  จนพันไพรมีสีหน้าร้อนรน    เขาเข้ามายึดร่างของผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้หวายเบื้องนอกของบังกะโลริมหาดไว้

              “ขอโทษจริง ๆ นัส  ผมไม่ควรพาคุณมาตากลมยามเย็นแบบนี้    มา  เดี๋ยวผมพาเข้าบ้านก่อน”
ผมรีบยกมือห้าม  เมื่อเห็นคนเจ้ากี้เจ้าการจะเข้ามาอุ้มร่างผมไปข้างใน

       “ผมไม่เป็นไรหรอก   ผมอยากเห็นดวงอาทิตย์ยามลับเส้นขอบฟ้า   จุดที่ซึ่งผิวน้ำกับผืนฟ้าเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน   วันนี้มีได้แค่วันเดียว    หากปล่อยให้ถึงพรุ่งนี้  ผมก็คงไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้อีก”

ปุยเมฆก่อตัว   บิดพลิ้ว อยู่เหนือดวงตะวันสีส้มจาง    มันถูกไล้ไล่สีจากแสงสุริยะ   ไล่จากสีแดงเข้มราวชาด  เป็นสีส้ม  และแต้มเงาเขียวประปรายตามซอกหลืบของเงาเมฆ    ท้องฟ้าที่นอกเหนือจากนั้น   ไล่สีเงินกำมะหยี่จนเข้มราวหมึกคล้ายกับกรอบรูปอันบันทึกภาพวาดอันวิจิตรตระการของจิตรกรมือเอกอันมีชื่อว่าธรรมชาติไว้
ผมเศร้าอีกแล้ว  แต่ครานี้ผมเศร้าอย่างเป็นสุข   เพราะผมเริ่มชินกับมันจนแทบจะขาดมันไปไม่ได้

                   “นัสจะไม่สบาย  หากว่ายังคงอยู่ต่อจนค่ำ”

พันไพรยังไม่ละความพยายามของเขา

                          “ผมจะไม่สบายหากว่าผมไม่ได้ดูมันลับขอบฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ”

ผมส่งสายตาดื้อดึงจ้องสวนดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย   พันไพรถอนหายใจเบา ๆ อย่างระอา

   “ทำไมผมถึงไม่อยากไปหาหมอรู้มั้ยครับ ?”

พันไพรส่ายหน้าช้า ๆ   เขาไม่ล่วงรู้จิตใจของผมไปเสียหมดหรอก

      “ผมไม่รู้..”

              “ผมไม่อยากสำออยเกินเหตุ  อะไรที่พอทนได้ก็ทนไปก่อน..”

         “ไม่..   นัสไม่ได้คิดอย่างนั้น   ทำไมนัสถึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ล่ะ ?”

ผมนิ่งอึ้งกับคำกล่าวที่แทงใจดำ

                 “นัสรู้มั้ย    นัสน่ะเหมือนเมื่อวันนั้นเลย   คนที่ร้องเพลงด้วยความเศร้าอยู่ริมขอบผา  โยกร่างเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นน้ำตา  และฮัมเพลงเพื่อกลบเสียงสะอื้น   ผมกลัว   กลัวว่าสักวันจะต้องสูญเสียนัสไป    กลัวว่าวันใดที่นัสพลาด  และตกลงไปในเหวนั้น   แค่คิดเพียงนั้นผมก็คงทนไม่ได้ที่จะมีชีวิตต่อไป”

ผมยิ่งอึ้งกับข้อความที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าของพันไพร   ผมยื่นมือออกไปจับมืออีกข้างของเขา  แล้วดึงเข้ามาหาตัวช้าๆ

                  “ไพร    นายจะต้องอยู่ต่อไป   ไม่มีใครรู้แน่หรอกนะ  ว่าสักวันไพรจะพบกับคนที่ไพรรักยิ่งกว่าผมหรือเปล่า   ไม่มีใครรู้หรอก  ว่าสักวันไพรอาจจะให้กำเนิดชีวิตน้อย ๆ หลายชีวิต   อาจจะเป็นเสาหลักของครอบครัวใดสักแห่ง   หรือไพรอาจจะมีชีวิตอยู่เฉย ๆ   เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้อื่น  ไม่เฉพาะแค่ผม

ทุกคนเป็นหนึ่งในตัวละครของเวทีที่ชื่อว่าโลก   ถึงแม้จะไม่มีบท  แต่การส่งบท  หรือการอยู่ถูกที่ถูกเวลาของแต่ละตัวละครย่อมทำให้โลกยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด”

               “แล้วนัสล่ะ  ไม่ใช่หรอกหรือ ?   นัสไม่ใช่ตัวละครหนึ่งตัวในโรงละครแห่งนี้เช่นเดียวกันแน่น่ะหรือ ?”
ผมเหยียดยิ้มบาง ๆ อย่างนุ่มนวลเพื่อปลอบขวัญคนข้าง ๆ

                   “ผมไม่ได้พูดสักคำ  ว่าผมไม่ใช่   ไพรสบายใจเถอะครับ  ผมจะพยายามเท่าที่จะพยายามได้”
มือของผมบีบมือของเขาเบา ๆ   

        นั่นล่ะ..  ผมก็คือผม   คนที่พร้อมจะกลับมาแข็งแกร่งได้ทุกครั้งเมื่อคนรอบข้างอ่อนแอ  พร้อมที่จะเป็นผู้ปลอบประโลมผู้อื่นแทนเสมอ   คนที่ผมวางใจอย่างแท้จริง  ไม่ใช่คนที่ผมจะฟูมฟายด้วย  แต่เป็นคนที่ผมจะไม่ยอมให้เขาเห็นด้านอ่อนแออันไม่น่าสบายใจเป็นอันขาด   

อันที่จริงแล้ว  ผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องการอะไรกันแน่   บางทีการได้ระบายกับการเขียนคงจะลดความขัดเขินไปได้ไม่น้อย 

                                 ทว่า..  แล้วตอนนี้ผมเศร้าหรือเปล่าล่ะ      นั่นสิ   ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน







ผมยังไม่หายเหงา   แม้ว่าจะมีร่างสูงแผ่อยู่ข้างกาย  เรานอนเตียงเดียวกัน  แต่เราไม่เคยมีอะไรกันอีกเลยนับแต่คืนวันนั้น  เสียงหายใจของพันไพรลึกและอย่างประหนึ่งนอนหลับสนิท  แต่ผมรู้ว่าเขาประสาทไวมาก  เพราะเมื่อใดที่ผมไอออกมา  เขาจะรีบผุดลุก  แล้วหาน้ำอุ่นละลายยาให้ผมในทันที

ผมถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความลำบากใจ   พันไพรเป็นคนดีเหลือเกิน   เขาทำดีกับผมในทุกเรื่อง  เขาสุภาพ  และเป็นห่วงเป็นไย   นับวันหัวใจผมยิ่งถูกทำลายกำแพงน้ำแข็งออกด้วยความดีของเขา  แต่ผมนี่สิ  ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา  บางคราที่ผมร้อนรุ่มเมื่ออยู่ห่าง   ทว่าบางครั้งก็รู้สึกเหมือนยังมีเยื่ออะไรบางอย่างที่กั้นระหว่างเรา

ผมยิ่งแย่ลงทุกที   ผมว่าผมกำลังตกหลุมรักเขาอีกคน   และคนที่ผมรักนั้น  จะไม่มีวันได้เห็นด้านที่อ่อนแอของผมเป็นอันขาด   ผมไม่สามารถระบายเรื่องอะไรหนักอกให้คนที่ผมรักฟังได้  ในขณะเดียวกัน  ผมเองก็ไม่กล้าบอกเล่าความรู้สึกของผมแก่ผู้ที่ไม่รู้จักเช่นกัน

สรุปก็คือ  ผมเองก็คงจะมีแต่เพียงหน้าเดียวที่ไว้พบปะผู้คน   ส่วนอีกใบหน้าน่ะหรือ   ใบหน้าที่อ่อนล้าและสิ้นหวังต่อชีวิต...ก็คงเก็บซ่อนไว้ตลอดไป

ผมอยากเล่าความรู้สึกเช่นนี้ให้ใครสักคนฟัง  แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นทุกข์ไปด้วย  ความรู้สึกสองชนิดที่ตีกันอย่างรุนแรงมันทำให้ผมกดดันมากขึ้นทุกที     

มีใครบางคนแนะนำให้ผมลองคุยกับตนเอง  ให้ผมลองส่องกระจกพูดคุยกับตนเองดูบ้าง
ผมลองแล้ว   บทสนทนาแรกระหว่างเราเต็มไปด้วยความขัดเขิน  มันเริ่มด้วยการแนะนำตนเองอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ  แล้วก็จบลงอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ  เช่นเดียวกัน  ผมมีสิ่งที่จะบอกตนเองมากกว่าที่คิด  ในขณะที่ผมเองก็ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน  และนั่นทำให้การคุยกับตัวของผมเองล้มเหลวไม่เป็นท่า   เพราะขนาดตนเอง  ผมเองก็ยังไม่กล้าเปิดใจให้แก่ตนเองเลยแม้แต่น้อย   จะไปหวังอะไรกับคนอื่นล่ะ

ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม     แรงสะเทือนเล็กน้อยกลับปลุกให้อีกคนตื่นจากการหลับใหล

                 “นอนไม่หลับหรือครับ ?”

        “อือ  อยากเขียนอะไรสักหน่อย”

                      “เขียนอะไรล่ะครับ ?”

                   “ความลับ”

พันไพรอึ้งไปชั่วขณะ   แต่ก็เพียงชั่วครู่  น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนก็ถูกถ่ายทอดมาจากเรียวปากบางใส

                 “อย่านอนดึกนักนะครับ  ผมกลัวนัสจะยิ่งไม่สบาย”

ผมนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ ซึ่งเปิดโคมไฟเฉพาะโต๊ะ  พลางหลับตาลงด้วยความปวดร้าว   พันไพร  นายไม่รู้เลยจริง ๆ หรือ  ว่ายิ่งนายทำดีกับผมมากเท่าไหร่  ผมก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น   ผมทรมานกับความสำนึกผิด  เมื่อไม่สามารถหักใจมอบหัวใจที่มีเพียงหนึ่งของผมให้แก่ใครได้   ทั้งคนหนึ่งที่ผมรัก  และอีกสองคนที่รักผม    ยาก..ยากเหลือเกิน

เวลาที่ผ่านไป  ทำให้ผมพบกระจกอีกบาน   สิ่งที่สามารถสะท้อนความคิดของผมมาได้เกือบทั้งหมด  มันคือกระดาษและปากกา  เงาที่ปรากฏคือเงาหมึกสีน้ำเงินอันซึมลงในเนื้อกระดาษ  ถ่ายทอดเหตุการณ์ในชีวิตของผมไว้   ถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างผมกับเทพ

และตอนนี้  ผมกำลังเล่าถึงพันไพร

ผมแปลกใจ  ที่ผมจำแทบทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาได้ทั้งหมด  จำได้ในทุก ๆ วินาที่ที่เราพบกันครั้งแรก   ทั้ง ๆ ที่ผมเชื่อว่าตอนนั้นผมกำลังเมาและจ่อมจมกับความทุกข์ก็ตาม

ความทรงจำที่กลับมาคล้ายกับภาพฉายย้อนกลับ    พันไพรปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนอันสับสนวุ่นวายยามราตรี   เขาเหมือนก้าวออกมาจากความฝันของผม   เขาดูดีมาก   ไรหนวดอ่อนและดวงตาสีเข้มทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่างน่าเหลือเชื่อ   เขาเข้ามาแนะนำตัวและเริ่มการสนทนากับผมได้อย่างมีเสน่ห์     ผมซึ่งกำลังมึนเมา  และต้องการใครก็ได้  ขอแค่ใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อนในค่ำคืนอันอ้างว้าง

..แล้วเราก็มาจบลงที่เตียง

ผมนึกว่านั่นคือจุดสิ้นสุดของสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอันผมพบเจอเป็นปกติ    ทว่า   มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...  เรื่องราวที่ทำให้ผมจรดปลายปากกาลงจดบันทึกอีกครั้ง

ผมเว้นว่างที่เหลือไว้เพื่อรอบทสรุป  ผมเองก็ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เช่นกันว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร..

ผมรู้แต่ว่าบัดนี้....

ผมปิดสมุดบันทึกปกสีน้ำเงินไฟลินลงช้า ๆ  แล้วเลื่อนเก้าอี้ไว้ที่เดิม    พันไพรนอนหลับสนิทอีกรอบแล้ว   ใบหน้าใสบริสุทธิ์ราวเทพบุตรยามนอนหลับของเขาระบายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ราวกับกำลังฝันดีอยู่

ผมก้าวเข้าใกล้ร่างของเขา  แล้วโน้มตัวลงกระซิบถ้อยคำบางคำริมหู..

                คำบางคำที่เขารอมานาน  แต่ผมเลือกที่จะบอกเขายามที่เขาไร้สติ...

                                                “ผมรักนายนะ ไพร”







โทษทีนะครับที่มาลงช้า  ผมไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ นอกจากขอโทษครับ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 20-06-2008 00:02:05
อิอิ มาแล้วๆ อ่านไปก็ซึม เศร้า

โอย ปวดใจแทน ไปบอกอารายตอนนอน

จะรู้เรื่องมั้ยนี่ ซิกๆ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: TaEnIaE_CoLi ที่ 20-06-2008 02:11:53
ชอบเพลงนี้เหมือนกานเลย

ใช่ชื่อเพลง เพียงคำเดียวป่าวอ่ะคับ

เคยได้ฟังพี่คนนึงร้องเมื่อนานมาแว้ว

ทัมมัยชีวิตช่างเศร้าขนาดนี้เนี่ย

บางทีอารมณ์ศิลปินกะโรคซึมเศร้ามันก็คล้ายกันนะ

เป็นห่วงตัวละครอ่ะ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 20-06-2008 11:14:23
http://media.imeem.com/m/Apxaz6DMw-

  :m15:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 20-06-2008 23:27:46
 :m4: :m4: :m4: ในที่สุดก็มาต่อแล้ว
แต่ทำไมมันเศร้าเหลือเกิน  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 23-06-2008 23:54:06
อย่าลืมเรื่องนี้น้า มีคนเขาอ่านอยู่

สงสัยมัวไปตามหา รุก แท้ 555
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] - นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่สาม update2/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-06-2008 11:43:22
cj : เรื่องนี้ผมอัพช้าหน่อยนะครับโทษที  ว่าแต่ได้ไฟล์เพลงจากไหนครับนี่

Clear eyes : ไม่ใช่กลอนหรอกครับ  เป็นเพลงน่ะ  ผมไม่ได้เป็นคนแต่งด้วย *-*

Clear eyes : มาแล้วครับเจ้สอง ^ ^

christiyaturnm : อย่าเผลอหลับต่อหน้าผมนะครับ  เดี๋ยวมีเฮ อิอิ

Taurus : แง้ววว  ยังไม่เค็มเลยครับ

Tifa : คนละอารมณ์กับควีนฯเนาะครับ  อิอิ  แต่เฮ้อ  เทพในเรื่องก็คนที่ผมเล่าให้ฟังในกระทู้ Queen น่ะครับ  คนที่ไปเที่ยวงานกล้วยไม้ด้วยกัน  นิยายเรื่องนี้เขียนตอนที่อารมณ์อ่อนแอสุด ๆ   ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาก็พลุ่งพล่านที่สุดด้วย

TaEnIaE_CoLi : ถูกต้องครับ  เพลงนั้นแหละ  เพลงมันแล้วแต่อารมณ์คนร้องนะ  เป็นเพลงจีบสาวจีบหนุ่มก็ได้นะฮะเพลงนี้



------------------------------------


บทที่ ๕



 
[เหตุการณ์ในอดีต]
 

  อารมณ์ของผมเหมือนดั่งทะเล   บางครั้งมันก็ดูราบเรียบและสงบง่าย    ทว่าซ่อนคลื่นใต้น้ำอันรุนแรงไว้ภายใน


ผมรู้สึกเบื่อโดยไม่รู้สาเหตุ  จนต้องเคาะโต๊ะเล่น ๆ แก้เซ็ง   กระทั่งเพรียงพร้อมที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ หันมาทำตาเขียวใส่   ฌิณชัยทอดสายตาสงสัยมาพร้อมกับคำถาม

              “นัส  แกเป็นอะไร ?”

            “หืม”

            “ใครบางคนไม่อยู่ใช่มั้ยล่ะ”

เพรียงพร้อมกล่าวได้แทงใจดีจริง ๆ  แต่ผมรีบปฏิเสธ

                  “เทพมันไม่อยู่ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย  ไม่ได้ตัวติดกันนิ”

          “ฮั่นแน่    คิดถึงเพื่อนรักของแกก็บอก”

ผมลอบถอนหายใจ    เออ  เราเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ   คงจะประมาณว่า  ที่ไหนมีเทพ  ที่นั่นมีนัส  ที่ไหนมีนัส  ที่นั่นมีเทพ  กระมัง

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืด   พวกจตุรเทพทั้งหลายก็เลยไม่ไต่ถามแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อ
ผมลอบมองวิธีการทำงานของพวกเขามานานแล้ว   รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นเคล็ดลับความเก่งกาจของพวกเขาจะเป็นพรสวรรค์เสียสามส่วน  อีกเจ็ดส่วนเป็นความขยันหมั่นหาความรู้นั่นเอง

ยกเว้นอิม   ซึ่งผมคิดว่าเขาอัจฉริยะผิดปกติ   และคงจะมีพรสวรรค์อยู่เกินห้าส่วนเป็นแน่
หลาย ๆ คนที่ชื่นชมอิมจากผลการเรียน 4.00 ตลอด   แต่ผมมองเห็นอะไรมากกว่านั้น   ผมมองเห็นความคิดลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางเปิ่น ๆ และการถ่ายทอดเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดได้อย่างกระท่อนกระแท่น  เมื่อรวมความอัจฉริยะกับความหน้าตาดีของอิม    (โดยมองข้ามบุคลิกพิลึกพิลั่นของเขา)   ผมว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ในสายตาของผมมาก ๆ

แต่ในขณะเดียวกัน  ผมก็เห็นเขาเป็นคู่แข่งทางด้านความคิด  อยู่เสมอ

แตกต่างจากเทพ   ถ้าเทพเป็นพวกซ่อนคมในฝัก  คมที่ว่าคงจะคมกริบจนน่ากลัว  เพราะเขาไม่เคยทำตัวโดดเด่น  ทว่าผมเองก็สัมผัสได้ถึงความลึกลับมิอาจหยั่งจากเขา   ความคิดที่พิสดาร  และหลายครั้งหลายคราที่เขาคาดเดาดักทางความคิดของผมได้อย่างถูกต้อง

อิมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือปกอ่อนที่เขาซบอยู่  เขาใช้มือขวาปาดน้ำลายย้อยตรงมุมปากด้วยท่าทีเกียจคร้าน   ดูท่าเมื่อคืนเขาคงจะทำรายงานดึกไปหน่อย

                       “คุยเรื่องไรกันอยู่อ่ะ”

ถ้าเทพอยู่ด้วย  เขาคงบอกว่า  ไม่มีอะไรหรอก   พร้อมกับประดับลักยิ้มยียวนตรงมุมปาก

                       “ไอ้นัสมันเฮิร์ท  เพื่อนรักมันไม่อยู่ใกล้ ๆ”

ฌิณชัยตอบแทนผมในทันที

                  ผมเหล่มองหาเรื่องใส่คนพูดหน่อย ๆ จนเขายอมสงบปาก

                 “ไอ้เทพน่ะเหรอ  ไหนว่าจะไปหานายใต้ตึกที่เล่นการ์ดไง”

ผมทำตาโต  เพราะว่ามันน่าประหลาดใจน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

ผมรีบเก็บกวาดเศษซากอุปกรณ์การเรียนเข้าสู่กระเป๋าอย่างรวดเร็วจนเพรียงพร้อมอดแซวไม่ได้

           “รีบไปเชียวนะนัส    ทิ้งเพื่อน ๆ นะแก”

           “เปล่าทิ้ง  เดี๋ยวมา”

     “อีกเดี๋ยว น่ะเมื่อไหร่กัน  เอางี้  แกออกไอเดียงานพรีเซนต์ประวัติพุทธสาวกมาก่อน  แล้วพวกเราจะปล่อยแกไป”

ผมเม้มริมฝีปากด้วยความขัดใจ  แต่แล้วก็ยอมนั่งลง    ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะ  ชอบรอให้ไฟลนก้นถึงจะเริ่มทำงาน

 “เราคิดอะไรออกอย่างหนึ่ง  แต่เราออกได้แต่ความคิดนะ  เรื่องจัดการและความเป็นไปได้ลองเอาไปถกกันเอง”

อิมจ้องมองเงียบ ๆ   ส่วนฌิณชัยผงกศีรษะเบา ๆ  เพรียงพร้อมเองก็ปรายตาจากงานที่เขาทำอยู่มามองหน้าผม

         “จัดทำเป็นละครเล็ก ๆ หน้าห้อง  ให้จบภายในเวลาที่กำหนด”

สมัยนั้น  อย่างดีพวกเพื่อน ๆ ผมก็จะใช้วิธีกันผลัดออกไปรายงานตามบทในหน้ากระดาษที่เตรียมไว้  การแสดงด้วยสื่อชนิดอื่นจึงค่อนข้างน่าประหลาดและพิสดารพอสมควร

                “บางอย่างทำได้ยากน่ะสิ  อย่างเช่น...”

“สิ่งที่ทำได้ยากก็เกลาให้มันง่ายสิ    ใช้การทดแทนด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามมีตามเกิด   ลองคิดดูสิว่าอาจารย์จะชอบแค่ไหน  แล้วคะแนนของพวกนายจะได้เยอะแค่ไหน   นี่ล่ะหน้าที่ของพวกนาย  ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ให้ออกมาเป็นรูปธรรม   ..ในกรอบที่กำหนด”
          “และ  ในเมื่อหมดข้อสงสัยกันแล้ว  เราก็ขอตัวก่อนนะ”

ช่างเป็นงานที่ง่ายอะไรแบบนี้  พูดสองสามคำจบ  ผมนี่มันไอ้เลวตัวถ่วงของกลุ่มของแท้จริง ๆ           
     
“เดี่ยวสิ แล้ว..”

ผมไม่รอให้เขาพูดจบประโยคก็รีบหยอดคำหวานใส่

                  “เราเชื่อในฝีมือและมันสมองของพวกนายทุกคนนะ  ว่างานนี้จะสำเร็จไปโดยราบรื่น  ตัวเราเองก็ไม่มีฝีมือจะทำอะไร  ก็คงมีแต่เพียงกำลังใจที่จะส่งให้แก่สมาชิกกลุ่มผู้เสียสละทุกท่าน  เชียร์ส!”

ผมไม่รอฟังอีร้าค่าอีรมอีกต่อไป   รีบสาวเท้ายาว ๆ ออกมาจากโต๊ะของเหล่าจตุรเทพในทันที





หน้านี้ปีปออกดอกขาวพราวสะพรั่ง    กลีบบางของมันร่วงหล่นลงเกลื่อนโคนต้น ราวกับเกล็ดหิมะดารดาษกลางเหมันตฤดู   ผมเหยียบย่ำไปตามโคนซอกหญ้าอันอยู่ใต้เบื้องพื้นทางนำไปสู่อาคารหลังใหม่  ศาลาเก่าอันผมใช้สำหรับการซุ่มเฝ้าดูกรรม์เมื่อครั้งก่อนอยู่เบื้องหน้า

เงาร่างของคนสองคนที่กำลังคุยกันบนศาลาทำให้ผมชะงัก  และหลบมุมหลังเสาอาคาร
เทพกับกรรม์...

ผมเองยังไม่กล้าเข้าหน้ากรรม์   ไม่รู้สิ  มันแปลก ๆ เหมือนกับว่าผมเองนึกคำพูดไม่ออกเวลาเจอหน้าเขา  ทำไมผมทำตัวเหมือนคนผิดเองก็ไม่รู้แฮะ

เทพล้วงเอากองการ์ดจากกระเป๋า   เขาเอามันสับ ๆ แล้วเจอออกเพื่อเริ่มกระบวนการเล่น   ผมเองไม่รู้จะบอกว่ารู้สึกอย่างไรดี  เพราะว่าผมเองเคยขอให้เทพเล่นกับผมมาหลายครั้งแล้ว  แต่เข้าก็หลบเลี่ยงมาเรื่อย  ขณะที่กับกรรม์
เฮ้อ...แต่ผมไม่ได้โกรธนะ   เพียงแต่ความอยากเจอหน้าที่มีต่อเขาในเที่ยงนี้มันตกฮวบ   ผมควรจะยินดีสินะ  ที่เพื่อนรักของผมกำลังมีความสุขจากการละเล่นนั่น

ผมเดินออกมาจากที่นั่นและเดินไปเรื่อย ๆ ตามถนนภายในตัวโรงเรียน   มันพาอ้อมอาคารอุตสาหกรรมไปสู่เรือนเกษตรอันกอปรด้วยเรือนกระจกขนาดใหญ่  และท้องทุ่งกว้างอันปลูกไว้ด้วยดอกดาวเรืองยาวสุดลูกหูลูกตา  เสียงไก่และเป็ดดังมาเป็นระยะจากโรงเรือนเลี้ยงสุดปลายทุ่งโน่นอันติดกับบ่อน้ำกว้างให้บรรยากาศลูกทุ่งดีจริง ๆ
ผมสิ้นสุดการเดินเรื่อยเปื่อยที่โคนต้นไทรย้อย  อันระย้าห้อยไว้ด้วยรากฝอยระโยงรยางค์จากกิ่งสูงลิ่วเหนือพื้น  แล้วจึงทรุดตัวนั่งลงบนม้าหินอ่อนใต้ต้นไทร  ผมปิดดวงตาด้วยมือข้างซ้ายเพื่อลดความรุนแรงจากแสงจ้าอันสะท้อนจากทิวทัศน์รอบ ๆ พ้นร่มไทรซึ่งเกิดจากแสงอาทิตย์ยามเที่ยง

ความเหงาเป็นเพื่อนกับผมมานานแล้ว   จะว่าไป  นับแต่ผมก้าวเข้ามาที่นี่ผมก็เริ่มรับมันไว้เป็นเพื่อนซี้   ผมมักจะยิ้มให้แก่มัน  คอยเฝ้ามองมันกระโดดไปมาอย่างร่าเริงระหว่างความเศร้าและความเจ็บปวด

ผมพยายามเอนร่างลงซบกับแขนที่ขัดกันไว้บนพื้นโต๊ะแทนหมอน    ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไร  แม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะข่อตาหลับกลางวันยังไม่มี  ผมจึงต้องเบิกตาโพลงลืมค้างทอดสายตาไปเบื้องหน้า  ถนนหินคลุกฝุ่นอันเปลี่ยวร้างไร้คนสัญจร

เวลาแห่งความเงียบสงัดมันแสนนาน...นานจนผมไม่รู้สึกถึงกาลเวลา
ตะวันคล้อยสู่ทิศตะวันตกสาดเงายืดให้ยาวขึ้นจากเดิมในทุกวินาที

ลมหนาวเย็นเฉียบแห่งฤดูหนาวเสียดผิวเนื้อแห้งผ่าวกร่อนให้เปลือกผิวปริเป็นลายขาวทั่วเนื้อ
ผมลูบไล้เส้นขนซึ่งชูชันจากการสั่นของกล้ามเนื้อโคนขนเนื่องจากความหนาวเหน็บให้สงบลงดังเดิม 
ผมรู้โดยสัญชาติญาณแล้วว่าช่วงนี้ควรจะเป็นเวลาเรียนของผม    แต่ผมเองยังไม่นึกอยากเข้าไปนั่งที่นั่น
ในห้องเรียนที่หนาวเย็นยิ่งกว่ากลางแจ้งใต้ร่มไทรนี่

ผมนึกอยากทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำมานานแล้ว  นับตั้งแต่เข้ามาในห้องคิงส์ของโรงเรียน  คือการบ่ายหน้าสู่ทางโรยกรวดอันนำสู่สวนป่าหลังโรงเรียน  ซึ่งมีจุดทะลุลอดเข้าสู่เขตชุมชนใกล้ ๆ  เป็นเส้นทางที่ผมชำนาญดีเมื่อครั้งอดีต  และผมจะย้อนรอยความทรงจำนั้นอีกครั้ง

กระเป๋าในมือของผมถูกโยนฝากไว้ในพุ่มไม้ลึกลับข้างอาคารเกษตร  ซึ่งผมเชื่อแน่ว่าจะไม่มีใครค้นพบจนกว่าเจ้าของกระเป๋าจะมารับมันกลับมาอีกครั้ง    ผมเหลียวซ้ายและขวา  และเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาจารย์ท่านใดปรากฏร่างอยู่บนเส้นทางหลบหนีของผม   ก็อันตรายน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ  เพราะว่าเส้นทางที่ผมจะใช้นั้นตัดผ่านกลุ่มบ้านพักครูเลยทีเดียว

แต่ก็นั่นล่ะ  ที่ที่อันตรายที่สุด  ย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด..

