พิมพ์หน้านี้ - JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: justwind ที่ 07-01-2018 14:57:34

หัวข้อ: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 07-01-2018 14:57:34
:อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
 
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; Prologue
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 07-01-2018 14:59:22

‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่ลิขิตเส้นทางชิวิตแห่งเราสอง

‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่เป็นเหตุและผลแห่งการกระทำในทุก ๆ สิ่ง



โศกนาฏกรรมแห่งความรัก ที่มี ‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่จะสัมผัสได้







Prologue

 


 

 

วังศศิธร

เรียน หม่อมราชวงศ์ศศินกุล

 

หม่อมเจ้าศศินพงศ์และหม่อมแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กลับบ้านด่วน

 

 

ด้วยความเคารพอย่างสูง

        อรุณ             









หัวข้อ: Re: ๋JKL THE SIRIES: JUST; Prologue 07.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-01-2018 19:08:05
ตาม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ๋JKL THE SIRIES: JUST; RAIN 08.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 08-01-2018 16:00:13
Just…Rain;

๑.   ฝน




เรือลำใหญ่ ใจกลางมหาสมุทร

ถึง อรุณ



ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่แสนจะยากลำบากอีกครั้งสำหรับพี่ ด้วยความจำเป็นที่ต้องกลับไปทำวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จ เพื่อให้ท่านพ่อและแม่จ๋าจากไปอย่างไร้กังวล และภาคภูมิใจที่ลูกคนนี้ ได้เดินตามทางที่ท่านวางให้ไว้อย่างสมบูรณ์

แม้จะต้องต่อสู้กับความหวนหา ‘บ้าน’ ของเรามากมายเพียงใด ต้องต่อสู้กับความคิดถึงขนาดไหน ก็ทำได้แต่เพียรท่องจำให้จารเจียรหัวใจไว้ว่า ‘เหลือเพียงสามเทอม’ เพียงสามเทอมเท่านั้นนะอรุณ แล้วพี่จะรีบกลับบ้านของเราตามที่ ‘สัญญา’ ไว้

‘สัญญา’ นั่นทำให้การเดินทางครั้งนี้ของพี่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ชัดเจน และมีความหมายมากกว่าครั้งแล้ว ๆ มามากมายนัก

ครั้งแรกที่เดินทางมาอเมริกานั่นยังเล็กมาก อายุตอนนั้นไม่เกินสิบสามปีเห็นจะได้ เล็กเกินกว่าจะจำรายละเอียดอะไรได้มากนัก จำได้เพียงราง ๆ ว่าท่านพ่อมีรับสั่งให้ไปล่องเรือเล่นกับท่านอา ‘ท่านอาจะพาไปเที่ยว’ รู้ตัวอีกครั้งก็หลงเที่ยวอเมริกาอยู่เกือบสิบห้าปี จนกระทั่งได้รับจดหมายฉบับนั้น

ในอดีตตลอดมาจดหมายที่ได้รับทุกฉบับเป็นของแม่จ๋าซึ่งเขียนมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองไทย เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ตอกย้ำคำว่า ‘บ้าน’ ที่ต้องหวนกลับ แม้ต้องยอมรับว่านับวันดูจะมีความสำคัญน้อยลง ๆ ไปตามกาลเวลา เพราะเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องได้รับจดหมายอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน และนาน ๆ ครั้งถึงจะมีจดหมาย ‘สั่งการ’ จาก ท่านพ่อในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนบ้าง

จนกระทั่งจดหมายฉบับสุดท้ายที่ถูกส่งจากวังศศิธร เปลี่ยนสรรพนามเรียกผู้รับ เมื่ออ่านปราดก็พบนามผู้ส่งที่ไม่ใช่แม่จ๋า และเมื่อเริ่มตีเนื้อความได้ก็ยิ่งตระหนกถึงความนัยจากจดหมาย มันต้องถูกลดทอนความเป็นจริงกว่าครึ่งเพื่อพยายามปลอบประโลมหัวใจของผู้รับอย่างแน่นอน ถึงเพียงนั้นก็ยังเฝ้าหลอกตัวเอง แม้จะเห็นเพียงความหวังอันพร่าเลือนน้อยนิดก็ตาม

ระยะเวลาในการเดินทางกลับอย่างกระทันหันครั้งก่อนกินเวลาพอสมควร หากมันได้ทำหน้าที่สองประการไปพร้อม ๆ กัน ประการแรกคือ ประวิงเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความจริงที่จะต้องประสบได้มากขึ้น ประการที่สองคือ ยื้อยุดฉุดเวลาอันสุดแสนทรมานที่ต้องฝืนทนต่อสู้กับลางสังหรณ์ที่ว่า ท่านทั้งสองอาจลาจากโลกนี้ไปแล้ว เสมือนดังดวงใจถูกตากลมตากแดดอยู่บนดาดฟ้าเรือค่อย ๆ แห้งผากลงทุกขณะจิต

เมื่อเดินทางมาถึงที่ท่าเรือก็พบเพียงนายกรอบที่ถูกส่งมารับแต่เพียงผู้เดียว อีกทั้งเอ่ยได้เพียงแต่ว่า  ‘คุณอรุณสั่งไม่ให้กระผมพูดอะไรครับ’ อีกด้วย เพียงเท่านั้น พี่ก็พอจะคาดเดาความจริงที่จะประสบได้อย่างราง ๆ ดวงใจที่ไร้ความหวังหล่อเลี้ยงเหมือนกำลังจะแตกแหลกสลาย รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อนายกรอบจอดรถด้านหลังตึก และนำมาที่ห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุดสูทสีดำที่ถูกเตรียมไว้ ตอนนั้นหัวใจที่ด้านชาก็ไร้ซึ่งความรู้สึกรับรู้ใด ๆ อีกต่อไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เดินออกไปกราบท่านพ่อ และแม่จ๋า ตอนไหน อย่างไร

แม้ผู้คนรอบข้างจะเข้ามาพูดคุยปลอบใจมากมายเพียงใด ก็รู้สึกเหมือนเพียงหูแว่วไป ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้จริง ๆ สมองเฝ้าแต่คิดวนเวียน

ชีวิตนี้คงไม่เหลือใครอีกแล้ว สายเกินไปแล้ว

กลับบ้านมาเมื่อ ‘บ้าน’ ไม่มีทางเป็นบ้านได้อีกต่อไป ไม่มีอีกแล้วท่านพ่อที่ทรงนิ่งเงียบ เรียบเฉย หากจะยกยิ้มให้เพียงแม่จ๋าที่แสนใจดีอ่อนหวานแต่เพียงผู้เดียว ท่านทั้งสองรักกันมากจนทำให้บ้านเล็ก ๆ ของเรา เต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่นที่อบอวลตลอดเวลาในความทรงจำครั้งวัยเยาว์

แต่ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว เหลือเพียงตัว ‘คนเดียว’ แล้ว
อดีตไม่มีวันหวนย้อนกลับ แล้วหัวใจจะทนไหวได้อย่างไร

จนกระทั่งใครคนหนึ่ง เดินผ่านเข้ามากระชากความรู้สึกด้านชาที่มีในหัวใจไปทั้งหมด ใครคนนั้นที่มองผ่านมาเพียงชั่ววินาที และไม่มีทีท่าจะให้ความใส่ใจ ความสนใจกับคนที่นั่งไร้เรี่ยวแรงกำลังใจเลย คนคนนั้นช่างเป็นคนที่ ‘ใจร้าย’ มากจริงในความรู้สึกตอนนั้น ไม่แม้แต่จะแยแสกัน แต่กลับกระซิบสั่งการเบา ๆ และรวดเร็วจนคนรอบข้างที่เคยรุมล้อมค่อย ๆ กระจายหายไปทำหน้าที่ของตนกันจนหมด

“คุณชายมีเวลาพักผ่อนอีกสามชั่วโมง ก่อนที่แขกจะมาฟังสวด” ประโยคคำสั่งประโยคแรกที่ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นประโยคบอกเล่าลอย ๆ หากเหมือนจะประเมินผู้ฟังได้ทันทีเช่นกัน ว่ายังเกินกว่าจะรับรู้สิ่งใด จึงหันไปสั่งคนติดตามให้ทำหน้าที่

“นายกรอบพาคุณชายไปพักก่อน ไปที่ห้องฉันก่อนก็ได้ แล้วให้โรงครัวส่งสำรับขึ้นไป ให้รับประทานอะไรรองท้องเสียหน่อย” ก่อนที่จะหันกลับมามองกันอีกครั้ง

“ขอโทษจริง ๆ ยังไม่มีเวลาจัดห้องใหม่ให้คุณชาย ไปพักห้องผมก่อนแล้วกันครับ” รอยยิ้มบาง ๆ คลี่ออกจากใบหน้าที่เรียบเฉยก่อนที่จะเดินจากไป

‘อรุณ’ อรุณ สินะ

เหมือนฝนที่ตกตอนหน้าแล้ง ลงกลางหัวใจที่แห้งผาด
ใช่สิ ไม่ได้เหลือเพียง ‘คนเดียว’ แต่ยังมีใคร ‘อีกคน’

‘หยาดฝน’ ที่โอบอุ้มดวงใจที่เคยแตกสลาย
‘บ้าน’ ที่กลับมามีความหมายชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
 
รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่สะท้อนความรู้สึกหลายอย่าง ช่างเหมือนทั้งท่านพ่อและแม่จ๋า

นิ่งเฉย เด็ดขาด และเป็นเสาหลัก ใครบ้างไม่เกรงท่านพ่อ
ใส่ใจ อบอุ่น และอ่อนหวาน ใครบ้างไม่ตกหลุมรักแม่จ๋า

ไม่น่าเชื่อว่าใครคนหนึ่งคนนั้นจะสามารถรวมรวบประสานอัตตาลักษณ์ตัวตนของท่านทั้งสองไว้ในตัวเองได้อย่างหมดจดครบถ้วนเช่นนี้ หาก ‘รอยยิ้ม’ เพียงชั่วแวบนั่นทำให้รู้

คนที่เจ็บปวด มิใช่มีเพียงคนเดียว คนที่ฝืนเก็บ มิใช่มีเพียงคนเดียว
ถ้าพี่เจ็บ อรุณต้องปวดยิ่งกว่า ถ้าพี่ฝืน อรุณต้องเก็บมากทับทวี

ตลอดสิบห้าปีที่พี่จากไป ไม่คาดคิดว่า ‘อีกคน’ กลับซึมซับถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่ง ‘ท่านทั้งสอง’ ที่รักและเทิดทูนมาได้มากมายถึงขนาดนี้ รวมทั้งย่อมต้องรักและพันผูกต่อกันและกันมากกว่าคนที่ไกลห่างเช่นพี่

แม้ความเจ็บปวดมิได้บรรเทาเบาบาง หากเมื่อมี ‘อีกคน’ ที่เจ็บยิ่งกว่า และคนคนนั้นยังทำหน้าที่ของตนได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์งดงามหมดจดถึงเพียงนั้น มันก็ทำให้ความเข้มแข็งที่ฝังกลบภายในหัวใจอันบอบช้ำ ถูกปลุกออกมาให้ทำหน้าที่ของตนเองและด้วย ‘อีกคน’ ที่ยืนหยัดเคียงคู่ ทำให้การกระทำที่ต้องดำเนินต่อไป ไม่ได้ยาก ลำบากเกินกว่าที่เคยคาด เพียงหยาด ‘ฝน’ เล็ก ๆ ที่สาดกระเซ็นมาที่เนื้อหัวใจ
ช่างสรรค์สร้างให้แรงใจกลับคืน

ขอบคุณมาก ขอบคุณเหลือเกิน

พี่ชาย







วังศศิธร

เรียน คุณชาย

ตอนนี้ที่วังมีเพียง ‘คนเดียว’ อีกครั้งเมื่อคุณชายจากไป หลายคนบ่น ๆ กันว่าวังดูเงียบลง นับตั้งแต่ท่านพ่อและแม่จ๋าจากไป และยิ่งเงียบลงเมื่อบุตรชายคนเดียวของท่านทั้งสองกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง

แต่คนใน ‘บ้าน’ หลังนี้ยังคงน่ารักอยู่เสมอ ทุกคนดูเหมือนจะแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาคอยเฝ้าคอยดูแล จนถึงขั้นต้องออกปากปฏิเสธความหวังดีกันในบางครั้งที่ต้องการอ่านหนังสือ หรือเมื่อต้องการอยู่เงียบ ๆ ลำพังเพียงคนเดียว

ท่านชายศศธรก็ดูเหมือนจะคิดเฉกเช่นเดียวกัน ยังแวะมาชวนไปเที่ยวเล่นนอกวังร่ำไป เมื่อเพียรปฏิเสธไป ท่านก็กลับเป็นมาเที่ยวเล่นในวังเสียอย่างนั้น และเนื่องด้วยท่านอาเธอมีความคิดริเริ่มจะทำโน่น กินนี่ อยู่เนือง ๆ จึงทำให้คนอื่น ๆ ในบ้านพลอยคลายหายคิดถึงคุณชายไปได้บ้าง

ทำให้ตัวผมเองเริ่มมีความคิดอยากออกไปเรียนงานที่ห้างจากคุณก๋งเสียที เมื่อบ้านเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง และหลังจากที่คุณก๋งมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามหลายครั้ง จริงแล้วตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวให้ท่านพ่อมาสักระยะ ก็เคยได้ไปช่วยงานคุณก๋งมาบ้างในช่วงที่งานคดีความต่าง ๆ ในศาลของท่านพ่อไม่ยุ่งมากนัก แต่เมื่อได้เริ่มต้นลงมือทำจริงจังในครั้งนี้ ก็ต่างจากครั้งก่อน ๆ ไม่น้อย เพราะคุณก๋งตั้งใจจะถ่ายทอดงานทุกอย่างให้ทั้งหมด ท่านพร่ำบ่นว่าอยากวางมือเสียแล้ว คงรอแต่หลานชายของท่านจะกลับมารับหน้าที่ดูแลกิจการต่อไป

งานที่ห้างมีความแตกต่าง ๆ จากงานแปลเอกสาร เรียบเรียงรายงาน หรือจดชวเลขของท่านพ่ออย่างมากมายเหลือเกิน ทำให้เวลาทั้งหมดที่มีหมดไปกับการเรียนรู้งาน จนกระทั่งท่านอาเริ่มเอ่ยปากว่าขาดเพื่อนเล่นดนตรีด้วย รวมทั้งธุระเรื่องที่ดินของท่านพ่อ และธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านจิปาถะที่เคยเป็นของแม่จ๋าเริ่มรุมเร้า ทำให้ต้องจัดสรรเวลาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ทุกฝ่ายพึงพอใจเท่า ๆ กัน

หากเพียงแต่คุณชายจะกรุณากลับมาโดยเร็วจักเป็นพระคุณอย่างมากเลยทีเดียว ถึงกระนั้นในช่วงยุ่ง ๆ ก็ยังมีเรื่องให้วุ่นวายเพิ่มขึ้น เมื่อหลานชายนายกรอบถูกส่งมาเรียนในพระนครเป็นครั้งแรก ด้วยพ่อแม่เจ้าตัวที่ฝากฝังไว้อยากให้ลูกได้เรียนต่อในเมืองหลวง จึงยึดตามดำริของท่านพ่อในการชุบเลี้ยงคน โดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุนด้านการศึกษา
 
หากมาถึงวังวันแรกก็ก่อเรื่อง จะหนีตามพ่อกับแม่กลับบ้านแต่ท่าเดียว ต้องสั่งให้คนจับยึดไว้ จนต้องปิดห้องคุยกัน ปรากฏว่ากว่าจะเปิดปากบังคับให้ยอมพูดคุยด้วยก็ต้องใช้น้ำเย็นประโลมกันมากเหลือเกิน พอยอมพูดก็เกิดน้ำตาแตกขึ้นมา พูดไปสะอื้นไห้ไป ต้องปลอบกันอีก จึงไม่ได้ถามไถ่ให้ได้ความอะไรมากนัก รู้เพียงอายุเพิ่งจะเข้าเกณฑ์เรียนได้ และพ่อเรียกว่า ‘ไอ้จ้อย’
 
เมื่อปลอบกันเสร็จ ซักกันจนได้ความ แทนที่จะไปพักกับลุงของตัว กลับเกาะติดแจ จนต้องบริจาคที่หน้าเตียงให้นอน และจำต้องดูแลลูกหมาน้อยเพิ่มอีกหนึ่งตัว แต่ก็พอคลายความเหงาไปได้ดีเหมือนกัน

‘เจ้าจ้อย’ แลดู แจ่มใส บริสุทธิ์ดี ติดที่ยังหวาดกลัวคนอื่น ๆ อยู่มาก จึงตกเป็นภาระให้ต้องควบคุมการขัดคราบไคล ลอกคราบพ่อสังข์ก่อนที่จะพาไปฝากเรียน กว่าจะกลับไปทำงานได้ก็กินเวลาเกือบอาทิตย์จนคุณก๋งเริ่มบ่น ๆ แต่เมื่อได้เห็นเด็กน้อยใส่ชุดนักเรียนโก้ ไปโรงเรียนเป็นวันแรกก็อดภูมิใจดีไม่หยอก ความรู้สึกเยี่ยงนี้เองที่ทำให้ท่านพ่อหมั่นชุบเลี้ยงคนนัก และก็ทำให้หวนนึกถึงตัวเองขึ้นมา

วันแรกที่มาถึงวังศศิธร คงมีสภาพไม่ต่างจาก ‘เจ้าจ้อย’ เท่าไหร่นัก แม้จะมีศักดิ์เป็นหลานหม่อมไหม แต่ก็เป็นเพียงญาติห่าง ๆ ที่ดองกัน เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่วิ่งเล่นในโรงครัวบ้านเจ้าสัว ความทรงจำยังแจ่มชัดคลับคล้ายเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

ในวันที่ ‘ฝน’ ตกปานฟ้ารั่ว แม่ครัวและคนงานในโรงครัวต่างหลบฝนอยู่กันในห้องหับมิดชิด หลงลืมเด็กซึ่งกำลังหาที่หลบฝน และหวาดกลัวเสียงฟ้าร้อง วิ่งหกล้มหกลุกขะมุกขะมอม พยายามที่จะกลับไปยังตึกใหญ่ของเจ้าสัว
 
ถ้าหากเพียงคุณชายไม่เล่นซนฝ่าสายฝนผ่านมาพบพอดี และฉุดลากคนหวาดกลัวออกมาจากใต้โรงครัวนั่น วันนั้นก็คงไม่ได้พบแม่จ๋า คงไม่ได้ถูกรับมาที่วังเฉกเช่นทุกวันนี้ และชีวิตก็คงต่างจากวันนี้มากมายทีเดียว
 
ถ้าเพียงแม่จ๋าไม่เอ็นดูรับชุบเลี้ยง
ถ้าเพียงท่านพ่อไม่รับอุปการะส่งเสียให้เล่าเรียน
ถ้าเพียงวันนั้นคุณชายไม่ไปขุดมาจากท้ายครัวเพื่อหาเพื่อนเล่นด้วย

แม้ ‘อีกคน’ เมื่อโตขึ้นมาอาจจะแลดู ‘ใจร้าย’ ไปบ้างในบางครา แต่เพียงปรารถนาให้คุณชายได้รับรู้ว่าคนคนนั้นยังสำนึกบุญคุณมากมายที่ประทานให้ตราบเท่าทุกวันนี้

ด้วยความระลึกในพระคุณยิ่ง

อรุณ
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; RAINBOW 09.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 09-01-2018 11:47:47
Just…Rainbow;

๒. สายรุ้ง



เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ

ตอนนี้พี่เดินทางกลับมาถึงแมนชั่นที่พักเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือการถามหาจดหมายจากเมืองไทย และดีใจอย่างยิ่งที่สมปรารถนา ขอบใจจริง ๆ ที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้เสมอ พี่รู้ว่าอรุณจะทำอย่างนั้นเสมอ

เมื่อได้อ่านจดหมายพี่ก็ทั้งเข้าใจ และซึ้งใจเป็นอันมาก เข้าใจว่าระหว่างคนที่เดินทางจากมา กับคนที่ต้องหยัดยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งเดิม ความเหงามักจะโหมโจมตีคนที่อยู่ในบรรยากาศเดิม ๆ มากกว่า จึงไม่แปลกใจว่าทำไม คนทั้งวังถึงเป็นห่วงมากถึงขั้นผลัดเวรกันมาเฝ้าดูแล

ตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ได้กลับบ้าน พี่ก็พอจะทราบได้ว่าอรุณเป็นที่รักของคนรอบข้างมากมายเพียงใด รวมถึงไม่แปลกใจว่าทำไมท่านอาจึงไม่เสด็จนิวัตวังที่เชียงใหม่เสียที ส่วนที่ซึ้งใจก็คงเป็นเรื่องที่น้องต้องปฏิบัติภาระกิจหน้าที่แทนมากมายหลายอย่างเหลือเกิน จนพี่รู้สึกละอายแก่ใจว่าไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระนั้นได้เลย

รอนิดนะคะคนดี พี่สัญญาว่าจะรีบกลับไป ‘บ้าน’ ของเรา และพี่เชื่อมั่นเสมอว่าอรุณจะทำทุกอย่างออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนที่แล้ว ๆ มา
 
ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ไม่เคยคิดว่าเรื่องที่พี่พบอรุณที่บ้านคุณก๋ง หรือเรื่องที่ท่านพ่อและแม่จ๋ารับอรุณเข้ามาในครอบครัวของเราเป็นเรื่องของบุญของคุณแต่อย่างใด

แม่จ๋าเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านทั้งสองมีความตั้งใจจะมีน้องให้กับพี่แต่เก่าก่อน แต่เนื่องด้วยตอนที่คลอดพี่นั้นใช้เวลามากเกินไปจนแม่จ๋าไม่สามารถมีลูกได้ และอย่างที่เรารู้เสมอว่าท่านพ่อไม่มีวันจะรับใครเป็นหม่อมได้อีก เพราะความรักที่ท่านพ่อมีให้แม่จ๋านั้นมากมายเหลือคณานับ จึงทำให้ทั้งครอบครัวได้แต่ทำใจว่า คงหมดหวังที่จะมีน้องเล็ก ๆ สักคนเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวแล้ว จนพี่ได้พบอรุณ ดังนั้นอย่าเรียกว่าเป็นบุญคุณอะไรอีกเลย

อรุณ เข้ามาทำให้ครอบครัวของเราถูกเติมเต็ม มีความสุขสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งพี่แน่ใจว่าท่านพ่อ และแม่จ๋าก็จะกล่าวเช่นเดียวกันกับพี่

จริงแล้วต้องขอบคุณอรุณมากกว่าด้วยซ้ำที่ทำให้ ท่านพ่อและแม่จ๋าได้มีลูกชายคนเล็กที่แสนน่ารัก อ่อนหวาน เชื่อฟังมากกว่าลูกชายคนโต และทำให้ลูกชายคนเดียวได้มีน้องน้อย คอยยิ้มเยือนชื่นชม และได้เป็นพี่สมใจ
 
เมื่อเดินทางกลับมาศึกษาต่อ อย่างแรกที่ต้องเร่งสะสาง คือ การวางแผนการจัดทำโครงร่างวิทยานิพนธ์อย่างจริงจัง แม้จะผ่านขั้นตอนการอภิปราย และได้รับการอนุมัติหัวข้อในการทำการวิจัยเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อระยะที่ถูกเลื่อนออกมาก็ทำให้การจัดเก็บข้อมูล การสรุปผลวิจัยต้องกลับมาทบทวน และจัดทำแผนอย่างรัดกุมอีกครั้ง เพื่อให้ได้กลับ ‘บ้าน’ ของเราอย่างเร็วที่สุด

เพื่อน ๆ จึงเริ่มสงสัยกันว่าทำไมพี่ถึงเร่งวันเร่งคืนนัก ทั้งที่ก่อนนี้ออกจะดูสบาย ๆ ทำงานบ้าง เที่ยวบ้าง จนเรียกได้ว่าถึงขั้นเฉื่อยเลยทีเดียว

ตัวพี่เองยอมรับว่าก่อนนี้ ‘หัวใจ’ ไม่เคยมีจุดหมายที่แน่นอน ด้วยมิรู้ความต้องการแท้จริงของตัวเอง ตลอดมาจึงแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ทั้งเรื่องการศึกษา และเรื่องอื่น ๆ จึงมีคนแวะเวียนเข้ามา และเดินจากไปเสมอ ๆ อาจเพราะด้วยหัวใจรักยังไม่พบกับเจ้าของที่แท้จริงก็เป็นได้ ซึ่งแตกต่างจากการกลับมาครั้งนี้ของพี่ที่มีจุดมุ่งหมาย และมีความหมายยิ่งสำหรับหัวใจ

ดังเคยเล่าในจดหมายฉบับก่อนหน้า คนอื่น ๆ ที่เคยผ่าน ๆ มาที่นี่ จึงไร้ซึ่งความหมายอีกต่อไป จึงเป็นเหตุให้เร่งวันเวลาทุกวินาทีที่จะได้กลับ ‘บ้าน’ เพราะ ‘หัวใจ’ รู้ว่ามีเจ้าของเฝ้ารอคอยอยู่ ณ ที่แห่งใด และเมื่อยิ่งได้รู้ว่ายังคงรอคอยอยู่เสมอ แรงใจในการศึกษาเล่าเรียนจึงเหมือนโหมทับทวีเท่า
 
หวังเพียง ‘อีกคน’ คงไม่ ‘ใจร้าย’ ล้มเลิกการรอคอยครั้งนี้ไปเสียก่อน
 
อีกเรื่องที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงอเมริกา คือเรื่องอาหารการกิน พี่ต้องกลับไปกินแบบลิ้นจระเข้อีกครั้งอย่างที่แม่แพรว แม่ครัวใหญ่แห่งวังศศิธรค่อนขอดให้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระยะเวลากว่าสิบห้าปีทำให้ลืมเลือนรสอาหารของที่ ‘บ้าน’ เสียสิ้น บำเพ็ญเพียรตนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมาตั้งแต่เล็ก ลิ้นจึงเหมือนไร้ความรู้สึกการรับรสอร่อยกลมกล่อมไปเสียแล้ว แต่หลังจากที่ได้กลับ ‘บ้าน’ ของเราครั้งนี้ทำให้ต้องมาฝืนทนปรับตัวปรับใจกับอาหารอันไร้รสชาติของที่นี่อีกครั้ง

จำได้ว่าวันแรกที่ได้กลับ ‘บ้าน’ แม่แพรวจัดอาหารไทยชุดใหญ่ขึ้นโต๊ะเกินกว่าสิบอย่าง ทั้ง ๆ ที่ทั้งโต๊ะอาหารมีแค่เราเพียงสองคน แต่ด้วยความเกรงใจแม่ครัวคนเก่าคนแก่ที่บรรจงปล่อยฝีมือปลอบใจคนเดินทางไกลให้หายเศร้า จึงค่อย ๆ ละเลียดอาหาร

อรุณยังดีที่ต้องฝืนต่อสู้เพียงเพราะความอิ่ม แต่มื้อนั้นสำหรับพี่นอกจากต้องต่อสู้กับปริมาณอาหารอันมหาศาลแล้ว ยังต้องต่อสู้กับรสชาติความเผ็ดร้อนที่ไม่ได้พบพานเกือบสิบปี แต่ที่ทำให้อิ่มใจ คือได้เห็นรอยยิ้มกึ่งขบขันจากผู้ร่วมโต๊ะ ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกตินั่น

แต่คาดไม่ถึงว่าจะกรุณาถึงขั้นเข้าครัวปรุงอาหารเองในมื้อถัดไป จนอาหารที่ออกมากลายเป็นอาหารไทย-จีนกึ่งประยุกต์ สำหรับคนที่ต้องปรับรสสัมผัสของการกินใหม่  ทำให้รับรู้ถึงรสชาติความอร่อยได้ชัดเจนอีกครั้ง รวมทั้งทำให้พี่ติดใจรสมือของพ่อครัวจำเป็นตราบเท่าทุกวันนี้ จำต้องเพียรหักห้ามความหวนหาที่มีมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกลมหายใจ

ตลอดงานของท่านพ่อ และแม่จ๋า มีญาติมิตรคนรู้จักมากมายที่มาแสดงความรัก ความอาลัย และความเสียใจ คงเป็นกุศโลบายของคนยุคก่อนที่พยายามผ่อนคลายความรู้สึกสูญเสีย ผ่อนปรนความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจของผู้อยู่เบื้องหลัง ให้ยอมรับความเป็นจริงที่ต้องเผชิญ แข็งแกร่งพอที่จะยอมรับ และยืนหยัดดำเนินชีวิตต่อไปได้

เรื่องที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง เมื่อผู้คนที่มาร่วมงานต่างพากันสรรเสริญถึงความเป็นคนดี มั่นคง ซื่อตรง หนักแน่นของท่านพ่อ และความนุ่มนวล อ่อนหวาน เมตตา กรุณาปราณีของแม่จ๋า ทำให้บุตรหลานญาติมิตรของท่านพลอยปลื้มปิติยินดีที่มีคนรัก และนับถือท่านทั้งสองมากมายเพียงนี้

นอกจากนี้เสียงชื่นชมที่ได้ยินสม่ำเสมอคงไม่พ้นเรื่องของบุตรชายคนเล็กของท่าน ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่หลายต่อหลายคนเกือบคิดว่าเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของท่านทั้งสอง อีกทั้งแปลกใจยิ่งกว่าที่มาพบลูกชายอีกคนที่งาน หลายเสียงจึงแว่ว ๆ เข้าหูโดยไม่ได้ตั้งใจ

“อิฉันถึงว่า ทำไมคุณอรุณถึงไม่ได้เป็นคุณชาย”

“อ้าวนี่หล่อนไม่รู้หรอกหรือ”

“ก็เคยสงสัย แต่เห็นท่านชายกับหม่อมท่านเลี้ยงดูอุ้มชูเหมือนบุตรในอุทร”

“ก็คุณชายเธอไปเรียนต่างประเทศ จึงมีแต่คุณอรุณที่ดูแลรับใช้ใกล้ชิด”

“แล้วอย่างนี้ตัวจริงกลับมา ไม่สงสารลูกเลี้ยงแย่ ยิ่งท่าน ๆ สิ้นแล้วด้วย ตอนท่านอยู่ก็เห็นมีแต่คุณอรุณดูแลรับใช้ เห็นว่าทำทั้งงานราษฎร์งานหลวง ทั้งงานที่ศาล งานที่ห้าง ไหนจะงานของหม่อมไหมอีก นี่เห็นว่าคนที่ดูแลวังศศิธรหลัง ๆ มานี่ก็เธอทั้งนั้น”

“เขาลือกันว่าอาหารคาวหวาน ครัวไทย ครัวจีน ครัวฝรั่ง ที่ขึ้นชื่อของวังเธอ ก็รับครอบวิชามาจากหม่อมไหมโดยตรง เห็นว่าหลังจากท่าน ๆ สิ้น ภัตตาคารหรู ๆ ในเมืองก็ทาบทามเธอไม่ขาด คนมีวิชาติดตัวคงไม่อาภัพนัก”

“พูดไปพวกหล่อนนี่ ไม่รู้หรือว่าท่านชายท่านเป็นอย่างไร”

“ท่านรับคุณอรุณเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย เห็นว่าพินัยกรรมก็เปิดเผยไว้ตั้งแต่นั้นว่าแบ่งให้บุตรชายสองคนเท่าเทียมกันทั้งส่วนของท่าน ของหม่อมไหม รวมถึงของเจ้าสัวด้วย”

“ขนาดนั้นเลยหรือ”

“วังนี้ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว จะหาสายไหนมีทั้งเชื้อสาย ทั้งทรัพย์สมบัติเท่าสายนี้เห็นจะมีไม่มากนัก ลูกหลานที่สืบเชื้อสืบสายก็มีไม่มาก เพราะขึ้นชื่อเรื่องรักเดียวใจเดียว อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินเรื่องขัดแย้งกันเรื่องเงินเรื่องทองเลย ตั้งแต่สมัยท่านชายท่านก็มีมามาก ที่ดินแถบนี้ก็ของท่านทั้งนั้น ไหนจะของหม่อมไหม ดองกับลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวห้างดัง คุณ ๆ เธอคงไม่มาขัดแย้งกันเพราะเรื่องนี้หรอก”

“ถึงว่าสาว ๆ ทั้งพระนครถึงหลงใหลได้ปลื้มคุณอรุณนัก นี่คุณชายก็กลับมาอีกคน วังศศิธรคงมีแม่สื่อเดินเข้าเดินออกกันจนหัวกระไดไม่แห้ง”

“ว่ากันว่าคุณอรุณเธอเก็บตัวไม่ชอบงานสังคมมากนัก ขนาดนั้นสาว ๆ ยังตามกันเกรียว นี่ดูท่าคุณชายกลับมาจากต่างประเทศโก้กว่าเป็นกอง คงเข้าถึงตัวยากเป็นแน่แท้”

“เห็นว่าคุณชายเธอต้องกลับไปศึกษาต่ออีก นี่คงกลับมาเฉพาะงานท่านพ่อกับหม่อมแม่”

“อิฉันสงสารทั้งคู่ เสียท่านทั้งสองพร้อม ๆ กัน”

“ก็ยังมีเจ้าสัว เป็นเสาหลักมั่นคงอยู่นั่นไง ไหนจะท่านชายศศธรอีก”

“เจ้าสัวก็อยู่แต่ที่ห้างไม่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องในวังศศิธรหรอก ท่านชายท่านก็เทียวไป เทียวมาพระนครกับเมืองเหนือตามอารมณ์ศิลป์ของท่าน”

“พอคุณชายกลับไปเรียนทั้งวังก็เหลือคุณอรุณคนเดียวสิจ๊ะ อย่างนี้ต้องหาคู่มาเธอคลายเหงาบ้างน่าจะดี”

“แม่สาว ๆ คงวี้ดว้าดกันละทีนี้ ลองแม่สื่อตัวฉกาจจะเดินหน้าออกโรงขนาดนี้”

เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอ พี่มาเชื่อสนิทใจก็ครั้งนี้

เมื่องานของท่านที่รักทั้งสองได้ผ่านพ้นไป ตัวเองก็ได้พบจุดหมายที่หัวใจของตนต้องการ ดั่งในวันที่สายฝนแห่งความเศร้าเสียใจได้สร่างซาลง ทิ้งไว้เพียงไอน้ำจาง ๆ เบาบาง เมื่อความอบอุ่นของแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์สาดส่อง ก็ได้พบ ‘สายรุ้ง’ ทอประกายงดงามพิไลลักษณ์ ทำให้ทุกคนที่พบต่างชื่นชม ถวิลหา แล้วรู้ว่าตัวเองก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในคนมากมายที่เฝ้าหมายปอง ‘สายรุ้ง’
 
จึงเริ่มหวั่นใจว่าในตอนนี้ ‘คนรอ’ ยังคงรอคนไกลห่างอยู่หรือไม่
ความห่างไกลบางครั้งก็สร้างความทรมานได้อย่างยิ่งยวด

ทำได้แต่ภาวนามิให้ใคร ‘อีกคน’ ไหวหวั่น
พี่สัญญาจะรีบกลับ ‘บ้าน’ ของเราให้เร็วที่สุด

คิดถึงเหลือเกิน
พี่ชาย










วังศศิธร
เรียน คุณชาย

ดูเหมือนเพียงไม่นานที่คุณชายกลับมาพระนครจะรับฟังเรื่องราวได้มากมาย หลายหลาก ต่อติด ครบถ้วนจนน่าแปลกใจ เสมือนตั้งใจที่จะจดจำมากกว่าเพียงแต่แว่ว ๆ เข้าหูโดยมิได้ตั้งใจ

‘เรื่อง’ บางเรื่องก็เป็นเพียงเค้ารางที่ถูกพูดต่อ ๆ กันปากต่อปาก มิใช่ความสัตย์จริงเสมอ อาทิเช่นเรื่องการทำครัวนั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าวังศศิธรมีชื่อเรื่องการทำครัว ทั้งเครื่องคาว และของหวาน ด้วยครัวไทยที่มีแต่ดั้งเดิมสืบต่อกันหลายยุคหลายสมัยแต่เก่าก่อน อีกทั้งครัวจีน และครัวฝรั่งที่แม่จ๋าขึ้นชื่อเรื่องรสมือมาตั้งแต่ยังอยู่กับคุณก๋ง ดังนั้นไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ในหมู่สหายญาติมิตรของท่านพ่อ จึงได้รับไหว้วานให้ช่วยออกโรงรับดูแลเรื่องอาหารอยู่เนือง ๆ
 
แม่จ๋าที่รัก และเอ็นดูเด็กผู้หญิงนัก แต่เมื่อมีลูกชายเพียงสองคน หนึ่งในนั้นจึงต้องจำใจเข้าครัวเป็นเพื่อนให้ท่าน เพื่อทำหน้าที่ทดแทนให้คลายเหงาไปบ้างก็เท่านั้น

เมื่อแรกที่แม่จ๋าพาเข้าครัวยังจำได้ดี ลูกชายคนโตของท่านยังเข้ามาช่วยเหลือน้องคนเล็ก ด้วยข้ออ้าง ‘ไม่มีคนเล่นด้วย’ ทำให้แม่จ๋ายอมปล่อยให้ไปเล่นเป็นเพื่อน ด้วยทนเสียงโวยวายของเด็กอีกคนที่เข้ามาซุกซนในครัวไม่ไหว

ระยะเวลาอาจทำให้คุณชายลืมเลือนอดีตที่มิได้ใส่ใจจำจด
ในขณะที่ ‘อีกคน’ ยังระลึกถึงเสมอ

แต่เมื่อเด็กชายซุกซนไม่อยู่ เพื่อนเล่นจึงต้องจำเข้าครัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงช่วยเหลือแม่จ๋าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะได้วิชามาจริง ๆ ก็เพียงขั้นตอนการทำ การควบคุมคนครัว และเน้นหนักไปในเรื่องการลองลิ้มชิมรสเสียมากกว่า
ถ้าให้ลงมือจัดเตรียมเครื่องปรุง หรือปรุงเองคงทำได้เพียงอาหารไทย-จีนกึ่งประยุกต์ตามที่คุณชายเรียก ซึ่งรสชาติไม่จัดนัก และก็ทำนับอย่างได้ คงไม่ถึงขั้นมีภัตตาคารมาทาบทามไปทำงาน หรือถึงมีฝีมือจริงก็คงไม่สามารถปลีกตัวจากภารกิจมากมายหลายด้านที่รับหน้าที่ดูแลแทนตอนนี้ได้

แต่หากว่าวันหนึ่ง คุณชาย ‘ไม่โปรด’ ให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว
ก็อาจจะพอไปทำที่ภัตตาคารอาหารจีนได้บ้าง กระมัง

จึงเล่ามาพอเป็นตัวอย่างว่า ‘เรื่อง’ บางเรื่องที่คนอื่นพูด ๆ กัน ก็มิได้เป็นความจริงที่ต้องเก็บมากังวลใจเสียทั้งหมด ปรารถนาให้คุณชาย ‘เชื่อมั่น’ ในสิ่งที่คุณชายสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเอง และฟังเสียงจากความรู้สึกภายในของคุณชายที่พร่ำบอกมากกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาพูดกัน

ตอนนี้ที่วังศศิธรกลับมายุ่ง ๆ กันอีกครั้ง เมื่องานใหญ่ประจำปีของวังทุก ๆ ปีครบรอบวนเวียนกลับมา ซึ่งเห็นจะไม่พ้นงานวันเกิดคุณก๋ง แม้ตัวงานจะจัดที่สนามหญ้าหน้าตึกใหญ่บ้านคุณก๋งเช่นเดิม แต่เครื่องคาวหวานต่าง ๆ กลับถูกส่งตรงไปจากวังศศิธรตั้งแต่ที่แม่จ๋าย้ายมาอยู่กับท่านพ่อที่วัง

แม้ตอนนี้แม่จ๋าจะนอนหลับสบายไปแล้ว คุณก๋งก็ยังไหว้วานให้วังศศิธรทำหน้าที่เดิมในเรื่องอาหารจัดเลี้ยงต้อนรับแขก ก็เพียงยุ่ง ๆ แต่ไม่ได้ยากมากมายอะไร เมื่อแม่แพรวหัวเรือใหญ่ยังคงขยันขันแข็งเป็นกำลังหลักอยู่ หากมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกันที่จะได้มีข้ออ้างแอบกลับบ้านเร็ว มาช่วยดู ๆ แล ๆ ในครัว ไม่ต้องไปงานเลี้ยงสังสรรค์ทางการค้าที่มักจัดขึ้นกันอยู่เนือง ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่จะยกคืนให้คุณชายเป็นหน้าที่แรกเมื่อกลับมาพระนคร

วันนี้จึงถือโอกาสบังคับให้เจ้าจ้อยที่แวะรับจากโรงเรียนกลับมาวังพร้อมกัน มาช่วยงานในครัว แม่แพรวคงเห็นแววของมันที่ดูน่าจะซุกซนอยู่ไม่นิ่งคล้ายเด็กบางคน เจ้าจ้อยหัดเป็นลูกมือขูดมะพร้าว ซึ่งเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะชื่นชอบไม่น้อย

เมื่อเจ้าตัวยุ่งมีหน้าที่ประจำก็ทำให้พอมีเวลาลองทำอะไรเล่น เมื่อช่วงเย็นตอนแวะไปรอเด็กซนหน้าโรงเรียน เห็นพ่อค้ากำลังเคี่ยวน้ำตาลปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ขายให้เด็กนักเรียน จึงไปยืนดู ๆ มา ลองทำเล่นบ้าง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ก็ขอแบ่ง ๆ น้ำตาลในครัวมามากเหมือนกันจนแม่แพรวแอบค้อนเล็ก ๆ ครั้งแรกอาจจะยังไม่ดูดีนัก แต่เจ้าจ้อยบอกว่าพอกินได้ ไว้วันหลังจะลองทำดูอีก ทำไปเล่นไปเพลิน ๆ ดีเหมือนกัน

เห็นด้วยกับคุณชายว่าฟ้าหลังฝน หลังจากที่พายุผันผ่านมักจะสวยสดงดงามเสมอ แต่มิใช่ทุกครั้งที่จะเกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ มันต้องมีองค์ประกอบทั้งสองสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง ไอน้ำและแสงอาทิตย์ ดังที่คุณชายเล่า

ทำให้บางสิ่งต้องมี ‘สอง’ ประกอบกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้
หากมีเพียงแต่ ‘ไอน้ำ’ ขาดซึ่ง ‘แสงอาทิตย์’ สว่างสาดส่องก็คงไม่สามารถเห็น ‘สายรุ้ง’ ขึ้นกลางแจ้งได้

ส่วนเรื่องใครจะ ‘รอคอย’ ใครนั้นก็สุดหารู้ไม่ แต่เท่าที่พอจะทราบ ๆ บ้างก็เห็นว่าคนในวังศศิธรทุกคนต่างก็ตั้งตารอคอยการกลับมาของคุณชายทั้งสิ้น เพราะเมื่อเสาเอกของบ้านกลับมา 'บ้าน' คงจะกลับมาเป็น 'บ้าน' ที่อบอุ่นดังเดิม
 
ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; RAINBOW 09.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-01-2018 21:48:40
ภาษาลื่นไหล สวยงาม ชอบ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; WIND 10.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 10-01-2018 09:20:42
Just…Wind;

๓.   ลมหนาว


เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ

การได้รับจดหมายจากเมืองไทยฉบับนี้สำหรับพี่เปรียบประดุจดังได้รับ ‘ไอน้ำ’ ฉ่ำเย็นที่ติดมากับเนื้อความในจดหมาย หอบเอาความชุ่มชื่นมาให้กับหัวใจอันแห้งแล้ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งเมื่อ ‘แสงอาทิตย์’ กลับบ้าน จะพบ ‘สายรุ้ง’ ทอประกายอวดสีสดใสอยู่ ณ วังศศิธร

เพียงได้รู้ว่า ‘ทุกคน’ ที่วังยังคงรอคอย ตัวพี่ก็ยิ่งปรารถนากลับไปหาหัวใจที่ทิ้งไว้ที่วังก่อนเดินทางจากมาด้วยความ ‘เชื่อมั่น’ ในคนที่ได้ครอบครองหัวใจดวงนั้น ว่ายังคงเฝ้าถนอมดูแล รักษาไว้เป็นอย่างดีเสมอ

จดหมายสองฉบับสุดท้ายที่ถูกส่งมาจากวังศศิธร พี่ใช้เวลาในการอ่านทวนแล้วทวนเล่า ย้ำซ้ำ เพื่อซึมซับเนื้อความในจดหมาย ใจความที่อรุณต้องการสื่อสารให้พี่รับรู้ และก็นึกสะดุดใจนัก เมื่อตระหนักว่ามีเพียงแค่พี่ ที่คิดว่าตัวเองยังคงเป็น ‘พี่ชาย’

ยิ่งมาทวนอ่านจดหมายก็พบว่าทุกถ้อยคำที่กล่าวถึงพี่
ยังคงเป็นเพียง ‘คุณชายศศินกุล’ อยู่นั่นเอง

ยิ่งทำให้นึกย้อนกลับไปถึงช่วงแรกที่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านของเราอีกครั้ง แม้รู้ดีว่า ‘อีกคน’ ซึ่งการแสดงออกภายนอกไม่ได้ใส่ใจนำพาคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงมากนัก แต่ก็ยังมีแก่ใจเผื่อแผ่เวลาที่มีค่า แม้เพียงน้อยนิดมาจัดการธุระส่วนตัวให้ หรืออาจจะเป็นเพียงแค่กลัวว่าพี่จะไปแย่งห้องนอนก็สุดคาดเดา
 
ห้องนอนเล็ก สุดทางเดินด้านขวา ปีกทางเหนือชั้นสองของตัวตึก ยังคงเป็นห้องนอนเดิมของเจ้าของที่อนุญาตให้พี่ไปพักผ่อนชั่วคราว ภายในห้องที่ยังคงมิได้แตกต่างไปจากภาพในความทรงจำเมื่อสิบห้าปีก่อนมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็เห็นจะมีเพียงเตียงสี่เสาที่ขยายขนาดให้รองรับเจ้าของที่เจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มพราวเสน่ห์แห่งพระนคร มุมหนังสือที่ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวจนคลับคล้ายห้องสมุดเล็ก ๆ และโต๊ะทำงานที่มีกองเอกสารมากมาย
 
ระยะเวลาที่มีช่วงสั้น ๆ หลังจากล้างหน้าล้างตา ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ จึงทำได้แต่เพียงนั่งทอดสายตาออกไปยังบริเวณระเบียงเฉลียงเล็ก ๆ ที่อวดโฉมศาลาทรงไทยที่อยู่ท่ามกลางสวนฝรั่งเขียวขจีหลังวังศศิธร ปลดปล่อยความคิดต่าง ๆ ระหว่างเฝ้าคอยงานของท่านพ่อและแม่จ๋าในช่วงค่ำ
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามาเถอะ” บานประตูสีเขียวทรงสูงถูกเปิด คนเคาะประตูค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามา

“มีอะไรหรือนายกรอบ”

“ขอประทานโทษครับคุณชาย ห้องพักของคุณชายจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วครับ เรียนเชิญคุณชายทางนี้ครับ”

นายกรอบนำทางไปยังห้องนอนเดิมที่ติดริมโถงกลางตัวตึก ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องที่จากมาเล็กน้อย ห้องนอนสองห้อง ด้านขวา ณ ปีกทางเหนือที่แม่จ๋าจัดไว้ให้เป็นห้องนอนของสองพี่น้องตั้งแต่วัยเยาว์ และยังมีอีกสองห้องฝั่งตรงกันข้ามเป็นห้องนอนสำหรับรับรองแขก

“คุณอรุณสั่งให้จัดเตรียมห้องเดิมไว้ให้กับคุณชายก่อนที่คุณชายจะเดินทางมาถึงแล้วครับ แต่ของใช้บางส่วนเพิ่งถูกส่งมาจากห้างของเจ้าสัวเมื่อสักครู่”

“เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของคุณชาย ผมให้เด็กจัดให้เรียบร้อยแล้ว และจัดของว่างไว้ที่โต๊ะอาหารริมระเบียง คุณชายต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกเด็กที่เฝ้าอยู่ที่ชานพักโถงกลางได้นะครับ”

“ไม่มีอะไรแล้วนายกรอบไปพักเถิด”


เหมือนเดิมสินะ
แม้เวลาจะล่วงเลยมานาน แต่วังศศิธรก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม

นานมากแล้วที่เคยมีคนคอยดูแลเอาใจใส่ การไปใช้ชีวิตต่างแดนทำให้ต้องช่วยเหลือตัวเองซะเป็นส่วนมาก จริงแล้วนิสัยการดูแลตัวเองช่วยเหลือตัวเอง ท่านพ่อได้ปลูกฝังไว้ให้แต่เก่าก่อน

ตัวตึกชั้นบนจะมีเพียงเด็กขึ้นมาทำความสะอาด เก็บเสื้อผ้าไปซักวันละครั้งในช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวัน นอกเหนือจากนั้นจะไม่มีใครย่ำกรายขึ้นมาบนตัวตึก เนื่องด้วยความต้องการความเป็นส่วนตัวของท่านพ่อ โดยเฉพาะที่ตัวตึกปีกทางใต้ที่มีห้องนอนใหญ่ของท่านพ่อ และห้องนอนเล็กของแม่จ๋า ห้องทำงาน และห้องหนังสือ จะมีเพียงครอบครัวของเราเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกได้โดยสะดวก
 
จึงทำให้ระเบียบดังกล่าวแผ่ขยายมายังปีกทางเหนือของตึก บังคับใช้กับบุตรชายทั้งสอง เป็นที่มาว่าต้องช่วยเหลือดูแลตัวเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าต้องการอะไรเป็นพิเศษจริง ๆ ถึงจะเรียกเด็กที่เฝ้าอยู่ที่ชานพักบันไดที่โถงกลาง
 
ช่วงเดือนแรกที่ได้กลับมาพำนักที่บ้านนอกจากงานเลี้ยงพระเพลในช่วงสาย และงานสวดในช่วงค่ำ ช่วงเวลากลางวัน ทั้งวังก็ยังคงสงบเงียบเช่นเดิม จนเฝ้าสงสัย ‘อีกคน’ ไปหลบอยู่ที่ไหน

เวลาที่จะได้เห็นหน้าคร่าตาบ้างนอกเหนือจากช่วงเวลางาน ก็เฉพาะบนโต๊ะอาหารสามมื้อที่มักมีแขก หรือท่านอามาร่วมโต๊ะด้วยเสมอ ยากนักที่จะได้คุยกันเพียงสองคน ทั้ง ๆ ที่ห้องนอนก็อยู่ติดกัน แต่แม้จะเฝ้าคอยสังเกตหรือเงี่ยหูฟังกลับไม่พบ ‘ใคร’ สักคนเดินผ่าน
ไปไหนของเขา หรือออกไปทำธุระนอกวัง

จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งซึ่งเดินสวนกับนวลที่ห้องโถงกลาง

“อ้าวนวล ฉันบอกเด็กไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าบ่ายนี้ไม่รับของว่าง”

“ขอประทานโทษค่ะคุณชาย ของคุณอรุณค่ะ”

“ไม่อยู่มิใช่หรือ”

“อยู่นี่ค่ะ เธอสั่งเด็กให้ไปตั้งของว่างที่ห้องหนังสือ จะอยู่ที่นั่นตลอดบ่าย”

“ฉันก็เดินผ่านมาไม่เห็นนะ”

“คุณชายไม่ได้เข้าไปข้างในใช่ไหมคะ คุณอรุณเธอชอบนั่งเล่นที่ริมระเบียง”

“งั้นหรือ” แล้วความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาเลือนราง

“อรุณยังรับของว่างทุกวันไหม”

“ค่ะ เธอชอบของหวาน”

“อย่างนั้นเธอก็อยู่บ้านทุกวัน”

“เธอไม่ได้ออกไปไหน ตั้งแต่มีงานท่านชายกับหม่อมแล้วนี่ค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ เห็นเธอไม่อยู่ที่ห้อง”

“คุณอรุณเธอย้ายไปนอนที่ห้องหม่อมไหมทางปีกใต้ตั้งแต่วันแรกที่หม่อมเสียแล้วนี่ค่ะ” อย่างนี้นี่เองเส้นทางจึงไม่เคยบรรจบพบพาน

“รบกวนนวลช่วยอะไรฉันที ขอของว่างเพิ่มอีกที่ได้ไหม ฉันจะรอที่นี่ เดี๋ยวจะเอาขึ้นไปให้เธอเอง”

“ค่ะ คุณชาย”



ในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเมื่อน้องน้อยมักชอบแอบซ่อนตัวเมื่องอนพี่ชาย

‘ชายเกิ้งไปแกล้งอะไรอรุณน้อยของแม่’

‘เปล่านี่ครับ’

‘งั้นเกิ้งก็ตามหาน้องเอง’

‘เกิ้งหาทั่ววังมาสามรอบแล้ว’

‘ก็ถ้าเกิ้งไม่บอกแม่ แม่ก็ไม่ช่วยตามหาอรุณ’

‘แค่ เกิ้งลงมากินขนมเมื่อคืนวาน แล้วอรุณไม่ยอมมา’

‘อรุณบอกว่า แม่จ๋าไม่ให้กินอาหารตอนกลางคืน’

‘แล้วอย่างไรอีกคะ’

‘เกิ้งก็เลยลงมาจากตึกคนเดียว’

‘เกิ้งเลยทิ้งน้องไว้อย่างนั้นสิ’ แม่จ๋ามักรู้ทันเสมอ

‘.........................................’

‘ชายเกิ้งว่าเรื่องนี้มีใครทำผิดไหม มีใครต้องขอโทษไหม’

‘…………………………………….’ 

‘ว่าอย่างไรคะ’

‘เกิ้งผิดครับ เกิ้งขอโทษ’

‘ลูกเกิ้ง รักน้องไหมลูก’

‘รักครับ’

‘ถ้ารักน้อง ลูกเกิ้งของแม่อย่าทิ้งน้องนะลูก’

‘ครับ’ แม่จ๋าส่งรอยยิ้มหวานพร้อมกระซิบ

‘ถ้าจะตามหา ‘มด’ ต้องแกะจากรอยน้ำตาล’ แม่จ๋าเก่งที่สุดเสมอ สิ่งที่ต้องทำก็เพียงวิ่งไปคอยที่โรงครัว รอดูว่าของว่างของอรุณน้อยจะยกไปตั้ง ณ ที่ใด เป็นอย่างนี้มานานและมิเคยเปลี่ยน


“ขอบใจมากจ้ะนวล วางไว้ก่อนเถอะ” เสียงเบาเอ่ยทักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอีกคนเข้ามา คงเป็นเรื่องประจำ ๆ ทุกวัน จึงไม่แม้แต่จะหันมามองคนถือของว่างเข้ามา

ระเบียงห้องหนังสือเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาทางด้านขวาของตัวตึกติดกับสวนสวยหลังวัง ร่มรื่นด้วยต้นปีบต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเขียวขจีปกคลุม แซมด้วยดอกสีขาวพราวทั่วต้น ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ อรุณมักจะหาสถานที่สงบซ่อนตัวได้ดีจริง ๆ

เสื่อสีน้ำตาลอ่อนถูกปูเต็มทั่วพื้นที่ หมอนเล็กใหญ่สีครีมหลายขนาดวางกระจาย โต๊ะไม้ตัวขนาดย่อมวางกองหนังสือไว้มุมหนึ่ง และพื้นที่ว่างบนโต๊ะที่เหลือไว้คงใช้สำหรับวางของว่างที่เพิ่งนำเข้ามา

เจ้าตัวยังคงนอนเอนทับหมอนนุ่มหลายใบหนังสือเล่มใหญ่ปิดหน้าไว้ ดูท่าบ่ายวันนี้หนังสือน่าจะอ่าน ‘คนอ่าน’ ซะมากกว่า จึงวางของว่างที่โต๊ะ แล้วทิ้งตัวนั่งเอนลงบนหมอนอีกมุมหนึ่ง

“มาอยู่ที่นี่เองหรือ หาเสียนาน”

“.......คุณชาย” หนังสือถูกดึงออก ก่อนที่ดันตัวจะลุกขึ้นหันมามองตามเสียง

“พี่เอง”

“คุณชาย มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ สั่งนายกรอบมาก็ได้”

“ใจคอ จะไม่คุยกันบ้างเลยหรือ”

“......มิได้”

“อยากคุยด้วย ตั้งแต่กลับบ้านมาเรายังไม่ได้คุยกันบ้างเลย”

“ก็ยุ่ง ๆ อยู่”

“พี่เห็นแล้ว จึงขอกวนเวลาพักเสียหน่อย ได้ไหม”

“ครับ คุณชาย”

“เรื่องแรกเมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่ว่า ‘คุณชาย’ คะ”

พี่จำต้องใช้กลยุทธ์ตามหา ‘มด’ ตามหาคนที่แอบซ่อนตัวไปทั่ววัง กว่าจะได้มีโอกาสคุยกันแต่ละครั้งช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียนี่กระไร และกว่าเรื่องแรกที่พูดกันจะเกลี้ยกล่อมให้ยอมตามกันได้ก็อาทิตย์สุดท้ายที่จะเดินทางกลับ
 
ในวันพระราชทานเพลิงพระศพท่านพ่อและแม่จ๋า แม้ว่าจะผ่านระยะเวลาแห่งการทำใจมายาวนานเพียงใด แต่เมื่อถึงวันที่ท่านทั้งสองที่เรารักยิ่งต้องลาจาก โดยเฉพาะเมื่อมิมีวันได้หวนคืนกลับอีกตลอดกาล ก็ยากเหลือเกินที่จะบังคับจิตใจไม่ให้สั่นไหว

อีกทั้งเมื่อต้องเก็บกดไว้ภายใน และจำฝืนแสดงออกไปให้คนภายนอกรับรู้ว่าเข้มแข็งพอที่จะต้องดำรงชีวิต และเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวต่อไปได้ จึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไร้คำพูดใด
 
มีเพียงกำลังใจเดียวจากคนที่ยืนเคียงข้าง ซึ่งต่างก็รับรู้ว่าดวงใจทั้งสองแสนเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไหน แม้จะไร้ซึ่งคำปลอบโยนใด ๆ แต่สายตาที่ทอดมองมาก็ทำให้รู้ซึ้งว่าเรายังคงมีกันและกันอยู่เสมอ

ไม่ได้มีเพียง ‘คนเดียว’
แต่มี ‘อีกคน’ ที่จะยืนหยัดเคียงข้าง

เมื่องานสิ้นสุดแขกเหรื่อผู้คนมากมายที่มาร่วมอำลาอาลัยแสดงความเสียใจก็เริ่มทยอยกลับ วันอันแสนยาวนานทำให้แรงกายที่มีเริ่มเหือดหาย แรงใจที่เหลือน้อยนิดจึงได้แต่ค่อย ๆ ประคองตัวเองให้ทรุดนั่งลงมองเหม่อ สายลมโชยเอื่อยที่พัดพากลุ่มควันสีขาวบางเบาล่องลอย สู่สรวงสวรรค์
 
“พี่ชาย เรากลับบ้านกันเถิดครับ” เสียงกระซิบเพียงแผ่วเบากับรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานในวันนั้น ยังติดตราตรึงใจตราบเท่าทุกวันนี้

เหมือน ‘ลมหนาว’ ที่พัดผ่านมาในช่วงหน้าร้อน
เหมือน ‘สิ่งมหัศจรรย์’ ได้บังเกิด

และวินาทีนั้นเอง

เป็นวินาทีแรกที่รับรู้ว่ารักที่แท้จริงนั้น เป็นเช่นไร

เป็นวินาทีแรกที่มั่นใจว่าควรฝากหัวใจไว้ ณ ที่ใด

เป็นวินาทีแรกที่จุดมุ่งหมายแห่งชีวิต ชัดเจนอีกครา

แม้ในตอนนี้พี่เองแสนน้อยใจนัก เพราะเพียงระยะเวลาไม่นาน ใครบางคนก็หลงลืม ‘พี่ชาย’ อีกแล้วกระนั้นหรือ ถึงทำให้จดหมายทั้งสองฉบับที่ส่งมาจึงเขียนถึงแต่คุณชายศศินกุล
 
จึงเริ่มหวั่นใจว่าหัวใจของใครบางคนอาจจะแปรเปลี่ยน

และได้แต่เฝ้าวิงวอน...อีกเพียงไม่นาน

ไม่นานหรอกนะคนดี พี่จะรีบกลับ

กลับไปหาเจ้าของหัวใจ


ด้วยความคิดถึงอย่างยิ่ง
พี่ชาย






วังศศิธร
เรียน คุณชาย

คำนิยามถึง ‘สิ่งมหัศจรรย์’ สำหรับแต่ละคนนั้นอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตามการตีความและบริบท แต่บางครั้งก็ด้วยความมหัศจรรย์อีกเฉกเช่นเดียวกันที่ทำให้คนสองคนเห็นพ้องต้องกัน

ครั้งหนึ่งในอดีต เด็กชายมอมแมมคนหนึ่งได้รับความกรุณาจากท่านพ่อและแม่จ๋ารับมาเลี้ยงดูอุ้มชูดุจดังบุตรชาย อีกทั้งยังได้รับความรักความเมตตาจากครอบครัวใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

แม้จะสมบูรณ์พูนสุขจากความรักอันเปี่ยมล้นเพียงใด แต่เมื่อบุคคลที่รายล้อมยังคงเฝ้าพูดถึงประวัติที่มาอย่างกันเนือง ๆ โดยเฉพาะเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยนักเกินกว่าผู้ใหญ่จะสังเกตได้ ก็ทำให้เด็กน้อยที่แสนอ่อนแอในวันนั้น อดที่จะน้อยใจในกำเนิดของตัวเองมิได้

แล้ว ‘ความมหัศจรรย์’ ก็บังเกิด เมื่อใครบางคนลุกขึ้นประกาศตัวเองว่าเป็น ‘พี่ชาย’เน้นย้ำปกป้องดูแลน้องน้อยของตนตลอดมา ทำให้ ‘ปม’ ของเด็กน้อยบรรเทาเบาบาง

คำว่า ‘พี่ชาย’ คำสั้น ๆ เพียงคำเดียวที่อยู่ในใจ จึงมีความหมายยิ่งนักสำหรับหัวใจเด็กน้อยคนนั้นตราบเท่าถึงทุกวันนี้

ได้โปรดกลับไปย้อนความในจดหมายของคุณชายเองเถิด แม้ใจความในจดหมายที่พยายามสื่อ จะตีความได้หลายหลากมากมายนัก แต่น้องน้อยในวัยเยาว์วันนั้น กลับถูกกาลเวลาอันยาวนานลบเลือนออกจากความทรงจำของคุณชายจนเกือบหมดสิ้น

ทั้งที่ ‘มด’ ตัวเล็กยังคงเป็นเพียงมดตัวเดิม

หากปัจจุบันก็เป็นได้เพียง ‘อรุณ’ ใน ‘ความรู้สึกใหม่’ ฉาบฉวยชั่วคราวที่คุณชายพบพานในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้นเอง

น้องน้อยกับพี่ชายในอดีตคงเป็นได้เพียงความทรงจำสีจางเลือนรางของใครบางคน
แต่กลับชัดเจนแจ่มชัดสำหรับใคร ‘อีกคน’ เสมอ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่อปกติของ ‘สิ่งมหัศจรรย์’ ที่คงไม่ได้พบพานกันได้บ่อยครั้ง
เฉกเช่น ‘ลมหนาว’ กลางเดือนเมษา

จึงเรียนมาขอยืนยันที่จะคงสงวนคำว่า ‘พี่ชาย’ ของน้องน้อยในวันนั้น เก็บระลึกไว้ใน ความทรงจำไว้แต่เพียงผู้เดียว

ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ


#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; STRENGTH 11.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 11-01-2018 09:38:09
Just…Strength;

๔. แข็งแกร่ง



เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ


พี่ขอโทษอรุณ
‘ขอโทษ’ คำนี้คงเป็นเพียง ‘คำ’ คำเดียวที่สามารถบรรยายความรู้สึกทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ภายในหัวใจตอนนี้ เพราะมันเป็นความสัตย์จริงที่ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา วันเวลาทำให้อดีตเป็นเพียง ‘ความทรงจำสีจาง’ สำหรับพี่ และคงจะไม่สามารถกล่าวโทษใครอื่นได้

แม้ตัวพี่เองจะมิได้เต็มใจเลือกเส้นทางที่ต้องเดินจาก ‘บ้าน’ ของเรามาก็จริง แต่ก็ยังผิดอย่างเต็มประตูเมื่อปล่อยให้ความทรงจำครั้งเยาว์วัยครั้งที่มี ‘ของรัก’ อยู่เคียงคู่เจือจางเลือนหาย

จดหมายจากเมืองไทยฉบับสุดท้ายที่แม้จะแสนสั้น แต่ช่างสะท้อนความรู้สึกที่มีของผู้เขียนจดหมายอย่างชาญฉลาด เสมือนฉุดกระชากคนที่กำลังล่องลอยอยู่ในความฝันให้ลงมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริง

พี่รู้แล้วว่า ‘อีกคน’ น้อยใจมากเพียงไร
และอยากเพียงให้ ‘อีกคน’ รู้ว่าพี่เสียใจมากเพียงใด

พี่สัญญาว่าจะไม่ร้องขอ ‘ของรัก’ ที่พี่คิดเสมอว่าเป็นของ ๆ พี่ ในอดีตให้หวนกลับมาอีกต่อไป แต่ขอเพียงให้มั่นใจ และเชื่อใจเถิดว่าความรู้สึกที่มีในปัจจุบันมิเคยเป็น ‘ความรู้สึกใหม่’ ที่ฉาบฉวยชั่วคราวได้เลย พี่ยังขอยืนยันว่าตอนนี้จุดมุ่งหมายพี่แน่ชัดแล้ว และตระหนักแล้วว่าเจ้าของหัวใจดวงนี้ยังคงเฝ้ารออยู่ ณ ที่ใด

แม้กาลเวลาจะผันผ่านมานานเท่าใด

แม้อดีตจะไม่มีวันหวนกลับ

แม้อะไรอะไรจะแปรเปลี่ยน

แต่พี่ขอให้คำมั่นว่าจากวันนี้ และตลอดไปพี่จะกระทำทุกวิถีทางที่ทำให้ได้ ‘ของรัก’ กลับคืน แม้จะต้องกลับไปเริ่มจากก้าวแรกอีกครั้ง กลับไปเริ่มจากศูนย์ พี่ก็พร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เพียงวิงวอน ขอโอกาสสำหรับพี่อีกสักครั้งเถอะนะคะ คนดี

ยังโชคดีอยู่บ้างที่จดหมายฉบับก่อนหน้านี้จากเมืองไทยส่งมาถึงมือพี่ในช่วงปิดภาคการศึกษา จึงทำไม่ต้องนำร่างที่เสมือนไร้ซึ่งวิญญาณไปให้คนอื่น ๆ ได้พบเห็นมากนัก ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งเทอม เหลืออีกเพียงสองเทอมเท่านั้น ที่พี่เฝ้านับวันนับเวลาแทบจะทุกลมหายใจเข้าออกที่จะได้กลับ ‘บ้าน’ ของเรา

การปิดภาคเรียนแรกนี้ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหน ได้แต่นั่งเฝ้าแต่อ่านทบทวนถ้อยความในจดหมายทั้งสามฉบับวนไปเวียนมา แล้วจึงทำให้ตระหนักถึงความจริงอีกสองเรื่อง เรื่องแรก พี่แน่ใจเหลือเกินว่าจดหมายจากแม่จ๋าทุก ๆ ฉบับที่ถูกส่งมาจากเมืองไทย นับตั้งแต่ฉบับแรกจวบจนฉบับสุดท้ายว่าแท้จริงแล้ว ‘ใคร’ เป็นคนเขียน

แม้เนื้อหาใจความของจดหมายส่วนมากจะเล่าเรื่องราวความเป็นไป สารทุกช์สุขดิบของบ้านเราในมุมมองของแม่จ๋า แต่ในสำนวนการเขียน รูปประโยค และลายมือชี้ชัด ช่างไม่ต่างกับจดหมายสามฉบับสุดท้ายเมื่อแม่จ๋าล่วงลับไปแล้ว

เป็นอรุณมาตลอดสินะ ในจดหมายตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา

ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นในความคลับคล้ายอย่างยิ่งระหว่างคนสองคน ซึ่งราวกับว่า ‘อีกคน’ จะซึมซับมุมมอง ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนความอ่อนหวานของแม่จ๋าไว้ได้อย่างหมดจดครบถ้วน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมตัวพี่เองถึงได้รู้สึกดังว่า สายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงตัวพี่กับบ้านของเรา ยิ่งนับวันยิ่งพันผูกแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่เกาะเกี่ยวเชื่อมโยงจิตใจนั่นยังคงเป็นความรักความห่วงหาอาทร จากครอบครัว ‘ของเรา’ เสมอมา และจาก ‘ผู้เขียน’ คนเดิมตลอดมา

เรื่องที่สอง เมื่อตีเนื้อความของจดหมายทั้งสามฉบับแล้ว ทำให้พี่กระจ่างชัด และเต็มตื้นในหัวใจอีกเรื่องหนึ่ง ว่า ‘อีกคน’ ยังคงเป็น

คนคนเดิม

น้องน้อยคนเดิม

มดตัวเล็กตัวเดิมเสมอ

ได้เฝ้าแต่ภาวนาให้มันเป็นความจริงที่ ‘ของรัก’ ยังคงเป็นของเจ้าของคนเดิมอยู่เช่นกัน
ทั้งสองเรื่องจึงทำให้พี่กลับมามี ‘แรงใจ’ เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง กลับมา ‘แข็งแกร่ง’ ได้ดังเดิม

พี่จะ ‘เชื่อมั่น’ ในสิ่งที่พี่สัมผัสรับรู้ได้ด้วยตนเอง และฟังเสียงจากความรู้สึกภายในของตัวเอง ดังที่ ‘อีกคน’ ได้เคยกล่าวไว้ และขอเพียง ‘โอกาส’ อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

‘โอกาส’ ที่จะพิสูจน์ตัวเอง ‘โอกาส’ ที่จะได้เริ่มต้นใหม่
‘เกิ้ง’ จะไม่ร้องขอให้ ‘อรุณ’ เรียกว่าพี่ชายอีก

และ ‘เกิ้ง’ ก็จะไม่เรียก ‘อรุณ’ ว่าน้องน้อยอีกต่อไป

เพราะความรู้สึกภายในหัวใจตอนนี้มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และอยากบอกย้ำซ้ำให้รับรู้ว่า ความรู้สึกในครั้งนี้ไม่มีวันเป็นได้เพียง ‘ความรู้สึกใหม่’ แต่เป็นความรักที่ลึกซึ้งและผูกพันที่มีแต่ครั้งอดีต ประกอบกับความประทับใจ เต็มตื้น ชื่นใจ หลงใหล ห่วงหาในปัจจุบัน

ที่ทำให้หัวใจรักแปรเปลี่ยน
และตราบเท่ายังมีลมหายใจมันจะมิมีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้อีกเลย

จะไม่ขอให้เชื่อด้วยเพียงคำพูดหรือตัวอักษร
แต่จะพิสูจน์ด้วยหัวใจรักและการกระทำ

ด้วยหัวใจรัก
เกิ้ง












วังศศิธร
เรียน คุณชายเกิ้ง

ช่วงนี้ที่เมืองไทยเริ่มย่างเข้าสู่หน้าหนาว ถ้าเป็นเมืองที่คุณชายอยู่คงเรียกว่าฤดูใบไม้ร่วงกระมัง เพราะต้นไม้ใบไม้บางส่วนในสวนหลังวังที่เป็นต้นไม้ฝรั่ง ดังที่ท่านพ่อเคยเปรียบ เริ่มผละใบร่วงกราวกระจายเต็มทั่วสวน ทำให้สนามหญ้าเขียวชอุ่มมีสีเหลือง ส้ม แดง ตัดกันอย่างน่าชม

จึงได้ขอร้องให้คนดูแลสวนเก็บบรรยากาศที่ปีหนึ่งจะพบเห็นได้สักครั้งนี้ไว้ และจึงลองสเกตภาพดูเล่น ๆ ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้น เจ้าของสวนคนใหม่ ‘เจ้าจ้อย’ ที่ยึดเอาสวนสวยเป็นที่บัญชาการกองทัพเล็ก ๆ ในช่วงปิดเทอม จึงตั้งใจบ่นให้ได้ยินดัง ๆ ว่า ‘งูจะกัด’ จึงต้องยอมให้คนสวนเก็บใบไม้ทิ้งเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มลงสี ตั้งใจว่าถ้าลงสีเสร็จจะส่งมาให้คนไกลบ้าน ได้ดูเล่นเผื่อช่วยบรรเทาอาการคิดถึง ‘บ้าน’

อีกทั้งช่วงนี้งานต่าง ๆ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ดูจะลงตัวมากขึ้น ไม่แน่ใจว่าเพราะช่วงนี้ปริมาณงานซาลง หรือเริ่มจะปรับตัวได้ จึงทำให้มีโอกาสแอบหนีมาทำอะไรอะไรเล่น ๆ ตามใจตัวได้บ้าง แต่ดูเหมือนคุณก๋งจะมีหน่วยสืบราชการลับที่วัง พอท่านเห็นว่าเริ่มกลับมาวาดภาพ ทำลูกอมเล่น ท่านก็ถือโอกาสลาพักร้อนท่องเที่ยวช่วงปลายปีเสียอย่างนั้น จึงจำต้องกลับไปรับหน้าที่ดูแลห้างเต็มตัว และทำให้ภาพวาดที่ตั้งใจจะลงสีจึงยังไม่ได้เริ่มลงมืออยู่นั่นเอง

เมื่อกลับมาพบอีกครั้งภาพวาดที่สเกตโครงร่างไว้ ก็กลับกลายเป็นภาพพิมพ์ใบไม้หลากสี ด้วยฝีมือเจ้าเด็กที่ปิดเทอม พอจับมาซักก็ได้ความว่า

‘ขอโทษ’

‘เห็นยุ่ง ๆ อยากจะช่วย’

‘เสียใจหรือ สัญญานะต่อไปจะไม่ทำแล้ว’

พอเห็นเจ้าตัวคนผิดน้ำตาคลอรื้นปรี่เต็ม จึงจำต้องยกให้ จนใจจะเอาความผิดอะไรกับเด็ก คงได้แต่ปลอบตัวเองว่าก็คงผิดเหมือนกันที่ไม่เก็บ ไม่ได้บอก ไม่ได้กำชับให้ดีเอง

จะหลากใจก็เพียงว่าช่วงนี้เห็นจะได้รับคำ ‘ขอโทษ’ มากเสียจริง
และอ่อนใจที่ตัวเองโกรธไม่ลงแม้สักเรื่องเดียว

จึงได้แต่เพียงส่งใบไม้ที่ปลิดปลิวจากสวนมาให้แทนภาพวาดที่ตั้งใจ และสีที่เห็นหลังใบไม้ก็เป็นอย่างที่เล่ามา เป็นใบที่เจ้าเด็กซนใช้พิมพ์ลงในภาพวาดนั่นเอง

เมื่อคุณก๋งกลับมาจากท่องเที่ยว ก็คิดว่าคงจะพอมีเวลาว่างบ้าง ยังอยากทำลูกอมน้ำตาลปั้นที่เคยลอง ๆ ทำ ดังที่เคยเล่ามาในจดหมายฉบับก่อนหน้า เพราะอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แอบฝากแผนกจัดซื้อของห้างสั่งมาจากต่างประเทศได้ส่งมาถึงวัง

เมื่อช่วยกับลูกมือรายเดิมแกะห่ออุปกรณ์ เจ้าตัวยุ่งถึงกับถามว่า ‘จะเปิดร้านขนมหรือ’ จึงทำให้ฉุกคิดว่าในเมื่อลงทุนกันถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าสำเร็จก็อยากลองเปิดกิจการทำขนมหวานน่าจะดี

ในเมื่อก็เป็น ‘มดตัวเดิม’ อยู่แล้ว ทำอะไรจะดีไปกว่าทำขนมหวาน

ไม่แน่ใจว่าคุณก๋งจะยอมให้เซ้งพื้นที่ในห้างท่านเปิดร้านขนมหรือไม่ แต่ก็น่าลอง เพราะมีลูกมืออาสามาสมัครเป็นผู้ร่วมหุ้นรายแรก ‘ช่วยลงแรงอย่างไรล่ะ’ และมีนาย กรอบมาสมัครเป็นรายที่สอง ‘กระผมช่วยชิมให้’

เมื่อมีกองทัพ ‘มด’ มาเพิ่มเติม ดูเหมือนว่ากิจการน่าจะเริ่มต้นได้ดี

แต่เมื่อจะเริ่มต้นออกไปหาซื้อน้ำตาล (คงขอปันจากครัวของแม่แพรวมาไม่ได้แล้ว เห็นครั้งก่อนที่ทำเสียไปแกดูจะเคือง ๆ อยู่) ท่านอาก็มาทาบทามให้ช่วยเล่นดนตรีให้ในงานแสดงดนตรีของเธอ โครงการที่จะเปิดกิจการของกองทัพ ‘มด’ จึงเป็นต้องพับเก็บไป เมื่อต้องกลับไปซ้อมเปียโนอย่างจริงจังอีกครั้ง และเวลาว่างที่พอจะมีบ้างก็คงจะหมดลงโดยปริยายด้วยเช่นกัน

แต่ก็ยังคงเก็บความคิดและอุปกรณ์ไว้เป็นอย่างดี ในเมื่อมุ่งมั่นตั้งใจจะทำจริงก็จะลองใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกซักนิดแล้วกัน

เพียงแต่ต้องทำใจว่า ‘โอกาส’ มักไม่ได้มาง่าย ๆ ดังใจคิดเสมอ
แต่ถ้ายังคงอดทนรอและตั้งมั่นจริงสักวันหาก ‘โอกาส’ มาถึงก็คงได้สมใจ

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้ไปงานกับคุณก๋งที่สมาคมหอการค้า จึงได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยวัยเยาว์ ไม่แน่ใจว่าคุณชายยังคงจำคุณหญิงแพร (หม่อมราชวงศ์แพรพิลาส) ได้หรือไม่ คุณหญิงตัวเล็กน่ารักดังตุ๊กตาปั้นที่เธอเคยมาวิ่งเล่นกับเราเสมอ ๆ เมื่อมารดาของเธอหม่อมป้าพรรณรายเพื่อนสนิทแม่จ๋ามาเยี่ยมเยียนที่วัง

หญิงแพรเพิ่งกลับมา หลังเรียนจบจากปีนัง เธอไปเรียนที่นั่นหกปีเห็นจะได้กลับมาเธอก็ยังคงเรียบร้อย ขี้อายเหมือนดังเดิม พบกันครั้งแรกที่งาน ชวนเธอคุยไปเกือบสิบประโยคเธอจะตอบกลับมาไม่เกินสองสามคำ

หม่อมป้าเธอมาฝากให้คุณก๋งช่วยรับเธอเข้ามาลองช่วยงานที่ห้างดู เพื่อได้เปิดหูเปิดตา เห็นว่าอยู่แต่ที่วังกลัวจะเหงา จึงทำให้ได้เพื่อนในวัยเด็กมาเป็นผู้ช่วยดูแลเอกสาร การพิมพ์ การแปล และเป็นเลขานุการส่วนตัวให้

เธอมาเริ่มงานได้เกือบอาทิตย์แล้ว เรื่องงานดูจะไม่ใช่ปัญหา ภาษาของเธอใช้ได้ดีทีเดียว เมื่อเอ่ยชมไปก็อายหน้าแดงไม่ต้องพูดกันไปอีกเป็นชั่วโมง แต่ที่เห็นจะมีปัญหาก็คงเป็นความอายของเธอเช่นเดียวกัน

วันแรกที่เธอมาทำงานก็พยายามให้เธอรู้จักกับสาว ๆ แผนกต่าง ๆ เผื่อจะได้ประสานงาน หรือเป็นเพื่อนไปทานข้าวพูดคุยกันบ้าง แต่ที่ผ่านมาเธอยังคงไม่กล้าชวนใครคุยด้วยอยู่นั่นเอง

จึงทำให้มีหน้าที่ใหม่ต้องเป็นเพื่อนคุยเพื่อนกินข้าวกับคุณหญิงเธอ เพราะนึกเอ็นดู อาจเพราะคงไม่ต่างจากตัวเองเมื่อตอนเด็กเท่าไหร่นัก

จำได้ว่าปีแรก ๆ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่วังศศิธร นอกจากแม่จ๋าแล้วก็ไม่กล้าพูดคุยกับใครมากนัก ถ้าไม่ได้เด็กชายแสนซนที่ฉุดกระชากลากจูงออกไปจากอกแม่จ๋า พาไปวิ่งเล่นหยอกล้อคนโน้น กระเซ้าคนนี้ไปทั่ววัง ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีความกล้าจะพูดคุย ทำความรู้จักผู้อื่น ยืนหยัดในสังคมมาได้เหมือนทุกวันนี้หรือไม่

เมื่อนึกย้อนกลับจึงต้องขอบคุณเด็กชายคนนั้นมากนักที่ช่วยเติม ‘ความแข็งแกร่ง’ ให้ โดยการทำตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับ ‘อีกคน’ เสมอมา และทำให้ทุกวันนี้ไม่รู้สึกแปลกแตกต่างเหมือนที่แล้ว ๆ มา จึงอยากลองเผื่อแผ่ ‘ความแข็งแกร่ง’ ไปให้กับหญิงแพรเธอดูบ้าง เผื่อสักวันเธอจะแข็งแรงขึ้น นี่เองคงเป็นเหตุผลที่หม่อมป้านำเธอมาลองช่วยงานกระมัง แต่ทุกอย่างเมื่อครั้งเริ่มต้นมักจะยากยิ่งเสมอ ยิ่งต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ก้าวแรก ตั้งแต่ทุก ๆ อย่างที่เป็นศูนย์

แต่ก็เชื่อมั่นว่าคนเราหากมุ่งมั่น ตั้งใจจะทำอะไรจริง ๆ ก็คงไม่ยากเกินกว่าความพยายาม ไปได้ จึงได้แต่เฝ้าเป็นกำลังใจให้การย่างก้าวครั้งแรกในทุก ๆ เรื่องเสมอ  หวังว่าคุณชายคงจะสบายดี

ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ


#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; FALL IN LOVE 12.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-01-2018 09:08:59
Just…Fall in love;

๕. มีรัก



เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ


พี่สบายดีครับ

ขอบใจมากสำหรับใบไม้ที่ปลิดปลิวจากสวนหลังบ้านของเราที่ส่งมาพร้อมกับจดหมายฉบับนี้ แม้มันจะไม่สามารถผ่อนคลาย หรือบรรเทาความคิดถึง ‘ของรัก’ ของพี่ได้แต่อย่างใด หากก็ทำให้รับรู้ถึงน้ำใจของอีกคนที่ตั้งใจรักษาสัญญาที่ให้ไว้ อีกทั้งใบไม้แห้งใบเล็ก ๆ ใบนั้น ยังคงเร้าเร่งความปรารถนาให้กลับคืนไปชื่นชมวิวทิวทัศน์และภาพวาดนั้นด้วยตาของตัวเอง

แต่ในเมื่อตอนนี้ ‘โอกาส’ นั้นยังมาไม่ถึง จึงเข้าใจ และยอมรับว่า ‘โอกาส’ มักไม่ได้มาง่าย ๆ ดังใจคิด เพียงแต่ขอให้รู้ไว้ว่ายังมีคนไกลที่ยังคงเฝ้ารอ ‘โอกาส’ นั้น ทุกลมหายใจเข้าออก

เมื่อได้อ่านเนื้อความในจดหมาย แม้ไม่พบคำตอบที่เฝ้าวิงวอนไถ่ถาม พบแต่เพียงแต่ความนัยในใจความของจดหมาย และหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะสิ่งที่ได้ตระหนักรับรู้นั้นมิได้เพียงตีความเข้าข้างตัวเอง

ขอบคุณอีกครั้ง

สำหรับ คนใจอ่อนที่ยอมรับคำ ‘ขอโทษ’

สำหรับ ‘โอกาส’ ที่ให้สำหรับคนที่เฝ้ารอ ‘โอกาส

สำหรับ กำลังใจในการเริ่มต้น ‘ย่างก้าวครั้งแรก’ เพื่อเดินไปเส้นทางแห่งปรารถนา


แต่ยังคงหวั่นใจยิ่งนักว่า ‘โอกาส’ ที่เฝ้ารอนั้นจะกลับกลายเป็นของผู้อื่นไป ยิ่งมีน้ำตาลอันแสนอ่อนหวานรายล้อมชิดใกล้ ยิ่งกลัวใจ ‘มดตัวน้อย’ อาจแปรเปลี่ยน และกริ่งเกรงใจยิ่งนัก ว่าเป็นด้วยน้ำตาลที่เมืองไทยหรือไม่ ที่ทำให้ใครบางคนปฏิเสธคำชวนของพี่ในตอนนั้น

ตอนที่ ‘มดตัวน้อย’ ของพี่ช่างตามหาตัวพบได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะเมื่องานของท่านพ่อและแม่จ๋าเสร็จสิ้น แม้ใครบางคนจะยอมเอื้อนเอ่ย สิ่งที่ดวงใจหวนหามาโดยตลอด

‘พี่ชาย เรากลับบ้านกันเถิดครับ’ แต่หลังจากนั้นน้องน้อยของพี่ชายกลับหลบหลีกซ่อนเร้นกายยิ่งกว่าเดิม


จำต้องใช้วิธีสุดท้าย

“นายกรอบ ช่วยตามอรุณมาพบฉันที่ห้องหนังสือที ฝากบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย”

“ขอรับคุณชาย”

“ช่วยขอของว่างจากแม่นวลให้สองที่ด้วยนะ” ในเมื่อตามหาเจ้าตัวไม่พบ เห็นทีต้องใช้คำสั่งบังคับกันบ้าง แล้วจึงไปนั่งรอจิบน้ำชายามบ่ายที่เฉลียงระเบียงห้องหนังสือ ฐานทัพเดิมของมดตัวเล็กที่เจ้าตัวได้ทอดทิ้งไว้เมื่อถูกค้นพบ

“คุณชายให้พบมีธุระอะไรหรือครับ” ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าของร่างโปร่ง ก็มาพบตามคำสั่ง

“ถ้าไม่มีธุระอะไร พี่คงไม่ได้พบหน้าอรุณเลยกระมัง”

“มิได้ ถ้าคุณชายมีเรื่องอะไร ก็เรียกให้ ‘รับใช้’ ได้เสมอ”

“อรุณ ถ้าพี่ไม่อยากให้ ‘รับใช้’ อะไร เราคุยกันบ้างมิได้หรือ”

“.............” เด็กดื้อเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเช่นเดิม

“นั่งก่อนสิอรุณ คุยเป็นเพื่อนพี่หน่อย”


เจ้าตัวจึงยอมทิ้งตัวนั่งลงที่เสื่อฝั่งตรงข้าม จึงรินน้ำชาลงในแก้วกระเบื้องเคลือบสีขาว และส่งให้คนที่นั่งทอดมองวิวเบื้องล่าง เพื่อยึดเพื่อนคุยไว้ให้ได้นานที่สุด

“น้ำชาค่ะ ทานของว่างด้วยกันนะคะ”

“ขอบคุณครับ” เมื่อเจ้าตัวหันกลับมารับแก้วน้ำชา จึงรีบถามต่อ

“ทำอะไรอยู่ ยุ่งมากหรือ”

“ช่วงนี้ไม่ค่อยยุ่งมากแล้วครับ เหลือเพียงลงบัญชีรายรับรายจ่ายรายเดือน หลังจากงานท่านทั้งสองมีรายจ่ายมากพอควร ถ้าเสร็จแล้วจะส่งให้คุณชายตรวจดู”

“ไม่ต้องหรอกอรุณ พี่เชื่อ พี่รู้ว่าอรุณทำบัญชีช่วยท่านพ่อมานานแล้ว พี่เชื่อว่าทุกอย่างจะถูกต้องสมบูรณ์ดังเดิม”

“.......................................” ถามคำตอบคำสินะ

“แล้วต่อจากนี้ อรุณจะทำอะไรต่อหรือ” ใบหน้าเรียบเฉยเริ่มครุ่นคิด จนหัวคิ้วเริ่มมาขมวดติดกันอีกครั้ง

“คงพักสักระยะครับ แล้วคงต้องไปช่วยงานคุณก๋งที่ห้างสักที ท่านตามตัวมานาน”

“อรุณอยากเดินทางท่องเที่ยวบ้างไหม ไปอเมริกากับพี่ไหม” เป็นครั้งแรกที่คนข้าง ๆ เหลียวมามองคนถามเหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหลบสายตา และตอบเบา ๆ

“คงไม่ได้หรอกครับ ไหนจะงานที่วัง ไหนจะงานที่ห้าง คุณก๋งท่านอายุมากแล้ว ไม่มีใครดูแล”

“อรุณพูดเหมือนพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว ทิ้งน้อง ทิ้งบ้าน ทิ้งครอบครัว”

“ก็คุณชายต้องไปเรียน ไม่เหมือนกันหรอกครับ”

“ตอนนั้นพี่ได้ข่าวมาว่าท่านพ่อก็จะส่งอรุณไปเรียนต่อกฎหมายที่อังกฤษมิใช่หรือ”

“ครับ แต่แม่จ๋าไม่ค่อยแข็งแรง”

“เลยเลือกอยู่บ้าน” คนตรงหน้าจึงพยักหน้า พี่จึงได้แต่ทอดถอนหายใจ

“บางทีพี่ก็อิจฉานะ ท่านพ่อยอมให้อรุณเลือกได้ แต่ตัวพี่เองไม่เคยได้เลือก”

“ผมก็อิจฉาคนที่ได้เดินทางไปใช้ชีวิตต่างแดนครับ” เป็นรอยยิ้มกึ่งขำครั้งแรกที่ได้เห็น ก่อนที่เจ้ามดตัวน้อยจะหยิบของว่างเคี้ยวตุ้ย ๆ

“เลยอยากให้ไปด้วยกัน ไปเที่ยวเล่นหรือเรียนภาษาก็ยังดี ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่แค่เก้าเดือน”

“................................”

“ว่าอย่างไรคะ”

“คุณชายไปเถอะครับ ผมคงต้องอยู่ที่นี่ ธุระของวังมากเหลือเกิน คุณก๋งท่านก็ไม่มีใคร”


คำตอบปฏิเสธที่พี่มิอาจทัดทานได้ แต่เมื่อได้อ่านเรื่องเล่าจากจดหมายฉบับล่าสุด ก็อดนึกน้อยใจไม่ได้ว่าเด็กดื้อที่ปฏิเสธการเดินทางในครั้งนั้น อาจด้วยธุระส่วนตัวที่ยุ่ง ๆ ด้วยกระมัง

จดหมายฉบับนี้จึงปรารถนาเพียงทวงถามถึง ‘คำมั่น’ ที่ได้ให้ไว้ ในคืนสุดท้ายก่อนวันเดินทางที่ตัดใจบุกเข้าไปอ้อนวอน ร้องขอ คำสัญญานั่นด้วยตัวเอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กรอบเข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อก” คงคิดว่าเป็นต้นห้องคนสนิท คนเดิมกระมัง

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรีบ ค่อยเอามาให้พรุ่งนี้ก็ได้ ตอนเช้าต้องไปส่งคุณชายเธอ ยังไม่ได้ลงสีหรอก” เจ้าตัวพูดโดยไม่ละมือจากดินสอที่สเกตภาพวาดบนผืนผ้าที่ตรึงไว้ที่กรอบไม้

“งานอดิเรกหรือ”

“คุณชาย” หนุ่มน้อยในชุดนอนสีขาววางดินสอหันมาทันทีเมื่อได้ยินเสียง

“ไม่นึกว่านอกจากทำอาหาร เล่นดนตรี แล้วยังวาดภาพอีกด้วย” จึงเดินมาชื่นชมภาพวาดศาลาทรงไทยในสวนฝรั่งที่ถูกวาดโครงร่างคร่าว ๆ ไว้

“ครับ วาดเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร”


คงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หาตัวยากเหลือเกิน เพราะนอกจากกิจธุระมากมาย ยังมีงานอดิเรกที่เหลือล้น แสดงให้เห็นชัดถึงความซุกซนในวัยเด็ก

“ไม่เลวเลยนะ วาดให้พี่สักภาพได้ไหม”

“ครับ ถ้าพอมีเวลาจะวาดแล้วส่งไปให้”

“สัญญานะ พี่จะรอ”

“ครับ”

“เอ่อ คุณชายมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่นอนไม่หลับ เห็นไฟยังเปิดอยู่เลยเดินมาหาเพื่อนคุย”

“คุยกับพี่สักนิดได้ไหมคะ” คำถามที่ไม่ได้คำตอบเช่นเดิม แต่กลับเดินนำออกมาที่ระเบียงของห้องปลายสุดทางทิศใต้ของตัวตึก


ห้องนอนห้องนี้เป็นห้องนอนเดิมของแม่จ๋า ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายของตึกฝั่งปีกใต้ ตรงกันข้ามกับห้องหนังสือ และติดกับห้องนอนใหญ่ของท่านพ่อ ซึ่งมีประตูเชื่อมกันภายในห้อง


“ทำไมถึงย้ายมานอนปีกใต้คนเดียว ไม่บอกพี่บ้าง” ปล่อยให้เรารอเก้อ คอยเฝ้าฟังเสียงฝีเท้าผ่านผนังกันห้องนอนที่ตึกปีกเหนืออยู่นานสองนานทีเดียว

“......................”

“คิดถึง แม่จ๋า”



แม้คนตอบพยายามปิดบังอารมณ์ความรู้สึกไว้ในใบหน้าที่นิ่งเรียบเฉย แต่นัยน์ตาโศกกลับฉายชัดความอ่อนไหวของอารมณ์ จึงได้แต่เอื้อมมือไปกุมมือบางที่เกาะอยู่ริมขอบระเบียง และบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจน้องน้อย

“ยังมีพี่อีกคนนะอรุณ”

“ครับ”

“พรุ่งนี้พี่จะเดินทางแล้ว”

“ครับ”

“อีกเก้าเดือนนะถึงจะกลับ”

“ครับ”

“รอได้ไหม รอพี่นิดได้ไหมคะ”
 
“อรุณ พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ ขอเพียงอรุณรับปากว่าจะรอพี่”

“...................................”

“ครับ ผมจะรอคุณชาย”


พี่ยอมรับว่าก่อนหน้าความผูกพันที่มีให้น้องน้อย เป็นเพียงความเอ็นดูในความอ่อนโยน น่ารักสดใสของ ‘มดตัวเล็ก’ ที่เฝ้าคอยตามติดเป็นเพื่อนเล่นสมัยเยาว์วัย

ก่อนหน้าที่ใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังในต่างแดน แม้จะมีคนอื่น ๆ ที่ผันผ่านเข้ามาในชีวิต ให้ได้รู้จัก และเรียนรู้ความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ

แต่หัวใจก็ไม่เคยประสบพบ ‘ความรัก’ อันเที่ยงแท้
จนกระทั่งได้กลับบ้าน จึงได้ตระหนักถึง


สายตา ที่หัวใจรักเฝ้าหลงใหลใฝ่หา

น้ำใจ ที่เปี่ยมล้นประทับจิตตรึงตรา

หัวใจ ที่แสนอ่อนโยน ละมุนละไม


ทั้งหมดนั้นได้หล่อรวมกับความรักความพันผูกที่ยึดเหนี่ยวหัวใจไว้ จึงได้รู้ว่าคนคนนั้นที่เฝ้าใฝ่ฝันถึงคะนึงหา กลับกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และเป็น ‘ของรัก’ ของตัวเองที่เฝ้าถนอมอยู่ตั้งแต่ต้น

ความรักน้องน้อยแต่ดั้งเดิม จึงแปรเปลี่ยนเป็น ‘ความรัก’ ที่เปี่ยมล้นอยู่ภายในหัวใจ
ถึงตอนนั้น ‘คำมั่น’ ที่ให้ไว้ ว่าจะรอคอย ในใจของใคร ‘อีกคน’ อาจมิได้หมายความรวมถึงรอคอย ‘ความรัก’ ของผู้ชายคนนี้
 
แต่ในวันนี้ เวลานี้ พี่อยากเฉลยความนัยของคำวิงวอน ร้องขอในวันนั้น
 
‘ขอให้อรุณรอคอยความรักของพี่ได้ไหม’

ความรักที่เสมือน ‘ฝน’ ที่ตกตอนหน้าแล้ง โอบอุ้มดวงใจที่เคยแหลกสลาย และทำให้ตระหนักว่ามิได้เหลือเพียงตัว ‘คนเดียว’ แต่ยังมีใคร ‘อีกคน’ ที่ให้รัก

จึงปรารถนาเพียงถามว่า
‘หัวใจอีกดวงนั้น มีกันและกันบ้างหรือไม่’

ความรักที่เสมือน ‘สายรุ้ง’ ทอแสงหลากสีสดใสงดงาม ผ่อนคลายความเศร้าเสียใจให้เบาบางลง เติมเต็มความอบอุ่นลงในเนื้อหัวใจ

จึงปรารถนาเพียงถามว่า
‘หัวใจอีกดวงนั้น มิพร้อมจะยอมรับการเติมเต็มจากหัวใจที่ฝากไว้บ้างหรือ’
 
ความรักที่เสมือน ‘ลมหนาว’ ที่พัดผ่านมาในช่วงหน้าร้อน ความมหัศจรรย์ของเสียงกระซิบเพียงแผ่วเบากับรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานที่ติดตราตรึงใจ

จึงปรารถนาเพียงถามว่า
‘หัวใจอีกดวงนั้นตระหนักรู้ถึงความรัก ห่วงหา อาทร ที่เฝ้าเพียรส่งไปมากน้อยเพียงใด’

ความรักที่เสมือน ‘ความแข็งแกร่ง’ ที่หวนกลับมาเพิ่มเติมแรงใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นกลับคืน โดยจะพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยหัวใจรักและการกระทำ

จึงปรารถนาเพียงถามว่า
‘หัวใจอีกดวงนั้น พร้อมที่จะเปิดรับการพิสูจน์ครั้งนี้หรือยัง’
 
ตอนนี้ตัวพี่เองเหมือนคนกำลัง ‘มีรัก’ ซึ่งนับวันยิ่งถลำลึกลงสู่ห้วงความปรารถนาอันลึกซึ้ง และไม่ว่าวันใดก็มิอาจมีสายตาทอดมองเห็นผู้ใดได้อีกต่อไป ในหัวใจรักดวงนี้

จึงปรารถนาเพียงถามว่า
‘หัวใจอีกดวงนั้น ยังพอปันแบ่งเสี้ยวเล็ก ๆ ให้กับคนคนนี้ได้บ้างไหม’
 
เมื่อปิดผนึกซองและส่งจดหมายฉบับนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกคงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ‘คาดหวัง’ แม้ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เมื่อเลือกแล้ว เลือกที่จะสัตย์ซื่อกับความรู้สึกของตัวเอง

เพราะมันไม่สามารถปกและปิด เก็บและกด หัวใจที่ ‘มีรัก’ นี้ได้อีกต่อไป จึงยอมรับผลแห่งการกระทำครั้งนี้ ไม่ว่าเจ้าของหัวใจจะตัดสินตอบรับความรักนี้ไว้ หรือปฏิเสธหัวใจรักคืนมาก็ตาม แต่ขอเพียงตระหนักว่าดวงใจที่ฝากไว้นั้น ยังจงรักและภักดีต่อเจ้าของเพียงคนเดียวเสมอ... ชั่วนิรันดร์

ด้วยรักและเฝ้ารอ
เกิ้ง


#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; LOST 13.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 13-01-2018 12:56:29
Just…Lost;

๖. หลงทาง




เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ
 
พี่รู้แล้วว่าการรอคอยที่สุดแสนจะทรมานนั้นเป็นอย่างไร

ชั่วระยะเวลาเพียงเดือนเศษที่เฝ้ารอคอยจดหมายตอบกลับด้วยความคาดหวัง คาดหวังเพียงจะได้รับคำตอบ และตั้งมั่นว่าไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไรตัวพี่ก็น้อมรับเสมอ

แต่เมื่อไม่มีคำตอบใด ไม่มีแม้แต่จดหมายที่เคยส่งมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ ‘บ้าน’ ยิ่งทำให้พี่ยิ่งตระหนักชัดแจ้ง

คงสายไปแล้วสินะ... สายไปที่จะมาวิงวอน ร้องขอ ‘ความรัก’ ของใคร ‘อีกคน’

ในตอนนี้ ตอนที่อะไร อะไร คงจะแปรเปลี่ยนไปสิ้นแล้ว
ชายหนุ่มที่ภาคภูมิทรงเสน่ห์คนนั้น คงมิใช่ ‘มดตัวน้อย’ ตัวเดิมของพี่อีกแล้ว

‘ของรัก’ ที่คงมิมีวันเป็นของของพี่อีกต่อไป

คงทำได้แต่โทษตัวของตัวเองที่ปล่อยปละเวลาให้ล่วงเลย มาพบ ‘ของรัก’ ตอนที่สายเกินไป

คงทำได้แต่โทษตัวของตัวเองที่ละเลยหัวใจตัวเอง ไม่กล้าแม้จะสารภาพความในใจที่ใจตัวเอง ทั้งที่แน่ชัดตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้า

คงเหมือนคน ‘หลงทาง’ ในทะเลทรายที่แห้งแล้งยิ่งนัก ‘ขาดน้ำ’ เป็นระยะเวลายาวนาน จนหัวใจ และสมองเริ่มไม่รับรู้ เฉยชากับความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อมาพบกับบ่อน้ำ กลางทะเลทราย เพียงแค่ได้กลิ่นไอแห่งความชุ่มฉ่ำ แม้ตระหนักในหัวใจว่าตัวเองต้องการเพียงใด แต่เมื่อเห็นว่าอยู่ไกลลิบสุดสายตาก็ทำให้มิกล้าคาดหวัง

จนเดินทางเข้ามาใกล้ชิด ยิ่งเพิ่มความหลงใหล โหยหา ปรารถนา ยิ่งเห็นคนอื่นชิดใกล้ รายล้อม ยิ่งทุรนทุราย กระหายความเย็นฉ่ำชื่นใจ ให้มาบรรเทาดับความร้อนรนในหัวใจ

จึงใช้แรงกาย และแรงใจที่มีเหลือเพียงน้อยนิดทุ่มเทไขว่คว้าเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ทุกอย่างที่เห็น ทุกอย่างที่คาดหวัง ก็มลายสิ้นลงไปตรงหน้า คงโทษใครไม่ได้จริง ๆ นอกจากตัวเอง

พี่ตระหนักแจ้งแก่ใจแล้ว ว่าควรจะยืนอยู่ ณ ตำแหน่งใดในชีวิตของคนที่พี่รัก
พี่รู้แล้วว่ามิได้รับความรักตอบ

แต่ขอเพียงให้รู้ว่าหัวใจดวงนี้ก็ยังคงจงรักต่อเจ้าของอย่างสัตย์ซื่ออยู่นั่นเอง และขอเพียงฝากเอาไว้เพียงเท่านั้น

มิต้องตอบคำถามใด ๆ ของคนขลาดเขลาคนนั้นแล้ว คนคนนั้นยอมแล้วทุก ๆ อย่าง
ขอเพียงความสัมพันธ์ที่จะคงไว้ ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามแต่จะกรุณา

จึงได้แต่วิงวอน
 
แม้ทุก ๆ อย่างสายเกินไป แม้มิมีวันได้สมดังใจปรารถนา
ขอเพียงตอบจดหมายของพี่นะคะ อรุณ

ตัวพี่คงคล้ายคน ‘หลงทาง’ จริง ๆ เพราะก่อนนี้ ก่อนที่จะได้กลับบ้านของเรา เคยมีความคิดว่าอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ อาจจะเพราะระยะเวลาเกือบสิบห้าปี และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามความศิวิไลซ์ รวมถึงวัฒนธรรมการดำรงตนในสังคมที่กลืนกินความรู้สึกนึกคิดในแบบฉบับของ ‘บ้าน’ เราเกือบหายไปสิ้น
 
แต่แรกมาก็ได้มาพักพิงกับท่านอา เรียนรู้การใช้ชีวิตที่แตกต่าง เรียนรู้ภาษาวัฒนธรรมแบบตะวันตก และเข้าสู่การเรียนรู้ในระบบการศึกษาเฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่นี่

เมื่อท่านอาเธอเสด็จนิวัตเมืองไทยก็ต้องเข้มแข็งยืนหยัดโดดเดี่ยว แต่ด้วยมิตรสหายที่มี เริ่มก่อเกิดมิตรภาพที่ดีต่อกัน ก็ทำให้เริ่มมีสังคม ได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมตะวันตก ได้ท่องเที่ยว ได้ทำงาน และซึมซับความเป็นตะวันตกมากขึ้น

แต่อย่างไรเราก็ยังคงเป็นคนอื่นที่เพียง ‘หลงทาง’ ผ่านเข้ามาก็เท่านั้น แม้ได้รับการยอมรับในสังคมอย่างเท่าเทียมในโลกเสรี แต่ในใจกลับรู้สึกขาดหายความเป็นตัวตนของตนเอง

จนได้กลับบ้านของเรา
จึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณของตัวเองที่หายไปนั้นอยู่ที่ใด

นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบพื้นแผ่นดินแม่ ในความรู้สึกก็เต็มตื้นยิ่งนัก ยิ่งได้สัมผัสผู้คนชิดใกล้ถึงความโอบอ้อมอารี มิตรไมตรีที่อ่อนโยนประทับจิต ในรูปแบบความสัมพันธ์ต่าง ๆ นานา ที่พันผูกหลอมรวมจิตใจในแบบฉบับของคนไทย
 
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาเพียงไม่นานที่ได้อยู่บ้านเกิด แต่ก็ทำให้เลือดที่อยู่ในกายสัมผัสได้ว่าตัวเองนั้นเป็นคนแห่งแผ่นดินผืนใด

แม้ชาติศิวิไลซ์จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ศิลปวิทยาต่าง ๆ ให้
แต่ชีวิตที่เหลือนั้นกลับพร้อมยอมพลีเพื่อทำนุบำรุงสร้างประโยชน์ ณ ผืนแผ่นดินเกิด ซึ่งจะเป็นแผ่นดินที่จะพลีกายฝังร่าง เพื่อทดแทนคุณแห่งแผ่นดินแม่
 
แม้ตอนนี้หัวใจจะอ่อนแรงนักเนื่องจากประจักษ์ว่าสิ่งที่ปรารถนาคงมิได้เป็นดังหวัง แต่จุดหมายปลายทางแห่งชีวิตนั้นนับวันยิ่งแจ่มชัด เริ่มเห็นหนทางกลับแผ่นดินแม่ แผ่นดินของเรา ซึ่งตัวพี่ยังคงเฝ้านับวันรอคอยที่จะหวนกลับไปตอบแทนคุณแผ่นดิน

หวังว่าทุกคนที่ ‘บ้านเรา’ จะสบายดี
ปรารถนาให้ ‘มดตัวน้อย’ มีความสุข สดใสดังเดิม

ขอเพียงแบ่งปันรอยยิ้มเสียงหัวเราะของน้องน้อยของพี่ ผ่านตัวอักษรบอกเล่าเรื่องราวมาบ้าง แม้จะเป็นเรื่องราวของคนที่อรุณ ‘พึงใจ’ พี่ก็ยินดีที่จะรับรู้ ว่ามีน้ำตาลอันชิดใกล้นั้นทำให้ ‘มดตัวน้อย’ ของพี่ อิ่มเอม ติดใจในความอ่อนหวานพียงใด

ขอเพียงเศษเสี้ยวแห่งความกรุณาที่ขอแบ่งปันให้คนไกลได้บรรเทาคลายความคิดถึงที่กัดกร่อนเนื้อหัวใจ จวนเจียนจะสิ้นแรง
 
ด้วยรักและคิดถึง
เกิ้ง









วังศศิธร
เรียน คุณชายศศินกุล
 
ทุก ๆ คนที่วังศศิธรสบายดีครับ

ชีวิตความเป็นอยู่แห่งแผ่นดินแม่ที่เรียบง่าย สบาย ๆ ดุจเดิม คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยหลงรักประเทศนี้ จึงไม่น่าแปลกที่คนไกลบ้านจะหวนคำนึงคิดถึงบ้านมากนัก ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ความรู้สึกบางอย่างอาจเกิดความสับสนไปบ้าง

ตอนนี้ที่วังก็ดูวุ่น ๆ เมื่อท่านอาขอให้ช่วยดูแลเรื่องอาหารเลี้ยงแขกในงานแสดงดนตรีของท่าน ที่เลี้ยงรับรองแขกบ้านแขกเมืองจำนวนไม่น้อย หากแต่แม่แพรวก็เต็มใจจะรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ในครั้งนี้

เห็นทีก่อนคุณชายกลับมา อาจลองศึกษาเรื่องธุรกิจการจัดเลี้ยงมาบ้างน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะดูเหมือนรากฐานทางด้านนี้ที่แม่จ๋าวางเอาไว้กลายเป็นทักษะความสามารถซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของวังศศิธรเลยทีเดียว
 
หากแขกที่จะรับเลี้ยงในงานครั้งนี้เป็นชาวต่างชาติโดยส่วนใหญ่ จึงทำให้ต้องเข้าไปช่วยในโรงครัวปรับเรื่องรสชาติอาหารให้ถูกปากลูกค้ากันบ้าง แต่หน้าที่ในการชิมก็ส่งผลทำให้น้ำหนักดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไปด้วยในตัว

โชคยังดีที่คู่หูคู่เดิมที่เป็นหุ้นส่วนเปิดกิจการร้านขนม เจ้าจ้อยและนายกรอบยังไม่ทิ้งกัน เมื่อแบ่งกันชิม หารสามกันไปก็ทำให้น้ำหนักยังไม่เพิ่มมากมายนัก เพราะคงไปทดแทนส่วนที่ต้องเหนื่อยหนักไปกับการซ้อมดนตรีหามรุ่งหามค่ำกับท่านอา จนคุณก๋งแอบเคือง ๆ ที่ต้องกลับมาซ้อมดนตรีก่อนเวลาเลิกงาน แต่เพราะเกรงพระทัยท่านอาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก

อีกทั้งในช่วงหลัง คนที่คุณชายคิดว่าควรจะ ‘พึงใจ’ เธอก็มาช่วยแบ่งเบาภาระงานได้มากขึ้นพอสมควร เธอค่อนข้างเรียนรู้ได้รวดเร็ว ยิ่งสนิทกันมากขึ้นก็ดูเหมือนเธอจะช่างเจื้อยแจ้วเจรจามากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อคุยกันไปกันมาเธอดูเหมือนจะมีความสนใจในเรื่องอาหารอยู่พอตัวจึงได้เพื่อนชิมอาหารของแม่แพรวเพิ่มอีกหนึ่งคน

ถ้าจะให้เล่าเรื่องของเธอก็คิดว่าคงเล่าได้พอสังเขปดังที่กล่าวมา แต่ถ้าคุณชายโปรดที่จะทราบรายหยาบ รายละเอียดอื่น ๆ อีก ก็ขอให้รอกลับบ้านมาพบเธอด้วยตัวเองเถิด

ภาคการเรียนที่สองของเจ้าจ้อยเริ่มเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสองเดือนที่แล้ว กว่าจะเกลี้ยกล่อมลูกพี่ใหญ่ให้กลับไปเรียน ก็ต้องใช้วิธีทั้งปลอบทั้งขู่กันอยู่เป็นนาน เนื่องด้วยเจ้าตัวติดใจการปิดเทอมเป็นอย่างมาก

อาจเป็นเพราะเมื่อเทอมก่อนตอนพ่อแม่มาส่งเรียนที่เมืองหลวงยังไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จักในวังมากนัก เมื่อให้ไปโรงเรียนจึงตื่นเต้นยอมตามโดยง่าย แต่เมื่อเจ้าแสบเคยคุ้นผู้คนทั่วทั้งวัง แผ่ขยายแวดวงเพื่อนฝูงมากขึ้นจนกลายเป็นกองทัพเด็กเล็กวิ่งกราว ๆ ในสวนช่วงปิดเทอม จึงทำให้เจ้าตัวเกิดเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน ร้องไห้อืด ๆ อยู่นานกว่าจะเกลี้ยกล่อมกันได้ ถึงกระนั้นเมื่อไปเรียนได้เพียงไม่กี่วันก็ทำเรื่องให้ได้ปวดหัวอีก เมื่อเจ้าตัวอ้างว่าไม่สบายไม่ยอมออกจากห้องนอนเกือบอาทิตย์กันเลยทีเดียว กว่าจะสืบได้ความต้องรื้อค้นห้องหับกันเสียจนทั่ว กว่าจะเจอว่าเจ้าแสบแอบเอาลูกแมวมาเลี้ยงซ่อนไว้ในห้องนอน

“ไปได้มาจากไหน มันยังไม่ลืมตาด้วยนะ พรากแม่พรากลูกเขาทำไม” เจ้าแมวตัวสีเหลืองคลานสะเปะสะปะอยู่ในผ้าห่ม ร้องเสียงแหบแห้ง

“เปล่านะ แม่มันทิ้ง เจอมันที่หลังโรงครัว ร้องแทบแย่” เจ้าตัวดีหน้าเสีย เข้าไปอุ้มไว้ แมวตัวเล็กนึกว่าแม่จึงซุกไซ้หานม

“แล้วเราเป็นแม่มันหรือ เลี้ยงเป็นหรือไง ให้มันกินอะไร”

“ก็น้ำกับขนมหวาน แต่มันไม่ค่อยกิน” ถึงว่าตัวมันผอมกะหร่องปล่อยนานกว่านี้คงจะไม่รอด

“จะเลี้ยงก็ไม่ว่า มีอะไรก็บอกกันก่อน”

“เลี้ยงได้จริง ๆ หรือ” คนฟังหน้าเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ได้ เอามานี่ มีใครในวังมีลูกเล็กไหม”

“มีแม่แก้วเพิ่งคลอด เจ้ามะพร้าว น้องเจ้ามะขาม” รู้จักคนกว้างขวางจริง

“ไปขอปันนมเขามาสักถ้วยเถิด แล้วไปขอให้นายกรอบช่วยไปซื้อหลอดฉีดยาฝรั่งจากหมอฝรั่งมาด้วย”

“เอามาทำไมหรือ”

“ต้องป้อนนมมันนะ ตัวเล็กแค่นี้ยังกินอะไรไม่ได้หรอก”

“งั้นเดี๋ยวมานะ” เจ้าตัวส่งแมวน้อยมาให้และวิ่งออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว

เมื่อเจ้าตัวเล็กได้กินนมจนท้องใสก็หลับปุ๋ย จึงเริ่มสะสางคดีกันต่อ

“ขอโทษ”

“ถือว่าอย่างน้อยก็จิตใจดีรู้จักช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก”

“แต่เรื่องไม่ไปโรงเรียนคงต้องลงโทษกันบ้าง”

“ตัดค่าขนมเดือนนี้แล้วกัน จะเอาไปซื้อนมผงให้เจ้าตัวเล็กนี่” จำเลยได้แต่พยักหน้ายอมความแต่โดยดี

“แล้วมันมีชื่อหรือยัง ให้เรียกว่าอะไร”

“เจ้าเสือน้อย” เสือเลยกระนั้นหรือ คงเพราะสีขนของมันสีเหลืองสลับกับสีขาวเป็นแนวยาวตามลำตัว แลไปก็คล้ายเสือจริง ๆ จึงได้เลี้ยงเสือในวังกันเลยทีเดียว

“อย่างไรคราวหน้าคราวหลังมีอะไรก็บอกกันก่อน อย่าคิดไปเอง ทำไปเอง รู้ไหม”

“จากที่ดูเหมือนช่วยก็อาจจะไปทำร้ายคนอื่นได้”

“เราอยู่บ้านเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน”

“ถ้าช่วยกัน ทุกอย่างมันจะไม่สายเกินแก้ไขหรอก รู้ไหม”

“ครับกระผม” และในใจก็เชื่อมั่นศรัทธาอย่างนั้นจริง ๆ



‘ทุกปัญหามีทางออกเสมอ มิมีอะไรที่สายจนเกินไป’
แค่เพียงแต่ว่า

พยายามมากพอแล้วหรือยัง
ให้เวลากับมันมากเพียงพอแล้วหรือยัง

บางปัญหา บางความรู้สึก บางความสัมพันธ์ มิอาจแก้ได้เพียงแค่ถ้อยคำในตัวอักษร
หากคงต้องอาศัยเวลา และการกระทำเพื่อพิสูจน์ความสัตย์ซื่อบ้างก็เท่านั้น

เมื่อเขียนจดหมายฉบับนี้เจ้าเสือน้อยก็โตขึ้นมากแล้วเริ่มเล่นซนไปทั่ววังกับเจ้าของของมัน การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นการสอนเด็กให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นในทางหนึ่ง เจ้าจ้อยก็ดูจะโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งความคิดความอ่าน และมีเหตุผลมากขึ้น

จนกระทั่งวันนี้เองเจ้าเสือน้อยได้ ‘หลงทาง’ หนีหายไป เจ้าของออกตามหาแล้วหาเล่าก็ยังไม่พบ ดีที่พูดกันรู้เรื่องให้หยุดตามหาตอนพลบค่ำ โดยรับปากไว้ว่าพรุ่งนี้จะเกณฑ์คนช่วยกันค้นหาให้ทั่ววังอีกรอบ

แต่เจ้าของก็ยังคงแอบร้องให้น้ำตาซึม จึงให้ขึ้นมานอนหน้าเตียงที่ห้องนอนชั่วคราว และให้กำลังใจกันพักใหญ่ กว่าจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

บางครั้งที่เจ้าแมวตัวน้อยที่ ‘หลงทาง’ หนีหายไป อาจมีเหตุ
เพราะตามธรรมดา มิมีใครอยากพรากจากเจ้าของของตน

เพียงแต่
อีกฝ่ายอาจมีเหตุผลของการกระทำดังกล่าว

เรามักคิดว่า
ฝ่ายที่เฝ้าคอยเฝ้าตามหานั้นจะต้องทนเจ็บปวดเสียน้ำตาที่ ‘ของรัก’ ห่างหายไป

โดยหลงลืมไปว่า
ฝ่ายที่ 'หลงทาง' หายหนีไปนั้น ต้องเจ็บปวด อ้างว้าง รวดร้าวเพียงใด เมื่อต้องเป็นฝ่ายจำฝืนลาจาก

เพราะเรื่องบางเรื่อง แม้หัวใจจะจงรักและภักดีปานใด
แต่เมื่อเห็นเส้นทางระหว่างเรา

ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ
 


#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; FOUND 14.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 14-01-2018 10:26:41
Just...Found;

๗. เจอของสำคัญ



เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ


ขอบคุณครับ
พี่ดีใจมากที่ได้รับจดหมายจากเมืองไทยอีกครั้ง เสมือนได้เจอของสำคัญยิ่งในชีวิตที่หล่นหายไป

อรุณรู้ไหม เพียงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ร้อยเรียงเป็นตัวอักษรเขียนลงมาในจดหมายก็สามารถปลอบประโลมหัวของคนไกล ให้มีแรงใจที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายหลายหลากในต่างแดน และเฝ้ารอคอยเพียงวันเวลาที่จะได้กลับ 'บ้านของเรา'
 
เรื่องคิดถึงบ้านมากมายนั้นพี่ไม่ปฏิเสธ จะเรียกว่า Home Sick ตามแบบฝรั่งก็ได้ แต่อาการนี้ได้ห่างหายไปนาน สำหรับคนที่เสมือนจะเคยคุ้นชีวิตต่างแดนมากกว่าบ้านเกิดของตนเช่นพี่ จึงมิได้ส่งผลต่อหัวใจเท่าใดนัก เพียงแต่เฝ้าเร่งวันเร่งคืนเพื่อจะกลับไปพบ 'ของรัก' เสียมากกว่า

ดังนั้นจึงขอยืนยันว่า มิใช่ความรู้สึกสับสนในหัวใจแน่ชัด
หากแต่เป็น 'ความรัก' อันลึกซึ้งที่พร้อมรอการพิสูจน์นั่นเอง

ระยะเวลาเกือบสามเดือนที่กลับบ้านของเรา แม้เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น และแทบนับครั้งที่ได้พบ แทบจะนับถ้อยคำที่ 'อีกคน' เอื้อนออกมาได้

แต่พี่ก็มั่นใจนักว่าความรู้สึกที่มี มิมีวัน และไม่มีทางเป็นเพียงความสับสนไปได้

ด้วยสายตาคู่นั้นที่ทอดมองมาตั้งแต่วินาทีแรก
ด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำแต่ชี้ชัดถึงความห่วงหา อาทร
ด้วยความเอาใจใส่ที่รับรู้ได้ด้วยการกระทำมิใช่เพียงคำพูด
ด้วยแรงใจที่ส่งมาให้อย่างสม่ำเสมอ และแรงกายที่ยืนหยัดเคียงคู่

ทำให้พี่ 'รู้' ว่าความทรมานเพราะอาการ Home Sick ช่างเล็กน้อยเบาบาง ถ้าเปรียบกับความทรมานเพราะความคิดถึง 'ดวงใจอันเป็นที่รัก' ของพี่

แม้ตลอดสามเดือน โอกาสที่จะก้าวข้ามผ่านกำแพงที่มดตัวน้อยคอยหลบซ่อน ก็เห็นจะมีเพียงคืนสุดท้ายก่อนลาจากนั่นเอง
 
แม้ไม่มีถ้อยคำใดเป็นคำมั่นนอกจาก
"ผมจะรอคุณชาย"

แต่

ด้วย 'ภาษากาย'
ที่สื่อตรงผ่านดวงจิต

ด้วย 'สายตา' หน้าต่างแห่งดวงใจ
ที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ห่วงหา อาวรณ์

ด้วย 'สองมือ' สื่อสัมผัสอันอบอุ่น
ที่เกาะกุมส่งผ่านแรงกาย แรงใจ ให้กล้าแกร่ง เข้มแข็ง

ด้วย 'สองร่าง' อิงแอบแนบชิดกันจวบจนฟ้าสาง
ที่แบ่งปันรสสัมผัสแห่งไออุ่น ที่เฝ้าคะนึงหามาตลอดภายในหัวใจ

ด้วย 'จุมพิต' หวานล้ำรับอรุณรุ่งที่ฝากฝังไว้ก่อนลาจาก
ที่จารเจียร ตราตรึงลงในเนื้อหัวใจ ให้ยิ่งหลงใหลใฝ่ฝันหา

ทั้งหมดผูกมัดให้พี่ยังคงตั้งมั่นในคำสัญญาที่ได้ให้ไว้
'พี่จะรีบกลับให้เร็วที่สุดนะคะ คนดีของพี่'

เนื้อความบางส่วนในจดหมายสื่อสารความน้อยใจที่ชัดแจ้ง คนดีพี่มิได้อยากได้ใคร่รู้เรื่องราวของคนหนึ่งคนใดเป็นพิเศษจริง ๆ แต่ยอมรับโดยดีว่า อยากทราบเพียงมีใคร คนอื่น คนใด ที่จะมาสั่นคลอนหัวใจรักที่พี่ฝากไว้หรือไม่ เนื่องด้วยตัวอยู่ไกลแสนไกลนัก จึงหวั่นน้ำตาลมากมายที่รายล้อมชิดใกล้

พี่ผิดหรือที่หึงและหวง 'ของรัก' ยิ่ง
พี่คงไม่เห็นแก่ตัวถึงขั้นจะหวงห้าม กีดกันความสัมพันธ์กับใครอื่น
 
ขอเพียง...ตระหนักรับรู้ถึงหัวใจรักที่พี่ฝากไว้
ขอเพียง...อย่าด่วนตัดสิน มอบหัวใจรักให้แก่ผู้ใด
ขอเพียง...ยืดตามคำมั่นที่ให้ไว้ว่าจะรอคอยผู้ชายคนนี้
ขอเพียง...โอกาสให้ ผู้ชายคนนี้ได้กลับไปพิสูจน์ถึงหัวใจรัก

แล้วเมื่อถึงเวลานั้น
ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร
ไม่ว่ามดตัวน้อยของพี่จะเลือกใคร

พี่ก็พร้อมที่จะยอมรับ

และไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปเช่นไร
หัวใจรักที่เฝ้าฝากฝังไว้ ก็จะคงจงรักและภักดีตลอดกาล

ย่างเข้าสู่ภาคการเรียนสุดท้าย ตอนนี้พี่อยู่ในช่วงการเตรียมตัวรับการสอบทานความรู้ และนำเสนอวิทยานิพนธ์ในครั้งสุดท้าย จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะผ่านช่วงการจัดทำข้อมูล รวบรวมวิเคราะห์ สรุปเนื้อหาความรู้ทั้งหมดแล้ว จะว่ายากก็ยากยิ่งที่ต้องประมวลทั้งหมดลงในสมอง โดยมิใช่เพียงแต่ความจำ หากแต่เป็นความเข้าใจลึกซึ้ง ที่ต้องสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง กับบริบทใด ๆ ก็ตามที่จะประสบพบเจอในภายภาคหน้า

ยิ่งเรียนสูงขึ้นเพียงใด การเรียนก็จะเป็นเพียงการศึกษาวิจัยถึงกรอบวิธีคิด ถ้าจะอธิบายให้กระจ่างมากขึ้น ก็เป็นเพียงการเรียนรู้วิธีการที่จะได้มาซึ่งความรู้นั่นเอง เรียนรู้ว่าถ้าวันหนึ่งวันใดเราเกิดมีความสงสัยใคร่รู้เรื่องราวใดมากเป็นพิเศษ จะสามารถเรียนรู้ ค้นคว้า พินิจพิเคราะห์ ตัดสิน และสรุปความรู้ใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้โดยวิธีการใด

ในช่วงเวลานี้ จึงต้องใช้เวลา และความพยายามอย่างมากในการทบทวนความรู้ความเข้าใจที่มีทั้งหมด แต่ด้วยแรงใจที่ถูกส่งมาจากดินแดนอันห่างไกล ประกอบกับความคิดถึง และคะนึงหายิ่งนัก จึงเป็นทั้งกำลังใจ และแรงผลักดันอย่างดีให้พี่ก้าวเดินต่อไปสู่จุดหมายที่ฝันไว้
 
เพื่อให้สักวันหนึ่งจะได้ก้าวไปสู่หลักชัย ที่หัวใจปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องการศึกษากิจการจัดเลี้ยงของวังศศิธรนั้น พี่คิดว่าน่าสนใจดีเหมือนกัน จึงแอบเลียบ ๆ เคียง ๆ ศึกษาจากภัตตาคารที่นี่ไปบ้าง ถ้าพอมีเวลาจะลองไปลงคอร์สสั้น ๆ ดูสักครั้ง เพราะด้วยความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทำให้ใครบางคนได้มีความสุข และได้ทำในสิ่งที่มดตัวเล็กชื่นชอบจริง ๆ

ดังนั้นถ้าจะเปิดกิจการร้านขนมจริงดังที่เล่ามา ก็ขออย่าได้ลืมหุ้นส่วนอีกคนที่อยู่ห่างไกล พี่ขอสมัครงานไว้ล่วงหน้า โดยพร้อมจะรับหน้าที่ขอดูแลหัวใจเจ้าของกิจการ ด้วยคุณสมบัติในด้านของความรักที่มีให้ ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครแน่ ๆ พี่รับรองด้วยชีวิต

โดยปกติเส้นทางแห่งการดำเนินชีวิตนั้น มักมีทางแยกมาให้เราเลือกเดินอยู่เสมอ ตัวพี่ก็เช่นกันที่เคยเสมือนหลงทางอยู่นาน จนกระทั่งได้ 'เจอของสำคัญ' ที่ตัวเองเคยทำหล่นหาย ก็เสมือนได้พบจุดมุ่งหมายและทางกลับ 'บ้าน'

คำว่า 'บ้าน' สำหรับใครหลายคนอาจจะเป็นเพียงคำธรรมดา ๆ แต่คำว่า 'บ้าน' สำหรับพี่ไม่ได้หมายถึงเพียงเรือนพักกาย เรือนพักใจเท่านั้น แต่หมายรวมถึงที่ ที่มีคนที่เรารัก มีครอบครัวของเราอยู่ร่วมกัน และรู้ไว้เถิดว่า 'บ้าน' ของพี่นั้นมิใช่เพียงสถานที่ แต่เป็นทุกที่ ที่จะมีคนรักอยู่อยู่เคียงใกล้

ดังนั้นในหัวใจของพี่ 'อรุณ' จึงเป็นบ้าน 'บ้าน' ของเราสองเสมอมา

แม้พี่รู้แจ้งว่ามิง่ายนักที่จะได้ 'บ้าน' หลังนี้มาครอบครอง ยิ่งเส้นทางที่จะก้าวเดินยิ่งดูเหมือนยากยิ่งที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะชีวิตจริง ที่มิได้มีเพียงเราสอง

เมื่อประจักษ์แจ้งในดวงใจว่า 'ของรัก' 'ของสำคัญ' ของชีวิต คือสิ่งใด และคือใคร
ก็ขอให้เชื่อมั่นในตัวพี่

แม้เส้นทางระหว่างเรา อาจมิได้บรรจบพบกันง่ายดายเหมือนดังคู่อื่น ๆ
แต่ขอให้มั่นใจว่า พี่จะสมัครคอยอยู่เคียงข้าง ก้าวเดินอยู่เคียงคู่
ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่มี

รอพี่นะคะคนดี
เกิ้ง







วังศศิธร
เรียน คุณชาย

ในที่สุดก็พบ 'เจ้าเสือน้อย'
หลังจากที่ตามหากันอยู่ครึ่งค่อนวัน จนทุกคนเริ่มอ่อนระโหยโรยแรงต้องนั่งพักเหนื่อยกันใต้ร่มไม้ แล้วอยู่ ๆ แมวตัวเล็กก็เดินเฉิดฉายออกมาจากที่ใดไม่มีใครทราบ เจ้าตัวน้อยส่งสายตามองอย่างประหลาดใจว่าคนเกือบทั้งวังมากมายมานั่งรวมตัวกันทำไม
ไม่รู้ว่ามันบริสุทธ์เสียจนไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือเจ้าเล่ห์เหลือคณา ที่หลอกให้เราเฝ้าห่วงเสียเหลือเกิน แต่ที่แน่ ๆ คือ เจ้าจ้อยถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างลืมอาย

จึงได้รู้ว่าความรู้สึกที่ได้ 'เจอของสำคัญ' อีกครั้งคงมีความรู้สึกเฉกเช่นนี้เอง กระมัง
เจ้าของที่ดูเหมือนเก็บอาการ และแข็งแกร่งอย่างยิ่งในขณะคอยเฝ้าตามหา กลับอ่อนไหวอย่างยิ่งเมื่อได้พบสิ่งที่ปรารถนาสมใจ จึงทำให้ยิ่งอัศจรรย์ใจ ในความซับซ้อนหัวใจของมนุษย์

เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจอีกประการ คือ ทั้ง ๆ ที่ 'เจ้าเสือน้อย' ห่างหายไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แต่เมื่อกลับบ้านมากลับดูเติบโต และแข็งแกร่งขึ้นมากมายนัก เหมือนมิใช่ลูกแมวที่ขี้เล่นซุกซน ช่างอ้อนช่างประจบคนโน้น หยอกล้อคนนี้เช่นเดิม ไม่คาดคิดว่าเวลาเพียงคืนเดียวจะทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงนี้เชียวหรือ

เมื่อกลับมา 'เจ้าเสือน้อย' มันยอมให้เจ้าของแท้จริงเพียงคนเดียวของมัน สามารถโอบอุ้ม ปลอบประโลมได้แต่เพียงคนเดียว มันมิยอมเข้าใกล้ใครอื่น ได้แต่ขู่ฟ่อใส่ผู้คนที่รายล้อม ต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวในการทำความคุ้นเคย ถึงจะลูบหัวมันเบา ๆ ได้อีกสักครั้ง

แต่ถึงกระนั้น ในทีท่าที่แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวของเจ้าแมวตัวเล็ก กลับพบอาการสั่นไหว ตื่นกลัว และหวาดระแวงอย่างที่มิเคยพบก่อนหน้า คงจะเป็นจริงอย่างที่เคยเล่า
มิใช่เพียงเจ้าของที่ต้องฝืนทนเพียงผู้เดียว หากแต่อีกฝ่ายคงเจ็บปวดทรมานมิแพ้กัน

เวลานำมาทั้งการพบพาและลาจาก
เวลานำพามาทั้งความสุขและทุกข์ใจ
เวลามักทำให้อะไร ๆ หลายอย่างแปรเปลี่ยน

และเวลาก็ทำให้เจ้าแมวตัวเล็กเปลี่ยนแปลงไป ไม่รู้ว่าเพียงคืนเดียวที่ผ่านพ้น มันประสบพบเจออะไรมาบ้าง

เฉกเช่นเดียวกันกับหนทางบางเส้นทางที่แยกจากกันมานาน และห่างกันแสนไกล ใครเลยจะรู้ว่า เวลาที่ผันผ่านจะทำให้แต่ละคนประสบพบสิ่งใดมาบ้าง

แม้ตลอดมาเรามักตะหนักและเชื่อมั่นในดวงหทัยของตน แต่วันเวลา ก็ผันแปรความรู้สึกบางอย่างเข้ามาปะปน ความเหงา ความว้าเหว่ ความน้อยใจ และความทรมาน บางครั้ง บางทีมันห้ามความรู้สึกอ่อนไหวพวกนี้ได้ยากยิ่ง มันทำให้ความรู้สึกบางส่วนในหัวใจอ่อนแอ ในขณะเดียวกันก็สร้างให้บางส่วนในหัวใจนั้นแข็งกร้าวขึ้น ลึกลับซับซ้อนมากจน จนใจตัวเอง

จึงมิกล้า ให้คำสัตย์สัญญาใด ๆ กับความรู้สึกแท้จริงในหัวใจตน เพราะคงยากยิ่งที่จะบังคับ ฉุดรั้ง ผูกมัดไว้กับความรู้สึกใด ความรู้สึกหนึ่งได้ เมื่อวันเวลาแปรเปลี่ยน และยิ่งมิกล้าจะวาดหวังให้ความรู้สึกฉาบฉวยของใครอื่นให้คงทนอยู่ได้ เพราะเหลือคาดเดาว่ากาลเวลาอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไปบ้าง

คุณก๋งเธอเพียรถามมาหลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาของคุณชาย และเปรยเสมอ ๆ ว่าอยากวางมือให้หลานชายของเธอได้สืบทอดกิจการเสียที จึงอยากให้คุณชายรู้ว่าคนทางนี้เฝ้าเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่ถ้าเหนื่อยนัก หนักนัก ก็ขอให้พักผ่อนเสียบ้าง

ในเรื่องกิจการร้านขนมนั้นก็เพียงแต่เล่าให้ฟังเล่น ๆ ด้วยนึกสนุกแต่เพียงเท่านั้น มิได้หวังอะไรจริงจังมากมาย แต่ถ้าเพียงคุณชายจะศึกษาเล่นเพื่อการพักคลายบ้างก็ฟังดูน่าสนุกมิใช่น้อย

ดังเช่นตอนนี้หลังจากงานแสดงดนตรีของท่านอาเสร็จสิ้น ก็มีกิจกรรมเข้ามาให้ได้รับบทบาทใหม่เพิ่มเติมอีก เมื่อหม่อมพรรณรายเธอชื่นชมฝีมือการเล่นดนตรีซึ่งอันที่จริงแล้วจะเรียกว่าพอได้บ้างก็เท่านั้น แต่เธอก็ยังมาทาบทาม และฝังฝากคุณหญิงแพรมาฝึกปรือทักษะเพิ่มเติม เพื่อเตรียมแสดงในงานวันเกิดของเธอเอง
 
เธอจึงมาเป็นแขกประจำที่วังในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในผ่านมา ซึ่งดูเหมือนเจ้าจ้อยและเสือน้อยก็ดูจะเข้ามาเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุย และเข้ากันได้เป็นอย่างดี เพราะอย่างนี้กระมังเธอจึงดูสดใสขึ้นมากในช่วงนี้ และทำให้วังอันสงบเงียบ ดูสดใสตามเธอไปด้วย

หากเพียงแต่คนอื่นยังเข้ามาเติมชีวิตชีวาให้กับวังได้มากมายขนาดนี้ จึงคิดว่าถ้าวันหนึ่งเจ้าของกลับ 'บ้าน' เสียที 'บ้าน' ก็คงเต็มไปด้วยความหมายมากยิ่งขึ้น

แต่ดังที่เรียนไว้ก่อนหน้า แม้มิกล้าให้สัตย์สัญญาว่าทุก ๆ อย่างจะเหมือนเดิม อีกทั้งมิได้คาดหวังในหัวใจของใครคนอื่น เฉกเช่นเดียวกัน แต่จะยังคงรักษาสัจวาจาที่ให้ไว้

ถ้าจะให้รอก็จะเฝ้ารอ
เพราะไม่ว่าอย่างไร 'บ้าน' นั้น ก็ยังคงเฝ้ารอเจ้าของอยู่ ณ ที่เดิมเสมอ

ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; BECOME 15.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 15-01-2018 09:48:22
Just…Become;
๘. กลับกลาย
 
เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ

‘วันเวลาที่ผันผ่านทำให้หลายสิ่งแปรเปลี่ยน’ สำหรับตัวพี่เอง ครั้งหนึ่งวันเวลาก็เคยทำให้ภาพความทรงจำบางส่วนในอดีตนั้นรางเลือน และปล่อยปละละเลยให้สายสัมพันธ์ในครั้งเยาว์วัยระหว่างเราให้เบาบางลงทุกที
 
อย่างที่เคยเล่าไว้ในฉบับก่อนหน้า ว่าพี่มิได้คิดจะโทษใครนอกจากตัวของตัวเอง แม้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ดังใจนึก จึงได้แต่เฝ้าปฏิญาณไว้ในใจว่าจะไม่มีทางปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก

ขอย้ำอีกครั้งว่า พี่มิได้ต้องการให้ ‘คาดหวัง’ ให้เชื่อในถ้อยคำหรือตัวอักษร แต่วิงวอนขอเพียงให้เฝ้ารอ พี่จะรีบกลับไปพิสูจน์ทุก ๆ คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ‘การกระทำ’

เรื่องบางเรื่อง ความรู้สึกบางความรู้สึก ขอเพียงใช้หัวใจรับฟังเสียงภายในของตัวเอง ก็จะพบว่าความรักและความจริงใจนั้นสามารถถ่ายทอดผ่านได้โดยตรงจากใจถึงใจ และพี่เองก็เชื่อมั่นว่าเจ้าของที่ได้ครอบครอง ‘หัวใจรักที่พี่ฝากไว้’ นั้น ยังคงรักษาคำมั่นที่ให้ไว้โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายที่เล่าเรื่องราวความเป็นไปในวังศศิธรไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของท่านอา คุณก๋ง เจ้าจ้อย เจ้าเสือน้อย หรือคุณหญิงตุ๊กตานั่น ก็ตระหนักซึ้งในหัวใจว่าจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือ ‘บ้านของเรา’ เท่านั้น และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เดินทางจากไปไหนไกลอีกแล้ว ถ้าไม่ได้นำ ‘ของรัก’ ที่บ้านไปด้วย

ในความคิดเห็นส่วนตัวของพี่ ที่คุณหญิงตุ๊กตาจากที่เคยนิ่งเงียบ ‘กลับกลาย’ เป็นสดใสนั้น คงมิใช่ด้วยใครอื่น หากแต่เป็นด้วยมดตัวน้อยของพี่ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ชิดใกล้ ก็คงรับรู้ถึงความอบอุ่น อ่อนหวาน ร่าเริง สดใส ของเธอเป็นแน่แท้ จึงอดจะอิจฉาคุณหญิงตุ๊กตาเธอเล็ก ๆ มิได้
แต่พี่เชื่อมั่นในคนที่พี่รักว่าเธอจะไม่แปรเปลี่ยน

เมื่อเขียนจดหมายฉบับนี้จบ คงเห็นทีต้องเตรียมตัวการนำเสนอวิทยานิพนธ์ต่อคณาจารย์ และถ้าเป็นไปตามแผนก็คงจะได้เดินทางกลับ ‘บ้านของเรา’ ในเร็ววันนี้

อีกไม่นานแล้วนะคะคนดี

ก่อนที่จะจบจดหมายฉบับนี้ จึงกวาดตาหาความนัยในจดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งมาจากบ้านของเราอีกครั้ง คำตอบทุกอย่างที่ใจพี่ต้องการเสมือนจะแฝงมาในตัวอักษรที่เรียงร้อยอย่างหมดจด เหลือเพียงประเด็นเดียว
‘ในค่ำคืนสุดท้าย’ ที่ถูกละเว้น

คืนที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ คืนที่ใครคนนั้นยอมที่จะเปิดใจเป็นครั้งแรก อาจจะเพราะค่ำคืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายระหว่างเราสองก่อนพรากจากกัน หรืออาจจะเพราะความรู้สึกหวนหา ความรัก ความผูกพันอันลึกซึ้งของครอบครัว ที่ตระหนักแท้แก่ดวงใจ ว่าต่อไปนี้จะเหลือเพียงเราสองคนที่ต้องแยกจากห่างไกล และต่างต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มือทั้งสองที่เกาะกุมเหมือนถ่ายทอดแรงใจอันมีเหลืออยู่น้อยนิด และมีเพียงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

“อรุณ พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ ขอเพียงอรุณรับปากว่าจะรอพี่”

“ครับ ผมจะรอคุณชาย”

พี่ยังคงจดจำตราตรึงดวงหน้าสวยล้ำ และดวงตาคู่หวานที่มองสบประสานกัน สายตาอ่อนโยนที่ถ่ายทอดความอารมณ์ ความรู้สึก ที่เสมือนจะล้นทะลักออกมาจากหน้าต่างแห่งดวงใจ ความเจ็บช้ำ น้อยใจ ตัดพ้อ หวาดกลัว และไหวหวั่นที่จะต้องยืนหยัดโดยลำพังฉายชัด แม้จะเป็นเพียงชั่วนาทีที่สบตา

ก่อนที่ดวงใจของพี่จะเบือนหน้าหลบเลี่ยงสายตา พยายามปกปิดความในใจอีกครั้ง หัวใจของพี่พร่ำบอกกับตัวเองว่า จะไม่ปล่อยโอกาสให้ล่วงเลยผ่านพ้นไปอีกครั้ง จึงได้กระซิบเพรียกหา

“อรุณ” และตัดสินใจรั้งร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด

“พี่สัญญา พี่จะรีบกลับ ไม่นานหรอกนะคนดี พี่จะรีบกลับมา” ร่างเล็กในอ้อมแขนสั่นไหว เมื่อกำแพงที่กั้นกลางความรู้สึกถูกทลายลง จึงพบดวงใจดวงเล็กที่แสนบอบช้ำ น้องน้อยคนเดิมของพี่จึงกลับมาอย่างสมบูรณ์ น้ำตาที่ไม่เคยได้เห็นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาล้นทะลัก

“พี่ชาย....” เสียงสะอื้นร่ำไห้ของคนตัวเล็กช่างบาดใจ คนที่ฝืนเข้มแข็งมาตลอด

“ร้องเถอะนะคนดี ร้องไห้กับพี่ไม่เป็นไร อย่าเก็บไว้เลย”

“ท่านพ่อกับแม่จ๋า”

“ค่ะ พี่รู้ ท่านไปสบายแล้ว”

“ไม่เหลือใครแล้ว ไม่มีใครแล้วจริง ๆ”

“อรุณ”

“อรุณ ยังมีพี่อีกคน”

“พ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พี่ชาย ก็จะ”

“พี่จะรีบกลับ พี่สัญญานะคะคนดี”

“ตอนนั้นก็สัญญาอย่างนี้ แต่ก็ไม่กลับ” ใบหน้าหวานที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาเงยขึ้นตัดพ้อ

“พี่ขอโทษ ขอโทษนะคะคนดี” จึงได้แต่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาให้กับเด็กขี้แยเอาแต่ใจคนเดิม ที่ข้างในไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิด
 
“อรุณก็รู้ ว่าพี่ต้องทำตามคำสั่งท่านพ่อ”

“ไม่อยาก อยู่ คน เดียว อีกแล้ว” เสียงสะอื้นไห้ครวญคร่ำ ทำเอาดวงใจเกือบปลิดปลิว

“อรุณก็รู้ พี่ไม่เคยทิ้งน้อง พี่ไม่มีวันปล่อยให้อรุณต้องอยู่คนเดียว”

“ครั้งนี้พี่สัญญา”

“พี่สาบาน”

“ด้วยตัวพี่”

“ด้วยหัวใจพี่”

“พี่จะรีบกลับ พี่จะรีบกลับ ‘บ้านของเรา’ นะคะคนดี”

อ้อมแขนกระชับส่งผ่านความอบอุ่น และพร่ำตอกย้ำความมั่นใจเพื่อปลุกปลอบคนในอ้อมกอด จนร่างบางคลายความสั่นไหว จึงโอบร่างบางพาเข้าสู่ภายในห้องที่มีตั่งไม้ตัวยาวปูด้วยฟูกหนาสีขาวที่ตั้งอยู่ใกล้กับระเบียงที่แม่จ๋าใช้เอนหลังอ่านหนังสือให้ฟังเสมอ ๆ ก่อนจะฉุดรั้งให้อีกคนนั่งลงด้วยกัน และช้อนใบหน้าหวานให้เงยขึ้นเพื่อเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือ

“อรุณ” เสียงกระซิบเบา ๆ ที่ออกไปจากหัวใจ

“ครั้งนี้พี่จะไป แต่จะไปเพียงร่างกาย” จึงเกาะกุมมือบางนำมามาประทับที่หัวใจ และเฉลยความในใจที่ปรี่ล้น

“อรุณสัญญาแล้วใช่ไหมคะ ว่าจะเฝ้ารอพี่”

“พี่ขอฝากหัวใจของพี่ไว้ที่นี่ได้ไหมคะ”

“อรุณดูแลรักษาหัวใจดวงนี้ไว้ให้พี่ได้ไหม”

“พี่ชาย” แม้ไม่มีคำตอบใดแต่ แต่ใบหน้าหวานที่หลบสายตาก็เจือสีกุหลาบระเรื่อ

“พี่ยังไม่คาดคั้นขอคำตอบใด ๆ ในตอนนี้ แต่พี่ขอเห็นแก่ตัวสักครั้งเถิด”

“พี่กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะมีใครมาตอแยคนที่ครอบครองดวงใจของพี่”

“พี่คงไม่สามารถยืนอยู่เพียงลำพังคนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว”

“ขอฝากหัวใจของพี่ไว้ที่นี่”

“ตอนนี้ และตรงนี้” จึงกระชับมือบางแล้วเลื่อนไปฝังฝากไว้กลางอก ณ จุดแห่งดวงใจของใครอีกคน

“อรุณ”

“ขอเพียงให้น้องรู้ไว้ แม้ตัวพี่จะอยู่ห่างไกล แต่หัวใจของพี่ยังอยู่กับอรุณเสมอ” คนที่ตัดสินชะตากรรมของหัวใจของพี่ยังคมก้มหน้าหลบสายตา และเหมือนกำลังครุ่นคิด

“รับปากพี่สักนิดนะคะคนดี”

ก่อนที่เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ทำให้ความรู้สึกแทบจะหลุดลอย

“ครับ”

ในคืนนั้น ‘คืนแห่งความทรงจำ’ ความรู้สึกต่าง ๆ เต็มตื้น เหลือจะเอื้อนเอ่ยออกไปให้ใครได้รับรู้ถึงความดีใจ ความสุขที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น พี่ยังจดจำทุกช่วงเวลา ทุกวินาทีที่เหลือเพียงน้อยนิดอันแสนมีค่ามากมายที่สองร่างแนบชิดถ่ายทอดความรู้สึก ความห่วงหา ผ่านสัมผัสในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่แอบอิง

แม้จะเป็นเพียงบทสนทนา พูดคุย สอบถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ถึงวันที่ไกลห่างในอดีต แต่ก็ทำให้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกห่วงหาที่มีให้กันมาโดยเสมอ และรู้ว่าน้องน้อยยังคงเฝ้ารอพี่ชายคนนี้ตลอดมา

แม้ใครบางคนจะเฝ้าเพียรแต่ผลักไสให้ไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินทาง แต่ก็ใจอ่อนยอมตามให้แก่คำร้องขอวิงวอน ที่ขอพียงได้อยู่เคียงข้างจวบจนรุ่งอรุโณทัย และนาฏกรรมอำลาก็มาเยือน

“อรุณ พี่ขออะไรอีกสักอย่างได้ไหม”

“อะไรหรือครับ” คนที่ถูกร้องขอพยายามเรียกสติของตัวเอง หลังจากที่อดนอนมาทั้งคืนและเริ่มระแวงระวังขึ้น เมื่อเจ้าตัวถูกกักไว้ในอ้อมกอดจนฟ้าสาง

“พี่จะเขียนจดหมายกลับมาทุกเดือน อรุณเขียนตอบกลับพี่นิดนะคะ”

“เล่าเรื่องราวอะไรก็ได้ เรื่องของอรุณ เรื่องของที่บ้าน หรือเขียนตอบกลับสักนิดว่าสบายดีก็ยังได้”

“ครับ” คนตอบโดนกล่อมเสียยืดยาว จึงเลิกตื่นกลัว และเริ่มตอบกลับด้วยอาการมึนงงเช่นเดิมด้วยความเพลีย

“แล้วอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพี่นะคะ”

“ครับ”

“พี่จะรีบไปรีบกลับนะ รีบกลับมาหาอรุณ กลับมา ‘บ้านของเรา’ ”

“ครับ”

“เช้าแล้ว” ร่างบางครางออกมาคล้ายเพ้อ

เมื่อแสงอรุณฉายสาดส่อง เหมือนเตือนว่าต้องเตรียมตัวเดินทางจากไกล

“พี่ขออะไรอีกสักอย่างได้ไหม”

“ครับ”

จึงขอโฉบฉวยโอกาสในช่วงสุดท้ายก่อนลาจาก ประทับรอยจุมพิตลงที่กลีบปากบางอันแสนนุ่มละมุน อ่อนหวาน ทั้งที่ความตั้งใจแต่แรกเพียงจะบดเบียดแนบชิดแผ่วเบา หากเมื่อได้ลองลิ้มรสสัมผัสแห่งรัก จึงกลับกลายทำให้มึนเมาลุ่มหลง ฉุดลึกลงไปอย่างถอนตัวไม่ขึ้น รู้เพียงแต่ต้องการเรียกร้องมากขึ้นและมากขึ้นอีก

ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้รองรับจุมพิตนั้นมีสติหลงเหลือเพียงน้อยนิด และกำลังถูกฉุดรั้งให้ล่องลอยด้วยความอ่อนประสบการณ์อย่างชัดแจ้ง มิมีแม้กำลังที่จะฝืนหรือต่อต้าน จึงประคองดวงหน้าหวานก่อนรุกเร้าเร่งร้อนกวาดต้อนรสหวานล้ำ กดลึกฝากประทับจุมพิตฝากรัก ย้ำ และซ้ำ ตีตราติดตรึง เพื่อมิให้กาลเวลาลบเลือนรอยจูบนี้ได้ กว่าจะหักห้ามฝืนใจตัวเองถอนจุมพิตหวานออกมาได้ ก็แทบขาดใจ ใบหน้าหวานแดงก่ำหอบหายใจอย่างหนัก ถูกรัดรึงลงในอ้อมอกอีกครา

“รอพี่นะคะคนดี” ดวงตาหวานช้อนมองค้อน ก่อนจะพยายามแข็งขืนผละจากอ้อมกอด จึงถูกฉุดรั้งไว้ให้จมลึกลงในแผ่นอกหนา

“คุณชาย...” เสียงตัดพ้อ เมื่อถูกกอดรัด

“อย่างอนนะคะ พี่ไม่รังแกแล้ว” ก่อนจะกุมมือบางอีกครั้งและสอดลงตรงกลางระหว่างดวงใจของเราสอง

“พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ”

“ฝากหัวใจของพี่ไว้ด้วยนะคะคนดี”

แก้มนวลออกสีระเรื่อยวนเย้า เกินหักห้ามใจอีกครั้งจึงกดปลายจมูกซุกไซร้ เคล้าคลึงไปทั่วใบหน้าหวาน เก็บกักความหอมหวนให้จำติดตรึงหัวใจมิลืมเลือน
กระทั่งกำปั้นเล็กทุบเบา ๆ

“ไหนว่าไม่แกล้ง”

“ค่ะไม่แกล้งแล้วค่ะ แต่อีกนิดได้ไหม” จึงฝากรอยจูบบางเบาลงบนนวลปราง

“พี่ชาย” น้ำเสียงแสนงอนเริ่มประท้วง

“ค่ะ ค่ะ คราวนี้ไม่แกล้งแล้วจริง ๆ สัญญา”

“อรุณไปส่งพี่นะคะ” จึงรีบชิงพูดและฉุดรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นเดินตาม เป็นครั้งแรกที่คนทั้งวังได้เห็นภาพพี่ชายจูงน้องน้อยอีกครั้ง สองมือที่เกาะกุมไม่ห่าง จวบจนกระทั่งเวลาที่ต้องพรากจากกัน ค่ำคืนสุดท้ายแห่งความทรงจำ อันหวานล้ำตราตรึงในดวงจิต ทำให้คิดคะนึงถึง และหวนหา ซึ่งความหอมที่อิงแอบแนบอุรา ดั่งนำพาให้หัวใจหลงละเมอ เฝ้าพร่ำเพ้อดวงใจรักมิสร่างซา
จึงขอเพียงถาม...คำถามสุดท้ายว่า

‘สุดที่รักลืมแล้วหรือไร โปรดเห็นใจขอให้สมจิตชิดเชย

หวานซึ้งอันใดจงอย่าร้างเลย ขออย่าเฉยเมยรักเอยขอให้เหมือนเดิม’
 


ด้วยรักและคิดถึง
เกิ้ง









วังศศิธร
เรียน คุณชาย

ท่านอา คุณก๋ง เจ้าจ้อย เจ้าเสือน้อย ทุกคนที่ ‘บ้านของเรา’ สบายดี รวมถึงคุณหญิงตุ๊กตาของคุณชายเธอก็คงสบายดี และทุก ๆ อย่างก็คงเหมือนเดิม

ด้วยความเคารพยิ่ง
อรุณ



#JKLTHESERIES


https://www.youtube.com/watch?v=JKNIPpgJJtA (https://www.youtube.com/watch?v=JKNIPpgJJtA)
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; DESTINY 16.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 16-01-2018 08:34:22
Just…Destiny;

๙. พรหมลิขิต



เมืองเคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา
ถึง อรุณ


พี่ดีใจที่ได้รู้ว่าทุกคนที่ ‘บ้านของเรา’ สบายดี และดีใจอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่าทุก ๆ อย่างยังคง ‘เหมือนเดิม’ พี่ไม่เคยคิดเลยว่ากระดาษเพียงแผ่นเดียว ตัวอักษรเพียงสองสามบรรทัด กลับทำให้มีความสุขได้มากมายขนาดนี้ พี่จึงขอเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้กับตัว ณ ตำแหน่งแห่งหัวใจโดยตลอด เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าดวงใจดวงนี้มีเจ้าของที่ครอบครองเฝ้าดูแลรักษาและมี ‘บ้าน’ ที่ยังคงรอคอยเสมอ

ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริง ๆ สำหรับ ‘คำตอบ’ ที่ทำให้คนไกลบ้านเช่นพี่ มีพลังใจอย่างแรงกล้าที่จะนำพาตัวเองผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิต
 
ช่วงเวลาแห่งการตัดสินความพยายามมาตลอดสิบห้าปี แต่กลับผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและเป็นที่พึงพอใจยิ่ง ด้วยแรงใจที่ถูกส่งตรงมาจากอีกฟากของ ‘ขอบฟ้า’

‘ขอบฟ้า’ ที่พี่ส่งความรักข้ามผ่านไปยังดวงใจรักที่เฝ้ารอคอย

‘ขอบฟ้า’ สีน้ำเงินเข้มที่ตัดกับแสงสีเหลืองแกมทองทอประกาย แสงสุดท้ายแห่งดินแดนที่เคยเป็นที่พำนักพักพิงมามากกว่าครึ่งชีวิต ขณะนี้ห้องพักทั้งห้องที่เหลือเพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ กับผู้ชายที่นั่งเหม่อมองส่งความรักไปยังอีกฟากของ ‘ขอบฟ้า’


คืนสุดท้ายในต่างแดน เป็นคืนแรกที่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวตลอดช่วงระยะเวลาแห่งการเลี้ยงส่งอันยาวนาน เพื่อนฝูงมากมายผลัดเปลี่ยนแวะเวียนมาอำลา หลายคนสงสัยและซักถาม ว่าทำไมถึงรีบกลับนัก ทำไมไม่อยู่ท่องเที่ยวต่อตามที่เคยคุย ๆ กันไว้ จึงได้แต่เพียงยิ้มตอบกลับ แต่ดวงใจของพี่คงรู้ว่าด้วยเหตุผลประการใด

ยอมรับว่าครั้งหนึ่ง ตัวพี่เองเคยคิดจะอาศัยพำนักพักพิง และทำงานที่นี่ต่อ ด้วยติดกับชีวิตอิสรเสรีแห่งโลกตะวันตกยิ่ง และคิดว่าคงจะใจหายมากนักเมื่อถึงคราต้องลาจากชีวิตศิวิไลซ์

แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ กลับต่างกันยิ่ง
ด้วยดวงใจที่ฝากฝังไว้ในอีกฟากของ ‘ขอบฟ้า’ เฝ้าร่ำร้องให้ร่างกายเดินทางกลับมาอยู่เคียงคู่กับดวงใจ

เส้นทางแห่งชีวิต บางทีก็พลิกผันยิ่งนัก เกินกว่าที่จะคาดคิดถึงได้ เสมือนมีใครมาขีดเส้น ลิขิตไว้แต่ต้น ใครจะคิดว่าวันนั้น พี่จะค้นพบสิ่งที่ครอบครัวต้องการ และรอคอยมาตลอดมา เด็กชายตัวเล็กมอมแมมที่หกล้มหกลุกอยู่ท่ามกลางสายฝน น้องน้อยที่พันผูกเหลือคณา เพราะเป็นทุกอย่างในความรัก ความรู้สึก และความทรงใจในวัยเยาว์
 
‘แม่จ๋า ให้อรุณไปอยู่กับเราที่บ้านนะครับ เกิ้งอยากมีเพื่อนเล่น อยากมีน้อง’

‘ถ้าอรุณไปอยู่บ้านเรา เกิ้งต้องเป็นคนดูแลน้องเองนะ’

‘ครับ เกิ้งจะดูแลน้องเอง’


‘ของรัก’ ชิ้นแรกที่ได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว


‘คุณอรุณ เหอะก็แค่เด็กเก็บมาเลี้ยง’

‘ไม่นะ เรา.....’

‘ใครว่า อรุณเป็นน้องเรา สงสัยอะไรอีกมาถามชาย ใครมีปัญหาว่ามา’


‘ของรัก’ ชิ้นแรกที่ได้ปกป้องดูแลโอบอุ้มด้วยความรักยิ่ง


‘พี่ชาย พี่ชาย จะไปไหน อรุณกลัว’

‘พี่ไปลงเรือเล่นเป็นเพื่อนท่านอานะ เดี๋ยวพี่ก็กลับมา’

‘เดี๋ยวพี่ชายก็ทิ้ง อรุณอีก เหมือนคืนนั้น’

‘คืนนั้นพี่ขอโทษ พี่สัญญาแล้วนะคะ ว่าพี่ไม่มีวันทิ้งน้องอีก’

‘พี่ชายจะรีบกลับใช่ไหม’

‘พี่สัญญาค่ะ พี่จะรีบกลับ’


แล้วเส้นทางแห่งชีวิตก็ถูกขีด ให้พรากจาก
วันเวลาลบเลือนความสัมพันธ์พี่ชายกับน้องน้อยเกือบหมดสิ้น
 

แล้ว ‘พรหมลิขิต’ จึงเล่นตลกกับหัวใจรัก เพียงวินาทีแรกที่ได้พบ


‘คุณชายมีเวลาพักผ่อนอีกสามชั่วโมง ก่อนที่แขกจะมาฟังสวด’

‘นายกรอบ พาคุณชายไปพักก่อน ไปที่ห้องฉันก่อนก็ได้ แล้วให้โรงครัวส่งสำรับขึ้นไป ให้รับประทานอะไรรองท้องเสียหน่อย’

‘ขอโทษจริง ๆ ยังไม่มีเวลาจัดห้องใหม่ให้คุณชาย ไปพักห้องผมก่อนแล้วกัน’ เพียงรอยรอยยิ้มบาง ๆ ที่คลายออกเพื่อปลุกปลอบคนเดินทางมาไกล ฉุดกระฉากดวงใจของเจ้าของ ออกจากร่างตั้งแต่วินาทีแรก


ความรัก ลุ่มหลง ลึกซึ้งถาโถมโจมตีดวงใจ จนกระทั่งเกินที่จะเก็บและกดได้อีกต่อไป จึงขอยอมเห็นแก่ตัวที่จะโฉบฉวยทุก ๆ โอกาส
 

‘อรุณ พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ ขอเพียงอรุณรับปากว่าจะรอพี่’

‘ครับ ผมจะรอคุณชาย’

‘พี่ขอฝากหัวใจของพี่ไว้ที่นี่ได้ไหมคะ’

‘อรุณดูแลรักษาหัวใจดวงนี้ไว้ให้พี่ได้ไหม’

‘พี่ชาย...’


สองร่างที่ชิดแนบแอบอิง อบอุ่นนุ่มนวลตราตรึง
ปรางนวลเนียนนุ่มกรุ่นกลิ่น ติดตราตรึงใจ
จุมพิตหวานล้ำ หาอื่นใดเปรียบ


“พี่จะเขียนจดหมายกลับมาทุกเดือน อรุณเขียนตอบกลับพี่นิดนะคะ”

“ครับ”


จึงทำให้ ‘จดหมาย’ ที่เสมือนเส้นใยบาง ๆ ที่เป็นสื่อกลางส่งผ่าน ภาษาสวรรค์ ความรักความคิดถึงข้ามขอบฟ้า เพื่อให้ทำหน้าที่ดังโซ่ตรวนผูกมัดดวงใจทั้งสองไว้ให้เป็นดวงเดียว

ตอนนี้จดหมายทั้งเจ็ดฉบับที่ถูกส่งมาจาก ‘บ้านของเรา’ และจดหมายฉบับนี้ เป็นสิ่งเดียวที่จะถูกเก็บติดตัวตลอดการเดินทางครั้งนี้

การเดินทางข้ามขอบฟ้า
การเดินทางที่มี ‘สุดที่รัก’ เป็นจุดหมาย

จดหมายฉบับนี้คงจะเป็นฉบับเดียวที่จะได้ส่งให้แก่ผู้รับด้วยตัวเอง เพื่อเป็นข้อพิสูจน์แรกที่ได้กระทำตามที่สัญญาไว้ว่า

‘พี่จะรีบกลับ’ และต่อไปนี้ พี่จะพิสูจน์หัวใจรักทั้งหมด ด้วยการกระทำ


ด้วยความรักยิ่ง
เกิ้ง







‘ลมตะเภา’ สายลมแห่งฤดูร้อนพัดอ่อน ๆ ในช่วงกลางดึก หอบความชุ่มชื้นจากท้องทะเลขึ้นมาช่วยบรรเทาคลายความร้อนอบอ้าวให้ผืนแผ่นดินอันแห้งแล้ง หน้าต่างบานยาวที่กรุด้วยผ้าม่านสีเขียวอ่อนที่ถูกรวบไว้ด้วยเกลียวไหมสีขาวทั้งสองด้าน กระเพื่อมเล็กน้อยตามแรงสายลมเบา ๆ ที่พัดผ่านมายังโต๊ะอ่านหนังสือมิขาด

ร่างบางได้แต่นั่งเหม่อปลดปล่อยความคิดอยู่นาน รู้ตัวอีกครั้งจดหมายที่เพิ่งอ่านไปสักครู่ ก็ปลิวไปเกือบสุดความยาวของโต๊ะ จึงรีบหยิบมาบรรจงพับเก็บรวมกับอีกแปดฉบับในลิ้นชักของโต๊ะหนังสือนั่นเอง

ฉบับนี้ไม่ต้องตอบแล้วมั้ง ในเมื่อ
อดมิได้ที่จะกวาดตารอบห้องอีกครั้ง เจ้าจ้อยขยับตัวเล็กน้อยอยู่ที่พรมหน้าเตียง ขณะที่เสือน้อยที่ตัวไม่น้อยแล้วนอนซุกอยู่ในอกของนายของมัน ส่วนคนที่เดินทางรอนแรมข้าม ‘ขอบฟ้า’ มานั้นกำลังนอนหลับสนิทที่ตั่งไม้ริมระเบียง

ใครรู้เข้าคงนึกขำ
วังศศิธรแม้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก เพราะแม่จ๋าปรารถนาเพียงบ้านเล็ก ๆ สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ อันอบอุ่น แต่ถึงกระนั้นตัวตึกใหญ่ก็มีห้องนอนกว่าสิบห้อง ไฉนเลยทุกคนในวังกลับมานอนกระจัดกระจายกันเต็มห้องนอนเล็กของแม่จ๋า ทำเอาเจ้าของที่ครอบครองห้องนี้อยู่นอนไม่หลับ
 
ก็ปกตินอนคนเดียวนี่นา
นอนเพียงคนเดียวมาเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว แม้ช่วงปีก่อน เมื่อตอนรับเจ้าจ้อยมาดูแลใหม่ ๆ เคยลากเจ้าตัวมาคุมไว้ให้นอนด้วยกัน เพราะกลัวหนีตามพ่อแม่กลับบ้าน แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็หัดให้ลงไปนอนคนเดียวที่ห้องนอนเล็กชั้นล่างนานแล้ว

แต่จะให้ทำอย่างไร
อย่างน้อยเจ้าจ้อยกับเจ้าเสือน้อยอยู่ด้วย ก็ดีกว่าต้องอยู่เพียงลำพังกับเจ้าของ ‘บ้าน’ ที่นัยน์ตาแวววับเป็นประกายคนนั้น

วังศศิธรที่เคยเลี้ยง ‘เจ้าเสือน้อย’ แต่ตอนนี้เสมือนมี ‘เสือตัวใหญ่’ เพิ่มขึ้นอีก ต่อไปชีวิตคงหาความเงียบสงบได้ยากยิ่ง จนอดทอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้

แต่ก็จะไม่เงียบเหงาเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม คำถามที่ถามตัวเองเงียบ ๆ ภายในใจ ด้วยความกริ่งเกรงนัก
‘พี่ชาย’ จะกลับมาอยู่ได้นานเพียงไร

แม้เธอจะย้ำเสมอในจดหมายว่าปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับ ‘บ้าน’ เพียงใด หาก ‘บ้าน’ อาจมิใช่บ้านหลังเดิมในความทรงจำอันลางเลือนของเธอ อีกทั้งคนที่เคยชินกับชีวิตอิสรเสรีต่างแดน ถึงขั้นเคยมีความคิดจะไม่กลับบ้านนั้น จะปรับตัวให้คุ้นชินกับสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมอีกแบบได้ดีเพียงใด ยังหวั่นใจนัก
 
หากเจ้าตัวดูจะกระตือรือร้น และมีชีวิตชีวาผิดกับการเดินทางกลับครั้งก่อนมาก

“คนทยอยลงเรือกันมาแล้ว ยังไม่เห็นคุณชายเธอเลย เธอมาเรือเที่ยวนี้จริง ๆ หรือขอรับ”

นายกรอบยืนนอกตัวรถชะเง้อชะแง้มองหา และเวียนถามด้วยความกังวล จึงละสายตาจากหนังสืออ่านเล่นในมือ ช่วยกันมองหาอีกแรงผ่านหน้าต่างของตัวรถออกไปยังทางเดิน กวาดตามองจวบจนสะพานที่เชื่อมแผ่นดินกับเรือ เพียงครู่เดียวก็พบ
‘รอยยิ้ม’ อันเจิดจ้าฉายชัดความรู้สึกดีใจอันล้นพ้นที่ได้เดินกลับบ้าน เหมือนยิ้มตั้งแต่ก้าวลงเรือได้กระมัง


“นั่นไง เธอน่าจะเห็นรถแล้วกระมัง เดินตรงมาแล้ว”

“ไหนครับ” เจ้าจ้อยเขย่งยืดตัวมองตามทิศทางที่มองไปอยู่ข้างนายกรอบ

“เอ่อ กระผมเห็นแล้ว” นายกรอบรีบเดินตรงไปรับเจ้านาย

“ไหนคนไหน” เจ้าจ้อยดูตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้พบเจ้าของวังศศิธร


จึงปิดหนังสือในมือวางไว้ที่เบาะรถ และเปิดประตูมายืนข้างเจ้าเด็กที่ยืดคอมองตามนายกรอบแต่ละล้าละลังไม่กล้าเดินไปตามด้วยยังเกรงผู้มาใหม่ที่ไม่เคยพบหน้า
 

“คนขาว ๆ สูง ๆ นั่นเหรอ”

“ใช่”

“หล่อนะ หล่อกว่าคุณอีก” เปรียบเทียบให้พร้อมสรรพ จึงได้แต่ทอดถอนใจ และหันมามองคนวิจารณ์

“แต่คุณสวยกว่า”

“ขอบใจนะ รู้สึกดีขึ้นมากเชียว” จึงหันกลับไปมองนายกรอบที่กำลังไปถึงตัวเจ้านาย ดูเหมือนจะทักทายกันอยู่สองสามคำ ก่อนที่จะรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาช่วยถือ

“เธอดุไหม”

“ไม่รู้สิ” ก็ไม่รู้จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ดุนะ แต่ตอนกลับมาครั้งก่อนก็น่ากลัวอยู่

“อ้าวพี่คุณ ไม่ใช่หรือ”

“ก็ไปต่างประเทศนาน”

“ก็เห็นเขียนจดหมาย” อดหันมามองมันอีกครั้งไม่ได้

“มีเรื่องอะไรในวังที่ไม่รู้บ้างไหม” เจ้าตัวไม่รู้ร้อนเช่นเคย และยังคงชะเง้อ

“มองมาทางนี้ตลอดเลยนะ มองคุณตลอดเลย”

“ก็พี่ฉัน จะให้มองเธอหรือ”

“ก็มองแปลก ๆ”


ประเด็นนี้จริงอย่างที่เด็กมันว่า
พี่ชายเขามองน้องชายอย่างนี้หรือ สายตานั่นสื่ออะไร ๆ ได้ชัดเจนจนเกินไป จึงได้แต่ถอนใจอีกหน ก่อนคนที่ถูกวิจารณ์จะก้าวมาถึง จึงก้มลงสวัสดี

“อรุณ...ไม่คิดว่าจะมารับ ดีใจมาก” จริง ๆ แล้วรอยยิ้ม ยังดีกว่าประกายตาระยิบนั่น

“เมื่อครั้งก่อนที่คุณชายกลับ ยุ่ง ๆ เรื่องงานท่านพ่อเลยไม่ได้มารับ”

“ครั้งนี้หนีงานมาไม่อยากไปห้าง” เสียงเล็ก ๆ ฟ้องหน้าตาเฉย

“เราชื่อ ‘จ้อย’ สินะ”

“ครับ คุณชาย” มันไหว้สวยประจบนายใหม่ทันที จำไว้เลยนะ

“เรียนเป็นอย่างไรบ้าง เสือน้อยล่ะ”

“คุณไม่ยอมให้มันมาด้วย” มันคงเลือกข้างชัดเจน คนมาใหม่หัวเราะและลูบหัวด้วยความเอ็นดู

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับ ‘บ้าน’ ก็ได้เจอ”

“‘บ้าน’ นี่วังหรือ ทำไมคนอื่นเรียกว่าวัง แล้วทำไมเรียก ‘บ้าน’ กันสองคน” นั่นไง คนฟังอมยิ้มเหลือบสายตากลับมามอง ทำเอาหัวใจเต้นแรง จึงรีบตัดบทก่อนจะเข้าตัว

“นายกรอบเก็บของเสร็จแล้ว ไปซักกันต่อบนรถเถอะ อีกยาว”



ดังนั้นตลอดทาง และมื้อเย็นที่แวะกินกันที่ร้านอาหารระหว่างทางกลับบ้าน จึงมีแต่คำถาม และคำตอบ ปกติ ‘พี่ชาย’ ชอบเด็กอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงดูเหมือนสนุกไม่น้อยที่ต้องรับมือกับเจ้าตัวปัญหานี่

“เดี๋ยวไปตามเจ้าเสือน้อยก่อน” คนที่นั่งมาข้างคนขับรีบหันมาบอก ก่อนจะผลักประตูรถออกไปทันทีที่รถจอดสนิทด้านหน้าตึกใหญ่ และวิ่งหายลับไปหลังตึกอย่างรวดเร็ว

“ผมนำกระเป๋าของคุณชายไปไว้ที่ห้องนอนเดิมนะขอรับ” นายกรอบถามก่อนที่จะยกกระเป๋าเดินทางออกจากท้ายรถ

“อรุณยังนอนห้องแม่จ๋าอยู่ใช่ไหม”

“ครับ”

“พี่ก็นอนปีกเหนือคนเดียว งั้นพี่ย้ายไปห้องท่านพ่อแล้วกัน”

“แต่ห้องนั้นถูกปิดไว้ ยังไม่ได้ทำความสะอาด”

“ถ้าอย่างไรคุณชายนอนห้องเดิมก่อนได้ไหมครับ วันพรุ่งจะให้คนเตรียมห้องใหม่ให้”

“ไม่เป็นไรไม่อยากย้ายไปย้ายมา”

“คืนนี้พี่นอนที่ตั่งริมระเบียงห้องแม่จ๋าก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ทำความสะอาดห้องท่านพ่อเสร็จได้ย้ายไม่ไกลนัก”

“.............................................”

หมายความว่า?
“จะนอนห้องคุณหรือ ดีเลย เราได้ไปนอนด้วย นี่ไงเสือน้อย” เจ้าตัวร้ายทำลายความเงียบ แล้วส่งแมวตัวอ้วนกลมให้คนมาใหม่ทำความรู้จัก

“ช่วงนี้มันกินจุ เลยอ้วน ให้เสือน้อยนอนด้วยนะ นอนกันเยอะ ๆ สนุกดี” แม้จะมองไม่เห็นว่าจะสนุกไปได้อย่างไร แต่ก็ดีกว่า ‘มิใช่หรือง จึงต้องหันกลับไปสรุปให้นายกรอบ

“นายกรอบเอากระเป๋าคุณชายไปไว้ห้องฉันก่อนก็แล้วกัน”

“ขอรับ”


ดูเหมือนทางนี้จะเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ใครบางคนยิ้มอยู่ในหน้าขณะที่อุ้มเจ้าแมวตัวอ้วนไว้ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเอง ก็ดีกว่านอนกันแค่สองคน อาทิตย์นี้จะแอบเพิ่มเงินค่าอาหารกลางวันเป็นพิเศษให้เจ้าตัวร้ายก็แล้วกัน

เมื่ออาบน้ำเสร็จ สองคนกับหนึ่งตัวยังคงปุจฉา วิสัชนา กันอยู่ที่ระเบียงห้อง จึงต้องไล่ให้หัวหน้าแก๊งคนใหม่ไปอาบน้ำ ลูกสมุนถึงยอมวิ่งหายวับไปอาบเช่นเดียวกัน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามาเถอะ”

“แม่นวลหรือ”

“ค่ะ เครื่องนอนคุณชายค่ะ”

“วางไว้ที่ตั่งเถอะ ขอบใจมาก”

“นวลฝากบอกแม่แพรวด้วยว่าพรุ่งนี้อาหารเช้าขอเป็นข้าวต้มเครื่องเถอะ”

“พี่ชาย เธอบ่น ๆ อยากทานอาหารไทย”

“ชุดอาหารฝรั่ง ตั้งเฉพาะท่านอาเธอท่านเดียวก็พอ”

“ค่ะ”

“ขอบใจมากนะนวล” จึงเดินมาส่งที่ประตู

“ค่ะ คุณ” ก่อนที่จะปิดประตูห้องอีกครั้ง


“ขอบใจมากนะคะ” เสียงดังมาจากข้างหลัง ประโยคที่ทำให้รู้ว่าคงฟังอยู่สักพักแล้ว

จึงหันกลับไปตอบ

“เห็นต้องขอบใจแม่แพรวหรอกครับ”

“ขอบใจคนห่วงด้วยน่ะถูกแล้ว” สายตาที่ชัดเจนเช่นเดิม จนน่าอิจฉา

“ท่านอามารับของเช้าด้วยตลอดหรือ”

“ครับ ก็พบเธอทุกวันที่อยู่รับของเช้า คงมาหาเพื่อนคุย”

“นึกว่าท่านนิวัตเชียงใหม่หลังงานแสดงดนตรี ซะอีก”

“คงมีธุระกระมังครับ” คนฟังครุ่นคิด เหมือนอยากถามอะไร แต่กลับเก็บคำพูดไว้ และเดินเช็ดผมไปนั่งที่ตั่ง ก่อนที่รื้อของจากกระเป๋าเดินทาง

“คุณชายนอนที่เตียงเถอะครับ ให้ผมนอนที่ตั่งเอง” แม้ตั่งไม้นั่นไม่เล็กนัก แต่คนตัวโต กว่าคงจะนอนลำบากกว่าอยู่นั่นเอง

“ไม่ได้หรอก พี่จองแล้ว ไม่ยอมให้ใครหรอก” คนพูดดุจดังเอาแต่ใจเช่นวัยเยาว์ แต่ก็เหมือนตั้งใจจะสื่อนัยความหมายลึกซึ้ง


ไม่ใคร่จะตอแยต่อไป เลยลือกเดินไปยังกรอบไม้ที่ร่างภาพเรือนไทยกลางสวนฝรั่งที่ร่างขึ้นมาใหม่ และลงมือวาดต่อ


“อรุณ” รู้ตัวอีกครั้งร่างสูงก็มายืนชิดด้านหลัง

“ภาพนี้ของพี่หรือ”

“ไม่ค่อยมีเวลา ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จเมื่อใด” ไม่มีเวลา เพราะมีอะไรให้ทำมากมายจริง ๆ อดใจไม่ค่อยจะอยู่ แต่มีคนกลับมาแบ่ง ๆ งานไปบ้าง ก็คงมีเวลาทำอะไรเล่น ๆ ได้มากขึ้นกระมัง

“ไม่เป็นไร พี่เฝ้ารอได้ รอได้ตลอดชีวิต ขอเพียงเป็นของพี่ก็พอ”

“ว่าอย่างไรคะ”

“ครับ ‘ภาพนี้’ ของคุณชาย”


คงเพราะตั้งใจเน้นย้ำสิ่งของที่ยกให้ คนฟังจึงหัวเราะอย่างรู้ทัน ใครว่าคนที่จากบ้านไปนาน ๆ จะลืมเลือนภาษาบ้านเกิด ดูเหมือนพี่ชายจะเข้าใจ และซ่อนเร้นความนัยแห่งภาษาแม่ได้ดีเช่นเดิม
 

“ ‘จดหมายนี้’ ของอรุณค่ะ” ซองจดหมายที่จ่าหน้าผู้รับ ที่เป็นชื่อตนเอง แต่ฉงนตรงที่ชื่อผู้ส่งก็คือคนที่ยื่นให้

“เขียนก่อนเดินทางกลับ อยากให้อ่าน” จึงได้รับคำอธิบายโดยพลัน

“ครับ ไม่ต้องเขียนตอบกลับแล้วใช่ไหมครับ” ยังนึกขำ เมื่อก้มมองซองจดหมาย

"ไม่ต้องเขียนแล้วค่ะ แต่ถ้าอยากให้ตอบคำถามเมื่อสักครู่ของพี่จริง ๆ มากกว่า"

"....................................." คำถามอะไร? จึงเงยหน้าขึ้นสบตา

"ว่า ยังเป็น 'ของของพี่' อยู่หรือเปล่า"


โอ้... กว่าจะรู้ตัวว่าตกหลุมพราง สายตาก็ถูกตรึงด้วยแสงทอระยิบจากดวงตา จนรู้สึกว่าอากาศภายในห้องร้อนระอุขึ้นโดยฉับพลัน แล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้นด้วยเจ้าตัวแสบที่เปิดห้องวิ่งแข่งกับแมวอ้วนเข้ามา

“มาเร็วเข้าเจ้าเสือน้อย ไปนอนกัน”

จึงทำให้คืนนี้เป็นคืนแห่งการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการของสมาชิกในครอบครัวเก่า และใหม่ของวังศศิธร อีกทั้งเมื่อไม่ต้องตอบจดหมายแล้ว ก็คงต้องรีบเข้านอนกระมัง เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาอัญเชิญแขกทั้งสามให้กลับห้องของตนเองให้จงได้ เพื่อความสงบสุขดังเดิม
 
เพียงแต่เมื่อหลับตา
ทำไมรอยยิ้ม และสายตานั่นยังคงติดตา
ทำไมประโยคนั้นยังคงตามวนเวียนในสมอง


"ว่า...ยังเป็น 'ของของพี่' อยู่หรือเปล่า" คำตอบแห่งคำถามนั่นคือสิ่งใด


จึงได้แต่พร่ำถามหัวใจตัวเอง

บางครั้งก็ยากยิ่งที่จะบอกได้ว่า เส้นทางเดินของชีวิตนั้น
เลือกได้ด้วยหัวใจตัวเอง หรือ พระพรหมท่านได้ลิขิตไว้แต่ต้นแล้ว





#JKLTHESERIES


https://www.youtube.com/watch?v=kRMF4saWH6Y (https://www.youtube.com/watch?v=kRMF4saWH6Y)
หัวข้อ: Re: JKL THE SIRIES: JUST; DESTINY 16.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 16-01-2018 10:38:22
ชอบภาษาที่ใช้จังเลยค่ะ อบอุ่น อ่อนหวาน
ติดตามตั้งแต่คนเดียวกับคนธรรมดาแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LIVE 17.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 17-01-2018 10:57:41
Just...Live;

๑๐. ชีวิต


แสงสีแสดเรืองรองลุกไล่คืบคลานผ่านช่องประตู และหน้าต่างโปร่ง อากาศเมืองร้อนช่างผิดแผกแตกต่างจากเมืองที่เขาจากมา จึงทำให้สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยต่างกันยิ่ง เพียงมองผ่านประตูทรงสูงผ่านระเบียงออกไปก็พบสวนสีเขียวขจี ซึ่งสายลมกำลังพัดพาความสดชื่นของกลิ่นดอกไม้ใบหญ้าแห้งเข้ามา เมื่อลุกขึ้นจากตั่งอ่านหนังสือของแม่จ๋าซึ่งยึดอาศัยไว้เป็นที่หลับนอนมาทั้งคืนก็พบว่าอยู่ลำพังในห้องแต่เพียงคนเดียว

คงสายพอสมควรแล้วสินะ จึงไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ทั้งเจ้าของห้อง และเพื่อนใหม่  จึงค่อย ๆ เดินสำรวจห้องนอนเล็ก ๆ นี้ โดยรวมก็มิได้ต่างจากภาพในความทรงจำในอดีตแต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงความตั้งมั่นของเจ้าของห้องคนใหม่ ที่เพียรเก็บรักษาให้ทุกอย่างคงอยู่ดังเดิม

อรุณรักแม่จ๋ามาก และแม่จ๋าก็รักอรุณมากเช่นกัน เขาสองคนผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง แม้คนอยู่ไกลห่างเช่นเขายังรับรู้ น้องปฏิเสธที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะความรัก ความห่วงใยที่มีต่อแม่จ๋า เขายังคงจำถ้อยคำในจดหมายของแม่จ๋าที่รู้ชัดภายหลังว่าอีกคนเป็นคนเขียนได้เป็นอย่างดี

'ท่านชายเธอพรากลูกชายจากอกของแม่ไปแล้วคนหนึ่ง แม่จึงได้แต่ร้องขอให้อีกคนนั้นอยู่เป็นเพื่อนแม่ ท่านจึงยอมให้อรุณเป็นคนเลือกเอง และลูกน้อยของแม่เธอก็ยอมเสียสละเพื่อแม่ และเพื่อลูก'
 
'บ้านเรา' ไม่มีเด็กผู้หญิง น้องน้อยจึงจำยอมเสียสละมาโดยตลอด ยอมเข้าครัว ยอมเรียนรู้งานต่าง ๆ ที่แม่จ๋า ถ่ายทอด แต่น้อยคนที่จะรู้ มิใช่ด้วยใจเธอรัก เพราะความจริงเด็กคนนั้นออกจะซนแก่นแก้วนัก แต่ทำไปด้วยความรักเพียงเท่านั้น
เมื่อมาหยุดชื่นชมภาพร่างศาลาไทยที่คนเขียนบอกยกให้ กลับมาคราวนี้จึงตั้งใจอย่างยิ่งที่จะดึงภาระงานหลายอย่างนั้นกลับคืนมา แม้เจ้าตัวจะมิเคยปริปากบ่น หากเพื่อหวังเพียงเด็กน้อยจะได้กลับมามีความสุข รอยยิ้มที่สดใสดังวันวานอีกครั้ง

ท่านชายศศธรนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พร้อมจิบกาแฟอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร ขณะใครอีกคนที่นั่งข้าง ๆ กำลังใช้มีดทาเนยลงบนขนมปังปิ้งอย่างตั้งอกตั้งใจ

"ไงชายเกิ้ง"

"ท่านอา" ขณะกำลังก้มตัวลงกราบ หากท่านกลับลุกขึ้น และดึงตัวมากอดตามธรรมเนียมฝรั่ง

"ถึงคราวกลับถ้ำแล้วสิ ไอ้เสือ" ท่านอาตบหลังเบา ๆ และผละตัวออกก่อนกลับมานั่งที่เดิม

"นั่งก่อน" จึงนั่งลงตรงข้าม ใครอีกคนที่เหลือบตาขึ้นมามองผู้มาใหม่ชั่วครู่ก่อนที่จะเลื่อนจานขนมปังให้ท่านอา

"อรุณให้ตั้งข้าวต้มได้แล้วกระมัง ตื่นสายนะเรา มีคนหิ้วท้องรอ"

"ก็พูดเกินไปครับ กินขนมปังไปแล้วต่างหาก" แล้วหันกลับไปสั่งเด็ก

"นวลจ๋า ตั้งข้าวต้มเถอะ" ก่อนที่จะดึงหนังสือพิมพ์ข้างท่านอามาอ่านแทน

"นึกว่าจะไม่ยอมกลับซะแล้ว" คนที่เคยอยู่ต่างแดนนานกว่าเอ่ยทักอย่างรู้ใจ

"ครับ"

"แล้วนี่ สาว ๆ ที่โน่น ไม่โอดครวญกันแย่หรือ" จึงลอบมองคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือพิมพ์เป็นพิเศษก่อนตอบ

"เคลียร์หมดแล้วครับ"

"ให้เชื่อจริง ๆ หรือว่า พ่อคาสโนวาจะยอมวางมือง่าย ๆ" จึงได้แต่ยิ้มตอบ

"ตอนแรกคุยกับอรุณว่าให้เตรียมห้องไว้เผื่อเจ้าของวังจะหนีบแหม่มกลับมาด้วยสักคนสองคน"

"ห้องทางปีกด้านใต้เห็นจะพอ กระมังครับ" คนตั้งใจอ่านหนังสือมีทักษะตอบโต้ผสมโรงอย่างฉะฉาน

"อรุณ ย้ายมาปีกเหนือแล้วนี่ สี่ห้องคงพอ"

"ว่าไงไอ้เสือ" ทั้งสองคน จึงยิ้มกรุ่มกริ่มหันมาช่วยกันรุม

"ไม่มีจริง ๆ ครับ" จึงหันไปตอบท่านอา ก่อนหันมาบอกใครอีกคน

"ตอนนี้ผมรักเดียวใจเดียว" และคนที่กำลังยกยิ้มก็ส่งสายตาดุกลับมา แต่มั่นใจว่าใบหน้าหวานนั้นเริ่มมีสีระเรื่อ

"จริงหรือ สาวที่ไหน" ท่านอาวางถ้วยกาแฟเริ่มถามจริงจัง

"ไม่ใกล้ ไม่ไกลนี่ล่ะครับ แต่เขายังไม่รับรักผมเลย" เพียงเสี้ยววินาที เจ้าตัวก็กลับมาเก็บสีหน้าได้ดียิ่ง

"ไอ้เสือพูดขนาดนี้ ไม่นานหรอก ฉันคงได้เป็นเถ้าแก่ขอสาวเร็ว ๆ นี้แน่"

"ถ้าถึงวันนั้นจริง"

"เห็นทีฉันคงต้องขออรุณขึ้นไปอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่แล้วกระมัง" ท่านอาเปรยอย่างมีนัย

"ให้ผมไปอยู่ตึกคุณก๋งดีกว่าครับ" คำตอบของใครอีกคนทำเอาหัวใจที่กำลังตกวูบ ค่อยใจชื้นขึ้นมา

"คนนี้ก็น่ากลัวหัวใจจะไม่อยู่กับตัวแล้วกระมัง ทั้งหม่อม ทั้งคุณหญิงเธอ แวะเวียนมาเยี่ยมมิได้ขาด"

"ผมจะอยู่ดูแลคุณก๋งต่อไปหรอกครับ ท่านอารับข้าวต้มเพิ่มไหมครับ" คนตอบยิ้มเสมือนขำ แต่หลบเลี่ยงได้แนบเนียนนัก เพียงมื้อเช้ามื้อเดียวก็สุดจะรู้ว่า มิได้มีแต่เพียงตัวเองที่หมายปอง 'ของรัก' ที่เคยเป็นของเขา

แม้ตอนนี้จะสุดหยั่งลึกถึงดวงใจของเจ้าของ ว่าโอนเอียงไปในทางเลือกใดบ้างหรือไม่
แต่ก็ได้รู้ว่าเธอวางตัวได้ดียิ่ง ฉลาดตอบรับ และปฏิเสธ รวมทั้งกดเก็บความรู้สึกของตัวเองได้อย่างแนบเนียน

น้องน้อยเปลี่ยนไปมากจริงอย่างที่เธอเคยเปรย
แต่เจ้าตัวรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่แปรเปลี่ยน ยิ่งทำให้ทรงเสน่ห์

"แล้ววันนี้จะไปไหนกัน" ท่านอาถามหลังจากร่างบางรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย และสั่งให้ตามนายกรอบ

"ไปบ้านคุณก๋งก่อนครับ และคงตระเวนบ้านญาติ ๆ ต่อ" คนตอบแทนโดยไม่ถามความเห็น คนที่เพิ่งทราบภารกิจของตน

"ดีแล้วอรุณดูแลให้เรียบร้อย ไปลามาไหว้ดีแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่จะได้เอ็นดู"

"ว่าจะอยู่ดูงานเลี้ยงเสียหน่อย" คนวางแผนทิ้งกันเสียกลางคันจึงรีบท้วง

"อ้าว ไม่ไปด้วยกันหรอกหรือ"

"ไปเป็นเพื่อนพี่เขาก่อนเถอะอรุณ ทางนี้สั่งไว้ก่อนก็ได้สุดสัปดาห์หน้ามิใช่หรือ"

"เอ่อ ครับ"

จึงใช้เวลาเกือบทั้งอาทิตย์เข้าบ้านนี้ออกบ้านนั้น เพื่อรายงานตัวถึงการกลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง ซึ่งเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย กว่าจะได้พักผ่อนจริง ๆ ก็ช่วงปลายอาทิตย์แล้ว

การพบปะญาติมิตรครั้งนี้ ก็เห็นจะมีข้อดีถึงสองประการคือ ข้อแรกดังที่ท่านอาได้กล่าวไว้ข้างต้น ผู้หลักผู้ใหญ่จะได้รับรู้ว่ากลับมาบ้านแล้ว และยังได้เรียนรู้ค่านิยม วัฒนธรรมเดิม ๆ ที่ห่างหายไปนาน รวมทั้งได้เรียนรู้การวางตัวในสังคม ในสายตาอันแหลมคมของบุคคลอื่น ซึ่งดูแบบอย่างดียิ่งได้จากคนข้าง ๆ ที่ได้ยึดไว้เคียงคู่ตลอดสัปดาห์ และนี่ก็คือข้อดีประการที่สอง

แต่หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในทุก ๆ วัน อีกคนยังคงต้องกลับมาทำงานต่าง ๆ และเช็คความเรียบร้อยของงานเลี้ยงอีกด้วย จึงทำให้ระยะเวลาเพียงชั่วอาทิตย์ กลับได้เห็นถึงความอุตสาหะอย่างยิ่งในการรับผิดชอบงานอันหลากหลายมากมาย ที่เจ้าตัวขู่ไว้ว่า
 
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวงานพวกนี้ก็จะยกคืนให้คุณชายทั้งหมดแล้ว"
ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของใครอีกคนที่เจ้าตัวพยายามพร่ำบอกในจดหมาย น้องน้อยที่เคยแก่นแก้ว สดใสเริงร่า อ่อนหวานละมุนละไมในวันวาน บัดนี้กลับแข็งแกร่งด้วยความรับผิดชอบอันมากล้น บุคลิกที่เจ้าตัวแสดงออก จึงดูทั้งสุขุมเฉียบขาด และสุภาพอ่อนโยนไปพร้อม ๆ กัน ด้วยรากฐานเดิมของเจ้าตัว และมรดกทางอารมณ์ที่ท่านพ่อและแม่จ๋าได้ทิ้งไว้

รวมทั้งยังช่างสังเกตถึงสิ่งที่ต้องระแวงระวังของบุคคลต่าง ๆ ที่ต้องไปพบปะพูดคุย และถ่ายทอดแนะนำให้จดจำเพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจในภายภาคหน้า

แม้น้องน้อยจะยังช่างพูดช่างเจรจากับญาติสนิทเช่นท่านอาหรือคุณก๋ง แต่กลับดูเงียบขรึมมากนักในสายตาบุคคลภายนอก อีกทั้งเจ้าตัวยังกักเก็บสายตา อารมณ์ ความรู้สึกภายในไว้ได้มิดชิดเหนือการคาดเดา และวางตัวได้ดียิ่ง เวลาทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน ข้อนั้นยอมรับ

แต่...ความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ เปลี่ยนได้จริงหรือ
อยากรู้สักนิด เพียงสักนิด
 
ระยะเวลาอันสั้น ที่อีกคนใช้ตัวเองเป็นแบบอย่าง สอนคนมากอาวุโสกว่าให้เรียนรู้อย่างแนบเนียน ทำให้ยอมรับที่จะต้องปรับ และเปลี่ยนตัวของตัวเองให้กลับมาเข้ากับสังคม และวัฒนธรรมของแผ่นดินเกิด

แต่การปรับเปลี่ยนสิ่งใด ก็ไม่ยากยิ่งเทียมเท่าเรื่องหัวใจรัก จะกัก จะเก็บ ได้จริงหรือ
ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกคนพยายามบอกโดยนัย 'เป็นไปไม่ได้'

แต่หารู้ไม่ มิมีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้
อีกฟากหนึ่งของโลก สอนเขามาอย่างนั้น

เพียงแต่อาจจะต้องอาศัยความตั้งใจจริง มุ่งมั่น และพยายาม
ซึ่งมันไม่ยากเลย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

เพียงแต่กระซิบ... ให้รู้สักนิด...
 
งานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้าน จัดที่ศาลาทรงไทยในสวนฝรั่งของวังศศิธร ซึ่งเป็นงานใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก แสงไฟไสวสว่างทั่วทั้งงาน เครื่องประดับตกแต่งใช้สีแดงสดของหน้าร้อนเป็นสีหลักทั้งงาน เสียงเครื่องดนตรีไทยบรรเลงไพเราะเสนาะหู อาหารหลายหลากอวดโฉมความงดงาม และการันตีด้วยรสชาติ
 
"อย่างที่เคยเล่า 'งานจัดเลี้ยง' เป็นความสามารถพิเศษของวังศศิธร" คนเปรยหารู้ตัวไม่ว่าเป็นความสามารถพิเศษของตนเองโดยแท้

"ขอบคุณมากอรุณ"

ใบหน้าหวานหันกลับมา มอบรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น อ่อนหวาน ละมุนละไม ประกายตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกภายในที่แสดงออกให้เห็นถึงความจริงใจ และยินดีที่ทำให้ผู้รับมีความสุข

"ยินดีต้อนรับกลับ 'บ้าน' ครับ คุณชาย" ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยยกยิ้ม ก่อนที่จะแฝงตัวหนีหายไปในงานที่คลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย

เจ้าตัวหารู้ไม่อีกเหมือนกันว่า 'รอยยิ้ม' นั่น ทำให้คนฟังเกือบตอบคำถามมิตรสหายที่เข้ามาทักทายปราศรัยไม่รู้เรื่องไปนาน กว่าจะดึงสติกลับมาได้ และเชื่อว่ายังไม่สามารถดึงหัวใจกลับมาอยู่กับร่างกายได้ดังเดิมอีกต่อไป

จะทำอย่างไร...
ใกล้เที่ยงคืน งานเลี้ยงสนุกสนานเพลิดเพลินด้วยรสมือของแม่ครัว การแสดงดนตรีไทย และดนตรีสากลสลับเป็นช่วง ๆ ทำให้ญาติสนิทมิตรสหายกลุ่มสุดท้ายเพิ่งลากลับ

"ไอ้เสือ งานเรียบร้อยดีนะ อากลับไปพักผ่อนก่อน"

"ครับ ขอบพระคุณมากครับ" ขณะที่ไหว้ลา ท่านอาจึงตบบ่าเบาแล้วหันกลับก้าวยาว ๆ ไปทางเรือนเล็ก

ในที่สุดแขกคนสุดท้ายก็กลับ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววใครอีกคนที่เฝ้าแอบมองหาตลอดงาน คนในวังกำลังช่วยกันเก็บงานอย่างขะมักเขม้น จึงเดินขอบคุณให้กำลังใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบเจ้าตัวแสบที่กำลังจัดการกับขนมหวานอยู่กับกองทัพเด็กกลุ่มเล็ก

"เจ้าจ้อย"

"ครับคุณชายเกิ้ง"

"เห็น 'คุณ' บ้างไหม ตามหาไม่เห็นทั้งงาน"

เริ่มชินกับสรรพนามที่คนในวังใช้เรียก ส่วนมากตัวเองมักถูกแทนว่า 'คุณชาย' และอีกคนคือ 'คุณอรุณ' แต่สำหรับคนเก่าคนแก่มักจะเรียก 'คุณคนโต' และ 'คุณคนเล็ก' ส่วนเจ้าจ้อยเรียกเขาว่า 'คุณชายเกิ้ง' หลังจากได้รับการสถาปนาเป็นแม่ทัพของกองกำลังเด็ก ส่วนอีกคนถูกเรียกว่า 'คุณ' เฉย ๆ ด้วยเหตุแห่งความสนิทสนม และเพื่อความเร็วในการต่อล้อต่อเถียง

"รายนั้นไม่ชอบคนเยอะ แต่ชอบจัดงาน"

"หนีไปเล่นเปียโนที่เรือนเล็กด้วยกัน แล้วกลับมาช่วยเก็บงาน เห็นเดินไปทางศาลาไทยกระมัง" คำตอบฉลาดนั่นตีความได้ว่าแอบหนีงานเลี้ยงไปเล่นกันเพียงสองคน แล้วคนพูดก็กำลังเก็บงานด้วยการยกกองทัพมากินต่อ ส่วนอีกคนที่ชอบจัดงานคงชอบเก็บงานด้วย จึงน่าจะคุมงานอยู่ที่ไหนสักแห่ง

คงต้องสั่งซื้อเปียโนมาไว้ที่ตึกใหญ่สักหลัง

อากาศร้อนจัดในช่วงกลางวันของฤดูร้อน ทำให้ตกดึกเมื่ออากาศเย็นลงเริ่มมีละอองฝนพรมประปราย จึงเร่งรุดมุ่งตรงไปตามหาคนที่ศาลาไทย งานส่วนใหญ่ที่ศาลาไทยถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว จึงเดินสวนกับคนงานสองสามคนสุดท้าย และกล่าวขอบคุณไป
 
กวาดตามองโดยรอบก็ยังไม่พบคนที่ตามหา ไฟเริ่มปิดลงเหลือเพียงแสงสลัวจากตัวตึกใหญ่ คงขึ้นนอนไปแล้วกระมัง จึงมุ่งหน้าหันกลับไปยังตึกใหญ่ หากไม่พบเงาไหว ๆ ของใครคนหนึ่งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกศาลาไทย
 
เพียงเงาก็รู้ว่าเป็นคนที่ตามหา

"ทำอะไรอยู่หรือคะ"

"คุณชาย" คนถูกทักยืดตัวขึ้น

"เอ่อ เก็บดอกปีบเล่น ไปไว้ที่หัวนอนหอมเย็น ๆ ดีครับ" อย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือเด็กชายตัวเล็กที่ยังคงหาเรื่องเล่นซนเช่นเดิม

"พี่ช่วย" เพื่อนเล่นคนเดิมจึงก้มหยิมดอกไม้สีขาวที่ร่วงกราวใต้ต้น ส่งกลิ่นหอมละมุนทั่วบริเวณ

"ไม่เป็นไรครับ คุณชายพอแล้ว เก็บได้เยอะแล้ว"

"ทำไมต่อหน้าคนอื่นเรียกพี่ว่าพี่ชายได้ แต่อยู่กันสองคน พี่ถึงกลายเป็นคุณชายเสียทุกทีล่ะคะ"

"..................."

"ว่าอย่างไรคะ"

"สุดแล้วแต่ จะให้เรียกว่าอย่างไรเถิดครับ"
 
ด้วยแสงไฟอันริบหรี่ทำให้ยากยิ่งจะเห็นได้ว่าคนพูดมีสีหน้าอย่างไร แต่จากประสบการณ์ตลอดอาทิตย์ที่ทำให้ตระหนักว่าไม่สามารถจะตีความจากน้ำเสียงของอีกคนได้เลย น้องน้อยคนเดิมนั้นเติบใหญ่แข็งกล้า ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ดังเดิม ความเงียบงันจึงปกคลุมอีกครั้ง

สุดแล้วแต่...ใช่ไหม
จึงขอพูด สุดแล้วแต่...หัวใจสักครั้ง

"อรุณ"

"พี่ยอมรับว่า พี่ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"

"พี่รู้แล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ใจคิด"

"และการกระทำนั้นยากกว่าตัวอักษรมากมายนัก"

"แต่เพียงอยากให้รู้ไว้ว่าทุกคำที่เคยบอก ทุกตัวอักษรที่เคยเขียนเล่ามาในจดหมายนั้น" "ตั้งใจ"

"พี่ตั้งใจจริง ๆ ดังคำมั่นทุกคำที่ให้ไว้"

"พี่จะไม่ยอมท้อถอย ไม่ว่าอุปสรรคที่พบจะเป็นอะไร"

"พี่รู้แล้วว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป"

"รวมถึง 'ของรัก' ของพี่เธอก็มิใช่คนเดิม"

"พี่ไม่ร้องขอคำถามเดิมที่เคยถามเฝ้าเพียรถามไว้" เพราะตอนนี้พี่รู้แล้ว ว่ามันคงยากมากมายเกินกว่าที่จะตอบได้ และพี่ก็พร้อมที่จะรอคอย พร้อมที่จะพิสูจน์ทุกอย่างดังที่เคยบอก หาก

"เพียงแต่"

"พี่เพียงอยากรู้"

"อยากรู้ว่าดวงใจที่พี่เฝ้าคอย เธอยังคงเชื่อมั่นในตัวพี่ชายคนนี้อยู่หรือไม่"

มิใช่ความเคลือบแคลงใจอันใดที่ทำให้เอ่ยถาม แต่ขอเพียงกำลังใจได้ไหม

"......................................" ไม่มีคำตอบ


"พี่ยังมีโอกาสนั้นอยู่หรือไม่"

มิใช่ท้อแท้แต่ประการใด ขอแต่เพียงเพื่อนร่วมหนทางที่จะฝ่าฟันไปได้หรือไม่

"............................................." และยังคงไม่มีคำตอบอยู่ดี

"ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ค่ะ"

"ดอกไม้ของพี่" ยื่นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์สองสามดอกที่เก็บมาให้ไป ยังดีที่ใครอีกคนยังยอมรับมันไว้

"ฝนลงเม็ดแล้ว รีบขึ้นตึกเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่สบาย" เมื่อร่างเล็กก้าวเดินจากไป จึงหันกลับมาถอนหายใจ พร้อมเหม่อมองไปใน
ความมืดมิด

คงต้องให้เวลาบ้าง
 
เวลาสำหรับหัวใจดวงน้อย ที่ต้องคิดใคร่ครวญ
เวลาสำหรับหัวใจตัวเอง ที่ต้องเดินผ่านจุดเริ่มต้น

บางครั้งจุดเริ่มต้นก็ยากยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจุดหมายช่างเลือนลาง
จึงเพียงแต่ต้องการ คนเข้าใจคอยเคียงข้าง และกำลังใจในที่จะเริ่มต้นก้าวแรก
 
คงต้อง.....