          ผมก้าวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนไปตามทางสายนั้น    ทุ่งดาวเรืองเบื้องข้างเบ่งบานสลอนสะท้อนแสงตะวันราวจะเย้ยหยันให้กับความหมองเศร้าอันไม่มีวันจางหายไปจากดวงตาและหว่างคิ้วของผม   ผมจุ๊ปากให้ไก่ในโรงเรือนอันผมผ่านไปเพื่อให้มันเงียบเสียง     พลางระสายตาไล่ไปตามดงหญ้าคาหญ้าแฝกรกชัฏอันขึ้นครึ้มคลุมกระจายไปตามซอกจุดต่าง ๆ ริมสระกว้าง

น้ำในสระค่อนข้างแห้ง   ทว่าผมเองก็ยังประเมินความลึกไม่ถูกเช่นเดิม     สองข้างทางเดินเริ่มเปลี่ยนจากทุ่งโล่งเป็นประดับทิวแนวเขียวเข้มปนน้ำตาลด้วยกิ่งมะขามสานกันแออัดขนัดใบมิให้แสงตะวันยามบ่ายลงสัมผัสผิวดิน

ทางเบื้องหน้า  ทางเดินลอดเบื้องความเขียวขจีของสวนป่าอันแท้จริงปรากฏอยู่ตรงหน้า   เถาวัลย์ระโยงรยางค์เกาะเกี่ยวกิ่งตวัดแน่นทั่วกิ่งไม้สูงลิ่ว   ต้นงิ้วยืนต้นตระหง่านริมทางประดับด้วยปลายหนามทู่ ๆ ประปรายรอบลำต้น   ยังไม่ถึงหน้าของมันที่จะออกดอกสีส้มสด  ต้นสักปลิดใบใหญ่หนาอันปกคลุมด้วยขนนุ่ม ๆ สีอ่อนทั่วใบลงมาระเกะระกะทางเดิน  จนยามเมื่อเท้าของผมย่ำลงไปก่อให้เกิดเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ   ซึ่งผมก็พยายามเลี่ยงมัน   พร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกขึ้น  เมื่อโค้งสุดท้ายก่อนนำเข้าสู่รั้วลวดหนามทะลุเป็นช่องของสิ่งที่เรียกว่ารูหมาลอดจะอยู่ทางเบื้องหน้า

และในทันใดนั้นเอง  ผมก็เห็นเงาร่างของใครบางคนไหววูบอยู่เบื้องหน้า    หัวใจผมหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม  เมื่อคาดเดาว่า   เงาร่างนั้นคือใคร ...

ขณะที่ผมกำลังจะมุดลงป่าข้างทางด้วยความเข้าใจนั้น  เงาร่างทางเบื้องหน้าก็โบกมือให้     ผมจึงเขม้นตามองให้ชัด

           “เฮ้ย ไอ้เจ๋ง  ไปไงมาไงวะ”

เจ๋ง  เป็นเพื่อนเก่าของผมตั้งแต่ชั้น ม.2  เขาค่อนข้างเกเรพอสมควร  และมักเป็นเจ้ามือวงไพ่พนันเสมอ  ตอนนี้มาเจอกันอีกครั้งบนเส้นทางหลบหนีออกนอกโรงเรียนมันก็แปลก ๆ  แต่ผมก็อดทักเขาไม่ได้

               “เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นเด็กดีเชียวนะมึง   ว่าแต่นี่จะไปไหนนี่”

  ผมเหลียวซ้ายแลขวาแล้วจึงชวนให้ไอ้เจ๋งออกไปจากกลางถนน

                        “คุยตรงนี้ท่าจะไม่ดี   ออกไปนอกโรงเรียนก่อนค่อยว่ากัน”

                “เออ กูก็ว่างั้นล่ะ  ป่ะ”

ในที่สุด  พวกผมก็มุดลอดรั้วลวดหนามอันอุดมด้วยพงหญ้าครึ้มออกมาเบื้องนอกจนได้   ถนนซีเมนต์สีขาวสะท้อนเปลวแดดเป็นประกายระยิบระยับ       

                             “แล้วนี่นึกไงมึงถึงโดดเรียนวะ”

               “ก็ไม่ไง  ขี้เกียจ  เบื่อ  เซ็ง พอใจ”

                              “อะฮ้า  งั้นไปเล่นเกมส์กับกูมะ   extremes game”

เจ๋งกล่าวถึงเกมส์แข่งรถจักรยานในเครื่อง play station  ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้น

               “เออ  ไปก็ไป   นำดิ”

เจ๋งยักคิ้วแผล่บ  แล้วดึงชายเสื้อออกนอกกางเกงให้หมด  จากนั้นก็กอดคอผมเดินไปตามตรอกซอกซอยอันนำไปสู่ร้านเกมที่มันเคยไปบ่อย ๆ






เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน จนผมเหงื่อตก  เมื่อจ้องมองนาฬิกา  ห้าโมงกว่า ๆ แล้ว

ถ้าคิดในทางเลวร้าย  พ่อของผมก็คงกลับไปก่อนเพราะรอรับไม่ไหว  แต่ถ้าคิดในทางที่เลวร้ายกว่า  คือเขายังคงรอที่รับส่ง  เพื่อคอยการชำระบัญชี

ผมเดินด้วยฝีเท้าเหมือนจะแน่วแน่มั่นคง  ทว่าจิตใจนั้นหวั่นไหวอย่างยิ่ง   ผมแวะเอากระเป๋าเรียนใบเขื่องซึ่งถูกซุกไว้ที่เดิมออกมาปัดฝุ่นเบา ๆ ให้หมดจากผิวผ้า

ถนนเส้นที่ทอดตัวผ่านใจกลางโรงเรียนกำลังเคลื่อนตัวผ่านปลายเท้าของผมที่เหยียบย่างไปเรื่อย ๆ
 สุนัขท่าทางมอมแมมสองสามสามตัวจ้องมองผมเงียบ ๆ จากในโรงอาหาร   แววตาที่ระคนด้วยความสงสัยถ่ายทอดออกมาจากมัน

ผมเห็นแล้วล่ะ  รถคันเดิมที่จอดอยู่ริมถนนรกร้างไร้ผู้คนภายในโรงเรียน   ผมจำได้  ถึงผู้ชายที่นั่งรออยู่บนรถ  เขาคงมองกลุ่มเด็กที่ทยอยออกไปจากโรงเรียนด้วยความหวังว่าสักคนหนึ่งจะเป็นลูกชายของเขาที่เดินเข้ามาหา  จนในที่สุด  ก็ไม่มีใครเหลือ...

ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาโกรธและเสียใจแบบนี้...  แต่ว่า   ใครจะรู้อนาคตล่ะ

ถึงผมจะมองเห็น  แต่ผมควบคุมมันไม่ได้อยู่ดี

รถคันเดียวในโรงเรียนที่เงียบสงัดไร้ผู้คน  ช่างเปลี่ยวเหงาเหลือเกิน   แต่ผมไม่กล้าเดินเข้าหาเขา   ผมนั่งลงตรงม้าหินอ่อนข้างโรงยิม  และลอบมองรถของพ่อจากพุ่มไม้ใบบัง

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ จากยามเย็นย่ำ   สนธยาสีแดงจางอาบไล้รอบ ๆ ให้หม่นไปด้วยความหดหู่    ผมเฝ้ามองเขาจากที่นั่นโดยไม่คิดจะออกไป   ตราบกระทั่งแสงสุดท้ายของดวงตะวันจางหายไปจากขอบฟ้า  แล้วทดแทนด้วยราตรีสีหมึก

ผมยิ้มเศร้า ๆ เมื่อรถของพ่อแล่นไปจากที่นั่นในที่สุด

                         ทำไมผมถึงทำเช่นนี้     ผมไม่รู้   ไม่รู้เลยจริง ๆ  ..........




   
    ถนนยาวมืดมิดทอดตัวอยู่เบื้องหน้า    นับว่าโชคดีที่ค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างอบอุ่นพอสมควร  จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผมที่เดินลากเท้าในชุดนักเรียนกลางค่ำกลางคืนมากนัก

ขณะนี้  เวลาประมาณเที่ยงคืน  ซึ่งเป็นเวลาที่ร้านรวงต่าง ๆ ในชุมชนเคหะแห่งนี้ปิดตัวลง  และบ้านต่าง ๆ ก็เริ่มปิดไฟเข้านอนกันแล้ว

ผมยังคงเดินเรื่อย ๆ  ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน   รถก็หมดแล้ว  เมืองก็อยู่ไกลเกินกว่าที่เท้าของผมจะเดินทางไปถึง  สายลมยามดึกโชยมาเป็นระยะจนขนลุกซู่   ผมเหนื่อยเต็มที  และอยากจะหาที่นอนพักสักแห่ง

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอยู่นอกบ้านตอนดึก ๆ   ผมทำบ่อย  แต่ผมก็ขึ้นรถกลับเองในเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งทุกครั้ง
ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก ..ที่ผมตั้งใจจะอยู่ในโลกภายนอกตลอดทั้งคืน

ผมสบถด่าตนเองในใจทุกครั้งที่ผมหาว  ความง่วงงุนเป็นสิ่งที่ผมควรเอาชนะให้ได้

แสงไฟรางๆ สีส้ม  จากดวงไฟสูงเหนือสวนสาธารณะอันอยู่ใจกลางถนนขนาบสองฟาก  มันคล้ายกวักมือเรียกให้ผมเข้าไป  ชิงช้าตัวเล็กไหวโยกเยกตามลมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด   ผมมองไปยังเก้าอี้ไม้หลบมุมบังอิงแอบพุ่มไม้   ดูท่าลมจะพัดเข้ามาได้ยาก  และเหมาะที่ผมจะพักผ่อนรอรุ่งทิวา

ผมก้าวเข้าไปนั่ง  ทว่าความมืดที่ถูกเปิดเผยกลับทำให้ผมตกใจเมื่อพบว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายก็มีท่าทีตกใจเช่นเดียวกัน    ผมรีบขอโทษ  และหันออกไปจากที่นั้น

ทว่า  คนผู้นั้นกลับเรียกผมเอาไว้เสียก่อน

    "เดี๋ยวสิ  นัสใช่มั้ย"

ผมแปลกใจ  ว่าทำไมคนที่บังเอิญพบเจอกันยามดึกกลับทราบชื่อของผม

เขาก้าวออกมาสู่ใจกลางของสวน  ให้แสงไฟส่องกระทบใบหน้า

         "กานท์...ไม่ได้เจอกันนาน  เป็นไงบ้าง"

ผมจำเขาได้ในทันที  เพราะว่าเคยอยู่ห้องเดียวกันเมื่อครั้ง ม.2  พวกเราเคยทำวีรกรรมร่วมกันบางอย่าง  เช่นจุดประทัดเล่นในห้องน้ำ  จนถูกตัดทำโทษจากอาจารย์หัวหน้าสาย   และบัดนี้  กานท์อยู่ในชุดสูทดูดีตัวหนึ่ง..

     "สบายดี  เรื่อย ๆ น่ะนะ"

        "เออ  แล้วหายไปไหนมาซะนานล่ะ"

         "เราออกจากบ้าน..."

ผมรู้ว่าเขามีปัญหากับทางบ้านบ่อยครั้ง  แต่ไม่นึกว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้

แต่เดิม กานท์เป็นคนต่างอำเภอ   พ่อแม่ของเขาฐานะดีมาก   นามสกุลของเขาเองก็เป็นหนึ่งนามสกุลดังในเมืองไทย
ทว่า  ด้วยความที่อยากให้ลูกได้ดี  พ่อแม่ของเขาจึงส่งลูกชายมาเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด

และฝากให้กานท์พักอยู่กับลุงห่าง ๆ ของเขาในเมือง

สิ่งยั่วยุหลายอย่างบวกกับวัยที่ค่อนข้างน้อย  ทำให้กานท์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล้าบุหรี่ การพนัน  และผู้หญิง
จนลุงของเขาดุด่าว่ากล่าวก็หลายครั้ง  ซึ่งผมมักจะรู้โดยกานท์นำมาเล่าให้ฟังอีกทีว่าเบื่อลุงบ่นมาก

แม่ของเขา  ได้รับแจ้งจากลุงถึงพฤติกรรมเหลวแหลกของลูกชาย   เธอจึงเดินทางมาพาเขาออกไปจากโรงเรียน
แล้วหลังจากนั้น  ผมก็ไม่ได้พบกับกานท์อีก  ...จนกระทั่งวันนี้

              "แล้วออกไปไหนอ่ะ  เล่าให้เราฟังได้ป่ะ"

กานท์นิ่งเงียบ  เขาเดินกลับไปนั่งที่เดิม   และเรียกผมไปนั่งคุยด้วย

          "เราเบื่อ  ขี้เกียจเรียน   เลยยื่นเงื่อนไขกับแม่ว่า  หากเราดำรงชีวิเองทางเบื้องนอกได้ครบสามปี 
จะขอรับสืบทอดกิจการของครอบครัวโดยไม่ต้องจบการศึกษาตามหลักสูตร   แล้วแม่เราก็ตกลง  เราก็เลยไปหางานทำที่กรุงเทพ"

ผมเชื่อที่เขาเล่า  แต่ก็เชื่อด้วยว่าเขาเล่าไม่หมด   ผมคาดเดาว่าเหตุการณ์วันนั้นคงรุนแรงน่าดู

      "แล้วได้งานมั้ย.."

   กานท์ส่ายศีรษะช้า ๆ

         "ตอนแรกก็ไม่ได้หรอก   จนเงินจะหมดลงทุกที   ก็มีพี่คนหนึ่งแนะนำให้ขายตัว"

ผมตกใจ  เพราะเรื่องพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ควรเกิดกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบแปดดี

   "เราขายให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย   เราขยะแขยงที่จะต้องมีอะไรกับผู้ชาย  เราจะอ้วก  แต่เราก็ผ่านมันมาได้   และได้เงินมาก้อนหนึ่ง"

ผมมองเขาด้วยความเห็นใจ   ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงช่างโหดร้าย  และหลาย ๆ คนก็คิดเพียงแต่จะสนองตัณหาของตนด้วยเม็ดเงิน  โดยลืมคำนึงถึงจิตใจของผู้ถูกกระทำ 

ผมเพียงแค่ส่งสายตา และนิ่งเงียบรอฟังเขาเล่าต่อ

  "หนึ่งในลูกค้าของเรา   เห็นใจเรา  เขาเลยฝากให้เราทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

งานโรงแรม  เป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนื่อยเล็กน้อย   ทำอะไรต้องทำด้วยความรวดเร็ว  ให้เสร็จในเวลา

เราได้ทำงานอยู่ในแผนกจัดเลี้ยง   เวลาที่เสร็จงานเลี้ยงพวกเราก็จะเข้าไปเก็บกวาด   ไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับงานต่อไป บางทีก็ได้เป็นบริกร  คอยเสิร์ฟอาหารเสิร์ฟน้ำให้แขก    แต่นัสรู้มั้ย  ได้เงินดีมาก ๆ เพราะนอกจากค่าจ้างแล้ว  เราก็จะมีทิปจากลูกค้าที่จะนำมาแบ่งปันกันอีกที  แถมอาหารการกินก็ดี  เพราะกินอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยง  มีกุ้งตัวใหญ่ ๆ หมูหัน  ปลาน้ำแดง  อะไรเทือกนั้นบ่อย ๆ  ก็เป็นงานที่เหนื่อยเป็นพัก ๆ  แต่คุ้มค่า  เมื่อเราเก็บเงินได้อีกก้อน  เราก็ออกมา.."

      "อ้าวทำไมล่ะ"

 "ไม่รู้ดิ   อยากกลับมาที่นี่มั้ง"

กานท์ไม่ได้สบตาผม  ผมจึงคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  เรื่องอะไรที่เขาไม่อยากเล่า ผมก็ไม่อยากจะเซ้าซี้สักเท่าไหร่

      "แล้วตอนนี้นายทำอะไรอยู่ล่ะ"

เขาหลุดหัวเราะขมขื่น   "ดูชุดเราสิ  ชุดที่ดูดีเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ   หลายคนเรียกเราว่าแผนกจัดหาบุคคล  ขณะที่อีกหลายคนก็เรียกเราว่าแมงดา.."

ผมยิ่งตกใจ  เมื่อดูเหมือนชีวิตของเพื่อนผมจะน่าเศร้ากว่าเดิม   เขาพลิกบทจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้กระทำ
ผมอยากรู้นัก  ว่าหากพวกที่เคยซื้อบริการจากกานท์  มีลูกสาว  แล้วลูกสาวของเขาถูกกานท์ล่อลวงไปค้าประเวณีอีกที  พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรกัน

    "แล้ว  งานของนายเป็นไง"

"เราไม่ได้ไปบังคับล่อลวงใครหรอกนะ   เราติดต่อทาบทามคนที่ร้อนเงิน  และพวกที่อยากทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว
เราก็เลยต้องใช้ชุดแบบนี้  ทำท่าทางเหมือนหนุ่มสังคมชั้นสูง   เพื่อเสนอแนะงานง่าย ๆ เงินดี ๆ ให้พวกผู้หญิง
ก็มีแต่พวกที่สมัครใจ  ไปหาที่สำนักงานใหญ่.."

ผมอยากรู้มากขึ้นจึงซักไซ้ต่อ    "ที่ทำงานของนายอยู่ที่ไหนล่ะ"

กานท์ยิ้ม  เขาคงนึกว่าผมอยากไปติดต่องานมั่ง   เขากล่าวถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในตัวเมือง
ซึ่งมักจะอาศัยรูปแบบบาร์เหล้าบาร์เบียร์บังหน้า  จัดหาผู้หญิงสวย ๆ ยั่ว ๆ นั่งหน้าร้าน   
ขายบริการแอบแฝงโดยอ้างว่าเกิดจากการตกลงกันระหว่างลูกค้ากับพนักงานเอง

กานท์หมดเรื่องที่เขาจะเล่าแล้ว  เขาจึงเริ่มถามถึงชีวิตของผม   ซึ่งผมก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป  โดยละเว้นความจริงบางอย่างไว้เช่นกัน  เราคุยกันที่โต๊ะกลางสวนเนิ่นนาน  คุยถึงเรื่องที่เราเคยทำ  คุยถึงเรื่องความชอบของแต่ละคน  เหมือนเพื่อนเก่าแก่ที่จากไปแสนนาน  จนกระทั่งเราตกลงใจว่าจะหลับบนพื้นโต๊ะนั้น...



..ในที่สุด   ไอหมอกของยามเช้าก็คลี่คลุมพร้อมกับแสงเงินแสงทองแห่งรุ่งอรุณ   ไก่บางตัวในเขตเคหะเริ่มส่งเสียงขันต้อนรับพระอาทิตย์  กานท์สะกิดผมให้ตื่น   เขายืนอยู่เบื้องข้างผมที่หมอบอยู่บนแขนตนเองเหนือโต๊ะ

        "เราต้องไปแล้ว   นี่นามบัตรของเรา  หากว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไปหาได้ทุกเมื่อ"

เขายื่นแผ่นกระดาษแข็งให้ผม  ซึ่งรับมามาไว้ในกระเป๋าอย่างงง ๆ

              "จะไปแล้วเหรอ   เออ  ขอถามอีกข้อ   กำหนดสามปีเหลืออีกนานมั้ย"

          "อีกห้าเดือน  ทำไมเหรอ"

           "อืม  ขอให้นายผ่านพ้นมันไปได้โดยไวนะ"

กานท์ขอบคุณผมด้วยแววตา   ผมเองก็ลุกขึ้นจากโต๊ะตัวนั้น

                "นัส   เราอิจฉานายนะ   สิ่งที่นายมี  ขอให้รักษามันให้ดี ๆ   อย่าเหลวไหลแบบเรา..."

เขาทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ผมไม่เข้าใจ  ก่อนเดินจากไปพร้อมกับการโผล่พ้นขอบฟ้าของดวงตะวัน





หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: christiyaturnm ที่ 27-06-2008 11:57:08
 :m31:

เดี๋ยวเถอะ พี่เมิงนะเว้ยย



คิดไรเนี่ย... :o8:

จะติดตามตอนต่อไปนะ สนุกดี

นัสดูเป็นคนอบอุ่นและอ่อนไหวดี ครับ o13
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยา
เริ่มหัวข้อโดย: iamtoey ที่ 27-06-2008 16:44:37
เข้ามาให้กำลังใจนะจ๊ะ อิอิ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใคร ถามน้องริว "ไอ้ปลาทอง" ดูนะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 27-06-2008 17:32:31
โหๆ กล้ามากๆเลยนะนั่น ที่ไม่กลับบ้านเลย

งี้กลับไปเจอพ่อ ไม่โดน.........หรอนี่

แต่ สงสารกานท์มากกว่า ว่าแต่.....

สนใจได้เงินซักก้อนมั้นจ้ะ น้องกานท์ 555
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 04-07-2008 12:50:42
มาลงช้า เลยมาอ่านช้าเลย  :o8:

แต่ก้อยังรออ่านเสมอนะคะ  :L2:

ว่าแต่นัสกลับบ้านไปจะเจออารายละเนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: mackerel ที่ 15-07-2008 23:56:30
รออ่านอยู่นะคร้าบพี่...





(http://img210.imageshack.us/img210/9711/img17hu8.gif)ออกอาการหน่อยคร้าบพี่คี
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 17-07-2008 23:11:42
 :m4:
เป็นเรื่องที่มีสเน่ห์ในแง่ของการนำเสนอและความลื่นไหลของเรื่อง
แต่ความต่อเนื่องของเรื่องยังออกจะห้วน ๆ ไปซักนิด...  :m23:
อ่านแต่ละบทแต่ละตอนแล้วเหมือนหัวใจถูกบีบคั้นพิกล แต่ยังไงก็
หนุกหนาน ๆๆๆๆ รอต่อไปครับ...
 :m1:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่สี่ update27/06/08)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 12-08-2008 21:16:49
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ  แหะแหะ
บทนี้จะเหมือนมานั่งบ่นนะครับ  และผมก็ไม่เคยพูดถึงตัวละครบางตัวมาก่อน
ถ้างงในบางจุดก็ปล่อยไปนะครับ  อีตาพันไพรก็งงเหมือนกันครับ  ว่าไอ้นัสมันเพ้ออะไรฟะ




บทที่ ๖


[เหตุการณ์ปัจจุบัน]

   ช่วงนี้สุขภาพร่างกายผมดีขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด   อาการไข้ไอเจ็บคอหอบหืดทั้งหลายก็เริ่มห่างหายไปเรื่อย ๆ   จนกระทั่งผมสามารถออกไปเบื้องนอกได้ตามเดิม

วันนี้พันไพรชวนผมมานั่งจิบกาแฟยามเช้าที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารักแห่งหนึ่ง  ร้านนี้ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง   ทว่ามันดูอบอุ่นด้วยการตกแต่งจากเปลือกไม้สวย ๆ   กำแพงด้านที่ติดถนนกรุกระจกใสบานใหญ่ให้คนนั่งจิบกาแฟสามารถเฝ้ามองความเป็นไปของผู้คนบนบาทวิถีทางเบื้องนอกได้

ชายหนุ่มเบื้องหน้าผมสั่งคาปูชิโน่  ชอบเสียจริงนะไอ้คาปูชิโน่เนี่ย    แต่ผมนี่สิ  เคือง   นึกไงถึงสั่งนมอุ่นเพื่อสุขภาพให้ผมก็ไม่รู้  แต่ช่างเหอะ   ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายมื้อนี้นี่นา

           “เออ  ไพรไม่ไปทำงานเหรอครับ  เห็นขลุกอยู่กับผมแบบนี้ทั้งวัน”

    “ช่วงนี้ผมลาพักร้อนน่ะครับ  เลยอยากจะใช้เวลาช่วงนี้กับคนที่ผมรักที่สุด”

ไพรตอบยิ้ม ๆ แต่ดวงตาของเขาเศร้าสร้อย..

ผมพอเดาได้ว่าฐานะของพันไพรต้องดีมาก ๆ อย่างแน่นอน  ถึงจะไม่เท่าท่านผู้นำก็เถอะ  จึงไม่คิดที่จะซักไซ้ต่อ  ทว่าพันไพรเองก็ไม่ถามถึงงานของผม  เขาคงให้คนสืบจนทราบแล้วว่าผมเป็นนักเขียนอิสระ

ผมกระดกแก้วนมดื่มรวดเดียวจนหมด  และพยักเพยิดให้คนตรงหน้าทำตาม
ทว่าพันไพรมัวแต่ขำ  เขาชี้ตรงริมฝีปากของผม   และทำให้ผมรู้โดยอัตโนมัติว่านมอุ่นมันติดจนเป็นไรหนวดสีขาว
เขาดึงกระดาษทิชชูออกมาจากกล่องบนโต๊ะ  แล้วค่อย ๆ ตะล่อมเช็ดให้ผม

                  “ขอบคุณครับ”

พันไพรไม่กล่าวตอบว่ากระไร  เขาโบกมือเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน




เราเดินเคียงคู่กันบนบาทวิถีริมถนน   ต้นปาล์มห้อยระย้ากิ่งก้านออกแผ่ให้ร่มเงาแก่ทางเดิน  เราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน   เพียงแต่เดินเคียงคู่กันเหมือนเพื่อนรักสองคน   พันไพรไม่ได้ยื่นมือเข้ามาโอบหรือกุมมือผมไว้ในที่สาธารณะ  เพราะเขารู้ว่าผมไม่ชอบ  แต่เพียงแค่เดินเคียงข้างกับเขา   หัวใจของผมก็เต้นไม่เป็นส่ำชอบกล

คงจะเป็นเพราะบรรยากาศเปลี่ยนไป   ไม่ได้มีแต่เขาและผมเท่านั้น  แต่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ   มันทำให้พันไพรดูเหมือนมีตัวตนมากขึ้น  ไม่ได้เป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืนอีกต่อไป  และผมก็เพิ่งตระหนักด้วยว่า  พันไพรมีเสน่ห์มากเพียงไหน  ด้วยว่า   สาว ๆ มักจะเหลียวมองเขาบ่อยครั้ง  ซ้ำบางคนยังจ้องเอา ๆ จนผมรู้สึกไม่พอใจแทน
..หรือว่าผมจะหึง?

เราทอดน่องมาเรื่อย ๆ จนถึงสวนสาธารณะร่มรื่นอันผู้คนบางส่วนยังวิ่งหรือออกกำลังกายอยู่ภายใน  พฤกษชาตินานาพรรณเขียวขจีคลี่คลุมไปทั่วสวน  กำจายกลิ่นบุปผชาติกรุ่นหอมหวนอบอวลมาตามลมชื่นใจจนผมแทบละความกังวลใจทั้งหมดไปเบื้องหลัง  พันไพรพาผมนั่งลงบนม้าไม้ตัวหนึ่งริมถนนเล็ก ๆ ในสวน  ผมจึงนั่งท้าวคางจ้องมองความเป็นไปของธรรมชาติ นกพิราบฝูงหนึ่งเดินออกหาอาหารอยู่ทั่วทางเดินปูอิฐตัวหนอน  พันไพรยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูแล้วกระซิบบอกให้ผมรอเขาสักครู่  ก่อนจะเดินหายไปอีกทาง

ผมเฝ้ามองฝูงนกพิราบอันประกอบด้วยคู่นกผัวเมียหลายคู่   บ้างก็ถลาลมหยอกเย้ากัน  บ้างก็เดินท่อม ๆ เคียงคู่กันไปในวิถี   บางกลุ่มก็ร่าเริงกระดี๊กระด๊า  พลางตีปีกพั่บ ๆ ส่งเสียงจอแจ  มันอาจจะดูร่าเริง  แต่ก็เสียดแทงหัวใจของผมพิกล  เพราะว่าความรักของผม  ไม่อาจแสดงต่อสายตาของสังคมได้  ผมไม่อาจแสดงความรักต่อใครโดยเปิดเผยได้เช่นดั่งนก...

ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวัน  สังคมจะเข้าใจ  หวังว่าสักวันผมจะยืนเคียงข้างใครสักคนได้  โดยที่ไม่ต้องทานทนกับสายตาและเสียงซุบซิบนินทา  ผมไม่ได้ต้องการอะไรมาก  ผมไม่อยากได้สิทธิ์อะไรเป็นพิเศษ  เพราะว่าผมก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง  เป็นผู้ชายธรรมดาที่บังเอิญไปรักผู้ชายอีกคนหนึ่ง
แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

อย่างน้อย  ผมก็มีครอบครัวที่ไม่ได้เห็นว่าการแต่งงานหรือการสืบตระกูลสำคัญที่สุด   พวกเขาจึงไม่ถามบ่อยนักว่าว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน? หรือเมื่อไหร่จะมีแฟน?    ก็นับว่ากดดันน้อยกว่าคนอื่น ๆ อยู่

พันไพรก้าวเข้ามาขัดภวังค์ความคิดของผม  เขาเข้ามาพร้อมข้าวโพดทอดถุงใหญ่   ด้วยความตะกละ  ผมล้วงมือลงไปหวังจะหยิบกิน  แต่เจอไพรตีมือเพี๊ยะ!
ผมทำตาปรอย ๆ จนเขาต้องถอนหายใจ

       “อาหารนกครับ    เดี๋ยวเลี้ยงพวกมันหมดแล้วผมพานัสไปกินข้าวก็ได้   หิวเร็วจริง ๆ เลย”

ผมหัวเราะร่า  เมื่อพันไพรรู้ทันผมราวกับเป็นพยาธิในท้อง   

เราทั้งคู่ช่วยกันหว่านข้าวโพดให้แก่นกพิราบ   พวกมันฮือเข้ามาล้อมรอบราวกับพวกเราตกอยู่ท่ามกลางคลื่นของกลุ่มก้อนสีเทาที่ผงกหัวไปมาเพื่อจิกกินเมล็ดข้าวโพดบนพื้นอิฐ   

ผมรู้สึกได้ว่าพันไพรจ้องหน้าของผมอยู่  และรู้สึกจะจ้องมองจากเบื้องข้างนานแล้ว   ผมจึงหันไปสบตาของเขาที่มีประกายนุ่มนวลอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น    เขาอมยิ้มนิด ๆ ก่อนเฉลย

            “ผมชอบมองใบหน้าแจ่มใสของนัสครับ   มองได้ไม่รู้เบื่อ   ผมไม่อยากให้นัสจมอยู่กับความเศร้าของตน  และความทรงจำในอดีตมากนัก”

                  “ชอบแค่ใบหน้าของผมเองเหรอครับ”

ชายหนุ่มยิ้มซุกซนก่อนเอาใบหน้าของเขามาพาดไหล่ผมไว้

                           “ถ้าจะว่ากันตามจริง   ผมชอบนัส...ทั้งตัวเลยครับ”

ผมเขินกับวาจาสองแง่สองง่าม   พันไพรนี่ทะลึ่งจริง ๆ เลย   แต่ก็น่ารักดีแฮะ

              “ข้าวโพดหมดถุงแล้วครับ  ไหนใครว่าจะเลี้ยงข้าวผมนะ”

พันไพรลุกขึ้นก่อน  เขายื่นมือให้แก่ผม  แล้วฉุดร่างผมให้ลุกขึ้นตาม   นกพิราบแตกฮือเนื่องจากการกระทำอันกะทันหันของเราสองคน  ผมค่อย ๆ ดึงมือออกจากเขาช้า ๆ ท่ามกลางแววตาเสียดายของพันไพร

           “เจ้ามือนำเลยครับ  หึหึหึ”

เขายิ้มรับ   แล้วจึงก้าวขายาว ๆ นำไปก่อน  ผมมองแผ่นหลังอบอุ่นของเขา  แล้วย่างเท้าตามไปติด ๆ




เรานั่งรับประทานอาหารทะเลกันที่ร้านอาหารริมทะเล   ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทางเลียบระหว่างชายฝั่งกับภูเขา  ตัวร้านเกิดจากการก่อเรือนไม้ยื่นล้ำออกไปในทะเล  จนดูราวกับภัตรคารกลางน้ำ   

พันไพรสั่งเทือกทะเลเผา  โป๊ะแตก   ต้มยำ   ปูผัดผงกระหรี่ และข้าวผัด   ส่วนผมเหรอ   ฮ่า ฮ่า ฮ่า  อ้าปากรอคนป้อนน่ะสิครับ

แต่ล้อเล่นนะ  ผมไม่กล้าทำแบบนั้นจริงหรอก   พันไพรเริ่มการรับประทานอย่างช้า ๆ ตามธรรมเนียมคุณชายตระกูลใหญ่  ขณะที่ผมฟาดเอาฟาดเอาด้วยความเร็วสูง  เนื่องจากว่าหิวโหยมาแต่เช้า  จนพันไพรต้องรีบเบรก

                  “กินเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็อ้วนหรอกครับ”

            “หึ หึ หึ  อ้วนก็ดีครับ  จะได้ไม่มีคนมารัก  คุณสมบัติเวลาประกาศหาคู่นอนทางเน็ตจะได้เป็น    ‘หนุ่มหัวหินอารมณ์เปลี่ยวห้องว่าง  23/185 อ้วน’   ”

   “แหม  ปากคอเราะร้าย   แต่ไม่ว่านัสจะเป็นอย่างไรผมก็รักอยู่ดีนะครับ”

   “ให้มันจริงเถอะน่า    ไม่ใช่สักวัน   ไพรก็ทิ้งผมไป  ..เหมือนทุกคน”

อีกฝ่ายชะงักงันกับน้ำเสียงเศร้าของผม

                  “เกิดอะไรขึ้นหรือครับนัส”

ผมยิ้มบางให้เขา   และกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเล่าดีหรือไม่  ในที่สุด  ผมก็ตัดสินใจได้...
            “ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง   จากเพื่อนที่ผมรักมากคนหนึ่ง....”

คืนนี้.. ในฐานะของ ชาดาริกา
แล้วเรื่องราวบางอย่างที่ฉันหวาดกลัวก็ดำเนินมาถึง
หนึ่งในคนรัก ..หนึ่งในผู้ที่มาขอพรต่อนางฟ้า
กำลังเดินจากไปแล้ว
ปล่อยมือฉันแล้วเดินจากไปแล้ว
...ฉันสงสัยมาเนิ่นนาน แต่พยายามคิดในแง่ดี
สุดท้าย.. ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ได้แม้แต่จะพูดคำอวยพรดีๆ
เขาหายไปแล้ว..
หลงเหลือเพียงความทรงจำ
..ฉันนั่งร้องไห้อย่างคนบ้าคลั่ง ขณะที่กำลังนั่งอ่านสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกของเขาเท่าที่ผ่านมา
ความลับหลายสิ่ง..ถูกเปิดเผย
คำพูดของฉัน..ภาพเหตุการณ์ของเรา.. อยู่ในบันทึกพวกนั้นด้วย
มัน.. บาดหัวใจ
คุณ..เคยเป็นไหม?
รู้สึกเหมือน..หัวใจกำลังถูกบีบ..กด
ฉัน..เจ็บปวด
มันคือสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นมาเนิ่นนาน
ฉันรู้สึกเหมือนว่า..กำลังสูญเพื่อนรัก
สูญเสีย..ภาพเงาในกระจกตรงหน้า
สูญเสีย..คนที่จะเข้าใจทุกสิ่ง
สูญเสีย..คนรัก
ที่เคยบอกว่า.. จะอยู่กับฉัน
ฉันอยากแข็งใจ..โบกมือลา
แต่ฉันกลับล้มหน้าคะมำ..
ฉันแสดงออกว่าปกติดี
ฉันถามเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง..ถึงหลายๆเรื่อง
คนรักคนนั้นของฉัน..กำลังมีความรัก
ความรักในแบบที่เขาต้องการ
เขา..คงไม่ต้องการ..ชาดาริกา..อีกต่อไป
ชาดาริกา..ที่ไม่มีค่าอะไร
แต่ยินดีและดีใจ ที่ครั้งหนึ่งได้โอบกอดเขาด้วยความรักทั้งหมดเท่าที่มี
เด็กผู้หญิงคนนั้น..ขอโทษฉัน เธอคิดว่าเธอคือต้นเหตุ
เธอบอกว่า..ความจริง  เธออิจฉา..
เธอ..ต้องการ..ความรัก แบบของฉัน
เธอขอให้ฉันเป็นชาดาริกาของเธอ
..ชาดาริกาฤา.. จะสามารถปฏิเสธ..
ทั้งที่ฉันกำลังร้องไห้เสียงดัง..
 แต่ก็ตอบรับเธอไปด้วยความยินดี
ถ้าอย่างนั้น..จงเชื่อในคำพูดของชาดาริกา
จงวางมือลงบนมือของชาดาริกา..
อย่ากังวล อย่าหวาดกลัว
เรื่องที่ผ่านแล้ว..จงผ่านไป
ฉันได้แต่พูด  ฉันทำเองไม่ได้หรอกนะ
วันนี้มันเป็นวันแย่ๆ.. วันที่ฉันได้รู้ความจริง และวันที่ฉันสูญเสียหนึ่งคนรัก
ฉัน.. หายใจไม่ออก
มันแน่นอยู่ในอก
มัน..เหมือนมีแก้วกำลังบาดหัวใจจนเหวอะหวะ
สำหรับ..หนึ่งคนรัก ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร จะเคยทำอะไร ผ่านเรื่องอะไรมา แต่ฉันยังคงรักคุณเหมือนเดิม
ชาดาริกาที่คุณร่วมสร้าง..ยังรักคุณเหมือนเดิม
ไม่เคยนึกอะไรไม่ดีกับคุณ..ไม่เคยสักครั้ง
ความรักของฉันไม่แบ่งแยก ไม่จำกัด คุณก็รู้..
ฉันรักคุณ..รักคุณนะ  รักมากๆ
แต่ฉันไม่อาจที่จะส่งเสียงออกไป
ชาดาริกาฤา.. จะสามารถส่งเสียงออกไป
ในเมื่อฉันมองเห็นแล้วว่า คุณกำลังมีความสุข
คุณถูกแวดล้อมด้วยคนรัก..ความรัก..แล้ว
ความรักของชาดาริกา.. ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
แต่ชาดาริกายังคงต้องดำรงอยู่ เหมือนที่ใครคนนึงได้บอก
"ยังมีผู้คนที่ต้องการชาดาริกานะคะ..ถึงจะ..ไม่ใช่ทั้งชีวิต..แค่ไม่นาน ก็ยังต้องการชาดาริกา"
ฉันคงต้องมีชีวิตต่อไป ถึงจะสูญเสียคนรักไปก็ตาม


ถ้อยคำเหล่านี้ยังคงดังก้องอยู่ในภวังค์ของผม  จนกระทั่งมืออบอุ่นเอื้อมมาแตะไหล่ของผมเบา ๆ

               “เป็นอะไรไป  เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

     “อืม..  ครั้งหนึ่ง  ผมว่าผมเคยมีความรัก  ความรักในอีกแบบที่ซับซ้อน  ความรักที่คล้ายกับหลงใหลเงาในกระจกของตน  และเฝ้าจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ   เราร่วมกันสร้างหลาย ๆ สิ่งขึ้นมา   และบางอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต”

ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมมันขึ้นมาใหม่เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึก

  “วันหนึ่ง  เมื่อผมเชื่อว่าผมสามารถวางความรู้สึกทั้งหมดลงในมือของเธอ   ผมก็บอกความลับที่สำคัญยิ่งสำหรับผม     ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครแม้แต่พ่อแม่ หรือเพื่อนที่เคยสนิทที่สุด

ไพรรู้มั้ยว่าเธอตอบว่าอะไร?”

พันไพรส่ายศีรษะช้า ๆ และนิ่งเงียบรอคำตอบ

“เธอตกใจ  แต่เธอก็เชื่อคำพูดของผม  เพราะว่า..อะไร ผมก็ไม่รู้

เธอยิ้มให้กำลังใจผม  เธอบอก  ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร  ผมก็จะเป็นเพื่อน  เป็นเพื่อนที่รักยิ่งของเธอเสมอ...”

“ผมดีใจ   แกมโล่งใจ  ที่ต่อแต่นี้ผมแทบจะไม่เหลือความลับอะไรกับเธออีกต่อไป   ผมไม่มีความจำเป็นต้องพูดโกหกอีกต่อไป”

เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดังจากพันไพร  เขาคงรู้ดีว่าเรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิด

“แต่แล้ว  ผมก็รู้  ว่ารอยยิ้มของเธอซ่อนน้ำตาไว้ภายใน   ผมรู้ว่าเธอคงเข้าใจถึงความกดดันและความเศร้าของผม   โอ  ชาดาริกาเอย   เจ้าจักโศกในเรื่องที่มิใช่เรื่องของตนเช่นนี้เสมอ
เธอเศร้าใจต่อชะตากรรมของผม   ผู้ที่ใกล้ชิดเธอ  บอกกล่าวกับผมอีกทีว่าเธอร้องไห้ตลอดทั้งคืน
ผมรู้  ...ผมรู้...   ความจริงผมไม่ควรจะบอกเธอ  ไม่ควรใช้เธอเป็นที่ปลดเปลื้องความกดดัน
ผมใช้ข้ออ้างของความเป็นเพื่อนเพื่อความเห็นแก่ตัว  ยัดเยียดสิ่งที่เธอไม่ต้องการรู้
..ให้เธอรู้”

พันไพรยังคงนิ่งเงียบรอฟังต่อ   ผมก้มหน้านิ่งก่อนบอกเล่าจุดหักเหสุดท้าย

“จากนั้นเราไม่เหมือนเดิม  และไม่มีวันจะเหมือนเดิม  ไพรรู้มั้ย  เธอบอกกับผมว่า มือของเราสองคน  คงไม่ได้สัมผัสกันตรงที่เดิมแล้วล่ะนัส

ผมไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนไปเพราะอะไร  ผมพยายามบอกว่าตนเองเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้จริง ๆ  ผมอาจจะทำอะไรผิดพลาดไปสักอย่าง

แล้ววันหนึ่ง   เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย    แล้วเธอก็บอกผมว่า  ‘ไปให้พ้น  อย่ามายุ่ง’
อาจจะดูเหมือนถ้อยคำเล็กน้อย    แต่ผมเจ็บปวด   ตอนนั้นผมกำลังอ่อนแอ  ผมถูกปัญหาหลายอย่างรุมเร้า
และหนึ่งในหลายคนที่ผมรักที่สุด โกรธผม  เธอไล่ให้ผมไปให้พ้น

ผมเชื่อ  ว่าถ้าผมทนฟังต่อ  ถ้าผมถูกทำร้ายอีกครั้ง   ผมคงต้องสลายเป็นผุยผง
ผมจึงเลือกที่จะเดินเป็นฝ่ายจากมา

ผมไม่ได้บอกลา   ผมหายไปเฉย ๆ   ผมหวังว่าเธอคงจะคิดไปว่าที่ได้พบเจอผมน่ะเป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืน
ในคืนนั้น   ตอนตีสอง  ผมเดินกลับที่พัก    เดินแบบหุ่นไขลาน   ไม่มีความรู้สึกอะไร  มันโหวงไปหมด
เหมือนกับไม่เหลืออะไรสำคัญแล้วในชีวิต    ผมชาไปหมด   ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป
ผมไม่ได้ร้องไห้   ดวงตาผมแห้งเหือดจากการร้องไห้เมื่อเช้าแล้ว   ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีอยู่เรียกว่าความเศร้าหรือเปล่า

เพราะถ้าเป็นความเศร้าจริง   เป็นความเศร้าที่ผมคุ้นเคยดี    ผมควรจะมีความสุขมากกว่านี้สินะ   ผมควรจะมีแรงใจที่ถูกส่งมาจากความเศร้าสหายเก่ามากกว่านี้สินะ  ฮะ ฮะ ฮะ”

เสียงหัวเราะแหบ ๆ ของผมกลับทำให้พันไพรสีหน้าไม่ดีเข้าไปใหญ่  แต่เขายังคงทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี  นิ่งเงียบรอฟังเรื่องของผมอยู่

“แล้วในที่สุด   จดหมายอีกฉบับก็ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทของผมอีกคน    คนที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะถูกนำเข้ามาพัวพันด้วย

เขาคนนั้น  เป็นเพื่อนสนิทของผมในช่วงมหาลัย  ผมจำไม่ได้หรอกนะว่าผมรู้จักกับเขาได้อย่างไร
แต่ผมจำได้  ว่าเขานับว่าเป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเพื่อนแท้  เขาเป็นห่วงผมในหลาย ๆ เรื่อง  แต่เขาไม่เข้าใจผม
หลายครั้งที่เขาเคยตะโกนใส่หน้าผมว่า    ใครมันจะไปเข้าใจแก  ก็แกเล่นบอกว่า ไม่เป็นไร  ไม่มีอะไรหรอก ซะทุกครั้ง  แล้วจะมีใครรู้ความรู้สึกของแกมั้ยล่ะ   

แต่ผมไม่โกรธเขาหรอกนะ  ผมไม่เคยน้อยใจเขาเลย  ผมเพียงแค่รู้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่ยืนข้างผม  ไม่ว่ากรณีใด ๆ อยู่  ก็เพียงแล้ว

ในที่สุด  เขาก็บอกว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย   ผมไม่ได้เปลี่ยนไป  เพียงแต่ผมฝืนทนดำรงอยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ตัวตนของผมเองได้    ผมไม่อาจเป็นคนดี  ผมไม่อาจเป็นคนรับผิดชอบ  ผมไม่อาจเป็นคนที่มีความเสียสละ  และผมไม่อาจเป็นคนที่รักษาน้ำใจของใครไว้ได้อีกเช่นกัน

ผมรู้...ว่าผมจะยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงในเรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้    ผมรู้ว่าผมจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขา  ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา

ผมทำผิดหรือเปล่าที่ผลักไสความปรารถนาดีของผู้อื่นแล้วตอบแทนมันด้วยความเย็นชา ดื้อดึง
ผมผิดมั้ยที่เลือกที่จะหันหลังให้แก่เพื่อนของผมเอง  ...

ผมคงจะผิดไป  แต่ในใจลึก ๆ เขาเองก็ยังเป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผมเสมอ
               และเธอ..อีกคนหนึ่งก็รู้ดีถึงข้อนี้”

“  ลองพูดใหม่สิ...
คุณน่ะนะ  มีความสำคัญกับนัสมากนะ  รู้ตัวมั้ย ?


เป็นความจริงหนึ่งที่ผมไม่อยากให้เธอเปิดเผยแก่เขา    ผมไม่อยากให้เขามองผมเป็นคนอ่อนแอ
ผมไม่อยากให้เขารู้ว่า ผมเองเป็นที่เสียใจที่สุดเมื่อหันหลังให้แก่เขา

แต่คุณเป็นเพื่อนเค้า คบมานานแค่ไหน
ยังไม่รู้จักเพื่อนตัวเองอีกหรือ ?


น่าเสียดาย  ว่าเธอไม่รู้ความจริงอีกข้อ  ว่าเธอเป็นเพียงผู้เดียวในโลก   ที่ผมเคยยอมวางทั้งหมดลงในมือคู่บอบบางนั้น  เธอจึงถามเขาเช่นนี้

ไพรก็คงจะเข้าใจได้  ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป  เมื่อสองคนที่รู้จักผมในต่างมุม  กลับมาปะทะกัน
มันย่อมจบลงด้วยความไม่เข้าใจและเสียใจ...

สุดท้าย   เขาพยายามถามเธอ  ว่าที่แท้แล้ว  ผมมีความรู้สึก  มีความลับความคิดอะไรบ้าง
เขาพยายามจะทำความเข้าใจผม   แต่เธอยืนกรานให้มาถามผมเอง
เธอคงโมโหมาก  จึงผละไปจากการสนทนานั้นในทันทีที่กล่าวจบ...”

“เขาส่งจดหมายมา ?”

“ใช่  เขาส่งมันมา   เขาบันทึกถึงสิ่งที่เขาและเธอโต้เถียงกันไว้ให้ผมอ่าน  แล้วในที่สุด   เขาก็ถามผมด้วยคำถามเดิม  ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ?  ผมมีปัญหาอะไร ?  ผมรู้สึกอย่างไร ?  ทำไมผมและเธอคนนั้นถึงมีปัญหากัน ?”

“ผมตอบทั้งหมด ...ทุกคำถาม   ด้วยคำเพียงประโยคเดียว    ไม่มีอะไรหรอก  ไม่ต้องเป็นห่วง
งั้นมันก็จริงสินะ   ที่ว่าผมโกหกทุกครั้ง    ผมไม่ควร  ไม่ควรเลยจริง ๆ ที่จะลากคนอื่นเข้ามาพัวพันกับวังวนแห่งความเศร้าของตน
ผมควรจะทำอย่างไรดีไพร”

พันไพรรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาเช็ดข้างแก้มผม

           “เช็ดน้ำตาก่อนนัส  เข้มแข็งไว้   ผมยังอยู่ข้าง ๆ คุณ”

ผมพยายามกลั้นสะอื้น  เพราะบางคนในโต๊ะรอบ ๆ  เริ่มหันมามองชายหนุ่มผู้นองไปด้วยน้ำตาแล้ว
ผมนั่งนิ่งปล่อยให้เขาทำความสะอาดรอบดวงตาให้   

“ผมคงช่วยตัดสินใจไม่ได้หรอกนะ  เพราะว่าผมไม่รู้จักทั้งสองคน
สิ่งที่ผมทำได้  มีเพียงแค่ภาวนาให้นัสเลือกทางที่ถูกต้อง  ทางที่จะทำให้นัสมีความสุขที่สุด
และผมจะยืนเคียงข้างเป็นกำลังใจให้   ยืนอยู่บนเส้นทางสายเดียวที่นัสเลือกเสมอ”

“ขอบคุณมากครับ
เอาล่ะ   จุดที่ตลกที่สุดของเรื่องนี้
ตลกมาก ๆ   ผมไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย   แต่มันชาไปหมด   เหมือนกับหัวใจไร้ความรู้สึก
ไม่เจ็บ  ไม่ปวดร้าว...    มีเพียงความรู้สึกว่างเปล่าที่ยังคงหลงเหลือ
แต่น่าแปลก  จนบัดนี้ผมยังไม่สามรถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้   คงจะเป็นน้ำตาแห่งความสุขน่ะสินะ ฮ่ะฮะฮะ”

พันไพรมองผมด้วยความสงสาร  ทว่าผมไม่ต้องการความสงสาร  ผมจึงเลือกที่จะหลบสายตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“นัสเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย   
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue”

ผมส่ายศีรษะเบา ๆ  เมื่อได้ยินพันไพรฮัมทำนองเพลงที่ไม่คุ้นเคย  เขาจึงร้องเพลงฉบับเต็มให้ผมฟัง
ผู้คนในร้านอาหารต่างพากันจ้องมองพวกเราราวกับตัวประหลาด   แต่พันไพรไม่สน  เขาลุกขึ้นยืนร้องเพลงด้วยเสียงนุ่มของเขา     

I feel your pain
I feel the rain
What happened to you
I can't get to you
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
I know your soul
I know I'm home
Just come here to me
I'll let you run through me
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
We'll break down all the troubles we have found
And I'll find a way to mend your broken pieces
We'll hold hands and be friends
Until the end and our love will be forever
But there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
[/b]

“จะให้ผม  เป็นคนทำลายกำแพงของจิตใจของนัสได้หรือเปล่าครับ
ยื่นมือมาให้ผมได้มั้ย    ให้ผมช่วยดึงนัสขึ้นมา   ไว้ใจผมได้มั้ยครับ...”