"พี่ชาย ก็ต้องรีบเข้านอนนะคะ" เสียงแผ่วเบาที่แว่วมาจากด้านหลังทำให้รีบหันกลับไป แล้วพบว่าคนที่คิดว่าเดินจากไปแล้ว กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

"อรุณ" มือเล็กแบ่งดอกไม้สีขาวยื่นให้กลับคืน

"ถ้าเก็บไปเยอะ ๆ กลิ่นมันจะฟุ้งจัดจนนอนไม่ไหว แบ่ง ๆ กันไปนะครับ" จึงรับดอกไม้กลับมาด้วยความมึนงง

“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ห้างแต่เช้านะครับ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ‘พี่ชาย’.”

แล้วคนที่ทำให้ใจปั่นป่วนก็หันหลังกลับวิ่งปรื๋อจากไป ดั่ง 'น้องน้อย'

สู่จุดเริ่มต้นครั้งใหม่อีกครั้งสินะ 'พี่ชาย' และ 'น้องน้อย'

จุดเริ่มต้นสู้ก้าวแรกบนหนทางแห่ง 'ชีวิต'

หนทางที่จะนำพา 'ชีวิต' กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ด้วย 'บ้าน' 'ครอบครัว' และ 'สุดที่รัก'



#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=-QwCq3ZT8BU (https://www.youtube.com/watch?v=-QwCq3ZT8BU)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LIVE 17.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 17-01-2018 13:08:06
สนุกค่ะ...ชอบมากๆ...จะรอติดตามต่อไปนะค่ะ!!!หลงรักคุณอรุณ :impress2:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; THANKS 18.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 18-01-2018 10:50:48
Just…Thanks;

๑๑. ขอบคุณ


‘งานเสร็จแล้ว เราก็ไปเล่นได้แล้วน่ะสิ’ มีหลายคนชื่นชมว่าผมขยัน จริงแล้วเปล่าเลยที่ทำไปเพราะขี้เกียจต่างหาก

‘ก็ทำงานให้เสร็จก่อนสิ จะได้ไปเล่น’

‘พี่ชาย’ เคยสอนไว้


อากาศเย็นชุ่มฉ่ำด้วยละอองฝนบาง ๆ ตกพรมประปรายไปทั่วทั้งสวนฝรั่ง ใต้ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ดอกปีบสีขาวร่วงพราวเต็มสนามหญ้า ส่งกลิ่นหอมยวนเย้า เก็บไว้ในห้องนอนน่าจะทำให้นอนหลับสบาย จึงก้มตัวลงเก็บดอกสดสวยหอมกรุ่น ดอกแล้วดอกเล่าอย่างเพลิดเพลินจนเกือบเต็มสองมือ

“ทำอะไรอยู่หรือคะ”

“คุณชาย...” นึกว่าเขาขึ้นตึกไปแล้วซะอีก

‘เรา’ทำอะไรน่ะหรือ...อะไรล่ะ ก็

“เอ่อ...เก็บดอกปีบเล่น ไปไว้ที่หัวนอนหอมเย็น ๆ ดีครับ”

“พี่ช่วย” ร่างสูงก้มตัวลงเก็บดอกไม้ดอกเล็ก ทำไมคลับคล้ายใครบางคนในความทรงจำ

“ไม่เป็นไรครับ คุณชายพอแล้ว เก็บได้เยอะแล้ว” เก็บไปเยอะ ๆ จากหอมมันจะเหม็นนะครับพี่ชาย

"ทำไมต่อหน้าคนอื่นเรียกพี่ว่าพี่ชายได้ แต่อยู่กันสองคน พี่ถึงกลายเป็นคุณชายเสียทุกทีล่ะคะ"

“...........................................................” อะไรล่ะ อยู่ ๆ ก็มาถามแบบนี้

“ว่าอย่างไรคะ”

“สุดแล้วแต่ จะให้เรียกว่าอย่างไรเถิดครับ” จะให้เรียกอย่างไร เขาก็รู้ว่าในใจของตัวเองมีเพียง ‘พี่ชาย’ คนเดียวเสมอ


เพียงแต่ผู้ชายแปลกหน้าที่กลับเข้ามาในชีวิตหลังจากห่างหายไปกว่าสิบห้าปี กับคนในความทรงจำที่ชัดเจนดังวันวาน เป็นคน...คนเดียวกันจริงหรือ

แม้สมองจะบอกว่าใช่
แต่หัวใจกลับ ไม่แน่ใจเลย



"อรุณ"

"พี่ยอมรับว่า พี่ต้องเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง"

"พี่รู้แล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ใจคิด"
 
"และการกระทำนั้นยากกว่าตัวอักษรมากมายนัก"

"แต่เพียงอยากให้รู้ไว้ว่าทุกคำที่เคยบอก ทุกตัวอักษรที่เคยเขียนเล่ามาในจดหมายนั้น" "ตั้งใจ"

"พี่ตั้งใจจริง ๆ ดังคำมั่นทุกคำที่ให้ไว้"

"พี่จะไม่ยอมท้อถอย ไม่ว่าอุปสรรคที่พบจะเป็นอะไร”


ทำไมจะไม่รู้ แต่...


"พี่รู้แล้วว่าหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป"

"รวมถึง 'ของรัก' ของพี่เธอก็มิใช่คนเดิม"

"พี่ไม่ร้องขอคำถามเดิมที่เคยถามเฝ้าเพียรถามไว้"

คำถามนั้นที่เฝ้าเวียนถามตัวเองในสมอง ‘ยังเป็น 'ของของพี่' อยู่หรือเปล่า’
หากแต่เพียง ‘พี่ชาย’ คนเดิมคนนั้นถาม หัวใจคงตอบได้ทันที
แต่ใช่หรือ...คนเดิมหรือเปล่า

"เพียงแต่"

"พี่เพียงอยากรู้"

"อยากรู้ว่าดวงใจที่พี่เฝ้าคอย เธอยังคงเชื่อมั่นในตัวพี่ชายคนนี้อยู่หรือไม่"

“..............................................” ‘พี่ชาย’ คนเดิมจริงหรือ

“พี่ยังมีโอกาสนั้นอยู่หรือไม่”

“.............................................” ‘พี่ชาย’ คนเดิมจริง ๆ หรือเปล่า

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ค่ะ”

“ดอกไม้ของพี่” ดอกไม้ที่ถูกส่งมาให้ ในขณะที่สมองยังเฝ้าคิดวนเวียน


เป็นคนเดียวกันมิใช่หรือ เงาสะท้อน ‘พี่ชาย’ ชัดเจนในผู้ชายคนนี้


“ฝนลงเม็ดแล้ว รีบขึ้นตึกเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่สบาย”

‘พี่ชาย’ สั่งให้กลับ ขาก็เดินกลับเอง ในขณะที่สมองยังคงคิดต่อไป แต่หัวใจทักท้วง ภายในความรู้สึกนึกคิด และจิตวิญญาณ


เธอเรียกผู้ชายคนนั้นว่า ‘พี่ชาย’ มาเสมอหรือมิใช่
แล้วเขาจะเป็นใครไปได้

ไม่คุ้น ไม่ชิน ไม่ได้แปลว่าไม่ใช่
ไม่ได้แปลว่า ‘เขา’ มิใช่คนที่ปรารถนาและเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต

ไม่มีแล้ว
ไม่มีวันได้เด็กผู้ชายอายุสิบสามขวบในความทรงจำนั่นคืนมา

แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชายคนนั้น ถ้าต้องการ ‘พี่ชาย’ กลับคืน
อาจจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ไม่ปล่อยไปอีกแล้ว เมื่อตัดสินใจได้จึงหันหลังกลับ

“พี่ชายก็ต้องรีบเข้านอนนะคะ” รู้ตัวอีกครั้ง ก็เมื่อได้ยินเสียงของตัวเองที่เอื้อนเอ่ยออกไป

“อรุณ” เขาคนนี้คือ ‘พี่ชาย’ ของเราสินะ จึงแบ่งดอกไม้สีขาวยื่นให้กลับคืน

"ถ้าเก็บไปเยอะ ๆ กลิ่นมันจะฟุ้งจัดจนนอนไม่ไหว แบ่ง ๆ กันไปนะครับ" คนฟังยังดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ห้างแต่เช้านะครับ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ‘พี่ชาย’.” เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหัวใจตัวเอง ทำไมหัวใจมันเต้นแรงอย่างนี้ล่ะ ก็ ‘พี่ชาย’ คนเดิมมิใช่หรือ

ไม่ไหวแล้ว
สองขาพาตัวเองวิ่งจนกลับมาถึงห้องนอนแม่จ๋า แล้วทำได้เพียงยืนหอบหายใจพิงอยู่ภายในประตูห้องที่ปิดสนิท

ไม่ใช่ไม่รู้...
เวลาทำให้...ตัวเองเปลี่ยน
แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่า ‘พี่ชาย’ ที่เปลี่ยนแปรไป

ตัวเองเปลี่ยน เพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบ บทบาทในสังคม แต่ตัวตนข้างในนั้นยังคงเป็นคนเดิม แตกต่างจาก ‘พี่ชาย’ ที่กลับมีเพียงเงาจาง ๆ และความทรงจำบางส่วนที่ลางเลือน

มิใช่เขาไม่รู้ ความรู้สึกของ ‘พี่ชาย’ ที่มีให้ มิใช่ ‘ความรัก’ แบบเดิม แม้ยอมรับ รากฐานของความรักนั้น มีบางส่วนมาจากความผูกพันในอดีต บวกรวมกับความเสน่หา ความลุ่มหลง ในครั้งใหม่

‘พี่ชาย’ จึงกำลังจมลึกอยู่ในห้วงแห่งความรัก
แล้วตัวเขาเองเล่า ถามหัวใจตัวเองอีกครั้ง
 
ไม่เคยมีความรักครั้งใหม่ มีแต่เพียงความรักพิสุทธิ์ ครั้งแรก ครั้งเดียว ตลอดมา
เพียงเพราะ

ดวงใจดวงเดียว ที่ฉุดรั้งเด็กอ่อนแอคนนั้นให้ลุกขึ้น
ดวงใจดวงเดียว ที่ทำให้ชีวิตสามารถยืนหยัดก้าวเดิน

คนเดียวที่... เปลี่ยนแปลง ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตในอดีต
คนเดียวที่... ทำให้รู้จักการเป็น ‘ผู้รับ’ ครั้งแรก และได้รับอย่างมากมาย
คนเดียวที่... อยู่ ‘เคียงข้าง’ และให้ ‘ความอบอุ่น’ ในหัวใจที่ไม่เคยพานพบ
คนเดียวที่... ทำให้ทุก ๆ วัน กลายเป็น ‘วันที่ยิ่งใหญ่’
คนเดียวที่... เป็น ‘จุดมุ่งหมาย’ หนึ่งเดียวตลอดมาในชีวิตของเขา
คนเดียวที่... ทำให้มี ‘แรงใจ’ ให้ยืนหยัดเฝ้ารอคอยการกลับมา
 
ความรักทั้งสอง คลับคล้าย แต่มิได้ใกล้เคียง
ถ้าเรารอคอยใครมาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิต ใจจะกล้าปฏิเสธได้จริงหรือ
 
‘ขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งได้ไหม’ วิงวอนร้องขอหัวใจตัวเอง
กับเหตุผล เหตุผลเดียวเพียงเพราะ ‘พี่ชาย’ คือดวงใจอันเป็นที่รัก

ดวงใจยังคงสั่นไหว แต่ความตั้งใจแน่วแน่ขึ้น เมื่อได้คำตอบให้แก่หัวใจตัวเอง ดอกปีบสีขาวกำใหญ่จัดใส่แก้วทรงเตี้ยใบเล็กที่โต๊ะหนังสือ มีเพียงดอกขาวบางสามดอกที่ ‘พี่ชาย’ เก็บให้ วางไว้บนหมอนใบเล็กข้างหมอนหนุนตลอดคืน

วันเวลาแห่งการพิสูจน์เริ่มต้นขึ้น ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ‘พี่ชาย’ พยายามอย่างยิ่ง งานที่ตัวเองต้องใช้เวลาเรียนรู้นานเกือบครึ่งปี แต่ ‘พี่ชาย’ กลับใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการเรียนรู้จนหมดสิ้น และทำได้ดีกว่า เพราะจริงจังมากกว่ามาก และรับผิดชอบมากกว่ายิ่ง จนคุณก๋งเอ่ยปากชม และเริ่มวางมือจากกิจการอย่างเต็มตัว

ภาระงานต่าง ๆ ที่เคยมีมากล้น ถูกแบ่งเบาไปเกินครึ่ง เหลือเพียงงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของห้าง เรื่องที่ดินของท่านพ่อ และธุระเดิมของวังที่เป็นของแม่จ๋าเพียงเท่านั้น

เวลาว่างที่เคยหาได้ยากยิ่งจึงเริ่มกลับคืนมา ความจริงแล้วไม่ต้องไปที่ห้างเลยก็ยังได้ หากแต่ใครบางคนยังคงตามมาเคาะห้องปลุกด้วยตัวเองทุก ๆ เช้า เพื่อตามตัวไปห้างด้วยกันดังเดิมทุกวัน
 
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงเคาะประตูที่เชื่อมภายในห้องนอนดังขึ้น จึงจำใจลุกขึ้นเหมือนดั่งเช่นทุกเช้า หลับตาก้าวไปเปิดประตูห้องด้วยความเคยชิน ก่อนกลับมาทิ้งตัวล้มลงนอนซุกหน้าลงกับหมอนที่เตียงเช่นเดิม

คนที่เดินผ่านประตูเข้ามานั่งลง พิงหัวเตียงข้าง ๆ และช่วยลูบผมชี้น้อย ๆ ให้คนนอนต่อเบา ๆ และนอนต่อได้อีกนิดนึง เช่นเดิม

‘พี่ชาย’ ตื่นมาอ่านหนังสือทุกเช้า แต่ชอบมาอ่านในห้องคนอื่น วันแรก ๆ ข้ออ้างคือหนังสือที่เธอสนใจอยู่ในห้องนี้ วันหลังเมื่อยกหนังสือที่เธอสนใจไปไว้ให้ในห้อง เธอก็ยังหยิบหนังสือมาอ่านในห้องคนอื่นเช่นเดิม ด้วยเหตุผลว่า อ่านที่ห้องตัวเองแล้วง่วง
 
“ตื่นได้แล้วเด็กขี้เซา”

“อืม...”

“อรุณ”

จึงส่งเสียงกรนเล็กน้อยในคอแถมให้ไป แล้วจึงมีสัมผัสเบา ๆ ที่หู ดอกปีบดอกเล็กที่เจ้าตัวเก็บมาให้ก่อนนอนทุกคืน ถูกปั่นลงแกล้งเช่นเดิม จนตอนนี้เริ่มชิน ผ้าห่มถูกดึงออกจึงเป็นมาตรการต่อไป และตามมาด้วยหมอนหนุนที่ต้องฉุดกระชากกันทุกเช้า

“ถ้าไม่ตื่น อย่าหาว่าพี่รังแก” ไม้สุดท้ายที่ใช้ได้ผลทุกเช้า จึงหลับตา และใช้ประสาทสัมผัสฝืนเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ แล้วจึงได้ยินเสียงคนได้รับชัยชนะเปิดประตูกลับไปอาบน้ำที่ห้องตัวเองเช่นเดียวกัน

อย่าถามว่าเคยเพิกเฉยต่อคำขู่นั่นไหม
คำตอบคือ เคย และพบว่าเกือบครึ่งค่อนวันที่ไม่ได้ออกจากห้อง

กว่าจะวิงวอนกันได้ แก้มแทบจะช้ำ
ดังนั้น จงฝืนความง่วงเสียยังดีกว่า

เคยโอดครวญขอทำงานอยู่ที่บ้าน แต่เมื่อคนที่ต้องไปทำงานที่ห้าง สั่งให้คนหอบเอกสารมากมายมานั่งทำที่บ้านด้วยกันเสียอย่างนั้น ก็ออกจะเกรงใจคนอื่น ๆ
 
มื้อเช้าที่เคยเงียบสงบ กลายเป็นสนามรบแย่งชิงอาหารจากคนนั่งตรงข้าม จนท่านอาเธอระอา หรืออย่างไรมิทราบ จากที่เคยมาทุกเช้า กลายเป็นว่านาน ๆ ทีที่ท่านอยากจะปวดหัวด้วยเสียงสองพี่น้องถกเถียงกัน ท่านถึงจะแวะมารับอาหารเช้าด้วย เช่นวันนี้

“อรุณ เอาขวดเกลือมา”

“ใครบอกว่าเอาไป”

“อยู่ข้างหลังส่งมา”

“เปล่าไม่มี”

ร่างสูงยิ้มร้ายกาจให้พร้อมเตรียมลุก ใครจะยอม ตัวเล็กกว่าก็ย่อมได้เปรียบในที่เล็ก ๆ เช่นห้องอาหาร จึงไหวตัววิ่งฉิวพร้อมขวดเกลือ เมื่อจวนตัวคนที่เป็นที่พึ่งคือ

“อายุเท่าไหร่กันแล้ว” แอบด้านหลังท่านอา แน่จริงเข้ามาสิ อีกคนจึงส่งสายตาอาฆาต

“พี่ชายยี่สิบเก้าแล้ว”

“อรุณก็จะยี่สิบหกแล้วเถอะ”

“พอกันทั้งคู่ อายแม่นวล แม่หวาน ไอ้กรอบบ้างไหม เจ้าของวังวิ่งไล่กันเป็นเด็กห้าหกขวบ”

“อรุณ อาขอขวดเกลือ” จึงยอมส่งให้ ก่อนที่ท่านอาจะวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม จึงจำต้องเดินกลับไปนั่งที่เดิม

“เกิ้ง ก็อย่ากินเค็มมาก มันไม่ดี น้องเขาเป็นห่วง” เปล่าสักหน่อยนะ ขณะที่อีกคนยิ้มร่าหน้าบาน

“ช่วงอาทิตย์หน้าอรุณว่างไหม”

“ครับ มีอะไรหรือครับ”

“เพลงใหม่เสร็จแล้ว จะให้ช่วยลองเล่นให้ฟังหน่อย เดี๋ยวส่งโน้ตมาให้ซ้อมก่อน จะอัดกับวงกลางเดือนหน้า"

“ครับ”

“ไปซ้อมที่เรือนเล็กก็ได้ ถ้าดึกมากก็นอนที่โน่น เดี๋ยวอา ให้คนจัดห้องไว้ให้”

“ครับ”


ตลอดการเดินทางขามาห้าง เพื่อนคุยนิ่งเงียบคล้ายดังกำลังคิดหนักเรื่องอะไรอยู่ และเงียบหายไปตลอดช่วงเช้า
‘เป็นอะไรของเขา’ แค่แย่งขวดเกลือเอง จะว่าห่วงอย่างท่านอาว่าก็จริง แต่มากกว่านั้นคือสนุกซะมากกว่า แต่แค่นี้ไม่น่าโกรธ ตอนแรกก็ยังยิ้มแย้มดีอยู่ แค่นี้งอนหรือ
ต้องง้อไหม ทำอย่างไรไง เคยแต่เป็นฝ่ายงอน
 
“นั่งเหม่อคิดถึงใครอยู่คะ” ก็จะใครล่ะ

“เปล่าครับ”

“ไปกินข้าวกัน น้องแพรรออยู่”

เมื่อเช้ายังงอนอยู่ แต่ทำไมตอนนี้ยิ้มร่าเริงเชียว อาจเพราะคุณหญิงแพรเธอช่วยไว้กระมัง เลขาส่วนตัวซึ่งถูกแย่งตัวไปตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานที่ห้าง โชคดีที่คุณหญิงปรับตัวได้ดีขึ้นมาก และไม่ต้องห่วงอีกคน คนทั้งห้างให้ความรัก และความปราณีอย่างมากด้วยบุคลิกสุภาพอ่อนน้อม พี่ชายเก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว ใช้เวลาไม่นานสองคนก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี

“น้องแพร แบ่งผัดไทยพี่สักนิดไหมคะ กลมกล่อมกำลังดีเชียว” คำท่านอาที่ว่าเห็นจะไม่ผิด คุณชายคาสโนวา ตำแหน่งนี้คงมิใช่เพียงข่าวลือ แต่กลับมาม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจานคนอื่นไปกินเฉยโดยไม่เอ่ยขอ ต่อหน้าคนอื่นจึงไม่อยากให้เป็นเรื่อง

“วันนี้พี่อรุณ ทานน้อยจังค่ะ”

“ค่ะ พี่ไม่ค่อยหิว” ไม่อยากบอกว่าโดนแย่งต่างหาก ถ้าเป็นที่บ้านคงแย่งผัดไทยนั่นคืน แต่วันนี้รักษาภาพให้คุณชายเธอเสียหน่อย รอกินของว่างช่วงบ่ายก็ได้

“ตั้งแต่วันเกิดแพร พี่อรุณไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่วังเลยค่ะ คุณแม่บ่นคิดถึง”

“ครับ พอดีช่วงนี้พี่ยุ่ง ๆ เรื่องวาดภาพ อยากทำให้เสร็จเสียที เจ้าของเขาทวงมานาน แล้วอาทิตย์หน้าต้องซ้อมเปียโน เพลงใหม่ให้ท่านชายด้วย”

“หรือคะ หญิงก็ไม่อยากรบกวนหรอกค่ะ แต่คุณแม่เธอฝากมาว่าแวะไปเยี่ยมเธอบ้าง”

“ค่ะ พี่ฝากเรียนหม่อมป้าด้วยว่าเสร็จธุระแล้วพี่จะรีบแวะไปกราบนะคะ”

“อะ เอิ่ม น้องแพรหม่อมป้าไม่คิดถึงพี่บ้างหรือคะ พี่ฝากเรียนหน่อยว่าพี่น้อยใจนะคะ”

“คุณชายลืมแล้วหรือคะ หญิงเรียนเมื่อเช้าว่าเสาร์นี้ที่คุณแม่เชิญคุณชายไปทานน้ำชา”

“เธอว่ามีเรื่องจะเรียนปรึกษา” เรื่องอะไร

“ค่ะ ก็เห็นว่าเป็นธุระ หม่อมป้าคงไม่โปรดพี่ คิดถึงพี่ เหมือนใครบางคนนี่คะ” เท่านั้นคุณหญิงตุ๊กตาเธอก็อายม้วนเช่นเดิม แต่ธุระอะไรกันนะ เพราะธุระนั่นกระมังที่ทำให้ พี่ชายอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา


ของว่างมาตั้งได้ไม่นาน ร่างสูงก็เดินมาตาม

“วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยได้ไหม พี่มีธุระ”

“ครับ พี่ชายจะออกกี่โมงครับ”

“ตอนนี้เลย” คนใจร้อน เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน

“พี่ชายกลับก่อนก็ได้ครับ แล้วให้นายกรอบแวะมารับผมอีกครั้งช่วงเย็น ๆ ”

“ติดธุระอะไรอยู่หรือ ไปด้วยกันกับพี่เถอะ”

“ก็สัญญาเช่าพื้นที่ ที่ส่งมาให้เมื่อเช้า” พอเป็นงานของตัวก็ทำหน้าเก้อ

“เอาไว้ก่อนงานนั้นไม่รีบ”

“ยังกินขนมอยู่ เมื่อกลางวันกินไม่อิ่ม มีคนแย่ง”

“งั้นไปกินต่อบนรถ ไปกันเถอะ” คนพูดคว้าจานขนม และฉุดแขนออกไป ไม่ทันได้ประท้วงใด และยังตะโกนดังลั่น

“กรอบ นายกรอบ ออกรถจะกลับบ้าน”


เมื่อนายกรอบขับรถผ่านประตูวังเข้ามา ก็พบคนงานกลุ่มใหญ่เกือบสิบคนมุงลังไม้กล่องใหญ่ด้านหน้าตึกใหญ่

“มาแล้วหรือ” อะไรกัน หากพี่ชายเธอดูเหมือนจะทราบมาก่อน เมื่อลงจากรถได้ จึงรีบมุ่งตรงไปสั่งการ

“คุณชาย ให้ตั้งในห้องไหนครับ”

“ยกขึ้นไปไว้ที่ห้องนอนฉันแล้วกัน ห้องอรุณเล็กไป นะอรุณ”

“อะไรหรือครับ”

ไม่ทราบจริง ๆ ว่าของในกล่องนั่นคืออะไร แต่คงมีขนาดใหญ่มาก ห้องแม่จ๋าคงไม่มีที่พอให้ของชิ้นใหญ่ขนาดนั้นตั้งอยู่ได้ ห้องท่านพ่อใหญ่กว้างกว่ามากนัก เนื่องด้วยห้องหนังสือ และห้องทำงานของท่านถูกแยกออกไป ผิดจากห้องแม่จ๋าที่มีโต๊ะทำงาน และมุมหนังสือเล็ก ๆ ครบครันภายในห้อง

“ไว้ห้องพี่ก็แล้วกัน” พี่ชายยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ของชิ้นนี้ทำให้อารมณ์เธอดีขึ้นเป็นคนละคนกับช่วงเช้า คนงานช่วยกันยกกล่องขึ้นไปชั้นสองด้วยความยากเย็น


ในเมื่อเจ้าของคอยคุมอย่างใกล้ชิด จึงปลีกตัวไปจัดการกับของว่างที่พี่ชายหยิบมาจากที่ห้างทั้งจาน รวมทั้งของว่าง และน้ำหวานที่แม่นวลยกมาให้เพิ่มในห้องหนังสือ จนกระทั้งมีคนมาตามไปให้ช่วยดู
 

“อรุณ ไปดูหน่อยว่าอยากให้วางมุมไหน”

“กินของว่างอยู่ครับ” อะไรก็ไม่บอก ของใครก็หาที่วางเองสิ จึงหยิบขนมปังหน้าหมูเข้าปาก และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
 
“นะคะคนดี ไปช่วยพี่ดูหน่อย เดี๋ยวนวลช่วยยกของว่างเข้าไปในห้องฉันที” ใช้มุกเดิมแย่งขนมกับน้ำไปหน้าตาเฉย จึงต้องจำใจเดินตาม

ตามขนมไปหรอก


นานทีเดียวที่ไม่ได้เข้ามาในห้องท่านพ่อ ห้องกว้างโล่งด้วยมีเครื่องเรือนเพียงไม่กี่ชิ้น เตียงสี่เสาหลังใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ชุดเก้าอี้บุนวมที่มุมห้อง ชุดโต๊ะน้ำชาเล็ก ๆ ติดริมระเบียงที่แม่นวลนำของว่างไปวางไว้ให้ และของชิ้นใหม่ที่ตั้งอยู่มุมห้องใกล้ระเบียงอีกฟาก แกรนด์เปียโนหลังใหญ่

“พี่ชาย” หนังสือในมือถูกวางไว้ที่เตียงทันที มุ่งตรงไปยังเปียโนหลังใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง สีน้ำตาลเข้มเคลือบเงางดงาม

“ชอบไหมคะ” พูดไม่ออก ไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นของที่อยู่ในกล่อง คนพูดยิ้มพราย


นี่หรือคือของที่ทำให้อารมณ์ดี
ไม่เข้าใจ


“ไว้ซ้อมดนตรี”

“จะได้ไม่ต้องไปกวนท่านอา” คำพูดสะดุดหู จึงต้องหันกลับไปมองใบหน้าคมเริ่มเจือสีระเรื่อ แต่นัยน์ตายังคมเป็นประกายจนต้องหลบสายตา

เหตุผลนี้เองสินะที่ทำให้หงุดหงิดแต่เช้า แต่ทำไมต้องตั้งในห้องนี้

“แล้วจะไม่รบกวนพี่ชายหรือครับ” เมื่อครั้งแรกไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งนี้ จึงแย้งกลับไป

“ตั้งไว้ที่ห้องอื่นเห็นจะสะดวกกว่า” แต่คนงานที่ช่วยขนย้ายกลับหายกันไปหมดเสมือนจัดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่นวลก็ออกไปแล้ว

“ไว้เล่นให้พี่ฟังไงคะ ไม่รบกวนหรอก พี่อยากฟัง”

“อรุณอยากเล่นก็เดินเข้าประตูเชื่อมมานิดเดียว” ก็จริง ดีกว่าต้องเดินไปเรือนเล็กของท่านอา

“ถ้า ซ้อมหนักแล้วอยากนอนพักที่ห้องนี้ก็ยังได้” ก็ไหนว่านิดเดียว กลับไปนอนที่ห้องน่าจะดีกว่า แต่เพราะอย่างนี้นี่เองจึงตั้งเปียโนที่นี่

ชัดเจน เพื่อประโยชน์แด่ตัวเธอเองโดยแท้


“ยังไม่ตอบคำถามพี่ ชอบหรือเปล่าคะ”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” เอ่ยออกไปได้เพียงเท่านั้น แต่ความรู้สึกในดวงใจกับเต็มตื้นเปี่ยมล้น รอยยิ้มแห่งความสุขที่ส่งให้กัน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งผูกพันดังวันวาน หวนย้อนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม


‘บ้าน’ ที่ไม่ได้มีเพียงคนเดียว อีกต่อไป
‘เสาหลัก’ แห่งบ้านกลับมาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์
ความมั่นคง อบอุ่น ค่อย ๆ ซึมซาบเข้ามาแทนที่ความโดดเดี่ยว อ้างว้างที่มีในหัวใจ

เพียงเท่านี้จริง ๆ ที่หัวใจ ต้องการ
เพียงเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...




#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=UFZA-pt8lSE (https://www.youtube.com/watch?v=UFZA-pt8lSE)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; THANKS 18.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 18-01-2018 22:06:59
คุณชายสายเปย์.....!!! :-[
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; HOW 19.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-01-2018 14:20:36
Just…How;

๑๒. อย่างไร



‘เกิดอะไรขึ้น’ คำถามที่ได้แต่เฝ้าวนเวียนถามอยู่เพียงภายในใจ
‘ทำสิ่งใดผิดไปหรือ’ สมองยังคงใคร่ครวญหาคำตอบ
เป็นครั้งที่สองแล้วที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง

‘พี่จะรีบกลับ’ อารมณ์ความรู้สึกของเด็กผู้ชายที่เฝ้ารอชะเง้อหาคนที่สัญญาไว้ย้อนหวนคืน

จากหนึ่งชั่วโมง... เป็นหนึ่งวัน
จากหนึ่งอาทิตย์... เป็นหนึ่งเดือน
จากหนึ่งปี.... เป็นสิบปี
จากความซึมเศร้า...เป็นร่างปราศจากวิญญาณ

ความสดใสเริงร่าแสนซนในอดีตถูกปก และปิด ถูกเก็บ และกดอย่างมิดชิด สร้างคนอีกคนให้ถือกำเนิด ‘คุณอรุณ’
 
‘เธอเงียบขรึมเก็บตัว’
‘เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว’
‘เด็กตัวแค่นั้น ทำไมโตไว’

มีคำถาม มีข้อสงสัย มีเพียงแม่จ๋าคนเดียวที่รู้คำตอบ และเป็นที่ยึดมั่นหนึ่งเดียวที่ทำให้ยังมีแรงใจ ท่านรัก เอ็นดู และปรานีนัก ต้องตอบแทนพระคุณ

ครั้งแรกยังพอมีข้ออ้างให้กับตัวเอง ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพียงเพราะทำตามหน้าที่ หน้าที่ทำให้ ‘พี่ชาย’ ไม่กลับมาตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
กาลเวลาผันผ่านทำให้กล้าแกร่งยืนหยัด

จนกระทั่งที่แม่จ๋าลาจาก
จากร่างไร้วิญญาณถูกกระชากดวงใจอันเป็นที่รัก

อยู่ไปเพื่อใคร อยู่ไปเพื่อสิ่งใด
ไม่มีใครอีกแล้ว จึงจำใจ ฝืนทน ทำหน้าที่ในวาระสุดท้าย
 
หากแต่ต้องบอกใครอีกคน คนที่กาลเวลาลบเลือน ‘น้องน้อย’ สิ้น
ทำไมจะไม่รู้

จดหมายหลายปีหลังไม่มีเคยมีตัวตน ไม่มีแม้แต่เงาในเนื้อความจดหมาย ทั้งที่คนเขียนจดหมายทุกฉบับ ถ่ายทอดทุกถ้อยความทุกคำพูด เป็นคนคนเดียวตลอดมา
 
รู้ดี ไม่มีแล้ว ‘พี่ชาย’ รู้ดี ไม่มีแล้ว ตัวตนในสายตา
ดวงใจใคร่ครวญ เมื่อไม่มีแม่จ๋า
เมื่ออีกคนลืมสิ้น คงได้เวลาแล้วต้องเดินจากไปเสียที

ใยสวรรค์เล่นตลก

ทำไมจะไม่รู้ สายตาใครที่แปรเปลี่ยน
ยิ่งมองด้วยความพึงใจ ยิ่งกรีดลึก ‘ตัวเอง’ เป็นอะไร

จึงทำได้เพียงหลีกหนี ซ่อนเร้น กลไกปกป้องตัวเอง แล้วยิ่งตระหนก เมื่อรู้ซึ้งความในใจตน ทำไม ‘ยอม’ เป็นทุกอย่างไม่ว่าอะไร
 
ขอ ‘เพียง...รัก’

ไม่ว่าจะแบบไหน ไม่ว่าจะอย่างไร ทำให้ทรยศความตั้งใจเดิมที่จะลาจาก เลือกที่จะเชื่อ และเลือกที่จะเฝ้ารอ จดหมายทำให้รู้ว่าอีกคนลุ่มหลง ลึกซึ้ง จนรู้สึกขลาด หวาดระแวง จะสนองตอบความรักเช่นนี้ได้จริงหรือ

ในใจตัวเอง ขอเพียง ‘พี่ชาย’ คนเดิมเสมอมา แต่อีกคนกลับยอมรับการลืมเลือนอดีต และร้องขอการเริ่มต้นใหม่ ก็ยัง ‘ยอม’ เก็บอดีตไว้เพียงในใจคนเดียว
‘ยอม’ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แล้วครั้งนี้คืออะไร

ตลอดสามเดือนที่ผ่านคืออะไร เพียงค่ำคืนที่ผ่านพ้นเพียงชั่วพริบตา ทำไมอีกคนเปลี่ยนแปร เกิดอะไรขึ้น

ทำไมถึงปิดบัง ทำไมถึงไม่บอก ทำไมถูกทิ้งอีกครั้ง
ทำไมถึงทำเหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีชีวิตจิตใจ

มองเห็นเป็น ‘ตัว’ อะไร  แล้วทำไม ‘ยอม’ ทน
ทรมาน

ยิ่งเคยมีความทรงจำที่หวานชื่นยิ่งทรมาน เคยเจ็บแต่ไม่ใช่แบบนี้ เพราะมิใช่ความสัมพันธ์เช่นนี้ ‘ปวดร้าว’ ในดวงใจ ทำไมคนคนเดิม จึงทำให้ดวงใจแหลกสลายซ้ำ ๆ ทำไมตัวเอง ถึงได้ทนเจ็บช้ำทับทวี

‘รัก’
‘เพียง...รัก’
ฤา มิเพียงพอ
ตัดใจฝืนลุกจากที่นอนเพียงลำพัง ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีใครบางคนมาปลุก และลงมารับอาหารเช้าโดยลำพัง

“คุณอรุณ จะไปห้างเลยไหมครับ” นายกรอบย้อนกลับมารับ

“ขอบคุณมาก วันนี้คงไม่ไป”

“รบกวนช่วยเก็บเอกสารงานเข้าในตะกร้ามาให้ด้วย ต่อไปจะทำงานที่บ้าน”


วันแรกๆ เข้าใจว่าอาจเป็นด้วยงานหนัก หรือความจำเป็นบางอย่าง จึงไปก่อนโดยมิบอกกล่าว หากเมื่อเวลาผ่านไป จึงรู้เป็นเพราะความจงใจ

แล้วเราจะไปทำไม เมื่อไปก็ไม่ได้อยู่ในสายตา ไปให้เขาลำบากใจ ไปให้ตะขิดตะขวงใจตัวเอง แม้หน้ายังไม่แลมอง แม้ถ้อยคำยังไม่เอื้อนเอ่ย แม้สั่งงานยังมาเป็นจดหมาย ลำคอแห้งผาก แม้ข้าวต้มสีขาวหอมกรุ่นยังฝืนทานไม่ลง

“นวลเก็บเถอะ” เลื่อนชามข้าวต้มออก

ดูเอาเถิดน้ำเปล่ายังคงขมคอ ทรมาน

“ช่วยตั้งของว่างกับขอน้ำหวาน ๆ ที่ห้องท่านพ่อนะ จะซ้อมดนตรี”

ตึกหน้าไร้ซึ่งชีวิต เหมือนอยู่เดียวดายอีกครั้ง เสียงเปียโนบรรเทาความปวดร้าวในหัวใจ ช่างอ่อนหวานเยือกเย็นจับใจ หากขาดช่วง ดังลมหายใจติดขัดของคนบรรเลง ดึงสมาธิกลับมาได้ยากยิ่ง สติรู้ตัวยิ่งกว่าน้อย

จนทนความเหงากัดกร่อนดวงใจไม่ไหว
เล่นดนตรีต่อไปมิได้

จึงหยิบหนังสือเล่มโปรด เดินมุ่งตัดตรงลงสู่ร่มไม้ในสวนร่มรื่น ทรุดตัวลงใต้โคนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กระจายกิ่งก้านสาขาเขียวชอุ่ม ดอกสีขาวร่วงพราวพร่าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ช่วยบรรเทาผ่อนคลายได้เพียงร่างกาย หากสมองยังคงวนเวียน

มิใช่ ไม่พยายาม
แต่สุดจะหาคำตอบใดไม่ เมื่อไม่ยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ย้อนทวนหวนกลับ ‘พี่ชาย’ เปลี่ยนไปนับตั้งแต่กลับจากวังคุณหญิงแพร จะตีความสิ่งใดได้ นอกจากดวงใจที่แปรเปลี่ยน การแสดงออกชัดแจ้ง มิได้ต้องการอีกต่อไป มิได้มีความหมายอีกต่อไป

ความตั้งใจเดิมจึงย้อนหวนกลับ คงต้องไปจริง ๆ
ถ้าหากเพียงแต่รั้งรอ สักวันหนึ่งเราคงเป็น ‘ส่วนเกิน’

“คุณ คู้น คุณ” เสียงเล็กดังขึ้นข้าง ๆ

“ทำไมมานอนที่นี่” จึงดึงหนังสือที่ปกปิดใบหน้า ช่วยบดบังแสงสว่าง ก่อนที่จะกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับสายตา

“กลับมาแล้วหรือ”

“คงกำลังไปโรงเรียนกระมัง” คำตอบยอกย้อน

“....................................”

“ไม่สบายหรือ”

“ทำไม”

“ก็ไม่เถียง ไม่สนุก”

“ขอบใจ” สมองไม่แล่นพอให้ต่อล้อต่อเถียง แต่เมื่อเห็นเจ้าจ้อยหน้าเริ่มสลด จึงรู้สึกผิด

“มีการบ้านไหม”

“มี แต่ยังไม่ทำ ไว้ทำเสาร์อาทิตย์ก็ได้” จะครบอาทิตย์แล้วสินะ ทนพอแล้ว

“ช่วยเก็บของหน่อยได้ไหม”

“ไปไหนหรือ ไปด้วย”

“เปล่า ย้ายกลับห้องเดิมที่ปีกเหนือ”

“ทำไมล่ะ”

“......อยากกลับ” คงต้องหักใจ ตัดใครสักคน

“เอาแต่ใจนะ” อะไรนะ เจ้านี่ร้ายจริง ๆ เหมือนถูกแทงใจดำ

“แล้วจะช่วยไหม”

“ไปสิ ตามเสือน้อยก่อน แล้วจะตามไป”

“แล้วคุณ จะรับของว่างบ่ายหรือยัง” อดไม่ได้ที่จะกลั้นยิ้มแรกของวัน

“ฝากบอกนวลให้ด้วยแล้วกัน ขอสองที่เผื่อเราด้วย”

“ขอบคุณ” นั่นล่ะที่เจ้าตัวร้ายต้องการ

เด็กดูออกง่าย ต่างจาก... คนชิดใกล้
ทั้งที่เคยเชื่อว่า...น่าจะรู้ใจ
 
แต่ตอนนี้ไม่รู้สิ่งใด...เสมือนคนไม่รู้จักเคยคุ้น

“มีแต่หนังสือ ของนิดเดียวเอง” คนช่วยเก็บของออกความเห็น

“เดี๋ยวหนังสือพวกนี้ จะเอาไปคืนห้องหนังสือ เอาไปแต่ของใช้”

“เหมือนจะหนีไปไหน”

“ก็ไปอยู่ปีกเหนือไง”

“เหมือน จะไม่อยู่แล้ว” ถามด้วยความซื่อ แต่แสดงถึงความห่วงหานัก

“ถ้าไปจริง จะอยู่ที่นี่ต่อ หรือไปด้วย”

“ไปด้วยสิ พ่อแม่เราฝากคุณไว้ไม่ใช่หรือ จะให้ทิ้งกันได้ไง” แล้วทำไมใครอีกคนถึงทิ้งกันได้ง่ายดาย

“แต่พ่อแม่เขาฝากไว้กับที่วัง ไม่ใช่ฉันหรอก”

“ก็อยากอยู่กับคุณ”

“คงไม่สบายเหมือนอยู่ที่วัง”

“ขออยู่ด้วยคนเถิด ไปไหนไปกัน”

“ขอบใจ”

“แต่ ขอเสือน้อยไปด้วยนะ” ไปด้วยกันสามชีวิต คงต้องหาลู่ทางก่อน แต่อย่างน้อยก็ไม่เหงา

ห้องเก่าริมสุดอีกฟากฝั่งของตึก ปิดไว้ตั้งแต่แม่จ๋าลาจากไป

“ฝุ่นเต็มเลย” คนเดินนำบ่นเสียงดัง คงต้องสั่งให้คนทำความสะอาดก่อน จึงตัดสินใจ

“งั้นไว้ย้ายพรุ่งนี้” อย่างไรอยู่ใกล้ก็เสมือนดังอยู่แสนไกล ไม่เป็นไร

“ให้เราทำความสะอาดให้นะ”

“สั่งคนอื่นก็ได้”

“อยากทำ”

“ทำไมล่ะ”

“อยากมีประโยชน์ จะได้ไม่ทิ้ง”

“ไม่ทิ้งหรอก สัญญา”

“สัญญาแล้วนะ” คนเคยถูกทอดทิ้งย่อมรู้ดี ถึงความเจ็บปวด จะไม่มีวันผิดสัญญา

หรือเราคงหมดประโยชน์ จึงถูกทอดทิ้ง
คงจะจริง

แต่ถ้า ‘รัก’ จะทิ้งกันได้ง่าย ๆ หรือ
แล้วที่ผ่านมาเป็นเพียงคำลวงหรอกหรือ

“ทะเลาะกันหรือ”

“อะไรนะ” คำถามที่ไม่มีใครกล้าถาม กลับถูกถามหน้าตาเฉย

“จะเหม่อไปไหน ถามว่าทะเลาะกันหรือกับพี่ชาย” คนถามยังคงเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ

“เปล่า”

“ไม่จริง ไม่เห็นพูดกัน”

“เขาไม่พูดด้วย ก็ไม่มีอะไรจะพูด”

“พี่ชายคุณเขาก็เหม่อเหมือนคุณ”

“...........................”

“ไม่กินอะไรเหมือนคุณ”

“เปล่านะก็กิน” จึงฝืน หยิบขนมเข้าปากบ้าง

“กินแค่แมวดม เสือน้อยยังกินมากกว่าเลย จริงไหม” แมวลายสีส้มโตเกินเป็นเพียงเสือน้อย นั่งเลียทำความสะอาดตัวเองอย่าง
สบายอารมณ์ หลังจากที่จัดการของว่างที่แบ่งให้เรียบในพริบตา

“น่าจะพูดกันนะ ไม่พูดกันแล้วเงียบ เงียบไปทั้งวังเลย”

“เดี๋ยวก็คงไม่เงียบแล้ว”

“ทำไม” คนถามหน้าสงสัยจริงจัง

“คงมีคนมาอยู่เพิ่ม”

“ใคร”

“ชอบคุณหญิงแพรไหม”

“น่ารักดี จะมาอยู่หรือ”

“ไม่รู้ เดาเอา”

“เธอชอบคุณไม่ใช่หรือ”

“ถูกแย่งหรือ” จะเรียกว่าถูกแย่งได้หรือเปล่า

“คล้าย ๆ อย่างนั้น แต่ไม่ใช่ของของฉันตั้งแต่ต้น เรียกว่าถูกแย่งไม่ได้หรอก”

“คนชอบคุณเยอะ”

“งั้นหรือ”

“จริง เรายังชอบ” แรงใจเล็ก ๆ ที่มีคุณค่ามหาศาล

“ขอบใจ เดี๋ยวขอเอนหลังสักหน่อย”

“งั้นจะไปทำความสะอาดห้องให้”

“จ้อย ขอบใจจริง ๆ”

“อย่าลืมสัญญา”

“ไม่ลืมหรอก เราไปไหนไปกัน สัญญาแล้วจะไม่ทิ้งกัน” ความจำดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ

จึงจำได้ทุกคำสัญญา


แต่ไฉน บางคนกลับลืมเลือน

อยากพักผ่อน แต่ยังคงนอนไม่หลับ แม้สมองจะวิงเวียนด้วยความอ่อนล้า จึงทำได้แต่เพียงทอดตัวตามความยาวบนฟูกหนาของตั่งไม้ริมระเบียง ความจำดีเกินไป ความทรงจำเยอะเกินไป จึงทำได้แต่หลับตา ปล่อยให้ภาพในวันวานหวานชื่นไหลย้อนกลับมาปลอบประโลม
 
คืนแรกที่ชัดแจ้งว่าความรู้สึกของ ‘พี่ชาย’ ที่เคยมีต่อตัวเองนั้นแปรเปลี่ยนไปก็คือ คืนสุดท้ายก่อนลาจาก เกือบหนึ่งปีเต็มที่ผ่านมาความรักที่ลุ่มหลงเสียจนน่าตระหนกตกใจ เพราะไม่เคยถูกใครร้องขอ ไม่เคยได้รับสัมผัสดังเช่นค่ำคืนนั้น ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่นกระชับ ทั้งจุมพิตที่อ่อนโยน ทั้งรอยจูบที่เร่าร้อน ทั้งหมดรสสัมผัสยังคงตรึงตรา ดังเหมือนเพิ่งผันผ่านไปเมื่อวันวาน

ทุกสัมผัสที่ต้องเฝ้าถามตัวเองอยู่นานว่าแท้จริงรู้สึกอย่างไร
ทุกถ้อยคำที่ตอกย้ำมาในจดหมายทำให้รู้ถึงความนัยของอีกคนที่เฝ้าเฉลย

เวลาเก้าเดือนที่ห่างหาย จึงประมวลได้ว่าใจจำยอมรับ ‘ความรัก’ ในทุก ๆ รูปแบบ ขอเพียงแค่ ‘ความรัก’ นั้นมาจากเขาคนนั้น

ยอมเสี่ยง แม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากยิ่งเพียงไร
ยอมไว้ใจ แม้รู้ว่าอาจจะเป็นเพียงเพราะอารมณ์ที่ฉาบฉวย
หากขอเพียงฉุดรั้ง ‘ความรัก’ ของเขาไว้
 
เวลาสามเดือนที่ผ่านมา เป็นดั่ง ‘ฝันหวาน’ ความสนิทชิดใกล้ ทำให้สัมผัสบางอย่างล่วงเลย แม้จะเฝ้าระวังระไวอย่างไร แต่ดวงใจกลับยินยอม ความสนิทชิดใกล้ ทำให้สัมพันธ์แปรเปลี่ยน ยอมรับสถานะ ‘คนรัก’ ที่ต้องหลบซ่อนอย่างเต็มหัวใจ

จนลืมคาดคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องตื่นจากฝัน เพียงชั่วพริบตา การปรับเปลี่ยนอีกครั้งก็ทำให้รู้ว่า ‘ความฝัน’ ยังคงเป็นได้เพียง ‘ความฝัน’ เมื่อตื่นลืมตาขึ้นทุกอย่างก็มลายหายสิ้นไป ดังสายน้ำเย็นฉ่ำที่มิสามารถโอบอุ้มไว้ด้วยสองมือ แม้จะยังคงหลงเหลือเพียงความเย็นที่ยังติดตรึง แต่มันก็เพียงตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่า ‘ความรัก’ เป็นได้เพียงภาพฝันหาเป็นจริงไม่
 
รู้แล้ว ยอมรับแล้ว รักมากปานนี้ หักใจลาจากมิได้
แม้ต่อไปจะต้องอยู่ในสถานะอะไรอีกก็ตาม
ทุกอย่างเพราะ ‘เพียง…รัก’ คำเดียว

แต่ ยังคงมีคำถาม แล้วความรู้สึกข้างในดวงใจ แล้วความรักที่มีอยู่เปี่ยมล้น
จะทำ ‘อย่างไร’
 
ค่อย ๆ ลืมตามองเลื่อนลอยออกไปยังสวนสวย ความมืดที่เข้ามาปกคลุมเมื่อพระอาทิตย์ลาลับ ดันตัวเองให้ลุกจากฟูก อย่างน้อยร่างกายก็ได้พักบ้าง ท้องเริ่มร้องหาอาหารที่ทั้งวันแทบไม่ได้ตกถึงท้อง ร่างกายเริ่มเรียกร้องคงต้องหาอะไรรองท้องก่อนกลับมานอน ขณะเบือนหน้ากลับเข้ามาในห้องเพื่อจะลุกขึ้นยืน ก็พบร่างสูงยืนตระหง่านในความืด

“พี่ชาย”

“เก็บข้าวของจะไปไหน”




#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; HOW 19.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 19-01-2018 14:52:59
เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่คุยกัน
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; HOW 19.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 20-01-2018 01:25:10
นั่นไง...งานเข้าล่ะ!!!!..
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; WHICH 20.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 20-01-2018 09:56:46
Just…Which;

๑๓. สิ่งไหน



ทรมาน ทำได้เพียงถอนหายใจก่อนฝืนก้าวขึ้นตึกหน้าที่ร้างไร้ผู้คน ‘ทำอะไรอยู่นะ’ หากเป็นดังวันวาน คงเดินตามเสาะหามดตัวน้อยจนทั่วตึก หากแต่ว่าวันนี้คงต้องหนีห่าง เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดภายในดวงใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

สิ่งที่ตั้งมั่นมาโดยตลอด จะเก็บ ‘ของรัก’ ไว้ข้างเคียงกาย หากแต่วันนี้หวาดกลัวความสูญเสียยิ่งนัก เพราะเพียงพริบตาเดียวการเปลี่ยนแปลงก้าวเข้ามาอย่างกะทันหัน ด้วยสมองที่ครุ่นคิดใคร่ครวญตลอดเวลา จึงทำให้ชนกับร่างเล็กที่วิ่งสวนลงบันไดมา เจ้าจ้อยเกือบกระเด็นล้ม ดีที่คว้าตัวไว้ทัน

“ขอโทษครับ คุณชายเกิ้ง”

“จะรีบไปไหนกัน นั่นหอบอะไรมา”

“ถุงขยะครับ จะเอาไปทิ้ง”

“ขยะที่ไหน แล้วไปทำอะไรบนตึกมา ห้ามขึ้นจนกว่าจะได้รับอนุญาตไม่รู้หรือ” ระเบียบของวังที่สืบเนื่องยาวนาน และยังคงอยู่

“คุณ อนุญาตแล้วครับ ไปทำความสะอาดห้องนอนเก่าคุณมา”

“ห้องนอนปีกเหนือนะหรือ ปิดไว้นี่”

“ทำไปทำไม หรือใครมาพักทำไมไม่ใช้ห้องนอนแขก” ไปใช้ห้องอรุณทำไม ดวงใจยังคงหวงแหนทุกสิ่งของ ‘ของรัก’ แห่งตน

“วันนี้ช่วยคุณเก็บของ คุณบอกว่าจะกลับไปนอนห้องนอนเดิม”

“คุณว่า คุณหญิงแพรจะมาอยู่ด้วย คุณต้องย้ายกลับ” รู้แล้วหรือใครบอก หรือบอกกันเองแล้ว

“คุณของเราอยู่ที่ไหน”

“เอนหลังอยู่ที่ห้องนอนปีกใต้ครับ”

“ขอบใจไปเถอะ”

“ครับ”


สองขาก้าวยาวผ่านประตูเชื่อมภายในห้องนอน ประตูที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาหวนหาที่จะข้ามผ่านอย่างยิ่ง เตียงนอนว่างเปล่าไหนว่าอยู่ที่ห้อง ภายในห้องมืดสนิทเงียบสงัด จนได้ยินเสียงถอนใจยาวเบาแผ่ว คนนอนยังคงไม่รู้ถึงการมาของใครอีกคน ใบหน้าหวานที่ยิ่งพิศยิ่งชัดเจนขึ้นในความมืด และยังคงนอนหลับตา แต่คนนอนหลับจะไม่ทอดถอนหายใจ คิดอะไรอยู่นะ

คำถามนั้นไม่ได้ถามออกไป หากทำได้แต่เพียงเฝ้ายืนมองคนที่แสนคิดถึงอยู่เนิ่นนาน จนร่างบางเริ่มขยับลุกขึ้นจากฟูก และยังคงมองเหม่อออกไปยังสวน ขอเพียงเก็บภาพนี้จรดลึกในความทรงจำ อีกนานเท่าใดกัน หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้เฝ้ามองอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว หากแล้วใบหน้าหวานก็เบือนกลับมาเห็นคนที่เฝ้ามอง
 

“พี่ชาย”

“เก็บข้าวของจะไปไหน”

“..................................”

“พี่ถามว่าอรุณเก็บข้าวของจะไปไหน” ความเคืองใจที่ยังคงติดค้าง

“จ..จะย้ายไปอยู่ห้องนอนเดิมครับ”

“ไม่รอให้เธอแต่งเข้ามาก่อน”

“............................................”

“ตามใจแล้วกัน”



รังเกียจกันเพียงนั้นเชียวหรือ เมื่อเดินจากมาจึงหวนคิด ถ้อยคำที่กรีดลึกในวันนั้น ที่ยังเจ็บช้ำในหัวใจตราบเท่าวันนี้

“เด็กสองคนเขารักกัน คุณชายเป็นพี่ ก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชาย”


ทำไมถึงไม่รู้มาก่อน ทำไมไม่บอก
จะได้ไม่หลงเฝ้าเพ้อ งมงาย ‘ลวงกัน’ เหมือนดังเรื่องตลก


“จริงแล้ว ถ้าคุณไหมเธอยังไม่เสีย คงได้ตบได้แต่ง ตั้งแต่น้องกลับมาจากปีนัง”

“เพราะผู้ใหญ่คุยกันมาสักพักแล้ว ไม่ใช่ทางน้าเพียงฝ่ายเดียว หวังว่าคุณชายคงเข้าใจ”

“ครับ” ต้องทำอย่างไร

“อายุหญิงแพรควรจะออกเรือนได้แล้ว น้าจึงอยากเรียนปรึกษาคุณชาย”

“ทางผมคงต้องถามเจ้าตัว กับเรียนคุณก๋งก่อน” จะปฏิเสธได้หรือ ถ้าเขารักกันจริงดังคำกล่าว เป็นเพียง ‘พี่ชาย’ เขารักกับใครยังไม่เคยบอก

“ทางน้าก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร ต้องดูฤกษ์ผานาทีเตรียมงานกันอีกมาก ไหนจะงานหมั้น งานแต่ง”

“เรื่องจัดงาน น้าคงไม่รบกวน ทางคุณชายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมานาน น้าเข้าใจ ทางนี้เห็นจะถนัดกว่า เห็นจะรบกวนก็เรื่องของคาวของหวานของวังศศิธร”

“และอย่างไรก็ฝากคุณชายเป็นธุระ เรื่องทางฝ่ายชายด้วยแล้วกัน”

“ครับ”

“น้าดีใจที่คุณชายเข้าใจทางน้า”

“เห็นหญิงแพรว่าพ่ออรุณยุ่ง ๆ เรื่องซ้อมเพลงให้ท่านชาย”

“วานคุณชายช่วยบอก ถ้าอย่างไรอาทิตย์หน้ารบกวนเธอแวะมาเยี่ยมน้าบ้าง”

“ทางนี้น้าจะให้น้องทำขนมไว้ เห็นว่าฝึกทำไว้อวดพี่ชายนานแล้ว”

“ครับ”


ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่กล้าเอ่ยถาม เพราะกลัวคำตอบ แต่ตอนนี้เจ้าตัวคงรู้แล้วสินะ

 
คงรู้อยู่นานแล้ว คงมีแต่เราที่ไม่เคยรู้ โทษใครมิได้นอกจากตัวเอง


ทำไมอีกคนจะไม่เปรย ‘เส้นทางระหว่างเรา’ คงไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะหัวใจรักของเจ้าตัวคงแปรเปลี่ยนไปเสียนานแล้ว ความสัมพันธ์ที่ตอบรับกลับมาให้เพียง ‘พี่ชาย’ ก็แน่ชัด แต่ไม่เคยคิดว่า ‘ดวงใจ’ จะมีเจ้าของครอบครองแล้ว เพราะเพียงเขาคนนั้นไม่เคยเอ่ย เฉลยความนัยใด ๆ ไม่ได้หมายว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดด้วยความเต็มใจ
ไม่เคยรู้


“วันนี้ชายตื่นแต่เช้า”

“ครับ” ไม่กล้าบอกว่าไม่ได้นอนทั้งคืนต่างหาก

“กาแฟก่อนไหม รอไว้รับของเช้าพร้อมกัน”

“ครับ” ท่านอาจึงรินกาแฟจากกาแบ่งให้

“งานที่ห้างเป็นอย่างไรบ้าง”

“โอเค แล้วครับ”

“ช่วงนี้ อรุณก็ว่าง ๆ แล้วสินะ”

“ครับ งานด้านกฎหมายไม่ค่อยหนักนัก”

“ปลายปีอาว่าจะกลับเชียงใหม่ กลับไปแต่งเพลงจริง ๆ จัง ๆ สักที”

“จะเดินทางเมื่อไหร่หรือครับ”

“น่าจะหลังหน้าฝน ครั้งนี้ว่าจะชวนอรุณไปด้วย”

“ชายไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้ามีงานก็ส่งไปให้ที่โน่นก็คงได้”

“..........แล้วแต่เจ้าตัวเถอะครับ”

“อยากให้เขาได้พักผ่อนบ้าง เหนื่อยหนักมานาน”

“ครับ”

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อ้าวกำลังนินทาเลย” ร่างบางเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร และนั่งลงฝั่งตรงข้ามเช่นเดิมรวมทั้งยังคงจงใจมองผ่านเลย

“นวลตั้งของเช้าได้เลย”

“ค่ะคุณ”

“ขอโทษที่ลงมาช้าครับ”

“ไม่สายหรอก แต่เพิ่งตื่น หรือไม่ได้นอน ทำไมขอบตาคล้ำๆ”

“อ่านหนังสือเพลินไปหน่อยน่ะครับ”

“คงต้องแยกออกจากห้องหนังสือบ้างกระมัง”

“ว่าจะย้ายกลับไปปีกเหนือแล้วล่ะครับ” ข้ออ้างช่างแนบเนียนเหลือเกิน

“อ้าวทำไมล่ะ แต่ห่าง ๆ ห้องหนังสือบ้างก็ดีนะเรา”

“เพิ่งบอกพี่ชายเราไป ว่าจะชวนอรุณไปเที่ยวเชียงใหม่ปลายปี เปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม”

“......ขอคิดดูก่อนครับ ถ้าไม่ติดงานอะไร” งานนั้นสินะที่จะติด

“อืม ว่าอย่างไรก็บอกแล้วกัน”

“ผมขอตัวก่อน”

“อ้าวชายไม่ทานของเช้าด้วยกัน”

“เพิ่งนึกได้ว่ามีงานนิดหน่อยครับ”

“อรุณทานเสร็จแล้วช่วยตามพี่มาที่ห้องทำงานด้วยแล้วกัน”

“......ครับ” คงต้องคุยกันเสียก่อนถึงจะเรียนปรึกษาผู้ใหญ่

ในที่สุดก็คงไม่สามารถประวิงเวลาได้แล้ว คงต้องแล้วแต่เจ้าตัวว่าจะเลือก ‘สิ่งไหน’


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามาเถอะ” ถึงเวลาแล้วจริง ๆ หรือ

“ขอโทษที่รบกวนครับ ที่คุณชายให้หา” ‘คุณชาย’ อีกแล้วหรือ

“นั่งก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรครับ” สายตาเย็นชาดังเช่นวันวานกลับคืน จึงได้แต่ลอบถอนใจก่อนที่ตัดใจจะเริ่มเล่า

“...คุณน้า คุณแม่ของคุณหญิงตุ๊กตานั่น”

“เธอให้ฝากมาบอกให้อรุณแวะไปเยี่ยมที่วังอาทิตย์นี้”

“ครับ”

“เธอคงอยากได้คำตอบ”

“คำตอบ?”

“อาทิตย์ ที่แล้วเธอให้ตามพี่ไปปรึกษาเรื่องธุระ” คนฟังก้มหน้ารับฟังเงียบ ๆ

“เธอว่าแม่จ๋าทาบทามลูกสาวเธอไว้ให้อรุณ”

“...............................” ใบหน้าหวานเงยขึ้นสบสายตาครั้งแรก แววตาสงสัยฉายชัด


สงสัยสิ่งใด...ไม่รู้อยู่แล้วหรือ


“แต่แม่จ๋ามาด่วนจากไปเสียก่อน จึงเรียกพี่ในฐานะผู้ใหญ่ฝ่ายชายไปสอบถาม”

“แล้วคุณชายตอบเธอไปว่า”

“คงต้องกลับมาถามอรุณ กับเรียนปรึกษาคุณก๋งก่อน”

“.................................”

“แล้วอรุณจะว่าอย่างไร”

“ค...คงสุดแล้วแต่ ‘ผู้ใหญ่’ จะเห็นควรเถอะครับ ผมไม่ขัด” แววตานั่นหมายความว่าอย่างไร

“เธอว่าเด็กสองคนรักกัน”

“อย่างนั้นหรือครับ” รอยยิ้มที่แย้มเยือนเสมือนตัดพ้อ

“อรุณ.....................”

“.............................”

“............ผมถามบ้างได้ไหมครับ”

“แล้ว...ถ้าเป็นคุณชาย คุณชายจะทำอย่างไร”

“ถ้าเป็นพี่ ถ้าพี่รักคุณหญิงตุ๊กตานั่น ก็คงตอบรับไป” ถ้าพี่เป็นอรุณก็คงเลือกตอบรับ แต่หากเป็นพี่ที่ความรักมีให้เพียงคนตรงหน้า คงปฏิเสธไปแน่นอน

“......อย่างนั้นหรือครับ”

“แล้วในฐานะตัวคุณชายเองตอนนี้ ก็คิดเช่นนั้นใช่ไหมครับ” จะให้ตอบอย่างไร อย่าเห็นแก่ตัว



รักนั้น...อาจ ‘เพียง...รัก’

และเฝ้ามองคนที่รักมีความสุขเท่านั้นคงเพียงพอ

ฤามิใช่


“......เธอก็เรียบร้อย น่ารัก เหมาะสมทุกอย่าง”

“ขอบคุณครับ ผมได้คำตอบแล้ว” น้ำตาตกใน หัวใจดังถูกกรีดซ้ำย้ำรอยเดิม

“ผมขอให้คำตอบกับคุณน้าเอง” ตัดสินใจแล้วสินะ

“ตามใจแล้วกัน แล้วถ้าตัดสินใจอย่างไรก็ว่ามา พี่จะคุยกับคุณก๋งให้”

“หรือหาก อยากไปเที่ยวเชียงใหม่กับท่านอาก็สุดแล้วแต่แล้วกัน” จึงได้แต่กลั้นใจพูดไปทั้งที่ดวงใจร้าวราน

“ครับ อย่างนั้นผมขอตัวก่อน” ร่างบางหันหลังกลับเตรียมก้าวเดิน ดังดวงใจถูกกระชาก


จะปล่อยไปอย่างนี้จริง ๆ หรือ? หัวใจประท้วง


“อรุณ........พี่.........” หากแต่มิสามารถเอื้อนเอ่ยคำใดได้

“ผมทราบแล้วว่าผมมีทางเลือกเพียงสองทาง คุณหญิง หรือท่านอา” คนพูดหยุดแต่ไม่แม้เพียงหันกลับมามอง

“ถ้าตัดสินใจได้อย่างไรแล้ว จะรีบมาเรียนให้คุณชายได้ทราบโดยเร็ว”

“ผมขอตัว”


อรุณ..................... ไร้ซึ่งแรงกายหมดสิ้นแรงใจ
ทำถูกแล้วใช่ไหม

เมื่อไม่ได้รัก จะฉุดรั้งไว้เพื่อประโยชน์อันใด
การอยู่กับคนที่มิได้รักยิ่งจะทรมานมากว่า

ขอเพียงคนรักมีความสุข ไม่ว่าเขารักใคร ถ้ารักเธอคนนั้น ก็ควรลืมฉันคนนี้
แม้ว่าต้องเจ็บช้ำเพียงไร...ก็พร้อมยอมหักใจ

‘เพียง...รัก’
เพราะเป็นเธอไม่ว่า...อย่างไร เพราะเป็นเธอไม่ว่า...สิ่งไหน
ผู้ชายคนนี้ทนได้เสมอ

เพียงแต่ติดใจ...สายตา
ตัดพ้อนั่นคืออะไร ตัดพ้อสิ่งใด


“คุณชายเกิ้งครับ อาหารเย็นตั้งแล้วครับ” เสียงตะโกนเบาจากภายนอกหลังจากเสียงเคาะประตูเบา ๆ

“จ้อยหรือ เข้ามาสิ”

“อาหารเย็นตั้งแล้วครับ” เด็กน้อยยื่นหน้าเข้ามาก่อนค่อย ๆ แทรกตัวผ่านประตูมายืนเรียบร้อย

“คุณ ให้มาตามหรือ”

“คุณออกไปแล้วครับ เห็นว่าจะไปหาคุณหญิง”

“แม่นวลให้ขึ้นมาตาม แม่แพรวแกบ่นว่าช่วงนี้คงทำอาหารมาถูกปากทั้งคุณ ทั้งคุณชาย”

“สำรับเมื่อกลางวันที่ยกมาไม่มีใครแตะเลย วันนี้ถึงลงมือตั้งแต่เตรียมเครื่องเองเลย แต่คุณก็มาหนีไปข้างนอกก่อน คุณชายลงไปหน่อยเถอะครับ หาไม่ในครัวคงหูแฉะกันทั้งคืน”

“คุณออกไปแล้วหรือ” จึงลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่หน้าต่าง ทอดสายตาไปยังประตูวัง

“ครับ”

“ฉันไม่หิว ให้ในครัวแบ่งกันกินเถอะ”

“แต่.....”

“จ้อย ก่อนไปคุณสั่งว่าอย่างไรไหม” จึงหันกลับมาถาม

“เห็นบอกว่าจะไปทานข้าวเย็นที่วังโน้น ไม่ต้องรอ คงกลับค่ำ ๆ ”

“อย่างนั้นหรือ.....”

“ขอบใจมากจ้อย”

“ไปเถอะ” และหันกลับเหม่อมองทางเดิม


ตัดสินใจแล้วสินะ
เลือก ‘สิ่งไหน’ หรือ



#JKLTHESERIES



https://www.youtube.com/watch?v=RYcm5UHSn1A (https://www.youtube.com/watch?v=RYcm5UHSn1A)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; WHICH 20.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 20-01-2018 18:34:35
ไปกันใหญ่แล้ว
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; WHICH 20.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 20-01-2018 21:54:32
โอ้ยยยยย...แต่ละคนปากหนักจัง!!!
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GREATER 21.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 21-01-2018 11:09:04
Just…Greater;

๑๔. ควรค่า



“คำตอบ ?” คำตอบสิ่งใด

“อาทิตย์ ที่แล้วเธอให้ตามพี่ไปปรึกษาเรื่องธุระ”

“เธอว่าแม่จ๋าทาบทามลูกสาวเธอไว้ให้อรุณ” อะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร

“...............................” จึงเงยหน้าขึ้นสบสายตา ไม่ใช่อย่างที่เคยคิด คุณหญิงมีความรู้สึกกับตนอย่างไร เรื่องนั้นพอจะรู้ แต่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าเรื่องจะล่วงเลยมาถึงปานนี้

“แต่แม่จ๋ามาด่วนจากไปเสียก่อน จึงเรียกพี่ในฐานะผู้ใหญ่ฝ่ายชายไปสอบถาม”

แล้วใยอีกคนถึงเชื่อปักใจ

“แล้วคุณชายตอบเธอไปว่า”

“คงต้องกลับมาถามอรุณ กับเรียนปรึกษาคุณก๋งก่อน”

“.................................” นี่หรอกหรือคือความตั้งใจที่จะกลับมาถาม

“แล้วอรุณจะว่าอย่างไร” ต้องกลับมาถามสิ่งใด ถามใน ‘ฐานะ’ ผู้ใหญ่ฝ่ายชายน่ะหรือ

“ค...คงสุดแล้วแต่ ‘ผู้ใหญ่’ จะเห็นควรเถอะครับ ผมไม่ขัด” ชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าเป็นของตนตั้งแต่วันที่ใครบางคนฉุดรั้งขึ้นมาจากโคลนตมในวันนั้น


ถ้าเพียงแต่ปรารถนาสิ่งใด ก็พร้อมยอมสนองตอบในทุกสิ่ง
ถ้าไม่ต้องการอีกแล้ว จะไสส่งไปที่ใดก็พร้อมยอมตาม

“เธอว่าเด็กสองคนรักกัน”

“อย่างนั้นหรือครับ”


เรื่อง ‘ความรัก’ ของคนอื่นนั้นสุดจะรู้แจ้ง
แต่ความรู้สึกในใจของคนที่พร่ำบอกว่ารัก ไม่เคยรู้เลยจริง ๆ หรือ

“อรุณ.....................”

“.............................” ไม่เคยรู้เลยหรือว่า ‘จงรัก’ เพียงผู้ใด ดวงใจร้องถามด้วยความสงสัยเกินสุดกลั้น

“............ผมถามบ้างได้ไหมครับ”

“แล้ว...ถ้าเป็นคุณชาย คุณชายจะทำอย่างไร”

“ถ้าเป็นพี่ ถ้าพี่รักคุณหญิงตุ๊กตานั่น ก็คงตอบรับไป”


นี่หรือคำตอบของคนที่พร่ำเพ้อว่ารักคงมั่น มั่นคงกับสิ่งใด
ในเมื่อภายในดวงใจยังคงสงสัยในคนที่รักยิ่ง


“......อย่างนั้นหรือครับ” ‘พี่ชาย’ คิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ

“แล้วในฐานะตัวคุณชายเองตอนนี้ ก็คิดเช่นนั้นใช่ไหม”


ครุ่นคิดสิ่งใด เรรวนสิ่งใด


“......เธอก็เรียบร้อย น่ารัก เหมาะสมทุกอย่าง”

“ขอบคุณครับ ผมได้คำตอบแล้ว” เพียงพอแล้วที่จะต้องตัดสินใจ

“ผมขอให้คำตอบกับคุณน้าเอง” เหนื่อยหัวใจเหลือเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใดได้ต่อไป

“ตามใจแล้วกัน แล้วถ้าตัดสินใจอย่างไรก็ว่ามา พี่จะคุยกับคุณก๋งให้”

“หรือหาก อยากไปเที่ยวเชียงใหม่กับท่านอาก็สุดแล้วแต่แล้วกัน” อย่างนั้นหรือ


ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่ผันผ่าน ที่พร้อมยอมตามทุกสิ่ง
ตีความได้ถึงสิ่งใด หรือไม่เคยเห็นความภักดีที่มีให้กระนั้นหรือ


“ครับ อย่างนั้นผมขอตัวก่อน” จึงตัดใจหันหลังกลับก้าวเดิน ดังคนหมดหนทาง

“อรุณ........พี่.........” จะรั้งเพื่อสิ่งใด

“ผมทราบแล้วว่าผมมีทางเลือกเพียงสองทาง คุณหญิงหรือท่านอา”


ไม่มีทางเลือกใดเลยที่ปรารถนา


“ถ้าตัดสินใจได้อย่างไรแล้ว จะรีบมาเรียนให้คุณชายได้ทราบโดยเร็ว”

“ผมขอตัว”


ความรู้สึกหนาวเย็นจับหัวใจ สัมผัสต่าง ๆ ค่อย ๆ รางเลือน สองทางเลือกที่มิใช่คำตอบใดที่หัวใจต้องการ ความปรารถนาส่วนลึกค่อย ๆ เลือนราง

ทำไมไม่รู้ ทำไมไม่เห็น ดวงใจรักและภักดีที่ให้ไป
หรือที่ทำไปนั้นยังไม่ ‘ควรค่า’ เพียงพอ

เพราะ ถ้ามันพอคงไม่มีวันเป็นอย่างนี้ ใช่หรือไม่
ตลอดมาที่ยอมชิดใกล้ มิเคยรู้เลยหรอกหรือ

หรือไม่ได้มีใจจริงแต่แรก หรือหมดซึ่งหัวใจรักที่ให้กันแล้ว
ไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้
 
รู้เพียงถ้ามิได้ต้องการกันอีกต่อไปแล้ว ก็คงไม่สามารถฝืนหัวใจรักใครได้กระมัง
ตัดสินใจ คงต้องตัดใจแล้วจริง ๆ
 

“คุณจะไปไหน” เด็กน้อยถามขึ้น เมื่อเดินสวนกันที่เฉลียงบันได

“จะไปวังโน้น แล้วคงรับอาหารเย็นเลย ฝากบอกว่าไม่ต้องคอย คงกลับค่ำ”


จบแล้ว
เรื่องแรกผ่านไปด้วยความลำบากใจยิ่ง เรื่องต่อไปคงยากลำบากไม่แพ้กัน ทำได้เพียงผ่อนปรนลมหายใจ ก่อนฝืนใจก้าวเดินห่างจากตัวตึกใหญ่ของวังมาที่รถ


“พี่อรุณคะ”

“น้องหญิง”

“หญิง หญิงขอเวลาสักนิดเถอะค่ะ”

“ได้สิคะ ไปคุยที่ศาลาในสวนดีไหมคะ” ตรงนี้ลับสายตาผู้คน ใครมาเห็นคงไม่งามนัก

“ค่ะ” หญิงชายสองคนนั่งเคียงข้างกันที่ม้านั่งตัวยาวในศาลาเล็กหน้าเฉลียงตึก

“น้องหญิงมีอะไรหรือคะ”

“....................................”

“น้องหญิง” เด็กหญิงตัวเล็กแสนบอบบางสะอื้นไห้เช็ดน้ำตา

“อย่าร้องนะคะ คนดี น้องแพรเป็นอะไรคะ” จึงได้แต่ส่งผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวเสมอให้ และส่งสายตาปลอบโยนด้วยความเห็นใจยิ่ง

“หญิงไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน”

“ถ้าหญิงทราบ.....................” เด็กหญิงที่เรียบร้อยยิ่ง เธอต้องพยายามฝืนใจอย่างยิ่ง

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่รู้ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่นะคะ” จึงทำได้เพียงปลอบโยนเด็กน้อยที่แสนอ่อนโยน

“แต่หญิงได้ยินคำตอบ...ข..ของพี่อรุณแล้ว”

“ไม่ดีนะคะ แอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน” ใจจริงอยากให้เธอรู้โดยตรงมากกว่าเพียงได้ยินจากบทสนทนากับผู้ใหญ่ แต่คงต้องปล่อยเลยตามเลย

“ค่ะ หญิงทราบแต่......................”

“หญิงคงทราบคำตอบของพี่แล้ว”

“ค..ค่ะ” น้ำตายังหยดหยาดมิขาดสาย

“หญิง....หญิง” เหมือนเธอกำลังรวบรวมความกล้าอย่างมาก

“หญิง...อ..อิจฉา คนคนนั้น”

“น้องหญิง”

“หญิงขอโทษค่ะ หญิงเข้าใจพี่อรุณ แต่ขอหญิงพูดสักครั้งนะคะ แค่ครั้งเดียว”

“หญิงไม่รู้หรอกค่ะว่าเธอเป็นใคร หญิงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่อรุณเห็นหญิงเป็นแค่น้องสาว”

“แต่หญิงอิจฉาเธอ เพราะหญิงไม่เคยรู้เลยว่าเธอคนนั้นเป็นใคร หญิงไม่เคยเห็นเธอเลย แต่ก็รู้ว่าพี่อรุณรักเธอมาก รักมากจนไม่มีสายตามองเห็นหญิงหรือใครคนอื่นอีก” ความในใจที่ถูกปกปิดมานานพรั่งพรู

“อิจฉาว่าเธอแทบไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย แต่ได้หัวใจพี่ชายที่แสนดีของหญิงไปครอบครองง่าย ๆ ทั้งที่คนอื่น ทั้งที่หญิงพยายามอย่างมาก”

“หญิงแพร.....พี่” ความรักช่างเล่นตลกกับหัวใจคนนัก

“หญิงไม่ได้ต้องการให้พี่อรุณสงสาร หรือเห็นใจหรอกค่ะ”

“หญิงรัก และเข้าใจพี่อรุณเสมอ ยอมรับในการตัดสินใจของพี่ทุกอย่าง แต่...”

“ถ้าวันหนึ่ง ถ้าเพียงหากหญิงทราบว่าเธอเป็นใคร หญิงอยากบอกกับเธอเหลือเกินว่าเธอโชคดีเหลือเกินที่ได้หัวใจรักของพี่ชายของหญิงไป ชาตินี้หญิงยอมเธอ เพราะหญิงรู้ตัวเองดีว่าหญิงขี้ขลาดเกินไป อ่อนแอเกินไป หญิงคงไม่หาญกล้ามากไปกว่านี้”

“แต่หากเพียงภายภาคหน้าต่อไปไม่ว่าอย่างไรหญิงจะเข้มแข็งค่ะพี่อรุณ และหญิงจะไม่มีวันยอมเธอง่าย ๆ ดังเช่นวันนี้ และหญิงขอภาวนาให้เธอคนนั้นไม่ได้โชคดีกับเรื่องของความรักง่ายดายดังเช่นนี้ตลอดไป” สิ้นเสียงความในใจเด็กหญิงตัวเล็กก็ร้องให้เหมือนจะขาดใจ

“หญิงแพร หญิงกล้าหาญที่สุดค่ะในสายตาพี่ และพี่ก็ชื่นชมหญิงด้วยความจริงใจ”

“พี่อยากให้หญิงรู้ไว้ว่าพี่รักน้องแพรมากนะคะ น้องสาวคนดีของพี่”


เราทำได้เพียงนั่งในความเงียบเป็นกำลังใจให้กันสักพักใหญ่ จนสายฝนเริ่มโปรยปราย หญิงแพร จึงขอตัว และเดินจากไป เป็นความแข็งแกร่งที่น่านับถือ และเป็นดวงใจรักที่บริสุทธิ์หาใดเปรียบได้ไม่

หากแต่ถ้าดวงใจมิเคยมีใครอื่น
ทำไม เฝ้าแต่เพียรถามตัวเอง

รถจอดเทียบหน้าตึกใหญ่ละอองฝนเบาบางเริ่มซัดสาด ความตั้งใจแรกที่จะขึ้นตึกเพื่อพักผ่อนถูกพับเก็บไป เมื่อบังเอิญสบสายตาของใครบางคนที่ส่งมาจากห้องทำงานชั้นสองของตัวตึก

คำถามที่ชัดแจ้งส่งมาจากสายตาเว้าวอน
ถึงตอนนี้อยากร้องขอสิ่งใด
มิสายเกินไปหรือ

จึงละสองสายตาที่เชื่อมโยงถึงกัน และหันหลังเดินกลับไปยังหลังตัวตึกเดินผ่านสวนมุ่งตรงไปยังเรือนหลังเล็ก
‘คืนนี้เห็นทีต้องไปขออาศัยนอนที่เรือนเล็กกับท่านอาสักคืน’

แสงสว่างรำไรจากโคมไฟที่โต๊ะหนังสือที่ศาลาเล็กกลางชานเรือนกว้าง

“ว่าไงเรา”

“ท่านอา”

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้”

“หลานมาซ้อมเปียโน”

“พี่ชายเราเขาตั้งตัวใหม่ให้ที่ตึกใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ”

“ครับ”

“ทะเลาะกันมาอีกกระมัง เห็นเงียบสงัดกันทั้งตึก” แม้จะแยกมาอยู่ที่เรือนเล็ก แต่ก็หามีสิ่งใดที่ท่านมิทราบ

“......................................” จึงได้แต่เงียบ เนื่องด้วยมิอาจกล่าวเท็จต่อผู้สูงวัยกว่าได้

“เข้าไปอาบน้ำอาบท่าสระผมก่อน เดี๋ยวให้คนเตรียมของไปให้ที่ห้องนอนเดิม”

“ครับ”

เมื่อเสร็จธุระ จึงมุ่งหน้าสู่แกรนด์เปียโนในห้องดนตรี ห้องที่ใหญ่ที่สุดในเรือนเล็ก อารมณ์ยังคงสับสนคุกรุ่นดนตรีช่วยบรรเทาเบาบางความสับสนในใจ หากแต่รวบรวมสมาธิได้ยากยิ่ง เสียงดนตรีจึงขาด ๆ เป็นท่อน และแผ่วหายไปกับสายลม


“ดนตรีบางทีมิใช่คำตอบหรอก เด็กน้อย” ท่านอาเดินตามมาสมทบ

“ไม่เช็ดหัวให้แห้ง เดี๋ยวไม่สบายเป็นอะไรไป พี่ชายเราจะมาถอนหงอกอา” ด้วยความรีบร้อน ผ้าเช็ดผมที่ตกลงมาคลุมที่ไหล่จึงถูกหยิบขึ้นมาเช็ดผมให้อย่างเบามือ

“ขอบคุณครับ” ด้วยความสนิทสนมในช่วงปีหลัง ด้วยเสียงดนตรี ทำให้เคยคุ้นกับท่านอา และเรือนหลังเล็ก คล้ายดังบ้านที่สอง หากตั้งแต่ใครบางคนกลับมา ก็ถูกยึดตัวไว้ที่ตึกใหญ่ จนยากจะปลีกตัว

“ได้บอกเขาไว้หรือเปล่า ว่าจะมาค้างที่นี่”

“ไม่ตามหาเสียทั่ววังแล้วหรือ”

“คงทราบแล้วครับ”

“หนีปัญหา บางทีก็ไม่ใช่คำตอบหรอกนะ คุยกันดี ๆ น่าจะดีกว่า”

“ครับ” แต่ยังไม่พร้อมจริง ๆ ตอนนี้

“เราน่ะดื้อเงียบ บางทีใจร้อนพูดโพล่ง ๆ แบบชายเกิ้งอาจจะดีกว่า”

“.......มีอะไร คิดอะไร บางทีต้องพูดออกไปบ้าง”

“คนเราไม่ได้ฉลาดทางอารมณ์เท่าเทียมกัน ยิ่งคนที่เคยผ่านโลกที่แสดงออกอย่างชัดแจ้งอย่างวัฒนธรรมตะวันตก ไม่เข้าใจความนัยที่ซับซ้อนมากนักหรอกนะอรุณ”

“แต่...........................” ก็การกระทำมิได้เพียงพอหรอกหรือ

“อย่าเอาตัวเป็นบรรทัดฐาน เราน่ะ ละเอียดอ่อนต่ออารมณ์เกินคาดเดา ลุ่มลึกเกินไป เหมือนคุณไหมเธอ”

“การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูดก็จริง แต่บางครั้งการสร้างความเชื่อมั่นก็ต้องอาศัยคำพูด”

“มิเคยเห็นหรือ ท่านพี่กับคุณไหมยังต้องหาเวลาทานน้ำชาด้วยกันทุกบ่ายเพื่อคุยกัน”

“...............................................” ทำไมจะมิทราบวังศศิธรแม้จะเงียบนัก แต่ก็สดใสอบอุ่นมาตลอดด้วยความรักของท่านทั้งสอง

“ลองไปคิดดูก่อนแล้วกัน” มือที่สัมผัสบนบ่าเบา ๆ สร้างความอบอุ่นลึกลงไปใจหัวใจที่เหนื่อยล้า


เหนื่อยหัวใจเหลือเกิน


บางที....การอยู่กับคนที่เข้าใจเราลึกซึ้งอาจดีเสียกว่าคนที่เราปักใจรัก

“ท่านอาจะเดินทางขึ้นเหนือเมื่อไหร่หรือครับ”




#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=To-FFKFT9vk (https://www.youtube.com/watch?v=To-FFKFT9vk)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GREATER 21.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 21-01-2018 12:04:28
สนุกมากกกกก  ละมุนละไมมาก  ภาษาสวยงามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GREATER 21.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-01-2018 13:34:55
ปากหนักแท้หนอทั้งคู่เลย ส่วนหญิงแพรให้ท่านอาเธอดูแลเถอะ จะได้สืบสกุลต่อไป
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GREATER 21.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 21-01-2018 18:03:46
เมื่อไหร่จะคุยกันน้อ....ต่างคนต่างคิดไปไกล!!!
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; FOR YOU 22.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 22-01-2018 09:05:21
Just…From You;
๑๕. จากเธอ



ฝนแรกของปีโปรยปรายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สายลมเยือกเย็นพัดพาละอองฝนเข้ามากระทบร่างสูงแผ่วเบา ยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าใดแล้วหารู้ไม่ ด้วยหัวใจมิได้อยู่เคียงคู่กับร่างกาย ประสาทสัมผัสทั้งหมดจึงเหมือนถูกปิดลง ความชาชินเริ่มเข้ามาปกคลุมทั่วทั้งร่าง มีเพียงดวงตาที่ยังคงเฝ้าสอดส่ายแลหา
 
จนในที่สุดคนที่แอบฝากหัวใจรักไปด้วยนั้นเดินทางกลับมา เพียงชั่ววินาทีที่สายตาประสบพบกันดังเวลาผันผ่านชั่วกัลป์ ดวงตาหวานหากไม่เคยตีความสิ่งใดในดวงหทัยแห่งเธอออก รู้สึกอย่างไร

คำพูดที่มิกล้าเอื้อนเอ่ยยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก หากแต่พูดไปแล้วได้อะไร ด้วยไม่เคยรู้ถึงความนัยในดวงใจของอีกคน หากความรักในหัวใจที่เปี่ยมล้นยังคงเฝ้าวิงวอน ให้ทำตามความในใจของตัวเอง
แม้จะสายไปแล้วก็ตาม

ร่างบางละสายตา หันกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม
ไปที่ใด...สมองบัญชาการให้ร่ายกายติดตาม ทางเดินผ่านสวนฝรั่ง ก้าวเดินยาวทุกก้าว นำความเจ็บปวดแปลบปลาบมาให้หัวใจ และหยุดยั้งเพียงต้นร่มไม้ใหญ่ใกล้ศาลาไทย เมื่อเห็นดวงใจก้าวย่างสู่เรือนเล็ก
‘หวง’ ความรู้สึกนี้คือหึงหวงแน่ชัด

แล้วอย่างนี้จะตัดใจได้อย่างไร จะทำได้อย่างไร หากเพียงเท่านี้หัวใจยังร้าวระบม รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกอ่อนแอมากมายเท่านี้มาก่อน มิใช่ไม่เคยมีความรัก หากแต่รักครั้งนี้ไม่เคยประสบพบมาก่อน

รู้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบสายตา ว่าหัวใจตัวเองมิเป็นของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
รู้ ว่าคงไม่มีสายตา จะมองหาผู้ใดได้อีกต่อไป
รู้ ว่าตัวเองมีหนึ่งคนล้ำค่าอยู่ข้างกาย

ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งห่วงหา ยิ่งหวงแหน ยิ่งกังวลนักที่ต้องไกลห่าง
หัวใจนำทางสมองสั่งให้ร่างกายให้ไขว่คว้า ทำทุกทางมาตลอดที่จะเหนี่ยวรั้งของรักแห่งตนในอดีต ให้หวนย้อนกลับคืนมาเป็นดังคนรักในปัจจุบัน
 
แล้วก็ตระหนัก
น้องน้อยมิเคยปฏิเสธ เป็นอย่างนี้มาแต่เก่าก่อนมิเคยลืม ไม่ว่าต้องการสิ่งใดคุณชายคนเดียว ลูกชายคนโตได้รับทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์เสมอ หากแต่เพียงต้องการเพื่อนเล่นคลายเหงาก็ได้ตุ๊กตาที่เป็นคนจริง ๆ มาให้เล่นเป็นพี่ชาย บทบาทที่ถูกสร้างขึ้นจากความต้องการของตนในวัยเด็ก มิได้ลึกซึ้งซับซ้อน

หารู้ไม่ มันกลับจรดลึกหยั่งรากลงไปในดวงใจใครอีกคน
จนได้รู้ เมื่อกลับมารักของเล่นของตัวเอง

หากแต่ครั้งนี้ไฉนจะไม่รู้ ด้วยความเอาแต่ใจ ตีตรา ยึดโยง ผูกรั้ง ‘น้องน้อย’ คนเดิมให้พร้อมยอมตาม ด้วยรักอีกเช่นกันจึงรู้ที่น้องยอม เพียงเพราะขาด เพียงเพราะต้องการความสัมพันธ์ฉันท์ ‘ครอบครัว’ ในครั้งอดีตกลับคืน

หาใช่ความรักดังคนรักอย่างเช่นที่ตนมีไม่
ผิดหรือถูก กันแน่ที่เห็นแก่ตัวเองมาตลอด

ชัดแจ้งเมื่อ ‘ความรัก’ ในหัวใจที่แน่แท้ลึกซึ้ง
บังคับหรือไม่ เต็มใจหรือเปล่า

เมื่อกลับมาอีกครั้ง จึงยอมถอย แม้จะมิสามารถหักห้ามความรักของตัวเองได้ แต่ก็น่าจะเริ่มใหม่ได้ ขอเพียงเวลาอาจจะทำให้ใครอีกคนกลับมารักได้เฉกเช่นเดียวกัน

วันเวลาที่ผ่านพยายามรักษาระยะห่าง สะกดใจไม่ให้รังแกตามแต่ใจตน เฝ้าสบนัยน์ตา ตามหาความจริงภายในใจของอีกคน ถึงความเปลี่ยนแปลง หากแต่มิเคยพบ ความไหวหวั่นลึกซึ้ง แต่กลับมั่นคงฝังลึกดังเดิมเหมือนเช่นครอบครัว

เมื่อได้รู้ทางเลือกทั้งสอง
แม้มิได้ปักใจ หากแต่สมเหตุสมผล
ตลอดมาเธอมิเคยหวั่นไหวต่อสิ่งเร้าใด หากเพียงรั้งไว้อีก ก็เกินกว่าความละอายแก่ใจ วันเวลาที่ผ่านมามิได้พิสูจน์หรอกหรือ ว่าเธอมิอาจมีใจในฐานะคนรักได้ บทบาทพี่ชายที่ต้องยอมปกป้องเสียสละเฝ้าถาม ครั้งนี้อาจต้องยอมสละตัวเองบ้าง

ได้รับ ‘จากเธอ’ มากมายเหลือคณานับ
เพียงแต่ให้โอกาสเธอเลือกทางเดินเอง

ผิดหรือถูก
ไม่รู้

หากแต่หัวใจต้องทำ
แม้ว่าจะชอกช้ำเพียงใด คงทำได้เพียงแต่เก็บความสุข ความทรงจำนี้ไว้ตราบลมหายใจสุดท้าย

เสียงเปียโนแผ่วเบาสอดประสานมากับสายลม ได้แต่สดับรับฟังเงียบ ๆ ช่างอ่อนหวานเย็นเยือกดังคนบรรเลงที่ประทับจับหัวใจ สายฝนเย็นชุ่มฉ่ำทั่วร่าง หนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจ สมองเริ่มพร่าเลือน ความรู้สึกเริ่มขาดหาย
หากสติสัมปชัญญะ สุดท้ายกลับประทุ

แล้วหากมีทางเลือกที่สาม ขอเป็นเพียงทางเลือกที่สาม
แล้วจะเลือกสิ่งใดก็พร้อมยอมตาม เพียงเท่านั้นจะได้หรือไม่







เสียงนกกำลังเตรียมออกจากรังเจื้อยแจ้ว หากแต่ด้วยเมฆฝนที่ปกคลุมตั้งแต่ราตรีวานทำให้ยังคงมืดครึ้ม ด้วยดวงอาทิตย์ยังมิสามารถทอแสงเล็ดลอดกลุ่มเมฆออกมาได้ เมื่อไม่อาจข่มสายตาให้หลับลงได้ ก็มิได้มีประโยชน์อันใดที่ต้องฝืนทนนอนอีกต่อไป คงแปลกที่กระมัง

ฝนหยุดตกแล้ว หากระหว่างทางเดินกลับหญ้ายังชุ่มชื้นไปด้วยร่องรอยแห่งน้ำฝนที่ตกกระหน่ำเกือบตลอดคืน น้ำค้างหลอมรวมกับละอองฝนในวันวานยังหยดหยาดจากกิ่งไม้ไหว ก้าวเล็กหากแต่มั่นคง ด้วยเพราะความซุกซนในวัยเยาว์ทำให้รู้ทุกซอกทุกมุมของวัง หลับตาเดินยังได้ ความมืดมิดจึงมิใช่ปัญหา
 
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางฟ้าจึงเริ่มสาง แม้แสงอาทิตย์ยังมิสามารถสาดส่องลงมาสู่พื้นพสุธาได้แต่อย่างใด แต่แม้จะมืดครึ้มเพียงใด เช้าวันใหม่ก็ยังคงต้องดำเนินมาเสมอ วันเวลามิเคยหยุด ใยใครจะเหนี่ยวรั้งแสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์มิให้ทำงานได้ไม่

ใคร ใครกัน
หัวใจเต้นระรัวเมื่อเหลือบเห็นร่างสูงที่นอนฟุบแน่นิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลลิบ
 
“พี่ชาย” ไม่นะ ไม่ใช่นะ

จากก้าวเดินแปรเปลี่ยนเป็นความเร็วสุดชีวิตเมื่อแน่ชัดว่าคนคนนั้นคือเจ้าของดวงใจ

“พี่ชาย พี่ชาย” ร่างสูงเย็นเฉียบ เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนซีดขาวราวกับไร้ลมหายใจ ถูกยกตะแคงพลิกขึ้น และดึงรั้งสู่อ้อมอก

“พี่ชายครับ” แม้เขย่าเพียงนี้ยังไม่รู้สึกตัว หากแต่ลมหายใจแผ่วเบา เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างยังคงมีชีวิต

เกิดอะไรขึ้นน้ำตาไหลหลั่งสุดกลั้นด้วยความตกใจ สลบอยู่ตรงนี้นานเท่าใด
โอ เสียงฝีเท้าที่ตามติดเมื่อคืน หรือมิใช่
โอ สวรรค์ได้โปรด

ยอมแล้ว
ยอมทุกอย่าง

มิอาจฝืนรับความสูญเสีย
ไม่อาจยอมทนเสียใครได้อีกแล้ว

แรงมหาศาลไหลหลั่งร่างสูงถูกประคองอย่างง่ายดาย และถูกโอบอุ้มฉุดรั้งตลอดทางเดิน จนถึงตัวตึกใหญ่

“คุณ คุณชาย” แม่นวลคุมเด็กทำความสะอาดโถงบันไดร้องด้วยความตระหนก

“คุณชายเธอ เป็นอะไรคะ” ได้ยินคำถามหากมิได้สนใจที่จะเอ่ยตอบ ได้เพียงแต่บอกความต้องการ

“นวล ช่วยหน่อย ขอน้ำอุ่น ผ้าเช็ดตัว ที่ห้องคุณชาย แล้วให้คนตามหมอฝรั่งด่วน”

“ค..ค่ะ ค่ะ คุณ วางมือก่อนพวกหล่อนช่วยคุณประคองคุณชายเธอ”

“ไม่เป็นไรนวลฉันดูเธอเอง”




‘Influenza ไข้หวัดใหญ่ครับ ร่างกายอ่อนแอมาก’

‘ถ้าช้ากว่านี้อีกนิด’ หากช้าแล้วอย่างไร ไม่นะ ไม่แล้วใช่ไหม

‘อาจมีปอดบวมแทรกซ้อน ต้องดูแลใกล้ชิด’

‘ผมฉีดยาลดไข้ให้แล้ว และจัดยาไว้ให้’

‘ขอบคุณหมอมากครับ นายกรอบไปส่งคุณหมอด้วย’

‘เมื่อวานคุณชายไม่ได้กินข้าวเลย’ เจ้าตัวร้ายยื่นหน้ามาฟ้อง

‘ทำงานแทบไม่ได้นอนตลอดอาทิตย์ด้วยค่ะ’ แม่นวลช่วยเฉลย

‘นวลเดี๋ยวขอข้าวต้ม ยา และน้ำไว้เผื่อเธอตื่น’

‘แล้วจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ เราด้วยไปทำการบ้านซะ เดี๋ยวเฝ้าเอง’


ตอนนี้รู้แล้วเพราะเหตุใด
เหตุใดที่ทำให้พี่ชายเหินห่าง แปรเปลี่ยน

หากแต่ได้รู้เพิ่มคนที่ทรมาน หาใช่เพียงแต่ตนคนเดียวไม่

วันเวลาแสนสั้นเพียงนี้
ทำตามเสียงหัวใจตัวเองบ้างได้หรือไม่ ไม่อยากคิดเรื่องผิดหรือถูกอีกต่อไป

กำพร้าตั้งแต่เล็ก ขาดครอบครัวและคนที่รักตั้งแต่นั้น
โหยหาความรักมากมายมาโดยตลอด

ขึ้นชื่อว่าเป็นหลานเกี่ยวดอง คุณก๋งจึงอุปการะเลี้ยงดูไว้ในบ้าน
หากแต่ความอบอุ่น มิเคยได้รับจากใคร

จนมีคนมาเปลี่ยนชีวิต จาก...เธอ
เพียงคนเดียวที่พลิกชีวิต คนเดียวที่นำพาครอบครัวอบอุ่นมาให้

แม่จ๋า มอบความรัก ความเอาใจใส่
ท่านพ่อ ปรานีเปี่ยมล้น เทียมเท่าลูกชายคนเดียว

หากทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกจุดเริ่มต้น
จากเธอ...เพียงคนเดียว

จากคนที่ขาด ได้รับการเติมเต็ม ได้รับการดูแล ปกป้อง

เมื่อไกลห่าง คนเคยได้รับ ‘น้อยใจ’ นัก ไฉนใยลืมเลือน แต่ด้วยรักจึงยอมทุกสิ่ง
หากหลากใจ ‘ความรัก’ แบบใหม่ ไม่ผิดหรอกหรือ จะรักเช่นนี้ได้หรือ

หาได้รู้ตัวไม่ มิใช่เพียงเขาที่เปลี่ยนแปลง
ตอนนี้รู้ชัด ใจตัวเองก็หาได้รักมั่นเช่นครอบครัวแบบเดิม

ผิดหรือถูกกันแน่ ขัดแย้งในใจมาโดยตลอด
ก็มันเป็นไปไม่ได้ ในสังคมนี้ ในวัฒนธรรมนี้

เก็บกด ปกปิดดวงใจรักของตนเอง ปัดป้อง บ่ายเบี่ยง มิให้ตัวเองถลำลึก
คิดเพียง ‘พี่น้อง’ ครอบครัวน่าจะเพียงพอ ไม่เคยเฉลยสิ่งที่คิด ไม่เคยเฉลยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงภายในดวงใจ แล้วจะให้เขาตีความเอง ทั้ง ๆ ที่มิเคยแปรเปลี่ยนสิ่งใดให้เห็นได้ภายนอก

หากแต่ไม่คาดคิดว่าความไม่ชัดเจนของตน ทำร้ายใครอีกคนเช่นกัน
แม้ยอม ก็เป็นตัวเองอีกที่เลือกจะ ‘ยอม’ ให้คนเอาแต่ใจมาตั้งแต่ยังเยาว์ จึงเลือกที่จะตอบรับสัมผัสเกินกว่าความสัมพันธ์ เพราะความหวาดกลัวความสูญเสีย เสียคนที่รักไปแล้วถึงสองคน หากต้องเสียอีกคน คงอยู่ต่อไปไม่ได้

หรือความจริง
แม้เพียงขาด ‘เขา’ เพียงคนเดียวชีวิตก็ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้อีกแล้ว

ทำให้ตอนนี้รู้แล้ว ชัดแจ้งแล้วในใจตน
ยอมแล้วในทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะผิดหรือถูก
เพราะไม่มีใครเหมือนเธอ
 
คนรักคนเดียว ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
และต่อไปก็ไม่มีวันรู้สึกกับใครได้อย่างนี้อีก

ขอเพียงเขาปลอดภัยจะไม่ฝืนกล้ำกลืนความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไป
ได้โปรดเถิดสวรรค์ ขอแลกกับทุกสิ่ง

ถ้าใครต้องไปก่อน ขอให้เป็นตัวเอง

ขอเอาแต่ใจ ขอเห็นแก่ตัว เพียงครั้งเดียว
เพราะถึงแม้เป็นตัวเอง ที่ต้องลาจาก เพราะสิ่งที่ได้รับ จากเธอ

เกินกว่าสิ่งใดจะเท่าเทียม

‘ที่รัก’ ตื่นเถิดคนดี
‘ที่รัก’ ตื่นมาฟังกันสักนิด คนตรงนี้มีเรื่องที่ต้องการให้รับรู้

ยอมรับ
แม้บางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่มีวันหวนกลับไปได้ดังเดิม อดีตไม่เคยแก้ไขได้
ก็ขอเพียงได้เปิดเผยความในใจ

เพราะ 'สัญญา' ที่ได้ให้ไว้กับท่านอาเมื่อคืนผูกมัด
ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องแปรเปลี่ยน ยอมรับในการกระทำของตน
 
ยอม... เพราะเธอคนเดียว




#JKLTHESERIES


https://www.youtube.com/watch?v=OL90hD6JkhA (https://www.youtube.com/watch?v=OL90hD6JkhA)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; FOR YOU 22.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 22-01-2018 10:15:02
มาแล้วววววว.... :ling1: :ling1:

บอกพี่เขาไปเถอะลูก...พี่เขาตรอมตรมแล้วววว!!!

เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่เลย!!
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; FOR YOU 22.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 22-01-2018 11:35:25
ฮื่อ ภาษาดีมากเลย ชอบตอนเขียนจดหมายมากๆ คลาสสิกสุดๆ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; FOR YOU 22.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-01-2018 12:13:21
เธอวางแผนไว้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; FOR YOU 22.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 22-01-2018 18:08:18
เปิดใจคุยกันเถอะ ต่างคนต่างเศร้า
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; ASK 23.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 23-01-2018 08:55:39
Just…Ask;
๑๖. วอนขอ



เสียงหวานสะอื้นแว่วเพียงแผ่วเบา ดังสายลมพัดผ่าน

ใครร้องไห้
‘พี่ชาย...’

ใคร
มีเพียง ‘คนเดียว’ ที่เรียกอย่างนี้หรือมิใช่

‘คนเดียว’ ที่หัวใจเพ้อพร่ำเรียกหา
หากยิ่งฝืน สติยิ่งจมลึก พร่าเลือน ขาดหาย.........

จมดิ่งสู่ความเย็นยะเยือก เหน็บหนาว มืดมิด
หากเหมือนกำลังก้าวเดินล่องลอย จะไปที่ใด

‘พี่ชาย...’
เสียงเรียกฉุดรั้ง กำลังจะไปที่ใด

‘อรุณ….’
น้องพี่ อยู่ที่ไหน เราอยู่ที่ไหน ต้องกลับไป มีคนรอ

สัมผัสอบอุ่นแทรกซึมแทนที่ หากอาการปวดร้าวศีรษะก็กลับมาร้าวลึกชัดเจน หากรู้ กลับมาแล้ว ที่เดิม ห้องเดิม มาได้อย่างไร แสงอาทิตย์ยามเย็นทอแสงสีส้มสวยสาดส่องทางตะวันตก ห้องสีขาวถูกแต่งแต้มเรืองรอง เสียงหายใจแผ่วเบาข้าง ๆ ทำให้หันไปมอง คนที่นั่งหลับฟุบอยู่ข้างเตียง แม้เรือนผมจะปกปิดใบหน้าหวานกว่าครึ่ง
หาก...คนที่แจ่มชัดในหัวใจ แจ่มชัดในความทรงจำ อย่างไรก็คงยังเป็นเช่นนั้น
 
เสียงนี้สินะ ที่เพรียกหา
เสียงนี้สินะ ที่ทำให้ย้อนคืนกลับมา

สัมผัสที่อบอุ่นส่งผ่านจากมือเล็กที่เกาะกุม

แม้ว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร
น้องน้อยก็ยังคงรัก แม้จะเป็นความรัก เฉกเช่นครอบครัว ดังเช่น ‘พี่ชาย’

เพียงพอแล้วต่อหัวใจ
แม้ว่าเลือกสิ่งใด เขาก็ยังเป็น ‘พี่ชาย’ ดังเดิม
หรือมิใช่

พอแล้ว พอใจแล้ว
ไม่ขอสิ่งใดมากไปกว่านี้ น้องเสียสละมาพอแล้ว
ไม่ว่าน้องน้อยของพี่เลือกสิ่งไหนก็พร้อมยอม

หากแต่ยังหวนคิด ‘ทางเลือกที่สาม’
คงสายไปแล้ว ใช่หรือไม่
 
พยายามข่มใจอย่างยิ่ง แต่ก็สุดกลั้นอาการไออย่างหนักของตน

“พี่ชาย” ร่างบางจึงสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว

“พ..พี่ ไม่เป็นไร” นึกโทษตัวเองที่หยุดไอไม่ได้ จนอีกคนต้องรีบคว้าแก้ว และช่วยประคองขึ้นให้ดื่มน้ำ

“จิบน้ำสักนิด เถอะครับ ค่อย ๆ” ขมคอยิ่งนักหากฝืนกลืนเพราะคนตรงหน้า น้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการระคายคอได้เป็นอย่างดี จึงส่งแก้วกลับให้ คนที่นั่งบนเตียงกลับใช้มือเกลี่ยเช็ดน้ำมุมปากให้ก่อนที่จะรับแก้วไปวาง


“ยังปวดหัวไหมครับ” จึงได้แต่พยักหน้า

“รอสักครู่” น้องเดินหายไปทางประตูพักเดียว แล้วจึงย้อนกลับมา

“ให้นวลเตรียมข้าวต้มไว้แล้ว เดี๋ยวทานเสียหน่อย จะได้ทานยา ยังมีไข้อยู่ไหมครับ” มือบางสัมผัสที่หน้าผากอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวทานข้าวต้ม ทานยาเสร็จค่อยเช็ดตัวนะครับ ยังมีไข้ต่ำ ๆ ”

“ตามหมอฝรั่งมาช่วยตรวจดูอาการแล้ว ไข้หวัดใหญ่ ต้องรอดูอาการปอดบวมแทรกซ้อนด้วย”

“ทำให้อรุณต้องลำบาก” คนกำลังพูดชะงัก ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินแม้เสียงหายใจ ก่อนที่อีกคนจะฝืนตอบ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หากแต่สายตาที่ส่งกลับมาใหม่ไม่เหมือนเดิม จนเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“นวลหรือ เข้ามาสิ”

“ค่ะคุณ ข้าวต้มกับยา”

“ส่งมาเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรหรอกอรุณ ไปพักเถอะ ให้นวลดูแลต่อก็ได้” สายตาคมกริบ ยากจะคาดเดาหันมาสบเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะแย่งชามข้าวต้มมาจากนวลที่ทำหน้าลำบากใจ

“นวลออกไปก่อน ฉันดูแลเอง มีอะไรแล้วจะเรียก” แล้วข้าวต้มก็เดินทางมาถึงเตียงพร้อมคนที่ให้ความสนใจเพียงทำให้ข้าวต้มตรงหน้าเย็นลง ก่อนที่วางชามไว้โต๊ะข้างเตียง และเข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง

“ทานก่อนเถอะครับ จะได้ทานยา” แล้วช้อนก็ถูกยื่นมารอที่ปาก หากรับประทานได้เพียง สองสามคำก็ฝืนกลืนต่อไม่ไหว จึงส่ายหน้าปฏิเสธ

“มันขมคอ”

“อีกสามคำนะครับ รองท้องไว้หน่อย ยาจะได้ไม่กัดกระเพาะ”


โดนล่อหลอกอย่างนี้ มาเรื่อย ๆ จนรู้ตัวอีกที ข้าวต้มก็น่าจะใกล้หมดชาม จึงทิ้งตัวลงนอน คนป้อนแม้จะยอมละความพยายาม แต่ก็ขู่ต่อ

“อย่าเพิ่งนอนนะครับ ฝืนสักนิด นอนทับตะวันจะฝันไม่ดี”

“ทานยา เช็ดตัวสักหน่อยจะได้นอนยาวทีเดียว” ก่อนที่จะถูกดึงขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง เพื่อทานยาอีกรอบ

“เอนหลังไว้อย่างนี้ก่อนครับ จะไปเตรียมน้ำกับผ้าเช็ดตัว” แล้วคนพูดก็ยกถาดอาหาร และยาออกไป พร้อมกลับมาพร้อมอ่างน้ำใบเล็ก

“ไม่ต้องหรอกอรุณ ตามนายกรอบมาก็ได้”

“นายกรอบไม่อยู่ครับ ใช้ให้ไปซื้อของ”

“ตามจ้อยก็ได้”

“จ้อยเป็นเด็กติดไข้มาจะทำอย่างไร”

“พี่ไม่อยากรบกวน” ไม่อยากต้องฝืนใจใคร และกลัวหัวใจตัวเอง กลัวความใกล้ชิดยิ่งนักสำหรับคนที่กำลังจะหักห้ามใจ



หากแต่สายตาเช่นเดิมที่ถูกส่งมาทำให้ยอมจำนน บุคลิกนี้ห่างหายไปนาน เห็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่งานของท่านพ่อและแม่จ๋า
ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ หากเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เมื่อตั้งใจจริง

ความร้อนระอุของร่างกายถูกผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็นดูดซับไป อาจเพราะสบายตัวขึ้นมาก และอาจจะด้วยฤทธิ์ยา จึงทำให้หลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

นับเป็นคืนที่สามที่แทบไม่ได้ลุกจากเตียงไปไหน เพราะกลัวคนดูแลดุ ทั้ง ๆ ที่อาการดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แม้ในขณะนี้เจ้าตัวไม่อยู่ ก็ยังส่งลูกสมุนมาคอยเฝ้า

“ตื่นแล้วหรือครับ” เมื่อมองหาคนที่เคยอยู่เฝ้าประจำที่เกือบไม่เคยย่างกรายออกไปจากห้อง

“คุณ ต้องทำงานแทนคุณชาย ออกไปที่ห้องทำงาน เดี๋ยวก็มา”

“แล้วเราทำอะไรอยู่” เจ้าจ้อยก้มตัวขยุกขยิกอยู่ข้างเตียงจนต้องชะโงกตามลงไปดู

“ทำการบ้านน่ะสิ คุณให้มานั่งทำที่นี่ เฝ้าคุณชายแทน” เหมือนจะเป็นการบ้านศิลปะอะไรสักอย่าง ที่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออก

“อยากได้อะไรไหมครับ”

“หิว”

“อ่อ ลืมเลย เดี๋ยวมานะ” เจ้าเด็กน้อยก็วิ่งออกไปไม่เห็นฝุ่น จึงเอนตัวนอนลง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นอนจนปวดเมื่อยไปหมด อยากไปเดินเล่น ถ้าคนดูแลกลับมาจะยอมพาไปเดินเล่นไหมนะ


ขณะที่นอนคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเดินใกล้เข้ามา และเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหลับตาลง

“ยังหลับอยู่อีกหรือ”

“สงสัยเพราะฤทธิ์ยาครับ จึงทำให้นอนได้นาน แต่ถ้าตื่นขึ้นมาทีไรก็ไม่ยอมจะอยู่เฉย ๆ สักที”

“แล้วงานที่ห้างเป็นอย่างไรบ้าง”

“โชคดีช่วงนี้ไม่มีอะไร คุณก๋งมาเยี่ยมเมื่อวาน เห็นท่านว่าจะเข้าไปดู ๆ ให้ครับ ส่วนเอกสารก็ให้นายกรอบไปรับมาที่วัง ผมยังตรวจทาน และลงนามแทนได้”

“คุณก๋งฉลาด เอาไปสอนให้รู้เท่ากันทั้งสองคน หรือจะพูดให้ถูกก็ฉลาดกันทั้งบ้าน ทั้งท่านพี่และพี่ไหม เลี้ยงมาคู่กันแท้ ๆ เลยนะ”

“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมเพียงทำแทนได้บ้าง”

“เคยรู้เรื่องซินแส ที่เคยดูดวงพวกเธอสองคนตอนเด็กบ้างหรือเปล่า”


“อะไรหรือครับ”
“อยากรู้จริง ๆ ต้องไปถามคุณก๋ง ฉันเองแค่เคยได้ยินเรื่องผ่าน ๆ” ท่านอาตอบเหมือนต้องการรีบตัดบท สิ่งที่ไม่ควรเอ่ยถึง

“วันนี้คงไม่กวนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะแวะมาใหม่”

“ครับ”

“อรุณ อย่าลืมสัญญาที่ไว้ให้กับอา” ‘สัญญา’ อะไร

“ถ้าชายเกิ้งอาการดีขึ้น ก็รีบจัดการเสีย” หรือตัดสินใจแล้ว

“ครับ”

“งั้นอาไปก่อน”

“ครับ”
 


เมื่อเสียงประตูกำลังจะปิดลงอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงฝีหนักก็ดังขึ้น

“อาหารมาแล้วคร้าบ”

“รีบวิ่งทำทำไม เดี๋ยวก็หกเลอะหมดหรอก”

“ชั้นนี้แล้ว”

“ชั้นไหน”

“แหม ก็ชั้นสอง อารมณ์ดีแล้วสินะ” เสียงโต้ตอบราวอายุใกล้เคียงกัน

“รีบยกมาทำไม”

“ก็คุณชายเกิ้ง บอกว่าหิว” เมื่อเรื่องแตก จึงรีบลุกขึ้นนั่ง

“เอ๊ะ ยังไม่ตื่นนี่”

“อ้าว ก็ตื่นแล้วนี่ไง คุณชายมาแล้วครับ” คนหันกลับมาทำหน้าฉงน

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“เอ่อ สักพักแล้ว แต่นอนเอนหลังเพลิน ๆ อยู่” จึงได้แต่ยิ้มเนียนให้แววตาดุ

“ท่านชายมาเยี่ยม”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็มาใหม่” เสียงถอนหายใจชัด คนฉลาดรู้ทันไปเสียหมด

“ไม่ทานด้วยกันหรือ”

“กินแล้วครับ” คนตอบใจดี ช่วยประคองมาที่โต๊ะ และรินน้ำให้

“เขาไปกินกับท่านชายมาแล้ว เหลือแค่เรา” เรานี่คงรวมฉันด้วยสินะ

“งั้นก็ไปกินได้แล้ว ‘เรา’ น่ะ ทางนี้ฉันดูต่อเอง” แม้ผู้ปกครองยังระอา จึงอดขำไม่ได้ ก่อนที่จะโดนหางเลขไปด้วย

“ก็พอกันทั้งคู่นั่นล่ะ” จึงได้แต่ก้มหน้ากินข้าวอย่างจริงจัง เมื่อคนที่นั่งกำกับการรับประทานอาหารข้าง ๆ อารมณ์ดีขึ้น เริ่มแย่งส้อมมาจิ้มขนมหวาน จึงกล้าเอ่ย

“อยากเดินเล่น”

“มืดแล้วน้ำค้างลงจัด” คนข้าง ๆ จึงมองออกไปทางนอกหน้าต่าง อย่างชั่งใจ

“เบื่ออยู่ในห้องจะแย่” จึงได้แต่ร้องขอ

“สบายดีแล้วหรือครับ”

“หายแล้ว ไปวิ่งแข่งกันยังไหว”

“ดี จะได้กลับห้องเสียที” สายตาที่มองมามีแววสับสน

“อรุณ” เมื่อหายดี อีกคนก็ตัวออกห่างทันที ไม่น่าเลย

“คืนนี้คงไม่ต้องเช็ดตัวแล้ว ถ้าหายดีแล้วก็ควรจะอาบน้ำเองได้แล้วครับ เดี๋ยวจะให้เด็กขึ้นมาช่วย”

“แล้วถ้า อยากเปลี่ยนบรรยากาศ” คนพูดจบ ก็ลุกขึ้นหันหลังเดินไปทางประตูเชื่อมภายในห้อง และหยุดก่อนปิดประตูห้อง

“จะไปนอนอ่านหนังสือที่ห้องก็ได้” แล้วประตูก็ปิดลง
หมายความว่าอย่างไร....



ร่างโปร่งยังคงยืนอยู่ ณ ระเบียงที่ยื่นออกไปทางสวนฝรั่งที่เดิม เหมือนกันกับวันนั้น ที่ล่วงเลยมาเกือบครบรอบหนึ่งปีเต็ม

“อรุณ” เมื่อเดินออกมาสมทบ กลับถูกลากกลับเข้ามาในห้อง

“เข้ามานั่งเล่นข้างในก่อนครับ ข้างนอกยังมีละอองฝน ออกมาไม่ได้” หน้าฝน และหยาดฝนยังคงตกประปรายเย็นชุ่มฉ่ำไปทั้งสวน

“เอนหลังตรงนี้” และถูกบังคับให้นอนลงอีกครั้ง ที่ตั่งริมระเบียง

“ไม่อยากนอนเลย” แม้ยอมทำตาม หากเปลี่ยนเป็นฝ่ายรั้งมือเล็กไว้ไม่ให้ผละหนี

“จะนั่งเป็นเพื่อนครับ” คนปลอบจึงทรุดตัวนั่งที่พื้นที่ปูพรมข้าง ๆ เมื่อความเงียบมาเยือนอีกครั้ง น้องน้อยจึงเริ่มกระสับกระส่าย

“ที่ห้องไม่มีหนังสือแล้ว เจ้าจ้อยช่วยหอบไปเก็บที่ห้องหนังสือให้”

“พี่ชายอยากอ่านหนังสือเรื่องอะไรครับ ผมจะไปหยิบมาให้”

“เราคุยกันดี ๆ สักทีได้ไหม อรุณ”

“พี่ชาย”

“อย่าหนีปัญหา หลบกันไปหลบกันมา อย่างนี้เลย”

“รังแต่จะทรมาน และเหนื่อยหนักกันทั้งคู่ จริงไหม”

“..............................................................” คนนั่งเงียบยังคมก้มหน้าไม่ยอมสบตา หากพยักหน้าว่าพร้อมจะรับฟัง

“พี่ขอโทษอรุณ ให้อภัยพี่ได้ไหม เราน่าจะได้คุยกันดี ๆ ก่อน”

“พี่เหมือนเป็นคนใจร้าย ที่เอาแต่จะบีบบังคับผลักไสไล่ส่งน้อง”

“ทั้งหมดพี่ยอมรับผิดทุกอย่าง”

“พี่ผิด ที่ใช้เพียงบทบาทหน้าที่ความเป็นพี่ในการตัดสิน ตามเหตุและผล”

“พี่เพียงอยากให้น้องมีความสุขกับทุกอย่างที่น้องเลือก และทุกสิ่งที่น้องรัก”

“พี่ผิดที่ประมวลความทุกอย่างเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ได้สอบถามความเห็นของน้อง”

“และไม่ได้ฟังเสียงของหัวใจตัวเอง” ลำคอแห้งผาก บางสิ่งอยากเหลือเกินจะเอื้อนเอ่ย เมื่อทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว

“ทั้งที่ครั้งหนึ่ง พี่เชื่อว่าพี่น่าจะมีโอกาสดีกว่าทุก ๆคน”

“แต่คง...สายไปแล้ว”

“พี่รู้ดีว่าพลาดไปแล้ว ทำพลาดไปแล้ว และคงไม่มีวันย้อนคืนมาได้อีก”

ด้วยความอัดอั้นภายในหัวใจ เสียงที่กล่าวออกไปจึงแตกพร่า จนใบหน้าหวานเงยขึ้นมามองจึงถือโอกาสช้อนคางเล็ก มิให้หลบสายตาได้อีก

“อรุณ พี่เพียงอยากให้รู้ว่า ไม่ว่าน้องตัดสินใจเลือกสิ่งไหน”

“...............................................................”

“พี่ก็พร้อมจะยอมรับทุกสิ่ง”

“หากแต่” ลมหายใจสะดุด ด้วยเพราะข้างในดวงหทัยปวดร้าว

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่เพียงอยากจะถามเพียงว่า” กลับกลายเป็นตัวเองที่เสมองหลบเลี่ยง มิกล้าสบแววตาโศกคู่เดิม

“ถ้าพี่จะขอ เป็นทางเลือก อีกทางได้ไหม”

“พี่ขอเป็น ‘ทางเลือกที่สาม’ หากอรุณยังคงต้องการ” เมื่อหันมองกลับมาก็พบว่าน้องน้อยน้ำตาเอ่อล้นไหลริน เพราะเหตุใด

“อรุณ” จึงทรุดตัวลงจากตั่งมาโอบกอดปลอบโยน มดตัวเล็กไว้

“อย่าร้องเลยน้องพี่ พี่ขอโทษ”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อรุณอึดอัดใจ”

“พี่ไม่ได้ต้องการให้อรุณยกโทษให้”

“พี่ยอมทุกสิ่งไม่ว่าอรุณจะเลือกสิ่งใด”

“ขอเพียง อรุณมีความสุข พี่ก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ”

“อย่าร้องนะคะ คนดีของพี่ พี่ยอมทุกอย่าง”

“อรุณ จะโกรธ จะเกลียด พี่ต่อไปก็ได้ ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะคะ”

“นิ่งซะนะคะ คนดีของพี่” จึงได้แต่เช็ดน้ำตาให้น้องน้อย ซึ่งครั้งนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันเพียงนี้

คงจะเป็น ‘สัญญา’ ที่ได้ให้ไว้กับท่านอา ท่านชายศศธร ท่านเป็นผู้เหมาะสมที่สุดจริง ๆ แม้แต่ใจยังยอมรับ ต่อแต่นี้ต่อไปคงต้องปล่อยมือนี้แล้ว คงทำได้แค่ประคับประคองชื่นชมอยู่ห่าง ๆ

สายไปแล้ว จะไม่วิงวอน ร้องขอ สิ่งใดแล้ว



#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=gso4A7jXEpQ (https://www.youtube.com/watch?v=gso4A7jXEpQ)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; ASK 23.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 23-01-2018 15:41:13
พี่ชาย ได้ยินแค่นี้เอามาปะติดปะต่อเอง ทำไมไม่ถามน้อง
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; ASK 23.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-01-2018 18:04:54
ยังคงเป็นอีกครั้งที่ไม่ยอมพูดคุยกันให้รู้เรื่อง
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; YOU 24.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 24-01-2018 09:11:59
Just…You;

๑๗. เพียงเธอ



“อรุณ พี่เพียงอยากให้รู้ว่า ไม่ว่าน้องตัดสินใจเลือกสิ่งไหน”

“............................................” เลือกอะไร? สิ่งไหนหรือ?

“พี่ก็พร้อมจะยอมรับทุกสิ่ง”

“หากแต่”

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่ต้องการถามเพียงว่า” มือใหญ่ที่เคยประคองใบหน้าบังคับให้สบสายตาคลายออก และหลบสายตาเสียเอง

“ถ้าพี่จะขอ เป็นทางเลือก อีกทางได้ไหม”

“พี่ขอเป็น ‘ทางเลือกที่สาม’ หากอรุณยังคงต้องการ”
 


ทางเลือกอย่างนั้นหรือ ทางเลือกที่สามเช่นนั้นหรือ
ทั้งชีวิตเคยมีทางเลือกหรือไร

ด้วยถ้อยคำที่กรีดดวงใจให้เจ็บปวดและตื้นตันในเวลาเดียวกัน
ทำให้มิสามารถกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นภายในดวงใจได้

“อรุณ”

รู้ตัวอีกครั้งก็อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย
อ้อมกอดเดิมที่เคยปลอบโยนน้องน้อย



“อย่าร้องเลยน้องพี่ พี่ขอโทษ”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อรุณอึดอัดใจ”

“พี่ไม่ได้ต้องการให้อรุณยกโทษให้”

“พี่ยอมทุกสิ่งไม่ว่าอรุณจะเลือกสิ่งใด”

“ขอเพียง อรุณมีความสุข พี่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ”

“อย่าร้องนะคะ คนดีของพี่ พี่ยอมทุกอย่าง”

“อรุณ จะโกรธ จะเกลียด พี่ต่อไปก็ได้ ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะคะ”

“นิ่งซะนะคะ คนดีของพี่” ยิ่งได้ยินเช่นนั้นน้ำตายิ่งไหลพราก มิสามารถกลั้นสะอื้นได้อีกต่อไป

กับคนบางคน จากคนบางคน
แม้ถ้อยคำปลอบโยน กลับยิ่งบาดใจ
 
ยิ่งกับคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง คนที่อยู่ในโลกใบเดิมของตัวเองมาโดยตลอด กาลเวลามิสามารถทำให้โลกใบนั้นแปรเปลี่ยน ไม่เคยมีความกล้าที่เพียงพอที่ก้าวข้าม

แม้มันจะเจ็บปวด รวดร้าว ทรมาน เหน็บหนาว เงียบเหงาเพียงใด
แล้วเมื่อวันเวลานำพาเขาคนนั้นเข้ามา

เขาผู้ที่มีโลกของตนเช่นกัน หากแต่รายล้อมไปด้วยบริวารที่พรั่งพร้อมบริบูรณ์ หากกลับมาแลเห็นคนเล็ก ๆ ในโลกส่วนตัวอันแสนเดียวดาย เขาไม่เคยบีบบังคับ ฉุดรั้งให้ต้องออกจากโลกใบเดิม แต่เข้ามาเติมเต็มทุกสิ่งที่ขาดให้อย่างสมบูรณ์

ทั้งความรัก ความหวัง ความฝัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ทำให้โลกใบเล็ก ๆ ใบเดิมแต่งแต้มใบด้วยสีสันสดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมบูรณ์พรั่งพร้อม

หากแต่ครั้งหนึ่ง เขาเป็นเพียงดังลมพัดผ่านมาให้อบอุ่นหัวใจ แล้วก็พัดผ่านจากไป ดั่งมิเคยมีอยู่จริง แม้ได้ละทิ้งความสมบูรณ์พร้อมไว้ให้ หากแต่บางสิ่งที่เคยเติมเต็มในดวงใจกลับขาดหาย

ภาพในอดีต ซึ่งแม้บางคนจะลืมเลือน
หากแต่...ติดตรึง จารึก ‘ดังรอยสลักในหัวใจ’ ของอีกคน

เมื่อสวรรค์เล่นตลก เส้นทางเดินกลับมาบรรจบอีกครั้ง ความรู้สึกภายในใจของใครบางคนที่แปรเปลี่ยน กลับส่งผลให้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของอีกคนด้วยเช่นกัน

โลกแห่งความรักเทิดทูน ยกย่อง ยำเกรง ในวัยเยาว์ ถูกแต่งเติมอีกครั้งด้วยความรักสีกุหลาบ ความรู้สึกไหวหวั่น ขลาดกลัว ช่วงแรกของการแปรเปลี่ยน จึงยากนักที่จะยอมรับได้เต็มปาก

หากในใจ ไฉนจะไม่รู้

‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตเป็นของใคร
‘หัวใจรัก’ ภักดีเพียงใครมาตั้งแต่ต้น

เมื่อถูกผลักไสยิ่งสับสน หรือเพียงลวงกัน ต้องการสิ่งใด ให้ทำสิ่งใดก็พร้อมยอมทำตาม
ทางเลือกสองทางเลือก แต่เสมือนเป็นทางเดียว มีเพียงไป...และไป ให้พ้นสายตา
ดวงใจฤา จะไม่ปวดร้าว
 
เมื่อตัดใจจะยอมเลือกตามแต่จะเห็นควรทุกสิ่ง ใยกลับมาพูดถึงทางเลือกที่สาม
หากมีทางนี้แต่แรก
 
แม้จะอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รัก แม้จะมีมือที่เฝ้าเช็ดน้ำตาปลอบโยน
หากแต่

ความน้อยใจพรั่งพรูผลักดันน้ำตาให้ไหลหลั่งไม่ยอมเหือดหาย
ความน้อยใจกลับทำให้อยากจะแกล้งนัก

หากด้วยคำสัตย์ที่เคยได้ให้ไว้กับผู้ชายอีกคน ที่เฝ้าร้องทวงถามคำ ‘สัญญา’
‘สัญญา’ ที่ได้ให้ไว้ในวันนั้น ‘สัญญา’ ที่ต้องกระทำตาม
‘สัญญา’ ที่ให้ไว้ว่า...

‘ท่านอาจะเดินทางขึ้นเหนือเมื่อไหร่หรือครับ’

‘……………………………………………………’ แม้จะแน่ใจว่าเห็นท่านปลาบปลื้มดีใจชั่วขณะ หากแต่เพียงครู่แววตากลับเศร้าหมองก่อนจะกล่าว

‘เด็กน้อยเอ๋ย อย่าหลงในวังวนของตัวเอง’

‘ถามใจตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าต้องการสิ่งไหน’

‘อย่าตัดสินใจอะไรไปเพียงเพราะอารมณ์’

‘คนเราหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้หรอกอรุณ’

‘หัวใจเจ้าอยู่ที่ไหน เป็นของใคร ตัวเจ้าเองน่ะ รู้ดีที่สุด’

‘อย่ามาหลอกให้ความหวังกันเลย’

‘ถ้าเจ้าสมัครใจจะไปกับฉันจริง ๆ คงไม่ต้องมารั้งรอให้ใครบางคนเขากลับมาหรอก จริงไหม’

‘ที่อาแกล้งแหย่ไป เพราะรู้ความนัยดี’ ผู้มากประสบการณ์มองได้ทะลุปรุโปร่งนัก

‘แต่’ แล้วตัวท่านเองเล่า ไฉนเลยจะ...

‘ฉันรู้ใจตัวเองดีว่าความรักที่ฉันมีนั้น เป็นไปได้เพียงใด’

‘บางทีรักอาจมิต้องสมหวัง แค่ได้มองเห็นคนที่เรารักทั้งสองมีความสุขฉันก็พอใจ’

‘คนบางคนเกิดมาคนเดียว อยู่คนเดียว ตายคนเดียว เมื่อสวรรค์มิได้ลิขิตมาให้คู่เคียง’

‘ยิ่งมาได้พบ ยิ่งมาได้เห็นคนที่เขาเกิดมาคู่กัน แม้ต้องยอมรับว่าเจ็บปวดอยู่บ้างที่ไม่สมดังหวัง หากแต่ก็อดปลื้มใจแทนมิได้ เมื่อคนทั้งสองคนที่รักกันนั้น เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด’

‘ดังนั้นเมื่อสวรรค์ท่านได้ประทานคู่แท้มาให้แล้วก็รักษาไว้ให้จงดี อย่าทำร้ายตัวเองเพียงเพราะความคิดชั่วขณะ นอกจากทำร้ายตัวเองมันจะทำร้ายคนที่เรารัก และคนที่รักเราด้วย’

‘ท่านอา’ ไม่น่าหลุดปากเลย ไม่น่าเลย ทำร้ายตัวเองมิเท่าไหร่ ยิ่งอีกคนก็น่าทำให้เจ็บแสบยิ่งนัก หากแต่ท่านอามิได้ผิดอะไร

‘ไม่ต้องห่วงฉันหรอกเด็กน้อย’ ท่านลูบผมที่แห้งสนิทเบามือก่อนจะเอ่ยต่อ

‘อาขอแค่อย่างเดียว ขอแค่อรุณสัญญากับอาว่าจะไม่โกหกหัวใจตัวเอง พูดตามที่หัวใจตัวเองบอก พูดตามที่หัวใจตัวเองรู้สึก ทำให้ตัวเองมีความสุข’

‘ครับ ผมสัญญา’

ท่านเป็นเพียงผู้ให้ตลอดมา ยิ่งทำให้รัก ชื่นชม และเทิดทูนท่านอย่างที่สุด จึงจะก้มกราบท่าน หากเพียงท่านดึงไว้ จึงได้เพียงไหว้ที่มือท่าน

‘ฉันเห็นเพียงพวกเธอมีความสุข ฉันก็สุขใจแล้ว หากแต่เพียงปรารถนาว่าในชาติหน้าฟ้าจะลิขิตคู่แท้มาให้บ้างก็เท่านั้น’ รอยยิ้มกึ่งขันเมื่อเปรยถึงตัวเอง หากเข้มขรึมอีกครั้งเมื่อกล่าวต่อ

‘คิดให้ดี ๆ ตัดสินใจดี ๆ อย่าวู่วามตามอารมณ์ มีอะไรก็พูดกับพี่เขาดี ๆ’

‘ซื่อสัตย์กับตัวเอง เที่ยงตรงกับเสียงภายในหัวใจของตัวเอง’

‘วันเวลาของคนเราไม่ได้ยืนยาวนักหรอกนะ’

‘เก็บเกี่ยวช่วงวันเวลาดี ๆ ไว้ เธอสองคนก็จากกันมานาน’

‘อย่าปล่อยทิฐิครอบงำ ความขลาดเขลาไม่กล้าเอื้อนเอ่ย’

‘จนปล่อยปละละเลยหัวใจตัวเอง แล้วมานั่งเสียใจภายหลัง ก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว’

‘อาก็แนะได้เพียงเท่านี้’

‘ไปใคร่ครวญและตัดสินใจดี ๆ แล้วอย่าลืมสัญญาที่ให้กับอาไว้’

‘ครับ’

‘วันนี้ไปนอนได้แล้วเจ้าเด็กน้อย แล้วก็ไปคุยกันให้เข้าใจ’

‘ครับ’



ใยมิรู้ ท่านรักนัก ใยไม่รู้ ท่านเสียสละนัก
 
‘สัญญา’ ที่ได้ให้ไว้ ผนวกรวมกับความหวาดกลัวความสูญเสียอย่างยิ่ง
ดังที่ท่านอาบอกไว้ ‘วันเวลาของคนเราไม่ได้ยืนยาวนักหรอกนะ’ จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลมหายใจ ระงับเสียงสะอื้น และน้ำตาที่หลั่งริน รวบรวมความกล้า ‘ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง’


“พี่ชายครับ” แม้เป็นคนเรียกหา หากยังไม่กล้าสบสายตา

“บางครั้ง กับคนบางคน ชีวิตก็ไม่เคยมีทางเลือกอื่นใด”

“เพราะสายตาไม่เคยมองเห็นผู้ใด หรือใครอื่น เพราะ ‘รู้’ อยู่ตั้งแต่ต้นว่า”

“ชีวิตทั้งชีวิต ลมหายใจทุกลมหายใจ เป็นของใครมาตั้งแต่ต้น”

“............................................”



เมื่อไม่มีการตอบสนองใด ๆ จึงเงยหน้าขึ้นมอง ใครคนนั้นยังคงมิเข้าใจในความหมาย จึงรู้ซึ้งสิ่งที่ท่านอาเคยกล่าว

‘มีอะไร คิดอะไร บางทีต้องพูดออกไปบ้าง’

‘อย่าเอาตัวเป็นบรรทัดฐาน เราน่ะละเอียดอ่อนต่ออารมณ์เกินคาดเดา ลุ่มลึกเกินไป เหมือนคุณไหมเธอ’

‘การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูดก็จริง แต่บางครั้งการสร้างความเชื่อมั่นก็ต้องอาศัยคำพูด’



จึงกลั้นใจเล่าเรื่องราวความในใจที่เคยแต่เฝ้าเก็บไว้เพียงภายในใจแต่เพียงผู้เดียว

“ครั้งหนึ่งชีวิตของผมเหมือนกับร่างที่ไร้ชีวิต เหมือนกับคนที่ได้ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อปราศจากบ้าน ปราศจากครอบครัว ปราศจากคนที่รัก”

“หากแต่ ชีวิตกลับมาเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง ตั้งแต่ได้พบ คนคนหนึ่งในวันนั้น”

“และชีวิตกลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้ง ตั้งแต่เริ่ม รักใครคนนั้น ในวันนั้นเช่นกัน”

“แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ ความรู้สึกในวันนั้นก็ยังไม่เคยแปรเปลี่ยน มีแต่จะเพิ่มเติมมากมายเท่าทวีทุกลมหายใจ” สายตาคมเปล่งประกายสงสัยฉายชัด

“จึงทำให้ชีวิตทั้งชีวิต ไม่เคยแม้แต่ที่จะคิดให้เปิดใจให้ใครอื่นผ่านเข้ามาได้อีกเลย เพราะภาพของคนที่ให้ชีวิตใหม่ในวันนั้น ยังคงติดตราฝังลึกลงในจิตใจ”

“ไม่ว่าเขาจะจากไปที่ไหน หรือนานเท่าไร แต่ภาพของเขาคนนั้นไม่เคยลบเลือนไปจากหัวใจ เพราะว่าทุก ๆ ครั้งที่หลับตา เขายังคงแจ่มชัด สดใสในความทรงจำ ในความรู้สึก”

“หากแต่วันหนึ่ง ความรู้สึกที่เคยมั่นคงในหัวใจ ค่อย ๆ ถูกแทรกซึมด้วยความเพียรพยายามของเขา ที่จะปลูกความรักครั้งใหม่ ความรักรูปแบบใหม่ขึ้นมาในหัวใจดวงเดิม เมื่อเขาเดินย้อนกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง” แววตาระยิบเริ่มสั่นไหว อ้อมกอดบางเบาเริ่มกระชับ

“และเมื่อรู้ตัวก็พบว่า ความรักที่มีภายในหัวใจตัวเอง ก็มิได้เป็นเหมือนเช่นเดิมแล้ว”

“แม้มันจะไม่ได้เป็นความรักในรูปแบบใหม่บริสุทธิ์ทั้งหมด”

“ห หากกลับหลอมรวมกับความรักที่มีอยู่เดิม จนยากเกินจะถอนตัว ถอนใจได้อีก”

“อรุณ” เมื่อคนตรงหน้าเริ่มรู้ชัดว่าคนที่กล่าวถึงคือใคร จึงพยายามจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง หากแต่ต้องการเล่าสิ่งที่อยู่ข้างในหัวใจทั้งหมด จึงยกนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากบางเบา ก่อนเฉลยบอกความในใจในส่วนลึก

“พี่ชายคะ”

“พี่ชายเป็นทางเลือกที่สามไม่ได้หรอกค่ะ”

“เพราะ พี่ชายไม่เคยเป็นตัวเลือก ไม่เคยเป็นทางเลือกตั้งแต่ต้น”

“หากแต่เป็น เพียง ‘คนคนเดียว’ ที่เป็นเจ้าของชีวิต ชีวิตนี้ เป็นเจ้าของดวงใจ ดวงนี้ เป็นเจ้าของลมหายใจ ทุก ๆ ลมหายใจเสมอมา”

“ผม ‘รู้’ ว่าชีวิตนี้ ผมรักใคร ผมยอมใคร ผมรอ เพียงใครมาตลอดชีวิต”

“แต่หาก ‘เจ้าชีวิต’ ต้องการผลักไสให้ไปที่ใด หรือหากไม่ต้องการกันแล้ว ก็ขอเพียงเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว ผมก็พร้อมที่จะยอมจากไป โดยจะไม่กลับมาทำให้ขุ่นเคืองรำคาญอีก” ดวงตาของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว อ้อมกอดกดกระชับจนเจ็บ

“หรือหากแต่จะกรุณา ผมก็ขอเพียงที่เล็ก ๆ ห้องเล็ก ๆ สักห้องให้ได้พักพิงอาศัย ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้รกหูรกตาพี่ชายอีกต่อไป” จึงเกินหักห้ามน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น

“ขอเพียงแต่ได้อยู่ที่นี่ ขอเพียงแต่ได้เฝ้าชื่นชมห่าง ๆ ไม่ว่าจะผมอยู่ในฐานะใดก็ตาม ผมก็พร้อมยอมทำทุกอย่าง” หยดน้ำใสไหลริน หยาดหยด เกินกลั้นเสียงสะอื้น ด้วยฝืนทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว จึงก้มหน้าซ่อนน้ำตา หากยังคงเพ้อพร่ำบอกสิ่งสุดท้าย

‘ความสัตย์จริง’ ที่ซ่อนอยู่ลึกสุดในหัวใจ


“เพราะ... ทั้งชีวิต... ผมมี... แค่เพียง... พี่ชาย”

“มีเพียง... พี่ชาย... เพียงคนเดียวนะครับ”





#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=qxt_-9wKoOw (https://www.youtube.com/watch?v=qxt_-9wKoOw)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; YOU 24.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-01-2018 12:29:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; YOU 24.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 24-01-2018 15:04:48
รักท่านอา
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LOVE 25.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 25-01-2018 13:31:20
Just…Love;

๑๘. เพียงรัก



ถ้อยคำที่ไหลหลั่งพรั่งพรูจากร่างเล็กในอ้อมกอด ทำให้หัวใจค่อย ๆ พองโต ถ้อยคำที่เฝ้าหวัง ถ้อยคำที่เฝ้าใฝ่ฝัน ทุกถ้อยคำทำให้รู้สึกลอยละล่องดังอยู่สุดขอบฟ้า หากเต็มตื้นเปี่ยมล้นในหัวใจ มิใช่เพียงฝัน มิใช่เพียงถ้อยคำในความคิดของตน ใช่หรือไม่

หวาดกลัวด้วยทุกคำเป็นเสมือนดังความหวัง ความปรารถนาส่วนลึก ที่รอคอยมานาน จึงร้องครางออกไปจากดวงใจส่วนลึก เพื่อเรียกสติของตน

“อรุณ” หากคนตรงหน้ายกปลายนิ้วเรียวบางแตะลงที่ริมฝีปากแผ่วเบา เหมือนต้องการบอกให้หยุด เพื่อรอคอยฟังสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจให้หมดสิ้น

“พี่ชายคะ”

“พี่ชายเป็นทางเลือกที่สามไม่ได้หรอกค่ะ”



อะไรนะ ทำไมหรือ ดังดวงใจถูกกระชากตกวูบ



“เพราะ พี่ชายไม่เคยเป็นตัวเลือก ไม่เคยเป็นทางเลือกตั้งแต่ต้น”

“หากแต่เป็น เพียง ‘คนคนเดียว’ ที่เป็นเจ้าของชีวิต ชีวิตนี้ เป็นเจ้าของดวงใจ ดวงนี้ เป็นเจ้าของลมหายใจ ทุก ๆ ลมหายใจเสมอมา” ดวงใจที่ตกลงทะยานพุ่งขึ้นสูงยิ่ง เมื่อได้รับฟังประโยคต่อมา ไหวหวั่นจนเจียนจะขาดใจ

“ผม ‘รู้’ ว่าชีวิตนี้ ผมรักใคร ผมยอมใคร ผมรอ เพียงใครมาตลอดชีวิต”

“แต่หาก ‘เจ้าชีวิต’ ต้องการผลักไสให้ไปที่ใดหรือหากไม่ต้องการกันแล้ว ก็ขอเพียงเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว ผมก็พร้อมที่จะยอมจากไป โดยจะไม่กลับมาทำให้ขุ่นเคืองรำคาญอีก”


‘ไม่นะ ไม่มีวัน’ เสียงร้องตะโกนก้องภายในหัวใจ


“หรือหากแต่จะกรุณา ผมก็ขอเพียงที่เล็ก ๆ ห้องเล็ก ๆ สักห้องให้ได้พักพิงอาศัย ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้รกหูรกตาพี่ชายอีกต่อไป” และไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้

“ขอเพียงแต่ได้อยู่ที่นี่ ขอเพียงแต่ได้เฝ้าชื่นชมห่าง ๆ ไม่ว่าจะให้ผมอยู่ในฐานะใดก็ตาม ผมก็พร้อมยอมทำทุกอย่าง”


น้ำตาใสรินไหลหยดหยาดจากดวงตาอ่อนหวาน ทำให้หัวใจอ่อนลง และสั่นไหวอีกครั้ง หากดวงใจแทบมลายสิ้น เมื่อได้ยลยินเสียงสะอื้น และถ้อยคำในประโยคสุดท้าย

“เพราะ...ทั้งชีวิต...ผมมี...แค่เพียง...พี่ชาย”

“มีเพียง...พี่ชาย...เพียงคนเดียวนะครับ”

“พอแล้ว...อรุณ พอแล้ว...คนดีของพี่” เสียงกระซิบแหบแผ่วเบา

“อย่าร้องเลยสุดที่รัก ใจพี่จะขาดอยู่แล้วนะคะคนดี พอแล้ว” จึงเชยคางเล็กของคนที่ก้มหน้าหลบสายตา และบรรจงกดจมูกแผ่วเบาลงเกลี่ยหยาดหยดน้ำใสที่ไหลริน ร่างบางในอ้อมกอดยังคงสะอื้นสั่นไหว

“ที่รักของพี่ พอแล้วนะคะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว” ดวงใจดวงเล็กอันเป็นที่รักยิ่ง ยังคงบอบช้ำ สิ่งเดียวที่จะเยียวยาได้ก็คือความรักภายในหัวใจของตน ที่จะต้องสื่อสารถ่ายทอดเปิดเผย ความนัย จึงสบลึกลงไปในดวงตาและแถลงไขสิ่งที่เก็บอยู่ในหัวใจ

“พี่รักอรุณ”

“รักมากที่สุด รักมากเท่าที่ชีวิตของใครคนหนึ่ง จะรักใครอีกคนได้”

“พี่ยอมรับว่ารักครั้งนี้ของพี่ไม่ได้เป็นเฉกเช่น ความรักน้องน้อยในวันวาน”

“วันที่ได้กลับมาบ้านของเราอีกครั้ง และได้รับรู้ข่าวการสูญเสียของท่านทั้งสอง พี่รู้สึกเดียวดาย อ้างว้างยิ่งนัก แม้ผู้คนจะรายล้อมมากมายบนโลกใบนี้ แต่เมื่อไร้ซึ่งแล้วคนที่รัก หัวใจก็เหมือนแหลกสลายไร้ซึ่งจุดหมายในชีวิต”

“หากแต่วินาทีแรก ที่ได้พบน้องอีกครั้ง พี่ก็รู้ว่าชีวิตของพี่ที่เหลืออยู่ต้องการสิ่งใด ต้องยืนหยัดต่อให้ได้เพราะใคร อรุณเป็นคนแปรเปลี่ยนความตั้งใจ แปรเปลี่ยนโลกทั้งโลกของพี่”

“ในคืนนั้น เพียงคำหนึ่งคำ เพียงคำสัญญาที่อรุณบอกไว้ว่าจะรอพี่ พี่ก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายเดียวในใจ จุดมุ่งหมายเดียวของชีวิตพี่อยู่ที่ใด อรุณทำให้ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งกลับมามีค่า และมีความหมายอีกครั้ง”

“พี่อยากให้น้องรู้ว่า พี่รักอรุณ และพี่ก็จะมีแค่อรุณคนเดียวนะคะ” ดวงตาไหวหวั่นของคนตรงหน้ายังคงมีร่องรอยของคำถาม ความสงสัยและตัดพ้อน้อยใจ จึงกล่าวต่อไป

“พี่จะไม่มีวัน ไม่มีทาง ที่จะผลักไส หรือปล่อยให้น้องของพี่ไปไหนไกลตาอีก”

“พี่ขอโทษที่เคยพูดออกไปเช่นนั้น”

“หากพี่ไม่เคยคิด ไม่เคยต้องการที่จะผลักใสไล่ส่งน้อง”

“หากแต่พี่ขาดเขลาเองที่ไม่รู้ ว่าน้องของพี่ต้องการสิ่งใด”

“มัวแต่กลัวว่าสิ่งที่ผ่านมา สิ่งที่ทำไปเพียงเพราะ พี่เป็นพี่เพียงเท่านั้น”

“จึงหลงคิดไปเองว่าน้องของพี่อาจจะต้องการสิ่งอื่น รักสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พี่”

“ที่พี่พูดเช่นนั้น ทำเช่นนั้นลงไป เพียงเพราะต้องการให้คนที่พี่รักที่สุด เธอมีความสุขสมหวังในสิ่งที่เธอปรารถนา และวาดหวังไว้ทุกประการ”

“หาได้รู้ไม่ ว่าพี่ทำร้ายทั้งตัวเอง ทำร้ายทั้งหัวใจดวงเล็กอันเป็นสุดที่รักของพี่” น้ำตายังเอ่อล้น

“นิ่งเถอะนะคะคนดี” จึงหยุดทุกถ้อยคำไว้เพื่อจูบซับน้ำใสที่กำลังจะไหลริน หากเมื่อเฝ้ากลบเกลี่ยคราบน้ำตาไหลเรียงลงมาตามนวลปราง ก็ได้ซึมซาบกลิ่นหอมยวนเย้าที่หวนหามานาน จึงอดไม่ได้ที่จะกดปลายจมูกสูดเก็บ หยอกล้อ คลอเคล้า จนใบหน้าหวานเริ่มมีสีกุหลาบแต้มแต่งระเรื่อ และค่อย ๆ หยุดสะอื้นไห้ แม้อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองกลีบริมฝีปากบางนวลนุ่มแดงสด หากต้องหักห้ามใจตัวเองอีกครั้งเพื่อร้องขอวิงวอนคนตรงหน้าให้อภัยสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต

“อรุณ”

“พี่ขอโทษนะคะ”

“ยกโทษให้พี่ได้ไหม”

“............................................” แม้ไม่มีคำตอบใดหากใบหน้าหวานยังคงจ้องลึกลงในแววตา เพื่อค้นหาความเชื่อมั่น จึงให้คำมั่นที่ซื่อตรงตามความจริงในดวงใจ

“อรุณ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่มีวันปล่อยให้มดตัวเล็กของพี่ต้องจากไปไหนอีกเป็นอันขาด”

“ไม่ว่าต่อไปภายภาคหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ให้สัตย์สาบานว่าพี่จะเฝ้ารัก เฝ้ารอ เฝ้าตามหาเพียงน้องน้อยของพี่แต่เพียงผู้เดียว”

“พี่จะไม่มีวัน ไม่มีสายตาที่จะมองหาแลเห็นผู้ใดอีกในหัวใจรักดวงนี้ จะขอมีเพียงน้องคนเดียวไม่ว่าวันเวลาจะผันผ่านแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือชาติหน้า”

“จะมีเพียงแค่อรุณ จะรักเพียงแค่อรุณคนเดียวตลอดไป”

“ให้อภัยพี่นะคะคนดี”

“..............................” ดวงตาแดงช้ำกลับบอกทุกอย่างที่มีอยู่ในใจแทนได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก่อนที่เจ้าตัวจะพยักหน้าน้อย ๆ และทิ้งตัวลงในอ้อมอก และวาดกระชับอ้อมแขนเล็กรอบเอว
 
“อรุณ” คงต้องเรียนรู้ความหมายของอากัปกริยาท่าทีของคนในอ้อมกอดอีกมากมาย จึงได้แต่ส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ และลูบผมอ่อนนิ่มเพียงเบามือ



ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร หากหัวใจปรารถนาเพียงอยู่เคียงคู่ชิดใกล้อย่างนี้ นานเท่านาน เด็กน้อยในอ้อมอกกลับหายใจสม่ำเสมอนอนหลับสนิท ใสซื่อบริสุทธิ์ มิเคยระแวดระวัง และไม่เคยรับรู้ความต้องการทางกายของใครอีกคน จึงได้แต่ทอดถอนใจ
 

“อรุณ” เสียงกระซิบเรียกมิได้ทำให้เจ้าตัวรับรู้แต่อย่างใด จึงค่อย ๆ ขยับกระชับร่างบางอุ้มช้อนเข้าสู่อ้อมแขนอีกครั้ง เจ้าตัวบิดร่างเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงการขยับ หากยังหลับพริ้ม จึงเดินมุ่งตรงสู่เตียงสี่เสากลางห้อง แหวกมุ้งสีขาว และวางร่างบางลง ก่อนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่ยังคงทิ้งร่องรอย และจุมพิตที่หน้าผากเด็กน้อยให้นอนหลับฝันดี

ก่อนจะตัดใจกลับห้อง อาการไข้ยังไม่หายดี ไม่อยากให้น้องน้อยต้องติดหวัดไปด้วย หากแต่เมื่อจะผละลุกขึ้นมือบางกลับไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว และพลิกตัวตะแคงซุกตัวลงในอกเช่นเดิมโดยหารู้ตัวไม่ จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย พลาดแล้วมดน้อย ติดหวัดอย่ามาโทษกันเชียว


ตกดึกพายุใหญ่สาดซัดเสียงฝนเม็ดใหญ่กระทบบานหน้าต่างเสียงดังอื้ออึง หากยังมิเทียบเท่าเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ร่างบางในอ้อมกอดถึงกับเผลอผวาเบียดประชิด ก่อนที่จะตื่นด้วยความตระหนกเมื่อพบร่างใหญ่ที่นอนเคียงข้าง


“พี่ชาย”

“หืม อะไรคะ”

“ท ทำไมมานอนที่นี่ครับ”

“ไม่รู้เมื่อคืนใครรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยให้กลับห้องนะสิ” ดวงตาแววระยิบก้มหลบเลี่ยงสายตาด้วยความขวยเขิน

“อ่า เอ่อ ยังมีไข้ไหมครับ” และรีบชวนเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน

“ไม่แน่ใจเหมือนกันอรุณดูให้หน่อยสิคะ” จึงเอื้อมมือไปโอบอุ้มมือบางมาแตะลงที่ใบหน้าของตน
 
“ว่าไงคะ ตัวพี่ยังร้อนอยู่ไหม อรุณ” ใบหน้าหวานยังก้มงุดอยู่ ไม่ยอมมองเลยมาสบตาดังก่อนหน้า หากแต่ส่ายหน้าช้า ๆ

“ไม่ทราบหรอกครับไม่ใช่คุณหมอ”

“อรุณช่วยดูให้พี่หน่อยไม่ได้หรือ ถ้ายังมีไข้ ตัวก็ต้องร้อนใช่ไหม” จึงพรมประทับรอยจูบลงที่ปลายนิ้วเรียวบาง และฝ่ามือนุ่มเนียน

“พี่ชาย” คนตกใจจนร้องเสียงหลง จึงหลงกลเงยหน้าขึ้นมาประท้วง ด้วยไร้ซึ่งประสบการณ์ มือที่ถูกเกาะกุมจึงได้รับอิสระ หากแต่ใบหน้าหวานกลับถูกยึดตรึงแทน แล้วจึงโน้มใบหน้าเข้าหาจนหน้าผากทั้งสองแนบชิด ปลายจมูกแตะกันเพียงแผ่วเบา

“วัดอุณหภูมิให้หน่อยสิคะ พี่ยังมีไข้ไหม” แววตาตื่นตะลึง หากปากที่กำลังเผยอเอ่ยประท้วง จึงถือโอกาสแย่งชิงลมหายจากริมฝีปากบาง จูบแผ่วละเลียดไล่ชิมความหอมหวานหยอกเย้า ก่อนจะกดลึกรุกล้ำเรียกร้องสะกดร่างบางในอ้อมแขนให้อ่อนระทวย จึงโอบกระชับแนบชิดมากขึ้น และกดย้ำจูบลึกที่ทำให้คนตรงหน้าจวนเจียนขาดใจ


ร่างบางขาวนวลปราศจากอาภรณ์ใดห่อหุ้ม นอกจากวงแขนที่รัดรึงแบ่งปันความอบอุ่นเรียกร้องเร่าร้อน หากทั้งร่างยังคงสั่นไหว ด้วยประสบการณ์ใหม่ที่มิเคยได้รับ ด้วยเฝ้าทะนุถนอมยิ่งนัก จึงมิเคยรุกเร้ามากมายถึงเพียงนี้สักครั้ง หากสติที่มีเหลือเพียงน้อยนิดของตนฉุดรั้งตัวเองให้ละจากลำคอระหงเนียนหอม ก่อนกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“อรุณ”


เมื่อตระหนักว่าใบหน้าหวานแดงฉ่ำของคนใต้ร่าง หาได้มีสติที่จะควบคุมตัวเองแล้วไม่ จึงโฉบฉวยโอกาสร้องขอสิ่งที่ปรารถนายิ่ง สิ่งที่จะผูกมัดรัดรึงสุดที่รักให้ชิดใกล้ ครอบครองเป็นเจ้าของทั้งใจ และกายอย่างสมบูรณ์

“อรุณจ๋า พี่รักอรุณนะคะ ให้พี่รักนะคะคนดี”


แสงวาบสว่างจ้าชั่ววินาที หากฉายชัดสองร่างที่พันผูกเกี่ยวกระหวัดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว บทเพลงรักบรรเลงมิได้ต่างจากพายุที่โรมรันซัดสาดอยู่ภายนอก เสียงครางครืนของท้องฟ้าสอดประสานกับเสียงครวญครางแหบพร่า ครวญคร่ำหวานล้ำ


“พี่รักอรุณ......”

“..รัก..อรุณ...” ถ้อยคำที่เฝ้าตอกย้ำพร่ำบอกร่างน้อยตลอดบทเรียนแห่งความรัก


ณ ปลายทางแห่งพายุใหญ่โหมแรงสงบจบลง เมื่อปรับเปลี่ยนท่วงทำนองแห่งรักหวานละมุนเคล้าคลอปลุกปลอบคนรักให้หายหวาดหวั่นสั่นไหว

ด้วยถ้อยคำหวานซึ้งจากหัวใจ

“อรุณจ๋า พี่รักอรุณนะคะคนดี รักอรุณคนเดียว และตลอดไป”

หากมิคาดฝัน...เสียงครางหวานกระซิบตอบกลับแผ่วเบา

“พี่ชาย”

“รัก”

“อรุณ”

“รักนะครับ” หวานล้นจะแทบสำลักความสุขที่อิ่มเอมล้นปรี่


คำเดียวที่ต้องการ
คำเดียวที่ปรารถนา


‘รัก’ เพียงคำเดียวที่รอคอยมาตลอดชีวิต
ดวงใจสั่นไหว เต้นแรงดั่งจะหลุดออกจากอก ล่องลอยไปสุดขอบฟ้า


คำว่า ‘รัก’ จากคนคนเดียว
คำว่า ‘รัก’ จากเธอเพียงเท่านั้น


หัวใจดวงเดียว
ด้วยรักทั้งหมดที่มี


จากนี้จะมีเพียงเธอผู้เดียว
จากนี้จะขอรักเธอเพียงผู้เดียว


#JKLTHESERIES


https://www.youtube.com/watch?v=N7UTwfuUdKg (https://www.youtube.com/watch?v=N7UTwfuUdKg)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LOVE 25.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: lonesomeness ที่ 25-01-2018 16:06:38
เขินนนนนนนนนนนน :-[
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LOVE 25.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 25-01-2018 18:13:57
 :impress2: :impress2:คืนดีกันแล้ววววว...พี่ชายคงหายป่วยในเร็ววัน!!
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; LOVE 25.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-01-2018 18:34:45
หวานชื่นมากจ้า
 กรี๊ดเบาๆๆ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; KNOW 26.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 26-01-2018 08:45:55
Just…Know;

๑๙. รู้


“นวลจ๋าขอของเช้าสองที่ ที่ห้องคุณได้ไหม” คนเพิ่งหายไข้ลงมาที่ห้องอาหารเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

“ค่ะคุณชาย”

“อ้าวชาย หายดีแล้วหรือ เมื่อวันก่อนอามาเยี่ยมเห็นยังนอนซมอยู่” ท่านอาเดินสวนกับนวลเข้ามา เพื่อรับของเช้าที่ตึกใหญ่

“ครับดีขึ้นแล้ว ไข้หวัดหายเร็ว ถ้าได้แบ่งเชื้อโรคให้คนอื่นแล้ว” ท่านอาเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้ม

“คนรับเชื้อไปไม่โวยวายแย่แล้วรึ”

“ครับ ก็โยเยอยู่มากทีเดียว”

“เอาเถอะ ดูแลกันดี ๆ”

“อย่างไรก็อย่าเพิ่งออกไปไหน ให้คนรับงานมาทำที่ตึกใหญ่เหมือนเดิมก็แล้วกัน”

“อยากให้ปรับตัวปรับใจ เรียนรู้กันให้ลึกซึ้ง ชีวิตคู่ไม่ใช่ของง่าย” แล้วจึงยิ่งหลากใจ

“เด็กนั่นก็ร้ายไม่หยอก บางครั้งเหมือนโตเกินอายุ หากแต่หัวใจยังเด็กเล็กนัก”

“วันนี้อาคงต้องกลับก่อน เห็นทีคงต้องเปลี่ยนเป็นเราสองคนต้องกลับไปเยี่ยมอากระมัง”

“อย่างไรก็ให้คนมาบอกแล้วกัน จะเตรียมของไว้รับไหว้หลานสะใภ้”

“ครับ” ด้วยยังตระหนกอยู่จึงตอบได้เพียงเท่านั้น



แม้รู้มานานว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอาที่เคยเปรยกับสหายในต่างแดนว่ากลับมาเมืองไทยเพียงชั่วคราวเพื่อเยี่ยมเยียนญาติเมื่อห้าปีก่อน กลับเปลี่ยนความตั้งใจไม่เดินทางกลับไปอีกเลย หากเพิ่งรู้ซึ้งแน่ชัดไม่นานว่าเป็นเพียงเพราะคนคนเดียวกันกับคนที่เขาปรารถนาหมายปอง

แม้มิเคยขุ่นข้องหมองใจกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ใจกันดี หากแต่ก็รู้สึกละอายแก่ใจมิได้ ยิ่งได้รับรู้ว่าสิ่งใดที่คนของตนได้ ‘สัญญา’ ไว้กับท่านยิ่งตระหนัก นอกจากท่านรักคนของตนมากมายลึกซึ้งนัก ท่านยังปรานีหลานชายคนเดียวอย่างที่สุด


“นวลเดี๋ยว วันนี้ฉันจะยกขึ้นไปเอง” จึงรับถาดอาหารเช้ามา

“ช่วงนี้ไม่รับแขก ไม่จำเป็นไม่ต้องให้ใครขึ้นไปยุ่มย่ามข้างบน”

“คุณไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวติดหวัดกันไปหมด” ข้ออ้างที่ให้ได้ แม้คุณไม่สบายจริง หากแต่มิได้เป็นไข้แต่อย่างใด

“ต่อไปอาหารของฉันกับอรุณทุกมื้อให้ไปตั้งที่ห้องทำงานแทน และฝากบอกนายกรอบให้รับงานที่ห้างมาไว้ที่ห้องทำงานด้วยนะ”

“ค่ะ คุณชาย”

“ขอบใจมาก”



ฟ้าหลังฝนกระจ่างใส ดวงตะวันทอแสงอ่อนบางสาดส่องทั่วห้อง หยดหยาดน้ำฝนที่ตกค้างผสมรวมกับสายลมโชยอ่อนสร้างความเย็นชุ่มฉ่ำหอมกรุ่นกลิ่นต้นไม้ดอกไม้ที่บานสะพรั่งอวดโฉมเต็มสวน
 
เมื่อพายุใหญ่โหมกระหน่ำต้นไม้ใบหญ้าดูเหมือนจะอ่อนแรงแพ้พ่าย เหมือนจะเอนรากคลอนถอนไป หากแต่เมื่อสายฝนพัดผ่านกลับนำมาซึ่งความสุข และสดชื่น เหล่าพรรณไม้กลับผลิดอกออกผลงามงดยิ่งนัก
 
เมื่อวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะทานอาหารเล็ก ๆ ตรงกันข้ามกับตั่งไม้ตัวใหญ่ ริมทางเฉลียงระเบียง จึงเดินกลับไปปลุกร่างเล็กที่ยังคงจมหายอยู่ในกองหมอนนุ่มสีขาวหลายใบที่ได้บรรจงวางไว้รายล้อมแทนร่างของตนก่อนที่จะผละออกมา

เด็กน้อยยังคงนอนหลับสนิท เพราะตัวเองที่เป็นต้นเหตุ ทำให้น้องน้อยได้นอนจริง ๆ อย่างเต็มตา เมื่อใกล้รุ่งอรุณนี่เอง จึงได้แต่เฝ้าพินิจร่างเล็กที่นอนสบายผ่านมุ้งบางสีขาวบางโปร่ง หากแผ่นหลังเนียนขาวที่ทาบทับอยู่บนกองหมอน และผ้าห่ม แต่งแต้มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบเจือจางประปราย ทำให้อดใจเฝ้ามองเพียงห่างไกลมิได้ จึงแหวกมุ้งบางแทรกตัวลงนั่งข้าง ๆ

แม้จะถนอมยิ่งนัก หากร่องรอยแห่งรักยังคงเด่นชัด ผมสลวยอ่อนนุ่มยังยุ่งชี้ฟู หากมิได้ลดทอนความหวานแห่งใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของ ดวงตาเล็กยังคงมีรอยชอกช้ำหากไร้ซึ่งร่อยรอยแห่งคราบน้ำตาอีกต่อไป ริมฝีปากสีหวานแดงระเรื่อ และทั้งหมดผสมผสานลงตัวสร้างความงดงามเย้ายวน

จำต้องฝืนใจ ฝืนความต้องการของตนอย่างยิ่ง ให้เพียงเฝ้านั่งมองเพ่งพิศความวิไลและสางผมเส้นบางนุ่มให้อย่างเบามือ

โชคดีเหลือเกินที่วันนั้น บังเอิญไปพบเด็กน้อยคนนี้
โชคดีเหลือเกิน ที่ได้รับความรักจากคนคนนี้
โชคดีที่ กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา

มิใช่ท่านอาคนเดียวที่อยากใช้ชีวิตที่ต่างแดน อิสรเสรีสะดวกสบายแตกต่างกันยิ่งนักในโลกศิวิไลซ์ ความตั้งใจเดิม จึงไม่คิดจะเดินทางกลับบ้านเกิด เพราะไม่ว่าด้วยเรื่องของการเรียนรู้ การเปิดหูเปิดตา หรือเรื่องหน้าที่การงานที่นั่น น่าดึงดูดให้สนใจมากกว่ายิ่ง

แต่ทั้งชีวิตที่เหมือนสมบูรณ์ หากอ้างว้างโดดเดี่ยวยิ่ง
ทำไมมิเคยฝัน ทำไมจะไม่เคยตามหา คนที่มาเติมเต็มเสี้ยวหนึ่งในชีวิตที่ขาดหาย

หากรู้ซึ้งเมื่อได้พบ
จุดหมายของชีวิตเปลี่ยนไปเพียงเพราะเธอ ความฝันที่ก้าวเดินมาสู่ความจริง
 
ของคุณฟ้าที่ทำให้ได้พบคนคนนี้
ขอบคุณฟ้าที่ประทานคนที่มีความหมายยิ่งกับหัวใจ


“พี่ชาย” เสียงกระซิบแหบพร่า เรียกสติที่เหม่อลอยคืนกลับ ร่างบางกำลังพยายามจะขยับลุกขึ้น หากแต่กายเล็กยังคงทรุดลงสั่นไหว นิ่วหน้าขมวดคิ้ว หากยังเก็บกดความเจ็บปวดมิได้ร้องออกมาแต่อย่างใด

“อย่าเพิ่งลุกนะคะคนดี นอนก่อนค่ะ” ยิ่งเห็นอีกคนฝืนเข้มแข็ง ยิ่งทำเอาใจคนก่อเรื่องเริ่มฝ่อ

“เจ็บมากไหมคะ” คนปากแข็งยังคงส่ายหน้า หากร่างเล็กยังคงสั่น แถมตัวรุม ๆ เหมือนจะเป็นไข้เสียจริง ๆ

“แน่ใจนะคะ” เมื่อเชยคางขึ้นสบตา

“บอกพี่เถอะคนดี ระหว่างเราไม่มีสิ่งใดที่ต้องเขินอายกันแล้วนะคะ”

“ก็ เจ็บ นิดหน่อยครับ” ใบหน้าหวานจึงขึ้นสีจัดชัดเจนอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าหลบหน้าอยู่ในอก ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปคงจะเป็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริงเป็นแน่

“อย่างนั้นเปลี่ยนใหม่ ถ้าจะเขิน จะอายก็ได้ แต่กับพี่คนเดียวนะคะ” อดไม่ไหวที่จะกดจมูกเก็บเกี่ยวความหอมที่หน้าผากมน ลากไล้ลงมาเรื่อยจนถึงนวลปราง

“หิวหรือยังคะ” ถามออกไปด้วยความหลากใจ หลากอารมณ์ยิ่งนัก ใจนั้นหิวกระหายคนตรงหน้านัก ด้วยลุ่มหลงลึกซึ้ง หากอีกใจก็ห่วงหวงเหลือประมาณ

“ครับ” คนตอบรวดเร็ว หากรู้แม้จะนำทางไปยังทิศทางใดร่างอ่อนระทวยในอ้อมแขนก็คงยินยอมเช่นเดิม หากด้วยรักจึงฝืนหักความต้องการทางกาย

“ทานข้าวกันนะคะ” คนเก่งรีบพยักหน้ารับ หากยังดูทรมานยิ่ง แม้จะขยับลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ

“คนดีทานที่เตียงดีไหมคะ เดี๋ยวพี่ยกอาหารมาให้ หรืออยากไปทานที่ริมระเบียงก็ได้ ให้พี่อุ้มไปนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เด็กดื้อยังคงฝืนก้าวลงเตียง เกือบทรุดอยู่ข้างเตียง หากรวบตัวไว้ไม่ทัน

“หลงรักคนดื้อ รู้สึกอย่างนี้เองสินะ” จึงแหย่กระเซ้า หากเกือบหยุดหายใจเมื่อมองตามสายตาของร่างบางที่กำลังจับจ้องกระจกบานยาวเต็มตัว สายตาที่ประสานกันในกระจกเพียงชั่ววินาที หากยาวนานนักในความรู้สึก ก่อนที่ใบหน้าหวานจะหันหลบสายตาที่ชื่นชมเงาสะท้อนของเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่าในอ้อมแขน

“และรู้แล้วว่าทำไม ถึงหลงยิ่งนัก”

“สวย สวยหวานจับตา งดงามจับใจจริง ๆ”

“ใจพี่จะขาดให้ได้แล้วนะคะคนดี”

แม้จะถูกทุบเบา ๆ สองสามทีก็คุ้ม หากยิ่งกว่าได้กำไรเมื่อใบหน้าหวานเงยขึ้นมาค้อน จูบรสหวานซึ้งจึงถูกโฉบฉวยอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างทั้งสองที่แนบชิดยิ่งกระชับ ความเมามัวไหลหลงจมลึกยิ่งขึ้น

“ไม่อยากทานข้าวแล้ว” เพ้อพร่ำเมื่อซุกไซร้ไล่เลียงมาถึงลำคอระหง หากแต่เจ้าของร่างน่าหลงใหลประท้วงเสียงเครือแผ่วเบา
“หิวแล้วครับ”

“หึหึ งั้นทานก่อนก็ได้” จึงดึงผ้าห่มสีขาวขึ้นห่อหุ้มร่างบางก่อนจะรวบตัวขึ้นสู่อ้อมอก เดินมุ่งหน้าไปยังโต๊ะอาหาร เป็นมื้ออาหารที่วิเศษที่สุดเมื่อมีคนรักนั่งอยู่บนตัก และคอยหยิบป้อน ลิ้มรสอาหารพร้อมกับชื่นชมความงามของวิวทิวทัศน์ที่ต่างกันออกไป




“มองอะไร”

“ทำไม" เจ้าเด็กน้อยยังแสดงอาการกล้า ๆ กลัว ๆ

“ทำไม อะไร”

“ทำไมไม่สบายแล้วสวยขึ้น”

“ต้องพูดว่าหล่อ”

“ไปดูตัวเองดี ๆ เถอะว่าสวย”

“หรือคุณชายเกิ้งว่าไม่จริง”



เรื่องถูกโบ้ยมาเพื่อหาพวก อุตส่าห์สู้เก็บเงียบนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เสียตั้งนาน ไม่คิดว่าจะถูกลากเข้าสู่วงสนทนาเร็วถึงขั้นนี้ แม้ใจจะเห็นด้วยแต่แรก หากจะตอบอย่างไร เมื่อสายตาคมกริบนั้นจับจ้องอย่างเอาผิด



“นอนมากมั้ง เลยดูดีขึ้น” จึงตอบไปให้ดูเป็นกลางที่สุด

“อย่างนั้นหรือ งั้นจะนอนบ้าง นอนเยอะ ๆ ใช่ไหม”

“แต่ขอหล่อแบบคุณชายดีกว่า สวยแบบ...” แม้เจ้าตัวเล็กก็พูดไม่ออก เมื่อสบสายตานั่นเหมือนกัน



สวยขึ้น หวานขึ้น
แต่ก็ขรึมขึ้น และดุขึ้นด้วย

หากจะโทษใครได้นอกจากตัวเอง
ที่เป็นทั้งคนกระทำและเป็นคนยินยอม


“กินเสร็จหรือยังล่ะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสาย”

“ก็มองอยู่นั่นใครจะกินลง”

“ก็ไม่เห็นกันเกือบอาทิตย์ ใคร ๆ ก็บ่นคิดถึง”

“แล้วเราคิดถึงฉันไหม”

“คิดถึงสิ ก็มีแค่คุณคนเดียว” คงต้องระแวงคนใกล้ตัวเพิ่ม นับวันเด็กนี่ยิ่งโตยิ่งแก่แดดแก่ลม

“ไม่มีใครช่วยตรวจการบ้านน่ะสิ” หากประโยคต่อมาทำให้เบาใจ สุดที่รักเอ็นดูเพียงเด็กเล็กในปกครองเท่านั้น

“อิ่มแล้วก็ได้” คนที่ค่อย ๆ ละเลียดอาหารยอมวางช้อน เมื่อแพ้สายตาเจ้าเด็กร้าย และหันมาเปรยอย่างเกรงใจ

“แวะไปส่งจ้อยก่อนค่อยเลยไปที่ห้างได้ไหมครับ”

“ได้สิ แต่เย็นนี้ต้องกลับเองนะเรา ฉันกับอรุณต้องเลยไปบ้านเจ้าสัว” จึงพับหนังสือพิมพ์วาง ก่อนจะลุกไปเลื่อนเก้าอี้ให้คนข้างๆ และก้าวเดินไปเคียงคู่กัน ด้วยความเคยชิน ด้วยธรรมเนียมตามประเพณีตะวันตกในการดูแลคนรัก แม้จะทำได้เพียงเท่านี้ในสถานที่รโหฐาน หากรอยยิ้มบางที่คลี่ออกเพียงมุมปากก็ทำให้รับรู้ว่าคนรักพึงพอใจยิ่งต่อการกระทำเช่นนี้แล้ว

“คุณก๋งให้หาหรือครับ”

“ใช่ค่ะ เห็นว่ามีธุระสำคัญจะคุยด้วย ให้เข้าไปทานข้าวเย็นด้วยกัน” คนฟังยังคงขมวดคิ้วเป็นกังวล เมื่อขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถ จึงพาดแขนลงบนพนักพิง วางมือลงบนมือบางก่อนบีบให้กำลังใจ และโน้มตัวกระซิบแผ่วเบา

“ไม่มีอะไรหรอก อรุณ....”

“หรือถึงมีอะไร เราก็จะผ่านมันไปด้วยกัน”

“พี่ไม่มีวันปล่อยให้สุดที่รักของพี่ หลุดลอยห่างหายไปด้วยเพียงปัญหาจากคนอื่น ๆ อีกแล้ว เราจะก้าวข้ามผ่านพ้นทุก ๆ ปัญหา ทุก ๆ อุปสรรคไปด้วยกันนะคะ”

“อย่ากลัวเลยนะคนดี เราจะไปด้วยกัน เราจะอยู่ด้วยกันเสมอ”

“พี่ให้สัตย์สาบานไว้แล้ว พี่จะมีแค่อรุณ จะรักเพียงแค่น้องคนเดียวตลอดไปนะคะ”

“ครับ”


ทุกอย่างล่วงเลยมาถึงวันนี้ ถึงเวลานี้
ทุกอย่างที่กระทำไปไม่เคยเสียใจ

‘รู้’ หลายอย่างที่ทำผิด ‘รู้’ หลายสิ่งที่ทำพลาด
หากมั่นใจยิ่ง เพราะ ‘รู้’ หากจะมีสักครั้งที่ทำถูก

ก็คือครั้งเดียวครั้งนี้ที่รักเธอ ยิ่งกว่าเคยรักใคร



#JKLTHESERIES

https://www.youtube.com/watch?v=la2h5g5myBU
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; KNOW 26.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Nankoong ที่ 26-01-2018 10:10:47
หวานค่ะ!!!!
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; KNOW 26.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-01-2018 11:24:29
 :-[
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; CONDITION 27.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-01-2018 11:33:52
Just…Condition;

๒๐. เงื่อนไข



“ผู้ใหญ่เขาตกลงกันไว้แล้ว จะบอกปัดไปแค่นั้นคงไม่ได้”

“เรื่องรักเรื่องชอบอยู่ ๆ กันไปก็รักก็ชอบกันเอง หรือถ้าอยากทำความรู้จักกันให้มากกว่า นี้ก่อน ก็หมั้นไว้ก่อนก็ได้”


เมื่อเหตุผลที่ให้ไปถูกหักล้างโดยง่ายดาย ก็หามีสิ่งใดเหลือจะกล่าว ทำได้เพียงก้มหน้ารับฟัง ด้วยมิเคยคิดจะถกเถียงต่อความยาวบทสนทนา หากคุณก๋งยังคงปรานีเสมอเขารู้ ผู้มีบุญคุณที่เคยโอบอุ้มเลี้ยงดูอุ้มชูกันมาไฉนจะไม่ท่านก็รู้ใจ คุณก๋งถอนหายใจยาว ก่อนจะพูดสืบไป


“ถ้าจะยังพอบอกเลื่อนออกไปได้บ้างก็เพราะเหตุที่ชายเกิ้งเขายังไม่ได้แต่งงาน”

“ให้น้องแต่งก่อนพี่จะไม่งาม” เหมือนช่วยกันคิด ช่วยหาทางออก

“อรุณก็หมั้นกับคุณหญิงแพรไว้ รอชายเกิ้งแต่งก่อน แล้วค่อยแต่งก็ได้”

“ถ้าอย่างนี้ก๋งก็พอจะช่วยพูดช่วยผัดไปให้ได้ แต่จะให้ปฏิเสธไปเฉย ๆ เห็นจะไม่ได้”


แม้ ณ จุดหมายปลายทางก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมแต่เท่านี้ก็เห็นว่าท่านกรุณามากแล้ว แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลทั้งหมด ก็ไม่สามารถโต้แย้งสิ่งใดได้

คุณก๋งท่านรักและปรารถนาดี


จึงได้แต่หลับตาลง ถอนหายใจ ถึงขั้นนี้แล้ว คงทำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ

“ครับ แล้วแต่คุณก๋งจะเห็นสมควรเถิดครับ” จึงยอมจำนนตอบรับคำไป หากแต่มือใหญ่ของคนที่นั่งข้าง ๆ รีบมาเกาะกุมส่งผ่านกำลังใจ

“ไม่ได้ครับ เรื่องนี้ผมไม่ยอม” คนที่อยู่เคียงข้างเสมอ คนที่ก้าวเดินเคียงคู่กัน

“เรื่องนี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับชาย”

“ถึงอย่างไรผมก็ไม่ยอม จะมาบังคับใจกันอย่างนี้ ก็ไม่ถูกนะครับคุณก๋ง”

“ชายอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมานาน ธรรมเนียมที่นี่วัฒนธรรมที่นี่เป็นอย่างนี้ ชายจะไปเปรียบกับที่อื่นไม่ได้”

“ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ มิใช่หรือครับ ถ้าไม่ได้รักกันถึงจะแต่งกันไปก็ไม่มีความสุข”

“คุณก๋งไม่อยากเห็นหลานมีความสุขหรือครับ” พี่ชายยังคงฝืนสู้อย่างสุดแรง สุดกำลัง

เพื่อเส้นทาง ทางเดินแห่งรักของเราทั้งสอง


หากความเป็นจริง
เรา ‘รู้’ อยู่แก่ใจ
สักวัน


แค่เพียงสักวัน อย่างไรก็ต้องพราก
ถึงอย่างไรก็ต้องจากกัน เพียงแค่ใคร ก่อนใครก็เท่านั้น


“ท่านอา ท่านยังไม่เห็นต้องมีคู่ ไม่ต้องแต่งงานนี่ครับ” การให้เหตุและผล การปรึกษาที่มิใช่การถกเถียงยังคงดำเนินต่อ หัวใจนั้นเต็มตื้นนัก หากก็ยังหวิวปานจะขาดรอนเสียให้ได้


“ก็ท่านพ่อเรา เขามีเราแล้วไงชายเกิ้ง”

“ถ้าเราไม่แต่ง อรุณไม่แต่ง แล้ววังศศิธรใครจะรับช่วงดูแลต่อ ไหนจะงานที่ห้างอีก”

“เป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งคู่ ถึงเวลาก็ต้องมีเหย้ามีเรือน”

“จะมาห่วงแค่เพียงเรื่องรัก หรือไม่รักได้หรือ”

“แต่คุณก๋ง”

“วันนี้กลับไปก่อน เราทั้งสองคนกลับไปคิดดูดี ๆ”

“ก๋งจะรอคำตอบ” เวลาแห่งการรอคอยอีกครั้ง

รอคอย ‘บทสรุป’ ที่มิแลเห็นทางออกอื่นใด
เวลาเป็นเครื่องรักษาจิตใจ

ปลายฝนต้นหนาว ลมข้าวเบาเริ่มพัดโบกหอบความหนาวเย็นฉ่ำมาจากทางเหนือ วันเวลาหมุนเวียนผ่านเลยอย่างรวดเร็ว จากวันที่กลับจากบ้านคุณก๋งครั้งนั้นก็ผ่านล่วงเลยมาเป็นเวลาเดือนเศษ


หลังจากวันนั้นเช่นกันที่เหมือนโดนกักตัวกลาย ๆ ประตูที่เคยถูกปิดทางเชื่อมระหว่างห้องนอนถูกคนเอาแต่ใจสั่งให้ถอดออก ทั้งสองห้องจึงมิได้ต่างกับห้องห้องเดียวกัน ที่ห้องนอนเล็ก กองหนังสือถูกเลือกหยิบมาอ่านจากห้องหนังสือ ถูกสะสมจนเป็นกองโตที่มุมข้างตั่งตัวยาวอีกครั้ง หากครั้งนี้ดูเหมือนจะทวีจำนวนด้วยมีอีกคนช่วยอ่าน

ในขณะที่ห้องนอนใหญ่นั้น มีอีกสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นอย่างถาวร คือกองหมอนใบใหญ่หลายใบ ข้างแกรนด์เปียโน ที่คนใช้ประจำยืนยันให้ไม่ต้องเก็บ เพราะใช้นอนฟังเสียงเปียโนที่ขับกล่อมทุกเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน

นอกจากนั้นทุกอย่างยังคงปกติเฉกเช่นเดิม ท่านอามารับของเช้าด้วยสม่ำเสมอ หากไม่ค่อยพบสถานการณ์เด็กตีกันมากครั้งเท่าเมื่อก่อน เมื่อคนพี่มักยอมง่ายจนเกินไป ไม่สนุก ช่วงกลางวันยังคงต้องไปนั่งเล่น เดินเล่นที่ห้างทุกวันที่คุณชายเธอไปทำงาน ถึงจะพอมีเวลาปลีกตัวหาของเล่นได้บ้างก็ตาม

กิจการร้านขนมถูกปัดฝุ่นขึ้นอีกครั้ง โดยเริ่มจากการสรรหาสูตรอร่อยด้วยการทดลองชิม หากเมื่อมีนายทุนใหญ่ออกโรงสนับสนุน หุ้นส่วนเก่าทั้งเจ้าจ้อย นายกรอบ และเจ้าเสือน้อยก็พร้อมใจกันน้ำหนักขึ้นทันตาเห็น และเมื่อจะลงมือทำจริงครัวฝรั่งก็ผุดขึ้นในห้องเล็กชั้นล่างของตึกใหญ่ดังเสกได้เหมือนกัน

วันสุดสัปดาห์จึงหมดไปกับการตระเวนหาของอร่อย และทดลองทำกัน โดยมีแม่นวลที่ขอซื้อตัวขาดมาจากโรงครัวมาเป็นแม่ครัวขนมหวานให้คนแรก

หากแม้เวลาผ่านเลย

แม้รู้พี่ชายทำเช่นนี้เพื่อดึงตัวและประวิงเวลา แต่จะปล่อยเลยผ่านได้นานเพียงใด เมื่อเงื่อนปมที่ต้องกระทำตามเหตุและผล ยังคงมิได้สะสาง เสียงโทรศัพท์ตามตัวเมื่อกลางวันยังดังก้องอยู่ในหู เสียงเปียโนที่บรรเลงจึงสะดุดลง ไม่สามารถบังคับสมาธิของตนให้ดำเนินต่อไปได้ คนที่คว่ำตัวหลับตานอนสบายที่กองหมอนนุ่มข้าง ๆ จึงตื่นขึ้นเงยหน้ามามอง ก่อนจะพลิกตัวตะแคง และกางแขนสองข้างออก จึงโผเข้าหาอ้อมกอดเดิมที่คุ้นเคย

“มีเรื่องอะไรคะ”

“ไม่สบายใจอะไรคะคนดี”

“.................................” ความรู้สึกจุกจนเจ็บร้าวเต็มอก เกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย

“สุดที่รักของพี่ ลงไปเดินเล่นกันไหมคะ” แม้อยู่ด้วยกันไม่นาน หากตอนนี้พี่ชายเธอรู้ว่าสภาวะจิตใจคนข้าง ๆ ที่ไม่สู้จะดีเท่าที่ตาเห็น และเธอก็เริ่มรู้วิธีตะล่อมเอาความจริงจนได้

“ครับ”


ด้วยความคุ้นชินสองพี่น้องวิ่งเล่นหยอกล้อกันแต่เยาว์วัย แม้คุณชายเธอกลับมาได้เพียงไม่นาน หากเธอก็ดูแลน้องน้อยของเธอดุจดังเดิม จึงไม่มีคนใดในวังคนแปลกใจ ไม่มีใครเคลือบแคลงกริยาอ่อนโยนที่มีให้แก่กัน พี่ชายบังคับผูกผ้าพันคอให้น้องน้อยก่อนที่จะออกเดินจูงมือกันออกมาเดินเล่นในสวน


แสงไฟจากโคมไฟเรืองรองตามทางเดิน หากคนนำทางกลับนำทางหลีกหนีแสงสว่างตัดทางเดินใหม่ลัดสนามตรงสู่ร่มไม้ใหญ่ที่กรุ่นกลิ่นหอมอบอวลด้วยดอกไม้ดอกเล็กสีขาวที่ร่วงพราวเต็มพื้นสนามหญ้า หากเมื่อมาถึงจุดหมายคนนำทางก็ปล่อยมือคนเดินตามให้เป็นอิสระ และก้มตัวเก็บดอกไม้ดอกเล็กมือเป็นระวิง

ช่อดอกปีบช่อเล็กที่หัวนอนทุกค่ำคืน เป็นเครื่องย้ำเตือน หัวใจรักและภักดีของผู้ชายตรงหน้า สม่ำเสมอ เที่ยงตรง คงมั่นนัก เพียงไม่นานดอกไม้ดอกเล็กที่มีคนหยิบยื่นให้ก็เต็มกำมือ

“ดอกปีบหอมเย็นดี” คนพูดก้มลงดอมดมดอกไม้ที่มือคนอื่นหน้าตาเฉย

“แต่พี่ว่าอรุณคล้ายดอกไม้อย่างอื่นมากกว่า”


‘ดอกอะไร’ ถ้อยคำที่ถามในใจ หากคนตรงหน้าเดี๋ยวนี้ ‘เก่ง’จับความคิดจากแววตาได้เช่นกัน จึงตอบโดยมิต้องเอ่ยถาม


“ดอกสีขาวเหมือนกัน หากดอกใหญ่กว่ามาก ตอนเป็นดอกตูมคลับคล้ายกัน แต่จะออกรวมเป็นช่อ ค่อย ๆ ไล่บานช้า ๆ ทีละดอกอย่างอดทนแข็งแกร่ง หากเมื่อบานสะพรั่งกลีบดอกอ่อนบางน่าทะนุถนอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย้ายวนมีเสน่ห์กว่านี้มาก ถ้ามีโอกาสจะสั่งจากเมืองนอกมาให้นะคะ”

“ถ้าไม่มีในเมืองไทย ก็อย่ายากลำบากเลยครับ”

“ไม่เคยมีคำว่า ‘ยากลำบาก’ สำหรับสุดที่รักของพี่” คำเรียกคนรักที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังเพียงสองคน แม้จะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด หากก็ทำให้คนฟังอดที่จะขัดเขินมิได้

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ”

“คุณก๋ง ให้คนโทรศัพท์มาตามให้ไปพบพรุ่งนี้ครับ”

“ก็เรียนเธอไปว่าไม่ว่าง” คนพูดเอาแต่ใจ

“พี่ชายคะ เราหนีความจริงไม่พ้นหรอกค่ะ อย่างไรสักวันก็ต้องมาถึง”

“ไม่”

“พี่ชาย”

“อย่างไร เราก็ยังคงอยู่เคียงข้างกันเหมือนเดิม เป็น ‘พี่น้อง’ กันเหมือนเดิมได้ มิใช่หรือครับ”

“ไม่ เราไม่ได้เป็นเพียง ‘พี่น้อง’ กันมานานแล้วอรุณ”

“ครับ หากแต่ ‘ต้อง’ กลับไปเป็นเช่นนั้น ถึงจะได้อยู่เคียงข้างกันดังเดิมหรือมิใช่”

 
เงื่อนไข...สถานะ ที่ทำให้เรายังคงสามารถอยู่ด้วยกันได้


“ไม่”


คนเอาแต่ใจกระชากแขนเดินนำกลับลิ่วกลับขึ้นตึก โดยไม่หันมามองคนตามที่วิ่งสับขาจนเหนื่อยหอบ


“เป็นอะไรคะ” ยังมีใจหันมาถาม เมื่อประตูห้องนอนใหญ่ถูกปิดลง

“.............................” หายใจหอบแรง เหนื่อยเกินจะกล่าวสิ่งใด หากดวงตาคมจับจ้องเลยจำฝืน

“ก็ไม่ดูขาตัวเอง”

“ทำไม”

“ก็ก้าวทียาวแค่ไหน จะให้วิ่งตามทัน”

“พี่ขอโทษ”

บทจะยอมก็ง่ายปานนี้ทุกที อย่างที่เคยกล่าวยอมง่ายก็แกล้งไม่สนุก หากเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็ลอยลิ่วปะทะอ้อมอกแข็งแกร่ง ถูกรวบตัวโอบอุ้มเดินผ่านทางเชื่อมที่แต่เดิมเคยมีประตู และถูกบังคับให้นั่งเอนกายซ้อนกันบนตั่งข้างระเบียงตัวเดิม

“เรากลับไปเป็น ‘พี่น้อง’ กันไม่ได้หรอกอรุณ” ความในใจของคนตัวโตเริ่มเอ่ยเฉลยความนัย

“จะกลับไปได้อย่างไร เมื่อดวงใจพี่ ดวงตาพี่ไม่มีใครอื่นได้แล้วนอกจากน้อง”

“แล้วจะให้พี่ยอมเสียน้องไปให้ใครอื่น ได้หรือ”

แม้จะปลื้มปิติเปี่ยมล้น แต่.....

“ไม่มีทางออกใดอื่นแล้วครับ หญิงแพรเธอก็เป็นคนดี พี่ชายก็รู้”

“แล้วอรุณรักเธอหรือไร”

“รักครับ แต่เพียงแบบน้องสาว”

“อย่างนั้นเราก็แต่งน้องสาวเข้าบ้านก็สิ้นเรื่อง ให้เธอครองปีกเหนือ ดูแลเหมือนน้องไป”

“ทำร้ายใครอื่นเช่นนั้นไม่ได้หรอกครับ เธอมิได้ผิดอะไร ทำเช่นนั้นก็เท่ากับทำร้ายเธอ”

“แล้วทีเธอทำร้ายพี่ แย่งดวงใจของพี่”

“พี่ชาย”

“....วันหนึ่ง พี่ชายก็ต้องมีครอบครัวเหมือนกัน ที่คุณก๋งท่านพูดถูกแล้ว ถ้าพี่ชายไม่แต่งงาน ไม่มีครอบครัว ใครเลยจะดูแลวังต่อ ใครเลยจะสานต่อกิจการห้างร้านสืบต่อ”

“วังนี้ยกให้ไอ้จ้อยมันไปก็ได้ ส่วนงานที่ห้าง ญาติคนอื่นทางคุณก๋งก็ออกจะเยอะแยะไป” คนตอบยังคงเอาแต่ใจเช่นเดิม

“ก็มิใช่ญาติมิตรสายตรงนี่ครับ คุณก๋งเธอคงไม่พอใจ หากทุกอย่างจะลงเอยเรียบร้อย”

“ถ้า เรากลับไปเป็นพี่น้องดังเดิม”

“ถามใจตัวเองเสียก่อนเถิดอรุณ ว่าทางที่เรามาย้อนกลับได้หรือไม่”

“เลิกรักพี่ เลิกรักผู้ชายคนนี้ได้จริงหรือ แต่ถึงอรุณทำได้พี่ก็ทำมิได้” ความน้อยใจเจือเต็มน้ำเสียง

“หรือต้องพิสูจน์” คนพูดไม่รอคำตอบหากฉกฉวยถ้อยคำที่จะเอื้อนเอ่ยกล่าวตอบไปหมดสิ้น บทรักเริ่มต้นนำทางหัวใจ ความคิดในสมองขาวโพลนล่องลอยอีกครั้ง


คำว่า ‘รัก’ ที่เพียรพร่ำเอ่ยกระซิบ
ฝังลึกลงในร่างกาย ในหัวใจ ในจิตวิญญาณ

แล้วจะทำเช่นไร ทางออกคือทางใด ใครจะเฝ้าเฉลย
ความรัก ที่นับวันยิ่งจมดิ่งลึกล้ำ
ความรัก ที่จะเป็นความลับตลอดกาล

ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามครรลอง

หากแต่ปรารถนาอย่างยิ่ง แม้ชาตินี้มิอาจสมรัก
หากมีชาติหน้า ชาติไหน ชาติใดก็ตาม

ขอเพียงมีโอกาส ขออยู่เคียงชิดใกล้กันทุกชาติไป

วันเวลามิเคยหยุดหมุน อรุณรุ่งผันผ่านมาเยี่ยมเยือน แม้ดวงใจปรารถนาเพียงชื่นชมดวงเพ็ญเย็นกระจ่างสักปานใด หากมีใครหยุดยั้งความร้อนแรงแห่งดวงตะวันได้ คนเรียกร้องรุกเร้าตลอดค่ำคืนยังคงนอนหลับสนิทซุกซบอยู่ในอก หากคนที่โอบกอดกลับข่มตาลงมิได้
 
คงต้องจบเรื่องนี้เสียที
ยิ่งยึด ยิ่งยื้อ ยิ่งดึงดัน รังแต่จะเจ็บปวดกันทุกฝ่าย

จึงคลายอ้อมแขนและผละออกจาก ‘สุดที่รัก’

ถึงแม้ว่า ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน
ถึงแม้ว่า หน้าที่จะบังคับให้ต้องเป็นของใคร

หากแต่ดวงใจ ชีวิต และจิตวิญาณ ก็คงจงรักภักดีใน ‘สุดที่รัก’ เพียงคนเดียว

‘เพียง...รัก’
ขอเพียงได้รัก… ‘สุดที่รัก’ ทุกชาติไป



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; CONDITION 27.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-01-2018 11:51:54
ขอบคุณค่ะ  ขอให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปได้นะคะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; CONDITION 27.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 27-01-2018 11:58:51
นึกว่าเข้าใจกันกันแล้วจะหมดอุปสรรค ยังมีอีกจนได้ คุณอรุณจะทำอะไร
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GIVER 28.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 28-01-2018 09:27:48
Just…Giver;

๒๑. ผู้ให้

 

ดวงจันทร์อ่อนแสงเรืองรองเหลือเพียงเงาราง ๆ สีขาวจาง เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงประกายส้มเรืองรอง ณ ปลายขอบฟ้า

 

ตลอดสิบกว่าปี ที่เฝ้ารอคนไกล

ตลอดสิบกว่าปี ที่พระจันทร์ยามค่ำคืน คือเพื่อนเพียงคนเดียวตลอดมา

 

เพื่อนคนเดียวที่รับฟัง

เพื่อนคนเดียวที่รับฝากความคิดถึง

เพื่อนคนเดียวที่รับรู้ถึงความรัก ความผูกพัน ที่มีให้กับคนคนหนึ่ง ณ อีกฟากฝั่งท้องฟ้า

 

ดวงจันทร์ดวงเดียวกัน ฤามิใช่

 

หากไม่ได้พบเพื่อนมานาน เมื่อเขาคนนั้นกลับมาอยู่เคียงข้าง

ขอโทษที่ไม่ได้มาพบ ขอโทษที่ไม่ได้มาคุย ขอโทษที่มาส่งช้า

 

ได้โปรด อย่าโกรธ ได้โปรด อย่างอนกันเลย

เพราะต่อจากนี้ต่อไป คงต้องให้เพื่อนคนเดิมรับฝากความรัก ความลับ ความปรารถนาดีไปให้คนคนเดิมอีกครั้ง ภาพร่างศาลาไทยที่ถูกผ้าขาวคลุมไว้ ภาพที่เคยถูกทวงถามตั้งแต่คืนแรกที่กลับมา ‘บ้าน’

‘ภาพนี้ของพี่หรือ’

‘ไม่ค่อยมีเวลา ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จเมื่อใด’

‘ไม่เป็นไร พี่เฝ้ารอได้ รอได้ตลอดชีวิต ขอเพียงเป็นของพี่ก็พอ’

‘ว่าอย่างไรคะ’

‘ครับ ‘ภาพนี้’ ของคุณชาย’

แม้จะเน้นสิ่งที่จะให้กลับไป แม้จะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย หากคนถามกลับย้อนกลับมาถามคำถามที่ตั้งใจจะให้ครุมเครือนั่น

 

‘ว่า ยังเป็น 'ของของพี่' อยู่หรือเปล่า’

คำถามที่ไม่ได้ตอบในวันนั้นด้วย ไม่มั่นใจ

 

หากใครจะรู้ภาพร่างนั้น ตอนนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

รวมถึงคำตอบในวันนั้น ก็ได้ตอบออกไปหมดสิ้นแล้วด้วยกายและใจ และในตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่ต้องมอบภาพสุดท้ายที่จะวาด ให้แก่เจ้าของแล้ว คงทำให้ได้เพียงเท่านั้น คงให้ได้เพียงแค่นี้

 

‘สิ่งสุดท้าย’ ที่จะมอบให้ได้

หากเพียง ‘สิ่งเดียว’ ที่ตัวเองจะ ‘เก็บ’ ไว้  สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล แม้ว่าคืนจะหมุนผ่าน วันจะหมุนเวียน นานเท่าใดก็ตาม



ภาพใครบางคนที่ดวงใจอ่อนล้านักในห้องรับแขก...

ภาพใครบางคนที่ตามมาทานอาหารว่างเป็นเพื่อน...

ภาพใครบางคนในค่ำคืนสุดท้ายก่อนจากไกลอีกครั้ง...

ภาพใครบางคนในคืนแรกที่เดินทางกลับมาบ้านของเรา...

ภาพใครบางคนใต้เงาร่มไม้ ที่หยิบยื่นดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ให้...

ภาพใครบางคนที่มานั่งอ่านหนังสือข้าง ๆ และคอยปลุกทุก ๆ เช้า...

ภาพใครบางคนที่ทานอาหารด้วยกันทุกมื้อ ไปทำงานด้วยกันทุก ๆ วัน...

ภาพใครบางคนที่ยืนเฝ้ามองจากหน้าต่างระเบียงชั้นที่สองของวังศศิธร...

ภาพใครบางคนที่นอนนิ่งคว่ำหน้าสลบไสลใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ทำเอาใจแทบขาด...

ภาพใครบางคนที่สารภาพความในใจ และขอเป็นทางเลือกอีกทาง ทั้งที่ไม่เคยเป็น...

ภาพใครบางคนที่อยู่เคียงข้าง ยืนอยู่เคียงคู่ เป็นกำลังแรงใจในการก้าวเดินตลอดมา...



จะขอ ‘เก็บ’ เพียง ภาพความสุข ภาพความทรงจำ เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย

จะขอเพียง ‘เก็บ’ ทุกอย่างไว้ในหัวใจ

 

ร่างสูงขาวจัด ผมหยักศกเป็นลอนสวย ยังคงนอนหลับสบายบนเตียง และภาพสุดท้ายที่จะ ‘เก็บ’ คือ ภาพภาพนี้ ภาพผู้ชายคนนี้ ผู้ชายอันเป็นที่รัก

 

‘เพราะ...ทั้งชีวิต...ผมมี...แค่เพียง...พี่ชาย’

‘มีเพียง...พี่ชาย...เพียงคนเดียวนะครับ’

 

หากต่อจากนี้ต่อไปเขาจะกลับมาเป็นเพียง ‘ครอบครัว’

หากต่อจากนี้ต่อไปเขาจะกลับมาเป็นเพียง ‘พี่ชาย’ ดังเดิม

 

จึงแหวกมุ้งบางเบาเข้าไปนั่ง ก่อนจะโน้มตัวเอนลงมอบจุมพิตสุดท้ายไว้ที่ปลายคางและกระซิบฝากรักไว้เพียงแผ่วเบา

“ล.ลาก่อนครับ...สุดที่รัก”

 

นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้มารับของเช้าที่นี่ เมื่อมาถึงเด็กที่บ้าน จึงจัดสำรับให้ทานพร้อมกับคุณก๋ง

“คุณก๋งให้หา เพราะต้องการคำตอบใช่ไหมครับ” ตะเกียบยังใช้คีบได้แต่เพียงอาหารตรงหน้า ที่ทานเข้าไปโดยไม่รู้รส และมิได้ใส่ใจว่าคืออะไร

 

หากรู้เพียงว่า...แม้ข้าวต้มขาวยังขมในคอ

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไรล่ะ” ท่านถามเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาคุยเล่นกันทุกวันยามเช้า

“แล้วแต่ผู้ใหญ่เห็นสมควรเถิดครับ ผมไม่ขัดอะไร”

“พี่ชาย เราเขาไม่มาถอนหงอกฉันหรอกใช่ไหม ถ้าตอบทางโน้นเขาไปแบบนี้”

“.........................” หากแต่เรื่องนั้น ก็เชื่อว่าพี่ชายคงเคารพการตัดสินใจของตนเช่นกัน

“ยังไม่ได้คุยกัน”

“ครับ”

“แล้วเราแน่ใจแล้วแน่นะ ถ้าก๋งบอกทางโน้นเขาไปจะมาเปลี่ยนกลับไปกลับมาเป็นเด็กไม่ได้”

“ครับ ผมมั่นใจ”

“ไอ้เด็กดื้อ มันก็ยังเป็นเด็กดื้อวันยังค่ำ ส่วนเด็กดีให้ยังไงก็ยังเป็นเด็กดีจนแล้วจนรอดสินะ”

คุณก๋งเปรย สิ่งที่ตัวเองหาได้รู้ความนัยไม่

“ทางโน้น เขาบอกยกเลิกมาแล้ว”

“อะไรนะครับ” แม้ตกใจ หากหัวใจที่เคยปวดร้าวกลับมลายหายไปสิ้น

“เมื่อวันก่อนหม่อมพรรณราย มาแจ้งข่าว”

“เธอบอกว่าลูกสาวเธอปฏิเสธ ไม่ยอมแต่งงานกับเราแล้ว”

“ไปทำอะไรเขาไว้หรือเปล่า”

“เปล่านะครับ” แม้ตอบไปอย่างนั้น หากแต่ หรือเป็นเพราะว่าสิ่งที่คุยกันวันนั้น



‘หญิงรัก และเข้าใจพี่อรุณเสมอ ยอมรับในการตัดสินใจของพี่ทุกอย่าง แต่...’