น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเมื่อครู่  พลันพรูประดังออกมาอีกครั้ง  เราทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน  ตราบกระทั่ง...
ผมยื่นมือออกไป   

ยื่นมือข้างนั้นลงไปวางลงบนมือของพันไพรที่ยื่นรอไว้อยู่
เรายังคงสบตากัน  แต่ไม่มีถ้อยคำใด ๆ ที่ต้องสื่อถึงกันแล้ว
พันไพรพลันฉุดผมดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขา  และกอดผมไว้อย่างนั้น

หลาย ๆ คนอาจจะมองด้วยสายตาที่ไม่สู้ดี    แต่เสียงปรบมือนำขึ้นมาหนึ่งเสียง   แล้วก็มีเสียงปรบมือดังเซ็งแซ่รอบ ๆ ตัว  ราวกับจะยืนยันความรักระหว่างเราสองคน...

ผมทั้งอาย    และตื้นตัน      ทว่ารู้สึกได้  ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดมาระหว่างกำแพง   แสงนั้นส่งความอบอุ่นมาสู่หัวใจของผม  ผมพริ้มตาในอ้อมกอดของพันไพร          นับต่อแต่นี้ไป   ...  นับต่อแต่นี้ไป
ไม่รู้สิ   ผมไม่รู้เลยจริง ๆ  ...








christiyaturnm : พี่น้องท้องชนหลัง  อิอิ  แต่ผมว่านัสเป็นคนเย็นชามากกว่าอบอุ่นนะเนี่ย

iamtoey : ง่า  ยังไม่ได้ถามเลยครับ  เดี๋ยวไปถาม  ฮ่าๆๆ

Tifa : กล้าหาญชาญสมรมาก ๆ ครับ  ช่วงนั้นเป็นเด็กเลว  ฮ่าๆๆ

cj : จะสลับกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตในบทหน้าครับ

mackerel : แอร๊ยยยย  กรี๊ดดดดด << ออกอาการแล้ว

nartch : ขอบคุณมากครับ  ดีใจมากเลยที่คุณชอบ ^ ^
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่หก 12 สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 13-08-2008 00:11:38
อ่านะ มาอ่านต่อเลย

อ่านเรื่องนี้ตอนไหนก็เศร้าตลอด

ขนาดตอนนี้แอบหวานก็ยังเศร้าได้อีก เฮ้อ

ปล. รับเจสซี่สักที่มั้ยคะ ชีวิตซาบซ่า ดื่มเจสซี่ค่ะ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่หก 12 สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 13-08-2008 00:38:45
อิอิ...เรื่องนี่คุ้มกับการรอคอยจิงๆคับ :m15: :m15: :m15:
แต่ถ้ามาเร็วๆก็ดีนะ :m1: รอต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่หก 12 สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mackerel ที่ 13-08-2008 21:35:51
แหะๆต้องระลึกเรื่องกันใหม่เลยอ่ะครับ

ขอบคุณครับ

(http://i186.photobucket.com/albums/x146/ryubedroom/img17.gif)(http://i186.photobucket.com/albums/x146/ryubedroom/img17.gif)(http://i186.photobucket.com/albums/x146/ryubedroom/img17.gif)(http://i186.photobucket.com/albums/x146/ryubedroom/img17.gif)(http://i186.photobucket.com/albums/x146/ryubedroom/img17.gif)
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่หก 12 สิงหาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-08-2008 22:28:52
พันไพรจะทำลายกำแพงของนัสได้จริง ๆ หรอ

มารอลุ้นตอนต่อไปค่ะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---]
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 19-10-2008 21:14:32


[เหตุการณ์ปัจจุบัน]





ผมค่อย ๆ ถอยออกจากร่างของพันไพรด้วยใบหน้าแดงเข้มจนถึงใบหู    ทว่าพันไพรกลับเหมือนไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย  เขานั่งลง  และเรียกบ๋อยมาเก็บเงินตามปกติ   ผมเองก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเมื่อรู้สึกถึงสายตาหลากหลายคู่จับจ้องมายังเราอยู่ตลอด  พันไพรคงรู้ถึงความลำบากใจของผม  เขาจึงสะกิดให้ผมเดินตามออกไปจากร้านอาหารนั้น

พวกเรานั่งเคียงคู่กันบนรถคันเดิมของเขา ซึ่งกำลังบ่ายหน้าไปยังจุดชมวิวที่เดิม
ลานเหนือยอดเขานั้น  อาบไล้ด้วยสีส้มสดของแสงอาทิตย์ยามเย็น
พันไพรโอบคอผมดึงร่างไปนั่งด้วยกันตรงกอหินราบเรียบแผ่นหนึ่ง     

 "นัสชอบดูดวงอาทิตย์ตอนตกดินใช่มั้ย"

ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกเขาเมื่อไหร่  ผมจำได้แต่เพียงเย็นวันที่ผมดื้อดึงไม่ยอมเข้าบ้าน
สงสัยพันไพรคงจะทราบมาตั้งแต่ตอนนั้น...

    "ดวงตะวันยามสนธยา  เป็นจุดสิ้นสุดที่เจิดจรัส  และเป็นจุดเริ่มต้นของราตรีเช่นเดียวกัน
ผมชอบมองความเปลี่ยนแปลง   จุดหักเหระหว่างจุดสิ้นสุด และการเริ่มต้น
มันน่ามหัศจรรย์..
ในบางครั้ง   ผมก็คิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่   เปลี่ยนแปลงตนเองเหมือนที่ดวงตะวันขึ้นและตกในแต่ละวัน
แต่ว่าอันที่จริงแล้ว  ดวงอาทิตย์ไม่ได้เปลี่ยนไป  มันเพียงแต่หมุนสลับแง่มุมต่าง ๆ และเดินทางเคลื่อนผ่านกาลอวกาศเท่านั้น
ชีวิตของผมเองก็คงเหมือนกัน  ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้  เพียงรอวันสูญสลายไปกับกาลเวลาเท่านั้น.."


พันไพรรีบเอื้อมมือมาปิดปากผมไว้

"อย่าพูดคำนี้   คำว่าสิ้นสุดไม่เหมาะกับนัสหรอก
นัสยังอายุน้อย  ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องทำเยอะแยะมากมาย
มีผู้คนจำนวนมากที่รักและเป็นห่วงนัส..."

"รักและเป็นห่วง?  แล้วไง  หากว่าผมไม่มีพลังที่จะก้าวเดินต่อไปล่ะ  จะให้ผมทำอย่างไร
ให้มีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดและขมขื่นอยู่ทุกวันอย่างนั้นหรือ?"

พันไพรจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของผมให้หันมองหน้าเขา

  "นัส  ฟังผมนะ  หากว่านัสไม่มีแรงก้าวเดิน  ผมจะพยุงนัสเอง   หากว่านัสหมดอาลัยตายอยาก  ผมจะอุ้มนัสไปเอง
นัสจะบ่นมากแค่ไหนก็ได้  จะสำออยแค่ไหนก็ได้   แต่ขอให้ไว้ใจในตัวผม  ขอให้วางมือ และทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในอ้อมแขนผม  แล้วผมจะพานัสไปต่อเองบนเส้นทางชีวิตสายนี้"

  "แล้วสักวัน  หากไพรจากผมไปล่ะ?"

เขานิ่งอึ้ง  ทว่ามือของเขากลับรวบร่างของผมไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง

  "หากว่าสักวัน  ผมต้องจากไป   ขอให้นัสรู้ไว้ว่านั่นมิใช่ความปรารถนาของผม
ในใจที่แท้จริงของผมแล้ว  ผมไม่อยากจากนัสไปไหน  ไม่อยากละสายตาจากดวงหน้าของนัสเลยแม้เพียงวินาทีเดียว
เชื่อผม ...  เพราะว่า  ผม..รักคุณ"

เขากระซิบคำนี้ซ้ำอีกครั้งที่ข้างหูผม  ตะวันเริ่มอับแสง  และเป็นเวลาพลบค่ำ   จนในที่สุด  ความมืดก็มาเยือนอีกครั้ง
พันไพรปลดปล่อยผมออกจากพันธนาการของอ้อมกอด   เขาลุกขึ้นยืน 

      "เดี๋ยวผมพานัสไปส่งที่บ้านก่อน  แล้วผมจะกลับไปเอาอะไรบางอย่างที่บ้านของผมด้วย"

เขานำผมมาส่งที่พักของผมดังว่า  พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายผมจากในกรอบกระจกข้างรถนั้น  ก่อนเคลื่อนตัวรถออกจากหน้าบริเวณบังกะโล 

ผมก้าวเข้าสู่ตัวบ้านที่มืดมิด  เนื่องจากไม่ได้เตรียมเปิดไฟไว้ก่อน  เพียงเพราะคิดว่าวันนี้คงไม่กลับค่ำ  กุญแจประตูหน้าหมุนได้ลื่นง่ายดายจนดูราวกับไม่ได้ล๊อคไว้   ผมชักแปลกใจ  และหวนประหวัดนึกไปถึงวันที่พี่แนคบุกจู่โจมที่บ้าน  ผมค่อย ๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปในตัวบ้าน  ซึ่งมืดสนิทยิ่งกว่าภายนอก   ผมก้าวเข้าไปเงียบ และแช่มช้า

    ทันใด  เงาร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาใจกลางห้องเนิ่นนาน  ก็พลันผุดลุกขึ้น  ผมรีบกดสวิทช์ไฟเปิดในทันใด  และเตรียมที่จะเอาอะไรสักอย่างทุ่มหัวผู้บุกรุก

   "ไง  นัส...เดทกับพันไพรสนุกมั้ย"

บุคคลที่ผมไม่คาดฝันว่าจะพบเจอในค่ำคืนนี้พลันปรากฏในสายตา  จนอะไรสักอย่างที่ผมฉวยมาจากพื้นไว้เตรียมต่อสู้  ร่วงหลุดลงบนพื้นด้วยความตกใจ  ผมพูดอะไรไม่ออก  และหันหลังก้าวออกจากบ้านในทันที  ตอนนี้ในหัวผมนึกแต่คำว่าหนี  หนีใครล่ะ  หนีผู้มาเยือน  หรือหนีความจริง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

   "เดี๋ยวก่อน   อย่าเพิ่งไป  เราถามเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก"

ผมหันกลับมาช้า ๆ  และก้มหน้าจ้องมองปลายเท้าของดั่งเทวาราวกับเด็กทำผิดรอการลงโทษ

    "บังเอิญเรา อยู่ที่เดียวกันเมื่อบ่าย  ยินดีด้วยนะ"

เทพยื่นมือขวาออกมาเบื้องหน้า  ขณะที่ผมซึ่งกำลังงุนงงพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก

   "นาย ..รู้ แล้ว  แล้ว  แล้วเอ่อ  .."

  "อย่างไร  นายก็ยังเป็นเพื่อนเราอยู่เสมอ  อย่าซีเรียสน่า   วันนี้อุตส่าห์มาเยี่ยม  ทำหน้าเหมือนคนท้องผูกให้เพื่อนรักเห็นได้ไงล่ะเนี่ย"

เทพกล่าวยิ้ม ๆ   นั่นสินะ  ถึงจะอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม   ผมนึกขอบคุณเขาจริง ๆ  ที่เข้าใจผมโดยง่าย
แต่ในขณะเดียวกัน  ผมก็รู้ว่าผมหมดหวังกับเขาแล้ว  เพราะว่าเทพไม่มีทีท่าอะไรนอกเหนือจากนี้เลยแม้แต่น้อย
ซ้ำเขายังรับรู้ถึงสัมพันธภาพพิเศษระหว่างผมกับลูกพี่ลูกน้องของเขาแล้วอีกต่างหาก

ผมยื่นมือขวาออกไปสัมผัสกับเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  เทพจับมันเขย่า  แล้วยิ้มกว้างให้ 

   "อ่า..แล้ว  นึกยังไงถึงมาเยี่ยมเราล่ะ"

แววตาของเทพกลับหมองเศร้าชั่ววูบ

  "มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ ?  มีอะไรก็บอกเราได้นะ"

   "ไม่มีอะไรหรอก  ก็เรื่องทั่ว ๆ ไปน่ะ"

  "เรื่องที่จะโดนจับคลุมถุงชนกับญิณราน่ะสินะ"

เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังมาจากหน้าบ้าน   พันไพรก้าวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ  สายตาของเขาจับจ้องไปยังเทพที่ยืนด้วยท่าทีกระสับกระส่าย

  "ผมสังหรณ์ใจแปลก ๆ เลยแวะมาดูอีกรอบ
ถ้านายไม่อยากเล่าก็ช่างนายนะเทพ  เพราะผมจะเล่าให้นัสฟังเอง  เพื่อนกันก็ไม่ควรมีอะไรปิดบังกันสิ
หรือว่านายไม่ใช่..."

เทพกำหมัดแน่น  ก่อนปล่อยเสียงลอดไรฟันออกมา

  "ไม่ใช่เรื่องของนาย  อย่ามายุ่ง"

ผมเห็นว่าท่าไม่ดี  เลยรีบห้ามพันไพร

  "เออ ไพร  เทพมันไม่อยากเล่าก็ปล่อยไปเหอะ  เดี๋ยวไม่สบายใจไปซะเปล่า ๆ"

  "โอเค  เราจะเล่าให้นายฟัง"

เหนือความคาดหมายเมื่อเทพพลันเปลี่ยนใจ

    "เฮ้ไพร  นายรู้เรื่องดีแล้วจะฟังอีกรอบทำไม  จะไปทำอะไรก็ไปสิ"

พันไพรเหยียดยิ้มกว้าง  เขาทรุดตัวลงนั่งเอกเขนกบนโซฟากลางห้อง

    "น่าเสียดาย   ที่ผมตั้งใจจะมานั่งแถว ๆ นี้พอดี"

ผมกลืนน้ำลายด้วยความไม่สบายใจ  เพราะทราบดีว่าพันไพรกำลังยั่วโมโหญาติของเขา
ทว่า  เทพควบคุมอารมณ์ได้ดี  เขาเดินไปนั่งตรงโต๊ะสีขาวตรงข้างห้องแทน

   "เอาล่ะเริ่มจากตรงไหนดี.."

  "เริ่มจากตอนที่คุณทิพย์ดาราเห็นว่านายกับญิณราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยจนไม่งามล่ะกัน"

พันไพรขัดจังหวะมาจากโซฟาจนเส้นเอ็นตรงขมับเทพเต้นปุด ๆ  ในขณะที่ผมเองซ่อนยิ้ม  เพราะไม่มีโอกาสได้เห็นเทพตอนโมโหบ่อยนัก

    "มาเล่าแทนเลยมั้ย   อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้านายไม่กวนอวัยวะเบื้องต่ำสักวันนี่จะขาดอากาศหายใจตายหรือเปล่า  นี่! นัสจะฟังต่อหรือเปล่า"

พันไพรหัวเราะเริงร่าเมื่อยั่วโมโหอีกฝ่ายสำเร็จ  ขณะที่เทพเองก็ปรามผมเนื่องจากว่าผมเองก็หลุดหัวเราะออกมาบ้างแล้ว

   "ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย   เรื่องคอขาดบาดตาย  สะกดเป็นมั้ย  คอขาดบาดตายน่ะ"

   "เออ รู้แล้ว ๆ  เล่าต่อสิ"

   "อย่างที่ไพรมันว่าล่ะ  คุณทิพย์ดาราแม่ของยีนส์น่ะคิดว่าเรากับยีนส์เป็นแฟนกัน  เพราะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย  จนพวกคุณหญิงคุณนายเพื่อนของแม่เราและแม่ยีนส์เอาซุบซิบกันให้หนาหู  กระทั่งพวกผู้ใหญ่ไปคุยกันเอง
แล้วเนี่ย  จะจัดงานหมั้นอยู่แล้ว..."

   "แล้วนายไม่ได้บอกไปเหรอว่าคิดกับยีนส์แค่น้องสาว"

   "บอกแล้ว  ไม่มีใครเชื่อสักคน"

  "ยีนส์ไม่ได้ช่วยยืนยันคัดค้านอีกเสียงเหรอ?" 

  "ป่าว  ยัยยีนส์มันเอาแต่นิ่งเงียบ  ถามอะไรก็ไม่ตอบสักคำ"

ผมเริ่มหนักใจแทนเพื่อน  ในขณะเดียวกันหัวใจผมก็เจ็บแปลบราวกับถูกมีดเฉือน  เมื่อทราบข่าวนี้

   "งั้น  เรายินดีด้วยนะ   แต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมแจกการ์ดล่ะ"

คราวนี้พันไพรไม่หัวเราะไปด้วย  เขาคงจับความเจ็บปวดที่แฝงมากับน้ำเสียงของผมได้
เทพมีสีหน้าเศร้า  แต่แล้วเขาก็ฝืนหัวเราะ

  "ก็นึกอยู่แล้ว  ว่ายังไงนายก็ช่วยเราไม่ได้หรอก  เลยไม่เล่าแต่แรก  นี่เราก็หนีมาตากอากาศให้สบายใจสักหน่อย  ยินดีต้อนรับหรือเปล่าล่ะ"

   "อืม..  ทำใจให้สบายนะ  ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ"

ผมตบไหล่เขาเบา ๆ   เทพยิ้มเครียดให้  แล้วนั่งที่โต๊ะตัวนั้นต่อ

สักครู่เราทั้งหมดก็รับประทานอาหารร่วมกันด้วยฝีมือของพันไพร
เราสนทนากันน้อยมาก  และเทพเองก็เลี่ยงที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของผมและพันไพร
เมื่อถึงเวลานอน  เทพก็ขอตัวนอนข้างนอกที่โซฟา..

  "ไม่ได้หรอก  นายเป็นแขกมาเยี่ยม  จะให้พักลำบาก ๆ ได้ไง  มานอนที่ห้องเราก็ได้"

  "ไม่เอาว่ะ  ไม่อยากเป็น กขค"

  "จะบ้าเหรอ  ไม่มีอะไรอย่างนั้นสักหน่อย"

พันไพรหัวเราะหึหึ  ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

  "มาเหอะน่า ข้างนอกยุงกัดตาย"

  "เออ ก็ได้  อย่าปล้ำเรานะเว้ย  สู้จริง ๆ ด้วย"

  "เอา  ไม่หรอกน่า  เพื่อนกัน  กลัวอะไร"

ผมรู้อีกล่ะว่าเขาไม่ได้ระแวงอะไรผมจริง ๆ จัง ๆ หรอก  แต่แสร้งหยอกเล่นพอครึกครื้น
เราทั้งหมดหลับตาลงไปด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน...   





อรุณเบิกฟ้ายามรุ่งสางพร้อมกับการพลิกตัวของคนข้าง ๆ  กระทั่งผมได้รับผลกระทบให้ตื่นจากหลับไหล
ผมเอนร่างขึ้นเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน  เพื่อจ้องมองชายหนุ่มอีกสองคนบนเตียง  ชายที่ผมรักทั้งคู่
ทว่าไม่อาจบอกได้ว่ารักใครมากกว่ากัน...

หนึ่งคนที่รับสัมผัสจากสายตาของผมได้ก่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา  พันไพรเผยอยิ้มด้วยสีหน้าเพิ่งตื่น  เมื่อพบว่าผมกำลังมองเขาอยู่  คำทักทายแรกของเขาก็ล่วงออกมาจากปาก

  "หลับสบายดีมั้ยครับนัส..  ฝันร้ายหรือเปล่า  เมื่อคืนได้ยินเสียงละเมอ"

จริงดังที่เขากล่าว  ผมฝันถึงเรื่องราวบางอย่าง   เป็นความฝันที่สวยงาม  ทว่าอ้างว้างอย่างน่ากลัว
ความฝันที่เริ่มต้นด้วยคำว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

  "นิ่งอย่างนี้แสดงว่าจริงน่ะสิ  เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่าครับ"

ผมยังไม่คิดอยากจะพูดอะไรยาว ๆ ในเช้านี้  จึงส่ายหน้าปฏิเสธไป  อีกคนที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงพูดคุยของเราสองคน  เขาทำหน้าเหมือนนกที่นอนจนอิ่ม  แล้วเหยียดแขนบิดขี้เกียจ   เทพไม่พูดอะไรสักคำ  เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปแปรงฟันที่ห้องน้ำ

สักครู่  หลังจากที่เราล้างหน้าแปรงฟันและรับประทานอาหารเช้า (แน่นอนว่าฝีมือของพันไพรอีกนั่นล่ะ)
ผมและพันไพรก็เดินออกมาส่งเทพที่หน้าบ้าน

รถของเขาแล่นออกไป  พร้อมกับผมที่รู้สึกโหวง ๆ พิกล

   "เทพต้องหมั้นกับญิณราจริง ๆ น่ะเหรอ?"

   "ไม่รู้สิ  แล้วแต่ว่าเทพจะกล้าแหกคอกหรือเปล่า  อย่างผม  กล้าแน่นอน  หากว่าผมต้องทำเพื่อนัส"

   "อืม  จากที่ดูเมื่อคราวก่อน  สองคนนั้นก็เหมาะกันดีนะ"

  "นัส.."

   "หืม"

  "ช่างเหอะ  ไม่มีอะไรหรอก  เราเข้าบ้านกันดีกว่า"

ผมเดินตามพันไพรไปอย่างว่าง่าย  เช้านี้รู้สึกใจหวิว ๆ ชอบกล  คล้ายกับจะสูญเสียอะไรบางอย่าง
พันไพรเองก็ทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ชอบกล  ผมเองก็ได้แต่ภาวนาให้วันนี้ไม่มีเรื่องยุ่งยากกวนใจเช่นวันอื่น ๆ
แต่ไม่รู้ว่าคำภาวนานี้จะส่งถึงสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ...




หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่หก 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 19-10-2008 21:20:56

บทที่ ๗






[ความฝัน]




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

ยังมีเด็กผู้หญิงฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง  พวกเธอมีนามว่า เนล  และ เนซัส
เนล และเนซัสมาจากที่ไหน  ไม่มีใครรู้..    ต้นไม้ในป่าแห่งอาเคเดียรู้เพียงแต่ว่า  พวกเธออาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเหล่านางไม้มากมาย

นางไม้  ชอบของสวย ๆ งาม ๆ   เด็กผู้หญิงน่ารักสองคนก็ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของนางไม้
พวกเธอมีแก้มแดงสุกปลั่งราวผลเชอร์รี่สุก   ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มน่ารัก  ดวงตาสีดำประดุจดืนเดือนมืดที่มีดาวเด่นเพียงดวงเดียวประดับในประกายตา   แพขนตาคู่สวย  และเส้นผมนุ่มสลวยของพวกเธอก็ดำเงางามราวกับขนนกกาน้ำ

พวกเธอรักใคร่กลมเกลียวกัน  และคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ 
ทุก ๆ เช้า  พวกเธอจะตื่นมาพบกับผลไม้  นมสด  และน้ำผึ้งจำนวนหนึ่งซึ่งวางอยู่หน้ากระท่อม
เนล และเนกซัสมักจะขอบคุณแก่ความว่างเปล่าและสายลมที่พัดพาอาหารพวกนี้มาให้   
แต่จะว่าไปก็ไม่ว่างเปล่าสักเท่าไหร่   เมื่อมีนางไม้หัวร่อต่อกระซิกซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หน้ากระท่อม

อยู่มาวันหนึ่ง   วันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม และลมกระโชกแรง   พายุเหมือนใกล้เคลื่อนตัวเข้าใกล้กระท่อมอันเป็นแหล่งพำนักของสองพี่น้องเข้าทุกที

 เนล  พาเนซัสเข้านอน   เธอห่มผ้าห่มให้เนซัส   พร้อมกับวางถ้วยเทียนในมือลงบนเก้าอี้สูงข้างเตียง
สายลมพลันกระโชกเข้ากระแทกประตู  คล้ายกับมีคนมาทุบประตูแรง ๆ
ไม่สิ  มีคนมาทุบประตูแรง ๆ จนเหมือนสายลมกระโชกเข้ากระแทกประตูต่างหากล่ะ
เนลแตะริมฝีปากของฝาแฝดให้เงียบ  แล้วก้าวไปตามพื้นเย็นเฉียบสู่หน้าประตู
ฝนเริ่มโปรยตัวลงมา  ในขณะที่อาคันตุกะเบื้องนอกตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง

      "มีใครอยู่ข้างในมั้ย!"

เนลตัวสั่น  เธอกลัวเสียงดังของชายผู้นี้   ทว่าเนซัสกลับตะโกนมาจากบนเตียง

   "มี   มีเนซัส กับเนล  แล้วท่านเป็นใครกัน?"

เสียงเคาะประตูเงียบหายไป  ก่อนแทนที่ด้วยเสียงแหบห้าวของชายลึกลับอีกครั้ง

  "ข้าคือ  ไดโอนีซัส    ใครบางคนเรียกข้าว่าเทพแห่งเหล้าองุ่น ความรื่นเริง  และงานฉลอง  ขอข้าเข้าไปได้หรือไม่"

เนซัสรีบส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอบกลับ

      "เหล้าองุ่น  ความรื่นเริง  และการเฉลิมฉลองเป็นที่ต้อนรับของที่นี่  ขอเชิญท่านเข้ามาเถิด"

ไดโอนีซัสหัวเราะด้วยเสียงอันดัง  ทันใด  สลักบานประตู  ก็เปิดกริ๊กออกเองราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาถอดสลัก  แล้วเขาก็พาร่างใหญ่โตก้าวเข้ามาในกระท่อม

เนลมองเคราครึ้มของชายแปลกหน้าด้วยความพิศวง   เธอไม่เคยเจอคนหน้าตาแบบนี้มาก่อน   หรือจะกล่าวอีกที ก็คือ  เธอสองคนไม่เคยเจอคนอื่นมาก่อนนอกจากกันและกัน

กลิ่นหอมขององุ่นหมักระเหยจากร่างของเขา  จนทั้งบ้านอบอวลด้วยความอบอุ่น  ไดโอนีซัสล้วงเอาเชิงเทียนของเขาออกมาจุด  ทำให้ทั้งบ้านสว่างจ้าด้วยแสงไฟ

เนซัสวิ่งลงจากเตียง  และช่วยเนลจัดเรียงโต๊ะต่อ ๆ กัน
สักครู่  ไดโอนีซัสก็บอกให้สองฝาแฝดหลับตา

เมื่อทั้งคู่ลืมตาอีกครั้ง  อาหารมากมายก็เรียงรายอยู่เต็มไปทั้งโต๊ะ   เสียงดนตรีดังก้องมาจากทุกมุมบ้านเป็นจังหวะที่ไพเราะสนุกสนาน

บัดนี้  กระท่อมน้อยเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกที่พายุพัดจัด และฝนพรำโดยสิ้นเชิง



เวลาแห่งการเฉลิมฉลองผ่านไป   และทั้งหมดก็อิ่มแปร้   ไดโอนีซัสล้มตัวลงนอนกับพื้นส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว
เนซัสนั่งจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ก้าวเข้าไปใกล้ขวดน้ำเต้าบรรจุเหล้าองุ่นอันแขวนอยู่ข้างตัวของไดโอนีซัส  เนลรีบร้องห้ามฝาแฝดของเธอในทันใด

       "อย่า  เนซัส   อย่าแตะต้องเหล้าองุ่นนั้น  ไดโอนีซัสเพิ่งบอกไปเมื่อครู่เองมิใช่หรือ  ว่าบางขวดเป็นอันตรายร้ายแรง"

เนซัส  ส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อถือ  เธอหัวรั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

       "ไม่เอาน่า เนล   จะมีใครที่ไหนแขวนยาพิษไว้ข้างตัวเล่า   เขาเพียงแต่ขู่เราไม่ให้ลอบลิ้มชิมรสของวิเศษที่เขาหวงแหนเสียมากกว่า"

ว่าแล้วเธอก็ฉวยหนึ่งในขวดข้างเอวของเทพแห่งน้ำเมาผู้หลับไหลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว  มาดื่มเข้าไปจนหมดสิ้นโดยที่เนลไม่มีโอกาสได้ห้ามอีกต่อไป

เนซัสยิ้มร่าชูขวดเปล่า

           "นี่ไง  ไม่เห็นเป็นอะไรเลย..."

เธอก้าวเข้ามาหาเนล  ทว่า   เพียงสามก้าวเท่านั้น เนซัสก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เนลก้าวเข้าไปรับร่างบางนั้นด้วยความตกใจ   เป็นจังหวะที่ไดโอนีซัสตกใจตื่นขึ้นมาทันที

     "เนซัส  ตื่น  ตื่น  ตื่นสิ"

  "เฮ้  สาวน้อย"  เขาหยิบขวดเปล่าที่กลิ้งอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา
   "ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าหรืออย่างไร  ว่าเหล้าองุ่นขวดนี้คือยาที่ทำให้มนุษย์หลับใหลชั่วนิรันดร์"

เนลสั่นศีรษะทั้งน้ำตา  เธอเพิ่งทราบว่าการที่เธอไม่ได้ห้ามคู่แฝดไว้อย่างจริงจังจะมีผลตอบรับที่ร้ายแรงขนาดนี้

  "มีทางแก้มั้ยคะ?  มียาแก้ไขให้เนซัสกลับฟื้นคืนมั้ยคะ?"

ไดโอนีซัสก็ส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา

    "ข้าถือว่าข้าได้กล่าวเตือนแล้ว  ทั้งหมดเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นและระแวงสงสัยต่อคำเตือนของข้าเอง  ข้าก็คงจนปัญญาที่จะช่วย"

เนลร้องไห้เสียใจจนกระทั่งสลบไปบนร่างของเนซัสในที่สุด...










[เหตุการณ์ในอดีต]




   ผมล้างหน้าและบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเมื่อเดินมาถึงโรงเรียนจากเส้นทางเก่า
ผมพยายามหลบเลี่ยงจากผู้คนและนั่งรออยู่ในโต๊ะใต้ร่มไม้ระหว่างตึก  รอเวลาเข้าแถว
ผมหิวเล็กน้อย  แต่เชื่อว่าไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่

ส่วนความเมื่อยล้าและง่วงงุนถูกขับไล่ออกไปชั่วคราวด้วยน้ำเย็นเฉียบแล้ว

ผมตบตามเสื้อให้ดูเรียบ ๆ ปกติผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวอะไรเร็ว ๆ สักเท่าไหร่  ทำให้เสื้อผ้าที่ใส่มาแล้วหนึ่งวันยังดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนเพิ่งถูกนำมาสวมใหม่ ๆ

เสียงออดบอกเวลาเข้าแถวพร้อมกับเพลงมาร์ชโรงเรียนที่ดังขึ้น  ฉุดดึงร่างผมให้ก้าวเดินช้า ๆ ไปตามถนนอันทอดสู่ที่เข้าแถว

นักเรียนคลาคล่ำบ้างเดินบ้างวิ่งต่างพากันไปยังจุดจุดเดียว  ผมเองก็พยายามก้าวยาว ๆ เพื่อเข้าสู่แถว
ผมเลือกยืนที่ท้ายแถวห้องของผม  อันเป็นที่ประจำ   เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องติดต่อปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  วันนี้ที่ผมไม่อยากให้ใคร ๆ รู้ถึงเรื่องที่ผมเพิ่งกระทำมา

เทพเหลือบเห็นผม   เขากำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ ด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส  และขอปลีกตัวออกมาอย่างสุภาพ  เขาก้าวออกจากช่วงแถวของเขา  และเลือกที่จะมายืนเบื้องหลังของผมแทน   ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบหน้าเขา  แต่ว่าเทพก็ไม่เดือดร้อนอะไร  เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เริ่มการทักทายกับผมก่อนแม้แต่คำเดียว

การเข้าแถวสิ้นสุดลง    และผมก็เข้าเรียนตามปกติ  ในสองสามคาบแรก ๆ  ผมยังคงมีสติดีสมบูรณ์พร้อม
ทว่า  พอเข้าคาบที่สาม  อันเป็นคาบคณิตศาสตร์  หนึ่งในวิชาที่ผมไร้ความชำนาญและลงความเห็นว่ามันน่าเบื่อ  ผมก็เริ่มที่จะซบลงสู่อ้อมกอดของนิทรา  และก้มลงแทบตักของหนังสือเรียนอันกางหราอยู่บนโต๊ะ

เทพเหลือบมองผมเฉย ๆ โดยไม่รบกวน  ทว่า  ตั้งแต่เช้ามาเราสองคนก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
สุดท้าย  เมื่อสิ้นคาบคณิต  อันจะก้าวเข้าสู่ช่วงพักเที่ยง   เขาก็เขย่าตัวผม

     "ตื่น..ตื่น ๆ"

ผมปรือสายตาง่วงงุนไปยังเขาเชิงคำถาม

   "อะไร?"

   "เอาน่า  ตามเรามาหน่อย"

ผมผุดลุกขึ้นตามแรงดึงของเขาอย่างงุนงง   เทพคว้ากระเป๋าของเขาขึ้นพาดบ่า  แล้วเดินออกจากห้อง  โดยไม่ลืมมองข้ามไหล่ของตนด้วยสายตาขู่เข็ญแกมบังคับให้ตามไป

ผมจึงจำต้องตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้   เราเดินลงจากชั้นสามของตัวตึกลงมายังลานใต้ตึกเบื้องล่าง
...ที่ซึ่ง  ผมได้พบกับคนที่ผมพยายามหลบหน้ามาหลายวันอีกครั้ง

    "ไง  หายหัวไปไหนมา  พ่อแม่แกเป็นห่วงนะเว้ย"

กรรม์ไม่รอช้า  เขาเข้ามากระชากคอเสื้อผมทันที  ผมยืนนิ่ง  และจ้องมองไปยังอากาศเบื้องหลังเหมือนมองไม่เห็นคนเบื้องหน้า  เขาจ้องหน้าผมอย่างขัดใจ   จนกระทั่งเทพเข้ามาจับมือของกรรม์ให้ปล่อยออกจากผม

    "ไหนว่าจะพูดกันดี ๆ ไงกรรม์"

เขาจึงยอมปล่อยมือจากผม

“ให้ตายสิ  แกนี่เหลวไหลจริง ๆ  แม่แกโทรมาถามเราว่าแกหายไปไหนกันแน่  แล้วจะให้เราตอบว่าไง  ก็ตอบได้แค่ว่าไม่รู้  พ่อแม่แกน่ะ  ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว  จนร่ำ ๆ จะไปแจ้งว่าคนหาย  แต่เราแนะว่ารอดูวันนี้ก่อน"

  "เราเองก็เพิ่งรู้เรื่องจากกรรม์เมื่อเช้า    เราเป็นห่วงนายนะนัส
มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า  ทำไมถึงไม่กลับบ้าน  เล่าให้เราฟังก็ได้นะ"

ผมไม่ขยับใบหน้าเลยแม้แต่น้อย... 

"ไม่หรอก  เราไม่มีอะไรจะพูด  ไม่มีเรื่องไม่สบายใจอะไร   แค่อยู่ ๆ ก็นึกไม่อยากกลับบ้านเฉย ๆ   ขอโทษที่ทำให้พวกนายเป็นห่วง  ขอตัวก่อนนะ.."

จังหวะที่ผมหมุนตัวจากไป  เทพก็รีบคว้าไหล่ของผมไว้ทันที

"เราว่าแล้ว  ว่านายน่ะพูดดี ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก"

โดยไม่ทันตั้งตัว  เขาซัดหมัดเข้ามาที่ใบหน้าของผมทันที
ใบหน้าของผมผงะไปตามแรงหมัด   ผมมึนงง  แทบไม่เชื่อสายตาว่าดอกนี้เทพเป็นคนซัดใส่
กรรม์เองก็งง  จนไม่ได้เข้ามาห้าม

ผมก็เริ่มโมโห  จึงก้าวเข้าใส่เทพอย่างไม่กลัวเกรง
เราทั้งคู่โผเข้าหากันแล้วนัวเนียวงในจนล้มกลิ้งไปกับพื้น
ผมไม่กล้าต่อยเขาแรงมาก   เพียงแค่พยายามกัน  และผลักกดเขาไว้เท่านั้น
เทพก็คงเหมือนกัน  เขาเองก็ทำเพียงแค่กระแทก  กระทุ้งร่างของผม

เราฟัดกันอยู่ครู่หนึ่ง   จนในที่สุด  ผมก็พ่ายแพ้  และเทพนอนคร่อมทับตัวผมอยู่
ใบหน้าของเขามอมแมมคลุกฝุ่น   ทว่ายังคงเป็นใบหน้าของคนที่ขโมยหัวใจของผมไป
ผมหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง  เมื่อสบดวงตาสีสนิมเข้มนั้นอีกครั้ง
ผมอยากให้เราอยู่อย่างนี้ตลอดไป..

จนกระทั่ง  กรรม์เข้ามาดึงร่างของเทพออกและฉุดผมให้ลุกขึ้นจากพื้น

  "เฮ้ย  ไหนว่าไม่ให้เราใช้กำลังไงวะเทพ.."

เทพปาดเหงื่อออกจากใบหน้า   เขาหอบแฮ่ก ๆ เหมือนหมาหอบแดดไม่ต่างอะไรจากผม

    "อือ  เราเพิ่งรู้ว่าไอ้นัสมันดื้อกว่าที่คิด"

   "แล้วทำไมถึงต้องต่อยเราด้วย?"

เทพจึงหันมาสบตาผมอีกครั้ง

    "เพราะว่านายคือเพื่อนเรา   เราไม่อยากให้นายต้องเสียใจกับการกระทำของตนในภายหลัง"

ผมจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มขึ้นแผ่คลุมใบหน้า

       "ขอบคุณ  เป็นหมัดที่ดีนะ"

กรรม์ก้าวมาเบื้องหน้าแล้วกระแอมเรียกความสนใจ

   "อะแฮ่ม   คือเราก็มีเรื่องที่จะขอโทษแกว่ะ  เราเพิ่งรู้จากแม่แกว่า ปกติแกไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนมาไหนได้ง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน  เราขอโทษนะ  ที่ใช้กำลังกับนัสในวันก่อน  ให้อภัยเราได้ป่ะ"

  "อืม.."

ความจริง  ผมไม่ได้โกรธเขามานานมากแล้ว  เพียงแต่ยังมีทิฐิเคลือบอยู่  รอการกะเทาะด้วยคำเพียงคำเดียวนี้
กรรม์ก้าวเข้ามาใกล้อีกและเอาอะไรบางอย่างใส่ในมือของผม

ผมไล้นิ้วไปตามความเนียนเรียบของแผ่นกระดาษแข็งในมือ  และชูขึ้นดูตรงหน้า
ส่วนสุดท้ายของสิ่งสะสมชุดที่ผมตามหามานานอยู่ในมือ

ขาซ้ายของ Exodia the forbidden one

ผมยิ้มให้เขาแทนคำขอบคุณ  เพราะตอนนี้หลากหลายความรู้สึกที่จุกล้นเต็มคอ
ผมเคยนึกว่าจะสูญเสียพวกเขาไป  เมื่อมองย้อนกลับไปช่างเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี  เมื่อพบกับวันนี้
เหตุการณ์หลังจากนั้นช่างรางเลือน  เพราะว่าผมเองก็จำอะไรไม่ได้  ว่าใครสักคนพาผมมาพักผ่อนที่ห้องพยาบาล
แล้วผมก็หลับไปจนเย็น...





ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อแสงยามเย็นเริ่มสาดส่อง   ผมกล่าวขอบคุณและลาอาจารย์ห้องพยาบาลก่อนเดินออกมาเบื้องนอก  ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะกลับไปหาพ่ออีกครั้งดีหรือเปล่า  เพราะผมยังคงละอายใจที่หายไปเฉย ๆ โดยไม่บอก  ทว่า  เพื่อนของผมทั้งสองคนกลับรออยู่เบื้องนอก  และช่วยตัดสินใจให้ผมโดยการคุมตัวนักโทษไปส่ง
พวกเขายืนมองผมเงียบ ๆ ขณะที่ผมเดินเข้าไปหาพ่ออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

เขาไม่ถามอะไรผมสักคำ  และออกรถทันทีที่ผมก้าวขึ้นมา
ผมกดเบาะลงแล้วเอนตัวลงเงียบ ๆ
ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ   ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน  ผมไม่เล่า  เขาไม่ถาม
อาจจะดูเหมือนน่าอึดอัด
แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ  ..ดีที่ที่สุดแล้ว

เรากลับมาถึงบ้านในที่สุด  ผมลงจากรถ  ไม่มีใครซักถามว่าผมไปไหนมา  มีแต่รอยยิ้มและคำบอกเหมือนทุก ๆ วัน

   "หิวมากมั้ยลูก  มากินข้าวก่อนเร้ว  แม่ทำอะไรอร่อย ๆ ไว้หลังบ้าน"

ผมรู้สึกตัน ๆ ตรงหัวตา  แต่ก็กลั้นมันเอาไว้
ผมอยากบอกคำว่าขอโทษ   แต่พูดไม่ออกเสียดื้อ ๆ   ผมทำได้เพียงรับคำแล้วเดินเข้าบ้าน

อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่เอร็ดอร่อยที่สุดเท่าที่ผมจำได้  เป็นมื้อที่ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอะไรบางอย่างอย่างถ่องแท้
ผมรู้แล้ว   ว่าไม่ว่าผมจะเผชิญความเจ็บปวดมาจากที่ไหน  จะเจอเรื่องอะไรมา  ความรักความอบอุ่นของครอบครัว  จะเยียวยามันได้ในพริบตา

ผมเข้านอนแต่หัววัน  เนื่องจากเมื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อผมก้าวขึ้นเตียงได้สักครู่   ประตูก็เปิดออกมาพร้อมกับคุณแม่ของผม  เธอก้าวเข้ามาช้า ๆ ท่ามกลางสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย   แม่ของผม  ทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียงข้าง ๆ ผม  แล้วเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก ๆ ไว้

สัมผัสนุ่มจากมือของแม่  ทำไมมันอุ่นแบบนี้   ผมป้ายดวงตาด้วยมือข้างที่เหลือ  เพื่อเช็ดบางสิ่งที่เล็ดออกมานิดหน่อย

    "นัส  แม่รักลูกนะ  ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร  จะทำอะไรมา  แม่ก็รักลูกเสมอ  รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ที่ลูกหายไปเมื่อวาน  แม่เป็นห่วงมาก   หัวใจของแม่เหมือนถูกปลิดออก  เพราะในทุกวินาทีแม่ก็คิดไปแต่ว่าจะเกิดอะไรกับลูกบ้าง  อย่าทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอีก  ..ได้มั้ยจ๊ะ?"

ผมผงกศีรษะรับคำอย่างว่าง่าย  คุณแม่ลูบหัวตรงหน้าผากของผมอย่างเอ็นดู  ก่อนก้มลงจุมพิตกลางหน้าผากนั้น
เธอคลี่ผ้าห่มเข้าคลุมร่างของผมให้อีกชั้น  ก่อนอวยพรผมก่อนนอน

  "ฝันดีนะลูก"

ไฟกลางห้องถูกปิดด้วยปลายนิ้วเรียว  ก่อนเจ้าของร่างบางจะก้าวออกไปพร้อมกับปิดประตูลงช้า ๆ
ผมหลับตาลงด้วยความสุข...



หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (จบบทที่หก 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 19-10-2008 21:22:27
 :mc4: :mc4: :mc4:

 มาต่อแล้วววววววววววว  :m4:




 
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 19-10-2008 21:28:23


[ความฝัน]




ความมืดกระจายตัวอยู่รอบ ๆ  ความเหงาและเดียวดายที่เป็นประหนึ่งมิตรชิดใกล้ก็วนเวียนพันเกลียวกระหวัดแน่นอยู่รอบ ๆ  ผมเห็นใครคนหนึ่งอยู่กลางความมืด   เขาคุดคู้งอร่างกอดเข่าขดตัวอยู่ตรงมุมของห้องปิดตายซึ่งไร้แสง

ใบหน้าของคนคนนั้นว่างเปล่าไร้อารมณ์ใด ๆ  ดวงตาของเขาที่จ้องไปเบื้องหน้า  เวิ้งว้างเลื่อนลอย
ไม่มีอะไร..อยู่ในแววตานั้นเลยแม้แต่น้อย

เขาคนนั้นไม่ได้ร้องไห้   ดวงตาของเขาแห้งผาก

...

แต่ความเศร้าที่ก่อมวลอัดแน่นหนักอึ้งอยู่ในบรรยากาศรอบ ๆ ตัว  บีบกดจนหัวใจของผมแทบแหลกสลายไปกับความเศร้านั้น

ผมพยายามจะยื่นมือออกไป   ผมอยากปลอบเขา  อยากดึงตัวเขาเข้ามากอด  แต่ผมไม่มีตัวตน...

ผมเจ็บแปลบ  ราวกับหัวใจถูกมีดกรีดเฉือนในทุก ๆ วินาทีที่ล่วงผ่านไปโดยไร้ประโยชน์

เขาคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม   แต่ตอนนี้  ผมรู้อะไรใหม่ ๆ
ผมเริ่มสังเกตใบหน้าของเขา   ..ทำไมนะ  ทำไมกัน


ทำไมใบหน้าของเขาถึงเหมือนผมขนาดนี้!!










Tifa : เรื่องนี้โทนจะเศร้า ๆ อ่ะครับ   เดี๋ยวไปหื่นเรื่องหน้า  อิอิ

Taurus : โทษทีนะครับ  มัวแต่ยุ่งกับการตามหารุกแท้เกือบลืมเรื่องนี้เลย

mackerel : รอบนี้คงได้ระลึกใหม่อีกทีครับ  จากสิงหามาตุลา  แหะแหะ

nOn†ღ : คงต้องคอยดูในเรื่องน่ะครับ  ว่าจะทำลายได้ไหม

nOn†ღ : อิอิ  มาต้อนรับคนแรกเลยนะครับ  ปลื้ม *-*






ส่วนนี้เป็นความฝันของนัสในวัยเด็กในคืนที่นัสกลับไปนอนที่บ้านนะครับ  ส่วนความฝันเนลและเนกซัส เป็นความฝันของนัสในคืนที่เทพมาค้างด้วยในปัจจุบันของเรื่อง  งงมะ?
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 19-10-2008 22:50:32

ขอบคุณนะคะ คุณ Kirimanjaro

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 19-10-2008 22:56:25
ไม่งงละจ้า.......กว่าจะมาต่อได้

เล่นเอาต้องอ่านทบทวนใหม่เลย

ก็มีหลายเรื่องนี่เนอะ คริๆ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 20-10-2008 20:51:37
^
^
^
เหมือนคนข้างบน ๆๆๆๆๆ ต้องอ่านใหม่หมดเลยยย ลืมมมม  :m23:
มีปัญหาคาใจจัง...ทำไมนัสต้องเศร้าขนาดนั้น...นิสัยส่วนตัว
หรือเพราะความรักที่มีให้เทพ...  :เฮ้อ:

 :กอด1:   สงสารพี่แนคที่สุดเล๊ยยยยยยยย  
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 21-10-2008 13:13:00
น่าสงสารเทพกับนัสอ่ะ

รักกันแสดงออกไม่ได้  (เดามั่ว)


 :o12:


หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 22-10-2008 00:10:00
 :m4: รอมานานในที่สุดก้อมา 555+ :a2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 14-11-2008 00:21:38
:monkeysad:ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ซะที   

หลังจากที่ร่ำๆจะอ่านตั้งหลายรอบ แต่แค่อ่านบทนำไปได้ไม่เท่าไรก็ต้อง

ถอยมาตั้งหลักก่อน   ( แต่แอดเป็นเฟเวอริทแล้วนะ) เพราะแค่เปิดเรื่อง

ข้าพเจ้าก็เหมือนจะถูกบีบคั้นอารมณ์จนทำให้รู้สึกเหงาๆเศร้าๆห่อเหี่ยวๆ

ยังไงไม่ยู้ ..บอกมะถูก เลยต้องไปขอแว่บไปอ่านเรื่องแนวฮาๆเพื่อตุน

บรรยากาศสดใสๆเฮฮากิ๊วก๊าวจากเรื่องอื่นๆในเล้าเอาไว้เป็นพลังงานสำรอง

สำหรับคลายความเข้มข้นของบรรยากาศที่เหมือนจะเรียบเรื่อยแต่ออกแนว

ทึมๆ กดดันๆของเรื่องนี้โดยเฉพาะ(หนึ่งในเรื่องที่ถูกนำมาเป็นต้นกำเนิด-

พลังงานชั้นเริ่ดก้อเรื่อง จิตกว่านี้..มีอีกไหม น่ะแหล่ะ ฮุๆ)


คุณคีรู้มะว่าร่วมเดือนเลยนะในการเตรียมความพร้อมที่จะเข้ามา

อ่านเต็มรูปแบบ (ประมาณศรีทนได้แล้วฮ่ะ) เรื่องนี้ขอบอกว่าข้าพเจ้า

ต้องค่อยๆละเมียดอ่าน มะงั้นโง่ๆอย่างข้าพเจ้าอาจก่งก๊งกับเนื้อหาได้ง่ายๆ

แต่เรื่องนี้ถือว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมากทีเดียวสำหรับข้าพเจ้า

เพราะเวลาอ่านแล้วจะจินตนาการไปถึงสีสันต่างๆที่แตกต่างกันไปตาม

อารมณ์ของเรื่อง(แต่จินตนาการทีไร มันมะค่อยมีโทนสีสว่างๆเรยอ่ะ  :เฮ้อ:

ดีนะที่ตุนพลังงานสำรองกันการห่อเหี่ยวเกินขีดจำกัดของร่างกายไว้ มะงั้นมี

เฉาคาคอมพ์แน่  )


เฮ้อ~แปลกเนาะ เป็นเรื่องที่ไม่ได้อ่านไปร้องไห้ไปอย่างหลายๆเรื่องที่เจอมา

แต่รู้สึกตึ้บๆหนักในหัวใจยังไงมะรู้ อึดอัดมากกกก.................................

แต่ก็ยังอยากอ่านต่อ อยากติดตามบทสรุปของเรื่องมากๆเรย 

เพราะฉะนั้น.................

รีบๆมาต่ออีกนะคร้า~ :เศร้า1:


ป.ล.+1ให้ที่สามารถทำให้เราอ่านไปก็ถอนใจลึกๆไปบ่อยมาก(น้องมันบอก)
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-12-2008 21:54:45

นังแทนย่ามันหายไปไหนนะ

แปลกใจจัง?


แทนย่า  กลับมาได้แล้ว

เจ้คิดถึง


เจ้สอง
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด 19 ตุลาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-12-2008 11:24:32




[เหตุการณ์ปัจจุบัน]

ตอนสายของวันนั้น  ผมกับพันไพรออกมากินข้าวนอกบ้าน  อันที่จริงไม่ค่อยห่างจากตัวบ้านเท่าไหร่หรอก 
เพียงแค่ไปปูเสื่อนั่งกันตรงริมหาดใต้ร่มสนทะเลเท่านั้นเอง
พันไพรดูเงียบขรึมอย่างน่าประหลาดใจ  และผมมักจะสังเกตเห็นว่าเขาฝืนหัวเราะบ่อยครั้ง

ผมรู้สึกใจหายพิกลที่เห็นเขาดูแปลกไปแบบนี้   จึงพยายามพูดคุยอย่างร่าเริง

   "เห็นนกนางนวลตัวนั้นมั้ยครับ"

ผมชี้นิ้วไปยังนกสีขาวปลายปีกดำตัวหนึ่งที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมหาด

   "ใครจะรู้ล่ะ  ว่าท่าทางธรรมดา ๆ แบบนั้นอาจจะเป็นโจนาธาน ลิฟวิงตันกลับชาติมาเกิดเพื่อค้นหาสัจธรรมของการบินอีกรอบก็เป็นได้"

ผมหวังว่าพันไพรจะหลุดหัวเราะเมื่อผมล้อเลียนวรรณกรรมที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่ง  ว่าเขากลับขัดจังหวะด้วยรอยยิ้มบางและเสียงเรียบ

   "นัสครับ  นัสจะว่าอะไรมั้ยครับ  ถ้าผมจะถามนัสคำหนึ่ง"

   "อ้าว  ผมจะว่าอะไรล่ะครับ  ไพรอยากถามอะไรก็ถามมาเลย  ไม่ต้องเกรงใจหรอก"

   "แล้วถ้าผมถามคำถามอะไรที่นัสไม่อยากตอบล่ะ?"