‘ถ้าวันหนึ่ง ถ้าเพียงหากหญิงทราบว่าเธอเป็นใคร หญิงอยากบอกกับเธอเหลือเกินว่าเธอโชคดีเหลือเกินที่ได้หัวใจรักของพี่ชายของหญิงไป ชาตินี้หญิงยอมเธอ เพราะหญิงรู้ตัวเองดีว่าหญิงขี้ขลาดเกินไป อ่อนแอเกินไป หญิงคงไม่หาญกล้ามากไปกว่านี้’

‘แต่หากเพียงภายภาคหน้าต่อไปไม่ว่าอย่างไรหญิงจะเข้มแข็งค่ะพี่อรุณ และหญิงจะไม่มีวันยอมเธอง่าย ๆ ดังเช่นวันนี้ และหญิงขอภาวนาให้เธอคนนั้นไม่ได้โชคดีกับเรื่องของความรักง่ายดายดังเช่นนี้ตลอดไป’

“งั้น เห็นทีต้องไปขอบใจเธอแล้วกระมัง”

 

เมื่อมองตามหลานชายคนเล็กที่ขับรถออกจากบ้านไป เด็กดีเสมอมาเป็นดังเพชรแท้ที่ใคร ๆ ก็รักและชื่นชม

หากน้อยคนจะรู้....

 

‘ดวงคุณชายอีจะเดินทางไปไกล และอีก็จะไม่ยอมกลับบ้านเกิดเมืองนอน ดวงพลัดบ้านพลัดเมือง’

‘คุณเตี่ยคะ’ ลูกสาวคนเดียวตกใจ

‘ไม่มีทางแก้เลยหรือซินแส’ หากผู้มีญาณเห็นอนาคตส่ายหน้า จึงหวาดหวั่นเพราะสิ่งที่ท่านทำนายทุกอย่าง ถูกต้องเสมอมา ทั้งเรื่องกิจการ ทั้งเรื่องของครอบครัว

‘ส่วนนี่อะไร ลื้อเอาดวงสิ้นอายุขัยมาให้อั๊วดูทำไม’

‘ไม่นะคะ ลูกบุญธรรมของอิฉัน อรุณยังมีชีวิตอยู่’

‘เดี๋ยว ขอวันเดือนปีเกิดคุณชายใหม่ ขอของลื้อ ของของท่านชายด้วย’

‘..................................................................’ ซินแสดูตัวเลขวันเดือนปีเกิดของคนในครอบครัวทั้งสี่คนสลับกันไปมา ก่อนจะวางของท่านชายคนแรก และเงียบอยู่นาน ก่อนที่จะกล่าวต่อ

‘ดวงลื้ออุปถัมภ์อุ้มชูเด็กคนนี้ไว้ เพราะอีเคยเป็นลูกลื้อมาก่อน ในชาติภพที่แล้ว ตามกันมา เลี้ยงให้ดี เด็กคนนี้รักดี อีจะกตัญญูตอบแทนบุญคุณ’ ซินแสถอนหายใจเหมือนฝืนกล่าวต่อ

‘และ อีก็จะเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของลื้อกลับมาบ้าน เพราะ สองดวงนี่ เขามาด้วยกัน เขาเป็นคู่กัน’

‘แต่’

‘อั๊วรู้ ถ้าไม่เชื่อลื้อก็คอยลองดู แต่......................’

 

แม้เห็นเพียงด้วยตา รับรู้จากประสบการณ์ ตอนนี้เขาก็เชื่อสิ่งที่ซินแสพูดเป็นจริง ‘เด็กทั้งสองคนรักกัน’ แม้ยากยิ่งที่จะยอมรับ

หากแต่สิ่งที่กลัวที่สุด คือสิ่งที่ซินแสท่านทำนายต่อไปต่างหาก

 

“อาไหมเตี่ยรู้ ลื้อรักเด็กคนนั้น” ท่านเปรยกับสายลมฝากถึงลูกสาว ลูกสาวคนเดียวที่ดูแลโอบอุ้มเด็กน้อยเพราะเชื่อเสมอว่า ถ้าดูแลอีกคนดี อีกคนก็จะมีความสุขด้วยเสมอ และเกี่ยวรั้งเด็กน้อยเก็บไว้ใกล้ชิดด้วยความรัก เพื่อให้อีกคนตาม อีกคนกลับมาบ้าน เพื่อให้ลูกชายคนเดียวไม่พลัดถิ่นฐานบ้านเกิด

 

ถึงขั้นยอมขอร้องอ้อนวอนทุกคนไม่ยอมให้อรุณไปเรียนต่อ หากคนที่ตัดสินใจไม่ไปเสียเอง ก็คือ ‘เด็กรักดี’ ที่รักแม่จ๋า มากมายนัก ผูกพันกันลึกซึ้งนัก

 

อย่าเลย... สวรรค์ได้โปรด...

“อาไหม อั๊วช่วยเต็มที่แล้ว ที่เหลือลื้อต้องช่วยลูกของลื้อเอง” อย่าให้เป็นดังที่ซินแสท่านกล่าวต่อไปเลย

 

“ทำอะไร” เจ้าจ้อยกำลังดันเจ้าเสือน้อยที่ตัวไม่น้อยขึ้นต้นไม้หน้าตึกใหญ่

“ฝึกให้เจ้าเสือน้อยปีนต้นไม้ เป็นแมวซะเปล่าปีนต้นไม้ไม่ได้ กิน ๆ นอน ๆ จนจะเดินไม่ไหวแล้ว” จึงหลุดขำ คนสอนแมวเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

“…เห็นพี่ชายฉันไหม”

“พี่ของใครทำไมไม่ดูกันเอง”

“อ้าว ก็ไปบ้านคุณก๋งมา ฝากบอกไว้แล้วไงเมื่อเช้า”

“ก็บอกไปแล้ว”

“บอกใคร”

“ก็บอกพี่ชายใครบางคน ยังไม่ทันจะพูดจบก็รีบขับรถฉิวตามออกไป” คงจะสวนกัน

“แล้วนั่นจะไปไหน”

“จะออกไปธุระที่วังคุณหญิงแพร ฝากบอกอีกที”

“แต่คราวนี้ฝากบอกให้รอที่นี่นะ ไม่ต้องให้ตามไป จะสวนกันไปสวนกันมา”

“จะอยู่คุย และรับอาหารเย็นที่นั่น กลับค่ำ ๆ”

“เป็นตู้จดหมายนี่... จะได้ค่าแสตมป์ไหม” จึงส่ายหน้าอ่อนใจกับเด็กเจ้าเล่ห์ที่อยากได้ค่าขนม

“ฝากบอกให้ครบแล้วกัน กลับมาจะคิดอีกที”

 

ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมแรงจัด คล้ายพายุใหญ่อำลาหน้าฝนกำลังจะมาเยือน

“น้องหญิงส่งพี่แค่นี้เถอะค่ะ ฝนจะลงเม็ดแล้ว”

“พี่ชายคะ ถึงอย่างไร... ก็อย่าทิ้งหญิงไปนะคะ อย่าหายไปเลยนะคะ”

“ไม่ว่าอย่างไร น้องหญิงก็จะเป็นน้องสาวของพี่เสมอค่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่อรุณ ฝากความคิดถึง ‘พี่ชาย’ ด้วยนะคะ” รอยยิ้มคืนกลับมาสู่หญิงสาวอีกครั้ง

“น้องหญิง” หากไม่เคยคิด ไม่เคยคาดฝัน

“หญิงคิดว่า หญิงทราบค่ะ ฝากบอกเธอด้วยว่า ชาติหน้าหญิงจะเข้มแข็ง หญิงจะไม่ยอมแพ้เธอง่าย ๆ อย่างนี้แน่นอน” สายตาที่เปล่งประกายเชื่อมั่น เธอเข้มแข็งขึ้นมากจริง ๆ

“พี่ขอบคุณหญิงมากจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณที่หญิงเข้าใจ”

“ขอบคุณจริง ๆ”

“ค่ะ” รอยยิ้มสวยหวาน นัยน์ตาประกายระยิบจริงใจยิ่ง

“งั้นพี่ลาก่อนนะคะ”

“ค่ะพี่อรุณ”

 

วันนี้เหนื่อยมากจริง ๆ คงเป็นด้วยเรื่องกังวลที่ค้างคาใจจึงทำเมื่อคืนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน และต้องขับรถไปมาเพื่อยุติปัญหาทุก ๆ อย่างทั้งวัน

ครบหมดแล้ว ครบถ้วนแล้ว สิ่งที่ต้องกระทำ

 

ร่างกายอ่อนเพลียนัก หากแต่หัวใจช่างปลอดโปร่ง ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องอึดอัด อย่างที่แล้วมา หากเหลือเพียง... คนคนเดียวที่อยากพบ…‘สุดที่รัก’

 

ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆฝนที่ปกคลุม ท้องนภาไร้ดาวและดวงเดือน ฝนตกหนักปานฟ้ากำลังร้องไห้ เสียงฟ้าร้องปานร้องไห้ครวญคร่ำ หนทางที่มุ่งตรงตัดสู่ดวงใจอันเป็นที่รัก เส้นทางถนนที่ทอดตัวสู่ ‘วังศศิธร’

 

ที่ที่ ‘สุดที่รัก’ ยังคงเฝ้าคอย

 

ทุก ๆ อย่าง ‘สิ้นสุด’

ทุก ๆ ‘หน้าที่’ ที่ติดค้าง ‘เสร็จสิ้น’

 

การเดินทาง ‘กลับบ้าน’ ครั้ง ‘สุดท้าย’





#JKLTHESERIES







TALK;

คือ... เราคงต้องเตือนคนอ่านไว้ก่อน ใน Prologue JUST

‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่ลิขิตเส้นทางชิวิตแห่งเราสอง
‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่เป็นเหตุและผลแห่งการกระทำในทุก ๆ สิ่ง

โศกนาฏกรรมแห่งความรัก ที่มี ‘เพียง...รัก’ เท่านั้นที่จะสัมผัสได้

ดังนั้นจริง ๆ แล้ว JUST ยังเหลืออีก 2 ตอนค่ะ แต่เราคงอัพตอนหน้าได้อีกแค่ตอนเดียว เพราะตอนสุดท้ายมันจะไปผูกกับ SERIES เรื่องอื่นที่ต่อจากเรื่องนี้ ดังนั้น ตอนจบ JUST จะเจ็บมากจริง ๆ เพื่อจะ PASS AWAY ไปยัง SERIES ต่อไป

เราจึงต้องมาบอกให้ทำใจก่อน ฮึบนะคะ แต่เราบอกไว้เลย ว่าตัวเราทำไม่ได้เลยสักเครั้งเดียว

ส่วน SERIES ต่อไปคือ KEEP จะถูกเปิดมาในปีปัจจุบันเลย ซึ่งอยากให้ลองหาตัวละครที่ผูกกันดูนะคะ ไม่ยากหรอกค่ะ แล้วถ้าต้องการความหวาน LOVE ในตอนสุดท้ายที่จะเฉลยปมใน JUST จะกลับมาชดเชยให้นะคะ
 
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

โศกซึ้งให้เต็มที่นะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=NtuYhekqC1s (https://www.youtube.com/watch?v=NtuYhekqC1s)
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST; GIVER 28.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-01-2018 11:48:32
เตรียมใจรับความโศกเศร้า ค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST: DREAM (ENDING OF JUST: PART 1 of JKL) 29.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 29-01-2018 09:45:49
Just...Dream;

๒๒. สุดที่รัก

 

“ผมเพิ่งรู้ข่าว เกิดขึ้นได้อย่างไรครับ”

“ฝนตกหนัก ถนนลื่น อีกนิดเดียว เกือบจะถึงวังแล้วเชียว”

“คุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ”

“.........................................”

“คุณก๋ง!!!”

“หมอฝรั่งบอก แค่พรุ่งนี้เช้า”

“คุณก๋ง” เสียงร้องให้ปานขาดใจครั้งแรกที่เคยได้ยินของท่านชายศศธร

 

ถ้าร้องได้บ้างน่าจะดี หากตอนนี้....

ห้องทั้งห้องมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากห้องนอนที่เชื่อมต่อสาดส่องเป็นทางออกมาจากห้องนอนของตนที่ตอนนี้คุณก๋งกำลังปลอบท่านอาอยู่ น้องน้อยคล้ายนอนหลับสนิท รอยยิ้มบางยังคงฉาบฉายบนใบหน้าหวาน คนเป็นพี่จึงได้แต่เพียงนั่งเฝ้ากุมมือไว้ข้างเตียง และลูบผมอ่อนนุ่มอย่างเบามือ

‘ทุกอย่างจบลงแล้ว’

 

ข่าวดีที่รับรู้

ข่าวดีที่เจ้าตัวตั้งใจจะบอกให้ได้รู้

 

หากแต่...

“ไม่มีทางอื่น ไม่มีวิธีอื่น ทำอะไรไม่ได้แล้วหรือครับ” เสียงแว่วสะอื้นปานจะขาดใจจาก ห้องข้าง ๆ ถ่ายทอดมาเป็นระยะ

“ท่านชาย... ก็รู้ เรายื้อกันมานานมากแล้ว”

“คุณก๋งเชื่อ”

“อะไรบ้างที่ไม่จริง”

“ซินแสบอกไว้ไหมครับว่าแก้อย่างไร มีวิธีไหนบ้าง” เรื่องอะไรที่คุยกัน... ไม่เคยรู้ จึงละสายตาจากใบหน้าหวาน หากไม่ยอมปล่อยมือพรากจาก เพียงหันไปฟังอย่างตั้งใจ

“................................................................”

“ดวงเขาสิ้นอายุขัยมาตั้งแต่พ่อแม่เขาเสียแล้ว”

“จริง ๆ เขาต้องไปพร้อมกับครอบครัวของเขา หากแต่ดวงคนอุปถัมภ์ ดวงคู่ที่ยื้อไว้”

“ใจจริงผมกลัวตั้งแต่ลูกสาวผมเสียไป ไม่อยากให้ไปไหน ไม่อยากให้ไปคนเดียว หากนานจนลืมนึก คิดว่าคงจะไม่มีอะไรแล้ว”

“แต่คู่เขายังอยู่นี่ครับ” ท่านอาเอ่ยค้าน หาก... คู่อะไร

“เรื่องคู่ ซินแสเขาบอกเพียง... อรุณจะทำให้ชายเกิ้งกลับบ้าน ไม่พลัดพรากถิ่นฐานบ้านเกิด”

“หากอายุขัยที่ยืดยาวมาได้เพียงเพราะไหมรับเป็นลูก เลี้ยงดูอุ้มชู เคยเป็นแม่ลูกผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน ตามกันมาและ จะตามกันไป”

“พี่ไหมถึงดูแลตัวเองอย่างดี เก็บอรุณไว้ข้างตัวตลอด”

“เห็นจะถูก รักกันมากมายลึกซึ้งเกินกว่าแม่ลูกแท้ ๆ จนใคร ๆ ก็รู้”

“ถ้าไหมไป อรุณจะไป ซินแสท่านบอกไว้”

“แต่ไม่เคยคิดว่าอรุณจะอยู่จนความตั้งใจของไหมเสร็จสิ้น คนเป็นแม่คงไม่อยาก คงไม่ต้องการให้ลูกชายตัวเองต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง”

“เราไม่มีวิธีอื่น ช่วยอะไรไม่ได้แล้วหรือครับ ถ้าอรุณไป ชายเกิ้งจะอยู่อย่างไร”

“..........ผมก็หมดปัญญาจริง ๆ ท่านชาย ไม่เคยคิดว่าทุกอย่าง...จะเป็นเช่นนี้”

 

นี่หรือ... ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ดำเนินมา

นี่หรือ... ชะตาที่ฟ้าลิขิต

 

ท่านทั้งสองที่รัก และเคารพยิ่ง ท่านรู้มาก่อน

หากแต่เพียงถ้ารู้ก่อน จะแก้ได้จริงหรือ ยังสงสัย

 

“พ..พี่ชายครับ”

“อรุณ....”

“พี่ชาย...บางสิ่ง บางอย่าง เกินกว่าที่เรา....จะแก้ไขได้หรอกครับ”

“ตื่นนานแล้วหรือคะ”

“ก็ได้ทันฟังพร้อมกันค่ะ” รอยยิ้มที่คลี่แย้มฝืนเบิกบาน

“อรุณ.. เจ็บไหมคะ” แม้ใบหน้าหวานมิได้มีรอยขีดข่วน หากแต่ภายในเสื้อนอนสีขาวร่างเล็กมีผ้าพันแผลห่อหุ้มตลอดทั้งตัว อุบัติเหตุรถคว่ำ แรงกระแทกทำให้อวัยวะภายในฉีกขาด เลือกตกภายใน แม้ผ่าตัดแล้ว พยายามห้ามเลือดแล้ว

 

หากแต่...บอบช้ำเกินไป

ทำได้เพียงยื้อเวลา...

 

‘คนไข้จะฟื้น หากเพียงจะอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้า เพราะเลือดที่ตกภายในยังไหลไม่หยุด’ เพียงสบสายตา น้ำตาที่เหือดแห้งไหลพรากอีกครั้ง ด้วยเกินกว่าจะฝืนทนได้อีกต่อไป เพียงรุ่งอรุณ จะเหลือเวลา... เพียงสักเท่าไหร่

 

“ไม่เจ็บแล้วครับ...พี่ชาย อย่าร้องเลยครับ”

“พี่.......................” แม้รู้ว่าเวลาที่มีนั้นน้อยนิดนัก หากแต่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้ จึงกลายเป็นมือเล็กที่ยื่นมาช่วยซับน้ำตา และยิ้มปลอบโยนให้กำลังใจ

“พี่ชายครับ อยากพบ... คุณก๋ง ท่านอา และก็เจ้าจ้อย ช่วยตาม ให้ทีเถอะครับ”

“ได้สิ...รอพี่นิดนะคะคนดี”

 

บรรยากาศของการอำลาทำให้ทั้งห้องเต็มไปด้วยน้ำตา หากแต่คนที่สั่งเสียกลับแย้มเยือนรอยยิ้มอ่อนบางโดยตลอด คุณก๋งโอบกอดร่ำลาหลานคนเล็ก ท่านชายกลั้นสะอื้นไห้ และจุมพิตลงที่หน้าผากเนียน ก่อนที่ท่านทั้งสองจะเลี่ยงหลบไปนั่งที่โต๊ะอาหารเล็กริมระเบียง

“ฉันยัง ไม่ลืมค่าแสตมป์”

“ไม่เอาแล้ว ไม่ขออะไรแล้ว” เด็กน้อยปล่อยโฮ โถมเข้าไปกอด

“จ้อย ไม่เอานะ เป็นผู้ชาย ต้องเข้มแข็ง เป็นผู้ชาย เขาไม่ร้องไห้กันนะ” ร่างเล็กผ่อนลมหายใจ

“ดูฉันสิ ยอมให้ฉัน เก่งกว่าหรือ”คำพูดจึงออกมาเป็นช่วง ๆ เหมือนทรมานยิ่ง หากแต่ยังฝืนยิ้มแย้มพราย

“ยอมแล้วยอมทุกอย่าง ไม่อยากได้อะไรแล้ว จะไม่ดื้อไม่ซน”

“คุณ...คุณอย่าไปนะ คุณอย่า.....”

“ห้ามไม่ได้ หรอกจ้อย มันสายไปแล้ว...”

“ถึงฉันไป ก็ไม่ได้แปลว่า ฉันไม่รักเรา หรอกนะ”

“จะมาหา” คนขู่หัวเราะเสียงใส

“ไม่กลัว แต่อย่าไปเลย ไม่ไปได้ไหม”

“ไม่ได้ หรอกจ้อย แต่ถ้า ไม่กลัว จะกลับ กลับมาหา จริง ๆ สักวัน”

“สัญญาแล้วนะ”

“สัญญา วันนึงนะ แล้วอย่า อย่าลืมฉันนะ”

“จะไม่มีวันลืมคุณ”

“เป็นเด็กดีนะ ดูแลเสือน้อย ดูแล ‘พี่ชาย’ ให้ฉัน สัญญานะ”

“สัญญา”

“ฉันรักจ้อย แล้วจะกลับมา จะกลับมาหา” สองคนกอดกันกลม จนร่างบางเริ่มกระอักกระไอหนักขึ้นจนตัวโยน

“จ้อย ออกไปก่อน ไปกับฉันก่อน” ท่านอา และคุณก๋งจึงมาแยกเด็กน้อยออกไปจากห้อง

“ชายเกิ้งดูน้องต่อเถิด อากับเจ้าสัวจะรอห้องที่ห้องข้าง ๆ” ท่านต้องการให้สั่งเสีย ร่ำลาส่วนตัว

“ครับ”

“พี่ชายครับ อยากไป นอนที่ตั่ง อยากเห็น สวนฝรั่ง ได้ไหมครับ”

“ค่ะ” จึงอุ้มน้องน้อยไว้แนบอก ก้าวเดินมุ่งตรงสู่ตั่งไม้ริมระเบียง และนั่งเอนหลังนอนลงอยู่ด้วยกัน ร่างเล็กซุกตัว สองร่างกอดกระชับ ก่อนที่ร่างเล็กจะเอื้อนเอ่ย

“พี่ชายครับ” น้องน้อยเพิ่งหายจากอาการไอ ยังคงหายใจแรง หอบน้อย ๆ

“พักก่อน...อย่าเพิ่งพูดอะไรนะคะ”

“เหลือเวลา ไม่นานแล้ว ให้ผม ได้พูดเถอะครับ”

“อรุณ.............................” เจ้าตัวรู้ตัวเองดีที่สุด หากคนรับฟังใจจวนเจียนจะขาด

“พี่ชายคะ พี่ชายจำ คืนสุดท้าย ก่อนเดินทาง ไปอเมริกา ได้ไหมคะ”

“ค่ะ ทั้งสองครั้ง สองครั้งที่พี่ให้สัญญาพี่จะกลับ พี่จะรีบกลับมาหาอรุณ”

“มาหา‘สุดที่รัก’ของพี่”

“พี่ชาย ทราบแล้ว ใช่ไหม จดหมาย ทุกฉบับ ที่แม่จ๋าส่ง”

“อรุณเป็นคนเขียนพี่รู้” แน่แท้ประจักษ์ชัดในดวงใจ ความผูกพันที่ไม่เคยรู้

“ผมเป็นคนอ่าน ผมเป็นคนเขียน จดหมาย ทุกฉบับ ให้แม่จ๋า ตลอดสิบห้าปี”

“ผมรู้เรื่องราว ผมรักคนที่ เขียนตอบ จดหมาย คนนั้น มานาน” เสียงสะอื้นเล็ก ๆ หลุดออกมา ก่อนจะฝืนกล่าวต่อ

“แต่จดหมาย ทุกฉบับ เป็นเพียง ในนามแม่จ๋า”

“หากแต่เวลา ที่ผมคิดถึง ผมเฝ้ามอง เฝ้าฝาก ความคิดถึง ไปกับ พระจันทร์” คนกล่าวมองเหม่อออกไปยิ้มให้กับดวงจันทร์นอกระเบียงที่ทอแสงนวลจับต้องใบหน้าหวาน

“ฝากไว้ เพราะคิดว่า แม้จะอยู่ คนละฟากฟ้า คงยังเป็น พระจันทร์ ดวงเดียวกัน”

“หลังจาก ที่พี่ชาย กลับไปอีกครั้ง ผมดีใจ ที่พี่ชาย เขียนจดหมาย มาหา” รอยยิ้มอ่อนหวานพาดวงใจมลายสูญ

“ผมเก็บ ทุกฉบับ ทุก ๆ ฉบับ ไว้เป็นอย่างดี เก็บไว้ในลิ้นชัก โต๊ะเขียนหนังสือ นะครับ”

“ผมรัก จดหมายทุกฉบับ ทุก ๆ ฉบับ ของพี่ชาย พี่ชายเก็บไว้ นะครับ” คนฟังทำได้แต่เพียงพยักหน้าตอบ

 

ด้วยทุกสิ่ง ด้วยทุกอย่าง ที่ตื้นตันอยู่ในอก

ความรักบริสุทธิ์ มั่นคง หาใดเปรียบ

 

คนที่ครอบครอง คนที่ได้รับยิ่งละอาย ความรักที่ได้รับตลอดมามากมายล้นปรี่

หากวันเวลาที่จะทดแทนตอบกลับ ช่างสั้นดั่ง ‘ความฝัน’

 

“พี่ชายครับ”

“ครั้งนี้ เปลี่ยนกัน ได้ไหมครับ”

“ครั้งนี้..... ให้ผม ไปก่อน”

“ให้ผม ไปรอ พี่ชายก่อน”

“พี่จะรีบตามไป” ดวงใจขาดรอน ร่างกายจะทนอยู่ได้นานเท่าใด

“ไม่ ไม่ครับ” คนตอบ ร้องเสียงหลง

“ชาตินี้ ผมรอ และผม จะไปรอ”

“ขอเพียง พี่ชาย จะรอ ผมบ้าง รอที่นี่”

“พี่ชาย ต้องสัญญา ต้องให้สัญญา”

“ใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่ ให้มีความสุข ให้คุ้มค่า”

“ไม่มีอรุณ พี่คงไม่มีวันมีความสุขได้อีก” ทุกสิ่งที่ตอบล้วนมาจากใจ

“ได้โปรดเถิด...พี่ชายครับ ดูแลคุณก๋ง ดูแลท่านอา ดูแลเจ้าจ้อย”

“ทำทุกอย่าง ให้สมบูรณ์ ตอบแทน ทำแทน ผมด้วย”

“ผมจะรอ ผมจะคอย ไม่ว่านาน แค่ไหน จะคอย เพียงพี่ชาย คนเดียว”

“สัญญา นะครับ ทำเพื่อผม ทำแทนผมด้วย”

“อรุณ......................” คำสัญญาที่ยากยิ่งที่สุดในชีวิต

 

‘รู้’ เจตนาคนร้องขอแท้จริงต้องการสิ่งใด

‘รู้’ แท้ที่จริงเป็นห่วงใคร ทำเพื่อใคร

 

ทุกอย่างที่ขอ ‘สัญญา’ ที่ต้องการคำมั่น

แท้ที่จริง...เพียงเพื่อ... ‘เขา’ เพื่อตัวเขาทุกสิ่ง

 

“พี่ชาย.. สัญญา สัญญานะครับ” หากเมื่อคนที่ร้องขอเป็นคนที่รักที่สุด

“..........พี่สัญญา จะทำทุกอย่างให้เสร็จให้เรียบร้อย แล้วพี่จะรีบตามไป จะตามไปนะคะคนดี”

“ครับ ผมจะรอ.....”

“อย่าร้อง อย่าร้องนะครับ” แม้จะพยายามฝืนกลั้นเท่าใดก็ไม่สามารถกระทำได้ มือเล็กจึงเอื้อมขึ้นมาเกลี่ยน้ำตาให้อีกครั้ง รอยยิ้ม และนัยน์ตายังคงเป็นประกายหยอกล้อ

“ชาตินี้ ผมเป็นฝ่าย รอพี่ชาย ตลอดเลย”

“ชาติหน้า จะให้ พี่ชาย รอบ้าง”

“พี่เต็มใจจะรออรุณ รออรุณคนเดียว จะรักเพียงน้องคนเดียว ทุก ๆ ชาติไป”

 

ดวงตาทั้งสองสบประสาน รอยยิ้มอ่อนหวานที่ส่งให้กันดังคำสัญญา

จะจดจำ ใจจะจำ คืนนี้ เก็บทุกวินาที ที่เหลืออยู่

 

“พี่ชาย... ภาพที่ขอไว้ ภาพวาด ที่สัญญา ว่าจะวาดให้ เสร็จแล้ว นะครับ” ใบหน้าเรียวหันไปมองรูปวาดที่ยังคลุมผ้าขาวไว้

“เป็นสิ่งสุดท้าย เป็นอย่างสุดท้าย เป็นภาพสุดท้าย ที่ผมจะให้ได้ พี่ชายเก็บไว้นะครับ” ใบหน้าหวานจึงหันกลับมาสบสายตาผู้รับ จึงเชยคงมนและจ้องลึกลงไปในดวงตา

“ค่ะพี่จะเก็บไว้ หากพี่จะเก็บจะจดจำทุกภาพ ทุกความทรงจำของเราทั้งสองคน” และกุมมือบางมาวางทับทาบที่ดวงใจ

“พี่จะเก็บความรักของเราไว้ในดวงใจดวงนี้ ไว้ในวิญญาณนี้”

“เพราะว่าวันหนึ่ง พี่จะตามไป จะตามหาน้องของพี่ สุดที่รักของพี่ให้พบ”

“และวันนั้นพี่สาบาน พี่จะไม่รั้งรอ จะไม่รอคอย จะไม่ปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปดังเช่นชาตินี้”

“พี่จะตามไป จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำทุกวินาทีให้มีค่าที่สุด สำหรับรักของเรา”

“พี่จะตามไปหาดวงใจของพี่ให้พบพี่สัญญา”

“ครับ... ผมจะรอ”

 

ร่างบางไอหนักจนร่างสะท้านไหว ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่ใช้ปิดปากมีรอยเลือดแดงฉาน เสียงหอบหายใจดังค่อยแผ่วอ่อนบาง ลงทุกที ทุกที

“คงไม่ได้เห็น ดอกไม้ ที่พี่ชายบอก เมื่อคืนก่อน”

‘แต่พี่ว่าอรุณคล้ายดอกไม้อย่างอื่นมากกว่า’

‘ดอกสีขาวเหมือนกัน หากดอกใหญ่กว่ามาก ตอนเป็นดอกตูมคลับคล้ายกัน แต่จะออกรวมเป็นช่อ ค่อย ๆ ไล่บานช้า ๆ ทีละดอกอย่างอดทนแข็งแกร่ง หากเมื่อบานสะพรั่งกลีบดอกอ่อนบางน่าทะนุถนอมยิ่งนัก กลิ่นหอมเย้ายวนมีเสน่ห์กว่านี้มาก ถ้ามีโอกาสจะสั่งจากเมืองนอกมาให้’

“คงไม่ได้ เห็นแล้ว...”

“รอนะคะ คนดีรอพี่แล้วพี่จะตามไป แล้วอรุณจะได้เห็นทุก ๆ เช้า ที่เราอยู่ด้วยกัน”

“พี่สัญญา เชื่อพี่นะคะคนดี”

“ครับ” ร่างเล็กทิ้งตัวซุกซบลงในอ้อมอกอีกครั้ง หากครั้งนี้คนเคียงข้างรับรู้ เวลาที่มีคงใกล้หมดแล้ว

“พี่ชายครับ”

“ขอบคุณ นะครับ ขอบ คุณ มาก”

“อรุณ... ไม่ต้องพูดแล้ว.....”

“ขอผมได้พูด เถิดครับ ไม่เป็น ไร”

“ขอบคุณ ที่ให้ โอกาส ขอบคุณ ที่ให้ ชีวิต อีกครั้ง”

“ขอบคุณ ที่ให้ผม ได้รัก”

“ขอบคุณ ที่รักผม”

“ ‘เพียง…รัก’ ผม ก็ พอ แล้ว”

“ผม ไม่ ขอ ไม่ อยาก ได้ อะ ไร อีก แล้ว” “พี่รักอรุณ รักอรุณมาก และจะรักอรุณคนเดียว ‘สุดที่รัก’ ของพี่”

“ขอบ คุณ ครับ”

“ผม รัก...”

“พี่ ชาย...”

“รัก”

“อรุณ........................”

 

‘น้ำค้าง’ ยามเช้าเริ่มประพรม เกาะขอบระเบียงส่งประกายระยิบระยับเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง ช่างงดงาม เย็นฉ่ำ และนุ่มนวล เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเตรียมออกจากรัง

 

วันเวลามิอาจหยุดยั้ง ดวงตะวันมาเยือน

แสงรุ่งอรุโณทัยสาดทอขอบฟ้า วันใหม่ก้าวเดินดำเนินต่อไป....





#JKLTHESERIES

ENDING of JUST--> NEXT IS KEEP
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST: DREAM (ENDING OF JUST: PART 1 of JKL) 29.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 29-01-2018 11:26:32
เศร้า.................
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: JUST: DREAM (ENDING OF JUST: PART 1 of JKL) 29.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-01-2018 12:48:04
 :hao5: แล้วเราจะได้พบกันใหม่
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ENDING 30.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 30-01-2018 14:09:47
Chapter I

Ending

 

บ่ายสามโมงยี่สิบสามนาที ท่ามกลางตึกระฟ้าใจกลางเมืองหลวง ออฟฟิศสูง สี่สิบเจ็ดชั้น ติดกับศูนย์การค้าชื่อดังตั้งตระหง่าน เมื่อรถสีขาวขับฝ่าการจราจรที่แน่นขนัดเข้ามาจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ชายหนุ่มรูปร่างสูงเปรียวก็หอบโน้ตบุ๊ก และม้วนเอกสารรีบเดินจ้ำผ่านประตูอัตโนมัติ เพื่อรอขึ้นลิฟต์ที่จะพาเขาไปสู่สถานที่ทำงานชั้นยี่สิบสาม

เมื่อคืนเขานั่งดูแบบตกแต่งภายในจากผู้รับเหมาทั้งคืน กว่าจะมีแรงลุกมาทำงานก็เกือบถึงเวลานัดประชุมติดตามความคืบหน้าโปรเจคศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่จะเปิดขึ้นที่ภาคเหนือ ระหว่างยืนรอลิฟต์ก็อดใจไม่ได้ที่จะกวาดตามองบริเวณรอบ ๆ ด้วยความเคยชิน

 

เฮ้อ บ่ายสามกว่าแล้วใครจะมารอ

เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ประตูลิฟต์ที่เปิดรออยู่แล้ว ขึ้นลิฟต์คนเดียวทีไรรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง ผมไม่ได้กลัวที่แคบหรอกครับ แต่เป็นเพราะกลัวความสูงต่างหาก ถ้าเพียงแต่มาทำงานเวลาเดิมตอนเก้าโมงเช้าก็ไม่ต้องขึ้นลิฟต์คนเดียวแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องบังเอิญบนความจงใจที่ทำให้ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาผมจะเจอ ‘เขา’ คนนั้นเสมอ

ผมรีบสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง จะประชุมแล้วรุ่งเอ๊ย ทำงาน ทำงาน

บ่ายสามโมงสามสิบสามนาที สายไปเพียงสามนาที หากผู้รับเหมาทั้งสามรายมานั่งรอแน่นขนัดบริเวณหน้าห้องประชุม โชคดีที่เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องมีเพียงพี่บลูคนเดียวที่นั่งรออยู่

“อ้าวรุ่ง มาแล้วเหรอ” พี่บลูวางแก้วกาแฟ แล้วหันมาทัก

“โทษทีครับพี่บลู พี่ได้ข้อความของผมเมื่อเช้าแล้วใช่ไหมครับ” ผมวางม้วนเอกสารแล้วรีบเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเตรียมประชุม

“เรื่องนอนตอนเก้าโมงเช้านั่นเหรอ อืม ได้รับแล้ว ไหวไหมเนี่ย กาแฟสักแก้วไหม”

“ครับ เดี๋ยวผมสั่งแม่บ้านเอง”

“งั้นสั่งเผื่ออีกสองแก้วด้วยรุ่ง เดี๋ยวฝ่ายก่อสร้างเขาจะเข้ามาด้วย” พี่บลูบอก ขณะที่ผมกำลังยกหูโทรศัพท์สั่งกาแฟจากแม่บ้าน หลังจากวางหูผมจึงรีบถามด้วยความสงสัย

“ฝ่ายก่อสร้างเขาเข้าประชุมครั้งนี้ด้วยเลยเหรอครับ ผมนึกว่าจะรอเข้ามาหลังจากเราเลือกผู้รับเหมาแล้ว”

“อืม เขาโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าขอเข้าด้วยเลย เผื่อจะช่วยให้ความคิดเห็นเรื่องโครงสร้าง” พี่บลูดูรู้สึกกังวลจนผมจับสังเกตได้

“คราวนี้ทีมไหนเหรอครับพี่ ที่จะมาทำงานกับเรา” ปีนี้มีโปรเจคสร้างศูนย์การค้าถึงสี่ศูนย์ ทีมต่างฝ่ายที่มาทำงานด้วยกันจึงผลัดเปลี่ยนกันไป จนแทบไม่เคยซ้ำหน้าเดิม

“ทีมเชน” นั่นไงผมคิดแล้ว พี่บลูถึงทำหน้าแปลก ๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับพี่บลูกับพี่เชน มีความสัมพันธ์อย่างที่ทุก ๆ คนรู้ พี่บลูเคยบอกว่าทำงานกับทีมไหนก็ได้ ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่อยากทำกับพี่เชน ไม่อยากทะเลาะกัน เพราะบางทีเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมันก็แยกออกจากกันลำบาก ผมคิดในใจ งานนี้ท่าจะไม่ง่ายซะแล้ว

ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่อแม่บ้านก็เข้ามาเสิร์ฟกาแฟ และผู้เข้าร่วมประชุมอีก 2 คนก็เดินตามเข้ามา พร้อมกันพอดีกับที่ผมเตรียมห้องประชุมเสร็จ

‘โอ......’

ผมแอบร้องในใจ ไม่ใช่เพียงแต่พี่บลูแล้วที่ลำบากใจกับโปรเจคนี้

“ไงเชน อ้าวเขนมาดูโปรเจคนี้เหรอ” พี่บลูทัก ขณะใบหน้าเริ่มอมยิ้ม

“ครับ พี่บลู” คนร่างสูง ผิวขาวจัดกับหน้าตาที่คมคายได้แต่ยิ้มตอบ

“นี่ รุ่งรุ่นน้องพี่ที่คณะ คงรุ่นพี่เขนปีนึงได้ เคยคุ้นหน้ากันไหม มหาลัยเดียวกัน เขาเป็น Project Manager ฝ่ายพี่”

“สวัสดีครับ ผมเขนครับ” ร่างสูงยื่นมือออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มสว่างไสว ผมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนที่จะกลั้นใจยื่นมือออกไป

“ผมรุ่ง ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ” มือที่สัมผัสจับกันเพื่อทักทายเล็กน้อย แต่น่าแปลกที่มือใหญ่นั่นกลับเย็นเฉียบ สงสัยแอร์คงจะเย็นจัด

“งานนี้ฝั่งผม ให้เขนดูโปรเจคนี้ เจ้านายไม่ให้ผมไปไหนแล้ว ให้ส่งน้องออกต่างจังหวัดแทน แกกลัวผมมีปัญหาครอบครัว” พี่เชนพูดพร้อมส่งสายตาหวานไปทางไหน...ใครก็รู้

“รุ่ง เริ่มกันเลยตามผู้รับเหมาเจ้าแรกเข้ามา” พี่บลูตัดบท พร้อมเริ่มมีอาการเครียด ๆ อีกครั้ง

 

หลังจากผู้รับเหมาทั้งสามรายนำเสนองานเสร็จ เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้นจริง ๆอย่างที่คิดแม้ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคู่ที่มีปัญหากันกลับไม่ใช่รุ่นพี่ อย่างพี่บลูกับพี่เชน แต่เป็นผมกับไอ้คุณชายที่กำลังยืนเถียงกันอยู่

“ผมไม่เห็นด้วย” เขาขึ้นเสียงด้วยความโมโห

“ถ้าทางคุณเลือกผู้รับเหมาเจ้านี้ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงสร้างการก่อสร้างเดิม ทางผมต้องปรับแก้งานใหม่อีกหลายส่วน” ไม่ทราบว่าจะตะโกนเสียงดังไปทำไมครับ ก็อยู่กันแค่นี้

“แต่คุณเขนต้องเข้าใจว่า ผู้รับเหมาเจ้านี้เขาสามารถตอบโจทย์การออกแบบได้ดีที่สุด ถ้าเขาเข้าใจโจทย์ที่เราให้ไป ก็จะสามารถสร้างผลงานที่มีเอกลักษณ์ให้กับโปรเจคนี้ได้นี่ครับ”

“แล้วนี่ก็ยังอยู่ในส่วนความรับผิดชอบของผม ถ้าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบ้างเพื่อให้รองรับการออกแบบก็ยังทำได้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดช่วงออกแบบงานของคุณยังไม่จบ ก็ยังพอที่จะแก้ไขได้” ผมเริ่มเหวี่ยงกลับอย่างเริ่มมีอารมณ์ หากดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่เห็นด้วย และเตรียมตอบกลับ

“เขน ใจเย็น” จนพี่เชนต้องเป็นฝ่ายออกโรงมาห้ามทัพ

“พี่เข้าใจนะรุ่ง เราทั้งสองฝ่ายต่างอยากให้งานออกมาดีที่สุด แต่ทางพี่ก็ลำบากใจ เพราะอาทิตย์หน้าก็จะเริ่มลงโครงสร้างหลักแล้ว” พี่เชนอธิบายหาทางไกล่เกลี่ย ผมจึงเริ่มเย็นลง แต่อีกคนนั่นยังฮึดฮัด

“เขน นายแจ้งเดดไลน์มาว่าแก้ไขงานโครงสร้างได้ถึงเมื่อไหร่ ทางพี่จะรีบสรุปสิ่งที่ต้องการไปให้” พี่บลูรีบเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย

“ผมต้องไปลงพื้นที่อาทิตย์หน้าแล้วครับพี่บลู จะมาเปลี่ยนตอนนี้ทางผมเองก็ลำบาก” ร่างสูงเหลือบสายตามองผมด้วยความไม่พอใจ ผมจึงแกล้งไม่มองหน้าเขา

“พี่เข้าใจ ทางพี่จะให้รุ่งรีบส่งข้อมูลกลับไปให้เร็วที่สุด” พี่บลูช่วยอย่างเต็มที่ แต่เขนก็ยังคงไม่ตอบ

“ผมขอเป็นวันพุธแล้วกันพี่ ทางผมได้มีเวลาคุยกับทางที่ปรึกษาด้านโครงสร้างก่อนลงพื้นที่ด้วย” พี่เชนจึงเป็นฝ่ายตอบออกมาแทน

“โอเค งั้นตามนี้แล้วกันนะ รุ่ง เขน” พี่บลูรีบจบการประชุม ก็คนตัวโตยังจ้องผมด้วยความคับแค้น

“ครับพี่บลู” ผมรีบตอบ

“ครับ” เขาตอบแล้วเดินออกจากห้องไป

“ขอโทษทีรุ่ง เขนมันใจร้อน งานแรกของมันด้วย คงคาดหวังกับงานไว้สูงเหมือนกัน” พี่เชนยิ้มขำขำ และเดินตามออกไป

“เหนื่อยหน่อยนะรุ่ง เขนมันเด็กใหม่ ไฟแรง เห็นเชนว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะ พึ่งย้ายมาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน” พี่บลูตบบ่าผมเบา ๆ

“ตอนแรกผมคิดว่าทีมฝ่ายก่อสร้างที่เจอที่พิษณุโลกหนักแล้ว เจอรายนี้คงต้องเตรียม คลังแสงไว้รบเลยนะครับพี่”

เป็นเรื่องปกติที่งานฝ่ายออกแบบกับฝ่ายก่อสร้างต้องปะทะกันอยู่เสมอ ๆ นอกจากลักษณะงานที่ต้องทำร่วมกัน ตั้งแต่ฝ่ายออกแบบ หรือพวกสถาปนิกแบบผมกับพี่บลู ทำหน้าที่คิดคอนเซ็ปต์ภาพรวม ฝ่ายก่อสร้าง อย่างพี่เชนกับเขนไปสร้างโครงสร้างตัวตึก แล้วฝ่ายออกแบบก็เข้าไปควบคุมการตกแต่งในรายละเอียดอีกครั้ง ดังนั้นผลงานที่ออกมาก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

หากสิ่งที่แตกต่างกันในลักษณะของคน 2 ฝ่ายที่เห็นได้ชัดคือ ฝ่ายออกแบบจะเป็นพวกมองภาพรวม ชอบศิลปะความสุนทรี ความสวยงาม ราวกับว่าสมองซีกขวาด้านความคิดสร้างสรรค์จะเข้าครอบงำ ส่วนฝ่ายก่อสร้างก็จะซ้ายจัด ไม่ถึงขนาดพวกหัวรุนแรง แต่ก็ต้องมีความเด็ดขาดเพราะคุมงานก่อสร้าง สมองซีกซ้ายจึงควบคุม เก่งเรื่องตัวเลข ความเป็นเหตุเป็นผล ตรงเป็นไม้บรรทัด

เมื่อคนสองแบบต้องทำงานด้วยกันความคิดเห็น ที่ไม่ตรงกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดการ และหาข้อสรุปแบบไหนถึงจะทำให้ผลงานออกมาดีที่สุด ผมคุยสรุปรายละเอียดกับพี่บลูในห้องประชุมต่ออีกพักใหญ่ พี่เชนก็ผลักประตูพร้อมยื่นหน้าเข้ามา

“เลิกงานยังครับพี่ ผมหิว” ผมคุยงานกับพี่บลูเพลินจนลืมเวลา กว่าจะเลิกประชุมก็เกือบทุ่มแล้ว นี่ก็ปาไปสามทุ่มกว่าเกรงใจพี่บลูกับพี่เชนจริง ๆ

“ขอโทษครับพี่เชน” ผมรู้สึกผิดที่พี่เชนต้องมาหิ้วท้องรอพี่ชายของผม

“ไปขอโทษมันทำไม เยอะไปเชน ถ้าหิวก็ลงไปหาอะไรกินก่อน” หากพี่เชนเริ่มทำหน้างอแง

“เดี๋ยวผมไปสรุปมาก่อนดีกว่าครับพี่บลู แล้วค่อยกลับมาคุยกันต่อพรุ่งนี้ ผมรีบกลับเหมือนกัน เมื่อคืนนอนน้อยโลว์แบตตารี่แล้ว” ผมรีบหาข้ออ้าง พี่บลูจึงยอมเลิกทำงานแล้วเดินตามพี่เชนออกไป

สามทุ่มยี่สิบสามนาที ผมสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊กเดินออกจากฝ่ายไปรอลงลิฟต์เพื่อกลับบ้าน งานในส่วนวางแผนของโปรเจคนี้กำลังจะเริ่ม อีกประมาณสามเดือน ผมก็คงต้องไปลงพื้นที่ ปกติผมจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกต่างจังหวัด แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะอะไร

เพราะ ต้องรออีกสามเดือน ถึงได้ลงพื้นที่

หรือว่า...

เพราะ งานนี้น่าจะโหดแน่ ๆ แค่ประชุมนัดแรกยังหนักขนาดนี้

หรือว่า...

เพราะ ต้องทำงานกับ ‘เขา’ คนนั้น

หรือว่า...

เพราะ จะไม่มีเพื่อนขึ้นลิฟต์ตอนเช้า

ระหว่างคำถามต่าง ๆ กำลังเลื่อนไหลอยู่ในหัว ลิฟต์ตัวที่ผมรออยู่ก็เปิดออก และแล้วความบังเอิญก็เล่นงานผมอย่างจัง เมื่อ ‘เขา’ คนนั้นก้าวออกมาจากลิฟต์

“จะกลับแล้วเหรอครับ” เขายิ้มน้อย ๆ ให้ใคร? ผมหันซ้ายแลขวา หากพบว่ามีผมเพียงคนเดียว

“ครับ แล้วคุณยังไม่กลับเหรอ” น่าจะหายโกรธแล้ว ค่อยยังชั่ว

“อาทิตย์หน้าคงต้องไปที่ไซด์แล้ว คืนนี้ต้องเคลียร์งานคงนอนที่ออฟฟิศครับ” เขนตอบพร้อมทำหน้าเซ็ง ๆ ลิฟต์ที่รอผมกำลังจะปิด

“อ่ะ งั้นโชคดีนะครับ ผมขอตัวก่อน” ผมรีบเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่ประตูกำลังจะปิด ‘เขา’ ก็ยื่นแขนเข้ามา เซ็นเซอร์ลิฟต์ทำงานทันท่วงที ประตูเปิดออกอีกครั้งก่อนที่ ‘เขา’ จะเดินเข้ามาในลิฟต์ ผมจึงแอบกลั้นหายใจ

“รุ่ง ทานอะไรหรือยังครัย ผมเพิ่งสวนกับพี่บลู พี่เชน เห็นว่าเพิ่งเลิกประชุม” สรรพนามที่เรียกชื่อผมเปลี่ยนไป

“ผมคงหาอะไรทานง่าย ๆ ใต้ตึกครับ”

“งั้นดีเลย ขอเขนไปด้วย หาเพื่อนทานข้าวอยู่พอดี” สรรพนามที่เรียกแทนตัวของเขา ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

ผมจึงพยักหน้า ทำตามใจตัวเองบ้างเถอะ นิดหน่อยเอง อย่างน้อยตอนนี้ก็มี ‘เขา’ ยืนอยู่ข้าง ๆ แม้เพียงสองสามนาทีก็ตาม

 

“รุ่ง กินน้อย ถึงว่าผอมจัง” เขาพูดระหว่างผมกำลังดื่มน้ำ ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไป

“ตอนไปลงพื้นที่รุ่งจะพักที่ไหนอ่ะ” สนิทกับคนง่าย เข้าถึงมวลชนไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ

“คงให้แอดมินของบริษัท จองที่พักให้ครับ” ผมตอบ พร้อมมองเขาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ ไปอดอยากที่ไหนมานะ ประชุมก็เสร็จตั้งนานแล้ว

“เขนก็ให้แอดมินจองเหมือนกัน แต่ให้จองไว้แค่อาทิตย์เดียว ว่าจะไปหาบ้านเช่า อยากได้บรรยากาศแบบล้านนา” มีอารมณ์แบบนี้กับเขาเหมือนกันนะคุณไม้บรรทัด

“ต้องไปอยู่เกือบครึ่งปี อยู่แต่โรงแรมน่าเบื่อ” เหมือนพูดให้ตัวเองฟัง ผมเลยได้แต่ยิ้ม ๆ

“งั้นเขนลองไปดูก่อน ถ้าหาบ้านที่โอเคได้ รุ่งขึ้นไปก็ไปอยู่กับเขนนะ” เอ่อถามผมบ้างเถอะครับ แล้วผมก็ฟังเขาเพ้อพร่ำต่อไปเรื่องแผนจะไปใช้ชีวิตชาวเหนือของเขา

ผมยอมรับว่าตอนแรกแอบกลัวว่าเขาจะโกรธเรื่องในห้องประชุมจนเข้าหน้ากันไม่ติด แต่เขาก็ยังคงเป็นเขาคนเดิมเสมอ ที่เวลาโกรธก็แทบเป็นฟืนเป็นไฟ พอหายก็เหมือนเด็กน้อย ช่างซัก ช่างถาม หาเรื่องชวนคุยได้ไม่หยุด

ก็ดี อย่างน้อยตอนไปลงพื้นที่ก็จะได้มี ‘เพื่อน’ คุย ผมคิดตามใจตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่ไอโฟนกรอบสีแดงเข้มดังขึ้น

“ค่ะ วันนี้พี่เขนคงไม่ได้กลับนะคะ ต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนลงพื้นที่ค่ะ”

“อย่างอนนะคะ พี่เขนสัญญาว่าเสาร์-อาทิตย์นี้ จะเป็นเวลาของน้องจอยคนเดียวเลยค่ะ”

“ฝันดีค่ะคนสวย”

ผมหายใจติดขัด ทั้ง ๆ ที่รู้ จึงฝืนมองออกไปให้ความสนใจกับแสงสีนอกร้าน เมื่อเขนกินข้าวเสร็จ ผมจึงรีบขอตัว

“เขนเดินไปส่งที่รถ” เขาบอกหลังจากที่จ่ายเงินค่าอาหารเสร็จ

“ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบปฏิเสธ

“ไม่ได้ แค่นี้เอง” เขาเดินนำโดยไม่สนใจคำคัดค้านของผม น่าแปลกตรงที่เขาเดินนำมาถูกโซน และถูกคัน

“ขับรถดีดี นะรุ่ง แล้วเจอกัน” เขาปิดประตูรถให้ พร้อมทั้งยืนรอให้ผมขับรถออกไป ผมฝืนขับรถมาได้เพียงที่หน้าออฟฟิศ แล้วรีบหาที่จอด

มือสั่น...ขับต่อไปไม่ไหว

น้ำตาที่ปริ่มดวงตาทั้งสองข้างทำให้มองไม่เห็นทาง

 

เมื่อนำรถจอดเข้าข้างทางเรียบร้อย ความอดทนอดกลั้นที่มีก็สิ้นสุดลง ปลดปล่อยน้ำตาให้ล้นทะลักหลั่งไหลเป็นสายพร้อมทั้งเสียงสะอื้นของตัวเองที่ไม่ได้ยินมานาน

นี่ไง...ผลของการตามใจตัวเอง

นี่ไง...ที่คิดว่า นิดหน่อย ไม่เป็นไร

นี่ไง...ที่รู้ทั้งรู้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว

 

ทำไมทุกอย่างเปลี่ยน

แต่บาดแผลที่เคยคิดว่าหายดี กลับไม่เคยดีขึ้นมาได้เลย

ผมพบ ‘เขา’ คนนั้นที่ลิฟต์ตอนเช้าตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะมาสายแค่ไหน ‘เขา’ มารอผมเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นเพียงความบังเอิญเล่นตลก หรือความจงใจที่ทำให้ผมขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับ ‘เขา’ ทุก ๆ เช้า

เราไม่เคยมองกันตรง ๆ ทั้งที่พบกันทุกวัน

เราไม่เคยคุยกันหรือทักทายกัน แต่รู้ว่าทำงานที่เดียวกัน

เราไม่เคยเริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์ ‘ของเรา’

 

แต่ผมกลับรู้สึกดีกับระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ได้ยืนเคียงข้างกัน

แต่

 

ต้อง ‘จบ’ ก่อนที่ทุก ๆ อย่างที่พยายามทำมาจะเป็นศูนย์

ต้อง ‘จบ’ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม

ต้อง ‘จบ’ ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้



#JKLTHESERIES





หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ENDING 30.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-01-2018 14:37:26
????
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ENDING 30.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 30-01-2018 16:00:15
รุ่งคือคุณอรุณเหรอ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ENDING 30.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 30-01-2018 16:50:01
มาต่อนะ   งือ  งง
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 31-01-2018 11:24:03
Chapter II

Delete

 

หลังจากวันนั้นผ่านมาสามเดือน ชีวิตของผมก็มีแต่งาน งาน งาน และงาน โปรเจคก่อสร้างก็อย่างนี้แหละครับ ต้องเตรียมวางแผนให้พร้อมก่อนเริ่มลงมือดำเนินการ

เมื่อถึงเวลาลงพื้นที่จริง จะไม่สามารถยอมให้งานไหนหยุดหรือผิดพลาดได้เลย เพราะจะส่งผลกระทบต่องานอื่น ๆ ทำให้ช้ากันไปทั้งโปรเจค จึงต้องท่องไว้เสมอว่าต้องคุ้มค่าที่สุด ทั้งงบประมาณ ระยะเวลา และบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้

ผมยังคงมาทำงานสายเช่นเดิม ปกติเข้างานแปดโมงครึ่ง ผมมาถึงประมาณเก้าโมงเสมอ ๆ บางทีอะไรบางอย่างมันก็เป็นความเคยชิน เหมือนกับนาฬิกาชีวิตที่ทำให้ผมมาทำงานเวลานี้ จอดรถตรงที่เดิม ๆ ยืนเหม่อก่อนขึ้นลิฟต์ และอึดอัดเสมอเวลาอยู่ภายในลิฟต์ และก็เหมือนทุก ๆ ครั้ง ที่ผ่านมา

เมื่อเวลาผ่านไป อะไร ๆ ก็จะค่อย ๆ เลือนราง หายไป

สักวันความรู้สึกบางอย่างกับ ‘เขา’ คนนั้นก็คงจะค่อย ๆ เลือนราง หายไป

ผมยังคงต้องติดต่อ ‘เขา’ คนนั้นแค่เรื่องงาน งานเท่านั้นจริง ๆ นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตั้งใจจะ ‘ลบ’ ใครสักคนออกจากความทรงจำ

ใช่ผมเคย ‘ลบ’ มันมาก่อน

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะ ‘ลบ’ ได้หรือไม่ก็เท่านั้น...กับความทรงจำของคน

ผมปฏิเสธทุกสายเรียกเข้าจาก ‘เขา’ อย่างจงใจ แต่ตอบกลับทุกข้อความที่ฝากไว้ในเฉพาะเรื่องงาน ช่องทางการติดต่อทางอีเมล ดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่ดีที่สุด สำหรับการหลบเลี่ยง และเจือจางความทรงจำ

ตอนนี้นอกจากพี่บลูที่คอยให้คำปรึกษา ผมยังได้เจ้าเฟรมมาเป็นลูกมือในการจัดทำ โปรเจคนี้ เฟรมเข้ามาทำงานได้เดือนกว่าแล้ว เป็นเด็กหัวไวและขยันมาก ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ถ้าไม่ชอบ ไม่ใช่ ก็ไม่ทำเลยซะอย่างนั้น คงเป็นคุณลักษณะของเด็กเจน-เนอเรชั่นใหม่

“พี่รุ่งคืนนี้ไปค้างด้วยนะพี่” เฟรมทำหน้าตาจริงจัง

“คิดถึงเมียใหม่ละสิ” ผมซื้อกีต้าร์ตัวใหม่มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

“ผมเตรียมเสื้อผ้า ข้างของเครื่องใช้มาเรียบร้อยแล้ว ผมจะได้กลับไปช่วยพี่ดูรายละเอียดโปรเจคอีกรอบไง” มันยักคิ้ว เริ่มชักแม่น้ำทั้งห้า

“อาทิตย์หน้าเราต้องขึ้นลำปางกันแล้วนะพี่ ผมโคตรตื่นเต้น ไม่เคยไปอยู่เหนือนาน ๆ เลยอ่ะ อยู่แต่อีสาน”

“รุ่งเอากีต้าร์ไปลำปางด้วยสิ” พี่บลูเสริมพร้อมอมยิ้ม ถ้ารักงานเท่าดนตรีมันคงรุ่งกว่านี้แน่ ๆ เจ้าเฟรม

“จริงด้วยพี่รุ่ง เล่นกีต้าร์ในสายลมหนาว ผิงไฟอะพี่ ได้บรรยากาศ” เจ้าเฟรมยิ้มกว้าง

“เอ้า ทำงานที่บอกให้เสร็จก่อนแล้วจะลองคิดดู” สงสัยผมคงต้องหอบหิ้วเมียเจ้าเฟรม ขึ้นไปจูงใจให้มันทำงานให้จริง ๆ แล้วสิครับ

“บ่ายนี้มีประชุมสรุปแผนงานกับฝ่ายก่อสร้างนะ รุ่ง ข้อมูลพร้อมรึยัง” พี่บลูถาม

“ครับ เรียบร้อยแล้ว ต้องเตรียมเอกสารกี่ชุดครับ พี่เชนคนเดียวเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” เขาคนนั้นลงพื้นที่ พี่เชนจึงเป็นตัวแทนมาประชุมตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

“อืม คงงั้นแหละ เห็นเชนมันว่าเขนคงต้องเฝ้าไซด์งานเหมือนเดิม พายุเข้าน้ำท่วมรอบที่แล้ว เลยต้องเร่งงานให้ทัน”

พี่บลูดูจะสบายใจขึ้นหลังจากที่ทำงานร่วมกับพี่เชนมาสักพัก คงเริ่มปรับตัวได้ หมายถึงพี่เชนนะครับ เวลาทำงานก็เริ่มจริงจังกับงานมากขึ้น หลังจากโดนพี่บลูจัดไปหลายยก

จริง ๆ แล้วผมก็เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผิดกับที่คาดไว้ตั้งแต่แรกว่า ถ้าเรื่องงานมีข้อขัดแย้งกันแล้วพาลไปเรื่องส่วนตัว แต่กลับกลายเป็นว่าพี่เชนดูใจอ่อน ยอมง่ายกว่าทำงานกับคนอื่น ๆ จนพี่บลูต้องเตือนให้จริงจังมากกว่านี้

“เฟรมบ่ายนี้เข้าประชุมด้วยนะ จะได้เห็นภาพรวมก่อนไปลงพื้นที่” พี่บลูสั่ง ก่อนที่ทีมเราจะออกไปทานข้าวด้วยกัน

ผมส่งเจ้าเฟรมไปดูแลห้องประชุมก่อน พร้อมกับพี่บลู เพราะผมกำลังจัดเตรียมเอกสารให้พี่เชน จึงเดินตามมาที่ห้องประชุมทีหลัง เมื่อเปิดประตูจึงเห็นว่าเอกสารที่เตรียมมาไม่พอ

เมื่อคุณชายสุดหล่อขวัญใจสาว ๆ มาโผล่ที่ห้องประชุม ยิ่งไปได้อากาศทางเหนือ ยิ่งราศีจับ ถ้าอยู่อีกสักพักตัวก็คงโปร่งแสง ผมคิดในใจ

“หวัดดี รุ่ง” รอยยิ้มสว่าง ๆ กระจ่างใสทั่วห้อง

“สวัสดีครับ ผมไม่ทราบว่าคุณมา พี่บลูเริ่มคุยกันไปก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปปริ๊นท์เอกสารมาเพิ่มอีกชุด”

“ไม่ต้องยุ่งยากหรอกรุ่ง เดี๋ยวดูด้วยกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวเขนตามไปขอที่รุ่งทีหลัง” เขายิ้มกว้าง ทำให้ผมตั้งสติเบาๆ ก็แค่อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีเรื่องเหมือนครั้งก่อน ทุกอย่างกำลังลงตัวด้วยดี เมื่อเสร็จการประชุมเขนก็เล่าให้เฟรมฟังถึงที่พักที่เขาอาศัยอยู่ที่ลำปาง เนียนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยเฉพาะหลังจากที่สืบสาวราวเรื่อง แล้วรู้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน พี่บลูกับพี่เชนผสมโรงแชร์ประสบการณ์ที่เคยขึ้นไปทำงานที่ศูนย์เชียงใหม่ และเชียงราย ผมจึงได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ สักพัก ก่อนจะขอตัวออกมาจากห้องประชุม แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน นั่งเหม่อมองจอโน้ตบุ๊ก

ดีแล้ว ดีขึ้นแล้ว หมายถึงอาการของผมตอนนี้ ขั้นต่อไปก็ไปลำปางสามเดือน มีเฟรมไปด้วย ก็คงไม่มีอะไร ขณะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ใบหน้าคมก็โผล่มาแทรกที่กลางหน้าจอโน้ตบุ๊ก

“อ่ะ!!! คุณ” ผมตกใจ เขาถือวิสาสะนั่งบนโต๊ะทำงานของผมข้าง ๆ โน้ตบุ๊ก

“โทษที เขนเห็นรุ่งเดินออกมาก่อน เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าเครียด ๆ ” แววตาใสซื่อ สื่อความจริงใจที่ฉายชัด แสดงออกเก่งเหลือเกิน จนผมแอบอิจฉา

“เปล่า คิดเรื่องโปรเจคนิดหน่อย” ผมรีบตอบ เนียนไหมนะ ไม่เก่งด้วยเรื่องนี้

“คิดถึง... คิดถึงรุ่งมากเลย ทำไมตอนเขนโทรมา รุ่งไม่เคยรับสายเขนเลยอะ ยุ่งมากเหรอ” คนถามยังคงชวนคุยต่อไป ชะโงกหน้ามาเรียกร้องความสนใจคนที่ดูเหม่อๆ

“อืม อยากเตรียมการวางแผนไปให้ดีที่สุดก่อนเริ่มงานน่ะ” ซักก็เก่งเหมือนเดิม

“คุณมีอะไรเรื่องงานหรือเปล่า มาเอาเอกสารใช่ไหม ผมปริ๊นท์ไว้ให้แล้ว คุณเดินไปเอาที่ปริ๊นท์เตอร์ได้เลย” ผมใช้ความพยายามดึงกลับเข้าเรื่องงานอย่างถึงที่สุด แต่มันกลับไม่เป็นผล

“เดี๋ยวแวะไปเอาก่อนกลับ เขนซื้อสตรอเบอรี่มาฝากรุ่งด้วย แช่ไว้ในตู้เย็น เดี๋ยวแวะเอามาให้ก่อนเลิกงานนะ”

“รุ่งเตรียมเก็บของรึยัง อากาศเริ่มเย็นแล้วที่โน่น รุ่งเตรียมเสื้อกันหนาวไปเยอะ ๆ นะ กลับมานี่เขนว่าจะลงไปซื้อเพิ่มอีกสักตัวสองตัว”

ผมนั่งคุมสติฟังไปเรื่อย ๆ พร้อมพยักหน้าตอบเป็นระยะ ๆ

“เย็นนี้รุ่งว่างไหมไปกินข้าวกัน ได้แวะไปดูเสื้อกันหนาวด้วย”

“เอ่อ” เจ้าเฟรม พี่บลู เมื่อไหร่จะออกจากห้องประชุมซักที ผมปฏิเสธไม่เป็น

“รุ่ง ว่าไง ว่างไหม” อึกอัก ผมกำลังโดนไล่ต้อนจนมุม เอนตัวติดพนักเก้าอี้ เพราะเขาชะโงกหน้าลงมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ร่างสูงเอนมาจนแทบจะขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้

“ว่าง ๆ แต่... (ใช่แล้ว) วันนี้เฟรมจะกลับไปค้างที่บ้านด้วย คงต้องชวนไปด้วย” ผมรีบตอบรัวเมื่อหาทางออกได้ ค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง

“อืม ไปสิ ไปด้วยกันหลาย ๆ คนสนุกดี เขนชอบเฟรม ซื่อ ๆ ดี” ก็เหมือนตัวเองนั่นแหละ สนิทกับคนง่ายเหมือนเดิมเลย แฟนคลับถึงเต็มบริษัท

“งั้นเลิกงานเขนเดินมาหาอีกที จะได้เอาสตรอเบอรี่ที่รุ่งชอบมาให้ด้วย” ผมพยักหน้า แล้วเขาก็ลุกเดินกลับไป

‘เป็นไปได้เหรอ’ ผมถามตัวเอง

ไม่จริงหรอกอาจแค่เดาถูก จะจำได้ยังไงว่าผมชอบสตรอเบอรี่

 

แล้วพี่บลูกับเฟรมก็เดินมาถึงที่โต๊ะพอดี

“เฟรมตกลงเย็นนี้ไปค้างบ้านพี่” ผมรีบบอก

“แต่ผมยังทำงานที่พี่ให้ไว้ไม่เสร็จเลยอะ” มันทำหน้าเศร้า

“ไม่เป็นไรเอาไปทำต่อที่บ้าน” เฟรมทำหน้างงซักพัก แล้วก็ยิ้มดีใจที่ได้ไปนอนกอดเมีย หากพี่บลูทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับความดีใจจนออกนอกหน้าของเฟรม

หลังจากจัดหนักอาหารเกาหลี ณ ศูนย์การค้าที่ติดกับออฟฟิศ สองหนุ่มลูกอีสานก็คุยกันอย่างออกรส ด้วยภาษาถิ่นที่ผมแกล้งประดิษฐ์ว่าไม่คุ้นเคยนัก จึงได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ

เฟรมช่วยผมได้มากจริง ๆ ในหน้าที่กันชน ซึ่งทำให้ผมสบายใจขึ้นมากที่ต้องไปลำปางอาทิตย์หน้า เราสามคนแวะดูร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังหลายร้านจากญี่ปุ่น โชคดีที่คอลเลคชั่นวินเทอร์อยู่ในช่วงลดราคาพอดี ต่างคนต่างเลือกตามความชอบของตัวเอง ซึ่งดูว่าสองคนนั้นจะมีสไตล์ที่คล้ายกัน จึงพากันไปดูเสื้อแจ็คเก็ต โซนยีนส์ ส่วนผมกำลังเลือกดูเสื้อโอเวอร์ไซซ์ และสเว็ทเตอร์ที่มีฮู้ด

หลังจากเลือกได้ ผมจึงเดินไปทางห้องลองเสื้อด้านในสุดของร้าน ซึ่งมีห้องลองเสื้อติดกันเรียงรายหลายสิบห้อง ผู้คนต่อคิวรอลองชุดค่อนข้างหนาตา เมื่อห้องริมผนังด้านในว่างลง จึงถึงคิวผม ขณะที่จะรูดม่านปิดห้องก็มีมือขาวมาดึงผ้าม่านไว้

“รุ่ง ขอลองด้วย จะได้ไม่ต้องต่อคิว” คนตัวโตหอบเสื้อ และกางเกงสี่ห้าชิ้นเข้ามาในห้องแต่งตัว ทำอย่างนี้ก็ได้เหรอ

“เฮ้ย คนรอเยอะ เดี๋ยวโดนว่า” ผมมองไปที่คนรอคิวต่อจากผม พี่เขาทำหน้าขำๆ แบบเข้าใจ

เอ่อ เข้าใจอะไรครับพี่ ไม่มีอะไร... ไม่ใช่อย่างนั้น...

“แป๊บเดียวไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ลัดคิว แค่ใช้ห้องเดียวกันกับรุ่ง” เขนตอบ ผมหันกลับไปอีกที คนตัวโตก็กำลังถอดกางเกงลองชุดแล้ว ผมยืนอึ้ง กอดเสื้อที่จะลองไว้แน่น ไม่ได้ปิดม่านแต่ยืนบังรอยม่านที่เปิดอยู่หันหลังให้กับคนที่กำลังลองชุดอย่างสบายใจ

ผมไม่ได้ตกใจ แต่ทำยังไงดี ผมกำลังคิด... ประมวลผลไม่ทันกับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ สมองมันแฮงค์ไปเฉย ๆ และแล้วเครื่องช่วยชีวิตผมก็มา เฟรมวิ่งตามมาที่ห้องเดียวกันด้วยความเร็วแสง

“รอผมด้วยพี่”

“เฮ้ย” พระเอกขี่ม้าขาวของผมวิ่งผ่านผมเข้ามาในห้องลองเสื้ออีกคน สมองของผมจึงกลับมาทำงานปกติอีกครั้ง และปิดม่านห้องลองชุด ผู้ชายตัวไม่เล็กสามคน ยืนคนละมุม น่าอึดอัด แต่ผมกลับหายใจโล่งอย่างบอกไม่ถูก

“รุ่งเป็นไง” เขาถามถึงกางเกงที่ลอง

“อืมก็ดี” ผมเริ่มลองเสื้อตัวเองสีดำที่กอดไว้

“เขนว่าเสื้อตัวสีดำมันสั้นไปไม่เหมาะกับรุ่ง” เขาบอกผม ผมถามตอนไหน

“ตัวสีเบสกับสีขาวนั่นดูดีกว่า” เขาชี้เสื้ออีกตัวที่ผมเลือกมา จริงเหรอ

“พี่เขนแล้วตัวนี้ ผมใส่แล้วเท่ไหม อยากเท่” เฟรมถามบ้าง แล้วก็เหมือนเดิมเจ้าสองคนนั่นก็จ้อไม่หยุด ผมเลือกได้สองตัว ไม่เอาสีดำ ไม่ได้เชื่อใครนะ แต่มันสั้นไปจริง ๆ

พวกเราออกมาจ่ายเงิน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน และเขาก็เดินมาส่งผมที่รถอีกครั้ง

“รุ่งขับดี ๆ นะ ถึงแล้วโทรหาเขนด้วย” ผมกำลังจะพยักหน้ารับ แต่ผมไม่มีเบอร์เขานี่ มีแต่เบอร์ที่ทำงาน คิ้วผมคงชนกันเขาจึงรีบพูด

“เดี๋ยวเขนยิงไป เฟรมให้เบอร์รุ่งมาแล้วเมื่อกี๊” ผมหันไปมองหน้าต้นเรื่องที่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน

“โทรศัพท์ผมหายอะพี่ ยังไม่ได้ไปขอซิมใหม่ที่ศูนย์” มันตอบชิล ๆ

“เออ” ผมตอบได้แค่นั้น แล้วขับรถออกมา ตกลงมันเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายไอ้เด็กนี่

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมไม่ยอมให้เด็กร้ายนั่นกอดเมียมันจนกว่าจะทำงานเสร็จ ผมเข้าไปอาบน้ำก่อน และเมื่อออกมาก็พบว่ามันไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด หยิบเบียร์กระป๋องในตู้เย็นของผมมากินไปทำงานไป สบายใจดีจริง ๆ

เฮ้อ... ไอ้เด็กร้าย

คืนนี้ผมจึงไม่ได้ทำงานต่อ เพราะให้เจ้าเฟรมยืมใช้โน้ตบุ๊ก ผมจึงนั่งเล่นไอโฟนที่เตียง แล้วข้อความก็ส่งเข้ามา

‘รุ่งถึงบ้านรึยัง’ ไม่เดาก็รู้ว่าใคร เบอร์ที่ไม่ขึ้นชื่อ ผมไม่ได้ให้เบอร์ใครไปง่าย ๆ ผมต้องตอบกลับไป

‘At…Home GN’ ก่อนที่จะเอาหูฟังมาครอบหูฟังเพลง

 

อย่าคิดมาก ผมบอกตัวเอง

ถ้าเพียงแค่นี้ ยังพอรับได้

ถ้าความสัมพันธ์ที่เพิ่มเติมเป็นเพียง ‘เพื่อน’ ร่วมงาน ในใจยังพอรับไหว

 

บางอย่างเวลาจะทำให้ ‘ลบเลือน’ ไปเอง

ทำไมเพลงที่ฟังสบาย ๆ มันดูเศร้าเล็กน้อย

 

“เฮ้ย” เฟรมอุทานตกใจ ผมรีบเดินไปที่โต๊ะทำงาน กระป๋องเบียร์คว่ำ เบียร์นองอยู่เต็มโน้ตบุ๊ก หน้าจอค่อย ๆ หรี่...ดับไป เฟรมหน้าเสียเหลือสองนิ้ว เรารีบช่วยกันซับน้ำทำทุกวิธี เพื่อโน้ตบุ๊กแห้ง พรุ่งนี้คงต้องเอาไปให้ฝ่ายไอทีดู ผมไม่อยากพูดอะไรให้น้องเสียใจ โน้ตบุ๊กมันเก่าควรจะเปลี่ยนได้แล้ว ผมปลอบมัน

แต่...

‘เมมโมรี่ ความทรงจำ’ ที่อยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญ ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว ไม่รู้จะ ‘กู้’ คืนมาได้ไหม ต้องลองลุ้นดู

 

ก่อนนอนผมกำลังจะกลับมาฟังเพลงอีกครั้ง เมื่อเปิดไอโฟนขึ้นก็พบกับข้อความที่ถูกส่งเข้ามา

‘ฝันดีครับ รุ่ง พบกันที่ลำปางนะครับ เขนคงไม่ต้องทนเหงาอีกต่อไปแล้ว’

 

อะไร... หมายความว่ายังไง...

ไม่อยากคิด ไม่คิดได้ไหม...

 

ความทรงจำบางอย่างถ้า ‘ลบ’ ได้เหมือน ‘เมมโมรี่’ คอมพิวเตอร์ คงจะดี

จะได้ไม่ถูก ‘กู้’ คืนมาให้ ‘เจ็บปวด’ อยู่ทุกครั้งแบบนี้
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-01-2018 11:36:49
รออีก
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-01-2018 17:06:07
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 31-01-2018 20:24:41
มารอทุกวันค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 01-02-2018 11:44:17
Chapter III

Misunderstanding



 

ผมทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ท้องฟ้าวันนี้ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง มีเมฆเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประปราย กัปตันประกาศลดเพดานการบินพร้อมจะนำเครื่องลงจอด ที่ท่าอากาศยานลำปาง ทำให้เริ่มเห็นพื้นแผ่นดินที่ผมคิดถึงอีกครั้ง

ผมยังคงกลัวความสูง แต่เพราะภาระงานบังคับให้พอจะทำใจเดินทางโดยเครื่องบินได้ ถ้าวันไหนอากาศดีก็มีแค่ช่วงขึ้นกับลงนี่แหละที่ทำให้รู้สึกเสียวเล็ก ๆ ในที่สุดคุณกัปตันที่พูดรัวและเร็วมาก ก็อนุญาตให้เราปลดเข็มขัดนิรภัย หลังจากที่เครื่องจอดสนิทเทียบกับงวงช้าง ที่ยื่นออกมารับผู้โดยสารเข้าไปในตัวสนามบิน

“เฟรม เฟรม” เจ้าเด็กร้ายยังไม่ยอมตื่น ทั้งที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวลงจากเครื่อง ไหนว่าตื่นเต้นขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอเครื่องขึ้นก็หลับ ยังไงของมัน

“เฟรม ไอ้เฟรม” ผมเริ่มเขย่าตัวเด็กนี่เบา ๆ ถ้าไม่ตื่นจะลองถีบดู

เจ้าเฟรมงัวเงียตื่น และเดินตามผมลงมาโดยที่ไม่ลืมเอาเมียที่เก็บไว้ที่ช่องเก็บของเหนือศีรษะมาด้วย คงต้องยกกีต้าร์ตัวนี้ให้มันสักวัน ผมคิด

ขณะที่เข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาจากเกท ผมก็ให้เจ้าเฟรมโทรตามคนที่ไซด์งานที่นัดกันไว้ว่าจะมารับเรา หากปลายสายยังไม่ทันที่จะรับ

“อะนั่นพี่เขน พี่เขน พี่เขน” มันตะโกนแล้ววิ่งนำหน้ารถเข็นไป มาทำไม

“หวัดดีรุ่ง” ร่างสูงทัก ขณะที่ผมเข็นรถตามเข้าไปสมทบ ผมพยักหน้าตอบ

“พอดีรถที่ไซด์งานก่อสร้างพาลูกค้าไปดูงานข้างนอก เขนเลยอาสามารับ” พระเอกจริง ๆ ผมคิดในใจ

“เฟรมเอากีต้าร์มาด้วยเหรอ ดีไว้เล่นให้พี่ฟังบ้าง”

“ของพี่รุ่ง” เฟรมรีบตอบ ก็กอดไว้ซะขนาดนั้น ใครจะคิดว่าของผม

“รุ่งเล่นกีต้าร์ได้ด้วยเหรอ นึกว่าเล่นแต่กลอง” มันไม่ใช่ประโยคคำถามใช่ไหม ผมจึงเพียงยิ้มตอบกลับไป

“มาเขนช่วยเข็นรถ” เขนจึงรับหน้าที่เข็นรถเข็นไปที่รถแทน ขณะที่เด็กร้ายคุยจ้อไปตลอดทาง

โรงแรมที่ผมกับเฟรมพักใกล้กับไซด์งานก่อสร้าง กว่าจะได้พักที่นี่ต้องปฏิเสธเสียงอ้อนวอนของเด็กร้ายกับเขนที่จะให้ไปพักที่บ้านเช่าของเขนอยู่นาน ก็จองแล้วจะยกเลิกไม่ได้ ผมยังคงยืนยันในหลักการ และเหตุผล

 





เมื่อมาถึงไซด์งานโปรเจคก็เริ่มดำเนินตามแผนที่วางไว้ ผู้รับเหมาที่เลือกไว้เข้าไซด์งานกับผมทันที แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นก่อนที่งานตกแต่งจะเริ่ม

‘ให้มันได้อย่างนี้สิวะ’

ผมร้องในใจ ผมให้ผู้รับเหมากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาดูแผนงานที่น่าจะต้องปรับเปลี่ยนอีกที ต้องคุยกันภายในก่อนเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดแต่อย่าให้เกิดจะดีที่สุด

“เฟรมนัดประชุมกับฝ่ายก่อสร้าง โครงสร้างจริงมันไม่เหมือนแบบที่ให้เรามา” ผมเริ่มเครียดตั้งแต่วันแรก

“นัดใครพี่เขนเหรอพี่” เฟรมยังคงเบลอ ๆ เพราะมาถึงวันแรกเราก็ทำงานกันเลย งานโปรเจคก็อย่างงี้เตรียมใจไว้

“อืม ทั้งทีมนั่นแหละ พี่รอที่ห้องประชุม ถ้าทีมเขาพร้อมเมื่อไหร่ให้เข้ามาได้เลย” ผมเดินถือแบบก่อสร้างไป ขณะพี่เฟรมยังดูงง

“รุ่งมีอะไรเหรอครับ” คนตัวโตเข้ามาเป็นคนแรก ตามมาด้วยเฟรม และทีมฝ่ายก่อสร้างอีกสามคน

“ผมดูโครงสร้างจริงกับผู้รับเหมาเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนแบบที่ทางคุณให้ผมมาออกแบบ” ผมเลื่อนแบบที่มีปัญหาให้เขาดู

“ในแบบไม่ได้มีเสาตั้งอยู่ตรงโซนนี้ ตอนออกแบบก็คิดมาให้โล่งกว่านี้ เพื่อเปิดรับวิวภูเขาด้านหลัง” ผมเริ่มอธิบายคอนเซปต์หลักของโปรเจค

“ผมก็เสนอกลับไปแล้วไงครับ ว่าที่ปรึกษาแนะนำว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะรับน้ำหนักไม่ได้” เขาตอบ

“แต่ทำไมแบบที่ผมได้มายังเป็นแบบเดิม ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน” ผมไม่ยอม

แล้วประเด็นนี้ก็ถูกถกเถียง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามเหตุผลของต่างฝ่ายที่มี อย่างที่ผมเคยบอกพี่บลูไว้ว่าผมต้องสั่งซื้อคลังแสงอาวุธมาสะสม เพื่อมารบเต็มขั้น

คนที่ต้องคุมคอนเซปต์ภาพรวม กับคนที่ต้องลงรายละเอียดมักมองต่างมุมกันเสมอ คราวนี้ไม่มีกรรมการห้ามทัพเวลาที่ใช้จึงยืดยาว พร้อมทั้งยังหาข้อสรุปไม่ได้ เขนเถียงจนหน้าขาว แดงขึ้น แดงขึ้นด้วยอารมณ์ โมโห แล้วประโยคสุดท้ายก็ตะโกนออกมา

“เออ จะทำอะไรก็ทำ จะคอยดู” แล้วก็เดินหนีออกไป กระแทกประตูดังโครม โชคดีที่เป็นออฟฟิศชั่วคราวจึงเป็นแค่ประตูไม้อัด ไม่ใช่กระจกที่ต้องกลัวแตกร้าวเสียหาย แต่นั่นก็ทำให้คนทั้งไซด์รู้ว่าผมกับ ‘เขา’ มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรก

“เฮ้อ...”ผมถอนหายใจขณะที่ทีมฝั่งเขาออกไปหมด เฟรมทำหน้าเหวอ แบบคนไม่เคยเห็นสนามรบ

“กลับเฟรม ไปทำต่อที่โรงแรม คงต้องปรับแผน รอเปลี่ยนโครงสร้างโซน AF” ผมเก็บของเดินออกจากห้อง คนในไซด์แอบมองผมกันใหญ่ เชื่อว่าเป็นเพราะไอ้หล่อนั่นตะโกน ผมคงดังชั่วข้ามคืนแน่ ๆ

 







ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มีประชุมติดตามงานวันเว้นวัน ผมลงสนามรบกับไอ้คุณชายทุกครั้ง ได้บาดแผลคนละแผลสองแผล ถ้าวันไหนที่เขาชนะ ด้วยการต้อนผมให้จำนนด้วยเหตุผล วันนั้นจะไม่เสียเลือดเสียเนื้อกันเท่าไหร่

ในทางกลับกัน

ถ้าวันไหนที่เขาให้เหตุผลผมไม่ได้ ผมก็ชนะ ซึ่งก็เกือบทั้งหมดของการรบ ซึ่งผมมีประสบการณ์ทำงานมามากกว่า ชื่อของผมจึงดังกระฉ่อน เพราะไอ้หล่อมันตะโกนฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว โดนไปตาม ๆ กัน ตั้งแต่ผู้รับเหมายันแม่บ้าน

จนผมสังเกตว่าเวลานัดประชุมทีไร พนักงานที่ออฟฟิศชั่วคราวจะอยู่น้อยลง น้อยลงทุกที ส่วนตัวผมเองรู้สึกพอใจ เพราะงานส่วนใหญ่สามารถเดินไปได้ตามแผน จะได้บ้างเสียบ้างก็เป็นเรื่องปกติในการรบ หลักสำคัญคือ ควบคุมจุดยุทธศาสตร์ให้ดี อย่าให้เพลี่ยงพล้ำ ก็เท่านั้น

ผมคงติดเกมส์มากไป ความเป็นจริงเราก็ไม่ได้อยู่สนามรบหรอก ก็ห้องทำงานดี ๆ นี่เอง แต่บรรยากาศมันให้ ยิ่งตอนต้องปะทะกับรถถังอย่างไอ้หล่อ

ใจจริง ผมก็ยอมรับว่าก็มีบางเรื่องที่ผมคาดผิดเหมือนกันในรายละเอียดเล็กน้อยที่เขามักจะมองเห็นมันเสมอ มันก็เป็นข้อดีของการทำงานกับคนที่ ‘มองต่างมุม’ มัน ‘เติมเต็ม’ ส่วนที่ขาดซึ่งกันและกัน แล้วงานภาพรวมจะออกมาดี

ส่วนเจ้าเฟรมเริ่มชินชากับบรรยากาศการทำงานมากขึ้น เพราะสามอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากโรงแรมกับไซด์งานเรายังไม่เคยออกไปไหนเลย ทุ่มกับงานตลอดเจ็ด วัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงจริง ๆ ซึ่งมันเป็นช่วงรอยต่อของแผนของทั้งสองฝ่าย ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ก็เหลือแค่ควบคุมผู้รับเหมาให้ดำเนินการตามแผน แล้วคอยเคลียร์ปัญหาที่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง

 







เป็นไปตามคาด

คนทั้งไซด์หายไปจนเกือบร้าง วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟสแรก ก่อนที่ผู้รับเหมาจะเตรียมเข้าพื้นที่เพื่อเร่งทำงานอย่างเต็มที่ ผมให้เฟรมไปดูหน้างานกับผู้รับเหมา เลยต้องมาคนเดียว

ไม่น่ากลัวหรอก หมอนั่นแค่โกรธแต่ก็ไม่ถึงจะฆ่าผมให้ตาย ผมว่าช่วงท้าย ๆ เขาก็อ่อนลงมาก คงเริ่มชินกับลักษณะงานมากขึ้นเหมือนเฟรม เริ่มรับฟัง และเปิดใจได้มากขึ้น แต่เรื่องควบคุมอารมณ์ผิดหวัง เมื่องานไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ยังตกอยู่ อาจจะเพราะเขาแสดงอารมณ์เก่ง เลยโกรธง่าย

ผมค่อย ๆ ผลักประตูห้องประชุมมันใกล้พังมิพังแหล่ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเพราะเขานั่นล่ะ คงต้องให้คนทำพังมาซ่อมคืน ผมคิดเพลินจนลืมมองว่าคนที่แอบนินทาในใจมานั่งรอ อยู่ก่อนแล้ว

“หวัดดีรุ่ง เฟรมไม่มาเหรอ”

“อืม ออกไปดูผู้รับเหมา ต้องรอทีมคุณก่อนไหม” ผมถามกลับ

“ไม่ต้องหรอก เริ่มคุยได้เลย พวกมันพร้อมใจกันป่วยหมด สงสัยกลัวผมจะฆ่าพวกมัน” ผมสำลักน้ำลาย ฝืนยิ้มออกไป ก็รู้ตัวนี่นะ

เราใช้เวลาไม่นานสรุปแผนทั้งหมดในเฟสนี้ และเริ่มวางตารางเวลาคร่าว ๆสำหรับเฟสต่อไป

“เขนดีใจนะ ที่งานออกมาใช้ได้” เขาบอกหลังจากที่เลิกประชุม

“ไม่หรอก” ผมพูดหน้านิ่ง เขาดูเอ๋อ เอ๋อ เหมือนเสียความมั่นใจ

“ออกมาดีมาก ๆ เลยทีเดียว เผลอ ๆ จะดีที่สุดตั้งแต่ผมทำโปรเจคมาเลย” รอยยิ้มของคุณชายเริ่มกลับมา อย่างที่ไม่เห็นมาสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาเห็นแต่รถถังพุ่งชนตลอด

“ขอบคุณ คุณมากจริง ๆ” ผมยิ้มขอบคุณเขาจากใจ

“รุ่งผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“อะไรเหรอครับ”

“เลิกเรียก เขนว่าคุณสักทีได้ไหม เขนเรียกรุ่ง ว่า 'รุ่ง' มาได้ชาติกว่าแล้วนะ” ผมลืมไปแล้ว งานทำให้ผมลบอะไรบางอย่าง ออกไปได้ช่วงระยะหนึ่ง

“ผมไม่ชิน” ผมตอบ ทั้งที่ความในใจกลับตรงกันข้ามกับคำตอบ

“ไม่เป็นไร นานไปก็ชิน วันนี้เลิกเร็วรุ่งไปกินข้าวกันไหม เขนมีร้านอาหารเหนืออร่อยแนะนำ รุ่งได้ออกไปไหนบ้างรึยัง”

“เอ่อ ยังเลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ได้ แต่ผมต้องรอเฟรมก่อน” ผมเตรียมกันชน

“แต่รุ่งต้องรอเฟรมก่อน ต้องพูดอย่างนี้สิ พูดตามจะได้ชินสักที” เขาบังคับให้ผมพูด

“รุ่งต้องรอเฟรมก่อน”

“ดีมาก งั้นไปตามเฟรมกัน” เขาลากผมออกไป ถ้ามีใครมาเห็นตอนนี้ ซึ่งความเป็นจริงคือไม่มี ก็คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกว่าไปสงบศึกกันตอนไหน

 





ทุกคน ‘เข้าใจผิด’ ว่าเราทะเลาะกัน โกรธกัน และน่าจะเกลียดกันน่าดู

ทั้งที่จริง ทำไมผมจะไม่รู้ ว่า...

‘เขา’ คนนี้โกรธง่ายหายเร็ว

‘เขา’ คนนี้แบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้

‘เขา’ คนนี้ไม่เคยโกรธผม แต่กลับโกรธตัวเอง ที่งานไม่เป็นดังคาด

 

ผมรู้ว่าผม ‘เข้าใจ’ เขามาตลอด และรู้ว่าเขาก็ ‘เข้าใจ’ ผมเหมือนกัน

แค่ผมแกล้งลืมเลือน…บางอย่างไปเท่านั้น

 

อาหารนอกโรงแรมมื้อแรกทำให้เฟรมตื่นเต้นไม่หยุด

“โห พี่เขนนี่อะไรอะ เหมือน หม่ำบ้านเราปะ?” เฟรมใช้ส้อมจิ้มอาหารที่หน้าตาคล้าย ไส้กรอกขึ้นมา

“เปล่า นี่เรียกว่าไส้อั่ว นี่ไงรุ่ง ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ลองดูไหม?” เขาไม่รอคำตอบ จัดแจงตักอาหารทุกอย่างที่พูดถึง ใส่จานข้าวผม

“อ้าว...รุ่ง” เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม

“ปากเลอะอะ กินดี ๆ นะ เคี้ยวเยอะ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวย่อยยาก” ผมรู้สึกอึ้ง

"........................................"

“นี่พี่เขน อยู่จนเป็นคนพื้นที่แล้วสิ กินอาหารเหนือเนียนเลย ได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่าพี่?” เขาขมวดคิ้วคำนวณเวลา

“คราวก่อนที่กลับกรุงเทพฯ ก็ครั้งเข้าไปประชุมกับรุ่ง ก็ไม่ได้เข้าบ้านรีบไปรีบกลับงานมันเร่ง แต่คิดถึงรุ่งเลยขอกลับไปเห็นหน้าหน่อย” เขาหันมายักคิ้วให้ ผมกลืนน้ำลาย เล่นอะไรของเขา

“นี่ก็น่าจะสามเดือนกว่า เกือบสี่เดือนแล้ว” ยังเนียนพูดต่อ ผมก็จะเนียนไม่สนใจเหมือนกัน

“ป่านนี้แฟนพี่ไม่ลืมหน้าพี่ไปแล้วเหรอ ระวังงานรุ่ง แต่รักไม่รุ่งนะพี่” เฟรมแซว แอลกอฮอล์คงทำให้คึกคักขึ้น

“ใครบอกว่าพี่มีแฟน” เขาหันไปถามเฟรม

“อ้าวก็...” ผมเคยบอกเจ้าเฟรมว่า ‘ที่เขนดุขึ้น หงุดหงิดง่าย คงเพราะคิดถึงแฟนที่บ้าน’ ปลอบใจน้องมันที่เห็นว่าเขนเปลี่ยนไป

ผมรีบส่งสายตาดุไปทางเฟรม เขนมองตามสายตาที่เฟรมมองผมกลับมา งานเข้าสิครับ

“เอ่อ... ก็เห็นวันนั้น ก่อนมาลงพื้นที่ คุณยังคุยโทรศัพท์กับสาวหวาน ๆ อยู่” ผมตอบเสียงอ่อย ไม่น่าเล่าให้เจ้าเฟรมฟังเลย... เขนทำท่าครุ่นคิด

‘เฮ้ยไม่เครียดขนาดนั้น มีก็มี ไม่มีก็ไม่มีสิวะ’ ผมคิดในใจ

“จำได้แล้ว น้องจอย ญาติเขนที่มาเรียนกรุงเทพฯ อะ ไม่ใช่แฟนหรอก” อืมใช่ชื่อนั้น ทำไมผมจำได้ด้วยวะ

“อย่าว่าแต่แฟนเลย แค่จะเริ่มบอกเขาว่าพี่ชอบเขา พี่ยังไม่ได้บอกเลย”

 

มองใคร มองมาทำไม ดวงตาของเขาเศร้าจนผมอึดอัด

 

“ก็ยังดีพี่ ผมนี่ยังหาคนที่ชอบไม่ได้เลย นี่ยังมีแค่น้องกีต้าร์อยู่เลย” ใช้ได้เลยไอ้น้อง ผมกดไลค์เบา ๆ บรรยากาศที่อึดอัดค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องดนตรี

สักพักคนที่กรำงานอย่างหนักมาเกือบทั้งเดือนก็ต้องรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อน เขนมาส่งผมกับเฟรมที่โรงแรม ก็เด็กร้ายมันเมาไม่เป็นท่า ไอ้นี่เป็นพระเอกได้แป๊บเดียว สักพักก็เป็นผู้ร้าย หลังจากที่เขนแบกเฟรมไปนอนที่เตียง ผมก็เดินมาส่งเขาที่หน้าประตูห้อง

“ขอบคุณ คุณมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมตั้งใจกล่าวลา

“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ พูดให้ชิน” เขาบังคับอีกครั้ง

อ้าวยังไม่ลืมอีกเหรอ เห็นว่ามึน ๆ พอกันกับเฟรม มีผมคนเดียวที่ไม่ได้กินเบียร์นั่น

“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมออกจะเก้อ ๆ เมื่อต้องพูดออกไป

“รุ่ง... เขนไม่มีใครจริง ๆ นะ อย่าเข้าใจผิด” สายตาจากเขาที่ส่งมาระยิบระยับมากกว่าปกติ

“เอ่อ...อืม” จะให้พูดยังไงเล่า ตัวช่วยก็สลบเหมือดไปแล้ว ผมเริ่มรู้สึกร้อน ๆผะผ่าวที่ใบหน้า

“รุ่งเชื่อเขนนะ” เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อคาดคั้นคำตอบ

“อืม เชื่อ ๆ คุณเมาแล้วกลับเถอะ” ผมพยายามตัดบท

“แค่นี้เขนไม่เมาหรอกรุ่ง ขอแค่รุ่งเชื่อเขน มีอะไรไม่แน่ใจก็ถามเขนนะ เขนไม่อยากให้รุ่งเข้าใจผิด” ตอนนี้นอกจากใบหน้าที่รู้สึกร้อน ผมยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างชัดเจน

“ผมเชื่อคุณกลับเถอะ”

“รุ่งเชื่อเขน ต้องพูดอย่างนี้สิ” ยังบังคับไม่เลิก

“รุ่งเชื่อเขน ทีนี้กลับนะ พรุ่งนี้ยังมีงานอีก” คนที่บอกว่าตัวเองไม่เมายิ้มเอ๋อ

“อืม จะไปแล้ว เออ... รุ่งเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ทำงานได้ไหม ไปงานวันเด็กกับเขนหน่อย” รถถังพ่นไฟจะไปงานวันเด็ก นี่นะไม่ได้เมา

“งานวันเด็กที่ไหน เขนไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมตอบขำ ๆ เริ่มมั่นใจว่าเมาจริง

“ที่บริษัทครับ ไปจัดงานวันเด็กที่เชียงราย ไปเป็นเพื่อนเขนหน่อย รุ่งจะได้ไปเที่ยวด้วย” อ๋อยังพูดรู้เรื่อง

“ขอดูงานก่อนแล้วกัน” ขอแบ่งรับแบ่งสู้ก่อน ถ้าปฏิเสธไปคงไม่กลับแน่

“งั้นพรุ่งนี้เขนมารอฟังคำตอบนะ ราตรีสวัสดิ์ครับรุ่ง”

 

เขายกนิ้วสองนิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเอง และมาแตะลงบนริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป สมองผมหยุดทำงาน แต่หัวใจกลับทำงานอย่างหนักหน่วงเต้นถี่รัวใกล้จะระเบิด

 

มันกลับมาอีกแล้วความรู้สึกนี้… ความรู้สึกที่ ‘เก็บ’ มานาน

 

ถูก ‘กู้’ กลับคืน

ด้วยปลายนิ้วเพียงสองนิ้ว





หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-02-2018 12:28:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-02-2018 14:57:19
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 02-02-2018 11:53:03
Chapter IV

Wish



 

สายลมเย็นพัดกระหน่ำเต็นท์สีแดงเข้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างที่พร่างพรม ทำให้ผมสะดุ้งตื่น ด้วยความหนาวเหน็บ เมื่อกวาดตาดูรอบ ๆ ตัว ก็เริ่มคุ้นเคยกับที่พักแรมเมื่อคืน

กว่าจะรอให้ 'รุ่ง' เลิกงานก็เกือบสามทุ่ม ทำให้ผมต้องเหยียบคันเร่งมาด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อตามมางานวันเด็กที่เชียงรายให้ทันในเช้าวันนี้ กว่าจะมาถึงงานก็ปาไปเกือบตีสาม แล้วจึงแยกย้ายกันเข้าพักตามเต็นท์ที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้า

ในขณะที่เฟรมยังหลับสนิทคุดคู้ขดเป็นกุ้งอยู่ข้าง ๆ ผม หากแต่ถุงนอนที่ถัดไปจากเฟรมกลับว่างเปล่า ผมจึงรีบออกมาจากเต็นท์เพื่อหาเจ้าของถุงนอน

“รุ่ง ทำไมตื่นเช้าจัง” ผมพบเขานั่งที่โต๊ะไม้ข้าง ๆ เต็นท์ที่พักไม่ไกล

“อรุณสวัสดิ์เขน” เขาหันหน้ามาทางผม พร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มไปด้วยแสงแรก ของพระอาทิตย์

“เรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นอะ เขนมาดูสิเพิ่งขึ้นเอง”

 

หวาน... หวานจนผมพูดไม่ออก

หวานจนหัวใจของผมเต้นจังหวะถี่รัว เกือบจะหยุดทำงานกะทันหัน

หวานจนทะเลหมอกและพระอาทิตย์สีกุหลาบด้านหลัง แทบจะกลายเป็นภาพขาวดำ จนกระทั่งเขาเบือนหน้าหันกลับไป หัวใจของผมจึงค่อย ๆ กลับมาทำงานปกติอีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจก้าวเดินต่อ ไปยืนอยู่หลังโต๊ะไม้เงียบ ๆ เพราะไม่อยากรบกวนดอกทานตะวันที่กำลังเหม่อมองดวงอาทิตย์อย่างหลงรักสุดหัวใจ

“สวยมากเลยนะเขน” เจ้าดอกทานตะวันเฝ้ารำพัน

“อืม สวย หวานจริง ๆ” คนถามไม่ได้หันกลับมาเห็น คนตอบที่ไม่ได้หลงใหลใฝ่ฝันในสิ่งเดียวกัน เราทั้งสองคนต่างเงียบ เพื่อชื่นชมความงามที่ต่างกันออกไป...

เมื่อดอกทานตะวันอาบอิ่มแสงอาทิตย์จนเต็มที่ จึงหันกลับมามองผมบ้าง

“เขนก็ตื่นเช้านะ” ผมอยากตอบว่า ผมตื่นตั้งแต่เห็นแสงแรกจากพระอาทิตย์จากในตา 'รุ่ง' แล้ว อย่าเรียกว่าตื่น เรียกว่าถูกปั๊มหัวใจให้เต้นขึ้นอีกครั้งเลยก็ว่าได้

“เฟรมล่ะ” รุ่งเอียงหัวน้อย ๆ มองที่เต็นท์

“รายนั้นน่าจะอีกนาน ยังหลับสนิทอยู่เลย รุ่งหิวหรือยัง ไปเดินดูทางโน้นไหม เผื่อมีอะไรกิน” ผมชวน พร้อมรีบพารุ่งเดินออกมาจากโซนที่พัก ก่อนที่กันชนของรุ่งจะตื่นมาปฏิบัติหน้าที่ ผมคงต้องหาอะไรให้เจ้าเฟรมทำ เพื่อจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองให้นานที่สุด







แผนของผมสำเร็จด้วยการดึงให้เฟรมไปเล่นกีต้าร์ และร้องเพลงกับเด็ก ๆ แล้วลากรุ่งมาช่วยอีกทีมที่กำลังจัดซุ้มของขวัญให้เด็ก คนที่ถูกลากมาเริ่มเข้าโหมดเคร่งขรึมโหมดประจำของเขา เมื่อต้องมาจัดการกับของขวัญกองโตเกือบสามพันชิ้น สมองในหัวสวย ๆ คงเริ่มคิดหนักกับการจัดการของขวัญ

มีสักเรื่องไหม...ที่จะไม่ซีเรียส ผมหละขำ

เขาเป็นคนตั้งใจกับงานทุกอย่าง จนทำให้สีหน้าที่แสดงออกมาติดจะเครียด และกังวลอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่ถ้าเขายิ้มเพียงสักนิด พระอาทิตย์ก็พระอาทิตย์เถอะ แทบจะดับสูญไปเหมือนช่วงเวลาเมื่อตอนเช้า

เรามาทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนที่ศูนย์การค้าไปตั้งอยู่ คล้าย ๆ กับค่ายอาสาที่ทำตอนอยู่มหาวิทยาลัย จะแตกต่างกันก็ตรงที่มีบริษัทสนับสนุนอย่างเป็นทางการ แล้วให้พนักงานอาสามาช่วยกันทำความดีตอบแทนสังคม

ช่วงสาย ๆ ใกล้เวลาเก้าโมงเช้า เราเพิ่งจะแกะของขวัญออกมาจากกล่องใหญ่ และถุงซึ่งแพ็คของขวัญของเด็ก ๆ แบบที่รวม ๆ กันมา และต้องทำการแจกจ่ายของพวกนี้ช่วงบ่าย หลังจากที่เด็ก ๆ ได้เล่นเกมส์ ฟังดนตรี และกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ทีมเราจึงเหลือเวลาเพียงสามชั่วโมง ที่จะเรียงของขวัญกว่าสามพันชิ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เรียงแยกประเภท เพื่อทำการจับสลากของขวัญ เหมือนที่หลาย ๆ งานทำกันโดยทั่วไปอย่างที่ผมเข้าใจ

“มันเป็น Wish List อะ เขน” รุ่งกำลังอธิบายให้ผมฟังอีกครั้ง หลังจากที่ได้ประชุมกับทีม อย่าถามผมว่าทำไมต้องอธิบายให้ฟังอีกครั้ง ก็เมื่อกี๊ผมเฝ้ามองแต่ใบหน้าหวานนั่น จนแทบไม่ได้ยินอะไรเลย

“แบบว่า พี่เขามาเก็บข้อมูลแล้วว่าในวันเด็กเนี่ย น้องแต่ละคนต้องการของขวัญอะไร แล้วก็ไปหาซื้อมาให้ตรงกับของที่น้องอยากได้” รุ่งพยายามอธิบาย อย่างใจเย็น

“แล้วพอตอนจะแจกก็ต้องแจกของขวัญให้ตรงกับเด็ก ๆ แต่ละคน เราก็ต้องเรียงของขวัญตามหมายเลขประจำตัวน้อง ตอนน้องมารับจะได้รับของขวัญที่ขอไว้”

“หมายความว่าเราต้องจับคู่เด็กกับของสามพันชิ้นเหรอ” ผมย้ำความเข้าใจ ก็ว่าถึงดูเคร่งเครียดกันนัก รุ่งพยักหน้าในขณะที่ใบหน้ามีร่องรอยความกังวลฉายชัด

“โอเค เข้าใจละ รุ่งให้เขนทำอะไรบอกมาเลย” รุ่งดูตกใจ

“อ้าวไม่ช่วยกันคิดก่อนเหรอ” คิ้วเริ่มชนกันถาวร

“ไม่คิดอะ เขนมาใช้แรงงาน” ให้รุ่งสั่งดีกว่า ผมจะได้เนียนอยู่ด้วย โดยแกล้งทำว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วเราก็แบ่งทีมเป็นทีมละสองคนเพื่อจัดเรียงของขวัญตามเลขประจำตัวนักเรียน แยกตามห้อง แยกตามระดับชั้น โดยคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างผมก็ต้องจับคู่กับคนที่ทำหน้าที่วางแผนและแบ่งงาน ทีมของเราได้เด็กชั้นประถมปีที่สาม ซึ่งรุ่งเริ่มลงมือเรียงของขวัญเงียบ ๆ ส่วนผม เมื่อมีตัวอย่างที่ดี ก็แค่ทำตาม

“รุ่ง ทำไมตอนเด็ก ๆ ไม่มีใครมาถามเขนอย่างนี้บ้างนะ ว่าอยากได้อะไร” ผมมองรถบังคับบิ๊กฟุตสีแดงที่ถือในมือ

“เขนโตแล้ว อิจฉาเด็กรึไง” รุ่งเลิกคิ้วแล้วอมยิ้ม

“แค่เขนคิดว่าวิธีนี้ก็ดีนะ ดีกว่าจับสลากหรือเซอร์ไพรส์ มันไม่ได้ของที่อยากได้จริง ๆ”

“ก็จริงนะ มันเป็นวิธีที่ตอบความต้องการ ความปรารถนา ทำความฝันให้เป็นจริง” รุ่งเริ่มคล้อยตาม และเหม่อมองหุ่นยนต์เบ็นเท็นในมือ

“วันเด็กปีหน้า เขนจะเขียน Wish List บ้างอะ” ผมพูดจริงจัง

“แล้วจะส่ง Wish List ของเขนให้รุ่ง รุ่งต้องหาของขวัญให้เขนนะ”

“อืม อะไรนะ” รุ่งเพิ่งออกจากภวังค์

“รุ่งรับปากแล้ว เขนคิดก่อนว่าอยากได้อะไร” ผมรีบฉวยโอกาสไว้ ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนประเด็น

“ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List” ผมถามเพราะอยากรู้จริง ๆ คิ้วของรุ่งจึงกลับมาผูกโบกันอีกครั้ง

หนึ่งนาที...ผ่านไป สองนาที...ผ่านไป สามนาที...ผ่านไป

“อยากนั่งรถไฟ” รุ่งตอบ

“ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเหรอ” ผมสงสัย

“ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ” ผมยังงง ๆ อยากได้ แค่นั้นเองหรือ

“อ้าว เขนเรียงผิด ถึงเลขอะไรแล้วนี่” ผมมัวคุยเพลิน จึงต้องรีบกลับมาไล่เรียงของขวัญห้อง 3/3 ใหม่ ทำให้ไม่เห็นอีกคนที่พยายาม ‘เก็บ’

Wish List... สิ่งที่ปรารถนาที่สุด

ที่ไม่มีทางหวนกลับมาอีกแล้ว

จึงเลือกตอบเพียงแค่สิ่งที่ต้องการ มันคงดี ถ้าได้นั่งรถไฟ ชมวิวบรรยากาศเหมือนที่เห็นเมื่อเช้า ในเมื่อสิ่งที่ปรารถนาที่สุด ดีที่สุด มันไม่มีทางเป็นจริงได้เลย

 







แทบไม่อยากคิดถึงช่วงบ่ายที่ผ่านมา เราต้องรับมือกับเด็กกว่าสามพันคน ที่มารอรับของขวัญ แม้ทุกคนจะได้ของขวัญตามที่ตัวเองอยากได้ แต่เมื่อตุ๊กตาบาร์บี้สุดหรูที่อยากได้นักหนา มาเทียบกับโดเรมอนตัวโตของเพื่อนก็เปลี่ยนใจร้องไห้ อยากได้ตุ๊กตาตัวโตบ้าง

บางคนได้เครื่องบินบังคับ ก็พอเปิดกล่องของขวัญลองเล่น แต่เมื่อขึ้นบินครั้งแรก เครื่องบินก็ติดลมบนลอยหายไป อ้าวทำยังไงกันล่ะทีนี้ ทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว

รุ่งของผมจึงต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงปลอบเด็กร้องกระจองอแง หาของขวัญจากซุ้มเล่นเกมส์ มาปลอบใจ กว่าจะผ่านไปได้ เล่นเอาอาสาทุกคนหมดแรงไปตาม ๆกัน อาหารมื้อเย็น ของทีมงานก็หมดหายไปในพริบตาเดียว

เราจึงมานั่งล้อมวงรอบกองไฟ ดื่มเบียร์กระป๋องที่ถูกแจกจ่าย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ในขณะที่อุณหภูมิภายนอกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป

เป็นอีกครั้งที่ เจ้าเฟรม หนุ่มนักดนตรีขวัญใจสาว ๆ รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ในวันนี้ คอพับไปก่อนเพื่อน เพราะทั้งเฟรม และผมต้องดื่มเบียร์ในส่วนของรุ่งไปด้วย และเบียร์ส่วนของรุ่งดูเหมือนจะได้รับมามากกว่าคนอื่นสามเท่า เพราะวันนี้นอกจากเด็ก ๆ ที่ติด 'พี่รุ่ง' แล้ว ชาวอาสายังชื่นชม 'รุ่ง' กันมากจริง ๆ เพราะเป็นทั้งคนคิดแผนการจัดของขวัญ แก้ไขปัญหาเด็กงอแง

เล่นเอาพนักงานศูนย์การค้าภาคเหนือซึ่งเป็นแฟนคลับของผมเปลี่ยนใจไปกันหมด เบียร์ที่เหลือนั่นก็ได้มาจากแฟนคลับของรุ่ง เสน่ห์แรงเหลือรับจริง ๆ จนผมเริ่มหนักใจ

“เฟรม เขน ไปนอนได้แล้ว ถ้าไม่ไหวเหลือก็เหลือ ไม่ต้องกินหรอกทิ้งไปเถอะ” รุ่งมองเบียร์ที่เหลืออีกหลายสิบกระป๋องจากแฟนคลับของเขา กับหนุ่มน้อยเฟรมที่เมาฟุบลงไปกับโต๊ะ

“เขนยังไหวไหม คงต้องลากเฟรมกลับ” ผมพยักหน้า ในขณะที่โลกผมหมุนเล็กน้อย

เราหิ้วปีกเจ้าเฟรมกันคนละข้าง โดยมีรุ่งเป็นคนนำทางเพื่อกลับไปเต็นท์ที่พักด้วยความทุลักทุเล แล้วไอ้เด็กร้ายที่รุ่งเรียกก็ร้ายสมชื่อ มันอาเจียนอยู่ข้างเต็นท์ที่พัก เล่นเอาผมเกือบสร่าง

“ก็ยังดีที่ไม่เข้าไปปล่อยในเต็นท์ เขนดูเฟรมก่อน เดี๋ยวรุ่งไปหาผ้าชุบน้ำมา” พูดเสร็จรุ่ง ก็เดินกลับไปโซนรอบกองไฟอีกครั้ง

ผมจึงลากเจ้าเฟรมเข้ามาในเต็นท์ก่อน ให้มันแลกที่นอนกับผมเมื่อคืนก็แล้วกัน เหม็นขนาดนี้ให้นอนข้างรุ่งเดี๋ยวรุ่งนอนไม่หลับกันพอดี

เสร็จเรียบร้อยผมจึงนั่งหมดแรงอยู่ข้างเฟรม ลำพังลากมันเข้ามาไม่เท่าไหร่ แต่ความเพลียที่สะสมมาตั้งแต่ขับรถเมื่อคืน ตื่นเช้ามาเฝ้าดอกทานตะวัน รบกับของขวัญ และเด็กสามพันคน ผสมด้วยแอลกอฮอล์ที่เริ่มจะออกฤทธิ์ ทำให้หนังตาของผมเริ่มค่อย ๆ หรี่ลงใกล้ปิด







ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อมีคนกำลังเข้ามาในเต็นท์ และแว่วๆ เสียงของเฟรมที่โวยวายอยากจะนอน รุ่งคงกำลังดูแลเช็ดหน้าเช็ดตาให้เฟรม จิตสำนึกของผมกระตุ้นให้ไปทำหน้าที่นั้นแทน ไม่อยากให้รุ่งต้องอยู่ใกล้ใคร แม้แต่เฟรมก็เถอะ แต่ร่างกายกลับ ไม่ยอมรับฟังคำสั่ง จนผมถอดใจปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน เสียงเฟรมที่โวยวายเงียบลง สติของผมก็เลือนราง

อะไรเย็น ๆ ที่หน้า ปฏิกิริยาอัตโนมัติทำให้ผมเบือนหน้าหนี และปัดผ้าเย็นออกจากหน้าตัวเอง แล้วจึงค่อย ๆ รู้สึกถึงมือนิ่ม ๆ ที่จับหน้าผมไว้ไม่ให้หันหนี สติจึงค่อย ๆ กลับมา

“รุ่ง เหรอ” ผมลืมตาขึ้นมามอง

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อนเขน เดี๋ยวเช็ดหน้าให้ คงไปอาบน้ำไม่ไหวแล้วสิ” รุ่งพูดขณะเช็ดหน้าให้ผมต่อไป

“รุ่ง...จ๋า ทำไมถึงดีอย่างนี้คะ” ผมเอื้อมมือจับมือที่กำลังเช็ดหน้าผม

“เอ่อ... เขนเมาแล้ว” ผมคิดไปเองรึเปล่า เหมือนรุ่งกำลังเขิน และรีบดึงมือออกจากมือของผม

“เดี๋ยวรุ่งจะไปอาบน้ำ เขนพักผ่อนเถอะ” รุ่งกำลังจะลุกออกจากเต็นท์ไป

“ไปคนเดียวเหรอ เขนไปด้วย” ผมพยามเรียกสติ ฝืนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

“เขน ไม่ต้องไปหรอก นอนเถอะ” รุ่งต้องรีบเข้ามาประคองผมที่ใกล้จะล้ม

“ไม่เอาเขนจะไปด้วย ไหว” ผมพยายามยืนให้ตรง

“เขนจะอาบน้ำเหรอ” ผมรีบส่ายหัว

“เปล่า ไปเป็นเพื่อน เขนไม่ทิ้งรุ่งไปคนเดียวหรอก ไม่มีวันทิ้งรุ่งหรอก”

“เขน...” ผมยืนนิ่ง รุ่งไปไหน ผมไปด้วย

“งั้นรอตรงนี้ ที่โต๊ะนี่แล้วกัน” รุ่งชี้ไปโต๊ะที่เราดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปห้องน้ำ และไม่ห่างจากที่พัก

“ห้องน้ำอยู่ไม่ไกล ถ้าเขนรอ ก็รอตรงนี้นะ” เขายิ้มน้อย ๆ ให้ผม แม้จะไม่หวานจับใจเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็ทำเอาหัวใจของผมแทบจะละลาย

“ครับเขนจะรอรุ่งอยู่ตรงนี้ จนกว่ารุ่งจะกลับมา” ผมทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะไม้

“.................................................” รุ่งค่อย ๆ หันหลัง และเดินออกไป

 

ผมมองตามไป เป็นเพราะสติที่รางเลือนของผมรึเปล่านะ?

ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า รอยยิ้มนั้นมันช่างแสนเศร้า...เหลือเกิน

 

เวลาไม่เคยหมุนกลับ เวลาทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลง

 

แต่ทำไม บางอย่างกลับเหมือนเดิม

มันเป็นความจริง หรือความฝัน

 

เหตุการณ์ บาง...เหตุการณ์ คำพูด บาง... คำพูด

มันเหมือนย้อนวนซ้ำรอยเดิม

 

มันจุดประกายความหวัง ‘ความปรารถนา’ สิ่งที่ ‘หัวใจ’ ปรารถนาที่สุด...

แต่ ‘สมอง’ กลับคิดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ บอกกับตัวเองว่า

มันไม่มีทางเป็นจริงได้เลย...





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-02-2018 12:05:49
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-02-2018 13:17:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 03-02-2018 10:23:55
Chapter V

Reason

 



ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่แสนจะอ่อนเพลียมาก ๆ เพราะผมต้องฝืนบังคับร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็หัวใจของผมมันดันไปถึงที่ไซด์งานแล้วน่ะสิครับ เมื่อวานผมขับรถกลับมาจากเชียงราย ตอนสาย ๆ มาถึงลำปางก็บ่ายมากแล้ว กว่าจะแวะไปส่งรุ่งกับเฟรม แล้วก็โดนไล่กลับมานอน

ผมนอนหลับไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กินข้าวเย็น เหนื่อยจริง ๆ ครับ ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ตั้งใจจะชวนรุ่งไปพักผ่อน หลังจากที่กรำงานหนักในงานเฟสแรก

แต่ก็คุ้ม... ผมยังจำรอยยิ้มที่แสนติดตาตรึงใจของดอกทานตะวันยามเช้าได้ชัดเจนราวกับว่าผมเคยเห็นภาพนั้นมาก่อน ถึงจะเคย หรือไม่เคยเห็นมาก่อน...

แต่ผมสาบานว่า ผมจะทำทุกทางเพื่อให้ได้เห็นมันไปตลอดชีวิต

 





ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมงัดเอารายชื่อร้านอาหารที่มีทั้งหมดในจังหวัดลำปางมาสลับสับเปลี่ยน ชวนรุ่ง และเฟรมไปลองชิม เจ้าคนหลังนี่ไม่ต้องชวนก็วิ่งตามก้นขวิด ผิดกับคนแรกที่ต้องตื๊อแล้วตื๊ออีก รอแล้วรออีก จนกว่าจะใจอ่อนยอมไปกินข้าวด้วยแต่ละมื้อ

“นี่หมูแดดเดียว ของอร่อยร้านนี้เลย รุ่งกินเยอะ ๆ เขนว่ารุ่งผอมกว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ อีก” ผมบริการตักอาหารต่าง ๆ ให้คนตรงข้าม

“พอแล้วเขน รุ่งน้ำหนักขึ้นเหอะ” รุ่งเคี้ยวแก้มตุ้ย ๆ ในขณะอาหารที่ผมตักให้ยังคงล้นจาน

“จริงเหรอ เอ่อ แต่เขนว่ารุ่งมีแก้มหน่อยจะน่ารัก” รุ่งทำหน้าเพลีย ๆ ไม่รู้เพราะว่าพักผ่อนไม่พอ หรือเพราะที่ผมกำลังจีบเขาซึ่ง ๆ หน้า ใช่ครับ ผมกำลังเร่งเครื่องสุดตัว ไม่เหยียบเบรคอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม

“งั้น ถ้าพี่รุ่งอิ่มแล้ว ผมกินให้เอง” กันชนทำงานอีกแล้วครับ

“แต่เฟรมนี่ ตัวลั่นแน่นอน” จนรุ่งยังอดแซวน้องตัวเองไม่ได้

“ไม่เป็นไรพี่ กลับบ้านคราวนี้ แม่ผมเห็นแล้วจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพี่รุ่ง พี่เขน เลี้ยงผมดี” มันยังพูดไปเคี้ยวไป

“เฟรมจะกลับบ้านเหรอ กลับเมื่อไหร่” ผมดีใจจนออกนอกหน้า

“เสาร์อาทิตย์นี้แหละพี่ แม่ไม่เห็นหน้าผมจะเป็นเดือนแล้ว”

“แล้วรุ่งล่ะ” รุ่งกำลังจะตอบ แต่เซ็นเซอร์กันชนทำหน้าที่ดีเกินไป เจ้าเฟรมจึงชิงตอบ

“พี่รุ่งไม่ได้กลับ ได้หยุดแค่เสาร์อาทิตย์ พี่รุ่งไม่ค่อยชอบขึ้นเครื่องบิน ไงฝากพี่เขนด้วยนะครับ” ที่ผมหว่านเมล็ดพืช โดยการเลี้ยงข้าวเจ้าเฟรมมาตลอดอาทิตย์ เริ่มจะออกผล ผมรู้ว่าตัวเองหุบยิ้มไม่ได้เลย ในขณะที่คู่กรณีทำท่าเหมือนอยากเปลี่ยนกันชนใหม่







บ่ายวันศุกร์ ผมรู้ว่าเจ้าเฟรมต้องรีบเคลียร์งานเอกสารให้เสร็จก่อนกลับบ้าน คนที่เดินตรวจความเรียบร้อยกับผู้รับเหมาประจำอาทิตย์แทนก็ต้องเป็นรุ่ง ปกติผมก็ให้น้องในฝ่ายมาเดิน แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยให้พลาดโอกาสแน่ ๆ

เราเดินตรวจไซด์พร้อมสรุปความคืบหน้าโปรเจคประจำอาทิตย์ งานก่อสร้างก้าวหน้าไปได้มากกว่าแผนที่วางไว้ คิ้วของคนบางคนจึงไม่ชนกันเท่าไหร่ แต่แลดูจะเหม่อ ๆ เพราะคงใกล้จะหมดแรงเต็มที

ทุกคนที่ไซด์ต่างแอบชื่นชม ‘รุ่ง’ อยู่เงียบ ๆ เพราะความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่นในงานของเขาที่ไม่เป็นที่สองรองใครจริง ๆ นับรวมเสน่ห์ความเงียบขรึม ไม่โหวกเหวกโวยวายเหมือนผมเข้าไปอีก สาว ๆ จึงต่างพากันเทใจไปทาง ‘รุ่ง’ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้

หากแต่ความนิ่งเงียบของเขานั่นแหละครับที่ทำให้คนเข้าถึงยาก และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จริง ๆ บางครั้งจึงดูเหมือนว่าเงียบน่ากลัว เรื่องดื้อนี่ก็คอนเฟิร์มได้ คนคิดเยอะเขาจะมีสิ่งที่เขาคิดในใจไว้แล้วเสมอ ถ้าเหตุผลที่เราให้ มีน้ำหนักไม่เพียงพอ ก็อย่าหวังเลยว่าจะเปลี่ยนใจเขาได้ หรือบางครั้งถึงเหตุผลเพียงพอ ก็ยังคงดื้อ ขอลองแบบที่เขาคิดดูก่อน

ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีอยู่เต็มเปี่ยม จนดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยจะเปิดรับ แต่ถ้าทำงานด้วยกันซักพักก็จะรู้ว่าเขาฟัง แต่จะเอาข้อมูลที่ได้จากเราไปวิเคราะห์รวมกับความคิดของตัวเอง แล้วมักจะได้ทางออกที่ดีขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ซึ่งตัวตนของเขาทั้งหมดนั่น เป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากเข้ามาเป็นคนสนิทที่ ‘รุ่ง’ จะเปิดใจให้ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมเขามานาน...โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้....

 





“รุ่ง เย็นนี้ไปส่งเฟรมแล้วมีโปรแกรมไปที่ไหนต่อไหม” ผมถามเขาหลังจากที่เราเดินตรวจไซด์เสร็จแล้ว

“คงไม่แล้วหละ อยากพัก” สภาพ ‘รุ่ง’ ตอนนี้ถ้าเป็นมือถือ ก็เป็นมือถือที่ขึ้นสัญญาณ SOS

“กลับไปพักที่โรงแรมเหรอ มันอุดอู้ น่าเบื่อออก รุ่งเคยไปบ่อน้ำพุร้อนไหม”

“ไม่เคยอะ” ผมรีบใส่ข้อมูลไปในสมองที่กำลังเบลอ

“ที่ลำปางมีอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มีบ่อน้ำพุร้อน ไปอาบน้ำแร่ตอนนี้อากาศกำลังดีเลย ขับรถชั่วโมงกว่าก็ถึง”

“เห็นว่าที่ฝ่ายเขาจะไปเที่ยวกัน รุ่งไปไหม เดี๋ยวส่งเฟรมเสร็จเราขับรถไปกันเลย รุ่งนอนในรถก็ได้”

“ที่ฝ่ายจะไปกันเหรอ” อาการข้อมูลโอเวอร์โหลดแสดงให้เห็นชัดแจ้ง

“เขนได้ยินมาว่า...เขาจะไปกันนะ” ผมรีบปิดการขาย ในขณะลูกค้ายังประมวลผลไม่ทัน

“อืม...ก็ได้ แต่รุ่งขอไปนอนรอในรถนะ ไม่ไหวแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวเขน ไปตามเฟรมก่อน เราจะได้รีบไปกันเลย” สำเร็จ ผมพยายามเก็บอาการดีใจให้แนบเนียนขึ้น

สามทุ่มกว่า ๆ เราก็มาถึงบ้านพักอุทยานหมายเลขสาม “บ้านคำหยาด” ซึ่งอยู่ไกลจากที่ทำการอุทยานมากที่สุด ผมจัดการเลือกด้วยตัวเอง เพราะอยากอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผมปลุกรุ่งที่หลับสนิทตลอดการเดินทาง เพื่อขึ้นไปนอนพักด้านบนบ้าน คนเพิ่งตื่นงัวเงียเดินตามว่าง่ายเป็นลูกเป็ดน้อยเดินตามแม่ แล้วกลับมาหลับสนิทอีกครั้งทันทีที่ล้มตัวลงนอน

“Good Night ครับรุ่ง” ผมบอก ทั้งที่แน่ใจว่ารุ่งคงไม่รับรู้

แค่....อยากจะพูดคำนี้ในทุก ๆ ค่ำคืน

 





หลังอาบน้ำเสร็จ ผมเดินสำรวจรอบบ้านหมายเลขสาม ซี่งเป็นเรือนไม้สองชั้นขนาดเล็ก ชั้นล่างมีห้องน้ำ โต๊ะทานอาหารเล็ก ๆ และทีวีเครื่องจิ๋ว เมื่อเดินผ่านบันไดที่ค่อนข้างชันสู่ห้องโล่งด้านบนที่มีที่นอนขนาดเตียงเดี่ยวปูไว้สามที่ จริง ๆ แล้วบ้านหลังนี้พักได้สามคนครับ แต่กันชนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว

ผมจึงวางกระเป๋าของเราสองคนไว้บนที่นอนที่เหลืออีกที่ ผมหยิบแผ่นพับแนะนำอุทยานแห่งชาติ สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ และการให้บริการ มาศึกษาข้อมูลไว้ก่อนที่ต้องเริ่มโปรแกรม ‘เขนทัวร์’ นี่ครับ ไกด์ก็ต้องศึกษาข้อมูลไว้พาลูกทัวร์เที่ยวในวันพรุ่งนี้ เมื่อวางแผนโปรแกรมทัวร์เรียบร้อย ผมจึงปิดไฟล้มตัวลงนอน และหันหน้าไปทาง ‘รุ่ง’

แม้ในความมืด แต่ใบหน้าหวานกลับชัดเจนในทุกรายละเอียดในใจของผม แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับรุ่งมากขนาดนี้

หากเพราะเขาเป็นคนที่ผมแอบรัก รักมานาน... ครั้งนั้นผมอาจเคยผิดพลาด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ผมจะทำทุก ๆ วิถีทางที่จะได้ส่ง ‘รุ่ง’ เข้าสู่ห่วงนิทราทุก ๆ คืน และตลอดไป

 





“เขน เขน ตื่นเถอะสายแล้ว”

“รุ่งเหรอ” ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งยิ้ม นอกจากเมื่อคืนจะเป็นคืนที่ดีที่สุด เช้านี้ก็ยังเป็นเช้าที่วิเศษที่สุด เมื่อได้ยินเสียงคนที่เรารักปลุก และลืมตามาพบเขาเป็นคนแรก รุ่งอยู่ในชุดใหม่ แสดงว่าน่าจะตื่นได้สักพักแล้ว

“เขน รุ่งไปเดินไปที่ทำการอุทยานมา ไม่เห็นเจอใครที่ฝ่ายเขนเลย เขาพักกันที่ไหนอะ”

“เอ่อ...ที่ฝ่ายเขนเหรอ”

“อืม...ที่เขนบอกว่าเขาจะมาเที่ยวที่นี่กันไง” เอ่อ...เรื่องแตกซะแล้วครับ

“เอ่อ... เห็นว่าเขาชวน ๆ กันว่าจะมา แต่ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่เหมือนกัน” ผมตอบยิ้ม ๆ

“อ้าว เขนไม่ได้นัดกันมาวันนี้เหรอ”

“เปล่า ซักหน่อย เขนบอกว่า เขาจะมากัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมาเมื่อไหร่” ผมตีแบ๊ว

“อ้าว” รุ่งดูงง ๆ ผมรีบฉวยโอกาสดำเนินการตามแผนต่อ

“รุ่ง รอเขนอาบน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า เห็นว่าเขามีไข่ต้มในน้ำพุร้อนด้วย ไปลองกินกัน” ผมขายทัวร์ โปรแกรมแรก แล้วรีบลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำก่อนที่คนแรมต่ำจะประมวลผลทัน

 





‘รุ่ง’ เหมือนจะระแวดระวังมากขึ้น เมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของผม แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ปล่อยให้เลยตามเลย เราจึงเริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวด้วยการไปตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ลองไปต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อน เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แวะนั่งสูดอากาศเย็น ๆ ที่น้ำตกแจ้ซ้อนในช่วงเช้า และมาใช้บริการห้องอาบน้ำแร่ของอุทยานในช่วงบ่าย เรียกความสดชื่น เติมพลังชีวิตกลับมาได้จนเต็มอีกครั้ง

‘รุ่ง’ ดูผ่อนคลาย และดื่มด่ำกับธรรมชาติจนลืมเรื่องเมื่อเช้า ผมจับทางได้ตั้งแต่เริ่มวางแผนนี้ ว่าเวลาอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ ‘รุ่ง’ จะดูสบาย ๆ ดูเหมือนว่ากำแพงที่เขาพยายามกั้นผมไว้ก็จะลดลงไปด้วย ผมจึงพยายามที่จะรักษาระยะห่างไว้พอสมควรเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ตลอดช่วงวันที่ผ่านมา

ตกกลางคืนก่อนเข้านอน เราได้นั่งคุยสักพักเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในโปรแกรมทัวร์วันนี้ และนัดแนะกันจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนกลับในเช้าวันพรุ่งนี้

เสียงหายใจยาว และสม่ำเสมอ ทำให้ผมมั่นใจว่าตอนนี้ ‘รุ่ง’ กำลังกำลังก้าวสู่ดินแดนแห่งความฝัน ตรงกันข้ามกับผมที่เริ่มตื่นเต้น และกังวลใจกับแผนการที่ใคร่ครวญไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

ห้วงความคิดส่วนหนึ่งกำลังประท้วง ด้วยเหตุผลที่ว่าระยะเวลาที่ได้รู้จักใกล้ชิดกันมันยังสั้นเกินไป แต่หัวใจกลับก่อกบฏอย่างรุนแรง และสั่งให้รุกเดินหน้าต่อไป อย่ารีรออะไรอีก เพราะไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดเหมือนครั้งนั้น...’

ผมหยุดไม่ได้แล้ว...

เมื่อหัวใจทำการปฏิวัติสมองได้สำเร็จ ก็เริ่มขึ้นมาบัญชาการให้ร่างกายให้ค่อย ๆ ลุก และเดินออกจากห้องนอน ไปทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

 





“รุ่ง...จ๋า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน รุ่งตื่นไหวไหม” วันนี้ผมเป็นฝ่ายปลุกเขาบ้าง

“อือ...อืม” เสียงงัวเงียของเด็กชาย ‘รุ่ง’ ตัวน้อย ที่ยังคงพลิกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มที่ปกคลุมอยู่ทั้งตัว ก่อนที่เจ้าตัวจะดันศีรษะออกมาพ้นขอบผ้าห่ม เผยให้เห็นผมบางส่วนที่ชี้ตั้งขึ้นไม่เป็นทรง แล้วจึงพลิกตัวตะแคงข้างมาทางเสียงเรียกของผม หมอนนุ่ม และแขนข้างหนึ่งบังซีกซ้ายของใบหน้าหวานไว้ ผมจึงเห็นเพียงดวงตาข้างขวาที่ค่อย ๆ เปิดเปลือกตามองผมอย่างแอบงอนเล็ก ๆ ที่โดนปลุกแต่เช้า

เล่นทำเอาผมเกือบลืมหายใจ...

ผมสาบานได้ว่าถ้าแฟนคลับของ ‘รุ่ง’ ถ้าได้มาเห็นภาพ ๆ นี้คงจะกรีดร้องพร้อมกับหยุดหายใจไปพร้อม ๆ กับผม

“วันนี้เขนตื่นเช้าจัง” เสียงแหบ ๆ ของคนที่เพิ่งจะตื่นนอนที่ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งจ้องมองผมด้วยความสงสัย

“.....................................” ผมยังคงตอบไม่ได้ เนื่องด้วยกำลังพยายามเรียนวิธีการหายใจใหม่อีกครั้ง

“เขน เขนเป็นอะไร” สีหน้า ‘รุ่ง’ ดูจริงจัง แม้ผมจะไม่เห็นว่าหน้าของตัวเองตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร แต่คงใกล้เคียงคนที่อยู่ในอาการช็อคใกล้โคม่า

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่าไม่ได้เป็นอะไร” อากาศกลับมาวนเวียนในปอดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าลมหายใจจะยังไม่ปกตินักก็ตาม

“ดูหน้าเหมือนจะเป็นลม เหมือนคนไม่ได้นอน ตื่นเช้าไปหรือเปล่า วันนี้ยังไม่ไปดูพระอาทิตย์ก็ได้นะ นอนพักก่อนไหม”

เพราะน่ารักอย่างนี้ คนที่แอบรัก จึงหลงหัวปักอยู่ตราบเท่า....ทุกวันนี้

“ไม่เป็นไรจริง ๆ รุ่ง รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์” เมื่อสติกลับคืนมาผมจึงรีบชวน เพราะไม่อยากให้แผนที่วางไว้ล้มครืนไม่เป็นท่าอีกครั้ง

“งั้น ไปล้างหน้าล้างตากันก่อน เผื่อจะดีขึ้น ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” จึงกลับกลายเป็นผม คนที่มาปลุก ต้องเดินตามคนที่เพิ่งตื่นลงไปที่ตัวบ้านชั้นล่าง

เราเดินช้า ๆ ออกไปรอคอยพระอาทิตย์ที่ใกล้เวลาจะทอแสงแรกในของวัน เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านบรรยากาศภายนอกยังปกคลุมด้วยความมืด และเงียบสงบ เงียบจนผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นไม่ปกติอีกครั้ง

 





ใช่ครับ อย่างที่รุ่งคาดไว้ เมื่อคืนหลังจากเตรียมการเสร็จผมนอนไม่หลับทั้งคืน เฝ้ามองสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อจะให้เขา

สำหรับผม ‘สิ่งนี้’ เป็นตัวแทนของ ‘รุ่ง’ ตั้งแต่...สิบปีก่อน ที่ผมเคยแอบหลงรักเขาครั้งแรก แม้ ‘รุ่ง’ จะหลงรักพระอาทิตย์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ตัวเขากลับเสมือนแสงจันทร์ที่ ‘อบอุ่นนุ่มนวล’ ไม่ร้อนแรงแผดเผาเฉกเช่นแสงอาทิตย์

แม้บุคลิก ‘รุ่ง’ จะดูภายนอกนิ่งเงียบ เข้าถึงยาก ไม่เปิดรับใคร

แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เขามี ‘เสน่ห์ ชวนให้ค้นหา น่าติดตาม’

แม้ ‘รุ่ง’ จะดูเด็ดเดี่ยว ตั้งมั่น และเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ

แต่ท่าทีที่แสดงออกกลับดู ‘อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’

 

ผมกำลังหวนคำนึงถึงอดีต ในความทรงจำที่ผ่านมา

ผมเคยให้ ‘สิ่งนี้ง กับเขามาก่อน แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยรู้...

 

ณ จุดชมวิว ยังคงมีเพียงแสงเลือนราง แม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว แต่กลับไม่เห็นแสงแรกของพระอาทิตย์อย่างที่ตั้งใจ เมื่อท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก เรายังคงนั่งรอเงียบ ๆ เฝ้ารออย่างอดทน

รอ... ‘แสงแรก’ ของวันใหม่

 

“เขนกลับเถอะ วันนี้คงไม่มีโชคแล้วล่ะ” รุ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือจางความผิดหวังพร้อมกับทอดถอนใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นกลับหลังหันให้กับดวงอาทิตย์ที่ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่พ้นกลุ่มเมฆออกมาได้

ผมกำลังรวบรวมความกล้า ลุกขึ้นตาม และเอ่ยรั้งเขาไว้

“รุ่งครับ” รุ่งหันกลับมามองผม

“รุ่ง เขนมีอะไรจะให้รุ่ง” ผมกลั้นใจ

“อะไรเหรอ” รุ่งเอียงคอสงสัยเล็กน้อย

ผมยื่น ‘สิ่งนั้น’ ที่ตั้งใจขับรถไป-กลับกว่าสองชั่วโมงเพื่อไปนำมา และเดินฝ่าความมืดเพื่อแอบเอามาซ่อนไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน



‘ดอกลิลลี่’ กำลังแย้มบานสีขาวบริสุทธิ์ส่งกลิ่นหอมรวยรินไปทั่วบริเวณ ผูกด้วยริบบิ้นเส้นเล็ก ๆ สีแดง

ดอกไม้... ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ‘อบอุ่นนุ่มนวล’

ดอกไม้... ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน กรุ่นกลิ่นกรำจายไปด้วย ‘เสน่ห์ ชวนให้ค้นหา น่าติดตาม’

ดอกไม้... ที่พิศดูลักษณะภายนอกที่ ‘อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’

ดอกไม้... ที่ผมเคยเพียรส่งให้เขาทุก ๆ เช้าที่มหาวิทยาลัยตลอดระยะเวลาเกือบปี

 

‘ดอกลิลลี่’ ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของ ‘รุ่ง’ ในความรู้สึก ความทรงจำ ทั้งในอดีต และปัจจุบันของผม

 

“อะไร...............” รุ่งรับ ‘ดอกลิลลี่’ ไปถือไว้ในมือและก้มหน้าจ้อง ‘สิ่งนั้น’ ก่อนจะนิ่งเงียบเหมือนพูดไม่ออก

“รุ่ง...จำได้ไหมดอกลิลลี่...เหมือนกันกับลิลลี่ เมื่อสิบปีที่แล้ว... ที่มีคนเอาไปวางไว้ให้รุ่ง ที่ล็อกเกอร์ทุก ๆ เช้า” ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดอีกครั้ง เพื่อผ่อนคลายความกดดัน ก่อนที่จะสารภาพ

“............................”

“เขน เป็นคนเอาไปวางไว้เอง ทุก ๆ วันตลอดหนึ่งปี... ก่อนที่ รุ่ง จะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” คอของผมแห้งผาก

“............................”

“เขน พลาดเองที่ไม่เคยบอกให้รุ่งรู้... เพราะกลัว...ไม่กล้า จนต้องตัดใจปล่อยรุ่งไป...”

“เขนไม่คิดว่าจะมาเจอรุ่งอีกครั้ง เมื่อมาทำงานที่นี่ พอพบรุ่งอีกครั้งเขนก็ยังไม่กล้า... ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปทัก ทั้ง ๆ ที่เขนมารอ รุ่ง ทุกเช้าที่ทำงาน เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ ๆ รุ่งในลิฟต์ เพียงแค่สองสามนาที” ผมค่อยพูดอย่างยากเย็น เพราะต้องคอยผ่อนลมหายใจที่ติด ๆ ขัด ๆ อยู่ตลอดเวลา

“...........................”

“เขนอยากบอกรุ่ง เขนแอบรักรุ่ง รักมานานแล้ว”

“...........................”

“และตอนนี้เขนก็กำลังตกหลุมรักรุ่งเป็นครั้งที่สอง”

“...........................”

“รุ่ง ให้โอกาสเขน ได้ไหม” หัวใจผมเต้นแรงรัว ราวกับว่าจะระเบิดออกมา

“...........................”

“รุ่ง.......................” ใบหน้าของคนที่ผมแอบรักมาตลอดสิบปี ค่อย ๆ เงยขึ้นมามอง ใบหน้าที่เรียบเฉย เกินกว่าที่จะคาดเดา

“ขอบคุณมาก ขอบคุณเขนมากจริง ๆ แต่.....รุ่งขอโทษ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม” สายตาที่มองผมเยือกเย็น นิ่งลึกบาดใจ

“ทำไม....” เหมือนใครมาสาดน้ำเย็นใส่ ผมรู้สึกรุ่งไปทั้งตัว

“.............................”

“ทำไมเหรอรุ่ง เขน...ไม่ดียังไง ผิดตรงไหน...”

“บอก...... เหตุผล..... เขนหน่อยได้ไหม” ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนหัวใจถูกกระชากออกไปจากร่าง

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นเขน” สายตา รุ่ง ยังคงเรียบนิ่งเหมือนน้ำที่อยู่ในบ่อ ที่ไม่สามารถ คาดเดาความลึกได้

“รุ่ง ไม่อยากทำร้ายใครอีกเขน ไม่อยากทำร้ายคนอื่น”

‘คนอื่น’ ผมคือ...คนอื่น

“รุ่ง.......................”

“รุ่ง.......................ยังลืม ‘เขา’ ไม่ได้” รุ่งหลบตา และหันหลังกลับไป แวบเดียวที่ผมเห็นความเจ็บปวดจากดวงตาคู่นั้น

คงเป็นเพราะ ‘เขา’ คนนั้นของรุ่งที่เปลี่ยนสายตาที่เรียบเฉย เข้าสู่ความเจ็บปวดได้

“ไม่อยากให้เขนต้องรอ”

“ถ้าเขนจะรอ” รุ่งยังคงนิ่ง ไม่แม้จะหันกลับมามองที่ผม

“เขน...อย่ารอเลย รุ่งพยายามจะลืมมันมานานมาก...มากกว่าสิบปีซะอีก แต่มันไม่เคยลืมได้เลย...”

เสียงรุ่งถอนหายใจดังชัด ผมรับรู้ได้ทันทีว่า รุ่งกำลังทรมานมาก มันทำให้ผมเจ็บซ้ำ เท่าทวีเมื่อเห็นคนที่เรารักเจ็บ

ผมเริ่มไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เพราะกำลังบาดเจ็บสาหัส แต่ผมต้องรู้เรื่องหนึ่ง

“แล้วเรื่องที่ผ่านมาของเรา รุ่งเห็นเขนเป็นแค่เพื่อนอย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มแสนหวานยามเช้านั่น... ไม่ใช่ของผมหรอกหรือ

“ขอโทษ... รุ่งขอโทษ ที่อาจ...ทำให้เขนเข้าใจผิด เขนมีส่วนคล้าย ‘เขา’ คนนั้นมากจริง ๆ”

"...................................." ผมหลับตาลง แต่ทุกอย่างกลับสว่าง กระจ่างชัด เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจมันทั้งหมดแล้ว

“รุ่งไม่ผิดหรอก เขนเข้าใจผิดเอง กลับไปก่อนเถอะ ขอเขนนั่งตรงนี้สักพัก” ผมยังคงหลับตา ทรุดตัวนั่งลงที่เดิม

ไม่ไหว....แล้ว

ฝืน....ยืนไม่ไหวอีกแล้ว

เจ็บ เจ็บมากเกินไปจริง ๆ

 

เมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้ารุ่งค่อยๆเดินจากไป... น้ำตาก็เริ่มรินไหล...

 

ผมเคยสงสัยว่า... ทำไมระหว่าง ‘เรา’ รุ่งถึงได้ตั้งกำแพงไว้สูงนัก

เหตุผล...เป็นเพราะ รุ่งพยายามจะแสดงให้ผมรู้อย่างชัดเจน ตั้งแต่แรกแล้วว่า ใจเขาไม่พร้อมที่จะเปิดรับใคร

 

ผมเคยสงสัยว่าทำไมเขาถึงหลงรัก พระอาทิตย์นัก

เหตุผล... เป็นเพียงเพราะ ‘เขา’ คนนั้น คนที่...คงมีส่วนคล้ายกันกับผม ที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง......

 

รอยยิ้มแสนหวานนั่น เป็นรอยยิ้มของดอกทานตะวันจริง ๆ สินะ

ดอกทานตะวันที่หลงรักพระอาทิตย์อย่างหมดใจ

จนไม่มีสายตาหลงเหลือไว้มองใคร

 

ทั้ง ๆ ที่ทุกสิ่ง...ทุกอย่าง...ชัดเจนอยู่ตั้งแต่แรก

นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าความรักทำให้คนตาบอด

 

ผมจึง... ไร้เหตุผล

ตาบอดคิดเข้าข้างตัวเอง คิดเอาเองว่ารอยยิ้มนั่น... เป็นของผม

 

ผมค่อย ๆ ลืมตา

แล้วพบว่า ‘ดอกลิลลี่’ ถูกวางทิ้งไว้ตรงที่นั่งข้าง ๆ ที่ที่เคยเป็นของ ‘รุ่ง’

 

หาก

 

‘รุ่ง’ ที่ไม่ใช่ของผม

‘รุ่ง’ ไม่เคยเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ของผม

 

แต่

 

‘รุ่ง’ เป็น ‘ดอกทานตะวัน’ ของ ‘เขา’ คนนั้น......





#JKLTHESERIES

 
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-02-2018 17:58:39
แล้วไง รออ่านตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-02-2018 02:10:49
?????
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 04-02-2018 19:41:45
Chapter VI

Together

 

‘รุ่ง’ ไม่เคยเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ของผม

 

แต่

 

‘รุ่ง’ เป็น ‘ดอกทานตะวัน’ ของ ‘เขา’ คนนั้น.....

 

ผมถอนหายใจอีกครั้ง...

ผมนั่งตรงนี้ นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้...

และยังไม่ได้คำตอบให้กับตัวเอง ว่า.....จะทำอย่างไรต่อไป

 

‘รุ่ง’ ไปกินข้าวรึยัง ไม่หิวแย่แล้วเหรอ ผมเป็นห่วง...

คิดได้....แค่นี้....ตอนนี้

 

ถ้าอะไรมันจะ...ยากนัก

ถ้ามันจะ...ยุ่งนัก

 

ผมเลือกที่จะเก็บ……ความเจ็บปวดไว้ในลิ้นชัก

แล้วเลือกที่จะ ‘ซื่อตรง’ กับความรู้สึกของตัวเอง

 

เหตุผลของผมคือ ผมเข้าใจในสิ่งที่ ‘รุ่ง’ เป็น ผมเข้าใจในสิ่งที่ ‘รุ่ง’ รู้สึก เพราะความรู้สึกที่ผมเลือก ‘เก็บ’ ไว้ ก็คือ...ความรู้สึกเดียวกับที่ ‘รุ่ง’ เป็นอยู่

เรากลับมาเริ่มต้นทำงานในอาทิตย์นี้ ด้วยอาการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าเฟรมด่าผมยับว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะในขณะที่ผมดูสบาย ๆ แต่ทำไมพี่ชายของเขากลับ

นิ่ง.......นิ่งว่าที่เคยเป็น

เงียบ.......เงียบกว่าที่เคยรู้สึกได้

ผมให้คำตอบมันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เฟรมต้องไปถาม ‘รุ่ง’ เอง แต่สำหรับผม ผมเข้าใจ

 



ทุกเช้าผมยังคงตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกหลงรักการทำงานเป็นอย่างยิ่ง คุณลองรักหรือชอบใครสักคนในที่ทำงานสิครับ ก็จะมีอาการเหมือนกับผมตั้งแต่มี ‘รุ่ง’

ผมเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันทุกเช้าด้วยการส่งข้อความไปปลุกอีกคน เพราะผมปรารถนาที่จะให้รุ่งตื่นขึ้นมาพบมันเป็นสิ่งแรก ตามด้วยการแวะตลาดเช้าใกล้บ้านที่ผมผูกซื้อ ‘ดอกลิลลี่’ สีขาวไว้ประจำ คุณป้าเจ้าของร้านบรรจงผูกโบสีแดงสดให้ทุก ๆ เช้า และนำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของ ‘รุ่ง’ จวบจนก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความกล่าว ‘ราตรีสวัสดิ์’ ให้ลูกเป็ดน้อยนอนหลับฝันดี

การทำงานในเฟสที่สองไม่ได้ยากมากนัก เมื่อแผนที่ ‘รุ่ง’ วางไว้ค่อนข้างรัดกุม ถ้าจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น ก็มักจะเกิดจากปัญหาของผู้รับเหมาเอง ดังนั้นการควบคุม ดูแล ติดตาม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีระยะเวลาที่จำกัดมาตีกรอบ ความกดดัน ก็มักจะตามมา และความผิดพลาดก็จะมีขึ้นเสมอ ๆ

ดังเช่นวันนี้ที่มีเหตุเพลิงไหม้ในสถานที่ก่อสร้าง แม้ไม่ได้ใหญ่โตลุกลาม เพราะเรามีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคอยประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม แต่ที่ต้องจัดการ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ซึ่งจะดีกว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วจึงมาตามแก้ เราจึงต้องเข้าห้องประชุมกันอีกครั้งพร้อมกับผู้รับเหมา ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงเรื่องความปลอดภัย เป็นของฝ่ายก่อสร้าง

“ก่อนอื่นในการประชุมครั้งนี้ เราไม่ได้ต้องการหาคนผิด หรือลงโทษใคร แต่อยากให้เราร่วมกันหาสาเหตุของปัญหา และแนวทางการป้องกันในอนาคต” ผมจึงเริ่มเปิดการประชุม มันเป็นความเชี่ยวชาญส่วนตัวของผมในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล

จนใคร...บางคน เคยพูดลับหลังว่า...ตรงเป็นไม้บรรทัด

แล้วบทสรุปของที่ประชุมคือการเพิ่มความรู้และทักษะในการเกิดและการป้องกันอัคคีภัย ซึ่งเราจัดกันอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ อาทิตย์ แต่กลับพบว่าพนักงานของเราเกินครึ่ง และผู้รับเหมาบางส่วนที่ต้องเร่งเข้าทำงานไม่ได้มาเข้าร่วมฝึกอบรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายบุคคลจึงรวบรวมรายชื่อทั้งหมดและจัดรอบพิเศษ

“อ้าว...รุ่ง เฟรม มาเรียนกับเขาด้วยเหรอ” ผมยิ้มน้อย ๆ ให้กับคู่พี่น้องที่กำลังเดินเข้ามาสมทบกับเพื่อน ๆ พนักงานคนอื่น ๆ เจ้าคนน้องที่หน้ามุ่ยแสดงอาการดีใจทันทีที่เห็นผม

“พี่เขนจัดเห็นไหมพี่รุ่ง ผมบอกแล้ว แค่พี่รุ่งโทรมาบอกพี่เขน เราก็ไม่ต้องเข้าฝึกอบรมแล้ว”

“ไม่ได้เฟรม ไม่เห็นเมล์หรือไง ฝ่ายบุคคลเขาให้เข้าก็ต้องเข้า” รุ่งพูดขณะก้มหน้าลงชื่อเข้าเรียน

“อะ...ก็พี่รุ่ง เป็นคนพิเศษอะ ใช่ไหมพี่เขน ไม่ต้องเรียนก็ได้ใช่ไหม” มันชงเพื่อหาทางเอาตัวรอด

“เรื่องคนพิเศษนั่นก็ใช่ แต่เรื่องเรียนมันคนละเรื่อง” ผมตอบเจ้าเฟรม

ใช่ครับ ผมไม่ได้ปิดบังใครอีกแล้วเรื่องที่ผมแอบรัก ‘รุ่ง’ อย่างเป็นทางการ คนทั้งไซด์เห็นผมมาพร้อมกับ ‘ดอกลิลลี่’ ทุกเช้า เห็นผมแทบไม่ค่อยได้อยู่ฝ่ายตัวเอง เมื่อมีเวลาว่าง เห็นผมตระเวนเป็นไกด์เชลล์ชวนชิมพาทั้งรุ่ง และเฟรมออกไปกินข้าวกลางวัน และข้าวเย็น แทบจะพูดได้ว่าเห็นรุ่งที่ไหนก็จะเห็นผมที่นั่น และที่เขาแอบเม้าท์กันก็เรื่องที่ว่า ผมคงรักเขาข้างเดียว เพราะรุ่งดูนิ่ง เงียบ และเฉยชามากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ...ก็ทุกอย่างมันคือความจริง

“มันมีเหตุผลที่ต้องเรียน เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้รับเหมานะเฟรม ถ้าเราคุมคนของเราไม่ได้ ก็อย่าหวังจะไปบังคับคนอื่นได้” ผมยิ้มกับปฏิกิริยาของเฟรม ปกติออกจะดูลุย ๆ แต่กลับกลัวเรื่องฟืนไฟ

“พูดเหมือนกันซะ ลอกกันมาปะเนี่ย หรือพวกพี่มีโทรจิต” เฟรมมองหน้ามุ่ยหันไปทางรุ่ง ผมจึงเข้าใจ กว่าจะลากกันมาได้คงกำราบกันไปแล้วรอบหนึ่ง

สีหน้าเจ้าเฟรมดีขึ้นเมื่อพบว่าวิทยากรที่มาให้ความรู้นั้นปล่อยมุขขำกระจาย ขนาดรุ่ง ก็ยังคงขำในใจ ผมเริ่มสัมผัสถึงความรู้สึกภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เวลาเขานึกสนุกอะไรขึ้นมา ตาจะหรี่ลงเล็ก ๆ และมีประกายความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย และผมดีใจที่เขามีความสุข แม้จะไม่มีโอกาสได้เห็นยิ้มหวานเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม

หลาย ๆ คนคงอาจรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเราสารภาพ ‘รัก’ แล้วถูกปฏิเสธ ผมยอมรับว่าอาการนั้นก็เล่นงานผมอย่างสาหัสในช่วงแรก แต่ไม่ใช่ตอนนี้

ไม่ใช่เพราะผมเก่งอะไร

ไม่ใช่ว่าเพราะผมจะเลิก... ‘รัก’ ได้แต่อย่างใด

เพราะ ‘ความเข้าใจ’ และ ‘ความรัก’ ต่างหากที่ทำให้ผมไม่ท้อใจ

 





การเรียนในวันนี้มีทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยผมรับหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์พร้อมควบตำแหน่งผู้ช่วยวิทยากรเมื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ในสายตาพนักงานในไซด์งานส่วนมากมักจะเห็นว่าผมดุ เฉียบขาด ก็คงเพราะลักษณะงานของผมที่ต้องควบคุมผู้รับเหมาที่มีตั้งแต่วิศวกร นายช่าง จนถึงคนงานก่อสร้าง มันบังคับให้ผมต้องวางตัวเป็นมาเฟียในไซด์ แต่ในทางตรงกันข้ามเวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ผมกลับเป็นคนที่ถูกเรียกหา คนแรกเสมอ เฉกเช่นตอนนี้

เมื่อวิทยากรแบ่งกลุ่มพนักงานเป็น 5 กลุ่ม และมีการจุดไฟที่เชื้อเพลิงจริง ๆ ทั้ง 3 ประเภทคือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ แล้วให้พนักงานแต่ละกลุ่มทดลองดับไฟจริง ๆ ด้วยอุปกรณ์ดับเพลิง ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ถูกต้องการตัวมากที่สุด ให้เข้าไปช่วยดูแลเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

พนักงานหลายคนมีอาการกล้า ๆ กลัว ๆ ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ก็คงเป็นกลัวซะมากกว่า เมื่อต้องเข้ามาดับไฟที่กำลังลุกไหม้จริง ๆ ผมต้องช่วยวิทยากรดูแลเวียน ๆ กันไปทุกกลุ่ม ผมเหลือบไปมองเจ้าเฟรมมันเริ่มมีอาการหวาดหวั่นเกาะรุ่งอยู่แจ ส่วนรุ่ง ผมไม่กังวลเลยว่าเขาจะทำไม่ได้ ใจเย็นซะขนาดนั้น ถ้าเกิดเหตุจริง เรื่องที่น่ากลัวก็แค่ เขาจะใจเย็นเกินจนไฟที่ไหม้มันดับไปแล้วก็เท่านั้น

 

แล้วเหตุก็เกิดขึ้นจริง ๆ กับเจ้าเฟรม

เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมากจนหลายคนอึ้ง เมื่อเฟรมต้องใช้อุปกรณ์ดับเพลิงเพื่อดับไฟที่กำลังลุกไหม้น้ำมันเบนซิน ผมไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรก หันไปอีกทีก็เห็นเฟรมทิ้งถังดับเพลิงแล้วตกใจกับประกายไฟที่กำลังลุกขึ้นไหม้ขากางเกงยีนส์ของเขา ผมกำลังวิ่งเข้าไปช่วย แต่ใจผมหายเมื่อเห็นพี่ชายเฟรมที่อยู่ใกล้กว่าพุ่งตัวไปดึงเฟรมออกมา เมื่อมาถึงตัวทั้งคู่ผมรีบฉีดเคมีดับเพลิงลงไปที่บริเวณขาของเฟรม พริบตาไฟก็ดับพร้อมทิ้งผงเคมีสีขาวไว้ที่ปลายขากางเกง เฟรมทรุดนั่งลงยังช็อกกับเหตุการณ์

“ฟ..เฟรม เป็นอะไร...ไหมเฟรม เจ็บไหม” รุ่งตกใจมาก ละล่ำละลักถาม ผมรีบฉวยกรรไกรจากกล่องอุปกรณ์เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมาตัดเหนือรอยไหม้บนขากางเกง เจ้าเฟรมยังช็อกไม่ตอบคำถาม แต่จับมือรุ่งที่นั่งคุกเข่าให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ไว้แน่น

“เฟรมเป็นอะไรมากไหม เขน” รุ่งหันกลับมาถามผมที่กำลังดูรอยแผล

“น่าจะไฟลวกนิดหน่อย แต่ไม่มาก ดีที่รุ่งรีบลากออกมาก่อน แต่คงต้องพาไปพบหมอ” รุ่งพยักหน้ารับ ก่อนหันกลับไปมองน้องชายที่ยังไม่ยอมพูด

“เฟรมคงยังช็อกอยู่ รุ่งไป พาไปโรงพยาบาลกันก่อน” เราสองคนช่วยพยุงเจ้าเฟรมออกมาทันที

ตามคาดเฟรมไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงไฟลวกขั้นที่หนึ่ง ที่เซลล์หนังกำพร้าชั้นผิวนอกเท่านั้น หลังจากทำแผลเสร็จก็ได้น้ำเกลือไว้ล้างแผล ครีมสเตอรอยด์ป้องกันการอักเสบ และยา แก้ปวดกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน เจ้าตัวเพิ่งเริ่มหายช็อก และโทรไปเล่าวีรกรรมของตัวเองให้ที่บ้านฟังขณะที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ได้ข่าวว่าคนที่ช่วยเป็นรุ่งกับผมไม่ใช่เหรอ

“รุ่งเป็นอะไรไหม...ไม่โดนไฟลวกตรงไหนใช่ไหม ตอนเข้าไปช่วยเฟรม” ผมเพิ่งมีโอกาสได้ซักถาม ตอนที่หมดเรื่องยุ่ง ๆ ของเด็กร้าย

“ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณนะเขน ถ้าเขนไม่เข้ามารุ่งคงทำอะไรไม่ถูก” รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน

“เขน ก็แทบทำอะไรไม่ถูก....ตอนที่รุ่งกระโจนเข้าไปเหมือนกัน” ถ้าไม่ติดว่าเป็นไอ้เด็กร้าย ผมคงโกรธมากที่ทำให้คนที่ผมรักต้องเสี่ยง ผมยิ้มตอบ

“พี่ ๆ เราแวะกินข้าวเย็นที่ไหนอะ หมอบอกให้ผมต้องกินโปรตีนเยอะ ๆ แผลจะได้หายเร็ว สเต็กดีไหม” ผมกับรุ่งหันหน้าไปมองเด็กร้ายพร้อมกันแล้วถอนหายใจ ตอนมากับตอนกลับจากโรงพยาบาลนี่มันคนละคนกันหรือเปล่าวะ

เราแวะกินสเต็กกันก่อน แล้วผมจึงไปส่งไอ้เด็กร้ายกับรุ่งที่โรงแรม ก่อนกลับเจ้าเฟรมยังเดินตามผมออกมา

“ออกมาทำไม ไม่รีบขึ้นไปพัก” ผมกำลังจะเริ่มเอ็ดมัน

“ผมจะมาขอบคุณ ขอบคุณมากครับพี่” มันทำตาซึ้งสำนึกบุญคุณ

“เออ….แกเป็นน้องพี่นี่หว่า” ผมตบไหล่มันเบา ๆ

“ใครบอก... ผมน้องพี่รุ่งหรอก” ไอ้นี่มันกวน ซึ้งได้ไม่นานปรับอารมณ์ไม่ทันกันเลยทีเดียว

“เออ เออ ไปละ” ผมขี้เกียจเถียง จึงหันกลับไปจะเปิดประตูรถ

“พี่เขน พี่รักพี่รุ่งจริง ๆ ใช่ปะ” มันถามสีหน้าจริงจัง

“เออ แล้วไง” ผมขมวดคิ้ว ไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหน

“ผมก็อยากตอบแทนอะไรพี่เล็ก ๆ น้อย ๆ” มันหันซ้ายหันขวา ทำหน้าเจ้าเล่ห์

“อะไร” ความลับเยอะจริง

“คือ...พี่รุ่งให้ผมแจ้งแอดมิน เรื่องจองโรงแรมต่อ พอดีที่กรุงเทพฯ เขาจองให้มาแค่เดือนครึ่ง เผื่ออยากเปลี่ยนใจไปพักที่อื่น”

“แล้วผมลืม เลยยังไม่ได้แจ้งกลับไปให้เขาต่อให้อ่ะ นี่เพิ่งนึกได้ ที่ล็อบบี้เขาบอกว่าคืนนี้จองเป็นคืนสุดท้ายแล้ว”

ไอ้นี่มันร้ายจริง ๆ มันลืม กลับมาบอกว่าตอบแทนผม แต่ก็อดยิ้มไม่ได้

“หมายความว่า จะไปอยู่กับพี่”

“ใช่พรุ่งนี้ พี่ก็เนียนมารับเลย เดี๋ยวผมแอบเก็บของพี่รุ่งไว้” นั่นไงรุ่งเลี้ยงลูกงูเห่าไว้กับตัวจริง ๆ ด้วย

“พี่เอาพี่รุ่งไปคนเดียวได้ไหม” ผมหมั่นไส้

“โห่...พี่แล้วผมจะไปอยู่ไหนเล่า ให้ผมไปอยู่ด้วย รับรองผมไม่เป็น กขค หรอก”

“แล้วรุ่งจะยอมเหรอ” ผมไม่แน่ใจ

“โอย พี่รุ่งจะทันอะไร...พอฉุกละหุกก็รีบ ๆ จับตัวขึ้นรถไป พอคิดได้ก็ถึงบ้านพี่ละ”

“ไม่โกรธหรอก ผมรับรองโกรธใครเป็นที่ไหน ว่าไงพี่” มันรีบคาดคั้น

“เออ เออ ให้มากี่โมง”

“เขาให้เช็คเอ๊าท์ ก่อนเที่ยง...พี่มาสัก 11 โมงแล้วกัน แต่ทำเนียน ๆ มึน ๆ นะ” มันสอนจระเข้ว่ายน้ำ ไม่รู้ว่าผมก็เคยใช้มุกคล้าย ๆ อย่างนี้มาแล้ว

“เออ ขอบใจ เจอกันพรุ่งนี้ ขอบใจว่ะ” ผมตบบ่ามัน แล้วขับรถออกมา

 

ไหนใครว่า ‘รุ่ง’ จะไม่โกรธ แต่โชคดีที่โกรธเฟรม ไม่ได้โกรธผม เรา (ผมกับเฟรม) ปฏิบัติการตามแผนที่เตรียมเอาไว้ โดยจี้จุดอ่อนของ ‘รุ่ง’ คนที่วางแผนเก่ง ๆ ทำตามแผนจนเคยชิน พอเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย หรือไร้รูปแบบเหมือนที่ผมกับเฟรมใช้กันอยู่เนี่ย ก็จะทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เป็นไปตามที่วางไว้ แต่ที่ว่าอาการโกรธของรุ่งก็คือ ไม่พูดด้วย เท่านั้นแหละครับ

ถ้าเป็นผม ผมก็คงโกรธเหมือนกัน นอกจากเฟรมจะลืมทำตามคำสั่งแล้ว ยังออกตัวเป็นไส้ศึกอย่างชัดเจน

“โหพี่รุ่ง พูดกับผมหน่อยเถอะ นี่บ้านพี่เขนโคตรน่าอยู่เลย ใกล้ ๆ บ้านก็มีตลาดด้วยนะพี่”

“ผมเบื่อโรงแรมอะ ผมแทบจะอาเจียนเป็นขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก อิงลิช เบรคฟาสต์นั่นแล้ว”

“อยากกิน น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ไข่ลวก ไรงี้บ้างอะ” มันยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาง้อพี่ชาย โดยอ้างถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวมันเอง เจ้าเฟรมเอ๋ย ถ้าเป็นผม ผมก็โกรธมากขึ้น รุ่งเดินหนีมันเข้าไปในสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน

“รุ่ง...เขนขอโทษ” ผมเริ่มเคลียร์ความผิดส่วนของตัวเอง ผมทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะหินอ่อนในสวน ตรงข้ามรุ่ง

“รุ่งไม่โทษเขนหรอก ต้องขอบใจไม่ว่า ที่ให้มาอยู่ด้วย”

“ไม่งั้นคงต้องจ่ายเงินเองชั่วคราว กว่าที่แอดมินจะทำเรื่องจองที่พักให้ใหม่” รุ่งพูดเรียบ ๆ ถึงว่าเฟรมมันถึงไม่กลัว แค่เกรง ๆ

“ขำอะไรเขน” เขามองผมแอบหัวเราะ

“ขำรุ่ง ว่าโกรธได้แค่นี้เหรอ นี่โกรธมากแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“คนอื่นเขาไม่รู้หรอกนะว่าโกรธอยู่”

“.................................” ผมแน่ใจว่าผมได้สายตาค้อน ๆ มาทีนึง ก่อนที่จะเอ่ยตรง จนผมกลั้นหายใจ

“แล้วเขน แน่ใจเหรอ...ว่าจะให้รุ่งอยู่ด้วย ไม่เจ็บเหรอ” รุ่งยังจ้องตา ต้องการคำตอบ

ผมไม่กล้าสบตา แกล้งมองไปทางอื่น

“เขน ‘เก็บ’ ความเจ็บปวดใส่ลิ้นชักไว้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้อยู่เคียงข้าง...รุ่ง ก็พอแล้ว”

“เขน ‘เข้าใจ’ นะว่ารุ่งลืม ‘เขา’ ไม่ได้หรอก... เขนยังลืมรุ่ง ไม่ได้เลย” ผมยิ้มให้กับความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะกล่าวต่อไป

“แต่บางทีที่เราเรียกความรู้สึกในอดีตว่า ‘ความทรงจำ’ เพราะเราอาจไม่มีทางลืมมันได้เลยจริง ๆ ก็ได้”

“………………………” ผมสูดหายใจเต็มปอดแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า

“แต่.....เขนจะรอรุ่ง”

“เขนไม่ได้ ‘รอ’ ให้รุ่งลืม ‘เขา’ คนนั้นหรอก”

“รุ่ง ‘เก็บ’ มันไว้เถอะ”

“แต่เขนจะรอ....ที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรุ่ง”  ผมยิ้มให้กับรุ่งอย่างมีความสุข ตอนนี้ผมมีความสุขมากจริง ๆ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 04-02-2018 19:56:45
รอเป็นเพื่อนเขน
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 04-02-2018 20:33:40
เป็นกำลังใจให้รักมั่นคงของเขนจ้า
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-02-2018 23:26:04
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: PERSISTENCE 05.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 05-02-2018 11:13:56
Chapter VII

Persistence

 





“แต่.........เขนจะรอรุ่ง”

“เขนไม่ได้ ‘รอ’ ให้รุ่งลืม ‘เขา’ คนนั้นหรอก”

“รุ่ง ‘เก็บ’ มันไว้เถอะ”

“แต่เขนจะรอ....ที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรุ่ง”

 

‘รอ........คำ คำนี้อีกแล้วเหรอ.....’

เขายังคงส่งรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความสุขกลับมาให้ผม ขณะที่ภายใน ‘สมอง’ กับ ‘หัวใจ’ ของผม กำลังทำการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง เราสองคนจึงปล่อยให้ความเงียบแผ่คลุมไปทั่วบรรยากาศของบ้าน เพื่อใช้เวลาฟังเสียงข้างในหัวใจของตัวเอง

บางทีความ ‘เข้าใจ’ ก็ไม่ต้องใช้คำพูดอะไร

เขนดูเหมือนจะ ‘เข้าใจ’ ผม

เขาไม่รุกเร้า กดดัน หรือต้องการคำตอบ เหมือนแค่…ต้องการบอกสิ่งที่ตั้งใจและที่เขารู้สึก เฉกเช่นเดียวกันกับที่ผมก็ ‘เข้าใจ’ เขาเสมอมา

‘เก่งจริง ๆ’ ผมชื่นชมเขาด้วยใจจริง และแอบอิจฉา ‘คนคนนี้’ เล็ก ๆ เสมอ

ถ้าเพียงแต่....ผมทำได้เหมือน ‘เขา’ เรื่องราว ความทรงจำ ความสัมพันธ์ พวกนี้ คงจบลงไปนานแล้ว แค่เพียงฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่ค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้น ทุก ๆ วัน หากสำหรับผม ‘สมอง’ กลับชนะมาโดยเสมอ.....จึงต้อง ‘ฝืน’ ใจ ตัวเองมาโดยตลอด

“พี่เขน พี่เขน” เสียงตะโกนลั่นบ้านของเด็กร้ายทำลายความเงียบ

“อะไร เฟรม” เขนหันกลับไปมองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาใหม่ในสวน ส่วนผมยังคงแสดงทีท่าโกรธอยู่

‘ไม่สนใจด้วยหรอก’

“บ้านพี่มีห้องนอนแค่สองห้องเหอะ แล้วผมนอนไหนอะ” มันโวยวาย แสดงว่าตลอดเวลา ที่หายเงียบไปคงสำรวจบ้านมาจนเรียบร้อยแล้ว

“พี่ก็บอกแล้วว่า ให้รุ่งมาคนเดียวพอ ก็ดันตามมาเอง อยากนอนไหนก็นอนไปเถอะ โซฟาก็ได้” เขนแกล้งมันผมแน่ใจ

“เฮ้ย ได้ไงอะพี่เขน พี่รุ่ง....” ยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลือจากผม

“ไม่รู้ ก็อยากมามากนัก ก็หาทางเอง แต่ห้องนอนอีกห้องเป็นของพี่แน่นอน และพี่ก็จะนอน คนเดียว” ผมช่วยผสมโรงเอาคืน แล้วจึงเดินหนีเด็กที่กำลังโวยวายเสียงดัง และเริ่มสำรวจบ้านบ้าง

ผมไม่เคยมาบ้านเช่าของเขน แต่จำได้ว่าเขนตั้งใจตั้งแต่แรกที่จะไม่อยู่โรงแรม แต่อยากได้บ้านเช่าที่ให้อารมณ์ว่าได้มาใช้ชีวิตพื้นเมืองจริง ๆ บ้านไม้สองชั้นหลังนี้ไม่ใหญ่นัก ภายนอกร่มรื่นไปด้วยเงาต้นมะม่วงต้นสูงใหญ่หน้าบ้าน กับสวนรก ๆ เล็ก ๆ ที่มีโต๊ะหินอ่อนหลังบ้าน

เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านก็จะพบโซฟาที่ไม่เข้าชุดกัน และทีวีตู้ปลาเครื่องขนาดย่อมในห้องรับแขก กับครัวที่แม้เห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่เคยได้ใช้งาน เพราะมีเครื่องครัวระเกะระกะวางอยู่สองสามชิ้น และห้องน้ำเล็กติดกับครัวหลังบ้าน

ผมหยิบกระเป๋าสัมภาระของผมที่ไม่ได้เก็บเอง แล้วเดินผ่านบันไดไม้ขึ้นไปชั้นสอง ของบ้าน ข้างบนมีห้องเพียงสองห้องอย่างที่เด็กร้ายมันโวยวาย ผมเปิดเข้าไปห้องแรก ก็พบที่นอนที่ยังไม่ได้เก็บกับเสื้อผ้าของเขนกองอยู่กระจัดกระจาย จึงปิดประตู และเดินไปอีกห้องตรงกันข้าม ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องของเขน

‘ทำไมไม่นอนห้องใหญ่’ ผมแปลกใจ

 





ห้องนอนใหญ่ของบ้านมีเฉลียงระเบียงไม้เล็ก ๆ ยื่นออกไปในสวนหลังบ้าน มีเก้าอี้ไม้เล็กสองตัววางไว้เพื่อให้ชมทิวทัศน์ ซึ่งเมื่อมองพ้นรั้วบ้านไปก็เป็นทุ่งนากว้าง วิวน่าจะดีกว่าห้องด้านโน้นที่หันไปทางถนนใหญ่หน้าบ้านด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ออกไปที่ระเบียงในทันที เพราะยังได้ยินเสียงเด็กร้ายกับเขนยังเถียงกันเบา ๆ เรื่องที่นอน

จึงหันกลับมาวางกระเป๋าไว้ที่เตียง และเมื่อเปิดดูก็พบว่า ของใช้เสื้อผ้าต่าง ๆ ถูกยัด ๆ มาด้วยกัน เรียกให้ถูกว่าถูกโยน ๆ เข้ามารวมกันในกระเป๋าก็ว่าได้ เพราะไอ้เด็กร้ายนั่นมันจัดการตอนผมลงไปกินอาหารเช้า ผมเริ่มรื้อของใช้ส่วนตัวออกมาอย่างหัวเสีย แล้วคิดถึงใบหน้าของเขนที่หัวเราะเยาะผมเรื่องการแสดงอารมณ์โกรธ ‘ว่านี่ผมโกรธได้แค่นี้เหรอ นี่โกรธมากแล้วใช่ไหมเนี่ย’ ผมโกรธนะครับ โกรธเต็มพิกัดแล้วจริง ๆ หากแต่เมื่อคนเรา ‘เก็บ’ อะไร อะไร ไว้มาก ๆ เป็นเวลานาน จนเคยชิน ก็ส่งผลให้มีปัญหา เมื่อต้องการแสดงออกมา

ผมเก็บเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้เข้าตู้เรียบร้อย ก็เดินไปนั่งที่ระเบียงเมื่อเสียงโหวกเหวกโวยวายนั่นเงียบไปได้สักพัก ปล่อยอารมณ์ให้เปิดรับสัมผัสของสีเขียวสบายตาของนาข้าวพี่กำลังพลิ้วไหวตามสายลม

‘ดีเหมือนกันนะ’

ใจจริงผมก็แอบเบื่อห้องสี่เหลี่ยมในโรงแรมอยู่มากเอาการ ในระหว่างที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์เบื้อหน้า จึงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ที่ทำให้ผมหันกลับไปมอง

“รุ่ง....รุ่งจ๋า เขนเข้าไปได้ไหม” คุณเจ้าของบ้านขออนุญาต

“อืมเข้ามาสิ ไม่ได้ล็อกประตู” ผมตอบแล้วหันกลับมาดูวิวต่อ เขนเดินเข้ามาหยุดด้านหลังผม บริเวณที่ประตูเชื่อมออกมานอกระเบียง

“โอเค ไหมรุ่ง พออยู่ได้ไหม บ้านมันไม่กว้างเท่าไหร่” เขาเริ่มออกตัวอย่างเกรงใจ ทั้งที่ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องเกรงใจ

“ดีเลยล่ะเขน รุ่งชอบบรรยากาศ ร่มรื่น แต่ดูปลอดโปร่งดี” เมื่อได้ยินดังนั้นร่างสูงจึงเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ อีกตัว

“คิดไว้แล้วว่ารุ่งน่าจะชอบห้องนี้” เขายิ้ม

“คิดไว้แล้วนี่แสดงว่าคิดมาตั้งแต่ต้นงั้นเหรอ” ผมหันไปถามอย่างสงสัย ประโยคมันแปลก ๆ

“เอ่อ ก็ตั้งแต่เลือกหาบ้านเช่าไง ก็เขนบอกรุ่งตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ แล้วว่าอยากให้มาอยู่ด้วย” เขาเริ่มเก้อเขิน หน้าขาวเริ่มมีเลือดฝาดให้เห็น

“แล้ว มั่นใจได้ยังไง ว่ารุ่งจะมาอยู่” ผมถามต่อ

“ไม่มั่นใจหรอก แต่อยากให้เป็นมากกว่า เขาใช้คำว่าอะไรนะ ‘Wish’ ปรารถนาอะ เหมือน Wish list ไง”

ผมแอบยิ้มให้กับท่าทีของเขาที่ช่างซื่อตรงกับความคิด ความรู้สึก เหลือเกิน นี่วางแผนตั้งแต่เลือกบ้าน งั้นที่เลือกไปนอนที่ห้องเล็กก็คงวางแผนไว้แล้วเช่นกัน เขนชอบเสียสละ... สิ่งที่ดีที่สุดให้คนอื่นเสมอ นิสัยพี่ชายคนโต

“แล้วเจ้านั่นล่ะ ได้ที่นอนหรือยัง มีห้องใต้บันไดไหม” ผมยังเคืองเด็กร้ายอยู่ แต่ก็อดห่วงไม่ได้

“ให้นอนห้องเขน มีฟูกที่นอนอยู่อีกอัน มันกำลังเก็บของอยู่” เขนตอบอย่างเอ็นดูเฟรม

“ให้นอนห้องรุ่งก็ได้ ห้องนั้นเล็กกว่า” ผมเสนอ

“ไม่ นอนกับเขนดีแล้ว มันอยู่ใกล้รุ่งแค่นี้ก็พอแล้ว แสบนักไม่น่าไว้ใจ” ตอบตรงไม่เกรงใจกันเลย

“ถ้ารุ่งเหงา อยากให้ใครมานอนเป็นเพื่อน ให้เขนมาดีกว่านะ” หยอดกันต่อหน้าตลอด ๆ ผมจึงถอนหายใจดัง ๆ ประชดไป เพลียเหลือเกิน

เมื่อเฟรมเก็บของเสร็จก็ตามมาสมทบที่ห้องผม แล้วโวยวายเมื่อพบว่าห้องนี้ใหญ่กว่าห้องที่มันต้องอยู่กับเขน

“โห ถ้าให้ผมอยู่ห้องนี้ ผมก็ไม่ต้องนอนฟูกเสริมอะ เตียงกว้างกว่าตั้งเยอะพี่รุ่งตัวนิดเดียว นอนกับผมสบาย”

“ไม่ได้ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด และไม่ต้องเข้ามาในห้องนี้อีก” เขนล็อกคอ และกำลังจะลากเจ้าเฟรมออกไป

“รุ่ง ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดเถอะ อย่าลืมล็อกห้องไว้ด้วย กุญแจห้องอยู่ที่ตู้หัวตียง” พร้อมหันกลับมากำชับผม

 





ตลาดสดหน้าซอยทางเข้าบ้าน มีร้านค้า ร้าอาหารที่เปิดตลอดวัน เรากินอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ร้านข้างทางในมื้อเย็น

“พี่ครับ ขอชาเย็นแก้วนึง สั่งน้ำอะไรกัน” เขนหันกลับมาถามผมกับเฟรมหลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว

“พี่รุ่ง ชอบนมสตรอเบอรี่ งั้นเอานมเย็นสองที่แล้วกัน พอแทนกันได้” นอกจากมันจะเริ่มชง มันยังเป็นไส้ศึกตัวฉกาจอีกด้วย

หลังจากที่เราสามคนอิ่มท้อง ก็เริ่มเดินย่อยในตลาดเย็นที่มีของขายตามแผงลอยข้างทาง เฟรมถือของกิน และขนมพะรุงพะรัง แทบจะซื้ออาหารทุกอย่างที่เห็น จึงทำให้ผมเริ่มใจอ่อน มันคงเบื่ออาหารโรงแรมมากจริง ๆ ถึงมีความสุขมากมายที่ได้ดินตลาดแบบนี้ ซึ่งขนมพวกนั้นก็น่ากินมากจริง ๆ ครับ ผมก็ซื้อติดมือกลับมานิดหน่อยเหมือนกัน หากแต่คนตัวโตก็ไม่ได้ยอมให้ถือเอง

“ปกติ เขนมาเดินบ่อยไหม” ผมถาม ขณะที่เฟรมวิ่งเข้าไปชาร์จร้านโรตี

“ช่วงแรก ๆ ก็มาบ้าง แต่เดินคนเดียวมันเหงา ส่วนมากก็แวะซื้อเข้าไปกินที่บ้านมากกว่า แต่ช่วงหลัง ๆ กลับจากส่งรุ่งตลาดก็วายแล้ว” ใช่สินะกว่าจะกินข้าวเย็น กว่าจะไปส่งผม ที่โรงแรม กว่าจะเข้าบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ห้าทุ่มทุกคืน

“แต่มีรุ่งมาอยู่ด้วยเรามาเดินบ่อย ๆ ก็ได้ ถ้ารุ่งชอบ”

“อืม แต่เจ้านั่นคงชอบมากกว่า” ผมพยักพเยิดไปทางเด็กร้ายที่ซื้อโรตีมาหลายอัน

“จะกินเข้าไปหมดเหรอนั่น” เขนถาม

“หมดสิ พี่ก็ช่วย ๆ กันนี่ผมซื้อมาเผื่อพี่สองคนด้วย น่ารักปะล่ะ พี่เขนช่วยถือหน่อยสิ” มันชมตัวเอง พร้อมกับยื่นถุงมาให้เขน

“ใครว่าจะช่วย ซื้อเองก็ถือเอง” ถุงของกิน ของใช้ ที่เขนถืออยู่ ที่มีของผมอยู่ด้วยก็ไม่ใช่น้อย

“เออ สิ ผมไม่ได้น่ารัก บอบบางเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ นี่” ได้ยินดังนั้น เขนจึงรีบดึงผมให้เดินนำออกไปก่อนที่ผมจะฆ่ามัน

เราเดินนำหน้าเฟรม ที่เดินร้องเพลงรักคลอเบา ๆ มาตลอดทาง เขนดูขำขำ ผมจึงคลายความเคืองเด็กร้ายมาได้บ้าง

ครับผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะคำพูดและท่าทีของเขน ที่แม้เขายังแสดงออกอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกซึ่งดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ระมัดระวังเซฟตี้โซนของผมเสมอ

รวมทั้งในส่วนที่ผมตั้งใจจะ ‘เก็บ’ ไว้ เขาก็ดูไม่สนใจจะรื้อฟื้น ซักถามหรือร้องขอให้ ‘ลืม’ มันทำให้ผมไม่อึดอัดที่เลือกจะรักษาสัมพันธภาพดี ๆ ระหว่างเราสองคนไว้

เมื่อเดินเลยตลาดมาเพียงครู่ เราก็ได้ยินเสียงแหลมเล็ก ร้องแหบ ๆ ราวกับว่าน่าจะร้องมานานพอสมควร จนเสียงใกล้แห้ง เรามองตามเสียงนั่นไปข้าง ๆ กองขยะ ผมจึงเดินเข้าไปตามเสียงที่จวนเจียนจะแหบแห้ง แล้วจึงพบลังกระดาษสีน้ำตาลใบย่อมที่ปิดอยู่

“รุ่ง ฝากของก่อน เดี๋ยวเขนดูเอง” เขนยื่นถุงที่ถือมาให้แล้วจึงย่อตัวลงไปเปิดลังกระดาษ แล้วอุ้มอะไรบางอย่างขึ้นมาด้วยท่าทีทะนุถนอม ลูกแมวตัวผอมบางสีขาว ตัวสั่นไปทั้งตัว แต่ยังคงร้องและพยายามแผดเสียงให้ดังขึ้นด้วยความตื่นกลัวทั้งที่เสียงที่ร้องออกมาแทบจะเป็นเสียงลม

“แมวอ่ะ รุ่ง ไม่รู้ใครเอามาทิ้งไว้”

“อะไรอะพี่” ตัวแสบรีบเดินเข้ามาดู

“แมวถูกทิ้ง น่าสงสารมัน” เขนตอบ ขณะกำลังลูบหัวแมวตัวเล็กเพื่อปลอบให้หายตื่นกลัว

“พี่เขนจะเลี้ยงเหรอ เราอยู่ที่ลำปางอีกไม่กี่เดือนเองนะพี่ เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพฯ คอนโดพี่เขาให้เลี้ยงแมวเหรอ” เขาดูครุ่นคิดครู่เดียว แล้วอุ้มแมวตัวน้อยแนบอกไว้ด้วยมือข้างเดียว

“อืม ไม่เป็นไร เอากลับไปก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ก่อนที่จะเอื้อมอีกมือมาแย่งของในมือผม

“ไม่เป็นไรเขน เดี๋ยวรุ่งถือเอง” ผมพยายามแย่งถุงพวกนั้นกลับมา

“รุ่งไม่เป็นไร แต่เขนเป็น ถ้าให้รุ่งถือ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าเปี๊ยกนี่ตัวนิดนึง” ลูกแมวสีขาวที่ยังดิ้นหาทางหนีจากมือเขน แต่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเพราะแค่กำมือเบาก็แทบไม่เห็นเจ้าตัวจ้อยนั่นแล้ว







เมื่อกลับมาถึงบ้านทุกคนก็ยุ่งขิงกับเจ้าแมวตัวเล็กนั่น โชคดีที่ซื้อทั้งขนมนมเนยกลับมา กันเยอะ แบ่งโน่นนิดนี่หน่อย แมวตัวบางก็กินจนพุงป่องใส คงไม่ได้กินอะไรมาสักพัก เลยกินไม่ยั้งซะขนาดนั้น

ก่อนที่ผู้ชายสามคนจะเดินตามลูกแมวน้อยตัวเดียว หลังจากที่มันกินอิ่ม ขับถ่ายเรียบร้อย และเริ่มเดินหาที่นอน มันไม่ยอมนอนกล่องที่เฟรมใส่ผ้านุ่ม ๆ ไว้ให้ พออุ้มเข้าไปในกล่องก็ตะเกียกตะกายออกมาตลอด จนเหนื่อยใจ มันเดินเฉิดฉายเลือกที่นอน จนขึ้นไปชั้นที่สองของบ้าน เราลองปล่อยมันแล้วเดินตามเงียบ ๆ อยากรู้ว่ามันจะทำอะไร สักพักมันเดินมาหน้าประตูห้องผมที่ล็อกไว้แล้วร้อง ผมจึงเดินไปไขกุญแจ พอเข้าไปได้เจ้าลูกแมว ก็กระโดดขึ้นเตียง เตรียมนอนบนหมอนอย่างถือสิทธิ์

“ไม่เป็นไรเขนให้นอนนี่ก็ได้” ผมเริ่มเอ็นดูมัน น่าจะเป็นแมวบ้านมาก่อน ถึงอยู่กับคนได้เนียนขนาดนี้

“พลาดแล้ว พี่เขน หวงนัก ไงล่ะ เอามือที่สามเข้ามาเองเลยนะนี่” เฟรมเริ่มแซว

“เออ มันเป็นตัวผู้หรือตัวเมียเนี่ย” ผมหันขวับกลับไปมองคนพูดที่หน้าตาจริงจัง

“อ้าว ตัวเมียเหอะ” เฟรมเดินมายกขาลูกแมว ติดเรทหรือเปล่า

“เอองั้นไม่เป็นไร”

“เป็นเอามากนะนี่” เฟรมยังไม่หยุด

“ไป ไปได้แล้ว ออกไปทั้งคู่นั่นแหละ” ผมหมดความอดทน ทำได้แค่ถอนหายใจเสียงดัง

“ไปพี่ถูกไล่แล้ว หมาหัวเน่าเหมือนกัน ไปด้วยกัน” เฟรมชวนร่างสูงที่ยังยืนอยู่ แล้วเหมือนรู้งานเดินออกไปก่อน

“ให้มันนอนนี่ ไม่รบกวนรุ่งนะ” เขาถามย้ำ

“อืม ไม่หรอก นี่ก็มีหมอนอีกใบ” ผมตอบ แมวตัวนิดเดียวไม่น่ากลัว ถ้าน่ากลัว ก็กลัวเจ้าของแมวมากกว่า

“งั้นฝากรุ่งไว้ก่อนแล้วกัน ถ้ามันกวนเรียกเขนได้เลยนะ” มันไม่กวนอะไรหรอก ผมกลัวว่าจะนอนทับมันแบนมากกว่า

“อืม ตามนั้นล่ะ” ผมตอบ ลุกขึ้นไล่เขาพร้อมจะเดินไปปิดประตูห้อง เขนยังยืนรออยู่ที่หน้าประตู

“เขนดีใจมาก ๆ เลยที่ ‘รุ่ง’ ยอมอยู่ที่นี่” เขาพูดแล้วยังยืนยิ้ม

“อืม ขอบคุณมากนะเขน” ผมกำลังจะปิดประตู

“ราตรีสวัสดิ์ครับรุ่ง......” ปลายนิ้วเพิ่งสัมผัสริมฝีปากเขน และกำลังยื่นมา ผมถอยหลังแล้วทำหน้าดุ

ผมเป็นคน ‘ความจำ’ ดี ไม่ยอมให้เกิดขึ้นซ้ำสองหรอก เขายิ้มเขิน ๆ

“แล้วก็ไม่ต้องส่งข้อความมาอีกแล้วนะ” ผมตอกกลับ คนที่ยังคงยืนงง ผมจึงรีบปิดประตู แล้วยืนหันหลังพิงประตูที่เพิ่งล็อกสนิท มือกุมหัวใจของตัวเองไว้

ประตูห้องนอนล็อกแล้ว แต่ประตู...หัวใจกลับหวั่นไหวอย่างประหลาด

ไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้มานาน แม้เหตุการณ์จะไม่มีอะไร

เมื่อก่อนผมก็...หวั่นไหวบ้าง ผมยอมรับ แต่ตอนนั้นมันเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกเจ็บ ๆ จุก ๆ บอกไม่ถูก

แต่ครั้งนี้.... มันไม่มีอาการเจ็บนั่น ทำไม......

ผมเริ่มกลัวใจตัวเอง กลัวว่าจะคง ‘ฝืน’ ให้นิ่งเฉยได้อีกไม่นาน......

 

ในขณะนั้นนอกประตูอีกด้านผู้ชายอีกคนก็ทรุดนั่งพิงประตูบานนั้นอยู่เช่นเดียวกัน มือกุมหัวใจของตัวเองไว้ ยิ้มกว้างสว่างไสวอยู่คนเดียว

 

ตลอดเวลาผมทำใจไว้เสมอว่า จะ ‘รัก’ แม้ว่าจะสูญเปล่า......

เพราะตลอดมา....ที่เพียรส่งความรักไป เหมือนคลื่นกระทบหินผา ไม่เคยมีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับ แต่…..ประโยคประชดประชันเพียงประโยคเดียว

 

‘แล้วก็ไม่ต้องส่งข้อความมาแล้วนะ’

 

อ่านสินะ......

‘รุ่ง’ อ่านข้อความที่ผมเพียรส่งไป........ ทุกวัน ทุกคืน

 

หัวใจของผมพองโต





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: PERSISTENCE 05.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-02-2018 11:30:39
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 06-02-2018 10:20:52
Chapter VIII

Return

 

เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดชื่นจริง ๆ ครับ เมื่อได้ตื่นเช้ามาสูดกลิ่นไอธรรมชาติ แม้ใจจริงผมอยากนอนต่ออีกสักหน่อยก็เถอะ แต่เมื่อแมวตัวเล็กมันอยากเข้าห้องน้ำ เดินวนเวียนแล้ววนเวียนอีก ร้องซะลั่นห้อง ผมจึงจำเป็นต้องลุกพามันมาที่สวนหลังบ้านเพื่อให้มันปฏิบัติภารกิจ แล้วนั่งมองดูมันนั่งเลียขนทำความสะอาดตัวเอง

ขนสีขาวขมุกขมัวของแมวน้อยที่เห็นตอนพบครั้งแรก เริ่มสะอาดขึ้นหลังจากเมื่อคืนที่เขนเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดตัวให้มันอย่างเร็วจนขนฟู ซึ่งดูเหมือนเช้านี้แมวน้อยจะรีบตกแต่งขนใหม่ให้เป็นสไตล์ที่เป็นมันเอง ยิ่งดูเจ้าแมวน้อยกับคนที่เก็บมันมาน่าจะขาวสว่างใสเกือบเท่า ๆ กัน

“รุ่ง Morning ครับ” น่าจะตายยากทีเดียว แค่คิดถึงเจ้าตัวก็มา

“ทำไมตื่นเช้าจัง เจ้า ‘เหมียว’ มันกวนหรือเปล่า” เขาถามขณะเดินมานั่งข้างที่โต๊ะหินอ่อน

“เปล่าหรอก เมื่อคืนก็นอนด้วยกันดี ถ้าจะมีก็ตอนเช้าน่ะ มันอยากเข้าห้องน้ำ เลยพามา” เหมือนรู้ว่าคนตัวโตมา เจ้าแมวน้อยรีบเดินมากระโดดนั่งตักเขนเลยทีเดียว มันมองหน้าแล้วร้อง

“มันจะเอาอะไร มันจะหิวหรือเปล่านะรุ่ง” เกมส์ทายใจแมวน้อยเริ่มต้นขึ้น เพราะเราสองคนไม่เคยมีใครเลี้ยงแมวมาก่อนเลย

“มีนมในตู้เย็น เดี๋ยวลองเอามาให้กินดูก่อน” ผมบอกพร้อมลุกไปเทนมใส่จานมาให้ มันรีบตะกุยตะกายจากตักเขนมาที่จานแล้วกินอย่างไม่คิดชีวิตเหมือนเมื่อคืน

“แมวกินอะไรบ้างอะรุ่ง” เขนถาม

“เอ่อ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เล็ก ๆ นี่น่าจะกินนมมั้ง แต่ถ้าโตหน่อยก็รู้แค่ว่าแมวชอบปลาทู” หรือเปล่า ผมตอบอย่างไม่แน่ใจ

“รุ่งว่า ลองไปถามสัตวแพทย์ดีกว่าว่าต้องเลี้ยงยังไง แต่ตกลงเขนจะเลี้ยงมันจริง ๆ เหรอ” เขนดูครุ่นคิดสักครู่

“ไม่รู้เหมือนกัน...แต่สงสารมัน ลองเลี้ยงดูก่อน เดี๋ยวค่อยไปถามที่ไซด์ ว่าใครอยากได้ลูกแมวบ้าง” น้ำเสียงเหมือนยังตัดใจไม่ได้

“งั้นพาไปร้านหมอก่อน แล้วค่อยว่ากัน” ผมจึงสรุปให้

“อืม”







เราได้ข้อมูลมาจากร้านหมอมากมาย และเจ้าเหมียวก็โดนจิ้มไปหนึ่งเข็ม คุณหมอดูจะขำ ๆ ที่ผู้ชายสามคนกำลังพยายามจะเริ่มเลี้ยงแมว ก่อนกลับบ้านเราแวะซื้ออาหารแมว และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเลี้ยง ชามอาหาร กระบะทราย ทรายแมว ของเล่นแมว ที่ร้านขายอาหารสัตว์

ก่อนจะมามุงแมวกันอีกครั้งที่บ้าน ทั้งบังคับให้กินยาถ่ายพยาธิ พยายามจะตัดเล็บให้มัน ตามที่คุณหมอสอน หลังจากที่มันข่วนเขนเลือดซิบไปหนึ่งที ตอนที่จับมันให้คุณหมอฉีดยา แล้วตั้งชื่อเล่นชั่วคราวของมันว่า 'เหมียว' ก็เขนเรียกมันอย่างนั้นเมื่อเช้าก็น่ารักดีผมว่า

วันพักผ่อนทั้งวันจึงกลายเป็นวันเจ้าเหมียวไปโดยปริยาย เท่าที่สังเกตเจ้าเหมียวดูจะติดเขนเอามาก ๆ ทั้งเล่นซน และคลอเคลียเขนไม่ห่าง เหมือนจำได้ว่าใครเป็นคนแรกที่ช่วยมันมา

“แหม เสน่ห์แรงจริงพี่เขน อย่าว่าแต่สาว ๆ เลย แมวยังติดใจ พี่รุ่งอย่าเล่นตัวมากล่ะ เดี๋ยวมีแมวขโมยชิงตัดหน้าไป” เรื่องเก่ายังไม่หายเคืองกันดี เจ้าเฟรมก็เริ่มสร้างเรื่องใหม่

มันทิ้งระเบิดไว้ก่อนที่จะลากเมียกีต้าร์ของผม หนีไปเล่นข้างบนบ้าน

“........................”

“ยิ้มอะไร” ผมถาม ขณะที่เขนกำลังลูบตัวเจ้าเหมียวที่นอนอยู่บนตัก

“เปล่า ยิ้มให้ตัวเอง” ไปโรงบาลไหมเขน ผมแอบคิด

“รุ่งไม่ต้องกลัวแมวขโมยอย่างที่เฟรมบอกเลยนะ สายตาเขน ความรักที่เขนมี ไม่เคยมีให้ใครคนอื่นเลยนอกจากรุ่ง”

“ตั้งแต่เขนตกหลุมรักรุ่งครั้งแรกที่มหา’ลัย จนรุ่งไปเรียนต่อ มีใครหลาย ๆ คนผ่านเข้ามา”

“ตอนนั้น....เขนก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม เขนถึงรักใครไม่ได้เลย..........”

“จนมาพบรุ่งอีกครั้ง เขนถึงเข้าใจว่าตลอดมาเขนไม่เคยมองเห็นใครอีกเลย” เหมือนความรู้สึกที่ถูก ‘เก็บ’ มันพรั่งพรูออกมาจากใจของเขน

ผมได้แต่อึ้ง....กับเรื่องราวหลายอย่างที่ได้รับรู้จากมุมมองของอีกคน

“ตอนแรกเขนก็พยายามนะที่จะหักห้ามใจ แต่มัน...บังคับตัวเองไม่ได้เลย เขนตื่นมารอรุ่งหน้าลิฟต์ทุกเช้า ขอแค่เพียงได้เห็นหน้ารุ่งตอนนั้นก็ดีใจมากแล้ว ทั้งที่รู้ว่ารุ่งอาจไม่เห็นเขนเลย.....”

ไม่ ไม่ใช่หรอกผมคิด ทำไมจะไม่เห็น แต่.....

“จนได้มาทำโปรเจคนี้ ครั้งแรกที่เขนเห็นรุ่งที่ห้องประชุม...เขนดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสได้รู้จักรุ่งจริง ๆ สักที”

“ดีใจที่วันนั้นกล้าที่จะชวนรุ่งลงไปกินข้าว กลับไปคืนนั้นเขนนอนไม่หลับเลย”

“เหมือนกำลังตกหลุมรักครั้งที่สอง ที่ลึกลงไปกว่าเดิม และเขนคงจะออกมาไม่ได้อีกแล้วตลอดชีวิต” เขนเสมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วกำลังเพ้อออกมา

แม้เรื่องราวต่าง ๆ ยังดำเนินอยู่ และยังไม่มีบทสรุป

แม้ผมเคยปฏิเสธไปแล้ว ครั้งหนึ่ง

 

เขาก็ยังยิ้มอย่างมีความสุข กับความรักของเขา

ในขณะที่หัวใจของผม มันกำลังสั่นคลอน

 







เมื่อมีเจ้าเหมียวเข้ามาในชีวิต เหมือนชีวิตชายโสดของพวกเราสามคนหมดลง ไม่ได้กินข้าวนอกบ้าน และเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ในตอนเย็นเช่นเดิม เพราะต้องรีบกลับซื้อข้าวเข้ามากินที่บ้าน เพื่อมาให้อาหาร และเป็นเพื่อนเล่นของเหมียว ก็ออกอาการเห่อพอ ๆ กันทั้งสามคน ไม่เว้นแม้เจ้าเฟรม ที่ขยันซื้อของเล่นแมวเข้ามาหลอกล่อดึงความสนใจเจ้าเหมียวจากเขน

“แหม....พี่เขนก็ได้ให้อาหาร พี่รุ่งก็นอนกับมัน ก็ให้มันเล่นกับผมบ้างเหอะ” เด็กมันเหวี่ยงขณะที่เหมียวมันสนใจอยากเล่นกับเขนมากกว่า

อย่าพูดถึงเรื่องจะยกเหมียวให้ใครเลย แค่นี้ก็แย่งกันอุตลุดจนถึงขั้นต้องแบ่งคิวกันเลยทีเดียว โชคดีที่ผมได้ล็อกคิวเวลานอน ไม่ได้ขี้โกงนะ แต่เหมียวมันเลือกผมเอง ปัญหาแย่งคิวดาราช่วงเย็นส่วนมากก็เป็นของเขนกับเฟรม

เย็นวันพุธฝนตกหนัก เรารีบซื้อข้าวเย็นแล้วรีบบึ่งรถกลับบ้านเพื่อมาหาเหมียวเช่นเคย มันอยู่กลางวันตัวเดียวคงเหงา เมื่อมาถึงบ้านเขนกับเฟรมก็รีบแย่งกันไปชิงคิวดาราเช่นเคย

“อ้าว มีอะไรกัน” ผมตามมาสมทบในบ้าน ก็เห็นผู้ชายสองคนเริ่มเดินกันขวักไขว่ เหมือนเล่นซ่อนหา

“เหมียวมันไปไหน ไม่รู้รุ่ง” เขนตอบ

“ไปดูข้างบนหรือยัง เดี๋ยวรุ่งไปดูที่ห้องให้”

 

ตอนนี้เลยเป็นผู้ชายสามคนเดินกันขวักไขว่ทั่วบ้านแทน เขนกับเฟรมเริ่มออกไปดูบริเวณรอบบ้าน ส่วนผมถูกมาเฟียกำชับให้ดูในบ้านให้ละเอียดอีกครั้ง

“รุ่งไม่ต้องออกมา ฝนตกหนักเดี๋ยวไม่สบาย หาเหมียวในบ้านให้เขนอีกรอบแล้วกัน”

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เขนกับเฟรมเดินเข้ามาด้วยสภาพเปียกปอน

“เป็นไงบ้าง เจอไหม” ผมรีบถาม เฟรมส่ายหน้า ขณะที่เขนนิ่งเงียบ

“เดี๋ยวรอให้ฝนซาสักหน่อย เถอะแล้วออกไปช่วยกันหาใหม่ ไปอาบน้ำสระผมกันก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด” เฟรมทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่อีกคน

“เขนขอออกไปดูอีกรอบก่อน” เขนกำลังหันหลังกลับไปหาต่อ

“เดี๋ยว...เขน ให้รุ่งไปด้วย” ผมกำลังจะวิ่งตามไป

“รุ่งกินข้าวหรือยัง” เขามองไปที่โต๊ะอาหารในครัว

“เดี๋ยวค่อยรอกลับมากินพร้อมกันก็ได้”

“ไม่ได้ รุ่งกินไปก่อนเลยนะ อยู่นี่แหละเดี๋ยวเขนมา” ผมจึงโดนบังคับให้อยู่ในบ้านอีกรอบ

ผมกับเฟรมกินข้าวเสร็จก็มานั่งรอเขนที่ห้องรับแขก จะห้าทุ่มแล้วเขนยังไม่ได้กินอะไรเลย ฝนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะซาลง กลับตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเริ่มร้อนใจ เพราะเขนไม่ได้เอาร่มไปด้วย

“เฟรมรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่ไปตามเขนก่อน” ผมเดินไปหยิบร่ม

“ผมไปเองก็ได้พี่” เฟรมกำลังจะแย่งผมอีกคน

“เฟรมอาบน้ำสระผมแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่รีบไปรีบมา” ผมจึงรีบตัดบท

 

ผมเดินฝ่าสายฝนมาถึงหน้าบ้าน ก็เห็นร่างสูงกำลังห่อตัวเดินเข้ามาอย่างเร็ว ผมจึงรีบแบ่งที่ในร่มให้

“เจอแล้วรุ่ง” เขนห่อตัวบังฝนให้เจ้าเหมียวตัวสีขาวที่กำลังสั่น

“สงสัยโดนหมาไล่ เขนไปเจอบนต้นไม้ซอยถัดไป” นอกจากเหมียวตัวสั่น ผมก็สังเกตว่า คนตัวโตก็กำลังสั่น จนปากเขียว

“อืม รีบเข้าบ้านก่อน” ผมรีบนำเข้ามาในบ้าน

“เขนส่งเหมียวให้เฟรมดูต่อก่อน เขนไปอาบน้ำ” ผมเริ่มออกคำสั่งบ้าง ขณะที่เขนละล้าละลังเป็นห่วงเหมียว ผมเลยใช้วิธีลากคนตัวโตขึ้นมาบนห้อง ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ และผลักเข้าห้องน้ำไป แล้วจึงเดินกลับมาดูเหมียวกับเฟรม

“เหมียวเป็นไงบ้าง มีแผลอะไรไหม” ตอนนี้เจ้าเหมียวถูกเฟรมใช้ผ้าเช็ดจนขนแห้งฟูฟ่อง นอนหลับอยู่ในอ้อมอกเฟรม

“ผมดูแล้วไม่มีนะพี่ แต่ยังสั่นอยู่เลย ผมให้กินนมแล้ว เลยกอดไว้ให้มันหายหนาว” เฟรมตอบ

“งั้นเฟรมเอามันขึ้นไปนอนห้องพี่ก่อน” เฟรมกำลังจะขยับลุกขึ้นช้า กลัวเหมียวตื่น

“อ่อ ลืมไปเฟรมเดี๋ยวก่อน” ผมเดินไปหยิบยาลดไข้ มาพร้อมแก้วน้ำยื่นให้

“กินกันไว้ก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด” ผมบังคับ

“โห พี่ผมไม่เป็นอะไรหรอก ไปห่วงแฟนพี่ดีกว่า” มันยังกวน

“จะกินไม่กินเฟรม” ผมเริ่มติดนิสัยมาจากมาเฟียมาแล้วใช่ไหม

 

ในขณะที่ผมบังคับคนหนึ่งได้ แต่มันไม่ได้ผลกับอีกคน

“เขน ลงไปกินข้าวก่อน จะได้กินยา” ผมขึ้นมาตามเขนที่ห้อง เจ้าตัวอาบน้ำเสร็จก็นอนลงทั้งที่ไม่เช็ดหัวให้แห้ง

“เขนมึนหัว ขอนอนพักแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หายไม่เป็นไรนะรุ่ง” ผมรู้ คนตัวโตไม่ชอบกินยา

“ดูสิตาแดง จมูกแดง หัวก็ยังไม่แห้ง ลุกขึ้นมาก่อนนะเขน” ผมพยายามดึงแต่ไม่เป็นผล เขนนอนคว่ำซุกหน้าหนี แถมทำเสียงแกล้งกรนให้ด้วยซ้ำ จนผมอ่อนใจ

 







เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นไปตามคาดเฟรมมาตามแต่เช้ามืดว่าเขนไข้ขึ้นสูง แต่ยังคงดื้อไม่ยอมไปโรงพยาบาล เฟรมจึงต้องมาเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ โดยมีผมนั่งกำกับ

“คนมีความรักก็งี้แหละ เป็นหวัดง่ายมีคนเอาใจหน่อยก็หาย” เจ้าคนดื้อยังฝืนพูดทั้งที่เสียงแหบแห้ง

“เอาไงดีพี่รุ่ง” เฟรมถามขึ้นเพราะถึงเวลาที่เราต้องไปทำงานแล้ว

“เฟรมไปทำงานเถอะพี่เฝ้าเอง ฝากแจ้งฝ่ายบุคคลว่าเขนไม่สบาย ส่วนพี่ Work @ Home ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมา” ผมตัดสินใจ เฟรมยังไม่ผ่านทดลองงาน หยุดจะดูไม่ดี แต่ผมสามารถทำงานที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันด้วยซ้ำ

“งั้นผมไปก่อนนะพี่” เฟรมบอกก่อนออกไป

 

เมื่อเจ้าเฟรมออกไปทำงาน ผมก็หอบโน้ตบุ๊กมานั่งทำงานที่ห้องของเขน ตอนนี้เจ้าของห้องหลับสนิทไปด้วยฤทธิ์ยา แต่กว่าจะกินยาได้ ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ ยากยิ่งกว่าบังคับ เจ้าเหมียวกินยาถ่ายพยาธิซะอีก

"รุ่ง.....รุ่ง......รุ่งจ๋า....." ผมเดินไปดูเขนที่เตียงตามเสียงเรียก

"เขน เป็นอะไร อยากได้อะไรหรือเปล่า?" เขนยังคงหลับตา ละเมอสินะ

คิ้วหนาขมวดชนกัน ใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อ เหงื่อเริ่มชุ่มไปทั่ว ไข้ขึ้นเหรอ... ผมวางมือลงที่หน้าผากขาวเพื่อวัดอุณหภูมิ ไข้สูงจริง ๆ ด้วย ยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยที่กินยาลดไข้ คงต้องเช็ดตัวลดไข้อีกครั้ง ผมนำผ้าขนหนูกับอ่างใบเล็กมาวางไว้ข้างเตียง

'เฮ้อ.....ดื้อไม่เข้าเรื่องจริง ๆ นะเขน' เมื่อความร้อนของร่างกายถูกดูดซับออกมา สีหน้าของเขนก็ดูดีขึ้น

แต่ถ้าเพียงคนป่วยตื่นมาเห็นคนที่กำลังพยาบาลตอนนี้....

ผมรู้สึกว่าเลือดกำลังสูบฉีดพล่านไปทั่ว ใจของผมกำลังเต้นแรงจนได้ยินอย่างชัดเจนในความเงียบนี้

คงเพราะเป็นเวลานาน......นานมาก

ที่เราเคยได้อยู่ใกล้กันมาก.....มากเท่าขณะนี้

 

เมื่อเช็ดตัวเสร็จก็ใกล้เวลากินยาอีกครั้ง ผมจึงลงไปอุ่นโจ๊กที่เฟรมซื้อมาให้ก่อนไปทำงาน ผมถอนหายใจ แค่คิดยังเหนื่อยเลย ถ้าไม่กินคราวนี้จะจับกรอกจริง ๆ ด้วย

"เขน.....เขน......ตื่นก่อน กินโจ๊กก่อนนะ" ผมพยายามปลุกเจ้าตัวโต เขนไม่เคย ไม่ขานรับผม ทำไมไข้ขึ้นอีกแล้วล่ะเพิ่งเช็ดตัวไปเอง

"เขน เขน ได้ยินรุ่งไหม...เขน" ตัวยังร้อนมาก ไม่ได้การแล้ว ต้อง ‘ป้อนยา’ ลดไข้ให้ได้ก่อน และต้องลากไปโรงพยาบาลให้ได้

 

ผมรวบรวมความกล้า

ความกล้าที่ต้องใกล้ชิด...มากขนาดนั้น

 

ความกล้าที่ต้อง...เสี่ยงเล่นกับความรู้สึกใน ‘หัวใจ’ ตัวเอง

ผมต้องตัดสินใจในชั่วเสี้ยววินาที เพราะ....หัวใจตอนนี้กำลังร่ำร้อง.......

 

ไม่สามารถสูญเสีย ‘เขน’ ไปได้อีกแล้ว

แม้ว่าในอนาคตความสัมพันธ์ นั้นจะเป็นเช่นไร........ ผมกลั้นใจ

 







“อ้าว พี่รุ่งอยู่นี่เอง พี่เขนเป็นไงบ้าง........”

“ผมได้รับข้อความแล้วรีบมาเลย” เฟรมหอบไปขณะกำลังพูดรัว

“……………………………....”

“พี่รุ่ง...... พี่รุ่ง……ได้ยินไหม พี่เขนเป็นหนักเหรอ ไหนอยู่ไหน อยู่ห้องไหนพี่” เฟรมเริ่มลุกลี้ลุกลน

“.......ไม่เป็นไรแล้ว ถึงมือหมอแล้ว” ผมรวบรวมสติตอบน้องก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้

“พ...พอดีไข้ขึ้นสูงมาก.......กลัวช็อค พี่เลยพามาโรงพยาบาลก่อน”

“ตอนนี้ไข้เริ่มลดแล้ว หมอฉีดยาลดไข้และให้น้ำเกลือ ตอนนี้ให้นอนพักอยู่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องรอดูอาการ”

“เฮ้อ....ค่อยโล่งหน่อย ก็ดูหน้าพี่รุ่งสิซีดขนาดนี้ นึกว่าพี่เขนเป็นอะไรไป” หน้าผมตอนนี้เหรอ

“.........เฟรมเข้าไปเยี่ยมก่อนสิ อยู่ห้องยี่สิบ ตึกห้า ไม่แน่ใจว่าตื่นหรือยัง เดี๋ยวพี่ตามไป” ผมตอบในขณะที่สติของตัวเองค่อย ๆ กลับมา ผมกำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้าหน้าห้องตรวจสมองยังมึน ๆ เบลอ ๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจริง ๆ รับรู้เพียงต้องพาเขนมาให้ถึงโรงพยาบาล ต้องใช้แรงที่มีทั้งหมดกึ่งพยุง กึ่งลากคนป่วยมาที่รถ และขับรถมาที่โรงพยาบาล

 

แต่

สิ่งที่ทำให้สติขาดหายไป.......... เมื่อหวนคิดย้อนกลับ...........

ก็เริ่มรู้สึกร้อนผะผ่าว ที่ริมฝีปากตัวเอง จนเผลอยกมือขึ้นมาปิด

 

ตอนนั้น.....ผมรู้แต่เพียงต้อง ‘ป้อนยา’ ลดไข้ให้ได้ เพื่อประวิงเวลาลดอาการไข้ ที่ถ้าขึ้นสูงมากอาจช็อคได้ ไข้ของคนป่วยกำลังขึ้นสูง เพ้อเรียก เพียง..........

‘รุ่ง…......รุ่ง…......รุ่งจ๋า’

 

เพียงชั่ววินาที สมองผมประมวลวิธีการ ‘ป้อนยา’ ให้กับคนป่วยที่ไม่ได้สติเพียง.....วิธีเดียว  เมื่อรวบรวมความกล้าได้ ผมใช้มือประคองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงจัดร้อนระอุไปทั่วด้วยพิษไข้ ก่อนที่จะโน้มตัวลงค่อย ๆ บรรจงประทับริมฝีปากลงไป ขบเม้มเบา ๆ ที่เรียวปากสีแดงสดภายนอก เพื่อให้คนใต้ร่างเผยอเปิดช่องให้ลิ้นเรียวบางแทรกลงไปจูบ...... อย่างดูดดื่ม ปลุกเร้าให้คนที่ขาดสติจูบตอบ สอดประสานเรียวลิ้นอย่างไม่รู้ตัว

“อือ.........อืม”

เมื่อร่างสูงเริ่มคราง...กับจูบรสหวาน...ด้วยอารมณ์เพ้อ...กึ่งฝัน ก็รีบถอนริมฝีปากออกมา หยิบยาเม็ดลดไข้ใส่ปากตัวเอง

“รุ่ง.............”

“อยู่นี่...........” ก่อนที่จะกดจูบลงไปอีกครั้ง คนใต้ร่างเปิดริมฝีปากตอบรับทันทีในครั้งนี้ ลิ้นเรียวบางค่อย ๆ สอดแทรก กดจูบลงลึก แล้วดันยาเม็ดลดไข้ลงให้ลึกเท่าที่จะลึกได้

เมื่อได้รสขมของยาที่ตัดกันกับความหวานของรสจูบคนป่วยจึงเริ่มจะเบือนหน้าหนี มือเล็ก ๆ จึงต้องฝืนใบหน้าขาวไว้ เพิ่มดีกรีของการจูบให้ลึกขึ้นเพื่อเพิ่มรสหวาน..... สรรค์สร้างอารมณ์มัวเมาดื่มด่ำในรสจูบ จนคนไข้เผลอกลืนเม็ดยาเข้าไป และรีบถอนริมฝีปากออก

 

ก่อนที่ทุกๆอย่างจะไปผ่านไปเร็วดัง...ภาพฝัน...........

มันเป็นวิธีเดียวที่คิดได้....

 

เพราะ ‘เขา’ คนนั้น

‘เขา’ คนนั้น......ในความทรงจำที่ติดตรึงฝังลึก........

 

เคย..........

เคย............ใช้วิธีนี้.....กับผม

 

‘ความทรงจำ’ บางอย่าง…….

กำลังหวนกลับ......ซ้ำ......ย้ำ...... รอยเดิม





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-02-2018 12:00:28
หวานมากกกก
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2018 13:23:07
รุ่งจำอดีตได้เหรอ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-02-2018 17:17:19
ละมุนละไมมากจ้า
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 07-02-2018 10:03:19
Chapter IX

Dream



 

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!!! บอกให้ถอดออก ถ้าไม่ทำผมจะทำเอง” ผมตะโกนอย่างเหลืออด

“ไม่ได้นะคะคุณ ยังถอดสายน้ำเกลือออกไม่ได้ คุณหมอยังไม่อนุญาต” นางพยาบาลคนที่ดูอายุมากที่สุดเป็นคนตอบ ตอนนี้มีทั้งนางพยาบาล และบุรุษพยาบาลมายืนอออยู่ เต็มห้อง

“แล้วหมออยู่ไหน คนอนุญาตได้ไปไหน แล้วมากันเยอะแยะทำไม ไม่ได้เรื่องสักคน” ผมดึงสายน้ำเกลือออกเองก็ได้ ก็แค่นี้

“ถอยไป! ไป! ไปให้หมด” ผมจะออกไปจากห้องนี้ จะไป....

“อะไรกันครับ เกิดอะไรขึ้น” คนที่ผมกำลังจะไปหา พุ่งเข้ามาในห้องพร้อมเฟรม

“......................................” เสียงในห้องเงียบกริบ มองมาที่ผมคนเดียว อ้าวซวยละสิ

“อะไรกันเขน โวยวายอะไรดังไปถึงข้างนอก ทำไมไม่พักผ่อน” รุ่งส่งสายตาดุ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คนพวกนี้ต่างหาก

“รุ่งจ๋า..............เขนตื่นมาหารุ่งไม่เจอ จะออกไปตามหา” ผมรีบเดินมาจับแขนรุ่งไว้ หน้าหวานถอนหายใจ เหมือนจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ้าว....แล้วทำไมสายน้ำเกลือหลุด เลือดไหลใหญ่แล้ว กลับไปนอนเลย” ผมจำต้องยอมกลับไปนอนแต่ก็ลากรุ่งไปด้วย

".........................................."

“คุณพยาบาลครับ รบกวนช่วยดูแผลให้หน่อยครับ” ทีกับคนอื่นพูดซะเพราะ ทีกับผมดุเอา ดุเอา คุณพยาบาลเข้ามาห้ามเลือดจากแผลที่ผมดึงเข็มที่แทงน้ำเกลือออก

“แล้วหายดีแล้วเหรอ ดึงเข็มออกทำไม”

“ก็รุ่งไม่อยู่ ให้ไอ้เฟรมไปตามก็ไม่มาซักที เขนก็จะออกไปตามเอง”

“ตอนแรกก็บอกให้เอาน้ำเกลือออกให้ดี ๆ ก็ไม่ยอม เขนก็เลย.........”

“ดึงออกเองเหรอพี่ โห.........เท่ห์สุด ๆ อะ ไม่เจ็บเหรอ” เฟรมมันมองตามนางพยาบาลที่ทำแผลให้

“เจ็บสิวะ ถามได้”

“โคตรแมนเลยพี่” เฟรมมองผมอย่างชื่นชม ในขณะที่รุ่งส่ายหัว

“โคตรดื้อ ล่ะสิไม่ว่า”

“ดูสิ เขาเลยวุ่นวายกันหมดเห็นไหมเขน ไม่อายบ้างหรือไง” คุณพยาบาลยังแอบยิ้มขำผม เมื่อเห็นว่าผมแพ้ทางร่างบางข้างหน้า

“ก็รุ่งหายไป” ผมตอบเลี่ยง ๆ ก็จะอายก็ตอนรุ่งเข้ามาดุนี่แหละ

“จะไม่ให้รุ่งไปไหนเลยรึไง เขนไม่ใช่เป็นเด็กแล้วนะถึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เจ้าเหมียวยังเก่งกว่าเลย”

“ก็ปล่อยให้เหมียวมันเก่งกว่าไป ก็เขนอยากอยู่กับรุ่ง” ผมตอบเอาแต่ใจ

“แล้วรุ่งไปไหนมา เขนรอ.....ตื่นมาก็ยังไม่เห็นรุ่ง ให้เฟรมไปตามก็ไม่มา” รีบอ้อนต่อ

“น้องมันก็มาตามแล้ว แต่ยังไม่ได้กินข้าว ก็เลยไปหาอะไรกินกันหน้าโรงพยาบาล”

“หรือไม่ต้องให้กินอะไรเลย หรือไง” หน้าหวานเริ่มเหวี่ยงใส่

“ก็เขนคิดถึง เขนไม่ชอบโรงพยาบาล รุ่งจ๋า.......เรากลับบ้านกันนะ”

“คุณหมอให้กลับได้แล้วเหรอ”

“อืม...เอ่อ...................”

“ยังค่ะ” พยาบาลที่เถียงกับผมตอบอย่างเหลืออด

“เขนจ๋า.............รุ่งให้เลือก ซ้ายหรือขวา” รุ่งกลับมายิ้มหวานให้ผม

“เลือกอะไรอะ อะไรซ้าย อะไรขวา” ผมยังงง รุ่งจะให้อะไร

“เลือกมาก่อน เดี๋ยวบอก” ขวาร้าย ซ้ายดี ผมคิด

“เอา...ซ้าย”

“คุณพยาบาลครับ ต้องให้น้ำเกลือใหม่ใช่ไหมครับ เจาะข้างซ้ายได้เลยครับ”

ผมจะจำจนวันตายว่ายิ้มอย่างนั้น.........โคตรน่ากลัว

 





ผมตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นรุ่งอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะรอคอยอย่างสงบ ก็เมื่อคืนผู้ชายหน้าสวยคนนั้นขู่ไว้.....

‘ถ้าเขนสร้างเรื่องอะไรอีก แม้แต่อย่างเดียว...จะให้เฟรมมาเฝ้า แล้วรุ่งจะไม่มาอีก แม้แต่มาเยี่ยมก็จะไม่มา’ คนคนนี้พูดจริงทำจริงซะด้วย เรื่องอะไรจะให้ไอ้เด็กร้ายนั่นเฝ้า ผมรอเฉย ๆ ก็ได้

“คุณรุ่งฝากบอกว่า...จะกลับไปบ้านไปทำธุระ แล้วจะเข้ามาทานอาหารเช้าด้วยนะคะ” แม้จะเปลี่ยนเวรกันแล้วแต่ดูเหมือนพยาบาลทุกคนจะรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

“นี่ยาก่อนอาหารค่ะ” พยาบาลยื่นถ้วยแก้ว ถ้วยเล็กที่บรรจุยาเม็ดเล็กสีสันสดใส

“วางไว้ที่โต๊ะก่อนครับ” รุ่งไม่อยู่ก็ไม่ต้องกิน เดี๋ยวแอบทิ้งก็ได้ ก็รุ่งไม่อยู่กับเขนเอง

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณรุ่งกำชับไว้ว่าให้ทานให้ดูต่อหน้า กลืนแล้วให้อ้าปากให้ดูด้วย” พยาบาลตอบยิ้ม ๆ

“คุณพยาบาลคนสวยครับ ผมไม่ต้องกินไม่ได้เหรอครับ ขอเป็นยาฉีดได้ไหม ฉีดใส่น้ำเกลือนี่ก็ได้” ไหน ๆ ก็เจ็บเพราะเข็มน้ำเกลือสองแผลแล้ว ก็ไม่อยากทรมานกินยา

“ยาก่อนอาหารมีแต่ยาเม็ดนะคะ” พยาบาลใจร้าย

“งั้นผมก็ไม่กิน” ใครจะมาบังคับได้

“ก็ได้คะ......แต่ถ้าคุณรุ่งมาถาม พี่ก็ต้องตอบตามความจริงนะคะ” ผมมองตาค้าง

“ครับ ๆ มา มา กินเลยก็ได้” นี่ขนาดไม่อยู่นะ.........ยังไม่วาย

‘เฮ้อ..........’ ผมไม่น่าหลงรักคนฉลาด แถมวางแผนรอบคอบอย่างนี้เลย แต่ตอนนี้ก็กลับตัวไม่ทันแล้ว

กินก็กิน

 





"รุ่งจ๋า...เขนกลืนไม่ทันแล้วนะ" คนป้อนเงยหน้าจากชามโจ๊ก ขึ้นมาค้อน

“ก็ไม่กินเอง ใครจะรู้ล่ะ” พร้อมทั้งส่งสายตาอาฆาตมาให้

“ก็เขนป่วยอยู่ ก็อยากให้คนที่เรารักเอาใจ” รุ่งหลบสายตา

“เอ้า....งั้นรีบกินกินเข้าสิ อย่ามัวแต่พูด ที่กลืนไม่ทันก็เพราะมัวแต่เวิ่นนี่ล่ะ” ผมอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“รุ่งจ๋า......ยังร้อนอยู่เลย เป่าให้หน่อยนะ น้า” คนป้อนถือช้อนนิ่ง จ้องหน้าผมพร้อมจะเอาเรื่อง เข้าล็อก ผมจ้องกลับ

“................................................”

“รุ่งจ๋า....เขินเขนเหรอคะ” หน้าหวานเริ่มแดงเรื่อ อย่าน่ารักอย่างนี้สิ

“กินเอง ไม่ป้อนแล้ว” ชามโจ๊กแทบแตกเมื่อคนวางกระแทกลง แล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป

ในที่สุดก็เหวี่ยงออกมาจนได้

‘เยส’ รุ่งเขินจริง ๆ นั่นแหละไม่ผิดแน่ ตอนนี้ผมแทบอยากจะตะโกนให้คนทั้งโรงพยาบาลรู้

 





วันนี้ผมจะได้กลับบ้านหลังจากที่นอนโรงพยาบาลมาสองคืน เป็นการนอนโรงพยาบาลที่มีความสุขมากจริง ๆ ตลอดมาผมไม่เคยชอบโรงพยาบาล แต่คงเพราะคนที่เฝ้าไข้เป็นคนที่เรารัก แม้จะอยู่ที่ที่เคยเกลียดมากแค่ไหนก็สุขใจ

รุ่งนั่งที่โซฟารอผมกินอาหารเช้า แต่ไม่ยอมป้อนอาหารผมอีกเลย

“......................................................” ปากกำลังเม้มน้อย ๆ สายตานั่นแปลว่ากำลังจะหาเรื่อง ผมค่อย ๆ ตีความใบหน้าเฉยเมยนั่นได้ทีละน้อย ผมยังคงละเลียดกินต่อ แต่ก็มองอย่างระแวดระวัง

“เขน.......อิ่มหรือยังอะ” ประกายตาระยิบแบบนี้เอาเรื่องแน่

“กินข้าวเสร็จจะได้ให้พยาบาลมาฉีดยาก่อนกลับ”

“อะไรอะ ทำไมมียาฉีดด้วยอะ” ผมเริ่มโวยวาย หลังอาหารมื้อเช้าก็ไม่มียาฉีดแล้วนี่นา

“อ้าว ก็คุณพยาบาลเมื่อวานเล่าให้ฟังว่าเขนอยากได้ยาฉีด ไม่ใช่เหรอ” มีสายลับเยอะจริง ๆ ดูเหมือนพยาบาลสาว ๆ พวกนั้นจะชอบเข้ามาดูโน่น นั่น นี่ ตลอดเวลาที่รุ่งมาเฝ้าผม ทีผมอยู่คนเดียวก็ไม่ค่อยเห็นมีใครจะเข้ามา

นี่มาอยู่แค่สองวัน คงไปคุยกันมาล่ะสิ คงต้องลากรุ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด

“รุ่งเลยขอเปลี่ยนให้ไง ได้ยาฉีดมา”

“รุ่งใจร้าย” ก็ผมถอดน้ำเกลือแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ให้ยาทางสายน้ำเกลือไม่ได้ ก็ต้องใช้เข็มแทงอีกแผลน่ะสิครับ

“ก็เลือกเอาว่าแขนซ้ายหรือแขนขวา” หน้านิ่งฉายแววเจ้าเล่ห์ชัด

“ไม่เอาอะ เขนจะหายแล้ว ไม่ต้องฉีดยานะ ให้กินดีกว่านะ รุ่งนะ” ผมรีบอ้อน

“แน่ใจนะ...เอ้า งั้นก็รีบกินซะ จะได้กลับบ้าน” รุ่งส่งแก้วใบเล็ก ๆ ที่ใส่ยาเม็ดเล็ก ๆ ไว้เรียบร้อย

“รุ่งหลอกกันนี่นา” เล่นเตรียมไว้แล้วขนาดนี้

“เปล่า ไม่ได้หลอกหรือเขนอยากได้ยาฉีดจริง ๆ รอแป๊บ เดี๋ยวไปตามพยาบาลก่อน” รุ่งกำลังจะเดินออกไปจริง ๆ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรอะรุ่ง กินยาเม็ดนี่แหละ กินแล้ว ๆ” ร่างบางหันกลับมาอมยิ้ม

ไม่เป็นไรจริง ๆ

ถึงจะหลอกผมก็ยอมให้หลอกไปทั้งชีวิต ยอมให้รุ่งคนเดียว

 





ผมยิ้มกว้างเมื่อมาถึงบ้าน และพบเฟรมกับเหมียวมารออยู่ที่หน้าบ้าน

“เป็นไงพี่เขน หายดีแล้วสิ ได้กำลังใจดีนี่นะ” ผมยิ้มกว้างให้เฟรม

“ไม่เห็นไปเยี่ยมพี่เลย” แล้วดึงเจ้าเหมียวมากอด

“ก็ถ้าผมไป พี่รุ่งก็จะอยู่บ้านดูเจ้าเหมียวนี่ ผมรู้ใจพี่หรอก เลยอาสาอยู่กับเจ้าเหมียวแทน”

“เออ เออ ไม่เป็นไรดีแล้ว”

“จะคุยกันตรงนั้นอีกนานไหม จะกินไหมเนี่ยบาร์บีคิวอะไรนี่ อะเขน” รุ่งเปิดหลังรถ แล้วหยิบของออกมา เราแวะซื้อของมาทำบาร์บีคิวกินกันตอนเย็น ฉลองที่ผมได้กลับบ้าน จริงแล้วผมเบื่ออาหารโรงพยาบาลมากเลยครับ เลยอ้อนอยากให้รุ่งทำอะไรให้กิน

 

‘นะรุ่งนะ อยากทำกับข้าวกินกันที่บ้าน รุ่งทำให้หน่อย เดี๋ยวเขนเป็นลูกมือเอง’

‘ก็ทำเป็นแต่บาร์บีคิว เคยทำกินตอนไปเรียนที่โน่น’

‘รุ่งทำอะไรเขนก็กินหมดแหละ’

 

“กินสิครับ” ผมรีบไปช่วยถือของ

“เฮ้ย ทำบาร์บีคิวเหรอพี่ อยากกินพอดี” เลยได้ลูกมือเพิ่มอีกคน

เราปิ้งบาร์บีคิวอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหลังบ้าน เจ้าเฟรมออกไปซื้อเบียร์ที่ตลาดหน้าซอยมาดื่ม เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ

“เขนห้ามกิน ยังไม่หายไข้ดี” รุ่งสั่งเมื่อเดินมาเห็น

“อ้าว ผมกินคนเดียวก็เหงาสิพี่รุ่ง” เฟรมบ่นอุบอิบ

“เออ...เดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนเอง” ผมหันไปมอง ขณะที่คนพูดเดินกลับเข้าไปในครัว

“รุ่งกินเป็นเหรอ” ผมไม่เคยเห็นรุ่งดื่มแอลกอฮอล์เลยนี่ครับ

“เป็นสิพี่ ตอนที่นอนโรงแรม ผมกับพี่รุ่งก็ไปกินกันบ่อยออก แต่พี่รุ่งเขาไม่กินนอกที่พักเท่าไหร่อะ คอไม่แข็ง” แล้วคนที่เม้าท์คนอื่นว่าคอไม่แข็งก็ฟุบไปอีกรอบ ผมจึงต้องลากมันไปนอนบนโซฟาในห้องรับแขก ตัวเจ้าเด็กร้ายมันไม่ใช่เล็กเลย จะลากขึ้นไปบนบ้านไงไหว ผมมองขึ้นไปตามบันได แล้วก็ฉุกคิด แล้วทำไม....

รุ่งยังนั่งดื่มเบียร์กระป๋อง บาร์บีคิวหมดไปสักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่ไฟในเตาปิ้งยังคุอยู่ ทำให้เกิดเงาสีทองสะท้อนไหวฉาบอยู่ที่ใบหน้าหวาน

“เพิ่งเคยเห็นรุ่งดื่มแอลกอฮอล์” ผมทัก

“นาน ๆ ที แต่ส่วนมากกินเล่นที่บ้าน ตอนอยู่ที่โน่นหาน้ำเปล่ากินยาก ก็เลยพอกินได้” ที่ว่าพอกินได้ก็คอแข็งกว่าเฟรมเมื่อดูจากจำนวนกระป๋องที่กินไปเท่า ๆ กัน แต่ก็คงเริ่มออกอาการมึน ๆ

“........................................” ยิ่งเมายิ่งเงียบ

“รุ่ง....เขนขอบคุณนะครับ ที่ช่วยดูแลช่วงที่เขนไม่สบาย” เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาหารมื้อเย็นวันนี้ ผมอยากเลี้ยงขอบคุณรุ่ง

“อืม......แต่ตัวหนักชะมัด” รุ่งทำหน้ายุ่ง

“หืม อะไรนะ” เรื่องอะไร

“ก็ตัวหนักนะตอนแบกลงมาอะ เกือบตกบันไดคอหัก” รุ่งตอบยิ้ม ๆ เหมือนสติลอย ๆ

“คนป่วยดื้ออะ ไม่ยอมกินยา เลย....อืม....”

“อะไรนะครับ”

“เลย....บังคับป้อนยา แล้ว....เอ่อ....ก็แบกบ้าง......ลากบ้างกว่าจะลงมาถึง”

“รุ่งครับรุ่ง” ผมเรียกพร้อมจ้องหน้าหวาน

“หืม.........อารายอะ” อาการตาปรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เหมือนเช้าวันนั้นตอนตื่นนอน อย่างนี้นี่เองถึงไม่ค่อยกินเบียร์นอกบ้าน

ผมมองลึกลงไปในแววตาคู่นั้น......แม้ไม่ได้อยากฉวยโอกาสคนเมา แต่อยากจะพิสูจน์อะไรเพิ่มสักอย่าง จึงเคลื่อนตัวไปใกล้ก่อนใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวร่างบางเข้ามาใกล้ตัว

“รุ่ง....ครับ” ผมเชยคางใบหน้าหวานให้มองประสานสายตา และรับรู้ได้จากดวงตาปรอยนั่นที่หรี่จนใกล้จะปิด ว่าสติกำลังจะค่อย ๆ จางหายไป

“เขนรักรุ่งนะครับ” ผมค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไป พร้อมกับเชยคางเรียวขึ้นรอรับ เพื่อจะบรรจงจูบริมฝีปากบาง

“อืม....อย่า....ไม่ได้นะ” คนเมาผลักผมออกอย่างไร้สติ

“ไม่ได้นะ.....ทำผิดต่อ ‘เขา’ ไม่ได้” แต่คำพูดที่ปล่อยออกมากลับเป็นความจริงแท้

คนเมาที่ไหน.....จะโกหกได้

 



ผมโอบรุ่งมากอดแนบอกอีกครั้งชั่วอึดใจ แล้วจึงประคองร่างบางไปนอนที่ห้อง เจ้าเหมียวที่มานอนรออยู่ก่อนหน้าบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่จะรับรู้ว่ารุ่งมาแล้ว มันเดินมานอนพาดที่คอของรุ่งอย่างถือสิทธิ์ เจ้าของมาดูแลต่อแล้วผมจำต้องถอยห่างออกไป

มันคงเป็นเพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีทางเป็นจริง....

ตลอดที่ผมมีไข้สูง ‘ความฝัน’ ของผม วุ่นวาย วนเวียน

 

ผมฝันว่า.......คนที่ผมหลงรักเขาอย่างสุดใจ........มอบจูบที่หวานซึ้งให้

 

มันเหมือนจริงมากจน...ผมจดจำ...

ทุกอณูแห่งความหวานของรสจูบนั้นได้ เสมือนยังซึมซาบอยู่ที่ปลายลิ้น

 

มันเหมือนจริงมากจน...ผมจดจำ……..

ทุกอณูแห่งความอบอุ่นที่กรุ่นกำจาย....ติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก

 

ช่างเป็นรสจูบที่หวานซึ้งตรึงใจ.....จนแทบไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอความจริง

ปรารถนาจะหลับตาอยู่อย่างนั้น เพื่อฝันถึงเธอตลอดไป....................





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-02-2018 13:53:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-02-2018 16:20:01
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 07-02-2018 16:37:40
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-02-2018 17:45:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 08-02-2018 03:01:50
ภาษาสวยมาก
เหมือนเก็บดอกไม้กลีบบาง หอม ๆ
มาเรียงร้อยเป็นมาลัยงาม

ตัวละครทั้งภาคอดีตและภาคปัจจุบัน
ไม่หลุดคนแรคเตอร์เลย อ่านแล้วรู้ว่าใครกลับมาเป็นใคร
แบบไม่ต้องเดามาก

... ดีจังค่ะ

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 08-02-2018 10:43:34
Chapter X

Feeling





 

อาการมึนเมาหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่น่าเลย…. เกือบไปแล้ว.........

ถ้าเรียกสติกลับมาไม่ทัน…ถ้าเพียงแต่ปล่อยอารมณ์ ตามความรู้สึก

 

สมองสั่ง บางอย่างยังคงต้องปกปิดกดเก็บไว้

เพื่อให้ ‘แผลเดิม’ ในใจที่รวดร้าว มันคลายความเจ็บปวด

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวแรกแย้มผูกโบสีแดงสดปักอยู่ในหลอดแก้วใสทรงสูง ส่งกลิ่นหอมละมุนเบาบาง ช่วยสร้างบรรยากาศสดชื่นให้กับห้องทำงานในออฟฟิศชั่วคราว ซึ่งเจ้าของดอกไม้นำมาปักไว้ด้วยตัวเองก่อนที่จะกลับไปทำงาน

ทุก ๆ เช้าก่อนมาทำงาน เขนยังคงขอแวะที่ร้านดอกไม้เพื่อรับ ‘ดอกลิลลี่’ ที่สั่งไว้ทั้ง ๆ ที่คนรับก็นั่งอยู่เคียงคู่ในรถ แม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เลิกอย่างไรก็ไม่เป็นผล ยังคงมั่นคง และสม่ำเสมอ จนผมลอบถอนหายใจ

จะแข็งขืนได้นานแค่ไหน..............

 

ในเมื่อความรู้สึก.... ที่เก็บไว้ในใจ..... นับวันมันยิ่งชัดเจน

ในเมื่ออารมณ์...... ที่กดไว้ข้างใน..... มันร้องร่ำต้องการแสดงออก

 

แค่สติลดเลือนไปเพียงเล็กน้อย สิ่งที่เก็บ และกดไว้ก็ค่อย ๆ แทรกซึมออกมาเฉกเช่นเมื่อคืน เมลที่ทำงานไม่ได้เปิดเช็คมานาน ตั้งแต่ยุ่ง ๆ เรื่องดูแลคนป่วย เช้านี้จึงได้แต่เคลียร์อีเมลนับร้อยฉบับ มากกว่าครึ่งเป็นการแจ้งอัพเดตสถานะโปรเจคซึ่งภาพรวมตอนนี้ ก็กำลังคืบหน้าเป็นไปได้ด้วยดี เมลฉบับสุดท้ายมาจากพี่บลู

“อ้าว........ทำไม” เกิดอะไรขึ้น

“เฟรมพี่ออกไปโทรคุยธุระกับพี่บลูหน่อย เดี๋ยวมา…กินกลางวันกันก่อนได้เลยนะ” ผมบอกน้องและฝากบอกอีกคนไว้

 

“ครับพี่บลู โปรเจคก็ไม่มีอะไรติดขัดครับ แค่รอ Monitor กับแก้ปัญหา Case by case”

“เฟรมเหรอครับก็น่าจะทำได้ แต่บาง Case อาจต้องให้ประสานแจ้งกลับไปให้พี่ตัดสินใจ”

“น้องน่าจะอยู่ได้ครับ เขนก็ยังอยู่”

“ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าจำเป็น”

“โอเคครับ จันทร์หน้าพบกันครับ”

“ฝากความคิดถึง ถึงพี่เชนด้วยครับ”

 

ผมยืนพิงกำแพง รู้สึกเหมือนหมดแรง จริง ๆ

ร่างกายไม่เป็นไร แต่หัวใจกำลังจะ....

 

ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย แต่มันมักเป็นอย่างนี้เสมอ........

เส้นทางมักวนเวียนมาบรรจบ.....เหตุการณ์ย้ำซ้ำรอยแผลเดิม ๆ

 

เมื่อใดที่เสียงข้างในหัวใจจวนเจียน.....ใกล้จะมีพลังมากกว่าสมอง

เส้นทาง....ทางเดินอีกเส้นก็จะปรากฏ.....คล้ายดังพรหมลิขิต

 





ตลอดอาทิตย์ที่เหลือผมเร่งตามเก็บงานต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เฟรมโดนเรียกให้ประกบติดเพื่อสอนงานให้ได้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน เด็กคนนี้เก่งผมเชื่อ เขาสามารถ เอาตัวรอดได้

ผมกลับมาใช้บริการรถที่ออฟฟิศอีกครั้งเมื่อต้องเคลียร์งานดึกดื่น และออกมาก่อนที่ใครบางคนจะตื่น จึงพบเพียงเจ้าเหมียวที่นอนด้วยกันทุกคืน คงเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้มันดูเหมือนจะอ้อนมากกว่าเดิม

“กลัวไม่มีคนนอนด้วยละสิ” ผมกำลังคุยกับเจ้าตัวขาว ที่ไม่ได้ผอมกะหร่องเหมือนตอนแรกที่พบ ตอนนี้แมวสาวน้อยขนฟู อ้วนกลม เมื่อได้รับการดูแลอย่างดี

“ถ้ารุ่งไม่อยู่เหมียวนอนกับ....เขนนะ” ผมบอกเจ้าแมวที่ขึ้นมานั่งให้ลูบหัวลูบหางบนตักอย่างเอาใจ

“เฟรมมันนอนดิ้นเดี๋ยวทับแบน รู้ไหม”

“.........................................”

“เหมียวรักรุ่งไหม......ถ้ารักรุ่ง ลืมรุ่งเถอะนะ”

“รุ่งไม่อยากให้เหมียวเจ็บ การรอคอยมันทรมานเกินไป.....อย่ารออีกเลยนะ”

“อย่าฝืนอีกเลยนะ......”

“รุ่งจะเฝ้าดู....เหมือนเดิม ดูเวลาที่เหมียวมีความสุข อยากให้เหมียวมีความสุข แค่เหมียวมีความสุข รุ่งก็มีความสุขแล้ว”

“รุ่ง................รักเหมียวนะ”

“ดูแลตัวเองดี ๆ” มันร้องตอบเหมือนเข้าใจ

อยากที่จะ...กล้าพูดกับใครบางคนแบบนี้ เพราะกลัว...กลัวหัวใจตัวเองจะไม่เข้มแข็งพอ

 





คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมนอนที่บ้านหลังนี้ ตีสามกว่าแล้วผมกำลังเก็บของอย่างเงียบ ๆ คืนพรุ่งนี้จะค้างที่ออฟฟิศ เดินทางกลับเช้าวันถัดไป แอดมินเมลมาคอนเฟิร์มเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ตั๋วน่าจะมาส่งเช้าวันนี้ หันมาอีกทีเจ้าเหมียวก็มานอนเอี้ยมเฟี้ยมภายในกระเป๋าเดินทาง

“ว่าไง จะไปด้วยเหรอ” มันร้องตอบ

“เหมียวอยู่นี่แหละ ฝากดูแลคนที่นี่ด้วย เขามีเหมียวเขาจะมีความสุข

“เหมียวรักรุ่ง เหมียวทำเพื่อรุ่งนะ” มันยังคงนอนนิ่ง ผมอุ้มเหมียวออกมานอนที่เตียง

“เดี๋ยวรุ่งมานอนด้วย แป๊บเดียวเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว” ในที่สุดของทั้งหมดก็อยู่ในกระเป๋าเดินทางใบย่อม กีต้าร์คงทิ้งไว้ให้เฟรม คงต้องยกให้ซักที หลังจากยื้อกันมานาน ผมเปิดม่านหน้าต่างกลับมานั่งที่เตียงเหมียวขึ้นมานอนบนตักอีกครั้งอย่างรู้หน้าที่ ผมลูบขนให้ ‘หลับนะเหมียว หลับให้สบาย’ เสียงครางเบา ๆ ในคออย่างมีความสุขของเหมียวทำให้ ใจผมชื้นขึ้นมาบ้าง ขณะมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากำลังเริ่มสว่าง



เขาชอบคิดว่าผมหลงรักพระอาทิตย์ เปล่าเลย.....

‘เพียงแต่พระอาทิตย์ที่ทอแสงอบอุ่นในช่วงเช้า

 

ปลอบประโลมหัวใจ ว่าวันใหม่ ๆ การเริ่มต้นใหม่ ๆ กำลังมาถึง

ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า วันเวลาไม่เคยย้อนหมุนกลับ

 

อดีตทำได้ก็แค่เพียง……..สลักไว้ในความทรงจำ.......เก็บไว้’

 

ตลอดมานานเท่า.....นาน ผมเฝ้ามองเพียงแสงนวลของดวงจันทร์

สิ่งนี้ต่างหากที่ผมรัก มันอบอุ่น สว่างไสว มีเสน่ห์

 

เพียงแต่อดีตที่ผ่านมา.......ทำให้ไม่สามารถเฝ้ามองตอนพระจันทร์เปล่งแสงแผ่นวลในยามค่ำคืนที่มืดมิดได้ มันเจ็บปวดจนเกินไป........

 

ทำได้เพียงแอบชื่นชม.....ร่ำลาแสงนวลในรุ่งอรุโณทัย......

พร้อมทั้งจรดลึกไว้ในความทรงจำ





ผมลาเหมียวสำหรับค่ำคืนสุดท้ายของเรา แล้วจึงค่อยขนกระเป๋าเดินทาง และขับรถออกมาจากบ้านก่อนที่ทุกคนจะตื่น มีเพียงเหมียวที่มาส่งหน้าบ้าน ผมมองบ้านหลังนั้นจนลับสายตา และเดินทางต่อไป

“รุ่ง..... ออกมาก่อนอีกแล้ว ใจคออาทิตย์นี้จะไม่เจอหน้าคร่าตาเขนบ้างเลยเหรอ” เขนมาส่ง ‘ดอกลิลลี่’ เช่นเคย

“ก็เห็นมาทุกเช้า ก็เจอทุกวันเหอะ”

แค่น้อยลงไง.....จะได้ชิน ผมมอง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกสุดท้าย

“ข้าวก็ไม่ไปกินด้วย ไปกลับเองนี่นะ ใครจะเชื่อว่านอนบ้านเดียวกันแต่ไม่ได้เจอกันเลย” คนตัวโตเริ่มโวยวายหนัก

“ก็เจอเหมียวทุกคืน เขนหลับก่อนเอง แล้วจะมาโทษใคร” ก็ต้องโวยวายกลับ ถึงจะ ไม่ผิดปกติ

“.....................................................”

“คืนนี้กลับกี่โมง เขนจะรอกลับด้วยกัน” เขาประกาศ

“ไม่รู้คิดดูก่อน ต้องเคลียร์งานให้เสร็จ” เอาไงดี ผมจะหนีอย่างไร

“งานอะไรมากมาย เฟรมบอกว่ารุ่งเร่งงานขึ้นตั้งแต่คุยกับพี่บลู” ผมมองไปที่นกพิราบ ไส้ศึก แล้วหันกลับมาตอบ

“ก็หัวหน้าให้งานก็ต้องทำนี่เขน กลับไปได้แล้ว รุ่งต้องทำงานต่อ” ผมรีบไล่ ก่อนจะถูกคาดคั้นมากกว่านี้

“พี่รุ่งไม่คิดจะบอกพี่เขน เลยเหรอพี่” เฟรมพูดพร้อมยื่นซองตั๋วเครื่องบินให้ ผมเลิกคิ้ว

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามน้อง

“แอดมินโทรมาถามรายละเอียดการจองตั๋วกับผม ตั้งแต่สองวันก่อน ตอนพี่รุ่งไปเดินตรวจงาน” เฟรมยังคงจ้องผม

“อืม ขอบใจมากเฟรม” ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“พี่ต้องขอโทษด้วย งานด่วนต้องกลับไปช่วยดูโปรเจคที่สุราษฎร์ พี่ไม่ห่วงที่นี่แล้ว พี่เชื่อเฟรมทำได้” ผมตบบ่าน้องเบา ๆ ก่อนที่เฟรมจะพรั่งพรูความรู้สึกออกมา

“ผมไม่เป็นไรหรอกพี่ แต่พี่เขน พี่น่าจะบอกเขาหน่อย”

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง.....ระหว่างพี่สองคน แม้ผมรักพี่ทั้งคู่ แต่ผมก็รักพี่รุ่งมากกว่า”

“ผมเคารพในการตัดสินใจของพี่ และคิดว่าพี่คงมีเหตุผลที่ทำ”

“แต่พี่รุ่ง บางเรื่องไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกนะ ปล่อยตามอารมณ์ตามความรู้สึกบ้างก็ได้”

“.........................................”

“ผมขอโทษนะพี่” ภายนอกดูสบาย ๆ ขำ ๆ แต่ข้างในกลับอ่อนไหวกับความรู้สึก เจ้าเฟรมเป็นศิลปินตัวจริง

“เฟรมไม่ได้ผิดอะไรหรอก ขอบคุณที่เข้าใจพี่ เรื่องนั้นพี่ขอคิดดูก่อน” ผมอาจจะดูเหมือนดื้อ อย่างที่แล้ว ๆ มา



แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย..........ผมกลัวใจตัวเอง

ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ.......เป็นอย่างนี้ตลอดมา

 

สำหรับบางคน.......มันง่ายที่จะเริ่มใหม่

แต่กับผม

แม้ปรารถนาที่จะเริ่มใหม่แค่ไหน มันก็กลายเป็นกดลึกลงไปที่แผลเดิม

 





ใกล้เที่ยงคืนแล้ว หลังจากที่มอบหมายงานให้เฟรมเรียบร้อย ผมก็บอกน้องให้กลับบ้าน ไปก่อน เฟรมเหมือนจะเข้าใจหลาย ๆ อย่างมากกว่าที่คิด

เป็นครั้งแรกที่ผมมา ที่ฝ่ายก่อสร้าง คนยังอยู่กันประปราย งานผู้รับเหมาเร่งมากจึงต้องทำทั้งวันทั้งคืน เลยมีเวรที่ต้องอยู่เฝ้าสลับสับเปลี่ยน ผมเดินเข้ามาขณะที่หลายคนดูแปลกใจและแอบอมยิ้ม ก็รู้กันทั้งไซด์ว่าเขนคิดยังไงกับผม คนคนนั้นไม่เคยปิดบัง แต่ทุกคนคิดมาเสมอว่า เป็นเพียง........ ข้างเดียว ผมกวาดตามองไม่พบคนที่ต้องการ

“เขนไม่อยู่เหรอครับ” ผมถามน้องผู้หญิงที่คลับคล้ายว่าเป็นแอดมินประจำแผนก

“ไปเดินตรวจงานค่ะ สักพักคงมา” เธอตอบเขิน ๆ

“งั้น ฝากบอกไว้แล้วกันครับว่าผมมา จะรออยู่ที่โต๊ะ” ผมส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะกลับไปรอบ้าง

ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเพียงครู่ ใบหน้าขาวก็ยื่นเข้ามา

“รุ่งไปที่ฝ่ายเขนมาเหรอ” คนถามยิ้มกว้าง

“อืม...เฟรมกลับไปก่อนแล้ว คืนนี้รุ่งจะค้างที่นี่ เลยว่าจะชวนไปหาอะไรกิน”

“ไม่กลับบ้านเหรอ งานยุ่งมากเลยหรือไง เขนจะไปฟ้องพี่เชนว่าพี่บลูใช้งานรุ่งหนัก”

“งั้นอย่าเพิ่งฟ้อง ไว้ฟ้องทีเดียว รุ่งมีเรื่องจะบอก” ผมเลือกที่จะไม่หนีอีกต่อไป

“เขนยังขับรถไหวไหม หาอะไรกินแล้ว ขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” เขนดูยังงง ๆ แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เขารู้ว่าที่ไหน........

 





เราสองคนกลับมานั่งที่เดิมเพื่อรอคอยดวงอาทิตย์ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสี้ยวจันทร์คลายแสงนวลผ่องเรืองรอง.....

นานแล้วที่ไม่กล้ามองแสงจันทร์ตรง ๆ เช่นนี้ ได้เพียงแอบชื่นชมอยู่ไกล ๆ

 

เมื่อกล้า...ที่ต้องเผชิญ ก็ต้องกล้า...ที่จะพูดไป

“เขน รุ่ง........ต้องกลับกรุงเทพฯ เช้านี้” ผมค่อย ๆ เริ่มเล่า

“.................................................”

“โปรเจคที่สุราษฎร์มีปัญหาต้องเปลี่ยนทีม รุ่งต้องกลับไปช่วยพี่บลูเตรียมโปรเจคนั้นต่อ แล้วคงต้องลงพื้นที่ช่วงปลายปี”

“.................................................”

“เพิ่งรู้เมื่อต้นอาทิตย์...ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

“.................................................”

“ที่นี่เฟรมจะอยู่ดูต่อจนเสร็จ ฝากน้องด้วยนะ” เขนยังคงนิ่งแต่พยักหน้ารับ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอในการทำงาน คนทำงานเข้าใจมันดี

 

ครั้งแรกที่นั่ง ที่นี่ ครั้งนั้นเขนเป็นคนเล่า ผมได้แต่รับฟัง

แต่ครั้งนี้กลับกัน เขนนั่งรับฟังอย่างเงียบ ๆ

 

“รุ่งขอบคุณมาก สำหรับช่วงเวลาดี ๆ ที่ผ่านมา ขอบคุณ....ความสุขและเสียงหัวเราะ ที่มอบให้ ขอบคุณ....ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ รุ่งมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ร่วมงาน”

“และได้มี.......” มันจะเจ็บปวดทั้งคนพูดและคนฟัง ผมรู้ แต่ต้องพูดออกไป

“ ‘เพื่อน’ ดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”

“...........................................”

“ขอโทษ...ที่...........................”







#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 08-02-2018 11:03:37
ยังสวยงาม ...
แต่เริ่มอ่านไม่สนุกแล้วค่ะ รำคาญ "รุ่ง"
จริง ๆ ก็รำคาญมาตั้ง "อรุณ" แล้ว ... 555+

สงสัยต้องงดการติดตามอ่านไปสักพัก
รอไว้ "จบ" แล้วค่อยกลับมาอ่านรวดเดียว จะดีต่อใจ "กว่า" เนอะ :bye2:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-02-2018 13:07:47
เฮ้อ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 08-02-2018 13:12:44
เหนื่อยแทนเขน
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: TIME 09.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 09-02-2018 09:52:58
Chapter XI

Time

 

“รุ่งมีเรื่องจะบอก”

“เขนยังขับรถไหวไหม หาอะไรกินแล้ว ขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

 

ผมรู้ว่าที่ไหน

แต่เป็น....พระอาทิตย์อีกแล้ว

ดอกทานตะวันปรารถนาเพียงชื่นชมแสงดวงอาทิตย์



“เขน รุ่ง........ต้องกลับกรุงเทพฯ เช้านี้”

“...................................................” หัวใจของผมแทบหยุดเต้น คงเหมือนเวลาที่ คุณหมอเลือกหยุด ที่จะยื้อชีวิตคนไข้

“โปรเจคที่สุราษฎร์มีปัญหาต้องเปลี่ยนทีม รุ่งต้องกลับไปช่วยพี่บลูเตรียมโปรเจคนั้นต่อ แล้วคงต้องลงพื้นที่ช่วงปลายปี”

“.................................................” นี่เองสินะ เหตุผลที่เราห่างกันตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

“เพิ่งรู้เมื่อต้นอาทิตย์...ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

“................................................” รุ่งใจดีเสมอ ถึงค่อย ๆ ถอยห่าง

“ที่นี่เฟรมจะอยู่ดูต่อจนเสร็จ ฝากน้องด้วยนะ” ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับที่จะดูแลน้องต่อ

‘ผมรักเฟรม....เพราะรู้ว่ารุ่งรักเฟรม’

 

คงจะเริ่มแล้วสินะ...........

ผมคิดว่าผมรู้.........เรื่องที่รุ่งกำลังจะบอก

 

เพราะ ตลอดระยะเวลาที่เพียรพยายามมา แม้กำแพงที่ขวางกั้นไว้จะทลายลง แต่เขาก็ชัดเจนเสมอ........

ดอกทานตะวันที่หลงรักพระอาทิตย์อย่างหมดใจ

จนไม่มีสายตาหลงเหลือไว้มองใคร

 

“รุ่งขอบคุณมาก สำหรับช่วงเวลาดี ๆ ที่ผ่านมา ขอบคุณ....ความสุขและเสียงหัวเราะ ที่มอบให้ ขอบคุณ....ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ รุ่งมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ร่วมงาน”

“และได้มี......................”

จบแล้ว........................

“ ‘เพื่อน’ ดีๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”

“................................................”

 

หัวใจของผมเสมือนหยุดทำงานทันที

หากสมองสั่งการต่อ.. ต้องยื้อ ‘เวลา’ ให้นานที่สุด

 

“ขอโทษ...ที่................................”

ตอนนี้...ไม่อยากฟัง... ไม่อยากรับรู้.... อะไรเพิ่ม

 

ผมฉุดมือของรุ่งให้ลุกขึ้น และเดินกลับมาทางเดิมเพื่อขึ้นรถ ตอนนี้ฟ้าเริ่มสาง ‘เวลา’ กำลังรุดเดินต่อไปข้างหน้า

 

ผมขอ...เพียงแค่ยื้อ ‘ทุกวินาที’ ที่เรามี แม้ว่าจะจบลงเช่นไร..........

 

รถสีขาวขับฝ่าสายหมอกหนาด้วยความเร็ว ภายในรถเย็นเฉียบเนื่องด้วยทั้งคนขับ และผู้โดยสารไม่มีใจที่จะสนใจสิ่งอื่นสิ่งใดอีกต่อไป ในเมื่อภายในหัวใจมันเหน็บหนาวยิ่งกว่า ผมขับรถด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะอีกข้างยังไม่ยอมปล่อยมือของคนข้าง ๆ

เมื่อขับมาใกล้ถึงตัวเมืองลำปาง ผมต้องตัดใจทำลายความเงียบ

“รุ่งบินไฟลท์กี่โมงครับ”

 

ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปว่า อะไร ทำไม........

ผมสนใจแค่ จะทำให้ดีที่สุด......ทุก ๆ วินาที ที่เรายังอยู่ด้วยกัน

 

“ต้องเช็คอินเก้าโมง” คนข้างตอบแผ่วเบา

ตอนนี้เกือบเจ็ดโมงแล้ว เวลาน้อยเกินไป....ผมไม่ยอม

 

“กระเป๋าอยู่ที่ออฟฟิศ ต้องกลับไปเอาก่อน” รุ่งเก็บกระเป๋าแล้ว ตอนนี้ห้อง ห้องนั้นที่บ้านคงว่างเปล่า

“รุ่งต้องไปรับโปรเจคใหม่เช้าวันจันทร์ใช่ไหม”

“อืม”

ผมตัดสินใจอย่างฉับพลันเลี้ยวรถย้อนกลับไปทางเดิม

“เขน ไปไหน” ผมไม่ตอบ แต่ขับมาจอดที่สถานีรถไฟ

“รอเขนแป๊บนึง” ผมยอมปล่อยมือชั่วคราว พร้อมทั้งวิ่งเข้าไปในช่องซื้อตั๋วรถไฟ

 

‘ตั๋วชั้นที่ 1 นั่งและนอนปรับอากาศ 2 ใบ รถด่วนพิเศษ

เวลาออกจากลำปาง 20:00 เวลาถึงกรุงเทพฯ 07:00’

 

“เขนจะไปส่งรุ่งที่กรุงเทพฯ เราจะไปรถไฟกัน” ผมส่งตั๋วให้

“รุ่งโทรไปยกเลิกไฟลท์เครื่องบินเถอะ” รุ่งยังจ้องมองตั๋วรถไฟนิ่ง

“รุ่งอยากนั่งรถไฟไม่ใช่เหรอ นั่งรถไฟดูวิวกลับกรุงเทพฯ กัน เขนจะไปส่ง” ผมส่งยิ้มให้รุ่ง

“.........................................” สายตาที่เคยสงบนิ่งเหมือนน้ำในบ่อ ตอนนี้ผมแน่ใจมันกำลังกระเพื่อมสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

‘อยากนั่งรถไฟ’

‘ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเหรอ’

‘ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ’ ผมยังคงจดจำมันได้อย่างแม่นยำ ทุกถ้อยคำ ของความปรารถนาของรุ่ง

 

เราแวะไปเอากระเป๋าที่ออฟฟิศ แล้วกลับมารอเวลาเดินทางที่บ้าน ดูเหมือนผมจะเป็น คนเดียวที่ไม่รู้กำหนดการการเดินทางกลับครั้งนี้ของรุ่ง เฟรม และเหมียวดู แปลกใจ เมื่อเห็นรุ่งกลับมาที่บ้านอีกครั้ง

“พี่จะไปส่งรุ่งที่กรุงเทพฯ แล้วจะกลับมาวันจันทร์ อยู่ได้ใช่ไหม” ผมบอกเฟรม

“สบายพี่ งั้นพวกพี่จะไปกันกี่โมง เดี๋ยวผมไปส่ง”

“น่าจะออกจากบ้าน สักหนึ่งทุ่ม”

“เดี๋ยวผมพาเหมียวไปเดทข้างนอกนะ ถึงกำหนดฉีดยาพอดี” เฟรมเข้าใจสถานการณ์ จึงรีบปลีกตัว

ผมเดินจูงมือรุ่งเข้ามาในห้อง และนั่งมุมระเบียงชั้นบนในห้องรุ่งที่เราชอบ ในขณะที่สองมือของเรายังคงเกาะกุมกระชับ ต่างคนต่างเงียบอีกครั้ง เพื่อพยายามจะซึบซับบรรยากาศที่สดชื่นให้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจที่แห้งผาด

นานกว่าคำพูดจะค่อย ๆ รินไหล...จากร่างที่ดุจดังถูกกระชากหัวใจออกไป

“ไม่อยากให้ไปเลย เขนจะอยู่บ้านนี้ได้ยังไง ถ้าไม่มีรุ่ง”

“แล้วใครจะคุยกับเขน ใครจะดูบอลกับเขน”

“เขนก็ยังมีเฟรมกับเหมียวไง”

“เฟรมมันกลับมาก็ขลุกอยู่กับเมียมัน เหมียวก็คุยกับเขนไม่ได้”

“กลับกรุงเทพฯ รุ่งก็อยู่คนเดียว ก็ดูบอลคนเดียวเหมือนกัน”

 

ผมไม่ถามต่อ........

เพราะคำตอบกระจ่างชัดในใจ

 

แม้เราสองคนจะต้องแยกกันอยู่.......แม้รุ่งจะไม่มีใครอีก..........

แต่ก็ไม่มีทางที่ ‘คนคนนั้น’ ที่รุ่งจะเปิดใจรับ........จะเป็นผม

“รุ่งไปแล้วเหมียวจะนอนกับใคร”

“เขนไง....รุ่งไม่อยู่เขนมานอนห้องนี้นะ มานอนเป็นเพื่อนเหมียว”

“ไม่หรอก รุ่งไม่อยู่เขนจะปิดห้องนี้ไว้ ให้เหมียวย้ายไปนอนห้องโน้น”

“ทำไมล่ะเขน”

“เขน จะปิดห้องไว้ จะได้รู้สึกเหมือน..... รุ่งยังคงนั่งเล่นอยู่ในระเบียงห้อง ไม่ได้ไปไหน”

“เขน................”

 

ผมจะปิดไว้ทุก ๆ ประตู รวมทั้งประตูหัวใจ.........

ปิดเพื่อ ‘เก็บ’ ความทรงจำทุก ๆ วินาที ที่เราอยู่ด้วยกันไว้ให้ลึกสุดใจ..........

 

“รุ่งไม่กลับไม่ได้เหรอ อยู่ที่นี่ต่อเถอะนะ”

“ไม่ได้หรอกเขน มันเป็นงาน ให้รุ่งไปนะ ถ้ามีอะไรเขนก็โทรมาได้นี่”

“แล้วเขนจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ให้ใคร”

“เขน ไปบอกยกเลิกคุณป้าร้านขายดอกไม้เถอะนะ”

“ส่งข้อความมาแทนก็ได้นะ รุ่งจะรออ่าน”

“รุ่งอ่านแน่นะ เขนจะส่งไปทุก ๆ วัน อย่าลืม.....”

“อืม....รุ่งจะอ่านทุกวัน รุ่งสัญญา”

 

ผมยังขอยื้อมันต่อไปไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใดก็ตาม

 

บางครั้งเราก็ ‘รัก’ ใครบางคนมากเกินกว่าจะยอมเสียเขาไปจากชีวิตได้ เวลาค่อย ๆ หมุนผ่าน ถ้อยคำต่าง ๆ เรียงร้อยสอดแทรกบรรยากาศอันเงียบสงบ ทั้งสองเต็มไปด้วย ‘ความเข้าใจ’ ซึ่งกันและกัน

คนหนึ่งยื้อสุดตัว...ด้วย ‘ความรัก’ อย่างสุดซึ้ง อีกคนหนึ่งปลอบประโลมด้วย ‘ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน’ ที่ปรารถนาดีอย่างสุดใจ

 

“เขนใกล้เวลาเดินทางแล้ว รุ่งอยากเดินดูรอบบ้านอีกครั้ง”

ผมได้แต่เพียงพยักหน้า และลุกขึ้นเดินตามร่างบาง มือเล็กที่ถูกเกาะกุมไม่ได้ฝืนที่จะผละออกเฉกเช่นเดิม กลับเปลี่ยนหน้าที่เป็นมือที่นำทางผู้ตามที่คลับคล้ายไร้วิญญาณ และค่อย ๆ เดิน ‘เก็บ’ ความทรงจำดี ๆ ที่เรามีร่วมกัน

เฟรมพาเหมียวกลับมาถึงทันเวลา รุ่งอุ้มเหมียวแนบอก

“เหมียว.... รุ่งไปก่อนนะ”

“อย่าลืมที่สัญญากันนะ ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าเล่นซน ดูแลเขนกับเฟรมด้วย”

รุ่งกล่าวอำลา

 

เฟรมขับรถมาส่งเราที่สถานีรถไฟ

“พี่เชื่อว่าเฟรมทำได้ มั่นใจในตัวเอง เหมือนที่พี่มั่นใจในตัวเฟรมนะ” รุ่งกอดเฟรมพร้อมกับตบหลังเบา ๆ

“ครับ”

“มีอะไรโทรมาหาพี่นะเฟรม ‘ทุกเรื่อง’......ไม่ว่าเรื่องอะไร”

“ครับผมรู้”

“แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ”

“เดินทางดี ๆ ครับ พี่เขนฝากดูแลพี่รุ่งด้วย” ผมพยักหน้า และเดินตามรุ่งขึ้นรถไฟ

 

เริ่มแล้วสินะ......เส้นทางแห่งการอำลา





#JKLTHESERIES


หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CHOICE 12.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-02-2018 16:35:44
Chapter XII

Choice

 

20:08 นครลำปาง

รถไฟด่วนพิเศษค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาสถานีรถไฟ นครลำปาง เราเข้ามาเก็บกระเป๋าในตู้นอน ภายในห้องขนาดกะทัดรัด มีเตียงเดี่ยว 2 ชั้น ปูผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา และเบาะที่นั่งหุ้มด้วยกำมะหยี่เล็ก ๆ อยู่ริมหน้าต่างกระจกใสที่มองออกไปเห็นภาพบรรยากาศภายนอกตัวรถไฟ

“รุ่ง นอนเตียงชั้นล่างนะ เดี๋ยวเขนนอนชั้นบนเอง” ผมบอกขณะที่ก้มตัวเก็บกระเป๋าเดินทางของรุ่งข้างใต้เตียงนอน

เตียงชั้นล่างของตู้นอนรถไฟจะนอนสบายกว่าชั้นบนที่จะสั่นไหวมากกว่าผมคิด และเลือกอย่างอัตโนมัติ รุ่งพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงที่เบาะ หันหน้ามองวิวภายนอก ซึ่งตอนนี้เป็นทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องใจกลางเมืองนครลำปาง

“โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่” ผมบอกขณะที่ขยับตัวมานั่งข้าง ๆ พร้อมวางมือลงบนมือของรุ่ง และจับกระชับไว้ เพราะผมต้องการเก็บทุกวินาทีที่เหลือ ที่เราอยู่ด้วยกัน

“ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว” รุ่งหันหน้ากลับมายิ้มให้กับผม อีกแล้วรอยยิ้มที่แสนเศร้านั่น เวลาที่คุณรักใคร เมื่อคุณรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดทรมาน.... หัวใจของคุณจะรวดร้าวยิ่งกว่า

ผมจึงได้แต่เพียง ‘พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด’ เพื่อให้ใบหน้าหวานได้คลายความเจ็บปวดลง จดจำตราตึงทุกความปรารถนาของเขา แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่สำหรับผมมันมี ‘ความสำคัญ’ เสมอมา และจะทำทุกทางให้มันเป็นความจริง’

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ” รุ่งเอ่ยออกมา แค่เพียงถ้อยคำธรรมดาของคนที่เรารักสุดใจก็ทำให้ตื้นตัน จนหาคำบรรยายไม่ได้

“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยรุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข”

ผมส่งรอยยิ้ม ตอบกลับไป ผมภักดี และสัตย์ซื่อต่อความรู้สึกภายในหัวใจของตัวเองเสมอ และตลอดมา

ขอเพียงให้รุ่งได้รับรู้บ้าง ผมก็พึงพอใจ และไม่เคยหวังสิ่งใดเพื่อตอบแทน

 

“รุ่งหิวหรือยัง ไปตู้เสบียงหาอะไรทานกันเถอะนะ”

“อืม” ความรู้สึกด้านชาในหัวใจทำให้บดบังความรู้สึกใด ๆ แม้กระทั่งความหิว เกือบลืมว่าเราทั้งสองคนไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตลอดวัน ผมจึงลุกขึ้นเดินนำพร้อมกระชับมือที่เกาะกุมมือเล็กไว้ โดยไม่สนใจต่อสายตาของผู้คนรอบข้าง สมองสั่งการให้เก็บเกี่ยวทุกเสี้ยววินาทีที่เหลือไว้ และทำตามเสียงของหัวใจที่ขอให้ตอบสนอง ‘ความปรารถนา’ ของตัวเองบ้าง เพราะเหลือ ‘เวลา’ แค่เพียงไม่นานที่จะได้อยู่ ‘เคียงข้างกัน’

เราสั่งอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ตู้เสบียง โดยยังรู้สึกไร้ซึ่งความหิวกระหายใด ๆ แม้อาหารจะมาวางอยู่ตรงหน้า ดีที่อาหารที่รุ่งสั่งมาส่งก่อน

“กินก่อนเลยรุ่ง” รุ่งเริ่มก้มหน้าก้มตาทานด้วยความรวดเร็ว คงจะหิวมาก

“กินช้า ๆ รุ่ง ค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เดี๋ยวอาหารไม่ย่อย เคยเป็นโรคกระเพาะไม่ใช่เหรอ”

รุ่งขมวดคิ้ว เป็นผมเสมอที่ต้องคอยเตือน ให้เขาค่อย ๆ เคี้ยว ตลอดเวลาที่กินข้าวด้วยกัน แต่ไม่เคยบอกมาก่อนเลยว่า...ผมรู้

“เขนรู้ได้ไง” ผมรู้เรื่องนี้มานานมากแล้ว และไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป

“ก็...ที่เขนเคยบอก เขนตามดูรุ่งอยู่ตอนเรียน ทำไมเขนจะไม่รู้ ไม่งั้นจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ไปโรงพยาบาลถูกเหรอ” ผมกำลังยิ้มให้ความหลัง ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง ผมตามส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันที่รุ่งหายไป ผมใช้ความพยายามทุกวิธีสืบเสาะ จนรู้ว่ารุ่งเข้าโรงพยาบาลเนื่องมาจากอาการโรคกระเพาะกำเริบ

“ไม่เป็นนานแล้ว.....” มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม เพียงเพราะไม่อยากให้ ‘รุ่ง’ ต้องเจ็บปวดแม้เพียงเล็กน้อย

“แต่โรคนี้มันไม่หายขาดนะรุ่ง รุ่งต้องดูแลตัวเองดี ๆ ถ้าไม่มีเขนอยู่คอยเตือน ก็อย่าลืมวันนี้” รุ่งพยักหน้า

‘แต่ก็ลืมเสมอ ๆ ใช่ไหม อย่าลืมนะรุ่ง จดจำเอาไว้ ไม่ต้องจำก็ได้ว่าใคร.......คอยเตือน แต่ขอเพียงให้กระทำ ก็เพียงพอ’

“แล้วทำไมเขนไม่กินข้าว” รุ่งมอง ขณะที่ผมนั่งเหม่อเขี่ยข้าว

“ไม่หิวเลย........พอกินแล้วเหมือนกำลังกลืนทรายเข้าไป” ผมตอบให้ดูตลกๆ แต่มันเป็นความจริงทุกถ้อยคำ ตอนนี้ไร้ซึ่งความรู้สึก

“ฝืนกินซักนิดเถอะเขน ไม่สบายเพิ่งหาย รุ่งก็เป็นห่วงเขนเหมือนกันนะ” ผมสัมผัสได้ถึงความอาทรที่ฉายชัดออกมาจากความรู้สึกของรุ่ง เราจึงส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กันก่อนที่จะเริ่มจัดการกับอาหารอย่างจริงจัง

 

02:31 นครสวรรค์

ผ่านมาห้าชั่วโมงแล้ว ผมยังคงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาเกือบรอบที่ร้อยได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็ไม่ได้สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของที่นอนแม้เพียงนิดเดียว ตอนนี้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ งุนงง เพราะร่างกายกำลังร้องเรียกให้ต้องพักผ่อนเสียที แต่สมองยังคงคิดวนเวียนวุ่นวาย คงเป็นเพราะหัวใจยังร่ำร้องไม่ยินยอมให้ปล่อยให้เรื่องราวเพียงผ่านไป ร่างบางข้างล่าง ดูเงียบสงบ คงเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ผมจึงค่อย ๆ ปืนลงมาจากเตียง ยืนนิ่งเหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่าง ต่อไปจะทำอย่างไร

“เขนนอนไม่หลับเหรอ” ผมหันกลับมาพบว่ารุ่งกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอน

“เขนทำรุ่งตื่นหรือเปล่า” ผมจึงก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าข้าง ๆ เตียง สีหน้าของรุ่งซีดจาง

“เปล่า... นอนไม่หลับเหมือนกัน” แน่นอนสีหน้าตอนนี้หน้าของผมก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน จึงเอื้อมไปเกาะกุมมือเล็กอีกครั้ง

“รุ่ง....นั่งคุยกันได้ไหม” เพราะหัวใจที่บอบช้ำ ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแหบพร่า

“อืม” เรามานั่งเคียงกันข้างหน้าต่างอีกครั้ง

“รุ่ง... รู้ไหม เขนเห็นรุ่งครั้งแรกตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่ง คอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่คืนนั้นที่รุ่งตีกลอง ทำให้เขนตั้งใจกลับมาเล่นเบสอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้จับมานาน เพราะอยากเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีกับรุ่ง”

“พอได้เข้าชมรมเขนก็คอยมองตามแต่รุ่งมาตลอด แฟนคลับรุมล้อมมากมายจริง ๆ จนเขนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยสักครั้ง”

“เขนพยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง.....เลยแอบเอา ‘ดอกลิลลี่’ ไปวางให้รุ่งที่ล็อกเกอร์ ทุก ๆ วันตอนเช้า ที่บ้านสงสัยกันใหญ่ว่าทำไมเขนถึงมาขยันเรียนมากตอนนั้น ไปแต่เช้าทุกวัน” ความในใจค่อย ๆ เอ่ยเฉลยระบายออกมา ผมจึงหยุดไว้ก่อนที่จะล้นทะลัก

“ทำไมต้องเป็น ‘ดอกลิลลี่’ หละเขน” รุ่งเอ่ยถาม

 

ผมดีใจที่อย่างน้อยรุ่งก็รับฟัง... กลัวเขาจะรำคาญ

หากผมอดที่จะอมยิ้มเพราะเขินเล็ก ๆ ไม่ได้ ก่อนจะตอบ

 

“ ‘ดอกลิลลี่’ เหมือนรุ่งในความรู้สึกเขน ‘อบอุ่นนุ่มนวล มีเสน่ห์ ชวนให้ค้นหา อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’ ” ผมบีบมือเล็ก ๆ เบาๆ อีกครั้ง เพราะต้องการส่งผ่านความรู้สึก

แต่ทำไม... อะไรบางอย่าง... แวบผ่านเข้ามาในสมอง เหมือนผมรู้มาเสมอ เหมือนเหตุการณ์เคยเกิดมาก่อน

เหมือนความรู้สึกที่ว่า ‘รุ่งคลับคล้าย กับดอกลิลลี่’ นี้เคยเกิดขึ้น...

มาก่อนหน้านี้

 

คงเพราะไม่ได้พักผ่อนแน่ ๆ จึงสับสนขนาดนี้ ผมค่อย ๆ ไล่ความรู้สึกมึน ๆ งง ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“เขนตั้งใจจะไปสารภาพรักกับรุ่ง เตรียมการอย่างดีตอนนั้น แต่มารู้อีกที รุ่งก็บินไปต่างประเทศแล้ว” ความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ทำผิดพลาด

“จนได้มีโอกาสพบรุ่งที่ทำงานอีกที เขนก็มาเช้าอีกครั้ง เพียงเพราะอยากพบหน้า รุ่งจำ วันแรกที่เราประชุมด้วยกันได้ไหม วันนั้นเขนมารอรุ่งที่ลิฟต์ตอนเช้าด้วย รออยู่ตั้งนาน คิดว่าจะไม่เจอรุ่งอีกแล้ว.... เพราะใกล้เวลาเดินทางมาลำปางเต็มที”

“เลยดีใจมากเลยตอนที่เดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วรู้ว่ารุ่งดูโปรเจคนี้ พอประชุมเสร็จก็รู้ว่ารุ่งยังคุยอยู่กับพี่บลู เลยรอรุ่ง....อยากทำความรู้จักให้มากกว่าเดิม รอจนถอดใจนึกว่ารุ่งกลับไปแล้ว เลยจะขึ้นมาเก็บของ โชคดีที่ได้พบรุ่งพอดี” รุ่งอมยิ้มเล็ก ๆ คงจำได้

“เขนก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักรุ่งอีกเป็นครั้งที่สอง เป็นไปได้ยังไงนะ ทั้งที่เวลาผ่านไปเกือบสิบปี”

“แต่ก็ดีกว่าครั้งที่แล้ว......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็กล้าพอที่จะสารภาพ......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่งก็รับรู้ถึงความรักของเขน.........”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็พยายามเต็มที่แล้ว................”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่ง...ก็รักเขน แม้จะเป็นแบบ ‘เพื่อน’ ก็ตาม” ผมถอนหายใจ ใช่สินะครั้งนี้ดีกว่าเดิมตั้งเท่าไหร่ อย่างน้อยเราก็มีความทรงจำร่วมกัน ไม่ใช่มีแต่ผมที่ ‘รู้’ เพียงแค่ฝ่ายเดียว

 

04:03 ลพบุรี

“รุ่งเป็นอะไร” ผมตกใจ ร่างเล็กสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาพรั่งพรู

“ม...ไม่เป็นอะไร ฮึก ฮึก ขอเวลานิดนะเขน” ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า ผมพูดอะไรผิด

ผมรับรู้ถึงแรงกดดัน.........ที่ระเบิดออกมาจากดวงใจดวงเล็ก ๆ ที่ผมแสนรัก ทำไมช่างเจ็บปวด...ทรมานมากขนาดนี้ ทำไมคนตัวเล็ก ๆ ถึงต้อง ‘เก็บ’ มันไว้มากขนาดนี้

 

ผมทำได้เพียงนั่งเคียงข้าง พร้อมทั้งบีบมือให้กำลังใจและเช็ดน้ำตาให้

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่ารุ่งจะค่อย ๆ หยุดร้องได้

 

กับคนบางคนที่ ‘เก็บ’ เอาไว้มานาน.....ผมรู้ว่าทรมาน

กับผมก็เช่นกัน.......

 

ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะบอกออกไป ความรู้สึกทรมานช่างเอ่อล้นดวงใจ

ยิ่งได้เห็นอย่างนี้... เห็นคนที่เรารักทนทุกข์......

หัวใจก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้ง

 

ผมไม่เคยถาม ไม่เคยอยากรู้...

เพราะรู้ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด สำหรับเราทั้งสอง

 

แต่ครั้งนี้ผมยอม..... ไม่ว่าอย่างไร.......

ขอเพียงได้บรรเทา ได้ช่วย แม้เพียงเล็กน้อย

แม้ต้องขาดใจ......ผมก็จะทำ

 

“เพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอรุ่ง.....” รุ่งตกใจไม่น้อย คงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยถาม จึงทอดถอนใจแล้วพยักหน้า

“เล่าให้เขนฟังได้ไหม เขนอยากช่วยรุ่ง... ถ้าช่วยรุ่งได้ เขนยอมทำทุกอย่าง” ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถข่มไว้ภายในได้ ส่งให้น้ำเสียงที่พูดออกไปเริ่มแตกเครือ ลำคอแห้งผาด

“เขน........” ได้โปรดเถอะรุ่ง อย่า ‘เก็บไว้เลย’ แบ่งมันมาบ้าง

“……………….” รุ่งยังเงียบ หากผมต้องรุกต่อไป

แม้ข้างใน....หัวใจจวนเจียนจะขาด

 

“เขนเป็น ‘เพื่อน’ รุ่งไม่ใช่หรอ”

“ถ้ารุ่งเห็นเขนเป็น ‘เพื่อน’ จริง ๆ รุ่งก็ต้องแบ่งความเจ็บปวดมาให้เพื่อนบ้าง”

“อย่างน้อยได้ระบายออกมาบ้างก็ยังดี นะรุ่ง..............” ผมส่งสายตาเว้าวอน ร้องขอ ตรงตามความรู้สึกข้างใน รุ่งจึงพยักหน้ารับ และเงียบไปเหมือนกำลังร้อยเรียงคำพูด

ขณะที่ผมกำลังกลั้นใจ.... ผมรู้ว่าเรื่องที่จะได้ฟัง.... จะกรีดลึกลงย้ำ และตอกซ้ำเข้าไปในหัวใจที่บอบช้ำ

“มันเริ่มจากความผูกพัน ความผูกพันของคนสองคนกับระยะเวลาที่ยาวนาน จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ไป....เป็นคนรัก”

ความผูกพัน และระยะเวลานี่เอง คือ ความแตกต่าง ผมค่อย ๆ เริ่มทำความเข้าใจ เรื่องราวระหว่างรุ่งกับผม มันจึงไม่สามารถเปรียบ หรือเทียบเคียงได้เลย

เพราะที่ผ่านมามีเพียง ‘ผมผู้เดียว’ ที่พันผูกกับระยะเวลายาวนานนั่น

“แต่เหมือนพรหมลิขิตเล่นตลก ขีดเส้นทางเดินของเราให้ต้องแยกจากกัน ‘เขา’ สัญญาว่าจะรอ”

“และ ‘เขา’ ก็รอ...รอรุ่งเสมอ”

“จนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ‘เขา’ ก็ยังพยายามฝืน พยายามดันทุรังที่จะรื้อฟื้น... แม้ตัวเองต้องเจ็บปวดทรมาน แทบขาดใจ”

เพราะอย่างนี้สินะ รุ่งถึงไม่ต้องการให้ผมรอ ผมเพิ่งเข้าใจ อะไรอะไร.....

ที่ไปตอกย้ำความเจ็บปวดของคนที่ผมรัก

แต่เหตุการณ์นั้นคืออะไร... ทำไมเหมือนรุ่ง ‘จงใจ’ ต้องการข้าม

 

“เมื่อรุ่งกลับมา เขาก็เกือบจะเสียสติ ทางเดียวที่จะรักษาเขาได้ คือ ปล่อยให้เขาไปตามทาง ไม่มีรุ่งแล้วเขาจะดีขึ้น”

“เมื่อรุ่งออกจากชีวิตเขามา เขาก็ดีขึ้นจริง ๆ นะเขน” รุ่งส่งรอยยิ้มที่แสนทรมานให้ผม อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งเริ่มกระจ่างถึงความเป็นมา

“ตอนนี้เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แล้วชีวิตเขาจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีรุ่งอีกต่อไป”

“แม้ว่าต้องทรมานกับความรู้สึกที่ว่า........”

“เราสองคนยังรักกันอยู่…”

“ยังรักกันมาก…”

“และไม่มีวันลืมกันได้จริง ๆ…”

“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่า ถ้าย้อนกลับไป รุ่งเองนี่แหละจะไปทำร้ายเขาอีกหรือเปล่า”

“มันจึงไม่มีวัน..........ไม่มีทาง............ที่จะกลับไปเป็นดังเดิมได้”

ความอดกลั้นถึงขีดสุด น้ำตาของผมเริ่มหลั่งริน

ผมไร้ซึ่งคำถามอีกต่อไป

 

แม้จะเป็นเรื่องราวเพียงบางส่วน

แต่กลับบาดลึกกรีดเนื้อหัวใจ มันบาดลึกตรงที่

 

‘เขาสองคนรักกัน ทั้งที่ยังรักกันมากขนาดนี้ แต่ไม่สามารถกลับไปรักกันได้’

คนที่เสียสละคือคนที่เจ็บปวดที่สุด

รุ่งยอมเสียสละความรักของตัวเองเพราะ ‘เขา’ คนคนนั้นที่รุ่งรัก

 

กระจ่างชัดว่าทำไม... ดอกทานตะวันจึงเฝ้าแต่มองหาดวงอาทิตย์

ก็คงเป็นหัวใจที่ ‘จงรักภักดี’ นี่เอง

 

“และมันก็ลึกซึ้งผูกพันมากเกินจะเริ่มต้นใหม่ได้จริง ๆ” ดูเถอะใจคน น้ำใจของคนคนนี้ยังเผื่อแผ่มาให้คำตอบกับผม ทั้ง ๆ ที่หัวใจดวงเล็ก แหลกสลาย

 

ผมดึงรุ่งที่กำลังร้องไห้จนร่างสั่นเทาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก และไม่ปิดบังน้ำตาของผมอีกต่อไป ผมจะไม่มีวันทำให้รุ่งเจ็บอีก ผมสัญญา....

หยุดแล้ว

หยุดที่จะยื้อยุด ตอกย้ำ

สวรรค์หรือใครก็ตาม ได้โปรด...กรุณา

 

ผม ‘เลือก’ แล้ว

ผม ‘เลือก’ ที่จะยอม ‘เก็บ’ แล้วเดินจากไป

 

06:30 ชุมทางบางซื่อ

อีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง ‘ปลายทาง’

เราทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดระยะเวลา..... ระยะทาง........ ที่เหลือ

 

มือยังคงสอดประสานแน่นกระชับ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะหัวใจของคนทั้งคู่ได้แหลกสลาย

 

อย่างน้อยครั้งนี้ ก็ได้เป็น ‘เพื่อน’ กัน อย่างที่รุ่งร้องขอมาตลอด

แค่นี้ก็วิเศษสุดแล้ว

 

ผมคงไม่สานความสัมพันธ์ต่อไปให้มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’

ด้วยความ ‘เข้าใจ’ และความ ‘ปรารถนา’ ดีที่เพื่อนมีต่อกัน

 

จะไม่ดึงดันให้อีกคนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

แม้ผมยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่า ‘เหตุการณ์นั้น’ คืออะไร

แต่ผมคงไม่รื้อฟื้นสืบหา อีกต่อไป.....

 

ผมรู้แต่เพียง...

ผมกลับ ‘รักรุ่ง’ อย่างลึกซึ้ง... มากขึ้นทับทวี...

 

และรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า...

ผมกำลัง ‘ลืม’ อะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตมาก ๆ ไป

 

07:00 กรุงเทพฯ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: PAINFUL 12.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-02-2018 16:40:04
Chapter XIII

Painful

 

20:08 นครลำปาง

รถไฟด่วนพิเศษ ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาสถานีรถไฟ นครลำปาง เราเข้ามาเก็บกระเป๋าในตู้นอน ภายในห้องขนาดกะทัดรัด มีเตียงเดี่ยวสองชั้น ปูผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา และเบาะที่นั่งหุ้มด้วยกำมะหยี่เล็ก ๆ อยู่ริมหน้าต่างกระจกใสที่มองออกไปเห็นภาพบรรยากาศภายนอกตัวรถไฟ

“รุ่ง นอนเตียงชั้นล่างนะ เดี๋ยวเขนนอนชั้นบนเอง” เขนบอกขณะที่ก้มตัวเก็บกระเป๋าเดินทางของผมข้างใต้เตียงนอน

ผมจึงพยักหน้าตอบ และลอบยิ้ม ‘เขนมักเสียสละ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ผมเสมอ’ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งที่เบาะ เบือนหน้าชมวิวภายนอก ซึ่งตอนนี้เป็นทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องใจกลางเมืองนครลำปาง

“โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่” เขนบอกขณะที่ขยับตัวมานั่งข้าง ๆ พร้อมวางมือลงบนมือของผมพร้อมบีบเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว” ผมหันหน้ากลับมายิ้มให้กับคนข้าง ๆ ทั้งที่ข้างในหัวใจมันตื้นตันสั่นสะเทือนจนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว

 

‘เขนทำไม... ทำอย่างนี้ ทำไม... ถึงดีอย่างนี้

ความต้องการที่พูดไปลอย ๆ ไม่ได้คิดอะไรเพื่อปิดบังความปรารถนา...ที่เก็บไว้ลึกสุดใจ แต่สำหรับใครอีกคน กลับ ‘ให้ความสำคัญ’ จดจำมันได้ขึ้นใจ

และทำทุกทางเพื่อให้มันเป็นความจริง’

 

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ” ผมเอ่ยออกมาเพื่อสกัดกั้นน้ำตา และความรู้สึกที่ล้นทะลักอยู่ในหัวใจ

“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย... รุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข” เขนส่งรอยยิ้มตอบกลับมา

ผมเชื่อในทุก ๆ ถ้อยคำอย่างไร้ข้อกังขา

เวลา....นานเท่านาน มันเกินพอที่จะพิสูจน์ ความจริงใจของผู้ชายคนนี้

แต่ผมเอง...ไร้ความสามารถที่จะตอบแทนเขาได้

“รุ่งหิวหรือยัง ไปตู้เสบียงหาอะไรทานกันเถอะนะ”

“อืม” ความรู้สึกด้านชาในหัวใจทำให้บดบังความรู้สึกใด ๆ แม้แต่ความหิว เกือบลืมว่าเราทั้งสองคนไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตลอดวัน ผมลุกขึ้นเดินตามมือที่กระชับนำทางออกมาตามทางเดิน โดยไม่ใส่ใจสายตาของผู้คนรอบข้าง แม้สมองจะประท้วงให้ดึงมือออก แต่หัวใจกลับร้องขอให้ทำตาม ‘ความปรารถนา’ ของตัวเองบ้าง เหลือ ‘เวลา’ แค่เพียงไม่นานที่จะได้ ‘เคียงข้างกัน’

เราสั่งอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ตู้เสบียง เมื่ออาหารมาวางอยู่ตรงหน้าถึงได้รู้ว่าความหิวเป็นเช่นไร อาหารที่ผมสั่งมาก่อนของเขน

“กินก่อนเลยรุ่ง” ผมเริ่มก้มหน้าก้มตาทานด้วยความรวดเร็ว

“กินช้า ๆ รุ่ง ค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เดี๋ยวอาหารไม่ย่อย เคยเป็นโรคกระเพาะไม่ใช่เหรอ” ผมขมวดคิ้ว เขนเคยบอกให้เคี้ยวช้า ๆ ตลอดมาที่กินข้าวด้วยกัน แต่ไม่เคยบอกว่าเขารู้

“เขนรู้ได้ไง” จริง ๆ นั่นแหละผมเคยเป็นโรคกระเพาะ แต่ก็ไม่เป็นมานาน...มากแล้ว

“ก็.....ที่เขนเคยบอก เขนตามดูรุ่งอยู่ตอนเรียน ทำไมเขนจะไม่รู้ ไม่งั้นจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ไปโรงพยาบาลถูกเหรอ” เขนกำลังยิ้มให้ความหลัง ใช่สินะ...ระยะเวลาหนึ่งปีช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีที่สอง ผมได้รับ ‘ดอกลิลลี่’ ทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันที่อาการโรคกระเพาะกำเริบจนต้องเข้าโรงพยาบาล

“ไม่เป็นนานแล้ว.....” ไม่เคยคิดว่าจะมีใคร…ใส่ใจเราได้ขนาดนี้

“แต่โรคนี้มันไม่หายขาดนะรุ่ง รุ่งต้องดูแลตัวเองดี ๆ ถ้าไม่มีเขนอยู่คอยเตือน ก็อย่าลืมวันนี้” ผมพยักหน้า

‘รุ่ง ไม่ลืมหรอกเขน ความจำ รุ่ง ดีเกินไปด้วยซ้ำ ไม่งั้นจะต้องทนเจ็บอย่างนี้เหรอ’

“แล้วทำไมเขนไม่กินข้าว” ผมมองเขนนั่งเขี่ยข้าวกำลังเหม่อ

“ไม่หิวเลย..........พอกินแล้วเหมือนกำลังกลืนทรายเข้าไป” เขาตอบให้ขำขำ หากแต่มันไม่ขำเลย เขน มันจุกมากกว่า

“ฝืนกินซักนิดเถอะเขน ไม่สบายเพิ่งหาย รุ่งก็เป็นห่วงเขนเหมือนกันนะ” ผมบอกอย่างซื่อตรงกับความรู้สึก เราจึงส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กันก่อนที่จะจัดการกับอาหารต่อไป

 

02:31 นครสวรรค์

ผมนอนนิ่งทอดถอนหายใจ...ผ่านมาห้าชั่วโมงแล้วที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ทั้ง ๆ ที่ เมื่อคืนก็ไม่ได้แม้แต่เฉียดกรายใกล้ที่นอนแม้แต่นิดเดียว ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างชัดเจนเพราะประสาทสัมผัสต่าง ๆ เริ่มลอย ๆ แต่หัวใจยังสั่งให้สมองคิดวุ่นวายวนเวียน คนตัวโตเตียงข้างบนก็เช่นกัน เสียงพลิกตัวไปมาเกินกว่าที่จะนับได้ เขนค่อย ๆ ปีนลงมาจากเตียงชั้นบน ยืนนิ่งเหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่าง ผมตัดใจลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าบน ที่นอน

“เขนนอนไม่หลับเหรอ” ผมถาม

“เขนทำรุ่งตื่นหรือเปล่า” เขาหันกลับมานั่งคุกเข่าข้าง ๆ เตียง ทำให้เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจน

“เปล่า.....นอนไม่หลับเหมือนกัน” ผมแน่ใจว่าตอนนี้หน้าของผมก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขนเอื้อมมือมากุมมือผมอีกครั้ง

“รุ่ง....นั่งคุยกันได้ไหม” เสียงที่ถามออกจะแหบพร่า ทำเอาหัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะ

“อืม” เรามานั่งเคียงกันข้างหน้าต่างอีกครั้ง

“รุ่ง......รู้ไหม เขนเห็นรุ่งครั้งแรกตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่ง คอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่คืนนั้นที่รุ่งตีกลอง ทำให้เขนตั้งใจกลับมาเล่นเบสอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้จับมานาน เพราะอยากเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีกับรุ่ง”

วันนั้นทำไม้กลองตกด้วยเถอะ ตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสายตาของ ‘เขา’ คนนั้น คนที่ไม่ได้เจอกันเกือบสามปี...

 

“พอได้เข้าชมรมเขนก็คอยมองตามแต่รุ่งมาตลอด แฟนคลับรุมล้อมมากมายจริง ๆ จนเขนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยสักครั้ง” แฟนคลับคนเล่าก็ไม่น้อยหรอก ผมแอบเถียงในใจ

“เขนพยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง.....เลยแอบเอา ‘ดอกลิลลี่’ ไปวางให้รุ่งที่ล็อกเกอร์ ทุก ๆ วันตอนเช้า ที่บ้านสงสัยกันใหญ่ว่าทำไมเขนถึงมาขยันเรียนมากตอนนั้น ไปแต่เช้าทุกวัน” เขนเริ่มเงียบไป ผมจึงถามออกไปบ้าง

“ทำไมต้องเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ล่ะเขน” ผมอยากรู้จริง ๆ อยากรู้มาตลอด

ทั้งที่รู้ว่า ไม่มีทางที่จะ ‘จำ’ ได้

 

ผมเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะตอบ

“ ‘ดอกลิลลี่’ เหมือนรุ่งในความรู้สึกเขน ‘อบอุ่นนุ่มนวล มีเสน่ห์ ชวนให้ค้นหา อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’ ” เขนบีบมือผมเบา ๆ อีกครั้ง เหมือนต้องการส่งผ่านความรู้สึก

ทำไม...อะไร...บางอย่าง..........ถึงไม่เคยเปลี่ยน

แม้ ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ไม่มีวันย้อนกลับมา.......

 

แต่บางส่วนที่ถูกเก็บลึก......ไม่เคยเปลี่ยน

“เขนตั้งใจจะไปสารภาพรักกับรุ่ง เตรียมการอย่างดีตอนนั้น แต่มารู้อีกทีรุ่ง ก็บินไปต่างประเทศแล้ว”

ทำไมจะไม่รู้ละเขน ก็เพราะ....รู้นี่แหละ ถึงเลือกเดินทางนั้น

ทางที่ไม่ต้องทำร้ายใคร....นอกจากตัวเอง

 

“จนได้มีโอกาสพบรุ่งที่ทำงานอีกที เขนก็มาเช้าอีกครั้ง เพียงเพราะอยากพบหน้า รุ่งจำ วันแรกที่เราประชุมด้วยกันได้ไหม วันนั้นเขนมารอรุ่งที่ลิฟต์ตอนเช้าด้วย รออยู่ตั้งนาน คิดว่าจะไม่เจอรุ่งอีกแล้ว.... เพราะใกล้เวลาเดินทางมาลำปางเต็มที”

“เลยดีใจมากเลยตอนที่เดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วรู้ว่ารุ่งดูโปรเจคนี้ พอประชุมเสร็จก็รู้ว่ารุ่งยังคุยอยู่กับพี่บลู เลยรอรุ่ง....อยากทำความรู้จักให้มากกว่าเดิม รอจนถอดใจนึกว่ารุ่งกลับไปแล้วเลยจะขึ้นมาเก็บของ โชคดีที่ได้พบรุ่งพอดี” ถึงว่าวันนั้นเขนดูหิวมากนัก กินไปพูดไปไม่หยุด ผมยิ้มให้กับความทรงจำ

“เขนก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักรุ่งอีกเป็นครั้งที่สอง เป็นไปได้ยังไงนะ ทั้งที่เวลาผ่านไปเกือบสิบปี”

“แต่ก็ดีกว่าครั้งที่แล้ว......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็กล้าพอที่จะสารภาพ......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่งก็รับรู้ถึงความรักของเขน...........”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็พยายามเต็มที่แล้ว................”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่ง...ก็รักเขน แม้จะเป็นแบบ ‘เพื่อน’ ก็ตาม”

 

‘ครั้งที่สามหรอกเขน.............ไม่ใช่สอง’

 

ใจของผมกำลังสลาย...... กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกแล้ว

 

04:03 ลพบุรี

“รุ่งเป็นอะไร” เขนตกใจ

“ม...ไม่เป็นอะไร ฮึก ฮึก ขอเวลานิดนะเขน” ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดอะไรได้

 

เมื่อน้ำตาที่ ‘เก็บ’ ไว้มานาน.... นานมากจนเกินไป……

จนทนแรงกดดันไม่ได้...........มันล้นทะลักออกมา

 

เขนยังคงนั่งข้าง ๆ บีบมือให้กำลังใจและเช็ดน้ำตาให้อย่างสม่ำเสมอ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าผมจะค่อย ๆ หยุดร้องได้

 

กับคนบางคนการร้องไห้เป็นแค่การแสดง...ความรู้สึก

กับผมก็เช่นกัน..........

 

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ได้ร้องไห้อย่างนี้มานาน........ นานตั้งแต่เลือกที่จะเดินจากไป

 

“เพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอ” ผมไม่คาดคิดว่าเขนจะถาม ผมจึงถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับ

“เล่าให้เขนฟังได้ไหม เขนอยากช่วยรุ่ง.......ถ้าช่วยรุ่งได้ เขนยอมทำทุกอย่าง” เสียงเขนแตกเครือ

“เขน.................”

“……………….” อย่าเลย อย่าทำอย่างนี้เลย

“เขนเป็น ‘เพื่อน’ รุ่งไม่ใช่เหรอ”

“ถ้ารุ่งเห็นเขนเป็น ‘เพื่อน’ จริง ๆ รุ่งก็ต้องแบ่งความเจ็บปวดมาให้เพื่อนบ้าง”

“อย่างน้อยได้ระบายออกมาบ้างก็ยังดี นะรุ่ง” สายตาของเขนฉายชัดความจริงใจทุกถ้อยคำ ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับ ค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องเล่า

 

แม้รู้ว่าเล่าไป......ก็เหมือนกับยิ่งฉีกรอยแผลเดิมให้กว้างขึ้น....

แล้วกดมีดลงไปใหม่จนมิดด้าม

 

“มันเริ่มจากความผูกพัน ความผูกพันของคนสองคนกับระยะเวลาที่ยาวนาน จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ไป....เป็นคนรัก”

“แต่เหมือนพรหมลิขิตเล่นตลก ขีดเส้นทางเดินของเราให้ต้องแยกจากกัน ‘เขา’ สัญญาว่าจะรอ”

“และ ‘เขา’ ก็รอ...รอรุ่งเสมอ”

“จนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ‘เขา’ ก็ยังพยายามฝืน พยายามดันทุรังที่จะรื้อฟื้น....แม้ตัวเองต้องเจ็บปวดทรมาน แทบขาดใจ”

“เมื่อรุ่งกลับมา เขาก็เกือบจะเสียสติ ทางเดียวที่จะรักษาเขาได้คือปล่อยให้เขาไปตามทาง ไม่มีรุ่งแล้วเขาจะดีขึ้น”

“เมื่อรุ่งออกจากชีวิตเขามา เขาก็ดีขึ้นจริง ๆ นะเขน”

“ตอนนี้เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แล้วชีวิตเขาจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีรุ่งอีกต่อไป”

“แม้ว่าต้องทรมานกับความรู้สึกที่ว่า........”

“เราสองคนยังรักกันอยู่...”

“ยังรักกันมาก…”

“และไม่มีวันลืมกันได้จริง ๆ…”

“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่าถ้าย้อนกลับไป รุ่งเองนี่แหละจะไปทำร้ายเขาอีกหรือเปล่า”

“มันจึงไม่มีวัน..........ไม่มีทาง............ที่จะกลับไปเป็นดังเดิมได้”

“และมันก็ลึกซึ้งผูกพันมากเกินจะเริ่มต้นใหม่ได้จริง ๆ”

น้ำตาหลั่งไหลอีกครั้งหลังจากที่ได้ระบายมันออกมา

เกินพอแล้ว......พอแล้วจริง ๆ

 

เขนดึงผมไปกอดไว้ในอ้อมอกของเขา

แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่าไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่ร้องไห้

 

ผมทำให้ 'เขา' เจ็บอีกครั้ง และได้แต่ภาวนา.....อย่าเป็นอะไรเลยนะ....

 

หยุดแล้ว

พอแล้ว

 

สวรรค์หรือใครก็ตาม ได้โปรด........กรุณา

ผม ‘เลือก’ แล้ว

ผม ‘เลือก’ ที่จะยอม ‘เจ็บ’ แล้วเดินจากไป ‘อีกครั้ง’

 

06:30 ชุมทางบางซื่อ

อีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง ‘ปลายทาง’

เราทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดระยะเวลา.....ระยะทาง........ที่เหลือ มือยังคงสอดประสานแน่นกระชับ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะหัวใจของคนทั้งคู่ได้แหลกสลาย

 

อย่างน้อยครั้งนี้ ก็ได้เป็น ‘เพื่อน’ อย่างที่เขนบอก

แค่นี้ก็วิเศษสุดแล้ว

 

เราคงไม่สานความสัมพันธ์ต่อไปให้มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’

ด้วยความ ‘เข้าใจ’ และความ ‘ปรารถนา’ ดีที่เพื่อนมีต่อกัน

 

จะไม่ดึงดันให้อีกคนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

ใช่ครับ มันอาจดูสับสน

 

แต่ผมยืนยัน

 

เขน....... ตกหลุมรักผม มาแล้ว ‘สาม’ ครั้งจริง ๆ

ผม.......จงรักต่อ 'เขา' คนนั้นมานานกว่าสิบเจ็ดปี

และมีเพียง ‘เขา’ คนนั้นเสมอมา และตลอดไป

 

07:00 กรุงเทพฯ 





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-02-2018 16:47:30
Chapter XIV

Keep

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์...

คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

 

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่..ความฝัน ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก ‘เก็บ’ ไว้ในเบื้องลึกของความทรงจำ และสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้ หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิด มาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกลในอดีตชาติ คล้าย ๆ กับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซ้ำอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมน่าจะเข้าข่ายกรณีท้ายสุด

‘อดีตที่พยายามจะลืมเลือน แต่กลับติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ

 

แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด บางสิ่ง... ที่ระลึกถึงเสมอ... มันดึงดูด ‘เขา’ ให้กลับมาเสมอ แม้พยายามจะหลีกหนี ซ่อนเร้น เพียงใดก็ตาม

 

กฎแห่งแรงดึงดูดก็มักจะทำหน้าที่ของมัน’

 

เขน... ตกหลุมรักผม มาแล้ว ‘สาม’ ครั้ง

ผม....จงรักต่อ 'เขา' คนนั้นมานานกว่าสิบเจ็ดปี

และมีเพียง ‘เขา’ คนนั้น เพียงคนเดียว

 

และ...‘เขา’ คนนั้น...ก็คือ‘เขน’

‘เขน’ เพียงคนเดียว เสมอมา และตลอดไป........

 

เมื่อเรื่องราวมัก ย้อนหมุน วนเวียน กลับมาซ้ำและย้ำเหมือนเรื่องตลกร้าย จนบางครั้งผมก็แยกไม่ออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็น ‘ความฝัน’ หรือ ‘ความจริง’

 

‘สาม’ ครั้งที่เราพบกันครั้งแรก

เด็กผู้ชายตาเรียวคมผิวขาวดังหิมะที่ยิ้มกว้างเพื่อผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนตอนกลางเทอม

เด็กหนุ่มปีหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งเกาะขอบเวทีคอนเสิร์ตที่ไม่ได้สนใจนักร้องนำ แต่กลับ จับจ้องมือกลองด้านหลัง

ชายหนุ่มน้องใหม่ที่ทำงานที่บังเอิญพบกันที่หน้าลิฟต์

 

‘สาม’ ครั้งที่สายตาคู่นั้นแอบมองผม

สายตา....ของเพื่อนรักที่คอยปกป้อง ห่วงใย ใส่ใจ และดูแลผมเสมอมา

สายตา...ของรุ่นน้องในชมรมที่เฝ้ามองผมเล่นดนตรี และสถานที่ต่าง ๆ โดยรอบมหาวิทยาลัย

สายตา...ของชายหนุ่มที่คอยแอบมองผมผ่านกระจกเงาที่สะท้อนอยู่ในลิฟต์

 

‘สาม’ ครั้งของห้วงเวลาของความอบอุ่น

ระยะเวลาตลอด 3 ปี ของความผูกพันของเพื่อนสนิทที่แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์

ระยะเวลาตลอด 1 ปี ของช่วงเวลาที่ถูกแอบรัก จากชายหนุ่มนิรนาม

ระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ของเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทั้งมุมมองความคิด และความรัก

 

‘สาม’ ครั้งที่มีคนมาสารภาพรัก

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวดอกแรก ในงานวันปัจฉิมนิเทศ

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวสองร้อยกว่าดอก ที่หน้าล็อกเกอร์ใต้ตึกเรียน

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวสามสิบกว่าดอก ที่เจ้าตัวนำมาปักแจกันให้ที่โต๊ะทำงาน

 

‘สาม’ ครั้งที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว

ครั้งแรก...ที่ผมตัดสินใจเลือกเดินออกมา เพียงเพราะผมเองที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมาน

ครั้งที่สอง...ที่ผมตัดสินใจหนี ก่อนที่เขาคนนั้นจะเข้ามาสารภาพรัก มันจะดีกว่าถ้าไม่มีคำตอบใด

ครั้งที่สาม...ที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวในอดีตไว้และยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันไว้ต่อไป

 

เพียงเพราะ...

ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่า ‘ผม’ จะไม่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานอีกครั้ง

 

เวลาผ่านมาเกือบสามอาทิตย์ที่ผมกลับมานอนที่บ้านอีกครั้ง กิจวัตรแรกของเช้าวันใหม่ คือ การอ่าน ‘ข้อความ’ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติแทบจะไม่ต้องลืมตาเพื่อควานหาโทรศัพท์มือถือ เพราะมันอยู่ในมือของผมเกือบตลอดคืน แม้ข้อความทักทายของ ‘เพื่อน’ อาจจะไม่แตกต่างจากเดิมนักในแต่ละวัน แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น และเป็นกำลังใจที่ดี

 

‘เพื่อน’ ของผมเขาเป็นคนมั่นคง และสม่ำเสมอ

แม้จะไม่เคยมีข้อความตอบกลับไป

แต่ผม ‘รู้’ และเขาก็ ‘รู้’ ว่าผมอ่านตามสัญญา

 

เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ผมก็ต้องกลับมาเผชิญกับการจราจรที่คับคั่งเช่นเดิม ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้มาสายอีกต่อไป เพราะ ‘ข้อความ’ ที่ทำให้ผมตื่นเช้าขึ้นนั่นเอง

ผมยังจอดรถชั้นใต้ดินโซนเดิม และกลับมาหอบม้วนเอกสาร และแบบโครงสร้างโครงการใหม่อีกครั้ง เมื่อมาเช้ามากขึ้น จำนวนคนที่ขึ้นลิฟต์ก็มีมากจนเบียดเสียดกันคล้ายปลากระป๋อง ทำให้ลืมอาการกลัวความสูงไปอัตโนมัติ

หรือจริง ๆ อาจจะเป็นความระลึกถึง ‘เพื่อน’ ที่เคยขึ้นลิฟต์ด้วยกัน ผมก็ยังไม่แน่ใจนัก

 

การทำงานโปรเจคช่วงการวางแผนเต็มไปด้วยความเข้มข้นยุ่งยากเช่นเดิม สิ่งที่จะเปลี่ยนไปก็คงเป็นเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน จนคนที่มีความทรงจำฝังลึกอยู่ในหัวมากมายเช่นผม ยากที่จะจดจำได้หมด และชีวิตกลับมาเห็นแต่ห้องประชุมสี่เหลี่ยมอีกครั้งตั้งแต่เช้าจนรู้ตัวอีกครั้งก็ดึกมากแล้ว

โชคดีอย่างเดียวที่มีคือมี ‘เพื่อน’ คอยส่งข้อความเตือนเวลากินข้าวและบอกย้ำซ้ำให้ เคี้ยวข้าวให้ละเอียด

 

เมื่อภารกิจการงานต่าง ๆ แล้วเสร็จ ก็ขับรถกลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อนทุกวัน และเฝ้ารอ ‘ข้อความ’ ที่พร่ำบอกให้ฝันดี

 

แม้หลาย ๆ อย่าง ไม่อาจกลับเป็นไปได้ดังเดิม

สิ่งที่ปรารถนา..... ก็ยังคงไม่มีวัน และไม่มีทางเป็นจริง

 

แต่ครั้งนี้ผมยอมรับว่าผมพอใจ ดีใจ และมีความสุข

ที่ได้........... ‘เก็บ’ ไว้







#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2018 17:35:17
???
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 12-02-2018 20:50:54
  :กอด1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE 13.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 13-02-2018 11:21:50
Chapter XV

Claire (Light)

 

10 ปีที่แล้ว......

 

‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ เป็นคติประจำตัวที่ผมนึกได้’

 

ใช่ครับ เพียงแค่... นึกได้ เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสามปีก่อนลบเลือน ‘ความทรงจำ’ บางส่วนของผมออกไป ที่ผ่านมาผมต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมาก ในการรักษาตัว เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเกือบปี จนรู้สึกเข็ดขยาดและเกลียดโรงพยาบาลไปโดยปริยาย

บาดแผลทางร่างกายไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพียงไม่กี่เดือนก็หาย แต่อาการปวดหัวที่รุมเร้าอย่างหนักจนเกือบเป็นโรคทางประสาทนั่นต่างหากคือสาเหตุหลัก

คุณหมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงอาการเลือดคั่งในสมอง และการผ่าตัด วิธีการรักษา อย่างเดียวที่ทำได้คือการเลิกคิดถึง 'ความทรงจำ' ที่หายไป

แม้ภายในใจลึก ๆ ผมคิดเสมอว่า ‘ความทรงจำ’ นั่นน่าจะมีความ ‘สำคัญ’ กับผมมาก ๆ

 

เหมือนเสียงหัวใจมันพร่ำบอก

 

แต่มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับชีวิตประจำวันของผมมากนัก หลังจากที่ต้องพักการเรียน ไปหนึ่งปีเพื่อรักษาตัว ผมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัวอีกครั้ง และพยายามที่จะเลิก ‘รื้อฟื้น’ ความทรงจำที่หายไป

ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากอีกครั้งในการกลับมาเรียน เพราะนอกจากต้องย้ายโรงเรียน เนื่องจากคุณหมอแนะนำเพื่อจะไม่ให้ย้อนคิดถึงความทรงจำนั่นอีก มิหนำซ้ำยังต้องเรียนกวดวิชาให้ทันเพื่อนๆ และเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย ทั้งที่อาการปวดหัว ก็ยังคงเรื้อรังเป็นระยะ ๆ จนต้องกินยาคลายเครียด แต่อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ และความสำเร็จก็ตามมาจริง ๆ ดังที่พยายาม

ตอนนี้ผมกำลังเป็นนักศึกษาใหม่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมดีใจมากที่ทำให้ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนคอยกังวล และเคร่งเครียดกับอาการป่วยของผมมานาน คงเหมือนฟ้าหลังฝน เมื่อโชคร้ายผ่านไปอะไรดี ๆ ก็ค่อย ๆ เข้ามามั้งครับ

วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัย ‘วันปฐมนิเทศ’ เนื้อหาในการปฐมนิเทศ ในวันนี้ยิ่งทำให้รู้สึกภูมิใจที่เลือกคณะไม่ผิด เพราะนี่แหละคือสิ่งที่ผมถนัดและอยากเรียนมาตลอด

โชคดีของผมอีกเรื่อง คือ ได้เข้าเรียนคณะเดียวกันกับเพื่อนสนิท ‘ไอ้ตั้ม’ ซึ่งคลายความกดดันในการก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยไปได้มาก แต่จริง ๆ แล้วผมก็เป็นคนเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่าย และไม่มีปัญหากับการปรับตัวมากนัก โดยเฉพาะเมื่อถูกทดสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนย้ายโรงเรียนหลังออกจากโรงพยาบาล

เมื่อกิจกรรมต้อนรับนักศึกษาอย่างเป็นทางการของคณะผ่านไป ก็เข้าสู่กิจกรรมรับน้องของรุ่นพี่ พวกเราสนุกสนานกันมากและทำให้ผมได้รู้จักเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่คณะเพิ่มขึ้น

ตอนนี้เพื่อนที่คณะทุกคนต่างพากันเรียกผมว่า ‘ไอ้สว่าง’ บ้าง ‘ไอ้เผือก’ บ้าง ไม่มีใครเรียกว่า ‘เขน’ เลยคงเป็นเพราะสีผิวของผมที่ตั้งแต่เกิดมาก็ขาวกว่าชาวบ้านชาวเมืองอยู่แล้ว และเมื่อถูกอบตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกหนึ่งปี พอออกมาคราวนี้เลยเหมือนแวมไพร์เข้าไปใหญ่

เด็กปีหนึ่งที่มหาลัยส่วนใหญ่ต้องมาอาศัยอยู่ที่หอครับ เนื่องจากมีกิจกรรมที่ค่อนข้างมาก ครอบครัวผมก็ดูเป็นห่วงไม่น้อย แต่เมื่อมันก็มีความจำเป็น และถ้าต้องเทียบกับการเดินทางไปกลับ ก็เลยยอม ผมจึงได้มาอยู่หอกับเพื่อนสนิท ‘ไอ้ตั้ม’ นั่นแหละครับ

ช่วงนี้ที่คณะมีการคัดเลือกดาว-เดือนคณะ รวมทั้งเชียร์ลีดเดอร์ เพื่อไปแข่งเชียร์ กับคณะอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย ใจจริงผมอยากจะโดดให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไม่ถนัดเรื่องพวกนี้มากนัก ให้เล่นดนตรี เล่นกีฬายังดีกว่า แต่ดันมีคนส่งชื่อผมไปคัดเลือก ‘เดือน’ คณะด้วยนะสิครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร

“อะไรวะตั้ม ถ้าอยากเป็นเดือนทำไมไม่ส่งชื่อตัวเอง ส่งชื่อผมทำไมไม่ทราบครับคุณ” ผมอยากจะบีบคอมัน

“ใครว่าผมอยากเป็นเดือนละครับ ผมแค่อยากป๊อบในหมู่สาว ๆ มีเพื่อนเป็นเดือนอะดี พอมีใครมาสนใจคุณก็ต้องเข้าทางผม ผมจะได้คัดกรองไว้บ้าง” มันขำ แต่ผมไม่ขำ

“แล้วรู้ไหมคุณ ว่าถ้าถูกเลือกนี่มีงานบานเลยนะโว้ย รุ่นพี่บอกมาเป็นตัวแทนคณะไปทำกิจกรรมตลอด” ผมเครียดจริงจัง

“คุณก็แกล้งป่วยสิครับ แล้วให้รองอันดับหนึ่งเขาทำไปเหมือนนางงามอะไรอย่างนี้” มันยังหน้าตาระรื่น

“แต่เดือนก็ดีกว่าเชียร์ลีดเดอร์นะครับ ผมเห็นหัวหน้าเชียร์จ้องคุณตาเป็นมัน หรือคุณอยากเต้นลีดมากกว่า” มันให้เหตุผล พี่กฤษณ์ หัวหน้าเชียร์มาจีบผมให้ไปเป็นลีดจริง ๆ ครับ แม้ปฏิเสธไปก็ยังไม่ละความพยายาม ยังมาตื๊อเพราะขาดคน

“เออ เออ ลองดูก็ได้ แต่อย่างผมคงไม่มีใครเลือกหรอก” ผมคิด เพื่อน ๆ ไม่เห็นมีใครกล้าเข้าใกล้ผมสักคน คงคิดว่าเป็นผีดูดเลือด

“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ” แล้วมันก็หัวเราะอย่างมีความนัย อะไรของมันวะ

แล้วก็เป็นไปตามคาด แต่ไม่ใช่ที่ผมคาด หากเป็นตามที่ไอ้ตั้มคาด ผมก็ได้รับเลือกเป็นเดือนคณะจริง ๆ

“ทำไมวะ โคตรซวย” ผมบ่นหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง

“คุณคิดว่าสาว ๆ ไม่ชอบคุณจริง ๆ เหรอครับ ที่เขาไม่กล้าเข้าหาคุณก็เพราะเขาชอบคุณนั่นแหละไอ้สว่าง” มันยังขำ

ตั้งแต่นั้นมา ‘ชื่อ’ ผมก็เริ่มโด่งดังในมหาวิทยาลัยสิครับก็เดือนคณะวิศวะ ฯ เริ่มมีกลุ่ม แฟนคลับตามรุมล้อม ขนมนมเนยหลั่งไหลมาจากทางไอ้ตั้มเพียบ ได้ทุกอย่างตามที่มันคิดไว้จริง ๆ ส่วนผมก็ต้องไปทำกิจกรรมให้คณะจริง ๆ เหมือนกัน ย้ำอีกครั้งว่า ‘โคตรซวย’ แต่ยังดีกว่าเป็นลีด ผมแอบคิดในใจ

งานแรกของเดือนคณะก็มาถึงเมื่อต้องเป็นตัวแทนไปประกวดเดือนของมหาวิทยาลัย ในวันแข่งเชียร์ แทนที่ผมจะได้มีชีวิตสงบสุข ขึ้นแสตนด์ร้องเพลง ดูคอนเสิร์ตจากรุ่นพี่ชิล ๆ กลับต้องใส่ชุดนักศึกษา ผูกไทด์ เดินโชว์ตัว ตอบคำถาม กลับไปผมจะฆ่าไอ้ตั้มผมสัญญา แล้วความโชคดีของคนอื่นในความโชคร้ายของผมก็มาเยือนเมื่อผลการคัดเลือกเดือน มหา’ลัยออกมา

“นายศศิน ภัทรสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์” ผมแทบทรุด หลายคนคงคิดว่าดีใจ

อย่างน้อยมันก็ผ่านไปแล้วอะไรจะเกิดก็เกิด ถือว่าเป็นประสบการณ์ก็แล้วกัน ผมปลอบใจตัวเอง ขณะเดินเข้าไปหลังเวที ‘อย่างน้อยเสร็จแล้วเดี๋ยวก็ได้ดูคอนเสิร์ต’ ผมกำลังเดินสวนกับวงดนตรีของรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย แล้วผมก็ลืมวิธีหายใจ หัวใจเต้นระรัว เพียงแค่รุ่นพี่คนนึงที่เดินผ่านไป

“เขนเป็นอะไรไป” ดาวมหา’ลัยที่เดินตามมาถามขึ้น

“ป..เปล่า” แต่ผมยังก้าวขาไม่ออก จึงค่อย ๆ รวบรวมสติ แล้วสมองจึงเริ่มสั่งการร่างกายให้เริ่มเดินอีกครั้ง ขณะที่จังหวะหัวใจยังเต้นไม่ปกติ

‘มือกลองสินะ’ เขาถือไม้กลอง คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่ม ผมลืมเรื่องกวนใจทั้งหมดแล้วรีบวิ่งจากหลังเวทีออกไปในหอประชุม

 

“ขอโทษครับ ขอโทษ ขอทางหน่อย” บางทีนี่คือประโยชน์แรกจากการเป็น ‘เดือนมหา’ลัย’ สาว ๆ พร้อมใจกันหลีกทางให้พร้อมซุบซิบเมื่อเห็นว่าผมเป็นคนขอทาง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบแหวกผู้คน จนในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าเวที ม่านยังปิดอยู่แต่ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่กำลังเตรียมความพร้อม รุ่นพี่มือกลองคนนั้น ทำให้ผมเกือบลืมหายใจ

 

ผมไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เคยมีความรักมาก่อนหรือไม่ แต่ครอบครัวยืนยันว่าไม่เคย แต่ทำไมผมมั่นใจว่า ครั้งนี้มันเป็น ‘ความรัก’ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบกับเขามาก่อน

 

การแสดงเริ่มต้นขึ้นผู้คนเริ่มขยับ และโห่ร้องไปตามจังหวะดนตรี แต่มันไม่สามารถดึง ความสนใจของผมไปได้เลย เหมือนโดนตัดขาดจากผู้คนทั้งหอประชุม เหมือนมีสปอตไลท์ฉายอยู่เพียงแค่มือกลอง เหมือนมีแค่เขา และผมแค่สองคนในความรู้สึก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงภายนอกที่อื้ออึงยังคงไม่สามารถทะลุเข้ามา ในประสาทสัมผัสของผมได้

ผมได้แต่เพียงจ้องมอง ‘รักแรกพบ’ ผมแน่ใจ ผมรู้ ผมมั่นใจ

 

เพียงชั่วแวบเดียวที่สายตาคู่นั้นของเขามองผ่านมาที่ผม กลับเหมือนทุกอย่างถูกสะกดนิ่ง โดยเฉพาะข้างในหัวใจของผมอยู่นานชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ผมไม่แน่ใจว่าเขาเห็นผม หรือแค่มองผ่าน แต่ผมกลับจรดลึกดวงตาคู่นั้นลงในหัวใจ

ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีคนมาตบบ่าผม

“ไอ้สว่างมาได้แล้ว ยังเกาะขอบเวทีอีก คอนเสิร์ตจบแล้วนะเว้ย ไปกลับกัน” ไอ้ตั้มมาตาม

“อ้าวเลิกแล้วเหรอ” ผมยังรู้สึกลอย ๆ

“เออสิวะ ไปกันแฟนคลับรออยู่เยอะแยะเลย ไม่ต้องซื้อเสบียงที่ห้องไปอีกเดือน” ผมไม่ได้ฟังไอ้ตั้มพูด สมองเริ่มทำงาน

พี่เขาเป็นใคร ทำยังไงถึงจะได้เจอกันอีก

“ตั้ม วงที่เล่นไปของคณะไหนวะ” ตั้มมันงงที่ผมเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ผมก็ได้คำตอบในที่สุด

“ชมรมดนตรีของมหา’ลัยไง ทำไมวะ อยากเล่นดนตรีรึไงเขน แค่นี้ยังดังไม่พอรึไง” มันแซวขณะกำลังเดินฝ่าแฟนคลับกลับหอ

“ตั้ม ไปสมัครชมรมดนตรีกัน” ผมตัดสินใจ

“เฮ้ย เอาจริงดิ” ตั้มแปลกใจ มันรู้ว่าผมเล่นเบสได้ แล้วพยายามชวนผมให้เข้าวงของมันหลายรอบสมัยตอนเรียนมัธยม แต่ผมปฏิเสธมาตลอด

เพราะไม่รู้ทำไม เวลาจับเบสเตรียมจะเล่น

เหมือนอาการปวดหัวมันมักจะกำเริบเสมอ ๆ

 

ผมกับตั้มมาสมัครชมรมดนตรีได้อาทิตย์กว่าแล้ว และทำให้รู้ว่ามันไม่ได้ทำให้มีโอกาส ที่จะใกล้ชิด ‘รุ่ง’ มากขึ้นแม้แต่น้อย

มือกลองคนนั้นชื่อ ‘รุ่ง’ ครับ

หลังจากคืนนั้นผมตามสืบประวัติเขาเท่าที่จะทำได้ทั้งหมด จริง ๆ แล้วเขาอายุเท่ากันกับผม และคงจะเป็นรุ่นเดียวกันถ้าผมไม่หยุดเรียนไปหนึ่งปี แถมเคยเรียนที่โรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนด้วย แต่ดูเหมือนเขาคงจะไม่รู้จักผม

‘รุ่ง’ เรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ บุคลิกเขาเป็นคนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เรียบง่าย แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูง มันทำให้เขามีเสน่ห์มาก ๆ จึงทำให้มีทั้งเพื่อน ๆ รุ่นพี่ แถมยังมีแฟนคลับอีกมากมายที่คอยห้อมล้อมไว้ ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาเลย แม้พูดคุยทักทายกันยังไม่มีโอกาสเลย

หากสิ่งที่ทำให้ผมใจชื้นก็เพราะบุคลิกของเขาที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ อีกเช่นกัน ที่ทำให้เขายังไม่มีคนพิเศษ เขามีเพื่อนสนิทที่คณะเดียวกันอีกสองสามคน คือ เต้ที่เป็นมือกีต้าร์ ไทม์ที่เป็นนักร้องนำ และมีอ้นหนุ่มผมยาวที่มานั่งเล่นในชมรมคอยเพื่อน ๆ

ถ้าจะติดใจผมคงติดใจที่อ้น เพราะผมคิดว่าผมมองสายตาที่เขามองรุ่งออก แต่ดูรุ่งจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครมากเป็นพิเศษ

อ้นเข้ามาทักผม เมื่อผมเข้ามาที่ชมรมได้หนึ่งอาทิตย์พอดี แล้วก็ได้รู้ว่าเขาเคยรู้จัก และเป็นเพื่อนของผมที่โรงเรียนเก่า เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อรู้ว่าผมจำเขาไม่ได้ แต่ดูเหมือนเขาจะดูระแวดระวัง และเฝ้ามองรุ่งมากขึ้นตั้งแต่เห็นผม

ผมไม่รู้ว่าทำไม หรือเขาคงพอจะอ่านสายตาของผมออกเหมือนกัน

 

เมื่อหนทางแรกที่จะเข้าถึงตัวรุ่งยังไม่เป็นผล ผมจึงเริ่มมองหาหนทางอื่นต่อไป ผมไม่มีทางท้อแท้อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่มี ‘ความรัก’ ผมรู้สึกว่าอยากมามหา’ลัยมากขึ้นอีกร้อยเท่า จะให้ทำกิจกรรมอะไร ผมก็ยอมทำทั้งนั้น ตอนนี้ให้ไปเป็นลีดเดอร์ผมยังยอมเลย ขอเพียงได้มามหา’ลัยเดียวกับเขาคนนั้น มันทำให้ทุกวันของผมเหมือนถูกเติมเต็ม และมีความสุขขึ้นมากจริง ๆ

เหมือนมีเป้าหมายในชีวิต

เหมือนชีวิตกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง

 

ก่อนหน้านี้ บางคนมองว่า ผมดู ‘สว่าง’ เฉิดฉาย เพราะลักษณะภายนอกรวมถึงบุคลิกที่ทำให้ผมดูดึงดูด แต่ข้างในภายในหัวใจของผมกลับรู้สึก ‘มืดมน’ อย่างบอกไม่ถูกทั้ง ๆ ที่ผู้คนรายล้อม

‘รุ่ง’ เหมือนแสงสว่างของผมที่หายไป

‘รุ่ง’ ไม่ได้ร้อนแรงแผดเผา เฉกเช่นดังแสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์

แต่ ‘รุ่ง’ กลับเหมือน ‘แสงจันทร์’ ที่อบอุ่นนุ่มนวลและคอยปลอบประโลม

ผมคงเป็นเอามากถึงขั้นเพ้อ

 

เอาล่ะ

ผมจะพยายามต่อไปดีกว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’





#JKLTHESERIES

ในความรู้สึกเรา KEEP จบตั้งแต่ตอนที่แล้ว แล้วสมบูรณ์สุดแล้วนะคะ หากมีความรู้สึกว่า ถ้าลอง go on ต่อจะเป็นอย่างไร... ลองอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่จบตามใจเรา ฟิคเรื่องนี้ก็จบดีค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE 13.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-02-2018 12:19:47
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: DE 14.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 14-02-2018 14:46:11
Chapter XVI

DE (@)

 

@ ที่ใต้ตึกสถาปัตย์ฯ 06:30

ผู้คนยังบางตา มีเพียงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอาคารและนักศึกษาอีกสองสามคน แต่ไม่มีใคร ให้ความสนใจกับเพื่อนต่างคณะที่กำลังเนียนเดินผ่านมาอย่างผม วันนี้ผมมาเพียง ดูลาดเลาให้แน่ใจก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ

ที่ใต้คณะรุ่งมีล็อกเกอร์เรียงรายดูเหมือนจะแบ่งความเป็นเจ้าของไว้อย่างชัดเจน ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาแอบด้อม ๆ มอง ๆ ผมสืบรู้แล้วด้วยซ้ำว่าล็อกเกอร์ตู้ไหนเป็นของเขา วันนี้แค่มาคอนเฟิร์มสถานที่ และช่วงเวลา ถ้าเป็นช่วงเช้าตรู่อย่างนี้คงจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิบัติการ

 

@ ร้านขายดอกไม้

ดอกไม้แย้มบานเต็มร้านส่งกลิ่นอบอวล เหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าร้านดอกไม้ ผมรู้สึกคุ้น ๆ แต่เมื่อจำไม่ได้ ก็ต้องปล่อยผ่านไปไม่อยากคิดให้ปวดหัว เจ้าของร้านขายดอกไม้ ให้ผมลองเดินดูรอบ ๆ ร้านเมื่อไม่สามารถบอกได้ว่าต้องการดอกอะไร

ผมไม่มีความรู้เรื่องดอกไม้เลยครับ ผมจึงต้องใช้เพียงความรู้สึกในการเสาะหาดอกไม้ ที่เป็นตัวแทนของความงดงามและเสน่ห์ในตัวเขาให้ได้มากที่สุด

คนที่แลดู.....อบอุ่นนุ่มนวลเหมือนแสงจันทร์

คนที่แลดู.....ลึกลับ เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด น่าค้นหา ติดตาม

คนที่แลดู.....อ่อนบาง น่าทะนุถนอม

 

แล้วผมก็พบ ดอกไม้สีขาวที่กำลังผลิแย้มอยู่ในถังทรงสูง

‘ดอกลิลลี่’ เสียงข้างในใจของผมบอก

อย่าถามว่าผมรู้ได้ยังไง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พี่ครับ ลิลลี่สีขาวนี่มีทุกวันไหมครับ” ผมถามเจ้าของร้านเมื่อตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน

“ลิลลี่ที่ร้านพี่เป็นดอกไม้นำเข้านะคะ ถ้าอยากได้จริง ๆ ก็ต้องสั่งไว้ค่ะ น้องจะใช้วันไหนล่ะ” ผมมองลิลลี่อย่างครุ่นคิด

“ผมอยากได้ทุกวันขอสามอาทิตย์นี้ก่อนแล้วกันครับ” ลองแซมเปิ้ลดูก่อนแล้วกัน

“แล้วจะให้จัดช่อหรือเปล่าคะ”

“ผมขอวันละดอกแล้วกันพี่ ขอแต่สีขาวนะครับ พี่ช่วยผูกริบบิ้นสีแดงให้ผมด้วย” ผมสั่งอย่างอัตโนมัติเร็วกว่าที่สมองจะทันคิด

เหมือน.....มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

เหมือน ‘รู้’ อยู่แล้ว

 

@ ชมรมดนตรี

นั่นไงผมว่าแล้ว เหมาะที่สุด

‘รุ่ง’ เดินเข้ามาพร้อมดอกลิลลี่สีขาวผูกโบว์สีแดง วันแรก ๆ เขาดูขัดเขินกับดอกไม้ เพราะเพื่อน ๆ ทั้งที่คณะ และที่ชมรมผลัดกันแซวอย่างครึกครื้นว่า ‘เป็นดอกไม้จากชายนิรนาม’

“ไหนวะรุ่ง เอามาดู มีโน้ตด้วยนี่หว่า” ดอกไม้ของผมถูกส่งชื่นชมวนเวียนกันไปแทบทั่วชมรม

“ AT LOVE…….มาแปลกอีกแล้วนะมึง” ไทม์แซวตะโกนเสียงดัง ในขณะที่เจ้าของดอกไม้ยังมีสีหน้าที่เรียบเฉย

“รู้เจ้าของรึยัง” อ้นถาม

“ยัง.....เอามา” รุ่งดึงดอกไม้กลับ

“หวงเหรอครับ คุณรุ่ง” เพื่อน ๆ เริ่มแซวอีกครั้ง

“เปล่า....จะไปซ้อมแล้ว” ใบหน้าหวานที่นิ่งเฉยเกินที่จะคาดเดาความรู้สึกได้

“มึงว่าของใครวะ” แล้วก็มีการคาดเดากันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเขาเป็นเป้าหมายของใครหลายหลายคนจริง ๆ

ผมจึงได้แต่แอบมองอยู่เงียบ ๆ ถ้าจะมีสายตาหวาดระแวงที่ส่งมาที่ผม ก็จะมีเพียงรายเดิม คือ ‘อ้น’ แต่ผม ก็ตีหน้าเฉย ในเมื่อคนรับยังไม่แสดงอาการเคลือบแคลงใด ๆ คนอื่นจะสงสัยยังไง ก็ช่าง ผมไม่สน

 

เมื่อเวลาผ่านไปสองสามอาทิตย์ ทุกอย่างก็ดูเป็นเรื่องปกติที่ทั้งมหาวิทยาลัยจะเห็น หนุ่มน้อยใบหน้าหวานคนนั้นกับดอกลิลลี่ที่เก็บติดตัวไว้อยู่เสมอ แม้หลายคนยังสงสัยถึงที่มา แต่เจ้าตัวกลับทำเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาที่ต้องได้รับอยู่แล้ว เขาดูไม่ร้อนรน สืบเสาะตามหาแต่อย่างใด ทำให้ผมทั้งสบายใจ และสงสัยไปพร้อม ๆ กัน เพราะสามารถแปลได้สองทางคือ หนึ่งไม่ได้ใส่ใจ กับ สองเขา ‘รู้’ ที่มาของดอกไม้

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

 

แต่เมื่อหวนระลึกถึง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรกที่ผมไปวางไว้หน้าล็อกเกอร์ วันนั้นผมรอดูผลงาน เพราะอยากให้แน่ใจว่า ‘ดอกลิลลี่’ จะตกอยู่ในมือของผู้รับที่ถูกต้อง

‘รุ่ง’ มาถึงคณะก็จวนเจียนใกล้เวลาเข้าเรียน เขาไม่ได้สังเกตเห็น ‘ดอกลิลลี่’ ในตอนแรก คงเป็นเพราะอาการงัวเงียที่แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน่าจะเพิ่งฝืนลุกจากที่นอน

แต่เมื่อหยิบของออกมาแล้วปิดประตูล็อกเกอร์ ผมแน่ใจว่าผมเห็นเขาจ้องมอง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นอยู่นานมาก จนคนที่แอบมองลุ้นใจระทึก แม้ผมจะไม่ได้เห็นสายตาของเขาโดยตรง ทำให้ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาได้ จึงได้แต่แอบเชียร์อยู่ในใจให้เขาหยิบ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นขึ้นมา แล้วก็เป็นจริงเขาหยิบมันขึ้นมา หากที่น่าแปลกก็คือ เขาดูไม่สนใจจะค้นหาที่มาตั้งแต่วันแรก ไม่แม้จะเหลือบมองซ้ายแลขวาเพื่อค้นหาต้นตอ แต่วันนั้นเขากลับบ้านโดยไม่เข้าชั้นเรียน

มันเป็นอาการปกติไหม หรือผมคิดไปเอง

เพราะหลังจากวันนั้นทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรพิเศษ ความรู้สึกของผมจากที่เคยกังวลในตอนแรก ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นอาการสับสน และกลับกลายเป็นความรู้สึกน้อยใจเล็ก ๆ วิธีนี้คงไม่ได้ผลอีกแล้ว แต่ผมไม่ท้อใจ

ถ้า

วันแรก...ไม่ได้ผล

อาทิตย์แรก...ไม่ได้ผล

สามอาทิตย์...ไม่ได้ผล

ผมก็ยังจะเพียรทำต่อไป ลองดูสักปีแล้วกัน ลองดูว่า ‘เขา’ จะรู้สึกอย่างไร

 

ช่วงปีหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมากครับ นอกจากการเรียนที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะอาจารย์จะไม่มาสนใจจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนตอนเรียนมัธยมอีกแล้ว ต้องตัดสินใจเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่วิชาเรียน เวลาเรียน ควบคุมตัวเอง เพราะบางคลาสเรียนกัน ทั้งชั้นปีในวิชาพื้นฐานที่นั่งเรียนกันทีสี่ร้อยห้าร้อยคน เหมือนนั่งอยู่ในโรงหนัง บางคลาสก็ไม่มีการเช็คชื่อกันเลยทีเดียว

แถมผมยังต้องทำกิจกรรมในฐานะตัวแทนมหาวิทยาลัยด้วยน่ะสิครับ จนแทบหาเวลาไปห้องซ้อมที่ชมรมดนตรีไม่ได้เลย แต่ภารกิจลับของผมยังคงดำเนินต่อไปอย่างสม่ำเสมอนะครับ ผมไม่ต้องสั่ง ‘ดอกลิลลี่’ อีกแล้ว เพราะเจ้าของร้านเตรียมไว้ให้ทุกวันสำหรับลูกค้าประจำซะแล้วครับ วันไหนไม่สะดวกจริง ๆ ก็แค่โทรไปบอกก่อน แล้วจะมีบริการส่งฟรีให้อีกด้วย

ความลับของผมจึงมีแค่ผมกับเจ้าของร้านดอกไม้เท่านั้นที่รู้ แต่ถึงไม่บอกแกก็รู้ครับ เพราะดูเหมือนเขารู้กันทั้งมหา’ลัยว่า ผู้ชายหน้าหวานที่แสนจะฮ็อทคนนั้นจะมีดอกลิลลี่ติดตัวทุกวัน และเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้แคร์สายตาใครแต่อย่างใด ทำจนเป็นเหมือนเรื่องธรรมดา

จวบจนจบเทอมแรกผมก็ยังไม่ได้แม้แต่แนะนำตัวกับเขาเลยสักครั้ง ทั้งที่คอยติดตามเฝ้าดูมาตลอดแท้ ๆ แต่ที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ก็คงเพราะ’ดอกลิลลี่’ นั่นเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าใครเป็นคนส่งไป

แต่

ถ้าเขารังเกียจ.....ก็คงไม่รับ

ถ้าเขามีใคร......เขาคงโยนทิ้ง

แต่เขายังคงรับ และเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ ไว้กับตัวเสมอ ทำให้ผมยังมีความหวัง แม้จะน้อยนิดก็ตาม

 

เมื่อเริ่มเทอมใหม่ก็เริ่มแข่งขันกีฬามหาลัย อีกแล้วครับเวลาของผมที่หมดไปกับกิจกรรม เป็นเพราะไอ้ตั้มแท้ ๆ ยิ่งหน้ากิจกรรมแฟนคลับผมก็เริ่มเยอะขึ้น เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ยากมากครับที่จะปลีกตัวไปทำอะไร อะไร ได้อย่างที่ใจปรารถนา ตั้งแต่เปิดเทอมมาจะเดือนหนึ่งแล้ว วันนี้ผมต้องไปที่ชมรมให้ได้เพราะจะขาดใจอยู่แล้ว ไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย

หากกลายเป็นว่าตอนนี้ที่ห้องซ้อมชมรมดนตรีมีแฟนคลับผมมารออยู่เต็ม

“ตั้ม อย่าบอกว่าคุณบอกแฟนคลับว่าผมจะมาชมรม” ผมถามอย่างคาดคั้น

“เฮ้ย ผมไม่ได้บอกหลายคนขนาดนี้หรอกครับ บอกคนที่เอาขนมมาให้เมื่อเช้าไปคนสองคนเอง” เพื่อนเวร ผมจึงต้องทักทายต้อนรับ พูดคุย กับแฟนคลับ ตามนิสัยคนอัธยาศัยดี และทั่วถึง คนที่ชมรมมองผมยิ้ม ๆ แบบเข้าใจ

แล้วชายหน้าหวานก็เดินมาพร้อม ‘ดอกลิลลี่’ เล่นเอาแฟนคลับบางส่วนของผมหันไปเพ้อ และแอบครางเบา ๆ แต่เขาไม่ใช่คนแบบผมหรอกครับ ดูจะทำแค่คลี่ยิ้มอาย ๆ แล้วก็ พยักหน้าขอทางเดินเข้าห้องซ้อมไป

‘ผอมลงไปรึเปล่า’ ผมคิด ในเมื่อคนที่ต้องการพบมาแล้ว ผมจึงต้องค่อย ๆ บอกลา แฟนคลับพร้อมรับขนม ของกิน ของฝาก แล้วรีบตามเข้าไปในห้องซ้อม

“เขน จะมาเปิดร้านขายอาหารเหรอวะ” พี่เชน รุ่นพี่ที่คณะผมแซว

“ครับพี่ แต่ร้านนี้แจกฟรี พี่อยากกินอะไร หยิบไปได้เลยนะครับ” พี่เชนมารอพี่บลูซ้อมร้องเพลงครับ คู่นี้เขาคบกันมานาน จนทุกคนอิจฉา ผมก็อิจฉา เพราะทางผมยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคู่ได้เลย แค่คุยยังไม่มีโอกาสเลย

“พี่บลู ทานอะไรไหมครับ” ผมถามเมื่อพี่บลูเดินมาสมทบ

“แฟนคลับเยอะจริง ๆ นะเขน” ผมยิ้มเกรงใจ ก็แฟนคลับผมยังไม่กลับเลยครับ ออกันอยู่เต็มหน้าห้องซ้อม

“พี่บลูกินขนมไหม” พี่เชนถามขณะที่กำลังรื้อถุงขนม

“เขนไม่กินเหรอ” พี่บลูถามย้ำอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นพี่เชนกำลังรื้อถุงกระจุยกระจาย

“ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าจะกินหมดนี่” ผมยิ้มตอบเขิน ๆ

“มีผลไม้ด้วยพี่ สตรอเบอรี่ไหม” พี่เชนชูถุงสตรอเบอรี่

“เพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอเชน” พี่บลูขัด

“เอาไปเถอะครับ” ผมพยายามไกล่เกลี่ย พี่เชนจึงยื่นถุงสตรอเบอรี่ให้กับพี่บลู ขณะที่รื้อหาของกินต่อ พี่บลูส่ายหัว

“อืม...เอาไปฝากรุ่งก็ได้ รุ่งชอบ” พี่บลูตอบขณะที่ผมหูผึ่ง

“นี่ถ้าไม่ติด ว่ารุ่งเป็นน้องรหัสพี่นะ ผมคงหึงไปแล้ว” พี่เชนพูดขำขำ ใช่ครับพี่บลูเรียนอยู่สถาปัตย์ฯ แต่ผมเพิ่งรู้ว่าพี่เขาเป็นพี่รหัสของรุ่ง

“เออ ก็หึงไป ใครสน” พี่บลูเหวี่ยงให้แล้วเดินจากไป ผมมองตามเหวอ ๆ จนพี่เชนมาตบที่บ่า

“เรื่องปกติ งอนก็ง้อไง” แล้วพี่เชนก็เดินตามพี่บลู น่ารักจริง ๆ ใครจะไม่อิจฉา

วันนี้อย่างน้อยผมก็คุ้มที่ได้มาที่ชมรม แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกันเหมือนอย่างเคย แต่อย่างน้อยก็หายคิดถึงไปได้บ้าง และได้รู้อีกอย่างว่ารุ่งชอบกินสตรอเบอรี่ ก็พอพี่บลูเอาไปให้ก็เคี้ยวซะตุ้ย จนผมอยากแอบถ่ายคลิป ก็จะมีใครเคี้ยวสตรอเบอรี่ได้น่ารักเท่านี้อีกไหม

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าที่มาของสตรอเบอรี่มาจากใครก็ตาม

 

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็เกิดไอเดียใหม่ ในการวางแผนรุกคืบเข้าหาตัวรุ่งมากขึ้น คือนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ส่งเป็นประจำทุกวันแล้วผมยังพยายามสรรหาขนมที่เขาชอบส่งไปด้วย ก็รุ่งดูผอมลงนะผมคิด

ส่วนรุ่งชอบกินอะไรบ้างนั้น มันไม่ยากที่จะสืบ ก็ให้แอดมินแฟนคลับของผมที่ติดต่อกับไอ้ตั้มโดยตรง ซึ่งตอนนี้มันทำหน้าที่เหมือน Artist Relation ไปสืบจากแฟนคลับของรุ่งมา ก็ได้รายการของโปรดมามากมาย ซึ่งส่วนมากก็เป็นขนมหวาน ป๊อกกี้ สตรอเบอรี่ นมรส สตรอเบอรี่ อะไรประมาณนี้ ซึ่งไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้หน้าหวานนัก

นอกจากนี้ผมยังตามเข้าไปที่เวบเพจแฟนคลับรุ่งก็ได้รูปของรุ่งมาอีกมากมายแถมอัพเดตทุก ๆ วันเสียด้วย ผมจึงนำรูปเหล่านั้นไปอัด และเริ่มเขียนข้อความด้านหลังถึงเขา แทนที่จะใช้การ์ด ผมพยายามจะรุกหนักขึ้น ก็ใกล้จะจบเทอมสองอยู่แล้วนี่ครับ ผมตั้งใจว่าวาเลนไทน์นี้จะวางแผนไปสารภาพรักสักที

 

หลังจากที่เริ่มรุกมาสามสี่อาทิตย์ คนนิ่ง ๆ ก็เริ่มมีปฏิกิริยาแปลก ๆ ไปผมสังเกตว่าเขาดูเครียด ๆ ขึ้น อย่างไม่ทราบสาเหตุ จนในที่สุดรุ่งก็ไม่มามหาวิทยาลัยมาสองสามวันแล้ว เขาไม่เคยหายไปนาน ๆ ผมจึงรู้สึกเป็นกังวล แล้วข้อมูลจากแฟนคลับแหล่งข่าวที่เดิม ผมก็ได้รู้ว่า รุ่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเป็นโรคกระเพาะ

เป็นเพราะผมหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะใช่

หรือเป็นเพราะขนมที่ส่งไป ก็ไม่น่าจะใช่อีก

 

ผมจึงตัดใจแอบไปดูที่โรงพยาบาล ที่ต้องตัดใจก็เพราะผมเกลียดโรงพยาบาลมาก ๆ น่ะสิครับ

แต่ถ้ารุ่งอยู่.....ผมก็อยากไป

คิดได้เท่านี้เอง





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: LUNE 15.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 15-02-2018 09:59:11
Chapter XVII

Lune (Moon)

 



ไม่ชอบกลิ่นนี้ของโรงพยาบาลจริง ๆ

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคนี่แหละครับ ก็ผมเคยต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลมาเกือบปี แถมต้องวนเวียนรักษาอาการอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาสองสามปีหลังมานี่ ทำเอาเกลียดโรงพยาบาลจับใจ ก็เพราะอาการปวดหัวเรื้อรังที่แสดงอาการมาเป็นระยะ ๆ ครั้งนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดีครับ แต่ก็ตัดใจมาแล้ว

 

แต่ที่น่าแปลกใจ หรือผมอาจคิดไปเอง

คือตั้งแต่ผมพบรุ่ง อาการปวดหัวรื้อรังที่เป็น ๆ หาย ๆ ของผมกลับไม่แสดงอาการอีกเลย แม้จะกลับมาเล่นเบสอีกครั้ง ก็ไม่ทำให้อาการนั้นปรากฏ แม้จะกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง ก็ไม่น่ากลัวเท่าเดิม

เพียงแค่รู้ว่าจะมาเพื่อใคร......

 

ทั้งหมดนั่น จึงทำให้ผมรู้สึกว่า

‘แสงจันทร์’ ที่อบอุ่นนุ่มนวลของเขาเหมือนจะรักษาผมได้

 

ผมสืบรู้มาจากแฟนคลับว่ารุ่งเขาเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคกระเพาะ และยังมีโรคประตัวของเขา ไมเกรนนั่นอีก คงจะเป็นอย่างที่หลาย ๆ คน รวมทั้งผมที่สังเกตเห็นว่า ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาดูเครียดกว่าที่เคยเป็น จากที่เคยเป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้ว กลับดูเงียบ และนิ่งมากกว่าเดิม เหมือนดูมีความกังวลอะไรอย่างบอกไม่ถูก

เป็นเพราะผมหรือเปล่า

แต่ไม่น่าจะใช่

“ผมมาเยี่ยมเพื่อนครับ ได้ข่าวว่าเขานอนโรงพยาบาลอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าห้องไหน” ผมถามที่ประชาสัมพันธ์โรงพยาบาล

“คนไข้ชื่ออะไรคะ” ประชาสัมพันธ์อมยิ้มเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตถือหอบช่อดอกลิลลี่มาด้วย

“อรุโณทัย หาญกิจณรงค์ ครับ” ผมตอบอย่างไม่ต้องพักคิด มันติดอยู่ในหัวใจ

“สักครู่นะคะ ห้องห้าชั้นยี่สิบเดินตรงไปทางนี้ เลี้ยวซ้ายขึ้นลิฟต์ได้เลยค่ะ” คนตอบมองด้วยความสงสัย เหมือนกับไม่เชื่อ

เอา ‘ดอกลิลลี่’ มาเยี่ยมเพื่อนผู้ชายไม่ได้รึไง

 

@ ชั้นยี่สิบ

ผมจะเดินถือช่อลิลลี่เข้าไปให้เลยได้ยังไง ผมพึ่งมาคิดได้เมื่อยืนอยู่หน้าห้องหมายเลขห้า ก็รุ่งไม่เคยรู้จักผมมาก่อน อาจจะคุ้น ๆ หน้าบ้างเพราะอยู่ชมรมเดียวกันแต่ก็ไม่เคยคุยกัน

แล้วอยู่ดี ๆ ยังจะมาเยี่ยม แล้วยังดอกลิลลี่นี่อีก ผมเองเป็นคิดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าจะมา ก็แวะไปที่ร้านดอกไม้ร้านประจำแล้วก็มาเลย เอายังไงดีละทีนี้

ผมเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง

หรือฝากคุณพยาบาลไปให้ แต่ก็อยากเห็นหน้าเขา อยากรู้อาการ หรือบุกเข้าไปเลย รุ่งเครียดอยู่เกิดเขาต้องคิดมากเรื่องผมอีกตอนนี้ มันจะดีเหรอ ผมยังตัดสินใจไม่ได้จนคุณพยาบาลเวรเดินเข้าไปในห้องหมายเลขยี่สิบ ผมจึงแอบมองลอดผ่านกระจกที่เห็นแค่ปลายเตียง ซึ่งดูเหมือนรุ่งน่าจะนอนพักอยู่ แต่ที่โซฟาไม่มีคนเฝ้า แล้วคุณพยาบาลก็เดินออกมาจากห้อง

“มาเยี่ยมคนไข้หรือเปล่าคะ” คุณพยาบาลถาม

“ครับ.....เอ่อ...แต่ผมกลัวจะรบกวน” ผมตอบอึกอัก

“คนไข้นอนหลับอยู่คะ ถ้าอยากเยี่ยมเข้าไปเงียบ ๆ น่าจะได้” พยาบาลสาวยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่กำลังจะเดินจากไป

“เอ่อ คุณพยาบาลครับ แล้วเพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ” ผมรีบถามด้วยความอยากรู้ คงไม่กล้าถามเจ้าตัวคนไข้เอง

“อาการดีขึ้นแล้วนะคะ อีกวันสองวันน่าจะกลับบ้านได้ แต่ต้องอย่าให้เครียดหรือกดดันมาก เพราะสาเหตุมาจากความเครียดสะสมจนทำให้เป็นโรคกระเพาะค่ะ ต้องให้ทานอาหารย่อยง่าย ๆ ไปก่อนช่วงนี้ แล้วต่อไปกินข้าวต้องค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียดนะคะ นี่คุณหมอให้ยาคลายความเครียดไว้ คงหลับเพราะฤทธิ์ยา”

“เอ่อ...ครับ ขอบคุณมากครับ” รุ่งเครียดจริง ๆ ด้วย เพราะอะไรนะ

 

เมื่อคุณพยาบาลไปดูอาการคนไข้ห้องข้าง ๆ ต่อ ผมจึงตัดสินใจขอเข้าไปเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี ผมจึงค่อย ๆ แง้มประตูเข้าไปในห้อง ยาคลายเครียดกับผมเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน กินแล้วหลับสนิทเลยละครับ และรุ่งก็ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ผมมองใบหน้าหวานที่ดูผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่ที่โรงพยาบาล

เขาเครียดเรื่องอะไรนะ....ผมอยากช่วยจริง ๆ

ถ้าเป็นเพราะผม ผมก็พร้อมจะหยุด ขอแค่เขาไม่เป็นอะไร แค่เห็นรุ่งมีความสุขผมก็มีความสุข แต่ผมจะรู้ได้ยังไง แค่โอกาสที่จะได้พูดคุยยังไม่มี

ผมถอนหายใจเบา ๆ คงต้องกลับแล้ว ไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้ ผมจึงวางช่อลิลลี่ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับอดใจไม่ไหวที่จะกระซิบบอก

“หายไวไวนะครับ รุ่ง” แล้วจึงเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ

โดยที่ไม่รู้ว่า............คนป่วยตื่นอยู่แล้วตั้งแต่เดินเข้ามา

 

อาทิตย์ต่อมารุ่งก็กลับมาเรียนตามปกติอีกครั้งเขาดูซูบลงไปอีกเพราะอาการป่วย แต่ก็ดูสดใสมากขึ้นจนผมเริ่มเบาใจ แม้เขาจะยังขาดเรียนอีกเป็นระยะในช่วงนี้ คงเพราะไปโรงพยาบาลผมคาดเดา

ภาคการเรียนที่สองของชั้นปีที่หนึ่ง ใกล้จะสิ้นสุด หลายคณะเริ่มมีการปัจฉิมนิเทศ อำลาอาลัยรุ่นพี่ที่กำลังจะจบไป แล้ววันปัจฉิมฯของมหาวิทยาลัยก็จะจัดในวันวาเลนไทน์พอดี โชคดีจริง ๆ ผมคิด วันนั้นคนคงถือดอกไม้กันหนาตา คงไม่ผิดสังเกตนัก ถ้าผมจะถือโอกาสนี้ หอบช่อลิลลี่ไปสารภาพรัก

จริงแล้วผมไม่ได้แคร์ใคร และไม่ได้อายอะไร แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนรับเขาจะรู้สึกเช่นไร แล้วเมื่อมาถึงวันวาเลนไทน์ ผมก็หอบช่อลิลลี่สีขาวช่อใหญ่มาที่ชมรม ในขณะที่เขายังไม่มา แต่มีกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชมรมกำลังจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันอยู่ มีรุ่นพี่บางคนจบในปีนี้ ผมจึงวางช่อลิลลี่ไว้พร้อมทั้งเข้าไปแจม

“ยินดีด้วยครับพี่บลู” ผมกล่าวแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตใหม่

“ขอบใจมากเขน” พี่บลูตอบ

“ทำหน้าให้ดี ๆ หน่อยเชน” พี่เชนหน้าบูดงอนอะไรกันอีก

“ก็เขนดูพี่บลูเขาจะทิ้งพี่” พี่เชนตัดพ้อ

“ทิ้งอะไรไหนพูดมาดี ๆ ต่อหน้าน้องนะนี่” ผมถูกลากเข้าไปเป็นคนกลาง

“ก็พี่ไม่รอผมก่อน ปีเดียวเอง เดี๋ยวค่อยไปต่อพร้อมกันก็ได้” ผมงง

“ก็มหา’ลัยทางโน้นเขารับแล้วเดี๋ยวเสียโอกาส เชนจบก็บินตามไปก็ได้” เริ่มจับทางได้พี่บลูคงไปเรียนต่อเมืองนอก

“เกิดพี่ไปเจอใครที่โน่น” พี่เชนยังคงไม่ยอม

“นี่คือไม่ไว้ใจกัน ใช่ไหม” พี่บลูเริ่มมีอารมณ์

“เปล่า...... แต่ก็” พี่เชนจึงหน้าเสีย

“เชนก็รู้ว่าพี่ไปอยู่กับรุ่งที่โน่น ไม่น่าห่วง ปีเดียว เชื่อใจกันบ้างสิ” พี่บลูจึงหันกลับมาปลอบ

แต่...........อะไรนะ พี่บลูพูดว่าอะไร

“พ..พี่...พี่บลูจะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอครับ” ผมเริ่มหูอื้อ

“อังกฤษนะเขน ส่งเรื่องไป ทางมหาลัยที่โน่น เขาตอบรับมาค่อนข้างฉุกละหุก แต่รุ่งช่วยวิ่งเรื่องให้”

“นี่ก็บินไปก่อนแล้ว รายนั้นเขาสอบชิงทุนได้โอนหน่วยกิจไปเลยตั้งแต่เทอมนี้ กระชั้นไปหน่อย แต่โอกาสไม่ได้มาง่ายๆ”

 

อังกฤษ........ไปแล้วเหรอ

ไปอีกแล้วเหรอ.........

 

ทำไมรู้สึกว่าเหตุการณ์คล้ายอย่างนี้เคยเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ สมองกำลังคิดแต่คิดไม่ออก ผมรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ทั้งที่ไม่มีอาการมานาน

“เขนเป็นอะไร ทำไมหน้าซีด ๆ” พี่บลูเขามาทักอีกครั้งหลังจากที่ผมนั่งนิ่งไปครู่ใหญ่

“มึนหัวนิดหน่อยครับพี่” ผมตอบความจริง คิดอะไรไม่ออก

“ดอกไม้นั่นใครให้มา” พี่บลูถามยิ้ม ๆ

“เปล่าครับผมว่าจะเอามาให้.....รุ่ง” ผมคิดเรื่องไม่ออกจริง ๆ แล้วบางทีก็ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปิดบังใครแล้ว

ก็เขาไปแล้ว.............ไปอีกแล้ว

 

พี่บลูเงียบไปครู่ใหญ่มองไปที่ช่อลิลลี่ เหมือนจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ก่อนจะถาม

“เขน.... ไม่รู้เหรอว่ารุ่งบินไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”

“ไม่ทราบจริง ๆ ครับ” ผมฝืนยิ้ม

“เป็นเขน มาตลอดสินะ” ผมได้แต่พยักหน้ารับ

“ให้พี่ได้ไหม เดี๋ยวพี่เอาไปให้ แต่คงต้องอบแห้ง หรือทำอะไรสักอย่างก่อน”“ครับ ขอบคุณครับ” ผมส่งช่อลิลลี่ช่อใหญ่ให้

“ให้บอกไหมว่าใคร” พี่บลูถาม

“ไม่เป็นไรครับพี่” ถึงบอกไปรุ่งก็คงไม่รู้จักผม

พี่บลูยิ้มให้กำลังใจ พร้อมบีบที่บ่าผมเบา ๆ แล้วปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ผมนั่งในชมรมอีกสักพักแล้วกลั้นใจเดินออกมา

 

‘แสงจันทร์’ ก็เป็นแค่เพียงแสง

แม้จะให้..........อบอุ่นนวลตา

แม้จะทำให้.......หลงใหลใฝ่ฝัน

แม้จะทำให้........ติดตรึงอยากไขว่คว้า

 

แต่ในความเป็นจริง แสง....ก็ไม่สามารถจับต้องได้

สัมผัสได้เพียง..........ดวงตา

รับรู้ได้เพียง.........หัวใจ

มิอาจสัมผัสได้จริง

 

ถ้าถามว่าต่อจากนั้น ผมเป็นยังไง ผมตอบไม่ได้หรอกครับมันงง ๆ มึน ๆ อยู่เกือบอาทิตย์ แต่ก็ไม่ได้ปวดหัวถึงขั้นที่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก

ตั้งแต่พบ ‘รุ่ง’

มันเหมือนชีวิตพบสิ่งที่......ขาดหายไป

 

แม้ว่าเขาจะจากไป.....อีกครั้ง

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเป็นอีกครั้ง ก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้

 

แต่เหมือนเมื่อหาเขาพบแล้ว......ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน

ผมก็ยังมีความรู้สึกว่าเขายังตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอ

 

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ผมก็ได้รับอีเมลฟอร์เวิร์ดจากพี่เชน อีเมลที่ผมอึ้งตอนแรกเมื่อได้รับ เพราะมันมาจากพี่บลู เกือบทั้งฉบับเป็นการพูดคุยเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตที่อังกฤษ

ผมเพิ่งทราบว่าพี่บลูเคยเรียนที่โน่นมาก่อน รวมทั้งรุ่งก็เคยไปที่อังกฤษมาก่อนเช่นกัน ทั้งสองคนจึงไม่มีปัญหาในการปรับตัวสักเท่าไหร่ ทั้งคู่อยู่ที่ลอนดอนพักในตัวเมืองที่พี่บลูว่ารุ่งเป็นคนเลือก เพราะมาหาที่พักก่อน ผมอ่านเรื่องราวต่าง ๆ แล้วค่อยคัดกรองข่าวสารที่พี่บลูต้องการส่งให้ผม

ดูเหมือนรุ่งจะได้รับ ‘ดอกลิลลี่’ ช่อนั้นแล้ว ตอนนี้ใกล้หมดฤดูหนาวย่างเข้าใบไม้ผลิ ทั้งสองคนดูมีความสุขดีที่ได้ท่องเทียว เล่นดนตรี ดูฟุตบอล ก่อนที่จะเริ่มเรียนภาษา

เพิ่มเติมแล้วรอเปิดเทอมใหม่ มีไฟล์รูปแนบมาด้วยรุ่งดูอ้วนขึ้นเริ่มมีแก้ม และมีรอยยิ้ม ที่สดใสมากขึ้น แค่นี้ผมก็สุขใจมากแล้วจริง ๆ ไม่รู้จะขอบคุณพี่บลูกับพี่เชนยังไง

 

อีเมลฟอร์เวิร์ดจากพี่เชนยังคงส่งมาเรื่อย ๆ เป็นประจำทุกอาทิตย์ ตอนนี้จึงกลายเป็นกิจวัตรที่ผมเฝ้ารออีเมล แต่เมื่อพี่เชนจบการศึกษา และบินไปเรียนต่อที่เยอรมัน การติดต่อก็เว้นช่วงลง

มีเมลที่ส่งตรงจากพี่บลูมาบ้าง มีเมลจากเยอรมันของพี่เชนบ้างสลับ ๆ กันไป จนผมเรียนจบ และไปเรียนต่อที่เยอรมัน ก็ทราบเพียงข่าวคราวของพี่บลูผ่านทางพี่เชน ว่ากลับไปเมืองไทยแล้ว แต่ใครอีกคนยังอยู่ที่อังกฤษ

 

หลังจากพี่เชนเรียนจบ และบินกลับไปทำงานการติดต่อก็ขาดหายไป ผมกลับมาเมืองไทยสักพักก็ทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จนวันหนึ่งได้พบพี่เชนอีกครั้งในฐานะผู้รับเหมาที่เข้าไปประมูลงาน จนโครงการนั้นเสร็จ พี่เชนจึงเรียกตัวไปทำงานด้วยกัน

 

แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า..... ผ่านมาถึงสิบปี

จะได้พบผู้ชายใบหน้าหวานคนนั้นอีกครั้ง......ที่นี่

 

และผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาส...มันหลุดลอยไปอีกครั้ง







#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 16-02-2018 09:41:07

Chapter XVIII

Claire de Lune (Moonlight)

 


ว่ากันว่า... ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์กระจ่างสว่างสาดส่องทั่วทั้งท้องนภา

แม้แสงดาราก็จะลับเลือนเคลื่อนหาย ด้วยมิอาจสู้ มนต์เสน่ห์แห่งแสงจันทร์

และสิ่งมหัศจรรย์...จะบังเกิด

 

กรุงเทพมหานคร

หลังจากศูนย์การค้าที่จังหวัดลำปางเริ่มเปิดให้บริการลูกค้าได้เดือนเศษ ผม เฟรมและเหมียว จึงเดินทางกลับมากรุงเทพฯ ขณะที่ ‘หัวใจของผม’ กลับลงไปไซด์งานก่อสร้างที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ภาคใต้

ชีวิตคือการเดินทาง ผมเข้าใจ

แต่ผมก็แค่อยากจะรู้ว่า ‘เราจะเดินสวนทางกันอย่างนี้ไปอีกนานไหม’

 

ผมรักษาสัญญาเสมอ... ผมจะไม่มีวันทำให้เขาเจ็บอีก

ผมเลิกดึงดัน ยื้อยุด ฉุดรั้ง และตอกย้ำ... ความเจ็บปวดของคนที่ผมรัก

เราเพียงรักษาความสัมพันธ์ของคำว่า ‘เพื่อน’

 

ผมปรารถนา... แค่เพียงส่งข้อความไปทุก ๆ วัน และผม ‘รู้’ ว่ารุ่งรักษาคำพูดที่ให้ไว้ เขาอ่านข้อความที่ส่งไปเสมอ ดูภายนอกทุกอย่างกำลังดำเนินต่อไปตามครรลองของวันเวลาที่ไม่มีวันเดินหวนกลับ

แต่ข้างใน... นอกจากหัวใจที่แหลกสลาย สมองก็กำลังทำงานวกวน

ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่ได้รู้ความจริงเรื่อง ‘เขา’ คนนั้นของรุ่ง สมองของผมเริ่มกลับมาทำงานอย่างหนักอีกครั้งที่ มันเหมือนมีความคุ้นเคยบางอย่าง เสมือนเหตุการณ์บางเหตุการณ์

คลับคล้ายคลับคลาว่าเคย... ประสบพบแล้วในอดีต แต่นึกอย่างไร ก็นึกไม่ออกว่าเกิดขึ้นเมื่อใด หากอาการปวดหัวเรื้อรังที่เคยเป็นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ค่อย ๆ ปรากฏอาการ แม้จะไม่ทรมานมากเท่าเดิม แต่ก็ถี่ครั้งขึ้นทุกที ๆ แต่ครั้งนี้ผมยอมปล่อยให้ความปวดมันคงอยู่โดยไม่คิดจะรักษาหรือระงับอาการ

 

เพราะเมื่อใดที่อาการกำเริบ

เหมือนผมเห็นภาพใครบางคน... ที่เลือนรางในความทรงจำ........

 

เขาคือใคร………

 





สุราษฎร์ธานี

ชีวิตของผมยังคงวนเวียนอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมของที่พักในโรงแรมและห้องประชุม หลังจากที่ลงพื้นที่มาได้เดือนกว่า ๆ เฟสแรกที่ยากลำบากที่สุดก็ใกล้จะจบลง แต่ละโปรเจคมีขั้นตอนการทำงานไม่ต่างกันมากนัก แต่แตกต่างกันในรายละเอียดและผู้ร่วมงาน

ถ้าเพียงแต่ใครอีกคนมาที่นี่ด้วยคงไม่ติดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเช่นนี้

บางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้... หรือเลือกได้

 

เวลาเปลี่ยน คนมักจะเปลี่ยน ......เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับทุกสิ่ง

แต่บางอย่างข้างใน......ไม่เคยเปลี่ยน…....

 

ทั้งผมและ.....เขา

ทุกวันผมได้แต่เฝ้ารอ... ข้อความแห่งความห่วงหาอาทรที่แสนอบอุ่น

จดจำ.....ถ้อยคำ ทุกถ้อยคำ ที่ยังคงระลึก ติดตรึง และคุ้นในใจ

 

บางทีความจำที่ดีจนเกินไป......... ก็ทรมานเหลือเกิน

แต่บางครั้ง ‘ความทรงจำ’ ที่หายไปก็ทรมาน......... เฉกเช่นเดียวกันผม ‘รู้’

 

ผมพยายามหยุดสมองไม่ให้คิดแล้ว แต่เรื่องราวกลับเวียนวนติดอยู่ในหัวใจ เพราะมันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในคืนนั้น คืนที่ผมใจอ่อนยอมเล่าเรื่องราวครั้งอดีต ปกติผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนร้องไห้ง่าย ๆ มันต้องเจ็บปวดมาก จนผมเริ่มหวาดกลัวว่าความเจ็บปวดนั่นจะไปกระทบบาดแผลเก่าของเขา

ผมจึงเลือกใช้วิธีเดียวกับ ‘เขา’ ที่เคยใช้ในการสืบข่าวผม ผมซื้อตัวไส้ศึกไว้ด้วยความรัก ที่น้องมีต่อผม

“เฟรมสัญญากับพี่... ดูแลเขนด้วย ดูแลพี่เขนให้ดี ๆ” ผมฝากฝังความหวังเดียวไว้

“ทำไมเหรอพี่ พี่พูดเหมือนพี่เขนเป็นอะไรร้ายแรง” เฟรมเป็นเด็กฉลาด

“ไม่มีอะไร อาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้” ผมแค่อยากแน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ความทรมานนั่น

“แค่เฟรมบอกพี่ ‘ทุกเรื่อง’ ทุก ๆ เรื่องนะเฟรม ที่เกี่ยวกับเขา สัญญากับพี่” ผมคาดคั้นคำตอบจากน้อง

“ครับพี่”

ในที่สุดสายข่าวก็เริ่มรายงานความผิดปกติที่ปิดไม่มิด ถ้าเฟรมรู้แสดงว่าอาการที่เกิดขึ้นจริง ๆ ต้องไม่เล็กน้อย เพราะเขาต้องพยายามปิดบังอาการนั้นเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว

“พี่เขนไม่ยอมไปหาหมอพี่” ผมถอนหายใจ

“บังคับให้กินยาก่อน ให้กินยาให้ได้” ดื้อมากเหมือนเดิม

“ครับ ผมจะพยายาม แต่เหมือนพี่เขนอยากจะปล่อยให้ปวด เหมือนอยากจะจำอะไรให้ได้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับพี่”

“........................................” ทำไมชอบทรมานตัวเอง

“เฟรมดูแลก่อน อย่าไปไหน รอพี่ พี่จะไปสนามบินเดี๋ยวนี้”

 

ในที่สุดก็ทนเสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ได้

ยิ่งไกลเท่าไหร่ ...เหมือนยิ่งใกล้กันมากขึ้นทุกที

 

ผมปล่อยให้อาการปวดมันกำเริบอย่างต่อเนื่อง ผมจะไม่เลิกคิดอีกแล้ว

เพราะผมอยากรู้... เขาคือใคร

 

ยิ่งปวดมาก......ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความรู้สึก

คน คนนั้นที่ผมลืม.......เหมือนมีความสำคัญ

 







“พี่เขนลุกขึ้นก่อน กินยาก่อนเถอะ ค่อยนอนต่อ” เฟรมพยายามเกลี้ยกล่อม

“พี่ไม่เป็นไรเฟรม วางไว้ก่อน พี่ขออยู่คนเดียวได้ไหม” ผมยังคงนอนกุมหัว  เพราะความปวดมันเหมือนกำลังทำการจูนคลื่นสมองของผมอยู่ บางครั้งพร่าเลือน บางครั้งก็ชัดเจน มันคงเป็นเพราะความทรงจำช่วงนั้นที่สูญหายไป

หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นก็มีอาการอย่างนี้

เมื่อผมต้องการจะนึกให้ออกว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ความรู้สึกข้างในมันร่ำร้องว่าความทรงจำนั้นมีความความสำคัญต่อหัวใจ แต่ครอบครัวขอร้องให้ผมเลิกคิดถึงมัน เพราะร่างกายเหมือนจะรับไม่ไหว

หากแต่ครั้งนี้ผมพร้อมแล้วที่จะยอมรับกับความเจ็บปวดนั่น

ขอเพียงได้รู้

 

“เขน..........” ผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั้นแผ่วเบา

 

เสียงใครคนนั้น คนที่ผมตามหาใช่ไหม

เหมือนเขาค่อย ๆ เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ

 

“เขน จะรอ.......” ผมพูดออกไปอัตโนมัติเหมือนเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผมเคยรอใครคนนั้นเหรอ เหมือนเขาหันกลับมายิ้มใบหน้าหวานทำไมละม้าย ทำไมช่างคลับคล้ายกับ......

 

“เขน!!!......เขน!!!” เสียงที่แทรกเข้ามาดังขึ้น

“เขน!!!.......เขนได้ยินรุ่งไหม............” หากครั้งนี้ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เขน!!.......เฟรมไม่ได้สตินานหรือยัง” เสียงคน ๆ นั้นคุยกันกับเฟรม ใคร?

“ไม่รู้พี่รุ่ง พี่เขนไม่ยอมกินยา ขอนอนลูกเดียว” รุ่ง?

“เฟรมไปเก็บของ เตรียมรถไปโรงพยาบาล” เสียงรุ่งจริง ๆ

“รุ่ง...............” ผมค่อย ๆ ฝืนความเจ็บปวด เพื่อเรียกคนที่หัวใจพร่ำหา ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมกอดที่รุ่งกำลังโอบกอดผมไว้

“เขน...รู้สึกตัวแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้าหากอาการปวดร้าวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่วศีรษะ แต่อ้อมกอดของคนที่เรารักนั้นมันช่างวิเศษ เหมือนความอบอุ่นเริ่มแพร่กระจายคลายความเจ็บปวด

“ไปโรงพยาบาลกัน เฟรมช่วยกันหน่อย” รุ่งค่อย ๆ ดันตัวผมออกเพื่อจะพยุงให้ลุกขึ้น แต่ผมยังไม่ยอมปล่อย

“ไม่ไปรุ่ง”

“เขนอย่าดื้อ ปวดจนไม่ได้สติ จนเพ้อ ไม่ไหวแล้ว”

“ไม่ไป อยู่อย่างนี้ก่อน เดี๋ยวก็หาย” ผมยังอยากอยู่อย่างนี้จริง ๆ

“เฮ้อ” คนตัวเล็กถอนหายใจเสียงดัง

“งั้นกินยาก่อนนะเขน สัญญาว่าจะไม่ไปไหน” ผมจึงยอมให้ผละตัวออก หากแต่ยังคว้ามือไว้

“รุ่ง...รุ่งจ๋า มาได้ยังไง” ดวงตาที่ยังคงพร่ามัวด้วยอาการปวด แต่ใครบางคนที่ชัดเจนในความรู้สึก อย่างไรก็ยังชัดเจนอยู่อย่างนั้น

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกัน กินยาก่อน” รุ่งส่งยาให้ และยังคงจ้องอยู่ ผมจึงจำเป็นต้องกิน

“แล้วทีนี้ก็นอนพัก แล้วห้ามคิดอะไรอีก” ผมถูกมือเล็ก ๆ กดให้นอนลงอีกครั้ง

“ทำไมง่ายอย่างนี้ละพี่ ผมตื๊อมาทั้งวัน ไม่ยอมเลย”

“แล้วนี่ถ้าพี่รุ่งไม่มา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง” เจ้าเฟรมรีบฟ้อง

“เฟรมกินอะไรรึยัง”เฟรมส่ายหัว

“ไปหาอะไรกินก่อนไป เดี๋ยวทางนี้พี่ดูแลต่อเอง” รุ่งบอก เฟรมจึงเดินออกไปพร้อมกับเหมียว

“คนอะไรโคตรดื้อเลย ดื้อกว่าเหมียวอีกเนอะ เหมียวเนอะ” เฟรมพยักพเยิดกับเจ้าเหมียว ได้ทีขี่แพะไล่ผมใหญ่

“รุ่งจ๋า...........”

“ยังไม่ต้องพูดอะไร หลับก่อน รุ่งจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” คราวนี้กลับเป็นมือเล็ก ๆ ทั้งสอง ที่เกาะกุมมือของผมไว้แทน เมื่อ ‘แสงจันทร์’ ฉายแสงนวลลงมาปลอบประโลม ความรู้สึกต่าง ๆ ก็เริ่มมลายหายไปสิ้น

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึก เห็นเพียง ‘แสงจันทร์’ รำไรที่สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ความมืดสลัวในห้องเบาบางลง

“ตื่นแล้วเหรอเขน ดีขึ้นไหม” ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างเตียงยังกุมมือข้างหนึ่งของผมอยู่

“รุ่งจ๋า... นั่งอยู่อย่างนี้ตลอดเลยเหรอ” ผมจึงค่อย ๆ หันตะแคงไปหาพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นฝ่ายรวบมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไว้แทน

“อืม... เป็นห่วง ดีขึ้นรึยัง ยังปวดอีกไหม” ทำไมน่ารักอย่างนี้ แล้วผมจะตัดใจยังไง

“ยังมึน ๆ อยู่ แต่ดีขึ้นแล้ว”

“เขน......อย่าทำอย่างนี้อีกได้ไหม”

“ทำอะไรครับ”

“ทรมานตัวเองทำไม... ทำไมไม่กินยา”

“รุ่ง... เขนอยากรู้....อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร คนคนนั้นในความทรงจำที่หายไปก่อนอุบัติเหตุนั่น”

“เลยยอมปล่อยให้ตัวเองปวดหัวอยู่อย่างนั้นเหรอ”

“เขนยอม เขนรู้สึก...ว่าเขาสำคัญ”

“....................................” รุ่งเงียบไป ผมจึงเงียบตาม และเฝ้าแต่กวาดตามองใบหน้าหวาน

“สำคัญกว่ารุ่งไหม?”

“ม...ไม่......ไม่มีทาง” ผมมั่นใจ แต่ดูเหมือนรุ่งกำลังยิ้มเหมือนขำ

“แล้วถ้า......ไม่คิดแล้ว จะไม่ปวดเหรอ”

“อืม...ตั้งแต่เจอรุ่งเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยปวดอีกเลย” รุ่งเงียบไป เหมือนกำลังครุ่นคิด

“อย่างนั้นถ้ามี ‘รุ่ง’ แล้วไม่คิดได้ไหม”

 

“อย่างนั้นถ้ามี ‘รุ่ง’ แล้วไม่คิดได้ไหม” ผมพูดอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ครั้งแรกในรอบหลายปี หรือหลายสิบปี

เพราะข้างในหัวใจร่ำร้อง อ้อนวอน

บอกว่า...........ซักครั้ง ขอโอกาสเพียงซักครั้ง….......

 

ในขณะที่เขนยังคงดูมึน ๆ งง ๆ ดูเหมือนยังไม่เข้าใจในความหมาย จึงเลือกที่จะไม่รั้งรอคอยคำตอบ

“คืนนี้รุ่งจะอยู่เป็นเพื่อน หิวไหม ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า”

“แล้วรุ่งกินอะไรรึยัง” นอกจากไม่ตอบคำถามแล้ว คำถามที่ถามกลับยังฉายชัดความรู้สึก

“ยัง... ตกลงเขนก็ยังไม่ได้กินเหมือนกันใช่ไหม”

“อืม” ต้องใช้คำถามนำ คนป่วยถึงจะยอมพยักหน้ารับ

“งั้น... เดี๋ยวไปอุ่นโจ๊กก่อน เฟรมซื้อมาฝากไว้ให้ก่อนกลับ กินด้วยกันนะ” ผมแกะมือใหญ่ออก และกำลังจะเดินออกจากห้องนอนไป

“รุ่ง.........ไปด้วย” ขณะที่คนตัวโตกำลังยันตัวจะลุกขึ้นจากที่นอน จึงจำต้องเดินวกกลับมากดคนป่วยให้นอนเอนลงบนหมอนที่หัวเตียงอีกครั้ง

“ไม่นานหรอกสัญญา ครั้งนี้ให้รอได้...รอก่อนนะครับ”

 







บรรยากาศภายในห้องยังคงมีแต่เพียงแสงสีเหลืองนวลรำไร ไม่ได้เปิดไฟเพราะคนป่วยร้องแสบตา จึงต้องกึ่งพยุงกึ่งลากกันมาที่โซฟาตัวเล็กริมหน้าต่างกระจกที่แสงจันทร์สาดส่องถึง เขนทรุดตัวลงนั่งที่พรมพิงโซฟาไว้ ผมจะนั่งโซฟาแล้วให้คนป่วยนั่งข้างล่างได้อย่างไร เราเลยต้องลงมานั่งที่พรมกันทั้งคู่ ก่อนที่จะเถียงกันเบา ๆ เรื่องป้อนโจ๊กอีกครั้ง เมื่อคนป่วยเริ่มงอแง

“มือก็ไม่ได้เจ็บ แขนก็ไม่ได้หักนะเขน กินเองเถอะ รุ่งก็จะกินเหมือนกัน” ผมก็หิวเป็นนะ

“แล้วไหนของรุ่งหละ”

“ก็กินด้วยกันนี่แหละ เฟรมซื้อมาให้รุ่งเหอะ นี่แบ่งให้”

“คนที่ใจดี ใจดี เมื่อกี๊ไปไหนแล้วอ่ะ”

“คนใจดีกลับสุราษฎร์ฯ ไปแล้ว จะกินหรือไม่กิน” เมื่อเขาไม่กินผมจึงกินก่อน คนป่วยจึงยอมกินตามบ้าง นี่ก็ยอมกินถ้วยเดียวกันแล้วนะ ถึงจะมีสองช้อนก็เถอะ แต่เวลาแย่งกันกินไม่ว่าอะไรก็มักจะอร่อยมากขึ้นเสมอ ครู่เดียวโจ๊กถ้วยใหญ่ก็หมด

“หายปวดหัวรึยัง” เขนพยักหน้าเบา ๆ

“เขนบอกว่า ตั้งแต่เจอรุ่งเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยปวดหัวอีกเลยจริง ๆ เหรอ” ข้อมูลใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

“ใช่ ไม่เคยเลย”

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับมาปวดอีกล่ะ” ผมจึงซักต่อ

“ก็..... เขนสงสัย”

“สงสัยว่า...”

“มันอธิบายไม่ถูก... เหมือนเหตุการณ์บางอย่างเคยเกิด มันติดอยู่ในหัว อยากรู้ว่าคืออะไร”

เมื่อเราทั้งสองคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความเงียบจึงบังเกิด จนกระทั่งผมตัดใจถามถึงสิ่งที่สงสัย

“เพราะ รุ่งหรือเปล่า เพราะเรื่องที่เล่าให้ฟังคืนนั้นหรือเปล่า”

“..............................................” เขนไม่ยอมตอบ แต่ผมแน่ใจว่าใช่

“พอคิดแล้วถึงปวดใช่ไหม ถ้าไม่คิดก็จะไม่ปวดใช่ไหม” ผมถามย้ำความเข้าใจ

“ครับ” เขนยอมรับโดยดี

“งั้น... รุ่งขอร้อง เขนอย่าทรมานตัวเองอีกได้ไหม ไม่คิดถึงอดีตอีกได้ไหม” เป็นเพราะผมอีกแล้ว ผมทำให้เขาต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

“บางที คนคนนั้นในความทรงจำของเขน เขา... ก็อาจไม่อยากให้เขนต้องทรมานเหมือนกัน”

ไม่ต้องการรื้อฟื้น ถ้าอีกคนต้องเจ็บ

“...........................................”

“งั้นขอร้องไม่ได้ ก็จะบังคับ ถ้าเขนยังทำอย่างนี้อยู่”

“ถ้าเขนยังคิดอยู่ ยังไม่ยอมกินยา รุ่งก็จะเลิกอ่านข้อความ เลิกติดต่อ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เลยด้วย” เมื่อไม่ยอม ก็ต้องเล่นไม้นี้

“รุ่ง...............” มือใหญ่จึงกลับมากุมมือผมอีกครั้ง

“ไหนว่ารุ่ง ‘สำคัญ’ กว่า” ผมตั้งใจจ้องลงไปในดวงตาคม

“ใช่รุ่ง ‘สำคัญ’ กว่าแน่นอน แต่.....” แววตาไหวระริก คงกำลังสับสน

“งั้นก็ตามนี้ อย่าให้รู้ว่าเขนดื้อ ปวดหัวแล้วไม่ยอมกินยาอีก รุ่งติดกล้องวงจรปิดไว้แล้วด้วย” ผมขู่

 







หลังจากตกลงกันได้ เราจึงผลัดกันเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาที่ห่างไกลกัน ขณะที่สองมือยังเกาะกุมกันไว้ไม่ห่าง จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มคล้อยลาลับ ฟ้าเริ่มสางเตือนให้รับรู้ว่าวันใหม่กำลังมาถึง

“คนใจดี คนนั้นกลับสุราษฎร์ไปแล้ว งั้นคนใจร้ายคนนี้ ก็อยู่ที่นี่เลยได้ไหม”

“ไม่ได้หรอกเขน หนีงานมา เดี๋ยวก็ต้องกลับเหมือนกัน”

“.............................................”

 

ผมรู้ว่าเขาอยากพูดอะไร

แต่เราสัญญากันไว้แล้วว่า..... จะไม่รั้ง

 

“อีกสองสามเดือนก็กลับแล้ว” ผมจึงเริ่มปลอบ

“........................................”

“เขนไปเที่ยวใต้บ้างก็ได้ เฟรมก็อยากไปเที่ยวทะเล” “..........................................” ก็ยังเงียบ

“เขน..........” ผมเป็นฝ่ายกระชับมือบ้าง เพื่อเรียกร้องให้คนข้าง ๆ ที่กำลังมองเหม่อหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง

อยากตามใจตัวเอง อีกซักครั้ง

ไม่อยากสัมผัสแค่เพียง... ความรักจากเขาเพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว

 

ปรารถนาเพียงแค่...ตอบกลับความรักที่เฝ้า ‘เก็บ’ ไว้ คืนไปบ้าง

และต้องตัดสินใจตอนนี้

 

“งั้น... เบื่อที่จะรอหรือยัง”

“ถ้าให้รอ จะรออีกได้ไหม” ผมเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ

“ได้... ได้สิ เขนรอรุ่งเสมอ..........”

 

ทั้ง ๆ ที่ในใจของผม ‘รู้’ คำตอบอยู่แล้วทุก ๆ คำ

ก็มันเป็นอย่างนี้มานาน... แม้วันเวลาผ่านไป... บางอย่างไม่เคยเปลี่ยน

 

“แล้วจะให้คนใจดีโทรมาหา” ผมส่งยิ้มให้ ดวงตาเป็นประกายคู่นั้น

 

ถ้าไม่ต้องการความรักในอดีตครั้งนั้น ‘ย้อนคืน’ แล้วเขาจะไม่เจ็บปวดอีก

ผมก็พร้อมที่จะ ‘เก็บ’ มันไว้ต่อไป และถ้า... เขาไม่เจ็บอีก เราจะมีอนาคตด้วยกันได้ไหม จะรักกันได้ไหม

ผมยังสงสัย.....

 







ก่อนที่จะเดินทางกลับสุราษฎร์ฯ เย็นนี้ ผมแวะกลับมาที่บ้านเพื่อมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บของใช้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คนตัวโตยังนั่งรอที่ห้องรับแขกข้างล่าง โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดที่บ้านจึงไม่มีใครอยู่

 

สิบกว่าปีแล้วที่เขาไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้ มันถูกต่อเติม ตกแต่งใหม่ไปหลายส่วน จึงไม่น่าจะมีปัญหา ขอเพียงอย่าเข้ามาที่ห้องนี้ ห้องที่ไม่เคยเปลี่ยน เหมือนใจเจ้าของ ผมเริ่มนึกกังวลใจ ห้องข้างล่างมีรูปสมัยเด็กหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจว่า ‘เก็บ’ หมดไหม จึงปีนขึ้นไปหยิบกล่องกระดาษใบย่อมบนหลังตู้ ซึ่งข้างในเต็มไปด้วยรูปภาพที่ถูกกองไว้มุมหนึ่ง น่าจะตามเก็บหมดแล้ว ก่อนที่เจ้าเฟรมจะมาค้างที่บ้านบ่อย ๆ ตอนนั้นผมไม่อยากตอบคำถามอะไรมาก จึงตามเก็บรูปสมัยเรียนมัธยมขึ้นมาจนหมด รูปที่สีจาง เลือนรางตามกาลเวลา แต่แจ่มชัดสดใสอยู่ในหัวใจ และความรู้สึก ยังพอมีเวลาผมจึงค่อย ๆ หยิบขึ้นมาดู

เรื่องบางอย่างไม่ต้องการ ‘รื้อฟื้น’ เพราะจะทำให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย

รูปในกองข้างล่างเป็นรูปของตัวผมเอง ที่ถูกแปลงเป็นการ์ดส่งข้อความ ถูกส่งมาพร้อมกับ ‘ดอกลิลลี่’ ผมถอนหายใจ ‘เขา’ คนนั้นช่างพยายามเสาะหา เห็นชัดว่ารูปไม่ได้ถ่ายเอง เพราะมีเครดิตของแฟนคลับติดอยู่ ‘เดือนมหา’ลัย’ ยุ่งขนาดนั้นยังเพียรสรรหารูปพวกนี้

ภายในกล่องสมบัติยังมีสิ่งที่ไม่น่าเข้าพวกเก็บอยู่ด้วยกัน สารานุกรมเล่มโตสามเล่ม ที่ทุกหน้าเต็มไปด้วย ‘ดอกลิลลี่’ ทุกดอกตั้งแต่ ‘ดอกแรก’ วันปัจฉิมนิเทศมัธยมต้น จนถึง ‘ดอกสุดท้าย’ ที่โต๊ะทำงานวันสุดท้ายที่ลำปาง ถูกทับเก็บอยู่พร้อมกระดาษโน้ตระบุวัน ผมยิ้มให้ตัวเอง ทั้งคนให้และคนรับต่างก็พยายามมากพอ ๆ กัน

 

เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว เดี๋ยวเกิดสงสัยตามขึ้นมาจะยุ่ง ผมจึง ‘เก็บ’ รวบรวม เครื่องเตือนความทรงจำทั้งหมดลงในกล่อง ก่อนที่จะปีนขึ้นไปเก็บไว้บนหลังตู้อีกครั้ง

แล้วจึงนึกได้

 

ถ้าผมตัดสินใจ จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้องไปปรึกษา ‘ผู้ชายคนนั้น’ ก่อน

ผู้ชายที่รัก ‘เขา’ คนนั้นมากที่สุด

 

ผมเป็นคนรักษาสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่ผมรักสุดหัวใจ แต่... เหตุการณ์วันนี้ ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาปะติดปะต่อ

มันจะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ

 

หลังออกมาจากบ้านรุ่ง เราแวะกลับมากินข้าวกันกับเฟรมที่ศูนย์การค้าติดกับตึกที่ทำงาน ก่อนที่จะไปส่งรุ่งที่สนามบิน

“พี่บลู ไม่อยู่เหรอ” รุ่งถามเฟรม ผมเริ่มเข้าใจว่า ทำไมพี่เชนชอบแหย่พี่บลูเรื่องรุ่ง ถ้าพี่บลูไม่เคยช่วยผมเรื่องรุ่งมาก่อนผมก็คงสงสัยความสัมพันธ์ของสองคนนี้

“ลาบ่ายอ่ะพี่ ออกไปธุระข้างนอกกับพี่เชน” เฟรมตอบ ก่อนที่จะหันมาเล่นงานผม

“คนละคนหรือเปล่าพี่ หรือฝาแฝด ไม่เหมือนคนป่วยเมื่อวานเลย” ผมได้แต่ยักคิ้ว

“เดี๋ยวพี่รุ่งกลับไป ก็เป็นเหมือนเดิม พวกคนตามหาหัวใจอ่ะ” มันได้ที

“เฟรมช่วยดูก็แล้วกัน ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิม บอกพี่ พี่จะได้เปลี่ยนเบอร์ใหม่ซักที” ไม่ต้องขู่ก็กลัวแย่แล้วครับ

 

หลังจากกินอาหารญี่ปุ่นเรียบร้อย ขณะกำลังรอเช็คบิล ก็มีหนุ่มผมยาวเดินเข้ามาทักรุ่ง

“อ้น ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหม” รุ่งยิ้มกว้าง อย่ายิ้มอย่างนั้นสิ

“รุ่งไม่อ่านข้อความเลย อ้นส่งไปจะเป็นพันแล้ว” คนมาใหม่เริ่มตัดพ้อ

“ขอโทษที ไม่ค่อยมีเวลาเลย” รุ่งยิ้มเขิน ๆ

“นี่เพื่อนพี่ชื่ออ้น” รุ่งเริ่มแนะนำ ผมจำอ้นได้ เพื่อนที่มาเฝ้ารุ่งที่ชมรม

“นี่เฟรมน้องที่ทำงาน นี่.....”

“อ้าวเขนเหรอ... นึกว่าใคร นี่กลับมาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่” อ้นพูดแซงขึ้นเมื่อเห็นผม

“.....................................” แต่ใคร......ใครคบกัน

“เอ่อ....เพิ่งเจอกันที่ทำงาน ทำงานที่เดียวกันน่ะอ้น” รุ่งตอบแบบไม่ปกติ เขาไม่เคยดู ร้อนรนอย่างนี้

“นี่เป็นไงมาไง ทำไมมาแถวนี้ได้” รุ่งเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“เอ่อ.... เดี๋ยวตามไปนะเขน รอแป๊บเดียว” แล้วรุ่งก็ลากอ้นไปอีกทาง ในขณะที่ผมมองตาม เพราะยังคงติดใจคำถามอ้น



‘กลับมาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่’

คำถามนั่นยังติดอยู่ในใจผม....สมองเริ่มเชื่อมโยงเหตุการณ์

 

อ้นเป็นเพื่อนรุ่งตั้งแต่เรียนมัธยม

แม้สายตานั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า... ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน

 

อ้นเคยมาทักผม เขาเคยรู้จักผมตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนที่ผมจะลืมเขา...

แต่รุ่งไม่เคยเล่าว่า......... เคยรู้จักผมหรือเปล่า

 

แล้วจึงฉุกคิด

ทำไมเมื่อคืนก่อนรุ่งไม่ถามถึงเรื่องราวอุบัติเหตุนั่น.......ทำไมเหมือน ‘รู้’

ทำไมเหมือนจะ ‘เข้าใจ’ ว่าผมจะมีอาการอย่างนี้.....อยู่แล้ว

และทำไมคนที่เคยมีความ ‘สำคัญ’ กับผม......คนที่ผมเคย ‘รอ’ เขา ภาพของ ‘คนคนนั้น’ ในความทรงจำ ภาพสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุดเมื่อคืน ละม้าย คล้าย.....รุ่ง

มันจะเป็นไปได้เหรอ........คนคนนั้นในความทรงจำ

ถ้าใช่ แล้วทำไม

เกิดอะไรขึ้น...... สมองเริ่มคิด ความปวดเริ่มย้อนกลับมา

‘ไหนว่ารุ่ง ‘สำคัญ’ กว่า’ ผมสัญญาไว้ ต้องกินยา แล้วนอน

แต่ก่อนนอน ขอส่งข้อความ........... ‘Good Night ครับ’

สมองเริ่มคลายความปวดด้วยฤทธิ์ยาอีกครั้ง

 

ถ้า....เป็นจริงอย่างที่คิด.....

ถ้า.... คน คนนั้นในความทรงจำของผม คือ รุ่ง

ถ้า.... ‘เขา’ ของรุ่ง คือ ผม

 

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ความทรงจำ’ ในครั้งที่ลืมเลือน...เป็นไปได้จริงหรือ....

แสงจันทร์ที่สาดส่องค่อย ๆ ริบหรี่ ความรู้สึกค่อย ๆ หายไป.........

 







‘Good Night ครับ’

ข้อความที่เพิ่งได้รับ เหตุการณ์วันนี้เฉียดฉิว เกือบแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน

 

ใครบ้าง.......จะไม่อยากให้คนรัก ‘จำ’ ความรักที่มีให้กันได้

 

รักแรก ที่แสนบริสุทธิ์

รักแรก ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ที่ตราตรึงในใจ......จนไม่สามารถมองใครได้อีก

แม้ความทรงจำของเขาจะไม่กลับมา แต่ผม ‘รู้’ ความรักของเราก็ยังตราตรึงอยู่ในใจของผม และฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา

 

เสมอมาและ...ตลอดไป...........





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-02-2018 11:28:20
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 16-02-2018 12:56:56
 :L1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ONCE 19.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-02-2018 10:03:12
Chapter XIX

Once

 

สิบเจ็ดปีที่แล้ว.........

เขา ‘รู้’ ว่าผม ‘รู้’ และผม ‘รู้’ ว่าเขาก็ ‘รู้’

‘เรา’ แทบไม่ต้องใช้คำพูดเพื่อการสื่อสารกันมานานแล้ว

 

นั่นคือความจริง... นับตั้งแต่วันแรกที่พบกัน

 

วันที่ผมต้องเข้ามาเรียนที่นี่ครั้งแรกเป็นช่วงกลางเทอม สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นปัญหาในการปรับตัว แต่ไม่ใช่กับบางคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโลกแห่งความฝันของตัวเอง เช่นผม

ทั้งห้องเงียบกริบเมื่อผมเดินเข้ามา เป็นอัตโนมัติที่ผมเก็บความรู้สึกหวั่นไหวไว้ภายในใบหน้าที่เรียบเฉย เมื่ออาจารย์ให้แนะนำตัวผมจึงค่อย ๆ ฝืนยิ้มออกไป เพื่อทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ก็เหมือนที่โรงเรียนเก่า รอยยิ้มนั้นพิฆาตคนตายไปมากมาย

แต่มีเพียงสายตาคู่นั้นเพียงคู่เดียวที่ ‘รู้’ ว่าผมกำลังประหม่ากับสิ่งที่ทำอยู่

ทำไมเวลาเพียง...เสี้ยววินาทีเขาเข้ามาในโลกส่วนตัวของผมได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งที่ปกติผมไม่ได้เปิดรับให้ใครง่าย ๆ กับ ‘เขา’ คนนั้น ผมก็แน่ใจว่าผมไม่ได้เปิดรับ แต่เขาบุกเข้ามาเอง และชัดเจนตั้งแต่วินาทีแรก

“เอาล่ะ แนะนำตัวเสร็จแล้ว มีที่นั่งตรงไหนให้รุ่งนั่งได้บ้าง” ครูประจำชั้นถาม ทุกคนเริ่มลุกลี้ลุกลนหาที่นั่งว่าง

“โครม” เก้าอี้พร้อมผู้ชายร่างเล็กลอยออกไปล้มด้านหลังห้อง ทุกคนกำลังตกใจ

“ไทม์มึงไปนั่งกับปู่เต้ ครูครับให้รุ่งนั่งกับผม” เขาคนนั้นตะโกนขึ้น ฝ่าความเงียบของห้อง

“อ...เอ่อ งั้นก็ได้....รุ่งไปนั่งกับเขนนะ” ผมแอบขำ ครูก็ยังกลัวมาเฟียเหรอ

 

หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลยตลอดสามปี หลายคนสงสัยเด็กเรียนเงียบขรึมขี้อายกับเด็กกิจกรรมมาเฟีย เห็นคนใดคนหนึ่งที่ไหน อีกเพียงอึดใจก็จะเห็นอีกคนตามมา ไม่มีใครสามารถอธิบายความสัมพันธ์ของเราได้ แม้เพื่อนในกลุ่มยังสงสัย

‘มันติดต่อกันผ่านทางโทรจิต หรือไงวะ’

 

ก็ไม่มีใครเห็นสายตาที่ส่งให้กัน

คนหนึ่งอยู่กับหนังสือเรียน และเสียงเพลงในหูฟัง แต่อีกคนก็อยู่ในสังคมวุ่นวายโหวกเหวก ด้วยตำแหน่งหัวหน้าห้องตลอดสามปีที่มีใครจะกล้าเป็นแทน แค่สมัครแข่งยังไม่กล้า หัวหน้าห้องมาเฟียซึ่งเข้มงวดกับทุกคน แต่ไม่เคยบังคับคนข้าง ๆกายได้เลย

 

“ไอ้เขน มันกลัวรุ่ง” เพื่อน ๆ เม้าท์เสียงดัง

“ก็กลัว แล้วไง” คนตอบก็ไม่ได้เกรงใจคนฟังเงียบ ๆ ที่ทำหน้าระอา

ใช่...กลัวแล้วไง อย่าหวังมีใครมาแบล็คเมล์ หรือมาปลุกปั่นเด็กของหัวหน้าห้องคนนี้ ก็ไม่มีใครเคยเข้ามาถึงตัวผมได้

คนหนึ่งคอยคุม คนหนึ่งก็ไม่ได้อยากดื้อดึงออกไป อยู่อย่างนี้ก็สบายใจดี  โลกส่วนตัวขยายได้กว้างใหญ่ เมื่อมีคนคอยปกป้อง และยอมให้เพียงคนที่ปกป้องเข้ามาได้เพียงคนเดียว

มันเป็นการให้ ‘ความสำคัญ’ และ ‘ความพิเศษ’ ที่มีให้กันเสมอ จากความสบายใจ ความปลอดโปร่ง มันทำให้ความสัมพันธ์ข้างในที่ไม่เคยแสดงออก กลับกระชับแน่นแฟ้น ผูกพัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกันในส่วนที่แต่ละคนขาด

คนที่มีโลกส่วนตัวสูง เริ่มเข้าสู่สังคมมากขึ้น เมื่อมีคนลากไปเล่นดนตรี ไปเตะฟุตบอล เริ่มแสดงออกอารมณ์ต่าง ๆ ตามที่หัวใจต้องการ เมื่ออยู่ข้าง ๆ อีกคน

คนตัวเล็กเริ่มหมั่นไส้ เริ่มกลั่นแกล้ง หยอกล้อ คนตัวโต

อย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ และก็ไม่ทำกับใคร

 

ในขณะเดียวกันกับคนที่โลกข้างนอกวุ่นวาย ก็เข้ามาพักพิงอยู่ในโลกส่วนตัวของคนอีกคน เมื่อต้องการความสงบสุข เขาไม่ต้องฝืนแสดงกับคนตัวเล็ก

ได้อยู่เงียบ ๆ อย่างอบอุ่น อย่างเข้าใจ

จึงหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

แม้ภายนอกจะแสดงออกต่างกัน

แต่เหมือนกันมากเกินไป ในส่วนลึก ๆ ข้างใน จนแยกไม่ออกในส่วนลึกของดวงวิญญาณ จนเกือบจะเป็นคนคนเดียวกัน วันเวลาผ่านไป

จึงเริ่มตระหนักความรู้สึกที่ว่า ‘ขาดกันไม่ได้’

มันเริ่มกัดกร่อนความเป็นเพื่อน

 

และแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นอย่างอื่น

หรือเป็นอย่างอื่น ตั้งแต่ต้นก็ไม่แน่ใจ

 

ผม ‘รู้’ ว่าเขาก็ ‘รู้’ และเขา ‘รู้’ ว่าผม ‘รู้’

มันกำลังเปลี่ยนไปสำหรับความรู้สึกที่มีให้กัน จาก ‘เพื่อน’ ไปเป็น......