ผมเอียงคออย่างครุ่นคิด  แต่ก็ตอบเขาไปในทันที

  "ไม่หรอกครับ  ผมเชื่อว่า  ขณะนี้  ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังไพรอีกต่อไปแล้วล่ะครับ  ว่าแต่ไพรจะถามว่าอะไรล่ะ"

ทว่าพันไพรกลับหลบสายตาผม  และเสเปลี่ยนเรื่อง

   "ไม่มีอะไรหรอกครับ   อย่างไรก็ตาม  หากว่านกนางนวลตัวนั้นเป็นโจนาธานจริง   สักครู่เราคงได้เห็นมันบินควงสว่านสวิงกิ้งแล้วล่ะครับ"

   "ฮ่าฮ่าฮ่า   ใช้ศัพท์ผิดหรือเปล่าน่ะไพร  สวิงกิ้ง  แหม..ทำไปได้"

   "หึหึหึ   ทีเรื่องแบบนี้ล่ะนัสรู้ดีนักนะครับ  ทีใจตัวเองล่ะไม่ยักกะรู้"

ผมนิ่งอึ้งต่อคำพูดที่แทงใจดำ   ใจผมคืออะไร..  ทำไมผมไม่รู้ล่ะ..  ทำไมผมใจง่าย  อยู่ใกล้ใครก็รักคนนั้น  เหมือนกับเถาไม้เลื้อยที่คอยสักแต่จะตวัดพันกิ่งไม้รอบข้าง

ผมเงียบไปจนไพรรู้สึกได้   เขารีบขอโทษผม

   "ขอโทษครับนัส  ผมไม่ควรพูดแบบนั้น  ผมเพียงแค่ร้อนใจ  เพียงเพราะเวลา..ของผม..เหลือน้อยเต็มทีแล้ว"

   "เอางี้ดีกว่านะไพร  เมื่อครู่  จะถามอะไรพูดมาตามตรงเหอะ  ผมจะไม่หลอกตัวเองจากคำถามนั้น  และจะไม่โกหกไพรอีกต่อไปด้วย"

เขาสูดลมหายใจลึกยาวเหมือนรวบรวมกำลังใจเต็มที่  ผมเองก็เริ่มสลายรอยยิ้มที่ปั้นไว้  เพราะบรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดขึ้นทุกที

   "นัสครับ   นัสรักผมแบบที่ผมรักนัสหรือเปล่าครับ?"

หากเป็นเมื่อก่อน  ผมอาจจะไม่ตอบ  และตอบไม่ได้  แต่ ณ บัดนี้  ผมรู้ตัวเองแล้ว  ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา  ทุกความทรงจำ  ทุกการกระทำของเขาที่ลอยเด่นเข้ามาในห้วงสมอง  ยิ่งทำให้ผมหลงรักเขามากขึ้นทุกที.. 
ผมจึงยืนยัน  ด้วยถ้อยคำที่ผมเคยกระซิบข้างหูเขายามหลับใหล

      "ครับ   ผมรักไพรครับ"

พันไพรคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี  ทว่าแฝงความเศร้าอย่างบอกไม่ถูก  เขายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสตัวผม  แต่เพียงแค่ใกล้ร่างของผม  เขาก็ปล่อยมันตกลงตามเดิม

    "ขอบคุณครับ  ขอบคุณสำหรับความรักของนัส   และวันนี้  ผมคิดว่าคงจะถึงเวลาอันควรแล้ว  ที่ผมจะเล่านิทานให้นัสฟังเรื่องหนึ่ง

เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่ง  ที่มีความเหงาและความเศร้าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต   แต่แล้ว  ในวันหนึ่ง  วันที่เขามีความสุขที่สุด  เขาก็ฝันเห็นตัวตนของเขาในอนาคต  ซึ่งยิ่งเหงา  เปลี่ยว  เดียวดาย  และจมอยู่กับความเศร้าเมื่อครั้งอดีต เสียยิ่งกว่าตัวเขาเองในขณะนั้น..

..เขาจึงอธิษฐาน   รู้มั้ยครับว่าเขาอธิษฐานว่าอะไร"

ผมสะดุ้ง  เนื่องจากว่าคำพูดของเขาเสมือนกระตุ้นให้ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมา
เรื่องราวมากมายพลันฉายย้อนกลับราวกับถ่ายหนังย้อน  ความนึกที่พรั่งพรูประดังมาในชั่วเสี้ยวขณะเดียว
และหนึ่งความทรงจำที่โดดเด่นเป็นพิเศษ   มันเหมือนกับถูกเน้นด้วยปากกาเน้นความให้เด่นชัด

   "ขอให้  ใครสักคน  เป็นทุกอย่างที่ตัวผมอันเหงา เศร้า และโดดเดี่ยวผู้นั้นต้องการ   ขอให้ใครสักคน  ช่วยดูแล  ฉุดดึงตัวผมผู้นั้นให้พ้นจากห้วงทุกข์  ขอให้ใครสักคน  มีความรักให้แก่ตัวผมผู้นั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ...แม้ว่าใครสักคนนั้นจะเป็นเพียงภาพมายาก็ตาม."


ผมตัวสั่น  เมื่อข้อความที่ผมลืมเลือนไปนานกลับแจ่มชัด   น้ำตากลับคลอเบ้าของผม  เมื่อผมพยายามจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้า

   "ใครสักคน..ที่ว่า..  นั่นคือ..นายน่ะหรือ   พันไพร"

พันไพรไม่ตอบ  เขายิ้มเศร้าอยู่เบื้องหน้าของผม  และสบตาอยู่อย่างนั้น

   "นาย..เป็นเพียง  ความว่างเปล่า   เป็นจินตนาการ   ..เป็นแค่ภาพที่ผมสร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง..อย่างนั้นหรือ"

เขายังคงนิ่งเงียบ  นัยน์ตาคู่สวยของเขาเศร้าสร้อยจับจิต  ผมจึงขยับเข้าไปเขย่าร่างของเขา

    "ตอบมาสิไพร   ว่าทำไม  ทำไมผมถึงรู้   ทำไมถึงเอาเรื่องแบบนี้มายัดเยียดใส่หัวผม  มันไม่จริงใช่มั้ย!"

   "ทุกอย่าง  ..เป็นเรื่องจริง  อย่างน้อยก็จริงสำหรับผม    ผมอาจจะเป็นเพียงจินตนาการ    หรือเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของนัส  แต่ผมมีความทรงจำ   ผมมีความรู้สึก   ผมมีความรัก    ..และผม  จะรักนัสตลอดไป"

ผมนิ่งงัน   ทุกอย่างดูเหลือเชื่อจนเกินกว่าที่จะรับได้ในระยะเวลาสั้น ๆ    ความรู้  และความทรงจำต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในสมองในเวลาอันรวดเร็วทำให้ผมไม่อาจจะเชื่อ  แต่ก็ต้องเชื่อ

   "ผมขอโทษ นัส  ที่ผมยังฝืนทำร้าย  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชะตากรรมกำหนดมาแต่แรกแล้วว่าเราต้องแยกจากกันในท้ายที่สุด
แต่ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้   ห้ามความรักของผมไม่ได้   ผมนี่มันแย่จริง ๆ"

ผมยังคงพูดอะไรไม่ออก  เหมือนตุ๊กตาไขลานนั่งรอฟังที่เขากล่าวต่อ

    "เวลาของผมหมดแล้ว   ทั้ง ๆ ที่ผมยังเหลือคำพูดอีกเป็นล้านคำ  เหลือความรู้สึกอีกมากมาย  เวลา..ช่างน้อยเหลือเกินจริง ๆ    แต่ผม...ผม...ผม..."

เขาพลันรวบร่างผมมากอด  ผมรู้สึกได้ถึงแรงสะอื้นจากร่างของเขา  ผมไม่เคยเห็นพันไพรร้องไห้มาก่อนเลย  และผมจำต้องเข้มแข็งในเวลานี้

   "ผมไม่โกรธไพรหรอกนะ  ใครเล่าจะเสียใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ได้มีช่วงเวลาอันสงบสุขและสวยงามกับคนรัก
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน    ไพรรู้มั้ย  ไพรเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่จะทำให้ผมก้าวเดินต่อไป
ผมเองก็เหมือนกัน   ผมจะจำทุก ๆ อย่างของเรา  จำทุกสิ่งที่เราเคยทำร่วมกัน  จำทุก ๆ วินาที   และจะจดจำทุกสิ่งไว้ในทุก ๆ ลมหายใจของผมตลอดไป"

พันไพรพยามกลั้นสะอื้น  เสียงกระท่อนกระแท่นของเขาเปล่งออกมาอย่างเบาหวิว

   "ขอบ..คุณ  นัส   ขอบคุณ..มาก ๆ   ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่าง.."

ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวด  ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าถึงเสี้ยววินาทีที่เราต้องจากกันแล้ว   สัมผัสของร่างในอ้อมกอดผมพลันจางลงจางลง

จนกระทั่ง...

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง....

ผมพบว่า  ผมกำลังกอดกับอากาศอยู่.....

น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่พลันพร่างพรมลงเป็นสาย   น้ำตาไหลนองอาบแก้มผม   ผมนั่งนิ่ง   แล้วค่อย ๆ ปล่อยแขนทั้งสองข้างให้ตกลงมา

เสียงของอีกบุรุษที่คุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง

      "ไหล่ของพี่  คงจำเป็นสำหรับนัสแล้วสินะ.."

ผมสะกดกลั้นเสียงต่อไปไม่ได้แล้ว  ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครพร้อมกับผุดลุกขึ้นถลาเข้าหาชายอีกคนที่อ้าแขนรอรับ

ผมร้องไห้  ร้องไห้จนหมดแรงในอ้อมกอดของเขา








kit : ขอบคุณครับคุณกิต

Tifa : สงสัยคราวนี้พี่หมอเอกคงต้องระลึกชาติอีกล่ะเนี่ย

nartch : อันนี้คงต้องไปถามไอ้นัสมัน  แต่ให้ผมเดานะ  คงมีหลาย ๆ อย่างประกอบกัน

a_tapha : กรี๊ดดดด  เดามั่วแต่....เดาเก่งแฮะ  หุหุหุ

Taurus : คร้าบผม

mumoo : ผมอ่านคอมเม้นท์ของคุณมุมู่ทวนตั้งหลายรอบแน่ะ  ทั้งดีใจทั้งตื้นตันครับ  ที่มีคนเข้าใจอารมณ์ของเรื่องนี้  ขอบคุณมากครับ  ขอบคุณจริง ๆ ^ ^

oaw_eang : หายไปอยู่ในใจเจ๊สองไง ฮิ้วว...
คิดถึงเจ๊เหมือนกันครับ  จุ๊บๆ








หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-12-2008 18:37:48
(http://i200.photobucket.com/albums/aa319/teerak_photos/Merry_Christmas_Glitter_Wreath.gif)
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 25-12-2008 01:05:51
แง่มๆ อย่าหายไปนานดิ

ดีกรีความหื่นเลยลดน้อยลงไปเลยช่วงนี้ คริๆ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 26-12-2008 08:01:28
ผู้ชายแสนดีกลายเป็นความว่างเปล่าไปซะแล้ว  :z3:


Have a great Year. Happy New Year 2009

  :L2:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 17-01-2009 17:18:23
หลังจากเตรียมตัวสอบปากเปล่าอยู่ระยะหนึ่งเลยไมได้เปิดคอมพ์

พอสอบเสร็จก็เดินสายคลายเครียด ก็เลยไม่ได้เปิดคอมพ์อีก

พอเดินสายเสร็จก็เอาวะ ได้ฤกษ์มาเปิดคอมพ์เข้าเน็ต แต่..... คอมพ์เจ๊งค่ะท่าน ปู่ทวดคอมพ์ของอิชั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ(ก้อนะ ยังเป็นรุ่นจอนูน มิใช่แอลซีดีจอแบนอย่างที่เดี๋วนี้ใช้กัน) ในที่สุดก้อเจ๊งก่อนX'mas แค่ไม่กี่วัน

แต่ม่ายค่ะ คบกันมานานขนาดนี้เราไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว จึงตัดสินใจว่าจะเอาไปซ่อม แต่กว่าจะได้เอาไปซ่อมก็โน่นหลังปีใหม่แระ เพราะไปถือศีล8ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ยาวจนวันที่ 2 ม.ค.52โน่น นี่ก็เพิ่งไปรับคอมพ์มาเมื่อวานนี่เอง

จริงๆเข้าเน็ตมาอ่านตั้งกะเมื่อวานแต่ยังไม่ทันเม้นท์ชม.เน็ตก้อหมด(อุปสรรคเยอะจริงๆ)เพราะมัวแต่อ่านทวนของเดิมก่อน เดี๋ยวไม่เคลียร์ ก้อเลยเพิ่งได้มาเม้นท์วันนี้(เลือกอ่านเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นของคุณคีเพราะเป็นอะไรที่ค้างคาในใจยังไงก้อไม่รุ รู้แต่ว่าต้องเคลียร์)

อ่านตอนล่าสุดแล้ว ก็ต้องบอกว่า.... กดดันได้อีกนะคุณ สำหรับอิชั้น ให้พันไพรตายไปเลยยังจะดีซะกว่าที่จะกลายเป็นว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะมันยิ่งตอกย้ำถึงความสิ้นหวัง เดียวดายของนัส อ่านแล้วรู้สึกประมาณ..เปรียบเทียบกับไรดีหว่า

อ้ะ ประมาณคนที่หิวแทบขาดใจตายอยู่กลางทะเลทราย พยายามกระเสือกกระสนหาอะไรก้อได้ที่จะมาประโลมท้อง แล้วก็เจอแอ่งน้ำอยู่ไกลๆ จึงรีบพาสังขารทรุดโทรมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ของตนไปยังแอ่งน้ำตรงหน้า แต่พอเดินไปตรงจุดที่คิดว่ามีแอ่งน้ำนั้นอยู่ ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกเหนือไปจากผืนทรายที่แห้งแล้งและร้อนระอุ ไม่ว่าจะลองเดินดูไปเรื่อยๆก็ไม่มีสิ่งที่เขาหวังว่าจะได้พบ เพราะที่เขาเห็นก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง........ปรากฏการณ์มิราจ....... คุณคีคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงเมื่อในที่สุดต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่เขาตะเกียกตะกายไขว่คว้าแทบเป็นแทบตาย ที่แท้นั้น....ไม่เคยมีอยู่จริง

เฮ้อ~ อิชั้นต้องกลายเป็นคนที่ติดการถอนหายใจไปเพราะเรื่องนี้แน่ๆเล้ย แล้วดูซิ มาทิ้งไว้ให้ค้างคาอีก อิชั้นหายไปตั้งนานนะคะ กลับมานึกว่าจะได้อ่านยาวๆ  :angry2: ชริ เจอค้างรับปีใหม่เลย (บ่นไปงั้นล่ะค่ะ ก้อพอจะรู้อยู่ว่ากว่าจะเรียบเรียงกลั่นกรองจนได้แต่ละตอนๆคงไม่ใช่ง่ายๆ เพราะขนาดเราอ่านเรายังต้องค่อยๆอ่าน เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแต่ง ว่าจะขนาดไหน ก้อสู้ๆนะคะ รอตามอ่านอยู่เสมอ)

ปล.1ยังไงก้ออยากให้มีเหตุการณ์ที่มาคลายความเสียดแทงในใจอิชั้นตอนนี้จัง โอ้วว เหมือนมีหนามเล็กๆมาตำ เลือดไม่ออก แต่ระบมไม่หายเจรงๆ (หัวใจอิชั้นมันบอบบางนะคุณคี)

ปล.2 แฮ่ๆ จะน่าเกลียดไปมั้ยถ้าจะมาเมอรี่คริสต์มาส แอนด์แฮปปี้ นิวเยียร์ ย้อนหลังไปกว่าครึ่งค่อนเดือน แต่ก็อวยพรด้วยใจเลยน้า~

ปล.3 เกือบลืม เอาบุญมาฝากทุกคุนนะจร้า(อุตส่าห์ไปนั่งสวดมนต์ทำสมาธิมา ลืมล่ะเสียดายแย่)
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 17-01-2009 22:10:47
อยากอ่านเรื่องนี้ที่ซู็ดดดดดดดดดดดดด......
ยังไงก้ออย่าทิ้งกันนะคับ ผู้เขียน :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-01-2009 01:25:48

แทนย่าคะ

กลับมาเถอะคะ

เจ้อยากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ













อ่านนิยาย

อิอิ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-ต่อ 24 ธันวาคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 20-01-2009 23:27:13
คราวนี้ไม่ใช้สีนะครับ  คงไม่น่าจะสับสนแล้วล่ะ  มาชมบทใกล้จบได้เลยครับ

==========================================================================






ผมรู้สึกเหมือนเคว้งคว้างไร้หลักยึดเหนี่ยวเมื่อเขาจากไป   ถึงแม้ว่าพี่แนคจะเฝ้ามองผมอยู่ห่าง ๆ
ในวันนั้นพี่แนคไม่ได้พูดอะไรมาก  นอกจากบอกให้ผมร้องไห้เสียให้พอ..

ผม  ผม  ไม่รู้สิ
ผมรู้สึกเหนื่อยเกินไป  และผมไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

ผมมักจะนั่งเหม่อจ้องมองไปนอกหน้าต่างจากภายในตัวบ้าน  ปล่อยให้เวลาไหลผ่านตัวผมไปเงียบ ๆ
พี่แนคก็จะมานั่งใกล้ ๆ  แล้วผมก็ยิ้มให้เขานิดนึง  ก่อนจมสู่ภวังค์ของตนต่อ

ผมพยายามแล้ว  พยายามที่จะลืมเขา
แต่ผมรับปากกับเขาว่าจะจดจำเขาไว้นี่นะ

ช่อดอกฟอเกทมีนอตเหี่ยวแห้งในแจกันยังคงค้างคาอยู่
ดอกไม้ที่มีความหมายว่า  อย่าลืมฉัน

ผมยังคงไม่ลืม  และปล่อยให้มันทิ่มตำหัวใจซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ
ผมไม่จำเป็นต้องร้องไห้อีกต่อไป  เพราะมันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

ความเศร้าของผมมันลึกเกินกว่าที่ผมจะระบายมันออกให้หมดด้วยน้ำตา
บางคืน  ผมนอนไม่หลับ  ผมมักจะผุดลุกขึ้นมากลางดึก  จับจ้องไปในความมืดภายนอก

บางทีก็มองไปที่ผนังว่างเปล่า   มองเก้าอี้ตัวที่พันไพรชอบนั่งอยู่เสมอ  และหวังทุกครั้งว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ ที่นั้น

พี่แนคเคยบอกผมว่า    "นัส  เขาจากไปแล้วนะ"

ผมรู้ดี  แต่ผมมักจะได้ยินเสียงที่กล่าวด้วยความงุนงงของผมอยู่เสมอ    "จากไป  ไปไหนล่ะ?"

ผมพยายามยอมรับความจริงอันนี้  แต่บางครั้ง  ผมก็ยังคงหลอกตัวเองอยู่

วันคืนผ่านไปด้วยความเศร้า   จากวันเป็นอาทิตย์  จนกระทั่งพี่แนคไม่อาจทนเห็นผมที่เป็นแบบนั้นได้อีก

พี่แนคพยายามทำให้ผมฟื้นสู่สติ   เขาฉุนเฉียวในบางครั้ง   ทว่า  ผมแทบไม่รับรู้ถึงคำพูดของเขาเลย
ผมมักตัวสั่น  เมื่อเขาเขย่าร่างของผม   แต่แววตาของผมก็ยังคงว่างเปล่า  ผมรับรู้ได้ยามที่มองเห็นตัวเองในกระจก

พี่แนคพาผมไปที่แห่งหนึ่ง  ผมไม่รู้ตัว  เหมือนกับเคลื่อนผ่านหมอก  จนถึงห้องกว้างสีขาวอ่อน  ที่มีชายอีกคนท่าทางใจดี  เขานั่งอยู่บนโซฟานุ่มและเรียกให้ผมไปนั่งด้วย    เขาถามอะไรผมหลายต่อหลายอย่าง   ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง  ผมเองก็จำไม่ได้ถึงคำถามและคำตอบในบางที..

ในที่สุด  เขาก็เรียกพี่แนคเข้าไปคุย   เขากล่าวถึงยาแก้เศร้า  ยานอนหลับ  ยาลดความเครียด  และอื่น ๆ

ผมงุนงง  ทำไมเขาต้องพรากความเศร้าที่ผมรักไปอีกด้วย
พวกเรากลับไปบ้าน   พี่แนคพยายามบังคับให้ผมกินยา แต่ผมไม่กิน  จนพี่เขาจับกรอกปากผม..

ในที่สุด  ผมก็เรียนรู้ถึงวิธีเสแสร้ง   ผมแอบซ่อนเม็ดยาเอาไว้  แสร้งทำเป็นกลืนกิน
..เพื่อมีความสุข  กับความเหงาและความเศร้าของผมต่อ




ผมเริ่มคิด  คิดถึงเรื่องบางอย่าง   คิดถึงความฝัน  บางคืนผมฝันเห็นพันไพร  ผมเห็นรอยยิ้มของเขา
ผมมีความสุข   และผมอยากเก็บความสุขนั้นตลอดไป

แต่ผมก็ต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโชก  ..ทุกอย่างกลับสูญสิ้น  และผมต้องกลับมาสู่ความจริงอีกครั้ง
และแล้ว  ผมก็คิดออก  ผมมีวิธีที่จะได้อยู่ในความฝันตลอดไปแล้ว  ผมสะสมแวเลียมได้จำนวนหนึ่ง

ใช่  มันคือยานอนหลับ   ผมอยากหลับไปนาน ๆ   ผมคิดแค่นี้

ผมอาศัยจังหวะที่พี่แนคเผลอ  กลืนกินมันเข้าไปจนหมด    เพียงไม่กี่นาที  ผมก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิว  ผมง่วง  ง่วงอย่างสาหัส  รู้สึกถึงความเย็นเฉียบของมือและเท้า   ผมใกล้จะได้กลับไปสู่ความฝันแล้วสินะ    ผมเห็น   เห็นความมืดที่ครอบคลุมหนาแน่นขึ้นทุกที


...จนกระทั่ง  ผมไม่เห็นอะไรอีกต่อไป






...ว่าแล้วเธอก็ฉวยหนึ่งในขวดข้างเอวของเทพแห่งน้ำเมาผู้หลับใหลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว  มาดื่มเข้าไปจนหมดสิ้นโดยที่เนลไม่มีโอกาสได้ห้ามอีกต่อไป...





คุณอยากฟังความฝันของผมต่อมั้ย  ว่าเนลทำอย่างไรกับเนซัสที่หลับใหลไม่ได้สติ
ถ้าคุณอยากฟังก็ตามผมมา...

แต่ก่อนอื่น  เสียงหวอของรถพยาบาลดังเข้าใกล้มาทุกชั่วขณะ 
ใครบางคนที่เขย่าร่างของผมอย่างร้อนรน และพร่ำพูดอะไรบางอย่างซึ่งฟังไม่ได้ศัพท์
ใครอีกหลายคน  พยายามโอบอุ้มพาร่างอ่อนปวกเปียกของผมไป   ผมมองเห็น  แต่จะสนใจไปทำไมกันล่ะ

ในเมื่อ  ผมมีความฝันแล้วนี่นะ..





เนลฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเหนือร่างไร้สติของเนซัส   ได้โอนีซัสหายไปแล้ว   ทุกอย่างหายไป
เหลือเพียงกระท่อมน้อยและพวกเธออีกสองคน...

เนลร้องไห้อีกครั้ง   แต่คราวนี้เธอเข้มแข็งเกินกว่าที่จะล้มพับลงไปอีก
เธอพยายามโอบอุ้มร่างของฝาแฝด  และก้าวออกจากกระท่อม   

เธอแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ   เธอก้าวผ่านราวป่า   ผ่านธารน้ำ  ผ่านโขดหินที่มักจะมีเสียงร่ำไห้ของนางไม้
แต่เนลมองไม่เห็นตัวพวกหล่อน   เธอเดินทางไปเรื่อย ๆ  ผ่านวันและคืน  น้ำตาไหลพรากอาบแก้มของเธอเสมอ
เธอร่ำไห้และพร่ำโทษว่าเป็นความผิดของเธอ  ที่ไม่ดูแลคู่แฝดให้ดี ๆ

ต้นไม้และสายลม  กระซิบบอกเธอ  บอกว่าเธอควรไปหาเซ็นทอร์  พวกเขาเหล่านั้นเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ
เธออุ้มร่างของเนซัสไปด้วยความหวัง...





"คุณหมอ  คุณหมอมีวิธีช่วยเขามั้ยครับ?"   นายแพทย์สั่นศีรษะด้วยความอับจนปัญญา

"เราช่วยเท่าที่จะช่วยได้แล้วครับ   ระบบร่างกายของเขายังคงทำงานอยู่   แต่สมองของเขา  ทำงานน้อยมาก ๆ
ผมเสียใจที่จะบอกคุณว่า   เขามีโอกาสเป็นเจ้าชายนิทราอยู่อย่างนี้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์.."