“จ้า...เขน หรือเปล่าลูก นี่ม๊ารุ่งนะจ๊ะ วันนี้น้องไม่สบาย ม๊าฝากลาป่วยคุณครูให้น้องด้วย” ผมป่วยครับ เป็นไข้สงสัยเพราะเมื่อวานเตะบอลกันกลางฝน แต่นึกว่าฝนตกไม่หนัก ไม่น่าจะเป็นอะไร ก็ไม่ได้ป่วยมานาน

“น้องไม่เป็นอะไรมากลูก ม๊ากำลังจะให้กินยา เดี๋ยวให้นอนก็น่าจะดีขึ้น”

“เดี๋ยวม๊าต้องไปทำงาน เจ้ารุ้งก็มีสอบ แต่น้องบอกว่าไม่เป็นไร อยู่คนเดียวได้” ลูกเป็นเพื่อนสนิทกัน ที่บ้านผมกับบ้านเขนก็จึงสนิทกันไปด้วย เนื่องจากไปนอนค้าง ทำการบ้าน ทำรายงาน ดูบอลด้วยกัน แทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทั้งสองบ้านจึงเหมือนมีลูกชาย เพิ่มอีกคน

“จะดีเหรอลูก เดี๋ยวเรียนตามเพื่อนไม่ทัน น้องก็ขาดไปคนนึงแล้ว เขนไปเรียนเถอะลูก”

“อย่างงั้นก็ไม่เป็นไร ตามใจเขนแล้วกันลูก ม๊าฝากน้องด้วย สวัสดีจ้ะ”

“เขนจะมาเหรอครับม๊า”

“จ้า... เห็นว่าจะให้ไทม์กับเต้ จดโน้ตไว้ให้ก็ได้” อยากโดดเรียนละสิรายนั้น แต่ถ้าสลับกันเป็นเขนป่วย ผมเองก็คงไม่อยากไปเรียนเหมือนกัน

“เดี๋ยว ม๊าออกไปก่อนนะลูก เดี๋ยวเขนมา รุ่งอย่าลืมกินยาหลังอาหารนะอีกสักสิบนาที”

“ครับแม่” ดีจัง ปล่อยยาไว้อย่างนั้นแหละ ขมจะแย่

 

“รุ่งจ๋า.....” เสียงเขน นอกจากเขนกับม๊าก็ไม่มีใครเรียกได้หวานอย่างนี้อีก

“มาแล้วเหรอ” ผมไม่ต้องลงไปเปิดประตู เขนมาบ่อยจนรู้ว่า ม๊าซ่อนกุญแจไว้ที่ไหน

“เป็นไงบ้าง ไม่น่าเลย เพราะเล่นบอลเมื่อวานแน่ ๆ เขนขอโทษ” เขนเข้ามานั่งข้าง ๆ บนเตียง และจับมือผมไว้

“ไม่เป็นไร รุ่งก็อยากเล่นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ไม่เป็นหวัดมาตั้งนานแล้ว” หากหัวใจเริ่มเต้นแรง เมื่อสบสายตาคมคู่นั้น

“เขาว่าคนมีความรัก จะเป็นหวัดง่าย” เขาแกล้ง เขนรู้ว่าผมกำลังเขิน

“เขน.................” หัวใจมันกำลังสั่นไหว

“หรือไม่จริง” จะให้ผมตอบได้ยังไงก็ตัวต้นเหตุก็นั่งอยู่ตรงนี้ หากรู้แต่ว่าตอนนี้ไข้สูงน่าจะขึ้นเพิ่มอีก

เราต่าง ‘รู้’ ว่าความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไป แต่ด้วยความสนิทเกินเพื่อนที่มีอยู่เดิม มันจึงไม่ได้ทำให้การแสดงออกต่าง ๆ ภายนอกแปรเปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่สายตาที่ส่งให้กันมันเปิดเผยความรู้สึกข้างในหัวใจที่เปลี่ยนสถานภาพไปแล้ว

“หน้าแดงใหญ่แล้ว เพราะเป็นไข้หรือเขิน” ยังไม่เลิกแกล้งอีก

“จะให้ตอบจริง ๆ ไหม” ผมเริ่มเหวี่ยง โอ๊ย...ไม่น่าสู้สายตาเขาเลย

“แล้วกล้าตอบมั้ยละ” อยู่กันสองคนเคยยอมกันที่ไหน ดวงตาคมกริบนั่นเต็มไปด้วยประกาย

“ปวดหัว” ผมจึงรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วหลบรีบสายตา ขณะเขากำลังรุกคืบโดยโน้มตัวลงมาคร่อมตัวทาบทับ

“หึ หึ ตอบไม่ตรงคำถาม” คงไม่มีเพื่อนที่ไหนเอาหน้าผากชนกันเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างนี้ ผมหลับตาในขณะที่หัวใจกำลังสั่นสะท้าน

“รุ่งจ๋า... ยังมีไข้อยู่เลย กินยาหรือยัง” คนถาม ยังถามต่อไปทั้งที่ยังไม่ถอยตัวออกห่าง

“ม๊าเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ไม่อยากกิน มันขม” ผมจึงช้อนตามองตอบ ไม่กล้าสบตาตรง ๆ

“.........................................” ใบหน้าขาวที่ห่างเพียงคืบเริ่มเปลี่ยนสี

“อะไรเหรอ เขน” เขายังจ้องนิ่ง

“อย่ามองใครอย่างนี้ อีกนะรุ่ง น่ารักจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว”

“เขน.........” ผมผลักเจ้าตัวโตออก ก่อนที่จะเป็นลมสลบตรงนี้

“นี่ใช่ไหม ยา” เขนจึงหันไปหยิบยาที่โต๊ะข้างเตียงมาให้

“อืม... มันขม เดี๋ยวรุ่งนอนก็หายแล้ว” ผมจึงผลักมือออก

“ไม่กินยาจะหายได้ยังไง ไม่เก่งเลย” เขนยังมองล้อเลียน

“ไม่เก่งก็ไม่เก่งสิ ไม่ได้อยากเก่งซะหน่อย” งอนแล้วนะ

“ไม่กินจริง ๆ ใช่ไหม” หากอีกคนดูเหมือนจะไม่ละความพยายาม

“อืม ไม่กิน” ผมหันหนี จะงอนจริง ๆ แล้วนะ

“เขนเตือนดี ๆ แล้วนะ ถ้าไม่กิน” ชิ ผมแบะปาก คงเป็นปากเป็ดไปแล้ว

“ถ้าไม่กินจะทำไม” ผมจึงหันกลับมาสู้กันใหม่ซักตั้ง

หากไม่คิดว่าเมื่อหันกลับมา ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์นั่นจะอยู่ห่างจากหน้าผมไม่กี่เซ็นติเมตร เหมือนภาพช้า ใบหน้านั่นโน้มเข้ามาเอียงเล็กน้อย ค่อย ๆ ประกบริมฝีปาก ก่อนที่จะละเลียดขบเม้มเบา ๆ ที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล ผมตกตะลึงสมองพร่าเลือนไปพร้อมกับดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลง อายเกินกว่าจะฝืนสบสายตาคู่นั่นต่อไปไหว และเปิดรับสัมผัสใหม่ที่ไม่เคยพบ ริมฝีปากนั่นยังกดจูบแผ่วเบาหยอกล้อ คลอเคล้า

ก่อนที่คนก่อเรื่องเองเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหวเช่นกัน แรงบดเบียดเสียดสีที่ริมฝีปากจึงเพิ่มดีกรีความหนักหน่วง จนผมเผลอเปิดริมฝีปากครางออกไปไม่เป็นศัพท์ เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นนุ่มบรรจงสอดเข้ามากดจูบกวาดลึก ดูดซับ แลกเปลี่ยนรสหวานแหลมล้ำ จนเกิดอารมณ์มึนเมาไปกับรสจูบ นานเท่านานจวนเจียนจะขาดใจ กว่าคนควบคุมเกมส์จะถอนจูบหวานนั้นออกไป

สติยังไม่กลับคืนมา ปฏิกิริยาอัตโนมัติสั่งการแต่เพียงต้องหายใจบรรจุอากาศเข้าปอดให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันได้ลืมตา ริมฝีปากอุ่นก็ทาบทับลงมาอย่างฉวยโอกาสอีกครั้ง รสหวานของ ‘จูบแรก’ ยังไม่สร่าง จูบครั้งที่สองนี้จู่โจมรุกเร้ายิ่งกว่า แต่แปลกทำไมรสชาติมันเปลี่ยนเป็นขม

“อืม” ยาเม็ดเล็กถูกลิ้นหนากดลึกลงมา ความขมฉุดสติให้กลับคืน มือทั้งสองจึงเริ่มฝืนผลักไหล่คนตัวโตข้างบน แต่แทนที่คนข้างบนจะผละออกกลับกดทิ้งน้ำหนักโถมลงมามากขึ้น และกดจูบลึกเร่าร้อนมากกว่าเดิม จนสติขาดลอยไปอีกครั้ง มือที่เคยผลักออกกลับโอบรัดรอบคอคนตัวโตอย่างเรียกร้องแนบชิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หอบหายใจรวยริน อยู่ใต้ร่างหนาที่ยันตัวขึ้นมองล้อเลียน

“ยังขมอยู่ไหม หรือหวาน” ขมหรือหวานไม่รู้ แต่ผมกลืนยาลงไปโดยไม่รู้ตัว

“แต่เขนว่าหวานมากกว่า หวานมาก” คนฉวยโอกาสยังโน้มตัวลงมาแกล้งแหย่อีก

“ขอให้ติดหวัด” ผมจึงตะแคงตัวหนี เมื่อผลักคนตัวโตไม่ออก

“ถ้าเขนเป็นหวัด อนุญาตให้รุ่งป้อนยาแบบนี้บ้าง” คนตัวโตถึงยอมถอยออก

“จ้างเหอะ ใครจะป้อน” โคตรเขิน นั่นมันจูบแรก

“จะรอดู รุ่งจะใจร้ายกับเขนให้รู้ไป” เชอะ ไม่คุยด้วยแล้ว

 

หลังจากจูบแรกผ่านพ้นไปความสัมพันธ์ฉันท์คนรักเมื่ออยู่ด้วยกันสองคนก็ยิ่งชิดใกล้และชัดเจนมากขึ้น ความหวานที่คนรอบข้างในครอบครัว และเพื่อนสนิทเริ่มรับรู้

“นี่เขนเป็นแมวหรือเปล่าเนี่ย” แมวโตตัวเดินวนเวียน พัวพัน คลอเคลีย ไม่ยอมห่าง บ้านช่องก็แทบไม่กลับ ม๊าแทบจะมีลูกชายเพิ่มขึ้นถาวรอีกหนึ่งคน โชคดีที่ครอบครัวของเขนเข้าใจ และก็รักเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย

“ก็รุ่งไม่สนใจ” ผมกำลังอ่านหนังสือ อยากทำตามความฝันอีกอย่าง

“รุ่งอ่านหนังสืออยู่เขน เดี๋ยวไปคุยด้วย” เจ้าตัวโตดันหัวตัวเองมานอนที่ตัก

“รุ่งอยู่ที่ไหน เขนก็จะอยู่ที่นั่นอะ” แมวตัวโตร้องอ้อน

“เป็นเยอะเนอะ” ผมประชด

“หลงคนรักของตัวเองผิดด้วยเหรอ” น่ารัก น่าชังจริง ๆ

“อ่ะ เลิกอ่านก่อนก็ได้ คุณเหมียว อยากได้อะไรว่ามา” แมวทำหน้าเจ้าเล่ห์ ลุกขึ้นนั่ง

“อยากได้..........รุ่ง ได้ไหม”

“ตุ้บ” แมวตัวใหญ่โดนหนังสือฟาดไปหนึ่งที

“ฝันไปเถอะ... เหมียว” ได้คืบจะเอาศอก รอไปเหอะ

 

ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เปิดเผยชัดเจน ผู้คนภายนอกก็ยังคงรับรู้แค่เพื่อนสนิทเช่นเดิม จนมีภัยคุกคามเข้ามา เมื่อวันวาเลนไทน์ชายหนุ่มต่างห้องก็ส่งจดหมายมาสารภาพรักกับผม ทำเอามาเฟียฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแถมเผาให้ซ้ำ

“เขนเผาทำไมอ่ะ” เพื่อน ๆ เริ่มรุมล้อม เมื่อไฟลุกกลางสนามบอล

“หรือรุ่งอยากจะเก็บไว้” สายตาคมดุมองจ้องกร้าว

“เปล่า จะเอาไปคืนอ้นเขา ไปบอกปฏิเสธเขาดี ๆ ก็ได้” ผมตอบ

“ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวเขนไปเคลียร์เอง” จะเกิดเรื่องไหม แล้วมาเฟียใหญ่ก็หายไป และกลับมาพร้อมรอยเขียวช้ำที่มุมปาก

“ไงละ”

“เรียบร้อยแล้ว”

“เรียบร้อย แล้วนี่อะไร” ผมจิ้มลงไปที่รอยเขียว อย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย......รุ่งก็ไปดูอ้นสิ แย่กว่านี้อีก” มาเฟียยังคุย

“รุ่งไม่สนอ้นหรอก แต่ไม่อยากให้เขนเจ็บ”

“รุ่งจ๋า..............”

“สัญญาก่อน จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บเพราะรุ่งอีก”

“เวลาเห็นเขนเจ็บ รุ่งจะเจ็บกว่านะ” เมื่อผมพูดจริงจังขึ้น คนตัวโตจึงได้คิด

“เขนสัญญา เพราะถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็เจ็บเหมือนกัน”

 

จากเพื่อนที่เข้าใจ เติมเต็ม และคล้ายกันอย่างยิ่ง

กลายเป็น ‘คนรัก’ ที่พันผูกด้วยวิญญาณดวงเดียวกัน

 

ในที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตมัธยมต้นก็มาถึง วันปัจฉิมนิเทศที่เพื่อนสนิทสองคนได้รับดอกไม้ และของขวัญจากทั้งเพื่อนชั้นเดียวกัน รุ่นน้อง รวมทั้งสาวๆ มากมาย ก่อนที่จะเข้าสู่พิธีการที่เป็นทางการในหอประชุมโรงเรียน

“รุ่ง เอาของกับดอกไม้มา” อะไรอยู่ดี ๆ ก็จะมาบังคับ

“ของรุ่งนะ เขนจะเอาไปทำไม”

“ไม่เอาไปไหนหรอกน่า จะเอาไปเก็บให้”

“คนอื่นเขาก็ถือเข้าไปกันนี่” แม้ของคนอื่นจะไม่ได้เยอะมากอย่างของเราสองคนก็ตาม

“เดี๋ยวคนให้เขาเสียใจ ว่าไม่สนใจ” หากคนอาสาทำหน้าง้ำ เริ่มงอน

“อ่ะ อ่ะ เอาไป ไม่ถือก็ได้ เอาไปเก็บก่อนก็ได้” คนตัวโตรีบรวบของ แล้วเดินเอาของไปเก็บที่ห้องเรียน

เจ้าตัวโตหายไปนาน จนเพื่อน ๆ เริ่มทยอยกันเข้าหอประชุม ผมจึงเริ่มละล้าละลัง เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกหอประชุมแล้ว

“มาได้สักทีนะเขน เร็ว ๆ เลย คนอื่นเข้าไปกันหมดแล้ว” ผมจับมือเจ้าตัวโตแล้วเริ่มจะลาก แต่เขนกลับยื้อไว้

“อะไรอะ เดี๋ยวเข้าไปไม่ทันนะเขน” หากเมื่อผมหันกลับไปมอง ใบหน้าขาวเริ่มเปลี่ยนสี

“รุ่ง... ยินดีด้วยนะ” เขนยื่นดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งมาให้ ‘ดอกลิลลี่’ สีขาวที่เพิ่งคลี่แย้มกลีบสวย ผูกโบว์สีแดงสด

“อืม...ขอบคุณมาก” ผมพูดไม่ออก ‘รู้’ ว่าเขาขี้อ้อน ช่างเอาใจ แต่ปกติเขา ไม่ใช่คนโรแมนติก กับวันสำคัญเท่าไหร่

“รุ่ง ชอบหรือเปล่า”

“อ...อืม ชอบสิ”

“รุ่ง...เขนรักรุ่งตั้งแต่เห็นรุ่งครั้งแรกเลยนะ”

“รุ่งเป็นความรักครั้งแรกของเขน...รุ่งเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนี้ที่อบอุ่น นุ่มนวล อ่อนหวาน มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขน”

“ขอบคุณมากเขน เขนรู้ไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขนจะเป็นรักเดียวสำหรับรุ่งเสมอ”

 

“อ้าว ไหนว่ารอเขนเอาดอกไม้ไปเก็บให้ไงรุ่ง แล้วนั่นของสาวที่ไหนอีก” ปู่เต้แซวหลังจากที่พิธีการในหอประชุมเพิ่งเสร็จ นักเรียนแตกแถวกระจายตัวคุยกันเบา ๆ เต็มห้อง

“ของ.....เอ่อ...เอิ่ม...” ผมอึกอัก

“ของเขน”

“ดอกไม้ของเขน รุ่งของเขน เคลียร์ไหม” มาเฟียที่ตอบแทนพูดดังลั่น ชัดเจน จนผมแทบจะซ่อนตัวแอบอยู่หลังดอกลิลลี่

 

ครั้งหนึ่ง.....

 

รักแรก พิสุทธิ์

รักแรก แสนสะอาด บริสุทธิ์

รักแรก เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ตราตรึงในใจ......

 

จนไม่หลงเหลือ ‘สายตา’ หรือ ‘หัวใจ’ ที่จะเปิดรับใครได้อีก



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: BLUE 19.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-02-2018 10:05:33
Chapter XX

Blue

 

เส้นทางเดินของชีวิตบางทีเมื่อเลือกแล้ว...

ก็ไม่มีทาง... เดินหวนกลับได้ แม้ใจจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม

 

เราสองคนยังคงเรียนโรงเรียนเดิม เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ความสัมพันธ์ยิ่งคงมั่นฝังลึกในดวงใจของเราทั้งสอง จนเส้นทางเดินใหม่ปรากฏขึ้นให้ผมต้องเลือก เมื่อต้นเทอมแรก

“เขน... เขน” เวลาเราดีใจ เราอยากจะบอกคนที่เรารักให้รับรู้เป็นคนแรก ผมวิ่งเข้ามาในห้องนอนของบ้านเขน วิ่งมาจากบ้านตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“อะไร รุ่ง ดีใจอะไรมา” บางทีผมก็สงสัยว่าเราคงมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่สื่อระหว่างกันได้ ผม ‘รู้’ เขาก็จะ ‘รู้’ เสมอ

“เขน รุ่งสอบ AFS ติดแล้ว ได้ไปอังกฤษแล้ว” ผมกระโดดกอดคนตัวใหญ่ การแสดงออกของเราชัดเจนมากขึ้นอีกตั้งแต่วันปัจฉิมนิเทศนั่น แม้ฝ่ายที่แสดงออกได้ชัดเจนนั้น จะเป็นผมน้อยครั้งกว่าคนตัวโตนี่ก็ตาม

“ดีใจด้วยรุ่ง เก่งจริง ๆ เขนรู้อยู่แล้วว่ารุ่งต้องทำได้” เขนรับรู้มาโดยตลอดถึงความฝันที่ผมพยายามมุ่งมั่นมาแรมปี

“แล้วนี่ต้องเดินทางเมื่อไหร่ ไปนานไหม เขนคงเหงาแย่เลย” สิ่งที่เขาถามเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน รู้เพียงแต่อยากไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศบ้าง อยากไปอังกฤษมากที่สุด เพื่อได้ไปดูฟุตบอลทีมโปรด จนลืมคิดไปว่าต้องไปคนเดียว และต้องพรากจากอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เติมเต็มกันอยู่

“...............................” ผมปล่อยเขน สมองกำลังประมวลเรื่องที่ไม่ได้ตระหนักถึง

“เป็นอะไรรุ่ง” มือเขนโอบเบา ๆ ที่ไหล่เล็ก

“ไม่... ไม่อยาก ไปแล้วอ่ะ” ไม่อยากไปแล้วจริง ๆ

“ได้ยังไงล่ะ... อุตส่าห์พยายามอ่านหนังสือมาเป็นปี กว่าจะสอบได้” น้อยครั้งที่ผมจะเป็นฝ่ายถูกดุ

“ไม่ไปแล้วได้ไหม รุ่งจะสละสิทธิ์นะ”

“ทำไมละรุ่ง บอกเหตุผลมาก่อน” คุยกับเขนต้องใช้เหตุและผล

“รุ่งไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากแยกจากเขน” ผมโถมตัวเข้าไปหาคนตัวโตอีกครั้ง ก่อนอ้อมอกที่แสนคุ้นเคยจะกอดปลอบใจเหมือนเดิม

“รุ่งไปเถอะนะ ไปทำตามความฝัน”

“เขนจะรอ... สัญญาว่าจะรอ... รุ่งคนเดียวเสมอ” อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น

“จริง ๆ นะ” ผมรู้สึกโหวง ๆ

“จริงสิ.... เขนสัญญาแล้ว” เขนดันตัวผมออกมา เพื่อสบตากันอีกครั้ง

“จำได้ใช่ไหม ถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็จะเจ็บ แต่ถ้ารุ่งมีความสุข เขนก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน” น้ำตาของผมเริ่มคลอ

“รุ่งไปทำตามความฝันของรุ่งนะ และเขนจะเฝ้ารออย่างมีความสุข” ผมกลั้นน้ำตาอีกต่อไปไม่ไหว

“อย่าขี้แยสิ เด็กดีของเขน” คนตัวโตค่อย ๆ จูบซับน้ำตาอย่างอ่อนโยนที่สุด

“เขน.....” แล้วก็เป็นคนที่จุมพิตได้หวานที่สุดเช่นกัน เวลาผ่านไปเนิ่นนานที่ตอบรับสัมผัสอบอุ่นนุ่มนวลอ่อนหวาน และเร่าร้อนนั่น กว่าจะตัดใจแยกริมฝีปากออกจากกันได้ สมองก็ยังคงลอยล่องเหมือนถูกสะกดจิต

“อย่าให้ใครจูบอีกนะรุ่ง”

“อย่ามองใครแบบนี้อีก”

“อย่ายิ้มให้ใครแบบนี้ด้วย” ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับทุกคำขอ.... และผมจะรักษาทุกคำสัญญา

 

ชีวิตในช่วงนั้นเหมือนดั่งความฝัน ตั้งแต่ได้พบ......เขน ตั้งแต่ได้รัก.......เขน

ได้มีชีวิตพันผูกกัน.......จนละม้ายคล้ายดวงวิญญาณดวงเดียวกัน

 

จนกระทั่ง.....ฝันของผมอีกฝันเป็นจริง

โดยลืมคิดไปว่าชีวิตคนเราคงไม่ได้มีเพียง ‘ฝันดี’ เพียงอย่างเดียว

 

ตามกำหนดระยะเวลาของโครงการผมต้องอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลา 1 ปี ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยพักกับครอบครัวอุปถัมภ์ในย่านชานเมืองลอนดอน ช่วงเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างกระชั้นมาก เพราะต้องมาเข้าเรียนปรับพื้นฐานภาษา ทำกิจกรรมกับโครงการ และเข้าเรียนให้ทันในช่วงเปิดเทอมในเดือนกันยายนพอดี ทุกอย่างเร่งรีบทั้งหมด รวมถึงผมต้องปรับตัวให้เข้ากับครอบครัว เพื่อน ๆชาวต่างชาติให้ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อาจจะยากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้สำหรับผม

ทำให้ช่วงแรกที่เดินทางมาได้ติดต่อกลับไปหาคนที่ ‘รอ’ อยู่ค่อนข้างน้อย มารู้ตัวอีกที เมลบ็อกซ์ก็เกือบเต็ม การตั้งแต่ติดต่อกันครั้งสุดท้าย เมื่อมาถึงที่นี่ได้ประมาณสามอาทิตย์ นี่ก็จะร่วมสามเดือนเข้าไปแล้ว ผมค่อย ๆ เปิดไล่ดูเมลที่คนตัวโตเขียนมาเล่าเรื่องราวเรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้าน และความคิดถึงที่เขามีให้ ผ่านทางเมลที่ถูกส่งมาแทบทุกวัน เขาเป็นคนน่ารัก มั่นคง และสม่ำเสมอ

แต่น่าแปลกใจที่ช่วงหลังดูเหมือนเมลที่ส่งมาจากเมืองไทยจะขาดหายไป ผมไม่ได้แปลกใจอะไรมาก เขาอาจจะยุ่ง ๆ กับการซ้อมดนตรี หรือเล่นฟุตบอลอะไรซักอย่างที่เขาเพิ่งเล่ามา เมื่ออีเมลฉบับสุดท้าย หลังจากนั้นก็เป็นฝ่ายผมที่เฝ้าส่งอีเมลไปโดยไม่มีการตอบกลับเป็นระยะเวลาเกือบ ๆ สามเดือนเช่นเดียวกัน

‘งอนรึเปล่านะเขน’

‘นี่ก็ง้อแล้วนะ’

‘นี่รุ่งก็ส่งกลับไปครบสามเดือนเหมือนที่เขนส่งมาแล้วนะ’

 

จนผมเริ่มทนไม่ไหวจึงติดต่อกลับไปทางรุ้งให้ช่วยถามข่าวคราวคนที่บอกว่าจะ ‘รอ’ เพียงแค่ไม่นานรุ้งก็ตอบกลับมาว่า ‘เขนประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาได้สักระยะแล้ว’ ใจผมแทบจะบินกลับตั้งแต่วันทราบข่าว แต่ด้วยติดสัญญาอยู่กับโครงการ จึงไม่สามารถกลับไปทันทีได้ถ้าไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ และที่สำคัญทั้งทางครอบครัวผม และครอบครัวเขนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเดินทางกลับในตอนนั้น

ผ่านมาอีกเพียงสามอาทิตย์ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อของเขนให้กลับเมืองไทยด่วน ซึ่งทำให้ตอนนี้ผมกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง โดยไม่สนใจกับภาระผูกพันใด ๆ กับโครงการอีกแล้ว จะต้องชดใช้อย่างไรก็จะยอมทำตามทุกอย่าง ขอเพียงได้กลับเท่านั้น

อย่างที่เราเคยบอกกันไว้เสมอว่า

‘ถ้าคนหนึ่งเจ็บ อีกคนจะเจ็บยิ่งกว่า’

และคนที่ทำให้ ‘เขา’ ต้องประสบอุบัติเหตุก็คือ.... ผม

เพราะ อีเมลฉบับสุดท้ายนั่นที่ส่งมาเมื่อสี่เดือนก่อน

 

หัวใจของผมเหมือนค่อย ๆ ถูกเฉือนออกทีละน้อยทั้งเป็น เมื่อได้รับฟังเรื่องราวที่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อสี่เดือนที่แล้ว วันที่ลูกชายออกไปส่งอีเมลหาผม เดินทางกลับบ้านด้วยรถแท็กซี่ และเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถสิบล้อจนพลิกคว่ำ คนขับเสียชีวิต ส่วน ‘เขา’ นอกจากแขนหัก ก็ได้รับความกระทบกระเทือนด้านสมอง ต้องได้รับการผ่าตัดด่วน เนื่องจากมีเลือดคั่งในสมอง หลังจากผ่าตัดก็สลบเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบเดือนจึงจะรู้สึกตัว

หลังจากที่ฟื้นแล้วดูเหมือนอาการเจ็บป่วยทางร่างกายจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ผลข้างเคียงจากอาการเลือดคั่งในสมอง และการผ่าตัดทำให้ความทรงจำบางส่วนได้หายไป หากสิ่งที่แย่ที่สุดซึ่งทำให้อาการทรุดหนักลงมากยิ่งขึ้นในตอนนี้ คุณหมอบอกว่า ‘เป็นอาการทางประสาท เนื่องจากสภาวะทางจิตใจที่ผิดปกติ จนเกิดภาวะซึมเศร้า ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีความผูกพันลึกซึ้งกับ ‘ความทรงจำ’ ที่หายไปและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ต้องการให้ความทรงจำนั่นกลับคืนมา ทำให้เกิดความเครียดส่งผลให้สมองทำงานอย่างหนัก จนมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งคนไข้ตอนนี้ไม่ตอบสนองกับยาระงับประสาทใด ๆ และถ้าปล่อยให้เกิดอาการอย่างนี้ต่อไปอาจจะทำให้ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีก’

และ...ความทรงจำที่ว่านั่น ก็คือ..........ผม

กับสัญญาบ้า ๆ พวกนั้นที่ให้กันไว้

 

‘ตลอดเวลาที่ปวดหัวจนไร้สติ ‘เขา’ เพ้อออกมาเพียงว่า

ต้องการรอ..... รอใครสักคน และคนคนนั้นคือใคร....

 

‘เขา’ คนนั้นที่มั่นคง กับคำสัญญาที่จะ ‘รอ’ และยังคงรอคอยเสมอ

แม้คิดไม่ออก ก็ยังคงวนเวียนเฝ้าคิด และพยายามจะ ‘รื้อฟื้น’ ความทรงจำที่หายไป ให้ได้ว่า.... คือใคร จนยาไม่สามารถช่วยได้อีก เราทั้งสองครอบครัวตัดสินใจร่วมกันและเลือกทางเลือกไว้สองทาง

 

‘ทางแรก’ ถ้าผมกลับมาแล้วพยายามทำให้ ‘เขา’จำผมได้

ผมจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการรักษาเขาต่อไป

 

แต่ถ้า..... ‘เขา’ ยังจำผมไม่ได้

 

ก็ต้องเลือก ‘ทางที่สอง’

คือต้องลบ ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ที่มีต่อผมออกทั้งหมด

 

เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงผมก็ได้พบ ‘เขา’ อีกครั้ง ยิ่งกว่าหัวใจถูกฉีกกระชากออกมา ฉีกเป็นชิ้น ๆ ‘เขา’ คนนั้นมีสภาพไม่แตกต่างไปจากซากศพที่เดินได้ ผอมแห้ง ซีดขาวกว่าที่เคยเป็น ถูกมัดไว้กับเตียงคนไข้ พร่ำเพ้อ ตะโกน กรีดร้อง คลุ้มคลั่งไปด้วยความทรมานจากความเจ็บปวดเป็นระยะ ๆ

นัยน์ตาแดงช้ำเหม่อมองเลื่อนลอย เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย และเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่พบกัน ที่ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของ ‘เขา’ อีกต่อไป

 

เพราะผมสินะ ที่ทำให้ ‘เขา’ เป็นอย่างนี้

เพราะสัญญาพวกนั้น

เพราะความรักที่ ‘เขา’ มีต่อผม

 

ผมใช้ความพยายามอยู่นานนับเดือนที่จะเข้าไปชักชวนพูดคุย เล่าเรื่องราวในความทรงจำทั้งหมดที่เรามีต่อกัน ผ่านภาพถ่าย ผ่านสิ่งของ ผ่านสัมผัส ผ่านร่างกาย และทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ วันเวลา ที่เคยมีร่วมกัน แต่อาการของ ‘เขา’ ไม่ได้ดีขึ้น กลับทรุดหนักลงทุกวัน

และเมื่อ ‘เขา’ เจ็บ ผมก็เจ็บยิ่งกว่า

แม้จะไม่ถึงขนาดสติหลุดลอย

 

แต่ก็

 

ไร้แรงใจจะพูดคุย

ไร้แรงกายที่จะดำรงชีวิต

ไร้กำลังที่จะดำรงอยู่ในสังคมได้ดังเดิม

 

ครอบครัวของเราจึงตกลงใจเลือกทางเดินที่สอง

ทางที่......ต้องลบทุก ๆ อย่างใน ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ที่มีต่อผมออกทั้งหมด เพื่อให้ทั้ง ‘เขา’ และ ‘ผม’ จะสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง

ก่อนที่ผมจะได้รับอนุญาตเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังกับ ‘เขา’ สองคน ผมได้พบกับคุณพ่อ และรับสิ่งของทุกอย่างที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำร่วมกันระหว่าง ‘เขา’ กับผมที่อยู่ที่บ้านของ ‘เขา’ คืนมาทุกชิ้น ผมจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของ ‘เขา’ อย่างหมดจด คุณพ่อจะย้ายบ้าน รวมถึงย้ายโรงเรียนของ ‘เขา’ ถ้าหาก ‘เขา’ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ผมให้สัญญากับคุณพ่อไว้ว่าจะไม่ย้อนกลับมาทำร้าย ‘เขา’ อีก ขณะที่คุณพ่อพร่ำบอก ขอโทษผม เราร่ำลากันอยู่นาน ก่อนที่ผมตัดสินใจเดินเข้ามาอำลา ‘เขา’ เป็นครั้งสุดท้าย

“………………….…” ความรู้สึกทุกอย่างมันถาโถมเอ่อล้น ผมยืนมอง ‘เขา’ อยู่นาน โดยไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ได้

‘เขา’ คนนั้นแววตาเหม่อลอย แม้จะมองมาทางผมแต่มองเลยไป ผมจึงกลั้นใจกล่าวลา

“ข..เขน” ผมเอื้อมมือไปกุมมือที่ถูกมัดติดกับเตียงของ ‘เขา’

“เขนจำสัญญาที่ให้รุ่งได้ไหม ว่า ‘จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บเพราะรุ่งอีก’ ”

“รุ่งมาทวงสัญญา” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ลำคอแห้งผาด

“เขน..........เลิก รอรุ่งเถอะนะ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้แล้ว”

“ไม่ต้อง ‘รื้อฟื้น’ มันอีกต่อไปแล้ว ถ้ามันจะทำให้เราทั้งสองคนเจ็บปวดมากมายขนาดนี้” ตาทั้งสองเริ่มพร่าเลือน ด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น

“เขนก็ไม่อยากให้รุ่งเจ็บอีกแล้วใช่ไหม”

“ถ้าไม่อยากให้รุ่งเจ็บ...เขนลืมรุ่งนะ” กลั้นน้ำตาไม่ได้แล้ว“..............................................”

“รุ่งจะคอยเฝ้ามองเขนตลอดไป เฝ้ามองเขนมีความสุข”

“เขนมีความสุข รุ่งก็จะมีความสุข”

“และถ้าเขนอยากให้รุ่งมีความสุข..... เขนลืมรุ่งนะ”

“ลืมซะเถิดนะ”

ดวงตาที่เลื่อนลอย ค่อย ๆ พริ้มหลับ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์ยา

หรือว่า....... ‘เขา’ ยอมแล้ว

 

แต่สำหรับผม

พอแล้ว... หยุดแล้ว... ยอมปล่อยแล้ว...

 

เส้นทางเดินของชีวิตบางทีเมื่อเลือกแล้ว...

ก็ไม่มีทาง.....เดินหวนกลับได้ แม้ใจจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม

ก็ไม่มีวัน.....ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-02-2018 10:08:26
Chapter XXI

Moon

 

ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป

เพื่อ.....ครอบครัว

เพื่อ.....คนที่รักผม

เพื่อ.....คนที่ผมรัก

และเพื่อ..... ‘เขา’

แม้อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณเสมือนได้ตายจากไป.....ทั้งเป็น

 

ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งมากนักแต่เมื่อได้กำลังใจจากครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่รายล้อมทำให้ผมกลับมามีชีวิตที่ต้องบังคับตัวเองให้เดินก้าวไปอีกครั้ง แม้จะโหยหาอดีตมากเพียงใดก็ตาม

เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านพ้น ผมจึงกลับมาเข้าเรียนต่อในเทอมสองตามปกติ เนื่องจากกลับมาก่อนกำหนดสิ้นสุดโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยทำเรื่องขอสอบย้อนหลังในภาคการศึกษาที่แล้ว ดีเหมือนกันที่มีเรื่องเรียนให้ต้องยุ่ง ๆ เพื่อฆ่าเวลาไม่ให้คิดถึงอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เพื่อน ๆ ทุกคนทราบถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสอบถาม คาดคั้น หรือพูดถึงมันอีก ทุกคนพยายามที่จะล้าง ‘เขา’ คนนั้นออกไปจากผมเช่นเดียวกัน

แม้ว่าผมจะกลับมาอาศัยอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ก็เรียนรู้ที่จะเปิดรับคนอื่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเรียนรู้มาจาก ‘เขา’ จึงได้เพื่อนในกลุ่มเดิมกลับมาเป็นเพื่อนสนิททั้งไทด์ และโปเต้ รวมถึงอ้น เราเคลียร์กันด้วยความเข้าใจ โดยผมไม่ยอมให้ใครต้องมารอผมอีก เพราะ ‘รู้’ ว่าจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว วันนี้ที่ใครสักคนจะเข้ามาแทนที่ ‘เขา’ ในหัวใจ

การจากกันทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และทั้ง ๆ ที่ยังรักกัน ทำให้มิอาจจะลืมเลือน ผมยังคงเฝ้ามอง เฝ้าติดตาม อาการของ ‘เขา’ โดยรักษาระยะห่างอย่างเคร่งครัด และดีใจทุกครั้งที่รู้ว่า ‘เขา’ คนนั้นเริ่มดีขึ้น และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปรารถนาเพียงให้เขามีความสุข และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก ผมก็พอใจแล้ว

 

เหมือนเฝ้ารอชื่นชม ‘พระจันทร์’ ที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า

 

ทั้งที่มิอาจฝืนทนมอง ดวงจันทร์ขณะที่กำลังเปล่งแสงแผ่นวลในยามค่ำคืนที่มืดมิดได้ มันเจ็บปวดจนเกินไป......

 

จึงทำได้เพียงแอบชื่นชม.......ร่ำลาแสงนวลในรุ่งอรุณ......

เลือกที่เอ่ยคำร่ำลาอาลัย…… และฝากความคิดถึงไปในสายลม………..

 

ผมรักษาสัญญา จึงไม่เคยไปพบเขาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เพื่อนสนิททั้งโปเต้และไทม์ กลับทำหน้าที่นั้นให้โดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่งคุณพ่อเองก็ทำหน้าที่ส่งข่าวให้ทั้งสองคนเป็นระยะ ๆ เพราะรู้ว่าข่าวนั้นจะมาถึงใคร เรารักษาสัญญาที่มีต่อกัน

‘เขา’ อาการเขาดีขึ้นจนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมาเริ่มเข้าเรียน แม้ยังมีอาการปวดหัวอีกเป็นระยะ ๆ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนโรงเรียนที่ย้ายไปเข้าเรียนใหม่ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับ ‘เขา’ ซึ่งสามารถปรับตัวและเข้ากับเพื่อนได้ดี แม้จะต้องเรียนมัธยมปลายใหม่ตั้งแต่ต้นปีเลยก็ตาม ทำให้เขากลายมาเป็นรุ่นน้องพวกผมหนึ่งปี แต่นอกเหนือจากนั้น ‘เขา’ ยังเป็นคนเดิมทุก ๆ อย่าง

ยกเว้นแค่อย่างเดียวที่หายไป.....

 

ด้วยแรงปรารถนาที่จะพยายามฆ่าเวลาว่างที่มีเหลือทั้งหมด ผมจึงทุ่มเทแรงกายให้กับ การเรียน และกิจกรรมอย่างหนัก ซึ่งมันส่งผลดีต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูงจึงมีโอกาสเลือกเข้าเรียนได้หลาย ๆ มหาวิทยาลัย แต่ผมตัดสินใจไม่ยาก เมื่อโปเต้ ไทม์ และอ้นติดมหาวิทยาลัยเดียวกันในคณะ ‘สถาปัตยกรรมศาสตร์’

ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยที่แวดล้อมไปด้วยเพื่อนสนิท ได้เรียนรู้ในสิ่งชอบ และได้ทำกิจกรรมที่รัก ทำให้ผมพอใจกับชีวิตช่วงนั้นมากพอสมควร แม้มันไม่ได้อยู่ในฝันดีอีกต่อไป แต่ก็เหมือนได้ออกมาจากฝันร้ายแล้ว โปเต้ ไทม์ และผมเลือกที่จะเข้าชมรมดนตรี และฟอร์มวงของเราอีกครั้ง ได้มาซ้อมดนตรีกันอย่างสนุกสนาน

แม้พวกเราจะต้องรับสมาชิกของวงใหม่ จากเพื่อนต่างคณะ รวมทั้ง ‘มือเบส’ ใหม่ด้วย แต่วงของเราได้ขึ้นเล่นในหลาย ๆ กิจกรรมทั้งของคณะ และของมหาลัย อีกทั้งเริ่มมีแฟนคลับมากพอสมควรที่คอยติดตามเป็นกำลังใจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงใจที่ทำให้ชีวิตช่วงนั้น เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น

เมื่อชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกผ่านพ้น ก็ย่างเข้าสู่ปีที่สองที่เป็นช่วงฤดูกาลรับน้องวงของเราก็เตรียมความพร้อมเพื่อจะขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตวันรับน้องใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งมีข่าว ๆ หนึ่งที่ผมไม่เคยให้ความสนใจ แต่รู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องลับลมคมในอะไรบางอย่าง

“รุ่ง ได้ข่าว ‘เดือน’ คณะวิดวะ หรือเปล่า” อ้นพูดขึ้นมาลอย ๆ ช่วงเรากำลังพักซ้อมวง แม้อ้นไม่ได้เข้ามาเล่นดนตรีด้วยกัน แต่ทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการวงให้กับวงเรา ผมรู้ว่าเขายังมีความรู้สึกดี ๆ กับผมอยู่มาก แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้

“มีอะไรเหรอ” เดือนคณะตัวเองผมยังไม่รู้จักเลย นอกจากเรียน เล่นดนตรี ก็อยู่ในโลกส่วนตัวใบเดิม แต่ดูเหมือนมีอะไรแปลก ๆ เพราะโปเต้กับไทม์ก็เหมือนจะรู้ แต่เพียงไม่พูดขึ้นมาเท่านั้น

“เปล่าหรอก เห็นว่าเป็นตัวเก็ง น่าจะได้เป็นเดือนมหาลัย” อ้นรีบพูดต่อ เหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไม่พูด ผมก็ไม่ซักถามต่อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนี่นะ ใครจะเป็นเดือนมหา’ลัย

“เออ ถ้าเป็นเรื่องดาวค่อยมาบอก แล้วกัน” ผมเอ่ยติดตลกออกไป แล้วไม่ได้สนใจอะไรอีก

จนในที่สุดก็รู้ว่าทำไมเพื่อน ๆ ถึงให้ความสนใจกับเดือนคณะวิศวะกันมากมาย หลังรันทรูช่วงบ่ายแล้ววงเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน และนัดกันอีกครั้งก่อนไปแสตนด์บายหลังเวที ในหอประชุมที่จัดกิจกรรม ซึ่งก่อนที่จะเริ่มคอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่มีการแข่งเชียร์ และการประกาศผลการตัดสินดาวและเดือนมหา’ลัย

ผมวางไม้กลองไว้ที่ตัก นั่งเล่นเกมส์ชิล ๆ รอเวลาให้สมาชิกในวงมาให้ครบ แต่แปลกตรงที่พวกเพื่อนสนิทของผมกลับดูร้อนรน

“เป็นอะไรอะ ไทม์ เดี๋ยวเบียร์ก็มา” ผมยังคงก้มหน้าเล่นเกมส์ แข่งเชียร์เสร็จแล้ว ก็ยังมีประกาศผลดาวเดือนนั่นอีก กว่าจะเดินโชว์ตัวก็ยังพอมีเวลา

แล้วบนเวทีก็เริ่มกิจกรรมประกาศผลการตัดสินดาวเดือน โดยมีดาวเดือนแต่ละคณะค่อย ๆ ขึ้นมาแนะนำตัวกันอีกครั้ง ในขณะที่ผมยังคงเล่นเกมส์ต่อไป

“ไปก่อนดีกว่าไป ไปรอหลังเวทีกัน” อ้นรีบไล่ทั้งที่เบียร์ยังไม่มา

“ไม่รอให้ครบก่อนล่ะ” ผมเล่นเกมส์เตะบอลยังไม่จบเลยแมทช์เลย

“เออ เออ ไปกันก่อนเถอะรุ่งไป” ปู่เต้เริ่มมาไล่อีกคน ผมจึงเริ่มสงสัยมันเป็นอะไรกัน จึงเงยหน้าขึ้นมองความลุกลี้ลุกลนของพวกมัน แล้วเมื่อเวทีประกาศชื่อเดือนคณะวิศวะ ก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

“นายศศิน ภัทรสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์”

แค่ได้ยินชื่อก็รู้ ผมปิดเกมส์แล้วเดินนำไปหลังเวทีโดยไม่ได้พูดอะไร จังหวะของหัวใจกลับมาเต้นผิดปกติอีกครั้ง เหมือนหายใจเข้าไปไม่เต็มปอด ไม่รู้ว่าอากาศมันขาด ๆ หาย ๆ ไปไหน เรามานั่งแสตนด์บายหลังเวทีรอให้การประกาศผลนั่นเสร็จ ทั้งอ้น ไทม์ และเต้ที่มายืนมุงผม

“เฮ้ย มามุงทำไม เดี๋ยวก็ไม่มีอากาศหายใจกันพอดี” ผมโวยวายก็อากาศที่หายใจเข้าไปได้ก็น้อยอยู่แล้ว ยังมายืนมุงแย่งอากาศกันอีก

“...................................................................” พวกมันยังเงียบ

“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่เจอ พรุ่งนี้ก็เจอ โลกมันกลม ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมไม่แน่ใจว่ากำลังปลอบคนอื่นหรือปลอบตัวเอง

 

‘เขา’ จำไม่ได้หรอก

เราก็คงผ่านกันไปเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกัน.....ก็เท่านั้น

 

ในที่สุดก็เมื่อประกาศผลการตัดสินดาวเดือนมหาวิทยาลัย

 

น่าขำ...... ‘เขา’ ก็เป็นเดือนอยู่ดี

เดือนมหาลัย แต่ไม่ใช่ ‘เดือน’ ของผมอีกต่อไป

 

แล้วก็ถึงเวลาที่วงเราต้องขึ้นเล่นคอนเสิร์ต ผมพยายามรวบรวมสมาธิทั้ง ๆ ที่ยังหายใจไม่ทั่วท้อง จึงได้แต่หมุนไม้กลองทั้งสองเล่นแล้วเดินตามวงเพื่อขึ้นไปบนเวที วินาทีที่ทำให้หัวใจเกือบหยุดเต้นก็มาถึง เมื่อเดินสวนทางกับ ‘เดือน’ ดวงนั้น โชคดีที่ขายังคงพาร่างก้าวเดินอัตโนมัติ

เมื่อมานั่งที่กลองชุด จึงต้องหลับตาลง พยายามผ่อนลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อให้หัวใจกลับมาเดินตามจังหวะชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนนักร้องนำจะแกล้งทำเป็นยังไม่พร้อม เพื่อดึงความสนใจทุกคนจากมือกลอง จนผมพยักหน้าให้ไทม์ เขาจึงอาการดีขึ้นทันตาเห็น

แม้จังหวะการเต้นของหัวใจยังไม่ปกติ แต่ด้วยการซ้อมที่ซ้อมมาอย่างหนักทำให้สามารถ ตีกลองได้อย่างอัตโนมัติ แล้วสมาธิก็ค่อย ๆ กลับมา หายใจได้ดีขึ้น ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดี จึงค่อยกวาดตามองบรรยากาศโดยรอบห้องประชุม ทุกคนกำลังขยับไปตามจังหวะดนตรี เวลาทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้ผมมีความสุขมากยิ่งกว่า ผมจึงชอบดนตรี และเสียงเพลง

จนสะดุดหยุดสายตาคนที่ใครคนหนึ่งด้านหน้าเวที และสายตาของคน ๆ นั้นก็จ้องมองมาที่ผมเฉกเช่นเดียวกัน ชั่วแวบเดียวที่ยังไม่ทันตั้งตัวเผลอสบสายตาคู่นั้น ประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มีในการควบคุมร่างกายก็หยุดลงอย่างฉับพลัน รู้ตัวอีกครั้งเสียงกลองก็หยุด ไม้กลองร่วงหลุดมือลงไปตอนไหนไม่รู้ ดีที่วงยังคงประคองกันเล่นต่อไปได้ ผมจึงบังคับตัวเองให้เก็บไม้กลองแล้วกลับมาให้จังหวะกับวงอีกครั้ง และตั้งมั่นว่าจะไม่มองไปทางด้านหน้าเวทีอีกแล้ว เพราะความรู้สึกยังบอกว่า ‘เขา’ ยังคงเฝ้ามองอยู่

แม้เสียงเรียกร้องภายในหัวใจ.....จะคร่ำครวญหาดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน

 

ระยะเวลาสำหรับการทำใจของผมค่อนข้างสั้น เพราะ ‘เขา’ ไม่เคยเปลี่ยน เคยรุกมากอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกไม่ถึงอาทิตย์เขาก็มาโผล่ที่ชมรมดนตรี ผมพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เพราะ ‘เขา’ ไม่มีวี่แววจะจำเรื่องราวในอดีตได้

เพราะ...ถ้าจำได้จริงคนอย่าง ‘เขา’ ไม่มีวันจะปล่อยให้เราแยกจากกัน

แม้เพียงเสี้ยววินาที

คนที่เป็นกังวลมากกว่าผมคือกลุ่มเพื่อนสนิทกลุ่มเดิมที่จะคอยจับสังเกตระแวดระวัง ห้อมล้อมผมไว้ตลอดเวลา เราต่างรู้ว่า ‘เขา’ เป็นอย่างไร ไทม์ยังบ่นว่า ‘ผมน่ะเคยโดนถีบลอยทั้งคนทั้งเก้าอี้เลย ตอนรุ่งมาเรียนวันแรก จำไปจนวันตาย’ และในที่สุดคนที่เคยมีเรื่องกันกับ ‘เขา’ อย่าง ‘อ้น’ ก็เข้าไปตรวจเช็คความสงสัย ก่อนจะกลับมายืนยันว่าพวกเราต่างถูก ‘ลืม’ ด้วยกันทั้งหมด

 

หากอีกเพียงไม่นานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้รู้ว่าที่คิดเข้าข้างตัวเองไว้เป็นความจริง ไม่ใช่เพียงเรื่องที่คิดไปเอง ไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจ

เพราะแม้จะเพียรปิดหนทางทุก ๆ ช่องทางเพียงใด คนที่มีความพยายามอย่างมากเช่น ‘เขา’ ก็ยังหาเส้นทางเข้าถึงจนได้ แต่ครั้งนี้ยิ่งเหมือนตลกร้ายที่ทำให้หัวใจอ่อนแรง

เช้าวันนั้นผมงัวเงียฝืนลุกมาจากที่นอน เพราะเมื่อคืนกว่าที่จะเลิกซ้อมดนตรีก็ดึกมากแล้ว ผมรีบไปหยิบของออกจากตู้ล็อกเกอร์ ก่อนที่จะขึ้นเรียน แต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นดอกไม้แห่งความหลัง ดอกเดียวดอกนั้น “ดอกลิลลี่” สีขาวผูกโบว์สีแดง

แล้วคำบางคำมันก็ผุดขึ้นมาในหัว

‘รุ่งเป็นความรักครั้งแรกของเขน.........รุ่งเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ ที่อบอุ่น นุ่มนวล อ่อนหวาน มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขน’

 

‘เขา’ คนนั้นสินะ เริ่มแล้ว ผมไม่กล้าหันไปมองหาเจ้าของ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนี้ เมื่อใจตระหนักรู้อยู่เสมอว่าคือใคร แต่หัวใจช่างปวดร้าว

 

มันเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าเป็นไปได้

ทุกอย่างเปลี่ยน.......บางอย่างกลับไม่เคยเปลี่ยน

 

วันนั้นเหตุการณ์จู่โจมรวดเร็วมากกว่าที่ผมจะตั้งตัวรับไหว คิดได้เพียงแต่ว่าต้องไปจาก ที่นั่น จากที่มหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด รู้ตัวอีกครั้งก็อยู่ที่บ้านแล้ว เสียงข้างในหัวใจสู้กันอย่างกึกก้อง เสียงแรกให้ทิ้ง ‘ดอกลิลลี่’ นี่ไปซะ จะได้คลายความเจ็บปวดลง แต่เสียง ที่สองกลับชนะขาดลอย

ผมยอม ขอเพียง ‘เก็บ’ ไว้

‘เก็บ’ ไว้อีกครั้งจะได้ไหม.......แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม

 

โชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้างเพราะนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ถูกส่งมาทุกวัน ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ รุกคืบมากกว่านี้ อาจเป็นด้วย ‘เดือน’ มหา’ลัยติดภารกิจยุ่งมากตลอดปี แถมมีแฟนคลับรายล้อม

แค่เพียงโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันตรง ๆ ยังเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ ผมจึงแอบตามใจตัวเองปล่อยให้เวลาในการเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ ไว้กับตัวทอดยาวต่อมาจนจบเทอมแรก

กระทั่งเส้นทางเดินของชีวิตมีทางแยกเวียนวนกลับมาให้ต้องเลือกอีกครั้ง ผมยังตัดสินใจไม่ได้ในครั้งแรกว่าจะรับทุนเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษดีหรือไม่ เพราะเคยทำพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต

แม้จะนานมาแล้ว แต่ก็ร้ายแรงมหันต์ในความรู้สึก ทำให้เกิดอาการการลังเลใจกับทางที่ต้องเลือก หากแต่เหตุการณ์ก็กลับพลิกผันอีกครั้ง

เมื่อ ‘เขา’ คนนั้นกำลังเดินหน้าเต็มตัว เกินการสกัดกั้นใด ๆ ในช่วงหลังนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ผมเก็บติดตัวไว้ตลอดวัน ทุก ๆ วันยังมีขนม และผลไม้ที่ผมชอบถูกส่งมากับเจ้าดอกลิลลี่ด้วย ซึ่งล้วนแต่ค่อย ๆ สร้างความกังวลใจให้กับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้จะปราศจากซึ่งความเคลือบแคลงหรือสงสัยถึงแหล่งที่มาว่ามาจากที่ใด

ถ้ามากับ ‘ดอกลิลลี่’ ก็มีเพียงคนเดียว

แต่ ‘รู้’ ได้อย่างไร.....ไม่มีทาง ‘จำ’ ได้

 

ถ้า ‘จำ’ ไม่ได้ นั่นยิ่งหมายความว่าต้องใช้ความพยายามใหม่อีกครั้ง ในการสืบเสาะจน ‘รู้’ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร และที่ร้ายที่สุดคือการ์ดพวกนั้นที่ใช้ส่งข้อความต่าง ๆ มากับ ‘ดอกลิลลี่’ ถูกเปลี่ยนเป็นรูปของคนรับ ‘ดอกลิลลี่’ แม้จะเห็นชัดเจนว่าเครดิตในภาพส่วนใหญ่มาจากแฟนคลับของผมเอง แต่ก็แสดงชัดถึงความตั้งใจที่จะรุกหนักมากยิ่งขึ้น

ใจหนึ่งสร้างความประทับใจอันสุดแสน

 

บ่อยครั้งหรือ...ที่ใครสักคนจะตกหลุมรักคนคนเดิมได้ถึงสองครั้ง...สองครา

 

ใจหนึ่งสร้างความวิตกกังวลอันสุดทรมาน

แล้วถ้าผมเป็นต้นเหตุทำให้..... ‘เดือน’ ดวงนั้นกลับสู่ข้างแรมอีกครั้ง

 

ไม่กล้าแม้จะคิดเสี่ยง......

 

จากความวิตกกังวลที่ค่อย ๆ สะสม ทีละเล็กทีละน้อยจนก่อตัวเป็นความเครียด ผสมรวมกับระยะเวลาที่บีบบังคับเข้ามาให้รีบตัดสินใจทางเลือกใหม่ที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยตัดสินใจผิดพลั้งมาแล้ว ส่งผลต่อร่างกายทำให้เกิดอาการไม่อยากกินอาหารขึ้นมาเฉย ๆ นานเข้าโรคกระเพาะที่ไม่เคยพบพานก็ถามหา จนอาการทรุดหนักต้องเข้าโรงพยาบาล

“ช่วงนี้มีเรื่องเครียด ๆ บ้างหรือเปล่าครับ” คุณหมอถามต่อหน้าหหม่าม๊า

“เปล่าครับ แค่ไม่ค่อยอยากอาหาร” ผมตอบเลี่ยงความจริง

 

ตอนนี้ที่บ้านยังไม่รู้เรื่องที่เรากลับมาพบกันอีกครั้ง ผมไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วงอีก กว่าเหตุการณ์คราวที่แล้วจะผ่านไปได้ก็สร้างความยากลำบากให้เกินพอแล้ว

“อย่างนั้นคงต้องพักผ่อนให้มาก ๆ อาจจะเครียดโดยที่ตัวเองไม่ทราบก็ได้ แล้วต้องพยายามทานอาหารให้เป็นเวลา น้ำย่อยจะได้ไม่ไปกัดให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารอีก และระยะนี้ต้องทานอาหารย่อยง่าย ๆ รสไม่จัด งดน้ำอัดลมด้วยนะครับ คงต้องดูแลใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น”

“ครับ” ผมได้แต่รับอย่างสลด ๆ คงโดนม๊าจับเข้าคอร์สการกินใหม่แน่นอน

“พักผ่อนอีกวัน สองวัน น่าจะกลับบ้านได้” คุณหมอบอกก่อนออกจากห้องไป

 

ผมกินข้าวต้มเสร็จก็ถูกม๊าบังคับให้กินยาต่อ จริง ๆ แล้วผมไม่ได้กินยายากมาก ๆ เหมือนตอนเด็กแล้วล่ะครับ แต่ม๊าก็เป็นห่วงอยู่ดี สั่งแล้วสั่งอีกให้ดูแลตัวเองให้ดีก่อนที่จะออกไปทำงาน ช่วงเย็นน้อง ๆ เรียนเสร็จก็จะเข้ามาเฝ้าแทน ช่วงบ่ายผมจึงต้องนอนอยู่คนเดียวในห้องพิเศษ

ความจริงน่าจะหลับสนิทตลอดบ่ายเพราะฤทธิ์ยาคลายเครียด แต่กินยาติดต่อกันมาหลายวันมันก็ทำให้กลืนไม่ค่อยลง (จึงแอบเก็บเอาไว้บ้าง) โดยเฉพาะยาคลายเครียดนั่น ก็ผมนอนจนเมื่อยตัวจะแย่อยู่แล้ว เลยนั่งเล่นเกมส์เพลิน ๆ เมื่อมีเสียงเปิดประตูห้อง คุณพยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการช่วงบ่าย จึงทำเป็นแกล้งหลับจะได้ไม่มีใครรู้เรื่องว่าไม่ได้กินยา

เมื่อคุณพยาบาลเดินออกไปจากห้อง ผมก็เริ่มเปิดเกมส์เตรียมจะกลับมาเล่นอีกครั้ง แต่เล่นได้ไม่นานเสียงประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง ผมจึงแกล้งหลับต่อ

แต่.....คุณพยาบาล เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่ แล้วใครมาอีกล่ะ เสียงฝีเท้าเบา ๆ กับกลิ่นที่คุ้นเคยจาง ๆ ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ‘ดอกลิลลี่’ ผมจำได้ทันที เพราะเก็บมันไว้ติดตัวมาเกือบครบปี

‘แต่.....ใครล่ะ’ ห้องทั้งห้องเงียบกริบ แม้ยังไม่ได้คำตอบแต่ก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมองคนที่ย่องเข้ามาใหม่ สัมผัสได้แต่เพียงกลิ่นหอมเย็น ๆ กับเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัว แล้วจึงได้ยินเสียงกรอบแกรบของช่อดอกไม้ข้าง ๆ เตียง คนที่เข้ามาน่าจะวางทิ้งไว้

ใครนะ ใช่คนที่คิดหรือเปล่า ใช่ ‘เขา’ จริง ๆ หรือเปล่า

 

“หายไวไวนะครับ รุ่ง” ไม่ต้องลืมตาก็ ‘รู้’ ว่าใคร เสียงฝีเท้าค่อยห่างออกไปพร้อมเสียงปิดประตูห้อง มือของผมกำมือถือที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มแน่น น้ำตารินไหลออกจากดวงตาที่ยังไม่กล้าเปิดลืมขึ้น ความตื้นตัน และความหวาดกลัวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

ผม ‘รู้’ จัก และ ‘รัก’ เจ้าของเสียงนั่นตลอดมา ‘เขา’ สินะ.... เป็น ‘เขา’ จริง ๆ

ในยามเจ็บป่วยคนทุกคนจะรู้สึกอ่อนแอมากกว่าที่เคยเป็น และล้วนแต่โหยหากำลังใจจากคนรัก และคนรักของผม ‘เขา’ มา

คำพูดเพียงประโยคเดียว ‘หายไวไวนะครับ รุ่ง’

เป็นคำตอบที่พังทลายความหวังของผมตลอดมา....

 

เขา ‘ลืม’ สิ้นแล้วความหลัง และเหมือนตอกย้ำความเจ็บปวดชอกช้ำในหัวใจ

‘รุ่งจ๋า....................’ ที่สลักลึกอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ.....

 

แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยรู้ว่า...ตัวเองเป็น ‘คนรัก’ ของผม

แต่ ‘ผม’ เองกลับกลายเป็น...ความรักครั้งใหม่ของเขา

 

และไม่ว่า ‘เขา’ จะรู้ได้อย่างไร....ว่าผมอยู่ที่นี่

 

ถ้า ‘เขา’ มาได้แสดงว่าระยะห่างระหว่าง ‘เรา’ ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะ คำพูดเพียงประโยคเดียวนั่น ทำเอาหัวใจของผมละลายลงอย่างไม่เป็นท่า

ทำให้รู้ว่าตลอดมา ผมเองยังไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่มีเกราะที่จะป้องกันหัวใจของตัวเองได้ ใช้แค่เพียงระยะห่างระหว่าง ‘เรา’ ปิดช่องทางการเข้าถึงของ ‘เขา’ คนนั้น

ทำให้รับรู้ว่าอีกเพียงไม่นาน...ผมเองต้องทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ชายอีกคนแน่นอน

แล้วถ้าย้อนกลับไป.... แล้วถ้า ‘เขา’ ต้องกลับไปเจ็บปวดอีก

ผมจะทนแบกรับ.....ความเจ็บปวดนั่นเป็น ‘ครั้งที่สอง’ ได้อย่างไร

 

ทั้งที่ตอนนี้ ‘เขา’ กำลังมีความสุขสมบูรณ์ดีทุกอย่างแล้ว

ผมต้องไม่เห็นแก่ความสุขของตัวเอง.......

 

ไม่ยอมทำให้คนที่รักสุดใจ ต้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่สอง

 

จึงตัดสินใจหนี

 

หนีจาก ‘เขา’

หนีจาก......หัวใจของตัวเอง

เพื่อให้ ‘พระจันทร์’ ทอแสงงดงามดังเดิม





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 19-02-2018 10:58:46
รุ่งคิดมากจัง
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-02-2018 18:18:48
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: ONCE IN A BLUE MOON 20.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 20-02-2018 08:31:23
Chapter XXII

Once in the blue moon



 

ว่ากันว่า…

น้อยคนนักที่จะได้ประสพพบเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์แห่งค่ำคืน ‘พระจันทร์สีน้ำเงิน’ นับว่าเป็นค่ำคืนที่มีความพิเศษสุด และมักสรรค์สร้างปาฏิหาริย์ที่รอคอย

 

นานเท่าไหร่แล้ว....ที่ไม่อาจเฝ้ามองพระจันทร์ในยามค่ำคืนได้เช่นนี้ คงเพราะเหตุการณ์ความหลัง และบาดแผลที่ฝังลึกในอดีต ทั้งที่พระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ดวงเดียว ดวงเดิม เสมอมา

พระจันทร์ที่แสนรัก และภักดี

 

วันนี้ ‘ข้อความ’ ส่งเข้านอนที่ผมเฝ้า ‘รอ’ คอยยังไม่มา

ไม่ลำบากอะไรที่ผมจะเป็นฝ่ายเฝ้า ‘รอ’ บ้าง

 

คนบางคนที่ผ่านเข้ามา ทำให้มุมมองในชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไป และมักเป็น ‘เขา’ เสมอที่เติมเต็มมุมมองพวกนี้ให้ผม ผมยอมรับว่ายังไม่มั่นใจนักกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไป

 

แต่ถ้าหาก... เขาไม่เจ็บปวดอีก

ผมยังมีสิทธิ์กลับมา ณ จุดเดิมได้ไหม

 

ยังคงสับสน แต่...

อย่างน้อยก็ทำให้วันนี้ผมกล้ามองพระจันทร์ได้เต็มตา เต็มหัวใจอีกครั้ง

อย่างน้อยความรู้สึกอ้างว้าง เดียวดาย ที่มีตลอดมาก็ดูเบาบางลง

อย่างน้อยลมหายใจทุก ๆ ลมหายใจกลับมามีความหมายอีกครั้ง

 

เพียงแค่... ได้เฝ้า ‘รอ’ ใครบางคน

 

‘รุ่งนอนหรือยังนะ’

วันนี้ผมเลิกงานค่อนข้างดึก โปรเจคใหม่กำลังเริ่มต้นคราวนี้เป็นโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าในเมืองหลวง ยังแอบรอลุ้นทีมที่จะเข้ามาออกแบบศูนย์การค้านี้

‘รุ่งจะกลับมารับงานนี้ทันไหม’ ทั้งที่รู้ว่าโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง แค่เพียงไม่อยากให้เราต้องเดินสวนทางกันอย่างนี้ตลอดไป

แต่ระยะทาง...ไม่เคยทำให้ผมย่อท้อ ไม่ว่าอย่างไรผมต้องรักษาโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ดีที่สุด โอกาสแห่งการ ‘รอ’ คอยอีกครั้ง

 

ผมกำลังจะส่งข้อความที่เคยส่งให้ประจำทุก ๆ วัน

ก่อนที่จะคิดขึ้นมาได้ ‘คนใจดี’ ที่บอกว่าจะโทรมา ยังไม่เคยมีวี่แววว่าจะโทรมาหากันบ้าง ดังนั้นถ้าผมโทรไปหาก่อนจะได้ไหม ถ้าเจอ ‘คนใจดี’ ก็น่าจะรับสาย

แต่ถึงจะเจอ ‘คนใจร้าย’ ผมก็จะลองโทรอยู่ดี

 

หวังแค่

เพียง...ได้ส่งเศษส่วนหนึ่งของความห่วงใยที่มี

เพียง...ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา

เพียง...ได้ให้รู้ว่า................

 

หัวใจของผมเริ่มเต้นผิดปกติตั้งแต่เห็นหมายเลขที่โทรเข้า

“คิดถึงรุ่ง.........” จนเกือบหยุดเต้นเมื่อได้ยินถ้อยคำแรก ใจคอไม่คิดจะทักทายกันก่อนเลยหรือไง

“แน่ใจว่า...ไม่ได้โทรผิดเบอร์” ผมจึงถามกลับ

“มั่นใจว่าถึงกดเบอร์ผิด... ความคิดถึงของเขนก็จะส่งไปหารุ่งอยู่ดี” คนชัดเจน ถึงอย่างไรก็ชัดเจน

“‘คนใจดี’ ไม่เห็นโทรมาหากันบ้าง เลยโทรมาก่อน” ที่แท้จะโทรมาทวงสัญญาจาก ‘คนใจดี’ นี่เอง

“‘คนใจดี’ ไม่ค่อยว่างเลย อยู่แต่ ‘คนใจร้าย’ ที่รับสายตอนนี้ แล้วตกลงคิดถึงคนไหน” จึงแกล้งถามกลับไป

“ก็ถ้า ‘รุ่ง’ เป็นคนไหนก็คิดถึงคนนั้น” ไม่น่าเลย ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เคยตาม ‘เขา’ คนนี้ทัน

“..................” นอกจากหัวใจที่เต้นแรง ตอนนี้ยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า

“อย่าเขินสิ เขนพูดยังไม่เขินเลย”

“เฮ้อ...............” ตั้งใจถอนหายใจให้ได้ยิน ก่อนจะกลับไปต่อกรกันอีกสักตั้ง

“รู้ได้ยังไงว่าเขิน”

“ก็รุ่งจะหน้าแดงเวลาเขิน”

“แล้วเห็นหน้าหรือไง”

“ถ้ารุ่ง ติดกล้องถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงได้ ทำไมเขนทำไม่ได้” หึ....เวอร์แล้ว

“เป็นยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม” ในเมื่อแพ้ทาง จึงชวนเปลี่ยนเรื่อง

“มีบ้าง แต่คิดถึงรุ่งแล้วจะไม่ปวด” แต่บางคนก็ยังวกเข้าสู่ประเด็นเดิม

“เขนห้ามลืมกินยานะ” ผมไม่อยากเห็น ‘เขา’ ต้องเจ็บปวดอีก แม้ว่าจะต้องฝังความทรงจำนั้นไว้ลึกเท่าใดก็ตาม

“ไม่อยากให้ลืม รุ่งก็ต้องโทรมาเตือนสิ”

“โตแล้ว...ไม่ใช่เหมียวสักหน่อยต้องให้มีคนเตือน”

“ก็อยากได้ยินเสียงหวาน ๆ”

“....................................” หมดคำพูด ถ้าเหมียวตัวใหญ่จะอ้อนซะขนาดนี้

“เขินอีกละสิ”

“.......................................”

“ไม่แกล้งก็ได้ คุยกับเขนนะ”

“อืม” ผมตอบได้แค่นั้น

“อืม นี่คือเขินใช่ไหม”

“จะคุยกันดีดีไหม” ไหนว่าจะคุย กลับพาวกกลับเรื่องเดิม

“คุยครับคุย รุ่งจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่”

“น่าจะหลังปีใหม่นะ” คงต้องรอให้ศูนย์การค้าเปิดสักพัก ถึงจะกลับได้ตามกำหนด

“อ้าวแล้วปีใหม่ เขนจะเค้าท์ดาวน์กับใคร”

“แล้วปีที่แล้วเค้าท์ดาวน์กับใคร”

“ก็คนเดียว”

“งั้นปีนี้...................” ผมจึงตั้งใจแกล้งคืนบ้าง

“รุ่งจะกลับมาเค้าท์ดาวน์กับเขนเหรอ”

“เปล่า จะนัดเฟรมให้”

“เอาเด็กร้ายนั่นมาทำไม” ได้ผล คนปลายสายเริ่มโวยวาย

“ก็เขนหาคนเค้าท์ดาวน์ด้วย รุ่งก็หาให้ไง”

“..........................................................”

“รุ่งไม่กลับมาจริงๆเหรอ....” เสียงทางปลายสายเริ่มเศร้า

“ไม่คิดถึงเขนบ้างเหรอ.......” น้ำแข็งที่เกาะอยู่รอบ ๆ หัวใจใกล้จะละลาย

“ก็งานยังไม่เสร็จนะเขน” ผมจึงได้แต่ปลอบไป

“ตอบไม่ตรงคำถาม เขนถามว่าไม่คิดถึงเขนบ้างเหรอ...” เขาคาดคั้น คำที่ติดอยู่ในหัวใจ

“เอ่อ....ก็คิดคิด อยู่เหมือนกัน”

“คิดคิด กับ คิดถึงไม่เหมือนกัน”

“.............................................” ก็รู้ว่าไม่เหมือนกัน แต่....

“แล้วจะให้พูดยังไง”

“ก็พูดจากความรู้สึกสิ ไม่ได้บังคับ”

“.............................................”

“ว่าไงอะ” นี่ไม่ได้บังคับเลยใช่ไหมเขน

“คิดถึงเขนบ้างไหม........” เมื่อคนถามเริ่มทอดเสียง คนตอบจึงเริ่มจะจนใจตัวเอง

“อืม”

“อืม คืออะไร อืมคือเขินใช่ไหม”

“เฮ้อ......................................” ถอนหายใจอีกครั้ง

“ก็รุ่งบอกเมื่อกี๊” ได้ข่าวว่าพูดเอง เออเองทั้งหมด

“.........................................” เมื่อลูกแกะที่กำลังถูกไล่ต้อนจนจนมุม จึงกลั้นใจตอบไป

“อืม ก็คือ... คิดถึงไง”

“งั้นต่อไปรุ่งพูด ‘อืม’ ก็แปลว่าคิดถึงเขนทุกครั้งใช่ไหม” ยังไม่ยอมจบ

“จะนอนแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว” คำบางคำในหัวใจ กับคนบางคนที่กดเก็บไว้มาเนิ่นนานมันจึงยาก ที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป

“รุ่ง.....อย่าเพิ่งวางสายนะไม่แกล้งแล้ว”

“...................................”

 

แม้จะใจแข็งเพียงใด

แม้หัวใจจะถูกเกาะกุมด้วยน้ำแข็งมายาวนานเพียงใด

แต่ก็พ่ายแพ้ต่อความจริงจัง จริงใจของคนอีกคน เสมอมา

 

“เขน คิดถึง รุ่ง” ผมเอ่ยย้ำอีกครั้ง

“..................................” สิ่งที่ได้ตอบกลับมาเพียงความเงียบ ไม่ว่าอย่างไรก็ละลายภูเขาน้ำแข็งไม่ได้สินะ

“แค่อยากบอก ให้รุ่ง ‘รู้’ ” ผมขอแค่เท่านั้นจริง ๆ

“........... รู้...........” คำเพียงคำเดียว ที่ทำเอาแทบหยุดหายใจ

“รุ่งจ๋า...........................” เหมือนภูเขาน้ำแข็งกำลังถล่ม ไอเย็นฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่วเนื้อหัวใจ

“คิดถึงเหมือนกัน รอนะ”

“จะรอ.......รอรุ่งคนเดียวเสมอ” ผมตอบกลับไปทั้งที่สมองหยุดทำงาน หัวใจเท่านั้นที่เป็นผู้ตอบอย่างแท้จริง

“ขอบคุณมากจริง ๆ เขน”

“อยากให้ ‘รู้’ เหมือนกันว่า..........”

“รุ่ง.... ก็รอเขน........ตลอดมาเหมือนกัน”

“เป็นแค่เขนคนเดียว ตลอดมา และเสมอไป”

“รุ่ง.......หมายความว่าอะไร” ผมแปลความหมายของประโยคพวกนั้นไม่ออก

“.............................................”

“ไว้พบกัน แล้วจะเล่าให้ฟัง” ผมกำลังโดนตัดบท

“รุ่ง.............” มันคืออะไร

“นอนได้แล้วนะ รุ่งก็จะนอนแล้ว” ไม่ยอมหรอกมันคืออะไร หัวใจเหมือนรับรู้ แต่สมองยังคงสงสัย

“เขนอยากรู้...ไม่บอกจริง ๆ เหรอ”

“หรือว่าไม่อยากพบรุ่ง” เล่นไม้นี้ ก็จบกัน

 

ผมยอม ยอมคนคนนี้ แค่เพียงคนเดียว

 

ผมกำลังนั่งชม... ‘แสงจันทร์’ ตรงที่เดิม ที่คืนนั้นเราเคยนั่งอยู่ข้างเคียงกัน

“งั้น.....วันนี้เขนไม่บอกราตรีสวัสดิ์นะ เขนจะไปรอรุ่งในฝัน” ผมเฝ้าฟังเพียงเสียงเบา ๆ ของ ‘พระจันทร์’ ที่กำลังขับกล่อม

“....ถ้าอย่างนั้น ขอให้เขนฝันดีนะ”

“แน่นอนว่า.....จะเป็นอย่างนั้นเสมอ ถ้ามีรุ่ง.....จะเป็นฝันดีสำหรับเขนเสมอ”

“งั้นก็....พบกันในฝัน รุ่งจะตามไป”

“เขนจะรอ”

“รุ่ง รู้”

 

ถ้าเพียงแค่ ‘ความทรงจำ’ มันอาจหมายความว่าสามารถที่จะ ‘ลืมเลือน’ ได้

แต่ถ้า ‘รู้’ แปลว่า... ไม่ว่าอย่างไร แม้อะไรจะลืมเลือนไปหรือไม่

 

แต่เรา ‘รู้’ ข้างในใจ...ตลอดมาและเสมอไป

ในหัวใจมีได้......เพียงคนคนเดียว

เพราะ ฉันมีเพียงเธอ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 21-02-2018 09:48:19
Chapter XXIII

Opening

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวความหลัง ความทรงจำ ความผูกพัน ความรัก และความเจ็บปวดในครั้งอดีต

ซึ่งแม้ว่าผลของการตัดสินใจครั้งนี้.... จะเป็นเช่นไรก็ตาม

ผมก็ไม่อาจทานทนกับเสียงร่ำร้องภายในหัวใจได้อีกแล้ว

 

ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินทางสู่เส้นทางใหม่ที่ตัดสินใจเลือกแล้ว ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก ‘เขา’ เขามาทวงสัญญาที่ผมให้ไว้ตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ที่จังหวัดเชียงราย

‘วันเด็กปีหน้า เขนจะเขียนบ้าง Wish List บ้างอะ’

‘แล้วจะส่ง Wish List ของเขนให้รุ่ง รุ่งต้องหาของขวัญให้เขนนะ’

‘อืม อะไรนะ’

‘รุ่งรับปากแล้ว เขนคิดก่อนอยากได้อะไร’

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

'อยากนั่งรถไฟ'

ตอนนั้นผมตอบเพียงสิ่งที่ต้องการ และเลือก “เก็บ” สิ่งที่ปรารถนาแท้จริงไว้ข้างในหัวใจ เพราะคิดเสมอว่าสิ่งที่ปรารถนาที่สุด ไม่มีทางหวนมาอีก และมันไม่มีทางเป็นจริงได้

แต่เพราะ ‘เขา’ เขาคนนั้น คนเดียวที่ทำให้ผม ‘ยอม’

 

จดหมายในซองที่ได้รับจาก ‘เขา’ มีกระดาษสามแผ่นบรรจุอยู่ สองแผ่นแรกเป็น Wish list สอบถามสิ่งที่ปรารถนา แผ่นแรกยังคงว่างเปล่า แต่ลงชื่อไว้ชัด ‘รุ่ง’ เขาอยากรู้ความปรารถนาของผมอีกครั้ง แผ่นที่สองเป็นของ ‘เขน’ เขาเขียนความปรารถนาของเขาไว้ เพื่อให้ผมหาของขวัญให้

‘ชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ที่เดิม’

 

‘หัวใจ’ ทั้งหัวใจไม่เหลือแม้ร่องรอยของไอน้ำแข็ง ทั้ง ๆ ที่เคยถูกแช่เย็นและถูกฝังกลบ ลึกลงในความเย็นชามาเนิ่นนาน

นี่หรือ....ความปรารถนาของ ‘เขา’ ผมยิ้มให้กับซองจดหมายนั่นทั้งน้ำตา

 

ยิ้มให้กับ.....ความเข้าใจผิดของ ‘เขา’ เรื่องพระอาทิตย์

ยิ้มให้กับ.....ความปรารถนาของ ‘เขา’ ที่ต้องการทำให้ความปรารถนาของผมให้เป็นจริง

และน้ำตาที่ให้กับ.....หัวใจของตัวผมเองที่ ‘ยอม’ แล้ว ‘ยอม’ ทุกอย่าง

 

แต่...ผมไม่ลืมที่จะทำตามความตั้งใจเดิม

 

ก่อนตัดสินใจผมไปขอพบและขอยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ เราไม่ได้พบกันนานนับสิบปี แต่ท่านก็ยังให้ความรัก ความเมตตาผมดังเดิม ท่านเหมือนจะพอทราบอะไรอะไรมาบ้าง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นผมอีกครั้ง เราทั้งสองคนต่าง ‘รู้’ ว่าเรา ‘รัก’ คนคนเดียวกัน จึงเชื่อใจและเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน และได้ ‘ปลดปล่อย’ คำมั่นที่เคยให้ไว้กันเมื่อครั้งอดีต

 

กระดาษใบสุดท้ายในซองจดหมายนั่น

 

ก็คือ ตั๋วเครื่องบินสู่ท่าอากาศยานจังหวัดลำปาง ที่ผมกำลังจะเดินทางถึง

 

 

บ้านพักหลังเดิมยังคงว่างเปล่า ผมคิดว่าผมมาถึงก่อนในตอนแรก เพราะผมนัดรุ่งไว้ในตอนรุ่งสาง แต่ผิดคาดเมื่อพบกระเป๋าเป้สีแดงใบนั้นที่รู้ทันทีว่าเป็นของใครวางอยู่ที่เตียงเดิมของรุ่ง

‘มาตอนไหน ทำไมไม่โทรหา แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน’ คำถามมากมายกำลังผุดในหัว ก่อนที่จะรีบโทรถาม กลับพบข้อความที่เพิ่งส่งมาถึง

‘พบกันสามทุ่ม ที่เดิม’

พยายามติดต่อกลับไปก็ไม่รับสาย ‘ทำไมต้องเป็นสามทุ่ม ก็จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่เหรอรุ่ง’ หรือผมเขียนอะไรใน Wish List ผิด ตอนนี้สองทุ่มห้าสิบสองนาทีแล้ว ผมจึงรีบรุดไป ที่จุดชมวิวนั่น

 

“รุ่งจ๋า.................” เมื่อมาถึงที่ก็พบรุ่งที่นั่งรออยู่ ณ จุดเดิม

“มาช้านะเขน สามทุ่มกว่าแล้ว” ตอบโดยไม่หันกลับไปมองคนถามที่กำลังมาทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ แล้วฉวยกุมมือทั้งสองของคนที่นั่งอยู่ก่อนมาอย่างเร็ว

“มาถึงตอนไหน แล้วทำไมไม่บอกเขน ทานอะไรหรือยังครับ”

“ให้ตอบคำถามไหนก่อนเหรอ” ใบหน้าหวานจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มขำคนตัวโต

“เขนเป็นห่วง รุ่งไม่รับโทรศัพท์” แมวตัวใหญ่เริ่มอ้อน

“ก็รุ่ง ‘รู้’ ว่าเดี๋ยวเขนจะตามมา แล้วก็เจอกันแล้วนี่ไง” เพราะตลอดมาไม่รู้ว่าเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิต คนตัวโตมักจะหาคนตัวเล็กพบเสมอ

“รุ่ง...รีบออกมาทำไม ไม่รอให้ใกล้เช้าก่อน มาตอนนี้กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นนั่งรอ จนหลับกันพอดี กลับกันก่อนไหม”

“......ใครบอกเขนว่ารุ่งมารอพระอาทิตย์ รุ่งมาดูพระจันทร์ต่างหาก.....นั่นไง” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับพระจันทร์ที่ทอแสงกระจ่างอยู่เบื้องหน้า แสงจันทร์ผ่องนวลจับต้องใบหน้าอ่อนหวาน ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“เขนคิดไปเองหรอกว่ารุ่งชอบดวงอาทิตย์ รุ่ง.......หลงรัก ‘พระจันทร์’ ต่างหาก”

“แต่ไม่กล้าเฝ้ามองตรง ๆ อย่างนี้มานาน เลยเลือกช่วงเวลาเช้าเพื่อมาร่ำลาพระจันทร์” คนตัวโตเริ่มขมวดคิ้วงุนงง

“เขน เข้าใจผิดเอง ‘เขา’ คนนั้นของรุ่ง...เป็นพระจันทร์มาตลอดนะ” ก่อนที่ดวงตาเล็กจะก้มลงจ้องมองตรงที่ดวงตาคม

“นั่งคุยกันก่อนไหม รุ่งจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง” มือเล็กค่อย ๆ ดึงมือใหญ่ให้ขึ้นมานั่งข้าง ๆ โดยยัง ‘ยอม’ ให้เกาะกุมมือบางอยู่อย่างนั้น

“เขนยังจำเรื่อง ‘เขา’ คนนั้นที่รุ่งเคยเล่าให้ฟังได้ไหม” เขนได้เพียงแต่พยักหน้ารับเงียบ ๆ ร่างบางจึงเริ่มเล่า

“รุ่งพบเขาอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบสิบปี”

“เขากลับมา และมาสารภาพรักกับรุ่งอีกครั้ง”

“ตอนแรกรุ่งปฏิเสธเขาไป เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาอีก”

“แต่ตอนนี้อาการเขาดีขึ้นมาก ไม่เจ็บปวดอย่างเดิมแล้ว”

“รุ่งเลยตัดสินใจว่า จะกลับไปเริ่มต้นกับเขาอีกครั้ง” คนเล่า เล่าเรื่องอย่างมีความสุข ขณะที่คนฟังลมหายใจขาดช่วงเป็นระยะ ๆ ‘รุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข คงต้องปล่อยมือคู่นี้แล้วสินะ’ คนตัวโตคิด แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยมือเล็กเป็นอิสระ

“เขน....................”

“เขนดีใจด้วยรุ่ง” คนตัวโตฝืนยิ้มตอบกลับ หากแต่ไม่ได้เอะใจกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น

“ขอบคุณมากเขน งั้นเรากลับกันก่อนไหม ถ้าเขนอยากมาดูพระอาทิตย์ตอนเช้าเดี๋ยวเรามากันใหม่” เขนได้แต่พยักหน้า

“รุ่งมีอะไรจะอวด” กลายเป็นคนตัวเล็กที่ดึงมือคนตัวโต และจูงเดินกลับบ้านพักโดยที่ไม่ยอมปล่อย

 

คนตัวโตเดินตามกลับมาที่บ้านพัก แต่ดูเหมือนจะทิ้งวิญญาณไว้ที่จุดชมวิวนั่น จนอีกคนเริ่มกังวลหรือจะแกล้งมากไป

“เขน...เป็นอะไร” เขนตอนนี้ลักษณะคล้ายหุ่นยนต์นั่งนิ่ง เหม่อลอย อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน

“............ป...เปล่าหรอกรุ่ง” คนไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเองจึงไม่เนียน

“ไหนรุ่งบอกว่ามีอะไรจะอวดไง”

“อืม ของอยู่ข้างบน เขนไปอาบน้ำก่อนไหม” คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังเช็ดผมมองตามหุ่นยนต์ค่อย ๆ ลุกเดินเข้าไปในบ้านพัก ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้จากอีกคนเลย ปกติเขาไม่เคยถอดใจ คงจะเล่นแรงไปจริง ๆ

ห้องนอนด้านบนในบ้านพักอุทยานแห่งชาติมีที่นอนสามที่เรียงกัน และด้วยลมเย็นในหน้าหนาวที่นอนข้างในสุดจึงอบอุ่นที่สุด ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดก็มักจะเป็นของรุ่ง ถัดไปจึงเป็นเตียงของเขน ดังนั้นเตียงที่ว่างคือเตียงริมสุดเช่นเดิม

เริ่มตกดึกบรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงบมีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องเบา ๆ แสงสีส้มอ่อน สลัว ๆ จากโคมไฟ และแสงนวลของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างริมระเบียง รุ่งกำลังค้นของในกระเป๋าที่เอามาวางไว้ปลายเตียงที่ว่าง

“เขน..........อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ รุ่งเช็ดผมให้ไหม” คนตัวเล็กอาสา

“ไม่เป็นไรหรอกรุ่ง พักเถอะ” หุ่นยนต์เดินไปนั่งที่ที่นอนตรงกลางเตรียมล้มตัวลงนอน

“เป็นอะไรมานี่ก่อน ใครให้นอนทั้ง ๆ ที่หัวยังเปียกล่ะ” คนตัวใหญ่กว่าจึงโดนลากมานั่ง ที่เตียงว่างที่อยู่ติดระเบียงริมหน้าต่าง

“รุ่งไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวมันก็แห้งเอง” หุ่นยนต์ยังคงตอบเหมือนระบบอัตโนมัติ แล้วจึงโดนมือเล็กกดให้นั่งข้างล่าง ขณะที่อีกคนนั่งบนที่นอนเช็ดผมให้อย่างเบา ๆ

“อย่าดื้อ อากาศหนาว เดี๋ยวเป็นหวัดนะ” รุ่งยังคงเช็ดผมให้ต่อไป ผมหยักศกเริ่มแห้งม้วนตัวเป็นคลื่นเล็ก ๆ

“บอกได้หรือยังว่าเป็นอะไร” คนถามเริ่มมีอาการหมั่นไส้ จึงแกล้งต่อ ทีแกล้งเราน่ะแกล้งได้ พอโดนเอาคืนบ้างหงอยเลยทีเดียว

“....................................”

“ไม่คิดจะถามบ้างเหรอว่า ‘เขา’ เป็นใคร”

“ไม่หรอก สักวันเขนก็คงพบ ‘เขา’ เพราะยังไงเขนก็ไม่เลิกเป็นเพื่อนรุ่ง” รุ่งหยุดเช็ดผม

 

คนเดิมกลับมาแล้วสิ

 

“แต่รุ่งอยากเล่าให้ฟังต่อ”

“ถ้ารุ่งเล่าเขนก็จะฟัง” คนพูด ฝืนพูดไปทั้งที่ไม่กล้าจะหันไปสบสายตา กลัวว่าหัวใจตัวเองจะยอมรับมันไม่ไหว

 

คนเล่ากำลังเรียบเรียงเรื่องราว และกลั้นใจรวบรวมความกล้าก่อนที่จะเริ่มต้น

“ ‘เรา’ พบกันครั้งแรกเมื่อสิบเจ็ด ไม่สินะสิบแปดปีก่อน”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ ‘เรา’ พบกันเราก็ต่าง ‘รู้’ ว่าได้พบคนพิเศษ”

“เหมือนพบคนที่เติมเต็มกัน เหมือนพบคนที่รอคอยมาแสนนาน”

“จากความสัมพันธ์เกินคำว่าเพื่อน รวมกับความผูกพันตลอดระยะเวลาสามปีกว่าที่ไม่เคยแยกจากกัน”

“จนแปรเปลี่ยนเป็นคนรัก โดยเราแทบไม่รู้ตัว ‘รู้’ อีกทีก็ไม่เหลือสายตาที่จะมองใครได้อีกแล้ว หลังจากนั้นเส้นทางชีวิตก็มีทางแยกมาให้เลือก ตอนนั้นรุ่งเลือกที่จะอยู่ แต่....เขาขอร้องให้ไปทำตามความฝัน”

“และเขาสัญญาว่าจะรอ.....รอรุ่งคนเดียวเสมอ”

“จนกระทั่งเราแยกจากกัน รุ่งกลับมาอีกครั้งเพราะเขาประสบอุบัติเหตุ”

“ความจำของเขาในส่วนที่มี……รุ่ง หายไป”

“แต่เขาพยายามที่จะรื้อฟื้นมัน พยายามตามหาว่าคนที่เขา ‘รอ’ คือใคร”

 

คนที่นั่งหันหลังให้มาตลอด หันกลับมาจ้องด้วยความสงสัย

 

คนเล่ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

ไม่หยุดอีกแล้ว...หยุดหัวใจไม่ได้แล้ว

 

“เขาปวดหัวมาก มากจนยาไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีก ถ้ายังฝืนคิดถึงความทรงจำที่หายไปนั่น”

“เราพยายาม พยายามทุกทางให้เขาจำรุ่งให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดให้เจ็บปวดอีกต่อไป”

“แต่บางอย่างเมื่อมันลบแล้ว... มันย้อนกลับไม่ได้”

“เขาจำ...จำรุ่ง ไม่ได้อีกเลย แต่...ยังคงคิดถึงคนในความทรงจำนั่นต่อ”

“ทั้งที่คนคนนั้นอยู่ข้างหน้าเขา” คนเล่ากลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป

“จนเหลือแค่หนทางสุดท้ายที่จะรักษาเขา”

“ซึ่งจะทำให้ ‘เรา’ ทั้งสองคนกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง คือ......”

“ปล่อยให้เขาลืมรุ่งไปจากชีวิตเขา”

“……………………..” เริ่มสะอื้นและปล่อยให้น้ำตารินไหลอยู่อย่างนั้น

“รุ่ง....................” คนฟังทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เพียงใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้คนรัก แววตาฉายชัดความสับสน

คนเล่าจึงกลั้นสะอื้น ก่อนรวบรวมสติ และพยายามเล่าต่อ เพราะไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

“แต่ไม่รู้ทำไม... แม้เขาจะลืมรุ่งก็จริง แต่หัวใจเขา‘รู้’ ตลอดมาว่า‘เรา’ รักกัน เขาวนเวียนกลับมาหารุ่งรอบแล้วรอบเล่า”

“เขาเฝ้าแต่พูดคำ ๆ เดิม ไม่ว่าจะเป็นคำว่า...‘รัก’ หรือ คำว่าจะ......‘รอ’”

“ทำแบบเดิม ๆ ชัดเจนกับความรู้สึกยังไง ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น”

“พยายามทุกวิถีทางอย่างไร ก็ยังเฝ้าวนเวียนทำอยู่อย่างนั้น”

“ทั้งที่ไม่เคยรู้ว่า ‘เรา’ เคยรักกันมาก่อน”

“รักกันมามากเพียงไร”

“เขา ‘จำได้’ แต่เพียงว่า... เขารักรุ่งข้างเดียวมาโดยตลอด”

“ทั้ง ๆ ที่...........รุ่งรักเขาเพียงคนเดียวตลอดมา”

“..........................................................”

“เขน..................” คนตัวเล็กส่งกระดาษที่เขียนความปรารถนาให้กับคนตรง

 

‘อย่ารื้อฟื้นความทรงจำนั่นอีกเลย นะเขน’

 

“รุ่ง........................” คนตัวโตโผเข้ากอดคนตัวเล็ก

“เขนใช่ไหม เป็นเขนใช่ไหม เขนเองใช่ไหม” ร่างบางพยักหน้ารับในอ้อมกอดที่โหยหามานาน มือทั้งสองข้างกำเสื้อคนข้างหน้าไว้แน่นเพื่อรั้งตัวเองไว้ เพราะสะอื้นไห้อย่างหนัก

“รุ่ง.............” ลำคอแห้งผาด ความรู้สึกถาโถมจนจุกหน้าอก

 

ทำไม...

ทำไมความรักที่อุตส่าห์เพียรพยายาม

กลับทำร้ายอีกคนได้มากขนาดนี้ ทำร้ายโดยที่ไม่เคยรู้

 

สวรรค์ทำไมช่างเล่นตลก

ตาเริ่มพร่าเลือน อาการปวดเกิดขึ้นฉับพลัน จนกลั้นเสียงร้องไม่ได้ คนในอ้อมกอดผละออกเพื่อมองอาการคนตัวโต มือใหญ่ปล่อยอ้อมกอดแล้วกุมหัวตัวเองไว้

“เขนเป็นอะไร เขนอย่าเป็นอะไรนะ” คนในอ้อมกอดกลับเป็นคนโอบกอดคนที่มีอาการปวดไว้แทน

“เขน!! เขน!! ฟังรุ่งได้ยินไหม”

“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดคิดเดี๋ยวนี้ได้ยินไหม” ทั้งที่หัวใจตัวเองยังบอบช้ำ น้ำตายังไหลพราก

“เขน!! เขน!! เลิกคิด ถ้ารักรุ่งเลิกคิด เลิกคิดเดี๋ยวนี้นะ”

“รุ่ง............................” คนตัวโตเริ่มตอบสนอง จึงดันตัวออกจ้องมองลงไปในตาเหม่อลอยคู่นั้น

“เชื่อรุ่งนะเขน............เลิกคิดถึงความทรงจำนั่น”

“อยู่กับรุ่ง คิดถึงแค่รุ่งนะเขน” สายตายังคงงุนงง เหม่อลอย

 

ไม่แล้ว......ไม่.......ไม่มีทางปล่อย.........เขาไปได้อีกแล้ว

 

ผมตัดสินใจแล้ว

ผมตัดสินใจ... เลือกวิธีที่ใช้ไม่ได้ผลเมื่อครั้งอดีต

 

ครั้งนั้นผมเป็นเพียงความทรงจำที่ลืมเลือน....

แต่ครั้งนี้เขาพร่ำบอกว่า...ผมสำคัญกว่า

 

มือที่ผละดันตัวเขาออกยังวางอยู่ที่ลาดไหล่กว้าง ผมใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าคมขึ้นสบสายตาคู่นั้น ก่อนที่จะเอียงใบหน้าเล็กน้อยโน้มตัวลง บรรจงมอบจูบที่อ่อนหวานที่สุดให้แก่คนรักของผม

เขาเป็นของผม และผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไป.....จากผมอีก

 

แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงใด แม้จะต้องแลกกับอะไร

ผมยอม

 

เมื่อกลีบปากบางค่อย ๆ กดสัมผัส ละเลียด ขบเม้มริมฝีปากหยักคม ก่อนที่จะสอดแทรกปลายลิ้นเล็กเข้าสู่โพรงปากอุ่นภายในตวัดปลายลิ้น กระหวัดเกี่ยวพัน กวาดต้อนความอบอุ่น หอมหวานภายใน

หยุดไว้ซึ่งความหวั่นไหว ความเขินอายที่ปะทุขึ้นภายในใจ

 

จูบที่มาจากเสียงร่ำร้องภายในหัวใจที่โหยหา คร่ำครวญ เรียกร้อง ปลุกเร้าก่อเกิดรสจูบหวานล้ำ มือทั้งสองที่เคยวางที่ไหล่กว้าง ขยับโอบศีรษะของคนรักตรงหน้า กดรับรสสัมผัสของจูบที่กดลึกขึ้นเรื่อย ๆ และจมลึกลงทุกที ๆ

“อือ..... อืม...... อ่า”

จนค่อย ๆ รับความรู้สึกของคนรักที่ครางออกมา พร้อมตอบสนองรสสัมผัสของจูบรสหวานนั่นคืนอย่างอ่อนโยน ไม่แน่ใจว่าสติของเขาคืนกลับมา หรือกำลังขาดกระเจิงไปแล้ว

‘รู้’ เพียงอ้อมกอดอบอุ่นที่ถวิลหานั่นกลับมาประคองกอดอีกครั้ง และโอบรัดให้แนบชิดขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับจูบที่ค่อย ๆ เพิ่มดีกรีความลึกล้ำ ต่างตอบสนองรสสัมผัส ดึงดูด เมามัว ราวกับว่าจะไม่มีวันพรากจากกันได้อีกต่อไปแล้ว

 

กาลเวลารอบตัวเหมือนถูกหยุดไปนานเท่านาน

จนจวนเจียนจะขาดใจ

จึงค่อย ๆ ละสัมผัสที่ริมฝีปากออกจากกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ลมหายใจได้ผ่านลงเข้าไปในปอดอีกครั้ง ขณะที่ใบหน้ายังแนบชิด หน้าผากแอบอิงกันไว้ ปลายจมูกที่ชิดติดกันทำให้สัมผัสถึงไอร้อนจากลมหายใจของกันและกัน รวมทั้งอ้อมกอดยังคงรัดตราตรึงสองร่างเข้าด้วยกันเสมือนจะไม่มีวันผละออกจากกันได้

“รุ่งจ๋า....................”

“อือ...............”

เปลือกตาของใบหน้าหวานค่อย ๆ เปิดขึ้น และพบว่าดวงตาคมได้จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว สายตาหวานซึ้งของทั้งสองที่มอบให้กันและกัน ถ่ายทอดความรู้สึกภายในหัวใจได้จนหมด

“ดีขึ้นไหม ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า” คนตัวโตส่ายหน้าเบา ๆ

“สัญญานะเขน อย่าคิดถึงมันอีก”

“ถ้ารักรุ่ง… ถ้ารุ่งสำคัญกว่า เขนอย่าคิดอีก” คนในอ้อมกอดรีบทวงสัญญา

“แต่ความทรงจำนั่นก็เป็น...รุ่ง เขนก็อยากจำได้ ทำไมต้องให้รุ่ง ‘เก็บ’ และ ‘เจ็บ’ อยู่คนเดียว เขนเหมือนคนเห็นแก่ตัว” คนพูดทำท่า จะผละอ้อมกอดหนีอีกครั้ง แต่ร่างบางกลับดึงรั้งกระชับแน่นขึ้น

“ไม่แล้วเขน เขนฟังรุ่งนะ รุ่งจะไม่‘เก็บ’ แล้ว”

“รุ่งเล่าได้ รุ่งจะเล่าทุกอย่างที่ ‘เก็บ’ ไว้ คืนให้เจ้าของความทรงจำ”

“ ‘ความทรงจำ’ นั่นเป็นของ ‘เรา’ สองคน”

“รุ่งจะค่อย ๆ เติมเต็ม ‘ความทรงจำ’ ของเราทั้งสอง คืนให้เขน”

“ในเมื่อมันลบเลือนได้ เราก็เริ่มต้นใหม่ได้”

“แต่เขนต้องสัญญาก่อนว่า...จะไม่คิดถึงมันให้ต้องเจ็บอีก ไม่ต้องรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก และถ้าเขนไม่ ‘เจ็บ’ รุ่งก็จะไม่ ‘เจ็บ’ อีกต่อไป”

“สัญญานะเขน”

“รุ่ง.........เขนสัญญา”

 

หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 21-02-2018 09:48:43
เหมือนวันเวลาหยุดนิ่งชั่วกัลป์ นานเท่านาน ไร้ซึ่งคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ย เมื่อดวงตากำลังเปิดหน้าต่างของหัวใจ สายตาทั้งสองคู่ยังคงสบประสาน รอยยิ้มแสนอ่อนหวานที่เคยหลงเข้าใจมานานว่าเป็นของ ‘เขา’ คนนั้น

คนนั้น... ที่เป็นเขนมาโดยตลอด

รอยยิ้ม... ที่เป็นของเขนมาโดยตลอด

รุ่ง... ที่เป็นของเขนมาโดยตลอด

 

มันยิ่งกว่า... ความต้องการ

มันยิ่งกว่า... ความปรารถนา

มากกว่าเกินกว่าความฝัน... ที่วาดหวังไว้

 

เพียงแค่... มีกันและกันอีกครั้ง

ในตอนนี้....ในลมหายใจนี้.....

 

นิ้วยาวค่อย ๆ เกลี่ยน้ำตาที่ยังปริ่มดวงตาทั้งสองของใบหน้าหวาน เขารู้ว่ามันมิใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ทนทรมานอีกต่อไป และพร้อมที่จะทำทุก ๆ ทางไม่ให้ใบหน้าหวานต้องกลับไป ‘เก็บ’ และ ‘เจ็บ’ ดังเช่นวันวาน

                “เขน........”

“ชู่ววววว........” คนตัวโตเลื่อนนิ้วมาแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากบาง แล้วจึงโน้มใบหน้าเข้าจูบซับน้ำตาแทน

“ไม่ร้องแล้วนะคะ คนดีของเขน”

“อือ.................” ใบหน้าคมยังคงเคล้าเคลียบรรจงประทับรอยจูบไปทั่วใบหน้าหวาน สร้างความไหวหวั่นให้ร่างบางที่กลับกลายเป็นฝ่ายถูกโอบกระชับอยู่ในอ้อมกอดอุ่น แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ แต่สัญชาติญาณก็พร่ำบอกว่า... ถ้าไม่หยุด ณ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

นานเท่าไร.....ที่สองร่างไม่ได้อยู่ใกล้ติดชิดแนบมากขนาดนี้

นานเท่าไร.....ที่สองหัวใจถูกพรากจากกัน

 

ที่ผ่านมาทั้งชีวิตเคยมีแต่... ‘เขา’

ไม่เคยมีใครอีก.....เพราะ ‘ใจรัก’ ไม่เคยเปิดรับใครให้เดินเข้ามาอีกเลย

 

ประสบการณ์ที่เคยผันผ่านจึงเป็นเพียงความรักใส ๆ ในช่วงวัยเยาว์ ที่ถูกจำกัดด้วยความถูกต้อง และเหมาะควร แม้กลับมาพบกันอีกครั้งตลอดมาแม้อีกคนจะซื่อตรงเสมอกับความรู้สึก แต่ก็ยังคงรักษาระยะปลอดภัย ให้เกียรติ และแสดงตนเป็นสุภาพบุรุษตลอดมา

 

แล้ว ณ ขณะนี้พร้อมหรือยัง.....

 

คำถามสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในสมอง ก่อนที่สามัญสำนึกต่าง ๆ จะหลุดหายกระจายไป เมื่อมือใหญ่ทำหน้าที่ประครองคางเรียวให้ได้องศารองรับรสจูบที่นุ่มนวล อ้อยอิ่ง หวาบหวาม ละเลียดขมเม้มริมฝีปากบางอย่างหยอกเย้า เสมือนอีกคนก็กำลังลองใจดูการตอบรับ ตอบสนองจากอีกคนเช่นกัน และเมื่อพบเพียงอาการสั่นสะท้านเล็ก ๆ ของร่างบาง ความกังวล ไม่แน่ใจในสิ่งที่จะดำเนินต่อไปก็มลายหายไป

“อืม....อืม” เสียงครวญหวาน เป็นดังเช่นสัญญาญเปิดรับให้พร้อมรุกคืบ จึงสอดลิ้นเข้าไปกระหวัดเกาะเกี่ยวปลายลิ้นนุ่มบางภายใน ก่อนที่จะลิ้มรส ดูดซับ กวาดต้อนความหอมหวานลึก

ก่อนที่สติจะหลุดลอย ฝ่ายคุมเกมส์ต้องถอยสติการับรู้ของตัวเองออกมาจากความลุ่มหลงเมามัวในรสจูบหวานล้ำ เพื่อเริ่มต้นเปรอปรนฝ่ายรับให้พร้อม และยอมรับบทรักที่จะกำลังดำเนินสู่ขั้นต่อไป ขณะที่เพิ่มเติมระดับความเรียกร้อง เร่งเร้าด้วยรอยจุมพิต ก็ค่อยๆ โน้มตัวกดร่างบางให้ลงนอนใต้ร่างอย่างยอมจำนน

เมื่อไร้แรงฝืนกลับจากคนใต้ร่าง จึงจำต้องถอนริมฝีปากออกก่อนที่อีกคนจะขาดใจ ใบหน้าหวานแดงระเรื่อคล้ายแต้มแต่งด้วยสีกุหลาบ และยังคงหลับตาพริ้ม พร้อมหอบหายใจ

“รุ่งจ๋า..................” ผมรู้ว่าเสียงตัวเองแตกพร่าเพราะความต้องการที่เริ่มอัดแน่นภายใน

“เขนรักรุ่งนะครับ” แต่ยังคงฝืนพร่ำบอก

“รักรุ่งคนเดียว” เพราะรู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังล่องลอยอยู่นโลกแห่งความฝัน จึงเพียรพยายามทำให้โลกความฝันกับความจริงในตอนนี้พบประสบกัน ทำให้ทุกอย่างดีที่สุด สวยและงดงามที่สุดในความทรงจำของเราทั้งสองคน เพราะจะเป็นคืนนี้

 

คืนที่เราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งหัวใจ และร่างกาย

 

“อืม.....” สติของร่างบางยังคงลอยล่อง อีกคนจึงลอบยิ้มก่อนที่จะรุกคืบ มือทั้งสองผ่อนคลายอ้อมกอดที่รัดตรึงร่างบาง และสอดเข้าลูบไล้ผิวเนียนภายใต้เสื้อนอน ขณะที่เริ่มซุกไซ้ลำคอระหง ฝากประทับรอยจุมพิตซุกซนสำรวจไปทั่ว คนใต้ร่างค่อย ๆ สอดมือทั้งสองโอบรอบคอของคนตัวโตอย่างอัตโนมัติ

เมื่อความต้องการกำลังเร่งเพิ่มอุณหภูมิความเร่าร้อนจากภายในส่งผ่านออกมาภายนอก จึงค้นพบว่าเสื้อนอนดูจะแกะกะเกินไปสำหรับเราทั้งสอง จึงกดย้ำจูบลึกลงไปที่ริมฝีปากบางอีกครั้งเพื่อป้องกันการแข็งขืน ก่อนที่ชุดนอนจะลงไปกองกระจัดกระจายทั่วพื้นรอบเตียง ผิวเนื้อของเรือนร่างทั้งสองจึงได้ สัมผัส เกาะเกี่ยว เสียดสีกันแนบเนียนชิดใกล้จวนเจียนเป็นเนื้อเดียวกัน ปลุกเร้าไฟปรารถนาภายในให้ลุกโพรง จนต้องเพียรระงับความต้องการของตนอีกครั้ง เพื่อเตรียมรุกเร้าให้ร่างบางข้างใต้ ให้พร้อมตอบรับและก้าวเดินไปตามหนทางแห่งความรักพร้อม ๆ กัน

ร่อยรอยแห่งจุมพิตที่ทั้งเบาบางพลิ้วไหว และกดลึกเน้นย้ำสร้างร่องรอยแห่งความเป็นเจ้าของถูกประพรมไปทั่วร่างบางแทบจะทุกตารางนิ้ว ริมฝีปากจึงมาหยุดวนเวียน ขบเม้มลิ้มรสปลายยอดอกสีหวาน ขณะที่คนตัวเล็กบิดกายสั่นสะท้านสนองตอบรสสัมผัสอย่างเต็มใจและเป็นฝ่ายโอบรัด ฉุดรั้งคนข้างบนให้แนบชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ข..เขน...อย่า.....” เสียงห้ามอย่างอ่อนแรงไม่สามารถหยุดอีกคนที่กำลังลากเลื่อนริมฝีปากจากหน้าท้องเรียบเนียนไปประทับจุมพิตที่ส่วนอ่อนนุ่ม ก่อนที่จะเข้าครอบครองอย่างถือสิทธิ์

“อะ..อ่า......อืม” มือเล็กทั้งสองประกบปิดปากของตัวเองแน่น ขณะที่ใบหน้าหวานเริ่มส่ายสะบัด เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกจากรสสัมผัสที่มิได้นำพาต่อคำร้องขออ้อนวอน และยังคงขบเม้ม เร่งจังหวะ รุกเร้า รวดเร็วยิ่งขึ้น ๆ จนกระทั้งร่างบางหมดสิ้นความอดทนปลดปล่อยความอดกลั้นภายในออกมา ซึ่งถูกอีกคนดูดซับกลืนกินไปทั้งหมด เสียงลมหายใจของคนใต้ร่างหอบเบา ๆ และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็ยังพบใบหน้าคมที่กำลังโลมเลียยกยิ้มหยอกเย้า

 

มันเกินกว่า...ประหม่า

เกินกว่า...ความเขินอายทั้งหมดที่ประสบพบมา

 

จึงเตรียมพลิกตัวหนี แต่เรื่อนร่างเปลือยเปล่ายังคงถูกคนตัวโตกดตรึงไว้ จึงทำได้เพียงเบือนหน้าหนีสายตาคมกริบนั่น

“รุ่งจ๋า...........หวานจัง” คนพูดแกล้งกระเซ้า แต่คนฟังกำลังจะละลายหายตัวไปให้ได้เสียตอนนี้

“รุ่งเป็นของเขน ให้เขนรักนะครับ” จึงไม่ได้ฟังคำขออนุญาตจากอีกคน

รู้เพียงดูเหมือนบทรักที่ดำเนินมาเสมือนยังไม่สิ้นสุด เมื่อกำลังถูกปลุกเร้าด้วยจุมพิตที่กดย้ำลงลึกมากกว่าเดิม ความร้อนรุ่มจากบทเรียนที่ผ่านมายังไม่ห่างหาย แต่บทต่อมาดูจะหนักหน่วงยิ่งกว่า เมื่อรับรสจูบเพียงสักพักความรู้สึกยับยั้งชั่งใจ ก็ขาดหายไปอีกครา อารมณ์วาบหวาม สั่นสะท้านกลับมารุกคืบต่อติดอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายรุกรับรู้ถึงความพร้อมจากร่างบางข้างใต้จากเสียงครางหวาน และเรือนกายที่บดเบียดเสียดสีแนบชิด เขาเองแม้มีชั่วโมงบินมาก่อน แต่ไม่ได้ใกล้เคียงกับครั้งนี้

 

รุ่ง.....เป็น ‘คนรัก’

‘ที่รัก’ อย่างลึกซึ้ง....ยาวนาน

และไม่ต้องการให้บอบช้ำ แม้เพียงเล็กน้อย

 

จึงจำอดกลั้นความต้องการภายในเพื่อปลุกเร้าความต้องการของคนใต้ร่างให้มากขึ้น ๆ ให้ความต้องการเกินกว่าความเจ็บปวดที่จะได้รับ ให้ยินยอมพร้อมใจแม้จะต้องพบกับสิ่งใด

ใบหน้าคมจึงซุกไซ้ไล่เรียงระดมมอบจุมพิตหวาน และมาหยุดหยอกเย้าย้ำซ้ำที่ปลายอกสีหวาน และส่งนิ้วยาวเรียวค่อย ๆ ทำหน้าที่สำรวจช่องทาง เตรียมพร้อมหนทางแห่งรัก

“อืม..อะ เขน....ไม่ไหวแล้ว” คนตัวเล็กพร่ำเพ้อ ครางครวญออกมา แม้ไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด

“รุ่งจ๋า.......พร้อมนะ”

“อืม...............” ฝ่ายรุกจึงรีบฉวยโอกาสไว้อย่ารวดเร็ว เพราะเกินทรมานกับการสะกดกั้นความต้องการของตนเองแล้ว

“อะ..เขนเจ็บ” เมื่อมีสิ่งรุกล้ำร่างบางจึงผวากอดคนด้านบนแน่น

“เขน...รักรุ่งนะคะ”

“รักรุ่งนะ” อีกคนพร่ำบอกก่อนที่จะกดจุมพิตลงไปดึงความรู้สึกจากจุดนั้น แล้วค่อย ๆ ดันตัวเองสอดใส่ แม้จะผ่อนแรงเพียงใดก็ทำได้เพียงผ่อนคลายความเจ็บปวดไปได้ชั่วคราว

หากคำบางคำที่พร่ำบอกกลับเพิ่มความอดทนของอีกคนได้อย่างประหลาด สติที่ล่องลอยอยู่ในความฝัน เกือบถูกกระชากกลับมาลงมาสู่โลกของความจริงด้วยความเจ็บปวด

 

เพียงแต่... คำว่า ‘รัก’ กับ ‘คนรัก’ ที่โอบกอดอยู่

ทำให้... แม้จะเจ็บเท่าไร... แม้จะแลกกับสิ่งใด...ก็ ‘ยอม’

 

เมื่อร่างบางเริ่มผ่อนคลาย บทรักบทต่อไปจึงเริ่มดำเนินต่อตามครรลอง จังหวะรักในตอนแรกเนิบนาบ อ่อนหวาน ชวนไหวหวั่น จนเสียงหวานที่ครวญครางให้รู้ว่าจุดกระสันแห่งความสุขสมของคนใต้ร่างอยู่ ณ จุดใด พร้อมกับการสนองตอบ รองรับแนบชิดของร่างบาง ทำให้คนด้านบนเปลี่ยนแปลงจังหวะรุก จังหวะรักให้ค่อย ๆ กดลึก ถี่ระรัว มากยิ่งขึ้น เสียงหอบหายใจ และเสียงครางไม่เป็นศัพท์ของทั้งคู่ดังระงมทั่วบ้านพัก จนร่างเล็กสิ้นสุดความอดกลั้นถูกปลดปล่อยอีกครั้ง คนคุมเกมส์จึงเลิกควบคุมความอัดอั้นภายในของตนเอง และปลดปล่อยให้คนใต้ร่างรองรับความต้องการของตนเองอย่างหมดสิ้น สองร่างกระหวัดกัดเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียว

 

สองร่าง...ร่วมเป็นหนึ่ง ทั้งกาย และใจ

 

ความสงบจึงกลับคืนมา ณ สถานที่พักแรมอีกครั้ง คนตัวเล็กยังคงมัวเมาอยู่ในโลกแห่งความฝันที่สุขล้น ไม่กล้าที่จะเปิดตามารับรู้โลกแห่งความเป็นจริง คนเจ้าเล่ห์จูบซับรอยเหงื่อที่รื้นไปทั่วใบหน้าหวาน โดยไม่ยอมถอนกายตัวเองออก ร่องรอยแห่งคราบรักของคนใต้ร่างยังเปรอะเปื้อนอยู่ที่ท้องน้อยเรียบเนียน นิ้วเรียวยาวลูบไล้กวาดต้อนของเหลวเล่น จนร่างบางต้องลืมตาขึ้นมามอง

“ทำอะ....” ทำอะไรน่ะเขน

ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยได้ครบ ความร้อนก็พุ่งขึ้นทั่วทั้งใบหน้าอีกครั้ง พร้อมกับรีบข่มตาลงอีกครั้ง เมื่อพบว่าอีกคนกำลังเลียนิ้วตัวเองอยู่

“ก็มันหวาน... นี่นา” เมื่อใบหน้าคมก้มลงมากระซิบข้างหู ก็ทำได้พียงเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

‘อ๊ากกกกกกกก’

อยากกรีดร้อง อยากเอามือขยี้หัวตัวเอง แต่ทำได้เพียงผ่อนจังหวะหายใจเพื่อให้หัวใจที่เต้นรัวกลับมาทำงานตามจังหวะเดิม นี่เขาตัดสินใจอะไรผิดพลาดรึไง ไม่ใช่เขาไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ‘รู้’ มากเกินไปด้วยซ้ำ อาจมากกว่าที่เขนรู้จักเขาด้วยซ้ำ

‘เขน’ ยืดมั่น เที่ยงตรง และหวงแหนของรัก แต่ระยะเวลาที่พรากจาก ทำให้ต้องปรับตัวกันอีกนานกับความต้องการของอีกคน

 

‘เขน’ คุณจะ HOT ไปไหน..... ผมคงทำได้เพียง...ทำใจ

 

โดยไม่รู้ว่าอีกคนก็กำลังเอ็นดูใบหน้าหวานที่แดงระเรื่อตลอดบทรักที่ผันผ่าน

‘รุ่ง’ เงียบเก็บตัว ขี้อาย แต่ฝืนแข็งแกร่ง มั่นใจ และดื้อดึง

ไม่รู้ตัวถึงเสน่ห์ที่แสนจะทรมานคนรักของตัวเอง

 

‘รุ่ง’ อ่อนหวาน เซ็กซี่ จะตายเมื่ออยู่บนเตียง......

แล้วผมจะหักห้ามตัวเองอย่างไร

 

ความหลงใหล คลั่งใคล้ยิ่งมากล้นทับทวี เมื่อได้สัมผัสรับรสแห่งรักในครั้งแรก และจึงเริ่มต้นบทรักอีกครั้งด้วยการปลุกเร้าของคนที่ชำนาญ และความใจอ่อน แพ้คำว่า ‘รัก’ ของคนที่อ่อนประสบการณ์ บทเรียนแห่งรักจึงย่างเข้าสู่บทต่อไป และต่อไป

 

เราสองคนยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันตลอดคืน ที่นอนริมหน้าต่างที่หนาวเย็นที่สุด กลับอบอุ่นที่สุดเมื่อสองร่างยังสนิทแนบชิด สอดประสาน ตอบรับ แลกเปลี่ยนไออุ่นซึ่งกันและกัน

จน ‘บทรัก’ จบลงใกล้รุ่งสาง

 

“รุ่งจ๋า...................” คนรักในอ้อมกอดของผมกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

“หืม...........”

“จะนอนแล้วเหรอครับ”

“อืม... ไม่ไหวแล้ว พอก่อนนะเขน”

“หึหึหึ คิดอะไร เขนเปล่าปลุก เพราะเรื่องนั้นเสียหน่อย”

“รุ่งจ๋า................” คนตัวโตยันตัวขึ้นตะแคงมองใบหน้าหวาน ก่อนเอื้อมมือปัดไรผม ที่บดบังใบหน้า

“อะไรอะ”

“ไหนตอนหัวค่ำบอกว่ามีอะไรอวด”

“ทำไมทีอย่างนี้ ความจำดีอะ” เมื่อคนตัวเล็กเริ่มเหวี่ยงเมื่อถูกปลุก คนตัวโตจึงรีบอ้อน

“เขนอยาก ‘รู้’ ว่าอะไร” ก่อนที่จะอดใจไม่ไหวกดปลายจมูกลงที่แก้มป่องที่แสนงอน ก่อนที่จะซุกไซ้ลงมาเรื่อย จนใกล้ริมฝีปากที่ยื่นแบะน้อย ๆ อย่างคนเอาแต่ใจ

“ไหนว่าไม่ใช่เรื่องนี้ไง” ร่างบางดันใบหน้าแมวตัวโตที่กำลังจะเริ่มต้นบทรักที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคม

“อย่ามองใครอย่างนี้อีกนะรุ่ง โครตน่า.........”

“พอเลย...พอเลยเขน เมื่อก่อนก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ไม่ได้เป็นมากอย่างนี้” เสียงหวานบ่น ก่อนจะฝืนกายที่เมื่อยล้าและเจ็บเสียด พลิกกายตะแคงและเอื้อมไปยังกระเป๋าข้าง ๆ เตียง

“ไปไหนอะรุ่ง” หากคนตัวโตตามมานอนทาบทับด้านหลัง ก่อนที่จะวางปลายคางไว้ที่หัวไหล่กลมมน

“ก็อยาก ‘รู้’ ว่าเอาอะไรมาอวดไม่ใช่เหรอ” รุ่งยังค้นของในกระเป๋า ก่อนที่จะหยิบพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มสีขาวออกมา

“หนักนะเนี่ยเขน ถอยออกไปก่อนจะแบนแล้ว” แมวตัวโตยังซนฝังใบหน้าคลอเคลียลำคอขาวระหงด้านหลัง

“ก็อยากอยู่อย่างนี้”

“ตกลงจะไม่ดูของที่จะอวดแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ดูจะได้นอน”

“ดูครับ”

“งั้นถอยไปก่อน” แม้คนตัวโตจะยอมถอยตัวออก แต่รวบร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนกลับมาเอนหลังพิงหมอนที่หัวเตียงอีกครั้ง

“อะไรเหรอรุ่ง” คนตัวเล็กค่อย ๆ เปิดพ็อกเก็ตบุ๊คเพื่อหา ซองใสที่เสียบอยู่ ก่อนดึงออกมา

“ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรก” คนพูดยิ้มหวานพร้อม ยื่นซองใสที่บรรจุ ‘ดอกลิลลี่’ ที่ถูกทับจนแห้งสนิทไปตรงหน้าคนฟัง

“ดอกแรกที่เขนให้ วันปัจฉิมนิเทศตอนจบมัธยมต้น” คนฟังรับซองใสมาจ้องพินิจ เป็นของเขาสินะ เป็นเขามาโดยตลอด

“ไม่ได้เอาเพื่อนมันมาด้วย รุ่งมีเก็บไว้เต็มสารานุกรม 3 เล่มเลย”

“รุ่ง................” คนฟังพูดอะไรไม่ออก แม้จะจำไม่ได้ แต่รับรู้ในหัวใจถึงความพิเศษของมัน และความพยายามของเราทั้งสองคน

“ไว้ไปที่บ้าน เดี๋ยวจะเอาเพื่อน ๆ มาอวดด้วย มีหลายร้อยดอกเลย”

“มีรูปถ่ายด้วยนะ รูปเยอะแยะเลย ตั้งแต่สมัยตอนเรียนด้วยกัน รูปที่เขนส่งให้ตอนมหาลัยก็มีด้วย”

“ช่าง ‘เก็บ’ จริง ๆ นะเรา” ผมกระชับอ้อมกอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงตกหลุมรัก คนคนนี้ได้ถึงสามครั้ง ก็น่ารักอย่างนี้สิน่า

“มันเป็นของเขนนี่ รุ่งก็ต้อง ‘เก็บ’ ไว้” คนตัวเล็กดึงซองใสกลับไปเก็บอย่างหวงแหน

“ใช่มันเป็นของเขน เหมือนรุ่งที่เป็นของเขนไง” แมวตัวโตรัดร่างบางที่แอบชิดใต้ผ้าห่มแน่น โดยไม่มีปฏิกิริยาขัดขืนของคนอีกคน คงยอมรับแล้วสินะ

“เขนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไหม ใกล้เช้าแล้ว”

“ไม่ไปแล้ว อยู่อย่างนี้ดีกว่า รุ่งก็ไม่ต้องลาพระจันทร์แล้วนี่นา เขนจะไปดูพระอาทิตย์ทำไม”

“จริงสินะ ก็รุ่งได้พระจันทร์คืนมาแล้ว” กลายเป็นลูกแมวตัวน้อยที่พลิกตัวมาซุกลงในอ้อมกอดอุ่น

“แปลกนะเขนมักคิดมาตลอดว่า...รุ่งเหมือน ‘แสงจันทร์ เย็นตา ชวนฝัน น่าหลงใหล’” คนตัวโตเชยคางคนตัวเล็ก ขึ้นสบสายตา

“รุ่งก็คิดมาตลอดว่า...เขนเหมือน ‘พระจันทร์’ ส่องแสงสว่าง อบอุ่น นุ่มนวล”

แล้วสมองเล็ก ๆ ที่ปราดเปรียว เก็บเล็กผสมน้อย ช่างสรรค์สร้างก็เอ่ย

“ก็ ‘แสงจันทร์’ ของ ‘พระจันทร์’ ไง”

“ก็ ‘รุ่ง’ เป็นของ ‘เขน’ ตลอดมา” พร้อมส่งรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน นี่ยังไงหลักฐานที่ทำให้หัวใจทั้งหัวใจหลงใหลเมามัว

“แล้ว ‘รุ่ง’ ก็จะเป็นของ ‘เขน’ ตลอดไปด้วย” คนตัวโตประกาศชัด คำมั่น ที่จะทำทุก ๆ ทางที่ทำให้ ‘เรา’ สองคนอยู่ด้วยกันตลอดไป

 

ของบางอย่าง...... คนบางคน......... เกิดมา

เพื่อ........คู่กัน

เพื่อ..........เติมเต็มกัน

เพื่อ...........เป็นของกันและกัน

 

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้ฝันดีหรือฝันร้ายจะผ่านเข้ามา

สักวันมันก็จะผ่านพ้นไป

 

เพราะความจริง ข้างในหัวใจของเราทั้งสองคน

เรา ‘รู้’ ..............ว่ามันจะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ







#JKLTHESERIES



Talk;

เราอยากเล่า JKL อย่างที่บอกเป็นการ Rewrite จากแฟนฟิคมาเป็นวาย ดังนั้นในครั้งแรกที่ปล่อยออกมาเมื่อห้าปีก่อน เราปล่อย KEEP มาก่อน แล้วเขียน SF สั้นๆ มาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น LOVE แล้วช่วง LOVE ปล่อยได้สามสี่ตอนเราปล่อย JUST ออกมา ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครคิดเลยว่ามันเป็นเรื่องต่อกัน หากแต่ความหวาน ๆ ใน LOVE มันเลยช่วยไม่ให้คนอ่านทรมานมากเท่าการปล่อยตามลำดับเวลาในครั้งนี้

หากแต่ท่านที่อดทนอ่านมาได้ถึงตอนนี้ ช่วงต่อไปคือกำไรของท่าน อีกทั้งอ่าน LOVE ไปปมของ JUST กับ KEEP จะค่อย ๆ คลายตัวออก แม้เชื่อว่าคงจะพอเดา ๆ กันได้ แต่มาดูว่าทั้งสองเรื่องจะประสานกันอย่างไรนะคะ

LOVE ในความรู้สึกเรามันจะคล้ายๆ ซิทคอม ที่สื่อถึงความรักของเขาทั้งสองคนค่ะ จะพยายามทยอยอัพให้เหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

JUSTWIND

 
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-02-2018 14:50:15
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 21-02-2018 17:19:54
กำลังตามอ่านจ้า แวะมาแสดงตัวก่อน ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 21-02-2018 22:59:50
 :L2:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: BAD VALENTINE 22.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 22-02-2018 11:02:37
Chapter I: Bad Valentine

 



‘เริ่มแล้วสินะ’ 

ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง บางครั้งความหลังในครั้งอดีต ก็ไม่ได้การันตีว่าจะสามารถผูกรั้งความรักได้เสมอไป เพราะความรักมันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากกว่า ทั้งที่ผมตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นอย่างนี้ก็ต้องรับมันให้ได้

แม้มันไม่ได้เจ็บปวดมากเท่าครั้งก่อน ๆ แต่เหมือนทุกลมหายใจกลับขัด ๆ เพราะอย่างน้อยก่อนหน้านี้ยังตระหนักรู้เสมอถึงความรักที่ส่งมา แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ แต่ตอนนี้เมื่อสัญญาณแห่งความรักถูกตัดขาด

“เฮอ..................” ผมถอนหายใจให้กับหัวใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ ยังเฝ้าคอยหาคนที่จะขึ้นลิฟต์ด้วยกันในตอนเช้า ต้องเตือนตัวเองไว้ ‘ไม่มีแล้ว’ และตัดใจก้าวขึ้นลิฟต์คนเดียวอีกครั้ง

 

‘ZZZZZZZZ’ ไอโฟนสีขาวสั่นอยู่บนโต๊ะทำงาน

‘ทานข้าวหรือยังครับ อย่าลืมทานข้าวเช้านะ เป็นห่วง’

ความผูกพันและความเห็นใจทำให้ข้อความพวกนี้ยังถูกส่งอย่างสม่ำเสมอ ‘คำหวาน’ ที่พยายามสื่อความห่วงใย แต่มันกลับตอกย้ำความอ้างว้างในจิตใจ มันคงจะดีสำหรับคนที่มีความหวัง แต่มันทำร้ายคนที่หมดแล้วซึ่งความหวังอย่างผม

“รุ่ง.....ทานข้าวหรือยัง” คำถามแสดงชัดถึงเยื่อใยบาง ๆ ระหว่างกันที่ยังผูกมัดแน่นหนา แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ถ้าจะถามหลังจากหมดช่วงเวลาพักกินข้าวไปแล้ว

ถามทำไม...

ความหมายในประโยคกับช่วงเวลามันช่างตอกย้ำ..... การแปรเปลี่ยน

“ทานแล้ว” มันคงเป็นแค่ประโยคทักทายสินะ

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“จะให้ตอบยังไงเหรอเขน” ผมถามตามความรู้สึก

“เขนเสียใจ” จะบอกเพื่ออะไร

“ไปเถอะ” ผมจึงพยายามรวบรวมสมาธิ ก้มหน้าก้มตาทำงานอีกครั้ง เพื่อดึงความสนใจทั้งหมดของตัวเองจากเขา

และทุกอย่างยิ่งชี้ชัดความขัดแย้งระหว่างความอ่อนไหวที่เขามีกับการกระทำที่ตอกย้ำว่าไม่มีวันจะกลับมาเป็นเฉกเช่นเดิม เมื่อตอนเย็นเขาออกไปกับคนคนนั้น ผมต้องฝืนแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างยังคงปกติ

ทั้ง ๆ ที่..... ภายในหัวใจจวนเจียนจะขาดใจตาย

 

“รุ่งจ๋า........คิดถึง” เสียงที่คุ้นเคยจากปลายสาย

“........................” ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเคย

“ตอนเย็นไปทานอะไรมาครับ” ไม่เคยหยุดได้เลย

“หยุดสักทีได้ไหม ไหนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก” ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันไว้แล้ว

“แค่อยากบอกว่า... เขนเป็นห่วง”  ถ้าเขาไม่ยอมหยุด

“‘รู้’ แล้ว แค่นี้ใช่ไหม” ผมก็ควรจะต้องหยุดมันเอง

“ครับ กู๊ดไนท์” คนที่ถูกหยุดน้ำเสียงเศร้าก่อนวางสายไป

‘คนที่ถูกหยุด’ ไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ‘คนที่พยายามหยุด’ คนอื่น กลับหยุดตัวเองไม่ได้ อาการเหน็บหนาวเย็นชาเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้วหัวใจแผ่กระจายออกไปจนถึงมือที่ประคองโทรศัพท์ ปลายนิ้วหมดความรู้สึกจนทำไอโฟนร่วงหล่นบนที่นอน

เพียงเพราะ ‘ถ้อยคำ’ ไม่กี่คำ..... จากความหวังดีกลับ ‘ทำร้ายใจ’ คนที่ต้องเข้านอนคนเดียวให้โหยหาอาวรณ์ มือเรียวบางค่อย ๆ ลูบไล้บนที่นอนอันเย็นเฉียบ เพียงแค่ไม่กี่วันก่อน เขาคนนั้นยังนอนเคียงข้าง หยอกล้อ คลอเคลีย มอบไออุ่นซึ่งกันและกัน เมื่อหยิบหมอนใบสีขาวนุ่มฟูที่วางเคียงกันมากอดไว้ในอ้อมอกก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ มันยังติดตรึงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก จะข่มตาลงนอนได้อย่างไร

คนอดนอนทั้งคืนฝืนพาร่างกายที่ไร้หัวใจมาทำงาน แต่ความอ่อนล้ายังไม่สามารถเทียบเคียงความอ่อนใจได้แม้แต่น้อยนิด ยิ่งมาพบช่อลิลลี่สีขาวช่อโตบนโต๊ะทำงาน



สุขสันต์วัน...............วาเลนไทน์

ขอบคุณสำหรับความรักที่มั่นคงตลอด 18 ปี

แม้ว่าปีนี้เราจะไม่ได้อยู่เคียงข้างกัน

แต่ขอเพียง ‘รู้’ ไว้เสมอว่า

รักครับ

เขน

 

‘วาเลนไทน์’ วันแห่งความรัก ไม่ใช่วันของความเอื้ออาทร

ถ้าเลือกแล้วว่าจะ ‘ไม่รัก’

ถึงดอกไม้กี่ช่อ ก็ทดแทนความรักไม่ได้ ชดเชยไม่ได้

 

ขณะที่ ‘เขา’ และคนคนนั้นเตรียมออกไปดินเนอร์ใต้เสียงเทียนร่วมกันในวันวาเลนไทน์ ผมกลับต้องทนเห็นภาพบาดใจ และกรีดย้ำลงในบาดแผลแห่งความเดียวดาย

วันแห่งความรัก

ก็ต้องเป็นวันสำหรับ ‘คนรัก’

คนอื่น คนที่ ‘ไม่ได้รัก’ เช่นผมต้องหยุดคิดถึง ‘ถ้อยคำ’ อ่อนหวานในการ์ดใบนั้น เพื่อให้ความเหงาเบาบางลงไป



“รุ่งเมื่อคืนไปไหนมา....เขนไปรอที่บ้าน”

“โทรศัพท์ก็ไม่รับ รุ่งจ๋า..........” คนถามทอดเสียงออดอ้อน

“นอนที่ออฟฟิศ กำลังเตรียมโครงการใหม่” ผมตอบ ขณะที่ลมหายใจเริ่มติดขัด

“ทีมก่อสร้างที่ทำงานกับรุ่งยังชิวอยู่เลย แบบโครงสร้างอัปเดตมาแล้วเหรอ รุ่งยังต้องรีบปั่นงานทำไม”

“ต้องเตรียมคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เข้าบอร์ดบริหารวันจันทร์หน้า ยังไม่ต้องใช้แบบหรอก”

“ได้นอนบ้างหรือเปล่า ตาช้ำไปหมดแล้ว” มือใหญ่เชยคางผมขึ้นมองสบตา

“อย่าทำอย่างนี้เขน มันจบแล้ว” ผมเบือนหน้าหนีจากมือและสายตาที่ฉายชัดความรู้สึกคู่นั้น

“อย่าทำให้มันยุ่งยาก ลุกลามมากกว่านี้เลย หยุดเถอะเขน” ผมพูดโดยไม่อาจหันกลับไปมอง

“รุ่ง..............................” เสียงฝีเท้าหนักเดินจากไป

แค่.....ความสงสาร

เขาเพียง.....แค่สงสาร ผมย้ำบอกตัวเอง

ผมต้องหยุดรับความเอื้ออาทร......เพราะความสงสารนั่นให้ได้

ผมต้องหยุดไม่ให้เขา ‘ราดน้ำมันลงมาในกองไฟ’ ในใจให้ได้...........ก่อนที่จะลุกลามมากไปกว่านี้

 

ความจริงงานในเฟสนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ แต่เหตุผลในใจผลักดันให้ต้องทำ

“พี่บลูครับผม พรุ่งนี้ผมติดต่อที่ไซด์ไว้แล้วว่าจะลงไปดูพื้นที่จริงหน่อย เผื่อจะได้ไอเดียอะไรมาบ้าง”

“อืม ไปเถอะรุ่ง......แต่อย่าหักโหมมากนะ” พี่บลูตบบ่าเบา ก่อนที่จะพูดต่อ

“รวมถึงเรื่องนั้นด้วย” พี่บลูคงรู้เรื่องแล้ว

“ครับ”

โครงการใหม่ที่ผมรับผิดชอบอยู่ในกรุงเทพฯ แม้ระยะทางจะไม่ไกลนักแต่การจราจรที่แน่นขนัด จึงตัดสินใจไม่เข้าออฟฟิศในตอนเย็น ห่างกันบ้างทำให้พอมีระยะเวลาทำใจ วันนี้ได้กลับบ้านเร็วชวนน้อง ๆ ไปเตะบอลน่าจะดี แต่ก่อนจะได้โทรนัดน้องชาย

‘ZZZZZZZZ’ ไอโฟนสีขาวมีข้อความเข้าอีกครั้ง

ข้อความที่ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ

‘เขนรอที่บ้านนะรุ่ง’

คืนนี้น่าจะมีงานที่ต้องเคลียร์กะทันหัน งานที่ว่าคือเคลียร์เขาออกไปจากหัวใจ ‘ตอนนี้’ ให้เร็วที่สุด

พยายามมาทั้งวัน..........เพียงแค่ข้อความเดียว

ต้องหยุดอาการอ่อนไหวนี่ให้ได้

 

ไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าใคร มานั่งลูบผมของผมเล่น ต้องทำใจอยู่นานก่อนฝืนใจดันตัวขึ้นจากถุงนอน

“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้รุ่ง ยังไม่ถึงเวลาทำงานหรอก” เมื่อมองผ่านกระจกออฟฟิศจาก ก็เห็นวิวใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีเพียงแสงอ่อนสาดส่องรำไรจากดวงอาทิตย์ที่พึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ยังเช้ามืดอยู่

“ทำไมมาทำงานแต่เช้า” ผมมองคนที่มาปลุก

“ก็มีคนไม่กลับบ้าน ให้เขนนอนสบายคนเดียวได้ไง” มือใหญ่ยังเอื้อมมาสางผมยุ่งให้เข้ารูปเข้ารอยบ้าง

“เหนื่อยไหมรุ่ง ได้นอนตอนกี่โมง” ผมยังพยายามเรียกสติกลับมา

“ไม่เป็นไร ก็ได้นอนบ้าง” ช่วงนี้เรื่องอะไร ๆ มันค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน

“วันหลังกลับไปนอนบ้านเถอะ ให้เขนมารับก็ได้ จะได้หลับในรถ” ก่อนจะตระหนักได้ถึงความสัมพันธ์ของเราที่มันเปลี่ยนแปลงไป

“เขนอย่าทำอย่างนี้ ‘ตอนนี้’ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” ผมให้สติเขา และตอกย้ำตัวเอง

“แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่รุ่ง” ผมหลับตาลงเพื่อสงบใจตัวเอง

ใช่สินะ ‘เพื่อน’ คือคำนิยามความสัมพันธ์ใน ‘ตอนนี้มีเพียงแต่ผมที่อ่อนไหว กับความห่วงใยใจดีของเขา ทั้งที่ทุกอย่างที่เขาแสดงออกคือ ‘เพื่อน’ มีเพียงหัวใจของผมเองที่เกินจะรับไหว ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวอีกต่อไป

คงต้อง......

“เขน.......ถือว่ารุ่งขอร้องเถอะ อย่ามายุ่งกับรุ่งอีกเลย” ผมตัดใจสบตาคมคู่นั้นตรง ๆ

“ถ้าทำอย่างนี้เมื่อไหร่รุ่ง จะตัดใจได้” ร่างกายเริ่มสั่นไหวกับคำพูดของตัวเองที่สื่อออกมาจากหัวใจ

“เมื่อ ‘ไม่รัก’ รุ่งแล้ว ก็ปล่อยรุ่งไปเถอะ”

หยุดได้แล้ว พอได้แล้ว

 

“เลิกเล่น ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้วรุ่ง” ในที่สุดคนตัวโตก็โวยวาย ออกมา

“แน่ใจ” ผมแอบถอนหายใจ ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ก่อน ผมก็ใกล้จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“ใช่ ไม่เอาแล้วอะ ไม่เล่นแล้ว” ร่างบางถูกคนตัวโตรวบไปกอดไว้ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นอีกครั้ง

“ก็ใครใช้ให้ไปรับปากน้องมันเอง” ผมตอบพร้อมกลับพยายามผละออก แต่เหมือนคนตัวโตไม่ยอมปล่อยอีกแล้ว

“ก็ใครจะคิดว่ารุ่งจะเล่นแบบนี้” ก็เขนเป็นคนหาเรื่องเอง

“ก็ไม่ได้ขี้โกงนี่นา” ผมมั่นใจ

“ไม่ขี้โกงก็จริง แต่รับไม่ไหวแล้วอะ รุ่งไม่น่าช่วยไอ้เด็กแสบนั่น” เสียงออดอ้อนตัดพ้อ

“เปล่าไม่ได้ช่วย ตั้งใจเอง ก็เขนไปรับปากง่าย ๆ อย่างนั้นเอง” น่าหมั่นไส้จริงๆ ตอนรับปากไม่คิดถึงคนอื่นเอง ก็ช่วยไม่ได้

“เขนขอโทษอะ ไม่ทำอีกแล้วนะ เลิกเล่นนะ ไม่ไหวแล้ว” คนพูดกำลังกดจมูกคมลงมาซุกไซร้ที่ลำคอ

“ปล่อยก่อนนี่ออฟฟิศนะเขน มีกล้องวงจรปิดด้วย” ผมรีบดึงตัวออกจริงจังต้องตัดไฟแต่ต้นลม พร้อมย้ำต่อไป

“แล้วไปบอก ยอมแพ้เจ้าเฟรมด้วย”

 

ย้อนไปสัปดาห์ก่อนวันวาเลนไทน์หนึ่งอาทิตย์

“พวกพี่สองคนอยู่ไกล ๆ กันสักครึ่งชั่วโมงได้ปะ ผมน้ำตาลจะขึ้น”

ตั้งแต่กลับมาคนตัวโต นอกจากแทบจะไม่ยอมนอนคอนโดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า ‘เหมียวมันไม่ชอบอยู่คอนโดไม่มีที่เดินเล่นมาอยู่บ้านรุ่งดีกว่า’ ทั้งแมว และเจ้าของแมวจึ งย้ายมานอนที่บ้านกึ่งถาวร

อีกทั้งยังหอบเอาโน้ตบุ๊กตัวเองมานั่งในฝ่ายคนอื่น โดยลากเอาเก้าอี้รับแขกจากห้องพี่บลูมายึดไว้ถาวร พร้อมแบ่งที่บนโต๊ะทำงานผมไปเกือบครึ่ง พี่บลูได้แต่อมยิ้มไม่ว่าอะไร ดูเหมือนพี่เชนจะส่งเสริมเห็นดีด้วย เนื่องจากได้เดินมาคุยงานกับเขนที่ฝ่ายคนอื่น (ย้ำว่าฝ่ายคนอื่น) บ่อย ๆ จึงไม่แปลกใจที่เจ้าถิ่นแบบเฟรมเริ่มโวยวาย

“พี่เขนไม่ต้องไปที่ไซด์เหรอ ต้องลงพื้นที่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าเฟรมพยายามขับไล่

“ไซด์ใกล้แค่นี้เองเดี๋ยวไปก็ได้” ช่วงนี้ทั้งเขนก็รับผิดชอบโครงการในกรุงเทพฯ เหมือนกัน หากแต่คนละโครงการกับผม

“ผมชอบวิวโต๊ะพี่รุ่งอยู่ด้วย พี่มานั่งที่นี่บังวิวหมดเลยอะ” นอกจากห้องพี่บลูแล้วก็มีโต๊ะผมติดกับกระจกมองเห็นวิวเมืองกรุงข้างล่าง ลำพังตัวผมนั่งคนเดียว คงพอแบ่งวิวสบายตาให้เด็ก ๆ ในฝ่ายได้บ้าง แต่พอคนตัวโตแฝงร่างเข้ามาเนียนนั่งด้วยก็บดบังทัศนวิสัยไปจนเกือบหมด

“เนี่ยพี่เขนมดขึ้นเต็มฝ่ายไปหมดเลย พี่ ‘ไม่รัก’ กันบ้างได้ปะ” มดขึ้นจริง แต่คงเป็นเพราะขนมที่สองหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ขยันหามากินด้วยกันมากกว่า

“โห ‘ไม่รัก’ กัน ง่ายกว่ารักกันอีก” เจ้าตัวโตตอบน้อง จริงเหรอผมกำลังนึกสงสัย แต่ยังคงฟังเงียบ ๆ ต่อไป

“งั้น พี่เขนผมขออะไรอย่างดิ อาทิตย์หน้าพี่แกล้ง ‘ไม่รัก’กัน สักอาทิตย์ได้ไหม เป็นเพื่อนผมหน่อย”

“จะวันวาเลนไทน์แล้วด้วย ผมยังไม่มีใครเลย ผมเหงา” ไอ้เฟรมอ้อน

“ก็ได้ วันวาเลนไทน์ ก็แค่วันที่ฝรั่งอุปโลกน์ขึ้นมาหลอกขายช็อกโกแลต วันแห่งความรักไม่จำกัดหรอกว่าเป็นวันไหน” ข้อนี้ผมเห็นด้วย

แต่...’ก็ได้’ นั่นหมายความว่ายังไง

“งั้นหมายความว่าพี่จะแกล้ง ‘ไม่รัก’กัน อาทิตย์นึงให้ผมใช่ปะ” นั่นไงเขน เสร็จเจ้าเฟรม

ผมเริ่มฉุน ‘ไม่รัก’ ทำได้ง่ายจริง ๆ เหรอ

“เอ่อ........” คนตัวโตเริ่มไม่มั่นใจ

“ผมว่าพี่เขนทำไม่ได้หรอก” เฟรมยังคงเสี่ยมต่อไป

“แค่ ‘ไม่รัก’ เอง ง่าย ๆ ลองดูก็ได้” คนตอบก็ยุง่ายเป็นทุนเดิม มันง่ายมากเลยใช่ไหมเขน

“งั้นถ้าพี่ทำไม่ได้ พี่ก็แพ้นะ พี่ต้องเลี้ยงข้าวผมอีกอาทิตย์เลย ว่าไงพี่เขน” เริ่มมีการท้าพนันกัน เหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ เห็นผมเป็นอะไร

“โอเคเฟรม” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบให้แทน

ลองดูก็ได้ ถ้า ‘ไม่รัก’ กันมันง่ายนัก ก็ลองไม่รักกันอาทิตย์นึง

 

แล้วผลก็ออกมาเจ้าเฟรมชนะ เย็นวันนี้เขนจึงต้องเริ่มทำตามสัญญาเลี้ยงข้าวน้อง

“นี่ผมต้องขอบคุณพี่รุ่งจริง ๆ สุดยอดอะ เนียนมาก” เฟรมดีใจออกนอกหน้า

“พี่เขนแทบกระอักเลือดตายเลย” ผมฝืนยิ้มตอบ ไม่อยากบอกใครว่าผมก็แทบตายเหมือนกัน

“ถ้ารุ่งไม่ใช้มุกนั้นนะ แกก็ไม่ชนะหรอกเฟรม” คนตัวโตโวยวาย

“แต่ยังไงผมก็ชนะอยู่ดี กินข้าวฟรีหนึ่งอาทิตย์ แต่พี่รุ่งคิดได้ไง แกล้งอกหักเนี่ย”

“ก็ ‘ไม่รัก’กัน พี่ก็อกหักไม่ใช่เหรอ” ผมตอบ ไม่ได้ขี้โกงซะหน่อย

“เขนก็แค่คิดว่ากลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมอาทิตย์นึง” เอาอีกแล้ว

“งั้นอาทิตย์หน้าลองกลับไปเป็นเพื่อนอีกอาทิตย์ไหม” ผมตอบ

“ไม่ ไม่เอาแล้ว ไม่ลองอะไรแล้ว เป็นคนรักดีอยู่แล้ว” รู้จักเข็ดซะทีนะเขน

“แต่จริง ๆ แล้วก็ดีนะ พอพี่รุ่งไม่กินข้าวด้วย ผมได้กินข้าวฟรีตั้งแต่ต้นอาทิตย์เลย”

“ได้ไปดินเนอร์วันวาเลนไทน์กับพี่เขนด้วย” เจ้าเฟรมมันขำ มันแสดงบท เป็นคนคนนั้นให้ผมมาตลอด

“งั้นหมดมื้อนี้ก็ครบอาทิตย์นึงแล้วนะเฟรม”

“อ้าวได้ไงอะพี่”

“ก็พี่เลี้ยงเฟรมมาทั้งอาทิตย์แล้วไง” สองคนนั่นยังคงเถียงกันต่อไป จนในที่สุดเฟรมก็ยอม

“เออ ก็ได้ผมไม่อยากกินข้าวแล้วเห็นพี่หวานกันตลอด ๆ อย่างนี้หรอก แค่ที่ทำงานก็จะแย่แล้ว”

 

เมื่อเฟรมขอแยกตัวกลับบ้าน วันนี้ผมคงได้กลับไปนอนที่บ้านสักที

“วันนี้ตื่นมาแต่เช้า เขนกลับคอนโดเลยแล้วกัน เดี๋ยวรุ่งขับรถกลับเอง” ผมเตรียมปลีกตัวบ้าง

“เขน ขับตามกลับบ้านด้วย คอนโดให้เขาเช่าไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แล้ว”

“อ้าวทำไมล่ะ” ผมตกใจ

“ก็ยังไงเขนก็ไม่กลับไปนอนอยู่แล้ว มีคนขอเช่าเลยให้เขาเช่าไป นี่ก็เก็บของหมดแล้วอยู่ท้ายรถ”

“กลับบ้านดีกว่านะ เมื่อวาน เขนขออนุญาตม๊าแล้วด้วย” คนพูดเนียนมาก จะย้ายตัวเองไปนอนบ้านคนอื่น โดยไม่ปรึกษากันบ้างเลย

“....................................” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงเกมนี้ใครชนะ

 

ผม เขน หรือเฟรม มันดูงง ยังไงบอกไม่ถูก

แต่ตอนนี้เราสองคน ‘รู้’ อีกอย่างหนึ่งเพิ่มเติม

 

‘ไม่รัก’ กัน มันโคตรทรมาน เขนคงเข็ดมากขึ้นจากเกมครั้งนี้

ส่วนผมคงไม่ยอมให้มันมีวันนั้นอีกตลอดไป

วันแห่งความรักไม่จำเป็นต้องเป็นวันวาเลนไทน์ ขอเพียงแค่เราสองคน ‘รัก’ กันอย่างนี้ทุกวันก็พอเพียงแล้ว





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 23-02-2018 10:51:44
Chapter II: Closer

 





เป็นเวลาเดือนเศษที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านเดียวกันกับคนรักของผมอย่างถาวร ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ ‘งาน’ ทำให้เวลาทั้งของเขา และผมไม่ค่อยจะตรงกันเท่าไหร่ ระยะนี้ตัวผมเองต้องลงพื้นที่ไซด์งานก่อสร้างในขณะที่อีกคนก็ยุ่งเตรียมวางแผนการตกแต่งของอีกโปรเจค

ผมมักตั้งใจ จริงจัง และคาดหวังสูงมากไม่ว่าจะต้องรับผิดชอบงานอะไรก็ตาม เช่นเดียวกันกับอีกคนที่มุ่งมั่น ทุ่มเท กับทุก ๆ งานของเขา ซึ่งทำให้เราต่างเข้าใจซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แม้ว่าแทบจะไม่เหลือเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน

ห้าทุ่มกว่าผมขับรถออกมาจากไซด์งาน เปิด Bluetooth ต่อสายโทรหาคนรัก

“รุ่งจ๋า.......อยู่ไหนครับ”

“ยังอยู่ที่ออฟฟิศน่ะเขน กลับบ้านแล้วเหรอ”

“พึ่งออกมาจากไซด์ รุ่งยังไม่กลับอีกเหรอ”

“ขอเคลียร์งานอีกสักพัก ถ้าไม่ไหวอาจนอนที่ออฟฟิศเลย เฟรมก็นอนที่นี่ สลบไปแล้ว”

“ให้เขนไปรับไหม” ผมรีบอาสา

“ไม่ต้องหรอกเขนกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวรุ่งขับรถกลับเอง”

“คิดถึงรุ่ง” เราสองคนไม่ได้เจอหน้ากันเกือบอาทิตย์เลยนะ

“อืม...ก็คิดถึงเหมือนกัน แต่อยากเคลียร์งานให้เสร็จก่อน เสาร์อาทิตย์นี้อยากพัก รุ่งนัดเพื่อนเก่าไว้ด้วย อยากพาเขนไปพบ” ผมกับรุ่งตกลงกันไว้ ผมจะต้องไม่คิดเรื่องอดีตนั่นให้เกิดอาการปวดหัวอีก และรุ่งจะค่อย ๆ เล่าให้ฟัง ถึงความทรงจำของเราที่มีต่อกันในครั้งอดีต

“ครับ งั้นเขนรอนะ”

“อืม” ยิ่งงานยุ่งมาก รุ่งยิ่งพูดน้อยลงไปทุกที

ผมวางสายไปแล้วตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองแทน ให้รุ่งทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศก็ได้ อยากไปรับ อยากเห็นหน้า บางเรื่องไม่ต้องมีเหตุผล ใช้เสียงเรียกร้องจากหัวใจสั่งการ







“ก็ว่าอยู่ ปกติไม่เคยยอมวางสายง่าย ๆ” คนทัก ไม่แม้จะละสายตาจากแผนงานข้างหน้า แต่ทักเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใหม่ได้ในทันที

“ก็คิดถึง” ผมเดินอ้อมมาด้านหลังพนักเก้าอี้ โอบร่างบางแล้วกดจมูกไซร้ความหอมจากพวงแก้มใสนั่นเบา ๆ

“เจ้าเหมียวตัวโตไปนั่งโน่นก่อนนะ รอแป๊บเดียว” ผมถูกผลักไสเล็ก ๆ จึงแกล้งทรุดนั่งที่พื้นข้าง ๆ เก้าอี้ เอนตัวพิงโต๊ะทำงาน หันหน้าเข้าหาใบหน้าหวาน

“อยากอยู่ใกล้ ๆ อะ อยู่ตรงนี้ก็ได้” ได้ผลจริง ๆ สายตาหวานยอมละจากงานมาส่งสายตาระอาเล็ก ๆ ให้ผม

“เขน........ไปนั่งดี ๆ ก่อนขอครึ่งชั่วโมง ไปนอนกับเฟรมก่อนก็ได้ เดี๋ยวรุ่งไปปลุกนะ”

“ไม่อะคิดถึง ขอนั่งมองหน้ารุ่งอยู่ตรงนี้ดีกว่า”

“มาจ้องกันอยู่อย่างนี้ จะทำงานได้ไงล่ะเขน”

“งั้นนอนก็ได้” ผมเลยฟุบลงที่ตักของคนกำลังนั่งทำงาน

“เหมียวก็เหมียวเถอะแพ้เขนแน่ ๆ ไม่ไปจริงใช่ไหมนี่” ผมส่ายหน้าเบากับตักของรุ่ง

“เฮอ.........งั้นก็นอนไปก่อนเดี๋ยวปลุก” คนนั่งใจอ่อนแถมยังยอมลูบผมเบา ๆ กล่อมให้อีกด้วย เป็นเหมียวนี่ก็ดีนะ ผมแอบยิ้ม

 

“เขน เขน ตื่นนะกลับบ้านกัน” มือเล็กเขย่าเบา ๆ ที่ต้นแขน รุ่งเก็บของที่โต๊ะเสร็จแล้ว

“งานเสร็จแล้วเหรอรุ่ง” ผมยังงัวเงีย น่าจะนอนไปนานเกินชั่วโมง รุ่งใช้มือสางผมยุ่ง ๆ ให้

“กลับก่อนค่อยมาทำต่อวันจันทร์ สงสารแมวนอนคอย” ใบหน้าหวานส่งยิ้มขำ ๆ ให้

“แล้วก็เป็นเหน็บชาแล้วด้วย”

“เดินไหวไหมให้อุ้มไหม”

“เขนเดินให้ตรงก่อนเถอะ ขับรถไว้ไหม ให้รุ่งขับให้ก็ได้” ผมจับมือบางไว้ก่อนดันตัวลุกขึ้น

“แค่นี้สบาย” ผมแบกเป้รุ่ง แล้วฉุดมือบางออกมาจากโต๊ะ ก่อนที่จะแกล้งเขี่ยเจ้าเฟรมที่นอนกรนเบา ๆ ในถุงนอน

“ยังจะแกล้งน้องอีก ไปกลับได้แล้ว” แหมแตะนิด แตะหน่อย ก็ไม่ได้เจ้าเด็กร้ายนี่

รถยังออกมาไม่ทันพ้นลานจอดรถ รุ่งก็ดูเหมือนจะแบตหมดกะทันหันแต่ยังฝืนนั่งโงนเงน ผมจึงดึงร่างบางเอนซบไหล่ของผมไว้บ้าง

“อืมขอบใจเขน” แค่นี้ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มที่ตัดสินใจขับรถย้อนเข้าเมืองมาแล้ว

ความรัก และ คนรัก บางที...ไร้ซึ่งการเรียกร้องใดๆ

แค่เพียงได้เดินทาง...เคียงคู่กัน เคียงข้างกัน เพียงมีฉันและมีเธอ

 

ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาตีหนึ่งกว่าแล้ว ท้องถนนใจกลางเมืองหลวงจึงมีเพียงรถเบาบางแม้ยังคงต้องติดไฟแดงเป็นระยะ แต่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้าน ‘คนรัก’ ของผมยังคงหลับสนิทเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอ ไม่อยากปลุกเลยจริง ๆ แต่นอนที่เตียงน่าจะสบายกว่า จึงต้องตัดใจ

“รุ่ง รุ่งจ๋า..........ตื่นนะ ถึงบ้านแล้ว ขึ้นไปนอนที่ห้องกันนะ”

“อืม........” ใบหน้าหวานยังคงซบที่ไหล่ คนขี้เซาลองได้นอนแล้ว ไม่ตื่นง่าย ๆ แน่นอน คงต้องอุ้มขึ้นไปจริง ๆ

ผมจึงโอบร่างบางไว้แล้วค่อย ๆ โน้มไปเอนเบาะคนข้าง ๆ ปรับนอนเพื่อวางร่างบางไว้ แล้วอ้อมมาที่ประตูอีกฝั่ง ก่อนที่จะอุ้มรุ่งออกมาจากรถ

“อืม.....ถึงบ้านแล้วเหรอเขน” ร่างบางเอ่ยถาม เมื่อรู้สึกตัว

“นอนต่อเถอะเดี๋ยวเขนอุ้มขึ้นบ้านเอง”

“อือ....” ว่าแต่คนอื่นเป็นแมว ตอนนี้ลูกเหมียวตัวน้อยก็ซุกซบอยู่ในอ้อมอกผมเหมือนกัน

ผมกระชับคนในอ้อมกอดแล้วค่อย ๆ ย่องขึ้นบ้าน เพราะตอนนี้คนที่บ้านน่าจะนอนกันหมดแล้ว เมื่อมาถึงห้องจึงทรุดนั่งที่โซฟาพร้อมคนในอ้อมกอด

“รุ่งจ๋า......”

“หืม.......”

“อาบน้ำไหม...หรือให้เขนเช็ดตัวให้คะ”

“นอนเลยไม่ได้เหรอ.....” เสียงเล็ก ๆ อ้อน

“อาบน้ำก่อนนะ จะได้นอนสบาย ๆ พรุ่งนี้ก็ตื่นสาย ๆ ได้ กลั้นใจนิดเดียวนะ”

“เขนอาบให้หน่อยนะ” ผมหูฝาดไปแน่ ๆ

“อะไรนะรุ่ง”

“อาบน้ำให้หน่อย ง่วงอะ” คนพูดเหมือนละเมอ ขณะที่เปลือกตายังปิดสนิทเหมือนลูกแมวที่ตายังไม่เปิด โอกาสมักไม่ได้มาบ่อยนัก ผมรีบคว้าไว้ คงต้องไปรับทุกวันแล้ว ผมคิดในใจ

 





แล้วคนง่วงก็ทำได้จริง ๆ อาบน้ำโดยไม่ลืมตา ทำเอาคนที่อาบให้ต้องหวั่นไหวอยู่คนเดียว ทันทีที่วางร่างบางบนที่นอนก็ราวกับว่าจมลงสู่ห้วงนิทราโดยฉับพลัน ในขณะที่ผมยังต้องนอนสงบใจอยู่นาน มันเป็นความสุขที่ทรมานมาก ๆ ทีเดียว ที่ได้สัมผัสเรือนร่างที่โหยหามาเป็นแรมอาทิตย์ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว บนเตียงเดียวกัน แต่ทำได้เพียงแอบอิงทั้งสองร่างเปลือยเปล่าไว้แนบชิดกัน กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบใกล้รุ่งสาง

 

“เขน......เขน.....ฮึก...ฮือ” ผมสะดุ้งตื่นทั้ง ๆ ที่หลับได้ไม่นาน เปลือกตาสวยนั่นยังปิดสนิท แต่มีรอยน้ำตาไหลเป็นทางจากหางตา

รุ่ง....นอนละเมอ ฝันร้ายอีกแล้ว

ความทรงจำนั่นไม่ได้ทำร้ายแค่ผม แม้ตอนนี้เราจะกลับมาอยู่เคียงข้างกัน กลับมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ความเจ็บปวดในอดีตก็ยังแอบมาเล่นงานรุ่งอยู่เสมอๆ ความลับนี้ผมพึ่งจะรู้ได้ไม่นาน ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ แต่ไม่ได้สนใจมันมากนักเพราะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

‘ลองเขนฝันร้ายมาเป็นสิบปี เขนก็จะชิน ๆ เหมือนกัน’ ผมได้รับคำตอบนี้มา

รุ่งไม่ได้ฝันร้ายหรือละเมอทุกคืน จะเป็นในคืนที่เหนื่อยล้ามาก ๆ หลับลึกมาก ๆ เหมือนความทรงจำนั่นจะย้อนกลับมาทำร้ายในความฝัน เพราะมันถูก ‘เก็บ’ ลึก และฝังแน่นในจิตใต้สำนึกมากจนเกินไป

“รุ่งจ๋า......เขนอยู่นี่ เขนกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วนะ” ผมทำได้แค่ปลอบ และจูบซับน้ำตานั่น ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ลืมตา

“ละเมอ.....อีกแล้วเหรอ ขอโทษทีนะเขน ช่วงนี้รุ่งเพลีย ๆ” คนพูดน้ำตายังไหลเป็นทาง

“ทรมานมากไหม เวลาฝันน่ะ”

“แค่ความฝันนะเขน แม้ตอนฝันจะเจ็บ แต่พอตื่นขึ้นมาก็หายเจ็บไปกว่าครึ่งแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับที่เขนต้องปวดหัวแทบขาดใจ ถ้ารุ่งแลกได้...รุ่งจะแลกให้เลย”

“รุ่ง.................” มันไม่ใช่เพียงแค่พรหมลิขิต แต่เป็นความรักของคนรักของผมต่างหากที่ทำให้ผมวนเวียนกลับมารักเขาได้ถึงสามครั้งสามครา มันเป็นกฏของแรงดึงดูดสินะผมคิด

“ตอนนี้เขนไม่ปวดหัวแล้ว แต่รุ่งยังต้องเจ็บปวดเพราะความฝันอยู่เลย”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ เขน แม้มันจะเป็นฝันร้ายที่เจ็บปวด แต่รุ่งรู้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นจริง ถ้ารุ่งตื่นลืมตาขึ้นมาแล้วพบเขน” ใบหน้าหวานส่งยิ้มที่ละลายหัวใจนั่นกลับมาให้ผม

“รุ่ง......รุ่งจ๋า..........เขนสัญญาเขนจะไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ เขนจะอยู่ตรงนี้ ทุก ๆ เช้ารุ่งจะเห็นเขนเป็นคนแรกเสมอ...เขนสัญญา”

แทบจะนับครั้งได้ที่รุ่งจะเป็นคนเริ่มต้นจูบผมก่อน มันมักเป็นเซอร์ไพรส์ที่สร้างความตื้นตันในหัวใจให้กับผมทุก ๆ ครั้ง จูบที่แสนอ่อนโยน อ่อนหวานและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้น สามารถถ่ายทอดความรักที่ลึกซึ้งผ่านจูบ จูบนี้ จนอยากหยุดเวลาไว้เพียงแค่ตอนนี้

แม้หัวใจอยากจะรั้งให้ตัวเองเป็นฝ่ายรับจูบรสหวานนี้ให้ยาวนานที่สุด แต่ร่างกายที่ขาดกัน และกันมานานทำให้ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ผมจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกตอบกลับจูบอันอ่อนหวานนั่นด้วยจูบที่เร่งเร้า เรียกร้องมากขึ้น จนร่างบางเริ่มจะถอยหนี โดยลืมว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของใคร จะหนีไปไหนได้ อยากมาแกล้งกันก่อนเองนะรุ่ง

“อือ.....อืม” เสียงหวานครางประท้วงเบา ๆ เมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ

“เขน....ยังง่วงอยู่เลย” คนหายใจหอบช้อนตาปรือขึ้นมาอ้อนวอน

“ไม่ทันแล้วละรุ่ง ค่อยนอนตอนเช้าแล้วกัน” ผมกดจมูกคมลงกลางที่หน้าผากมนอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เปลือกตา

“แล้วถ้าอยากให้หยุดจริง ๆ ก็อย่ามองอย่างนี้อีกรู้ไหม” ก่อนที่บรรจงกดริมฝีปากลงที่เปลือกตาเบาๆ

“อือ.....อะไรเล่า ก็แค่มองเฉย” ใบหน้าหวานเขินอายและเริ่มเจือด้วยสีกุหลาบระเรื่อ

“งั้นก็มองเฉยอย่างนี้กับเขนแค่คนเดียวนะ อย่ามองใครอีก” ผมกำชับพร้อมกับดันร่างขึ้นทาบทับร่างบาง สองมือเริ่มลูบไล้ รุกเร้า คนในอ้อมกอดให้สนองตอบมากขึ้น

“เขนพูดแบบนี้มาตั้งแต่ที่เรารักกันครั้งแรกเลย” คนใต้ร่างดูเหมือนจะยอมจำนนต่อความต้องการของกันและกัน โดยไม่พยายามถอยหนีแล้ว

“ไม่แปลกใจเลย ก็รุ่งน่ารัก น่าหวงขนาดนี้” ผมตอบก่อนที่จะหยุดบทสนทนาของเราไว้เพียงแค่นั้น เพราะตอนนี้อยากได้ยินเพียงเสียงครางหวาน ๆ จากคนใต้ร่างมากกว่า จึงบดเบียดริมฝีปากลงประกบปิดริมฝีปากบางด้วยรสจูบที่หวานล้ำ เรียกร้อง และหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น

แม้อารมณ์โหยหาตลอดสัปดาห์ที่คุกรุ่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำผสมรวมกับความทรมานที่ทำได้เพียงประคองกอดร่างบางในขณะนิทรา ปลุกเร้าให้อารมณ์ความต้องการมากขึ้นทับทวี แต่ด้วยความรัก เอ็นดู และทะนุถนอมอย่างยิ่ง ทำให้ต้องข่มสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างมาก เพื่อให้เวลาคนรักได้ปรับตัวพร้อมรับความต้องการนั่น

บทรักจึงเริ่มต้นอย่างละมุนละไมในช่วงต้น โดยการบรรจงประทับรอยจูบ ซุกไซร้ ดูดซับ ความหวานจากร่างบางจนทั่วทุกตารางนิ้ว แล้วค่อย ๆ เพิ่มดีกรีการเรียกร้อง รุกเร้าให้ตอบรับมากขึ้นทุกที ทุกที จนกระทั่งคนรักเริ่มตอบสนองทุก ๆ สัมผัสอย่างเต็มใจ และไร้ซึ่งความเขินอาย จึงเข้ากอบกุม ครอบครอง เร่งเร้าและปลดปล่อยความต้องการของคนใต้ร่างที่ร้องครวญครางเสียงหวานซึ้งจับใจ แล้วจึงเตรียมร่างบางให้พร้อมอีกครั้งเพื่อรองรับบทรักอันร้อนแรงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

สองร่างกอดเกี่ยว สอดรัดแนบประสานใกล้ชิดรวมเป็นหนึ่ง หมดสิ้นการควบคุมหักห้ามความต้องการของตัวเอง จังหวะรักสอดประสาน ถาโถม กระตุ้น เร้าเร่งการตอบสนองซึ่งกันและกัน

สรรค์สร้างความหฤหรรษ์ สุขสันต์ เสียวซ่าน และปลดปล่อยซึ่งความร้อนรุ่มทั้งหมดภายในเรือนร่างที่รองรับเวียนซ้ำ ตอกย้ำ บทรักหวานซึ้งยาวนาน ชิดใกล้ มากขึ้น มากขึ้น จมลึกลงทุกที ทุกที

 







ม่านบางที่หน้าต่างทำให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาเป็นทาง รวมกับความร้อนจากร่างทั้งสองที่ยังแอบอิง เคล้าเคลียกันไม่ห่างทำให้อุณหภูมิในห้องแอร์ไม่หนาวเย็นมากเท่าที่ควรจะเป็น ความคิดถึงตลอดระยะเวลาที่ห่างกันถูกชดเชยด้วยบทรักที่เร่าร้อนยาวนานที่พึ่งผ่านพ้น แม้แทบไม่ได้นอนตลอดคืน แต่บทรักที่วาบหวามก็ทำให้ผมยังไม่สามารถตัดใจหลับตาลงได้

“เขน........” ใบหน้าหวานที่ยังแดงกล่ำเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง

“จ๋า..........” ผมกดจมูกลงที่หน้าผากเนียนอีกครั้งอย่างแสนรัก

“วันนี้ตอนเย็นรุ่งนัดโปเต้กับไทม์ไว้ไปกินข้าวกัน เขนไปด้วยกันนะ”

“สองคนนั่นรู้จักเขนด้วยเหรอ” ผมจำได้ลาง ๆ ว่าสองคนนั่นเป็นเพื่อนร่วมวงของรุ่ง

“คู่นั้นเป็นเพื่อนสนิทเขนก่อนมารู้จักรุ่งด้วยซ้ำ”

“อ้าวเหรอ......ตอนเจอที่มหาลัยไม่เห็นเคยเข้ามาทัก เห็นมีแต่อ้น”

“อืม.....ตอนนั้นพวกเรารู้ไงว่าเขนจำไม่ได้ แล้วเต้กับไทม์ก็ไม่อยากให้เขนเข้ามายุ่งกับรุ่งอีก เพราะกลัวว่าเราสองคนจะกลับไปเจ็บปวดอีกครั้ง”

“อืม....ก็ได้เย็นนี้เราไปกันนะ แล้วอ้นล่ะ เป็นเพื่อนเขนหรือรุ่ง”

“อะ...เอ่อ..........ก็มาเป็นเพื่อนกันทีหลัง” คนตัวเล็กหลบตา ผมยิ่งสงสัย

“ทีหลัง...นี่หลังจากอะไร”

“ก็...หลังจากที่เขนไปต่อยอ้นเรื่องที่......”

“มายุ่งกับรุ่ง” ผมคิดว่าผมเดาถูก

“รู้ได้ไงอะ”

“ก็เดาไม่อยาก ดูสายตาที่มองรุ่งเขนก็รู้แล้ว เย็นนี้มันมารึเปล่า”

“รุ่งยังไม่ได้ติดต่อไป เดี๋ยวโทรไปชวนก็น่าจะมา”

“งั้นก็ไม่ต้องแล้ว แค่เต้กับไทม์ก็พอ เขนหวง” ผมกระชับร่างบางในอ้อมกอด

“เฮอ.....เขนนี่ขนาดจำไม่ได้นะ”

“ไม่รู้ล่ะไม่จำเป็น รุ่งก็ไม่ต้องติดต่อมัน ที่มันติดต่อมานั่นก็ไม่ต้องตอบ”

“..............................................”

“เขนก็รู้ว่า...รุ่งมีเขนแค่คนเดียวตลอดมา”

“ ‘รู้’ ว่ารุ่งรักเขน แต่เขนไม่ไว้ใจไอ้อ้น”

“เขาเคลียร์กันแล้วเถอะ เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว”

“ก็นั่นรุ่งคิดไง แต่อ้นไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก เขนมั่นใจ”

“ไม่เอาแล้ว เราไม่คุยเรื่องคนอื่นดีกว่า”

แม้รุ่งจะรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมก็แอบดีใจตอนนี้อ้นเป็นแค่ ‘คนอื่น’ ในขณะที่ ‘เรา’ เป็นคนคนเดียวกัน

“เขนเห็นกล่องบนหลังตู้นั่นไหม” รุ่งชี้กล่องใบย่อมบนหลังตู้เสื้อผ้า

“ไปลงเอามาให้หน่อยสิ รุ่งมีอะไรให้ดู”

กล่องใบย่อมแต่น้ำหนักไม่เบาเลยทีเดียว

“อะไรเหรอรุ่ง” ผมยกกล่องกลับมาวางไว้ข้างรุ่งที่เตียง ก่อนที่จะรวบร่างบางเข้ามาเอนพิงหัวเตียงด้วยกันอีกครั้ง

“ของที่บอกไว้ไงว่าจะเอามาอวด” จริงสินะเกือบลืมไป

“เพื่อนของลิลลี่ดอกนั้นเหรอ” รุ่งกำลังเปิดกล่อง

“อืม....ไม่มีเวลาเลย ว่าจะให้ดูนานแล้ว” รุ่งส่งหนังสือสารานุกรมเล่มโตให้ ถึงว่ากล่องถึงหนักได้หนักนัก

“นี่ไงดอกแรกที่เอาไปอวดที่ลำปางวันนั้น” ผมแกล้งกระเซ้าวันนั้นของรุ่ง

“ที่เราได้ ‘รักกัน’ วันแรก” จึงโดนศอกกระทุ้งเบา ๆ มาหนึ่งที

“ทีเรื่องอย่างนี้จำเก่งเชียว พวกนี้เป็นช่วงเรียนมหาลัยแล้ว” ดอกลิลลี่ทุกดอกสอดอยู่ในซองใสมีรายละเอียดวันเวลาที่ได้รับจดอยู่ในกระดาษโน๊ต

“แล้วก็มีการ์ดพวกนี้ด้วย” รุ่งส่งโปสต์การ์ดรูปเจ้าตัวที่ผมเพียรส่งให้พร้อมดอกลิลลี่

“อย่างนี้......รุ่งก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วสิ” ดวงตาหวานยังคงจ้องมองยิ้ม ๆ จนผมให้เริ่มเขิน

“ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอก คิดว่าเขนไม่น่าจะจำได้” รุ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“และไม่คิดว่าจะกลับมาหลงรักกันได้อีกเป็นครั้งที่สอง” เขารู้ว่าผมเขิน เลยยิ่งแกล้ง

“แต่หัวใจมันบอกว่าใช่ และรู้ว่าใช่เขนจริง ๆ ก็วันนั้นที่โรงพยาบาล”

“รุ่งหลับไม่ใช่เหรอ ก็คุณพยาบาลบอกว่ากินยาหลับไป” ผมแน่ใจว่ารุ่งไม่รู้มาก่อน

“ใช่ แกล้งหลับ เพราะไม่ได้กินยาอะ”

“ร้ายนักนะ” ผมจึงเลิกดูโปสต์การ์ด มาจัดการกับร่างบางในอ้อมแขน หยอกล้อกอดฟัดแกล้งกันสักพักอารมณ์ก็เริ่มเตลิดอีกครั้ง

“เขน......ไม่ดูต่อเหรอ” คนตัวเล็กเริ่มประท้วงเมื่อโดนรุกอย่างหนักอีกครั้ง

“ไว้ดูต่อทีหลังก็ได้”

ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว ไม่มีสายตามามองใครได้อีกแล้ว

หลงใหล ลุ่มหลง มัวเมาร่างบางอย่างสุดใจ



เรื่องบนเตียงเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่ทำให้ร่างกายแนบชิด แสดงออกซึ่งความรัก ตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน แต่ความพันผูก และรักมั่นที่มีให้กันมายาวนาน ฉุดลึกความ ‘ชิดใกล้’ ในดวงใจของเราสอง ให้รวมเป็นวิญญาณดวงเดียวกันตลอดไป นานเท่านาน





#JKLTHESERIES



มันก็จะหวาน ๆ หน่อย ^^
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-02-2018 14:04:49
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-02-2018 16:14:57
หวานที่สุด
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (MORE THAN LOVE) 26.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 26-02-2018 09:58:03
Chapter III: Fulfill (More than love)

 

บ่ายคล้อย แสงตะวันแผดจ้าสาดส่องเข้ามาตามรอยแยกผ้าม่านในห้องนอน แต่เพราะแอร์คอนดิชั่นที่ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดคืนทำให้อุณหภูมิภายในห้องยังเย็นจัด ผมเพิ่งจะได้นอนจริง ๆ ก็เกือบเก้าโมงเช้า จึงไม่แปลกที่กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็น่าจะบ่ายแล้ว เมื่อไขว่คว้าหาคนตัวเล็กที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดตลอดคืนจนรุ่งสางไม่พบ หลงเหลือเพียงกลิ่นหอมจาง ๆ ของเจ้าของร่างบางที่อบอวลติดตรึงไปทั่วทั้งเตียงนอนและทั่วทั้งความรู้สึกของผม

“รุ่งจ๋า................” ผมเรียกหาก่อนลืมตาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไม่มีเสียงหวานตอบกลับ ผมจึงค่อย ๆ บิดขี้เกียจ แล้วยังคงกวาดตามองหาคนรักรอบห้องซ้ำอีกครั้ง คงลงไปข้างล่างแล้ว

ตลอดมา แม้ผมตื่นขึ้นมาเพียงคนเดียวบนเตียงอันว่างเปล่า แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าต้องการอะไร หรือต้องการใคร หากเมื่อพบรุ่งอีกครั้ง ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาโดยลำพัง กลับรู้สึกว่าเหงา ว้าเหว่ อ้างว้าง บาดลึก ราวกับว่าหัวใจรู้อยู่เสมอว่าขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณไป ทั้งที่ความทรงจำลบเลือน

ถ้าถามตอนนี้ว่ายังปรารถนาจะฟื้นความจำนั้นหรือเปล่า ยิ่งรู้ว่าคนคนนั้นคือ ‘รุ่ง’ ผมยิ่งก็ปรารถนาแรงกล้าขึ้นที่จะฟื้นคืนความทรงจำครั้งอดีต

แต่เมื่อสัญญาไว้แล้ว.....ผมจึงเฝ้ารออีกครั้ง

รอคอยให้รุ่ง...... ‘เติมเต็ม’ ความทรงจำนั่น ของ ‘เรา’ สองคน

 

ศูนย์การค้าชื่อดังใจกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดในวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าเลือกได้ผมชอบที่จะเดินเล่นช่วงเย็น ๆ ในวันธรรมดามากกว่า เพราะว่าเกือบ ๆ สามปีในช่วงที่ไม่ได้ลงพื้นที่ไซด์งานพูดได้ว่าผมใช้ชีวิตทำงานที่นี่ตลอด จะว่าเบื่อก็ไม่เชิง แค่เพียงเห็นว่ามันกลายเป็นที่ทำงาน ที่ทำธุระ ที่ซื้อของก็เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเที่ยวเล่นพักผ่อนอีกต่อไปแล้ว และมันยิ่งทำให้แอบโหยหาบรรยากาศสบาย ๆ ในธรรมชาติมากยิ่งขึ้นจริง ๆ

บางอย่าง.....มันเปลี่ยนไม่ได้ เหมือนกับนิสัยส่วนตัว ผมยังรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหงา ๆ ทุกครั้งท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมาย และยังเลือกที่จะเข้าสู่โลกส่วนตัวในวันพักผ่อน เฮดโฟนสีขาวจึงประกบอยู่ที่หูทั้งสองข้างอีกครั้ง พร้อมกับเล่นเกมฆ่าเวลา

ถ้าเพียงแค่.....ชีวิตนี้ปราศจาก ‘เขา’ ผมไม่แน่ใจว่าผมกล้าหาญพอที่จะออกมาอยู่ในโลกแห่งความจริงได้สมบูรณ์เท่านี้ไหม ก่อนพบเขา เด็กผู้ชายขี้อายคนนั้นฝืนแสดงมาโดยตลอด

จนได้… เฝ้าสังเกต วิธีการดำเนินชีวิต ท่ามกลางผู้คน

เฝ้ามอง วิธีการรับมือและแก้ไขปัญหา ในสถานการณ์ต่าง ๆ

เฝ้าเรียนรู้ วิธีคิดและมุมมอง ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป

จากคนที่ข้างในลึก ๆ ภายในเหมือนกัน แต่เขากลับดูแข็งแรงนัก จนทำให้ผมแอบอิจฉาเล็ก ๆ มาตลอด ทั้งหมดนั่นมันทำให้ตัวตนภายในของผมเริ่มเข้มแข็งขึ้น จนกล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา

เพราะเพียง... สิ่งที่ได้รับ ‘เติมเต็ม’ จากอีกคน

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวผูกโบสีแดงถูกยื่นมาจากด้านหลังที่ไม่ต้องหันกลับก็รู้ว่าเจ้าของที่ยืนอยู่คือใคร ‘เขา’ คนที่บุกฝ่าเข้ามาในโลกส่วนตัวเสมอ

“เขน..........” ผมยื่นมือไปรับ ‘ดอกลิลลี่’

“ที่หายไปนี่ ไม่ได้หาที่จอดรถไม่ได้ใช่ไหม” ผมหันไปมองคนตัวโตที่นั่งลงเคียงข้างเขากำลังยิ้มเขิน ๆ เขาอ้างว่าไม่มีที่จอดให้ผมมารอด้านในก่อน

“เขน ไม่ได้สั่งไว้ก่อน...เลยต้องรอนิดนึง” ร้านดอกไม้ที่นี่มีอยู่ไม่เพียงกี่ร้าน ก็ยังหา ‘ดอกลิลลี่’ พบ

“ไม่ต้อง ‘ให้’ แล้วก็ได้”

“เขนชอบ...ให้รุ่ง ‘เก็บ’ ไว้” เรายิ้มให้กันและขำกับการกระทำของ ‘เรา’ ทั้งคู่

อีกคนมักเป็นคน ‘ให้’ เสมอมา ‘ให้’ โดยไร้ซึ่งการคาดหวังสิ่งตอบแทน ขอเพียงให้อีกคนมีความสุข ส่วนอีกคนก็เพียร ‘เก็บ’ ทุกสิ่งทุกอย่าง ‘เก็บ’ และหวงแหนสิ่งที่ได้มายิ่ง ทั้งในความรู้สึกภายใน และความทรงจำ

“รุ่งนัดเพื่อนไว้หนึ่งทุ่มใช่ไหม” คนตัวโตถาม

“อืม.....”

“งั้นเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าไปหาซื้อซีดีกัน ไปเถอะ” นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ใช่เขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เราสองคนลุกออกมาจากที่นั่งเล่นริมระเบียง และมุ่งหน้าไปทางโซนร้านขายซีดี

“แล้วเขนหิวหรือเปล่า ตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” เขนพึ่งตื่นได้ไม่นานก็ขับรถพาผมออกมาตามสถานที่ที่นัดไว้กับเพื่อน ผมได้รู้ในตอนเช้าตรู่ว่าเขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน จึงพึ่งหลับสนิทในช่วงกลางวันนี่เอง

“ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เดี๋ยวออกมาค่อยหาอะไรรองท้องก็ได้” ที่ตอบอย่างนั้นเพราะต้องรู้ว่าผมทานมาแล้วอย่างแน่นอน

 

ผมจึงพยายามใช้เวลาให้สั้นที่สุดในการเลือกซื้อซีดีเพลงที่อยากได้ และถูกบังคับให้ฟังเพลงรอคนที่นำแผ่นซีดีไปชำระเงิน

‘จะได้ทำอะไรเองบ้างไหม’ ผมแอบคิด ก็คนดูแลดูแลดีซะขนาดนี้

ถ้าเราอยู่ด้วยกัน เขามักจะปกป้องโลกส่วนตัวของผมไว้เป็นอย่างดีเสมอ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่ามันไม่แปลก ไม่แตกต่าง และเป็นธรรมชาติมาก ๆ ที่จะเป็นตัวของตัวเองในโลกใบใหญ่ใบเดิมที่เคยอึดอัด และวางตัวไม่ค่อยถูก

ทำให้เมื่อใดที่เราอยู่ด้วยกันสองคน ไม่ว่าท่ามกลางผู้คนมากมายแค่ไหน

ราวกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงแค่... ‘เราสองคน’ ในสายตากันและกันเสมอ

เรามานั่งรอเวลานัดที่ ‘ร้านน้ำแข็งใส’ ผมขอเรียกอย่างนี้เพราะทำให้คิดถึงความหลังในอดีตตอนเด็กที่เราหลงรักมัน ทั้งที่ตอนนี้มันเป็นเกล็ดหิมะทำจากนมหรืออะไรก็ตามนั่น ผมสั่งรุ่งนม และนั่งมองรุ่งจัดการกับน้ำแข็งใสของเขา

ผมชอบคนตัวเล็กในตัวตนที่เป็นธรรมรุ่งติมันช่างดูเหมือนตัวเองกำลังหลงรักเด็กน้อยที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ ผมจึงหวงแหนโลกส่วนตัวของเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกันผมก็หลงรักเวลาเขาตั้งใจ มุ่งมั่น ทำงานไม่ว่างานใดก็ตาม มันทำให้เขาแทบจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แต่เป็นอีกคนที่ทรงเสน่ห์ดึงดูดผู้คนรอบข้างได้อย่างน่ากลัวที่สุดซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยรู้

ผมหยิบทิชชู่เอื้อมมือไปเช็ดปากให้เด็กน้อยข้างหน้า และได้รับรอยยิ้มที่แสนสดใสตอบกลับ‘รอยยิ้ม’ ที่เป็นของผมเพียงคนเดียว ครั้งนี้ผมมั่นใจ

“ขอบคุณนะเขน”

“ชอบให้รุ่งยิ้ม เวลารุ่งยิ้มโลกจะสว่างสดใสรู้ไหม” ผมบอกจากใจ ใบหน้าหวานนั้นเขินในช่วงแรก ก่อนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไร และกล่าวออกมา

“บางทีรุ่งก็คิดว่า...อาจจะไม่ต้องย้อนหวนกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีตก็ได้”

“เพราะเขนรู้ไหม... ว่าเขนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทั้งคำพูดและการกระทำ” ประกายแวววับในดวงตานั่นทำให้หัวใจของผมกำลังจะละลาย จึงเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อเขา

“แต่เขนอยาก ‘รู้’ นะรุ่ง อยากรู้ทุก ๆ อย่าง อยากรู้ทุก ๆ เรื่อง อยากรู้ทุก ๆ เวลา ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน แม้จะมั่นใจว่ามันจะไม่ได้ทำให้ความรักที่มีให้รุ่งมากขึ้นไปกว่าตอนนี้ได้แล้ว เพราะรุ่งได้มันไปทั้งหมดแล้ว มันไม่หลงเหลือความรักหรือสายตาที่จะมองใครได้อีกแล้ว แต่เขนก็ยังอยากรู้เรื่องราวความผูกพันในอดีตนั่นของเราสองคน ไม่อยากให้รุ่งต้อง ‘เก็บ’ ไว้เพียงคนเดียว”

“แม้จะทำได้เพียงแค่ ‘รู้’ ไม่อาจจะกลับย้อนไปจำได้เหมือนเดิม แต่ขอเพียงเขนได้ ‘รู้’ เถอะนะ” ผมอ้อนวอนร่างบางข้างหน้า

เราเดินเคียงข้างกันออกมาจากร้านน้ำแข็งใส และมุ่งหน้าไปร้านที่นัดพบโปเต้และไทม์ ผมไม่ได้คาดหวังแต่แรกให้เขนต้องจำมันได้ และไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะต้องการ ‘รู้’ เรื่องราวในอดีตมากมายขนาดนี้ เพราะแค่นี้ความรู้สึกระหว่างเราสองคนมันก็... มันก็มากกว่าคำว่า ‘รัก’ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว

สำหรับผม.....

กับระยะเวลา 18 ปีที่มีเพียงเขามาตลอดทุก ๆ ลมหายใจ

กับระยะเวลา 30 ปีที่เฝ้าตามหา และรอคอยเพียงเขามานานแสนนาน

มันมากกว่าครึ่งชีวิตของคนคนหนึ่ง... ที่จงรักและภักดีเพียงเขาคนเดียว

มันถูกจรดลึก สลักซ้ำ จากความรักที่ให้มาด้วยความจริงใจทั้งสามครั้ง จากอีกคนที่ แม้ ‘ความทรงจำ’ ครั้งอดีตได้ลบเลือน แต่ความรักในหัวใจยัง ‘คงมั่น’ ไม่เคยแปรเปลี่ยน และ ‘รัก’ เราได้มากมายขนาดนี้

หัวใจของเราทั้งสองถูก ‘เติมเต็ม’ ไปด้วยความรักที่มีให้กัน

เหลือเพียงแค่ ‘เติมเต็ม’ เรื่องราวในอดีตให้แก่ความทรงจำของเขาเท่านั้น

 

เราใช้เวลาเกือบ ๆ สามชั่วโมงกินข้าว และพูดคุยถึงความหลังในอดีต ตอนแรกโปเต้กับไทม์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเป็น... ผมที่เดินเคียงคู่มากับรุ่ง แต่เหมือนรุ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ว่าทำไมเราสองคนถึงได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง

พวกเขาคล้ายกับจะเข้าใจ และรู้อยู่แล้วว่าสักวันนึง ‘เราสองคน’ ไม่น่าจะหนีกันไปไหนรอด เพราะพวกเขารู้จักทั้งผม และรุ่งมากกว่าที่ผมจะจำได้

ผมกับไทม์เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมด้วยซ้ำ ส่วนโปเต้รู้จักกันก่อนหน้ารุ่งได้ไม่นานตั้งตอนช่วงเข้าเรียนมัธยมต้น เพราะเขาเป็นคนชวนตั้งวงเล่นดนตรี

ระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้รู้เพียงว่า

ผมกับรุ่งพบกันครั้งแรกเมื่อไหร่

ผมชัดเจนในความรู้สึกตั้งแต่พบรุ่งครั้งแรกมากเพียงใด

ผมใช้ความพยายามครั้งแรกในการเข้าถึงรุ่งมากขนาดไหน

ผมกับรุ่งเคยอยู่ด้วยกันสองคน ไม่สนโลกภายนอกมากเพียงไร

เต้กับไทม์เหมือนกับจะพยายามข้ามเร็ว ๆ ในช่วงที่พวกเขาสองคนต้องอยู่ดูแลเคียงข้างรุ่งในระยะเวลาที่ขาดผมไป แต่นั่นยิ่งทำให้รู้ว่าคนข้าง ๆ ผมเขาจะเจ็บปวดมากเพียงไร ที่เราต้องจากกันทั้ง ๆ ที่ความรัก และความทรงจำของรุ่งยังดำเนินอยู่ ในขณะที่ผมกลับ ‘ลืมเลือน’ ทุกสิ่ง

เรากลับมาหัวเราะกันอีกครั้งกับความพยายามในความรักครั้งที่สองของผม เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับพวกเขาทั้งสองคน ความพยายามกีดกัน ความพยายามปกป้อง ‘รุ่ง’ จากผมทุก ๆ วิธีของพวกเขา ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมโกรธหรือน้อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับรู้สึกขอบคุณสิ่งที่พวกเขาทำ และความรักที่พวกเขารักทั้งผมและรุ่งมากมายถึงขนาดนี้

ช่วงเวลาความสุข และความทรงจำผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ผมกลับได้เพื่อนสนิททั้งสองคืนมาอีกครั้ง ทั้งสองคนพูดเหมือนรุ่งว่า... ไม่น่าเชื่อว่าผมยังคง ‘ลืมเลือน’ ความทรงจำเหล่านั้น เพราะผมไม่เปลี่ยนไปเลย และมันทำพวกเราจึงกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมภายในระยะเวลาอันสั้น

ผมได้เบอร์โทรศัพท์ทั้งคู่มา และตั้งใจว่าจะโทรไปกวนพวกเขาต่อไป เมื่ออยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนข้าง ๆ เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟังในวันนี้เป็นเพียงเสี้ยวเดียวจากมุมมองของเพื่อนสนิท แต่มันทำให้ผมตระหนักในใจว่า... เข้าใจผิด

ผมไม่ได้ตกหลุมรัก ‘รุ่ง’ มาแล้วสามครั้ง แต่ ‘รุ่ง’ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ ‘ความรัก’ ของผมมาโดยตลอดต่างหาก เป็นดัง ‘ลมหายใจ’

ที่รู้สึกติดขัด... เมื่อห่างหาย ลืมเลือน

ที่รู้สึกสดใส สดชื่น และเต็มไปด้วยแรงใจ...เมื่อได้เคียงข้าง

และจากนี้... ทุก ๆ ลมหายใจเข้าออก ผมจะเฝ้าถนอม ‘ความรัก’ นี้ไว้

เพราะทุกลมหายใจของผมคือ... รุ่งเพียงคนเดียว





#JKLTHESERIES

หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (BREATHE) 26.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 26-02-2018 10:01:15
Chapter IV: Fulfill (Breathe)

 

เสียงลมหายใจทั้งสองที่สอดประสาน เร่งเร้าอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในหัวใจให้ประทุขึ้นจนไม่สามารถฉุดรั้ง ‘บทรัก’ ที่กำลังก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ประตูห้องนอนถูกปิดลงสนิทเสียด้วยซ้ำ สองร่างไร้ซึ่งถ้อยคำใด ๆ ที่จะกล่าวระหว่างกัน เพราะเพียงชั่ววินาทีที่สบสายตาก็รับรู้ชัดถึงความต้องการภายในที่หัวใจร่ำร้อง ด้วย ‘สายใยแห่งความรัก’ ที่เชื่อมโยงทั้งสองดวงวิญญาณกลับมาเชื่อมชิดสนิทอีกครั้ง

ใครว่า... ความห่างไกลเป็นตัวแปรของความคิดถึงและคะนึงหา

บางครั้ง แม้กายชิดสนิทแนบก็มิได้บรรเทาความลุ่มหลงและโหยหาในกันและกัน ที่มันเรียกร้อง... มากขึ้น... มากขึ้น..... มากขึ้น และจมลึกลงทุกที

แรงปรารถนาที่ปลุกเร้ามีฤทธิ์ร้ายคล้ายยาเสพติดที่ทำให้ภาพในสมองขาวโพลนล่องลอยรับรู้เพียงประสาทสัมผัสทางร่างกายที่ชัดเจน แจ่มแจ้งในทุกอณูแห่งความหวาน กว่าสติบางส่วนจะกลับคืน ก็จวนเจียนจะทำให้คนในอ้อมกอดขาดใจ จึงจำใจถอนจูบรสร้อนแรงออกจากริมฝีปากบาง ร่างเล็กแทบจะทรุดฮวบอยู่หน้าประตูในทันที หากเพียงเขาไม่ได้ประคองเอวบางไว้

ก่อนที่จะรวบร่างบางไว้กระชับ และนำพาทั้งสองร่างมาที่เตียงที่แสนอ่อนนุ่ม โดยไม่ปล่อยเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาทีให้ขาดหาย เสมือนดั่งลมหายใจของกันและกัน

ณ จุดเริ่มต้น เฉกเช่นมหาสมุทรที่ทรงพละกำลัง ลดทอนพลังอันมหาศาลที่คับคั่งภายใน เพียรส่งเพียงฟองคลื่นสีขาวโอบล้อม สาดซัด ผะแผ่ว หาดทรายละเอียดเนียนนุ่ม อย่างใจเย็น หยอกเย้า...ย้ำ...ซ้ำ....ความสนิทแนบทั่วทุกตารางนิ้ว

จนได้รับสัญญาณตอบรับจากผู้รับรสสัมผัสที่ค่อย ๆ ส่งเสียงครวญครางหวานอย่างสุดกลั้น และปลดปล่อยความต้องการที่มากเกินความควบคุม

จึงเริ่มบทรักต่อไปที่รุกเร้า เรียกร้อง สอดรัด ด้วยสัมผัสทางกายที่แนบชิดยิ่งขึ้น คนใต้ร่างตอบสนองรสสัมผัสทุกสัมผัสอย่างเทียมเท่า หนทางรักที่ดำเนินต่อดังเหมือนไม่มีจุดสุดสิ้น

คลื่นลมในทะเล ปั่นป่วน ถาโถม ซัดสาด ฝั่งฝันอันแสนรื่นรมย์

ดั่ง...’ทะเลคลั่ง’ ที่ ใหลหลง คลั่งไคล้ มัวเมาใน ‘รสรัก’ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ระดับดีกรีสอดประสานจึงเร่าร้อน รุนแรง เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสุดขีดความอดทนอดกลั้นอีกต่อไป จวบจนรวมหลอมสองร่างและลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว

 

ห้องนอนทั้งห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง แว่วเพียงเสียงหอบหายใจของร่างทั้งสองที่ยังกระหวัดเกี่ยวรัดกันจนยากจะแยกออก มือเล็กค่อย ๆ ไล้ซับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดออกมาตามไรผมหยักศกของใบหน้าคมที่ยังซุกซบอยู่ในอ้อมอกของตนเอง อย่างแสนรัก แสนทะนุถนอม

คนตัวโตจึงเงยหน้าขึ้นมามองคนใต้ร่าง ใบหน้าหวานที่ยังมีเลือดฝาดสีกุหลาบระเรื่อ ปลายหางตายังมีร่องรอยน้ำตารื้นชัดเจน

“ยังเจ็บอยู่เหรอครับ” เสียงยังคงแตกพร่า ก่อนที่จะจูบลบรอยน้ำตานั่น

“เปล่า...” ร่างบางยังคงพูดน้อยอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะเมื่อบทรักที่เร่าร้อนเพิ่งพ้นผ่าน

“งั้น...น้ำตานี่มาจากไหนครับ” จึงเริ่มกระเซ้าคนรักต่อ ขณะที่ปลายจมูกยังคงวนเวียนคลุกเคล้าใบหน้าหวานไล่เรียงมาถึงลำคอระหง

“เขน... อย่าพึ่ง......... พักก่อน” ร่างบางเริ่มประท้วง มือเล็กเริ่มออกแรงผละออกจากอ้อมกอด เมื่อผมกำลังจะเริ่มก่อกวนอีกครั้ง

“หึหึหึ” ไม่ยอมปล่อยให้หนีกันง่าย ๆ ผมจึงกดน้ำหนักโอบกระชับเก็บกักร่างบางไว้

“หมายความว่า ถ้าหายเหนื่อยแล้วต่อได้” คนที่ให้คำตอบได้เบือนหน้าหนี

“เขนรักรุ่ง นะครับ” ใบหน้าหวาน เสมือนถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจัดอีกครั้ง ทั้งที่ไม่ยอมหันกลับมาสบสายตา

“รุ่งจ๋า...........รักเขนบ้างไหม” ผมอยากได้ยินจริง ๆ เพราะไม่เคยได้ยินคนคนนี้พูดออกมาอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ๆ ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายพร่ำบอกเสมอ โดยเฉพาะตลอดช่วงระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ได้ครอบครองเรือนร่างของคนรัก คนที่ปรารถนา และใฝ่ฝันถึงมานาน

แม้จะ ‘รู้’ จากสายตา

แม้จะ ‘รู้’ จากการกระทำ

แม้จะ ‘รู้’ จากความอารมณ์และความรู้สึก

แม้จะ ‘รู้’ จากความแนบชิดที่สื่อสารผ่านจิตวิญญาณ

แม้จะ ‘รู้’ ว่าคนที่ ‘เก็บ’ มานานมันไม่ง่ายนักสำหรับเขาที่จะเอ่ยมันออกมา

แต่......ก็ยังคงปรารถนาที่จะได้ยลยิน และผมคิดว่าผม ‘รู้’ วิธี……

 

“รุ่งจำครั้งแรกที่พบกันอีกครั้งที่มหา’ลัย ได้ไหม” ผมเริ่มเล่า ขณะที่พลิกตัวตะแคงข้าง โดยใช้อ้อมแขนแข็งแกร่งประคองร่างบางมาประกบเคียงข้าง อย่างไรก็ไม่ปล่อยให้คนในอ้อมกอดหนีหาย มือของแขนข้างที่ถูกอีกคนทับยังคงกดสะโพกกลมให้แนบชิด และไม่ยอมถอนเรือนกายที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในร่างบางออก คนตัวเล็กจึงทำเสียงจิจ๊ะเบา ๆ อย่างขัดใจ ก่อนที่จะยอมซุกใบหวานมุดลงในอ้อมอกอีกครั้ง ผมใช้นิ้วม้วนผมอ่อนนุ่มเล่นแล้วจึงเล่าต่อ

“ทั้งที่ตอนนั้นเขน ไม่เคยคิดว่าตัวเองเคยมีความรักมาก่อน ตอนนั้นเข้าใจว่าไม่เคยรู้จักความรักเลยด้วยซ้ำ ชีวิตช่วงที่ ’ความทรงจำ’ และ ‘รุ่ง’ ขาดหายไปเหมือนลมหายใจมันติด ๆ ขัด ๆ เหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนอะไรที่สำคัญในชีวิตขาดหาย   ตอนนั้นรู้เพียงว่าต้องอยู่ให้ได้เพื่อครอบครัว”

“แต่เมื่อเพียงพบรุ่งอีกครั้ง แค่เดินสวนกันหลังหอประชุม เหมือนเขนลืมวิธีการหายใจ ทั้งที่รุ่งเดินผ่านไปนานแล้วยังก้าวขาไม่ออกจนเพื่อนที่เดินตามมาต้องสะกิดจึงรู้สึกตัวอีกครั้ง แล้วรู้เพียงเพียงแต่ว่าต้องไปหน้าเวทีให้ได้ เขนเดินฝ่าผู้คนขอทางไปเรื่อย ๆ จนพบรุ่ง ตลอดคอนเสิร์ตเหมือนทุกอย่างหยุด เหมือนโลกนี้มีแค่เขนกับรุ่ง เหมือนชีวิตนับจากนั้นมีความหมายมากขึ้น เหมือนหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง”

“จนกระทั่งเขนเตรียมไปสารภาพ ‘รัก’ กับรุ่ง....”

“และมารู้อีกครั้งว่า... รุ่งก็จากไปแล้ว..............”

“แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตเขนก็ยังมีความสุขมากกว่าตอนก่อนพบรุ่ง เหมือนหาเจอแล้ว เหมือนค้นพบแล้ว แม้จะอยู่ไกลกันขนาดไหน แม้จะไม่ได้พบกันอีก แต่เพียงแค่ได้ ‘รู้’ ว่ามี ‘รุ่ง’ ในโลกใบนี้ให้เขนได้ ‘รัก’ แค่ได้ ‘รู้’ ว่า ‘รักรุ่ง’ ก็เพียงพอต่อหัวใจแล้ว”

ผมปลดปล่อยคำพูดทุก ๆ คำออกมาจากความรู้สึกข้างใน

“ตอนนั้นพี่บลูมาพบเขนตอนที่ถือช่อ ‘ดอกลิลลี่’ ไปสารภาพรักกับรุ่ง ต้องขอบคุณพี่บลูกับพี่เชนมากจริง ๆ ที่คอยส่งข่าวของรุ่งให้เป็นระยะ ๆ”

“ตลอดเวลาที่เฝ้ารอคอยรุ่ง ก็เห็นว่าเส้นทางของเรานับวันยิ่งห่างไกลกันไป มากขึ้น มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแรงผลักดันทำให้เขนต้องพยายามเรียนให้ดีขึ้นเพื่อจะตามรุ่งไปให้ได้ ขอแค่ใกล้ที่สุดเพียงแค่ช่องทางการได้รับข่าวคราวของรุ่งก็ยังดี ยิ่งเมื่อพี่เชนไปเยอรมัน เขนก็คิดแต่ทำยังไงก็ได้ต้องตามพี่เชนไปให้ได้ จนมาคิดทีหลังว่าทำไมไม่ไปอังกฤษนะ”

“ตอนนั้นรุ่งหนี.....” ผมอมยิ้ม เมื่อเสียงเล็กเริ่มแทรกขึ้นมา นี่ไงแผนตะล่อมให้เปิดเผยความในใจเริ่มได้ผล

“หนีหัวใจตัวเอง มันยังไม่พร้อมจริง ๆ นะเขน”

“ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะหว่านล้อมให้เลิกเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ มากแค่ไหน หรือจะช่วยเหลือมากเพียงใด”

“แต่รุ่ง ‘รู้’ ตั้งแต่แรกว่าเป็นเขน แม้ไม่มั่นใจนัก แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ได้”

“แต่เมื่อแน่ชัด เมื่อวันที่เขนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวันนั้น”

“ว่าหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น และรู้ว่าถ้าอยู่เมืองไทยต่ออาจเป็น ‘รุ่ง’ เองที่เดินเข้าไปหาเขน”

“แล้วไม่รู้ว่าถ้าย้อนกลับไปครั้งนั้น เขนจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“จึงเลือกทางที่จะจากไปอีกครั้ง............” เสียงหวานแผ่วเบาเหมือนถูกกลืนหาย ผมกระชับร่างบางแนบอก ให้กำลังใจกันและกัน เรื่องบางเรื่องมันยากเกินกว่าที่จะเล่า โดยเฉพาะจากมุมมองของคนที่ ‘เก็บ’ และ ’เจ็บ’ มาแสนนาน


“ไม่ใช่เขนคนเดียวหรอกที่คอยตามข่าว แค่สายข่าวของรุ่งดีกว่าเขนแค่นั้นเอง” คนตัวเล็ก เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าเล่ห์ เรื่องนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อน รุ่งสืบข่าวผมด้วยอย่างนั้นเหรอ

“เราสัญญากันไว้ เขาส่งข่าวเขนให้รุ่งทุกเดือนตั้งแต่เราแยกจากกันครั้งแรก เขาเพิ่งเลิกส่งตอนที่รุ่งกลับไปขอยกเลิกสัญญา เมื่อต้นปีนี่เอง”

“เขาให้สัญญาไว้ เขารักษาสัญญา และสม่ำเสมอเหมือนลูกชายเขา”

“ใครเหรอ”

“คุณพ่อของเขนไง เราสัญญากันไว้ตั้งแต่ตอนเขนป่วย พ่อส่งเมลให้รุ่งทุกเดือนสิบกว่าปีเลยนะ”

“จริงเหรอ” พ่อไม่เคยบอกผมมาก่อน แม้กระทั่งเราสองคนกลับมาคบกันอีกครั้ง ผมรักและเทิดทูนผู้ชายคนนั้นเสมอ เพราะรู้ว่าเขาเสียสละ และเป็นห่วงผมเสมอมา แต่ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อผมและคนที่ผมรักมากมายเพียงนี้

“จริงสิ ก็เรา ‘รัก’ คนคนเดียวกัน”

“...........................................”

“อะไรนะ” ผมเกือบคิดไม่ทันคำบอกรักขี้โกงนั่น

“จริง ๆ แล้วก็เหมือนที่เต้กับไทม์บอก ไม่รู้หรอกว่าเราเริ่ม ‘รัก’ กันตอนไหนเลยด้วยซ้ำ หรือมันอาจเป็นตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน ตั้งแต่รุ่งเดินเข้าห้องเรียนมา คล้ายกับว่าสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาเหมือนอ่านกันได้ทะลุ เหมือนพบคนที่เหมือนกันมาก แม้ในตอนแรกในหัวใจรุ่งเองยังไม่ยอมรับ แต่ความรู้สึกข้างในมันบอกว่าเขนไม่เหมือนใคร ไม่ต้องปิดบังอะไร เพราะเหมือนรู้อยู่แล้ว”

“เขนชัดเจนตั้งแต่แรกเหมือนทุกครั้ง และระยะเวลาแห่งความผูกพันนั่นมันค่อย ๆ สร้างให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ที่มีคนคอยเดินเคียงข้าง คอยปกป้อง คอยห่วงใยดูแล เราไม่เคยพยายามให้คำนิยามที่ชัดเจนกับมัน จนเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก แต่สิ่งที่สามารถอธิบายคนอื่นให้เข้าใจได้ก็คือเพียง….. เพื่อนสนิท”

“จนเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความชัดเจนในความสัมพันธ์มากขึ้น”

“.............................................”