"แล้วอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ล่ะครับ"   

นายแพทย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจของญาติของคนไข้  แต้ถ้าเขาต้องการที่จะรับรู้จริง ๆ ล่ะก็

"แล้วที่เหลือล่ะครับ  นัสจะมีโอกาสฟื้นกลับมาอีกครั้งมั้ย"

"ผมตอบไม่ได้ครับ  ผมตอบได้เพียง  ถ้าหากว่าคนไข้ฟื้นขึ้นมา  นั่นก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างยิ่งแล้ว
แล้วก็  ขออภัยด้วยนะครับ  ผมคงต้องขอตัวก่อน"




เมื่อเนลได้พบกับหัวหน้าเผ่าเซ็นทอร์  เขากลับบอกเธอว่าพวกเขาเองก็จนปัญญา  เพราะสิ่งที่ทำให้เนซัสหลับใหลหาใช่พิษ  หากแต่เป็นสุราฤทธิ์ร้ายของไดโอนีซัส

พวกเขาบอกกับเธออีกว่า        "หากแม้นไดโอนีซัสเองก็ยังไม่มีวิธีแก้แล้วไซร้  ในสามภพนี้ย่อมหาผู้แก้ไขมนต์สะกดนี้ได้ยากเต็มที"

แต่หาได้ยากเต็มที  แปลว่าย่อมมีหนทาง   เนลจึงเดินทางต่อไปด้วยหัวใจอ่อนล้า

เธอเดินทางไปจนพบ ซีบิล เทพพยากรณ์ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า     ซึ่งซีบิลก็ได้กล่าวกับเธอว่า.. 

 "แฝดของเจ้า  เพียงแค่เดินทางไปในดินแดนแห่งความฝัน  ส่วนจะกลับมาหรือไม่ข้าเองก็หาทราบไม่
ชะตากรรมของพวกเจ้าสองคนช่างมืดมิด  ดังนั้น  คำแนะนำของข้า  คือจงเดินทางต่อไป  อย่าย่อท้อ"

แต่เนลท้อเสียแล้ว  นัยน์ตาของเธอแห้งผาก  ดวงตาเธอสูญสิ้นซึ่งน้ำตาที่ไหลหลั่ง
เธอก้าวเดินต่อไป  พร้อมกับจ้องมองร่างกายที่ผ่ายผอมลงทุกทีของเนซัส
เธอรู้ดี  ว่าในที่สุด  คู่แฝดของเธอต้องตาย    และเธอ  ตกลงใจ  ว่าเธอจะตายตามไปด้วย..





ชายหนุ่มคนหนึ่ง  กุมมือของผมเอาไว้  แล้วดึงไว้แนบใกล้ดวงใจ
เขาไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป   แต่ดวงตาของเขาเหม่อลอยและว่างเปล่า
ผมเสียใจกับเขา   ผมอยากบอกให้เขาเลิกเสีย  อย่าจมอยู่กับผม

ผมอยากกุมมือเขาไว้  แต่ในขณะเดียวกัน  ก็อยากปลดปล่อยเขาไป
แต่ความฝัน   ที่เย้ายวน  เรียกให้ผมกลับไปหามันอีกครั้ง...





เนลอดอาหารตาม  เธอซีดเซียว  เธออ่อนล้า  แต่ปลายเท้าเล็ก ๆ ของเธอยังก้าวต่อไปเบื้องหน้าเรื่อย ๆ
ด้วยแรงบันดาลใจสุดท้าย   เธอขึ้นสู่ยอดเขา...

ณ  ยอดเขานั้น  มีพาเธนอนหินอ่อนอันเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพีอธีน่า   เทพีแห่งปัญญา
ขณะนั้น  เป็นยามค่ำ  ดวงจันทร์เสี้ยวสาดแสงสลัวเลือนรางลงสู่ผืนพิภพ

เนลค่อย ๆ โซเซพาเอาร่างกายที่เหลือลมหายใจเพียงเล็กน้อย  ทั้งตน และคู่แฝด  ก้าวเข้าสู่พาเธนอนอันเรืองรองและสว่างไสวด้วยแสงเทียนนับพันเล่ม...

เธอไม่หวัง  เธอไม่ภาวนา  เธอไม่วอนขออีกต่อไป
เธอพอใจแล้ว  พอใจที่สุด  ที่อย่างน้อย เธอยังได้สิ้นชีวิตร่วมกับคู่แฝด ณ สถานที่อันสวยงามแห่งนี้

เนลค่อย ๆ เอนร่างอันอ่อนล้าลงบนพื้นหินอ่อน  พลางวางร่างของฝาแฝดไว้บนแท่นไม้หอมเหนือพื้นยกระดับ
เธอเอนกายลงแอบอิงกับแท่นนั้น  พริ้มตาเพื่อจะได้หลับใหลชั่วนิรันดร์คู่กับเนซัส
มือของพวกเธอสองคนเกาะกุมกันไว้แนบแน่น

   ทว่า  ในทันใดนั้นเอง  ช่อใบมะกอกเขียวสดที่ถูกถักเป็นพวกมาลัยสวมศีรษะอันถูกอุทิศถวายแก่เทพีอธีน่า  ณ เบื้องหน้ารูปเคารพ  มันผลิใบขยายรากออกมาอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าตื่นตา   เนลฝืนลุกขึ้นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แสงสว่างไสวสีทองอร่ามเข้าครอบคลุมจนพาเธน่อนเสมือนถูกกลืนหายไปในแสงนั้นทั้งหลัง
กิ่งมะกอกที่งอกเงยพลันหดเข้าหากัน  ใบสีเขียวสดของมันประดับเป็นลายสลักสีเขียวงดงามบนตัวไม้
เส้นใยและกิ่งก้านพลันถูกเหลาให้เรียวบางใสประดุจสายเอ็น   มันขึงระหว่างก้านต่อก้าน  กิ่งต่อกิ่งเป็นระยะที่เท่ากัน  เส้นเหล่านั้นดึงกิ่งมะกอกให้โค้งงอเข้าหากันราวกับคันธนู  แต่โค้งได้อย่างงดงามยิ่งกว่านั้นหลายเท่า
เพียงครู่  พิณ  วิจิตรตระการราวกับเทพเจ้าสลักเสลาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเนล

เสียงนุ่มนวลของใครบางคนกระซิบกระซาบแผ่วเบาจากที่ไหนสักแห่ง

  "ใช้มันสิ  บรรเลงเพลงที่เธอชอบร้องให้เนซัสฟังสิ"

เนลเอื้อมมือสั่นเทาไปยังพิณซึ่งเคลื่อนเข้าหามือของเธอราวกับมีชีวิต   น้ำตาที่เธอเชื่อว่าแห้งเหือดไปสิ้นแล้วพลันไหลหลั่งจากดวงตาอีกครั้ง  เธอพร่างพรมนิ้วเรียวซีดลงบนสายพิณ  เริ่มต้นท่วงทำนองแรกอย่างอ่อนโยน
เสียงไพเราะสะบัดพลิ้วจากเส้นสาย  คลอกับเสียงหวานของเนล  ร้องเพลงที่เธอไม่เคยร้องมานาน..







ชายผู้นั้น  บีบมือของผมแน่น  เขาก้มริมฝีปากลงบนข้างหูของผม  เพลงเพลงหนึ่งที่ผมประทับใจไม่รู้ลืมก็ถูกถ่ายทอดด้วยเสียงสั่นพร่า

I feel your pain
I feel the rain
What happened to you
I can't get to you
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
I know your soul
I know I'm home
Just come here to me
I'll let you run through me
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
We'll break down all the troubles we have found
And I'll find a way to mend your broken pieces
We'll hold hands and be friends
Until the end and our love will be forever
But there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart


น้ำตาหยดหนึ่ง  หยาดลงมาบนหลังมือของผม...





พลันเสียงพิณสิ้นสาย เนซัสก็กลับฟื้นคืนสู่ชีวิต ทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความยินดี...
ทว่า  ด้วยลมหายใจที่เหลือน้อยเต็มที   เทพีอธีน่าจึงปรากฏตัว
เธอนำสองฝาแฝดที่กอดกันแน่นขึ้นไปประดับเป็นดาวสองดวงในหมู่ดาวแกนีมีด
ดาวสองดวงที่หมุนวนเคียงคู่กันชั่วนิรันดร์...






ผมฟื้นขึ้นมา  ผมไม่อยากเห็นใครเสียใจไปมากกว่านี้   ผมลืมตา  สู่ความเป็นจริง
ผมละทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง..

เพราะผมรู้แล้ว..

ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง  ก็ยังมีคนที่รักผมไม่แพ้พันไพรอยู่เหมือนกัน..

พี่แนคยิ่งร้องไห้  แต่ครั้งนี้เขาร้องไห้ด้วยความปีติที่ผมฟื้นกลับมา   เขาพูดอะไรไม่ออก  ผมก็พูดอะไรไม่ออก
เรากอดกันแน่น  เหมือนกับไม่ได้เจอกันนานนับศตวรรษ...

บางอย่างที่ก่อตัวทะมึนขวางกั้นในจิตใจของผม  พลันถูกทลายป่นราวกับฝุ่นผง  เมื่อพี่แนคประทับจูบแรกลงบนหลังมือของผม

ผมยิ้มให้เขา...   
พี่แนคก็ยิ้มให้  ทั้งน้ำตา...

ขอบคุณ  ขอบคุณจริง ๆ ครับ




==========================================================================
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-จบ 20 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: PEAK ที่ 20-01-2009 23:57:30
^
^
^
อร๊าย ~!  ~   จิ้มคนแต่ง

หายไปนานมาก  ...  คิดถึง   :กอด1:

เรื่องนี้แต่งได้จะจบแล้ว   o13

ขอบคุณนะครับ  ^__^
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-จบ 20 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 21-01-2009 00:36:44
ยังไม่จบนะครับ  เหลืออีกบท  แต่นี่หมายถึงจบบทที่ ๗ แล้วน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-จบ 20 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 21-01-2009 01:46:05
ดีใจจัง.......ได้เจอกันอีกทีแล้ว

ว่างๆก็พาน้องเจซ มาด้วยนะจ๊ะ

คิดถึงอย่างแรง
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-จบ 20 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-01-2009 13:48:53
 :mc4:  มาต่อแล้ว

เหมือนพี่แนคจะอยู่ข้าง ๆ นัสเสมอเลย อยากจะลุ้นให้นัสหันมามองพี่แนคบ้างจังเลย


รออ่านตอนต่อไปจ้ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทที่เจ็ด-จบ 20 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 22-01-2009 02:45:18
บทที่๘



ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน  พี่แนคช่วยผมได้มาก  เขาแนะนำหนังสือหลายเล่มให้ผมอ่านฆ่าเวลายามว่าง  พี่แนคหาสุนัขพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดมาให้เลี้ยงหนึ่งตัว   มันเป็นลูกหมาขนปุยตัวเล็กน่ารัก  แต่กินเปลืองชิบ

ผมมีอะไรต่อมิอะไรให้ทำมากขึ้น  ทั้งดูแลสวน  เลี้ยงสัตว์  อ่านหนังสือ  เขียนบทความ
เอ้อ  มีพี่ชายคนหนึ่งที่ผมรู้จักมานานแล้ว  เขาเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงาม
และส่งหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงปลามาเป็นของขวัญวันเกิด 

อ๊ะ  ผมลืมบอกไปหรือเปล่าว่าผมเกิดวันนี้..
แต่คงไม่สลักสำคัญอะไรเท่าไหร่  สิ่งที่น่าสนใจคือ  พี่แนคกลับตื่นเต้นกับหนังสือนี้ และหาปลาสวยงามมาเลี้ยงมั่ง

    "อีโธ่เอ๊ย  อยากดูปลาไปเดินแถว ๆ ตลาดก็ได้  ทั้งอินทรีแดดเดียว ปลากระตักทอดกรอบ  ปลาหมึกดองเค็ม.."

ผมเคยทัดทานเขาไว้แบบนี้  แต่พี่แนคก็แค่หัวเราะแหะ ๆ แล้วก็เทปลาในถุงใส่ตู้อยู่ดี
พี่แนคไม่ได้ให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดผม  พี่เขาบอกผมว่า

   "นี่ถ้าไม่อายชาวบ้านชาวช่องนะ  พี่จะไปหาริบบิ้นใหญ่ ๆ มาผูกโบว์ตัวเองเป็นของขวัญให้เลย"

ผมก็ได้แต่ขำกับความคิดนี้   อย่างไรก็ตาม  ในสายตาของผมแล้ว  พี่แนคก็เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์มอบให้ผมจริง ๆ นั่นล่ะ   (ถึงจะรองจากพันไพรนิดหน่อย   ...โอ๊ย  พี่แนคอย่าตีหัวผม)

วันนี้แดดแจ่มใส  อากาศดี  ผมจึงออกมานั่งแช่เท้าในทรายชื้นเป็นการฉลองวันเกิด
พี่แนคนั่งอยู่ข้าง ๆ และหันมาสบตากับผมบ่อยครั้ง    เราหัวเราะให้แก่กันโดยไม่มีสาเหตุ

ตอนนี้ผมเป็นเด็กดีแล้วน้า  กินยาตรงตามเวลา  ไม่แอบคายทิ้งแบบเมื่อก่อน
จะว่าไป ก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ  หลังได้รับยา  บวกกับสภาพแวดล้อมที่ดี  ทำให้ผมหายซึมเศร้าได้มาก
ต้องขอบคุณพี่แนคจริง ๆ ที่ไม่ปล่อยปละละเลยผมไปมากไปกว่านี้..

เสียงรถแปลกหูแล่นมาจอดหน้าที่พัก  เรียกสายตาของเราให้หันไปมองจากริมหาด
หญิงสาวร่างบางก้าวลงมาจากรถ  ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาหล่อน

   "ยีนส์  มาไงอ่ะ"

ญินราถอดแว่นกันแดดออก  สีหน้าของเธอไม่เหมือนคนที่ตั้งใจจะมาเที่ยวเมืองชายทะเลเลยแม้แต่น้อย

   "เรามีเรื่องต้องคุยกันนะพี่นัส"

พี่แนคมองตามอย่างสงสัย  ทว่าญินรามองเป็นเชิงว่าขอคุยกันสองคน  เขาจึงถอยออกไป

ผมฝืนยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า

  "เรื่องอะไรน้อ  ที่สำคัญขนาดหอบยีนส์มาถึงนี่ได้  เทพมันทำอะไรให้ยีนส์ไม่สบายใจหรือเปล่า"

  "เปล่าค่ะ  ไม่ใช่เรื่องนั้น   พี่นัสรักพี่เทพใช่มั้ยคะ?"

ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เนื่องจากว่างุนงงและสงสัยว่ายีนส์รู้ความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ได้อย่างไร

   "ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ   เพราะเราน่ะเหมือนกัน  ยีนส์ก็หลงรักพี่เทพอยู่  การหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นแผนการของยีนส์เอง  แต่ไป ๆ มา ๆ ยีนส์กลับรู้สึกว่ามันไม่แฟร์   รู้มั้ยล่ะคะ  ว่าเพราะอะไร?"

ผมค่อนข้างช๊อคกับเรื่องราวที่ได้รับรู้  ทว่าคำถามนั้นก็ทำให้ผมต้องส่ายศีรษะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

   "ตอนที่พี่เทพเขาเมา  เขาระบายให้ยีนส์ฟัง  เขาบอกว่า  เขากำลังหลงรักเพื่อนคนหนึ่งอยู่
เขาคิดว่ารักนี้คงเป็นไปไม่ได้  และเขาเองก็เพียรเก็บซ่อนความรู้สึกตลอดมา
และชื่อของเพื่อนคนที่พี่เทพหลงรัก.."

แววตาของญิณราร้าวรานและเจ็บปวด

   "..คือพี่นัส"

ผมยิ่งตกตะลึง  นี่มันเกิดอะไรขึ้น   ทำไมคนสองคนที่ใจตรงกัน  ทำไมถึงต้องถูกทำให้พลัดพรากจากกันด้วย
มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่...

    "ไม่จริงมั้ง  แค่เรื่องเข้าใจผิด   มันคงอำยีนส์เล่น ๆ"

     "อย่าค่ะ  อย่าเลย   อย่าทำให้ยีนส์ต้องหลอกตัวเองอีกต่อไป
ยีนส์ไม่อาจทนได้  ที่จะได้อะไรมาโดยไม่แฟร์   ยีนส์มานี่ก็เพื่อจะบอกว่า 
วันพรุ่งนี้  พี่เทพจะไปต่อโทที่ต่างประเทศแล้ว   ยีนส์ก็จะไปด้วยเช่นเดียวกัน
และนี่คือสารท้าดวลของยีนส์   หากว่าพี่นัสแน่จริง  ก็ตามมาชิงหัวใจของพี่เทพกลับคืนไปในวันพรุ่งนี้ดูสิคะ"

เธอเหยียดยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนกลับขึ้นนั่งประจำที่คนขับ

ผมรีบเคาะกระจกให้เธอเปิดมาใหม่

   "ขอบใจนะ  สำหรับสารท้าดวล"

เธอฝืนยิ้มให้  ก่อนออกรถไปทันที  ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องต่อสู้กับความต้องการ  ความรัก  ความหึงหวงภายในจิตใจมากแค่ไหน  ถึงสามารถมาแจ้งข่าวนี้กับผมได้

ผมพ่ายแพ้แล้ว  พ่ายแพ้ให้กับความแฟร์ของยีนส์...
แต่จะอย่างไร  พรุ่งนี้ผมก็จะไปแน่นอนอยู่แล้ว
พี่แนคยืนมองอยู่ห่าง ๆ  เขาก้มหน้า  แล้วเดินเล่นตามชายหาดต่อ...





คืนนั้นผมนอนไม่หลับ  ผมทั้งประหลาดใจและตื่นเต้น  งุนงง สับสนเป็นบางที
ความรู้สึกเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นกับเทพถูกขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  สีหน้า  แววตา  และรอยยิ้มของเขาเหมือนลอยเด่นอยู่ในความรู้สึก

เสียงพี่แนคพลิกตัวทำให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน  ผมเริ่มโมโหตัวเองที่หลายใจอะไรขนาดนี้
ทำไมผมถึงคิดที่จะทอดทิ้งคนที่ทำดีกับผมตลอดเวลาได้ลงคอ  ครั้งพันไพรก็ทีหนึ่งล่ะที่พี่เขายอมเสียสละความสุขของเขาเอง  เพื่อหลีกทางให้ผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก

ทว่า  ความทรงจำครั้งที่ผมได้พบกับเทพบนระเบียงเฟื่องฟ้าหวนกลับมาอีกครั้ง
ผมยังจดจำความหวานแกมเศร้า  ความสุขที่คละเคล้าเจือปนกับความทุกข์
ถ้อยคำที่คลุมเครือ  การกระทำที่เป็นปริศนาของเทพ  มาบัดนี้  ผมรู้แล้วว่าเพราะอะไรกันแน่
เช่นนั้นผมควรจะทำอย่างไรดี?

ปล่อยให้เทวาที่ผมมุ่งหวังมาหลายสิบปีต้องหลุดลอยไปอย่างนั้นหรือ
หรือจะปล่อยแก้วมณีซึ่งมีอยู่ในมืออยู่แล้วให้ร้าวรานและแตกสลายเป็นผุยผงจากความผิดหวังและความเจ็บปวดซ้ำสอง

ผมเฝ้าแต่คิดวนเวียนด้วยความหนักใจ  จนกระทั่งผลอยหลับไปในที่สุด..



เสียงแก้วและภาชนะกระทบกัน  มาพร้อมกับกรุ่นกลิ่นกาแฟหอม   ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาสู่ห้องครัวอันพี่แนคจัดเตรียมกาแฟและขนมยามเช้าเอาไว้

เขายิ้มอบอุ่นให้ และเริ่มบทสนทนาแรก..

    "เมื่อวานพี่ได้ยินหมดแล้ว  พอดีว่าพี่หูดีมากไปหน่อย  ขอโทษด้วยนะ"

ผมตกใจจนถ้วยกาแฟแทบหลุดจากมือ

    "ไปสิ  พี่ไม่ว่าอะไรหรอก  พี่เคยบอกนัสเสมอนี่นา  ว่าพี่พร้อมจะหลีกทางให้  อีกอย่างเทพก็มาก่อนพี่ด้วยซ้ำ
เขาย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ในตัวนัสเป็นแน่"

    "แต่...  "

    "อย่าลังเลกับความรู้สึก  อย่าโกหกตัวเอง   พี่จะมีความสุขมากที่สุด  หากว่าเห็นนัสมีความสุข
พี่ไม่อยากเห็นนัสเสียใจทีหลัง  หากว่าไม่ได้กล่าวคำนั้นออกไป"

พี่แนคตบไหล่ผมแรง ๆ จนถ้วยกาแฟแทบกระฉอก

    "ไปเลยไอ้น้องชาย  ลองสู้ดูสักตั้ง แล้วค่อยกลับมาซบอกพี่ก็ยังไม่สาย"

ผมยิ้มขอบคุณ  ขอบคุณที่เขาทำให้ผมตัดสินใจได้   ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อเตรียมไป   เมื่อผมออกมา  พี่แนคยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

    "อ้าวพี่  ไปอาบน้ำสิครับ"

    "ทำไมล่ะ  พี่รอฟังข่าวดีอยู่บ้านก็ได้"

    "พี่แนคครับ  ผมอยากแนะนำพี่ชายของผมให้รู้จักกับเพื่อนสนิทน่ะ  ไม่ได้เหรอคร้าบ"

พี่แนคลุกขึ้นด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

    "เอ้า  น้องชายว่าไงพี่ก็ว่าตามล่ะนะ"

เพียงไม่กี่นาที  เราก็อยู่บนรถของพี่แนคระหว่างทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปดอนเมือง

ผมกระสับกระส่ายตลอดทาง..

เรามาถึงท่าอากาศยานซึ่งผู้คนคลาคล่ำ  ผมแทบไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย  และยืนเก้ ๆ กัง ๆ แถวห้องพักผู้โดยสาร
พี่แนคจึงอาสาว่าจะไปสอบถามประชาสัมพันธ์ให้  แต่ผมต้องไปซื้อเบียร์กระป่องหนึ่งจากคอฟฟี่ชอปในสนามบินมาให้พี่แนคเป็นการตอบแทน

ผมก้าวเข้าไปยังร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง  ทว่าหรูหราในความธรรมดานั้น
ผมบอกกับพนักงานว่าขอเบียร์กระป๋องหนึ่ง  และยืนรอที่หน้าเคาเตอร์

    ทันใด  เสียงทุ้มนุ่มที่ผมจำได้ติดหูและเต็มตื้นในหัวใจก็ดังขึ้นจากโต๊ะเบื้องหลัง

    "คาปูชิโน่แก้วนึงครับ  ใส่ครีมเยอะ ๆ นะครับ"

ผมแทบไม่เชื่อหู  เหมือนก้อนอะไรบางอย่างแล่นมาที่หัวอก  มันทำให้ผมตันไปหมด  และผมก็หันไปช้า ๆ
พันไพรนั่งอยู่นั่น  เบื้องหน้าของเขามีแจกันสีฟ้าอ่อนรับกับช่อดอกฟอเกทมีนอตช่อเล็ก ๆ ในแจกัน

เขายังเหมือนเดิมทุกประการ  ไม่ว่าดวงตาระยิบแพรวพราว  รอยยิ้มยั่วที่ประดับไรหนวดจางบริเวณเรียวปากบาง
และเขี้ยวเสน่ห์ซึ่งเผยอออกมายามเขายิ้ม

    "ไพร.."

ผมประหลาดใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ  แต่อีกฝ่ายกลับพูดกลั้วหัวเราะ

   "มาสินัส  มานั่งนี่สิ  ไง  ได้ข่าวว่าเป็นเด็กดื้อนะเราน่ะ"

ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่   ผมนั่งลงตรงหน้าเขา  และปล่อยให้หยาดไข่มุกใสร่วงพราวลงสู่พื้น

   "ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ   อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักสิ  หืม"

    "ทำไมนาย  ก็ยังอยู่นี่นา  ทำไม   ทำไมไม่ยอมมาหาผมบ้าง  ทำไมปล่อยผมไว้กับความเหงา..ทำไมกัน"

พันไพรเอื้อมมือมาไล้ข้างแก้มของผมด้วยปลายนิ้ว  เขาปาดเอาน้ำตาของผมให้เกลื่อนไปทั่วข้างแก้ม

   "ผมเคยบอกนัสเมื่อไหร่กัน  ว่าผมจะอยู่ห่างไกลจากนัส  ก็คนมันรักแล้วนี่จะปล่อยให้คลาดสายตาได้อย่างไร"

ผมพยายามหยุดสะอื้น   ผมรู้แล้วว่าพันไพรอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดมา  และจะตลอดไป

และในที่สุด  ผมก็ถาม..

     "ไพร  นายรู้ใช่มั้ยว่าผมจะถามอะไร?"

พันไพรยิ้มบาง   เขาบิดขี้เกียจช้า ๆ

     "ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะครับว่านัสจะถามอะไร  คนเราแต่ละคนย่อมมีมุมมองของตนที่แตกต่างกันในแต่ละเรื่อง
และหลายเรื่อง  ที่นัสควรเป็นคนตัดสินใจเอง  ผมเองก็ไม่รู้หรอก   ว่านัสให้คุณค่ากับสิ่งใดมากกว่ากัน
แต่ผมก็ภูมิใจนะ  ที่ครั้งหนึ่ง   นัส..เลือกผม"

ผมนิ่งอึ้ง   เขารู้ความลำบากใจของผมจริง ๆ ด้วย   แต่แล้วเขาก็บอกให้ผมตัดสินใจเองอีกครั้ง

     "จะว่าไป  นัสไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านนานแค่ไหนแล้วล่ะ?"

การตัดสินใจใหม่ ๆ ยิ่งพลุ่นพล่านเข้ามาในทุก ๆ ที   พันไพรพลันผุดลุกขึ้น

    "โอเค  ผมคงต้องไปแล้ว  ถึงนัสจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงผม  แต่อยากให้นัสรู้เอาไว้ว่า
   ..I'll be always with you.."

ผมไม่อยากละสายตาไปจากเขา    แต่เสียงแกร๊กของประตูร้านทำให้ผมตกใจและหันไปมอง
เพียงผมหันกลับมา  โต๊ะตัวนั้นก็เหลือเพียงแจกันดอกฟอเกทมีนอตและเก้าอี้เปล่า ๆ
ถ้วยคาปูชิโน่ควันกรุ่นตั้งอยู่เบื้องหน้า    ..ผมกระซิบขอบคุณเขาเบา ๆ จากการช่วยตัดสินใจ
เอาล่ะ  ผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำอะไรต่อไปดี..