“อะไรเหรอรุ่ง”

“.............................................”

“อะไรล่ะ”

“ขอเวลาบ้างสิ” คนตัวเล็กเริ่มประท้วง มาถูกเร่งเร้า

“งั้นเขนเอาเวลาไปทำอย่างอื่นนะ” มือที่เกาะกุมที่สะโพกจึงเริ่มซุกซน ขณะที่อีกข้างกำลังหยอกล้อปลายยอดหน้าอกสีหวาน จมูกคมค่อย ๆ จรดลงทีไรผมอ่อนนุ่มไล้ลงมาที่หน้าผาก อารมณ์หวาน ๆ ข้างในใจเริ่มจะฉุดไม่อยู่

“อะ เดี๋ยวเขน..... จะฟังไม่ฟัง” ร่างบางเริ่มปัดป้องพัลวัน

“ก็รุ่งไม่เล่า” ผมยังไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ

“เล่าแล้ว เล่าแล้ว......” เสียงถอนหายใจชัดเจน ตั้งใจประชด ผมจึงต้องตั้งสติกลั้นความต้องการของตัวเองอีกครั้ง

“จูบแรก ตอนไม่สบาย.....”

“หืม” ผมไม่เคยรู้ว่าเราเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากแค่ไหนก่อนอุบัติเหตุครั้งนั้น

“.......................................” ผมเชยคางแหลม เพื่อให้ใบหน้าหวานที่ซุกอยู่ในอกขึ้นสบตา แต่ดวงตากลับปิดสนิท คนตัวเล็กกำลังกัดริมฝีปากตัวเองอยู่ อย่างสะกดกลั้น แต่สีเลือดฝาดทั่วใบหน้า และจังหวะการเต้นของหัวใจที่แนบชิด บอกให้ถึงความรู้สึกเขินอายนั่นได้อย่างดี

“เล่ามานะ......รุ่ง” ตอนนี้จังหวะหัวใจของผมก็กำลังเต้นผิดปกติ

 

‘จูบ...ตอนไม่สบาย’ ผมมีความหลังกับจูบอันแสนอ่อนหวานในฝันที่ตามหลอกหลอนเช่นเดียวกัน และให้ความรู้สึกว่ามันมีความเชื่อมโยงกันแน่ ๆ

“ก็....การแสดงออกมันเริ่มแปรเปลี่ยนจากแค่เพื่อนสนิทหลังจากที่เขน....จูบป้อนยาให้รุ่ง จูบแรกตอนไม่สบาย” ใบหน้าหวานฝืนมุดลงไปในอ้อมอกอีกครั้ง ผมต้องรุกเรื่องจูบแรกนี่ก่อน

“แล้วยังไงต่อ”

“ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ร่างกายที่เริ่มชัดเจนขึ้นจนเรียกว่าเพื่อนไม่ได้แล้ว เราก็กลายเป็นคนรัก เขนก็แทบจะย้ายบ้านมานอนบ้านนี้ เหมือนกับตอนนี้ คนรอบข้างใกล้ ๆ ตัว ครอบครัว เพื่อนสนิทก็ค่อย ๆ รู้ จนเขนให้ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรก ในวันปัจฉิมม.ต้น เกือบทั้งโรงเรียนก็รู้ว่าไม่ได้แค่เพื่อนสนิทกัน”

“แล้วยังไงต่อ”

“ไม่มีอะไรแล้ว” ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ในอดีตคงไม่มีอะไรมากกว่าจูบนั่น เพราะครั้งแรกของ ’เรา’ เกิดขึ้นในคืนที่เราเปิดเผยความในใจกัน แต่.....

“เขนถามถึงจูบนั่น” ผมต้องเคลียร์เรื่องจูบในฝันนั่นให้ได้

“อะไรอีกล่ะ” รุ่งเงยหน้าขึ้นมองครั้งแรก อย่างเริ่มงอน

“ที่ลำปาง ตอนเขนป่วย รุ่งป้อนยายังไง” สายตาตื่นตระหนก ก่อนที่จะมุดลงไปที่เดิม

“เขนจำได้เหรอ.......”

“ไม่แน่ใจแต่คิดว่าใช่”

“............................”

“ก็.......รุ่งสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครจูบอีก ตั้งแต่ก่อนไปอังกฤษ ครั้งแรก”

“แต่...เขนบอกเองว่าถ้าเขนไม่สบายให้รุ่งป้อนยาแบบนั้นได้นี่นา”

“รุ่งก็ไม่ผิด ก็เขนอนุญาตแล้ว”

“และรุ่งก็เป็นคนจูบ ไม่ได้ถูกจูบ”

คิดแล้ว....ผมแน่ใจว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานให้คนตัวเล็กค่อย ๆ คลายความลับที่ ‘เก็บ’ มานาน แต่วันนี้เท่านี้น่าจะเพียงพอ ก็ผมมีเวลาทั้งชีวิต ที่จะไม่มีวันยอมปล่อยให้คนในอ้อมกอดหนีหายไปไหนได้อีก

“ไม่รู้ละ เขนงอน”

“อะไรล่ะ รุ่งไม่ได้ทำผิดตรงไหนเลยนะ”

“ไม่รู้”

“...........................”

“ให้ง้อยังไงอะ”

“..........................”

“รุ่งยังไม่ตอบเลยว่ารักเขนบ้างรึเปล่า”

“ยังต้องตอบอีกเหรอ”

“............................”

“…………………….รุ่งรักเขน”

“.............................”

“อะไรอ่ะ ก็ยอมพูดแล้ว”

“.............................”

“เขน...................ก็ได้”

ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าจูบในความฝันนั่นเป็นความจริง จูบหวานซึ้งตรึงใจ ที่ซึมซาบอยู่ในทุกอณูความรู้สึก คือจูบนี้เอง

จูบที่.....เคยเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในอดีต

จูบที่.....ตอกย้ำความปรารถนาในปัจจุบัน

จูบที่.....เป็นดังคำมั่นที่จะเคียงข้างกันในอนาคต

 

ดั่ง... ลมหายใจเดียวกัน จากนี้จนชั่วนิรันดร์





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (NOW AND FOREVER) 26.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 26-02-2018 10:04:34
Chapter V: Fulfill (Now and forever)

 

ผมยังคงฝัน แต่มันไม่ใช่ฝันร้ายเดิม ๆ อีกต่อไป

หลายต่อหลายครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาจากความฝัน คล้ายว่าเรากำลังพยายามโอบอุ้มสายน้ำไว้ในอุ้งมือ มันจะค่อย ๆ เล็ดลอดเหือดหายเลือนลางหายไป แต่ความฝันครั้งนี้ของผมกลับชัดเจน และแจ่มชัดมากขึ้น เมื่อตื่นลืมตาก็พบกับใบหน้าคมที่พบในฝัน

แม้วันเวลาที่ผันผ่านจะแปรเปลี่ยนบางอย่างไป แต่เค้าโครงใบหน้าเดิมที่จรดลึกในความทรงจำ และการกระทำทั้งหมดของเขา ทำให้เขา ‘ผู้ชายที่ผมรัก’ ตั้งแต่แรกพบวันนั้น กับผู้ชายที่นอนเคียงข้างในวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

ผมยังคงตราตรึงสายตาคมที่จ้องลึกราวกับว่าทะลุเข้ามาข้างในหัวใจ เพียงเศษเสี้ยววินาทีแรกที่พบกัน จากสายตาที่เฝ้าดูแล ห่วงใย ติดตามในวัยเยาว์ และกลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ปรารถนา และภักดี

เปลี่ยนชีวิตที่เคยโดดเดี่ยว อยู่เพียงลำพังเงียบ ๆ ในโลกแห่งความฝัน ให้มีความหมายขึ้นมาในทุก ๆ ลมหายใจ แม้หนทางของชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา ทั้งวันเวลาที่เคยนำพาทางเดินของเราทั้งสองมาพบกัน และวันเวลาก็เคยพรากเส้นทางความรักของเราให้แยกจากกัน

แม้ตอนนี้เส้นทางชีวิตวกกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง แต่อดีตที่เคยประสบทำให้ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บเกี่ยวทุก ๆ นาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ทำให้ทุก ๆ วินาทีที่เราอยู่ด้วยกันมีคุณค่า สรรค์สร้างทุก ๆ เสี้ยววินาทีให้ ‘ผู้ชายที่ผมรัก’ มีความสุข

แสงแรกแห่งดวงอาทิตย์กำลังสาดส่อง ผมจำต้องปลุกพระจันทร์ที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราให้ไปปฏิบัติภาระหน้าที่ในวันใหม่ จึงแกล้งเกลี่ยลูกผมที่งอเป็นคลื่นเล็ก ๆ ที่ล้อมกรอบใบหน้าขาวอย่างเบามือ ค่อย ๆ สอดนิ้วเรียวเข้าแทรกในลอนผมหยักศกนุ่มหนา พร้อมดันตัวเองขึ้นจากอ้อมอกอุ่น แล้วโน้มตัวลงเพื่อมอบจุมพิตต้อนรับเช้าวันใหม่

คนตัวโตตอบรับรสจูบทันที อย่างเคลิบเคลิ้ม กึ่งฝัน แน่ชัดว่ายังไม่ตื่น แต่ปฏิกิริยาที่ตอบสนองมันทำให้รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่กันแน่ ผมลอบยิ้ม เมื่อพยายามจะถอนจูบออก กลับมีลูกแมวผวาตามหารสจูบติดตามไม่ยอมปล่อย คงต้องปลุกด้วยวิธีนี้จริง ๆ ให้ขาดอากาศหายใจคงตื่นมาเอง แล้วเพียงสักพักก็ได้ผล ดวงตาคมโตเปิดเปลือกตาปรือขึ้นมามอง ผมจึงแกล้งกัดริมฝีปากไปเบา ก่อนจะผละออก

“รุ่ง............” คนตัวโตยังงัวเงียแต่กลับดึงผมเข้าไปสู่อ้อมอกแข็งแกร่งอีกครั้ง

“ตื่นได้แล้วเขน เช้าแล้วนะ วันจันทร์ด้วยรถติด” ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอด แต่ยิ่งดิ้นยิ่งกลับรัดแน่นหนามากกว่าเดิม

“อีกสิบนาทีนะ....รุ่ง”

“งั้นปล่อยก่อน รุ่งไปอาบน้ำก่อนนะเขน”

“ไม่อะ กำลังฝันดี” เอาแต่ใจ นิสัยเด็ก ๆ แบบเดิม ๆ ที่ซ่อนอยู่ค่อย ๆ แสดงออก

“เขนก็นอนฝันไปก่อน ปล่อยรุ่งก่อนนะ” ผมพยายามอ้อน

“ฝันดี จะดีที่สุดถ้ามีคนในฝันอยู่ด้วยนี่นา”  แล้วก็แพ้ลูกอ้อนของอีกคน

“อีกเดี๋ยวค่อยอาบน้ำด้วยกันนะ”

บางที..... ‘รู้’ จักกันดีเกินไป

เพราะ..... ‘รัก’ กันมากเกินไป

ก็ทำให้..... ‘ยอม’ กันง่ายเกินไป

ผมเริ่มอ่อนใจ

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวแรกแย้มปักอยู่หลอดแก้วใสทรงสูงที่โต๊ะทำงาน ทั้ง ๆ ที่เจ้าของออกไปทำงานที่ไซด์งานก่อสร้างนอกเขตปริมณฑล แต่เขาคนเดิมก็ยังคงทำทุกวิถีทาง และสม่ำเสมอ

ผมเริ่มคุ้นเคย และเลิกคาดเดามานานแล้วว่าทำอย่างไร

‘รู้’ แค่เพียงว่าใคร....หัวใจก็สุขล้น

“สดชื่นจริง ๆ นะพี่ ได้กลิ่นหอมของดอกลิลลี่ตอนเช้านี่” นี่คือคำทักทายของเด็กร้ายที่มาทำงานสาย

“พี่บลูครับ กี่โมงแล้วครับ” ผมจึงจัดกลับให้

“เฟรมเก้าโมงกว่าแล้ว สายกี่ครั้งแล้วเดือนนี้” พี่บลูหันตีหน้าขรึมเสริมทัพ

“โถ.....พี่บลูก็ผมไม่มีใครมารับมาส่งเหมือนคนบางคนนี่นา” มันไม่เลิก

“พี่บลูวันนี้ผม ‘เอารถมาเอง’ วันนี้กลางวันออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหมครับ” ให้มันรู้ซะบ้าง

“อืมเปลี่ยนบรรยากาศไปข้างนอกบ้างก็ดี เบื่อเด็กแถวนี้” พี่บลูตอบ

“ใช่สิ ก็ผมมันคนมาทีหลังนี่นา ทำไงก็โดนรุม” ผมกับพี่บลูลอบยิ้มให้กัน

“ให้ผมไปด้วยคนแล้วกัน” มันสรุปหน้าตาเฉย เหมือนยอมซะอย่างนั้น ง่ายไปไหม

 

หลังจากที่โปรเจคใหม่ของผมนำเสนอบอร์ดบริหารผ่านแล้ว ช่วงนี้จึงอยู่ระหว่างหา Reference เพื่อเป็นข้อมูลวาง Concept ให้กับโครงการ บรรยากาศในทีมจึงดูสบาย ๆ มากกว่าช่วงที่ต้องทำแผนเคร่งเครียด เราจึงออกไปเตร็ดเตร่เดินศูนย์การค้าอื่นเล่น ในช่วงพักกลางวันพร้อมหาอะไรทานกัน จริง ๆ แล้วก็คล้าย ๆ มาสำรวจตลาดในตัวด้วย

เราสามคนมานั่งที่ร้านโซน Open Air ระหว่างรออาหารกลางวันที่สั่งไป โชคดีวันนี้ไม่ร้อนจัด บรรยากาศแบบนี้จึงพอนั่งรับอากาศภายนอกได้ พร้อมกับนั่งฟังเฟรมบ่นพร่ำไปเรื่อย ๆ กับพี่บลู โดยผมก็ยังคงฟังเพลิน ๆ นั่งเก็บข้อมูลพร้อมแจมบ้างเป็นระยะ ๆ

ZZZZZZZZZZZZZZZ ข้อความยังคงถูกส่งมาตรงเวลาทุกวัน

‘วันนี้ยุ่งมากไหมครับ อย่าลืมทานข้าวกลางวันนะ เป็นห่วง วันนี้เขนกลับดึกนะครับ’

“พี่บลูครับ ชาเขียวที่สั่งไปเมื่อกี๋ไม่ต้องใส่น้ำเชื่อมแล้วล่ะครับ แค่นั่งใกล้พี่รุ่งมดก็จะขึ้นอยู่แล้ว” นอกจากมันจะยื่นหน้ามาอ่านข้อความด้วยแล้ว เด็กร้ายยังเหน็บแนมให้ซ้ำ

“เออ ถ้าไม่ใส่ก็เก็บไว้ให้พี่ พี่ยอมเป็นเบาหวาน” จึงรับให้ซะเลย จะอะไรมากมายก็แค่คน ‘รักกัน’ จึงกลายเป็นคนแซวเริ่มเขินแทน

“เดี๋ยวผมมาครับพี่บลู” ผมขอตัวออกมาโทรศัพท์และแทบไม่ทันจะได้ฟังเสียงรอสาย

“รุ่งจ๋า...คิดถึงครับ” ถ้อยคำที่ทำเอาหัวใจไหวหวั่น

“...........มันใช่คำทักทายเหรอ คำนั้นน่ะ” เขาไม่ทักทายหรือสวัสดีกันแล้วหรือไง

“ก็เขนคิดถึง ไม่กล้าโทรไป กลัวรุ่งยุ่งอยู่”

“รุ่งคิดถึงเขนเหรอ”

“..............................” ยังห่างกันไม่ถึงครึ่งวันเลยนะเขน

“ไม่ตอบแสดงว่าคิดถึง”

“เฮอ........................” คิดเอาเองก็ได้ คนเรา

“ทานข้าวหรือยังครับ”

“กำลังจะกิน สั่งอาหารแล้ว รออยู่ วันนี้รุ่งออกมาทานข้างนอกกับเฟรมกับพี่บลู”

“โห......อิจฉา เขนต้องกินในไซด์งานคนเดียว”

“งานยุ่งเหรอ เห็นว่าจะกลับดึก เขนไม่ได้เอารถไปด้วย จะกลับยังไง” นี่แหละประเด็นที่ทำให้รีบโทรมา ก็เมื่อเช้าเราออกมาด้วยกัน ผมแวะไปส่งเขนที่ไซด์งานก่อนมาที่ออฟฟิศ

“น่าจะดึกนะรุ่ง ผู้รับเหมาต้องเร่งงานโครงสร้างหลักนิดหน่อย คงเที่ยงคืนได้ เดี๋ยวเขนกลับแท็กซี่เอง รุ่งกลับก่อนเลย”

“เหนื่อยไหม...”

“แค่มีรุ่งคอยเป็นห่วงก็หายเหนื่อยแล้ว”

“อืม... เป็นห่วงนะเขนดูแลตัวเองดี ๆ” ผมกล้าที่จะพูดตามความรู้สึกตัวเองมากขึ้น

“ค..ครับ แล้วจะรีบกลับนะครับ” กลับเป็นผมที่รู้สึกดีใจ เมื่อ ‘รู้’ ว่าคำพูดจากหัวใจไม่กี่คำ ที่เอ่ยออกไป ทำให้คนปลายสายตอนนี้น่าจะยิ้มจนแก้มแทบแตก

“แล้วพบกัน รุ่งจะรอ” ผมจึงวางสายไป ผมเริ่มตระหนัก ‘เขา’ ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงมุมมองของผมอีกครั้ง มุมมองที่ไม่เคยรู้...

เปลี่ยน...ให้ยอม ‘เปิดใจ’ และ ‘เปิดรับ’ เขาเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

เปลี่ยน.... ให้กล้าที่ยอมรับ ‘ความรัก’ ของเขาเข้ามาอย่างเต็มหัวใจอีกครั้ง

เปลี่ยน..... ให้เฝ้าดูวันพรุ่งนี้รักเราจะเป็นอย่างไร......

 

“พี่กลับก่อนรุ่ง”

“พรุ่งนี้พบกันครับพี่บลู พี่เชน” ผมมองตามทั้งสองคนเดินออกไป สามทุ่มกว่าแล้วทำงานจนเพลิน เจ้าเฟรม และคนอื่น ๆ ในฝ่ายทยอยกลับไปตั้งแต่เลิกงาน มีเพียงพี่บลูกับผมที่นั่งคุยกันทำงานกันไปเรื่อย จนพี่เชนมาตามพี่บลูกลับไป

พี่บลูเพิ่งทราบเรื่องราวของผมกับเขนช่วงก่อนเรียนมหาลัย ก่อนหน้านี้ผม ‘เก็บ’ ไว้ได้ดีทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ระแคะระคายอะไร

ใช่ครับ ทั้งสองคนรู้เรื่องที่เขนแอบชอบผมมานาน และพี่บลูรู้ว่าผมก็รู้ เพราะเป็นคนบอกผมเองว่าเจ้าของดอกลิลลี่ที่อุตส่าห์หอบมาให้ถึงอังกฤษเป็นใคร แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมรู้สึกอย่างไร

เมื่อพี่เชนตามเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยจึงได้รู้เพิ่มเติมอีกว่าพี่เชนใช้ความพยายามมากเพียงไรในการแย่งโปรเจคที่ลำปางมาให้เขน ทั้ง ๆ ที่ปกติทั้งสองคนจะพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานโครงการเดียวกันอย่างมาก รวมทั้งเรื่องที่พี่เชนแอบงอนตอนที่พี่บลูเรียกผมกลับมาจากลำปางด้วย

แต่ก่อนที่ผมจะได้กล่าวขอบคุณพี่บลูกับพี่เชน ก็ได้พบว่าคู่กรณีอีกคนหนึ่งแทบจะยกบ้าน ยกที่ดิน สละทรัพย์สินทั้งหมดให้พี่ทั้งสองไปแล้ว

“แค่นี้เชนมันก็น้ำหนักขึ้นแล้วล่ะรุ่ง” พี่บลูกล่าว

“เขนมันเลี้ยงข้าวมาเกินเดือนแล้วละมั้ง” ก่อนที่จะส่งสายตามองพี่เชนแบบระอา

คู่นี้เขาน่ารักจริง ๆ ครับ นี่ก็คงไปแวะเล่นฟิตเนสกันก่อนกลับบ้าน ผมปิดโน้ตบุ๊ก ก่อนที่จะตัดสินใจ เพิ่งวันจันทร์ งานช่วงนี้ก็ไม่หนักอะไร ไปเดินเล่นที่ไซด์ก่อสร้างบ้างน่าจะดี เขนยังเคยมารอรับผมกลับบ้าน ผมไปรับบ้างก็ไม่น่าจะมีอะไร ไม่อยากกลับบ้านเพียงคนเดียวแล้ว

เพราะตอนนี้...ในหนึ่งชีวิต ‘เรามีกัน’ สองคนแล้ว

 

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ฝ่าการจราจรออกมานอกเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ไซด์ก่อสร้างทุกที่มีออฟฟิศชั่วคราวอยู่ที่ชั้นใต้ดินที่มักจะถูกเร่งให้สร้างเสร็จก่อนส่วนอื่น ๆ ผมจอดรถและเดินเข้าไปในออฟฟิศ แล้วจึงพบ รปภ. นั่งเฝ้าอยู่

“ขอโทษครับ ผมมาพบคุณเขน ฝ่ายก่อสร้าง”

“ครับ คุณเขนเพิ่งออกไปเดินตรวจงานกับผู้รับเหมาเมื่อสักครู่ ให้วิทยุตามให้ไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ผมจึงเลี่ยงไปนั่งอ่านหนังสือเล่นที่โซนรับรองลูกค้า

 

“รุ่ง...... มาทำไมไม่บอก” คนตัวโตก้าวขายาว ๆ เข้ามาในออฟฟิศอย่างรวดเร็ว

“ก็...มารับกลับบ้านไง เขนเดินตรวจงานเสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง”

“เปล่า.....” นั่นไง น่าจะวิ่งกลับมาจากไซด์เพราะยังหายใจหอบอย่างชัดเจน

“แล้วนี่ทิ้งผู้รับเหมามายังไง เขนกลับไปทำงานก่อน รุ่งรอได้”

“ไปเดินด้วยกันนะ” คนพูดไม่พูดเปล่า ดึงหนังสือออกจากมือผม พร้อมทั้งฉุดมือให้เดินตามไปด้วย

“จะลากคนนอกไป ๆ มา ๆ ได้ยังไงให้รุ่งรอที่นี่แล่ะ” ผมพยายามดึงมือออก

“รุ่งไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ก็เราเป็นคนเดียวกันนี่นา”

“หัวใจของเขนมาแล้ว เขนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ หัวใจไม่ได้เหรอ”

“.....................................” ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีคน ไม่มีใครได้ยิน เล่นอ้อนกันอย่างนี้ผมก็ไปต่อไม่เป็น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่ก่อสร้างแล้ว

“เขนรู้ได้ยังไงว่ารุ่งมา” ผมถามขณะเดินขึ้นบันไดหนีไฟ ครับอย่าว่าแต่ลิฟต์เลย บันไดเลื่อนก็ยังไม่ได้ติดตั้ง ศูนย์การค้าที่ตอนนี้มีแต่โครงสร้างหลัก เสา พื้น เพดาน ก็ต้องอาศัยเดินตามทางบันไดหนีไฟกันไปก่อน

“เมื่อกี๋เขนอยู่ชั้นสาม มองลงมาเห็นรถ” ผมก็อุตส่าห์ไม่ให้ รปภ. ตาม เจ้าตัวก็ยังบังเอิญเห็นเองอีกจนได้

“เดี๋ยวเดินดูชั้นสามอีกนิดนะรุ่ง แล้วกลับบ้านกัน” คนเดินนำหันกลับมายิ้มให้หน้าบาน ขณะที่ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มนั่น หรือสายตาผู้รับเหมาที่มองมาแปลก ๆ เมื่ออยู่ ๆ วิศวกรที่ควบคุมงานก็วิ่งหนีหายไป และกลับมาพร้อมผู้ชายอีกคนที่เจ้าตัวลากไปด้วยตลอดเวลาโดยไม่ยอมปล่อยมือ

 

ในที่สุดคนมารับก็หลับสนิทมาจนถึงบ้าน เรานั่งกินอาหารมื้อดึกในโรงครัวจัดเลี้ยงพนักงานกว่าจะออกจากไซด์งานมาก็เลยเที่ยงคืน เขนจึงไม่ยอมให้ผมขับรถเองอย่างเคย จนมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่ออีกคนกำลังจะอุ้มขึ้นบ้านอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรเขน เดินไหว” ผมค่อย ๆ เรียกสติตัวเองกลับมา และเดินตามร่างสูงที่จูงมือเข้ามาในบ้าน

“รุ่ง เขน ทานอะไรกันมารึยังลูก” โชคดีที่ไม่ปล่อยให้คนตัวโตอุ้มเข้ามาจริง ๆ ผมเข้าไปกอด และหอมแก้มม๊า

“หม่าม๊ายังไม่นอนเหรอครับ”

“นอนแล้วจ๊ะ แต่ได้ยินเสียงรถเลยลงมาดู แต่ไม่ต้องห่วงแล้วนี่นะ ลูก ๆ กลับมาอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว” เอ่อ...นี่ม๊าแซวผมอย่างนั้นเหรอ

“ครับม๊า” เขนตอบให้แทนซะอย่างนั้น

“มีอะไรให้ทานบ้างครับ ผมเก็บท้องรอไว้กินกับข้าวฝีมือม๊า” กินแล้วไม่ใช่เหรอเขน แล้วสองคนก็เดินตามกันไปที่ครัว

“รุ่งทานไหมลูก” ม๊าชะโงกหน้ามาถามจากห้องครัว

“ไม่แล้วครับ เดี๋ยวรุ่งไปอาบน้ำก่อน” ผมตอบพร้อมกับก้าวขึ้นบันได เสียงคุยกันกะหนุงกะหนิงดังมาเป็นระยะ น่าจะโดนยึดแม่ไปอย่างถาวร

 

“รุ่งอาบน้ำแล้วเหรอ” คนตัวโตเพิ่งเข้ามาในห้องนอน

“อืม” ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนเตียง

“นึกว่าจะรอให้เขนอาบให้” ผมแกล้งทำเป็นมีสมาธิในการเล่นเกม ในขณะที่เริ่มรู้สึกร้อน ๆ ไปทั่วใบหน้า โอกาสไม่ได้มาบ่อย ๆ หรอกเขน คืนนั้นมันง่วงจริง ๆ ไม่น่าพลาดเลย คงโดนล้อไปอีกนาน

แมวตัวโตจึงมาร้องเรียกความสนใจด้วยการซุกหัวมานอนที่ตัก

“เขนไปอาบน้ำก่อน” เล่นไม้นี้ผมจึงต้องเลิกเล่นเกมมาผลักเจ้าตัวโตให้ลุกไปอาบน้ำ

“ก่อน.....อะไรอะ” ยังหันกลับมาทำหน้าเจ้าเล่ห์

“.....ก่อนนอน”

“รุ่งใจร้าย” ผมมองตามคนที่เดินเข้าห้องน้ำไป และส่ายหัวอย่างอ่อนใจ

ไม่รู้จริงๆ ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หากตั้งแต่ ‘เปิดรับ’ เขากลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

ทุกๆ ลมหายใจเหมือนกลับมา ‘เติมเต็ม’

ทุกๆ ลมหายใจกลับมาเต็มไปด้วย ‘ความหมาย’

เพียงเพราะ ‘ความรัก’ ของเขาเพียงคนเดียวที่เปลี่ยนแปลง ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตของผม และจะมีเพียง ‘เขา’ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมพร้อมยอมมอบ ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตของผมให้ต่อจากนี้ไปจนนิรันดร์





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (NOW AND FOREVER) 26.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-02-2018 21:18:46
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: LOOK LIKE 27.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-02-2018 16:32:57
Chapter VI: Look Like

 

“พี่เขน... แพรคิดถึงจังเลยค่ะ” สาวเปรี้ยวมั่นใจเกินร้อยแผดเสียงทักทาย คนทั้งออฟฟิศชั่วคราวหันมามองกันเป็นตาเดียว

“อ้าวแพรวา มาทำอะไร” ผมถามกลับขณะที่สาวน้อยเดินตรงเข้ามาควงแขนอย่างรวดเร็ว

“แพรนัดลูกค้ามา Site Visit ค่ะ พี่เขนอ่ะไม่โทรหาแพรบ้างเลย โทรไปก็ไม่รับ แพรแอบงอนแล้วนะคะ” แพรเป็นหนึ่งในแฟนคลับแถวหน้าของผมที่กรุงเทพครับ เราพบกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศพนักงานใหม่

“พี่ยุ่ง ๆ กลับจากลำปางก็มาอยู่ที่นี่ต่อเลย” ผมยิ้มแห้งกลับไป

“จริงเหรอค่ะ” ร่างเปรียวหันมาเผชิญหน้าแต่ยังคงไม่ปล่อยแขน ดวงตาโตเพิ่งมองอย่างคาดคั้น

“แต่ที่แพรได้ข่าวมา เหมือนพี่เขนจะยุ่ง ๆ เรื่อง ‘คนอื่น’ อยู่” ผมยิ้มบาง ๆ กลับ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรใคร

“แล้วนี่กินข้าวกลางวันหรือยัง ไปพี่เลี้ยงข้าว” ง้อสักนิดไม่น่าเป็นไร

“ก็ดีค่ะ จะได้คุยกันต่อด้วย” เราจึงเดินออกมาด้วยกัน พร้อมกับสายตาคนอื่น ๆ ที่กำลังจับจ้อง สักพักข่าวลือเรื่องแพรวาคงกระจายตัวออกไป ผมได้แต่ส่ายหน้า และถอนหายใจ

 





เราออกมาทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ผมเริ่มเบื่ออาหารที่โรงครัวจัดเลี้ยงพนักงานแล้วสิครับ หลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อย ผมจึงเข้ารับการสอบสวนอีกครั้ง

“แหม พี่เขนหน้าตาดูสดชื่นจังนะคะ ได้ข่าวว่ามีความรักเหรอคะ”

“ใครกันน้า...ผู้โชคดีคนนั้น” แพรวาถามอย่างรวดเร็ว และตรงประเด็นเสมอ

“แพร ไม่น่าจะรู้จักหรอก เขาชอบเก็บตัวเงียบ ๆ” ในออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพแตกต่างกับบรรยากาศที่ไซด์งานในศูนย์การค้าตามสาขาต่าง ๆ เหมือนชีวิตคนกรุง ต่างคนต่างทำงาน ความสัมพันธ์นอกเหนือจากเรื่องงานจึงมีน้อย เพราะเอาเวลาไปติดอยู่บนถนนอยู่เป็นส่วนใหญ่

โดยเฉพาะคนที่เก็บตัวอย่าง ‘รุ่ง’ ผมเชื่อว่าเกินกว่าครึ่งของพนักงานที่นี่ไม่น่าจะรู้จัก ทั้ง ๆ ที่ป็อบปูล่ามากตามสาขาที่เขาได้ไปประจำ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังได้ขนม และอาหารทะเลแห้งที่ถูกส่งมาจากสุราษฯ มาถึงกรุงเทพฯ แฟนคลับที่นั่นน่าจะไม่น้อยไปกว่าที่ลำปาง

“พึ่งรู้ว่าเสป็คพี่เขนชอบคนเงียบ ๆ เห็นออกจะเฮฮา นึกว่าจะชอบสาวสังคมจัดซะอีก”

“เอ่อ.........” มันอธิบายอยาก ผมจึงได้แต่ยิ้มกลับไป อาหารที่สั่งถูกลำเลียงมาส่งเรื่อย ๆ ผมจึงก้มหน้าจัดการกับอาหารตรงหน้า

“แล้วอยู่ฝ่ายไหนเหรอคะ” ผมยังยิ้มให้กับท่าที ที่กัดไม่ยอมปล่อยของแพร

“ไม่ต้องมายิ้ม เลยพี่เขนตอบมา”

“ฝ่ายออกแบบ” ผมจึงตอบไปขำไป

“คนไหนนะ แพรมั่นใจว่ารู้จักเกือบหมดนะ ทีมไหนค่ะ” พร้อมกับคำถามเริ่มชี้เฉพาะลงเรื่อย ๆ

“ทีมพี่บลู เขาไม่ค่อยได้อยู่สำนักใหญ่เหมือนกับพี่นี่แหละ”

“งั้นก็รู้จักกันตอนไปที่ไซด์สิคะ ที่ลำปางเหรอค่ะ โปรเจคนั้นแพรไม่ได้ดูซะด้วย”

“ปล่อยพี่เขนคลาดสายตาไปแป๊บเดียว แอบไปมีคนสำคัญเลย”

“ชื่ออะไรคะ สวยไหม” เล่นเอาผมตอบไม่ถูก จะว่าไม่สวยได้เหรอ ออกจะหวานปานนั้น

“.............................”

“แหมมม แค่นี่ก็ทำเป็นหวงไปได้ น้องแพรไม่ไปทำร้ายเขาหรอกค่ะ”

“พี่เขนเลือกแล้วแพรก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากเห็น อยากสกรีนนิดนึงก็แค่นั้น”

“เดี๋ยวก็คงพบสักวันแหละ” ผมยิ้มให้และชวนคุยเรื่องอื่นก่อนที่จะถูกซักมากกว่านี้

 





หลังจากทานอาหารเสร็จ เรากลับมาที่ไซด์งานอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานต่อในช่วงบ่าย

“เย็นนี้พี่เขนไปไหนไหมคะ น้องแพรทิ้งรถไว้ที่สำนักงานใหญ่ ไปส่งแพรหน่อยได้ไหม”

“เอ่อ...พี่มีนัดแล้วค่ะ”

“นัดที่สำนักงานใหญ่หรือเปล่าคะ” ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป

“งั้นน้องแพรติดรถพี่เขนเข้าไปด้วยนะคะ พี่เขนจะกลับเมื่อไหร่โทรตามแพรด้วยแล้วกัน”

“เอ่อ....พี่เขนคะ ยังไงน้องแพรก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ” สาวมั่นประกาศชัดผมรู้ว่าไม่ยอมเรื่องอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินจากไป

แพรวาดูน่ากลัวในสายตาคนอื่น ๆ แต่กลับดูใส ๆ และซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองในสายตาผม คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น คนอย่างนี้ต่างหากที่คบด้วยแล้วสบายใจ เข้าใจอะไรไม่ยากและชัดเจนกับความรู้สึก เหมาะที่จะเป็นน้องสาวที่น่ารัก แม้เจ้าตัวยังประกาศกร้าวไม่ยอมแพ้

ไม่รู้ว่า... ถ้าพบอีกคนจะเป็นอย่างไร คนที่แตกต่างสิ้นเชิง

ถ้าพบกันคนนั้นจะคิดมากไหม คิดแน่นอน คิดเยอะแน่ ๆ ข่าวลือยิ่งแพร่กระจายง่าย ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ‘โทรไปก่อนดีกว่า...ทำอะไรอยู่นะ’

“แพรรถจอดโซนไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมถามหลังที่จอดรถที่ชั้นใต้ดินตึกออฟฟิศสำนักงานใหญ่เรียบร้อย

“พี่เขนจะขึ้นออฟฟิศเหรอคะ”

“อืม”

“งั้นเดี๋ยวน้องแพรขึ้นไปด้วยค่ะ ไปเอาของหน่อย”

เกือบจะสองทุ่มแล้วออฟฟิศบางส่วนเริ่มปิดไฟเหลือเพียงไฟตามทางเดิน และฝ่ายที่ยังมีคนทำงานอยู่ แล้วในที่สุดสาวมั่นก็เดินตามผมมาถึงฝ่ายออกแบบ คนที่ผมมารับยังคงนั่งดูแบบก่อสร้างอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ขณะที่น้อง ๆ ในฝ่ายดูจะทยอยกลับไปหมดแล้ว

“รุ่ง.......”  รุ่งเงยขึ้นมามอง แววตาฉงนเล็กน้อยเมื่อพบคนที่เดินตามเข้ามา ก่อนที่...

“สวัสดีครับ” รอยยิ้มบาดตานั้นฉายชัดส่งไปให้อีกคน

“อ..เอ่อ รุ่ง นี่น้องแพรวา อยู่ฝ่ายขาย”

“ยินดีที่รู้จักครับ พี่เรียกน้องแพร ได้ไหมครับ”

“สวัสดีค่ะ น้องแพรค่ะ ยินดีที่รู้จักค่ะพี่รุ่ง”

“ทำไมน้องแพร ไม่เคยพบพี่รุ่งมาก่อนเลย พลาดไปได้ยังไงนะคะ”

“แต่พี่รู้จักสาวสวยประจำฝ่ายขายนะครับ เมื่อปีที่แล้วที่น้องแพรเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พี่ยังตามไปเชียร์เลยค่ะ” แล้วผมก็รู้สึกเป็นส่วนเกินของบทสนทนาต่อจากนั้น ได้แต่เฝ้ามอง ผมประเมินรุ่งไว้ต่ำเกินไปจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะใช้ไม้นี้ ตั้งแต่รอยยิ้มนั่น ผมพนันได้ว่าผมได้เสียแฟนคลับไปให้อีกคนแน่แล้ว

“พี่เขนไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ แพรอยากพาพี่รุ่งไปลองทานร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดค่ะ”

“เอ่อ...ครับ” ผมรับปากงง ผมต่างหากไม่ใช่เหรอที่ต้องเป็นคนชวน แล้วจึงได้แต่เพียงเดินตามเมื่อแพรควงแขนรุ่งนำหน้าไป

“น้องแพรลองทานสลัดนี่นะครับ พี่ว่าน้ำสลัดเขาไม่หวานกำลังดีเชียว”

“ซูชินี่ก็อร่อยค่ะพี่รุ่ง ให้น้องแพรป้อนนะคะ” เล่นป้อนกันต่อหน้าต่อตาผม

“พี่รุ่งน่ารักจังเลยค่ะ” แถมยังเคี้ยวตุ้ย ๆ ปล่อยผมเป็นอากาศธาตุไปเลยทีเดียว

“อร่อยไหมคะ”

“อร่อยครับ”

“ทานเยอะนะคะ พี่รุ่งมีแก้มหน่อย ๆ จะน่ารักขึ้นเป็นกองเลยค่ะ”

“แล้วพี่รุ่งจะออกไซด์ เมื่อไหร่คะ”

“น่าจะหลังสงกรานต์ครับ”

“งี้ ช่วงนี้ก็อยู่สำนักงานใหญ่ตลอดใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“น้องแพรมีร้านอร่อย ๆ แนะนำอีกเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวเรามาทานกันอีกนะคะ”

“ครับ ช่วงนี้น้องแพรดูโปรเจคเดียวกับเขนเหรอครับ”

“ค่ะ วันนี้แพรก็พาลูกค้าไปดูสถานที่ ช่วงนี้ต้องขับรถเยอะหน่อย โชคดีวันนี้ติดรถพี่เขนเข้ามา ไม่งั้นน้องแพรก็คงนั่งแท็กซี่กลับเลยล่ะคะ”

“ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับพี่เป็นห่วง” ถ้าจะจีบกันต่อหน้าขนาดนี้นะรุ่ง...

 







“เขน!!!”

ผมสะดุ้ง เมื่อคนที่ไม่มีท่าทีจะสนใจบุคคลที่สาม ยื่นมือมาคว้าขวดเกลือออกไปจากมือผม ขณะที่กำลังจะโรยเกลือลงไปบนเสต็กที่เพิ่งมาเสิร์ฟ ไปวางไว้ข้างตัวเอง ขณะที่แพรวามองตาม

“กินเกลือเยอะ ๆ ไม่ดี” รุ่งตอบสายตาสงสัยนั่น ก่อนที่จะหันกลับไปคุยกันสองคนเหมือนเดิม

แค่นี้...ผมก็หุบยิ้มไม่ลง

แคร์... แคร์กันสินะ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันเกินกว่าสิ่งที่รุ่งกำลังแสดง เพื่อทำความรู้จักกับคนใหม่อย่างแพรวา ผมจะน้อยใจไปทำไม คิดได้จึงเข้าร่วมวงสนทนาด้วยอย่างสบายใจมากขึ้น แพรวาส่งสายตาหมั่นไส้มาให้เป็นระยะ

“แล้วนี่พี่รุ่งกลับยังไงคะ”

“กลับกับพี่ไง ก็พี่มารับ” จึงโดนแพรวาค้อนให้ไปหนึ่งที

“บ้านพี่รุ่งอยู่ที่ไหนคะ ไปรถแพรก็ได้ พี่เขนอยู่คอนโดแถวนี้เองนี่ จะได้ไม่ลำบาก”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าพี่รุ่งเกรงใจก็ขับรถให้น้องแพรก็ได้ น้องแพรได้มีเพื่อนกลับด้วยนะคะ” ช้าไปแล้วล่ะแพรวา ผมจึงชิงตอบออกไป

“แพรพี่ไม่ได้อยู่คอนโดมาเดือนกว่าแล้ว เรากลับ ‘บ้าน’ ด้วยกัน” ผมย้ำ แพรจึงมองกลับมากลับไประหว่างผมกับรุ่ง

“ไว้โอกาสหน้าดีกว่านะคะน้องแพร ไว้วันหลังเรามาทานข้าวกันอีกเนอะ” รุ่งจึงปลอบก่อนที่เราจะเช็กบิล และมาส่งแพรที่รถ

“ขับรถดี ๆ นะคะ ถึงแล้วโทรมาบอกพี่ด้วยนะคะ” รุ่งก้มตัวลงไปคุยกับแพร ว่าแต่ไปแลกเบอร์กันตอนไหน

“ค่ะ ถึงบ้านแล้วน้องแพรจะรีบโทรนะคะ” รุ่งจึงถอยตัวออกมา

“เอ่อ... พี่เขนคะ ขอคุยอะไรด้วยนิดนึง” ผมจึงขยับไปใกล้ แพรวาจึงค่อย ๆ กระซิบ

“แพรไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ” ผมรู้ความหมายของมัน ‘ประโยคเดียวกันกับเมื่อเช้า’ แต่ความหมายของมัน ‘กลับกัน’ อย่างสมบูรณ์ ผมจึงยิ้มก่อนที่จะตอบ

“พี่มั่นใจคนของพี่ ‘รุ่ง’ ของพี่” แพรสะบัดหน้าก่อนที่รถจะกระรุ่งกออกไปอย่างรวดเร็ว

 







“ค่ะ ฝันดีนะคะน้องแพร” ผมต้องรีบวางสายเมื่อเจ้าเหมียวตัวโตเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ เมื่อจับใจความได้ว่าผมกำลังคุยกับใครก็ทิ้งตัวลงมานอนที่ตักซะอย่างนั้น

“เขน...ลุกขึ้นก่อนเลย หัวยังเปียกอยู่เดี๋ยวไม่สบาย”

“รุ่งเช็ดให้หน่อยนะ” แล้วเจ้าตัวก็ทรุดตัวลงไปนั่งข้างเตียง

“ไปให้เบอร์กันตอนไหน” นั้นไงเริ่มเปิดประเด็นเลยทันที รัศมีมาเฟียเริ่มแผ่กระจาย

“น้องแพรเขาขอตอนที่เขนไปเช็กบิลไง”

“เห็นบอกว่าจะโทรมาปรึกษาเรื่องการตกแต่งร้านค้าให้ลูกค้า”

“น้องแพร...เต็มปากเต็มคำเชียว” ผมกลั้นยิ้มคนตัวโตแต่ใจน้อย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มแห้งจึงหยุดเช็ด และโน้มตัวไปกอดปลอบแมวที่กำลังงอน

“เหมือนกันเกินไป” ผมพูดตามความรู้สึก

“ใครเหมือนกัน” ผมไม่ได้ตอบ คิดว่าตัวน่าจะรู้อยู่แล้ว

“ชัดเจน จริงใจ รุกหนักเหมือนกัน”

ผมจึงอธิบายสิ่งที่เหมือนกันเพิ่มเติม สถานการณ์วันนี้ไม่ต่างจากวันแรกที่ไปกินข้าวกับเขนเท่าไหร่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไป เพราะตอนนี้คนตัวโตลุกขึ้นแล้วหันกลับมาเล่นงาน รู้ตัวอีกทีก็ถูกตรึงอยู่บนที่นอน

“ไม่เหมือนกันซะหน่อย” คนพูดเริ่มซุกซนอยู่ที่ซอกคอ เฮอ...คงไม่รอด แต่แกล้งยื้อเวลาอีกนิดดีกว่า

“ตรงไหน”

“ตรงที่....” ได้ผลใบหน้าคมยอมเงยขึ้นมาตอบคำถาม

“เขนรักรุ่ง”

“แล้วรุ่งก็รักเขน” ตาคู่นั้นเป็นประกายจนผมไม่กล้าสู้สายตาได้อีกต่อไป เริ่มร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ก่อนจะเบือนหน้าหนี

“มั่นใจจริงนะ”

“พิสูจน์ไหมล่ะ”

 





มารู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำก็สายไปแล้ว

รุ่งเอ๋ย......





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: LOOK LIKE 27.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 27-02-2018 20:11:05
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: THINK 28.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 28-02-2018 11:44:29
Chapter VII: THINK

 





ย้อนไป.....  10 เดือนก่อน

ผมยังคงหายใจ แต่ทุกลมหายใจกลับสร้างความรวดร้าวให้กับดวงใจที่บอบช้ำ ชีวิตต้องดำเนินต่อไปผมรู้ แต่เมื่อความรักถูกพรากจากเนื้อหัวใจ ร่างกายก็เหมือนอยู่อย่างไร้วิญญาณ

ผมยังแวะไปที่โต๊ะทำงานของ ‘รุ่ง’ ในตอนเช้า ในตอนกลางวัน ในตอนเย็น และในทุก ๆ วัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โต๊ะตัวนั้นไม่มีใครกล้ามานั่งอีกเลย ผมจึงรับหน้าที่ดูแลทำความสะอาดให้มัน เหมือนที่เจ้าของเก่าเขาทำทุกวัน น้ำในหลอดแก้วใสยังถูกเติมเต็มเสมอ ทั้งที่ไม่มีดอกลิลลี่อีกต่อไป คงเหมือนความจงรักที่ถูกเติมเต็มอยู่เสมอแม้จะไม่มีคนรักอยู่เคียงข้างกาย

สุดสัปดาห์นี้น้องชายของเขากลับไปเยี่ยมบ้าน หลังจากผมส่งเจ้าเฟรมที่สนามบินก็มีเพียงผมที่ขับรถกลับบ้านคนเดียว แม้เป็นระยะเวลาอันแสนสั้นที่เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ใจผมกลับโหยหารอยยิ้มของคนที่เคยนั่งเคียงข้าง

รอยยิ้มจากความจริงใจ รอยยิ้มที่สัมผัสได้เสมอว่ามาจากข้างใน

รอยยิ้มที่จดจำตราตรึงในหัวใจ เหมือนจรดลึกมานานแสนนานในหัวใจ

หากตอนนี้ที่นั่งเคียงข้างว่างเปล่า ไม่มีอีกแล้ว

ผมแวะซื้ออาหารแมวให้เหมียวที่ตลาด และเดินผ่านร้านขายดอกไม้ คุณป้ายังยิ้มทักทาย จึงได้ลิลลี่สีขาวติดมือมาด้วยดอกหนึ่ง

ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมละมุน

ดอกไม้ที่ดูบอบบาง อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม

ดอกไม้ที่ค่อยๆ แย้มผลิบาน อย่างแข็งแกร่งและอดทนนักในความรู้สึก

ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความรักที่ผมมีต่อ ‘รุ่ง’ เสมอ... ความรักอันบริสุทธิ์

 

แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลาลับ ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม...บ้านหลังเดิม

บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของอดีต… อดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ

มีเพียง ‘ความคิด’ เท่านั้น ที่หมุนย้อนกลับ

ลานจอดรถเล็ก ๆ หน้าบ้านที่มักถูกดัดแปลงเป็นสนามบอลบ้าง สนามบาส บ้าง สนามที่มีผู้เล่นเพียงสามคน แต่ปิดตัวลงเมื่อเขาจากไป เฟรมเข้าใจ และไม่เคยชักชวนกันเล่นอีก เมื่อ ‘ขาด’ เขาไป

ห้องรับแขกเล็ก ๆ ที่ ‘เขา’ มักจะนั่งที่เดิมเสมอ โซฟาเดี่ยวที่แยกตัวออกจากชุดโซฟาตัวยาวที่ผมมักครอบครอง เรานั่งดูหนังด้วยกัน เรานั่งทานข้าวด้วยกัน เรานั่งเชียร์ฟุตบอลด้วยกัน บัดนี้ว่างเปล่า.....

สวนหลังบ้านเล็ก ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ ที่ที่เรามักจะนั่งตรงกันข้ามเสมอที่โต๊ะหินอ่อนทรงกลม ที่ที่เรามักเลือกเป็นสถานที่ ที่จะสัตย์ซื่อกับความในใจ

ผมยังคงนั่งอยู่ตรง ‘ที่’ ที่เดิม ที่ที่ไม่มีเขาอีกต่อไป...

หลังจากไม่อาจฝืนกลืนเม็ดข้าวที่บาดคอได้อีกต่อไป ก็ได้แต่นั่งดูเหมียวเลียทำความสะอาดขนสีขาวฟูของมันหลังจากที่กินอาหารเรียบร้อย

เหมียวโตขึ้นมากแล้วนะ... รุ่ง

ไม่ได้เป็นเหมียวน้อยเหมือนเดิมแล้ว เริ่มจับหนูได้แล้ว หนูนาจากทุ่งนาหลังบ้านที่มักแอบเข้ามากินเศษอาหารในบ้านเคราะห์ร้ายไปหลายราย หลังจากรุ่งไม่อยู่แล้ว เหมียวก็ไม่เลือกนอนกับใครอีกเลย มันเลือกที่จะนอนข้างล่าง แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพียงสัญชาตญาณนักล่าของแมวตอนกลางคืนหรอกที่ทำให้มันเลือกทำอย่างนั้น เหมียวคงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในห้องที่เจ้าของไม่อยู่เหมือนกัน มันคงทนฝืนเก็บความหวนหา อาวรณ์ ไม่ได้เฉกเช่นเดียวกันกับผม

ห้องนั้นจึงถูกปิดตาย ห้องที่เฝ้ารอเจ้าของเพียงคนเดียว เหมือนหัวใจของผมที่เฝ้ารอเจ้าของหัวใจเพียงคนเดียว ตลอดมาผมเฝ้าหลอกตัวเองว่า รุ่งยังคงนอนอยู่ที่นั่น รุ่งยังคงนั่งเล่นที่ระเบียงนั้น

ผมไขกุญแจเปิดล็อกประตู

เฟรมสินะ เจ้าเด็กนั่นคงเข้ามาทำความสะอาดห้องให้พี่ชายของเขา เราต่างแอบเฝ้ารอคอย คนบางคนเหมือนกัน แม้ ‘รู้’ ว่าคงไม่เป็นจริง ที่นอนที่คลุมด้วยผ้าสีขาวกันฝุ่น เมื่อดึงผ้าออกกลิ่นหอมอ่อนบาง แต่ชัดเจนนักในสัมผัส แม้ตอนนี้ห้องนอนทั้งห้องหอมอบอวลด้วยดอกลิลลี่ที่วางไว้บนหัวเตียงซึ่งผมนำดอกใหม่มาเปลี่ยนเมื่อดอกเก่าเริ่มโรยรา แต่กลิ่นหอมที่ฝังลึกบนหมอนจมลึกในที่นอนกลับเป็นกลิ่นของเจ้าของห้องอยู่นั่นเอง

ผมดึงหมอนสีขาวใบฟูมาโอบกอด สูดลมหายใจแห่งความคะนึงหาเข้าบรรจุจนเต็มปอด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันบรรเทาเบาบาง หรือกดย้ำความเจ็บปวด แต่ขอเพียงฝาก ‘ความคิด’ ฝังรอยไว้ แม้จะร้าวรานแค่ไหนก็ตาม…

ผมยังคงส่งข้อความและรู้ดีว่า ‘เขา’ อ่านมัน แม้จะไม่มีวี่แววตอบกลับ

‘รุ่งใจดีเสมอ ใจดีที่จะไม่รั้งผมไว้’ แต่มันยิ่งฉุดให้ผมจมลึกลงในหลุมรักนั้นมากขึ้น ๆ กับของบางอย่าง กับความรู้สึกบางความรู้สึก บางที ‘เวลา’ ก็ไม่ทำให้อะไรเบาบางลง

 

เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไป สายลมยังคงพัดพากลิ่นหอมสดชื่นของทุ่งนาสีเขียวที่พลิ้วไหวผ่านเข้ามาภายในห้อง ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนแล้ว ความมืดปกคลุมที่นาที่เขียวขจีให้เห็นได้เพียงเงาโบกสะบัดของต้นข้าวราง ๆ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ดีที่สุด และสิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นของของคนที่ผมรักที่สุดเสมอ

เขาชอบนั่งตรงนี้ เชื่อได้ว่าเป็นมุมโปรด เพราะไม่ว่าครั้งได้ที่มาตามเขาที่ห้อง ‘รุ่ง’ จะนั่งอยู่ที่ระเบียงเสมอ นั่งทำงานบ้าง นั่งอ่านหนังสือบ้าง นั่งฟังเพลงบ้าง นั่งเหม่อบ้าง มีเพียงไม่กี่ครั้งที่ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามาแอบมองโลกส่วนตัวของเขา ในช่วงที่กำแพงที่กั้นขวางระหว่างเราเบาบางลง

คืนค่ำที่มืดมิด ‘แสงจันทร์’ คลี่กระจาย อบอุ่น นวลนุ่ม ‘แสงจันทร์’ ที่เฝ้าใหลหลง เฝ้าพร่ำเพ้อ คะนึงหา แต่มิอาจสัมผัสได้จริง มิอาจได้ครอบครอง ทำได้เพียงเฝ้าชื่นชม เฝ้าภักดี

ผมจมอยู่ในห่วง ‘ความคิด’ ที่วนเวียน เรื่องราวบางอย่างคลับคล้าย คลับคลา เรื่องราวที่ ‘รุ่ง’ เล่าเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของคนที่รักกันอย่างสุดซึ้ง แต่มิอาจอยู่ร่วมกัน มันทำให้ผมเริ่มสงสัย ผมเองเคยมี ‘ความทรงจำหนึ่ง’ ที่สูญหายไป ทั้งที่หัวใจบอกเสมอว่ามันสำคัญนัก แต่อาการของร่างกายที่ไม่ปกติ ทำให้ตัดสินใจปล่อยมันทิ้งหายลบเลือน เนิ่นนานกว่าสิบปี

ทำไม... สัมผัสบางอย่าง สำนึกบางอย่าง

ทำให้อยากกลับมาใคร่รู้อีกครั้งว่ามันคืออะไร

นานแล้วที่ผมไม่ได้นึกถึงมัน จนเกือบลืมวิธีที่ทำให้ความเจ็บปวดนั่นคืนมา แต่ตอนนี้ปรารถนา ร้องเรียกมันกลับคืน ถ้าใจรู้ว่ามันสำคัญผมยอมกลับไปเจ็บปวด

ขอเพียง... ‘จำได้’ ว่าคืออะไร

ผมพยายามรื้อฟื้นวิธีคิดที่ทำให้ปวดหัว ใช้เวลาเกือบจนรุ่งสาง คิดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ วุ่นวาย วนเวียน จนอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ จนความปวดแปลบปลาบเริ่มหลับย้อนเข้ามาในสมอง อย่างนี้นี่เองคิดแบบนี้สินะ ที่ทำให้อาการกลับมา และหวังว่า ‘ความทรงจำ’ นั้นจะกลับมา ผมพร้อมแล้วที่จะเพียรพยายามอีกครั้งและอีกครั้ง

 





สามทุ่มกว่าแล้ว ผมนั่งเช็ดผมอยู่ที่เตียง ปลดปล่อย ‘ความคิด’ ให้ลอยล่อง‘เขา’ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ อยากพบเหลือเกิน

เฟรมพึ่งโทรมาบอกว่าเครื่องลงแล้ว เขากลับมาเยี่ยมบ้านพรุ่งนี้จะเข้ามาค้างด้วยที่บ้าน และเอาของฝากจากอีกคนมาฝาก

อีกคน... คนที่หัวใจของผมห่วงหามากมายเหลือเกิน เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทางอาการเขาเหมือนจะไม่ปกติ จากคนที่สดใส และอบอุ่นมากมายขนาดนั้น กลับกลายเป็นเงียบขรึม ไร้ซึ่งประกายในดวงตา อาการที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน

ผมยังคงสงสัยว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นถูกต้องจริง ๆ แล้วหรือ ที่เลือกจะ ‘เก็บ’ ความทรงจำนั้นไว้เพียงคนเดียว ทั้งที่มันเป็นของเราสองคน ที่เลือกจะ ‘ทำร้าย’ ให้เขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง เพียงเพราะ ‘กลัว’ ว่า ทุก ๆ อย่างจะกลับไปเหมือนเดิม

จึงตัดใจ ‘ทำร้าย’ ให้เขาต้องเจ็บปวดตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังไม่ลึกซึ้ง ตอนที่ยังแปรเปลี่ยนได้ แต่มันจริงหรือเปล่า... เพียงเพราะกลัวว่าถ้าปล่อยความสัมพันธ์ลึกซึ้งเนิ่นนาน และถ้าเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ‘ดวงใจของเราสอง’ จะทนกล้ำกลืนฝืนรับมันได้อีกหรือ

ถ้าเพียงแค่ตัวผมเอง มันเคย ‘เจ็บ’ จนเหมือนด้านชา มันเคย ‘เก็บ’ จนเหมือนไร้หัวใจ แต่ถ้าเป็น ‘เขา’ ที่ย้อนกลับไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่พร้อมยอมเสี่ยงกับหัวใจของคนรักที่เฝ้าจงรักมาเสมอ ตลอดมา

 

ข้อความยังคงมาตรงเวลา ผมรักษาสัญญาที่จะอ่านทุกข้อความ แต่เลือกที่จะไม่ตอบกลับ เพราะเราเลือกแล้ว เลือกที่ต้อง ‘หยุด’

ผมเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบหนังสือ Interior Design เล่มหนาออกจากกองเอกสาร หนังสือที่บรรจุดอกลิลลี่สีขาวทับแห้งจำนวน 23 ดอก หลายดอกยังไม่แห้งสนิทนัก เมื่อช่วงเย็นก่อนกลับผมแวะไปซื้อทรายซิลิก้าสำหรับดูดความชื้น ซองพลาสติกใส และกระดาษโน๊ตมา เพื่อจัด ‘เก็บ’ ดอกลิลลี่จากลำปางไว้รวมกันกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในกล่องบนตู้เสื้อผ้า

ไม่ได้ทำมานาน เกือบสิบปี แต่ยังคงจำได้ทุก ๆ ขั้นตอน กระดาษโน้ตถูกตัดทีละใบ ๆ เขียนรายละเอียดวันที่ได้รับ ใช้โบสีแดงผูกติดกับปลายก้านดอกลิลลี่ เททรายลงในแก้วใสวางเรียงดอกลิลลี่ลงในระยะที่ห่างกันเล็กน้อย และเททรายกลบทับเป็นชั้นๆ ด้วยความประณีตจึงทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนาน จวบจนเรียบร้อยนาฬิกาก็บอกเวลา ‘เกือบจะตีสามแล้วสินะ’

คืนค่ำมืดมิด ‘พระจันทร์’ เปล่งนวลสว่างสาดส่อง ‘พระจันทร์’ ที่เฝ้าหลงใหลเฝ้าฝันใฝ่ คะนึงหาราวกับว่าเพียงกล้าเอื้อมมือออกไปจะสามารถครอบครองได้ แต่หากความเป็นจริง กลับไกลสุดเอื้อม ทำได้เพียง...เฝ้าจงรัก เฝ้าภักดี

‘เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ’ คำถามยังคงวนเวียน ‘ห่วงเหลือเกิน’ ใกล้เวลารุ่งเช้า ดังเหมือนสัมผัสอะไรได้บางอย่าง ‘หัวใจเต้นหวิวผิดจังหวะ’ มีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นกับ ‘เขา’ หรือเปล่า ผมยังทำได้เพียงปลดปล่อย ‘ความคิด’





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: THINK 28.02.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-02-2018 18:20:00
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: EMPTY SPACE 02.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 02-03-2018 11:42:58
Chapter VIII: Empty Space

 





สองร่างที่ยังอิงแอบแนบชิดใต้ผ้าห่มอุ่นหนาบนเตียง อุณหภูมิในห้องแอร์เย็นฉ่ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุ หลังจากที่พายุสงบ คนตัวโตเริ่มเซ้าซี้ ฟังเรื่องราวในอดีตที่ผันผ่าน

“นะครับ เล่าให้ฟังนิดนะ เขนอยากรู้”

“จะให้เล่ายังไง ไม่รู้จะเริ่มยังไง” ผมพยายามค่อยเรียบเรียงเรื่องราว

“ต่อจากที่ไทม์เล่าให้ฟังต่อพบกันครั้งแรก และหลังจากครั้งที่แล้วที่รุ่งเล่าถึง First Kiss นะ” อืม... ทำไมใครบางคนพูดออกมาง่ายจัง คนกำลังคิดย้อนทบทวนเรื่องราว เริ่มรู้สึกร้อน ๆ มันเหมือนเอาเปรียบกันเล็ก ๆ ที่เขาจำมันได้เพียงคนเดียว และมันก็เขินมากมายจริง ๆ ที่ต้องมาเล่าให้อีกคนฟัง แต่เมื่อสัญญาแล้ว ถ้าเล่าแล้ว เขนจะไม่ไปย้อนคิดถึงมันให้เจ็บปวดอีก ผมยอม







เรื่องมันก็ประมาณว่า กาลครั้งหนึ่ง.....

รักแรก พิสุทธิ์

รักแรก แสนสะอาด บริสุทธิ์

รักแรก เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ตราตรึงใจจนไม่หลงเหลือ ‘สายตา’ หรือ ‘หัวใจ’ ที่จะเปิดรับใครได้อีก

‘ลุ่มหลง..อย่างลึกซึ้ง’ อาจจะใช้คำนั้นแทนคงได้อย่างเต็มปาก เมื่อมองย้อนจากตอนนี้ แต่เป็นความลุ่มหลงที่ต่างจากความรู้สึก ‘รัก’ แบบเด็ก ๆ ที่ฉาบฉวย รวดเร็ว ของคนอื่น ๆ มาก เพราะไม่ใช่เพียงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจรู้ตั้งแต่วินาทีแรกว่า ‘เกิดมาเพื่อกัน’ แต่เป็นวันเวลาที่ใช้ทำความรู้จัก ผูกพันชิดใกล้ดัง ‘เพื่อนสนิท’ แต่เริ่มต้น

จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ หลังจากที่เราทั้งสองมั่นใจในความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง แทบไม่มี

อาทิตย์ใด... ที่ไกลห่าง

วันใดที่... ไม่ได้พบหน้า

ชั่วโมงใด... ที่ไม่ได้ยินเสียง

นาทีใด... ที่ไม่คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก

วินาทีใด... ที่ความรักไม่ได้ตราตรึงอยู่ในหัวใจ

ตื่นนอนตอนเช้าพร้อมกัน ไปเรียนด้วยกัน นั่งด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เล่มเกมด้วยกัน เล่นกีฬาด้วยกัน เล่นดนตรีด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน อาบน้ำพร้อมกัน เข้านอนพร้อมกัน นอนเคียงข้างกัน เหมือนมีเพียงสองคนในสายตากันและกัน แม้จะมีเพื่อนมากมายรายล้อม

แต่สายตาของคนหนึ่งมักจะแอบมอง ดูแลใส่ใจ เพียงแค่...อีกคนหนึ่ง

มักจะเป็นอย่างนั้นเสมอ...

เขนเองแทบจะย้ายมาอยู่ที่บ้านถาวร ถ้าวันไหนที่ม๊าบังคับให้กลับบ้านก็จะลากอีกคนกลับไปด้วยเสมอ จนแทบจะเป็นฝาแฝดกันเลยก็ว่าได้

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เส้นทางอีกเส้นทางปรากฏ เส้นทางแห่งความฝัน รุ่งก็ไม่แน่ใจนักหรอก ว่าทำไมถึงปรารถนามันมากมายนัก เพียงในใจรู้ว่าอยากไปมาก อยากไปจริง ๆ อยากไปเรียนรู้หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน แต่ไม่ได้คาดคิดว่าความฝันจะเป็นจริง ขอเพียงได้ลองพยายาม ตอนนั้นคนที่เคียงข้างก็รับรู้เสมอ เขนไม่เคยขัดขวางหรือห้ามปราม ไม่ให้เดินตามความฝัน อีกทั้งยังสนับสนุน ให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างเสมอ

แม้ตอนนั้นลึก ๆ รุ่งมั่นใจว่าเขนน่าจะรู้ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความฝันของอีกคนเป็นจริง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพื่อหน่วงเหนี่ยวฉุดรั้งความฝัน ปล่อยให้อีกคนที่ไม่ได้คาดถึงความห่างไกลที่จะเกิดเมื่อความฝันเป็นจริง ลืมไปเสียสนิท

 





‘ไม่ไปแล้วได้ไหม จะสละสิทธิ์นะ’

‘ทำไมละรุ่ง บอกเหตุผลมาก่อน’

‘รุ่งไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากแยกจากเขน’

‘รุ่งไปเถอะนะ ไปทำตามความฝัน’

‘เขนจะรอ สัญญาว่าจะรอ รอรุ่งคนเดียวเสมอ’

‘จริง ๆ นะ’

‘จริงสิ เขนสัญญาแล้ว’

‘จำได้ใช่ไหมถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็จะเจ็บ แต่ถ้ารุ่งมีความสุข เขนก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน’

‘รุ่งไปทำตามความฝันของรุ่งนะ และเขนจะเฝ้ารออย่างมีความสุข’

วันเวลาในช่วงนั้นผ่านไปเร็วมาก เท่าที่จำได้รุ่งเองแทบไม่อยากจะเตรียมของ เก็บกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าภายนอกจัดการ

‘รุ่งเหมาะกับสีขาว สีครีม’

‘เลือกแบบมีฮู๊ดดีกว่าจะได้ดึงขึ้นมาปิดหูปิดหัวด้วยจะได้ไม่เป็นหวัดนะ’

 







“เชื่อหรือยังว่าเขนไม่เคยเปลี่ยน ความจำไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อรุ่งเปลี่ยนแปลงไปเลยไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม มันคงฝังอยู่ส่วนไหนสักที่ในความทรงจำส่วนลึกของเขนละมั้ง” ผมเงยหน้าขึ้นมอบจุมพิตเบาที่ปลายคางเรียว อ้อมกอดของคนตัวโตจึงแน่นกระชับขึ้น

“ไม่อยากเล่าต่อใช่ไหมถึงใช้ไม้นี้ เขนไม่หลงกลหรอกแล้วยังไงต่อคะ”

ต่อจากนั้น... มีคนจัดการเลือกซื้อเสื้อผ้า เตรียมของกิน ของใช้ให้เสร็จสรรพ ในขณะที่คนจะต้องเดินทางกลับได้แต่เดินตามเสมือนคนที่กำลังถูกแยกร่างกายกับวิญญาณออกจากกัน

ตอนนั้นคิดได้แต่คิดน้อยใจ ‘ทำไมมีแต่รุ่งที่ดูเหมือนจะเป็นมากมาย’ แต่อีกคนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ราวกับว่าจะสนุกเหมือนตัวเองเป็นคนจะเดินทางเสียเอง

จนหลังงานเลี้ยงส่งคืนสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทาง คนที่แข็งแกร่งเสมอต่อหน้าทุก ๆ คน คนที่ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการลาจากครั้งนี้ กลับนิ่งเงียบเมื่อเหลือกัน และกันเพียงสองคน คืนนั้นทั้งคืนแทบไม่มีคำพูดใดใดเอื้อนเอ่ยออกมา มีเพียงคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกัน มือทั้งสองยังเกาะกุม ปล่อยให้เวลาทุก ๆ วินาที ผ่านไปช้า ๆ

ห้องทั้งห้องเงียบงัน แต่เหมือน ‘หัวใจทั้งสอง’ กำลังสื่อสารโดยไร้เสียง

กำลังใจถูกส่งผ่านสัมผัสอันอบอุ่นและคุ้นเคย คนที่ดูจะไม่เป็นอะไร กลับเรียกร้องการปลอบประโลม มากกว่า จน ‘รู้’ ว่าที่ได้แต่เฝ้าน้อยใจมาตลอด

เข้าใจผิด

มือทั้งสองยังคงประสานกันจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ลาจาก เหตุผลทั้งหมดที่หัวใจทั้งสองรับรู้และเราตัดสินใจ...

แบ่ง ‘ที่ว่าง’ ตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน ร่วมกัน





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CENTER OF MY HEART 02.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 02-03-2018 11:45:53
Chapter IX: Center of My Heart

 





สามเดือนแล้วสินะ ที่ชีวิตของผมเหมือนอยู่ในความฝัน

คุณเคยแอบรักใครสักคนอย่างสุดหัวใจบ้างไหม แล้วลองคิดว่าวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วพบว่าคนคนนั้นเขานอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของคุณ

สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมกำลองนอนยิ้มจนแก้มแทบจะระเบิดอยู่ตอนนี้ แม้คุณจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวระหว่างผมกับเขามันออกจะลึกซึ้งเกินกว่าการแอบรักมาก ซับซ้อนจนเกินจะคาดคิดได้และยากเกินที่จะเชื่อว่าจะเป็นความจริง

แต่สำหรับมุมมองของผม คนที่ลืมว่าเคยตกหลุมรักคนในอ้อมแขนของผมครั้งแรกอย่างไร ลืมเรื่องราวแห่งความรักความผูกพันอันหวานซึ้งที่ทำให้เขายังคงถูกผูกมัดให้จงรักอยู่กับคนที่ความจำเสื่อมเช่นผม

แม้จะอยากให้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาเพียงใด แต่ถ้าฝืนทำอย่างนั้นแล้ว จะทำร้ายเราทั้งสองคนให้แยกจากกันอีก ผมก็ยอมที่จะจำได้เพียงความรักทั้งสองครั้งหลังของผม ขอเพียงเราทั้งสองคนได้ก้าวเดินกันด้วยกัน...ต่อไปและต่อไป และมันทำให้ผมเสมือนคนที่สมหวังอย่างยิ่งในความรัก

ในฐานะคนที่แอบรักเขามาเป็นเวลายาวนาน

 





ครั้งหนึ่งผมยอมรับว่าผมเคยคิดท้อแท้ ที่ได้แต่เฝ้ารอและวิ่งไล่ตามความรักครั้งนั้น ครั้งที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นรักแรกในช่วงปีแรกของชีวิตในมหาวิทยาลัย

แม้ในตอนนั้นตลอดหนึ่งปีที่เฝ้าอดทนทุ่มเทและพยายามอย่างยิ่งในการเข้าถึงหัวใจเขาให้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแค่โอกาสจะคุยกันตรง ๆ ยังไม่มีเลย แต่ผมก็ยังไม่หมดหวัง เพราะว่าถ้าเขายังไม่มีใครผมก็ยังมีโอกาส โอกาสที่จะไขว่คว้าไล่ตาม

จนกระทั่งวันที่ได้รับรู้ว่าเขาก้าวเดินออกไปไกลห่าง ยิ่งกว่าสุดลูกหูลูกตา เรียกได้ว่าข้ามขอบฟ้า คนละซีกโลกกันเลยทีเดียว มันทำให้ผมเริ่มท้อแท้ และคิดว่าคงไม่มีวันไม่มีทางที่เส้นทางระหว่างเราจะได้มาบรรจบกันอีก จนเกือบตัดใจ

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเพียงได้รับอีเมลจากพี่บลู เพียงแค่ได้เห็นรูปถ่ายเขาบ้างเท่านั้น หัวใจกลับเฝ้ารอ โดยไม่รู้เอาแรงใจมาจากไหนมากมายในวันนั้น หากเหมือนรู้อยู่เสมอว่าเมื่อพบเขาแล้ว เขาคนที่ทำให้ชีวิตกลับมามีความหมายอีกครั้ง ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองกลับไปล่องลอยไร้จุดหมายอีก และเมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงทุกวันนี้ก็แอบคิดไปเองว่า เหมือนหัวใจก็รับรู้อยู่แล้วว่ามีความรักจากอีกคนส่งมาโดยตลอด แม้ตัวเขาจะหนีไปไกลสุดโลก แต่ ‘หัวใจของเขา’ มันก็ยังเป็นของผมอยู่นั่นเอง

ความรักของเขามันจึงถูกส่งมาถึงผมอย่างสม่ำเสมอในความรู้สึก ในจิตวิญญาณทำให้รู้สึกเสมือนความรักของเขายืนอยู่ไม่ไกล และทั้งสองสิ่งทั้ง ‘ความมุ่งมั่นในความรักของผม’ และ ‘ความรักที่ถูกเก็บซ่อนกดลึกในหัวใจของเขา’ เป็นแรงใจที่ผลักดันแรงกายให้ผมก้าวเดินตามหาเขาอย่างสุดกำลัง

 





คุณ… คุณนั่นแหละ คุณเหมือน ‘คนที่รู้ว่าใคร’ เลยนะ แอบติดตามชีวิตของผมสองคนมาตลอดใช่ไหมล่ะ เบื่อหรือยัง จะเบื่อหรือไม่เบื่อผมก็อยากเล่าต่อนะ ทนฟังอีกนิดแล้วกัน คุณอยากรู้เรื่องก่อนหน้านี้ไหมล่ะ

ถ้านับเอาเฉพาะความรักนะ แค่ความรักเท่านั้นนะ ตั้งแต่พบเขา ตั้งแต่พบจุดหมาย ผมก็ไม่เคยรักใครได้อีกเลย แม้จะเป็นระยะเวลายาวนาน แม้จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่ามีใคร ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตผมพอสมควรอยู่เหมือนกัน

ผมไม่ปฏิเสธว่าเคยชอบใครบ้าง เคยสงสารใครบ้าง เคยคิดว่าน่าจะลองให้โอกาสตัวเองกับหลาย ๆ คน แต่ก็อีกนั่นแหละบางทีเมื่อมันไม่ใช่ ผมก็ไม่อยากโกหกหัวใจของตัวเอง หรือเหนี่ยวรั้งใครให้ต้องเจ็บปวดไปด้วย

จึงมีเพียงคนผ่านมาแล้วผ่านไป

จนกระทั่งเส้นทางของเขาและผมได้มาบรรจบกันอีกครั้ง อย่างที่คุณก็รู้อีกเหมือนกันสงสัยไหมว่าผมน่ะรอเขามากว่าสิบปีเลยนะ แต่ทำไมเมื่อพบเขาอีกครั้ง ผมกลับปล่อยเวลาล่วงเลยไปเฉย ๆ เกือบสามเดือน

ก็ผมกลัวนะสิ

ใจหนึ่งผมก็คิด ครั้งก่อนผมอาจจะรุกหนักไปหรือเปล่า เขาถึงหนีไปซะไกลขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดครั้งนี้เขาหนีผมไปอีก ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว

อีกใจหนึ่งผมก็คิด หรือครั้งก่อนผมช้าเกินไป ก็เพราะไม่กล้าสารภาพกับเขานี่แหละทำให้ความรู้สึกทุกอย่างมันค้าง ๆ คา ๆเก็บอยู่เพียงแค่ในใจผมแค่เพียงคนเดียว

จนโชคเข้าข้างหรืออาจจะเรียนว่าพี่เข้าข้างก็ได้ เพราะสปอนเซอร์รายเดิมอย่างเป็นทางการของผมยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องนี้ผมรู้อยู่ก่อนแล้วพี่เชนหรือจะปิดผม ก็แกเป็นคนยุผมเองมาตลอด แต่เชื่อเถอะรุ่งไม่รู้หรอก เพราะคนอย่างพี่บลูไม่มีทางบอก

โครงการที่ลำปางโครงการแรกของผมในนามของพนักงานบริษัทอย่างเต็มตัว โครงการที่ผมยินดี และกระตือรือร้นมาก อาจจะมากเกินไปด้วยในช่วงแรกเราทะเลาะกันทุกวันเลยจริง ๆ นะ แต่คุณรู้ไหม แม้ผมจะห้ามตัวเองให้หยุดทะเลาะกับเขาในเรื่องงานไม่ได้ แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเขา แม้ใบหน้านั้นจะสื่อชัดว่าระอาผมแค่ไหน

แต่เขาก็โมโหได้น่ารักมากจริง ๆ นะครับ

ผมไม่เคยโกรธเขาหรอก งานกับเรื่องส่วนตัวผมแยกมันได้ แต่เพราะแยกมันได้นี่แหละ แม้หัวใจผมจะจมดิ่งหลงรักเขาหัวปักขนาดไหน แต่เรื่องงานก็ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ดี หากถ้าถามว่าตอนนี้ยังอยากทำงานร่วมกับเขาอยู่ไหม ผมตอบได้ทันทีเลยว่าอยากมาก แม้รู้ว่าเราคงทะเลาะกันที่ประชุมลุกเป็นไฟเหมือนเดิม แต่ผมชอบอยู่ใกล้ ๆ หัวใจนี่นา

 





คุณ คุณ ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อนอย่าเพิ่มน้ำตาลขึ้นซะก่อนล่ะ ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าให้คุณฟังคุณจำวันนั้นได้ไหม วันที่ผมไม่ได้นอนฝืนขับรถกลับเข้าเมือง เพื่อซื้อ ‘ดอกลิลลี่’ มาสารภาพความในใจกับเขา แล้วถูกปฏิเสธน่ะ

คุณรู้ไหมกว่าที่ผมจะรวบรวมความกล้าได้ก็แทบแย่ เฝ้าแต่คิดว่าผมพร้อมหรือยัง ผมจะดูแลเขาได้ดีพอไหม และตัวผมเองดีพอสำหรับเขาหรือยัง

คิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเหมือนที่แล้ว ๆ มาจึงกลั้นใจสารภาพ แล้วก็ถูกปฏิเสธ และก็ถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า ผมยังทึ่งตัวเองที่อดทนรอมาได้จนถึงวันนี้ แต่คุณรู้ไหมว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังคงจะเลือกทำทุกอย่างเหมือนเดิมอยู่ดี

ทำไมน่ะเหรอ... ก็มันยิ่งกว่าคุ้มแสนคุ้มนะสิ จริงๆ นะ

แม้คุณอาจจะรู้สึกว่าจะคุ้มตรงไหนเจ็บปวดเกือบเป็นบ้า เกือบสิบกว่าปีเชียวนะ แต่อยากให้คุณรู้ไว้เถอะว่า เพียงแค่ได้ตื่นมารอคอยอีกคนตื่น เพียงแค่นี้จะเจ็บปวดมากกว่านี้อีกร้อยเท่าผมก็ยอม

 





ชู่ววววส์ เขาขยับตัวแล้วนะ ใกล้จะตื่นแล้ว ผมคงจบเรื่องเล่าของผมวันนี้ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แต่อย่างไรก็ตามผมเป็นกำลังให้กับทุกคนที่ยังคงตามหาหัวใจของตัวเองนะครับ บางครั้ง บางทีความรักก็ไม่ได้สวยงามสดใสเสมอหรอกครับ

หากบางทีความเจ็บปวดมันก็ทำให้เรารู้ความแตกต่างกับความสุขได้ชัดเจน ทำให้เวลาเรามีความสุขนี่ช่างหอม และหวานเหลือเกิน อีกทั้งก็ทำให้เราใส่ใจกับทุก ๆ อย่างที่เราจะกระทำต่อไปด้วย เพราะอยากทำให้ความสุขนี้ยังคงอยู่ตลอดไป โดยที่ไม่ลืมที่จะระมัดระวัง และไม่ประมาทเมื่อความทุกข์จะมาเยือน

ดังนั้นถ้าวันใดคุณมีความทุกข์ อย่าลืมคิดถึงเรื่องราวของเราทั้งสองคนนะครับ ผมหวังว่ามันจะเป็นแรงใจให้กับคุณได้บ้าง แล้วพบกันใหม่ครับ

 







ร่างบางพลิกตัวออกจากอ้อมกอด ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย เหมือนกำลังปลุกเร้าตัวเองให้ฟื้นจากห้องนิทรา ผมจึงค่อยนวดหลังให้เขาเบา ๆ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมากยิ่งขึ้น เขาจึงพลิกตัวหันกลับมามองตาแทบลืมไม่ขึ้น เสียงอู้อี้กระซิบออกจากริมฝีปากบางสีเชอรี่

“เขนตื่นนานแล้วเหรอ”

“ค่ะ ตื่นสักพักแล้วค่ะ”

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ เดี๋ยวก็ออกสายกันพอดี ยิ่งร้อน ๆ ด้วย” คนที่กำลังพูดกลับปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง แต่ปากเป็ดที่ยื่นออกมาเหมือนงอนเล็ก ๆ

นี่หรือคนจะให้ปลุกใครจะกลับทำท่าจะหลับต่ออีกรอบ งั้นปลุกจริง ๆ ละนะคราวนี้ ผมจึงบดเบียดริมฝีปากลงกับกลีบริมฝีปากบางแสนงอนนั่น ใครจะอดใจไหวจริงไหม ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์สงสารว่าเมื่อคืนเจ้าตัวก็รับศึกหนักมามากพอแล้ว แต่กลับยั่วกันเองตั้งแต่เช้า รู้ตัวไหมนี่ว่าที่ทำนะเหมือนยั่วกันเลยนะรุ่ง

“อะ...อืมม ข เขน” น่าจะรู้ตัวแล้วสิ ว่าจะถูกปลุกด้วยวิธีนี้ จึงเริ่มประท้วง

สายไปแล้วรุ่ง

เสียงหวานที่ขาดหายไปนั่นก็เพราะฝีมือของผม ที่กดจุมพิตให้ลงลึกรุกเร้า ส่งปลายลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหวานภายในย้ำซ้ำอยู่เนิ่นนาน จนร่างบางจวนเจียนหมดอากาศหายใจจึงยอมเปลี่ยนจุดรุกเร้าไปซุกไซร้ที่ลำคอระหง

“เขน อย่านะ เดี๋ยวสาย” เหตุผลไม่ผ่าน สายก็ช่างสิก็มันวันพักผ่อน ออกเลทนิดน่ะได้ ผมจึงไม่สนใจคำร้องขอของเด็กน้อย

“อย่าซนนะเขนนะ เดี๋ยวค่อยไปต่อที่หัวหินก็ได้” รุ่งดันใบหน้าผมขึ้นมาสบตา

“นะที่นั่นอากาศดี บรรยากาศดีกว่าที่ห้องนี้ ไปนะเขน”

“ไปแต่เช้า จะได้ไม่ร้อน ขับรถไกลจะได้ไม่เพลียมากนะ รีบไปกันนะ”

สมองของผมบอกให้รู้ว่าผมกำลังถูกหลอกล่ออีกครั้ง แต่หัวใจนะสิมันกลับอ่อนยอมตามโดยง่าย เพราะรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานที่ผมยอมทำทุกอย่างจริง ๆ เพื่อให้รุ่งยิ้มให้แบบนี้

รุ่งรู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนของผมและเล่นไม้นี้ทีไร

ผมแพ้ราบคาบทุกครั้งเลยสิน่า

 

แต่เอาเถอะอย่างที่เคยบอก ถึงรู้ว่าถูกหลอก

ผมก็ยอม ยอมเขาแค่คนเดียวจริง ๆ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CENTER OF MY HEART 02.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-03-2018 19:34:05
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: MY LOVE 05.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 05-03-2018 13:23:30
 :L3: :L3:Chapter X: MY Love

 

ผ้าม่านสีเขียวจาง ๆ ไม่สามารถปิดบังแสงสว่างเริ่มสาดส่องรุกไล่เข้ามาห้องนอนที่เย็นจัดด้วยเครื่องทำความเย็น วันนี้ต้องรีบเดินทาง แต่ยังไม่อยากผละออกจากอ้อมแขนนี้จริง ๆ

แม้เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเวลาตลอดสิบกว่าปีที่ผมต้องตื่นมาโดยลำพัง หัวใจจึงยังโหยหาอาวรณ์อ้อมกอดของเจ้าของผู้รุ่งยที่อยู่ข้าง ๆ กายคนนี้เหลือเกิน

อาการเมื่อยล้าจากการนอน และกิจกรรมที่หัวใจยอมตามคนข้าง ๆ มากมายนัก ร้องบอกให้ร่างกายต้องตัดใจพลิกตัวออกจากอ้อมกอด ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย เพื่อปลุกเร้าตัวเองให้พร้อมตื่นรับการเดินทางในวันใหม่ สัมผัสของมือใหญ่ที่ค่อย ๆ กดนวดเบาที่หลัง ตื่นแล้วเหรอ จึงพลิกตัวหันกลับมาพบใบหน้าคมที่นอนยิ้มหวานสว่างไสว

“เขนตื่นนานแล้วเหรอ”

“ค่ะ ตื่นสักพักแล้วค่ะ”

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ เดี๋ยวก็ออกสายกันพอดี ยิ่งร้อน ๆ ด้วย” จึงแบะปากเหวี่ยงไปเล็ก ๆ แต่จริงแล้วไม่ได้งอนเรื่องนั้นหรอก กลบเกลื่อนความเขินต่างหาก ตื่นสักพักแล้ว งั้นแสดงว่าเขานอนมองผมหลับมาสักพักแล้วนะสิ

จึงลองหลับตาลงอีกครั้ง ให้อย่างไรก็ยังสบสายตาคมกริบนั่นนาน ๆ ไม่ไหว ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่แล้วก็ตาม และจริง ๆ แล้วก็ยังง่วงด้วยแหละขอนอนอีกนิดแล้วกัน อยากมองนักก็มองต่อไป แล้วสัมผัสริมฝีปากแผ่วเบาที่บดเบียด และหนักหน่วงขึ้นเรื่อยก็ทำให้ความง่วงหนีหายกระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น

ไม่ได้การล่ะ ถ้าปล่อยไปอย่างนี้วันนี้คงไม่ได้เดินทางแน่ จะได้ออกจากห้องหรือเปล่ายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ จึงพยายามเบือนหน้าหนีและส่งเสียงประท้วง

“อะ...อืมม ข เขน” แล้วก็ทำพลาดปล่อยให้ลูกแมวที่เพียงขบเม้มชิมรสริมฝีปากอยู่ภายนอกในตอนแรก ส่งปลายลิ้นเรียวลุกล้ำ กดจูบแนบชิดย้ำซ้ำอยู่เนิ่นนาน

จึงได้แต่ถอนหายใจไว้อาลัยให้ตัวเองเบากับความใจอ่อน ขณะที่ความพยายามที่จะห้ามปรามเริ่มขาดลอยด้วยสติที่กำลังพร่าเลือน จูบเก่งจริง ๆ สิให้ตาย ความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่างทำให้ใจรู้สึกหวิว ๆ เคลิบเคลิ้มเพลินเพลิดดังลิ้มรสไวน์ชั้นดี จนไม่รู้ว่าตัวเองแทบหมดลมหายใจ

กระทั่งคนนำทางปลดปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระอีกครั้ง และซุกไซร่ไล่เรียงลงไปที่ซอกคอ จึงทำได้เพียงหอบหายใจ ด้วยประสบการณ์ที่ต่างกันมากมายนัก จูบหวานนั่นแทบทำให้ผมตายได้โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เพียงเพราะด้วยลืมวิธีการหายใจ

“เขน อย่านะ เดี๋ยวสาย” นึกข้ออ้างได้เพียงเท่านี้ พยายามดึงสติของตัวเองกลับมาให้มากที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแต่เพียงน้อยนิด

ในเมื่อห้ามไม่ได้ หาข้ออ้างไม่ได้ ไม้ตายสุดท้ายจึงถูกงัดมาใช้ จึงดึงใบหน้าคมของเขาขึ้นมาสบสายตา

“อย่าซนนะเขนนะ เดี๋ยวค่อยไปต่อที่หัวหินก็ได้” ก็ต้องอ้อนนะสิ แม้จะผูกมัดตัวเองกลาย ๆ แต่ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดก่อน ไปแก้ปัญหากันข้างหน้าแล้วกัน อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาคิด

“นะที่นั่นอากาศดี บรรยากาศดีกว่าที่ห้องนี้ ไปนะเขน” ส่งสายตาอ้อนวอนไป

“ไปแต่เช้า จะได้ไม่ร้อน ขับรถไกลจะได้ไม่เพลียมากนะ รีบไปกันนะ” ปกติใช้ได้ผลนะ แต่ครั้งนี้เริ่มไม่แน่ใจ จึงได้ส่งรอยยิ้มให้ไปทั้งที่ในใจยังคงลุ้น แล้วก็...

ได้ผล เขนแพ้ลูกอ้อนของผมเสมอ

 

พายุเพิ่งผันผ่านรุ่งยฝั่งทะเล ก้อนเมฆครึ้มค่อยลอยจางหาย เหลือเพียงแต่ท้องฟ้าใสสีสดสวยที่เจือสีส้มแสดสะท้อนพื้นน้ำทะเลด้วยเลียบไล้รุ่งยหาด ด้วยใกล้เวลาพลบค่ำทำให้ลมทะเลที่โบกพัดเข้ามาขณะนี้ยังคงเย็นสดชื่นด้วยละอองฝนที่เพิ่งลาจากไป

“หนาวไหมครับ” คนพูดกระชับมือ เหมือนต้องการส่งผ่านไออุ่นและความห่วงใยมาให้

“ไม่หนาวหรอก” เราใส่เสื้อสีขาวเบาบางมาเหมือนกันก็จริง แต่ผมโดนบังคับใส่เสื้อเชิ้ตลายสีแดงทับมาด้วยตั้งแต่ที่บ้าน คนที่ควรหนาวจึงควรเป็นเขามากกว่าผมนี่

“หายงอนแล้วเหรอ” ผมจึงล้อกลับ ก็ตลอดการเดินทาง จนถึงเวลานี้มีผมฝ่ายเดียวที่ชวนคุย ลูกแมวขี้งอน

“ก็รุ่งขี้โกง” คนตัวโตที่นาน ๆ ทีจะงอนสักที แต่ก็น่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักมากมายจริงๆ

“ขี้โกงอะไร พูดมาดี ๆ”

“ก็สัญญาเมื่อเช้า”

“ไหนใครบอกว่าสัญญาตอนไหน” ร่างสูงปล่อยมือ หันหลังเตรียมเดินหนี

“เขน... ” จึงต้องฉุดแขนไว้

“ดีกันนะ อุตส่าห์หนีออกมาสองคนได้ จะรีบกลับไปหาเฟรมเหรอ”

“ทั้งทริปคงได้อยู่กันสองคนแค่ตอนนี้ใช่ไหม”

ใช่ครับ พอลงจากห้องมาก็พบว่าเฟรมมารอที่บ้านพร้อมที่จะเดินทางไปด้วย เขนก็เริ่มงอนตั้งแต่ตอนนั้น และยังมาพบว่าผมนัดกับพี่เชนพี่บลูที่นี่ด้วย แถมเมื่อมากันห้าคน ก็ต้องมีเตียงเสริม และก็ไม่แปลกที่เด็กร้ายนั่นต้องมานอนห้องผมแน่นอน คนรักของผมจึงออกอาการงอนถึงขนาดนี้

“ตอนนั้นที่ลำปางเฟรมก็อยู่ด้วยนี่นา”

“ก็ตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้”

“ใช่ ตอนนั้นรุ่งนอนคนเดียว แล้วเขนนอนกับเฟรม ตอนนี้น้องมันก็ยอมนอนเตียงเสริมแล้วนะ”

“หรือเขนจะให้รุ่งแยกไปนอนเตียงเสริมแทน”

“ไม่ ไม่มีทาง”

“นะเขนนะ นานๆ ทีว่างพร้อมกัน ได้มาพักผ่อนแล้ว อย่าอารมณ์เสียเลย”

“น้องมันจะเสียใจ” ผมรู้ว่าจริง ๆ เขนก็รัก และแคร์เฟรมไม่ต่างจากผมหรอก

“แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคน”

“ใครว่า ไม่ว่าเวลาไหนเราก็อยู่ด้วยกันสองคนตลอดนั่นแล่ะ” ผมดึงมือสองเราที่เกาะกุมไปวางทาบทับตำแหน่งแห่งดวงใจของเขา

“ไม่ใช่เหรอ” และส่งยิ้มให้ มุกเดิมครับ มุกเดิมที่ได้ผลเสมอ

“ยิ้มหน่อยน่า เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“ไม่หล่อ แล้วรุ่งจะเปลี่ยนใจเหรอ” คนมั่นใจในความหล่อยักคิ้ว ผมจึงปล่อยมือและทำหน้าครุ่นคิด หันหลังให้เดินช้า ๆ ออกมา คนมั่นใจเริ่มใจเสีย

“ก็ไม่แน่” จึงแลบลิ้นแถมให้แล้ววิ่งไม่คิดชีวิต ใช้เวลาสักพักเด็กเอ๋อนั่นจึงจะเข้าใจ แล้ววิ่งกวดตามมา เห็นอย่างนี้ผมปราดเปรียวพอตัว อย่าหวังเลยว่าจะยอมให้จับได้ง่าย ๆ

 

เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เราเดินกลับมาที่หาดส่วนตัวของที่พักในสภาพเปียกปอน ทรายเต็มหูเต็มหัวพอกันทั้งคู่ เพราะเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่เกือบชั่วโมง เคยมีใครยอมใครซะที่ไหนละครับ

“โห พี่ไปเล่นน้ำกันไม่ชวนผมสักคำ” เฟรมโวยวาย และบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

“เอ... แต่สภาพขนาดนี้ก็ไม่ไหว เล่นอะไรกันมาน่ะพี่ ไม่ห่วงหล่อกันเลย”

“อ่ะ ลืมไปพวกพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ ใครจะดูดีกว่าอีกในสายตา” ผมจึงหนีหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำก่อน เจ้าเฟรมแซวซะ ทำเอาขนาดเขนก็ไม่กล้าเถียง จึงได้ยินแค่เสียงทำร้ายร่างกายกัน

“พี่รุ่ง... พี่บลู พี่เชน ทำบาร์บีคิวที่ชายหาด ผมลงไปเป็นลูกมือก่อน”

“เคลียร์กันให้เรียบร้อยนะพี่”  แล้วเสียงปิดประตูและเดินจากไป ส่วนอีกคนก็คนก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามา นี่คือข้อเสียของที่พักราคาสูง ห้องน้ำมักเป็นระบบเปิดไม่มีล็อก

“รุ่งจ๋า สระผมให้เขนที” ผมพึ่งล้างโฟมล้างหน้าเสร็จก็พบว่าคนพูดกำลังโอบเอวจากข้างหลัง ดูจากสายตาที่สะท้อนจากกระจกเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ส่งมาอ้อนวอนร้องขอขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาเคลียร์กันอย่างที่เฟรมว่าสักครู่ใหญ่ทีเดียว

เกือบทุ่มกว่าที่เราจะตามมาสมทบกับพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ชายหาด คนข้างผมเขาอารมณ์ดีขึ้นมาก จนใคร ๆ ก็สังเกตได้ คนชัดเจนมักเก็บสีหน้าไม่อยู่ แม้ไม่ต้องพูดอะไรไป สายตาทุกคู่ที่มองมาก็ยิ้ม ๆ แบบเข้าใจกันดี

โชคดีที่ผม ‘เก็บ’ เก่ง แม้เรื่องนี้จะคนละอารมณ์กับที่ต้องเก็บความปวดร้าวดังในอดีต แต่ก็พบว่าความเคยชินทำให้สามารถเก็บความเขินได้ดีเช่นกัน

บาร์บีคิวซีฟู้ด ริมทะเล ที่มีแอลกอฮอลล์คู่เคียงพอให้อาหารอร่อยลื่นคอ พร้อมด้วยเสียงกีตาร์เบา ๆ ขับกล่อม ทำให้การมาพักร้อนในช่วงสุดสัปดาห์ครั้งนี้สมบูรณ์จริง ๆ

หลังจากมื้ออาหาร เฟรมกำลังเล่นกีตาร์ขับกล่อม เขนกับพี่เชนกำลังร้องไปพลาง และช่วยกันเปิดหนังหนังสือเพลงเพื่อหาเพลงต่อไปกันไปพลาง ผมจึงมีโอกาสได้นั่งคุยเบา ๆ ในเรื่องสัพเพเหระ ที่ไม่ใช่เรื่องงานกับพี่บลูบ้าง

ตอนอยู่อังกฤษเหงา ๆ พี่บลูกับผมมักมีเวลาคุยกันอย่างนี้เสมอ ๆ เพื่อนคุยบรรเทาความเหงา ความคิดถึงบ้าน และความคิดถึงใครบางคนของเราที่มีเหมือนกันแม้จะต่างคนกันก็ตาม เพราะไม่ได้คุยกันอย่างนี้นาน จึงลืมเพลิดเพลินเสียจน รู้ตัวอีกที่เมื่อพี่เชนเริ่มแซว

“นี่ถ้ารุ่งยังไม่มีเขน พี่ก็ยังอดหึงไม่ได้นะ”

“พี่เชนยังไม่ลืมอีกเหรอครับ เรื่องกว่าสิบปีแล้ว” ผมยิ้มตอบ

“พี่รู้ว่ารุ่งคลีน แต่ความรู้สึกอีกคนน่ะ ทุกวันนี้พี่ก็ยังแอบหวั่นใจ”

“น้อย ๆ หน่อยเชน” พี่บลูส่งสายตาดุ ขณะที่คนฟังเงียบ ๆ ส่งสายตรงมาบอกว่ากำลังสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกเขน เชนมันเมาแล้วเพ้อ” พี่บลูพยายามตอบปัดคำถามของสายตานั่น

“อ้าว... เขนไม่รู้เหรอ พี่บลูเขาเคยจีบน้องรหัสตัวเอง”

“พี่รุ่งน่ะ เหรอพี่” เสียงเจ้าเฟรมตื่นเต้นมากเมื่อได้รู้เรื่องใหม่ ในขณะที่หน้าอีกคนเริ่มซีดเห็นได้ชัดเจน

“อืม คบกันด้วยนะ ถึงสามเดือนหรือเปล่า” พี่เชนตอบ

“เชนพอแล้ว” พี่บลูร้องห้ามเพราะเห็นอาการผู้ชายอีกคน ขณะที่พี่เชนไม่ได้สังเกต จึงทำท่าเหมือนจะเล่าต่อ จนกระทั่งเขนเอ่ย

“ผมขอตัวก่อน”

“เฮ้ย... เขน” แต่ไม่ทันเมื่อร่างสูงเดินหนีลิ่วไปตามรุ่งยหาด

“ไงล่ะเชน” พี่บลูเริ่มเอาเรื่อง

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเคลียร์เอง” ผมต้องรีบห้ามทัพก่อนจะทำให้วงแตกกันไปก่อน

“รายนี้เขามีเหตุผล โกรธง่ายหายเร็ว” ผมยิ้มให้กำลังใจพี่เชน และเดินตามคนน้อยใจไป

 

“เขน”

“เขน รอก่อนสิ” คนที่ถูกเรียกชื่อไม่แม้จะกันมามอง พึ่งง้อได้แท้ ๆ จะใช้มุกไหนกันล่ะทีนี้

“โอ๊ย” ผมทรุดตัวลงนั่ง ร่างสูงหันกลับรีบวิ่งมานั่งประคอง

“รุ่งเป็นอะไร”

“เปล่า” ผมตีหน้าเรียบที่สุด สกัดกั้นขำไว้แทบแย่

“อ้าว”

“ไม่ใช้มุกนี้ จะวิ่งตามเขนทันไหม” คนประคองทำท่าจะผละออก แต่ผมคิดไว้ก่อนแล้วจึงใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดฉุดเขาให้นั่งลง

“จะหนีไปไหน ไม่อยากรู้เรื่องเหรอ” จึงกระเซ้าคนหน้าบูด

“ก็นึกว่าไม่อยากเล่า ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”

“ก็ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไร ไม่เล่าก็ปล่อย” คนตัวโตพยายามสะบัด

“ไม่... รุ่งบอกแล้วว่า ว่าจะไม่ปล่อยเขนไปไหนแล้ว” ต้องใช้ไม้นี้จึงจะสงบได้ จริงแล้วอีกนิดเดียวผมก็รั้งไม่อยู่แล้วเถอะ

“เขน ไม่มีอะไรจริง ๆ” ผมต้องเริ่มเล่าแล้วสินะ

“แค่ตอนปีหนึ่ง ตอนรุ่งเข้ามหาลัยมาใหม่ ๆ น่ะ สายรหัสรุ่งขาดช่วงไปปีนึง พี่บลูเขาเลยต้องลงมาดูแลรุ่งเอง ตอนนั้นพี่บลูกับพี่เชนเขายังไม่ได้คบกัน”

“แล้วรุ่งกับพี่บลูก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายกัน เลยสนิทกันมาก พี่บลูเขาก็สับสนบ้าง”

“แล้วก็คบกัน”

“จะเรียกว่าคบกันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนั้นที่คุยกันก็ลองศึกษาดู ๆ กันไป”

“ตอนนั้นรุ่งก็อยากรู้ว่าจะรักใครได้อีกไหม...” ผมยิ้มให้กับท้องทะเลสีดำ

“แล้ว...”

“ก็หัวใจของรุ่งมันได้อยู่กับรุ่งนานแล้ว จะรักใครได้อีกเหรอ”

“ก็เลยบอกพี่บลูไปว่ายังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใคร แกก็เข้าใจ”

“พี่บลูรู้เรื่องเราเหรอ”

“เปล่าหรอก แกไม่รู้ว่าใคร อะไร ยังไง แค่รู้ว่าหัวใจรุ่งไม่น่าจะรักใครได้อีก จริง ๆ คิดแล้วสงสารแกนะ เหมือนรุ่งเล่นกับหัวใจคนอื่น เหมือนให้ความหวัง ถ้าพี่เชนไม่เข้ามา รุ่งต้องรู้สึกผิดมากเหมือนกัน” ผมยิ้มให้กับอดีตที่ไม่มีวันหวนย้อนกลับ

“เรื่องก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย” และส่งยิ้มให้กำลังใจคนข้าง ๆ

“ยิ่งตอนนี้พี่เขารู้แล้ว ว่าคนที่รุ่งรอเป็นใคร” ตาทั้งสองคู่ถูกดึงดูดให้มองเพียงกันและกันเหมือนมนต์สะกด

“ใครที่รุ่งรอมานาน”

“ใครที่หัวใจรักของรุ่งฝากไว้ที่เขาตลอดมา”

“ใครที่ทำให้รุ่งกลับมามีความสุขและยิ้มได้เหมือนวันนี้อีกครั้ง”

“ใครที่เป็นรักแรก รักเดียว รักสุดท้าย”

“เขนรู้ไหมเขนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตรุ่ง มันเกินพอแล้วกับวันเวลาที่ต้องทนทรมาน มีแต่ร่างกายแต่ไร้หัวใจ มีแต่ลมหายใจแต่ไร้วิญญาณ”

“พอแล้วนะเขน” เพียงแค่คิดถึงความเจ็บปวดในวันวานน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย และความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกก็กลับคืนมาอีกครั้ง

“รุ่ง....” ร่างสูงรวบผมเข้าสู่อ้อมกอดของเขา พร้อมกับโยกตัวเบาปลุกปลอบเด็กขี้แย

“รุ่งเป็นคนเดียวที่เขนรัก ใจหนึ่งดวงดวงนี้ จะไม่มีวันทิ้งรุ่งไปไหนอีกแล้ว”

“จะไม่มีวันนั้นอีกแล้วรุ่ง ไม่มีอีกแล้ว เขนสัญญา” ผมดันตัวออกเล็กน้อยเผื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเพื่อยืนยันสิ่งที่จะพูดเอ่ยไป ถ้อยคำที่ค้างอยู่ในใจให้เขาได้รู้

“เขนก็เป็นคนเดียวที่รุ่งจะรัก รุ่งไม่รู้หรอกว่าจะมีอีกกี่คนที่ผ่านเข้ามา แต่อยากให้เขนเชื่อ ไม่มีวันที่รุ่งจะรักใครได้อีกแล้ว เพราะหัวใจรักขอรุ่งมีแค่เขนได้เพียงคนเดียวจริง ๆ มีแต่เขนทั้งหัวใจ มีแต่เขนจริง ๆ รุ่งสัญญา”

 

เรานั่งฟังเสียงคลื่นทะเลในอ้อมกอดของกัน และกันอีกสักพักใหญ่ จึงนึกได้ว่าการ์ดเข้าห้องนอนทั้งสองใบอยู่ที่เรา เฟรมจะเข้าห้องนอนอย่างไร จึงรีบเดินกลับ แล้วพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่บริเวณที่เรานั่งเล่นกันแล้ว

“รุ่งลองโทรหาพี่บลูสิ”

“ไม่หึงแล้วแน่นะ” ผมอดหยอกเขาไม่ได้ เขาจึงขยี้หัวของผม และยิ้มให้แทนคำตอบ ผมจึงรีบกดโทรศัพท์โทรออก

“รบกวนหรือเปล่าครับ”

“ผมไม่รู้ว่าเฟรม...”

“อ้าวเหรอครับ ไม่รบกวนพวกพี่แน่นะครับ”

“โอเคครับ เคลียร์เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณพี่บลูมากครับ” จึงวางสาย ก่อนที่จะหันกลับมาเล่าให้อีกคนที่บอกว่าไม่หึงแล้วแต่ตั้งใจฟัง และอยากรู้มากว่าคุยอะไรกันให้ได้รับรู้

“เฟรมเมาฟุบหลับไป พี่เชนแบกขึ้นไปนอนที่โซฟาที่ห้องพวกพี่เขาแล้ว”

“พี่บลูเลยให้นอนที่นั่นเลย แกจะดูแลเฟรมให้เองไม่ต้องห่วง” คนฟังยิ้มกว้าง

“งั้นเราไปนอนกันบ้างดีกว่า เขนง่วงแล้ว” คนพูดหาวโชว์ให้หนึ่งทีด้วย

ให้มันจริงเถอะเขน ดีใจมากไปไหม แต่ผมจะทำอย่างไรได้ก็รับปากไว้แล้ว และตัวช่วยก็ไม่อยู่แล้วด้วย ก็ได้แต่เดินตามคนจูงมือขึ้นห้องไปอย่างจำยอม รู้อย่างนี้เมื่อตอนเย็นไม่ยอมหรอก

เอาน่าเลยตามเลย อดีตไม่มีทางย้อนกลับ อนาคตคาดการณ์ไม่ได้ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็ตื่นสายหน่อยก็ได้นี่นะ ใจอ่อนอีกแล้ว แต่ทำอย่างไรได้

ก็ใจผมมันก็มีแต่เขานี่นา



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: SOMEBODY 05.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 05-03-2018 13:28:29
Chapter XI: Somebody

 

‘ชีวิตเหมือนการเดินทาง’ บางทีเราก็ตามเสาะแสวงหาสิ่งที่ปรารถนา โดยไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ใจต้องการจริง ๆ คือสิ่งใด

“พี่ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเป็นใคร” เด็กนี่เป็นคนเดียวที่กล้าเข้ามาแทรกอยู่ในโลกของผมสองคนได้อย่างแนบเนียน

“มันอธิบายไม่ถูก คนอื่น ๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็อาจจะประทับใจบ้างแต่พอเวลาผ่านไปก็จะรู้เองว่ามันไม่ใช่”

“แต่กับคนพิเศษ มันเหมือนเมื่อเขาเข้ามาแล้ว จะมีผลต่อหัวใจเราอย่างมาก ยิ่งพบ ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้ใกล้ชิด ใจมันจะบอกว่าปล่อยไปไม่ได้” ผมกดจมูกลงในเรือนผมยุ่ง ๆ ของผู้ชายที่หลับอยู่ในอ้อมแขน

เรามานั่งเล่นกันอยู่ที่เตียงริมชายหาด วันพักผ่อนก็ขอเพียงได้พักผ่อนจริง ๆ จะให้ไปตะลอน ๆ ท่องเที่ยวที่อื่นอีกคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสำหรับวัยทำงานที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดปี ขนาดคนที่หยิบหนังสือติดมือมาอ่าน ยังอ่านหนังสือได้เพียงนิดเดียวก่อนที่จะสลบไสลลงในอ้อมกอดของผม คงโทษอะไรไม่ได้เพราะต้นเหตุที่ดูดพลังของเขาไปก็เป็นคนที่โอบกอดเขาอยู่

บางครั้งใบหน้าหวานเกินเด็กสาวของเขา ก็ทำให้ไม่ต้องระแวงระวังสายตาแปลก ๆ ของผู้คนรอบข้างเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อพักอยู่โรงแรมเกรดดีที่มีแขกมากกว่าครึ่งที่ไม่ใช่คนไทยด้วยแล้ว ความเงียบสงบจึงถูกขัดขวางเพียงบุคคลที่สามที่เข้ามาปรึกษาปัญหาหัวใจดังเช่นในตอนนี้

“แต่อย่างพี่รุ่งนี่เขาก็เรียกว่าธรรมดาไม่ได้จริงๆ หรอก คนเข้ามาเพียบ แต่พี่อะโคตรโชคดี”

โชคดีหรือเปล่า?

ถ้านับเฉพาะตอนนี้คงใช่ แต่ถ้านับเรื่องราวที่เราสองคนก้าวผ่านด้วยกันมาคงห่างไกลกับคำ ๆ นั้นมากมายทีเดียว บางทีเรื่องบางเรื่องอาจเป็น ‘พรหมลิขิต’ เกินความเข้าใจของเราว่าทำไมฟ้าท่านถึงลิขิตได้ลึกลับซับซ้อนมากถึงขนาดนี้

บ้างเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากกรรมหรือการกระทำ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ผมก็สงสัยว่าชาติที่แล้วเรื่องของเราสองคนคงวุ่นวายมากทีเดียว ถึงมีกรรมติดตัวมาทำให้ต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้

“แล้วพอพวกพี่คบกัน พี่คิดว่าตัวเองทำตัวเปลี่ยนไปไหมหรือทำตัวเหมือนเดิม”

“หมายถึงตอนไหน ตอนจีบอยู่ หรือคบกันแล้ว”

“ทุกตอนเลยพี่ ผมอยากรู้” มันคงเอาไปทำวิจัย หรือตกหลุมรักใครเข้าให้แล้วผมว่า

“ก็เป็นตัวเองนี่แหละ แต่ก่อนคบกันความพยายามมันจะคนละแบบ อยากทำให้เขาประทับใจ อยากทำให้เขาสนใจเรา เขาจะได้เลือกเราหละมั้ง”

“แต่พอคบกันแล้วมันก็พยายามอีกแบบ ทำยังไงให้เขามีความสุขเวลาอยู่ใกล้ ๆ เรา อยากให้เขาปรึกษาทุก ๆ เรื่องกับเรา ไว้ใจเรา ช่วยกันคิด และก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน มองเพียงแค่เราคนเดียว มันจะเพิ่มความห่วง และหวงเข้ามา”

“หึงน่ะเหรอ แต่ผมว่าพี่ไม่ต้องหึงหรอก ผมยังไม่เห็นพี่ชายผมเขามองใครเหมือนมองพี่สักที”

“มันก็อดไม่ได้หรอก ฝากดูให้ด้วยก็ดี”

“ผมว่าคนของพี่เขาวางตัวดี จนเกือบเฉยชากับคนอื่นเลยนะ มีแค่ตอนอยู่กับพี่แหละที่เหมือนคนละคน บางทีเพลา ๆ หวานกันบ้างก็ได้ ผมจะเป็นเบาหวานแล้วเมื่อไหร่นะ ผมจะพบคนคนนั้นบ้างนะ อิจฉาพวกพี่จัง”

“ชู่ววววววว” คนโดนนินทาเริ่มขยับตัว

“เขน” เวลาเขาเรียกผมก่อนลืมตา มันทำให้หัวใจของผมพองโตเสมอ จนอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงไปสูดความหอมที่หน้าผากไล่เรียงลงมาที่พวงแก้มใส ก่อนกระซิบตอบที่หู

“ครับ” แล้วจึงขำเจ้าเฟรมหน้าแดงที่เสหันกลับไปพยายามวิจัยคลื่นทะเลแทนเมื่อคนในอ้อมกอดผมเขามอบจุมพิตเบาที่ปลายคางให้

“อะไรเหรอ อ้าวเฟรม มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พอหันไปเห็นเฟรมผมเลยโดนหยิกเบา ๆ นั่นไง เขาแคร์เจ้าเด็กนี่  ยังไงก็อดหวงไม่ได้ น้องก็น้องเถอะ ผมจึงรั้งเอวบางที่พยายามจะขยับหนี

“สักพักแล้วพี่”

“เมื่อคืนเป็นไงบ้างพี่โทษที ลืมไปว่าคีย์การ์ดอยู่กับพี่”

“ผมนอนโซฟา นอนสบายพี่ไม่เป็นไร”

“กินอะไรหรือยังเดี๋ยวพี่เลี้ยง คืนนี้กลับมานอนที่ห้องนะ”

“ไม่ทันแล้วล่ะรุ่ง เขนติดสินบนเฟรมไปแล้ว” รุ่งมองไปที่อาหาร และน้ำมะพร้าวข้างตัวเฟรม ก่อนหันมาส่งสายตาเอาผิดผม

“นอนห้องพี่บลูดีกว่าพี่ ห้องนอนกับห้องรับแขกมันแยกกัน ผมได้ไม่ต้องทนดูเลิฟซีน เหมือนเมื่อกี๋ด้วย”

คำพูดเฟรมทำให้มีคนหันกลับมาเตรียมอ้าปากเอาผิดกับผมอีกหน วิธีปิดปากก็มีวิธีเดียว แม้ต้องยอมให้เฟรมน้ำตาลขึ้นหน่อย กับโดนตีเบา ๆ สองสามที ก่อนที่ร่างบางจะอ่อนลงในอ้อมอก แต่ปากรสหวานจัดก็ทำให้คุ้มกับการเจ็บตัวเสียเหลือเกิน

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมโดนงอน แต่จะทำอย่างไรก็ได้... นอกจากง้อ

“ห้ามเข้าใกล้ในระยะหนึ่งเมตร” เขาเอาจริง เฟรมกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด

“รุ่ง... ก็เรามาพักผ่อน” ผมได้แต่อ้อนกลับ

“ไม่เห็นจะเกี่ยว” แต่สายตามนั่นทำให้ไม่กล้าจริง ๆ

“ไม่มีใครรู้จักหรอกมีแต่ฝรั่ง”

“นี่ไงคนรู้จัก” เฟรมหลุดขำฮาใหญ่

“เฟรมไม่นับไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”

“งั้นไม่มีเฟรม ไม่เป็นไรใช่ไหม ไปเลยเฟรม”

“เขน อย่าไล่น้อง”

“ผมจะอยู่กับพี่รุ่ง ชอบดูคนทรมาน” มันได้ทีเกาะคนของผมทันที ไอ้เด็กแสบ

“เหอะ พี่ชายเราก็ทรมานไม่ต่างจากพี่หรอก” สายตาอาฆาต ถูกส่งมาจนพูดต่อไม่ได้

ถึงแม้จะเป็นชายทะเล แต่ด้วยความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ในช่วงบ่าย ทำให้เราต้องมานั่งรวมกันที่ห้องที่เฟรมใช้นอนเมื่อคืน พี่บลูอ่านหนังสือ  พี่เชนนอนหลับหนุนตักอยู่ที่โซฟาตัวยาว ขณะที่เฟรมนั่งเกากีตาร์ข้างพี่ชายของเขาที่กำลังขะมักเขม้นในการปะทะแข้งกับผมในจอ

ถึงจะนั่งคนละฟากในรัศมี 1 เมตร แต่เขาก็เล่นเกมกับผมก็แล้วกัน แต่แมทปะทะคารมก็มีออกมาเรื่อย ๆ จนพี่บลูส่ายหัว ส่วนเจ้าเฟรมเปรยเยาะเย้ย

“พี่เขนนี่ลักกี้อินเกม แต่จะไม่ลักกี้อินเลิฟนะ ถ้ายังจะเล่นกันต่ออะ”

“งั้นเลิกเล่น”

“เฮ้ย!! ได้ไงอะเขน ชนะแล้วชิ่งเหรอ ไม่ให้แก้มือหน่อยเหรอ” คนรักของผมครับ แต่เขาก็เป็นเพื่อนของผมด้วย

“เล่นต่อก็ได้ แต่รุ่งต้องมานั่งนี่” ผมชี้ที่ว่างข้าง ๆ ผม

“ไม่มีทาง” ปากเป็ดแบะออกอย่างถือดี

“คืนนี้คืนสุดท้ายแล้ว ออกไปหาอะไรกินกับหาเพลงฟังข้างนอกไหม” ในขณะที่เฟรมเสี้ยม พี่บลูก็ช่วยไกล่เกลี่ยสุดฤทธิ์

“จะออกไปไหนข้างนอกเหรอ” พี่เชนตื่นอย่างรวดเร็ว

“ดีพี่ ผมเปรี้ยวปากอยู่ด้วย เผื่อสวรรค์จะลิขิตให้ผมพบเนื้อคู่ที่หัวหิน”  ในเมื่อรุ่งก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร ผมว่าไงก็ว่าตามกัน แต่เที่ยวกลางคืนทั้งที่คนรักยังงอนอยู่นี่ต้องลำบากไม่ใช่ย่อยทีเดียว

 

เนื่องด้วยพี่บลูกับพี่เชนตัวติดกันซะจน แม้เป็นเด็กก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองชัดเจนเพียงไร ทำให้เป้าหมายที่สาว ๆ ส่วนใหญ่จับจ้องจึงเป็นผม และเฟรม ส่วนอีกเกือบค่อนร้าน เนื่องจากรวมประชากรชายหนุ่ม ๆ ด้วย ก็อยู่กับคนที่กำลังโยกตัวตามเสียงเพลง และยกเบียร์ดื่มอย่างไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

เมื่อผมยังอยู่ในช่วงทานบน ดังนั้นคืนนี้คนของผมเขาจึงมีอิสระอย่างยิ่ง แม้ผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษแน่นอน นอกจากสนุกไปกับบรรยากาศของร้าน แต่ก็อดจะหวงไม่ได้อยู่ดี เมื่อต้องแอบมองอยู่ห่าง ๆ จากระยะหนึ่งเมตร

นั่นไง ผู้ชายโต๊ะข้าง ๆ ยกแก้วให้

“หึหึ....” สมกับเป็นเขาจริง ๆ ใบหน้าหวานเสมองไม่เห็น ความเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทำเอาคนรอคำตอบทักทายเหวอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เหมือนเป็นเกมเมื่อคนหนึ่งไม่ได้ผล หลายคนก็อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองแน่ หนุ่ม ๆ สาว ๆ อีกหลายคนผลัดเปลี่ยนส่งสายตาชี้ชวนทักทาย หากแต่คนคนนั้นยังคนวางตัวได้เย็นชา ทั้ง ๆ ที่ฤทธิ์เบียร์สดหลายแก้วที่ดวลกับเจ้าเฟรมเริ่มทำให้แก้มนวลออกสีระเรื่อ ดวงตาเริ่มหรี่ลงเล็กน้อย ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่คนยังมุ่งเป้าหมายที่เขามากมาย เริ่มเซ็กซี่เกินไปแล้ว

แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับพลิกผันเพราะผู้หญิงคนเดียวที่เผอิญเดินมาชนกับผมก่อนที่จะทิ้งกระดาษโน๊ตเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ ยังไม่ทันได้อ่าน กระดาษนั่นก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กปลิวหาย แล้วเสียงครางในลำคอเบา ๆ ของหลายคนที่รวมกันแล้วสร้างเสียงไม่เบา เมื่อคนฉีกกระดาษแทรกตัวนั่งลงบนตักของผม โดยไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

พี่บลูพี่เชนส่งยิ้มให้กันเล็ก ๆ ขณะที่เฟรมยังอ้าปากค้าง ผมจึงโอบกอดร่างบางบนตักไว้ ก่อนกระซิบเบา ๆ ข้างหู

“หึงเหรอครับ”

“ไม่มั้ง ง่วงต่างหาก” คนปากแข็งตอบ ขณะหันกลับมาซุกหน้าซบลงที่ไหล่

“รุ่ง.....ไม่กลัวเจอคนรู้จักเหรอ”

“...........................” หน้าหวานส่ายเบา ๆ ก่อนตอบ

“เขนก็บอกไปสิ ว่ารุ่งเมา”

“คนบอกว่าตัวเองเมา แสดงว่าไม่ได้เมาจริง”

“หึหึ... ไม่หรอกคนเมานั่งอยู่โน่น เตรียมลากเฟรมกลับได้เลย”

“คนยังไม่เลิกมองเลยรุ่ง”

“แคร์ใครเหรอ” คนถามยกศีรษะขึ้นมามองด้วยสายตาเอาเรื่อง

“เปล่า ถ้ารุ่งไม่แคร์ เขนจะแคร์ทำไม แต่......”

“แต่อะไร”

“มีวิธีนึงทำให้คนเลิกมอง”

“วิธีอะ..” คงเป็นเพราะผมคงเมาเหมือนกัน เลยขี้เกียจตอบ ทำเลยดีกว่า หากแต่เมื่อฝ่ายรับเลิกตกใจ รสจูบสนองกลับนั่น กลับทำให้ผมชักอยากจะกลับห้องวินาทีนี้เลย

“คู่นั้นน่ะ แยกกันก่อน ติดเรทแล้ว” เราผละออกจากกัน ขณะที่พึ่งรู้ตัวว่ารุ่งแทบจะขึ้นมานั่งคร่อมผมอยู่แล้ว จึงได้แต่เช็ดร่องรอยจูบที่มุมปากรสหวาน และรวบร่างบางที่ปล่อยน้ำหนักทั้งตัวไว้ในอ้อมอกของผม

“นี่ก็ท่าจะไม่ไหว เขนยังไหวไหม”

“ครับ” ผมแค่กรึ่ม ๆ แต่สองพี่น้องคงจะต่างกันไม่มากเพียงแค่รุ่งยังพอมีสติน้อยนิด และไม่อ้วกเหมือนเฟรมตอนนี้

“ดูแลรุ่งแล้วกัน กลับก่อนก็ได้ ขับรถได้ใช่ไหม” พี่บลูถามย้ำ ขณะที่พี่เชนประคองเฟรม

“ครับ”

“แล้วเจอกันเช็คเอาท์พรุ่งนี้ล่ะ”

“คืนห้องก่อนสิบเอ็ดโมงนะ” พี่เชนแซว ผมจึงได้แต่ยิ้มตอบกลับ และยิ้มให้กับตัวเองตลอดทางที่ขับรถกลับโรงแรม ขณะที่คนที่ควรจะนั่งที่นั่งข้าง ๆ คนขับ ยังคงนั่งอยู่บนตัก และยังคงซุกซนที่ลำคอ วิธีง้ออีกวิธีที่ให้ได้ผลชะงัดนัก

คือ... ทำให้หึง

อีกเรื่องที่สงสัยมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ คนรักของผมเขาเมาได้เซ็กซี่ และร้อนแรงมากมายทีเดียว

 

บทรักเร่าร้อนลุกโชน ทำเอาแอร์เย็นฉ่ำของโรงแรมมิได้ช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มของเรือนกายที่แผดเผายาวนาน ยิ่งผ่านคืนวันที่สุดแสนทรมาน ยิ่งทำให้ความต้องการกันและกันมากล้น ยาวนาน และไม่มีวันเพียงพอ

ไม่รู้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นเหตุ หรือเป็นเพียงข้ออ้าง แต่คนตอบรับเสมอกล้ารุกเอาก็วันนี้เอง แม้ต้องกระซิบชี้นำบทบาทกันบ้าง แต่ก็ตามใจไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด มันแสดงให้รู้ว่ามิใช่เพียงแค่ผมที่เป็นฝ่ายเฝ้าละเมอ เฝ้าฝันใฝ่ เพียงข้างเดียว หากแต่เขาก็หลงใหล หวงแหนผมไม่ต่างกัน

สัมผัสที่อ่อนโยนจากริมฝีปากบางของคนที่อ่อนหวาน ยวนยั่ว ทำให้ใจเต้นแรงระรัวแต่กลับรู้สึกหวิวปานจะขาดใจ

“รุ่ง......อ่ะ...อืม”

“..พ..พอแล้ว เดี๋ยวไม่ไหว” ใบหน้าสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำจึงละสัมผัสเงยขึ้นมามอง

“อยู่ข้างบนได้ไหมคะ ไหวไหม” สายตาเหวี่ยงกลับมา หากแต่ยอมทำตามโดยดี

จังหวะรักที่แนบแน่นเนิบนาบในช่วงแรกที่ต้องการการปรับตัว หากค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นถี่ กระชั้น ถาโถมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจทนยอมเป็นคนข้างล่างได้อีกต่อไป เป็นคนคุมเกมเหนื่อยกว่าก็จริงแต่ก็เอาแต่ใจได้มากกว่าเช่นกัน หากแต่ตอนเปลี่ยนท่าทางจับอีกคนเปลี่ยนตำแหน่ง ทั้งที่บางสิ่งยังสอดประสานกันแนบแน่นนั้นกลับทำให้ร่างบางกระตุกครวญครางเกือบหวีดร้อง และปลดปล่อยออกมา

“รุ่งจ๋า... ต่อนะคะคนดี” ค่ำคืนยังคงทอดเวลายาวนาน สมรภูมิรักที่ผันผ่านการปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า หาได้บรรเทาความปรารถนาแห่งรักในคนใต้ร่างให้เบาบางลงแต่อย่างใด

หากแต่ร่างกายยังคงต้องการการพักผ่อนจนสุดที่จะรู้ได้ว่า เส้นทางแห่งบทรักจบลง ณ แห่งหนใด เมื่อสติได้ขาดพร่าเลือนไปเสียก่อน แต่แม้ความฝันนั้นยังคงหวานนัก เนื่องด้วยภาพสุดท้ายก่อนหลับใหลนั้น ก็คือใบหน้าที่แดงกล่ำหวานล้ำ

“รุ่งจ๋า... จะไปไหนคะ” ฝันหวานค่อย ๆ เลือนหาย เมื่อร่างบางในอ้อมแขนพยายามจะแยกร่างที่สอดประสานกันออก

“เขน อย่า.......อื้ม....” เสียงร้องครางก่อนที่จะถอนหายใจ เมื่อสะโพกบางถูกกดรั้งกลับ ณ จุดเดิม ความกระชับรัดรึงกระตุ้นความตื่นตัวในตอนเช้าได้เป็นอย่างดี

“เขน...อย่าซน สายแล้ว เดี๋ยวเช็คเอ้าท์ไม่ทัน เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ”

“นิดเดียวนะ รุ่งนะ เมื่อคืนรุ่งน่ารักมาก ๆ เลยรู้ตัวไหม” ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเมื่อคืนนั้นยิ่งกว่าเต็มอิ่ม มาพักร้อนครั้งนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม หากแต่อาการตื่นตัวในตอนเช้าไม่ได้เป็นแค่ผมหรอก หากแต่คนที่เฝ้าแต่บ่ายเบี่ยงเพียงแค่ยื่นมือไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวแผ่วเบา ๆ ก็รู้ว่าไม่ได้ต่างกัน

“ให้เขนเอาออกให้นะ” ข้ออ้างที่ดูเหมือนเสียสละของผม พอจะใช้ได้ไหมนะ

“อะ....อืม” หากแต่ที่ได้ผลตอบรับ เพราะเขาคงยอมจำนนต่อความต้องการของตัวเองเช่นกัน ท่วงทำนองแห่งรักจึงถูกสานต่อจนถึงฝั่งฝัน

เราเช็คเอาท์เลทเล็กน้อยตามคาด แต่ด้วยรอยยิ้ม และความตีมึนของผม ทำให้เจ้าหน้าที่โรงแรมเคลิบเคลิ้มจนไม่ว่าอะไร หากแต่ต้องทนกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเจ้าเฟรม และพี่เชน จนคนข้าง ๆ ผมเดินหนีไปรอในรถ

“ไม่ต้องกินข้าวเช้าเลยใช่ไหมพี่” เฟรมแซว

“แต่กลางวันแวะกินข้าวกลางทางหน่อยนะ พวกพี่ไม่ได้อิ่มทิพย์เหมือนเขน” พี่เชนรีบสำทับ ก่อนพี่บลูจะลากกลับรถไปเราจึงเดินทางกลับกรุงเทพไปลุยกับภาระงานที่มากล้นเช่นเดิม หากแต่เมื่อกำลังใจเต็มเปี่ยมทุกก้าวย่างที่มีคนรักเคียงข้างก็สุขสมบูรณ์มากขึ้นในทุก ๆ วัน เพียงคนที่เราพบเป็นคนสุดท้ายก่อนหลับตานอนฝันดี และคนที่เราลืมตามาเห็นเขาเป็นคนแรกของทุก ๆ เช้าเป็นคนที่เรารักมากมายขนาดนี้ เพียงทุกลมหายใจที่เข้าออกที่หัวใจของเราได้รู้ว่า เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพียงทุกเวลา ทุกวินาทีที่มีอยู่ได้ใช้อย่างคุ้มค่ากับเธอ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CANDY 05.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 05-03-2018 13:56:37
Chapter XII: Candy

 

ย่างเข้าเดือนที่ห้าแล้วครับที่ผมต้องลุกมาห่มผ้าให้คนข้าง ๆ กลางดึก ถึงจะเป็นผ้าห่มฝืนเดียวกันก็ตาม แต่บางคนเขาก็มีความสามารถในการถีบผ้าห่ม สลัดตัวออกมานอนข้างนอกได้อย่างแนบเนียน ทำเอาหลัง ๆ มานี่ ผมลืมที่จะละเมอ แทบจะลืมที่ฝันร้ายไปเลย คิดว่าน่าจะมีส่วนนะครับ

หากเกือบตลอดเหมือนกันในช่วงหลังที่เขาจะตื่นมาอาบน้ำก่อนผม เพื่อให้ผมได้นอนต่ออีกนิดในตอนเช้า ก่อนที่จะมาปลุกด้วยวิธีเดิมของเขาทุกเช้า

“รุ่ง... เช็ดผมให้หน่อย”

“เช็ดให้หน่อยนะ” ผมว่าเหมียวคงจะสู้ลูกอ้อนเจ้าของไม่ไหวแล้วล่ะครับ หากผมไม่ค่อยได้เช็ดให้แห้งสักครั้ง ส่วนมากก็จะหลับพิงหลังเขาต่อเช่นวันนี้

“รุ่ง...รุ่ง.....อย่าพึ่งหลับ ไปอาบน้ำก่อนนะ ไปนอนต่อบนรถไปเร็ว” จะให้ทำยังไงได้หละครับ ก็มีคนดึงตัวขึ้นจากที่นอน ยัดผ้าเช็ดตัวใส่มือ และดันเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพ

‘นอนต่อบนรถก็ได้ ไม่ได้ขับรถเองแล้วนี่นะ’

 

“รุ่ง กระเป๋าเสื้อผ้า” เขาบอกขณะที่ผมกำลังจะปิดประตูรถ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังส่งให้ ผมจึงโน้มตัวไปรับ มือใหญ่จึงยื่นมาขยี้ผม

“ตื่นหรือยังนี่”

“ตื่นแล้ว”

“เดินยังเดินไม่ค่อยจะตรงเลย จะเล่นได้แน่นะ”

“สบายมาก” ผมจึงตีหน้าตัวเองสองสามที เขาจึงส่งรอยยิ้มหล่อขาดใจมาให้ผมไม่เคยบอกเขา แต่คิดในใจเสมอ ‘แฟนใครนะดูดีชะมัด’ จนผมแอบอิจฉาเขาเล็ก ๆ ไม่ได้

“เย็นนี้เขนจะรีบมารับนะ”

“ครับ”

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่บริษัทมีแข่งกีฬาครับ วันนี้ผมจึงมาแข่งฟุตซอล ไม่ต้องแปลกใจคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีไม่ใช่ผมแน่นอน เจ้าเฟรมรายเดิมที่ทำให้รายชื่อของผมลงไปเป็นสมาชิกของทีมสำนักงานใหญ่ได้โดยที่ผมเองไม่รู้ตัว หากเมื่อร่วมหัวจมท้ายแล้วผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ เรื่อง อย่าถามนะว่าผมเล่นได้ดีหรือเปล่า ก็ระดับหนึ่งล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจ่ายมากกว่าจะทำประตูเอง เอาจริง ๆ คนที่มาส่งผมเมื่อสักครู่น่าจะเล่นได้ดีกว่าผม นิดนึง นิดเดียวเองนะครับ

แต่วันนี้เขนมีประชุมกับผู้รับเหมาทั้ง ๆ ที่ทีมเราฝ่าฟันกันจนมาถึงรอบชิงในวันนี้แล้วเชียว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับอย่างไรงานก็มาก่อน แต่กีฬานี่ก็เอาเป็นเอาตายกันไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อดูเจ้าเฟรมสิครับ เอาจริงขนาดมานั่งหลับสัปหงกรอที่ห้องเปลี่ยนชุดนักกีฬากันเลยทีเดียว

แต่ของในมือเจ้าเด็กแสบนี้ต่างหากที่ทำให้ผมอ่อนใจ

เฮอ......จริงๆ เลยนะเขน อดถอนหายใจไม่ได้เลย

“เฟรม เฟรม มารอนานแล้วเหรอ”

“ครับ พี่รุ่งเหรอ”

“ผมกะเวลาไม่ถูกเลยมาถึงเร็ว”

“ต้องวิ่งไปร้านดอกไม้ที่ออฟฟิศก่อน จะมานี่ เลยมาถึงเร็ว”

“อ่ะ พี่”

เฟรมส่งดอกลิลลี่สีขาวผูกโบสีแดงสดมาให้ผม ไม่ต้องบอกก็ว่ามาจากใครใช่ไหมครับ ที่ผมถอนหายใจ ก็คงถอนให้กับความมั่นคง สม่ำเสมอ ของเจ้าของลิลลี่นี่แหละครับ ผมยังได้รับมันเกือบทุกเช้า โดยเฉพาะวันไหนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนของผมเขาทำทุกวิธี ทุกวิธีจริง ๆ ครับ ที่ทำให้ผมได้รับดอกลิลลี่ทุก ๆ วัน

จึงไม่แปลกที่คนรอบข้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใกล้ชิดอย่างเฟรมพลอยลำบากไปด้วย ไม่ใช่ผมไม่เคยพูด ผมไม่เคยบอกให้หยุดนะครับ แต่คำตอบที่ได้รับมันทำให้ไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย

‘สิบกว่าปีเลยนะรุ่งที่เราต้องห่างกัน ขอแค่นี้เถอะ ขอแค่เขนได้ชดเชยวันเวลาที่เราได้ห่างหายไปบ้าง เขนแค่อยากทำให้ทุก ๆ วัน ทุกวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ให้มีค่ามากที่สุด คุ้มค่ามากที่สุด ไม่รู้ทำไมแต่ในความรู้สึกเขนเวลาสิบกว่าปีที่หายไปมันเหมือนมากกว่านั้นมากมายนัก มันบอกไม่ถูกแต่ที่รู้คือ เขนอยากทำให้ดีที่สุด อยากให้รุ่งได้เห็นดอกลิลลี่ทุกเช้า ความรู้สึกมันบอก เหมือนปฎิญาณกับตัวเองไว้ ขอให้เขนได้ทำเถอะนะ นะรุ่งนะ’

ถ้าคุณเจออย่างนี้คุณจะกล้าปฏิเสธไหม ผมคนหนึ่งแล่ะที่ไม่กล้า และความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมไม่ได้บอกเขาไป คือตัวผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน เหมือนวันเวลาที่เราห่างหายจากกันนั้น มันยาวนานนักในความรู้สึก มันเหมือนนานกว่านั้นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ คงเป็นอาการที่เรียกว่า ‘เดฌาวูว์’ อย่างที่เคยบอกมั้งครับ ผมไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก

เพราะขอให้วันนี้ เวลานี้เรามีกันและกัน

ผมก็ไม่อยากกลับรื้อฟื้นอดีต หรือความเจ็บปวดใด ๆ อีกแล้ว

แต่เขนเองเขาก็มีวิธีการ อะไรสักอย่างที่ทำให้คนรอบข้างของผมยอมลำบาก คิดดูแล้วกันครับคนขี้โวยวายอย่างเฟรม ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องนี้ ทั้งที่ต้องเป็นธุระอย่างนี้หลายต่อหลายหน ไม่รู้ไปติดสินบนกันท่าไหนเหมือนกันครับ อยากรู้จริง ๆ

 

พักครึ่งเรายังตามอยู่สามประตูต่อสอง อาจเป็นเพราะเราอยู่กันคนละสาย ทีมเราจึงไม่เคยพบกับทีมที่มาชิงกันเลยครับ ทีมนี้มาจากศูนย์การค้าแถบชลบุรี เล่นเก่งชะมัด แต่ก็เล่นหนักเหมือนทีมประจำจังหวัดเขาด้วยเหมือนกัน ผมเดินไปเอาน้ำมากิน ก่อนเดินมานั่งข้างเฟรม ทันได้ยินสองสามประโยคก่อนที่เจ้านี่จะวางสายไป

“มาเร็ว ๆ นะพี่”

“ใครคาบไปผมไม่รู้ด้วย” พอเห็นผมมาก็รีบวางสาย

“แค่นี้นะพี่ มาแล้ว” พิรุธชัด

“อะไรเฟรม”

“คุยกับใคร เขนเหรอ”

“เอ่อ...”

“ฟ้องอะไร”

“พี่ก็เห็นเบอร์เก้านั่นมันมองแต่พี่ ประกบแต่พี่”

“ฟุตบอล เฟรม”

“ผมก็แค่รายงาน แต่ผมว่าพี่ก็ดูรู้ว่าเขาไม่อยากได้แค่ฟุตบอล” ครับผมรู้ สายตาคนที่เข้ามาประกบชัดแจ้ง หากแต่จะทำอะไรได้ นอกจากทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น จะทำอะไรได้

“ไหนจะสาว ๆ ข้างสนามนั่นอีก เชียร์แต่เบอร์เจ็ดน่ารัก” ใจจริงผมอยากให้คนชมว่าหล่อ มากกว่าน่ารัก และสวยมากกว่ามากทีเดียว แต่เมื่อถูกชมอย่างนี้มาตลอดชีวิต ตัวผมเองก็ออกชิน ๆ

“ถ้าผมไม่รายงานมาเฟียเล่นผมตาย”

“พี่ดูแลตัวเองได้หรอกน่าเฟรม พี่เขนเขาทำงาน”

“ผมก็ไม่ได้บอกให้หนีงาน ให้รีบมาเฉย ๆ” ผมไม่อยากเถียงด้วยแล้วครับ เจ้าเด็กนี่มีเหตุผลมากจริง จึงเดินหนีมันออกมาก่อน

“สวัสดีครับ” คุณเบอร์เก้า ออกมาจากห้องพักนักกีฬาก่อนเหมือนกันครับ

“สวัสดีครับ” เขาทักมาก่อนจะเสียมารยาทไม่ตอบคงไม่ได้อย่างไรก็บริษัทเดียวกัน

“ผมโอ๊ตครับ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปศูนย์พัทยา” เขายื่นมือมา ผมจึงจำใจเล่นกีฬาได้เพื่อนไม่ใหม่บ้างก็ไม่แปลก

“รุ่งครับ ฝ่ายบริหารโครงการ” จึงยื่นมือออกไป หากสายตากับแรงบีบที่มือของอีกคนพยายามจะสื่อสารว่าคิดเกินกว่าคนรู้จักเพียงใด จึงรีบดึงมือออก ขณะที่เขาพยายามจะชวนคุยต่อ ผมจึงรีบตัดบท

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” แล้วเฟรมก็ขี่ม้าขาวผ่านมาพอดี

“พี่อยู่นี่เอง ไปเถอะ”

“พบกันในสนามครับ” เขาเอ่ย จึงได้เพียงพยักหน้ารับไป

สามต่อสามประตูสุดท้ายที่ตีเสมอ ผมส่งได้เพราะคนประกบมัวแต่มองหน้าผมอยู่ ไม่อยากฉวยโอกาสจริง ๆ แต่ให้ทำอย่างไร จะให้ผมหยุดเล่นฟุตบอลให้เขามองให้พอก็ใช่ที่ หากเหลืออีกเพียงสามนาที ผมโดนเปลี่ยนตัวออก

‘อะไรวะ’ ผมแอบโวยวายในใจ แต่เมื่อหันมาข้างสนามถึงรู้เหตุผล ตัวสำรองที่มาเปลี่ยนตัวกับผมผิวสีขาวจัดเล่นเอาเข่าแทบอ่อน แต่ผมเปล่าทำอะไรผิดสักหน่อย แต่ก็อดกลัวไม่ได้

ใช่ครับ ก็กลัวเหมือนกันนั่นแล่ะ ใครจะไม่กลัวมาเฟีย ยิ่งทำหน้าอย่างนั้น ออกก็ออกครับ ผมก้มหน้าเดินออกจากสนามโดยดี และตัวสำรองคนนั้นเขาไปเล่นแป๊บเดียวก็เป็น ซุปเปอร์ซับ ทำประตูได้ในนาทีสุดท้ายด้วยการแย่งลูกมาจากคุณเบอร์ เก้านั่นแล่ะ เบียดซะล้มเลย แต่ลูกมันก่ำกึ่งระหว่างเล่นบอลกับเจตนาชนคน กรรมการเลยปล่อย แล้วก็ได้ประตูสุดท้ายมาอย่างสวยงาม เหมือนวางแผนมาดีครับ

หากใครจะรู้ แค่เห็นสายตานั่น ขี้โกงชัด ๆ ผมรู้ เขาตั้งใจ หากยังใจดีที่เขาไม่ย่ำซ้ำคุณเบอร์เก้านั่นด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว เกมจบเราชนะ ผู้ชายคนนั้นก็เนียนมากอดตัวจริงข้างสนามอย่างผมหน้าตาเฉย แล้วลากไปลากมาไม่ยอมปล่อยเลยแม้แต่นิดเดียว

นั่นยังไม่ร้ายเท่า เมื่อคุณเบอร์เก้าเดินเข้ามาเหมือนจะมาแสดงความยินดี แค่ปรายหางตาที่มาเฟียมอง แล้วเอื้อมมือมาปัดผมเช็ดเหงื่อให้ผม แล้วโอบในขณะที่เขาเลิกแสดงความดีใจกันแล้ว มันทำให้ทั้งสนามรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโคตรชัดเจน

หมดกันสาว ๆ หมดกัน

คนเกือบห้าร้อยคนวันนี้รู้ รับรองว่าพรุ่งนี้คนทั้งบริษัทอีกสามพันกว่าคนก็รู้ ผมแทบอยากจะแทรกแผ่นดีหนี แต่จะกล้าโกรธเขาไหม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เห็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ ถ้าต้องคิดบัญชี เห็นต้องเก็บเอาจากคนฟ้องนั่นแล่ะครับ เจ้าเฟรมตัวดี

 

หลังจากรับถ้วย และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เราก็เดินกลับมาเก็บของที่รถ โดยไม่คาดคิดว่าเพียงวันเดียวจะทำให้มีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปด้วยขนาดนี้ คุณไม่คิดใช่ไหมว่าทำงานในบริษัทจะมีเรื่องแบบนี้ แต่จริง ๆ ครับมีจริง ๆ หากที่สำคัญส่วนมากที่แฟนคลับขอถ่ายเป็นรูปคู่ ผมคู่กับเขาคนที่คุณก็รู้นั่นแหละ

เพลียเหลือเกิน แต่คนของผมเขากลับยิ้มเริงร่า หน้าบานมากครับ แล้วผมจะทำยังไงได้ก็ต้องตามน้ำไป เมื่อเก็บของเตรียมจะกลับ แฟนคลับก็ยังมุงอยู่ห่าง ๆ เหมือนจะรอส่ง คุณเบอร์เก้าก็เดินกะเผลกเข้ามา ผมแทบอยากขึ้นรถหนีกลับตอนนี้เลย หากมือคนข้าง ๆ เร็วกว่าโอบเข้าที่เอวทันที

“มีอะไรกับ ‘คนของผม’ หรือครับ” ผมหันหน้ากลับมามองคนพูดที่เสียงไม่ได้เบาเลย

‘เขน...’ ผมครางในใจ

“เอ่อ..ผมแค่อยากมาแสดงความยินดีกับรุ่ง” นายนี่ก็ตื๊อได้ดื้อด้านมาก

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมรีบตอบ และรีบตัดบทก่อนที่จะดังมากไปกว่านี้

“ผมขอตัวกลับแล้วนะครับ พอดีรีบมีธุระต่อ สวัสดีครับ”

“เขน” ผมต้องลากคนข้าง ๆ ไปส่งที่ที่นั่งคนขับ แล้วรีบกลับมาขึ้นรถอย่างเร็ว และไอ้ตัวสร้างปัญหาก็รีบกระโดดขึ้นรถข้างหลังตามทันที เมื่อเฟรมลงจากรถไปความเงียบสงัดจึงมาเยือน

“เขน โกรธเหรอ ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ”

“แล้วมันรู้ชื่อรุ่งได้ยังไง”

“ก็เขาเข้ามาทำความรู้จักตอนพักครึ่ง เฟรมก็อยู่ จริง ๆ” เข้ามาทีหลัง ก็ถือว่าอยู่นั่นแล่ะ

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ไม่เชื่อใจรุ่งเหรอ” ต้องใช้มุกนี้

“เปล่า ไม่ใช่นะ แค่ไม่ไว้ใจมัน ไม่ไว้ใจคนอื่น”

“ไม่มีอะไรหรอกเขน พรุ่งนี้ก็รู้กันทั้งบริษัทแล้วเถอะ คนเยอะขนาดนั้น”

“ก็หวง”

“ครับรู้แล้ว” ล้มยักษ์ต้องใช้น้ำเย็น มันมักจะได้ผลเสมอ หากต้องให้เวลาสงบสติอารมณ์สักพัก

“รุ่งเสาร์อาทิตย์นี้ว่างใช่ไหม” คำถามแรกที่ดังขึ้นมา ทำให้ผมพยักหน้ารับรวดเร็ว

“พรุ่งนี้ไปกินข้าวกับพ่อเขนกัน ท่านบ่นหา” ตั้งแต่เรากลับมาอยู่ด้วยกันนอกจากติดต่อคุยกันทางโทรศัพท์ผมก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไปหาท่านสักครั้ง

“ดีเลย กำลังคิดถึงคุณพ่อเหมือนกัน”

“ท่านดูจะคิดถึงรุ่งมากกว่าเขนอีก”

“คนมีเสน่ห์ก็ช่วยไม่ได้”

“ลดลดลงหน่อยไม่ได้เหรอ” ผมหัวเราะ ในที่สุดก็พาวกกลับมาเรื่องเดิมจนได้

“ไม่มีอะไรหรอกเขนเชื่อรุ่งนะ”

“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีสายตามองใครได้อีกแล้ว”

“ครับ”

เส้นทางการเดินทางที่เราผ่านมานั้นยาวนานสักเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ หากรู้เพียงเราจะก้าวเดินเคียงข้างกันตลอดเส้นทางที่จะไป ต่อไปในอนาคต ด้วยกันสองคนต่อไปตลอดไป



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: CANDY 05.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-03-2018 18:59:32
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FOREVER 06.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 06-03-2018 17:35:34
Chapter XIII: FOREVER

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์... คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่ ‘ความฝัน’ ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก “เก็บ” ไว้ ในเบื้องลึกของความทรงจำและสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล (ในอดีตชาติ) คล้ายๆ กับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

ผมเคยคิดถึงเรื่องนี้และปักใจเชื่อเสมอว่า เรื่องราวระหว่างเขากับผมเป็นกรณีสุดท้าย

‘อดีตที่พยายามจะลืมเลือน แต่กลับติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด บางสิ่ง... ที่ระลึกถึงเสมอ... มันดึงดูด ‘เขา’ ให้กลับมาเสมอ แม้พยายามจะหลีกหนี ซ่อนเร้น เพียงใดก็ตามกฎแห่งแรงดึงดูดก็มักจะทำหน้าที่ของมัน’ เพียงแต่เมื่อหวนคิดถึงคำพูดของเขากับสิ่งที่ผมคิดมันเหมือนตรงกันอย่างน่าประหลาดใจ

‘ไม่รู้ทำไม ในความรู้สึกเขน เวลาสิบกว่าปีที่หายไป มันเหมือนมากกว่านั้นมากมายนัก’ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรื่องราวระหว่างเราทั้งหมด เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเราได้พบกัน

ทำไม... วันแรกที่พบกัน เราสองคนต่างสัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตามหามาตลอด

ทำไม... หลายสิ่งที่เกิดขึ้น หลายอย่างที่ไม่มีเหตุผล แต่เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น

....ดอกลิลลี่

‘มันบอกไม่ถูก แต่ที่รู้คือ เขนอยากทำให้ดีที่สุด อยากให้รุ่งได้เห็นดอกลิลลี่ทุกเช้า’

‘ความรู้สึกมันบอก เหมือนปฎิญาณกับตัวเองไว้ ขอให้เขนได้ทำเถอะนะ นะรุ่งนะ’

...พระจันทร์

‘แปลกนะเขนมักคิดมาตลอดว่า...รุ่งเหมือน ‘แสงจันทร์ เย็นตา ชวนฝัน น่าหลงใหล’ 

‘รุ่งก็คิดมาตลอดว่า...เขนเหมือน ‘พระจันทร์’ ส่องแสงสว่าง อบอุ่น นุ่มนวล’

เหมือน ‘รู้’ อยู่แล้วว่าเป็นอย่างนั้น เรื่องบางเรื่องเราก็หาเหตุผล ต้นเหตุ ที่มาไม่ได้

 

“รุ่งครับ”

“คิดอะไรอยู่” ชายหนุ่มที่กำลังขับรถ หันมาถามอีกคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” ใบหน้าหวานจึงละสายตากลับมายิ้มให้

“เขนจะไปไหนอะ” คนที่ดูทางเพลินจึงลืมคิดไปว่าเส้นทางที่รถขับผ่านมิใช่ทางที่เคยคุ้น

“ก็ไปหาพ่อเขนไง”

“ไม่ได้ไปที่บ้านเหรอ” ถึงแม้จะไม่เคยไปบ้านของเขนก็จริงแต่ผมก็พอจะทราบว่าบ้านหลังที่ย้ายไปหลังจากเหตุการณ์เมื่อกว่าสิบปีที่แล้วนั้นอยู่ที่ใด

“เปล่า ท่านนัดให้ไปที่ร้าน”

‘ร้าน?’ เหมือนเคยรู้มาบ้างว่าที่บ้านเขนมีกิจการที่คุณพ่อดูแลอยู่ หากไม่เคยสอบถามแน่ชัด จึงส่งสายตาแสดงความแปลกใจไป

“คุณพ่อมีร้านเบเกอรี่ แต่ไม่ได้ดูแลเอง ให้ญาติห่าง ๆ ดูแล”

“แต่ท่านเป็นเจ้าของสถานที่ที่เปิดร้าน วังศศิธร ”

“วังศศิธร? เขนเป็นคุณชายเหรอ” ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเขนมีเชื้อมีสาย เขนหัวเราะก่อนจะตอบ

“เปล่าหรอกรุ่ง แต่พ่อเขน เขาเคยดูแลรับใช้เป็นคนสนิทคุณชายเจ้าของวังคนสุดท้าย ท่านไม่ได้แต่งงานไม่มีทายาท เลยยกวังศศิธรให้พ่อเขน”

“รุ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“เขนก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้เองครับ”

“ก่อนหน้านี้พ่อปิดวังไว้เฉย ๆ แค่เข้าไปดูแลซ่อมแซม ท่านไม่อยากเข้าไปอยู่ เห็นว่าไม่อยากคิดถึงความหลัง”

“เขนพูดเหมือนมีเรื่องเศร้า”

“เขนก็ไม่แน่ใจ พ่อท่านก็เล่าแค่นั้นเหมือนกัน "

“แต่ไม่รู้วันนี้ท่านนึกยังไง นัดเราไปกินอาหารที่นั่น สงสัยรู้ว่าลูกสะใภ้ชอบของหวาน”

“เขน!!!” ร่างบางทำได้แค่ถอนหายใจ และรีบเบือนหน้าหนีแววตาระยิบนั่น หากแต่อีกคนยังเอื้อมมือมากุมมือบางไว้มั่น

“หรือว่าไม่จริง เขนว่าพ่อดูจะรักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ”

“คุยกันทีไรก็ถามถึงแต่รุ่ง”

“พูดเหมือนน้อยใจพ่อตัวเอง” ใบหน้าหวานจึงหันมามองคนข้าง ๆ ที่ขับรถไปอมยิ้มไป

“เปล่านะ ดีใจต่างหาก เขนรักใครก็อยากให้ครอบครัวของเขนรักด้วย”

“เขนรักรุ่ง ยิ่งพ่อรักรุ่ง เขนก็ดีใจ แต่ก็แอบหึงไม่ได้หรอก” ร่างสูงจึงถูกทุบไปสองสามที

“เยอะไปนะเขน”

“เยอะเพราะรักหรอกนะ”

ดอกลิลลี่สีขาวแย้มบานส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วรถ คนทั้งสองบนเส้นทางที่หวนกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง ถ่ายทอดความอบอุ่นเปี่ยมล้นผ่านมือที่เกาะกุม ส่งผ่านความรักที่มีในดวงใจผ่านสายตาที่ประสานส่งยิ้มให้แก่กันและกัน

 

“สวัสดีครับพ่อ”

“ ‘คุณ’... เอ่อ.. รุ่ง ไม่เจอกันนาน ไหว้พระเถอะลูก” ยังคงใจสั่นเหมือนครั้งก่อน เมื่อต้นปีที่เราพบกัน หลังจากที่ไม่ได้พบกันยาวนานสิบกว่าปี

“เห็นไหมอย่างที่เขนบอก ลูกตัวเองยังมองไม่เห็นเลย”

“คนขี้อิจฉา อย่าสนใจเลยครับ” ใบหน้าหวานกลับมามีรอยยิ้มสดใสมีความสุขอีกครั้ง

“นั่งกันก่อนลูก รุ่ง เขนสั่งอะไรทานก่อน” อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มเมื่อเห็นลูกชายเลื่อนเก้าอี้ให้กับ ‘คุณ’ ไม่เคยเปลี่ยน จึงจะยื่นเมนูที่ร้านให้ทั้งสอง ก่อนที่สองคนจะชี้ชวนกันดูเมนู และถกเถียงกันเบา ๆ

ยิ่งพิศยิ่งเหมือน ยิ่งโตขึ้นยิ่งละม้าย ถ้อยคำในอดีตที่ล่วงเลยแว่วดังในหู

‘จะมาหา’

‘ไม่กลัว แต่อย่าไปเลยไม่ไปได้ไหม’

‘ไม่ได้ หรอกจ้อย แต่ถ้า ไม่กลัว จะกลับ กลับมาหา จริง ๆ สักวัน’

‘สัญญาแล้วนะ’

‘สัญญา วันนึงนะ แล้วอย่า อย่าลืมฉันนะ’

‘จะไม่มีวันลืมคุณ’

‘เป็นเด็กดีนะ ดูแลเสือน้อย ดูแล ‘พี่ชาย’ ให้ฉัน สัญญานะ’

‘สัญญา’

‘ฉันรักจ้อย แล้วจะกลับมา จะกลับมาหา’

แล้ว ‘คุณ’ ก็กลับมาจริง ๆ ผมรู้ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ที่ลูกชายของผมพาเขามาที่บ้าน หรือความจริงผมเชื่อว่าจะพบ ‘คุณ’ อีกครั้ง ตั้งแต่ภรรยาผมคลอดลูกชายคนโต ที่มีสีผิว และโครงหน้าละม้ายคุณชายเกิ้งอย่างยิ่ง ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของเขาจึงเป็นชื่อที่มีความหมายเดียวกันกับเจ้านายที่ผมรัก และเคารพ ผมเชื่อเสมอมาว่าถ้าคุณชายเลือกมาเกิดในที่ที่เธอเลือกฝากของของเธอไว้

‘วังศศิธร’... ‘บ้าน’ ของทั้งสอง

คุณชายจากไปหลังจากที่คุณก๋ง ท่านชายศศธรได้จากไป และตัวผมเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านทิ้งสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ท่านรักยิ่งไว้ให้กับคนที่อยู่กับท่านจนลมหายใจสุดท้าย

‘จ้อย รับไว้เถิด ฝากดูแล ‘บ้าน’ แทนฉัน ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนความกตัญญูที่มีให้ฉันและ ‘คุณ’ ตลอดมา รับไว้ ไม่ต้องเกรงใคร สมบัติอื่น ๆ ให้เขาแบ่งกันไป แต่ ‘บ้าน’ ฉันขอยกให้เราเก็บไว้ ขอยกให้คนที่รัก และเห็นคุณค่าของสถานที่แห่งนี้’

คุณชายเกิ้งเป็นคนสุดท้ายที่ผมยอมให้เรียกชื่อที่ ‘เจ้าจ้อย’ ชื่อที่ ‘คุณ’ เป็นคนคิดตั้งให้ และใช้เรียกผม หลังจากนั้นมาคนอื่น ๆ ทุกคนก็รู้จักผมในชื่อที่ครอบครัวของผมตั้งให้จริง ๆ

“พ่อครับ”

“พ่อเล็กครับ” เสียงเรียกดึงสติที่กำลังคิดเหม่อลอยกลับมา

“พ่อสั่งอะไรหรือยังครับ”

“ยังเลย ลูก ๆ ทานอะไรกัน”

“มด... ก็สั่งเป็นแต่ของหวานแหละครับ”

“ก็ร้านขนมเขนจะให้สั่งอะไร” บรรยากาศเดิม ๆ ภาพพี่น้องที่เคยทะเลาะกัน ในบรรยากาศเดิมหวนย้อนกลับมา

“รุ่งชอบขนมหวานเหรอลูก”

“ครับก็เคยลองทำแพนเค้กเล่นอยู่บ้างครับ” บางอย่างก็ไม่เคยเปลี่ยน

“ก็ดีนะ วันหลังอยากทำลองมาช่วยทำเล่นที่นี่บ้างก็ได้”

“ครับ”

“ผมขอชาร้อนแล้วกัน” เมื่อบอกบริกรไปจึงหันมาคุยกับลูกทั้งสอง

“เป็นอย่างไรบ้างรุ่ง สบายดีไหม”

“ผมสบายดีครับ”

“ไม่เจอตั้งนานไม่เห็นจะถามถึงผมบ้างเลย” จึงส่ายหน้าให้กับลูกชายขี้อ้อนและขี้หวง

“พ่อเป็นพ่อดูก็ต้องรู้สิ ว่าลูกตัวเองมีความสุขขนาดไหน”

“ขอบใจมากนะรุ่งที่กลับมา” ผมรู้ดีว่าใครที่ทำให้เขนกลับมามีความสุขได้ขนาดนี้

แต่ใจจริงผมอยากขอบคุณ... ‘คุณ’ ที่กลับมา

อยากขอบคุณ... ‘คุณ’ ที่รักษาสัญญา

 

“ครับ ผมต้องขอบคุณพ่อมากกว่า ที่ช่วยผมมาตลอด”

“ผมก็ไม่คิดว่าพ่อตัวเองเป็นสายลับนะครับนี่”

“มีอีกหลายเรื่องที่เขนไม่รู้ ใช่ไหมรุ่ง” อารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นมานาน อารมณ์สนุกของเด็กที่แกล้งหยอกเย้า

“ครับ” เราสองคนยิ้มให้กัน ในขณะที่อีกคนหรี่ตาลงด้วยความระแวงเล็ก ๆ จึงทำให้เราสามคนหัวเราะด้วยกัน

 

ตั้งแต่วันที่ ‘คุณ’ จากไป ‘เจ้าจ้อย’ ที่ช่างพูดช่างคุยก็หายไปพร้อมกับ ‘คุณ’ ในวันนั้นชีวิตของเด็กน้อยจบสิ้น ณ วันนั้น เหลือแต่เพียงภาพของเด็กที่โตเกินอายุ ที่คนภายนอกบอกว่าเงียบขรึม อ่อนไหว หากตั้งใจ จริงจัง และรับผิดชอบ กับนัยน์ตาโศกที่ฉายชัด ความเจ็บปวดที่ได้รับตั้งแต่เด็ก

ผมรู้มากเกินไป... เรื่องความรักของคนทั้งคู่ ทั้งในชาตินี้ และใน...ชาติที่แล้ว ผมมั่นใจ วิญญาณเดิม... คนเดิม... คู่เดิม

เรื่องราวในอดีตแค่เพียงผ่านสายตาของเด็กเล็กคนหนึ่ง มิอาจละเอียดลึกซึ้งได้ หากเมื่อเวลาผ่านไปจึงได้รับรู้เรื่องราวทุก ๆ อย่างผ่านจดหมายทั้ง 17 ฉบับ ที่คุณชายท่านได้เก็บรักษาไว้ตราบสิ้นชีวิตของท่าน ปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่ท่านพร่ำเพ้อครวญคร่ำเพรียกหาในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ในอดีตที่หนึ่งคนเป็นผู้รอ... และยังคงรอเสมอแม้ลมหายใจจะถูกพรากจาก

ในอดีตที่อีกคนรักษาคำมั่น...จะตามหา ‘สุดที่รัก’ ให้พบให้ได้ไม่ว่าอย่างไร

 

เมื่อทั้งสองพบกัน คนเป็นพ่อไม่เคยเชื่อมั่นสิ่งใดเท่านี้มาก่อน

หากไม่ได้คาดคิดภาพในอดีตกลับย้ำซ้ำรอยเดิม

 

เปลี่ยนเพียงคนที่รอ... กลับเป็นลูกชายของเขา

‘คุณ’ เดินทางห่างไกล ตามความปรารถนาส่วนลึกจากชาติภพในอดีต และเรื่องทุกอย่างก็ยุ่งยากซับซ้อนจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ที่เกือบพรากทั้งสองอีกครั้ง

บางครั้งสิ่งที่ถูก ‘เก็บ’ สิ่งที่ถูกกดก็ทำให้อึดอัด และเจ็บปวด แม้วันหนึ่งผมเคยเป็นคนเห็นแก่ตัว เฉือนหัวใจตัวเองแยกเขาทั้งสองออกจากกัน ด้วยความเป็นพ่อที่รักลูกชายของตนอย่างยิ่ง ในวันนั้นผมก็ทำร้ายคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตเสมอมา

ความรักของบุตรชายไม่ได้ ได้มาเรียบง่ายดังอดีตที่ผ่านมา ทั้งสองที่ผ่านเห็นความลำบาก ยากเข็ญ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ผมจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือทั้งคู่เสมอมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่เพียงแต่ช่วยลูกชายตัวเอง หากผมยังช่วยคนที่ผมเคยรัก และเคารพยิ่ง

จนกระทั่งถึงวันนี้

วันที่ผมต้องทำอะไรบางอย่าง... บางอย่างที่จะทำให้ภาระหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบดูแลไว้ให้ถูกต้องและเสร็จสมบูรณ์

“เราสองคนยังอยู่ที่บ้านม๊ารุ่งเหรอลูก”

“ครับ” ลูกชายผมตอบหน้าตาเฉย

“แล้วคอนโดเขน”

“ให้คนเช่าต่อไปแล้วครับ”

“แล้วม๊าจะไม่รำคาญหรือ” ผมออกจะเกรงใจแทนลูกชายที่ไม่ได้คิดอะไร

“ไม่หรอกครับพ่อ ที่บ้าน หม่าม๊าชอบให้คนอยู่กันเยอะ ๆ” รุ่งจึงออกตัว แก้แทน

ถ้าให้ผมคาดเดาคนที่ ‘คุณ’ ตามมา... คือ ‘คุณไหม’ ก็คงไม่น่าจะเป็นใครอื่น หม่าม๊าที่รุ่งกล่าวถึง เธอยังคงกลับมาในตระกูลเดิมของคุณก๋ง และก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาก่อน หากสวรรค์คงมีเหตุผลที่ทำให้ ‘คุณ’ เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อที่ใกล้เคียงชื่อเดิมในอดีตชาติอีกครั้ง

“พ่อจะยกที่นี่ให้เขนกับรุ่ง” ลูกชายขมวดคิ้ว หากแต่เสียงเล็กรีบแย้ง

“แต่พ่อครับ”

“เราสองคนฟังพ่อก่อน”

“วังศศิธร เคยเป็นวังก็จริงแต่ตัวตึกก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก ท่านที่เคยเป็นเจ้าของมักจะเรียกที่นี่ว่า ‘บ้าน’ เพราะแต่เก่าก่อนที่นี่เคยอบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่น”

“จริง ๆ ตัววังเคยมีบริเวณที่เป็นสวนฝรั่ง เคยมีเรือนไทย แต่พ่อต้องตัดใจแบ่งขายไป เพื่อจะนำเงินบางส่วนมาบำรุงรักษาตัวตึกไว้ให้ยังคงเดิมให้มากที่สุด ตอนนี้ข้างล่างพ่อให้เปิดเป็นร้านขนมหวานอย่างที่เห็นต่อไปจะได้มีรายได้พอเพียงจะดูแลค่าใช้จ่ายในวังนี้ต่อไป”

“แต่ตอนนี้ชั้นสองยังคงปิดไว้ มีสองปีก ปีกเหนือกับปีกใต้ ฟากละสี่ห้อง ปีกฝั่งเหนือพ่อว่าจะปล่อยให้คนเช่าเป็นหอพัก ส่วนปีกใต้พ่ออยากให้เราสองคนเข้ามาอยู่”

“แต่พ่อครับ พ่อยกให้เขนหรือน้อง ๆ ดีกว่าครับ ผม...” รุ่งรีบออกตัว

“รุ่ง ฟังพ่อนะ พ่อขอร้อง พ่อไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของวังนี้ แต่พ่อมีเหตุผลบางอย่าง บางอย่างที่ไม่สามารถบอกลูกสองคนได้ในวันนี้”

“แต่อยากให้ลูกสองคนรับไว้ ถือว่าเห็นกับพ่อ”

“ที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เจ้าตัวโตของผมจึงถามบ้าง

“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอกลูก ที่นี่มีแต่ความรัก... ความรักความผูกพันของเจ้าของกับสถานที่ที่ทั้งคู่เรียกว่า ‘บ้าน’ แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องผีเรื่องวิญญาณอะไร พ่อเชื่อว่าเจ้าของเขามาเกิดแล้ว พ่อเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ แล้ววันหนึ่งถ้ามีโอกาส ถ้าจำเป็นพ่อจะเล่าให้ลูกทั้งสองฟังเอง”

ผมตัดสินที่จะ ‘เก็บ’ เรื่องราวในอดีต และจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับไว้ต่อไป

“หากในชีวิตของเรา เรื่องบางเรื่องก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ พ่อเห็นลูกสองคนมีความสุขในวันนี้ ก็ไม่อยากที่จะรื้อฟื้นเรื่องบางเรื่องที่เคยผ่านมา แต่ขอให้ลูกเชื่อว่าพ่อกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และตั้งใจจริง ๆ ที่จะยก ‘บ้าน’ หลังนี้คืนให้เขนกับรุ่ง”

“ลองเดินดูกันก่อนก็ได้ว่าชอบไหม ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ซะที่นี่ ถ้าไม่ชอบหรือไม่สะดวกจะปล่อยให้คนเช่าต่อพ่อก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าพ่อยกให้เป็นสิทธิขาดช่วยจัดการเป็นธุระดูแล”

“ครับพ่อ” ลูกชายผมตอบตกลง

“แต่ผม” หาก ‘คุณ’ คนเดิม ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

“ถือว่าพ่อขอร้องนะ ถือว่าทดแทนสิ่งที่พ่อเคยขอร้องรุ่งในอดีต” ข้ออ้างที่ให้ได้ในตอนนี้ หากสิ่งที่อยากบอกออกไป ได้แต่ร่ำร้องภายในใจ และส่งสายตาอ้อนวอน

‘ผมขอร้องเถอะ ‘คุณ’ ได้โปรดรับคืนไปเถอะครับ’

“ครับคุณพ่อ”

 

ทำได้เพียงยิ้มตอบกลับ...

‘ขอบคุณมากครับ ‘คุณ’ ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณที่รักษาสัญญา’

 

ร่างบางยืนมองเหม่อที่ระเบียงห้องนอนเล็กริมสุดของตึก

“รุ่งชอบเหรอ” ผมจึงเดินไปโอบเขาจากด้านหลัง และอดที่จะกดปลายจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมจากแก้มใสไม่ได้

“บอกไม่ถูกน่ะเขน รู้สึกแปลก ๆ”

“รู้สึกคุ้นเคย รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นมาก่อน” ผมเพียงแต่พูดสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้ออกไป

“ใช่ เขนก็รู้สึกเหรอ” คนในอ้อมกอดรีบหันหน้ามามองด้วยความแปลกใจ

“อืม มันเหมือนคุ้นเคยแต่ไม่น่ากลัว เหมือนเคยอยู่ เหมือนเคยผูกพัน”

“เหมือนกันเลย ทำไมนะ รุ่งว่าวันนี้พ่อก็พูดแปลก ๆ ตอนที่ท่านบอกยกที่นี่ให้ ทำไมท่านใช้คำว่ายก ‘บ้าน’ หลังนี้คืนให้”

“ท่านพูดเหมือนเราเคยเป็นเจ้าของ” ผมก็รู้สึก

“เขนก็คิดอย่างนั้นเหรอ”

 

“บางอย่างคงซับซ้อนเกินกว่าเข้าใจจริง ๆ อย่างที่ท่านบอก เขนว่าวันหนึ่ง ถ้าพ่อพร้อมจะเล่าท่านคงเล่าเอง”

“อืม.......”

 

บางอย่าง... ซับซ้อนยากเกินกว่าที่จะรู้ ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ หากเรา ‘รู้’ เราคิดเหมือนกัน ถ้ามันยากนักลำบากนัก ก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้น ตราบใดที่ปัจจุบันเราสองคน มีกันและกัน มีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“แล้วเขนคิดยังไง... อยากมาอยู่ที่นี่ไหม”

“คำถามไม่ชี้นำเลยนะ”

“ก็........” เมื่อมีคนรู้ทัน คนแก้มป่องแสนงอนในอ้อมกอดก็ทำท่าจะผละหนี จึงต้องกระชับอ้อมแขนกักเก็บร่างบางไว้

“รุ่งอยากอยู่ที่ไหนเขนก็จะอยู่ที่นั่น รุ่งชอบเขนก็ชอบ รุ่งรักเขนก็รัก”

“หลง ‘สุดที่รัก’ หมดหัวใจแล้วนี่”

“เลี่ยนบ้างไหม” ใบหน้าหวานกลั้นขำหากใบหน้าแดงกล่ำ

“ไม่นะ... เขนชอบของหวาน บอกแล้วรุ่งชอบอะไรเขนก็ชอบ” จึงได้ฟังเสียงถอนหายใจของคนในอ้อมกอดที่ตั้งใจให้ได้ยินชัดเจน

“ก็ได้ งั้นก็ตามนี้ คงต้องซ่อมแซมตกแต่งเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยแล้วเรามาอยู่ที่นี่กันนะ”

“ครับผม”

“เขนว่าที่รุ่งอยากมาอยู่ที่นี่เพราะอยากกินขนมหวานฟรีสิ ใช่ไหมล่ะ อย่าคิดว่าเขนไม่เห็นนะ สาว ๆ ร้านขนมหวาน ข้างล่างมองกันน้ำตาลร่วงกราวเชียว”

“มองใครเถอะ”

“ไม่รู้หรอกเขนเห็นแต่รุ่ง”

“ก็ไหนว่าเห็น”

“ก็เห็นแค่เขามองรุ่งกัน มองใครคนอื่นเขนก็ไม่สนหรอก”

“เยอะตลอด”

“แล้วรักไหมล่ะ”

“ไม่รักมั้ง”

“รุ่งอ่ะ” เสียงหัวเราะสดใส ก่อนที่เสียงเล็กจะเอ่ยต่อ

“ไม่รู้ทำไม แต่รุ่งก็รู้สึกเหมือนเขน... ว่าอะไรบางอย่างระหว่างเรามันดูเหมือนจะยาวนานเกินกว่าสิบห้าปีที่เราพรากจากกัน เกินกว่าครั้งแรกที่เราพบกัน แม้ตอนนี้รุ่งไม่รู้ และตอนนี้ก็ไม่อยากรู้”

“แต่สิ่งเดียวที่รุ่ง ‘รู้’ และแน่ใจคือต่อไปไม่ว่าวันเวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหน...”

“ก็คงรักได้ เพียง...แค่เขนคนเดียว”

“ครับ และไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไร เขนอยากให้รุ่งรู้ว่า เขนจะไม่มีวัน ไม่มีทางปล่อยให้เราต้องแยกจากกันอีก เขนรักรุ่งเพียงคนเดียวเสมอมาและตลอดไปนะครับ”

“สุดที่รัก”

จุมพิตอันอ่อนหวานซึ้งที่มอบให้แก่กัน หวานเทียบเทียมมิได้กับคำมั่นที่เราทั้งสองให้กันไว้

ไม่ว่ายาวนานสักเท่าใด... จะไม่มีวันเปลี่ยนแปร

 

นิรันดร์ คือสิ่งใด... เราสองมิแน่ใจ

หากมั่นใจ... มิใช่เรื่องสำคัญ

เพราะสิ่งที่สำคัญ... ที่ยืดโยงเกาะเกี่ยวหัวใจของเราเข้าด้วยกัน

มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...

‘เพียง... รัก’





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: FOREVER 06.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 06-03-2018 20:54:34
 :L2:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM 07.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 07-03-2018 09:40:38
Chapter XIV: Dream

 

เคยดูหนังเรื่อง Inception ไหม? ถ้าไม่เคยลองไปดูนะครับ แต่ถ้าเคยผมแค่อยากบอกว่าผมรู้สึกอย่างนั้นอยู่... อะไรคือเรื่องจริง... อะไรคือความฝัน...

ผมมักจะต้องใช้เวลาสักพักทีเดียวในทุก ๆ เช้าเพื่อแยกแยะความจริงกับความฝัน บางทีอาจเป็นเพราะอุบัติเหตุในครั้งนั้น หรือบางทีอาจจะเพราะความทรงจำมากมายที่ฝังลึกกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ถ้าคุณจำได้ ก่อนที่ผมจะรู้ความจริง ก่อนที่คนรักของผมเขาจะตัดสินใจกลับคืนมาเคียงข้าง ผมเคยปล่อยให้อาการปวดหัวคืนกลับมากำเริบอีกครั้ง

ตอนนั้นผมพบใครคนหนึ่งที่คลับคล้าย ‘เขา’ ซึ่งตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว… ว่าใช่ ‘เขา’ จริง ๆ คนที่ผมเคยรอและรอเพียง ‘เขาคนเดียว’ เสมอ...

แม้ความทรงจำนั้นจะไม่กลับมา เพราะ ‘เขา’ เองที่ขอให้ผมสัญญาว่าจะไม่รื้อฟื้นความทรงจำนั่นขึ้นมาให้เราต้องพรากจากกันอีก หากแต่เมื่อไม่นานผมกลับพบความฝันประหลาดที่ผุดขึ้นอีกครั้ง

ความฝันที่ไม่สร้างความเจ็บปวด

หาก... รางเลือนและเบาบางอย่างบอกไม่ถูก

ที่แปลกที่สุดคือภาพ ‘เขา’ คนเดิม ย้อนกลับมาในสถานที่เคยคุ้น

ผมฝันอย่างนี้มาเกือบเดือน จนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ได้ไปกินข้าวกับคุณพ่อ ทำให้ตอนนี้ผมรู้ว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน ‘วังศศิธร’

คุณว่าแปลกไหม...

สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้ผมกลัว...

ความรู้สึกนั้นทำให้ผมน้ำตาซึม...

มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ทำไมมันเหมือนช่างอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวในหัวใจนัก... ผมไม่รู้ รู้เพียง...ทุก ๆ เช้าผมยังน้ำตาซึม ในขณะที่ยังแยกไม่ได้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน

หากมันทำให้รู้สึกตื้นตัน เปี่ยมล้นทุก ๆ ครั้งที่ได้พบว่าความจริงที่มี ‘เขา’ นอนหลับอยู่ข้าง ๆ กาย และทำให้ผมเหมือนตกหลุมรัก ‘เขา’ จมลึกยิ่งขึ้นในทุก ๆ เช้าเช่นกัน

 

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาแปลกไป แปลกไปมาก ๆ เลยทีเดียว จนผมเริ่มจับสังเกตหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนไปได้ เขาไม่เคยรับสายเลยสักครั้งหากแต่โทรกลับมาเองทุกครั้ง

‘งานยุ่งนะเขน ประชุมอยู่ เลยรับสายไม่ได้’

ตื่นเช้าเอารถไปทำงานเอง

‘อาทิตย์นี้รุ่ง มีธุระต้องออกไปข้างนอกบ่อย ไปกลับเองสะดวกกว่า’

กลับดึกกว่าที่เคยเป็น

‘ไปกินข้าวกับผู้รับเหมาข้างนอกกับพี่บลู กลับดึกหน่อยนะ เขนนอนก่อนเลย’

เหตุผลพวกนี้ที่ทำให้เราแทบจะไม่ได้พบหน้ากันทั้งอาทิตย์ มันไม่ได้ทำให้ผมแคลงใจ หากแต่คิดว่าเขามีอะไรที่ต้องการปิดบังผมสักอย่าง แต่...มันคืออะไร

“เสาร์นี้ รุ่งออกไปทำธุระกับเพื่อนนิดนะ”

“รุ่ง นี่เราเหมือนคนไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเลยนะ ม๊า ยังบ่นหาเลย”

“เหมียวจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้วด้วย” เย็นวันศุกร์ผมยังมานั่งเล่นเกมรอ ในขณะที่เจ้าของห้องบอกว่าจะกลับดึกเช่นเดิม ผมจึงอดจะน้อยใจไม่ไหว หายไปทำอะไรของเขา

“นะเขนนะ เดี๋ยวหม่าม๊ากับเหมียวเดี๋ยวรุ่งเคลียร์เอง”

“แต่ฝากบอกเจ้านายเหมียวด้วย ว่าอย่าพึ่งงอน เดี๋ยววันอาทิตย์จะพาไปเลี้ยงข้าวนะ”

‘คุณครับ ช่วยไปดูหน่อยครับว่าจะให้วางตรงไหน’ เสียงแว่วเข้ามาในโทรศัพท์

“ครับ ครับ ไปเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะเขน นอนก่อนเลย ไม่ต้องรอนะ กู๊ดไนท์ครับ”สายโทรศัพท์วางไปในขณะที่ผมยังไม่ทันจะพูดอะไร ผมรู้ว่าเขาจริงจังกับงานมาก ผมยอมรับ และทำใจได้ ในเมื่อรักไปแล้วจะให้ทำอย่างไร

แค่ไม่อยากนอนคนเดียวเลย... แค่นั้นเอง

 

 

“เขน...เขน....เป็นอะไร”

“รุ่ง.......”

“ร้องไห้ทำไม” มือบางค่อย ๆ เกลี่ยน้ำตา

“รุ่ง.........มาเมื่อไหร่” ผมจึงโผกอดร่างบางตรงหน้า ความหนาวเหน็บในหัวใจจึงค่อย ๆ บางเบาลง

“กลับมานานแล้ว เป็นอะไรน่ะเขน” รุ่งไม่เคยเห็นอาการนี้ของผม เพราะมักจะเป็นช่วงที่เขายังไม่ตื่น

“ฝันน่ะครับ”

“ฝันร้ายเหรอ” รอยจุมพิตลงที่ไรผม ทำให้ผมอยากยอมฝันร้ายทุก ๆ คืนเสียจริง ๆ

“ไม่รู้เลย...” ผมตอบตามความจริง

“อ้าว...”

“ไม่รู้จริงๆ  มันไม่เหมือนฝันร้ายหรอกรุ่ง แต่มันรู้สึกเหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยวมาก เวลาฝัน”

“แล้วเขนฝันว่าอะไร ทำไมรู้สึกอย่างนั้น”

“อย่าหัวเราะนะ”

“แล้วจะหัวเราะทำไมเล่า” ใบหน้าหวานส่งยิ้มขำๆ มาให้

“....เขนฝันว่า เขนกำลังเดินหารุ่ง...ในที่สักที่หนึ่ง ตอนแรกเขนก็ไม่รู้ว่าที่ไหน แต่ตอนนี้เขนรู้แล้ว”

“ที่ไหนเหรอเขน....” สายตาที่ทอดมองมาเหมือนมองทะลุ

“วังศศิธร” เราพูดพร้อมกัน

“เขนไม่ได้ฝันแค่คนเดียวหรอก และมันชัดเจนขึ้นตั้งแต่ได้ไปที่นั่นใช่ไหม”

“รุ่ง.......” รู้ได้อย่างไร หรือว่า...

“ใช่รุ่งก็ฝัน” รอยยิ้มอ่อนบาง ที่ทำให้ลมหายใจหยุดชะงักทุกครั้งนั่นทำงานอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะกล่าวต่อไป

“งั้นพรุ่งนี้เราไปที่นั่นด้วยกันนะ”

“รุ่งมีธุระไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มที่กระจายทั่วใบหน้าตาเป็นประกายระยับ ร่องรอยความเจ้าเล่ห์ฉายชัด

“ก็นะ เดี๋ยวไปดูก็รู้ว่าธุระอะไร”

“พรุ่งนี้เรากลับ ‘บ้าน’ กันนะ....เขน”

“ไปวังศศิธรกัน”

 

 

เราสองคนออกจากบ้านหม่าม๊ามาด้วยกันตอนเกือบบ่ายสาม ถ้าไม่มีโทรศัพท์ของรุ่งโทรมาปลุก เราสองคนก็คงยังคงนอนอยู่บนเตียงแน่ ๆ ช่วยไม่ได้นี่ครับ ใครใช้ให้ไม่มีเวลาให้กันตั้งหนึ่งอาทิตย์ ความปรารถนาบางอย่างก็ต้องการการปลดปล่อยบ้างเหมือนกัน

และผมก็มั่นใจอย่างมากว่าไม่ใช่เพียงผมที่ต้องการ และหลงใหลคนรักมากมายแต่ฝ่ายเดียว เพราะคนที่นอนหลับซบไหล่ของผมตอนนี้ เขาก็พร้อมยอมตามในทุก ๆ ความปรารถนาของผมเช่นกัน จึงจำปล่อยให้เขานอนพักผ่อนต่อให้เต็มที่ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง

“รุ่งจ๋า.......”

“รุ่งครับ ถึงแล้ว”

“อืม...” เมื่ออีกคนยังคงขี้เซามาก ๆ เหมือนเดิม จึงปลุกด้วยวิธีเดิม ๆ ด้วยการรวบร่างบางดึงมานั่งที่ตัก แล้วบดเบียดริมฝีปากบางโฉบฉวยแย่งชิงอากาศกันสักพัก ก็ปลุกสำเร็จ

“เขน เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ก็เห็นไป” ผมไม่สนใจซะอย่าง

“ฮึ” หน้าบางจึงสะบัดอย่างขัดใจ ก่อนที่จะผละออกจากตักกลับไปนั่งที่เบาะข้างคนขับเหมือนเดิม และเริ่มบ่น

“เขนอ่ะ ปลุกกันดี ๆ ก็ได้เถอะ”

“ปลุกดี ๆ แล้ว รุ่งไม่ตื่นเอง”

“ก็ต้องมีวิธีอื่นบ้างสิ”

“ก็เขนชอบวิธีนี้”

“ไม่พูดด้วยแล้ว” คนพึ่งตื่นโวยวาย หน้าแดงกล่ำ เปิดประตูรถหนีออกไป ผมจึงหัวเราะ และเดินตามมาพบรุ่งกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ถือม้วนแบบอะไรสักอย่าง

“ขอโทษทีครับที่มาช้า”

“ไม่เป็นเป็นไรครับทุกอย่างเรียบร้อยตามที่คุยกันไว้ ผมให้เด็กเก็บรายละเอียดเสร็จพอดี คุณรุ่งขึ้นไปเช็คความเรียบร้อยได้เลยครับ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน ถ้าจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งอะไรโทรแจ้งได้เลยครับจะให้เด็กเข้ามาทำให้อีกทีวันจันทร์” และเขาก็ส่งม้วนกระดาษให้รุ่ง ทำอะไรกันผมสงสัย แต่ทำได้แต่ยิ้มส่งผู้ชายคนนั้นกลับไป ก่อนที่จะหันกลับมาถามคนของตัวเอง และพบว่าเขาเดินนำหน้าลิ่วขึ้นตึกไปแล้ว

ทางขึ้นตัวตึกชั้นสองต้องผ่านห้องโถงของร้านอาหาร เมื่อเข้ามาผมก็เห็นรุ่งกำลังทักทายพนักงานอย่างดูสนิทชิดเชื้อเกินกว่าจะพบกันครั้งเดียว เมื่อเห็นผมเดินตามเข้ามาก็รีบขอตัว และยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ก่อนจะเดินหนีขึ้นสู่ชั้นสองของตึกปีกใต้

อะไรนะ ปิดอะไรไว้

 

ผมจึงเดินตามขึ้นมาบนตึกชั้นสองแล้วพบว่าบริเวณทางเข้ามีประตูไม้ที่มีลักษณะคลับคล้ายกับประตูอื่นของตึกนี้ ปิดบังทางเดินอยู่ ซึ่งอาทิตย์ที่แล้วยังมีแค่เทปสีแดงกั้นทางเดินไว้เท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปสู่ภายในก็พบว่าตัวตึกชั้นสองปีกใต้ที่พ่อยกให้เรานั้นถูกตกแต่งใหม่เกือบเสร็จสมบูรณ์ ในสไตล์ผสมผสานอย่างลงตัวของเฟอร์นิเจอร์เก่า และใหม่

“เซอร์ไพรส์” คนที่ยืนแอบข้างประตู ย่องมากระซิบจากข้างหลัง และยิ้มหน้าบาน ก่อนที่จะลากผมไปตามมุมต่าง ๆ และสาธยายพร้อมกับยกแบบตกแต่งในมือเปรียบเทียบตรวจงานไปพร้อมกัน

“มาทำตอนไหนอ่ะรุ่ง” ในขณะที่ผมยังอึ้งอยู่

“ก็ทั้งอาทิตย์นี่แหละ ให้ผู้รับเหมาเข้ามาดูตั้งแต่วันอาทิตย์ ได้แบบตั้งแต่วันอังคาร กว่าจะเลือกเฟอร์ลงตัว กว่าจะเริ่มตกแต่งได้วันพุธ โชคดีที่โครงสร้างดูดีอยู่แล้ว สีกับพื้นก็ไม่ต้องทำใหม่ คุณพ่อท่านดูแลไว้อย่างดี”

“ไม่น่าเชื่อว่าสามวันจะเสร็จ แต่มันก็อาชีพหากินนี่นะ สบายมากอะ นี่พี่บลูกับเจ้าเฟรมก็มาช่วยพึ่งกลับกันไปเกือบตีสามเมื่อคืน”

ผมเข้าใจว่าเราใช้เวลาสั้นมาก ๆ ในการเนรมิตศูนย์การค้าสักศูนย์ให้เปิดขึ้นได้ แต่พึ่งรู้ว่ารุ่งสามารถใช้ความสามารถพิเศษนั้นทำให้ ‘วังศศิธร’ ที่มีแต่เฟอร์นิเจอร์เก่าบางส่วนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กลับกลายมาเป็นบ้านที่พร้อมเข้าอยู่ได้ภายในอาทิตย์เดียว

“รุ่งย้ายห้องหนังสือมาไว้ที่ห้องนอนเล็กนะ ห้องทำงานกับห้องหนังสือเดิมเลยเปิดทะลุทำเป็นโซนรับแขก ห้องนั่งเล่น และPantry เลยต้องตกแต่งใหม่ ส่วนโซนห้องนอนไม่ได้ปรับเปลี่ยนเท่าไหร่ ใส่แต่เฟอร์เพิ่มเติม”

ผมยังคงพูดไม่ออก ได้แต่มองตามเขาอธิบาย เพราะเรื่องศิลปะองค์รวม การตกแต่ง ประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่ผมคงสู้สถาปนิกเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้แต่เดินตามจนมาถึงโซนห้องนอน

“รุ่งให้เปิดทางเชื่อมห้องให้กว้างขึ้น ย้ายโซนโต๊ะของว่างไปที่มุมห้องนอนเล็กเดิม แล้วทำเป็นมุมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเตียงกับแกรนด์เปียโนคงไว้เหมือนเดิม ดูลงตัวแล้ว”

เราเดินผ่านมาที่ห้องนอนเล็กเดิมที่ถูกดัดแปลงย้ายเตียงเล็กเดิมออกและเพิ่มชั้นหนังสือจากห้องหนังสือเดิม มุมโต๊ะของว่างที่ย้ายมา และ...

“คุณพ่อพึ่งให้คนยกมาให้เมื่อวาน ท่านบอกว่ามันเคยอยู่ตรงนี้ไว้ใช้นอนเล่นอ่านหนังสือ” ตั่งไม้ตัวยาว ที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นของที่นี่ และเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน

“อืม” ผมรู้สึกอะไรบางอย่างตื้นตันในอก จึงรับคำออกมาได้แค่นั้น แต่รู้ว่าใครอีกคนเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ผ่านสายตาที่ถ่ายทอดความในใจที่มีให้แก่กัน

“เขน... มาดูนี่ดีกว่า” ก่อนที่จะถูกดันหลังไปที่ระเบียง

“รุ่ง................”

“เหมือนไหม”

“......................” ระเบียงที่ถูกตกแต่งใหม่ ม้านั่งสองตัว และโต๊ะวางหนังสือเล็กรูปทรงเดิม หรือตัวเดิม

“รุ่ง..........นี่มัน”

“มาจากลำปางเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า บ้านหลังนั้นเจ้าของเขายังปิดไว้ไม่มีคนเช่า รุ่งเลยโทรไปขอซื้อต่อเขามา” ทำไมผมจะจำไม่ได้ วันที่เหมือนใจจะขาด วันสุดท้ายที่รุ่งอยู่ที่ลำปาง

“เสียดายที่ไม่มีทุ่งนา แต่ก็ให้เขาจัดสวยเล็ก ๆ ไว้ตรงนี้”

“ไว้มานั่งคุยกันเหมือนตอนนั้น เหมือนวันนั้น” รอยยิ้มที่เหม่อมองไปไกล ย้อนอดีต

“ไม่หรอกรุ่ง เราจะไม่มีวันย้อนกลับไปเหมือนวันนั้น จะไม่มีวันต้องลาจากกันอีกแล้ว” จะไม่มีวันนั้น ผมจะไม่ยอมให้มีวันนั้นอีกแล้ว ผมปฏิญาณกับตัวเอง

เพราะผมนิ่งไปอีกคนจึงเดินกลับมาถาม

“เขนไม่ชอบเหรอ”

“เขนไม่ชอบ” คนฟังหน้าถอดสี

“แต่.....เขนรักทุกอย่างที่รุ่งรัก เขนเคยบอกรุ่งแล้วไงคะ”

“และเขนก็ดีใจมากที่รุ่งรัก ‘บ้าน’ ของเราที่ลำปาง”

“และเขนก็รู้ว่ารุ่งชอบที่นี่ คุ้นเคยกับที่นี่ รักที่นี่”

“เขนก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะ...มันเป็นความรู้สึกเดียว เพราะ...คนคนเดียว”

“เพราะ...รุ่งคนเดียวนะคะ”

“ไม่ว่าที่ไหน ทุก ๆ ที่ จะเป็น ‘บ้าน’ ของเรา... แค่มีรุ่ง” คนตัวเล็กจึงโผเข้ามาหาอ้อมกอดของผม ก่อนที่จะรู้สึกว่าร่างเล็กกำลังสั่นไหว รู้สึกถึงน้ำตาที่ซึมและถูกเช็ดอยู่ที่อ้อมอก

“ร้องไห้ทำไมคะ”

“ไม่รู้.....” คนตอบเสียงเครือ

“เด็กดีอย่าร้องนะ”

“นิ่งนะคะคนดี” ร่างบางพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนที่จะบ่นอุบอิบ

“ตั้งใจให้เขนเซอร์ไพรส์แท้ ๆ ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ”

“รักเขาแล้วล่ะสิ” ผมจึงหยอกกลับไป

“รักตั้งนานแล้วเถอะ” วงแขนที่กอดกันจึงกระชับมั่นคง ถ่ายทอดความอบอุ่น จากร่างกาย จากหัวใจ ส่งผ่านให้กันและกัน

“รุ่งจ๋า...รุ่งรู้ไหม” ผมพูดขณะที่โอบกอดร่างบางที่นั่งอยู่ด้วยกันที่ตั่งไม้ตัวเดิม

“รุ่งเหมือนความฝัน เหมือนฝันที่เขนเฝ้ารอมานาน”

“เหมือนฝันที่ก้าวออกมาสู่ชีวิตจริง”

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ขอบคุณความรัก ความเอาใจใส่ที่มีให้กัน”

“ขอบคุณทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่ทำให้เขน”

“ขอบคุณจริง ๆ”

“ไม่ว่าต่อไปในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เขนจะไม่สัญญา จะไม่สาบาน”

“แต่ขอให้รุ่งเชื่อเขนนะ ว่าเขน ‘รู้’ ว่า... เขนเกิดมาเพื่อ ‘รัก’ ได้เพียงแค่รุ่งคนเดียวตลอดไป”

ผมได้คำตอบกลับแทนคำว่า... ‘รัก’ ด้วยจุมพิตที่แสนอ่อนหวาน และอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนุ่มนวลและคงมั่น พร้อมกับเสียงกระซิบบอกความตั้งใจของเราทั้งสองคนที่ตรงกัน... เราจะอยู่นอนค้างที่นี่คืนนี้เป็น ‘คืนแรก’

หากแต่ในใจเรากลับรู้สึกเหมือนกัน

เราสองคน...ได้กลับมา ‘บ้าน’ ของเราอีกครั้ง



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM COME TRUE 08.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 08-03-2018 11:03:58
 Chapter XV: Dreams come True

 

อาการฝันร้ายของผมหายขาด ถ้าให้อธิบาย ก็คงคิดถึงเหตุผลได้สองประการ คือข้อแรก ‘เขา’ คนนั้นกลับมาผมแล้วจริง ๆ คุณอาจคิดว่าผมจะย้ำคิดย้ำทำ ทำไม แต่ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา... บางคืนที่ผมตื่นขึ้นมากลางดึกยังต้องมานั่งทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงหรือความฝัน

ข้อที่สอง ‘บ้าน’ หลังนี้ ‘วังศศิธร’ บางครั้งบางความรู้สึกยากที่จะอธิบาย แต่ผมกับเขาคิดเหมือนกันตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้มาสัมผัสที่นี่ ความอบอุ่นคุ้นชินบางอย่างซึมลึกสู่หัวใจอย่างแปลกประหลาด

“ตัดสินใจได้หรือยังพี่” เด็กแสบขัดความคิดของผมหน้าตาเฉย แถมคำถามที่กำกวมนั่น คุณเข้าใจไหม แต่บังเอิญผมเข้าใจครับ

“ได้แล้ว แต่ไม่บอก”

“โถ...พี่”

“ตัดสินใจเองเถอะเฟรม เลือกงานที่ชอบ ทำแล้วมีความสุขก็พอ”

“ก็ผมอยู่กับพี่แล้วมีความสุข”

“อะ..แฮ่ม” เสียงกระแอมกะทันหันจากคนข้าง ๆ

“นี่กับผมพี่ก็ไม่เว้น เหรอพี่เขน”

“ก็อย่าหยอดให้มากนักสิ รู้ว่าหวงก็แหย่อยู่ได้” ผมแอบเพลียเล็ก ๆ

เล็ก ๆ เท่านั้นแล่ะครับ ก็ออกจะเคยชินและเข้าใจเขาอยู่ เพราะผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน... กลัวจะเป็นแค่ความฝัน กลัวจะสูญสลายจากไปกับอากาศต่อหน้าต่อตาเหมือน ‘น้ำค้าง’ ยามเช้า ทำให้คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เขาจึงมานั่งเฝ้าทำงานที่โต๊ะทำงานฝ่ายผมเหมือนเดิม

ใช่ครับ ที่ทำงานนั่นแหละ

อาจจะโชคดีนิดนึงตรงที่บริษัทของเรากำลังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่เพื่อตอบรับต่อการขยายตัว ต่อไปทุก ๆ ปีเราจะเปิดศูนย์การค้าใหม่มากกว่าสี่ศูนย์การค้าทุก ๆ ปี

เมื่อขอบเขตงานขยายตัวการทำให้องค์กรคล่องตัวขึ้นก็ต้องเริ่มจากลบช่องว่างการประสานงานระหว่างฝ่ายออก ดังนั้นฝ่ายของผมกับเขาจึงถูกปรับโครงสร้างให้รวมกัน โดยจะพัฒนาคนออกเป็นสองสายหลัก ๆ คือสายผู้เชี่ยวชาญ Specialist ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปนิกหรือวิศวกร และสายบริหาร Management ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุมดูแลโครงการ Project Management

ซึ่งตอนนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกเส้นทางเดินของอาชีพไปในทิศทางไหน อย่างที่เฟรมต้องการได้คำตอบจากผมเพื่อเลือกเดินตาม

พี่บลู พี่เชน และเขนเลือกแล้ว ว่าสนใจด้าน Specialist มากกว่า ส่วนผมซึ่งจริง ๆ แล้วก่ำกึ่ งถ้าคุณติดตามผมมาตลอดคุณจะรู้ว่าผมทำได้ดีทั้งสองด้าน ผู้ใหญ่ทั้งสองทางจึงมาทาบทามทั้งคู่

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงเลือกเส้นทางได้ยากมากจริง ๆ หากแต่เมื่อวันนี้มีเขา มีครอบครัวอีกครั้ง (ผมก็ยังยืนยันคำเดิม ว่ารู้สึกถึงคำว่าอีกครั้งจริง ๆ) ทางเลือกมันก็ไม่ยาก

ใครก็รู้ครับว่าเส้นทาง Management น่าสนใจและน่าจะมีแววไปได้ดีกว่า แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็อยากที่จะสร้างสมดุลให้กับชีวิตบ้างอะไรบ้างเช่นกัน

 

เมื่อฝันเป็นจริงแล้ว...จะต้องการอะไรมากมาย

คุณรู้คำตอบของผมแล้วใช่ไหม... อย่าบอกเจ้าเฟรมนะครับ ให้น้องคิดเอง

 

“พี่รุ่งค่ะ เย็นนี้ไม่สะดวกจริง ๆ เหรอค่ะ แพรมีร้านอร่อยเปิดใหม่มาแนะนำนะคะ” สถานการณ์ในตอนเย็นมันแอบแปลก ๆ น้องแพรของเขน ‘รึเปล่า’ ยังคงมีความพยายามสูงเช่นเดิม และเป็นคนเดียวที่เขนทำหน้าบ่งบอกว่าน้ำท่วมปาก ไม่สามารถจัดการอะไรได้นอกจากส่งสายตาอ้อนวอน กะพริบตาปริบ ๆ ได้น่าเอ็นดูพอ ๆ กับน่าหมั่นไส้ นั่นแหละครับ

คนหล่อแป๊ะ เวลาอ้อน ก็อ้อนได้ใจจริง ๆ

“พี่ขอโทษจริง ๆ นะคะน้องแพร เป็นกลางวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ วันนี้พี่จะรีบกลับบ้านหน่อยนัดช่างเฟอร์นิเจอร์ไว้ค่ะ” มันเป็นเหมือนจิตเล็ก ๆ กับคนที่เป็นสถาปนิก ยิ่งเมื่อคุณมี ‘บ้าน’ ที่เป็นของตัวเองคุณจะยิ่งอยากทำโน่นต่อนี่ ต่อต่อไป เหมือนเห็นว่าการตกแต่งบ้านเป็นงานอดิเรกอีกอย่าง ความคิดนี้ทำให้คุณวิศวกรที่รู้ทันอยู่แล้วยิ้มกริ่ม

จนแอบคิดไปเองว่า ถ้าวังศศิธรไม่มีอะไรให้ผมทำอีกแล้ว คุณวิศวกรเขาต้องมีแผนยัดเยียดบ้านหลังใหม่ให้ผมเป็นแน่แท้ เมื่อวานก่อนพึ่งเปรยถึงบ้านน้องสาวไว้

“พรุ่งนี้กลางวันพี่ไม่เบี้ยวแน่สัญญานะคะ”

“พรุ่งนี้ก็มีใครบางคนแถวนี้ตามไปด้วยอีก” คนคนนั้นจึงรีบร้อนตัว

“แหม ก็คุณบอกว่าร้านอร่อย ผมก็ช่วยไปชิมไงว่าอร่อยจริงหรือเปล่า”

“ย่ะ นึกว่าชอบกินฟรี”

“พี่น้องเขาเลี้ยงกันนะ คนนอกอย่างคุณจะรู้อะไร”

“นายว่าใครคนนอก พูดให้ดี ๆ นะ” แล้วเสียงเถียงกันก็อื้ออึง จนพี่บลูเดินยิ้มออกมาจากห้องเพื่อมาร่วมวง ครับเขนเขาได้ผู้ช่วยดี เพราะกันชนเดิมที่ผมเคยมีไว้กันเขา ยังคงทำงานดีเช่นเดิม ไม่ว่ากับใครก็ตามที่เข้ามาหาผม มีแค่เขนที่มัดใจเด็กแสบนี่ได้จริง ๆ หรือก็ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันออกมาเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว แค่ทิ้งให้อยู่ลำปางกันต่อแค่ห้าหกเดือน

“วันนี้รีบกลับเหรอ” พี่บลูถามขณะที่ผมกับเขนกำลังเก็บโน้ตบุ๊ก ขณะที่เด็กสองคนเริ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดง

“นัดช่างไว้นะครับ มาดูโซน Pantry ต่ออีกนิดหน่อย”

“อืมที่นั่นสวยดี ไว้ตกแต่งเสร็จแล้วจัดงานขึ้นบ้านใหม่หน่อยสิ อยากไปนอนค้างเล่นบ้าง”

“ครับ แต่จริง ๆ ถ้าพี่บลูอยากเข้าไปนอนเล่นก่อนก็ได้นะครับ ‘เรา’ ก็เข้าไปอยู่แล้ว” เขนเป็นคนตอบแทน พี่บลูลอบยิ้มคำว่า ‘เรา’ ของเขนก่อนจะส่ายหัว เยอะจริง ๆ ผู้ชายคนนี้

หึงไปทั่ว... ถ้าไม่ติดว่าหล่อนะ ผมคิดในใจ

เชื่อรึยังล่ะครับว่าบางอย่าง... ไม่เคยเปลี่ยน แม้ความจำเขายังไม่กลับคืนมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้ผม ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แม้คุณมาเฟียจะโตเกินเป็นหัวหน้าห้องแล้ว แต่เขาก็ยังกีดกันโลกส่วนตัวของผมให้แผ่ขยายกว้างใหญ่ได้เสมอทุก ๆ ที่ ที่อยู่กับเขา

โลกส่วนตัวที่มีแค่... ‘เรา’ เสมอ

 

รถติดเป็นเรื่องประจำ ๆ ที่เราคนกรุงต้องยอมรับสภาพให้ได้

“คิดถึงลำปางเหมือนกันนะ” ผมเปรย หกเดือนแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปที่นั่นเมื่อต้นปี นอกจากบ้านหม่าม๊า บ้านที่วังศศิธร บ้านที่ลำปางก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมระลึกถึงเสมอ แม้จะพยายามให้มุมระเบียงของวังศศิธร ให้คล้ายคลึงปานใด แต่บรรยากาศทุ่งข้าวเขียวขจี อากาศบริสุทธิ์ และลมหนาวเย็น ๆ คงหาไม่ได้ที่เมืองหลวง

“ไว้อาทิตย์ไหนว่าง ๆ เราขึ้นไปเที่ยวกันนะ”

“อืม...ไว้ชวนเฟรมไปด้วย”

“ต้องเอาเหมียวไปด้วยรึเปล่า” คนถามยิ้มล้อเลียนผม

“รอให้มันคลอดก่อนเถอะ” ครับเหมียวท้อง ใครเป็นพ่อผมไม่แน่ใจ แต่แมวขวบกว่า ๆ ก็เป็นสาวสะพรั่งแล้ว ตอนนี้คุณแม่เหมียวสีขาวสะอาดก็เดินเฉิดฉายที่วังศศิธรด้วยซะแล้วครับ และช่วยจับหนูที่ร้านกาแฟข้างล่างได้อย่างน่าชื่นชม

“แมวมันท้องกี่เดือนนะรุ่ง”

“จะรู้ไหมหละเขน เสาร์อาทิตย์นี้ก็พาไปให้หมอช่วยดูแล้วถามแล้วกัน”

ประเด็นเล็ก ๆ ในบ้าน ในครอบครัวเล็ก ๆ ของเราก็เป็นประเด็นในการสนทนาตลอดทาง คุณอาจคิดว่าที่ทำงานเขาก็พยายามยัดเยียดตัวเองให้มาประกบติดผมตลอดเวลา ยังคุยกันไม่พอหรือ ก็อยากบอกว่าเวลาทำงานทั้งผม ทั้งเขาก็ทำงานนะ ไม่ได้มาคุยเรื่องแบบนี้กันเท่าไหร่ งานมักต้องใช้สมาธิ แค่จะต้องดึงตัวเองให้เลิกแอบมองกัน และกันบ้าง งานก็หลุดไปเยอะแล้ว หวานไหม?

แค่นั้นจริง ๆ ครับ...

ช่างเฟอร์นิเจอร์พึ่งกลับไปโดยที่เขนรับอาสาไปส่ง ผมจึงได้อาบน้ำก่อนแล้วมานั่งอ่านหนังสือรอเขาอาบน้ำบ้างที่ตั่งเล็กตัวเดิมริมระเบียง ไม่ได้ชมตัวเองแต่ผมว่ามันลงตัวมากสำหรับโซนห้องนอนของเรา เป็นส่วนตัว และเต็มไปด้วยความอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วจึงนึกได้ต้องทำงานฝีมือก่อนเข้านอน ไม่ใช่เรื่องเย็บปักถักร้อยหรอกครับ ถึงผมจะรักผู้ชายคนนั้น แต่ผมก็ยังได้ชื่อว่าผู้ชายเต็มตัวเถอะ

ดอกลิลลี่ที่วางไว้ข้างกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ต้องริดเกสรออกให้หมดเสร็จแล้วจึงเดินไปมุมห้องที่มีกล่องพลาสติกใสใบใหญ่ 3 ใบที่ซ้อนกันไว้ ก่อนที่จะเปิดกล่องบนสุด ที่มีภายในมีกระดาษแข็งกั้นเป็นช่องๆ บรรจุทรายซิลิก้าไว้เต็มเปี่ยม และฝังลิลลี่ลงไปให้ทรายดูดความชื้น เพื่อรอให้แห้งสนิทก่อนจะเก็บใส่ซองสุญญากาศ และใส่ไว้ในหนังสือต่อไป ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานน่าจะล้นโซนห้องสมุดเล็ก ๆ ของเรา เหมือนโรงงานผลิตดอกลิลลี่อบแห้งเล็ก ๆ

ไม่รู้จะโทษใครดีระหว่าง....’คนให้’ กับ ‘คนเก็บ’

 

อ้อมแขนที่เย็น และขาวจนเกือบซีด โอบกอดจากข้างหลัง แฟนผมเขาเป็นแวมไพร์ผมบอกรึยัง ก่อนที่ใบหน้าของคนที่ซ้อนด้านหลังจะฝังลงที่ลำคอก่อนที่จะพึมพรำกระซิบเบาที่ข้างหู

“นึกว่าไปไหน มาอยู่นี่เอง เขนเดินตามหาซะทั่ว” ผมไม่อยากบอกว่าเป็นเพราะดอกลิลลี่ของใครหล่ะ ที่ทำให้ต้องมาทำงานประดิษฐ์นี่ทุกวัน เพราะเหลือจะจนใจกับเหตุผลของคนให้ จึงได้แต่ทำตัวเป็นผู้รับที่ดี หากอดที่จะแซวพ่อนักรักคนนี้ไม่ได้จริง ๆ

“เขน รุ่งว่าเราอาจจะต้องหาที่ทำพิพิธภัณฑ์ดอกลิลลี่ หรือทำลิลลี่อบแห้งส่งขายเมืองนอกแล้วมั้ง”

“ทางแรกเห็นด้วย เดี๋ยวเขนหาที่ให้ แต่ทางที่สอง รุ่งจะตัดใจขายได้ลงจริง ๆ เหรอ”

“ประชดหรอกน่า แต่อีกไม่กี่ปีต้องเต็มห้องสมุดแน่ ๆ เลย”

“เราก็ปิดตึกปีกเหนือไม่ให้ใครเช่าแล้วก็ทำแกลลอรี่ แสดงดอกลิลลี่ไง” เอากับเขาสิ นั่นรายได้ที่คุณพ่อหาช่องทางไว้ให้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลวังเถอะ ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนเพลียกับความคิดของเขา คร้านจะเถียงสู้ด้วย

“รุ่งจ๋า...”

“หืม...”

“ง่วงหรือยัง”

“ก็นิดหน่อยนะ”

“นั่งคุยกับเขนก่อนได้ไหม” ผมเชื่อว่าเหมียวอ้อนสู้เหมียวตัวใหญ่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“ครับ” เขาจูงมือผมมานั่งที่นั่งข้างนอกริมระเบียง

“รุ่งตัดสินใจยังไงเหรอ” ‘เรื่องนี้เอง’ ผมก็คิดอยู่ว่าเขาอยากคุยเรื่องอะไร เพราะคิด ๆ ไปเรื่องพี่บลูหรือแพรวาในวันนี้มันก็เกินที่จะเป็นประเด็นแล้ว เพราะเราต่างรู้ เราผูกพันกันอย่างลึกซึ้งเกินกว่าจะมีคนอื่น ๆ อีกต่อไปได้ ไม่ได้หมายความว่าผมหรือเขาจะหึงน้อยลง แต่เรารู้ว่าเราทั้งคู่ไม่มีสายตาจะมองใครแล้วต่างหาก

แต่ในประเด็นเส้นทางชีวิตในอนาคต คงถึงเวลาที่ต้องคุยกันจริงจังสักที เขนบอกผมก่อนตั้งแต่อาทิตย์ก่อนว่าเขาตัดสินใจอย่างไร ไม่แปลกที่วิศวกรส่วนใหญ่ไม่ชอบจะวุ่นวายเรื่องประสานงานกันคนมาก ๆ อยู่แล้ว นอกจากคนงานในไซด์ก่อสร้างก่อเกินจะเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอย่างที่เล่าตอนต้น เขนเลือกเส้นทางในสายผู้เชี่ยวชาญ

ในขณะที่เขาไม่ได้บังคับหรือบีบให้ผมเลือกตามแต่อย่างใด เราให้เกียรติกันเสมอในเรื่องงาน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบเชื่อว่าเขาน่าจะรู้ว่าผมจะตัดสินใจเลือกทางไหน

“เขนคิดว่ารุ่งเลือกอะไร” ผมเอื้อมมือที่เหลือไปเกาะกุม สองมือที่โอบอุ้มมือข้างหนึ่งของผมไว้แต่แรก และยิ้มให้แววตาใสที่กำลังใช้ความคิด ก่อนที่จะตอบ

“...รุ่งทำได้ทั้งสองอย่าง แต่น่าจะชอบงานสถาปนิกมากกว่า” เห็นไหมหละ ผมรู้ว่าเขารู้มาตลอด

“ใช่... แล้วรุ่งก็ไม่ค่อยอยากเดินทางมาก ๆ แล้วด้วย” รอยยิ้ม และประกายตาคนตรงหน้าสว่างไสว

“เราเสียเวลาที่เดินผ่านกันไป สวนกันมามากเกินไปแล้ว รุ่ง ขอแค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ ถึงแม้จะต้องเดินทางบ้าง แต่ก็ไม่ต้องลงไซด์เป็นปี ครึ่งปีเหมือนเมื่อก่อนอยากอยู่กับเขนมากกว่า”

“ขอบคุณครับ” สายตาและหัวใจบอกอะไรได้มากกว่าคำที่เอื้อนเอ่ย สัมผัสทางกายที่มอบความอบอุ่นให้แก่กันเติมเต็มทุกสิ่งที่เคยเป็นช่องว่างที่ขาดหาย เราไม่ได้หวานใส่กันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างที่ใครคาดคิด หากก้าวเดินเคียงข้างไปด้วยกัน ร่วมคิด ปรึกษา ใส่ใจ ดูแลกันและกัน ดวงใจเติมเต็มให้กันทุก ๆ วินาที ดุจดังวิญญาณดวงเดียวกันเสมอมา คำว่ารักที่พร่ำเพ้อ ตอกย้ำ ซ้ำเวียน ตลอดบทรักแนบชิดที่ผันผ่าน เหมือนดังคำมั่นในหัวใจ หนึ่งคน... คนเดียว... คนในฝันที่เดินออกมาสู่ความจริง... คือเธอ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM COME TRUE 08.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-03-2018 20:25:48
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: THAT'S ALL IS YOU 09.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 09-03-2018 09:41:20
Chapter XVI: That’s all is you

 

“เป็นไงบ้างรุ่ง” คำถามแรกเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ

“ก็ดีครับ” พี่บลูเป็นคนเริ่มถาม ผมตอบยิ้ม ๆ เพราะรู้ว่าคำตอบที่ให้ไปนั้นสนใจฟังกันทั้งฝ่าย รวมทั้งผู้ชายที่ยังบำเพ็ญเพียรตนยึดโต๊ะทำงานคนอื่น

“แน่ใจแล้วเหรอ พรุ่งนี้เขาจะออกประกาศแล้วนะ ทางโน้นยังยื้ออยู่ไม่ใช่เหรอ” ครับเมื่อผมบอกว่าผมตัดสินใจเลือกงานด้านไหนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พวกผู้ใหญ่ยังคงเรียกตัวไปคุยอยู่เรื่อย ๆ เนื่องด้วยหลายท่านเห็นว่าผมน่าจะทำงานด้านบริหารได้ดีพอตัว เช้านี้ก็เช่นกัน เพราะการประกาศโครงสร้างใหม่ และการโยกย้ายคนจะออกพรุ่งนี้อย่างที่พี่บลูบอกจริง ๆ

“ครับ ผมเพิ่งไปคุยกับคุณอาร์ทมาครับ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”ปกติบริษัทคนไทยของเราอยู่กันแบบพี่ ๆ น้อง ๆ ดังนั้นถ้าเราเรียกใครนำหน้าว่าคุณ นั่นก็มีความหมายเดียวครับ คนคนนั้นเป็นสมาชิกหนึ่งในตระกูลเจ้าของบริษัทศูนย์การค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทย ตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันอย่างยิ่งในแวดวงสังคม

ในขณะที่คนอื่นหมดข้อสงสัย แต่ใบหน้าคมยังคงขมวดคิ้ว

“คุณอาร์ทแกมาดู Architect Specialist Pool” คือแกเป็นหัวหน้ากลุ่มงานสถาปนิกนั่นแหละครับ ก่อนนี้แกดูการพัฒนาธุรกิจต่างประเทศไป ๆ กลับๆ เซี่ยงไฮ้อยู่

จึงไม่แปลกที่คนแถวนี้จะรู้จักเจ้านายใหม่กันเกือบทั้งหมดเมื่อเอ่ยถึง ในขณะคุณวิศวกรที่ย้ายตัวเองมานั่งประจำไม่ทราบ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะนายทางฝั่งเขาก็มีหลายคนที่ผมไม่ทราบเหมือนกัน

“นึกว่าแกอยู่เซี่ยงไฮ้” เขาพยักหน้ารับ แสดงว่าเคยรู้จักมาก่อน

“แกทำด้านนี้มาก่อน เลยมานั่งควบ” และไม่แปลกที่คนในตระกูลใหญ่จะเติบโตเร็ว และอยู่ในสายงานสำคัญของบริษัท คุณอาร์ทน่าจะเพียงสี่สิบต้น ๆ หากแต่ตำแหน่ง Assistant Vice President (AVP) พนักงานธรรมดาอย่างเราในช่วงอายุเท่านั้นอย่าฝันถึงเลยครับ

“คุณอาร์ท โอเค คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้วหละ” ผมเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ก่อนที่จะส่งยิ้มให้คนขมวดคิ้วที่ค่อย ๆ จางลงและเริ่มคลี่ยิ้มสว่างไสวของเขาคืนมาบ้าง

แม้บริษัทจะให้เราเลือกเองว่าอยากทำอะไรเมื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างก็จริง แต่เป็นธรรมดาที่ทุกบริษัทจะมีเรื่องการเมือง ดึงบุคลากรกันอยู่บ้าง และในกรณีผมอย่างที่พี่บลูเอ่ย ยังถูกยื้อกันอยู่ เช้านี้จึงต้องเข้าไปพึ่งบารมีคุยกับนายเก่าอย่างคุณอาร์ทเพื่อตัดปัญหา ก่อนที่จะลุกลาม และเป็นประเด็นไปมากกว่านี้

ก่อนไปคุมงานที่เซี่ยงไฮ้คุณอาร์ทเคยเป็นเจ้านายฝั่งนี้เต็มตัวมาก่อนตอนช่วงเรียนรู้งานก่อนที่ย้ายไปโตที่ฝ่ายอื่น พวกสถาปนิกจึงรู้จักเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะผมพูดก็พูด แกก็เป็นรุ่นพี่ รู้จักกันตั้งแต่เรียนที่อังกฤษ และแกก็เป็นคนตามตัวมาทำงานที่นี่หลังจากที่ดึงพี่บลูเข้ามาก่อน

ทำให้เรื่องราวที่เข้าไปคุยจึงไม่ลำบากเท่าไหร่ ใครบ้างจะไม่อยากได้ลูกน้องเดิมของตัวเองจะไม่ช่วยรุ่นน้องตัวเอง ถ้าจะพูดง่าย ๆ มันก็เรื่องการเมืองนั่นแล่ะครับ ปวดหัว เอาเป็นว่าเรื่องงานของผมที่จบได้ครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้คุณอาร์ทไป

ปกติผมก็ไม่ได้ชอบวิธีนี้เท่าไหร่ หากเหตุผลที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะ...สุดที่รัก

 

ข้าวกลางวันเหมือนอยู่ในสนามรบเช่นเดิม แม้เหมือนเป็นเพียงผู้ชมข้างสนามแต่ก็อดลุ้นระทึกไม่ได้

“จืดชืด” เซลล์สาวบ่น

“ก็ใครใช้ให้ตามมา” เจ้าเฟรมโต้กลับอย่างสะใจ น้องแพรจึงสะบัดหน้าหนีมาหาคนที่นั่งข้าง ๆ

“พี่รุ่งคะ วันหลังไปกินร้านที่แพรแนะนำดีกว่าค่ะ ที่นี่อะไรก็ไม่รู้” สนามรบถูกดึงเข้ามารวมผมเข้าไปด้วย หากยังไม่ทันมีคำตอบ เจ้าเฟรมก็ช่วยยิงต่อให้

“เธอนั่นแหละไม่รู้อะไร ร้านนี้พี่เขนชอบเถอะ พี่เขนชอบ พี่รุ่งก็ชอบ”

“จริงเหรอค่ะ พี่เขน” คนนั่งตรงกันข้ามผมถึงกับสำลักน้ำซุป ก็เราอุตส่าห์กินกันเงียบ ๆ มาตลอด ผมจึงยื่นแก้วน้ำให้คนที่กำลังไอ

“แหม แค่นี้ถึงกับสำลัก” คนไอจนหน้าแดงจนน้ำตาไหล ยังโดนค้อนขวับ

“พวกผู้ชาย แค่นี้ก็คิดว่าอร่อย ถ้าพี่รุ่งชอบอาหารญี่ปุ่นวันหลังแพรพาไปดีกว่าค่ะ มีร้านแนะนำ หรือเย็นนี้ดีไหมคะ”

ผมได้ยินแพรวาพูดอะไรพึม ๆ พำ ๆ เพราะมัวแต่สนใจยื่นกระดาษไปซับน้ำตาให้เขน และรู้สึกว่าเสียงรอบ ๆ ตัวค่อยเงียบลง เมื่อหันกลับมามองเจ้าเฟรมก็หัวเราะเสียงดัง ขณะที่น้องแพรเหมือนอึ้ง ๆ อะไรอยู่

“มีอะไรเหรอ” ผมหันกลับมาถามเฟรม ซึ่งหัวเราะจนตัวงอ

“เอ่อ... อะไรนะครับ” จึงกลับมาถามน้องแพรแทน แต่เธอไม่ตอบ หากมองเฟรมด้วยสายตาอาฆาตแค้น

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ แค่ใครบางคนเหวอ...ฮ่าฮาฮา เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน”

“ทำใจเถอะคุณ เขาอยู่กันสองคนเขาไม่มีใครในสายตาหรอก พยายามไปก็เท่านั้น” เฟรมยังพูดไปหัวเราะไป ขณะที่แพรเตรียมจะเหวี่ยง

“พอดี พี่กับเขนมีธุระจะรีบไปจองตั๋วหนัง เดี๋ยวขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสถานการณ์จะเข้าขั้นโคม่า ผมจึงทิ้งเงินไว้ให้เฟรมจ่ายค่าอาหาร และลากเขนออกมาจากร้าน

“ทิ้งเฟรมไว้จะดีเหรอ” เขนถาม

“หึหึ... เขนถ้าเจ้าเฟรมมันเบื่อ มันไม่ยุ่งแต่แรกแล้ว” ผมตอบยิ้ม ๆ

“รุ่งหมายความว่า...” คำตอบทุกอย่างที่เหลือส่งผ่านสายตา ปกติ เด็กอารมณ์ศิลปินแบบเฟรมไม่ใช่คนเร้าหรือ หรือตอแยใคร นี่คงไม่ธรรมดาแล้วน่ะสิครับ เราละเรื่องราวยุ่ง ๆ ของสองคนนั้นไว้ในฐานที่เข้าใจ และขำกับความลงตัวที่ไม่น่าลงตัว

คุณตามทันกันใช่ไหมครับ อาจจะลำบากนิดนึง ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเราสองคนไม่ต้องใช้คำพูดสื่อสารกันเท่าไหร่ มันเหมือนจะเข้าใจกันเองเพียงมองตา มันเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว และคงเปลี่ยนไม่ได้แล้วล่ะครับ

ขอโทษนะครับ แต่จริง ๆ ถ้าจะโทษก็ไปโทษเขาเถอะครับ เพราะเขาทั้งนั้น ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

 

หนังรอบเย็นที่เราจองไว้จะฉายอีกครึ่งชั่วโมง เขนหายไปซื้อป็อบคอร์นสักพักแล้วครับ ผมเลยเดินดูอะไรเรื่อย ๆ อย่างที่เคยเล่าศูนย์การค้าสำหรับเราเหมือนที่ทำงานมากกว่าสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ดังนั้นเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีธุระจำเป็น เราสองคน จะไม่เลือกมาเดินศูนย์การค้าแน่นอน ยิ่งพนักงานเกือบครึ่งศูนย์รู้จักเราเสียด้วย

เราจึงมักดูหนังหรือเดินซื้อของใช้กันในช่วงเย็นมากกว่า เพื่อให้วันหยุดเราได้นอนพักผ่อนอยู่บ้านหรือไปเที่ยวตามต่างจังหวัดแทน

เดินมาได้สักพัก หายไปไหนของเขา ผมเริ่มรู้สึกมีอะไร ไม่ค่อยปกติ ใช่ครับผมจับความรู้สึกบางอย่างได้ ถ้าคนสองคนที่รู้ใจกัน และเหมือนจะส่งต่อความรู้สึกหรือสื่อสารกันได้ทางความคิด มันจะยากมากถ้าจะมีอะไรปิดบังกัน

ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย ผมได้แต่ส่ายหัวและยิ้มให้ตัวเอง บางทีก็อยากเซอร์ไพรส์บ้างเหมือนกันนะ แต่รู้ทันแล้วนี่นา

วันนี้ครบรอบหกเดือนสินะ

 

แต่การแกล้งไม่รู้บ้างก็ทำให้คนตั้งใจดีใจ หากแต่คุณรู้ไหม ยิ่งรู้ล่วงหน้าก่อนกลับยิ่งทำให้คนรับตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกัน

ผมเดินกลับมารอหน้าบันไดเลื่อนหน้าทางขึ้นโรงภาพยนตร์ และสะดุดตาร้านทำลูกกวาด ที่กำลังโชว์วิธีการทำอยู่ และมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังยืนดู น้ำตาลที่ถูกผสมสีเขียวและแดง ตกแต่งเป็นลวดลายตัวอักษรกับรูปหัวใจ และม้วนเป็นแท่งกลมก่อนที่จะยืดออกมาให้ได้ขนาด และตัดออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้คนทำถึงสามคนเลยทีเดียว ได้ข่าวว่าร้านนี้อร่อยเหมือนกัน น่าซื้อไปลองชิม แต่ตอนนี้ขี้เกียจถือไปดูหนังด้วย จึงได้แต่ยืนดูเพลิน ๆ

“รุ่ง.......จ๋า” เสียงเรียกจากด้านหลัง ผมได้กลิ่นที่คุ้นเคย ผมทายถูกแน่นอน ขอหุบยิ้มสักสามวินาที ก่อนหันไปนะครับ ผมบอกว่าผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้ผมต้องกลั้นน้ำตาอีกอย่าง

คุณทายได้แล้วสิ แล้วเบื่อไหม? อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมรับสิ่งนี้มาจะเกือบ ๆ ยี่สิบปีอยู่แล้ว ผมยังไม่เบื่อเลย

ไม่ต้องให้บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรในมือเขน ก็อย่างที่คิดนั่นแล่ะครับ อย่าสงสัยเลยว่าผมแกล้งตื้นตันหรือเปล่า... ‘ลิลลี่’ ทุกดอกที่ได้รับ มันมีค่าไม่ได้ต่างจากดอกแรกที่ได้รับหรอกครับ

‘ช่อลิลลี่สีขาว’ ถูกส่งมาให้

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ เขน” ผมรับมาขณะมือยังสั่น ๆ

“ไม่เซอร์ไพรส์ใช่ไหม เขนรู้” ใช่ครับถ้าผมรู้ เขาก็รู้แล่ะว่าผมรู้

“แต่ดีใจนะ ดีใจมาก ขอบคุณ” ผมยังกลั้นน้ำตาอยู่ เลยบอกออกไปได้แค่นั้น และเขาก็รู้แล่ะว่าผมรู้สึกอย่างไร จึงให้เวลาผมอยู่สักครู่

โชคดีที่คนกรุงเทพมักทำเป็นไม่ค่อยสนใจกันและกันอยู่แล้ว แต่ผมก็พบว่ามีหลายสายตารอบ ๆ ข้างลอบยิ้มอยู่ และสายตาใครบางคนที่คุ้นเคยที่มองมาอย่างสงสัย ก่อนที่จะพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป... คุณอาร์ท

ผมไม่ได้สนใจมากนัก เพราะไม่ได้คิดจะปิด

และเชื่อว่าคนกว่าครึ่งบริษัทน่าจะทราบความสัมพันธ์ของผมสองคนแล้ว

“แล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหละ เอาเข้าไปในโรงหนังไม่ได้แน่” ถ้าดอกสองดอก หรือช่อเล็ก ๆ ยังคงพอทนนะครับ แต่เล่นเหมามาทั้งร้านแบบนี้ ต้องเกรงใจคนอื่นบ้าง เกิดมีคนแพ้เกสรลิลลี่ขึ้นมาจะลำบาก

“ฝากร้านนี้ไว้ก่อน” คนให้บอกหน้าตาเฉย ก่อนที่จะดึงผมไปฝากดอกไม้ที่แคชเชียร์ และจัดการพูดคุยเสร็จสรรพ

“รบกวนฝากไว้ก่อนนะครับ ไม่เกินสี่ทุ่มจะมารับพร้อมลูกอม”

“ได้ค่ะ” ทำไมง่ายอย่างนั้นล่ะ แต่...อะไรนะ

“ลูกอม” ผมหันไปถามคนข้าง ๆ ที่หันมายิ้มให้และดึงช่อลิลลี่ออกจากมือไปฝากแคชเชียร์สาวสวยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“รับไปชิมก่อนไหมค่ะ” เขาหันกลับไปคุยกันโดยที่ไม่ตอบคำถามของผมอยู่นั่นเอง

“ครับ ขอบคุณครับ” ก่อนที่น้องแคชเชียร์จะยื่นถุงลูกกวาดเล็ก ๆ มาให้

“ไปรุ่งหนังจะฉายแล้ว” ผมยังไม่เข้าใจ แต่ถูกลากขึ้นบันไดเลื่อนมาจนกระทั่งมานั่งลงที่ที่นั่งในโรงหนัง ก่อนที่ถุงลูกอมจะถูกยื่นมาให้ โดยไม่พูดอะไร ผมจึงรับมาอย่างงงหนักเข้าไปอีก

“อะไรเหรอเขน” ใบหน้าขาวเริ่มแดงหากยังไม่ยอมตอบ เขาเขินอะไร ผมเริ่มรู้สึกผิดปกติ

‘ลูกอมมีอะไร’ จึงหยิบลูกอมขึ้นมาดู ก่อนที่ไฟในโรงจะดับไป

‘โอ้..........เขน’ เป็นการดูหนังที่ทรมานพอสมควร และกว่าจะรวบรวมสมาธิกลับมาดูได้ก็ผ่านไปกว่าครึ่งเรื่องทีเดียว ถึงตอนนี้หนังจบแล้ว แต่ผมคิดว่า

“มาดูใหม่อีกรอบไหม” ครับเขาเป็นคนพูด

“เหมือนกันน่ะสิ” เราดูไม่รู้เรื่องพอกันครับ เขายังคงอมยิ้ม ไม่ตอบอะไร หากสายตาระยิบนั่นบอกอะไรได้มากกว่านั้นมากมายนัก

“มารับดอกไม้กับลูกอมครับ”

“รอสักครู่นะคะ” น้องแคชเชียร์กำลังเริ่มเก็บของจะปิดร้านรีบวางมือ ก่อนที่จะส่งช่อดอกไม้มาให้เขน และถูกส่งต่อคืนให้ผมอีกครั้ง ศูนย์การค้าใกล้จะปิดแล้ว ดอกลิลลี่ช่อใหญ่จึงไม่สะดุดตามากเท่าเมื่อช่วงเย็น ก่อนที่ถุงใบใหญ่สองถุงจะถูกส่งให้เขน

“สองร้อยถุงนะคะ เรียบร้อยค่ะ”

“ขอบคุณครับ” เขนตอบและเดินนำผมที่กำลังอึ้งกลับมาที่รถ

“สองร้อยถุง” ผมถามขณะที่เขาก้มวางลูกอมสองถุงใหญ่ที่เบาะหลัง

“ก็เก็บได้หรอกรุ่ง”

“เขน.............”

“ก็เขาให้สั่งขั้นต่ำ 4 กิโล” ผมจะร้องไห้ ลูกอม 4 กิโล

“น่านะ....รุ่งนะ แจกเพื่อน ๆ แจกแฟนคลับบ้างก็ได้”

“........................................”

ผมยังคงพูดไม่ออก อยากบอกว่าถ้าคุณเห็นลูกอมพวกนั้นแล้วคุณจะรู้ว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าตอนนี้สงสัยกันไปก่อนนะครับ ผมขอทำใจนิดนึง แล้วจะมาเฉลยนะครับ





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: THAT'S ALL IS YOU 09.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-03-2018 10:45:41
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: ONLY YOU 11.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-03-2018 09:45:51
Chapter XVII: Only You

 

“ส่งแค่นี้ก็พอเขน กลับไปนอนต่อเถอะนะ เดี๋ยวรุ่งเดินเข้าไปเอง” คุณคิดว่าผมจะยอมเหรอครับ จึงได้แต่ส่งยิ้ม และเปิดรถลงไปเอารถเข็นสนามบินมาให้ และแย่งกระเป๋าเป้ขนาดย่อมกับโน้ตบุ๊กจากรุ่งมาวางไว้ จึงมีรอยยิ้มกว้างล้อเลียนกลับมา

“แค่นี้เองไม่ต้อง ใช้รถก็ได้มั้ง”

“เผื่อแวะทานอะไรก่อนจะได้ไม่ต้องแบกไว้ตลอดนะ”

“ปีนี้จะส่งชิงรางวัลสุดยอดแฟนยอดเยี่ยมแห่งปีนะ” คนพูดกลั้นขำไปด้วย

“ไม่อะ ไม่ชอบแข่งกับใคร เขนขอแค่เป็นคนเดียวในหัวใจรุ่งก็พอ”

“ฮึก...น้ำตาลขึ้น ไปแล้ว เดี๋ยวถึงที่โน่นแล้วจะโทรหา ไปนะ”

“บาย ครับ” ผมยังคงยืนมองรุ่ง ขณะเดินเข้าไปในตัวท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิครับ รุ่งไป Training ที่สิงคโปร์หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์เชียวที่ต้องอยู่คนเดียว แอบใจหายเล็ก ๆ ทีเดียว หากขณะยืนใจลอยเหม่อมองอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าคนที่กำลังเดินทางรู้ตัวว่ามีคนเฝ้ามอง จึงหันกลับมายิ้ม และโบกมือให้อย่างร่าเริง ผมแน่ใจผมเคยบอกพวกคุณหลายต่อหลายหน ผมยอม ยอมทุกทางจริง ๆ ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาคนเดียว ของเขาเพียง... คนเดียว

 

วันนี้เป็นเช้าวันที่สามที่สิงคโปร์แล้วครับ ก่อนนี้การอยู่ต่างที่ ต่างเมือง หรือต่างประเทศไม่ค่อยแตกต่างในความรู้สึกนักสำหรับผม

แต่... ไม่ใช่ตอนนี้เลย

ยังไม่หกโมงเลย เมืองไทยคงตีสี่กว่า ๆ วันนี้ต้องไปห้องสัมมนาตอนเก้าโมงเช้า ยังคงนอนต่อได้อีกหน่อย ก่อนลงไปทานอาหารเช้า แต่ข่มตานอนไม่ลงแล้วครับ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ความคิดถึงมันจะกัดกร่อนความรู้สึกได้มากมายขนาดนี้

ทั้งที่เราเคยพรากจาก เคยห่างกันเกินกว่าสิบปี ทำไมเพียงหกเดือนที่กลับมาอยู่ด้วยกัน กลับทำให้การห่างกันอีกครั้งมันทรมานได้มากนักก็ไม่รู้ หากทำได้เพียงแค่ทอดถอนหายใจ ในเมื่อนอนไม่หลับจึงตัดใจผละออกจากเตียง และเดินออกจากห้องนอนไปที่ห้องรับแขก เพื่อเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม

เมื่อปีที่แล้วที่มากับพี่บลู ก็ได้นอนเพียงห้องเดี่ยวที่เป็นเตียงคู่ก็หรูแล้วหละครับ ก็เงินบริษัท หากเมื่อมากับเจ้านาย ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายเมื่อเดินทางมากับคุณอาร์ท เลยได้อานิสงส์ห้องพักที่อัพเกรดขึ้น ห้องที่พักที่นี่เป็นห้อง 2 Bedroom ก็เลยยิ่งเหงากว่าเดิม แม้เคยคุย เคยคุ้นเคย เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้สนิทมากมายนัก แถมมีบางเรื่องที่ทำให้ไม่อยากสนิทกับแกมากสักเท่าไหร่ด้วย

“ตื่นเช้านะรุ่ง” ประตูห้องนอนใหญ่เปิดก่อนที่เจ้าของเสียงที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำจะเดินออกมา

“ครับ ดื่มน้ำไหมครับ” ผมรีบรินน้ำใส่อีกแก้วแล้วส่งให้ คุณอาร์ทรับแล้วจึงทรุดตัวนั่งที่บาร์เล็ก ๆ และดื่มน้ำในแก้ว

“ผมทำให้ตื่นหรือเปล่า” มันคงมีเสียงก็อกแก็กบ้างละนะ ว่าพยายามเงียบที่สุดแล้วเชียว

“เปล่าหรอกผมว่าจะไปว่ายน้ำตอนเช้าหน่อย ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ละครับผมว่าจะนอนต่ออีกหน่อย” โกหกคำโตเลยล่ะนั่น

“อีกอย่างผมไม่ได้เตรียมกางเกงว่ายน้ำมาด้วย คุณอาร์ทตามสบายเถอะครับ”

“อืม งั้นไปก่อน เดี๋ยวขึ้นมาแปดโมงลงไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“ครับ”

คนที่ออกกำลังกาย ดูแลตัวเองดีจนทำให้ดูเผิน ๆ คุณอาร์ทอายุไม่น่าจะเกิน 35 คนมีอันจะกิน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน ของบำรุง ยิ่งอดีตคาสิโนว่าหนุ่มเจ้าสำอางคนเดิมที่โด่งดังที่อังกฤษด้วย การันตรีความเนี๊ยบของเธอได้จริง ๆ

นี่ถ้าวันนั้นบอกว่าเธอจะกลับมาทำงานเป็นจริงเป็นจังอย่างทุกวันนี้ ผมก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน ก็ไม่คิดว่าโลกจะกลมทำให้กลับมาพบกันอีกครั้ง แถมต้องทำงานด้วยกันอีกด้วย เพราะผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เคยสบประมาทเธอไว้เหมือนกัน

ไม่น่าเลยจริง ๆ ทำได้แต่ส่ายหน้าให้กลับตัวเอง ดีที่เธอไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องอดีต

เมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องจึงเห็นหน้าจอไอโฟนที่สว่างขึ้น และเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้า ทุก ๆ เรื่องที่เคยคิดรก ๆ อยู่ในสมองก็หยุดลงทันที ก่อนที่จะกดรับโทรศัพท์และทรุดตัวเอนหลังที่โซฟา

 

“คิดถึงรุ่ง”

“คิดถึงเขนเหมือนกัน”

“เขนบอกก่อน ก็ต้องคิดถึงมากกว่า” มันเป็นทฤษฎีใหม่ที่ผมพึ่งเคยได้ยินครั้งแรก

“รุ่งยอม”

“ยอมง่ายจัง” ก็ยอมคนเขาคนเดียวแหละ อย่าบอกเขานะครับ ผมเลยชวนเปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า

“ทำไมเขนตื่นเร็วจัง ยังเช้าอยู่เลย”

“เบื่อเหมียว”

“ตื่นเช้าแล้วเกี่ยวอะไรกับเหมียวหละ”

“ก็เหมียวมันไม่ยอมนอนกับเขน เหมือนนอนกับรุ่งนี่นา มันหนีไปนอนที่โซฟาโน่น”

“มันกลัวเขนดิ้นไปทับมัน แบนทั้งแม่ทั้งลูกหนะสิ” คุณแม่เหมียวคงห่วงความปลอดภัยของลูกในท้องเป็นแน่แท้

“ใครบอกเขนออกจะนอนเรียบร้อย”

“เหรอ เขนเหรอ”

“ก็คนนอนด้วยไม่อยู่นี่นา” นั่นไงเถียงไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องทันทีเหมือนกัน

“เดี๋ยวอีกสองวันก็กลับแล้ว”

“อ้าวไหน ว่าจะอยู่เดินเที่ยวเล่นต่อไง”

“คราวที่แล้วที่มากับพี่บลูเดินซะปรุแล้ว สิงคโปร์เกาะนิดเดียว”

“แล้วก็..........”

“แล้ว... อะไร”

“คิดถึงคนที่บ้านหนะ”

“...........................”

“เขิน หละสิ ” รุ่งอัพเลเวลแล้วล่ะครับ ไม่มีทางที่ผมจะเขินคนเดียวตลอดไป

“............................”

“เขน.....หายไปไหน ฟังอยู่หรือเปล่า”

“ฟังอยู่ กำลังหาพาสสปอร์ต”

“หืม... เอามาทำอะไร”

“จะไปสิงคโปร์” เสียงเปิดตู้ เปิดลิ้นชัก หาของทำให้ผมเริ่มตกใจจริง ๆ

“ใจเย็น ๆ ก่อนเขน เดี๋ยวอีกสองวัน รุ่งก็กลับแล้ว คืนเดียวเอง”

“ไม่อะ”เสียงคุ้ยหาเอกสารยังดังต่อเนื่อง งานเข้าแล้วสิครับ

“เขน... นะนะ ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวรุ่งโทรไปเลื่อนไฟลท์ กลับเย็นพรุ่งนี่นะ เรียนเสร็จจะรีบกลับเลย นะเขนนะ”

“ก็เขนคิดถึง”

“ครับ อีกแป๊บเดียว อึดใจเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“........................................”

“ไม่เห็นมาเลย”

“อะไรอ่ะเขน” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร

“หมดอึดใจเดียวแล้ว”

บทคนที่เคยแต่คอยตามใจคนอื่น ถึงเวลาจะเอาแต่ใจตัวเอง ลองดูสิครับ ไม่เห็นมุมนี้ของเขามานาน จนผมอดหัวเราะไม่ได้

“หัวเราะอะไรอ่ะ”

“นี่เขนพูดจริง ๆ นะ”

“ครับ เลิกหัวเราะแล้ว เชื่อแล้ว รอนิดนะเขนนะ เดี๋ยวรุ่งกลับแล้ว เดี๋ยวได้ไฟลท์แล้วจะโทรบอกให้มารับนะ”

“ไปไม่ได้เหรอ”

“อย่าดื้อนะครับคนดี รอนะ” การปราบมาเฟียเอาแต่ใจ ก็ต้องใช้ลูกอ้อน มันเป็นวิธีที่ไม่เคยพลาด

“เดี๋ยวรุ่งก็กลับแล้วนะ อยากได้ของฝากอะไรไหม”

“อยากได้...รุ่ง”

“หืม...”

“.................................”

“เขน”

“งอน”

“โอ๋ โอ๋ จะรีบกลับนะครับ”

“ไม่รู้ล่ะ”

“จะรีบกลับไปง้อนะครับ”

“...............”

“รอนะครับ”

“................”

“...รักนะครับ” ผมกลั้นใจพูดไป ทั้งที่หัวใจตัวเองสั่นไหว เกินการควบคุมแล้วเหมือนกัน

“รุ่ง.........”

“เดี๋ยวต้องไปเรียนแล้ว แค่นี้ก่อนนะเขน” จึงต้องรีบตัดบทเพื่อรักษาระดับการเต้นของหัวใจตัวเองด้วย

“รักรุ่งค่ะ”

“รักรุ่งคนเดียวนะคะ”

“...................บายครับ”

แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปหากคนฟังยังคงยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า ตลอดเวลาที่ไปอาบน้ำ และทานอาหารเช้า ผมคิดว่าคุณอาร์ททำหน้าเหมือนจะไม่แน่ใจว่าผมมีสติมากน้อยแค่ไหน แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อหัวใจยังทำงานไม่ปกติและมันหุบยิ้มไม่ได้จริง ๆ นะครับ

 

ผมทรมานเจ้านายแท้ ๆ ก็ไฟลท์ที่บินกลับเย็นวันศุกร์มันแน่นมากครับ เหลือเพียงสายการบิน Low Cost ที่ยังมีที่นั่งว่าง ผมก็บอกให้คุณอาร์ทกลับตามกำหนดแล้วนะครับ แต่เธอไม่ฟังเอง อยากกลับพร้อมกันให้ได้

จากที่นั่ง First Class สายการบินระดับประเทศ ต้องมานั่ง Business Class สายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเครื่องบินขนาดเล็กที่จะโคลงเคลงกว่า สั่นไหวกว่า ปราดเปรียวกว่า และทำเวลามากกว่า ขึ้นเร็วลงเร็วนั่นแหละครับ ทำเอาเจ้านายหน้าซีด เพราะเมาเครื่องกันเลยทีเดียว

ด้วยความรีบ เพราะออกจากห้องเรียนก็ตรงมาที่แอร์พอร์ตเลย จึงไม่ได้เตรียมซื้อลูกอม หรือของขบเคี้ยวไว้เผื่อ แต่เมื่อลงจากเครื่องได้แกก็ดูอาการจะดีขึ้นตามลำดับพอที่จะทิ้งไว้คนเดียวได้

“คุณอาร์ทนั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะครับเดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าให้” เพราะอาการเมาเครื่องที่ยังคงหลงเหลือแกจึงยอมทรุดตัวนั่งโดยดี

ผมจึงมุ่งตรงไปที่สายพานรับกระเป๋าที่ลงมาจากเครื่อง แล้วนึกได้ว่าต้องไปเอารถเข็นก่อน มีคนบริการจนเคยตัวก็จะมีอาการคล้ายแบบนี้แล่ะครับ หากเดินหันหลังได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกหยุดด้วยอ้อมกอดจากด้านหลัง

“เขน”

“รู้ได้ยังไง” ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ผมก็รีบแกะมือออก ก็นี่มันกลางสนามบินนะครับ ก่อนหันกลับไปหาคนมารับ

“ถ้าไม่รู้สิถึงจะแปลก”

“แล้วเข้ามาได้ยังไง” คนตอบชูบัตร all pass area สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างบริษัทอะไรสักอย่าง

“ไม่ยากหรอกครับ”

“ขี้โกงจริง ๆ มาซ่อมรันเวย์เหรอ” คนตัวโตยื่นมือมาบีบจมูก

“มารับคนรักต่างหาก” คำตอบที่ได้รับ ก่อนที่เราจะไปที่สายพานด้วยกันเมื่อเสียงออดให้ไปรับกระเป๋าดังขึ้น และก็พบว่าผู้ชายของผมเขามาพร้อมกับรถเข็นสัมภาระสนามบินอยู่แล้ว นี่ไงที่ทำให้ผมเคยชิน ก็มีคนบริการตลอด

เราจึงเดินกลับไปที่สายพานเพื่อรับกระเป๋ากัน จนเกือบลืม

“เอ่อ ต้องเอาใบนั้นไปด้วย” ก่อนผมจะหยิบกระเป๋าเดินทางของคุณอาร์ทมา

“นายกลับมาด้วย เกือบลืม” ผมยิ้มเก้อ ๆ ลืมจริง ๆ ครับ พอเขนมารับก็เกือบลืมคนที่เดินทางมาด้วยกันเสียสนิท

“ไหนอะ”

“แกเมาเครื่องนั่งอยู่ตรงโน้น เขนมีลูกอมอะไรไหม ได้ของหวานสักหน่อยน่าจะดีขึ้น”

“อืมมีติดมานิดหน่อย”

“ดีเลย” ผมจึงเดินนำรถเข็นสัมภาระตรงไปยังที่ที่คุณอาร์ทยังคงนั่งอยู่ แกลืมตาแล้ว และดูเหมือนว่าจะสายตาจะจับจ้องที่เราทั้งคู่มาสักระยะ ผมจึงรีบกระซิบคนข้าง ๆ

“ถ้าลืมนะ ได้หางานใหม่แน่ ๆ” เขนจึงหัวเราะร่า จนผมอดไม่ได้ที่จะหยิกให้คนข้าง ๆ ให้หยุดหัวเราะเมื่อเราเดินมาถึง

“คุณอาร์ทดีขึ้นหรือยังครับ” แกพยักหน้าเบา

“เอ่อ...นี่เขนครับ Engineer ที่บริษัทคุณอาร์ทคงเคยพบ” เขนไหว้ก่อนที่คุณอาร์ทจะพยักหน้าอีกครั้ง

“เขน ไหนละลูกอม” ผมจึงหันมาทวงของจากคนข้าง ๆ แต่พอเห็นถุงฟอย์ดสีเงินเท่านั้นผมก็ทำตาโต เขนทำหน้าประมาณก็มีแต่อันนี้ ผมจึงได้แต่ถอนใจ และส่งให้คุณอาร์ทแบบเสียไม่ได้ พร้อมกับภาวนาแกอย่าอ่านตัวอักษรในลูกอมเลยนะ

คุณอาร์ทแกะห่อ และหยิบลูกอมชิ้นเล็กออกมา ผมจึงรีบพูดเพื่อดึงความสนใจจากลูกคมลายเขียวแดงนั่น

“รีบทานเถอะครับมันเปรี้ยว ๆ อมหวาน ทานแล้วน่าจะดีขึ้น”

หากแต่ไม่ทันซะแล้ว แกมองตัวอักษรในลูกอมจริง ๆ ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าตัวอักษรในลูกอมนั่นคืออะไร อะถ้ายังไม่ทราบผมจะเฉลยให้ลูกอมสี่กิโล กว่าสองร้อยถุงนั่น เขียนตัวอักษร R สีแดง รูปหัวใจสีชมพู และตัวอักษร K สีเขียวไว้ ทำเอาผมปั้นหน้าไม่ถูก ก่อนที่คุณอาร์ทจะเอ่ย

“ของส่วนตัวหรือเปล่า ผมไม่เป็นอะไรมาก ยังไม่ต้องทานก็ได้ เกรงใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรีบตอบ และคนข้างรีบช่วยพูดให้ดีขึ้น

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ มีเยอะ แจกไปครึ่งบริษัทแล้วยังไม่หมดเลย” เอ่อ...แต่พูดอย่างนั้นมันดีขึ้นจริง ๆ เหรอเขน หากทำให้คุณอาร์ทยอมทานจริง ๆ

เมื่อเราจะเดินออกมาข้างนอก ผมจึงถือโอกาสขอตัวไปซื้อน้ำ มาชดใช้ความผิดในใจที่เกือบลืมเจ้านายไป หากเมื่อเดินกลับมาก็พบว่าบรรยากาศบางอย่างมันดูแปลกไประหว่างผู้ชายสองคน

“รุ่ง เดี๋ยวผมแยกตรงนี้คนขับรถมารับแล้ว”

“ครับ แล้วพบกันวันจันทร์ครับ” แกพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป

 

“มีอะไรเหรอเขน” ดูเขนขับรถนิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไร

“เปล่าหรอก” เขาหันกลับมาพยายามยิ้ม หากผมรู้ว่ามีอะไรแปลก ๆ ไป หากถ้าเขายังไม่พร้อมจะเล่าผมก็ไม่อยากคาดคั้น ผมจึงซบลงตรงไหล่ข้างคนขับ

“คิดถึงจังเลย”

“ครับ” รอยยิ้มคนข้างจึงกลับมาสดใสอีกครั้ง

“ไม่รู้เหมียวจะคิดถึงรุ่งไหมนะ”

“ที่คิดถึงนี่คือเหมียวเหรอ”

“โอ๋ โอ๋ ง้อแล้วนะ ไม่แกล้งแล้วนะ คิดถึงทั้งเหมียวทั้งเจ้าของเหมียวเลย”

“แล้วใครมากกว่า”

“ถ้าถามว่ามากกว่า ก็ต้อง... เหมียวมากกว่า เป็นห่วงมากกว่า เหมียวกำลังมีน้องนะ แต่ถ้ารัก และคิดถึงก็มีคนเดียวที่มากกว่าทุก ๆ คนอยู่แล้ว”

“ใครน้า”

“อืม........ก็ต้อง”

“หม่าม๊าไง ไปกินข้าวบ้านม๊าดีกว่า ขอกลับไปนอนที่บ้านสักคืนนะเขน”

“แล้วเขนล่ะ”

“ก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย หรืออยากกลับไปนอนที่วังคนเดียว”

“ไม่มีทาง" ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้คำตอบของคนชัดเจน ในเมื่อคนตอบมั่นใจขนาดนั้น ผมจึงเงยหน้าเอาคางเกยไหล่ของเขาก่อนที่จะพูด

“แต่ถ้ารักแบบคนรัก รุ่งมีแค่เขนคนเดียวนะ”

“รักนะครับ” ก่อนที่จะกดจมูกลงที่ปลายคางสาก และรีบหนีถอยมาที่นั่ง เพราะรู้ว่ารถยังคงเล่นเร็วบนทางด่วนทำให้คนขับไม่สามารถเอาคืนได้ในตอนนี้

“เขิน หละสิ”

“รุ่งพูดก่อน รุ่งชนะ”

“เขนยอมก็ได้”

“ยอมง่ายจัง”

“แต่เขนยอมรุ่งคนเดียวนะ” นั่นไงแม่มือสองมือจะไม่ว่าง สมาธิต้องใช้ในการขับรถหากคำพูดที่จริงใจชัดเจนของเขาก็ทำให้ดวงใจของคนฟังสั่นไหวได้ คำพูดที่ผมเคยคิดแต่ไม่เคยกล้าที่จะบอก ‘ผมก็ยอมเขาคนเดียวเหมือนกัน’

จึงได้แต่เอนหัวไปซบไหล่คนขับเหมือนเดิม ก่อนที่จะได้ฟังคำซ้ำ ๆ คำเดิม ๆ ที่ไม่เคยเบื่อ

“เขนรักรุ่งนะครับ รักรุ่งคนเดียว”



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: TAKE CARE 11.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-03-2018 09:54:19
Chapter XVIII: Take Care

 

“พี่ไม่ไปจริง ๆ เหรอ”

“ไม่ล่ะช่วงนี้ไม่ค่อยอยากไปไหน เป็นห่วงเหมียวท้องมันโตเหมือนจะใกล้คลอด”

“เตะบอลแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวผมลองชวนพี่รุ่งก็ได้” นั่นไงเจ้าเด็กแสบนี่มันรู้ว่า ถ้ารุ่งยอมไปผมมีหรือที่จะกล้าปฏิเสธ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า ขณะที่เฟรมเปิดหนังสือเพลงยังเกากีตาร์ต่อไป

จะสามทุ่มแล้วครับ ผมมานั่งรอรุ่งประชุมอยู่กับเจ้าเฟรมได้สักพัก หากยังไม่วี่แววว่าห้องประชุมจะเปิดออกมา

“คงดึกมั้งพี่ ไปหาอะไรกินก่อนไหม” เหมือนเป็นห่วงใช่ไหมครับ หากประโยคต่อไป

“ผมหิว” ทำให้รู้ว่าเฟรมน่าจะแคร์กระเพาะตัวเองมากกว่า หากเพราะเป็นน้องผมจึง

“เดี๋ยวพี่บอกพี่รุ่งก่อน” ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะส่งข้อความ หากประตูที่เปิดขึ้นทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นมอง คนสองคนที่เดินคุยกันออกมาจากห้องประชุม แล้วผู้ชายคนนั้นก็เหลือบมองผมก่อนที่จะพูดขึ้นมา

“รุ่งอย่าลืม เรื่องที่รับปาก ผมไว้นะ”

“ครับ คุณอาร์ทเย็นวันพุธหน้านะครับ ผมไม่ลืมหรอกครับ”

“โอเค งั้นผมรอรุ่งนะ”

“ครับผม แล้วพบกันครับ” รุ่งพูดและยิ้มตอบในขณะที่เขาเดินจากไป

ผมอิจฉารอยยิ้มนั่น แม้ผมจะรู้ว่ามันไม่มีทางที่รุ่งจะยิ้มให้ผมได้เพียงคนเดียว ผมก็ไม่เคยหึง และหวงมากถึงขนาดนี้

หากเมื่อรู้ว่า...

“เขน รอนานไหม หิวหรือยัง”

“ครับ” ทุกอย่างหยุด เพราะสายตา และรอยยิ้มของคน ๆ เดิม ที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้านเช่นเดิม หากกลับรักเปี่ยมล้นเท่าทวีมากกว่าเดิม มือที่เอื้อมมาหยิกที่แก้มเบา ๆ ทำให้สติคืนมาอีกครั้ง

“เหม่ออะไร... ไปกินข้าวกันเนอะ ได้รีบกลับไปหาเหมียว” ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบ

“มีผมอยู่ตรงนี้อีกคนนะพี่” ไอ้เด็กแสบมันโวยวาย

“ไปสิ ไปกินข้าวด้วยกันไป” เมื่อรุ่งตอบ มันก็เข้าไปประจ๋อประแจ๋กับรุ่งตามเดิม

แต่ทำไม... ความรู้สึกอึดอัดมันต่างกันมากมายระหว่างผู้ชายสองคน

 

เขาแปลกไปทำไมผมจะไม่รู้ เขามีอะไรในใจแน่ ๆ และสิ่งนั้นน่าจะเกี่ยวกับผม หากมันคืออะไร

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่เราคบกันครั้งแรก เขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้ ไม่ซับซ้อนมากถึงขนาดนี้ คุณอาจจะคิดว่าเรารักกันมานานนั้นก็ใช่ หากเป็นเวลาเพียงเจ็ดแปดเดือนที่เรากลับมาอยู่ด้วยกันจริง ๆ จึงมีเรื่องที่ต้องเรากลับมาทำความรู้จัก และเรียนรู้กันอย่างมากมาย แต่ด้วยความรักที่ผูกเราทั้งสองคนไว้ และความเป็นเพื่อนที่เคยรู้จักกันมานาน แม้จะเป็นผมคนเดียวที่จำได้ แต่ก็ทำให้อะไร ๆ หลายอย่างไม่ยากเย็นเหมือนกับคู่อื่น ๆ มากนัก

เพราะไม่ว่าอย่างไรพื้นฐานอารมณ์ของเขาก็ยังคงเดิม มุ่งมั่น ตั้งใจ ซื่อสัตย์ เช่นเดิม ที่สำคัญเขาแคร์ ใส่ใจดูแล และทะนุถนอมผมมากกว่าที่เคยมากนัก เหมือนดังผมเป็นแก้วบาง ๆ ที่จะเปราะหักได้ง่าย ๆ ก็ไม่ปาน

หากวันเวลาก็ทำให้เขานุ่มลึก และใจร้อนน้อยลงกว่าเดิมมาก จึงทำให้มีมุมใหม่ ๆ ที่ทำให้ผมต้องเดาว่าเขากำลังเป็นอะไรอยู่

พ่อเหมียวตัวใหญ่ไม่มานั่งที่ฝ่ายตั้งแต่ผมกลับมาจากสิงคโปร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะแคร์ใคร ดูจะวางตัวแปลก ๆ ดูเกร็ง ๆ ห่าง ๆ และตอแยผมน้อยลงกว่าที่เคยจะเป็นมาก มีแต่เพียงในตาคู่เดิมที่ยังฉายชัดความรักความหวังดีที่มีเช่นเดิม

หากอะไรข้างในแววตาที่เคยสดใส หม่นหมองลงกว่าเดิม

บ่ายแก่ ๆ ในวันเสาร์ วันพักผ่อนสบาย ๆ เขนยังคงนั่งที่ตั่งไม้ตัวใหญ่ ในมือแม้ถือหนังสือหากมองเหม่อออกไปนอกเฉลียง และถอนหายใจเป็นระยะ ขนาดผมแอบยืนมองเขาอยู่ตั้งนานเขายังไม่รู้ตัว

‘เป็นอะไร’

 “เขน ทำอะไรอยู่” ใช่ครับผมไม่สามารถถามคำถามที่ต้องการถามได้ตรง ๆ ตะล่อม ๆ ก่อนก็แล้วกัน ผมถามขณะที่เดินเข้าไป และทิ้งตัวลงในอ้อมเกิดนั้นอย่างเรียกร้องความสนใจ เขาจึงชูหนังสือในมือให้ดูก่อนตอบ

“อ่านหนังสือเพลิน ๆ น่ะรุ่ง ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”

“ไม่อะ แต่ไม่อยากทำแล้ว หิว” ใช่ครับก่อนหน้านี้ผมนั่งแอบดูแปลนของศูนย์ใหม่ที่ที่ปรึกษาจากต่างประเทศส่งมาให้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนรักหายไป

“จริงสิ บ่ายแล้ว ยังไม่ได้กินกลางวันใช่ไหม หิวมากหรือเปล่า เขนขอโทษ”   ดูสิครับ เมื่อคนตัวใหญ่เริ่มกระวนกระวายเขาก็ดูเด็กน้อยขึ้นมาทันที

“หิว หิวมาเลย กินช้างได้ทั้งตัวแล้ว เขน” ผมจึงสำทับให้เด็กน้อยร้อนรนยิ่งขึ้น

“ปะ ไปหาอะไรกินที่ร้านข้างล่างกัน” คนตัวโตจึงทำท่าจะลุกขึ้นไปหาอะไรให้ผมทาน ผมจึงทิ้งน้ำหนักรั้งเขาไว้ก่อนที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป

“รุ่ง เบื่ออาหารร้านข้างล่างแล้ว”

“แล้วอยากทานอะไรครับ”

“อยากกินไข่ตุ๋น นะเขน ทำให้กินหน่อยสิ นะนะ” คุณเชื่อไหมว่าผมรู้ว่าผมจะได้กินก่อนเอ่ยปากขอด้วยซ้ำ แต่จริง ๆ แล้วผมก็แค่อยากให้เราได้ทำอะไรร่วมกันมากกว่าที่จะออกไปพบความวุ่นวายภายนอก

ใช่แล้วครับ ลงล็อก ตามแผนตามล่าสืบหาความจริง

ผมจึงมานั่งเท้าแขนมองชายหนุ่มในผ้าชุดผ้ากันเปื้อนยืนตีไข่อยู่หน้าเค้านท์เตอร์ครัว ในขณะที่เขาดูเขิน ๆ ที่ผมจ้องเอา ๆ

“ไม่ค่อยมีของสดในตู้เย็นเลย รุ่งอยากกินอะไรอีกไหม มีอาหารแช่แข็งอยู่”

“รุ่งไปเลือกก่อนก็ได้ เดี๋ยวเขนเวฟให้”

“ไม่อ่ะ รุ่งกินไข่ตุ๋นก็พอ” ผมตอบก่อนที่จะเลิกแกล้งจ้องให้คนเขินและเดินไปผ่านเค้านท์เตอร์ไปตักข้าวสวยมาเตรียมไว้สองจาน ในขณะที่เขนเอาไข่เข้าเวฟ ก่อนที่ยกไข่ตุ่นตามมาที่โต๊ะอาหาร

“เอาอะไรอีกไหม” เขาถามขณะที่ยืนอยู่ ยังดูเกร็ง ๆ

“ตอนนี้เหรอ... อยากได้คนกินข้าวด้วยหละมั้ง” ผมตอบพร้อมช่วยเขาแกะผ้ากันเปื้อนออก และฉุดมือเจ้าตัวใหญ่ลงนั่งกินไข่ตุ๋นชามโตด้วยกัน

“อร่อยไหมครับ” เจ้าตัวยังคงไม่ยอมทาน หากถามลุ้น ๆ เมื่อผมเริ่มทานคำแรก

“อืม... เหมือนขาดอะไรสักอย่าง” ผมตอบขณะเคี้ยวไปด้วย

“ขาดเค็มหรือเปล่า... เดี๋ยวเขนไปเอาซอสมาเติมให้” หน้าตาพ่อครัวดูตระหนก และทำท่าจะรีบลุกไปที่ครัว ผมจึงรีบรั้งมือเขาไว้ ก่อนจะพูดต่อ

“เปล่า... ขาดคนแย่งกินกับคนป้อนหรอกเขน” เขาจึงหันกลับมายิ้มกริ่มเต็มตา เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์

ในที่สุดก็เป็นไปตามแผน อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับคุณพ่อครัว....

ผมขอเล่าข้ามเหตุการณ์หลังจากนั้น หากบอกได้แค่ว่าความจริงไข่ตุ๋นชามนั้น รสชาติมันออกจะหวาน ๆ ไปมากกว่าปกตินิดหน่อย นิดเดียวเองครับ ไม่เชื่อคุณลองให้คนรักทำให้ทาน และผลัดกันป้อนสิครับ...

 

หลังจากที่แกล้งแหย่กัน ขณะล้างจาน เก็บครัว และถูพื้น หากยังไม่ทันได้ถามคำถามที่เตรียมไว้ตามแผน เราก็มีเรื่องยุ่ง ๆ กะทันหันในช่วงเย็นเมื่อเหมียวมาร้องให้ตามมันไปที่ตะกร้าที่นอนของมันในห้องหนังสือ

ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผู้ชายสองคน นั่งมุงเป็นแรงใจให้แม่เหมียวคลอดลูก คุณอาจไม่เชื่อ ผมยังไม่เชื่อตัวเอง หากลองดูก็ได้ครับ เมื่อสัตว์เลี้ยงที่เรารักแล้วเขาไว้ใจเรามาก ๆ ในยามที่เขาเจ็บหรือต้องการกำลังใจเขาจะมาตามเราไปเฝ้าเขา

ผมสองคนกับประสบการณ์การทำคลอดเป็นครั้งแรก ที่ได้แต่นั่งลุ้น และลูบหัวเหมียวเป็นกำลังใจระหว่างที่มันดูปวดท้องกระสับกระส่ายเป็นระยะ ก่อนที่ลูกแมวในถุงรกจะค่อย ๆ ออกมา และแม่เหมียวก็ค่อย ๆ ทำความสะอาดทีละตัว ๆ ก่อนที่ลูกแมวสีสันต่างกันทั้งสามตัวจะมานอนไซร้กินนมแม่เหมียวที่มีแรงขึ้นมาเล็กน้อย จากอาหารที่เขนเอามาให้หลังจากที่เหนื่อยอ่อนจากการคลอดลูกมากว่าชั่วโมง

หากไม่รู้ว่าผดุงครรภ์จำเป็นอย่างตัวผมเองก็ลุ้นจนเหงื่อตกด้วย จนกระทั่งแก้วน้ำถูกส่งมาให้ และได้ดื่มด่ำกับความเย็นฉ่ำชื่นใจจากน้ำภายในแก้ว แล้วจึงทราบว่าตัวเองก็ร้อน และอ่อนเพลียมากเพียงไรที่นั่งช่วยลุ้นอยู่ที่ห้องหนังสือ แต่อาการอ่อนเพลียที่ว่าก็ลดไปกว่าครึ่ง เมื่อมีมือที่ยื่นมาเช็ดเหงื่อออกให้จากไรผม และหน้าผาก หากเจ้าของแววตาที่เคยสดใสเมื่อบ่ายกลับหม่นหมองลงยิ่งกว่าเดิม

“เหนื่อยไหมครับ”

“นิดหน่อยหนะเขน” คนถามเงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ก่อนที่จะเอ่ยประโยคแปลก ๆ ถัดมา

“รุ่ง...อยู่กับเขนแล้วลำบากหรือเปล่า” คำถามสะดุดหู บ่งบอกความผิดปกติทางใจของคนถามชัดแจ้ง

“ให้เหมียวพักเถอะ เราไปคุยกันดีกว่า” ผมพูดก่อนลุกขึ้นลากคนที่กำลังคิดมาก ออกมาจากมุมตะกร้าที่นอนของเหมียว และลูก ๆ ไปนั่งที่เฉลียงที่ยื่นออกไปนอกห้องเพื่อรับลม และคงถึงเวลาหาคำตอบกันจริงจังสักที

“เขน... เกิดอะไรขึ้น ทำไมถามแบบนี้”

“เปล่า... เขนแค่ คิดว่ารุ่งอาจจะลำบากถ้ายังอยู่กับเขน”

“แล้วยังไงอีก” ผมถามต่อ

“แล้ว...รุ่งอาจจะสบายกว่านี้ถ้าเลือกคนอื่น”

“เขนหมายถึงใคร”

“เปล่า เขนแค่คิดเล่น ๆ” ผมรู้ว่าไม่จริง

คำถามที่คนของผมพูดมาเหมือนเขามีบาดแผลในใจที่ต้องมีใครบางคนกรีดหรือสะกิดอะไรมาให้คิด หากไม่มีประโยชน์ที่จะมาซักไซ้หาต้นตอกันตอนนี้ เพราะสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนกว่าคือต้องเยียวยาให้บาดแผลของคนรักที่กำลังทรุดหนักกลับมาดีให้ได้เสียก่อน

“เขน เขนฟังรุ่งนะ รุ่งก็เหมือนเหมียว”

“เขนสงสัยไหมทำไม เหมียวถึงวางใจให้เรามาอยู่กับมันตอนที่มันเจ็บ ตอนที่มันลำบาก เพราะว่ามันรัก และไว้ใจเราสองคน”

“รุ่งก็เหมือนกันรู้ไหม รุ่งไม่เคยคิดหรอกว่าจะสบายหรือลำบากอะไร เพราะชีวิตคนเราต่อให้จะมีหรือจะจนมากแค่ไหน ก็ต้องมีทั้งสุขทั้งทุกข์ อาจจะแตกต่างกันบ้างที่ทางกายหรือทางใจ บางคนที่เขาสบายกาย ก็อาจจะทุกข์ใจก็ได้ใครจะรู้ บางคนอาจจะยอมทุกข์กาย หากสบายใจ ก็แล้วแต่มุมมองขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน” ผมได้แต่ถอนหายใจ ในขณะที่เขายังคงก้มหน้านิ่ง จึงยื่นมือไปประคองใบหน้าคมให้เงยขึ้นมาสบตาก่อนที่จะพูดต่อ

“แต่สำหรับรุ่ง รุ่งเป็นอย่างหลัง รุ่งขอแค่ได้อยู่กับคนที่รัก ขอให้ได้อยู่กับเขนรุ่งก็พอใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้รุ่งมีความทุกข์หรือลำบากอะไรหรอกนะ เพราะที่เราเป็น ที่เรามีอยู่ก็วิเศษที่สุดและเพียงพอแล้วสำหรับรุ่ง”

“เขน...เราจากกันมานาน พรากกันมาไกล เกินกว่าที่ใจรุ่งจะรับได้แล้วนะเขน” ดวงตาที่มีแววสั่นไหวทำให้ผมรู้ว่าเขาเข้าในและรู้สึกเช่นเดียวกัน

“เขนอย่าพูดอย่างนี้อีกเลยนะ” หากผมพึ่งรู้ว่าความรู้สึกไหวหวั่นสั่นสะท้านในใจทำให้เสียงของตัวเองที่เอ่ย ออกมาสั่นเครือ จนมือใหญ่ยกขึ้นมากอบกุมมือของผมที่ประคองใบหน้าเขาไว้ และเอียงหน้าซบลงบนมือทั้งสองและส่งผ่านความอ่อนไหวภายในใจที่เชื่อมโยงถึงกัน และด้วยความรู้สึกภายในใจที่เอ่อล้นก็ผลักดันถ้อยคำต่างๆ ให้พรั่งพรูออกมา

“เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ไม่จะสบายหรือลำบากอย่างไร รุ่งไม่เคยสนใจ ขอเพียงได้อยู่กับเขน เขนแค่คนเดียว ชีวิตนี้รุ่งก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนะ”

“อย่าไปฟังใครอีก ขอแค่เขนเชื่อรุ่ง รุ่งไม่มีวันปล่อยเขนไปไหนอีกแน่ ๆ นอกเสียจากว่าเขนจะไม่ต้องการรุ่งแล้ว”

“ไม่มีทาง” คำพูดแรกที่สวนกลับมาทันที... เป็นคำที่ทำให้ใจผมชื้นขึ้นมาทันใดเช่นกัน และความอบอุ่นที่ซึมซาบเข้ามาในหัวใจก็ปลุกเร้าประสาทสัมผัสให้มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อทั้งร่างของตัวเองเสมือนปลิวมาอยู่ในอ้อมอกที่กอดกระชับรัดแน่นอย่างง่ายดาย

“ไม่มีวัน ไม่มีทาง รุ่งรู้เอาไว้นะ ไม่มีวันที่เขนจะไม่ต้องการรุ่ง”

“เขนจะไม่ยอมกลับไปอึดอัด เหมือนขาดอากาศหายใจ เหมือนในอดีตอีกแล้ว รุ่งเป็นลมหายใจ เป็นความสุข เป็นความทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขนนะ เขนจะไม่มีวันยอมให้เราต้องกลับไปเป็นเหมือนอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว” คำพูดที่ดูเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจกลับมา และทั้งหมดยิ่งทำให้รู้ว่าผมมีค่าและสำคัญกับเขามากแค่ไหน

“รุ่งรักเขนนะ” ผมจึงซุกใบหน้าเข้าหาอ้อมอกที่ปรารถนาจะพักพิงไปตลอดชีวิต

“ค่ะ เขนก็รักรุ่งนะคะ” อ้อมแขนที่กระชับขึ้น และสัมผัสจากปลายจมูกคมที่ค่อย ๆ ซุกไซร้ที่ไรผม ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อรองรับจุมพิตที่แสนอ่อนหวานรุกเร้าและเรียกร้องจากเขา หลังจากนั้นสติก็หลุดลอยและความรู้สึกต่าง ๆ ยังคงเบล อๆ เมื่อสัมผัสที่แนบชิดและบทรักที่แสนจะอ่อนหวานจบลง ทั้งหมดเป็นเพราะอ้อมกอดที่ยังคงสอดรัด และพ่อเหมียวยังคงตอแยอย่างไม่ปล่อยให้สมองได้ทันรวบรวมสตินึกคิดสิ่งอื่นใด

แต่ในใจยังคงติดค้างเหมือนผมจะลืมถามคำถามบางคำถาม ‘หากอะไร...ยังคงคิดไม่ออก’ แต่ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงไป ผมพร้อมที่จะยอมรับและเผชิญกับมัน และผมเชื่อว่าทุก ๆ อย่างจะพ้นผ่านไปด้วยดี เพียงเพราะความรักที่เราสองคนมีให้แก่กัน





#JKLTHESERIES

 
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: IN MY MIND 11.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 12-03-2018 10:01:08
Chapter XIX: In my mind

 

‘เขาพูดถูก’ สิ่งที่เขาคนนั้นพูดถูกต้อง ทำไมผมจะไม่รู้ เพราะผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในพวกเขา ‘คนที่รัก คนที่ชื่นชม...เขา’ ถ้าย้อนกลับมามองจากมุมเดิมที่ผมเคยยืนอยู่ ‘รุ่ง’ ก็ควรค่าเกินกว่าจะมาอยู่กับผู้ชายธรรมดาเช่นผมจริง ๆ

ผู้ชายที่มุ่งมั่นตั้งใจ มองภาพ วางแผนเป็นระบบ ฉลาดเกินกว่าที่จะมานั่งเป็นสถาปนิกธรรมดา ๆ เขาเป็นเดียวที่สายบริหารเสียใจมากในทางเลือกของเขา แต่สิ่งที่เขาเลือกทำเพื่อผม

ผู้ชายที่รับผิดชอบทุ่มเท และละเอียดอ่อน เขาให้ความสำคัญความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง ทำให้คนที่ได้สัมผัสทุกคนประทับจิตซึ้งน้ำใจ และนิยมชมชอบด้วยใจจริง

ผู้ชายที่สวยหวาน น่ารัก น่าทะนุถนอม ไม่ว่าใครที่เคยพบ หรือเพียงแค่เดินผ่านต้องรู้สึกถึงความงดงามละมุนละไมของเขา ที่กระจายฟุ้งอยู่รอบรสสัมผัสความเป็นตัวตน

ผู้ชายที่มีเสน่ห์นุ่มลึก ชวนให้คนอยู่ใกล้หลงใหลลุ่มหลง ไม่มีข้อกังขาแม้เลยสักนิด และไม่สงสัยว่าทำไมพี่บลู คุณอาร์ท หรือคนอื่น ๆ ก็รู้สึก

และทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหมาะ ไม่ควร...แม้จะเพียงดึงมาเพื่อเทียบเคียงกับคนเช่นผม หากผมควรจะทำอย่างไร

ในเมื่อ ‘หัวใจของผมอยู่ที่เขาและหัวใจของเขาอยู่ที่ผม’

 

หึง... หวง…

ความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนเต็มล้นอยู่ภายในใจ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร... ผมไม่ควรค่าพอที่จะรู้สึกนี้ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทาง... เขาไม่มีทางทำอะไรที่ผิดต่อความรักที่เรามีให้แก่กัน แต่มันห้ามไม่ได้เลย

“เขนกลับก่อนเลยนะ เย็นนี้รุ่งไปงานวันเกิดคุณอาร์ทกับพี่บลู น่าจะกลับดึกๆ เดี๋ยวให้พี่บลูไปส่ง ไม่ต้องห่วงนะ” ร่างบางพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในห้องทำงาน

“ครับ” ผมรู้แล้ว รุ่งบอกแล้ว

“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะ เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าไม่ดีเลย” มือเรียวที่ยกมาแตะหน้าผากเบากับรอยยิ้มที่เอาใจใส่ ทำให้ผมยิ่งละอาย

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ รุ่งไปเถอะ”

“พบกันที่บ้านนะ” รุ่งเดินออกไปพร้อมกับพี่บลูเราพยักหน้าให้กันก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากฝ่ายไปพร้อมกัน

ใช่ครับผมโกหกครึ่งหนึ่ง... ที่บอกว่าไม่เป็นไร ร่างกายยังคงสมบูรณ์ หากหัวใจ...คำตอบที่แท้จริง คือผมหวง ผมหึง ทั้งสองคนเลย

คนคนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรมาก หากเขาเป็นคนที่ทำให้ผมฉุกคิด

‘รุ่งน่าจะได้คนที่ดีกว่านี้นะผมว่า คุณอาจจะทำให้เขามีความสุขใจได้… แต่เขาน่าจะสุขกายสบายใจกว่านี้ ถ้าเขาอยู่กับคนที่พร้อมกว่าคุณ’

ผมรู้ ผมเข้าใจ ผมเห็นด้วย แต่เขาเลือกผม... เขาเลือกผมไม่ใช่หรือ...

ถ้ายังฉุดรั้งเขาไว้ต่อ ผมจะผิดไหม ผมจะทำให้เขาลำบากไหม หรือควรตัดใจปล่อยให้เขาพบคนที่ดีกว่านี้ สิ่งนั้นผมยังคิดไม่ตก

หากที่รู้สึกผิด... กับผู้ชายอีกคนมากกว่า ‘หึงเชากับพี่บลูผมผิดไหม’

แม้จะรู้ว่าเป็นอดีตสั้น ๆ

แม้จะรู้ว่าคนของผมเขาไม่ได้มีใจ

หากเขาก็เคยคบกัน เคยมีรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ต่อกัน และยังรักกันมาก ๆ ในวันนี้ แม้จะไม่ใช่แบบคนรัก แต่มันห้ามไม่ได้เลย... หึง… หวง…

 

‘วังศศิธร’ บ้านของเราสองคน รุ่งบอกว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’ หากคืนนี้มีผมคนเดียวที่กลับมาที่บ้านอย่างโดดเดี่ยว คำว่า ‘บ้าน’ คงจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งเมื่อมีความรัก คนรัก และครอบครัวกลับมาอยู่รวมกัน แต่ในเมื่อมีเพียงแค่ผมคนเดียวจะให้ทำอย่างไรกับความรู้สึกสับสนในใจ

ถ้าคุณเคยแอบรักใครสักคน ‘แม้วันที่ได้ความรักนั้นมาแล้ว’ หากไม่ว่าอย่างไร ความรู้สึกที่เคยรับรู้และตอกย้ำมาเสมอว่า ‘รักข้างเดียวยังจะวนเวียนหลอกหลอน’

ทั้งที่รู้ ทั้งที่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่

‘รัก’ คือเสียงที่ดังก้องในใจของเราทั้งสอง

แต่หากถ้าวันหนึ่งผมยอม... ยอมกลับไปรักเขาเพียงข้างเดียวอีกครั้ง เพื่อให้เขาอยู่ในที่ที่เขาเหมาะสม เพื่อให้เขากลับไปอยู่ในที่ที่เขาคู่ควร ถ้าผมเก็บทุกอย่างไว้เพียงในใจ ถ้าผมฝืนให้เสียงนั้นดังเพียงในใจ และเก็บ ‘รัก’ นั้นไว้หัวใจของผมคงจะเจ็บช้ำ รวดร้าว ทรมาน หากผมยอม เพราะผมไม่มีวันและไม่มีทาง ผมจะไม่ยอมให้ดวงใจอีกดวงต้องบอบช้ำแม้เพียงเล็กน้อย

กล่องพลาสติกสามกล่องที่บรรจุทรายสามกล่องที่ตั้งเรียง ตอกย้ำเวียนซ้ำ ถึงความสัมพันธ์ ถึงคนรัก ถึงความรักที่เรามีให้กัน คนให้เพียงแค่เที่ยงตรงสม่ำเสมอหากคนรักต่างหากที่ต้องลงทุนทุ่มเทแรงกาย และแรงใจทำถึงเพียงนี้

สารานุกรมเล่มใหญ่ที่บรรจุซองลิลลี่ขาวอบแห้งในมือเป็นดังสัญลักษณ์ ความซื่อสัตย์ ความผูกพัน ความคงมั่นที่เรามีให้กัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง... ส่งพลังแผ่กระจายความอบอุ่น แนบซึ้ง ซึมลึก เข้ามาแทนที่ความเหงา อ้างว้าง และสับสนภายในหัวใจ

ผมจะไม่ปล่อยมือไปจากเขา จนกว่าจะถึงวันที่เขาจะเป็นคนปล่อยมือจากผมไปเอง จนกว่าจะถึงวันนั้น... ผมถึงจะยอม...

 

บรรยากาศงานเลี้ยงวันเกิดที่แสนน่าเบื่อ มันอาจดูใหญ่โตหรูหรา สนุกสนานและสมบูรณ์แบบสำหรับคนอย่างคุณอาร์ท หากไม่ใช่ผม... ผมเบื่อ

อยากกลับบ้านไปดูแลเหมียว ดูลูกเหมียวเล็ก ๆ สามตัว และกลับไปอยู่กับพ่อเหมียวมากกว่า แต่เมื่อรับปากว่าจะมาแล้ว จะรีบกลับตั้งแต่ต้นงานก็น่าเกลียด หากไม่คิดว่าต้องมายืนอยู่วงในใกล้ตัวท่านเจ้าของงานมากขนาดนี้ และไม่คาดมาก่อนว่าเจ้าของงานจะลากไปทำความรู้จักคนนั้นคนนี้มากมาย

‘ทำอะไร ต้องการอะไรกันแน่’ ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันชักจะแปลก ๆ และกว่าจะปลีกตัวออกมาหาพี่บลูได้ ก็ทำเอาเหงื่อตก

“เอ๋า กินน้ำก่อน” แก้วน้ำเปล่าสีใสแก้วแรกถูกส่งมาให้

“ไม่ชอบน่ะสิ” พี่บลูเริ่มแซว

“ไม่รู้อะไรของเขา” ผมถอนหายใจก่อนที่จะรีบกระดกน้ำเปล่าลงไปในท้อง เพื่อเจือจางแอลกอฮอล์ที่จำต้องดื่มมาเกือบครึ่งคืน

“ตั้งใจจะมอมเหล้ามั้ง รู้สึกตัวหรือยัง เรื่องนั้น”

“พี่ก็รู้? ผมก็ว่ามันแปลก ๆ ไม่คิดว่าเขายัง...”

“เขา หนะคงไม่เปลี่ยนหรอก แต่ที่จะเปลี่ยนระวังคนของตัวเองดี” พี่บลูพูดทำให้ได้คิด

“ผมถึงว่า....” นี่ใช่ไหมที่เขนเปลี่ยน

“ได้เคยคุยกันหรือเปล่า” ผมใช้สมองที่มีสติเหลือเพียงไม่มากเริ่มคิดคำนวณ วันนั้นแน่ ๆ ที่สนามบิน จึงได้พยักหน้าตอบพี่บลูกลับ

“เขนดูข้างนอกมุทะลุ ดุดัน พูดตรง ใจร้อนก็จริง แต่บทจะเก็บมันก็เก็บเงียบ”

“คิดมาก” ผมช่วยเสริม

“เรื่องมันก็น่าคิด ไม่รู้ว่าเขาไปใส่เรื่องไหนไว้” พี่บลูเสริม

“ไอ้พี่อาร์ทหนะเรื่องงานเปลี่ยนไปแน่ แต่บางอย่างมันเปลี่ยนไม่ได้ นิสัยส่วนตัวก็ยังเหมือนเดิม อยากได้ต้องได้ ระวังไว้เชียว ไม่หยุดง่ายหรอก” อย่างที่เคยบอก ผมเคยรู้จัก คุณอาร์ทมาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนที่อังกฤษ และตอนที่เคยมีเรื่องกันพี่บลูก็อยู่ด้วย เพราะคนที่ทำให้เรามารู้จักกันก็คนข้าง ๆ ผมนี่แหละครับ ตอนนั้นเขนอยู่ที่เยอรมัน ใช่ครับช่วงที่ผมหนีมาเรียนต่อที่อังกฤษกับพี่บลู

คนไทยที่อังกฤษก็มีไม่มากนัก สังคมเล็กของนักศึกษาจากต่างแดนทำให้รู้จักกันไม่ได้ยาก คุณอาร์ทแก่กว่าพวกผม และพี่บลูหลายปีอยู่ แต่ยังเรียนไม่จบสักที เพราะความเจ้าชู้ ล่องลอย แต่ตามนิสัยคนที่มีอันจะกิน รุ่นพี่รุ่นน้อง สาว ๆ มากมายถึงรายล้อม มีงานเมื่อไหร่ ถ้าเห็นพี่อาร์ทก็รู้ได้เลยว่างานนั้นกินฟรี เพื่อนฝูงจึงตามกันเกรียวกราว แล้วอาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจเขา หรืออาจจะเรียกได้ว่าไม่แยแส ได้ละมั้งครับ มันจึงยิ่งกลับเป็นจุดสนใจ กว่าครั้งนั้นจะสลัดออกมาได้ ผมต้องตัดใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ประจานกันกลางงานเลี้ยง

‘คุณคิดว่าผมจะยอมลดตัว ไปคบกับคนที่ไม่เอาถ่าน เอาแต่ผลาญเงินพ่อแม่ไปวัน ๆ เหรอ ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็แสดงว่าคุณไม่รู้จักผม ถ้ายังเป็นผู้เป็นคนกับเขาไม่ได้ เรียนตกแล้วตกเล่า ไม่ทำงานทำการ คุณก็ควรไปกกเด็กของคุณต่อไป อย่ามายุ่งกับผม’ ครับผมรู้ว่ามันแรง และคิดว่าไม่น่าจะกลับมามองหน้ากันติดอีกต่อไป หากไม่คิดว่า เขากลับล้มล้างทุก ๆ อย่างตามคำปรามาสของผมได้ทุกประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลับมาศรัทธา และชื่นชมเขาในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องกลับไปสนใจเขา หรือไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เขากลับไปทำร้ายผู้ชายที่ผมรักมันไม่ใช่เรื่อง

“กว่าจะแกะออกได้ คราวที่แล้วก็แทบแย่” พี่บลูพูดขำๆ

“งั้นก็ต้องรีบแกะตั้งแต่วันนี้” สมองของผมกลับมาทำงานอย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง

“พี่บลู โทรไปตามเขนมาให้หน่อยสิครับ” พี่บลูพยักหน้ารับขำ ๆ ด้วยสนิทกันมาก ไว้ใจ และทำงานร่วมกันมานาน ทำให้เรื่องบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียด

“เหมือนแม่เสือเข้าไปทุกทีนะเรา ใครทำอะไรก็ได้อย่ามาทำร้ายลูกเสือ” ผมยิ้มให้กับคำเปรียบของพี่บลู

“กลับเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่โทรให้แต่รุ่ง...” พี่บลูหยุดพูด และมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง เหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ผมจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“อะไรเหรอครับ”

“รุ่ง แน่ใจว่าเขนจะไม่คิดมากเรื่องพี่” พี่บลูพูดอีกสิ่งที่ทำให้ผมเผลอมองข้ามไปผู้ชายของผมเขาคิดมากเสมอ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของผม

“พี่บลูก็โทรไปให้พี่เชนมาด้วยสิครับ” สมองของผมคิดหาทางออกอย่างฉับพลัน

“อืม โอเค งั้นเดี๋ยวโทรหาเชนก่อน เผื่อมีเรื่องได้ช่วยกัน”

“งั้นผมเข้าไปในงานก่อน”

“อืม” ผมคงต้องกลับไปเอาเหล้าเทใส่ตัวเองเพิ่มอีกหน่อย เพื่อความสมจริง เรื่องวันนี้มันยากกว่าในอดีตมาก หากไม่เกินความสามารถ เมื่อเรารู้ว่าเรารัก และเชื่อมั่นในคนที่เรารักมากเพียงไหน ความเป็นแม่เสืออย่างที่พี่บลูว่า กำลังผลักดันพลังงานบางอย่างทำให้ความคิดในสมองของผมปะทุอย่างรุ่งโรจน์ ต้องทำให้เรื่องงี่เง่านี่ จบให้เร็วที่สุด



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: IN MY MIND 11.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-03-2018 15:46:06
ตามอ่านทันแล้ว หลังจากเว้นห่างไประยะหนึ่ง
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 13-03-2018 08:50:56
Chapter XX: Ours Story

 

“เพล้ง!!!!!!” เสียงแก้วแตกดึงสติสัมปชัญญะของผมที่กำลังเหม่อลอย ยืนลังเลอยู่ด้านนอกห้องกระจกใส บนชั้นดาดฟ้าของบาร์บนโรงแรมหรู

‘เกิดอะไรขึ้น’ ผมจึงรีบเดินผ่านประตูบานเลื่อนเข้าไป จึงพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อพบว่าเศษแก้วตกกระจายอยู่ตรงหน้าคนสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่กลางห้อง และหนึ่งในนั้นก็คือคนรักของผม

“รุ่ง.....”

“รุ่งเป็นอะไรรึเปล่า” ผมจึงรีบรุดตรงไป และย่อตัวลงปัดเศษแก้วที่ตกกระจายอยู่ซึ่งมีบางส่วนกระเด็นมาติดที่ขากางเกง และรองเท้าของเขา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเคียงข้าง

“คุณคงเห็นชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร” คำพูดที่ก้องกังวานท่ามกลางความเงียบของห้องที่ผู้คนโดยรอบต่างนิ่งอึ้ง ยังคงส่งตรงถึงคู่กรณี

“คุณลองรักตัวของตัวเองให้ได้ ให้ดีก่อนที่จะเผื่อแผ่มาให้ใคร และถ้าให้ดีก็ไม่ต้องเผื่อแผ่แบ่งปันมาทางผมอีก”

“ระหว่างเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นอื่นใดได้นอกจากเจ้านาย และลูกน้อง เพราะผมมีคนรักอยู่แล้ว ถ้าคุณยังมาพูดหรือทำอะไรให้เราต้องลำบากใจอีก อย่าหวังว่าผมจะไว้หน้าคุณอีกต่อไป”

 

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าค่อยชัดเจนขึ้น เห็นได้ชัดว่าก่อนที่แก้วไวน์จะตกแตกดูเหมือนเครื่องดื่มภายในแก้วสีแดงสดจะถูกสาดให้ไปปะทะอยู่บนหน้าคู่กรณีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยหลักฐานที่ยังคงหยาดหยดจากใบหน้า และเปียกชุ่มไปทั่วเสื้อ และสูทลำลองสีเข้ม

“แล้วคุณก็รู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง ได้โปรดอย่าลืม”

“กลับกันเถอะเขน” ร่างโปร่งบางละสายตาที่มุ่งมาดจากเจ้านายตัวเอง ก่อนเดินนำออกไปจากงานปาร์ตี้ที่ยังเงียบกริบทั้งงาน ผมจึงได้แต่เดินตามออกไป

 

กลิ่นเหล้าที่ดูเหมือนจะระเหิดออกมาจากคนข้าง ๆ ยังคงส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วรถ ขนาดคนที่ไม่ได้เตะเครื่องดื่มมึนเมาแม้แต่เล็กน้อยเช่นผมยังเกือบจะมึนเมาเคลิบเคลิ้มตาม หากเจ้าตัวที่ปกติน่าจะสลบไปด้วยความเข้มข้นของแอลกอฮอลล์ในสายเลือดกลับยังคงนั่งนิ่งทอดสายตาออกไปนอกรถเหมือนครุ่นคิดอะไรมาตลอดทาง จนกระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดลงที่ที่จอดรถประจำใต้ต้นปีบสูงใหญ่ริมกำแพงรั้วหลังบ้านของเรา

เวลาเกือบตีสามร้านเบเกอรี่ชั้นล่างปิดบริการไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จึงมีเพียงแสงไฟรำไรที่สาดส่องออกมาจากโคมด้านหน้าตึก ซึ่งอ่อนแรงไม่เพียงพอที่จะอ้อมส่งความสว่างไสวมายังที่จอดรถที่มืดมิดด้านหลังตึกได้ จึงมีแต่เพียงแสงเรืองรองสีฟ้ากระจ่างใสจากเรือนไมล์ของตัวรถที่ยังคงติดเครื่องอยู่

‘คิดอะไรอยู่’ ร่างที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีวี่แววไหวติง แม้รถจะจอดสนิทแล้ว ทำให้ผมต้องกลั้นใจถามออกไป

“รุ่งจ๋า เป็นอะไรหรือเปล่า” หากยังคงมีแต่ความเงียบสงัดที่แผ่กระจายอยู่ภายในตัวรถเมื่อสิ้นเสียงสุดท้ายของประโยคที่ผมเอ่ยออกไป จึงตัดสินใจเอื้อมมือออกไปกุมมือเรียวบางที่วางอยู่

“รุ่ง.... เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” ก่อนที่ใบหน้าหวานจะค่อย ๆ เบือนกลับมามองพร้อมกับเผยให้เห็นหยาดหยดน้ำตาสีฟ้าใสจากแสงไฟที่ตกกระทบไหลรินอาบแก้มนวล

“รุ่ง...............” ทำให้ดวงใจของผมกระตุกวูบลง ก่อนที่จะรวบร่างบางติดปลิดปลิวข้ามมาอยู่ในอ้อมอก

“เป็นอะไรคะ ที่รัก”

“ใครทำอะไร...หรือไอ้หมอนั่น มันทำอะไรรุ่งบอกเขน เขนจะไปจัดการมันให้สิ้นซาก” ใจผมเริ่มร้อนระอุรุนแรง

“............................” หัวเล็กที่ซุกอยู่ที่อกส่ายเบา ๆ หากไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

“รุ่ง บอกเขนนะ พูดกับเขน รุ่งเป็นอะไร มันทำอะไรให้รุ่งเสียใจหรือเปล่า”

“.......เขาเป็นคนอื่นเขน” เสียงหวานใสค่อย ๆ ตอบช้า ๆ พร้อมกับกลั้นเสียงสะอื้น

“เขาทำอะไรรุ่งไม่ได้หรอก คนที่ทำให้รุ่งเสียน้ำตา คือคนข้างหน้ารุ่งตอนนี้ต่างหาก” ดวงตาเรียวทอประกายระยิบด้วยน้ำที่ยังปริ่มล้นเต็มสองตา

“อึดอัดไหม ตอนที่รุ่งไม่ตอบ รู้สึกเสียใจไหมถ้ารุ่งไม่ยอมเชื่อใจ”

“เขนเข้าใจหรือยังว่ารุ่งรู้สึกอย่างไง ที่ต้องมาทนรู้ว่าคนที่รักเปลี่ยนแปลงไป เพียงเพราะคำพูดของคนอื่น”

“มีอะไร สงสัย แคลงใจตรงไหน ทำไมไม่ถามกันตรง ๆ ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว”

“เขน...” ผมยังคงพูดไม่ออก เพราะยังคงช็อค... น้ำตาพวกนี้เป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุ

“เรารักกันไม่ใช่เหรอเขน เราเป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมีอะไรไม่ถาม ไม่บอกหรือไม่ได้รัก ไม่ได้เชื่อใจกันอีกต่อไปแล้ว” ใจของผมอ่อนยวบตามร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ และพยายามจะผละตัวเองออก จึงได้แต่กระชับอ้อมกอดก่อนจะรีบตอบตามความรู้สึกข้างในหัวใจ

“เปล่านะรุ่ง เพราะเขนเชื่อ เพราะเขนรู้ว่าเรารักกัน และรุ่งจะไม่มีวันทิ้งเขนไปไหน แต่...........”

“แต่?”

“แต่เขนรักรุ่ง เขนไม่อยากให้รุ่งลำบาก ที่คุณอาร์ทพูดก็จริง รุ่งน่าจะพบคนที่ดีกว่าเขน คนที่พร้อมกว่าเขน.....” อารมณ์ความสับสนมากมายจากคราบน้ำตาทำให้หลุดเผยสิ่งที่คั่งค้างภายในใจ

“เขน..... แล้วเขาคนนั้นที่เขนว่าจะรักรุ่งเท่านี้ไหม”

“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน” ผมมั่นใจ

“เรารู้จักกันมานานนะเขน แม้เขนจะลืมเลือนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เขนลองใช้ความรู้สึกภายในตอบหัวใจตัวเองดูว่า... ถ้าเราลองเปลี่ยนกัน ถ้าเขนมาเป็นรุ่ง” ใบหน้าที่เงยขึ้นทำให้หน้าผากติดชนแนบกัน จมูกเล็กเข้ามาคลอเคลีย ดวงตาที่จ้องลึกลงไปในหัวใจ

“รุ่งจะเลือกอะไรระหว่าง ‘คนที่พร้อม’ กับ ‘คนที่รัก’ ”

“รุ่ง...........”

“ตอบสิ”

“ครับ”

“ครับอะไร” เสียงถอนหายใจหงุดหงิดของคนที่คาดคั้นคำตอบ

“ถ้าเขนเป็นรุ่ง ก็จะเลือกคนที่รัก”

“เห็นไหม ทีนี้เข้าใจหรือยัง”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ จริง ๆ แล้วผมรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าผมแพ้เขาทุก ๆ ทาง ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นสายแล้ว

“มันเป็นแค่เรื่องของเราสองคนนะเขน อย่าไปคิด อย่าไปฟังคนอื่นอีก”

“ถ้ามีอะไรติดใจ สงสัยอะไรถามรุ่งนะ”

“ครับ”

“สัญญานะ”

“ครับ เขนสัญญา” ผมตอบก่อนหลับตาลง ถอนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจให้จางหายไปพร้อมกับลมหายใจที่กำลังผ่อนออก

“เขน.....” เสียงอ่อนหวานที่เรียกขึ้น ทำให้ลืมตามามองดวงตาที่เป็นประกายระยิบเว้าวอน

“ครับ”

“รุ่งรักเขนนะ” ริมฝีปากบางสีสดที่ค่อย ๆ ขยับเปล่งเสียงหวาน ลมหายใจแรงในระยะประชิดตรงหน้าที่กำลังสอดประสาน กรุ่นกลิ่นอ่อนหวาน เมามัว

หากใครบางคนยังคงใช้สายตาแววระยับสะกดตรงหยุดค้างรั้งรอสิ่งที่ต้องการไว้ หากยิ่งยั่วเย้า เชิญชวน ปลุกทุกประสาทสัมผัสให้คุกรุ่น เร่าร้อน ร้องเรียก

“เขนก็รักรุ่งครับ” หัวใจเป็นผู้สั่งให้ตอบกลับประโยคสุดท้าย ก่อนความยับยั้งชั่งใจทุกอย่างจะขาดสะบั้นสิ้นสุดลง พร้อมกับเสียงที่ดังก้องอยู่ข้างใจ

ผมคงไม่มีวัน... ปล่อยเขาไปไม่ได้

ผมคงไม่มีทาง... ปล่อยเขาออกไปจากชีวิตได้

เพราะ ‘รุ่ง’ เป็นที่รัก เป็นคนรัก เป็นชีวิต และเป็นดังลมหายใจ

 

 

 

“อืม...อา...”

เสียงครางเบาครือครืนจากลำคอด้วยความแปลกใจ และพึงใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถูกรุกไล่ปรนเปรอความหอมหวนหวานล้ำจากปลายลิ้นเรียวบางที่เป็นฝ่ายรุกเร้า เกี่ยวกระหวัดกลืนกินอย่างไม่รู้จักคำว่าเอิบอิ่ม

กรุ่นกลิ่นกรำจายรสหวานของไวน์รสเลิศที่ยังติดประทับฝังลึกตลอดกลีบริมฝีปาก ยิ่งฉุดลึกรุกล้ำดื่มด่ำอารมณ์ปรารถนาที่เสมือนเปลวไฟให้ลุกโชนแผดเผา ร่างบางค่อย ๆ ขยับพลิกตัวขึ้นเผชิญหน้าพร้อมกับกดลึกแนบสนิทรอยจุมพิต จนทำให้แผ่นหลังกว้างของฝ่ายรับชิดติดจมอยู่กับเบาะที่นั่ง

แนบนิ่ง... เนิ่นนาน หลงใหล... ลุ่มหลง

กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งเสื้อเชิ้ตลำลองที่ใส่อยู่ก็ถึกดึงออกปลิดปลิวหายไปแล้ว นิ้วเรียวบาง และฝ่ามือที่แสนอ่อนนุ่มทั้งสองลูบไล้ร้อนรุ่มดังเปลวไฟที่โลมเลียร้อนแรง ก่อนที่หยุดลงใช้ความพยายามกับการแกะเข็มขัดซึ่งไม่ง่ายนัก ในขณะที่ดวงตาทั้งสองยังคงหลับพริ้ม ริมฝีปากบางขบเม้ม และลิ้นร้อนยังคงแลกลิ้มชิมรสลึกล้ำทุกสัมผัส

เมื่อเข็มขัดถูกแกะออกร่างบางจึงโน้มลงเบียดเสียดทิ้งน้ำหนักลงกับแผ่นอกกว้างก่อนที่เบาะจะถูกเอนลงด้วยฝีมือของคนรุกไล่

“อืม......รุ่ง.....” ริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก

เมื่อถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการรุกล้ำครอบครอง และหอบหายใจเสียงดังที่ก้องกังวานท่ามกลางความเงียบสงัดเพื่อเร่งบรรจุลมหายใจที่ถูกช่วงชิงไปก่อนหน้า ก่อนที่รอยจุมพิตจะถูกลากไล้ลงไปที่ลำคอขาวเนียนและลาดไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ พร้อมกับมือเล็กซุกซนที่สอดลึกลงไปปลุกปั่นกอบกุมเคล้นคลึงความปรารถนาเบื้องล่าง สติสุดท้ายที่ยังหลงเหลือย้ำเตือนให้พยายามบอกบางสิ่งกับร่างบางตรงหน้า

“อะ...รุ่ง... ขึ้นไป...ที่บ้าน...อืม”

“ฮื่อ...” เสียงปฏิเสธที่ฟังไม่ได้ศัพท์ หากจับความหมายได้ดังขึ้นก่อนคำพูดที่หลงเหลือจะถูกกลืนกินหายไปอีกครั้งจากริมฝีปากบาง

จูบลึกที่เวียนซ้ำร่ำร้อง

มือบางที่ยังคงคลุกเคล้าเคล้นคลึงไปทั่งร่าง

ความเร่าร้อนภายในที่กำลังเผาไหม้ลุกโชน ทำเอาแอร์ภายในห้องโดยสารไม่พอเพียงจะบรรเทาความระอุ หากแต่ทุกครั้งที่พยายามจะตอบสนองคืนกลับรสสัมผัส มือบางกลับยังคงปัดป้อง และฝืนบังคับให้หยุดนิ่งรองรับการปรนเปรอจากคนที่คุมเกมรักอยู่เบื้องบน

แม้ถึงอย่างนั้นความปรารถนา และสัญชาตญาณก็ยังคงสั่งให้โต้ตอบและไม่ยอมอยู่เฉย หากแต่เมื่อฝ่ามือเริ่มไปสัมผัสบีบเคล้น และกดสะโพกกลมมนให้ลงมาบดเบียดกันความแข็งแกร่งเบื้องล่าง ก็มีเสียงจิจ๊ะไม่พอใจ

“ถ้าจะห้ามแล้วไม่ฟังกันอะนะ” เสียงเหวี่ยงขึ้น ก่อนที่เข็มขัดที่ถูกแกะออกจะถูกรูดดึงออกมาพ้นจากขอบกางเกงที่หลุดลุ่ย และสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น เมื่อมือทั้งสองถูกรวบขึ้นเหนือศีรษะ และถูกมัดติดตรึงด้วยเข็มขัดของตนเอง

“รุ่ง...........” เสียงครางจากลำคอดังขึ้นพร้อมทั้งความพยายามอย่างอ่อนแรงที่จะดันตัวลุกขึ้นหนีเมื่อรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเผชิญ หากสายเกินไปแล้ว

“จำไว้... อย่าดื้อ” นิ้วเรียวบางนิ้วเดียวที่ทรงพลังกดลงที่หน้าผาก หากทำให้ร่างทั้งร่างที่พยายามขัดขืนนอนจมลงที่เบาะรถอีกครั้ง เพราะรอยยิ้มที่แสนจะเซ็กซี่ และประกายตาที่เต็มไปด้วยไฟลุกโชน

ผมยอมแล้ว... ยอมทุกอย่าง

หากไม่คิดว่ามันจะทรมานมากมายถึงเพียงนี้ เมื่อใบหน้าหวานที่เคล้าเคลียอยู่ที่แผ่นอก ปลายลิ้นที่ไล้วนลิ้มรสติ่งเนื้อสีเข้ม ก่อนที่จะดูดย้ำขบกัดประทับรอยลงบนตำแหน่งของหัวใจที่เต้นถี่สั่นรัว และเลาะเลยมาชิมความหวานของปลายยอดอีกข้าง ทำเอาอึดอัดคับคลั่งแห่งความต้องการกำลังจะระเบิดขึ้นตรงหน้า

“อย่า....รุ่ง” ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสอนให้คนที่เงยหน้าขึ้นมาเอานิ้วปาดเช็ดริมฝีปากได้เซ็กซี่มากขนาดนี้ ก่อนจะก้มลงกระซิบเสียงแหบพร่าที่ข้างหู

“ไม่ชอบเหรอ ก็เห็นชอบทำ” ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์นั่น ก่อนที่จะรับรู้ตัวอีกครั้งว่าความปรารถนาเบื้องล่างกำลังถูกเริ่มจังหวะกระชั้น

“อะ..รุ่ง...ซี้ด.........” ความต้องการปลดปล่อยทำให้ร่างกายร่างขยับตามจังหวะที่รัวเร็ว แม้ดวงตายังคงจ้องมองใบหน้าหวาน หากภาพที่ส่งเข้าสู่สมองเริ่มเลือนรางดังภาพฝัน

“ว่ายังไงคะ ที่รัก” หากยังพอรับรู้ว่านางฟ้ายังคงยกยิ้ม ก่อนที่ปลายลิ้นเรียวคมจะสอดเข้ามาในโพรงปากดูดซับเสียงครางครืนอย่างหนัก ในขณะที่ดวงตาค่อย ๆ ปิดหากภาพที่ส่งตรงถึงสมองกลับขาวโพลน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะกระตุกแรงปลดปล่อย

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้... ว่าฝ่ายรับก็เหนื่อยหนักไม่แพ้กัน

อาการหายใจหอบกอบโกยอากาศจึงกลับมาอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกปลดปล่อย หากเพียงไม่นานก็เริ่มผ่อนปรนลมหายใจให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองใบหน้าหวานที่ยังคงมองยิ้มกริ่ม

“เป็นยังไงครับ ที่รัก”

“รุ่งแกล้ง”

“ใครจะกล้าแกล้งพ่อเหมียวลง”

“แล้วนี่เรียกว่าอะไรปล่อยเลย” ผมยกข้อมือที่ยังถูกพันธนาการให้ดู

“แล้วใครว่าจะปล่อย” ก่อนที่เขาจะกระซิบประโยคต่อไปที่หู

“มันยังไม่จบหรอกเขน”

“ร..รุ่งจะทำอะไร” หัวเราะเสียงใสจึงดังขึ้น

ร่างกายที่เพิ่งหายจากอาการหอบจากสมรภูมิรักจะถูกปลุกปั่นอีกครั้ง ด้วยปลายลิ้นเรียวบางแหลมคม ริมฝีปากสีแดงสด จมูกเล็กได้รูปสวย และฝ่ามืออันอ่อนนุ่ม

“อือ....อืม” จึงหลุดครางออกไปอย่างหนักหน่วง

ยิ่งต้องมาพบกับเครื่องพันธนาการทางร่างกายทำให้แสนจะทนทุกข์ทรมานกับความต้องการสนองกลับของฝ่ายที่เคยคุมเกมมาตลอด

ยิ่งต้องมาพบกับเครื่องพันธนาการด้วยความรัก และความปรารถนาร้อนรุ่มทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนจวนเจียนจะระเบิดอีกครั้ง

“รุ่ง...อย่า...ไม่ไหวแล้ว”

การกระทำทุกอย่างจึงหยุดลง ให้ได้ผ่อนลมหายใจและผ่อนคลายอาการเกร็งหน้าท้อง หากยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานยิ่งปวดร้าวหนักหน่วงกับความปรารถนาที่ไม่ได้ถูกปลดปล่อย และทรมานแปลกยิ่งขึ้นเมื่อ...

ลืมตาขึ้นมาพบร่างที่อยู่เบื้องบนที่ขยับกลับมาควบคุมเกมรักอีกครั้ง ด้วยร่างที่เปลือยเปล่าที่ และใช้ปลายลิ้นจูบซับน้ำตาแห่งความสุขสมที่รินไหลทางหางตาให้อย่างหยอกเย้า

“รุ่งจ๋า.............”

“ทรมานไหมครับ....ให้รุ่งช่วยนะ”

“ปล่อยก่อน”

“หึหึหึ.....ไม่มีทาง”

“รุ่ง.....หืม” รสจูบถูกป้อนปรนเปรออีกครั้งเพื่อปลุกเร้าความพร้อม ก่อนที่คนข้างบนจะใช้มือลูบไล้เก็บของเหลวที่หลั่งออกมาในรอบแรก

‘จะทำอะไร....???’ ผมเริ่มเหงื่อตกและเป็นครั้งแรกที่พยายามขัดขืนหลีกหนี

“รุ่ง....อย่า.....”

“จะหนีไปไหนครับที่รัก”

“รุ่ง....แกล้งอีกแล้ว” หากลมหายใจผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรับรู้ถึงน้ำรักที่ถูกนำมาชะโลมความแข็งแกร่งที่แสนจะปั่นป่วน

“แล้วคิดอะไรอยู่ ชู่ว์........” คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ก่อนดวงตาปานเหยี่ยวเหินจะจิกลงมามองเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะถูกเติมเต็มร้อนเร่า พร้อมกับช่องทางแห่งความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แทรกซึมกดลึกลงมาช้า ๆ เสียงครางหวานใสที่ครางเครือกับรสสัมผัสที่กระชับรัดรึงทำให้หัวใจแสนจะปั่นป่วน ใบหน้าหวานขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่แสนจะเซ็กซี่เร่าร้อน ก่อนที่จะปรับตัวผ่อนคลายและค่อย ๆ ขยับจังหวะรักที่เนิบช้าแนบแน่นให้ตนเองในช่วงต้นทำเอาแทบจะขาดใจ

“รุ่งจ๋า....ปล่อยก่อน ให้เขนช่วย” หน้าหวานที่เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวตามไรผมตวัดกลับลงมามองพร้อมหยุดนิ่ง

“รุ่ง.............”

“จำไว้ ว่าใครเป็นของใคร” สายตาหวานที่แสนจะดุดัน แววตามุ่งมั่นถือดีเอาแต่ใจ

“อืม...ครับ” ยิ่งปั่นป่วนความต้องการให้พิชิต

“เขนไม่มีสิทธิ แม้กระทั่งจะคิดด้วย”

“ครับ”

“อย่าให้รุ่งรู้ว่าจะคิดหนีหายไปไหนอีก คนที่ทำได้มีแค่รุ่งคนเดียวเท่านั้น” เสียงกระซิบข้างหูของร่างเล็กที่ทิ้งตัวมาทาบทับ และปลดปล่อยพันธนาการ

“ครับที่รัก” อารมณ์นี้ ผมยอมแล้วทุกอย่างจริงๆ

แม้ตำแหน่งจะคงอยู่ ณ จุดเดิม หากจังหวะรักจึงค่อย ๆ ถูกเร่งขึ้น และถูกเติมเต็มสอดประสานจากฝ่ายตอบรับที่เริ่มรุกเร้าร่างบางด้านบนด้วยฝ่ามือจากคนเบื้องล่างที่ลูบไล้สัมผัสนวดเฟ้นกระพือโหมความต้องการดังเติมเชื้อเพลิงให้เปลวเพลิง

สถานที่ที่ถูกจำกัดพื้นที่และความอันตรายต่อการเปิดเผยรับรู้ของบุคคลอื่น ยิ่งปลุกเร้าโช็คอัพทั้ง 4 ต้นของรถ MPV สีขาว เริ่มทำงานรับแรงกระแทกทิ้งตัวอย่างหนักหน่วง แอร์ที่ถูกปรับเริ่มอุณหภูมิเย็นสุดเริ่มทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเมื่อต้องรับกับกองไฟที่โหมลุกภายในห้องโดยสาร เสียงครางครวญที่ดังระงมถูกเก็บกดปิดกั้นด้วยบานประตูและกระจกใสที่ติดฟิล์มทึบ หน้าหวานเงยเริดเฉิดหอบหายใจหนักหน่วงเพื่อบรรเทาความเสียวซ่าน ก่อนที่สองร่างจะมาถึงปลายทางฝั่งฝันและปลดปล่อยความปรารถนาออกมาสิ้น

ร่างเล็กที่ทิ้งตัวลงมานอนซบอยู่บนอกกว้างที่ขยับขึ้นลงด้วยแรงหอบหายใจ อ้อมแขนแกร่งจึงสอดรับกกกอดร่างบางอย่างหวงแหน ละอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับข้อความที่เน้นชัดดังก้องด้วยคำพูดและการกระทำ

“ยิ้มอะไร” เสียงกระซิบที่แหบพร่าเหนื่อยอ่อน

“จำไว้ ว่าใครเป็นของใคร” ผมพูดทวนประโยคที่ติดตรึงจารเจียรในหัวใจ

“รู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ” ผมตอบก่อนที่จะถูกเขี้ยวเล็ก ๆ กัดฝังที่หัวไหล่อย่างหมั่นไส้

“เจ็บครับ”

“เจ็บก็ดี จำไว้ ว่าห้ามคิดอีก”

“ครับผม วันนี้ดุจัง”

“เมามั้ง”

“จริงเหรอ”

“คนเมาทำได้เหรอ” เสียงหวานกลับมาหัวเราะใส

“เคยเมาจริงหรือเปล่า” ผมเริ่มสงสัย คืนวันนั้นที่ลำปาง คืนที่หัวหินและคืนนี้ ทำให้เริ่มเอะใจทำไมคนเมาควบคุมตัวเองได้ดีทุกครั้ง

“ก็แล้วแต่จะคิด....” รอยยิ้มที่มุมปาก ท้าทาย ชักชวน เชื้อเชิญ

บางคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หากบทรับแรงปรารถนายังคงปะทุโชติช่วงและดำเนินต่อไปอีกยาวนาน

หากบางคำถาม...ถูกตอกย้ำให้ชัดเจน ไม่มีแล้วคำว่าตรงกลาง ในเมื่อสองวิญญาณพันผูก ‘เรื่องราวของเราสอง’ ไว้รวมเป็นหนึ่ง





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 13-03-2018 11:33:45
ชอบรุ่งเวอร์ชั่นแม่เสือ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-03-2018 15:09:44
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-03-2018 15:25:38
โอ้โห
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: 'CAUSE OF HEART 14.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 14-03-2018 17:00:38
Chapter XXI: ‘cause of Heart

 

08:00 น. ไปไหนของเขานะ...

โถงกว้างของสถานีรถไฟหัวลำโพงคลาคล่ำอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายหลายหลากที่ต่างก็มีความประสงค์เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเนื่องด้วยเป็นเป็นช่วงเวลาเช้าที่รถไฟเกือบทุกเส้นทางกำลังเตรียมมุ่งหน้าออกเดินทางออกจากชานชาลา

ท่ามกลางผู้คงมากมาย หากผมกลับรู้สึกอ้างว้างอยู่เสมอ...

มันคงเป็นจุดอ่อนของคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ที่ใด โลกส่วนตัวของตัวเองก็มักมาคลุมครอบอยู่เสมอ และเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เพื่อปิดบังความหวาดกลัว และเขินอาย เมื่อวางตัวไม่ถูก จึงกลับเข้าสู่ภายในห้วงความคิดของตนเอง...

‘ตื่นเถอะค่ะ ที่รัก’

‘หืมมม อะไรอะเขน’

‘ไปลำปางกัน’

‘อะไรนะ’

‘รุ่งอยากไปลำปางนี่’

‘วันนี้ วันทำงานนะ’

‘ยังไงก็ไปไม่ไหวอยู่แล้วนี่นา เขนโทรไปลาพี่บลูให้แล้ว พฤหัส-ศุกร์ เดี๋ยวเฟรมมาดูแลเหมียวให้ เราไปลำปางกันนะ เขนจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว...’ สายตามุ่งมั่นตั้งใจที่มองมา ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ

หรือความจริง...  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้เลย

 

08:23 น. ไปนานแล้วนะ...

ใครคนนั้น... ทิ้งผมไว้ที่ม้านั่งใจกลางสถานีพร้อมสัมภาระในการเดินทาง

‘รุ่งนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ อย่าพึ่งหลับตอนนี้นะ ค่อยไปนอนต่อบนรถไฟ’

‘อืม เขนจะไปไหนอะ’

‘แถวนี้ แป๊บเดียวค่ะ นี่ตั๋วถือไว้ก่อนนะ อย่าหลับนะ’

เมื่อคืน... เล่นหนักไปหน่อย จึงเพิ่งมาได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงในช่วงเช้า พร้อมกับตื่นมาด้วยอาการมึน ๆ ตกค้างจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ตอนนี้เปลือกตาทั้งสองข้างหนักมาก และกำลังจะปิดในไม่ช้า หากที่ไม่เข้าใจทำไมคนที่น่าจะไม่ได้นอนเลย กลับจัดการโน่นนี่ได้มากมาย รวมทั้งตั๋วรถไฟทั้งสองใบ

‘08:30 กรุงเทพ - 18:11 นครลำปาง’ ที่อยู่ในมือ ใกล้เวลาที่ต้องขึ้นรถไฟแล้ว สายตาจึงกวาดตาชะเง้อชะแง้แลหาใครคนนั้น แล้วก็พบ...

ทำไมนะ?

ทำไมต้องเป็นเขา... คำถามที่เฝ้าถามกับหัวใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายกับวันเวลาอันแสนยาวนาน

หากทำไม? ทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่ผมเฝ้ารอ หรือเพราะดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เขาถือมา

ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นผู้ชายตัวโตกับดอกลิลลี่ ที่ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหน หากสิ่งที่ทำให้ผมแพ้ตลอดคือความสม่ำเสมอ และความพยายามของเขานั่นเอง ช่อลิลลี่ที่ถูกส่งมาให้พร้อมประกายตาที่หวานซึ้ง

“ที่หายไปเพราะนี่น่ะเหรอ เขน” คนให้ยังคงยืนยิ้ม

“ก็เขนสัญญาไว้แล้ว เขนจะไม่มีวันผิดสัญญาเด็ดขาด... ชอบไหมครับ”

“อืม... ชอบ” ผมมองดอกลิลลี่แรกแย้มที่เกาะพราวไปด้วยหยดน้ำใสในมือ

“ชอบอะไร... ดอกไม้หรือคนคะ”

‘ยังจะต้องมาจีบอะไรกันอีกตอนนี้นะเขน’ ผมคิดเพลียในใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาของคนที่ทอดมองมาก่อนหน้า แล้วจึงพบความหมายที่สื่อสารออกมาทางแววตา

‘ขอบคุณครับ’ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ตีความไม่มีวันพลาด หากนัยแห่งการขอบคุณเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้ต้องหลบเลี่ยงสายตาอีกครั้ง แล้วจึงพบว่าสถานการณ์รอบข้างตอนนี้คงไม่ปกตินักด้วยรอยยิ้มของคนผู้คนรอบข้าง

“ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวตกรถไฟ” ผมจึงรีบลุกขึ้น ก่อนจะเริ่มเดินหนีออกมา และเร่งฝีเท้า เพื่อหนีเสียงหัวเราะของคนที่เดินตามมาข้างหลัง

เขารู้ว่าผมกำลังเขินอาย ทีใครทีมันนะเขน

 

15.23 น.

ทิวทัศน์เขียวขจีของป่าไม้ในหน้าฝนเคลื่อนผ่านกรอบกระจกใสของหน้าต่างรถไฟ ภาพบรรยากาศที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง เป็นการผ่อนพักที่สมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และช่างเติมเต็มยิ่งนักเมื่อได้อยู่กับคนที่รัก เส้นทางเดิมที่เคยผ่านย้อนกลับ...

ในอดีต...ค่ำคืนนั้นที่แสนทรมาน

หากปัจจุบัน....ในวันนี้ช่างสุขล้นเต็มเปี่ยม

 

เพราะ...คนคนเดียว

เพราะ...หัวใจดวงเดียวที่รักคงมั่น

เพราะ...ผู้ชายคนเดียวที่นอนหนุนตักอยู่

ผมหยักศกกับใบหน้าคมของคนที่ไม่ยอมนอนบนเตียงคนเดียว กำลังคลี่ยิ้มจาง ๆ ในขณะที่นอนหลับอย่างเป็นสุข ทำให้เตียงนอนชั้นล่างว่างเปล่าเมื่อผมตัดสินใจตื่น และลุกขึ้นมานั่งดูวิว หากเตียงนอนชั้นบนดูจะสาหัสกว่าตรงที่ไม่ได้รับความสนใจใยดีจากผู้โดยสารทั้งสอง และถูกยัดเยียดให้แบกรับสัมภาระในการเดินทางทั้งหมด

เส้นทางเดิม... หากคนละความรู้สึก

ในอดีตค่ำคืนนั้นหัวใจเจ็บปวดร้าวราน หากแต่เพราะเลือก...

เพียงเพราะเลือกตามความต้องการของหัวใจ จึงทำให้ปัจจุบันเรายังคงมีกันและกัน เรายังคงเคียงข้างกันไม่ห่าง ไม่ว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสุขหรือความทุกข์เพียงใด เพียงแค่มีเขา โลกที่เคยโดดเดี่ยวก็ถูกเติมเต็มเสมอ

ทำให้เริ่มไม่แน่ใจ... ใครกำลังเสพย์ติดใครกันแน่

หากอาจ...เหมือนกับคำถามที่ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน บางคำถามจึงไม่มีคำตอบ และก็คงไม่มีคำตอบจริง ๆ สำหรับคำถามนี้

“คิดอะไรอยู่คะ” เสียงอู้อี้ดังขึ้น

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เขนนอนต่อเถอะ”

“เปล่า แล้วยิ้มทำไมอะ”

“อ้าว...ห้ามยิ้มด้วยเหรอ”

“หึหึหึ” เสียงหัวเราะน่าเกรงขามดังขึ้นจากคนที่กำลังลุกนั่ง ก่อนที่จะแทรกตัวมานั่งชิดริมหน้าต่างแทนโดยรวบร่างบางปลิวขึ้นมากกกอดอยู่ในอ้อมอก

“รุ่งจ๋า.......”

“ครับ”

“ต้องตอบจ๋าสิ”

“วันนี้เยอะนะเขน”

“หวาน ๆ หน่อยสิ มาฮันนี่มูนทั้งที”

“ใครว่า”

“ก็เขนนี่แหละว่า”

“แล้วใครแต่งด้วย”

“เขนขอม๊าแล้วเหอะ เมื่อเช้า”

“หา...........” ผมหันกลับไปมองเขา ด้วยรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดเล่น

“โทรไปจริง ๆ เมื่อเช้า...” แล้วคนตอบก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“เขน...พูดอะไรไปบ้าง บอกอะไรหม่าม๊าไปบ้าง” ผมอดซักไม่ได้ แม้ทั้งสองครอบครัวจะรู้อยู่แล้วอย่างแน่นอนว่าเรากลับมาอยู่ด้วยกันใกล้จะครบปีแล้ว หากเรื่องบางเรื่องก็รู้กันโดยพฤตินัย โดยไม่ได้บอกกล่าวอะไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้า

“ก็บอกว่า...เขนรักรุ่ง เขนขอรุ่งนะครับหม่าม๊า”

“เขน.........”

“ม๊าก็บอกว่า ‘ม๊ายกให้ แต่ขอให้เขนรักและดูแลน้องตลอดไปนะลูก’ อย่างงี้เลย”

“เห็นไหมรุ่งเป็นของเขนแล้วรู้ตัวไว้เลย ม๊ายกรุ่งให้เขนแล้ว” อ้อมกอดที่รัดรึงจึงกระชับอย่างหวงแหน

“เราเลยมาฮันนีมูนกันไงคะ ยอมรับหรือยังคราวนี้…” ก่อนที่คนตัวใหญ่จะโยกเล็กน้อยเหมือนตั้งใจจะกล่อมเด็ก

“เขนพารุ่งมานั่งรถไฟชมวิวทิวทัศน์แล้วนะ คืนนั้นเราเดินทางกันตอนกลางคืน รุ่งเลยไม่ได้เห็นวิวอย่างที่ต้องการเลยใช่ไหม ครั้งนี้เราเลยมาเก็บประสบการณ์ดี ๆ กันใหม่นะครับ” ผมตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก หากภาพเหตุการณ์ในอดีตไหลย้อนกลับ

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

‘อยากนั่งรถไฟ’

‘ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเเหรอ’

‘ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ’

ความต้องการในสิ่งเล็ก ๆ ที่ต้องการปิดบังความปรารถนาเบื้องลึก หากอีกคนกลับทำให้เป็นจริง

‘โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่’

‘ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว’

‘ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ’

‘ไม่ได้ลำบากอะไรเลย....รุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข’

“ข..เขน...........”

“จ๋า.......คนดี” รอยยิ้มที่แสนใจจริงใจซื่อตรงส่งผ่านเข้าสู่หัวใจ

“รุ่งรู้ไหม... ไม่เคยมีเรื่องไหนของรุ่ง ที่ไม่สำคัญสำหรับเขน มีเรื่องอะไรบ้างที่รุ่งอยากได้ที่รุ่งต้องการ แล้วเขนจะไม่ขวนขวายหามาให้”

“รุ่งจ๋า..... เขนรู้ว่าเขนอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด แต่เขนสัญญาว่าเขนจะทำให้รุ่งมีความสุขมากที่สุดนะคะ เขนสัญญา”

“ไม่หร.....” หากความอบอุ่นเนียนนุ่มประกบรุกไล้ดูดกลืนคำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกจากริมฝีปากบางแนบแน่นเรียกร้องการตอบสนอง ความตระหนักคิดเคลื่อนหายกระจายออกจากสมอง ปลายลิ้นเล็กบางจึงเริ่มเกี่ยวกระหวัดสนองตอบอย่างยอมจำนน

จนกระทั่งสมองเริ่มว่างเปล่าปลอดโปร่งขาวโพลน และร่างกายเริ่มสะท้านสั่นจากรอยจุมพิตที่เนิ่นนานเจียนจะขาดใจ ก่อนที่คนที่รุกล้ำจะปลดปล่อยให้จิตวิญญาณที่ถูกดึงดูดฉุดกระชากออกไปได้กลับคืนเข้าร่าง และกระซิบหอบแหบพร่า

“อย่าห้ามเขนเลยนะรุ่ง... ขอแค่เขนมีโอกาสได้อยู่ข้าง ๆ รุ่ง ขอแค่เขนได้จดจำทุกอย่างที่รุ่งชอบ ที่รุ่งต้องการ ขอแค่ให้เขนได้ทำอะไรเพื่อรุ่งเถอะนะ”

“เพราะ...ชีวิตนี้เขนยอมผิดพลาดแค่ครั้งเดียว เขนยอมแค่เรื่องเดียว เขนยอมแค่ปล่อยให้ความทรงจำครั้งนั้น ความทรงจำในความรักครั้งแรกของเราถูกลืมเลือน ถ้าหากมันจะทำให้เราไม่เจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่ ถ้าหากมันจะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป”

“เขนก็พร้อมจะยอม...อย่างเดียว เพราะมันเป็นสิ่งที่รุ่งต้องการ”

“ข..ขอบคุณเขน ขอบคุณมากจริง ๆ”

ผมบอกทุกคนหรือยัง... ผมรักผู้ชายคนนี้

ผมรักผู้ชายของผม... และเขาจะเป็นของผมตลอดไป

 

23.23 น.

รถไฟมาถึงจุดหมายปลายทางสายกว่าเวลาที่ระบุไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราใช้เวลาเช่ารถ และแวะหาอะไรทานในตัวเมืองก่อนที่จะกลับมาที่บ้าน

‘ยังไม่มีคนมาเช่าต่อเลย เขนเลยลองถามเจ้าของเขาไว้แล้ว ว่าถ้าเราจะขอซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศน่าจะดีนะรุ่ง’ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เขาพูดจริงก็จะทำจริง มันอาจจะดูมากเกินไปนิดสำหรับคนอื่น ๆ หากที่นี่คือสถานที่ที่เรารัก คือสถานที่แห่งความทรงจำ ผมจึงไม่คิดจะขัดหรือปฏิเสธ

แม้เวลาจะล่วงเลยใกล้เที่ยงคืน หากเรายังคงจูงมือเดินดูบริเวณรอบ ๆ บ้านด้วยกัน ต้นมะม่วงหน้าบ้านเต็มไปด้วยใบเขียวครึ้ม เพราะสายฝนที่ชุ่มฉ่ำของฤดูฝน โต๊ะหินอ่อนที่สวนหลังบ้านเริ่มรกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่สูงยาว ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องนอน เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ยังคงสภาพเดิม หากมีร่องรอยของคราบของฝุ่นให้เห็นบางตา จนน่าแปลกใจ

‘พี่เจ้าของบ้านให้คนมาทำความสะอาดไว้ให้’

เรามาจบการเดินสำรวจบ้านที่ห้องนอนเดิมของผมซึ่งทุกอย่างยังคงสภาพเดิม แม้แต่แจกันหัวนอนที่ยังคงปักดอกลิลลี่ที่แห้งโรยรา มีเพียงแต่เก้าอี้ริมระเบียงที่หายไปอยู่ที่วังศศิธร หากวิวนาข้าวที่พลิ้วไสวตามสายลมยามค่ำคืนก็ยังคงเดิม จึงได้แต่ยิ้มให้กับสายลมและบรรยากาศเดิม ๆ อันแสนคิดถึงและหวนหา ก่อนจะหันกลับมาพบ

“เขนทำอะไรอะ” ผมทักขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังหาจัดการกับแจกันที่ปักลิลลี่ที่ร่วงโรย

“เขนจะจัดการทำความสะอาดแล้วปักดอกใหม่ให้รุ่งไง”

“แล้วดอกนั้นล่ะ” ผมมองกลีบดอกที่ถูกกอบกำอยู่ในมือใหญ่

“ก็.........”

“เอามานี่เลยของรุ่งนะ”

“มันไม่ได้อบแห้งนะรุ่ง แล้วกลีบดอกก็ร่วงหลุดออกจากกันหมดแล้วด้วย”

“ไม่รู้หละของรุ่งเอามาเลย” ผมเดินไปแบมือขอซากลิลลี่ในมือใหญ่มา

“..........มันไม่ไหวแล้วมั้งรุ่ง”

“เขนเอามาปักไว้ให้รุ่งใช่ไหมล่ะ ก็เป็นของรุ่ง รุ่งจะเก็บ ไหนบอกว่าตามใจทุกอย่างไง ถ้ารุ่งมีความสุข” ผมจึงทวงสัญญา ที่เขาเพิ่งให้ไว้

“ครับที่รัก จะน่ารักไปไหนนี่” เขาล้อ หากผมอดหมั่นไส้คนที่ตั้งใจจะทิ้งดอกลิลลี่ของผมไม่ได้

“เขนเอาลิลลี่ดอกใหม่ไปใส่แจกันเลย แล้ววันนี้แค่นี้แล่ะรุ่งจะนอนแล้ว”

“อ้าวแล้วเขนล่ะ”

“ก็กลับไปนอนห้องเขนสิ อยากรำลึกความหลังไม่ใช่เหรอ”

“อะ...รุ่ง ขอเขนนอนที่นี่ด้วยคนนะ”

“ไม่รู้ ไม่สนใจ”

“รุ่งจ๋า...อย่างอนนะ นะคะ”

คุณก็เดาได้ใช่ไหม... เขาก็กลับไปนอนที่ห้องเขาไง

ใช่เหรอ

 

เราออกเดินทางออกจากบ้านสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น สู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

“เขนรู้จักที่นี่ได้ไงอะ” ในเมื่อเรากำลังขับรถเดินทางย้อนรอยอดีตกัน ผมก็จึงเริ่มถามหาที่มาของความหลัง

“ก็อย่างที่บอกตอนนั้นไงที่ฝ่ายเขาคุยกันว่าจะมาเที่ยวกัน” คนตอบหลบสายตา

“แล้วก็ไม่มีใครมา” ผมจึงดักคอ

“ก็เขาบอกว่าจะมากัน เขนก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าวันไหน” นั่นไง เชื่อหรือยังครับ หมอนี่ก็ร้ายไม่เบา

“เจ้าเล่ห์”

“ยอมครับ ยอมรับผิดโดยดีเลย รุ่งจะลงโทษอะไรอีก เขนยอมทุกอย่างเลย รุ่งเอาเข็มขัดอีกไหม” หากสายตาของคนสำนึกผิดช่างตรงกันข้าม

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาพูดดีเลย” สำนึกผิดตรงไหน

“เขนยอมให้รุ่งลงโทษจริง ๆ นะ ยอมทุกอย่างเลย” แววตาที่มองตรงมาบอกนัย ความต้องการโจ่งแจ้งของคนที่ไม่เคยพอ

“จริง ๆ นะรุ่ง” หากเมื่อถูกรบเร้า ผมกลับเป็นฝ่ายต้องถอนหายใจแล้วหลบเลี่ยงสายตาจากเจ้าของทริปฮันนีมูนที่ออกจะตักตวงประโยชน์เข้าหาตัวเองอย่างเกินเลย และแกล้งหันไปให้ความสนใจวิวข้างทางที่รถขับผ่านมากกว่าคนที่ร้องแง้ว ๆ อยู่ หากยังอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

คุณรู้ไหม...

บางทีความรัก... ก็มักจะหาผลเสมอไม่ค่อยได้จริง ๆ ผมแอบอ่อนใจ

 

03.23 น.

ด้วยเพราะบทรักอันแสนหวานที่ยาวนาน และละเมียดละไมเพิ่งจบ ทำให้ความร้อนระอุของทั้งสองร่างที่ยังคงทาบทับกันอยู่บนเตียงเดี่ยวริมหน้าต่างค่อย ๆ จางลงตามระยะเวลาที่ผันผ่าน ก่อนที่เสียงกระซิบหยอกล้อแผ่วเบาของบทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น

“ดีจังเลยนะครับ”

“อารายอะ”

“ลูกนกที่เอาแต่นอนปิดตาวันนั้น เก่งขึ้นเยอะเลยนะคะวันนี้”

“เขน!!!” ผมอดไม่ได้ที่จะหยิกลงที่เอวของร่างใหญ่เบื้องล่าง

“โอ๊ย... รุ่ง หรือว่าไม่จริงหละ”

“......................................”

“ก็วันนั้นใครบางคนเอาแต่นอนหลับตาตัวสั่นอยู่ท่าเดียว”

คำพูดที่ทำเอาความร้อนที่กำลังจะจางหายด้วยอากาศเย็นชื้นจากสายฝนภายนอก กลับเร่งอุณหภูมิสูงขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วจนต้องหันหน้ากลับมุดซบลงในอกแกร่งอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงอดีตในวันนั้น... บทรักอันร้อนเร่าหวานละมุน ร่างที่ถูกกลืนกินไปทั่วทุกตารางนิ้วอย่างหมดจดทุกหยาดหยด ร้างไร้ซึ่งความสามารถและประสบการณ์จะต้านทานสิ่งใดได้อย่างแพ้ทุกทาง...

“....ถ..ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะสงสารกันบ้าง...” หากยังอดที่จะตัดพ้อไม่ได้

“ก็รุ่งอยากน่ากินเองทำไมล่ะคะ เขนรอรุ่งมาตั้งกี่ปี”

“ให้มันรอจริงเถอะ ไปรอที่ไหนถึงเก่งซะขนาดนั้น”

“ขอบคุณครับที่ชม”

“หึ...หมั่นไส้ พวกคนหลงตัวเอง” อดไม่ไหวจริง ๆ ครับ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นกึกก้อง ทำเอาผมแทบจะลุกขึ้นผละหนี หากยังคงถูกกกกักไว้ในอ้อมกอด ก่อนที่จะงอนง้อ

“เปล่าหรอกรุ่ง... เขนรอรุ่งจริง ๆ นะครับ สาบานได้ อาจจะมีใครที่ผ่านเข้ามาบ้างไม่แปลก แต่อยากให้รุ่งรู้ไว้ว่าไม่ว่าใครที่เคยผ่านมา ไม่เคยทำให้เขนรู้สึกเติมเต็มความรักทั้งหัวใจได้เท่ารุ่งเลย เขนไม่ได้หลงตัวเองหรอกรุ่ง แต่เขนหลงรุ่งมากกว่านะครับ”

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย”

“จริง ๆ นะให้พิสูจน์อีกได้ไหม”

“เขน..............”

“หึหึหึ แต่รุ่งรู้ไหม... เขนดีใจที่ได้เป็นคนแรกของรุ่ง”

“เห็นไหมว่าขี้โกงกัน เห็น ๆ”

“รุ่งจ๋า... ยอมให้เขนขี้โกงเถอะ แค่นี้เขนยังหึงยังหวงรุ่งขนาดนี้เลย ถ้ารุ่งเคยมีใครจริง ๆ เขนไม่ต้องไปตามเก็บคนที่ผ่าน ๆ มาของรุ่งเหรอ”

“รุ่งยังไม่ทำเลย” ผมค้าน

“ก็รุ่งของเขนน่ารัก ใจดี” ลูกอ้อนที่มักทำให้ใจอ่อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผล

“รู้ไว้เถอะว่าไม่จริง อย่าให้รู้เชียวว่าใคร” เสียงหัวเราจึงดังขึ้นอีกครั้ง

“โอเค ครับจะไม่ให้รู้เด็ดขาดเลย”

“เขน!!!”

“รุ่งจ๋า...เรารักกันมากี่ปีแล้ว ไม่มองใครนอกจากกัน และกันมานานเท่าไหร่ แล้วถ้ารุ่งมาเป็นเขน ถ้าได้คนที่เรารักกลับคืน รุ่งคิดว่าเขนจะกลับไปหาคนที่แค่เคยผ่าน ๆ มาเหรอคะคนดี”

“เขนออกจะหลงรุ่งขนาดนี้ หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วชาตินี้ เผลอ ๆ จะหลงมาตั้งแต่ชาติที่แล้วด้วย หรือต่อให้ชาติหน้าก็อาจจะยังไม่เลิกหลงด้วยอะ แล้วเขนจะมีสายตาไว้มองใครที่ไหนอีกไหม หรือจะให้ย้อนกลับไปชอบใครที่แค่เคยผ่าน ๆ มาได้อีกเหรอคะ”

“ให้มันจริงเถอะ”

“งั้นสงสัยต้องพิสูจน์จริงแล้วหละ”

“เขน....อ.อย่า....อื้อ......อะ”

พระจันทร์ยังคงส่องแสงนวลกระจ่าง ในคืนเดือนเพ็ญสาดกระทบสายฝน เส้นบางปรอยปรายบางเบา ทำให้บรรยากาศรอบข้างช่างเป็นใจให้บทบาทท่วงทำนองแห่งรักเริ่มจึงต้นดำเนินสานสืบบรรเลงต่ออีกครั้ง ด้วยความช่ำชองเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายที่อย่างไรก็ไม่ได้เทียบเท่าเคียงใกล้กัน เพราะเขารู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักร่างกายของตัวเองด้วยซ้ำ ลีลาท่าทาง สัมผัสแห่งรักละมุนที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็รู้สึกสุขสมเสียวซ่านมากล้นจนเกินการควบคุมสติของตัวเอง

ไม่อยากจะบอกจริง ๆ ว่าทริปนี้ทั้งทริปผมน่าจะมีแต่เสียกับเสีย หากคนที่มีแต่ได้กับได้น่าจะเป็นเขาอย่างแน่นอน ไม่น่าไปแกล้งเขาก่อนเลยจริง ๆ และอย่างที่บอกการเสมอนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง

บางครั้งเรามักจะชนะบางสิ่ง

และบางทีเราก็มักจะมาแพ้บางอย่างเสมอ ๆ

 

เพียง... ‘เพราะ...ใจ’





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: 'CAUSE OF HEART 14.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-03-2018 17:39:00
หวานกันเข้าไป
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: JUST...ONLY YOU 15.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 15-03-2018 09:42:07
Chapter XXII Just…Only YOU

 

เสียงแห้งแหบพร่าสั่นสะท้านโรยแรงของร่างบางที่รวบรวมแรงกำลังในวาระสุดท้ายเพื่อเพียรพยายามเค้นแต่ละถ้อยคำให้เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางไร้สีโลหิต

“พี่ชายครับ”

“ครั้งนี้ เปลี่ยนกัน ได้ไหมครับ”

“ครั้งนี้..... ให้ผม ไปก่อน”

“ให้ผม ไปรอ พี่ชายก่อน”

เด็กน้อยเอ่ยเหมือนมิได้ซาบซึ้งถึงหัวใจของคนเป็นพี่ที่ใกล้จะขาดรอนตามลมหายใจรวยรินของน้องน้อยในอ้อมกอด

“พี่จะรีบตามไป”

ร่างเล็กจึงสะดุ้งสุดตัว และดิ้นรนฝืนสุดกำลังเพื่อยกมือเรียวบางมาแตะลงที่ริมฝีปากพี่ชาย ก่อนละล่ำละลักสะอึกสะอื้นหอบบางจนคำตอบขาดหายเป็นช่วง

“ไม่.....ไม่ครับ”

“ชาตินี้ ผมรอ และผม จะไปรอ”

“ขอเพียง พี่ชาย จะรอ ผมบ้าง รอที่นี่”

“พี่ชาย ต้องสัญญา ต้องให้สัญญา”

“ใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่ ให้มีความสุข ให้คุ้มค่า”

“ไม่มีอรุณ พี่คงไม่มีวันมีความสุขได้อีก” ร่างที่ไร้วิญญาณจะดำรงคงอยู่ได้อย่างไร ถ้าขาดซึ่งหัวใจรัก ความเข้มแข็งสุดท้ายของคนเป็นพี่คงยืนหยัดอยู่ได้เพียงแค่ส่งดวงใจอันเป็นที่รักเดินทางไกลไปก่อนให้สิ้นเสร็จสมบูรณ์ แล้วพี่จะรีบตามไป หากสิ่งมิคาดคิดเกิดขึ้น คำมั่นที่มิอาจปฏิเสธด้วยความประสงค์สุดท้ายของยอดดวงใจ

“ได้โปรดเถิด...พี่ชายครับ ดูแลคุณก๋ง ดูแลท่านอา ดูแลเจ้าจ้อย”

“ทำทุกอย่าง ให้สมบูรณ์ ตอบแทน ทำแทน ผมด้วย”

“ผมจะรอ ผมจะคอย ไม่ว่านาน แค่ไหน จะคอย เพียงพี่ชาย คนเดียว”

“สัญญา นะครับ ทำเพื่อผม ทำแทนผมด้วย”

“อรุณ......................”

 

(16 ปีต่อมา)

คืนเดือนมืดอับแสงที่แสนเกลียดชัง แม้แสงที่เคยพร่างพราวด้วยดาวดวงน้อยก็ลิบหายคล้ายคล้อยด้วยมิอาจฝืนต้านทานทนกระแสลมหนาวที่พัดพาละอองหยาดฝนเม็ดเล็กปลิวปรายเมื่อท้ายฤดูวสันต์ย่างเข้าคิมหันต์ฤดู ความเหน็บหนาวที่แสนกรีดลึกปาดบาดผิวกายหยาบเข้าไปปวดแปลบเจ็บลึกกดซ้ำถึงเลือดเนื้อภายในหัวใจที่ด้านชาไร้เรี่ยวแรงกำลัง

คงใกล้เวลาแล้วสินะ...

ร่างสูงของชายวัยกลางคนในชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวหม่นที่ยืนทอดสายตามองสวนฝรั่งที่เคยสดใสเขียวขจี หาก ณ บัดนี้ใบไม้ต่างเปลี่ยนสีที่ปลิดปลิวร่วงหล่นลงสู่พื้นพสุธาธาตุดินที่โอบอุ้มแข็งแกร่งยิ่งนัก

วันหนึ่งไม่นานนัก... ภาระหน้าที่พันผูกเคยเหนื่อยหนักโหมโรมเร้า พันธกิจที่ให้คำมั่นสัญญาใกล้สมบูรณ์ลุล่วงเสร็จสิ้นแล้วนะยอดรัก

คุณก๋งร่มโพธิ์ใหญ่แห่งตระกูล ท่านจากสิ้นรุดล่วงลาลับไปก่อนหลายปี กิจการงานทุกสิ่งจึงถูกแบ่งจัดสรรให้ลงตัวโดยกงสีที่ผู้ถือครองประโยชน์ส่วนใหญ่เอ่ยปาก ผลกำไรทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นกรรมสิทธิ์อุทิศแก่สาธารณประโยชน์

หนึ่งชีวิตที่เหลือและอดทนฝืนรอ สิ้นแล้วในความหวนหาปรารถนาในสิ่งใดแม้แต่สัมผัสมธุรสอ่อนหวานอาหารฝีมือล้ำวิจิตร ยังฝืนกลืนกล้ำ เพียงเพราะ ‘หน้าที่’ หากแม้แต่เรือนไม้หลังใหญ่ใจกลางสวน บัดนี้ก็ว่างเปล่ารกร้าง ด้วยเจ้าของที่รีบรุดเดินทางจากชาติภพ ณ ปัจจุบันไปได้ไม่นาน

“อา… ขอไปก่อน ขอบคุณมากชาย” ร่างกายชายชราตรงหน้าที่ทรุดโทรมเกินวัย ญาติพี่น้องผู้ใดที่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดต่างรู้ ชายที่เคยเจริญวัยในสังคมดูแลตัวเองดียิ่ง แม้ท่านจะยืนหยัดฝืนยิ้มสดใสปานใด หากเมื่อสิ้นไร้แรงใจการดำรงชีวิตทุกอย่างจึงแปรเปลี่ยน ชายที่อ่อนไหวด้วยอารมณ์ศิลป์ เมื่อพระทัยไร้สิ้นเครื่องยึดเหนี่ยวหน่วงนำ จึงลุ่มหลงพิษร้ายอรรถรสแท้แห่งเมรัยเกินกว่าจะป้องปราม จนกระทั่งเสาหลักต้นสุดท้ายในชีวิตสั่นคลอนรอเพียงเวลาล้มลง

“ท่านอา”

“ชายต้องเข้มแข็ง อีกไม่นาน”

“อา... จะไปบอกคนที่เฝ้ารอ อีกไม่นาน... การรอคอยจะสิ้นสุดจบสิ้นสักที...”

“ครับ ท่านอา ฝาก...ฝากบอก...” ลมหายใจสุดท้ายที่จากไปพร้อมกับรอยยิ้มแย้มเยือน

“ฝากด้วยครับ ฝากบอก... ฝากด้วย...” วาระสุดท้ายกับดวงพักตร์ที่เปี่ยมสุขชายชราที่เสมือนหวนกลับย้อนคืนวัยดังชายหนุ่มแรกแย้มฉายชัด

คนมารับคงทำให้พึงใจ

ความพันธสัญญาที่ก้าวล่วง ภารกิจที่โหดร้ายต่อหัวใจจนเกินไป...จบสิ้น

ใบปริญญาที่จัดแจงให้ใส่กรอบแขวนอยู่ที่ฝาผนังเหนือโต๊ะหนังสือ ซึ่งเจ้าตัวภาคภูมิ และยืนหยัดมั่นคงไขว่คว้ามาได้ด้วยความมานะ อุตสาหะ เด็กชายตัวน้อยที่เคยวิ่งเล่นสดใสซุกซน มิเคยกลับมาเป็นได้ดังเดิม ตั้งแต่เพื่อนเล่นเจ้าชีวิตลาจาก

เหตุใด ไฉนจะมิรู้ ความรักพันผูกมากมาย

ใครบ้างไม่ตกหลุมรัก...แก้วตา

“เป็นอย่างไรบ้างเรา”

“คุณชาย... ลุกขึ้นมาทำไมครับ”

“ไม่เป็นหรอก เรารู้ตัว... ของเราดี” คนมองด้วยความฉงนประหลาดใจ ราชนิกุลที่ล้มหมอนนอนป่วยเกือบครึ่งปี ลุกขึ้นเดินเหินรอบวังตั้งแต่อรุณรุ่งจนย่ำค่ำ ขาที่เคยไร้เรี่ยวแรงกลับฟื้นคืนมาแข็งแกร่งคงมั่น

ใครจะรู้...

“งานเป็นอย่างไรบ้าง...เจ้าจ้อย”

“เหนื่อยมากไหม ต้องดูแลทั้งที่นี่ ทั้งช่วยงานที่ห้าง”

“มิได้ครับ คุณชาย มิได้หนักมากมายอะไร”

“ขอบใจนะ ขอบใจเรามาก...” เด็กน้อยเติบโตกล้าแกร่ง ใกล้เข้าสู่วัยสร้างฐานรากตั้งมั่นครอบครัว หากมิต้องมาคอยพะวงรับใช้เจ้านายคนเดิม

ถึงเวลาแล้วจริงๆ สินะ

วางใจได้แล้ว เห็นไหมคะ... ยอดดวงใจของพี่

“พรุ่งนี้ก่อนรุ่งเช้า... ขึ้นไปพบเราที่ห้องหน่อย มีอะไรจะให้ช่วย”

“ครับ”ร่างสูงผละจากห้องเล็กชั้นล่างด้วยหัวใจสงบปลอดโปร่ง และเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มเยือนสดใสฉาบฉาย

คนป่วยที่ลุกขึ้นฝืนเดินแคล่วคล่องทำเอาทั้งวัง ลอบยิ้มประหลาดใจ

หากมิมีใครใคร่รู้...

ราตรีมืดมิดมิได้เป็นอุปสรรคของคนที่เกิด และโตที่นี่ ย่างก้าวมั่นคงก้าวเดินตัดตรงสู่ใจกลางสวน ต้นปีบสูงใหญ่แข็งแกร่งคงมั่น หากดอกไม้สีขาวนวลก้านยาวร่วงหล่นปรายโปรยด้วยสายลมที่พัดแผ่วบางเบาดังตั้งใจทายทัก

“อรุณ....... น้องหรือ......” เสียงที่หลุดร้องครางครวญเรียกหา

‘เจ้าแสงจันทราน้องน้อยของพี่ยาเจ้าอยู่ ณ แห่งหนใด’ หัวใจร้องร่ำเพรียกหา กรุ่นกลิ่นหอมละมุนชายโชยปลอบโยนหัวใจที่แห้งแล้งปวดร้าวดังสายน้ำทิพย์หอมหวานชื่นใจ

“พี่รู้... อีกไม่นาน” เช่นนี้สินะ วาระสุดท้ายที่ท่านอาแย้มเยือน การเดินทางต่อไปมิได้น่าตกประหม่าหวาดกลัว เมื่อมีคนเฝ้ารอ...

 

กายหยาบที่ยังคงมีทุกข์ติดพันเหนื่อยหอบสิ้นแรงทรุดกายนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกรอยอดีตลงในหัวใจ มือที่ตกทิ้งอยู่ข้างร่างสัมผัสความนุ่มนวลอ่อนละมุนเย็นฉ่ำ ของดอกปีบสีขาวดอกเล็กซึ่งเต็มไปด้วยหยดหยาดน้ำค้างที่ประพรม

ความแข็งแกร่งมั่นคงของต้นไม้แห่งความทรงจำนำพา...

กลิ่นหอมที่ซึมซาบดังดอกปาริชาตหน่วงนำอตีตาหวนย้อนคืน...

 

“อรุณ...... อรุณไปไหนมีใครเห็นบ้าง” เสียงตะโกนก้องตึก ที่ทำให้สาวน้อย สาวใหญ่ที่กำลังง่วนกับงานตรงหน้าลอบอมยิ้มให้กับความร้อนรนเอาแต่ใจของเจ้าของวังตัวน้อยรุ่นต่อไป

“อยู่กับหม่อมไหมที่ศาลากลางสวนเจ้าค่ะ” เสียงตอบเต็มไปด้วยความชื่นชมเอ็นดู

“อุ๋ย...คุณชาย ค่อย ๆ วิ่งเจ้าค่ะ” ก่อนขาเล็กที่กระโจนทะยานห้อวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เพียงเสี้ยววินาทีจึงมายืนหอบ

“ลมอะไรพัดมาถึงนี่จ๊ะ ชายเกิ้ง” คนเป็นแม่เอ่ยทักบุตรชายคนโตที่หน้าแดงก่ำหอบจนตัวโยน หากคนตอบยังคงมิได้เอ่ยตอบสิ่งใด หากทรุดตัวลงนั่งริมเสื่อก่อนส่งสายตาเพิ่งพิศมือบางที่บรรจงเลือกคัดดอกปีบด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม พร้อมความฉงนสงสัย

‘ชอบหรือไร’ หากสิ่งที่คิดมิได้กล่าวเพราะใจรู้ จึงหันกลับมาเจื้อยแจ้วเจรจา

“แม่จ๋าทำอะไรครับ”

“ทำยาเส้นให้ท่านชาย ชายอยากมาช่วยแม่อีกแรงไหมคะ” คนฟังมิได้ตอบคำถาม หากยังคงมองนิ่ง

ยาเส้นจากเมืองนอกของท่านพ่อถูกปรุงกลิ่นตกแต่งใหม่ให้หอมหวนรสชาติแห่งแผ่นดินเกิด ด้วยความเชี่ยวชาญชำนาญของศูนย์รวมดวงใจของบ้าน

เสน่ห์ซึ้งละเอียดอ่อนหวานล้ำซึ่งกำลังถ่ายทอดมาโดยตรงยังเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวช่างขัดตาขัดใจ จึงแอบกระซิบถามเบา ๆ เอาเรื่อง

“แล้วเราทำอะไร”

“ช่วยแม่จ๋าเก็บ และคัดดอกปีบค่ะ ดอกช้ำ ๆ แม่จ๋าไม่ใช้ อรุณจะเอาไปเล่นต่อ” ใบหน้าเล็กยิ้มเยือนเปี่ยมสุขออกมาจากดวงตาใสโศก ก่อนหันกลับไปบรรจงคัดแยกดอกไม้สีขาวในกระด้งใบน้อย

“สนุกหรือไร” เสียงกระซิบสะกิดใจทำให้สมองน้อย ๆ ได้ฉุกคิด ดวงตาเรียวเล็กที่แอบเหลือบเหลียวมองแม่จ๋าที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินด้วยความขลาดอาย ก่อนหันกลับมายิ้มแหย ๆ ขึ้นตอบพร้อมส่ายหัวระริก

“งั้นไปเล่นกัน” คนชวนไม่พูดเปล่า คว้าข้อมือพร้อมเตรียมลาก

“พี่ชาย... แต่แม่จ๋า” ร่างน้อยเซถลาพร้อมประท้วง

“อะไรกันชาย อยู่ดี ๆ มาแย่งลูกมือแม่ได้อย่างไรจ๊ะ”

“เดี๋ยวชายไปตามนวลมาให้แม่จ๋าแทนนะครับ”

“แล้วนั่นจะลากน้องไปไหน... ชาย... ชายเกิ้ง....”

 

“ถ้าไม่ชอบคราวหน้าก็บอกไปว่าไม่ชอบ” คนเป็นพี่มิอาจเข้าใจความเมตตาปรานีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่เด็กน้อยได้รับเท่าใดก็มิอาจหาสิ่งใดทดแทน

ทำให้มิเคยกล้าเอ่ยปฏิเสธสิ่งใด

“มาขึ้นมา” มือใหญ่เอื้อมลงมายื้อยุดช่วยฉุดน้องน้อยขึ้นต้นชมพู่มาด้วยกัน

“เกาะดี ๆ ระวังมด เคยปีนไหม”

“ไม่ครับ”

“เป็นผู้ชายต้องหัดปีนต้นไม้” โลกใหม่ที่อีกคนฉุดกระชากอีกคนเข้ามาอยู่ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ความเหงาโดดเดี่ยวที่ค่อย ๆ มลายหายไปด้วยความอบอุ่นใส่ใจที่มีให้กัน

“เกาะแน่น ๆ”

“ระวังนี่ด้วย รังมดแดงเห็นไหม ใบไม้ที่ห่อกลม ๆ นั่น ข้างในมีไข่มดแดง แม่มดจะหวงอย่าไปยุ่งกับมัน”

“ครับ” เด็กน้อยตอบว่องไว หากความสงสัยในความไร้เดียงสาทำให้ยังคงคิด ในใบไม้ที่ห่อกลมข้างในเป็นเยี่ยงไร หากถูกขัดด้วยผลชมพู่สีแดงที่ยื่นมาตรงหน้า

“นี่ไงเลือกลูกแดง ๆ แบบนี้กินได้ หวานแล้ว มานั่งนี่ เกาะดี ๆ ด้วย” น้อยคนจะรู้พี่ชายที่โผงผางคล่องแคล่ว และใจร้อนเป็นไฟ หากห่วงหาอาทร และดูแลน้องน้อยดียิ่ง เด็กชายที่สมบูรณ์พร้อมพรั่งเผื่อแผ่แบ่งปัน และเป็นผู้ให้... สิ่งที่หัวใจดวงน้อยขาดหาย

“อร่อยไหม หวานนะ”

“เอ๊ะ ระวังลูกนี้มีหนอนเจาะนี่เห็นไหม... เดี๋ยวนะ” คนพี่ยืดกายปีนป่ายสูงขึ้นเพื่อเด็ดดึงผลไม้สุขสีแดงฉ่ำที่ปลายกิ่ง

“ลองลูกนี้ดู” มดน้อยยิ้มแฉ่ง กินกรวบรวดเร็วจนคนเป็นพี่อมยิ้มภูมิใจ ก่อนปีนขึ้นอีกและสูงขึ้นอีก เพื่อเก็บชมพู่สีแดงรสหวานมาให้มดตัวน้อยลองลิ้มชิมรส

โดยสุดคะเน... ความสูงสุดเอื้อม

“ตุ๊บ”

“พี่ชาย.....” เด็กน้อยตื่นตะลึงทิ้งตัวลงมา หล่นกองทาบทับ

“โอ๊ย...อรุณ” ความเจ็บแต่แรกมิเท่าเจ้าตัวบางถลาลงมาทับซ้ำ จนน้ำตาเล็ด

“ขอโทษครับ พี่ชาย... อรุณ” หากคนที่ต้องร้องไห้กลับไม่มีน้ำตา เมื่อต้องกอดคนที่ร้องสะอึกสะอื้นไว้ในอก

“ไม่เป็นไร... พี่ไม่เป็นไรนะอรุณ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หากเจ้าตัวน้อยยิ่งปลอบยิ่งร้อง จึงต้องกอดปลอบลูบหลังลูบไหล่อยู่พักใหญ่ เด็กขี้แยจึงลืมเลือน

“ไม่เจ็บแล้วเห็นไหม ขึ้นใหม่ได้แล้ว มาขึ้นมา” ก่อนชี้ชวนเจ้าเด็กน้อยแก้มใสที่เปรอะเปื้อนหยาดนี่หลั่งริน ขึ้นมาบนต้นชมพู่อีกครั้ง ก่อนมือของพี่ชายจะบรรจงเช็ดซับร่องรอยคราบน้ำตา

“ผู้ชายเขาไม่ร้องไห้ กันรู้ไหม น้องพี่ต้องเข้มแข็ง ต่อไปอรุณต่อเข้มแข็งนะ” ธาตุพลังแห่งความแข็งแกร่งยืนหยัดถ่ายทอดปลูกฝัง อีกสิ่งที่พี่ชายมิเคยรู้แต่อยู่ในหัวใจดวงน้อยตลอดมา ต้องเก่งเข้มแข็งเหมือนพี่ชาย กระจาดที่เคยมีดอกปีบกระจัดกระจายหากตอนนี้บรรจุผลชมพู่แดงปลั่งเต็มพิกัด

“เดี๋ยวพี่จะไปขอแบ่งเกลือกับน้ำตาลที่โรงครัว อรุณถือขึ้นตึกก่อนไหวไหม” เจ้าตัวน้อยตากลมพยักหน้ารับก่อนพี่ชายจะวิ่งลับหายไป โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กโหนตัวว่องไวขึ้นต้นชมพู่อีกครา... ด้วยความสงสัยใคร่รู้ที่เต็มเปี่ยม

 

“เกิ้ง.... ชายเกิ้ง ใครก็ได้ไปตามคุณชายมาที่นี่เดี๋ยวนี้” น้อยครั้งที่คนเป็นแม่จะขุ่นข้องหมองเคือง

“เกิ้ง ทำอะไรไปรู้ไหม” เด็กชายยังฉงนสงสัย

“ชายทิ้งน้องไว้ที่ไหน”

“อรุณยังไม่กลับเหรอครับ” ด้วยความหิวกระหาย และมิได้ชื่นชอบพอใจผลไม้ และของหวานดังมดน้อย เมื่อเข้าไปในห้องครัวกลิ่นอาหารเย้ายวนใจจึงทำให้ลืมใครอีกคนเสียสนิท

“เดี๋ยวเข้าไปดูผลงานของชายนะ น้องของชายถูกมดกัดทั้งตัวจนเป็นไข้ ท่านพ่อให้คนไปตามหมอฝรั่งมาดูอยู่”

“แต่ตอนนี้แม่ต้องลงโทษ”

เสียงหวายที่กระทบเนื้อทำให้คนน้องผวา

“พี่ชาย......”

“แม่ครับ แม่จ๋า อย่า.......” ภาพเด็กตัวน้อยที่ยังคงแดงกล่ำด้วยพิษไข้วิ่งถลาเข้ามารับรอยหวายแทนพี่ชาย

“อรุณ......” ทำให้คนเป็นแม่ยืนนิ่งอึ้ง

“อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้คนดี น้องพี่ต้องเข้มแข็งไม่เป็นอะไร พี่ไม่เป็นไร”

“แม่จ๋า อรุณผิดเอง พี่ชายห้ามแล้ว เตือนแล้วอรุณไม่ฟัง อรุณไม่ฟังเอง แม่จ๋าตีอรุณ ทำโทษอรุณเถอะครับ” เด็กน้อยใจเด็ดลุกขึ้นยืนแทนที่พี่ชาย

“ไม่ครับแม่ครับ ชายเอง ชายปล่อยน้องทิ้งไว้เอง แม่จ๋าต้องตีชายถูกแล้ว อรุณหลบไปก่อน รอพี่ตรงนี้ก่อน” ภาพเด็กสองคนที่ยื้อยุดจนล้มลงกอดกันร้องไห้กลมทำเอาน้ำตาคนเป็นแม่ไหลนอง

หรือว่าจะเป็นจริง... หรือคำทำนายจะเป็นจริง

คืนค่ำฝนตกดังฟ้ารั่ว เสียงฟ้าร้องสนั่นครืนครางร่างเล็กยังคงซมด้วยพิษไข้ผวาหาอ้อมกอดของคนข้างกาย

“พี่ชาย...”

“ไม่เป็นไรพี่อยู่นี่” ห้องนอนลูกชายทั้งสองเห็นที่ปีกเหนือ มีเพียงทั้งคู่ที่รู้ ห้องของผู้เป็นพี่ไม่เคยได้ใช้นอนจริง ด้วยข้ออ้างในความคิดเด็กน้อย ‘พี่ไม่ชอบเก็บที่นอน’ สองร่างเด็กเล็กที่นอนเบียดกันบนเตียงหลังน้อย ตั้งแต่คืนแรกที่รับน้องชายคนใหม่เข้ามาจึงเป็นกิจวัตร ด้วยอีกคนที่เต็มใจยินยอม

“ไม่เป็นไรพี่อยู่ที่นี่ พี่จะไม่ทิ้งอรุณไปไหน” ความอบอุ่นที่ทำให้เจ้าตัวน้อยคลายยิ้ม กับภาพแมวตัวเล็ก เปียกฝนมอมแมมในหัวที่ทำให้เจ้าตัวโตกอดกระชับแบ่งปันไออุ่นด้วยความแสนห่วงหาอาทร ความรักความพันผูกปลูกฝังล้ำลึก

หากอนาคต...ไฉนเลยใครจะล่วงรู้

 

“พี่จะรีบกลับ”

การเดินทางท่องเที่ยวกะทันหัน ความตื่นเต้นที่จะได้เปิดโลกผจญภัยของผู้เป็นพี่ทำให้ไร้ซึ่งความกังวลในสิ่งใด เพลิดเพลินกระทั่งหลงลืมเด็กผู้ชายตัวน้อยที่เฝ้ารอชะเง้อคอยหาคนที่ให้คำมั่น

จากหนึ่งชั่วโมง... เป็นหนึ่งวัน จากหนึ่งอาทิตย์... เป็นหนึ่งเดือน

จากหนึ่งปี.... เป็นสิบปี จากความซึมเศร้า... เป็นร่างปราศจากวิญญาณ

 

ความทรงจำฝังลึกเฉลยเปิดเผยขึ้นในวาระสุดท้าย ความรักความผูกพันในอดีตตรึงตราแน่นแฟ้น เด็กน้อยที่ไม่เคยรู้ความเอาแต่ใจ และไร้เดียงสาตั้งแต่วัยเยาว์ผูกรั้งมัดดวงใจดวงน้อยให้เป็นของตน นานแสนนาน... ถ้าเพียงรู้... ถ้าเพียงระลึกได้

วันเวลาที่สูญเปล่าไป... คงไม่ปล่อยผ่านแม้เสี้ยวนาทีที่จะเหลียวมองผู้ใด

 

 

“ขอบใจจ้อย” ห้องปิดตายด้วยหัวใจ ถูกเปิดสลัก ร่างสูงก้าวข้ามผ่านเข้าไปคล่องแคล่วรวดเร็ว ก่อนผู้ที่จะก้าวคล้อยตามติดยังคงสงสัยเอาพละกำลังแรงกายมาจากไหน

ห้องนอนใหญ่ปีกใต้ที่เชื่อมต่ออีกห้อง ไม่มีใครก้าวล่วงผ่านเข้ามาตั้งแต่...เจ้าของห้องนอนเล็กลาจากไกล... เบื้องหลังตั้งตรงสง่างามยืนตระหง่านนอกระเบียงนิ่ง เนิ่นนาน..

 

“จ้อย”

“ครับ” คนตอบสะดุ้งจากความหลังครั้งอดีต

“ฉันอยากฝากเก็บจดหมายนี่ไว้...” ปึกจดหมายสีเก่าคร่ำคร่าจากลิ้นชักโต๊ะหนังสือที่ถูกเปิดออก

“ฉันเชื่อว่าจ้อย คงรู้เรื่องระหว่างฉันกับ ‘คุณ’ ของเราบ้างแล้ว และที่ฉันเลือกฝากไว้ที่เราเพราะรู้ว่า คงไม่มีใครที่รัก ‘คุณ’ ไปมากกว่าเราสองคน แม้มันจะไม่ได้มีความลับสลักสำคัญอะไร หากคงพอไว้อ่านไว้ดูเล่นได้ ทุกตัวอักษร ทุกตัวหนังสือ ช่างเก็บสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเจ้าตัวเอาไว้หมดจด ทำให้อดที่จะ..... คิดถึงไม่ได้” เสียงที่เงียบงัน หากสะท้อนความรู้สึกที่อัดแน่นฝังลึก

การเดินทางครั้งนี้ คงมิสามารถนำ ‘ของรัก’ สิ่งใดติดตัวไปด้วยได้

นอกจากความรัก และความทรงจำ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีวันลืมเลือน

“ว่าง ๆ ลองอ่านดู ฝากดูแลเก็บไว้ เผื่อว่าสักวันหนึ่ง...” เสียงที่ขาดหายด้วยอนาคตที่คนทั้งคู่ก็มิอาจล่วงรู้

“แล้วฉันอยากจะฝากนี่ไว้ด้วย” ซองจดหมายซองใหญ่สีน้ำตาลสภาพใหม่ ถูกยื่นให้คนรับจดหมายมองด้วยความสงสัยใคร่รู้

“พินัยกรรม”

“คุณชาย...”

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจไป ฉันแค่อยากทำอะไรให้เรียบร้อยสมบูรณ์ ‘ก่อน’ ก็แค่นั้นเอง’

“ครับ”

“แต่ถ้าฉันไป... จริงๆ ในจดหมายฉบับนี้ ฉันเขียนยกบ้านหลังนี้ไว้ให้เรา”

“ไม่ครับ คุณชาย ผมรับไว้ไม่ได้” เด็กหนุ่มยื่นคืนจดหมายซองใหญ่คืน ทั้งที่เก็บปึกจดหมายสีเก่าไว้แนบอก ทำให้คนมองลอบยิ้ม

“จ้อย รับไว้เถิด ฝากดูแล ‘บ้าน’ แทนฉัน ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนความกตัญญูที่มีให้ฉันและ ‘คุณ’ ตลอดมา รับไว้ ไม่ต้องเกรงใคร สมบัติอื่น ๆ ให้เขาแบ่งกันไป แต่ ‘บ้าน’ ฉันขอยกให้เราเก็บไว้ ขอยกให้คนที่รักและเห็นคุณค่าของสถานที่แห่งนี้”

 

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ก้าวเดินออกไปของว่าที่เจ้าของวังคนใหม่ ก่อนที่เจ้าของวังที่ถูกต้องตามเชื้อสายคนสุดท้ายจะเดินก้าวไปตรงหน้าภาพวาดที่ถูกผ้าคลุมปกปิดไว้

‘พี่ชาย... ภาพที่ขอไว้ ภาพวาด ที่สัญญา ว่าจะวาดให้ เสร็จแล้ว นะครับ’

‘เป็นสิ่งสุดท้าย เป็นอย่างสุดท้าย เป็นภาพสุดท้าย ที่ผมจะให้ได้ พี่ชายเก็บไว้นะครับ’

‘ค่ะพี่จะเก็บไว้ หากพี่จะเก็บจะจดจำทุกภาพ ทุกความทรงจำของเราทั้งสองคน’

‘พี่จะเก็บความรักของเราไว้ในดวงใจดวงนี้ ไว้ในวิญญาณนี้’

ภาพที่ไม่เคยเปิดออกตั้งแต่ครั้งนั้นทำให้มือใหญ่ยังคงค้าง ภาพในอดีต... ความทรงจำมากมายจนเกินไป

รู้อยู่แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพอะไร และความรู้ ความรัก ทำให้เบาใจ เจ้าของวังคนใหม่จะเพียรเก็บทุกสิ่งไว้เป็นอย่างดี แม้มิได้เห็นด้วยตา หากสัมผัสได้ด้วยหัวใจรัก         พี่กำลังจะเดินทางติดตามเจ้าไป ด้วยความรักความทรงจำที่ฝังมั่นในวิญญาณ

ร่างที่ทรุดลงนอนยาวบนตั่งไม้ทอดมองวิวทิวทัศน์อันงดงาม

16 ปีแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพนี้ 16 ปีเต็มที่ยังตราตรึงในหัวใจ

ร่างน้อยในอ้อมกอดที่ลาจากไกล

‘พี่ชาย......สัญญา สัญญานะครับ’

‘..........พี่สัญญา จะทำทุกอย่างให้เสร็จให้เรียบร้อย แล้วพี่จะรีบตามไป จะตามไปนะคะคนดี’

‘ครับ ผมจะรอ.....’

‘อย่าร้อง อย่าร้องนะครับ’ รอยยิ้มทั้งน้ำตาของร่างสูงที่นอนเดียวดาย กับความทรงจำที่ย้อนคืน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าใครที่ทำให้ ‘ยอดรัก’ เข้มแกร่งยืนหยัดได้เพียงนั้น คำพูดปลุกปลอบที่ผลัดกัน

พี่ชายที่เคยปลอบน้องน้อยตลอดมา

หากในวันนั้น น้องน้อยได้ยืนหยัดทดแทน

‘ชาตินี้ ผมเป็นฝ่าย รอพี่ชาย ตลอดเลยชาติหน้า จะให้ พี่ชาย รอบ้าง’

‘พี่เต็มใจจะรออรุณ รออรุณคนเดียว จะรักเพียงน้องคนเดียว ทุก ๆ ชาติไป’

‘เพราะว่าวันหนึ่ง พี่จะตามไป จะตามหาน้องของพี่ สุดที่รักของพี่ให้พบ และวันนั้นพี่สาบาน พี่จะไม่รั้งรอ จะไม่รอคอย จะไม่ปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปดังเช่นชาตินี้พี่จะตามไป จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำทุกวินาทีให้มีค่าที่สุด สำหรับรักของเรา’

‘พี่จะตามไปหาดวงใจของพี่ให้พบพี่สัญญา’

‘ครับ... ผมจะรอ’

“อรุณ...............ยอดรัก” รอยยิ้มอ่อนบางเปี่ยมสุขของลมหายใจสุดท้าย และการเดินทางที่เฝ้ารอคอย

 

“เขน เขน ทำไมมานอนที่นี่”

“รุ่ง.........” ร่างสูงที่โผเข้าหารวบร่างบางไว้ในแนบอกแน่น ภาพฝันความทรงจำที่เลือนหาย คล้ายม่านบางเบาที่กลับมาทำหน้าที่ปก และปิดทำให้ร่างสูงรู้เพียง...

ความฝันที่สุดแสนทรมาน....

หากใคร... หรืออะไร... มลายหายสิ้น

 

“เขนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” มือบางที่เช็ดไล้คราบน้ำตาที่ยังคงอยู่บางเบานุ่มนวล

“รุ่ง...เขนฝันร้าย”

“เด็กน้อย ฝันร้ายร้องไห้นี่นะ” รอยยิ้มบางแย้มเลียนล้อ เจ้าตัวหาได้รู้เพียงแค่รอยยิ้มน้อย ๆ หากเสมือนน้ำทิพย์สมานบาดแผลภายในจิตใจความรู้สึกเหน็บหนาวอ้างว้างบาดลึกในจิตใจค่อย ๆ หายวับไปอย่างไม่รู้ตัว

“แล้วมาทำอะไรที่นี่อะ มานอนอะไรตรงนี้ รุ่งหาซะทั่ว” ใบหน้าคมครุ่นคิดก่อนตอบ

“เขน เขนลงมาเก็บของ ก่อนที่...”

“ก่อนที่...”

“ก่อนที่จะเห็นภาพภาพวาด... แล้วไม่รู้ทำไม... เหมือนเผลอหลับไปตรงนี้”

สายตาที่ทอดมองตามกันไปยังรูปภาพอวดโฉมตั้งตระหง่านเบื้องหลัง ภาพวาดที่ยังคงตั้งอยู่ในเฟรมขาตั้ง และยังคงมีผ้าขาวพาดคลุมอยู่ส่วนหนึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะผละออกจากอ้อมกอดลุกขึ้นมองเพ่งพิศพิจารณา ร่างสูงที่ยังคงใจไม่ค่อยดีจึงรีบรุดลุกตามก่อนสอดแขนรั้งหลังบางมาติดชิดแนบอกอุ่น

แม้จำไม่ได้แล้วว่าฝันสิ่งใด

หากที่รู้แท้แน่นอนคือสิ่งใด ที่หัวใจต้องการ

“เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“อืม” ความรู้สึกส่งผ่านที่ทำให้ใบหน้าหวานหันกลับมามองคนรัก หลายอย่างที่สัมผัสได้คล้ายคลึงกันในสถานที่นี้ ยิ่งทำให้แปลกประหลาดใจ หากเมื่อไม่มีคำตอบในสิ่งใดจึงหันกลับย้อนมอง

“เสียดายนะมาเก็บไว้อย่างนี้ น่าจะใส่กรอบดี ๆ ไปแขวนไว้หลังเปียโน แต่...”

“ครับ”

“แต่ไม่รู้ว่าของใครน่ะสิ”

“งั้นเดี๋ยวโทรถามเจ้าของไหม”

“อืมงั้น ลองถามพ่อก่อน เดี๋ยวรุ่งโทรเอง คิดถึงพอดี”

“อ้าว แล้วลูกชายพ่ออ่ะ” จมูกคมเรียกร้องความสนใจ แสดงสิทธิกดลึกฝังลงเก็บกลิ่นกรุ่นหอมอ่อนบางบนแก้มนวล

“อะไรเล่า เขนก็อยู่ด้วยกันทุกวันต้องคิดถึงไหม”

“เขนยังคิดถึงรุ่งทุกลมหายใจเลย” ก่อนซุกซบออเซาะลงบนไหล่เล็ก

“พ่อเหมียวขี้อ้อนจังเลย เหมียวแพ้กระจุยแล้ว” เสียงหัวเราะใสที่ทำเอาโลกหม่นหมองกลับมาสีชมพูสวยสดใสอีกครั้ง

“เออเกือบลืมไปเลย รุ่งตามหาเขนว่าจะพาลูกเหมียวไปหาหมอฉีดยาสักที”

“ครับ”

“งั้นไปก่อนเถอะเดี๋ยวร้านหมอปิด เดี๋ยวได้โทรไปหาคุณพ่อด้วย”

“ครับผม”

“วันนี้ ว่าง่ายจัง”

“เขนว่าง่ายมาแต่ไหนแล้วเถอะ อยู่ในโอวาทตลอด ๆ”

“เหรอ...เขนเหรอ ขอให้จริงเถอะ” ร่างบางผันตัวออกจากอ้อมกอด ก่อนดันร่างสูงให้เดินนำออกไปจากห้องเก็บของ

“ไป..ไปได้แล้ว”

“ไม่ไป” คนปฏิเสธกลับพลิกตัวหันหลังกลับมากอดร่างบางเฉกเช่นเดิม

“อ้าว...ทำไมละ”

“เขนไปทุกที่ที่มีรุ่ง รุ่งไปไหน เขนก็จะไป ไปไหนก็จะไปด้วยกัน”

“ก็ไปด้วยกันไง” คนในอ้อมกอดงงงวยสงสัย

“งั้นรุ่งเดินนำไปก่อนเขนจะตามติดทุกฝีก้าวเลย”

“แปลก ๆ นะ” คนพูดยิ้ม หากยอมเดินนำออกมาก่อน ร่างสูงจึงก้าวติดชิดเดินตามพร้อมกับสองมือที่ยังคงเกาะกุมอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งสองจะหันกลับมองภาพปริศนาอีกครั้งและปิดห้องเก็บของลง

หากมินาน ‘ภาพแห่งความทรงจำ’ จะหวนย้อนกลับคืนตกทอดมาสู่เจ้าของโดยสมบูรณ์อีกครั้ง

 

“ถึง… ม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทรไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธารขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา” คนที่เดินนำหยุดเดินกะทันหัน และยกมือที่ขึ้นมาแตะหน้าผากคนที่เดินตาม

“ไม่สบายจริง ๆ หรือเปล่า”

“เปล่านี่” คนตอบทำตาโต เพราะถูกขัดจังหวะการร้อง

“เห็นดูเพี้ยน ๆ ร้องเพลงก็เพี้ยน ๆ” รอยยิ้มล้อเลียนของคนฉลาดพูด หากเกินคาดคำตอบของคนตอบ

“เพี้ยนเพราะรัก ทำใจเถอะรุ่ง” ร่างบางจึงหันกลับฉับพลันอีกครั้ง ก่อนเดินหนีให้ ร่างสูงต้องวิ่งตามอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงหัวเราะที่กลับมาดังสรวลกึกก้องวังศศิธรอีกครั้ง

ซึ่งหารู้ไม่ว่าเป็นอีกครั้ง และอีกครั้ง





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: JUST...ONLY YOU 15.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-03-2018 13:29:40
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺBELONG TO YOU 16.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 16-03-2018 08:13:19
 :L3:Chapter XXIII: Belong to YOU

 

กลิ่นหอมจางรวยรินของดอกปีบสีขาวที่แตกยอดชูช่อเต็มต้นสูงตั้งตระหง่าน ‘ริมรั้วสีขาว’ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกสร้างขึ้นมาใหม่ไม่นานนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีความพยายามอย่างยิ่งในการประดิษฐ์ให้มีรูปแบบทางศิลป์หรือความงดงามให้มีความร่วมสมัยใกล้เคียงกับตัวตึกเพียงใด ถึงกระนั้นแม้ไม่ใช่วิศวกรโดยอาชีพเช่นผม ก็สามารถดูรู้ได้โดยง่ายว่าสิ่งก่อสร้างนี้มิใช่ของเก่าแต่ดั่งเดิมเหมือนดังองค์ประกอบอื่น ๆ ของตัวตึก อาจด้วยโครงสร้าง และวัสดุที่ใช้ซึ่งมีความแตกต่างกันตามยุคสมัย ทำให้ความทรงคุณค่าแปลกแผกกันตามกาลเวลา ผมหยุดยืนพิจารณาความแตกต่างของรั้วสูงสีขาวกับตัวตึกโบราณสองชั้นสีเหลืองนวลที่ถูกตกแต่งซ่อมแซมให้อยู่สภาพที่ยิ่งกว่าน่ามองชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในความคลับคล้าย... มีความเก่าและใหม่ที่ไม่กล่ำกรายใกล้เคียง

เฉกเช่นเดียวกับลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ในมือ และดอกปีบที่ถูกลมพัดต้องตกกระจายพร่างพราวเต็มพื้นสวน กลีบดอกสีขาวละอออองละเอียดอ่อนดุจกัน

ในความคลับคล้าย... หากกรุ่นกลิ่นหอมละมุนทรงเสน่ห์มิได้เสมอเหมือน

“เฮอ.....” ผมได้แต่ถอดถอนหายใจก่อนหอบช่อลิลลี่ช่อใหญ่ไว้แนบอก และเริ่มก้าวเดินตัดตรงมุ่งสู่ด้านหน้าของตึก รวมทั้งทำได้เพียงส่งรอยยิ้มตามมารยาทที่แสนจะแห้งแล้งเต็มทนตามสภาพความเป็นจริงภายในหัวใจให้กับสาว ๆ บริกรที่ร้านขนมหวาน และปลีกตัวขึ้นสู่ชั้นสองของตึกอย่างรวดเร็ว ‘โดยลำพัง’

 

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...” บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับเจ้าของช่อลิลลี่ที่ยังคงวนซ้ำดังก้อง ความทรงจำยังคงแจ่มชัดบาดลึกราวกับเกิดขึ้นในวินาทีนี้...

‘สองดวงตาที่สบประสานเป็นหนึ่ง’ ก่อนที่ระยะทางจะพรากจากให้ไกลตา...

ผมบรรจงวางช่อดอกไม้สีขาวละมุนที่ทะนุถนอมแนบอกไว้ที่เบาะผ้าฝ้ายสีขาวบนตั่งไม้ และผละออกมาทรุดตัวลงที่ม้านั่งพร้อมสูดลมหายใจภายนอกระเบียง

เพียงอาทิตย์เดียว... ระยะเวลาเพียงอาทิตย์เดียว... ที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยน...

‘ไม่ไปไม่ได้เหรอ...’ เสียงร้องอ้อนวอนที่ดังก้องภายในหัวใจ หากไม่สามารถพูดได้

“เขน... ว่ายังไง” น้ำเสียงที่ทอทอดอ่อนหวานละมุนละไม

“ตามใจรุ่ง...” หากไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมรู้เพียงแต่ว่า ‘ผมรักเขาเกินกว่าที่จะฉุดรั้ง’

“แย่จริง! มารู้กระชั้น แล้วต้องไปหลายเดือนด้วย” นี่โกรธแล้วใช่ไหมรุ่ง?

“คนดี... อย่าคิดมากสิคะ” ผมกระชับวงแขนที่โอบร่างบาง พร้อมบีบมือที่สอดประสานกันเบา ๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจ แม้จะตระหนักดีว่าภายในหัวใจของตัวเองก็กำลังจะหมดสิ้นแรงกำลังไม่ต่างกัน

“แป๊บเดียวใช่ไหมเขน...”

“ใช่ค่ะแป๊บเดียว... แค่สองสามเดือน จะมาเทียบกับเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน จนลมหายใจสุดท้ายของเขนได้อย่างไง... จริงไหม”

“เนอะ...แป๊บเดียว แป๊บเดียว รุ่งต้องท่องไว้! แป๊บเดียวๆๆๆๆๆๆ”

“ค่ะแป๊บเดียว...” ผมฝืนพูดอะไรมากไปกว่านั้นไม่ไหว โชคดีที่เด็กน้อยที่เดินผละจากไปยังคงมีสมาธิท่องแต่คำนั้นต่อไป จนไม่ได้หันกลับมาเห็นร่างที่กำลังจะไร้หัวใจ

 

“มาที่นี่ทำไมล่ะเขน?” ในเมื่อชีวิตต้องก้าวเดินไปข้างหน้าผมก็ต้องยอมรับมัน... ไม่ว่ามันจะขัดกับความปรารถนาภายในหัวใจของผมมากขนาดไหน

“ซื้อเสื้อกันหนาวติดไปเพิ่มหน่อยเถอะรุ่ง ไม่รู้ว่าที่จีนจะหนาวมากไหม ซื้อติดไปเพิ่มสักตัวสองตัวนะ”

“ของเก่าก็ยังมี ตอนที่ซื้อไปเหนือครั้งที่แล้ว ร้านนี้เลย” เสียงทอดหวานไพเราะกับรอยยิ้มที่แย้มเยือนนำเราสองกลับไปสู่ความทรงจำในวันวาน

“เขนรู้... แต่เขนอยากให้รุ่งอุ่นขึ้น ซื้อติดไปก่อนนะ ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่... เขนก็ยิ่งอุ่นใจเท่านั้น” ผมรู้ว่าเหตุผลที่ผมให้มันไม่เข้าท่า แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้โยเยในตอนต้นถึงเดินรุดหน้าเข้าร้านไปก่อนในตอนนี้ จนผมอดที่จะยิ้มกับท่าทีกระตือรือร้นนั้นไม่ได้ ก่อนที่จะแอบถอนหายใจเบา ๆ และก้าวติดตามไป

ทำทุกชั่วโมงให้มีค่า เก็บเกี่ยวทุกนาทีแห่งความสุข และทำทุกวินาทีเพื่อเธอ

หากต้องยอมรับ... ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะเสแสร้งอดทนเข้มแข็งแค่ไหน... ความเป็นจริงที่เราสองคนต้องเผชิญอยู่ก็กำลังกัดกิน และช็อคประสาทของผมทีละนิด

“เขน” จึงทำให้ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียก ก่อนที่จะอดขำออกมาไม่ได้

“ฮึ้ย... ขำอารายอะ ช่วยดึงหน่อยสิ” เสียงโวยวายทำให้ผมต้องรีบเข้าไปช่วยดึงเสื้อกันหนาวที่พันหัวพันหูของคนตรงหน้าจนยุ่งวุ่นวายออก

“อ้วนขึ้นนะเรา M ใส่ไม่เข้าแล้ว” ผมพูดไปกลั้นขำไปอย่างสุดความสามารถ หากไม่หลอดพ้นสายตาอันคมกริบ

“เขน! นี่นายกล้าว่าเราอ้วนเหรอ” เสียงหาเรื่องของนักเลงปากซอย ที่ทำให้ผม...

“ป... เปล่าครับที่รัก” ต้องยำเกรง

“เขนแค่คิดว่า... ไซด์ M รุ่นนี้มันคงเล็กไปแน่ ๆ เลย ไซด์ไม่ได้มาตรฐานเลยเนอะ...” คิ้วยังขมวด มุกนี้ไม่ช่วยเลย ก็ต้อง... ตามน้ำต่อไป

“แต่ผ้านุ่มดีนะรุ่ง สีครีมเข้ากับรุ่งด้วย รุ่งชอบใช่ไหมเขนรู้ ทำไงดีเสียดายจัง ” สายตาที่ยังคงมองมาพร้อมกับคำถามเดิมที่ผมไม่กล้าตอบ

“เขน!!!” เสียงดุที่จะมีนาน ๆ ครั้งของรุ่ง ทำเอาผมร้อน ๆ หนาว ๆ เลยทีเดียว

“ครับ”

“ไปหยิบ L มาเลย” มุกที่เล่นเอาเงิบ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังลั่นห้องลองเสื้อ

“ชู่ว์... เขน อายคนอื่นเขา หัวเราะเบา ๆ สิ” ก่อนที่ผมจะถูกตีรัว ๆ และหัวเราะจนน้ำตาเล็ดไปพร้อม ๆ กัน

เพียงอาทิตย์เดียว... ระยะเวลาเพียงอาทิตย์เดียว... เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเสียงหัวเราะสดใสทุ้มกังวานของคนรักของผมยังดังก้องติดตรึงภายในหัวใจ หากระยะเวลาเพียงชั่วพริบตาที่โชคชะตาได้กระชากดวงใจของผมออกไปจากอกอีกครั้ง

 

ดวงตาคมกริบเรียวยาวของชายที่ทอดกายนอนฟุบอยู่ที่ตั่งไม้ ‘ตัวเดิม’ ริมระเบียง ค่อยเปิดขึ้นก่อนที่จะกะพริบเล็กน้อยเพื่อปรับระดับความเข้มของแสงสีส้มที่ยังคงจับต้องสาดทอดทอแสงผ่านริมระเบียงเข้ามา

หยาดน้ำตาที่ยังคงรินไหล... กับ ‘ภาพสุดท้ายในฝัน’

ภาพที่ไม่ได้เห็นมานานกลับแจ่มชัดในหัวใจ และเลือนหายในชั่วพริบตา สร้างความเจ็บแปลบสะท้านสะเทือนในหัวใจจนเหลือจะกล่าวสิ่งใด

‘ใคร... คนนั้น’ ที่พันผูกลึกซึ้งในวิญญา ยังคงเฝ้ารอคอยเพรียกหา...

‘ใคร... คนนั้น’ ที่หัวใจแสนหวนหา คลับคล้ายใกล้เคียง...

หากใจยังฟ้องว่า...มิใช่

น่าแปลกคือ ‘ใคร...คนนั้น’ ไม่เคยย่างกรายเข้ามาสอดแทรกอยู่ในความฝันได้เลยในยามที่ดวงใจอันเป็นที่รักอยู่ข้างกาย หากเพียงชั่วอึดใจที่ร่างที่มีวิญญาณคงอยู่โดยไร้หัวใจ ภาพ ‘ใคร...คนนั้น’ มักย้อนมาสร้างความปวดแปลบในทรวง

‘ใคร...’

กลิ่นหอมฟุ้งอ่อนหวานรัญจวนใจดึงสติ ออกมาจากห้วงความคิดที่วนวก รอยยิ้มที่ผุดขึ้นเพียงเพราะ... ความคิดถึง ‘เจ้าของช่อดอกไม้’ ผมกำลังใกล้เคียงคนบ้า

ผมยอมรับ รอยยิ้มเกิดขึ้นพร้อมกับร่องรอยของน้ำตา

หากแต่ได้ขึ้นชื่อว่า.... ‘บ้ารักรุ่ง’ ผมยอม

ปลายนิ้วเรียวยาวไล้แตะกลีบดอกสีขาวอย่างแผ่วเบาด้วยแสนรักแสนคะนึงหา ก่อนที่จะประคองดอกไม้งามไว้แนบอกอีกครั้งและพยุงกายค่อย ๆ ลุกขึ้น หากความปวดที่แทรกขึ้นมาในเสี้ยววินาทีทำให้ร่างสูงซวนเซทรุดนั่งลงอีกครั้ง

‘ปวดหัว’ เพราะนอนทับตะวัน กระมัง...


“พี่ว่าอาหารแมวมันกินได้ปะ โคตรหอมเลย”

“มันมี อ.ย. ด้วยนะพี่ อย่อย... ใช่ไหมเหมียว”

“เฮอ...” เด็กแสบที่แวะมาป่วน (ขอกินข้าว) ในช่วงค่ำยังไม่ไม่ยอมกลับบ้านไปง่าย

“ไหนบอกว่าไม่ชอบดูบอล”

“ผมไม่ได้มาหาพี่ ผมมาหาเหมียว” คำตอบของเขาที่ห่างไกลกลับความเป็นจริง.... ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าจะมาแย่งเหมียวกินข้าวน่าจะถูกมากกว่า ผมได้แต่ถอนใจแม้จะรู้... เขาทำตามใบสั่ง

 

“พี่ไปแล้ว...ฮรึก...แล้ว... แล้วใคร” เด็กโค่งกอดพี่ชายร่างบางของเขาไว้แทบทั้งตัวที่หน้าประตูทางเข้าสนามบิน พร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่ครอบครัว และน้องชายแท้ ๆ ของเขายังยืนอึ้ง และคนรักยังแอบจะอิจฉาไม่ได้ ‘มึงกอดเมียกู อีกแล้วเฟรม’

“แวะไปหาพี่เขนด้วยนะ น้องกีตาร์ก็ยังอยู่ เครื่องดนตรีก็ยังอยู่ที่เดิม” หากพี่ชายที่ยิ้มรู้ทันทำให้เด็กโยเยเขินอาย ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง

“ผมเบื่อบอล”

“หืม...”

“พี่เขน ชอบชวนดูแต่บอล” นั่นไง

“ก็... ปิดเสียงไว้ให้พี่เขนดูแต่ภาพไง เฟรมก็เล่นดนตรีไป ไม่ต้องนั่งดูด้วยกันก็ได้”

“พี่รุ่งไม่อยู่ พี่เขน แม่งดุ... เผด็จการ” ในที่สุดก็เป็นความผิดของผมจนได้

“ก็ไลน์บอกพี่” ไม่ค่อยเข้าข้างกันเลย

“ผมจะไลน์ 24 ชั่วโมงเลย พี่อย่าลืมคิดถึงผม”

“อืม”

นี่ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ผม ผมก็ควรจะระแวงศัตรูหัวใจที่อยู่ใกล้ตัวคนนี้ให้มาก หากเมื่อมันมานอนแผ่ดีดกีตาร์ดูบอลเป็นเพื่อนจริง ๆ ก็ทำให้รู้ว่านอกจากทำตามคำสั่งของพี่ชายเขาแล้ว เขาก็ยังเผื่อแผ่ความเป็นห่วงมาให้ผมบ้างนิดหน่อยด้วย

“ง่วงว่ะพี่”

“ไป... กลับไปนอนไป เดี๋ยวพี่ก็จะนอนเหมือนกัน”

“อืม... เดี๋ยวพี่รุ่งก็ถึงแล้วป่ะ เดี๋ยวก็คงโทรมา งั้นผมกลับก่อน”

“อืม ขับรถดี ๆ”

“เออ...พี่ นมลูกเหมียวที่เหลือในขวด เดี๋ยวผมช่วยกินนะ พรุ่งนี้พี่ได้เปิดกล่องใหม่ ให้เด็ก ๆ กินนมที่เก็บไว้หลายวันมันไม่ดี” ผมได้แต่กุมขมับก่อนพยักหน้าให้กับเหตุผลแม่น้ำทั้งห้าที่ถูกชักมาให้เหตุผล

 

เฟรมกลับไปพร้อมกลับความเงียบเหงาที่กลับมาหาผมอีกครั้ง ด้วยร้านขนมที่ปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ และปีกชั้นบนอีกฟากที่ยังหาคนมาเช่าไม่ได้ ตึกทั้งตึกจึงมีผมเพียงคนเดียว...

ท่ามกลางความมืดกับแสงสลัวริบหรี่จากโคมไฟที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือริมห้องไม่อาจส่งแสงแรงกล้ามาได้ถึงบริเวณหน้าระเบียง ลมเย็น ๆ ที่พัดพาน้ำค้างยามค่ำคืนเข้ามาให้ความสดชื่นและหนาวเหน็บในเวลาเดียวกัน ในขณะที่ผมค่อย ๆ นั่งแก้ริบบิ้นสีแดงสด และแยกเจ้าดอกไม้แสนสวยออกจากช่อ ก่อนที่จะริดเกสรด้านในทิ้ง

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...” เจ้าดอกลิลลี่ที่ไม่สามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าของได้ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไรรุ่งรักลิลลี่ทุกดอกที่ผมเป็นคนให้ เขาเก็บทุกดอกที่ผมให้ ผมจึงต้องสานหน้าที่นั้นต่อให้สำเร็จเสร็จสิ้น ก่อนที่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์จะดังขึ้นให้ต้องละมือจากกิจกรรมทั้งหมดทั้งมวล

“รุ่ง...”

“ทำอะไรอยู่” เสียงใสจากปลายทาง โชคดีที่เครื่องมือสื่อสารสมัยนี้ช่วยให้คนที่หวนหาแสนไกลเหมือนดังกำลังปรากฏตัวมากระซิบที่ข้างหู

“คิดถึง ‘ใครบางคน’ อยู่”

“อิจฉา ‘ใครคนนั้น’ จัง”

“รุ่งก็คิดถึงเขนบ้างสิ เขนจะได้อิจฉาตัวเองบ้าง”

“เป็นมากนะนี่ เฟรมแวะมาเล่นไหม...”

“ต้องถามว่าแวะมาป่วนไหม... นี่ขนนมลูกเหมียวกลับไปเกือบหมดตู้เย็นแล้วมั้ง” เสียงหัวเราะสดใสที่ดังแว่วเติมความชุ่มชื่นให้หัวใจแห้งผาด

“เอาน่า น้องยังเด็ก”

“เหอะ...รุ่งเข้าข้างอะ”

“ใครว่า รุ่งอยู่ข้างเขนเถอะ อืม... นี่มาถึงสักพักแล้ว เข้าที่พักเก็บของเสร็จ แล้วรีบโทรมาเลย เพราะรู้ว่ามีคนคิดถึง”

“คิดถึง... คิดถึงมาก... คิดถึงใจจะขาดแล้วรุ่ง...”

“ฮือ... ไม่กี่ชั่วโมงเองเขน”

“จริง ๆ นะ”

“ครับ เชื่อแล้ว”

“แป๊บเดียวนะเขน”

“ครับ แป๊บเดียว...” เสียงจากปลายสายทั้งสองเงียบลง หากสองดวงใจที่กำลังจูนหาคลื่นส่งผ่านกำลังใจให้แก่กัน

ผมเชื่อ... ไม่ว่าคนที่ต้องเดินทางไกลพลัดบ้านพลัดเมือง หรือคนที่ต้องอยู่คนเดียวที่ ‘บ้านของเรา’ ต่างก็ต้องทนต่อสู้ฝ่าฟันกับความคิดถึงที่ถาโถมมากมายไม่ต่างกัน

“ทำอะไรอยู่” คำถามแรกที่ย้อนกลับมาถามอีกครั้ง เพื่อขจัดความเงียบงันภายในหัวใจ

“หัดจัดดอกไม้...”

“เวิร์คไหม...”

“ระดับนี้แล้ว”

“ระดับนี้นี่ ระดับไหน...”

“ระดับคนรักของรุ่งไง ไม่เชื่อรีบกลับมาดูผลงานนะครับ” ผมพูดพร้อมกับยกดอกลิลลี่สีขาวนวลขึ้นมาชิดชม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงความแตกต่างสำหรับคนไปส่งกับคนที่เดินทาง...

“เหนื่อยไหม... รุ่ง”

“นิดหน่อย”

“อาบน้ำหรือยัง”

“ไม่อาบได้ไหม” เสียงอ้อนที่ทำให้อยากจะหายตัวไปบีบจมูกเล็ก ๆ ซะวินาทีนี้ หากแต่เมื่อทำไม่ได้...

“อาบน้ำก่อนนะครับคนดี แล้วนอนพักผ่อนนะ พรุ่งนี้ก็ต้องเข้าบริษัทแล้ว”

“เขนก็เหมือนกันนะ”

“ครับผม” ผมต้องเป็นเด็กดี

“รีบนอนนะ”

“ครับผม” ผมต้องว่าง่าย

“อาบน้ำก่อนนะ”

“ครับผม” เพื่อรอคอยเจ้าของดวงใจ

“รักนะ”

“ครับ รักเหมือนกันครับ”

“ไม่ ‘ครับผม’ แล้วเหรอ”

“ครับผม” ผมรู้ว่าเขากำลังยิ้มเพราะผมกำลังยิ้ม

“รอนะ”

“เขนจะรอรุ่งคนเดียวนะ”

“ครับผม” เสียงตอบล้อเลียนอ่อนหวานแผ่วเบา... ก่อนที่การสัญญาณการติดต่อข้ามโลกจะขาดหายไป พร้อมกับเขาทั้งสองข้างที่ลุกขึ้นหยัดยืนด้วยพลังใจที่กล้าแข็ง

‘เขนจะรอ... เขนจะรักรุ่งคนเดียว...’

‘ยอดดวงใจ’



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺWIND 19.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-03-2018 11:15:55
Chapter XXIV: WIND

 



วิ้ว... วิ้ว... สายลมหนาวเหน็บ พัดโบกแรงผ่านช่องตึกสูงระฟ้าทำให้เกิดเสียงดังหวีดหวิว

แสงไฟในย่านธุรกิจของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ส่งแสงระยิบระยับงดงามจับตา หากวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจในเบื้องหน้าไม่ได้ช่วย... บรรเทาความทรมานร้าวลึกในหัวใจ

เสียงถอนหายใจแรงดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของชายหนุ่มที่ยืนหยัดเดียวดายอยู่หน้าระเบียงจะค่อย ๆ สูดเอาอากาศที่หนาวเย็นภายนอกเข้าไปกรีดลึกเติมซ้ำย้ำความเจ็บปวดภายในหัวใจ

อีกครั้งแล้วสินะ...  ความห่างไกลอีกครั้ง ที่ทำให้หัวใจหวิวหวามหวาดกลัวจับขั้วหัวใจทุกครั้ง แม้ครั้งนี้เครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในมือจะช่วยย่อโลกให้เข้ามาใกล้ และสามารถส่งผ่านได้แม้แต่เสียงลมหายใจของคนรักที่อยู่ไกลห่าง หาก... มันไม่ได้ช่วยส่งผ่านความอบอุ่นของอ้อมแข็งแกร่งมาเติมเต็มความรู้สึกขาดหาย... ภายในหัวใจได้เลย

ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า? หากไม่รู้ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างสองเรา มักมีเรื่องของระยะทางและความห่างไกลมากร่ำกรายกลางกั้นสม่ำเสมอ แม้มันเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ความมั่นคงภายในหัวใจของเราตลอดมา หากก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หัวใจเจ็บปวดร้าวรานเสมอ...

‘ไม่ใช่ผมอยากมา...’ หากมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมสามารถปฏิเสธเฉกเช่นเดียวกัน

ในการทำงานที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็น ‘พนักงาน’ ไม่ว่าคุณจะมีความสามารถเก่งฉกาจมากมายขนาดไหน... ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงสถานะความเป็น ‘ลูกจ้าง’ ที่ไม่สามารถทำทุกอย่างตามแต่ใจ ตามแต่ความปรารถนาของตนได้อยู่นั่นเอง

ผมไม่ปฏิเสธว่าการได้รับโอกาสมาทำงานที่นี่ เป็นความท้าทาย และต่อยอดการเรียนรู้ในสาขาวิชาชีพ พร้อมทั้งมุมมองธุรกิจอย่างมหาศาลในชีวิตการทำงาน หากแต่มันก็กำลังสะกิดบาดแผลเล็ก ๆ แผลเดิมที่ไม่มีวันจางหายไปจากหัวใจ

“เขนจะรอรุ่งคนเดียวนะ” ประโยคเดิมที่เขาบอก คำพูดเดิมที่เขาบอก

แทบจะทำให้ขาดใจ... ผู้ชายคนนั้นเป็นเช่นนั้นเสมอ...

‘เขนจะรอ.......สัญญาว่าจะรอ.......รุ่งคนเดียวเสมอ’

ภาพเด็กผู้ชายคนนั้นยังตราตรึงอยู่ในความคิดของผม แม้เขาจะไม่มีวันจำได้ หากมันทำให้คนที่ไม่เคยลืม... เช่นผมอดที่จะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับกำลังสะกิดบาดแผลเก่าในหัวใจในเวลาเดียวกัน

ใครจะไม่อยากให้คนรักจำเหตุการณ์ความทรงจำระหว่างสองเราที่มีให้กันได้

หากแต่... ถ้าไม่ได้ หากเขาคนนั้นก็ยังคงรักมั่นเสมอ... เพียงแต่เรา

มันก็ให้ความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจอยู่เช่นนั้น

 

“มาที่นี่ทำไมล่ะเขน?” ผมถามด้วยความประหลาดใจ ด้วยห้วงเวลาการเตรียมตัวที่กระชั้น หากไม่เทียมเท่าเวลาเตรียมใจที่ทำให้ผมแทบไม่อยากขยับไปไหน ถ้าไม่ใช่เพียงเพราะ... ‘เขา’ ผู้เป็นคนพามา

“ซื้อเสื้อกันหนาวติดไปเพิ่มหน่อยเถอะรุ่ง ไม่รู้ว่าที่จีนจะหนาวมากไหม ซื้อติดไปเพิ่มสักตัวสองตัวนะ”

“ของเก่าก็ยังมี ตอนที่ซื้อไปเหนือครั้งที่แล้ว ร้านนี้เลย” ผมยิ้มให้กับความทรงจำในวันวาน

สองปี... แล้วสินะ

หน้าหนาวในสองปีที่แล้วที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งก่อนที่จะขึ้นไปลำปาง ร้านเสื้อร้านเดิมที่เราเคยมาซื้อด้วยกัน ผมยังจำ... ความรู้สึกระทึกภายในหัวใจในวันนั้นได้แจ่มชัด เสมือนมันเกิดขึ้นเมื่อวาน...

“เขนรู้... แต่เขนอยากให้รุ่งอุ่นขึ้น ซื้อติดไปก่อนนะ ยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่... เขนก็ยิ่งอุ่นใจเท่านั้น” ประโยคธรรมดาที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง พร้อมกับความตื้นตันมากมายที่ถาโถม จนทำให้น้ำตาเอ่อล้น

เป็นอีกครั้งที่... เขาทำเช่นนี้

ผมควรจะดีใจหรือเสียใจ... ที่เหตุการณ์เดิมของ ‘เดฌาวูว์’ กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปอังกฤษ ผมก็ไม่ได้จัดกระเป๋าเอง หวังว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกที่มากมายท่วมท้นเอ่อล้นหัวใจของผมอยู่ในตอนนี้ และมันยิ่งทำให้ผมต้องการ...

“อืม...” สัมผัสเรียบลื่นเนียนนุ่มของหมอนอุ่นที่รายล้อมพร้อมกับผ้านวมผืนใหญ่บนเตียงกว้างอำนวยช่วยให้การนอนหลับเป็นไปอย่างเต็มตื่น หากแต่เพียง... มือบางค่อย ๆ ลูบไล้เอื่อยช้าควานหา... ร่างอุ่นแข็งแกร่งที่เคยคลอเคล้าเคียงข้าง

‘ไม่อยู่... ไปไหน...’

การต่อสู้ภายในของความฝันกับความจริงยืดเยื้อติดพัน หาก ‘ความหวนหา’ ทำให้ฝืนดันกายออกมาจากผ้านวมนุ่มที่ห่อหุ้มได้สำเร็จ ก่อนจะสอดส่ายสายตาแลหา

“เฮอ...” อดไม่ได้จะทอดถอนหายใจให้กับ...

ระยะเวลาเพียงไม่นานที่ใช้ในการควานหาเสื้อนอนสีขาวบางนุ่มที่ไม่รู้อยู่ส่วนไหนของเตียง หากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปสำหรับการติดกระดุมเม็ดเล็กที่เรียงราย แต่มันก็ทำให้สามารถรวบรวมสติที่โบยบินกลับมาได้ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะก้าวลงจากเตียงมุ่งตรงสู่...

“เขนทำให้ตื่นเหรอคะ”

ร่างสูงที่นั่งจัดกระเป๋าอยู่หน้าตั่งไม้ กับข้าวของมากมายที่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการเคลื่อนย้ายจากอีกห้องหนึ่งมาที่ห้องนี้ด้วยความเงียบเชียบในความมืดมิด พร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เปิดกว้างแผ่หลาอยู่ที่พื้น

“อือ.....” หากมันเป็นความจริงไม่ใช่หรือ ก็เขนไม่อยู่... ที่ทำให้ผมตื่น

“เขนขอโทษ” ผมถอนใจเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าให้กับ ‘ความจงรัก’ ของผู้ชายคนนี้ ก่อนที่ยืนพิงยืดเอากรอบประตูไม้ที่เชื่อมกึ่งกลางระหว่างห้องเป็นหลักยืดร่าง ก่อนจะถามไปหาวไป

“หาว... แล้วเขน... มาทำอะไรตอนนี้ล่ะ”

“เขน.....” เสียงอึกอักของผู้ชายตรงหน้า กับสายตาที่กำลังปรับภาพของผมทำให้เริ่มเห็นโครงร่างที่รางเลือนชัดเจนขึ้นในแสงจากโคมไฟอันริบหรี่

“นอนไม่หลับเหรอ...” รอยคล้ำใต้ตาเป็นหลักฐานฟ้องทุกสิ่ง จนจำเลยที่มิอาจกลับคำให้การได้พยักหน้ายอมรับเบา ๆ ความผิดจึงลดลงไปครึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยให้ความร่วมมือกับรูปคดี

ผมจึงก้าวเดินต่อไปเพื่อหาหลักยึดที่อุ่นกว่าเบื้องหน้า... แผ่นหลังกว้างแข็งแกร่งที่แผ่กระจายความร้อน มัดกล้าม และเนื้อแท้ที่ลูบลื่นน่าสัมผัส ความง่วงมึนงงที่ทำให้ซวนเซซบลง และชวนให้แนบหูฟังเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วเบา...

“ไม่หนาวเหรอ...” คำถามที่กระซิบแผ่วเบากับคนจัดกระเป๋าที่ไม่ยอมใส่เสื้อ พร้อมกับสอดวงแขนกอดกระชับจากด้านหลัง

“อุ่นแล้วครับตอนนี้” คำตอบที่ทำเอากลั้นยิ้มไม่อยู่

“เขนนอนไม่หลับทำไมไม่ปลุกรุ่งล่ะ”

“ก็พรุ่งนี้รุ่งต้องเดินทาง เขนอยากให้รุ่งพักผ่อน...”

“แล้วตื่นมานั่งจัดกระเป๋าคนเดียวนี่นะ รุ่งจัดเองพรุ่งนี้ก็ยังทัน”

“เขนอยากทำให้ ให้เขนทำให้เถอะนะ”

“แล้วเขนจะให้รุ่งนอนได้ยังไง... จริงไหม...”

“จะเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวเขนรีบตามไปนะคนดี”

“ไม่อะ... จะนอนตรงนี้ ถ้าไปนอนก็ต้องไปนอนพร้อมกัน”

“แฟนใครน่ารักที่สุดในโลกเลย” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับหลังกว้าง เขนไม่รู้หรอกว่าประโยคนั้นถ้าจะให้ถูกผมต้องคนพูดเป็นมากกว่า

ในความโชคร้ายที่สุด... ผมก็เป็นโชคดีที่สุดเสมอมา

เพียงเพราะมี... เขา

 

“เสร็จแล้วครับ”  เสียงกระซิบข้างหูปลุกผมจากการงีบสั้น ๆ อันแสนสุข

“อือ...”

“ไปนอนกันเนอะ” ผมพยักหน้า หากมันยากมากที่จะต้องตัดใจผละจากความอบอุ่นที่ซุกซบอยู่ ณ ขณะนี้

“มาเร็วไปนอนกัน ลุกขึ้น... อื๊บ” ร่างของผมถูกแกะออกจากแผ่นหลังอย่างนุ่มนวล ก่อนจะถูกดันให้ลุกขึ้น

“ใจร้าย...”

“รุ่งไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวเขนปิดกระเป๋าแล้วเดี๋ยวตามไปนะครับ”

“ม่าย...อะ ถ้าไป... ต้องไปด้วยกัน” ผมส่ายหัวพร้อมกับตาที่ยังคงลืมไม่ขึ้น

“อย่างอแงนะคะ” ประโยคกระซิบแผ่วเบา... ปลอบโยน หากกลับเปิดเผยชัดเจนคำว่ารักในสายตา’ ที่ผสมผสานความเอื้ออาทรทะนุถนอมและแสนเอ็นดู สร้างความอบอุ่นวาบขึ้นในหัวใจเปี่ยมล้น ทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรวบรวมเศษเสี้ยวความกล้าที่กระจัดกระจายไปทั่วหัวใจที่กำลังหวั่นหวามอ่อนยวบ

“ม่าย...” ก่อนที่จะแบะปากและยืนยันคำเดิม ‘เรื่องอะไรจะไล่กันไปนอนหนาวคนเดียว... นี่คืนสุดท้ายนะ’

“งั้น... อะ รุ่งนั่งทับกระเป๋าให้หน่อยเดี๋ยวเขนรูดซิป” ตาที่เคยลืมไม่ขึ้นเบิกขึ้นอย่างฉับพลัน ‘แค่เถียงไม่ขึ้น นี่ถึงขนาดต้องใช้กันเลยนะเขน...’ ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแล่นขึ้นมาฉับพลันในหัว

“รุ่ง.....” เสียงโวยวายที่หาความจริงใจได้ไม่

“ก็... ให้นั่งทับ” ผมกระซิบตอบข้างหูก่อนที่ฝังจมูกลงไล้ที่ลอนผมยุ่งฟู

“ก็ให้นั่งทับกระเป๋า” เห็นได้ชัดว่าคนเถียง ‘ปากไม่ได้ตรงกับหัวใจ’ เพราะความปรารถนาของตรงหน้าที่ไวต่อสิ่งเร้าและการกระทำตอนนี้... อ้อมแขนที่กอดกระหวัดสองมือที่ลูบไล้ใต้เนื้อผ้า ซื่อสัตย์กว่าคำพูดเป็นไหน ๆ

“ก็ไม่อยากนั่งทับกระเป๋า… อยากนั่งทับคน” และเมื่อริมฝีปากบางของคนเบื้องล่างเตรียมขยับที่จะเถียงข้าง ๆ คู ๆ ต่อ ผมก็ตัดสินใจได้ว่าคำพูดทุกคำไม่น่าจะมีความสำคัญอีกต่อไป ในเมื่อความหวานลึกล้ำในรสสัมผัสเนียนแนบเป็นคำตอบให้กับทุกสิ่งได้ครบถ้วนสมบูรณ์…

 

ความห่างไกล... กัดกินทรมาน หากในวันนั้นแตกต่างจากวันนี้...

ผมคงไม่สามารถเทียบเคียงเปรียบเปรยว่า... ความเจ็บปวดเพราะความรักที่ไม่สมหวัง หรือความเจ็บปวดเพราะความรักที่ถูกพรากจากให้ห่างไกล

สิ่งใดรวดร้าวกว่ากัน

หากผมรู้ชัดในความรักคงมั่นที่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งมีให้ผมเสมอมาและตลอดไป ‘ช่อลิลลี่’ สีขาวสวยสดงดงาม ที่แม้จะมีน้อยคนที่รู้ลึกซึ้งถึงความผูกพันสลับซับซ้อนของเรื่องราว หากผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งเน้นย้ำซ้ำเตือนให้ครอบครัวของผม คนรอบข้างของผม และตัวผมเอง... ‘รู้’… ไม่ว่าอย่างไร...

“ฝากไว้ก่อน... เขนรู้ใช่ไหม”

“เขนรู้...”

อีกครั้งที่สองเราต้องพรากจากกัน ด้วยระยะทางแสนห่างไกล...

อีกคราสายลมเย็นจัดพัดแรงกรัดกร่อน ความรู้สึกเปราะบางภายในหัวใจ...

 

หาได้รู้ไม่... ‘ธาตุใดแกร่งเท่า... ทาสรัก’

หากหัวใจของเราสอง ‘รู้’ ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอ...



#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: ฺKNOW 19.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-03-2018 11:24:48
Chapter XXV: KNOW

 

“เฮือก... รุ่ง...” ผมสะดุ้งตื่นขึ้น พร้อมกับรวบรวมสติของตัวเองกลับมาจากความฝันที่วุ่นวายวกวน ณ ช่วงเวลาสั้นๆ ที่โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงทับซ้อน ก่อนที่... ทุกอย่างจะรางเลือนหายไป...

ความฝันไม่เคยเป็น... ความจริง หากแต่ผมปฏิญาณกับตัวเองไว้ แม้ความจริงไม่เคยเป็นได้ดังฝัน แต่ผมจะมุ่งมั่นพยายามและทำทุกทางให้ความใฝ่ฝันเป็นจริง

เพราะ ‘รู้’ ณ ที่แห่งนั้นมี ‘ยอดดวงใจ’ เฝ้าคอย

ดึกดื่นค่อนคืนเป็นเวลาหลายคืนแล้วที่ผมนอนหลับไม่เต็มตาและสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก การนอนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อครั้งหนึ่งเคยมีคนข้างกายที่เคยนอนกกกอดไว้ในอ้อมอกทุกคืน

อากาศเย็นจัดกับหยาดน้ำค้างที่ประพรมพื้นเฉลียงระเบียง ทำให้ผมตัดสินใจเปิดประตูรับลม และความสดชื่นยามค่ำคืนเข้ามาในห้อง ทดแทนสายลมประดิษฐ์ของเครื่องปรับอากาศ

ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนบนตั่งไม้เพื่อสดับรับฟังเสียง... จิ้งหรีดเรไรตัวน้อยในสวนเล็ก ๆ หลังวังที่ร้องระงม และสูดลมหายใจลึก ๆ เก็บเกี่ยวลมเย็นที่พัดมาจากสถานที่อันห่างไกลเข้าไปบรรเทาเบาบางความเงียบเหงาภายในหัวใจ และแหงนหน้ามอง...

‘พระจันทร์... ดวงเดิม ดวงเดียว ในหัวใจ’

แสงอ่อนนวลที่เปล่งประกายทองแสงเจิดจ้าในคืนเดือนหงายราวกับจะปลุกปลอบประโลมหัวใจดังมิตรแท้ หากยังคงไม่สามารถบรรเทาเบาบางความคิดถึงหวนหา... เสี้ยวหน้าเรียวอ่อนบางที่ยกยิ้มในความทรงจำ

คืนทุกข์... คืนสุข... คืนเศร้า... คืนหวาน... คืนเหงา... ความทรงจำมากมายระหว่างสองเรา...

ผมยิ้มให้กับคืนที่ต้องยืนหยัดเดียวดาย... กับเจ็บปวดในคำปฏิเสธครั้งแรก

ผมยิ้มให้กับคืนที่ไหวหวั่นสั่นหัวใจ.... คืนค่ำสุดท้ายที่เราจากกันที่ลำปาง

ผมยิ้มให้กับคืนที่สมองรวดร้าว... หากโจ๊กถ้วยเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่ง

ผมยิ้มให้กับความปรารถนา... ที่กลับกลายเป็นความจริงในวันเด็ก

ผมยิ้มให้กับความสุข... ของระยะเวลาหนึ่งปีที่เราอยู่เคียงคู่กัน

ผมยิ้มให้กับรุ่งอรุณสุดท้าย... ที่ใช้เวลาทุกวินาทีร่วมกันบนตั่งตัวนี้

เสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอกลับมาอีกครั้งพร้อมสติที่เริ่มล่องลอย...

‘พี่ชาย...’ความอบอุ่นในวันวานเยียวยาความเหงาในหัวใจ รอยยิ้มที่ฉาบเคลือบใบหน้าคมที่ต้องสะท้อนแสงจันทร์เปี่ยมสุขมากมายในความฝัน

หากเจ้าตัวหาได้รู้ไม่... หน้านวลลอออองของ... ‘ชายในฝัน’

ทับซ้อนซ่อนเร้นดวงวิญญา... หากหาใช่...

 

ผมรู้ทุก ๆ อย่างแปรเปลี่ยนเคลื่อนไปตามกาลเวลา หากอย่างน้อยสิ่งเล็ก ๆ ก็สร้างรอยยิ้มและกระตุ้นการทำงานของหัวใจ... เสียงแรกของเช้าวันใหม่... ยังคงเป็นเสียงของคนคนเดิม

“ตื่นได้แล้ว... เขน”

“อืม...ครับ คิดถึงจังเลย”

“รู้แล้ว...  อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานนะ เดี๋ยวรุ่งเข้าประชุมก่อน ตื่นนะเขน...”

“ครับ”

 “อย่านอนต่อนะ”

“ครับผม”

“คิดถึงนะ”

“ครับที่รัก” ประโยคสนทนาสั้น ๆ ของคนคุยไม่เก่งจบลงซ้ำ ๆ แบบเดียวกันในทุก ๆ เช้า หากมันย้ำชัดความมั่นคงซื่อตรงในหัวใจของเราทั้งคู่

ภาพในห้องประชุม กับอารมณ์ขันที่แสนมีเสน่ห์ของเจ้าของภาพที่บรรยายมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

‘อยากกินซาลาเปา’ แน่นอนว่าภาพที่ส่งมา... ไม่ใช่ของกิน หากเป็นหน้าคนที่กลมดิกที่เรียกได้ว่าแต้มจุดก็กินได้เลย

‘เอิ่ม... 5555555’ ไฟแดงอีกสามสิบวินาที ผมใช้เวลาให้คุ้มค่าโดยการหามุมที่หล่อที่สุด และทำภารกิจรายงานตัว

’อาบน้ำเสร็จแล้ว น่ากินกว่าไหม’ ผมพิมพ์ข้อความลงไป ก่อนจะมุ่งหน้าฝ่าฟันการจราจรต่อไปพร้อม ๆ กับตั้งใจรอคำตอบด้วยใจจดจ่อ

‘ม่ายอะ’

‘โกหก บ้างก็ได้’

‘นี่แหละโกหก’

‘แฟนใครน่ารักจังเลย’

‘ขอหล่อบ้างได้ไหม’

‘หล่อที่สุด’

‘>//////<’

‘ขับรถอยู่นี่ หยุดเล่นโทรศัพท์เลย’

‘ประชุมอยู่นี่ หยุดเล่นโทรศัพท์เหมือนกัน’

‘ O _ o ‘

 

ผมตัดใจวางโทรศัพท์... เพราะถือคติ ‘สามีที่เชื่อภรรยาจะเจริญ’ และตั้งใจขับรถอย่างไร้สมาธิต่อไป... จะอะไรล่ะครับ ก็คนที่ประชุมอยู่ยังคงขยันส่งรูปนั่นนี่มาให้ดูอย่างไม่หยุดหย่อน

“เฮอ... แฟนใครน่ารักจริง ๆ” อย่าไปบอกคนอยากหล่อนะครับ

“โอม... จงเงยขึ้นมา... เงยขึ้นมา... เงยขึ้นมา...” เสียงที่ประดิษฐ์ร้องขึ้นมาไม่ได้ใกล้เคียงนักร้องดัง หากคล้ายคลึงการสวดภาษาเขมรดึงให้ผมต้องมนต์และเงยหน้าขึ้นมาได้จริง ๆ ด้วยความรำคาญ

“อะไร...”

“นี่พี่เป็นคนชวนผมมากินข้าว?” ไม่ต้องให้ทายผมเชื่อว่าคุณรู้ว่าใคร

“ก็ใช่ไง”

“แต่ใจคอ พี่จะไม่คุยกับผมสักคำ”

“ก็กินข้าว จะคุยได้ไง”

“แล้วได้กินสักคำยังพี่” คำถามที่ทำเอาผมนิ่งอึ้งกับอาหารที่วางเต็มโต๊ะตรงหน้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ก็... ไม่ค่อยหิว” ครับผมแถอย่างไม่ต้องสงสัย

“ถ้ากินโทรศัพท์ได้กินไปแล้วมั้ง? ไม่ใช่สิ…” เด็กแสบทำถ้าครุ่นคิดให้รอฟัง

“ถ้ากินคนที่คุยด้วยได้คงกินไปแล้ว อันนี้แน่นอน”

“เออ...” ผมก็เขินเป็นนะครับ หากเขินได้ไม่นานก็ต้องมาปัดป้องอธิปไตยในอาหารของตัวเองพัลวัน นี่เรียกให้กินเพราะสิ่งนี้ใช่ไหมไอ้เด็กแสบ

“เฮ้ย... ถ่ายรูปก่อน”

“โอย... ที่ถ่ายไปก็เท่านั้นแหละพี่เขน คนที่พี่ส่งไปให้ดูเขาถ่ายสวยกว่าเยอะ”

“ก็ จะถ่าย...” ผมบ่นมุบมิบ หากก็ยังกดถ่าย ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง

“นี่ถ้าไลน์เสียตัง เดือนกว่านี่คงหมดไปหลายล้าน” เสียงเปรยแว่วดังขึ้นก่อนจะเงียบหายไป...

“อืม” แต่งภาพเรียบร้อย... ไม่มีฝีมือเราก็ใช้แอ็พช่วย จะยากอะไร

‘น้องไก่ ทานด้วยกันนะครับ’ ก่อนกดส่งและเงยหน้าขึ้นมา

“เฮ้ย... นั่นไก่พี่”

“ก็ผมกินแทนพี่รุ่ง ไม่เชื่อพี่ลองไลน์ไปถามต่อก็ได้”

เรื่องอะไรหละครับ พี่น้องเขาเข้าข้างกันแน่นอน ทายได้เลย พี่ชายเขาต้องตอบว่า... ‘เด็กมันกำลังโต’ และกว่าจะถามจะตอบได้ก็หมดกันพอดี... น้องไก่ของผม

‘ขอนอกใจสัก 10 นาทีนะครับ ที่รัก’

 

การพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด... ทำให้การทำงานที่ถึงแม้เป็นรูปแบบเดิม ๆ เหนื่อยหนักมากมายกว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า จนทำให้แทบจะเอาชีวิตไม่รอดในห้องประชุมในทุก ๆ วัน และหลับใหลสลบลงแทบทุกคืน หากเมื่อตื่นมาแล้วพบภาพที่ถูกส่งมาตอนตีสามกว่า...

‘พระจันทร์... ดวงเดิม ดวงเดียว ในหัวใจ’

ก็ยิ่ง... ตอกย้ำให้หัวใจ ‘รู้ซึ้ง’ ความปรารถนาที่แท้จริงคืออะไร

‘น้องไก่ ทานด้วยกันนะครับ’ ข้อความที่ทำให้เผลอยิ้มอยู่กลางห้องประชุมที่เคร่งเครียด และยังหาข้อสรุปไม่ได้ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า

‘นอกใจเหรอ’ ผมกดพิมพ์ไปทั้ง ๆ ที่รู้... ใครคนนั้นไม่มีวัน

ก่อนที่ถอนใจเบา ๆ เก็บเกี่ยวรอยยิ้มและความสุขไว้ในหัวใจและเงยหน้าขึ้นมาต่อสู้กับศึกเบื้องหน้าต่อไป ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด ที่ต่างคนต่างคร่ำเคร่งพิจารณากับข้อมูลการวิเคราะห์ Feasibility โครงการใหม่ที่ผมจดจำได้ทุกหน้า ทุกตัวเลข ทุกตัวอักษรเพราะเป็นคนใช้เวลาเกือบเดือนในการปลุกปล้ำทำเองมากับมือ

หากกลับพบสายตาใครคนหนึ่ง... ที่ตั้งใจมอง และผมก็ไม่ได้สนใจ

ก็จะให้ทำอย่างไร... ก็คนมันมีความสุข

ถ้าเขาจะทุกข์เพราะตัวเขาเองที่ไม่ยอมหยุด ถ้าเขาจะทุกข์เพราะตัวเขาเองที่ไม่เคยจำ มันก็เรื่องของเขา

“คุณอาร์ท... คุณอาร์ท”

“อะไร...”

“เอ่อ... ขอโทษครับ ตกลงเรื่องที่ดินยังคงติดข้อกฎหมายในการถือครองตรงนี้ครับ” ในที่สุดสายตาที่ก่อกวนใจผมเล็กก็หลุดเลื่อนเลือนหายไป

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่เขาคนนั้นคือเหตุผลในการที่ผมถูกเรียกตัวมาเตรียมความพร้อมในการเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศครั้งนี้ ที่จะถือเป็นการกลั่นแกล้งก็เรียกได้ หากพี่ชายของผมกลับให้มุมมอง

“เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรารุ่ง ใจเราใครที่ไหนจะมาบังคับได้ จริงไหม” ผมได้แต่พยักหน้ารับ หากความโกรธเคืองในใจมันก็ไม่ได้หมดหายไปง่าย ๆ เพราะผมก็ยังคนเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ

“ครับ ผมมั่นใจหัวใจตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้อยากไป นี่ครับพี่”

“ถ้าอย่างนั้น เอาใหม่ ถ้าไม่มีเรื่องคุณอาร์ท ไม่มีเรื่องเขน ไม่มีเรื่องความรัก แล้วลองคิดถึงโอกาสในการทำงานในการเรียนรู้ พี่ว่ามันไม่ได้มาง่าย ๆ นะรุ่ง”

“ผมเข้าใจครับพี่บลู แต่...”

“รุ่งยังไม่ต้องให้คำตอบพี่ก็ได้ แต่ลองกลับไปคิด ไปปรึกษา ไปตัดสินใจร่วมกันดู แล้วค่อยมาให้คำตอบอาทิตย์หน้าก็ได้” พี่ชายคนดีคนเดิมของผมเตือนสติและให้มุมมองที่ผมต้องยอมรับ และทำให้ผมตัดสินใจเปิดรับโอกาสในครั้งนี้

 

ก็ไม่เลวนักหรอกครับ นอกจากความคิดถึงที่กัดกินหัวใจอย่างร้ายกาจแล้ว ประสบการณ์ การเรียนรู้ในวิชาชีพจากโอกาสครั้งนี้มากมายมหาศาลนัก ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาเพียงเดือนกว่าที่แสนจะเหนื่อยจะหนักมาก แต่ก็คุ้มค่าจริง ๆ

ผมจะเก็บเกี่ยวทุกวันเวลาที่มีค่านี้ไว้ และก้าวเดินไปช้าๆ  พร้อมกับความคงมั่นในหัวใจ ซึ่งเราสองต่าง ‘รู้’ ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อสักวันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง ผมจะได้พร้อมสำหรับ ‘คำตอบ’ ที่มีในหัวใจ

‘อ่านหนังสือหลายร้อยเล่ม ไม่เท่ากับการเดินทางหนึ่งร้อยลี้’

ประสบการณ์ตรงที่ผมได้รับจากการสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิต ผู้คนวัฒนธรรม ตึกรามบ้านช่องที่แปลกหูแปลกตาแตกต่างจากบ้านเกิดเมืองนอน คือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรักการเดินทาง

หากนอกจากนี้... ยังคงมีบางอย่างที่ยากจะอธิบาย... ซึ่งมันมักทำให้ผมมีโอกาสได้เดินทางบ่อยครั้ง ทั้งที่ตัวเองปรารถนาและไม่ได้ต้องการเลยก็ตาม รวมทั้งมันมักจะแวะเวียนทายทักมาให้ผมต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่เสมอ ๆ

อากาศเย็นสบายช่วยอำนวยให้การเดินทอดน่องสบายๆ จากร้านอาหารย่านใจกลางเมืองที่จัดงานเลี้ยงรับรองลูกค้ากลับสู่โรงแรมที่พักใช้เวลาเพียงไม่นาน และด้วยร้านค้าสองข้างทางที่ทำให้เพลินตาเพลินใจ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็มายืนอยู่ที่หน้าลอบบี้โรงแรมแล้ว หากเหงื่อเม็ดเล็กจากไรผมก็ยังคงผุดออกมา น่าจะเป็นเพราะเสื้อกันหนาวที่คนซื้อให้กำชับนักกำชับหนาว่าให้ใส่ติดตัวตลอดเวลา จนทำให้เหงื่อออกมามากขนาดนี้

แล้วนี่ทำไมผมต้องทำตามด้วย

ทั้ง ๆ ที่คนบังคับก็ไม่มาอยู่เห็นสักหน่อย จึงอดไม่ได้ที่จะขำตัวเองเบา ๆ และตัดสินใจแบ่งปันความสดใสในใจให้กับใครอีกคนได้รับรู้

“เขน นอนหรือยัง”

“รอคนใจดีโทรมา”

“มุกนี้ยังเล่นอยู่อีกเหรอ”

“เขนจะเล่นจนกว่าเฟรมเลิกเล่นกีตาร์เลย”

“มีสำนวนแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“มีสิ จากเหตุการณ์จริงเลยเนี่ย ไปเล่นห้องอื่นก่อนได้ไหม เฟรม”

“โถ... พี่ตึกมันกว้างผมเหงา นั่งด้วยคน ผมจะนั่งเงียบ ๆ เลย” เสียงที่แผ่ว ๆ ที่สอดแทรกเข้ามาในสายเข้ามาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ สายลับของผมทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเคย

“เฮอ.....”

“มาอีกแล้วหรือ” และเราต้องทำให้แนบเนียน

“เห็นบอกว่านมที่บ้านหมด นี่มาปล้นกันชัด ๆ เลย”

“ดีแล้วไง เขนจะได้ไม่เหงา”

“เขนไม่เหงา แต่เขนคิดถึงรุ่ง”

“ก็พูดคำเดียวนี่ทั้งวัน คิดถึ๋ง... คิดถึง... คิดถึง.....” เสียงที่แทรกเบาลงทุกที ๆ ก่อนที่จะหายเงียบไป

“เขน..... เขน.....” ผมย้ำไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสัญญาณที่ขาดหายหรือเปล่า

“ครับ”

“อะไร สัญญาณไม่ดีเหรอ”

“ป..เปล่า... เขนหนีเฟรมมาอะ”

“แล้วนี่เขนอยู่ที่ไหน”

“ในห้องน้ำ” เสียงแผ่วเบา เขากำลังอายผมรู้ และมันทำให้ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“อย่าขำสิรุ่ง” หากผมยังหยุดหัวเราะไม่ได้

“คนเขาอุตส่าห์คิดถึง”

“ก็ไม่ได้ห้ามคิดถึงสักหน่อยนี่นา”

“เหนื่อยไหมครับ...”

“อืม... เหนื่อยจังเลยเขน”

“บินไปตอนนี้นะ ไปสนามบินตอนนี้เลย”

“ไม่ต้องเลย... ไหนใครบอกว่าจะรอ”

“แต่เขนคิดถึงรุ่ง”

“รุ่งก็คิดถึงเขน แต่เขนรอก่อนนะ รอรุ่งแป๊บเดียว”

“ครับเขนจะรอรุ่ง แป๊บเดียวจริง ๆ นะ”

“อืม...”

“อืม... แปลว่าเขินใช่ไหม เขนจำได้”

“ทำไมแบบนี้ความจำดีจัง”

“ก็เขนมีรุ่งคนเดียวนี่นา เขนรักของเขนขนาดนี้ รู้ไหมรุ่ง...”

“รู้.....รอนะ”

“ครับผม”

“รีบอาบน้ำนอนนะ”

“ครับ รุ่งก็เหมือนกันนะ”

“พรุ่งนี้เขนโทรมาปลุกนะ”

“ครับ”

“ฝันดีนะ”

“ฝันดีครับ... ที่รัก”





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 19-03-2018 11:29:44
 :pighaun:Chapter XXVI: Miracle

 

ริมฝีปากอ่อนบางสีชมพูระเรื่อเอิบอิ่มขยับเขยื้อนเอื้อนเอ่ยเจื้อยแจ้วเจรจา จมูกเล็กเชิดรั้นน้อย ๆ เฝ้าเตือนให้รู้ว่าความงดงามอันอ่อนหวานชวนให้หลงใหลนั้น หาใช่ความจริงพิสุทธิ์ไม่ ขนตาบางสีอ่อนยาวราวอิสตรีส่งให้ดวงตาเรียวเล็กโดดเด่นพรักพร้อมเติมเต็มแต่งแต้มไปด้วยประกายระยิบนัยน์ตาสดใสเจิดจ้ายิ่งทำให้ทุกองค์ประกอบเสมือนถูกบรรจงเสลาสลักประดิษฐ์ร้อยเรียงออกมาเป็นประติมากรรมชิ้นเอก

“คุณอาร์ท... คุณอาร์ท”

“อะไร...”

“เอ่อ... ขอโทษครับ ตกลงเรื่องที่ดินยังคงติดข้อกฎหมายในการถือครองตรงนี้ครับ” เสียงเรียกที่ทำให้ผมต้องรวบรวมสมาธิกลับมาอยู่กับการประชุมตรงหน้าอีกครั้ง

หัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าวราวกับเศษแก้วแตกกระจายเป็นเสี่ยง… จนเริ่ม ‘ชินและชา’ ยิ่งทำให้ฉงนสงสัย... ทำไม ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตที่ไม่เคยต้องไขว่คว้าเพียรพยายามกับสิ่งใด ๆ

ไฉนเลย... สิ่งที่เฝ้าปรารถนาใฝ่ฝันสูงสุด

กลับมิมีทาง... ทั้งที่อยู่ใกล้แค่คืบ

 

 

‘อดทน’  ผมไม่ปฏิเสธว่าผมต้องใช้ความอดทนรอคอย...

ในสิ่งที่เรียกได้ว่า ‘แทบจะเป็นไปไม่ได้’ และมีความหวัง ‘เพียงน้อยนิด’

หากแต่ถ้าความหวังเพียงน้อยนิดนั้น เปรียบเสมือนลำแสงเล็ก ๆ เท่ารูเข็มที่สาดส่องเข้ามาในเวิ้งถ้ำใหญ่อันมืดมิดอับแสงหนาวเหน็บ และเฉียบเย็นเช่นนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานราวกับว่าจะชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแค่นั้นมันก็พอเพียงที่จะทำให้ผมดิ้นรนสุดแรงพยายามทุกหนทาง

ไม่ว่าจะยากเพียงไหน... ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร... หรือแม้แต่... จะดูด้อยค่า และเลวร้ายในสายตาของ ‘เขา’ แค่ไหนก็ตาม

ผมก็จะทำ

มื้ออาหารที่เปี่ยมสุขแม้ผมจะรู้ซึ้งแก่ใจดีว่าทุกอย่างเป็นเพียงหน้าที่ และความรับผิดชอบที่ทำให้เขามานั่งอยู่เคียงข้างผม ณ ตรงนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธหัวใจของตัวเองได้เลยว่าผมกำลังมีความสุขมากมายเพียงไหน

“ขึ้นรถสิ”

สายลมเย็นพัดหวีดหวิวกระโชกแรง จนทำให้แขนของผมเกือบจะรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมอกเพื่อทำตามความปรารถนาในหัวใจได้สำเร็จ หากความระแวดระวังปราดเปรียวทำให้ใครคนนั้นเอี้ยวตัวหลบได้แนบเนียนก่อนที่จะตอบเบา ๆ หากหนักแน่นชัดเจน

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเดินดูอะไรเล่นนิดหน่อย” คำตอบที่ทำให้ผมทำได้แต่เพียงมองตามเบื้องหลังของชายรูปร่างบอบบางที่กำลังเดินจากไป

‘คำปฏิเสธที่รักษาน้ำใจ’ หากผมรู้ว่านั่นคือคำมั่นที่ย้ำชัดในจุดยืน

ทุกวินาทีที่เป็นเวลางาน เขาทำเพื่อผม หากทุกลมหายใจที่นอกเหนือจากนั้น เขาแสดงชัดว่าเป็นของ... ของใคร

สายลมเย็นกราดบาดผิวเพียงเพราะความสะเพร่าลืมตัว ผมลืมเสื้อโค้ชไว้บนห้องด้วยแต่แรกที่คิดเพียงว่าจะเดินออกมาไม่นาน เพื่อมาดู ๆ ให้แน่ชัดว่าคนที่เฝ้ารอได้มาถึงที่พักอย่างปลอดภัย หากเมื่อไม่พบที่ห้องจึงเดินเลยลงมาหน้าลอบบี้ และเลยเถิดจนมาถึงหน้าโรงแรมจนในตอนนี้

ลืม... จริงแล้วผมคงลืมทุกอย่างตั้งแต่ได้พบกับเขา ลืมความโลเล ลืมไม่แน่ใจในตัวเอง ลืมชีวิตที่ปล่อยไหลเลื่อนไปตามกระแสแห่งวันและเวลา คนที่ไม่เคยประสบพบพานหรือเกี่ยวข้องความยากลำบากมากร่ำกราย ยิ่งมีอุปสรรค ยิ่งทำให้ท้าทาย ยิ่งทำให้ความปรารถนา ยิ่งทำให้ความใฝ่ฝันลุกโชนโชติช่วงพ้นทวี

หากเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ไม่ได้มีค่าแม้เพียงเศษเสี้ยวที่ทำให้ผมยังจมอยู่ในความรักครั้งนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะ เขาทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นลูกที่ดีขึ้น เป็นผู้ชายที่ดีขึ้น จนกระทั่งสามารถมายืนอยู่ได้ ณ จุด ๆ นี้ จึงทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมผมต้องมายอมทนรอ... อะไรเช่นนี้

ไอขาวจาง ๆ ของลมหายใจอุ่นที่ออกมาทางจมูกกับแก้มแดงปลั่งดังลูกตำลึงสุกยิ่งย้ำชัดความตั้งใจ เขายินยอมเลือกทางที่ลำบากกว่าเพียงเพราะใครคนหนึ่งเช่นกัน

หากผมไม่ต้องการที่จะรับรู้ว่าเพราะอะไร

 

การหลีกเร้นหลบเลี่ยงเกิดขึ้นฉับพลันพร้อม ๆ กันในวินาทีที่เขาเดินเข้ามา ชายที่เดินเรื่อย ๆ เอื่อยสบายตัดผ่านลอบบี้ จึงไม่ทันสังเกตใครอีกคนที่ทรุดซ่อนตัวลงหลังโซฟาอย่างเฉียดฉิว

ด้วยความเร็วที่เร่งรุดเพื่อหลบให้ทันสายตาคม กับอากาศแห้ง ๆ หนาวเย็นเบาบางทำให้ลมหายใจติดขัด อาการของโรคประจำตัวที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ต้องหลับตาลงสูดลมหายใจ หาก... เมื่อเสียงเคยคุ้นแว่วใสเอื้อนเอ่ย สมาธิความตั้งใจแต่เดิมก็ขาดสะบั้น

“เขน นอนหรือยัง”

“มุกนี้ยังเล่นอยู่อีกเหรอ” น้ำเสียงที่เปี่ยมสุขเจือปนเสียงหัวเราะใสทำให้หัวใจที่เต้นแรงถี่รัวในหัวอกเกิดอาการปวดแปลบแทบขาดใจ

เจ้าตัวหารู้ไม่... คำก็ ‘เขน’ สองคำก็ ‘เขน’ เหมือนดังมีดเชือดเฉือนลงในเนื้อของหัวใจ ‘ตัวอยู่กับเราใจอยู่กับใคร’ ทำไมผมจะรู้... หากโทษใครมิได้นอกจากตัวเอง

“รีบอาบน้ำนอนนะ”

“พรุ่งนี้เขนโทรมาปลุกนะ”

“ฝันดีนะ”

หากในห้วงแห่งความเจ็บปวดร้าวลึก... เวลาเพียงไม่นานปานชั่วนิจนิรันดร์ เสียงบทสนทนาที่จบไป ดังสายน้ำเย็นจัดสาดทั่วร่างทั้งร่างโอนเอนสั่นไหวไร้การควบคุมใกล้เลื่อนลอย สติที่มีน้อยนิดบังคับให้ขาสองข้าวหยัดยืนขึ้นก้าวเดินอีกครั้ง... ในหนทางที่เลือกเอง

แต่ละก้าวย่างแห่งความทุกข์ทรมานลากผ่านไปอย่างช้า ๆ ‘อีกนิดเดียว’ ความรั้นในหัวใจยังคงเพียรฝืน จนกระทั่งนำพาร่างของตัวเองมาอยู่ที่โถงลิฟต์กระจกใสชั้นที่พักได้สำเร็จ

ไม่กี่ก้าว... เพียงไม่กี่ก้าว... จะได้พักผ่อนเสียที

หากแต่เพียงไม่หันไปเหลียวมอง... กระจกใสริมทางเดินที่เบื้องหลังโชว์โฉมวิวทิวทัศน์แห่งแสงไฟในเมืองธุรกิจตระการตาชวนให้หยุดมอง ไอน้ำขาวขุ่นที่แต่งแต้มยังคงชัดเจนบ่งบอกให้รู้ชัดว่าคนบรรจงสร้างขึ้นเพิ่งเดินพ้นผ่านไปไม่นาน...

‘KHEN’ ตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว คมชัดบาดลึกตัดขั้วหัวใจ...

ทำให้แรงใจสุดท้ายขาดลง

 

“เฮอ...”

“ลำบากใจเหรอ” ภายในห้องพักที่เงียบเชียบเฉียบเย็นเสียงถอนลมหายใจเบา ๆ ดังขึ้นเป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะพลั้งปากถามออกไปจนทำให้ซีกหน้าหวานราวปูนปั้นเหลือบหันแลสายตาถอนกลับมาจากจุดเดิมที่เคยทอดมองออกไปไกลแสนไกล แววตานิ่งมั่นคงที่จับจ้องพินิจพิเคราะห์เนิ่นนานก่อนเสียงเบาทุ้มกังวานจะเล็ดลอดผ่านริมฝีปากบางออกมา

“..... ถ้าผมตอบว่า ‘ไม่’ คุณก็ต้องคิดว่าผมโกหก”

“แต่ผมก็จะตอบว่า ‘ไม่’ อยู่ดี”

“รุ่ง...”

“ไม่หรอก... ผมไม่ได้ลำบากใจอะไรจริง ๆ นอนพักเถอะ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ ‘เป็นเพื่อน’ จะไม่ไปไหน สัญญา...” เสียงสุดท้ายราวมนต์สะกดให้สองสายตาประสานความเข้าใจภายในที่ลึกซึ้งระหว่างกัน ก่อนที่พ็อกเก็ตบุ๊คสีขาวเล่มหนาจะถูกยกขึ้นมาพิจารณาให้ความสำคัญ แสดงออกชัดถึงความตั้งใจที่จะหยุดทุก ๆ อย่างไว้เพียงแค่นั้น

สามวันแล้วตั้งแต่คืนวันนั้นที่อาการของโรคประจำตัวของผมกำเริบ และแทรกซ้อนรวมกับอาการของไข้หวัดใหญ่ที่ผสมโรงเข้ามาทำให้ต้องมาล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้

หากมันเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ สำหรับผม

ใครจะคิด... ว่าคนคนแรกที่เฝ้าคิดถึง คนคนแรกที่หัวใจหวนหาปรารถนา จะมาเป็นคนคนแรกที่ได้เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง รวมทั้งเป็นคนเดียวที่คอยดูแลพยาบาลอยู่ข้าง ๆ ผมมาจวบจนวันนี้

“นอนไม่หลับเหรอครับ” เสียงเรียกเบา ๆ ที่ดึงผมกลับมาจากห้วงความคิด

“อืม...” ผมตอบพร้อมจับจ้องมองคนที่ลุกขึ้นขยับมายืนชิดข้าง ๆ เตียง

“ได้เวลาทานยาก่อนอาหารแล้วครับ คุณอาร์ททานก่อน เดี๋ยวผมจะไปยกอาหารมาให้” มือบางหากแข็งแกร่งเข้ามาประคองร่างคนป่วยก่อนที่จะสอดหมอนรองหลังให้พิงอย่างรวดเร็ว

“ยาครับ นี่น้ำ” ผมรับยาเม็ดขมมาเพื่อกลืนลงคอ ก่อนจะดื่มน้ำตามช้า ๆ เมื่อป่วยปฏิกิริยาทางร่างกาย และสมองมักจะช้าลงเป็นธรรมดา

หากแต่ความแคล่วคล่องนุ่มนวลของใครอีกคนที่ฉวยแย่งแก้วน้ำออกไปจากมือ หลังจากที่ผมดื่มเสร็จ และเลื่อนหมอนออกให้ผมกลับมาลงนอนตามเดิม ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง ผู้ชายคนนี้มีอะไรหลายอย่างให้ประหลาดใจเสมอ ๆ

ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร ไม่เคยรู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร ไม่เคยรู้ว่าเขากำลังทำอะไร และมันคงเป็นเหตุที่ทำให้ผมไม่เคยพิชิตหัวใจเขาได้เลยสักครั้ง

“ยังพอมีเวลาใช่ไหม”

“ครับ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยทานอาหาร”

“เราคุยกันบ้างได้ไหมรุ่ง... คุยกันแบบที่ไม่ใช่เจ้านายคุยกับลูกน้อง”

ผมรู้... น้ำเสียบอันแหบแห้งร้องขอว้อวอนของตัวเองแสนจะไม่น่าฟัง หากผมตัดสินใจแล้วว่า... ผมคงต้องพูดมันออกไป

“ครับ” คนตอบทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างงดงาม ระยะห่างของการวางตัวอย่างเหมาะสมทำได้ดียิ่งกว่ากุลสตรีใดที่ผมเคยพบ

“ยังโกรธผมอยู่ไหม” ผมถามลอย ๆ หากคำตอบที่ได้รับแสดงชัดว่าคนตอบเข้าใจ... สวยและฉลาด

“ไม่ครับ ผมเข้าใจ ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเอง” รอยยิ้มจาง ๆ จากคนที่เราเฝ้าคอยทำให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ความเข้าใจลึกซึ้งที่ส่งผ่านแววตา ทำให้ความหวังเล็ก ๆ ของผมเกิดขึ้นเรืองรองดังแสงอาทิตย์ที่จับต้อง ณ ปลายท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ หรืออาจจะเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ จริง ๆ

“คุณรู้... เหตุผลของผม” ผมถามเพื่อย้ำความหมายในดวงตานั่น

‘เหตุผล’ ที่ผมไม่เคยบอกแต่เพียรพยายามแสดงออกให้เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป เพียงเพราะ... ‘รัก’

“ผมคิดว่าผมทราบ” อาการทอทอดเสียงพร้อมกับก้มหน้าลงน้อย ๆ ทำให้หัวใจผมกำลังจะละลาย

“แล้วไม่โกรธ”

“ครับ”

“ทำไม...”

“ถ้าผมเป็นคุณ ผมก็อาจทำแบบคุณ เรื่องบางเรื่อง… ‘หัวใจก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผล’ สักเท่าไหร่ จริงไหมครับ”

“แล้ว...ผมพอจะมีโอกาสบ้างไหม...” ผมถามออกไปก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ ห้องทั้งห้องเงียบสนิทลงอีกครั้งพร้อมกับแววตาใสเป็นประกายระยับเจิดจ้าที่ผมไม่เคยล่วงรู้ความหมาย

“คุณก็น่าจะรู้คำตอบดี” ผมคิดว่าผมรู้... หากผมไม่อยากยอมรับความหวังที่ดับวูบลง

“ทำไม... ล่ะรุ่ง”

“เรื่องบางเรื่อง... หัวใจไม่ค่อยมีเหตุผลนัก หรอกครับ”

ผมรักคนฉลาด หากครั้งนี้ความฉลาดนั้นกลับกรีดลึกบาดเนื้อหัวใจของผมไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกมากมายภายในที่อัดแน่นทำเอาจุกจนพูดไม่ออก รวมทั้งไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลหลั่งออกมาได้ จนทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ต่อหัวใจคู่นั้น

ความเงียบกลับมาครอบคลุม... เวลาผันผ่านไปสักพักจนผมแน่ใจว่าสามารถบังคับน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่นเครือได้

“เขามีอะไรดี... อย่างนั้นเหรอ” หากแต่แล้วก็ยังคงสะดุดเล็กน้อย

“เฮอ..... ถ้าเทียบกับคุณ ก็คงไม่”

“แล้วทำไม... ถึงไม่รักผมบ้าง...” หมดแล้ว... ผมยอมหมดทุกอย่างแล้ว...หากคำตอบที่ได้ยิ่งตอกย้ำความชัดเจนด้วยตรรกะแบบเดิม

“..... ถ้าวันไหนคุณเลิกรักใครคนนั้นในหัวใจของคุณได้ คุณลองมาบอกวิธีนั้นให้ผมทราบบ้างสิครับ”

“ไม่มีวัน... เลยใช่ไหม...”

“ผมเชื่อว่าคุณรู้...” น้ำตาที่เหือดแห้งจากนัยน์ตาที่เหือดแห้งร้าวระบมไหลนองท่วมท้นหัวใจ

“ผมขอโทษ... ผม...” ใครคนนั้นหยุดบทสนทนาของเราไว้เพียงแค่นั้น ส่วนผมก็ไร้กำลังกายหรือกำลังใจที่จะเอ่ยสิ่งใดอีกต่อไปได้ ทั้งที่หัวใจร้องก้อง

มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ หรือไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องมารู้สึกผิดต่อกันเลย

ผมผิดเอง ทั้ง ๆ ที่มันชัดจนมาตั้งแต่ต้น ผิดเองที่ฝืนทน

 

ผมผิดเองที่เพียรทำทุกอย่าง พยายามทุกทาง...

หากวันนี้ผมรู้แล้ว... วันนี้ผมยอมแล้ว…

“เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” ผมรีบรวบรัดตัดสายทางไกล เมื่อคนเฝ้าไข้ยกถาดอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะอาหารไม่ไกลจากเตียง

“ตามนั้น แค่นี้” คิ้วเรียวบางที่ยกขึ้นแสดงความสงสัยใคร่รู้ หากความเงียบและความสุภาพทำให้ผมไม่มีวันได้ยินคำถามที่เกิดขึ้นภายในใจ

“ทานข้าวครับ จะได้ทานยาหลังอาหาร”

“อืม” รอยยิ้มอ่อนบางที่ส่งมาทำให้ผมรู้ว่าในที่สุดสิ่งที่ผมตัดสินใจทุก ๆ อย่างจะถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์

เพื่อ... ‘เขา’ เพียงคนเดียว





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 19-03-2018 18:03:47
 :mew1:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: MIRACLE 19.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-03-2018 19:27:11
ดีหรือร้ายละนั้น
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: IS...YOU 20.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 20-03-2018 14:14:26
Chapter XXVII: Is… YOU

 





ขาดหาย... หัวใจของผมกำลังรู้สึกขาดหาย ค่ำคืนแรกที่ต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ด้วยเกินจะกักเกี่ยวเหนี่ยวรั้งคนที่ไม่ได้มีใจให้กันมาอยู่เคียงข้างอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเขาคนนั้นแสดงออกถึงความห่วงใย และความปรารถนาดีที่มีให้โดยบริสุทธิ์ใจ ยิ่งทำให้รู้สึกละอายแก่ใจ หากการกระทำบางอย่างหัวใจจะตัดสินไปแล้ว แปรเปลี่ยนไม่ได้

แต่ทำไม... กลับรู้สึกเช่นนี้

‘รัก’ ไม่เคยผิด หากแต่คำว่า ‘รัก’ ผลักดันให้กระทำเช่นไรนั่นต่างหากที่อาจจะเกิดข้อผิดพลาด หากเพื่อรอยยิ้มนั้น หากเพื่อความสุขนั่นผมยอม...



กุหลาบงามมักมีหนามแหลมคม

แสงอาทิตย์สดใสยามเช้าที่สาดส่องลำแสงผ่านม่านม้วนโปร่งเข้ามาตกกระทบหยาดน้ำหยดเล็ก  ๆ ที่จับต้องแต่งแต้มกลีบขาวอ่อนบางเป็นประกายพราวพร่าง ดอกกุหลาบขาวนับพันที่ถูกจัดแต่งแทรกแซมทั่วห้องทำงานที่มีขนาดกะทัดรัด ยิ่งอยู่ในอุณหภูมิอบอุ่นที่พอเหมาะ ยิ่งทำให้กลิ่นหอมรวยรินรัญจวนอบอวลไปทั่ว

ใครเล่าจะปฏิเสธความงดงามหวานละมุนของกลีบกำมะหยี่สีขาวที่คลี่แย้มผลิบานความงดงามที่สมบูรณ์ต้องตาตรึงหัวใจ... เนรมิตได้ด้วยน้ำ ‘เงิน’

หากทำไมความเพรียกพร้อมบางประการ... ไม่ว่าจะเพียรหรือพยายามแค่ไหน แม้แลกด้วยหัวใจรัก หรือแม้แต่ชีวิต ก็มิมีวันได้ครอบครองหัวใจ

‘เรื่องบางเรื่อง... หัวใจไม่ค่อยมีเหตุผล’ ประโยคย้อนยอกธรรมดา ๆ หากกลับเป็นเหตุผลที่แน่นหนักเสมือนกำแพงหนาที่กั้นกลางเส้นทางระหว่างเรา  สมองดังหนามที่คมกริบสร้างรอยแผลลึกบอบช้ำให้แก่ผู้อาจเอื้อมกรายกร่ำ หัวใจแกร่งดังเพชรแท้กรีดเน้นย้ำชัดเจน

ไม่ว่าเช่นไร... ก็ไม่มีวัน

“เฮอ...” เสียงทอดถอยลมหายใจเพราะรู้ชัด ‘ของขวัญ’ สิ่งนี้ก็มิสามารถสั่นคลอนความตั้งใจหรือแปรเปลี่ยนสิ่งใด ๆ และไม่มีเคียงค่าแม้เพียงครึ่งของน้ำใจอันแสนบริสุทธิ์ของผู้ให้ หากก็เป็นสิ่งทดแทนความรักและความปรารถนาดีจากดวงใจของผู้รับที่ต้องการตอบแทน

“คุณอาร์ท” เสียงทักนุ่มจากน้ำเสียงทุ้มกังวาน พร้อมกับดวงตากลมที่เบิกกว้างกวาดมองทั้งห้องเพียงชั่วครู่ ก่อนที่สีหน้าจะนิ่งสงบราบเรียบอีกครั้ง อย่างยากจะคาดเดาสิ่งใดเฉกเช่นเดิม

“ผมมาขอบคุณ” เสียงแหบแห้งที่ใช้ความพายามอย่างยิ่งในการเพียรบังคับให้ไม่สั่นไหว

“ขอบคุณจริง ๆ รุ่ง ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง ขอบคุณน้ำใจ ขอบคุณที่ช่วยดูแล แม้”

“อย่ากังวลไปเลยครับ ผมบอกแล้วว่าผมเต็มใจ” รอยยิ้มอ่อนโยนดังน้ำทิพย์ปลอบประโลมหัวใจที่ไหวหวั่นจวนเจียนจะขาดรอน

“ยังไงก็ขอบคุณมาก”

“ครับ”

“ชอบไหม...”

“ชอบ?” คำถามบ่งบอกให้รู้ถึงไหวพริบและสติที่เต็มเปี่ยม ย้อนกลับให้คนขุดหลุมพรางพลาดตกลงไปเองอย่างหมดท่า

“ดอกกุหลาบ”

“ก็ดีนี่ครับ”

“ผมดีใจ” และมันก็ย้ำให้ผมรู้อีกครั้งว่า ชีวิตนี้ผมเกิดมาเพื่อแพ้พ่ายต่อใคร

แสงสะท้อนจากกุหลาบงามจับต้องเสี้ยวใบหน้าผ่องนวล แม้มิได้สวยพรรณพิลาศเลิศล้ำลออออง หาก‘งามพิศ’ มิว่ามุมใดก็ละมุนละไมจับตาจับดวงใจชวนให้หลงใหลเฝ้าฝัน เร่งเร้าความรู้สึกที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจให้เปี่ยมล้น และร้อนรนดังลมหายใจเฮือกสุดท้ายแห่งชีวิต

“รุ่ง ถ้าผมจะถามอีกครั้ง...”

“คุณก็จะได้คำตอบเดิม” เสียงตอบเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ หากแววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเข้าใจลึกซึ้ง จึงทำให้หัวใจของผมยังคงดื้อดึง

“แล้วถ้าผมยังยืนยัน... ขอโอกาส... เพียงจะบอก...”

“ครับ... ผมจะฟัง” เพียงชั่วอึดใจที่ผู้ฟังตอบรับ หากวินาทีต่อมาที่ผู้พูดตัดสินใจย่างก้าวลงสู่ห้วงเหวลึกช่างแสนยาวนาน ทั้ง ๆ ที่รู้...

“ผ... ผมรักคุณ ผมรักคุณรุ่ง ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอย่างไร ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมรักคุณ...” และแล้วสายตาที่มองเลยผ่านก็จับภาพบุคคลเบื้องหลังผู้ฟัง ‘เขา’ ยืนอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเขามาถึง

หากแต่นี่คือเวลาของผม วินาทีสุดท้ายที่เป็นของผม

และผมจะทำมันให้ดีที่สุดเพื่อตัวของผมเอง


“ผมอยากเห็นคุณมีความสุข และผมเชื่อว่าผมจะทำให้คุณมีความสุขได้ หัวใจของผมเป็นของคุณมาตลอด และเป็นของคุณมานานแล้ว ก่อนที่ ‘เขาคนนั้น’...” ไม่สิ ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึง...

“ผมรักคุณรุ่ง... ขอแค่เลือกผม... ขอแค่รักผม... ขอให้เป็นผม... ได้โปรด”

“ผมก็รักคุณครับ...”

 

 





คำสั่งด่วน! คำสั่งแรกที่ดูจะไร้ความน่าจะเป็นใด ๆ มารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผมที่ทั้งชีวิตยึดมั่นหลักเหตุและผล มันยิ่งทำให้เกิดความคับข้องใจเป็นอย่างมากที่จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไร้ซึ่งเหตุผล หากแต่... มันเป็นคำสั่งแรกที่ตอบโจทย์แห่งหัวใจ ดังนั้นผมจึงไม่แม้จะพักพิจารณาเลยสักนิดก่อนการเดินทางด่วนครั้งนี้

คิดถึงเหลือเกิน... ยอดรัก

แบบก่อสร้างเอกสารลับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ในซองปิดผนึกถูกกอดไว้แนบอกตลอดการเดินทาง เพราะมันเป็นเหมือนดังพาสปอรต์ใบเบิกทางของการเดินทางครั้งนี้

ใครจะรู้ความคิดถึงลึกล้ำร้ายกาจ ใครจะเชื่อว่าแม้เคยไกลห่างจากกันมานานนับปี ก็มิได้เทียมเท่าครั้งนี้ เมื่อความผูกพันทางกายลึกซึ้ง ความผูกพันทางใจที่เป็นหนึ่ง เมื่ออีกครึ่งถูกพราก... ดังครึ่งหนึ่งในชีวิตที่ขาดหาย

แสงจันทร์ดวงโตนวลผ่องทอแสงงดงามกระจ่างตา เมื่อยิ่งได้พิศจากระยะที่ใกล้ขึ้นกว่าเดิม ยิ่งทำให้อยากไขว่คว้ามาเชยชม หากทำได้แต่เพียงยกมือสัมผัสหน้าต่างบานน้อยที่เปิดวิสัยทัศน์ให้มองออกสู่ภายนอกที่เวิ้งว้าง

ยิ่งทำให้แสนคิดถึงคะนึงหา ‘เจ้าแสงจันทรายอดดวงใจ’

ข้อความมากมายที่แม้จะใช้เวลายาวนานเพียงใด ก็เกินกว่าจะเลื่อนดูข้อความที่ถูกส่งมาได้ทั้งหมด หากแต่นิ้วยาวก็ยังคงสัมผัสกดเลื่อนหน้าจอเพื่อทบทวนทุกคำ ทุกข้อความอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้ม ตลอดชีวิตไม่เคยติดโทรศัพท์มากขนาดนี้ หากตอนนี้มันคือ หูที่คอยสดับรับฟังและแทนปากที่เจื้อยแจ้วเจรจาความในใจ

ระยะหลังที่ผ่านมาคุยกันน้อยลง เพราะ... ใครคนนั้น

หากผมเข้าใจและไว้ใจคนของผมเป็นอย่างยิ่ง

การเดินทางที่คล่องตัวด้วยกระเป๋าเป้สัมภาระใบเล็กที่พกติดตัวเพียงใบเดียวกับซองเอกสารสำคัญนั่นทำให้การเดินทางผ่านประเทศรวดเร็วว่องไวดังใจคิด ภาระหน้าที่สำคัญที่ต้องมาปฏิบัติใช้เวลาเพียงไม่นานเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จัดเตรียมด้วยมือของตัวเองเพื่อใครอีกคนนั้นในครั้งก่อนเพียงพอ และใช้ร่วมกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย การเตรียมตัวเดินทางติดตามหาเจ้าของดวงใจครั้งนี้จึงสั้นนัก

พร้อมกับความลับที่ต้องการทำให้ประหลาดใจ

คิดถึงเหลือเกิน... อีกไม่นานเราจะได้พบกัน

ทุกก้าวย่างที่เดินตัดตรงมุ่งสู่รถโดยสารสาธารณะ สถานที่จุดหมายปลายทางถูกยื่นให้กับคนขับก่อนตกลงทำความเข้าใจเรียบร้อยพร้อมแสงอาทิตย์วันใหม่อันแสนอบอุ่นสาดส่องมาในหัวใจ หากภาพวิวทิวทัศน์ภายนอกตลอดทางที่แสนตื่นตาตื่นใจไม่สามารถดึงดูดความสนใจออกไปจากจุดมุ่งหมายที่รอคอย ร่างสูงมองตรงยืดคอชะเง้อชะแง้แลหา คอยลุ้นตลอดเวลาให้การเดินทางครั้งนี้สิ้นสุดลง

ปลายทางดังภาพฝัน

สถานที่ที่เกือบคุ้นเคยด้วยภาพถ่ายมุมต่างที่ยอดรักเพียรส่งมาให้ยิ่งทำให้หัวใจระทึก สองขาที่นำพาหัวใจที่ล่องลอยเดินไปไร้การควบคุม ออฟฟิศว่างเปล่าไร้ร้างผู้คนด้วยเช้านัก จึงทำให้สมองคิดจะทิ้งตัวทรุดลงที่โซฟาโซนต้อนรับแขก หากแต่... กลิ่นหอมหวานฟุ้งตลบอบอวลกับเสียงคนคุยกันแผ่วเบาดึงความสนใจ

ความอยากรู้ฉุดสองขาให้ก้าวเดินอีกครั้ง ห้องทำงานส่วนในสุดเปิดประตูแง้มไว้โดยไม่ตั้งใจเผยภาพที่แสนงดงามราวเนรมิต สวนกุหลาบขาวนับพันส่งกรุ่นกลิ่นเย้ายวนใจ หากหัวใจหยุดลงกับภาพเบื้องหลังของร่างบอบบางงามระหงที่ยืนโดดเด่นท่ามกลางสวนดอกไม้ ใครเล่าจะจำหัวใจรักของตัวเองไม่ได้ ในที่สุด...

“ร...” เสียงที่กำลังจะเปล่งออกไปถูกหยุดลงฉับพลันเมื่อได้แว่วเสียงของใครอีกคน

“ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ว่าผมรักคุณ...” ประโยคของใครคนนั้นที่ได้รับฟังทำให้การทำงานของสมองของผมหยุดลง

‘อะไร?’ คำถามที่ส่งผ่านสายตากร้าวส่งตรงถึงชายคนนั้นที่ทอดสายตามายังผม เขาเห็นผมหากแต่เขายังคง...

“ผมอยากเห็นคุณมีความสุข และผมเชื่อว่าผมจะทำให้คุณมีความสุขได้ หัวใจของผมเป็นของคุณมาตลอด และเป็นของคุณมานานแล้ว ก่อนที่ ‘เขาคนนั้น’” สงครามที่ถูกประกาศชัดและไม่เว้นวรรคให้ ‘ส่วนเกิน’ สอดแทรก

“ผมรักคุณรุ่ง... ขอแค่เลือกผม... ขอแค่รักผม... ขอให้เป็นผม... ได้โปรด”

ผิดเวลา ผิดเวลาแน่ ๆ ณ ตรงนี้ ที่นี่ผมเป็นแค่ ‘ส่วนเกิน’ ทุกประโยค ทุกวลีทุกถ้อยคำ เคลื่อนช้าหากกดแผลลึกบาดฉกรรจ์ลงในหัวใจ ทำให้กลไกปกป้องตัวเองสั่งให้หลีกหนี ผมหันหลังกลับพร้อมจะก้าวเดิน... หากแต่จะดีกว่านี้มาก ถ้าไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่แสนไพเราะอ่อนหวานนั่น



“ผมก็รักคุณครับ...”







#JKLTHESERIES

หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: IS...YOU 20.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-03-2018 18:54:09
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 21-03-2018 14:28:36
Chapter XXVIII: RECOVER

 

“ผมก็รักคุณครับ...”

ภารกิจที่เสร็จสิ้นพร้อมหัวในรักที่แตกแหลกสลาย หากหน้าที่ของผมในตอนนี้เป็นเพียงแค่... ‘ผู้ส่งเอกสาร’ และบัดนี้เอกสารสำคัญฉบับที่แนบมากับหัวใจตลอดการเดินทางนั่นก็ได้ถูกส่งถึง ‘ผู้รับ’ เป็นที่เรียบร้อย!!!

หากเพียงแต่ถ้า ’ผู้ส่งเอกสาร’ รู้ตัวมาก่อนว่าตนเองมีบทบาทเพียงแค่นี้ จะได้หักจะได้ห้ามไม่ให้ทั้งชีวิต... ทั้งหัวใจ... มอบไว้ให้เพียง... แค่เธอ

เรื่องยุ่ง ๆ ที่สนามเนื่องจากการเลื่อนไฟลท์การเดินทางทำให้เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมากพอสมควร แต่ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ไม่ต้องการอยู่ที่ประเทศนี้แม้อีกเพียงเสี้ยววินาทีก็ผลักดันทำให้ยินยอมทุกสิ่ง

ยอมแม้กระทั่ง... หนีหัวใจของตัวเอง

ความเจ็บปวดในหัวใจร้าวรานกับความทรมานในทุกลมหายใจ บังคับให้ร่างกายหลีกหนีนั้นไม่เท่ากับความด้านรุ่งภายในหัวใจที่รู้ทั้งรู้... แต่สมองยังเพียรเฝ้าปฏิเสธความเป็นจริง

ถ้าเพียงแต่ผมไม่อยู่ตรงนั้น ถ้าเพียงแต่ผมไม่รับรู้ ถ้าเพียงแต่ผมยังเฝ้ารอ... เขาอยู่ในที่ที่เป็นของเรา ที่ที่เป็น ‘บ้านของเรา’ เขาก็ยังเป็นคนรักของผม ไม่ใช่หรือ...

การโกหกตัวเองที่ร้ายกาจ ดังลมหายใจที่คมแหลมกรีดแทงลึกลงในหัวอก

ต่อให้คนทั้งโลกจะตราหน้าว่าโง่... ผมก็ยินยอม

ความคิดที่วกวนวุ่นวายในสมองผสมรวมกับความทรมานในหัวใจทำให้ผมเพียรพยายามหลับตาลง เหลือเวลาอีกพักใหญ่ในการรอคอยที่จะลากร่างวิญญาณของตัวเองกลับบ้านของเรา

น่าขำสิ้นดี ก่อนการเดินทางครั้งนี้... ในวินาทีที่ผมรอขึ้นเครื่องในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมยังคิดเพียงแต่ว่า ‘ความคิดถึงนั้นช่างร้ายกาจนัก’ หากตอนนี้ผมรู้ซึ้งแก่ใจดีแล้ว ว่าเทียบกันไม่ได้เลย ความคิดถึงไม่ได้เศษเสี้ยว...

เมื่อต้องมารับรู้ว่า... ‘กำลังจะเสียของรัก กำลังจะเสียคนรักไป’

 

กลิ่นหอมจางบางอ่อนโบกโชยมาพร้อมกับกระแสลมของเครื่องปรับอากาศภายในตัวอาคารรับรองผู้โดยสารชั้นใน กลิ่นที่ไม่ต้องลืมตาขึ้นมองก็รับรู้กลิ่นที่คุ้นเคยมานานแสนนาน... ดังดอกปริชาติดึงภาพฝันในวันวานย้อนคืน

ความทรงจำที่ยังคงแจ่มชัดใหม่สดในหัวใจ วันแรกที่ก้าวไปในร้านขายดอกไม้ที่มหาวิทยาลัย ‘ดอกไม้สีขาว’ งามงดผุดผาดชูช่อลอออองในตู้ทำความเย็น หากเมื่อกลีบกำมะหยี่แข็งแกร่งสัมผัสกับความอบอุ่นภายนอกก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกรำจายไปทั่ว

ความงดงามที่มิอาจเสมอเหมือน หากร่องรอยเสน่หาตราตรึงคลับคลาคล้ายคลึงในหัวใจ

ไม่รู้ทำไม... แต่มันต้องใช่ เท่านั้นที่หัวใจรับรู้

ภาพดอกไม้งามในวันวานที่ไหลย้อนคืน... ซ้อนทับกับรอยยิ้มบาง ดวงตาเล็กที่เบิกกว้าง หากจ้องมองดอกไม้นิ่งหน้าล็อกเกอร์ แววตาที่ไม่สามารถคาดเดาทุกสิ่ง หากยังคงรักษาพกพาดอกไม้ไว้แนบกาย ใบหน้าอ่อนละมุนยามนอนของผู้ป่วย ที่มิได้รับรู้ถึงการมาของเจ้าของดอกไม้ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่จับต้องใบหน้าพร้อมสายตาที่ทุกข์ระทม ก่อนยื่นคืนดอกไม้งาม รอยยิ้มสดใสแย้มเยือนหยอกเย้าพร้อมรับดอกไม้ทุกดอก สร้างความสุขล้นในหัวใจ

‘ดอกลิลลี่สีขาว’ ดอกแล้วดอกเล่า ช่อแล้วช่อเล่า... ใครจะคาดคิดว่ามิได้ตรึงตราเทียบเทียมได้กับสวนกุหลาบละลานตานับพัน ใครจะคาดคิดว่าเวลาเพียงสั้น ๆ จะทำให้หัวใจใครแปรเปลี่ยน ถ้ารู้... เพียงรู้จะไม่ปล่อย จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้ หากแต่ใครเล่าจะย้อนวัน ย้อนเวลาได้

หยาดน้ำจากในตาที่ไหลหยดรินอาบหน้า ความรวดร้าวในหัวอกบวกผสมเพิ่มเติมกับภาพประหลาด... ‘ดอกลิลลี่สีขาว’ อีกดอกหนึ่งที่มิเคยคุ้น หากสร้างความปวดแปลบร้าวฉานขึ้นมาในหัวสมองที่เกือบมึนงง ทำให้ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการนำพาร่างที่มีสภาวะสั่นไหวจากอาการกำเริบของโรคเก่าเข้าไปนั่งประจำที่บนสายการบิน

ยาเม็ดเล็กที่พกติดตัวตลอดเวลาถูกกรอกเข้าปากทันทีที่ได้รับเครื่องดื่มที่ร้องขอจากพนักงานบนเครื่อง ก่อนหลับตาลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งกาย และใจ สติที่หลงเหลือเพียงเล็กน้อยค่อย ๆ เคลื่อนหลุดหายเพราะยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทฉับพลัน

หากแต่ภาพ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นกลับชัดเจน

พร้อมคำถามสุดท้ายก่อนสติขาดหายไป

“ใคร?”

‘......................ยินดีด้วยนะ’

‘อืม....................ขอบคุณมาก’ 

 

 











“ไง... นั่งเครื่องบินเล่นทั้งวันนี่มันสนุกไหม”

“....................................” สีหน้าที่ตกตะลึงเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับดวงตาแดงช้ำยังคงจ้องมองนิ่งต้องร้องไห้มาแน่ ๆ

‘เฮอ.....พ่อเหมียวนะ พ่อเหมียว น่าตีจริง ๆ’

“หน้าซีดเลย... เป็นอะไรหรือเปล่าเขน มีไข้ไหม” หากเมื่อเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคมขาวซีดเย็นเฉียบ

“ก็ไม่...” หากยังไม่ทันพูดจบดีว่าไม่มีไข้ ร่างทั้งร่างที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงก็ถูกรั้งฉุดดึงปลิวเข้าสู้อ้อมกอดที่กระชับแน่นกลางสนามบิน ก่อนคำแรกแหบห้าวจะหลุดออกมา

“รุ่ง.....” เสียงเรียกที่อดจะทำให้ยิ้มกว้างไม่ได้

“แล้วคิดว่าใคร”

“ทำไม...”

“ก็ไม่ทำไม... เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แต่ปล่อยก่อน นี่รู้กันทั้งประเทศแล้ว” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเริ่มจะอู้อี้ เพราะผมเริ่มจะหายใจลำบาก ก่อนที่ร่างจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“กลับ ‘บ้านเรา’ กันนะ”

“แต่...”

“อย่าดื้อสิ บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวเล่า มาตามมา” หากเจ้าตัวยังคงยืนเอ๋อดัง ‘เด็กน้อยน่าสงสาร’ ทำให้ผมต้องตัดใจกุมมือ และลากพ่อแมวดื้อที่เดินเช็ดน้ำหูน้ำตาป้อย ๆ ออกมาจากสนามบิน

“เลิกร้องก่อนอายเขา”

“เดี๋ยว ต.ม. คิดว่ารุ่งล่อลวงเขนมาขายจะยุ่งนะ” ทั้งปลอบ ทั้งขู่กันอยู่นานเด็กน้อยถึงจะเลิกร้อง ก่อนที่จะมานั่งตั้งสติไล่เรียงถามฟื้นความจำเพื่อตามหารถกันจนพบ

“แล้วกระเป๋าล่ะ รุ่ง”

“จะเก็บอะไรได้ทัน ได้กระเป๋าทำงานติดตัวมาด้วยนี่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“โชคดีที่พกหนังสือเดินทางมา ไม่งั้นจะตามเด็กหนีเตลิดกลับบ้านทันไหม ป่านนี้นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งหารถไม่เจอนอนอยู่ที่สนามบินแล้ว”

“เขนก็กลับแท็กซี่” เจ้าแมวดื้อยังคงหาทาง

“เก่งจริงพ่อคุณ ขับรถไหวแน่นะ”

“ไหว”

“นี่กี่นิ้ว” ผมถามด้วยความแน่ใจ เมื่อคนข้าง ๆ ยังดูมึนงง

“สามนิ้ว”

“นี่สีอะไร” ก่อนจะชี้ไปที่หนังสือเดินทางสองเล่มที่ยึดไว้ในมือ

“แดงน้ำตาล”

“อือไป งั้นกลับบ้านได้”

“รุ่ง...” ผมเชื่อว่าสติเขากลับมาครบสมบูรณ์พร้อมที่จะขับรถกลับบ้านได้ ก็ตอนเขาปรับเบาะเอนลงได้ทันจังหวะที่ริมฝีปากของเราเนียนแนบแอบชิดกันพอดีนี่เอง รวมทั้งต้องเสียเวลาอีกพักใหญ่ในการปัดป่าย ถกเถียง ขู่เข็ญ ห้ามปรามกันอยู่นานเรื่องข้อกฎหมายที่ว่าด้วยการทำอนาจารในที่สาธารณะ กว่าที่รถขับเคลื่อนสี่ล้อคันเดิมจะเคลื่อนออกจากลานจอดรถได้

ช่างไม่เห็นใจหัวอกคนคิดถึงบ้านกันบ้างเลย

 

ลมหายใจที่ถูกช่วงชิงขาดหายทันทีที่ประตูบานสูงถูกปิดลงพร้อมเหตุผลมากมายที่ไร้ซึ่งความหมายอีกต่อไป ด้วยเรื่องราว และความเข้าใจที่ขาดหาย ถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขมาในช่วงระยะเวลาการเดินทางกลับสู่บ้านของเรา

“ผมก็รักคุณครับ...”

“ได้ยินแค่นั้น!!! ”

“ก็เขนได้ยินแค่นั้น... ” เสียงแตกแหบพร่าแสดงความเจ็บปวดอย่างเปิดเผย ทำให้ยิ่งสงสารจับใจระคนความหมั่นไส้เล็กน้อย

‘ความจริง... ก็น่าปล่อยให้เจ็บต่อไปหรอก’ สมองคิด หากหัวใจไม่ยินยอม

“เฮอ... เลือกจังหวะได้ดีจริง ๆ แต่ถึงได้ยินอย่างนั้นจริง เขนก็เชื่อเหรอว่าความจริงจะเป็นอย่างนั้น”

“ก็............” เสียงอึกอักทำให้ผมได้แต่ผมถอนหายใจอีกครั้งกับ ‘โชคชะตาที่เล่นตลก’ ทำให้ความเชื่อมั่นในหัวใจของเราสองต่างกันอย่างสิ้นเชิงเป็นเพราะ ‘ความทรงจำในอดีตที่มิได้เคียงใกล้เสมอเหมือน’ ความแตกต่างที่ไม่ว่าจะเพียรพยายามก่อเติมเพิ่มถมเท่าไหร่... ก็ไม่มีวันเหมือนกัน

                เมื่อภาพในอดีตตั้งแต่วินาทีแรกที่เราพบกันมีเพียง... ผมแค่คนเดียวที่ยังคงจำจดตรึงตรา และรู้ซึ้งถึงความรักที่แสนคงมั่นในทุกวินาทีอยู่เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่อดีตของเราในความทรงจำของอีกคนกลับเริ่มต้นหลังจากนั้นเป็นเวลานาน และเป็นความรักข้างเดียวที่เจ็บปวดตลอดมา

หากจะโทษใครได้... ในเมื่อผมเลือกแล้วที่จะกลับคืนมา

ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง เรื่องราวต่างๆ จึงถูกเรียงถ้อยร้อยความแต่ต้นอีกครั้งพร้อมกับเติมเต็มความสมบูรณ์

“ผมรักคุณครับ... ผมรักและเคารพคุณมาตลอด คุณไม่ใช่เจ้านาย แต่คุณ ‘เป็นพี่’ ของผมด้วย และผมคงยังยืนยันคำตอบเดิม หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ประโยคที่ออกมาจากปากของผมอีกครั้ง หากครั้งนี้ต้องอาศัยความเชื่อมั่น และศรัทธาในหัวใจของใครคนนั้น ที่จะเลือกด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่

“แล้ว?”

“แล้ว... เขาก็คงเข้าใจ ถึงยอมบอกว่ามีใครมายืนแอบฟังแล้วหนีเตลิดออกมา” หน้าแมวหงอยที่ขับรถนิ่ง ๆ สลดลงจนอดที่จะปลอบไม่ได้

“เขน...”

“เขนขอโทษ” ตาแดงกล่ำ ทำให้อดที่จะซุกซบศีรษะลงที่ลาดไหล่กว้างไม่ได้

“ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษเลย”

“เขนทำเรื่องให้ยุ่งหมดเลย”

“ไม่เห็นมีอะไรจะยุ่งเลย”

“ก็รุ่งกลับมาแล้ว... เขนทำให้รุ่งเสียงาน แค่เรื่องส่วนตัว ไม่น่า...” ความเชื่อใจกลับมิใช่ปัญหาเท่ากับความปรารถนาให้คนรักเป็นสุขใจ

“ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวหรอกเขน... แต่มันเป็นเรื่องของเรานะ และงานรุ่งเสร็จแล้ว รุ่งคุยกับคุณอาร์ทแล้ว รุ่งไม่ไปไหนแล้ว... รุ่งจะอยู่กับเขนนะ” แม้เอ่ยถึงขนาดนี้ หากสีหน้าใครบางคนก็ยังไม่ดีขึ้น

“เขน..... เป็นอะไร ไม่ดีใจที่รุ่งกลับบ้านเหรอ...”

“เขน.....” เสียงของความเชื่อมั่นที่ขาดหาย จึงเป็นหน้าที่ของอีกคนที่ต้องแบ่งปัน

“ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของรุ่ง... ไม่มีอะไร ไม่มีใคร สำคัญไปกว่า ‘เรา’ เลยนะเขน ‘เรา’ ที่ต้องมี ‘เรา’ ที่มีเราสองคน”

“ ‘เรา’ ที่มี ‘เขนเป็นของรุ่ง’ และ ‘รุ่งที่เป็นของเขน’ เป็นของเขนเพียงคนเดียวเสมอ...”

 







เสื้อผ้าข้าวของถูกฉีกรั้งดึงทึ้งออกจากร่างและถูกทิ้งกระจัดกระจายตามทางเดินที่ทอดยาว ร่องรอยเรียวลิ้นและฟันคมถูกฝากฝังทิ้งไว้ทั่วลำคอระหง และไหล่บาง ก่อนจะลงไล้แต่งแต้มรสสัมผัสดูดดื่มลึกล้ำร้อนเร่าที่ปลายยอดอกสีหวานมันวาวเป็นประกาย

“ข... เขน พอก่อน ไปที่ห้อง... อ... อื้อ... ไปที่เตียงก่อน” ฝ่ายรับเพียรรั้งตั้งสติที่หลงเหลือนิดน้อยของตัวเองให้กลับมา ก่อนที่จะถัดกายขึ้นมาจากพื้นทางเดินแข็งที่เฉียบเย็น

ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ และกินเวลาพอสมควรในการฉุดรั้งสองร่างที่เกี่ยวกระหวัดรัดแน่นชิดแนบด้วยผิวกายที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ ไปพร้อมๆ  กับรองรับจูบร้อนที่ถูกป้อนปรนเปรอไม่ห่างไปจนถึงจุดหมายที่ตั้งใจ

ความเหนื่อยอ่อนทำให้ร่างบางที่นอนเหยียดยาวบนเตียงกว้างหอบหายใจน้อย ๆ ก่อนที่ร่างที่ทับทาบจะเพียรกระซิบขู่เข็ญแหบห้าวถ้อยคำที่ย้อนยอกบอกให้รู้ถึงสติที่มีน้อยกว่าน้อย

“รุ่งเป็นของเขนนะ... เป็นของเขน ของเขนคนเดียว”

หากแต่ที่หลากใจ คนหลงลุ่มเมามัวกระทำการทุกอย่างตามสัญชาตญาณตามความต้องการได้อย่างเชี่ยวชาญช่ำชอง ถ้อยคำซ้ำ ๆ ที่เพียรพร่ำเน้นย้ำจูบซับกดลงบนผิวกายพร้อมรอยรื้นแดงที่ประกาศชัดความเป็นเจ้าของประปรายกระจายทั่ว

สองร่างเกี่ยวกระหวัดรัดแน่นโหยหาทวีโหม กลิ่นกายที่เคยคุ้นจุดกระตุ้นอารมณ์พิศวาสภายในจนลุกโชน ความแนบแน่นนวลเนียนจนยากที่จะอธิบายสิ่งใดในหัวสมองที่ขาวโพลน

หากรสสัมผัสด้วยรอยจูบจุมพิตคลึงเคล้า ฝ่ามือใหญ่และนิ้วเรียวยาวที่ฟอนเฟ้นกลับชัดเจนตราตรึงไปทั่วทั้งสองร่างที่พันเกี่ยว การสนองตอบที่เทียมเท่าถ่ายทอดหมื่นล้านคำพรรณนาความคะนึงหาที่มีต่อกัน ลมหายใจร้อนแรงสะท้อนไหวในหัวอกตลอดการดูดดื่มรัดรวบสัมผัสส่วนไหวอ่อนเนิ่นนาน กลืนกินไปทั่วทั้งร่างจวนเจียรจะขาดใจ

บทรักเนียนแนบแอบชิดลุกล้ำเร็วรวด สองร่างค่อย ๆ ผสานรวมเป็นหนึ่งหยุดนิ่งทิ้งระยะปรับตัวปรับใจ ความอึดอับคับแน่นทำให้เสียงหอบหายใจขาดหาย ก่อนรอยจุมพิตจะเพียรซับลากไล้ทั่วใบหน้าหวาน เสียงแว่วแหบพร่ากระซิบกระซาบปลอบประโลมด้วยแสนรักและภักดี

สัมผัสที่ร้างราห่างหายดังไฟสุม ความคิดถึงดังลมแรงพัดกระพือโหม

ผู้เฝ้าคอยหักห้ามเพลิงร้อนที่เผาไหม้ภายในหัวใจตน รอจนลมหายใจยาวผ่อนคลายความตึงเครียด จังหวะเนิบช้าจึงเริ่มต้นก่อนเสียงแตกแหบพร่าจะกระซิบ

“ขอเข้าลึก... นะคะ” สองขาเพรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าจัดทางวางท่ารวดเร็ว ก่อนที่ร่องรอยประสานกายจะกดย้ำลงลึก จนร่างบางที่รองรับผวาหนี หากมิสามารถฝืนแรงอ้อมกอดแกร่งที่ประคองกอดฉุดรั้งแน่นหนา

“อ...อย่า...เขน... ฮรื่อ.....” เสียงครางเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าที่ส่ายสะบัดพร้อมเรียวนิ้วที่จิกลงบนไหล่หนาเพื่อบรรเทาเบาบางความลึกล้ำภายใน

“นิดเดียวนะรุ่ง อีกนิดเดียว” รอยกดย้ำควานคว้านสัมผัสลึกภายในจนพบจุดสัมผัสสั่นไหวและเพิ่มแรงกระชั้นตอกย้ำ จนแขนบางที่เคยผลักผละหนีกลับมาดึงรั้งเพียรขอความแนบติดชิดใกล้ทำให้รอยยิ้มแย้มเยือนแห่งความสุขสมชัดเจน

จังหวะรักแรงระรัวทวีโหมยาวนาน ผันผ่านดังระลอกฟองคลื่นขาวสูงชันในฤดูมรสุมม้วนตัวซัดสาดกระทบหาดครางครืน เสียงหอบหายใจที่ดังก้องบวกผสานเรียงร้อยกับเสียงแหบห้าวและเสียงกรีดร้องทุ้มหวานครวญครางนำพาสองร่างขึ้นสู่สรวงสวรรค์อันพร่างพราวไร้จุดสุดสิ้น ฉุดรั้งสองดวงใจภายในหัวอกด้านขวากลับมาแนบชิดเต้นแรงเติมเต็มกันและกันอีกครั้ง... และอีกครั้ง

 

จุมพิตรับอรุณที่ปลุกปลอบยอดรักให้ฟื้นตื่นลืมตาในยามเช้า หวานหอมลึกล้ำจนเกือบลืมหายใจ หากเมื่อหักใจปล่อยละรสจูบเด็กง่วงที่ยังคงงุนงงงัวเงียก็มุดหนีลงไปในกองหมอนนุ่มและผ้าห่มผืนหนาฟูอีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะในคอที่แผ่วเบา และรอยยิ้มกว้างที่แสนเปี่ยมสุข อาการที่กักเก็บปิดบังดีขึ้นทันตา แม้ยาเม็ดที่กินไปก่อนหน้าก็หาได้เทียมเทียบยาใจขนานนี้ไม่

“รุ่งจ๋า..... สายแล้วตื่นทานข้าวนะครับ”

“อืม... เขนกินก่อนเลย”

“เขนอยากกินกับรุ่งนี่นา”

“เขนกินเลย รุ่งยังไม่หิว”

“สายแล้ว... กินผิดเวลาไม่ดีนะ เดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบ”

“ฮื่อ.....” เสียงปฏิเสธผสมรวมกับเสียงกรนน้อยด้วยความตั้งใจ

“รุ่ง... รุ่งจ๋า..... เขนมีสองทางให้เลือก”

“จะลุกขึ้นมากินไข่ตุ๋นกับเขนก่อนแล้วนอนต่อ... หรือจะนอนต่อแล้ว...”

“เอาข้อสอง” นั่นไงคนหลับตอบเร็วเชียว

“แน่ใจนะ ฟังให้จบก่อนไหม” เด็กดื้อส่ายหัวกับหมอนดุกดิกทำให้อดกดจูบเบา ๆ ที่เรือนผมก่อนกระซิบต่อไม่ได้

“หรือรุ่งจะนอนต่อแล้วให้เขนกิน” ดวงตาที่เบิกกว้างพริ้มลงอีกครั้ง เมื่อจุมพิตกลืนกินยาวนาน ลมหายใจอุ่นที่ทอดถอนแรงพร้อมกำปั้นที่ทุบลงในอ้อมอกเบาๆ ดึงสติให้หวนคืน

“ยังไม่ทันเลือกก็กินก่อนแล้ว” เสียงโยเยและสายตาที่มองค้อนสร้างเสียงหัวเราะเบา ๆ

 

อ้อมแขนแกร่งที่ผายออกเปิดกว้างรองรับร่างบอบบางที่ถลาเข้ามาซุกซบลงและค่อย ๆ ประคองสองขาที่ไร้เรี่ยวแรงให้เหยียดยืน ก่อนภาพสะท้อนจากกระจกยาวสะกดสายตาใครบางคนให้หยุดนิ่ง ความงดงามที่น่าหลงใหลดับความหิวในรสอาหาร แต่กลับสร้างกระหายในบางสิ่ง เนิ่นนานจนใบหน้าหวานเงยขึ้นมองด้วยความสงสัยก่อนมองตามสายตาคม ร่างเปลือยที่ถูกประคองกอดแนบชิดหยัดยืนเคียงคู่ ภาพบางภาพซ้อนทับเป็นริ้วสร้างความปวดแปลบในสมองก่อนจะรางเลือน สิ่งใด?

หากเพียงเพราะ... เสียงประท้วงบางเบาที่ฉุดรั้งสติกลับคืน พร้อมความงามเฉิดฉายของสีกุหลาบระเรื่อที่แต้มแต่งบนใบหน้า ทำให้ลืมเลือนหมดสิ้น

“เขน...”

“อยากกิน... อย่างอื่นมากกว่าอาหารเช้าแล้วรุ่ง”

“ม... ไม่นะ หิวแล้วนะเขน โอ๊ยแสบท้อง เดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบนะ” ความร้ายกาจชาญฉลาดของเหตุผลที่นำมาใช้ต่อรองได้ผล

หากเจ้าตัวคงมิได้ตระหนัก มิเพียงอาหารเช้ามื้อนี้ ไข่ตุ๋นจะอ่อนหวานนุ่มนวลละมุนละไมเป็นพิเศษด้วยวิวทิวทัศน์ที่แสนเสน่หา หากวันนี้ทั้งวันเวลายังคงทอดช้าเนิ่นนาน มีหรือที่ยอมปล่อยให้หนีรอดพ้นมือไปเสีย

ต่อให้เก่งเพียงใด ต่อแกร่งแค่ไหน

หากแต่เมื่อในหัวอกยังคงมีดวงใจ ก็ย่อมแพ้พ่ายต่อความรัก





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-03-2018 15:15:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: RECOVER 21.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-03-2018 10:07:28
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: ANSWER 22.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 22-03-2018 17:41:08
Chapter XXIV: ANSWER

 

“คิดถึงจังเลย” ผมพิมพ์ข้อความ และส่งทันทีที่หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ หากรอไม่นานข้อความที่ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วก็บอกชัดถึงความใส่ใจที่ไม่แพ้กัน

“ยังไม่ถึงสิบนาทีเลยนะเขน นี่ก็อยู่ชั้นเดียวกันด้วยเถอะ” ความซึนเล็ก ๆ ที่ทำให้เสน่ห์ของผู้ชายสวยคนนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล แค่นี้ก็หลงจะแย่อยู่แล้วนะรุ่ง

“แต่เขนใจจะขาดอยู่แล้ว... ขอเขนไปนั่งด้วยนะ...นะรุ่ง...” ผมพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลงพร้อมเตรียมเก็บของทันที ยังไงซะร่างกายย่อมปรารถนาอยู่ติดชิดใกล้กับหัวใจเป็นธรรมดา

“อยากมา... ก็มาเลย รุ่งไม่อยู่กำลังจะไปประชุมนะเขน”

“อ้าว...”

“วันนี้น่าจะประชุมทั้งวัน แต่แวะมาก็ได้นะ น้องบ่นๆ คิดถึง”

“ม่ายอะ อย่างนั้นเขนรอกินข้าวนะครับ” เรื่องอะไรผมจะไปให้เจ้าเด็กแสบก่อกวน

“มีนัดแล้ว”

“ห๊ะ” ใช่ครับ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เราห่างกัน แล้วเขาไปรับนัดใครตอนไหน

“จริง”

“T________T”

“จะประชุมแล้ว อย่างอแงนะเขน อายลูกเหมียว” พูดซะเห็นภาพเจ้าลูกเหมียวลายเสือสามตัวนั่นที่ชอบร้องหาเวลาแม่ไม่อยู่ด้วย

“ไม่อาย... กลับไปบ้านเขนจะร้องแข่งกับเจ้าสามทหารเสือนั่น แล้วจะฟ้องเหมียวด้วยว่าแม่ไม่สนใจพ่อ”

“ฟ้องเลย”

“โถ... ง้อหน่อยสิ”

“ประชุมแล้ว ;P”

“รุ่ง...”

“รุ่งจ๋า....” เมื่อไม่ได้รับคำตอบพร้อมกับปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับ แสดงว่าเขาต้องเริ่มประชุมแล้วแน่นอน ผมจึงตัดใจกางหน้าจอโน้ตบุ๊กขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงแซวไม่เบาจะดังขึ้นจากโต๊ะข้างๆ 

“หัวเน่าแล้วเหรอ... ไอ้เสือ” เจ้านายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แย้มเยือนส่งมา

“อย่างว่า... ก็น่าเห็นใจนะ ก็เพิ่งกลับมา”

“ยังไม่หายคิดถึงเลยพี่” ผมพูดพร้อมทั้งถอนหายใจเบาๆ

“เออ...เอาน่าอย่างน้อยก็กลับมาอยู่ประเทศเดียวกันแล้ว” หากประโยคถัดมามันแปลก ๆ ต้องพูดว่า... ‘อย่างน้อยก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว’ ไม่ใช่เหรอ อาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของผม หัวหน้าจึงเดินมาเฉลยถึงโต๊ะ

“เอ่อ... ไปเหนือหน่อยไหม เขน”

“หา.....พี่”

“โปรเจคใหญ่ท่าจะมีปัญหาว่ะ น่าจะต้องเปลี่ยนทีมเร่งให้เปิดให้ได้ปลายปีนี้”

“เอ่อ...”

“จริงๆ พี่อยากไปเองนะ แต่... นายไม่ให้ไป”

“แล้ว... พี่ก็ไม่ไว้ใจใครเท่าเขน โทษที ช่วยดูให้พี่หน่อยได้ไหม”

“เชียงใหม่เหรอพี่” ผมเอ่ยย้ำความมั่นใจ ก่อนที่จะหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองสักพัก

“อืม... คิดดูก่อนก็ได้ พี่...” ก่อนจะตัดสินใจตอบอย่างรวดเร็ว

“ได้ พี่ผมไปได้ แต่... ผมไปพักที่บ้านเก่าที่ลำปางได้ใช่ไหมพี่”

“ได้สิ ไม่น่าจะไกลจากเชียงใหม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับรถติดในกรุงเทพสบาย ๆ เลย แต่เขนแน่ใจเหรอลองคุยกับรุ่งก่อนไหม”

“ผ..... ผม เดี๋ยวผมคุยเองพี่ แต่ผมไปได้จริง ๆ” ดูพี่เชนจะแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับซึ่งก็ไม่แปลกเพราะผมก็ยังแปลกใจหัวใจตัวเอง หากแต่นี่เป็นวิธีเดียวไม่ใช่หรือรุ่งฉลาด ถ้ายังคงอยู่ติดใกล้กันเกือบ 24 ชั่วโมงทุก ๆ วันเช่นนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าจะเก็บ ‘ความลับ’ ครั้งนี้ไปได้ยาวนานแค่ไหน... ถ้าห่างกันสักนิดให้ทุกอย่างดีขึ้น... ก็น่าจะดีกว่า

 

 







“พี่ไม่กินน้ำซุปเหรอ ผมขอได้ไหม...” ชีวิตอันแสนเศร้าของผม ต้องมาจบลงด้วยมื้ออาหารที่ถูกรีดไถโดยน้องชายสุดแสบ

“เออ...”

“อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิพี่ นี่ผมยังไม่เห็นเศร้าเลย แค่มื้อเดียวเอง อย่าคิดมาก” ประโยคปลอบใจของ ‘ผู้รู้’ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลมหายใจเบา ๆ หากแต่กลับสะดุดกึกเพราะประโยคต่อมา

“พี่รุ่งเขาคงเบื่อหน้าพี่บ้างอะไรบ้าง แค่นั้นแหละ”

“ไอ้เฟรม” ผมรู้ว่าน้องชายสุดที่รักกำลังแกล้ง

“อย่าคิดมาก อย่า.....” หากคำพูดที่หยุดกะทันหัน และใบหน้าที่ซีดลง ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะทัก

“เฟรม... เป็นอะไร” ก่อนที่จะมองตามสายตาหยุดนิ่งที่มองออกไปหน้าร้านอาหาร

ภาพหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างพูดคุยสนิทสนมปานคู่รักและอากัปกิริยาที่กระตือรือร้นของหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มน้อยของผู้ชายที่ผมรักทำให้... แอบเจ็บเสียดน้อย ๆ ภายในหัวใจ หากแต่... ผมรู้จักคนของผมดี

“ก็เขามากินข้าวด้วยกันไง ไหนบอกไม่ให้คิดมาก”

“พี่ ม...ไม่หึงเหรอ... นั่น...นั่น พี่รุ่งนะ” เสียงตะกุกตะกักทำให้ผมยิ้ม

“ก็พี่ของนายเขาเป็นผู้ชาย ไม่แปลกหรอก” เฟรมมองผมอย่างประหลาดใจชัดแจ้ง และผมก็มองกลับด้วยความแปลกใจไม่แพ้กัน

“ต...แต่.....” เด็กแสบที่ทำท่าทางเหมือนวางตัวไม่ถูก ทำให้ผมกลับมามองมันอีกครั้งอย่างพินิจพิเคราะห์ และเริ่มระแวงน้อย ๆ ว่าไอ้นี่มันเป็นอะไร

 







การประชุมโปรเจคใหม่ที่เพิ่งตกปากรับคำเมื่อเช้าเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวในช่วงบ่าย เมื่อพี่ชายของผมเดินมาบอก

“ฝ่ายโครงการเขาจะคุยกันเลยบ่ายนี้ เขนว่างไหม ได้เข้าไปฟังปัญหาตั้งแต่ต้นด้วยกันเลย” ประโยคที่ทำให้ผมกับพี่เชนมานั่งชิวดื่มกาแฟฟรีในห้องประชุมเพื่อรอคอย

“ไงเชน... อ้าวตกลงเป็นนายเหรอ” หากที่ไม่รู้มาก่อน คือ นายคนที่ดูแลโครงการซึ่งเพิ่งเดินเข้ามา คือคนเดียวกันกับที่เพิ่งกลับมาจากจีน

“ครับ” ผมตอบออกไปได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้น้อย ๆ และนั่งลง ก่อนที่หัวหน้าโครงการมาดเข้มจะเข้ามาในห้อง พร้อมเสนอแผนโครงการเดิมที่ล่าช้าพร้อมกับปัญหาที่มากมายที่เกิดในทุก ๆ ส่วน และซีดลงทุกที ๆ เมื่อถูกคุณอาร์ทถามไล่ทีละประเด็นซึ่งเจ้าตัวไม่สามารถให้คำตอบได้

“มือใหม่” พี่เชนกระซิบ ในขณะที่ผมได้พยักหน้ารับ ในการทำโครงการระดับนี้ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือแผน และคนที่สำคัญที่สุดก็คือหัวหน้าโครงการ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจถ้าโครงการนี้จะมีปัญหา ในที่สุดเมื่อประธานที่ประชุมลุกขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดี และกล่าวก่อนที่จะเดินออกไป

“คุยกันไปก่อนเดี๋ยวผมมา” ก็ยิ่งทำบรรยากาศเงียบ และตึงเครียด

“ขอผมดูผังโครงสร้างได้ไหมครับ” ผมจึงรีบทำลายความอึดอัด และหาทางออกให้ตัวเอง และพี่ชาย โดยนำผังเดิมมานั่งดูเพื่อศึกษาพร้อมกับพี่เชนในขณะที่ทีมอื่น ๆ ก็คุยกันเบา ๆ ก่อนที่นายกลับมาอีกครั้งพร้อมสีหน้าที่ดีขึ้นพร้อมกับ ไอ้เด็กแสบ

“ผมตามทีมดีไซน์เข้ามาด้วย จะได้เคลียร์กันไปเลย” ปัญหาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่แยกทีมผู้เชี่ยวชาญออกจากทีมผู้บริหารทำให้ปัญหาด้านเทคนิคบางอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อหัวหน้าโครงการไม่มีความชำนาญที่เพียงพอ

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แม้ผมมารู้ทีหลังว่าที่คุณอาร์ทได้เจ้าเฟรมมาเพราะทั้งฝ่ายออกแบบวิ่งวุ่น และไม่มีใครอยู่ที่โต๊ะเลย นอกจากเฟรม หากความเห็นที่เจ้าเด็กนี่ให้ทุกความเห็นก็ใช้การได้ดี จนกระทั่งคุณอาร์ทตัดสินใจ

“เฟรมเคยทำงานกับเขนมาก่อนใช่ไหม”

“ครับ” เด็กแสบตอบในขณะที่ผมพยักหน้ารับ

“แล้วติดโครงการอะไรอยู่หรือเปล่า”

“ผมช่วยพี่บลูดูโปรเจคสมุยอยู่ครับ”

“อืม...” นายรับคำเงียบ ๆ ก่อนขอตัวและเดินหายออกไปนอกห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับการตัดสินใจสำหรับที่ประชุม

“ผมคุยกับบลูแล้ว นอกจากฝ่ายโครงการจะส่งเขนไปเสริมทีมให้คุณ ก็จะส่งเฟรมไปช่วยดูเรื่องดีไซน์ให้ด้วย ยังไงปลายปีนี้ต้องเปิดให้ได้ แล้วเดี๋ยวผมส่งมือขวาผมลงไปช่วยดูช่วงแรกก่อน มาพอดี”

ประตูห้องประชุมที่เปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนผู้ชายที่เข้าจะกวาดตามองทั่วห้องและพยักหน้าทักทายทุกคนนิด ๆ และเดินมานั่งที่ว่างข้างเจ้านาย

“ห้องโน้นเลิกแล้วเหรอ”

“ครับ สรุปงานเสร็จแล้ว เดือนหน้า Construction design ก็น่าจะเสร็จ”

“ดี” ความสนิทที่ไม่ว่าใครก็เห็น ทำให้ผมแอบอึดอัดเล็กน้อย

“เดี๋ยวเก่งช่วยส่งข้อมูลให้เขนกับเฟรมลองเวิร์คกันดูก่อนเรื่องแผน แล้วลงพื้นที่ให้เร็วที่สุดเหลือเวลาไม่มาก แล้วรุ่งช่วยเป็นพี่เลี้ยงเก่งดูภาพรวมช่วงแรกให้หน่อย แต่ยังไงโปรเจคที่นี่ก็ต้องขึ้นด้วย” ประโยคธรรมดาหากนำมาซึ่งภาระงานที่เพิ่มขึ้น มันแปลตรง ๆ ตัวว่า... ‘งานเดิมก็ต้องทำ งานใหม่ก็ต้องเสร็จ’ คิ้วบางจึงยกขึ้นพร้อมจดโน๊ตรายละเอียดอย่างว่องไวโดยไม่ได้มองหน้าคนพูดที่จ้องมอง ก่อนตอบรับด้วยเสียงเรียบนิ่งอย่างยากจะคาดเดา ช่วยทำบรรยากาศให้จริงจังขึ้นทันตา

“ครับ”

“ฝากดูรายละเอียดแล้วประสานงานกับเก่งแทนผมหน่อย ถ้าโอเคแล้วค่อยวางมือ”

“ครับ” ใบหน้าหวานที่เงยมองพร้อมรอยยิ้มที่ส่งอ่อนบางให้ทำให้สีหน้าหัวหน้าโครงการดีขึ้น

“งั้นก็ตามนี้ อาจจะต้องขึ้นล่องหน่อยขึ้นเครื่องไหวไหม” ประโยคท้ายของนายที่เบาลง หากทั้งห้องก็ยังเงี่ยหู

“ครับ แต่ผมชอบ... นั่งรถไฟ” คำตอบที่หลายคนงงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก และดวงตาเป็นประกายระยิบที่ตั้งใจมองตรงมา เกือบพรากวิญญาณออกจากร่าง

ความมั่นคงที่มากกว่าคำพูด คำตอบบางสิ่งชัดเจนด้วยการกระทำ

 







อาหารมื้อเย็นในห้องประชุมกับรายละเอียดโครงการถูกแตกแผ่แยกขยายอธิบายความ ไปพร้อม ๆ กับคำแนะนำอุดรอยรั่วที่แนบเนียนจากคนที่ทำท่าเหมือนจะใส่ใจอาหารมากกว่างาน หากผมรู้ว่ามันไม่จริง และทำให้ผมไม่แปลกใจว่าทำไมฝ่ายบริหารถึงอยากได้ตัวผู้ชายคนนี้นัก

“ไข่ม้วน นี่ไม่กินเหรอ” ประโยคคุ้น ๆ คล้ายเมื่อกลางวัน หากแต่ครั้งนี้มาจากคนพี่

“อืม” ส้อมถูกจิ้มรวดเร็วว่องไวข้ามโต๊ะ ทำเอาหลายคนแอบอมยิ้ม ในขณะที่คนหัวโต๊ะแอบมองเงียบๆ

“เปลี่ยนที่ไหมพี่” เจ้าเด็กแสบข้างผมผู้ซึ่งไม่เคยรับรู้สถานการณ์แซว หากแต่

“ลุกมาเลย” ไม่คิดว่าจะมีคนตามน้ำแนบเนียน

ในที่สุดข้าวกล่องสองกล่องตรงหน้าก็ถูกเลือกแย่งกินด้วยความสบายใจจนหมดเกลี้ยงทั้งคู่ ทำให้อดกระซิบไม่ได้

“อิ่มไหม”

“นิดหน่อย ใช้พลังงานเยอะประชุมทั้งวัน”

”เหรอ... นึกว่าอิ่มอกอิ่มใจตั้งแต่กลางวัน” ผมพลั้งปากออกไป ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้หึงเลยจริง ๆ และคนตอบก็ให้คำตอบที่ทำให้รู้ว่าไม่สะทกสะท้านอะไร

“ต้องกินตุนไว้ก่อนจะ... ตรอมใจ” หากเน้นคำที่ทำให้ต้องถาม

“ตรอมใจ?”

“คนรักจะหนีไปต่างจังหวัดแต่ไม่ยอมบอก... น่าตรอมใจไหมหล่ะ”

“รุ่ง.....”

“แล้วถ้าจะหึงเรื่องเมื่อกลางวันลองดู... อะไรรอบ ๆ ตัวให้ดี”

“อะไรรอบ ๆ ตัว นี่คืออะไร”

“จ้างก็ไม่บอก...” หากคำถามที่ไม่ได้คำตอบ และถูกนำพาให้เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ชวนให้ยังคงสงสัยภายในใจ

“อยากกลับบ้านแล้วคิดถึงเหมียว”

“แล้วพ่อเหมียวล่ะ”

“นั่งอยู่ด้วยกันต้องคิดถึงอีกไหมล่ะเขน”

“ก็เขนคิดถึงรุ่ง” ผมเชื่อว่าแววตาที่วูบไหว เกิดจากหัวใจรักทั้งดวงใจที่เป็นของผม ก่อนจะถูกดึงกลับเข้ามาลุยงานตรงหน้าอีกครั้ง

“เรื่องอย่างนี้ขยันจริงเชียว เอาความขยันมาทำงานเลยจะได้รีบกลับ ดูนี่ ดูนี่เลยจะแก้ยังไงนะเขน”

รอยยิ้มที่ส่งให้กันพร้อมความสุขที่ได้กลับมาทำงานด้วยกันอีกครั้ง เรียกคืนภาพบรรยากาศในวันวาน ความเห็นที่แตกต่างบนพื้นฐานความเข้าใจทำให้กลบเกลื่อนช่องว่าง และปัญหาที่มากล้น

‘ปัญหา’ บางอย่างถูกเติมเต็มด้วย ‘คำตอบ’ บางสิ่ง

หากบางปัญหา... กลับเป็นทางตัน เมื่อคำตอบ... ยังคงรางเลือนเจือจาง แต่ผมเพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บช่วงวันและเวลาดีๆ นี้ไว้

เพื่อเตรียมรับกับอะไร ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: SECRET 27.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-03-2018 10:44:15
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:Chapter XXX: Secret

 

สายลมเย็นสดชื่นพัดโบกโบยโชยเอื่อยจากทุ่งนากว้างสีเหลืองทองที่ปลิวไสวดังคลื่นมหรรณพสาดซัดเข้าหาแผ่นพื้นปฐพีผ่านเฉลียงที่บัดนี้ไร้ร้างว่างเปล่าปราศจากเครื่องเรือนใด ๆ ตรงเข้าหน้าต่างบานกว้างเข้าสู่บ้านไม้หลังเดิม เตียงกว้างกลางห้องที่บัดนี้มีเพียงร่างโปร่งบางนอนทอดกายนอนซุกซบอยู่ท่ามกลางกองหมอนนุ่มและผ้าห่มอุ่น ใบหน้าหวานล้ำชวนให้หลงใหลยวนเย้าใจทำให้อดใจที่จะกดจูบจุมพิตลงที่เรือนผมนุ่มไม่ได้

“ตื่นได้แล้วครับที่รัก”

“อืม... เขน” เสียงครางบางแผ่วก่อนจะพลิกหน้าหันหนีพร้อมเสียงลมหายใจยาวที่ดังสม่ำเสมอต่อเนื่องทำให้อดนึกสงสารคนที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลไม่ได้

ปกติการเดินทางที่ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษโดยเครื่องบิน หากเมื่อเปลี่ยนมาเป็นรถไฟถึงแม้จะเป็นตู้นอนก็ตามให้อย่างไรก็ยังคงเพลียมากกว่า เพราะใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนานที่ใช้กว่าครึ่งวัน

‘ก็รุ่งอยากขึ้นรถไฟนี่นา’ ถ้อยคำน้อยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพียงเพราะว่าตลอดมาตัวเองเป็นผู้เพียรตามใจและทำทุกอย่างสร้างทุกทางเพื่อให้คนรักมีความสุข และปฏิญาณในหัวใจไว้แล้วว่าจะทำเช่นนี้ตลอดไป

“รุ่งจ๋า... ไหนใครว่าจะไปตลาดเช้าครับ” เสียงกระซิบข้างหูเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทอดทิ้งเวลาให้งีบต่อสักพัก

ด้วยระยะเวลาที่ได้เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้ผมรู้ถึงจุดอ่อนที่จะปลุกเร้าความปรารถนาของผู้ชายคนนี้ ใบหน้าหวานที่หันกลับมาพร้อมดวงตาเล็กที่เปิดขึ้นมองนิ่งประมวลผล ก่อนจะเปล่งเสียงที่ยังติดแหบพร่าเล็กน้อย

“ทำไม... ตื่นเช้าจังอะ เขน” คำถามแรกของคนฉลาด ที่สะท้อนในใจ...

ผมจะปกปิด ‘ความลับ’ นี้ได้นานสักเท่าไร

“เช้า ๆ อากาศดีตื่นนะคะ ไปตลาดเช้าหาอะไรทานกันนะ” คำตอบที่ไม่ตรงคำถามจึงเพียรเอ่ยเกลื่อนกลบ

“อืม... กอดหน่อย” เสียงครางต่ำจากลำคอ ก่อนที่คนงัวเงียจะโผเข้าหาอ้อมอกอุ่นทำให้อดจะยิ้มกว้างไม่ได้

“ไม่อยากไปทำงานเลย” คนขยันยังคงเอ่ยงึมงำ มาตรการเบี่ยงเบนความสนใจล่อหลอกเด็กน้อยไปทำงานจึงเริ่มขึ้น

“เราไปตลาดเช้า หาอะไรอร่อย ๆ ทานกันนะคะ”

 







ปาท่องโก๋ตัวโต น้ำเต้าหู้และขนมหลายหลากชนิดถูกวางอัดแน่นคู่กับสัมภาระหลังรถ หากแต่อาหารที่ส่งกลิ่นหอมร้ายกาจเช้านี้คงจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งที่คนที่นั่งเคียงข้างกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ดอกไม้เขนเลยเป็นหมันเลย” ผมมองเจ้าลิลลี่สีขา วและริบบิ้นสีแดงที่ถูกวางทิ้งเอาไว้หน้าคอนโซลรถ

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องไงอะเขน อิ่มกายกับอิ่มใจไม่เหมือนกันหรอก”

“จ้า... ยอมแพ้แล้วจ้า แฟนใครน้า... น่ารักที่สุด”

“เฮอ... อย่าเลย อย่าคิดว่ารุ่งไม่เห็นนะ” ดวงตาเล็กที่ตวัดคมดังแม่เสือจิกมาทำให้เสียวสันหลังแปล กๆ หากทำให้เสียงหัวเราะใสประสานก้อง

ไม่มีอะไรหรอกครับ

เอาเป็นว่าเช้านี้เรทติ้งความนิยมชมชอบที่เคยพุ่งสูงในหมู่แม่ค้าสาว ๆ ในตลาดเช้าที่สร้างสมมากว่าครึ่งปีของผมตกลงยิ่งกว่าราคาหุ้นที่ถูกทุบเสียอีก เพราะรอยยิ้มแสนหวานกับดวงตาใสที่เบิกกว้างเพียงรอยยิ้มเดียวที่สะกดให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะแสดงความเป็นเจ้าของโอบกอดคนที่เดินเคียงคู่

“เจ๊ที่ร้านดอกไม้บอกเลยว่าเป็น ‘วันอกหักแห่งลำปาง’ เลยนะวันนี้”

“ระวังให้ดี อย่าให้รู้เชียว...”

“จ้า... กลัวแล้วจ้า” ผมรีบตอบ ก่อนลิ้มรสข้าวเหนียวหมูปิ้งรสกลมกล่อมจากมือบางที่ป้อนเข้าปากอย่างรวดเร็ว

ก็เรื่องอะไรจะยอมแลก...

ดอกไม้หลากสีริมทางหรือจะเทียมเทียบ... ดอกลิลลี่ขาวแสนหอมอ่อนหวาน

‘ดอกไม้แห่งความรัก’ ยอดดวงใจเพียงดอกเดียว

 

ปัญหาต่าง ๆ ในโครงการใหญ่ค่อย ๆ ถูกสะสางจากทีมงานมืออาชีพ และเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่เข้ามารับไม้ต่อ เวลาเพียงหกเดือนเศษที่ทำให้แผนการเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือใกล้ลุล่วง ทีมงานฝ่ายบริหารที่เข้ามาตรวจสอบงานทุกคนจึงมีสีหน้าและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

“เป็นอย่างไงบ้างรุ่ง” เจ้านายหันมาถามผู้ช่วยที่ยังคงก้มหน้าขะมักเขม้นดูผังขยายเทียบกับโครงสร้างจริง

“เทียบกับแผนแล้วภาพรวมออกมาค่อนข้างดี ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ” ผมแอบอมยิ้ม เพราะบอกไปใครจะเชื่อว่าเด็กชายขี้เกียจจอมงอแงที่อ้อนไม่อยากมาทำงานในตอนเช้าจะเป็นคนคนเดียวกับผู้ชายจริงจังคนนี้

“โอเค งั้นเที่ยงแล้วไปพักเถอะ บ่ายค่อยมาเดินดูต่อ” เมื่อนายบอกทีมงานจึงเริ่มแยกย้ายสลายตัว

“เอ่อ... คุณอาร์ทครับ เดี๋ยวผมกับเฟรมขอไปคุยรายละเอียดกับโรงหนังชั้นบนต่ออีกนิดนะครับ”

“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ” เจ้าเด็กแสบเริ่มกระสับกระส่ายหากมืออาชีพตอบรวดเร็ว

“เปล่าครับแค่อยากคุยเพิ่มเติมเรื่องแบบนิดหน่อย”

“แล้วไม่ออกไปทานข้าวด้วยกันหรือ”

“พอดีผมมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวคุยงานเสร็จค่อยออกไปทีเดียว”

“อืม ตามใจแล้วกัน” เมื่อนายออกเดินไป ผมจึงแซว

“ยังไม่ได้เคลียร์อีกเหรอเฟรม” ปัญหาเก่า ๆ กับลูกค้ารายใหญ่ที่เจ้าเด็กแสบดองไว้

“เขนอย่าแกล้งน้อง หิวข้าวก็ไปกินก่อนเลย” และพี่ชายก็ปกป้อง

“ไม่อะ เขนจะรอรุ่ง”

“เสียใจด้วย มีนัดแล้ว” เจ้าเด็กแสบตอบพร้อมยิ้มกริ่ม

“อ้าว...” ผมคิดว่าข้ออ้างไม่อยากไปกินข้าวกับเจ้านายซะอีก

“มีนัดจริง ๆ เดี๋ยวคุยกับโรงหนังเสร็จจะเลยไปกับเฟรมเลย แล้วบ่ายเจอกัน”

“แล้วทำไมเฟรมไปได้ล่ะ” รอยยิ้มหวานแทนคำตอบก่อนเดินผ่านเลยไป ไม่แสบเท่าไอ้เด็กน้อยที่มาตบบ่าพร้อมพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ และเดินตามพี่ชายไป

“ไอ้แสบ...”

 







“ยังไม่หายงอนอีกเหรอเขน” ผมอดทักไม่ได้เมื่อเสียงคนขับที่ปกติช่างพูดช่างคุยเงียบกริบมาตลอดทาง

“....................................” หากพ่อเหมียวยังคงนิ่งสนิท

“งอนจริง ๆ เหรอ...” แม้จะตีหน้าเศร้าหากก็ทำให้อดยิ้มในใจไม่ได้ ไม้เด็ดจึงถูกงัดมาใช้อย่างรวดเร็ว ศีรษะค่อยทิ้งลงซบไหล่ก่อนที่จะเอ่ย... กระซิบเบาๆ

“รุ่งอยู่อีกไม่กี่วันก็จะกลับแล้วนะ คนที่บอกว่า... คิดถึงกันเขาทำกันแบบนี้เหรอเขน”

“รุ่ง.....”

“งอนอะไรครับ รุ่งขอโทษ รุ่งทำอะไรให้เขนโกรธเหรอ” ใครว่า... ไม่ซีกจะงัดไม้ซุงไม่ได้

ไม่ว่าอะไรที่ว่าแกร่ง... มักมีจุดที่อ่อนไหวที่สุดเสมอ

ในกรณีนี้คือ... หัวใจ

“...ก...ก็ เขนไม่ได้โกรธรุ่งสักหน่อย เขนแค่... น้อยใจ”

“น้อยใจอะไรครับ เรื่องเมื่อกลางวันเหรอ” จำเลยปากแข็งเมื่อถูกต้อนถูกทางก็พยักหน้ารับ

“ไม่มีอะไรหรอก เขนไม่เชื่อรุ่งเหรอ”

“แล้วทำไมต้องเป็นแพรวา!” คนหลุดสะดุดถามทันทีที่เผยความกังวล

“นี่เขนแอบตามไปใช่ไหม น่าตีจริง ๆ”

“ก...ก็...”

“เคยรู้อะไรบ้างไหมเขน...”

“......................” แม้ไม่มีเสียงตอบ หากหน้าคมที่ส่ายไหวน้อย ๆ ทำให้รู้... พ่อคนใสซื่อบริสุทธิ์ ถ้าผมบอก ‘ความลับ’ เขาคงช็อคแน่ หากแต่แววตาเศร้าหม่นน่าสงสารก็ทำให้อดเฉลยไม่ได้...

“เขนไม่รู้เหรอว่าน้องแพรเขาขายพื้นที่โปรเจคเชียงใหม่”

“รู้... แต่เขาก็ไม่ค่อยมาเชียงใหม่ถ้ารุ่งไม่มา” ประโยคทำให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมที่คิ้วขมวดผูกโบ

“เขนแน่ใจเหรอ...ว่าแพรว่าไม่มาเวลาที่รุ่งไม่มา เขนไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเฟรมถึงยอมนอนโรงแรมที่เชียงใหม่คนเดียว ไม่ยอมมาอยู่กับเขนที่ลำปาง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบอยู่โรงแรมเลย เดาได้หรือยัง?”

“ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเฟรมเลย”

“ไม่เกี่ยวกับเฟรม... เขนมองว่าเป็นเรื่องของรุ่งกับแพรวางั้นเหรอ” ผมถามออกไปพร้อมรอยยิ้มที่กลั้นต่อไปไม่ไหว

“ก..ก็... ไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ จะเชื่อไหม”

“เขนเชื่อรุ่ง แต่เขนไม่เชื่อแพรวา... แล้วถ้าไม่ใช่รุ่งกับแพรวาแล้ว...” คนขับรถทางไกลเพิ่งสะดุดความคิด ก่อนชิดข้างทางและหยุดรถอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกโต และหันมามอง

“คิดออกหรือยังว่าทำไมน้องไม่มาอยู่กับเขน...”

“เฟรมกับแพรวา?”

“นานแล้วเขน... ตั้งแต่รุ่งกลับมาจากจีนเลยละมั้ง”

“งั้นก็ตั้งแต่...”

“ตั้งแต่?” ใบหน้าคมเข้มแต่งแต้มสีเลือดฝาดระเรื่อและละล่ำละลักตอบกระซิบ

“ตั้งแต่... ที่เขนเริ่มสงสัย”

“สงสัยรุ่งกับแพรวา?”

“..............................” สายตาที่เสหลบทำให้อดไม่ไหว

“คิดมากคนเดียวอีกแล้วเขน รุ่งบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ถามอะ”

“ก็เขน...”

“เปลี่ยนกันบ้างคราวนี้รุ่งจะงอนบ้างแล้ว”

“โอ๋..... รุ่งยกโทษให้เขนนะ เขนผิดไปแล้ว”

“นี่...ใจแข็งนะจะบอกให้”

“นะ นะคะ”

“ไม่รู้ไม่ชี้” หากแต่ถ้าผมรู้วิธีการว่าจะง้อเขาอย่างไร มีหรือที่เขาจะไม่รู้วิธีสยบหัวใจของผมเอาไว้ที่เขาเพียงคนเดียว... ร่างบางถูกดึงปลิดปลิวโดยง่ายกระทบอกแกร่งชั่ววินาที รสจูบที่แนบชิดนวลเนียนเรียกร้องสัมผัสที่หวนหาลึกซึ้ง ถ้อยคำกระซิบพร่าปลอบโยนพลอดพร่ำพรรณนาภาษารักที่หวานยิ่ง ความซื่อสัตย์คงมั่นที่ทอดถ่ายผันผ่านจากร่างสู่ร่างที่ตราตรึง ก่อนที่เสียงหัวเราะเล็ก ๆ และเสียงกระซิบคุยกันเบา ๆ ของสองร่างที่ยังคงซุกซบกอดเกี่ยวจะใช้เบาะในรถเพียงตัวเดียวตลอดเส้นทางการเดินทางทอดยาวอีกครั้ง

 







แสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนสาดส่องทั่วลานกว้าง ซุ้มประตูโค้งบวกผสมรวมกับลวดลายไม้ฉลุริมเฉลียงและทรงหลังคาแบบล้านนาส่งให้สถาปัตยกรรมโดดเด่นงามสง่า ‘สถานีรถไฟนครลำปาง’ ที่ตั้งตระหง่านคงมั่น หากตรงข้ามกับความรู้สึกภายในหัวใจที่เปราะบาง ส่งให้สองมือที่ยังคงประสานแน่นเกาะกุมส่งแรงใจตลอดระยะเวลาชั่วไม่กี่อึดใจที่ยังคงเหลือ... ความสุขชั่วพริบตาผันผ่านอย่างรวดเร็ว แม้ระยะทางจะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในดวงใจผันแปร หากแต่ก็ทำให้ความคิดถึงกัดกร่อนลึกซึ้ง

“เขนกลับก่อนก็ได้ ดึกแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำงานสาย”

“รุ่งไม่กลับไม่ได้เหรอ” เสียงกระซิบเบาแตกพร่าแผ่วเบาดังขึ้นจากชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างกันที่ม้านั่งไม้สีน้ำตาลหนาที่ดัดแปลงจากไม้หมอนรองรางรถไฟ

“พ่อเหมียวอย่างอแงนะ เหมียวกับลูกเหมียวรอรุ่งอยู่บ้าน ฝากน้อง ๆ ร้านขนมหวานข้างล่างไว้หลายวันแล้ว... เกรงใจเขา”

“งั้นเขนกลับบ้านเราด้วยได้ไหม” ร่างสูงทอดเสียงออดอ้อนงอแงพร้อมสายตาที่ร้องขอวิงวอน ทำให้หัวใจเกือบมลายหายสิ้น

“อีกแป๊บเดียวนะเขน เดี๋ยวศูนย์เปิดเขนก็ได้กลับบ้านแล้ว”

“เขนอยากกลับบ้านกับรุ่ง” แรงบีบเบาที่มือบางส่งสารความใจในที่เปี่ยมล้น

“เดี๋ยวรุ่งก็มาใหม่ เดี๋ยวรุ่งมารับแล้วครั้งหน้าเรากลับด้วยกันนะ”

“ครั้งหน้าเมื่อไหร่อะ”

“ไม่นานหรอกเขน” คำปลอบที่สะท้อนในใจ... จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่... จะต้องห่างไกลกันอีกนานแค่ไหน...แผนที่เคยคิดไว้ภายในใจนานเท่าไหร่ถึงจะเป็นจริง

“เขนจะรอ... จะรอ.......รุ่งคนเดียวเสมอ” หากคำ ‘คำเดิม’ ที่เวียนซ้ำมาปลุกปลอบให้กำลังใจกลับทำให้ความรู้สึก... เหมือนใจจะขาด

“รอแป๊บเดียวนะ”

“ใช่ครับ แป๊บเดียว...”

“ใกล้เวลาแล้ว เดี๋ยวรถไฟก็มาแล้วเขนกลับก่อนเถอะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคนข้างสีหน้าซีดหม่นลงทุกที มือบางที่เกาะกุมถูกยกขึ้นคลี่ออกก่อนประทับรอยจุมพิต

“เขน... รอ... รุ่งนะ” หน้าคมที่ซีดจัดกับริมฝีปากเฉียบเย็นที่แตะลงช่างทรมานหัวใจ ร่างสูงลุกขึ้นยืนนิ่งเนิ่นนาน ก่อนตัดใจหันหลังและเดินจากไป

ทำไม... โชคชะตาฟ้าชอบเล่นตลก

ทำไม... เส้นทางแห่งชีวิตมักถูกฉีกพรากไม่ให้ใกล้กรายกัน

 

คำถามที่คั่งค้างในใจ กับคำตอบที่เคยคิดไว้จึงเริ่มปะติดปะต่อชัดเจน

ถ้าไม่... ต้องการ ‘พรากจาก’ ต้องทำอย่างไร...

 

ร่างสูงฝืนเดินโงนเงนด้วยอาการโรคเดิมเรื้อรังที่กลับมากำเริบถี่กระชั้นมากขึ้นทุกที ๆ หากน่าแปลกอาการดังกล่าวห่างหายไปนานเพียงคนรักกลับมาอยู่แนบชิด พร้อมทั้งกลับมาทันทีที่ดวงใจถูกพราก

‘คงเพราะลืมกินยาละมั้ง’

ความปวดที่ร้าวลึกในสมองทำให้ต้องความพยายามอย่างมากก่อนจะนำพาร่างมาถึงตัวรถก่อนซวนซบลงอยู่นาน...

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่คิด

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า... ถ้าไม่อยากรู้

อาการนี้ก็จะไม่กลับมากำเริบ หากแต่ห้ามได้หรือ... ในเมื่อภาพของใครคนนั้นนับวันยิ่งชัดเจน... ‘ชายในชุดผ้าฝ้ายสีขาว’ คลับคล้ายละม้ายเหมือน

‘ความลับ’ ที่ปกปิด... มากว่าครึ่งปี เพียงเพราะความปรารถนาภายในใจที่ลึกซึ้ง มือสั่นด้วยร่างกายที่อดทนดิ้นรนฝืนเปิดประตูและใช้สติสุดท้ายนำพาร่างเข้าไปนั่ง ลมหายใจที่หอบกระชั้นเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายเย็นจัดเบาหวิว... ตาที่ลืมไม่ขึ้นหากแต่มือยังคงคลำควานหาขวดยาในที่เก็บของหน้ารถที่เปิดออก

ความพยายามสุดท้าย... เพียงเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงปรารถนา...

ไม่ว่าจะใคร่รู้ และพันผูกกับ ‘ผู้ชายในความทรงจำ’ คนนั้นเพียงใด

 

หากยังคงมอบชีวิตทั้งชีวิตและทุกลมหายใจให้ ‘ผู้เดียว’

ยาขมที่ถูกกลืนโดยปราศจากน้ำ

 

ภาพที่ทับซ้อนในความมืดมิดที่หนาวเย็น รอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน...

‘พี่ชายครับ...’

 

หากแต่... เสียงสะอื้นร่ำร้องเพรียกจากที่ห่างไกลฉุดรั้งให้หันหา...

“เขน!!! เขนเป็นอะไรทำไมไม่บอกรุ่ง อย่าทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนี้นะ”

“เขน..... เขน......” ดวงตาที่ถูกฝืนให้ลืมขึ้นรับภาพสุดท้าย และใช้เรี่ยวแรงพลังใจสุดท้ายยกมือขึ้นเกลี่ยซับน้ำตาที่ไหลริน

“อย่าร้อง... อย่าร้องไห้นะรุ่ง...” ก่อนที่ทุกอย่างจะหายลับไป...





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: RELEASE 27.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-03-2018 10:47:49
 :katai5:Chapter XXXI : RELEASE

 

การเดินทางของชีวิตมักมีหนทางที่ต่างออก... มาเป็นบททดสอบให้เราตัดสินใจ หากสิ่งที่ไม่รู้คือทำไม...ในการตัดสินใจเกือบทุกครั้ง

‘เหตุผลและหัวใจ’ มักให้คำตอบที่ต่างกัน

ในความมืดมิดที่เหน็บหนาวเสียงกรีดร้องแหบห้าวยังคงก้องหู หยาดน้ำตาใสที่ไหลรินไม่ขาดสายยังคงติดตามิอาจลืมเลือน การตัดสินใจอีกครั้งคงต้องเกิดขึ้นในเร็ววัน

“รุ่ง... รุ่งจ๋า” เสียงเรียกบางเบาที่เพียรพร่ำกระซิบบอกข้างหูปลุกผมให้ตื่นลืมตาจาก ‘ความฝัน’ หากเมื่อภาพแรกของวัน คือรอยยิ้มอันอุ่นของชายผู้เป็นที่รัก ก็ทำให้ผมรู้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่สดใสอีกวัน

“ตื่นแล้วเหรอเขน... ทานน้ำไหม” ผมหันหาโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับรินน้ำส่งให้ ก่อนยืนมองใบหน้าที่ซีดเซียวค่อย ๆ กลืนกินน้ำที่ละน้อย ก่อนส่งแก้วกลับคืนและกางอ้อมกอดกว้างออกรอรับร่างให้ซุกกลับลงไปในอกอุ่น

“ทำไมรุ่งมานอนตรงนี้ ทำไมไม่ขึ้นมานอนดี ๆ ล่ะคะ”

“อ...เอ่อ เมื่อคืนนอนอ่านหนังสือตรงนี้เพลินไปนิดไม่มีอะไรหรอก เช้านี้เขนอยากทานอะไร”

“เขนอยากไปตลาด”

“ไว้ให้หายดีก่อนนะ”

“เขนไม่เป็นอะไรแล้วสักหน่อย”

“ก..ก็ให้หายดีก่อนไง ค่อยไปนะ อยากทานอะไรเดี๋ยวรุ่งไปปลุกเฟรมออกไปซื้อให้ก่อนไปทำงาน”

“เขนป่วยคนเดียวเดือดร้อนกันหมดเลย”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ รุ่งกับเฟรมอยากดูแลเขนนะ ทานโจ๊กดีไหม ทานอะไรอ่อน ๆ ก่อน เดี๋ยวรุ่งบอกให้เฟรมซื้อมาจะทานด้วยกัน เขนรอก่อนนะ” ผมผละออกจากอ้อมกอดอุ่นก่อนเดินไปรวบม่านที่ปลิวไสวตามสายลมยามเช้า ก่อนหันมายิ้มให้กับร่างสูงที่นอนมองเหยียดยาวอยู่บนเตียงและเดินข้ามห้องออกไป

“เฟรม... เฟรมตื่นไหวไหม” สภาพของคนอดนอนติดต่อกันมาหลายคืนไม่ต่างกันระหว่างเราทั้งสองคน ตาที่แดงกล่ำสะลึมสะลือเปิดขึ้นมามอง ก่อนลุกขึ้นอย่างอัตโนมัติ

“พี่เขนตื่นแล้วเหรอพี่”

“อืม...” ผมกลับมาประหยัดคำพูดอีกครั้งและความเข้าใจลึกซึ้งที่ส่งผ่านระหว่างกัน จึงไม่มีคำถามใด ๆ ที่ต้องถามต่อ

“งั้นเดี๋ยวผมรีบไปรีบมานะพี่”

“ขอโจ๊กนะ”

“ครับ”

 

 

“เฟรมไปทำงานแล้วเหรอ”

“อืม...” เมื่อคนถามจ้องมองพร้อมใบหน้าที่สงสัยน้อย ๆ คนตอบจึงรู้ตัวและปรับเปลี่ยนถ้อยคำดัดแต่งมากมายและฝืนปล่อยไหลหลั่งออกมาเพื่อกลบเกลื่อนภาวะอารมณ์ในหัวใจ

“ออกไปแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นน้องคงแวะมาคุยเห็นว่ามีประชุมเช้าแต่บ่ายว่าง น่าจะกลับเร็ว เขนลุกไหวไหมกินโจ๊กกันก่อนจะได้กินยา” เมื่อร่างสูงพยักหน้ารับผมจึงรับเข้าไปช่วยพยุงและสอดหมอนไว้ใต้หลังและนั่งลงข้าง ๆ ก่อนยกถ้วยโจ๊ก ใช้ช้อนตักขึ้น และเป่าบรรเทาความร้อน

“รุ่งเลยขาดงานหลายวันเลย” โจ๊กคำโตถูกป้อน พร้อมกับแย้งกลับไปด้วยอารมณ์สดใสมากมายที่ค่อย ๆ ปรุงแต่งขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“ได้พักร้อนหลายวันต่างหาก ไม่ได้หยุดยาวมานาน ได้พักผ่อนสมใจเลยทีนี้”

“แต่...” ผมจึงรีบป้อนอีกคำและแย่งชิงพูดก่อน

“เขนไม่อยากให้รุ่งอยู่ด้วยเหรอ” ใบหน้าคมส่ายไหวน้อยๆ

“งั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก รุ่งคุยกับพี่บลูกับคุณอาร์ทแล้ว อยู่ที่นี่ก็ทำงานได้เหมือนกัน”

“เขนทำให้รุ่งต้องลำบากอีกแล้ว” ผมสกัดคำพูดอีกครั้งโดยช้อนที่ลำเลียงส่งต่อโดยไม่ขาดระยะ

“อย่าพูดอย่างนั้นสิเขน รุ่งไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย รุ่งแค่อยากอยู่กับเขน อยากดูแลเขนแค่นั้นเองนะ เขนจะได้หายไว ๆ เราจะได้กลับบ้านของเรากันนะ”

ดวงตาของคนป่วยยังคงสดใสเป็นประกายระยิบเมื่อพูดถึงบ้าน รอยยิ้มบางแสนอบอุ่นที่คลี่ออกเติมแรงใจให้กับคนเคียงข้าง มือที่ประสานบีบให้กำลังใจทำให้การตัดสินใจยากยิ่ง

ลมหายใจที่ทอทอดยาวสม่ำเสมอของคนบนเตียงทำให้เวลาที่ผันผ่านค่อย ๆคลายความกังวลใจ ก่อนจะละมือจากงานที่กองตรงหน้าและหันไปมองถังสีขาวทรงสูงที่ตั้งเรียงรายริมระเบียงก้านยาวที่มีใบเขียวชอุ่มของเจ้าดอกลิลลี่สีขาวที่ค่อย ๆ แย้มผลิบานไล่ทีละดอกนานช้าอย่างอดทน ความสวยหวานละเมียดละไม หากแข็งแกร่งนัก

กรรไกรตัดกิ่งในมือจึงใช้เพียงบรรจงเลาะเล็มใบสีเหลืองที่ใกล้ร่วงโรย และดอกที่บานเต็มที่ที่ถูกเก็บมาใส่แจกันด้านในห้อง ก่อนที่จะถูกส่งเข้าโรงงานเล็กเพื่อเก็บรักษาสภาพไว้ทีละดอก ๆ ใครเลย... จะปล่อยทิ้งดอกไม้ที่แทนความรักและความคงมั่นพวกนี้ได้

อาหารเย็นที่แสนอบอุ่นบนเสื่อผืนโตริมระเบียง เจ้าน้องคนเล็กที่ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้แนบเนียนดียิ่ง เรื่องราวสนุกสนานต่าง ๆ ที่เพียรนำมาเล่าสร้างบรรยากาศให้บ้านน้อยหลังเล็กของเราที่ลำปางให้กลับมาสดใสและเต็มไปเสียงหัวเราะอีกครั้งดังวันวาน

ขอได้ไหม ขอเพียง... หยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้… เพียงแค่นี้

 

 

“ขอบใจมากเฟรม”

ผมบอกเบา ๆ เมื่อเราสองคนพาคนป่วยที่นอนพิงไหล่ของผม และสลบไสลไปกลางวงสนทนากลับมานอนที่เตียง

“คงหลับสักพักใช่ไหมพี่ เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกลับมา”

“อืม...”

แสงอาทิตย์แสงสุดท้ายของวันที่ลาจากหายไปพร้อมกับความมืดที่เริ่มโรยตัวทำให้หัวใจสั่นไหว... แม้จะมีหัวใจรักที่มั่นคงเพียงไหนแข็งแกร่งสักเพียงใด... ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าผมกำลังหวาดกลัวช่วงเวลาค่ำคืน

ความหวังที่นับวันเริ่มลดน้อยถอยลงจนรางเลือน... จนทำให้ไหวหวั่นว่าจะสามารถประคับประคองร่างกายและหัวใจของตัวเองให้ทนรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไปได้นานมากน้อยเพียงใด

‘เขน... รุ่งถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม’

‘ครับ’

‘ช่วงนี้เขนฝัน... แปลก ๆ บ้างไหม’

‘................................’ ความเงียบที่ผิดปกติกับนัยน์ตาไหววูบทำให้ผมให้รู้

“เขน...” แต่ในเมื่อคำตอบที่ได้รับ ไม่ว่าจะเพียรถามอีกกี่สิบครั้งก็ยังคงเป็น

“ม...ไม่นี่รุ่ง มีอะไรเหรอ”

เป็นผมเองที่ไม่กล้า... แม้จะรู้ดีว่า

‘ยาที่ผมให้ไปช่วยได้เฉพาะกับอาการที่กำเริบในขณะที่คนไข้ยังคงมีสติ แต่ในสภาวะที่ไร้สติ... เมื่ออาการกำเริบในขณะที่คนไข้กำลังหลับลึกหรือกำลังฝันแบบกรณีนี้ นอกจากยากดประสาทที่ให้ไปก็ไม่มีวิธีใดที่จะรักษาอาการนี้ได้ ถ้าจิตสำนึกส่วนลึกของคนไข้เองยังปรารถนาให้ความฝันนั้นเกิดขึ้น ยากดประสาทที่ให้ก็จะได้ผลน้อยลงทุกวันๆ ทางที่ดีวิธีแก้ต้องเริ่มจากตัวคนไข้เอง’

“พี่เขนยังไม่ยอมบอกเหรอพี่” ผมจึงให้คำตอบน้องเพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ

“ดื้อของจริงเลย หรือเราจะอัดวีดีโอไว้ให้ดู จะได้ปฏิเสธไม่ได้”

“ไม่ได้หรอกเฟรม... พ..พี่”

“ผมพูดเล่นพี่ผมเข้าใจ แต่...” เฟรมเงียบไป หากผมเชื่อว่าที่เขาเข้าใจคงถูกต้องเพียงส่วนเดียว นอกจากใจของผมรับไม่ได้ที่จะทนเห็นภาพพวกนั้นถูกบันทึกแล้ว

 

ผมยังรู้สึกว่าถึงผมอาจจะ... ใช่หรือไม่ใช่ ‘ใครคนนั้น’ ก็ตาม...

แต่เป็นผมแน่นอนที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้

 

เพราะการตัดสินใจครั้งนั้น... การตัดสินใจของผมที่จะกลับมา...

ความเห็นแก่ตัวของผมที่จะกลับมา... เพียงเพราะความสุขของตัวเอง...

 

เสียงสะอื้นร่ำไห้จวนเจียนขาดใจกับร่างสูงใหญ่ทั้งร่างที่สะท้านสั่นไหวปานลูกนกน้อยที่พลัดตกจากรังปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“เขน... เขน...” ร่างสูงถูกรวบเข้าหาอกเพื่อปลอบประโลม น้ำตาที่รินไหลเป็นทางเนืองนองเปี่ยมล้นดวงตาที่ยังคงปิดสนิท

“เขนเป็นอะไร... อย่าร้อง... เขน...” หน้าคมที่ส่ายสะบัดกับอาการดิ้นรนร้อนใจพร้อมเสียงร้องไห้แห่งความทุกข์ทรมาน

“อย่า... อย่าทิ้ง... อย่าไป...”

“ไม่ไปไหน ไม่ไปไหนนะเขน... เขน รุ่งอยู่ตรงนี้เขน”

“ม..ไม่ อย่าทิ้งพี่... อย่า... ได้โปรด...” มือที่ไขว่คว้าไร้ทิศทางกับเสียงร้องร่ำที่ดังขึ้น

“เขน... เขนตื่นก่อน เขน... อยู่กับรุ่งนะเขน...”

“ไม่ปล่อย... ปล่อย... รอก่อน... รอพี่ไปด้วย... ให้พี่ไปด้วย...” ห้องที่เปิดออกก่อนแสงไฟจะถูกเปิดขึ้นแสดงให้เห็นร่างบางที่ยังคงกอดรั้งร่างสูงที่เริ่มดิ้นรนหาหนทาง

“พี่รุ่ง” เฟรมเข้ามาพร้อมกับริ้วผ้ายาวสีขาวหนา ก่อนที่ผมจะตัดใจพยักหน้า

“ที่ขาก่อนเฟรม”

“ปล่อย... ปล่อย... อย่าได้โปรด” ร่างสูงที่เริ่มดิ้นรนร้องก้อง แรงพลังจากจิตใต้สำนึกที่ผลักดันต่อต้านทำให้แรงของผู้มีสติสองคนเกือบฉุดรั้งไม่อยู่

“เขน... เขน... ฟังรุ่งนะ ฟังรุ่งก่อนนะเขน”

“ไม่... ไม่อย่า... ฮรือ.....” เสียงร้องที่ดังก้องกับร่างที่ถูกมัดติดตรึงอยู่กับที่ บีบหัวใจของบุคคลที่รักให้ร้าวระบมทรมาน

“เฟรมขอบใจมาก ออกไปก่อนเถอะ” ชายหนุ่มที่เคยแย้มเยือนยิ้มเริงร่าดูดี หากบัดนี้สภาพที่ไม่ว่าใครก็ยากที่จะรับไหว

“แต่พี่...”

“พี่อยู่ได้ เฟรมช่วยปิดไฟให้หน่อย” ผมปฏิเสธรวดเร็ว หากเฟรมยังคงเชื่อฟังและยินยอมพยักหน้า ก่อนเดินกลับไปพร้อมกับความมืดที่เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง

หน้าคมยังคงส่ายจะบัดกรีดร้องสะอื้นก้องสะท้อนทั่วห้องที่ถูกปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อปิดกั้นเสียงไม่ให้ไปรบกวนยามวิกาลของบ้านใกล้เรือนเคียง มือบางที่เพียรพยายามกดซับเช็ดหน้าตาและลูบผมเบา ๆ ปลอบโยนประโลมร่างที่ยังคงฝืนแรงผูกมัดอย่างทุรนทุราย

“ปล่อย... อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่... กลับมาก่อน พี่ไม่มีใคร พี่ไม่เหลือใครแล้ว กลับมา... กลับมาก่อน...”

“ปวด... ปวดหัว... ฮึก.....”

“เขน...เขนฟังรุ่งนะ เขนอย่าคิดนะ เขนสัญญาแล้ว เขนสัญญาแล้วไงว่าจะไม่คิด” ร่างสูงผ่อนคลายทรุดซวนลงหายใจหอบเพียงพักเดียว ก่อนกรีดร้องเสียงดังก้องต่ออีกครั้งและอีกครั้ง

ทุกวินาทีที่ผันผ่านกรีดแทงบีบคั้นหัวใจของคนที่สติครบครัน ร่างบางค่อย ๆ ทรุดกายหมดแรงลงข้างเตียงในขณะที่คนรักยังคงดิ้นรนให้พ้นพันธนาการ เสียงสะอื้นเหนื่อยหอบต่อเนื่องเป็นระยะเริ่มบางเบาลงในสติ...

หากเสียงที่กรีดหวีดร้องของตัวเองที่ดังก้องถูกปกปิดเก็บกักอยู่ในหัวใจของชายที่นั่งกอดเข้าซบหน้าปิดปากกลั้นสะอื้นอยู่ข้างเตียงสะท้อนความเจ็บปวดเกินจะรับไหวพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลในความเงียบ

ทำไม... ทำไมต้องเป็นเขน ทำไม... ไม่ใช่รุ่ง

ทั้ง ๆ ที่... อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะรุ่งไม่ใช่เขน แต่ทำไมกว่าสิบปีที่ผ่านมาต้องเป็นเขนที่ต้องทนทรมานแค่คนเดียว ทั้งที่ทั้งหมดเกิดขึ้น เพราะ ‘รุ่ง’ เพียงคนเดียว ทุกอย่างเพราะ ‘รุ่ง’ แค่คนเดียว

เสียงหวีดร้องที่แหบแห้งครวญครางดังขึ้นอีกครั้งฉุดรั้งให้ร่างบางรวบรวมแรงกายค่อย ๆ ลุกขึ้นไปกกกอดคนรักโดยหมายจะแบ่งเบาความเจ็บปวดรวดร้าวถ่ายทอดแบ่งปันผ่านร่องรอยแห่งสัมผัสรัก หากกลับกลายความเจ็บปวดที่รวมรวมเข้าด้วยกันเท่าทวี เสียงสะอื้นยาวหอบโยนทำให้รู้ถึงร่างกายที่เหนื่อยอ่อนล้า หากคำพร่ำพรรณนาแห่งความรวดร้าวที่ยังคงส่งผ่านถ้อยคำที่พร่ำเพ้อ

“อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่......” หากเหนือความคาดหมาย ‘ถ้อยคำสุดท้าย’ ดังดาบที่ฟันฟาดฟางเส้นสุดท้ายที่หน่วงเหนี่ยวเกี่ยวรั้งให้ยังคงอยู่

“ฮรึก....... กลับมา........... กลับมาก่อน.........อรุณ...........”

 

ร่างบางที่ยังคงยืนพิงกรอบประตูริมเฉลียงปล่อยสายตาทอดมองทิ้งฟ้ากว้างเวิ้งว้าง ‘ดวงจันทร์’ ที่แสนรักแสนคะนึงหาใกล้ลาจาก พร้อมกับแสงแรกแห่งดวงอาทิตย์ที่จับต้องที่ขอบฟ้าทอแสงเรืองรอง เช้าวันใหม่ยังคงวนเวียน... ทุกชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นหนทางใดก็ตาม

การตัดสินไม่ยาก... หากทำจริงไม่ง่าย

เสียงกุกกักจากเบื้องหลังทำให้ร่างโปร่งแลหันกลับไปมองร่างสูงที่นอนทอดยาวร้างไร้พันธนาการใด ๆ อยู่บนที่นอน พร้อมสติที่กำลังจะฟื้นคืนรับเช้าวันใหม่อีกคราพร้อมกับ ‘ความฝัน’ อันโหดร้ายในยามค่ำคืนจะผันผ่าน

หากยังคงทนยื้อยุดกันอยู่เช่นนี้... จะทนได้อีกนานเท่าไร

หากที่ไม่ได้คาดคิด

“สวัสดีครับ นี่ผมอยู่ที่ไหน” ความรุ่งเย็นวาบปกคลุมทั่วร่างพร้อมความเจ็บปวดที่ร้าวลึกทรมานภายในทำให้ใช้เวลาในห้วงความคิดประมวลผลยาวนาน

“เอ่อ... คุณ คุณครับ ขอโทษที ไม่ทราบว่าผมอยู่ที่ไหนเหรอครับ” ก่อนจะรวบรวมฝืนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าด้วยเกินกักเก็บความรู้สึกที่เอ่อล้น

“ล..ลำปาง”

“เอ๋อ ใช่ผมลืมไปได้ยังไง ผมทำโปรเจคเชียงใหม่อยู่สิใช่ไหม” ประโยคที่แสดงชัดว่าสิ่งที่ลืมคงจะมีเพียงอย่างเดียวเช่นเดิม

“คุณไม่สบาย”

“ครับ... ขอบคุณครับที่ช่วยดูแล คุณชื่ออะไรครับ”

“..........................รุ่ง รุ่ง ฮ...ฮึก... ผมขอตัวเดี๋ยว” กลไกปกป้องตัวเองนำพาผมออกมาทรุดตัวลงหน้าประตูนอกห้องได้ทัน ที่ปล่อยเสียงโฮสะอื้นร่ำไห้ออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหลั่งเกินเก็บกดอีกต่อไป

ดังภาพที่ฉายวนกลับทับซ้อน...

ที่ทำให้ผมทราบแล้วว่าเรื่องนี้กำลังจบลงเช่นไร...

ช่วงเวลาของอาหารเช้า และกลางวันผ่านไปอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ดี พร้อมกับความลับที่ผมไม่ได้บอกใครแม้แต่น้องชายของตัวเอง คนป่วยที่ดูอารมณ์ดีช่างพูดช่างคุยช่างสอบถาม และดวงตาที่เป็นประกายระยิบเช่นเดิม ก่อนที่จะหลับลงอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยาในช่วงบ่าย

ผมรู้... เขาจะตกหลุมรักผมอีกครั้ง

หากใครจะรู้บ้างว่ามันช่างแสนเจ็บปวดร้าวระบมกับความคิดที่ว่า... ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายคนนี้จะวนย้อนกลับมารักคนเดิมในทุก ๆ ครั้ง พร้อม ๆ กับผมหัวใจรักของผมที่รักตัวตนภายในของเขาทุกคนที่ผมได้พบ

 

“รุ่ง...” เสียงเรียงรั้งผมออกมาจากห้วงความคิดที่วกวน ก่อนที่จะวางทิ้งกรรไกรตัดกิ่งไม้อย่างรวดเร็วและเดินกลับไปที่เตียง พร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ครับ คุณตื่นแล้วเหรอ เข้าห้องน้ำไหมเดี๋ยวผมพาไป”

“อืม” ผมประคองร่างสูงและพยุงให้ลุกขึ้น ก่อนที่ดวงหน้าของเราจะอยู่ห่างกันแค่คืบพร้อมกับดวงตาสองคู่ที่สบประสานจ้องมอง รอยยิ้มอ่อนบางพร้อมจมูกคมที่กดลงมาที่ไรผมทำให้หลากใจ

“คุณ...”

“รุ่งเป็นอะไร ทำไมต้องเรียกเขนว่าคุณด้วย” ผมหันหน้าหนีจมูกคมของคนป่วยที่ซุกไซร้ลงมา

“ป...เปล่า เขนอย่าสิ จะไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ” ก่อนที่จะพาคนป่วยที่ซุกซนไปทำธุระได้สำเร็จ เหตุการณ์พลิกผลันฉับพลันกับอาการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นแปลกประหลาดตลอดวันเริ่มทำให้รู้สึกกังวลในหัวใจ

“เย็นนี้เฟรมจะกลับช้าหน่อย เดี๋ยวเรากินข้าวกันก่อนนะเขน”

“ไปกินที่ระเบียงนะ เขนเบื่อเตียงจะแย่แล้ว”

“ได้สิ”

 

“รุ่ง.....รุ่งจ๋า....” เสียงกระซิบของร่างสูงนอนซุกซบอยู่ในอ้อมกอดเล็ก ๆ บนเสื่อสีน้ำตาลเข้มซึ่งปูยึดเต็มพื้นที่ระเบียงที่เปิดกว้างรับลมเย็น

“ครับ”

“ตอบจ๋าได้ไหม”

“จ๋า.......”  เสียงทอดยาวอ่อนหวานด้วยความตั้งใจ

“ง่วงจังเลย”

“เขนง่วงเขนก็นอนสิ เดี๋ยวรุ่งพาไปนอน”

“เขนนอนตรงนี้กับรุ่งได้ไหม”

“ดึก ๆ น้ำค้างจะลงนะเขน เข้าไปข้างในดีกว่า” ผมดันกายหมายจะลุกขึ้น หากร่างสูงที่ยังคงวางหัวซุกซบที่อกกลับทิ้งน้ำหนักและดึงมือกลับมาสอดประสานก่อนจะวางไว้แนบหัวใจ

“งั้นนอนตรงนี้อีกนิดนะ”

“อืม...”

“รุ่ง...”

“จ๋า......” ผมตอบตามที่เขาบอกไว้

“เหนื่อยไหม”

“เหนื่อยอะไร ไม่เห็นเหนื่อยเลย” ผมตอบกลบเกลื่อนรวดเร็ว

“เสียงสูงเชียว”

“ไม่สักหน่อย”

“รุ่งจ๋า...”

“จ๋า.......” ผมแกล้งตอบอีกครั้ง

“ดีมาก งั้นเขนขออะไรอีกอย่างได้ไหม”

“ขอหลายอย่างก็ได้”

“แต่เขนอยากขออย่างเดียว”

“งอแงนะ อย่างเดียวก็ได้ อะไรล่ะ”

“เดี๋ยวเขนบอก แต่รุ่งต้องสัญญาก่อนว่าจะทำให้เขน”

“อ้าวเขนก็ต้องบอกก่อนว่าอยากได้อะไรสิ”

“ไม่อะเขนงอแง... เขนอยากให้รุ่งสัญญาก่อนนะ สัญญานะรุ่ง”

“ก็ได้ สัญญาก็ได้”

“รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“อืม...”

“รุ่ง......”

“จ๋า........”

“ไม่ว่ายังไง... รุ่งอย่าทิ้งเขนนะ...............” เสียงเงียบลงชั่วอึดใจด้วยความลังเล ก่อนที่ทุกอย่างจะทะลักทลายพรั่งพรูออกมา

“รุ่งอย่าทิ้งเขนไปไหนนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม... รุ่งอย่าปล่อยมือนี้ อย่าทิ้งเขนไปนะ เขนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีรุ่ง” เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นทำให้หัวใจของผมแทบจะร้าวราน

“เขน.....”

“รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“เขนรู้อะไร เขนรู้แล้วใช่ไหม” ร่างสูงพยักหน้าเบา ๆ ในอกพร้อมยกมือทั้งสองที่ยังคงสอดประสานกันขึ้นมาโชว์ริ้วร่องรอยแดงที่เกิดจากพันธนาการในช่วงค่ำคืน

“รุ่งไม่ต้องสนใจนะ ไม่ว่าเขนจะเป็นยังไง ไม่ว่าเขนจะเจ็บแค่ไหน ขอแค่ตื่นมาเขนเห็นหน้ารุ่งนะ ขอแค่รุ่งอยู่กับเขน เขนยอม... เขนรักรุ่ง รุ่งอย่าทิ้งเขนนะ รุ่งสัญญาแล้วนะ”

“......................................” ผมอึ้งเพราะกำลังถูกดักทางออกหมดสิ้นทุก ๆ หนทาง

“นะ รุ่งนะ...”

“............................”

“รุ่ง...... ไม่รู้ล่ะ รุ่งสัญญาแล้ว”

“ต...แต่............”

“ไม่มีแต่”

“เขนอย่าเอาใจสิ”

“เขนจะเอาแต่ใจ”

“...........................”

“รุ่งสัญญา... สัญญาแล้ว...” เสียงแห้งแหบพร่ากับหยาดน้ำตาที่หลั่งรินบีบหัวใจให้รวดร้าว

“งั้นเรากลับบ้านกันนะเขนนะ กลับไปรักษานะ”

“อืม... เขนจะกลับไปรักษา แต่รุ่งต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้นะ”

“รุ่งสัญญาแล้วไง”

“จริง ๆ นะ” ผมเกลี่ยเช็ดร่องรอยน้ำตาใสให้ผู้ชายขี้อ้อนที่เงยหน้าขึ้นมาคาดคั้นขอคำตอบ

“จริงสิ” ก่อนจะกลั้นใจตอบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองอยู่ภายในหัวใจ

“ปวดหัวจังเลย” คนปากแข็งยอมบอกอาการของตัวเองเป็นครั้งแรก

“งั้นกินยานะเขน” ร่างสูงพยักหน้าอย่างว่าง่ายและลุกขึ้นเดินตามฉับพลัน ก่อนที่ยาเม็ดเล็กพร้อมน้ำดื่มถูกกลืนลงคออย่างรวดเร็วและทอดกายทรุดลงนอนที่เตียง หากแต่ยังคงฉุดรั้งมือบางไว้แนบอก

“รุ่งจ๋า......”

“จ๋า....”

“ยะ...อย่าร้องไห้อีกนะ รุ่งของเขนต้องเข้มแข็ง ต้องยิ้มนะ ต้องมีความสุข ไม่ว่าจ...จะเกิดอะไรขึ้น เขนอยากเห็นรุ่งมีความสุขนะ” ดวงตาปรือปรอยด้วยอาการโรคและฤทธิ์ยา หากยังคงฝืน

“อืม...” ผมจึงรีบตอบรับแม้จะรู้แก่ใจว่า... ‘จะเป็นไปได้อย่างไร’

จูบฝากรักร่ำลาส่งเข้าสู่ห้วงนิทราบางเบากดลงบนริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ก่อนคำพูดสุดท้ายหลุดออกมา

“พรุ่งนี้เจอกันนะ”

คำพูดธรรมดา... หากทวงย้ำคำสัญญา

“พรุ่งนี้พบกันเขน” เสียงตอบกระซิบหวานซึ้งเบาแผ่วที่ได้ยลยิน ทำให้ดวงตาคมหลับลงพร้อมรอยยิ้มบางเบา ก่อนเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอจะดังขึ้นอีกครั้ง

การเดินทางของชีวิตมักมีหนทางที่ต่างออก... มาเป็นบททดสอบให้เราตัดสินใจ หากสิ่งที่ไม่รู้คือทำไม...ในการตัดสินใจเกือบทุกครั้ง

‘เหตุผลและหัวใจ’ มักให้คำตอบที่ต่างกัน

และคำตอบสำหรับครั้งนี้ ก็คือ.....





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE: DEAR 27.03.2018
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-03-2018 10:50:12
Chapter XXXII: DEAR

 

หลังจากที่ไม่ได้ขับรถเองพักใหญ่ ผมก็กลับมาขับรถฝ่าฟันการจราจรติดขัดด้วยตัวเองอีกครั้ง อาจจะโชคดีหน่อยตรงที่จุดหมายปลายทางของรถส่วนใหญ่กำลังมุ่งตรงเข้าสู่ย่านธุรกิจ ต่างจากผมที่มุ่งหน้าออกไปรุ่งนเมืองในเช้าวันนี้

“ผมมาติดต่อบ้าน 520 ครับ” ผมแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

“รบกวนช่วยแลกบัตรด้วยครับ”

“นี่ครับ”

การตัดสินใจไม่ยาก... และก็ไม่ง่าย หากครั้งนี้ผมทำสำเร็จจนได้

การลาออกจากบริษัทชั้นนำในประเทศที่มีความมั่นคงในอาชีพการงานใช้เวลานานพอสมควร และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคิดและทำโดยลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพื่อนร่วมงานเปรียบเสมือนครอบครัว และเจ้านายที่เปรียบดังผู้มีพระคุณ หากเมื่อเจตจำนงที่คงมั่น ทุกอย่างจึงลุล่วง

งานอิสระแบบที่ใฝ่ฝันมานานกับเวลา 24 ชั่วโมงที่กลับมาเป็นเจ้านายตัวเองอีกครั้งแม้ต้องมีวินัยในตัวเองเพิ่มขึ้นมากมายหากระยะเวลาสามเดือนเศษที่ผ่านก็สามารถพิสูจน์ว่าผมทำมันได้เป็นอย่างดี ลูกค้าที่ได้มาจากการแนะนำของพี่ ๆ เพื่อนๆ ในวงการ และงานโปรเจคพิเศษที่รับมาจากนายจ้างเดิมแบบรับเหมาช่วง ทำให้ธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัว และสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้โดยไม่ต่า งและไม่น้อยกว่ารายได้เดิมที่เคยได้รับ

“ถ้าตาม Requirement ประมาณนี้ ผมขอเวลาสักอาทิตย์ แล้วจะรีบส่งแบบดีไซน์มาให้ดูก่อนนะครับ”

“ตามนั้นได้ก็ดีครับ ตอนแรกพี่คิดว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ซะอีก” ผมได้แต่ยิ้มรับไม่อยากจะบอกเจ้าของบ้านว่าผมยังติดนิสัยทำงานแบบบริษัทเอกชนที่เร่งงานทุกงานเพื่อผลกำไรสูงสุดอยู่นั่นเอง

“งั้นผมขอตัวเลยนะครับ” ผมรีบขอตัวและขับรถออกมาจากงานแรกของวันที่เป็นไปได้ด้วยดีเหมือนเดิม ก่อนมุ่งตรงไปที่ไซด์งานก่อสร้างเพื่อดูงานโครงการสร้างศูนย์การค้าเดิมที่ยังคงติดพันรับผิดชอบและรับงานแบบเหมาช่วงมาดูแล

วันเวลายุ่งๆ หากเต็มไปด้วยความสุข

ตามที่เคยสัญญาไว้กับใครคนหนึ่ง

 

เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วตลอดช่วงบ่าย เมื่อกลับมาทุ่มเทสมาธิอยู่กับโต๊ะเขียนแบบในห้องสมุดเล็ก ๆ ที่โปร่งโล่งด้วยประตูทรงสูงที่ทอดยาวสู่เฉลียงกว้าง กว่าจะรู้ว่าบ่ายคล้อยก็เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูเวลาบ่ายแก่ ๆ สายตาที่อ่อนล้าพอ ๆ กับหลัง และลำคอที่ปวดตึงฟ้องว่าต้องการพักผ่อน ตั่งไม้ตัวเดิมที่ตั้งอยู่ใกล้ประตูจึงถูกเลือกเป็นที่ทอดการลงนอนพร้อมหลับตาลง และทอดถอนหายใจ

ทุกการกระทำมักมีเหตุผลรองรับ และทุกเหตุผลมักอารมณ์มีเป็นผู้ชี้นำ

ผมใช้ทุกเวลาทุกนาทีให้มีค่า เพื่อบางสิ่ง... เฉกเช่นเดียวกับ ‘เขา’

จากเหตุการณ์แปรเปลี่ยนรวดเร็วเพียงชั่วพริบตาจาก ‘วันนั้น’ จวบจน ‘วันนี้’ ผมเชื่อมั่นว่าผมทำทุกอย่างดีที่สุดสำหรับเราทั้งสองคนมาโดยตลอด

หากแต่มีสิ่ง ‘สิ่งเดียว’ ที่ทำให้ผมยังคงเสียใจมาตราบเท่าทุกวันนี้คือ... ทำไมผมถึงไม่เคยรู้ ทำไมผมถึงไม่ทราบมาก่อน เพราะถ้าเพียงแต่ผมรู้เร็วกว่านี้สักนิด เรื่องนี้อาจจะไม่ลุกลามเกินเลยเพียงนี้

ทั้ง ๆ ที่ ‘ความลับ’ ที่เขาเพียรปกปิดซ่อนเร้นอยู่ใกล้เพียงเส้นผมบังตา ถ้ามีเวลากลับมาใส่ใจเพียงนิดจะเห็นขวดยามากมายพวกนี้ที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นแอบซ่อนกระจัดกระจายอยู่เต็มทั่วบ้าน การปกปิดไม่ได้แนบเนียนเลยสักนิด หลักฐานชี้ชัดความเจ็บปวดรวดร้าวเรื้อรังสั่งสมมานานเกือบปีตั้งแต่ช่วงไกลห่างกันข้ามประเทศ

คราบน้ำตามากมายที่มองข้ามผ่านเลย...

หรือหากเพียงแค่พิจารณาถึงการตัดสินใจครั้งนั้นที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าคิดสงสัยเพียงสักนิดว่าทำไม... เขาถึงเลือกที่จะเดินทางไกลจากลา ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้กลับมาอยู่เคียงคู่

ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะสมเหตุสมผล ถ้าไม่ใช่การหนี... หรือปกปิดบางสิ่ง

 

ถ้าเพียงแต่ผมฉุกคิด... คงไม่สายไป...

คงต้องไม่ต้องมาทนทรมาน... ใช้ชีวิตโดยลำพังจมปลักอยู่กับความคิดถึง

พร้อมกับประโยค... ประโยคนั้นที่เพียรท่องตอกย้ำตัวเองเพื่อให้ยืนหยัด

‘รุ่งของเขนต้องเข้มแข็ง... เขนอยากเห็นรุ่งมีความสุข... รุ่งของเขนต้องไม่ร้องไห้’ ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาเพียงเพราะ...

‘แค่แสบตานะเขน แค่แสบตาเท่านั้นเองเขน’

‘รุ่งไม่ได้ร้องไห้นะ ไม่ได้ร้องไห้จริงๆ’

 

ถังสีขาวทรงสูงสมาชิกใหม่ที่เจ้าน้องชายคนเก่า และน้องสาวคนใหม่ของผมส่งตรงมาให้จากลำปางมาตั้งเรียงรายที่ริมเฉลียงรวมกับเก้าอี้ตัวเดิมสองตัวที่ถูกส่งมาก่อนหน้า ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟดวงน้อยภายในห้องหนังสือ ลมหนาวที่เริ่มพัดโบกโบยทำให้ลิลลี่ก้านยาวที่ปักแซมอยู่ไหวตามลมน้อย ๆ พร้อมกรรไกรตัดกิ่งในมือที่เริ่มทำงานเงียบๆ  เลาะเล็มใบที่เริ่มเหลือง และตัดคัดเลือกดอกที่เริ่มโรยราเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาสภาพต่อไป

‘บ้านของเรา’... เงียบสนิทปราศจากเสียงใด ๆ หลังจากที่เจ้าเหมียวน้อยสามทหารเสือกินอิ่ม และหลับใหลลงประจำที่ในตะกร้าใบใหญ่ พร้อมกับแม่เหมียวที่แวะมาบอกเมื่อสักครู่ว่าจะแอบหนีไปเที่ยวข้างนอก

กิจกรรมสุดท้ายก่อนเข้านอนจึงมีแต่เพียงสายลมหวีดหวิวเป็นเพื่อน และจบลงด้วยทักษะความชำนาญแคล่วคล่องของมืออาชีพที่ทำงานอดิเรกนี้สม่ำเสมอมาอย่างยาวนาว... เพียงเพราะความคงมั่นของใครบางคน

ร่างบางนำพาตัวเองเดินกลับมาสู่ที่ที่นอนกว้างนุ่มฟูและซุกกายลงนอนในที่ที่ไม่ใช่ที่ของตัวเอง สัมผัสที่เรียบเนียนของที่นอน และผ้าห่มอุ่น หากไม่มีวันเทียมเท่าสัมผัสของอ้อมกอดอุ่นพร้อมกับกรุ่นกลิ่นของเจ้าของที่... ที่ยังติดตรึงในความทรงจำ

‘เขนรักรุ่ง… รุ่งสัญญาแล้วนะ’ เสียงกระซิบพร่ำที่เคยย้ำบอก แต่...

ทำไมล่ะ... เขน

ในเมื่อเขนรักรุ่ง ทำไม...

ในเมื่อรุ่งรักษาสัญญา ทำไม...

 

‘พรุ่งนี้เจอกันนะ’ คำพูดสุดท้าย...

ที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันคือ... ‘คำร่ำลา’

 

“พรุ่งนี้จะเจอกันใช่ไหมเขน” เสียงสะอื้นที่เกินกลั้น

“พรุ่งนี้เราจะพบกันใช่ไหม” พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งริน

 

ตีสามกว่า ๆ ร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนพอสมควรในสภาวะหัวใจที่แทบแตกสลาย น้ำตาที่เปียกชุ่มหมอนปลุกเร้าให้นำพาตัวเองให้ลุกขึ้น เมื่อมิอาจฝืนทนนอนอีกต่อไปได้

โคมไฟที่เปิดขึ้นในห้องสมุดเคยเป็นได้เพียงแสงสลัว... หากกลับสว่างไสวในช่วงกลางดึกที่มืดมิดไร้ซึ่ง ‘ดวงเดือน’ แสงสว่างตกกระทบรูปภาพวาดสีน้ำ

‘ภาพวาดศาลาไทย’ ท่ามกลางสวนสวยที่เคยถูกเก็บอยู่ในห้องเก็บของถูกนำมาใส่กรอบและแขวนติดในห้องที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้น เรื่องราวที่เกินคาดฝันเปิดเผยขึ้นจากผู้เป็นพ่อซึ่งมีความรักในลูกชายของตัวเองอย่างมากล้น และแบ่งปันความรักนั้นมายังคนที่ลูกชายรัก

จดหมายปึกใหญ่ที่ถูกส่งมาอยู่ในมือด้วยความประหลาดใจในเบื้องต้น หากกลับไขบางสิ่งที่คั่งค้างในใจได้สำเร็จ ความบังเอิญที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และไม่มีทางพิสูจน์ด้วยหนทางสายวิทยาศาสตร์ หากเป็นคำตอบที่คนประสบพบเจอกับตัวเองยอมรับโดยจำนน

‘อย่าทิ้ง... อย่าทิ้งพี่...... กลับมา........... กลับมาก่อน.............อรุณ.......’

 

 

‘อรุณ’ คนนั้น

‘น้องน้อย’ ของ ‘พี่ชาย’ ในจดหมาย อาจจะเป็นคนในฝันซึ่งเป็นต้นเหตุของการพลัดพรากครั้งนี้ ความสลับซับซ้อนที่เหนือความเข้าใจ หากเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอชี้ชัดให้ยากยิ่งจะปฏิเสธ

เรื่องราวที่ได้รับการถ่ายทอด โศกนาฏกรรม และความทุกข์ทรมานของผู้จากไป และผู้เฝ้ารอคอยย้ำชัดว่า... ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

หากแต่เพียง... เปลี่ยนตัวผู้เฝ้ารอ

และไม่มีใครล่วงรู้ว่าจะสิ้นสุดลง ณ ที่ใด

หากผู้ที่รับรู้ทำได้เพียงแต่... ‘รอคอย’ ต่อไปเพียงเท่านั้น

 

และในเมื่อเขาทำได้ ผมก็ต้องทำให้ได้

‘การรอคอย... ด้วยความรักตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต’

 

“ครับ เสร็จธุระแล้วผมจะรีบเข้าไป”

“ขอบคุณครับ” ผมกดวางสายทันทีเมื่อคนที่นัดไว้มาถึง เวลาวันครึ่งกับธุระสุดท้ายที่พึงกระทำก่อนที่จะใช้เวลาที่เหลือจัดสรรไว้เพื่อทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง

“สวัสดีครับ” ผมรับไหว้กลุ่มชายหนุ่มวัยนักศึกษาสามสี่คนที่ติดต่อมาเพื่อขอมาดูสถานที่

“เชิญทางนี้ครับ” ก่อนนำทั้งหมดขึ้นสู่ตัวตึกที่ปิดเอาไว้ และใช้เวลาเพียงไม่นานในการเจรจาข้อตกลงพร้อมกับความประหลาดใจเล็ก ๆ ที่ไม่คิดว่าเด็กอายุขนาดนี้จะมีความคิดความอ่านอย่างมีระบบมากถึงขนาดนี้ และมีทุนทรัพย์มากพอที่จะมาเช่าปีกเหนือที่วังศศิธรไปได้ จึงทำให้ผมใจอ่อน และยอมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

"แล้วยังไงเรื่องตกแต่งจะพี่ช่วยดูให้ก็ได้ แต่ต้องมีเวลามาคุยรายละเอียดอีกครั้ง พอดีวันนี้พี่มีธุระ”

“ถ้าอย่างงั้นพวกผมไม่รบกวนพี่รุ่งแล้ว เดี๋ยวผมติดต่อมาใหม่นะครับ” เจ้าเด็กหน้าตาคมคายพูดชัดฉะฉานพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยต่อไปวังศศิธรก็จะไม่มีเพียงผม และครอบครัวเหมียวในตอนกลางคืนอีกต่อไป

บ้านคงเป็นบ้านมากขึ้น

หากจะสมบูรณ์ที่สุดถ้าเพียงแต่... เจ้าของบ้านกลับมา

 

ผมยังคง... รักษาสัญญา

แม้ไม่สามารถจะล่วงรู้ได้เลยว่า... สิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกหรือผิด

 

หากแต่เมื่อตัดสินใจแล้ว... ผมก็พร้อมจะยอมรับผลของมันอีกครั้ง

 

สามเดือนกว่าที่ผมต้องมานอนที่นี่สลับสับเปลี่ยนกับคุณพ่อ และครอบครัวของเขา เพียงเพราะคนป่วยที่กลับมารักษาตัวยังคงนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่เป็นเหตุผลทำให้เจ้านายยอมปล่อยให้ผมลาออกจากงานมาเพื่อบริหารเวลาทุกวินาทีตามความจำเป็น และความปรารถนาของตัวเอง

‘ดูผิวเผินอาการของคนไข้ดูดีกว่าประวัติการรักษาคราวที่แล้วมาก สภาพร่างกาย และอาการทางสมองเท่าที่เช็คไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คนไข้เหมือนหลับลึกจมอยู่กับความฝัน และสภาวะไร้สติ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ และตัวของเขาเองแล้ว เราคงช่วยอะไรไม่ได้มาก’

ลักษณะอาการที่ว่านี้ ดีกว่าสภาวะที่ผม และเฟรมพบที่ลำปางมากมายนัก เมื่อคนป่วยยังคงเหมือนคนนอนหลับสนิท และมีเพียงอาการละเมอออกมาบ้างเป็นระยะ ๆ หากแต่เมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนานความกังวลจึงค่อย ๆ ทวีทบมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยร่างกายที่ต้องนอนนิ่งอยู่กับที่นานจนเริ่มมีผลต่อกล้ามเนื้อ และสร้างแผลกดทับ

“เขน..... เดี๋ยวรุ่งจะนอนแล้วนะ” เสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นภายใต้ความมืดมิดของห้อง คนไข้หลังจากที่พลิกตัว นวด และทำกายภาพบำบัดเสร็จเรียบร้อย สองมือที่เฝ้าเกาะกุมอยู่ฝ่ายเดียวจึงยกมือของเจ้าชายนิทราขึ้นมา ก่อนซบใบหน้าลงแนบ

“วันนี้มีคนมาดูจะเช่าที่บ้านของเราแล้วนะ เราจะมีเพื่อนบ้านแล้วนะเขน เขนคงชอบ มีเด็ก ๆ มาอยู่บ้านเราคงจะครึกครื้นดี... เจ้าสามทหารเสือของเขนก็โตขึ้นมากแล้ว เฟรมมาบอกว่าอยากขอเอาไปเลี้ยงสักตัว แต่รุ่งบอกน้องไว้นะให้รอเขนก่อน เหมียวเป็นของเขน เจ้าสามตัวนั่นก็เป็นของ... เขนนะ เขนต้องตื่นมาบอกเฟรมเองนะว่าจะให้หรือไม่ให้”

“แล้ว... นอกจากเหมียวกับลูกเหมียวสามตัวนั่น เขนก็ยังมี... รุ่งที่เป็นของเขนอยู่นะ เขนอย่าลืมนะ รุ่งยังรักษาสัญญานะ รุ่งยังอยู่ตรงนี้กับเขนนะ รุ่งไม่ได้ไปไหนเลยนะเขน... รุ่งไม่เคยทิ้งเขนไปไหนเลยนะ”

“ข... เขนไม่ต้องรอใครคนนั้นแล้วนะ เขาคนนั้นอยู่ตรงนี้แล้ว เขนไม่ต้องหาเขาแล้ว รุ่งอยู่ตรงนี้แล้ว รุ่งมารอเขนตรงนี้แล้ว อรุณมารอพี่ชายแล้ว พี่ชายตื่นเถิดนะครับ”เสียงกระซิบหวานที่แหบพร่าเอ่ยช้าพูดพร่ำย้ำบอกหากไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ

“เขน... รุ่งอยากกินไข่ตุ๋นจัง... เขนตื่นมาทำให้รุ่งหน่อยได้ไหม... พรุ่งนี้หรือยังเป็นวันพรุ่งนี้หรือยัง... ที่เราจะเจอกันนะเขน... รุ่งรอเขนอยู่นะ... รอเขนคนเดียว...”

“พรุ่งนี้นะเขน... พรุ่งนี้ ร... รุ่งจะรอพรุ่งนี้ทุก ๆ วัน” เสียงสะอื้นเบา ๆ ให้กับความหวังที่นับวันจะเลือนราง มือบางข้างหนึ่งที่ผละปล่อยออกจากมือที่เกาะกุมยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่หลั่งริน ก่อนจะหักห้ามตัวเองอีกครั้ง

“รุ่งไม่ได้ร้องนะเขน แค่แสบตา แค่แสบตาจริง ๆ เขนนอนนะ แล้วพรุ่งนี้.....”

“พรุ่งนี้เราจะพบกัน... สุดที่รัก”

 

 

 

“ร...รุ่ง............”





#JKLTHESERIES
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: justwind ที่ 27-03-2018 10:55:31
 :sad4:Chapter XXXIII: LOVE

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์...

คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่ ‘ความฝัน’ ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก“เก็บ”ไว้ ในเบื้องลึกของความทรงจำและสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล (ในอดีตชาติ) คล้ายๆ กับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

 

 

คุณอยากรู้ใช่ไหม... ว่าอะไรเกิดขึ้นใน ‘ความฝัน’ ของผม

บอกผมหน่อยสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน...

หากในเมื่อความฝันยังคงเป็นได้เพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีวัน ‘เป็นจริง’ หรือ ‘หวนคืน’ ก็ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะยอมปล่อยสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของผมไป... 

เพียงเพราะแค่ความอยากรู้เท่านั้น... ไม่ใช่หรือ

ผมจึงเลือกที่จะหยุด และสิ้นสุดการเดินทางในการตามหา... ใครคนนั้น เพราะ ‘ประโยคสัญญารัก’ อันแสนเจ็บปวดที่ถูกทวงถาม และเสมือนยังคงดังก้องสะท้อนอยู่ภายในหัวใจ

‘พรุ่งนี้หรือยัง... เป็นวันพรุ่งนี้หรือยัง... ที่เราจะเจอกันนะเขน... รุ่งรอเขนอยู่นะ... รอเขนคนเดียว... พรุ่งนี้นะเขน... พรุ่งนี้ รุ่งจะรอพรุ่งนี้ทุก ๆ วัน’

ร่างกายที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการปรนนิบัติดูแลใกล้ชิดอย่างดียิ่งของครอบครัว และคนรักทำให้ผมใช้เวลาไม่นานในการพักฟื้นร่างกายก่อนที่พร้อมกลับมาเริ่มใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอีกครั้ง

หากสิ่งที่เกินความคาดหมายคือ ช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผมยอมเสียไป กลับทวีค่ามากมายมหาศาล เมื่ออาการป่วยเรื้อรังดูเหมือนจะหายขาดไปอย่างปาฏิหาริย์โดยที่วิทยาการทางการแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ รวมทั้งอีกหนึ่งสิ่งที่ยังไม่มีใครล่วงรู้...

สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเฝ้าปรารถนารอคอยมาเป็นเวลานานนับสิบปี... กลับคืนมา

 

“เขน หมอนข้างหายอะ” เสียงหวานแหบแห้งยามเช้าทักขึ้น ก่อนที่ร่างบางจะเดินงัวเงียโซซัดโซเซข้ามห้องมาซวนซบลงหาหลักยึดในอ้อมอกแกร่ง อาการป่วยที่เจ้าตัวให้ชื่อว่า ‘พิษติดหมอนข้างเรื้อรังขั้นรุนแรง’ และร่ำร้องให้ต้นเหตุต้องรับผิดชอบ ผมจึงยอมความด้วยความยินดีพร้อมรับที่จะชดเชยความผิดครั้งนี้โดยการอุทิศตนเป็นหมอนข้างให้ตลอดชีวิต

ร่างสูงได้แต่ยืนยิ้มก่อนที่รวบสองร่างเข้าด้วยกัน และพยุงเดินไปทอดกายเอนนอนที่ตั่งไม้ตัวใหญ่กลางห้อง พร้อมทั้งรั้งมือบางห้ามเด็กน้อยไม่ให้ขยี้ตาด้วยความรุนแรง ก่อนอดที่จะกดจุมพิตเบา ๆ ลงเปลือกตาสีอ่อนบางด้วยแสนรักแสนเอ็นดูไม่ได้

“ฮื่อ... ตื่นเช้าจังเลย ไม่นอนต่ออีกหน่อยเหรอเขน... ฟ้ายังมืดอยู่เลย”

“เหมียวมาร้องหน้าห้องอยากเข้ามาหาลูก เขนเลยตื่นมาเปิดให้ แล้วเลยนอนไม่หลับ สงสัยจะนอนพอแล้ว นอนมามากแล้ว” ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง พร้อมกับโยกตัวเบา ๆ กล่อมคนที่มีทีท่าครึ่งหลับครึ่งตื่น

“อืม...”

“เขนว่าสงสัยเราต้องทำประตูแมวไว้ให้เหมียวแล้วนะรุ่ง เดี๋ยวต่อไปเจ้าสามทหารเสือโตก็ต้องออกไปเที่ยวเล่นกลางคืนเหมือนกัน”

“อ... อืม..... ใช่เจ้าสามหนุ่มนั่นจะโตแล้ว เมื่อไหร่เขนจะตั้งชื่อให้ลูกเหมียวสักทีล่ะ”

“เรียกเป็นรหัสดีไหม เหมียวหนึ่ง เหมียวสอง เหมียวสาม”

“สร้างสรรค์มากอะเขน” เสียงแซวที่ทำให้ผมอดแซวกลับให้ไม่ได้

“ก็สร้างสรรค์เหมือนชื่อแม่เหมียวนั่นเลย”

“ชื่อ ‘เหมียว’ นี่มีที่มาที่ไปนะ...” คนตั้งชื่อแม่แมวรีบร้อนตัว

“ที่มาที่ไปอะไรครับ”

“อยากรู้ใช่ไหมล่ะ...... ง่วงอะ เดี๋ยวค่อยเล่าวันหลัง” ผมอดยิ้มให้กับความโยเยไม่ได้

คนที่เคยบอกว่าจะเล่าหากด้วยพื้นฐานไม่ใช่คนช่างพูด เรื่องราวที่เล่าจึงมีเพียงแต่สาระหลักที่สำคัญ หากความเป็นจริงที่มีรายละเอียดลึกซึ้งมากมายถูกปล่อยผ่านเลย... ด้วยเหตุผลบางประการ

เด็กที่เคยขี้อายถึงขนาดนั้น... ก็ไม่น่าแปลกใจ

ไม่ว่าภายนอกจะแปรเปลี่ยนเพียงไหน... แต่ข้างในลึก ๆ ก็ยังคงเดิม

“.........ที่มาที่ไปที่ว่า... เพราะมีใครบางคนเคยแอบเรียกแฟนของตัวเองว่า ‘เหมียว’ มาก่อนใช่ไหมล่ะ เหมียวถึงได้ชื่อเหมียวน่ะ” ใบหน้าหวานที่เงยขึ้นมามองพร้อมกับดวงตาเรียวเล็กที่เปิดขึ้นกะทันหันเต็มไปด้วยความสงสัย

“ข... เขนรู้ได้ไงอะ”

“เขนรู้มากกว่านี้อีกนะ ใครคนนั้นขี้โกงไม่ค่อยยอมจะเล่ารายละเอียดที่ว่า...”

“เขนตกหลุมรักเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เดินก้าวตามครูประจำชั้นเข้ามาในห้องตั้งแต่วินาทีแรกที่เราสบตากัน เด็กขี้อาย โลกส่วนตัวสูงบางคนที่กล้าจะปฏิเสธขัดขืนดื้อเงียบตลอดเวลา แล้วหัวหน้าห้องก็ไม่เคยเอาชนะได้เลย เพราะหัวใจ... สั่งให้ยอม ยอมมาทั้งชีวิต ยอมไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด”

“แล้วก็... ‘ดอกลิลลี่สีขาว’ กับการสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่เฝ้าปกป้อง เฝ้าดูแล เฝ้าทะนุถนอม เฝ้ารักและภักดีต่อผู้ชายอีกคนมาเนิ่นนาน... ถูกต้องไหมครับ”

“ข...เขนจำได้แล้วเหรอ” ผมคลี่ยิ้มก่อนพยักหน้ารับ ความลับที่ผมไม่ควรเก็บไว้อีกต่อไป โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเจ้าของความทรงจำร่วมกัน

“แต่จะจำได้หรือจำไม่ได้มันไม่สำคัญกับเขนอีกต่อไปแล้วนะรุ่ง ขอแค่รุ่ง ‘รู้’ ไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรเขนจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปไหนอีกแล้ว ไม่ว่าเขนจะต้องลืมอีกกี่ครั้งก็ตาม”

“เขนอย่าพูดอย่างนั้น” มือบางที่ยกขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก หยาดน้ำตาเม็ดเล็กที่เอ่อล้นรินไหลจากนัยน์ตาที่ไหวหวั่น ภาพความทรงจำในอดีตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และฝากบาดแผลปวดลึกรวดร้าวให้กับคนรักของผมสาหัสสากรรจ์นัก

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะคะคนดีของเขน เขนไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ รุ่งจ๋า... ตอนนี้เขนรู้แล้วว่าอดีตแม้จะหอมหวานเพียงไหน หรือปวดร้าวปานใด ก็ไม่สำคัญเท่าปัจจุบันที่เราได้อยู่ด้วยกันเหมือนทุกวันนี้” ปลายนิ้วไล้ซับหยาดน้ำใสพร้อมเพียรกระซิบปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำ

“เขน.....”

“อย่าร้องไห้นะคนดี... จำได้ไหม ‘ถ้ารุ่งเจ็บ... เขนก็เจ็บเหมือนกันนะ’” คำขู่ของเด็กน้อยในอดีตสร้างรอยยิ้มทั้งน้ำตาและเพิ่มเติมความแข็งแรงให้กับหัวใจ

“อืม... ”

“เขนรักรุ่งนะ รุ่งของเขน... สุดที่รักของเขน” ร่องรอยคราบน้ำตาที่ถูกนิ้วเรียวยาวเกลี่ยออกจากผิวหน้าอ่อนบาง สองสายตาจะสบประสานนิ่งเนิ่นนานสื่อความในใจที่ไร้ซึ่งคำพรรณนาเอื้อนเอ่ย ก่อนสัมผัสแห่งจุมพิตที่หวานซึ้งจากผู้ชายของผมจะทดแทนถ้อยคำรักร้อยพันที่พร่ำบอก

สองร่างที่ตามหา...

สองดวงวิญญาณที่เฝ้ารอ...

หัวใจรักดวงเดิมจึงหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

 

เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดจากคนรักจบลง พร้อมกับปึกจดหมายกระดาษหนาสีเหลืองน้ำตาลเก่าคร่ำคร่าทั้ง 17 ฉบับจึงค่อย ๆ ถูกพับปิดลงอีกครั้ง... คำตอบที่ชัดแจ้งภายในหัวใจ หากไร้ซึ่งสิ่งใดมายืนยันมารองรับ

ในอดีต ‘หนึ่งคน’ เป็นผู้รอ... และยังคงรอเสมอแม้ลมหายใจจะถูกพรากจาก

ในอดีต ‘อีกหนึ่งคน’ รักษาคำมั่นจะตามหา ‘สุดที่รัก’ให้พบให้ได้ไม่ว่าอย่างไร

“เขนคิดยังไง” ดวงตาเรียวเล็กของคนที่อยู่เคียงข้างมองจ้อง ผมจึงได้แต่ทอดถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนกระชับสองมือที่เกาะกุมเกี่ยวประสาน และตอบคำถาม

“มันเป็นอดีตไปแล้วรุ่ง มันจบไปแล้ว... “

“ตอนนี้เขนรู้แค่ว่า... เขนไม่สงสัยเรื่องที่พ่อเคยบอกเราสองคนแล้ว ที่นี่มีแต่ความรักความผูกพันของ ‘เจ้าของ’ กับ ‘สถานที่’ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วยนะ ‘รุ่ง’ แต่ในเมื่อชีวิตของเรายังมีวันนี้ และวันต่อ ๆ ไป... เราสองคนปล่อยให้อดีตจบไปพร้อมกับวันวานไม่ดีกว่าหรือ...”

“เขนเชื่อว่า... ในที่สุด ‘เรา’ ก็ได้กลับมาอยู่ ‘บ้านของเรา’ อีกครั้ง แล้วจริงไหม” ร่างบางที่ซุกซบลงในอ้อมกอดเป็นคำตอบรับที่ทำให้รับรู้...เรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ และไม่มีคำตอบสิ่งใดที่ครบถ้วนสมบูรณ์

หากแต่... ในเมื่อวันนี้ ‘เรายังอยู่เคียงข้างกัน’ สิ่งนี้ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่ ‘เจ้าของวังทั้งสองคนต้องการ’

แค่อาจจะบังเอิญมันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ ‘เราสองคนต้องการ’ เช่นกัน

 

ช่วงสายๆ  ของวันกับการเตรียมงานที่ดูจะคึกคักวุ่นวายไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหากเมื่อได้น้องสาวคนใหม่ของรุ่งที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยจัดการ เจ้าของบ้านที่ไม่รู้จะทำอะไรเช่นผม จึงต้องยอมทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการโดยดี

“พี่เขนคะ น้องแพรบอกแล้วไงคะว่าให้ตั้งตรงนี้ขยับมานะคะ ขยับมาเลย ส่วนนั่นทำอะไรอะเฟรม อย่าชักช้าสิยกมาวางตรงนี้ คู่กันตรงนี้เลย” เราสองคนมองหน้ากันในสถานะจำยอม ก่อนที่เด็กแสบสิ้นลายจะกระซิบ

“นี่มันงานอะไรอ่ะพี่ เลี้ยงพระเพลหรืองานแต่ง”

“อ...เออ... ทำทำไปเถอะ” ผมตอบก่อนจะเช็ดเหงื่อที่เริ่มซึมออกมาตามไรผม

“พี่รุ่งคะ พี่รุ่ง ทางนี้ค่ะน้องแพรอยู่ทางนี้” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปกะทันหันกับเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกทำให้อดหันกลับไปมองไม่ได้ ชายหนุ่มหน้าหวานที่อยู่ในชุดสูทลำลองกึ่งทางการสีขาวทั้งชุด

ในที่สุดก็ยอมจนได้สินะ ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ เพราะสิ่งนี้คืออีกสิ่งที่ทำให้ผมต้องยกความดีความชอบให้ผู้จัดการงานครั้งนี้ที่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ทุกสิ่งเป็นไปตามความปรารถนา หากแต่ก็ต้องยินยอม

“สองหนุ่มนี่ดูกางเต็นท์ตรงนี้ให้เรียบร้อยนะคะ พี่รุ่งคะเราไปดูซุ้มอาหารตรงโน้นกันไหมคะ น้องแพรเห็นพี่รุ่งยุ่ง ๆ น้องแพรเลยเลือกเองไม่ทันได้ถามเลย...” เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังต่อเนื่องพร้อมกับแขนเรียวที่ดึงรั้งคนรักของผมให้เดินตามไป ทำให้หันกลับมามองคนข้าง ๆ อีกครั้ง

“พี่มามองอะไรผมอ่ะ พี่เองไม่ใช่เหรอที่ขอให้เขามาช่วย” ไอ้เด็กแสบมันตอกกลับ เอาซะผมหงายไปต่อไม่ถูก

‘เออ... ยอมให้ครั้งนึงก็แล้วกัน’

เมื่อใกล้ถึงเวลางานเพื่อนฝูงญาติมิตรที่เชิญไว้อย่างไม่เป็นทางการของเราทั้งสองคนก็เริ่มทยอยมาร่วมงาน และแสดงความยินดีกับงานที่หลายคนออกจะสงสัยงงงวยเล็กน้อย และอมยิ้มในใจไม่ได้

“งานเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่กับเปิดบริษัทใหม่นี่เขาใช้ดอกลิลลี่สีขาวตกแต่งทั้งงานเหรอเจ้าเขน” เสียงพี่ชายผมที่มาพร้อมกับพี่บลูที่ยิ้มกริ่ม

“นั่นไม่น่าสงสัยเท่ากับเจ้า... ของบ้านใส่สูทสีขาวมาต้อนรับแขกด้วยละมั้ง เรามาผิดงานหรือเปล่าเชน”

“งานนี้แหละครับพี่บลู เดี๋ยวพระจะมาถึงแล้วพวกพี่ขึ้นไปข้างบนตึกก่อนเถอะครับ เห็นรุ่งถามหาอยู่เมื่อครู่” ผมกลบเกลื่อน และรีบส่งต่อแขกอย่างรวดเร็ว

ผมก็รู้แล้วว่าทำไมเจ้า... ของบ้านอีกคน จึงไม่ยอมลงมาต้อนรับแขกด้วยกัน

ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะเขินมากมายขนาดนี้ เพราะเป็นคนต้นคิด และตัดสินใจวางแผนนี้ด้วยตัวเอง หากแต่เมื่อมาเจอสถานการณ์จริงกลับมาเขินเอาการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

พิธีสงฆ์สิ้นสุดลงพร้อมกับงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่เริ่มต้นขึ้น พร้อมเสียงกระซิบเบา ๆ ประปรายของแขกที่มาร่วมงานถึงภาพแสนประทับใจที่เพิ่งผ่านพ้น

ภาพเจ้า... ของบ้านชายหนุ่มสองคนที่หมอบรับน้ำพระพุทธมนต์อยู่เคียงคู่กัน สร้างความปีติยินดีให้กับญาติมิตร เพื่อนสนิท ผู้ที่รับรู้ และพบเห็นไม่น้อย แม้หลายคนจะได้รับรู้เรื่องราวความรักความผูกพันลึกซึ้งที่คนทั้งสองมีให้กัน และกันมากน้อยต่างกัน

หากความสุขที่เปล่งประกายออกมาจากรอยยิ้มและดวงตาของคนทั้งคู่ก็ฉายชัดความรักมั่นที่หาคำพรรณนาอื่นใดมาเปรียบเทียบเคียงมิได้

คู่แท้... ที่ไม่ว่าอย่างไร คู่แท้... ที่ไม่ว่าอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน

ก็ไม่มีวันพรากจากความจงรักและภักดีที่มีต่อกัน

“โทษที นี่จะกลับกันแล้วเหรอ” เสียงใสที่ทักขึ้น ทำให้ผมเสมองออกไปนอกกลุ่มเพื่อน

“กลับแล้วรุ่งเดี๋ยวคราวหน้าไว้นัดกินข้าวกัน แล้วใครบางคนแถวนี้ก็หึงให้น้อย ๆ ลงบ้างนะ” ไทม์เปรยประโยคหลังลอย ๆ ก่อนที่เต้จะเข้าไปแตะบ่าเพื่อนของเขาเบา ๆ และพยักหน้าให้

“ไว้เจอกันปู่”

“แล้วเจอกัน ขอบใจมากอ้น”

“ไปแล้วว่ะเขน” เพื่อนสนิทของผมที่เดินมากอดคอ

“ขอบคุณว่ะตั้ม” ผมจึงตบหลังมันไปเบา ๆ

“เจอกันรุ่ง”

“อืม... แล้วเจอกัน ขอบคุณนะตั้ม” เราสองคนยืนส่งแขกกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ช่วยเก็บงานจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ความเงียบสงบจะเข้าปกคลุมบ้านของเรา ‘วังศศิธร’ อีกครั้ง

แสงแดดอ่อนยามบ่ายคล้อยที่สาดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ใบหนาลงมายังลานจอดรถหลังวังเป็นลำแสงทอดยาว สายลมอ่อนที่พัดกิ่งไม้ไหวปลิดปลิวดอกปีบสีขาวกลิ่นหอมให้ร่วงพราวเต็มสนามหญ้าใต้ร่มไม้ส่งกรุ่นกลิ่นหอมนวลยวนเย้าใจ ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่เสเดินเลี่ยงปลีกหนีไปยืนก้มเก็บดอกไม้สีขาวดอกเล็กโดยลำพังแสดงออกชัดแจ้ง

“งอนเหรอ... เขน” เสียงทักจากเบื้องหลังที่ทำให้รู้สึกขัดเขินเล็ก ๆ กับความรู้สึกเปี่ยมล้นที่มีในหัวใจ ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้เลย...

“..................................”

“โอ๋... โอ๋ รุ่งต้องทำยังไงพ่อเหมียวถึงจะหายงอนนะ”

“................................” แต่ห้ามอย่างไร... อารมณ์แบบนี้

“คุยเรื่องงานนิดเดียวเอง นิดเดียวจริง ๆ เขนไม่เชื่อรุ่งเหรอ”

“เขนเชื่อรุ่ง... แต่เขนไม่เชื่อ...”

“คุณอาร์ทเขาเป็นพี่ชายของรุ่งแล้วนะเขน ไม่ได้ต่างอะไรจากพี่บลูหรอก”

“และทำไม...”

“ทำไมอะไรอ่ะ”

“ทำไมต้องมีพี่อย่างนี้ทุกคนด้วยหละ”

“อย่างนี้ นี่ยังไง”

“ก็อย่างที่...” ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

“โอ๋... พ่อเหมียวขี้หึง” และผมก็รู้ว่าเขาแกล้งถามในตอนต้น

“ในเมื่อ ‘ไม่ได้รัก’ แต่มิตรภาพดี ๆ ความรู้สึกดี ๆ เราจะเก็บไว้ในรูปแบบอื่นไม่ได้เหรอ ถ้ารุ่งคิดเหมือนเขนนี่... รุ่งต้องหึงน้องแพรด้วยหรือไง”

“เขนกับน้องแพรไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”

“คุณอาร์ทกับพี่บลูก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”

“แล้วเด็กน้อยหน้าตาดีกลุ่มนั้นอีก พี่รุ่ง... พี่รุ่ง...” เสียงลอกเลียนแนบเนียน

“นั่นเพื่อนบ้านเรานะเขนที่รุ่งเคยเล่าให้ฟังไง เปิดเทอมหน้าพวกน้อง ๆ เขาก็จะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านกับเราแล้วนะ เขนมัวแต่งอนอ่ะเลยยังไม่ได้แนะนำให้รู้จัก” ผมฟังเสียงใส ๆ เล่าเรื่องราวรวดเร็วเงียบ ๆ จนใครบางคนสังเกตเห็นอีกจนได้

“........................................” ใบหน้าหวานที่เอียงคอยื่นหน้ามาช้อนมอง พร้อมด้วยสายตาบางอย่าง

“ความจำนี่มันกลับมาพร้อมกับนิสัยเดิมแป๊ะเลยนะเขน ถ้าใครเกิดเอาของขวัญหรือจดหมายมาให้รุ่ง จะต้องเอามาเผาอีกหรือเปล่าอ่ะ” แววตาที่เลียนล้อทำเอาผมไปต่อไม่ถูก

“ก็เขน” ร่างบางโผหาอ้อมอกแกร่ง สอดวงแขนกอดกระชับแบ่งปันความรู้สึกภายใน

“รักเขนนะ รุ่งรักเขนคนเดียว... เชื่อรุ่งนะ”

“เขนรู้ แต่...”

“ก็อดหึงไม่ได้” รอยยิ้มของใบหวานที่มองช้อน ไม้ตายที่หยุดทุกสิ่ง

“อืม... เขนขอโทษ”

“ขอโทษทำไมอ่ะเขน ก็รุ่งรักของรุ่งแบบนี้ รักเขนที่เป็นแบบนี้นี่นา...” อ้อมกอดเกาะเกี่ยวแบ่งปันความรักความเข้าใจอบอุ่นเนิ่นนาน

“รักเขนนะ รักเขนคนเดียว”

“ครับ เขนก็รักรุ่งนะ”

“รุ่งรู้...” เสียงและจังหวะการเต้นช้าหากสม่ำเสมอมั่นคงแห่งดวงใจของคนทั้งสองกลับมาเติมเต็มความรักลงในหัวใจกันและกันอีกครั้ง

“เราขึ้นบ้านไปพักผ่อนกันดีกว่านะ เขนเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว” ร่างสูงคลายอ้อมกอด และเกลี่ยลูกผมน้อย ๆ ที่ตกลงมาระบดบังรอยยิ้มอ่อนหวานละมุน ก่อนจะถูกมือบางจะรั้งให้ก้าวติดเดินตาม

“เดี๋ยวรุ่งจ๋า...” มือใหญ่ที่รั้งไว้ ก่อนคนตัวโตจะก้มลงเก็บดอกไม้ขาวดอกน้อยสองสามดอกขึ้นมาอีกครั้ง

“จะไปวางไว้ที่โต๊ะหัวนอนหอมเย็นชื่นใจดีนะ”

“ครับ... ที่รัก” สองมือสอดประสานมั่นคงและรอยยิ้มแห่งความสุขที่ส่งผ่านถึงกัน

‘บ้าน’ หลังเล็กหลังเดิม...

ที่เคยเป็น ‘บ้านของเรา’ และคงเป็น ‘บ้านของเรา’ เสมอ...

ขอเพียงแค่... ‘มีเราทั้งสองคน’ ตราบลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

 

การเดินทางด้วยรถไฟแล้วต่อด้วยรถตู้ที่เช่ามากินเวลานานพอสมควรหากคุ้มค่าเมื่อเป็นความปรารถนาของยอดดวงใจ ‘งานวันเด็ก’ อีกปีที่ได้หวนกลับย้อนคืนมาที่จังหวัดเชียงรายอีกครั้ง แม้ของขวัญของฝากของเด็ก ๆ ที่สรรหาด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนสองคน และเพื่อนฝูงญาติมิตรจะไม่ได้มากมายเทียมเท่าครั้งที่แล้ว หากเมื่อความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม ‘WISH LIST’ ครั้งนี้ก็เดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ

รถตู้สามคันที่ขับตามกันมาในความมืดมาถึงที่หมายในยามดึกเหมือนดังเช่นครั้งที่แล้วหากครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเราสองคนและน้องชายเท่านั้น ‘เพื่อนบ้าน’ ที่จะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่อาสาติดตามมาด้วยในการเดินทางช่วยทำให้การลำเลียงของ และตั้งเต็นท์ที่พักเป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็ว

“แยกย้ายเข้านอนได้แล้ว” เสียงใสพี่ชายคนใหม่ของเด็ก ๆ กล่าวกำชับเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู หากใบหน้าซุกซนของแก๊งตัวป่วนที่ทำท่าจะดื้อก่อกองไฟ เล่นกีตาร์ร้องเพลงกันต่อกลับสลดวูบลงด้วยไอเย็นจัดของใครบางคนที่เดินกลับมาจากห้องน้ำพร้อมบอดี้การ์ดส่วนตัว ได้กวาดตาเรียวคมตวัดมองพร้อมกระจายกระแสกดดันบางอย่างไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะเดินนำมานอนก่อนอย่างว่าง่าย

“ราตรีสวัสดิ์ไอซ์” รุ่งทักด้วยอารมณ์ดีดุจเดิม

“ครับ” ก่อนสีหน้านิ่งเรียบเฉยเมยจะคลี่ยิ้มตอบทำให้เบาใจ และทำให้รู้ว่าผมสองคนอยู่นอกเหนือสถานการณ์การบังคับควบคุมดังกล่าว

“หลับฝันดีนะครับพี่รุ่ง พี่เขน” พร้อมกับอดที่จะมองส่วนผสมของความแตกต่างที่ลงตัวของคนคู่นี้ด้วยความประหลาดใจ

“ขอบใจมาก ” ผมตอบแทนคนข้าง ๆ ที่ยังคงยืนอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะยืนส่งเด็กทั้งหมดที่แทบจะเดินเรียงแถวมาทักทาย และแยกย้ายกันเข้านอน

เต็นท์ที่นอนเต็นท์ใหญ่ที่ถูกกระแสลมหนาวแรงจัดพัดไหวเป็นพลิ้วเป็นระลอกน้อย ๆ สำหรับสามคนนอนบัดนี้เหลือเพียงร่างสองร่างที่นอนกอดเกี่ยวแลกไออุ่น เมื่อน้องชายคนเดิมของรุ่ง ตีรถกลับไปนอนที่ตัวเมืองเชียงรายเพื่อรอรับน้องสาวของผม

“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้นะเขน” เสียงกระซิบเบา ๆ ของคนในอ้อมกอดที่ทำให้ยกยิ้ม

“ครับพรุ่งนี้ รุ่งปลุกเขนด้วยนะ เราไปด้วยกันนะ” ผมกระซิบตอบรับข้างหู ก่อนกระชับอ้อมกอด และกดจูบลงบางเบาส่งคนรักเดินทางสู่ห้วงนิทรา

 

‘เจ้าแสงจันทร์ และดวงเดือน’

บนท้องฟ้ากว้างสีน้ำเงินเข้มสดใสที่แต่งแต้มไปด้วยกลุ่มเมฆน้อย และดวงดาวเล็ก โอบกอดรอบล้อมไปด้วยสายหมอกสีขาวเยือกเย็นเจือจางปกคลุมทิวเขาเขียวชอุ่มสูงชันดังท้องทะเลไหวเคลื่อนเอื่อยช้า

สายลมที่พัดผ่านพื้นแผ่นดินและฝืนฟ้าตามกระแสของฤดูกาลผ่านวันและเวลา นำพาละอองไอของความรักความผูกพันเหนือกาลเวลาหวนคืน สองร่างที่เกาะเกี่ยวกกกอดในอ้อมแขนของกันและกันแบ่งปันความอบอุ่นคงมั่นและภักดี

‘แสงแรก’ ของวันใหม่เรืองรองทอดทอประกายสีส้มอมชมพูจางจับต้องรอยยิ้มแสนหวานของใบหน้างดงาม

“คืนค่ำพรุ่งนี้เราจะพบกัน” เสียงใสบอกลาจันทร์เจ้ายอดดวงใจ

“แน่นอนเราต้องพบกัน” สัจวาจาประกาศแหบห้าวเน้นย้ำความคงมั่น

เส้นทางแห่งชีวิตขนานคู่ที่เฝ้ารอคอย... กันและกันสิ้นสุดลง

ณ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง... ตราบจนสิ้นลมหายใจ

 

การเดินทางอีกครั้งและอีกครั้งจะหมุนเวียนผ่าน

 

หากสิ่งที่หัวใจ ‘รู้’

‘พรุ่งนี้เราจะพบกัน... แน่นอน’

 

ของบางอย่าง...... คนบางคน.........

 

เกิดมา

 

เพื่อ........คู่กัน

เพื่อ..........เติมเต็มกัน

เพื่อ...........เป็นของกันและกัน

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

 

แม้ฝันดีหรือฝันร้ายจะผ่านเข้ามา

สักวันมันจะผ่านพ้นไป

 

เพราะความจริง ข้างในหัวใจของเราทั้งสองคน

เรา ‘รู้’ ..............ว่ามันจะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ





#JKLTHESERIES

หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-03-2018 15:07:59
ฉันเสียน้ำตาไปมากมายเท่าไรคุณรู้บ้างไหม
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 27-03-2018 15:57:25
ประทับใจ อิ่่มเอม ซึ้งใจ น้ำตาร่วง กับความรักของเขนกับรุ่ง ชอบเรื่องนี้มากกกกก :pig4:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: april ที่ 27-03-2018 20:42:38
 :กอด1:ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 28-03-2018 01:47:15
ก่อนอื่น ...
ขอชื่นชมในความสม่ำเสมอของการลงเนื้อหานะคะ
ตื่นมาก็ได้เจอทุกเช้า แต่ก็ตัดใจไม่อ่านจนกระทั่งเห็น END

วันนี้เลยคลิกกลับมาอ่านต่อ .. จนจบแล้วค่ะ
(และคำสะกดผิดก็มีบ้างประปรายนะคะ)

สำหรับเนื้อหาหลังจากที่หยุดอ่านไปในช่วงกลาง ๆ เรื่อง
ก็อย่างที่บอกไว้ค่ะ ว่าภาษาก็ยังสวยงาม แต่ ..
ภาษา...ก็ทำให้อารมณ์ครึ่งหลัง ยังย้วย ๆ ยาน ๆ เช่นเดิม

เหมือนย่ำ ๆ อยู่ที่ ย้ำกับอารมณ์เดิม ๆ มากเกินไป

ถ้ามีการลด ละ และหรือ ตัด 'คำ' ลงหน่อย
แล้วกระชับเนื้อหาให้แน่นขึ้นอีกนิด

จะครบ 'ความ' ที่นำสื่อแบบกระชากใจกว่านี้เยอะเลยค่ะ

สุดท้าย "ขอบคุณนะคะ" ที่ลงจนจบ
และจะรออ่านเรื่องต่อไปค่ะ






หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 08-09-2018 16:11:40
กว่าจะอ่านจบเรื่องนี่ ร้องไห้จนตาบวมเลยค่ะ 555 มันเป็นความรู้สึกหวานๆ ละมุนละไม ผสมกับความหน่วงๆไปตลอดเรื่องเลย ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-09-2018 17:45:03
 :pig4:  :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 25-11-2018 17:48:01
ตามมาจากเรื่องรักเธอคนเดียว
หัวข้อ: Re: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-04-2019 20:53:59
พีคมากจริงๆ ค่ะ ภาษาดีมาก เนื้อหาเยี่ยมมาก
อ่านแล้วอินมาก จุกอก น้ำตาไหลเลยค่ะ
วิธีการเขียน เชื่อมโยง ได้หมดเลย ดีจริงๆ

ลงตัวสักทีนะคะ ตามหากันมานาน
ความพยายามและการรอคอยที่สิ้นสุด
ความรักที่ไม่ลบเลือน ไม่ลืมเลือน
รักและอยู่ด้วยกัน ให้สมกับที่รอคอย
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ถึงจะจดจำไม่ได้
แต่ในใจและภาพจำไม่เคยจาง

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิยายที่ดีมาก
จนถึงตอนนี้ยังอิ่มเอม และเจ็บในอกไปพร้อมกัน