--------------------------------------------------------


PEAK : หายกลับไปทำใจให้พร้อมมาครับ  และรับมือกับหลาย ๆ เรื่อง  ตอนนี้บทสุดท้ายแล้วครับ  คราวนี้ลงจนจบล่ะ

Tifa : น้องเจสไม่ว่างอ่ะคับ  ติดงานเจ้าแม่ไททาเนีย 555+
แต่ก็ฝากบอกว่าคิดถึงเพื่อนสาวคีน่าอย่างแรงเหมือนกัน คริคริ

nOn†ღ : พี่แนคเป็นแฟนคนแรกของผมครับ  แต่ผมไม่เคยตอบแทนความดีเขาเลย  ผมทำร้ายเขาและเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกผิดอยู่นาน  แต่ตอนนี้ก็กลับมาคุยกันใหม่แล้วครับ  หลาย ๆ อย่างที่ไม่เคลียร์ก็เคลียร์  และผมก็ถูกปลดออกจากความรู้สึกผิดนั้น





หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทอวสาน-ตอนต้น 23 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 22-01-2009 08:08:11
แล้วนัสจะเลือกใครละที่นี้

เทพเพื่อนที่ตัวเองหลงรัก รึพี่แนคคนที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เสมออ่ะ

รอลุ้นตอนต่อไปจ้า  :L2:

หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทอวสาน-ตอนต้น 23 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Taurus ที่ 22-01-2009 17:34:55
 :call: :call: :call:มาต่อไวๆนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทอวสาน-ตอนต้น 23 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 22-01-2009 18:34:10
 :a5:จะอวสานแล้วเหรอคะ ดีนะที่กลับมาทันอ่าน ฮู่

นัสดีขึ้นแล้ว เย้ๆ แต่ยังไงก้อลุ้นอยู่ดีล่ะ


 :กอด1:กอดพี่แนค 1ทีด้วยความรักและนับถือ ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้

ถ้าพี่ยังหาคนดามใจมะได้ คุณคีรีบบอกเลยนะ เด๋วอิชั้นจาไปเซอร์วิสถึงที่เอง 55+
:z1:

ปล.รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อคร่า ^^
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทอวสาน-ตอนต้น 23 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 24-01-2009 20:31:30
 :z2:ดันๆ เต้นดันๆ
หัวข้อ: Re: [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทอวสาน-ตอนต้น 23 มกราคม)
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 24-01-2009 22:02:01


ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่บริเวณทางเข้าของที่พักผู้โดยสารขาออกด้วยอาการละล้าละลัง  เขาชะแง้คอเหมือนคอยใครบางคนที่อาจจะปรากฏตัวมาเมื่อไหร่ก็ได้   เสียงประกาศเรียกชื่อของเขาดังขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สอง  เขาก้มหน้าคอตกแล้วลากกระเป๋าในมือเพื่อเข้าสู่ช่อง

      "เทพ"

คำเรียกของผมทำให้เขาหันมาอีกครั้ง  รอยยิ้มด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุดกระจายทั่วใบหน้าของเขา...

ผมก้าวเข้าไปใกล้เขาเรื่อย ๆ  เราสบตากันแน่แน่ว

    "ผมมีเรื่องอะไรที่อยากจะบอกเทพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นายจะไป.."




ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อนหน้า...


ผมกดปุ่มบนโทรศัพท์สาธารณะด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นไปหมด
เสียงรอสายดังขึ้นและผมก็สูดลมหายใจลึกยาวเข้าออกหลายครั้ง
สักครู่  เสียงของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เป็นผู้รับสาย 

    "นัส  นัสใช่มั้ยลูก  เป็นอะไรทำไมไม่โทรหาซะนาน  แม่คิดถึงนัสจนจะร้องไห้อยู่แล้วเนี่ย"

ผมนิ่งอึ้ง  น้ำตาเหมือนจะคลอเบ้าอีกครั้ง

    "นัสก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกันครับ..  สบายดีหรือเปล่าครับ"

    "สบายดีลูก  แล้วนี่โทรมามีปัญหาหรือมีอะไรจะบอกแม่หรือเปล่า"

ผมชั่งใจเป็นครั้งสุดท้าย..ก่อนกรอกเสียงลงไป

     "นัสหลงรักเพื่อนคนหนึ่ง  แล้วเขากำลังจะจากไปไกล  เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก.."

     "เพื่อนคนไหนน่ะลูก  นัสมีเพื่อนไม่กี่คนเองนี่"

      "เขาคือ.."   ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนหลุดคำพูดที่เป็นคำสารภาพกลาย ๆ   "..เทพครับ"

ปลายสายอีกด้านเงียบสนิทไปพักใหญ่ ๆ  ผมทำใจที่จะรับผลทุกอย่างจากคำคำนี้ของผมแล้ว  และยังคงถือสายรอ

    "...อืม   เทพเหรอ  ก็หน่วยก้านไม่เลวนะลูก  บอกเขาไปสิ  บอกเขาไปว่าลูกคิดอะไรกับเขา  จำเพลงที่แม่ชอบได้มั้ย    รักกันวันนี้ดีกว่า  เผื่อว่าพรุ่งนี้มีอันเป็นไปฯ"

   "คุณแม่ไม่โกรธนัสเหรอครับ   นัสจะไม่มีหลานให้คุณแม่อุ้ม  ไม่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อได้"

   "แม่จะโกรธนัสได้อย่างไรล่ะลูก  ความสุขของลูกย่อมมาเป็นอันดับหนึ่ง  พ่อแม่น่ะ  ไม่ได้หวังที่จะเห็นตระกูลยืนยงตราบชั่วฟ้าดินสลายหรอกนะ  แต่อยากเห็นลูกมีความสุขกับปัจจุบัน  ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ  แม่และพ่อ  ก็จะยิ้มส่งให้กับทางที่ลูกเลือกดีแล้ว.."

เธอหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสดใส

    "แล้วเรื่องหลานน่ะ  ไม่มียิ่งดี  ถ้าเอามาทิ้งไว้ให้นะ  แม่ไม่เลี้ยงให้หรอก  ดูซิตอนนี้ที่บ้านน้อง ๆ สองคนก็มา  วุ่นเวเตนังไปหมด"

ผมหลุดหัวเราะ  เมื่อคิดถึงลูกพี่ลูกน้อง ๆ ตัวแสบที่ซนยังกับลิง

    "นัส  เดี๋ยวแม่แพรวจะคุยด้วย  ถือสายรอแปบ"

ผมรอสักครู่  จนแม่คนที่สองของผมกรอกเสียงมาตามสาย

     "สวัสดีครับคุณแม่แพรว  ได้ยินว่าน้อง ๆ ซนจนคุณแม่ปวดหัว"

     "สวัสดี   นี่  ไม่ต้องมาทำพูดดีเลย   ตัวเองตอนเล็ก ๆ น่ะใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ  แม่ยังจำได้เลย  วันที่ไปขึ้นรถไฟแล้วนัสก็เอาแต่กระดึ๊บ ๆ ขึ้นเบาะ  จนคว้าลงมาคืนตั้งไม่รู้กี่รอบ  แต่ก็ยังไต่ขึ้นไปอยู่นั่นล่ะ

แล้วยังมีอีก   ตอนที่นัสอายุได้สามขวบแล้วแม่พาไปอยู่ด้วยที่บ้าน  นัสน่ะ  เข้าไปขังตัวเองไว้ในห้อง  ลงกลอนเสียเสร็จสรรพ   ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เปิดให้   ได้ยินแต่เสียงเอิ้กอ้ากกับเสียงรื้อเสื้อผ้า   จนแมงป่องต่อยถึงร้องให้จ้า  ร้อนถึงแม่ต้องไปให้ภารโรงเขามาช่วยงัดเข้าไป.."

ผมยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงเรื่องเล่าวีรกรรมแสนซนวัยเด็กของผมซึ่งเคยถูกบอกเล่าหลายครั้งแล้ว  แต่ผมก็ยังฟังไม่เบื่อ

      "ฮ่าฮ่าฮ่า  ซนจริง ๆ ด้วย  แต่คุณแม่แพรวครับ  นัสคงต้องไปแล้วล่ะ"

      "จ๊ะ  แล้วโทรมาหาบ่อย ๆ นะ  ไม่ใช่ครึ่งปีครั้งแบบนี้  จนร่ำ ๆ จะไปแจ้งคนหายสาบสูญอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้ว"

       "คร้าบ  แล้วจะโทรหาบ่อย ๆ ครับ  สวัสดีครับ"

ผมวางหูโทรศัพท์ด้วยความโล่งใจเสมือนยกภูเขาออกจากอก...






เทพถามผมด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามทำให้มันดูสดใสร่าเริง

    "เรื่องอะไรเหรอนัส ?"

ผมรวบรวมกำลังใจอีกครั้ง  ก่อนบอกมันออกไป

    "เทพ  เรารักนายนะ"

สีหน้าของเทพเกลื่อนด้วยความปีติยินดี

    "เออ ก็แค่เนี้ย    งั้นดูจมูกเราดิ  แห้งหรือเปล่า"

เขาหลับตาลงและยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ผม   ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ลังเลหรือเบี่ยงใบหน้าหลบอีกต่อไป
จูบแรกของเราสองคน  เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารนับร้อยนับพัน
เทพกอดร่างผมไว้แน่นพร้อมกับใช้มือขวากดหัวของผมให้แนบชิดกับเขา

เราสัมผัสริมฝีปากแนบแน่นกันนานมาก   นานเสมือนแทบไม่ได้หายใจ  นานด้วยความที่ระบายความอัดอั้นตันใจมานาน  ผมเป็นฝ่ายค่อย ๆ ยันกายถอยออกมาก่อน   

    "จูบนี้  เป็นจูบแรกและจูบลาของผม  ผมได้บอกความรู้สึกที่เคยมีต่อเทพไปแล้วนะ
แต่บัดนี้   หัวใจของผมไม่เป็นอิสระต่อไปแล้ว  ผมเพียงแต่อยากหายคาใจ.."

    "เรารู้  ไม่ต้องพูดหรอก  ตั้งแต่ที่เห็นนายกับพันไพรเมื่อครั้งนั้นแล้วเราก็พยายามทำใจแล้วล่ะ
แล้วไหน  นายได้พาเจ้าของพันธนาการหัวใจของนายมาด้วยหรือเปล่า"

ผมคลี่รอยยิ้มกว้าง  ก่อนเรียกพี่แนคที่ยืนมองห่าง ๆ เข้ามาใกล้

    "นี่ไง  นี่พี่ชายที่รักยิ่งผม   และนี่เพื่อนที่รักยิ่งเหมือนกันของผม"

ผมชี้ไปทีละคน  ทั้งสองยิ้มให้แก่กันด้วยไมตรี    เสียงประกาศเรียกชื่อของดั่งเทวาดังเป็นครั้งที่สาม
เทพกล่าวลาพวกเราทั้งคู่  และหันร่างเตรียมจะจากไป   ทว่า  ผมที่ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างจึงเรียกเขาเอาไว้

    "เดี๋ยวสิ   พันไพรใช่ลูกพี่ลูกน้องนายแน่เหรอ?"

เทพคลี่ยิ้มลึกลับ  รอยลักยิ้มเด่นข้างแก้มยิ่งทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์

    "นั่นสิ  จะใช่หรือเปล่านะ?"

เขากล่าวแต่เพียงเท่านี้  ก่อนก้าวเท้าต่อจนหายลับไปในช่องทางผู้โดยสารขาออก
มืออุ่นข้างหนึ่ง  ยื่นมาเกาะกุมผมไว้  แล้วนำไปทาบที่ดวงใจของเขาแนบสนิท
ผมหันมา  แล้วยิ้มให้แก่คู่ชีวิตในอนาคตของผม   ...พี่แนค






















บทส่งท้าย






ผมกลับมาถึงที่พัก   ด้วยแรงบันดาลใจบางประการทำให้ผมปลีกตัวแยกจากพี่แนคไปดูกล่องจดหมาย
ที่นั่น  ผมพบซองสีขาวดูเก่า ๆ ที่คล้ายกับถูกส่งมาได้หลายอาทิตย์แล้ว  นอนนิ่งอยู่ก้นตู้

  ผมนำมันมา  แล้วเปิดดูที่เก้าอี้พับใต้ร่มสน

เนื้อความในจดหมาย  เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อย...


อ้างถึง
   
แม่ยังไม่สามารถติดต่อนัสได้  จึงส่งจดหมายฉบับนี้มาให้

เมื่อหลายวันก่อนแม่อ่านบันทึกของนัสแล้วใจหาย เสียใจมากแม่เจ็บ  นัสเจ็บ  บนความโง่เขลา 
แต่ว่า  นัสจะปล่อยมันผ่านไปได้ไหมในเมื่อสิ่งที่อยู่เต็มตื้นในหัวใจแม่คือนัส   ซึ่งมีความสำคัญ  มีความหมายต่อแม่เสมอ  ถึงแม้ว่าลูกจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม
 แม่ก็เคยบอกนัสแล้วนะ   อย่าทำร้ายตัวเองต่อไปอีกเลย  ลุกขึ้นเถิด 
อย่างไรในเมื่อต้องอยู่  อะไรที่มันรกรุงรังโยนมันทิ้งไปเสียบ้าง 
นัสเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนในตระกูลของพ่อและแม่ 

นัสมีความหมาย  เป็นความหวังเป็นความห่วงใย  นัสไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะลูก  ทุกคนยังคิดถึงยังถามข่าวกับแม่บ้าง  ทางโทรศัพท์บ้าง   อย่างที่เคยบอกว่าคุณยายทุก ๆ คน  และคนอื่น ๆ อีกหลายคน  อาจารย์ที่เคยสอนนัส  ทุกคนยังรักและห่วงใย  ยังเชื่อมั่นในตัวนัส 

ลุกขึ้นมาทำสิ่งดี ๆ เพื่อชีวิตของตัวเองเถิดลูก  ลองคิดถึงวันที่ไม่มีพ่อแม่  ขาดคนอื่น ๆ ที่รักเรา  เราจะต้องอยู่ให้ได้อย่างมั่นคงและมีความสุข  แม่สะเทือนใจมาก ที่พบข้อความว่านัสไม่เคยได้รับความรักมาสิบกว่าปีแล้ว  ในความเชื่อของแม่  ไม่มีใครอยู่ได้โดยปราศจากความรัก  โลกนี้มีความรัก  ความปรารถนาดีครอบคลุมไปทั่ง  คนไม่เคยรู้จักกันก็ยังมีไมตรีมีความปรารถนาดีต่อกัน  คิดว่านัสคงจะเคยพบบ้าง  โลกนี้ไม่แห้งแล้งอย่างที่คิดหรอกนะลูก  พ่อ - แม่และทุกคนพร้อมจะโอบกอดและซับน้ำตายามเมื่อลูกล้มหรือเจ็บ  ธรรมดาที่เราจะเหงา  เมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ได้เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก  ใคร ๆ อีกเป็นจำนวนมากก็เป็นอย่างนี้  แม่ก็เคยเป็น  อย่างที่แม่เคยบอกว่าไม่มีใครจะจริงใจและปรารถนาดี  เสียสละเพื่อเราได้เท่ากับคนในครอบครัว  ขอให้มีใจเชื่อมั่นต่อกันแม้ตัวไกล  แต่ใจใกล้กัน  บางครั้งไม่ต้องพูดอะไรมาก  ต่างรู้ความรู้สึกของกันและกันและเราจะยื่นมือไปเมื่อเขาต้องการโดยไม่ต้องร้องขอ 

เข้าใจชีวิตให้มากนะลูก  อยู่กับความเป็นจริง  คิดถึงสิ่งที่เราจะต้องเผชิญในวันข้างหน้า  วันเวลาผ่านไปทุกวันบางครั้งความคิดบางอย่าง  สิ่งเร้าบางอย่างจะฉุดให้เราหยุดอยู่  ขอให้เข้มแข็งและมองไปให้ไกล

ยังจำได้ไหมลูกที่แม่เคยบอกว่านัสมักจะหยุดข้างทาง  คลุกเคล้าจนหนำใจแล้วจึงเดินทางต่อ  แม่ก็ได้แต่หวังว่าลูกจะเอาตัวรอดและยอมรับได้กับสิ่งที่ได้รับ  แม่เชื่อในความคิดอ่านของนัส  เชื่อมั่นว่านัสจะเอาตัวรอดได้  นัสเป็นตัวของตัวเอง  มีพรสวรรค์หลายด้าน  มีสิ่งที่คนอื่นไม่มีแม้แต่แม่เองอยากมีอยากเป็นอยากทำได้แต่แม่ก็ไม่สามารถ  ลูกกำลังถูกทดสอบฝึกฝนเมื่อสำเร็จลุล่วงผ่านไป  เท่ากับปลดพันธนาการทั้งหลาย  ลอยลำอย่างสง่างาม  มีอิสระและสามารถเก็บเกี่ยวทิวทัศน์อันงดงาม  เสพสุขอย่างหมดกังวล  จำไว้ว่าในความรู้สึกของแม่  แม่ยังโอบกอดนัสไว้ที่อกแม่เสมอ  จำได้นะถ้าเราอยู่ด้วยกันต่างก็จะมีเรื่องราวอันเป็นบทเรียนในชีวิตมาเสวนากันอยู่เสมอ  แม่คิดว่านั่นน่ะคงจะทำให้ลูกได้ความรู้  ประสบการณ์อับจะนำไปคิด  ตัดสินใจและเกิดผลดีต่อลูกเอง  ช่วงนี้หากว่าเหนื่อยนักจะพักก่อนก็ได้

แต่หวังว่าลูกจะคาดเดาประเมินสถานการณ์และยอมรับในสิ่งที่จะได้พบ  ไม่ต้องห่วงความรู้สึกของแม่  จงห่วงอนาคตในวันข้างหน้าของนัสเอง  พ่อแม่จะอยู่กับนัส  ให้นัสพึ่งได้ก็เมื่อยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น

                                                                             รักและคิดถึง
                                                                               แม่เอง





ผมนิ่งอึ้ง  อึ้งกับความรักอันผมสัมผัสได้จากทุกย่อหน้า  ทุกบรรทัด  และทุกทุกตัวอักษร
ผมเสียใจ  ที่มัวเสียเวลาจมปลักกับความเศร้ามาเนิ่นนาน
ผมเสียใจ  ที่เคยพยายามทำลายชีวิตของตนเอง  ทำลายความรักของผู้คนรอบข้าง
ผมเสียใจ  ที่ผมเคยมองข้ามพวกเขาไป  โหยหาอ้อมกอดและความอบอุ่นจากผู้อื่น..
แต่สุดท้าย  ผมดีใจนะ  ที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้...
ชีวิตคนก็ต้องเดินต่อไป  ใช่  ดังที่แม่ของผมกล่าว
ผมเองก็ต้องก้าวต่อ   เพียงแต่ว่า...



..ผมไม่ได้เดินตามลำพังอีกต่อไปแล้ว









-----------------------------------



ในที่สุดผมก็โพสต์จบจนได้  อิอิ

nOn†ღ : ในนิยายนัสเลือกพี่แนคครับ  แต่ความเป็นจริง  นัสเลือกตนเอง

Taurus : ครับผม  เกาะติดตลอดเลย  อิอิ  ขอบคุณนะครับ

mumoo : พี่แนคตอนนี้สบายดีครับ  เหลืออีกปีหนึ่งจะจบดอกเตอร์แล้ว  ล่าสุดที่ได้คุยกันก็เมื่อสองสามเดือนก่อน  นานน่าดู  แหะแหะ  ตอนนั้นผมก็อกหักจากคนที่สามคนที่สี่พอดี  ก็ได้พี่แนคนี่แหละที่ช่วยให้สติ  พูดเขารักษาคำพูดจริง ๆ ที่ว่าจะดูแลผมตลอดไป 




 :กอด1:


















ส่งท้ายอีกครั้ง




สุดท้าย  ผมอ่านจดหมายฉบับนี้ทีไรก็จะร้องไห้ทุกที
บันทึกที่แม่ผมอ่าน  คือนิทานของเนลและเนกซัส 
และข้อความเขียนตามรู้สึกที่ผมเขียนไว้ในไดอารี่  ในช่วงที่ผมรู้สึกมืดหม่นที่สุดในชีวิต


และนิยายเรื่องนี้  ก็ถือว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ของผมเอง
เพราะว่า  แม่ผมได้อ่านเรื่องนี้  และท่านถามผมว่า
ทั้งหมดที่ผมเขียน  เป็นเรื่องจริงใช่ไหม
ในที่สุด  ผมยอมรับ  และตอนนั้นแม่ถึงรู้ว่าผมเป็นเกย์
ถึงตอนนี้ท่านยังพูดติดตลก

ว่าถ้าพิมพ์เรื่องนี้เมื่อไหร่  จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้แม่ด้วยนะ
ค่าจดหมายยังไงล่ะ  ^ ^




แล้วพบกัน..ในนิยายเรื่องอื่น ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 24-01-2009 22:24:52
ประทับใจพี่แนคจริงๆ  น่ารักมากเลย วานบอกว่าขอกอดทีนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 25-01-2009 02:04:36
เป็นเรื่องที่โทนออกเทาๆ เนอะเรื่องนี้

ให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากหลายๆเรื่องที่แต่งมา

เออนะแอบเก่งแต่งได้หลากหลายแนว แล้วก็ทำได้ดีด้วย

แต่อ่านเรื่องนี้จะอินกว่าเรื่องอื่นหน่อย ก็แอบชอบเพื่อนเหมือนกันนิ

จะต่างกันก็ตรงที่มันคงไม่ชอบเราหรอก เฮ้อ





แอร๊ยยยยย.....แอ๊บแมนซะเหนื่อยเลย....จบไปอีกเรื่องนะจ๊ะ

ยังเหลือดองไว้อีกนะ มาต่อซะดีๆ แทนย่า
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 25-01-2009 02:22:37
จิ้ม+ ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ และเขียนนิยายดี ๆ ให้อ่าน

ที่ให้เห็นอีกมุมนึงของความรัก อารมณ์หวานๆ เศร้าๆ แต่รักแท้ของแม่นิประเสริฐสุดเลยนะ  o13

แล้วจะติดตามผลงานเรื่องต่อๆ ไปจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 25-01-2009 04:48:58

วุ้ย แล้วเทพยังไม่จบโทกลับมาหานัสอีกรึคะ จนพี่แนคจวนจะจบเอกแล้วนั่น
(ขนาดรับงานเป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์ไปด้วยนะนี่)
อย่างนี้ ใครชนะดวลคะ ยีนส์ หรือ นัส


ขอบคุณนะคะ คุณ Kirimanjaro

หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 27-01-2009 22:41:40
 :z3: ย๊ากก~!! แอบไปแอ่ดๆฉลองตรุษจีนมะเท่าไร จบซะแร้นนน!! เง้อออ~

อุตส่าห์นึกว่าจาได้ดามใจคุณพี่แนคซ้าอีก นิอิชั้นเกิดปีวอกรึปีชวดกานนแน่เนี่ย!!
:seng2ped:

มะเป็นไร งั้นเลือกเทพแทนก้อดะ เอามาๆ o11(เหมียนว่าเขาจาเอาแกรเลยนะ อินี่)

ในที่สุดนัสก้อเลือกได้ซะที แถมเป็นทางเลือกที่เห็นความสุขมารออยู่ตรงหน้า[/color](ในความคิดอิชั้นล่ะน่า.. เพราะยังไงพี่แนคก้อเหมือนแสงอรุณของชีวิตอิช้านน เอาม๊า~เอาพี่แนคม้า~~!!TT^TT)

ปล.1ไชโย้!!!ในที่สุดเรื่องนี้ก้อหลุดพ้นจากบรรยากาศทึม หม่นๆได้ซ้าที อ่านตอนจบแล้วค่อยโล่งใจสบายปอดหน่อย ถึงตอนจบจะพลิกนิดๆแต่ก้อไม่ปวดตับปวดไตไปถึงเซี่ยงจี๊อย่างบางเรื่องที่คนแต่งท่านซาดิสต์ซร้า อืมมๆอย่างนี้แหละ แหล่ม!!!
 
ปล.2 อยากถามคุณคีจังว่าตอนนี้สรุปคุณคีมีผลงานออนแอร์และที่อวสานไปแล้วอยู่กี่เรื่องกันแน่ เผื่ออิชั้นจาพลาดอะไรไป จาด้ายไปย่องๆแอบอ่าน55+

ปล.3 +1เป็นการขอบคุณสำหรับการถ่ายทอดอีกหนึ่งเรื่องราวที่ประทับใจ


                                    :pig4:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: tmmajor ที่ 29-01-2009 00:49:20
อ่านจบในที่สุด
ให้ความรู้สึกดีมากๆๆเลยครับ o13

ว่าแต่..คนแบบพี่แนคนี่จะมีมั้ยหนอ? :เฮ้อ:

ยังไงก็ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ครับ :bye2:
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: deedo ที่ 05-02-2009 15:22:55
 o13
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 23-05-2009 17:32:04

ไม่รู้มาตามอ่านช้าไปรึเปล่า


เป็นเรื่องที่เศร้าและซึ้งค่ะ ..

อ่า...เราก็แอบชอบเพื่อนสนิทแหะๆๆ


แล้วก็อยากจะถามว่า ขอเอา ชื่อเรื่องไปตั้งชื่อเป็นพระเอกในเรื่องของเราได้มั้ยยย
เราชอบมาก มันดูสูงส่ง แปลกๆ แล้วก็เพราะดี


ขอบคุณค่ะ ... เป็นนิยายที่ดีมาก

หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: BABOO ที่ 27-10-2009 00:01:54
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: (นิยาย) ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน (บทส่งท้าย-อวสาน 24 มกร
เริ่มหัวข้อโดย: tonhukwang ที่ 05-11-2009 21:49:12
ชอบเรื่องนี้จังครับ บวกหนึ่งให้นะครับ
หัวข้อ: Re: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 08:44:16
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: SenzaAmore ที่ 20-04-2013 23:11:49
 o13 ชอบอ่ะ เคยอ่านเรื่องQueen^2 ตามล่าหารุกแท้  แต่ไม่คิดว่าคนแต่งจะมีแต่งแนวนี้ด้วย :hao5:

สุดยอดจริงๆค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: NuengKung ที่ 22-04-2013 05:53:08
ผมไม่คิดว่าคนแต่งจะแต่งได้เศร้าขนาดนี้ สุดยอดไปเลยครับ แต่รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แปลกๆแฮะ :hao3: :hao3: แต่พี่เก่งมากครับถ่ายทอดออกมาดีมาก
หัวข้อ: Re: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 24-04-2013 23:36:58
สุดยอดดดดด!
ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากมาย
ได้อารมณ์เหงา ๆ เศร้า ๆ เบยยยย
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 14-11-2017 11:05:55
เป็นเรื่องที่หน่วงดีจริงๆ แต่งได้ดีมากค่ะ  :3123: :pig4: :pig4: :pig4: